พิมพ์หน้านี้ - ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Ch0cmint ที่ 24-05-2018 20:51:38

หัวข้อ: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-05-2018 20:51:38
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



(https://i.imgur.com/zqEP6kB.jpg)


คุณคิดว่าแอปพลิเคชั่นอินสตาแกรมให้ประโยชน์อะไรกับเราบ้าง?


ติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อน เสพรูปสวยๆ อัพเดทชีวิตความเป็นอยู่ บอกเล่ากิจกรรมที่ทำ บันทึกความทรงจำในช่วงเวลาหนึ่งหรืออีกหลายๆ เหตุผล แต่สำหรับผมมีเพียงสิ่งเดียวคือ ‘พบเจอกับความรัก’ ถึงแม้จะเป็นแค่รักข้างเดียวแต่มันก็โคตรมีความสุข


แต่... ทำไมทุกอย่างบนโลกนี้ต้องมีคำว่าแต่ตลอดเลยวะ เฮ้อ เอาเถอะ การแอบรักเงียบๆ มันก็ดีอยู่หรอกถ้าเขายังไม่มีใครเข้ามาจีบ แล้วไอ้เชี่ยนั่นโผล่หัวมาได้ยังไงวะเนี่ย เดี๋ยวส่งน้ำ เดี๋ยวส่งขนม พ่อมึงรวยล้นฟ้าหรือไงเปย์ได้เปย์ดี! ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วเว้ย ปล่อยไว้แบบนี้หมาคาบไปแดกแน่!


= = = = = = = = = = = = =


* บทสนทนาระหว่างเพื่อนสนิท *

“ไอ้บ๊วย”

“บ๊วยบ้านพ่อง กูชื่อกิม เรียกให้มันดีๆ”

“อ้าว กิมจ๊อก็คือบ๊วยไง กูผิดอะไรเนี่ย?”

“กิมมิคเว้ยไอ้สัด!”

“เกรี้ยวกราดอะ”

“ยุ่ง”


++++++++++++++++++++


* บทสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมคลาสเรียน *

“บ๊วย”

“ไอ้... โอ๊ะ ว่าไงครับ?”

“เราอยากปรึกษาเรื่อง...”

“ได้ๆ เราขอเคลียร์งานแป๊ป เดี๋ยวตามไป”


++++++++++++++++++++


เพื่อนสนิท : ไอ้คนสองมาตรฐาน

กิมมิค : เสือก!






ปล. ไม่มีกำหนดอัปนิยาย คึกเมื่อไหร่ได้อ่านเมื่อนั้นเพราะว่าต้องแต่งเรื่องหลัก
(จะอัปสม่ำเสมอเมื่อเรื่องหลักจบ)

ฝากเพจเราด้วยน้า https://www.facebook.com/pg/Ch0cmint/
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ::
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 25-05-2018 09:04:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ::
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 25-05-2018 12:38:42
มารอ
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดเริ่มต้น -P.1- 25/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 25-05-2018 19:58:20
จุดเริ่มต้น


the_kirin.z
มันเป็นแอคเค้าท์ที่ผมเลือกติดตามเป็นลำดับต้นๆ เมื่อเล่นแอปพลิเคชั่นอินสตราแกรมหรือเรียกสั้นๆ ว่าไอจี ในช่วงเวลานั้นจำได้แค่เพียงว่ารูปภาพที่เขาอัปโหลดนั้นสวยมากซึ่งถ่ายมาจากกล้องระดับโปรราคาครึ่งแสน (เขาเคยอัปเดตรูปตัวกล้องที่ใช้) ไม่ว่าจะเป็นวิวทิวทัศน์ สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร เครื่องดื่ม หรือแม้แต่นายแบบ นางแบบและอีกหลายๆ อย่างล้วนแล้วแต่ดูมีเสน่ห์ด้วยกันทั้งนั้น ฝีมือดีจนน่าอิจฉาทั้งที่อายุก็เท่ากัน

ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันในการเล่นไอจี ส่องนู่นส่องนี่ไปเลยโดยไม่อัปเดตอะไรลงไปในแอคเค้าท์ของตัวเองนอกจากรูปชีทเรียนพิเศษกองโตกับรูปเพื่อนสนิทที่แอบหลับจนน้ำลายยืดเปียกเป็นวงกว้างบนกระดาษ โคตรสกปรก น่าขยะแขยง แต่มันก็ยังดูดีในสายตาสาวๆ เสมอเพราะเป็นถึงเดือนโรงเรียน (มึงเอาเงินฟาดหัวคนทำโพลไปเท่าไหร่วะถึงได้ตำแหน่งนี้มา)

ตอนนี้ผมและพวกเพื่อนๆ นั่งอยู่เล่นอยู่ในโรงเรียนเพื่อรอเวลาเข้าเรียนพิเศษต่อที่สถาบันกวดวิชายอดนิยม ดูเหมือนเด็กขยัน แต่เปล่าเลยเพราะถ้าพ่อแม่ไม่บังคับจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด เป้าหมายชีวิต คณะที่อยากเรียนยังเท่ากับศูนย์ แต่ที่บ้านอยากให้ไปสายวิศวะ ไม่ก็หมอ ผมนี่ถึงกับร้องโอ้โหใส่บุพการีว่า ‘เป็นหมอดูก่อนได้ไหม?’ หลังจากนั้นโดนด่าไปสามวันเจ็ดวัน สบายหูเลยกู ไม่กล้าพูดเล่นอีกเลย

“เขี่ยโทรศัพท์ทั้งวัน ไม่เบื่อหรือไงวะ?” เสียงทุ้มแหบของเพื่อนสนิทที่มีนามว่า ‘ปอม’ เอ่ยถามขึ้นในขณะที่มันนอนราบไปกับท่อนแขนบนโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นราชพฤกษ์ซึ่งตอนนี้กำลังออกดอกสีเหลืองบานสะพรั่ง ผมไม่สนใจว่าเพื่อนจะคิดอะไรเลยตอบกลับด้วยการไหวไหล่แล้วเขี่ยโทรศัพท์ต่อไป กำลังส่องไอจีเขาอยู่มึงอย่าขัดได้ไหมล่ะไอ้หมา!

“แหนะ กูถามก็ไม่ตอบ เป็นใบ้เหรอ?” ไอ้ปอมขึ้นเสียงมากกว่าเดิมเล็กน้อยก่อนที่จะยืดตัวตรงแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาดูจอโทรศัพท์อย่างไม่เกรงใจ โดยปกติผมไม่มีความลับกับเพื่อนแต่ครั้งนี้ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้างเลยขยับตัวหนีไปนั่งข้างๆ ‘ไอ้ว่าน’ ซึ่งกำลังอ่านนิยายสยองขวัญทั้งที่กลัวจนขึ้นสมองแทน แม่ง พอเก้าอี้สั่นหน่อยมันสะดุ้งจนเกือบทำหนังสือหลุดมือ กูอยากรู้จริงๆ ว่าคืนนี้มึงจะข่มตาหลับยังไงพ่อคนขวัญอ่อน

“ยุ่ง” ผมสบถคำด่าออกไปแค่นั้นเพราะอยากเอาเวลาทั้งหมดไปทุ่มเทกับการเล่นไอจีมากกว่า ก็ไม่ได้เข้าตั้งหนึ่งอาทิตย์เพราะติดสอบกลางภาคเรียนสุดท้ายของมอหก บอกได้คำเดียวว่าโคตรโหด ขนาดติวล่วงหน้าเป็นเดือนๆ ยังเหมือนไม่มีความหมาย ก็ครูเล่นสอนเท่าหางอึ่งแต่ออกสอบเท่าตัวกบ ลาก่อน

“เพื่อนฝูงนั่งอยู่เนี่ย มึงควรสนใจบ้างปะวะ?” ไอ้ปอมชี้ตัวเองสลับกับไอ้ว่านซึ่งรายนั้นไม่ได้สนใจคนรอบข้างมันทำเพียงแค่เลิกคิ้วไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือด้วยซ้ำ ส่วนผมก็ยังคงดูไอจีของเขาคนนั้นไปเรื่อยๆ อัปเดตครั้งล่าสุดเมื่อสามวันที่แล้วเป็นรูปถ่ายลานหน้าสยามพารากอนตอนกลางคืนและมีคอนมาคอมเม้นต์ว่า ‘เบื่อวิวแล้วอยากเห็นหน้าเจ้าของไอจีมากกว่า’ ส่วนทางนั้นตอบกลับว่า ‘ถ้าผมสอบติดมหา’ลัย จะอัปรูปตัวเอง’ เชื่อเหอะ คนรอเกือบพันเพราะมีคนติดตามเกือบครึ่งหมื่น หนึ่งในนั้นคือผมเอง

“เป็นคนขาดความอบอุ่นหรือไง มึงเห็นปะว่าไอ้ว่านมันล่าท้าผีอยู่ สนใจใครที่ไหน” ผมเหล่สายตามองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน มันสะดุ้งเฮือกก่อนละมือออกจากหนังสือเพื่อส่งนิ้วกลางให้ ไอ้ปอมหัวเราะก๊ากจนโต๊ะอื่นหันมามอง แต่ไม่ใช่สายตาตัดพ้อเพราะสาวๆ พวกนั้นปลื้มมันอย่างกับอะไรดี ถ้ารวบหัวรวบหางจับทำสามีได้คงทำไปแล้ว

“ปากอัปมงคลมาก!” ไอ้ว่านแทบจะเอาสันหนังสือเคาะหัวผมถ้าไม่ติดว่าเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ของมันดังขึ้น ส่วนไอ้ปอมทำหน้าสะใจอยู่อีกฝั่งของโต๊ะก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นกระดกจนเลอะเสื้อนักเรียน ทั้งๆ ที่มันดูสกปรกในสายตาผู้ชายแต่กลับเรียกเสียงกรี๊ดจากพวกเธอได้เป็นอย่างดี โอ้โห ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวฉิบหาย แต่แปลกที่เพื่อนผมยิ้มแถมขยิบตาให้อีก หล่อเหลือเกินพ่อคุณ อยากถีบให้ตกเก้าอี้สักที

“ผัวส่งไลน์มาเหรอ?” ผมแกล้งถามไอ้ว่านที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์ มันชะงักกึกแล้วหันมาตวัดสายตาดุใส่แต่ไม่มีการปฏิเสธใดๆ หลุดออกมาจากปาก นั่นก็แสดงว่าผัวมันส่งไลน์มาหาจริง สงสัยนัดกันไปกินตับ เอ๊ย กินข้าวเย็นแน่ๆ

“แหม ทำหน้าแดงสะดีดสะดิ้งจังวะเพื่อนกู” ไอ้ปอมปากปีจอว่าเสียงกระแนะกระแหนพร้อมกับทำมือเป็นรูปวงกลมโดยใช้นิ้วอีกข้างสอดเข้าไป ความสัปดนของมันยิ่งทำให้คนมีแฟนหน้าแดงก่ำเข้าไปใหญ่ ปากไอ้ว่านสั่นกึกๆ คงกำลังคิดคำด่าสวนกลับแต่ทำได้แค่นั่งบีบมือ โธ่ น่าสงสารจับใจ แต่นี่เป็นโอกาสดีที่จะไม่มีใครแย้งตอนผมเริ่มเขี่ยโทรศัพท์อีกครั้ง

ผมรีเฟรซหน้าไอจีอีกครั้งเพื่อดูว่าเขาโผล่มาอัปรูปตัวเองที่เคยสัญญาไว้กับแฟนคลับคนหนึ่งหรือเปล่า ก็เห็นขึ้นไบโอว่าติดมหา’ลัยชื่อดังตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนี่หว่า รู้ไหมว่ามีคนรอจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้วเนี่ย

ผมแอบส่องเขามาเป็นปียังไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักชื่อเลย ขนาดรูปที่เพื่อนๆ แท็กมาก็ไม่มี โหย กลัวแล้ว เป็นคนที่ลึกลับโคตรๆ แต่ไม่มีอะไรสุดโต่งเท่าผมแอบชอบเขานี่ล่ะ เชี่ยเอ๊ย มันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ไม่รู้ เคยถามตัวเองอยู่หลายรอบว่าแค่ปลื้มฝีมือการถ่ายรูปหรือเปล่าแต่คำตอบกลับไม่ใช่ เรื่องนั่นก็ว่ารับได้ยากแล้วเสือกเจอแจ็คพอตตรงที่ฝ่ายนั้นเป็นผู้ชายด้วย ผมนี่เตรียมโบกมือลาลูกที่จะเกิดในอนาคตเลย

เสียงทะเลาะแง่งๆ ใส่กันยังดังมาเป็นระยะจากเพื่อนทั้งสองคนแต่ผมไม่ได้สนใจเพราะกำลังหงุดหงิดการเรียงไทม์ไลน์ของไอจีมากกว่า มึงจะสุ่มหาพ่องเหรอ ไม่เรียงตามเวลาปัจจุบันมันก็ส่องยากสิวะ ที่จริงจะกดเข้าแอคเค้าท์ของเขาเลยก็ได้แต่เป็นคนชอบลุ้นมากกว่าไง แม่งๆๆ ขัดใจ

อีกครั้งที่ผมกดรีเฟรซหน้าจอแล้วเลื่อนนิ้วไปเรื่อยๆ จนสะดุดตาเข้ากับรูปของใครบางคนที่กำลังหันด้านข้างในกล้อง หัวใจเริ่มเต้นแรงเมื่อชื่อแอคเค้าท์ด้านบนเป็นของคนที่กำลังรอคอย โอย มือไม้อ่อนหมดแล้วกู หัวก็แทบมุดเข้าโทรศัพท์ อยากขยายจอฉิบหาย แม่งๆๆ ขนาดรูปไม่เต็มหน้ายังดาเมจกันขนาดนี้ ทำไมเขาต้องเกิดมาหล่อด้วยวะ แฟนคลับกดหัวใจไปแล้วเป็นพัน ไม่รวมคอมเม้นต์อีกเป็นร้อย จะฮอตเกินไปแล้วเว้ย หวง!

ผมตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกเลยเอื้อมมือไปตีแขนไอ้ปอมรัวๆ มันโวยวายเสียงดังก่อนหยุดชะงักเมื่อเห็นรูปของเขาคนนั้นในโทรศัพท์ที่ถูกยื่นไปพร้อมกัน ขนาดไอ้ว่านยังอยากรู้อยากเห็นถึงขั้นยอมยืนขึ้นแล้วห้อยหัวลงไปดู เดี๋ยวเลือดหน้ามืด มึงจะเรียนหมอจบหกปีปะเนี่ย

“บ๊วย...” ไอ้ปอมขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากเรียกฉายาของผมที่ได้มาแบบงงๆ ถ้าในเวลาปกติคงด่าสวนกลับเพราะไม่ชอบ แต่ตอนนี้ความตื่นเต้นที่ได้เห็นเสี้ยวหน้าของเขามีมากกว่า หล่อแบบตราตรึงหันใจสุดๆ โอย อยากโทรไปบอกพ่อกับแม่ว่าผมเจอภรรยาในอนาคตแล้ว

“โคตรหล่อเลยมึงว่าไหม?!” ผมถามย้ำเพื่อให้มั่นใจว่าคนอื่นเห็นเหมือนกัน ไอ้ปอมพยักหน้าหงึกหงักแต่คิ้วกลับขมวดแน่นคล้ายกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง หรือเขาหน้าเหมือนแฟนผู้หญิงคนไหนในโรงเรียนของเราหรือเปล่าวะ ไม่เอานะเว้ย ถ้าเป็นแบบนั้นคนแอบชอบอย่างผมช้ำในตายกันพอดี

“เออ แต่กูว่าเขาหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนนะ” มันเอียงคอซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังพิจารณาใบหน้าของเขาอยู่ ไอ้ผมที่ได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นถึงกับออกแรงบีบโทรศัพท์แน่น ใจหนึ่งก็กลัวอีกใจหนึ่งก็ยินดี ถึงแม้ว่าโรงเรียนของเราจะอยู่ในระแวกเดียวกันก็ใช่ว่าจะเจอกันได้ง่ายๆ นี่หว่า

“จริงเหรอวะ? มึงคิดดิๆ โอย กูอยากเจอตัวจริง!” ผมวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะก่อนจะเอื้อมมือไปเขย่าไหล่ไอ้ปอมจนมันไอโขลกเพราะสำลักน้ำลาย สงสารอยู่หรอกแต่อยากกระตุ้นให้เพื่อนใช้สมองไวๆ ไง

“สัด อย่าเร่ง! อยากมีผัวจนตัวสั่นเลยเหรอ?” ไอ้ปอมฟาดมือลงมาบนแขนผมดังเพี๊ยะแต่ความเจ็บไม่สามารถหยุดความตื่นเต้นได้เท่ากับคำถามกึ่งประชด ทุกอย่างชะงักกึกเมื่อสิ้นเสียงของมัน อาการมึนๆ เบลอๆ เหมือนคนโดนทุบหัวเกิดขึ้น

ถ้าสมมติว่าวันหนึ่งเราคบกัน... เฮ้ย ใครว่ากูมโนมาต่อยกันดิ๊ คนเรามันต้องมีความฝันกันบ้างเหอะ กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า เออ แล้วใครรุกใครรับล่ะ ถึงจะออกปากเรียกเขาว่าภรรยาไปแล้วแต่ความเป็นจริงยังไม่แน่ใจ ก็เพิ่งเคยชอบผู้ชายเป็นครั้งแรกคนแรก โพสิชั่นไหนเวิร์คคงต้องศึกษาต่อไป

“ปากหมาสมชื่อนะมึง คิดไวๆ เลย แม่ง” ผมใช้จังหวะที่ไอ้ปอมกำลังทำหน้าล้อเลียนเอื้อมมือไปดีดปากมันดังป๊อก อีกฝ่ายสะดุ้งก่อนจะเบิกตาโตแล้วสบถด่ากันจนฟังไม่รู้เรื่อง แต่ใครจะแคร์วะ ขนาดไอ้ว่านยังส่ายหน้าเอือมๆ เลย

“เชี่ยนี่ชอบทำร้ายร่างกายคนอื่น” มันบ่นงุ้งงิ้งแต่ก็ไม่โต้ตอบกลับเพราะมันรู้ว่าผมมือหนัก

“มึงปากเสียก่อนไหมล่ะคุณปอม?” เป็นไอ้ว่านที่เอ่ยถามหลังจากนั่งหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียวจนปวดหน้าท้อง เดี๋ยวกูแช่งให้คืนนี้มึงร้องจนคอแห้งเลยคอยดู หึ

“อ้าว กูถามเพราะอยากรู้บ้างไม่ได้เหรอ?” หน้าตาตอแหลสิ้นดี

“แบบมึงเขาเรียกกวนตีน” ผมกับไอ้ว่านประสานเสียงด่าแบบไม่ได้นัดหมาย มันผงะถอยหลังจนเกือบตกเก้าอี้ก่อนจะเบะปากลงเหมือนเตรียมร้องไห้ คิดว่าดูน่าสงสารเหรอ อยากเอาเท้ายันหน้าอกแล้วกระทืบให้ม้ามแตก

“โอ๊ย สามัคคีด่ากูกันจังเหอะ”

“รักมึงไง” เสียงร่าเริงจากไอ้ว่าน

“ตอแหลสัด” เสียงสบถด่าพร้อมหน้าเหยเกจากไอ้ปอม เป็นคู่กัดที่สมน้ำสมเนื้อจนบางคนคิดว่าพวกมันเป็นแฟนกัน ถ้าหากว่าไอ้ว่านไม่มีแฟนอาจจะเป็นไปได้มั้ง แต่อย่าเลย แค่คิดก็ขนหัวลุกซู่แล้ว

“เสียเวลาเถียงกันอยู่ได้ คิดออกหรือยังว่าเคยเจอเขาที่ไหน?” ผมเอ่ยแทรกกลางปล้องแล้วหันไปคาดคั้นไอ้ปอมที่ยังคงทำปากเบะไม่หยุด ถ้าไม่เกรงใจสายตาแฟนคลับของมันนี่จะเอานิ้วแหย่เข้าให้ น่าหมั่นไส้จริงๆ ชอบทำตัวเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นทั้งที่ตัวเองน่ะเลวกว่าใคร ผมไม่ได้ใส่ความแค่พูดเรื่องจริง

“เหมือนเคยเจอแถวๆ ที่เรียนพิเศษว่ะ” มันตอบพลางเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ของผมไปกดรหัสผ่านแล้วดูรูปเขาอีกครั้งเพื่อนยืนยัน ผมลุ้นจนเผลอสั่นขาดิกๆ ทำให้ไอ้ว่านที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับส่งเสียงจิ๊จ๊ะใส่ โธ่ คุณเพื่อนช่วยเห็นใจคนแอบชอบอย่างกูหน่อยสิ ถ้ามีโอกาสที่จะได้เจอตัวจริงเสียงจริงมันก็ทำตัวไม่ถูกเป็นธรรมดาหรือเปล่าวะ

“ทำไมกูไม่คุ้นวะ?” แต่ไอ้ว่านกลับทำให้ข้อสันนิษฐานของอีกฝ่ายสั่นคลอน ผมถึงกับชะงักการกระทำ สะดุดลมหายใจ มือไม้อ่อนเปลี้ย

“วันๆ มึงสนใจคนอื่นด้วยหรือไงวะ ก้มหน้าก้มตาคุยกับผัวตลอด” ไอ้ปอมมันเริ่มปล่อยหมาในปากออกมาระรานชาวบ้านอีกครั้งแต่ดีหน่อยที่ไอ้ว่านมันระงับอารมณ์ได้ก่อนส่งยิ้มกวนตีนให้

“อ้าว พูดงี้อิจฉากูอะดิ” ดูเหมือนจะถือไพ่เหนือคนอื่นเขา แต่นิสัยมันคือแพ้ตลอดเพราะเลเวลการรับฝีปากต่ำมาก

“กูไม่อยากขี้คล่องเว้ย” ไอ้ปอมตอบกลับซะผมต้องเม้มปากเพื่อกลั้นขำ ในขณะที่ไอ้ว่านยกมือขึ้นชี้หน้าเพื่อนทันที โอ้โห สั่นไปทั้งตัวเหมือนองค์ลงเลยว่ะ ถ้าอยู่ในที่รโหฐานมันคงต่อยกันยับไปแล้วแน่ๆ

“ไอ้...!”

“พอๆ อย่าทะเลาะกัน” ผมห้ามทัพด้วยการรั้งเอวไอ้ว่านให้นั่งลง แต่สาวๆ กลับกรี๊ดแตกแถมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปกันใหญ่ เดี๋ยวนี้ผู้ชายกับผู้ชายแตะตัวกันไม่ได้แล้วใช่ไหมวะ เอาไปจิ้นตลอด ถ้าแกล้งจูบโชว์พวกเธอไม่หัวใจวายกันเลยเหรอ คนมีผัวถึงกับ

“เออ กูไปก่อนนะ พี่โซนมารับแล้ว” ไอ้ว่านถอนหายใจเฮือกแล้วหันมาบอกผมก่อนจะเก็บสัมภาระเดินสะบัดตูดออกไปโดยไม่สนใจเสียงแซวของไอ้ปอมคนปากหมา

“แหม พอผัวมาถึงก็รีบเลยนะ” ยัง ยังไม่เลิกแขวะคนอื่นเขาอีก ไอ้ว่านมันอยู่รอฟังมึงที่ไหนล่ะ ป่านนี้กอดคอขึ้นคร่อมมอ’ไซต์พี่โซนไปนานแล้ว

“โอย พอเลยมึง เลิกเห่าสักที” ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงปลงๆ แล้วซบแก้มลงบนท่อนแขนที่ราบไปกับโต๊ะแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อกนอนดูรูปเขาซ้ำอีกครั้ง คนบ้าอะไรดูดีแม้แต่มือที่เรียวสวยมีเส้นเอ็นขึ้นบางไม่ถึงกับน่าเกลียดเหมือนของผม แต่สาวๆ กลับลงความเห็นว่ายิ่งเห็นชัดยิ่งเร้าใจ บางที่ก็ไม่เข้าใจความคิดพวกเธอว่ะ

“ไอ้บ๊วย!” เนี่ยพอเพื่อนเปรียบตัวเองเหมือนหมาเข้าหน่อยก็ทำโวยวาย ทีตอนมันเรียกผมว่าบ๊วยล่ะเคยคิดถึงใจกันบ้างปะวะ หึ ไม่ง้อหรอก

“ขึ้นเสียงเหรอ? เดี๋ยวกูถีบคว่ำ” ผมถามเสียงเย็นก่อนยกขาขึ้นพาดบนเก้าอี้ คนอย่างไอ้กิมพูดจริงทำจริงแน่นอนและไอ้ปอมรู้ดีมันเลยคลี่ยิ้มหวานประจบประแจงแล้วขยับตูดออกห่าง

“อุ๊ย เกรี้ยวกราดเร้าใจจังเลยค่ะพี่กิม” มันบีบเสียงเล็กเสียงน้อยพลางกระดกมือไปมา ผมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายก่อนใช้สันมือทุบลงกลางหัวไม่แรงนักแต่พอจะทำให้ไอ้ปอมโวยวายได้

“กวนตีน แล้วตกลงว่ามึงเคยเจอเขาแถวที่เรียนพิเศษเหรอ?” ผมวกกลับเข้าสู่เรื่องที่อยากรู้แล้วขยับเปลี่ยนท่าทางการนั่งเป็นปกติแต่ใช้มือเท้าคางมองเพื่อนอย่างคาดคั้น ไอ้ปอมหยุดลูบหัวก่อนพยักหน้าแทนคำตอบ ดวงตาคมฉายความแน่วแน่ออกมาชัดเจนจนหัวใจผมเต้นตึกตักๆ หลังจากเฝ้ามองเขาผ่านโซเชี่ยลมาแรมปี วันนี้จะได้เจอตัวจริงเหรอวะ โอย แค่คิดก็ฟินแล้ว

“ประมาณนั้น กูเดาว่าอาจจะเป็นผู้ชายที่เรียนห้องเดียวกับเรา ชอบนั่งแถวหน้าๆ” มันคงหมายถึงผู้ชายตัวสูงพอๆ กับผมที่มีผู้หญิงหลายโรงเรียนล้อมหน้าล้อมหลัง เคยเห็นผ่านๆ ตาแต่ไม่เคยสนใจ จำได้แค่ว่าผิวโคตรขาว เห็นแค่ท้ายทอยยังรู้ว่าหล่อ ถ้าเป็นคนนั้นจริงไอ้การแอบรักอยู่เงียบๆ คงมีหน่วงบ้างล่ะวะ แต่ก็ยังดีที่เขาไม่เคยอัปเดตว่ามีแฟน

“วันนี้แม่งต้องพิสูจน์ให้ได้!” ผมโผล่งออกไปเสียงดังจนคนที่อยู่ในบริเวณเดียวกันถึงกับสะดุ้งเฮือกไม่เว้นแม้แต่ไอ้ปอมที่กำลังกระดกน้ำใส่ปาก แม่งสำลักไอโขลกจนเลอะเทอะไปหมด แต่มีสาวสวยใจดีคนหนึ่งส่งกระดาษทิชชู่มาให้มันเช็ดถึงที่ ผมนี่อยากจะเบะปากใส่ ฮอตนักเหรอ

“เสียงดังไปแล้วเว้ย หูจะแตก”

“ก็กูตื่นเต้น”

“ทำเหมือนเพิ่งเคยชอบใคร มึงอย่าลืมว่าตัวเองผ่านผู้หญิงมาเป็นสิบแล้ว” มันพูดอย่างกับผมสำส่อน กูคบทีละคนเว้ย แต่ไม่มีใครถูกใจก็แค่นั้นเอง มันไม่คลิ๊ก มันไม่เข้ากันไม่ได้ เหตุผลร้อยแปดบลาๆ เลยทำให้โสดจนถึงทุกวันนี้ไง

“ก็นี่ผู้ชายคนแรกของกู” ผมบอกมันเสียงเบาเพราะไม่อยากให้ผู้หญิงโต๊ะข้างๆ เอาไปซุบซิบนินทาอีก ถึงพวกเธอจะจิ้นผู้ชายกับผู้ชาย แต่ลับหลังกลับบ่นเสียดายของ ส่วนไอ้ปอมเลยจุดสนใจคนอื่นไปไกลโขแล้ว อยากทำอะไรก็ทำ แค่แฟนคลับไม่ต้องแคร์มากนักหรอก มันไม่ได้ขอความรักจากใครซะหน่อย

“โอยจ้า พ่อคนซิง กูอยากจะถุยน้ำลายใส่หน้า” มันเบ้ปากกรอกตามองบนใส่กันแล้วทำท่าถุยน้ำลายจริงๆ ผมเลยเอื้อมมือไปผลักหัวซะเต็มแรง

“โสโครก” ด่าแถมให้หนึ่งที แต่ไอ้ปอมไม่โกรธกลับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเหมือนถูกใจนักหนา

“แล้วไง ถ้าเจอเขาจะทำอะไรต่อ?” มันกลับเข้าโหมดจริงจังด้วยการเท้าคางมองหน้ากันนิ่ง ผมไหวไหล่เพราะไม่ได้คิดไว้ช่วงหน้าว่าจะทำยังไงต่อถ้าได้เจอ

“ก็... ไม่รู้ดิ กูว่าการแอบชอบมันก็ดีนะ” ผมเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็นที่ยังคงมีแสงอาทิตย์เจิดจ้า ก้อนเมฆสีขาวลอยเอื่อยๆ อยู่บนนั้นคงใกล้เคียงความรู้สึกที่มีในตอนนี้ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรีบ

ความรักไม่ใช่สิ่งสวยงามเสมอไป ถ้าสารภาพรักแล้วโดนปฏิเสธกลับมาก็กลายเป็นความทุกข์ ยิ่งกรณีของผมกับเขาแล้วนั้นการเฝ้ามองอยู่ห่างๆ อาจจะดีกว่า ถ้าหากว่าไม่มีผู้ชายคนไหนใจกล้าหน้าด้านเข้าไปขายขนมจีบน่ะนะ

“ที่มึงใจเย็นเพราะเขาไม่เคยประกาศตัวว่ามีแฟนใช่ไหมล่ะ?” สิ่งที่ไอ้ปอมพูดนั้นถูกต้องจนผมได้แต่ยิ้มและพยักหน้ารับ

“ก็ประมาณนั้น บางทีรู้เท่าที่เขาอยากให้รู้คงดีกว่า”

เมื่อนาฬิกาข้อมือบอกเวลาสมควรแก่การย้ายสังขารไปที่สถาบันกวดวิชาซึ่งวันนี้จะเปิดติวเป็นวันสุดท้ายของชั้นมอหก ผมกับไอ้ปอมเดินข้ามถนนเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงที่หมาย ห้องเรียนในตอนนี้ยังคงบางตาแต่มีอย่างหนึ่งที่สะดุดใจอย่างจังคือผู้ชายที่นั่งคุยกับเพื่อนที่หน้าห้อง พอได้ตั้งใจมองก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยจริงๆ ยิ่งเป็นใบหน้าด้านข้างด้วยแล้ว ใช่เลย... เขาจริงๆ ด้วยว่ะ

“หยุดเดินทำไมเนี่ย?” ไอ้ปอมที่เดินตามหลังมาโขกหัวเข้ากับท้ายทอยผมอย่างจังเพราะหยุดเดินกะทันหัน มันโวยวายไม่นานก็เงียบไป

“มึง...” ผมพูดได้แค่นั้นก่อนจะชี้มือไปในทิศทางที่มีเขาอยู่ ไอ้ปอมขมวดคิ้วแน่นถามกลับด้วยน้ำเสียงทะเล้นไม่รู้จักเวล่ำเวลา โอย ต่อยแม่ง

“อะไร เห็นผีเหรอ?” ผีทั้งโลกตามไปอยู่กับไอ้ว่านแล้วเถอะ ไม่มาโผล่ที่นี่หรอกเชื่อกู

“ยิ่งกว่าผีอีก เขาจริงๆ ด้วยว่ะ!” พยายามคุมเสียงแล้วแต่มันก็ดังมากพอให้คนด้านหน้าห้องหันมามอง แวบแรกที่สายตาสบกันนั้นพลันหัวใจของผมก็เต้นโครมคราม เขาเอียงคอนิดหน่อยก่อนที่รอยยิ้มสดใจจะประดับบนใบหน้า

อย่าถามว่าตอนนี้รู้สึกยังไงเพราะมันอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกจริงๆ เชี่ยเอ๊ย เหมือนคนตกหลุมกับดักของนายพรานแบบไม่รู้ตัว สมองเบลอๆ มึนๆ ยืนเอ๋อจนต้องอาศัยไอ้ปอมแก้สถานการณ์แทน มันลากผมออกมาจากตรงนั้นด้วยแรงมหาศาลพลางสบถอะไรบางอย่างยาวยืด คงตะลึงไม่แพ้กันแน่ๆ

“เชี่ย เป๊ะสุดๆ ตัวจริงออร่ากว่าในรูปอีก” นั่นคือคำชมจากปากไอ้ปอมเดือนประจำโรงเรียนของผมที่มั่นใจในหนังหน้าตัวเองระดับล้าน

“กู... จะเป็นลมว่ะ” เออ ผมรู้สึกหน้ามืดจริงๆ นั่นล่ะเพราะโดนดาเมจหัวใจแรงเกินไป

หลังจากวันที่ผมรู้ว่าเจ้าของแอคเค้าท์ the_kirin.z เป็นใคร หน้าตาจริงๆ หล่อขนาดไหนแล้วทุกอย่างก็ยังดำเนินไปอย่างปกติ ส่องไอจีเหมือนเดิม เพ้อเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือการพยายามแอดมิชชั่นให้ติดมหา’ลัยเดียวกับเขา ส่วนคณะที่เลือกก็ตามความต้องการของตัวเอง

รู้อะไรไหม? ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าโลกใบนี้กลม จนวันที่ต้องเข้ารับน้องของทางคณะนั่นล่ะ ความคิดทุกอย่างกับตาลปัตร ผู้ชายคนนั้นที่กำลังโดนรุ่นพี่กะเทยปีสองรุมทึ้งคือคนๆ นั้น ป้ายชื่อที่แขวนคอนั้นอ่านได้ว่า ‘พ่อกระต่ายน้อย’ มันช่างน่ารักน่าฟัดอะไรขนาดนั้น คงมาจากผิวขาวอมชมพูนั่นแน่ๆ ส่วนทางผมกับไอ้ปอม คนหนึ่ง ‘หล่อน่าขี่’ อีกคน ‘หล่อน่าปล้ำ’ (เราทั้งคู่เลือกเรียนด้วยกัน ในขณะที่ไอ้ว่านสอบติดแพทย์อย่างที่ฝันไว้) ยังกังวลว่ากูจะรอดพ้นเวรกรรมนี้ไปได้ยังไงโดยที่สามารถรักษาไข่ตัวเองให้ปลอดภัยเอาไว้ได้

ไอ้เรียนคณะเดียวกันว่าเซอร์ไพร์สแล้วเจอเข้าคลาสเรียนด้วยกันยิ่งหนัก นั่นหมายถึงเราจะได้เห็นหน้ากันตลอดระยะเวลาสี่ปี นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ โว๊ย แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรที่มากกว่าคำว่าเพื่อน เจอหน้าก็ทักบ้าง คุยบ้างตามประสาคนแอบชอบ เฮ้อ เอาเถอะ แค่ได้อยู่ใกล้ๆ เห็นรอยยิ้มของเขาไปวันๆ ก็มีความสุขแล้ว

ที่ผมใจเย็นอยู่ได้เนื่องจากเขาเป็นคนประเภทอัธยาศัยดีแต่ไม่ชอบการมีแฟน อยู่เป็นโสดคนเดียวจะทำให้มีเวลาออกไปเที่ยวเล่นถ่ายรูปมากกว่า ประมาณนั้น ที่รู้เพราะเคยถามๆ ดู ตอนนี้นแทบกระโดดกอดคอ แม่ง มันรู้สึกว่าการแอบชอบครั้งนี้ของตัวเองประสบความสำเร็จอะ แต่ดีหน่อยที่ไอ้ปอมแอบหยิกต้นขาสติเลยเข้าร่างไว

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ (ปัจจุบันเรียนปีหนึ่งเทอมสอง) รวมเวลาแล้วก็สองปีกว่าที่แอบชอบเขา มันยังคงเป็นความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้คำว่าเพื่อนร่วมคลาสเรียน ร่วมสาขา และคณะ แต่ความรู้สึกของผมที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คงปะทุเข้าในสักวันที่มีอะไรบางอย่างมาสะกิด




--------------------------------------

กราบสวัสดีมิตรรักแฟนนิยายทุกท่านที่รออยู่ 555555
วันนี้เราแวะมาอัปบทนำแล้วน้า คึกมากกก
แต่ตอนที่ 1 จะมาวันไหนนั้น... ช่วยภาวนาให้เราขยันด้วยเถิด

อ่านแล้วคอมเม้นต์กันหน่อยน้า จะได้รู้ว่าคนอ่านชอบหรือไม่ชอบอะไรยังไงบ้าง
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดเริ่มต้น -P.1- 25/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 26-05-2018 12:07:49
แนวที่ชอบเลย
รอติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดเริ่มต้น -P.1- 25/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 26-05-2018 14:54:01
แอบรักแอบชอบกันข้ามปีเลย o13
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 1 -P.1- 01/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-06-2018 00:08:10
รูปถ่ายใบที่ 1



ลานหน้าคณะวันนี้คราคร่ำไปด้วยนักศึกษาหลายชั้นปีเนื่องจากจะมีคอนเสิร์ตของศิลปินที่เป็นศิษย์เก่าของมหา’ลัยมาเล่น ทุกคนเลยนั่งรอเวลากันตรงนี้ ส่วนผมกับไอ้ปอมไม่อินแต่โดนบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมเหมือนเฟรชชี่คนอื่นๆ ถึงอยากหนีแค่ไหนแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าโดนแบนจากรุ่นพี่เป็นเรื่องใหญ่แน่

“สามีขา ~” เสียงแหลมเล็กที่พยายามดัดให้หวานเอ่ยเรียกชื่อกันทำให้ผมที่นั่งเล่นเกมอยู่ถึงกับสะดุ้ง พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับกระเทยหน้าหวานหุ่นเอ็กซ์ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ เธอชื่อ ‘น้ำปิง’ เป็นถึงดาวเทียมของคณะ แต่ชอบโมเมว่าผมเป็นสามีไปเรื่อยแถมยังชอบหาเรื่องลวนลามอีก กำไรชีวิตมันแต่กูเสียหายเว้ย

“จะเอาขาข้างไหนว่ามา” ผมถามมันก่อนขยับที่ว่างให้นั่งตามปกติ ถึงจะไม่ชอบให้แตะเนื้อต้องตัวแต่น้ำปิงก็เป็นเพื่อนที่ดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าเปลี่ยนไปเกาะติดไอ้ปอมบ้าง นั่งแดกไส้กรอกสบายเลยนะมึง แหนะ ยักคิ้วให้อีก วอนโดนตีนเห็นๆ

“สองข้างเลยได้ปะ จะเลียให้เยิ้มเลย คิก ~” น้ำปิงเกาะแขนซบหน้าลงกับไหล่แล้วออกแรงถูไถจนผมรู้สึกขนลุกซู่ คำพูดกำกวมส่งผลให้เท้ากระตุกเตะหน้าแข้งมันจนได้ แม่ง สยองเว้ย เยิ้มเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย

“โอ๊ย สามีขาทำร้ายร่างกายหนูทำไม?” มันผละออกไปทำหน้างอง้ำใส่กันก่อนจะก้มลงดูสภาพแข้งตัวเอง ท่าทางสะดีดสะดิ้งเกินงามทำให้ผมหลุดหัวเราะก๊ากอย่างห้ามไม่อยู่ ถ้าน้ำปิงสงบเสงี่ยมกว่านี้ไม่มีใครรู้ว่าเป็นสาวสองแน่นอน ทั้งโครงหน้า ผิวพรรณ รูปร่าง ดูดีกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก แต่เทียบไม่ได้กับคนที่ผมแอบชอบหรอก ถึงเป็นผู้ชายแมนๆ คนหนึ่งแต่ได้หัวใจไอ้กิมไปเต็มๆ

“มึงพูดอะไรน่าขนลุกไง” เป็นอีกคนที่ตอบแทนเพราะผมยังหัวเราะไม่เลิกจนโดนน้ำปิงตวัดสายตาดุๆ ใส่ ไส้กรอกในมือไอ้ปอมถูกส่งเข้าปากอีกครั้ง รูดๆ เลียๆ แถมทำหน้าเคลิ้มยั่วยวนส่งผลให้สาวสวยประจำโต๊ะถึงกับแลบลิ้นตาม รู้ว่าแม่งแกล้งกันเล่นแต่ช่วยเกรงใจสถานที่กันบ้างเถอะ พวกมึงไม่อายแต่กูอายเว้ย คนมองทั้งลานคณะแล้วมั่ง ดาวเทียมกับรองเดือนคณะกำลังล่อกันอยู่ เจริญ

“ไอ้สัด เลิกเล่นๆ กูอายคน” ผมด่าพวกมันก่อนส่งมือไปเคาะหัวไอ้ปอม มันร้องโวยวาย ตวัดไส้กรอกที่เพิ่งเลียไปเมื่อครู่อย่างกับดาบเจไดเพื่อโจมตีกลับ แม่ง ทำไมมึงเป็นคนที่สกปรกได้ขนาดนี้วะ แต่แปลกที่แฟนคลับยังคงอวยว่า ‘ปอมทำอะไรก็ดูดี’ แม้กระทั่งมันแคะขี้ฟันดีดใส่ผมตอนกินข้าว แม่ง โคตรลำเอียง

“อร๊าย ชู้ทำอะไรน่าเกลียดที่สุด” น้ำปิงกรีดร้องแต่ใบหน้ากลับกรุ้มกริ่ม เธอเบียดตัวหลบไส้กรอกไอ้ปอมจนแทบขึ้นมานั่งเกยตักกัน ไอ้ผมก็เผลอไผลจับเอวไว้ซะแน่นเพราะกลัวมันตกและนั่นทำให้เพื่อนคนอื่นๆ เอ่ยแซว

“หลังจบคอนเสิร์ตพวกมึงไปต่อกันที่โรงแรมปะเนี่ย” ผู้หญิงโต๊ะข้างๆ เอ่ยแซวซึ่งเธอเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับน้ำปิง ผมส่ายหน้าพรืดแล้วผลักคนบนตักออกแต่เพราะใช้แรงเยอะเกินไปมันเลยเซจนหน้าซุกเข้ากับซอกคอไอ้ปอม รายนั้นสะดุ้งเฮือกตัวแข็งทื่อไม่กล้าสะบัดตัวหนีไปไหนเพราะกลัวโดนจูบซ้ำ แต่ไม่นานสงครามก็เกิดขึ้น ไม่มีใครทนได้ยินเสียงสูดลมหายใจฟืดข้างหูเหมือนคนโรคจิตอยู่ใกล้ๆ ได้หรอก

“เกรงใจคนไร้คู่แบบกูบ้างเห๊อะ” เสียงผู้ชายจากโต๊ะถัดไปแซวขึ้นบ้างทำให้ผมหันไปชูนิ้วกลางให้ มันหัวเราะเอื๊กอ๊ากจนโดนเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตบหัว สมน้ำหน้าแม่ง แต่มึงโสดกูก็โสดเหอะไอ้เชี่ยสอง!

ผมกำลังจะหันไปช่วยไอ้ปอมเพราะน้ำปิงแล้วลวนลามจับนู่นจับนี่ไปเรื่อยแต่ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามาในสายตา ตอนนี้เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะเพราะความออร่าพุ่งเข้าดาเมจกันเต็มๆ

“จะทิ้งคู่จิ้นอย่างเราไปหาน้ำปิงแล้วเหรอ?” เสียงหวานใสโดนไม่ต้องดัดเอ่ยขึ้นพร้อมส่งยิ้มมาให้ เขาเป็นคู่จิ้นของผมที่ชื่อว่า ‘โฮม’ หน้าตาน่ารัก ผิวขาว ร่างเล็ก ดัดฟัน ใครๆ ก็บอกว่านี่คือนายเอกที่หลุดออกมาจากนิยายวายซึ่งผมกับไอ้ปอมยังเห็นด้วย และผู้ชายหลายคนก็เพียรพยายามขายขนมจีบกันยกใหญ่แต่อกหักเป็นแถว

ไอ้ปอมชะงักกึกรีบหันหน้าลิงๆ ไปมองคนมาเยือนทั้งที่ก่อนหน้าพยายามผลักน้ำปิงออกห่างแทบตาย อีกนิดเดียวคงหยิบไม้จิ้มไส้กรอกแทงกันแล้ว สภาพหัวยุ่งเหยิงใบหน้ามีรอยเล็บจนโฮมถึงกับส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ผมเห็นโอกาสดีเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพความทุเรศของเพื่อนเอาไว้เพื่ออัปลงไอจี ดูสิว่าคราวนี้บรรดาแฟนคลับจะอวยยังไงบ้าง

“แอบถ่ายรูปเพื่อนอีกแล้ว” เสียงทักจากอีกคนที่มาพร้อมกับโฮมเกือบทำให้ผมปล่อยโทรศัพท์ตก วันนี้เขาเซ็ตผมสีบลอนด์ทองเปิดหน้าผากทำให้ยิ่งดูหล่อมากกว่าเก่า ไหนจะชายเสื้อนักศึกษาที่หลุดลุ่ยเพิ่มความแบดบอยขึ้นเท่าตัว เหมาะแล้วจริงๆ สำหรับตำแหน่งเดือนคณะ ออร่าจนตาพร่าเลยว่ะ

“เอาไว้แกล้งมัน สนุกดี” ผมตอบกลับก่อนจะเบนสายตาไปมองไอ้ปอมที่ตอนนี้ชวนโฮมคุยอย่างสนิทสนมจนน่าหมั่นไส้ คำพูดคำจาไพเราะต่างจากเวลาปกติมากโข ขนาดน้ำปิงยังเบะปากคงทนความตอแหลไม่ได้

“แอบอิจฉาปอมปะเนี่ย?” เขาถามผมด้วยน้ำเสียงหยอกล้อก่อนจะหย่อนก้นลงข้างกันโดยเว้นระยะห่างพอสมควรทั้งที่เบียดเข้ามาอีกหน่อยก็คงไม่เป็นไร เดือนคณะอุตส่าห์ชวนคุยด้วยทั้งทีก็อยากใกล้ชิดเป็นพิเศษ เผื่อว่าสาวๆ ถ่ายรูปจะได้ติดไปลงเพจคิ้วท์บอยบ้าง

“ให้เราอิจฉามันเรื่องอะไรวะคีน?” ผมเหลือบมองคนข้างตัวพลางขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นแล้วยกมือข้างหนึ่งลูบใบตามใบหน้าอย่างใช้ความคิด สงสัยว่าไอ้ปอมมีอะไรดีให้อิจฉาบ้าง หน้าตาก็ไม่ นิสัยยิ่งแล้วใหญ่ บางที ‘คีน’ คงหมายถึงความฮอตและความอัธยาศัยดีล่ะมั้ง

ถึงผมจะเข้าข่ายบุคคลหน้าตาดีแต่ไม่ได้อัธยาศัยดีตามเลยไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามายุ่งเท่าไหร่ ส่วนมากจะขอถ่ายรูปผ่านโฮมมากกว่าเพราะเราเป็นคู่จิ้นกัน เวลาอยู่กับเพื่อนก็เฮฮาตามปกติแต่กับคนไม่สนิทนั้นใครๆ ก็หาว่าหยิ่ง จะให้กูฉีกยิ้มตลอดมันไม่ใช่ปะวะ เฮ้อ มนุษย์ช่างเข้าใจยากเหลือเกิน

“ปอมฮอตไง” คีนพยักพเยิดหน้าไปทางไอ้ปอมที่ตอนนี้ตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคน อาจเพราะรอยยิ้มละมถนที่นานครั้งจะประดับบนใบหน้านั้นหาได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

โดยนิสัยจริงๆ ไอ้ปอมเป็นคนกวนตีน ชอบกระตุกยิ้มมุมปาก ยักคิ้ว ทำหน้ากรุ้มกริ่ม แม้แต่ตอนถ่ายรูปโปรโมทประกวดดาวเดือนเมื่อเทอมหนึ่งยังโดนอาจารย์หาว่าเหมือนนักเลงมากกว่านักศึกษา ดีแค่ไหนที่มันไม่หยิบไมัทีขึ้นพาดบ่า

ผมปฏิเสธคำของคีนด้วยการส่ายหัวพร้อมกับไขว่แขนทั้งสองข้างเป็นรูปกากบาท ถ้าพูดถึงเรื่องความฮอตแล้วนั้นคงต้องยกให้เขามากกว่า ขนาดแค่นั่งคุยสัพเพเหระกับเพื่อนก็ยังไม่วายโดนแอบถ่ายรูป ก็เข้าใจความรักความชอบของคนอื่น แต่ไม่คิดว่ามนุษย์ต้องการความเป็นส่วนตัวบ้างหรือเปล่า

“คีนฮอตกว่าเยอะ” ผมยักคิ้วประกอบคิ้วพูด ส่วนคีนชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยใบหน้าอึ้งๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา

“เอาอะไรมาวัดหื้ม?” คีนเอ่ยถามก่อนจะใช้มือเท้าคางแล้วมองหน้ากันเพื่อรอคำตอบ ดวงตารีสวยนั่นแทบสะกดให้คนๆ หนึ่งหลงจนหัวปักหัวปำซึ่งเกรงว่าหนึ่งในนั้นอาจจะมีผมรวมอยู่ด้วยถ้าไม่มีเสียงเรียกชื่อเขาดังแทรกขึ้นมาซะก่อนน่ะนะ

“น้องคีนทานอะไรหรือยังคะ?” รุ่นพี่สาวสวยที่ผมจำได้ว่าเป็นพี่รหัสของไอ้สองเดินตรงเข้ามาถามไถ่คีนถึงที่ ในมือของเธอมีถุงขนมจากร้านดังหน้ามหา’ลัย ถ้าให้เดาคงเอามาฝากแน่ๆ ไอ้ที่เกริ่นมาก็แค่อยากชวนคุย ยืดเวลามองหน้าสบตาก็เท่านั้น

‘พี่อิง’ ขึ้นชื่อเรื่องเซ็กซี่เพราะชอบใส่กระโปรงทรงเอสั้นๆ กับเสื้อนักศึกษาพอดีตัวจนกระดุมจะดีดลูกตาคนมอง วันนี้ก็ยังเหมือนเดิมแต่มีบางอย่างเปลี่ยนไปเล็กน้อยคือเธอแต่งหน้าแนวสวยใสไร้สติ เอ๊ย แนวสวยใสธรรมชาติดูอ่อนหวานขัดกับนิสัย ผมก็ไม่อยากจะขายรุ่นพี่หรอก แต่ไอ้การที่เช้ามีหนุ่มออฟฟิศมาส่ง เที่ยงควงแขนอีกคน ตกเย็นดินเนอร์กับอีกคน โคตรโหด ตอนขึ้นเตียงจะมีอีกคนหรือเปล่าวะ ได้แต่คืดแล้วก็สงสัย

“เรียบร้อยแล้วครับพี่อิง” คีนตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหมือนปกติ ไม่แสดงท่าทีชอบหรือไม่ชอบออกมาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ากำลังโดนอ่อย ใครๆ ก็รู้ว่าเธอจงใจพรีเซ็นต์รอยแยกของกระโปรงแค่ไหน คนบ้าอะไรยืนจิกปลายเท้าได้ตลอดเวลาวะ นู่น ถ้าไอ้ปอมคงสำเร็จไปนานแล้ว มันถลึงตามองจนน้ำหมากจะหยดอยู่รอมร่อ เดือดร้อนโฮมต้องควานหาทิชชู่ในกระเป๋าให้อีก ทุเรศจริงๆ เพื่อนใครเนี่ย

“ว้า แย่จัง พี่อุตส่าห์ซื้อขนมมาฝากแหนะ” พี่อิงแกว่งถุงขนมไปมาทำหน้าเสียดายของในมือซะเต็มประดาถ้าหาว่าคีนไม่ยอมรับไป แต่อีกฝ่ายทำเพียงคลี่ยิ้มแล้วปฏิเสธด้วยคำพูดนุ่มนวลที่ผมเองยังรู้สึกว่ามันโคตรรักษาน้ำใจ

“ช่วงนี้ผมงดทานของหวานน่ะครับ พอดีน้ำหนักขึ้น” คีนบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วก้มหัวลงเป็นการขอโทษ อีกทั้งยังตบท้ายด้วยการส่งสายตาออดอ้อน เชื่อสิไม่ว่าใครก็ต้องยอมแพ้ ขนาดผมยังรู้สึกระทวยไปด้วยเลย แม่ง สติเว้ยไอ้กิม เขาไม่ได้ทำกับมึง!

ทางด้านพี่อิงพอเจอคำตอบแบบนั้นบวกกับท่าทางของคีน มือที่แกว่งถุงขนมก็หยุดชะงัก สีหน้าแสดงความกระอักกระอ่วนจนโฮมที่ลอบสังเกตถึงกับต้องเม้มปากกลั้นหัวเราะ แต่ไอ้ปอมแทบกระโดดกอดเธอเพื่อปลอบใจ นี่ล่ะนะปฏิกริยาของคนหื่นกับคนปกติ...

“โอเคค่ะ พี่เก็บไว้ทานเองก็ได้”

“ขอบคุณและขอโทษด้วยนะครับ” คีนก็ยังคงเป็นคีนที่สุภาพและขี้เกรงใจเสมอ ถ้าเป็นผมคงพยักหน้ารับแล้วเมินเธอแน่ๆ โธ่ ก็ไม่ชอบคนเสแสร้งนี่หว่า

พี่อิงสะบัดก้นเดินหายไปทางตึกคณะคงมีเรียนต่อ เสียงวิจารณ์การกระทำของเธอเริ่มดังขึ้นจากหลายโต๊ะแทบไม่มีใครห้ามปรามใคร ส่วนผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกพลางเหลือบมองคนข้างตัวที่ทำหน้าปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซ้ำยังค้นกระเป๋าเป้เพื่อหยิบลูกอมกลิ่นมิ้นต์ใส่ปากกลั้วไปตามกระพุ้งแก้ม ท่าทางสบายจนเพื่อนสนิทอย่างโฮมถึงกับหรี่ตามอง

“ไหนบอกว่างดของหวานไง เอาลูกอมที่เหลือมาให้เราเลย” โฮมแบมือยื่นมาตรงหน้าแล้วกระดิกนิ้วขอลูกอมที่เหลือ คีนส่ายหัวรัวๆ ก่อนจะกอดกระเป๋าไว้แน่นเหมือนเด็กขี้หวง ท่าทางของเขาช่างน่ารักจนทำให้แฟนคลับที่ซุ่มอยู่รัวชัตเตอร์อย่างเมามัน ยิ่งคณะผมในชั้นปีที่สองต้องใช้กล้อง DSLR ในการเรียนด้วยแล้วนั้นอุปกรณ์ยิ่งครบมือ บางทีซูมแม้แต่ไฝในง่ามเท้า จุดบกพร่องตรงไหน แผลตรงไหนครบทุกอนู

“อย่าแซวดิ นั่นเข้าเรียกปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเว้ย” คีนทำหน้ายุ่งใส่เพื่อนสนิทก่อนจะใช้ลิ้นดันกะพุ้งแก้มเล่นและยังคงกอดกระเป๋าใบละเหยียบครึ่งแสนไว้แนบอก (ยี่ห้อ MCM อะไรสักอย่างนี่ล่ะ) โฮมเบิกตาโตเมื่อได้ฟังคำตอบแต่หลังจากนั้นก็ยกยิ้มมุมปากทำหน้ากรุ้มกริ่ม

“เจ้าเล่ห์นะเราเนี่ย” โฮมเอ่ยแซวก่อนจะเอื้อมมือมาหยิกแก้มขาวๆ ของคีน เขาปล่อยให้เพื่อนทำตามใจแถมคลี่ยิ้มกระชากวิญญาณแจกจ่ายให้สาวๆ ที่กำลังโบกมือทักทาย พอพวกเธอเห็นผมอยู่ด้วยถึงกับรีบเบนหน้าหนีไม่ทัน จะกลัวอะไรนักหนาวะ นี่ก็คนไม่ใช่หมาบ้าสักหน่อย

“จะคิดซะว่าเป็นคำชมนะ” คีนขยิบตาตบท้ายประโยคแถมไปอีกหนึ่งครั้ง น้ำปิงถึงกับกรี๊ดแตกแล้วฟาดมือลงบนไหล่เพื่อนข้างๆ จนโดนถีบตกเก้าอี้ อูย เห็นแล้วเจ็บแทน แต่ไอ้ปอมที่เห็นจังหวะนั้นพอดีหลุดขำก๊ากเสียงดังลั่นเลยทำให้มันโดนคนสวยวิ่งไล่จับไข่ไปทั่วลานคณะ สมน้ำหน้าแม่ง หัวเราะไม่ดูตาม้าตาเรือ

เมื่อหมดเรื่องคุยเราทั้งสามคนก็เข้าโหมดโซเชี่ยล คนตรงข้ามเล่นเกม Hayday ที่รู้เพราะอยู่ๆ โฮมก็บ่นเรื่องหาของขยายโรงนาไม่ได้ ส่วนคีนคงกำลังแชทกับใครสักคนเพราะได้ยินเสียงไลน์ดัง วกกลับมาที่ผมซึ่งไม่มีแอปฯ ไหนดึงดูดเท่าไอจีอีกแล้ว ไม่ใช่จะส่องใครหรอก แค่อยากลงรูปไอ้ปอมทำหน้าเอ๋อเมื่อครู่ไง พิมพ์แคปชั่นแท็กเพื่อนเรียบร้อยแล้วกดแชร์เป็นอันจบขั้นตอน หลังจากนั้นก็นั่งรอคอมเม้นต์ด้วยใจจดจ่อ

ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งไร้เมฆปกคลุมเลยทำให้อากาศร้อนแม้จะอยู่ในช่วงกลางเดือนมกราคม บางวันยังมีฝนหลงฤดูตกลงมาให้หงุดหงิดเล่นๆ อย่างเช่นเมื่อวานนี้ที่ต้องขับรถกลับบ้านทั้งเสื้อผ้าเปียกซก โดนแม่ด่าจนหูชาเรื่องทำเบาะเปียก ก็บอกไปหลายครั้งแล้วว่าให้เปลี่ยนเป็นหนังแต่เธอยืนกรานว่าชอบแบบผ้ามากกว่า โธ่ ใครที่ไหนจะกล้าขัดใจประมุขใหญ่ล่ะครับ ขนาดพ่อยังได้แต่รับคำจ้าๆ เลย สมาชิกชมรมเกียมัวชัดๆ

หลังจากมองท้องฟ้าอยู่นานจนคอเริ่มปวดเลยเปลี่ยนท่าเป็นหมุนคอบรรเทาอาการแต่ต้องชะงักกึกเมื่อโฮมมองตรงมาทางนี้ด้วยสายตาลังเล เหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่กล้า ผมเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่าเพื่อเป็นการเปิดทาง

“คือ... รุ่นพี่เขาฝากมาถ่ายรูปอะ” โฮมขยับมานั่งเก้าอี้ข้างๆ แล้วยื่นโทรศัพท์ที่แสดงหน้าจอแชทกับใครคนหนึ่งค้างไว้ ผมขมวดคิ้วก่อนก้มอ่านข้อความเหล่านั้น ไม่เข้าใจว่าถ้าถ่ายแล้วจะเอาไปทำอะไร ปริ้นท์ติดเป็นยันต์กันผีหน้าห้องนอนเหรอ

“ห๊ะ ถ่ายรูปอะไร?” ผมดันโทรศัพท์กลับไปให้เจ้าของแล้วถามด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด ไม่ชอบการทำอะไรแบบนี้เลยให้ตายสิ ใครจะไปชอบให้คนอื่นเก็บรูปไว้นอกจากครอบครัว เพื่อน หรือแฟน... คิดมาถึงตรงนี้ก็ทำได้แค่ถอนหายใจ แอบชอบเขาไปวันๆ ไม่มีทางสมหวังหรอก

“เขาบอกว่าจะเอาไปลงเพจคิ้วท์บอยอะ” ได้ยินชื่อนี้แล้วอยากจะเบะปากใส่รัวๆ ไม่อัพรูปผมสักเดือนคงไม่ตายหรอกมั้งครับป้า ให้ใช้ชีวิตสงบๆ โดยที่ไม่ต้องกดปฏิเสธเพื่อนในไอจีได้ไหม นี่ขนาดตั้ง Private คนยังแห่แอดมาอย่างกับได้คูปองดูหนังฟรี ไม่รู้เดือนคณะเขาจัดการได้ยังไง อ้อ ลืมไปว่าเขาตั้งสาธารณะใครอยากฟอลก็ฟอลได้นี่หว่า

“จะลงรูปเราเพื่ออะไรเนี่ย ครบร้อยแล้วชิงโชคได้เหรอวะ?” ผมพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงแล้วถอนหายใจออกมา ใช้มือเท้าคางแสดงความเหนื่อยหน่ายออกทางสีหน้ามองดูไอ้ปอมโดนไล่บีบไข่ยังน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ ผมไม่ถนัดยิ้ม ไม่ชอบเข้ากล้อง เห็นมันเหมือนปืนเอ็มสิบหกที่จ่อยิง

“เอาน่า เขาอยากได้รูปคู่กับเราอะ ลูกเพจขอมา” โฮมยังคงตื๊อไม่เลิก ทั้งใช้น้ำเสียงหวานๆ ส่งสายตาอ้อนเกาะแขนกระพริบตาใส่ คือโคตรน่ารักจนเผลอใจเต้นแรง แต่แบบ... ติดที่ว่าผมสงสัย ไอ้คู่จิ้นเนี่ยเกิดขึ้นได้ยังไง จะบอกว่ามีโมเม้นต์บ่อยก็คงไม่ใช่ แล้วเปลี่ยนไม่ได้เหรอ ใช้อะไรตัดสินว่าคนนี้เหมาะสมกับคนนี้ เอาเกณฑ์ไหนวัด เคมี ฟิสิกส์ ชีวะเหรอ?

“คู่กับคนอื่นไม่ได้เหรอ? เปลี่ยนบ้างไรบ้าง”

“เจ้าชู้อะ” แค่ขอเปลี่ยนคู่จิ้นก็โดนโฮมเบ้ปากใส่ แต่นั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากผมกับคีนได้เป็นอย่างดี เพราะแบบนี้ล่ะมั้งแฟนคลับถึงได้ชอบพวกเราเป็นพิเศษ หยอกล้อกันบ้าง แตะเนื้อต้องตัวบางครั้งแต่อยู่ในขอบเขตที่พอดี เขาเรียกอะไรนะ เซอร์วิสปะ?

“นิดนึง เผื่อแฟนคลับอยากได้อะไรใหม่ๆ” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะหยิบขวดน้ำที่ตั้งทิ้งไว้จนอุ่นขึ้นกระดกเป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ปอมลากสังขารกลับมาที่โต๊ะได้ สภาพไม่ต่างจากหมาวิ่งกลางแดดจนลิ้นห้อยสักเท่าไหร่ จะว่าสงสารก็ไม่สุด สมน้ำหน้ามากกว่า ขอถ่ายรูปเก็บไว้อีกได้ไหมวะ หึหึ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ไอจีผมส่วนใหญ่มีแต่ภาพแบล็คเมล์เพื่อนทั้งนั้น

“กิมปอมเหรอ?” คีนเสนอคู่จิ้นใหม่ให้ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ผมตวัดสายตามองอย่างอึ้งๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบ้ปากใส่ คิดได้ยังไงเนี่ย ขนลุกไปหมดแล้วเว้ย

“เฮ้ย ทำไมเราต้องอยู่หลังวะ ขอเป็น ‘ปอมกิม’ ได้ปะ?” คนที่โวยวายกลับเป็นไอ้ปอมที่โดนเอาชื่อไปห้อยท้าย หน้าตามันจริงจังบ่งบอกว่าไม่อยากเป็นฝ่ายรับอย่างชัดเจน แต่มึงจะหันมาแยกเขี้ยวใส่กูเพื่อ? โดนกระทำเหมือนกันเนี่ย ไปโกรธคีนนู่น รายนั้นก็ตั้งใจหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง มีความสุขอะไรขนาดนั้นหืม หยิกแก้มสักทีดีไหม (ถ้าเป็นน้ำปิงคงโดนยันตกเก้าอี้ไปนานแล้ว)

“ไม่เวิร์กๆ เราว่าน่าขนลุกออก อืม...” โฮมรีบเบรกไอ้ปอมของแล้วใช้นิ้วเคาะข้างขมับเหมือนกำลังใช้ความคิด จะให้ผมไปคู่กับใครที่ไหนอีกล่ะเฮ้ย มันไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่ทำไมต้องลุ้นจนใจเต้นก็ไม่รู้ หรือลึกๆ แล้วผมหวังอะไรเอาไว้...

“แล้วให้เราคู่ใครถึงจะเวิร์ก?” ผมถามเมื่อโฮมเงียบไปนาน ชักหวั่นใจว่าจะได้คู่ที่ร้ายแรงกว่ากิมปอม ส่วนคนข้างๆ ก็นั่งเท้าคางรอคำตอบจากเพื่อนสนิทเหมือนกัน อย่าบอกนะว่าลุ้นไปด้วย โธ่ ทำไมต้องเครียดยิ่งกว่าตอนสอบด้วยวะ อย่าจริงจังกันนักได้ไหมเล่า

ผ่านไปอีกเกือบนาทีอยู่ๆ โฮมก็ทำตาโตแล้วหันขวับมามองผมกับคีนก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จะปรากฏขึ้นจนเราสองคนทำได้แค่มองหน้ากัน ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแบบงงๆ คือ... เอาจริงดิ

“กิมคีนเป็นไง คนหนึ่งแนวเกาหลีคนหนึ่งแนวคมเข้ม” โฮมตอกย้ำความคิดของผมแถมยังเอานิ้วจิ้มกันจึ๋งๆ ประกอบ รู้สึกอากาศรอบตัวร้อนขึ้นอีกหลายองศา ไอ้การเป็นคู่จิ้นกับเดือนคณะไม่เท่ากับจะมีคนเกลียดผมเพิ่มขึ้นเหรอวะ... แต่อีกใจก็ยินยอมนะ แหม ก็เขาหล่อขนาดนั้น ได้ถ่ายรูปคู่ลงเพจสักนิดสักหน่อยก็ดี

“อ้าว โฮมเพื่อนใครวะ ทำไมให้เราอยู่หลัง” แต่คีนกลับทำหน้ายู่ไม่พอใจใส่เพื่อนที่ชื่อตัวเองดันไปต่อท้ายผม ก่อนจะหันมาเบะปากทางนี้ ไม่รู้ว่ามีแฟนคลับคนไหนจินตนาการว่าได้จูบเขาบ้างไหม แต่ผมคนหนึ่งล่ะที่อยากลองดู มันจะนุ่มเหมือนที่ตาเห็นหรือเปล่าวะ ของโฮมก็น่าสนใจนะ อืม... ทำไมกูฟุ้งซ่าน เลิกคิดๆ

“ก็เมะในอุดมคติสาวๆ ต้องคมเข้มตัวสูงกว่าเคะนี่” โฮมทำปากยื่นปากยาวมองผมสลับกับคีนแล้วใช้มือวัดความสูง

“ใช้หน้าตา รูปร่างตัดสินได้ที่ไหนล่ะ คู่กิมโฮมดีแล้วน่า มาๆ เราเป็นตากล้องให้” คีนพูดจบก็ผลักไหล่ผมให้ไปนั่งคู่กับโฮมก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาตั้งท่าถ่ายรูป คือยัดเยียดไม่พอยังส่งเสริมเป็นตากล้องด้วยเหรอ โธ่ เฟลฉิบหาย โมเม้นต์คู่จิ้นอีกแล้วเหรอ คราวนี้ต้องหอมแก้มเลยไหมล่ะ



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 1 -P.1- 01/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-06-2018 00:08:32
“.....” ผมยังคงนั่งนิ่งมองทอดสายตาไปยังคีนที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อมไม่ยิ้ม ไม่ขยับตัว เอาจริงๆ คือสภาพหลังจากเรียนภาคเช้าเสร็จคือไม่ค่อยต่างจากศพสักเท่าไหร่ หน้ามัน หัวยุ่ง เหงื่อไหล ทุเรศทุรังสุดๆ แล้วดูโฮมสิ น่ารักอย่างกับเทวดาตัวน้อย โอ้โห อย่างเหี้ยเลยครับ อีกอย่างคือ... ผมไม่ชอบให้ใครถ่ายรูปสักเท่าไหร่ มันเกร็งๆ ยังไงชอบกลบอกไม่ถูก

“กิม... เป็นไรปะเนี่ย?” คีนลดกล้องในมือลงพลางเอียงคอมองด้วยใบหน้าสงสัย ผมรีบละสายตาจากเขาพลางโบกมือ

“เอ่อ... เซลฟี่เองดีกว่า เราไม่ค่อยชอบให้คนอื่นถ่ายรูปน่ะ” ผมบอกไปตามที่คิดแล้วแบมือขอโทรศัพท์จากโฮม เขาหยิบมันส่งให้โดยไม่ถามอะไรแต่หรี่ตามองแปลกๆ เออน่า คนกลัวกล้องมีเยอะแยะไป

“เขินกล้องเหรอ?” คำถามของคีนที่มาพร้อมรอยยิ้มละมุนทำให้ผมชะงักกึกจนหายใจผิดจังหวะ ตอนแรกก็มันใจว่าเขินกล้องนั่นล่ะ แต่เวลานี้ชักไม่แน่ใจแล้วดิ

“เขินคีนมากกว่ามั้ง” ไม่ใช่เสียงโฮมและคีนแต่เป็นไอ้ปอมตัวดีที่ยักคิ้วจึกๆ แถมด้วยการผิวปากตบท้าย ผมถลึงตาใส่ก่อนเอื้อมมือไปเขกกะโหลกเน่าๆ ที่ชอบคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันเบะปากทำท่าสำออยให้ชาวบ้านสงสาร โอ้โห ไม่คิดว่าจะมีคนหลงผิดปลอบด้วย สันดานชอบทำให้คนอื่นดูแย่ ระวังเหอะ เผลอเมื่อไหร่กูเอาหมามุ่ยขว้างใส่แน่

“ไอ้เชี่ยปอม เลอะเทอะแล้วมึง” ผมสบถด่าเพื่อนสนิทแล้วหันไปยิ้มแหยให้กับคีนพลางโบกมือปฏิเสธข้อกล่าวหา เขาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

หลังจากนั้นผมก็ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปไปสองสามชอต นั่งข้างกันเฉยๆ เอียงหัวชนกัน และท่าสุดท้ายคือโฮมแกะแขนซบไหล่โดนไม่มองกล้อง คือเซอร์วิสแบบเต็มที่เอาให้จิ้นได้เป็นเดือนๆ ระหว่างนั้นก็โดนคนร่วมโต๊ะแซวอย่างสนุกนาน แต่สุดท้ายคีนกลับดึงแขนผมเข้าไปถ่ายกับตัวเองโดยบอกเหตุผลเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยโดนจับคู่ ‘กิมคีน’ เออว่ะ แบบนี้ก็มีด้วย

คอนเสิร์ตเริ่มขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่มตรง ณ หอประชุมใหญ่ของคณะ น้ำปิงทิ้งกลุ่มเพื่อนแล้วมายืนกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างๆ ผม เสียงกรี๊ดกร๊าดทำหูแทบดับ จะเดินหนีก็ไม่ได้เนื่องจากคนแน่นมาก จังหวะหนึ่งที่โฮมถอยหลังมาเหยียบเท้ากันเต็มๆ แต่ไม่โกรธหรอก น้ำหนักตัวเขาถึงห้าสิบกิโลหรือยังไม่รู้ ส่วนคีนที่ยืนอยู่ด้านหน้านิ่งมากจนเหมือนหลับ คงไม่สนุก ไม่อินเหมือนๆ กับผมนี่ล่ะแต่ต้องทนดูต่อไปจนจบงาน

สามทุ่มกว่าแล้วที่ผมลากสังขารเปลี้ยๆ ออกจากหอประชุมโบกมือลาเพื่อนร่วมชั้นปีแล้วกอดคอไอ้ปอมเดินไปลานจอดรถ ต้องส่งมันที่คอนโดก่อนตรงกลับบ้าน แต่ระหว่างทางสายตาดันเหลือบเห็นร่างที่คุ้นเคยของคนที่แอบชอบกำลังยืนคุยอยู่กับใครคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดคือเป็นเดือนมหา’ลัยปีที่แล้ว ชื่อว่า ‘เซียน’ อย่าบอกนะว่ามาจีบ...

“กูว่าเร็วๆ นี้มึงคงได้กินแห้วว่ะ” ไอ้ปอมพาดแขนกอดคอผมไว้แล้วเอ่ยเย้า สายตาจ้องมองตรงไปยังเขากับพี่เซียนที่ตอนนี้หยอกล้อกันอย่างสนิทสนมจนน่าอิจฉา ยิ้มบ้างล่ะ ขยี้หัวบ้างล่ะ หยิกแก้มบ้างล่ะ โว๊ย หวง!

“กูไม่ชอบกินแห้ว!” ผมกัดฟันกรอดพร้อมสะบัดแขนไอ้ปอมออกจาไหล่ เหวี่ยงกระเป๋าเป้ในมือขึ้นสะพายหลังดังปึก เจ็บแต่ร้องไม่ออกสักแอะเพราะภาพตรงหน้าทำให้สมองตื้อไปหมด

“ถ้าไม่ชอบกินก็ควรทำอะไรสักอย่างแล้วปะวะ? กูก็ไม่ได้อยากเห็นเพื่อนอกหักตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” มันตบบ่าผมปุๆ แล้วส่งสายตาห่วงใยมาให้ ถึงมันจะกวนตีนแค่ไหนก็เป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา

“ขอเวลาให้กูทำใจหน่อยเหอะ ไม่รู้เขาจะชอบผู้ชายหรือเปล่า” ถึงจะเห็นเขาคุยหยอกล้อกับผู้ชายได้อย่างสนิทใจแต่ความจริงเป็นยังไงเราก็ไม่รู้ พี่เซียนอาจแค่เข้ามาคุยเพราะสนิทกัน รู้จักกันมาก่อน เฮ้อ แต่ลึกๆ แล้วรู้สึกว่าท่าทางทั้งคู่ก็ผิดแปลกไปจากพี่น้องธรรมดา

“เออน่า อยากได้เขาก็ต้องเสี่ยงเว้ย กล้าๆ หน่อย” ไอ้ปอมคลี่ยิ้มกว้างพลางขยับมือเปลี่ยนตำแหน่งมาขยี้หัวกัน ผมเบี่ยงตัวหนีก่อนแยกเขี้ยวใส่มัน เสี่ยงก็เสี่ยง แต่ให้เข้าไปแสดงตัวว่าจีบตรงๆ คงไม่ไหว ก็เขาจะเกลียดเข้าซะก่อน

“ปะ กลับบ้านได้แล้ว ยุงแม่งเยอะฉิบหาย” มันบ่นงุ้งงิ้งก่อนจะก้มลงเกาน่อง ยุงที่นี่ก็ดุฉิบหายเจาะทะลุกางเกงนักศึกษาได้ บางทีแม่งที่ก้นก็ไม่เว้น

“ขอแอบดูอีกสักหน่อยไม่ได้เหรอวะ?” ผมมองมันอ้อนๆ เพราะยังอยากส่องต่อว่าเขาทั้งสองจะไปทางไหน กลัวว่าถ้าคาดจากสายตาแล้วเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนี่โคตรเจ็บปวดเลยนะ

“สต็อกเกอร์เหรอมึง? ไปๆ กูง่วงแล้ว พรุ่งนี้เรียนเช้าอีก” ไอ้ปอมใช้มือข้างเดิมคว้าคอเสื้อด้านหน้าของผมให้เดินตาม พยายามสะบัดตัวก็ยิ่งหายใจไม่ออก ครั้นจะโวยวายเสียงดังก็กลัวสองคนนั้นได้ยิน โอย ทรมานเหี้ยๆ ฆ่ากูเลยเถอะ!

ผมส่งไอ้ปอมที่คอนโดไม่ไกลจากมหา’ลัยก่อนจะพุ่งตรงกลับบ้าน เจอหน้าแม่ก็โดนทักว่าไปมุดกระโปรงใครมาทำไมหัวยุ่งขนาดนั้น ส่วนพ่อเดินเข้ามาตบไหล่แล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะบินไปญี่ปุ่นอยากได้ของฝากอะไรไหม ผมนี่ตาโตเท่าไข่ห่านแล้วรีบบอกชื่อของที่ต้องการไป

หลังจากอาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวเสร็จแล้วก็ลากสังขารเพลียๆ ขึ้นเตียงนอนก่อนจะยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากคิดเรื่องของเขาไม่ตก ให้เริ่มจีบแบบไหนวะ ทั้งชีวิตเคยมีแฟนแต่ก็ไม่เคยเริ่มก่อน สกิลอ่อยสกิลหยอดนี่เท่ากับศูนย์ ถ้ามีคู่แข่งขึ้นมาคาดว่าคงแพ้ราบคาบ โอย ปวดหัวเว้ย เล่นไอจีดีกว่า!

the_kirin.z
เป็นแอคเค้าท์เดียวที่ผมส่องทุกวันก่อนเข้านอน วันนี้เขาก็ยังคงอัปเดตรูปตามปกติ ที่แปลกไปคือไม่ใช่วิวทิวทัศน์ ของกิน หรือบุคคล แต่มันเป็นรูปสัตว์ขนปุกปุยสีเทาอ่อนมีหูยาวหางเป็นม้วนกลมๆ ลูกกะตาสีดำคล้ายเมล็ดลำไย แคปชั่นที่โพสต์สั้นกระชับไม่ได้มีความหมายพิเศษ

(https://i.imgur.com/HStRbav.jpg)

the_kirin.z ‘Chomjan’


คาดว่าน่าจะเป็นชื่อกระต่ายตัวนี้... แม่ง ศัตรูหัวใจหมายเลยหนึ่งโผล่มาแล้ว และผมก็ไม่ถูกโฉลกกับสัตว์ทุกชนิดด้วย โอ๊ย ทำไมๆๆ ต้องเป็นแบบนี้ด้วย!

เฮ้ย ทำไมอยู่ๆ ไอ้กระต่ายนั่นถึงได้กลายเป็นเจ้าชายในชุดขาววะ แถมผมยังอยู่ในชุดสีดำสนิทใส่หมวกไอ้โม่งถือมีดอีกต่างหาก มันมาแล้ว ดาบในมือกำลังจะแทงหัวใจ

อ๊าก อ่อก

ละ เลือด

เฮือก ไม่นะ ผมยังตายไม่ได้

บะ บอก ต้องบอกให้เขารู้ว่า เอื๊อก

รัก...

“ไอ้เชี่ย!” ผมกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงแล้วร้องโวยวายเสียงดัง เหงื่อเม็ดโตผุดตามไรผมทั้งที่เปิดแอร์เย็นเฉีบ หัวใจเต้นระรัวเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาหนักๆ โอย กูฝันบ้าอะไรเนี่ย กลัวแพ้กระต่ายมากกว่าพี่เซียนอีกเหรอวะ เฮ้อ แล้วคืนนี้จะข่มตาหลับได้ยังไงในเมื่อความกังวลไหลเวียนอยู่ในสมอง...

คงต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างเหมือนที่ไอ้ปอมบอกไว้แล้วล่ะ ค่อยเป็นค่อยไป แทรกซึมทีละนิด ทำให้รู้สึกตัวว่าผมคนนี้ชอบและรักเขามากแค่ไหน

วันนี้เป็นเช้าที่ไม่สดใสเพราะฝนเริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกล ผมปรือตามองในความมืดก่อนควานมือหาโทรศัพท์ที่ชาร์จแบตฯ เอาไว้ กดเปิดหน้าจอเพื่อดูเวลา ตอนนี้หกโมงแล้วแต่ร่างกายยังประท้วงว่าอยากนอนต่อสักสิบหรือยี่สิบนาที เมื่อคืนดันฝันเป็นตุเป็นตะต่อไม่หยุดหย่อน โดนไอ้กระต่ายที่ชื่อชมจันทร์นั่นแย่งความรักไปไม่รู้กี่ครั้ง ตอนใกล้รุ่งยังมีพี่เซียนโผล่มาบอกว่าเขาเป็นแฟนกับคนนั้น โอ้โห นี่ผมกลัวขนาดนั้นเลยเหรอวะ ไม่รู้ว่ากลายเป็นคนกากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เฮ้อ ถ้าเราเรื่องนี้ให้ไอ้ปอมฟังมันต้องหัวเราะก๊ากแน่ๆ

ผมตัดสินใจลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วส่งไลน์ไปบอกไอ้ปอมว่าประมาณเจ็ดโมงครึ่งจะไปถึงหน้าคอนโดให้มันรีบเตรียมตัวเพราะมีเรียนตอนเก้าโมงตรง วิชานี้ไม่สามารถเข้าเลทได้ อาจารย์ดุเยี่ยงร็อตไวเลอร์ เคยมีครั้งหนึ่งที่ผมเปิดประตูเข้าห้องตอนที่เข็มนาฬิกาเลยเลขสิบสองไปครึ่งหนึ่ง คือโดนเช็คชื่อขาดไม่พอยังหักคะแนนดิบๆ สามคะแนน แม่ง รู้แบบนั้นโดดก็สิ้นเรื่อง ส่วนไอ้ปอมนี่อาการหนักกว่า สายไปครึ่งชั่วโมงหักสิบคะแนน เป็นเบ้แกอีกหนึ่งอาทิตย์ ซวยสุด

จัดการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จภายในครึ่งชั่วโมงแล้วรีบพาตัวเองลงมากินมื้อเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้ก่อนออกไปส่งพ่อที่สนามบิน โพสต์อิทสีหวานจ๋อยแปะอยู่บนตู้เย็น ผมดึงมันออกมาอ่าน ‘วันนี้แม่กลับดึก ลูกหาข้าวกินเองนะจ๊ะ’ พอจบก็ถอนหายใจรอบที่ร้อย ถ้าจะเขียนข้อความเหมือนกันทุกวันขนาดนี้ไม่ต้องก็ได้ครับ รู้ดีอยู่แล้วว่าเธอเปิดร้านเพชรบนห้างต้องกลับเวลาไหน บางครั้งไปสมาคมกับบรรดาเพื่อนฝูง ไปงานอีเว้นท์บลาๆ คิวยาวจนผมเองยังเพลียแทน

วันนี้คุณแม่คนสวยเตรียมข้าวต้มหมูโรยผักชีเยอะๆ เอาไว้ให้พร้อมด้วยนมจืดและน้ำผลไม้อีกอย่างละหนึ่งแก้ว ผมคว้าขวดแม็กกี้มาเหยาะเพื่อปรุงรสเพิ่มขิงซอยอีกนิดหน่อยก่อนจะลงมือกินโดยใช้เวลาไม่เกินสิบนาที เก็บชามวางไว้ในอ่างล้างจานแล้วรีบเดินไปหยิบกุญแจรถทันที ถ้าช้ากว่านี้มีหวังโดนหักคะแนนอีกแน่นอน

ฝนที่ตั้งเค้าเมื่อเช้าเริ่มตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้จราจรติดขัด ผมเอื้อมมือไปเปิดวิทยุเพื่อทำลายความเหงาภายในรถ เพลงสากลที่จำได้ว่าชื่อ ‘Falling Slowly’ กำลังบรรเลง ยอมรับว่ามันเพราะมากแต่ก็ทำให้ง่วงจนต้องกดเปลี่ยน คราวนี้กลายเป็นเพลง ‘Count on me’  จังหวะสนุกขึ้นมานิดหน่อยทำให้ผมฮัมเพลงตามอย่างมีความสุข กว่าจะถึงคอนโดไอ้ปอมคอคงแห้งพอดี ให้ตายเถอะ

วินาทีแรกที่เห็นหน้าเพื่อนสนิทในใจผมร้องบอกว่ามีบางอย่างแปลกไป มันแต่งตัวเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าทั้งๆ คณะไม่ได้บังคับให้ใส่เนคไทหรือรองเท้าหนัง เซ็ตผมเรียบแปล้เหมือนคนมีอายุแต่ดูหล่อไปอีกแบบ จะว่าทำกิจกรรมของมหา’ลัยก็ไม่น่าใช่เพราะผมไม่เห็นรู้เรื่อง ถ้านัดสาวก็คงไม่ใช่ สภาพแบบนี้คงไปเป็นพ่อมากกว่าคู่ควง หรือว่าลืมกินยาระงับประสาท... ช่างแม่งเถอะ คิดไปก็ปวดหัว

ไอ้ปอมกางร่มสีใสในมือขึ้นปรกศีรษะแล้วค่อยๆ เดินมาขึ้นรถคงเพราะกลัวรองเท้าเลอะเนื่องจากมีน้ำขังบริเวณขอบถนน ผมอำนวยความสะดวกให้โดนการกดปุ่มปลดล็อกประตูรอ แต่อยู่ๆ สายฟ้าก็ผ่าลงมาเป็นเส้นพร้อมทั้งส่งเสียงร้องโครมครามจนทำให้ใครคนหนึ่งถึงกับร้องจ๊ากแล้ววิ่งตรงมาไม่คิดชีวิต ผมหลุดขำก๊ากเมื่อพระเอกเอ็มวีกลายเป็นหมาหางจุกตูด โอย เสียภาพพจน์หมด ถ้าถ่ายคลิปเอาไปอัปไอจีคงดังไม่น้อย โคตรตลกอะเอาจริง

“ฮือ ไอ้เชี่ย มึงจะผ่าอะไรตอนนี้!” ขึ้นรถปิดประตูได้ก็สบถด่าฟ้าฝนด้วยใบหน้าแดงก่ำ คาดว่าคงยังตกใจไม่หาย แต่ไม่มีอะไรเหี้ยกว่าการที่มันเอาร่มเปียกๆ มาทิ่มหน้าผมหรอก โอย มึงช่วยหุบก่อนได้ไหมเล่า เดี๋ยวกลับบ้านไปแม่ก็ด่าอีก ทำเบาะผ้าสุดแสนประทับใจของเธอเลอะเทอะเนี่ย

“สัดปอม มึงหุบร่มเดี๋ยวนี้เลย” ผมปัดร่มออกไปไกลๆ ก่อนส่งสายตาดุให้เพื่อน แหนะ มึงจะเบะปากใส่กูทำไมเนี่ย ไม่ได้ไปขี้บนหัวสักหน่อยแค่สั่งให้เก็บของแค่นี้เอง

“กูกำลังขวัญกระเจิง ไม่ปลอบหน่อยเหรอ?” แสร้งทำท่าสะอื้นประกอบคำพูดอีก ถ้ามันดูน่ารักสักนิดก็อยากปลอบอยู่หรอกแต่นี่ขัดลูกตาฉิบหาย อยากถีบลงจากรถมากกว่า

“เรื่องเยอะ จะเดินไปเองไหมล่ะ?” ผมปลายหางตามองมันก่อนจะตบไฟเลี้ยวขวา ไอ้ปอมส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแต่ก็ยอมเก็บสมบัติของมันเข้าที่

“มึงเอาถุงเท้ามาอีกคู่ปะ?” อยู่ๆ ไอ้คนที่ก้มๆ เงยๆ มุดทำอะไรอยู่ใต้เบาะก็ถามขึ้น ผมขมวดคิ้วแน่นเหลือบมองไอ้ปอมด้วยความไม่เข้าใจ คือช่วงนี้ก็ไม่ได้เข้าฟิตเนส คนบ้าที่ไหนเขาพกถุงเท้าสองคู่วะ ไม่ใช่ถุงยางนะเว้ย

“ไม่มี มึงจะเอาไปทำอะไร?”

“เปลี่ยนดิ มันเปียกอะ” มันตอบกลับเสียงงุ้งงิ้งเพราะยังง่วนอยู่กับการถอดถุงเท้าและเอาทิชชู่ซับน้ำในรองเท้า สงสารก็สงสารแต่ขำมากกว่า

“เรียนเสร็จเดี๋ยวกูพาไปซื้อใหม่” ผมเสนอทางออกให้มัน ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น เพื่อนเดือดร้อนเราก็ต้องช่วยจริงไหม

“เออ ขอบคุณ”

“ขอถามหน่อยเหอะ ทำไมวันนี้แต่งตัวเต็มยศจังวะ?” ผมถามพร้อมกับเหลือนมองสารรูปของเพื่อนอีกครั้ง ถึงแม้จะเปียกฝนเล็กน้อยแต่โดยรวมแล้วก็ยังหล่อเหมือนเดิม รับรองว่าสาวๆ ยังคงกรี๊ดอยู่

“อ๋อ กูลืมบอกไปว่ามีถ่ายรูปรณรงค์การแต่งกายถูกระเบียบของคณะอะ” หืม... ปกติมันต้องเอาเดือนคณะไปถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ ไหงกลายเป้นไอ้ปอมที่เป็นรองไปได้

“เขาเลือกมึง?”

“เออดิ เห็นว่าคีนติดงานเลยไม่ว่างมาถ่ายให้”

“อ้อ” แบบนี้นี่เอง คนนั้นน่ะใครๆ ก็ต้องการตัว งานจะเยอะก็ไม่แปลกล่ะเนอะ




-------------------------------------

แวะมาอัปตอนที่ 1 แล้วน้า ชอบไม่ชอบยังไงติชมได้
ผู้ชายเรื่องนี้สติไม่ค่อยดี โปรดเข้าใจด้วย 55555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 2 -P.1- 09/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-06-2018 20:32:33
รูปถ่ายใบที่ 2



วันเวลาผ่านไปอย่างเอื่อยเฉื่อยไร้จุดหมาย ผมไม่ได้เริ่มจีบเขาคนนั้นเพราะอยากดูปฏิกิริยาของพี่เซียนก่อน ถ้าไม่ได้มีอะไรในก่อไผ่เรื่องการแอบชอบก็ยังเป็นความลับ คงไม่มีใครอยากเสี่ยงเอาความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้วแขวนไว้บนเส้นด้ายหรอก ส่วนฝ่ายยุยงอย่างไอ้ปอมก็เข้าใจกันดีเลยไม่โวยวาย ไม่ด่าเพื่อนว่าโง่แถมยังปลอบใจด้วยการเลี้ยงไอติมซึ่งผมไม่ได้อยากกินเลยเป็นความต้องการของมันล้วนๆ

ผมนอนเอกเขนกตากแอร์อยู่บนเตียงโดยด้านซ้ายมือมีเครื่องเล่นเกมแบบพกพาส่วนด้านขวามีหนังสือการ์ตูนที่เตรียมไว้แต่สุดท้ายก็เลือกหยิบโทรศัพท์เปิดดูนั่นดูนี่จนกินเวลาเกือบสามชั่วโมง เหลือบมองเวลาด้านบนขอบจอแล้วอ้าปากหาวพลางขยี้ตา ง่วงฉิบหายแต่ต้องออกไปรับไอ้ว่านที่คณะแล้วสินะ จริงๆ ก็ขี้เกียจขับรถแต่ทำไงได้ในเมื่อเพื่อนขอช่วย หึ พอผัวหนีไปค่ายก็คิดถึงกูขึ้นมาเชียวนะ ใช่สิ ไม่สำคัญเหมือนพี่โซนนี่หว่า แล้วกูจะดึงดราม่าเพื่ออะไร! โวย ลุกๆ แต่งตัวดีกว่า

เสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงผ้าขาสั้นเหนือเข่าสีดำถูกหยิบมาเปลี่ยนลวกๆ ผมวิ่งลงบันไดทีละสามสี่ขั้นเพื่อความรวดเร็วเพราะไอ้ว่าที่หมอโทรมาตามกันยิกๆ ถ้าจะรีบขนาดนั้นมึงไม่บอกเพื่อนในคณะให้ไปส่งที่ห้างก่อนล่ะวะ จองตั๋วหนังไม่ดูเวลาเลิกเรียนนี่โง่หรือโง่ เพลียใจกับมันจริงๆ

Rrrrr

เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังทะเลาะกับรองเท้าเตะแบบสอดนิ้วโป้ง เชี่ย มึงจะโทรอะไรนักหนาวะไอ้ว่าน ปากงุบงิบด่าเพื่อนแต่สุดท้ายก็กดรับสายเหมือนเดิม

“อะไรอีก รีบสุดๆ แล้วเนี่ย” ผมกรอกเสียงติดหงุดหงิดลงไปแล้วลากแตะไปที่โรงจอดรถ ระหว่างทางเกือบสะดุดอิฐตัวหนอนต่างระดับ ถ้าล้มหน้าฟาดพื้นขึ้นมาคงขี้เหร่กว่าเดิมแน่ ทางฝั่งไอ้ว่านเมื่อได้ยินคำถามขัดหูก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจใส่แถมบ่นอะไรง้องแง้งอีก รำคาญฉิบ

‘ไม่ได้เร่งเหอะ! แค่จะโทรมาบอกว่ารออยู่หน้าตึกศิล’กรรมนะ’ ไอ้ว่านหัวเราะคิกคักตบท้ายประโยคจนผมอยากวาร์ปไปตบหัวที่มหา’ลัย แค่บอกว่าไปรอตรงไหนมันสนุกมากขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วทำไมกูต้องเอาหัวโขกขอบประตูรถด้วยเนี่ย โอย ยิ่งรีบยิ่งช้า

ผมกำลังจะบอกลาเพื่อนแต่ฉุกคิดขึ้นได้ถึงคำพูดของเพื่อนเมื่อครู่ มันบอกว่ารอที่ตึกศิล’กรรมสินะ... เอ๊ะ ไอ้ว่านเรียนคณะแพทย์ไม่ใช่เหรอ?

“เฮ้ย มึงไปทำอะไรที่นั่นวะ?” ผมถามกลับอย่างร้อนรนอีกมือก็คลำหาปุ่มสตาร์ทรถ สมองคิดฟุ้งซ่านเป็นตุเป็นตะว่าไอ้ว่านไปทำอะไรที่นั้น ผัวก็เรียนอยู่วิศวะ เพื่อนก็ไม่มีคลาสเรียนวันนี้ทั้งคู่ หรือมันจะเห็นเขาที่มหา’ลัยอยู่วะ

‘อิอิ ความลับครับเพื่อน แค่นี้... นะ!” มันกวนตีนด้วยการเว้นระยะคำพูดแล้วตัดสายไปต่อหน้าต่อตา ปล่อยให้ผมที่เพิ่งสตาร์ทรถได้ถึงกับตะโกนลั่นอย่างเจ็บใจ

“ไอ้เชี่ยว่าน อย่าให้เจอนะมึง!” จะตบให้หัวหลุดเลยแม่ง

ผมเหยียบคันเร่งพุ่งไปตามถนนสายหลักที่จราจรเริ่มแออัดเนื่องจากเป็นเวลาเลิกเรียนและเลิกงานของหลายแห่ง นิ้วเรียวเคาะปึกๆ ลงบนพวงมาลัยด้วยใจพะว้าพะวงกลัวว่าไอ้ว่านจะเผลอทำอะไรแผลงๆ แต่อีกใจก็คิดว่าเพื่อนคงแค่อยากแกล้งให้ผมรีบไปรับเท่านั้นเพราะมหา’ลัยตอนโพล้เพล้น่ากลัวแถมมีตำนานเล่าขานเรื่องผีเยอะแยะไปหมด

เพราะรถติดจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ในตอนแรกกะว่าจะเข้าไอจีเพื่อดูความเคลื่อนไหวของเขาแต่เปลี่ยนใจเมื่อเห็นแจ้งเตือนไลน์เป็นชื่อไอ้ว่าน ส่งรูปอะไรมาอีกวะเนี่ย ถ้าเหงามากก็โทรไปหาผัวที่ค่ายอาสานู่น รังควาญกูไม่เลิกจริงๆ เล๊ย

เอาตามตรงผมแอบอิจฉาไอ้ปอมมากที่วันนี้ไม่ต้องมาทนรับความเอาแต่ใจของเพื่อนอีกหนึ่งคน มันมีธุระสะสางกับที่บ้าน พาหมาไปอาบน้ำ กินข้าวกับครอบครัว ส่งแม่เข้าสปา ช่วยงานลูกพี่ลูกน้องบลาๆ ถือว่าภารกิจรัดตัวจนไอ้ว่านไม่กล้างอแงใส่ ก็มีแต่กูที่ดูว่างแถมขี้เกียจจะหยิบจับอะไรอีกต่างหาก การบงการบ้านไม่ต้องถามว่าทำเสร็จไหม อาจารย์ให้มาแบบไหนก็ยังคงสภาพเดิม นักศึกษาดีเด่นไหมล่ะ หึหึ

ผมยกโทรศัพท์ขึ้นตรงหน้าเพื่อปลดล็อกก่อนกดเข้าแอปฯ ไลน์เพื่อไปต่อยังแชทของไอ้ว่าน นั่งรอโหลดรูปที่มันส่งมาพลางฮัมเพลงตามที่คลื่นวิทยุเปิด ภาพค่อยๆ ชัดขึ้นจนเห็นเป็นใบหน้าคนที่ทำให้ผมแทบลืมหายใจ ทั้งรอยยิ้มทั้งแววตาสามารถดึงดูดความสนใจจากสิ่งรอบข้างได้แทบทั้งหมด แม่งเอ๊ย ชีวิตนี้พระเจ้าจะให้ผมหลงรักเขาสักกี่พันครั้งกันเชียว แต่...

ไอ้เชี่ยว่านไปถ่ายรูปคู่กับเขาได้ยังไง๊!

กิมมิค : ความลับของมึงคือเรื่องนี้?

ผมพิมพ์ถามมันด้วยความเร็วก่อนวางโทรศัพท์ไว้ตรงหว่างขาแล้วเหยียบคันเร่งเมื่อรถคันหน้าเริ่มขยับ หัวใจเต้นตุบตับกลัวว่าไอ้ว่านจะเล่นอะไรแผลงๆ มีอย่างที่ไหนตัวเองเรียนตึกแพทย์ดันโผล่หน้าตึกศิล’กรรมแถมมีถ่ายรูปคู่กับเขามาอีกด้วย โอย อยากได้ประตูโดเรม่อน ต้องการวาร์ป!

ครืด

สัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายตอบไลน์กลับมายิ่งทำให้ผมอยากหักพวงมาลัยหาที่จอด พอถึงเวลาสำคัญรถก็เสือกวิ่งคล่องจนเหยียบคันเร่งเป็นร้อยได้สบายๆ เนี่ย อีกนิดเดียวก็จะบินเหมือนนกแล้วไอ้เชี่ย ถ้าเกิดอุบัติเหตุบนทางด่วนกูโทษมึง!

คิดว่าผมจะทนไปติดไฟแดงอีกรอบได้เหรอไง พอมีจังหวะจอดรถข้างทางได้ก็ตีไฟเลี้ยวผับๆ ทันที จังหวะที่คว้าหยิบโทรศัพท์ก็พลาดไปขยำเป้าเต็มมือด้วยความเร่งรีบ อยากบอกว่าเจ็บจุจนร้องไม่ออก นั่งอ้าปากหุบปากระบายความโง่อยู่เกือบนาที ฮือ พ่อขอโทษนะลูกรัก เดี๋ยวคืนนี้จะถนอมเป็นอย่างดี

ต้นว่าน : มองใกล้ๆ หน้าใสม๊าก แก้มก็นุ่ม มันเขี้ยวจัง
ต้นว่าน : /สติ๊กเกอร์กระต่ายยืนบิด/

ไอ้สัดๆๆๆ ไปตายซะ มึงแอบจับแก้มเขาเหรอ กูเฝ้ามาเป็นปี ยังไม่เคยสัมผัสเลย กิมมิคจะฟ้องแม่!

กิมมิค : อยู่ห่างๆ เขาเลยนะมึง อย่ายุ่มย่าม!
ต้นว่าน : มึงเป็นใครอะ มีสิทธิ์อะไรมาสั่ง

ตอบได้เลยว่าสิทธิ์ของคนแอบรัก เจ็บไหมล่ะ!

ต้นว่าน : โอ๊ย ตัวอย่างหอมอะ

ไอ้ว่าน มึงไม่ตายดีแน่ๆ กลิ่นน้ำหอม Dior Sauvage จากตัวเขากูดมได้คนเดียว!

กิมมิค : กูจะเลี้ยวรถกลับบ้านเดี๋ยวนี้!

ถ้าไอ้ว่านยังไม่เลิกแกล้งกันผมก็ปล่อยให้มันหาทางไปห้างเอาเอง ดูสิว่าคนที่เกิดมาไม่เคยขึ้นรถโดยสารจะทำยังไง? หึ กูถือไพ่เหนือกว่าเห็นๆ

ต้นว่าน : แล้วแต่น้า เขาบอกจะติดรถไปลงที่ห้างด้วยล่ะ อิอิ

มึงมีไพ่คิงสี่ใบในมือหรือไงห๊ะ ทำไมนิสัยเสียแบบนี้!

กิมมิค : อิบ้านพ่อง อีก 10 นาทีถึง!!!

สรุปว่าผมเป็นคนกากยังไม่พอต้องเป็นไอ้ขี้แพ้ด้วยสินะ พระเจ้าใจร้าย ลำเอียงที่สุด!

รถเอสยูวีสีเขียวมิ้นท์ป้ายแดงคันเก่ง (พ่อเพิ่งถอยให้ใหม่เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว) เบรกเอี๊ยดหน้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ภายในเวลาที่กำหนดไว้เป๊ะๆ ผมลงทุนปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วยืดตัวขึ้นเพื่อมองหาไอ้ว่านกับเขาคนนั้นไปทั่วบริเวณ พลันสายตาก็เห็นเป้าหมายคนหนึ่งยืนคุยกับพี่เซียนอีกแล้ว แถมวันนี้อดีตเดือนมหา’ลัยไม่ได้มามือเปล่าแต่มีถุงเบเกอรี่ร้านดังติดมาด้วย คือสายเปย์เหรอ ขนมถึง น้ำถึง โว๊ย กูจะทำยังไงดีเนี่ย เกาหัวจนแสบไปหมดแล้ว!

ผมโน้มตัวไปด้านหน้าจนแผ่นอกแนบชิดพวงมาลัยเพื่อจ้องมองพี่เซียนกับเขาคนนั้นคุยกัน ทำไมทุกครั้งที่เจอถึงได้รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง ไอ้ที่บอกว่าจะดูพฤติกรรมทั้งคู่ไปเรื่อยๆ คงไม่ต้องแล้ว ในเมื่อการกระทำหลายอย่างบ่งบอกว่าหนุ่มคณะเภสัชกำลังเกี้ยวหนุ่มคณะศิลปกรรมไม่ผิดแน่ แต่กูโคตรแย่เลยครับ

ปี๊น

ไอ้เชี่ย! พร่ำเพ้อได้ไม่ถึงนาทีงานงอกแล้วไงไหมล่ะมึง เสียงแตรรถดังสนั่นทำให้ผมสะดุ้งเฮือกผละตัวออกจากพวงมาลัยแล้วก้มหัวหลบจนตัวคุดคู้เป็นกุ้ง ไม่ได้ตั้งใจขัดจังหวะใครแต่หน้าอกมันกดลงไปพอดี จะหาข้อแก้ตัวอะไรวะเนี่ย เดี๋ยวเขาก็ต้องขึ้นมานั่งบนรถเราด้วย โอย แค่คิดก็อยากตายแล้ว

ก๊อกๆ

เสียงเคาะกระจกทำให้ผมสะดุ้งเป็นรอบที่สอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเผชิญความจริงก็แอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนท้องป่อง ทำใจครู่หนึ่งค่อยๆ ขยับตัวแล้วหันไปมองฝั่งด้านข้าง อ้าว ไม่ใช่เขานี่หว่า เป็นไอ้ห่าว่าน!

ผมลดกระจกรถลงด้วยความโล่งใจก่อนกระตุกยิ้มมุมปากให้ไอ้ว่านที่โน้มตัวเข้ามาใกล้ ปากเล็กขมุบขมิบฟังไม่เป็นภาษาจนคิดว่ามันคงแอบด่าเรื่องเสียงแตรที่ดังเมื่อครู่แน่ๆ โธ่ กูไม่ได้ตั้งใจอะ แล้วอีกอย่างก็เป็นเรื่องดีที่เขาผละออกจากพี่เซียนซะที อย่าคุยกันเยอะเดี๋ยวตกหลุมรักกัน

“กดแตรหาพ่องเหรอ?” คำถามไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้เลย มันตีหน้าเครียดก่อนพยักพเยิดไปทางเขาที่กำลังสะพายเป้เดินตรงมาแล้ว เส้นผมสีบลอนด์ทองยาวระต้นคอพลิ้วไหวตามสายลม ใบหน้าหล่อยังคงดูใสแม้อยู่ท่ามกลางอากาศร้อนระอุบวกกับมุมปากที่ดูเหมือนยกยิ้มอยู่ตลอดเวลานั่นทำให้หัวใจของผมเต้นอย่างบ้าคลั่ง นี่คงถือว่าเป็นครั้งแรกที่เราได้นั่งรถคันเดียวกัน ใกล้ชิดกว่าตอนขึ้นรถรางเปลี่ยนตึกเรียนซะอีก

เชี่ย พอหันกลับมามองคนใกล้ตัวแล้วเพิ่งสำเหนียกได้ว่าลืมตอบคำถามเพื่อนจนมันปั้นหน้าหงิกเป็นตูดแล้ว โทษที มองเขาเพลินไปหน่อย

“กูไม่ได้ตั้งใจ” ผมตอบเสียงอ่อยพลางหัวเราะแหะๆ ตบท้าย ยกมือขึ้นเกาหัวเพราะรู้สึกเขินสายตาของเพื่อน ทำไมต้องมองกันแบบจับผิดด้วยวะ ไม่ได้ตั้งใจคือไม่ได้ตั้งใจสิ ถ้าผมจะแยกเขาออกจากกันจริงคงเดินเข้าไปด้วยสองมือเปล่ากับหัวใจอีกหนึ่งดวงนี่ล่ะ ให้กอดขา กราบแนบอกก็ยอมทั้งนั้น ขอแค่เขาไม่ปิ๊งกันก็พอ

“ฟายเหอะ เดี๋ยวเขาก็สงสัย” นั่น ยกนิ้วกลางขึ้นมาให้เชยชมอีก ทำอย่างกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายแอบชอบเขานั่นล่ะ รถก็รถกู ความรู้สึกก็ของกู โมโหผัวมาหรือไง!

“เออน่า ขึ้นรถสิวะ” ผมโบกมือเพื่อไล่มันขึ้นรถเพราะอีกคนกำลังเดินมาทางนี้แล้ว ขืนยังคุยกันไม่จบความลับแตกกันพอดี

“เออๆ เคลียร์เอาเองแล้วกัน” มันพยักหน้าหงึกหงักแล้วทำท่าจะเดินไปเปิดประตูด้านหลัง ผมแทบกระโดดข้ามเกียร์ไปกระชากคอเสื้อไอ้ว่าน ละล่ำละลักถามเสียงสั่น

“แล้วมึงจะไปไหนเนี่ย?” ทำหน้าเครียดขึงถามแต่ไอ้ว่านกลับไหวไล่เหมือนเป็นเรื่องปกติที่มันต้องทำ

“นั่งหลังดิ กูรู้ว่ามึงอยากให้เขาเป็นตุ๊กตาหน้ารถ” มันยักคิ้วจึกๆ ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายกันเพื่อไปนั่งสบายที่ด้านหลังแล้วปล่อยให้ผมอ้าปากพะงาบๆ ด้วยความช็อกเพราะไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไอ้อยากก็อยากอยู่หรอกแต่รู้สึกเขินแปลกๆ ว่ะ

ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจด้านข้างรถก็ปรากฎใบหน้าหล่อที่ส่งยิ้มให้กัน ผมลนลานกดปุ่มปลดล็อกประตูแล้วมองตรงไปข้างหน้าด้วยท่าเตรียมพร้อมจะออกสู่ถนน แม่งเอ๊ย เขากำลังขึ้นรถแล้ว นั่งลงแล้ว โอย หัวใจเต้นแรงชะมัด ยิ่งกลิ่นน้ำหอมลอยปะทะจมูกก็ยิ่งทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนเพิ่มขึ้น แม่ง อยู่ๆ ก็อยากไซร้ซอกคอ ฮือ หยุดหื่นเดี๋ยวนี้ไอ้หมากิม!

“หวัดดีกิม” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายก่อนจะได้ยินเสียงดังกิ๊กของการล็อกเข็มขัดนิรภัยตามมา ผมพยักหน้ารับคำหงึกหงักเพราะไม่กล้าหันไปมองเขา ระยะห่างแบบชนิดที่ว่าหายใจยังได้ยินนี่อันตรายต่อชีวิตมาก

“สะ สวัสดี” ผมพยายามควบคุมตัวเองแล้วแต่เสียงก็ยังสั่น มือไม้ดูเกะกะทั้งที่มันต้องวางอยู่บนพวงมาลัย โอย แล้วจะเกาหัวให้ขี้รังแคกระจายทำไมเนี่ย ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของไอ้ว่านที่ด้านหลังแว่วมายิ่งทำให้ทุกอย่างดูขัดเขินไปหมด แม่งๆๆ ไม่เคยคิดเลยว่าการทำหน้านิ่งตามปกติจะยากเย็นขนาดนี้ ก็ไอ้มุมปากมันพาลยกขึ้นตลอดเวลา

“วันนี้ขอติดรถไปห้างด้วยนะ” คำขอร้องที่ฟังแล้วนุ่มนวลชวนฝันทำให้เผลอสะดุดลมหายใจ ดีหน่อยที่ไม่ลำลักไอแค่กๆ จนใครจับสังเกตได้ว่ากำลังประหม่า ผมพยักหน้ารับก่อนเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถ เพลงแนวแอบรักดังขึ้นแบบพอเหมาะพอเจาะเลยอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาแอบมองเขา ด้านข้างก็ดูดี จมูกทรงหยดน้ำ ขนตาเรียงตัวเป็นแพสวย แก้มชมพูระเรื่อสุขภาพดี ปากสีส้มอ่อนๆ น่าจุ๊บ เฮ้อ อยากได้มาเป็นของตัวเองจัง โอ๊ย ชอบ ไม่ใช่สิ รักเลยล่ะคนนี้

“คุยกันตามสบายนะ กูขอตัวงีบก่อน ง่วงโคตร ~” ไอ้ว่านยื่นหน้ามาบอกกันก่อนกลับไปล้มตัวลงนอนยาวที่เบาะหลัง ผมบุ้ยปากแล้วบ่นขมุบขมิบทันทีเพราะความตอแหลนั่นไม่สามารถหลอกใครได้ จะแอบฟังกูคุยกับเขาแล้วเอาไปเล่าไอ้ปอมสินะ ฝันไปเถอะ

ความเงียบโรยตัวลงระหว่างเราถึงแม้ว่ามีเสียงเพลงคลออยู่ก็ตาม ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไง คุยเรื่องอะไรถึงจะไม่ส่อพิรุธเกินเหตุ แต่เหมือนเขาคงรู้ว่าผมอยากคุยด้วยเลยเริ่มไถ่ถามกันก่อน ทำไมรู้สึกว่ายิ่งได้รู้จักยิ่งน่ารักวะ พ่อแม่เลี้ยงวิธีไหนถึงโตมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้

“จะไปดูหนังกันเหรอ?”

“อ๋อ ใช่ๆ แต่ไม่ได้อยากไปเองหรอก โดนไอ้ว่านบังคับน่ะ” ที่จริงก็อยากตอบสั้นๆ แต่กลัวโดนหาว่าหยิ่งเลยขยายความให้เรียบร้อย เขาพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจก่อนก้มหน้าลงกดโทรศัพท์ยุกยิกแล้วยื่นมาทางนี้ ไอ้เราด้วยความที่อยากดูก็แอบเหลือบมองทั้งที่ขับรถอยู่ เห็นผ่านๆ ตาว่าเป็นโปสเตอร์หนังสักเรื่อง หรือจะชวนกันดูหนัง แอร๊ย จะทิ้งเพื่อนเลยคอยดู หลังจากนั้นค่อยเอาเงินค่าตั๋วฟาดหัวไป ไม่ใช่อะไรหรอก ต้องปิดปากน่ะ เดี๋ยวเอาไปโพนทนาให้คนอื่นฟังนี่แย่เลย

“เรื่องนี้ก็น่าสนใจ แต่กิมกับว่านไปดูอะไรล่ะ?” เขาลดโทรศัพท์ลงแล้วมองหน้าผมเพื่อรอคำตอบ มันเป็นจังหวะเดียวกันที่รถติดไฟแดง พอหันไปก็เจอใบหน้าขาวใสในระยะประชิด ได้ยินเสียงหายใจเข้าออกอย่างชัดเจน นี่จงใจอ่อยหรือเปล่าวะ

ผมแก้อาการขัดเขินด้วยการหยิบขวดน้ำขึ้นกระดกทั้งที่นั่งอั้นฉี่แทบตาย หนีบขาจนไข่จะแตกอยู่แล้ว แต่ก็ถือว่าดีตรงที่ช่วยลดอาการประหม่าลงเยอะเพราะสำลักแทน ไอ้เชี่ยเอ๊ย ทำไมสกปรกแบบนี่เนี่ย เดือดร้อนคนข้างๆ ต้องหาทิชชู่ให้วุ่น

“ค่อยๆ ดื่ม จะรีบทำไมเนี่ย” เขาขยับทิชชู่มาซับน้ำที่เลอะมุมปากให้อยากเป็นธรรมชาติเหมือนทำเป็นประจำ แต่ผมที่ไม่ชินเผลอกลั้นหายใจไปแล้ว ดวงตาหลุบมองมือขาวเนียนแล้วได้แต่กลืนน้ำลายเอี๊อก ทำไมถึงน่าเลียขนาดนี้วะ โอย หยุดคิดอกุศลก่อน ตอนนี้ควรเขินไม่ใช่หรือไง

“เอ่อ... ชะ เช็ดเองก็ได้” ผมละล่ำละลักบอกแล้วเบนหน้าหลบเล็กน้อย แต่ไม่กล้าดึงทิชชู่จากมือเขาเพราะกลัวว่าถ้าสัมผัสโดนร่างกายแล้วสติจะแตกอยากทำมากกว่านั้น อีกฝ่ายเหมือนเพิ่งรู้ตัวเลยส่งยิ้มบางๆ ให้

“โทษที อะ เช็ดให้สะอาด สงสารรถใหม่” เขาส่งกระดาษทิชชู่ทั้งกล่องมาให้พร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ แล้วพยักพเยิดหน้าไปทางคอนโซลรถที่เปียกชุ่มด้วยน้ำผสมน้ำลายเผลอๆ อาจมีเศษผัดไทยจากมื้อเที่ยงปะปนอยู่ แค่คิดก็อี๋แล้ว นี่ถ้าผมขับรถแม่คงได้ฟังเทศน์จนหูยานแน่ๆ เฮ้อ

ผมจัดการซับน้ำที่พวงมาลัยและคอนโซลหน้ารถจนอ
แห้งสนิทแล้วรีบขยำทิชชู่ตั้งไว้บนขาเพราะตอนนี้สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว ใส่เกียร์แตะคันเร่งเพื่อเคลื่อนรถแต่ต้องกระตุกเมื่อมือเรียวเอื้อมมาหยิบก้อนขยะไปถือไว้ ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติอีกแล้ว เอาจริงดิ มันเปื้อนน้ำลายนะเว้ย ไม่ขยะแขยงเหรอ ขนาดไอ้ว่านที่หรี่ตามองยังเบะปากใส่เลย นี่เขาจะให้ผมหลงรักอีกมากแค่ไหนกัน...

กว่าจะถึงห้างผมเกือบเป็นตะคริวตายเพราะเกร็งไปทั้งร่าง ลงรถมาได้ก็โดนไอ้ว่านกระแซะไหล่เอ่ยปากแซวจนถึงหน้าโรงหนัง ส่วนเขาก็ขอตัวแยกไปทำธุระก่อนจะขอบคุณด้วยรอยยิ้มหวานๆ หนึ่งที ผมนี่แทบสลัดเพื่อนทิ้งแล้วเดินตามแต่มันคงรู้ทันเลยดึงคอเสื้อกันเอาไว้ แม่ง เดี๋ยวย้วยหมด!

“เชี่ย ปล่อยเลย อายคน!” ผมบอกมันเสียงรอดไรฟันแล้วฟาดมือลงบนแขนผอมๆ นั่น คนรอบข้างถึงกับมองพวกเราก่อนกระซิบกระซาบกันใหญ่ คงเข้าใจว่าคู่ผัวเมียกำลังเปิดศึก ขอร้องอย่ามองแบบนั้นสิวะ ฟ้าจะผ่าแล้วเนี่ย

“อะไรๆ กลัวเขาเดินมาเจอเหรอ?” ไอ้ว่านจีบปากจีบคอถามพลางเปลี่ยนจากดึงคอเสื้อเป็นกอดแขนแทนแถมด้วยการซุกซบจนรู้สึกขนลุกซู่ ผมแยกเขี้ยวขู่แง่งๆ ก่อนจะยกกำปั้นเคาะลงบนหัวเพื่อนเต็มแรง มันสะดุ้งแล้วผละตัวออกไปลูบหัว ปากก็ด่างุบงิบไม่เป็นภาษา จับใจความได้แค่ว่า ‘ไอ้เหี้ย’ แค่นั้นก็เจ็บไปทั้งใจ... ถุย หมั่นไส้อยากตบให้หน้าคว่ำลงถังป๊อปคอร์นมากกว่า

“เขาน่ะกูไม่กลัวหรอก แต่ถ้ามีคนเห็นแล้วเอาไปบอกพี่โซนมึงไม่รอดแน่” ผมยักคิ้วให้ก่อนจะใช้มือผลักหัวคนต้องหน้าด้วยความเอ็นดู มันยู่ปากแล้วแยกเขี้ยวแง่งๆ ใส่กันจนแว่นตาเอียงข้างแต่ไม่วายยังอ้าปากด่าได้

“มึงมันคนร้ายกาจ ไอ้บ๊วยเน่า!” เสียงเบาๆ หน่อยก็ได้มั้งมึง คนเขาคิดว่าจะฆ่ากันตายแล้วมั้งนั่น

“เออ ยอมรับ แล้วมัวแต่ด่ากูอยู่นั่นล่ะ จ่ายค่าตั๋วหนังหรือยัง?” ผมถามก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางตู้จ่ายเงินอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ บริเวณขายตั๋ว ไอ้ว่านหัวเราะแห้งก่อนจะหยิบป๊อปคอร์นรสชีสใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับ แก้มขาวขยับตามจังหวะจนดูคล้ายกระต่าย แล้วทำไมอยู่ๆ ต้องคิดถึงศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างชมจันทร์ด้วยวะ วันก่อนส่องไอจีเขาเจอรูปเจ้าขนปุยตัวเล็กกว่าฝ่ามือซะอีก ก็น่ารักแต่ผมไม่ค่อยถูกกับสัตว์สักเท่าไหร่ ขอบายแล้วกัน

“ยังอะ เดี๋ยวไปจ่าย รอแป็ป” มันบอกก่อนจะส่งถังป๊อปคอร์นมาให้ถือ ได้ยินเสียงดูดนิ้วจุ๊บๆ แล้วอดหัวเราะไม่ได้ กระดาษทิชชู่ก็มีทำไมไม่ใช้วะ เฮ้อ เรียนหมอช่วยให้มึงอนามัยจัดขึ้นบ้างไหมเนี่ย ถ้าอาจารย์ในคณะแพทย์มาเห็นคงปวดหัวน่าดู

ไอ้ว่านเดินตรงไปที่ตู้จ่ายเงินโดยที่ผมแอบจกป๊อปคอร์นขึ้นมาเคี้ยวเล่นฆ่าเวลา แต่อยู่ๆ ก็นึกถึงหนังที่เขาแนะนำขึ้นมา เออว่ะ เรื่องที่กำลังจะดูก็ไม่ใช่แนวที่ชอบด้วย หนังรักบ้าบอที่ไหนเขาดูกับเพื่อนวะ เก็บไว้นั่งกระแซะแฟนเหอะ พอคิดได้แบบนั้นเลยรีบจ้ำอ้าวไปหาเพื่อนที่ยืนหาวต่อคิวอยู่ไม่ไกล

“ไอ้ว่าน ขอเปลี่ยนเรื่องได้ปะ?” ผมพูดทั้งที่ยังหอบจากการเดินเร็ว มันหันมาเลิกคิ้วเหมือนยังมึนๆ แต่ไม่นานนักก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นล้อเลียนแถมยกนิ้วชี้กันอีก เดี๋ยวพ่อกัดให้ขาดเลยนี่

“แหนะ อยากดูเรื่องที่เขาแนะนำล่ะสิ” มันเอานิ้วมาจิ้มแก้มกันจนผมต้องสะบัดหน้าหนี ทำอะไรประเจิดประเจ้อจนคนอื่นคิดว่าเป็นแฟนกันหมดแล้วเว้ย เดี๋ยวจะฟ้องพี่เซียนว่ามันแรดเอาคืนที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด แต่ถ้ามีรูปหลุดในเพจคิ้วท์บอยคงได้คู่จิ้นใหม่แน่นอนจ้า

“ไหนมึงบอกว่าหลับ?” ผมหรี่ตามองคนขี้โกหกแล้วปัดนิ้วเล็กๆ นั่นทิ้ง น่าอิจฉาตรงที่มีแหวนทองคำขาวอยู่บนนั้น พี่โซนโคตรสายเปย์อะ ไม่ว่าไอ้ว่านจะงอแงอยากได้อะไรก็ซื้อให้หมด นี่คงเรียกได้ว่าผัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง... ใช่เหรอวะ เออ ช่างมันเหอะ

“ห๊ะ อ้อ ตื่นตอนนั้นพอดีอะ เลยได้ยิน คิก ~” ทั้งเสียงทั้งหน้าโคตรตอแหลจนผมได้แต่เบ้ปากแล้วหยิบป๊อปคอร์นมาเคี้ยวแก้เซ็ง เชื่อว่าพรุ่งนี้ไม่ก็คืนนี้ไอ้ปอมคงโทรมาแซวแน่ๆ แค่อยากดูหนังเรื่องนั้นผิดตรงไหนวะ แนวบู้ผจญภัยคือชอบอยู่แล้วไง ที่เขาแนะนำก็แค่ส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเอ๊ง แค่กๆ เจ็บคอจัง

“เออ ตกลงเปลี่ยนได้ไหมล่ะ?” ตอบปัดความรำคาญแล้วยืนรอคำตอบ จริงๆ ก็พอเดาได้ว่าไอ้ว่านคงตามใจผมมากกว่า แต่ก็อยากให้คิดตรงกัน ไม่ใช่ว่าอีกคนสนุกแล้วอีกคนเบื่อ

“ได้ฮะ ตามใจที่รักเลย” ไอ้ว่านคลี่ยิ้มกว้างก่อนเดินออกจากแถวแล้วลากกันไปต่อคิวที่ช่องซื้อตั๋ว ผมหัวเราะกับความน่ารักของเพื่อน ถึงจะขี้แกล้งไปหน่อยแต่ก็นิสัยดี

“แม่ง ขนลุก!” แต่ก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะด่ามัน มีอย่างที่ไหนเรียกผมว่าที่รัก ขอสงวนไว้ให้คนของใจใช้บ้างเห๊อะ!

นานแล้วที่ไม่ได้มาดูหนังกับไอ้ว่านเพราะตั้งแต่มันมีแฟนก็ปลีกตัวไปกับพี่โซนบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าให้ความสำคัญกับใครมากกว่าก็แค่แบ่งกิจกรรมที่ทำเป็นคนละแบบ ผมกับไอ้ปอมเข้าใจเรื่องนี้ดีเลยไม่มีการงอแงน้อยใจเกิดขึ้น ปล่อยเรื่องราวไปตามธรรมชาติ วันไหนอยากเจอก็แค่โผล่ไปที่คณะแพทย์ โทรหา ส่งไลน์บ้าง ยังมีอีกหลายวิธีในการรักษาความสัมพันธ์ ระหว่างเพื่อนโดยไม่จำเป็นต้องยกตัวเองเป็นที่หนึ่งเสมอจริงไหม?

สถานะเพื่อนกับแฟนมันต่างกันอยู่แล้วล่ะน่า เปรียบเทียบไปก็ไม่มีประโยชน์ รังแต่จะทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง เชื่อผม ผมเรียนมา! (ดูเป็นคนมีสาระดีจัง)

ผมเพิ่งสังเกตว่าเวลาไอ้ว่านดูหนังมันจะหยุดกินป๊อปคอร์น ตามองจอแทบไม่กระพริบ ถือว่าตั้งใจมากสงสัยกลัวไม่คุ้มค่าตั๋ว ส่วนผมมีหยิบขวดน้ำมาดื่มบ้าง ขยับตัวบ้างเพราะนั่งท่าเดิมนานไปก็รู้สึกเมื่อย แต่จริงๆ อยากถีบเก้าอี้คนด้านหน้ามากกว่า มึงจะสปอยหนังให้เมียฟังทั้งเรื่องแบบนี้ไม่ได้เว้ย สงสารเงินสองร้อยกว่าบาทของกูด้วยเถอะ แม่ง!

กว่าหนังจะจบก็เกือบสามทุ่ม ฝ่าฝูงมนุษย์ออกมาได้ก็รีบตรงดิ่งเข้าห้องน้ำทันที การดูหนังแบบอั้นฉี่โคตรทรมานแต่ไม่อยากพลาดฉากเด็ด จะเอาไข่ใส่ขวดก็เกรงใจผู้หญิงที่นั่งข้างๆ แต่ต้องนับถือไอว่านที่แม่งแดกไม่รู้กี่อย่างแต่ไม่ขับถ่ายอะไรเลย มึงเป็นคนหรือต้นตะบองเพชรวะ คายน้ำบ้างก็ได้

ปลดทุกข์เสร็จก็เดินฮัมเพลงออกมาจากห้องน้ำแต่ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นใบหน้างอง้ำของไอ้ว่านที่ยืนพิงกำแพงในมือถือโทรศัพท์กำลังพิมพ์บางอย่าง คืออะไรยังไง มีคนจีบมันตอนผมไปฉี่เหรอวะ? ก่อนหน้านี้ยังยิ้มแย้มเม้าท์มอยเรื่องฉากหนังที่ประทับใจกันอยู่เลย งงเด้

“เป็นอะไร?” ผมเดินเข้าไปประชิดตัวเพื่อนแล้วเอ่ยถาม ไอ้ว่านเงยหน้ามองก่อนจะทำปากยื่นไปทางหน้าจอโทรศัพท์ คือให้ดูอะไรไม่ทราบ รูปโป๊เหรอ คือกูไม่นิยมภาพนิ่งอะ ชอบแบบเคลื่อนไหวพร้อมเสียงอู้อ้า... ช่วยลืมๆ มันไปเถอะ ที่จริงแล้วผมเป็นคนเรียบร้อย อ่อนโยน รักต้นไม้ใบหญ้าและคุณ ฮึ่ย ทำไมเสียว เอ้ย เสี่ยวจัง

“ไอ้ปอมฝากซื้อเค้กทุเรียนอะ มันจงใจแกล้งกู!” ไอ้ปอมดิ้นเร่าๆ ไม่อายคนเหมือนเด็กโดนขัดใจแล้วยื่นโทรศัพท์ให้ผมอ่านไลน์ปะทะคารมของมันกับไอ้ปอม แค่เค้กทุเรียนอันเดียวถึงขนาดขู่วางระเบิดบ้านเลยเหรอวะ นี่พวกมึงเป็นผู้ก่อการร้ายหรือเปล่า กูชักหวั่นๆ แล้วเนี่ย



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 2 -P.1- 09/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-06-2018 20:33:23
“มึงคิดมากน่า มันชอบกินทุเรียนนี่” ผมส่งโทรศัพท์คืนให้แล้ววางมือลงบนหัวทุยก่อนจะออกแรงขยี้ด้วยความเอ็นดู ไอ้ว่านเบะปากเตรียมร้องไห้ด้วยความที่มันเกลียดทุเรียนเข้าไส้ ได้กลิ่นทีไรก็อ้วกแตกจนหมดท้องทุกที สงสารก็สงสารแต่ขำมากกว่า ส่วนไอ้ปอมนี่ตัวดีชอบกิน เห็นไม่ได้ต้องซื้อตลอด กิโลละสามพันก็ฟาดมาแล้ว ส่วนผมกินได้ ก็อร่อยดี หวานๆ มันๆ

“ก็ฝากมึงซื้อสิ โยนมาให้กูที่ไม่แดกทุเรียนทำไม” ในอนาคตมึงจะไม่เกรี้ยวกราดพูดคำหยาบแบบนี้ใส่คนไข้ใช่ไหม รู้สึกเป็นห่วงยังไงไม่รู้ว่ะ ตอนที่มันหงุดหงิดอะไรก็ฉุดไม่ได้นอกจากพี่โซน... ผมมีความเบ้ปากมองบนตลอดเมื่อคิดถึงจุดนี้ คนอะไรติดผัว!

“โทรศัพท์กูแบตฯ หมดไง ไปๆ รีบซื้อจะได้รีบกลับสักที” ผมตบบ่าไอ้คนขี้หงุดหงิดแล้วกอดไหล่มันเพื่อพาไปยังร้านขายเค้กทุเรียน ที่จริงแล้วก็พอรู้ว่าไอ้ปอมจงใจแกล้งคนแคระของกลุ่มแต่เพราะไม่อยากให้มันอารมณ์เสียเลยหาเหตุผลมาอ้าง ถ้าไม่ยั้งคงได้งอนกันเป็นเดือนๆ อีก แล้วมันจะลำบากที่คนกลางอย่างผม

“มึงจ่ายนะ ขี้เกียจทวงเงินมัน” ด่าเขาแทบเป็นแทบตายแต่สุดท้ายก็ยอมไปร้านเค้กด้วยกันว่ะ ถึงแม้จะมีความงอแงนิดหน่อยก็เถอะ คนใจอ่อนก็เงี้ยล่ะน่า แพ้ตลอด

“เออๆ เอาที่มึงสบายใจเลยค่ะ” อันนี้ผมประชดสุดตัวแต่ดูเหมือนว่าจะไปกระตุ้นต่อมอะไรบางอย่าง มันถึงกับชะงักเท้าแล้วมองหน้ากันด้วยดวงตากลมเป็นประกายวิบวับเหมือนค้นพบสมบัติล้ำค่า ทำไมรู้สึกแปลกๆ วะ

“โอ๊ย ทำไมพี่โซนไม่พูดคะขากับกูบ้างวะ ชอบอะ ดูเป็นผู้ชายอ่อนโยน ฮึ่ย” ทำท่าสะดีดสะดิ้งจนผมหลุดขำก๊ากไม่อายคนที่เดินผ่านไปผ่านมา แค่ลงท้ายประโยคว่า ‘ค่ะ’ เนี่ยนะดูเหมือนผู้ชายอ่อนโยน ถ้ามองกลับกันคงเป็นพวกเจ้าชู้ไก่กาชอบป้อนคำหวานมากกว่า นี่ล่ะน้าที่เขาบอกว่าต่างคนต่างมุมมอง

“เปลี่ยนผัวไหมล่ะ? เดี๋ยวกูพูดให้ฟังทุกวันเลย” ผมโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูไอ้ว่าน ได้กลิ่นน้ำหอมคล้ายแป้งเด็กลอยมาปะทะจมูก เผลอสูดดมไปเล็กน้อยแล้วกล่าวขอโทษพี่โซนอยู่ในใจ ไม่ได้คิดอกุศลจริงๆ แค่เพื่อนเลือกกลิ่นเหมาะกับบุคลิกตัวเองดี ภูมิใจไง...

ไอ้ว่านผลักหัวผมออกแล้วเบ้ปากใส่ ทำท่ารังเกียจกันเหมือนเจอเชื้อโรค เท่านั้นไม่พอยังขยับห่างเป็นโยชน์ คือมึงก็โอเว่อร์ไป นี่เพื่อนไงจำไม่ได้เหรอ เดี๋ยวกูหงุดหงิดแล้วโทรฟ้องพี่โซนจริงๆ นะว่ามึงแอบยิ้มให้เด็กมัธยมที่เดินผ่านเมื่อครู่ มีผัวแล้วควรหยุดโปรยเสน่ห์เหอะ

“เก็บตัวมึงไว้เถอะไม่ต้องมาเสนอขายกู แถมเงินล้านนึงยังคิดหนักอะ” โอ้โห เลี้ยงหมาไว้ในปากกี่ตัวครับเพื่อน เดี๋ยวกูเอาน้ำยาล้างห้องน้ำกรอกให้จบๆ เลยไหม

“นั่นปากหรือตูด พ่นแต่ละคำออกมาไม่น่ารักเลย” ผมด่ามันซอฟท์ๆ แต่เจ็บที่คำว่าไม่น่ารักนี่ล่ะ เพราะปกติพี่โซนชอบชมมันแบบนั้น หึ หน้าง้ำเลยไง หมดความน่าทะนุถนอมไปเกือบครึ่ง

“เขาเรียกว่าคนรักแฟนเหอะ” มันเชิ่ดหน้าใส่ผมจนกลัวว่ากระดูกคอจะมีปัญหา เข้าใจว่ามันรักแฟนแต่เกี่ยวอะไรกับเรื่องปากหมาเนี่ย กูงง มันเบลอ หรือเธอไม่ชัดเจน เอ๊ะ... ช่างแม่งเถอะ คิดไปก็ปวดหัว

“เออ ไม่เถียงกับมึงแล้ว ไร้สาระ!” ซื้อเค้กทุเรียนกลับบ้านสักสิบกล่อง แถมด้วยลูกสดๆ อีกสองเลยดีกว่า กูจะทำให้มึงเป็นลมคารถเลยคอยดูไอ้ต้นว่าน!

กว่าจะถึงหอไอ้ว่านก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ตลอดทางมันบ่นว่าเหม็นกลิ่นทุเรียนอยากอ้วกจนผมต้องควานหาถุงพลาสติกให้ครอบปากไว้และไม่อนุญาตให้เงยหน้าขึ้นจากอุปกรณ์พิเศษนั่น ดูๆ ไปก็เหมือนคนใส่ออกซิเจนเลยว่ะ ถ้าถ่ายรูปเก็บไว้ได้คงดี แบล็คเมล์ได้อีกสิบชาติ

เมื่อรถจอดสนิทตรงประตูหน้าหอ ไอ้ว่านก็ลงจากรถด้วยสภาพที่แย่พอๆ กับคนป่วยหนัก ยืนทรงตัวแทบไม่ไหว ในมือมียาดมสองรู มันสูดจนได้ยินเสียงลมหายใจฟืดฟาดๆ ถือว่าแผนการเอาคืนสำเร็จ หึหึ ต้องไลน์ไปเล่าไอ้ปอมสักหน่อยแล้ว

“ขอบคุณ... ที่ไปดูหนัง ฟืด เป็นเพื่อน” สภาพใกล้ตายแต่ก็ยังมารยาทดีเอ่ยปากขอบคุณ ผมพยักหน้ารับก่อนโบกมือไล่ให้มันขึ้นไปพักผ่อน ถ้าป่วยขึ้นมาเดี๋ยวพี่โซนจะหาว่าดูแลแฟนเขาไม่ดีอีก ตกลงกูเป็นเพื่อนหรือเป็นชู้ของมึงกันแน่ไอ้ว่าน!

“เออ ขึ้นไปอาบน้ำพักผ่อนได้แล้ว”

“ไว้เจอกัน” ไอ้ว่านโบกมือบ๊ายบายแล้วสูดยาดมโชว์ครั้งสุดท้ายก่อนจะพาร่างผอมบางเดินขึ้นตึกไป ผมแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปมันเก็บไว้ ถ้าเอาลงไอจีคงโดนงอนสักสิบชาติ เฮ้อ เสร็จภารกิจสำหรับวันนี้สักที กลับบ้านดีกว่า

ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าๆ ที่ผมถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ขนเค้กกับทุเรียนลงจากรถเต็มสองมือจนแม่ด่าเข้าให้ว่าซื้อมาทำไมเยอะแยะ แต่ที่แปลกคือทำไมพวกเขายังไม่เข้านอนกันวะเนี่ย หรือรอกันอยู่?

“วันนี้ยังไม่ง่วงเหรอครับ?” ผมเลือกคำถามที่ดูไม่น่าเกลียดและไม่เจาะจงจนเกินไป

“กำลังเลือกประเทศที่จะไปเที่ยววันพรุ่งนี้กับพ่ออยู่ค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสดใสในขณะที่ช่วยผมจัดกล่องเค้กเข้าตู้เย็น ถ้ากินหมดนี่เบาหวานคงกวักมือเรียกเข้าสมาคมยิกๆ

“ห๊ะ จะไปพรุ่งนี้แต่ยังไม่เลือกประเทศ ยังไม่จองตั๋วเนี่ยนะครับ ชิวเกินไปหรือเปล่า?” คนเรามันจะปุบปับไปแบบนี้ก็ได้เหรอ ทิ้งผมอยู่คนเดียวอีกแล้ว แม่บ้านก็ลางานตั้งหนึ่งอาทิตย์ ไม่เท่ากับว่าต้องฝากท้องไว้ร้านอาหารตามสั่งหน้าปากซอยหรือโรงอาหารมหา’ลัยเหรอวะ เพลียจิต พ่อแม่ช่วยอยู่กับผมให้ครบเดือนบ้างไม่ได้หรือไงนะ

“ค่าตั๋วแพงก็ไม่เป็นไรค่ะ พ่อเปย์” คุณนายเขาหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินกลับไปห้องนั่งเล่นเพื่อช่วยคุณผู้ชายเลือกสถานที่ฮันนีมูนรอบที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า ผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วพาร่างเปลี้ยๆ ขึ้นห้องนอน จัดการอาบน้ำขัดตัวแล้วมานอนมองเพดานเหมือนทุกวัน

ภารกิจประจำก่อนนอนคือส่องไอจี the_kirin.z ว่ามีอะไรอัปเดตบ้างหรือเปล่า แล้วก็เป็นไปตามคาดเมื่อสิ่งที่ผมเห็นคือรูปเลนส์กล้องตัวใหม่ที่เขาเพิ่งไปถอยมาวันนี้ ราคาคงสักประมาณสามหมื่นกว่า รูปถัดมาคือมารหัวใจตัวจิ๋วที่กำลังกินน้ำอย่างสบายใจ ชมจันทร์เอ๊ย ถึงจะน่ารักแต่พี่กิมไม่ยอมแพ้หนูหรอกนะ จำไว้ ส่วยไอ้พี่เซียนคงต้องวางมวยกันสักตั้งแล้วล่ะ

แต่ก่อนอื่น... ผมต้องบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนถึงจะช่วยให้ตัวเองหายกากสักทีเนี่ย โว๊ย จีบคนหล่อมันต้องทำยังไงบ้างล่ะวะ เครียดเว้ย เรื่องนี้ส่วนสูง ความเมะ กล้ามแขนหรือแม้แต่ซิกแพคก็ช่วยไม่ได้ ให้ตายเหอะ!

ผมส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปแล้วกดหัวใจให้เขาทั้งสองรูปที่อัปเดตใหม่สำหรับวันนี้ อ่านคอมเม้นต์อีกนิดหน่อยก็จะเปลี่ยนเป็นเข้าแอปฯ ไลน์เพื่อส่งข้อความหาไอ้ปอม นัดแนะส่งเค้กทุเรียนให้มันแดกสักเจ็ดกล่อง เก็บไว้เองแค่สามกล่องพอ

กิมมิค : พรุ่งนี้กูจะแบกเค้กทุเรียนไปให้ที่มหา’ลัย

ผมกดส่งข้อความไปแล้วกดล็อกหน้าจอเตรียมเข้านอน วางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วปิดโคมไฟจนทั้งห้องตกอยู่ในความมืด แต่ในจังหวะที่จะหลับตาเสียงสั่นครืดก็ทำให้ต้องชะงัก สงสัยไอ้ปอมตอบกลับมาแล้ว

กะปอม : โนๆ แวะรับกูที่คอนโดด้วยสิ

อะไรคือให้ผมแวะรับที่คอนโดอีกแล้ววะ รถบิ๊กไบค์มึงยังซ่อมไม่เสร็จอีกหรือไง

กิมมิค : ไม่ใช่เรื่องของกู
กะปอม : น่าๆ ถือว่าทำบุญช่วยเพื่อนหน่อย
กิมมิค : ยังไม่ได้รถอีกหรือไง?

ไหนบอกว่าจะได้วันนี้ หรือผมจำผิดวะ

กะปอม : แม่ยึด บอกว่าอันตราย
กิมมิค : เอ้า แล้วจะให้มึงเดินไปมหา’ลัย?
กะปอม : เปล่า วันนี้เขาพาไปซื้อรถใหม่ รุ่นเดียวกับมึงแต่สีขาว กว่าจะได้ก็สิ้นเดือน
กิมมิค : แม่ก็เลยให้มาดิวกับกูว่างั้น?
กะปอม : ก็เปล่าอีกนั่นล่ะ

เชี่ยอะไรของมีงเนี่ย ยิ่งคุยยิ่งมึน

กิมมิค : ช่วยเล่าให้จบๆ ที กูง่วง
กะปอม : พ่อจะให้เอา Aston มาใช้ กูจะบ้า!

เป็นผมก็คงบ้าเหมือนมัน นักศึกษาอายุสิบแปดที่ไหนจะกล้าขับรถราคาหลักสิบล้านไปมหา’ลัยวะ ถ้าเจอคนเกลียดขี้หน้าแล้วมันเอาเหรียญขูดนี่มีแต่ตายกับตาย (บ้านไอ้ปอมทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์)

กิมมิค : พ่อมึงก็โหดไป
กะปอม : นั่นล่ะ ช่วยกูที
กิมมิค : เออๆ พรุ่งนี้ไปรับเหมือนเดิมแล้วกัน
กะปอม : รักผัวที่สุดเลยค่ะ จุ๊บๆ

โอ๊ย ผมอยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้งแต่เสียดายเพราะเก็บเงินซื้อมาเอง ขนลุกขนชันไปหมดแล้ว ฮือ

กิมมิค : ขยะแขยง ไอ้สัด!

ได้ด่าไอ้ปอมแล้วสบายใจ นอนดีกว่าเพื่อตื่นขึ้นมาเจอเช้าที่สดใส สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์



--------------------------------------------

ตอนที่ 2 มาแล้วน้า พอจะเดาได้หรือเปล่าว่ากิมชอบใคร? 55555
เดี๋ยวตอนหน้าจะรู้คำตอบแล้ว ^^
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 3 -P.1- 21/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 21-06-2018 18:12:18
รูปถ่ายใบที่ 3

เค้กทุเรียนส่วนของไอ้ปอมถูกนำออกมาจากตู้เย็นในวันรุ่งขึ้นด้วยฝีมือคุณแม่คนสวยที่ตื่นตั้งแต่เช้ามาเตรียมอาหารให้ลูกบังเกิดเกล้ากับคุณสามีสุดเลิฟที่เพิ่งกลับมาจากสิงคโปร์เมื่อคืนนี้ กลิ่นหอมของข้าวต้มทะเลโรยผักชีเน้นๆ โชยมาปะทะจมูกของผมในขณะที่ก้าวลงบันไดบ้าน เสียงท้องร้องโครกครากทำให้ต้องรีบพุ่งตัวเข้าไปในครัวทันที วิ่งตัดหน้าพ่อจนโดนเอ็ดตะโรตามท้ายด้วยเหอะ โธ่ ก็คนมันหิวนี่ครับ

“พ่อเขาบ่นอะไรตั้งแต่เช้าหื้ม?” แม่ถามขึ้นทั้งที่ยังจัดการตักข้าวต้มทะเลใส่ชามอีกใบ คงได้ยินเสียงหอบแฮ่กของผมดังอยู่ด้านหลังแน่ๆ ถึงได้รู้ว่ามีคนมา

ผมยังไม่ได้ตอบกลับในทันทีแต่เดินเข้าไปกอดเธอจากด้านหลังแล้วซบหน้าลงบนไหล่แคบ ถูไถแก้มอย่างออดอ้อนเหมือนที่ชอบทำประจำเวลาอยากให้มีใครสักคนเข้าข้างตัวเอง และผู้ชนะก็คือฝ่ายที่มีแม่หนุนหลังซึ่งมันนี้คือนายกิมมิคนั่นเอง หึหึ เสียใจด้วยนะพ่อ

“ผมได้กลิ่นข้าวต้มฝีมือแม่ไงเลยรีบวิ่งเข้ามาในครัว แต่พ่อเดินมาพอดีเลยหาว่าผมตัดหน้า” ผมบอกแม่ด้วยเสียงงุ้งงิ้งไม่สมกับรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าคมคาย เธอชะงักมือที่ตักข้าวต้มไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วใช้มือข้างที่ว่างเอื้อมมาดึงแก้มกัน

“คราวหน้าก็เดินมาดีๆ ถ้าพ่อชนเราขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?” แม่ตักเตือนผมพอหอมปากหอมคอแล้วใช้มือแตะที่ต้นแขนเป็นสัญญาณให้คลายอ้อมกอดเนื่องจากว่าทำงานไม่ถนัด ผมเชื่อฟังพยักหน้ารับก่อนจะผละออกไปนั่งรอที่โต๊ะ ในตอนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นกลับสะดุดตากับไข่เค็มที่อยู่ในจานซะก่อน

“แม่ครับ ไข่เค็มนี่จะให้ผมแกะไหม?” ผมเอ่ยถามคนสวยของบ้านแล้วเอื้อมไปหยิบไข่เค็มฟองหนึ่งมาถือไว้เตรียมตอกกับขอบโต๊ะ แม่ไม่ได้ตอบอะไรแต่ยกชามข้าวต้มมาวางตรงหน้าแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม นั่งมองกันด้วยสายตาหวาดระแวง ผมแค่จะแกะเปลือกไข่เองไม่ได้กำลังเจียระไนเพชรอยู่

“แกะเป็นหรือไง เดี๋ยวก็เหลือแต่ไข่แดง” แม่หรี่ตามองผมอย่างไม่ไว้ใจเพราะเมื่อไหร่ที่เริ่มลงมือแกะมัน ส่วนที่เป็นไข่ขาวจะติดไปกับเปลือกแทบทั้งหมด ชีวิตคนเราก็ต้องมีเรื่องผิดพลาดกันบ้าง

“โธ่ อย่าดูถูกกันสิครับ” ผมโอดครวญแต่ก็ยอมวางไข่เค็มไว้ที่เดิมเพื่อให้แม่จัดการกับมัน ส่วนตัวเองก็เริ่มต้นหยิบช้อนขึ้นคนข้าวต้มให้คลายความร้อน ปลาหมึกเด้งๆ กุ้งตัวโตสีส้ม เนื้อปลาชิ้นพอดีคำ กระเทียมเจียวหอมกรุ่นตามด้วยผักชีโรยหน้าและพริกไทยป่น พอทุกอย่างผสมเข้าด้วยกันแล้วนั้นยิ่งชวนให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานอย่างหนัก ผมกลืนน้ำลายลงคอ สูดกลิ่นเข้าปอดจนเต็ม โอย หิวฉิบหายแต่ต้องรอกินพร้อมหน้า โอย พ่อจะให้อาหารฝอยทองกับตะโก้ (ปลาคราฟไซส์ยักษ์) อีกนานไหมวะเนี่ย

แต่บ่นอยู่ในใจได้ไม่ถึงสิบวินาทีท่านพ่อก็โผล่เข้ามาในครัวด้วยชุดลำลองสบายๆ อย่างกางเกงผ้าสีน้ำตาลเลยเข่ากับเสื้อเชิ้ตสีขาวล้วนบ่งบอกว่าวันนี้เขาคงไม่ออกไปไหน ส่วนแม่ไม่ต้องเดาให้มากเพราะจัดเต็มด้วยผ้าไหมทั้งตัวขนาดนี้คงไม่นอนอยู่บ้านเฉยๆ แน่ สมาคมคุณหญิงคุณนายตามเคย

“เอ้า ลงมือกินข้าวซะ เดี๋ยวไปเรียนสาย” พ่อพูดขึ้นเมื่อหย่อนก้นนั่งลงข้างกัน ผมพยักหน้ารับคำแล้วตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าระบายความร้อนอยู่สองสามครั้ง ในตอนที่จะเอาช้อนใส่ปากนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดสั้นๆ เป็นการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวของแอปพลิเคชั่นสักอย่างแต่พอเห็นเวลาบนนาฬิกาติดผนังแล้วทำให้ต้องละความสนใจจากมันเพื่อจัดการมื้อเช้าให้เสร็จเพราะยังมีภารกิจจอดรับไอ้ปอมอีก ทุกวันนี้ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพื่อนสนิทหรือภาระกันแน่

หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็รีบคว้ากระเป๋ากับเค้กทุเรียนที่แม่เตรียมไว้ให้ขึ้นรถ ขับออกจากบ้านในเวลาเกือบแปดโมงเลยเจอสภาพรถติดแถมด้วยฝนที่เทกระหน่ำลงมาแบบไม่บอกกล่าวก็ได้แต่หวังว่าไอ้ปอมจะไม่แต่งชุดนักศึกษาเต็มยศเหมือนวันนั้นอีก

สถานนีวิทยุที่เลือกฟังวันนี้เปิดแต่เพลงอกหักรักคุดเลยพาลทำให้ผมนึกถึงเรื่องของพี่เซียนกับเขาคนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ยังไม่ได้รับการเฉลยที่แน่ชัดแต่ใครหลายคนบอกว่าอดีตเดือนมหา’ลัยคงมาขายขนมจีบจริงๆ ไม่อยากนั้นจะเช้าถึงเย็นถึงอะไรขนาดนั้น แล้วไอ้มนุษย์ที่อยู่ใกล้ตัวเป้าหมายแทบทุกวันทำไมยังมุดอยู่ในกระดองเป็นไอ้ขี้ขลาดล่ะ แม่งเอ๊ย บางทีผมก็อยากทำตัวหลุดโลกโดยไม่ต้องแคร์ใคร กล้าได้กล้าเสียสารภาพความในใจไปซะ

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะเอื้อมมือไปเพิ่มเสียงวิทยุแล้วขยับปากฮัมเพลงตามทำนองที่ได้ยินพลางเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยเป็นจังหวะจนรถเริ่มขยับไปด้านหน้า ผมเงยหน้าขึ้นมองด้านบนก็พบว่าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวแล้ว แต่พอเห็นตัวเลขนับถอยหลังก็ทำได้แค่ปลง เหยียบคันเร่งจนไหม้ก็คงไม่ทัน แม่ง

กว่าจะถึงคอนโดไอ้ปอมก็เกือบเก้าโมง คนที่บ่นหิวมาตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วเดินกระแทกส้นเท้าตึกๆ มาขึ้นรถ ใบหน้ายู่ยี่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด ดีหน่อยที่มันยังสังเกตเห็นของที่วางอยู่บนเบาะไม่อย่างนั้นคงนั่งทับเค้กทุเรียนแบนติดก้นแน่นอน

“ชักช้า!” ไอ้ปอมปิดประตูเสร็จก็หันมาแยกเขี้ยวใส่กันเหมือนผมไปฆ่าจิ้งจกเพื่อนรักในห้องมันตาย เข้าใจว่ากำลังโมโหหิวแต่มินิมาร์ทข้างคอนโดก็มีปะ แถมฝั่งตรงข้ามยังมีร้านข้าวต้ม ร้านขนมจีบ ร้านอาหารตามสั่ง ซอยข้างๆ มีหมูปิ้ง ไก่ย่าง สารพัดของกินเต็มไปหมด ทำไมมึงไม่ซื้อแดก แล้วไอ้เค้กทุเรียนเนี่ยสมควรกินเป็นมื้อเช้าเหรอไง

“ไม่มีตาหรือไง? ก็เห็นอยู่ว่าฝนมันตก” ผมเหล่สายตาคนข้างตัวที่ตอนนี้ทำปากบึนจนแทบติดปลายจมูก สองแขนของมันโอบอุ้มกล่องเค้กไว้อย่างทะนุถนอม ถ้าใครอยากได้ไอ้ปอมเป็นแฟนคงต้องลงทุนถวายทุเรียนกิโลละสามพันให้มันแดกแล้วล่ะ รับรองไม่นกแน่นอน

“ก็กูหิวอะ” พอเถียงอะไรไม่ได้ก็บ่นงุ้งงิ้งกับของกินในอ้อมกอด ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเอื้อมมือไปผลักหัวไอ้ปอมด้วยความหมั่นไส้ ได้ยินเสียงฟึดฟัดดังลอดออกมา เชื่อไหมว่าการรู้ทันเพื่อนในบางเรื่องก็ไม่ดีเพราะมันทวีคูณความโกรธได้ดีนัก อย่างเช่นตอนนี้แค่เรื่องเค้กทุกเรียนไม่กี่กล่องเท่านั้น

“ไอ้สัด รอบคอนโดมึงมีแต่ของกินทั้งนั้นไม่ซื้อแดกเอง” ผมโต้กลับเสียงจริงจังแล้วกวาดนิ้วชี้ไปทั่วบริเวณที่กำลังจะขับรถผ่าน คือย่านนี้มีของกินให้เลือกสรรค์ทุกอย่างจริงๆ ยกเว้นแต่ว่าเสือกอยากแดกซูชิตอนเก้าโมงเช้าเพราะร้านมันยังไม่เปิด

“ทำไมต้องเกรี้ยวกราดใส่คนหิววะ” ไอ้ปอมว่าเสียงหงอยก่อนจะฟาดมือลงบนต้นแขนของผมดังปึก ดีหน่อยที่ไม่ใช่คนขี้ตกใจเลยยังประคองการบังคับรถได้อย่างปกติ แต่ขอด่าหน่อยเหอะ คันปากจะแย่

“หิวแล้วทำตัวควายๆ ก็น่าโดนไหม?”

“ก็มันอยากกินเค้กทุเรียน” นั่นไง ความจริงบ้าๆ จากปากของนี่ล่ะที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นพ่อมากกว่าเพื่อนสนิทและมันก็กลายเป็นภาระอย่างสมบูรณ์อีกด้วย เฮ้อ เหนื่อยใจแทนเมียในอนาคตของไอ้ปอมจริงๆ

“ทำตัวอย่างกับเด็ก” ผมด่ามันเข้าไปอีกดอกก่อนตบไฟเลี้ยวเข้าเขตมหา’ลัย สายตาเปลี่ยนโฟกัสโดยอัตโนมัติเมื่อรถกำลังแล่นผ่านตึกคณะแพทย์ที่ไอ้ว่านเรียนอยู่ เช้าๆ คงมีสารถีชื่อโซนบริการไปรับมาส่งถึงที่ การมีผัวดีชีวิตก็ดีตามไปด้วยเป็นแบบนี้นี่เอง

แต่คนอย่างผมไม้อยากได้ผัวที่ดีหรอก ตอนนี้ขอแค่รวบรวมความกล้าไปสารภาพความในใจกับเขาให้ได้ก่อนเหอะ แม่ง หมาจะคาบไปแดกอยู่แล้ว

“เออ ยอมรับ แล้วไหนนมจืดกูอะ เอามาด้วยหรือเปล่า?” ไอ้ปอมเอื้อมมือมาสะกิดต้นแขนกันพร้อมเรียกหานมกล่องที่ไว้กินกับเค้กทุเรียน ผมก็บ้าพกมาให้มันทั้งที่ค้านหัวชนฝาว่าไม่ควรกินขนมแทนข้าวตั้งแต่เมื่อเช้า เรื่องย้อนแย้งขอให้บอก แม่ง ปากไม่เคยตรงกับการกระทำเลยกู

“ในกระเป๋าเป้” ผมพยักพเยิดหน้าไปทางกระเป๋าเป้ของตัวเองที่อยู่บนตักของมันพลางตบไฟเลี้ยวเข้าที่จอดรถของคณะซึ่งตอนนี้คราคร่ำไปด้วยรถของนักศึกษาและอาจารย์เป็นจำนวนมากเนื่องจากบางคนมีเรียนมีสอนตั้งแต่แปดโมงเช้า

ผมได้ยินเสียงไอ้ปอมรูดซิปรื้อค้นหานมกล่องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตามมาด้วยใบหน้าหล่อที่ซบลงบนลาดไหล่แล้วออกแรงถูไถเบาๆ คล้ายกำลังออดอ้อนให้รู้สึกขนลุกจนต้องผละตัวหนี แม่งเอ๊ย ถ้าเปลี่ยนจากมันเป็นเขาคงฟินน่าดู แต่นี่ไม่ใช่ไง ฮึ่ย สยองแต่เช้า!

“น่ารักจังค่ะผัวขา” การกระทำไม่พอยังมีคำพูดต่อท้ายให้ผมต้องสลัดตัวออกห่างจนไหล่ด้านขวาชนเข้ากับกระจกรถ ไอ้ปอมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจที่สามารถทำให้คนอื่นรังเกียจตัวเองได้ ไม่บ๊องก็ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เฮ้อ

พวกเราเดินขึ้นห้องเรียนรวมของคณะแล้วเลือกที่จะนั่งด้านหลังเพราะไอ้ปอมเกลียดวิชานี้มาก อาจารย์ชอบส่งสายตาระยิบระยับให้มันจนผมรู้สึกขนลุกแทน บางทีหลังเลิกคลาสก็เรียกพบเป็นการส่วนตัวเอาเรื่องคะแนนมาอ้างทั้งที่ไม่ได้แย่อะไร งี้ล่ะ เป็นรองเดือนมหา’ลัยเสน่ห์แรง กรรมหนอกรรม

พอหย่อนก้นนั่งลงได้ไอ้ปอมก็รีบแกะกล่องเค้กทุเรียนจนกลิ่นหอมฉุนลอยฟุ้งเข้ามาปะทะจมูก ผมหันไปทำตาดุใส่แล้วรีบแย่งขนมมาจากมือมัน ขืนกินตรงนี้มีหวังคนร่วมคลาสคงด่าแม่มึงแน่ๆ

“เอาเค้กคืนมา กูหิว!” มันโวยวายเสียงดังแล้วขยับตัวมาแย่งกล่องเค้กคืน ผมพยายามหลบแต่ก็ยังโดนกอดรัดจนแทบหายใจไม่ออก ถ้ามีใครเข้ามาเห็นตอนนี้คงกลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์อีก ประมาณว่า ‘ปล้ำกันไม่แคร์ชาวบ้าน’ แม่ง เดี๋ยวนี้ผู้ชายอยู่ใกล้กันไม่ได้เลยเพราะโดยจับจิ้นตลอด อยากบอกว่าบางทีพวกเราก็แค่เป็นเพื่อนสนิทกันเฉยๆ ไม่มีอะไรในกอไผ่ แค่คิดว่าต้องพูดจาหวานหูก็ขนตูดลุกซู่แล้ว บรื๋อ

“แดกนมไป เค้กค่อยกินหลังเลิกเรียน” ผมหยุดการกระทำบ้าบอของไอ้ปอมด้วยการหาจังหวะดีดหน้าผากมันดังป๊อก ใบหน้าหล่อผละออกไปก่อนจะได้ยินเสียงสบถคำหยาบแต่ไม่มีการตอบโต้รุนแรงกลับมา

“อย่าห้ามกู” ไอ้ปอมใช้สายตาแข็งกร้าวมองหน้าผมสลับกับกล่องเค้กที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง แววตาปรารถนาฉายชัดบวกกับริมฝีปากที่เม้มแน่นอย่างข่มอารมณ์นั้นทำให้เกือบใจอ่อน แต่เพราะว่ามันเป็นเค้กทุเรียนที่มีกลิ่นไง แดกไม่ได้มึงเข้าใจไหมเนี่ย อย่าเอาแต่ใจสิวะ โอย นี่กูมีภาระไม่ใช่เพื่อนสนิทจริงๆ ด้วย

“มันเหม็น” ผมบอกเสียงแข็งแล้ววางกล่องเค้กลงบนโต๊ะ เหลือบมองไปรอบๆ ห้องก็พบว่าคนอื่นในคลาสเริ่มทยอยเข้ามาแล้ว บางคนมองทางนี้อย่างสนใจเพราะไอ้รองเดือนคณะมันยืนค้ำหัวกันอยู่แถมยังเท้าสะเอวด้วยใบหน้าบูดบึ้งราวกับโกรธใครมาเป็นชาติ ส่วนบางคนกำลังเตรียมอุปกรณ์การเรียนไม่สนใจอะไร แต่มีคนหนึ่งที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ไอ้เชี่ยน้ำปิง มึงอย่าเอาไปลงเพจ!

“มันหอม!” ไอ้ปอมไม่ยอมแพ้ มันอาศัยจังหวะที่ผมส่งสายตาปรามไอ้น้ำปิงเอื้อมมือมาคว้ากล่องเค้กไปถือไว้ แสดงใบหน้าหวงแหนราวกับขนมเป็นแหวนจากเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริง นี่มึงเป็นกอลลัมเหรอ

“คนอื่นเขาไม่ได้พิศวาสทุเรียนเหมือนมึงนะไอ้ปอม” ผมเงยหน้ามองมันก่อนจะกวาดตาไปรอบห้อง ถ้ายังคิดตามไม่ได้คงอาการหนักแล้ว แค่ทนหิวให้ถึงเวลาเลิกเรียนคงไม่ลงแดงตายเหมือนตอนขาดยามั้ง...

“ผิดที่มึง” มันสะบัดเสียงแล้วยอมทิ้งตัวนั่งลงเหมือนเดิมก่อนจะเก็บกล่องเค้กที่มีสภาพบู้บี้ใส่ถุงกระดาษไว้แล้วหยิบนมกล่องขึ้นมาเจาะดูดแต่สายตากลับมองกันอย่างขุ่นเคือง โอย ปวดหัวเว้ย ผมส่ายหน้าปลงกับความเป็นเด็กของไอ้ปอมแล้วเลิกสนใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหวแทน แต่ไม่วายบ่นใส่มันกลับไปเบาๆ

“ไอ้เชี่ยนี่งอแง”

ผ่านไปเกือบสิบนาทีที่ผมเอาแต่สนใจโลกโซเชี่ยลแล้วปล่อยให้เพื่อนสนิทเดินไปทักทายคนอื่นในคลาสเรียน มันบอกว่างอนจะไม่พูดด้วยจนกว่าได้แดกเค้กทุเรียนเป็นเรื่องเป็นราว เกือบจะส่งฝ่าเท้าไปอุดปากแม่งแล้วแต่ข่มใจไว้ได้เมื่อเห็นแจ้งเตือนบนหน้าจอโทรศัพท์

the_kirin.z อัปเดตรูปในไอจีตั้งแต่เช้าเลยวุ้ย พอกดเข้าไปดูจากที่ตื่นเต้นกลับรู้สึกหดหู่และพ่ายแพ้ ทำไมต้องจูบไอ้ชมจันทร์ด้วยวะ กระต่ายมันมีอะไรดีกว่าคนอย่างผม ไอ้กากกิมไง เออ มันก็แค่ไอ้ตัวขี้ขลาด ร้องไห้ได้ไหม ใครจะปลอบโยน ไม่มี๊ ~

“กิม หวัดดี ~” เสียงทักทายหวานๆ ทำให้ผมสะดุ้งเฮือกเพราะกำลังเข้าโหมดดราม่าอกหักรักคุดแถมตุ๊ดยังจ้องจะจับทำผัว พอเงยหน้าขึ้นมาเจอเข้ากับใบหน้าน่ารักก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก คู่จิ้นของผมนั่นเอง วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อนักศึกษากับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าผ้าใบสีฟ้าพาสเทล ถ้าจำไม่ผิดมันคือ Adidas รุ่น Stan Smith ดูมุ้งมิ้งตั้งแต่หัวจรดตีนจริงๆ ผู้ชายคนนี้

“เอ้อ หวัดดีๆ หิ้วอะไรมาเยอะแยะ?” ผมถามเมื่อสายตาปะทะเข้ากับถุงกระดาษหลายใบในมือของโฮม เจ้าตัวเหมือนเพิ่งนึกได้เลยคลี่ยิ้มแล้ววางมันลงบนโต๊ะพร้อมกับกระเป๋าเป้สีเดียวกับรองเท้า เอ๊ะ... วันนี้เขาใส่แว่นสายตาด้วยนี่หว่า น่ารักไปอีกแบบ ถ้าไอ้ปอมเห็นคงดี๊ด๊าน่าดู

“ขนมปังสอดไส้อะ พอดีที่บ้านลองทำสูตรใหม่เลยฝากมาให้เพื่อนชิมกัน” โฮมหยิบขนมชิ้นหนึ่งยื่นมาให้ ส่วนผมรับไว้ตามมารยาททั้งที่ยังอิ่มอยู่ บนซองมมีสติ๊กเกอร์แผ่นเล็กๆ แปะไว้ เป็นโลโก้ร้าน ช่องทางการติดต่อและบอกว่าสอดไส้ ‘หมูทอดทงคัตสึ’ ของโปรดผมเลย อยากคว้าเขาเข้ามากอดแล้วจุ๊บเหม่งสักทีข้อหารู้ใจแต่ทำได้แค่ยิ้มก่อนเอ่ยคำขอบคุณ

“อะ เราฝากให้ปอมด้วยนะ” โฮมยื่นขนมปังสอดไส้กุ้งทอดซอสมาโยให้อีกหนึ่งชิ้นก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางไอ้ปอมที่กำลังคุยกับน้ำปิงอยู่ตรงหน้าห้อง ผมส่ายหน้าปฏิเสธเลยทำให้หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันที

“เดี๋ยวเอาให้มันเองแล้วกัน”

“อื้อ ก็ได้ งั้นวันนี้เราขอนั่งด้วยนะ” โฮมไม่ขัดอะไรแต่กลับออกปากขอนั่งด้วยทั้งที่ปกติไม่เคยชายตามองหลังห้องเลยด้วยซ้ำซึ่งมันเป็นแพทเทิร์นเด็กเรียนดีอยู่แล้ว ส่วนพวกผมแล้วแต่อารมณ์และอาจารย์ที่สอน

“อ้าว ไม่นั่งด้านหน้าแล้วเหรอ?” ผมถามก่อนจะมองโฮมที่ยกกระเป๋าไปตั้งตรงเก้าอี้ตัวถัดไปแล้วเว้นตรงกลางไว้สำหรับคีน แม่ง ตรงนี้ต้องตกเป็นเป้าสายตาของคลาสวันนี้แน่ๆ เดือนมหา’ลัยนั่งเชียวนะ ราศีตกหมดพวกกูเนี่ย

“วันนี้คีนมันขี้เกียจอะ บอกว่าจะมาแอบหลับในห้องด้วย” โฮมพูดพลางหยิบเครื่องเขียนออกมาเตรียมพร้อมในขณะที่คนฟังอย่างผมถึงกับขมวดคิ้วยุ่งเพราะเรียนด้วยกันมาทั้งเทอมยังไม่เห็นคีนเกเรหลับในห้องเลยสักครั้ง นี่คงเกิดเหตุสุดวิสัยไม่ได้นอนจริงๆ ล่ะมั้ง

“หืม แปลกว่ะ” ผมพึมพำกับตัวเองแล้วคิดสะระตะถึงเหตุผลไปเรื่อยๆ แต่ต้องชะงักเมื่อโฮมคลายความสงสัยให้เหมือนรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เมื่อคืนคีนโดนพี่สาวลากไปคอนเสิร์ตนักร้องเกาหลีอะ กว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบตีสองแล้ว”

“อ้อ” ผมร้องรับแล้วพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจในเหตุผล เคยได้ยินอยู่เหมือนกันว่าคีนมีพี่สาวที่เป็นติ่งนักร้องวงเกาหลีจนถึงขั้นบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปดูคอนเสิร์ตในต่างประเทศมาแล้ว

บทสนทนาจบลงทำให้ผมกลับมาสนใจโซเชี่ยลต่อจากเมื่อครู่ ถัดจากรูปชมจันทร์เลื่อนลงมาด้านล่างก็เจอรูปเจ้าของไอจียืนหันหลังเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเช้า วิวพื้นหลังดูคุ้นตาแต่นึกไม่ออกว่ามันคือคอนโดย่านไหน ผมเลื่อนมือไปกดหัวใจตามปกติก่อนจะอ่านแคปชั่นด้านล่าง

the_kirin.z Nature is always and never the same.
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 3 -P.1- 21/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 21-06-2018 18:12:50
“เออ มึงไปเรียนได้แล้ว” ผมโบกมือไล่เพื่อนอีกครั้งก่อนจะกดกระจกให้เลื่อนขึ้น ไอ้ว่านผงะถอยหลังแล้วสบถด่าเป็นชุดให้หูดับกันไปข้าง แหม... ก็แค่แกล้งนิดๆ หน่อยๆ เล่นเอาพ่อกับแม่กูนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยมั้งเนี่ย

“กูเพิ่งเรียนเสร็จเหอะ” พอมันด่าจบก็บอกเหตุผลที่ไล่ไม่ไปสักทีด้วยน้ำเสียงงอนๆ ผมเหล่หางตามองก่อนจะถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับ เออ กูพลาดเองที่บอกให้มึงไปเรียน ส่วนเรื่องง้อคงต้องขอบายนะ

“งั้นก็ไปแดกข้าวกับพี่โซนได้แล้ว” ที่พูดก็เพราะเป็นห่วงพี่โซนที่ยืนรออยู่ด้านหลังโน่น ขืนปล่อยไว้นานกว่านั้นมีหวังคงมีหมาสักตัวคาบไปแดกแน่นอน สังเกตหลายครั้งแล้วว่าสาวๆ มักจะส่งยิ้มไปทางนั้น ก็นะ นานๆ ทีจะเห็นเด็กวิศวะอยู่หน้าตึกคณะแพทย์

“ไล่กูจังอะ กลัวรู้ความลับเหรอ?” เอาจริงเหอะ ท็อปซีเคร็ดเรื่องกูนอนน้ำลายยืดเปื้อนแขนตอนอยู่ประถมหรือไง จะไปเล่าใครที่ไหนก็เชิญเลยจ้า ไม่อยากยุ่งกับคนอย่างมึงแล้ว เนี่ย จอดรถติดเครื่องคุยด้วยเปลืองน้ำมันเว้ย

“มีซะที่ไหน? คีนรอกูอยู่” ผมพยักพเยิดหน้าไปข้างหน้าให้ไอ้ว่านมองคนที่ยืนรออยู่ตรงนั้น มันครางอือตอบรับในลำคอก่อนจะหันมายิ้มกรุ้มกริ่มใส่ เป็นเอามากเนอะ ไปแดกข้าวกับผัวเหอะ รำคาญโรคตาเล็กตาน้อยของมึงฉิบหาย

“จ้าๆ ไว้เจอกันนะมึง”

“เออ” ไปได้สักที เฮ้อ

ผมเคลื่อนรถต่อจนถึงที่หมายก่อนจะลดกระจกลงเพื่อเรียกคีนซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ เขายกมือปิดปากหาวหวอดใหญ่ทำให้ผมชะงักแล้วหลุดหัวเราะ ท่าทางเป็นธรรมชาติแต่ดูมีเสน่ห์เหลือร้าย เข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงได้หลงรักเดือนคณะคนนี้นัก

“คีน!” ผมตัดสินใจตะโกนเรียกเขาพลางโบกมือเป็นจุดสังเกต คีนสะดุ้งเฮือกแต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็รีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ภายในไม่กี่วินาทีประตูรถก็เปิดออกพร้อมกับผมทีาได้รับรอยยิ้มเพลียๆ เป็นการทักทาย

“ขอบคุณที่ออกมารับ ความจริงเราเดินเข้าไปเองก็ได้” คีนบอกเสียงงัวเงียแล้วถอดหมวกออกตั้งไว้บนตัก สภาพเขาบ่งบอกเลยว่าเมื่อคืนนี้อดหลับอดนอนจริงๆ ใต้ตาคล้ำหนักกว่าหมีแพนด้า ปากซีดแทบไร้สี ตอนเดินมาที่รถก็เซซ้ายทีขวาทีจนน่าเป็นห่วง ถ้าผมสนิทกับเขามากกว่านี้อีกหน่อยคงบอกให้ลาแล้วพักผ่อนอยู่บ้านแทนไปแล้ว อาการน่าเป็นห่วงว่ะ

“สภาพแบบนี้เนี่ยนะ เรามารับก็ดีแล้ว” ผมบอกปัดก่อนออกรถเพื่อกลับคณะทั้งที่ลึกๆ อยากพาคีนไปหาที่นอนมากกว่า สภาพแบบนี้นั่งเรียนก็คงไม่ไหวหรอก ตาปรือแทบจะปิดอยู่แล้ว

“รบกวนเวลาเรียน หาว”

อืม... หรือจะพาไปนอนที่หอไอ้ปอมดีวะ

“ถึงเรานั่งเรียนไปก็หลับอยู่ดี เสียงอาจารย์ฟังแล้วชวนง่วง” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะไม่อยากให้คีนคิดมากเรื่องรบกวนอะไร เขาดูผ่อนคลายขึ้นก่อนจะเอนหลังพิงเบาะแล้วหลับตาลง คงไม่ไหวแล้วจริงๆ นั่นล่ะ ฝืนมาเรียนเพื่อ? หรือว่ามีคนที่อยากเจอในวันนี้ซึ่งมันคงไม่ใช่ผมไง

“โอเค งั้นรีบกลับไปเรียนเหอะ” เสียงคีนอู้อี้จนผมต้องเม้มปากไว้แน่นเพื่อกลั้นหัวเราะ ตอนนี้เขาดูเหมือนเด็กเพิ่งตื่นนอนจริงๆ นะเพราะเส้นผมสีบลอนด์ทองชี้ฟูไม่เป็นระเบียบเลย แต่โดยรวมก็ยังดูดีอยู่ หน้าใสไร้สิว

“กินอะไรมาหรือยัง?” ผมถามเมื่ออีกไม่กี่เมตรเราจะถึงโรงอาหารประจำคณะ หางตาเหลือบเห็นว่าคีนกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแล้วแต่ก็ชะงักไป

“หมายถึงมื้อเช้าอะเหรอ?” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงงัวเงียเช่นเดิม

“อ่าฮะ”

“ยังหรอก ไว้กินมื้อเที่ยงพร้อมโฮมก็ได้” คีนคลี่ยิ้มให้ผม ถึงมันจะดูเพลียแต่พลังทำลายล้างยังคงเหลืออยู่เต็มเปี่ยม โอย แย่ว่ะ ภารกิจนี้ทำใจลำบากสุดๆ ให้นั่งรถกับเดือนคณะแค่สองต่อสองเนี่ยนะ เดี๋ยวก็หลงหัวปักหัวปำซะนี่

“เรามีนมกล่อง เอาไปกินรองท้องก่อน” ผมหยิบนมกล่องที่มียื่นให้คีนโดยที่ตายังมองถนนด้านหน้าเพราะต้องหาที่จอดรถ ซึ่งตอนนี้มันว่างอยู่หลายช่องเนื่องจากนักศึกษาส่วนใหญ่เลิกเรียนแล้ว

“โห พกนมด้วยเหรอ?” เสียงตื่นเต้นมาพร้อมกับสัมผัสอุ่นๆ ที่มือ คาดว่าเขาคงไม่ได้ตั้งใจหยิบพลาดแต่เพราะกล่องนมมันเล็กเลยจับไม่ถนัด แต่เพียงแค่นั้นก็พาลให้บังคับใบหน้าได้ยาก ก็มันจะยิ้มอย่างเดียว เป็นบ้าหรือไง ช่วงนี้อยู่ใกล้คนน่ารักคนหล่อก็สติหลุดตลอด

“ก็ทำนองนั้น” เปล่าหรอก นมกล่องที่ให้ไปผมเพิ่งแวะซื้อที่โรงอาหารก่อนไปรับเขานั่นล่ะ กลัวเพื่อนหิวไงเป็นคนมีน้ำใจ อะไรในกอไผ่ไม่มีจริงๆ เอ้อ

ไม่นานนักก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยอย่างการเลิกเรียน ไอ้ปอมโห่ร้องด้วยความดีใจเพราะมันจะได้กินเค้กทุเรียนสมใจอยาก ส่วนคนง่วงก็มีสีหน้าดีขึ้นเนื่องจากได้แอบหลับในคาบไปแล้ว เอาเป็นว่าชวนกินข้าวเที่ยงด้วยกันซะเลยดีกว่า

“เอ้อ ไปกินข้าวด้วยกันปะ?” ผมออกปากชวนลอยๆ ไม่ได้ระบุชื่อใครในสองคนนั้น ทั้งโฮมและคีนหันมามองแทบจะพร้อมกัน ก็แค่ชวนกินข้าวเองน่า ไม่ได้ชวนไปเมาเหล้าที่ไหนซะหน่อย ทำไมต้องตกใจด้วย

“ถามเราหรือถามโฮม?” คีนเป็นฝ่ายต่อบทสนทนาก่อนจะหันมองผมสลับกับโฮม รายนี้ชอบเป็นมือชงเรื่องคู่จิ้น ทำนองว่าแกล้งเพื่อนเล่นแล้วมีความสุขไม่ได้จริงจังเหมือนแฟนคลับที่ชอบแอบถ่ายรูปพวกเราอยู่บ่อยๆ หรือติดแท็กในทวิตเตอร์

“ถามทั้งสองคนครับ” ผมตอบพลางคลี่ยิ้มแล้วหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายในขณะที่ไอ้ปอมก็วาดท่อนแขนมากอดคอเพื่อรอคำตอบจากสองคนนั้นเหมือนๆ กัน พอเลิกเรียนมันก็คุยกับผมจริงด้วยว่ะ ตรรกะบ้าบออะไรเนี่ย เพลียใจเพลียจิต

“ไปด้วยๆ เราขี้เกียจขับรถ” โฮมตอบเสียงร่าเริงก่อนจะควงแขนของคีนเอาไว้คล้ายต้องการอ้อนให้ตอบตกลงอีกคน ท่าทางน่ารักน่าหยิกทั้งหมดคงอยู่ในสายตาไอ้ปอม ก็เล่นทำหน้าเคลิ้มขนาดนั้นไม่บอกเขาไปเลยล่ะว่าแอบชอบ มึงไม่บอกแต่กูดูออกนะเออ ความลับมันไม่มีในโลกแต่เรื่องของผมจะต้องไม่เปิดเผยกับใครก่อนเวลาอันควร เอ๊ะ มันย้อนแย้งเนอะ ช่างเถอะ

“ความจริงคือกลัวเปลืองน้ำมันรถปะ?” คีนหยอกล้อกับเพื่อนตัวเล็กก่อนที่มือเรียวจะวางแปะลงบนหัวทุย เขาออกแรงขยี้หัวโฮมจนยุ่งเหยิงแล้วส่งเสียงหัวเราะเบาๆ คล้ายเอ็นดูนักหนา แล้วผมจะอิจฉาทำไมวะ อยากโดนกระทำแบบนั้นบางเหรอ โอย สับสน

“คีนร้าย!” โฮมแยกเขี้ยวขู่เพื่อนแง่งๆ จนทุกคนหลุดหัวเราะ ก็มันดูน่ารักมากกว่าน่ากลัวนี่หว่า

เนื่องจากโรงอาหารคณะคนแน่นเอี๊ยดผมเลยต้องพาทั้งสี่ชีวิตรวมตัวเองออกไปกินข้าวนอกมหา’ลัย ทุกคนลงมติว่าร้านข้าวมันไก่คือที่สุด พอจอดรถปุ๊บก็แทบวิ่งเข้าใส่แบบไม่คิดชีวิต ก็มีแค่ผมกับโฮมที่ไม่ได้รีบร้อน แดกเยอะไงเมื่อเช้า ตอนนี้ก็ยังไม่ย่อยเลยมั้ง

“กินอะไรดี เราไม่ค่อยถนัดข้าวมันไก่อะ” คนตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างกันเอ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้มองหน้ากัน ดวงตากลมจับจ้องไปที่ไก่ต้มสองตัวซึ่งแขวนอยู่ในตู้ตามแบบฉบับร้านข้าวมันไก่ ผมได้ยินคำถามแล้วก็ขมวดคิ้วฉับ ใครๆ ก็ชอบกินไม่ใช่หรือไง โฮมแปลกนะเนี่ย

“ไม่ชอบกินเหรอ?”

“ก็ไม่เชิงอะ เราว่ากินมากๆ แล้วมันเลี่ยน” เออ ก็จริงของเขา พอเบิ้ลจานที่สองแล้วรู้สึกพะอืดพะอม

“งั้นร้านข้างๆ มีก๋วยเตี๋ยวไก่มะระขาย ไปกินปะ?” ผมหาทางออกให้กับโฮมที่ดูเป็นคนกินยาก เขาเงยหน้าขึ้นมองกันด้วยดวงตาเป็นประกายแต่เพียงครู่เดียวก็กลับไปหม่นมองตามเดิม หรือไม่ชอบกินมะระ บอกให้แม่ค้าไม่ใส่ก็ได้นะ

“ไม่อยากนั่งกินคนเดียว” เสียงบอกกล่าวเบาๆ ดังขึ้นทำให้ผมถึงกับหลุดยิ้มกับความขี้เหงาของโฮม นี่ถ้าเป็นไอ้ปอมทำตัวแบบนี้ผมคงไล่ตะเพิดแล้ว แถมยังจะด่าตบท้ายด้วยอีกว่า ‘อย่าสำออย’ เออน่า ผมยอมรับว่าเป็นคนสองมาตรฐาน ไม่ต้องด่าให้เปลืองน้ำลาย

“เราไปเป็นเพื่อนก็ได้” ผมดูเป็นคนดีปะ ที่จริงเมื่อวานเพิ่งกินข้าวมันไก่กับหมูแดงไปมื้อเย็นไง ยังเลี่ยนติดปลายลิ้นอยู่เลย

“เย้ โอเคเลย” ดีใจอย่างกับเด็กน้อย แต่ก็สมกับรูปร่างหน้าตาเขาล่ะนะ

ผมส่งไลน์ไปบอกไอ้ปอมว่าจะกินก๋วยเตี๋ยวร้านข้างๆ กับโฮม มันถึงกับรัวสติ๊กเกอร์แสดงความโมโหมาชุดใหญ่แถมท้ายว่าด้วยข้อความว่า ‘เย็นนี้มึงตายแน่’ โห นึกว่ากูจะกลัวไอ้หมาปอมเห่าแง่งๆ แต่ไม่กล้าลงมือจริงเหรอ หึหึ หลังจากนั้นผมก็ปล่อยให้โทรศัพท์สั่นโดยไม่สนใจอีกเลย

ขากลับเข้ามหา’ลัยไอ้ปอมกับโฮมเรียกร้องว่าอยากกินเครปญี่ปุ่นเลยต้องจอดเทียบฟุตบาทให้ลงไปซื้อ ส่วนผมกับคีนก็นั่งฟังเพลงฆ่าเวลารอสองคนนั่น คุยเรื่องสรรพเพเหระบ้างตามประสาคนเรียนสาขาเดียวกัน

“ขอถามอะไรอย่างหนึ่งได้ปะ?” อยู่ๆ คีนก็ตั้งคำถามชวนให้หวั่นใจ ผมเกลียดสถานการณ์แบบนี้ฉิบหาย ทำไมต้องมีการเกริ่นด้วยวะ พูดเลยไม่ได้เหรอ ไอ้แบบเนี่ยมันพาลคิดไปไกล

“ถามมาดิ” ผมพยายามไม่วางสายตาอยู่ที่กระจกมองหลังเพราะถ้าทำแบบนั้นคีนจะรู้ว่ากำลังโดนจ้องอยู่ แต่ไอ้เสียงที่อยู่ใกล้ๆ หูนี่ทำให้ขนลุกพิกล

“ช่วงนี้กิมเข้ามาคุยกับพวกเราบ่อยเนอะ” คีนยังคงเริ่มต้นด้วยการเกริ่นจนผมเริ่มรู้สึกว่าหน้าผากมีเหงื่อผุดออกมาทั้งที่แอร์เย็นเฉียบจนมือแทบแข็ง หัวใจเต้นระรัวจนอยากถามตรงๆ ว่ามีอะไร แต่สุดท้ายผมก็เลือกรอฟังอยู่เงียบๆ

อ้าว ไหงกลายเป็นเดตแอร์วะ หรือคีนกำลังรอให้ผมพูดอะไรสักอย่าง เออ ลองดูคงไม่เสียหาย

“ก็... ตามประสาคนเรียนด้วยกัน”

“อืม... ไม่ใช่ว่าชอบโฮมเหรอ?” ห๊ะ ผมช็อกจนกรามแทบค้างแล้วเนี่ย คีนถามอะไร๊!

“เฮ้ย ทำไมคิดแบบนั้น?” ผมร้องเสียงหลงแล้วถามกลับไปด้วยหน้าตาตื่นๆ นี่เผลอไปทำอะไรให้คีนเข้าใจผิดได้ขนาดนั้นวะ ชอบโฮมเนี่ยนะ ถ้าเป็นแบบนั้นคงโดนไอ้ปอมฆ่าปาดคอไปนานแล้ว

“ก็เผื่อบางทีแรงยุจากแฟนคลับจะกลายเป็นจริงไง” คำสันนิษฐานที่มาพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะทำให้ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะดูเหมือนคีนก็แค่ถามไปเล่นๆ ไม่ได้คิดจริงจังอะไร แต่สิ่งที่ผมควรทำคือบอกให้เขารู้ว่าโฮมก็แค่เพื่อน

“ไม่ใช่หรอก เราไม่ได้คิดกับโฮมแบบนั้น” ผมคลี่ยิ้มบางให้กับตัวเองแล้วปล่อยความเงียบโรยตัวลงระหว่างเรา ดูเหมือนตอนนี้เพลงจังหวะร็อคก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกสบายใจขึ้นเลย แม่ง อาการแบบนี้เรียกว่าวิตกกังวลกลัวความลับแตกได้หรือเปล่านะ

“งั้นเหรอ หรือว่าจริงๆ แล้ว...” คีนพูดขึ้นหลังจากทิ้งระยะไปเกือบนาที ผมแทบหยุดหายใจเมื่อคำเกริ่นมันส่อไปในทางแย่

“แล้ว?” ผมรีบถามต่อ มือที่กำพวงมาลัยสั่นกึกๆ เหมือนหัวใจที่ตอนนี้เต้นแรงไม่แพ้กัน ส่วนลึกก็ภาวนาให้สองคนนั้นกลับมาขึ้นรถสักที นี่พวกมึงเหมาหมดร้านเลยหรือไง แค่ซื้อเครปสองชิ้นไปเกือบชั่วโมงแล้วปะ!

“กิมชอบเรา”

รู้สึกเหมือนหัวสมองมันเบลอๆ คิดอะไรไม่ออกเลยว่ะ

“เฮ้ย รอนานปะ? กูซื้อเครปไส้แยมบูลเบอร์รี่กับโกโก้ครันซ์มาฝากมึงด้วย” เสียงไอ้ปอมที่ดังขึ้นพร้อมกับร่างของมันที่ทิ้งตัวนั่งลงข้างกันทำให้ผมดึงสติกลับมาได้ทันที ยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาคลายความตกใจเมื่อครู่ก่อนจะเหยียบคันเร่งออกตัวรถกลับสู่คณะ

ตลอดการเรียนช่วงบ่ายผมไม่ได้สนใจว่าอาจารย์ป้อนความรุ้อะไรใส่หัวบ้างเพราะมัวแต่คิดถึงคำพูดของคีนที่ว่า ‘กิมชอบเรา’ เขาแค่หยอกกันเล่นๆ หรือถามแบบจริงจังวะ ถ้าตอนนั้นไอ้ปอมไม่เข้ามาขัดจังหวะผมจะตอบไปยังไงนะ โอย เพลียจริงจัง

“ไอ้บ๊วย” ไอ้ปอมเรียกผมด้วยฉายาหลังจากที่อาจารย์อนุญาตให้ักเบรกสิบนาที

“ไอ้สัด มีอะไร?” ผมโต้กลับเพราะไม่ชอบฉายาตัวเองเท่าไหร่

“มึงเหม่อ” มันไม่เถียงแต่กลับมองกันด้วยสายตาเป็นห่วงจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบถึงกับฟุบหน้าลงบนโต๊ะ

“เออ นิดหน่อย” ผมรู้ว่าโกหกมันไม่ได้ก็เลยเลือกที่จะบอกความจริง แต่ไม่ได้ขยายความจนรู้เรื่อง ก็มันไม่เริ่มไม่ถูก สับสนไปหมดแล้วเนี่ย

“มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่าวะ? กูเห็นเงียบๆ ตั้งแต่กลับมาจากกินข้าว” มันเอื้อมมือมาแตะไหล่กันพลางบีบเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ ส่วนผมส่ายหน้าปฏิเสธขยับใบหน้าให้ขนาดกับโต๊ะเพื่อปิดการรับรู้ ถ้าหายใจไม่ออกแล้วตายอย่าโทษใคร ให้โทษความเล่นตัวเหมือนหญิงสาวนี้ สมเพสตัวเองจัง

“ไม่มีอะไร” คำตอบสุดแสนเบสิกที่ชาวบ้านเขารู้กันหมดว่าความจริงมึงโกหกตัวเท่าควาย ก็ไม่อยากให้เพื่อนกังวลตามผิดหรือไงวะ

“อย่ามาตอแหล นั่งขมวดคิ้วมาเป็นชั่วโมงแล้วมึงอะ” อุตส่าห์หลบหน้ามันก็เสือกเขกหัวผมอีก โอย ไอ้ภาระเฮงซวย แต่การกระทำของไอ้ปอมก็ทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก หัวใจอบอุ่นขึ้นมานิดหน่อย

“สังเกตด้วยเหรอ?” ผมแหงนหน้าขึ้นมาถามมันแต่สายตาโฟกัสอยู่ที่หน้าอก ขี้เกียจไง เข้าใจกันหน่อย

“เอ้า เพื่อกูทั้งคน ไม่ห่วงมึงจะให้ห่วงหมาที่ไหน” จ๊ะ พ่อคนรักเพื่อน

“อืม”

“เล่าสิ อยากเสือก” เพิ่งชมไปกลายเป็นไอ้ขี้เสือกซะแล้ว เลวจริงๆ เพื่อนผม

“ตรงไปปะมึง” ผมหยอกไอ้ปอมด้วยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนขยับมือไปปิดหัวนม หมั่นไส้ความหน้าด้านของมันจริงๆ

“โอ๊ย ไอ้สัด หัวนมกู! เออ ไม่อ้อมค้อมไง อย่าลีลา” มึงเว้นช่วงให้กูตอบโต้อะไรบ้างเหอะ พูดคนเดียวซะยาวยืดเลย ตอนแรกก็กะว่าจะตีมึนแล้วแกล้งหลับแต่พอเห็นสายตาจริงจังปนความเป็นห่วงก็ต้องยอมแพ้ เออ เล่าก็เล่า

“ตอนพวกมึงลงไปซื้อเครป คีนถามว่ากูชอบโฮมหรือเปล่า” ผมขยับขึ้นนั่งตัวตรงแล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนร่วมห้องกำลังทยอยกลับเข้ามาด้านใน สีหน้าของไอ้ปอมมีความตกใจปนอยู่อย่างเห็นได้ชัด ก็เพราะผมไม่ได้ชอบโฮมไง ทำไมคีนถึงเข้าใจผิด

“ห๊ะ... ตลกแล้ว” ถึงจะบอกว่าตลกแต่มันไม่ได้ขำเพราะรู้ว่าผมกำลังเครียด

“เออ กูเลยบอกว่าไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น” ผมเกาหัวแกรกๆ หลังเล่าตอนต่อไป ถ้าผมไม่ได้ชอบคนนั้นก็คงชอบโฮมได้ล่ะมั้ง ก็แค่คิดล่ะนะ ความจริงไม่ใช่หรอก

“อ่าฮะ”

“คีนเลยถามต่อ”

“ว่า?”

“กูชอบเขาหรือเปล่า” ประโยคนี้เสียงแผ่วโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะความสั่นไหวในอกของผมนั่นเอง ทำไมต้องกลัวคีนจะรู้ว่าตัวเองชอบใครด้วยวะ ไหนล่ะความกล้าที่เรียกร้องหามาตลอดเวลาจนกระทั่งพี่เซียนโผล่หัวมาในชีวิตคนนั้น รอให้เขาได้กันก่อนสิถึงจะสะใจ

“ฉิบหาย... มึงตอบว่าไง” คราวนี้ไอ้ปอมถึงกับป้องปากกระซิบถาม ตาของมันเบิกกว้างบ่งบอกว่ากำลังตกใจไม่แพ้กับผมในเวลานั้นเลยสักนิด คำตอบคือการส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ได้ตอบ มึงกลับมาที่รถพอดี”

“อ้อ ไม่ต้องเครียดหรอกน่า อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” ไอ้ปอมผละออกไปแล้วเอื้อมมือมาตบบ่าให้กำลังใจ ผมพยักหน้ารับพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ก็หวังว่ามันจะไม่เลวร้าย”

เพราะคำตอบที่คีนถามไว้คือ ‘ผมชอบเขา’ คนที่เป็นเจ้าของแอคเค้าท์ไอจี the_kirin.z




---------------------------------------------

ใครทายถูกบ้างว่าเจ้ากิมชอบใคร?
ยินดีด้วยกับคนที่จิ้นคู่ กิมคีน คีนกิมน้า 55555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 3 -P.1- 21/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-06-2018 02:27:01
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 4 -P.1- 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-07-2018 19:44:35
รูปถ่ายใบที่ 4



ดวงตาคมจับจ้องนาฬิกาข้อมือจนเข็มยาวเลื่อนไปถึงเลขสิบสอง รอยยิ้มตรงมุมปากค่อยๆ ผุดขึ้นเพราะนั่นคือสัญญาณแห่งการสิ้นสุดคลาสเรียนช่วงบ่ายที่แสนยาวนาน ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำเตรียมลาลับขอบฟ้าเหมือนหนังตาของผมไม่มีผิด คือแม่ง เรียนติดต่อกันสี่ชั่วโมงแบบไม่มีพักเบรก อยากถามอาจารย์ว่าจิตใจทำด้วยอะไร แถมมีควิซย่อยท้ายคาบ นี่มันนรกชัดๆ แต่โอดครวญไปก็ไม่มีประโยชน์เก็บอุปกรณ์ยัดกระเป๋าดีกว่า

มีนัดกินเหล้าในรอบสองเดือนมันก็จะตื่นเต้นหน่อยๆ หน้าตาไอ้ปอมกับผมบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพร้อมเมาหัวราน้ำแบบสุดเหวี่ยง ตอนนี้รอฟังเสียงสวรรค์บอกเลิกคลาสด้วยใจจดจ่อแต่ดวงตากลับโฟกัสคนหนึ่งมาเกือบห้านาทีแล้ว โอย ทำไมวันนี้คีนต้องรวบผมเป็นหางม้าด้วยวะเนี่ย ดูหล่อเซอร์จนสาวๆ มองน้ำลายเยิ้มแล้ว แพล็บ เอ๊ะ ของกูก็ไหลเหรอ ว้า แย่จัง

ผมยกมือขึ้นปาดน้ำใสตรงมุมปากก่อนจะละสายตาจากคีนเมื่อโดนไอ้ปอมสะกิดต้นแขนยิกๆ มันพยักพเยิดหน้าไปทางประตูห้องเรียนเหมือนต้องการให้ดูอะไรตรงนั้น แต่พอผมมองตามไปก็แทบหยิบดินสอกดมาแทงคอตัวเองให้ตายๆ ซะ

คลาสยังไม่ทันเลิกกลับมีผู้ชายอดีตเดือนมหา’ลัยมารอรับคีนถึงที่ แล้วไอ้บ๊วยเค็มที่นั่งมองเขามาตลอดวันล่ะ... แม่ง ทั้งที่คิดว่าผมได้อยู่ใกล้กว่าพี่เซียนแล้วแท้ๆ กลับรู้สึกแพ้คนที่ถ่อสังขารข้ามคณะมาซะอย่างนั้น กูต้องทำยังไงวะเนี่ย

“ศัตรูหัวใจมึงนี่ขยันทำงานจังเนอะ” ไอ้ปอมว่าเสียงระรื่นแล้วเท้าคางมองพี่เซียนที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยใบหน้าทะเล้น ผมแยกเขี้ยวใส่มันก่อนจะผลักหัวทุยอย่างเคืองๆ แค่เขาโผล่มาแบบไม่กระโตกกระตากผู้หญิงในห้องยังตื่นเต้นขนาดนี้ถ้าหากว่าเปิดตัวมาจีบคีนล่ะ มหา’ลัยคงแตกเป็นเสี่ยงเพราะเสียงกรี๊ดแน่ๆ ก็ในเพจคิ้วท์บอยเริ่มมีคนเอารูปสองคนนี้ไปจิ้นแล้ว

ห่านเอ๊ย แฮชแท็ก ‘เซียนคีน’ โคตรไม่เข้ากัน ต้อง ‘กิมคีน’ สิ เหมาะเหม็งสุดๆ แต่มันก็แค่มโนภาพของไอ้กิมคนกากที่แปลสภาพใกล้เคียงกับหมาเห่าเครื่องบินเข้าไปทุกที เฮ้อ ถอนหายใจล้านครั้งจนหมดอายุขัยไปเลยได้ไหมวะ

“ปากมึงนี่ตัดทิ้งไปเลยได้ไหม? ชอบตอกย้ำกูจัง” ผมพูดเสียงรอดไรฟันก่อนยกมือขึ้นนวดขมับคลายความเครียดที่เริ่มก่อตัวขึ้น ในจังหวะที่ก้มหน้าก็สัมผัสได้ถึงสัมผัสบนบ่าเบาๆ แล้วออกแรงบีบคล้ายการปลอบใจ นี่เขาเรียกตบหัวลูบหลังหรือเปล่าวะไอ้หมาปอม แม่ง

“กูช่วยกระตุ้นต่อมความกล้ามึงเลยนะ ช้าอยู่เดี๋ยวก็ได้แดกแห้วทั้งไร่” เสียงมันเต็มไปด้วยความเห็นใจก็จริงแต่ไอ้รอยยิ้มกวนส้นตีนกับการยักคิ้วจึกๆ ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิดเดียว ไอ้เพื่อนเหี้ย เกลียดมึง! แล้วอีกอย่างแค่แห้วลูกเดี๋ยวกูก็ว่าแย่แล้วเพราะกลิ่นไม่พึงประสงค์ นี่จะให้แดกทั้งไร่ กูขอจำศีลในถ้ำกับหมีตลอดชีวิตดีกว่า ฮือ

“กูไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี” ตอนแรกก็อยากจะด่ามันกลับเพราะหมั่นไส้แต่พอคิดๆ แล้วควรปรึกษาไอ้ปอมดีกว่า เผื่อมีวิธีเริ่มความสัมพันธ์แบบแนบเนียนโดยที่ไม่ตรงออกตัวแรงเหมือนพี่เซียน

“เริ่มตรงจีบนี่ล่ะ” เพื่อนรักตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สีหน้ากลับจริงจังจนผมได้แต่ถอนหายใจ ไอ้เริ่มตรงจีบของมันน่ะช่วยขยายความชัดเจนและละเอียดกว่านี้ไม่ได้เหรอวะ ถ้ากูทำเป็นคงไม่ต้องมารับฟังพวกมึงๆ ทั้งหลายด่าว่ากากอยู่หรอก

“สัด พูดง่ายเนอะ มึงไปจีบโฮมให้กูดูก่อนเลย” ผมปัดขอเสนอมันทิ้งไปอย่างไม่ใยดีแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหลังจากอาจารย์เดินออกจากห้องไปแล้ว กระเป๋าเป้ถูกเหวี่ยงขึ้นหลังก่อนที่สายตาจะชะงักเมื่อเห็นคันโบกมือทักทายพี่เซียน แม่งเอ๊ย ทำไมต้องยิ้มหวานให้เขาด้วยวะ คนอื่นคงคิดว่าคู่นี้คบกันแหงๆ

“เฮ้ย กูไม่ได้ชอบโฮมแบบนั้น ทำไมต้องจีบ?” ไอ้ปอมละล่ำละลักถามแล้วคว้าแขนของผมเพื่อบังคับให้หันกลับไปเผชิญหน้า เรามันก็คนดีเลยมองหน้าเพื่อนแล้วกระพริบตาปริบๆ ทำตัวใสซื่อแต่ใช้คำพูดเชือดเฉือนจนอีกคนหน้าม้าน

“อ๋อเหรอ? ระวังตัวเหี้ยคาบไปแดกนะจ๊ะ” พูดจบก็โบกมือลาคุณเพื่อนที่ยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะเถียงอะไรไม่ได้เนื่องจากว่าคนอย่างโฮมนั้นเป็นที่ฮอตฮิตของพวกชายฉกรรจ์จากทุกคณะ อันดับต้นๆ ต้องยกให้พวกวิศวะหน้าเหี้ยมเลย เห็นชอบมาคอมเม้นต์ใต้รูปในเพจคิ้วท์บอยอยู่บ่อยๆ ว่าอยากได้เขาเป็นเมียอย่างนั้นอย่างนี้ คู่แข่งมึงเยอะกว่ากูอะบอกเลยไอ้ปอม

ผมเดินทอดน่องลงบันไดเพราะขี้เกียจไปเบียดเสียดลงลิฟท์กับคนอื่นๆ ส่วนไอ้ปอมก็วิ่งหน้าตั้งตามาเกาะไหล่แล้วหอบแฮ่กอยู่ข้างกัน สภาพดูไม่จืดเลยเพราะหัวเหอกระเซิงไปหมด ผมก็คนมีน้ำใจช่วยเพื่อนโดยการสะบัดตัวออกจากการเกาะกุม

“เอื้อเฟื้อเพื่อนบ้างเหอะมึง” ไอ้ปอมจ้องกันเขม็งในขณะที่ยังยืนเอามือทั้งสองข้างยันหัวเข่า ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจแล้วขยับตัวไปยืนพิงผนังเพื่อรอมันหายเหนื่อย ไม่หนีไปแดกเหล้าก่อนก็ถือว่าเอื้อเฟื้อแล้วหรือเปล่าวะ

ผมเลือกเมินไอ้ปอมแล้วเดินผ่านมันเพื่อยื่นหน้าออกไปมองท้องฟ้ายามเย็นที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะดวงอาทิตย์กำลังตกดิน นักศึกษาส่วนใหญ่ทยอยกลับบ้านกันแล้วแต่พวกเราก็ยังเอ้อระเหยรอเวลาไปร้านเหล้า ผมทอดสายตาผ่านสิ่งนั้นสิ่งนี้ดื่มด่ำบรรยากาศเรื่อยๆ เพื่อรอให้เพื่อนหายเหนื่อย แต่ทุกอย่างกลับหยุดชะงักเมื่อจุดโฟกัสในตอนนี้ปรากฏร่างผู้ชายสองคนที่คุ้นเคยกันดี

พี่เซียนกำลังคุยกับคีนด้วยใบหน้าเบิกบาน ในมือของอดีตเดือนมหา’ลัยยังคงมีถุงขนมร้านชื่อดังติดมาเหมือนเคยก็คงเปย์ฝากอีกคนตามปกติ ผมมองบรรยากาศฟุ้งๆ สีชมพูนั่นด้วยความรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ อึดอัดแต่ก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ถ้าหากเป็นตัวร้ายในละครหลังข่าวคงหากระถางต้นไม้โยนใส่หัวคู่แข่งไปแล้ว แต่ผมคือไอ้กิมคนกากไงเลยทำได้แค่ยืนกระพริบตาปริบๆ เป็นหมาหงอยอยู่ตรงนี้

ไอ้ปอมที่หายเหนื่อยจากการเดินตามผมก็สาวเท้ามายืนข้างกันก่อนชะโงกหน้าลงไปมองด้านล่าง มันผิวปากหวือเมื่อเห็นพี่เซียนกับคีนยืนหัวเราะอยู่ตรงนั้น เหมือนเหตุการณ์แดจาวูทุกครั้งที่เรามักพบเจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็มีลูบหัวหรือแตะตัวกันต่ออีก ไอ้ผมก็ได้แต่ยืนมองแล้วกัดปากจนรู้สึกเจ็บ อยากโยนกระเป๋าลงไปจากชั้นสามฉิบหาย ฮึ่ย ขัดใจเว้ย!

“ไซบีเรียนเขากำลังจะคาบกระต่ายตัวน้อยไปฟัดแล้วนะ แต่หมาขี้เรื้อนอย่างมึงยังทำตาละห้อยยืนแดกไส้กรอกเปื้อนดินอยู่ตรงนี้” ไอ้ปอมพูดขึ้นลอยๆ ก่อนที่แขนหนักๆ จะพาดลงบนบ่าของผม ด้วยความที่มันพูดไม่เข้าหูก็เลยโดนสะบัดตัวหนีตบท้ายด้วยการต่อยเข้าที่สีข้าง แม่ง มึงโคตรรักเพื่อนเลยว่ะ กระทืบกูจนม้ามแตกกระอักเลือดตายแล้วมั้งเนี่ย

ไอ้ปอมทำหน้าเหยเกพร้อมกับส่งเสียงโอดโอยประกอบท่าทางกุมสีข้างของมันราวกับเจ็บนักหนา ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยยกเท้าเตรียมเตะอีกครั้ง คราวนี้กูจะเอาให้จุกไปเจ็ดวันเจ็ดคืนเลย ปากหมาดีนัก!

“ไอ้เชี่ยปอม มึงเปรียบเทียบจนกูรู้สึกอยากเอามีดคัตเตอร์ปาดคอตัวเองฉิบหาย มันต้องรันทดขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ผมถามมันเสียงฉุนพร้อมก่อนจะหันหน้ากลับเขาอาการแล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้นเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต สองมือยกขึ้นทึ้งหัวจนยุ่งเหยิงบ่งบอกอารมณ์ตอนนี้ได้อย่างดีว่าสับสนมากแค่ไหน ถ้าผมเป็นได้แค่หมาขี้เรื้อนมองเครื่องบินอย่างที่ไอ้ปอมว่ามันจะมีวันที่เขามองลงมาไหมล่ะวะ

“เขาลูบหัวกันแล้วปะ อีกไม่นานคงลูบหางด้วย”

โอ้โห แทนที่จะปลอบกูให้เป็นเรื่องเป็นราวกลับพูดจาทิ่มแทงจนเลือดกระอักออกจากปากขนาดนี้ก็ส่งกูขึ้นเมรุเผาศพเลยเหอะ ไม่ต้องช่วยจงช่วยจีบห่าอะไรแล้ว!

ผมลุกพลวดขึ้นแล้วชี้หน้ามันอย่างเหลืออด จิ้มๆ ลงบนหน้าผากด้วยความหงุดหงิด ไอ้ปอมหลบหลีกพัลวันก่อนหนีไปยืนเบ้ปากตรงมุมตึกข้างบันได คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ป้องปากหัวเราะคิกคักที่ได้เห็นผู้ชายสองคนทะเลาะกันงุ้งงิ้งและผมเชื่อว่าอีกไม่นานไอ้เจ้าของเพจคิ้วท์บอยนั่นคงอัปรูปพวกเรา แม่งเอ๊ย เขาจะฆ่ากันตายอยู่แล้วจ้า พวกคุณก็ฟินไม่ดูตาม้าตาเรือกันเล๊ย ยอมใจ

“พอกันที มึงควรให้กำลังใจเพื่อนปะ นี่พูดจนกูจะแหกปากร้องไห้อยู่แล้ว!” ผมตะโกนใส่หน้ามันอย่างเหลือออดแล้ววิ่งลงบันไดตึกๆ เดี๋ยวทิ้งไอ้ปอมไว้ตรงนี้ให้หาทางไปร้านเหล้าเอง แล้วก็ขอให้โดนกะเทยควายดีกฉุดกลางทาง โมโห!

“เหรอวะ? โทษทีๆ โอ๋นะน้องกิมของป๋า” มันวิ่งตามมาเกาะแขนเกาะไหล่จนผมแทบหน้าคมำลงกับขั้นบันได หันไปถลึงตาใส่แม่งแล้วสะบัดมือไล่ด้วยความลำคาญ

“ไปไกลๆ ตีนกู!”

ถึงจะออกปากไล่ไอ้ปอมแต่สุดท้ายพ่อตัวดีก็นั่งจ๋องเสนอตัวเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ข้างกันจนได้ ด้วยความมารยา ด้วยความลูกตื๊อต่อสาธารณชนทั้งหลายทำให้ผมอายหนักเลยทำต้องลากมันออกมา ถ้าไม่กลัวแฟนคลับแม่งรุมกระทืบคงไม่ยอมขนาดนี้หรอก เกลียดขี้หน้าจริงๆ เลย!

ตลอดทางจากคณะจนเกือบถึงประตูมหา’ลัยภายในรถเงียบยิ่งกว่าป่าช้าเพราะไม่มีใครสร้างบทสนทนาหรือแม้กระทั่งเปิดเพลงฟัง ผมพยายามตั้งสมาธิอยู่กับการมองถนนเพื่อไม่ให้สมองฟุ้งซ่านคิดถึงภาพติดตาระหว่างพี่เซียนกับคีน ส่วนไอ้ปอมคงไม่กล้าปากมากเพราะมีคดีติดตัวอยู่ แต่เชื่อเหอะว่าอีกไม่นานมันคงทนความอึดอัดไม่ได้แน่ๆ

วันนี้ทีมงานก๊งเหล้าขาดไอ้เนิร์ดว่านไปหนึ่งคนเนื่องจากติดภารกิจอ่านหนังสือเพราะมีควิซพรุ่งนี้เช้า มันยังโทรมางอแงใส่ว่าพวกเราใจร้ายนัดผิดเวล่ำเวลา ผมนี่อยากด่ามันเหลือเกินว่ากูจะตรัสรู้ไหมว่ามึงมีสอบวันไหนบ้าง ไม่ได้รายงานมานี่แถมเรียนคนละคณะ แต่ไม่มีอะไรเชี่ยกว่าต้องพาคุณเธอไปเลี้ยงสเต็กเป็นการไถ่โทษหลังจากนี้ จ้า ได้ข่าวว่าบ้านผมขายเพชรไม่ได้ผลิตแบงค์ใช้เองเว้ย!

“พี่กิมขา ~” ไอ้ปอมเริ่มต้นทำลายความเงียบด้วยการดัดเสียงเล็กเสียงน้อยเรียกชื่อกัน ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ขนอ่อนในกายลุกชัน ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันตายอนาถคงถีบลงจากรถไปแล้ว คนอะไรน่ารำคาญแถมยังปากหมาอีก

“ป๋ากิมคะ”

“.....” ตีนเริ่มกระตุกแล้วเหอะ โอย อยากเอากำปั้นยัดปากมันจริงๆ เลย

“เสี่ยกิมจ๋า”

“.....” ผมบีบพวงมาลัยแน่นจนจะแหลกคามือแล้วถ้ามันสังเกตสักนิดนึง ข้อนิ้วงี้ขาวจนซีดแถมยังสั่นกึกๆ กรามขบกันจนขึ้นสันนูนอย่างชัดเจน เอาง่ายๆ คือถ้าไอ้ปอมพูดอะไรแสลงหูอีกครั้งผมพร้อมบวกอะ

“กิมอะ ไม่โกรธแบบนี้ดิ กูใจคอไม่ดีเลย” ไอ้ปอมพูดเสียงสั่นแล้วเอื้อมมือมาแตะแขนกันเบาๆ ซึ่งผมตอบกลับด้วยการเหลือบหางตามองมันแล้วทำเป็นเมินเฉย และตบท้ายด้วยการสะบัดก่อนเคลื่อนไปเปิดวิทยุฟัง แต่เหมือนจะพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่มันคือเพลง ‘ภาพจำ’ ไอ้สัด เศร้าขนาดนี้เอาอ่างจากุซซี่มารองรับน้ำตากูเลยเหอะ

“เรื่องของมึง” ผมบอกเสียงเรียบ

“กิม... กูขอโทษ” ไอ้ปอมใช้เสียงออดอ้อนมาพร้อมกับหัวทุยที่ถูไถลงบนลาดไหล่กว้าง ผมไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยว่ะ ขนลุกเหมือนตอนปวดท้องขี้หนักๆ อะ โอย รังเกียจมากครับ มึงควรสำเหนียกว่าตัวเองไม่ใช่คีนสิ! แต่มันขอโทษจากใจจริงก็รับๆ ไว้หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวเสียใจจนตายซะอีก ขี้เกียจจัดงานศพให้

“อย่าให้ถึงตามึงวุ่นวายเรื่องความรักบ้างนะ กูจะไม่สนใจอะไรสักอย่าง” มันอาจจะดูฮาร์ดคอร์ไปหน่อยแต่นี่คือวิธีรับคำขอโทษแบบเนียนๆ ของผมซึ่งไอ้ปอมรู้ดีเลยยิ่งถูไถหน้ากับหัวไหล่มากขึ้นแถมยังยิ้มทะเล้นให้ตอนเหลือบตามองเมื่อครู่อีก ถ้าเสื้อกูสกปรกจะถอกให้แม่งเอากลับไปซักที่คอนโดเลย

“ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นสิดาร์ลิ่งขา” ขาพ่องมึงสิ!

“ปอม... ถ้ายังอยากเก็บปากไว้แดกเหล้าก็เงียบซะ” ผมใช้เพียงแค่คำพูดและน้ำเสียงเรียบๆ โดยไม่มีการสะบัดสะบิ้ง ไม่ใช่อะไรหรอกคือกำลังเข้าโค้งอยู่พอดี ถ้าเหิดพวงมาลัยส่ายไปส่ายมาคงได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มกันบ้างล่ะ

“จ้าๆ น้องปอมจะเป็นเด็กดีฮับ” ไอ้ปอมรีบผละตัวออกไปแล้วยกมือทั้งสองข้างเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ ก่อนจะดัดเสียงเป็นเด็กตัวน้อย ฉีกยิ้มตาหยีเป็นสระอิ ไอ้ผมจากที่เครียดๆ กลับต้องเม้มปากกลั้นยิ้มเลยทีเดียว ก็มันน่ะ...

“ปัญญาอ่อน” เข้าใจตรงกันเนอะ ปัญญาอ่อนไม่ได้เท่สกับน่ารักนะครับ

ร้านเหล้าประจำของเรายังคงคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษามหา’ลัยเดียวกันเป็นจำนวนมาก ยิ่งเป็นวันศุกร์แบบนี้ยิ่งแน่นขนัดจนแทบหาโต๊ะว่างไม่ได้ แต่ดีหน่อยที่ไอ้ปอมโทรมาจองกับพี่เจ้าของร้านล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นคงได้ออกไปนั่งปูเสื่อแดกกลางลานจอดรถ อนาถทั้งความรักและความเป็นอยู่มันก็ไม่ดีเนอะ

มุมโปรดของผมยังคงเป็นตรงลานเอ้าท์ดอร์ใต้ต้นพุดขนาดใหญ่ที่ออกดอกสีขาวทั้งปี ทางร้านประดับไฟดวงเล็กๆ เหมาะกับการนั่งชิวดื่มเหล้าไปเรื่อยๆ คลอกับเสียงดนตรีสดมีนักร้องประจำเป็นหนุ่มเซอร์ผมยาวแต่หน้าตาหล่อเหลาจนทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ลงทุนเลือกนั่งโต๊ะหน้าเวทีทั้งที่ต้องบวกเพิ่มค่าจอง ความรักของพวกเธอคือการเปย์จนกว่าจะหมดตัวหรือเปล่านะ ผมเนี่ยสงสัยจริงๆ

ไอ้ปอมเลือกนั่งฝั่งตรงข้ามโดยหันหลังให้กับหน้าร้าน ส่วนตัวผมพอหย่อนก้นเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดเล่นแล้วปล่อยให้มันจัดการทั้งหมดไม่จะเครื่องดื่มหรืออาหาร อยากกินอะไรก็สั่งๆ มา เพราะสุดท้ายก็ใช้ระบบอเมริกันแชร์อยู่ดี

“วันนี้งบมีเท่าไหร่ครับป๋ากิม?” เป็นปกติที่ไอ้ปอมจะถามถึงงบในกระเป๋าเป็นอันดับแรกเพราะช่วยในการประเมินว่าควรสั่งเหล้าแบบไหนอาหารจำพวกอะไรไม่ให้เกินจำนวนที่มีโดยไม่ต้องรูดบัตรเครดิตให้ท่านแม่เทศน์ นี่ขนาดช่วยงานรับเงินเดือนช่วงปิดเทอมยังเอามาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้ วันก่อนเพิ่งโดนเธอด่าเรื่องซื้อนาฬิกาเรือนใหม่ เข็ดขยาดสุดๆ หูนี่ชาจนวิ้งเลย

“เท่าที่มึงต้องการ” แต่พอดีว่าวันนี้ผมสายเปย์เพราะเพิ่งได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการเป็นนายหน้าหลอกล่อสาวๆ ไฮโซในงานเปิดตัวเครื่องเพชรคอลเล็คชั่นใหม่ของแม่ให้ซื้อสินค้าได้ ความรู้ไม่มีหรอก ใช้หน้าตาและลูกอ้อนล้วนๆ

“โอ้ว งั้นจัด Gold Label เลยปะ?” ไอ้ปอมดูตื่นเต้น ดวงตาสีดำทอประกายแวววาวเมื่อเสนอชื่อเหล้าขึ้นมา ผมขมวดคิ้วฉับเพราะราคาเหล้าขวดนี้ถือว่าแพงพอตัวเลยทีเดียวสำหรับคนธรรมดาและนักศึกษาทั่วไปที่ยังไม่มีงานทำ

“แดกเหล้าขวดละสองพันขึ้นสวรรค์ได้เหรอ?” ผมแกล้งถามพร้อมเหล่สายตามอง ไอ้ปอมถึงกับแยกเขี้ยวแล้วสไลด์เมนูในมือมาทางนี้ สงสัยจะงอน โธ่ จิตใจเปราะบางเหลือเกินพ่อคุณ

“เออ จะได้เลิกเป็นหมาขี้เรื้อนไง” แต่คำพูดแม่งหน้าต่อยปากให้ลงไปนอนดิ้นบนพื้น

“เลิกกัดกูเหอะหมาปอม”

“รู้ทันอีก ตกลงจะแดกอะไร?”

“Blue Label” ผมบอกชื่อเหล้าก่อนยักคิ้วกวน ไอ้ปอมทำหน้าเหมือนอยากจะหยิบส้อมบนโต๊ะมาแทงกันให้ไส้ไหล ก็อยากลอง Blue Label มันผิดตรงไหนวะเพื่อน

“พ่อมึงพิมพ์แบงค์แจกเหรอวะ? จะแดกเหล้าขวดเป็นหมื่นเนี่ยนะ” มันแยกเขี้ยวใส่ผมแล้วหยิบเมนูเล่มเดิมเปิดหน้าเครื่องดื่มก่อนจะจิ้มนิ้วลงบนป้ายราคา Blue Label ให้ดู

อุย ก่อนกูจะได้แดกเหล้าราคาเหยียบหมื่นอาจจะโดนเพื่อนแดกหัวก่อนก็ได้ ดูหน้ามันสิ ขนาดไม่ได้ดื่มยังแดงขนาดนี้ น่ากลัวจัง หึหึ

“กูประชดไง เผื่อจะได้อัปเกรดเป็นอลาสกันมาลามิวท์ข่มพี่เซียนบ้าง” ผมยักคิ้วกวนใส่มันแล้วเลิกสนใจกลับมาดูหน้าจอโทรศัพท์เหมือนเดิม แอปพลิเคชั่นไอจีถูกจิ้มเป็นอันดับแรก ต้องติดตามหน่อยว่าคีนอัปรูปอะไรหลังจากเจอพี่เซียนหรือเปล่า

“เป็นเอามากเนอะเพื่อนกู” ไอ้ปอมบ่นงุ้งงิ้งพลางพลิหน้าเมนูหาของกินสำหรับมื้อค่ำ ผมชะงักมือแล้วตอบกลับไปอย่างไม่ยอมกัน ไม่ได้เป็นเอามากเหอะ แต่มันเพราะมึงไหมล่ะ

“มึงเริ่มก่อนไหมล่ะ? แดก Gold นั่นล่ะ สั่งข้าวผัดซีฟู้ดให้ด้วย” ผมเบ้ปากใส่มันแล้วสั่งของที่ต้องการเสร็จสรรพ ส่วนทางไอ้ปอมก็เหลือบสายตามองก่อนพยักหน้ารับคำ ได้แดก Gold Label สมใจอยากก็จะยิ้มแย้มเหมือนคนบ้าแบบนี้ล่ะ ตลกดีว่ะ

“ขอรับคุณท่าน”

ผมกลับมาสนใจโทรศัพท์ในมือต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลามากเลยกดช่องคนหาแล้วพิมพ์ the_kirin.z ลงไป รอไม่ถึงสามวินาทีสิ่งที่ต้องการก็ปรากฏขึ้น คีนอัปรูปใหม่จริงๆ เป็นท้องฟ้าสีส้มยามเย็นมีก้อนเมฆพาดตัวเป็นริ้วสวย มุมด้านล่างเป็นปลายยอดของต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ เดาว่าคงลงมือถ่ายก่อนกลับบ้านที่หน้าคณะชัวร์ๆ แต่ในตอนนั้นพี่เซียนจะอยู่ด้วยหรือเปล่านะ โอย ทำไมกูต้องมานั่งคิดฟุ้งซ่านในร้านเหล้าแบบนี้ด้วย

หลังจากที่ช้ำใจกับความคิดของตัวเองไปแล้วผมก็นั่งเท้าคางเหม่อมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทางหน้าร้านเผื่อบางทีอาจจะได้พบเจอกับคนที่ไม่คาดคิดเพราะคีนก็ชอบมาร้านนี้เหมือนกัน ส่วนไอ้ปอมรับหน้าที่เป็นเด็กนั่งดริ๊งชงเหล้าอย่างมืออาชีพแต่มันชอบหนักมือจนแทบเรียกว่าออนเดอะร็อคได้เลย มึงเอ๊ย กะให้กูซดแก้วเดียวแล้วสลบคาโต๊ะเลยหรือไง

“เบาๆ มือหน่อยไอ้เชี่ยปอม เดี๋ยวกูขับรถไม่ได้” ผมบอกมันหลังจากกระดกเหล้าแก้วล่าสุดเข้าปากแล้วพบว่าความเข้มมันเพิ่มขึ้นและปริมาณโซดาน้อยลง ไอ้ปอมที่กำลังตักยำแหนมเข้าปากโบกไม้โบกมือเป็นการปฏิเสธ คือหมายความว่ายังไง มึงจะแดกให้หมดขวดภายในคืนนี้เหรอ คงแฮงค์ไปยันศุกร์หน้าครับ

“คอนโดอยู่แค่นี้เองมึง น่าๆ ไม่เมาจะแดกทำไม?” ไอ้ปอมพูดเสียงอ้อแอ้เพราะเริ่มเมา สกิลดื่มแอลกอฮอล์มันต่ำเตี้ยเรี่ยดินกว่าไอ้เนิร์ดว่านซะอีก หน้าแดงเป็นลูกตำลึงแล้วมึง อย่าหวังให้ขับรถเลยแค่เดินออกจากประตูร้านก็ว่าแย่แล้ว

“อยู่ตรงไหนก็อันตราย” ผมบอกเสียงดุแล้วเอื้อมมือคว้าขวดโซดามาเทเพิ่มก่อนหยิบปีกไก่ทอดน้ำปลาขึ้นแทะ สรุปว่าข้าวผัดไอ้ปอมกินซะเกลี้ยงจาน หึ ไม่ถีบกระเด็นก็บุญหัวแล้ว

“ครับๆ คุณพ่อกิม” มันตอบปัดๆ ก่อนจะยัดเยียดถั่วลิสงคั่วเกลือใส่ปากผม แม่ง เกือบติดหลอดลมแล้วไหมล่ะ

“แค่กๆ ไอ้สัด”

ผมปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ จนเหล้าพร่องลงไปเกือบครึ่งขวด ไอ้ปอมหยุดดื่มไปแล้วเพราะรู้ตัวว่าถ้ามากกว่านี้คงเป็นภาระให้คนอื่นลากกลับคนโดก็เลยนั่งกินกับแกล้มเล่นพร้อมส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยให้สาวๆ ไปเรื่อย

ผู้หญิงบางคนกล้าเข้ามาทักทายและขอไลน์ ส่วนบางคนก็เขินจนบิดตัวแทบเป็นเกลียว พวกเธอก็น่ารักดีแต่ไม่ใช่สเปคผมสักคนเดียว ให้คุยเล่นฆ่าเวลาก็คงไม่เหมาะเพราะเท่ากับเราไปให้ความหวังเขาเล่นๆ ไม่ถนัดเป็นคนชั่วแต่ถนัดเป็นไอ้กาก โธ่ ชีวิตนายกิมมิคจะรันทดอะไรขนาดนี้

ส่วนทางด้านไอ้ปอมถึงแม้ดูภายนอกแล้วอัธยาศัยดีแต่สุดท้ายก็หลีกเลี่ยงการให้ช่องทางตืดต่อเหมือนกัน แหม... แอบชอบโฮมก็บอกมาเหอะ ทำเป็นปากแข็งปฏิเสธนู่นนี่อยู่ได้ ถ้าผมไม่กลัวว่าคีนจะเข้าใจผิดอีกรอบคงวางแผนแกล้งจีบไปแล้ว หึหึ อยากเห็นไอ้หมาดิ้นพราดๆ เหมือนโดนน้ำร้อนลวกจัง คงสนุกพิลึก

“มึง...” อยู่ๆ สายตาผมก็ปะทะเข้ากับร่างอันคุ้นเคยของคนสองคนที่เห็นบ่อยให้มหา’ลัยช่วงนี้ ก็ไม่แปลกที่จะเจอกันในร้านเหล้า แต่... มันใช่เหรอวะ

“อะไร?” ไอ้ปอมที่นั่งอยู่อีกฝั่งเอียงคอมองกันอย่างไม่เข้าใจ ผมเลยพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้มันหันหลังไปตรงทางเข้าร้าน ตอนนี้เพลงที่ชอบก็ไม่เข้าหูซะแล้ว

“นั่นพี่โซน ทำไมมากับพี่เซียนวะ?” เนี่ย ไอ้สิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะเจอที่นี่ เขารู้จักกันด้วยเหรอ แต่ดูจากสีหน้าของไอ้ปอมแล้วมันไม่ตื่นเต้นเลย สรุปว่ากูตกข่าวอยู่คนเดียวสินะ

“ถ้าข่าวไม่ผิดเขาเป็นพี่น้องกันอะ” มันบอกก่อนจะละสายตาจากคนทั้งคู่แล้วจ้วงยำมาม่าที่เพิ่งสั่งมาเพิ่มเมื่อครู่

“ห๊ะ... โลกกลมเกินไปปะมึง” ผมร้องเสียงหลงแล้วเพ่งมองสองคนนั้นมากขึ้น จะว่าไปทั้งคู่ก็หน้าตาคล้ายกันอยู่ แต่แม่ง... โอย สับสนไปหมดแล้วเว้ย

“เออ กลมจนมึงจะยืนไม่ติดพื้นแล้วเนี่ย” ไอ้ปอมแซวด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเพราะเห็นท่าทางกระสับกระส่ายของผมที่อยากวิ่งไปถามสองคนนั้นให้รู้แล้วรู้รอดว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ เหรอวะ ในใจก็เชื่อเพื่อนแต่อยากให้มันไม่ใช่ไง แบบนี้จะกล้าบุ่มบ่ามจีบคีนได้ยังไงในเมื่อพี่โซนกับไอ้ว่านอาจมีผลกระทบ หรือผมแค่คิดมากไปวะ เรื่องรักๆ มันก็แค่คนสองคนไม่ใช่หรือไง อ๊าก ปวดหัว! ขยี้แม่งให้รังแคกระจายไปเลย

“โอย กูกากก็แย่พอแล้ว นี่ต้องมาเจอพี่ชายแฟนเพื่อนเป็นศัตรูกับตัวเองอีกเหรอ? เชี่ยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว” ผมทึ้งหัวตัวเองจนเจ็บไปหมดก่อนจะฟุบหน้าลงกับท่อนแขนเพราะไม่อยากเห็นทั้งสองคนอยู่ในสายตา เหมือนสวรรค์แกล้งให้พวกเขานั่งอยู่ถัดไปไม่กี่โต๊ะอะ โคตรใจร้ายกับเด็กผู้ชายตาดำๆ อย่างไอ้กิมเลย ฮือ

“ใจเย็นๆ ไอ้กิม อะ แดกเหล้าย้อมใจซะ” ไอ้ปอมดันแก้วเหล้ามาโดนแขนทำให้ผมสะดุ้งแล้วเหลือบตามองมันอย่างแค้นเคือง สีเครื่องดื่มที่ต้องกับแสงไฟบ่งบอกได้ดีว่ามันเข้มขนาดไหน นี่มันกะมอมกันแล้วรูดทรัพย์หรือเปล่าวะ เชี่ยนี่ ชงเข้มตลอด

“ย้อมเพื่อ?” ผมดันแก้วเหล้าออกไปไกลๆ แล้วขยับตัวนั่งหลังตรงแต่ก้มหน้าลงมองจานอาหารตรงหน้าเพราะไม่อยากเห็นพี่เซียนโปรยยิ้มหล่อ แค่นี้ก็แพ้จนไม่รู้จะแพ้ยังไงแล้วเหอะ อย่าตอกย้ำเลย

“ก็อีกเรื่องน่ะ พี่เซียนเป็นหมอสัตว์”

“ห๊ะ...” เขาเป็นหมอหมาส่วนผมเป็นหมาขี้เรื้อน โอ้โห สวรรค์กับนรกชัดๆ อะ ร้องไห้ได้ไหมล่ะครับ พอจะยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกย้อมใจอย่างที่ไอ้ปอมว่าก็โดนมันขัดจังหวะอีก รักกูจังเนอะ

“เรียนสาย Exotic Pet”

หมายถึงพวกสัตว์พิเศษจำพวกหนู นก แรคคูน งู ต่างๆ ใช่ไหม นับถือความใจกล้าของพี่เซียนเลยว่ะ แต่เดี๋ยวก่อนสิ รู้สึกผมลืมอะไรไปสักอย่างไหม ชมจันทร์... กระต่าย!

“ฉิบหาย... กระต่ายก็รวมอยู่ในสัตว์พวกนั้นด้วยใช่ปะ?” โอ้โห ผมรู้สึกเหมือนตัวเองบรรลุสัจธรรมของชีวิตอีกข้อหนึ่งเลยว่ะ โอ๊ย แบบนี้ก็แย่สิ ตายแน่ๆ มือที่ถือแก้วเหล้านี่สั่นกึกเลย

“เยส เข้าทางพี่เซียนพอดีที่จะจีบคีนด้วยเรื่องชมจันทร์” ไอ้ปอมช่วยพูดความคิดในสมองของผมออกมาจนหมด แล้วไหนทางกูบ้างล่ะเฮ้ย มีไหม! หรือต้องรออยู่ที่เดิมรอให้เขาคบกันเป็นเรื่องเป็นราวซะก่อน

“โอ๊ย ขอเหล้าสามฝาโซดาครึ่งแก้วด่วน!” เอาให้เมาลืมวันลืมคืนไปเลย!

“ออนเดอะร็อคเลยไหมมึง? หึหึ” เสียงซาตานเสนอทางเลือกเมาให้เร็วขึ้นแต่ผมกลับส่ายหน้าปฏิเสธเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นสภาพตัวเองตอนนั้น คงดังไปทั้งมหา’ลัยแน่ถ้าอ้วกแตกกลางร้าน ฮือ เวรและกรรมอะไรของกูเนี่ย

ผมประคองสติขับรถกลับมานอนตายที่คอนโดไอ้ปอม เสื้อผ้ายังอยู่ชุดเดิมเพราะไม่มีแรงจัดการตัวเอง พอตื่นขึ้นมาปุ๊บก็เจอใบหน้าของเพื่อนสนิทในระยะประชิด กลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งกระจายออกมากับลมหายใจ เหม็นจนแทบอ้วกแต่ก็ไม่สามารถขยับหนีได้เพราะแม่งเอาขาเกี่ยวเอวผมไว้แน่นหนา กูไม่ใช่หมอนข้างนะเว้ย อีกอย่างคือขนลุกไปหมดแล้วจ้า!

“สัดปอม ขยับออกไป!” ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีในตอนนี้ดันไอ้ปอมออกไปห่างๆ แต่มันกลับกระชับอ้อมแขนมากขึ้นแล้วซุกหน้าลงกับแผ่นอกส่งเสียงงึมงำคล้ายคนละเมอ ผมถอนหายใจแล้วนอนนิ่งมองเพดานให้กอดเต็มที่ จะว่าไปก็ง่วงอยู่หน่อยๆ ลุกไปก็คงทำอะไรไม่ได้เพราะปวดหัว ไม่น่ากินเหล้าจนเมาเล๊ย



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 4 -P.1- 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-07-2018 19:45:11
ในจังหวะที่ตัดสินใจนอนต่อก็ได้ยินเสียงสั่นครืดๆ ดังมาจากในกระเป๋ากางเกง ผมลืมตาขึ้นแล้วรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาดู มันคือสายเรียกเข้าจากไอ้ว่าน ป่านนี้คงควิซเสร็จแล้วมั้ง เด็กคณะนี้ต้องทรหดตั้งแต่ปีหนึ่งเลยเหรอ นี่วันเสาร์นะเว้ย

“ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงเนือยๆ ลงไปแล้วลองใช้มืออีกข้างดันไอ้ปอมออก ครั้งนี้ได้ผลเพราะมันเป็นฝ่ายพลิกตัวหนีเอง เฮ้อ หลุดรอดจากการเป็นหมอนข้างแล้วสินะ แต่หัวเมื่อไหร่จะหายปวดเนี่ย

‘ยังไม่ตื่นเหรอวะ? สิบโมงแล้ว’ ปลายสายถามเสียงสูงจนผมต้องผละโทรศัพท์ออกห่างด้วยใบหน้ามู่ทู่ แสบแก้วหูฉิบหาย แล้วเสียงลมนั่นคืออะไรวะ ซ้อนมอ’ไซต์พี่โซนอยู่หรือไง

“แฮงค์อยู่ มีอะไร?” ผมก้มลงดมเสื้อของตัวเองแล้วต้องผงะเพราะมันเหม็นทั้งกลิ่นเหล้า กลิ่นเหงื่อและกลิ่นบุหรี่ผสมปนเปกัน ไอ้ครั้นอยากลงไปซื้ออเมริกาโน่สักแก้วเพื่อแก้แฮงค์กลับต้องล้มเลิก ควรอาบน้ำก่อนดีกว่าเดี๋ยวชาวบ้านเขาจะหาว่าโสโครกได้

‘ตอนบ่ายว่างปะ?’ หืม กูว่าถามแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ โอย ปวดหัวตุบๆ โคตรน่ารำคาญเลย

“อือ ว่าง” แต่ก็ไม่อยากโกหกเพื่อนไง เผื่อมันลำบากแลเวอยากได้ความช่วยเหลือจากผม

‘อยากกินไอติมอะ’ โอเค กูควรโกหกมึง

“ชวนพี่โซนดิ”

‘อยากกินกับพวกมึง’

“ไอ้สัด กูปวดหัวจะระเบิดอยู่แล้ว อย่างอแงเป็นเด็กได้ปะ?” ผมด่ามันด้วยน้ำเสียงแหบแห้งก่อนจะลุกขึ้นยืนโงนเงนแล้วเดินตรงไปหาตู้เสื้อผ้า ขอถือวิสาสะรื้อของไอ้ปอมหน่อยแล้วกัน อืม เสื้อยืดสีดำกับกางเกงบอลคงพอไหว เอ๊ะ นั่นกางเกงในใหม่ยังไม่แกะห่อ เสร็จกู!

‘แค่นี้ทำเกรี้ยวกราดใส่อะ โกรธ’ ไอ้ว่านส่งเสียงกระเง้ากระงอดกลับมาซึ่งผมพอจะเดาสีหน้ามันได้ว่าบึ้งตึงขนาดไหน ก็เมื่อคืนทิ้งไปกินเหล้ายังไม่พอวันนี้เทเรื่องไอติมอีก แต่พอดีตอนนี้ผมอยู่ในโหมดคนเลวไง ไม่สนเชี่ยอะไรทั้งนั้นอะ เอาตัวเองจะไม่รอดอยู่แล้ว เมื่อครู่ก็เกือบหน้าทิ่มในตู้เสื้อผ้า

“เรื่องมึงเหอะ จะไปอาบน้ำแล้ว แค่นี้นะ”

‘ชิ เออๆ ไว้วันหลังก็ได้!” ไอ้ที่ยอมง่ายๆ แบบนั้นก็เพราะแม่งอยู่กับพี่โซนชัวร์ๆ แต่ทำกระแดะต่อสายหาเพื่อนเพราะไม่อยากได้รับฉายาว่าเป็นคนติดผัวก็แค่นั้น ผมกับไอ้ปอมรู้เรื่องนี้ดี เหอะๆ บาย

ผมเดินลงมามินิมาร์ทแล้วสั่งอเมริกาโน่สองแก้วไปเผื่อไปปอมที่ป่านนี้คงยังไม่ตื่นก่อนจะหยิบขนมขบเคี้ยว ไส้กรอก เกี๊ยวน้ำ ข้าวผัดกะเพรา สปาเก็ตตี้ใส่ลงในตะกร้าเพื่อกินเป็นมื้อเช้าควบเที่ยงเพราะไม่มีแรงประดิษฐ์ประดอยทำอาหารเอง แค่มีชีวิตรอดตื่นมาได้ก็เป็นบุญคุณหนักหนาแล้ว โดนแม่โทรสวดหลังจากอาบน้ำเสร็จด้วย เจริ๊ญ เจริญจ้า

ปกติผมจะเลือกใช้บันไดแต่วันนี้ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมเลยขอโดยสารลิฟท์ขึ้นสู่ชั้นห้า เดินทอดน่องดูดอเมริกาโน่ไปเรื่อยจนถึงหน้าห้องพัก ในขณะที่ล้วงหาคีย์การ์ดอยู่นั้นหางตาก็เหลือบเห็นว่าเพื่อนข้างห้องเปิดประตูออกมา ผมชะงักมือแล้วมองตามแผ่นหลังเขาเพราะรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด อาจจะเป็นใครสักคนในคณะล่ะมั้ง ช่างแม่งเถอะ หิวข้าวแล้วเว้ย!

สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเปิดประตูห้องได้คือไอ้ปอมที่ตื่นแล้วกำลังยืนหาวอยู่กลางห้องนั่งเล่น มือข้างหนึ่งยกขึ้นขยี้หัวส่วนอีกข้างเกาก้นยิกๆ โอย ใครมาเห็นตอนนี้คงลงมติให้ปลดออกจากการเป็นรองเดือนคณะแน่ๆ ทุเรศลูกตาจนผมแทบปล่อยถุงในมือร่วง ไม่ต้องแดกแล้วมั้งอเมริกาโน่เนี่ย สร่างเมาเลยกู

“ไปไหนมาวะ?” มันปรือตามองกันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะขยับเข้ามาแย่งกาแฟไปดูดทั้งที่ไม่ได้แปรงฟัน ผมทำท่าขยัแขยงแล้วเตะรองเท้าแตะออก เบี่ยงตัวหนีเข้าครัว ไม่อยากสัมผัสความโสโครกกลัวติดเชื้อเข้ากระแสเลือด

“กูถามก็ไม่ตอบอะ” ยังจะเดินตามมายืนพิงโต๊ะกินข้าวพูดฉอดๆ ให้น้ำลายกระเด็นเข้าหัวผมอีก เดี๋ยวกูเอาถุงไส้กรอกปาใส่หน้าแม่ง

“เห็นๆ อยู่ว่ากูถือถุงอะไรกลับมายังจะถามอีก แล้วนั่นไปอาบน้ำแปรงฟันก่อนไหม? ทุเรศว่ะ” ผมบุ้ยปากไปทางแก้วกาแฟที่บัดนี้มีคราบน้ำลายบูดของไอ้ปอมติดอยู่รอบหลอด ยกให้มึงเลยแล้วกันไม่ต้องคืนนะ รังเกียจ

“เฮ้ย กินตอนนี้อะดี จุลินทรีย์ในปากก่อนแปรงฟันมีประโยชน์นะ” มันอธิบายด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ แต่ผมกลับส่ายหัวเพราะไม่เห็นด้วย จะมีประโยชน์แค่ไหนก๋เหอะแต่มันก็สกปรก ถ้ามันกินตอนอยู่คนเดียวไม่ว่าอะไรสักคำเลยเหอะ

“โสโครก” ผมด่าก่อนจะฉีกถุงไว้กรอกเพื่อเอาเข้าเตาไวโครเวฟ

“ด่ากูเดี๋ยวก็จับจูบซะเลยนี่” ไอ้ปอมทำท่าจะจู่โจมตอนผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ก็เลยต้องยกขากันไว้ แม่ง เผลอไม่ได้จริงๆ ไอ้เพื่อนเชี่ย

“เข้ามากูถีบติดผนังแน่” ไม่ได้ขู่แต่ทำจริง

“โอย อย่าโหดเด้” มันถอยไปตั้งหลักซะไกลเลยเหอะ

“ไปอาบน้ำ” ผมสั่งเสียงเข้มก่อนจะโยนไส้กรอกใส่ไวโครเวฟได้สำเร็จแล้วหันไปทำตาดุใส่มันที่ยังยืนคอยท่าอยู่

“จ้าๆ ไปเดี๋ยวนี้เลย”

เออว่ะ ต้องให้แปลงร่างเป็นจอมมารอยู่เรื่อยถึงจะเชื่อฟัง ผมมีลูกมากกว่ามีเพื่อนจริงๆ นั่นล่ะ เฮ้อ เหนื่อยใจเว้ย!

หลังจากจัดการไส้กรอกทั้งสี่อันเสร็จก็อยากต่อด้วยสปาเก็ตตี้แต่ไอ้ปอมห้ามไว้เพราะมันจะโชว์ฝีมือทำอาหารมื้อเที่ยงให้กินเอง แต่ผ่านมาแล้วยี่สิบนาทีมันยังเอาแต่เล่นเกมไม่ยอมลุกไปไหน ชาตินี้จะได้แดกไหมข้าวอะ หิวเว้ย หิวจนแดกควายได้ทั้งตัวแล้ว

“ตกลงจะเริ่มทำเมื่อไหร่?” ผมยื่นตันไปสะกิดไอ้ปอมที่นอนยาวเล่นเกมอยู่บนโซฟาอีกตัวหนึ่ง มันหันมาคลี่ยิ้มหวานอย่างเอาใจแล้วกลับไปจดจ่อเหมือนเดิม เดี๋ยวกูโมโหหิวขึ้นมาป้อมเปิ้มมึงไม่ต้องตีแล้วไอ้สัด!

“อีกนิดๆ ใกล้จบเกมแล้ว” โอ้โห สีหน้ากำลังเมามันส่วนนิ้วนี่กดยิกๆ จนกลัวว่ามันจะล็อกเข้าสักวัน ผมไม่ค่อยอินกับ Rov เท่าไหร่เพราะเล่นทีไรหัวร้อนทุกที

“เออ งั้นกูขอลงไปซื้อขนมเค้กฝั่งตรงข้ามก่อน แม่บ่นว่าอยากกิน” ด้วยความที่ขี้เกียจนั่งรอความหวังจากไอ้ปอมก็เลยตัดสินใจลงไปเลือกซื้อขนมจากร้านฝั่งตรงข้ามที่มาเปิดใหม่ดีกว่า ได้ข่าวว่าเป็นร้านในเครือของโฮมด้วย หึหึ แต่ไอ้หมาไม่รู้เรื่องนี้ ปล่อยให้โง่ต่อไป

“ได้ๆ เออ แต่มึงจะกินอะไร?” มันผงกหัวขึ้นมองกันครู่หนึ่ง ส่วนผมไม่ได้ตอบอะไรเพราะคิดไม่ออก ก้าวขายาวๆ ไปหยุดใส่รองเท้าอยู่หลังประตูห้อง จับลูกบิดเปิดออกแล้วเจอกับผู้ชายคนเมื่อครู่เดินกลับเข้ามาทางนี้

ผมถอยหลังเข้าห้อง ปิดประตูดังปังจนไอ้ปอมสบถด่า ยืนหอบหายใจแรงๆ พร้อมกับยกมือขึ้นกุมหน้าอก เมื่อครู่นี้ไม่ผิดแน่ ถึงผมของเขาจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนแทนสีบลอนด์ทองก็เถอะ

“คีน!” ในที่สุดผมก็หลุดเรียกชื่อของเขาออกมาเสียงดังพอจะให้ไอ้ปอมได้ยิน มือที่ถือโทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์สั่นกึกๆ โอย คีนมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงวะ

“ห๊ะ อารมณ์ไหนของมึงอยากกินอาหารคลีน?” ไอ้ปอมทิ้งโทรศัพท์แล้วเดินตรงมาทางนี้ ผมส่ายหน้ารัวให้มันแล้วชี้โบ้ชี้เบ้ไปทางห้องข้างๆ แต่ดูเหมือนไอ้ปอมจะไม่เข้าใจ ทำหน้าเอ๋อใส่กูเพื่อ!

“ไม่ใช่เว้ย กูหมายถึงว่ากูเห็นคีนที่นี่!” น้ำเสียงของผมยังไม่ลดระดับความตื่นเต้นผิดจากไอ้ปอมที่ทำแค่พยักหน้ารับเหมือนกำลังคุยเรื่องปกติทั่วไป

“อ้อ... คีนเหรอ?” เออ คีนไง นายคณินท์ไง มึงจำเพื่อนไม่ได้เหรอไอ้ปอม!

“เออ หรือกูยังไม่สร่างเมาวะ?” ผมพึมพำกับตัวเองแล้วเคาะข้างขมับเพราะไม่มีทางจะเจอคีนได้ที่นี่แน่ๆ ก็เขาพักอยู่บ้านไม่ใช่เหรอวะ เออ กูเบลอใหญ่แล้วเนี่ย สงสัยคิดถึงมากไปหน่อย

“เปล่าหรอก คีนตัวเป็นๆ แน่นอน กูลืมบอกไปว่าเขาเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อสามวันก่อน” ท้ายประโยคของไอ้ปอมแผ่วเบาจนแทบฟังไม่รู้เรื่องแตานั่นก็ทำให้ผมเบิกตาโตด้วยความโมโห มึงมันเพื่อนชั่ว ไอ้คนทรยศ!

“อะไรนะ!”

“ตามนั้นจ้า” นู่น มันถอยหนีจนเดินไปชิดโซฟาแล้ว รู้ตัวว่าผิดสินะ หึหึ

“ไอ้ปอม...” ผมย่างสามขุมเข้าไปหามันด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียมแล้วทิ้งโทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ไว้บนโซฟา หักข้อนิ้วดังกร๊อบเตรียมอัดไอ้เพื่อนตัวดีให้เละติดผนัง

“เก๊าขอโต้ด เก๊าลืม อ๊าก!”

“ไปตายซะ!”




---------------------------------------------

เจ้ากิมคนกากอย่าเอาแต่เพ้อนะ
ตอนหน้าต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างแบบจริงจังได้แล้ว

เอาใจช่วยย้องกันด้วยเนอะ
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 5 -P.1- 18/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 18-07-2018 19:00:29
รูปถ่ายใบที่ 5



หลังจากที่ผมไล่เตะไอ้ปอมจนหนำใจแล้วก็คว้าเอากระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ รวมถึงกุญแจรถมาถือไว้ให้มั่นก่อนจะก้าวขายาวๆ ไปที่ประตูโดยไม่สนใจเสียงเรียกโหยหวนที่ดังตามมาด้านหลัง คนเชี่ยอะไรน่ารำคาญแม้กระทั่งตอนหายใจ หงุดหงิดจนแทบฆ่ามันทิ้ง มึงซ้อมเป็นอัลไซเมอร์เหรอถึงได้ลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ สามวันที่คีนย้ายมาอยู่ข้างห้องเป็นเวลาไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ โอย โกรธจนไข่ เอ๊ย หน้าสั่นเลยแม่ง

“จะไปไหนวะกิม?” คราวนี้เสียงมันดังอยู่ด้านหลังไม่ห่างจากจุดที่ผมยืนสักเท่าไหร่ เพราะตอนที่เหลือบสายตรไปมองไอ้ปอมเพิ่งก้าวถอยหลังไปชนกับชั้นวางรองเท้า อืม ประมาณหนึ่งเมตร ไอ้สัด เข้ามางับหูกูเลยไหมล่ะ!

“กลับบ้าน” ผมตอบเสียงเรียบก่อนจะยกขาเพื่อเขี่ยรองเท้าบนชั้นลงมาใส่ต่อหน้าต่อตาเจ้าของห้อง มารยาททรามขนาดที่มันต้องยกมือขึ้นเกาหัวพร้อมทั้งแสดงสีหน้ายุ่งเหยิงแต่ไม่กล้าออกปากด่า คนมีชนักติดหลังก็ขี้ขลาดแบบนี้ล่ะ

“แล้วข้าวเที่ยงของเราสองคนล่ะ?” คำถามเรียบๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝงทำให้ผมหยุดการใส่รองเท้าแล้วเลื่อนสายตาไปมองหน้ามันแทน มึงสาบานไหมว่าไม่ได้กำลังกวนตีนในขณะที่กูยังกำหมัดด้วยความโกรธแบบนี้ วอนหาเรื่องเจ็บตัวเพิ่มเหรอไง

“อย่าพูดอะไรที่ชวนให้ตีนกระตุกได้ปะวะ?” ผมถลึงตาใส่มันแล้วกลับมาสนใจยัดตีนใส่รองเท้าเหยียบส้นจนยับเยิน หางตาเห็นไอ้ปอมรีบยกมือทั้งสองข้างเป็นสัญลักษณ์ว่ายอมแพ้พร้อมกับก้าวถอยหลังไปตั้งหลักจนเกือบถึงโซฟากลางห้อง นี่เพื่อนไงไม่ใช่ตัวเชื้อโรคหรือพวกจิตวิปริตคิดจะฆ่าคนตลอดเวลา

“โทษๆ ก็ไหนบ่นว่าหิว รอชิมฝีมือกูก่อนดิ”

“จะกลับไปเก็บเสื้อผ้า” ผมพูดจบก็จับลูกบิดห้องเตรียมเปิดแต่ไอ้ปอมกลับพุ่งเข้ามาคว้าเอวสอบไว้แถมยังซบหน้าบนแผ่นหลังเหมือนกับนางเอกที่กำลังรั้งพระเอกไม่ให้ไป ผมทั้งสะบัดทั้งศอกกลับแต่มันก็ดื้อด้านเหมือนปลิงดูดเลือดหรือตีนตุ๊กแก เกาะเหมือนจะสิงสู่ร่างกูแล้วเนี่ย อึดอัด ใครเข้ามาเห็นสภาพตอนนี้จะคิดยังไง คีนอยู่ข้างห้องนะไอ้หมา!

“ห๊ะ นี่โกรธกูจนถึงขั้นจะย้ายบ้านหนีเลยเหรอ?” ไอ้ปอมถามเสียงกระเง้ากระงอดแล้วกระชับอ้อมแขนมากขึ้นจนผมรู้สึกขยะแขยงเลยใช้มือข้างหนึ่งประเคนกำปั้นลงกลางกะโหลกของมันแบบเน้นๆ ดังป๊อก และมันได้ผลชะงัดเมื่อไอ้มือปลาหมึกล่าถอยออกไปจนหงายหลังลงบนโซฟา ตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยประหนึ่งมดกัดพวงสวาท

“ไอ้สัด มึงเอาสมองส่วนไหนคิด หรือแม่งเอากีบเท้ามาใช้แทน?” ผมตามไปจิ้มหน้าผากมันซ้ำๆ ด้วยความหมั่นไส้ ไอ้ปอมปัดป่ายก่อนจะร้องโวยวายไม่เป็นภาษา ดูไปดูมาก็ตลกดี ถ้ามันไม่ใช่เพื่อนสนิทผมคงตกบ่วงความเฮฮาปนน่ารักแบบนี้ไปแล้ว แต่ปัจจุบันคือแค่คิดก็จะอ้วกใส่แม่ง ขยะแขยงขั้นสุด

“ด่ากูเป็นควายตรงๆ ก็ได้ไม่ต้องอ้อมค้อม โอย เจ็บหัวสัด” มันตวัดสายตามองกันอย่างโกรธๆ แล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบกลางหัวบรรเทาอาการเจ็บ ผมถอยออกมาจากตรงนั้นเพื่อจะได้ลอบแสยะยิ้มด้วยความสะใจ เออ ด่าว่าเป็นควายทางอ้อมก็รู้ตัวด้วย หึหึ

“ทีแบบนี้ฉลาดเชียวนะมึง” ผมว่าต่อก่อนจะเดินกลับไปใส่รองเท้าให้เรียบร้อย อีกครั้งที่มือวางอยู่บนลูกบิดแต่ประตูไม่ได้ถูกเปิดออก ไอ้ปอมมันลุกขึ้นจากโซฟาเดินเอียงซ้ายทีขวาทีตรงมาทางนี้อีกแล้ว นี่มึงเป็นเจ้ากรรมนายเวรกูตั้งแต่ชาติปางก่อนหรือไง ตามติดไม่หยุดเนี่ย บ้าบอ

“หูย ถือว่าชม” พอไอ้ปอมถึงจุดสตาร์ทเดิมคือตรงชั้นวางรองเท้าก็คลี่ยิ้มเผล่อวดฟันขาวเกือบครบสามสิบสองซี่ให้ชม ผมถอนหายใจเฮือกเพราะจนปัญญาที่จะสนทนาภาษาคนกับหมา เสียเวลาเถียงกับมันจนไม่เป็นอันทำอะไร ประโยชน์ก็ไม่เกิด คอก็แห้ง โอย แย่

“รำคาญแม่ง” อะ ผมได้เปิดประตูห้องแล้วนะ แต่สูดกลิ่นจากภายนอกได้ไม่ถึงสามวิฯ ไอ้ตัวซวยก็กระชากคอเสื้อด้านหลังให้กลับไปยืนที่เดิมพร้อมกับเสียงดังปัง อืม เมื่อไหร่กูจะได้กลับบ้านสักทีเนี่ย

“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไปดิ แล้วมึงจะเก็บเสื้อผ้าทำไม?” คำถามเดิมแต่เพิ่มเติมความสงสัยด้วยการขมวดคิ้วมองหน้ากันแถมด้วยการกระตุกคอเสื้อด้านหลังยิกๆ เพื่อเร่งให้ตอบ นี่ถ้าไม่ติดว่าผมต้องขอความช่วยเหลือจากไอ้ปอมคงซัดหมัดใส่สันกรามอันน่าภูมิใจของมันไปแล้ว เพื่อนห่าอะไรไม่สนใจว่ากูจะตายเพราะขาดอากาศเนี่ย สัด!

“ย้ายมาอยู่กับมึง” ผมตอบก่อนจะหยิกแขนไอ้ปอมให้ผละออกจากคอเสื้อสักที มันร้องอูยแต่ไม่ตอบโต้กลับเพราะรู้ตัวว่าทำผิด

“ห๊ะ?” ผ่านไปเกือบนาทีมันถึงจะร้องด้วยความงงงวย ไอ้บ้านี่ความคิดตกร่องเหรอ

“ทำหน้าควายงงอีก คีนไงคีน จะต้องอธิบายอะไรให้มากความวะ!” ผมตะโกนอัดหน้ามันโดยไม่สนว่าน้ำลายจะกระเด็นใส่ไหม โมโหแล้วไง เสียเวลามากแล้วเนี่ย หิวก็หิว แดกควายได้ยังน้อยไป ตอนนี้ช้างทั้งตัวก็คงไม่พอ โอย หงุดหงิดใจแม่ง

“อ้อ อยากใกล้ชิดคีนว่างั้น?” มันถามเสียงทะเล้นเมื่อสมองอันฉลาดแต่ตอนนี้กลับเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียวกลั่นกรองและแปรความหมายในการกระทำของผมออก พอรู้เรื่องก็ทำหน้าเป็นหมาเจ้าเล่ห์เลยนะมึง หมั่นไส้จนอยากเรียกโฮมมาจูบโชว์ เอาให้ไอ้ปอมดิ้นพราดเหมือนปลาโดนน้ำร้อนลวกเลย สะใจ!

“เออ!” ผมกระชากเสียงตอบก่อนสะบัดตัวฮึดฮัดแสดงความไม่พอใจ คราวนี้ไม่จับลูกบิดแล้วเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ออกจากห้องสักที แม่ง นัวเนียกับไอ้ปอมจนเผลอเคลิ้มไปหลายรอบแล้วเนี่ย ถ้าหน้ามืดปล้ำมันคงมองหน้ากันไม่ติด หลอกๆ นะ อย่าเชื่อผมเลย เดี๋ยวฟ้าจะผ่าเอา

“ว๊าย พัฒนา” ทำเสียงเล็กเสียงน้อยไม่พอยังส่งมือหยาบๆ มาแตะแก้มกันอีก ขนลุกเว้ย ไอ้บ้า ผมสะบัดหนีจนหัวแทบหลุดจากคอซึ่งนั่นทำให้ไอ้ปอมงอตัวหัวเราะชอบใจใหญ่โต อยากเอาเท้ายัดปากให้มันเงียบแต่ก็คืดอีกทีก็ขนลุก อย่าดีกว่า...

ไม่ใช่ว่าโดนคีนเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งที่เผลอเสียงดังไปแล้วเหรอวะ ผนังห้องที่ว่าหนาอาจจะแพ้พวกเราสองคนก็ได้ ยังไม่ได้เริ่มจีบแต่โดนเกลียดคงเป็นความอัปยศของชีวิตขั้นสุด ถ้าเป็นอย่างนั้นกูรับไม่ได้!

“กูไม่ใช่คนโง่ดักดานเหมือนมึงที่ไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองชอบใคร” เนี่ยตอบกลับแบบผู้ดีไม่ต้องด่าให้เปลืองน้ำลาย แค่นี้มันก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมแต่ไม่นานก็โบกมือเป็นพัลวันทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่ มึงโง่เรื่องกลบเกลื่อนความรู้สึกทำไมไม่เคยจำใส่กะโหลกสักทีวะเพื่อน เฮ้อ เพลีย

“โอย กูยังไม่อยากเอาหัวใจไปผูกกับส้นตีนใครหรอก เป็นโสดก็ดีอยู่แล้ว” มันเอนหลังพิงผนังก่อนหลับตาลงพลางกอดอกทำตัวสบายๆ ทั้งที่ผมสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวในน้ำเสียง ก็เป็นซะแบบนี้ ปากแข็งทั้งที่ใจอ่อน พอมันเจอโฮมทีไหร่ก็เปลี่ยนจากส้นเท้าเป็นฝ่ามือตลอด นุ่มนวลอย่าบอกใครเชียวล่ะ หึหึ

“หึ สักวันมึงจะไม่พูดแบบนี้ไอ้ปอม” ผมว่าก่อนจะใช้มือข้างที่เพิ่งแคะจมูกผลักหัวมันด้วยความหมั่นไส้ ดวงตาคมเปิดขึ้นพลางถลึงมองเหมือนอยากเอามีดมาปาดคออย่างไรอย่างนั้น แทงใจดำล่ะสิ

“เออน่า ยืนเถียงกับกูแบบนี้ไม่รีบแล้วเหรอไง?” ไอ้ปอมขยับตัวยืนตรงแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางประตูที่บัดนี้ยังคงปิดสนิท ผมร้องเสียงหลงก่อนจะตบหน้าผากตัวเองดังแปะ เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก็ได้แต่สบถเสียงงุ้งงิ้ง ไอ้เชี่ย จะบ่ายโมงแล้ว

“รีบสิ ไปล่ะ เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงกลับมา” ผมโบกมือลาเพื่อนแล้วเอื้อมมือไปจับลูกบิด ในใจคิดว่าครั้งนี้คงได้ออกสู่โลกกว้างแน่นอน จะรีบวิ่งลงลิฟท์ไปลานจอดรถ เหยียบคันเร่งสักร้อยห้าสิบ ถ้าบินได้กูบินแล้วเนี่ย แต่... ไอ้สัดปอมจะรั้งแขนกูทำไม!

“ให้ทำกับข้าวรอเลยปะ?” มันถามหน้าซื่อตาใสพลางออกแรงบีบมือเบาๆ เพื่อกระตุ้นเอาคำตอบในขณะที่ผมกำลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สะกดอารมณ์โมโห ท่องไว้ว่ากูต้องอาศัยมันอยู่จนกว่าจะจีบคีนติดซึ่งก็ไม่รู้ว่าขาติไหนเหมือนกัน โอ๊ย จ้างมือปืนไปยิงพี่เซียนได้ปะวะว เครียดฉิบหาย ยิ่งกว่าตอนสอบเข้ามหา’ลัยซะอีก

“ไม่ต้องทำ”

“แล้วจะแดกอะไรกันล่ะทีนี้?” มึงก็ห่วงเลือกแดกจังเนี่ย ปล่อยให้กูกลับบ้านไปเก็บผ้าก่อนดีปะวะ เดี๋ยวก็เตะเข้าสักเปรี้ยวอีกหรอก

“ชวนคีน” ผมพึมพำบอกก่อนจะปัดมือไอ้ปอมทิ้งแล้วเปิดประตูเพื่อโผล่หน้าออกไปดูลาดเลาว่าคีนออกมาจากห้องหรือเปล่า ปรากฏว่าทางสะดวก เฮ้อ โล่งอก เพราะถ้าหากเจอกันหน้าห้องอีกผมคงทำตัวไม่ถูกอะ ก็แม่ง เมื่อคืนดันฝันว่าวอแวเขาไปเยอะ ทั้งกอด จูบ ลูบ คลำ ขยำ ขยี้ อีกนิดเดียวจะเปลื้องผ้าแล้วถ้าไม่โดนส้นตีนเพื่อนกระแทกปลายคาง ไอ้เชี่ยเอ๊ย ฟันเกือบหัก!

“ห๊ะ?” ไอ้ปอมกระพริบตาปริบๆ ด้วยความงง ผมเชื่อว่ามันคงได้ยินแต่ไม่ชัดอย่างแน่นอน แล้วอีกอย่างคือไม่คิดว่าไอ้กากจะกล้าชวนคีนไปกินมื้อเที่ยง

“กลับมาแล้วจะชวนคีนไปแดกข้าว!” ผมกระแทกเสียงตอบก่อนจะพุ่งตัวออกจากห้องอย่างรวดเร็วเพราะรู้สึกว่าอุณหภูมิตรงบริเวณแก้มร้อนกว่าส่วนอื่นๆ ปากที่พร่ำบอกเพื่อนสั่นระริก ดวงตามองตรงไปยังประตูห้องคีนอย่างหวาดระแวง เชี่ยเอ๊ย ลืมคิดไปเลยว่าไม่ควรตะโกนอะไรแบบนั้นทั้งที่เป้าหมายอาจได้ยิน โอย อยากตบหน้าตัวเองสักพันครั้งแต่ก็กลัวเจ็บ... คนมันกากยังไงก็กากอยู่ดี

“อ๋อจ้า จะรอน้าที่รัก” ไอ้เพื่อนเฮงซวยทำปากจู๋พร้อมเบิกตาโตเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดและไม่นานนักมันก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นล้อเลียน ใช้น้ำเสียงตอแหลพลางโบกมือบ๊ายบาย นี่ถ้าไม่ติดว่ารีบจะวิ่งเข้าไปกระโดดถีบให้หงายหลังเลย หมั่นไส้เว้ย!

การกระทำไปไวกว่าความคิดเมื่อผมวิ่งลงบันไดซะเฉยๆ ทั้งที่ต้องใจโดยสารลิฟท์เพราะไม่เหนื่อย กว่าจะถึงรถก็แทบขาดใจยังมาเสียเวลายืนหอบแฮ่กๆ อยู่ข้างรถอีกสองนาที ด้วยความที่ข้าวเช้าก็กินเท่าแมวดมข้าวเที่ยงก็ยังไม่แดกอาการหน้ามืดเลยมาเยือนนิดหน่อย เดือดร้อนต้องคลำหายาดมที่แม่ทิ้งไว้ยัดจมูกอีก สูดจนรู้สึกว่าดีขึ้นก็เหยียบคันเร่งแบบไม่คิดชีวิตเพื่อมุ่งสู่ปลายทาง โอย สังขารกูทำไมเหมือนคนแก่อายุหกสิบแบบนี้เนี่ย จะตายก่อนได้เมียหรือเปล่าวะ

ความรู้สึกในตอนนี้คืออยากแหกปากตะโกนด่าใครก็ได้ที่มันทำให้รถติดในซอยหมู่บ้าน แม่งเอ๊ย อีกแค่ร้อยเมตรก็จะถึงบ้านอยู่แล้ว ผมนั่งสบถใส่ลมใส่ฟ้าไปเรื่อยเพราะทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ รอ และรอ โอย จะบ้าตายเว้ย แล้วไอ้เสียงสั่นครืดๆ ของโทรศัพท์โคตรน่ารำคาญเลย พอหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าไอ้ปอมส่งไลน์มาอวดว่ามันเจอคีนที่หน้าห้องตอนลงไปหาอะไรกินรองท้อง อ๊าก แม่งเอ๊ย อิจฉาสัดๆ

พอจะวางโทรศัพท์ลงเมื่อรถเริ่มขยับไปด้านหน้ามันกลับสั่นขึ้นอีกครั้งเป็นการแจ้งเตือนจากไลน์เหมือนเดิมแต่คราวนี้มีแค่รูปคีนใส่กางเกงขาสั้นสีขาวเหนือเข่า คีบแตะ เสื้อยืดสีฟ้าสดใส ปล่อยผมด้านหน้าเป็นธรรมชาติ ใส่แว่นทรงกลมโตๆ โอ๊ย คือแม่งโคตรพ่อโคตรแม่น่ารัก ตาลุกเป็นไฟแล้วเนี่ย โดเรม่อนอยู่ไหนกูอยากวาร์ป!

เมื่อรถจอดสนิทผมก็วิ่งลงโดนไม่คิดชีวิตจนแทบล้มหน้าคะมำเพราะสะดุดนั่นนี่ไปตลอดทาง ที่พีคสุดคงเกือบเตะกระถางต้นไฮเดรนเยียสีม่วงครามสุดที่รักของแม่ ถ้าหากมันกระจุยคาเท้าคงโดนโกรธเป็นเดือนแน่ๆ แต่โชคดีหน่อยที่ใช้ไหวพริบในการหลีกได้คล่องตัวจนถึงหน้าประตูบ้าน เอื้อมมือกระชากมันเปิดออกแล้วรีบวิ่งปรู๊ดขึ้นบันได อีกนิดเดียวตวามฝันในการใกล้ชิดคีนจะเป็นจริงแล้ว ฮึ่ย แค่คิดก็...

“ตาคีน จะรีบวิ่งไปไหน!?”

เฮือก! ทำไมวันนี้แม่อยู่บ้านวะ ผมเกือบเหยียบขั้นบันไดพลาดเพราะตกใจเสียงเธอ ถ้าล้มลงฟันหักหมดปากนี่หน้าตาทุเรศเลยนะ...

ผมหันไปยิ้มหวานให้แม่ที่นั่งไขว่ห้างกอดอกมองกันด้วยสายตาจับผิดแล้วรีบทำตัวเป็นเด็กชายกิมมิคเข้าไปกอดคลอเคลีย หอมแก้มฟอดใหญ่ๆ เป็นการเอาใจ เพราะคืดจะทำการใหญ่ใจต้องน่ารัก ฮึ่ย สยองตัวเองฉิบหาย

“แม่อยู่บ้านเหรอครับวันนี้?” ผมผละตัวออกมาแล้วถามแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอมองหน้ากันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยใบหน้านิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลุดยิ้มแล้วเอื้อมมือมาหยิกแก้มผม คงมันเขี้ยวที่หายหน้าหายตาไปทั้งคืนสินะ โอย เจ็บอะ

“จ้า รอเจ้าตัวดีของแม่ที่ไปเมาเรื้อนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องไง” เนี่ย ผมเคยทายผิดซะที่ไหนเล่า ถ้าเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลคงถูกรางวัลที่หนึ่งไปแล้ว เสียดายที่ไม่ใช่ เฮ้อ ถ้าทายใจคีนได้แบบนี้ก็ดีสินะ แล้วนี่กูจะดราม่าให้ได้อะไรวะ ต้องรีบไปเก็บเสื้อผ้าเส้

“โธ่ แม่ก็พูดเกินไป ผมแค่ไม่อยากขับรถกลับบ้านเพราะดื่มไปเยอะเท่านั้นเอง” อะ ทำตัวเป็นลูกที่ดีให้แม่ปลื้มสักหน่อย ทั้งที่ความจริงแล้วลากสังขารได้ถึงหอไอ้ปอมก็ใช้แต้มบุญของชาติที่แล้วบวกชาตินี้หมดเกลี้ยงแล้ว

“ค่ะ พ่อคุณลูกชาย แล้วนี่จะรีบวิ่งไปไหนหืม?” คำถามเดิมจากคุณนายร้านเพชรหลุดออกจากริมฝีปากเคลือบลิปสติกที่ชมพูหวาน ผมรีบยิ้มเผล่แล้วขยับเข้าไปออดอ้อนแม่อีกครั้ง

“เก็บเสื้อผ้าครับแม่” ค่อยๆ ตอบไปทีละสเต็ป ถ้าบอกรวดเดียวคงโดนเตะโด่งออกจากบ้าน ต้องให้เวลาแม่ในการประมวลผลก่อน

“หืม?” นั่นคือสัญญาณให้ผมพูดต่อ

“ไปนอนกับไอ้ปอมครับ” สเต็ปที่สองผ่านไปในขณะที่ผมก็ผละตัวออกมาสบตาคู่สวยของแม่ ใบหน้าของเธอจากที่ยิ้มแย้มก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย มาแล้วไง ไอ้อาการไม่ชอบให้ผมไปค้างที่อื่นเนี่ย ทำอย่างกับมีลูกสาว โธ่ นี่โตเป็นหนุ่มพร้อมหาสะใภ้เข้าบ้านได้แล้วน่า ดูแลตัวเองได้แน่นอน

“กี่วัน?” อะ คำถามนี้โคตรยากเลย จะให้ตอบตามตรงก็คงโดนแม่ฆาตกรรรมแน่ๆ

“ก็อาจจะนานหน่อยครับ ช่วงนี้เรียนหนัก” ผมทำหน้าเศร้าเล่าความเท็จก่อนจะซุกหัวลงบนตักของแม่เป็นการออดอ้อน เธอนิ่งคิดไปพักใหญ่โดยไม่มองหน้ากันสักนิด ถ้าโดนปฏิเสธคงตายแน่ๆ หัวใจแหลกสลายชัวร์ ฮึก... เอาอีกแล้ว กูนี่ดราม่าไม่เข้าเรื่องเลยเนอะ โอย ปัญญาอ่อนว่ะ

“จะย้ายไปอยู่กับน้องปอมเลยว่างั้นเถอะ” แม่หลุบสายตามองหน้ากันก่อนจะใช้นิ้วเรียวเคาะลงบนปลายจมูกกันด้วยความมันเขี้ยว ผมยู่ปากเพราะเริ่มเจ็บแต่ก็ไม่หลีกหนีปล่อยให้เธอทำตามใจเพื่อผลลัพธ์อันดี

“ก็... ประมาณนั้นครับ” ผมตอบเสียงแผ่วแล้วคว้ามือแม่มาแนบแก้ม ถูไถเบาๆ กระพริบตาให้น่าเอ็นดู สาธุ ขอให้ได้ผลด้วยเถอะ

“เอาเถอะ จะไปก็ไป แต่อย่าลืมกลับมาบ้านบ้างนะคะ” แม่ระบายยิ้มหวานแล้วโน้มตัวลงมาแนบริมฝีปากกับหน้าผากของผมก่อนจะผละออกไปแล้วขยับเข้ามาอีกครั้งเป็นการย้ำ โอย ผมก็ทรยศความรักของเธอด้วยการคิดว่าถ้าเป็นคีนทำแบบนี้คงฟินน่าดู แม่งเอ๊ย อาการหนักจนกู่ไม่กลับแล้วครับ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคจิตอ่อนๆ เลยว่ะ

“ครับ” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วรีบดีดตัวออกจากตัก ขยับเข้าไปหอมแก้มแม่ทั้งข้างซ้ายและขวาก่อนจะรีบวิ่งขึ้นบันไดเพื่อทำเวลาในการเก็บเสื้อผ้า เพราะตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกาถึงเลขสองแล้ว แม่งๆๆๆ อิจฉาไอ้สัดปอมเว้ย ระวังไว้เถอะ จะยึดห้องมันเป็นของตัวเองให้หมด หึ!

ตอนนี้ผมกลับมาถึงคอนโดไอ้ปอมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นสบายๆ แต่เปล่าเลย ไม่รู้ว่าอาการเกร็งจนตะคริวแดกขานี่มันมาได้ยังไงวะ เสือกเป็นเอาตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องคีนด้วยสิ เนี่ย เมื่อไหร่กูจะมีราศีน่ามองเหมือนคนอื่นบ้าง ทุเรศทุรังสุดๆ

“เป็นเชี่ยอะไรเนี่ยไอ้บ๊วย?” ไอ้ปอมที่อยู่ข้างกันถามขึ้นด้วยความสงสัยจนหัวคิ้วขมวดฉับ หน้าตามันบิดเบี้ยวเมื่อเห็นท่าทางของผมเพราะยืนพิงกำแพงแล้วเอาแต่นวดขาพลางส่งเสียงอูยไม่ขาดสาย เจ็บแบบน้ำตาเล็ดอะมึง โอย ทรมานสัดๆ จะเหยียดขาให้ตรงก็ปวด อุปสรรคความรักเยอะจังวะ

“ตะคริวแดก เจ็บสัด” ผมบ่นเหมือนหมีกินผึ้งก่อนจะผละตัวออกจากกำแพงมายืนตรงๆ เมื่อเริ่มหายปวด สำรวจมองเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองอีกครั้งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเตรียมตัว... เคาะประตู เออ แค่นั้นล่ะ

“เกร็งเชี่ยไรขนาดนั้น? แค่จะชวนเขาไปกินข้าวไม่ได้ขอเป็นแฟนเว้ย” ไอ้ปอมเกรี้ยวกราดใส่พร้อมส่งกำปั้นมาเคาะหัวผมเต็มๆ แม่ง เบลอไปชั่วขณะจนไม่สามารถโต้ตอบกลับได้ ก็ถูกอย่างที่มันพูด แต่ถ้าคีนเป็นผู้หญิงอะไรๆ คงง่ายกว่านี้ปะวะ ถ้าผมเผลอออกตัวแรงเกินไปแล้วโดนยำตีนขึ้นมาจะว่ายังไง ถึงเขาจะไม่แสดงท่าทีรังเกียจพี่เซียนก็เถอะ

เอาอีกแล้ว ทำไมกูต้องคิดฟุ้งซ่านเรื่องคนอื่นด้วยวะ โอย เนี่ย ก็เป็นซะแบบนี้ เลิกกังวลคู่แข่งไม่ได้สักที ชอบเอาตัวเองไปเทียบกับพี่เซียนทั้งที่เป็นคนละคนกัน เฮ้อ แต่ผมไม่มีอะไรดีไง เลือกเรียนเอกถ่ายภาพแต่ใช้เป็นแค่กล้องโทรศัพท์ ส่วนอีกฝ่ายเรียนสัตวแพทย์เอก Exotic Pet คือโคตรเจ๋ง บ่อน้ำตาจะแตกเว้ย

“มึงไม่รู้อะไร การเริ่มต้นนี่ล่ะยากที่สุด” ผมดึงดราม่าก่อนจะทอดสายตามองบานประตูที่กั้นระหว่างตัวเองกับคีนเอาไว้ หรือว่าจะถอยไปตั่งหลักก่อนดีวะ วันนี้สภาพร่างกายกับสมองยังไม่ดีสักเท่าไหร่ อาการแฮงค์ยังคงเหลือบ้างประปรายเพราะรู้สึกปวดหัว เอ๊ะ ปวดท้องนิดๆ ด้วย อืม... กูว่าคงเครียดลงกระเพาะมากกว่า เฮ้อ

“เออๆ ขี้เกียจเถียง แต่กูอยากรู้แค่ว่าเมื่อไหร่มึงจะเคาะประตูสักที เดี๋ยวขอเวลาทำใจ เดี๋ยวตะคริวแดก นี่มันสิบนาทีแล้วนะเว้ยที่ยืนตรงนี้ ชาวบ้านจะหาว่าเป็นพวกโรคจิตถ้ำมองได้” ไอ้ปอมบ่นยาวยืดไม่พอยังเท้าเอวเหมือนคนแก่บ่นลูกหลานไม่มีผิด ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะละสายตาจากบานประตูเพื่อมองหน้าเพื่อนผู้ประเสิฐ จากนั้นก็ใช้นิ้วมือดีดเข้าที่ติ่งหูมันแรงๆ

“บ่นอะไรยืดยาววะ เป็นพ่อกูหรือไง?”

“สัด นี่กูมาเป็นเพื่อนมึงนะไอ้กิม” มือลูบติ่งหูส่วนปากก็ด่าปาวๆ เห็นแล้วน่ารำคาญอยากถีบมันให้ปลิวออกนอกโลก แต่ทำไม่ได้เพราะยังต้องพึ่งพาไอ้ปอมอีกเยอะ อย่างหนึ่งที่สำคัญเลยคือห้องพัก เดี๋ยวแม่งไม่ให้อยู่ด้วยจะแย่เอา

“เออๆ จะเคาะแล้วนะ” อะ นี่เห็นแก่เพื่อนนะเว้ย ไม่อยากให้ยืนรอนาน แต่พอกำหมัดจะเคาะลงบนประตูก็รู้สึกตัวสั่นใจสั่นยังไงไม่รู้ ไอ้แค่จะเจอหน้าเขามันต้องตื่นเต้นปานนี้เลยเหรอวะไอ้กิม! เป็นเอามาก โอย เพลียจิต

“เออ สักทีเหอะ เมื่อยแล้วเนี่ย” ไอ้ปอมพยักหน้ารับส่งๆ ก่อนจะเบี่ยงตัวไปยืนพิงกำแพงแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดเล่น ผมละสายตาจากเพื่อนกลับมาสู่ปราการไม้ สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกความกล้า กำปั้นถูกยกขึ้นอยู่ในตำแหน่งเตรียม อืม... แล้วมันต้องเคาะกี่ครั้งวะ ฉิบหาย เรื่องแค่นี้กูจะเอามาเครียดทำไม!

“เอาล่ะนะ”

“เออ”

“ไม่ไหวว่ะ”

“ไอ้เชี่ยนี่! มา เดี๋ยวกูเคาะ...” ไอ้ปอมผลักผมออกจากหน้าประตูแล้วยกมือขึ้นเตรียมเคาะ แต่คนด้านในกลับทำในสิ่งนั้นก่อน ใบหน้าขาวๆ ติดงัวเงียแถมด้วยการมัดจุกน้ำพุบนหัวโผล่ออกมา ดวงตารีเบิกกว้างเพราะตกใจไม่ต่างกัน โห ทำไมน่ารักขนาดนี้ ฉิบหาย หัวใจเต้นแรงมากโดนคีนดาเมจเต็มๆ เลยว่ะ อื้อหือ ขาโคตรขาว น้ำลายจะไหล อุบ... ยกมือขึ้นปิดปากแม่ง เดี๋ยวถูกหาว่าเป็นโรคจิต

“เฮ้ย!” นั่นเสียงไอ้ปอมตกใจโอเว่อร์เหมือนเจอสิ่งลี้ลับ มันถอยกรูดมาหลบอยู่ด้านหลังผมแล้วส่งยิ้มแหยไปให้เจ้าของห้อง เกือบชะตาขาดแล้วไหมล่ะมึง ถ้ากำปั้นนั้นเคาะเข้ากับหัวคีนล่ะก็... กูกระทืบแน่ เอาให้เละที่บังอาจมาทำสุดที่รักของไอ้กิม

“ตกใจอะไร เราเป็นคนนะไม่ใช่ผี” หลังจากที่คีนปรับอารมณ์ได้ก็พูดเสียงกลั้วหัวเราะพลางมองผมกับไอ้ปอมสลับกัน ดวงตารีฉายแววแปลกใจที่เห็นเราทั้งสองอยู่ตรงนี้ เออ ถ้าเป็นผมก็คงรู้สึกไม่ต่างกันว่ะ

“อะ เอ่อ โทษทีๆ ตกใจไปหน่อย” ไอ้ปอมยิ้มแหยก่อนยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ส่วนผมก็ได้แต่ยืนเก็บสีหน้าและอารมณ์ดีใจที่ได้พูดคุยกับคีนนอกมหา’ลัย มันเหมือนได้ความเป็นส่วนตัวและพิเศษมากกว่า หึ ชนะพี่เซียนไปอีกขั้นปะวะ แต่เชื่อเถอะว่าเขาคงเคยเหยียบห้องนี้เพราะชมจันทร์มาแล้ว ขอตัวไปหลบมุมร้องไห้แปปนึง ฮึก

“แล้วนี่... คีนกับปอมมาทำอะไรหน้าห้องเรา?” คำถามเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงไม่กดดันกับท่าทางเอียงคออย่างสงสัยทำให้ผมต้องเม้มปากแน่น ไม่ได้เตรียมตัวมาตอบเรื่องนี้ จะให้เอ่ยปากชวนกินข้าวเลยก็ดูแปลกๆ ปะวะ ทำไมการเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างมันถึงได้ยากขนาดนี้หนอ บอกว่าอยากจีบตรงๆ คงโดนตั้นหน้าแหกชัวร์ เนียนไปแล้วกันไอ้กิมเอ๊ย คนกากอยากจีบคนดังก็ลำบากงี้ล่ะ

“คือเรารู้จากไอ้ปอมว่าคีนย้ายมาอยู่ข้างห้องมันก็เลยจะมาทักทายน่ะ” นับถือใจตัวเองเลยที่นึกประโยคแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี ถ้าคุมสติไม่อยู่คงโผล่งออกไปว่ามาชวนกินข้าวตรงๆ ลองนึกดูว่าคีนจะตกใจแค่ไหนที่โดนจู่โจมแบบนั้น

“อ๋อ... แล้วกิมพักอยู่กับปอมเหรอ?” คีนพยักหน้ารับหงึกหงักแล้วยิงคำถามต่อด้วยดวงตาใสซื่อ มือเรียวยกขึ้นจับจุกน้ำพุไปมาจนผมอยากดึงมาฟัด ทำไมน่ารักได้ขนาดนี้วะ ขนาดไอ้ว่านตัวเล็กๆ แก้มแดง นิสัยมุมิกว่านี้ยังไม่รู้สึกอะไรด้วยเลย โธ่ คนไม่ใช่ก็คือไม่ใช่สินะ

“มันเพิ่งย้าย... อื้อ!” ไอ้สัดเอ๊ย ผมรีบหันไปตะครุบปากไอ้หมาปอมดังปึกจนมันร้องโวยวายแถมหยิกแขนจนเล็บจิกลงไปในเนื้อแต่ด้วยความที่กลัวว่าความลับจะแตกเลยไม่ยอมปล่อย ผมหันไปฉีกยิ้มหวานรีบอธิบายคีนที่ขมวดคิ้วฉับทันที แม่ง กระโตกกระตากมากไปเดี๋ยวไก่ตื่น!

“ใช่ๆ เราพักอยู่กับไอ้ปอมนี่ล่ะ แต่อาทิตย์นี้กลับไปนอนค้างที่บ้านมาเลยเพิ่งรู้” หูย อยากทำโล่โกหกเก่งให้ตัวเองชะมัดเลย เนียนจนไอ้ปอมถึงกับลงทุนอ้าปากกัดมือเลยเหอะ สัดเอ๊ย เจ็บ!

“อ๋อ ก็เลยเพิ่งรู้ว่าเราเป็นเพื่อนข้างห้องสินะ” คีนคลี่ยิ้มหวานให้ก่อนจะเปลี่ยนอริยาบถเป็นพิงกรอบประตูแล้วอ้าปากหาวหวอดโดยไม่ใช้มือปิด โอ้โห ทำไมเป็นธรรมชาติขนาดนี้วะ โคตรมีความเป็นส่วนตัว แล้วไอ้หน้าตางัวเงียเนี่ยรู้สึกถึงความโมเอะมากๆ คิดดูสิครับว่าผมต้องเก็บอารมณ์อยากขย้ำเขาไว้มากแค่ไหน ฮึ่ย!

ผมพยักหน้ารับคำของเขาก่อนจะโดนไอ้ปอมกระทุ้งศอกใส่สีข้างจนรู้สึกเจ็บแปลบ แอบหันไปแยกเขี้ยวใส่มันเป็นการข่มขู่เพราะตอนนี้ยังไม่สามารถตอบโต้ได้ เดี๋ยวก่อนเถอะ

“ไอ้ตอแหล” ด่ากูอีก เดี๋ยวจำไว้ทบต้นทบดอกทีเดียว หึหึ

“ยุ่ง” ผมกระแทกเสียงด่ามันก่อนจะหันกลับไปปั้นหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในขณะที่คีนหันหลังให้พวกเราเพื่อสนทนากับกระต่ายในกรง ชมจันทร์อย่างนู้น ชมจันทร์อย่างนี้ เดี๋ยวพ่อจับถอนขนย่างกินซะเลยนี่

“คีนกินข้าวเที่ยงหรือยัง?” ผมตัดสินใจเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้เป็นปกติทั้งที่หัวใจเต้นแรงอย่างกับไปวิ่งมาสักห้ากิโลฯ คีนชะงักการคุยกับเจ้าขนปุยแล้วหันกลัยมาเผชิญหน้า คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเหมือนได้ฟังเรื่องแปลกประหลาด จะชวนกินข้าวครับไม่ได้ขอจีบแบบตรงๆ สักหน่อย

“หืม นี่มันบ่ายสองแล้วนะกิม” คีนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือสลับกับหน้าผมที่ตอนนี้แสดงอาการเอ๋อแดกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เออว่ะ ปกติคนเรากินข้าวตอนเที่ยงนี่เนอะ บ่ายสองใครจะมารออยู่เล่า โอย นั่นไง พลาดจนได้ มัวเสียเวลาเถียงกับไอ้กิม กลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าอีก เคลียร์กับแม่ด้วย โธ่ เครียดแม่ง

“อ่า นั่นสิวะ เราลืมดูเวลาไปเลย” ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ พลางยิ้มแหยให้คีนที่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ส่วนไอ้กะปอมกลับยืนเล่นเกมอยู่ด้านหลังไม่สนใจห่าเหวอะไรทั้งสิ้น นี่กูให้มาช่วยพูดกับเขาไม่ใช่เหรอไง รู้แบบนี้ไม่เอาก้างอย่างมึงมาด้วยหรอก เสียเวลาชะมัด

“จะชวนเราไปกินข้าวเหรอ?” เอ๊ะ... ไอ้รอยยิ้มหวานๆ กับคำถามเชิงรู้ทันนี่มันยังไงกันวะ แล้วผมจะเขินทำไมเนี่ย โอ๊ย สกิลต้านทานคีนต่ำจนน่ากลัวเกินไปแล้วเว้ย

“อ่า ใช่ครับ แต่ไม่เป็นไรนะ ไว้คราวหน้าก็ได้” ผมทำตัวเป็นคนดีเพราะไม่อยากให้คีนลำบากใจแต่กลับโดนไอ้ปอมบ่นพึมพำว่าโง่เง่าเต่าตุ่น

“เราไปด้วย”




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 5 -P.1- 18/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 18-07-2018 19:01:01
“หา?” ผมกับไอ้ปอมร้องออกมาพร้อมกันแล้วมองหน้าคีนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ก็ไหนว่ากินข้าวแล้วไงวะ หรือกำลังอ่อยกัน เอ... อย่าสนใจเลย ผมคงมโนไปเอง

“อยากออกไปเดินเล่นน่ะ แต่ขี้เกียจขับรถ”

อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง เอาวะ ความขี้เกียจของคีนคือความฟินของเรา ยอมเป็นสารถีให้หนึ่งวันเต็มเลย หึหึ แต่ผมคงเผลอทำหน้าตาโรคจิตไปหน่อยไอ้ปอมเลยสะกิดต้นแขนเตือนสติ

“อ๋อ งั้นไปกันครับ” ผมรับคำด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความดีใจ ต้องเก่งแค่ไหนถึงสามารถข่มอารมณ์ได้ขนาดนี้ โอย ชมตัวเองก็เป็นเว้ยกู สุดยอด

“อื้อ เราขอไปเปลี่ยนกางเกงก่อนนะ จะเข้ามารอข้างในปะ?” คีนพยักพเยิดไปทางด้านในของห้องเป็นการเชิญชวนแต่ผมป๊อดเกินกว่าจะตอบตกลงเพราะกลัวว่าถ้าเข้าไปแล้วคงไม่อยากออก อีกอย่างคือไอ้กางเกงขาสั้นเนี่ยไม่เปลี่ยนก็ได้มั้ง ถ้านั่งข้างกันก็อยากทำเนียนจับๆ ลูบๆ อยู่เหมือนกัน อูย เริ่มรู้สึกคัดจมูกแฮะ สงสัยเลือดกำเดามา

“เอ่อ เรารอตรงนี้ดีกว่า” แอบหลบหน้าแล้วใช้นิ้วถูปลายจมูกเพราะกลัวว่าคีนจะได้ยินเสียงหายใจหอบถี่ คิดอกุศลทีไรเป็นแบบนี้ทุกที โอย กูจะหื่นน้องชายจะแข็งตอนนี้ไม่ได้นะ

“โอเค” คีนหันกลับหลังเข้าห้องพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โล่งอกที่สามารถเอ่ยปากชวนได้สำเร็จ แต่พอหันไปหาไอ้ปอมก็ต้องขมวดคิ้วฉับเพราะมันถลึงตาใส่กันอย่างกับผมเอาขี้หมาป้ายหัว เป็นเชี่ยอะไรอีกเนี่ย

“ไอ้เชี่ยกิม ทำไมไม่บอกให้คีนชวนโฮมด้วยวะ?” มันถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดทำหน้างอง้ำใส่เหมือนผมพลาดเรื่องสำคัญในชีวิต กูจะไปตรัสรู้ไหมว่ามึงอยากให้โฮมไปด้วยกันเนี่ย ก็บอกว่าไม่ชอบเขาไม่ใช่เหรอวะ ไอ้นี่ย้อนแย้งฉิบหาย

“ไหนบอกไม่ได้คิดอะไรกับโฮม?” ผมหรี่ตามองพลางขยับเข้าไปใกล้เพื่อจ้องตาไอ้คนปากแข็ง มันถอยหลังพร้อมไหวไหล่ไม่ใส่ใจแต่กลับเบนหน้าหนี แม่ง มีพิรุธเห็นๆ เด็กอนุบาลมันยังรู้เลยว่ามึงคลั่งไคล้โฮมมากแค่ไหน ถ้ากูรู้ว่าใครชอบเขาจะยุให้จีบๆๆ เอาให้ไอ้ปอมดิ้นแด๋วๆ เป็นไส้เดือนเลย

“ก็ไม่ได้คิดไง แต่มึงไปกับคีนแล้วต้องเลิกสนใจกูแน่ๆ ไม่อยากเป็นหมาหัวเน่าปะ? สมองมีก็คิดดิคิด” ทำเป็นสอนกันไม่พอยังใช้นิ้มจิ้มหน้าผากกันอีก ผมปัดป่ายออกด้วยความรำคาญก่อนจะเบ้ปาก วันนี้หมั่นไส้ไอ้ปอมไม่รู้กี่รอบแล้ว เฮ้อ ช่างแม่ง หัวใจใครหัวใจมันดูแลเอาเองเถอะ เหนื่อยจะคาดคั้น

“สัด ลื่นกว่าปลาไหลก็มึงนี่ล่ะไอ้กิ้งก่า” ผมสบถด่าในขณะที่มันก็ทำท่าทางสบายๆ เหมือนไม่ทุกข์ร้อน เอาเถอะ ไอ้ปอมคงเป็นประเภทจู่โจมทีเดียวแล้วตะครุบเหยื่อได้เลยอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง

“เออน่า อย่าลืมชวน” มันย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงข่มขู่แต่ทำเหมือนไม่ใส่ใจด้วยการเล่นเกมในโทรศัพท์อีกครั้ง มันน่าออกปากชวนให้ไหมล่ะหืม เกลียดแม่ง

“ทำไมไม่บอกเองวะ?”

“จะเล่นเกม ไม่ว่าง” กลับไปนอนฉีกไข่เล่นในห้องนู่นไป น่ารำคาญฉิบหาย!

“ไอ้ซึนเอ๊ย หมั่นไส้”

ผมยืนพิงกำแพงพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องไอจีไปเรื่อย ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นน้ำหอมยี่ห้อดัง ต่อมาคือสายตาเหลือบมองเห็นกางเกงยีนส์ขาเดฟที่ขาดตั้งแต่ด้านบน ถัดลงมาที่หัวเข่า โอย ขาวไปหมด หัวใจเต้นแรงโคตร คีนอ่อยไม่อ่อยไม่รู้แต่อยากกระชากทิ้งฉิบหาย โอย ใจเย็นนะลูกพ่อ Calm down จ้า

“ไปกันครับ” หูย พูดเพราะด้วยอะ เสียงครางจะเพราะกว่านี้ปะ แม่ง บ้าเพ้อพกจนคีนเดินนำไปนู่นแล้ว ผมรีบสาวเท้าตามเพื่อรั้งเขาไว้เพราะคำขอร้องของไอ้ปอม

“เดี๋ยวๆ” ผมเอ่ยรั้งส่วนคีนก็ชะงักเท้าแล้วหันมาเลิกคิ้ว

“หือ?”

“เอ่อ ชวนโฮมไปด้วยกันก็ได้นะ” ทำไมเสียงกูต้องสั่นๆ เหมือนวางตัวไม่ถูกด้วยวะ เดี๋ยวคีนก็เข้าใจผิดอีกว่าชอบโฮม อะ... นั่นไง ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่กูแล้วเนี่ย โธ่เว้ย เพราะไอ้หมาปอมคนเดียวเลย เมื่อไหร่จะจีบเขาติดล่ะ ฟัคยู!

“ฮันแน่ ไหนบอกว่าไม่ได้ชอบโฮมไง”

ก็ใช่ไงครับ ผมชอบคีนอะ ชอบคีน!

“ก็เผื่อคีนอึดอัดที่ต้องไปกับพวกเรา” จ้า ปากผมมันไม่กล้าพูดไง เฮ้อ แล้วได้คนที่ชอบโฮมมันก็เอาแต่ตีป้อมจริงๆ ด้วย ไม่สนใจชาวบ้านเขาเลย นี่ถ้ากูดักขามึงคงล้มคะมำ

“หึหึ เดี๋ยวเราโทรชวนให้แล้วกันเนอะ” อะ คีนบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะทิ้งให้ผมยืนอ้าปากพะงาบๆ อยู่กลางทางเดินโดยมีไอ้ปอมที่เพิ่งเงยหน้าเอ๋อๆ ขึ้นจากโทรศัพท์ คงไม่ได้ฟังว่าเราคุยอะไรกัน

“อ่า... โอย ไอ้เชี่ยปอม คีนเข้าใจกูผิดอีกแล้ว เวรๆๆๆ” ผมโวยวายก่อนใช้กำปั้นไล่ต่อยไอ้ปอมอย่างไม่คิดชีวิต มันวิ่งปรู๊ดไปยืนหอบอยู่หน้าลิฟท์ยกมือขึ้นเป็นปางห้ามญาติแล้วค่อยๆ พูดด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น

“มึงอะคิดมาก รีบ แฮ่ก วิ่งตามคีนไปเหอะ เดี๋ยวหมาคาบไปแดกระหว่างทางนะ”

“ไอ้ปากหมา!” เออ แต่ผมก็เชื่อมันนะ รีบวิ่งลงบันไดทั้งทีลิฟท์ก็ว่าง โอ๊ย สติไหมสติ กูเนี่ยต้องไปเช็คสมองแล้วเหอะ!

พอถึงลานจอดรถผมก็ทิ้งตัวลงนั่งยองๆ เพื่อโกยอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย สภาพน่าเกลียดยิ่งกว่าหมาซะอีก ลิ้นห้อยแถมหมดเรี่ยวแรงแทบกองไปอยู่กับพื้นแต่ดีหน่อยที่คีนยังแวะคุยกับเพื่อนที่หน้าล็อบบี้เลยยังพอมีเวลาจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูดี แฮ่ก ต้องหาน้ำหอมมาฉีดหน่อยแล้ว เหม็นเหงื่อฉิบหาย

จัดการตัวเองเรียบร้อยก็นั่งเปิดแอร์เย็นๆ เพื่อรอคีนที่ส่งข้อความมาว่าขอเวลาห้านาที ส่วนไอ้ปอมแวะเข้าห้องน้ำเพราะเสือกแดกมะม่วงดองเป็นของรองท้อง ผมฮัมเพลงอย่างมีความสุขเมื่อนึกว่าจะได้ตุ๊กตาหน้ารถเป็นเขาคนนั้น ฮึ่ย อยากให้นั่งคู่กันทุกวันเลยน้า เฮ้อ ฝันเฟื่องจริงๆ เลยกู

กึก

เสียงเปิดประตูรถทำให้ผมรีบหันไปมองแต่ต้องผิดหวังเมื่อหน้าหมาๆ กับร่างยักษ์ๆ สอดตัวเข้ามานั่งข้างกันด้วยสภาพเหงื่อไหลตามไรผม นี่สาบานว่ามึงไปขี้ไม่ใช่ยืนตากแดดหน้าคอนโด กลิ่นตัวคลุ้งจนต้องโดยนขวดน้ำหอมให้ แต่เดี๋ยวก่อนสิวะ มึงจะนั่งข้างหน้าทำไมเนี่ย!

“ไอ้ฟายปอม มึงกระแดะมานั่งหน้าทำไม?” ผมกระชากเสียงถามก่อนจะมองด้วยสายตาไม่พอใจ มันชะงักมือทีากำลังเอื้อมหยิบทิชชู่แล้วหันมาเลิกคิ้วใส่

“ถ้าให้คีนนั่งกับมึงมันไม่แปลกเหรอ?” อะ พูดแทงใจไม่พอยังเสือกยักคิ้วจึกๆ กวนตีนกันอีก เออ ผมเถียงไม่ออกเลยทำได้แค่ส่งเสียงหายใจฟึดฟัดออกไป

“โอย แม่ง จะทำอะไรก็ทำ!”

หลังจากโวยวายใส่ไอ้ปอมไปแล้วอีกคนก็เดินมาเปิดประตูด้านหลังแล้วสอดตัวเข้ามานั่งเหมือนรู้ตำแหน่งดีอยู่แล้ว ผมเหลือบมองเขาผ่านกระจกก่อนจะเหยียบคันเร่งออกรถไปด้วยความรู้สึกหัวใจพองโต ก็คีนคว้าไอ้ตุ๊กตาหมาหูขาวสีขาวจั๊วะ (Cinnamoroll) กอดแนบอกด้วย ฮึ่ย กลิ่นติดแน่ๆ ฟืด

“กิม” อยู่ๆ คีนก็เรียกชื่อผมขึ้นมา มันเป็นเสียงที่ไพเราะจนอดยิ้มไม่ได้ แต่คงแสดงอาการหลงมาไปหน่อยเลยโดนไอ้ปอมเบอะปากใส่ หึ คนไม่มีความรักไม่มีวันเข้าใจหรอก

“หืม?” มีความเก๊กขรึมครับ เอาให้หล่อในสายตาคีนบ้างเหอะ

“เดี๋ยวโฮมไปด้วย ให้เจอกันที่ไหน?” คีนยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ จนผมแทบกระอักเลือดตายเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ปะทะเข้ากับใบหู แต่คนที่อาการหนักกว่าเห็นจะเป็นไอ้ปอมเพราะมุมปากมันกระตุกยิกๆ จะยิ้มก็ยิ้มเหอะถ้ามันบังคับยากเย็นจนหน้าเหมือนปลาตีนขนาดนั้น

“เอ่อ ห้าง S ก็ได้” เชี่ย คิดได้สดๆ ร้อนๆ เลยเนี่ย ที่จริงอยากพาไปร้านอาหารริมแม่น้ำมากกว่าแต่มันดูจงใจเหมือนการเดามากเกินไป โธ่ เอาไว้คราวหน้าเนอะ แค่สองต่อสองใต้แสงเทียนยิ่งดี โอ๊ย มโนครับๆ

“ดีเลย เราจะได้ไปดูเลนส์กล้องตัวใหม่ด้วย” คีนส่งยิ้มให้ก่อนจะกลับไปพิมพ์อะไรยิกๆ ในโทรศัพท์ เดาว่าคงส่งที่นัดหมายให้โฮมแน่นอน ผมก็กะว่าจะสนใจถนนต่อแต่เมื่อครู่คำว่า ‘กล้อง’ มันสะกิดใจจนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ วิธีพัฒนาความสัมพันธ์อย่างแนบเนียนนั่นเอง หึหึ

“คีน...”

“ว่า?” ตอบรับทันทีโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ ผมยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจเพราะไม่อยากให้คีนจับความรู้สึกตัวเองได้

“ไว้ว่างๆ ช่วยแนะนำเรื่องกล้องให้เราหน่อยดิ” หาประโยชน์จากความชอบของคีนคงไม่เลวเกินไปใช่ไหมครับ? แต่ที่แน่ๆ คือผมไม่ถนัดเรื่องกล้องอย่างจริงจังจนคนอื่นบอกว่าต้องซิ่วในปีสองแน่นอน เรื่องอะไรมาแช่งกูล่ะวะ อุตส่าห์บังเอิญได้เรียนกับคนที่แอบชอบขนาดนี้มันก็ต้องดิ้นรนหาความรู้ใส่สมองและพยายามฝึกฝนตัวเองสิ อย่าดูถูกใครโดยที่ไม่รู้จักเขาจริงๆ

“อ๋อ ได้ดิ” คีนรับคำเสียงใสแล้วส่งยิ้มผ่านกระจกมองหลังมาให้ผม อื้อหือ ดาเมจแรงมากจนเกือบเผลอเหยียบเบรกเลยให้ตายเถอะ วันนี้ใช้คำว่าน่ารักโคตรเปลืองเลย ขอเปลี่ยนเป็นน่าฟัดบ้างแล้วกันเนอะ

ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะสานสัมพันธ์ไปอีกนิดหรือเปล่า คิดตลบหน้าตลบหลังจนได้คำตอบแล้วว่าต้องลองดูสักตั้ง สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกขวัญกำลังใจ ฮึบ เอาล่ะนะ!

“งั้นขอไลน์...”

Rrrrr

สัด เสียงโทรศัพท์ใครดังวะ โอ๊ย นรกชังหรือสวรรค์แกล้งเนี่ย ฮือ ไอ้กิมอยากผูกคอตายด้วยเยลลี่ตัวหนอน!

“ครับพี่เซียน”

ฉึก โอ้โห ผมก็คิดว่าตัวเองชนะไอ้อดีตเดือนมหา’ลัยนั่นมาตลอดหลายชั่วโมงนี้ แต่ที่ไหนได้พี่มันกลับโทรมาหาคีน! ไอ้ฉิบหายเอ๊ย กูอยากเอาหัวโขกพวงมาลัยประชดชีวิตรักจริงๆ ฮึก น้ำตาจะไหลแล้วเนี่ย

“อุ๊ย ศัตรูหัวใจก็มา” ไอ้ปอมถึงกับเอียงตัวเข้ามากระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงทะเล้นแถมด้วยยิ้มล้อเลียนความผิดพลาดของผม โอ๊ย เพื่อนเชี่ย เกลียดหน้ามึง!

“ยุ่งจริง นั่งเงียบๆ ไป!” เกรี้ยวกราดใส่ตามด้วยตบหัวมันไปทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด เดี๋ยวถึงห้างเมื่อไหร่กูจะแย่งโฮมมาจากมึง จังหวะนี้ไม่สนเรื่องคีนแล้ว ขอสะใจไว้ก่อนเป็นพอ!




------------------------------------------------

น้องกิมคนกากเริ่มเนียนจีบคีนแล้วนะ
ก็เหลือแต่น้องกะปอมคนซึนนี่ล่ะ ไม่รู้เมื่อไหร่จะยอมรับสักที
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 5 -P.1- 18/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-07-2018 09:54:55
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 6 -P.1- 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-07-2018 21:23:17
รูปถ่ายใบที่ 6



ผมค้นพบว่าห้างสรรพสินค้าในวันหยุดเหมือนนรกบนดิน ที่จอดรถหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ร้านอาหารคนรอคิวยิ่งกว่าได้ไฮทัชกับดารา ส่วนจำนวนผู้คนไม่ต้องพูดถึงเพราะเดินสวนกันยังต้องสไลด์ข้างเอา จะแออัดอะไรมากมาย แต่ข้อดีมันอยู่ตรงที่คีนขยับเข้ามาใกล้กันจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ นี่ล่ะ โอย ฟินยันปีหน้าเลย ถ้าแอบดมนิดหน่อยได้ไหมวะ แม่ง โรคจิตเกินไปแล้วจ้า พอๆ เลิกฟุ้งซ่าน

กว่าจะฝ่าฝูงชนออกมาสูดอากาศหายใจอยู่หน้าร้านบุฟเฟ่ต์ชื่อดังได้ก็แทบตาย ไอ้ปอมถึงกับบ่นเป็นหมีกินผึ้งเพราะโดนจับตูดในช่วงชุลมุน ผมกับคีนกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด สงสารแต่ก็ขำมากกว่า คนบ้าอะไรซวยได้ซวยดี เมื่อคืนระหว่างที่มันไปเข้าห้องน้ำในร้านเหล้าก็ถูกกะเทยร่างยักษ์ลวนลามด้วยสายตา ถ้าผมไปช้าอีกนิดคงมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ

“ตกลงจะกินบุฟเฟ่ต์ชาบูกันใช่ปะ?” คีนเอ่ยถามแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางป้ายร้านขนาดใหญ่ ผมพยักหน้ารับพร้อมๆ กับไอ้ปอมเพราะตอนนี้หิวจนแทบเขมือบช้างได้ทั้งตัว กินอย่างอื่นคงล้มละลายแน่ นี่มันบ่ายสามแล้ว แดกทีเดียวควบเช้าเที่ยงเย็นเลยนับว่าดี... ดีก็เหี้ยแล้ว โรคกระเพาะจะมาเยือนเอา

“งั้นกิมกับปอมเข้าไปในร้านก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเรารอโฮมเอง” คีนคลี่ยิ้มก่อนหยิบโทรศัพท์ออกมากดต่อสายหาใครคนหนึ่งซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นโฮมที่ยังไม่เห็นวี่แวว ผมไม่ได้รับคำเพราะอยากอยู่กับเขามากกว่าอยู่กับไอ้ปอมที่เอาแต่เล่นเกม นี่มึงมาเที่ยวช่วยให้เกียรติเพื่อนร่วมทางบ้างเหอะ คุยกับพวกกูหน่อยก็ได้ ป้อมไม่หายไปไหนหรอกจ้า เดี๋ยวตบหัวแม่ง ชักหมั่นไส้ตงิดๆ แล้ว

“เฮ้ย เดี๋ยวรอเป็นเพื่อน ค่อยเข้าไปพร้อมกัน” ผมโบกมือปฏิเสธแล้วพูดสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ก่อนขยับหลีกทางให้คนกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปภายในร้าน คีนตวัดสายตามองกันด้วยความแปลกใจพลางย่นคิ้วทำหน้าเครียดใส่ จริงจังอะไรเบอร์นั้น แค่อยากรอเป็นเพื่อนเฉยๆ ไม่ได้รอเป็นแฟนสักหน่อย (มุกไม่ฮาพาปวดอึ)

“กิมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงนี่ เดี๋ยวเป็นลมพอดี”

ที่พูดออกมาแบบนั้นคีนได้คิดบ้างปะวะว่าทำให้ผมแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ มันเหมือนเขาใส่ใจและเป็นห่วงกันอะไรทำนองนั้นเลย โอย ขอทดสอบอีกสักนิดเพราะกลัวมโนไปเองแล้วหน้าจะแตกละเอียด

“เราแข็งแรงน่า รอได้สบายมาก” ผมคลี่ยิ้มกว้างก่อนจะตีแปะๆ ลงบนหน้าท้องแน่นเพื่อโชว์ว่ายังไหวทั้งที่ตอนนี้ปวดมวนท้องไปหมด หิวจนจะเลิกหิวแล้วเว้ย ไอ้สัดปอมก็เอาแต่ส่งเสียงฮึดฮัดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับเกมอยู่ได้ เดี๋ยวกูถีบลงสระบัวเลยแม่ง มึงควรออกตัวขอรอโฮมแทนหรือเปล่าวะ กูกับคีนจะได้เข้าร้านไปสวีทกันสักที ไม่รู้งานเลยไอ้หมา! อ้อ ลืมไป มันไม่ได้พิศวาสเขานี่เนอะ หึ

“อย่าดื้อดิ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะ” คือคีนทำเสียงดุแถมทำหน้ายุ่งเหยิงใส่กันพลางชี้มาที่หน้าท้องของผม ท่าทางน่ารักนั่นตราตรึงอยู่ในสมอง โอย อยากกระชากแขนเข้ามาฟัดซะให้เข็ด ดาเมจเกินไปแล้ว ผมนี่กัดปากกลั้นยิ้มแทบตายทั้งยังโดนไอ้ปอมส่งสายตามองแรงอยู่ข้างๆ เดี๋ยวจิ้มตาบอดเลยนี่ สนใจอะไรกูตอนนี้ล่ะ เล่นเกมของมึงไปสิวะ

“แต่เรา...” เขาบอกว่าดื้อเราก็ต้องดื้อให้สุดสิวะ ใครจะกล้าปล่อยให้คีนยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวในเมื่อสายตาสาวๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมานั้นน่ากลัวเหลือเกิน หยุดมองไม่พอยังซุบซิบกันอีก ห้ามจีบนะเว้ย ห้ามเด็ดขาด กูจองแล้ว!

“โอย พวกคุณสองคนเลิกจีบกันเถอะครับ ผมหิวไส้จะขาดแล้วเนี่ย” ไอ้ปอมทำท่าโวยวายยกใหญ่ทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ผมแทบจะพุ่งเข้าไปบีบคอมันให้ตายๆ ไปซะ เมื่อครู่ยังตีป้อมอยู่ไม่ใช่หรือไงตอนนี้ทำมาขัดจังหวะ เดี๋ยวกูเอาคืนแน่ไม่ต้องห่วงนะเพื่อนรัก หึหึ แต่ขอด่ามันหน่อยเหอะ พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงเนี่ย ถ้าคีนไม่ชอบจะทำยังไงเล่า

“ไอ้เชี่ยปอม” ผมกัดฟันกรอดด่ามันก่อนจะลอบหยิกเอวสอบจากทางด้านหลังไม่ให้คีนเห็น ถ้าถีบได้ถีบไปแล้ว มึงจะทำให้ไก่ตื่นไม่รู้หรือยังไง กูอุตส่าห์ตะล่อมแทบตายเห็นใจกันบ้างไอ้เพื่อนเวร

“จีบที่ไหนกันเล่า รีบเข้าร้านไปเลยไป เดี๋ยวโต๊ะเต็ม” เป็นคีนที่ตอบกลับด้วยใบหน้ามู่ทู่แต่ไม่ได้ฉายแววโกรธขึงแถมยังใช้มือทั้งสองข้างดันไหล่พวกผมให้เข้าไปในร้านก่อนจะผละออกไปยักคิ้วกวนๆ เอาเป็นว่าเขาไม่เอะใจเรื่องที่ไอ้ปอมพูดและยังวางตัวปกติ เฮ้อ ค่อยเป็นค่อยไปนะไอ้กิม คนที่เขาไม่อยากมีแฟนคงออกตัวแรงๆ เพื่อจีบไม่ได้

ผมนั่งแหมะลงที่โต๊ะขนาดสี่คนซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าไปนั่งบาร์ คราวนี้ไอ้ปอมรู้งานเพราะมันย้ายก้นไปฝั่งตรงข้าม แต่มึงคิดเหรอว่าคีนจะนั่งข้างกูทั้งที่เขาคิดว่ากูชอบโฮมอะ แม่ง มันคือความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ อธิบายไปแล้วก็เหมือนเดิม ร้องไห้ได้ไหมล่ะครับ

พวกเราเลือกน้ำซุปชาบูแบบต้มยำและธรรมดา ดีหน่อยที่หม้อใครหม้อมัน อยากกินอะไรก็ตามใจเลย ผมไม่ปลื้มขึ้นฉ่ายสักเท่าไหร่เพราะกลิ่นฉุนๆ แต่ชอบผักชีมากกว่า ส่วนไอ้ปอมไม่กินเนื้อวัวเพราะบ้านมันนับถือเจ้าแม่กวนอิม พอรวมหัวแดกสุกี้ด้วยกันทีไรแทบตีกันตายประจำ คนนั้นจะเอาแบบนี้คนนี้จะเอาแบบนั้น

“แหม... หน้าบานเชียวนะป๋ากิม” ไอ้ปอมส่งเสียงกระแนะกระแหนมาให้ในขณะที่นั่งเท้าคางมองหน้ากันด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง นี่กูยิ้มตอนไหนไม่เห็นรู้ตัว มึงหิวจนตาลายหรือเปล่า อืม... จะว่าไปกลิ่นน้ำซุปโต๊ะข้างๆ หอมจังเลย น้ำลายก็มา หิว!

“อะไร? กูเปล่าเหอะ” ผมปฏิเสธเสียงแข็งเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อไปตักอาหาร พวกซูชิ เฟรนฟราย ปลาไข่ทอด เกี๊ยวซ่านี่ของโปรดเลย กินให้ร้านล้มละลายแม่ง

เดินไปหยิบจานปุ๊บหางตาก็เห็นไอ้ปอมยืนอยู่ข้างๆ แทบจะแดกหูกันอยู่ร่อมร่อถ้าผมไม่ขยับออกมาคีบซูชิใส่จาน มันตามติดชนิดที่ว่าลมหายใจรดต้นคอจนต้องหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีปัญหาอะไรนักหนา

“ไปส่องกระจกไหมล่ะมึง ปากจะฉีกถึงหูแล้ว” ยังไม่จบอีกเหรอมึงน่ะ เดี๋ยวเอาตะเกียบแทงคอหอยซะจะได้เลิกพูดมาก ผมถลึงตาใส่มันก่อนจะผละหนีไปตักเฟรนฟรายแต่ไม่วายไอ้เหาฉลามก็ตามมาอีกจนได้ คราวนี้ไอ้ปอมถึงกับใช้มือข้างหนึ่งเกาะแขนกันเอาไว้ ตกลงว่าอยากบวกใช่ไหมห๊ะ

“ยุ่งน่า” ผมสะบัดแขนไม่แรงมากนักเพราะกลัวของกินที่อุตส่าห์ตักมาหล่นกระจาย ไอ้ปอมส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจแต่ก็ยังไม่ออมผละออก เหลือบตามองอย่างรังเกียจก็แล้ว แยกเขี้ยวใส่ก็แล้วทำไมถึงได้หน้าด้านหน้าทนขนาดนี้วะ โอย กูหนีไปรอโฮมเป็นเพื่อนคีนยังดีกว่าอีก รำคาญแม่ง!

“กูว่าคีนเป็นตัวอันตรายว่ะ” อะไรของมึงอีกเนี่ย คีนก็คนธรรมดาปะวะ นิสัยดีกว่ากูซะอีก อันตรายตรงไหนไม่ทราบ

“ยังไง?” ผมหันไปมองหน้ามันเหมือนสนใจฟังแต่ที่จริงแล้วแค่ตัดความวุ่นวายเพราะไม่อย่างนั้นไอ้ปอมก็พช่ามไม่หยุดสักที เสียเวลากินรู้ไหมเนี่ย หยิบซูชิใส่ปากเคี้ยวแม่ง... อืม ฟินไข่หวานจังเลย

“อันตรายต่อหัวใจมึงไง” ต่อท้ายด้วยเสียงหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจแต่ผมกลับสำลักอาหารเพราะตกใจ

“แค่กๆ พอ!” ไอ้สัด ซูชิติดคอ!

เออ แต่ยอมรับว่าคีนเป็นตัวอันตรายสำหรับผมจริงๆ นั่นล่ะ คนอะไรก็ไม่รู้ทำให้ใจสั่นอยากประกบริมฝีปากด้วยตลอดเวลา ฮึ่ย แค่คิดก็เขินแล้ว

ผมเหลือบมองนาฬิกาสลับกับคีนที่ยังยืนรออยู่ตรงหน้าร้าน มือก็คีบเบคอนชิ้นหนาเข้าปากเคี้ยวหงุบหงับพลางจินตนาการว่าเราสองคนกำลังนั่งอยู่ด้วยกัน แต่ความเป็นจริงคือไอ้ปอมที่กำลังเทะไก่ทอดอย่างเพลิดเพลินไม่สนสายตาชาวบ้าน โอ้โห มุมปากงี้มันเยิ้มลามไปถึงข้างแก้ม ซกมกเกิน!

“เบาๆ หน่อยมึง โสโครกฉิบหาย” ผมด่าคนตรงหน้าก่อนจะหยิบทิชูชู่ปาใส่เพราะมันไม่รับฟังกันสักคำแถมให้ฟันฉีกไก่โชว์จนเศษเนื้อกระเด็นลงหม้อ เชี่ยนี่ ถ้าคีนกับโฮมมาเห็นเข้าจะยอมนั่งร่วมโต๊ะกันหรือเปล่าวะ ขนาดผมเป็นเพื่อนสนิทยังรับไม่ค่อยได้เลย

“ส่งให้ดีๆ สิวะ เดี๋ยวมันลงหม้อ!” มันค้อนประหลับประเหลือกใส่กันทั้งที่ยังมีไก่อยู่เต็มปาก ทิชชู่แผ่นเมื่อครู่ถูกขยำเช็ดคราบมันตรงแก้มลวกๆ สภาพไอ้ปอมตอนนี้ดูไม่จืดเลย ภาพลักษณ์รองเดือนหายเข้ากลีบเมฆจริงๆ

“มึงก็ช่วยกินให้มันดีๆ หน่อย เลอะเทอะฉิบหาย”

“ก็มันอร่อย” มันเถียงก่อนกระชากเนื้อไก่ออกจากกระดูกอีกครั้ง คราวนี้ชิ้นส่วนปลิวลงในแก้วน้ำเลยจ้า ดีหน่อยที่เป็นของไอ้ปอมไม่ใช่ผม ซกมกสุดๆ

“เออ เชิญมึงเต็มที่เลยครับ กูไม่ยุ่งแล้ว”

ผมปล่อยมันไปตามยถากรรมแล้วสนใจหม้อซุปของตัวเองที่ตอนนี้มีแค่เต้าหู้ปลาไส้เห็ดหอมลอยตุ้บป่องอยู่เหนือน้ำ ไม่อยากใส่เนื้อเพิ่มลงไปเพราะว่าอยากรอคีนให้มากินพร้อมๆ กัน ก็แบบอารมณ์เดทเราสามสี่คนอะไรงี้ แม่ง แต่พอเห็นหน้าไอ้ปอมก็ฝันสลาย เฮ้อ

ในจังหวะที่ผมกางตะเกียบจะคีบเต้าหู้ปลานั้นพลันจมูกก็ได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยจนต้องเงยหน้ามองว่าเขาเป็นใคร ภาพตรงหน้าทำให้มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อข้างกายคีนคือโฮม ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึงสักทีเว้ย เบื่อหน้าไอ้ปอมจะแย่แล้วเนี่ย

“หวัดดีๆ ~” โฮมคลี่ยิ้มกว้างโบกมือทักทายเราสองคนด้วยความร่าเริง ผมเห็นไอ้ปอมถึงกับรีบละทิ้งทุกอย่างหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นซับความโสโครกรวมถึงจัดเสื้อผ้าให้ดูดี ก็อีกฝ่ายเขาเล่นแต่งตัวอย่างกับคุณหนู กางเกงขาสั้นสีดำบวกกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน รองเท้าผ้าใบสีขาวล้วน โอ้โห ตัวเล็กน่ารักน่าฟัดฉิบหาย นู่นๆ ไหนจะเหล็กดัดฟันสีชมพูอีก ไอ้ผู้ชายโต๊ะมุมน้ำลายย้อยแล้วนั่น

“เอ้อ หวัดดีๆ นั่งเลย” ผมตอบรับแล้วเชิญชวนให้ทั้งสองคนเลือกที่นั่งตามสบายทั้งที่ในใจภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยลูกช้างด้วยเถิด ส่วนด้านไอ้ปอมไม่ทำอะไรนอกจากมองโฮมไม่วางตา มองแบบจะแดกเขาเข้าไปทั้งตัวอย่างนั้นล่ะ โห มึงช่วยเก็บอาการหน่อย หื่นสัด!

“คีนไปนั่งนู่นดิ” โฮมเป็นฝ่ายหย่อนก้นลงข้างไอ้ปอมก่อนจะชี้นิ้วสั่งให้คีนมานั่งข้างผม ย้ำ ข้างผม! สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วยแต่กามเทพตัวน้อยช่วยว่ะ ฮึ่ย ไหนๆ มาให้พี่กิมหอมแก้มทีสิน้องโฮม

แต่เจ้าตัวกลับขมวดคิ้วแสดงอาการไม่เข้าใจซะอย่างนั้น แถมยังยืนนิ่งไม่ยอมนั่งลงสักที โธ่ อย่าใจร้ายกับกิมมิคขนาดนั้นสิคุณคนินท์ เดี๋ยวฉุดแขนให้ล้มลงบนตักเลยนี่ มันเขี้ยวมานานแล้ว

“อ้าว โฮมไม่อยากนั่งกับกิมเหรอ?” คำถามซื่อๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากสีส้มอ่อน ผมกลืนน้ำลายข้นเหนียวลงคอดังเอื๊อกเพราะเริ่มคิดอกุศล ถ้าได้ดูดเม้มไล่เลียจะรู้สึกดีขนาดไหนวะ โอย บ้าๆ ฟุ้งซ่านแล้วแม่ง ตอนนี้ต้องโฟกัสเรื่องที่นั่งก่อนเว้ย สติ!

“ทำไมเราต้องอยากนั่งกับกิมด้วยอะ แค่เป็นคู่จิ้นในมหา’ลัยก็พอแล้วน่า” โอย รักโฮมอะ โคตรตอบได้ตรงกับความคิดของผมเลยไง ไม่ใช่รังเกียจที่จะอยู่ใกล้กันแต่ไม่ต้องเอาความเป็นคู่จิ้นมาใช้เมื่ออยู่ภายนอกมหา’ลัยก็ได้ เดี๋ยวใครคิดว่าเป็นแฟนกันจริงๆ ก็หมดโอกาสจีบคนที่ตัวเองชอบน่ะสิ

“ก็เผื่ออยากเป็นตัวจริงด้วยไง” คีนยังแซวไม่เลิกแถมยังหันมายักคิ้วกวนอารมณ์ให้ผมรู้สึกปั่นป่วนในท้อง

“โน ~ เรายกกิมให้คีนเลย” โฮมปฏิเสธเสียงสูงแถมยังยกมือขึ้นไขว้กันเป็นรูปกากบาทอย่างจริงจัง ผมหลุดหัวเราะกับท่าทางของเขาในขณะที่ไอ้ปอมลอบยิ้มพอใจ หึ อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะมึง เต็มสองตากูเลยเนี่ย

คีนที่โดนยกตัวผมให้ถึงกับเบิกตาโตใส่เพื่อนก่อนจะหันมามองกันด้วยสายตาขำขัน เขาคงเห็นเป็นเรื่องตลกที่อยู่ๆ เพื่อนก็ยกผู้ชายตัวโตให้เป็นสมบัติ ผมรู้สึกนอยด์ๆ แต่ก็ฝืนยิ้มตอบกลับไป โธ่ ต้องพยายามอีกเยอะเลยสินะกว่าเขาจะรู้ตัวเนี่ย ฮึบ สู้โว้ย!

“โห ถามเจ้าตัวก่อนเหอะว่าอยากเป็นของเราหรือเปล่า จริงไหมกิม?” อะ เจอแบบนี้ให้ผมตอบกลับว่ายังไง สะตั้นไปสามวิฯ แก้มร้อนไปสิบวิฯ หัวใจเต้นแรงไม่มีลิมิต โอย ปากอยากบอกว่าเต็มใจเป็นของคีนสุดๆ แต่สมองมันสั่งว่าต้องใจเย็น ห้ามทำให้กระต่ายตื่นตูมเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นความเป็นเพื่อนก็คงไม่เหลือ

“คีนซะอย่าง ใครๆ ก็อยากเป็นทั้งนั้นล่ะเนอะ” ผมตอบกลับพลางคลี่ยิ้มให้ คีนเหมือนจะอึ้งไปแต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาเหมือนได้ฟังเรื่องตลก

หลังจากนั้นพวกเราก็ลงมือฟาดชาบูพลางพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆ จนเกือบหมดเวลาถึงได้ลุกขึ้นไปจ่ายเงินที่หน้าเค้าน์เตอร์ มื้อนี้ได้รับรู้ว่าคีนเป็นคนกินดุมาก มากแบบที่ผมยังอึ้งคือมันเกือบเอาปริมาณของทั้งสามคนรวมกันเท่ากับเขากินคนเดียวได้เลย ในอนาคตผมคงต้องรับงานหลายอย่างแน่ๆ เพราะเงินจากแหล่งเดียวคงไม่พอเลี้ยงแฟน อุ๊ย โทษที เผลอมโนแรงไปหน่อย

จุดมุ่งหมายต่อไปคือร้านขายกล้องถ่ายรูปเพราะคีนอยากดูเลนส์ตัวใหม่ จริงๆ เราสามารถแยกกันเดินตามใจตัวเองได้แต่ผมเสนอหน้าเองล่ะ ก็คงมันอยากใกล้ชิดนี่หว่า ส่วนโฮมกับไอ้ปอมแยกไปโซนเสื้อผ้าซึ่งเป็นโอกาสดีของผม ฮึ่ย มันก็ฉิบหายหน่อยๆ ตรงที่ทำตัวไม่ถูก มือไม้เกะกะจนต้องยัดใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้

“ไปกับเราจะเบื่อปะเนี่ยกิม?” คีนที่เดินนำหน้าเหลียวหลังมาถามกันด้วยใบหน้าเป็นกังวลดูท่าทางคงเกรงใจแต่ผมกลับรีบส่ายหน้าปฏิเสธแถมคลี่ยิ้มหล่อๆ ให้หนึ่งครั้ง มันจะไปเบื่อได้ยังไงในเมื่อชอบขนาดนี้ หูย เมื่อไหร่จะกล้าบอกเขาตรงๆ วะเนี่ย ฮึ่ย

“เฮ้ย ไม่เบื่อหรอก เราก็อยากไปเดินดูกล้องเหมือนกัน” จ้า จะบอกว่าตอนนี้กล้องเกลิ้งอะไม่ได้อยู่ในหัวเลย มีแต่คีน คีน และคีนเท่านั้น ฮึ่ย อนลี่คีนครับ

“อ๋อ โอเค ถ้าเบื่อก็บอกเรานะ” แหนะ หันมายิ้มหวานให้กันคืออ่อยหรือเปล่าวะ แล้วก็ทิ้งให้ผมยืนบิดเหมือนคนปวดฉี่อยู่หน้าร้านเนี่ยนะ โอย ทำไมต้องเขินกับคำพูดธรรมดาๆ ของเขาด้วยวะ อาการหนักมากมั้งกู ฮือ

ไอ้เชี่ย คนบ้าอะไรโคตรใส่ใจเพื่อนร่วมทาง บ้าเอ๊ย น่ารักฉิบหาย โคตรพ่อโคตรแม่น่าฟัด เอ๊ะ... ชักจะเยอะ แกล้งเดินไปดูกล้องในสมกับคำโกหกหน่อยแล้วกันเดี๋ยวเขาจับไต๋ได้จะแย่เอา หึหึ

ผมปล่อยคีนให้เลือกเลนส์กล้องอย่างเต็มที่ส่วนตัวเองผละมาเดินทอดน่องอยู่ไม่ไกลเพื่อ... แอบถ่ายรูป ไม่ได้โรคจิตนะเว้ยแต่มันก็ต้องมีมุมนี้บ้างปะวะ เก็บภาพคนที่ชอบในโทรศัพท์มือถือเนี่ยเป็นอะไรที่โคตรคลาสสิคมีทุกยุคทุกสมัย ขนาดพ่อกับแม่ยังเคยทำ (เก็บรูปถ่ายไว้ในกระเป๋าตังค์ไง)

คีนดูมีความสุขเมื่อได้พูดคุยเรื่องกล้องถ่ายรูปกับพนักงานในร้านยิ้มบ้างหัวเราะบ้างตามประสาคนอารมณ์ดี ผมแอบถ่ายรูปได้หลายชอตจนหนำใจก็เดินกลับไปสมทบ แต่สายตาไอ้คนขายนี่มันยังไงวะ จะแดกลูกค้าลงท้องหรือไง เดี๋ยวพ่อต่อยคว่ำ ของกูครับ อย่ายุ่งสิ

“มีเลนส์ที่ถูกใจไหม?” ผมถามคีนที่ยังดูเลนส์ตัวหนึ่งด้วยดวงตาพราวระยับ เหลือบเห็นราคาก็แทบเป็นลมล้มพับ ไอ้สัด ค่าตัวเหยียบแสน โอ้โห นี่ต้องขายรถซื้อกันเลยปะวะ

“ตัวนี้ เจ๋งมาก” คีนชี้ไปที่เลนส์ตัวนั้นแล้วหันมาคลี่ยิ้มกว้างให้กัน ท่าทางคงชอบมากจริงๆ เพราะมองไม่วางตา แต่ไอ้ความใกล้ที่ปลายจมูกแทบชนกันเพื่องเสี้ยวนาทีนี่มันทำให้ผมสติสตังกระจัดกระจายไปหมดแล้ว หัวใจเต้นแรงเหมือนจะวายแล้วตายลงตรงนี้ ไอ้เหี้ย ถ้าขยับอีกนิดก็จูบเลยนะเว้ย!

“จะ จะซื้อเลยไหม?” โอย ไอ้บ้า ติดอ่างทำไมล่ะกูเนี่ย เสือกรู้สึกร้อนๆ ที่แก้มด้วย เพราะกลัวคีนเห็นเลยยกมือขึ้นลูบ เรียกว่าถูเลยจะดีกว่ามั้ง แสบฉิบหายเลยเนี่ย

คีนผละตัวออกห่างจากชั้นโชว์เลนส์กล้องก่อนจะบุ้ยปากแล้วส่ายหน้าเพื่อเป็นการปฏิเสธ ซึ่งผมก็เข้าใจว่าของราคาขนาดนี้คงตัดสินใจซื้อปุบปับไม่ได้ ต้องปรึกษาพ่อแม่พี่น้องให้ครบก่อน อารมณ์เป็นเด็กของเงินเขาใช้ก็แบบนี้ล่ะ จะรวยหรือจนก็ต้องได้รับการอนุมัติซะก่อน

“ยังหรอก ราคาเกือบแสนต้องเก็บเงินกันหน่อย” คำตอบของคีนแปลกไปจากที่ผมคิด คล้ายกับว่าเขาทำงานเก็บเงินซื้อมันและมีอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเอง ก็อาจจะเป็นแบบนั้นเพราะแต่ละบ้านสอนการใช้ชีวิตแตกต่างกัน มันคงไม่มีใครเป็นลูกแหง่เหมือนผมว่ะ ช่วยทำงานได้เงินเดือนเหมือนเด็กจบใหม่แต่ไม่สามารถซื้ออะไรตามใจได้ โธ่

“อ้อ งั้นจะดูอะไรเพิ่มไหม?” ผมถามก่อนจะเหลือบมองพนักงานขายที่ยังคงส่งสายตาแปลกๆ มาให้คีนทุกครั้งที่มีโอกาส แยกเขี้ยวใส่แม่ง

“หืม เบื่อแล้วเหรอ?” คีนถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียนจนผมที่ข่มขู่ไอ้พนักงานถึงกับสะดุ้งเฮือกแล้วหันกลับมาทำหน้าเอ๋อ นี่หลุดปากบอกว่าเบื่อไปตอนไหนวะ

“เฮ้ย เปล่าๆ แค่... ปวดฉี่น่ะ” โกหกรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วเนี่ย จมูกจะยื่นเป็นพิน็อกคิโอ้แล้วกู ขอโทษนะคีน แต่ผมไม่อยากให้ใครมองคุณไปมากกว่านี้ ก็มัน... หวง

“อ๋อ งั้นไปกันเหอะ” คีนพยักหน้ารับแล้วเดินนำออกจากร้านด้วยท่าทางสบายๆ ผมลอบหายหายใจอย่างโล่งอกเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี เอาวะ สู้ต่อไปไอ้กิม ฮึบ แต่ว่าทางไอ้ปอมจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย แอบลวนลามโฮมหรือเปล่าก็ไม่รู้

หลังจากทำธุระปลดทุกข์กันเรียบร้อยแล้วผมก็เดินเรื่อยเปื่อยจนเกือบถึงจุดหมายคือร้านขายของจุกจิกจำพวกกระเป๋า ตุ๊กตา พวงกุญแจ แก้วน้ำ เคสมือถือ โคมไฟ บลาๆ ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง ช่วงที่มาคนเดียวใช้เวลาอยู่ที่นี่เป็นชั่วโมงเพราะเลือกไม่ได้สักทีว่าอยากได้ชิ้นไหน

“คีน” ผมเอ่ยเรียกคนที่กำลังสนใจโซนเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่อยู่ตรงข้ามกับร้าน เขาชะงักแล้วหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามก่อนจะลดโทรศัพท์ในมือลง คงถ่ายรูปชุดพวกนั้นส่งให้พี่สาวกับแม่ดูละมั้งเห็นติดป้ายว่าคอลเล็คชั่นใหม่

“ครับ?”

โอย ตอบรับซะเพราะ จับจูบได้ไหมล่ะ!

“เราจะแวะร้านนั้น คีนไปเดินเล่นที่อื่นก่อนก็ได้” ผมชี้นิ้วไปที่ป้ายร้าน ที่พูดไปแบบนั้นก็เพราะกลัวคีนจะเบื่อแต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่ชอบใจเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อๆ มู่ทู่สิ้นดี

“ไล่เราเหรอ?” นั่นไง ปากพาซวยแล้วกู

“เฮ้ย เปล่าๆ ก็เผื่อไม่ชอบไง” ผมละล่ำละลักพูดอีกทั้งยังโบกมือปฏิเสธรัวๆ เนื่องจากทำให้อีกคนเข้าใจผิดอีกแล้ว นี่แอบสงสัยว่าตัวเองเป็นคนสอบตกการสื่อสารหรือเปล่าวะ กี่เรื่องแล้วที่ทำให้คีนคิดไปไกลนอกโลกขนาดนี้ แม่ง คงต้องถามความคิดเห็นจากไอ้ปอมกับไอ้ว่านซะแล้ว

“เราไปกับกิมนั่นล่ะ เดี๋ยวหลงกันพอดี” แล้วเขาก็ดันหลังให้ผมเดินเข้าร้านที่ต้องการก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ สรุปว่าเมื่อครู่นี้แกล้งดราม่าใส่กันใช่ไหมเนี่ย โธ่เอ๊ย เผลอแสดงอาการเปิ่นๆ ต่อหน้าคีนแล้วไหมล่ะ อายเว้ย

ผมไม่รอช้าที่จะตรงไปสู่มุมโปรดซึ่งมีโมเดลตัวต่อหลายรูปแบบวางโชว์อยู่บนชั้นกระจก ถัดลงมามีราวแขวนสินค้าหลากหลายรูปแบบให้เลือกสรรและมากกว่าครึ่งในนั้นผมซื้อไปเรียบร้อยแล้ว

“มาซื้ออะไรเหรอ?” เสียงทุ้มที่เอ่ยถามดังอยู่ไม่ไกลจากใบหูนักเพราะคีนก้มตัวลงมาอยู่ระดับเดียวกันกับผมที่กำลังเลือกของที่ต้องการอยู่ มือหนาชะงักกึกก่อนจะชี้ไปที่โมเดลตัวต่อตรงหน้า

“Nano Block อืม... มันคือตัวต่อเลโก้จิ๋วใช่ปะ?” คีนขยับเข้าไปอ่านป้ายชื่อสินค้าก่อนจะหยิบซองชิ้นส่วนตัวต่อขึ้นมาพลิกดูแถมเขย่าก๊อกแก๊กอีกด้วย ท่าทางเหมือนเด็กตัวน้อยๆ เวลาเจอของเล่นที่ไม่รู้จัก ผมก็เผลอมองหน้าเขาซะเพลินพอรู้ตัวเลยกระแอมเบาๆ แล้วเอื้อมมือหยิบกล่องตัวต่ออีกแบบยื่นให้

“ประมาณนั้น แล้วก็มี 3D Crystal Puzzle ด้วย” ตัวต่อในกล่องนี้จะเป็นพลาสติกเนื้อใสเหมือนชื่อของมันคือคริสตัล มีหลากหลายสีตามแบบโมเดลที่เขาผลิตตั้งแต่ผลไม้ สัตว์ รถ ดวงจันทร์ บลาๆ และแตกต่างกับ Nano Block ตรงที่มันมีรูปร่างกลมกลึงไม่เป็นเหลี่ยมๆ ขัดตาตอนประกอบร่างเสร็จสมบูรณ์ เอาเป็นว่าสวยคนละแบบตามความชอบส่วนบุคคล

“โห ดูเหมือนมันจะต่อยากเลยว่ะ กิมชอบเหรอ?” อีกครั้งที่คีนรับกล่องตัวต่อไปแล้วเขย่ามัน สายตาที่เขามองสิ่งของในมือเต็มไปด้วยความอยากรู้เจือสงสัย ดูท่าทางสนใจแต่ก็ไม่กล้าแตะต้องประมาณนั้น ผมลอบยิ้มก่อนจะยืดตัวขึ้นมองโมเดลหลากหลายรูปแบบบนชั้นกระจกอย่างภูมิใจ

“อืม เราโคตรชอบ มันช่วยฝึกสมาธิได้ดี ช่วงเริ่มหัดต่อจะยากหน่อยเพราะชิ้นเล็กหยิบยาก ข้อต่อยึดไม่ค่อยแน่น แตะนิดแตะหน่อยก็สำออยหลุด แต่ทำไปเรื่อยๆ จะรู้สึกสนุกดี” ผมสาธยายเหตุผลที่ชอบให้คีนฟังพร้อมกับทำมือวัดขนาดตัวต่อด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

ยอมรับว่าช่วงแรกๆ ที่ไอ้ว่านชวนเล่นของพวกนี้ถึงกับหัวเสียวันละหลายรอบเนื่องจากขนาดมันเล็กมากจะหยิบจับแต่ละทีก็ลำบาก พอจังหวะที่ต้องสอดเข้าช่องเล็กกีบเท้ายักษ์ๆ ของผมก็ไปดันส่วนอื่นให้พังทลายลง ต้องใช้สมาธิและความพยายามสูงจริงๆ แต่พอทำไปทำมาสุดท้ายกลับกลายเป็นติดงอมแงม

ส่วนไอ้ปอมนี่ไม่เคยแตะต้องตัวต่อพวกนี้เลยด้วยซ้ำ พอเห็นปุ๊บมันก็ส่ายหัวปฏิเสธปั๊บเหมือนเจอของน่าขยะแขยง ไม่มีการพยายามหยิบจับอะไรทั้งสิ้น เออ ก็เข้าใจว่าไม่ชอบเรื่องจุกจิกแบบนี้ อย่างมันตีป้อมคงรุ่งที่สุดแล้ว

“เดี๋ยวเราลองซื้อไปต่อดูบ้างดีกว่า รู้สึกช่วงนี้สมาธิสั้นยังไงไม่รู้”

“เอาสิ แล้วจะสนุกอย่างที่เราบอก” เชียร์สุดใจเพราะอยากให้เขาสนุกไปกับสิ่งที่ผมชอบ บางทีเราอาจจะยกเรื่องนี้มาเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์คล้ายๆ กับที่พี่เซียนใช้ความรู้ด้าน Exotic Pet จีบคีนไง

“งั้นกิมช่วยเราเลือกหน่อยว่าจะเริ่มต่อจากตัวไหนดี ขอเป็นแบบ Nano Block แล้วกัน ท่าทางจะง่ายกว่า” ดวงตารีคมกวาดมองซองตัวต่อพลางใช้มือหยิบอันนั้นอันนี้ขึ้นมาเปรียบเทียบกันเหมือนกับผมในช่วงแรกๆ ที่จะเลือกเจ้า Nano Block ให้เป็นงานอดิเรก

“เราว่าความยากง่ายของแต่ละโมเดลต่างกัน เลือกเอาตามที่คีนชอบเหอะ” ผมแนะนำตามที่คิดเพราะความยากง่ายนั้นแฝงอยู่ในทุกโมเดล แต่ดูเหมือนคีนจะไม่ฟังเพราะเขาเริ่มบุ้ยปากใส่กันแล้ว โธ่ เด็กน้อยของพี่กิม มาๆ ขอจุ๊บเหม่งหน่อยเร็ว ไม่งอนนะครับ ฮึ่ย

“โธ่ เลือกให้เราหน่อยน่า ถ้าต่อได้ค่อยมาซื้อตัวที่ชอบอีกครั้ง” หันมาทำเสียงกระเง้ากระงอกใส่พลางส่งสายตาออดอ้อนให้แบบนี้ผมก็เข่าอ่อนสิครับ นี่ถึงขนาดตั้งใช้มือยันชั้นกระจกไว้เพื่อพยุงตัวเลย ดาเมจบ่อยๆ ไม่ดีต่อหัวใจรู้ไหมคีน สักวันผมจะไม่จีบเขาแต่ข้ามขั้นไปจับปล้ำแทนไง โอย สงบไว้พ่อลูกชาย ดีดโด่ตอนนี้บ่ได้เด้อ

สุดท้ายผมก็ยอมแพ้คีนแล้วลงมือหยิบซอง Nano Block ออกมาเลือกที่ละอัน เจอโมเดลโปเกม่อนก็แยกเอาไว้เพราะตั้งใจมาเปย์จนเกือบหมดชั้นก็เจอเข้ากับเจ้าหมาสีขาวหูยาวที่หน้าตาเหมือนตุ๊กตาในรถทุกประการ ตัวนี้ล่ะเหมาะมาก โคตรน่ารักด้วย

“ตัวนี้ไหม?” ผมยื่นสิ่งที่อยู่ในมือไปให้ คีนชะงักเล็กน้อยแล้วรับมันไว้พลิกซ้ายพลิกขวาดูแบบเดิมก่อนที่คิ้วสวยจะขมวดเข้าหากันแน่นเหมือนไม่เข้าใจเหตุผลที่เลือกโมเดลตัวนั้นให้ ซึ่งดูยังไงก็มีความมุ้งมิ้งไม่เหมาะกับผู้ชายสักนิด

“ทำไมเลือกเจ้านี่ล่ะ?”

“เราว่ามันคล้ายๆ คีนดี” น่ารักเหมือนคีนไง โอย อยากฟัดอะ แม่ง

“หืม คล้ายตรงไหนวะ?” คีนเอียงคอมองพิจารณาตัวต่อในมืออีกครั้งด้วยใบหน้าสงสัยแบบเดิม คือทำไมแค่นี้ก็ยังน่ารักวะคนเรา สรุปคือทำอะไรก็น่ารักไปหมดงี้อะเหรอ โอย สิ้นเปลืองจังวะ แต่ผมก็ชอบนะ

“.....” ผมเลือกที่จะเงียบแล้วเฉไฉไปเลือกส่วนของตัวเองต่อ ขอไม่บอกเหตุผลเพราะมันคงดูปัญญาอ่อนชอบกลที่จะบอกว่าคีนผิวขาว แก้มดูนุ่มๆ มีเลือดฝาดคล้ายกับเจ้าชินนามอลโรลหูยาวตัวนี้

“เออ มันตัวเดียวกับตุ๊กตาในรถกิมปะ? หน้าตาคุ้นๆ”

เอ๊ะ เหมือนกูพลาดอะไรสักอย่างหรือเปล่าวะ ค่อยๆ หันไปมองหน้าคีนก็พบว่าเขาจ้องอยู่ก่อนแล้ว ไอ้ฉิบหาย แน่แล้ว SOS เรียกกะปอมด่วน!

“อะ อืม ใช่” ผมหลบตาคีนทำเป็นยุ่งอยู่กับซองตัวต่อในอ้อมแขน แต่หูก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะขบขันดังมาจากอีกคน หัวใจเต้นแรงมากแถมร่างกายร้อนวูบไปทั้งตัว แม่งเอ๊ย ความลับกูแตกปะเนี่ย

“อ้อ งั้นเราเอาตัวนี้ล่ะ ถ้าพรุ่งนี้ว่างก็ช่วยสอนเราต่อมันที่ห้องหน่อยแล้วกัน” แล้วคีนก็ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้ผมที่ได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ แล้วปล่อยของในมือร่วงลงบนพื้นทั้งหมด ความลับแตกไม่แตกช่างแม่งก่อน เพราะเมื่อครู่นี้ผมโดนอ่อยใช่ไหมวะ ชวนเข้าห้องเลยนะเว้ย ฮึ่ย ยิ้มห่าอะไรเนี่ยตัวกู สำรวมด่วน! เดี๋ยวคนอื่นหาว่าบ้า

แต่ก็เป็นคนบ้าที่รักคีนนะครับ (อนุญาตให้อ้วกได้มากเท่าที่ต้องการเลยจ้า)




ต่อด้านล่างน้า


หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 6 -P.1- 27/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-07-2018 21:23:56
“บ๊วย”

เรียกทำไมไอ้ตัวน่ารำคาญ

“.....”

“สัดบ๊วย”

มีเพิ่มเลเวลอีก แดกหัวแม่ง

“กูชื่อกิมมิค” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันด้วยความหงุดหงิด อุตส่าห์ตั้งใจทำสมาธิเพื่อต่อ Nano Block โมเดลปิกาจูให้เสร็จภายในคืนนี้ ไอ้เชี่ยปอมทำเสียเรื่องหมด

“เออรู้ แต่เรียกแล้วไม่ตอบนี่หว่า” มันทำเสียงง้องแง้งก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กันบนพื้นหน้าทีวีก่อนพลางยื่นหัวเข้ามาบดบังทัศนียภาพของผมจนหมด โอย ไปสระผมเถอะ เหม็นจะอ้วก

“ยุ่ง” ผมผลักหัวไอ้ปอมออกก่อนจะวางชิ้นส่วนตัวต่อในมือลงแล้วเอนหลังพิงกับโซฟา วันนี้คงไปต่อไม่ไหวแล้วเนื่องจากง่วงนอน ส่วนพรุ่งนี้มีภารกิจระดับชาติอาจจะต้องจารึกไว้ในความทรงจำไปอีกนาน ฮึ่ย เหยียบห้องคีนครั้งแรกมันต้องฟินสุดๆ แน่นอน หลับตาปุ๊บวาร์ปเลยได้ปะวะ รอไม่ไหวแล้วเนี่ย

“โอย ไม่ได้อยากเสือกอะไรหรอก ตั้งแต่กลับมาจากห้างมึงก็นั่งยิ้มทำตาเยิ้มมาเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย แอบพี้ยาเหรอวะ?” ไอ้ปอมหรี่ตามองผมก่อนจะเอื้อมมือสากๆ มาดึงแก้มกันจนต้องรีบสะบัดหน้าออก ไอ้สัด นี่จงใจบิดเนื้อกูชัดๆ ถีบแม่งเลยดีไหม โอย แต่ทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าเนรเทศตัวออกจากห้องนี้อะดิ ไม่ได้ๆ ต้องอยู่จีบคีนให้สำเร็จ!

“บ้านพ่อง คนเขามีความสุขเว้ย” ผมก็ไม่รู้ตัวหรอกว่านั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับกองของเล่นมานานแค่ไหน แต่พอไอ้ปอมทักเลยรู้สึกว่าแก้มมันตึงๆ มุมปากเจ็บนิดหน่อย เออ สรุปว่าอาการหนัก พอคิดถึงช่วงเวลาที่มีแค่ผมกับคีนแล้วมีความสุขแปลกๆ

“แหนะ มีอะไรดีๆ รีบบอกมา!” ไอ้ปอมรีบขยับเข้ามากระแซะไหล่กันจนผมที่ไม่ได้ตั้งตัวเกือบล้มไปนอนแผ่บนพื้น คราวนี้ส่งตีนไปยันขามันโดยไม่สนว่าจะโดนไล่ออกจากห้องหรือเปล่า ไม่ไหว หมั่นไส้เกินทน

“ไม่บอกเว้ย ความลับ!” พ่นลมหายใจใส่มันเสร็จก็หนีออกไปยืนชมวิวยามค่ำคืนที่ระเบียงซึ่งเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่กลับมาถึงเพราะอยากประหยัดค่าไฟ เปล่าหรอก แค่ออกไปตากกางเกงยีนส์แล้วลืมปิดน่ะ โอ๊ย ใครเอาขวดขว้างหัวกูวะ กำลังทำตัวเป็นพระเอกมิวสิค หมดอารมณ์!

“เอ้อ ใช่สิ กูมันแค่เพื่อนนี่ หึ งอน ไปเล่นเกมดีกว่า ไม่คุยกับมึงแล้ว!” ผมนึกว่ามันแยกไปอาบน้ำ ที่ไหนได้เสือกตามมากระแนะกระแหนบึนปากใส่อีกต่างหาก คิดว่ากูจะง้อหรือไงไอ้หมา ทีมึงมีอะไรยังไม่บอกกูเลย หึหึ

“เชิญ!” ผมตะโกนไล่หลังมันไปแล้วหันกลับมายืนมองฟ้าสีดำสนิทต่อ เสียดายที่ไม่สามารถมองเห็นดวงดาวได้ เอาเถอะ ยังไงๆ แสงไฟของเมืองหลวงก็สวยดีเหมือนกัน ถ่ายรูปไปอัปไอจีบ้างดีกว่าเพราะปล่อยร้างไว้หลายวันแล้ว

คืนนี้คีนไม่ได้อัปเดทอะไรในไอจีหน้าไทม์ไลน์ของผมเลยเงียบเหงากว่าปกติ แต่พอไถจอโทรศัพท์เลื่อนลงมาเรื่อยๆ กลับสะดุดตาเข้ากับแอคเค้าท์ ‘kompa_pom’ อยากจะแหมยาวๆ ให้ถึงดาวอังคาร มึงไปแอบถ่ายรูปที่ตู้สติ๊กเกอร์กับโฮมมาแต่เก็บเงียบไว้คนเดียวเลยนะ ไหนปากบอกไม่ชอบเขาแต่แคปชั่นนี่จีบชัดๆ ไอ้ตอแหล!

‘ผมเป็นคนตาเหล่... เหล่มองแต่คุณ’

อ่านแล้วรู้สึกโคตรหมั่นไส้ ขอคอมเม้นต์หน่อยแล้วกัน

gimtothemick เสี่ยวสัดไอ้พวกปากแข็ง
kompa_pom @gimtothemick รูปไม่เกี่ยวกับแคปชั่นครับ อิอิ

อิอิ บ้านพ่อง ดูมันตอบกลับผมเหอะ กวนส้นตีนมาก ยิ่งกว่าดาราหรือเน็ตไอดอลซะอีก เออ! แล้วกูจะคอยดูวันที่มึงร้องห่มร้องไห้มากราบอ้อนวอนขอให้ช่วยเรื่องโฮม

ผมเลิกทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีเพราะอากาศด้านนอกเริ่มหนาวและท้องฟ้าส่งเสียงครืนๆ คล้ายกับว่าคืนนี้ฝนจะตก เหลือบมองกระถางกุหลาบแห้งเหี่ยวที่ตั้งอยู่ริมระเบียงแล้วได้แต่ถอนหายใจ ตอนซื้อมันมาก็บอกว่าดูแลได้แน่นอนให้ไว้ใจงั้นงี้แล้วผลลัพธ์คือยืนต้นตายทั้งที่ยังไม่เคยออกดอกสักครั้ง เวรเอ๊ย นี่ขนาดผมอุตส่าห์แวะมารดน้ำใส่ปุ๋ยให้บ่อยๆ นะ เฮ้อ เลิกสนใจแม่ง เข้าห้องไปนอนตีพุงดีกว่า

ในจังหวะที่กำลังฟูลเทิร์นหมุนตัวเข้าบ้านนั้นก็ต้องชะงักเท้าเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นในสมอง ถ้าลองยื่นหน้าข้ามระเบียงไปด้อมๆ มองๆ ที่ห้องคีนจะได้เห็นอะไรบ้างวะ มันอาจจะดูเหมือนพวกโรคจิตไปหน่อยแต่มันก็เป็นสเต็ปธรรมดาของคนแอบรักปะวะ อยากรู้อยากเสือกเรื่องของเขาไปหมดเนี่ย  อะ ค่อยๆ สไลด์ตัวไปด้านข้างพลางสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะเพื่อระงับความตื่นเต้น อีกนิดเดียวเท่านั้น...

ก๊อกๆ

ไอ้สัด เสียงเคาะกระจกดังขึ้นทำให้ผมชะงักเท้าแล้วหันไปเบิกตาโตมองตัวต้นเหตุที่ยืนขมวดคิ้วพิงประตูอยู่ไม่ไกล กูเกือบกรี๊ดแล้วไหมล่ะ นึกว่าผีหลอกซะอีก โอย หัวใจจะวายแล้วเนี่ย กระโดดถีบสักทีดีไหม

“ทำเชี่ยอะไรของมึงอะกิม คิดว่าตัวเองเป็นไมเคิล แจ็คสันเหรอ?” มันกอดอกแล้วถามด้วยน้ำเสียงยียวนให้ผมต้องไล่สายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างปลงๆ  นั่นมันมูนวอร์คปะเพื่อน แล้วนั่นใส่อะไรวะ ชุดนอนมาสคอตตัวเหี้ยเหรอ เฮ้ย โทษๆ มังกรหรือเปล่า พอดีสายตาสั้นดูไม่ชัด จะมุ้งมิ้งก็ช่วยดูหน้าตาหน่อยได้ไหมเพราะมันไม่เข้ากับมึงอย่างรุนแรงเลยเนี่ย แต่ช่างมันเถอะความชอบของใครของมันไม่ยุ่งเกี่ยวดีกว่า ถ้ามันลุกขึ้นมานุ่งซีทรูเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

“เรื่องของกู แล้วมึงออกมาทำอะไรเนี่ย?” ผมตอบปัดๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเหยียดตรงทำเหมือนกำลังบิดขี้เกียจ ขยับเท้าไปทางซ้ายทีขวาทียืดเส้นยืดสายเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้ไอ้ปอมคิดตามไม่ทัน ถ้ามันจับได้ว่าผมทำอะไรเมื่อครู่จะเป็นเรื่องใหญ่เอา ล้อยันไข่ตายอะบอกเลย

“เห็นไม่เข้าห้องสักทีก็เลยมาตาม” มันตอบเสียงอู้อี้เพราะเกิดหาวขึ้นมาระหว่างประโยคก่อนจะมือขึ้นขยี้ตาเหมือนเด็กกำลังง่วงนอน ดูไปดูมาก็น่ารักดีแต่รู้สึกว่าน่าถีบมากกว่าหลายเท่า

“เออๆ จะเข้าไปแล้ว” ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะใช้เท้ายันสะโพกไอ้ปอมให้ถอยเข้าห้องเพราะจะปิดประตูกระจก พอเท้าข้ามธรณีไปได้ฝนก็เทลงมาห่าใหญ่แบบไม่ให้ลืมหูลืมตา นี่ถ้าช้าอีกนิดเดียวได้เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ๆ

“เออ ทำตัวดีๆ หน่อย อย่าให้เมียต้องมาตามเข้านอน” ไอ้ปอมคลี่ยิ้มหวานใส่กันหลังพูดจบประโยคแล้วกระโดดหลบฝ่าตีนของผมที่ตวัดไปอย่างรวดเร็ว นู่น ไปยืนเกาะขอบประตูห้องนอนแลบลิ้นปลิ้นตาใส่กันอีก เดี๋ยวเถอะ กูตามไปกระทืบถึงที่แน่ไม่ต้องห่วง โอย แต่รู้สึกขนหัวลุกเลยเนี่ย มันพูดเชี่ยอะไรออกม๊า แล้วแบบนี้ใครจะกล้านอนกับมึงวะ ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วโป๊ทั้งคู่ทำไง กรี๊ดห้องแตกเลยนะ เรียกสินสอดสิบล้าน!

“ไอ้สัด!” ขี้เกียจวิ่งตามเลยตะโกนด่าแทน

“อย่าลืมปิดม่านด้วยนะผัวขา” ยังไม่จบอีก ส่งจูบหาส้นตีนเหรอ!

“ไปตายซะเถอะมึง!” ม่านเมิ่นเอาไว้ก่อนเถอะ ทนไม่ไหวแล้วเว้ย

กะว่าคืนนี้จะนอนฝันถึงคีนสักหน่อยคงต้องเปลี่ยนแผนเป็นระวังไอ้ปอมลักหลับว่ะ โอย เครียด!




------------------------------------


เอ๊ะ คีนรู้ตัวหรือเปล่าว่าโดนจีบ?
แล้วไอ้ที่ชวนไปสอนต่อ Nano Block นั่นเป็นการอ่อยหรือเปล่านะ?

หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 7 -P.1- 05/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-08-2018 22:45:17
รูปถ่ายใบที่ 7



กลิ่นเหม็นตุๆ และความสากเมื่อผิวหน้าโดนสัมผัสจากอะไรบางอย่างทำให้นิทราหวานช่ำต้องพังทลาย ผมขยับหนีก่อนปรือตามอง ภาพค่อยๆ ชัดขึ้นตามลำดับพร้อมสติที่กลับเข้าร่าง โอ้โห อยากจะร้องเหี้ยสักล้านครั้งเมื่อรู้ว่าส้นตีนไอ้ปอมเกยอยู่บนหมอนใบเดียวกับที่ผมหนุนอยู่ แล้วไอ้ที่ฝันว่าจูบกับคีนนั้นก็... ถุย!

ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นแล้วใช้หลังมือปาดปากปาดลิ้นก่อนจะส่งสายตาคาดโทษไปให้ไอ้ปอมที่ยังคงนอนหลับตาพริ้มหันหัวไปทางปลายเตียง พร่ำด่าสารพัดสัตว์แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเพราะมันยังนอนเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆ แถมยังคลี่ยิ้มหวานเหมือนกำลังฝันดี เห็นแล้วก็หมั่นไส้จนต้องหาจังหวะยัดนิ้วเท้าเข้าปาก หึหึ โอย ไอ้เชี่ยจะดูดเพื่อ? ขนลุกเว้ย

“โฮมจ๋า ~ จุ๊บ” เสียงละเมอของไอ้ปอมดังขึ้นหลังจากที่มันยอมปล่อยนิ้วเท้าของผมให้เป็นอิสระแล้วกลับไปลวนลามหมอนข้างแทน ตอนแรกผมกะว่าจะลากสังขารย้วยๆ ไปเข้าฟิตเนสสักหน่อยแต่ต้องเปลี่ยนใจอยู่เสือกเรื่องของเพื่อนก่อนเพราะมันสำคัญกว่าหุ่นเฟิร์มๆ ที่จะสร้างเมื่อไหร่ก็ได้

ผมรีบพุ่งตัวไปหาโทรศัพท์ตรงหัวเตียงเพื่อหยิบมาอัดคลิปซึ่งคาดว่าจะมีประโยชน์ในเร็ววันเพราะถ้าหูไม่เพี้ยนเมื่อครู่ได้ยินไอ้ปอมเรียกชื่อเขา ก็ไหนว่าไม่คิดอะไรแต่จิตใต้สำนึกก็โหยหาแต่คนเดิม แม่ง คราวนี้จะเอาหลักฐานจิ้มตาทำให้มันดิ้นไม่หลุดเลยคอยดู รำคาญคนขี้เก๊กแถมยังปากแข็ง มันไม่รู้หรือไงว่าหมารอคาบเนื้อชิ้นสวยไปแดกอยู่ตลอดเวลา ดูอย่างในกรุ๊ปไลน์สาขาดิ แม่งเอ๊ย คือจีบโฮมออกนอกหน้านอกตาเยอะมาก ขนาดผมเป็นคู่จิ้นยังยอมแพ้เลย

โหมดกล้องวีดีโอถูกเปิดพร้อมกับการบันทึกภาพเริ่มต้นขึ้น ไอ้ปอมกระชับกอดหมอนข้างก่อนใช้ปากถูไถเหมือนกำลังไซ้ซอกคอใครสักคนยิ่งได้ยินเสียงครางอืมอย่างพอใจผมก็แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ สรุปว่ามันฝันไม่ต่างกันแต่ดูท่าทางจะเมามันกว่าเยอะเพราะตอนนี้มือไม้เริ่มลูบไล้สะเปะสะปะแล้ว อีกนิดเดียวก็เกือบเลยมาจับเป้าผม ฮึ่ย ดีนะที่หลบทันไม่อย่างนั้นผิดผีตายห่า

“อืม โฮมครับ ถอดกางเกงให้ปอมหน่อย ~” เสียงสั่นเครือร้องขอคนในฝันทำให้ผมแทบเตะไอ้ปอมตกเตียงเพราะมันกำลังใช้มือรั้งขอบกางเกงลงจนเห็นช่วงวีไลน์และขนตรงหน้าท้อง ถ้าเปลี่ยนเป็นของคีนคงโสภากว่านี้ โอย เชี่ยเอ๊ย เสียสายตาตั้งแต่เช้า ขอไปล้างหน้าล้างตาลบความอุจาดออกจากหัวสมองก่อนเถอะ

สุดท้ายผมก็พาร่างกายย้วยๆ ลงมาถึงฟิตเนสของคอนโดจนได้ เช้านี้ขอวิ่งสักหนึ่งชั่วโมงก็พอเพราะยังมีหน้าที่ต้องทำอีกเยอะ ตกลงกับไอ้ปอมไว้ว่าจะทำอาหารให้มันกินทุกครั้งเมื่ออยู่พร้อมหน้าพร้อมตา เรื่องงานบ้านปกติก็มีแม่บ้านเข้ามาจัดการให้ ส่วนเรื่องรถก็ใช้วิธีสลับวันขับไปมหา’ลัย ถ้าหากวันไหนมีธุระต่อก็แยกกันคนละคันเป็นอันว่าดิวสมบูณณ์

“หวัดดีกิม” เสียงทักทายสดใสดังขึ้นเมื่อผมกำลังเดินตรงไปที่ลู่วิ่ง ฉับพลันเหมือนหัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมาด้านนอกทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มออกกำลังกาย อยู่ๆ ก็ได้เจอคีนเร็วกว่าที่คิดไว้ ผมไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาชอบเสียเหงื่อเหมือนกัน หูย แบบนี้ศึกษากันให้ลึกมากกว่าเดิมแล้วสิ ในฐานะเพื่อนบ้านไง (ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นล่ะ ในอนาคตคือแฟนและแฟน!)

ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อยับยั้งอารมณ์ความดีใจที่มีมากเกินจนทำให้มุมปากเอาแต่กระตุกยิ้มไม่หยุด ส่วนมือเท่าใบลานก็ยกขึ้นขยำเสื้อเผื่อว่าจะลดอัตราการเต้นของก้อนเนื้อในอกลงได้บ้าง เวรเอ๊ย มันดังชนิดที่ว่าถ้าเข้าใกล้คีนอาจจะได้ยิน ยุบหนอ พอหนอ สติหนอ ฮึบ ต้องหันกลับไปเผชิญหน้าแล้ว

“อ้าว หวัดคีน มาออกกำลังกายตอนเช้าเหมือนกันเหรอ?” ผมหันไปทักทายคนที่นั่งควบ Strength (เครื่องสร้างกล้ามเนื้อ) เขาส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้แบบเต็มลูกตาทั้งสองข้าง วินาทีนี้เหมือนโลกหยุดหมุนร่างกายอ่อนเปลี้ยคล้ายจะเป็นลม คีนในสภาพเปิดเถิกและรวบผมสัน้ำตาลอ่อนด้านหลังเป็นหางม้านี่โคตรดาเมจ คิ้วเข้ม ดวงตารีคม สันจมูกโด่งรูปหยดน้ำ ริมฝีปากบางๆ แพขนตายาว ใบหน้าเรียว แก้มมีเลือดฝาดจากการออกกำลังกายอีกด้วย

โอย ไอ้กิมจะตายจ้า คนบ้าอะไรทั้งหล่อและน่ารักได้แม้แต่ตอนออกกำลังกายเหงื่อซกวะ น่ากลัวเกินไปแล้ว กูเนี่ย หลงคีนเกินไปแล้ว

“มาไม่บ่อยหรอก ส่วนมากก็เสาร์อาทิตย์น่ะ” ผมเคยชอบให้คนสบตาเวลาพูดคุยกันเพราะมันสื่อถึงความจริงใจและใส่ใจแต่ตอนนี้ไม่ชอบเลยว่ะ ก็เพราะว่าอีกคนคือคีนที่ทำให้ความรู้สึกอ่อนยวบ อยากจะเข้าไปกอดเข้าไปฟัดแรงๆ สักที เลิกทำตัวน่ารักได้ไหมเล่า นู่น ดูไอ้กล้ามปูตรงมุมนั้นสิมองเขาไม่วางตาเลย แง่ง ของกูๆ ห้ามยุ่งสิวะ!

“อ๋อ เรานี่ไม่ได้เข้าฟิตเนสนานโคตรแต่ช่วงนี้รู้สึกพุงออกว่ะเลยต้องเบิร์นหน่อย” หลังจากที่ส่งสายตาข่มขู่ไอ้กล้ามปูนั่นเสร็จก็หันกลับมาชวนคีนคุยตามปกติได้อย่างราบรื่นเพราะส่วนตัวผมเป็นคนหน้านิ่งอยู่แล้วเลยเก็บอาการได้ดี แต่ขอร้องอย่าเข้ามาจ้องตาใกล้ๆ ความลับแตกแน่นอนจ้า

“อย่างกิมเนี่ยนะมีพุง เราไม่เป็นคนท้องเลยเหรอ?” คีนขมวดคิ้วมองหน้าท้องผมสลับกับของตัวเอง ปากบางเบะลงเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินไปก่อนหน้านี้ โธ่ แล้วไอ้คนที่นั่งแล้วไม่มีห่วงยางโผล่ออกมานี่เหมือนคนท้องตรงไหนวะ เดี๋ยวก็ขอพิสูจน์เลย หูย แค่อยากรู้ไม่ได้หื่นครับ

“เฮ้ย จริงๆ นะ ซิกแพคแทบไม่เหลือแล้ว” ผมยืนยันโดนการเลิกเสื้อยืดสีดำของตัวเองขึ้นถึงหน้าอกเพื่อพิสูจน์ว่าเริ่มมีพุงจริงๆ แต่พอเห็นสายตาคีนที่มองอย่างอึ้งๆ ก่อนที่ปากบางจะบุ้ยออกไปด้านข้างก็ทำให้สติกลับคืนแล้วรีบปิดเนื้อหนังทันที โธ่เว้ย อายจนแก้มร้อนเลยกูเผลอทำอะไรไม่รู้จักคิดอีกแล้ว ผู้ชายที่ไหนเขาจะอยากดูซิกแพคคนอื่นวะ พลาดสุด

“โห อย่ามาอวด ของเรายังไม่ยอมขึ้นสักแพคเลยเหอะ ท้อแล้วเนี่ย” คีนก้มลงมองหน้าท้องตัวเองก่อนใช้มือลูบๆ จนเสื้อสีขาวเลิกขึ้นเล็กน้อย ผมเกิดอาการสะอึกและเผลอก้าวถอยหลังไปยืนพิงลู่วิ่งด้วยอัตราการเต้นหัวใจถี่รัว ผมต้องทำยังไงถึงจะมีความต้านทานเรื่องของเขาได้สักที ขืนเป็นแบบนี้บ่อยๆ เดี๋ยวโดนหาว่าเป็นพวกโรคจิตพอดี โอย ฟืดฟาด

“อืม... พยายามต่อไป คีนทำได้อยู่แล้วน่า” ผมปรับอารมณ์ให้เข้าที่เข้าทางก่อนบอกเขาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความผิดปกติของสายตาที่เอาแต่มองลงต่ำทั้งๆ ที่คีนก็ไม่ได้ทำให้เสื้อเปิดขึ้นแล้ว เนี่ย... ผมจะโดนลากคอเข้าคุกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ถ้าวันไหนมาออกกำลังกายก็อย่าลืมชวนเราด้วยนะ” อะ ใครก็ได้บอกทีว่าคีนไม่ได้กำลังอ่อยผมแบบเนียนๆ แถมมียิ้มหวานเชิญชวนให้เข้าไปจับฟัดอีก อ๊าก ไอ้ปอมเว้ย ช่วยตื่นมาขัดอารมณ์กูที๊ เอาตีนสากๆ มาถูหน้าก็ได้ ฮือ ไม่ไหวแล้ว

“ดะ ได้เลย ไว้เราจะไปเรียกที่ห้อง” ไอ้เราก็เป็นเด็กดีปฏิเสธคนไม่เก่งไง ใครบอกยังไงก็ชอบคล้อยตาม ถ้าผมกลายเป็นหมาคงหูตั้งหางสะบัดระริกระรี้แสดงความดีใจออกนอกหน้าไปแล้ว ฮึ่ย มันเขี้ยว!

สุดท้ายผมก็ออกกำลังกายไปได้แค่สี่สิบนาทีเพราะเสียเวลาแอบมองคีนนานไปหน่อย ไอ้ตอนเร่งสปีดลู่วิ่งก็เกือบสะดุดขาตัวเองล้มเนื่องจากไม่ใส่ใจมัน ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากคนด้านหลังก็พลันรู้สึกอาย นึกว่าเขากลับขึ้นห้องแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังยืนรออยู่แถมสภาพที่มีเหงื่อเกาะพราวตามใบหน้า แก้มเป็นสีแดงปลั่ง ปากบางเผยออกเพื่อคลายความร้อน โอย ยังไงๆ ก็น่าลากไปปล้ำมากกว่าชวนกันต่อ Nano Block ว่ะ

“กิมแพ้ขนสัตว์ปะ?” คำถามนี้เกิดขึ้นระหว่างที่เรากำลังใช้บันได้เพื่อกลับห้อง ผมส่ายหน้าหวืดเพราะจำได้ว่าไม่เคยเป็นภูมิแพ้อะไรแต่ไม่ถูกกับสัตว์สักชนิดยกเว้นคนไว้ประเภทหนึ่งแล้วกันเดี๋ยวโดนหาว่าหยิ่งอีก

“งั้นดีเลย เราจะได้ปล่อยชมจันทร์ออกมาวิ่งเล่นนอกกรง” สีหน้าของคีนบ่งบอกว่ามีความสุขมากที่ผมไม่ได้แพ้ขนสัตว์อย่างที่เคยกังวล โธ่ เขาน่าจะเปลี่ยนคำถามว่าผมชอบสัตว์หรือเปล่านะ แต่เอาเถอะ ขืนเป็นศัตรูกับชมจันทร์ไอ้เรื่องจีบพ่อมันคงเกมโอเวอร์ตั้งแต่เริ่ม

“.....” ไอ้ที่ผมเงียบน่ะคือแอบกลัวกระต่ายเพราะเคยได้ยินเพื่อนสมัยมัธยมบ่นๆ ว่าบางอารมณ์ไอ้เจ้าขนปุยก็นึกคึกกัดคนขึ้นมา ฉี่ใส่ ขี้ใส่ก็มี หูย เกเรมากอะ สูญสิ้นซึ่งความน่ารักเลยแม่ง แล้วอีกอย่างที่รู้มาคือมันเป็นสัตว์ที่มีความหื่นมากที่สุดในโลก โอ้โห ทำไมเหมือนเจอเพื่อนที่พลัดพรากเลยวะ

“เราหมายถึงกระต่ายที่เลี้ยงไว้น่ะ” คีนคงนึกว่าที่ผมไม่หือไม่อือเพราะยังมึนว่าไอ้ชมจันทร์เนี่ยมันคือตัวอะไรเลยอธิบายด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขยิ้มทั้งปากทั้งตาแล้วไอ้คนที่หลงเขาอยู่แล้วจะทำอะไรได้นอกจากเดินใจเต้นแรงไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าห้องพักของเรา

“อ๋อ เอ้อ ได้ๆ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวสักเที่ยงเราจะไปหาที่ห้องนะ” ผมรีบตอบรับคีนพร้อมด้วยคลี่ยิ้มแฉ่งทั้งที่ใจก็ยังนึกกังวลไม่หาย ตัวโตเท่าควายแต่กลัวกระต่ายกัดเนี่ยรู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น

“โอเค เราจะเตรียมมื้อเที่ยงไว้ให้เนอะ”

“หืม คีนทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?” ผมมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจเพราะไม่เคยคิดเลยว่าคนแบบคีนจะทำอาหารเป็น ก็ลุคภายนอกเขาดูคุณหนูนิดๆ พอรู้แบบนี้ก็อยากฝากท้องไว้ทุกวันเลย ส่วนไอ้ปอมให้มันไปหาแดกเอาเอง หึ หมั่นไส้เรื่องฝ่าตีนไม่หายเนี่ย คืนนี้คงต้องจัดระเบียบที่นอนกันใหม่

“เออดิ เราเป็นผู้ชายยุคใหม่นะเว้ย” คีนมุ่ยหน้าเหมือนไม่พอใจที่โดนถามแบบนั้นก่อนจะส่งหมัดหนักๆ ลงมาที่ไหล่ของผม คือเจ็บจนเผลอซี๊ดปากเลยว่ะ ถ้าในอนาคตเผลอนอกใจไม่ตายเหรอ? แต่ไม่มีวันนั้นหรอกน่า เพราะตอนนี้เขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังถูกจีบ โธ่ ชีวิตรักไอ้กิมช่างรันทดเหลือเกิน เมื่อไหร่จะสมหวังกับชาวบ้านสักที

“โอเคๆ แล้วจะรอชิมครับ” ผมบอกอีกคนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ส่วนคีนเองไม่ได้มีแววโกรธแต่อย่างใดแถมยังยักคิ้วให้อีกต่างหาก เห็นแล้วก็นึกมันเขี้ยวอยากใช้ปากขยี้หน้าผากมนนั่นให้หน่ำใจข้อหากวนกันดีนัก

“รับรองติดใจแน่นอน” แหนะ ก่อนคีนหมุนตัวเข้าห้องยังทิ้งท้ายประโยคให้ชวนใจสั่นอีก โอย นี่ถ้าผมเป็นคนขี้มโนสักหน่อยคงคิดว่าเขาอ่อยแน่ๆ

ขนาดไม่ได้ชิมยังหลงขนาดนี้ ถ้าได้ชิมไม่ตกเป็นทาสนักเลยหรือไงครับคุณคนินท์ เห็นใจหมาตาดำๆ ตัวนี้บ้างเถอะ หัวใจมันจะวายตายอยู่ตรงนี้แล้วจ้า ตึกตัก

พอสงบสติอารมณ์ให้อยู่ในภาวะปกติได้ก็ล้วงคีย์การ์ดออกมาเปิดประตูห้องตัวเองบ้าง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือภาพไอ้ปอมกำลังยืนเกาไข่แถมยังเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆ อยู่ในปาก หัวเหอยุ่งอย่างกับรังนก สภาพแม่งไม่น่าจับพลัดจับผลูไปประกวดเดือนคณะได้เลย ทุเรศลูกตาเว้ย พอมันหันมาเห็นผมก็รีบคลี่ยิ้มต้อนรับเชียว อีกเดี๋ยวคงเดินไปชงกาแฟกลั้วขี้ฟันยามเช้าแน่ๆ เฮ้อ

“เพิ่งตื่นหรือไง?” ผมออกปากถามพลางปิดประตูห้องแล้วสะบัดรองเท้าผ้าใบออก พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นไอ้ปอมส่งสายตาเขียวปั๊ดเป็นการบอกลางๆ ว่ามึงควรเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เออ ทำก็ได้วะ นี่ถือว่าขออาศัยมันอยู่เลยยอมไม่อย่างนั้นคงเถียงกันห้องแตกแน่

หลังจากที่บรรจงก้มเก็บรองเท้าวางบนชั้นเสร็จผมก็เดินตรงไปยังห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่มแก้กระหายก่อนจะไปอาบน้ำและออกมาเตรียมอาหารเช้า วันนี้คิดไว้ว่าเมนูข้าวต้มทรงเครื่องน่าสนใจ ใส่ปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้งแล้วเพิ่มหมูสับปรุงรสให้กลมกล่อมตบท้ายด้วยเจียวกระเทียมโรยหน้าเล็กน้อยเป็นอันพร้อมกิน

ขวดน้ำเย็นช่ำถูกยกขึ้นดื่มดับความกระหายทำให้รู้สึกสดชื่น แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ไอ้ปอมย้ายตัวจากห้องนั่งเล่นมาโผล่อยู่ข้างๆ ผมเห็นแล้วแทบสำลักน้ำเพราะตกใจ ดีหน่อยที่ตอนนี้เป็นเวลากลางวันเลยไม่ตกใจจนเผลอถีบเข้าให้ มันบ้าหรือไงที่ยืนใช้มือไขว้หลังพลางจ้องเขม็ง เชี่ย นึกว่าผีถ้าไม่ติดว่าแม่งใส่ชุดนอนมาสคอตรูปมังกรน่ะนะ ปัญญาอ่อนฉิบหาย

“มองอะไรกู พิศวาสนักหรืองไง?” ผมถามหลังจากหยุดดื่มน้ำก่อนแลบลิ้นเลียขอบปากเพื่อเก็บคราบเลอะ ส่วนไอ้ทำหน้าเหมือนคนคลื่นไส้แถมเหล่ตามองอย่างดูถูก เออ อันนี้ก็เข้าใจว่ารู้สึกหมั่นไส้เพื่อน อยากยันให้ติดตู้เย็นอะไรทำนองนั้น แต่ที่ผมสงสัยมากๆ คือเมื่อไหร่มันจะเลิกเกาไข่สักวะ ไม่พอแค่นั้นยังแอบเอามาดมด้วย โอย กูรับไม่ได้จริงๆ นะ

“คนอย่างมึงให้ฟรีแถมข้าวสารกูยังไม่เอาอะ” มันทำท่าขยะแขยงใส่กันแต่แค่นั้นยังไม่พอเพราะแม่งหยิบไม้เกาหลังที่ตั้งอยู่บนตู้เย็นมาเขี่ยๆ ที่ต้นแขนผมลามมาถึงซอกคอ พอใช้มือปัดออกก็เสือกเอากระดูกไปกระทบดังกึก เจ็บสัดๆ ไอ้บ้าปอมทำอย่างกับเพื่อนมึงเป็นขี้เลยเนอะ เดี๋ยวกูถีบกระเด็น!

“เป็นหมาปากเปราะตลอดเลยนะมึง” ผมคว้าไม้เกาหลังมาถือไว้ซะเองก่อนที่จะเอาเคาะลงบนหัวยุ่งๆ ของไอ้ปอมเป็นการเอาคืน สะใจพอๆ กับที่หมั่นไส้ แต่มันร้องโอดโอยแถมนั่งลงไปกองอยู่กับพื้นเหมือนเจ็บมากทั้งที่ผมยั้งแรงไว้เยอะ โอย อยากเอาโล่การเสแสร้งมอบให้เหลือเกิน มึงควรซิ่วไปเรียนิเทศฯ มากกว่าทนเรียนถ่ายภาพว่ะ คงรุ่งน่าดู รุ่งริ่งอะนะ

“นี่ล่ะเขาเรียกเสมอต้นเสมอปลาย” มันยังอุตส่าห์เงยหน้าขึ้นมาโฆษณาตัวเองด้วยถ้อยคำที่ฟังแล้วชวนให้กรอกตามองบน เรื่องบ้าๆ นี่มึงก็ทำจังเนอะ ไอ้เรื่องดีๆ ไม่เคยคิดจะเริ่มทำบ้างอย่างเช่นเลิกปากแข็ง...

“จ้า เหี้ยเสมอต้นเสมอปลาย” ผมถอนหายใจเฮือกก่อนจะทิ้งไม้เกาหลังลงกับพื้นให้ไอ้ปอมตกใจเล่น คือสะใจตรงที่มันสะดุ้งจนเผลอลุกพรวดเอาหัวโหม่งกับขอบเค้าน์เตอร์ครัว อึ๋ย แค่เห็นก็เจ็บแทนแล้ว ยิ่งได้ยินเสียงซี๊ดปากยิ่งรู้สึกเสียว เลือดออกปะวะ ต้องพาไปเย็บหน้าผากที่โรงพยาบาลไหม

“หูย แรงอะ” ยังมีหน้ามาพูดล้อเล่นแสดงว่ามันไม่ได้ชนแรงสินะ เดี๋ยวกูจับหัวโขกให้เลือดสาดข้อหากวนตีนเลยนี่ ผมจะอยู่กับมันได้จนถึงวันจีบคีนติดหรือเปล่า แค่หนึ่งวันหนึางคืนยังทำให้ปวดหัวขนาดนี้ ขอยาพาราฯ สี่เม็ดครับ!

“พอๆ ถอย กูจะไปอาบน้ำ” ผมเตะไอ้บ้าที่ตอนนี้ลงไปนอนแผ่เกลือกกลิ้งกับพื้นขว้างทางเดิน แต่มันดูเหมือนไม่สะทกสะท้านเพราะทำแค่เปิดเปลือกตาขึ้นมองก่อนจะย่นคิ้วคล้ายคนสงสัย อะ อยากถามอะไรก็ถามมาเห็นความเสือกขึ้นอยู่เต็มหน้ามึงเลย

“เดี๋ยวดิ กูยังไม่ได้ถามเลยว่ามึงหายไปไหนมา?” นั่นไง ทำไมซื้อหวยแล้วไม่ถูกแบบนี้บ้างวะ ไม่อย่างนั้นคงรวยเป็นเศรษฐีแข่งกับพ่อแม่ไปแล้ว โธ่

“ฟิตเนส” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะใช้เท้าแกล้งเหยียบไปบนหน้าอกของไอ้ปอมด้วยความสะใจ มันเบิกตาโตสบถคำหยาบออกมาเยอะแยะแต่รัวจนฟังไม่ออก

โอ๊ย หยิกหน้าแข้งกูทำไม! มองแรงใส่แม่ง เจ็บมาก

“แล้ววันนี้จะออกไปไหนปะ?” จ๊ะ ขอบคุณมากที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทำไมมันถามซอกแซกจังวะ

“ไป ช่วงเที่ยง” ผมตอบตามความจริงเพราะมีนัดกับว่าที่แฟน ฮึ่ย ขอมโนหน่อย พอคิดแบบนั้นแล้วมุมปากมันก็พลอยกระตุกเป็นรอยยิ้มทุกครั้ง วิธีแก้ง่ายๆ คือยกมือขึ้นปิดซะ กลัวไอ้ปอมที่นอนตายอยู่บนพื้นรู้ทัน

“ไปไหนวะ? ขอติดรถไปลงป้ายรถเมล์หน่อย” ห๊ะ คือยังไงที่ไอ้ลูกคุณหนูจะขึ้นรถเมล์ หรือนัดใครไปรับที่นั่น แต่ผมขี้เกียจถามจู้จี้เพราะถือว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากบอกเราก็ไม่ต้องเสือกก็ได้

“กูไม่ได้ขับรถเว้ย” ผมก้าวข้ามตัวมันออกไปยืนด้านนอกแล้วบิดตัวนิดหน่อยเพื่อไล่ความเมื่อย นานๆ ทีไปฟิตเนสก็ล้าเหมือนกัน คืนนี้อาจจะระบมก็ได้

“อ้าว แล้วมึงจะไปยังไงอะ?” มันลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิแล้วใช้ดวงตาคมๆ มองผม เอียงคอประกอบความสงสัย เออ ท่าเหมือนควายงงเลย ตลกดี

“เดินสิวะ” ผมหันหลังโชว์บั้นท้ายงามงอนให้เพื่อนชม เอ่อ ไม่ใช่ละ ก็แค่ไม่อยากให้มันเห็นดวงตาวิบวับเท่านั้นเอง คือตอนนี้ในหัวกำลังคิดภาพเป็นฉากๆ เวลาที่ได้อยู่กับคีนแค่สองคน ความใกล้ชิด น้ำเสียงนุ่มๆ กับข้าวอร่อยๆ มือที่โดนสัมผัสยามช่วยกันต่อ Nano Block อ๋อย กูอยากระเบิดตัวเองเป็นโกโก้ครันซ์ อะไรจะโรแมนติกขนาดนี้

“ห๊ะ?”

“ไปห้องคีนจะให้กูนั่งเครื่องบินเลยไหมล่ะ?” อุ๊ย หลุดบอกไปจัดได้ไอ้ปากพาซวย ตีๆๆๆ แม่ง แต่ดูเหมือนไอ้ปอมจะยังไม่รู้ตัวว่าผมตอบอะไรไปมันถึงไม่มีปฏิกิริยาโอเวอร์ ยังนั่งนิ่งๆ ได้ถือว่ายังตื่นไม่เต็มที่ หึ

“เอ้า ก็มึงไม่บอกให้ละเอียดใครจะไปรู้” อ๋อ เพราะมันมัวแต่หาเหตุผลให้ผมเป็นคนผิดสินะเลยปล่อยผ่านเรื่องคืน หูย กูรอดตัวจากการโดนแซวแล้วเว้ย ไหนๆ โดนปรับปรำแล้วก็คล้อยตามหน่อย

“เออ กูผิดตลอดแม่ง!” แกล้งโวยวายจบก็รีบชิ่งหนีเข้าห้องทันที ไม่รอไอ้ปอมรู้ตัวหรอกเดี๋ยววันนี้ไม่ได้แดกข้าวเช้ากันพอดี

“เฮ้ย เดี๋ยวๆ แล้วไปห้องคีนทำไม? กลับมาตอบคำถามก่อน!” อ้าว รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดเว้ย เพราะผมเพิ่งหนีมันออกมาได้แค่สามสี่ก้าวเอง

“เสือก!” ผมหันไปด่าถึงได้รู้ว่าไอ้ปอมกำลังลุกขึ้นเพื่อจะวิ่งมารั้งแขนกัน แต่ดีที่มันเผลอชะงักการหนีเลยเสร็จสมบูรณ์เมื่อประตูห้องนอนปิดลงพร้อมเสียงดังกริ๊ก ล็อคแล้วเว้ยห้ามหากุญแจมาไข!

กว่าจะเตรียมอาหารเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเก้าโมงเพราะการช่วยทำลายล้างจากไอ้สัดปอม แม่งเอ๊ย แค่ให้เอากุ้งแห้งกับปลาหมึกแห้งแช่น้ำยังทำไม่เป็น พอเปลี่ยนให้คนข้าวต้มในหม้อก็เสือกชะล่าใจยืนเล่นเกมจนได้กลิ่นไหม้ สุดท้ายด้วยความโมโหผมเลยไล่มันออกไปนั่งดูการ์ตูนยามเช้าแทน

“มาแดกข้าวได้แล้ว” ผมตะโกนเรียกไอ้ปอมหลังจากที่ตักข้าวต้มทรงเครื่องใส่ชามเสร็จพร้อมกับเตรียมพวกขิงซอยต้นหอมซอยและผักชีไว้โรยหน้าด้วย กลิ่นหอมๆ ทำให้น้ำย้อยในกระเพาะเริ่มทำงาน อืม... อยากไปช่วยคีนมากินด้วยกันจะได้ไหมวะ แต่คิดอีกทีก็ไม่ดีกว่ากลัวไอ้เพื่อนตัวดีแซวยันลูกบวช (ซึ่งไม่น่าจะมี)

“ถ้ามึงเรียกเพราะกว่านี้กูคงนึกว่ามีเมียแล้ว” ไอ้ปอมเดินหน้าระรื่นเข้ามาพร้อมพูดประโยคระคายหูให้ฟัง ผมที่กำลังหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ถึงกับชะงักกลางอากาศก่อนตวัดสายตาดุดันมอง ไอ้เชี่ยนี่ปากหมาไม่เลิก ถ้าวันไหนกูเมาปล้ำมึงจริงๆ ขึ้นมาอย่าร้องไห้โวยวายนะ กูไม่รับผิดชอบแน่นอน

“ไอ้สัด พูดมากก็ไม่ต้องแดก” ผมคว้าชามไอ้ปอมเพื่อจะเอาออกจากโต๊ะแต่มัมก็รีบส่งสายตาอ้อนวอนกับมือควายๆ มารั้งไว้ได้ทัน แม่ง น้ำข้าวต้มเกือบหกรดมือ

“เฮ้ยๆ ของกู แค่ล้อเล่นน่า ทำเครียดไปได้” มันตบมือผมเบาๆ เหมือนเป็นการบอกให้ปล่อยมือจากชามซึ่งมันก็ได้ผลเพราะฝั่งนี้ก็กลัวว่าถ้ามันหกต้องเก็บกวาดด้วยตัวเองอีก ตอนนี้ผมก็ทำได้แค่กระแทกก้นลงบนเก้าอี้แล้วส่งสายตาคาดโทษไปให้ เบื่อหน้าจริงๆ แต่ต้องทนอยู่ ไม่อยากนั้นภารกิจหัวใจคงล้มเหลว

“ไม่ได้เครียดแต่รำคาญหมาในปากมึง”

“แหะๆ กินข้าวกันดีกว่าค่ะที่รัก เดี๋ยวเมียโรยผักชีให้เนอะ” พอมันเห็นผมเกรี้ยวกราดใส่ก็เปลี่ยนพูดจาเป็นหวานหยดย้อยจนขนลุกซู่ กูอยากถีบยอดหน้ามึงจริงๆ ให้ตายเถอะ แถมจะบริหารหยิบผักชีใส่ชามให้อีก แต่พอดีว่าผมรังเกียจหมาอย่างไอ้ปอม หึ

“เก็บขาหน้ามึงไว้เถอะ กูมีมือทำเองได้” ผมปัดขาหน้าง่อยๆ ของเพื่อนทิ้งก่อนหยิบผักชีใส่ชามตัวเองจนมีแต่สีเขียว ขิงอีกนิดหน่อยเพื่อตัดความเลี่ยน พริกไทยดำเพิ่มความหอม ตามด้วยกระเทียมเจียวผสมกากหมู ฟินอย่าบอกใคร เออ สาเหตุที่บอกว่ารังเกียจมันก็เพราะภาพตอนเกาไข่ยังติดตาไม่รู้แม่งขัดซอกเล็บบ้างไหม ยี้ แค่คิดก็จะอ้วกแล้ว ไอ้ปอมคนโสโครกที่แท้ทรู

“อูย ร้ายกาจมากค่ะ” ยังไม่หยุดกวนตีนอีก พ้นเปลือกกระเทียมใส่แม่ง!

หลังจากฟาดอาหารมื้อเช้าไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงคนที่นั่งดูหนังด้วยกันก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะคว้าหยิบกุญแจรถ กระเป๋าตังค์และโทรศัพท์เพื่อออกไปข้างนอก สรุปแล้วคือมันมีนัดกินข้าวกับพี่รหัสที่เป็นสาวสวยดีกรีหลีดคณะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดวันนี้โลกโซเชี่ยลของเด็กมหา’ลัยผมคงร้อนระอุแน่นอน หาว่าสองคนนี้กิ๊กกันมั่งล่ะ คู่นอน ผัวเมีย โอย สารพัด ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอมีแฟนเป็นทอม คือแบบ... อย่ามโนแรงเกินความจริงเลย สงสารคนรับเคราะห์ว่ะ

“จะกลับกี่โมง?” ผมถามในขณะที่ตามองทีวี มือข้างหนึ่งหยิบมันฝรั่งทอดใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับ เออ นานๆ ทีกินขนมขบเคี้ยวก็เพลินดี ถ้าอยู่บ้านคงโดนแม่เทศน์จนหูชาเรื่องบริโภคของไม่มีประโยชน์ นี่ถ้าเธอบังคับให้ผมกินมังสวิรัติได้คงทำไปแล้ว ห่วงจังสุขภาพลูกชายเนี่ยแต่ตัวเองกินตับห่านคืออะไร๊ ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน!

“คงเย็นๆ เลย มึงก็ไปกกคีนให้หนำใจ”

“สัด กูไม่ใช่แม่ไก่” ที่ด่ามันไม่ใช่อะไรหรอกคือคิดภาพตามแล้วรู้สึกร้อนวูบวาบชอบกล กกนี่คล้ายๆ กดไหม อืม หื่นอีกกู!

“แหม โวยวายกลบเกลื่อนความเขินอะดิ” อะ คนเชี่ยอะไรชอบฉลาดเอาตอนที่กูหาทางแก้ตัวไม่ได้วะ แล้วไอ้มือที่เขี่ยแก้มกันอยู่คืออะไร ขนลุกเว้ย พอปัดทิ้งก็ได้ยินเสียงเอิ๊กอ๊ากแสดงความชอบใจซะอย่างงั้น เดี๋ยวต่อยคว่ำไม่ต้องดงต้องแดกข้าวเหอะ หมั่นไส้

“ยุ่งจริง จะไปก็รีบๆ เดี๋ยวพี่รหัสมึงรอนาน”ผมโบกมือไล่เพื่อนเพื่อตัดความรำคาญและกลบเกลื่อนความเขินของตัวเองที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเผลอนึกถึงเสียงนุ่มทุ้มของคีนยามพูดคุยกัน มันก็จะฉิบหายหน่อยๆ ตรงที่ผมไม่สามารถหุบยิ้มได้เลยต้องหยิบขนมยัดใส่ปากทำเป็นตั้งใจดูหนังแทน แต่เชื่อว่าไอ้ปอมมันฉลาดพอเพราะได้ยินเสียงหัวเราะหึหึ เกลียดเว้ย ออกไปจากห้องสักทีสิวะ

“เออๆ ไปล่ะ เดี๋ยวมื้อเย็นกูซื้อพิซซ่ามาฝาก”

เนี่ย อยากติดแท็กเพื่อนดีบอกต่อด้วยฉิบหาย แต่อย่าบอกมันนะว่าผมชมเดี๋ยวเหลิงกันไปใหญ่

“อืม ขับรถดีๆ”

ไอ้ปอมออกไปแล้วก็เท่ากับว่าโซฟาว่างผมเลยทิ้งตัวลงนอนดูหนังพลางหยิบขนมใส่ปากเรื่อยๆ แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นภาพตรงหน้าถึงตัด ก็แบบนี้ล่ะ คนกินอิ่มนอนหลับไม่กังวลเรื่องอะไรนอกจากการจีบคีน กะว่าจะฝันหวานสักหน่อยกลับโดนปลุกด้วยเสียงเคาะประตูและเสียงออด



ต่อด้านล่าง


หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 7 -P.1- 05/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-08-2018 22:45:50
ผมงัวเงียยันตัวขึ้นนั่งครู่หนึ่งเพื่อปรับสมดุลตัวเองก่อนลุกเดินไปที่เปิดประตูด้วยสภาพหัวฟูเหมือนรังนก ตอนแรกกะว่าพอเห็นหน้าคนมาเยือนจะด่าสักหน่อยแต่เอาเข้าจริงกลับยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ขาแขนเกร็งไปหมดเพราะเขาคือคีนเว้ย คีนตัวเป็นๆ มาพร้อม... ปิ่นโตสีพาสเทล!

“มี เอ่อ... มีอะไรหรือเปล่าคีน?” ผมถามด้วยเสียงตะกุกตะกักพลางเหลือบมองปิ่นโตสีหวานสลับกับใบหน้าหล่อของคีน ไม่มีอะไรเข้ากันเลยแต่รวมๆ มันดูโคตรน่ารักอะ แต่ผมไม่เข้าใจว่าเขาถือมันมาที่นี่ทำไม หรือจะชวนไปวัดตอนเที่ยงเกือบบ่าย? (สติหน่อยไอ้กิมเลยเวลาฉันท์เพลแล้ว!)

“เอาอาหารเที่ยงมาให้ตามสัญญาไง” หูย อะไรจะเป็นคนน่ารักได้ขนาดนี้วะคนเรา แต่ทำไมต้องลำบากเอาข้าวมาให้ผมทั้งที่ก็นัดกันไว้

“หืม?” ผมไม่ได้รับปิ่นโตที่ถูกยื่นมาแต่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาทแทน หรือว่าจริงๆ แล้วคีนไม่อยากให้คนอื่นเข้าไปยุ่งในโลกส่วนตัวเพราะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น แล้วอย่างพี่เซียนต้องมีความสัมพันธ์กันแบบไหนถึงเหยียบห้องเขาได้... อยู่ๆ ก็รู้สึกปวดใจแฮะ แต่ไม่เป็นไรผมยังมีความหวังเสมอล่ะน่า

“พอดีว่าเรามีธุระด่วนน่ะ ไว้คราวหน้ากิมค่อยมาสอนต่อ Nano Block เนอะ” คีนคลี่ยิ้มกว้างให้ก่อนจะยัดเถาปิ่นโตใส่มือผม ไอ้ตอนนี้โดนสัมผัสนั้นรู้สึกว่าร่างกายไร้น้ำหนักชอบกลเหมือนกับว่ากำลังลอยอยู่กลางอากาศ ฮือ โคตรนุ่ม ฟินมากด้วย

“อ่า โอเค ขะ ขอบคุณมากครับ” พอรู้ตัวว่าเผลอทำหน้าเคลิ้มก็รีบกลบเกลื่อนโดนการยกปิ่นโตขึ้นบังแล้วกล่าวขอบคุณเสียงสั่น ผลกระทบมันคงมาจากหัวใจที่เต้นแรงจนแทบทะลุออกมาด้านนอก กลิ่นหอมจากตัวคีนนี่เป็นเครื่องมือกระตุ้นอารมณ์ได้เลยว่ะ อันตรายเกินไปแล้ว

“อื้อ รสชาติเป็นยังไงอย่าลืมบอกเราด้วยนะ” ยิ้มให้ยังไม่พอเหรอครับคีน ทำไมต้องใช้สายตาออดอ้อนกันด้วย ก็เป็นซะแบบนี้จะไม่ให้หลงรักได้ยังไง สมมติว่ารสชาติอาหารหมาไม่แดกผมยังเต็มใจโกหกเลยว่ามันอร่อย โธ่ คนอะไรโคตรขี้โกงเลย

“ได้ๆ เดี๋ยวเราจะไปบอกตอนคีนกลับมา” อะ ไอ้เราก็เด็กดีอีกตามเคย เขาบอกอะไรมาก็ทำตามแต่อย่าสืบจุดประสงค์แอบแฝงเพราะมันโคตรเลวเลยจ้า จุ๊ๆ ห้ามเสียงดังกันน้าเดี๋ยวคีนจะรู้ว่าผมอยากเจอหน้าเขา

“วันนี้เราอาจจะนอนบ้าน ถ้ายังไงกิมแอดไลน์มาก็ได้” อ๋อ ไว้เป็นช่องทางติดต่อพูดคุยเรื่องรสชาติอาหารสินะ ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องไปรบกวนเวลาพักผ่อน แต่เดี๋ยวก่อน ให้แอดไลน์เหรอ? จริงดิ!

“หา?” ผมเผลอร้องด้วยควาทตกใจเพราะไม่คิดมาก่อนว่าคีนจะยอมให้แอดไลน์ง่ายๆ ขนาดนี้ หรือมีแค่ผมคนเดียวที่กังวลมากไปวะ ก็รู้สึกไม่เหมือนคนอื่นไง เสือกชอบเขานี่ล่ะเลยเป็นอุปสรรค์โคตรใหญ่

“ตกใจอะไร แอดไลน์เราไงหรือไม่สะดวก?” อะ เข้าใจผิดไปอี๊ก คือผมกำลังอึ้งปนดีใจโคตรๆ เลยครับคุณคนินท์เลยไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนดี โอย มือไม้อ่อนเกือบทำปิ่นโตร่วงแล้วเนี่ย อยากกระโดดไปคว้าโทรศัพท์ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

“เฮ้ย เปล่าๆ แอดๆ เดี๋ยวเราแอดไปเลย” ผมละล่ำละลักพูดจนแทบไม่เป็นภาษาจนกลัวว่าคีนจะจับพิรุธได้เลยรีบหลบสายตาพลางลอบถอนหายใจ แม่ง ตอนนี้นิ้วตีนทั้งสิบก็ดูน่าสนใจดีนี่หว่า ไว้ว่างๆ จะตั้งชื่อให้เนอะ

“อื้อ เราไปนะ บาย” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอนได้ยินเสียงบอกลา ภาพที่เห็นคือรอยยิ้มสดใสกับการขยิบตานั่นคืออะไรช่วยอธิบายให้คนโง่ฟังที หัวใจกูจะวายแล้วเนี่ย สมองมันตื้อๆ ไปหมด มือที่จับปิ่นโตก็สั่นกึก บ้า โคตรบ้าเลย ตั้งใจอ่อยใช่ไหมเจ้าคีนตัวแสบ!

คือผมก็ไม่อยากเข้าข้างตัวเองหรอกเพราะถ้าคนเราหวังสูงเกินไปตอนผิดหวังก็จะเจ็บมาก ทุกวันนี้ขอแค่เขาไม่รังเกียจ ยอมให้ดูแล ยอมพูดคุยอย่างเป็นกันเองก็ดีมากพอแล้ว ส่วนเรื่องเนียนจีบก็ทำไปเรื่อยๆ นั่นล่ะ คีนรู้ตัวเมื่อไหร่คง... ช่างแม่งเถอะ ส่วนของอนาคตค่อยว่ากัน ตอนนี้ขอดื่มด่ำกับปิ่นโตสีพาสเทลก่อนน้า ฮึ่ย ถ่ายรูปส่งไปอวดไอ้ปอมกับไอ้ว่านดีกว่า!

กับข้าวสามอย่างถูกยกออกมาวางเรียงกันบนโต๊ะ มีหมูทอด ผัดปลากหมึกไข่เค็มและแกงส้มกุ้งชะอมไข่คืออาหารดีๆ ทั้งนั้น กลิ่นหอมของมันทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อกเพราะอยากหยิบช้อนมาจ้วงใส่ปากซะตอนนี้แต่ภารกิจที่ต้องทำคือจัดองค์ประกอบเพื่อถ่ายรูปอวดเพื่อนและอัปเดตลงไอจี นี่ถึงขนาดเดินไปรื้อหาผ้าปูโต๊ะลายสวยๆ ที่เพิ่งเห็นผ่านตาเมื่อวันก่อนตอนจัดระเบียบครัวให้ไอ้ปอม คือมันไม่เคยใช้ครัวเลย ซื้ออะไรมาก็จับยัดๆ จนหาของไม่เจอ แม่งเอ๊ย เปิดตู้ทีผวาว่าจะมีงูโผล่ออกมา

ผมพับผ้าปูโต๊ะสีน้ำเงินสลับลายทางสีขาวเป็นสามเหลี่ยมแล้ววางลงใต้ชั้นปิ่นโตสีฟ้า ชมพู เหลืองและเขียวพาสเทลก่อนจะหยิบเอาช้อนไม้ที่ไอ้ปอมเคยซื้อมาเป็นพร็อพถ่ายรูปเล่นจัดไว้ข้างๆ ขยับกระถางดอกไม้เข้าฉากเป็นอันเรียบร้อย คราวนี้ก็เหลือแค่สกิลการใช้กล่องง่อยๆ ของผมแล้วล่ะว่าจะสามารถทำให้มันออกมาสวยได้ไหม แต่หน้าตาอาหารโคตรน่ากินเลยนะ

ผมลั่นชัตเตอร์ไปเกือบสิบครั้งเพราะหมุนถ่ายทุกมุมรอบโต๊ะ ยืนบนเก้าอี้บ้าง นั่งยองๆ ให้ระดับสายตาอยู่พอดีกับวัตถุบ้าง เอียงซ้ายทีขวาทีจนได้รูปที่พอใจก็อัปลงไอจีเป็นอย่างแรกแต่ไม่กล้าแท็กเจ้าของอาหารมื้อนี้ ส่วนแคปชั่นเป็นอะไรง่ายๆ พื้นๆ ไม่หวือหวาหรือผิดสังเกต เพราะมันก็แค่คำบอกเล่า ‘มื้อนี้กินฟรี มีคนหิ้วปิ่นโตมาให้ถึงหน้าห้อง’ แต่ทำไมคอมเม้นต์เด้งจังวะ ก็ไม่ได้เผลอใส่อีโมจิรูปหัวใจสักหน่อย

ตอนแรกก็กะว่าจะเข้าไปอ่านคอมเม้นต์สักหน่อยแต่เอาไว้ก่อนดีกว่าเพราะตอนนี้ความหิวชนะทุกอย่าง ผมเคีลยร์พร็อพบนโต๊ะแล้วหยิบช้อนส้อมที่ใช้กินข้าวได้จริงเอามาตักชิมปลาหมึกผัดไข่เค็มเป็นอย่างแรก โอ้โห คือเหมือนเห็นสวรรค์อยู่รำไรอะ รสชาติกลมกล่อมกำลังดีส่วนปลาหมึกก็นุ่มเคี้ยวง่ายไม่เหนียว อร่อยจนแทบลืมอาหารฝีมือแม่ไปเลย ฮือ กิมขอโทษที่เป็นลูกอกตัญญู

ชั้นปิ่นโตอันถัดมาบรรจุแกงส้มกุ้งตัวโตๆ แกะเปลือกเรียบร้อยกับชะอมไข่ชุ่มช่ำ มือที่ถือช้อนสั่นระริกเพราะกำลังลุ้นว่ารสชาติมันจะออกมาทำนองไหน ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยชอบเมนูนี้สักเท่าไหร่เนื่องด้วยร้านอาหารชอบทำติดเปรี้ยวจนเข็ดฟัน กินเข้าไปเยอะๆ แล้วปวดท้องตลอด ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากแตะมันเลย แต่นี่ถือเป็นกรณีพิเศษเพราะคีนอุตส่าห์ทำมาให้ชิม เอาวะ แค่ใส่ปากแล้วเคี้ยวๆ จะไปยากอะไร อืม... ฉิบหาย เสือกอร่อยเฉย! คือถูกปากอะบอกเลย แม่ยังทำไม่ได้แบบนี้ (ผมจะไปกราบขอโทษแม่สักสิบครั้งเลยครับที่เผลอพาดพิง ฮือ เก๊าไม่ได้ตั้งใจว่าตัวเลยนะ)

อะ มาที่อย่างสุดท้าย หมูทอดหน้าตาธรรมดาทั่วไปที่ขึ้นชื่อว่าโคตรเข้ากันกับแกงส้ม คราวนี้ผมใช้มือหยิบเข้าปากก่อนจะเริ่มเคี้ยวหงุบหงับ สัมผัสคือกรอบนอกนุ่มในติดรสเค็มนิดหน่อยถือว่าอร่อยเทียบกับร้านอาหารได้เลย สรุปว่ามื้อนี้ผมคงฟินไปยันชาติหน้า โหย คือแบบรู้สึกว่าอยากได้คีนมาเป็นพ่อครัวส่วนตัวเร็วๆ หวงที่จะให้คนอื่นรู้ว่าทำเก่งขนาดนี้ มีเสน่ห์ปลายจวักแบบนี้ พอคิดว่าไอ้สิ่งที่ผมได้รับมาพี่เซียนก็คงได้เหมือนกันแล้วรู้สึกอยากสำลักปลากหมึกตายๆ ไปซะ ไอ้กิมจะเอาข้อดีที่ไหนไปงัดข้อกับว่าที่สัตวแพทย์ได้บ้างเนี่ย เฮ้อ แดกข้าวเสร็จขอไปนอนหลับพักหัวใจดีกว่า

ผมเผลอหลับไปตอนบ่ายสามกว่าๆ สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งคือห้องมืดตึ๊ดตื๋อซะแล้ว ยังดีหน่อยที่เดินคลำทางไปเปิดไฟได้โดยไม่เผลอเหยียบผ้าเช็ดเท้าล้มหัวฟาดพื้นตาย ยืนปรับสายตากับแสงสว่างอยู่สักพักก็พุ่งเข้าใส่โซฟาอีกครั้งเพราะยังขี้เกียจอยู่ พอนั่งโง่ๆ ไปสักพักโดยไม่ทำอะไรก็เริ่มเบื่อเลยเหลือบมองนาฬิกาติดผนัง พอเห็นเวลาก็ได้แต่ร้องเชี่ยในใจ สองทุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่วะ แล้วไอ้หมาปอมหายหัวไปไหน นี่มันไม่เย็นแล้วเว้ยดึกแล้ว หิว!

ครืด

ในตอนที่กำลังคิดว่าจะยกหูต่อสายไปด่าไอ้ปอมเสียงสั่นครืดแจ้งเตือนอะไรบางอย่างจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูก็พบว่ามันเป็นข้อความจากแอปฯ ไลน์ที่ส่งมาจากเพื่อนสนิทตัวดี แม่ง ตายยากฉิบหาย พอบ่นปุ๊บก็โผล่หัวมาปั๊บเลยเนอะ ดี จะได้ไม่เปลืองค่าโทร

กะปอม : ที่รักจ๋า เค้าขอโทษ
   กิมมิค : อะไรของมึง ตอนนี้อยู่ที่ไหนวะ?
   กะปอม : กำลังเดินทางไปร้านเหล้าจ้า

    ผมเข้าใจแล้วว่ามันขอโทษเรื่องอะไร โอย ทำไมรู้สึกเหมือนเมียโดนผัวหลอกว่าไปทำงานแต่มันเสือกดอดไปเที่ยวกับกิ๊กเลยวะ สงสัยเป็นเพราะอารมณ์โมโหหิวแน่ๆ อ๊าก กูจะฆ่ามัน!

   กิมมิค :  ไอ้สัดปอม แล้วข้าวเย็นกูล่ะ?

   ลองทวงดูเผื่อมันมีน้ำใจแวะเอาข้าวมาส่งหน้าคอนโดให้ก่อน

กะปอม : งุย ไม่เกรี้ยวกราดดิ ในตู้มีมาม่ารสต้มโคล้งอยู่น้า ใส่ผัก ใส่ไข่อร่อยเหาะเลย ><

เหาะไปตบกบาลมึงใช่ไหม! แม่งเอ๊ย เกลียดอีโมจิห่าเหวนั่นฉิบหาย

กิมมิค : ไอ้เหี้ย คืนนี้มึงนอนหน้าห้องไปเลย กูใส่กลอนประตู!
กะปอม : กรี๊ด ไม่ได้นะเว้ยผัวขา กูจะซื้อน้ำเต้าหู้กับขนมปังอบไอน้ำแถมสังขยาสองถุงไปฝาก ดิวนะ น้า ~

โอย กูอยากจะลากหัวมึงออกมากระทืบให้จมดินจริงๆ เลย จะซื้อห่าเหวอะไรมาฝากก็ไม่สนเว้ย เข้าใจไหมว่าหิวตอนนี้จะแดกตอนนี้ไม่ใช่หลังร้านเหล้าปิด รอจนตอนนั้นคงปวดท้องตายห่าไปแล้วมั้ง

กิมมิค : ไม่ดิวห่าอะไรทั้งนั้น บล็อกไลน์แม่ง!



------------------------------------------------

คีนมีความอ่อยมากขึ้น เอ๊ะ หรือไม่ได้อ่อยแต่เป็นคนน่ารักโดยกำเนิดอยู่แล้วหนอ?
สารภาพมานะว่าใครเชียร์คู่กิมปอมแล้วแอบฟินที่เขางุ้งงิ้งใส่กันบ้าง? 55555

อ่านให้สนุกน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 7 -P.1- 05/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-08-2018 01:51:06
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 8 -P.1- 11/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 11-08-2018 20:45:43
รูปถ่ายใบที่ 8


ครืดๆๆ

เสียงโทรศัพท์สั่นรัวๆ ดังขึ้นในขณะที่ผมตั้งใจอ่านนิยายสยองขวัญอยู่บนเตียง หนังสือเล่มนี้โดนไอ้ว่านยัดเยียดมาให้แถมยังบอกว่าโคตรหลอนจนขนหัวลุก เอาจริงก็น่ากลัวนิดๆ เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวอย่างห้องพักในคอนโด ยิ่งจดจ่อกับมันในช่วงเวลาค่ำมืดยิ่งอินไปใหญ่ แล้วอีกอย่างคือใครแม่งส่งข้อความมาหนักหนาเนี่ย กูสะดุ้งเฮือกเกือบฉี่แตกแล้ว!

ผมพ่นลมหายใจหนักก่อนจะคว่ำหนังสือลงกับขาอ่อน ลูบอกตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกขวัญให้กลับมาแล้วเอื้อมมืออีกข้างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แจ้งเตือนที่เห็นสามข้อความทำให้หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าการตกใจเมื่อครู่เป็นร้อยเท่า ผมลองขยี้ตาแล้วเพ่งหน้าจอจนแทบเอาหัวมุดเข้าไปดูเพื่อความแน่ใจ บ้าไปแล้ว ไม่จริงน่า ทำไมล่ะ ก็ไหนว่าให้ทางนี้แอด... ไอ้ฉิบหาย ลืมสนิทเลย!

ลืมแอดไลน์คีนเพราะมัวแต่โมโหไอ้ปอม อ๊าก!

ผมรีบเปิดหน้าแชทไลน์ขึ้นแล้วรีบกดรับเพื่อนเป็นอย่างแรกก่อนจะกวาดสายตาไล่อ่านข้อความที่คีนส่งมาหา โอย ทำไม มีแต่คำว่าทำไมเต็มหัวไปหมด คนบ้าอะไรวะ โคตรน่ารักเลย เขาส่งข้อความมาทวงเรื่องรสชาติอาหารเนี่ยนะ ดีใจจนจะร้องไห้เลยจ้า

คีน : ไหนบอกว่าจะแอดมาหาเรา ข้ามวันแล้วเหอะ
คีน : อาหารฝีมือเราเป็นไงบ้าง?
คีน : หรือกินแล้วท้องเสีย ตอบเราหน่อย

ผมอ่านข้อความพร้อมกับดึงผ้าห่มมากัดเพื่อระบายความเขินเพราะดันมโนไปว่าเขาเป็นห่วงกัน เนี่ยถึงกับขนาดแคปหน้าจอเอาไว้เป็นที่ระลึก ถ้าไม่ติดว่าคีนเร่งให้ตอบกลับคงส่งรูปไปอวดไอ้ปอมแน่นอน แต่ป่านนี้มันคงเมาหัวทิ่มไม่รู้เรื่องราวแล้วมั้ง

พอจะรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับเพราะไม่อยากให้คีนรอนานแต่มือกลับสั่นจนจิ้มผิดจิ้มถูก คำว่า ‘ขอบคุณ’ กลายเป็น ‘ชอบคุณ’ ไอ้เชี่ยเอ๊ย เกือบส่งไปแล้วไหมล่ะ ดีที่อ่านก่อน แต่คิดอีกแง่ก็ดีเหมือนกันจะได้สารภาพความจริงไปเลย ดีกับผีน่ะสิ ขืนจู่โจมเขาเกินพอดีเดี๋ยวก็พังไม่เป็นท่า ต้องช้าๆ ถึงได้พร้าเล่มงาม

กิมมิค : โทษทีๆ เราลืมสนิทเลย มัวแต่ตีกับไอ้ปอม
กิมมิค : เรื่องอาหารคือคีนเปิดร้านอาหารน่าจะรุ่ง โคตรอร่อยเลย ขอบคุณครับ ~

อะ พิมพ์ส่งไปแล้วต่อมาคือนั่งรอด้วยใจจดจ่อ ระหว่างนั้นก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัวก่อนหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอีกครั้งทำเหมือนว่าไม่ได้สนใจ แต่มันเป็นฟีลลิ่งประมาณว่าลุ้นจนตัวโก่งว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับยังไง มือสั่นใจสั่นแถมยังไม่กล้ามองจอเพราะลึกๆ ก็กลัวคำตอบไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ ไม่รู้ว่าคนอื่นมีอาการแบบนี้ไหมแต่ผมนี่ใช่เลย

ครืด

แม่ง ทำไมคีนตอบกลับมาไวขนาดนี้วะเนี่ย ผมยังอ่านหนังสือไม่จบบรรทัดเลยเหอะ เอาจริงคืออ่านซ้ำที่เดิมมาหลายรอบแล้วเพราะมันไม่เข้าหัวเลยสักนิด เมื่อครู่ก็สะดุ้งเพราะเสียงสั่นของโทรศัพท์จนสติกระเจิง หัวใจเต้นถี่ขึ้นอีกครั้งทั้งๆ ที่คำตอบของอีกฝ่ายคงไม่มีอะไรมากมายชวนคิดลึก แต่เพราะความชอบเขสล้วนๆ เลยทำให้ทุกอย่างมันดูพิเศษขึ้นแม้เป็นการคุยแบบปกติ เฮ้อ เมื่อไหร่กูจะเลิกมโนแล้วรุกจีบแบบเป็นเรื่องเป็นราวสักทีวะ

ผมเอื้อมหยิบโทรศัพท์มากุมไว้ครู่ใหญ่จนเหงื่อเริ่มชื้นตามซอกนิ้ว กว่าจะยกมันขึ้นอยู่ในระดับสายตาได้ก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งนาที พอเห็นข้อความที่คีนส่งกลับมาปุ๊บก็เหมือนหัวใจกระเด็นกระดอนลงไปอยู่ชั้นล่าง โอ๊ย อ่อยไม่อ่อยไม่รู้แต่กูอยากได้เขามาก!

คีน : แบบนี้ต้องลงโทษว่ะ ลืมเราได้ไง
คีน : ดีใจที่กิมชอบ ถ้าอยากกินอะไรอีกรีเควสได้นะ ^^

รีเควสเป็นเมนูน้องคีนนอนแช่ในอ่างน้ำนมได้ไหมครับ พี่กิมอยากกินแบบนั้นมากๆ เลย ฮือ จะไม่ทน เขาทำให้ผมหลงได้ขนาดนี้ได้ยังไงวะ โคตรไม่ยุติธรรมเลย พี่เซียนก็พี่เซียนเหอะ กูไม่ยอมแพ้แน่นอน! อะ คราวนี้ผมจะไม่ยั้งมือในการพิมพ์ตอบอีกแล้ว ขอหยอดหน่อยเหอะ!

กิมมิค : อยากจะลงโทษแบบไหนก็ตามสบายเลย เรายอมทุกอย่างถ้าเป็นคีน
กิมมิค : ใจดีแบบนี้กับทุกคนปะวะคีน? เดี๋ยวเราติดใจทำไง 55555

เสี่ยวให้ห้ามั่นหน้าให้สิบเลยกู พิมพ์เองเบะปากใส่เองมีที่ไหนวะ คราวนี้ตายเป็นตายเพราะไม่รู้ว่าคีนจะคิดยังไงกับข้อความพวกนั้น อะ ผมลุ้นจนโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ปลายเตียงก่อนถีบหนังสือนิยายสยองขวัญของไอ้ว่านให้พ้นทางแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง นับหนึ่งถึงร้อยเพื่อสงบจิตใจอันฟุ้งซ่านเพราะคิดถึงผลลัพธ์ไปต่างๆ นานา ยิ้มบ้าง ขมวดคิ้วบ้าง โอย ใกล้บ้าแล้วกู!

ครืด

ผมตวัดผ้าห่มทิ้งแล้วรีบพุ่งเข้าไปตะครุบโทรศัพท์แทบจะทันทีที่มันสั่นแต่สิ่งที่เห็นบนหน้าจอคือสายเข้าจากไอ้ปอม แม่งเอ๊ย อยากจะฆ่ามึงจริงๆ เลย หนีไปแดกเหล้าทิ้งกูให้หิวยังไม่พอเสือกมาขัดจังหวะลุ้นอีก จะเอายังไงหา ตัวต่อตัวเลยไหม!

“โทรมาทำเชี่ยอะไรตอนนี้?” ผมกัดฟันกรอดส่งเสียงขุ่นไปตามสายก่อนจะต่อยหมอนกอดซ้ำๆ จนมันยุบเป็นวงกว้างเพื่อระบายความงุ่นง่านที่มีอยู่ในใจ แต่พอดึงสติกลับมาได้ก็ต้องแปลกใจเมื่อปลายสายดันเงียบ เอ้า ตกลงว่ามันนั่งทับโทรศัพท์หรือยังไงวะ

“ฮัลโหล ถ้าไม่พูดจะวางแล้วนะ” ลองถามกลับไปอีกครั้งเผื่อว่าไอ้ปอมยังหาสติที่หล่นลงไปในแก้วเหล้าไม่เจอ คราวนี้ผมเงี่ยหูฟังดีๆ ก็ได้ยินเสียงครางอือดังมาจากที่ไกลๆ เหมือนโทรศัพท์อยู่อีกที่คนอยู่อีกที่ ว่าแต่มันอยู่ร้านเหล้าไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้เงียบฉี่เหมือนอยู่ป่าช้าวะ

‘กะ กิมใช่ไหม?’ คราวนี้คนปลายสายรีบละล่ำละลักถามเสียงสั่นเหมือนกลัวว่าจะถูกตัดสาย แต่นั่นไม่ใช่ไอ้กิมนี่หว่าแถมฟังดูมีสติครบร้อยเปอร์เซ็นอีกต่างหาก เฮ้ย หรือเพื่อนผมเปลี่ยรสนิยมไปคว้าเด็กหนุ่มที่ไหนเข้าโรงแรมวะเนี่ย ถ้ามีใครรู้ขึ้นมามึงดังทั้งมหา’ลัยแน่ คราวนี้ตำแหน่งรองเดือนคณะก็ไม่ช่วย

“ใช่ แล้วนั่นใคร มารับโทรศัพท์ไอ้ปอมได้ยังไง?” ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะคิดไม่ออกเลยว่าคนอย่างไอ้ปอมจะหน้ามืดลากผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช้โฮมขึ้นห้องได้ยังไงในเมื่อไม่เคยพิศวาสเพศเดียวกันหรือว่าอยากลองก่อนลงสนามจริง? บ้าน่า แบบนั้นโฮมรังเกียจตายเลย

‘กิม เราโฮมเอง จำได้ไหม?’

“ห๊ะ โฮม... เฮ้ย ไปอยู่กับไอ้ปอมได้ยังไง?” ผมทิ้งช่วงเพราะกำลังประมวลผลว่าคนปลายสายใช่โฮมจริงๆ เหรอวะ ในที่โคจรแบบนั้นขณะที่คีนนอนตีพุงอยู่บ้านเนี่ยนะ บ้าน่า คงไม่ใจเด็ดไปนั่งดื่มคนเดียวนะ แต่ปฏิเสธไม่ลงจริงๆ เพราะนั่นคือเสียงของเขา ผมเลยถามรัวจนลิ้นแทบพันกัน

‘คือเรามากินเหล้ากับลูกพี่ลูกน้องก็เลยเจอปอมที่นี่’ ปลายสายเล่าอย่างใจเย็นแต่ไอ้เสียงหัวเราะเหมือนคนบ้าที่ดังเป็นระลอกเข้ามานี่ชวนหัวเสียฉิบหาย มึงจะเมาเรื้อนต่อหน้าคนที่ชอบไม่ได้นะเว้ย ภาพพจน์รองเดือนคณะที่สั่งสมมาเกือบปีไม่ได้ช่วยให้ดูดีเลยนะ โธ่ ลาก่อนพ่อคนหล่อของประชาชน อกหักรักคุดตุ๊ดก็ไม่เอาแน่ๆ สงสารจัง เฮ้อ ไม่ใช่มันนะ ผมเนี่ยล่ะน่าสงสารที่มีเพื่อนแบบมัน

“แล้ว?” ผมกระตุ้นให้โฮมเล่าต่อพลางเหลือบตามองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบตีหนึ่ง ร้านเหล้าก็ยังไม่ปิดแต่ทำไมเสียงทางนั้นมันเงียบผิดปกติวะ ไอ้เชี่ยปอมลากคนน่ารักไปไหนหรือเปล่า ชักเป็นห่วงแล้วดิ หรือจะโทรไปบอกคีนดี... อุย ใครแซวว่ามันเป็นแผนการหาเรื่องคุย ไม่มีอะไรจริงจริ๊งเชื่อไอ้กิมดิ เอาเจี๊ยวเอ้ยเอาหัวเป็นประกันเลย

‘ตอนนี้ปอมเมาเป็นหมาเลย กิมช่วยมารับทีได้ไหม?’ ผมนี่ใจกระตุกวูบเลยที่ได้ยินเสียงโฮมแบบอ้อนๆ อยากจะหยิบกุญแจแล้วพุ่งออกจากห้องตอนนี้เลยแต่ติดที่ว่าแอบสงสัยนิดหน่อย พวกรุ่นพี่ของไอ้ปอมหายหัวไปไหนกันหมด ชวยแดกได้แต่ไม่มีปัญญาลากน้องกลับบ้านคืออะไร ดูอย่างพวกผมนะ ผู้ชายทั้งสายรหัสแถมหล่อลากดินแต่ไม่เคยชวนก๊งเหล้าเพราะติดเมียกันหมดฮะ... ถุย เออ สมาคมเกียมัวชัดๆ อีกไม่นานไอ้กิมก็คงตามไปถ้าได้คีนเป็นแฟนน่ะนะ

“แล้วพวกสายรหัสมันล่ะ?” อะ ถามสักหน่อยเผื่อได้รับเหตุผลดีๆ ที่จะไม่ทำให้ผมไปวีนแตกใส่รุ่นพี่ในวันจันทร์ คือถ้ารักน้องจริงมันต้องพากันไปพากันกลับได้ไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ ถ้าบังเอิญเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างไอ้ปอมโดยยำตีนเพราะเมาเรื้อนไม่รู้เรื่องแล้วใครจะรับผิดชอบ หรือหนักหน่อยคือโดนปล้นงี้ แม่งเอ๊ย เสียหายหลายแสนแน่

‘แยกย้ายกันหมดแล้ว อื้อ! ปอมอยู่นิ่งๆ’ เดี๋ยวๆ ทำไมเสียงโฮมฟังดูแปลกๆ เหมือนโดน... จูบ เฮ้ย!

“โอเคๆ เดี๋ยวเรารีบไปรับ อยู่ที่ร้าน x ใช่ปะ?” คราวนี้ผมกระเด้งขึ้นจากเตียงจนลืมไปเลยว่าผ้าห่มยังกองอยู่บนตัว ในขณะยกขาก้าวเลยสะดุดจนหน้าแทบพุ่งชนตู้เสื้อผ้า ดีหน่อยที่เบรกทัน อูย ขวัญเอ๊ยขวัญมา ผมรีบเปลี่ยนทิศทางตรงไปหยิบกุญแจรถพร้อมเงินอีกสองร้อย เออน่า ก็มันเป็นเศษทอนที่ยับไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋าไง

‘อื้อ อ๊ะ รีบมานะ เราจะไม่ไหวแล้ว’ เสียงคราง? จากโฮมยิ่งทำให้ผมรีบก้าวขาไปที่ประตู ไอ้เชี่ย เสือกเดินเลยชั้นวางรองเท้าอีกกู วันนี้จะถึงไหมร้านเหล้าน่ะ สติเว้ย ที่รนขนาดนี้ไม่ได้ห่วงเพื่อนเลยห่วงโฮมล้วนๆ

ไอ้สัดปอม มึงทำอะไรโฮม!

ผมใช้เวลาจากคอนโดถึงร้านเหล้าไม่ถึงยี่สิบนาทีเพราะอยู่ไม่ไกลกัน สภาพไอ้ปอมเหมือนหมาอย่างที่โฮมบอกไว้ในตอนแรกจริงๆ มันเอาหัวถูไถกับไหล่ส่วนปากก็พรมจูบซอกคอไปเรื่อยโดยที่คนโดนกระทำทั้งถีบทั้งผลักแต่สุดท้ายก็สู้แรงควายไม่ไหว คือถ้าแค่แตะเฉยๆ คงไม่เป็นปัญหาแต่รอยแดงช้ำนั่น... ผมไม่อยากจะคิดถึงสภาพตอนสร่างเมาเพราะคงมองหน้ากันไม่ติดไปพักใหญ่แน่ๆ

ก็ได้แต่หวังว่าโฮมจะเข้าใจคนเมาและไม่ถือสาเอาความไอ้ปอมล่ะนะ

วันหยุดผ่านไปก็ต้องกลับเจอกับช่วงเวลาเรียนที่หนักหน่วงกว่าปกติเพราะใกล้ช่วงสอบกลางภาคแล้ว ส่วนเรื่องสายรหัสของไอ้ปอมก็โดนผมเทศนาไปตามระเบียบโดยไม่แคร์ใครหน้าไหนจะเอาไปนินทาว่าเป็นเด็กก้าวร้าวเพราะทุกคนเถียงไม่ออกเนื่องจากกล้าทิ้งน้องไว้ร้านเหล้าจริงทั้งที่สภาพมันไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มีอย่างที่ไหนพอแฟนมารับก็ดอดกลับบ้านซะเฉยๆ แถมค่าเหล้าเพื่อนผมก็จ่ายทั้งหมด คือยังไง ใครเลี้ยงใครกันแน่ เฮ้อ

อะ วนกลับมาที่ผมกับคีนซึ่งไม่มีความคืบหน้าอะไรนอกจากคุยไลน์ในคืนนั้น คำตอบของเขาก็แค่ ‘เราล้อเล่น’ คือหมายความรวบทั้งสองเรื่องใช่ไหม คิดจนหัวแทบระเบิดแต่สุดท้ายก็ได้แต่ช่างแม่งเพราะไม่กล้าถามเซ้าซี้ ส่วน Nano Block สื่อรักห่าเหวอะไรนั่นก็เป็นหมันเพราะต่างคนต่างยุ่งเรื่องเรียน เฮ้อ แต่ทำไมพี่เซียนยังมีเวลาวอแวเขาไม่เลิกวะ เจอหน้าทุกวันจนเอียนแล้วเนี่ย

“เอ้า อยู่ๆ ก็นั่งเบะปาก เป็นบ้าอะไร?” ไอ้เพื่อนเชี่ยที่นั่งแดกก๋วยเตี๋ยวเรืออยู่ฝั่งตรงข้ามยื่นปลายตะเกียบมาเขี่ยปากผมอย่างกับของเล่นจนต้องใช้มือปัดทิ้งแล้วแยกเขี้ยวขู่ แต่ก็ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ผมรู้ตัวว่ากำลังแสดงสีหน้ายังไงกลางโรงอาหารคณะ ก็ด้านหน้าถัดไปประมาณสามถึงสี่แถวมีร่างของคีน โฮมและพี่เซียนนั่งอยู่น่ะสิ ไม่รู้คุยอะไรกันถึงได้มีสีหน้ายิ้มแย้มและส่งเสียงหัวเราะสดใสขนาดนี้ หงุดหงิดเว้ย

“รำคาญลูกตา” ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาเพื่อระบายความงุ่นง่านที่เกิดขึ้น ช้อนส้อมในมือถือวางลงกระทบกับจานดังกึกจนไอ้ปอมสะดุ้งเฮือกหลังจากนั้นก็สำลักข้าวไอค่อกแค่กแต่ไม่ถึงขนาดพ่นของที่อยู่ในปากออกมา ผมทำหน้าเอือมใส่ก่อนจะคว้าขวดน้ำมาเปิดเพื่อส่งให้เพื่อน ถือว่าทำบุญช่วยคนใกล้ตายแล้วกัน โสโครกว่ะ อี๋

ไอ้ปอมรีบรับขวดไปกระดกอย่างไวจนน้ำไหลออกมาตรงริมฝีปาก ผมได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ กับความสกปรกของมันที่แก้ไม่หาย แต่ไม่ว่ายังไงแฟนคลับก็ยังมองว่าน่ารักดูดีเสมอ ถุย อวยกันเข้าไป วันไหนแม่งลุกขึ้นมาแคะขี้มูกดีดใส่แล้วจะหนาว หึ

“อะ ให้ยืมตะเกียบควักตามึงออก” อะ พอหายสำลักก็กลับมากวนตีนกันอีก เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากนั่นก็น่ารำคาญ ผมเลยดึงตะเกียบขว้างทิ้งก่อนถลึงตาใส่มันอย่างโกรธๆ รู้อย่าฃนี้ปล่อยให้แม่งสำลักจนตายไปเลย

“ไอ้สัด ไม่กวนตีนสักวันได้ไหม?”

“เอ้า ก็มึงบอกว่ารำคาญ” มันบ่นงุ้งงิ้งก่อนจะใช้ช้อนตักก๋วยเตี๋ยวกินต่อ ผมนี่อยากกระโดดข้ามโต๊ะไปกัดหัว เรื่องกวนตีนนี่ยกให้ไอ้ปอมที่หนึ่งเลย

“เออ กูผิดเอง” ผมตัดปัญหาเพราะไม่อยากพูดอะไรมากกว่านี้เดี๋ยวจะพาลอารมณ์เสียมากกว่าเดิม สายตาถูกดึงกลับไปที่เป้าหมายเดิมคือคีน ตอนนี้ทั้งสามคนต่างกินข้าวเที่ยงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีบางจังหวะที่พี่เซียนแบ่งกับข้าวในจานให้คนข้างๆ นั่นเลยทำให้ผมเผลอกัดปากตัวเองจนเลือดซิบ ซี๊ด เจ็บฉิบหาย

“ไม่อารมณ์เสียดิ แล้วผัดไทยนี่จะแดกไหม? เห็นนั่งเขี่ยมาเป็นชาติ” เอ้า ไอ้ปอมนี่ก็เสือกจังวะ กูจะกินไม่กินมันก็ไม่ใช่ปัญหานี่ แต่เอาเถอะ ใส่อารมณ์ไปก็ไม่เกิดประโยชน์แถมเจ็บปากอีก เฮ้อ

“แดกไม่ลง หงุดหงิด” ผมผลักจานไปด้านหน้าก่อนจะควานหาทิชชู่ในกระเป๋ากางเกงออกมาซับเลือดที่ริมฝีปากด้านใน โอ้โห แสบจนเผลอขมวดคิ้วเลย ไม่ไหวๆ

“ทำไม?”

“ด้านหลังมึงน่ะ” ผมพยักพเยิดหน้าไปทางนั้นแล้วรอดูปฏิกิริยาของเพื่อนว่าเข้าใจสิ่งที่สื่อมากน้อยแค่ไหน

“อ้อ... พี่เซียนสินะ” มันร้องเป็นเชิงว่าเข้าใจก่อนเอื้อมมือมาตบบ่ากันเพื่อปลอบ ผมพนักหน้ารับแล้วฟุบลงกับโต๊ะ ตอนนี้ขี้เกียจรับรู้เรื่องราวรอบตัวว่ะ นอนๆ ซะจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

“อืม กูของีบหน่อยแล้วกัน แดกเสร็จก็ปลุก” ผมเลื่อนจานผัดไทยไปไกลๆ หัวเพราะกลัวมันเลอะ แต่กลับโดนมือไอ้ปอมรั้งไว้จนต้องเงยหน้าเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถาม

“งั้นผัดไทยกูขอนะ”

ผมพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนจะฟุบหน้าลงบนแขนพลางหลับตาลงเหมือเดิม ปล่อยให้ความคิดทุกอย่างไหลเวียนผ่านสมองจนเปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง เดี๋ยวนี้กูสามารถนอนกลางโรงอาหารที่คนพลุกพล่านได้แล้วเหรอ เออว่ะ อยู่ๆ ก็มีความสามรถเพิ่มอีกอย่าง

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหนแต่อาการปวดเมื่อยช่วงต้นคอกับแผ่นหลังทำให้นิทราแสนหวานจบลงแต่ผมก็ยังหลับตาอยู่อย่างนั้นเนื่องด้วยความขี้เกียจเดิน อีกอย่างคือตอนบ่ายไม่มีเรียนต่อแล้วด้วย กะว่าจะบึ่งรถกลับบ้านไปอ้อนแม่สักหน่อยเพราะต้องการกำลังใจ เอาจริงคือเงินใกล้หมดน่ะ... ไม่ได้ท้อเรื่องจีบคีนหรอก

“กิม” เสียงเรียกของชื่อดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าผมต้องเลิกขี้เกียจสักที

“อืม ขออีกห้านาที” ผมตอบรับก่อนยกมือโบกในอากาศเป็นการขอเวลาพลางขยับยกศีรษะเป็นด้านเพราะรู้สึกว่าปวดแก้มโดยไม่ลืมตา ตอนนี้มันคงแดงเป็นปื้นเพราะนอนกดทับนานมากชนิดที่ว่าเสียงจอแจวุ่นวายในโรงอาหารเงียบกริบ จะได้ยินก็แต่เสียงลมกับเสียงหายใจของตัวเองเท่านั้น ฟืด คัดจมูกว่ะ

“ไม่สบายเหรอ?” อีกคนออกปากถามเหมือนไม่รู้มาก่อนว่าผมก็แค่นอยด์ไม่อยากแดกข้าวแล้วหนีด้วยการนอนหลับเลยทำให้อารมณ์ขุ่นมัวกลับมาอีกครั้ง เสียงหายใจฟืดฟาดบ่งบอกว่าหงุดหงิดเังขึ้นก่อนที่ผมจะถลึงตัวขึ้นจากโต๊ะแล้วหลับหูหลับตาตะโกนถาม โอ๊ย หัวเสียฉิบ... หะ หายแล้ว

“อะไรของมึง... เฮ้ย คีน ทำไม?” ผมเบิกตาโตเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่ไอ้ปอมอีกต่อไป ทำไมอยู่ๆ คีนก็มาโผล่ตรงนี้ได้ เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วยังกินข้าวกับชายชู้นี่ หึ! ความจริงคือผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยคิดฟุ้งซ่านกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นแรงเพราะกลัวว่าเขาจะได้ยิน โธ่ มันช่วยได้ที่ไหนกันล่ะวะไอ้กากกิม มึงแม่งเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว!

“ปอมบอกเราว่ากิมไม่สบาย แถมไม่ยอมกินข้าวด้วย” สีหน้าของคีนแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแต่กำปั้นที่ยื่นมาต่อยตรงไหล่นี่คือโมโหที่ผมไม่ยอมกินข้าวเที่ยงใช่ไหม ถ้ามโนเข้าข้างตัวเองอีกพระเจ้าคงเกลียดขี้หน้าแน่ๆ เอาเป็นว่าเขาคงห่วงตามประสาเพื่อนร่วมเรียน เอ้า ดราม่าเก่งอีกแล้วจ้า โอย ไอ้เชี่ยปอมไปไหนเนี่ย ทำไมโกหกคีนว่ากระผมป่วยล่ะฮะ กูดูเหมือนพวกลงแดงขาดยามากกว่าอะ

“หือ ไอ้ปอมพูดแบบนั้นเหรอ?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจเพื่อจะได้แสดงละครตามบทที่ผู้กำกับปอมอุตส่าห์หยิบยื่นโอกาสมาให้ ตอนเพิ่งตื่นนอนหมาดๆ หน้าตาผมก็คงคล้ายคนป่วยอยู่หรอกเพราะมันชอบคัดจมูกเลยเผลอขยี้จนเป็นสีแดงกอปรกับเสียงฟืดฟาดด้วยแล้วยิ่งใช่เลย

“อื้ม ปอมฝากเราให้มาอยู่เป็นเพื่อนกิมเพราะต้องไปทำธุระกับครอบครัว” คีนพยักหน้ารัวๆ แล้วอธิบายเสริมท้ายว่าทำไมตัวเองถึงวาร์ปมานั่งปั้นหน้าหล่อให้ผมมองอยู่ตรงนี้ ถ้าป่วยจริงก็คงหายเป็นปลิดทิ้งตั้งแต่ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวเขาแล้ว ฮึ่ย อยากฟัด ยิ่งจังหวะที่มือเรียวเอื้อมมาแตะวัดอุณหภูมิบนหน้าผากก็เหมือนตัวกับใจมันลอยๆ ทั้งเคลิ้มทั้งฟิน เฮ้อ อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้จัง

“อ๋อ ขอบคุณมาก” เมื่อผมดึงสติกลับมาได้ก็เอ่ยคำขอบคุณกับเขาก่อนจะเป็นฝ่ายผละตัวออกมาซะเองเมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อบนหน้าได้ ไอ้เชี่ยเอ๊ย จะยิ้มทำบ้าอะไรเนี่ย คือต้องยกมือปิดปากบดบังสายตาคีนอะ กลัวโดนจับได้ว่าดีใจมากแค่ไหนที่ได้อยู่ด้วยกันแค่สองต่อสอง ไม่นับไอ้หมาไซบีเรียนของแม่ค้าร้านข้าวที่นั่งจ้องพวกเราอยู่ข้างโต๊ะนะ

“กลับคอนโดกัน เดี๋ยวเราทำผัดกะเพราทะเลให้กิน” หื้ม? แค่ข้าวเปล่าคลุกน้ำปลาพี่กิมก็กินได้ครับถ้าเป็นฝีมือของน้องคีนที่รัก แง

“.....” ตอนนี้รู้สึกหูอื้อตาลายแปลกๆ เหมือนกำลังจะเป็นลมเลยว่ะ โอย หัวใจเต้นแรงฉิบหาย คีนเสนอตัวเป็นอาหาร เอ๊ย ทำอาหารให้ผมกินอีกแล้ว ทำไมเป็นคนดีแบบนี้เนี่ย รัก รัก รัก ถ้ากระชากคอเสื้อเขามาจูบได้คงทำไปแล้ว ตอนนี้เกรงใจหมาเหอะ ไม่กากนะ ห้ามว่า!

“แถมไข่ดาวให้หนึ่งลูกด้วย ไม่สนเหรอ?” อะ พอเขาเห็นผมเงียบยังมีหลอกล่อด้วยไข่ดาวอีก แต่แค่นั้นยังไม่พอยังมีออฟชั่นเสริมเป็นรอยยิ้มหวานๆ ที่ชวนให้มือไม้อ่อน เนี่ย จะเป็นไส้เดือนลงไปเกลือกกับพื้นอยู่แล้ว คุณอ่อยหรือไม่อ่อยเอาให้ชัดได้ไหมครับ ผมจะได้เตรียมตัวรุกให้ถูกจังหวะเนี่ย

“อ่า โอเคๆ กลับคอนโดกัน” เด็กชายกิมตอบตกลงแบบไม่ต้องคืดเลยเหอะ วันนี้ได้เหยียบห้องคีนแน่นอนเว้ย ไม่นก! แล้วเจอกันไอ้ชมจันทร์ศัตรูหัวใจหมายเลขหนึ่ง

เชื่อไหมว่าผมมาถึงคอนโดก่อนคีนเกือบสิบนาทีเลยมีเวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตัวเองดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น แถมยังแอบขโมยน้ำหอม Chanel ขวดละสี่ห้าพันของไอ้ปอมมาฉีดสองสเปรย์ตรงซอกคออีกสองสเปรย์ตรงข้อมือพร้อมลงคาถาเมียรักเมียหลงไปด้วย (ท่าทางจะเพี้ยนจนกู่ไม่กลับ)

นี่ผมแค่จะไปกินข้าวห้องคีนทำตัวอย่างกับไปดินเนอร์ใต้แสงเทียน ดีหน่อยที่ยังมีความเกรงใจไม่หยิบสูทออกมาใส่ คือมันก็ตื่นเต้นหน่อยๆ เลยยืนเช็คความเรียบร้อยโดยการหมุนตัวอยู่หน้ากระจกหลายรอบจนรู้สึกเวียนหัวจนต้องค้ำมือกับโต๊ะเครื่องแป้ง แม่ง แค่ไม่ได้กินข้าวสองมื้ออาการหนักขนาดนี้เลยเหรอ เรื่องนี้ให้แม่รู่ไม่ได้เด็ดขาดเพราะเธอคงจัดวิตามินชุดใหญ่ส่งมาให้แน่ๆ แค่คิดก็ฝืดคอแล้ว




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 8 -P.1- 11/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 11-08-2018 20:46:45
อะ วาร์ปมาที่หน้าห้องคีนเลยแล้วกันเพราะเมื่อครู่เขาไลน์มาตามว่าข้าวกะเพราทะเลเพิ่มไข่ดาวสุกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไอ้ผมที่กำลังจะออกไปสูดอากาศที่ริมระเบียงเลยรีบวิ่งจู๊ดออกมาตรงนี้ ไม่สนด้วยซ้ำว่าเปิดประตูกระจกทิ้งไว้ ช่างแม่งเถอะ เดี๋ยวไอ้ปอมกลับมาก็ปิดเองนั่นล่ะ

เสียงหอบแฮ่กของผมยังดังขึ้นเป็นระยะ มือข้างหนึ่งก็ยกค้ำผนังเอาไว้เพื่อทรงตัว โอย เหนื่อยฉิบหาย ทำอะไรรีบๆ มันส่งผลเสียแบบนี้นี่เอง หัวใจจะวายตาแล้วเว้ย ฟืด แล้วนี่กูเอายาดมยัดจมูกตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย หมดกันภาพพจน์ที่สั่งสมมา

พอปรับลมหายใจให้เป็นปกติได้ก็เอื้อมมือไปกดออดที่หน้าห้อง ยืนรออยู่แค่อึดใจเดียวก็ได้ยินเสียงลูกบิดพร้อมกับประตูที่เปิดออก ตรงหน้าของผมคือคีนที่ผูกจุกน้ำพุและมีผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายสีเขียวมิ้นต์อยู่บนตัวส่วนด้านในยังคงเป็นชุดนักศึกษาเหมือนเดิม คนบ้าอะไรจะน่ารักแม้กระทั่งเวลาเข้าครัววะ ทำไงดีเนี่ย ผมโดนดาเมจจนกำมือเน้นระงับอารมณ์ต่างๆ ไว้เป็นรอบที่ล้านแล้วมั้งตั้งแต่แอบชอบเขามา ฮือ ทรมาน อยากระบายใส่! แต่ตอนนี้ทำได้แค่คลี่ยิ้มแบบเพื่อนที่ดี

“โห ตัวหอมฟุ้งเชียว” คำทักทายแรกพร้อมกับเสียงทำจมูกฟุดฟิดของคีนทำให้ผมรู้สึกเก้อเขินอย่างบอกไม้ถูก มือไม้เริ่มเกะกะไม่มีที่ไว้เลยยกขึ้นมาเกาต้นคอดูเป็นผู้ชายใสๆ เอาจริงคือใส่น้ำหอมมาดักเหยื่ออะ

“มันเหนียวๆ ตัว เลยไปอาบน้ำมา” ผมตอบไปตามความจริงแค่ครึ่งเดียวเพราะที่เหลือคือไม่อยากตัวเหม็นเวลาเข้าใกล้คีน เขาพยักหน้ารับคำก่อนจะเชิญเข้าห้องและปิดประตูตามหลัง

“เราชอบน้ำหอมกลิ่นนี้นะ แต่ไม่มีเวลาไปซื้อสักที” คนที่เดินตามมาเอ่ยขึ้นทำให้ผมที่ลอบสังเกตไปทั่วห้องของเขาถึงกับชะงักกึก หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นทีละลำดับเมื่อเสียงฝีเท้าของคีนใกล้เข้ามา โอย อยากจะบ้าตาย ทำไมต้องชอบทำจมูกฟุดฟิดค่อยดมกลิ่นตลอดเวลาเหมือนกระต่ายด้วย อ้อ ลืมไปว่าเขาเป็นพ่อไอ้ชม... ทำไมชมจันทร์ไม่อยู่ในกรงวะ!

ผมเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงโดยลืมเรื่องน้ำหอมไปซะสนิท ไอ้สิ่งมีชีวิตที่เล็กกว่าฝ่ามือมันหลบอยู่ส่วนไหนของห้อง หรือจะเป็นใต้โซฟาสีเทาอ่อน ในครัว หรือแอบแทะอะไรอยู่แถวๆ นี้ แต่ความคิดทุกอย่างก็หยุดลงเมื่อผมเห็นคีนเดินไปที่ประตูกระจกซึ่งเชื่อมกับระเบียงด้านนอก เขาอุ้มเจ้าก้อนกลมๆ ออกจากมุมชั้นหนังสือแถมยังเดินตรงมาทางนี้ อย่าเข้ามานะ... โอย ขยับขาไม่ได้

เจ้าก้อนขนสีเทาขมุกขมัวนอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของคีนแต่มันหันตาลำใยมาทางผมแล้วขยับจมูกตลอดเวลา ไม่เถียงเลยว่าชมจันทร์น่ารักแต่ความไม่ชอบสัตว์ทุกชนิดก็ทำให้รู้สึกระแวงอยู่ดี ก็เพื่อนบอกว่ากระต่ายเป็นประเภทไม่ค่อยแคร์โลก บางครั้งก็เอาแต่ใจ ชอบกัดแทะทุกอย่างที่ขวางหน้า เป็นนักเลงคว่ำชามอาหาร กัดเจ้าของเวลาไม่พอใจและอีกมากมาย

“ลองลูบหัวมันดูสิ ขนนิ่มนะ” คีนเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมก่อนพยักพเยิดให้ลองลูบหัวไอ้ชมจันทร์ดู ทีแรกผมจะบอกปฏิเสธแต่เห็นเขามีความสุขเวลาอยู่กับมันก็ทำไมลง เนี่ยคือความฉิบหายของคนๆ หนึ่งที่อยากทำทุกอย่างให้คนที่ตัวเองชอบประทับใจ เอาวะ มันคงไม่อินดี้อยากกัดขึ้นมาตอนนี้หรอก

“โอ๊ย!” ไอ้บ้าเอ๊ย ยังไม่ทันได้ลูบหัวเลยเหอะ โดนไอ้ชมจันทร์กัดนิ้วเต็มๆ ประทับรอยฟันแถมเลือดออกด้วย มึงนะมึง ประกาศตัวเป็นศัตรูใช่ไหม ได้!

“เฮ้ย ชมจันทร์กัดพี่กิมแบบนั้นได้ยังไง วันนี้งดข้าวเย็น!” คีนร้องเสียงหลงตอนผมโดนกัดก่อนจะสั่งสอนไอ้กระต่ายตัวดีด้วยการบ่นและดีดหน้าผากไปหนึ่งทีแล้วปล่อยให้มันลงไปวิ่งเล่นบนพื้นเพื่อที่ตัวเองจะได้เข้ามาดูแผล แต่ผมดันลืมเจ็บเพราะได้ยินคำที่เขาเรียกเมื่อครู่ ‘พี่กิม’ เหรอ โคตรฟิน แต่นั่นก็แสดงว่าเขาไม่ได้เลี้ยงไอ้ก้อนขนเป็นลูกสินะ

“เจ็บมากไหมกิม? เดี๋ยวเราทำแผลให้” คีนคว้านิ้วของผมไปสำรวจพลางสลับมองหน้ากับแผล เขาเป่าลมอุ่นๆ เหมือนกำลังปลอบเด็กตัวน้อย การกระทำนั้นไม่ได้ช่วยให้หายเจ็บแต่ทำให้หัวใจพองฟูต่างหาก น่ารักมาก น่ารักเกิ๊น

“นิดหน่อยครับ” อะ โดนกระต่ายกัดเลยกลายเป็นคนมีหางเสียงเลยกู ทางคียก็ชะงักไปเหมือนกันแต่แค่ครู่เดียวก็ผละตัวออกไป เขินเหรอ คงไม่ใช่มั้ง ขี้เกียจมโนแล้ว

“ขอโทษแทนชมจันทร์ด้วยนะ เดี๋ยวคีนไปนั่งรอเราที่โซฟาแล้วกัน” คีนก้มหัวขอโทษขอโพยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ส่วนผมส่ายหน้าให้อีกคนเห็นว่าไม่เป็นไรก่อนจะยอมเดินไปนั่งรอที่โซฟา เชื่อไหมว่าผมขอบคุณไอ้ชมจันทร์ด้วยซ้ำที่สร้างโมเม้นต์สีชมพูตุ่นๆ นี่ให้เกิดขึ้น ฮึ่ย เขาจับนิ้วผมไง แค่นิดหน่อยก็ฟิตแล้วจ้า ชีวิตไอ้กิมมันก็เท่านี้ ไม่เพ้อเจ้อก็มโนทำเป็นอยู่แค่สองอย่าง

คีนกลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลสีใสซึ่งข้างในบรรจุพวกยาสามัญประจำบ้าน แอลกอฮอล์ล้างแผล น้ำเกลือ สำลี ทิงเจอร์ บลาๆ ซึ่งอย่าถามหาอะไรแบบนี้จากห้องไอ้ปอมเพราะเมื่อวันก่อนมันปวดฟันยังใช้ให้ผมลงไปซื้อพาราฯ ที่มินิมาร์ทอยู่เลย ส้นตีนจริงๆ นี่ถ้าป่วยกระทันหันคงตายก่อน

“ส่งมือมา” คนที่นั่งข้างกันออกคำสั่งแต่ไม่ได้มองหน้าผม ในมือของเขาถือสำลีชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์เตรียมล้างแผลสุดชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้วควรระริกระรี้ส่งนิ้วให้เขาใช่ปะ แต่ดันคิดขึ้นได้ว่ามันเหมือนกำลังสำออยยังไงไม่รู้

“ที่จริงเราทำเองได้ แผลแค่นี้เอง”

“ไม่ดื้อดิ เราต้องรับผิดชอบสิ่งที่ชมจันทร์ทำ” คีนตวัดสายตาดุๆ มองผมก่อนจะถือวิสาสะคว้ามือไปจับ ก็ไอ้ข้างที่มีแผลนั่นล่ะ อย่าเผลอคิดว่าเขาพิศวาสกันเชียว อูย แอบเจ็บนะเนี่ย

“โอเคครับๆ กิมจะเป็นเด็กดี” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยอมนั่งดีๆ ให้อีกคนทำแผลได้ตามใจ คีนบุ้ยปากใส่กันเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการหน้าที่ตัวเองอย่างเบามือ คือแทบไม่รู้สึกว่าสำลีจิ้มลงไปบนนิ้วแล้ว

“ดีมาก เราชอบเด็กดี” เสียงพึมพำเบาๆ ของคีนนั้นกลับดังก้องอยู่ในโสตประสาทการได้ยินของผมครั้งแล้วครั้งเล่า โอ๊ย เหมือนกำลังโดนสารภาพรักอยู่เลยว่ะ ทำไงดีๆ หัวใจจะวายแล้วครับคนดี

“ซี๊ด” ผมเผลอร้องเมื่อสำลีชุ่มน้ำเกลือแตะลงบนแผลซึ่งมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรแต่คือสัญชาตญาณไง มโนเองว่ามันต้องแสบแน่ๆ โธ่ เสียฟอร์มฉิบหาย พอทีโดนไอ้ปอมต่อยปากแตกเวลาแม่งเมาไม่รู้เรื่องยังไม่เคยร้องแบบนี้เลยกู สำออยตอนอยู่กับคีนชัดๆ

“เจ็บเหรอ?” คีนก็ไวกับคำถามเหลือเกินแถมยังเงยหน้าขึ้นมาสบตาเล่นๆ ให้ผมใจเต้นแรงอีกต่างหาก โอย ต้องตายแน่ถ้าขืนเรายังอยู่ใกล้กันขนาดนี้

“เปล่าๆ แค่แสบ” แสบในมโนอะนะ ขอโทษที่โกหก ก็มันน่าอาย!

หลังจากนั้นคีนก็ยังคงปราณีตทำแผลให้ผมอยู่เกือบนาที ไอ้เราก็ดันเผลอเคลิ้มกับกลิ่นแชมพูหอมๆ จนขยับตัวเข้าไปใกล้ อีกนิดและอีกนิดจนปลายจมูกแตะลงบนเส้นผมนุ่มนิ่ม อ่า... ชอบแบบนี้จัง นี่กูใจกล้าขนาดแอบหอมหัวเขาเลยเหรอวะ สาธุเถอะ ขอให้เขาไม่รู้ตัว

“กิม” แหงะ... เหมือนความฉิบหายกำลังจะมาเยือนเร็วๆ นี้เลยว่ะ แต่จะให้ขยับตัวออกเลยก็ดูมีพิรุธมากเกินไป โอย เกร็งจนปวดฉี่แล้ว!

“คะ ครับ” ผมตอบรับเสียงสั่นเมื่อเห็นคีนทิ้งสำลีลงในถังขยะใกล้ๆ ก่อนจะโยนอุปกรณ์ทำแผลลงในกล่องดังปึกปัก หรือเขาจะรู้ว่าผมแอบทำอะไรเมื่อครู่นี้ ตายแน่ๆ เลยกู

“ขยับหน่อยได้ไหม? เราจะไปหยิบพลาสเตอร์” ทำไมเสียงนิ่งๆ เหมือนจะไม่พอใจเลยวะ แต่หูแดงก่ำนี่คืออะไรโกรธหรือเขิน?

“อ้อ โทษทีๆ” ผมรีบผละตัวออกก่อนที่เหตุการณ์จะแย่ลงไปกว่านี้ คีนรีบลุกขึ้นแล้วยกกล่องปฐมพยายาลไปเก็บ ไอ้เราก็มองตามเขาตาละห้อยเพราะไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากใจกล้าหน้าด้านแต๊ะอั๋งชาวบ้านโต้งๆ กดจมูกขนาดนั้นไม่รู้ตัวก็บ้าแล้ว โธ่เว้ย ไอ้กากกิม ตบหน้าแม่ง อ๊าก เจ็บ!

อะ ผมคงคิดมากไปเพราะคีนสามารถทำทุกอย่างตามปกติ เดินไปหยิบพลาสเตอร์ยาเสร็จก็กลับมานั่งแปะมันให้ผม แต่เขาไม่ได้หย่อนก้นที่เดิมเว้ย บนพื้นด้านหน้าผมแถมยังเป็นระหว่างขาด้วย โอ๊ย ถ้าจะทำแบบนี้บอกมาตรงๆ ไหมว่ารู้เรื่องที่โดนเนียนจีบแล้วอะ ที่จริงผมต้องเป็นฝ่ายเปิดปากก่อนใช่ไหม แต่เพราะกากไงเลยทำได้แค่ฮึดฮัดในใจคนเดียว เนี่ย อึดอัดแทบขาดอากาศแล้ว

“เรียบร้อย หายไวๆ นะ เพี้ยง” แถมยังมีออฟชั่นเสริมเป็นการเป่าแผลอีกต่างหาก คือมันอุ่นไปถึงหัวใจไง อยากดึงเข้ามากอดเพื่อขอบคุณแต่สถานะระหว่างเราก็ทำได้แค่...

“เราโตแล้วนะ” หยอกล้อกลับไปด้วยเสียงหัวเราะจนโดนคีนตวัดสายตาดุใส่พร้อมคำถามที่ชวนให้ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ

“ทำไม ไม่ชอบเหรอ?”

“อ่า ปะ เปล่า” จะไม่ชอบได้ยังไงล่ะ... อะไรที่เป็นคีนผมก็รักมันซะทุกอย่างนั่นล่ะ

“ไปกินข้าวได้แล้ว” อะ โดนไล่ด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งแล้ว ผมควรกลับสู่สภาวะปกติสักที

“ขอบคุณมาก” ผมเอ่ยขอบคุณสำหรับทุกอย่างในวันนี้ที่เขามีน้ำใจทำให้ คีนพยักหน้ารับก่อนปลีกตัวไปหยิบอะไรสักอย่างออกมาจากลิ้นชักใต้ทีวี มันเป็นกล่อง Nano Block นึกว่าลืมแล้วซะอีก

“อื้อ จ่ายค่าข้าวด้วยนะ” คีนยักคิ้วหลังพูดจบแต่ผมที่ตามอารมณ์เขาไม่ทันถึงกับอ้าปากหวอ ตกลงต้องจ่ายค่าข้าวใช่ไหม

“หา?”

“สอนเราต่อ Nano Block ไง” คีนเขย่ากล่องตัวต่อจิ๋วในมือพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง ส่วนผมติดสะตั้นเพราะโดนดาเมจไปเรียบร้อยแล้ว อย่าน่ารักเรี่ยราดได้ไหมล่ะคนเรา แค่นี้ก็โง่หัวขึ้นไม่ได้แล้ว

“อ้อ ดะ ได้เลย” ผมตอบรับก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องครัวแบบมึนๆ บวกตาพร่าเล็กน้อย พอนั่งลงบนเก้าอี้ได้ก็เอาแต่คิดสะระตะ มาถึงขั้นนี้แล้วผมควรพูดอะไรสักอย่างกับคีนไหม เพราะทุกครั้งที่เขาทำดีด้วยความรู้สึกก็เพิ่มมากขึ้นทุกทีจนตอนนี้เหมือนกับว่าภาชนะบรรจุจะปริแตกทนเก็บความรักความชอบต่อไปไม่ไหวแล้ว

“คีน...” ผมลองเรียกชื่อเขา

“ว่า?” คีนตอบรับแต่ยังง่วนกับการอ่านคู่มือการต่อ Nano Block ซึ่งจากมุมที่ผมนั่งสามารถเห็นทุกการกระทำของเขาได้ชัดเจน

“คือเราชอบ...” ชอบคีนว่ะ แต่เสือกไม่กล้าพูด

“หืม?” คีนเงยหน้าขึ้นแล้วเอียงคอมองเหมือนรอคอยให้ผมพูดต่อ แต่พอโดนจ้องมากๆ ก็กลายเป็นว่าความกล้าหดเข้ากระดองหมดเกลี้ยง

“เราโคตรชอบผัดกะเพราทะเลของคีนเลย” ไอ้สัดเอ๊ย ทำไมกูเป็นคนกากแบบนี้เนี่ย ชอบผัดกะเพราทะเลห่าอะไร ยังไม่ได้แดกสักคำเหอะ

“เหรอ? งั้นก็กินเยอะๆ นะ ถ้าไม่อิ่มก็บอกเดี๋ยวทำอย่างอื่นให้อีก” เขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนไม่ค่อยเชื่อคำพูดของผมสักเท่าไหร่ แต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นยิ้มหวานจนคนมองแทบละลาย ทำไมใจดีอีกแล้ววะ ทำไมเหมือนอ่อย ทำไมเหมือนมีใจ โอ๊ย ผมต้องเอากลับไปเล่าไอ้ปอมเพื่อปรึกษาแล้ว!

ผมจ้วงข้าวใส่ปากโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างเพราะจะทำให้รู้สึกฟุ้งซ่านมากกว่าเก่าโดยไม่รู้เลยว่าอีกคนกำลังมองมาด้วยสายตาแบบไหน




------------------------------------------------

เกือบได้บอกรักแล้วไอ้น้องกิมเอ๊ย อย่ามัวลีลานะเออ เดี๋ยวหมา เอ๊ย หมอหมา คาบไปแดก
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 8 -P.1- 11/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 12-08-2018 11:06:45
ทำไมรู้สึกเหมือนกิมมิคโดนอ่อยอยู่ทุกๆ 3 วิเลยละหื้อออ :hao6:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 9 -P.1- 22/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 22-08-2018 09:09:53
รูปถ่ายใบที่ 9




ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินเพื่อเข้าสู่ยามค่ำคืนนั้นท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อนหรือเข้มแล้วแต่สภาพอากาศ บางทีก็ดูอบอุ่นแต่บางทีก็ดูน่ากลัว ผมเงยหน้ามองมันอยู่นานพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยถึงสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้นมาในแต่ละวัน ดีบ้างแย่บ้างปะปนกันไปตามสัจธรรมของชีวิต ความรักยังคงลอยตัวนิ่งอยู่ในหัวใจของผมเพราะยังไม่มีความกล้าสารภาพกับคีนไปตรงๆ ว่าชอบเขา ก็เป็นซะแบบนี้ ช่างสมกับฉายาบ๊วยที่ได้จากไอ้ปอมจริงๆ ฮึก เรื่องมันเศร้าของเหล้าเข๊มเข้ม

อันที่จริงตอนนี้ผมควรกลับคอนโดไปนอนตีพุงสบายๆ แต่ไอ้ว่านดันโทรมาบอกว่าต้องรอรับมันหน้าตึกคณะแพทย์เพราะวันนี้พี่โซนติดภารกิจกับครอบครัว ถ้าจำไม่ผิดคงเตรียมตัวไปทริปไหว้พระเก้าวัดนี่ล่ะ นั่นก็แสดงว่าหมอหมาไม่อยู่ด้วยน่ะสิ โอ๊ย เป็นบุญของไอ้กิมเหลือเกินที่ไม่ต้องมานั่งระแวงว่าเขาสองคนจะสานสัมพันธ์กันไปถึงขั้นไหนแล้ว

ส่วนทางคุณชายกะปอมหายหัวตั้งแต่เลิกคลาสเรียน ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าแอบนัดสาวหรือหนุ่มที่ไหนเอาไว้หรือเปล่า ช่างแม่งเถอะ เรื่องตัวเองผมยังเอาไม่รอด อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นดีกว่า

“กิม ~” เสียงทุ้มติดหวานของใครบางคนทำให้ผมละสายตาจากท้องฟ้าสีส้ม ภาพตรงหน้าคืออดีตชายฉกรรจ์หน้าเหี้ยมที่ผันตัวมาเป็นสาวหวานสุดสวย ที่ผมเบิกตาโตเท่าไข่ห่านเพราะแปลกใจว่าไอ้น้ำปิงมาทำอะไรที่นี่ หรือมันบริจาคร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ให้เด็กแพทย์วะ

“ตามกูมาเหรอ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงยียวนพลางยักคิ้วจึกๆ ซึ่งนั่นทำให้ไอ้น้ำปิงเบะปากแถมยังชูนิ้วกลางให้แบบไม่เกรงใจคนที่ผ่านไปผ่านมาเลยสักนิด คืออยู่หน้าตึกแพทย์ใส่ชุดนักศึกษาไม่เรียบร้อยก็โดนมองแล้วนี่ยังทำตัวสถุลอีก โอ้โห กลายเป็นเป้าสายตาเลยจ้า อยากจะลุกหนีมากเพราะโดยพื้นฐานเป็นคนหน้าบางแต่ติดภารกิจต้องรอรับเพื่อนไง (ไหนๆ ใครอ้วก เดี๋ยวตีปากด้วยปากเลยนี่)

“คนบ้าอะไรชอบหลงตัวเอง” ไอ้น้ำปิงเป็นคนซึนเพราะปากด่าแต่สายตานี่วิบวับราวกับจะกลืนผมลงไปทั้งตัวอย่างนั้น ถ้าไม่ติดว่าอยู่คณะคนอื่นผมคงลุกขึ้นยันก้นมันไปแล้ว หื่นกามไม่เลือกสถานที่จริงๆ

“หรือมึงจะมาช่วยกูหลงก็ได้นะ” อะ ผมแกล้งหยอกมันตามประสาคนคุ้นเคยแต่ไอ้น้ำปิงกลับส่ายหน้าพรืดเพื่อปฏิเสธ ถ้าเป็นปกติคงเข้ามากอดหรือคลอเคลียจนขนลุกแล้ว ทว่าตอนนี้เท้าก็ยังไม่ยอมขยับด้วยซ้ำ กินยาลืมเขย่าขวดปะวะ หรือบางทีมันอาจจะมีเป้าหมายที่อยากจริงจังด้วย... เด็กแพทย์เนี่ยนะ ชาตินี้จีบติดก็ไม่รู้จะใช้เวลาไหนอยู่ด้วยกัน

“ไม่เอาอะ วันนี้ไม่พิศวาสกิมหรอก” แหมะ ทำปากจู๋ใส่กูด้วย คิดว่าน่ารักมากเหรอวะ เออ แต่จะว่าไปมันสวยกว่าผู้หญิงบางคนอีกนะ หุ่นก็ดี ผิวก็ขาว กระโปรงทรงเอแม่งก็สั๊นสั้น... อุย เผลอตัวไปหน่อย จริงๆ แล้วเป็นคนใสๆ น้า เชื่อกันเถอะครับ

“เอ้า นอกใจกูเหรอ?” ผมยังไม่เลิกแหย่มันแถมยังขยับเข้าไปใกล้มาขึ้นเพื่อช้อนตามองเและรอดูปฏิกิริยาตอบรับ อยากรู้ว่าไอ้น้ำปิงจะทนแรงดาเมจได้หรือเปล่า ไม่นานผมก็ได้คำตอบเมื่อแก้มขาวนวลขึ้นสีระเรื่อ ร่างกายเริ่มบิดไปทางซ้ายทีขวาที หึหึ สุดท้ายกูก็ชนะมึงใสๆ

“แหม หวงล่ะสิ ไหนๆ มาจุ๊บหน่อย” คราวนี้มันโน้มตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วเพื่อทำตามที่พูดไว้จนผมผละหนีแทบไม่ทันแถมหวิดตกเก้าอี้ให้ใจหายอีกต่างหาก พอได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากน้ำปิงยิ่งหัวเสีย แม่งเอ๊ย แพ้ตลอดก็ไอ้กิมนี่ล่ะ แต่ขอชนะใจคีนคนเดียวก็พอ ฮึ่ย งานมโนต้องมา!

“มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยมึง” ผมโบกมือไล่เพื่อนร่วมคณะพร้อมกับมองมันด้วยสายตารังเกียจแต่ไม่ได้จริงจังอะไรเพราะแค่อยากแกล้งให้น้ำปิงอารมณ์เสียเล่นๆ เนื่องจากช่วงนี้แต่ละคนต่างยุ่งกับกองงานที่ต้องส่งก่อนสอบกลางภาคถึงขนาดที่บางวันผมกับไอ้ปอมแทบไม่ได้อ้าปากคุยกันเลยก็มี มันก็จะคิดถึงบรรยากาศเฮฮานิดหน่อย

“ไม่ไปหรอก ชิ” มันสะบัดผมใส่กันก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ ดวงหน้าหวานบึ้งตึงแต่ไม่มีแววโกรธเคืองใดๆ น้ำปิงก็ดีแบบนี้ล่ะ ไม่ค่อยคิดมาก แถมยังไม่ใส่ใจเรื่องหยอกเอินเล็กน้อยอีกด้วย

“มารอผัวหรือไง?” แต่ผมเนี่ยปากพาซวยตลอดเวลา ไม่รู้เป็นอะไรนักหนา วอนหาส้นตีนทำไมวะ นี่ก็กลัวว่าอยู่ๆ ไอ้น้ำปิงจะถีบกระเด็นเหมือนกัน เฮ้อ

“ไม่สบายเหอะ” เสียงงุ้งงิ้งในลำคอมาพร้อมกับใบหน้าหวานที่ขึ้นสีระเรื่อคล้ายว่ากำลังเขินอะไรบางอย่าง ผมหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิดส่วนไอ้น้ำปิงก็ทำเฉไฉด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย อันที่จริงก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านแต่ท่าทางแปลกๆ มันทำให้ต่อมความสงสัยทำงาน

“โรงพยาบาลอยู่ฝั่งนู้น มึงจะมาตึกเรียนทำไม?” ผมพยักพเยิดหน้าพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ตึกโรงพยาบาลฝั่งตรงข้าม ไอ้น้ำปิงถึงกับตวัดสายตามองแรงใส่ก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ มือเรียวถูกส่งมาฟาดบ่าผมดังเพี๊ยะจนเผลอสูดปากร้องโอดโอย ไอ้นี่แรงเยอะอย่างกับควายกระดูกแทบหัก

“โอ๊ย ไม่คุยกับกิมแล้ว ขี้เสือกอะ!” จ้า แล้วมันก็กระทืบเท้าเดินหนีเข้าไปในตึกเรียนเลย สรุปคือมาอ่อยเด็กแพทย์จริงๆ สินะ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งขำก๊ากจนโดนชาวบ้านใช้สายตาตำหนิมองจนหุบปากแทบไม่ทัน พอกลับมาสำรวมได้ก็จะรู้สึกเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำครั้นอยากไหลลงไปฟุบโต๊ะแต่ทำไม่ได้เพราะอีกไม่นานไอ้ว่านคงเลิกเรียนแล้ว ก็ตอนนี้มันเลยเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมง โอย ทั้งหิวทั้งง่วงไอ้ฉิบหาย

ในจังหวะที่ผมตัดสินใจจะโทรตามไอ้ว่านมันก็โผล่หน้าเพลียๆ มาให้เห็นในระยะสิบเมตร สภาพโดยรวมถือว่าใกล้เคียงซอมบี้จนไม่สามารถมโนถึงความน่ารักที่เคยมีอยู่ได้เลย หัวฟูเป็นรังนก ใต้ตาเขียวคล้ำ ริมฝีปากซีดเหมือนคนขาดน้ำ สรุปว่าเพิ่งเรียนเสร็จหรือไปรบมาเนี่ย ถ้าตอนนี้เป็นเวลากลางคืนผมคงหวีดนึกว่าเจอผีแน่ๆ

“รอนานไหมมึง?” น้ำเสียงเพลียๆ ของไอ้ว่านบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าได้อย่างชัดเจน ยิ่งเห็นสภาพโงนเงนคล้ายจะหลับของมันยิ่งสงสารจนผมต้องเอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าสะพายบนไหล่บางมาถือไว้ซะเอง นี่คือผลของคนเรียนหมอตั้งแต่ปีหนึ่งเหรอวะหรือว่าเมื่อคืนพี่โซนจัดหนักไปหน่อย อืม ผมว่าอย่างที่สองมีความเป็นไปได้สูงกว่าเยอะ หึ อิจฉาไอ้พวกมีแฟนจังเว้ย

“หิวจนแดกช้างได้เป็นตัวๆ แล้ว” ผมบอกมันเป็นนัยๆ ว่ารอมานานแล้ว ก็ตั้งแต่สี่โมงเย็นยันหกโมงครึ่งน่ะนะ ไอ้ว่านพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนจะหาวหวอดออกมาพลางยกมือขึ้นขยี้ตาแบบคนงัวเงีย

“โทษที อาจารย์ปล่อยช้า”

“เออๆ รีบไปเหอะ” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเหวี่ยงกระเป๋าเป้ของเพื่อนสะพายบนบ่าก่อนใช้แขนอีกข้างวาดรอบไหล่ไอ้ว่าน แต่ไอ้ตอนที่กำลังจะก้าวขากลับได้ยินเสียงซุบซิบของผู้หญิงโต๊ะข้างๆ ประมาณว่า ‘น้องเนิร์ดแอบมีกิ๊กมารับถึงหน้าคณะเลยเหรอ?’ ผมนี่ถึงกับถอนหายใจพรืด สมัยนี้เขาไม่คิดว่าเราแค่เพื่อนกันบ้างเหรอวะ เนี่ย มนุษย์โลกไม่ว่าจะเรียนอะไรความคิดด้านลบก็มีแบบเดิม แก้ไม่หายสักที แต่ช่างแม่งเหอะ ความจริงเป็นยังไงก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองดี

ตอนนี้ไอ้ว่านกำลังเลื่อนหาเพลงที่ถูกใจฟังส่วนผมก็จดจ่อกับการขับรถในยามจราจรติดขัด เดินหน้าได้คืบแล้วก็เบรกอยู่แบบนั้นก่อนจะติดยาวจนสามารถอ่านนิยายจบเป็นตอนๆ ได้เลย แม่ง แบบนี้เมื่อไหร่จะถึงคอนโดวะ ผมฆ่าเวลาด้วยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเปิดเข้าไอจีเพื่อดูความเคลื่อนไหวของคีน

อืม... วันนี้คีนอัปเดตรูปตัวเองนั่งอยู่บนรถด้วยเว้ย ขนาดมีหน้ากากอนามัยปิดครึ่งหนึ่งยังออร่าความดูดีชัดเจนขนาดนี้ แล้วดูคนกดหัวใจเป็นพันในเวลาแค่สิบนาที คอมเม้นต์อีกร่วมร้อย โอ้โห ขอหวงได้ไหมล่ะ แม่ง

“ไอ้ปอมไม่มาด้วยเหรอ?” อยู่ๆ ไอ้คนที่ตบตีกับเครื่องเสียงไม่จบก็ถามออกมา ผมเหลือบสายตามองเพื่อนก่อนจะส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธแล้วหยุดพิมพ์คอมเม้นต์รูปไว้ครู่หนึ่ง พอคิดถึงไอ้ปอมก็รู้สึกว่าช่วงนี้มันมีความลับกับเพื่อนเพราะบางคืนก็กลับคอนโดดึก บางทีถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบเหมือนคนเป็นใบ้ ส่วนเรื่องที่มันลวนลามโฮมก็ดูเหมือนจะเงียบหายไปแล้วมั้ง เออ ผมไม่ได้สังเกตไง มัวแต่สนใจคีน

“เชี่ยนั่นหนีตั้งแต่เลิกคลาสแล้ว เห็นบอกว่ามีนัด”

“ช่วงนี้มันชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบไปขายตูดปะวะ?” ไอ้ว่านขมวดคิ้วถามด้วยใบหน้าจริงจังจนผมเกือบทำโทรศัพท์ในมือร่วง มันเอาอะไรคิดว่าคนแบบไอ้ปอมจะขายตูดเนี่ย โธ่ เพื่อนมึงไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินขนาดนั้น แต่ถ้าไปซื้อสาวๆ หนุ่มๆ มานอนกกแบบนั้นอาจใช่ก็ได้ หูย มีความเลวเว่อร์

“สมองมึงคิดได้แค่เนี่ย?” ผมเอื้อมมือไปจิ้มหัวทุยๆ ของไอ้ว่านแล้วแกล้งทำหน้าตาขึงขังใส่เหมือนไม่ชอบคำพูดของมัน แต่ที่จริงแค่หาอะไรทำแก้เบื่อตอนรถติด

“กูก็ล้อเล่นปะ? ไม่เห็นต้องดุ” มันบ่นเสียงงุ้งงิ้งแล้วสะบัดบ๊อบใส่จนแว่นปลิว เดือดร้อนผมต้องเก็บให้เพราะกระเด็นมาอยู่บนตัก โธ่ จะงอนแต่ละทียังสร้างความลำบากให้เพื่อนไม่รู้จักจบสิ้น เนี่ย มองแรงอย่างกับผัวแอบไปมีกิ๊กอีก เดี๋ยวจับจูบซะเลยนี่ อุย โทษๆ เผลอตัวไปหน่อยครับ

“ไม่งอแงนะคนดี” ผมเปลี่ยนเข้าโหมดอ่อนโยนพลางเอื้อมมือไปลูบหัวไอ้ว่านด้วยท่าทางเป็นมิตรไม่มีแววล้อเลียน แต่ผลที่ได้คือมันตวัดสายตามองกันแบบโกรธๆ เฉยเลย ตกลงว่ากูทำอะไรผิดอีกเนี่ย ง้อก็ง้อแล้วเหอะ ถีบตกรถเลยดีไหม

“ไม่ต้องพูดหวาน เดี๋ยวกูหวั่นไหวอีกทำไง?” ไอ้ว่านปัดมือผมทิ้งก่อนจะแยกเขี้ยวขู่กันเหมือนหมา ตอนแรกก็นึกว่าเครียดจริงแต่พอมันหลุดยิ้มในขณะที่ผมกลายร่างเป็นคนเอ๋อทำอะไรไม่ถูก หนอย นี่มึงเอาคืนกูใช่ปะ ได้ๆ

“เรื่องเยอะสัด กลับบ้านเองเลยไหม?” หยิบโทรศัพท์บนตักเคาะหัวไอ้เนิร์ดดังป๊อกจนมันโวยวายด่าผมลั่นรถ ทำหน้าบูดเบี้ยวอย่างกับคนขี้ไม่ออกแถมยังส่งสายตาอาฆาตมาให้กันอีก โธ่ๆ มึงไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย เหมือนหมาปอมขู่อะ กูเตอะทีเดียวก็ปลิวแล้ว หึหึ

“เกรี้ยวกราดตลอด เดี๋ยวกูฟ้องพี่โซน” อะ พอสู้ไม่ได้ก็เอาผัวมาขู่ แต่อย่าคิดว่าผมจะกลัวเพราะไอ้ว่านมีช่องว่างให้โจมตีเยอะ มันชอบทำตัวลอยไปลอยมา บางครั้งยังหว่านเสน่ห์ให้ผมอยู่เลย โธ่ มึงแค่เล่นๆ แต่พี่โซนไม่เก็ทด้วยหรอก เข้าใจ๊?

“ตามสบาย เดี๋ยวกูจะบอกพี่โซนว่ามึงกำลังนอกใจ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ โดยไม่สนใจว่าไอ้ว่านจะทำสีหน้าแบบไหน ตอนนี้การจราจรเริ่มเคลื่อนไปด้านหน้าแล้วตั้งใจขับรถกันดีกว่าเนอะ อ้อ เรื่องหิวลืมมันไปซะเถอะ เพราะว่าจะถึงคอนโดคงเกือบสองทุ่ม

“ไอ้เชี่ยกิม!” ไอ้ว่านตวาดเสียงดังก่อนจะส่งกำปั้นมาทุบไหล่ผมไม่ยั้ง ยอมรับว่าเจ็บจนจุกแต่สะใจที่เถียงกับมันชนะ อูย กระดูกกูจะหักแล้วสัด ผลักหัวแม่ง

“มึงเริ่มก่อนนะ” ผมชี้หน้าคาดโทษ ส่วนมันก็ชะงักการกระทำแต่ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแทน ก่อนจะหันหน้าเข้ามุมยังมีการเบะปากใส่อีก เอาเถอะ งอนก็งอนไป เดี๋ยวพี่โซนโทรหาก็ลืมทุกอย่างไปเอง ชีวิตนี้ผัวสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้วนี่ หึ

วันนี้ผมโดนสั่งเบรกรถตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าซอยบ้านของไอ้ว่านเพราะมันจะลงที่มินิมาร์ทเพื่อซื้อขนมนมเนยต่อจากนั้นก็ค่อยโทรบอกให้พ่อมารับแทน ส่วนผมก็แวะซื้อก๋วยจั๊บเจ้าอร่อยแถวนั้นสองถุงเผื่อไอ้ปอม แดกไม่แดกก็อีกเรื่องแล้วกัน

เนื่องจากว่าผมไม่ได้ออกกำลังกายมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ก็เลยเลือกขึ้นบันไดคอนโดแทนการใช้ลิฟท์ ถุงก๋วยจั๊บถูกแกว่งไปมาประกอบกับจังหวะฮัมเพลงภาษาจีนแบบดำน้ำ ก็จำเนื้อร้องไม่ได้แต่ทำนองเป๊ะไง วันนี้อารมณ์ปกติถ้าเจอคีนสักนิดคงพัฒนาเป็นอารมณ์ดี เฮ้อ

แต่พอคิดถึงเจ้าตัวก็โผล่เข้ามาในสายตาเลยแฮะ นั่นๆ ยืนแตะคีย์การ์ดอยู่หน้าห้องสองมือถือของพะรุงพะรังเชียว ผมต้องรีบดอดเข้าไปช่วยสักหน่อยแล้ว ฮึ่ย คราวนี้ปากมันกระตุกยิ้มกว้างจนห้ามไม่ได้เลย โอย วิ่งเลยได้ไหม ก็มันดีใจอะ

“คีน!” ผมตะโกนเรียกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่ปิดบังแล้วรีบก้าวขายาวๆ เข้าหา ส่วนเจ้าของชื่อมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกันมาพยักหน้าเป็นเชิงทักทายพร้อมหยุดมือที่กำลังล้วงหาคีย์การ์ดในกระเป๋ากางเกง จริงๆ แล้วผมอยากช่วยแต่ความคิดในหัวมันค่อนไปทางอกุศลว่ะ กลัวเผลอจับนั่นจับนี่ของคีนอะ แม่ง แค่มโนก็กำเดาจะไหลแล้ว ไหวปะเนี่ยไอ้กิม!

“อ้าวกิม เพิ่งกลับเหรอ?” คีนคงเห็นว่าผมยังอยู่ในชุดนักศึกษาเลยถามออกมาแบบนั้นส่วนเขาคงอาบน้ำแล้วเนื้อจากใส่ชุดนอนเรียบร้อย มีจุกน้ำพุกับแว่นสายตาทรงกลมเป็นพร็อบอีกต่างหาก ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าโคตรแพ้ลุคเป็นธรรมชาติแบบนี้มากกว่าตอนที่แต่งตัวเต็มยศซะอีก ฟินๆ ยังไงไม่รู้ว่ะ

“อื้ม ไปส่งไอ้ว่านมาน่ะ มาๆ เราช่วยถือของ” ผมเสนอตัวก่อนจะยื่นมือออกไปด้านหน้าเพื่อรับของ เขามองซ้ายมองขวาก่อนจะร้องเสียงเบาเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ก่อนหน้านี้ เวลาที่คีนพยักหน้ารับจุกน้ำพุนั่นก็ไหวตามแรงขยับขึ้นลงดูเหมือนตัวการ์ตูนอะไรสักอย่าง คือมันน่ารักจนอยากดึงมาฟัดๆๆ ฮึ่ย เกิดเป็นไอ้กิมแท้จริงแสนลำบากเพราะต้องข่มใจทุกทีเมื่ออยู่ใกล้คนที่แอบชอบ

“เออ พอดีเลย งั้นฝากหน่อยเนอะ เราหยิบคีย์การ์ดไม่ได้สักที” คีนคลี่ยิ้มบางก่อนจะส่งของทั้งหมดในมือมาให้ จังหวะนั่นผิวเราสัมผัสกันเล็กน้อยแต่เขาคงไม่ได้สนใจเลยกลับไปล้วงคีย์การ์ดออดออกจากกางเกงนอนตัวยาวแล้วแตะที่ประตู แต่ผมที่คิดไม่ซื่อถึงกับใจเต้นแรงไม่หยุด เนี่ย พ่ายแพ้แม้แต่เรื่องเล็กน้อยขนาดนี้จะให้ทำยังไง ไม่กล้าแสดงความรู้สึกตรงๆ พออยากถอยห่างก็ไม่ได้อีก โธ่เว้ย

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านแล้วจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่เปิดประตูออกเพื่อต้อนรับกันเข้าสู่ภายในห้อง เขาหันหน้ากลับมาพร้อมยื่นมือเรียวเพื่อรับถุงทั้งหมด แต่ผมกลับแบ่งให้ครึ่งเดียว ก็ไม่อยากให้คีนถือของหนักไง

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ?” ผมถามในขณะที่เดินตามคีนเข้าห้อง ความสงสัยมันเริ่มตั้งแต่รับถุงมาถือไว้ คือโคตรหนักเลยว่ะ คงเป็นพวกแกลลอนนม แชมพู ครีมอาบน้ำงี้หรือเปล่าเพราะรูปร่างมันเป็นขวดๆ หรือพวกน้ำชาเขียว น้ำอัดลมเถือกนั้น

“ของสดน่ะ กำลังจะทำมื้อเย็น” คีนวางของลงบนโต๊ะพร้อมตอบคำถามโดยไม่มองหน้าผมเลยสักนิดเพราะรีบตรงไปหาไอ้ชมจันทร์ที่ยืนเกาะกรงมองเจ้านายตาแป๋ว สงสัยจะหิวข้าวล่ะมั้ง ตอนมันอยู่เฉยๆ ก็น่ารักอยู่หรอก แต่ถ้าจะปล่อยออกมาวิ่งเล่นอีกผมคงขอบาย เดี๋ยวโดนกัดอีกไม่คุ้มแน่

“ตอนสองทุ่มเนี่ยนะ” ผมถามพลางวางถุงของในมือลงบ้างแต่ไม่ได้เดินตามไปเอาใจใส่ไอ้กระต่ายจิ๋วตัวฟูนั่นหรอก กลัวมันตะกายกรงออกมาจู่โจมน่ะ

“เพิ่งปั่นงานเสร็จไง” คีนตอบในขณะที่มือก็เอื้อมคว้าถุงใส่หญ้าแห้งที่อยู่ข้างกรงเพื่อหยิบให้ไอ้ชมจันทร์กิน ส่วนผมก็ทำให้กล้าขยับเข้าไปใกล้ๆ เขาแล้วนั่งยองลงข้างกัน ดูสิว่าเจ้าฟูมันจะมีปฏิกิริยายังไง เอ้า หน้าผมยังไม่มองเลยเหอะเอาแต่ทำจมูกฟุดฟิดสนใจของกินอยู่นั่น

คีนจัดการให้อาหารชมจันทร์พร้อมทั้งเติมน้ำลงในขวด หลังจากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบหัวมันตบท้ายเป็นอันจบพิธี ผมรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนและความรักจากสายตาที่เขาใช้มองกระต่าย ดูๆ ไปทั้งคนทั้งสัตว์มีความคล้ายคลึงตรงน่ารักมุ้งงิ้งนี่ล่ะ งานเพ้อเจ้อมาอีกแล้วเว้ย กลับไปแดก... เฮ้ย

“อ้อ เราซื้อก๋วยจั๊บมาสองถุง กินด้วยกันไหม?” ผมเพิ่งนึกได้ว่าหิ้วถุงก๋วยจั๊บอยู่ในมือเลยยื่นไปตรงหน้าของคีน ส่วนที่บอกว่าซื้อฝากไอ้ปอมช่วยลืมๆ ไปก่อนเถอะ คนอย่างมันคงหาอะไรกินมาจากข้างนอกอยู่แล้วน่า

“อืม... กิมเอาก๋วยจั๊บไปเก็บแล้วมากินข้าวกับเราดีกว่า” คีนผลักถุงก๋วยจั๊บกลับมาแล้วคลี่ยิ้มหวานเมื่อพูดจบ ผมได้นั่งอึ้งเบิกตาโตเพราะไม่เคยฝันเลยว่าจะโดนชวนกินข้าวซึ่งๆ หน้าแบบนี้ คือตกลงใครจีบใครวะ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนอ่อยจนมึนไปหมดแล้วเนี่ย

“ห๊ะ?” ร้องเสียงหลงเมื่อได้สติกลับเข้าร่าง ผมน่ะพร้อมเอาก๋วยจั๊บไปเก็บที่ห้องเดี๋ยวนี้เลยแต่ขอฟังเหตุผลให้ชื่นใจหน่อยสิว่าทำไมถึงได้ชวนกินข้าวแบบนี้ แถมไอ้รอยยิ้มหวานๆ ชวนละลายใจนั่นอีก ถ้าผมไม่เกรงใจผีบ้านผีเรือนคงปล้ำคีนจับทำเมียไปแล้ว

“ไม่อยากกินคนเดียวไง โอเคปะ?”

หูย อยากจะตอบว่าโอเคดังๆ ให้คนได้ยินถึงหน้าปากซอยคอนโดเลยเหอะ เนี่ย หูตั้งหางกระดิกสุดๆ แต่ต้องเก็บอาการแสดงออกแค่รอยยิ้ม

“อะ เอ่อ ได้ๆ ถ้างั้นเราขออาบน้ำก่อน” โอย ประหม่าฉิบหาย ควบคุมอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้ำเสียงยังสั่น แก้มก็เห่อร้อนไปหมดจนต้องก้มหน้าหลบสายตาคีนที่มองตรงมา รีบกลับห้องเถอะกู เดี๋ยวสติแตกขว้างถุงก๋วยจั๊บทิ้งตรงนี้หรอก

“โอเค อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม?” เนี่ย ทำไมต้องถามเหมือนใส่ใจกันขนาดนี้วะ หูย ขอกระโดดหอมแก้มสักทีเหอะ

“แล้วแต่คีนเลย เรากินได้ทั้งนั้น” อะ เป็นคนดีกับคีนเสมอล่ะ น่ารักไหม หึหึ

“โอเค แยกย้ายได้ แล้วเดี๋ยวเจอกันเนอะ” จ้า เดี๋ยวเจอกันน้า เขินจัง

ผมรีบกลับเข้าห้องแล้วโยนถุงก๋วยจั๊บเข้าตู้เย็นทันที ดีหน่อยดีมันไม่แตกกระจาย ก่อนจะรีบวิ่งไปหยิบเสื้อผ้าหอบเข้าห้องน้ำ กลัวว่าคีนจะรอนานเลยถูสบู่ลวกๆ สะอาดไหมอย่าได้ถามเพราะเอาความเร็วเข้าสู้ ก็อยากใช้เวลาอยู่กับเขานานๆ โอกาสมีนิดหน่อยก็คว้าไว้ก่อนดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย อีกอย่างคือช่วงนี้ผมไม่รับรู้ความเคลื่อนไหวของพี่เซียนด้วย ขนาดให้ไอ้ว่านหลอกถามพี่โซนแต่ก็เปล่าประโยชน์

น้ำหอมขวดเดิมถูกหยิบขึ้นมาฉีดหนึ่งสเปรย์ตรงหลังคอเพื่อความมั่นใจเวลาได้ใกล้ชิดกับคีน ผมมองตัวเองในกระจกอีกครั้งเพื่อตรวจเช็คเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูดี ถึงจะอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นพร้อมนอนก็เหอะ มันต้องสร้างความประทับใจกันหน่อยสิวะ ฮึบ เท่านี้ก็เรียบร้อยพร้อมเดท เอ๊ย ดินเนอร์รอบค่ำแล้ว

ทั้งที่คิดว่าเตรียมตัวมาพร้อมทุกอย่างแล้วแต่ผมกลับยืนเป็นไอ้งั่งอยู่หน้าประตูห้องคีน คือมันตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้เข้าสู่โลกส่วนตัวของเขา ยิ่งเป็นเวลาดึกดื่นบรรยากาศเป็นใจด้วยแล้วความกล้ายิ่งเหลือน้อยเท่าหางอึ่ง ทำไงดีวะ แค่ยกมือเคาะแผ่นไม้ยังทำไม่ได้จะเอาอะไรไปทำให้เขาหลงรักเล่าไอ้กิม โอย เอาวะ ขืนชักช้าจะเสียเวลามากกว่านี้

ก๊อกๆ

ผมเคาะประตูไปแล้วเว้ย แต่... กริ่งหน้าห้องก็มี โอย กูเด๋ออีกแล้วจ้า ตบหน้าผากรัวๆ แม่ง

“คีนเรามา...” คำพูดหลังจากนั้นถูกกลืนลงท้องเพราะคนที่เปิดประตูออกมานั้นไม่ใช่คีนแต่เป็นศัตรูหัวใจของผมอย่างพี่เซียน เขาอยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าขาวใสไร้สิวดูสุขภาพดี ยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองแพ้ราบคาบ เข่าแทบทรุดเลยว่ะ ทำไมดึกตื่นป่านนี้หมอหมาไม่กลับบ้านล่ะ

“เพื่อนคีนใช่ไหม?” พี่เซียนมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนส่งยิ้มบางให้กัน ผมเผลอก้าวถอยหลังเพราะไม่รู้ต้องทำยังไงต่อไป กลับห้องก็คงอยู่ไม่สุขแน่ๆ ใครมันจะไปยอมให้พวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองล่ะวะ

“คะ ครับ ผมมารบกวนหรือเปล่า?” อะ ผมจะมารยาทดีกับคู่แข่งทำซากอะไรวะเนี่ย ตอนนี้ก็เลยทำได้แค่เม้มปากแล้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่วางตา ถ้าเขาไล่กลับห้องก็คง... แม่ง ทำตัวไม่ถูกจริงๆ นะเว้ย สถานการณ์ขับขันฉิบหาย

“ผมต่างหากที่รบกวน เข้ามาข้างในสิ คีนทำกับข้าวเสร็จแล้ว” เขาเบี่ยงตัวหลบเพื่อเปิดทางให้ผมเข้าไปด้านในอย่างกับเป็นเจ้าของห้องซะเอง จริงๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ควรทำแต่เพราะผมไม่ถูกชะตากับเขาล่ะมั้งเลยมโนไปเรื่อย เฮ้อ อย่าคิดมากสิวะ คีนยังไม่ได้คบกับพี่เซียนก็ยังมีหวังล่ะน่า สู้!

“ครับ” ผมตอบรับก่อนจะค้อมตัวลงเมื่อเดินผ่านหน้าเขา พอหลุดเข้ามาด้านในก็ได้กลิ่นหอมของผัดกะเพราโชยมาแต่ไกล ส่วนเจ้าของห้องตัวจริงกำลังจัดโต๊ะทั้งที่ยังไม่ได้ถอดผ้ากันเปื้อนสีหวานออก คือมุมนี้พี่เซียนก็ได้เห็นเหรอวะ ชักจะฉุนๆ ขึ้นมาแล้วสิ แม่งเอ๊ย กินข้าวมื้อนี้คงอึดอัดน่าดู

“กิมมาแล้วเหรอ?” คีนหันมาเห็นผมก็เลยเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะกลับไปจัดโต๊ะตามเดิม ท่าทางคล่องแคล่วนั่นทำให้นึกถึงเชฟมืออาชีพในร้านอาหาร ถ้าหากเขาไม่เอาดีทางด้านถ่ายรูปก็คงมีงานนี้รองรับแน่นอน คือรสชาติมันอร่อยแบบไม่ได้อวยเกินความจริงอะ

“อื้ม มีอะไรให้เราช่วยไหม?” ผมถามก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหาคีนแต่ต้องชะงักกึกเมื่อมีมืออุ่นๆ ของใครบางคนแตะลงบนลาดไหล่ ก็มีแต่พี่เซียนเท่านั้นที่อยู่ด้านหลัง คือสงครามระหว่างเรากำลังเริ่มต้นอย่างจริงจังแล้วใช่ไหม?

“เดี๋ยวผมช่วยคีนเอง ส่วนคุณไปนั่งเถอะ” อะ เขาไม่ไล่กลับห้องแต่กันผมไม่ให้เข้าใกล้คีนแบบสุภาพซะอย่างนั้น แต่ใครจะไปยอมล่ะวะ

“ไม่เป็นไรครับ ผมช่วยเขาดีกว่า” ผมเบี่ยงตัวออกจากกานเกาะกุมของเขาแล้วหันไปกระตุกยิ้มมุมปากแบบที่ชอบทำเวลากวนตีนเพื่อน พี่เซียนไหวไหล่เหมือนไม่ใส่ใจก่อนจะล้วงเอาซองบุหรี่ Marlboro Arctic Black ขึ้นมาโบกไปมา (ผมไม่ได้สูบบุหรี่นะ แต่ที่รู้เพราะว่าไอ้ปอมเคยลองมาก่อน ตอนนี้มันเลิกแล้ว)

“งั้นก็ตามใจ พี่ขอออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียงรอแล้วกัน”

“งดๆ บ้างเถอะครับ อย่าทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วง” คีนหยุดการกระทำทั้งหมดลงแล้วจ้องซองบุหรี่สลับกับใบหน้าขาวใสของว่าที่นายสัตวแพทย์ ผมซึ่งได้แต่ยืนมองถึงกับกัดฟันกรอดเพราะรับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์บางๆ ระหว่างทั้งสองคน หรือที่จริงแล้วเขาคบกันแต่ไม่ได้บอกให้ใครรู้วะ โอย ปวดใจฉิบหาย จะร้องไห้แล้วนะ โคตรเกลียดความรู้สึกแพ้ยับเยินแบบนี้

“คีนน่ะเหรอ?” พี่เซียนถามกลับน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ สายตาที่เขาใช้มองคีนช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายจนผมไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ตกลงว่ากูมาเป็นส่วนเกินของเขาใช่ไหม... ควรกลับห้องเนอะ เฮ้อ

“รู้แก่ใจยังจะถามอีกคนเรา” อะ คนนี้ก็เหยียบย่ำหัวใจผมด้วยคำตอบเชิงใส่ใจอีก เอาเลยครับ ทำร้ายกันให้พอเลย ฮึก กูจะหยิบส้อมขึ้นมาแทงหัวใจตัวเองแล้วเนี่ย ไม่ต้องมาจีบกันต่อหน้าต่อตาเลย!

“หึหึ ครับๆ จะพยายามสูบน้อยลง” พี่เซียนทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนเดินออกไปที่ระเบียงจริงๆ ส่วยผมก็ได้แต่มองคีนที่เริ่มตักแกงจืดเต้าหู้หมูสับใส่ชามกระเบื้องสีขาว เรื่องที่จะมาช่วยเขาขอตัดทิ้งก่อนได้ไหม ตอนนี้ในใจโคตรว้าวุ่นจนมือสั่นแล้วเนี่ย หยิบจับอะไรคงทำหล่นแน่นอน

“คีน...” ผมตัดสินใจเรียกคีนเพื่อตั้งคำถามที่ค้างคาใจมานาน เขาหันมาเลิกคิ้วใส่และรอคอยว่ามีอะไรจะพูดต่อ

“.....”

“เอ่อ ไม่มีอะไร” พอเห็นใบหน้าหล่อๆ ฉายแววฉงนผมก็ดันรู้สึกหวาดกลัวคำตอบขึ้นมาก็เลยส่ายหัวรัวแล้วเบี่ยงไปหยิบจานมาตักข้าวแทน แม่ง ทำตัวมีพิรุธขนาดนี้ไม่โดนจับได้คงแปลกแล้ว

“จะถามเรื่องพี่เซียนหรือเปล่า?” คีนถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางถอนผ้ากันเปื้อนสีหวานออกมาวางไว้บนเค้าน์เตอร์กลางก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมจนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ ของลมหายใจที่ตกกระทบบริเวณปลายจมูก ครั้นอยากถอยหลังก็ชนเข้ากับโต๊ะอาหารพอดี สรุปคือไม่มีทางหนีต้องเผชิญหน้าอย่างเดียวสินะ นี่เขาสามารถเรียกว่าโดนจู่โจมคาดคั้นเอาคำตอบได้ไหม โคตรกดดันแถมหัวใจทำงานหนักอีกด้วย ร้ายกาจเกินไปแล้วนายคนินท์

“รู้ได้ไง?” อ่า ด้วยความลนลานเลยหลุดปากออกไปแล้วสินะ ช่างแม่งเถอะ ถ้าอะไรมันจะพังก็ห้ามไม่ได้หรอก สู้กันสักตั้งแล้วกัน

“ก็กิมเอาแต่ขมวดคิ้วมองตามหลังพี่เซียนขนาดนั้น”

เอ้า ฉิบหาย ผมไม่รู้ตัวเลยเนี่ย

“เอ้อ โทษที เราแค่สงสัยว่าพี่เซียนมาที่นี่บ่อยเหรอ?” ผมเกาท้ายทอยแก้เก้อแต่ก็ยังไม่วายถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปพลางเหลือบมองคนตรงหน้าเป็นครั้งคราว ส่วนคีนก็ส่ายหัวปฏิเสธแล้วคลี่ยิ้มบางให้ เขาไม่รู้เหรอว่าทำให้หัวใจผมละลายได้เลย

“ก็ไม่บ่อยนะ นานๆ ครั้งถึงจะแวะมาหาชมจันทร์”

“อ๋อ แต่เราเห็นเขาไปหาคีนที่คณะบ่อยเลย” พอถามจบก็เพิ่งรู้ตัวว่ามันไม่ควร ผมเลยได้แต่ยืนเม้มปากแน่นไม่กล้าจ้องหน้าคีน เขาทำแค่หัวเราะเบาๆ ก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้ ย่อตัวลงเพื่อช้อนตามอง... โอย ผมสะดุ้งหนักกว่าเจอผีอีกเนี่ย ถอยหลังชนโต๊ะดังปึกเลย

“สังเกตด้วยเหรอเนี่ย?” คีนถามเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะยืดตัวขึ้นมาสบตากัน ส่วนผมเบนหน้าหนีไปจ้องตู้เย็นราวกับว่ามันน่าสนใจมากๆ



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 9 -P.1- 22/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 22-08-2018 09:10:13
“เผอิญมันเห็นพอดีไง” ผมกลบเกลื่อนความลนลานด้วยการเดินไปหยิบแก้วน้ำแล้วตรงไปที่ตู้เย็น พยายามระงับอาการมือสั่นและซ่อนดวงตากังวลไว้ด้วยการหันหลังให้เจ้าของห้อง เคยเชื่อมั่นในตัวเองมาตลอดว่าสามารถเก็บความรู้สึกได้ดี แต่พอเจอสถานการณ์กดดันแบบนี้มัน... สูญเสียการควบคุมว่ะ ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ

“ก็... ตามประสาพี่น้องรู้จักกัน” คีนเว้นระยะคำพูดเหมือนกำลังคิดไตร่ตรองบางอย่างซึ่งผมรับรู้ได้ทันทีว่าพี่น้องในที่นี่ผ่านอะไรที่เป็นมากกว่านั้นมาก่อน ถ้าไม่ใช่แบบนั้นคงไม่เกิดความลังเลในน้ำเสียงแน่นอน สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือขยับมือเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำออกมาดื่มเหมือนคนปกติทั่วไป ข่มความรู้สึกกระอักกระอ่วนไว้ในใจเท่านั้น ห้ามแสดงออกเด็ดขาด

“เหรอ เราขอถามอะไรได้ไหม?” ผมกระดกขวดน้ำทั้งที่มือก็ยังถือแก้วไว้แน่น ยังไม่มีความกล้าเผชิญหน้ากับคีนเลยสักนิดและไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่

“อืม เอาสิ ถ้าตอบได้น่ะนะ” จบประโยคก็ตามมาด้วยเสียงก๊องแก๊งของจานกระเบื้องที่ถูกวางลงบนโต๊ะซึ่งเป็นสัญญาณว่าคีนเริ่มจัดการอาหารส่วนที่เหลือต่อจากเมื่อครู่แล้ว ส่วนผมลดระดับขวดน้ำในมือลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อรวบรวมความกล้าหันกลับไปเผชิญหน้าความจริง เขายังดูปกติดีทุกอย่าง ไม่แสดงท่าทางโกรธหรืออึดอัดใดๆ แถมยังคลี่ยิ้มให้อีกต่างหาก ทำตัวสบายเกินไปแล้วนายคนินท์

“คือ... พี่เซียนเขาจีบคีนหรือเปล่า?” เสียงผมแผ่วหายไปในลำคอช่วงท้ายแต่ดูเหมือนคีนจะได้ยินมันเพราะมือเรียวที่กำลังเลื่อนจานไข่ดาวถึงกับชะงักกึก ดวงตารีคมเหลือบมองก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดเข้าหากันแน่น เขาหยุดการกระทำทุกอย่างเพื่อจ้องมองใบหน้าของผม โอ๊ย ปากพาซวยอีกแล้วไอ้กิม

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”

“คือ...” ไปไม่เป็นเลยว่ะ เอาไงดี

“อืม จะว่ายังไงดี ใช้คำว่า ‘เคยจีบ’ คงเหมาะกว่า” แต่คีนกลับตอบคำถามนั้นโดยที่ใบหน้ายังคงปกติดีทุกอย่างรวมทั้งแววตาที่ไม่มีอาการหวั่นไหวเลยสักนิด เป็นผมเองที่เผลอกัดปากจนรู้สึกเจ็บ คนเคยจีบนี่ยังสามารถเข้ามาวนเวียนใกล้ๆ แบบนี้ได้อีกเหรอ

“เคยเหรอ? แล้วตอนนี้...”

“ปฏิเสธไปแล้วล่ะ อย่าเข้าใจผิดว่าเรารังเกียจนะ จะเพศไหนก็คนเหมือนกัน รู้สึกได้เหมือนกัน แต่พี่เซียนเนี่ยไม่ตรงสเปคเลย” ปลายประโยคกลั้วไปด้วยเสียงหัวเราะอารมณ์ดีเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องตลกแถมคีนยังขยิบตาให้คนรับฟังอย่างผมอีก ไอ้บรรยากาศสบายๆ ทั้งที่เรากำลังสนทนาเรื่องเครียดนี่มันยังไงกันวะ แต่ก็ดีตรงที่ผมไม่รู้สึกปวดใจอย่างตอนแรกที่ได้รับรู้จากปากของเขาเองว่าครั้งหนึ่งเคยโดนพี่เซียนจีบจริง อยู่ๆ เรื่องทั้งหมดก็กลายเป็นอดีตตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

“ถามจริง?” ผมเลิกคิ้วขึ้นมองคีนเพื่อขอคำยืนยันว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง เขาไหวไหล่ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้พลางใช้มือเท้าคางแล้วมองตรงไปในทิศทางที่พี่เซียนยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้น

“ล้อเล่นน่า จริงๆ คือพี่เซียนยังไม่สามารถทำให้เราอยากมีแฟนได้น่ะ กิมเข้าใจไหม?” คำอธิบายในตอนแรกทำให้ผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกจนเกือบเผลอฉีกยิ้มกว้างให้คีนได้สงสัย

“พอจะเข้าใจ คียเคยพูดไว้ว่าไม่อยากมีแฟนใช่ไหม? อยู่คนเดียวดีกว่าไร้ข้อผูกมัด อยากทำอะไรก็ทำไม่ต้องกังวล” ผมจำคำพูดของคีนในครั้งนั้นได้ขึ้นใจและมันส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือสาเหตุของการแอบชอบอยู่เงียบๆ ไม่กล้าแสดงความรู้สึกตรงๆ เพราะกลัวว่าจะโดนปฏิเสธเหมือนพี่เซียน

ผมมีบางอย่างเหมือนกับเขาตรงที่รักอิสระ นั่นอาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมเลือกเมินผู้หญิงนิสัยจู้จี้จุกจิก เมินความออดอ้อนออเซาะ เมินใบหน้าสวยงามที่เกิดจากการแต่งแต้มไม่เป็นธรรมชาติ เมินมารยาร้อยเล่มเกวียน เมินการอ่อยไร้ยางอาย หรือเมินแม้กระทั่งกิริยาอ่อนหวานน่ารัก

แต่สำหรับคีนนั้นมันเหมือนโลกทั้งใบของผมหมุนรอบตัวเขาทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ดึงดูดสายตาแม้ว่าไม่ได้พยายามทำตัวโดดเด่น รอยยิ้มที่แสนจริงใจ ท่าทางดูเป็นกันเอง การพูดจาไพเราะ การวางตัวที่เหมาะสม ความอัธยาศัยดี ทุกอย่างนั้นทำให้คนๆ หนึ่งตกหลุมรักได้ง่ายเชียวล่ะ

“ก็ทำนองนั้น แต่ถ้าวันหนึ่งมีคนเข้ามาทำให้เรารู้สึกอยากมีแฟนได้ก็คงไม่ปิดกั้นตัวเองหรอก ปล่อยให้มันเป็นไปความต้องการ” คีนเหม่อมองออกไปด้านนอกระเบียงแต่โฟกัสไม่ได้อยู่ที่พี่เซียนเพราะผมก็แอบเหล่ตามสายตานั้นเหมือนกัน

“นั่นสินะ” ผมตอบกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มบางเมื่อเข้าใจความรู้สึกของคีนมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากมีแฟนแต่ยังไม่มีคนที่ถูกใจจริงๆ ก็เท่านั้นเอง รักอิสระก็ไม่ได้แปลว่าจะกลายเป็นคนไร้ความรักเสียหน่อย

“ถามเราเยอะขนาดนี้ แล้วกิมล่ะทำไมยังไม่มีแฟน?” อะ คำถามแทงใจมาจากปากคนที่ชอบแถมเขายังยื่นมีมาเคาะหน้าผากผมดังก๊อกๆ อีก เราไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ โอย ใจสั่นหมดแล้วเนี่ย คือเขาอยากได้คำตอบแนวไหนวะ ก็ไอ้คนที่อยากได้เป็นแฟนมันนั่งอยู่ตรงนี้ ข้างหน้านี่ จะให้บอกยังไงดีล่ะ

“ก็... ตอนนี้พยายามเนียนจีบเขาอยู่น่ะ” ก็หวังว่าเขาจะเอะใจหรือรู้ตัวโดยที่ผมไม่ต้องพูด... แม่งเอ๊ย ก็มันเขินนี่หว่าถึงจะรู้ว่าคีนเปิดกว้างเรื่องเพศก็เหอะ คือยังสั่นๆ กลัวไอ้คำว่าเพื่อนหายไป

“โธ่ ทำอะไรให้มันชัดเจนสิ เดี๋ยวเขาจะหาว่าหยอกเล่นไม่จริงจังนะ” คีนบุ้ยปากใส่กันก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการเนียนจีบของผม คือให้จู่โจมเลยเหรอ เขารับไหวไหมล่ะ

“โห ไอ้พูดน่ะมันง่าย ทำจริงยากนะเว้ย” ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอย เอาไงดีวะ ใช้โอกาสนี้สารภาพออกไปตรงๆ เลยดีไหม คีนคงไม่ตกใจจนต่อยหน้ากันหรอกมั้ง เอาวะ ลองสักตั้ง ฮึบ

“ป๊อดจังวะ” อะ โดนเตะผ่าหมากด้วยคำพูดขนาดนี้ผมเลยได้แต่อ้าปากพะงาบๆ ในขณะที่คีนเดินตัวปลิวไปหยิบแก้วน้ำแล้ว โอ๊ย ไอ้กิมเอ๊ย ขืนทำตัวกากแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงไม่มีทางสมหวัง พอรวบรวมความกล้าครั้งใหม่ได้ก็ดันมีก้างชิ้นใหญ่เข้ามาติดคอซะอย่างนั้น โว๊ย ไอ้หมอหมา ทำไมไม่สำลักควันบุหรี่ให้ตายๆ ไปซะ

“จัดโต๊ะเสร็จหรือยังครับ? พี่หิวแล้วนะ” พี่เซียนเข้ามาได้จังหวะเหมือนแกล้งกัน ผมทำเพียงแค่ปรายตามองแล้วลุกขึ้นเพื่อเดินไปหยิบช้อนส้อมหลีกหนีการพูดคุยกับอดีตศัตรูหัวใจที่อาจจะยังไม่ยอมรามือก็ได้ แต่คีนเป็นประเภทไม่คิดอะไรมากคำว่าพี่น้องเลยใช้ได้ผลแบบนี้ไง โธ่ ผมหวงอะ

“เสร็จพอดีครับ เชิญนั่งเลยคุณชายเซียน”

ครับ พี่เซียนนั่งฝั่งตรงข้ามส่วนผมกับคีนก็อยู่ข้างๆ กัน คือรู้สึกว่าตัวเองชนะเรื่องความใกล้ แต่เรื่องสบตาระหว่างมื้ออาหารนี่แพ้ราบคาบเลยเว้ย คนกินข้าวไประแวงไปมันจะอร่อยได้ยังไงล่ะเนี่ย

“อะ ผัดกะเพราของโปรดกิมใช่ปะ?” ช้อนกลางบรรจุผัดกะเพราทะเลถูกส่งมาตรงหน้าของผมก่อนที่มันจะไหลไปอยู่ข้างๆ จานพร้อมกับได้รับรอยยิ้มกว้างจากคีน ตอนนี้รู้สึกเหมือนทุกอย่างรอบตัวของเรามีออร่าสีชมพูปกคลุมอยู่ ตัดพี่เซียนออกจากสารบบชั่วคราว คือแบบเขาตักกับข้าวให้เว้ย อยากจะกรี๊ดให้คอนโดร้าวเลย ฮือ ปลื้มปริ่ม!

“ขอบคุณนะ” ผมคลี่ยิ้มตอบบ้างก่อนจะรีบตักกะเพราคำนั้นใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนสายตาแปลกๆ จากคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ในเมื่อพี่เซียนโดนตัดสิทธิ์ไปแล้วผมก็ไม่ควรกลัวเขาใช่ไหม แต่ศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างชมจันทร์นี่... หาทางเอาชนะไม่ได้เลย มีแต่ต้องญาติดีกันเท่านั้น อยากได้พี่กระต่ายก็ต้องเข้าทางน้องกระต่ายจริงไหม โธ่ แต่ผมไม่ชอบสัตว์! ปัญหาระดับชาติเนี่ย

“อื้ม กินเยอะๆ ล่ะ เราทำสุดฝีมือเลย” อย่าทำเหมือนอ่อยกันทั้งที่หน้าตาคีนยิ้มแย้มปกติสิวะ บางทีผมก็เพ้อพกจนไม่เป็นอันกินอันนอนแล้ว เข้าข้างตัวเองมากไปก็กลัวผิดหวัง โอย ถ้าถามออกไปตรงๆ จะโดนต่อยไหมเนี่ย

‘ตกลงคีนอ่อยเราเหรอ?’ ถ้าถามแบบนี้มีหวังผัดกะเพราเต็มหน้ากูแน่ๆ เลยเหอะ บางทีอาจจะแถมไข่ดาวให้ด้วย ฮึ่ย แค่คิดก็อร่อย เอ๊ย สยองแล้ว

“ตักให้พี่บ้างสิ” มารขัดขวางการมโนของผมก็มาเหอะ ร้องขอได้หน้าตายมากทั้งที่ไอ้จานกะเพรามันอยู่ตรงหน้าพี่เซียน

“จานกะเพรามันอยู่ใกล้มือพี่เซียนจะตาย ตักเองดิวะ” คีนมองพี่ชายคนสนิทด้วยท่าทีฉุนๆ แล้วชี้ไปที่จานกะเพราทะเล ผมเกือบพยักหน้าเห็นด้วยแต่ดีที่ยั้งไว้ทันก่อนจะตักข้าวราดแกงจืดใส่ปาก กับข้าวอร่อยแต่ยังไม่สุดเพราะเจอก้างชิ้นโตนี่ล่ะ

“เพิ่งรู้ว่าน้องคีนสองมาตรฐาน” ยังไม่จบอีกเหรอวะพี่ ผมนี่กำช้อนแน่นแทบหักแต่ไม่สาารถสอดปากไปยุ่งเรื่องของเขาได้ไง มันเสียมารยาทแถมไม่ได้รู้จักกันอีกด้วย

“กิมตักไม่ถึงเหอะ อย่าพูดมั่วๆ รีบกินข้าวเลย”

สุดท้ายเราต่างคนก็ต่างกินข้าวโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกระหว่างมื้ออาหารอันแสนกระอักกระอ่วนนี่เพราะผมรู้สึกว่าสายตาของพี่เซียนมักจะมองมาทางนี้เสมอ คงเกลียดขี้หน้ากันล่ะมั้ง ช่างแม่งเถอะ ผมจีบคีนไม่ใช่เขาซะหน่อย ไม่แคร์หรอก

“เดี๋ยวเราช่วยล้าง” ผมอาสาเมื่อคีนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและเริ่มลงมือเก็บจานชามไปตั้งไว้ที่ซิงค์ล้างจาน ส่วนพี่เซียนยังคงละเลียดชิมเงาะคว้านเมล็ดแบบไม่มีทีท่าว่าจะกินเสร็จเมื่อไหร่ เออ สมชื่อเรียกคุณชายจริงๆ

“เราทำเอง กิมไปนั่งรอเถอะ เดี๋ยวมีอะไรจะคุยด้วย” คีนโบกมือไล่ผมให้ออกไปนั่งรอในห้องนั่งเล่น ครั้นอยากดื้อก็กลัวเขาไม่พอใจเลยยอมตอบรับดีๆ ก่อนหมุนตัวเพื่อเดินตรงไปทางนั้น แต่ใครจะคาดคิดว่าพี่เซียนที่อยู่ตรงหน้ากลับเอื้อมมือมาคว้าข้อมือผม เฮ้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน อยากสะบัดออกแต่โดนบีบไว้แน่นกว่าที่คิด แม่งเอ๊ย

“งั้นพี่ขอตัวเพื่อนคีนสักครู่นะครับ” พี่เซียนหันมาคลี่ยิ้มบางให้ก่อนผละมือออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องชวนไปคุยกันแค่สองคนวะ หรือจะเรียกกูไปกระทืบรับลมร้อนช้างนอก ไม่เอานะเว้ย ยังไม่อยากเป็นศพต่อหน้าคีน

“หืม เอาสิครับ” คีนดูจะแปลกใจแต่ก็เอ่ยปากอนุญาต ส่วนผมยังคงยืนนิ่งเพราะไม่อยากอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดแค่สองคน แค่นั่งกินข้าวด้วยกันก็แย่จะตายแล้ว โอย! แต่พี่เซียนดันส่งสายจาดุๆ มาให้นี่สิ บ้าไปแล้ว กูไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย

“ตามผมมาสิ” จ้า เร่งกูจังเนี่ย ไปก็ไปวะ

ผมเดินตามพี่เซียนออกมาที่ระเบียงและโดนใช้ให้ปิดประตูกระจกเพื่อปิดกั้นเราจากคีน ซึ่งเดาได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน บรรยากาศรอบตัวมีความกดดันเนื่องจากไม่มีใครเริ่มบทสนทนาก่อน ต่างคนต่างเหม่อมองท้องฟ้าที่ไร้ดาวของเมืองหลวง เอาจริงๆ มันไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแต่จะให้จ้องหน้าเขาก็คงรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม ถ้าบอกว่าชวนมาชมวิวก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

“ชื่ออะไรนะ?” คำถามแรกจากคนที่ยืนพิงระเบียงดังขึ้นในขณะที่ผมละสายตาจากท้องฟ้าสีดำสนิทเพื่อมองเขา

“กิมครับ” ผมตอบส่วนพี่เซียนพยักหน้ารับรู้

“ชอบคีนสินะ” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ สีหน้ายังคงเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดๆ เหมือนกับว่าเรื่องที่ตัวเองพูดนั้นเป็นแค่คำบอกเล่าไม่มีผลต่อความรู้สึก แต่เป็นผมเองที่เกิดอาการอึกอักไปไม่เป็น ปฏิเสธก็ไม่ได้ตอบรับก็ไม่กล้า ตอนนี้เลยทำได้เพียงแค่เดินหนีเข้ามุมระเบียงที่ติดกับห้องไอ้ปอมแทน เบี่ยงเบนความสนใจทุกอย่างไปที่ต้นไฮเดรนเยียกระถางใหม่ดอกสีฟ้าอมม่วงยังคงบานเต็มต้น อันนี้ผมรับอาสาดูแลเอง ไม่อย่างนั้นคงมีสภาพไม่ต่างจากดอกกุหลาบ

“ผม...”

“หึ คีนจีบยากนะ” อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการหลักจากพูดประโยคนี้ออกมากันนะ ให้ถอดใจอย่างนั้นเหรอ?

“.....”

“รักอิสระ โลกส่วนตัวก็สูง”

“ผมรู้ครับ” คราวนี้ผมไม่ยอมปล่อยผ่านเลยตอบกลับไปบ้างแถมยังรวบรวมความกล้าสบสายตากับพี่เซียนในระยะที่ใกล้จนน่าใจหาย เขาพยักหน้ารับคำก่อนจะยกมือวาดรูปกลุ่มดาวกลางอากาศเหมือนไม่ค่อยใส่ใจในคำตอบ แต่ก็ดีกว่าการที่หยิบบุหรี่ออกมาสูบล่ะวะ แบบนั้นคงแสบจมูกตายกันไปข้างหนึ่ง

“รู้แบบนี้ก็ยังจะจีบเขาอีกเหรอ?” คำถามเอื่อยๆ แต่มีพลังทำลายล้างสูงทำให้ผมถึงกับกัดฟันกรอด ถ้าจะดูถูกคนอื่นเพราะตัวเองเคยล้มเหลวมาก่อนมันไม่ดูแย่เกินไปหน่อยหรือยังไง อยากประกาศตัวว่าระดับเขายังพ่ายแพ้มาก่อนแล้วคนธรรมดาอย่างไอ้กิมคงทำอะไรไม่ได้ก็คงผิดมหันต์ ผมมีความมุ่งมั่นและความอดทนเป็นเลิศ มากกว่าที่ใครจะสามารถคาดคะเนได้

“ครับ ผมมีความพยายามมากพอ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางจ้องตาพี่เซียนเขม็งเพื่อแสดงความจริงจังให้เห็น แต่เขาเลือกที่จะเมินและไม่สนใจในคำตอบพลางขยับยืดตัวตรงๆ เพื่อโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมให้มากกว่าเดิม ครั้นอยากถอยหลังนี้ก็คงต้องปีนระเบียงเอานั่นล่ะ โอย มาหายใจรดหน้าทำไมวะ ขนลุก

“แล้วถ้าหากวันหนึ่งมีใครที่จริงจังกับคุณเดินเข้ามาในชีวิตล่ะ คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนใจไหม?”

“ผมขอเลือกคีนเหมือนเดิมครับ” คำตอบชัดเจนทั้งน้ำเสียงและความรู้สึก ถ้าหากคนๆ นั้นไม่ใช่คีนผมก็ไม่พร้อมเปิดใจรับคนใหม่อย่างแน่นอน

“ถึงแม้สุดท้ายอาจจะผิดหวังน่ะเหรอ?” พี่เซียนเอ่ยถามถึงสิ่งที่ผมนึกกลัวมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วเพราะความสัมพันธ์มีจุดเริ่มต้นและมีจุดจบเสมอ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ยกตัวอย่างง่ายๆ คือเพื่อนสมัยมัธยมที่บัดนี้บางคนก็ขาดการติดต่อทั้งที่เคยสนิทกันมาก อะไรๆ ในชีวิตไม่มีแน่นอนหรอก อยู่ที่ตัวเราจะเข้าใจและยอมรับได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

“ครับ”

“ผมไม่ยอมแพ้หรอกนะ” พี่เซียนใช้แขนทั้งสองข้างกักตัวผมเอาไว้ไม่ให้หนีรอดไปไหนแล้วใช้ดวงตาคู่สวยจ้องมองเหมือนต้องการสะกดให้เชื่อฟังสิ่งที่เขาอยากพูดต่อไปนี้ ผมไม่เข้าใจว่าไอ้การไม่ยอมแพ้นั้นคืออะไร แต่รู้สึกเหมือนว่าเป้าหมายจะไม่ใช่คีนอีกแล้ว

“.....”

“คุณอยากจีบคีนต่อก็ทำไป ส่วนผมจะจีบคุณ” พี่เซียนใช้นิ้วจิ้มตรงตำแหน่งหัวใจของผมแล้วผละออกไปด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตากลับเป็นประกายอย่างน่ากลัว เชื่อไหมว่าโสตประสาทการรับรู้ของผมเหมือนตายลงซะเดี๋ยวนี้ อะไรคือการบอกว่าจะจีบทั้งๆ ที่ไม่น่าเป็นไปได้ เขาชอบคีนไม่ใช่เหรอวะ หรือแค่แกล้งกันเล่นเพื่อเอาความสะใจ โอย ขอถามย้ำหน่อยเหอะ กูไม่ได้อยากให้อดีตศัตรูหัวใจเปลี่ยนความคิดขนาดนี้หรอกเว้ย เป็นคู่แข่งกันยังไม่ลำบากใจเท่านี้เลย ฮือ

“อะไร... นะครับ?” กว่าผมจะออกเสียงแต่ละคำได้ก็แทบใช้เวลาเป็นนาทีแถมยังมองคนตรงหน้าด้วยสายตาหวาดระแวง นี่แทบจะปีนระเบียงหนีกลับห้องแล้วนะเว้ย ถ้าพี่เซียนก้าวเข้ามาใกล้ผมแหกปากจริงด้วย แม่งๆๆ กูฝันอยู่แน่นอน ตื่นสิวะ!

“ผม-จะ-จีบ-คุณ” พี่เซียนย้ำชัดทุกคำก่อนจะส่งรอยยิ้มชวนฝันอย่างที่สาวๆ เพ้อถึงให้ผม ยามที่เขาขยับเท้าเข้ามาทำให้ต้องรีบสไลด์ตัวออกจากมุมอับแล้วตรงไปเปิดประตูกระจกทันที

“เฮ้ย ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ พี่เมาใบกะเพราเหรอ?” ผมละล่ำละลักถามพลางชี้นิ้วสั่นๆ ไปหาพี่เซียนพลางส่ายใบหน้าแสดงให้ชัดเจนว่าไม่มีทางหลงกลคำพูดหลอกลวงนั่น ใครมันจะเชื่อล่ะวะ อยู่ๆ ก็อยากจีบกันขึ้นมา รักแรกพบเหรอ? บ้าน่า

“ผมจริงจัง คุณเตรียมตัวไว้ได้เลย” อะ จบคำพูดเขาก็เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้มืออุ่นแตะลงบนหัวแล้วโยกเบาๆ แสดงความเอ็นดูรวมถึงดวงตาที่ฉายแววมุ่งมั่นเหมือนที่ผมมีให้กับคีน ชัดเจนยิ่งกว่าคงไม่มีแล้วล่ะ โอ๊ย นี่กูมาจีบคีนนะเว้ย ไม่ใช่ให้พี่เซียนจีบตัวเอง ความวัวยังไม่หายความควายก็เข้ามาโจมตีแบบนี้ก็ได้เหรอ กูจะหนีออกนอกประเทศ!

“พี่เซียน กลับมาคุยกันก่อนสิวะ!” แต่พอรวบรวมสติได้ก็เห็นพี่เซียนเดินออกจากห้องไปแล้ว ไอ้ฉิบหาย มึงพูดไม่เคลียร์มากๆ เหตุผลที่จะจีบกันก็ไม่มี เวรเอ๊ย เครียดเลยเนี่ย สัด!

เมื่อครู่ผมคงเสียงดังมากไปหน่อยก็เลยทำให้คีนที่ยังล้างจานไม่เสร็จถึงกับเดินออกมาจากส่วนครัว ในมือยังมีฟองขาวเปรอะ ใบหน้าในแสดงความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง เอาไงดีวะ

“เมื่อกี้คุยอะไรกับพี่เซียนเหรอ?” นั่นไง ผมว่าแล้วคำถามแบบนี้ต้องเกิด อย่าให้เจอนะพี่เซียนกูจะกระทืบมึงให้จมดินเลยเชียว!

“อ่า... เรื่อยเปื่อยนะ คีนมีอะไรจะพูดกับเราเหรอ?” ขอโทษที่โกหกว่ะ แต่จะให้ผมพูดความจริงเรื่องเหลือเชื่อออกไปคงไม่ได้ แล้วในขณะที่ตัวเองจีบคนๆ นี้ด้วยคงต้องปิดเป็นความลับ

ผมปิดประตูระเบียงแล้วเดินกลับเข้ามานั่งบนโซฟาโดยมีร่างของคีนยืนพิงวงกบส่วนครัว ดวงตารีเบิกขึ้นเมื่อได้ยินคำถามเหมือนเพิ่งคิดอะไรได้ หลังจากนั้นก็ยกมือเปื้อนฟองโบกไปมาเบาๆ โธ่ มันหยดเลอะเทอะพื้นหมดแล้วครับคุณคนินท์

“ขอล้างมือก่อนนะ เดี๋ยวออกมาคุยด้วย”

“โอเค”

ผมเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วหลับตาลงเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากคุยกับพี่เซียน สมองเหมือนจะเออเร่อไปชั่วขณะเมื่อได้รับรู้ถึงความตั้งใจของเขา ในชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องราวความรักของตัวเองจะสับสนวุ่นวายได้มากถึงเพียงนี้ พอรู้สึกว่าความสัมพันธ์กับคีนกำลังไปได้สวยกลับมีมือที่สามโผล่ออกมาเป็นตัวโกง นี่มันละครไทยหรือเปล่าวะ ถ้าเล่าให้ไอ้ว่านกับไอ้ปอมฟังมันคงหัวเราะตายแน่ๆ ฮึ่ย คิดแล้วก็เครียด แคะขี้มูกแม่ง

ไม่เกินห้านาทีคีนก็เดินออกมาจากส่วนครัวแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างกันโดยเว้นระยะห่างพอประมาณ ส่วนผมรีบจัดการหยิบทิชชู่มาเช็ดมือเปื้อนน้ำมูกออกแต่ยังคงกลับไปเอนหลังพิงพนักเช่นเดิม ก็ท่านี้มันสบายแถมยังแอบมองใบหน้าด้านข้างของเขาได้ถนัดอีกด้วย

“คือเราเห็น Nano Block ที่เป็นโมเดลหอไอเฟลอันใหญ่ๆ ในไอจีของกิมแล้วอยากลองซื้อมาต่อบ้างน่ะ” คีนไม่รอช้าที่จะพูดความต้องการของตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรยุกยิกในขณะที่ผมอ้าปากค้างไปแล้ว เมื่อครู่เขาหมายถึงไอจีใครที่ไหนนะ?

“คีนว่าอะไรนะ?” ผมถามย้ำก่อนใช้แขนยันตัวตรง หัวใจเต้นตุบตับอย่างน่ากลัว อยู่ๆ ก็มีเซอร์ไพร์สมากกว่าเรื่องพี่เซียนเหรอวะ

“เราเห็นโมเดลหอไอเฟลในไอจีกิม” ชัด ชัดเลย เขาตามไอจีผมตั้งแต่เมื่อไหร่! เผลอโพสต์อะไรที่สื่อถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ คีนไปบ้างไหมวะ โอย ตายแน่กู เนี่ย พอลนลานทำอะไรไม่ถูกก็กัดปากจนเป็นแผล แสบเว้ย

“คีนมีไอจีเรา?” เสียงสั่นกว่านี้ก็สึนามิมาแล้วมึงเอ๊ย

“ใช่ มีตั้งนานแล้วนะ” คีนเหลือบสายตามองกันก่อนจะส่งโทรศัพท์ที่เป็นหน้าโปรไฟล์ไอจีของผมให้ดู เขากดฟอลฯ กันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ นี่มันเรื่องเหลือเชื่อยิ่งกว่าพี่เซียนจะจีบกูอีกเนี่ย

“.....” ผมปิดปากเงียบก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น มือทั้งสองข้างกำแน่นเพราะความกังวลเรื่องรูปภาพในไอจี พยายามคิดว่าตัวเองมือลั่นอัปเดตอะไรไปบ้าง ความลับแตกหรือยัง โว๊ย ปวดหมอง

“อื้ม ทำไมเหรอ?” คีนแตะไหล่ผมพลางถามด้วยน้ำเสียงแสดงความสงสัย สถานการณ์ดูเหมือนว่าจะแย่แต่จริงๆ มันก็ดีใจ เอาเถอะ ความแตกก็ไม่เป็นไรเพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะสารภาพความรู้สึกกับคีนเร็วๆ นี้

“ปะ เปล่า ไว้วันหยุดเราพาคีนไปซื้อ Nano Block ดีไหม?” อะ เสนอตัวเนียนๆ พาไปซื้อของแล้วต่อด้วยที่กินข้าวสักมื้อ หลังจากนั้นก็สารภาพรักแม่ง วางแผนไว้อย่างดีแต่จะสำเร็จไหมนั่นอีกเรื่องเพราะอาทิตย์หน้าต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบแล้วเว้ย ใครจะว่างคิดอะไรไร้สาระแบบกูล่ะเนี่ย เฮ้อ

“อื้ม แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นคือกิมต้องมาช่วยเราต่อนะ” เอาเป็นมาผมโดนคีนชวนมาต่อ Nano Block เฉยๆ ไม่ได้ตั้งใจอ่อยหรอกน่า ที่คิดแบบนี้เพราะมันช่วยลดความประหม่าเวลาใกล้ชิดจนหัวแทบชนกัน ก็ไอ้ของเล่นสื่อรักเนี่ยมันชิ้นนิดเดียว เวลาจะหยิบจะจับเลยลำบากนิดนึง

“อะ อื้ม ได้ครับ” โธ่ ไอ้กากกิมเอ๊ย แค่ตอบรับยังเสียงสั่นจะเอาความกล้าที่ไหนไปสารภาพรักเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เนี่ย แอบถอนหายใจหน่อย

“น่ารักจัง”

เดี๋ยวนะ... ไอ้คำชมเมื่อครู่นั่นคืออะไรวะ ผมจะกรี๊ดแล้วนะถ้าไม่ติดว่าคีนไล่ให้กลับห้องเพื่อแยกย้ายกันพักผ่อน โอย หัวใจไอ้กิมแทบละลายอยู่แล้วจ้า ทำไมถึงทำกันแบบนี้ อ่อยแน่ๆ แบบนี้ต้องอ่อยแน่ๆ !




-------------------------------------


มาช้าแต่ก็มานะเออ 55555 ตอนนี้เลยยาวเป็นพิเศษให้อ่านแบบจุใจเลย
พี่เซียนคืออะไร๊ ทำไมเป็นคนแบบนี้อะ หมากิมปวดหัวตายแน่ๆ เชื่อเหอะ
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 10 -P.1- 31/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 31-08-2018 20:25:35
รูปถ่ายใบที่ 10


Keen’s Part

‘ก็พอจะรู้ แต่ไม่มั่นใจ เพราะมันยังไม่ชัดเจน’

ในตอนแรกผมแค่คิดว่ากิมอยากเข้ามาตีสนิทด้วยเพราะต้องการจีบโฮมที่เป็นคู่จิ้นกันตั้งแต่ช่วงรับน้องใหม่ แต่ไปๆ มาๆ อะไรบางอย่างกับร้องเตือนว่าไม่ใช่ อย่างที่คิด ทั้งสายตา ท่าทาง การพูดจามันโฟกัสมาที่ผมบ่อยครั้งจนรู้สึกทำตัวไม่ถูกทว่ากลับไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนครั้งที่โดนพี่เซียนจีบ

แต่กิมยังคงมีอาการกล้าๆ กลัวๆ ในการเข้าหา อาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมเคยพูดเปรยไว้เมื่อครั้งโดนคนอื่นสัมภาษณ์เรื่องการมีแฟน รักอิสระก็เพราะเวลาอยากออกไปถ่ายรูปที่ไหนก็ไม่ต้องกังวลว่าคนรักอยากไปด้วยหรือเปล่า ไม่อยากผูกมัดก็เพราะบางครั้งไม่สามารถดูแลใครได้ ซึ่งนั่นคือเหตุผลหลักๆ

ผมเข้าใจกิมนะ ทว่าพอเห็นท่าทางอึกอักพวกนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะลองพูดอะไรบางอย่างให้เขามั่นใจว่าการทำเรื่องราวให้ชัดเจนเป็นสิ่งที่ดี เอ้อ เหมือนยุยงให้เพื่อนจีบตัวเองเลยเนอะ... เอาเป็นว่าผมไม่ได้รังเกียจความสัมพันธ์ในรูปแบบของเพศเดียวกัน บางทีการรักอิสระและไม่ชอบผูกมัดอาจเจือจางลงก็เพราะใครบางคนก็เป็นได้

ตอนนี้ผมกำลังนอนกลิ้งอยู่บนเตียงหลังใหญ่และซุกตัวในผ้านวมผืนหนาที่หอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มในวันหยุดที่ฝนกำลังตกหนักไม่มีทีท่าว่าจะซาลงง่ายๆ ครั้นจะหลับตาเพื่อนอนต่อก็ได้ยินเสียงก๊องแก๊งดังมาจากด้านนอก ไม่ต้องคิดให้ปวดหัวว่ามันเกิดจากอะไรเพราะต้องเป็นเจ้าชมจันทร์เรียกร้องหาอาหารแน่นอน เฮ้อ ต้องลุกแล้วสินะ หาว

“ชมจันทร์” ผมนั่งยองๆ ลงตรงหน้าของเจ้ากระต่ายที่นับวันยิ่งตัวอ้วนขึ้นบวกกับเป็นสัตว์ที่โตไวอยู่แล้วตอนนี้ก็เลยน่าฟัดไปใหญ่ มันใช้เท้าหน้าเกาะซี่กรงแล้วมองจ้องกันด้วยดวงตาสีดำเม็ดลำไย จมูกเล็กๆ ขยับขึ้นลงตลอดเวลาพร้อมทำปากขมุบขมิบจนผมไม่สามารถเก็บรอยยิ้มไว้ได้

“หิวแล้วสินะ วันนี้อยากกินอะไรล่ะ หญ้าอัลฟาฟ่าหรือทิโมธีดี?” ผมหยิบถุงหญ้าแห้งสองแบบขึ้นมาเขย่าต่อหน้าชมจันทร์พลางเอียงคอมองรอคำตอบทั้งที่รู้ดีว่าสุดท้ายก็ต้องเลือกเอง แต่ฟีลคนเลี้ยงสัตว์ก็อยากมีโมเม้นต์คุยเล่นกับมันบ้าง ไม่ได้บ้านะเอ้อ

เจ้ากระต่ายน้อยทำท่าตื่นเต้นตามประสาเมื่อเห็นของกินที่คุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ มันขยับเข้ามาประชิดพลางเอาจมูกรอดซี่กรง น่ารักน่าชังจนอดไม่ได้ที่จะวางถุงหญ้าลงแล้วเอื้อมมือไปจิ้มเบาๆ ตรงนั้น โอย อยากบีบมาก แต่ตอนนี้คงเสียเวลาเล่นด้วยไม่ได้เพราะหนังสือกองโตรออยู่ ถึงช่วงเวลาแห่งการสอบอีกแล้วสินะ เฮ้อ

ผมจัดการเติมหญ้าลงในถาดและใส่น้ำให้เจ้าชมจันทร์เสร็จเรียบร้อยก็คว้าโทรศัพท์มาเก็บภาพเจ้าฟูเอาไว้เป็นที่ระลึกก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วเดินอืดอาดไปทางห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงริงโทนดังขึ้น ผมหมุนตัวกลับไปหามันพลางคิดในใจว่าใครช่างโทรมาตั้งแต่... เอ่อ สี่โมงเช้าแล้วเหรอเนี่ย โอเคๆ นายคนินท์ตื่นสายเองล่ะ

ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือบุคคลที่นัดกันเอาไว้ว่าจะมาติวด้วยตอนเที่ยงวัน แต่ดูท่าทางแล้วคงติดธุระอะไรสักอย่างแน่นอนเพราะปกติโฮมไม่เคยโทรหาก่อนถึงที่นี่เลยสักครั้ง ช่วงนี้เขาชอบทำตัวแปลกๆ มีลับลมคมในเหมือนซ่อนใครเอาไว้

“ว่าไงเจ้าตัวจิ๋ว” ผมรับสายเพื่อนด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะก้าวขาไปที่กรงของชมจันทร์เพื่อจ้องมองการกระทำของมัน ตอนนี้เจ้าฟูกำลังกินน้ำจากขวดทำให้ลูกบอลกลมๆ ในท่อดังก๊อกแก๊ก ปากเล็กขยับจนเห็นลิ้นสีชมพูแลบออกมา คือโคตรน่ารัก บางทีการอยู่กับกระต่ายก็มีความสุขดีเนอะ

‘เลิกเรียกเราแบบนั้นเถอะน่าคีน ฟังไม่เข้าหูเลย’ ปลายสายบ่นเสียงงุ้งงิ้งดูไม่ถูกใจกับคำเรียกชื่อนั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะเพราะตั้งใจแกล้งแหย่โฮมเล่นซึ่งมันได้ผลอย่างที่คิดไว้จริงๆ ก็ตัวเล็กซะขนาดนั้นจะไม่ให้เอ็นดูได้ยังไง สูงถึงร้อยหกสิบหรือยังเถอะ หยิบจับของที่อยู่สูงแต่ละทีก็ต้องเขย่งเท้าแทบตาย เขาคงจัดอยู่ในประเภทผู้ชายไทป์เมียไม่เหมาะเป็นสามีใคร

“หรือจะให้เรียกน้องเตี้ย?” ผมยังคงแกล้งเพื่อนต่อไปในขณะที่ตัวเองทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหน้ากรงกระต่ายแล้วปักหลักนั่งมองชมจันทร์ให้เต็มที่ ดูสิมันกำลังกระโดดโหยงๆ เหยียบถาดหญ้าแห้งคว่ำกระจัดกระจาย โธ่ เสียดายของนะเจ้าอ้วน อาหารแกไม่ใช่ราคาถูกเลย แต่ผมก็ทำได้แค่ส่ายหัวและหลุดหัวเราะให้กับความน่ารักนั่น เฮ้อ แพ้ทางสัตว์ตัวเล็กนี่นาทำไงได้

‘โอ๊ย ปากคอเลาะร้าย งอนแล้ว!’ โฮมเหวเสียงเขียวก่อนจะถอนหายใจแรงๆ ใส่จนผมต้องผละหูออกจากโทรศัพท์ พอจะนึกภาพตามออกเลยว่าเจ้าตัวต้องบึนปากจนเกือบถึงปลายจมูกแน่ๆ ก็ทำตัวน่ารักน่าชังขนาดนั้นเลยมีหนุ่มเข้ามาจีบไม่เว้นแต่ละวัน และด้วยสาเหตุนี้ผมเลยไม่สามารถระบุได้สักทีว่าเจ้าตัวจิ๋วชอบใคร แต่บอกได้ว่าไม่ใช่กิมชัวร์ๆ เพราะสายตามันฟ้องว่าคิดแค่เพื่อน

“โอ๋ๆ ไม่งอแงนะโฮม แล้วโทรมามีอะไรหรือเปล่า?” ผมง้อโฮมด้วยเสียงอ้อนๆ ที่ใช้เป็นประจำก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อรู้สึกหิวน้ำขึ้นมา ขายาวก้าวเข้าสู่โซนห้องครัวตามด้วยมือเรียวเอื้อมเปิดประตูตู้เย็น แทนที่จะได้ทำสิ่งที่ตั้งใจกลับต้องชะงักเมื่อกลิ่นบางอย่างเตะจมูกอย่างจัง ถ้วยน้ำพริกกะปิที่ไม่ได้ปิดฟิล์มถนอมอาหารตั้งเด่นหราอยู่ตรงหน้า อื้อหือ ฝีมือพี่ปิ๊งสุดสวยของผมแน่นอน โอย ไม่ไหวจะเคลียร์กับเธอจริงๆ

ผมยกมือขึ้นถูปลายจมูกก่อนจะเอื้อมมือหยิบถ้วยน้ำพริกออกมาตั้งด้านนอก จัดการหยิบกากกาแฟที่รอทิ้งใส่ในแก้วแล้วเอาวางไว้ในตู้เย็นเพื่อให้มันดูดกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ออก หลังจากนั้นก็เดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาเพื่อเปิดทีวีดูฆ่าเวลาเนื่องจากยังติดสายโฮมอยู่ เฮ้อ ขี้เกียจอาบน้ำแล้วสิ เอ๋... แต่ทำไมอยู่ๆ เสียงมันเงียบไป หรือว่าเขาวางโทรศัพท์ไปแล้วเนี่ย

‘คือว่า...’ อ้อ ยังไม่วางแฮะ

“.....” ผมรอฟังโฮมแต่ตากลับจ้องทีวีที่กำลังฉายรายการแนะนำร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่นผสมผสานกลิ่นอายภาคใต้ของเมืองไทย จะว่าไปก็อยากลองทำหมูฮ้อง (อาหารพื้นเมืองจังหวัดภูเก็ต) กินดูเนอะ น่าอร่อยดี เนื้อหมูสามชั้นนุ่มๆ รสชาติติดหวานแต่กลมกล่อม อ่า... แค่คิดถึงก็ฟินแล้ว

‘แบบว่า...’ ปลายสายอึกอักพูดไม่เป็นภาษาจนผมต้องสลัดความคิดเรื่องเมนูอาหารของวันนี้ทิ้ง รู้สึกเหมือนกับว่าโฮมกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง ประมาณว่ามีเรื่องปิดบังและกลัวเผลอจะพูดออกมา ไอ้นิสัยแบบนี้มันทำให้คิดถึงกิมเลยอะ

“แบบไหนครับคุณเพื่อน? เรารอฟังจนจะหลับแล้วเนี่ย” ผมเอนหลังพิงพนักโซฟาก่อนจะดึงหมอนอิงมารองใต้หัว โฮมนะเงียบเป็นป่าช้าแต่บุคคลข้างห้องเริ่มส่งเสียงตีกันอีกแล้ว วันนี้ก็คงทะเลาะเรื่องเดิมซ้ำๆ อย่างเช่นปอมชอบดื่มกาแฟโดยไม่แปรงฟันหรือบางครั้งหนักถึงขึ้นที่ยืนเกาก้นแล้วเอามือป้ายจมูกกิม ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ? ก็มีคนพิมพ์ไลน์เล่าให้อ่านบ่อยๆ นี่เนอะ แต่วันนี้ยังไม่มีอะไรโผล่มาเลยแฮะ สงสัยเพิ่งตื่นมั้ง เอาเป็นว่าสนใจเจ้าตัวจิ๋วต่อดีกว่า

‘วันนี้ขอยกเลิกติวก่อนได้ปะ?’ ถึงโฮมจะพูดเสียงเบาแต่มันก็ทำให้ผมดีดตัวขึ้นนั่งหลังตรงได้เลยล่ะ อยู่ๆ ก็ยกเลิกติวกะทันหันแบบนี้แสดงว่าอีกเรื่องสำคัญกว่าอย่างนั้นสิ หรือคืดอะไรที่แบบจั๊กจี้หัวใจหน่อยก็คงแอบนัดคนที่ชอบทำนองนั้น แต่ผมไม่ซีเรียสหรอกนะเพราะเพื่อนจะไปไหนมาไหนก็สิทธิ์ของเขานี่นา

“มีนัด?”

‘ก็... ไม่เชิงอะ’

“อืม... เป็นความลับใช่ปะ?” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะเพื่อไม่ให้โฮมเครียดจนเกินไป จริงๆ แล้วแค่อยากแกล้งแหย่เพราะเขาพูดตะกุกตะกักแสดงพิรุธเยอะแยะเลย เหมือนเจ้าชมจันทร์ตอนตกใจอะ ตื่นตูมน่าดูหูตั้งหางชี้เชียว อยากจับมาบีบๆ ฟัดๆ เหลือเกิน

‘ทะ ทำไมคีนคิดแบบนั้น?’ แหนะ ยังพูดไม่ทันขาดคำเลย เสียงขาดๆ หายๆ ซะแล้ว โธ่เอ๊ย โกหกไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะเจ้าตัวจิ๋วของพี่คีน ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนกันคงจับมาฟัดมาหอมแก้มด้วยความเอ็นดูแล้ว คือมันก็ไม่แปลกสำหรับผมหรอกที่รู้สึกมันเขี้ยวแบบนั้น ก็โฮมคือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กน่ารักแต่กลัวเขาจะต่อยเอาน่ะ เห็นมุ้งมิ้งแบบนั้นแต่เอาเรื่องไม่เบาเลยแถมแรงเยอะด้วย ไม่เสี่ยงดีกว่าเนอะ

“ก็ปกติโฮมจะบอกเหตุผลชัดเจนว่าทำไมถึงยกเลิกนัดของเรานี่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตา ง่วงนอนขึ้นมาซะอย่างนั้นทั้งที่ตื่นได้ไม่ถึงชั่วโมงเนี่ยนะ พอเป็นวันหยุดทีไรไอ้โรคติดเตียงกำเริบทุกทีสิน่า เฮ้อ ควรจะลุกขึ้นไปเตรียมอาหารเช้าควบเที่ยงก่อตอาบน้ำดีกว่ามั้ง ไม่อย่างนั้นมีหวังสลบคาโซฟาแน่ๆ อะ ตัดสินใจได้ก็ลุกขึ้น ฮึบ!

‘อ่า... ขอโทษนะ’ โฮมว่าเสียงอ่อยจนผมที่นึกเอ็นดูเพื่อนคนนี้อยู่แล้วถึงกับหลุดยิ้มออกมา จะน่ารักไปถึงไหนกันน้า ชักอิจฉาแฟนในอนาคตของเขาซะแล้วสิ

“โธ่ จะขอโทษทำไม แค่ยกเลิกติวเอง เราไม่มีปัญหาน่า โฮมอย่าคิดมากดิ”

‘อื้อ ไว้เราจะไถ่โทษด้วยฮ่อยจ๊อปูนะ’ น้ำเสียงของเขาดูสดใสขึ้นจนผมรู้สึกได้ว่าต้องคลี่ยิ้มหวานให้กับลมฟ้าอากาศอยู่แน่ๆ แต่เดี๋ยวก่อน... ไอ้ฮ่อยจ๊อปูที่โฮมชอบซื้อมาฝากเนี่ย ถ้าจำไม่ผิดคงต้องถ่อไปถึงชลบุรีเชียวนะ หึหึ แอบหนีเที่ยวนี่เอง อย่าให้รู้ว่าใครเป็นสารถีจะล้อยันลูกบวชเชียว

“หึหึ ครับ เที่ยวให้สนุกนะโฮม” ขอแซวหน่อยเถอะ มันคันปากไง สุดท้ายก็หลุดพูดจนได้ โฮมไม่เคยเก็บความลับอะไรอยู่หรอก บางครั้งยังเผลอเล่าเรื่องคนนั้นคนนี้ที่ตัวเองเผลอปลื้มเขาแบบไม่รู้ตัวให้ฟังอยู่เรื่อย โธ่ ถ้าให้เดาว่าหนีไปเที่ยวกับใครก็คงไม่พ้นบุคคลใกล้ห้อง เอ้ย ใกล้ตัวผมนี่ล่ะ สันนิษฐานนะ อาจจะไม่ใช่ก็ได้

‘อ๊ะ เราไม่คุยกับคีนแล้ว!’ แหนะ พอถูกจับได้ก็ชิ่งตัดสายหนีไปเลย หึหึ เด็กน้อยจริงๆ เลยเจ้าจิ๋วเนี่ย หวังว่าจะเอาตัวรอดกลับมาจากชลบุรีได้แบบไม่สึกหลอน่ะนะ แต่ถ้าสมยอมก็คงเป็นอีกเรื่อง ตอนนี้ผมขอไปเตรียมอาหารเช้าควบเที่ยงดีกว่า หิวแล้วเนี่ย ง่วงด้วย... เฮ้อ เลือกทำมันสักอย่างสินายคนินท์!

หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยทั้งกินข้าวและอาบน้ำก็ถึงเวลาของการพรากเพียรอ่านหนังสือเตรียมสอบสักที ผมหยิบสิ่งที่จำเป็นต้องใช้มากองเอาไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาแล้วทิ้งตัวลงบนพรมเพื่อให้ได้ระดับนั่งที่เหมาะสมแถมมีพนักพิงหลังสบายๆ อีกด้วย

มือขวาจับปากกาเน้นข้อความสีฟ้าพาสเทลไว้แน่นส่วนอีกมือทำการเปิดชีทวิชาภาษาอังกฤษสื่อสารขึ้น แต่ยังไม่ทันได้อ่านกลับมีเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ โธ่ คนยิ่งขี้เกียจๆ อยู่ด้วย เดี๋ยวก็ทิ้งสอบไปนอนกลิ้งบนโซฟาซะเลยนี่

กิมมิค : คีนอยู่ห้องหรือเปล่า?

นั่นคือข้อความจากแอปฯ ไลน์ที่กิมส่งมาถามไถ่กัน ผมคลี่ยิ้มบางก่อนจะพิมพ์ตัวอักษรสั่นๆ ตอบกลับไป

คีน : อยู่ ทำไมเหรอ?

ข้อความถูกส่งไปพร้อมกับขึ้นว่าอีกฝ่ายทำการอ่านแล้วเหมือนตั้งหน้าตั้งตารออยู่ ผมขยับตัวพิงโซฟาทิ้งความสนใจเรื่องอ่านหนังสือจนหมด อยู่ๆ ก็อยากรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำอะไรเมื่อได้คำตอบของผมไปแล้ว จะมาหากันเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีเพราะไม่ต้องเครียดเรื่องสอบคนเดียวไง

กิมมิค : เราขอไปติวด้วยได้ปะ? ไอ้ปอมแม่งหนีเที่ยว

ผมร้องอ้อทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้คำว่า ‘หนีเที่ยว’ กับเพื่อนสนิท ก็เพราะผมเดาเอาไว้ว่าคงไปชลบุรีนั่นล่ะ โฮมหนอโฮม ไหนโวยวายนักหนาเรื่องโดนเขาลวนลามเนี่ย ไหงสุดท้ายถึงใจอ่อนแบบนั้นล่ะหื้ม ถ้าเป็นปอมผมไม่ขัดขวางแน่ๆ ถึงจะดูเจ้าชู้แต่ความจริงใจที่แสดงออกทางสายตานี่เต็มเปี่ยมมาก มีประกายวิบวับเชียวล่ะ

คีน : มาตอนนี้เลยปะ? เราจะได้เตรียมขนมไว้

เรื่องติวกับของกินเป็นของคู่กัน ไม่เข้าใจตรงไหนก็หยิบขนมเข้าปากแก้เครียดไว้ก่อน มันช่วยได้จริงๆ นะ

กิมมิค : เฮ้ย ไม่ต้องๆ เราเกรงใจ
คีน : เถอะน่า เดี๋ยวไม่มีขนมจะเหงาปาก
กิมมิค : โอเคๆ อีก 10 นาทีเจอกัน

ผมวางโทรศัพท์ลงก่อนใช้มือดันพื้นเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แอบบิดขี้เกียจนิดหน่อยแล้วเดินเข้าครัวเพื่อเตรียมขนมอย่างที่พูดเอาไว้ มีคุกกี้สอดไส้ผลไม้ของพี่ปิ๊งเหลืออยู่จากวันก่อนที่เธออุตส่าห์มีน้ำใจหอบมาให้จากบ้าน น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลแต่หวานบาดคอ มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบรสบาร์บีคิว แค่นี้คงพอแล้วล่ะ อืม ขอเพิ่มข้าวเกรียบกุ้งอีกห่อแล้วกัน ก็ผมมันคนกินจุนี่นา

เอาจริงๆ ผมเตรียมขนมเพื่อกินเองมากกว่าเพราะตอนนี้มันฝรั่งทอดกรอบพร่องไปเกือบครึ่งถุงไหนจะน้ำอัดลมที่แทบหมดแก้วนั่นอีก สาบานได้ว่านี่แค่นั่งรอกิมยังไม่ถึงห้านาทีเลย โอย ปากมันหยุดไม่ได้อะ ทำไงล่ะเนี่ย ดีหน่อยที่ระบบเผาผลาญร่างกายทำงานได้ยอดเยี่ยม ไม่อย่างนั้นคงอ้วนตุ๊ต๊ะเป็นหมูไปแล้ว

ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิบคุกกี้ใส่ปากเพราะได้ยินเสียงออดดัง คงไม่มีใครนอกจากกิมมาขัดจังหวะการกินนี่หรอก ผมรีบลุกขึ้นแล้วตรงไปเปิดประตูห้องเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน รอยยิ้มของเขาแปลกประหลาดกว่าทุกครั้ง มันฝืนๆ และไม่มีความสุขจนอดสงสัยไม่ได้ หรือว่าทะเลาะกับใครมา ใต้ตาคล้ำดูไม่จืดเลยเนี่ย เห็นแล้วนึกถึงเจ้าแพนด้าที่เชียงใหม่เลย อืม ปิดเทอมใหญ่ครั้งนี้แพลนขึ้นเหนือไปถ่ายรูปวิวภูเขาดีกว่า

“หวัดดี” คำทักทายดังมาจากริมฝีปากหยักที่แทบไม่ขยับพร้อมกับมือหนาที่โบกหยอยๆ ตรงหน้าของผม ทำไมรู้สึกเหมือนกิมจะมาอาศัยห้องนอนมากกว่าตั้งใจมาติวเนี่ย สภาพแบบนี้ไหวหรือเปล่าน่ะ

“ตื่นหรือยังเนี่ย?” ผมถามก่อนจะเบี่ยงตัวให้กิมเข้ามาในห้อง เขาพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบแล้วเดินอุ้ยอ้ายผ่านไป เห็นท่าทางแล้วอยากเอาลูกอมเปรี้ยวๆ ให้กินจัง ตาจะได้สว่างขึ้นบ้าง

ผมจัดการปิดประตูแล้วเดินตามไปสมทบกับกิมที่ตอนนี้ทิ้งตัวลงบนพรมหน้าทีวีพร้อมกับเหวี่ยงกระเป๋าเป้ออกจากไหล่ เขาหยิบชีทและหนังสือขึ้นมากองบนโต๊ะด้วยท่าทางนิ่งๆ ไม่เหมือนทุกครั้งที่ชอบถามนั่นนี่เสมอ

“วันนี้ดูแปลกๆ นะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” ผมถามก่อนทิ้งตัวนั่งลงที่เดิมในขณะที่กิมชะงักการกระทำทุกอย่างเหมือนถูกกดปิดสวิตซ์ เขามีท่าทีอึกอักและไม่กล้าสบตาเลยกลายเป็นว่าต่างคนต่างหยิบขนมใส่ปากแก้สถานการณ์กระอักกระอ่วน

“ก็... เปล่าหรอก แค่อดนอนนิดหน่อย” หลังจากที่กิมกลืนคุกกี้หลงคอก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแหบเล็กน้อย สงสัยจะอดนอนจริงๆ นั่นล่ะ

“ไม่หน่อยแล้วมั้ง ตาเป็นหมีแพนด้าขนาดนี้” ผมถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะใต้ตาคล้ำเบาๆ แต่เจ้าตัวสะดุ้งอย่างกับเจอของร้อน มากไปกว่านั้นคือหัวเข่าของกิมชนกับขอบโต๊ะดังปึกแต่เขาก็ยังฝืนคลี่ยิ้มได้ โอย ผมล่ะเจ็บแทนเลย

“เขาเรียกหล่อแบบมีสไตล์ไง” ยังมีอารมณ์มายักคิ้วใส่อีก ถ้าสภาพไม่เหมือนซอมบี้คงดูกวนตีนอยู่หรอกแต่ตอนนี้เหมือนเขาพยายามทำตัวร่าเริงกลบเกลื่อนเรื่องไม่สบายใจมากกว่า เอาเป็นว่าผมไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากขนาดนั้น สู้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผ่อนคลายคงดีกว่า

“เพิ่งรู้ว่ากิมก็หลงตัวเองนะเนี่ย” ผมแซวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วหยิบข้าวเกรียบกุ้งใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับโดยสายตาโฟกัสอยู่ที่กิมซึ่งก็มองมาทางนี้เช่นเดียวกัน ไม่มีใครหลบเลี่ยงแถมยังเผลอโน้มใบหน้าเข้าหาในระยะที่ทำให้หัวใจสามารถเต้นผิดจังหวะได้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ผมชอบลอยมาปะทะจมูกจนรู้สึกถึงความขัดเขิน อ่า ไม่คุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้เลยให้ตายเถอะ

“งั้นเราหลงคีนแทนได้ปะ?” น้ำเสียงแผ่วเบาแต่ถ้อยคำช่างชัดเจนจนผมเป็นฝ่ายผละออกมาก่อน ส่วนอีกฝ่ายเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกมาเลยไอกลบเกลื่อนความเขินเป็นการใหญ่จนทางนี้รู้สึกเจ็บคอแทน แล้วไอ้อาการหูแดงนั่นก็ดูน่ารักน้อยซะเมื่อไหร่ อยากแกล้งกิมเยอะๆ แต่ที่ผ่านมาผมโดนหาว่าอ่อยเขาตลอด ถ้าอย่างนั้นขอแก้ตัวตรงนี้เลยว่าไม่ได้ตั้งใจทำ ทว่าทั้งหมดนั่นคือนิสัยและตัวตนจริงๆ ของนายคนินท์ต่างหาก

“พูดจริง?” ผมยังมีกะจิตกะใจถามย้อนทั้งที่ตัวเองก็รู้ดีว่าคำตอบคงไม่พ้นการปฏิเสธ นี่อุตส่าห์บอกให้ชัดเจนกับคนที่กิมกำลังจีบแล้วนะ ทำไมยังเป็นไอ้กากสมฉายาบ๊วยจริงๆ เลย หรือเขาจะชอบคนอื่นวะ... เออ ช่างมันเถอะ

“ละ ล้อเล่นน่า” แหนะ ถ้าเปลี่ยนเป็นผมซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้วถูกแบบนี้คงรวยเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วแน่นอน โธ่ ปฏิเสธด้วยรอยยิ้มซื่อๆ แบบนี้ใครจะกล้าเซ้าซี้ต่อเล่า ไม่แกล้งกิมแล้วก็ได้ เดี๋ยวคนอื่นหาว่าผมใจร้ายชอบอ่อยอีก

“อื้ม งั้นเริ่มติวเลยเนอะ” ผมเริ่มวิชาการดีกว่าก่อนที่อะไรๆ จะพาให้ขี้เกียจไปมากกว่านี้

ผมช่วยอธิบายเนื้อหาวิชาอังกฤษเพื่อการสื่อสารให้กับกิม เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามแบบฉบับคนอ่อนภาษา แต่ระหว่างนั้นเขาก็ง่วนอยู่กับการเหลือบมองโทรศัพท์เป็นครั้งคราวจนต้องตีแขนเรียกสติอยู่หลายหน จนล่าสุดอีกฝ่ายก็แสดงอารมณ์ขุ่นมัวออกมาโดยการถอนหายใจหนักๆ แล้วทิ้งปากกาในมือให้ตกลงบนพื้น ไม่มีทีท่าว่าจะเก็บมันด้วยซ้ำ นู่น กลิ้งเข้าใต้ชั้นวางทีวีแล้ว

“นี่...” ผมวางปากกาเน้นข้อความในมือลงแล้วเอื้อมหยิบขวดน้ำมาถือไว้ กะว่าจะให้กิมดื่มเพื่อดับความมาคุสักหน่อย แต่ขั้นแรกคงต้องถามไถ่เรื่องอารมณ์ซะก่อน เดี๋ยวถ้าผมผิดจังหวะอาจจะโดนต่อยก็ได้ ก็ยังไม่อยากฟันหักนี่นา

“ครับ?” ปากกิมตอบรับแต่สายตากลับจ้องหน้าจอโทรศัพท์เขม็ง แต่เพียงครู่เดียวก็เอื้อมมือไปกดลบแจ้งเตือนออกเหมือนไม่อยากเห็นมันโผล่ขึ้นมาอีก

“หงุดหงิดเหรอ?” ผมถามออกไปตามตรงโดยใช้น้ำเสียงที่ฟังอ่อนลงกว่าปกติเพื่อไม่เป็นการคุกคามความเป็นส่วนตัวมากเกินไป กิมมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยพลางเหลือบมองกันด้วยสายตาอ่อนเพลีย ดูท่าทางคงไม่อยากตอบสักเท่าไหร่ซึ่งผมก็เคารพการตัดสินใจนั้น แต่ในขณะที่กำลังจะส่งขวดน้ำให้เสียงทุ้มก็แทรกขึ้น

“ก็... อืม นิดหน่อย รำคาญคน” เขายกมือขึ้นขยี้หัวแสดงอาการหงุดหงิดอย่างชัดเจนก่อนจะหยุดมันด้วยการซบหน้าลงกับท่อนแขนแกร่งที่วางพาดไปตามความยาวของโต๊ะ เสียงหายใจเข้าออกหนักๆ บ่งบอกให้รู้ว่าอารมณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนัก แต่ผมก็ไม่กล้าปล่อยกิมทิ้งไว้คนเดียว กลัวว่าความเงียบจะกัดกร่อนความรู้สึกให้แย่ลงมากกว่าเก่า เอ้า ยอมรับแบบผู้ชายแมนๆ เลยว่าเป็นห่วง ไม่ชินสภาพตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เอาคนร่าเริงคนนั้นกลับมาเถอะ

“ดื่มน้ำก่อนไหม? จะได้ใจเย็นลง” ผมส่งขวดน้ำในมือให้ก่อนคลี่ยิ้มบางเพราะหวังว่าจะทำให้บรรยากาศมาคุบรรเทา กิมพยักหน้าแล้วปิดเปลือกตาลงเหมือนต้องการผ่อนคลายความคิดของตัวเอง

“ขอบคุณครับ” กิมลืมตาขึ้นก่อนจะคว้าขวดน้ำไปดื่มอึกใหญ่จนเลอะมุมปากไหลลงมาถึงลำคอแกร่ง อยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าเขาเซ็กซี่ซะอย่างนั้นเลยต้องกลบเกลื่อนโดยการลุกไปหยิบทิชชู่ซึ่งแค่เอื้อมแขนเอาก็คงถึง อืม เพิ่งเข้าใจว่าอาการทำอะไรไม่ถูกมันเงอะงะแบบนี้นี่เอง

“คีน... เราขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ” ได้ยินเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันดังอยู่ทางด้านหลังซึ่งพอจะเดาได้ว่ากิมคงลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมไปเข้าห้องน้ำแล้ว ผมที่มือหนึ่งจับกล่องทิชชู่อีกมือกำลังเอื้อมหยิบรีโมททีวีกลับต้องชะงักแล้วหันไปพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงอนุญาต ในตอนนี้เองที่ผมเพิ่งสังเกตว่าเสื้อยืดของอีกฝ่ายเป็นลายการ์ตูนน่ารักเชียว ดูไปดูมาขัดกับหน้าตาเคร่งขรึมชะมัด

“อื้อ ตามสบายเลย” ผมเอ่ยคำอนุญาตเสริมเพราะยังเห็นว่ากิมไม่ยอมขยับตัวเพราะเอาแต่จ้องกันเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ผละไปทางห้องน้ำจนได้

ผมกลับมานั่งประจำที่ก่อนจะหยิบปึกชีทวิชาภาษาอังกฤษขึ้นมาอ่านต่อจากเมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันได้จับปากกาเน้นข้อความสายตาก็เหลือบไปเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของกิมสว่างวาบพร้อมกับเสียงสั่นดังครืดๆ หลายครั้งจนเครื่องหมิ่นเหม่แทบร่วงลงพื้น เดือดร้อนผมต้องรีบคว้ามันไว้ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยเพราะดันเห็นข้อความไลน์จากคนๆ หนึ่งพอดี

ไอ้ห่าพี่เซียน : น้องกิมพอจะมีเวลาออกไปเดทกับพี่ไหม?

ถ้าเดาไม่ผิด ‘ไอ้ห่าพี่เซียน’ นี่คงหนีไม่พ้นรุ่นพี่ที่เคยจีบผมมาเกือบสองปีซึ่งเขาเป็นน้องชายของคู่หมั้นพี่สาว จะหนีก็หนีไม่ได้เมื่อสุดท้ายแล้วสักวันเราก็ต้องดองเป็นญาติกันอยู่ดี นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่พี่เซียนไม่ใช่คนที่ผมอยากให้อยู่ข้างๆ เลย มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกว่ะ เอาเป็นว่านานคนินท์ไม่ชอบความสัมพันแบบนี้

สมมติว่าผมกับพี่เซียนคบกันแล้วเกิดการทะเลาะเบาะแว้งขึ้น คนที่เดือดร้อนไม่แพ้พวกเราคือพี่สาวและว่าที่พี่เขยนั้นล่ะ มันจะมีคำพูดประมาณว่า ‘นี่น้องของฉันนะ’ หรือ ‘นั่นก็น้องของผมเหมือนกัน’ คงมีปากเสียงเพิ่มขึ้นอีกคู่แน่นอน แค่คิดก็เพลียแล้วเนี่ย ไม่ไหวจริงๆ

อีกอย่างคือธรรมชาติของผมไม่ชอบคนขี้ตื๊อ เอาใจมากไปก็น่ารำคาญ คอยตาม คอยซักถามเรื่องจุกจิก ทำตัวติดอย่างกับตังเม รุกหนักจนรับมือไม่ไหวทำนองนั้น แต่กับกิมตรงกันข้ามทุกอย่างกับพี่เซียนผมเลยรู้สึกชิวและไม่อึดอัดเวลาโดน ‘เนียนจีบ’ น่ะนะ

ครืด

อะ พี่เซียนส่งข้อความมาอีกแล้ว แต่ก็ต้องนับถือความที่เขาเป็นคนตรงไปตรงมา จีบก็ยอมรับว่าจีบไม่มีอ้อมค้อมเหมือนกับกิมที่ทำท่าทางกล้าๆ กลัวๆ อืม แต่นั้นอาจจะเป็นเสน่ห์ของเขาล่ะมั้ง

ไอ้ห่าพี่เซียน : ถ้าไม่มี งั้นพี่ซื้อมื้อเที่ยงไปกินกับเราก็ได้ครับ

ผมแทบจะหลุดหัวเราะออกมาดังๆ เมื่อคิดถึงสีหน้าของกิมเมื่อได้อ่านข้อความพวกนี้ มันช่างเป็นการมัดมือชกที่ทำให้หัวเสียจริงๆ ก็พี่เซียนเล่นถามว่าว่างไหมยังไม่ถึงนาทีแต่กลับส่งไลน์มาอีกว่าจะซื้อข้าวเที่ยงมากินด้วยกัน โหย คนโดนจีบสามารถปฏิเสธอะไรได้บ้างไหมเนี่ย แต่ตอนนี้ผมควรเลิกไร้มารยาทสักที วางโทรศัพท์ลงแล้วกลับไปอ่านชีทต่อดีกว่า

ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา หางตาของผมเห็นกิมทิ้งตัวนั่งลงก่อนจะยืดแข้งยืดขายาวเหยียด ถ้าเจ้าตัวไม่เกรงใจว่าเรากำชังอ่านกนังสือสอบคงนอนกลิ้งกับพื้นไปแล้วแน่ๆ แล้วจะสนใจอะไรเขานักหนาเนี่ย จดจ่อสมาธิกับชีทในมือสิไอ้คีน!

“แม่ง!” เสียงสบถรอดไรฟันของกิมทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะเปิดชีทหน้าถัดไป ในจังหวะที่ลองเงยหน้าขึ้นมองสถานการณ์ก็พบว่าโทรศัพท์ของเขาได้ปลิวขึ้นไปอยู่บนโซฟาด้านหลังเรียบร้อยแล้ว สีหน้าก็ไม่สู้ดีนักเหมือนโกรธใครมาแรมปี โธ่ พี่เซียนน่ะดีพร้อมทุกด้านแต่เสียอย่างเดียวตรงวิธีจีบและเอาใจใส่นี่ล่ะ มากเกินไปจนน่าอึดอัด

“โยนโทรศัพท์แบบนั้นไม่กลัวมันพังเหรอ?” ผมวางชีทในมือลงแล้วมองหน้ากิมสลับกับโทรศัพท์ที่นอนแผ่อยู่บนหมอนอิง เขาถอนหายใจเฮือกพลางส่ายหน้าเหมือนไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี นี่หนักใจเรื่องพี่เซียนขนาดนั้นเชียวเหรอ

“โทษที เราไม่มีอารมณ์ติวต่อแล้วล่ะ” กิมฟุบหน้าลงกับโต๊ะพลางร้องบอกกันเสียงอู้อี้ มือหนายกขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิงเหมือนรังนกบวกกับอาการฮึดฮัดแสดงออกถึงความหงุดหงิดได้ชัดเจน ผมจะช่วยอะไรเขาได้บ้างไหมล่ะนี่ ไอ้ประสบการณ์โดนพี่เซียนจีบมันก็ไม่ได้น่าจดจำสักเท่าไหร่ ที่เอาตัวรอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะทำเป็นไม่สนไม่แคร์เอาความมองโลกในแง่ดีเข้าสู้ทั้งนั้น

“งั้นกิมพักเถอะ เราก็เบื่อตัวหนังสือยั้วเยี้ยนี่เหมือนกัน” ผมเอนหลังพิงโซฟาก่อนระบายยิ้มหวานให้บุคคลที่ยังทำหน้ามึนเหมือนสมองไม่ยอมทำงาน นานนับนาทีกว่ากิมจะพยักหน้าตอบรับแล้วลงมือเก็บหนังสือกับชีทลงกระเป๋า




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 10 -P.1- 31/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 31-08-2018 20:26:15
“อ่า งั้นเรากลับ...” เขาใช้มือข้างหนึ่งพยุงตัวลุกขึ้นพร้อมกับพูดประโยคที่ทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปจับแขนแกร่งเอาไว้ ที่บอกให้ไปพักไม่ได้หมายความว่าให้กลับห้องสักหน่อย ถ้ากิมอยู่คนเดียวมีหวังทำลายข้าวของเสียหายแน่ๆ ดูจากการโยนโทรศัพท์โดยไม่แคร์ก็พอจะเดาได้แล้ว

“มานอนตรงนี้ดิ” ผมตบมือลงบนโซฟาด้านหลังพลางขยับตัวไปอีกทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้อีกคน

“คือ...” กิมมีท่าทางอึกอัก สายตาเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจผมเลยถือวิสาสะจับมือของเขาดึงให้นั่งลงบนโซฟาเหนือร่างตัวเองก่อนจะขยับลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อไปหยิบหมอนอิงลายการ์ตูนที่พี่ปิ๊งทิ้งไว้ เพราะมีของมุ้งมิ้งในห้องเยอะก็เลยชอบโดนโฮมแซวเสมอว่าแอบพาสาวเข้าห้อง โธ่ ถ้ามีแบบนั้นก็ดีน่ะสิ แต่เอาจริงผมก็ไม่ชอบความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนเหมือนผู้ชายทั่วๆ ไปหรอก เพราะถ้าผิดพลาดขึ้นมามันจะกลายเป็นห่วงผูกคอทันที ตัวคนเดียวน่ะดีแล้ว สะดวกสบายถึงจะเหงาอยู่บ้างก็เถอะ

“เลิกเกรงใจได้แล้วน่า เดี๋ยวเราทำมื้อเที่ยงให้กิน” ผมโยนหมอนอิงในมือให้กิมแล้วใช้มือข้างหนึ่งดีดหน้าผากเขาดังป๊อก ก็ทำตัวขี้เกรงใจมากไปจนน่ามันเขี้ยวไง ดอดมาจีบกันแท้ๆ แต่กลับเขินอายมันใช้ได้ที่ไหนเล่า เพราะอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ล่ะมั้งบรรยากาศระหว่างเราเลยไม่อึดอัดอะไร

“ลำบากคีนอีกแล้วว่ะ” เสียงบ่นงุ้งงิ้งมาพร้อมกับการกระพริบตาปริบๆ เพื่อมองกันทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา ทำไมกิมถึงให้ความรู้สึกเหมือนเจ้าหมาตัวโตกำลังอ้อนเจ้านายอยู่กันนะ อ่า ฟุ้งซ่านจังแฮะ ผมกลบเกลื่อนความคิดแปลกๆ ด้วยสายหน้าก่อนหมุนตัวไปอีกทางเพราะถ้าขืนยังมองเขาอาจจะยั้งใจไม่อยู่จนต้องเอื้อมมือไปลูบหัวทุยนั่นด้วยความเอ็นดูแน่ๆ

“ไว้กิมเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นเราคืนสักมื้อดีปะ?” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะไม่ได้หวังว่าจะได้คำตอบรับกลับมาหรอก แค่ทำอาหารกลางวันให้เพื่อนแค่คนเดียวมันจะไปลำบากอะไร อีกอย่างคือกิมไม่ได้เรื่องมากเลยด้วยซ้ำ ทำอะไรมาตั้งก็สามารถกินได้หมดไม่เหมือนเจ้าตัวจิ๋ว รายนั้นเลือกเยอะเลยไม่โตสักทีไง


“เราให้แบบบุฟเฟ่ต์เลย” น้ำเสียงกิมดูร่าเริงขึ้นกว่าเดิมจึงทำให้ผมเอี้ยวคอไปมองก็พบว่าเขากำลังยิ้มจนตาหยี เออ คนหน้าโหดๆ เวลาอยู่ในโหมดนี้ก็ดูดีไม่เบา ถ้าไม่เกรงใจอารมณ์ขุ่นมัวคงขอให้เขาเป็นแบบถ่ายภาพ Portait ไปแล้วล่ะ

“ป๋าจังอะ” ก็มันอดแซวไม่ได้จริงๆ พอหรี่ตามองไอ้คนที่นอนจ้องกันอยู่เมื่อครู่ก็เหวี่ยงหมอนอิงที่กอดอยู่ขึ้นปิดหน้าแล้วพึมพำอะไรอยู่คนเดียว

“แค่กับคีนคนเดียวเหอะ”

เราได้ยินเนะกิม!

ผมหนีเข้าครัวด้วยความรู้สึกวูบวาบที่หัวใจ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อนคงต้องศึกษาความเปลี่ยนแปลงนี่แล้วล่ะว่าเกิดมาจากอะไร หรือตกหลุมชอบกิมเข้าซะแล้ว แต่อาจจะแค่หวั่นไหวไปกับความน่ารักนั่นก็ได้ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอรื้อตู้เย็นก่อนแล้วกันว่ามีของสดพอทำเมนูอะไรกินได้บ้าง อื้อหือ พอเปิดประตูปุ๊บไอ้กลิ่นน้ำพริกกะปิเจ้าเก่าก็ยังไม่หายสนิท ผมคว้าแก้วใส่กากกาแฟออกมาเททิ้งแล้วใส่ของใหม่เข้าไปอีกรอบ หวังว่าครั้งนี้มันจะดีขึ้นกว่าเดิมนะ

หลังจากที่ใช้เวลารื้อหาวัตถุดิบทำอาหารไปเกือบสิบนาทีก็ได้ผลสรุปว่าจะทำต้มข่าน้ำใสใส่ปีกไก่กลางกับเห็ดฟาง แต่ยังไม่ทันได้ลงมอืทำอะไรโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อกันเปื้อนก็สั่นครืดหลายครั้งจนต้องล้วงมันออกมาดู ใครส่งไลน์มารัวขนาดนี้เนี่ย มีอยู่ไม่กี่คนที่ผมยังคงเปิดแจ้งเตือนไว้ กรุ๊ปครอบครัว กรุ๊ปสาขา อาจารย์ที่ปรึกษา โฮม พี่เซียน กิม และเพื่อนในคลาสอีกสองสามคนเท่านั้น

แต่หลังจากที่ผมกดปลดล็อกหน้าจอก็เหมือนฟ้ากำลังจะถล่มลงมา อยู่ๆ ก็โดนประกาศทำสงครามซะอย่างนั้นทั้งๆ ที่ก้ไม่เคยไปทำอะไรให้ใครที่ไหน เฮ้อ

พี่เซียน : เพราะคีนใช่ไหมครับที่ทำให้กิมปฏิเสธกินมื้อเที่ยงกับพี่?
พี่เซียน : ไม่ยอมแพ้หรอกนะครับ

ผมอ่านข้อความเหล่านั้นแล้วได้แต่ส่ายหน้าเพลียๆ พลางหลุดหัวเราะออกมาเหมือนเป็นเรื่องตลกแห่งปี ถ้าพูดกันตามความจริงเราสองคนไม่ใช่คู่แข่งกันหรือเปล่า อยู่กันคนละทางคนละตำแหน่งเลยนะ ผมลงมือพิมพ์ตอบพี่เซียนไปว่า ‘ผมไม่ใช่คู่แข่งของพี่หรอกครับ’ แต่ยังไม่ทันกดส่งก็ตัดสินใจลบแล้วกลั่นกรองประโยคใหม่ลงไปเมื่อคิดทบทวนอีกรอบ

คีน : ผมก็ไม่ยอมแพ้พี่เซียนเหมือนกันครับ

อย่าหาว่าผมเป็นคนเลวเลยนะ แต่จะปล่อยคนที่ทำให้เราสบายใจหลุดมือไปก็คงไม่ดีอย่างแน่นอน

พี่เซียน : แล้วพี่จะคอยดูว่าสุดท้ายคีนจะปฏิเสธกิมด้วยประโยคไหนแล้วกันนะครับ ^^

ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีและไม่เคยเก็บอะไรมาคิดให้รกสมอง แต่ตอนนี้มือกลับสั่นระริกและรู้สึกโมโหพี่เซียนขึ้นมาดื้อๆ ทำไมเขาถึงได้ดูถูกกันขนาดนี้ ผมเคยปฏิเสธเขาก็ไม่ได้แปลว่ากิมจะเจอเหตุการณ์แบบนั้นเหมือนกันสักหน่อย มันต่างออกไปจากเดิม...

คีน : มันคงไม่มีวันนั้นครับ

ผมวางโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเค้าน์เตอร์ครัวโดยไม่สนใจมันอีกแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารเที่ยงอย่างสุดฝีมือ เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็มก็ได้ยินเสียงอืออาดังมาจากห้องนั่งเล่น กิมคงตื่นแล้วและกำลังตรงมาทางนี้อย่างแน่นอน ส่วนผมก็ทำการตักต้มข่าไก่ใส่ถ้วยโรยหน้าด้วยผักชีที่ตัวเองเกลียดนักหนาแต่อีกคนกลับชอบกิน ข้าวสวยร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมไปทั้งบริเวณครัว อ่า ชักหิวแล้วสิ

“เดี๋ยวเราช่วยยกไปตั้งที่โต๊ะนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างๆ ทำให้ผมสะดุ้งนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่ากิมจะเข้ามาประชิดกันขนาดสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดกกหู

“อื้ม เดี๋ยวเราหยิบน้ำเย็นไปให้”

“ครับ” กิมตอบรับก่อนจะทำหน้าที่ตัวเอง ส่วนผมแอบลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่โดนทักเรื่องที่เผลอสะดุ้งเมื่อครู่ หัวใจเต้นแรงมากอะ บ้าไปแล้วแน่ๆ นายคนินท์

ระหว่างที่เราทั้งคู่จัดการมื้อเที่ยงนั้นไม่มีใครเอ่ยปากชวนคุยจะมีก็แค่เสียงช้อนกระทบกับจานกระเบื้องดังเป็นระยะ ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศกระอักกระอ่วนที่เริ่มโรยตัวลงมา ทำไมถึงได้กลับมาเป็นแบบนี้อีกล่ะเนี่ย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมก็สามารถทำให้อีกฝ่ายยิ้มได้แล้ว หรือระหว่างนั้นพี่เซียนส่งข้อความอะไรไปหาเขาอีกล่ะ

“คีน” สุดท้ายกิมก็เป็นฝ่ายที่เอ่ยปากและเงยหน้าขึ้นมามองกันก่อน

“หืม?” ผมชะงักมือที่กำลังจะส่งเห็ดฟางเข้าปาก

“เปล่า กินต่อเถอะ” กิมโบกมือปัดป่ายแล้วก้มลงกินข้าวของตัวเองต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในขณะที่ผมตัดสินใจวางช้อนลงในจาน จะไม่ปล่อยให้บรรยากาศอึมครึมแบบนี้อีกแล้ว แค่เสียงฟ้าร้องครืนๆ ด้านนอกก็หดหู่จะตาย

“กิม…”

“ครับ?”

“พี่เซียนจีบกิมเหรอ?” ผมถามเสียงเรียบพลางจ้องมองคนตรงหน้าไม่วางตาต่างจากกิมที่ทำช้อนร่วงกระทบจานข้าวดังแก๊ง มือหนาสั่นระริกยามเอื้อมมือไปคว้าแก้วน้ำมากระดกลงคอ

“คะ คีนรู้ได้ยังไง?” กิมถามโดยไม่มองหน้าผมเลยสักนิด โธ่ ไอ้กระดูกไก่นั่นมันน่าสนใจมากกว่าเราตรงไหนเนี่ย

“ก็เขาบอกเราแบบนั้น”

“อ่า… ตามนั้น” กิมถอนหายใจเฮือกก่อนจะยอมวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะแล้วใช้หลังมือปาดคราบเลอะตรงมุมปากออก ผมคิดว่าเรื่องนี้คงรบกวนใจเขาอยู่ไม่น้อย ถึงขนาดอดหลับอดนอนเลยนะนั่น เฮ้อ

“กิมไม่ลองทำอะไรชัดเจนแบบพี่เซียนบ้างเหรอ?” ผมก็แค่ไม่อยากให้เขากังวลเรื่องพี่เซียนจนทำให้ตัวเองไม่มีความสุขในเรื่องที่กำลังพยายามทำอยู่

“เรา…” อีกครั้งที่กิมเหลือบมองผมแค่แวบเดียวก่อนคว้าแก้วน้ำขึ้นกระดกอีกครั้ง เอ่อ... คือมันไม่มีอะไรจะให้ดื่มแล้วไง

“ความชัดเจนเป็นสิ่งที่ดีนะ เราเชื่อว่าผลลัพธ์มันจะไม่แย่” ผมเอื้อมมือไปแตะแขนอีกฝ่ายเป็นการให้กำลังใจแถมด้วยรอยยิ้มหวานๆ ที่สามารถทำให้ดวงตาคมเงยมองกันได้ อ่า... รู้สึกวิงเวียนศีรษะแปลกๆ แฮะ

“อืม… ถ้าเราชอบคีนล่ะ จะว่ายังไง?” เป็นคำถามที่ทำให้ผมรู้สึกดีและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน โธ่ จะบอกชอบกันทำไมอ้อมค้อมได้ขนาดนี้เนี่ย

“เราไม่อยากตอบคำถามแต่อยากฟังประโยคบอกเล่ามากกว่า”

“เราชอบคีน” ถึงมันจะแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบแต่มันก็ชัดเจนพอที่จะทำให้ผมหัวใจกระตุกเชียวล่ะ

“ก็แค่นั้น” ผมพึมพำก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อซ่อนแก้มร้อนๆ เอาไว้ ก็ว่าจะไม่เขินแล้วเชียว แต่นานๆ ครั้งโดนบอกชอบเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองมันก็... ตื่นเต้นแปลกๆ (ปกติจะโดนบอกชอบที่มหา’ลัย ซึ่งมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะ ไม่มีความเป็นส่วนตัวเหมือนตอนนี้)

“หมายความว่าไง?” คราวนี้กิมจ้องผมเขม็งแถมยังขมวดคิ้วยุ่งอีกด้วย เฮ้ยๆ อย่าใช้สายตาดุดันแบบนั้นสิ ทางนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะใจกล้าหน้าด้านสักหน่อย กลัวเป็นเหมือนกันเหอะ

“กว่าจะพูดออกมาได้เราลุ้นจะตายอยู่แล้ว รู้หรอกว่าเนียนจีบกันอยู่น่ะ” ผมบ่นงุ้งงิ้งพลางเอื้อมมือไปดีดหน้าผากอีกฝ่ายเป็นการลงโทษที่ทำท่าทางอึกอักได้อยู่นานสองนาน

“เฮ้ย...” อะ ทำหน้าตกใจอย่างกับเจอผีแล้วนั่น อย่าเพิ่งช็อกสิกิม โธ่เอ๊ย จะจีบเรารอดไหมเนี่ย

“ไม่ต้องตกใจหรอกน่า แต่เราอยากจะบอกอะไรกิมไว้อย่างนึง”

“วะ ว่า?”

“เราจีบยากนะ” ผมยักคิ้วกวนปิดท้ายประโยคและนั่นทำให้กิมรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังทันที อ่า อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเขินสายตามุ่งมั่นเหลือเกิน

“เราก็ไม่คิดจะยอมแพ้อยู่แล้ว”

ถ้ากิมยอมแพ้เมื่อไหร่เราจะกระทืบให้ม้ามแตกเลยคอยดู!




---------------------------------------


หลังจากนี้ก็มาดูสกิลรุกจีบของกิมแบบเต็มที่กันเนอะ 5555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 11 -P.1- 10/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 10-09-2018 19:51:10
รูปถ่ายใบที่ 11


พรึ่บ

เสียงถีบผ้าห่มร่วงลงไปที่ปลายเท้าดังขึ้นตามมาด้วยลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศตกกระทบร่างกายช่วงบนที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ปิดบังจนต้องนอนขดตัวคล้ายกุ้งโดนน้ำร้อนลวกแล้วได้แต่บ่นในใจโดยไม่ยอมลืมตาว่า ‘ไอ้เชี่ยปอมละเมออะไรตั้งแต่เช้า’

เอี๊ยดอ๊าด

ต่อมาเป็นเสียงเตียงลั่นพร้อมแรงสั่นสะเทือนที่พอจะเดาได้ว่าไอ้ปอมกำลังลุกขึ้น ครั้งนี้ผมถึงกับปรือตาขึ้นมองนาฬิกาบนโต๊ะก่อนพบว่าเวลาเพิ่งหกโมง สรุปว่ามันไม่ได้ละเมอสินะ แต่ไม่เข้าใจว่าจะตื่นเช้าไปเพื่ออะไร ก็วันนี้มีสอบช่วงบ่ายไม่ใช่เหรอ?

ตุบ!

คราวนี้มาพร้อมกันทั้งภาพทั้งเสียงเมื่อไอ้ปอมก้าวขาลงจากเตียงในขณะที่ยังมีผ้าห่มคลุมช่วงขา มันสะดุดล้มตึงลงบนพื้นอย่างแรงจนผมที่นอนเคี้ยวน้ำลายแจ๊บๆ ถึงกับดีดตัวขึ้นนั่ง ไม่ใช่ว่าจะยื่นมือไปช่วยหรอกแค่อยากขำให้ถนัดก็แค่นั้น

“จับกบเหรอครับน้องปอม?” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะคลานข้ามฝั่งเตียงไปชะโงกหน้าดูสภาพของเพื่อน ไอ้ปอมตวัดตาจ้องเขม็งเหมือนโกรธกันมาสักสิบชาติ ส่วนมือสากก็คอยลูบก้นบรรเทาความเจ็บไม่ห่าง สมน้ำหน้ากับความซุ่มซ่ามของมันจริงๆ จะรีบอะไรขนาดนั้นวะ

“หุบปากแล้วกลับไปนอนต่อเลยมึง!” ไอ้ปอมกัดฟันกรอดพลางชี้หน้าขู่แบบเอาเป็นเอาตายเชิงว่าถ้าไม่ยอมทำตามจะพุ่งขึ้นมาบีบคอกันอย่างนั้นล่ะ แต่ผมไม่สะทกสะท้านเลยใช้ฝ่าเท้ายันไปที่ไหล่ของมันเบาๆ เป็นการกวนประสาท ลงโทษแม่งสักหน่อยที่มาทำให้ฝันหวานๆ ของผมสลาย กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับคีนเชียวนะเว้ย

“ลุกให้ได้ก่อนเถอะน้องปอม” ผมยันเท้าลงไปรัวๆ พลางหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นใบหน้าบูดเบี้ยวของไอ้ปอมที่มาพร้อมท่าทางกระฟัดกระเฟียดปัดป่ายสิ่งไม่พึงประสงค์ออกห่าง มันไม่ยอมขยับหลบเพราะดูท่าทางสะโพกจะระบมไม่น้อย หวังว่าจะไม่ขอให้ผมทายาพร้อมนวดให้หรอกนะ แบบนั้นผิดผีตายแน่ๆ

“เอาตีนโสโครกของมึงออกไปไกลๆ เลย” มันบ่นหงุงหงิงในลำคอก่อนจะใช้มือฟาดลงบนหน้าแข้งของผมซะเต็มแรง แต่เสียใจด้วยที่มันวืดผ่านลมไปเพราะผมดันหลบได้ไวกว่า อูย เกือบเจ็บตัวแล้วกู ท่าทางไอ้ปอมจะอาฆาตแรงด้วยสิถึงขนาดชูนิ้วกลางให้เลย อุ๊ย กลัวจัง

“สะดีดสะดิ้งนะมึง แล้วนี่จะตื่นเช้าเพื่อ?” ผมเลิกแกล้งเพื่อนแล้วทิ้งตัวนอนราบทั้งๆ ที่ขวางกลางเตียงพร้อมควานมือหาผ้าห่มมาคลุมบรรเทาความหนาว สาบานว่าคราวหน้าจะไม่ขี้เกียจใส่เสื้ออีกแล้ว แต่มันเป็นเพราะว่าเมื่อคืนผมคุยไลน์กับคีนยันตีหนึ่งไง อาบน้ำเสร็จปุ๊บก็มุดเตียงปั๊บ ความคืบหน้าระหว่างเราก็เรื่อยๆ ไม่ได้จีบอะไรมากมายในเมื่อต่างคนต่างเครียดเรื่องสอบ

แต่พี่เซียนแม่ง... คือถ้าแช่งให้มันหายไปจากโลกนี้ได้ไหม ขี้ตื๊อฉิบหาย รำคาญจนต้องบล็อกไลน์บล็อกเบอร์ ส่วนใครเป็นคนให้ช่องทางการติดต่อผมน่ะเหรอ ก็ไอ้เชี่ยว่านไง ไปเชื่อเขาเป็นตุเป็นตะว่าหมอหมามีเรื่องคีนอยากเคลียร์กับผม ก็รู้ว่ามันหวังดีในแบบฉบับเพื่อนแต่แม่งพาความฉิบหายมาให้เต็มๆ จะด่าก็ไม่กล้าได้แต่ร่ำร้องในใจคนเดียว ฟัคยู!

“มีธุระ” อะ กลับมาสนใจไอ้ปอมที่ใช้แขนพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นได้สำเร็จ สีหน้ามันบิดเบี้ยวเล็กน้อยแต่ดวงตากลับเป็นประกายระยับทั้งที่ในห้องมีแค่แสงสลัวๆ ลอดเข้ามาเมื่อพูดถึง ‘ธุระ’ ของมัน

“ธุระอะไรของมึง?” ผมถามก่อนจะพลิกตัวไปหยิบโทรศัพท์เพื่อส่งไลน์ไปอรุณสวัสดิ์คีน วันนี้ว่าจะลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าไปให้เขากินสักหน่อย เอาเป็นเมนูออมเลตชีสเยิ้มกับเบคอนทอดแถมแซนวิชทูน่าใส่ผักเยอะๆ ให้อีกหนึ่งชิ้น แค่คิดถึงรอยยิ้มขอบคุณของเขาก็ฟินแล้วเนี่ย แต่คงรู้สึกดีมากไปหน่อยเมื่อน้องชายเริ่มชูคอขึ้นมา โอย จะหื่นตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้นะเว้ยไอ้กิม ตะปบแม่งลงไปเดี๋ยวนี้เลย!

“เรื่องส่วนตัวบ้างเหอะ” มือที่กำลังตะปบน้องชายกับอีกข้างที่พยายามใช้นิ้วจิ้มตัวอักษรบนโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงถึงกับชะงักกึก ผมเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาพลางขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากไอ้หมาปอม อยู่ๆ ก็ดันมีความลับมีเรื่องส่วนตัวโผล่ขึ้นมาเอาตอนนี้ แล้วไอ้ที่เปิดเผยแม้กระทั่งเรื่องชักว่าวครั้งแรกคืออะไรวะ? งงในงงเลยกู

“ด่ากูว่าเสือกตรงๆ เลยดีกว่าปะ?” แต่จะไม่ถามเซ้าซี้ต่อเรื่องความลับนั้นเพราะคนเราต่างก็อยากมีมุมส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง ทุกวันนี้ก็รู้ไส้รู้พุงจนเกือบเข้าขั้นเกลียดขี้หน้ากันอยู่แล้ว ดูอย่างตอนนี้ที่มันเริ่มถอดเสื้อยืดเน่าๆ ออกสิ คิดว่าหุ่นดีนักเหรอวะ แล้วมึงจะรอเดินไปห้องน้ำไม่ได้เลยเหรอไง

“แหม ใครจะกล้าด่าผัวสุดที่รักแบบนั้นอะ” พอมันลอดหัวยุ่งๆ ออกมาจากเสื้อได้ก็รีบเข้ามาซุกซหลังต้นคอกันทันที ได้ยินเสียงสูดหายใจข้างหูก็พาลรู้สึกอยากยกเท้าถีบให้กระเด็น ดีหน่อยที่ผมนอนคว่ำถ้าหงายอยู่ไม่อยากจะคิดเลยว่าสภาพออกมาทิศทางไหน ประกอบจูบงี้เหรอ สยอง

“สัด ขนลุก” ผมดิ้นหนีไม่รู้ทิศทางจนเกือบทำโทรศัพท์ตกเตียง ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ของไอ้ปอมก็ยิ่งรู้สึกเสียหน้า แม่งเอ๊ย อย่าให้ถึงทีกูเอาคืนบ้างนะ

“หึหึ กูจะไปอาบน้ำแล้ว”

“เอาจริงดิ?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจพลางพยักพเยิดหน้าไปทางนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงสิบห้านาที มีธุระเช้าขนาดนี้จริงดิ

“เออ สายแล้วเนี่ย” มันพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะลงมือถอดกางเกงนอนขายาวทิ้ง สภาพคือม้วนเป็นก้อนกลมจนผมต้องส่ายหัวแรง คิดถึงตอนที่พี่แม่บ้านเอาผ้าไปซักดิ โคตรเสียเวลามาแกะปมอีก

“สายห่าอะไรของมึง? เพิ่งจะหกโมงเช้า” อะ คราวนี้ผมก็แค่หยั่งเชิงมันดูว่าจะหลุดตอบอะไรออกมาหรือเปล่า ส่วนข้อความที่พิมพ์ค้างไว้ก็ถูกกดส่งไปหาคีนเรียบร้อย ที่เหลือก็รอแค่ฝ่ายนั้นตื่นแล้วตอบกลับมา หาว โคตรง่วงเลย

“เออน่า เจอกันที่มหา’ลัย” ไอ้ปอมโบกมือบ๊ายบายทั้งที่ในมือยังมีชุดนอน

“เฮ้ย เดี๋ยว...” พอคิดได้ว่าจะถามเรื่องดินสอสองบีสักหน่อยกลับมีอะไรบางอย่างปลิวมาบดบังสายตา ผมนิ่งไปชั่วขณะ กลืนคำพูดต่อไปลงคอ มือค่อยๆ เลื่อนจับเอาของที่คลุมหัวออก

โอ้โห กูนี่ปรี๊ดแตกเลยเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนหัวเต็มๆ ตา

กางเกงในเปื้อนคราบน้ำกาม!

“ไอ้เหี้ยปอม เจอตัวเมื่อไหร่มึงตายแน่!” หลังจากนั้นผมก็โยนกางเกงในสีขาวสะอาดแต่เป็นคราบเหลืองๆ ที่เป้าลงพื้นแล้วตามไปกระทืบให้สาแก่ใจ อย่าเผลอเชียวนะไอ้เพื่อนทรยศ วันไหนกูจะเอาถุงเท้ายัดปากมึงให้ได้เลยคอยดู!

หลังจากเสียพลังงานหัวฟัดหัวเหวี่ยงเรื่องไอ้ปอมเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็ตัดสินใจนอนต่อเพราะยังมีคงมีความง่วงหลงเหลืออยู่ ผ้าห่มถูกจัดใหม่ให้เข้าที่ก่อนดวงตาคมจะปิดลงสู่ห้วงนิทราแสนหวาน เอาเป็นว่าผมไม่ได้ฝันอะไรต่อจากเดิมเลยสักนิดเดียว แม่งเอ๊ย มองไปทางไหนก็มีแต่สีดำล้วนๆ หาว ~

นาฬิกาปลุกดังสนั่นเมื่อถึงเวลาแปดโมงเช้าเป็นฝีมือของไอ้ปอมล้วนๆ เนื่องจากปกติแล้วผมไม่เคยต้องใช้อุปกรณ์ช่วยตื่นพวกนี้ มันคิดจะแกล้งกันชัดๆ เพราะรู้ว่าผมเกลียดเสียงเสียดหูที่ทำให้สะดุ้งตกใจมากแค่ไหน วันนี้มึงมีคดีติดตัวสองเรื่องแล้วนะเว้ย ไม่ตายดีแน่ๆ หึ

ผมเหวี่ยงขาลงจากเตียงแต่ยังไม่ยอมขยับลุกเพราะมือดันเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาเช็กความเคลื่อนไหว แต่หน้าจอดันว่างเปล่าไร้ซึ่งการแจ้งเตือนจากคนที่คิดถึง ไอ้เราที่หวังลมๆ แล้งๆ เลยทำได้แค่นั่งถอนหายใจ การจีบคีนยากอย่างที่เจ้าตัวพูดไว้จริงๆ นั่นล่ะ ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ อัธยาศัยดีจนไม่รู้ว่าทำตัวปกติหรือกำลังอ่อยอยู่กันแน่ แล้วรอยยิ้มหวานชวนละลายนั่นก็แทบแจกให้กับทุกคนที่เป็นมิตร โธ่เว้ย งานมโนของผมแหลกเหลวไม่เป็นท่า

เมนูอาหารสุดอลังการที่คิดไว้กลับเหลือแค่แซนวิชทูน่าง่อยๆ มีมะเขือเทศหันแว่นสองชิ้นโปะลงไป ส่วนผักสลัดใบเขียวมันจรลีลงท้องไอ้ปอมไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว อีกอย่างคือไข่ไก่เกลี้ยงตู้เย็นออมเลตชีสเยิ้มเลยเป็นหมันเหลือแต่ไส้กรอกเหี่ยวๆ ที่ใกล้วันหมดอายุเข้าไปทุกที จับทอดแม่ง! พอจัดการทุกอย่างเสร็จก็จัดใส่กล่องทัพเพอร์แวร์พร้อมที่จะเอาไปฝากคนข้างห้อง

ฮ่า... ความรู้สึกตอนได้ทำอาหารให้คนที่เราชอบกินมันมีความสุขแบบชนิดที่ว่ายิ้มจนปากจะฉีกถึงหูแล้วเป็นแบบนี้นี่เอง ถึงจะเป็นเมนูง่ายๆ ไม่ได้แสดงฝีมือมากมายก็เถอะ

ผมเขี่ยรองเท้าลงจากชั้นแล้วใส่มันลวกๆ ก่อนจะเปิดประตูห้องด้วยความทุลักทุเลเพราะสองมือเต็มไปด้วยกล่องอาหารสำหรับสองคน ก็กะว่าไปสิงห้องคีนสักครึ่งวัน เนี่ย หนีบหนังสือใต้จั๊กแร้ด้วย เดี๋ยวกินเสร็จก็อ้อนวอนให้ติววิชานี้ต่อเลยไง... หึหึ ผมแผนสูงใช่ไหมล่ะ

แต่ขายังไม่ทันได้ก้าวออกจากประตูห้องสายตากลับมองเห็นใบหน้าเป้าหมายอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว คีนในตอนนี้ยังคงเป็นชายหนุ่มในชุดนอนสีกรมท่ามีจุกน้ำพุตรงกลางหัว ในมือถือกล่องใส่อาหารหน้าตาคล้ายๆ ของผมกำลังเดินมาทางนี้ด้วยรอยยิ้มสว่างไสวกว่าดวงอาทิตย์ที่อยู่นอกอาคาร หัวใจเจ้ากรรมเต้นตึกตักแรงขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกปวดหน้าอกไปหมด ดาเมจแรงแบบนี้เคยคิดจะรับผิดชอบกันบ้างหรือเปล่าเนี่ย

“เอ่อ...” แล้วผมก็พูดไม่ออกยามที่ใบหน้าขาวใสมาหยุดอยู่ใกล้ๆ กล่องอาหารในมือเริ่มสั่นระริกตามจังหวะหัวใจ ยิ่งจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็แทบล้มทั้งยืน นี่ขนาดเขายังไม่ได้อาบน้ำนะ... บ้าจริง ทำไมผมถึงได้หลงใหลคีนนักนะ

“จะเอามื้อเช้าไปให้ใครเหรอ?” กลายเป็นว่าคีนออกปากถามก่อน เขามองหน้าผมสลับกับกล่องอาหารในมือก่อนที่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มจะปรากฏ ตอนนี้แม่งอยากให้เขาโง่ฉิบหาย รู้ทันแบบนี้ก็แย่ดิ แถมอายมากและได้แต่ยกมือถูท้ายทอยจนแสบไปหมดแล้ว ฮือ

“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่เราเอาโจ๊กฮ่องกงมาให้กิมล่ะ” มือขาวๆ ส่งกล่องอาหารที่มีกลิ่นหอมตลบอบอวลมาให้พร้อมเปลี่ยนรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเป็นละมุนเหมือนมีหยดละอองน้ำกระจายอยู่รอบตัว สดชื่น สดใส ชวนใจเต้นแรงอีกครั้ง ผมจ้องมองภาพทั้งหมดบันทึกทุกสิ่งลงในสมองและจดจำว่าเช้าวันนี้โคตรรู้สึกดีมาก

“กิม... เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย? เอาแต่มองหน้าเราตาไม่กระพริบเลย” คีนโบกมือไปมาตรงหน้าผมเป็นการเรียกสติ อาการเหลอหลาแสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อโดนจับได้ว่าตัวเองจ้องมองเขาอยู่นาน โธ่เว้ย หลงได้แต่อย่าหื่นใส่สิวะไอ้กิ๊ม เดี๋ยวโดนแจ้งความข้อหาคุกคามทางเพศหรอก

“เอ้อ... ปะ เปล่า พอดีเราก็ทำอาหารเช้าให้คีนเหมือนกัน แต่เป็นแค่แซนวิชกับไส้กรอกง่อยๆ นะ” ผมรีบหลบสายตารู้ทันนั่นโดยการจ้องกล่องใส่อาหารอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนอีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะใสๆ ออกมาเหมือนไม่ถือสาเรื่องเมื่อครู่แถมยังก้าวขาขยับเข้ามาใกล้กันมากกว่าเดิม จังหวะนี้ล่ะที่ผมเงยหน้าขึ้นจนปลายจมูกแทบชนกัน โอ๊ย หัวใจจะวายแต่เสือกเก๊กขรึมทัน

“ใจตรงกันนะเนี่ย” คีนถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่แสดงอาการใดๆ แถมยังคลี่ยิ้มหยอกล้อพลางเหล่สายตามองอีกต่างหาก แต่เป็นผมเองที่ประหม่าจนเผลอบีบกล่องใส่อาหารแทบแหลกคามือ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียกสติกลับเข้าร่าง ทำไมพอขอจีบเขาตรงๆ มันเกร็งมากกว่าเก่าวะเนี่ย กลัวตะคริวจะแดกลามไปถึงไข่เหลือเกิน ฮือ

“ตกลงเราจีบคีนจริงๆ เหรอวะ?” ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะช้อนตามองคนตรงหน้าเพื่อยืนยันความคิดยุ่งเหยิงในหัว บางทีก็รู้สึกเหมือนโดนอ่อยโดนจีบซะเอง อะ ผมคิดว่าคีนคงได้ยินหมดแล้วเพราะตอนนี้คิ้วสวยๆ นั่นเลิกขึ้นเหมือนกำลังประหลาดใจ โธ่ ที่รักของพี่กิมทำอะไรก็ดูน่ารักไปซะหมดแบบนี้ก็แย่สิครับ

“ใช่สิ อย่าคิดว่าเราอ่อยเชียวล่ะ” คีนย่นจมูกใส่กันก่อนจะหัวเราะเสียงใสออกมา ตอนนี้เหมือนโลกทั้งใบของผมสว่างจ้ากว่าที่เคยเป็นจนตาพร่ามองอะไรไม่ชัด และเป็นอีกครั้งที่เผลอให้แรงบีบกล่องอาหาร โอย เหมือนจะได้ยินเสียงร้าวของมันเลย ตั้งสติหน่อยสิวะกิมมิค ฮึบ

“เฮ้ย ไม่เคยๆ ตอนนี้เราไปกินมื้อเช้าดีกว่าเนอะ” ผมโกหกด้วยใบหน้าซื่อๆ ทั้งที่แอบคิดเรื่องโดนคีนอ่อยมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว ก็ดูการกระทำน่ารักน่าขยี้ทุกครั้งที่เจอกันสิ ถ้าผมเป็นพวกหน้าด้านคงรุกจีบหนักกว่านี้ไปแล้ว เผลอๆ อาจจะอุกอาจถึงขั้นจับปล้ำ อูย แค่คิดก็ชั่วแล้ว

“อันนี้คือชวนเรากินข้าวด้วยกันแบบเนียนๆ ใช่ไหม?”

อะจ้า รู้ทันแบบนี้มาเป็นแฟนกันเลยดีกว่าไหมคะที่รัก?

“รู้ทันตลอดเลยว่ะ” รู้ดีว่าคีนฉลาดแต่ก็อดพึมพำไม่ได้ โธ่ แกล้งโง่ให้ผมลิงโลดสักวันไม่ได้เหรอคุณ ~ ใจร้ายเกินไปแล้ว

“คิก ห้องเราหรือห้องกิมดี?” ผมชะงักกึกแล้วเผลอกลั้นหายใจเมื่อได้ยินคำถามของคีน ดวงตาคมเบิกค้าง ริมฝีปากสั่นระริกเพราะหัวสมองดันคิดเลยเถิดไปไกลโข เนี่ย เขาชวนกินข้าวหรือชวนแดกตัวเองกันแน่ ฮือ เลิกหื่นสิวะ เรายังคุยกันอยู่หน้าห้องนะเว้ย!

“หะ ห้องเราก็ได้ ไอ้ปอมไม่อยู่แล้ว” อุบ ผมเม้มปากทันทีเมื่อรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกไป ดวงตาคมกรอกหลุกหลิกเพราะกลัวว่าคีนจะไม่ชอบใจ ก็ประโยคชวนคิดลึกขนาดนั้น โอย สาบานว่าไม่ได้มีความหมายแฝงนะ

“พูดอย่างกับจะทำอะไรเรา” อะ ขยี้เข้าไปอีกจ้า บางทีผมก็เกลียดคนฉลาดไง เฮ้อ เอาวะ เขาส่งไม้มาขนาดนี้ไม่รับไว้ก็เสียเที่ยวสิ คิดจะจีบมันก็ต้องรุกให้หนัก!

“ก็... ถ้าเราไม่กลัวคีนกระทืบคงปล้ำไปแล้วมั้ง” ถึงจะกล้าพูดแบบนั้นออกไปด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มแต่ภายในใจกลับกังวลแทบตาย เนี่ย กล่องแซนวิชมันใกล้ชะตาขาดแล้วจริงๆ นั่นล่ะ โอย ตื่นเต้นฉิบหายเพราะคีนเอาแต่เงียบใส่แถมไม่ยอมสบตาด้วย จะเขินหรือเปล่านะ

“ทะลึ่งว่ะ” อะ กลายเป็นว่าโดนเบ้ปากใส่ด้วย อยากจับจูบจริงๆ เล๊ย ฮึ่ย

“กับคนที่ชอบเราจะรู้สึกแบบนั้นก็ไม่แปลกนี่” ผมหยอดไปอีกดอกก่อนขยับเข้าไปใกล้เพื่อดูปฏิกิริยาของคีนซึ่งเป็นอันว่าเขาเบี่ยงตัวหนีและเดินผ่านกันเข้าไปในห้องก่อนจะส่งเสียงพูดลอยๆ ให้ได้ยิน

“กินข้าวดีกว่า”

ผมลอบยิ้มเมื่อหมุนตัวกลับไปแล้วพบว่าใบหูขาวๆ ของคีนในตอนนี้มีสีแดงระเรื่อชวนน่ากัดเชียวล่ะ

มื้อเช้าผ่านไปอย่างเรียบง่ายโดยที่ต่างคนต่างกิน... ซะเมื่อไหร่ ก็ผมดันลอบมองคีนทุกห้านาทีจนเจ้าตัวส่งเท้ามาเตะเข้าที่หน้าแข้งแถมด้วยสายตาดุๆ โธ่ ทางนี้ก็ได้แต่ยิ้มแหยแล้วก้มหัวขอโทษก่อนตักไข่เยี่ยวม้าครึ่งฟองใส่ปากเคี้ยวแก้เขิน ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นซึ่งมันเป็นของเขา บทสนทนาคร่าวๆ พอจะเดาได้ว่าปลายสายคือโฮมอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะได้ยินเรียกว่า ‘เจ้าตัวจิ๋ว’ โอ้โห ให้ความรู้สึกโคตรแฟนอะ ผมนี่เผลอกัดกะพุ้งแก้มตัวเองเลยแม่ง แสบไปยันโลกหน้า กลิ่นคาวเลือดคลุ้งขึ้นจมูกเลยจ้า

หลังจากนั้นผมกับคีนก็แยกย้ายกันไปจัดการธุระส่วนตัวสำหรับเตรียมสอบในภาคบ่าย ไอ้ปอมที่หายหัวตั้งแต่เช้าดันส่งข้อความมาว่าให้ ‘สามี’ สุดที่รักแวะซื้อดินสอสองบีด้วย นี่อยากจะเอาหัวมุดโทรศัพท์ไปโผล่อีกฝั่งแล้วต่อยหน้าแม่งสักที หนีเที่ยวดันโยนความรับผิดชอบส่วนของตัวเองมาทางนี่อีก ไอ้เชี่ย!

อะ ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงซึ่งผมเห็นควรว่าต้องแงะตัวออกจากโซฟาสักที ในขณะที่กำลังเอื้อมมือไปหยิบรีโมทเครื่องปรับอากาศก็ได้ยินเสียงออดหน้าห้องเดา ด้วยความที่ใจคิดว่าเป็นคีนเลยรีบพุ่งเข้าหาประตูทันที

“กิม ~” เปิดประตูปุ๊บเสียงหวานๆ ก็เอ่ยทักพร้อมด้วยส่งรอยยิ้มละมุนมาให้ แว่นตากลมถูกมือเรียวดันขึ้นเมื่อมันไหลลงต่ำ ผมหลับตาลงก่อนระบายลมหายใจดังพรืด ผิดหวังมากๆ โอ๊ย ไอ้เนิร์ดมาทำไมเนี่ย

“กูกำลังจะออกไปสอบ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้เยื่อใยพลางเอนตัวพิงประตูแล้วกอดอกมองเพื่อนอย่างเฉยชา ลึกๆ รู้ดีอยู่แล้วว่าไอ้ว่านคงมีเรื่องอยากให้ช่วยเพราะปกติมันไม่เคยโผล่มากะทันหันแบบนี้หรอก แค่เห็นขอบตาคล้ำก็เข้าใจแจ่มแจ้ง อ่านหนังสือยันเช้าอดหลับอดนอนอีกตามเคยแถมบ้านอยู่ไกลจากมหา’ลัยอีกคงไม่พ้นขอค้างด้วย เอ้อ ทำไมเรื่องอื่นผมไม่ฉลาดวิเคราะห์แบบนี้บ้างเนี่ย

“อะไรวะ จะไม่ถามสักคำเลยเหรอว่ากูมาทำไม?” มันถามเสียงกระเง้ากระงอดแล้วตวัดสายตามองกันอย่างเคืองๆ ริมฝีปากบางเบะลงเหมือนกำลังโกรธที่เพื่อนสนิทไม่ยอมถามถึงสารทุกข์สุกดิบหลังจากไม่เจอกันมาร่วมสองสัปดาห์ โธ่ กูไม่ใช่ผัวมึงไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้เหอะ

“กูยังไม่หายโกรธมึงนะว่าน” ผมเหล่สายตามองก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มลงกลางหน้าผากไอ้ว่าน มันปัดป่ายมือเป็นพัลวันแล้วจิ๊ปากใส่แต่ดีหน่อยที่ไม่มีการตอบโต้เหมือนทุกครั้ง สงสัยจะสำนึกได้ว่าตัวเองทำผิดจริงๆ

“เค้าขอโทษ ก็คนมันไม่รู้จริงๆ ว่าพี่เซียนจะ...”

“พอๆ เลิกพูดเรื่องนี้ มีอะไรก็ว่ามา” ผมรีบขัดจังหวะเพราะไม่อยากได้ยินคำว่า ‘จีบ’ จากปากไอ้ว่าน คิดแล้วก็ขนลุกซู่เพราะเมื่อวานเจอพี่เซียนมายืนรอถึงหน้าห้อง คือมันก็ปกติที่เด็กคณะผมจะเห็นเขาแต่คราวนี้ทุกคนแตกตื่นเนื่องจากเป้าหมายเปลี่ยนจากคีนเป็นกิม โอ๊ย พ่อคุณแม่คุณวี๊ดว๊ายยิ่งกว่านักร้องเกาหลีบุกมหา’ลัย

“ขอนอนด้วย” อะ คราวนี้ไอ้เนิร์ดพุ่งมากอดแขนแล้วดันผมเข้าห้องเหมือนจะปลุกปล้ำกันอย่างนั้น ทางนี้ซึ่งกำลังอึ้งอยู่เลยปล่อยให้ประตูห้องปิดลงอย่างง่ายดายโดยไม่มีเสียงโวยวาย ทุกวันนี้นอนกับไอ้ปอมก็จะฆ่ากันตายอยู่แล้ว ถ้ามีเพิ่มมาอีกคนไม่อยากคิดสภาพเลยว่ะ

“อะไรนะ?” เมื่อได้สติกลับมาผมเลยถามมันเสียงต่ำแล้วพยายามแงะหัวทุยๆ ออกจากอก อูย ขนลุกขนพองไปหมด อีกอย่างคือเสียวสันหลังเมื่อคิดว่าพี่โซนรู้เรื่องนี้เข้าจะเป็นยังไง เขาคงกระทืบผมจมดินอะ

“พรุ่งนี้สอบเช้าอะ ขี้เกียจกลับบ้าน” ไอ้ว่านมือตุ๊กแกยังคงกล้าหาญเลื่อนมือมาโอบรอบเอวผมแล้วช้อนสายตามองแบบอ้อนๆ ท่าทางของพวกเราตอนนี้ชวนให้คิดว่าคู่แฟนกำลังสวีทหวานใส่กันทั้งๆ ที่จริงแล้วนั้น…

“ไปนอนกับพี่โซน” ผมผลักหัวมันจนหงายไปด้านหลังจนได้ยินเสียงร้องโอดโอยจากร่างเล็ก มันผละมือออกจากรอบเอวก่อนจะบ่นงุ้งงิ้งฟังไม่ได้สรรพ ส่วนผมได้ทีหนีไปหยิบกระเป๋าเป้และกุญแจรถมาถือไว้ในมือเตรียมออกจากห้อง ถ้าช้ากว่านี้อาจจะไม่ได้แดกข้าวเที่ยงแล้วสมองจะไม่ลื่นไหลเป็นอันสอบตกแน่ๆ แค่คิดก็เครียดแล้วเนี่ย

“พี่โซนไปติวที่หอเพื่อนอะ” มันเดินตามกันมาติดๆ ขณะที่ผมโฉบไปใส่รองเท้าหนังที่ชั้นวาง

“งั้นมึงโทรไปขอไอ้ปอมเพราะไม่ใช่ห้องกู” อะ ผมเปิดประตูเดินออกไปนอกห้องแล้วแต่ไอ้ว่านยังคงปักหลักไม่ยอมออกมาสักที มันยืนบิดซ้ายบิดขวาเหมือนคนปวดฉี่ก่อนจะส่งยิ้มหวานหยดย้อยมาให้ ผมรู้สึกคลื่นไส้จนอยากจะอ้วกกับความตอแหลของมันจริงๆ

“ขอให้กูหน่อยนะ น้า เดี๋ยวเย็นนี้เลี้ยงบะหมี่เกี๊ยวหน้าปากซอย” ต่อยหน้าสวยๆ นั่นให้ยับคามือได้ไหม แค่บะหมี่หน้าปากซอยไม่ต้องเลี้ยงก็ได้มั้งครับเพื่อน ขอแลกเปลี่ยนมึงโคตรไม่น่าสนใจเลยไง ผมโบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธก่อนเอื้อมมือไปดึงแขนไอ้ว่านให้ออกจากห้องสักที จะได้ล็อกประตูแล้วออกไปหาข้าวกิน

“มันคุ้มกับการที่กูจะโดนไอ้ปอมด่าไหม?” เล่นละครทำเป็นไม่พอใจอีกนิดหน่อยเดี๋ยวก็ได้รับข้อเสนอที่ดีกว่านี้

“วุ้ย เรื่องเยอะอะ งั้นเลี้ยงโออิชิบุฟเฟ่ต์เลยเอ้า” ถึงปากมันจะบ่นแต่ใจปล้ำอย่างกับป๋าเลี้ยงเด็กเอ๊าะๆ คราวนี้ผมลอบยิ้มอย่างพอใจในขณะที่ขยับเข้าไปล็อกประตูห้องให้เรียบร้อย

“ดิว ขอเวลาหนึ่งนาที” ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาโบกให้ไอ้ว่านดูก่อนจะกดโทรออกรอสัญญาณจากปลายสายพลางเดินนำหน้าไปที่ลิฟท์ ที่ไม่ยอมทิ้งมันไว้ที่นี่ก็เพราะรู้ดีว่ามีสอบช่วงบ่ายเหมือนกันน่ะสิ

“ขี้งก” อะ เชิญมึงด่ากูไปเถอะ ยังไงก็ไม่สะทกสะท้านอยู่แล้วน่า กินฟรีใครๆ ก็ชอบ

ขณะนี้ในห้องสอบกำลังตึงเครียดเนื่องจากว่ามีบางคนพลิกกระดาษคำตอบคว่ำไว้บนโต๊ะแล้วเดินสะบัดก้นออกไปเป็นที่เรียบร้อย ผมเหลือบสายตามองบุคคลเหล่านั้นก่อนจะขมวดคิ้วแน่นพลางเคาะนิ้วลงบนกระดาษตรงหน้า พวกนั้นมันต้มหนังสือกินเหรอวะทำไมถึงได้เก่งขนาดนั้น หรือจริงๆ แล้วแม่งปล่อยว่าง โอ๊ย ปวดหัวเว้ย

“เหลือเวลาอีกสิบนาทีนะคะนักศึกษา”

ระฆังแห่งความตายชัดๆ แม่งเอ๊ย ผมทึ้งหัวอย่างบ้าคลั่งก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาเขียนคำตอบ มีอย่างที่ไหนอาจารย์ออกข้อสอบมีคำถามแค่ข้อเดียวแล้วให้กระดาษมาห้าแผ่นเพื่อบรรยายความรู้ทั้งหมดที่ได้รับมาทั้งเทอมนี้ คิดจนสมองจะระเบิดแล้วเว้ย

ในที่สุดก็เสร็จจนได้ ไม่ใช่ข้อสอบนะผมเนี่ยล่ะเพราะเขียนคำตอบจนอาจารย์คุมเดินมาสะกิดไหล่บอกให้วางปากกาแล้วไสหัวออกไปจากห้องซะ แต่ที่แย่กว่านั้นคือผมไม่เห็นแม้แต่เงาของไอ้ปอมด้วยซ้ำ อีกแล้ว มันหายหัวแบบนี้มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ชอบทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ได้ จะจีบเขาก็ทำให้ชัดเจนไม่ได้หรือไง แอบกิน เอ๊ย แอบเดทกันทำไมไม่รู้

ผมลากสังขารเปลี้ยๆ ไปจนถึงลานจอดรถ กะว่าจะชวนคีนไปหาอะไรกินเป็นมื้อเย็นสักหน่อยแต่กลับได้คำตอบว่าเขาต้องกลับบ้านเพราะมีธุระด่วน เอ้อ ให้มันได้แบบนี้สิ เพื่อนทิ้ง คนที่ชอบดันไม่ว่างอีก ไม่มีใครรันทดไปมากกว่าไอ้กวินท์คนนี้แล้ว…

Rrrrr

เสียงริงโทนที่ดังขึ้นเหมือนจะเตือนว่าผมได้ลืมอะไรบางอย่างไป ชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอนั้นคือเพื่อนสนิทที่อาจจะนั่งรอจนรากงอกไปแล้วอยู่ใต้ตึกคณะแพทย์ เออเนอะ เย็นนี้มีอิหนูเลี้ยงข้าวเรานี่หว่า ลาภปากจริงๆ วุ้ย

“กำลังจะไปรับ”

‘อื้อ ให้พี่โซนไปกินข้าวด้วยได้ปะ?’ ไอ้น้ำเสียงติดอ้อนนี่มันอะไรกันวะ ฟังกี่ทีก็ไม่รู้สึกดี ขนลุกซู่ตลอด

“แล้วแต่มึงเหอะ เป็นเจ้ามือนี่” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะปลดล็อกประตูรถพลางสอดตัวเข้าไปประจำที่คนขับ ดวงตาเหลือบมองเบาะด้านข้างก็เห็นไอ้ตุ๊กตาหมาหูยาวนั่งเสนอหน้าอยู่บนนั้น เฮ้อ คิดถึงคีนอีกแล้วว่ะ

‘งั้นเจอกันที่ห้างเลยนะ กูไปพร้อมพี่โซน’ จ้า จะเกาะล้อรถเมล์ไปกูก็ไม่ว่าอะไรมึงหรอก

“เออๆ”





ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 11 -P.1- 10/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 10-09-2018 19:51:39
กว่าจะมาถึงห้างก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงซึ่งเป็นเวลาที่พอเหมาะกับการเขมือบอาหารเย็น ร้านรวงต่างๆ อัดแน่นไปด้วยผู้คนเพราะเป็นเวลาหลังเลิกงานทั้งยังเป็นช่วงต้นเดือน ผมเดินเอื่อยชมนั่นชมนี่ไปเรื่อยเพื่อรอสมาชิกร่วมโต๊ะอีกสองคนที่แวะจ่ายค่าโทรศัพท์ในศูนย์บริการ วันนี้เป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือกินและกินเท่านั้น ผมจะไม่ยอมควักกระเป๋าตังค์ออกมาอย่างแน่นอน

แต่ไอ้ร้านข้างหน้าที่ผมกำลังจะเดินไปถึงกลับขายกล้องถ่ายรูปนี่สิ เอาตามตรงคือความอยากได้อยากมีมันยังไม่เกิดแต่ดันคิดถึงคีนขึ้นมาน่ะสิ โอย แย่ฉิบหายที่สมองดันมีแต่เรื่องของเขาวนเวียนอยู่เต็มไปหมด ลบยังไงก็ไม่ออก เวลาจะกินข้าวยังนึกถึงอาหารฝีมืออีกฝ่าย จะร้อง อยากฟ้องแม่!

อะ ตัดใจจากร้านขายกล้องถ่ายรูปได้ก็มาเจอไอ้คู่รักหวานชื่นกำลังยืนคุยกระหนุงกระหนิงกันอยู่หน้าร้าน สายตาหวานเยิ้มที่มองอีกฝ่ายบ่งบอกถึงความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจจนผมอยากเข้าไปทำลายบรรยากาศฟุ้งๆ นั่น แต่ความเป็นคนดีเลยทำได้แค่เดินเข้าไปสมทบเงียบๆ ปล่อยให้ไอ้ว่านกับพี่โซนรู้ตัวเอง เฮ้อ ชักอยากกลับคอนโดไปนอนมองเพดานแบบแล้วสิ

“พี่โซนเอาแซลมอนเพิ่มปะ เดี๋ยวเค้าไปตักให้” การกระแซะเข้าไปหาแฟนแล้วช้อนตามองกันโต้งๆ กลางที่สาธารณะมันสมควรทำเหรอไง อีกนิดเดียวปากไอ้วานก็จะแตะปลายคางพี่โซนอยู่แล้ว ไม่ต้องแสดงความรักโจ่งแจ้งขนาดนี้ ส่วนไอ้ปอมก็ลึกลับเกินไปอีก ทำไมแต่ละคนไม่มีความพอดีวะ

“ครับ ขอกุ้งเทมปุระกับไข่ออนเซ็นด้วยนะ” ไอ้คนโตกว่าก็ไม่มีห้ามปรามเพราะดันยิ้มหวานก่อนส่งมือหนาๆ ไปลูบหัวแมวในปกครองอย่างเอ็นดู เออ ก็เข้าใจว่าคนรักกันแต่ผมอิจฉาไง คืออยากมีโมเม้นต์แบบนี้บ้าง

“นี่แกล้งผมเหรอ?” แต่ไอ้แมวเอาแต่ใจดันผละตัวออกจากฝ่ามืออุ่นๆ เพื่อแยกเขี้ยวขู่ทาสผู้พักดี ผมเลยได้แต่แอบเบ้ปากเพราะหมั่นไส้ ส่วนมือก็คีบข้าวปั้นจิ้มคิคโคแมน เรามากินมื้อเย็นไม่ใช่มานั่งแหกตาดูหนังรักเว้ย เลิกหวานใส่กันสักที

“เดี๋ยวพี่ไปช่วยถือก็ได้ครับ” จ้า ยังไม่จบอีก ไอ้กิมจะล้มโต๊ะแล้วนะ

“แค่ล้อเล่นน่า แค่นี้ถือได้สบายมากฮะ” รอยยิ้มสดใสคลี่กว้างก่อนที่เจ้าของมันจะลุกขึ้นแล้วเดินดุ๊กดิ๊กไปเอาของตามบัญชาของสามีสุดหล่อที่ขณะนี้วางตะเกียบลงบนจานแล้วเอาแต่มองหน้าผม ไอ้เราก็มัวแต่คิดนั่นคิดนี่เลยยังไม่ได้คีบข้าวปั้นใส่ปาก จิ้มติโคเมนไว้เกือบนาทีป่านนี้เค็มไส้ขาดไปแล้วมั้ง

“เหม่อๆ นะเรา อาหารไม่ถูกปากเหรอ?” อะ คำถามยอดนิยมของคนช่างสังเกตทำให้ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะยกข้าวปั้นขึ้นมาสะบัดไล่คิคโคแมนส่วนเกินทิ้ง อ่า... สีดำเป็นตอตะโกเลยว่ะ ยังกินได้อยู่หรือเปล่าเนี่ย หน้าปลาไหลด้วยสิ เอาไงดี

“เปล่าครับ แค่คิดอะไรเพลินๆ”

“หมั่นไส้ว่านเหรอ?” พี่โซนถามทีเล่นทีจริงโดยมีใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมเผลอเบิกตาโตเพราะนั่นคือสิ่งหนึ่งที่คิดไว้ ใช่แล้ว หมั่นไส้ท่าทางออดอ้อน ทำตัวเหมือนแมวน้อย ใช้เสียงสองสามสี่ห้ากับแฟน คือมันให้ความรู้สึกหยึ๋ยๆ บอกไม่ถูก

“โห พี่โซนจะรู้ทันเกินไปแล้ว” ผมแสร้งทำหน้าบูดเมื่อโดนจำได้ว่าคิดอะไร พี่โซนหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะคีบกุ้งเทมปุระตัวสุดท้ายให้กัน ทำไมรู้สึกเหมือนคู่รักวะ ถ้าไอ้ว่านเห็นฉากเมื่อครู่คงงอแงใหญ่โตแน่นอน

“บางทีพี่ก็หมั่นไส้มันเหมือนกัน ทำตัวน่ารักแต่ให้ความรู้สึกน่าถีบมากกว่า” ผมเห็นด้วยว่ะ พี่โซนไม่เคยอวยแฟนตัวเองจริงๆ ดีก็ว่าดี แย่ก็ว่าแย่ นี่สิที่เขาเรียกว่ารักถูกวิธี

“พี่รักไอ้ว่านจริงปะเนี่ย?” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะไม่จริงจังอะไรเพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าพี่โซนรักไอ้ว่านมากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมมันได้ถึงขนาดนี้หรอก ซื้อรถใหม่ตามใจคนนั่ง กินอาหารตามความต้องการของอีกคนโดยไม่บ่น ดูแลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องหัวใจ เรื่องเรียนหรือความเป็นอยู่ ถ้าผมเป็นสาวๆ คงยกให้เขาเป็นชายในฝันไปแล้วล่ะ

“หึหึ ก็อย่างที่เห็น แล้วกิมล่ะ เมื่อไหร่จะมีแฟนสักที?”

“ก็เรื่อยๆ ครับ ไม่รีบ” ที่จริงอยากจะตอบว่าเมื่อคีนยอมใจอ่อนให้ต่างหาก แต่มันฟังแล้วเหมือนชีวิตรันทดเกินไปเลยเลือกพูดแบบนั้นแทน ดูเป็นผู้ชายคูลๆ ไปอีก แป้งตรางูเรียกพี่เลยครับ

“พี่ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม?” พี่โซนพยักหน้ารับคำของผมแล้วเปลี่ยนสีหน้าเข้าสู่โหมดจริงจัง ตอนนี้ความกดดันทางสายตาของเขาทำให้เดาทิศทางการสนทนาได้ไม่ยาก คงไม่รอดพ้นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ สินะ ก็คนมันไม่ชอบจะให้ตอบรับไปแดกข้าวร่องเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาก็ได้เหรอ อึดอัดตายห่า อีกอย่างพี่เซียนทำเหมือนผมเป็นสาวน้อยตัวเล็กๆ เฮ้อ ไม่เข้าใจความคิดหมอหมาเลยเนี่ย

“ถ้าเป็นเรื่องพี่เซียนผมขอไม่ฟังนะครับ” ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมอย่างชัดเจนจนคนฟังถึงกับเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เออน่า ผมขอรู้ทันคนอื่นสักวันหนึ่งก็แล้วกัน

“ไม่ชอบกันขนาดนั้นเลย?” สีหน้าจริงจังเกินไปของพี่โซนทำให้ผมต้องยกมือขึ้นลูบใบหน้าเพราะกลัวว่าจะเผลอแสดงอาการอะไรออกไป ยังไงอีกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นพี่ชายของเขา ถ้าโกรธแทนกันคงไม่แปลก

“ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่พี่เซียนไม่ใช่... พี่โซนเข้าใจผมไหม?” ผมบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแถมขมวดคิ้วแทบเป็นปม ว่าจะปล่อยวางเรื่องนี้ทำเป็นไม่สนใจแต่ที่ไหนได้พอโดนกระตุ้นก็รู้สึกแบบเดิม จ้วงแซลมอนใส่ปากรัวๆ จนโดนพี่โซนรั้งข้อมือไว้ โอย จะลำลักแล้ว

“เอาเป็นว่าพี่จะคอยห้ามพี่ชายตัวเองแล้วกัน ใจเย็นๆ ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น” พี่โซนขยับแก้วชาเขียวให้ผมดื่มตามแซลมอนก่อนจะเลื่อนมือหนามาตบบ่ากันปุๆ เหมือนต้องการให้ผ่อนคลายลง รอยยิ้บางที่ปรากฏทำให้ผมเริ่มใจเย็นขึ้น หายใจสะดวกมากยิ่งขึ้น เฮ้อ ไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เลยเว้ย หมอหมามันก็ดีนั่นล่ะ แต่เป็นคนที่ไม่ใช่ไง...

“ผมนี่อยากกราบแนบอกพี่โซนมาก ขอบคุณจริงๆ ครับ” น้ำตาแทบจะไหลเพราะทุกวันนี้ไม่สามารถสลัดคนที่ชื่อเซียนออกไปได้อย่างเด็ดขาดสักทีเนื่องจากกลัวพี่โซนผิดใจกับไอ้ว่าน แต่พอเรื่องมันกลับกลายเป็นแบบนี้ในอนาคตผมคงปฏิเสธเขาได้อย่างจริงจัง ถ้าวอแวมากไปจะต่อยหน้าแม่งให้ยับเลยคอยดู

“ไม่เป็นไรๆ แต่ระวังโดนว่านตบเอานะ หึหึ” พี่โซนพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วชี้นิ้วไปทางด้านหลังของผม สายตาเย็นยะเยือกของไอ้ว่านกดดันอยู่เหนือหัวจนต้องหันไปคลี่ยิ้มหวานๆ เพื่อประจบประแจ้ง โธ่ กูไม่อยากเป็นเมียน้อยใครหรอกน่า

เราทั้งสามคนใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงสี่สิบห้านาทีอย่างคุ้มค่าเรียกว่าแดกจนท้องแทบแตกตายเหมือนชูชก กว่าจะเคลื่อนตัวออกจากร้านได้นิ่งกว่าเต่าเพราะรู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาถึงคอ โอย อยากอ้วกออกแต่ก็เสียดายเหอะ

ผมและไอ้ว่านแยกย้ายกับพี่โซนตรงบันไดเลื่อนเพราะพวกเราจะลงไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่อ พอดีว่าในตู้เย็นแทบไม่มีของสดเหลืออยู่เลยแล้วพรุ่งนี้ไอ้คนขออาศัยเสือกอยากกินสปาเก็ตตี้คาโบนาร่าเป็นมื้อเช้า โอ้โห มึงไม่เลี่ยนจนอ้วกแต่เหรอวะ?

Rrrrr

เสียงริงโทนทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิบชีสใส่รถเข็น โทรศัพท์ถูกล้วงออกจากกระเป๋ากางเกงเพื่อพบว่าชื่อคีนปรากฎบนหน้าจอ โอ๊ย ไม่ซื้อของแม่งแล้ว

“ฮ ฮัลโหล” ผมกรอกเสียงสั่นๆ ลงไปก่อนจะทิ้งหน้าที่เลือกซื้อของให้ไอ้ว่าน เชื่อเหอะว่าวัตถุดิบทำคาโบนาล่าจะมีแต่ของแปลกๆ ก็มันทำอาหารเป็นที่ไหนกันเล่า

‘เอ่อ ยุ่งอยู่หรือเปล่า?’ น้ำเสียงติดเกรงใจนั่นคงจะขอความช่วยเหลือจากผมสินะ หูย รู้สึกมีค่าในสายตาคีนขึ้นมาเลยว่ะ ภูมิใจจัง

“ไม่ๆ คีนมีอะไรเหรอ?” ผมปฏิเสธรัวๆ พลางเดินเข้าไปในส่วนของผลไม้ ดูนั่นดูนี่ฆ่าเวลาทั้งที่ควรไปเลือกซื้อวัตถุดิบทำอาหารให้เสร็จ ก็ไม่อยากอยู่ใกล้ไอ้ว่านให้มันแซวหรอก

‘คือเราลืมกุญแจห้องไว้ที่บ้านแล้วขี้เกียจกลับไปเอาน่ะ’ คีนหัวเราะเบาๆ ตบท้าย แต่ผมนี่นิ่งสนิทตาเบิกโพลงไปแล้ว คือสมองคิดไปไกลมากว่าเขาต้องขอ...

“.....”

‘จะขอค้างด้วยคืนนี้ ได้...’ เฮ้ย จริงดิ ตามที่คิดไว้เป๊ะเลย โว๊ย เกือบจะกระโดดแหกปากร้องดีใจอยู่แล้วเชียวแต่พอดีว่าตั้งสติทัน เลยทำแค่กำมือแล้วทำท่าเยสๆ สองสามรอบ

“ได้ๆ ไม่มีปัญหาครับ” ผมตอบกลับเสียงรัวผิดกับตอนไอ้ว่านขอลิบลับ ก็ต่างคนต่างความรู้สึกไง หึหึ โอ๊ย ปากนี่ก็จะฉีกกว้างไปถึงไหน ดีใจอะไรขนาดน้าน แค่ขอนอนด้วยไม่ใช่ขอคบเว้ย!

‘ขอบคุณมากเลย ตอนนี้เราอยู่หน้าห้องแล้ว’ เดี๋ยวๆ ผมอยากจะวาร์ปกลับไปเดี๋ยวนี้เลยอะ ทำไงดีวะ...

“รอสักครึ่งชั่วโมงนะ ตอนนี้เราอยู่ห้าง” เวลาที่บอกคีนไปคือหมายถึงตรงดิ่งกลับคอนโดทันทีโดยไม่ซื้อของต่อ ผมรีบสาวเท้าสู่จุดที่ไอ้ว่านยืนหันซ้ายกันขวาอยู่ พรุ่งนี้แดกขนมปังปิ้งทาเนยโรยน้ำตาลก่อนแล้วกัน!

‘อ๋อ ไม่ต้องรีบๆ เราลงไปนั่งรอข้างล่างก็ได้’

โอย คีนเป็นคนดีจนผมใจละลายไปหมดแล้วเนี่ย

“อะ โอเคๆ แต่ยังไงเราจะรีบกลับนะ” ขอหยอดก่อนวางสายสักหน่อยเหอะ ฮึ่ย มีความสุขจัง

“ไอ้เชี่ยว่าน!” ผมใกล้จะถึงตัวไอ้ว่านอยู่แล้วแต่ด้วยความรีบเลยตะโกนเรียกซะก่อน มันหันขวับมาจนผมปลิวสยายก่อนใบหน้าหวานๆ จะกลายเป็นบูดบึ้ง สงสัยจะโกรธที่โดนทิ้งไว้กลางดงชีสคนเดียว ดูในรถเข็นสิ ยังมีแค่แฮมกับเห็ดแชมปิญองเอง ไม่ได้แดกแล้วไม่ต้องเลือกต่อ!

“ตะโกนหาพ่อมึงเหรอ? อายคน!” โห เสียงมึงก็ดังพอกันจนคู่รักที่ยืนเลือกซื้อไส้กรอกหันมามองตาเขียว แต่ช่างแม่งเหอะ ตอนนี้ต้องรีบกลับคอนโดแล้วน่า มัวโอ้เอ้เดี๋ยวไม่ทันครึ่งชั่วโมงพอดี

“ไม่ต้องซื้อของแล้ว” ผมถือวิสาสะจับข้อมือไอ้ว่านแล้วลากมันออกมาจากตรงนั้น ท่าทางของมันดูมึนงงแต่ก็ไม่ได้รั้งไว้ ก็ขนาดตัวเราต่างกันมากโขเลยล่ะ

“เดี๋ยวๆ จะรีบไปไหนเนี่ย?” แต่ปากมันก็ยังพูดได้นี่หว่า เซ็งจัง

“กลับห้อง” ผมตอบสั้นๆ และไม่ยอมหยุดเดินจนเกือบถึงบันไดเลื่อน เสียงแหลมเล็กแทงเสียดหูเข้ามา

“คาโบนาร่ากูล่ะ?” ตาเขียวปั๊ดเชียว ไม่น่าหันไปมองเลยว่ะ

“ไม่ต้องแดก”

“เฮ้ย ไม่เอาดิ!” คราวนี้มันสะบัดมือเร่าๆ ไอ้ผมก็ไม่ยอมปล่อยเพราะรีบ คนที่เดินผ่านไปผ่านมองเลยเหลียวมองกันใหญ่ โอย ชีวิต ผัวเมียทะเลาะกันอีกแล้วสินะ

“คีนรอกูอยู่!” ว่าจะเนียนสักหน่อย สุดท้ายก็ต้องบอกความจริงเพราะไม่อยากให้มันขัดขืนไปมากกว่านี้ อายคนเว้ย

“โอ๊ย ไอ้ส้นตีน เห็นว่าที่ผัวสำคัญกว่าเพื่อน!” ผมนี่ถึงกับสำลักน้ำลายไอค่อกแค่กเมื่อได้ยินคำแทนตัวของคีน คือมึงช่วยดูหน้าตากับหุ่นกูหน่อยไหม ถ้าไปมีผัวจริงๆ แม่คงนอนร้องไห้เป็นปีเพราะรับสภาพลูกชายไม่ได้ ถ้าผมตัวเล็กน่ารักน่าทะนุถนอมแบบมันก็ว่าไปอย่าง ให้เป็นเมียใครก็ยอมอะ

แต่ถ้าคีนอยากรุกผมก็รับได้ไม่มีปัญหา... มั้ง เอาน่า ยังไงเรื่องความรักต้องมาก่อนเรื่องเซ็กซ์อยู่แล้ว ค่อยตกลงกันทีหลัง ตอนนี้จีบให้ติดก่อนเห๊อะ

“ว่าที่เมียเว้ย!” ปฏิเสธไปก่อนเพราะความตั้งใจแรกของผมคืออยากเป็นผัวคีนอะ

“เกลียดมึง!”

เออ ขอให้เกลียดอย่างที่ปากว่าจริงๆ เหอะ เพราะครั้งหนึ่งมึงก็เคยหลงเสน่ห์กูมาก่อนอย่าลืมซะล่ะ หึหึ




------------------------------------

มันก็จะมีความคืบหน้าหน่อยๆ สำหรับหลายๆ คู่เนอะ
ตอนหน้ารับรองว่ายุ่งเหยิงสุดๆ เพราะสมาชิกในห้องพักมีถึง 4 คน จะแบ่งเตียงนอนกันยังไงดีหนอ?
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 11 -P.1- 10/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-09-2018 07:23:56
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 12 -P.2- 16/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-09-2018 12:48:00
รูปถ่ายใบที่ 12



ตอนนี้เราทั้งสามคนนั่งกระพริบตาปริบๆ มองเจ้าของห้องที่เพิ่งกลับมาเมื่อห้านาทีที่แล้วพร้อมด้วยอีกหนึ่งบุคคลซึ่งอยู่ในชุดลำลองสีหวานยืนก้มหน้าแก้มแดงอยู่ด้านหลัง ไม่มีใครยอมปริปากพูดก่อนเหมือนกลัวความลับแตก คือไอ้ผมน่ะเฉยๆ เพราะออกตัวว่าจีบไปคีนแล้ว แต่ไอ้ปอมนี่สิอะไรยังไง...

อีกปัญหาหนึ่งคือเราทั้งห้าคนจะจัดสรรที่นอนกันยังไง เตียงได้สองชีวิต โซฟาอีกหนึ่ง... แม่ง จะนั่งหลับก็เกรงใจไงครับ เมื่อยตายห่าแน่ๆ ถ้าฉลาดกว่านี้คงลากคีนกลับบ้านแล้ว อุย อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นสิ นี่ผมหวังดีนะครับ (ให้คีนกลับไปนอนบ้านตัวเองดีกว่าไหม?)

“เอ่อ...” เสียงครางเบาๆ จากคนตัวเล็กทำให้ทุกสายตาหันขวับไปที่เขาอย่างพร้อมเพรียง โฮมสะดุ้งโหยงก่อนจะคว้าไหล่ไอ้ปอมเป็นที่กำบัง ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะความเขินอายแบบไม่ปิดบัง ผมถึงกับลอบแสยะยิ้มให้เพื่อน ซึ่งมันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ซะอย่างนั้นจนน่าหมั่นไส้ นี่มึงก้าวไวกว่ากูทั้งที่ปากแข็งอย่างกับหินเนี่ยนะ ไอ้ซึนเอ๊ย ระวังตัวไว้เถอะถ้าเผลอเมื่อไหร่จะล้วงความลับให้หมดเปลือกเลย

“อย่ามองโฮมแบบนั้นสิวะ” ไอ้ปอมรีบขยับตัวทำหน้าที่เกาะกำบังอย่างสมบูรณ์พร้อมด้วยแยกเขี้ยวข่มขู่พวกเราที่ยังนั่งกระพริบตาปริบๆ เหมือนลูกหมาไร้เดียงสา มีใครจ้องโฮมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อบ้างล่ะ อย่างมากที่สุดคงแค่ยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างที่คีนกำลังทำ

“นั่นเพื่อนเรานะ มองไม่ได้เหรอ?” ไม่รู้ว่าติดนิสัยขี้แกล้งไปจากใครหรือธรรมชาติของคีนเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว คำถามเลยเป็นไปในทิศทางทีเล่นทีจริงจนไอ้ปอมถึงกับออกอาการอึกอัก ส่วนโฮมที่โผล่มาแค่ใบหูแดงๆ นั่นบ่งบอกได้ชัดเจนว่ากำลังมีความลับ แอบแดก เอ๊ย แอบเดทกันแน่ๆ ผมเชื่อในลางสังหรณ์

“เอ่อ... เราว่าคนอื่นน่ะ” ไอ้ปอมยิ้มแหยๆ พลางแก้เก้อด้วยการยกมือขึ้นเกาท้ายทอย ผมลอบมองคีนที่ร้องอ๋อด้วยน้ำเสียงหยอกล้อจนรู้สึกอยากบีบ ทำไมถึงได้มีนิสัยขี้แกล้งปนทะเล้นได้ขนาดนี้นะ ไม่รู้หรือไงว่ามันมำให้ใครๆ หลงชอบเขาได้ไม่ยาก ขนาดไอ้ว่านที่เป็นเมียคนอื่นยังเหล่มาทางเขาไม่หยุด อย่าคิดนอกใจพี่โซนนะเว้ย กูฟ้องแน่

“หวงจั๊ง ปากบอกไม่ แต่การกระทำใช่” อะ ผมพึมพำกับตัวเองแต่เหล่สายตามองเพื่อนอย่างขำๆ ไอ้คนโดนกล่าวหาถึงกับหันขวับมาแยกเขี้ยวใส่พร้อมเดินเข้ามาลอบหยิกต้นแขนกัน แม่งเอ๊ย เจ็บจนน้ำตาไหลอะ

“หุปปากไปไอ้บ๊วย!” มันกัดฟันกรอกเสียงต่ำใส่หูผมก่อนจะชี้หน้าคาดโทษแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าโฮมเหมือนเดิม เนี่ย ท่าทางหวงจนาดนั้นเป็นใครก็อดแซวไม่ได้ ขนาดไอ้ว่านที่ไม่ค่อยรู้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ยังเผลอเบะปากไปด้วยเลย

อยู่ๆ บรรยากาศก็หนักอึ้งเมื่อทุกคนพร้อมใจกันเงียบแล้วมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีสลับไปมา สุดท้ายผมก็วางสายตาไว้ที่คีนเพราะเขาเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จ้องเพื่อนไม่หยุด ชนิดที่ว่าโฮมต้องหันหลังให้และไอ้ปอมถึงกับสำลักอากาศไอแค่กๆ กลอบเกลื่อนท่าทีกระอักกระอ่วนของตัวเอง นายคนินท์ร้ายกาจเกินไปแล้ว

“ตกลงนี่มึงจีบโฮมเหรอ?” ไอ้ว่านที่นั่งเงียบไปนานถามขึ้นมาด้วยเสียงเรียบแต่กลับทำให้คนฟังถึงกับตาค้างอ้าปากพะงาบๆ เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับผี ผมกับคีนสบตากันโดยไม่ได้นัดหมายก่อนที่ต่างคนจะหันหนีไปอีกทางเพราะอยากกลั้นขำ โดนหมัดหนักจากว่าที่หมอเข้าให้แล้วไหมล่ะ โธ่ มันก็รู้สึกสงสารไอ้ปอมกับโฮมอยู่หรอกแต่ความอยากรู้ก็อยู่เหนือกว่าอะไรทั้งหมด

“เฮ้ย ปะ เปล่าเว้ย ก็แบบ...” จำเลยลนลานตอบคำถามของเพื่อนด้วยสีหน้าเหมือนกระตายตื่นตูม เสียงที่เปล่งออกมามีความสั่นระดับที่สามารถพาคลื่นสึนามิพัดเข้าฝั่งทะเลได้อย่างง่ายดาย ดวงตาคมเบิกกว้างเกือบเท่าไข่ห่านแถมยังกรอกกลิ้งคล้ายพยายามหาตัวช่วยซึ่งไม่มีเลยเพราะผมกับคีนก็เอาแต่จ้องมองมันอย่างคาดคั้นเช่นเดียวกัน ถ้าไอ้ปอมจีบโฮมจริงคงไม่มีใครห้ามแน่นอน แต่ทุกคนอยากให้การกระทำของมันชัดเจนก็เท่านั้นเอง

“แบบไหน?” คีนถามพลางกอดอกแล้วทำหน้าจริงจังให้อารมณ์คุณพ่อหวงลูกสาวเป็นอย่างมากจนผมที่ลอบสังเกตถึงกับต้องยกมืออุดปากเพราะจะหลุดขำอยู่ทุกเมื่อเพราะที่จริงแล้วเขาออกจะน่ารักน่าขย้ำมากกว่า พอมาทำท่าทีดุๆ เลยดูไม่เหมาะสมกัน

“เอ่อ... ตอนนี้เรามาตกลงเรื่องที่นอนกันดีกว่าปะ?” ไอ้ปอมชวนเปลี่ยนเรื่องด้วยการแสดงท่าทีกะตือรือร้นเรื่องที่ซุกหัวนอนของพวกเราขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนแรกทำท่าจะไล่ทุกคนออกจากห้องด้วยซ้ำ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามันทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวปล่อยให้โฮมยืนบิดกระมิดกระเมี้ยนเป็นเป้าสายตาแทน ไม่เป็นพระเอกขี่ม้าขาวปกป้องเขาแล้วเหรอไง กากจริงๆ เชื่อว่าช่วงนี้ทั้งสองคงไม่กล้าเข้าใกล้กันเกินควรแน่นอน โธ่ แบบนี้ก็ไม่สนุกสิวะ

“สัดนี่ชอบเปลี่ยนเรื่องตลอด” ไอ้ว่านงึมงำก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ ใส่ไอ้ปอมที่นั่งอยู่ไม่ไกล เท้าเล็กแตะเข้าที่หน้าแข้งเพื่อนระบายความหมั่นไส้จนได้ยินเสียงซี๊ดปากตอบกลับมา ส่วนผมได้แต่นั่งส่ายหัวปลงตกกับความปากแข็งที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะยอมพูดความจริงสักกที หรือต้องรอให้หมาสักตัวคาบชิ้นปลามันไปแดกซะก่อน

“ในตู้มีที่นอนปิกนิคหกฟุตอยู่ เดี๋ยวเอาไปปูอีกห้องให้” อะ คนอื่นยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะคุยเรื่องที่นอนอกันเลยแต่ไอ้ปอมดันลุกพลวดหนีไปเอาของอย่างที่บอกไว้ในตอนแรกซะแล้ว โฮมก็ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแถมยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหลบเมื่อรู้ตัวว่าโดนเพื่อนสนิทของตัวเองจ้องมองอยู่ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ผมจะไม่ยุ่งแล้วกัน ปล่อยให้เขาเคลียร์กันเองดีกว่า

“งั้นกูนอนโซฟานะ ไม่มีคู่อย่างคนอื่นเขา” ไอ้ว่านยังไม่วายกระแนะกระแหนก่อนสะบัดก้นเดินเข้าครัวด้วยสีหน้าระรื่นจนผมที่ลุกขึ้นตามถึงกับตะโกนไล่หลังด้วยความเขินอาย ก็ใครใช้ให้คีนหัวเราะเล่า เดี๋ยวจับจูบซะเลยนี่

“จะไปไหนก็ไป!” ไล่เพื่อนจบก็ดะว่าจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำแต่กลับโดนเสียงของโฮมรั้งไว้ซะก่อน

“ระ เราขอนอนกับคีนนะ” น้ำเสียงสั่นๆ กับท่าทางเหมือนลูกนกขี้กลัวทำให้ผมพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ทั้งที่เจ้าของห้องตัวจริงพยายามแบกที่นอนปิกนิคหกฟุตอยู่ด้านหลัง

“โอเคๆ งั้นเราหาเสื้อผ้าให้คีนก่อนนะ” แล้วผมก็ผละออกมาจากสถานการณ์เคร่งเครียดนั่นเพื่อพบกับความจริงที่ว่าคีนจะใส่ชุดของตัวเองนอนเว้ย โอ๊ย จะไม่ซักแน่นอน จะเอามาดมจนกลิ่นจางเลย ฮึ่ย แค่คิดก็รู้สึกว่าขาข้างหนึ่งอยู่ในคุกแล้วแฮะ เลวจริงๆ เล๊ยไอ้กิมมิค

“อยากนอนกับเราจริงๆ เหรอ?”

เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากแอบฟังเรื่องชาวบ้านเท่าไหร่หรอกแต่ตอนที่เดินเข้าห้องดันลืมถามคีนว่าจะเอากางเกงในด้วยไหมพอดีมีตัวใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้เหลืออยู่ แต่พอกลับมาก็ได้ยินเขาคุยกับโฮมซะก่อน ขอเสือกหน่อยแล้วกันเนอะ ยืนพิงกรอบประตูห้องนอนฟังเนี่ยล่ะ

“ทำไมคีนถามแบบนั้นอะ? เราไม่ได้เป็นอะไรกับปอมสักหน่อย” ร่างเล็กมองอีกคนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ก่อนจะยกสองมือเท้าแก้มนุ่มๆ จนมันยู่ยี้ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกำลังยืนมองกระต่ายสองตัวสนทนาเรื่องอาหารในวันพรุ่งนี้ว่าาจะเลือกกินหญ้าขนสดหรือหญ้าแห้งดี ถึงเรื่องที่กำลังคุยจะเครียดแต่บรรยากาศรอบๆ ตัวเขาทั้งสองกลับน่ารักไปซะหมด โอย นี่ผมหลงคีนหัวปักหัวปำขนาดนั้นเลยเหรอวะ เดือนคณะที่มีคำว่าหล่อเต็มหน้าเนี่ยนะ สมงสมองไปหมดแล้วจ้า

“เหรอ? ก็เห็นแอบหนีเราไปกับปอมทุกที” เอ้อ อันนี้ผมเห็นด้วยกับคีนว่ะ ถ้าไม่ได้คิดอะไรต่อกันทำไมต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ตลอดเลยวะ ขนาดผมชอบคีนยังไม่กล้าออกตัวแรงแบบนี้เลย

“มันไม่ใช่...” โฮมพยายามปฏิเสธแต่กลับโดนคีนขัดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังซะก่อน เอาวะ ความพ่อหวงลูกกลับมาอีกครั้งแล้ว

“ถ้าไม่ใช่แล้วโฮมจะยอมเขาขนาดนี้เหรอ?”

“ปอมแค่ต้องการไถ่โทษที่ลวนลามเราวันนั้น” ไถ่โทษมาเป็นเดือนๆ แล้วเนี่ยนะ กว่ามันจะกลับห้องแต่ละวันก็เกือบเที่ยงคืน ผมไม่คิดว่าคนอย่างโฮมจะโกรธไอ้ปอมได้นานขนาดนั้นนะ

“โฮมไม่ได้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยนี่ แค่ปอมขอโทษก็น่าจะพอแล้วมั้ง จริงไหม?” คีนโน้มตัวเขาไปใกล้เพื่อนเพื่อสบตาก่อนที่มือเรียวจะวางลงบนศีรษะทุยพร้อมออกแรงลูบเบาๆ เหมือนกำลังพยายามปลอบประโลมความสับสนในหัวใจของโฮมให้เบาบางลง บางทีความไม่ชัดเจนของไอ้ปอมอาจจะส่งผลร้ายแรงก็ได้

“เรา... ไม่รู้จริงๆ” โฮมส่ายหน้าช้าๆ ตอบกลับก่อนจะซุกหน้าลงกับลาดไหล่กว้างของคีนเหมือนต้องการหาที่พึ่งซึ่งผมเองก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเพราะไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ได้ยังไงเหมือนกันเพราะรู้นิสัยของไอ้ปอมดีว่ามันเป็นคนที่ปากหนักเหมือนมีใครเอาหินมาถ่วงในเรื่องของความรักเนื่องจากเคยผิดหวังมามากเกินไปเลยไม่กล้าที่จะเผยความรู้สึกกับใครตรงๆ

“ค่อยๆ คิด เราไม่ได้จะดุโฮมสักหน่อย แค่เป็นห่วง” น้ำเสียงของคีนอ่อนลงและสายตาที่มองเพื่อนสนิทก็เปลี่ยนไปเป็นห่วงใยตามคำพูดจริงๆ ผมนับถือเขาทั้งสองคนที่สามารถพูดคุยเรื่องนี้โดยไม่ใส่อารมณ์กัน ถ้าเป็นผมกับไอ้ปอมป่านนี้ต่อยกันหน้าแหกกับคำว่า ‘ไม่รู้’ ไปนานแล้ว

ผมปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ ทั้งที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม หูแว่วได้ยินเสียงเลื่อนประตูกระจกให้เปิดออกพร้อมกับที่เห็นร่างของไอ้ปอมเดินผ่านหน้าไปโดยไม่พูดอะไรกับใครแถมในมือยังมีบุหรี่อีกด้วย เอาเป็นว่ามันเครียดจนต้องหาที่พึงเป็นนิโคตินขนาดนี้แล้วผมคงต้องทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง เฮ้อ ขี้เสือกทั้งมึงทั้งกูจนได้เรื่องสิน่า

ก่อนจะก้าวขาออกจากจุดสตาร์ทผมก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางเรียบเรียงคำพูดให้เหมาะสมในขณะที่ดวงตามองตรงไปยังบุคคลทั้งสองซึ่งกอดปลอบกันไม่ห่าง นี่คือมิตรภาพระหว่างเพื่อนจริงๆ ใครกำลังไม่สบายใจก็ยังมีอีกคนคอยเคียงข้าง ถึงบรรยากาศของแต่ละคนต่างกันแต่ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน อย่างเช่นผมกับไอ้ปอมเนี่ย ไม่มีโมเม้นต์หวานแหววหรอกแต่ก็ไม่เคยทิ้งให้มันทุกข์ใจอยู่คนเดียว

“เราขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม?” ผมเดินเข้าไปหาทั้งคู่พร้อมกับเอ่ยประโยคขออนุญาต คีนกับโฮมผละออกจากกันแล้วหันขวับมามองอย่างกับเจอผี คือแบบ... เปลี่ยนใจตอนนี้ทันไหมวะ กลัวจะโดนถีบกระเด็นข้อหาเสือกเรื่องคนอื่นเนี่ย

“เอาสิกิม” แต่คำอนุญาตจากคีนทำให้ผมโล่งอกขึ้นเป็นกองแต่กลับพบว่าสายตาที่โฮมใช้มองกันมีแววหวาดระแวงอยู่ คือผมก็ไม่ได้มากดดันเขาเลยนะ แค่อยากช่วยเพื่อนนิดหน่อยเท่านั้นเอง

“อ่า... ไอ้ปอมเป็นคนปากแข็งแต่การกระทำมันแสดงออกชัดเจนว่ากำลังคิดอะไรอยู่นะ”

“กิมได้ยินที่เราคุยกับ... คีนเหรอ?” โฮมกระพริบตาปริบๆ ใส่กันเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะได้ยิน ส่วนคีนก็หรี่ตามองอย่างจับผิดจนทางนี้ได้แต่อ้าปากขอโทษแบบไร้เสียง ก็คนมันไม่ได้ตั้งใจแอบฟังจริงๆ นะเออแต่เสือกได้ยินตั้งแต่ต้นจนจบเลยจ้า

“เอ่อ... โทษที” แล้วก็ตบท้ายด้วยการยกมือขึ้นถูจมูกแก้เก้อพลางเหลือบสายตามองคู่กรณีก็พบว่าโฮมส่ายหัวเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร สีหน้าเขาดูไม่ดีเลยว่ะ หรือผมควรเรียกไอ้ปอมมาเคลียร์เรื่องนี้ให้จบๆ สักทีเพราะการที่มาค้างด้วยกันแบบนี้มันส่งผลถึงบรรยากาศโดยรวมให้อึดอัด แต่เหลือไอ้ว่านไว้คนหนึ่งเพราะมันคงแช่น้ำสบายอุราไปแล้ว

“ช่างมันเถอะ เราขี้เกียจคิดเรื่องของปอมแล้วอะ” โฮมออกอาการงอแงทั้งน้ำเสียงและใบหน้าพ่วงตามมาด้วยการกระทำที่เอาหัวทุยๆ ไปไถกับลาดไหล่ของคีน รายนั้นทำหน้าเหวอนิดหน่อยก่อนจะเม้มปากแน่นกลั้นขำจนหน้าแดง ตกลงว่าเขาเป็นห่วงเพื่อนจริงๆ ใช่ไหมแต่ก็บ้าจี้ด้วย อืม... ชักอยากจะลองเอานิ้วไปจิ้มเอวสอบนั่นดูแล้วสิ อูย เลือดกำเดาอย่าเพิ่งไหลน้า

“งั้นโฮมก็ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวเราตามไป” คีนตบบ่าเพื่อนปุๆ แล้วผลักลาดไหล่แคบออกห่างก่อนจะใช้มืออีกข้างบีบแก้มเพื่อน โฮมยู่ปากใส่แต่ก็ยอมลุกขึ้นอย่างว่าง่ายเดินตรงไปยังห้องทำงานซึ่งมีที่นอนปิคนิกปูอยู่ มนตอนนั้นเองที่ผมถือโอกาสเดินอ้อมโซฟาไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อีกคนที่เอาแต่มองเพื่อนอย่างไม่ยอมวางสายตา ดูก็รู้ว่าเป็นห่วงมากแค่ไหน มันก็ไม่ค่อยต่างจากที่ผมเป็นห่วงไอ้สิงห์อมควันที่ระเบียงนั่นหรอก ป่านนี้หนาวตายห่าไปแล้วมั้งเพราะได้ยินเสียงฝนตกจากด้านนอกอย่างชัดเจน

“ปล่อยไปแบบนั้นจะดีเหรอคีน?” ผมออกปากถามเมื่อสายตาของคีนถูกดึงกลับมาอยู่ตรงตำแหน่งที่ควรจะเป็น มือเรียวทั้งสองยกขึ้นลูบใบหน้าเนียนเหมือนต้องการผ่อนคลายความรู้สึกอัดแน่นให้เบาบางลงก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับคำเอื่อยๆ สภาพตอนนี้ไม่เหมือนนายคนินท์คนที่ผมเคยรู้จักเลย ความสดใสร่าเริงลดไปเกือบครึ่ง เป็นอย่างนี้ต้องดึงเข้ามากอดปลอบหรือเปล่าวะ ฮึ่ย สถานการณ์แบบนี้กูยังคิดหากำไรอีกหรือไง โธ่ แย่ๆๆๆ

“ดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนี้น่ะ”

“อ่า นั่นสินะ” บางทีการปล่อยให้เขาลองคิดทบทวนอะไรต่างๆ คนเดียวอาจจะได้คำตอบที่ต้องการไม่มากก็น้อยล่ะนะ

“แล้วไหนเสื้อผ้าที่จะให้เรายืมอะ?” คีนเอียงคอมองกันด้วยสายตาฉงนพลางืนมือเรียวออกมาต้องหน้าแถมด้วยการกระดิกนิ้วขอเสื้อผ้าที่ผมตั้งใจจะไปหยิบให้ โอย ไม่มีหรอกครับคุณ เมื่อครู่ยังไม่ทันได้เดินเข้าห้องก็เปลี่ยนเป้าหมายมายุ่งเรื่องชาวบ้านก่อนไง ตอนนี้ก็ทำได้แค่หลบตาเป็นพัลวันนี่ล่ะ

“เอ้อ... พอดีจะถามว่าเอากางเกงในด้วยไหม?” ผมรีบยกเหตุผลหลักที่เพิ่งระลึกชาติได้ขึ้นมาถาม คนฟังถึงกับเบิกตาโตแล้วขยับถอยหนีจนเกิดช่องว่างระหว่างเราก่อนที่แก้มขาวจะค่อยๆ ขึ้นสีแดงระเรื่อ เอ... ผมว่าอากาศตอนนี้ก็ไม่ได้ร้อนนี่หว่า

“เฮ้ย บ้าเหรอ? จะให้เรายืมกางเกงในกิมเนี่ยนะ” เสียงคีนสูงจนผมเองยังเผลอสะดุ้งไปด้วย แต่พอตั้งสติได้ว่าอะไรเป็นอะไรก็รีบยกมือขึ้นโบกปฏิเสธทันที โอ๊ย เวรแล้วไงทำให้คนที่ชอบเข้าใจผิดเนี่ย

“ไม่ใช่ๆ คือเรามีกางเกงในตัวใหม่ที่ยังไม่ได้ใส่ไง” ผมรีบอธิบายจนลิ้นแทบพันกัน ส่วนคีนก็คลายปมที่คิ้วออกให้ได้โล่งใจ เฮ้อ เกือบโดนมองว่าเป็นโรคจิตแล้วไหมล่ะกู

“อ๋อ... งั้นเอามาก็ได้ ไว้เราจะซื้อคืนให้”

“ไม่ต้องหรอกๆ พอดีแม่เราซื้อสีไม่ถูกใจมาน่ะเลยไม่ได้เอามาใส่”

“อ้อ งั้นขอบคุณนะ”

จ้า นึกว่าจะโดนคีนกระโดดถีบขาคู่ซะแล้ว เฮ้อ

ผมอาบน้ำเป็นคนสุดท้ายในขณะที่สมาชิกร่วมห้องเข้านอนกันหมดแล้วเนื่องจากเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน เอาตามตรงคืออยากแวะไปกู๊ดไนท์คีนสักนิดแต่ฉุกคิดได้ว่าเขาอาจจะมีเรื่องอยากคุยกับโฮมต่อหรือไม่ก็ทบทวนตำราก่อนสอบในวันพรุ่งนี้ ผมก้เลยลากสังขารขึ้นเตียงด้วยอารมณ์หงอยๆ โธ่ นึกว่าจะได้นอนกับ... เออ ช่างแม่งเถอะ

ไอ้ปอมนั่งพิงหัวเตียงใต้แสงไฟสลัวๆ ทำให้ผมที่เพิ่งคลานขึ้นเตียงแทบช็อกเพราะมันดันเงยหน้าจนเห็นแค่ส่วนตาขาว โอ๊ย กูนึกว่าผี ทำไมไม่นอนดีๆ วะเนี่ย หัวใจจะวาย ถ้าเผลอกรี๊ดจนคีนได้ยินกูคงอายไปอีกนานแสนนาน

“เชี่ยปอม ทำไมมึงไม่นอนดีๆ เนี่ย?” ผมทิ้งหัวลงบนหมอนแล้วตะแคงข้างมองตาขาวๆ ของมันที่โผล่ออกมา แม่ง หลอนกว่าเมื่อครู่พันเท่าเพราะระยะใกล้กว่าเดิมแถมยังได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาดคล้ายคนคัดจมูกอีกด้วย หรือจะร้องไห้? บ้าน่า ไม่มีทางหรอก อย่างเก่งก็แค่แพ้ควันบุหรี่ที่ตัวเองสูบมั้ง

“นอนอยู่” มันพึมพำตอบทั้งที่ยังเหลือกตาอยู่ แต่เพิ่มเติมนิดหน่อยตรงที่ฝ่ามือขยับขึ้นวางประสานไว้ตรงหน้าท้อง นี่ถ้ามึงนอนลงในท่านี้กูคิดว่าศพแน่ๆ ไอ้เหี้ย ไฟยิ่งสลัวชวนขนลุกด้วย

“สัด เดี๋ยวก็เมื่อยคอตายห่า” คิดสภาพหัวเตียงต่ำกว่าคอแล้วมันต้องเอนคอลงไปดิ ไอ้ที่เตือนไม่ได้ห่วงสุขภาพมันหรอกแต่ไม่อยากเสียเซลฟ์ที่แอบหลอนลูกตาขาวนั่น มึงช่วยทำตัวให้เหมือนชาวบ้านเขาหน่อยเถอะนะ ไม่ใช่เครียดแล้วจะทำตัวหลอกหลอนคนอื่นแบบนี้ อีกนิดเดียวกูจะไปอันเชิญพระพุทธรูปลงจากหิ้งแล้วเนี่ย

“ซึ้งใจที่มึงห่วงกูจัง” เสียงยานๆ ตอบกลับมาจนผมทนไม่ไหวต้องสละหมอนหนุนเพื่อเอาไปฟาดหน้าแม่ง ไอ้ปอมรีบดีดตัวขึ้นร้องโอดโอยก่อนจะชักสีหน้าบูดบึ้งใส่ มึงคิดว่าเมื่อครู่ทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีหนังผีชนโรงอยู่หรือไงวะ

“หมั่นไส้ ลงมานอนดีๆ ได้แล้ว กูเกลียดตาเหลือกๆ ของมึงฉิบหาย” คราวนี้ผมตัดสินใจขว้าท่อนแขนของไอ้ปอมเพื่อกระชากให้ลงมานอนข้างๆ กันสักที มันหัวเราะเสียงเบาก่อนพยักหน้ารีบเป็นเชิงยอมแพ้แล้วค่อยๆ ไถลตัวลงตามแรงฉุด ผมเพิ่งสังเกตว่าชุดนอนแม่งเป็นลายหมีตะมุตะมิ โอ๊ย มึงแอบไปซื้อมาตอนไหนเนี่ย

“นอนแล้วนี่ไงคะสามี” หันมาคลี่ยิ้มหวานๆ พร้อมกับส่งจูบให้กันจนผมต้องใช้มือผลักหน้ามันออกด้วยความขยะแขยงก่อนจะไล่ไปปิดโคมไฟที่หัวเตียง ทั้งห้องมืดสนิทเพราะใช้ผ้าม่านแบบกันแสง ได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับและเสียงลมหายใจฟืดฟาด คือวันนี้ใช้ผ้าห่มผืนเดียวกันเลยไม่มีใครกล้าขยับตัวมากเพราะกลัวอีกฝ่ายถีบกระเด็น

ผ่านไปราวๆ สิบนาทีแต่ผมก็ยังไม่ข่มตานอนเพราะคิดถึงเรื่องของโฮมไม่จบสิ้น ทั้งเป็นห่วงเขาและไอ้ปอมว่าจะแก้ปัญหาคลุมเครือนี่แบบไหน คนหนึ่งสับสนคนหนึ่งปากแข็ง นอนมองเพดานก็ไม่ได้ช่วยให้คิดอะไรออกเลยว่ะ มีแต่ต้องคุยกับเจ้าตัวมั้ง

“ปอม...” ผมลองส่งเสียงเรียกคนที่นอนหายใจรดต้นคอกันอยู่ โอย ใครใช้ให้มึงตะแคงข้างเล่า ขนลุกหมดแล้วเนี่ยแต่ก็ไม่กล้าขยับหนีไปไหนเพราะตอนนี้ก็แทบจะตกเตียงอยู่แล้ว สัดปอมกินที่ฉิบหาย

ฟืด... เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดดังขึ้นในระยะประชิดจนผมเผลอผงะถอยหมิ่นเหม่จะตกเตียงแต่ก็โดนท่อนแขนหนักๆ ของไอ้ปอมวางพาดทับเอวสอบซะก่อนแถมด้วยการกระชับอ้อมกอด ถ้ามึงไม่ได้ละเมอกูต่อยฟันหักนะ

“เรียกทำไม ‘อยาก’ เหรอ?” โอ้โห ไม่ละเมอแถมกระซิบประโยคบ้าๆ ใส่หูอีก เดี๋ยวมึงจะโดนไม่น้อยไอ้เชี่ยปอม!

“ไอ้สัด คิดอะไรของมึงเนี่ย?” ผมยกมือขึ้นต่อยสะเปะสะปะจนกระทบเข้ากับ... เอ่อ คาดว่าน่าจะเป็นหัวไอ้ปอมเพราะได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังแทรกเข้ามา สมน้ำหน้ามัน ชอบพูดอะไรชวนอ้วกไม่หยุด

“อูย ไม่รู้อะ ง่วงแล้ว” มันส่งเสียงร้องงุ้งงิ้งก่อนขยับพลิกตัวจนเตียงสะเทือน ชายผ้าห่มที่อยู่ข้างผมเปิดขึ้นจนสัมผัสได้ถึงลมจากเครื่องปรับอากาศ หูย เปิดอุณหภูมิอย่างกับอยู่ขั้วโลกเหนือ มึงเป็นหมีขาวหรือไงวะ

“ส้นตีน คุยกันก่อน” ผมเอื้อมมือไปสะกิดต้นแขนแต่ดันรู้สึกว่ามันคือปลายจมูกของไอ้ปอม เอ่อ มีน้ำอะไรเยิ้มๆ ติดปลายนิ้วด้วยว่ะ อี๋ สกปรก จะเอาเช็ดผ้าห่มก็รู้สึกผิดปาดเอาที่เสื้อมันแล้วกัน หึหึ

“ไม่เอา ไม่คุย” ไอ้ปอมสะบัดตัวหนีก่อนจะพูดเสียงงุ้งงิ้งเหมือนเอาหน้าซุกหมอน ทำตัวอย่างกับเมียงอนผัว เฮ้อ เกลียดนิสัยหนีปัญหาของมึงจริงๆ เลย

“ทำไมงอแงวะ?” ผมบ่นแต่ก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรมันมากมาย แต่ไอ้แรงขยับตัวข้างๆ มาพร้อมกับท่อนแขนที่พากลงบนเอวสอบก่อนจะรู้สึกถึงการมุดซุกเข้ามาซบอกนี่มันยังไงกัน ฮือ ขนลุกไปหมดแล้วไอ้ป๊อม!

“นอนกัน” ยังมีหน้ามาทำเสียงหวานอีก ทุบหัวแบะดีไหมเนี่ย

“อย่าทำแบบนี้” ผมขู่พลางแงะตัวมันออกแต่พอสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นตรงอกเลยนิ่งไปซะอย่างนั้น นี่มึงน้ำลายย้อยใส่กูเหรอ... เอ้อ โทษที มันคงร้องไห้

“ไม่นอนกูจับจูบนะสามี”

“เชี่ย โอเค ไม่คุยก็ไม่คุย” นอนก็ได้วะ!




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 12 -P.2- 16/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-09-2018 12:48:26
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเช้าที่ผมแหกขี้ตาตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากด้านนอก ไอ้ว่านคงจะลุกมาอ่านหนังสือก่อนไปสอบแน่ๆ โอย กูง่วงเนี่ย แต่ก็ไม่สามารถนอนต่อได้อีกแล้วเมื่อสำนึกได้ว่าข้างๆ ห้องยังมีคีนอยู่ หูย รู้สึกกระปรี่กระเปร่าเชียว ไม่ต้องออกกำลังกายสักวันเนอะ ทำอาหารเอาใจว่าที่แฟนดีกว่า ฮึ่ย

แต่พอเดินออกมาด้านนอกกลับฝันสลายเพราะเห็นหลังไวๆ ของคีนเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะได้นั่งสบตากินมื้อเช้าด้วยกันก่อนไปสอบซะอีก สุดท้ายผมก็แพ้ไอ้กระต่ายขนฟูหน้าแบ๊วนั่น ฮือ เซ็ง (คาดว่าพี่สาวของคีนคงเอาคีย์การ์ดมาให้แล้ว)

“เชี่ยกิม มึงจะนั่งทับกูหรือไง?” เสียงแหลมๆ ทำให้ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบหันไปก้มหัวขอโทษไอ้ว่านที่นอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา ก็มันเสียใจเรื่องคีนเลยไม่ทันมอง ดีหน่อยที่แค่หย่อนก้นยังไม่ได้นั่งลงไปเต็มๆ

“โทษที แล้วนี่มึงยังไม่ไปสอบอีกเหรอ?”

“รอพี่โซนมารับอะ” มันขยับลุกขึ้นนั่งก่อนจะหยิบหนังสือบนตักวางไว้ที่โต๊ะด้านหน้า ดูท่าทางเทอมนี้คงได้ท็อปทุกวิชาล่ะมั้ง

“เออ จะแดกอะไรก่อนปะ? เดี๋ยวทำเผื่อ” ผมถามพลางพยักพเยิดหน้าไปทางครัวเป็นสัญญาณว่าจะเริ่มลงมือทำอาหารเช้าแล้ว ไอ้ว่านส่ายหัวปฏิเสธก่อนชี้ไปที่แก้วนมบนโต๊ะ แค่นั้นอิ่มจริงๆ เหรอวะ แต่ก็เหมาะสมกับสภาพร่างกายมันล่ะมั้ง คนแคระในตำนาน

หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็ถึงเวลาออกไปสอบ ในตอนแรกผมจะอาสาดึงโฮมขึ้นรถตัวเองเพราะบรรยากาศระหว่างสองคนนั่นทะมึนชอบกลแต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่ากูมาคนเดียวซะอย่างนั้น เหงาในเหงาอะ

ในจังหวะที่กำลังหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าประตูมหา’ลัยเสียงริงโทนก็ดังขึ้นส่งผลให้ผมต้องเหลือบสายตาไปดูที่หน้าจอแล้วก็ต้องขมวดคิ้วฉับ นายแม่คนสวยทำไมโทรมาเอาตอนนี้ ปกติก็ติดต่อมาช่วงเย็นๆ ถึงหัวค่ำไม่ใช่เหรอ แปลกว่ะ หรือมีธุระด่วน ขอจอดรถก่อนได้ไหมครับ โธ่ จะจิกรัวๆ ทำไมเนี่ย

Rrrrr

โอย รับแล้วครับคุณน๊าย

“ครับแม่” ผมกรอกเสียงรับสายแม่ไปสั้นๆ พลางปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยออก เครื่องยนต์ถูกดับในเวลาต่อมาก่อนที่ประตูจะเปิดเพื่อให้รองเท้าหนังถูกระเบียบย่ำลงบนพื้นมหา’ลัย

‘รับสายช้าจัง ทำอะไรอยู่หืม?’ เสียงแข็งมาเชียวคุณนาย ผมก็ขับรถไหมล่ะครับ ไม่ได้ปาร์ตี้เมาเหล้าอยู่ที่ไหนซะหน่อย

“ขับรถครับ มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า?” ผมถามกลับอย่างรู้ทันก่อนจะเดินคว้าเอากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบนหลังแล้วปิดประตูรถก้าวขาเข้าคณะอย่างชิวๆ โบกมือทักทายเพื่อนร่วมคณะบ้าง หนึ่งในนั้นมีไอ้น้ำปิงอยู่ด้วย จะบอกว่าวันนี้มันสวยเป็นพิเศษเพราะใส่กระโปรงยาวแต่งหน้าอ่อนๆ จนสาวเกาหลียังอาย

‘เย็นนี้กลับบ้านหน่อยนะ มีเรื่องให้ช่วย’

จ้า เดาเอาไว้ไม่มีผิดเลยว่าต้องเป็นเรื่องนั้นแน่ๆ ให้ช่วยงานน่ะไม่ว่า แต่จับคู่ด้วยอันนี้ไม่เวิร์คมาก ผมชอบผู้ชายครับ อยากตะโกนให้โลกรู้!

“เรื่องสถานที่จัดงานเปิดตัวเครื่องเพชรคอลเล็คชั่นใหม่ใช่ปะครับ?” ผมถามด้วยเสียงเนือยๆ ก่อนจะพุ่งเข้าหาเป้าหมายที่ส่งยิ้มมาให้ คีนในสภาพถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้านี่มันดีจริงๆ เลยว่ะ มีออร่าสมเป็นเดือนคณะไปอีก หูย คือผมแทบลืมเรื่องดราม่ากับแม่เลยไง จับคู่บ้าบออะไรนั่นช่างมันเถอะ ตอนนี้จะละลายแล้ว หัวใจก็เต็นแรงมากเพราะเขาดันกวักมือเรียกอะ

‘ลูกเก่งที่สุดในโลกเลย’ คำชมที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักราวกับถูกใจนั่นทำให้ผมแทบเดินสะดุดก่อนอิฐตัวหนอน แม่งเอ๊ย ถ้าใครได้ยินประโยคนี้คงขำก๊ากแน่ๆ แม่จะอวยลูกยังไงก็ได้แต่ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ

“โธ่ ไม่ต้องชมผมเหมือนเด็กห้าขวบหรอก แม่ส่งรูปสถานที่ให้เลือกก็ได้ครับ ผมยังสอบไม่เสร็จเลย” ผมอ้อนเพราะถ้าเลือกยอมแม่ในวันนี้คงไม่ได้กลับมาค้างที่ห้องไอ้ปอมอีกเลยเพราะเธอจะกักตัวไว้จนกว่าจะปิดเทอม ถึงเวลานั้นยังไงๆ ผมก็ต้องนอนบ้านอยู่ดี การที่ไม่ได้เจอคีนเป็นอะไรที่เลวร้ายสุดๆ เอาจริงคือยังไม่ได้เตรียมใจเว้ย อีกอย่างคือยังไม่อยากเจอลูกสาวเพื่อนแม่คนใหม่ นี่ปฏิเสธไปสิบรอบแล้วมั้งไอ้เรื่องฟงแฟนเนี่ย โธ่ ก็ไม่ได้ไร้น้ำยาขนาดนั้นปะ หาเองได้!

‘พรุ่งนี้ลูกไม่มีสอบ’ นี่แอบส่งสปายติดตามตัวผมเหรอ? จะร้องไห้แล้วนะ!

“ใครเอาตารางสอบให้แม่เนี่ย? ผมต้องอ่านหนังสือนะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างคีนจนได้แต่ไม่ยิ้มแย้มกระดี๊กระด๊าเหมือนประจำจนคนร่วมโต๊ะ (โฮมกับปอม) ถึงกับขมวดคิ้วมองมาทางนี้ คำอธิบายของผมเลยเป็นการชี้ๆ โทรศัพท์แล้วขยับปากพูดว่า ‘แม่’ ทุกคนเลยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

‘ถ้าไม่กลับบ้านเดือนหน้าแม่จะหักค่าขนมครึ่งหนึ่ง’ โอย เดือนหน้าผมก็นอนตายอยู่บ้านไหมล่ะ มันเข้าช่วงปิดเทอมแล้ว แต่จะไม่มีเงินออกไปเที่ยวเล่นนี่สิ โอย สุดท้ายก็แพ้แม่จนได้

“โธ่... ก็ได้ครับๆ เย็นนี้เจอกัน” รับปากจบก็กดวางสายแล้วไถลหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเอง หมดแรงจะทักทายเพื่อนจริงๆ มีครั้งไหนบ้างที่ผมไฟท์กับแม่แล้วชนะเนี่ย แต่เอาเถอะ เธอก็แค่หวังดีอยากให้ลูกชายมีแฟนน่ารักนิสัยดีก็เท่านั้น ไม่ได้ถึงขั้นบังคับคลุมถุงชน ถ้าปฏิเสธว่าไม่ชอบคนนี้ทุกอย่างก็ผ่านไปราวกับสายลม แต่... คนใหม่ก็จะถูกเสนอเข้ามาเรื่อยๆ เฮ้อ ผมอยากได้ ‘คีน’ อะ ทำไงดี

“แม่มึงจับคู่ให้อีกแล้วเหรอไง?” ไอ้ปอมถามอย่างรู้ทันจนผมนับถือที่มันเป็นเพื่อนกันมาหลายปี แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ใช่สถานการณ์ที่มีคันนั่งหัวโด่อยู่ ไอ้สัด!

“มึงจะพูดต่อหน้าคีนทำไมเนี่ย?” ผมลุกขึ้นนั่งหลังตรงแน่วก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ปอม ถ้ากระโดดกัดหัวได้คงทำไปแล้ว โอย หมั่นไส้ที่มันหลบหลังโฮมอีก ตีนกระตุกยิกๆ เลยเนี่ย เกลียด!

“เอ้อ กูขอโทษ แหะๆ” มันยกมือขึ้นลูบท้ายทอยพลางส่งยิ้มแหยๆ มาทางนี้ ซึ่งผมก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ ก็มีแต่ต้องอธิบายให้คีนเข้าใจว่าเรื่องที่ขอจีบนั่นไม่ได้ล้อเล่นนะ จริงจังนะ แต่จับคงจับคู่นี่มันส่วนของแม่คนเดียวผมไม่เกี่ยว ไม่ได้อยากไปเลยด้วยซ้ำถ้าไม่โดนบังคับ

“คีน คือมันแบบ...” เชี่ยตรงที่อธิบายไม่ถูกนี่ล่ะ ร้องไห้ได้ไหม แต่พอเจอรอยยิ้มบางๆ จากคีนเท่านั้นล่ะ รู้สึกเหมือนความอึดอัดทั้งหลายพังทลายลงต่อหน้าเลย นึกว่าเขาจะโกรธซะอีก

“แม่เขารักกิมน่าดูเลยนะ”

“อ่า... ก็คงงั้นล่ะ แต่ยังไงเราก็ชอบคีนอยู่ดี” เออ อันนี้ผมไม่ได้ตั้งใจหยอดแต่เป็นการบอกความรู้สึกให้คันได้รับรู้ทั้งน้ำเสียง แววตาและการกระทำทั้งหมดคือเรื่องจริง ชอบ รัก... ไม่เคยโกหก

“ชอบสาวๆ ไม่ดีกว่าเหรอ? ไม่เสี่ยงโดนกีดกันด้วยนะ” แต่คีนกลับถามผมแบบนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน ซึ่งยอมรับว่านอยด์แต่ก็เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อ ใช่ ผมไม่ต้องผิดใจกับครอบครัว ไม่ต้องโดนสังคมมองอย่างรังเกียจ แต่หัวใจคนเรามันสามารถบังคับได้หรือไง

“ถึงจะโดนกีดกันแต่เราก็เต็มใจนะเว้ย เตรียมพร้อมผ่านปัญหาเรื่องนี้ไว้แล้วด้วย” ผมบอกเสียงหนักแน่นก่อนจะถือวิสาสะเอื้อมมือไปจับไหล่ทั้งสองข้างของคีน เชื่อสายตาของเราสิว่าทุกปัญหาจะผ่านพ้นไปได้อย่าฃราบรื่นแน่นอนถ้าตัดสินใจคบกัน... แม่ง มโนไปไกลถึงนู่น เขาเริ่มหวั่นไหวหรือยังเหอะ หมากิมเอ๊ย หนทางอีกยาวไกลจ้า

“รู้สึกเขินเลยแฮะ” คีนพึมพำกลั้วเสียงหัวเราะในขณะที่ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อจริงๆ ส่วนผมนี่มือไม้แข็งไปหมดแล้วเพราะโดนดาเมจเข้าเต็มเปา ฮือ ทำไมต้องน่ารักน่าบีบขนาดนี้ด้วยวะ ถ้าไม่เกรงใจจะจับฟัดแล้วเนี่ย

ฟืด สูดลมหายใจเรียกสติหน่อย เดี๋ยวเตลิดไปไกลกว่านี้... ฮึบ!

“แต่เราอยากให้คีนรู้สึกชอบมากกว่า” อะ หยอดเป็นขนมครกจนอีกภายเบิกตาโตก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา โธ่ อุตส่าห์หน้าด้านกล้าจีบในตอนมีคนอื่นอยู่ด้วย ทำไมได้ผลลัพธ์แบบนี้เล่า เขินต่อสิ ไม่ใช่ขำจนตัวงอแบบนี้!

“หูย จะอ้วก” อะ กระทืบกูให้ตายๆ ไปเลยเถอะไอ้ปอมถ้าจะพูดแบบนี้ แม่ง เพื่อนทรยศ เกลียด!

“ฟัคยู!”

วันนี้แปลกที่ผมภาวนาในเวลาสอบยืดเยื้อกว่าปกติเพราะไม่อยากกลับบ้านในเร็วๆ นี้ ยิ่งได้อ่านข้อความที่แม่ส่งมาช่วงพักเบรกก็เผลอทึ้งหัวตัวเองจนแทบหลุดออกจากบ่า เพราะเนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสถานที่จัดงานเครื่องเพชรอะไรของคุณนายเลยด้วยซ้ำแต่ดันนัดให้ผมไปเจอที่ร้านอาหารสไตล์โอมากาเสะราคาต่อคนประมาณครึ่งหมื่นเพื่อแนะนำลูกของเพื่อนให้รู้จัก จ้า อยากกระโดดคลองมหา’ลัยให้ตัวเงินตัวทองลากไปแดกในน้ำจริงๆ แม่ง

“นั่งซึมอยู่ได้ แม่มึงโทรมาหลายสายแล้วนะเว้ย” เป็นไอ้ปอมที่เดินเข้ามาสะกิดไหล่หลังจากที่มันเห็นผมนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงระเบียง โธ่เว้ย ทำไมวิชานี้ข้อสอบมันง่ายจังวะ แล้วแม่มีตาทิพย์หรือยังไงถึงได้โทรจิกทันที่ที่ผมก้าวขาออกจากห้อง ถอนหายใจรัวๆ แม่ง ขนจมูกปลิวแล้วเนี่ย

“เบื่ออะ กูชวนคีนไปกินข้าวเย็นแทนได้ปะ?” ผมออกอาการงอแง เอาจริงๆ อยากแกล้งลืมนัดของแม่ไปซะแต่มันก็ทำไม่ได้ไง เฮ้อ

“มึงอยากตายก็เชิญ” จ้า อวยพรกูได้น่ารักมากเลยคุณเพื่อน เดี๋ยวเอาตีนยัดปากเลยนี่

“แม่ไม่บังคับกูเรื่องมีแฟนแต่หาคนนั้นคนนี้มาเสนอคืออะไรวะ?” ผมขมวดคิ้วมองหน้าไอ้ปอมที่ยืนค้ำหัวกันด้วยสีหน้าไม่เข้าใจในการกระทำของแม่ ไอ้ที่คิดว่าเขาหวังดีก็ใช่หรอก แต่ปล่อยให้ผมอยู่สบายๆ ไม่ได้หรือยังไง นี่เพิ่งอายุสิบแปดนะเว้ยไม่ใช่สามสิบ ยังมีเวลาหาแฟนอีกเยอะ

“แม่หวังดี ใครที่ผ่าน QC จากเขา ก็มั่นใจว่าจะเข้ากับมึงได้ไง” มันพูดพลางเอื้อมมือมาตบบ่าผมเป็นการปลอบ ซึ่งก้จริงตามนั้น แม่ก็คือแม่ที่รักลูกมากกว่าใครๆ บนโลกนี้

“กูลากคีนไปด้วยเลยดีปะ? เรื่องจะได้จบๆ” อะ ผมไม่เลิกงอแงไง เพราะความรู้สึกมันไม่ไปตามความเข้าใจ อยากลงไปดิ้นๆ ร้องไห้เหมือนเด็กเวลาไม่พอใจชะมัดแต่อายสายตาชาวบ้านเขา เฮ้อ ส่วนคีนก็ปลีกตัวไปทำธุระตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบแล้ว สงสัยมีนัดกับที่บ้านเหมือนเดิม

“ถ้ากล้าก็ทำ กูเชื่อว่าบ้านมึงรับเรื่องนี้ได้แน่นอน” ไอ้ปอมไม่ได้ประชัดผมรู้ดีแต่มันกล้าพูดเพราะความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่สามารถทำได้เนื่องจาก...

“กูไม่ได้เป็นอะไรกับคีน” นั่นล่ะ ปัญหาสำคัญของผม โธ่ ก้มหน้าร้องไห้เลยไง

“งั้นคิดซะว่าไปแดกอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยมก็แล้วกัน” มันบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เออ อาหารสไตล์โอมากาเสะเป็นระดับพรีเมี่ยมเพราะใช้วัตถุดิบส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่น อูนิเอย โอโทโร่เอย เนื้อวากิวงี้ มีแต่ของสุดยอดทั้งนั้น แต่มัน...

“ไม่อิ่มแน่ๆ เลยว่ะ” เพราะของที่ได้กินรวมกันไม่ถึงยี่สิบคำด้วยซ้ำ ฮือ จะร้องไห้กับราคามาก

“เออน่า อย่าเรื่องเยอะ ไปๆ ลุก”

จ๊ะพ่อ ไม่เห็นต้องรุนแรงดึงหูกูเลยเนี่ย!



----------------------------------------------------

ก็จะวุ่นวายหน่อยๆ จนไม่มีเวลาจีบกันแบบนี้ล่ะน่า อุปสรรคความรักคนกากนี่เยอะจริงๆ
ตอนหน้ามาลุ้นกันว่าน้องกิมจะโดนนายแม่จับคู่กับสาวคนไหนหนอ รับรองว่ามีอึ้ง
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 12 -P.2- 16/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-09-2018 05:34:30
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 13 -P.2- 20/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-09-2018 08:50:35
รูปถ่ายใบที่ 13


“ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะกิมมิค?” คำถามแรกที่เธอเห็นหน้าลูกชายในรอบเดือนทำให้ผมลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก้มลงมองสภาพตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่เห็นว่ามันแย่ตรงไหน ชายเสื้อนักศึกษาอยู่นอกกางเกง รองเท้าแตะแบบสอดนิ้วโป้ง ผมยุ่งเหมือนเพิ่งไปฟัดกับสาวที่ไหนมา โธ่ แค่เจอเพื่อนแม่ไม่เห็นต้องงัดสูทออกมาใส่เลยจริงปะ?

“มันก็ปกติของผมนี่ครับ” ผมไหวไหล่ไม่สนใจสายตาตำหนิของแม่แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวด้านหน้าเค้าน์เตอร์บาร์ในร้านอาหารสไตล์โอมากาเสะ ที่นี่ต้องโทรมาจองคิวล่วงหน้าถึงจะได้กินคือให้ความรู้สึกโคตรพรีเมี่ยมจริงๆ บรรยากาศดี ตกแต่งสวย เพลงบรรเลงแบบฉบับญี่ปุ่นเพราะๆ อืม... ถ้าพาคีนมาดินเนอร์คงฟินน่าดู

เพี๊ยะ!

เสียงฝ่ามือกระทบกับต้นแขนแกร่งทำให้ผมเบ้หน้าพร้อมกับซี๊ดปากทันที พอหันไปหาต้นเหตุก็เจอสายตาดุๆ กับริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีพีชกำลังแยกเขี้ยวใส่ แม่ไม่พอใจการแต่งตัวของผมเพราะกลัวว่าจะไม่ประทับใจอีกฝ่ายแน่ๆ ปกติเคยบ่นเรื่องเสื้อผ้าซะที่ไหนกันล่ะ ‘ใส่อะไรก็ได้ขอแค่มีเงินในกระเป๋าก็พอ’ เนี่ยคำสอนของเธอที่ลูกชายคนนี้จำได้ขึ้นใจ

“ผมเจ็บนะแม่” บ่นเสียงงุ้งงิ้งพลางยกมือขึ้นลูบต้นแขนเพื่อบรรเทาความเจ็บ แม่ไม่เคยอายที่จะดุผมกลางที่สาธารณะเลยสักครั้งเพราะเธอไม่ได้แสดงออกรุนแรงมันเป็นแค่การสั่งสอนเบาๆ ให้รู้ตัวว่าทำผิด โธ่ ก็ถ้าอีกฝ่ายไม่ชอบสภาพผมที่เป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องสานสัมพันธ์ต่อไง ดีซะอีก จะได้จีบคีนอย่างสบายใจ ~

“หัดแต่งตัวให้มันดีๆ หน่อย ให้เกียรติคนที่เราจะเจอด้วย” แม่ยังบ่นตามประสาคนเนี๊ยบชั่วคราวแถมมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแสดงออกทางสายตาอย่างชัดเจนว่าอยากเข้ามาช่วยจัดการเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ถ้ามันจะยุ่งวุ่นวายแบบนี้ผมกลับไปนอนคอนโดไอ้ปอมแล้วต้มมาม่ากินเองก็ได้

“ถ้าเธอจะไม่ชอบผมเพราะการแต่งตัวก็ช่วยไม่ได้หรอกครับ” ผมหลับตาลงก่อนระบายลมหายใจออกช้าๆ ก่อนจะเบนหน้าหนีคุณแม่คนสวยเพื่อมองพ่อครัวกำลังเตรียมของสำหรับสร้างสรรค์เมนูอาหารเมื่อถึงเวลานัดหมาย อีกเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้นผมจะได้รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีอะไรดีกว่าคนอื่นๆ ที่ผ่านมาหรือเปล่า เฮ้อ ไม่เห็นตื่นเต้นเหมือนตอนอยู่ใกล้คีนเลยว่ะ

“นี่พูดเรื่องอะไรตากิม?” แม่ถามเสียงสูงก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างมาประคองใบหน้าของผมเพื่อบังคับให้สบตากัน คนรอบข้างคงมองเห็นถึงความรักความเอ็นดูของพวกเราแต่ความจริงคือเธอกำลังขมวดคิ้วแล้วบีบแก้มกันต่างหาก เจ็บแล้วเนี่ย กรามจะแตกหรือเปล่า ฮือ

“ก็แม่จะให้ผมมาดูตัวไม่ใช่เหรอครับ?” ผมว่าเสียงอู้อี้ก่อนวางมือทาบทับลงบนอวัยวะเดียวกันเพื่อให้แม่คลายแรงบีบลงบ้าง เธอสะดุดลมหายใจกึกก่อนดวงตากลมโตจะเบิกโพลงด้วยความตกใจแต่เพียงเสี้ยวนาทีก็กลายเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เฮ้ย อะไรเนี่ย ผมไม่ใช่ตัวตลกโบโซ่นะเว้ย

“เดี๋ยวๆ ลูกเพื่อนแม่เป็นผู้ชายค่ะ” เธอผละมือออกจากแก้มของผมก่อนเลื่อนไปปิดปากเพื่อลดเสียงหัวเราะคิกคักที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ถ้าสังเกตสักนิดจะเห็นว่าตรงหางตาของเธอมีน้ำใสๆ เอ่อขึ้นมาด้วย โอย ผมอายคนอื่นจนแทบมุดเค้าน์เตอร์หนีแล้วเนี่ย ทำไมครั้งนี้มันผิดคาดไปไกลเลยล่ะ ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยแนะนำลูกเพื่อนที่เป็นผู้ชายให้รู้จักนี่ แต่ทำไม... ช่างแม่งเถอะ หน้าแตกหมอไม่รับอะ เจ็บใจเว้ย

“.....” พอรู้ตัวว่าเข้าใจผิดก็นั่งสงบเสงี่ยมมองจานเปล่าๆ ตรงหน้าเหมือนมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจพลางแอบยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อจนได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจเบาๆ ข้างหู จะโดนด่ากลางร้านอาหารหรือเปล่าวะกู เนี่ย ที่เขาบอกว่าชอบคิดอะไรไปก่อนมันไม่ได้เพิ่งรู้ซึ่งวันนี้ว่าเป็นความจริง ไม่น่าเลยไอ้กิ๊ม เสี่ยงโดนเธอตัดค่าขนมสองเดือนแล้ว

“มองแม่ในแง่ลบตลอดเลยนะ” เสียงบ่นไม่จริงจังนักจากคนข้างๆ ทำให้ผมเหลือบสายตาไปมองสีหน้าของเธอ พอได้เจอรอยยิ้มบางเข้าก็ทำให้ความหนักอึ้งในใจหายวาบ แม่ก็แค่แกล้งหยอกผมเหมือนทุกครั้ง ไม่วี่แววว่าจะโกรธอะไร ฮือ รักจังเลยครับ

“โธ่ ขอโทษครับ ก็แม่บังคับผมมานี่นา” ถึงตาผมบ่นคืนบ้างแต่ก็ไม่ได้พูดเต็มเสียงเพราะกลัวจะโดนฟาดเข้าให้อีกครั้ง แม่ย่นจมูกใส่ก่อนมองสำรวจการแต่งกายอีกรอบ คราวนี้ความรู้สึกมันแตกต่างออกไปเพราะผมเริ่มเข้าใจมากขึ้น เธอแค่ต้องการให้ลูกชายดูดีในสายตาคนอื่นๆ ก็เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการทำให้อีกฝ่ายหมายปอง

“หึ เดี๋ยวจะหล่อแพ้เขานะ” แหนะ อย่ามายุยงผมซะให้ยากเลยแม่ ขี้เกียจจะเอาเสื้อจุกในกางเกงแล้ว แต่งตัวแบบนี้ก็หล่อได้เหมือนกันน่า

“ผมมั่นใจในหน้าตาตัวเอง” ผมยักคิ้วกวนๆ พร้อมกับส่งรอยยิ้มทะเล้นให้แม่ที่กำลังเหล่ตามองมาทางนี้ ดูจากท่าทีแล้วเธอคงหมั่นไส้ลูกชายเต็มประดาเพราะสังเกตจากองศาริมฝีปากที่เปลี่ยนไป เบะเป็นเด็กๆ เลยเนี่ย

“ได้ข่าวว่าเขาเป็นเดือนคณะเชียวนะ” อะ ยังไซโคกันไม่เลิก เอาที่สบายใจเลยจ้า แต่ถ้าเขาหล่อสู้คีนได้ผมจะยอมยัดชายเสื้อเข้าในกางเกงให้เลยเอ้า แต่เชื่อว่าลูกชายเพื่อนแม่คงไม่งานดีขนาดนั้นหรอกมั้ง

“จะหล่อสักแค่ไหน...” ผมพูดยังไม่ทันจบแม่ก็สะกิดให้หันไปมองบุคคลที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาในร้าน ผู้ชายร่างโปร่ง ผมยาวประบ่าสีน้ำตาลเข้ม การแต่งตัวอยู่ในชุดลำลองเชิ้ตแขนยาวสีฟ้ากับกางเกงขาเดฟสีดำสนิทบวกด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาวเรียบๆ ดูยังไงก็หล่อฉิบหายแถมยังคุ้นตา

“น้องเดินมานู่นแล้ว หล่อจนตะลึงเลยใช่ไหมล่ะ?” แม่หัวเราะคิกคักเมื่อเห็นผมนิ่งไม่ยอมพูดอะไรออกไปสักคำ ไอ้ที่บอกว่าตะลึงมันคงน้อยไปเพราะตรงหน้าผม ในสายตาของผมตอนนี้นั้น...

“ฉิบหาย!” คีนตัวเป็นๆ เลยจ้า!

“สวัสดีครับคุณ... อ้าว กิม” เด็กหนุ่มมารยาทงามยกมือไว้คนสูงวัยกว่าด้วยท่าทางนอบน้อมแต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นผมชี้มือสั่นๆ ไปที่ตัวเองพลางอ้าปากพะงาบเพราะกำลังอึ้ง ทำไมโลกกลมพรหมลิขิตแบบนี้วะ พี่ปั๊ปโปเตโต้มาได้ยังไง โอ๊ย เนี่ย อยากให้วันนี้แม่บอกว่าเป็นการดูตัวเหมือนทุกครั้งฉิบหาย จะตอบตกลงทันทีเลยว่าเอาคนนี้!

“หืม รู้จักกันด้วยเหรอคะ?” แม่มองผมสลับกับคีนในขณะที่ขมวดคิ้วสวยน้อยๆ แสดงความสงสัย โธ่ จะไม่รู้จักได้ยังไงครับ จีบแล้วด้วยซ้ำ โอย ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมาก

“ผมกับคีนเรียนด้วยกันครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจพร้อมกับยืดอกเหมือนผู้ชนะ ส่วนทางด้านคีนถึงกับหลุดยิ้มก็จะพยักหน้าตอบรับคนสูงวัยด้วยท่าทางนอบน้อม ฮือ น่ารัก กิริยามารยาทสมกับเป็นลูกสะใภ้บ้านเราจริงๆ เลยเนอะแม่

“งั้นดีเลย มาๆ คีนนั่งข้างกิมเลยเนอะ” คุณแม่คนงามชักชวนลูกชายเพื่อนให้นั่งข้างๆ ผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนดีใจนักหนาที่ได้เจอ ส่วนผมแอบขยับเก้าอี้ให้เขาอย่างสุภาพโดนลืมไปเลยว่าอาจจะมีใครมองอยู่ โธ่ ก็คนมันลืมตัวไง พึงสำนึกอยู่อย่างเดียวว่าจีบเขา ฮึ่ย เขินจัง

“เอ่อ คุณน้าครับ พอดีว่าแม่ผมติดงานด่วนเลยมาไม่ได้แล้ว” แต่คีนไม่ได้สนใจการกระทำของผมเลยด้วยซ้ำเพราะเขาหันไปคุยกับแม่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก มาคนเดียวแถมไม่สนิทกับใคร ก็นะ...

“อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ ไว้น้านัดกับแม่เขาอีกครั้งก็ได้ วันนี้ถือซะว่าเรามากินข้าวด้วยกันเนอะ” จ้า ต้อนรับขับสู้ยิ่งกว่าลูกตัวเองอีก สนใจทาบทามเอามาเป็นสะใภ้เลยไหมครับแม่ คนนี้ผมยินยอมพร้อมใจแต่งงานด้วยแน่นอน อ่า แค่คิดก็เห็นสวรรค์แล้ว ยิ้มตาเยิ้มอยู่คนเดียวจนโดนเชฟมองแบบเหวอๆ เอ่อ ขอโทษที่ทำให้สยองกันนะ แฮ่

“ครับ” คีนตอบรับแม่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะนั่งลงข้างๆ ข้อศอกของเราแตะกันเล็กน้อยทำให้ต่างคนต่างหันมาสบตา ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนหัวใจพองโตชอบกล อยู่ๆ ไอ้ที่คิดว่าอยากพาเขามาดินเนอร์ร้านนี้ก็เป็นจริงเฉยเลย

“โลกกลมเนอะ” ระหว่างที่นั่งรอเมนูแรกจากเชฟเสียงทุ้มก็พูดขึ้นไม่ดังมากนักเพราะมันจะเป็นการรบกวนคนอื่นๆ ในร้าน แต่สายตาของคีนกลับจดจ่ออยู่กับอาหารที่กำลังถูกสร้างสรรค์ โธ่ สนใจผมนี่ครับคุณ

“เราว่าพรหมลิขิตมากกว่า” อะ หยอดหน่อยเผื่อเขาจะหันมาสนใจหน้าผมมากกว่าอาหารนั่น ทำไมใครๆ ก็ตื่นเต้นกับโอมากาเสะเนี่ย เอาจริงมันก็แปลกใหม่ดีเพราะเชฟเขามารังสรรค์เมนูให้เห็นกับตา แต่... ฮึ่ย ช่างมันเถอะ ถ้าเป็นความสุขของคีนผมยอมได้เสมอ ขอแค่อ้าปากคุยด้วยก็ใจเต้นแรงแล้ว

“น้ำเน่าจังเลยกิมเนี่ย” โดนแซะเข้าไปหนึ่งทีแต่ก็คุ้มตรงที่คีนหันมายิ้มทะเล้นให้กัน เออ ดาเมจแรงจนหัวใจผมแทบวายอะ มือนี่จิกขากางเกงจนจะทะลุอยู่แล้วเว้ย การเก็บความรู้สึกต่อหนาคนหมู่เยอะนับวันก็ยากเข้าทุกทีเมื่อความชอบในตัวเขามีเพิ่มขึ้น

“โธ่ เราจีบคีนอยู่นะ”

“นี่ เดี๋ยวคุณน้าก็ได้ยินหรอก” คีนหันมาดุผมด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะเหลือบมองคุณนายที่เอาแต่สนใจเชฟตรงหน้า ผมขยับยิ้มก่อนจะส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธแถมยังแกล้งเขาด้วยการเอื้อมมือไปแตะแก้มขาวๆ นั่นอีกต่างหาก โอย น่ารักจนใจละลายเลยว่ะ

“ไม่หรอกน่า แม่ตั้งใจฟังเชฟอธิบายเมนูจะตายไป” ถ้าเข้าสู่โหมดสนใจอะไรสักอย่างสิ่งรอบตัวก็ไม่สำคัญกับเธอหรอก ปกติผมไม่เคยชอบนิสัยนี้ของแม่แต่วันนี้โคตรรู้สึกดีเลยเพราะจะได้หยอดคีนเยอะๆ เอาให้เขินตายกันไปข้าง (น่าจะเป็นผมที่ตายมากกว่า)

“ดื้อจริงๆ เลย แล้วดีใจปะที่วันนี้ไม่ใช่การนัดจับคู่?” เมนูที่สองซึ่งเป็นเนื้อวากิวย่างชิ้นพอคำถูกคีบใส่ปากหลังจากคีนจบคำถามนั่น ดวงตารีจ้องมองกันอย่างซุกซนแถมด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก เดาว่าเขาคงอยากหัวเราะที่ผมคิดเป็นตุเป็นตะเอาเองแน่ๆ ก็นะ... แม่ชอบใช้วิธีนี้จนจำฝังใจแล้วนี่นา

“ไม่เลย โคตรเสียใจอะ วันนี้เป็นวันแรกที่เราอยากให้แม่บอกว่ามันคือการนัดจับคู่” ผมแกล้งทำตาละห้อยพร้อมใช้เสียงหงอยๆ ในการแสดงออก คีนที่ในตอนแรกก็จ้องกันซะดิบดีกลับกันหน้าหนีไปสนใจเชฟตรงหน้าเฉยเลย แต่ผมจะไม่งอแงเพราะเห็นใบหูแดงๆ นั่นก่อน หึหึ แบบนี้เขินแน่นอน เชื่อกิมมิคเหอะ

“กิม... หยุดพูด” หูย เสียงแข็งแต่สั่นแบบนี้ก็ขอแกล้งต่อหน่อยแล้วกันน้า อย่าโกรธผมเลยก็คีตอยากน่ารักเองทำไมล่ะ

“เขินเหรอ?” ผมถามเสียงทะเล้นก่อนขยับเข้าไปกระแซะไหล่ของคีนเป็นการหยอกล้อ เจ้าตัวหันขวับมาแยกเขี้ยวใส่

“พอแล้วน่า” แหนะ ขมวดคิ้วแถมด้วย โอ๋ๆ น้า แต่ผมยังไม่พอใจอะ

“แก้มแดงแล้ว” อะ ยืนมือไปจิ้มแก้มเขาอีกหน่อยจนโดนดุด้วยสายตา ก็ดันโดนเชฟเหลือบมองด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจนแม่หันตามนี่ล่ะ เกือบไปแล้วไหมล่ะชีวิตไอ้กิม

“เดี๋ยวเอาตะเกียบจิ้มตาแม่ง” คีนเวอร์ชั่นดุให้ความรู้สึกเหมือนตอนไอ้ชมจันทร์เกรี้ยวกราดเวลาอาหารหมดเลยว่ะ ยังไงๆ ก็น่าบีบอยู่ดี โอย หัวใจพี่กิมจะวายจริงๆ แล้วครับ

หลังจากนั้นผมก็หันไปสนใจเมนูอาหารที่ถูกยกมาเสิร์ฟตรงหน้าบ้างเพราะไม่อยากให้คีนรู้สึกว่าโดนคุกคามมากจนเกินไป ที่จริงแล้วก็เหลือบมองเป็นระยะ ผมอยากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเนื่องจากองศาใบหน้าด้านข้างของเขาดูดีมาก มีเสน่ห์ดึงดูดจนเกือบเผลอเอาจมูกไปแตะเบาๆ ตรงสันกรามนั่น คือแม่งลำบากมากกับการสนใจอย่างอื่นเนี่ย แม่ก็เอาแต่ดื่มด่ำกับของกินไม่หันมาชวนคุยเลย แย่แน่ๆ

“ถ้าจะมองหน้าเราขนาดนี้ไม่ต้องกินอูนิแล้วมั้ง” อยู่ๆ คีนก็พูดขึ้นทำให้ผมสะดุ้งเพราะมัวแต่จ้องเขา เกือบทำตะเกียบหล่นพื้นด้วยว่ะ โคตรไม่เซียนเลยไอ้กิมเอ้ย แล้วเพิ่งมารู้อีกว่าตรงหน้ามีของโปรดมาเสิร์ฟ หูย อูนิชิ้นโตบนข้าวปั้นเม็ดใส อ่า ถ้าได้กัดสักคำคงฟินไม่รู้ลืมแน่ๆ แต่ว่า...

“มันไม่น่าสนใจเท่าคีน” อะ ถ้าจะโดนต่อยก็ยอม ผมพูดความจริงล้วนๆ เหอะ นั่น... คีนหน้าแดงแล้วเว้ย เยส!

“เราจะกินอูนิของกิม” วิธีแก้เขินของคียคือก้มลงจ้องอูนิในจานของผมเขม็ง ตะเกียบที่ถืออยู่ในมือสั่นกึกๆ โหย คือวันนี้ผมใช้คำว่าน่ารักโคตรเปลือง

“ตามสบายเลย เราเต็มใจยกให้” โปรยคำหวานพร้อมรอยยิ้มละมุนเข้าไปอีกดอกซึ่งนั่นทำให้คีนถึงกับชะงักกึกแล้วตวัดสายตามองผมเหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อ

“หยอดเก่งจังเลยนะเดี๋ยวนี้” คีนเหล่ตามองผมอย่างจับผิดในขณะที่ผมไหวไหล่เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ยอมรับว่าเดี๋ยวนี้มีความกล้ามากขึ้นเพราะเขาไม่มีท่าทีรังเกียจนี่ล่ะ แถมบางครั้งก็เผลออ่อยกันด้วย ฮึ่ม น่ากัดให้จมเขี้ยว

“ก็อยากให้ชอบเราเร็วๆ นี่”

“หึ ยาก!” แล้วอูนิก็บินเข้าปากคีนไปแบบสวยๆ ในขณะที่ผมลอบอมยิ้มอย่างสุขใจ ขืนมีท่าทางแบบนี้บ่อยๆ ความฝันคงไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วล่ะไอ้กิม หึหึ

มื้ออาหารหรูผ่านไปอย่างราบรื่นโดยที่แม่เป็นเจ้ามือจ่ายให้แต่คีนกลับพยายามช่วยจึงโดนดุไปตามระเบียบ ตอนนี้ก็เดินคอตกเป็นกระต่ายหงอยอยู่ตรงหลางระหว่างเราสองคน มันให้บรรยากาศแบบครอบครัวประคบประหงมสะใภ้ของบ้านไม่มีผิด ยิ่งคนที่เดินผ่านไปผ่านมาส่งสายตากรุ้มกริ่มผมก็ยิ่งรู้สึกหัวใจพองโตเหมือนได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้

“น้องคีนเริ่มช่วยงานคุณแม่ที่ร้านแล้วใช่ไหมเอ่ย?” แหมะ เสียงหวานหยดย้อยยิ่งกว่าตอนอ้อนพ่อไปเที่ยวต่างประเทศซะอีก แม่นะแม่ ดูท่าทางจะชอบคนนิสัยแบบคีนเข้าแล้วล่ะ โธ่ คนนี้ของผมห้ามแย่งสิ

“ก็ช่วยนิดหน่อยเวลาตากล้องไม่พอน่ะครับ” คีนก็ใช้รอยยิ้มหวานๆ เปลืองเหลือเกิน ผมนี่แทบตกกระป๋องไปแล้ว กลายเป็นหมาหัวเน่าแล้วเนี่ย ไหนบอกจะพามารู้จักลูกของเพื่อนแม่ไง

“ตากิมก็ช่วยน้าหลอกล่อสาวๆ มาซื้อเครื่องเพชรเหมือนกัน รายนี้เจ้าเล่ห์นัก” ผมแทบเดินสะดุดขาตัวเองล้มหน้าคว่ำ พอจะมีส่วนร่วมในบทสนทนาสักหน่อยก็ดันเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้คีนได้รับรู้ ไอ้ความเจ้าเล่ห์ก็มีแค่ตอนอยากเรียกลูกค้ามาเปย์เครื่องเพชรเท่านั้นล่ะน่า ดูแม่ทำหน้าสิเหมือนผมหลอกล่อสาวไปฟันอย่างนั่นล่ะ

“แม่ครับ ไม่ขายลูกสิ” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากประกอบคำพูดพลางขมวดคิ้วไม่พอใจ แค่ผลตอบรับที่ได้กลับมาคือแม่ดันหัวเราะคิกคักแถมคีนยังเหล่มองด้วยสายตาทะเล้น อะ โดนเข้าใจผิดหรือเปล่าเนี่ย ต้องรีบอธิบายแต่ทำได้แค่อ้าปากเพราะเขาดันแทรกขึ้นมาซะก่อน

“กิมคงเจ้าชู้น่าดูเลยนะครับเนี่ย” อะ ดูเขาพูดสิครับ เพราะแม่คนเดียวเลยเนี่ย โหย แก้ข่าวให้ผมด่วนๆ เลย

“ไม่หรอกค่ะ ถ้าเจ้าชู้คงมีแฟนไปนานแล้ว แต่นี่เลิกกับคนเก่ามาตั้งแต่สมัยอยู่เกรดสิบก็ยังไม่มีคนใหม่สักที ไม่รู้แอบชอบใครอยู่บ้างหรือเปล่า?” ทุกอย่างเหมือนหยุดชะงักการเคลื่อนไหวเพราะคำพูดของแม่แทงใจผทเข้าอย่างจัง นับตั้งแต่แฟนเก่าที่ไม่มีความผูกพันธ์กันสักนิดจนวันนี้ผมก็ยังไม่เคยจีบใครต่อ ก็ดันมาหลงเสน่ห์เจ้าของไอจี the_kirin.z เข้าซะก่อนไง คำตอบก็อยู่ข้างๆ เรานี่ล่ะครับคุณนาย ถูกใจปะ แต่งเลยไหม นายกวินท์พร้อมแล้วเนี่ย

“โธ่ เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะครับ เอ้อ แล้วนี่แม่ของคีนทำร้านอะไรเหรอ?” ผมรีบชวนเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะไม่อยากให้แม่ซักไซ้อะไรต่อ จะให้ตอบตรงๆ ไปว่าชอบคีนก็ครัวเธอช็อกซะก่อน

“ร้านเวดดิ้งน่ะ ถ้าจะแต่งงานอย่าลืมใช้บริการได้นะ ของชำร่วย การ์ด ชุด จัดสถานที่ ถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง พวงมาลัยบ่าวสาว วางแพลนกำหนดการ รับทำทุกอย่างเลย” คีนโฆษณาร้านด้วยน้ำเสียงสดใส ยอมรับว่าขายเก่งจนเกือบคล้อยตามถ้าไม่ติดว่าผมสังเกตเห็นแววตาทะเล้นกับรอยยิ้มกวนนั่นซะก่อน เขาแกล้งผมอะแม่ ฟ้อง!

“เดี๋ยวเถอะ” ผมทำเสียงดุใส่คีนแต่ในขณะที่กำลังจะยกมือผลักหัวเขานั้นกลับโดนแม่ดึงแขนแล้วตีเพี๊ยะลงมา อูย เจ็บนะ จำลูกตัวเองผิดคนปะเนี่ย!

“ไปดุคีนทำไมหืม? เดี๋ยวแม่ตีเลยนี่” เดี๋ยวอะไรเล่า ตีผมแล้วเนี่ย

“เปล่านะแม่ แล้วนี่จะกลับกันหรือยังครับ ไปกินของหวานต่อไหม?” วันนี้ผมพาพวกเขาเปลี่ยนเรื่องคุยไปกี่ครั้งแล้ววะเนี่ย แต่ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจไม่เซ้าซี้เรื่องเมื่อครู่ เฮ้อ สบายใจ ไม่อย่างนั้นคงโดนแม่ซักจนขาวหลังจากแยกกันแน่ๆ

“แม่จะกลับแล้วล่ะ พรุ่งนี้ต้องบินไปอังกฤษ”

“ห๊ะ ไม่คิดจะบอกผมสักคำเลยเหรอ?” ผมชะงักฝีเท้าแล้วหันไปมองหน้าแม่อย่างตื่นๆ มือข้างหนึ่งจับชายเสื้อของเธอไว้แน่นเพื่อรั้งและคาดคั้นเอาคำตอบทางสายตา

“ยังไม่ชินอีกเหรอคะคุณลูกชาย? แม่มีงานด่วนจริงๆ” อะ ง้อกันด้วยการหยิกแก้มผมเนี่ยนะ ไม่ใช่แบบนี้ดิ แม่กำลังจะปล่อยให้ผมกลับไปนอนเฝ้าบ้านคนเดียวนะเว้ย ไม่แฟร์ๆ แบบนี้ปล่อยให้นอนคอนโดกับไอ้ปอมไม่ดีกว่าเหรอ?

“โอเคครับ เดินทางปลอดภัย” แต่ผมพูดได้แค่นั้นเพราะรู้ดีว่าถ้าแสดงท่าทีงอแงก็โดนแม่สอบสวนทันทีว่ามีเหตุผลอะไรถึงไม่ยอมอยู่บ้านคนเดียวแบบที่ผ่านๆ มา โธ่ ถ้าผมจีบคีนติดเมื่อไหร่สัญญาว่าจะเปิดตัวให้ครอบครัวรู้ทันที

“ค่ะ แล้วนี่น้องคีนจะกลับยังไงคะ?” แม่ตอบรับผมด้วยรอยยิ้มแล้วหันไปสนใจคีนที่เดินเคียงข้างเธออยู่

“น่าจะนั่งแท็กซี่กลับครับ วันนี้ขอบคุณมากนะครับ” ก้มหัวไหว้อย่างนอบน้อมแถมยังส่งรอยยิ้มละลายหัวใจคนให้อีก โอย เนี่ย มารยาทงาม น่ารัก ทำอาหารเป็น คุณสมบัติภรรยาชัดๆ

“ไม่เป็นไรๆ งั้นให้น้าไปส่ง...”

“ผมไปส่งคีนเองครับ!” อูย ลืมตัวเผลอเสียงดังไปหน่อยอะ แหะๆ โดนแม่กับคีนเหล่มองใหญ่เลย

“จ้าพ่อลูกชาย งั้นแม่ไปก่อนนะ กลับกันดีๆ ล่ะ” สุดท้ายแม่ก็ทำแค่ยิ้มแล้วโบกมือลาเราสองคนก่อนจะแยกเดินไปอีกทาง หวังว่าเธอคงไม่หนักใจกับการแสดงออกของผมหรอกนะ

หลังจากที่ส่งแม่จนลับสายตาไปคีนก็ชวนผมไปที่ร้านขายกล้อง ใบหน้าหล่อเหลาดูมีความสุขทุกครั้งเมื่ออยู่ท่ามกลางสิ่งที่ชอบ เลนส์เอย บอร์ดี้ ขาตั้ง ฟิลเตอร์ กระเป๋า แฟลชนอก ที่ยกตัวอย่างมานี่ทำให้คีนยิ้มเสมอ บางทีผมก็มีความรู้สึกอิจฉาว่ะ อยากอยู่ในสายตาเขาแบบนี้บ้างจัง

ผมคิดสะระตะไปเรื่อยระหว่างที่รอคีนเลือกเลนส์ฟิกซ์ที่สามารถถ่ายรูปบุคคลได้สวยแนวหน้าชัดหลังละลายเพราะมีคุณสมบัติคือรูรับแสงกว้างแต่ไม่สามารถซุมได้ ระยะที่แนะนำให้ซื้อก็ประมาณ 33 มม. หรือ 50 มม. แต่ข้อเสียคือมันไม่สามารถซูมได้และมีราคาค่อนข้างสูง หูย ดูเป็นคนฉลาดแต่เปล่าเลยเพิ่งค้นในกูเกิ้ลเมื่อครู่นี้เองเพราะเตรียมไว้รับมือถ้าโดนเขาชวนคุยไง เนี่ยเรื่องมันเศร้าขอนมเปรี้ยวจี๊ดๆ ผมมาเรียนสาขานี้แต่ดันโง่เรื่องนี้ เจริญพรจ้า

อะ ตอนนี้ผมเปลี่ยนมานั่งเท้าคางอยู่ที่ส่วนรับแขกพลางจิบน้ำเย็นๆ ที่พนักงานสาวเอามาบริการถึงที่ ถ้าไม่ติดว่าร้านเป็นกระจกและมีลูกค้าหลายคนอยู่เธอคงจัดการป้อนให้ด้วยแล้ว ทำไมผมไม่เสน่ห์แรงแบบนี้ใส่คีนบ้างวะ เซ็ง!

ในขณะที่กำลังตีอกชกลมอยู่นั้นอีกคนที่มีความสุขกับการเลือกเลนส์กล้องก็เดินตรงมาทางนี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนในมือมีถุงพลาสติกขนาดกลางสีขาวทึบติดมาด้วยนั่นแสดงว่าภารกิจช็อปในค่ำคืนนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ผมเห็นท่าทางของเขาแล้วนึกมันเขี้ยวเลยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้

“น้องคีน ~” หึหึ ส่งเสียงเรียกหวานๆ ด้วยคำที่แม่ใช้เรียกเขา โหย มันให้อารมณ์น่ารักน่าทะนุถนอมมากแต่ผมสังเกตได้ว่าคีนคิ้วกระตุกทุกครั้งกับสรรพนามนี้

“ล้อเลียนเหรอ?” อะ จากที่เขายิ้มดีใจกับของในมือตอนนี้กลับบุ้ยปากใส่กัน ดวงตารีก็หรี่เล็กลงเหมือนต้องการขู่คาดโทษ หูย กลัวแล้วจ้าพ่อกระต่ายตัวน้อย

“เปล่า เราแค่ชอบ ก็แบบ... น่ารักดีมันให้ความรู้สึกเหมือนคีนตัวน้อยๆ” ผมทำหน้าเพ้อฝันในขณะที่ก้าวขาตามคีนออกจากร้าน แอบเห็นว่าพนักงานสาวที่ขายของให้เขาเมื่อครู่มองตามพวกเราตาละห้อยเชียว อย่ามายุ่งนะเฮ้ย ถึงจะเป็นผู้หญิงกูก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แน่นอน

“คำว่าน่ารักไม่ควรเอามาชมผู้ชายปะ?” เดินได้ไม่กี่ก้าวคีนก็ชะงักกึกแล้วหันมาตวัดสาวตามองผมอย่างเอาเรื่องแต่ไอ้ปากที่กำลังอมยิ้มคืออะไรหืม? ชอบแกล้งกันจริงๆ เลยเจ้าพ่อกระต่าย

“แต่คีนเป็นข้อยกเว้นสำหรับเรา” หวานไหมล่ะ ผมหยอดอย่างกับเคยขายขนมครกมาก่อน สมแล้วที่คีนจะกล่าวหาว่าเป็นคนเจ้าชู้จริงๆ ก็ตอนแรกกับตอนนี้นิสัยผมต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย ก็ถ้าชักช้าหมาสักตัวจะคาบเขาไปแดกก่อนนะสิ มีโอกาสแล้วต้องจัดหนักจัดเต็มไว้ก่อน

“กลับกันเถอะ”

อ้าว หูแดงแล้วย่ำเท้าเดินหนีแบบนี้หมายความว่ายังไงครับคีน มาเคลียร์กันก่อนสิ หึหึ ผมอยากจะร้อง ‘เยสๆๆๆ’ ให้ลั่นห้าง โว๊ย วันนี้สามารถทำให้เขาเขินจนนับไม่ถ้วนได้โคตรภูมิใจเลย!




ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 13 -P.2- 20/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-09-2018 08:50:58
ตอนนี้ภายในรถสีเขียวมิ้นต์มีเพียงเสียงเพลงขับกล่อมพวกเราทั้งสองคนให้ถึงที่หมายโดยปราศจากบทสนทนาเนื่องจากเมื่อครู่คีนเพิ่งโทรคุยกับแม่ของเขาเรื่องที่มาพบกันในวันนี้ ต่อมาก็เป็นสายเรียกเข้าจากโฮมเรื่องการสอบ ต่อมาก็เป็นใครสักคนส่งไลน์มา โอย เอาเป็นว่าผมโดนเมินอย่างสมบูรณ์แบบชนิดที่ว่าฮัมเพลงผิดคีย์เขายังไม่หัวเราะอะ แย่โคตร ทั้งที่บรรยากาศฝนตกเป็นใจแท้ๆ

“ปิดเทอมมีแพลนจะไปไหนหรือเปล่า?” ทนความเงียบระหว่างเราไม่ไหวผมเลยตั้งคำถามลอยๆ แล้วก็ได้แต่ภาวนาว่าคนที่เอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์จะได้ยินมันบ้าง เดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นคนขี้น้อยใจเฉยเลย บางทีความรักก็ทำให้คนอ่อนแอได้จริงๆ เนอะ แต่มันก็สวยงามเสมอในสายตาของใครหลายคน

“อืม... ก็คงกลับบ้านน่ะ” ขอบคุณที่ตอบคำถามโดยที่ไม่มองหน้า! ฮือ ผมต้องทำยังไงวะเนี่ย

“จะไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งเดือนเลยสินะ” ผมแกล้งพึมพำเสียงหงอยก่อนจะแอบลอบมองคีน ครั้งนี้เขาหยุดพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์แล้วหันมามองกันด้วยใบหน้ายิ้มๆ โธ่ ไม่ล้อเลียนกันแบบนั้นสิ

“กลัวคะแนนตกเหรอ?”

กระแทกใจเข้าอย่างจังจนแทบกระอักเลือดแต่ผมก็พยายามข่มความรู้สึกไว้แล้วคิดคำพูดเสี่ยวๆ แทน คิดไว้ว่าหยอดทุกวันๆ เดี๋ยวคีนก็ใจอ่อนยอมเป็นเมียคนขายขนมครกเองนั่นล่ะน่า

“รู้ทันแบบนี้อยากรู้ใจด้วยปะ?” อะ ขยิบตาเหมือนโดนผงฝุ่นกระเด็นใส่แถมให้หนึ่งที คีนถึงกลับปล่อยเสียงหัวเราะก๊ากออกมา โอย เสียเซลฟ์เลยกู อายจนแทบจะเอาหน้าซุกพวงมาลัยหนีเนี่ย

“ไปพัฒนาสกิลการจีบมาจากไหนเนี่ย? ท่าทางกิมเจ้าเล่ห์เหมือนที่คุณน้าบอกไว้จริงๆ ด้วย”

“เราจริงใจกับคีนนะ” คราวนี้ผมตอบเสียงเครียดพลางขมวดคิ้วแน่น คีนก็ไม่ได้มีทีท่าอะไรแต่เป็นทางนี้เองที่รู้สึกไม่สบายใจกับประโยคนั้น เจ้าเล่ห์บ้างล่ะ เจ้าชู้บ้างล่ะ กลัวจะโดนเข้าใจผิดเอาจริงๆ จนไม่สามารถสานต่อความสัมพันธ์ได้นี่สิ

“รู้แล้วๆ ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นเลย” คีนว่าเสียงอ่อนก่อนจะเอื้อมมือมาคลึงระหว่างคิ้วของผมให้คลายออก ชั่วขณะหนึ่งที่หัวใจกระตุกวูบกับสัมผัสอุ่นๆ นั่น ชอบที่โดนสัมผัส ชอบการเอาใจใส่ สรุปง่ายๆ คือชอบทุกอย่างที่รวมกันเป็นนายคนินท์คนนี้ ผมไม่ขับรถแล้วได้ปะวะ อยากดึงเขาเข้ามากอดฉิบหาย

“กลัวคีนไม่เชื่อใจเรา” อะ งอแงใส่เขาแบบไม่มีเหตุผลอีกกู๊ เฮ้อ แล้วนี่ถึงคอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมเร็วแบบนี้ อีกเดี๋ยวก็ต้องแยกย้ายกันแล้วสินะ...

“คิดมากน่า แล้วก็ขอบคุณที่ให้ติดรถมาด้วย” คีนเลื่อนมือลงมาตบบ่าผมปุๆ ก่อนจะรวบกระชับสัมภาระในตักเพื่อเตรียมลงจากรถ แต่ผมยังไม่อยากแยกจากเขาเลยออกปากชวนคุยต่อ

“โธ่ ก็อยู่คอนโดเดียวกันนี่นา” ดูเป็นคนดีทั้งๆ ที่จริงแล้วถ้าไม่ใช่คีนผมคงปล่อยให้นั่งแท็กซี่กลับเอง

“ที่อาสามาส่งไม่ใช่เพราะว่าจีบเราอยู่หรอกเหรอ? ว้า แย่จังที่เข้าใจผิด” คีนแกล้งทำเสียงหงอยแต่หน้าตาระรื่นขัดกันฉิบหาย ผมถึงกับไปไม่เป็นจะเถียงอะไรก็ไม่ได้ในเมื่อความจริงเป็นอย่างที่เขาว่า โธ่ รู้ทันเกินไปแล้ว

“คีนอย่าแกล้งเราดิ” ผมบ่นงุ้งงิ้งแต่ข้างในกลับรู้สึกอย่างพุ่งเข้าไปฟัดคีนซะให้เข็ด ทำไมเดี๋ยวนี้ชอบแกล้งกันนักก็ไม่รู้ หรือเห็นมาผมเป็นรองเขาอยู่เนี่ย แต่ก็ยอมว่ะ เพราะมันทำให้เขายิ้ม

“ก็กิมน่าแกล้ง เราขึ้นห้องดีกว่า ไว้เจอกันวันมะรืน” แหนะ มียักคิ้วหลิ่วตาอีกคนเรา พอสบายใจก็หอบของหนีผมขึ้นห้องเลยเหรอ ใครจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นเล่า ถือวิสาสะเอื้อมมือไปคว้าต้นแขนซะเลยนี่ คีนหันมาเลิกคิ้วเอียงคอใส่กันด้วย น่าขย้ำชะมัด

“เจอพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ?” ผมโน้มตัวเข้าไปใกล้จนสายตาที่มองเห็นคีนนั้นถึงกับพร่ามัว ลมหายใจอุ่นๆ ตกกระทบใบหน้าของกันและกันชวนให้ก้อนเนื้อในอกทำงานหนัก แต่ในตอนนี้ต่างคนก็ต่างไม่ยอมแพ้จ้องได้เป็นจ้อง ใครหันหนีก่อนจะกลายเป็นไอ้ป๊อด

“ถ้าอยากเจอก็... ทำมื้อเช้ามาให้เรากินดิ แต่ถ้าไม่ถูกใจก็ไม่ได้เจอนะ” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะที่มาพร้อมนิ้วมือเย็นช่ำแตะลงบนแก้มของผมแผ่วเบาก่อนที่ไหล่จะถูกผลักออกห่าง คีนก้าวลงจากรถไปแล้วในขณะที่ทางนี้ได้แต่พึมพำกับตัวเอง

“ใครกันแน่ที่เจ้าเล่ห์วะ” แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ ให้ตายเหอะ

ผมไม่เคยรู้สึกเกลียดการปิดเทอมเลย แต่ครั้งนี้เป็นข้อยกเว้นเพราะมันทำให้งุ่นง่านนั่งไม่ติด หัวใจพาลจะโบยบินไปหาคีนอยู่นั่น นอนพลิกซ้ายทีพลิกขวาทีทว่าภาพเขาก็ยังไม่หลุดออกจากสมองสักที ใบหน้าหล่อเหลา น้ำเสียงนุ่มนวล เส้นผมสีน้ำตาลปลิดปลิวตามกระแส กลิ่นหอมจำเพาะบุคคลที่ตราตรึงในโสตประสาท ก็มัวแต่เพ้อแบบนี้ผมจะหลับลงไปยังไงล่ะเนี่ย ตีสองแล้วเว้ย ตีสองจ้า!

ไม่ได้เจอหน้ากันหนึ่งอาทิตย์แล้วเนี่ย แค่คุยกันผ่านตัวอักษรหรือโทรฟังเสียงมันก็ไม่พอสำหรับความต้องการของผมที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทางคีนก็ดูจะยุ่งกับงานที่ร้านเวดดิ้งพอตัว ไลน์ไปหาทีไรก็บอกว่ากำลังถ่ายรูปอยู่ตลอด มีเวลาให้กันอีกทีก็นู่น ตอนเกือบสี่ทุ่ม ดูเหมือนอุปสรรคความรักมากมายแต่จริงๆ แล้วก็แค่ความคิดของผมเท่านั้นเอง

ส่วนทางด้านพี่เซียนก็มีติดต่อมาบ้างแต่ผมไม่ค่อยตอบกลับแต่ล่าสุดโดนขู่ว่าจะบุกถึงเลยเลยจำใจคุยนิดๆ หน่อยๆ เฮ้อ วุ่นวายฉิบหายชีวิตไอ้กิมเนี่ย อีกอย่างคือพ่อกับแม่ดันหนีไปเที่ยวไต้หวันอี๊ก โธ่ หมาเฝ้าสมบัติดีๆ นี่เอง

“เบื่อเว้ย” ผมบ่นอัดหมอนให้สาแก่ใจก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเผื่อจะทำให้รู้สึกง่วงได้บ้าง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือไถทวิตเตอร์เพลินยันตีห้า ใครว่าผู้ชายไม่ขี้เสือกขี้นินทาวะ บางทีร้ายแรงกว่าผู้หญิงอีก โอย ก็ผมเล่นอ่านเรื่องดราม่าของศิลปินเกาหลีได้เป็นชั่วโมงๆ เชียวนะ พอรู้ตัวอีกทีคือได้ยินเสียงไก่ข้างบ้านขันซะแล้ว ตีห้าจ้า

อะ เพราะยังไม่ง่วงเลยเปลี่ยนไปไถไอจีต่อเพื่อดูความเคลื่อนไหวของคีน ตั้งแต่ช่วงสอบเขาก็ไม่อัปเดตอะไรเลยนอกจากกองหนังสือตั้งใหญ่กับปากกาเน้นข้อความหลายๆ สี ผมเลื่อนหน้าจออย่างรวดเร็วผ่านรูปไอ้ว่านอี๋อ๋อกับพี่โซน รูปไอ้น้ำปิงออกทริปกับครอบครัวที่ประเทศสวีเดน รูปไอ้ปอมกับรถคันใหม่ล่าสุดที่เพิ่งมาถึงโชว์รูมพ่อมัน แม่งเอ๊ย แต่ละคนชีวิตสุขสบายเหลือเกิน ทำไมมีแต่ผมที่นอนอืดอยู่บ้านวะ

กึก... มือผมชะงักเมื่อหน้าจอปรากฏรูปที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย บรรยากาศในภาพเป็นโทนสีอุ่นในร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น มีเค้าน์เตอร์บาร์ไว้สำหรับทำอาหารโชว์ ตัวอักษรคันจิบนแผ่นไม้ประดับอยู่บนผนัง องศาที่ถูกถ่ายทอดคือมุมเฉียง ท้ายทอยใครบางคนที่ติดมาเพียงเสี้ยวนั้น... กูนี่หว่า

เขาแอบถ่ายรูปผมอะ! โอย ดิ้นจนผ้าห่มร่วงไปอยู่ที่ปลายเท้าแล้วเนี่ย ใจเต้นตุบตับเลยว่ะเฮ้ย พอตั้งสติได้ก็มองหาแคปชั่นต่อ ในจังหวะที่อ่านข้อความเหล่านั้นผมถึงกับเบิกตาโตเพราะไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง โอย เหมือนอยู่ในความฝันที่มีปุยเมฆนุ่มๆ ลอยละล่องอยู่รอบตัวเลยว่ะ

the_kirin.z Once Upon a Time with Secret Boy(?) #อิ่มจังตังค์อยู่ครบ #ไม่แท็กนะครับ

ผมควรคอมเม้นต์อะไรดีวะ คือเขินจนมือไม้สั่นไปหมดแล้วเนี่ย คีนอัปรูปแบบนี้ไม่กลัวคนเปิดประเด็นเหรอวะ ตื่นเต้น อยากรู้ความรู้สึกของเขาด้วย เอาไงดี นัดเจอไหม โอ๊ย จะบ้าตายๆๆๆ แต่... ไอ้ Boy เนี่ย ขอเปลี่ยนเป็น Man ได้ไหมล่ะครับ



----------------------------------------------

มันก็จะจัดเต็มหน่อยๆ หูย เขินแทนคีนเลยฮะ 5555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 13 -P.2- 20/09/61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-09-2018 08:21:19
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2: :katai2-1: o13
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 14 -P.2- 02/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-10-2018 16:40:08
รูปถ่ายใบที่ 14



รูปและแคปชั่นในไอจีคีนในวันนั้นกลายเป็นประเด็นฮือฮาของเหล่าแฟนคลับของเขารวมไปถึงเพื่อนๆ ผู้อยากกินเผือกร้อนจำนวนมาก ไอ้ปอมนี่ตัวดีถึงขนาดโทรมาถามกันกลางดึกทำให้ผมหัวร้อนอยู่ไม่น้อยเมื่อเหลือบเห็นเวลาบนหน้าจอสี่เหลี่ยม แม่ง ตีสอง มึงควรนอนครับไม่ใช่แหกขี้ตาเพื่อรบกวนคนอื่นแบบนี้ แต่ผมก็รับสายแล้วตอบคำถามมันไปแบบมึนๆ ก็ง่วงอะ จำไม่ได้ด้วยว่าพูดอะไรไปบ้าง

ส่วนมากช่วงปิดเทอมผมจะใช้เวลาไปกับการหาโมเดล Nano Block หรือ 3D Crystal Puzzle แบบใหม่ๆ มาต่อเล่นแต่ปีนี้กลับแตกต่างออกไปเพราะต้องศึกษาเกี่ยวกับกล้องอย่างจริงจัง รุ่นไหนเหมาะสมกับการใช้เรียน ราคาประมาณเท่าไหร่ ควรซื้อเลนส์ไหนเพิ่มบ้าง อุปกรณ์เสริมที่ควรมีล่ะ ทำไมวุ่นวายขนาดนี้วะ โอย ปวดหัว

สุดท้ายผมก็ทิ้งทุกอย่างในมือลงแล้วเอนหลังนอนบนเตียงอย่างเกียจคร้านก่อนจะเหลือบมองโทรศัพท์ที่ไร้การแจ้งเตือนจากคีนมาแล้วสองวันเต็มๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเปิดคลาสสอนการถ่ายภาพให้กับบุคคลที่สนใจเป็นคอร์สระยะสั้นๆ ใช้เวลาสามถึงเจ็ดวันตามลำดับความชำนาญและไหวพริบของแต่ละคน

ผมก็อยากสมัครอยู่หรอกแต่อุปกรณ์ที่ต้องมียังไม่ได้ซื้อสักอย่าง แถมระยะเวลาแค่เจ็ดวันคงไม่สาแก่ใจ กับนายกวินท์แล้วนั้นคาดว่านายคนินท์คงต้องสอนทั้งชีวิตเลยล่ะมั้ง พอคิดได้แบบนั้นก็รีบคว้าโทรศัพท์มาพิมพ์มุกจีบสาวส่งให้คีนอย่างรวดเร็ว หวังว่าเขาคงจะอ่านมันบ้างนะ

กิมมิค : ถ้าเราสมัครเรียนถ่ายรูปบ้างคีนจะคิดค่าสอนเท่าไหร่?

แล้วผมก็ปล่อยโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัวก่อนจะหลับตาลงเพื่องีบกลางวันสักเล็กน้อยเพราะช่วงเย็นมีนัดดูหนังกับไอ้ว่านและไอ้ปอมแล้วไหลไปร้านเหล้าต่อ ส่วนข้าวเย็นคงจบลงที่กับแกล้มล่ะมั้ง เปรี้ยวปากกันมานาน แต่จับไม่ทันได้เคลิ้มกลับได้ยินเสียงสั่นครืดๆ ดังขึ้นจนต้องรีบควานมือหาอุปกรณ์สื่อสารอีกครั้ง

คีน : ก็ตามที่เราลงรายละเอียดไว้ในไอจีไง ไม่มีราคาพิเศษนะครับ ~

ผมอ่านข้อความที่เขาส่งมาจบก็ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที ตอบมาแบบนี้ก็เข้าทางให้เล่นมุกโดยไม่ต้องพยายามชักจูงอะไรต่อแล้วน่ะสิ หึหึ

กิมมิค : ถ้าเราอยากให้คีนสอนตลอดชีวิต คิดเท่าไหร่?

ส่งไปแล้ว... และมันคิดว่าอีกฝ่ายอ่านทันทีเหมือนเปิดหน้าแชทค้างไว้ แต่รอเกือบนาทีก็ยังไม่มีอะไรตอบกลับมาจนผมเริ่มใจเสีย หรือเล่นมุกนี้คีนไม่ชอบว่ะ เสี่ยวเกินแน่ๆ เฮ้อ พลาด...

ครืด

เฮ้ย ไม่พลาด!

คีน : ก่อนจะให้เราสอนทั้งชีวิต กิมมีอุปกรณ์หรือยังเหอะ ทำมาพูดดี
คีน : /สติ๊กเกอร์กระต่ายแลบลิ้น/

แต่หน้าแตกละเอียดเลยเว้ย โธ่ ก็คนมันไม่ได้ศึกษาเรื่องกล้องขนาดนั้นเลยไม่รู่ว่าควรเลือกซื้อตัวไหน แบรนด์อะไรนี่หว่า ดูๆ ไปมันก็ความสามารถใกล้เคียงกันหมด โอย กูมาเรียนสาขานี้ทำไม๊ พ่อแม่รู้ว่ากากขนาดนี้คงให้ลาออกไปเลี้ยงควาย แต่ผมชอบถ่ายรูปเพราะมันสามารถบันทึกความทรงจำช่วงเวลานั้นๆ ไว้ได้

กิมมิค : ถ้าอย่างนั้นคีนช่วยไปซื้อกล้องกับเราหน่อยได้ไหม

จุดประสงค์หลักคือซื้อกล้องจริงๆ แต่จุดประสงค์รองคืออยากเจอหน้าคีนจะแย่ นี่ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว... โธ่ แค่วีดีโอคอลยังไม่มีโอกาสได้คุยเลย งานยุ่งอะไรขนาดนั้นครับว่าที่แฟน

คีน : พรุ่งนี้เราว่าง นัดมาได้เลย

อูย อยากจะโห่ร้องดีใจให้บ้านแตกแต่กลัวว่าแม่ช็อกตายไปซะก่อน เยส! คีนตอบรับผมแล้ว เราจะได้เจอกันแล้วเว้ย ผมกระโดดเหยงๆ ไปรอบห้องด้วยความดีใจจนชนกับเหลี่ยมโต๊ะนั่นล่ะ จุกเลยกู

“เหี้ย เจ็บ!” ผมสบถเสียงรอดไรฟันแล้วลูบช่วงต้นขาที่โดนชนเข้าอย่างจัง จริงๆ ถ้าขยับองศาอีกนิดก็ทิ่มเป้าพอดี โอย เกือบเสียลูกชายไปแล้วไหมล่ะกู

พอความเจ็บเริ่มคลายลงผมก็รีบพิมพ์ข้อความนัดหมายเวลาและสถานที่ส่งไปให้คีนทันที ฝ่ายนู้นตอบกลับด้วยสติ๊กเกอร์โอเคแบบน่ารักๆ เดาว่าพี่สาวคงซื้อให้ล่ะมั้ง

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงที่ผมลากสังขารเปื่อยๆ ลงจากห้อง รู้สึกหิวจนไส้แทบขาด ส่วนเรื่องงีบกลางวันกลับไม่ได้ทำอย่างตั้งใจเพราะเอาแต่นอนยิ้มเหมือนคนเมากัญชาเนื่องจากคิดเรื่องคีน พรุ่งนี้ก็จะได้เจอกันแล้ว โอ๊ย ตื่นเต้นจนใจสั่นเลยเนี่ย ทำไงดีๆ ปากแทบฉีกถึงหูแล้ว

“ตากิม” เสียงหวานๆ ของแม่ดังขึ้นเมื่อผมเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้ายังคงไม่เปลี่ยนไปจนกลัวว่าเธอจะหาว่าลูกชายเป็นบ้า โธ่ อย่ามองด้วยสายตาจับผิดแบบนั้นสิครับ ผมหุบปากไม่ได้จริงๆ เพราะความสุขมันเอ่อล้นจนเก็บไม่ไหวเนี่ย

“ครับแม่” ผมเดินตรงไปหาแม่ที่ยังมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้า สังเกตจากท่าทางคงกำลังไม่พอใจกางเกงขาสั้นย้วยๆ กับเสื้อกล้ามแขนกว้างนี่สินะ

“ไปเปลี่ยนชุด” อยู่ๆ เธอก็ชี้นิ้วให้ผมเดินกลับไปชั้นบนแถมยังทำตาดุใส่อีกด้วย คือยังงงๆ อยู่ว่าทำไมต้องเปลี่ยนชุดตอนนี้ในเมื่อผมนัดกับเพื่อนตั้งสี่โมง

“หืม จะพาผมไปไหนครับ?” ผมเลือกที่จะตั้งคำถามนี้กับแม่เพราะรู้ว่าเธอไม่เคยเร่งรีบอะไรแบบนี้

“เราต่างหากที่ต้องพาแม่ไป” แม่ยักคิ้วสองข้างอย่างกวนๆ ก่อนจะไขว่ห้างแล้วเอื้อมมือหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยท่วงท่าสบายๆ แต่กลับทำให้ผมอึ้งแดก ก็จำได้ว่าไม่มีนัดกับแม่นี่นา อยู่ๆ ผมจะพาเธอไปไหนเล่า

“ห๊ะ?” ทำหน้าหมางงใส่แม่จนโดนตีเข้าที่หน้าท้องจังๆ หูย มือหนักเหมือนกันนะเนี่ย

“แม่จะเอาขนมไปฝากน้องคีน” เสียงเธอราบเรียบแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจนผมเองถึงกับสตั้นไปสามวิ เมื่อครู่คงหูฝาดไปมั้ง ไม่เกี่ยวกับคีนหรอก อาจจะเป็นน้องคิมที่แม่เคยแนะนำให้รู้จักเมื่อต้นปีก็ได้มั้ง...

“แม่... ว่าไงนะ?” ผมถามย้ำอีกครั้งก่อนจะทิ้งก้นลงบนพนักวางแขนโซฟาที่แม่นั่งอยู่ เธอวางแก้วชาแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มผมจนยืดแถมยังส่ายไปมาจนรู้สึกเวียนหัว โอย ตอนนี้อยากอ้วกแล้วเนี่ย

“เราจะไปบ้านน้องคีนกัน” อะ ชัดกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วเพราะแม่กดหัวผมให้รับฟังประโยคนั้นจากปากชิดริมใบหูเลยเชียวล่ะ ดวงตาคมเบิกกว้างเนื่องจากตกใจตามมาด้วยเสียงเต้นตึกตักๆ ในอกด้านซ้าย อืม... หายหิว หายเวียนหัวเลย

“ผม... ผมแต่งตัวยังไงดี?” ความกังวลเกิดขึ้นเมื่อสายตามองสำรวจสภาพตัวเองในตอนนี้ ปกติแล้วผมจะไม่คิดมากเรื่องแต่งตัวแต่เพราะคราวนี้เหตุการณ์ไม่เหมือนกัน จะได้เจอคีนพร้อมกับแม่ของเขาเชียวนะ โอย ตื่นเต้นจนมือไม่สั่นขนาดนี้ต้องทำยังไงล่ะเนี่ย

“ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วย ลูกดูแปลกๆ นะ” แม่หันมาจ้องผมด้วยสายตาจับผิด จะให้หลบหลีกก็คงไม่มีประโยชน์ในเมื่อเธอรู้จักนิสัยลูกคนนี้ดี ไม่เคยโกหกใครเนียน แสดงท่าทางนิ่งขนาดไหนก็โดนจับได้เสมอ เนี่ย นิสัยเหมือนคีนไม่มีผิด

“แค่ดีใจที่จะได้เจอเพื่อนครับ” ผมตอบปัดก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมหนีสุดชีวิต แต่คนอย่างแม่คงไม่ปล่อยให้ลอยนวลทั้งที่คำตอบมันไปคนละทางกับการแสดงออกว่าตื่นเต้นเมื่อครู่ เออ คราวนี้ผมพลาดจริงๆ นั่นล่ะ โธ่เว้ย ถ้าเธอรับไม่ได้ต้องทำยังไงต่อไปอะ

“หื้ม เย็นนี้มีนัดกับปอมกับว่านยังไม่เห็นแสดงอาการแบบนี้เลย”

“ก็มันไม่เหมือนกันนี่ครับ” ผมก็แค่พึมพำเบาๆ และคิดว่าแม่ไม่ได้ยินหรอก แต่พอหันหลังในเธอกลับมีคำถามที่ทำให้ต้องชะงักเท้า ปากสั่น ร่างกายชาวาบ รู้ได้ยังไงกัน

“ลูกชอบคีนเหรอ?”

“ทำไมแม่ถามแบบนั้นครับ?” ผมถามโดนไม่หันไปมองเธอเนื่องจากตอนนี้ไม่สามารถควบคุมสายตาเป็นกังวลหรือความสั่นของริมฝีปากได้เลย

“สายตาลูกมันบอก” น้ำเสียงของแม่ไม่ได้มีแววโกรธเคืองหรือเศร้าเสียใจที่ผมดันชอบผู้ชายด้วยกันเลยสักนิด มันมีแต่ความอ่อนโยนและเป็นห่วง จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจหันไปเผชิญหน้าด้วยท่าทางที่ไม่เปลร่ยนจากเดิม สั่นเหมือนเจ้าเข้าเลยกู

“คือผม...” อ่า พูดไม่ออกแถมยังเม้มปากแน่จนทำให้แม่ต้องลุกขึ้นยืนเพื่อกอดปลอบ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่างกายและหัวใจที่หวาดกลัว เธอจะเขาใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นของผมต่อคีนไหม หรือมันเป็นแค่เรื่องผิดปกติในสายตาผู้ใหญ่

“กิมจะชอบใครแม่ไม่ว่าหรอก ผู้หญิงหรือผู้ชายได้ทั้งนั้น ขอแค่มั่นใจว่าถ้าเลือกเดินทางนั้นแล้วจะไม่เสียใจและมีความสุขก็พอ” คำพูดของแม่นั้นทำให้ผมรู้สึกคัดจมูกขึ้นมาดื้อๆ แถมยังกระชับกอดร่างบางแน่นขึ้น ไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะรับเรื่องแบบนี้ได้ทั้งที่เมื่อก่อนพยายามหาผู้หญิงดีๆ ในกันเสมอมา ผิดคาดจนทำให้น้ำตาผมไหลเพราะดีใจมาก

“.....”

“เอ้า ร้องไห้ทำไมหื้ม โตป่านนี้แล้วยังขี้แยอีกเหรอ? เดี๋ยวคีนไม่รักนะเออ” แม่พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปขยี้หัวกันแรงๆ จนยุ่งเหยิง แต่ผมไม่แคร์เพราะตอนนี้กำลังซึ้งในความรักของเธออยู่ ฮือ ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้นะ

“ขอบคุณครับแม่ แต่แซวแบบนี้ผมยิ่งจะร้องไห้อะดิ” ผมผละตัวออกก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ส่วนแม่หัวเราะจนตาหยีแต่ก็หยิบทิชชู่มาเช็ดปลายจมูกให้ โธ่ ทำอย่างกับผมเป็นเด็กห้าขวบเลย แต่ก็ชอบความดูแลเอาใจใส่แบบนี้เหมือนกันถึงจะรู้สึกเขินนิดหน่อยน่ะนะ

“จ้าๆ ไม่แซวก็ได้ แล้วนี่จีบน้องคีนติดหรือยังเถอะเรา?” อะ แม่เลิกแซวก็อยากขอบคุณอยู่หรอกแต่ไอ้คำถามนี้มันก็แทงใจดำไม่แพ้กันเลยนี่หว่า โหย ผมเลยได้แต่ทำหน้ามุ่ยใส่แม่แบบนี้ไง คีนไม่อ่อนโอนตามแถมยังดูเหมือนไม่หวั่นไหวด้วย จีบยากอย่างที่เขาเคลมไว้จริงๆ นั่นล่ะ

“ก็เหมือนจะยังครับ เฮ้อ” ผมถอนหายใจก่อนจะทิ้งหัวลงบนลาดไหล่แคบแล้วถูไถเบาๆ เพื่อออดอ้อนขอกำลังใจจากแม่ แต่สิ่งที่ได้คือมะเหงกกลางกบาลแถมด้วยคำเย้าแหย่ที่ทำให้ปากคว่ำมากกว่าเก่า โธ่ นี่ลูกนะครับทำไมใจร้ายใส่แบบนี้ล่ะ

“ชักช้าระวังอดนะ แม่ไม่ช่วยด้วย”

“แม่ครับ ~” ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้วเนี่ย

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว จะเอาลูกชายไปฝากเป็นลูกเขยบ้านนู้น เอ๊ะ หรือลูกสะใภ้นะ คิกๆ” อะ สนุกใหญ่เลยคนเรา!

“ผมไปเป็นลูกเขยเขาสิแม่!” ผมมั่นใจสุดๆ นะเรื่องนี้ แต่ก่อนอื่นจีบลูกชายเขาให้ติดก่อนเถอะครับ... ฮึก

ตอนนี้ผมกำลังขับรถไปยังบ้านของคีนที่อยู่เกือบถึงแถบชานเมืองแต่ก็ไม่ถือว่าไกลจากมหา’ลัยนักโดยมีแม่เป็นคนบอกทาง แต่อยู่คอนโดก็สะดวกมากกว่า ไม่ต้องตื่นเช้าและไม่ต้องฝ่าจราจรติดขัด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากย้ายเข้าพักกับไอ้ปอมเป็นการถาวรเหมือนกันแต่คนที่นั่งข้างๆ ตอนนี้คงไม่ยอมแน่

“ผมยังไม่ได้ถามเลยว่าแม่ทำขนมอะไรไปฝากคีน” ผมเหลือบมองถุงกระดาษขนาดใหญ่บนตักของเธอก่อนจะตั้งคำถามนั่น ก็สงสัยอยู่นานแล้วว่าแม่จะทำอะไรไปฝากว่าที่ลูกสะใภ้บ้าง ใบหน้าสวยหันมายิ้มให้กันแล้วหยิบกล่องขนมสีใสขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ

“กลีบลำดวนกับจ่ามงกุฎค่ะ” ชื่อขนมไทยหลุดจากริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีพีช ผมถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเพราะปกติแล้วแม่ชอบบ่นว่าขนมไทยทำยากและใช้เวลานานแต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป คงถูกใจคีนเข้าขั้นอยากได้มาเป็นลูกชายมากกว่ามั้งเนี่ย ก็ผมมันซนแถมยิ้มไม่เก่งเท่าเขานี่นา ยอมแพ้จ้า

“โห เอาเวลาที่ไหนทำครับเนี่ย?”

“เวลาที่ลูกชายเอาแต่นอนอุตุอยู่บนห้องไงคะ” จ้า แพ้แล้วแพ้อีก เมื่อไหร่จะชนะชาวบ้านเขาบ้างวะเนี่ย สงสัยแต้มบุญหมด

“แม่ไม่บอกให้ผมรู้ตัวก่อนนี่ครับ” ผมบ่นงิ้งงิ้งก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าซอยหมู่บ้านขนาดกลางแห่งหนึ่ง อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงบ้านคีนแล้ว ตื่นเต้นจนไม่สามารถควบคุมจังหวะหัวใจได้เลยแถมมือยังชื้นเหงื่อทั้งที่แอร์เย็นจะตายอีกด้วย เฮ้อ เป็นเอามากแล้วไอ้กิม

“ก็ใครจะไปคิดว่าลูกแม่จะพิศวาสลูกชายเพื่อนล่ะหื้ม?” แม่เก็บกล่องขนมใส่ถุงไว้เหมือนเดิมก่อนจะเอื้อมมือนิ่มๆ มาดึงแก้มกันจนยืดแล้วยืดอีก

“โอยๆ ไม่ดึงแก้มสิครับ” ผมร้องโอดโอยเมื่อโดนเพิ่มแรงบีบไปอีกระดับหนึ่งจนโดนแม่ตวัดสายตาดุใส่ และโดนฟาดต้นแขนดังเพี๊ยะแถมด้วย เจ็บซ้ำซ้อนจริงๆ แต่ก็มีความสุขเมื่อเห็นป้ายบ้านเลขที่เป้าหมายด้านหน้า ในที่สุดก็ถึงสถานที่ที่มีกลิ่นคีนเต็มไปหมด อ่า... ความโรคจิตเริ่มทำงานอะ

“ทำเป็นหวง จะเก็บไว้ให้คีนหอมเหรอ?” แม่ไม่ได้ผละมืออกไปแต่กลับส่ายหน้าผมแรงๆ อย่างมันเขี้ยว โธ่ ไม่ได้หวังแบบนั้นสักหน่อย แค่รู้สึกว่าเนื้อจะหลุดแค่นั้นเอง แล้วคนอย่างคีนคงไม่พิศวาสทำอะไรหวานๆ กับผมหรอกน่า

“ผมมากกว่าที่จะทำแบบนั้นกับเขาน่ะ” ผมงึมงำในขณะที่แม่ยอมปล่อยมือ เธอยิ้มบางก่อนจะตบไหล่กันเบาๆ เหมือนพยายามให้กำลังใจ

“ทำหน้าเป็นหมาหงอยเชียว แม่เชื่อว่าสักวันกิมจะทำในสิ่งที่หวังได้สำเร็จ”

“ครับ ผมจะพยายามสุดความสามารถเลย” อ่า... สุดท้ายแม่ก็ต้องเชียร์ผมจนได้สิน่า สักวันผมจะคว้าคีนมาเป็นแฟนให้ได้ ฮึบ!

แต่ความผิดหวังแรกก็เข้ามาเยือนเมื่อคุณป้าบอกว่าคียออกไปสอนถ่ายภาพที่สวนรถไฟกว่าจะกลับก็คงช่วงเย็นๆ ซึ่งผมมีนัดดูหนังกับเพื่อน ตอนนี้ก็เลยได้แต่นั่งเล่นอยู่ในสวนฆ่าเวลาสมาคมแม่บ้านคุยกัน เฮ้อ

ผมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้สีขาวแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพมุมสวนด้านหนึ่งที่ประดับด้วยตุ๊กตาดินเผารูปกบสองตัว มีน้ำพุไม้อันเล็กๆ พื้นโรยด้วยก้อนหินสีขาวและมีดอกกุหลาบอยู่ตรงกลางหลายต้น จากการบอกเล่าของคุณป้าคือคีนลงมือจัดส่วนนี้ด้วยตัวเอง ก็นะ... ออกมาน่ารักเหมือนคนทำเลย แต่ผมเนี่ยชักอาการหนักเพราะเอาทุกอย่างมาเพ้อถึงเขาได้ตลอด

กิมมิค : /ส่งรูปสวน/

ผมกดส่งรูปสวนที่เพิ่งถ่ายให้กับคีนก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเมื่อได้ยินเสียงคุณป้าใกล้เข้ามา เธอคงเอาน้ำกับขนมออกมาให้แน่ๆ เลย

“น้องกิม ทานขนมกับน้ำก่อนเนอะ” เธอวางจานคุกกี้อัลมอนด์กับน้ำอัญชันมะนาวลงบนโต๊ะแล้วส่งยิ้มหวานๆ ที่คล้ายคลึงกับคีนมาให้ ผมผงกหัวขอบคุณก่อนจะหยิบขนมใส่ปาก โอ้โห รสชาติอร่อยเหมือนมาจากร้านดังเลย (ปกติผมไม่ชอบกินของแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ไอ้ปิมชอบซื้อมาตุนในห้อง)

“คุกกี้อร่อยมากครับคุณป้า” ทั้งที่เคี้ยวยังไม่หมดแต่ก็อดชมไม่ได้เพราะมันอร่อยมากจริงๆ คือฟินจนต้องหยิบชิ้นต่อไปส่งเข้าปาก

“งั้นก็ทานเยอะๆ คนทำได้ยินคำชมคงดีใจจนตัวลอยแน่ๆ” คุณป้าพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะส่งยิ้มจนตาหยีมาให้ ดูท่าทางเธอมีความสุขกับคำชมมากแต่รูปประโยคเมื่อครู่ฟังแล้วคงหมายถึงคนอื่นมากกว่า บ้านหลังนี้มีแค่สามคน ไม่ใช่คนสวยตรงหน้าก็อาจเป็นพี่ปิ๊งก็ได้มั้ง

“ใครทำเหรอครับ?” ผมถามก่อนจะคว้าแก้วอัญชันมะนาวเย็นๆ มาจิบปิดท้าย มันเป็นจังหวะเดียวกันที่ได้รับคำตอบจากคุณแ้าพอดี โอย เกือบสำลักน้ำตาย

“เจ้าคีนค่ะ รายนั้นชอบทำคุกกี้เก็บใส่โหลเอาไว้น่ะ บางทีก็เอาไปตั้งรับรองลูกค้าที่ร้านเวดดิ้ง”

“อ่า... คีนทำขนมเก่งจังครับ” ผมก้มหน้าชมอีกคนแบบเขินๆ ก็ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่พูดเรื่องคีนต่อหน้าคนอื่นถึงควบคุมการแสดงออกได้ยากทุกที โว๊ย ความลับแตกไปกี่รอบแล้วเนี่ย

“ช... ล่ะสิ”

“ครับ?” เมื่อครู่ได้ยินคุณป้าพูดอะไรสักอย่างแต่มันไม่ชัดเอาซะเลย

“ไม่มีอะไรค่ะ เอ้อ น้องกิมรู้จักชมจันทร์ไหมเอ่ย?” อะ อยู่ๆ ไอ้กระต่ายขนฟูเข้ามาอยู่ในบทสนทนาเราได้ยังไงล่ะเนี่ย ผมต้องรู้จักชมจันทร์อยู่แล้ว ก็นั่นน่ะศัตรูหมายเลขหนึ่งเชียวนะ แค่คิดถึงก็เริ่มหงุดหงิดแล้วสิ

“กระต่ายของคีนใช่ไหมครับ?” ผมแสร้งถามด้วยความใสซื่อ แสดงท่าทีอ่อนโยนรักสัตว์ทั้งที่ความจริงไม่เคยพิศวาสอะไรทำนองนั้นเลยด้วยซ้ำ หมา แมว กระต่าย ปลา ไม่เคยอยู่ในความคิดอยากเลี้ยงเลย

“อื้ม เล่นกับมันหน่อยไหม?”

เดี๋ยวๆ ขนาดคีนอยู่มันยังกัดผมได้เลย แล้วนี่... ไม่ไหวหรอก ผมโดนตะกุยหน้าแหกแน่ๆ แค่คิดก็สยองแล้ว

“คือผม...” อึกอักเพราะหาคำปฏิเสธแบบสวยหรูไม่ออก ยิ่งโดนสายตาคาดหวังของคุณป้ามองมายิ่งทำให้รู้สึกว่าต้องเล่นกับชมจันทร์เท่านั้น ไม่อย่างงั้นอาจจะโดนแบนจากครอบครัวนี้ โอย เครียดยิ่งกว่าวอบปลายภาคแล้วกู

“ช่วงนี้คีนไม่ค่อยว่างเล่นกับชมจันทร์น่ะ ดูหงอยๆ ชอบกล ส่วนป้าก็แพ้ขนสัตว์น่ะ เลยช่วยเลี้ยงไม่ได้”

“งั้น... ผมขอเล่นกับชมจันทร์หน่อยนะครับ” ถ้าเป็นแบบนั้นผมกลั้นใจยอมเล่นกับศัตรูก็ได้ ถึงจะไม่ชอบสัตว์แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น

“ค่ะ น้องอยู่ในห้องเจ้าคีนนะ” คุณป้ายิ้มก่อนจะชี้ชวนให้ผมบุกรุกห้องลูกชายตัวเอง เฮ้ย เอาจริงดิ นั่นคือพื้นที่ส่วนตัวในบ้านเลยนะ แต่ถ้าคิดลึกหน่อยขนาดคอนโดผมก็ยังเหยียบมาแล้วนี่ คงคล้ายๆ กันล่ะมั้ง แต่แม่ง โคตรตื่นเต้นเลย กลิ่นคีน!

“ขะ เข้าไปได้เหรอครับ?” ผมไม่สามารถควบคุมน้ำเสียงและความสั่นไหวของหัวใจได้อีกเลย ส่วนมือก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากุมแนบอก เชี่ย จะสั่นแข่งกันเพื่ออะไรวะเนี่ย เดี๋ยวคุณป้ารู้กันพอดีว่าหวังงาบลูกชายเขา

“ได้สิ ป้าถามคีนให้แล้วค่ะ” แม่ยายเปิดทางขนาดนี้ อย่าให้เสียโอกาสจ้า ไป ไปดมกลิ่นคีนกัน!

ผมนี้ผมกำลังยืนมือสั่นอยู่หน้าประตูห้องนอนของคีน จับลูกบิดมาราวๆ หนึ่งนาทีแต่ไม่กล้าเหยียบเข้าไป มันมีความรู้สึกว่าเรากำลังจะรู้จักคนๆ นี้อีกหนึ่งขั้น หัวใจเต้นตึกตักจนแทบกระดอนมาด้านนอก อ่า... เอาวะ ขืนชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ได้เล่นกับชมจันทร์พอดี ตอนนี้ก็บ่ายสามแล้วด้วย

แกรก

สิ่งที่สัมผัสได้อย่างแรกเมื่อประตูเปิดออกคือความเย็นตกค้างจากเครื่องปรับอากาศเมื่อคืนตามมาด้วยเสียงกุกกักฟัดชามอาหารของเจ้าชมจันทร์ที่อยู่ในกรงขนาดใหญ่ การตกแต่งในห้องเป็นโทนสีขาวแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ยกเว้นก็แค่ชุดเครื่องนอนที่เป็นสีดำสนิทตัดกันอย่างลงตัว และที่ขาดไม่ได้คือกลิ่นน้ำหัวเฉพาะตัวของคีนที่ยังหลงเหลือบางเบาแต่ก็หอมจนเผลอสูดดมเข้าไปเต็มปอด

หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศความเป็นคีนแล้วผมก็เดินไปหาชมจันทร์แล้วนั่งยองๆ ลงหน้ากรงพลางมองดูเจ้าขนฟูกินน้ำจากขวด ดวงตาเม็ดลำไยแวววาวจ้องมองมาทางนี้อย่างสนใจ ดูท่าทางคงอยากออกมาวิ่งเล่นด้านนอกใจจะขาดสินะ แต่ผมขี้ขลาดเกินกว่าจะเปิดประตูให้นี่สิ เอายังไงดี

ขั้นแรกขอหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก่อนแล้วกันว่าคีนตอบอะไรกลับมาบ้าง

คีน : แม่บอกแล้วว่ากิมไปที่บ้าน
คีน : ขึ้นไปหาชมจันทร์หรือยังอะ ถ่ายรูปมาหน่อยสิ

อ่านข้อความที่เขาส่งมาจบรอยยิ้มก็ค่อยๆ ผุดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เพราะผมดันมีความรู้สึกว่าเหตุการณ์แบบนี้คล้ายกับว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน ผมมโนจนเผลอกัดปากกลั้นเขินเชียวล่ะ

อะ คีนขอมาขนาดนี้ผมก็เลยจัดให้โดยการเปิดกล้องโทรศัพท์แล้วกดถ่ายรูปเจ้าฟูไปสองสามชอตก่อนจะส่งให้ หลังจากนั้นผมก็ลองหยิบถุงหญ้าแห้งขึ้นมาเปิดแล้วแหย่เข้าไปในกรง โอ้โห รีบพุ่งมางับเชียวนะชมจันทร์ ตอนมันเคี้ยวนี่น่ารักเป็นบ้า อยากบีบๆๆๆ ไม่แพ้ที่อยากฟัดนายคนินท์เลย ให้ตายเถอะ

คีน : เปิดกรงให้ชมจันทร์ออกมาวิ่งเล่นสิ

ผมอ่านข้อความของคีนจบก็อยากเอาหัวโขกเตียงให้ตายๆ ไปซะ ใครมันจะกล้าเปิดกรงทั้งที่เคยมีประสบการณ์โดนกระต่ายกัดวะ

กิมมิค : แค่นั่งป้อนหญ้าให้มันได้ปะ กลัวโดนกัดอีก
คีน : จีบเราแต่กลัวชมจันทร์มันจะรอดปะเนี่ย?

พอโดนคำถามนั่นเข้าไปผมถึงกับมองชมจันทร์เขม็ง ถ้าวานสัมพันธ์อันดีกับกระต่ายไม่ได้ก็จะชวดการเป็นแฟนกับคีนไปง่ายๆ อย่างนั้นเลยเหรอวะ เฮ้ย แต่ผมไม่ชอบสัตว์นี่นา ทำไงดี โอย ปวดหมอง

ครืด

อะ คีนส่งไลน์มาอีกรอบแล้ว

คีน : กิม... เงียบไปเลย เราล้อเล่นนะ ไม่ต้องเปิดกรงก็ได้
กิมมิค : เดี๋ยวเราจะลองเปิดกรงดู
คีน : เฮ้ย ไม่ต้องหรอก กิมไม่ค่อยถูกกับสัตว์ทุกชนิดนี่นา
กิมมิค : คีนชอบอะไรเราก็จะพยายามชอบด้วย ชมจันทร์ก็น่ารักดี
คีน : ทำเพื่อเรามากไปหรือเปล่า?
กิมมิค : เราเต็มใจน่า
คีน : อื้อ... เอาไว้เราจะรีบกลับบ้านนะ
กิมมิค : ครับ

อ่า... แล้วบทสนทนาก็จบลงแค่นั้นเพราะคีนต้องไปสอนถ่ายภาพต่อ ส่วนผมนั่งจองตาสีดำกลมโตของชมจันทร์เพื่อชั่งใจว่าจะยอมเปิดกรงให้มันออกมาวิ่งเล่นได้จริงๆ หรือเปล่า เวลาผ่านไปเกือบห้านาทีก็ฮึดสู้เอื้อมมือไปปลดกลอนประตูจนได้ นั่นๆ เจ้าฟูกระโดดแล้ว

ผมเผลอผงะถอยหลังตอนที่เท้าของชมจันทร์แตะลงบนพื้นห้อง มันยืนนิ่งทำจมูกฟุดฟิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มคลานต้วมเตี้ยมตรงมาทางนี้ เฮ้ยๆ อย่ากัดนะ กลัวแล้ว ว้าก... เอ๋ ทำไมถึงเอาหัวทุยมาซุกตักกันซะอย่างนั้นล่ะว่ะ แถมยังนอนนิ่งให้ลูบขนอีกด้วย เชื่องสุดๆ ไปเลย

“เหงาเหรอไอ้ฟู? พี่ชายไม่ค่อยว่างเล่นด้วยสินะ” ผมก้มลงคุยกับกระต่ายบนตักก่อนจะไล้มือลูบไปตามความยาวของใบหู ขนสีเทาสลับขาวนุ่มนิ่มคล้ายตุ๊กตาเกรดพรีเมี่ยม อ่า... รู้สึกฟินอย่างบอกไม่ถูกเลยเนี่ย

ไม่มีการตอบรับใดๆ จากชมจันทร์ แน่นอนว่ากระต่ายไม่ส่งเสียงร้องและไม่เข้าใจภาษาคนที่ผมพูดด้วย แต่ทำไมมันถึงนอนนิ่งได้ขนาดนี้วะ จะว่าหลับก็ไม่ใช่เพราะตาลำไยยังเปิดอยู่เลยนี่

ผมตัดสินใจคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกเพื่อถามหาคำตอบของความผิดปกตินี้จากคีน กลัวทำกระต่ายเขาตายคาตักแล้วจะโดนเกลียดขี้หน้าเอาอะดิ

‘ฮัลโหล มีอะไรเหรอกิม?’ เสียงปลายสายดูตกใจที่อยู่ๆ ผมก็โทรหา

“คือ... เราปล่อยชมจันทร์ออกมานอกกรงแล้ว มันไม่ได้วิ่งไปไหนแต่กระโดดขึ้นตักเรา หลังจากนั้นก็นิ่งไปเลย” ผมรัวคำพูดออกไปจนลิ้นแทบพันกัน ความตกใจฉายชัดอยู่ในน้ำเสียงและดวงตาที่เบิกกว้าง มือที่ลูบหูชมจันทร์อยู่นั้นสั่นกึกๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เหม็นตีนกูจนช็อกตายหรือเปล่าเนี่ย ฮือ

‘ชมจันทร์ขยับจมูกปะ?’ น้ำเสียงที่ถามกลับมานั้นช่างราบเรียบจนผมไม่สามารถเดาความรู้สึกของเขาได้เลย ตายแน่ๆ คราวนี้แม่คงไม่ได้ลูกสะใภ้ไปเชยชมแล้วมั้งเนี่ย

“อ่า ขยับนะ” ผมก้มลงไปใกล้จนจมูกแทบชนหัวชมจันทร์ เออว่ะ ยังไม่ตายนี่นาแต่ทำไมนิ่งไปล่ะ ปกติกระต่ายมันต้องกระตือรือร้นมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ

‘มันแค่หลับน่ะ สงสัยตักกิมนอนสบายล่ะมั้ง’ เสียงกลั้วหัวเราะตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีทำให้ผมเผลอยกยิ้มขึ้นบ้าง แต่ยังไม่หายสงสัยว่าชมจันทร์หลับทั้งที่ลืมตาเหรอวะ บ้าน่า

“แต่มันลืมตานะ” ผมขมวดคิ้วพลางใช้มือเขี่ยๆ หางทรงสามเหลี่ยมมนๆ นั่นเล่นแต่ชมจันทร์ก็ยังนอนนิ่งเหมือนเดิม หลับจริงดิ

‘อื้อ กระต่ายก็หลับแบบนั้นทุกตัวนั่นล่ะ เขาเรียกว่าการระวังภัย’ คำอธิบายสั้นๆ ที่ทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้าง จะว่าไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แต่เอาเถอะ มันคงไม่ได้ตายอย่างมี่คิดไว้หรอก ก็จมูกยังขยับอยู่เลยนี่หว่า

“อ้อ เราก็ตกใจ นึกว่ามันจะเป็นอะไรซะอีก”

‘ขอบคุณที่เล่นกับมันนะ เรากำลังกลับบ้านแล้วล่ะ’ สิ่งที่คีนบอกทำให้ผมยิ้มกว้างอีกครั้งแต่เมื่อสมองประมวลผลว่าเย็นนี้ดันมีนัดกับเพื่อนอีกสองคนก็เลยเปลี่ยนเป็นลอบถอนหายใจแทน ยังไงก็คงอยู่รอเขาไม่ได้หรอก เดี๋ยวไอ้ปอมกับไอ้ว่านจะหาว่าไม่ให้ความสำคัญพวกมันอีก

“โอเค พอดีเรามี...”

‘อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ อย่าเพิ่งหนีกลับนะ’ โธ่ ทำไมคีนเป็นคนแบบนี้เนี่ย แย่งผมพูดขนาดนั้นจะให้ปฏิเสธยังไงในเมื่อใจมันอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว อีกอย่างคือชมจันทร์ไม่ยอมย้ายตัวป้อมๆ ลงไปจากตักสักที

“กะ ก็ได้”

โอ๊ย ฉิบหาย แล้วกูจะโทรไปยกเลิกนัดไอ้สองตัวนั่นด้วยเหตุผลอะไรล่ะเว้ย ตายๆๆ โดนล้อทั้งปีทั้งชาติแน่

ผมนั่งมองชมจันทร์อยู่พักใหญ่จนไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีก็เห็นหน้าคีนในระยะที่ทำให้ลมหายใจชะงักกึก ใกล้จนมองภาพทุกอย่างเลือนลาง ใกล้ชนิดที่ว่าลมหายใจปะทะข้างแก้ม แต่ไม่ใช่เพราะเขาพิศวาสผมหรอก แค่มาอุ้มชมจันทร์ที่เปลี่ยนไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น โธ่ เล่นซะหัวใจจะวาย

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงใสเอ่ยถามเมื่อหันมาเห็นผมที่นั่งกระพริบตาปริบๆ คือแบบปลายจมูกจะชนแก้มคีนอยู่แล้วจ้า ถ้าหน้าด้านหน่อยนี่ได้หอมไปเต็มๆ เสียดาย!



ต่อด้านล่างจ้า


หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 14 -P.2- 02/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 02-10-2018 16:41:53
“อือ โทษที เผลอหลับจนได้” ผมขยับพิงเตียงให้เข้าที่เข้าทางมากกว่าเก่าเพราะเผลอไหลจนแทบนอนราบไปกับพื้นก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาให้หายง่วง แม่ง ปวดหลังฉิบหาย

“เมื่อคืนนอนดึกล่ะสิ” คนถามไม่ได้มองกันแต่กลับลูบหัวกระต่ายเล่นแถมยังส่งยิ้มหวานให้มันอีก เจ็บใจนัก ดูเจ้าฟูสิ เคลิ้มหลับตาพริ้มเชียว พออยู่กับกูนอนเปิดตาคืออะไรห๊ะ

“ก็... เล่นเกมเยอะไปหน่อยน่ะ” ที่จริงแล้วผมเอาแต่ศึกษาเรื่องกล้องแล้วก็นอนคิดถึงคีนน่ะนะ เกมแทบไม่ได้แตะด้วยซ้ำ

คีนพยักหน้ารับโดยไม่ตอบอะไรกลับมาแล้วปล่อยให้ความเงียบโรยตัวลงปกคลุมเราทั้งสองไว้ แต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรเพราะแค่ได้ยินเสียงลมหายใจผมก็โคตรมีความสุขแล้ว ตอนนี้ก็แอบมองเขาคุยงุ้งงิ้งกับกระต่ายในอ้อมแขน บอกว่ามะรืนจะตัดเล็บให้พร้อมกับล้างเท้าเปื้อนฉี่เหลืองๆ อีก อิจฉากระต่ายก็วันนี้ล่ะวะ

“เอ้อ เรารับสายปอมให้แล้วนะ เห็นโทรมาหลายรอบ” คีนพูดขึ้นในขณะที่ผมหยิบโทรศัพท์บนปลายเตียงมากด ประโยคนั้นทำให้มือชะงักกึกก่อนจะตามมาด้วยดวงตาที่เบิกโตเป็นสองเท่า ไอ้ปอมกับไอ้ว่าน ลืมสนิทเลย!

“เฮ้ย ฉิบหาย เรามีนัดดูหนังกับพวกมันอะ” ผมลนลานจะกดต่อสายหาใครสักคนที่ตอนนี้คงงอนทำหน้าเป็นตูดไปแล้วแต่โดนคีนห้ามไว้ด้วยสายตาซะก่อน

“เราบอกให้แล้วว่ากิมหลับ ปอมเลยบอกว่างั้นก็เจอกันร้านเหล้าเลย”

อ้อ... เข้าใจแล้ว แต่ที่คีนรับโทรศัพท์แล้วบอกว่าผมหลับเนี่ย ไอ้สองตัวนั้นจะคิดไปถึงไหนกันแล้วล่ะเนี่ย โธ่เว้ย โดนซักฟอกแน่ๆ ยกเลิกนัดกินเหล้าอีกรอบได้ปะวะ เครียด

“อ๋อ ขอบคุณนะ”

“ไปล้างหน้าล้างตาดิ เดี๋ยวลงไปกินข้าวกัน” คีนพยักพเยิดหน้าไปทางห้องน้ำก่อนจะลุกขึ้นเพื่ออุ้มชมจันทร์ไปใส่กรง ผมอึกอักเพราะยังต้องการคุยกับเขาต่อ เอาไงดี อยากอยู่ด้วยอีกสักหน่อย ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งเดือนนึงเชียวนะ แค่เวลาชั่วโมงหนึ่งกับการกินข้าวด้วยกันมันไม่พอหรอก

“เอ่อ...”

“มีอะไรเหรอ?” มือดันก้นไอ้ชมจันทร์เข้ากรงแต่ก็ยอมหันหน้ามาสบตาคุย ผมเลยได้แต่ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขิน ชวนคนที่ชอบไปร้านเหล้ามันสมควรปะวะ แต่มันมีทางเดียวที่จะได้อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ต้องโดนเพื่อนแบนอะ แค่ผิดนัดดูหนังก็โคตรรู้สึกแย่แล้ว

“คีนไปร้านเหล้ากับเราไหม?” ถามออกไปแล้วเว้ย ดูเหมือนว่าคีนจะงงๆ ที่ผมชวนเพราะเขามีท่าทางตกใจแถมหัวคิ้วสวยยังขมวดเข้าหากันอีก เอ่อ... ปิดประตูกรงก่อนดีไหม ชมจันทร์จะมุดออกมาวิ่งข้างนอกแล้ว

“อยากให้เราไปด้วยเหรอ?” คีนเหมือนจะเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอเลยถามออกมาโดยที่ไม่ยอมมองหน้ากันอีก จังหวะนี่ชมจันทร์ได้ถูกขังอยู่ในกรงเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

“ก็... อืม อยากอยู่ด้วยกันนานๆ น่ะ” ตำตอบจากความรู้สึกของผม จริงๆ ก็ไม่ได้อยากชวนไปนั่งก๊งเหล้าเหมือนเพื่อนสนิทหรอก แต่จะให้ทำไงล่ะวะ ผู้ชายเหมือนกันคงไม่คิดมากหรอกมั้ง

“.....” แต่คีนกลับเงียบไปเลย เอาไงดีเนี่ย

“คิดถึง” ผมพึมพำและหวังว่าคีนจะได้ยินคำๆ นี้

“อะ อื้ม งั้นเราไปด้วยก็ได้”

อ่า... วันนี้เหล้าคงหวานเป็นพิเศษว่าไหม?

หลังจากกินอาหารเย็นฝีมือคุณป้าเสร็จผมก็ขออนุญาตเธอลากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนออกมาจากบ้าน ร้านเหล้าที่จะไปก็อยู่แถวมหา’ลัยเลยตกลงกันว่าจะค้างคอนโดเอาแถมยังเป็นห้องของคีนอีกด้วย สรุปนี่ผมจีบหรือโดนเขาอ่อยกันแน่วะ เริ่มสับสนในตัวเองขึ้นมาตงิดๆ แต่ในเมื่อมีโอกาสใกล้ชิดกันขนาดนี้ก็ต้องรีบคว้าไว้ก่อน ความสัมพันธ์อาจคืบหน้ามากกว่าเดิมก็ได้ หึหึ

ผมขับรถด้วยความเร็วไม่เกินเจ็ดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะอยากยืดเวลาอยู่กับคีนสองต่อสองให้มากที่สุดและเหมือนเจ้าตัวจะรู้เพราะเขาเอาแต่เหลือบมองผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มโดยไม่พูดจาสักคำ ออกปากแซวกันตรงๆ ยังไม่รู้สึกเขินมากเท่านี้เลยว่ะ โอย ขี้แกล้งฉิบหายเลย

“เลิกมองเราแบบนั้นสักทีเหอะน่า” ผมบ่นพึมพำในขณะที่ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคีนอีกครั้งหนึ่ง ดูก็รู้ว่ากำลังหัวเราะจนไหล่สั่นแต่ยังกลบเกลื่อนด้วยการยกมือขึ้นลูบแก้ม เจ้าเล่ห์นักนะ

“เรามองตอนไหน? กิมมั่วว่ะ” แหนะ ขนาดตอนว่ากันยังเสียงสั่น ปฏิเสธแบบนั้นใครที่ไหนเขาจะเชื่อเล่า แต่ผมก็พูดอะไรไม่ได้มากเพราะเดี๋ยวจะโดนแซวกลับว่าตัวเองก็แอบมองเขาเหมือนกัน

“ก็... ช่างมันเถอะ” ผมโบกมือปัดๆ แล้วเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนเพลง เออ ก็คนมันทำอะไรไม่ถูกไง เนี่ย ตอนนี้คีนขยับเข้ามาจ้องในระยะใกล้กว่าเดิมอีก ลมหายใจเป่ารดใบหูเลยเหอะ

“ไม่อยากไปร้านเหล้าขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เดี๋ยว... นึกว่าจะไม่ถามแบบนี้แล้วซะอีก ไอ้ผมที่ยังไม่ทันตั้งตัวเลยได้แต่ครางถามด้วยใบหน้าใสซื่อ โอย ได้ตั้งใจขับรถช้าเล๊ย

“หืม?”

“ก็เห็นไม่ยอมขับเร็วเหมือนปกติ”

“อ่า ก็อยากแต่ก็ไม่อยาก” เออ งงตัวเองเหมือนกันนั่นล่ะ เอาง่ายๆ คือยังเรียบเรียงคำพูดไม่ได้ อีกอย่างคือหน้าบางเกินไปแถมปากไม่ยอมขยับพูดอีกด้วย

“พูดอะไรเนี่ย?” คีนขมวดคิ้วทำหน้าเครียดใส่กันจนผมเผลอเม้มปากแล้วรีบรวบรวมความกล้าพูดสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นมากกว่าไปเมาหัวราน้ำที่ร้านเหล้า

“เอ่อ... เราอยากอยู่กับคีนมากกว่าไง” ก็เหมือนจะเคยพูดไปแล้วหรือเปล่าวะตอนอยู่บนห้องนอนสองต่อสองอะ... หรือเขานึกว่าผมแค่หยอดเล่นๆ โธ่ นี่จริงจังมากครับ

“ถ้าจีบติดจะให้อยู่ด้วยทั้งวันทั้งคืนเลย” คีนบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะขยับออกไปนั่งในท่าปกติ ริมฝีปากบางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ เฮ้ย นี่หลอกให้ผมพูดอีกรอบหนึ่งเพื่อเล่นมุกบ้างใช่ไหม แสบเอ๊ย

“เฮ้ย จริงดิ?” แต่ผมดันตื่นเต้นจริงๆ น่ะสิ การได้อยู่กับคีนแทบยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นอะไรที่ใฝ่ฝันมาตลอดที่แอบชอบ

“อืม ตอนนี้รีบๆ ไปร้านก่อนเหอะ เลยเวลานัดมามากแล้ว”

“ครับ จะรีบเหยียบเดี๋ยวนี้เลย!” ตอนนี้คีนสั่งอะไรผมก็พร้อมทำหมดเลยจ้า ก็จากที่สังเกตน้ำเสียงและแววตาเขาแล้วนั้น ความหวังว่าจะจีบติดคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน สู้เว้ย!


--------------------------------------------------

เอ๊ะ คีนเริ่มหวั่นไหวหรือยังน้า
แต่กิมคงสำลักการอ่อยเกือบจะัตายไปแล้วล่ะ 5555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 14 -P.2- 02/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 05-10-2018 16:30:20
ไม่รู้ใครรุกใคนกันแน่ :impress2:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 15 -P.2- 09/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-10-2018 15:32:12
รูปถ่ายใบที่ 15



ท้องฟ้ายามค่ำคืนของเมืองหลวงในตอนนี้มีสีดำสนิทไร้ดวงดาวอย่างเช่นทุกทีแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันสวยกว่าวันไหนๆ ก็ตรงที่มีคีนยืนอยู่ข้างกาย เขามีออร่าสดใสยิ่งกว่าแสงไฟหลายหมื่นดวงด้านล่างคอนโดนั่นอีก ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหลจนอยากได้มาครอบครอง เมื่อไหร่กันล่ะที่ความฝันนั้นจะเป็นจริง

ผมไม่ได้เมาแต่ก็กรึ่มๆ ขากลับจากร้านเหล้าก็ได้คีนช่วยขับรถให้ เขาดื่มแต่น้อยกว่ากันเกือบเท่าตัวเพราะส่วนใหญ่จะกินพวกกับแกล้มมากกว่า พอถึงห้องก็อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น ไม่รู้อารมณ์ไหนถึงช่วยกันออกมายืนรับลมยามดึกที่ระเบียง อืม... เกือบตีสองแล้วมั้ง ถ้าผมอยู่คนเดียวคงหลับเป็นตายไปแล้ว

“คิดไว้หรือยังว่าสนใจกล้องแบรนด์ไหน?” คำถามลอยๆ จากคนที่เท้าแขนลงกับราวระเบียงแล้วมองตรงไปด้านหน้าที่เป็นวิวตึกสูงเสียดฟ้าเอ่ยขึ้น ผมซึ่งกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงกับออกอาการสะอึก จะเอาอะไรตอบในเมื่อผมศึกษากล้องแค่แบรนด์เดียวกับที่คีนใช้งานอยู่

“คือเรา... อยากให้คีนแนะนำมากกว่า ศึกษาเองแต่ยังไม่เคยลองจับของจริงมันก็ไม่ค่อยมั่นใจน่ะนะ” ผมยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อเมื่อคีนหันมาหรี่ตามองอย่างจับผิด เฮ้ย อันนี้พูดความจริงว่าไม่มั่นใจเพราะไม่เคยจับกล้องถ่ายรูป DSLR ที่เคยผ่านมือมาบ้างก็เป็นพวก Mirrorless ของไอ้ว่านไง ไม่ได้โกหกนะเออ

“จะเอาแบรนด์เดียวกัน รุ่นเดียวกันกับเราไหม?” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะราวกับรู้ทันของคีนมาพร้อมกับการที่เขาขยับเข้ามาใกล้จนหัวไหล่เราทั้งคู่ชนกันเบาๆ ผมก้มหน้านิ่งมองวิวด้านล่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจสัมผัสนั้น เดี๋ยวนี้เขาร้ายจนผมไม่แน่ใจว่าฝ่ายโดนจีบคือใครกันแน่ ชอบมาทำให้เขินอยู่ได้ ถ้าจับปล้ำขึ้นมาจะว่ายังไงล่ะ

“ก็ดีนะ เราจะได้เรียนรู้จากคีนโดยตรง” เขาให้ท่ามาขนาดนั้นเราก็ต้องตอบกลับสักหน่อย แต่ผมไม่ได้สบตาคีนหรอกนะ ถ้าทำคงเขินแย่เพราะแค่หัวไหล่ติดกันก็แทบหัวใจวายตายแล้ว

“โฮมก็ใช้รุ่นเดียวกับเรา ให้รายนั้นสอนก็ได้” คีนผละตัวออกห่างจนเว้นช่องว่างให้อากาศผ่านระหว่างเรา ปลายสายตาของผมเห็นว่าใบหน้าหล่อนั้นประดับด้วยรอยยิ้มทะเล้นที่นานครั้งจะได้เห็น ปกติเป็นแบบอ่อนโยนโลกสดใสมากกว่า รู้สึกสนิทกันเพิ่มขึ้นอีกขั้น

“เราจีบใครก็อยากเรียนรู้จากคนนั้นสิครับ” ผมพลิกตัวเอาสะโพกพิงกับราวระเบียงแล้วท้าวแขนพยุงตัวไว้ก่อนยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้กับคีนเพื่อส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม รายนั้นถึงกับย่นจมูกใส่กันพลางยกมือเรียวมาดีดเหม่งผม เจ็บแต่โคตรมีความสุขว่ะ

“หยอดเก่ง” คราวนี้เขาผละตัวออกจากระเบียงทำท่าจะเดินหนีเข้าห้องแต่ผมไวกว่าเลยสไลด์ตัวไปขวางประตูแถมยังกางแขนด้วย คีนชะงักเท้ากึกมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ นั่นเลยเป็นโอกาสให้ผมขยี้ซ้ำเรื่องเดิม

“แล้วเขินไหม?”

“อืม”

“หมายความว่า...” ไอ้เสียงครางอืมที่มาพร้อมกับหน้านิ่งๆ แบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ โคตรไม่ชัดเจน เขินหรือรำคาญอะ

“เราไปอาบน้ำดีกว่า” แล้วเขาก็ลงทุนมุดลอดช่องว่างระหว่างตัวผมกับประตูหนีไปจนได้ เฮ้ย คือแบบยังมึนอยู่เลย ทำไมคีนเป็นคนแบบนี่เนี่ย มายั่วให้อยากแล้วจากไป คนใจร้าย!

หลังจากตัดพ้อคีนอยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่งผมก็ลากสังขารเพลียๆ ที่ยังคงมีแอลกอฮอล์ไหลเวียนในกระแสเลือดกลับเข้าห้องก่อนลงมือปิดประตูกับผ้าม่านให้เสร็จสรรพ ด้านหน้าเป็นเตียงขนาดควีนไซส์ที่โคตรไม่เหมาะสำหรับผู้ชายสองคนจะนอนเบียดกันเลยด้วยซ้ำ ความฝันของผมอันเป็นต้องพับเก็บ หลับในอ้อมกอดของกันและกันเหรอ? โธ่เว้ย หยิบหมอนกับผ้าห่มแล้วไปจบที่โซฟาเหอะ

คิดได้ว่าควรทำยังไงแต่ร่างกายกับทิ้งลงบนเตียงเพื่อสูดดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวของคีน ผมซบหน้าลงกับหมอนหนุนใบโตถูไถแก้มราวกับมันเป็นหน้าท้อง เอื้อมคว้าผ้าห่มเข้าสู่อ้อมกอดบีบนวดอย่างกับเป็นเอวสอบพอดีมือก่อนจะหลับตาลงเพื่อเปิดประสาทรับรู้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พาหัวใจดำดิ่งสู่ความนุ่มนวลเหมือนกำลังขึ้นสวรรค์ โคตรฟิน ฟินจนรู้สึกเคลิ้ม โอย ง่วงฉิบหาย

แกร๊ก

เสียงดังจากทางห้องน้ำทำให้ผมสะดุ้งผุดลุกจากเตียงด้วยสภาพสะลึมสะลือ อาการปวดหัวแล่นริ้วขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ แม่งเอ๊ย ไม่น่ากระดกไวน์สลับกับเหล้าเล๊ย จะตายแล้วๆๆๆ

“ลุกขึ้นมาทำไม ปวดหัวเหรอ?” คนที่เพิ่งก้าวขาเหยียบผ้าเช็ดเท้ารีบปรี่เข้ามาหาเพื่อตรวจดูอาการ มือเย็นๆ แตะลงบนท่อนแขนของผมเป็นสัญญาณให้เงยหน้าขึ้นสบตา

สิ่งแรกที่ทำให้สมองหยุดสั่งการไปชั่วขณะคือผิวเนื้อขาวเนียนตรงหน้าอกของคีนโผล่ให้เห็นเนื่องจากเขาไม่ได้ติดกระดุมชุดนอนสองเม็ดบน สิ่งที่สองคือกลิ่นหอมเย็นของสบู่ที่ผมเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด สิ่งสุดท้ายคือหยดน้ำที่เกาะพราวบนเส้นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงแต่ทว่ามันกลับดึงดูดความสนใจได้มากทีเดียว แม่งเอ๊ย จับกดลงเตียงเลยได้ไหมเนี่ย ไม่จงไม่จีบมันแล้วขอข้ามขั้นตอนเป็นผัวเมียเลยเถอะ

“กิม... เอายาไหม?” คีนเขย่าไหล่กันเบาๆ เพื่อเรียกสติที่เตลิดไปไกลของผมให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง เมื่อครู่เขาถามว่าอะไรนะ หมายถึงยาแก้ปวดหัวน่ะเหรอ? ถ้าขอเปลี่ยนเป็นจูบสักครั้งน่าจะหายไวกว่าเยอะ

“เปลี่ยนเป็นจูบได้ไหม?” อุบ ไอ้ฉิบหาย ปากไวเท่าความคิดจนต้องยกมือตบแก้มตัวเอง ส่วนคีนผงะถอยหลังไปแล้ว คืนนี้ผมโดนไล่ให้ออกไปนอนข้างนอกแน่ๆ โอย กูคิดเสียงดังได้ขนาดนี้เชียวเหรอ ฮือ

“แม่ง...” คำสบถเบาๆ ของคีนมาพร้อมกับการที่เขาหมุนตัวหันหลังให้กันก่อนจะเดินห่างออกไปเพื่อจัดการเช็ดผมให้แห้ง ไม่รู้ว่าโกรธหรือยังไงกันแน่ ฮ่วย อยากเขาหัวโขกเตียงให้ตายๆ ไปซะ ไอ้กิมเอ๊ย จีบยังไม่ติดเสือกหื่นใส่อีก

ผมยังปักหลักนั่งอยู่ริมเตียงด้านหนึ่งเหมือนเดิม ส่วนคีนย้ายไปหยิบไดร์เป่าแล้ว บรรยากาศโดยรอบไม่ได้สร้างความอึดอัดให้แก่เราทว่ามันเป็นอารมณ์เขินจนมองหน้ากันไม่ติดมากกว่า จริงๆ อยากเดินเข้าไปขอโทษแล้วบอกว่าเมื่อครู่แค่ล้อเล่นแต่ในใจกลับร้องว่าอยากได้คำตอบ กูควรเอายังไงกับชีวิตดี ปรึกษาใครก็ไม่ได้

“กิม...” อยู่ๆ คนที่นั่งเป่าผมอยู่หน้ากระจกก็เอ่ยเรียกชื่อกันเสียงแผ่ว

“คะ ครับ?” ผมขานรับก่อนจะยืดตัวตรงแน่วพร้อมรับฟังข้อความต่อไปจากคีน ท่าทางตอนนี้คงคล้ายหมารอคอยเจ้านายมาเล่นด้วย โธ่ สงสารตัวเองที่เป็นคนกากจังวะ

“จูบน่ะ... เราให้ไม่ได้หรอกนะ” เขาเว้นจังหวะคำพูดเพื่อสาวเท้าเข้ามาหาผมที่นั่งแข็งเป็นรูปปั้นอยู่บนเตียง แม้แต่ดวงตายังไม่กระพริบสักนิดเพราะกลัวว่าถ้าหากทำแบบนั้นทุกอย่างจะสลายไปต่อหน้า คีนหยุดกึกอยู่ข้างเตียงแล้วเอ่ยประโยคถัดไปด้วยเสียงแผ่ว ผมเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีเลยรีบโบกมือปฏิเสธ

“เฮ้ย เราแค่ล้อ... อุบ” แต่กลับโดนนิ้วเรียวของคนตรงหน้าแตะบนริมฝีปากให้หยุดพูดซะอย่างนั้น โอย หายใจสะดุดจนแทบสำลักอากาศตายเลยกู เขาทำอะไรเนี่ย

“แค่จะบอกว่ายังไม่ถึงเวลาเฉยๆ”

“.....” ห๊ะ... หน้าผมตอนนี้คงตลกมากแน่ๆ เพราะเผลออ้าปากกว้างเลย แต่ดีที่คีนผละนิ้วออกไปแล้ว

“แต่ถ้าเป็นหอมแก้ม... เราอนุญาตนะ” จ้า สติสตังผมหายไปพร้อมการควบคุมร่างกายแล้ว อะไรคือถูกอนุญาตให้หอมแก้มได้วะ เอาจริงดิ ฝันหรือเปล่าเนี่ย ลองตบหน้าตัวเองดูสักครั้งเพื่อยืนยันดีไหม โอ๊ย ไม่ไหวๆ หัวใจเต้นแรงมาก!

“คีน...” ผมเปล่งเสียงได้แค่นั้นในขณะที่มองคนตรงหน้าด้วยดวงตาสั่นไหว มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจจนลืมว่าคีนมาเหตุผลอะไรในการอนุญาต รู้สึกหวั่นไหวหรือแค่สงสารหมาตาดำๆ กันแน่ แต่ช่างแม่งเหอะ คิดมากก็ปวดหัวลงมือหอมเลยดีกว่า เดี๋ยวอด

“ถ้าไม่ทำเราจะนอนแล้วนะ” เอ้ย! ใครให้เอาความคิดของผมมาพูดขู่กันแบบนี้เนี่ย แถมคีนยังยกยิ้มเจ้าเล่ห์อีก ไม่เขินบ้างหรือไงที่เชิญชวนให้ผู้ชายหอมแก้มเนี่ย ไอ้ผมเป็นฝ่ายกระทำนี่สั่นไปทั้งตัวแล้ว ฮึ่ย มันเขี้ยว

“ทำๆ ทำสิครับ” ผมละล่ำละลักบอกก่อนจะยืดตัวขึ้นเพื่อฝังจมูกลงบนแก้มขาว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโฟมล้างหน้า สัมผัสนุ่มนวลยามกดจูบมันให้ความรู้สึกราวหับขึ้นไปยืนอยู่บนปุยเมฆ โอย หัวใจไอ้กิมจะวายแล้วครับ ทำไมถึงได้ฟินขนาดนี้

ฟอด

ขยับออกห่างอย่างรวดเร็ว ก่อนจรดปลายจมูกฝังลงไปอีกครั้ง

ฟอด ~

ค้างไว้ยาวนานกว่าเดิมจนได้ยินเสียงร้องประท้วงมาพร้อมกับแรงทุบตรงหัวไหล่จากคนโดนกระทำ ผมผละตัวออกแล้วร้องโอดโอยเพราะรู้สึกเจ็บแต่กลับยิ้มแย้มเมื่อเห็นสีแดงระเรื่อบนแก้มของคีน เขินได้น่ารักเกินไปแล้วรู้ตัวบ้างหรือเปล่านะ

“พอเลย จะมากเกินไปแล้ว” คีนบ่นงุ้งงิ้งก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงแรงๆ จนได้ยินเสียงตึก หลังจากนั้นก็หันมาแยกเขี้ยวใส่กัน โธ่ พ่อยักษ์น้อยของพี่คีน ไม่น่ากลัวแต่น่าฟัด เอ๊ย น่ารักที่สุดเลย ขอหอมอีกทีจะได้ไหมน้า

“อ้าว ก็คีนไม่ได้กำหนดจำนวนครั้งนี่” ผมทำหน้าใสซื่อก่อนจะฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีเลยโดนคีนใช้เท้าถีบเข้าที่ต้นขาจนเสียหลักทรงตัวล้มตึงลงบนเตียง หูย หัวเกือบโดนเหลี่ยมโต๊ะแล้วไหมล่ะ

“อย่ามาเจ้าเล่ห์ เดี๋ยวไล่ไปนอนข้างนอกเลยนี่”

“อะ ขอโทษๆ ครับ นอนกันเนอะ” ผมรีบลุกขึ้นมาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ทั้งก้มหัวปรกๆ ยกมือไหว้แถมด้วยจนคีนหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะทิ้งตัวลง เขาตบเตียงปุๆ เป็นสัญญาณว่าอนุญาตให้นอนด้วยกันได้ อะ ผมนี่รีบพุ่งเข้าหาหมอนเลยเชียวเพราะกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ อ่า... นุ่มสบายจัง

“ฝันดี” คีนหลับตาลงก่อนบอกฝันดีด้วยเสียงแผ่วๆ ทำให้ผมที่ลอบมองอยู่ถึงกับระบายยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู คงง่วงสุดชีวิตแต่ก็พยายามเคลียร์เรื่องระหว่างเราให้จบสินะ ก็นิสัยดีแบบนี้ไงผมถึงได้ไปไหนไม่รอด หลงจนไม่รู้จะหลงยังไงแล้ว

“ฝันดีครับคีน” ก็อยากจะกู๊ดไนท์คิสอยู่หรอกแต่เก็บไว้ตอนเป็นแฟนกันดีกว่าเนอะ

ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับก็วันนี้ ไอ้ฉิบหาย คือตาสว่างยันเช้าเพราะมีคีนนอนข้างๆ แต่ที่หนังกว่านั้นคือใบหน้าหล่อของเขาดันซุกซบอยู่ตรงหัวไหล่ด้วยนี่สิ นายกวินท์อยากแหกปากให้โลกรู้ว่านายคนินท์ในเวอร์ชั่นนี้โคตรเหมือนแมวและผมมีคำว่า ‘อยากฟัดให้จมเขี้ยว’ วนเวียนอยู่เต็มหัวไปหมดเลยเว้ย

ตอนนี้ผมก็เลยนั่งเบลอๆ อยู่ที่โต๊ะอาหารรอคีนชงกาแฟให้ดื่มส่วนอาหารเช้าก็ได้ปาท่องโก๋กับข้าวต้มหมูมากินประทังชีวิตก่อนออกไปห้างช่วงสาย สักพักผมก็ไหลซบหัวลงกับท่อนแขนเปิดปากหาวหวอดแบบนอนลิมิต โอย ตาจะปิดแล้วเนี่ย

“เราว่ากิมไปนอนต่อเหอะ ท่าทางจะไม่ไหวนะ”

“ไม่เป็นไร หาว เดี๋ยวได้กินกาแฟก็ดีขึ้น หาว ~” เออ น้ำตาไหลแล้วเนี่ย กูจะไหวจริงๆ เหรอ ฮือ

“โหย หาวขนาดนี้เนี่ยนะ? เอ้า กาแฟ ยังไม่ได้ใส่น้ำตาลนะ” คีนบุ้ยปากใส่กันและแสดงท่าทางไม่เชื่อคำโกหกนั่น แต่ผมกลับคลี่ยิ้มแม้ตาแทบปิดก่อนเอื้อมมือไปคว้าแก้วกาแฟมาอังแก้มเผื่อความร้อนจะทำให้ตื่นขึ้นบ้าง อูย หน้าสุกแล้วไหมเนี่ย

“ขอบคุณมาก เรากินอเมริกาโน่ขมๆ นี่ล่ะ” ผมหันไปขอบคุณคีนที่ยืนอึ้งกับความบ้าบอในการเอาแก้วร้อนๆ นาบแก้ม เขาหลุดขำก่อนพยักหน้าตอบรับก่อนทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มตักข้าวต้มหมูหอมกรุ่นใส่ปาก ส่วนผมก็เป่ากาแฟให้คลายร้อนก่อนจะค่อยๆ ละเลียดจิบซึมซับสารคาเฟอีนสู่ร่างกาย อ่า รู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดหน่อย

ระหว่างมื้ออาหารไม่มีบทสนทนาระหว่างเราเพราะต่างคนต่างเอร็ดอร่อย ผมกินปาท่องโก๋กับกาแฟได้แค่นั้นก็รู้สึกอิ่ม ส่วนคีนฟาดข้าวต้มไปสองถ้วยเต็มๆ โอ้โห อนาคตจะเลี้ยงไหวปะเนี่ย

“เมื่อคืนนอนคิดเรื่องกล้องเหรอไง?” อยู่ๆ คีนก็เอ่ยปากถามหลังจากที่เขาวางแก้วน้ำเปล่าลงบนโต๊ะ ส่วนผมชะงักมือที่กำลังพิมพ์ข้อความตอบไอ้ปอมเรื่องที่จะไปซื้อกล้องวันนี้ มันบอกว่าฝากเปย์ด้วย เอารุ่นเดียวกันนั่นล่ะ

สรุปว่าผมต้องซื้อกล้องสองตัวที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วอะนะ พนักงานร้านอาจจะหาว่าบ้าได้ โธ่เว้ย มึงนี่มันขี้เกียจสุดๆ ลาออกไปเลี้ยงควายดีไหมห๊ะ?

“หืม?” กลับมาสู่โลกความเป็นจริงที่ผมยังคงมึนกับคำถาม คือเขาติดว่าสภาพหมีแพนด้าในตอนนี้เกี่ยวกับเรื่องกล้องเหรอ?

“ก็เห็นง่วงเหมือนคนอดนอนขนาดนี้” อะ เขาบอกมาแบบนั้นผมก็ต้องไหลตามน้ำไป ใครจะกล้าพูดตรงๆ ว่านอนไม่เหลับเพราะตื่นเต้นที่นอนข้างกันเล่า เดี๋ยวก็มองหน้ากันไม่ติดพอดี แค่ขอจูบเมื่อคืนก็โคตรน่าเกลียดแล้ว

“หา อ้อ ใช่ๆ คิดเยอะไปหน่อย เราเลือกไม่ถูกว่าจะเอาแบบไหนดีน่ะ”

“อืม... จริงๆ เราก็อยากแนะนำนะ แต่ไม่โปรฯ ขนาดรู้สรรพคุณของทุกแบรนด์ทุกรุ่น เดี๋ยวให้ที่ร้านจัดการดีกว่า”

ถ้าหมายถึงไอ้พนักงานหน้าม่อร้านประจำของคีนก็ลืมซะเถอะ เพราะผมไม่ถูกชะตากับมันมากถึงมากที่สุด คนอะไรมองลูกค้าอย่างกับจะแดกเข้าไปทั้งตัวขนาดนั้นวะ (ได้ข่าวว่านายกวินท์ก็มองนายคนินท์แบบนั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ยังกล้าว่าเขาอีกเนอะ)

“เอ่อ... เราเอาเหมือนของคีนก็ได้” ผมตัดปัญหาด้วยการยึดคีนเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เลือกๆ ไว้บ้างว่าสนใจรุ่นไหน มีอยู่ประมาณสองสามรุ่น

“เราอยากให้กิมเลือกที่เหมาะกับตัวเองนะ อย่างกล้องตัวที่เรามีก็เป็นระดับมืออาชีพเพราะเอาไปถ่ายงานพรีเวดดิ้ง ราคาค่อนข้างสูง ฟังก์ชั่นเยอะ ใช้งานยากถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อน” จากคำพูดเมื่อครู่คนฟังสามารถตีความหมายได้สองแบบคืออย่างแรกดูถูกเรื่องเงิน อย่างที่สองคือเป็นห่วงจากใจจริงกลัวว่ามันจะไม่คุ้มค่ากับการใช้งาน ซึ่งอย่างหลังน่าจะเป็นความตั้งใจของคีนมากกว่า อืม...

“เราไม่มีปัญหาเรื่องราคานะ แต่ฟังก์ชั่นการใช้งานนี่...” ผมลองเชิงเขาด้วยการเกริ่นเล็กๆ แล้วลอบมองปฏิกิริยา ซึ่งคำตอบที่ได้คือใบหน้าและดวงตาเป็นกังวล ชัดเจนยิ่งกว่าคีนก็ทีวีระบบ Full HD เลยล่ะ

“นั่นไง เราเลยอยากให้ทางร้านแนะนำหรือไม่ก็โทรปรึกษาอาจารย์ กลัวกิมจะใช้งานลำบากน่ะ”

ผมจะทำยังไงกับความเป็นห่วงของคีนที่เอ่อทะลักออกมาใส่กันดีนะ มันรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก แต่ถ้าได้กอดสักทีก็... (ไม่เกี่ยวกันเว้ย! - ปอมตะโกนด่าผ่านโทรจิต)

“ถ้าเราซื้อกล้องแบรนด์เดียวกันกับที่คีนใช้อยู่แต่คนละรุ่นล่ะ จะช่วยสอนให้ได้ไหม?” อะ ลองหาทางหนีทีรอดที่ดูมีความรู้ขึ้นมานิดหน่อย ก็ไม่อยากให้คีนคิดว่าผมเป็นพวกเหลาะแหละ ไม่ยอมเตรียมตัวเรื่องการเรียนให้พร้อมนี่หว่า ถึงมันจะมีส่วนขี้เกียจเล็กๆ ปนอยู่จริง

“คนละแบรนด์เราก็สอนได้เหอะ ถ้ากิมเป็นคนขอน่ะนะ” ไอ้การขยิบตาพร้อมยิ้มหวานก่อนจะลุกสะบัดก้นไปล้างจานเนี่ย... กำลังให้ท่าอยู่ใช่ไหมครับคีน โปรดกรุณาหันมาให้คำตอบไอ้หมาตาดำๆ ที่นั่งกุมอกมือสั่นกึกข้างหลังด้วยเถอะ อ๊าก!

ไอ้สัด บอกได้คำเดียวว่ายับเยินมาก! ซื้อกล้องสองตัวราคาเหยียบแสน ไหนจะโดนพนักงานชักจูงให้ซื้อเลนส์เพิ่ม ขาตั้งกล้อง กระเป๋า ฟิลเตอร์ อุปกรณ์ทำความสะอาดและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายโดยคีนหนีออกไปอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เพราะกลัวคล้อยตามเหมือนกัน โคตรทำร้ายอะ โอย สรุปผมรูดการ์ดไปวันนี้ขึ้นหลักหกอยู่ดี กะปอมเอ๊ย มึงต้องรีบจ่ายเงินกูหนา ไม่อย่างนั้นคุณนายแม่โวยวายยอดบัตรเครดิต

“ขากลับเราขอแวะมหา’ลัยก่อนนะ” คีนหันมาบอกในขณะที่เรากำลังเดินตรงไปร้านไก่ทอดเกาหลีเพื่อกินเป็นมื้อเที่ยง ผมเลิกคิ้วขึ้นมองคนข้างตัวอย่างสงสัย คือจะไปมหา’ลัยช่วงปิดเทอมทำไมวะ หรือพวกดาวเดือนคณะมีงานพิเศษอีก

“มีงานด่วนเหรอ?”

“อ๋อ เปล่าหรอก ว่าจะเข้าไปเขียนใบสมัครประกวดภาพถ่ายน่ะ” คีนพูดเสียงเรียบก่อนจะหันไปคุยกับพนักงานต้อนรับหน้าร้าน วันนี้คนก็ยังเยอะเป็นปกติเหมือนทุกครั้งที่มากิน เออว่ะ ไก่ทอดเกาหลีมันฮิตไม่เลิกจริงๆ

“ที่คณะเราน่ะเหรอ?” ผมถามต่อก่อนจะเอื้อมมือไปรับถุงกล้องอีกตัวมาตั้งไว้ข้างๆ ตัวเองหลังจากปล่อยให้คีนช่วยถือมาตลอดทาง เราเลือกนั่งที่โต๊ะด้านในที่คนไม่ค่อยพลุกพล่าน จัดแจงตัวเองเสร็จก็รับเมนูจากพนักงาน เอาจริงก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะสั่งอะไรกินแต่ก็ขอดูพอเป็นพิธี

“กิมจะสมัครด้วยกันปะ?” คีนอุตส่าห์ลดระดับเมนูลงแล้วใช้คางวางลงบนสันเพื่อมองหน้ากัน ท่าทางโคตรน่ารักน่าฟัดจนผมเผลอเม้มปากไว้ ถ้าไม่ทำก็จะยิ้มปากฉีกน่ะสิ ส่วนดวงตารีสวยก็มีประกายวิบวับเหมือนต้องการหลอกล่อให้ตอบตกลง แต่... ผมเป็นบุคคลที่ไม่มีเซ้นส์ในการจัดองค์ประกอบ สักแต่ว่าชอบถ่ายรูปเก็บเอาไว้ดูภายหลังก็แค่นั้น ถ้าอยากประกวดคงใช้เวลาฝึกปรืออีกนาน

“โห ไม่ไหวมั้ง” ผมส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ ก่อนจะหันไปเรียกพนักงานเพื่อทำการสั่งอาหาร เมนูไก่ทอดซอสเกาหลีชุดใหญ่พร้อมด้วยข้าวและซุปครบเซ็ตสำหรับสองคนกิน เพิ่มเติมต๊อกโปกีกับคิมบับอีกอย่างละหนึ่ง

เมนูอาหารถูกเก็บหลังจากที่เราสั่งกันไปเรียบร้อย ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อพิมพ์ข้อความหาไอ้ปอมเรื่องกล้องถ่ายรูป ซื้ออะไรบ้าง ราคาเท่าไหร่ จะมาเอาของวันไหนประมาณนั้น เวลาตอนนี้ก็ย่างเข้าสู่บ่ายโมงหวังว่ามันคงสร่างเมาแล้วมั้ง

“เดี๋ยวเราสอนใช้กล้องกับเทคนิคการถ่ายรูปให้ นะ ลงสมัครด้วยกันเถอะ” คีนโน้มตัวเข้ามาใกล้กันจนผมที่นั่งก้มพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ถึงกับชะงักมือ คือเงาเขาทาบทับร่างกายผม กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ยังปะทะโสตประสาทรับรู้ชนิดที่คิดว่าเอาจมูกแนบลงบนที่ไหนสักแห่งของร่างกายตรงหน้า ยังไม่รวมน้ำเสียงติดอ้อนที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนนั่นอีก นี่กะจะฆ่ากันให้ตายเลยใช่ไหม

เล่นแบบนี้ไอ้กิมก็แย่สิ

“ครับๆ อ้อนขนาดนี้ไม่ยอมสมัครด้วยก็บ้าแล้ว” ผมลดเสียงลงที่ปลายประโยคเพราะกลัวคีนจะไม่ชอบใจที่ไปหาว่าออดอ้อน แต่ดูท่าทางเขาไม่ถือสาแถมยอมรับด้วยรอยยิ้มหวานๆ นั่นอีก แล้วไอ้มือเรียวที่แปะลงข้างแก้มผมทั้งสองข้างก่อนออกแรงส่ายไปมาเบาๆ คืออะไรหรือ... หัวใจจะวายตายตอนนี้ก็ได้นะครับ โว๊ย บ้าบอมาก!

“น่ารักนะเราเนี่ย”

โอ้... โดนคำนี้เข้าไปผมถึงกับรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้าเลยว่ะ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมานั่งเขินกับคำชม ‘น่ารัก’ โธ่ นี่มันอาการของคนแพ้คีนชัดๆ แต่ผมก็งัดเอาไม้ตายมาใช้เพราะตอนนี้มีความหน้าหนากว่าปูนซีเมนต์อีก อยากได้อะไรก็ต้องรุกให้หนักๆ จริงไหม

“แล้วเมื่อไหร่จะรักเราสักทีล่ะ?” ผมถามเสียงเรียบและใช้ความใจกล้าทั้งหมดจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ กะว่าถ้าไม่มีใครมาขัดจังหวะก็อยากมองแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่คีนก็คือคีนที่ฉลาดหาทางออกให้ตัวเองด้วยหารถอยหนึ่งก้าว ระบายยิ้มหวาน ส่ายหน้า ก่อนที่น้ำเสียงทะเล้นจะเอ่ยออกมา

“ไม่บอก”

อ่า... ถ้าคีนแลบลิ้นปิดท้ายประโยคด้วยคงให้ความรู้สึกเหมือนเด็กห้าขวบล้อเลียนผู้ใหญ่อะ โว๊ย จับฟัดกลางร้านขายไก่ทอดสักทีดีไหมเนี่ย!

ช่วงประมาณบ่ายสามเราทั้งคู่แวะเขียนใบสมัครประกวดภาพถ่ายที่คณะเสร็จก็ตรงไปส่งคีนที่บ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วคือผมอิดออดไม่ยอมกลับเลยขอให้สอนความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกล้องให้ซะเลย คือโชว์โง่ตั้งแต่เริ่มเลยล่ะ โธ่เว้ย ความประทับใจในตัวผมยังเหลืออยู่ในสายตาของเขาบ้างหรือเปล่า

“ไม่ๆ กิมต้องใช้มือซ้ายประคองใต้เลนส์เพื่อง่ายต่อการปรับระยะถ่ายรูป ถ้าจับผิดวิธีจะทำงานยาก” คีนตีมือกันดังเพี๊ยะก่อนรีบอธิบายเมื่อเห็นผมยกกล้องขึ้นเตรียมถ่ายในท่าทั้งสองมือจับบอดี้กล้องไว้เหมือนตอนใช้โทรศัพท์เก็บรูป เออว่ะ ยุ่งยากตั้งแต่เริ่มเลยแฮะ แต่ผมมีความพยายามในการใกล้ชิด เอ๊ย เรียนรู้มากพอเลยทำให้มันกลายเป็นแค่เรื่องจิ๊บๆ

“ยังไงเหรอ?” ผมแสร้งทำหน้าตาใสซื่อตั้งคำถามกับคีนทั้งที่ก็เคยเห็นวิธีการจับกล้องมาก่อนแล้ว ก็แบบ... มันมีความหวังเล็กๆ ว่าเราจะได้ใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมไง แต่ปัจจุบันก็แทบนั่งเกยตักอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่ามีชมจันทร์นอนอ้วนแทรกอยู่ตรงกลาง ไอ้กระต่ายอ้วนเอ๊ย!

“นี่ แบบนี้ ประคองดีๆ” คีนไม่ได้มีท่าทีเอะใจในคำถามโง่ๆ ของผมเลยเอื้อมมาจับมือกันวางลงบนตำแหน่งที่ควรจะเป็นคือประคองใต้เลนส์กล้อง ความอุ่นร้อนที่ได้รับในเวลานี้กำลังทำให้กล้ามเนื้อหัวใจสูบฉีดเลือดอย่างหนัก หูย โดนแต๊ะอั๋งอะ เขินจัง

“กิม... ยิ้มอะไร?” เขาผละมือออกไปแล้วแถมยังขมวดคิ้วมองหน้ากันราวกับต้องการจับผิด ผมนี่ก้มหนีทำเป็นลองดูส่วนประกอบต่างๆ ของกล้องทันที ไอ้แป้นกลมหมุนๆ เปลี่ยนโหมดถ่ายภาพนี่เยอะจังเลยเนอะมีทั้งแบบ Creative Zone (ปรับการตั้งค่าของของกล้องในการถ่ายภาพเอง) และ Basic Zone (กล้องตั้งค่าการถ่ายภาพไว้ให้เรียบร้อย)

“กิม...” เสียงนิ่งๆ ทำให้ผมต้องจำใจเงยหน้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ คีนกำลังจ้องมาทางนี้ด้วยแววตาอ่านไม่ออกก่อนอุ้มชมจันทร์ขึ้นแนบอกแถมลูบหัวเบาๆ ให้คนอย่างไอ้กิมอิจฉากระต่ายเล่น โธ่ เมื่อไหร่จะเลิกเอาเจ้าฟูมาเป็นก้างสักทีล่ะ ตอนนั้นผมก็แค่อยากหอมแก้มเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดจูบหรือปล้ำซะหน่อย

“ครับ?”

“ปรับโหมดเป็นภาพถ่ายบุคคลแล้วลองใช้งานกล้องดู”

“หือ?” หมายความว่าให้ผมลองถ่ายรูปใช่ปะวะ สมองยังเบลอๆ มึนๆ อยู่ นี่กูเปิดกล้องเป็นหรือยังเถอะ ไม่ปรานีกันเลยนะคีน!

“ถ่ายรูปเรากับชมจันทร์”

“อะ โอเค” จะเสียงสั่นทำไมเนี่ยก็แค่ถ่ายรูป!

ผมไม่เคยใช้ช่องมองภาพของกล้องรุ่นใหญ่มาก่อนเลยได้แต่จัดองค์ประกอบผ่านหน้าจอ LCD ขนาดสามนิ้ว จำได้ว่าถ้าเราอยากโฟกัสวัตถุให้กดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่งจนมีกรอบสีเขียวๆ ปรากฏ หลังจากนั้นค่อยกดเต็มแรงเพื่อบันทึกรูป คือมันอาจจะง่ายในสายตาคนอื่นแต่สำหรับผมนั้นการถ่ายรูปบุคคลที่ได้ชื่อว่าคีนโคตรยาก ก็เล่นโพสต์ท่าก้มมองไอ้ชมจันทร์ด้วยสายตาละมุนและมีรอยยิ้มเอ็นดูแบบนั้น หัวใจผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะน่ะสิ ดูนุ่มนิ่มจนอยากปั้นๆ แล้วกลืนลงท้องชะมัด

“ถ่ายหรือยังเนี่ย? เราเมื่อยคอแล้วนะ”

ฉิบหาย มัวแต่จินตนาการความนุ่มนิ่มของคีนจนลืมเรื่องถ่ายรูปไปเลย โอ๊ย ไอ้บ๊วยๆๆๆ สมควรแล้วที่ได้รับฉายานี้

“เอ่อ... กำลังจะถ่ายแล้วๆ พอดีมือสั่นนิดหน่อย” มือน่ะสั่นนิดหน่อยแต่ใจนี่สั่นแรงมาก ตื่นเต้นกับกล้องโปรฯ ตัวแรกและภาพแรกที่จะถูกบันทึกลงในนี้

“ลองกดชัตเตอร์ดู มันมีระบบกันสั่นน่า ไม่ต้องกลัวภาพเบลอหรอก” เสียงกลั้วหัวเราะที่มาพร้อมกับการช้อนตามองของคีนทำให้ผมจับกล้องแน่นขึ้นโดยไม่ตอบโต้อะไรกลับไปอีกนอกจากการกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ แม่ง เอียงบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะมัวแต่อายในความโง่ของตัวเอง ลืมได้ไงว่ากล้องมีระบบกันสั่น กูเนี่ยโกหกไม่เนียนเอาซะเลย โดนจับได้เป็นล้านครั้งว่าแอบมองเขาตลอด เฮ้อ ท้อแท้



ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 15 -P.2- 09/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-10-2018 15:32:31
“เราดูโง่จังเนอะ” ผมหัวเราะแหะๆ ตอนนี้ลดกล้องในมือลงเพื่อดูภาพ คือคีนไม่ได้อยู่กลางเฟรมอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก ค่อนไปทางซ้ายเหมือนคนถ่ายสายตาเอียง

“เฮ้ย คนไม่รู้ไม่ได้แปลว่าโง่สักหน่อย ต่อไปกิมอาจจะถ่ายรูปสวยกว่าเราก็ได้นะ” คีนพยายามให้กำลังใจกันอย่างเต็มที่ซึ่งผมก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ก่อนส่งกล้องในมือให้เขาดูผลงานชิ้นแรก สอบตกแน่เลยกู เฮ้อ

“งั้นเอารูปนี้ไปพิจารณาก่อนแล้วกันว่าใช้ได้หรือเปล่า?”

กล้องถูกรับไปแลกกับไอ้ชมจันทร์เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของผมแทน ดีหน่อยที่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ไล่งับมือเหมือนช่วงแรกที่เจอกัน มากสุดก็แค่ดิ้นหนีเมื่อผมแอบขย้ำท้องย้วยๆ เล่น ก็อยากนุ่มนิ่มเหมือนตุ๊กตาทำไมล่ะ มันเขี้ยวพอๆ กับเจ้าของเลย

“โอ๊ะ สวยใช้ได้เลยนี่” คีนเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ สายตาบ่งบอกตามคำพูดไม่มีการอวยเกินความจริงแต่อย่างใด ผมก้มลงมองผลงานตัวเองบนจอ LCD อีกครั้งก็พบว่ารูปถูกขยายให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น

“หน้าชัดหลังเบลอด้วยเหรอเนี่ย?” ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เออน่า ก็คนมันไม่ค่อยได้คลุกคลีกับกล้องถ่ายรูปนี่หว่า วันๆ เอาแต่จับโทรศัพท์เพื่อส่องไอจีคีนเนี่ย แต่ช่วงนี้เขาไม่ค่อยอัปเดตอะไรมากนักเพราะเอาเวลาไปสอนพิเศษหมดแล้ว เฮ้อ คิดได้แบบนั้นก็เศร้าเนื่องจากการคุยกันของเราก็ลดลงไปด้วย

“อื้อ โหมดนี้ตัวกล้องจะปรับค่ารูรับแสงไว้ต่ำเพื่อถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ ยิ่งค่าน้อยยิ่งเบลอเยอะ”

อ่อ... ไอ้สัญลักษณ์รูปตัว f น่ะนะ เข้าใจแล้ว ถ้าคีนอธิบายอะไรๆ ก็ง่ายไปหมดนั่นล่ะน่า

ในขณะที่คีนยังจดจ่ออยู่กับกล้องในมือผมก็คิดหามุกเสี่ยวๆ มาหยอดเขาสักหน่อย เพราะคุยกันเรื่องวิชาการนานเกินควรแล้ว

“ถ้าหน้าชัดหลังแฟนได้ปะ?” อะ หยอดไปแถมส่งยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อคีนช้อนตามองด้วยใบหน้าตกใจปนขำ เขาวางกล้องไว้บนตักก่อนขยับเข้ามาใกล้จนผมผงะถอยหลัง เล่นจู่โจมแบบนี้เดี๋ยวก็จับจูบสักทีหรอก น่าตีจริงๆ เล๊ย

“กิมอยู่ด้านหน้าเราไม่ใช่เหรอ?” อ่า... คนเหนือกว่าเขาก็ยักคิ้วกวนๆ ให้แบบนี้สินะ ส่วนผมเหรอ?

“.....” ทำได้แค่กระพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้า เฮ้ย คือแบบ... อธิบายความรู้สึกไม่ออก มันอึ้ง ตกใจ ดีใจ สับสน งงงวยกับชีวิตไปหมด

“มีอึ้งด้วย” อะ ส่งนิ้วมาจิ้มแก้มกันเป็นการตอกย้ำเหรอ เดี๋ยวกัดเลยนี่ ขี้แกล้งจังนะคนเรา

“ก็แม่ง... เหมือนเราโดนหยอดกลับเลยว่ะ” ผมหลุบสายตาลงมองไอ้ชมจันทร์แทนที่จะเป็นใบหน้าทะเล้นของคีน โธ่เว้ย ทำไมรู้สึกว่าตัวเองแพ้เขาได้ขนาดนี้ การหยอดก็ล้ำหน้ากว่า ท่าทาง ความกล้ามีครบทุกอย่าง ผมมันไอ้กากจริงๆ นั่นล่ะ

“นั่นสินะ เราคงหยอดกิมกลับจริงๆ นั่นล่ะ” คีนผละออกไปนั่งตัวตรงเหมือนเดิม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มบางเบาที่ดูยังไงก็ยังฉายแววสนุกสนาน

“หมายความว่า...” ไอ้ผมนี่โดนปั่นหัวจนคิดอะไรไม่ออกแล้วครับ เอาแต่ถามนั่นนี่หาคำตอบ

“กิมกลับบ้านเหอะ ดึกแล้วนะ” อะ โดนไล่ครับ แถมคีนยังใช้มือผลักไหล่เป็นสัญญาณให้ลุกขึ้นอีกด้วย เออ ไอ้เราก็เบลอๆ มึนๆ ส่งชมจันทร์ให้เขาแล้วทำตามอย่างว่าง่าย

“อ่า... นั่นสินะ ต้องกลับบ้าน” ผมพึมพำก่อนจะคว้าถุงกล้องขึ้นมาถือไว้แต่ข้างในกลับว่างเปล่า จนได้ยินเสียงขำของคีนถึงได้สติกลับมา

“เอ้า ไหวปะเนี่ย?”

ก็น่าจะไหวอยู่หรอกครับ โดนหยอดซะขนาดนั้น

ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าประตูรั้วโดยมีเจ้าของบ้านออกมาส่งพร้อมน้องชายขนฟูสุดที่รัก ถุงกล้องถ่ายรูปสองตัวถูกเก็บเรียบร้อยอยู่ในรถแล้วแต่ผมก็ยังไม่อยากไปไหนเลยกะว่าจะชวนคีนคุยต่ออีกหน่อย

หาว ~

อะ ไม่คุยแล้วก็ได้ถ้าคีนจะหาวได้น่ารักขนาดนั้น ยอมแพ้ครับ กลับเข้าบ้านไปพักผ่อนเถอะ แต่จะให้ผมปล่อยเขาไปง่ายๆ ก็ใช่เรื่องเนอะ หึหึ

“คีน...” ผมเรียกชื่อพร้อมกับมองหน้าด้วยดวงตาบ่งบอกความต้องการ แต่ดูเหมือนว่าคีนจะง่วนอยู่กับการลูบขนไอ้ฟูอย่างเมามัน สนใจกันบ้างสิ

“ว่า?” โธ่... ตอบรับสั้นได้อีก

“เราขอหอมแก้มคีนก่อนกลับบ้านได้ไหม?” หวังว่าประโยคนี้จะเรียกความสนใจจากเขาได้บ้างนะ อืม... ตวัดสายตามองกันจนผมเกือบวิ่งหางจุกตูดขึ้นรถเลยเขียวถ้าไม่ติดว่าแก้มคีนขึ้นสีแดงระเรื่อน่ะนะ

“ไม่คิดว่าขอกันแบบนี้เราจะเขินบ้างเหรอ?” คีนยกกระต่ายขึ้นบังหน้าแดงๆ ของตัวเองไว้ ท่าทางน่ารักแบบนั้นทำให้ผมหลุดยิ้ม แต่เพียงเสี้ยวนาทีก็ต้องบุ้ยปากใส่ ก็ไอ้ชมจันทร์มันดีดดิ้นจนเท้ามาเตะเข้าจมูกผมน่ะสิ เดี๋ยวพ่อเอาไปย่างกินเลยนี่!

“ก็...” อะ ต่อบทสนทนาดีกว่าเดี๋ยวอดกันพอดี แต่ยังไม่ได้เริ่มพูดคำต่อไปก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มหยุ่นตรงแก้มขวา

ฟอด ~

“.....” กูอึ้งจนยืนตัวแข็งเป็นฟอสซิลไปแล้วครับ โดนคียหอมแก้มอะ โว๊ย อยากจะกรีดร้องให้หมู่บ้านแตกแต่ทำได้เม้มปากกลั้นยิ้ม ตายๆ หัวใจจะวายแล้วครับคุณคนินท์ แบบนี้คิดเข้าข้างตัวเองได้ใช่ไหมว่ามีใจให้กัน

“ขับรถดีๆ ล่ะ ถึงบ้านเมื่อไหร่ก็ไลน์มาบอกเราด้วย” ขโมยหอมแก้มคนอื่นเสร็จก็ไล่ให้กลับบ้านแถมยังมีน้ำใจออกแรงดันหลังให้ผมขึ้นรถอีก ไอ้เราก็ยังคงอึ้งอยู่เลยไหลไปตามน้ำซะเฉยๆ เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือให้ทรงตัวเลยเนี่ย ใจเหลวกายเหลวหมดแล้วจ้า

“อะ...” คือหัวชนขอบประตูครับ ไม่ได้จะพูดอะไร ส่วนคีนก็หันหลังเตรียมเดินกลับเข้าบ้านแต่เหมือนจะเพิ่งนึกอะไรได้เลยหมุนตัวมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

“เอ้อ อีกอย่างนึง... ฝันดีนะ” ยิ้มหวานพร้อมขยิบตาให้... อ่า แผ่นดินไหวแต่พี่ไม่ไหวแล้วครับ

ขออนุญาตเกลียดความเจ้าเล่ห์ของคีนได้ไหมล่ะโอ๊ย ทำแบบนี้ขอเป็นแฟนเลยดีหรือเปล่า จะทนไม่ไหวแล้วครับ!




----------------------------------------------

มีความหวานจนมดจะขึ้นแล้วจ้า
น้องกิมได้กำไรสุดๆ แล้วตอนนี้
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 15 -P.2- 09/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 10-10-2018 06:05:40
โอยๆๆ!เขินแทนกิม :-[
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 16 -P.2- 16/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-10-2018 11:32:49
รูปถ่ายใบที่ 16



สภาพของผมหลังโดนคีนจู่โจมหอมแก้มในเช้าวันรุ่งขึ้นคือมีอาการเหม่อลอย บางครั้งขมวดคิ้วบางครั้งอมยิ้มจนแก้มแทบแตกจนไอ้ปอมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับต้องยกมือขึ้นมาโบกไวๆ เพื่อเรียกสติให้กลับคืน ก็ไม่ได้บ้าแค่คิดว่าตกลงแล้วฝ่ายนั้นรู้สึกกับตัวเองยังไงกันแน่ ทำไมถึงได้ยอมใกล้ชิดเกินคำว่าเพื่อน พอเอ่ยปากถามก็ได้รับการเฉไฉตอบ เฮ้อ ไม่อยากมโนไปเองไง

“กิมมิค ให้กูพาไปหาหมอไหม?” ไอ้ปอมเอ่ยปากถามทั้งที่ยังเคี้ยวหมูตุ๋นในปาก ผมทำหน้ายี้เมื่อมีเศษถั่วงอกหล่นลงในชามก๋วยเตี๋ยว กูขอซื้อตำแหน่งรองเดือนคณะกลับเหอะ สงสารแฟนคลับตาดำๆ ของมันฉิบหาย สกปรกโสโครกห่างไกลจากหน้าตามาก

“มึงเคี้ยวให้เสร็จแล้วค่อยพูดก็ได้” ผมส่งทิชชู่ให้มันเช็ดปากก่อนดึงมือกลับมาหยิบตะเกียบเพื่อส่งอาหารมื้อเที่ยงใส่ท้องบ้าง วันนี้พวกเรากะว่าจะไปหัดถ่ายรูปที่สวนรถไฟเพื่อพัฒนาฝีมือง่อยๆ โทรชวนไอ้ว่านอีกคนแต่ได้คำตอบว่าอยู่กับผัวด้วยเสียงกระเส่าราวกับว่ากำลังขย่มพี่โซน โคตรซึ้งใจเลยจ้า ทางนี้ก็ได้นั่งห่อเหี่ยวทำใจเพราะไม่มีคนช่วยรีดน้ำเหมือนเขาไง รันทดเนอะ

“มึงเป็นเชี่ยอะไร? เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวทำหน้าเครียด กูชักกลัวๆ” อะ กูเพิ่งบอกไปว่าให้เคี้ยวเสร็จก่อนค่อยพูด แล้วทำไมมึงยังทำแบบเดิมวะ คราวนี้หมูหล่นจากปากเป็นชิ้นๆ จนน้ำก๋วยเตี๋ยวกระเซ็นไปทั่วบริเวณโดยรอบ ผมอยากจะคว้าแก้วน้ำมาสาดหน้ามันให้จบๆ ไป ไม่ดงไม่แดกแม่งแล้วเนี่ย แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ขาดที่ระบายสิ่งที่คิดมากมาตลอดทั้งคืนน่ะสิ ฮึบ ต้องใจเย็น สูดหายใจลึกๆ ยุบหนอพองหนอ

“กูยังไม่เล่าให้ฟังเหรอ?” ผมถามกลับเพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าเมื่อคืนตอนตกลงกันเรื่องสถานที่ถ่ายรูปนั้นเล่าเรื่องคีนไปหรือยัง สติสตังไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่

“เล่าอะไร มึงเมาน่องไก่เหรอ?” คำตอบแบบนี้พร้อมกับการขมวดคิ้วมองเหมือนผมเป็นคนบ้าแสดงให้เห็นว่ามันยังไม่รู้เรื่อง โอเค ตอนนั้นผมคงช็อกจนพูดอะไรไม่ออก เออว่ะ ขนาดไอ้ปอมไปรับถึงหน้าประตูบ้านยังเผลอถามมันอีกว่าโผล่มาที่นี่ได้ไง โอย ไอ้กิมเอ๊ย ควรเข้าพบจิตแพทย์จริงๆ นั่นล่ะ

“เรื่องมันลึกลับซับซ้อนว่ะ” ผมวางตะเกียบลงเพราะตอนนี้ความอยากอาหารแทบไม่เหลือ สมองเอาแต่วนเวียนหาคำตอบเรื่องคีนแบบไม่หยุดหย่อน จะกินน้ำก็คิด หยิบทิชชู่ก็คิด มองน่องไก่ในชามก็คิด ขยี้หัวแม่ง

“กูต้องเชิญโคนันมาไขคดีให้ไหม?” ไอ้ปอมทำหน้าเซ็งๆ พลางเคาะตะเกียบลงบนขอบชามของผมด้วยท่าทางกวนตีน มึงจะขโมยน่องไก่ก็บอกมาเหอะไม่ต้องมาทำเนียน! กูรู้ทันเหอะ

“กูไม่เล่นนะปอม” ผมทำหน้าตาขึงขังก่อนใช้มือปัดตะเกียบของมันออก ถึงจะไม่กินแต่ก็ยัวงหวงของเว้ย แล้วโคนันน่ะมันคือการ์ตูน ช่วยอะไรกูไม่ได้หรอก

“แล้วใครเขาจะเล่นกับมึงห๊ะ?” เอ้า แล้วมันเกรี้ยวกราดใส่เพื่ออะไร ในขณะที่กำลังอ้าปากจะด่ากลับก็เห็นน่องไก่อันเป็นที่รักของผมลอยละลิ่วไปตกลงในชามฝั่งตรงข้ามอย่างสวยงาม ตอนนี้เหลือแค่เส้นเล็กอืดๆ กับถั่งงอกแคระลอยอยู่บนผิวน้ำซุป รักกูมากมั้งเพื่อน แดกๆ ให้หมดไปไป๊ รำคาญ!

“กินเสร็จค่อยเล่า” ผมดันชามที่เหลือแค่เส้นกับผักให้ไอ้ปอมจัดการ มันทำแค่คลี่ยิ้มหวานรับและรีบกินทุกอย่างที่ขวางหน้า แม่ง อร่อยจนกูอยากเอาคืนเลยว่ะ

สารถีเฉพาะกิจนั่งฮัมเพลงรักด้วยหน้าตาสดใสเพราะก่อนหน้านี้มันได้รับสายจากโฮม แต่พอถามว่า ‘พวกมึงไปถึงขั้นไหนกันแล้ว’ กลับได้คำตอบเพียงแค่ ‘อย่าคิดมาก เพื่อนกัน’ ผมนี่อยากจะลากมันลงไปกระทืบๆๆๆ สักร้อยที คนบ้าอะไรปากแข็งยิ่งกว่าฟอสซิลล้านปีอีก เมื่อไหร่ที่เขาโดนหมาตัวอื่นคาบไปแดกผมขอหัวเราะให้ฟันหักหมดปากเลยแล้วกัน

“ปวดขี้เหรอ?” ไอ้ปอมหันมาถามในขณะที่รถจอดติดไฟแดง ใบหน้าของมันติดกวนๆ จนผมต้องใช้มือดันหัวด้วยความหมั่นไส้ แค่เครียดเว้ยไม่ได้ปวดขี้ เดี๋ยวตดอัดแม่งเลย

“เออ จะขี้ใส่รถมึงนี่ล่ะ” รำคาญเว้ย ชอบขัดจังหวะการคิดทบทวนของกูตลอดเลยมึงเนี่ย เห็นไหมว่าต้องเริ่มใหม่อีกแล้ว เซ็ง

“เฮ้ย ไม่จริงจังดิ กูแค่ล้อเล่นเอง ไหนๆ มีอะไรจะเล่า พร้อมฟังแล้วครับ” ผมคงเผลอทำหน้าตึงไปหน่อยไอ้ปอมเลยละล่ำละลักพูดซะยาวยืดแถมยังเอื้อมมือมาตบบ่าเพื่อให้กำลังใจกันอีก เออ ขอบคุณ แต่ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยว่ะ หรือผมควรโทรไปหาแม่ที่ไต้หวันดีนะ โธ่ คู่รักนั่นหนีเที่ยวอีกแล้ว

“คือ...” ผมพูดได้แค่นั้นก่อนจะหุบปากฉับ คือมันไม่รู้ต้องเริ่มต้นเล่าจากตรงไหนดี บอกไปเลยว่าโดนคีนหอมแก้มก็ไม่ใช่ปะวะ ในเมื่อผมเป็นฝ่ายกรพทำก่อน... แม่ง ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ขอแวะร้านขายยาก่อนได้ไหม

“เงียบทำไมวะ? กูลุ้นเนี่ย” อะ ทำเหมือนกับว่าจะถูกหวยรางวัลที่หนึ่งอย่างนั้นล่ะ เพลียกับความโอเวอร์แอคติ้งของมันจริงๆ ตาเบิกกว้าง มือบีบไหล่ผมแน่น เฮ้อ ไอ้ปอมหนอไอ้ปอม มึงช่วยลดความบ้าลงหน่อยเถอะ ไม่รู้จะสงสารแฟนคลับมันยังไงแล้วเนี่ย

“เอ่อ...” ไม่ต้องมองค้อนกูขนาดนั้นก็ได้ปะวะ คนมันเริ่มไม่ถูกไง อย่ากดดันสะ... สิ เฮ้ย!

“ไม่เล่ากูจูบนะ” ไม่ขู่เปล่าแต่ยื่นหน้าทำปากจู่เข้ามาจริงๆ ด้วย ถ้าจูบกูต่อยมึงอัดกระจกรถแน่

“ควายเถอะ คีนหอมแก้มกู!” ผมตะโกนออกไปเพราะกลัวว่าไอ้ปอมจะทำหูหนวกแล้วแกล้งจูบกันจริง ก็มันไว้ใจไม่ได้ วันไหนครึ้มอกครึ้มใจนี่เดินเข้ามากอดกันเฉยๆ บางทีเอาหน้าถูอกด้วย โอย สยอง!

“ห๊ะ มึงอย่ามาตอแหล!” เอ้า กลายเป็นว่ามันตกใจจนตาเหลือกแถมยังเป็นจังหวะที่ไฟจราจรเปลี่ยนสี ผมก็เลยต้องตบแก้มมันเพื่อเรียกสติให้ออกรถ ถ้าขืนชักช้าเดี๋ยวโดนคันหลังด้าบุพการีเอา

“ล้อเล่นแน่ๆ” มันพึมพำพลางเหลือบมองกันอย่างไม่เชื่อ ผมเข้าใจความรู้สึกไอ้ปอมดีเพราะไม่ว่าใครได้ฟังก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น

“จริงๆ ไอ้สัดปอม กูโดนเขาหอมแก้ม” ผมยืนยันเสียงหนักแน่นโดยจ้องไอ้ปอมตาไม่กระพริบ อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวๆ ออกมา ไม่รู้ว่าโล่งใจหรือจะด่า

“แล้วมึงจะเครียดทำไมเนี่ย มันต้องดีใจสิวะ” รอยยิ้มยินดีผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ มันผละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยมาลูบหัวกันด้วยความเอ็นดูซึ่งผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ ชอบให้คนอื่นลูบหัวแต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคีนคงรู้สึกดีกว่านี้แน่ๆ

“เออ ไอ้ดีใจมันก็ใช่ แต่มึงไม่คิดเหรอว่าเพราะอะไรเขาถึงกล้าทำแบบนั้น?” ไอ้ปอมชะงักมือก่อนจะถอนกลับไปจับพวงมาลัยเหมือนเดิม สีหน้าของมันดูเข้มขึ้นมากกว่าปกติ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเหมือนคนกำลังเครียดหรืออีกความหมายคือหงุดหงิด ผมคิดว่าเป็นอย่างหลังนะ มีลางสังหรณ์ตุๆ

“คีนชอบมึงไง ทำไมแค่นี้คิดไม่ได้วะ?”

นั่นไง โดนด่าว่าโง่ตรงๆ ยังไม่จุกขนาดนี้เลยไอ้หมาปอม!

“คิดได้ แต่ไม่มั่นใจ” ผมตอบเสียงแผ่วแล้วก้มหน้าลงซบกับมือตัวเองเพื่อปิดซ่อนความอ่อนแอในดวงตา ตอนแรกก็ว่าจะไม่ดราม่าแต่พอได้คุยได้ระบายกับเพื่อนดันรู้สึกจุกยังไงไม่รู้ว่ะ ดีใจก็ไม่สุด เสียใจก็ไม่สุด

“ก็ถามเขาไปตรงๆ” น้ำเสียงดุของไอ้ปอมอ่อนลงทำให่ผมใจชื้นขึ้นนิดหน่อยแต่ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา

“ถามแล้ว” ผมตอบกลับ เริ่มขยับฝ่ามือลูบไล้ทั่วใบหน้าเผื่อบางที่จะทำให้คลายความวุ่นวายในสมองลงได้บ้าง แต่ทำไมไอ้ปอมไม่ถามต่อวะ อุตส่าห์เว้นจังหวะให้มีส่วนร่วม

“.....” อะ ปากเงียบแต่หน้าตาแสดงความอยากรู้อยากเห็นสุดๆ โอเค มันยังหูผึ่งตั้งใจฟังอยู่แต่ไม่รู้จะพูดอะไรแทรกสินะ

“แต่ไม่ได้คำตอบว่ะ กูควรทำไงดี?” เสียงเหมือนหมาหงอยโดนเจ้านายทิ้งเลยกู เฮ้อ เพลียหัวใจจัง

“คีนอาจจะเริ่มชอบมึงเข้าแล้ว แต่คงมีเหตุผลที่ยังไม่บอกตรงๆ” มันพูดปลอบใจด้วยสีหน้าจริงจังไม่มีแววล้อเล่นใดๆ อืม ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นหรือแค่ให้ความหวังเล่นๆ ผมเดาใจคีนไม่ออกหรอก เขาฉลาดแต่ไอ้กิมดันโง่ไง

“กูไม่อยากดีใจเก้อ” ผมถอนหายใจแล้วซบหน้าลงกับคอนโซลรถ โว๊ย ตอนนี้อยากเปลี่ยนเส้นทางไปหาคีนมากกว่าเพราะไม่อยากวุ่นวายใจแบบนี้ เดี๋ยวไอ้การพัฒนาฝีมือถ่ายรูปจะไม่เป็นตามหวัง

“แต่เคสนี้กูให้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ว่าเขาชอบมึง ลองคิดสิว่าผู้ชายที่ไหนเขาจะกล้าหอมแก้มเพศเดียวกันวะ”

เออว่ะ ผู้ชายที่ไหนจะพิศวาสเพศเดียวกันนอกจาก...

“มึงไง กูเป็นเหยื่อประจำ” ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเบนหน้าไปมองไอ้ปอมด้วยรอยยิ้มกวน ตอนนี้ความกังวลคลายลงมากกว่าครึ่งเลยมีกะจิตกะใจแกล้งเพื่อน มันอ้าปากพะงาบๆ ดวงตาเบิกกว้างคงกำลังช็อกแน่นอน

“โอ๊ย นั่นกูเมาไม่รู้เรื่อง!” พอได้สติก็โวยวายลั่นรถเลยวุ้ย ผมนี่ขำจนปวดท้องไปหมดแถมยังโดนหมัดหนักๆ ต่อยลงบนต้นแขนอีกด้วย แต่ก็ถือว่าคุ้มที่สามารถสลัดความคิดเรื่องคีนได้เกือบจะทั้งหมด

“ไว้กูจะลองหาโอกาสถามเขาอีกครั้ง” ผมบอกเพื่อนหลังจากควบคุมการหัวเราะของตัวเองได้ ส่วนตอนนี้เรื่องที่สำคัญกว่าคือต้องลงจากรถไปเผชิญสวนรถไฟแล้ว

“ดีมาก ตอนนี้สิ่งที่มึงควรทำคือตั้งใจฝึกถ่ายรูป” มันทำหน้าเคร่งขรึมในขณะที่กดปุ่มดับเครื่องยนต์เมื่อจอดรถเสร็จเรียบร้อย ผมเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ก่อนขยับตัวรอดช่องว่างระหว่างเบาะไปหยิบกล้องที่ด้านหลัง แม่งเอ๊ย หนักฉิบหาย ใช้สายสะพายคอจะหักไหมเนี่ย

“ครับเมีย” ผมตอบเสียงประชดแต่กลับเรียกสายตาหวานๆ กับท่าทางสะดีดสะดิ้งของเพื่อนได้เป็นอย่างดีแถมยังปรี่เข้ามาเกาะแขนพร้อมกระพริบตาปริบๆ ใส่ อืม ขนลุกชอบกลว่ะ ไม่ไหวจะเคลียร์

“ฮึ่ย เรียกเค้าว่าเมียเดี๋ยวก็จับทำผัวจริงๆ ซะหรอก” มันดัดเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วก้มลงคลอเคลียกับต้นแขนของผม ถ้าเปลี่ยนเป็นคีนจะโคตรยินดีเลยแต่กับไอปอมนี่ ขอเขกหัวหน่อยเถอะ!

“โอ๊ย เจ็บนะสามีขา เดี๋ยวจับปล้ำเลย!”

“แรดมากครับคุณกะปอม”

แล้วเราทั้งสองก็พากันหัวเราะลั่นรถ เออว่ะ หายเครียดไปเลย

ความทุลักทุเลในการผลัดกันเป็นนายแบบฝึกถ่ายรูป Portrait นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มเพราะไอ้ปอมลงนอนบนพื้นหญ้าแล้วเกิดอาการคันคะเยอทั้งตัว เดือดร้อนผมต้องลากมันไปโรงพยาบาลโดยด่วน แม่งเอ๊ย เสือกลืมว่าตัวเองแพ้ น่าจะปล่อยให้ตายคาสวนรถไฟจริงๆ

“ขับรถไหวปะ?” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นไอ้ปอมยังคงพยายามเกาแขนตัวเองไม่หยุดในขณะนั่งรอรับยา รอยแดงเถือกปรากฏเด่นชัดจนน่ากลัว จริงๆ ก็อยากตีมือห้ามมันนะ แต่ก็เข้าใจอาการแพ้ว่าทรมานมากแค่ไหน

“ไหวน่ะไหว แต่โคตรคันเลยว่ะ” อะ เกาจนแขนเป็นจุดๆ เพราะแตกเลือดแล้ว โธ่เว้ย

“ลูบๆ เอาเหอะมึง เดี๋ยวแขนเป็นแผล” ผมเอื้อมมือไปรั้งไว้แล้วมองด้วยสายตาเป็นห่วง เพราะถ้าเกิดเป็นแผลขึ้นมาจะรักษายากแถมแสบเวลาโดนน้ำด้วย เออ ก็เป็นห่วงมันนั่นล่ะ แต่ไม่อยากพูดตรงๆ เดี๋ยวได้ใจ

“เออ จะพยายาม” มันตอบส่งๆ เพราะมือยังคงเกายุกยิกไม่หยุดเพียงแต่ย้ายตำแหน่งเท่านั้น ผมส่ายหน้าปลงกับความเป็นปอม เอาเถอะ ถือว่าเตือนแล้วไม่ฟังก็ช่างเถอะ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเพราะคิวรับยายังอีกยาวไกล แอปฯ ไอจีถูกเปิดขึ้นพร้อมกับแอคเค้าท์ของคีนเด้งอยู่คนแรกบนหน้าจอ รูปที่เขาเลือกโพสต์คือที่ผมลงมือถ่ายไปเมื่อวาน แคปชั่นด้านล่างมีข้อความว่า ‘Everything has changed’ อะไรเปลี่ยนไปล่ะ... ความรู้สึกของเขาที่มีต่อกันหรือเปล่านะ แม่ง สุดท้ายก็คิดวนเวียนอยู่เรื่องเดิมอีกแล้ว เซ็ง

ตอนนี้ไอ้ปอมแสดงสีหน้ายุ่งเหยิงเพราะอาการคันเหมือนกำเริบมากกว่าเก่า ตามเนื้อตัวเริ่มมีผื่นแดงเพิ่มขึ้น เมื่อไหร่เขาจะเรียกรับยาเนี่ย สงสารเพื่อนว่ะ

“ให้กูโทรหาโฮมไหม?” ผมเบี่ยงเบนความสนใจของไอ้ปอมด้วยเรื่องของโฮม มันชะงักมือที่กำลังเกายิกๆ เหลือบสายตามองกันด้วยความตื่นตระหนก

“เฮ้ย จะโทรทำไมเนี่ย?” มันเอื้อมมือมาตะปบโทรศัพท์ของผมแล้วกำไว้แน่นไม่ให้ขยับหนี แววตาสั่นไหวเหมือนไม่ต้องการให้เรื่องนี้รู้ถึงหูอีกคน

“เผื่อมึงอยากสำออยใส่เขาไง” ผมยิ้มกริ่มก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้เพื่อคาดคั้นความลับที่มันปิดบังเอาไว้ ก็รู้ๆ นิสัยปากแข็งของไอ้ปอมอยู่แต่อยากแกล้งไง เอาให้ลืมเรื่องคันไปเลย

“ไปเที่ยวอิสตันบูลนู่น” เสียงพึมพำดังขึ้นในขณะที่เจ้าของมันได้แต่ก้มหน้าก้มตามองปลายเท้า ใบหูเริ่มขึ้นสีระเรื่อทั้งที่ไม่มีรอยยิ้มใดๆ เออเว้ย เอาไปโกหกเด็กข้างบ้านเหอะว่าพวกมึงไม่ได้เป็นอะไรกันเกินเพื่อนเนี่ย ถ้าเชื่อผมคงมีเขางอกอะ

“ไหนว่าเป็นแค่เพื่อน ทำไมถึงรู้ว่าโฮมไปไหน?” ผมซักไซ้ต่อแถมยังแกล้งกระแซะไหล่ไอ้ปอมจนมันตวัดสายตาดุๆ มามองกัน

“โซเชี่ยลก็มีปะวะ? มึงนี่วุ่นวายจัง มาช่วยกูเกาดีกว่า” บ่นง้องแง้งแล้วก็เฉไฉด้วยการเกาท้ายทอยแกรกๆ เออ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญปากแข็งต่อไปเหอะ รำค๊าญ!

“ไม่ช่วย งั้นเรื่องโฮมก็ช่างหัวมึงแล้วกัน” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินไปรับยาเพราะเขาเอ่ยเรียกชื่อไอ้ปอมแล้ว ปล่อยให้มันทำหน้าตาเศร้าสร้อยอยู่ตรงนั้นไปคนเดียว หึ สมน้ำหน้าแม่ง ถ้ามีใครเข้ามาจีบโฮมแบบจังๆ ผมขอเชียร์ฝ่ายนู้นสุดใจเลย

ขับรถไปส่งไอ้ปอมพักผ่อนเสร็จผมก็เรียกแท็กซี่เพื่อกลับบ้านบ้าง แต่ระหว่างทางดันบอกให้ลุงจอดหน้าปากซอยที่มีร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง อยู่ๆ ก็คิดไอ้กระต่ายอ้วนขนฟูนั่นขึ้นมาซะอย่างนั้น หรือที่จริงแล้วก็แค่อยากเจอคีนแต่ผมก็ยังไม่พร้อมเจอสถานการณ์กระอักกระอ่วน เฮ้อ เอาไงดีน้อ

ขายาวก้าวเข้าร้านตรงหน้าด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ มองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาของเกี่ยวกับกระต่ายซึ่งไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ผู้หญิงที่คาดว่าเป็นเจ้าของร้านส่งรอยยิ้มมาทางนี้เหมือนเชิญให้เลือกดูได้ตามสบาย โธ่ ช่วยแนะนำผมหน่อยเถอะ ชีวิตนี้ไม่ชอบสัตว์เว้ย

“เอ่อ... พี่ครับ” ผมเอ่ยเรียกเจ้าของร้านที่ยังคงส่งยิ้มหวานๆ มาให้กันไม่ขาดสาย เธอรีบปรี่เข้ามาหากันทันทีจนผมผงะถอยหลัง แม่ง ตกใจหมดเลย นี่รอให้คุยด้วยอยู่ใช่ไหม โว๊ย คนสมัยนี้เดายากชะมัด

“มีอะไรให้ช่วยเหรอ?” เธอกระพริบตาปริบๆ มองผมเหมือนสิ่งมีชีวิตมาจากต่างดาว ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ประหลาดนะ เสื้อผ้าก็ปกติทั่วไป กางเกงในก็ใส่ เป้าไม่ตุง หรือว่าขี้ตาติดอยู่ ฮ่วย หมดความมั่นใจ!

“มะ มีครับ คือช่วยแนะนำของเล่นกระต่ายให้หน่อยได้ไหม?” ผมเลือกใช้น้ำเสียงนุ่มๆ กับใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเก็บความหงุดหงิดเอาไว้ภายใน เธอก็ดูอยากให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพราะดวงตาเป็นประกายวิบวับเชียว... แม่ง อย่ามองเหมือนจะแดกกันเข้าไปทั้งตัวสิวะ ชักกลัวแล้วเนี่ย

“เพิ่งเริ่มเลี้ยงเหรอ?” น้ำเสียงฟังดูทั้งประหลาดใจและสนใจในคราวเดียวกัน สงสัยจะคิดว่าคนหน้าตาขรึมๆ อย่างผมไม่น่าเลี้ยงสัตว์ตะมุตะมิล่ะมั้ง แหม... กระต่ายของ(ว่าที่)แฟนก็เหมือนของเราจริงไหม?

“ก็... ประมาณนั้นครับ” ผมอมยิ้มเมื่อคิดไปถึงเจ้าของกระต่าย ป่านนี้จะทำอะไรอยู่นะ หลังจากหอมแก้มกันไปเมื่อคืนวันนี้เรายังไม่ได้คุยกันสักประโยค หรือว่าซื้อของเสร็จจะพุ่งไปบ้านเขาดีนะ แต่ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วค่อยว่ากันใหม่เถอะ ไม่อยากรบกวน

“อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?”

ห๊ะ... จะไปรู้ได้ไงว่าไอ้ชมจันทร์อายุเท่าไหร่ ซื้อของเล่นให้กระต่ายมันจำกัดช่วงวัยด้วยเหรอวะ โอ๊ยงง

“หมายถึงกระต่ายเหรอครับ?” ผมถามย้ำให้แน่ใจ

“เปล่าจ้า หมายถึงเรานั่นล่ะ?” เธอส่ายหัวแล้วใช้นิ้วป้อมๆ จิ้มลงบนหน้าอกของผม โอย กลัวจ้า ไปซื้อร้านอื่นยังทันไหมเนี่ย

“เอ่อ...” ผมอึกอักพร้อมกับถอยหลังเตรียมหนี แต่เธอกลับหัวเราะร่าจนต้องชะงักเท้า ตกลงกูโดนเจ้าของร้านแกล้งเหรอวะ

“ล้อเล่นๆ น่า ของเล่นกระต่ายอยู่ทางด้านโน้น เดินตามพี่มาสิ” เธอชี้ไปอีกฝั่งของร้านซึ่งสังเกตได้ชัดเจนว่าเป็นโซนกระต่ายจากบรรดาชั้นวางหญ้าแห้งหลากหลายชนิด กรงสัตว์เลี้ยงหลากสี ของเล่น อาหารเยอะแยะไปหมด

ผมเดินตามเธอไปจนถึงจุดหมาย มองอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับสัตว์เลี้ยงที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าอย่างสนใจ คนเรานี่ช่างคิดช่างประดิษฐ์แถมยังเอาใจใส่พวกมันถึงขนาดต้องสร้างนั่นสร้างนี่เยอะแยะ

“มีไม้ลับฟัน บ้านโพรงทำด้วยหญ้า ไม้กระดก ชิงช้า แค่นี้แหละ” เธอแนะนำของเล่นกระต่ายพลางชี้ไปทีละชิ้นๆ ผมพยักหน้ารับพลางคิดว่าควรซื้ออะไรไปให้ชมจันทร์ดี ไม้ลับฟันเหมือนจะเคยเห็นว่ามีแล้ว บ้านโพรงคงไม่เหมาะ ชิงช้าก็กลัวว่าไอ้ฟูนั่งแล้วหัวทิ่ม งั้นเอาเป็นไม้กระดกดีกว่า

“ไม้กระดกราคาเท่าไหร่ครับ?” ผมถามพร้อมกับนั่งยองๆ ลงไปดูของจริงตรงหน้า ใช้มือทดลองจิ้มให้มันกระดกหน้าหลัง อืม... ใช้ได้ๆ หวังว่าชมจันทร์จะชอบมันนะ

“สามร้อยห้าสิบจ้า แต่กับน้องพี่ลดให้เหลือสามร้อยถ้วน” เธอคลี่ยิ้มหวานก่อนจะเอียงหัวมาซบต้นแขนของผม อ่อยชนิดที่ว่าถ้าทุบหัวลากเข้าหลังร้านได้คงทำไปแล้ว ไอ้ฉิบหาย รู้สึกขนลุกซู่แต่ทำได้แค่หัวเราะแห้งๆ พลางขยับตัวหนีอย่างมีมารยาท

“งั้นเอาไม้กระดกอันนึงครับ” ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับความหงุดหงุดของเธอ ในใจได้แต่ภาวนาว่าอย่าโกรธจนขึ้นราคาเท่าเดิมเลยเพราะในกระเป๋าตังค์ตอนนี้มีเงินสดแค่สามพันเอง

“ดูขนมกับอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มไหมเอ่ย?” อะ เปิดโหมดการขายเต็มที่เหมือนลืมเลือนเรื่องที่ตัวเองโดนผู้ชายปฏิเสธซึ่งๆ หน้า ตอนแรกผมกะว่าจะซื้อแค่ไม้กระดกแต่พอคิดถึงสีหน้าของคีนตอนได้รับของแล้วมัน... ต้องเปย์เพิ่มว่ะ!

“อ่า งั้นรบกวนด้วยนะครับ”

สุดท้ายไอ้ไม้กระดกง่อยๆ ดันงอกลูกหลานเป็นนมแพะอัดเม็ด ขนมเหนียวหนึบช่วยขจัดก้อนขนและหญ้าแห้งอัดแท่ง ส่วนเจ้าของร้านก็ใจดีแถมกระบอกใส่น้ำให้อีกหนึ่งอัน ดูไปดูมาเหมือนเลี้ยงกระต่ายเองเลยว่ะ โธ่ คีนจะประทับใจหรือหัวเราะความเข้าทางชมจันทร์ของผมกันนะ

การได้เดินเข้าบ้านในระยะห้าร้อยเมตรก็เป็นอะไรที่ไม่เลวแถมยังได้ออกกำลังกายอีกต่างหาก ผ่านร้านอาหารตามสั่งเลยแวะซื้อคะน้าหมูกรอบราดข้าวไข่ดาวสุกเป็นมื้อเย็นแถมด้วยน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องอีกสองถุง พอถึงบ้านก็วางสัมภาระทั้งหมดลงบนโซฟาแล้วเลือกของเกี่ยวกับกระต่ายมาตั้งเรียงบนโต๊ะรับแขกเพื่อถ่ายรูป

แชะ แชะ แชะ แชะ แชะ

ผมลั่นชัตเตอร์กล้องไปราวๆ ห้าครั้ง ก่อนจะเลือกรูปที่ดูสวยที่สุดส่งเข้าโทรศัพท์ หลังจากนั้นก็เปิดแอปฯ สำหรับการแชทขึ้นมาและถ่ายทอดเรื่องราวบทนี้ให้อีกคนได้รับรู้ พร้อมข้อความบอกเล่า

กิมมิค : เห็นของพวกนี้แล้วคิดถึงชมจันทร์เลยซื้อมา

ผมนั่งมองข้อความที่ส่งไปหาคีนอยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออกมาเมื่อไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะอ่านในตอนนี้ โทรศัพท์ถูกวางไว้บนโต๊ะ แผ่นหลังกว้างเอนซบพนักพิงเพื่อผ่อนคลายความเมื่อล้าที่สะสมมาทั้งวัน แค่ออกไปถ่ายรูปไม่นึกว่ามันเหนื่อยขนาดนี้ หรือเพราะตกใจเรื่องไอ้ปอมวะ แม่งเอ๊ย แพ้หญ้าจนตัวแดงอย่างกับกุ้ง

ห้านาทีก็แล้ว สิบนาทีก็แล้ว โทรศัพท์ผมยังคงเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวจนต้องตัดสินใจหนีไปอาบน้ำให้สดชื่นก่อนจะกลับมานั่งกินข้าวมื้อเย็นพลางดูละครหลังข่าวไปด้วย วันนี้กะว่าจะนอนดึกเพราะไอ้ว่านส่งรายชื่อเกมใหม่มาให้ลองเล่นชื่อ Identity V อะไรสักอย่างที่ต้องวิ่งหนีฆาตกรทำนองนั้นซึ่งฮิตมากในฝั่งประเทศจีน

“แม่ง หมูกรอบมีแค่สี่ชิ้น” ผมบ่นงุ้งงิ้งเมื่อเห็นหมูกรอบนอนอยู่บนข้าวเพียงสี่ชิ้น นอกนั้นเป็นใบคะน้าเกือบทั้งสวน โธ่ อยากกินก้านผักอะเข้าใจไหม คราวหน้าจะซื้อมาทำแดกเองแล้วเว้ย ขายแพงฉิบหายเลยป้า!

ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้ผมชะงักคำบ่นต่อไปได้อยู่หมัด มือขวาทิ้งช้อนลงในกล่องข้าวก่อนโน้มตัวลงเพื่อมองหน้าจอสี่เหลี่ยม ไอ้เชี่ย แจ้งเตือนว่าคีนอัปไอจีไม่ใช่ตอบไลน์กันสักหน่อย ฮือ เสียใจ แต่ก็ยังกดเข้าไปดูเผื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับผม เนี่ย ความมโนชนะเลิศเห็นไหมล่ะ...

the_kirin.z จีบเราหรือจีบชมจันทร์กันแน่นะ?

โอ้โห เอารูปผมไปอัปฯ ลงไอจีแบบนี้ก็ได้เหรอวะ คือไม่ได้หวงแต่มันก็เขินไง ทำอะไรปรึกษากันบ้างปะเนี่ย แล้วทำไมไม่ตอบไลน์หื้ม เดี๋ยวมือลั่นคอมเม้นต์ว่าจีบคีนเลยนี่!

กิมมิค : อ่านแล้วไม่ตอบเนอะคนเรา

ผมส่งข้อความไปแหย่คีนหลังจากที่กดหัวใจในไอจีให้เขาเรียบร้อยแล้ว รอไม่นานอีกฝ่ายก็อ่านมันและตอบกลับมา

คีน : ทีกิมหายไปทั้งวันเรายังไม่ว่าอะไรเลย ปกติต้องทักมาทุกวันนี่

เออว่ะ วันนี้ผมไม่ได้สวัสดียามเช้าเขาไปจริงๆ ด้วย เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องความรู้สึกระหว่างเราที่เกิดขึ้นจากการหอมแก้ม ทำไมถึงยอมเป็นฝ่ายกระทำและโดนกระทำวะ

กิมมิค : โทษที วันนี้เราไม่ว่างเลย

จริงๆ โคตรว่าง แต่ไม่พร้อมคุยก็เท่านั้นเอง

คีน : แหย่เล่นเฉยๆ ไม่ต้องเครียดน่า
คีน : แล้วนึกยังไงซื้อของให้ชมจันทร์เยอะแยะเนี่ย?

โดนถามแบบนั้นผมก็เลยเหลือบตามองบรรดาอุปกรณ์กระต่ายที่ซื้อมา เอาจริงๆ ก็หาเหตุผลไม่ได้หรอกว่าทำไม ก็เห็นแล้วมันนึกถึงไง

กิมมิค : เข้าทางกระต่ายไง เคยได้ยินปะ?

ผมคิดมุกได้สดๆ ร้อนๆ เลยกดพิมพ์ส่งไปให้คีนแล้วลงมือกินข้าวให้หมดก่อนที่มันจะเย็นชืดไปมากกว่านี้ แถมเวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่สามทุ่ม อีกไม่นานคงสลบเหมือดแทนที่จะได้เล่นเกม

คีน : โอย เรานั่งขำจนปวดท้องไปหมดแล้ว กิมคิดได้ยังไงเนี่ย ชมจันทร์ช่วยจีบไม่ได้หรอกนะ

นั่นสินะ ชมจันทร์ก็เป็นแค่กระต่ายที่ทำตัวน่ารักไปวันๆ แต่คีนก็ให้ความสำคัญกับมันมากโดยไม่ต้องพยายามอะไร ต่างจากผมที่ทุ่มเทแต่ไม่รู้ถึงผลลัพธ์เลย อยากรวบรวมความกล้าถามถึงความรู้สึกของเราแต่ก็ต้องถอดใจเมื่อไม่สามารถกลั่นกรองคำถามออกจาหัวได้ โว๊ย ทำไมเรื่องความรักถึงดูยากเย็นขนาดนี้นะ แต่จะให้ถอยหลังกลับสู่จุดเริ่มต้นก็ทำไม่ไหวหรอกในเมื่อเดินมาไกลจนเกือบถึงปลายทางแล้ว

กิมมิค : เออเนอะ ลืมคิดไปเลย 5555

แสร้งทำตัวร่าเริงทั้งที่ปากไม่รับรู้รสชาติของคะน้าหมูกรอบอีกแล้ว กูควรเลิกกินมันแล้วกลับมานั่งจดจ่อเรื่องค่นอย่างนั่นใช่ไหม โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลย ฝ่ายที่เผลอใจไปชอบเขาก่อนก็เจ็บก่อนทุกทีแถมคิดมากจนหัวแทบระเบิดอีก เฮ้อๆ ขอถอนหายใจสักสิบรอบ

คีน : โทรคุยกันหน่อยไหม?

ผมแทบหยุดหายใจเมื่อได้อ่านข้อความล่าสุดของคีน ช้อนพลาสติกในมือล้วงตุบลงบนพื้นเพราะตกใจ อยู่ๆ ชวนโทรคุยกันแบบนี้ต้องไม่ปกติแน่นอน เอาวะ ตอนนี้ต้องไม่คิดมากสิ เขาอาจจะขี้เกียจพิมพ์ก็ได้

กิมมิค : คิดถึงเราขนาดนั้นเชียว?
คีน : หลงตัวเองจัง
กิมมิค : นิดนึงๆ คีนมีอะไรด้วยหรือเปล่า?
คีน : เราโทรไปได้ไหม?

คำถามเดิมโดยไม่บอกเหตุผลทำให้ผมนั่งเงียบแล้วอ่านข้อความนั้นซ้ำไปมาอย่างชั่งใจ ริมฝีปากหยักถูกเม้มจนขึ้นสีขาว ตอนนี้ในสมองคิดนั่นกลัวนี่ไปซะหมด เอาไงดีวะ โทรหรือไม่โทร เขาอยากคุยเรื่องหอมแก้มหรือเปล่า เพิ่งนึกรังเกียจเหรอ โอ๊ย

กิมมิค : เดี๋ยวเราโทรไปหาเอง ขอเวลาห้านาที

ขอเวลาทำใจน่ะนะ เฮ้อ

ผมนั่งถอนหายใจอยู่ร่วมสิบรอบก่อนย้ายตัวเองเข้าห้องนอน กระโดดขึ้นเตียงดึงผ้าห่มคลุมโปงคล้ายกับว่าเป็นหลุมหลบภัย แต่ไอ้โทรศัพท์เจ้ากรรมที่ติดมือมาด้วยนี่สิ ต้องโทรไปหาคีนจริงๆ เหรอวะ แล้วจะชวนคุยอะไรดี ถ้าถามเรื่องนั้นเขาจะตอบไหมหรือเฉไฉไล่ผมอีกหนอ เอาไงดี



ต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 16 -P.2- 16/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-10-2018 11:33:20
ครืด

ผมแทบทิ้งโทรศัพท์เพราะอยู่ๆ มันก็สั่นขึ้นมา แสงไฟจากหน้าจอทำให้เห็นว่ามีการแจ้งเตือนเข้าของข้อความจาก... คีน! ไอ้ฉิบหาย นี่ผมพิรี้พิไรอยู่กี่นาทีแล้วเนี่ย เขาถึงได้ส่งไลน์ตามขนาดนี้ โธ่เว้ย ช่างแม่งเถอะ คุยกันให้จบวันนี้ล่ะ

‘กว่าจะโทรมาได้ เราจะหลับรอแล้ว’ ประโยครับสายของคีนนั้นทำให้ผมเผลอกัดริมฝีปากแน่นเพราะน้ำเสียงของเขาฟังแล้วให้ความรู้สึกน้อยใจ โอย ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

“โทษทีครับ เรามัวแต่เก็บของเพลิน” ผมโกหกไปแล้วว่ะ แย่จริงๆ เลยไอ้บ๊วย

‘เราล้อเล่น’ เสียงกลั้วหัวเราะจากปลายสายทำให้ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะดึงผ้าห่มลงเพราะรู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้น หลุบหลบภัยไม่ได้ดีเสมอไป จำไว้ๆ

“อ้อ นึกว่างอนจริงๆ ซะอีก” ผมบ่นพึมพำไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่เหมือนจะดังไปหน่อยเพราะคีนดันตอบกลับมาเรื่องเดียวกันเป๊ะ

‘หึ ไม่งอนหรอก แต่กิมโกรธเราหรือเปล่า?’

หัวใจผมนี่เกือบหล่นอยู่ที่ตาตุ่มเลยเพราะคำถามของคีน เขาคิดว่าโดนโกรธอย่างนั้นเหรอ ไม่ใช่สิ ผมแค่กำลังสับสนและคิดมากเท่านั้นเอง

“ห๊ะ เราจะโกรธคีนเรื่องอะไร?” ผมถามกลับก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเพราะไม่รู้จะไปต่อยังไงดี อุตส่าห์ไม่ดราม่าแต่สุดท้ายก็เข้าเรื่องจนได้ เฮ้อ ไม่หนีๆ ท่องไว้ เคลียร์ให้จบซะ

คีนเงียบไปร่วมสองนาทีซึ่งระหว่างนั้นผมก็ได้แต่ฟังเสียงลมหายใจของเขาสลับกับการทำสมองให้ว่าง ควบคุมสติไม่ฟุ้งซ่าน เตรียมรับมือสิ่งที่กำลังจะเกิดหลังจากนี้

‘ก็หลังจากที่เราหอมแก้ม... กิมก็ไม่คุยกับเราเลย บอกให้ส่งไลน์หาตอนถึงบ้านเมื่อคืนก็เงียบ’ อะ คีนรัวมาเป็นประโยคยาวๆ แต่ผมสามารถจับใจความสำคัญได้ในทันที โอ๊ย ฉิบหายแล้วจริงๆ นี่ผมลืมแม้กระทั่งส่งไลน์หาคืนเมื่อคืนอย่างนั้นเหรอ ไม่ได้มีแค่ตัวเองที่คิดมากสินะ ขอโทษ...
“เรา...” แต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออก ซุกหน้าลงกับหัวเข่าที่ชันขึ้นอย่างหมดแรง แม่งเอ๊ย ทำไมต้องมีช่วงเวลากระอักกระอ่วนแบบนี้ด้วย โคตรไม่ชอบเลย

‘ไม่ชอบเราแล้วเหรอ?’ น้ำเสียงหงอยๆ ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะอ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างนั้นกับการกระทำงี่เง่าของตัวเอง โธ่ น้องคีนสุดที่รักของพี่กิม

“เฮ้ย ชอบดิ ยังชอบเหมือนเดิม” ผมรีบละล่ำละลักคอบกลับแบบไม่ต้องคิด ถ้าไม่ชอบแล้วจะมานั่งกังสลทำไมเนี่ย คีนนะคีน เดี๋ยวตีด้วยปากเลย!

‘มะรืนนี้ไปถ่ายรูปด้วยกันไหม?’ อ้าา ทำไมอยู่ๆ เปลี่ยนเรื่องวะ คืออะไรยังไง ผมงงอะ โว๊ย ขยี้หัวจนยุ่งไปหมดแล้ว อยากเจอคีนนะ แต่ก็ไม่รู้ต้องทำตัวหรือแสดงสีหน้ายังไงเลยคิดว่าปฏิเสธก่อนดีกว่า เอาวะ ฮึบ

“เราน่าจะไม่...”

‘กิมกำลังสับสนเรื่องของเราใช่ไหม?’

“.....” ใบ้แดกเลยจ้า ช็อกจนตาเหลือกแล้วเนี่ย ใครคาบข่าวไปบอกคีนวะ หรือไอ้ปอมจะเอาคืนที่ผมแกล้งจะโทรไปหาโฮม ถ้าเจอจะถอนหญ้าเขวี้ยงใส่แม่ง โมโห!

‘มะรืนนี้มาเจอเราสิ แล้วจะบอกทุกอย่าง’

อะ... คดีพลิกแบบหัวใจเต้นแรงสิบริกเตอร์เลยว่ะ โอ๊ย รีบเตรียมตัวตั้งแต่คืนนี้เลยจะเร็วไปไหมนะ ส่วนเรื่องที่จะถอนหญ้าปาใส่ไอ้ปอมก็ยกเลิกเนอะ ไว้ค่อยซื้อน้ำแดงไปเซ่นไหว้แล้วกัน หึหึ

ตลอดทั้งคืนนั้นผมแทบไม่ได้นอนเพราะมัวแต่คิดไปสะระตะว่าคีนจะให้คำตอบในรูปแบบไหน จะรักชอบหรือปฏิเสธอย่างไม่ใยดีกันนะ แต่จากรูปการแล้วคงมีข่าวดีมากกว่าข่าวร้ายอย่างที่ไอ้ปอมได้บอกไว้นั่นล่ะ ฮึ่ย แค่มโนก็รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจชะมัด ถ้าเจอสถานการณ์จริงหวังว่าคงไม่ช็อกตายซะก่อนนะไอ้บ๊วย

เช้านี้ผมอยู่ในสภาพไม่ต่างจากซอมบี้เท่าไหร่เพราะในขณะที่กำลังจะข่มตานอนนั้นกลับได้ยินเสียงใครบางคนกดออดที่หน้าบ้านไม่หยุดหย่อน อยากจะเปิดประตูระเบียงแล้วปาหมอนใส่ชะมัด โอ๊ย แต่พอเห็นหน้าเขาเท่านั้นล่ะ ตื่นครับ ตื่นทุกอย่างตั้งแต่ตายันตีนเลยแม่ง ไอ้พี่เซียนจะโผล่มาทำไมเนี่ย ตายๆ นี่ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจในการจีบกันอีกเหรอ แง๊  วิ่งลงไปที่ประตูรั้วแทบไม่ทัน

“กิมครับ” ผมยอมรับว่าเสียงพี่เซียนหวานจนสามารถละลายใจคนฟังได้อย่างไม่มีข้อกังขา แต่สำหรับสถานการณ์ตอนนี้แล้วนั้น... มันมีแต่สร้างความรำคาญให้

“มาทำไมวะพี่?” ผมถามพลางทำหน้าตายุ่งเหยิงมองเขาด้วยความหงุดหงิด สภาพเหมือนคนบ้าแบบนี้เขายังจะยิ้มแสดงความเอ็นดูอีกเหรอวะ รู้สึกขนลุกยังไงไม่รู้

“คิดถึง”

ไอ้บ้า ผมเกือบทรุดลงกับพื้นเพราะเข่าอ่อนขึ้นมาดื้อๆ พี่จะมาบอกคิดถึงด้วยสายตาอ้อนๆ ไม่ได้นะเว้ย ความจริงแล้วไม่ได้อยากใจร้ายกับเขาแต่ในเมื่อเราเองก็มีคนที่ชอบ เลือกทำอะไรให้มันชัดเจนไปเลยดีกว่า

“เก็บเอาไว้บอกคนอื่นเถอะครับ” ผมพูดเสียงเบาแต่หน้าตาบ่งบอกความจริงจัง ส่วนพี่เซียนก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

“แต่พี่ชอบกิมนี่ครับ”

เออครับ รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำก็ได้น่า

“ผมไม่ได้ชอบพี่ไงครับ” ผมก็ย้ำคำเดิมกลับไปเช่นกันเพราะต้องการให้พี่เขาได้ตัดใจสักที

“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วล่ะ”

“แล้วทำไมยังมาที่นี่อีกครับ?” ผมเปลี่ยนท่าทางจากมึนๆ เป็นเคร่งขรึมก่อนหันหลังยืนพิงกับประตูรั้วเพราะไม่อยากเห็นดวงตาเศร้าของพี่เซียน เขาไม่ผิดที่รู้สึกชอบกันและไม่ผิดที่อยากเจอหน้าผม

“แค่อยากจะมาบอกว่า... ยอมแพ้แล้วครับ”

“ห๊ะ?” ยอมแพ้ง่ายขนาดนี้เชียวเหรอวะ ชอบกูจริงปะเนี่ย ยังไม่รู้สึกถึงการโดนจีบขนาดนั้นเลยนี่หว่าเพราะเขาไม่ได้ตามตื๊อกันขนาดนั้น มีเพียงแค่ส่งข้อความ โทรหาเป็นครั้งคราว หรือมีทักทายวอแวนิดหน่อยเท่านั้น หรือว่าอีกฝ่ายเป็นคีนกันนะถึงได้มีผลลัพธ์แบบนี้

“ถ้าคีนทิ้งเมื่อไหร่ก็อย่าลืมรับพี่ไว้พิจารณาบ้างนะครับ”

“เอ่อ...” กูยังไม่ทันได้คบกันก็แช่งแล้วเหรอวะ เฮ้ย กลับมาก่อนสิ พูดแบบนี้แล้วขับรถหนีไปดื้อๆ เนี่ยนะ โว๊ย ฟัคยู จะไม่คิดสงสารพี่เซียนอีกแล้วเว้ย ไอ้หมอหมากวนตีน!




-----------------------------------------------

ตากิมจะได้คำตอบแล้วนะ มาลุ้นไปพร้อมกันเนอะ หึหึ
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 16 -P.2- 16/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 16-10-2018 17:16:51
เอ๊ะๆๆ หมอพูดแบบนี้ต้องรู้อะไรดีๆมาใช่ม่ะแสดงว่ากิมจะสมหวัง?ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 16 -P.2- 16/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 17-10-2018 09:50:20
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 17 -P.2- 24/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-10-2018 09:58:17
รูปถ่ายใบที่ 17


ผมยืนหมุนอยู่หน้ากระจกมาร่วมช่วงโมงเพราะไม่มั่นใจว่าควรใส่ชุดไหนออกไปเจอกับคีนดี ทั้งที่ปกติก็ไม่เคยสนใจเรื่องนี้ ก็แหม... เขาบอกว่าจะสารภาพความรู้สึกด้วยนี่หว่า มันก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดาจริงไหม เนี่ย เสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีซีดหล่อหรือยังว้า พอคิดไม่ต้องก็จัดการคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปแล้วส่งให้เพื่อนๆ ช่วยพิจารณา

ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ได้ยินเสียงสั่นครืดๆ ของโทรศัพท์กระหน่ำมาไม่ขาดสาย เชื่อไหมว่าไม่มีคำแนะนำอะไรนอกจากด่า แม่งเอ๊ย ซื้อหวยไม่ถูกตรงๆ แบบนี้บ้างวะ

กะปอม : มึงจะแต่งตัวไปเดตหรือไง เต็มยศขนาดนั้น
กะปอม : ไปถ่ายรูปเสื้อยืดก็พอมั้ง
ต้นว่าน : เพื่อนกูเป็นเอามากว่ะ
ต้นว่าน : เปลี่ยนชุดเหอะ มึงดูจริงจังเกินไป

โห อยากจะมุดโทรศัพท์ออกไปตบหัวพวกมันคนละทีเมื่ออ่านข้อความจบ แค่ใส่เสื้อเชิ้ตนี่มันต้องในโอกาสออกเดตอย่างเดียวเหรอวะ โอย รู้แบบนี้กูไม่ปรึกษาพวกมึงก็ดีหรอก ช่วยอะไรไม่ได้เลยเว้ย

กิมมิค : เรื่องกู!

ส่งข้อความเสร็จผมจัดการปิดแจ้งเตือนกลุ่มทันทีเพราะไม่อยากอารมณ์เสียก่อนไปเจอคีน อะ กลับมาเช็คสภาพตัวเองก่อนออกจากบ้านสักหน่อย หมุนไปหมุนมาอยู่สามรอบก็ตกลงว่าชุดนี้ล่ะดีที่สุดแล้ว เดินเอเชียทีคคงไม่ร้อนจนต้องถอดเสื้อมั้ง
ผมวิ่งลงบันไดด้วยอารมณ์เริงร่าแต่ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นใครบางคนนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นอย่างมีความสุข ดูท่าทางคงสนิทสนมกันมาทั้งที่เจอกันเป็นครั้งที่สอง เดี๋ยวๆ ผมควรจะคิดว่าคีนมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงก่อนสิวะ!

เชี่ย คิดจนลืมมองบันได เกือบตกลงไปหน้าแหกแล้วไหมล่ะ โอย ขวัญเอ๊ยขวัญมา ในตอนที่กำลังจะก้าวลงอีกขั้นคุณนายแม่กลับหันขวับมาสบตาพอดี หูย ทำหน้ายุ่งใส่ทำไมเนี่ย

“ตากิม ลงมาได้สักที น้องคีนมารอนานแล้วค่ะ” แม่ทำเสียงดุใส่ผมแต่หันไปยิ้มหวานกับคีน เปลี่ยนอารมณ์ไว้เหลือเกิน แล้วนี่ตกลงว่าคนไหนลูกชายเธอกันแน่ล่ะเนี่ย ดูท่าทางในอนาคตผมคงกลายเป็นหมาหัวเน่าเข้าสักวัน

“จริงๆ ผมนัดกิมให้ไปรับที่บ้านครับ แต่พอดีว่าพี่ชายผ่านมาทางนี้ก็เลยติดรถมานี่ครับ” คีนอธิบายอย่างใจเย็นพลางยิ้มหวานให้ผู้หญิงคนเดียวของบ้าน เธอพยักหน้ารับเข้าใจดี ส่วนผมได้แต่แอบเบะปากใส่แม่ ดูจะเห่อว่าที่ลูกสะใภ้จังนะครับ ถ้าจีบไม่ติดคงโดนตัดออกจากกองมรดกแน่ๆ เรื่องนี้ต้องถึงหูพ่อ!

แต่ไอ้พี่ชายที่มาส่งคีนมันคือใครวะ? ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยแฮะ ไว้ค่อยไปถามตอนเดินทางก็ได้

“ผมเป็นคนตรงเวลานะแม่ ไม่ปล่อยให้คีนรอนานหรอก” ผมเหวี่ยงกระเป๋ากล้องถ่ายรูปขึ้นพาดไหล่ก่อนจะเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวอีกตัว เหลือบมองคีนที่เอาแต่ยิ้มหวานด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ลุ้นว่าเมื่อไหร่เขาจะให้คำตอบกัน ตอนนั่งรถ กินข้าว ถ่ายรูป หรือขากลับบ้าน โอย นี่กูอยู่ในช่วงวัยว้าวุ่นเหรอวะ คิดเยอะจั๊ง

“จ้าๆ แล้วนี่จะไปไหนกันล่ะหื้ม?” แม่หันมองหาพวกเราสลับกันไปมาก่อนจะหยุดที่ผม อ่า ต้องเป็นคนตอบสินะ

“เอเชียทีคครับ ไปถ่ายรูปน่ะ” ผมตอบพลางคลี่ยิ้มปิดท้าย จะหอมแก้มแม่ตอนนี้ก็เกิดความรู้สึกเขินๆ คีนขึ้นมาแฮะ ถ้าเป็นเวลาปกติคงทำไปแล้วเพราะมันคือการไถ่โทษที่ไม่ได้บอกเธอล่วงหน้าว่าจะไปไหน นี่ล่ะกฎของบ้าน วิธีง้อสุดมุ้งมิ้ง

“ลูกแม่ใช้กล้องเป็นแล้วเหรอ?”

อ้าว ถามแบบนี้ผมเสียใจนะแม่ แต่ไม่เป็นไรครับ คนสอนเขาอมยิ้มแก้มจะแตกแล้ว โคตรน่ารักเลยว่ะ แล้วดูแต่งตัวดิ เสื้อยืดสีชมพูพาสเทลกับกางเกงขาสามส่วนสีขาวนี่ยังไงครับ แต่งตัวแบบนี้กะให้ผมหลงหัวทิ่มเลยสินะ ปกติไม่เคยเห็นอะไรทำนองนี้เลย วันนี้โคตรพิเศษ

“ต้องเป็นสิแม่... ก็คีนเขาเป็นคนสอนเลยนะ” ผมพูดด้วยหน้าตาใสซื่อเหมือนคนไม่คิดอะไรทั้งที่จริงๆ แล้วตั้งใจทำให้คีนเขิน แต่ผิดคาดไปเยอะที่เจ้าตัวทำหน้าดุใส่เมื่อความจริงเปิดเผย

“แหม ได้ครูดีสินะ” แม่จิ้มแก้มผมอย่างหยอกล้อซึ่งทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาของคีนทั้งหมด เขากลั้นหัวเราะจนหน้าแดง บรรยากาศตอนนี้เหมือนมีความสุขลอยวนอยู่รอบตัวจนอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงอนาคต ถ้าเราเป็นแฟนกันแล้วก็อยากให้มานั่งคุยเล่นที่บ้านกันแบบนี้ รู้สึกอบอุ่นดี

แต่ตอนนี้ขอเอาคืนคีนสักหน่อยเถอะ ผมจะแซวให้เขาเขินหนักๆ เลยคอยดู!

“ก็ประมาณนั้นครับ ดีต่อใจ” ผมเน้นประโยคหลังแล้วจ้องมองคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาหวานเยิ้มอย่างที่ชอบทำตอนเขาไม่เห็น อีกแค่นิดเดียวก็จะได้เห็นคีนเขินอยู่แล้วเชียวแต่ดันโดนแม่ตีป้าบลงมาบนต้นแขน โอ๊ย พังหมดแล้วครับ

“อย่ามาจีบกันต่อหน้าแม่ค่ะ อิจฉา”

แม่อิจฉาแต่ผมนกอะ ฮือ ทำอะไรไม่ได้นอกจากกรีดร้องอยู่ในใจเงียบๆ ส่วนคีนเกิดอาการอึกอักจนแสดงออกมาทางสีหน้า ดวงตารีมองสบกันเหมือนต้องการคาดคั้นเรื่องที่แม่พูดไปเมื่อครู่ ตอนนี้มีแต่ความฉิบหาย ผมลืมบอกคีนไปว่าเธอรู้เรื่องนี้แล้ว จะโกรธไหมวะ

“เอ่อ... คุณน้ารู้เรื่องด้วยเหรอครับ?” คีนอ้อมแอ้มถามแม่แต่สายตากลับมองผมอย่างดุดัน ผมไหวไหล่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะแกล้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่น หูย บรรยากาศหวานฟุ้งแต่มาคุแปลกๆ ว่ะ

“รู้ค่ะ ก็เจ้ากิมมองน้องคีนตาเยิ้มขนาดนั้น”

อะ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจากเอามือขึ้นปิดหน้าด้วยความอาย

“แม่อย่าเอาผมมาขายดิ” ผมโอดครวญเสียงหลงพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยเมื่อเจอสายตาขำๆ ของคีนมองมาทางนี้ ทั้งที่เขาก็กังวลอยู่แต่ไม่วายอวดรอยยิ้มทะเล้นให้กันอีก เฮ้อ หลงรักจนหาทางออกไม่เจอแล้วเนี่ย เป็นคนใจร้ายจังเนอะ

“แม่กำลังช่วยจีบน้องคีนอยู่นะ ไม่ดีเหรอ?” แม่เหล่มองคีนสลับกับผมที่ตอนนี้อ้าปากหวอไปซะแล้ว ช่วยกันแบบนี้จะสำเร็จเหรอครับ ไม่ใช่ว่าทำให้เขากลัวจนวิ่งหนีไปนะ โอย อยู่ๆ ก็เครียดขึ้นมา

“โธ่ พอแล้วครับแม่ เดี๋ยวคีนโกรธผม” ผมห้ามแม่เพราะคิดว่าคีนคงกระอักกระอ่วนจนพูดอะไรไม่ออก เขาเอาแต่นั่งยิ้มบางๆ เดาอารมณ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อันที่จริงก็อยากหาน้ำหาขนมมาเคี้ยวแก้เก้อแต่พอเหลือบมองนาฬิกาแล้วก็จำใจนั่งที่เดิม ใกล้จะสี่โมงเย็นแล้วเดี๋ยวรถจะติด

“น้องคีนโกรธตากิมหรือเปล่าคะ?” แม่ไม่ตอบผมแถมเมินไปถามคีนแทนอีกต่างหาก ฝ่ามือเรียวจับประคองใบหน้าของว่าที่ลูกสะใภ้อย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยมองด้วยความเอ็นดูจนอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเธอคงหลงคนตรงหน้าไม่ต่างจากผม ประมาณว่าเป็นรักแรกพบ ถ้าพ่อมาเห็นจะหึงหวงหรือเปล่านะ แอบถ่ายรูปไว้แบ็คเมล์ดีไหมเนี่ย

“มะ ไม่โกรธครับ แต่ไม่คิดว่าเขาจะคุยเรื่องนี้กับคุณน้า” คีนตอบเสียงตะกุกตะกักแถมยังหน้าแดงอีกต่างหาก ที่น่าตกใจกว่านั้นคือเขาไม่กล้าสบตากับผมเหมือนกำลังเขินอย่างหนัก ส่วนแม่ถึงกับคลี่ยิ้มอ่อนโยนพลางขยับมือที่จับแก้มมาลูบหัวแทน จะเอ็นดูกันอะไรขนาดนั้นหืม ลืมลูกชายคนนี้ไปแล้วเหรอครับ แต่ผมไม่ได้น้อยใจกลับดีใจมากกว่าที่ครอบครัวเข้าใจเรื่องระหว่างเรา

“เราจริงจังกับคีนถึงได้กล้าบอกเรื่องนี้กับแม่” ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นจังหวะเดียวกับที่แม่หันมายกนิ้วโป้งให้ รอมฝีปากเคลือบลิปสติกขยับโดยไม่มีเสียงพูดได้ประมาณว่าภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มากขนาดไหน ก็คนนี้ผมรักจริงหวังแต่งนี่ครับ

คีนทำเพียงแค่ช้อนตามองกันแต่ไม่ได้ตอบโต้ออกมาเป็นคำพูด นิ้วมือเรียวยาวแอบชี้หน้าผมเป็นการคาดโทษ ถ้าเดาไม่ผิดตอนอยู่แค่สองต่อสองคงโดนสวดยับแน่ๆ เพราะเขาอาจจะคิดว่าแม่เอาเรื่องนี่ไปบอกคุณป้าด้วยหรือเปล่า

“เอาล่ะๆ รีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวรถจะติดเอาเนอะ” แม่แก้ไขสถานการณ์ชวนขัดเขินด้วยการส่งมือทั้งสองข้างตบลงบนขาของผมและของคีนพร้อมๆ กัน เพื่อกระตุ้นให้ลุกขึ้นจากโซฟาได้แล้ว เราพยักหน้ารับแทบจะพร้อมกันทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

“ครับ สวัสดีครับคุณน้า” คีนยกมือไหว้ลาคนสวยก่อนจะเดินนำผมออกไป

“ไปนะแม่” ผมก้มลงหอมแก้มแม่เป็นการบอกลาก่อนรีบวิ่งตามหัวใจตัวเองออกไปบ้าง และได้แต่หวังว่าเหตุการณ์ต่อไปจากนี้จะมีแต่เรื่องดีๆ พุ่งเข้าใส่นะ

แน่นอนว่าสารภีขับรถต้องเป็นผมอยู่แล้ว บรรยากาศในรถตอนนี้ถือว่าผ่อนคลายพอสมควรเพราะเปิดเพลงคลอไปด้วย คีนไม่ได้เอ่ยหรือแสดงท่าทางไม่พอใจเลยสักนิดทว่าการกระทำที่เอาแต่มองวิวด้านนอกก็ทำให้เกิดความขัดเขินแปลกๆ อยู่เหมือนกัน นี่เขาไม่ได้โกรธกันใช่ไหม

ผมแตะเบรกชะลอความเร็วลงเมื่อด้านหน้าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง รถหยุดสนิทแล้วแต่หัวใจกลับเต้นโครมครามเพราะคีนหันมาสบตากันพอดีเพลงที่เปิดอยู่ก็ดันหวานแหววจนรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าวแต่ก็ไม่มีใครหลบใครเหมือนกำลังวัดใจว่าฝ่ายไหนจะเปิดปากพูดอะไรก่อน

“เอ่อ...” ไอ้สัด พูดไม่ออกว่ะ ผมเป็นฝ่ายหลบตาก่อน เออ จะหาว่าขี้แพ้ก็ได้ในเมื่อคีนโน้มหน้าเข้ามาใกล้เพราะเสียหลัก หูย ใจหายใจคว่ำนึกว่าจะได้จูบกันแล้ว

“อ่า... กิมพูดก่อนก็ได้” อะ แล้วทำไมโยนให้ผมแบบนั้นเล่า

“คีนไม่ได้โกรธเรื่องที่เราบอกแม่ใช่ไหม?” ผมอยากตบปากตัวเองสักสิบครั้งที่ขุดเรื่องเดิมๆ มาถาม ถ้าเกิดมันไปกระตุ้นต่อมโกรธของคีนขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ โธ่เว๊ย ถามอะไรไม่รู้จักคืดอีกแล้ว เฮ้อ ไฟแดงนานจังวะ เพลงก็ดันเข้าสู่ช่วงอกหักรักคุดอีก จะบิ้งอะไรขนาดน้าน!

“เราไม่ได้โกรธหรอก แต่มันรู้สึก...” คีนก้มหน้าลงพร้อมกับหยุดพูดไปซะเฉยๆ ทำให้ผมที่กลั้นใจลุ้นแทบตายถึงกับลอบถอนหายใจก่อนยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเพื่อลดความประหม่า เขารู้สึกแย่หรือเปล่านะเพราะเรื่องระหว่างเรายังไม่ชัดเจนแต่ผู้ใหญ่ดันรู้แถมแม่ๆ ยังเป็นเพื่อนกันอีกด้วย ถ้าสุดท้ายคำตอบคือความรู้สึกไม่ตรงกันคงลำบากแย่

“.....” ผมเงียบเพราะยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง แต่หูก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ จากคนด้านข้างจนสติกลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ผมเหลือบมองใบหน้าของคีนที่ตอนนี้กำลังระบายยิ้มบาง ดวงตาของเขาฉายแววลำบากใจอยู่เล็กน้อยแต่ไม่ได้เครียดขึงเหมือนวินาทีแรกที่รู้ว่าแม่ของผมรับรู้เรื่องพวกนั้น

“ทำไมกิมต้องทุ่มเทขนาดนั้นทั้งที่เราก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง” คำถามที่เต็มไปด้วยความสงสัยมาพร้อมกับหัวทุยที่ซบลงบนลาดไหล่ของผม ไม่แน่ชัดว่าจุดประสงค์คือต้องการหลบสายตาหรือแค่อยากหาที่พักใจสำหรับเรื่องราวทั้งหมดของเรา ผมรู้ดีว่าผู้ชายรักกับผู้ชายมันไม่ง่ายเลย ไหนจะต้องกังวลครอบครัว สังคม เพื่อนฝูง หน้าที่การงานในอนาคตอีก ก็ไม่แปลกที่เขาอยากรู้เหตุผลต่างๆ ที่ทำให้เป็นแบบนี้

“ใช่ คีนเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง... ที่เรารัก” ผมพูดพร้อมคลี่ยิ้มบาง สายตาที่มองจ้องคีนนั้นมีความจริงจังแฝงอยู่และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรับรู้เพราะเบนหน้าหนีซะแล้ว คงเขินล่ะมั้ง หึหึ โอย ภูมิใจจัง

“กิม...” เสียงสั่นๆ เรียกชื่อผมก่อนชี้นิ้วไปตรงหน้า หืม จะให้ดูอนาคตของเราเหรอ

“ครับ?” ผมขานรับแต่ตายังมองใบหน้าด้านข้างของคีนซึ่งมันมีเสน่ห์เอามากๆ อ่า อยากหอมแก้มจัง คงนุ๊มนุ่มน่าดู ฮึ่ย มันเขี้ยว

“ไฟเขียวแล้ว” อะ เสียงหัวเราะในลำคอนี่มันยังไงวะ โอ๊ย หน้าแตกยับเยินมากครับ นึกว่าเขาซึ้งกับคำพูดเมื่อครู่ซะอีก ที่ไหนได้แค่จะบอกว่าไฟเขียวแล้วเนี่ยนะ เรื่องนี้ห้ามบอกใครเด็ดขาด กูอาย!

สิ่งที่พวกเราเจอตอนนี้คือรถติดเพราะถึงช่วงเวลาเลิกงานแล้ว ผมนั่งเคาะนิ้วไปตามจังหวะเพลงฆ่าเวลาเหลือบมองคนข้างกายเป็นระยะ ตอนนี้เขากำลังสนุกสนานกับการดูคลิปรีวิวกล้องตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมนี่ถึงกับเบะปากเพราะมันเป็นภาษาอังกฤษล้วน ถ้าไม่ตั้งใจฟังนี่จบเห่เลย

“จะเปย์กล้องตัวใหม่เหรอ?” ผมถามเพราะอยากชวนคุย เรื่องอะไรจะปล่อยเวลาที่เราได้อยู่ไกลกันผ่านไปเฉยๆ แต่รออยู่นานอีกฝ่ายก็ยังนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน โธ่ นี่ผมกลายเป็นอากาศธาตุตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย งอนได้ไหม? อะ เสียงแว่วๆ มาจากจิตใต้สำนึกว่าเขาไม่ง้อหรอก

ในเมื่อเขาไม่สนใจผมเลยเลือกหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป กดเข้าแอปฯ ไอจีเพื่ออัพเดทมันลงไปพร้อมแคปชั่นคล้ายๆ คนน้อยใจ ดูสิจะสนใจกันได้หรือยัง

‘สนใจแต่โทรศัพท์ มองหน้ากันสักนิดได้ไหมครับ?’

รูปก็ไม่ได้ถ่ายติดหน้าคีนเพราะผมโฟกัสแค่ช่วงหน้าอกกับโทรศัพท์ในมือเท่านั้น ทว่าโดนรวมก็รู้ว่าเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน เออว่ะ เขาไม่ได้ตั้งแจ้งเตือนโพสต์ไอจีเหมือนผมนี่หว่า โอย ลืมไปเลยว่าไม่ใช่ตัวเองที่ติดตามคนที่ชอบแทบทุกฝีก้าว ทำใจ กลับไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อดีกว่า เฮ้อ

ไม่ไกลเกินห้าร้อยเมตรคือจุดหมายปลายทางของเรา ผมลอบมองหน้าปัดรถยนต์ที่ตัวเลขดิจิตอลบอกเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม หิวก็หิว นอยด์ก็นอยด์ที่สุดท้ายแล้วคีนก็ดูคลิปนั้นจนจบแถมยังตอบไลน์คนอื่นๆ อย่างสนุกสนานไม่ยอมอ้าปากคุยกับผมสักนิด ตกลงว่าเขาเขิน แกล้งกัน หรือโกรธเนี่ย ชักเริ่มทำตัวไม่ถูก

“นั่งหน้าบูดมาตลอดทางเลยนะ” อยู่ๆ เสียงทุ้มติดขำก็เอ่ยขึ้นเมื่อรถจอดอยู่ในบริเวณเอเชียทีคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมชะงักมือที่กำลังจะกดปุ่มดับเครื่องยนต์แล้วมองคนข้างตัวอย่างไม่เชื่อสายตา ก็เห็นว่าสนใจแต่โทรศัพท์ไม่ใช่เหรอวะ?

“ตาฝาดหรือเปล่า?” ผมแกล้งถามในขณะที่เอื้อมมือกดปุ่มดับเครื่องได้สำเร็จ ในใจพะว้าพะวงอีกทั้งยังตื่นเต้นอีกต่างหาก ไม่แน่ว่าคีนอาจจะสังเกตกันอยู่ตลอดเวลาหรืออีกทางหนึ่งคือตั้งเตือนการอัปเดตไอจีของผม อะ โรคหลงตัวเองกำเริบนิดนึง ก็คนมันหวังไง อยากเป็นที่รักของเขาบ้าง

“อยากให้เราสนใจล่ะสิ” อะ โดนไปอีกหนึ่งดอกจนรู้สึกว่าอากาศในรถเริ่มอบอ้าวขึ้นมา ผมเงอะงะเปิดประตูแล้วลอบสูดลมหายใจแรงๆ เพื่อประคองไม่ให้สติแตก นี่สรุปว่าคีนรู้ตลอดว่าผมงอแงให้เขาสนใจสินะ น่าอายโคตรๆ โอ๊ย ไอ้กากบ๊วยเอ๊ย ไม่ใช่เด็กสามขวบเรียกร้องหาความรักจากแม่นะ จะให้ลบรูปในไอจีทิ้งตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วมั้ง

“ระ รู้ด้วยเหรอ?” ผมถามเสียงสั่นก่อนจะยกมือปาดเหงื่อ แล้วทำไมกูไม่ลงจากรถสักทีวะเนี่ย นั่งทำเอ็มวีอยู่ทำไม๊

“อื้อ ก็เราตั้งแจ้งเตือนไอจีของกิมไว้นี่”

“ห๊ะ...” ตอนนี้รู้สึกเหมือนหูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลมเลยว่ะ จริงดิ ตั้งแจ้งเตือนไอจีผมเนี่ยนะ แบบนี้สรุปว่าเขาเริ่มรู้สึกดีๆ กับตัวเองได้แล้วหรือยังนะ โอย ตื่นเต้น

“รีบไปถ่ายรูปกันดีกว่าเนอะ” คีนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนที่มือนุ่มจะวางลงบนหัวของผมแล้วออกแรงขยี้เบาๆ แม่ง หัวใจเต้นแรงมาก ทำไงดีวะ แทบอยากจะหันไปดึงเขามาฟัดให้จมเบาะ ไม่ถ่ายรูปแล้วได้ปะ โอ๊ย!

คีนอ่อยใช่ไหม? ผมเข้าใจถูกใช่ปะ? น่าจับปั้นเป็นก้อนแล้วกลืนลงท้องฉิบหาย น่ารักเกินไปแล้วเว้ย!

เชี่ย เชี่ย เชี่ย

ผมนั่งสบถคำนี้มาร่วมสิบนาทีตั้งแต่เริ่มหย่อนก้นนั่งในร้านแห่งหนึ่งในเอเชียทีค ข้างๆ คีนมีผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเข้ามาคุยอย่างสนิทสนมและถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัวกันอย่างไม่เคอะเขิน ยิ้มหัวเราะราวกับผมคือส่วนเกินในชีวิต อะไรวะ มันคือใครเนี่ย!? รู้แค่ว่าเป็นเด็กมอปลายแน่ๆ เพราะเรียกเขาว่าพี่

“พี่คีน อาทิตย์หน้าไปพัทยากันปะ?” เจ้าเด็กที่ชื่อ ‘นุ่ม’ เอ่ยชวนคีนด้วยน้ำเสียงออดอ้อนแถมยังขยับเข้าไปซบหน้าลงกับลาดไหล่กว้าง เขาคลี่ยิ้มบางเหมือนเอ็นดูนักหนาแถมยังเอื้อมมือลูบหัวมันอีกด้วย นี่แกล้งผมกันหรือเปล่า จะด่าจะว่าจะห้ามก็ไม่ได้ในเมื่อสถานะระหว่างเราก็แค่เพื่อน โอย อยากอาละวาดให้หม้อชาบูกระจุยฉิบหาย สนิทกันเกินหน้าเกินตาแล้วเว้ย

“เราไปกับใครหื้ม?” ทางนี้ก็อ่อนโยนเหลือเกิน น้ำเสียงนุ่มนวล สายตาเอ็นดูแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกอิจฉาเด็กนุ่มตะหงิดๆ เลยเอาไปลงกับหมูสไลด์ในหม้อชาบู จ้วงมันขึ้นลงจนกว่าเนื้อจะขาวจนน้ำกระเซ็นใส่ตัวเอง! แม่ง อะไรก็ขัดใจไปหมด โว๊ย แดกแม่งคนเดียวก็ได้

“เพื่อนๆ ฮะ ทริปถ่ายรูปน่ะ ไปกับผมน้า นะ” นุ่มแทบจะเอาตัวเองขึ้นไปอยู่บนตักคีนแล้ว แต่คนโดนตื๊อก็ยังคงเฉยๆ ต่างจากผมที่เคี้ยวกุ้งทั้งเปลือกด้วยความหงุดหงิด... ไม่ใช่หรอก แต่เป็นความหึงหวงต่างหาก ถ้าไอ้เด็กนี่จะมาไม่นี้ก็คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากพยายามจีบรุ่นพี่ ที่สำคัญคือมันหน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอมไง ไม่เหมือนผมที่ตัวใหญ่อย่างกับควายแถมหน้าตาไม่ได้หล่อเกาหลีอีก

“พี่คงไปไม่ได้ครับ ติดงานถ่ายพรีเวดดิ้งน่ะ” ในขณะที่เขาตอบคำถามนุ่มก็แอบเหลือบมองผมที่กำลังคีบผัดกาดขาวใส่ปากด้วยสายตาทะเล้นราวกับรู้ว่าตัวเองกำลังถูกหึงหวง เดี๋ยวเถอะ จะเอาคืนให้เข็ด คราวนี้ไม่หอมแก้มแล้วเถอะ เป้าหมายคือปากช่างเจรจาคำหวานใส่น้องมันนี่ล่ะ

“โธ่ อยากให้ไปด้วยกันจัง เสียดายอ่า” น้องทำเสียงกระเง้ากระงอดดูน่ารัก ในสายตาของคีนก็ไม่ต่างกันเพราะรายนั้นเอาแต่หัวเราะด้วยความเอ็นดูคนข้างหายเหลือเกิน ผมเบนสายตาหนีภาพตรงหน้าก่อนพยายามสงบจิตใจด้วยการคีบลูกชิ้นลงหม้อแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปส่งไปอวดเพื่อนรักสองคน

“ไว้คราวหน้าเนอะ”

“ก็ได้ฮะ แล้วช่วงนี้ไม่ว่างเหรอ? ไม่ค่อยตอบไลน์ผมเลย น้อยใจอะ”

แม่ง ถึงขนาดตามตื๊อในไลน์ด้วยเหรอวะ ตะเกียบในมือแทบหักสองท่อน ไอ้ผมก็ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคีนมากกว่าที่มหา’ลัยเลยสักนิด หนุ่มฮอตอย่างเขาคงมีคนเข้าหาเยอะพอควร ขนาดผมหน้าตาขรึมๆ ยังเคยมีสาวหลงเข้ามาจีบเลย

“โอ๋ๆ นะครับนุ่ม พี่ไม่ว่างจริงๆ นั่นล่ะ”

มีโอ๋ด้วย! ไอ้เด็กนี่ก็ยิ้มตาปิดเชียว มันน่าเตะไหมเล่า เห็นผมเป็นอากาศธาตุกันจังวะ

“หึ ไม่ใช่ว่าแอบไปมีแฟนแล้วเหรอ?” นุ่มกระพริบตาปริบๆ จ้องมองคีนอย่างคาดคั้น ผมเองก็เผลอชะงักมือที่กำลังจะหยิบแก้วน้ำเหมือนกัน อยากรู้คำตอบ

“คิดมากน่า” กลายเป็นว่าคีนบอกปัดแต่ผมก็แปลความหมายได้ว่ายังไม่มี ก็ใช่สิวะ เราเป็นเพื่อนกันไง ผมก็แค่ชอบเขา จีบเขา จนถึงวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าสำเร็จหรือเปล่า

“งั้นนุ่มมีหวังใช่ปะ?” เจ้าเด็กตัวเล็กตอกย้ำว่าตัวเองกำลังจีบคีนด้วยคำถามนั้น ผมเผลอกัดกรามแน่นก่อนระงับอารมณ์หึงหวงด้วยการหยิบแก้วน้ำขึ้นกระดกอึกๆ พลางยกมือเช็ดมุมปากไปด้วย ส่วนทางด้านคีนก็ดูจะอึ้งไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ระบายยิ้มเหมือนเดิม

“เป็นพี่น้องกันดีกว่าไหมครับเจ้าตัวเล็ก?”

“พี่น้องจูบกันไม่ได้นี่ครับ” เสียงงอนๆ บ่นงุ้งงิ้งแถมยังเบะปากใส่พี่คีนสุดที่รักของตัวเองอีกด้วย เด็กตัวแค่นี้แก่แดดจั๊ง จับเขกหัวสักทีดีไหม

“เรายังเด็ก ไม่ต้องคิดเรื่องมีฟงมีแฟนตอนนี้หรอก”

“นี่คือการปฏิเสธของพี่คีนใช่ไหม?” ไอ้เด็กคนนี้มันฉลาดรู้ทันดีจังวะ ถึงจะไม่ค่อยชอบความขี้ตื๊อของนุ่มสักเท่าไหร่ แต่ผมก็นับถือที่น้องกล้าถามคีนออกมาตรงๆ

“ทำนองนั้น” คีนไหวไหล่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางยกมือขึ้นขยี้หัวเจ้านุ่มจนยุ่งเหยิง แทนที่ผมจะดีใจแต่กลับรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ ถ้าเขาปฏิดสธกันด้วยใบหน้าแบบนี้บ้างผมจะทำยังไงล่ะ เข้มแข็งได้เท่าเจ้าเด็กคนนี้หรือเปล่า

“ใจร้ายอะ แต่เป็นพี่น้องก็ได้” คนที่ทำหน้ามุ่ยเมื่อครู่ตอนนี้กลับยิ้มหวานก่อนจะโผเข้ากอดคีน ผมสังเกตเห็นว่าเขาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกแถมยังส่งยิ้มทะเล้นมาทางนี้อีก สนุกมากไหมเนี่ยที่เป็นคนฮอตให้ผมหึงหวงน่ะ

“ดีมากครับ”

หลังจากนั้นนุ่มก็หันมาสนใจถามไถ่ผมว่าเป็นใคร พูดคุยกันอีกนิดหน่อยเจ้าเด็กนั่นก็ขอตัวกลับไปที่โต๊ะ สายตาสุดท้ายที่น้องมองคีนเต็มไปด้วยความชื่นชมมากกว่าความรัก ซึ่งว่ากันตามจริงคงเป็นช่วงวัยที่ยังไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้นสักเท่าไหร่ ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เอา

พวกเราเริ่มต้นกินชาบูกันอย่างจริงจังในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หมึก หมูสามชั้น ลูกชิ้น ผักนานาชนิดก็ถูกกวาดจนเกลี้ยงโดนฝีมือคีน ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดสภาพเพราะยัดทุกอย่างเข้าไปจนท้องแทบแตก หายใจรวยรินเหมือนมันขึ้นมาจุกที่อก ตอนนี้อยากอ้วกออกจังวะ แต่ก็เสียดาย

“คีน...” ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าเมื่อเห็นว่าแก้วน้ำถูกวางลงบนโต๊ะแล้ว คีนเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามว่ามีอะไรแต่เพียงแค่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มรู้ทัน เฮ้ย ผมยังไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออาการอะไรเลยนะเว้ย

“จะถามว่าน้องเขาเป็นใครใช่ไหม?” อะ คือแบบอัจฉริยะข้ามคืนมาก สมแล้วที่เป็นคนอยู่ในใจของผม ไม่ได้รู้สึกอึดอัดที่เขาตามทันแต่กลับชอบซะอีก ดูเหมือนถูกใส่ใจดี

“รู้ทันอีกแล้ว” พึมพำเบาๆ พร้อมกับยกมือเกาแก้มแก้เก้อไม่กล้าสบตาคีน ก็มันรู้สึกอายยังไงไม่รู้ทั้งที่คิดว่าเก็บอาการดีแล้วซะอีก ผมจะโกหกอะไรเขาบ้างได้ไหมเนี่ย

“โห ก็กิมเล่นทำหน้าตาหงุดหงิดขนาดนั้น” คีนเบ้ปากใส่ก่อนจะใช้นิ้มเรียวๆ จิ้มเข้ามาที่แก้มของผมแบบไม่อายใคร แต่กูเนี่ยเขินจนแทบมุดใต้โต๊ะ เพิ่งรู้ว่าเขามีโมเม้นต์แบบนี้ด้วย ฮึ่ย ไม่น่าหลงอิจฉาไอ้นุ่มเลย

“เราแค่... หึง” ปลายประโยคแผ่วเพราะมีแค่ลมที่หลุดออกไป ผมรวบรวมความกล้าเพื่อช้อนตามองคีนที่ไม่หือไม่อือเพราะกำลัง... หน้าแดง! โอย คือเขินใช่ไหม ทำไมน่ารัก อยากฟัดๆๆๆๆ

“อื้อ เรารู้แล้ว...” ตอบกลับเสียงแผ่วไม่แพ้กันเลยแฮะ แถมยังเม้มปากแน่นจนกลายเป็นสีขาวอีก

“นุ่มเป็นเด็กที่เรียนถ่ายรูปกับเราน่ะ” ประโยคตามหลังมาทำให้ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก แต่ก็ยังคงสงสัยว่าจริงๆ แล้วนุ่มจีบคีนจริงใช่ไหม เพราะจากที่ฟังน้องมันพูดแค่ละคำคือการหยอดดีๆ นี่เอง แต่สกิลคงไม่เทียบเท่าผม

“น้องจีบคีนเหรอ?”

“อ่า... มันก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดที่กิมจีบเราหรอก คล้ายๆ เด็กติดพี่มากกว่า” คีนอึกอักเล็กน้อยแต่ก็อธิบายให้ผมเข้าใจได้ง่าย อารมณ์เด็กติดพี่ โหยหาความรักจากคนที่ตัวเองปลื้มสินะ เชื่อว่าใครหลายๆ คนคงรู้สึกเหมือนเจ้านุ่ม แม่กระทั่งผมเองก็เคยผ่านอะไรจำพวกนี้มาบ้างเหมือนกันตอนเรียนมอสี่

“ชอบไหม?” อะ ผมหลุดถามอะไรวะ คือแบบมันไม่มีประธานหรือกรรมสักอย่าง เหมือนพูดลอยๆ มากกว่า โอย สติเว้ยสติ

“หืม ถามถึงกิมหรือนุ่ม?” แต่เหมือนว่าคีนจะเป็นพวกตีความได้ไว ส่วนไอ้คนตั้งคำถามอย่างผมนี่ต้องทบทวนใหม่ว่าเมื่อครู่พูดอะไรไปบ้างวะ ถึงขั้นเอามือนวดขมับแล้วเนี่ย สงสัยกินชาบูเยอะเลยรู้สึกเบลอๆ ง่วงนอน

“กะ ก็ต้องนุ่มสิ” เออ ผมจะถามคีนว่าชอบนุ่มหรือเปล่าไง

“ชอบ...” คีนตอบด้วยใบหน้าเปลี่ยนยิ้ม แต่ผมกลับ...

“.....” ขมวดคิ้วแน่น เม้มริมฝีปากจนรู้สึกเจ็บ มือที่จับขาอ่อนอยู่กำลังสั่นระริก ตกลงว่าเขาชอบนุ่มในเชิงชู้สาวใช่ไหม

“แต่ชอบในฐานะน้องไง อย่าขมวดคิ้วสิ” อะ คีนแม่งจงใจแกล้งกันแน่ๆ เพราะเขาหัวเราะออกมาหลังจากที่ผมอ้าปากพะงาบ ดวงตาคมเบิกกว้าง ฮึ่ย ระวังโดนเอาคืน!

“ขี้แกล้ง” ผมชี้หน้าคาดโทษแต่คีนกลับไหวไหล่แสดงความไม่กลัวออกมาชัดเจน คนอะไรน่ามันเขี้ยวเป็นบ้า ถ้าได้กอดได้ฟัดเมื่อไหร่จะเอาให้น่วมเลยคอยดู

“นิดนึงน่า ก็กิมชอบทำหน้าเครียด”

“แล้วคีนชอบเราบ้างหรือเปล่า?” อันนี้ผมจริงจังมากและหัวใจก็เต้นแรงมากเช่นกัน แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะแตะนิ้วลงบนริมฝีปากตัวเอง

“ยังไม่ถึงเวลาให้คำตอบ อย่ารีบสิ” แล้วอะไรคือการขยิบตาตบท้ายประโยควะ คนเจ้าเล่ห์เอ๊ย!

ตอนนี้เราทั้งสองคนออกมาเดินย่อยอาหารพร้อมกับพูดคุยถึงเรื่องคอนเซ็ปต์การถ่ายรูปส่งเข้าประกวดในครั้งนี้ หัวข้อ ‘Colorful of Night’ สามารถตีความได้หลากหลายแต่สำหรับผมคือสีสันของแสงไฟในยามค่ำคืน จุดที่เหมาะแก่การลั่นชัตเตอร์คงเป็นภาพร้านรวงต่างๆ หรือริมแม่น้ำ แต่เด่นสุดคงเป็นชิงช้ายักษ์นั่น



ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 17 -P.2- 24/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-10-2018 09:58:40
“ทำไมรูปมันมืดขนาดนี้วะ?” ผมพึมพำเมื่อเห็นสิ่งที่แสดงบนหน้าจอ LCD แทบจะดำสนิท ลั่นชัตเตอร์ไปกี่รอบก็ยังเป็นเหมือนเดิมจนเกือบอารมณ์เสียขว้างกล้องทิ้ง แต่เสียดายที่ราคามันแพงและยังใช้งานไม่คุ้มเลยยั้งมือไว้ได้ทัน ใจเย็นหนอไอ้กิม มึงอย่าเพิ่งใจร้อนเดี๋ยวจะทำให้คีนรู้สึกแย่ที่ชวนเราออกมาถ่ายรูป

“เราขอดูหน่อยสิ” คีนขยับเข้ามาใกล้จนผมที่กำลังงอแงกับกล้องในมือถึงกับชะงักเพราะได้กลิ่นหอมจากตัวเขา รู้สึกได้ว่าช่วงไหล่ของเราแตะกันเล็กน้อยและไม่มีใครหลักหนีสัมผัสนั้นราวกับมันเป็นเรื่องปกติ ฮือ ไม่อยากถ่ายรูปแล้ว อยากฟัดคนมากกว่าไง

“ถ่ายกี่รอบก็เหมือนเดิมว่ะ” แต่ผมก็ต้องเก็บอาการเพราะตอนนี้ถือว่าเราทั้งสองคนกำลังทำงานกันอยู่ ตั้งสติจดจ่อกับรูปมืดๆ ตรงหน้าก่อนสิวะไอ้บ๊วย ไม่ใช่เอาแต่ลอบมองแก้มเขาแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อกแบบนี้ มึงจะโรคจิตเกินไปแล้วจ้า

“กิมใช้โหมด Manual ถ่าย แต่ไม่ปรับค่ารูรับแสง ISO แล้วก็ Speed Shutter มันจะถ่ายได้ยังไงกันเล่า” คำบ่นกลั้วเสียงหัวเราะนั้นมาพร้อมกับแรงดีดหน้าผากของผมดังป๊อกทำให้สติที่ล่องลอยกลับเข้ามามาเผชิญความจริงที่ว่าตัวเองโคตรโง่ ใช้โหมดถ่ายรูปจังผิดประเภทเหรอวะ โอ๊ย หรือปีการศึกษาใหม่กูควรซิ่วไปเป็นเฟรชชี่คณะอื่นเนี่ย

“อ้าวเหรอ? เราปรับไม่เป็น” ผมหัวเราะแห้งๆ ตบท้าย อายจนไม่กล้ามองหน้าคีนเลยให้ตายเถอะ

“จริงๆ ใช้โหมดถ่ายภาพกลางคืนก็ได้มันจะตั้งค่าอัตโนมัติให้อยู่แล้ว แต่ให้สมชื่อเด็กเรียนสาขานี้ก็ต้องหัดปรับให้เป็น” คีนอธิบายก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างดึงชายเสื้อของผมให้เดินตามไปหาที่นั่ง แผ่นหลังกว้าง ผมสีน้ำตาลที่พลิ้วตามลม ช่วงขายาวๆ ก้าวไปด้านหน้า ไม่ว่าอะไรก็สามารถดึงดูดสายตาผมได้ทั้งนั้น สมแล้วที่เขาได้ตำแหน่งเดือนคณะไป

“นั่นสินะ มันต้องทำยังไงบ้างเนี่ย?”

เดินตามหลังนานไปแล้วมั้ง ตอนนี้ขอเดินเคียงข้างคงไม่ว่ากันหรอกนะ

“เราสอนคร่าวๆ นะ คืองี้... ถ้าต้องถ่ายรูปตอนกลางคืนควรปรับค่ารูรับแสงให้เลขน้อยที่สุด อย่างกิมใช้เลนส์ Kit ที่แถมมากับกล้อง ก็คือ f4 เนอะ” คีนหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ตัวยาวแล้วเริ่มสอนทฤษฎีการตั้งค่าโดยใช้ระบบ Manual แบบคร่าวๆ ให้ฟังพร้อมกับที่มือเรียวกดนั่นนี่บนกล้องไปด้วย อืม ท่าทางสมกับเป็นครูสอนถ่ายภาพจริงๆ โคตรมีเสน่ห์ รู้แล้วว่าทำไมนุ่มถึงได้ตื๊อเขานักหนา

“กิม ฟังอยู่ปะ?”

แฮะ โทษที มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ

“ฟังๆ แล้วยังไงต่อ?” ผมเปลี่ยนท่าทีเป็นสนใจกล้องในมือคีนแทนที่จะเป็นใบหน้าหล่อๆ ของเขา

“ต่อมาคือค่า IOS หรือ ค่าความไวแสงเนี่ย ต้องลองปรับดูตามความเหมาะสม ทดลองถ่ายไปปรับไปก็ได้ แต่เราไม่แนะนำให้ตั้งตัวเลขสูงๆ นะ เดี๋ยวมันจะเกิด Noise ในรูป”

“อ้อ... โอเคครับ พอจะเข้าใจ”

“ส่วนเรื่อง Speed Shutter...” เขายังคงสอนต่อไปเรื่อยๆ ผมก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาคนเพิ่งหัดใช้กล้องโปรฯ ระดับกลาง ทดลองปรับการตั้งค่านั่นนี่ไปเรื่อยจนได้ภาพที่พอใจ หลังจากนั้นคีนก็ขอปลีกตัวไปจัดการงานของเขา ส่วนผมก็มุ่งมั่นกับไอ้ชิงช้ายักษ์ตรงหน้านี่ล่ะ มุมไหนมันจะสวยจนกรรมการตะลึงวะ

กว่าจะได้กลับบ้านก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม คีนเดินกลับมาหากันด้วยสีหน้าพอใจ เดาว่าคงจะได้รูปที่ต้องการใช้ส่งประกวดแล้ว ส่วนผมก็ค่อยให้เขาช่วยเลือกภาพจากจำนวนที่ลั่นชัตเตอร์ไปเกือบร้อย มันต้องมีสักหนึ่งล่ะน่าที่ใช่ได้ ฮึบ

ผมใช้สมาธิในการขับรถมากกว่าปกติเพราะไม่ค่อยได้ออกมาเตร็ดเตร่ช่วงกลางคืนบ่อยนักจึงไม่คุ้นชิน เพลงที่เปิดคลอในตอนนี้ช่างเข้ากับบรรยากาศด้านนอกซึ่งมีฝนตกปรอยๆ คือมันก็โรแมนติกดีแต่คีนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างนอกจากกล้องในมือเลย คงจะเช็ครูปที่ถ่ายมาแน่ๆ โธ่ เวลานี้ควรใช้พูดคุยกันให้คุ้มค่าไม่ใช่เหรอ อีกไม่กี่นาทีก็ต้องแยกย้ายบ้านใครบ้านมันแล้วนะ

“คีน” ผมตัดสินใจเรียกชื่อเขาเมื่อเราเงียบใส่กันมาร่วมสิบนาที ลอบมองปฏิกิริยาคนข้างๆ แล้วก็มีการชะงักนิดหน่อย ก่อนที่ใบหน้าหล่อจะเอียงมาทางนี้พร้อมคิ้วที่เลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ใครจะหาว่าผมทำตัวงอแงก็ได้ มันอยากคุยกับเขานี่

“หืม?” คีนลดกล้องในมือลง ยืดตัวขึ้นแล้วหันมามองหน้าผมอย่างตั้งใจ ถ้าเขาขยับเข้ามาใกล้อีกนิดนี่ผมสติแตกจริงๆ นะเว้ย บรรยากาศยิ่งพาไปให้คิดเรื่องอกุศลอยู่ด้วย ฮึ่ย แต่ไอ้สิ่งที่คิดจะพูดต่อไปก็มีความเขินเกิดขึ้นนิดๆ ล่ะน่า แบบว่า...

“นอนค้างที่บ้านเราปะ?” เออ ก็จะชวนค้างที่บ้านไง เนี่ย ถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่คงหลับตาปี๋หลังพูดจบเพราะลุ้นคำตอบจากคีน ผมรู้สึกภูมิใจตัวเองนะที่กล้าพูดในสิ่งที่คิดมากขึ้น คงได้แรงกระตุ้นมาจากน้องนุ่มล่ะมั้ง

“ทำไมถึงชวน?” แล้วทำไมคันต้องเอียงคอถามด้วยเล่า รู้ไหมว่ามันน่าปล้ำ เอ๊ย น่ารักพอๆ

“ก็... ดึกแล้ว ขับรถนานๆ มันอันตรายไง ฝนเริ่มตกหนักด้วย” ผมชี้มือชี้ไม้ไปทางด้านนอกรถให้คีนมองดูสถานการณ์ด้านนอกรถซึ่งตอนนี้ฝนเทกระหน่ำจนแทบมองไม่เห็นทาง อีกอย่างคืออากาศเย็นลงทุกทีจนอยากหาอะไรอุ่นๆ มาซุก ถ้าได้กอดเขาตอนนี้คงฟินน่าดู อ่า... เลิกคิดฟุ้งซ่านสิวะ เดี๋ยวก็ลงข้างทางหรอกกู!

“ไม่ใช่ว่าอยากนอนกับเราเหรอ?” คีนถามเสียงทะเล้นก่อนที่มือนิ่มๆ จะคว้าจับที่แก้มของผมแล้วออกแรงดึง ที่จริงมันก็เจ็บแต่ผมไม่ได้โวยวายเพราะตกใจมากกว่า ทำไมกลายเป็นคนยั่วเก่งขึ้นมาว่ะ แค่อ่อยนิดๆ หน่อยๆ ไอ้กิมก็จะตายแล้วครับ ไม่ต้องอัปสกิลขนาดนี้ก็ได้ สงสารใจผมหน่อยเถอะ เนี่ย เต้นแรงจนแทบทะลุอกเลย

“เฮ้ย! มะ ไม่ใช่ เราไม่ได้คิดลามกเว้ย” ปฏิเสธเขาแต่เสือกลนลานเหมือนทำความผิด เออ ผมเผลอจินตนาการไปถึงตอนที่ตัวเองคร่อมคีนไว้แล้วเถอะ โอย พอเรื่องหื่นนี่เก่งเชียวนะไอ้บ๊วย ถ้าพ่อแม่รู้คงดีใจพิลึก

“เราก็หมายถึงนอนร่วมเตียงกันเฉยๆ เถอะ” คีนหัวเราะคิกคักราวกับถูกใจที่ทำให้ผมลนลานพูดความคิดตัวเองออกมาจนหมดเปลือก ฮื่อ! กลัวถูกปล้ำหน่อยเหอะจ้า

“พูดกำกวมแกล้งเรานี่หว่า” ผมบ่นพึมพำพร้อมกับที่รู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว ไม่ได้มีอารมณ์นะ แต่อายที่ปล่อยไก่ออกไปเมื่อครู่ไง คนทั้งโลกเขารู้หมดแล้วว่านายกวินท์นิสัยเป็นยังไง... หื่น หื่น หื่น!

“ตกลง”

เดี๋ยว จะมาพูดอะไรลอยๆ ไม่มีประธานกรรมใส่ผมตอนนี้ไม่ได้นะเว้ย สมองประมวลผลไม่ทันแล้ว

“ห๊ะ?”

“เราจะค้างบ้านกิมไง” คีนพูดพร้อมคลี่ยิ้มหวานให้ หัวใจของผมเต้นตึกตักเหมือนประสบความสำเร็จก้าวแรกในชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

“เยส!” ไอ้ฉิบหาย ลืมตัว! ตะครุบปากแทบไม่ทันเลยเว้ย อีกคนก็หัวเราะคิกคักราวกับถูกใจนักหนา

“ดีใจออกนอกหน้าเกินไปแล้ว”

โธ่ ก็คนมันมีหวังนี่นา

ตอนนี้กลายเป็นผมที่มีท่าทีกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นคีนนั่งอยู่บนเตียงของตัวเอง ความคิดอกุศลเริ่มทำงานจนต้องส่ายหัวสลัดทุกอย่างออกไป สูดหายใจเข้าลึกๆ กำหนดจิตใจให้ผ่อนคลาย

“เอ่อ คีนจะอาบน้ำก่อนเราไหม?” ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ถูก ส่วนคีนน่ะเหรอ ท่าทางสบายๆ เหมือนอยู่บ้านไปอี๊ก

“อื้ม เดี๋ยวเราอาบก่อนแล้วกัน” คีนยิ้มก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางยกมือสูงแล้วบิดขี้เกียจจนเห็นหน้าท้องขาวๆ ที่มีมัดกล้ามเล็กน้อยปรากฏสู่สายตา ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกลงคออย่างยากลำบาก หันหนีภาพตรงหน้าด้วยหัวใจเต้นตุบตับ เวรเอ๊ย น้องชายจะแข็งตอนนี้ไม่ได๊

“โอเค สะ เสื้อผ้าก็เลือกได้ตามสบายเลยนะ” โอ้โห ไอ้เชี่ยเอ๊ย เสียงสั่นยิ่งกว่าแผ่นดินไหวอีก นี่ขนาดตั้งสติก่อนสตาร์ทแล้วนะ ผมแอบยกมือไหว้ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้คีนจับพิรุธได้เลยเนี่ย สาธุๆ

“ครับ ขอบคุณนะ”

จ้า ไม่ต้องเดินมาแตะไหล่ให้ผมสะดุ้งเล่นๆ แล้วเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะก็ได้นะ คืออายจนไม่รู่จะเอาหน้าลอดหว่างขาดีหรือเปล่า ฮือ

หลังจากที่นอนคว่ำบนเตียงเพื่อให้น้องชายสงบลงเกือบครึ่งชั่วโมง ตัวต้นเหตุก็เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าสดชื่น เขาไล่ผมไปอาบต่อก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาเพื่อเช็ดหัวให้แห้ง ไอ้เราก็เด็กดีลุกขึ้นตามคำสั่ง ตรวจตราสภาพเป้าเรียบร้อยก็หยิบเสื้อผ้าสับขาวิ่งผ่านหน้าเขา เฮ้อ

ใช้เวลาอาบน้ำอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงเพราะจัดการอะไรๆ ด้วยมือตัวเองด้วย แม่งเอ๊ย พอเห็นคีนในสภาพที่ผ่อนคลายไม่มีท่าทีอึดอัดก็รู้สึกอยากกอดเขาซะอย่างนั้น

“อ้าว หลับไปซะแล้ว” คำแรกที่ผมอุทานเมื่อเห็นร่างสูงทิ้งตัวลงนอนยาวเหยียดอยู่บนเตียง ดวงตารีปิดสนิทบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเข้าสู่นิทราไปแล้ว ก็นะ... คีนเล่นเดินรอบเอเชียทีคขนาดนั้นไม่เหนื่อยก็แปลกแล้ว

ผมจัดการตัวเองจนเรียบร้อยก็คลานขึ้นเตียงเบาๆ เพราะกลัวคีนจะตื่น นั่งนิ่งมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วระขายยิ้มอ่อนโยนออกมา อ่า... น่ารักซะจริงๆ เลย เนี่ย ไม่กล้าปลุกมาทวงเรื่องที่ยังไม่ได้บอกกัน ไว้พรุ่งนี้ก็ได้เนอะ

ด้วยความเคยชินก่อนนอนที่ต้องเล่นโทรศัพท์ผมเลยหยิบมันขึ้นมา ไฟหน้าจอสว่างวาบเผยให้เห็นแจ้งเตือนอัปเดตรูปในไอจีของคีน นิ้วเรียวแตะลงบนนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระทึกก่อนต้องอ้าปากค้างเมื่อเจอเข้ากับรูปบางอย่างพร้อมแคปชั่นกระชากหัวใจ

the_kirin.z ชอบองค์ประกอบทุกอย่างในรูป รวมถึง ‘คุณ’ ด้วย

สมองของผมเหมือนหยุดทำงานไปชั่วขณะเพราะมันขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออก ดวงตาคมเบิกค้างจ้องมองรูปตัวเองยืนหันหลังให้กับกล้องส่วนด้านหน้าเป็นเจ้าชิงช้ายักษ์นั่น คีนแอบถ่ายเมื่อไหร่กัน แล้วไอ้วิธีบอกชอบผ่านไอจีนี่คิดได้ยังไงวะ โอ๊ย คือแม่งทำอะไรไม่ถูก อยากปลุกเขาให้ลุกขึ้นมากอด อยากให้รับรู้ว่าผมดีใจมากแค่ไหนที่เรารู้สึกเหมือนกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคืออยากถามว่า ‘เราพร้อมที่จะเป็นแฟนกันได้หรือยัง?’ ต่างหาก

กูจะรอให้ถึงตอนเช้าไหวไหมเนี่ย โอ๊ย แต่ตอนนี้ขอโกยหมอนกับผ้าห่มไปนอนบนโซฟาก่อนแล้วกันเพราะกลัวว่าตัวเองอาจเผลอทำอะไรคีน อย่างเช่นการขโมยจูบ... สัดเอ๊ย เลิกฟุ้งซ่าน สงบจิตสงบใจ หลับซะ!



----------------------------------------

แบบนี้มันต้องฉลอง! น้องกิมคนกากาของเราสมหวังแล้วน้า
แต่ๆ ยังไม่ได้เป็นแฟนหรอก ก็น้องคีนน่ะขี้แกล้งจะตายไป 55555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 17 -P.2- 24/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 25-10-2018 14:01:47
คีนนนนนน...ทำไมทำกับกิมแบบนี้เดี๋ยวก็หัวใจวายตายก่อนขอเป็นแฟนเหรอ นี้ขนาดบอกเป็นตัวหนังสือนะยังคิด"หื่น"ขนาดนี้ถ้าเป็นคำพูดไม่จับปล้ำเลยเหรอกิน :z1:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 17 -P.2- 24/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 29-10-2018 21:59:07
จ้า ไม่บอกต่อหน้า แต่ต้องประกาศให้โลกได้รู้เนาะคีนเนาะ
ขนาดแค่หอมแก้ม ยังนอนไม่หลับ นี่บอกชอบเลยนะ
กิมจะรอดไหมคืนนี้ สภาพไม่น่าไหว ตาเป็นแพนด้าแน่นอน

ตลกกิม บ้าบอมาก ไม่ค่อยปกติ แต่ก็ดีกว่าปอมเยอะ
หรือกิมบลัฟเพื่อนให้เสียนะ 55555

ปอมเอ้ยย จะเล่นจะจริง ก็ให้แน่นะ ระวังโฮมหนี

ว่าน จะล้ำหน้าเพื่อนมากไม่ได้นะ รอก่อน 
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 18 -P.2- 30/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-10-2018 08:30:02
รูปถ่ายใบที่ 18

Keen’s Part



ผมไม่เคยคิดเลยว่าการบอกชอบใครสักคนผ่านโซเชี่ยลจะทำให้เขินได้มากขนาดที่ว่าต้องแกล้งทำเป็นหลับ นอนตัวแข็งทื่อแทบไม่กล้าหายใจเพราะกลัวว่ากิมจะรู้ มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบและชื้นเหงื่อด้วยความตื่นเต้นกับผลตอบรับของอีกฝ่าย
เสียงประตูห้องน้ำที่เปิดออกทำให้ผมยิ่งรู้สึกเกร็งมากยิ่งขึ้น ยิ่งสัมผัสได้ถึงจังหวะการย่ำเท้าของอีกฝ่ายหัวใจก็พลันเต้นระรัวจนแทบกระดอนออกมาด้านนอก จริงๆ อยากลืมตามองแต่ก็อายเขินกว่าจะทำแบบนั้น โอย คนอื่นเขาได้สารภาพความรู้สึกแล้วต้องโล่งอกไม่ใช่เหรอ ดูอย่างผมนี่สิเหมือนคนใกล้ตายเลย... หายใจไม่ทั่วท้อง
เวลาผ่านไปนานเกือบสิบนาทีแล้วที่กิมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ไม่มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจใดๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่าอาจจะใช้วิธีบอกชอบผิดไปหรือเปล่า ต้องพูดต่อหน้าไหม? อ่า... ก็เพิ่งเคยรู้สึกกับคนอื่นมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก กิมเก่งมากเลย
พรึ่บ!
ผมลืมตาขึ้นเมื่อเสียงแรกที่ได้ยินคือการที่กิมรวบเอาหมอนและผ้าห่มเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องนอนด้วยท่าทางรีบร้อนจนแทบสะดุดขาตัวเองล้มหน้าทิ่มพื้น ผมลุกพรวดมองแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกสับสน เขาโกรธอย่างนั้นเหรอ? โธ่ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกยอมบอกชอบต่อหน้าเลยดีกว่า แล้วคราวนี้จะแก้ปัญหายังไงดี?
ต้องตามไปง้อสินะ แต่ขอรวบรวมความกล้าอีกสิบนาทีแล้วกัน
หลังจากนั่งเรียบเรียงคำพูดจนเข้าที่เข้าทาง ผมก็ลุกขึ้นจากเตียงพร้อมจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกความมั่นใจ เอาวะ ถึงจะเขินแค่ไหนก็ต้องทำให้กิมหายงอน ก็ชอบเขาไปแล้วนี่นา เรื่องง้อถือว่าเล็กน้อยมาก
ผมก้าวขาด้วยความมั่นใจไปที่ประตู ในขณะที่กำลังจะเอื้อมมือจับลูกบิดก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพำดังมาจากด้านนอกเลยลองเอาหูแนบแอบฟัง จับใจความได้ประมาณว่า ‘คืนนี้กูต้องตายแน่ๆ’ ซึ่งมันสามารถแปลความหมายได้ทั้งดีและไม่ดี ผมเริ่มขมวดคิ้ว ชั่งใจ ลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเผชิญหน้ากับกิม
“คีนแม่ง... โคตรหน้าฟัด”
“อะ...” ผมชะงักกึกเมื่อได้ยินประโยคนั้นชัดเจน มือที่จับลูกบิดประตูให้เปิดออกไหลลงไปอยู่ข้างตัวเพราะหมดแรง ดวงตารีเบิกโต ปากอ้าพะงาบๆ กลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไปจนหมดเกลี้ยง ที่แท้กิมก็ไม่ได้โกรธแต่กำลังสติแตกต่างหาก เดาได้จากสภาพหัวกระเซอะกระแซงจากการขยี้อย่างแรง นี่ผมเห็นแค่ด้านหลังเขานะ ถ้าเจอหน้ากันจังๆ จะเป็นยัง...

“เฮ้ย ยะ ยังไม่หลับเหรอคีน?” อยู่ๆ กิมก็หันหน้ามาทางนี้ก่อนที่ดวงตาคมจะเบิกโต ริมฝีปากหยักอ้ากว้าง นิ้วมือเรียวยาวชี้มาทางนี้เหมือนเห็นผมเป็นผีก่อนเอ่ยถามประโยคนั้นออกมา

ผมตอบรับด้วยการคลี่ยิ้มแหยๆ พลางคิดในใจว่ากิมจะหันหน้ามาเจอกันตอนนี้ทำไมเนี่ย นี่ก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันเหอะ ให้ตายๆ ถ้าหันหลังกลับเข้าห้องโดยไม่พูดอะไรมันดูน่าเกลียดเกินไปหรือเปล่านะ? แค่คิดไว้เท่านั้นล่ะ เพราะความจริงขาของผมดันก้าวเข้าไปหาเขาน่ะสิ อยากโดนฟัดใช่ปะเนี่ย โอย เกลียดตัวเอง

“ก็... อื้ม แล้วทำไมกิมขนหมอนกับผ้าห่มมานอนตรงนี้ล่ะ?” ผมถามไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้สึกว่ากิมจ้องมาทางนี้ไม่วางตา บรรยากาศรอบตัวของเราเต็มไปด้วยความขัดเขินต่างคนต่างอ้อมแอ้มไม่กล้าเอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นในไอจี

“คือ...”

คืออะไรเล่า พูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไปแถมยังหลบหน้ากันแบบนั้นจะให้คิดยังไง

ผมก้าวขาเข้าไปใกล้กิมจนสามารถเอื้อมมือแตะไหล่กันได้ เขาสะดุ้งเฮือกก่อนจะช้อนสายตาหวานเชื่อมมองมาทางนี้ ครั้นอยากถอยออกกลับโดนมืออุ่นคว้าช่วงเอวสอบไว้แล้วซุกใบหน้าเข้ากับท้องของผมพลางถูไถเบาๆ เหมือนต้องการอ้อน แต่ไอ้อาการหูแดงคือเขินถูกไหม? ทำไมน่ารักแบบนี้...

“ทะ ทำอะไรเนี่ย?” ผมถามกลับเสียงตะกุกตะกักในขณะที่ก้มมองกิมด้วยใบหน้าร้อนผ่าว เขายังคงถูไถหัวทุยไปกับช่วงท้องไม่ยอมสบตากันสักทีแถมแรงกอดรัดยังเพิ่มขึ้นมากว่าเดิมซะอีก ตอนนี้ผมเหมือนจะขาดอากาศหายใจได้ทุกเวลา รู้สึกดีมากเกินไปแล้ว

“เขินว่ะ” น้ำเสียงอู้อี้ที่ตอบกลับมานั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่าว่าแต่เขาเขินเลย ทางนี้ก็มีอาการไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ยิ่งคิดว่าตัวเองกล้าหาญสารภาพความรู้สึกด้วยวิธีแบบนั้นไปได้ยังไงยิ่งอยากมุดดินหนี ป่านนี้ในไอจีคงมีคอมเม้นต์แซวเยอะแยะแล้วมั้ง

“เขินอะไร?” ผมแกล้งถามพร้อมกับแกล้งตบมือปุๆ ลงบนศีรษะทุยอย่างหยอกล้อหวังว่าเขาจะตอบกลับด้วยท่าทางเขินอายเหมือนทุกครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือกิมผละใบหน้าออกห่างเพียงชั่วครู่ก่อนอ้าปากงับเข้าที่ท้องผมจังๆ จนเผลอหลุดร้องออกมา มันบ้ามากที่ดันรู้สึกสยิวขึ้นมา

“ยังจะแกล้งถามกันอีก คีนอยากให้เราตบะแตกหรือไง?” คราวนี้เขายอมปล่อยกันให้เป็นอิสระก่อนจะเงยมองหน้าด้วยสายตาดุดันแต่พราวระยับไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ผมถอยหลังหนึ่งก้าวเผลอเม้มปากแน่นเมื่อสมองประมวลผลความหมายที่กิมต้องการสื่อได้ ไม่ฟัดก็ปล้ำ... ไม่ได้เด็ดขาด เราไม่ควรข้ามขั้นความสัมพันธ์ดิ ความรักต้องค่อยเป็นค่อยไป ถ้าหวือหวามากก็จืดจางเร็ว ส่วนตัวผมคิดแบบนี้นะ

“กะ ก็ถามดู เผื่อเราเข้าใจไม่ตรงกัน” ผมพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นแล้ว แต่ผลที่ได้กลับตรงข้ามแถมยังมีอาการหลบสายตาของกิมอย่างเห็นได้ชัดอีก ก็คิดว่าตัวเองเป็นคนเขินยากพอสมควรที่ไหนได้พอเป็นเรื่องของคนที่เราชอบกลับควบคุมอะไรไม่ได้เลย แก้มร้อนชะมัด

“ให้เราจับคีนจูบไหมล่ะ? คราวนี้เข้าใจกันแน่ๆ” ไม่รู้ว่าผมมัวแต่เขินหรือกิมฝีเท้าเบากันแน่เพราะกว่าจะสัมผัสได้ว่าเขาเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ก็ตอนที่นิ้วเรียวแตะลงมาที่ปลายคางก่อนออกแรงดับใบหน้าของผมให้เงยขึ้นสบตา อืม... หัวใจเต้นเร็วชะมัด ตอนนี้รู้สึกว่ามือไม้เกะกะมาก ควรเอาไว้ตรงไหนดี กำหมัดแล้วต่อยคนตรงหน้าสักทีดีไหม?

“กิมไม่กล้าทำหรอก” ผมไม่ได้ท้าทายแต่ลึกๆ รู้ดีว่ากิมขี้เกรงใจขนาดไหน ฮึบ คืนนี้ต้องรอด

“ก่อนหน้านี้อาจจะใช่ แต่ตอนนี้...” เขาจบคำพูดแค่นั้นก่อนจะยกยิ้มมุมปากที่ทำให้ผมหวาดหวั่น ท่าทางแบบนี้กิมต้องกล้าจูบแน่ๆ ทำไงดี ก็ไม่ได้รับเกียจ แต่เรื่องแบบนี้กับผู้ชายก็ไม่เคยนี่นา

Rrrrr

เฮ้อ เสียงระฆังช่วยชีวิตไว้ได้ทัน ผมลอบยิ้มอย่างโล่งใจแต่อีกคนดูหัวเสียขึ้นมาทันตา ก็นะ โน้มเข้ามาใกล้ขนาดที่ว่าปลายจมูกแตะกันแล้วนี่ อีกนิดเดียวก็จะ... จูบ

“แต่ตอนนี้รับโทรศัพท์ก่อนไหม?” ผมต่อประโยคเมื่อครู่ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะพร้อมกับมองกิมด้วยสายตาขำๆ เมื่อเขาผละออกไปแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิงเหมือนรังนกแถมสบถด่าคนที่โทรมายาวยืด โอย ผมขำจริงๆ นะ แต่ต้องกลั้นไว้เพราะกลัวว่าเขาจะเมินมันแล้วทำอย่างอื่นที่ตั้งใจแทน

“โธ่เว้ย ไอ้เชี่ยที่ไหนโทรมาตอนนี้เนี่ย!” กิมผละออกไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะรับแขก ในขณะที่ผมยืนขำกับท่าทางหัวเสียนั่น เขาคงตั้งใจจะจูบกันจริงๆ นั่นล่ะ ร้ายเกินไปแล้ว

“คีนห้ามหนีครับ” เขาหันมาบอกผมเสียงเข้มทั้งๆ ที่คุยสายอยู่กับปอม (ได้ยินเรียกชื่อ) ก็แค่จะเดินเข้าครัวไม่ได้วิ่งหนีออกไปไหนซะหน่อย ขอทำใจสักครู่เถอะ ตอนนี้แทบสำลักความตื่นเต้นปนเขินตายอยู่แล้ว

“โอ๊ะ... แค่จะไปหาน้ำดื่มน่า เราไม่หนีไปไหนหรอก” ผมแสร้งร้องกวนๆ ก่อนคลี่ยิ้มทะเล้นแล้วเดินผ่านหน้าเขาด้วยท่าทางอารมณ์ดีแต่ในใจนี่แอบลุ้นแทบตายว่าจะโดนฉุดระหว่างทางหรือเปล่า แต่ก็รอดพ้นมาได้เพราะกิมเปิดประตูระเบียงออกไปคุยกับเพื่อนด้านนอกแล้ว

ผมอยู่ตะลึงกับภาพตรงหน้าเกือบหนึ่งสามนาที ถามตัวเองในใจว่านี่ตู้เย็นหรือตู้แช่เบียร์ในร้านขายของชำกันแน่เพราะมีเกือบทุกยี่ห้อ เหลือบสายตามองชั้นบนก็เจออาหารจำพวกไส้กรอก ชั้นล่างสุดมีผลไม้กลิ้งไปมาประมาณสามชนิด ด้านประตูเต็มที่ด้วยขนมขบเคี้ยวและลูกอม มีแซมๆ พวกครีมบำรุงผิวอีกนิดหน่อย อืม... น้ำเปล่าอยู่ที่ไหนนะ?

“คีนครับ”

อะ มาแต่เสียงผมคงไม่ตกใจ ทว่าอ้อมกอดอุ่นจากทางด้านหลังมันน่ากลัวมากรู้ไหม? กลัวว่าสักวันหนึ่งจะขาดมันไม่ได้น่ะสิ ถ้าเป็นแบบนั้นต้องแย่มากแน่ๆ เลย

“หืม อยากได้อะไรครับ?” ผมไม่ได้ขัดขืนเพราะลึกๆ ก็ชอบความอบอุ่นของเขามากกว่าที่คิด เสียงที่ถามออกไปถึงจะติดทะเล้นแต่ความจริงแล้วนั้นเขินแทบตาย ปากก็เม้มไว้เพื่อกลั้นยิ้มจนรู้สึกเจ็บไปหมด อ่า... ตอนนี้คงไม่ต้องหาน้ำเปล่าแล้วมั้ง

“คือ... เป็นแฟนกันไหม?” น้ำเสียงอ้อมแอ้มแต่กลับดังชัดเจนในความรู้สึกของผม อ่า... สัมผัสได้ด้วยเพราะกิมกระชับกอดแน่นขึ้น

“.....” ผมเอาแต่เงียบเพราะตั้งรับเรื่องนี้ไม่ทันน่ะ ก็เพิ่งสารภาพความรู้สึกไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงบวกกับใบหน้าที่เห่อร้อนจนแทบไหม้ ขอคบ... แฟนคนแรก... โอย ไม่ไหวแล้ว ใครก็ได้ช่วยที

เฮ้อ หลังจากสติแตกไปครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าผมก็อยากตอบรับคำขอคบอยู่หรอก แต่ในความเป็นจริงคือช่วงนี้รับงานเยอะแล้วกลัวจะไม่มีเวลาให้กับกิมเพราะผมไม่เคยมีแฟนเลยกังวลเรื่องนี้เป็นพิเศษเนื่องจากเหตุผลหลักๆของการเลิกกันระหว่างคู่รักก็คือ... นั่นล่ะ อย่างที่เกริ่นไป เอาไงดี

“.....” ส่วนกิมก็เงียบและมองผมนิ่งด้วยสายตาคาดหวัง โธ่ เจ้าหมายักษ์ของคีน รอหน่อยเนอะ

และมันไม่ควรเกิดเดตแอร์นานๆ ว่าไหม?

“กิมรีบเหรอ?” คือ... ไม่ได้กวนตีนแต่ถามจริงๆ เพราะอยากรู้ความคิดของอีกฝ่าย ผมน่ะคบกันตอนไหนก็ได้เนื่องจากรู้ดีว่าตัวเองไม่เปลี่ยนใจแน่นอนแต่กิมอาจรู้สึกถึงความไม่มั่นคงหรือเปล่า

“ก็เปล่า แต่เราใจตรงกันแล้วนี่นา” เสียงหงอยแบบนี้ก็ได้เหรอกิม แต่ผมไม่ใจอ่อนแน่ๆ ถึงจะเป็นว่าที่แฟนคนแรกก็อยากดูแลให้ดีที่สุด ไม่ใช่ทิ้งขว้างด้วยคำว่า ‘ไม่เคยมีมาก่อนนี่ เลยทำตัวไม่ถูก’ ข้ออ้างของคนไม่ใส่ใจความรักมากกว่ามั้ง ผมคิดว่านะ

“ขอเวลาอีกหน่อยนะ ช่วงนี้เรามีงานถ่ายพรีเวดดิ้งเยอะน่ะ กลัวจะทำหน้าที่แฟนให้กิมได้ไม่ดี” ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับกิมแล้วอธิบายพร้อมรอยยิ้มบางๆ มือข้างหนึ่งเอื้อมแตะข้างแก้มของเขาเบาๆ เพื่อปลอบประโลมความรู้สึก เป็นโชคดีที่อีกฝ่ายเข้าใจอะไรได้ง่ายและไม่งอแงจนผมทำตัวไม่ถูก

“อ่า... คีนว่ายังไงก็ว่าอย่างนั้นครับ” กิมคลี่ยิ้มพลางหัวเราะเบาๆ คล้ายกับว่าเขาได้คำตอบที่ทำให้สบายใจแล้ว ก่อนหน้านี้คงคิดว่าผมจะปฏิเสธเพราะอายคนอื่นล่ะมั้ง หึหึ เจ้าคนคิดมาก แต่ทำตัวน่ารักแบบนี้ก็ต้องชมหน่อยสินะ

“เด็กดี ~” ผมถือวิสาสะเอื้อมมือออกไปขยี้หัวกิมเบาๆ ด้วยความเอ็นดูก่อนจะหลุดขำเมื่อเขาหลับตาพริ้มทำหน้าเคลิบเคลิ้ม ทะเล้นจริงๆ เล๊ย น่าตีมาก!

“เราขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?” อยู่ๆ กิมก็คว้ามือผมไปจับเอาไว้แล้วเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“หืม?” ผมครางรับ เอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย

“ค่ามัดจำน่ะ” หน้านิ่งแต่ตาเป็นประกายเชียวนะ อันตรายแน่ๆ

“เราต้องเป็นคนจ่ายเหรอ?” ผมชี้มือเข้าหาตัวเองพร้อมกับเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ ตามหลักคนที่จ่ายค่ามัดจำควรจะเป็นกิมหรือเปล่านะ แต่ช่างเถอะ ว่าไงว่ากัน

“อื้ม คีนต้องจ่าย” กิมพยักหน้ารับอย่างแข็งขันจนผมหลุดหัวเราะอีกแล้ว จริงจังมากกว่านี้ได้อีกไหมเนี่ยคนเรา

“อะ ว่ามา เราต้องจ่ายเป็นอะ...” ผมตั้งคำถามแต่ยังไม่ทันจบก็โดนริมฝีปากอุ่นๆ ทาบทับลงมาในตำแหน่งเดียวกันอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ตกใจมาก ทำอะไรไม่ได้นอกจากแสดงความรู้สึกผ่านทางดวงตาที่เบิกโต

“อื้อ!” ผมครางด้วยความตกใจเมื่อริมฝีปากถูกขมเม้มเบาๆ ก่อนที่คนกระทำจะผละออกไปแถมยังยิ้มกริ่มให้กันอีก ไอ้คนฉวยโอกาส

“แค่นี้ก็พอแล้วครับ หึหึ” ยังมีหน้ามาบอกว่าแค่นั้นแค่นี้อีกหรือไง เล่นทีเผลอมันต้องโดนเอาคืน!

“อยู่นิ่งๆ ให้เราเตะเดี๋ยวนี้เลย!”

และแล้วค่ำคืนนั้นผมก็ได้เตะก้นกิมจนหนำใจจนเจ้าตัวร้องโอดโอยว่ามันคงช้ำเป็นจ้ำม่วงๆ หมดแล้ว ก็สมควรนี่ ชอบฉวยโอกาสดีนัก เอ้อ ส่วนเรื่องที่นอนนั้น... แยกกันคนละห้องน่ะดีมากๆ เลย เพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่ายเนอะ

ราตรีสวัสดิ์ (ไม่มีกู๊ดไนท์คิสหรอก หึหึ)

ปกติแล้วผมเป็นคนตื่นเช้าตามนิสัย ทว่าแปลกที่วันนี้ในเวลาเกือบสิบโมงก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิม อาจจะเป็นเพราะเตียงของกิมนุ่มกว่าของตัวเองเลยหลับสบายหรือเพราะอ้อมกอดอุ่นๆ ที่คอยเติมเต็มกันอยู่ เดี๋ยวนะ... ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาแอบย่องเข้ามาในห้องกันล่ะ? เออ ช่างเหอะ แบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกัน

อ่า... สุดท้ายคนที่ตื่นก่อนก็เป็นกิมเพราะผมดันเผลอหลับต่ออีกครึ่งชั่วโมง รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้กลิ่นหอมของอาหารเช้า อืม จะว่าไปตอนนี้หิวมากๆ เลยล่ะ รีบจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จดีกว่า

“ตื่นแล้วเหรอ?” คำถามแรกดังขึ้นเมื่อผมเดินมาถึงห้องครัว สภาพกิมในชุดผ้ากันเปื้อนสีดำสวมทับเสื้อกล้ามขาวคว้านแขนลึกดูมีเสน่ห์เหลือล้นเอามากๆ อยากวิ่งไปหยิบกล้องเพื่อถ่ายภาพที่นานครั้งจะได้เห็น แต่อย่าเลย... เดี๋ยวผมเผลออัปฯ รูปเขาลงไอจีจะงานงอก ไม่ใช่ว่ากลัวคนอื่นรู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา ก็แค่หวง นั่นว่าที่แฟนเชียวนะ!

“อื้อ โทษทีนะ สายไปหน่อย” ผมรีบเบนหน้าหนีลุคพ่อบ้านแสนอบอุ่นปนเซ็กซี่นั่นก่อนที่จะไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้ กิมก็ทำตัวตามปกติเพราะกำลังง่วนอยู่กับการจัดจานอาหารเช้า อืม ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะเรียก...

“ไม่เป็นไรๆ นั่งลงสิ เราทำไข่กระทะให้กิน” เอ้อ นั่นล่ะ ไข่กระทะ อาหารเช้าที่ผมใฝ่ฝันอยากลองชิมสักครั้งในชีวิตซึ่งกิมได้เนรมิตมันขึ้นมาอย่างกับอยู่ในใจกัน เอ่อ... ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นแล้วนี่นา อื้อ แค่คิดก็เขิน

“โห แค่กาแฟแก้วเดียวก็พอแล้ว” ผมนั่งลงตามที่ถูกเชิญชวนก่อนจะโบกมือไวๆ เพื่อบอกอีกฝ่ายว่าไม่ต้องลำบากทำอาหารเช้าให้ก็ได้ ปกติได้กาแฟสักแก้วก็อยู่ท้องแล้ว ส่วนมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นนั้นไม่ขอพูดถึงดีกว่าเพราะบางคนอาจล้มละลายได้เลย

“ไม่ได้ๆ เดี๋ยวว่าที่แฟนของเราขาดสารอาหาร” น้ำเสียงจริงจังมาก แต่หน้าตานี่ทะเล้นสุดๆ หมั่นไส้จนอยากเตะแต่ผมก็ทำได้แค่พึมพำออกไป

“ไม่เรียกแบบนั้นดิ”

“อายเหรอ? ขอโทษนะ” ทำหน้าหมาหงอยอีกแล้ว

“เปล่าๆ เราแค่รู้สึกไม่ชินน่ะ” อยู่ๆ ก็เป็นว่าที่แฟนของใครขึ้นมา ความรู้สึกมันคันยุบยิบในหัวใจชอบกล

“.....” กิมไม่ยอมพูดอะไรแต่หันหลังให้ผมเพื่อถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะเดินไปหยิบแก้วเงียบๆ เอ่อ บรรยากาศมันมาคุว่าไหม?

“มันเขินไง...” เพราะกลัวกิมจะโกรธผมเลยตัดสินใจหลับหูหลับตาพูดความจริง ฮื่อ คนเราต้องเขินไอ้คำเรียกแทนตัวเองแบบนั้นด้วยเหรอวะเนี่ย ไม่เข้าใจๆๆๆ ผมฟุ้งซ่านเกินเหตุก็เลยยกมือขึ้นบีบแก้มตัวเองเผื่อจะเรียกสติกลับเข้าร่างได้บ้าง โอย ไม่กล้าสบตากับกิมเลย

“ระ เราไปหยิบของที่ซื้อให้ชมจันทร์นะ!” อะไรคือการที่กิมวางแก้วน้ำส้มดังตึงจนมันหกเลอะบนโต๊ะแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปจากครัวล่ะ เดี๋ยวสิ!

“จะไล่เรากลับบ้านแล้วเหรอ?” ผมตะโกนถามเพราะเป็นห่วงไข่กระทะบนโต๊ะ ยังไม่ได้กินเลยนะ ไม่ใช่ว่าอยากยื้อเวลาเพื่ออยู่กับกิมสองต่อสองสักหน่อย

กิมชะงักเท้าไม่ได้เดินต่อแต่ก็ไม่หันกลับมามอง ผมลอบสังเกตอยู่เงียบๆ ก็พบว่าเขากำหมัดแน่นเชียว กำลังข่มอารมณ์เรื่องอะไรอยู่นะ?

“เปล่า เราแค่...” แล้วก็เงียบไป โธ่ ผมลุ้นจนเหนื่อยแล้วเนี่ย หิวก็หิวด้วย

“แค่?” ผมย้ำคำท้ายประโยคเพื่อกระตุ้นให้เขาพูดต่อ ส่วนมือก็เริ่มจับช้อนส้อมขึ้นมาจัดการไข่กระทะ

“รู้สึกว่าคีนน่ารักเกินไปจนกลัวว่าจะอดใจไม่ไหวน่ะ” ความหมายที่ต้องการสื่อชัดเจนจนผมแทบทำช้อนส้อมหลุดมือ ความรู้สึกที่ใบหน้าร้อนวูบวาบกลับมาอีกแล้ว กิมโคตรใจร้ายเลยเพราะทำเราเขินจนเหนื่อย!

“งะ งั้นจะไปไหนก็ไปเลย!” ไล่กิมไปซะก่อนที่หัวใจของผมจะกระเด็นกระดอนออกมาด้านนอกนั่นล่ะ ดีแล้ว

หลังจากได้สัมผัสรสชาติของไข่กระทะเสร็จ กิมก็หอบข้าวของที่เขาซื้อให้ชมจันทร์ขึ้นรถก่อนหันมาชวนผมไปเดตแบบหน้าตาเฉย จะปฏิเสธก็สงสารหมาตัวโตที่เอาแต่จ้องรอคอยอย่างมีความหวัง เอาเถอะ เรื่องนอนเอาไว้ทีหลังก็ได้ ฮึบ

คือ... กิมก็ไม่ได้บอกก่อนว่าจะพาไปเดทที่ไหน แต่มาโผล่โรงพยาบาลแบบนี้ทำให้ผมได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ หรือว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศ?

“กิมจะพาเรามาเดทที่โรงพยาบาล?” ผมถามในขณะที่กิมจอดรถสนิทและดับเครื่องยนต์เป็นที่เรียบร้อย ตอนแรกเข้าพยักหน้ารับแต่เหมือนตั้งสติได้เลยส่ายหน้าจนคอแทบเคล็ด เอ่อ... เบาๆ ก็ได้มั้ง เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเลย

“เฮ้ย ไม่ใช่ๆ คืองี้ เมื่อคืนไอ้ปอมมันโทรมางอแงว่าท้องเสียแล้วไม่มีคนมาเฝ้าน่ะ” กิมละล่ำละลักอธิบายพลางโบกมือไปมา ผมพยักหน้าเข้าใจแต่ต้องกลับมาขมวดคิ้วใหม่อีกรอบเพราะว่า...

“อ้าว ทำไมไม่บอกเราตั้งแต่เมื่อคืนล่ะ?” ถ้าบอกก็จะไปเยี่ยมปอมพร้อมกับเขา ปล่อยให้เพื่อนเหงาได้ไงเนี่ย น่าตีจริงๆ เลย

“ก็เราไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้อยู่กับคีนสองต่อสองนี่นา” กิมตอบเสียงเบาแต่ดวงตาที่จ้องมากลับสื่อความหมายอย่างชัดเจนว่าอยากใช้เวลาอยู่กับผมจริงๆ อืม ก็ถือว่าคุ้ม แต่มันดูใจร้ายกับปอมไปหน่อยน่ะสิ

“เจ้าเล่ห์ไม่เลือกเวลาจริงๆ เลย” ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะส่งหมัดหนักๆ ลงบนต้นแขนของกิมด้วยความหมั่นไส้ ไม่ชอบไอ้รอยยิ้มหวานแต่ซ่อนความเจ้าเล่ห์นั่นเลย รู้สึกว่าตังเองไม่ปลอดภัยยังไงชอบกล

“โอ๊ย หมัดหนักจัง” กิมร้องโอดโอยหน้าตาบูดบึ้งเกินความจริง ผมเลยได้แต่ส่ายหน้าพร้อมหัวเราะเบาๆ กับความเล่นใหญ่นั้น เฮ้อ ทะเล้นไม่พอ บางทียังทะลึ่งด้วยอีก ร้ายเกินไปแล้ว

“สำออย เดี๋ยวจะโดนหนักกว่านี้” ผมแกล้งขู่พลางทำใบหน้าขึงขัง กิมเลยเปลี่ยนท่าทางเป็นเรียบร้อยก่อนจะรีบเปิดประตูรถทันที หึหึ แบบนี้ค่อยพูดง่ายหน่อย น่ารักจริงๆ เลย

“หูย เราว่ารีบไปหาไอ้ปอมกันดีกว่าเนอะ ป่านนี้คงแหงาตายแล้วมั้ง”

เอาตัวรอดเก่งจริงๆ เล๊ย เปลี่ยนจากหมาเป็นปลาไหลคงเหมาะกว่า เฮ้อ

เราทั้งสองคนเดินขึ้นอาคารผู้ป่วยอย่างไม่เร่งรีบ ระหว่างทางก็คุยเรื่องสัพเพเหระรวมถึงการรับน้องในช่วงเปิดเทอม ปีนี้ต้องกลายเป็นพี่สันทนาการเต็มตัวแล้วสินะ ผมคงไม่มีหน้าที่อะไรนอกจากรอเทรนด์น้องที่ต้องเข้าประกวดเดือน ส่วนกิมรายนั้นคงเลือกเป็นฝ่ายพยาบาลเพราะไม่ชอบความวุ่นวายล่ะมั้ง

ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออกด้วยฝีมือของกิมและปิดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาโผล่หน้าเข้าไปไม่ถึงสิบวินาที ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ คือเห็นปอมแก้ผ้าเหรอ?

“โอ๊ะ... ท่าทางเราคงไม่ต้องเข้าไปเยี่ยมไอ้ปอมแล้วมั้ง?” กิมขยับยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะใช้แผ่นหลังพิงเข้ากับประตู้ห้องพัก ความเป็นห่วงเพื่อนในตอนแรกจางหายไปจากดวงตาทันที แปลก...

“หือ ทำไมเหรอ?”

“มีพยาบาลส่วนตัวมาเฝ้าแล้วน่ะ”

อ้าว ไหนบอกว่าไม่มีใครว่างไง...

“คนที่บ้านเหรอ?”

“เปล่า เพื่อนคีนนั่นล่ะ” เดี๋ยวนะ...

“โฮม?” ผมถามสั้นๆ นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่โฮมยอมเหยียบโรงพยาบาลทั้งที่เกลียดนักหนา ทั้งกลิ่นทั้งบรรยากาศล้วนเป็นของแสลงสำหรับเขา มันต้องมีอะไรในกอไผ่อย่างแน่นอน แต่เราทุกคนไม่อาจล่วงรู้ได้เลย

“ใช่แล้ว หึหึ สองคนนี้มันยังไงกันแน่นะ?” กิมใช้นิ้วเคาะขมับทำท่าคิดไม่ตก ส่วนผมก็ได้แต่ไหวไหล่เพราะไม่รู่ความเป็นมาเรื่องนี้จริงๆ จากที่โฮมโดนปล้ำจูบก็ง้อจนมาถึงปัจจุบันนี้ ยาวนานจนคิดว่าปอมจีบเพื่อนตัวเอง

“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูท่าทางโฮมจะชอบปอมนะ” นั่นคือสิ่งที่ผมพอจะจับสังเกตเพื่อนตัวเองได้ในระยะนี้ ปกติช่วงหยุดยาวชวนโฮมไปที่ไหนก็ไม่เคยปฏิเสธ แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนมีธุระไม่เว้นวันซะอย่างนั้น หึหึ เอาเถอะ ถ้าเขามีความสุขดีก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่พวกเราอยากเห็นความชัดเจนระหว่างสองคนนี้

“เพื่อนเรามันก็ชอบโฮมนั่นล่ะ แต่ฟอร์มจัดไปหน่อย”

ฟอร์มจัดหรือมองเพื่อนผมเป็นตัวเลือกกันแน่นะ?

“โฮมฮอตนะ” ผมแกล้งแหย่ดูปฏิกิริยาของกิม ซึ่งเขาไม่มีท่าทางเดือดร้อนแทนเพื่อนแถมยังขยับเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มชวนเสียวสันหลังอีก

“เราว่าคีนฮอตกว่า” ก้มลงกระซิบชิดรอมใบหูจนผมต้องผงะถอยหลังหนีแล้วจ้องมองกิมอย่างคาดโทษ เดี๋ยวจะโดนเอาคืนไม่น้อย ชอบแกล้งกันดีนักนะ

“อย่านอกเรื่องดิ” ผมต่อยเข้าที่อกของกิมเบาๆ พร้อมกับทำหน้าดุใส่ เขาดูจะตกใจมากกว่ากลัวเพราะหน้าตาดูเหลอหลาชอบกล ก็... น่ารักดี

“โทษๆ” กิมยกมือขึ้นเหนือศีรษะทั้งสองข้าง ถอยหลังออกไปห่างๆ เหมือนว่าจะกลัวโดนต่อยอีกครั้ง

“ระวังปอมจะได้กินแห้วทั้งสวนนะ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกมา ก็เขาบอกว่าเราไม่ต้องเข้าไปเยี่ยมปอมแล้ว อืม... อยากกินชีสทาร์ตจังเลย

“เราก็ว่างั้น ช่างมันเหอะ มาคุยเรื่องของเรากันดีกว่าเนอะ” กิมสาวเท้าตามกันมาจนตีคู่มากับผมก่อนจะพาดแขนหนักๆ ลงบนลาดไหล่ อยากแต๊ะอั๋งกันน่ะเข้าใจ แต่ไอ้การกระชับอ้อมกอดแสดงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของต่อหน้าผู้หญิงที่เดินสวนกันนี่... ขี้หวงชะมัด

“ได้สิ ถ้ากิมเลี้ยงมื้อเที่ยง” ถ้าเลี้ยงข้าวกันจะคุยอะไรผมก็ยอมทั้งนั้นล่ะ หึหึ

“ไม่มีปัญหาครับที่รัก”

อ่า ยังไม่ได้ตกลงคบกันแต่พูดจาและแสดงออกเหมือนเป็นแฟนกันแบบนี้ก็ได้เหรอกิม? ไอ้คนเจ้าเล่ห์เอ๊ย ทว่าผมดันติดใจความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาซะแล้วสิ มีความสุขจังเนอะ

กิมเป็นสารถีที่ดีแต่เป็นนักร้องที่ห่วยแตกมากๆ เพราะแค่ฮัมเพลงยังเพี้ยนผิดคีย์ ผมซึ่งเป็นผู้ฟังก็ดันเส้นตื้นหลุดขำตลอดทางจนรู้สึกปวดท้อง โอย ดีนะที่ตอนจีบเขาไม่ได้อยากดีดกีต้าร์พร้อมซิงอะซอง ไม่อย่างนั้นคงได้ผลลัพธ์ต่างจากทุกวันนี้เพราะสร้างมลพิษทางเสียงให้ผมไปแล้ว

กว่าจะถึงที่หมายเราใช้เวลาอยู่บนถนนราวๆ สองชั่วโมงซึ่งพอก้าวขาลงจากรถเสียงท้องก็ดังโครกครากประท้วงว่าหิวทันที จะโทษกิมที่ทำไข่กระทะให้ในปริมาณน้อยมันดูใจร้ายไปหน่อย เอาเป็นว่ามื้อเที่ยงขอจัดเต็มแบบบุฟเฟ่ต์ได้หรือเปล่านะ

“กินอะไรดี?” ผมแสร้งถามในขณะที่เราเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้าสู่ห้างสรรพสินค้า ไม่มีคำตอบกลับมาเพราะกิมกำลังพิมพ์อะไรบางอย่างลงในโทรศัพท์ อาจจะตอบไลน์เพื่อนอยู่ล่ะมั้ง

“เมื่อกี้คีนถามอะไรเราปะ?” ไม่นานนักกิมก็ถามกลับหลังจากที่ยัดเครื่องมือสื่อสารลงในกระเป๋ากางเกงเรียบร้อย ผมพยักหน้ารับกำลังจะอ้าปากพูดซ้ำประโยคเดิมแต่ต้องชะงักเมื่อตรงหน้าปรากฏร่างผู้ชายที่คุ้นตาโบกมือให้ อ่า... มันใช่เวลาทักทายกันไหมล่ะครับเนี่ย เฮ้อ



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 18 -P.2- 30/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-10-2018 08:30:30
“ไม่คิดว่าจะเจอเราที่นี่” เขาเป็นฝ่ายเดินเข้าหากันถึงที่ในขณะที่ผมแทบอยากจะหันหลังหนีแล้วลากกิมไปให้พ้นสายตาของเขา ไม่อยากให้เรื่องราวยุ่งเหยิงเลยแต่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ในเมื่อ... นั่นคือว่าที่พี่เขยของผมเอง

“ผมก็ไม่คิดว่าจะเจอพี่ซันที่นี่เหมือนกัน” ผมพึมพำไม่เต็มเสียงนักก่อนจะลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ใช่ว่าเกลียดขี้หน้าแต่ไม่อยากให้เขาเจอกับกิมมากกว่า มันมีประเด็นไง... โธ่ วันนี้เรามาเดทแน่เหรอเนี่ย

“ยังไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวานเหรอ?” พี่ซันมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนพ่อกำลังจับผิดลูกสาวหนีเที่ยวไปนอนค้างบ้านผู้ชาย ผมบุ้ยปากพลางยกมือขึ้นกอดอก เออ เถียงไม่ได้ แต่พี่เป็นหมอไม่ใช่นักสืบไม่ต้องคอยล้วงความลับคนอื่นเขาหรอกน่า

“รู้ได้ไงครับ?” ผมถามกลับเสียงเข้มก่อนเหลือบมองคนข้างตัวที่บัดนี้หัวคิ้วแทบผูกโบว์ ดวงตาคมจ้องพี่ซันเหมือนเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ เอ่อ... อย่าแผ่จิตสังหารแบบนั้นเลย คนอื่นๆ ชักเริ่มมองมาทางนี้แล้ว อาจจะเป็นเพราะมีแต่หนุ่มตัวสูงยืนคุยกันก็ได้

“ก็เสื้อผ้าตัวใหญ่กว่าคีนตั้งหนึ่งไซส์” พี่ซันยิ้มทะเล้นก่อนจะเอื้อมมือมาดึงเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่ ก็นะ มันเป็นของกิมนี่ ทั้งตัวก็มีแต่กลิ่นของเขาทั้งนั้น อืม เขินแฮะ ไม่น่าคิดถึงเรื่องนี้เลย

“ไม่ต้องสังเกตขนาดนั้นก็ได้น่า” ผมแงะเสื้อออกจากมือของพี่ซันก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดตามประสาน้องคนเล็กของบ้าน พี่เขยก็เหมือนพี่แท้ๆ นั่นล่ะ บางทีรู้สึกว่าสนิทมากกว่าคุณนายปิ๊งซะอีก

พี่ซันหัวเราะจนไหล่สั่นซึ่งผมเห็นแล้วหมั่นไส้เลยส่งหมัดไปต่อยต้นแขนเบาๆ แต่ผลลัพธ์คือเขาดันชะงักเมื่อเห็นกิม... ก็ยืนอยู่ตั้งนานแล้วปะวะ ทำไมความรู้สึกช้าจังเลยเนี่ย

“โอ้ แล้วนี่... เพื่อนที่ให้พี่ไปส่งบ้านเขาเมื่อวานน่ะเหรอ?” ชี้หน้ากิมแต่หันมาถามผม ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงคิดว่าพี่ซันหาเรื่องไปแล้วมั้ง

“ใช่ครับ” ผมตอบสั้นๆ ความอยากหนีออกจากตรงนี้ปะทุขึ้นอีกครั้ง พี่ซันต้องไม่สนใจกิมสิ บ้าจริง ต้องทำยังไงดี

“พี่ว่าหน้าเราคุ้นๆ นะ”

ไม่ได้นะ!

“พี่ซัน!” ผมรีบเรียกพี่ซันด้วยเสียงที่ดังพอสมควรจนคนบริเวณนั้นหันมามองพวกเราเป็นตาเดียว เอ่อ ขอโทษทีครับ ไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาท แต่ผมจำเป็นที่จะต้องดักคอเขาจริงๆ

“ว่า?”

“ผมหิวแล้ว ขอตัวไปหาอะไรกินก่อนนะ” จะหนีแล้ว ไม่ให้กิมคุยกับพี่ซันหรอก!

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ ขอนึกก่อนว่าเคยเห็นหน้าเพื่อนคีนที่ไหน” ผมคว้าจับข้อมือกิมในขณะที่พี่ซันก็ไม่ยอมแพ้เพราะเขาเกี่ยวคอเสื้อกันไว้ โอย จะฆ่าผมเหรอไง ถ้าพี่ปิ๊งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อไหร่ หึหึ ฟ้องยับแน่!

“ไม่ต้องคิดแล้วน่า แยกย้ายๆ” ผมปัดมือสะเปะสะปะเพื่อไล่พี่ซัน คล้ายๆ ว่าปลายนิ้วแตะโดนจมูกเขาด้วยล่ะเพราะได้ยินเสียงจิ๊ปาก สมน้ำหน้า อยากเกี่ยวคอเสื่อผมก่อนทำไมเล่า

“ไอ้เด็กคนนี้!” อะ พี่ซันขึ้นเสียงแล้วต้องรีบเผ่นให้ไว

“บายๆ” ผมโบกมือไวๆ ก่อนจะลากกิมที่ยังดูมึนงงออกจากตรงนั้นโดยไม่อธิบายอะไรสักคำจนเกือบถึงร้านอาหารที่ตั้งใจอยากกินในตอนแรกก็ได้ยินเสียงพึมพำจากคนด้านหลัง

“เอ่อ...”

ผมชะงักเท้าก่อนจะหักเลี้ยวแล้วลากกิมไปยืนที่มุมหนึ่งในร้านหนังสือต่างประเทศเพราะมีลูกค้าค่อนข้างน้อย ผมปล่อยมือที่จับข้อแขนของเขาออก ระบายยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นใบหน้าเครียดขึงจ้องมองอยู่ฝั่งตรงข้าม

“พี่ซันเป็นแฟนพี่สาวของเราน่ะ” ผมอธิบายในสิ่งที่คิดว่ากอยากถาม และมันก็คือสิ่งที่ถูกต้องเพราะหัวคิ้วของเขาคลายปมขมวดออกแล้ว แถมยังมีรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าอีกด้วย เฮ้อ โล่งอก นึกว่าจะโดนว่าที่แฟนโกรธเอาซะแล้ว

“อ๋อ เราว่าพี่เขาหน้าคุ้นๆ นะ” เขากรอกตาไปมา คงกำลังคิดว่าพี่ซันหน้าคล้ายๆ ใครล่ะสินะ หึ กิ๊กเก่ากิมไง ทำเป็นจำไม่ได้เหรอ

“อื้ม ไม่แปลกหรอกที่กิมจะรู้สึกแบบนั้น” ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์ที่แปลกๆ ไป ทำไมต้องหงุดหงิดเมื่อกิมเริ่มคิดถึงเรื่องของเขาคนนั้นนะ

“หืม?” กิมเอียงคอเล็กน้อยเลยทำให้ใบหน้าขรึมๆ ดูตลก

“พี่ซันเป็นพี่ชายของพี่เซียนน่ะ” เพราะแบบนี้ไงเลยไม่อยากให้พี่ซันนึกออกว่ากิมเป็นใคร ถึงตอนนี้พี่เซียนจะถอยออกไปจากวงโคจรของเราแต่เขาก็พร้อมกลับเขามาเสมอถ้ายังปักใจกับคนๆ เดิม เฮ้อ สรุปคือผมหวงกิมแล้วสินะ อาจจะหึงด้วย

“ห๊ะ... โลกแม่งโคตรกลม” กิมสบถด้วยใบหน้าเหยเก มือข้างหนึ่งยกขึ้นลูบแขนเหมือนตอนเจอสิ่งลี้ลับ ผมก็เคยคิดว่าโลกนี้มันกลมจนน่าโมโห พี่ซันคือคนรักของพี่สาว พี่เซียนคือคนที่ชอบกิม ส่วนพี่โซนดันเป็นแฟนกับว่าน... เรื่องมันพัวพันอยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง ยกมาทั้งครอบครัวตัว ซ เลยด้วย

“อืม พี่ซันเคยเห็นรูปกิมในโทรศัพท์พี่เซียนเลยคุ้นๆ หน้า” ผมเล่าเรื่องที่รู้มาให้เขาฟังต่อด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ ก็เมื่อก่อนพี่ซันเคยช่วยพี่เซียนคิดวิธีจีบกิมน่ะสิ ถ้าเขารู้ว่าน้องชายแท้ๆ อกหักเพราะผมทั้งสองครั้งคงเหม็นหน้ากันแน่นอน

“อ๋อ... เฮ้ย ทำไมไอ้พี่เซียนมีรูปเรา?” ทางนี้ก็ความรู้สึกช้า เพราะเพิ่งจะโวยวายเอาตอนที่พวกเราเดินออกจากร้านหนังสือ มือหนาคว้าจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้แน่นเพื่อคาดคั้นคำตอบ คงคิดไม่ถึงว่ารูปตัวเองจะไปอยู่ในโทรศัพท์หมอหมาใช่ไหมล่ะ เมื่อก่อนผมไม่รู้สึกอยากยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของใคร แต่ปัจจุบันนี้อยากลบภาพกิมชะมัด หวงแล้ว หวงมากด้วย

“แอบถ่ายคนที่ตัวเองชอบไง” ผมตอบเสียงเรียบ ผละตัวออกจากการเกาะกุมของกิมแล้วเดินนำเข้าออกจากตรงนั้นอย่างไร้จุดหมาย เฮ้อ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ บางทีก็เข้าใจยากเหมือนกันเนอะ

“แต่รูปเรามันไม่ได้น่าเก็บสะสมเลยนะเว้ย”

โธ่ ยังสงสัยไม่เลิกอีกหรือไง เดี๋ยวเอากำปั้นยัดปากเลยดีไหมเนี่ย

“กิมพูดอย่างกับไม่รู้ว่าตัวเองหน้าตาดี” ผมสงสัยมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้วว่าคนอย่างกิมมองตัวเองแบบไหน ถึงเขาจะมีหน้าตาเคร่งขรึมแต่ผู้ชายด้วยกันก็มองว่าโคตรหล่อนะเออ โอ๊ะ เผลอคิดถึงเรื่องราวสมัยนั้นได้ยังไงกัน จุ๊ๆ ห้ามบอกเจ้าตัวให้รู้ว่าผมจำเขาได้ตั้งแต่ตอนนั้นนะ เป็นความลับ หึหึ

“ถือว่าคีนชมเราได้ปะ?” ไอ้หน้ายิ้มแป้นนี่ชวนหมั่นไส้จริงๆ เลย เดี๋ยวเจอผมหยอดมุกบ้างจะทำหน้าแบบไหนกันนะ แค่คิดก็สนุกแล้ว

“ไม่ได้ เพราะที่เราพูดแบบนั้นเพราะชอบกิมต่างหาก” ตอนแรกก็คิดว่าจะแกล้งเขา แต่พอพูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกไปดันรู้สึกเขินเองซะอย่างนั้น ส่วนกิมก็อ้าปากค้างกระพริบตาปริบๆ ไปแล้ว โอย ไม่น่าเลย ทีหลังจะใช้วิชาเดินหนีน่าจะดีกว่าเยอะ

“จูบทีได้ไหม? น่ารักฉิบหาย” กิมตะลึงไปแค่สิบวิฯ ก่อนจะกลับมายิ้มกรุ้มกริ่ม เลื่อนใบหน้าลงต่ำจนแทบจะจูบกันจริงๆ กลางห้าง ดีหน่อยที่ผมมีสติมากพอในการเอาตัวรอดเลยก้าวถอยหลังแล้วแกล้งมองไปทางนู้นทีทางนี้ทีแก้เขิน

“เราหิวมาก อยากกินบุฟเฟ่ต์” มันเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้าปะ? ไม่เลย แค่ชวนเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาเท่านั้นเอง

“จัดไปครับ” กิมบอกเสียงกลั้วหัวเราะพลางตีมือลงบนกระเป๋ากางเกงนูนๆ ท่าทางเหมือนเสี่ยกำลังหลอกล่ออีหนูเลยว่ะ แต่ยอมเขาสักวันคงไม่เสียหายหรอกมั้ง

“น่ารักจัง ไว้ถึงบ้านเมื่อไหร่จะให้รางวัลแล้วกันนะ”

ถ้าผมไม่ลืมคำพูดของตัวเองไปซะก่อนน่ะนะ ~



-------------------------------------------------


เฮ้ยยยย เขาได้จูบกันแล้วนะ ห้ามว่ากิมกาก 555555
แทบจะจุดพลุยินดีกับนาง
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 18 -P.2- 30/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 30-10-2018 14:15:54
ทำไมคีนน่าเอ็นดูแบบนี้เอามาฟัดแก้มทีดิ(โดนกิม :z6:)แกล้งเขาแต่ตัวเองเขินเองนี้คือไรน่ารักจริงๆเลย
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 18 -P.2- 30/10/61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 02-11-2018 10:50:57
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :katai3:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 19 -P.2- 09/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-11-2018 17:37:06
รูปถ่ายใบที่ 19



ความนุ่มที่ประทับลงมาบนริมฝีปากทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมากกว่าปกติ ยิ่งสัมผัสได้ถึงเรียวลิ้นเปียกชื้นความวูบโหวงก็เกิดขึ้นในช่องท้อง เคลิบเคลิ้มและหวานละมุนจนอยากให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ แต่ใครๆ ก็รู้ว่างานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา ไม่นานนักสวรรค์ของผมก็จางหายไปต่อหน้าต่อตา โธ่ เสียดายฉิบ... หะ อะไรวะเนี่ย!

ผมเบิกตาโตเมื่อพบว่าสิ่งที่ประทับจูบลงมาเน้นๆ นั่นไม่ได้เป็นอย่างที่คิด คีนอยู่ตรงหน้าก็จริงแต่ระหว่างเรานั้นมีไอ้กระต่ายอ้วนฟูขั้นกลาง มันทำจมูกฟุดฟิด แลบลิ้นเล็กเลียปากเป็นครั้งคราว ดวงตากลมโตเป็นเม็ดลำใยมองตรงมาทางนี้ด้วยความสนใจ โอย แสบจริงๆ เลยนะนายคนินท์!

แต่คนอย่างนายกวินท์จะโวยวายอะไรได้ ก็เขาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะให้อะไรเป็นรางวัลที่เลี้ยงบุฟเฟ่ต์นี่นา เออ จูบชมจันทร์ก็ฟินได้เหมือนกันล่ะวะ เพราะคีนเอาแต่หัวเราะคิกคักแถมยังยิ้มกว้างอย่างมีความสุขซะด้วย โอเค ผมยอมแพ้โดยไม่มีข้อแม้เลย

อาทิตย์สุดท้ายของการปิดเทอมเป็นช่วงที่คีนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเพราะมีงานถ่ายพรีเวดดิ้งแทบทุกวัน พอเสร็จจากงานหลังกล้องก็ต้องกลับมาเลือกรูปและแต่งรูปอีก ส่วนผมเป็นคนว่างๆ ที่อาสาช่วยเขาแบกของบ้าง เป็นสารถีบ้าง หาข้าวหาน้ำให้กินบ้าง เหตุผลหลักที่เอาตัวเข้าไปวุ่นวายคืออยากอยู่ใกล้ๆ ว่าที่แฟนให้มากที่สุดนั่นเอง

ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ก็เรานั้นยังคงคอนเซ็ปศึกษาดูใจกันไปเรื่อยๆ จนกว่าคีนจะเอ่ยปากว่าพร้อมเลื่อนสถานนะแล้ว ไม่มีอะไรพิเศษขึ้นกว่าเดิม แต่มีเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตรงที่ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น กินข้าว ดูหนัง แม้กระทั่งกอดคอกันเมาในร้านเหล้า เออว่ะ ทำไมกูรู้สึกมันมาแนวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออีกแล้ว ไม่อยากเป็นดากานดากับไข่ย้อยเหอะ!

“ไอ้กิม จะนั่งขมวดคิ้วอีกนานปะ?” เสียงทุ้มแหบของใครบางคนดึงผมให้หลุดจากภวังค์พร้อมด้วยมือที่ทาบทับลงมาบนแก้มดังเพี๊ยะ เจ็บสัดๆ มึงวอนโดนตีนแล้วไอ้หมาปอม!

“เดี๋ยวกูถีบตกเก้าอี้!” ผมเหวเสียงดังก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งผลักหัวไอ้ปอมเพื่อเอาคืน ที่ได้มานั่งขมวดคิ้วหน้าย่นอยู่แบบนี้ก็เพราะว่ากิจกรรมรับน้องกำลังดำเนินอยู่โดยมีหัวหน้าสันทนาการเป็นน้ำปิง ดูรวมๆ ก็สนุกครื้นเครงดีถ้ามันไม่เอาคีนไปเป็นตัวล่อเด็กปีหนึ่งแบบนั้น เชี่ยเอ๊ย กูหวงของกูมึงไม่เข้าใจ!

“เกรี้ยวกราดใส่กูอีก หวงเขาล่ะสิ๊” ไอ้ปอมหรี่ตามองอย่างจับผิดก่อนขยับเข้ามาใช้ไหล่กระแซะหยอกล้อกัน ผมถอนหายใจหนักๆ พยักหน้ารับแบบไม่มีข้อโต้แย้ง มีว่าที่แฟนเป็นคนฮอตต้องใจดีขนาดไหนวะ ขี้หึงแบบกูนี่ไหวเหรอ เขาจะไม่รำคาญเอาใช่ไหม ก็มันรักมากนี่หว่า

“เออ หวงจนอกจะแตกตายอยู่แล้วเว้ย” ผมกัดฟันพูดก่อนยกมือขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิง สายตาจ้องมองอยู่ที่จุดหมายเดียวคือคีนซึ่งกำลังเต้นเพลงไก่ย่างด้วยท่าทางน่ารักน่าขย้ำ เฟรชชี่ทั้งหนุ่มทั้งสาวต่างให้ความสนใจเขากันทั้งนั้น แล้วไอ้ฝ่ายพยาบาลง่อยๆ ก็ได้แต่นั่งตบยุงหึงหวงอยู่ตรงนี้ โว๊ย อยากเดินเข้าไปบีบคอไอ้น้ำปิงฉิบหาย เมื่อไหร่พี่ว้ากจะลงเนี่ย!

“เป็นอะไรกับเขาเหรอถึงได้หวงขนาดนี้? หึหึ”

เจ็บจนจุกเลยไอ้สัด!

“มึง...” ผมยกมือสั่นๆ ขึ้นชี้หน้าไอ้ปอมพร้อมกับแยกเขี้ยวขู่มัน ถ้าพูดอะไรผิดหูอีกครั้งเดียวต้องมีคนยับแน่ๆ แม่งเอ๊ย กูก็อยากมีสิทธิ์ในตัวคีนจะตายห่าแล้วแต่เขายังไม่ยอมไง อย่าตอกย้ำ!

“โอ๋ กูหยอกเล่นน่า คีนเขาก็ชอบมึงนี่ คงไม่เปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นง่ายๆ หรอก” ไอ้ปอมรีบประจบสอพอด้วยน้ำเสียงหวานๆ แถมยังส่งมือมาลูบต้นแขนเพื่อให้ผมคลายความหงุดหงิดลง เนี่ย จะไม่ให้หมั่นไส้มันได้ยังไงวะ ถีบตกเก้าอี้เลยได้ไหม เฮ้อ

“กูไม่ไว้ใจคนอื่น” ผมปัดมือเพื่อนทิ้งก่อนจะสบหน้าลงกับท่อนแขนที่วางพาดอยู่บนโต๊ะ กวาดอุปกรณ์ปฐมพยาบาลให้ออกไปไกลๆ เพื่อกันของตก สายตายังคงจับจ้องคีน เขาดูมีความสุขกับกิจกรรมรับน้อง เฮฮาตามประสาคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มไม่แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายเหมือนผมกับไอ้ปอม

“เออน่า อย่าคิดมาก” อะ ไอ้ปลอบน่ะเข้าใจ แต่ไม่ต้องเอื้อมมือมาลูบหัวกันแบบนี้ก็ได้เหอะ เห็นสายตาของพวกเพื่อนในคณะแล้วรู้สึกขนลุกชอบกล ไม่ต้องสร้างคู่จิ้นใหม่นะเว้ย กับหมาปอมนี่ไม่ไหวจริงๆ อ้วกจะแตก ใครรุกใครรับนี่ตัดสินไม่ได้เลย

“เออ จะพยายาม” ผมบอกปัดทั้งที่ในใจตระหนักดีว่าทำไม่ได้แน่นอน เฮ้อ

กว่าจะเลิกรับน้องได้ผมก็แทบคลานกลับบ้านเนื่องจากต้องแบกเด็กผู้หญิงสองสามคนไปห้องพยาบาลเพราะเกิดเป็นลมระหว่างทำกิจกรรม ส่วนทางด้านคีนก็โดนรุมขอถ่ายรูปไม่หยุดหย่อน อยากจะเข้สไปลากออกมาจากวงล้อมแต่ต้องตัดใจเมื่อคิดได้ว่าตัวเองยังไม่มีสิทธิ์ถึงขนาดนั้น เฮ้อ ยืนพิงต้นไม้รอจนเหน็บแดกขาแล้วเนี่ย ทำไมลานจอดรถไม่มีเก้าอี้บ้างวะ

ผ่านไปอีกสิบนาทีคีนก็ยังถูกรุมล้อมด้วยบรรดาสาวๆ รุ่นน้องปีหนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังกลายเป็นสีส้มเพราะพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินเข้าไปทุกที ไอ้รอนานไม่ใช่ปัญหาแต่ยุงเยอะนี่สิ... คันฉิบหาย จับแดกแทนข้าวเย็นเลยดีปะ?

“ขอตัวก่อนนะครับ พี่มีธุระจริงๆ” ผมได้ยินเสียงปฏิเสธของคีนดังขึ้นอย่างชัดเจน อารมณ์ของเขาตอนนี้ค่อนข้างไม่ปกติเพราะดูจากสีหน้าแล้วคงเหนื่อยล้าเนื่องจากการทำกิจกรรมมาทั้งวัน เออ ผมสายตาดีน่า มองจากตรงนี้ก็รู้แล้วว่าเขารู้สึกยังไงบ้าง

อะ ผมผละตัวออกจากต้นไม้ก่อนจะปัดเศษผงที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าออกเมื่อคีนก้าวมาทางนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ทั้งที่ปกติคงยิ้มให้เมื่อเห็นว่ายังมีคนยืนรออยู่ไม่ไกลแบบนี้ เออ ท่าทางหงุดหงิดจริง สาวๆ พวกนั้นทำอะไรมากกว่าขอถ่ายรูปหรือเปล่านะ

“นึกว่ายุงหามไปแล้วซะอีก” คำแรกที่เขาทักขึ้นมาเมื่อเราเผชิญหน้ากันทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาซะเฉยๆ ก็คีนดันเล่นมึกทั้งที่หน้าตาเหมือนอยากจะฆ่าใครสักคนให้ตายคามืออย่างนั้นล่ะ โธ่ ไม่ต้องฝืนร่าเริงขนาดนั้นก็ได้

“ระดับเราแล้ว ยุงไม่กล้าเข้าใกล้หรอก” ผมเลือกที่จะรับมุกเพราะไม่อยากให้คีนหงุดหงิดเพิ่มขึ้นมากว่าเดิม แต่ดูจากหัวคิ้วที่ขมวดและสายตาที่จ้องเขม็งนั้น... กูทำอะไรพลาดไปเนี่ย เวรแล้ว

“เหรอ? เกาจนแขนแดงหมดแล้ว” คีนจิ้มนิ้วลงมาบนหลังมือของผมที่ยังคงเกาแขนเพราะโดนยุงรุมกัดหลายจุด ตอนนี้ถ้าฝนตกลงมาคงได้แสบไปทั้งตัวนั่นล่ะ

“แหะๆ นิดหน่อยเอง รีบไปหาอะไรกินกันดีกว่าเนอะ” ผมส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้คีนก่อนจะชวนเขาเปลี่ยนเรื่อง

“อื้อ” คีนพยักหน้าตอบรับก่อนรวบมือของผมไปจับเอาไว้แน่นแล้วกระตุกให้ออกเดินไปพร้อมกันโดยไม่มีอาการขัดเขินใดๆ ถึงแม้ว่าจะได้ยินเสียงรุ่นน้องซุบซิบตามหลังมาก็ตาม ส่วนผมในตอนนี้คือ... หัวใจใกล้วายเต็มทนแล้วครับ โอ๊ย ทำตัวไม่ถูก เขินจนหน้าร้อนไปหมด โดนแต๊ะอั๋งแค่นี้ทำไมฟินเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งวะ

อาทิตย์นี้สัญญาว่าจะไม่ล้างมือเด็ดขาด!

ตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุที่กำลังโรยตัวลงมาระหว่างเราทั้งที่เครื่องเสียงในรถบรรเลงเพลงรักหวานซึ้งจนมดจะขึ้น คีนไม่ชวนคุยเหมือนทุกทีและที่น่าแปลกคือเอาแต่มองออกไปด้านนอก ไม่จับโทรศัพท์เล่นหรือหยิบกล้องในกระเป๋าออกมาเช็ครูปถ่ายกิจกรรมวันนี้เลยสักนิด มันแปลกมากแต่ผมก็ไม่กล้าถามอะไร

ฟ้ามืดแล้วแถมฝนยังเทกระหน่ำทำให้อุณหภูมิภายในรถต่ำลง ผมใช้จังหวะที่ติดไฟแดงปรับแอร์แต่เหมือนใจจะตรงกับคีนมากไปหน่อยตอนนี้มือของเราเลยสัมผัสกันเบาๆ ไม่มีใครผละหนีมีเพียงแค่ดวงตาสองคู่ที่มองสบกันภายใต้ความเงียบ

“หนาวล่ะสิ เราก็จะปรับแอร์เหมือนกัน” ผมทำลายความเงียบระหว่างเราด้วยการพูดหยอกเย้าคีนพร้อมส่งรอยยิ้มให้ ปฏิกิริยาตอบรับที่หวังจะได้รับจากเขาดันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไม่มีความร่าเริงเลยสักนิดสาเหตุคืออะไรกันนะ หรือเพราะป่วย?

“อื้อ” ตอบรับก่อนจะผละมือออกจากกัน คีนกลับมาอยู่ในท่วงท่าเดิมคือหันหน้ามองหยาดฝนด้านนอก ผมคิดสะระตะถึงเรื่องที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้จนเริ่มปวดหัว โธ่เว้ย สมองกลวงๆ ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นไม่ได้เลย

“คีน... เอ่อ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ผมรวบรวมความกล้าถามคีนด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักพลางลอบมองใบหน้าด้านข้างที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วแสดงความมึนงง ถ้ารถไม่ติดและฝนไม่ตกขนาดนี้อะไรๆ คงดีขึ้นมั้ง เคยได้ยินคำว่าบรรยากาศพาไปปะ? ตอนนี้ผมแม่งโคตรรู้สึกแบบนั้นเลย

“หือ ปกตินี่”

โอ้โห ผมนี่อยากตะโกนอัดหน้าเขามาว่า ‘ปกติกับผีน่ะสิ’ แต่ทำได้แค่เอื้อมมือไปแตะต้นขาของเขาเพื่อบอกเป็นนัยๆ ว่าอย่าเก็บเรื่องไม่สบายใจไว้คนเดียว คีนไม่หือไม่อือแถมยังนั่งนิ่งเม้มปากราวกับเป็นรูปปั้น คงมีแค่เสียงถอนหายใจที่บ่งบอกว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิต

“ถึงเราจะกากแต่ก็ช่างสังเกตนะ วันนี้คีนเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา โกรธอะไรหรือเปล่า?” ผมเอียงคอมองอีกฝ่ายจนหัวซบลงบนพวงมาลัย มือทั้งสองข้างปล่อยลงบนตัก มันสั่นเล็กน้อยเพราะกำลังลุ้นกับคำตอบ ซึ่งพอจะเดาได้ว่าคียคงไม่ตอบอะไรเหมือนเคย คงไม่อยากให้ผมรู้สึกแย่ตามไปด้วยล่ะมั้ง โธ่ คนดีของกิม

“เปล่าๆ เราจะไปโกรธอะไรกิม แค่รู้สึกเหนื่อยน่ะ” คีนคลี่ยิ้มบางๆ พร้อมกับการส่ายหน้าปฏิเสธ ผมขยับเปลี่ยนท่าทางเป็นนั่งตัวลงแล้วเอื้อมมือข้างหนึ่งไปแตะพวงแก้มขาวซีด พยายามประคองให้เขาหันมาสบตากัน โกหกไม่เนียนเลยนะคุณคนินท์

“ใจหรือกาย?” ผมถามเสียงเรียบพลางจ้องมองดวงตารีอย่างคาดคั้น ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เพราะไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรหรือทุกข์ใจกับปัญหาอะไร ถ้าระบายออกมาสักนิดเราอาจจะหาทางออกร่วมกันได้

“กิม...” เสียงเรียกชื่อกันแผ่วเบาแต่กลับได้ยินชัดเจน แม่ง จะบีบแตรรถอะไรกันนักหนาเนี่ย เพิ่งไฟเขียวเว้ย! ผมรีบออกรถพร้อมๆ กับได้ยินคีนหัวเราะในลำคอ เอาวะ ถือว่าบรรยากาศดีขึ้นมานิดหน่อย

ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาสู่บรรยากาศเดิมๆ คือต่างคนต่างเงียบ ผมแทบไม่มีสมาธิขับรถเพราะมัวแต่สังเกตสีหน้าของคีนตลอดทาง แม่ง ดีแค่ไหนที่ไม่เสยก้นรถคันหน้า เฮ้อ ทำยังไงให้เขายอมพูดดีวะ จะถึงคอนโดแล้วสิ

“ไม่สบายใจอะไรก็ระบายกับเราได้นะ พร้อมรับฟังเสมอ” ผมเลือกที่จะบอกเขาไปแบบนั้นเพราะไม่อยากเห็นสีหน้าอมทุกข์ ดวงตาเหม่อลอยไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ทำตัวน่ารักแบบนี้อีกแล้ว” คีนพึมพำเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแก้มกันจนยืดออก โธ่ เจ็บนะ แต่ยอมถ้ามันทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

“เราก็น่ารักกับคีนคนเดียวล่ะน่า” ผมหยอด

“ไม่จริง วันนี้กิมยังใจดีกับรุ่นน้องอยู่เลย” แต่ผลลัพธ์คือคีนไม่ขำหรือเขินแต่กลับทำหน้ามุ่ยใส่ หรือนี่คือเหตุผลที่ทำให้บรรยากาศมาคุวะ?

“ตอนไหน?” ผมถามพาซื่อเพราะจำไม่ได้จริงๆ ว่าไปแสดงความใจดีกับไอ้พวกเด็กปีหนึ่งสายตาแพรวพราวนั่นเมื่อไหร่ แต่ละคนจ้องคีนอย่างกับจะกลืนลงท้อง วางตัวเป็ศัตรูขนาดนั้นผมคงไม่ญาติดีด้วยหรอก

“ก็ที่แบกรุ่นน้องไปห้องพยาบาลไง”

เดี๋ยวๆ ทำไมคีนถึง...

“มันเป็นหน้าที่ อีกอย่างไอ้ปอมก็เจ็บแขนด้วย” ผมรีบอธิบายจนลิ้นแทบพันกัน มือที่สาวพวงมาลัยก็วืดไปหนึ่งจังหวะเพราะอึ้งไม่หาย สรุปที่คีนทำหน้าบึ้งตึงเพราะผมแบกน้องผู้หญิงไปห้องพยาบาลเนี่ยนะ เอาจริงๆ จำหน้าพวกเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ โอย ถ้ายิ้มตอนนี้จะโดนถีบตกรถไหมเนี่ย ก็มันดีใจแปลกๆ ที่โดนหวง

“อืม... นั่นล่ะที่เป็นสาเหตุให้เรารู้สึกงุ่นง่านอยู่ตอนนี้” คีนหลุบดวงตาลงต่ำเมื่อพูดประโยคเมื่อครู่จบ มือทั้งสองข้างบีบกันแน่นอยู่บนตักเหมือนคนทำอะไรต่อไม่ถูก ส่วนผมอยากเปิดไฟเลี้ยวแล้วจอดข้างทางเพื่อดึงเขาเข้ามากอดให้เต็มรักด้วยโทษฐานทำตัวน่ารักเกินเหตุ แต่ในความเป็นจริงทำได้แค่จับพวงมาลัยแน่นเพื่อระบายอารมณ์พุ่งพลานข้างใน ยุบหนอ พองหนอ สงบสติหนอ

“.....” ผมไม่ได้ตั้งใจเงียบแต่ไม่รู้จะพูดอะไรต่างหาก โว๊ย ควบคุมการเต้นของหัวใจยังลำบากขนาดนี้ ถ้าหันไปคุยแล้วเจอคีนทำท่าทางน่ารักอยู่มันเสี่ยงจะจีบเขาปล้ำน่ะสิ ฮึบ เย็นไว้ๆ ไอ้กิมเอ๊ย

“ตัวเองเสน่ห์แรงไม่รู้หรือไง?” อยู่ๆ คีนก็ส่งหมัดมาต่อยเข้าที่ต้นแขนกันดังปึก ผมแทบจะแหกปากร้องเพราะโคตรเจ็บแต่ความจริงคือนั่งกัดฟันทนเอา

“เราเนี่ยนะ? ไม่ใช่แล้ว คีนเข้าใจผิดแน่ๆ” ผมปฏิเสธเสียงสูงพลางส่ายหัวจนคอแทบเคล็ด ไหนล่ะข้อพิสูจน์ของคนเสน่ห์แรง วันนี้นั่งอยู่โต๊ะฝ่ายพยาบาลทั้งวันยังไม่เห็นมีใครเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะด้วย ถ้าไอ้ปอมว่าไปอย่าง เดี๋ยวคนนั้นจะเป็นลม คนนี้ปวดท้อง พี่คะ พี่ขาขอยาหน่อย เหอะๆ ถ้าวันไหนผมหมั่นไส้มันขึ้นมาจะฟ้องโฮมให้หมดเลยแม่ง

“เราได้ยินรุ่นน้องกลุ่มที่มาขอถ่ายรูปเมื่อกี้พูดถึงกิม” แล้วคีนก็เงียบไปเหมือนกำลังคิดว่าควรจะพูดต่อดีหรือเปล่า เฮ้ย ผมลุ้นจนฉี่แทบราดแล้วนะ เมื่อไหร่จะตืดไฟแดงอีกสักรอบ อยากตั้งใจคุยตั้งใจเคลียร์ให้จบๆ สักที อยากให้คีนยิ้มเหมือนเดิมเนี่ย โธ่ ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กินเลย รันทดจังชีวิต

“คงนินทาว่าเราหน้าดุมั้ง” ผมเสริมเพราะไม่เชื่อสิ่งที่คีนได้ยินมาสักเท่าไหร่ คนหน้านิ่งขรึมแถมทำตัวไม่เป็นมิตรคงไม่มีใครมาหลงชอบแบบเขาหรอกน่า เต้นเพลงไก่ย่างนิดหน่อยมีแฟนคลับเป็นสิบแล้ว หึงเว้ยหึง เพราะไอ้น้ำปิงคนเดียวเลย ถ้ากูรู้ว่ามึงคบผู้ชายคนไหนจะแกล้งให้เข็ด คอยดู!

“ใช่ น้องนินทาว่ากิมน่าดุแต่น่าค้นหา”

“เฮ้ย...” ผมกำลังช็อค น่าค้นหาเนี่ยนะ เอาอะไรคิดวะเนี่ย ดีหน่อยที่ไม่เหยียบเบรกจนคีนหน้าทิ่ม

“ถ้ารวบรวมความกล้าได้เมื่อไหร่จะเข้าไปจีบ”

“ห๊ะ...” ผมร้องเสียงหลง ปากกระตุกเบี้ยวขึ้นด้านบนข้างหนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น เอาจริงดิ จีบคนแบบกูเนี่ยนะ ชาติหน้าคงติดหรอก ก็ผมชอบคีนนี่นา...

“เราพูดตรงๆ เลยนะว่าโคตรหงุดหงิดที่รู้ว่าน้องคิดยังไงกับกิม” ประโยคนี้คีนให้เสียงที่เข้มขึ้น มือเรียวบางตะปบลงบนหน้าขาของผมก่อนจะออกแรงบีบเค้นให้รับรู้อารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน จริงๆ ควรจะหาวิธีปลอบในคีนใจเย็นลงก่อนใช่ไหม? แต่ผมดันเสือกดีใจจนต้องกลั้นยิ้มนี่สิ โอย บ้าบอ!

“.....”

“เราหวง... เราหึง... เรางี่เง่า...”

เชี่ย โคตรน่าปล้ำ! ผมจะทำพวงมาลัยหักคามืออยู่แล้วเว้ย

“คีน...” ผมเรียกชื่อเขาเสียงสั่น พยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บไม้เก็บมือให้อยู่ตำแหน่งเดิม ไม่วอกแวกมองแต่ถนนเบื่องหน้า ตั้งสมาธิขับรถ กำหนดจิตให้สงบ ฟู่ ไม่ไหวแล้วเว้ย อยากจอดรถ!

“เราขอโทษว่ะ แต่มันรู้สึกไปเอง ควบคุมอะไรไม่ได้เลย”

พอกันที ตบไฟเลี้ยวจอดข้างทางแม่ง!

“เป็นแฟนกันไหม?” ผมถามขึ้นเมื่อรถจอดสนิทอยู่ริมฟุตบาท มือหนาเอื้อมจับอวัยวะส่วนเดียวกันของคีนมาทาบทับลงบนหัวใจที่เต้นแรงแทบกระเด้งออกมาด้านนอก สายตาของเราทั้งคู่สอดประสานไม่มีใครเบนหนีไปก่อน ผมลุ้นจนแทบนั่งไม่ติดเบาะ ถ้าตอนนี้ปวดขี้อยู่คงตดแตกเพราะความตื่นเต้นแน่ๆ โอย โคตรโสโครกเลยกู เซ็นเซอร์ทันปะวะ?

“.....” คีนเลือกที่จะเม้มปากไม่ส่งเสียงตอบรับอะไรเหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะทำอะไรต่อ โธ่ มันก็มีแค่สองทางเลือกเอง เป็นแฟนกับไม่เป็น... ผมยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจแต่คิดว่าพร้อมสำหรับทุกการตัดสินใจของเขา 

แต่... ขอใช้แผนโน้มน้าวจิตใจหน่อยแล้วกัน เผื่อจะช่วยให้คีนตัดสินใจได้เร็วขึ้นเนอะ

“ถ้าเราเป็นแฟนกัน ความรู้สึกหึงหวงมันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ต้องมานั่งขอโทษเพราะรู้สึกผิดแบบนี้ไง” ผมชักแม่น้ำทั้งร้อยมารวมเป็นเรื่องเดียวกัน กระชับมือที่จับไว้เพื่อกระตุ้นให้คีนคิดตาม หลงเคลิ้มไปกับคำพูดบ้าๆ บอๆ ของผมหน่อยเถอะ อยากมีแฟนจะแย่แล้ว ฮือ

“ตรรกะอะไรของกิมเนี่ย? เห็นแก่ตัวชะมัดเลย” เขาขมวดคิ้วแต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมา คีนโน้มตัวเข้าใกล้จนหน้าผากของเราแตะกันเบาๆ คล้ายต้องการส่งถ่ายความรู้สึกในหัวใจให้เชื่อมโยง รักที่ไม่ต้องพูดว่ารักสินะ

“เราก็หวงคีน หึงคีนไม่แพ้กัน ยิ่งไอ้ปอมถามว่ามีสิทธิ์อะไรไปรู้สึกแบบนั้นกับเขานี่จี๊ดเลย อยากกระทืบให้ตาย” ผมพูดติดตลกแต่สายตาที่จ้องมองอีกฝ่ายกลับจริงจังไม่มีแววล้อเล่น คนรักกันชอบกันแต่ไม่มีสิทธิ์ในตัวเขามันก็น่าหงุดหงิดใช่ไหมล่ะ จะหึงจะหวงแต่ละทีเหมือนเด็กเก็บกดแสดงออกไม่ได้ อึดอัดแทบบ้า

“อย่าทำแบบนั้น เดี๋ยวโฮมก็อกหักกันพอดี” โธ่ สถานการณ์แบบนี้ยังห่วงเพื่อนอีกเหรอคีน แล้วอะไรคือการเอาหน้าผากมาชนๆ กันแบบนี้ จะทำตัวน่ารักไปถึงไหนหืม ปล้ำเลยดีไหม ข้ามขั้นตอนเลย ฟงแฟนไม่เป็นมันแล้วจ้า

“โอเคๆ เห็นแก่โฮมก็ได้ แต่ตอนนี้เราจะขาดใจแล้วนะ” ผมถือวิสาสะสอดแขนโอบรอบเอวของคีนไว้หลวมๆ พลางใช้เสียงออดอ้อนพูดประโยคเมื่อครู่ออกมาบวกกับใช้มารยาผู้ชายทำตาละห้อยเป็นหมาหงอยใกล้จะขาดใจจริงๆ ก็นะ... วิธีไหนช่วยทำให้เขาเอ็นดูได้มากที่สุดก็ต้องทำ

“หืม เป็นอะไร? ให้เราพาไปโรงพยาบาลไหม?” คีนไม่ได้ขัดขืนอ้อมกอดของผมแต่กลับแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยพร้อมยกมือขึ้นแตะตรงนั้นตรงนี้เพื่อตรวจหาความผิดปกติบนร่างกาย ผมส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เกี่ยวกับอะไรพวกนั้นเลยสักนิด ที่ป่วยน่ะคือหัวใจต่างหาก... อยากมีคนดูแล

“คีนไม่ยอมเป็นแฟนกิมสักที” อ้อนเข้าไปจนกว่าคีนจะยอมตอบรับนั่นล่ะ ไหนๆ ก็ผ่านช่วงเวลาที่เขายุ่งกับงานถ่ายรูปพรีเวดดิ้งมาแล้วคงไม่มีเหตุผลไหนให้ปฏิเสธได้แล้วมั้ง

“กิม... เจ้าเล่ห์นักนะ” คีนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนใช้นิ้วเรียวดีดลงบนหน้าผากของผมดังป๊อก ยอมรับว่าเจ็บแต่โคตรคุ้มเพราะเขาหน้าแดงเว้ย แถมยังอมยิ้มแบบเขินๆ อีก โหย น่ารัก อยากฟัดแล้ว

“นะครับ รับรักเราหน่อยนะ” ผมหลับหูหลับตาขยับเข้าไปซบลาดไหล่กว้างแล้วถูไถหน้าผากอย่างออดอ้อน อายก็อายแต่ต้องทำเพื่อความสัมพันธ์อันสดใส ถึงจะโดนล้อยันแก่ก็ไม่สนหรอก คนเขาอยากมีแฟนจนตัวสั่นไง หึหึ

“ไม่” แต่คำปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเด็ดเดียวของคีนทำให้ผมชะงักการกระทำ จังหวะการหายใจสะดุดจนเผลอไอออกมาเบาๆ ร่างกายแทบไร้เรี่ยวแรงแต่ต้องแสร้งทำตัวงอแงเพื่อไม่ให้เขาลำบากใจที่พูดแบบนั้น ก็พอจะรู้ว่าแกล้งล่ะน่า ใจร้ายที่สุด

“โธ่ คีนครับ ~”

“กิมงอแงแล้วน่ารักดี” นั่น กลายเป็นสนุกเขาล่ะ ไอ้การที่หัวเราะไปด้วยขยี้หัวกันไปด้วยเนี่ย มีความสุขนักใช่ไหม เดี๋ยวเจอเอาคืนแน่คีน

“เอาแต่ชมไม่เห็นจะรักสักที” ผมรวบมือทั้งสองข้างของคีนไว้ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปกดจูบที่ริมฝีปากไวๆ แล้วผละออกมาพูดตัดพ้อ เขาดูจะอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็ปรับสีหน้าได้ในเวลาอันรวดเร็ว

“ใจร้อนจังนะ ถึงคอนโดเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

โว๊ย อยากว๊าปตอนนี้เลยได้ไหมล่ะ!

กว่าจะถึงที่หมายจริงๆ ก็ปาไปเกือบสามทุ่ม เสียเวลาแวะกินข้าวที่หน้าปากซอยคอนโดอีกครึ่งชั่วโมงเท่ากับว่าเราเหยียบพื้นห้องตอนเข็มสั้นชี้เลขสิบพอดี อยากทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วหลับยาวจนถึงเช้าวันเสาร์แต่ผมกลับทำไม่ได้เพราะยังมีเรื่องค้างคา จะอาบน้ำก็ยังกังวลกลัวอีกฝ่ายติดต่อมา โธ่ คีนต้องลืมเรื่องที่พูดทิ้งท้ายไว้ในรถแน่ๆ

ผมนอนหงายอยู่บนเตียงปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ เพราะคิดไม่ออกว่าควรจะทำอะไรต่อไป ทางด้านมนุษย์ปอมที่ยืนหันหลังให้ผมอยู่ตรงระเบียงห้องนอนนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักกับคนในโทรศัพท์ไม่หยุดหย่อนจนน่าอิจฉา เมื่อตอนเย็นมันยังบ่นหงุงหงิงเรื่องโฮมโดนรุ่นพี่ปีสามแทะโลมอยู่เลย แล้วดูปัจจุบันสิ... มีความสุขจนเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ไม่คิดมากก็ดีไปอีกแบบ

ปึก!

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินของอะไรบางอย่างตกกระทบพื้น รีบยันตัวลุกขึ้นหาสาเหตุแต่กลับต้องกุมขมับด้วยความหงุดหงิด ก็ไอ้ปอมเล่นเขินเกินเบอร์แล้วไปกระชากต้นกุหลาบตกลงมาจากระเบียงน่ะสิ โอย กูอุตส่าห์เลี้ยงมันให้ออกดอกขนาดนั้น มึงมันตัวซวย ตัวทำลายล้างชัดๆ

“มึง... กูขอโท๊ษ ~” เสียงมาก่อนตัวเลยเหอะ แต่ผมนั่งทำหน้าอึนใส่มันอยู่บนเตียงแล้ว จะลุกไปโวยวายก็เปลืองพลังงานเปล่าๆ เฮ้อ อยากถีบไอ้ปอมสักสามสี่ครั้ง รำคาญ

“สัด ชอบหางานให้กูทำตลอดเลยนะ” ผมสบถก่อนพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ จนรู้สึกว่าขนจมูกกระดิก เหลือบมองไอ้ปอมด้วยสายตาคาดโทษ มันเคยจำบ้างไหมว่ากุหลาบที่ริมระเบียงต้นนั้นผมต้องลงทุนลงแรงใส่น้ำใส่ปุ๋ยมานานเท่าไหร่กว่าจะออกดอกและแข็งแรงได้ขนาดนั้น น่ากระทืบให้จมดิน

“ไม่ได้ตั้งใจ” มันบอกเสียงอ่อยก่อนจะเคลื่อนร่างควายๆ ไปเกาะประตูกระจกแล้วกระพริบตาเพื่ออ้อนให้ผมใจอ่อน ถ้าน่ารักได้สักครึ่งของโฮมก็พออภัยอยู่หรอกแต่นี่เห็นแล้วขัดหูขัดตาชะมัด หงุดหงิดขึ้นอีกเท่าตัวแม่ง



ต่อด้านล้างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 19 -P.2- 09/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-11-2018 17:37:31
“เขินห่าอะไรขนาดนั้นวะ กุหลาบมันไม่รู้เรื่องกับมึงปะ?” ผมย่างสามขุมเข้าไปตบกะโหลกไอ้ปอมด้วยความหมั่นไส้ เมื่อไหร่จะเลิกสร้างเรื่องให้คนอื่นตามเก็บสักทีวะ เดี๋ยวมีแฟนเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ดูไม่น่าฝากชีวิตไว้ด้วยอีก

“โหย ไม่เอาไม่ดุ เดี๋ยวกูปลูกใหม่ให้ก็ได้” ไอ้ปอมร้องงุ้งงิ้งทำท่าจะเดินกลับไปโกยดินที่หกเลอะเทอะลงในกระถางแต่ผมกลับรีบเอื้อมมือไปรั้งไหล่มันเอาไว้ เดี๋ยวก็เลอะเทอะจนต้องอาบน้ำใหม่อีกรอบหรอก

“ไม่ต้องๆ มึงกลับเข้าไปข้างใน เดี๋ยวกูจัดการเอง” ผมโบกมือไวๆ เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบของเพื่อนก่อนจะดันหลังให้มันกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับโทรศัพท์ เออ ดีหน่อยที่เลิกคุยกันได้สักที ผมอิจฉาไง ไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก

“แดกยาลืมเขย่าขวดปะเนี่ย?” ไอ้ปอมหรี่ตามองอย่างจับผิด ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงบังคับให้มันจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองไปแล้ว เอาตามตรงคืออยากหาอะไรทำให้ตัวเองเลิกคิดฟุ้งซ่านน่ะ ขืนอยู่เฉยๆ คงประสาทแดกตายก่อนได้คำตอบจากคีน

“กูไม่ได้ป่วยไง” ผมกัดฟันพูดทำท่าง้างมือเตรียมตบหัวเพื่อนอีกครั้ง คราวนี้จะเอาให้มึนจนเดินไม่ได้เลยแม่ง ทำดีด้วยก็หาว่ากูแดกยาลืมเขย่าขวด พอใจร้ายก็งอแงบอกว่าเกรี้ยวกราดงั้นงี้ มึงนี่มันเรื่องเยอะจริงๆ เชี่ยปอม

“ครับพ่อๆ ทำเสร็จก็รีบอาบน้ำด้วย มันดึกแล้ว”

ขอบคุณที่ยังห่วงใยกูนะเพื่อนรัก ซึ้งจนน้ำตาแทบไหลเชียว

“อืม ถ้ามึงจะนอนก็ปิดไฟได้เลย”

“ไม่ๆ กูว่าจะแดกเบียร์สักกระป๋องแล้วค่อยนอน” มันยิ้มทะเล้นก่อนจะกระโดดโหยงๆ เหมือนกระต่ายออกไปจากห้องนอน แม่ง เวลานอนยังแดกเบียร์อีก เจริญๆ เถอะพ่อคุณ ไอ้ขี้เมาเอ๊ย

ผมนั่งยองๆ ลงหน้ากระถางต้นไม้พลาสติกที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ดินสีดำปนน้ำตาลกระจายไปทั่วบริเวณ แค่เห็นสภาพก็รู้สึกขี้เกียจแล้ว เอาเป็นว่าขอนั่งดูท้องฟ้าคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก่อนลงมือทำเถอะ เฮ้อ

แต่สุดท้ายผมก็เหลือบมองระเบียงห้องข้างๆ ที่มีแสงไฟลอดออกมาจากด้านในบ่งบอกให้รู้ว่าคีนยังไม่นอน เฮ้อ คำตอบจะได้เมื่อไหร่วะ ช่างแม่งเถอะ ตอนนี้ขอจัดการดอกกุหลาบที่น่าสงสารนี่ก่อนแล้วกัน เริ่มจากโกยดินกลับลงกระถางเป็นอย่างแรก แม่งเอ๊ย มือดำปี๋แถมยังเจอไส้เดือนตัวยาวอีก

“ทำอะไรน่ะ?” อยู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผมที่กำลังตั้งใจจัดการต้นกุหลาบถึงกับสะดุ้งเฮือก พอเงยหน้าขึ้นดูก็เจอเข้ากับคีนที่อยู่ในสภาพหัวเปียกและกำลังขยี้หัวอยู่ไม่ไกล มืออีกข้างจับกางเกงยีนส์ที่พาดไว้บนราวตากผ้า

“เฮ้ย ตกใจหมดเลย” ผมพ่นลมหายใจหนักๆ เมื่ออีกฝ่ายคือคนไม่ใช่ผีอย่างที่แอบกลัว คีนชักมือที่กำลังเช็ดผมแล้วเลิกคิ้วมองกันเหมือนยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน แต่เพียงครู่เดียวเขาก็หลุดขำก่อนจะก้มหัวเป็นเชิงขอโทษ

“โทษที เราออกมาเก็บกางเกงน่ะ ไม่นึกว่าจะเจอกิมมานั่งก้มๆ เงยๆ อยู่ที่ระเบียง” โธ่ ขอโทษพร้อมหัวเราะแบบนี้ผมก็เสียเซลฟ์หมดสิครับคุณ อายจนจะเอาหน้าจิ้มเศษดินที่อยู่บนพื้นแล้วเว้ย ทำไมกูถึงขวัญอ่อนได้ถึงขนาดนี้

“ไอ้ปอมทำกระถางกุหลาบตกน่ะ เราเลยมาจัดการให้มันเข้าที่เข้าทาง” ผมชี้ไปที่ต้นไม้ในกระถางซึ่งยังเอียงกะเท่เร่อยู่เหมือนเดิม คีนขยับเข้ามาเท้าแขนลงบนระเบียงพลางชะโงกหน้ามาดูผลงานของไอ้ปอมก่อนหัวเราะเบาๆ

“ใกล้เสร็จหรือยัง?” เขาหันมาถามผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กๆ ดวงตารีแววระยับเหมือนกำลังวางแผนอะไรสักอย่าง ถ้าให้เดาคงมีเรื่องอยากคุยด้วยล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นก็คงชวนไปซื้ออาหารไอ้ชมจันทร์เพราะเขาบ่นๆ ว่าใกล้จะหมดแล้ว

“ทำไมเหรอ?” ผมถามแล้วเบือนหน้าหนีเหมือนไม่ใส่ใจมากนักเพราะลึกๆ แอบหวังว่าคีนจะชวนคุยเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ เดี๋ยวแสดงออกทางสีหน้ามากไปอาจทำให้เขาไปไม่เป็นก็ได้ ใจเย็นไว้ไอ้กิม อย่ารีบร้อยเดี๋ยวเสียงเรื่องกันพอดี หันมาจัดต้นกุหลาบให้เข้าที่เถอะ สงสารมันเนี่ย

“ถ้าเสร็จเมื่อไหร่ก็บอกนะ” เขาไม่ได้ตอบคำถามแถมยังขยับตัวออกห่างจากระเบียงไปนั่งกินลมชมวิวอยู่บนเก้าอี้พลาสติกที่วางอยู่อีกฝั่ง คือผมถามอะไรต่อไม่ได้แล้วใช่ไหม? โอเค จัดการงานเสร็จค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย

ผมหยิบไม้กวาดออกมาจัดการเศษดินที่เหลืออยู่ใส่ที่โกยขยะ หลังจากนั้นก็หยิบบัวรดน้ำแต่คิดได้ว่าฝนเพิ่งตกไปเลยวางไว้ที่เดิมแล้วเปลี่ยนเป็นเช็ดมือกับกางเกงนักศึกษาเพื่อเตรียมตัวคุยกับคีนต่อ รายนั้นก็นั่งหลับตาฮัมเพลงงุ้งงิ้งสบายใจเชียวนะ หัวชื้นๆ แบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นไข้หรอก

“เสร็จแล้ว” ผมเอ่ยบอกคนที่ยังหลับตาอยู่ก่อนขยับตัวเข้าใกล้ระเบียงด้านข้าง เท้าแขนลงบนนั้นมองตรงไปที่เป้าหมาย คีนค่อยๆ ขยับตัวบิดขี้เกียจ อ้าปากหาวเล็กน้อย คือภาพทุกอย่างเป็นธรรมชาติมากจนผมอยากเก็บเขาไว้ในห้อง ปิดล็อกประตูขังไม่ให้คนอื่นได้เห็นสิ่งเหล่านี้ หวงว่ะ น่ารักเกินไปแล้ว

“โห หน้าเลอะดินเต็มเลย” อยู่ห่างกันขนาดนั้นยังเห็นรอยดินบนหน้าผมอีกเหรอ? ก็ไหนบอกว่าสายตาสั้นไม่ใช่หรือไง แกล้งกันอีกแน่ๆ ถ้าจะยิ้มและแอบหัวเราะแบบนั้น เดี๋ยวเถอะคีน

“จริงเหรอ? เดี๋ยวเราค่อยอาบน้ำ” แต่ผมดันเลือกไหลตามน้ำไปซะอย่างนั้น เฮ้อ ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองว่าจะยอมเขาทำไม หรือเพราะรัก? หูย น้ำเน่าไม่เลิกเลยกูเนี่ย

“กิมว่างแล้วใช่ปะ?” คีนถามก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมาหาผมและหยุดอยู่ไม่ไกล แค่เอื้อมมือไปด้านหน้าก็สามารถสัมผัสแก้มใสๆ ได้แล้ว ถ้าเขามาใกล้อีกหน่อยจะจุ๊บปากเยินเลยคอยดูเถอะ ก็ใครใช้ให้ยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้นเล่า

“อื้ม ว่างแล้วครับ มีอะไรเหรอ?” ผมถามก่อนเทคตัวขึ้นไปนั่งบนขอบระเบียง หันหน้าไปทางคีนที่ตอนนี้ก็จ้องมองมาเหมือนกัน ดวงตาของเขายังคงพราวระยับจนผมอดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะโดนแกล้งอีกหรือเปล่า

“เราแค่...” คีนพูดแค่นั้นก็เงียบไปทำให้ผมลุ้นจนเผลอขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น ลำตัวแตะสัมผัสกับลาดไหล่กว้างทำให้เราสบตากันนิ่งอีกครั้ง

“เราแค่จะชวนกิมมาเป็นแฟนกันน่ะ ตกลงไหม?” คีนคลี่ยิ้มหวานเมื่อพูดจบก่อนจะเอื้อมมือมาแตะประคองใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยน บรรยากาศรอบตัวเราตอนนี้เหมือนมีความหวานละมุนโรยตัวอยู่ใกล้ๆ เสียงหัวใจสองดวงเต้นดังตึกตักประสานกันช่างไพเราะยิ่งนัก โธ่ ผมโรแมนติกไม่ได้ครึ่งของเขาเลยเหอะ น่ามันเขี้ยวนักน้า

“อยากให้เราฟัดคีนใช่ไหม?” ผมกัดฟันพูดแล้วมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสั่นระริก พยายามอย่างมาในการควบคุมตัวเองไม่ให้กระโจนใส่คีนตอนนี้ คนบ้าอะไรน่ารักชะมัด เนี่ย มีแฟนแบบนี้ใครมันจะอยากให้คนอื่นได้รู้จักกันเล่า เดี๋ยวก็หลงรักเขากันแย่ ผมคงอกแตกตาย โอย

“ตอบไม่ตรงคำถามเหอะ” คีนย่นจมูกใส่ก่อนตบแปะลงมาบนแก้มของผมเป็นการลงโทษ แต่ใครจะยอมให้กระทำฝ่ายเดียวกันล่ะหืม ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติให้คงอยู่กับตัวเองแล้วเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกของเราทั้งคู่ชนกัน ลมหายใจอุ่นเป่ารดสลับเคล้าคลอเสียงหัวใจเต้นเป็นอะไรที่ไม่สามารถบรรยายได้จริงๆ อีโรติกหรือโรแมนติกชักไม่ชัวร์

“ถ้าเราตอบตกลงจะมีโปรโมชั่นพิเศษบ้างปะ?” ผมกระซิบถามข้างใบหูของคีนก่อนจะผละตัวออกมาส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ แทนที่จะได้เห็นริ้วแดงๆ บนแก้มของเขากลับกลายเป็นว่าโดนสะบัดบ๊อบใส่ซะงั้น เอ้า อย่าเพิ่งหนีสิครับ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยเนี่ย โธ่ ตอนนี้เห็นแต่ท้ายทอยอะ

“ไม่ตอบงั้นเราเข้าห้องแล้วนะ” นั่น มีการย้ำด้วยว่าจะหนีแถมยังก้าวขาจริงๆ ซะด้วย ไอ้ผมก็ตาลีตาเหลือกกลัวเขาเปลี่ยนใจเลยกระโดดลงจากระเบียงเพื่อรั้งช่วงไหล่กว้างไว้ ไม่ได้การแล้ว เล่นตัวมากได้แดกแห้งแน่นอน

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อน เป็นครับ ตกลงครับ!” ผมรีบรัวคำตอบใจคีนโดยไม่สนใจว่าเสียงจะดังเกินไปหรือเปล่า เวลานี้การได้เป็นแฟนกันคือที่สุดของที่สุดแล้วเว้ย โอ๊ย หัวใจเต้นแรงขึ้นกว่าเก่าก็ตอนที่เขาหันมายิ้มเจ้าเล่ห์และยักคิ้วให้กันนี่ล่ะ แสบนัก!

“ก็แค่นี้ ส่วนโปรโมชั่นพิเศษ เราให้เป็น... แล้วกันเนอะ” พอได้คำตอบสมใจก็กระซิบโปรโมชั่นพิเศษที่ผมให้ผมได้แต่ยืนอึ้งแล้วปล่อยคีนเดินเข้าห้องไปซะเฉยๆ โว๊ย ไอ้คนขี้อ่อยเอ๊ย

ใครใช้ให้กระซิบว่า ‘ดีพคิส’ ล่ะวะ ก๋ากั๋นเกินไปแล้ว!



----------------------------------------

เขาเป็นแฟนกันแล้ว สงสัยต้องเลี้ยงโต๊ะจีน 555555
ปล. กี่ตอนจบดีนะ?
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 19 -P.2- 09/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-11-2018 23:29:09
โอ๊ยยย น่ารัก หยอกกันไปมา
โมเมนท์คนหึง คนหวงแต่แสดงออกไม่ได้
ตอนนี้จะได้จัดเต็มละนะ

กิมเหมือนหมาตัวโตจริงๆ เลย
คีนก็ชอบแหย่ ชอบตามใจนะนั่น
คู่นี้ เค้าเรียกแพ้ทางกันมาก

ปอมคืออะไร ทำหวงโฮม แอบคบกันหรือเปล่า

อยากได้ 40 ตอนเลยค่ะ อ่านได้เรื่อยๆ สนุกดี
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 19 -P.2- 09/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 13-11-2018 14:07:38
คีนลูกทำไมขี้อ๋อยแบบนี้ลูกเดี๋ยวก็โดนกิมจับกินหรอก แต่กิมคนกากจะกล้าเหรอ :hao3: ขนาดเขาอ๋อยขนาดนี้ยังไปไม่เป็นเลย
จัดไปเรื่อยๆค่ะไม่จำกัดตอนเอาแบบงุงงิงๆนะคะไม่เอามาม่า555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 20 -P.3- 15/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-11-2018 11:10:14
รูปถ่ายใบที่ 20


ใครบอกว่ามีกล้องขั้นเทพอยู่ในมือแล้วถ่ายรูปสวยทุกคนนั้นไม่เป็นความจริงเลยสักนิด ถ้าหากว่าไม่รู้จักการจัดองค์ประกอบทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่า อย่างเช่นตอนนี้ที่ไอ้ปอมได้รูปตึกเอียงๆ มาไว้บนหน้าจอ LCD เนื่องจากระดับแนวตั้งและแนวนอนของกล้องไม่สมดุลกันแถมยังย้อนแสงอีกต่างหาก มะรืนนี้จะเอางานที่ไหนส่งอาจารย์วะ ทางด้านผมได้แต่ส่ายหัวปลงๆ เพราะสอนไปกี่ครั้งมันก็ไม่จำ ให้เปิดเส้น Grid ก็ไม่เอาท่าเดียว จ้า พ่อคนเก่ง ตามใจมึงเลย!

แล้วอากาศตอนนี้ก็ไม่เหมาะสำหรับการเอ้อระหายทดสอบความสามารถแบบโปรๆ นั่นหรอก พระอาทิตย์งี้ส่องหัวจนแสบไปหมดแล้ว ผิวก็เริ่มมีรอยคล้ำแดดซึ่งผมขี้เกียจโดนแม่บ่นเรื่องไม่ดูแลตัวเอง ไหนจะความร้อนระอุที่ทำให้เหงื่อไหลจนรู้สึกคันคะเยอไปทั้งตัวอีก... อยากกลับคอนโดไปอาบน้ำเว้ย

“มึง... มันเอียงปะ?” เป็นอีกครั้งที่ไอ้ปอมเดินกลับมาพร้อมกล้องในมือ มันยื่นผลงานที่เพิ่งลั่นชัตเตอร์ไปเมื่อครู่ให้ดูอีกครั้ง คราวนี้รูปสว่างขึ้นเพราะมันเพิ่มค่า ISO ในการใช้กล้องโหมด Manual เรียบร้อยแล้วแต่ตึกก็ยังคงเอียงเหมือนเคยจนผมเริ่มท้อใจอยากกลับคอนโด ตอนนี้อากาศร้อนก็ร้อนแถมยังหงุดหงิดเพื่อนที่ไม่ได้ดั่งใจอีก แม่ง รู้แบบนี้เกาะติด ‘แฟน’ ไปทำงานด้วยกันยังดีกว่า เซ็งเว้ย (มันก็จะเห่อๆ หน่อย แต่ใครอย่าถามถึงเรื่องดีพคิสนะ เศร้า...)

“เอียง กูบอกให้มึงเปิดเส้น Grid ไง ฟังกันบ้าง” ผมผลักกล้องกลับไปก่อนขยับตัวหนีเข้าที่ร่มเพราะแดดเริ่มส่องลงมา นั่งรอมันถ่ายรูปตัวตึกของห้างฯ มาเกือบสองชั่วโมงจนแทบพุ่งตัวลงไปในน้ำพุอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะเป็นเด็กดีเชื่อฟังกันบ้างเนี่ย หรือเพราะกูไม่ใช่โฮมเลยสอนอะไรไม่ได้

“กูอยากลองถ่ายแบบโปรฯ ดูนี่หว่า” มันบนงุ้งงิ้ง เบะปากนิดหน่อยพร้อมๆ กับการก้มมองกล้องที่เป็นรุ่น Semi-Pro ในมือ ถึงมันจะเทพแค่ไหนแต่ฝีมือคนถ่ายห่วยรูปก็ไม่สวยขึ้นมาหรอก ถ้าซื้อแบบ Full Frame มาใช้คงเสียดายแย่ ระดับนั้นคงเหมาะกับคีนที่ใช้รับงานมากกว่า

“ไอ้สัด กูร้อน กูเพลีย กูอยากนอน!” ผมสบถด่ามันด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง มือข้างหนึ่งยกขึ้นกระพือคอเสื้อเพื่อระบายความอบอ้าว เหลือบมองกระเป๋ากล้องที่วางอยู่ข้างตัวแล้วอยากใช้หนุนต่างหมอนจัง โอย แดดร้อนนี่มันง่วงดีจริงๆ ดูท่าทางช่วงเย็นฝนคงจะตกหนักด้วยล่ะมั้ง พยากรณ์อากาศในโทรศัพท์เขาบอกมาน่ะ

“มาเป็นชุด มึงอะใจร้าย” ทำเสียงงอแงใส่ไม่พอยังส่งกำปั้นลุนๆ มาต่อยเข้าที่ลาดไหล่ของผม ถ้าคนอื่นมองคงให้ความรู้สึกเหมือนแฟนกำลังงอนกันแต่ความจริงคือคู่เพื่อนกำลังจะฆ่ากันตายเพราะอากาศเมืองไทยและความเยอะของไอ้ปอม

“รีบๆ ถ่าย มัวแต่บ่นเมื่อไหร่จะเสร็จห๊ะ?” ผมแยกเขี้ยวใส่มันก่อนแย่งกล้องมาเปิดเส้น Grid ให้เรียบร้อย ไอ้ปอมบุ้ยปากใส่เมื่อรับของคืนแล้วเห็นสิ่งที่แสดงบนหน้าจอสี่เหลี่ยม ถ้าบ่นอีกทีกูถีบกระเด็นเลยนะ ตอนนี้เวลาบ่ายสามจะบ่ายสี่ทางด้านคีนกับโฮมคงถ่ายงานเสร็จแล้วมั้ง อยากงอแงกับแฟน!

“ชิ อยากรีบไปหาคีนก็บอกมาเหอะ ไอ้คนติดแฟนเอ๊ย” ไอ้ปอมทำเสียงกระแนะกระแหนพร้อมกับมองด้วยสายตาหมั่นไส้ ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจแต่อดไม่ได้ที่จะตอบกลับ

“อิจฉาหรือไง?” ผมหรี่ตาลง ส่วนไอ้ปอมรีบเปลี่ยนท่าทางเป็นยกกล้องขึ้นมาเล็งตรงนั้นตรงนี้ โคตรมีพิรุธเลยคุณเพื่อน

“เปล๊า จะอิจฉาทำไม สาวๆ ในสต็อกกูเยอะแยะ” มันอวดด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้แต่ดวงตากลับสั่นไหวพอๆ กับมือที่จับประคองกล้อง ถ้ามันกดชัตเตอร์ตอนนี้ผมฟันธงได้เลยว่ารูปเบลอแน่นอน

“ตกลงมึงไม่ได้คิดอะไรกับโฮมจริงๆ เหรอ?” ผมแกล้งถามทั้งที่ก็จับสังเกตมาได้สักพักว่ามันจริงจังกับโฮมขนาดไหน อยากดัดนิสัยคนปากแข็งไง ตอนแรกๆ คิดว่ามันฟอร์มจัดแต่นานไปกลับรู้สึกว่าไอ้ปอมกลัวมากกว่าที่จะเริ่มความสัมพันธ์รูปแบบใหม่กับใครสักคน เมื่อก่อนสำส่อนไงเลยไม่มั่นอะไรสักอย่าง หึหึ

“กูจะไปถ่ายรูปต่อแล้ว” มันหันหลังหนีแต่ผมคว้าข้อมือหนาเอาไว้ เรื่องนี้ไม่ควรยืดเยื้อจนมีคนเสียใจ

“ปอม... มึงควรชัดเจนได้แล้ว” ผมย้ำทุกคำอย่างชัดเจนและใจเย็น ไอ้ปอมไม่ได้หันมาทำหน้าบูดเหมือนทุกครั้งที่เราเริ่มคุยกันเรื่องความรัก มันนิ่งไปเกือบนาทีก่อนจะเอี้ยวหน้ามาแสยะยิ้ม

“นี่กูมีเพื่อนหรือพ่อคนที่สอง?”

เดี๋ยวถีบคว่ำ กูจริงจังแต่มึงยังจะเล่นอีก!

“กูพูดเพราะหวังดีเหอะ” ผมสะบัดข้อมือมันทิ้งจนได้สายตาค้อนๆ วงใหญ่กลับมาพร้อมกับการพ่นลมหายใจหนัก

“เออๆ รู้แล้ว เสร็จจากที่นี่พากูไปร้านดอกไม้ด้วย”

“ห๊ะ?” ผมตามมันไม่ทันว่ะ คือจะไปร้านดอกไม้ทำไม?

“ไม่ต้องถามมาก ถึงเวลาก็รู้เองว่ากูจะทำอะไร” แล้วมันก็สะบัดก้นเดินหนีไปหามุมถ่ายรูปโดยทิ้งปริศนาที่ผมไม่ได้คำตอบเอาไว้ แต่ที่ทำให้หัวเสียขึ้นมาเฉยๆ คือ...

กูยังไม่ได้ถามอะไรสักคำ แค่อุทานก็ผิดเหรอ? ไอ้หมาปอมเอ๊ย ทิ้งให้ขึ้นรถเมล์ไปเองเลยแม่ง!

อะ อีกห้านาทีสี่โมงครึ่งไอ้ปอมเพิ่งเก็บกล้องลงกระเป๋าในขณะที่รถเริ่มติด ร้านดอกไม้อยู่ห่างออกไปเกือบสามกิโลเมตร กว่าจะถึงคงเฉียดๆ เขาปิดประตูกลับบ้านนั่นล่ะ แต่ผมพูดอะไรมากไม่ได้เดี๋ยวโดนหาว่าเรื่องเยอะอีก ไหลตามน้ำคงดีเอง... มั้ง มันอยากทำอำรก็ให้มันทำ เดี๋ยวเราก็ได้คำตอบเองนั่นล่ะ

“กิม... กูจะซื้อดอกอะไรดีวะ?” หลังจากที่เงียบกันตั้งแต่ขึ้นรถมันก็เอ่ยถามขึ้นมาซื่อๆ แบบไม่มีเกริ่นนำพลางไถนิ้วไปกับหน้าจอโทรศัพท์ ผมว่ามันคงเปิดหาไอเดียซื้อดอกไม้แน่นอน แต่สิ่งที่ควรรู้คือจะเอาไปให้ใครไง กูคงเดาใจมึงได้หรอก!

“ดอกทองมั้ง อยู่ๆ ก็ถาม กูจะไปตรัสรู้ไหมว่ามึงซื้อให้สาวคนไหน!” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่มันทั้งที่กำลังขับรถจ่อท้ายคันหน้า กำลังโมโหที่อยู่ๆ แม่งก็เบรกเอี๊ยดแบบกะทันหันไม่สนใจคนอื่นที่ตามมาเลย ถ้ากูเป็นสิบล่อจะชนให้ยับ

“หูย ไม่ต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นก็ได้มั้งคะที่รัก? น้ำลายกระเด็นเปื้อนหน้าน้องหมดแล้ว” มันจีบปากจีบคอพูดพลางหัวเราะคิกคักบีบเสียงเล็กๆ ผมขมวดคิ้วฉับเพราะความรู้สึกตอนนี้คืออยากถีบไอ้ปอมลงจากรถ ขนลุกเชี่ยๆ

“ไอ้สัด หุบปากไป!” เกรี้ยวกราดใส่แม่ง ดีแค่ไหนที่กำลังขับรถอยู่เลยหันไปต่อยมันไม่ได้ เอาให้ปากแตกเลือดกลบเลยดีไหม รำคาญเว้ย

“โอ๋ๆ กิมจ๋า ไม่เอาไม่งอน ช่วยกูเลือกดอกไม้ก่อน” ไอ้ปอมเงียบไปอึดใจก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วซบลงมาบนลาดไหล่จนเส้นผมคลอเคลียอยู่แถวซอกคอ แทนที่จะเอ็นดูมันกลับกลายเป็นว่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม โอย รำคาญ! อ้อนอย่างกับสาวๆ ไม่ดูสารรูปตัวเองบ้าง ถ้าเปลี่ยนเป็นคีนได้จะยินดีมากเลย เฮ้อ ป่านนี้แฟนทำอะไรอยู่น้า อยากเจอจัง

“อย่ามาซบ เดี๋ยวถีบ” ผมกดเสียงต่ำพลางขยับไหล่เป็นสัญญาณให้มันเอาหัวออกไปไกลๆ ก่อนจะโดนถีบ ผลที่ได้คือไอ้ปอมทำตามแต่แสดงใบหน้าหงอยเหงาออกมา คือตกลงว่ามึงอารมณ์ไหนกันแน่กูตามไม่ทันเว้ย

“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วแต่เรื่องดอกไม้กูจริงจังนะ” น้ำเสียงเปลี่ยน ท่าทางเปลี่ยน แววตาเปลี่ยน โอเค ผมจะเชื่อมันดูสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน สวรรค์ก็ช่างเป็นใจเหลือเกินเพราะรถติดไฟแดงเหมาะแก่การคุยเรื่องจริงจัง ถ้ามันเล่นอีกจะได้ฟาดกบาลเน้นๆ

“จะเอาไปให้ใครมึงยังไม่ตอบกู จะให้ช่วยเลือกยังไง?” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบพลางลอบสังเกตท่าทางของไอ้ปอมเป็นระยะเพราะมือกำลังพิมพ์ตอบไลน์ของคีนที่ส่งเข้ามาเมื่อครู่นี้ เขาบอกว่าจะซื้อก๋วยจั๊บน้ำใสพิเศษมาฝากกันด้วยล่ะ โอย แฟนใครทำไมน่ารักขนาดนี้ กลับถึงคอนโดต้องจับฟัดให้น่วมแล้ว หึหึ

“ก็มึงจะให้กูทำตัวชัดเจนกับโฮมไม่ใช่หรือไง?” คำตอบจากปากไอ้ปอมเบาหวิวยิ่งกว่าปุยเมฆแต่มันสามารถทำให้ผมชะงักมือที่จิ้มโทรศัพท์ เมื่อครู่นั่นชื่อโฮมใช่ไหม? หูคงไม่ฝาดหรอกเนอะ ฟังไม่ผิดด้วยเพราะตอนนี้แม้แต่วิทยุก็ไม่ได้เปิด สรุปว่ามันกล้าหาญขึ้นแล้วใช่ไหม ฉลาดด้วย เยี่ยมๆ

“หืม... เลิกปากแข็งแล้วจริงดิ?” อะ ผมทิ้งโทรศัพท์กับคีนไว้ก่อนเพราะต้องการคำตอบที่แน่ชัดจากปากไอ้ปอม ความปรารถนาดีข้อหนึ่งคืออยากให้เพื่อนเลิกกลัวการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกว่าหยอดคนนั้นทีคนนี้ทีไปเรื่อยๆ อยากให้ลองจริงจังกับใครสักคน ใช้หัวใจศึกษาความรัก สร้างคุณค่าให้ตัวเองไม่เจ้าชู้จนเป็นขี้ปากชาวบ้าน ผมเป็นห่วงมากจริงๆ

“เออ รำคาญพ่อกิมบ่นไง” ไอ้ปอมหัวเราะคิกคักหลังทำให้ผมแยกเขี้ยวใส่อีกครั้ง เดี๋ยวมึงจะโดนต่อยหน้าแหก ยังมีอารมณ์เล่นอีกนะ

“ปอม” ผมเรียกมันเสียงต่ำเพื่อบอกให้รู้ตัวว่ากำลังเล่นมากเกินพอดีไปแล้ว ซึ่งไอ้ปอมรับรู้ได้เลยก้มหัวขอโทษยกใหญ่ เฮ้อ มึงก็เป็นซะแบบนี้ จริงจังไม่ถึงสิบนาทีสวิงนิสัยอย่างกับคนเป็นโรคสองบุคลิก เดาใจยากชะมัด สงสารก็แต่โฮมที่ตามอะไรไม่ทันเลย ป่านนี้จะคิดมากขนาดไหนนะ

“กูล้อเล่นๆ เออ ก็คิดได้แล้วว่าควรจะทำอะไรให้จริงจังสักทีเพราะโฮมเริ่มตีตัวออกห่างแล้วว่ะ” มันทำหน้าหงอยก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง ท่าทางเครียดหนักจริงๆ ว่ะ

แต่เดี๋ยว... เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ไม่สายไปหน่อยเหรอวะ? สมน้ำหน้าเหอะ เออ แล้วทำไมผมไม่รู้เรื่องหรือคีนช่วยโฮม? โอย งงเว้ย แค่มีแฟนนี่ทำให้ความเผือกของผมลดลงมากเลยนะเนี่ย

“ทำไมอยู่ๆ โฮมถึงเป็นแบบนั้น?” ผมขมวดคิ้วมองไอ้ปอมที่ตอนนี้กำลังนั่งแทะเล็บเพื่อระบายอารมณ์อึดอัด นานๆ ครั้งจะได้เห็นมันในมุมเครียดขนาดนี้ เป็นบุญตามาก ควรถ่ายรูปเก็บไว้ปะ หึหึ

“ก็... อาทิตย์แรกที่มึงคบกับคีนก็ไม่ยอมห่างกันใช่ไหมล่ะ? โฮมก็งอแงไงว่าเพื่อนติดแฟนงี้ อยากให้กูพาไปเที่ยวหน่อย แต่เผชิญช่วงนั้นกูรับงานถ่ายแบบกับดาวคณะบริหารก็เลยปฏิเสธเขา” จ้า มีตัวละครดาวคณะบริหารเพิ่มขึ้นมาด้วย ผมว่ากลิ่นเรื่องนี้ไม่ค่อยดีแล้วล่ะ แต่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลถึงขนาดที่ทำให้โฮมตีตัวออกห่างจากไอ้ปอมเพราะปกติมันก็รับงานทำนองนี้บ่อยจะตาย แล้วไอ้เรื่องคีนติดแฟนไม่เป็นความจริงเลยสักนิด มีแค่ผมเนี่ยล่ะที่ติดเขาอย่างกับตังเม ไปไหนไปกันตลอดยิ่งกว่าเงาตามตัว ถ้าขนเสื้อผ้าย้ายไปอยู่ด้วยกันได้คงทำไปแล้ว ขัดใจจริงๆ

“มันต้องมีเหตุผลมากกว่านั้นสิ” ผมพึมพำกับตัวเองพลางเคาะนิ้วลงบนต้นขา ถ้าให้เดาคงหนีไม่พ้นนิสัยดิบๆ ของไอ้ปอมแน่นอน อย่างเช่นกำลังเหนื่อยมากๆ จะไม่เอาใครทั้งนั้นหรือแดกเหล้าเพลินติดลมงี้ ข้อเสียที่แก้ไม่หาย

“มึงมีพรายกระซิบหรือไง รู้ดีจังวะ” โอ๊ะ ได้ยินด้วยเหรอ? แต่ก็ดีเพราะผมไม่ต้องเปลืองน้ำลายคาดคั้นเหตุผลเพิ่มเติมอีก ไอ้ปอมเบ้ปากใส่ผมก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมา ไม่ยอมตอบคำถามจนน่าหมั่นไส้

“กูเพื่อนมึงเหอะ จะไม่รู้สันดานได้ยังไง?” รู้แม้กระทั่งตอนมัธยมมันชอบใส่กางเกงในกลับหน้าเอบี โสโครก สักวันขอให้ไข่ขึ้นรา! พอขึ้นมหา’ลัยก็เลิกทำแบบนั้นแล้วเพราะตำแหน่งรองเดือนคณะมันค้ำคอ แต่ปัจจุบันอาจจะกลับไปทำเหมือนตอนเป็นเด็กอีก... หยึ๋ย ขนลุก!

“เออๆ เล่าต่อ พอถ่ายแบบเสร็จทางทีมงานเขาก็พาไปเลี้ยง แล้วค่ำวันนั้นโฮมโทรมาบอกว่ารถเสียแต่กูกำลังติดพันก็เลยบอกให้เขาเรียกช่างเองได้ไหม... ก็แค่ถามอะ” มันเล่าเสียงเบาเหมือนกลัวโดนด่า เออ ไม่ต้องกลัวหรอกเพราะผมด่ามันแน่ๆ สันดานเสียตลอด

เป็นกูโดนถามแบบนั้นก็โกรธปะ? ไอ้สัด! แถมกระโดดถีบขาคู่ด้วย ก็ดูมึงทำตัวสิ เวลาปกติไปเที่ยวเล่นกันได้แต่พอขอความช่วยเหลือกลับปฏิเสธอย่างนั้น เขาไม่ตะโกนอัดหน้าว่าเกลียดมึงก็บุญคุณล้นหัวแล้วจ้า

“สันดาน เหล้าเข้าปากก็เปลี่ยนจากคนเป็นเหี้ยเลย” ผมด่ามันพร้อมกับใช้มือผลักหัวเต็มแรงเพราะความหมั่นไส้ เนี่ยพอกินเหล้าก็เป็นแบบนี้ทุกที ไม่สนใครทั้งนั้น ไอ้ปอมร้องเสียงอูยเบาๆ ไม่ตอบโต้กลับ รู้ซึ้งถึงความผิดตัวเองสินะ เออดี

“อย่าซ้ำเติม กูเจ็บปวด สำนึกผิดไม่ทัน” มันบ่นงุ้งงิ้งส่วนผมทำแค่เค้นหัวเราะในลำคอก่อนจะเหยียบคันเร่งเพื่อออกรถต่อ ไม่ไกลเกินเอื้อมก็จะถึงร้านดอกไม้แล้วเว้ย แต่ถ้าเงยหน้ามองท้องฟ้าตอนนี้สักนิดคงรู้ว่าอีกนานแน่นอนเพราะฝนกำลังตั้งเค้า อยากกลับคอนโดไปกิน (คนซื้อ) ก๋วยจั๊บ!

“ตกลงว่าจะเอาดอกไม้ไปง้อเขาแล้วก็สารภาพรักพร้อมกันใช่ไหม?” ผมถามอย่างรู้ทัน

“เอ้อ... ไอ้สัด เขินวะ ก็ทำนองนั้น” มันตอบพลางบิดตัวไปมาเหมือนเขินนักหนา ตอแหลได้โล่จริงๆ เกลียดมึงมาก  แต่ด่ากูขนาดนั้นไม่ต้องไปมันแล้วร้านดอกไม้น่ะ!

“เขินได้ฮาร์ดคอร์มากเพื่อน กูไม่ช่วยดีไหม?” ผมแกล้งแหย่พร้อมกับกดปลดล็อกประตูเหมือนจะไล่มันลงจากรถ ไอ้ปอมรีบกุลีกุจอขยับเอาแก้มเข้ามาถูไถต้นแขนเป็นการอ้อนยกใหญ่ คิดว่าผมยินดีไหมล่ะ? วันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนนะเว้ย ติดคราบเหงื่อก็บรรลัยสิ โสโครกไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ เลย

“ไม่น้อยใจดิ ช่วยกูหน่อยนะ” พอผมเงียบไม่ยอมตอบกลับมันเลยพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนก่อนจะผละหน้าออกจากต้นแขน ตอนนี้เลยกลายเป็นว่ามีหมาปอมเปอเรเนียนตัวเล็กๆ กำลังกระพริบตามองเจ้านายเพื่อขอความเมตตาอยู่ ผมเกือบหลุดขำแต่ดีที่ปั้นสีหน้าเคร่งขรึมไว้ได้ คนเราก็ต้องมีโหมดจริงจังสักครั้งหนึ่งในชีวิตน่า

“ถ้าเป็นกูจะไม่ใช้ดอกไม้ง้อวะ คงหาเลนส์ดีๆ สักตัวผูกโบว์ให้ มีประโยชน์กว่าเยอะ” ผมพูดสิ่งที่คิดออกมาเพราะผู้ชายอย่างเราๆ คงไม่ชอบรับดอกไม้จากเพศเดียวกันสักเท่าไหร่ ถึงจะเปิดเผยว่าดูใจกันอยู่มันก็ออกจะแปลกในสายตาหลายคน

“จ้า พ่อสายเปย์ ดอกไม้ช่อสามพัน เลนส์ตัวละหมื่น!” ไอ้ปอมชักสีหน้าใส่ผมก่อนเอื้อมมือมาเคาะหัว นี่ถ้าตกใจหักพวงมาลัยเข้าข้างทางจะทำยังไงวะ คนเขาอุตส่าห์หวังดีช่วยคิดวิธี ไม่ชอบก็บอกกันดีๆ ได้ปะ?

“อุตส่าห์แนะนำสิ่งที่กูคิดว่าโฮมน่าจะชอบ” ผมมองมันตาเขียว หงุดหงิดไม่อยากช่วยแต่ก็สงสารโฮมที่เป็นคนต้องมารับกรรมโดนคนอย่างไอ้ปอมชอบนี่ล่ะ แต่สำคัญกว่าอะไรคือฝ่ายนั้นก็มีใจให้น่ะสิ โธ่ ไม่น่าเลย

“จริงๆ ก็อยากเปย์ให้ แต่มันดูหวังผลมากไปหน่อยเพราะมูลค่าของมันแพงไงมึง ดอกไม้สักช่อเป็นการเริ่มต้นน่าจะดีกว่า” ความคิดของมันก็ถูก บางครั้งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ต้องการสิ่งของที่มีราคามากกว่าความจริงใจของคนง้อหรอก เออ ผมยอมรับว่าวิธีการแต่ละคนต่างกัน ชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้นเถอะ ได้ผลทุกทางนั่นล่ะ

“อืม กุหลาบขาว ขอโทษได้ สารภาพรักได้ ปิดจ็อบ!” ที่ตอบได้เร็วขนาดนั้นเพราะไม่นานมานี้พี่เซียนยังวนกลับมาหาพร้อมช่อดอกกุหลาบสีขาวพร้อมอธิบายความหมายของมันต่อหน้าผมกับคีนนี่ล่ะ โคตรพีค... แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี มีความสุขทั้งสองฝ่าย หวังว่าในอนาคตเขาคงได้เจอคนที่อยากรักมากกว่าผมนะ โชคดีครับนายสัตวแพทย์

เสียงเบรกดังขึ้นเมื่อรถหยุดอยู่หน้าร้านขายดอกไม้ในเวลาเกือบหกโมงเย็น ไอ้ปอมรีบกุลีกุจอวิ่งจนขาแทบพันกันเพราะเจ้าของกำลังจะปิดประตู ผมหลุดหัวเราะก๊ากเมื่อเห็นความพยายามของเพื่อน เออว่ะ แบบนี้ก็ดูจริงจังจริงใจตามแบบฉบับมันดี หลุดๆ ต๊องๆ บ้างคงไม่ทำให้โฮมเสียใจล่ะมั้ง

ผมเลือกที่จะนั่งรอเพื่อนในรถเพราะอยากฆ่าเวลาด้วยการโทรหาคีน คือความรู้สึกตอนนี้คิดถึงเขาฉิบหาย โธ่ ไม่อยากเป็นโรคติดแฟนแต่... เออ ตามนั้นล่ะ คืนนี้จะขอนอนด้วยให้ได้ เอ่อ แค่นอนเฉยๆ จริงจริ๊ง ~

รอสายไม่นานนักก็มีเสียงกุกกักดังขึ้นก่อนตามมาด้วยคำทักทายธรรมดาสามัญแต่สามารถทำให้ผมคลี่ยิ้มได้โดยง่าย แม่งเอ๊ย ถ้ารู้ว่าตอนเป็นแฟนกันจะโคตรน่ารักขนาดนี้คงลงมือจีบไปตั้งแต่มัธยมแล้ว ไม่รอจนป่านนี้หรอก

‘ว่าไงครับแฟน?’ คีนไม่เขินที่เรียกกันแบบนั้นหรอก มีแต่ผมนี่ล่ะที่นั่งกัดปากกลั้นยิ้ม หัวใจเต้นแรงเหมือนสาวแรกรุ่นโดนสารภาพรัก หูย ทิ้งไอ้ปอมไว้ตรงนี้ได้ไหมแล้วค่อยโทรให้โฮมมารับมัน... ความคิดดี๊ดี โคตรฉลาดเลยกู

“ปากหวานเนอะคนเรา” ผมเอ่ยแซวก่อนจะหยุดยิ้มออกมาในที่สุดเพราะได้ยินเสียงหัวเราะจากปลายสาย คีนคงคิดว่าแฟนตัวเองปัญญาอ่อนอยู่แน่ๆ แค่คำเรียกแทนตัวแบบนั้นมันหวานตรงไหน ก็ผมชอบไง เหมือนเขาย้ำสถานะระหว่างเราเสมอ

‘วันนี้ยังไม่ได้ชิมอาจจะเปรี้ยวก็ได้นะ’ คีนบอกเสียงกลั้วหัวเราะบ่งบอกว่ากำลังสนุกกับการได้เอาคีน ส่วนคนฟังอย่างผมอี้งจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว คือลึกๆ กำลังคิดว่าตัวเองโดนเชิญชวนให้จูบเขาหรือเปล่า จะว่าไปตั้งแต่เป็นแฟนกันมาเกือบสองอาทิตย์ก็จุ๊บเบาๆ บนริมฝีปากกันแค่สองสามครั้งเอง อยากพัฒนาแล้วอะ

“นี่เล่นมุกเหรอ?” ก็แค่ถามให้แน่ใจเพราะไม่อยากคิดเป็นตุเป็นตะว่าอีกฝ่ายอยากได้รับสัมผัสลึกซึ้งจากผมไง

‘อ่อยมั้ง’ แหนะ... เดี๋ยวนี้หัดล้อเล่นแรงๆ เดี๋ยวผมคิดจริงขึ้นมาจะยุ่งนะเออ แค่ทุกวันนี้เห็นเขาออกมายืนบิดขี้เกียจตรงระเบียงตอนเช้าแล้วชายเสื้อเปิดขึ้นผมยังต้องรีบหนีเข้าห้องสงบสติอารมณ์เลย คนบ้าอะไรท้องขาวเนียนแถมยังมีซิกแพคพองามอีก โอย ถ้าได้ซุกไซ้คงฟินยันชาติหน้า

“ระวังตัวไว้เหอะ เรายังไม่ได้โปรโมชั่นพิเศษจากคีนเลย” ผมแกล้งตัดพ้อแต่ปากกลับยิ้มกริ่มเมื่อเผลอจินตนาการไปไกลว่าสักวันหนึ่งเมื่อได้ดีพคิสกับคีนแล้วคงไม่จบแค่นั้น มันต้องมีฉากต่อไปจนตัดเข้าโคมไฟแน่นอน ฮึ่ย อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเตียงลั่นดังเลยว่ะ โอ๊ย หลอนสุด!

‘กิมกากเอง’ อะ ผมสะอึกเมื่อโดนกล่าวหาด้วยความจริง พอคิดย้อนถึงเหตุการณ์วันนั้นก็อยากเอาหัวโขกพวงมาลัยให้ตายๆ ไปซะ คีนยืนหลับตาพริ้มรอรับจูบอย่างเต็มใจแต่เป็นผมเองที่มัวแต่เขินจนสุดท้ายก็จามใส่หน้าเขา เฮ้อ ก็มันคันจมูกเพราะขนไอ้ชมจันทร์นี่หว่า ไม่น่าแก้เขินด้วยการลูบหัวมันเลย เซ็ง!

“โธ่ ก็คนมันตื่นเต้นนี่หว่า” ผมพึมพำเบาๆ แต่คิดว่าคีนคงได้ยินชัดเจน เสียงหัวเราะต่ำดังมาจากปลายสาย เออ... ทางนี้อายจนไม่รู้จะซุกหน้าไว้ตรงไหนแล้ว เมื่อครู่ก็เผลอวางมือลงบนพวงมาลัยหนักไปหน่อย แตรดังจ้าและผลกระทบคือไอ้ปอมส่งนิ้วกลางมาให้เพราะคิดว่าผมไปเร่งมัน เชี่ยเอ๊ย กูแค่มือลั่น!

‘หึหึ ขี้อายแบบนี้ไปนานๆ ก็ดีนะ เราจะได้สบายใจไง’ ดูเขาจะพอใจกับความกากของผมจังวะ น้ำเสียงนี่สดใสเชียว มันเขี้ยวนัก อยากจะบีบๆๆๆ ให้หนำใจ ฮึ่ย

“กลัวเราปล้ำขนาดนั้นเชียว?”

‘นิดนึง ท่าทางกิมคงไม่ยอมเป็นฝ่ายรับใช่ปะ?’ อับดุลก็มาแฮะ จริงๆ ผมคิดไว้ก่อนอยู่แล้วว่าถ้าหากเราทั้งคู่ตกลงมีเซ็กซ์กันจะเป็นฝ่ายรุกเพราะไม่เคยรับมาก่อน แต่พอลองได้กลับมุมมองเป็นคีนดูบ้างก็คงรู้สึกไม่ต่างกันคือพวกเราทั้งคู่เป็นผู้ชายแท้ๆ เป็นคนแรกของกันและกันดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือถามความสมัครใจ

“ก็... ถ้าคีนขอเราอาจจะยอมเป็นรับ” ผมพูดออกไปแล้วในสิ่งที่คิด ถึงผลจะออกมาเป็นแบบไหนก็ทำความเข้าใจและยอมรับได้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าใครอยู่บนหรือล่างก็เกิดจากความรักทั้งนั้น อ่า... ตอนนี้โคตรดูเป็นแฟนที่ดีเลย แต่เหมือนฝนฟ้าไม่ค่อยเห็นด้วยเลยส่งหยาดฝนลงมาซะอย่างนั้น โธ่ รถติดหนักกว่าเดิมชัวร์

‘รักเรามากขนาดนั้นเลย?’ ผมจะถือว่าเป็นคำถามที่ดีก็แล้วกันถึงแม้จะรู้สึกน้อยใจนิดหน่อยก็ตามที่เขาไม่รู้ตัวว่าถูกรักมากแค่ไหน

“ใช่ครับ รักมาก” ผมตอบด้วยความมั่นใจและน้ำเสียงจริงจัง ความรู้สึกรักที่มีให้กับคีนมันเพื่มขึ้นทุกวันๆ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสักที อ่า... เนี่ย ผมคงเป็นประธานสมาคมคนรักแฟนหลงแฟนได้อย่างไม่มีข้อครหาแน่นอน

‘อื้ม... โทรมามีอะไรหรือเปล่า?’ แหนะ เล่นตอบสั้นๆ แล้วชวนเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ต้องเขินอยู่แน่นอน หึหึ แก้มแดงหรือเปล่าน้า อยากเห็นหน้าจัง

“คิดถึง...” อะ หยอดหน่อยแต่คิดถึงจริงๆ นะเออ

‘เกินไปๆ แยกกันยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย ชมจันทร์บอกว่าเหม็นความเลี่ยนของกิมมาก!’ ปลายสายทำเสียงขึ้นจมูกราวกับเป็นคนเหม็นน้ำเน่าที่ผมสร้างขึ้นซะเอง ดูเถอะคนเรา พอห่างกันก็มีชมจันทร์คลายเหงา แล้วผมที่นั่งเป็นพระเอกเอ็มวีในเวลาฝนตกและติดแหง็กอยู่ในรถเกือบสิบนาทีแล้วนี่ล่ะ จะเร่งไอ้ปอมก็ทำไมได้เพราะเห็นรางๆ ว่าเจ้าของร้านกำลังจัดช่อดอกไม้อย่างสุดฝีมือ เอาว่ะ ทนไว้เพื่อความรักของเพื่อน

“โธ่ ไม่มีความโรแมนติกทั้งคนทั้งกระต่ายเลย” เนี่ย เรามันตัวคนเดียวแต่คีนมีพักพวกไง วันไหนผมเกเรหน่อยก็ปล่อยไอ้ชมจันทร์ให้มาฉี่ใส่ บางทีถึงกับลงโทษด้วยการนอนแทะขากางเกงนักศึกษาเลยก็มี แสบทั้งลูกพี่และลูกน้องเลย น่าจับกลืนลงท้องนัก!

‘โอ๋ๆ นะครับเด็กน้อย จะถึงคอนโดหรือยัง?’ ยัง ยังกล้าหัวเราะคิกคักใส่กันอีก แต่ให้อภัยตรงที่เขาถามว่าจะถึงคอนโดหรือยังนี่ล่ะ เป็นห่วงล่ะสิ อยากเจอหน้าใช่ไหมล่ะ โอย มโนชนะเลิศจ้า

“อยู่ร้านดอกไม้ ยังต้องไปส่งไอ้ปอมอีก” ผมขยับตัวให้เข้าที่แล้วจ้องมองไปยังต้นเหตุที่ทำให้ไม่สามารถกลับคอนโดได้ในตอนนี้ผ่านสายฝนซึ่งเริ่มเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก อุณหภูมิลดลงจนต้องเอื้อมมือปรับแอร์เพิ่มตัวเลขสูงขึ้น ผมต้องหยิบร่มกางออกไปรับไอ้ปอมหรือเปล่า ถ้ามันวิ่งมาคงเปียกม่อลอกม่อแลกแน่ๆ กลัวจะป่วยก่อนได้สารภาพรักน่ะ

‘ร้านดอกไม้?’ คีนทวนคำ น้ำเสียงที่เขาใช้พอจะเดาได้ว่ากำลังสงสัย เออ คนอย่างผมมาร้านดอกไม้ทำไมล่ะ

“ปอมมันจะสารภาพรักกับโฮมน่ะ” ผมตอบพลางเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยเมื่อได้ยินเพลง ‘หมายความว่าอะไร’ ของ Mean โคตรเข้ากับสถานการณ์ขอบไอ้ปอมกับโฮมตอนนี้เลยว่ะ

‘เลิกปากแข็งแล้วสินะ เราควรฉลองด้วยก๋วยจั๊บปะ?’ เราต้องฉลองด้วยอย่างอื่นสิ ที่สำคัญต้องให้ไอ้ปอมเลี้ยงด้วย!

“ไม่ได้ดิ ก๋วยจั๊บนั่นตั้งใจซื้อมาฝากเราไม่ใช่เหรอ?”

‘งอแงจังครับแฟน’ อะ หัวเราะผมอีกแล้ว ก็คนมันงกไง อยากให้ไอ้ปอมเสียเงินบ้าง อุตส่าห์เสียเวลาพามันมาซื้อดอกไม้เชียวนะ โอ๊ะ พอนินทามันก็วิ่งฝ่าฝนพร้อมดอกไม้ในมือกลับขึ้นรถ โห สภาพอย่างกับหมาตกน้ำเลย

“เดี๋ยวกลับไปอ้อน แค่นี้ก่อนนะ ไอ้ปอมมาแล้ว” ผมกลั้นใจตัดสายแฟนเพราะต้องจัดการเพื่อนที่สภาพเปียกปอนโดยการเอื้อมหยิบผ้าขนหนูจากเบาะหลังแล้วโยนให้มันเช็ดหน้าเช็ดหัว ดีหน่อยที่ดอกไม้ยังคงรูปเหมือนเดิมไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด ต่อจากนี้ผมได้แต่อวยพรให้ไอ้ปอมสมหวังกับสิ่งที่กำลังจะทำแล้วกัน เพี้ยง!

ผมขับรถมาพาไอ้ปอมมาทิ้งไว้หน้าบ้านของโฮมก่อนตรงกลับคอนโด พอถามว่าจะให้ไปรับอีกหรือเปล่ามันก็ปฏิเสธพร้อมบอกว่าเดี๋ยวอ้อนเขาขอนอนค้างด้วยแล้วกัน โธ่ ขี้มโนเอ๊ย ใครจะยอมเอาตัวอันตรายไว้ข้างๆ ล่ะ

ในที่สุดผมก็ถึงคอนโดในเวลาสองทุ่ม เดินสะโหลสะเหลขึ้นลิฟท์เพราะความเหนื่อยล้าและเมื่อยขาที่ต้องฝ่ารถติดหลายชั่วโมง รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อประตูห้องมีถุงก๋วยจั๊บแขวนอยู่ จริงๆ อยากจะโผล่หน้าไปหาคีนก่อนแต่ต้องจัดการงานตัวเองให้เรียบร้อยซะก่อน ไหนจะท้องที่ร้องเนื่องจากหิว กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ นี่อีก ไม่พึงประสงค์เลยสักนิด

อะ จัดการอะไรเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ตอนนี้ผมเลยยืนละล้าละลังไม่กล้าเคาะประตูห้องคีนสักทีเพราะกลัวว่าเขาจะหลับไปแล้ว ถึงเป็นแฟนกันแล้วความเกรงใจก็ยังเป็นสิ่งสำคัญไม่เปลี่ยน เอาไงดีวะ คิดถึงก็คิดถึงแต่ก็อยากเห็นหน้า เนี่ย ห่างกันเกือบครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว

แกร๊ก

เฮ้ย ผมเกือบยกมือเคาะหน้าผากคีนแล้วไหมล่ะ อยู่ๆ ก็เปิดประตูออกมา แต่ที่น่าขำคือต่างคนต่างกระโดดถอยหลังกันคนละก้าวเนื่องจากตกใจ ดีที่ไม่โดนต่อยแทน... ฟู่ ~

“มายืนตรงนี้ทำไมเนี่ย?” คีนถามเสียงสูงก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อผมยังไม่คลายสีหน้าตกใจ คือมันกะทันหันไงเลยเสือกทำตาโตพร้อมกับอ้าปากด้วย แม่ง เสียภาพพจน์เลย

“เอ้อ... ก็จะมาหาคีนไง” แต่ไม่กล้าเคาะประตู แหะๆ

“อ๋อ คิดถึงเราอะดิ?” อะ กล้าแซวกันขนาดนี้แถมยังยักคิ้วกวนใส่อีก จับฟัดซะดีไหมหืม? แต่นี่หน้าห้องไป กล้องวงจรปิดก็มี ผมก็ยังไม่พร้อมจะเป็นคนดังของคอนโด ฮึบไว้แล้วกันเนอะ

“รู้ใจ” หยอกกลับด้วยคำสั้นๆ ก่อนจะยื่นมือไปยีหัวของคีนเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว

“หึหึ ก็นี่แฟนไงครับ เรากำลังจะลงไปมินิมาร์ทล่ะ” เขาไม่ได่ปัดมือผมทิ้งแถมยังคลี่ยิ้มสดใสให้อีก โอย ดาเมจแรงเวอร์มาก ย้ำสถานะรอบที่สองขอมัน หูย สุขใจจังเลยจ้า ฟินยิ่งกว่านี้คงตอนที่ไอ้ดีพคิสนั่นล่ะ...

“หิวเหรอ?” ผมผละมือออกจากเขา มองใบหน้าหล่อๆ ที่ส่ายปฏิเสธก่อนที่นิ้วเรียวจะชี้เข้าไปในห้องเหมือนต้องการบอกใบ้อะไรสักอย่าง อย่าบอกว่าไอ้ชมจันทร์อยากกินผักใบเขียวตอนนี้นะ จะแอบถอนขนเลย

“เปล่าๆ พี่ปิ๊งอยากกินไอติม”

เดี๋ยว... พี่สาวคีนทำไมโผล่มาอยู่ในบทสนทนาของเราวะ


ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 20 -P.3- 15/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-11-2018 11:11:10
“ห๊ะ พี่ปิ๊ง?” ผมขมวดคิ้วพลางคิดไปต่างๆ นานา บางทีพี่สาวของคีนอาจจะมาในวันรุ่งขึ้นเลยบอกให้ซื้อไอติมตุนไว้หรือเปล่าวะ แต่มันไม่เมคเซ้นส์อะ

“อื้อ มาอยู่กับเราสองสามวันน่ะ”

เชี่ย! บรรลัยแล้ว โผล่มาตัวเป็นๆ เลยเหรอวะ โอ๊ย แบบนี้ผมก็อดกอดคีนน่ะสิ อ๊าก

“เฮ้ย!” ฉิบหายตรงที่ผมเผลออุทานเสียงดังนี่ล่ะ เวรเอ๊ย ปิดปากหันหลังหนีก็ไม่พ้นมือเรียวๆ ที่คว้าจับไหล่กันเอาไว้หรอก

“จะร้องทำไมเนี่ย?”

“โธ่ แผนที่วางไว้พังหมดเลย” ผมก็แค่พึมพำแต่คีนดันหูดีจ้า

“อะไรนะ?” คาดคั้นไม่พอยังเดินมาดักหน้าอีก ขอบคุณมาก

“ก็... แหะๆ เราว่าจะมาขอนอนกอดคีนสักคืนน่ะ” เออ บอกความหื่นในตัวคุณให้แฟนได้รับรู้ไปซะจะได้สบายใจ เผื่อว่าคีนเปลี่ยนใจมานอนกับผมแทน... หูย มโนแรงว่ะกู

“สองคนนี้เป็นแฟนกันเหรอ?” พี่ปิ๊งมองผมสลับกับน้องชายตัวเองด้วยสายตาคาดคั้น คือก็ไม่ได้ปิดขังเรื่องที่เป็นแฟนกันแต่ยังไม่พร้อมจะบอกกับคนที่บ้านไง โธ่ เดี๋ยวแม่ล้อตายเลย แถมไม่รู้ว่าทางคุณป้ายินดีกับเราเปล่า โอย เครียดจนคิ้วผูกโบว์ ยืนจิกเล็บจนรองเท้าขาดแล้วเนี่ย โอย กดดัน!

“เฮ้ย พี่ปิ๊งมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” คนที่ตกใจกว่าผมคงจะเป็นคีนนั่นล่ะ เพราะพี่สาวยืนประกบอยู่ด้านหลังแต่เพิ่งรู้ตัวเมื่อเธอเอ่ยถาม ดวงตารีเบิกโตและมีแววแตกตื่น แขนแกร่งที่ทิ้งอยู่ข้างตัวมีอาการสั่นเล็กน้อยซึ่งการแสดงออกไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่ ช็อกเว้ย

“เมื่อกี้ ได้ยินชัดด้วยว่าคุยอะไรกันบ้าง” เธอเอียงตัวพิงกรอบประตูก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกพร้อมแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ คีนไม่ได้ตอบกลับเพราะเอาแต่เม้มปากและหันมาสบตาผมเหมือนขอความช่วยเหลือ เออ เอาไงดีวะ คงต้องช่วยพี่ปิ๊งคุยเรื่องอื่นไปก่อน

“เอ่อ สวัสดีครับ” ผมยกมือไว้พี่ปิ๊ง เธอหันมาสนใจกันเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับไปยิ้มกริ่มใส่น้องชายเหมือนกำลังคิดแผนชั่วร้าย โธ่ ไม่น่าเลยกู อยู่ห้องนอนตีพุงดีๆ ไม่ชอบ หาเรื่องให้แฟนหนักใจซะงั้น เค้าขอโทษน้า

“พี่มีข้อต่อรองแล้วนะคีน จะยอมไปดูคอนเสิร์ตด้วยกันดีๆ หรือให้ฟ้องแม่เรื่องนี้?”

เดี๋ยว... เรื่องของเรามันไปเกี่ยวกับคอนเสิร์ตอะไรนั่นตอนไหนวะ? คือเอามาต่อรองได้ด้วยจริงดิ งงเว้ย

“ปิ๊งครับ ไม่เล่นแบบนี้ดิ” คีนออกอาการงอแงทั้งเสียงทั้งหน้าตาแต่มีหรือที่คนมุ่งมั่นอยากไปคอนเสิร์ตอะไรนั่นจะยอมใจอ่อนง่ายๆ ดูสายตาของเธอสิมีประกายแห่งชัยชนะลุกโชนมาก ผมรู้สึกว่ายังไงแฟนก็ต้องพลาดพลั้งแน่นอน

“คิดดีๆ นะ” อะ มีย้ำด้วยน้ำเสียงขมขู่ด้วย แถมยังตวัดสายตามองผมแบบอยากจะฆ่ากัน เนี่ย โดนพ่วงไปด้วยอย่างไม่ต้องสืบ ถ้าพี่ปิ๊งเอาไปฟ้องคุณป้าเมื่อไหร่แม่ก็ต้องรู้เรื่อง คราวนี้ล่ะ... โดนสอบสวนกันยกใหญ่แน่นอน

“พี่ปิ๊ง...” คีนเริ่มเสียงอ่อย โธ่ น่าสงสารอะ

“ว่าไง? พี่จะโทรไปบอกแม่แล้วนะ” แหนะ! พี่ปิ๊งสายขังคับตัวจริงเว้ย เธอหยิบโทรศัพท์ออกมากดต่อสายจริงๆ ด้วย แม่ง เป็นผมก็ยอมอะในเมื่อไม่แน่ใจว่าแม่ตัวเองจะเห็นดีเห็นงามที่ลูกชายคบเพศเดียวกันไหม โห โจทย์ยากแท้

“โอเคๆ ไปก็ไปครับ จองบัตรเผื่อกิมด้วยแล้วกัน” สุดท้ายคีนก็ยกมือยอมแพ้ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ ผมอยากเข้าไปกอดปลอบเขานะแต่ไอ้การที่มีชื่อตัวเองติดสอยห้อยตามเพื่อดูคอนเสิร์ตนั้น... มันเรื่องอะไรกั๊น ไม่รู้จักนักร้องเกาหลี ไม่ชอบคนเยอะๆ อะ งอแงได้ไหม ฮือ!

“ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะพี่จะทดสอบความอดทนของแฟนคีนด้วย หึหึ” แล้วเธอก็หันมายิ้มหวานให้ผมครั้งแรกก่อนจะกลับเข้าห้องด้วยหน้าตาเบิกบานยิ่งกว่าได้เงินล้านมาครอบครอง ส่วนผมทำได้เพียงแค่ขยับปากพึมพำแทบไม่เป็นภาษา คือยังงงว่าไปคอนเสิร์ตมันวัดความอดทนได้ยังไงกัน

“เรา... ต้องไปด้วยเหรอวะ?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อย้ำสิ่งที่ได้ยินว่าไม่ได้ฟังเพี้ยนไป คีนพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่กันเบาๆ พลางคลี่ยิ้มเนือยๆ มาให้ อ่า... ชัดเจนจนไม่มีอะไรซักต่อเลยกู

“ใช่สิ ก็กิมเป็นแฟนเราไม่ใช่เหรอ? ไปไหนไปกัน” ถ้าพูดในสถานการณ์ชวนไปไหนกันแค่สองต่อสองผมคงยินดีมาก แต่ด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยของพี่ปิ๊งมันไม่น่าไว้ใจจริงๆ นะเว้ย คือหลังจากนี้ไม่รู้เลยจะโดนอะไรบ้าง แต่ตอนนี้ขอทำให้คีนยิ้มได้แบบไม่ต้องฝืนก่อนเหอะ

“จ้า... ทูนหัว” พร้อมกับขโมยหอมแก้มทีนึง อ่า ชื่นใจจัง

อะ ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่ปิ๊งถึงเอาการดูคอนเสิร์ตมาเป็นตัววัดความอดทนโดยได้คีนเป็นผู้อธิบายให้ฟัง ข้อแรกคือจำนวนปริมาณคนที่เยอะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการขยับตัวหรือเดินไปไหนต่อไหน สองคือเธอจองบัตรในหลุมเว้ย คือมันต้องยืนตลอดสองชั่วโมงอะจ้า คือคิดออกเลยว่าสภาพจะออกมาเป็นแบบไหนเมื่อคุณไม่อินกับมันด้วย

ตายไปเลยจ้า แต่ต้องอดทนเพื่อความรักของเราให้ได้ ฮึบ!



------------------------------------------------

ไอ้น้องกิมเอ๊ยยย คีนอุตส่าห์ให้ดีพคิสแต่ดันเขินซะงั้น อดไปนะ
เอาแล้วไง พี่ปิ๊งคนดีเจอน้องเขย เอ๊ะ หรือว่า น้องสะใภ้เข้าแล้วล่ะ กิมจะรอดไหมน้อ?
ปล. จริงๆ เราแพลนไว้ที่ 24 ตอนจบล่ะ แต่อาจจะมีงอกเพิ่มก็ได้เนอะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามน้า ♥
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 20 -P.3- 15/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 16-11-2018 18:29:30
 กิมกากขนาดนี้ระวังตกเป็นเมืองขึ้นคีนนะ เขาอ๋อยมาต้องอ๋อยกลับสิไม่เอาไม่ต้องเขินแล้วเดี๋ยวอด :laugh:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 21 -P.3- 24/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-11-2018 10:58:39
รูปถ่ายใบที่ 21


เรื่องบัตรคอนเสิร์ตพี่ปิ๊งเป็นคนจัดการให้ทั้งหมดแม้กระทั่งการจ่ายเงิน ไม่น่าเชื่อว่าราคามันจะเหยียบหลักหมื่นขนาดนั้น ผมได้ยินครั้งแรกก็แทบเป็นล้มรีบกุลีกุจอเช็คยอดเงินคงเหลือในบัญชีแบบด่วนๆ หลังจากที่เสียค่าเลนส์ซูมไปเกือบแสนแต่สุดท้ายก็ได้ชมศิลปินเกาหลีฟรีซะอย่างนั้น หูย พี่ซันโคตรสายเปย์ (ยอมเปย์ให้เพราะตัวเองติดสัมมนาวิชาการที่ต่างจังหวัดเลยไม่มีเวลาไปดูคอนเสิร์ตกับแฟน)

วันนี้คีนมีเรียนวิชาเลือกนอกคณะที่ต่างกัน ผมเลยอาสาแหกขี้ตาตื่นมาส่งเขาแต่เช้า ทางด้านไอ้ปอมก็หายหัวไม่ยอมกลับคอนโดตั้งแต่เมื่อคืน ไปสารภาพรักกับโฮมต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเลยเหรอวะ แล้วที่มันบอกว่าได้นอนค้างกับเขาน่ะ สรุปเป็นยังไงบ้างไม่รู้ ได้แต่อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

เออว่ะ นินทาหน่อยก็ไม่ได้เพราะมันเดินตรงมาทางนี้แล้ว แถมยังใส่แว่นตาดำกลางมหา’ลัยอีก มึงเป็นอะไรมากปะเนี่ย ปกติไม่เห็นพร็อบเยอะขนาดนี้ หรือโดนปาปารัซซี่ตามตั้งแต่ไปถ่ายแบบลงนิตยสารวะ เป็นคนดังก็ลำบากเนอะ ขอเป็นคนธรรมดาที่อยู่อย่างมีความสุขพอแล้ว

“สัด บังคับกูตื่นเช้า!” มาถึงก็ทิ้งตัวลงบนม้านั่งแรงๆ จนผมนึกสงสารก้นมัน แต่พอได้ยินคำด่าลั่นทุ่งความคิดก็เปลี่ยนเป็นหมั่นไส้แทน ตบหัวสักทีคงสะใจแต่ดูจากท่าทางอิดโรยแล้วแค่กวนตีนคงพอ

“ก็อยากเห็นหน้าเพื่อน คิดถึงไง” ผมแกล้งทำเสียงอ้อนๆ แล้วยื่นมือไปดึงแก้มขาวของเพื่อน มันสะบัดหน้าก่อนขยับหนี สงสัยอารมณ์ไม่ดีจริงๆ นั่นล่ะ เออ ไม่เล่นก็ได้วะ เซ็ง

“เวร ได้ข่าวว่าเพิ่งแยกกันเมื่อวาน” มันบ่นก่อนจะถอนหายใจยาวยืดแล้วไถลตัวลงนอนกับโต๊ะโดยไม่ถอดแว่นตา ผมขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับส่วนที่ไอ้ปอมพยายามปิดบังหรือเปล่า หรือโฮมต่อยเอา? เอ๋ แต่คงไม่ใช่มั้ง

“แล้วตกลงเมื่อคืนนอนที่ไหนวะ?” เรื่องนี้ผมสงสัยมากกว่าการที่มันไปสารภาพรักกับโฮมซะอีก เอาจริงๆ ก็เป็นห่วงนั่นล่ะเพราะยังไงก็เพื่อนทั้งคน

“บ้าน” มันตอบก่อนเบนหน้าหนีไปอีกทางให้ผมได้มองแต่หัวยุ่งๆ เสียงเครือยิ่งกว่าคนงัวเงียซะอีก หรือจะนอนไม่พอเพราะตื่นเต้นเรื่องโฮมวะ ก็ได้นอนกับเขาทั้งทีนี่เนอะ หึหึ

“บ้านโฮม?” ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจพลางลอบมองปฏิกิริยาของมัน แต่ไอ้การที่ส่ายหัวดุ๊กดิ๊กแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอนี่หมายความว่ายังไง อากาศก็ไม่ได้ร้อนจนทำให้อารมณ์หงุดหงิดตลอดเวลาปะวะ ผมว่าที่นั่งตรงนี้ก็ร่มดีนะ

“หึ บ้านกูเนี่ยล่ะ!” ตะโกนตอบพร้อมด้วยแสดงท่าทางฮึดฮัดจนผมไม่กล้าแตะตัวมันเลยสักนิด มือเรียวยกขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิง ใบหน้าหล่อเข้มขยับมามองผมด้วยสายตาดุๆ เหมือนกูเผลอไปเผาบ้านมึงเมื่อคืนอย่างนั้นล่ะ

“อ้าว แล้วภารกิจมึงสำเร็จปะเนี่ย?” เออไง อุตส่าห์พาไปส่งร้านดอกไม้ทั้งทีถ้าผลออกมาไม่ประสบความสำเร็จก็ควรโดนเทศน์เล็กๆ น้อยๆ ปะวะ แต่สังเกตจากมุมปากของไอ้ปอมที่แต้มรอยยิ้มในตอนนี้คงพอจะเดาได้แล้วว่า...

“ระดับนี้แล้ว ชิวๆ” มันยืดตัวนั่งตรงแล้วไหวไหล่ให้รู้ว่าเรื่องนี้ชิวตามที่บอกไว้จริงๆ ผมพยักหน้ารับความสำเร็จของเพื่อน รู้สึกดีใจไปด้วยกัน เออ เก่งขึ้น กล้าขึ้น แบบนี้ค่อยวางใจให้ดูแลโฮม

บรรยากาศรอบข้างดูสดใสขึ้นจากครั้งแรกที่ไอ้ปอมเดินเข้ามาด้วยสีหน้าทะมึน แสงแดดยามเช้าลอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ซึ่งถ้าลองยกกล้องขึ้นมาถ่ายคงได้โบเก้สวยๆ เป็นฉากหลังแน่นอน อืม... วันไหนว่างๆ จะลากคีนมาเป็นแบบแล้วกัน ตอนนี้ขอเสือกเรื่องของไอ้ปอมต่อ ลุ้นดี

“แต่เขาไม่ให้ค้างด้วยว่างั้น?” ผมถามอีกครั้งก่อนจะขยับโฟกัสไปที่ใบหน้าของเพื่อนซึ่งบัดนี้เริ่มมีริ้วรอยของความโกรธเคืองปรากฏขึ้นมา หรือเป็นเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้ปอมอารมณ์สวิงไม่หยุด

“เปล่า ไม่ใช่เขา”

“ห๊ะ?” ไม่ใช่เขา หรือว่าจะเป็นพ่อโฮมวะ?

“เฮ้าส์แม่ง... ต่อยเบ้าตากู!” มันกระชากแว่นตาออกก่อนใช้นิ้วชี้ตรงตำแหน่งมีมีรอยเขียวช้ำทางด้านขวา ผมอึ้งไปครู่ใหญ่กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอ คือในตาขาวแตกเลือดอะครับ หมัดหนักแค่ไหนถามใจดู โอย สาบานว่าเฮ้าส์เป็นเด็กมอสี่ตัวบางๆ เหมือนโฮม

“โอ้โห ดีนะที่ตาไม่บอด” ผมร้องเสียงหลง ขยับตัวเข้าไปดูความเสียหายของตาเพื่อนพลางยกมือขึ้นแตะเบาๆ ย้ำว่าแค่แตะ แต่ไอ้ปอมถึงกับสะดุ้งโหยงหันมาแยกเขี้ยวใส่ ขู่เหมือนหมาปอมแบบนี้กูคงกลัวหรอก ดีดเหม่งแม่ง หมั่นไส้

“อูย มึงอย่าซ้ำเติม เจ็บไปหมดแล้วเนี่ย” มันยกมือขึ้นลูบหน้าผากที่เพิ่งโดนดีดไปเมื่อครู่ หลังจากนั้นก็บ่นกระปอดกระแปดตามประสาคนสำออยและไม่วายขยับเข้ามาซบหัวลงบนลาดไหล่ของผมให้เป็นประเด็นอีก นู่น มีคนหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปมึงกับกูแล้วเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลยว่ายังมีคนจิ้นกิมปอมอยู่

“ไปทำอีท่าไหนให้น้องมันต่อยเอาวะ?” อยากจะหัวเราะให้ฟันหักแต่พอเห็นหน้าเครียดของไอ้ปอมก็ทำไม่ลง สงสารหมาตาดำๆ ที่โดนทำร้ายร่างกายว่ะ

“ก็... ทำพี่มันร้องไห้ตอนที่กูไปกับดาวคณะบริหารนั่นล่ะ แค้นฝังหุ่นจนถึงวันนี้ ฉิบหายสุดๆ” มันบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะหยิบแว่นตากลับไปสวมดังเดิมเพราะนักศึกษาคนอื่นเริ่มทยอยเดินเข้ามาในลานคณะ ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจเบาๆ ยังต้องรอเวลาอีกตั้งสองชั่วโมงเลยเหรอกว่าจะได้เจอคีนอีกครั้ง คิดถึงจัง ถ้าอย่างนั้นขอแก้เบื่อด้วยการด่าไอ้ปอมแล้วกันเนอะ

“บอกแล้วว่ามึงเห็นเหล้าดีกว่าคนอื่น”

“เออ รู้น่า จะปรับปรุงตัวแล้ว” ไอ้ปอมทำเสียงฉุนๆ พลางเบ้ปากไม่สบอารมณ์ซึ่งผมไม่สนใจเพราะสมควรแล้วที่จะด่ามันให้รับรู้ถึงนิสัยที่ต้องแก้ไข ขืนในอนาคตมันทำแบบนี้กับโฮมคงแย่แน่ๆ โดนเฮ้าส์กระทืบไส้แตกชัวร์

หลังจากกินเผือกจนอิ่มท้องผมก็ชวนไอ้ปอมคุยสัพเพเหระฆ่าเวลารอคีนกับโฮมเลิกเรียน เล่าให้มันฟังเรื่องที่ต้องไปดูคอนเสิร์ตกับพี่ปิ๊งในอีกสองเดือนข้างหน้า ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาคือเสียงหัวเราะก๊ากลั่นลานคณะแถมด้วยการตบบ่าผมปุๆ หลายรอบเพื่อเป็นการปลอบ แม่ง โคตรไม่จริงใจจนอยากถีบให้กระเด็น แต่ติดอยู่ที่สายตาสาวน้อยใหญ่ทั้งหลายที่เป็นแฟนคลับอดีตรองเดือนนี่ล่ะ กดดันฉิบหาย โอย ไม่ทำก็ได้วะ

“มึงทำได้น่ากิม อย่าเครียด” ไอ้ปอมเอื้อมมือมาตบบ่าอย่างเห็นใจแต่ผมกลับส่ายหน้าปฏิเสธ คือไม่ได้เครียดเรื่องต้องไปยืนดูศิลปินเกาหลีที่ไม่รู้จักหรอกแต่มันมากกว่านั้น จริงจังกว่านั้นหลายเท่า

“กูไม่ได้เครียดที่ต้องดูคอนฯ นั่นหรอก แต่กลัวพี่ปิ๊งจะเอาเรื่องของเราไปบอกผู้ใหญ่ต่างหาก” ผมถอนหายใจเฮือก ทำหน้าตาบูดบึ้งก่อนจะนอนราบลงไปกับโต๊ะ เนี่ยเครียดมาทั้งคืนเลยแม่ง ตาดำคล้ำยิ่งกว่าหมีแพนด้าอีก เฮ้อ พี่ปิ๊งโคตรไม่น่าไว้ใจเพราะเธอเอาแต่ยิ้มหวานๆ มีเลศนัยให้ตลอด

“แม่มึงก็เป็นผู้สนับสนุนที่ดีไม่ใช่เหรอ?” ไอ้ปอมขมวดคิ้วมองกันอย่างไม่เข้าใจเพราะผมเคยเล่าให้ฟังว่าแม่ไฟเขียวเรื่องจะจีบคีน ส่วนพ่อนั้นก็เป็นไปตามนิสัยที่ยังไงก็ได้ขอแค่ลูกมีความสุขเท่านั้น

“แม่กูน่ะใช่ แต่แม่คีนล่ะ...” ทำไมถึงไม่มีคนคิดถึงผู้ปกครองของอีกฝ่ายบ้างวะ ทางนั้นเขาอาจมีเหตุผลแตกต่างจากครอบครัวเรา ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนจะยอมรับเรื่องนี้ได้เสมอไป จริงไหม?

ไอ้ปอมพยักหน้ารับเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการสื่อก่อนจะเอื้อมมือมาบีบไหล่กันเพื่อให้กำลังใจ ผมหันไปคลี่ยิ้มบางพลางถอนหายใจยาวๆ ยังไงก็ต้องสู้ มัวแต่เครียดคงทำให้เรื่องแย่ลง เอาวะ หลังจากนี้แดกให้แหลกดีกว่า!

“เชื่อสิว่าพวกมึงจะผ่านอุปสรรคทุกอย่างไปได้ กูเชื่อแบบนั้น”

โอ๊ะ คุณปอมโหมดจริงจังก็มาวะ ผมนี่หายเครียดไปนิดนึงเลย

“อยู่ๆ ก็ทำตัวมีสาระ” ผมเอ่ยแซวพลางหรี่ตามองด้วยความหมั่นไส้ หรือว่ามันเปลี่ยนตัวเองเพราะต่อไปนี้จะต้องทำตัวให้น่าเชื่อถือและสามารถเป็นคนดูแลโฮมได้

“พูดอย่างกับกูไร้สาระมาทั้งชีวิต” มันประชดด้วยใบหน้างอง้ำซึ่งผมพอใจเป็นอย่างมากเพราะเข้าแผนที่วางไว้ หมั่นไส้ไอ้ปอมมานานแล้ว ขอแกล้งกลับนิดๆ หน่อยๆ เถอะ

“ก็ไม่เชิง” ผมไหวไหล่พลางบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงทะเล้น ไอ้ปอมแยกเขี้ยวขู่ทันทีแถมยังเอื้อมมือมาผลักหัวกันแบบเต็มแรงจนเกือบชนเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง หูย เกือบตายไปแล้วกู

“แหมจ้า ไอ้คนฉลาด จริงจังกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้” เสียงกระแนะกระแหนดังขึ้นแบบไม่แคร์ว่าใครจะได้ยิน ยิ่งเห็นท่าทางสะบัดสะบิ้งของมันแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้อยากหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายวีดีโอให้โฮมกับเฮ้าส์ดูเพื่อพิจารณากันต่อไป โธ่ นี่ทำไปเพราะรักไง ไม่ได้มีเจตนาขายเพื่อนเล๊ย หึหึ

“ประชดเก่งนะมึงอะ”

“มึงเริ่มก่อนอะ”

“เออๆ หิวข้าว ไปหาอะไรแดกปะ?” เมื่อเถียงกันมาพอหอมปากหอมคอผมก็ชวนไอ้ปอมไปกินข้าวเพื่อยุติสงครามน้ำลายที่ไม่มีวันจบสิ้น อีกอย่างคือท้องเริ่มร้องแล้วด้วยเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ตื่น... ถ้าได้จูบจากคีนคงอิ่มทิพย์ไปทั้งวันอะ หูย มโนชนะเลิศตลอดเลยกู

“เตี๋ยวเรือหลังมอ?” ไอ้คนที่คาดว่าน่าจะหิวไม่แพ้กันพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนจะช่วยออกความคิดเห็นเรื่องเมนูอาหาร แต่ผมกลับส่ายหัวปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เมื่อคืนกินก๋วยจั๊บไปแล้ว” คือคีนซื้อแบบพิเศษมาให้ ไอ้ผมก็ดันพิเรนทร์กินจนหมดเพราะกลัวเหลือแล้วเขาจะเสียใจ ดีหน่อยที่ไม่ได้อ้วกออกมาตอนเจอพี่ปิ๊ง คิดถึงช่วงเวลานั้นแล้วขนลุกชอบกล

“งั้น... อาหารตามสั่งไหม?”

“เบื่อ” เคยรู้สึกเบื่อไหมเวลาเราไปนั่งร้านอาหารตามสั่งแล้วไม่รู้จะกินอะไร คิดให้ตายก็คิดไม่ออก พอตัดสินใจเลือกเมนูได้กลับรู้สึกว่าของเพื่อนน่าอร่อยกว่า โอย ปัญหาบานตะไท ไม่แดกแม่ง เรื่องเยอะ! เนี่ย ผมกำลังเข้าสู่ภาวะนั้น

“สเต็กหน้ามอ” ไอ้ปอมเริ่มขมวดคิ้วใส่ผมแล้ว อีกนิดนึงคงโดนมันด่า แต่ผมไม่ชอบกินสเต็กเป็นมื้อเช้าไง หนักท้องจะตาย

“ไม่อยากกิน” ผมส่ายหน้าปฏิเสธอีก คราวนี้ไอ้ปอมคงเหลืออดเพราะมันง้างมือขึ้นสูงแล้วทุบลงมาบนโต๊ะดังปึงและตามมาด้วยเสียงซูดปาก เดาว่าคงเจ็บ ไอ้โง่เอ๊ย ใครบอกให้มึงโมโหแล้วทำลายข้าวของล่ะ

“ไอ้สัด! สรุปมึงอยากกินอะไรก็ว่ามา” อื้อหือ ตะโกนจนน้ำลายกระเด็นแล้วเนี่ย สกปรกสุดๆ

“พาสต้า” ผมตอบกลับด้วยรอยยิ้มกริ่ม อยู่ๆ หัวสมองมันก็ปิ๊งไอเดียอยากกินพาสต้าขึ้นมา เออ ยังไงก็หนีไม่พ้นอาหารจำพวกเส้นสินะกู แถมเมนูนี้ยังหนักท้องอีกด้วย ทำไมย้อนแย้งจังวะชีวิต

“เออ ก็แค่เนี่ย ให้กูเปลืองน้ำลายอยู่ตั้งนาน!” ไอ้ปอมตบหัวผมทีหนึ่งก่อนจะลุกเดินสะบัดตูดไปซะเฉยๆ ดูมันทำกับเพื่อน อย่าให้เผลอนะ จะกระโดดถีบแม่งให้ล้มทั้งยืนเลย!

ร้านอาหารสไตล์อิตาลีที่ตั้งอยู่ห่างจากมหา’ลัยประมาณห้ากิโลฯ ตกแต่งด้วยโทนสีส้มน้ำตาลให้ความรู้สึกอบอุ่น ประตูทางเข้ามีลักษณะคล้ายเตาอบพิซซ่าซึ่งเป็นกิมมิคของที่นี่ ผมเคยเห็นสาวๆ ในคณะชอบมาถ่ายรูปและโพสต์ลงโซเชียลเยอะมาก ไม่เว้นแม้แต่ไอ้เนิร์ดว่านที่เกาะกระแสเหมือนกัน เออ จะว่าไปก็ไม่ได้เจอว่าที่หมอมาเกือบสองเดือนแล้วมั้ง ไม่รู้ป่านนี้เป็นตายร้ายดียังไงบ้าง

ผมเป็นพวกรักสงบเลยเลือกนั่งในโซนวีไอพีที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าปกติในราคาย่อมเยาโดยใช้เส้นสายพี่เจ้าของร้านซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันดี ก็ไอ้ปอมเคยกิ๊กกับเขาตั้งแต่วันแรกๆ ที่เขาเรียนมหา’ลัยนั่นล่ะ เดี๋ยวนี้เธอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนซะแล้ว แถมยังหล่อระดับนายแบบอีกด้วย โธ่... ไม่ต้องเสียใจไปนะเพื่อนรัก อย่างน้อยครั้งหนึ่งมึงก็เคยอยู่ในสายตาพี่เขา

ตัวร้านเป็นกระจกใสที่ปิดทับด้วยม่านไม้ไผ่เพื่อกันแสงแดดจากด้านนอกซึ่งดูๆ ไปมันอาจจะไม่เข้ากับสไตล์การตกแต่งแบบยุโรปแต่กลับดูสวยแปลกตาในความคิดของผม ถูกใจจนถึงขั้นต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วส่งให้คีนดูน่ะ

กิมมิค : *ส่งรูปร้านพาสต้า*
กิมมิค : ร้านสวยเนอะ

ที่ทำไปทั้งหมดไม่ใช่การรายงานตัวว่าทำอะไร ที่ไหน กับใคร อย่างไรเลยนะเว้ย แค่อยากอวดร้านอาหารเฉยๆ ไม่ได้เข้าร่วมชมรมเกียมัว อย่าเข้าใจผิดกันสิ!

เมนูอาหารถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมเสียงทักทายหวานๆ ที่ฟังยังไงก็รู้สึกคุ้นเคยจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าหวานภายใต้กรอบแว่นตากลมนั่นคือไอ้ว่านที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ ทำไมมาโผล่รับจ๊อบที่นี่วะ

“ทำไมมึงมาโผล่ที่นี่วะ?” ผมวางเมนูในมือลงแล้วเอ่ยปากถามเพื่อนสนิทด้วยความอยากรู้ ดวงตาคมจ้องมองไอ้ว่านสำรวจตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ชุดที่มันใส่อยู่ก็เป็นฟอร์มของร้านไม่ใช่มาแนวนักศึกษาทำงานพาร์ทไทม์ซะด้วย หรือว่าลาออกจากคณะแพทย์เพราะเรียนไม่ไหววะ เฮ้ย ทำไมกูเพ้อเจ้อขนาดนี้

“ร้านญาติกูน่ะ วันนี้ไม่มีเรียนเลยมาช่วยงาน” มันตอบรับเสียงใส ท่าทางคงภูมิใจที่ตัวเองทำประโยชน์ให้แก่ญาติพี่น้องได้บ้างหลังจากที่เอาแต่คลุกอยู่กับหนังสือกองโตมาร่วมระยะเวลาเป็นปีๆ ก่อนจะสอบแพทย์ แต่ผมคิดว่าช่วงกลางเทอมคงไม่มีโมเม้นต์แบบนี้อีกเนื่องจากต้องเรียนกรอส (วิชากายวิภาค ผ่าศพอาจารย์ใหญ่) โอย กว่าจะเป็นหมอนี่ต้องเจออะไรน่ากลัวแบบนั้นเหรอวะ ดีแล้วที่ผมมาสายอาร์ต

“อ๋อ เออ งั้นมึงแนะนำหน่อยว่าอะไรอร่อยบ้าง” ผมพยักหน้ารับก่อนจะหยิบเมนูเล่มโตขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็เหลือบตามองไอ้ปอมที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์ เออ เป็นเอามาก เพื่อนมายืนอยู่ข้างๆ โต๊ะมันยังไม่คิดทักทาย นี่มึงจะเข้าสู่โลกส่วนตัวมากไปแล้วเว้ย ตื่น!

“ก่อนมึงจะถามช่วยสะกดจิตไอ้ปอมให้สนใจกูหน่อยเหอะ” อะ ผมไม่ต้องงอแงใส่ไอ้ปอมเพราะว่าเพื่อนตัวน้อยได้จัดการทำหน้าเหวี่ยงเรียบร้อย ถ้ามันไม่เกรงใจว่าที่นี่คือร้านอาหารคงง้างมือตบหัวให้สาแก่ใจไปแล้ว โธ่ เกิดเป็นไอ้ว่านก็น่าสงสารดี เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจัดการให้ตามที่ขอ

“ไอ้สัดปอม!” ผมตะโกนเสียงดังพอประมาณแล้วตามด้วยการเอื้อมมือไปตีแขน ไอ้ปอมสะดุ้งเฮือกโทรศัพท์กระเด็นกระดอนแต่ดีที่มันรับเอาไว้ได้ ท่าทางตอนถอนหายใจด้วยความโล่งอกโคตรตลก

“เชี่ย ตะโกนหาพ่อมึงเหรอ? อายคน!” มันแยกเขี้ยวใส่กันแถมยังเค้นเสียงด่าเหมือนใครไปเหยียบตาปลา ผมไหวไหล่ทำเป็นไม่สนใจแล้วก้มลงอ่านเมนูด้วยท่าทางสบายๆ แหย่แล้วต้องไปให้สุดถึงจะสะใจ หึหึ

“หน้าบางเนอะ” ผมพูดลอยๆ ไม่ได้เงยหน้ามองเจาะจงเป้าหมาย แต่เสียงฟึดฟัดจากคนตรงข้ามก็พอจะเดาได้ว่ามันรู้ตัวแล้ว ตอนนี้ฉลาดเชียวนะมึง มัวแต่โวยวายร้านจะแตกไม่รู้ว่าเห็นไอ้ว่านที่ยืนปากเบะอยู่ข้างๆ หรือยัง

“เออ กูมียางเว้ย... อ้าว ไอ้ว่าน มึงมาทำอะไรเนี่ย?” ต้องขอบคุณเจ้าที่เจ้าทางที่ดลบันดาลใจให้มันเห็นไอ้ว่านหรือเปล่าวะ แม่ง เถียงกับกูได้ตั้งนานแต่ไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยสักนิด แบบนี้ผมว่ามันคงใช้ชีวิตในโลกได้อีกไม่นาน สักวันคงโดนรถชนตายเพราะความเอ๋อนี่ล่ะ โธ่

“นี่มึงเพิ่งเห็นกูจริงดิ?” ไอ้ว่านเบ้ปากใส่เพื่อนสุดที่รักก่อนจะหันหน้าหนีแสดงความงอนแบบเต็มขั้น ส่วนผมได้แต่ส่ายหัวกับความงอแงและไม่สนโลกนั้น สรุปวันนี้จะได้แดกพาสต้าปะ เมนูเด็ดของร้านก็ไม่แนะนำให้ โอย เซ็งเว้ย หิวสัดๆ แล้วเนี่ย!

“เออดิ ทำไมอะ?” ไอ้ปอมลอยหน้าลอยตาถามเพื่อนเหมือนมันเป็นเรื่องปกติที่คนจะไม่เห็นสิ่งรอบข้างใดๆ เมื่อพุ่งจุดสนใจไปที่โทรศัพท์ เออ ข้อนั้นผมเห็นด้วย แต่ถึงขนาดไม่ได้ยินเสียงไอ้ว่านก็เกินไปไหมวะ แบบนี้เข้าข่ายมีแฟนแล้วทิ้งสหายแน่นอน กูนี่เตรียมตัวเหงาได้เลย แต่อย่าคิดว่าต้องง้อเพราะมีคีนอยู่ด้วยทั้งคน หึหึ

“กูคุยกับไอ้กิมอยู่สักพักแล้วนะ” อะ ปากจะติดจมูกอยู่แล้วครับคุณเพื่อน งอแงใส่ยิ่งกว่าไอ้ปอมเป็นผัวมึงอีก เชื่อเขาเลย

“แหะ เหรอๆ โทษที กูตอบไลน์เพลินอะ” ไอ้ปอมผงกหัวขอโทษพร้อมกับยิ้มเขินๆ จาผมพอจะเดาทางได้ว่ามันคุยกับใคร แหม... อาการหนักตั้งแต่ยังไม่ได้คบแบบนี้ ต่อไปคงหลงเมียแบบโงหัวไม่ขึ้นแล้วล่ะ โธ่ กลายเป็นเสือถอดเขี้ยวเล็บแน่ๆ

“โฮม?” ผมถามกลับสั้นๆ ในขณะที่ไอ้ว่านก็หูผึ่งตั้งใจรอฟังคำตอบด้วยเหมือนกัน

“แสนรู้” ด่ากูว่าหมาตรงๆ ยังจะดีกว่าอีก ไอ้เพื่อนเลว!

“เดี๋ยวกูยันติดกระจก” ผมง้างเท้าเตรียมถีบมันจริงๆ แต่ถือว่าเป็นโชคดีที่ไอ้ว่านมีน้ำใจช่วยห้ามปรามสงคราม สงสัยกลัวร้านจะพังล่ะมั้ง ฝากไว้ก่อนเถอะปอม มึงเหลือแต่ซากแน่หลังจากนี้

“หูย ไม่อิจฉาสิคะพี่กิม น้องคีนไม่ไลน์มาหาเหรอ?” อะ ไม่โดนถีบคงสบายใจมากสินะ แต่ขอโทษที่แขนกูยาวเลยสามารถเอื้อมไปดีดปากมึงได้ แม่ง สมน้ำหน้ามัน ร้องโอดโอยอย่างกับหมาโดนน้ำร้อนลวก

“คีนเขาตั้งใจเรียน ส่วนมึงของมึงโฮมคงรำคาญ เลยตอบๆ ให้สิ้นเรื่อง” ผมตอกย้ำความเลวของมันอีกหนึ่งดอก เขื่อสิว่าคนอย่างโฮมคงไม่ยอมสละเวลาเรียนอันมีค่ามานั่งตอบอะไรไร้สาระจากไอ้ปอมหรอก มีแต่มันที่ส่งข้อความรัวจนเขารำคาญแน่นอน

“ปากร้าย” เสียงมึงจะดัดจริตไปไหนเนี่ย ฟังแล้วขนลุกชอบกล แหลมๆ สูงๆ หยึ๋ย

“เชิญง้องแง้งไปคนเดียวเหอะ” ผมโบกมือปัดความรำคาญตัดการสนใจไอ้ปอมออกไปแล้วหันมาคุยกับไอ้ว่านที่ขมวดคิ้วแน่นอยู่ข้างๆ คือมันไม่อัปเดตชีวิตเพื่อนสักเท่าไหร่เพราะวันๆ ก็มีหนังสืออยู่ข้างกายไม่ก็ออกไปลั๊นลากับพี่โซน เออ มึงก็พวกติดผัวเหมือนกันนี่หว่า กูก็อยากงุ้งงิ้งกับแฟนบ้างแต่ไม่มีโอกาส คีนน่ะงานยุ่งจะตาย

“มันกับโฮม?” ไอ้ว่านต้องการจะถามว่าคู่นั้นเขาเปิดเผยแล้วเหรอ เออ ผมก็เก่งเรื่องการตีความเนอะ เยี่ยมๆ ดูเป็นคนฉลาดขึ้นมานิดนึงเลยว่ะ

“เออ ก็เลิกปากแข็งแล้ว จีบๆ กันอยู่มั้ง”

“อ๋อ แล้วมึงกับคีนล่ะ?” ขณะนี้ไม่มีแล้วเด็กเสิร์ฟรับออเดอร์อาหาร ก็จะมีแต่เพื่อนอีกคนที่เข้ามานั่งร่วมโต๊ะสนทนาเผือกชีวิตรักของพวกพ้องจนผมได้แต่ลอบถอนหายใจรัวๆ เออดี หิวจนแดกช้างได้ทั้งตัวแล้วจ้า

“ก็เรื่อยๆ มีความสุขดี” เลี่ยงตอบไม่ได้ไง เดี๋ยวมันหาว่าได้แฟนแล้วลืมเพื่อน เนี่ย ข้อเสียของเพื่อนสนิทที่ไม่เคยมีอะไรปิดบังกันแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวแบบลับสุดๆ อย่างเช่น...

“ได้กันหรือยัง?” ไอ้สัด! กูยังคิดไม่ทันจบกระบวนการมันก็ถามแทรกกลางปล้องจนผมเผลอสำลักน้ำลายยกใหญ่ โอ๊ย แค่นอนกับเขาเฉยๆ ยังไม่เคยเลย นับประสาอะไรกับได้กันคะเพื่อน เวรเอ๊ย

“แค่กๆๆ ถามเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย?” โอย ไออย่างกับเป็นวัณโรคเลยกู

“เอ้า ก็อยากรู้อะ เห็นมึงมันเขี้ยวคีนขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าปล้ำเขาตั้งแต่วันแรกที่เป็นแฟนกันแล้วเหรอ?”

หูย โดนสบประมาทสุดๆ ไอ้เพื่อนบ้า เห็นกูหื่นกามแบบนี้แต่ก็มีจิตสำนึกคนดีอยู่นะเว้ย

“กูไม่ได้เลวขนาดนั้นปะ?” ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้ว่าน ที่จริงแล้วอยากตบหัวมันมากกว่าแต่เห็นหลังพี่โซนไวๆ คนว่าสงบเสงี่ยมไว้ชีวิตคงปลอดภัย

“อ้าวเหรอ? กูเข้าใจผิดมาตลอดเลย” อะ พอพ่อทูนหัวของมึงมากก็ทำตัวกร่างด้วยการแซวแรงๆ เลยเนอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ

“ไอ้เชี่ยว่าน...” เออเนี่ย ด่าได้แค่นี้ก็ถือว่าดีแล้ว เหลือบมองซ้ายทีขวาทีระแวงว่าพี่โซนจะเดินมาตบหัวกันเมื่อไหร่ โธ่ สุดท้ายก็ผัวมาคุมถึงร้านอาหารเพราะความน่ารักเป็นกันเองของไอ้ว่าน จ้า เชิญหึงหวงกันตามสบาย มีผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่พิศวาสมันไปด้วย

“โอ๋ๆ ล้อเล่นน่า ให้เกียรติเขาน่ะดีแล้ว พร้อมเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

จ่ะแม่

“อะ ว่าที่คุณหมอเทศน์ ต้องสาธุด้วยไหม?” ไอ้ปอมที่เงียบไปนานพูดขึ้นด้วยเสียงกลั้วหัวเราะพร้อมกับยักคิ้วกวนอารมณ์ส่งให้เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ขอโทษเถอะ นี่ไอ้ว่านนะไม่ใช่ผมซึ่งขี้เกียจตอบโต้เพื่อน

“เก็บปากไว้แดกข้าวเถอะไอ้ปอม” ด่าแรงไม่พอยังง่างมือตบหัวแบบหน้าหันด้วยล่ะ หูย สะใจจริงๆ เลยครับเพื่อนรัก (หักเหลี่ยมโหด)

ผมเจอคีนอีกครั้งในชั่วโมงเรียนคาบบ่ายของคณะ สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนคือตอนนี้เราทั้งคู่ย้ายมานั่งใกล้ๆ กัน เพื่อนร่วมสาขาทุกคนต่างรู้ดีว่าเพราะอะไรและทำไมโดยไม่มีใครขัดขวางความรักครั้งนี้ อย่างมากที่สุดก็คงเป็นเสียงบ่นของสาวๆ บรรดาแฟนคลับของคุณคนินท์เขานั่นล่ะ บ่นว่าเสียดายบ้าง อิจฉาผมบ้างแต่ก็ยินดีด้วยเสมอ นางร้ายอย่างในละครไม่มีหรอก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นพี่ปิ๊งเอง รายนั้นน่ะเหมือนปีศาจเลย หูย แค่คิดถึงก็ขนลุกแล้วเนี่ย

ตอนนี้นักศึกษาสาขาวิชาศิลปะการถ่ายภาพกำลังยืนออกันอยู่ในห้องสตูดิโอซึ่งอาจารย์จะให้พวกเราลองช่วยกันจัดแสงและฝึกใช้ไฟแฟลชถ่ายรูปบุคคลส่งอาจารย์ โดยตัวแบบไม่ใช่ใครที่ไหนเพราะได้รับคะแนนโหวตจากเพื่อนร่วมสาขาอย่างล้นหลาม... คีนกับไอ้ปอมนั่นเอง โธ่ ไม่มีใครเลือกน้องน้ำปิงคนดีบ้างเหรอวะ เธออุตส่าห์ตื่นมาแต่งหน้าตั้งแต่ตีห้าเชียวนะ โอย ขำแม่ง ยืนเบะปากอยู่ได้

“น้ำปิง... มึงต้องทำใจนะ” ผมแสร้งปลอบใจเพื่อนสาวสุดสวยด้วยการเอื้อมมือไปตบบ่ามันคล้ายโอบกอดอยู่ ได้ทีไอ้น้ำปิงซบหัวลงบนลาดไหล่ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงออเซาะจนรู้สึกขนลุกไปหมด

“ไม่ซ้ำเติมสักวันได้ไหมคะสามี?” แถมตบท้ายด้วยการช้อนตามองอีก น่ารักตายล่ะมึง นมใหญ่ก็ไม่ช่วยให้กูพิศวาสนะ รู้จักกันระดับที่ว่าสามารถสาวไส้กันแล้วเนี่ย เปลี่ยนสถานะไม่ไหวจริงๆ

“สามีพ่อง หยุดเรียกแบบนั้นเหอะ” ผมเอื้อมมือไปเคาะหัวไอ้น้ำปิงด้วยความหมั่นไส้ ลอยหน้าลอยตาเรียกคนอื่นว่าสามีแบบไม่เคยอายนี่ดูยังไงก็เหมาะกับคำว่าแรดชัดๆ

“แหม แต่ก่อนเรียกผัวคะผัวขาไม่เคยบ่น เดี๋ยวนี้ไม่ได้เลยนะ” น้ำปิงบุ้ยปากใส่กันก่อนจะสะบัดผมยาวๆ ฟาดหน้าเต็มๆ แม่ง โคตรเจ็บอะ กระชากหัวดีไหม รำคาญเสียงกระแนะกระแหนของมึงจั๊ง

“เออ ก็คนมันมีแฟนแล้วแถมน่ารักมากด้วย” เออ ผมก็แค่ภูมิใจที่มีแฟนนิสัยน่ารักอัธยาศัยดีเฉยๆ ไม่ได้อวยเกินความจริงเลยครับ อย่ามองกันด้วยสายตาแบบนั้น

“ไม่เห่อแฟนสักวันได้ปะ? เหม็นเบื่อ” น้ำปิงเบะปากใส่หนักกว่าเก่าแถมด้วยการทำท่าบีบจมูกเหมือนได้กลิ่นเหม็นตุจริงๆ แต่ผมไม่โกรธมันหรอกเพราะรู้ว่าก็แค่แหย่กันตามประสาเพื่อน

“ทีมึงเพ้อถึงหมอทั้งวันกูยังไม่บ่นเลย” ผมสวนกลับด้วยท่าทางเบื่อหน่ายแต่ความจริงคือเฉยๆ กับเรื่องนี้ เพราะเวลาน้ำปิงเพ้อถึงพี่หมอมันจะยิ้มมีความสุขตลอดเวลา ดูเป็นธรรมชาติจนทำให้คนมองเผลอหลงใหลได้ปลื้มกับมันไปเลยล่ะ คือกลายร่างเป็นผู้หญิงอารมณ์ดีแบบไม่เสแสร้ง

“อย่าแซวดิ เค้าเขินนะ” แต่อันนี้เสแสร้งจนอยากถีบให้ไปยืนไกลๆ แค่นี้ก็จะสิงสู่กันอยู่แล้วเนี่ย

“กูด่าเหอะ ไม่ต้องมาแบ๊วใส่”

“ปากหมาไม่เคยเปลี่ยนอะ แต่แบบนี้เร้าใจดี ช๊อบ ชอบ” อะ อยู่ๆ ก็วกมาเกาะแกะเหมือนช่วงแรกที่มันออกตัวว่าชอบผู้ชายแนวเคร่งขรึมแบบผม อยากได้ทำสามีไม่เว้นแต่ละวัน ตอนนี้เหรอ... หางตาก็แทบไม่แลถ้าผมไม่เผลอไปรู้ความลับว่าน้ำปิงแอบอ่อยพี่หมอที่คณะแพทย์ คือเขาเป็นระดับอาจารย์ช่วยสอนแล้วน่ะ เล่นของสูงฉิบหาย



ต่อด้านล่างจ้า

หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 21 -P.3- 24/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-11-2018 10:58:56
“กูจะฟ้องพี่หมอ” ผมแกล้งข่มขู่เพื่อนด้วยใบหน้าจริงจัง พอเห็นน้ำปิงเบิกตาโตทำท่าลนลานก็แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เดือดร้อนต้องยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้ โอย ตลกโคตรๆ

“ที่รักขา กูไหว้ท่วมหัวเลยเอ้า อย่าฟ้องพี่หมอนะ กว่าจะจีบเขาติดเกือบขาดใจตายก่อนแล้ว” น้ำปิงยกมือไหว้กันปรกๆ แถมยังก้มหัวจนแทบติดพื้นจนผมเผลอหลุดหัวเราะจนได้ เออ ก็ไม่ได้อยากแกล้งสักเท่าไหร่หรอกแค่หมั่นไส้ความตอแหลนิดหน่อยเอง

“เออๆ กูล้อเล่นน่า ตั้งใจฟังอาจารย์เหอะ เดี๋ยวถ่ายงานไม่ผ่านนะ” ผมเอื้อมมือไปจับไหล่มันทั้งสองข้างเพื่อเป็นสัญญาณให้หยุดทำแบบนั้นสักที คืออายเพื่อนไง คนอื่นมองเราแล้วแอบหัวเราะคิกคักกันใหญ่ ส่วนไอ้ปอมกับคีนก็เข้าไปประจำที่ตรงฉากพร้อมเป็นแบบถ่ายรูปกันแล้ว เอาวะ วันนี้ต้องได้คะแนนเยอะกว่าทุกทีสิน่า

ผมว่าตัวเองก็เป็นคนที่มีความอดทนในระดับหนึ่ง ไม่ได้ขี้หึงขี้หวงจนมากเกินพอดี ก็เชื่อแบบนั้นมาตลอดจนกระทั่งถึงวันนี้ที่ต้องยืนมองคนมากมายรุมล้อมถ่ายรูปแฟนตัวเองนี่ล่ะ พวกมึงจะเล็งท่าไหนกูไม่ว่าสักคำแต่ไอ้การแตะเนื้อต้องตัวคีนเนี่ยคืออะไร อธิบายได้ให้สิบคะแนน ถุย โมโหจนหน้าสั่น!

แต่สุดท้ายก็พึงระลึกได้ว่าผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคีนกับไอ้ปอมตามที่อาจารย์ต้องการ หลังจากงานตัวเองผ่านเลยขอตัวออกมานั่งสงบจิตใจอยู่ที่ริมระเบียงคนเดียวเงียบๆ พยายามสลัดความงี่เง่าส่วนตัวออกไปจากสมองให้มากที่สุด ต้องมีเหตุผลมากกว่านี้สิวะไอ้กิม ขืนหึงหวงมั่วซั่วแบบนี้สักวันจะไม่มีใครทนมึงได้นะเว้ย

เกือบดีแล้ว... ถ้าผมไม่เห็นคีนเดินมาทางนี้โดยที่พวกสาวๆ หนุ่มๆ ยังคงรุมล้อมหน้าหลังไม่หยุด อย่าให้รู้ว่าคืนนี้ใครแอบดูรูปแฟนกูก่อนนอนนะ พ่อจะไล่กระทืบเรียงตัวเลย!

“กิม...” คีนปลีกตัวออกมาจากฝูงปลิงนั่นแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ฝ่ามืออุ่นของเขาทาบลงบนต้นแขนอย่างแผ่วเบาตามมาด้วยศีรษะที่ทิ้งลงมาตรงลาดไหล่แบบไม่แคร์สายตาชาวบ้านที่จ้องจะแซวเรา พวกมึงอ้าปากเมื่อไหร่กูถอดรองเท้าปาแน่

“.....” คือตอนนี้อารมณ์ตีกันมั่วไปหมด ทั้งหงุดหงิด โมโหและฟินในเวลาเดียวกันจนเผลอเงียบใส่คีนไปโดยปริยาย โอย จัดการความสับสนไม่ได้สักที

“กิมครับ” คีนขยับหัวให้องศาสามารถมองเห็นหน้าผมได้อย่างชัดเจน ตอนแรกก็ว่าจะตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงให้ดูเป็นปกติแต่ไหงปากไม่สัมพันธ์กับสมองวะ

“อือ” กลายเป็นครางรับในลำคอด้วยใบหน้าเรียบเฉยไปซะอย่างนั้น แม่ง ตามน้ำไปก่อนแล้วกันเพราะยังไงๆ ผมก็ยังไม่หายหงุดหงิดเรื่องคืนโดนแต๊ะอั๋ง

“เป็นอะไรหืม? สีหน้าไม่ค่อยดีเลย” คีนผละตัวออกห่างแต่นิ้วเรียวกลับแตะลงที่ปลายคางเหมือนเป็นสัญญาณให้ผมหันไปสบตาเขาสักนิด โธ่ ไม่เอาแบบนี้ครับ ใจเหลวเป็นน้ำหมดแล้วเนี่ย

“หงุดหงิดนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบกลับไปตามความจริงเมื่อเศษเสี้ยวอารมณ์นั้นยังไม่ได้จางหายไปไหน แถมเมื่อครู่ยังเผลอเห็นรอยแดงๆ จากการที่เพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งจับข้อมือคีนกระชากอีก มันสมควรตายคาตีนผมอะ บอกให้ขยับดีๆ ก็ได้ปะวะ ไม่เห็นต้องทำแบบนั้น

“ได้คะแนนถ่ายรูปน้อยเหรอ?” คีนเดาตามความน่าจะเป็นเพราะผมชอบพลาดในการถ่ายรูปเก็บคะแนนอยู่บ่อยครั้ง ก็แบบมันตื่นเต้นไง ตั้งค่ากล้องพลาดไปบ้างอย่าถือสาเลย... แต่ครั้งนี้ผมโคตรตั้งใจเลยได้ตัวเลขสูงกว่าทุกครั้ง

“เปล่าครับ” เสียงไม่แข็งแต่ตอบสั้นจนคีนเริ่มย่นคิ้ว คงจับความผิดปกติของผมได้แล้ว ก็งี้ล่ะ คนโกหกไม่เป็น เฮ้อ

“แล้วทำไมหน้าบูดแบบนี้ล่ะ?” อะ เอื้อมมือมาจิ้มแก้มผมไม่พอยังจะเอียงคอถามอีก คิดว่าน่ารักมากหรือไง เออ ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งหวง นู้น พวกนั้นมองจนน้ำลายจะย้อยแล้ว

“หวง” ผมอ้อมแอ้มบอกโดยไม่กล้าสบตากับคีนเพราะรู้ว่าตัวเองโคตรงี่เง่าไง

“หวงเรา?” คีนชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเหมือนยังไม่ค่อยแน่ใจว่าได้ยินถูกต้องและแปลความหมายตรงกับที่ผมต้องการจะสื่อหรือเปล่า

“อือ”

“โธ่ เจ้าเด็กน้อย งอแงไปได้” คีนพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะวางมือลงบนหัวของผมแล้วออกแรงขยี้เล็กน้อย โธ่ นี่แฟนครับไม่ใช่ลูก จะเอ็นดูอะไรขนาดนั้น

“ก็พวกแม่งชอบแต๊ะอั๋งคีนนี่หว่า” ผมบ่นงุ้งงิ้งเป็นเด็กหวงของเล่น นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในมหา’ลัยคงพุ่งตัวไปกอดคีนแล้ว

“มันเป็นงานน่ากิม” เขาตบบ่าปุๆ พยายามปลอบผมที่กำลังงอแง น้ำเสียงที่ใช้ก็อยู่ในโหมดขบขันมากกว่าหงุดหงิด ฮือ คนดีของพี่กิม น่ารักจังเลย

“รู้... แต่ก็อดหวงไม่ได้อยู่ดี” เพราะเขาคือแฟนของเรายังไงล่ะ ทุกคนเข้าใจความรู้สึกผมใช่ไหม

“แล้วเราต้องทำยังไงกิมถึงจะอารมณ์ดีขึ้นล่ะ?” คีนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะดึงแขนผมให้ทำตาม คงเบื่อที่ต้องนั่งคุยกันสินะ กลับคอนโดก็ได้เว้ย

“ปล่อยเราไว้สัพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น ไม่ต้องห่วง” เราเริ่มออกเดินไปพร้อมๆ กัน ระยะทางข้างหน้าสั้นลงจนถึงทางลงบันได คีนหยุดชะงักก่อนจะคว้าแขนของผมไว้ ดวงตารีมองมาด้วยความจริงจัง ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่า สาบานว่าเมื่อครู่ไม่ได้ประชดเลยนะ

“แต่เราเป็นสาเหตุไม่ใช่เหรอ?” แผ่นหลังของผมสัมผัสกับผนังปูนด้านหลังโดยมีแขนของคีนกั้นปิดทางหนี สภาพตอนนี้เหมือนกูเป็นนางเอกที่กำลังถูกพระเอกคาดคั้นหาความจริงเรื่องผู้ชายอีกคนเลยว่ะ

“เรางี่เง่าเอง” ผมตอบ เม้มปาก หลบตา มองปลายเท้า ตอนนี้เริ่มอายความงี่เง่าของตัวเองจนแทบสำลักตายอยู่แล้ว โอย อยู่ๆ ก็กลายเป็นผู้ชายง้องแง้งน่ารำคาญซะอย่างนั้น แบบนี้เขาจะเชื่อว่าเราสามารถเป็นที่พึ่งพิงและปกป้องได้เหรอวะ โอยเครียด

“กิมครับ มองหน้าเรา” อะ พูดเสียงหวานใกล้ๆ แถมยังใช้ปลายนิ้วเชยคางแบบนี้... ผมชักหวั่นๆ ว่าในไม่ช้าจะตกเป็นเมียของคีนแล้วสิ โธ่เว้ย ไม่ใช่เวลาคิดฟุ้งซ่าน

ถ้ามองหน้าแล้วอยากย่ำยีจะเป็นไรไหมอะ

“.....” ผมยอมสบตาคีนแต่โดยดี ขืนเล่นตัวมากกว่านี้เขาอาจจะปล่อยให้งี่เง่าจนสำลักตายไปคนเดียวก็ได้

“เราชอบนะที่กิมแสดงท่าทีหวงแบบนี้ เพราะรักมากใช่ไหมล่ะ?” ถามแบบนี้ด้วยรอยยิ้มหวานจะให้ตอบว่าไม่รักเหรอไงเล่า เดี๋ยวจับฟัดตรงนี้เลยนี่

“อืม รักคีนโคตรๆ เลยล่ะ” เขาไม่เขินที่จะถามผมก็ไม่เขินที่จะตอบกละบไปตรงๆ เหมือนกัน

“อื้อ เราก็รู้สึกไม่ต่างกัน ถ้ากิมโดนแต๊ะอั๋งแบบนั้นบ้างเราอาจจะงอแงมากกว่านี้อีกมั้ง” คีนหน้าแดงในระหว่างที่เอ่ยประโยคพวกนั้นออกมา แต่ที่หนักกว่าคือการยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างประหม่า คือมันให้ความรู้สึกน่ารักจนแทบทนไม่ไหว อยากกอดอยากฟัดแรงๆ สักที นี่กูกำหมัดแน่นสั่นกึกไปหมดแล้วจ้า

“โธ่ ทำตัวน่ารักแบบนี้เราก็แพ้คีนดิ” ผมแสร้งบ่นกลบเกลื่อนความรู้สึกมันเขี้ยว พยายามกดมันให้ลึกสุดๆ แต่ทุกอย่างกลับพังทลายเพราะคำพูดของคีน แม่ง... จะไม่ทนแล้ว!

“แพ้ตรงไหนวะ ทุกวันนี้ก็ชนะใจเราไม่ใช่เหรอไง?”

จะมากระพริบตาปริบๆ แบบนี้ไม่ได้นะ!

“โอย ทำไมเป็นคนแบบนี้” ผมเริ่มสติแตก คุมตัวเองไม่อยู่ถึงขนาดมุดใต้รักแร้ของคีนออกมาแล้วก้าวลงบันไดฉับๆ ดีแค่ไหนที่ไม่สะดุดขาล้มหน้าคะมำ

“แบบไหน?” จ้า ตามมาแบบระยะเผาขนเลย ฝ่ามืออุ่นๆ นุ่มๆ คว้าจับต้นคอเลยครับคุณ ถ้าไม่หยุดเดินแล้วตอบคำถามคงโดนกระชากหัวหลุดแน่นอน

“น่ารักจนอยากกลืนลงท้อง” อะ นี่กัดฟันพูดแล้วนะ อีกนิดเดียวจะจับคีนข่มขืนบนตึกเรียนแล้วเนี่ย

“หึหึ อยากทำอะไรกับเราอีกปะ?” คีนหัวเราะเสียงต่ำเมื่อประเมินสภาวะอารมณ์ของผมออก เขาขยับเข้ามาใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดลงมาบนปลายคาง สัมผัสแผ่วเบาโอบรอบเอวสอบราวกับเชิญชวนให้หลงใหล โอเค ผมยอมแพ้อย่างราบคาบจริงๆ ความอดทนไม่ต้องมีมันแล้วล่ะ พอกันที!

“จูบได้ไหม?” ผมถามเสียงสั่นพร้อมกับยกมือขึ้นประคองแก้มทั้งสองข้างของคีนไว้ ถ้าเขาตอบปฏิเสธยังไงก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ใครจะปล่อยในลอยนวลในเมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้าแถมยังจับต้องได้อีก

“ไม่เอาปากแตะปากแล้วนะ ขอลึกซึ้งกว่านั้น” แหนะ ยักคิ้วท้าทายด้วย แต่ผมยังไม่จูบหรอกนะ ขอกัดปลายจมูกแฟนด้วยความมันเขี้ยวก่อนเถอะ งั่ม!

“ขี้อ่อย” ผมขยับตัวจรดริมฝีปากชิดใบหูขาว กระซิบบอกคำที่คิดไว้ในใจตลอดมา คนๆ นี้ขี้อ่อยจริงๆ นั่นล่ะ ร้ายกาจมาก

“ก็เหมาะกับคนหื่นแบบกิมดี”

ครับ หลังจากนั้นผมก็ตามืดมัวบดจูบคีนอย่างลึกซึ้งคาบันไดตึกคณะนั่นล่ะ เชื่อสิว่ามันจะเป็นความลับของเราแค่สองคนโดยไม่มีใครล่วงรู้อย่างแน่นอนเพราะ... ยกกระเป๋ากล้องขึ้นบังทั้งซ้ายทั้งขวานั่นเอง ฉลาดใช่ปะ? คิกๆ

-------------------------------------------------------

หวายยย ไอ้เด้กขี้หวงได้ดีพคิสแล้วล่ะ ต้องจุดพลุด้วยปะนี่?
ส่วนใครที่สงสัยว่าคีนขี้อ่อยจริงไหมคงได้คำตอบแล้วเนอะ 55555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 21 -P.3- 24/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 25-11-2018 06:25:52
ในที่สุดกิมก็ไม่กากแล้ว :hao6:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 22 -P.3- 29/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 29-11-2018 09:04:54
รูปถ่ายใบที่ 22


หลังจากเหตุการณ์ที่ผมกับคีนได้จูบกันอย่างลึกซึ้งผ่านมาจนถึงวันนี้พวกเราทั้งคู่ยังไม่มีใครกล้าสบตาหรือมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ เนื่องด้วยความรู้สึกและสัมผัสมันชัดเจนเกินกว่าจะลืมเลือน แม่งเอ๊ย ในชีวิตเขินมากที่สุดก็ตอนโดนล้อว่าฉี่ใส่ที่นอน ไม่คิดเลยว่าโตมาเสือกกลายเป็นหน้าบางเพราะดีพคิสกับแฟน ไก่อ่อนชัดๆ เลยกู

วันนี้ผมโคตรมีความสุขเพราะพี่ปิ๊งกลับไปนอนที่บ้านตัวเองแล้ว ส่วนคีนก็ไม่ได้รับงานถ่ายพรีเวดดิ้งซึ่งแปลว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันตามประสาแฟนโดยไร้มารหัวใจขัดขวาง ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่สามารถทำให้ยิ้มจนปากฉีกเลยล่ะ แต่... ไอ้ชมจันทร์ที่กำลังกระโดดดึ๋งๆ อยู่นอกกรงนี่คืออะไรวะ แค่ผมเปิดประตูห้องเข้ามามันก็ทำท่าจะกัดแล้ว สาบานว่าเขาเลี้ยงกระต่ายไม่ใช่หมา ดุจริงๆ เลยเนี่ย

“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อเห็นชมจันทร์กระโดดมาทางนี้เพราะยังไม่ทันได้ปิดประตู สองขารีบกางออกดักเจ้าก้อนให้กลับเข้าไปด้านในโดยที่คีนไม่ช่วยอะไรเพราะเขาหัวเราะจนตัวงอและกลิ้งไปตามพื้น โธ่ ตลกอะไรขนาดนั้นครับแฟน ก็ผมไม่กล้าอุ้มกระต่ายนี่หว่า มันชอบดิ้นกลัวจะทำหล่นน่ะ

“คีนมาช่วยกันหน่อยดิ” ผมเอ่ยน้ำเสียงเร่งเร้าก่อนใช้เท้าเขี่ยไอ้อ้วนเบาๆ ให้พ้นทางประตู แม่ง ตัวหนักอย่างกับก้อนหิน แถมยังดื้อทำท่าจะมุดรอดหว่างขาออกไปด้านนอกอีก ส่วนคีนก็ยังคงเอาแต่หัวเราะพร้อมชี้นิ้วสั่นๆ มาที่ผม สรุปคือต้องช่วยตัวเองใช่ไหม โอย แฟนหนอแฟน!

สุดท้ายผมก็ยอมนั่งยองๆ ลงแล้วคว้าจับหลังคอชมจันทร์ก่อนจะยกตัวอ้วนขึ้นและใช้มืออีกข้างปิดประตูดังปัง คนเองยังต้องใจแล้วนับประสาอะไรกับกระต่ายที่กระโดดผึ่งออกจากการอ้อมแขน คือแบบ... เสยปลายคางกันเต็มๆ แม่งเอ๊ย ผมนี่หงายหลังก้นจ้ำเบ้าเลย ซี๊ดมาก!

“กิมทำอะไรเนี่ย? โคตรตลกเลย” เสียงพูดกลั้วหัวเราะดังขึ้นแทบฟังไม่ได้ศัพท์แต่ก็พอเข้าใจว่าต้องการสื่ออะไร คีนลุกขึ้นนั่งแล้วแต่ตัวยังงอเพราะหยุดหัวเราะไม่ได้ หน้าเน้อแดงเป็นลูกตำลึงจนผมรู้สึกมันเขี้ยวเลยเดินเข้าไปจูบปิดปากซะดื้อๆ คราวนี้เงียบกริบเลยครับ แต่ได้ฝ่ามือที่ฟาดลงมาบนลาดไหล่แทน อูย หาเรื่องเจ็บตัวซ้ำซากตลอดเลยวะกู

“ชอบฉวยโอกาสว่ะ” คีนบ่นพร้อมส่งสายตาคาดโทษมาให้ผมที่ตอนนี้ยังคงยืนให้ท่าโก่งโค้งเหมือนเดิมแถมยังคลี่ยิ้มหวานกวนอารมณ์เขาอีกด้วย สาบานถ้าวันนี้รอดออกไปจากห้องโดยร่างกายไม่บุบสลายจะทำขนมจีนน้ำยาป่าตีนไก่ให้ไอ้ปอมกินเลยเอ้า (เพื่อนอยากกินแต่ไม่ยอมทำให้เพราะขี้เกียจ)

“เราเอาคืนที่คีนไม่ยอมช่วยไง” ผมแกล้งขยับเข้าไปหมายจะจูบเขาอีกสักครั้งให้ชื่นใจแต่กลับโดนนิ้วจิ้มหน้าผากจนต้องหยุดชะงัก อะ เจ็บตัวอีกแล้ว สงสัยไอ้ปอมจะอดกินขนมจีน

“ข้ออ้างชัดๆ เลยครับคุณแฟน” โดนย่นจมูกใส่หนึ่งทีแต่ผมกลับรู้สึกว่าโคตรคุ้มที่ลงมือทำทุกอย่างลงไปเพราะได้ผลตอบแทนเป็นความน่ารักน่าเอ็นดูของคีน คือเขาทำอะไรก็ดีต่อใจไปซะหมด อ๋อย ระทวยหมดแล้วครับคุณ ดาเมจแรงจริงๆ

“ว้า รู้ทันแบบนี้เราก็แย่น่ะสิ คราวหน้าจะหาข้ออ้างอะไรจูบคีนล่ะ?” ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างคีนพลางโน้มตัวเข้าไปมองหน้าจนโดนเสยปลายคางด้วยหมัด ดีหน่อยที่เขาแค่ใช้มันดันไม่ได้ต่อยเข้าจริงๆ ส่วนไอ้ชมจันทร์ยังคงวิ่งอยู่รอบตัวเรา แอบระแวงเหมือนกันว่ามันจะแอบแวะมาฉี่ใส่กางเกง เนี่ย ใครว่ากระต่ายแบ๊วล่ะ โคตรร้าย

“อยากจูบก็จูบสิ ทำไมต้องหาข้ออ้างด้วยล่ะ” แหนะ ผมเจอคนที่ร้ายกว่าไอ้ชมจันทร์แล้วล่ะ ตั้งแต่เป็นแฟนกันรู้สึกว่าคีนจะพัฒนาสกิลความกล้าหาญและทำให้ผมหลงหัวปักหัวปำมากขึ้น จิตใจเขาทำด้วยอะไรหนอ ไม่เคยแคร์ผมที่กำลังจะลงแดงตายเพราะต้องกดความหื่นไว้เลยสักนิด

“อ่อยเก่ง” ผมยื่นมือไปบีบแก้มคีนส่ายไปมาด้วยความมันเขี้ยว เจ้าตัวไม่ได้ปัดป้องแต่กลับถลึงตาใส่แทน คิดว่าแค่นี้จะทำให้คนอย่างไอ้กิมกลัวได้เหรอ? หึหึ กูนี่รีบปล่อยแทบไม่ทันเลยจ้า แถมแดงเป็นรอยด้วย โอย กลัวโดนแฟนโกรธฉิบหาย เผลอๆ ไอ้ฟูหวงพี่ชายอาจจะวิ่งมากัดนิ้วเท้าก็ได้ กลัวแล้ว!

“คิดไปเองทั้งนั้นเหอะ” อะ พอเราจับไต๋ได้ก็เปลี่ยนเป็นทำหน้ายักษ์แถมใช้เสียงแข็งอีกด้วย ผมนี่อยากจะพาย้อนเวลาไปตอนที่เราดีพคิสฉิบหาย ใครกันเป็นฝ่ายเชิญชวนให้ทำ ไอ้แฟนขี้อ่อยเอ๊ย เผลอเมื่อไหร่จะฟัดให้น่วมเลย

“อะๆ ยอมครับ แล้วนี่กำลังจะทำอะไร?” ผมพยักหน้ายอมแพ้ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวเพราะเพิ่งสังเกตเห็นพวกกะละมังขนาดกลาง ผ้าขนหนูผืนเล็ก หวีซี่ เอามาทำอะไรวะเนี่ย

“เตรียมอุปกรณ์อาบน้ำ”

“ห๊ะ คีนจะลงไปแช่ในกะละมังใบเล็กเนี่ยนะ?” ผมมองกะละมังสลับกับร่างกายของคีนที่น่าจะยัดลงไปไม่หมด ก็เขาตัวเล็กกว่าผมแค่นิดเดียวเองไม่มีทางขดตัวในที่แคบไหวหรอก เขาไม่ตอบแต่มองหน้าผมเหมือนเจอตัวประหลาด หัวคิ้วย่นเข้าหากันจนแทบผูกเป็นโบว์ได้ อะ กูพลาดอะไรเนี่ย

“คิดได้ยังไงกิม? เราเอามาอาบน้ำให้ชมจันทร์เว้ย” อะ โดนคีนผลักหัวไปทีนึงแต่ผมกลับมีความสุขแทนที่จะโกรธ คือการวางตัวมันสนิทสนมมากกว่าเก่าและรู้สึกว่าโคตรแฟน ฮึ่ย รักฉิบหายเลยคนนี้ เนี่ย คบกับผู้ชายมีเรื่องจุกจิกน้อยกว่าผู้หญิงเยอะ ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ล่ะ สบายๆ ชิวๆ

“นี่เราโคตรโง่เลยใช่ไหม?” มันก็จะเขินๆ หน่อยที่คิดว่าคันจะลงไปแช่อยู่ในกะละมังนั่น โธ่ ความฟินเมื่อครู่หายไปราวกับควันไฟที่โดนพัดลมยักษ์เป่า ตอนนี้เหลือแค่ความอายล้วนๆ ฮือ

“เปล่าๆ แค่ตลกดี” คีนยังขำไม่เลิกแต่ก็พยายามควบคุมเสียงพูดไม่ให้สั่น ทำไมคนเราถึงน่ามันเขี้ยวได้ขนาดนี้นะ เดี๋ยวก็กระโดดกัดจมูกโด่งๆ นั่นซะเลยนี่

“โล่งอก เอ้อ แต่เราเคยอ่านในอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่ากระต่ายไม่จำเป็นต้องอาบน้ำนี่” ผมยกมือขึ้นลูบอกก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าช่วงหนึ่งเคยอ่านบทความเกี่ยวกับกระต่ายเพราะคีนเอาชมจันทร์มาเลี้ยงและอยากทำความสนิทสนมด้วย ไอ้ฟูเนี่ยไม่จำเป็นต้องอาบน้ำเนื่องจากเป็นสัตว์ที่รักความสะอาดขนอยู่แล้ว หรือว่ามันไปคลุกขี้ดินที่ไหนมาวะ? พอลองเหลือบมองก็เห็นคราบสีน้ำตาลตุ่นๆ บนหัวมัน ท่าทางจะเหนียวหนืดซะด้วย

“ก็ใช่... แต่วันนี้เราเอาชมจันทร์ออกมาเล่นวางไว้บนตักแล้วเผลอกินไอติมหกใส่น่ะ” คีนยิ้มแห้งก่อนจะเอื้อมมือคว้าจับตัวชมจันทร์ขึ้นมาอุ้มแนบอกแล้วลูบๆ ตรงส่วนที่เป็นคราบสีน้ำตาล ผมร้องอ๋อในใจไม่กล้าหัวเราะความเปิ่นของแฟน แม่ง ทั้งคนทั้งกระต่ายเหมือนกันเหมือนเป็นฝาแฝดเลยว่ะ

“ถ้าไม่อาบมดคงแห่กันมากัดเนอะ” ผมก้มลงมองชมจันทร์ที่ตอนนี้นอนรายแน่นิ่งอยู่บนตักของคีนปล่อยให้ลูบหัวลูบหางได้ง่ายๆ ในชีวิตนี้ผมไม่ถูกกับสัตว์ชนิดไหนเลยก็จริงแต่ต้องยอมรับว่ากระต่ายน่ารักและอนาคตก็คงเป็นที่รักด้วยเช่นกัน คีนชอบอะไรกิมก็จะชอบด้วย

“อื้ม งั้นฝากกิมยกอุปกรณ์พวกนี้ไปที่ห้องน้ำให้หน่อยเดี๋ยวเราอุ้มชมจันทร์ตามไป”

ผมพยักหน้ารับแล้วเก็บรวบอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งเจลอาบน้ำเด็กที่คนในกระทู้แนะนำให้ใช้กับกระต่ายอุ้มเข้าห้องน้ำก่อนจะจัดแจงเปิดฝักบัวเติมน้ำให้เต็มกะละมังเพื่อรอเจ้าชมจันทร์กับคีน ระหว่างนั้นก็พาดผ้าขนหนูไว้กับราวด้านบน มองสำรวจไปรอบๆ ว่าแฟนใช้แชมพูยี่ห้อไหนถึงได้หอมนัก อยู่ใกล้ทีไรก็เคลิ้มตลอด

“กิม มัวยืนทำอะไรอยู่เนี่ย? น้ำล้นกะละมังแล้ว” เสียงของคีนเรียกสติให้ผมกลับไปสนใจสิ่งที่ทำค้างไว้ น้ำที่ไหลจากฝักบัวกำลังเจิ่งนองลงบนพื้นจนต้องรีบกุลีกุจอเข้าไปปิดก๊อกก่อนจะส่งยิ้มแห้งไปให้เขาซึ่งทำหน้ามุ่ยอยู่ไม่ไกล โอ๋ๆ ไม่งอนนะครับ แค่กำลังเพลินกับการซึมซับเรื่องของแฟนเท่านั้นเอง

“โทษทีๆ ให้เราช่วยอะไรไหม?” ผมเสนอตัวเพราะอยากทำหน้าที่แฟนช่วยเหลือเขาในทุกๆ เรื่อง คีนนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็จะส่ายหัวเพื่อปฏิเสธแล้ววางชมจันทร์ลงกับพื้น ใช้เท้าทั้งสองข้างหนีบเจ้าอ้วนไว้ในระหว่างเตรียมของ

“ออกไปรอข้างนอกเถอะ เดี๋ยวกิมจะเปียกเอา” คำเตือนนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วฉับแล้วมองเจ้ากระต่ายขนฟูที่ยอมนอนนิ่งอยู่ตรงระหว่างขาของคีน ตัวแค่นี้คงไม่ทำให้น้ำเลอะมากหรอกมั้ง ขนาดแต่ก่อนเห็นพี่ข้างบ้านอาบน้ำให้หมายังไม่เป็นไรเลย กับชมจันทร์คงเป็นเรื่องจิ๊บๆ ชิวๆ

“แค่อาบน้ำกระต่ายเอง คงเปียกนิดๆ หน่อยๆ” ผมคลี่ยิ้มเอาใจคีนก่อนเอื้อมมือไปแตะๆ หัวชมจันทร์เพื่อสร้างความสนิทสนม แต่มันกลับเมินนอนทำปากแจ๊บๆ ใส่ เออ... เดี๋ยวจะตกกระป๋องไม่รู้ตัว ไม่ใช่กระต่ายหรอก ไอ้กิมเนี่ยล่ะ ฮือ

“เชื่อเราเถอะ มันไม่ใช่อย่างที่กิมคิดแน่ๆ” คีนย้ำคำเสียงจริงจังพร้อมกับเงยหน้ามองผมเหมือนไม่ต้องการให้ช่วยจริงๆ โธ่ ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า แฟนกันนะ

“แต่เราอยากช่วยคีน” ผมก็ย้ำคำเดิมเช่นกันแถมยังลากม้านั่งตัวเตี้ยมารองก้นเหมือนอย่างที่คีนกำลังทำ

“แน่ใจ?” เขาหรี่ตามอง

“ครับ” ผมตอบเสียงใส

“ถ้าอย่างนั้นห้ามโวยวายนะ” คีนยกยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์แต่ผมกลับคิดว่าเขาคงอยากแกล้งขู่ก็เท่านั้น หึหึ

แค่อาบน้ำให้กระต่ายตัวเดียวจะไปยากอะไร๊... สัด โคตรบรรลัย!

“ไอ้เชี่ย” สเต็ปแรกของการโวยวายมาแล้วเพราะน้ำกระเด็นเข้าตาเนื่องจากชมจันทร์กระโดดหนีไปรอบๆ ตัวเราทั้งคู่ เป็นคีนที่คว้าจับไอ้ฟูไว้ ส่วนผมรีบจัดการทำให้มันเปียกชุ่มพร้อมสำหรับการลงสบู่

“โว๊ย อย่าสะบัดสิวะ” สเต็ปที่สองมาพร้อมกับการที่ผมขยับหลบจนเกือบตกเก้าอี้เพราะชมจันทร์สะบัดน้ำกระจายจนขนแตก หูลู่ตัวลีบเหมือนกระต่ายขาดสารอาหาร โธ่ ที่แท้ก็อ้วนหลอกลวง จริงๆ ตัวกระจิ๊ดเดียวเอง

“อยู่นิ่งๆ ไอ้ฟู” สเต็ปที่สามคือเจ้ากระต่ายเริ่มดิ้นหนีเพราะไม่ชินกับกลิ่นสบู่และสัมผัสแปลกปลอมของฟองขาวๆ

“ว๊าก เปียกหมดแล้ว!” สเต็ปสุดท้ายแหกปากเต็มเสียงเพราะชมจันทร์วิ่งหนีและสะบัดน้ำที่ราดเพื่อล้างคราบฟองออกไมาหยุดหย่อน เออ เปียกซกยิ่งกว่าเล่นสงกรานต์อีก แม่ง! น่าจะเชื่อคีนตั้งแต่แรก ไม่น่าเลยกู ฮือ กางเกงในก็ไม่เหลือจ้า

“เราเตือนแล้วก็ไม่เชื่อ” คีนมองผมด้วยสายตาหยอกเย้าทั้งยังกลั้นขำจนหน้าแดงหูแดงไปหมด คนไม่เคยอาบน้ำกระต่ายก็ไม่รู้หรือเปล่าล่ะ อายเว้ย อยากมุดหายลงในกระถางดอกกุหลาบห้องไอ้ปอมจริงๆ เลย

แต่คือมันเขี้ยวอยากขย้ำคีนมากแต่ทำได้แค่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเพราะตอนนี้เราทั้งคู่กำลังพยายามทำให้ขนไอ้ชมจันทร์แห้งอยู่ที่ระเบียงห้อง โว๊ย จะยาวและหนาอะไรขนาดนี้เนี่ย จับโกนให้เหลือแต่หนังเลยดีไหม

“ขอโทษครับ ~” ผมยอมง่ายๆ โดยไม่ต้องเถียงเพราะรู้ว่าตัวเองผิดจริง แต่เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือต้องระวังไดร์เป่าผมไม่ให้ใกล้ตัวชมจันทร์มากเกินไปเพราะมันร้อนเดี๋ยวคีนจะฟาดกบาลแยกที่กล้าทำร้ายน้องชายของเขา

“เชื่อฟังแบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย” อะ ชมแบบนี้ด้วยรอยยิ้มทะเล้นก็ได้ด้วยเหรอ จริงใจปะเนี่ย? คงต้องลองพิสูจน์

“มีรางวัลให้ปะ?” ผมแกล้งถามพลางปิดสวิตซ์ไดร์เป่าผมเพื่อแสดงให้เห็นว่าตั้งใจรอฟังคำตอบแบบจริงจัง ก็แบบว่า... หลังจากจุ๊บๆ กันไปวันนั้นก็ยังไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมเลย เรียกได้ว่าเพิ่งได้อยู่ใกล้กันจริงๆ ก็เวลานี้ล่ะ (ก่อนหน้าถูกขัดขวางด้วยฝีมือพี่ปิ๊งตลอด)

“ต้องมีของแลกเปลี่ยนตลอดเลยหรือไง?” อะ คำถามนี่จุกจนได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองคีนที่จ้องกันอย่างคาดคั้น ผมก็ไม่ได้ต้องการของรางวัลอะไรขนาดนั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เต็มปากเหมือนกันเพราะลึกๆ แล้วแค่อยากนัวเนียแฟน โวย เลิกคิดทะลึ่งสักวันสองวันไม่ได้เลยหนอกู

“ก็... นิดๆ หน่อยๆ เอง” ผมตอบเสียงเบาไม่ยอมสบตากับคีนเพราะอายที่คิดทะลึ่งแทบตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน บางทีอาจจะต้องไปหาหมอปรึกษาว่าตัวเองยังปกติหรือเปล่าสินะ

“คิดอะไรหื่นๆ อยู่ใช่ไหม?” คีนถามเสียงเข้มก่อนจะเอื้อมมือมาคว้าไดร์เป่าไปจัดการซะเอง ผมสะดุ้งเฮือกรีบลนลานโบกมือปฏิเสธ ดวงตาเบิกโต ปากอ้าพะงาบๆ โอย บ้าไปแล้ว

“เฮ้ย เปล่านะ”

“หูแดงเหอะ” อะ โดนคีนดีดหูไปหนึ่งทีเลยรีบยกมือขึ้นปิดเพื่อทำลายหลักฐานชิ้นสำคัญ แม่ง คิดทะลึ่งทีไรไม่เคยซ่อนอาการได้เลยกู แย่ที่สุด

“อะ อากาศ ระ ร้อนไง” ยังมีหน้าไปโกหกเขาอีกหนอ เสียงสั่นขนาดเรียกสึนามิได้ใครเขาจะเชื่อเนี่ย!

“ไม่เห็นจะเกี่ยว”

“เชื่อเราเหอะ” นี่ถ้ากราบอ้อนวอนแทบเท้าได้คงทำไปแล้วไง โธ่ เชื่อหน่อยเหอะหลังจากนั้นก็เลิกทำหน้าตามู่ทู่ด้วย ไม่รู้หรือไงว่ามันน่าขย้ำแค่ไหน โว๊ย อดทนอดกลั้นไม่กระโจนเข้าหาจนบีบมือแน่นเลยจ้า

“ไม่เชื่อ” คีนส่ายหัวพรืดแถมยังยกเท้าหน้าของชมจันทร์ขึ้นมาโบกยืนยันอีกหนึ่งเสียง ผมกัดฟันกรอดพยายามควบคุมสติและอารมณ์แต่ดูเหมือนร่างกายจะทรยศไปซะหมด จะไม่ไหวแล้ว อยากแตะต้องเขาฉิบหาย ย้ำยีให้สาแก่ใจได้ไหมล่ะ!

“คีน...” มีแต่ลมออกจากปากผมเท่านั้นในขณะที่สติกระเจิงและร่างกายขยับเข้าไปประชิดกับคีนจนลืมว่าไอ้ชมจันทร์คั่นอยู่ตรงกลางระหว่างเรา อึ๋ย จมูกสีชมพูที่ดุนดันต้นขาให้ความรู้สึกขนลุกชะมัด กูไม่น่าใส่กางเกงสั้นเล๊ย จะร้อง!

“กิมโกหกไม่เก่งแถมเก็บอาการไม่อยู่ขนาดนี้จะให้เชื่อได้ยังไงกัน?” คีนมองหน้าผมก่อนจะไล่สายตาลงต่ำจนหยุดอยู่ที่เป้า แม่งเอ๊ย ทำไมมันตุงเป็นลูกโป่งขนาดนั้น อยากหนีบขาปิดบังก็ติดที่ว่าชมจันทร์ปีนลงจากตักเจ้าของมานอนกองอยู่ตรงกลางนี่ดิ ส่วนมือเหรอ? อัมพาตแดกชั่วคราวขยับไปไหนไม่ได้เลยจ้า

“อ่า... งะ งั้นเดี๋ยวเราขอกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” ผมผุดลุกขึ้นทันทีแล้วรีบยกมือปิดตรงเป้าแต่กลับโดนรั้งไว้จนเผลอเหลือกตาโตมองคีนที่ส่ายหัวดิก นี่เขาจะปฏิเสธทำไมเนี่ย ผมกำลังพยายามทำตัวเป็นคนดีอยู่นะเว้ย รอแฟนพร้อมเนี่ย

“ไม่ให้ไป” พูดเสียงแข็งแถมยังมองผมด้วยสายตาจริงจังอีกด้วย เพราะแบบนี้ไงเลยต้องรีบหนี เนี่ย น้องชายมันตื่นมากกว่าเดิมอีก

“.....” ผมเงียบไม่พูดไม่จาเพราะกำลังใช้สมาธิในการควบคุมอารมณ์อย่างหนัก

“เดี๋ยวเราช่วย” เสียงคีนเริ่มสั่นแถมยังเบนหน้าหนีไปสนใจชมจันทร์ก่อนผละมือออกปล่อยให้ผมเป็นอิสระ เกือบจะโล่งใจแล้วเชียวถ้าไม่ติดตรงคำพูดและใบหูแดงๆ นั่น โว๊ย ไอ้คนขี้อ่อยเอ๊ย เดี๋ยวผมหยุดตัวเองไม่ได้จะทำยังไง

“ห๊ะ...” ผมร้องเสียงหลงก่อนเสียหลักถอยหลังไปพิงกับประตูกระจกด้านหลังเพราะขาอ่อน เอาจริงดิ ช่วยเรื่องอย่างว่าน่ะนะ แล้วคิดว่ามันจะหยุดแค่นั้นได้เหรอ? โวย กลุ้มใจจ้า

“ก็กิม ‘อยาก’ เพราะเราไม่ใช่เหรอ?”

อะ ยอมแพ้ครับ ถ้ามันเลยเถิดอย่ามาโทษกันทีหลังนะ ผมพยายามปฏิเสธอย่างเต็มที่แล้ว

“ก็มีคีนแค่คนเดียวนั่นล่ะที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้” ผมโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูอีกคนโดยไม่มีความเขินอายใดๆ หลงเหลืออยู่ ตอนนี้เรียกได้ว่าสติสัมปชัญญะเข้าขั้นติดลบ หน้ามืดพร้อมรุกคีนให้ยับกันไปข้างหนึ่ง ลองดูว่าความเป็นคนดีของผมจะเหนือกว่าความหื่นได้ไหม

“หื่นจริงๆ เลยแฟนผม” ไอ้ท่าทางขินจนหูแดงเมื่อครู่หายวับไปราวกับความฝันยามตื่น ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความเจ้าเล่ห์จนผมคืดอยากจะวิ่งกลับห้องเดี๋ยวนี้ หรือนี่คือแผนการเผด็จศึกให้ผมยอมเป็นเสียเขาวะ โอ๊ย ไม่เคยหื่นบนความเครียดมาก่อนเลย!

ไอ้สัด แค่ย้ายมานั่งบนเตียงก็ตื่นเต้นจนแทบเสร็จอยู่แล้วทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มแตะต้องกันด้วยซ้ำ คีนเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่เพราะเขาเอาแต่ก้มมองมือที่ประสานไว้บนตัก เริ่มไงดีวะ งุ่นง่านฉิบหายเลยตอนนี้

“เอ่อ...” เชี่ย ผมพูดได้แค่นั้นก็เผลอเม้มปากแน่นเก็บคำพูดต่อไปลงคอจนหมด คีนเริ่มมีปฏิกิริยาหันมามองกันด้วยใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย มือเรียวยื่นมาแตะบนต้นขาก่อนจะออกแรงบีบเบาๆ เพียงแค่นี้ขนอ่อนในกายก็ลุกชันแล้ว

“ถอดกางเกงสิ ที่นอนเราเปียกหมดแล้ว” น้ำเสียงหยอกล้อทำให้ผมหนีบขามากขึ้น ก่อนหน้านี้สั่งให้ถอดเสื้อยังไม่รู้สึกรุนแรงอะไร แต่พอมันไล่มาถึงกางเกงแบบนี้... โอ้โห เด้งดึ๋งอย่างกับสปริง อายเว้ย ถึงจะเป็นแฟนก็เหอะ แล้วที่บอกว่าเปียกน่ะคือผลที่มาจากการอาบน้ำให้ชมจันทร์อย่าคิดลึกเป็นอย่างอื่นเชียว!

“เอาจริงเหรอคีน? เรากลัวมันจะเบรกไว้เท่าที่คิดไม่ไหว” เขาคิดว่าตัวเองไม่มีแรงดึงดูดหรือยังไงถึงได้มั่นใจนักว่าแค่ช่วยผมแล้วจบๆ ไป กลิ่นหอมจากร่างกายสมส่วน ผิวเนียนขาวน่าสัมผัส ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ขนาดนั้น ใครมันทนไหวก็บ้าแล้ว

“คิดไว้แค่ไหนล่ะ?” แหนะ ถามกลับด้วยน้ำเสียงทะเล้นแถมยังโน้มใบหน้ากับเท้าแขนกักขังผมเอาไว้ อีกนิดเดียวก็เข้ามานั่งตักแล้ว โว๊ย อารมณ์แบบนี้ทำอะไรนิดหน่อยก็คิดไปไกลโพ้นแล้ว แม่ง ฟัดเลยไหม!

“เอ่อ... นะ น้องชายสงบก็จบ” เสียงที่หลุดออกไปเหมือนคนติดอ่างและขาดห้วง สายตาที่มองคีนก็สั่นไหวแถมยังแสดงความหื่นกระหายด้วยการแลบลิ้นเลียริมฝีปากแหกผาก รู้สึกอยากได้น้ำมาดับกระหาย ปลายจมูกของเราแตะกัน ลมหายใจอุ่นร้อนสลับแตะลงบนปลายคางจนรู้สึกวาบหวามไปทั้งร่างกาย โอย เหมือนจะสำเร็จความใคร่กลางอากาศแล้วจ้า

“มักน้อยจัง” ไอ้การยิ้มยั่วแถมยังขยับมาคลอเคลียรอมฝีปากแบบนี้ก็ตายสิครับ ตายแน่ๆ แข็งจนไม่รู้จะแข็งยังไงแล้ววุ้ย

“มะ หมายความว่ายังไง?” อะ ผมทนไม่ไหวจนมือไม้เริ่มเลื้อยไปสอดรอบเอวของคีนก่อนกระชับให้แน่นเพื่อที่เราจะได้ใกล้กันมากกว่าเดิม เขาไม่ได้ขัดขืนแถมยังเปิดช่องทางให้ดื่มด่ำกับซอกคอขาวเนียนได้อย่างเต็มที่ อ่า... หอมฉิบหาย ใจสั่นหมดแล้วเนี่ย

ผมแตะริมฝีปากไปตามลำคอขาวอย่างแผ่วเบาจนพอใจก่อนจะเริ่มขบเม้มดูดดุนจนขึ้นรอยสีกุหลาบพลางสูดดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวของคีนเข้าเต็มปอด สองแขนโอบกอดร่างกายสมส่วนลูบไล้แผ่นหลังกว้างผ่านเสื้อยืดสีขาวตัวบางชื้นเหงื่อ ในเวลานี้แม้แต่เครื่องปรับอากาศก็ไม่สามารถลดอุณหภูมิเร้าร้อนนี้ลงได้เลย

“เราเตรียมใจ อือ ไว้ตั้งแต่ตกลงคบกับกิมแล้วว่าเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น... ไม่ว่าอารมณ์จะพาไปไกลแค่ไหนก็ปล่อยมันไป ตกลงไหม?” คีนผละออกห่างก่อนจะใช้มือประคองใบหน้าของผมเอาไว้พลางจ้องตาอย่างจริงจัง ไอ้ความหื่นเมื่อครู่เบาบางลงนิดหน่อย อะ ฟังเขาหน่อยก่อนจะได้ยินแต่เสียงคราง... ของผมเองน่ะนะ

“ไม่เครียดอะไรเลยเหรอ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่สูงกว่าปกติเพราะกำลังอึ้งในความคิดของคีน เขาดูสบายๆ กับเรื่องนี้ยิ่งกว่าคนหื่นจัดซะอีก โหย โคตรเป็นคนดี เป็นแฟนที่เข้าใจกันสุดๆ

“ไม่เครียดเพราะเราจะรุก” คีนพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะพี้อมกับยกมือขึ้นตบแก้มกันด้วยท่าทางที่เหนือกว่า คราวนี้ผมอ้าปากหวอตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ความหื่นหดจนเหลือเท่าปลายนิ้วก้อย แขนขาอ่อนเปลี้ยจนล้มลงนอนหงายท้องมองเพดาน สรุปว่าสุดท้ายผมก็ต้องเป็นเมียเขาเหรอ จริงดิ? ยังไม่ทันเตรียมใจเลย หนีกลับห้องทั้งๆ ที่ซิปกางเกงถูกรูดลงไปครึ่งหนึ่งแล้วได้ไหมล่ะ แง๊!

“ล้อเล่นน่า ใครดีใครได้แล้วกัน”

เขาว่าไงเราก็ว่างั้น มา!

สัมผัสชวนวาบหวามเกิดขึ้นระหว่างเราหลายครั้งตั้งแต่เริ่มต้นด้วยการจูบดูดดื่มยิ่งกว่าครั้งก่อน เรียวลิ้นชื้นไล่ต้อนตวัดเกี่ยวพันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สองมือสอดใส่ลูบไล้เข้าใต้เสื้อยืดสีขาว ปลายนิ้วบดคลึงยอดอกสีหวานจนแข็งขืนและมันทำให้เกิดเสียงครางอื้ออึงจากคนถูกกระทำ บรรยากาศรอบตัวร้อนระอุเหมือนเราทั้งคู่ตกอยู่ในห้วงอเวจีสีชมพู

คีนหอบหายใจถี่ในขณะที่แผ่นหลังสัมผัสกับความนุ่มของที่นอน ใบหน้าหล่อเหลาเปียกชื้นหยาดเหงื่อแต่ไม่ได้ลดความดูดีลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งริมฝีปากได้รูปเผยออกคล้ายเชิญชวนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมอยากขยี้เขาจนแหลกคามือ เมื่อลองแตะต้องยอดอกสีหวานในเวลาที่มันเป็นอิสระจากการปกปิดของเสื้อผ้าแล้วนั้นช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ปลายลิ้นร้อนตวัดเลียเคล้าคลอเปลี่ยนสลับดูดดุนอย่างหื่นกระหาย คนใต้ร่างบิดกายเร่าพร้อมทั้งจิกนิ้วลงบนแผ่นหลังของผมเพื่อระบายความเสียวซ่าน อ่า ดีมาก ดีจนใกล้ขาดใจตายแล้ว

ซอกคอขาวยามนี้แต่งแต้มไปด้วยรอยรักสีกุหลาบบ่งบอกถึงการถูกครอบครองและโดนแสดงความเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์ คีนขยับร่างกายปกปิดทุกส่วนเมื่อเสื้อผ้าหลุดออกจากร่างกายทีละชิ้นจนเปลือยเปล่าเท่าเทียมกับผม ภาพตรงหน้ามันช่างสวยงามจนอยากหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพ แต่ของแบบนี้ขอบันทึกด้วยความทรงจำดีกว่าเยอะ

“คีน... เราหยุดไม่ได้แล้วนะ” ผมแนบลำตัวชิดคนใต้ร่างเพื่อกระซิบบอกความต้องการหลังจากนี้ ความอึดอัดอยากระบายทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราต่างสัมผัสซึ่งกันและกัน คีนหลุบสายตาแต่พยักหน้ารับโดยไม่ขัดขืน ก็เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจและนำพาเราทั้งสองมาถึงจุดนี้ด้วยตัวเอง อ่า แต่ถ้าอยากถอยเพื่อตั้งหลักผมก็เข้าใจนะ

“อื้อ... เราก็คงไม่ขอให้กิมหยุดหรอก” เสียงอ้อมแอ้มยิ่งทำให้คีนน่าฟัดขึ้นอีกเป็นกอง ตอนนี้ลืมความหล่ออลังการของอดีตเดือนคณะไปได้เลยเพราะเหลือแค่แฟนที่ทำหน้าเชิญชวนให้สานต่อความสัมพันธ์ของเราเท่านั้น

“ถ้าเจ็บก็บอกเรานะ” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนโน้มตัวลงเพื่อกดจูบบนหน้าผากมนอย่างทะนุถนอม แล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสด้วยความเอ็นดูและรักสุดหัวใจ สัญญาว่าจะเบามือที่สุด

“อื้ม รีบๆ เถอะ เริ่มหนาวแล้ว” คีนยกมือขึ้นดึงแก้มของผมอย่างหยอกล้อก่อนจะดันตัวขึ้นมาขโมยจูบไปหนึ่งครั้ง โธ่ เพราะทำตัวแบบนี้ไงเลยหลงจนโงหัวไม่ได้ขนาดนี้

“หึหึ ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเราทำให้คีนร้อนจนทนไม่ไหวเอง”

ผมน่าจะเป็นฝ่ายร้อนจนทนไม่ไหวซะเองเพราะระหว่างที่ผมกำลังเตรียมความพร้อมช่องทางด้วยนิ้วนั้นอยู่ๆ คีนก็พลิกตัวขึ้นไปอยู่ด้านบนจนผมแทบแหกปากเนื่องจากคิดว่าตัวเองจะโดนเสียบคืน แต่เปล่า... เขาแค่ต้องการเป็นฝ่ายนำก็เท่านั้น (สงสัยเผลอไปอ่านบทความการมีอะไรกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชายแน่ๆ ก็เขาบอกไว้ว่าฝ่ายรับอยู่ด้านบนจะเจ็บน้อยกว่านอนให้อีกคนกระทำ)

“เราได้อยู่บนแล้วนะ” เสียงของความภาคภูมิใจที่เต็มไปด้วยความเขินนั่นทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆ คีนเบ้ปากใส่กันก่อนจะจิ้มนิ้วลงบนอกเหมือนต้องการทำโทษที่เผลอไปเยาะเย้ยเขา

“ไม่กลัวเราหัวใจวายบ้างเหรอ? เห็นทุกอย่างชัดขนาดนี้” ผมหยอกด้วยการใช้สายตามองร่างกายนวลเนียนตั้งแต่ใบหน้ายันเรียวขาขาวๆ ที่บัดนี้กำลังคร่อมกายกันอยู่ อืม เป็นภาพที่ควรเมมฯ ไว้ในสมองที่สุด

“ใครบอก เราจะเอาผ้ามาปิดตากิมต่างหาก” แล้วคีนก็คว้าผ้าผืนเล็กที่คล้ายกับอันที่ใช้กับชมจันทร์ขึ้นมาแกว่งตรงหน้า รอยยิ้มหวานประดับอยู่ที่มุมปากให้ความรู้สึกโคตรเจ้าเล่ห์



ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 22 -P.3- 29/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 29-11-2018 09:05:19
“เฮ้ย... ไม่เอาแบบนั้นดิ” ผมรีบร้องปฏิเสธพยายามเอื้อมจับผ้าขนหนูนั่นหลายรอบแต่พอโดนคีนถูไถแกนกลางที่อยู่ภายใต้บันท้ายอุ่นๆ ก็แทบเผลอกันลิ้นตาย ไอ้ฉิบหาย ระทวยไปทั้งร่าง

“ถ้าขัดขืนเราหยุดแค่นี้”

โธ่ ไม่มีแรงจะต่อต้านแล้วจ้า ยกมือสองข้างยอมแพ้เลย

“ปะ ปิดตาก็ได้จ้า” เนี่ย ความหื่นไม่เข้าใครออกใครจริงๆ

“เด็กดี” คำชมมาพร้อมกับความมืดและสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แตะแต้มลงบนริมฝีปากของผม ทุกอย่างกำลังดำเนินไปโดยที่ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าคีนทำอะไรและแสดงสีหน้าอย่างไรอยู่

นานนับนาทีที่ผมนอนตัวแข็งทื่อเพราะโดนสัมผัสด้วยความเปียกชื้นตรงยอดอก สองแขนถูกบังคับกดราบลงบนที่นอนไม่ให้ขัดขืนหรือตอบโต้ใดๆ ตอนนี้ขอยอมรับแบบหน้าไม่อายเลยว่าการที่เรามองไม่เห็นการกระทำของอีกคนคือโคตรลุ้นและโคตรเสียวในเวลาเดียวกัน ชักติดใจแล้วสิ

“คีน... อึก” ผมร้องเรียกชื่อคนบนร่างที่อยู่ๆ ก็มอบความอุ่นร้อนให้กับท่อนเนื้อแข็งขืน ไร้เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดแต่ทว่าคีนกลับระบายมันด้วยการจิกเล็บลงบนหน้าอก เขาแน่นิ่งไปแค่อึดใจก่อนที่ร่างกายจะถูกขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ โอย โคตรเสียว

“ดีไหม... กิม?” เสียงของคีนขาดห้วงบ่งบอกถึงอารมณ์ที่กำลังทะยานสูงขึ้นตามจังหวะขยับตัวขึ้นลง ผมครางรับในลำคอเพราะไม่สามารถเอ่ยประโยคยาวๆ ได้เมื่อความวาบหวามแล่นพล่านไปทุกโสตประสาทสัมผัส อ่า... สวรรค์อยู่แค่เอื้อม อีกนิดเดียวเท่านั้น

“โคตร... ดีเลยครับคีน อ่า” เสียงของผมสั่นเพราะแรงกระแทกบั้นท้ายของคีน ข้อมือที่โดนกดราบกับเตียงบัดนี้ก็คงยังอยู่ตำแหน่งเดิม สภาพเหมือนกูโดนข่มขืนทั้งๆ ที่จริงแล้วนั้นกำลังโดนแฟนปรนเปรอมอบความสุขให้อย่างหนักหน่วง

“อืม อึก ชะ ชอบใช่ไหม?” คีนผ่อนจังหวะการขยับตัวแต่ช่องทางอุ่นร้อนกับตอดรัดท่อนเนื้อแข็งขืนไม่หยุดหย่อน ผมแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว ต้องขบกรามอดกลั้นไม่ให้ปลดปล่อยตอนที่ยังอยู่ในตัวของเขาเพราะกลัวว่าความสุขมันจะล้นทะลักออกมานอกถุงยางอนามัย

“มาก”

“อะ อา... ต่อจากนี้ก็รักเราให้ อึก มากๆ ล่ะ”

“ซี๊ด แน่นอนครับ”

ขนาดนี้ไม่รักก็บ้าแล้ว

ครั้งแรกของเราผ่านไปด้วยดีแต่ไม่ได้หมายความว่าจะ ‘กอด’ กันแค่รอบเดียวเนื่องจากความหื่นของผมยังตกค้างจนต้องรีดออกให้เกลี้ยงในยกที่สอง คราวนี้คีนทำเพียงแค่นอนสบายๆ เป็นฝ่ายถูกกระทำถึงขั้นหมดแรงและหลับไปในที่สุด กว่าจะตื่นขึ้นมากินข้าวมื้อเที่ยงควบเย็นก็เกือบสามทุ่ม... เออว่ะ ถือเป็นการลดน้ำหนักไปในตัวแล้วกันเนอะ

แสงอาทิตย์แรกของวันปลุกทุกสรรพสิ่งบนโลกให้ตื่นขึ้นเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ของวันนี้ หูของผมได้ยินเสียงคีนเดินไปเดินมาในห้องแต่ไม่สามารถลืมตาได้เพราะรู้สึกหนักหัว ลำคอแห้งผากและตัวร้อนราวกับไฟอาการเหมือนคนเป็นไข้ แม่ง คือตามพล็อตละครหรือนิยายคนป่วยหลังจากมีอะไรกันต้องเป็นฝ่ายรับไม่ใช่เหรอวะ โอ๊ย ทำไมกลับตาลปัตรแบบนี้

“เช็ดตัวหน่อยนะ” ที่นอนยวบลงพร้อมกับเสียงของคีนที่ดังอยู่ไม่ไกลทำให้ผมเริ่มขยับตัวปัดป่ายหาเขา อยู่ๆ ก็รู้สึกอ่อนแออยากกอดอยากอ้อน

“คีน...” ผมร้องเรียกเมื่อควานมือออกไปแล้วยังหาตัวคีนไม่เจอ เดาว่าคงนั่งอยู่อีกฝั่งของเตียง แค่ออกแรงนิดหน่อยยังรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้สงสัยจะอาการหนัก โอย เบื่อๆๆ

“ถอดเสื้อนะ” คีนแตะมือลงบนแก้มของผมคล้ายกับเป็นสัญญาณบอกว่ากำลังจะลงมือถอดเสื้อแล้วนะ แต่อากาศหนาวๆ แบบนี้อยากได้ความอบอุ่นมากกว่า

“มันหนาว...” ผมพึมพำเสียงแหบก่อนจะคว้ามือคีนมาแนบไว้ตรงลำคอ อืม... ง่วงจัง นอนต่อเลยได้ไหม

“ก็กิมไม่สบายนี่ เพราะใส่เสื้อผ้าเปียกๆ นานไปแน่เลย” เสียงที่ใช้ให้ความรู้สึกดุแต่ก็แฝงความนุ่มนวลอยู่ไม่น้อย เนี่ย พยายามลืมตาเพื่อดูว่าเขาแสดงสีหน้ายังไงก็ทำไม่ได้สักที แม่งเอ๊ย ปวดหัวชะมัด

“ขะ ขอโทษ” ขอโทษที่ไม่ยอมเชื่อฟังและขอโทษที่ไม่ได้ดูแลคีนอย่างที่ควรจะเป็น

“ไม่ต้องขอโทษหรอก คนจะป่วยใครห้ามได้ล่ะ”

นั่นสินะ เหตุสุวิสัยจริงๆ

“อือ”

“เดี๋ยวเราเรียกพี่ซันมาดูอาการให้เนอะ”

ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินชื่อใครคนหนึ่งที่คุ้นเคยดีในช่วงหลังมานี้ พี่ซันเป็นหมออันนั้นพอเข้าใจได้ แต่การที่ให้เขามาดูอาการถึงคอนโดไม่เท่ากับว่าพี่ปิ๊งต้องติดสอยห้อยตามมาด้วยเหรอ? โอย รู้สึกเพลียกายเพลียใจแปลกๆ เธอจะรู้เรื่องที่ผมกับคีน... เอ่อ ช่างแม่งเถอะ ปวดหัวจะตายแล้ว ขอนอนพักก่อน ตื่นเมื่อไหร่ค่อยว่ากันเนอะ


----------------------------------------

หูย เขาได้เสียกันแล้วอะ ควรหมั่นไส้ดีปะ? 55555

อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วน้า ฝากติดตามนิยายเรื่องใหม่ของเราด้วยเนอะ ♥
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 22 -P.3- 29/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 01-12-2018 06:01:11
คีนเราจะร้้อนไปไหนลูกรึเห็นนังกิมมันกากเลยจัดให้เลย :z1:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 22 -P.3- 29/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 06-12-2018 05:56:29
โอ๊ยยยย กิมจะมาป่วยแบบนี้ไม่ได้
มันใช่ไหม คนรับต้องป่วยก่อนสิ ไหงเป็นงั้น
คีนก็ต้องตื่นมาเฝ้าจ้า เคะขั้นเทพอีกละ 5555

เอ็นดูกิมหนักมากเลยนะคีน ยั่วตลอด
ทำคีนเตลิดตลอด แต่รอบนี้ไม่จากไปนะคะ

โว้ยยย ปอมก็บ้าบอ สมควรแล้ว โดนต่อยตาเลย
อยากให้คู่นี้เจอกันต่อหน้าคนอื่นหลังจากไปง้อมาแล้วค่ะ

หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 22 -P.3- 29/11/61
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 07-12-2018 11:17:57
อ่านไปอ่านมาอยากให้คีนรุก 5555555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 23 -P.3- 09/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-12-2018 16:45:38
รูปถ่ายใบที่ 23


เสียงโหวกเหวกของใครบางคนดังเข้ามาในโสตประสาทการรับรู้จนทำลายการผักผ่อนของคนป่วยจนหมดสิ้น ผมย่นหัวคิ้วและพยายามลืมตามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นแต่กลับโดนฝ่ามืออุ่นทาบทับลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยนบังคับให้นอนอยู่กับที่ก่อนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่สอดเข้ามาใต้ลิ้น อ่า พี่ซันกำลังวัดไข้ให้ผมสินะ

“โห สามสิบเก้าองศาเชียว” พี่ซันพึมพำอยู่ใกล้ๆ แต่ผมแทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะด้านนอกคล้ายเกิดสงครามรบขนาดย่อม เสียงผู้หญิงที่น่าจะเป็นพี่ปิ๊งโวยวายลั่นสลับกับเสียงคีนที่คอยห้ามปรามอะไรบางอย่าง เหตุการณ์คงวุ่นวายน่าดู ส่วนคุณหมอก็ใจเย็นวัดไข้ผมได้หน้าตาเฉย คงชินกับนิสัยแฟนแล้วมั้ง

“พี่...” ผมพยายามเปล่งเสียงเรียกพร้อมกับฝืนลืมตา แสงแดดยามสายทำให้ภาพที่มองพร่าเบลอไปชั่วขณะก่อนจะค่อยๆ ชัดขึ้นจนเห็นพี่ซันนั่งอยู่บนเตียงในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นกับกล่องอุปกรณ์ตรวจ สภาพเหมือนเด็กขโมยของพ่อมาเล่นอะ

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ คอแห้งไหม?” พี่ซันชะงักมือที่กำลังเก็บอุปกรณ์ตรวจแล้วหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสมกับเป็นหมอเด็กแต่หน้าตาเขากลับเหมือนพี่เซียนแทบทุกกระเบียดนิ้วเลยทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก็ผมหักอกน้องชายเขานี่เนอะ จะให้วางใจสนิทสนมในทันทีคงไม่ได้

“อือ” ผมครางรับก่อนจะหาวหวอด ลมร้อนๆ ที่ออกมาจากปากบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้มีไข้ปานกลางจนเกือบสูงแถมยังปวดเมื่อยเนื้อตัวไม่อยากลุกไปไหนอีกต่างหาก โอย แย่มาก แล้วไอ้เสียงโวยวายข้างนอกเมื่อไหร่จะเงียบสักทีหนอ ฮือ

“อะ น้ำ” พี่ซันยื่นแก้วน้ำมาให้ ผมพยายามดันตัวลุกขึ้นก่อนจะงับปากลงบนหลอดดูดโดยมีสายตาของพี่ซันมองอยู่ตลอดเวลา รู้สึกเขินแปลกๆ ว่ะ

“หักโหมจนไม่สบายเลยนะเรา” เขาพูดในขณะที่ผมปล่อยหลอดออกจากปาก คำว่าหักโหมทำให้ดวงตามั้งสองข้างเบิกกว้างเพราะเผลอคิดไปถึงเรื่องเมื่อวาน ครั้งแรกก็จัดหนักจัดเต็มจนสลบทั้งคู่ แม่ง แต่มันไม่ใช่สาเหตุที่ผมป่วยสักหน่อย

“ครับ?” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าหักโหมของพี่ซันความหมายคืออะไรกันแน่ ซึ่งก็ได้แต่หวังในใจลึกๆ ว่าคงไม่ตรงกับที่คิดไว้ ในขณะที่รอคำตอบเสียงทางด้านนอกก็เงียบลงเหมือนมีใครมากดปิดสวิตซ์ ระหว่างพี่ปิ๊งกับคีนคงเคลียร์กันได้แล้วมั้ง

“ก็... เรากับคีน จึกๆ กันแล้วไม่ใช่เหรอ?” พี่ซันทำท่าประกอบคำพูดโดยการเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มกันจึ๋งๆ แถมยังยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยจนผมรู้สึกว่าไข้จะขึ้นสูงมากกว่าเก่าเพราะตอนนี้ตัวร้อนหน้าร้อนจัด ได้แต่เบนหน้าหนีก่อนไถลลงไปใต้ผ้าห่มเหมือนเดิม โว๊ย ใครก็ได้มาลากหมออกไปจากห้องที ขอคืนคำชมเรื่องเขาเป็นคนอ่อนโยนด้วย

“อ่า...” ผมอ้าปากหุบปากเหมือนปลาทองหายใจเพราะพูดอะไรไม่ออก เหลือบสายตามองพี่ซันที่ยังไม่เลิกยิ้มสักทีก็ได้แต่ดึงผ้าห่มขึ้นปิดถึงใต้ตา แซวผ่านการแสดงออกทางใบหน้ามันยิ่งเขินหนักกว่าพูดออกมาเป็นคำซะอีก แม่ง เขามารักษาหรือจะทำให้ป่วยหนักกว่าเดิมวะ

“ปิ๊งโมโหใหญ่เลย” คำพูดทีเล่นทีจริงของพี่ซันทำให้ผมหายใจติดขัด พอเหลือบมองไปที่ประตูห้องก็ได้แต่ภาวนาว่าคีนจะรอดปลอดภัยจากเรื่องราวพวกนี้ ผมเป็นคนผิดเองแท้ๆ แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย โคตรรู้สึกแย่ว่ะ เฮ้อ ถ้าไม่ติดว่าเห็นเพดานหมุนคงลากสังขารไปไกล่เกลี่ยด้วยตัวเองแล้ว

“ผม... ขะ ขอโทษ” เสียงสั่นได้อีกครับ

“เฮ้ย มันเรื่องธรรมชาติน่า ปิ๊งเขาก็โวยวายไปงั้นล่ะ เชื่อพี่” พี่ซันตบไหล่ผมปุๆ เพื่อเป็นการปลอบใจแต่เขาคงออกแรงมากไปหน่อยเลยรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งตัว หรืออีกอย่างคงเป็นเพราะพิษไข้ล่ะมั้ง

“แต่ผมอยากออกไป...” อะ พยายามยันตัวลุกขึ้นแต่กลับต้องหงายลงนอนที่เดิมเพราะโดยนิ้วชี้พี่ซันกดลงบนหน้าผาก แม่ง มันรู้สึกหนักจริงๆ นะ ไม่เชื่อลองให้ใครสักคนทำแบบนั้นกับตัวเองดูสิ

“นอนเหอะ ให้พี่น้องเขาเคลียร์กัน เราน่ะไม่สบายอยู่ จะเอาแรงที่ไหนไปสู้ปิ๊งกันล่ะ?”

โอ้โห พูดอย่างกับแฟนตัวเองร้ายกาจเหมือนนางยักษ์อย่างนั้นล่ะ แต่อาจจะจริงก็ได้ในเมื่อเธอโวยวายเสียงดังลั่นห้องขนาดนั้น นี่ดีแค่ไหนที่ไม่มีใครมาเคาะประตูด่า

“แต่...” คือได้น้องชายเขาแล้วไง จะให้ไร้ความรับผิดชอบแบบนี้มันก็ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย ผมต้องแสดงตัวว่าสามารถดูแลคีนได้สิ ถึงจะป่วยมันก็ต้องพยายามไม่ใช่เหรอ

“คีนจัดการได้ ไม่เชื่อใจหรือไง?” แต่ผมกลับโดนพี่ซันยิงคำถามนี้ใส่พร้อมทำหน้าตาจริงจัง ไอ้อาการโทษตัวเองเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป สิ่งที่เขาต้องการสื่อคงเป็นเรื่องความรับผิดชอบของคนทั้งคู่ในเมื่อเป็นผู้ชายเหมือนกันและสามารถดูแลซึ่งกันและกันได้ ไม่ต้องมีฝ่ายไหนพยายามทำตัวเข้มแข็งกว่า ใครพร้อมก็เป็นคนจัดการปัญหาก่อนด้วยตัวเอง

“ถ้าพี่ปิ๊งจะฆ่าผม แค่กๆ พี่ซันช่วยผมด้วยนะ” ผมพูดติดตลกเพราะไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเรากระอักกระอ่วนมากเกินไป พี่ซันไม่ตอบโต้แต่กลับส่ายหัวปฏิเสธช้าๆ สีหน้าเริ่มเข้มขึ้นจากตอนแรก คือมาจริงจังอะไรวะ

“พี่จะช่วยเราก็ต่อเมื่อยอมเป็นแฟนกับเซียน”

ไอ้พี่ซัน มึงไปไกลๆ กูเลยนะ!

“แค่กๆๆๆ” ผมสำลักน้ำลายไอโขลกไม่หยุดหย่อนด้วยความตกใจจนพี่ซันต้องช่วยพยุงแล้วลูบหลังให้เหมือนตอนช่วยเด็กๆ ที่จริงอยากจะลุกมาชี้หน้าด่ามากกว่าไง ใครจะไปยอมเป็นแฟนพี่เซียนวะ ขนลุกตายห่า!

“เฮ้ย พี่ล้อเล่น ทำไมต้องไอด้วยวะ เอาหน้ากากไปใส่เลยไป” อะ ปลอบกันไม่ถึงไหนก็หันไปหยิบหน้ากากอนามัยมาปาใส่หัวแถมยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจปฏิกิริยาที่ผมแสดงออกอีกด้วย แม่ง ทำไมมีแต่คนขี้แกล้งอยู่รอบตัววะ นี่ป่วยนะเว้ย ช่วยอ่อนโยนด้วยหน่อย ฮือ งอแง จะเอาคีนคนเดียว!

ทะเลาะกับพี่ซันจบก็โดนบังคับให้กินยาแล้วนอนพักผ่อนต่อแต่ผมกลับดื้อดึงอ้อนวอนว่าอยากออกไปนอกห้องเพราะอากาศข้างในอุดอู้เลยถูกคุณหมอสวดยับจนขี้หูแทบเต้นระบำได้ สุดท้ายเลยต้องยอมแพ้หลับตาเข้าสู่นิทราจนได้

กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่โดนอะไรเย็นๆ ทาบลงบนหน้าผากค่อยๆ ไล้ลงมาที่ลำคออย่างแผ่วเบา ผมพยายามปรือตาขึ้นมองคนที่กำลังดูแลกันแต่กลับโดนนิ้วอุ่นจิ้มลงมาบนปลายจมูกก่อนจะโดนจับโยกไปมา โธ่ ไม่ใช่ของเล่นนะครับคีน

“เมื่อไหร่จะหายป่วยสักทีหืม?” คีนเคาะนิ้วลงบนปลายจมูกของผมสองสามครั้งก่อนจะเริ่มขยับผ้ามาเช็ดบริเวณแขนไล่ไปจนถึงหน้าท้องที่โดนถลกเสื้อขึ้นถึงหน้าอก เผลอมองการกระทำของเขาเพลินจนลืมตอบคำถามเลยโดยหยิกหัวนมไปหนึ่งที โอย เจ็บฉิบหาย

“หยิ่งเหรอไง? ถามไม่ตอบเนี่ย” อะ ดีดหัวนมอี๊ก เจ็บครับ โธ่ ตอบช้านิดหน่อยต้องทำโทษด้วยเหรอ ถ้าไม่ติดว่าป่วยจะจับคีนกดให้ช้ำเลย

“เปล่าครับ แค่มองอะไรเพลินๆ น่ะ”

“มองเราด้วยตาเยิ้มๆ แบบนั้นเดี๋ยวก็มีเรื่องหรอก”

“หือ?” ผมครางในลำคอพลางขมวดคิ้วมองคีนด้วยความสงสัย คือไม่ได้มีอารมณ์แต่ที่ตาเยิ้มเพราะพิษไข้ครับคุณ ตอนนี้คึกคักไม่ไหวหรอก ปวดตัวจะตายอยู่แล้ว แค่ขยับปากคุยยังลำบากเลย เจ็บคอ แค่กๆ

“กิมตอนนี้โคตรน่ารังแกเลย” อะ มีความมันเขี้ยวไปอีกเพราะคีนเอื้อมมือมาดึงแก้มผมจนยืด โห เห็นคนป่วยเป็นของเล่นเหรอแฟน

“แค่กๆ จะทำอะไรเรา?” ผมถามก่อนจะไอออกมาอีกครั้งจนคีนต้องหยิบหน้ากากอนามัยชิ้นใหม่ส่งให้ใส่ ป้องกันไว้ดีกว่าต้องมานั่งรักษากันภายหลัง ผมจัดการสวมมันเป็นจังหวะเดียวกับที่เขามองกันด้วยสายตาแวววาว

“ก็... ให้เรา ‘กอด’ คืนสักทีดีไหม? เพื่อจะหายไวขึ้นไง”

โว๊ย สำลักน้ำลายตายไปเลยดีไหมเนี่ย ไม่เอ๊า!

“โอย ดะ เดี๋ยวก็หายแล้ว แค่นี้สบาย แค่ก มาก!” ผมรีบปฏิเสธจนลิ้นแทบพันกัน มือไม้โบกไปมาตรงหน้าด้วยท่าทางตื่นกลัว แค่คิดก็เสียงสันหลังวาบแล้ว ถ้าโดนกอดจริงๆ จะมีสภาพเป็นแบบไหนวะ แต่ตอนที่คีนรับอารมณ์ผมล่ะ... เจ็บมากไหมนะ

“หึหึ รีบปฏิเสธเชียวนะ” คีนหัวเราะเสียงต่ำก่อนจะใช้มือบีบจมูกของผมส่ายไปมา ดูก็รู้ว่าหมั่นไส้กันแรงมาก โธ่... ก็อยากให้ตำแหน่งมันชัดเจนไง ไม่ต้องสลับกันให้เหนื่อยงี้ (ใช่เหรอ?)

“แหะๆ หิวจัง” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องก่อนจะถือวิสาสะวางศีรษะลงบนต้นขาขาวๆ ของคีน แอบสูดหายใจเอากลิ่นหอมเฉพาะตัวเข้าปอดไปด้วย อืม เหมือนจะรู้สึกเคลิ้มอีกแล้วสิ แต่ข้าวเที่ยงก็อยากกินไง ลำบากใจจัง

“อื้ม ลุกไหวปะ?” คีนยืดตัวไปด้านข้างเพื่อวางผ้าขนหนุเปียกไว้บนขอบกะละมังก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมหลับตาลงประเมินสภาพร่างกายตัวเองครู่หนึ่ง หัวปวดน้อยลง เพดานห้องไม่หมุนแล้ว ลุกขึ้นเดินไปมาคงไม่ตายหรอกมั้ง

“คิดว่าไหวนะ” ผมตอบคำถามพร้อมกับลืมตามองคีนที่ยังไม่ขยับห่างไปไหน เขาพยักหน้ารับก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา โอย รู้สึกเหมือนไข้จะขึ้นเพราะความอ่อนโยนอะ แพ้แฟนโหมดอบอุ่นชะมัด

“งั้นเดี๋ยวออกไปข้างนอกกัน”

“หืม จะไปไหน?”

“บ้านเรา”

“ห๊ะ?”

“แม่เรียกคุยน่ะ”

“เดี๋ยว...”

“พี่ปิ๊งโทรบอกแม่เรื่องเรากับกิมเรียบร้อยแล้ว”

“.....” รู้ซึ้งถึงคำว่าใบ้แดกก็วันนี้ล่ะ คือไม่เคยคิดว่าพี่ปิ๊งจะบอกเรื่องเราสองคนกับคุณป้าจริงๆ แบบนี้ เชื่อมาตลอดว่าเธอก็แค่ขู่เพราะอยากให้ไปดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนซะอีก แต่ถ้าคิดเยอะขึ้นอีกหน่อยจะพบว่าเหตุผลที่แท้จริงมาจากความสัมพันธ์ที่ขยับขึ้นอีกขั้นต่างหาก ลึกซึ้ง จริงจังกว่าในตอนแรกคบ คงถึงเวลาแล้วที่ต้องทำอะไรๆ ให้ชัดเจน

“สู้ไหม?” คีนถามด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมรู้สึกแกร็งไปทั้งตัว ไอ้สู้น่ะมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่มันเร็วเกินไปจนไม่ได้เตรียมการอะไรเลยนี่สิ ถ้าคุณป้ารู้แม่ผมก็รู้ไง คราวนี้ยับเยินกันทั้งสองฝ่ายแน่ๆ จะมีปัญหาลูกเขยกับแม่ยายปะเนี่ย เครียดเว้ย

“ยังไม่ทันเตรียมใจเลยว่ะ แค่กๆ แต่เราสู้เต็มที่” ผมทำท่ามุ่งมั่นจนคีนหลุดหัวเราะจนตัวงอลงมานอนข้างๆ กัน ดวงตารีฉายแววขี้เล่นทำให้ผมแอบหวั่นใจว่าจะโดนแกล้งอะไรอีก คือคนป่วยมันตอบโต้ไม่ได้ไงโว๊ย หายเมื่อไหร่ทบต้นทบดอกแน่ จำไว้!

“ทำตัวน่ารังแกอีกแล้ว จับฟัดสักทีดีปะเนี่ย?” คีนขยับตัวขึ้นคร่อมกันอย่างรวดเร็วแถมยังโน้มหน้าลงมาจนปลายจมูกสัมผัสข้างแก้ม ลมหายใจของผมสะดุดกึก ดวงตาคมเบิกโตด้วยความตกใจ สถานการณ์แบบนี้โคตรน่ากลัวเพราะไม่มีแรงโต้ตอบกลับนี่ล่ะ โวย ไม่แกล้งกันแบบนี้สิแฟน ถ้าช็อกตายใครจะรับผิดชอบเนี่ย

“อย่าเลย ระ เราไม่สบายอยู่ เดี๋ยวคีนติดหวัดนะ” ผมยกมือสั่นๆ ขึ้นแตะหน้าอกของคีนก่อนพยายามออกแรงผลักเขา เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสดใสร่าเริง รอยยิ้มทะเล้นผุดขึ้นตรงมุมปาก โธ่ ไอ้คนขี้แกล้งเอ๊ย มีความสุขมากสินะ มันเขี้ยว!

“กลัวโดนกดคืนก็บอกมาเหอะ” แหนะ ยังไม่เลิกแซวกันอีกเหรอ ก๋ากั๋นจังวะคนเรา

“รู้ทันตลอดเลยคนนี้” ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะก่อนเอื้อมมือไปบีบจมูกได้รูปของเขาโยกไปมาด้วยความมันเขี้ยว คีนไม่ได้แสดงอาการรำคาญยิ่งไปกว่านั้นคือการยิ้มทะเล้นกวนอารมณ์กันนี่ล่ะ ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ แต่ก่อนไม่เคยเจ้าเล่ห์ขนาดนี้สักหน่อย

“นี่ใครครับ แฟนกิมทั้งคนเชียวนะ” อะ ใส่มาขนาดนี้จะให้ผมรู้สึกอะไรนอกจากเขินจนต้องเม้มปากกลั้นยิ้ม ใครที่ไหนเขาสอนให้อ่อยในขณะที่ตัวเองคร่อมคนอื่นอยู่แบบนี้ล่ะครับคุณ ถ้าผมสบายดีคงกดจับคาเตียงไปแล้ว

“อื้ม แฟนเราเอง รักมากด้วยนะ” ผมคลี่ยิ้มหวานใส่คีนในขณะที่เจ้าตัวมีท่าทางอึกอักไม่กล้าสบตาทั้งยังรีบลนลานขยับหนีออกจากเตียง ท่าทางแบบนี้ไม่ต้องคิดให้เหนื่อยก็รู้ว่าเขากำลังเขินแถมมีหลักฐานมัดแน่นหนาด้วยหูและแก้มที่แดงเถือก เนี่ย คนน่ารักมันคือนายคนินท์ต่างหาก

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป เดี๋ยวเรารอข้างนอก” แหนะ พอสู้ไม่ได้ก็ไล่คนอื่นเขาแบบนั้น หึหึ ผมนี่ยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้ว อยากหายป่วยไวๆ จัง

“เดี๋ยวครับ” ผมรีบรั้งคนที่กำลังก้าวขาออกจากห้องแล้วเดินไปแตะลาดไหล่กว้างเอาไว้ คีนเหลียวหลังมองพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรด้วยใบหน้าที่ยังติดริ้วสีแดงแห่งความเขิน โธ่... รักเขาจัง

“หืม?”

“เอ่อ... เจ็บมากหรือเปล่า?” ผมหลุบตามองต่ำตรงตำแหน่งนั้นเพื่อสื่อความหมายแต่กลับโดนคีนทุบเข้ากลางหัวเต็มๆ จนตกยกมือขึ้นลูบบรรเทาความเจ็บ ใบหน้าหล่อมีริ้วสีแดงเพิ่มมากกว่าเก่า เขาแค่เขินไม่ได้โกรธใช่ไหมนะ กลัวใจฉิบหาย คือไม่ได้ดูแลหลังจากเสร็จกิจกรรมด้วยไง...

“เจ็บสิ ครั้งแรกนะเว้ย” คีนโวยวายเสียงเขียวแต่ใบหน้ากลับแสดงความเขินออกมาอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่โกรธเราเว้ย แต่ยังไงก็รู้สึกผิดอยู่ดีที่ทำให้เจ็บ อ่า สงสัยความหื่นบังตาไปหน่อย

“เราขอโทษ” เพราะสำนึกผิดเลยพูดไม่ใช่ว่าต้องการให้เขามองเราเป็นคนดี แต่คีนกลับส่ายหน้าพลางคลี่ยิ้มบางก่อนจะเอื้อมมือมาแตะที่แก้มทั้งสองข้าง สายตาที่มองก็อบอุ่นจนเหมือนเอาตัวไปยัดอยู่ในเตาอบ คุณแฟนแม่ง...

“เราเจ็บก็จริงแต่มีความสุขไง กิมไม่ต้องขอโทษสักหน่อย แล้วก็เลิกขมวดคิ้วด้วย เดี๋ยวไม่หล่อนะรู้ไหม?” อะ ดึงแก้มผมอย่างเมามันแถมยังขยับเข้ามากัดปลายจมูกให้สะดุ้งเล่นๆ เนี่ย คนขี้อ่อยแต่ทำไม่รู้ไม่ชี้เก่งนัก มันต้องโดนรัดแน่นแล้วถูกระดมจูบ หึหึ

“โธ่ เราเคยหล่อด้วยหรือไง มีแต่คนบอกว่าหน้าดุอย่างกับหมา” ระหว่างที่แต๊ะอั๋งแฟนก็พึมพำถามเสียงอู้อี้ไปด้วย คีนไม่ได้ขัดขืนแต่ก็แอบหยิกเอวผมบ้างบางครั้ง นี่เขาเรียกว่ายอมเจ็บแลกความฟิน

“หล่อสิ สำหรับเราน่ะนะ” คีนยิ้มหวานฉ่ำในขณะที่ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ แล้วปล่อยให้เขาหนีหลุดมือไป โอย หัวใจจะวายตายครับ โดนแฟนชมแบบนี้เนี่ย ถ้าหายป่วยเมื่อไหร่จะจัดสักสองดอก!

ตอนนี้สถานการณ์เหมือนทั้งเมืองกำลังตกอยู่ในสงครามเย็นเนื่องจากต่างฝ่ายต่างใช้สายตากดดันมากกว่าการพูดคุย ผมนั่งอยู่ข้างๆ คีนโดยที่ฝั่งตรงข้ามเป็นแม่และคุณป้าที่ทำท่าทีเคร่งขรึมน่ากลัวเกินกว่าจะแสดงความยินดีเรื่องที่เราคบกัน หรือที่จริงแล้วผู้ใหญ่แค่พูดเล่นไปอย่างนั้นไม่ได้เปิดกว้างเรื่องความรักของเพศเดียวกัน

“เจ้ากิม” เสียงทุ้มหวานของแม่เอ่ยเรียกชื่อทำให้ผมสะดุ้งเฮือกเพราะสายตาวาววับที่มองมาอย่างไม่ลดละ บรรยากาศรอบตัวเริ่มหนักอึ้งมากกว่าเก่าในขณะที่คีนไม่ได้แสดงอาการเครียดแต่อย่างใด โอย อารมณ์ไม่คล้อยไปตามกันสักคนเลยอะ ผมควรจะทำยังไงดีเนี่ย

“ครับแม่” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้ราบเรียบ ดวงตาคมมองสบคนเป็นแม่สลับกับคีนที่ยื่นมือมาแตะแขนเป็นการให้กำลังใจ เอาจริงผมอาจจะเครียดมากไปเองก็ได้มั้ง ทางด้านคุณป้าก็ไม่ได้ทำหน้ายักษ์อะไรแต่ก็นิ่งเกินกว่าจะคาดเดาความคิดเหมือนกัน

“คบกันแม่ไม่ว่าแต่มันเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นได้ยังไงกัน?” แม่เอื้อมมือมาตีลงบนต้นขาของผมแล้วมองด้วยสายตาคาดคั้นต้องการคำตอบ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีกีดกันเราออกจากกันเพราะเธอยังปล่อยให้ผมกับคีนนั่งใกล้กันแตะเนื้อต้องตัวกันตามปกติ ส่วนคุณป้าก็ทำแค่เพียงรอฟังอยู่เงียบๆ อย่างใจเย็น

“ผม... ขอโทษครับ” ได้แต่ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนพร้อมกับกล่าวคำขอโทษเพราะไม่มีอะไรจะแก้ตัวในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว ทั้งหมดคือความสมัครใจของเราเอง ผมเข้าใจสิ่งที่แม่พยายามคาดคั้นเอาคำตอบเนื่องจากรู้ดีว่าความรักประเภทนี้ในสายตาของคนทั่วไปคือความไม่มั่นคง บางครั้งอาจเป็นช่วงวัยของการอยากรู้อยากเห็น พอเบื่อก็ทิ้งขว้างแล้วกลับไปสู่ธรรมชาติที่ควรเป็น

“ผมก็ขอโทษเหมือนกันครับ” คีนเอ่ยขอโทษไม่ต่างจากผม สีหน้าของเขามีความเครียดแสดงให้เห็นเล็กน้อยในขณะที่มืออุ่นๆ สอดเข้ามาประสานกันเหมือนต้องการให้กำลังใจ โธ่ มันควรเป็นผมที่เริ่มทำอะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ หมดกันความหล่อเท่ แม่จะเชื่อไหมว่าสามารถดูแลลูกชายคนอื่นได้

“ป้าก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรเรื่องที่ทั้งคู่จะคบกันนะ แต่พวกลูกเพิ่งเรียนแค่มหา’ลัย แน่ใจแล้วเหรอว่ารับผิดชอบความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันได้จริงๆ ไหนจะแรงกดดันจากสังคม สารพัดปัญหารออยู่ข้างหน้า ว่ายังไงคะ?” อะ ขึ้นต้นด้วยการแทนตัวเองว่าป้าก็ต้องถามผมใช่ไหมล่ะ ไอ้เราก็ไม่ได้เตรียมคำตอบมาก็เลยอึ้งไปเล็กน้อยจนเผลอเงียบไป แต่ได้สติตอนที่รู้สึกถึงแรงบีบเบาๆ ในอุ้งมือ อืม... กำลังใจดีเยี่ยมเลยล่ะ

“ผมก็ไม่แน่ใจว่าอนาคตต่อไปเป็นยังไง แต่ในวันนี้คีนคือคนที่ผมรัก อยากดูแลให้ดีที่สุดและจะไม่ทำให้เสียใจเด็ดขาด” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นโดยที่ไม่หลบตาแม่กับคุณป้าเลยสักนิดเพราะมั่นใจว่าตัวเองทำได้ตามที่กล่าวไปทั้งหมด คีนเป็นมากกว่าความรักซะอีก แต่จะให้คนขรึมๆ อึนๆ อธิบายออกมาแบบละเอียดละออคงทำไม่ได้

“เลี่ยนว่ะ” เสียงพึมพำข้างหูทำให้ผมหันขวับไปมอง เห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของคีนแล้วความเครียดขึงต่างๆ ก็ลดลงอย่างน่าอัศจรรย์ เวลาแบบนี้เขาปรับอารมณ์เก่งจังเนอะ แบบนี้จะไม่ให้รักได้ยังไงกัน

“โอย ลูกฉัน! พูดอะไรซึ้งๆ ก็เป็นกับเขาด้วยเหรอเนี่ย?” อยู่ๆ แม่ก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อครู่พวกเรายังอยู่ในบรรยากาศจริงจังไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ผ่านมาคือการเล่นละคร และเหมือนว่าผมกับคีนคิดอย่างเดียวกันเลยหันขวับมองอีกฝ่ายทันที

“กิมเขาก็เป็นคนน่ารักแบบนี้อยู่แล้วนี่” อะ แม่คีนก็เป็นไปกับเขาด้วยเว้ย เฮ้ย ช่วยสนใจพวกผมที่กำลังอ้าปากอยู่หน่อย ง๊ง!

“เธอเข้าข้างลูกเขยมากไปนะ”

เดี๋ยว...

“เธอน่ะสิ ห่วงลูกสะใภ้มากไป”

พวกแม่ๆ กลับมาก๊อน อย่าเพิ่งไปถึงดาวอังคาร!

“เอ่อ...” คีนถึงกับพูดอะไรไม่ออกในขณะที่ผมสติหลุดไปไกลแล้ว ไอ้เขินมันก็เขินทั้งคู่นั่นล่ะแต่อึ้งกับการกระทำของผู้ใหญ่สองคนตรงหน้ามากกว่า ตามไม่ทันเว้ย!

“พวกแม่ๆ ไม่ได้จะว่าอะไรทั้งสองคนหรอกค่ะ แค่อยากทดสอบอะไรนิดหน่อย เอาเป็นว่าสอบผ่อนเนอะ”

จ้า เอาเป็นว่าพวกผมรับทราบว่าผ่านการทดสอบแล้วกันครับ โว๊ย งงเป็นไก่ตาแตกเลยเนี่ย

หลังจากผ่านเรื่องชวนปวดหัวไปได้ผมก็โดนทุกคนสั่งให้ขึ้นมานอนพักบนห้องส่วนคีนออกไปทำธุระกับคุณป้าคงกลับช่วงเย็นๆ แม่ขอตัวกลับร้านเพชร สรุปคือไอ้กิมถูกทิ้งครับ โธ่ แล้วแบบนี้ใครจะหลับลง เปล่าเปลี่ยวหัวใจขนาดนี้

ผมดันตัวลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับหัวเตียงก่อนจะเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ที่อยู่ไม่ไกลเพื่อเปิดดูนั่นนี่ฆ่าเวลารอคีนกลับมา ดูเป็นคนที่รักและหลงแฟนมากเลยเนอะ สมาคมกลัวเมียอยู่ที่ไหนครับ ผมจะไปสมัครแล้ว เฮ้อ คิดถึงจัง (ได้ข่าวว่าห่างกันยังไม่ถึงสองชั่วโมง)

หลังจากที่เราทั้งคู่ตกลงเป็นแฟนกันนั้นดูเหมือนว่าบางสิ่งถูกลืมเลือนไป แอปพลิเคชั่นที่ครั้งหนึ่งผมเคยเปิดมันทุกวัน เฝ้าคอยว่าเขาจะอัปเดตรูปเมื่อไหร่แต่ในตอนนี้กลับไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่เนื่องคีนอยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา ทว่าเรื่องการแอบถ่ายเขาทีเผลอไม่เคยลดลงเลย ถ้าเปิดแกลอรี่ในโทรศัพท์ดูจะพบว่ามีภาพของนายคนินท์เกือบทุกอริยบถจริงๆ ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคจิตวะ โอย

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะไหลลงไปนอนบนเตียงอีกครั้งเพราะยังรู้สึกเพลียจากพิษไข้และฤทธิ์ยา แต่ด้วยความดื้อไม่อยากนอนทำให้นิ้วยังคงขยับไถหน้าจอโทรศัพท์กดเข้าแกลอรี่เพื่อดูภาพถ่ายที่เก็บเอาไว้ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ส่วนใหญ่ทุกคนคงเดาได้ว่าเป็นรูปของคีน และใช่ ผมลั่นชัตเตอร์ตั้งแต่ตอนนั้น... สะสมมาตลอดระยะเวลาสองปี คิดดูสิว่าจำนวนมันมหาศาลขนาดไหน ถ้าเขารู้ความลับข้อนี้คงโดนสวดยับแน่ๆ

ครืด

เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้ผมเผลอสะดุ้งจนเกือบปล่อยมันทิ้งเนื่องจากหน้าจอแสดงข้อความแจ้งเตือนว่าคีนได้อัปเดตรูปบางอย่างในไอจีขณะที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมรีบกุลีกุจอกดเข้าไปดูทันที รอยยิ้มค่อยๆ ผุดขึ้นตรงมุมปากก่อนจะกว้างขึ้นจนแทบฉีกถึงรูหู โอย แฟนใครทำไมน่ารักขนาดนี้วะ

รูปที่คีนอัปฯ คือตอนที่ผมนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงในคอนโดเมื่อคืนนี้ สภาพอย่างกับซอมบี้หัวยุ่งเหยิงแต่แคปชั่นกลับทำให้ทุกอย่างดูสดใสขึ้นทันตา เนี่ย ถ้าอยู่ใกล้กันผมคงจับเขามาหอมแก้มหนักๆ แล้ว

‘แฟนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ป่วยง่าย ว่าไหม?’

แบบนี้เขาเรียกว่าอวดแฟนได้ปะวะ อูย ผมขอมโนหน่อยแล้วกันเนอะ รู้สึกว่าหายป่วยไปเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วจ้า

จากที่ตั้งใจว่าจะรอคีนกลับมาโดนไม่นอนแต่สุดท้ายก็รู้สึกตัวตื่นเอาตอนที่ได้ยินเสียงปลุกข้างๆ หู ผมสะลึมสะลือเนียนดึงเขามากอดเอาไว้แนบอกพลางแอบสูดกลิ่นกายที่คุ้นเคยเข้าเต็มปอด ฮื้อ โคตรหอม หลงจนโง่หัวไม่ขึ้นแล้วจ้า เนี่ย คนหลงแฟนมันก็อารมณ์แบบนี้ล่ะ ห่างแค่อึดใจแต่เหมือนแรมปี

“ตื่นแล้วใช่ไหมไอ้คนเจ้าเล่ห์?” คีนถามด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ก่อนจะใช้กำปั้นทุบลงมากลางกระหม่อม ผมหลุดร้องโอ๊ยแล้วคลายอ้อมกอดทันที ฟินไม่ถึงไหนก็โดนรู้ทันซะแล้ว นี่ล่ะข้อเสียของคนมีแฟนฉลาด เฮ้อ

“กอดนิดๆ หน่อยๆ เอง” ผมพึมพำเสียงเบาพร้อมกับทำหน้าหงอย ช้อนตามองคีนอย่างออดอ้อนจนโดนเบ้ปากใส่ก่อนที่กำปั้นลุนๆ จะกระแทกเข้าที่ข้างแก้มไม่แรงมาก โอย ใจผมนี่เต้นตุบตับนึกว่าคงโดนยำตีนซะแล้ว

“เดี๋ยวเอาหวัดมาติดเราก็แย่สิ” คีนว่าเสียงฉุนแต่หน้าตาไม่ได้จริงจังหรือแสดงความไม่พอใจออกมา จะมีก็แต่รอยยิ้มทะเล้นเมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของผมที่กำลังเบิกตาโตเหมือนเพิ่งคิดอะไรได้ เออว่ะ ถ้าเขาป่วยพร้อมผมก็แย่สิ โธ่ ไอ้กิมนี่มันโง่จริงๆ เลย

“โทษที ลืมคิดไปเลย”

“อื้อ รู้สึกดีขึ้นหรือยัง?” คีนเอื้อมมือมาแตะวัดอุณหภูมิบนหน้าผากของผมก่อนพยักหน้าคล้ายกับพอใจอะไรบางอย่าง ถ้าให้เดาความร้อนคงลดลงไปมากแล้ว

“ก็... ไม่ปวดหัวแล้วครับ” เพราะผมรู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว จะเดินเหินไปไหนคงไม่มีอาการหน้ามืด

“งั้นลงไปกินมื้อเย็นแล้วกลับคอนโดกัน” คีนผุดลุกขึ้นจากเตียงแล้วก้าวขาตรงไปที่ประตูห้อง ในขณะที่ผมยังคงพยุงตัวเดินตามเขาช้าๆ คือไม่มั่นใจสภาพตัวเองสักเท่าไหร่

“โอเค เอ่อ คีน...” ผมเรียกชื่อเขาในขณะที่ตัวเองเพิ่งออกเดินได้แค่เพียงไม่กี่ก้าว คีนชะงักเท้าก่อนจะหันมาสบตาและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ว่า?”

“คืนนี้ขอ... นอนด้วยได้ไหม?” ผมอึกอักในประโยคแรกแต่พูดเร็วปรื๋อในประโยคหลังจนเผลอสำลักน้ำลายไอโขลก เดือดร้อนคีนต้องเดินเข้ามาลูบหลังให้ ดูเผินๆ ก็เป็นห่วงเป็นใยกันดีแต่เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ได้ยินคืออะไรเนี่ย ไม่ตลกนะแฟน ซีเรียสครับ!

“เสียใจด้วยนะกิม แต่วันนี้ยาวไปจนถึงสิ้นเดือนหน้าพี่ปิ๊งจะไปอยู่คอนโดกับเราล่ะ” คีนพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผละออกไปยืนยักคิ้วให้กัน ผมที่เพิ่งหายจากการไอกลับอ้าปากพะงาบๆ หาคำพูดไม่เจอ เมื่อครู่อะไรปิ๊งๆ นะ ทำไมหลอนประสาทแบบนี้



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 23 -P.3- 09/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 09-12-2018 16:46:01
“ห๊ะ ทะ ทำไม?” จะไปอยู่ที่คอนโดจริงๆ ดิ แล้วผมจะทำยังไงล่ะคราวนี้ โอ๊ย ความรักต้องมีบทสดสอบล้านแปดเหรอไงเนี่ย!

“เขาบอกว่าแม่ให้พวกเราผ่านบทสดสอบง่ายเกินไปน่ะนะ” คีนไหวไหล่พลางถอนหายใจยาวๆ แต่ใบหน้าก็เปื้อนยิ้มในแบบฉบับคนปลงชีวิตและความเป็นพี่ปิ๊งที่ดูจะหวงน้องชายมาก แต่ผมกลับทำตามปล่อยไปตามน้ำไม่ได้เพราะเดือนนึงเป็นเวลาที่นานมาก... ฮือ อยากอยู่ใกล้เขานี่หว่า แอบรักมาตั้งเป็นปีๆ เชียวนะ

“โหย นี่กะจะให้เราลงแดงตายเลยใช่ไหมเนี่ย?” ผมร้องโหยหวนพร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าผากหลายๆ ครั้งด้วยความรู้สึกงุ่นง่านเพราะหาทางออกไม่ได้ คือยังไงพวกเราก็ไม่สามารถห้ามพี่ปิ๊งได้

“แค่ไม่ได้นอนด้วยกันเอง อะไรจะขนาดนั้น?” คีนขมวดคิ้วมองมาอย่างคาดคั้น ส่วนผมได้แต่เบนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะเหตุผลที่งอแงอยู่ตอนนี้มันผสมปนเปทั้งดีและไม่ดีเต็มไปหมด เออ ง่ายๆ คือคนเป็นแฟนกันมันก็ต้องมีเรื่องอย่างว่ากันบ้างปะวะ โธ่ สองเดือนครั้งก็แห้งเหี่ยวไปจ้า

“เรา... อยากนอนกอดคีนนี่นา” เสียงเบายิ่งกว่ากระซิบอีกเว้ย แบบนี้คีนคงไม่เชื่อเหอะ

“แน่ใจว่าอยากกอดแค่อย่างเดียว?” อะ มองผมด้วยสายตาแวววาวแบบนั้นคือรู้ความหมายแฝงแล้วใช่ไหม โธ่ ไม่น่าเลยไอ้กิม

“ก็... อย่างอื่นอีกนิดหน่อย” ผมหัวเราะแห้งๆ พลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ

“หื่นนะเรา” คีนหรี่ตามองก่อนจะเอื้อมมือมาผลักหัวกันจนเกือบโขกโดนกรอบประตู หูย ใจหายวายเลยจ้า

“ปฏิเสธได้ไหม?” ผมแสร้งถามในขณะที่มือข้างหนึ่งเลื้อยไปโอบกระชับเอวสอบของคีนอย่างเนียนๆ เขาไม่ได้ว่าอะไรสักคำแต่ปากที่ขยับแยกเขี้ยวนี่น่ากลัวฉิบหายเลยจ้า

“คงไม่ได้หรอก แสดงออกทางหน้าตาจนเราหมั่นไส้แล้ว”

ป๊อก โดนดีดหน้าผากจนได้จ้า แต่ยอมเจ็บตัวเพราะแฟนน่ารัก ฮือ มีจุ๊บจมูกปลอบใจด้วย อ๊าก คีนๆๆๆๆๆ

“ครับๆ ยอมแพ้แล้ว” ผมยกมือขึ้นยอมแพ้แต่ปากกลับยิ้มกว้างเพราะการกระทำของคีนเมื่อครู่นี้ ยิ่งได้เห็นใบหน้าแดงก่ำของเขาแล้วยิ่งรู้สึกอยากจับกดลงเตียงซะเดี๋ยวนี้เลย ไม่กินมื้อเย็นแล้วได้ไหมล่ะ มีขนมหวานอยู่ตรงหน้าเชียวนะ หูย

จบบทสนทนาพวกเราก็เดินลงบันไดอย่างไม่เร่งรีบ ผมนำหน้าส่วนคีนตามหลังเพราะเขากลัวว่าคนป่วยจะสลบระหว่างทาง นั่นก็เป็นห่วงเกินเหตุไปครับแต่ก็น่ารักดี ยิ่งทำให้หลงรักมากขึ้นอีกเลยเนี่ย

“กิม...”

“หืม?” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ผมหยุดชะงักเท้าอยู่ตรงตีนบันไดก่อนจะหันไปสบตากับคีนที่มีท่าทางอายแปลกๆ หรืออยากบอกรักกันตอนนี้? โอย ขอเตรียมตัวหน่อยได้ไหม เดี๋ยวเขินจนแต๋วแตกทำไงอะ

“ถ้าพี่ปิ๊งกลับมาอยู่บ้านเมื่อไหร่กิมก็ไม่ต้องรบกวนปอมแล้วนะ” อะ พูดกับผมแต่ตามองขั้นบันไดแบบนี้มีพิรุธม๊าก แต่เรื่องที่บอกว่าไม่ต้องรบกวนไอ้ปอมนี่... คือยังไงวะ

“หา?”

“ย้ายมาอยู่กับเราที่ห้องไง”

“เฮ้ย...” ผมช็อกจ้า พูดอะไรไม่ออก เหมือนความฝันในวัยเด็กกลายเป็นจริงขึ้นมาชั่วพริบตาแบบไม่ทันตั้งตัวอะ คือแบบ... โอ๊ย หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมาจากอกแล้วเนี่ย ร้ายกาจจริงๆ คุณคนินท์!

“ก็เราเคยสัญญากับกิมไว้ ลืมแล้วเหรอ?”

“มะ ไม่ลืมๆ แต่เราคิดว่าคีนพูดเล่นอะ” ผมสารภาพความจริงที่คิดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ตอนนี้ความดีใจมันตีตื้นในอกจนไม่สามารถควบคุมให้มันเป็นปกติได้อีกแล้ว ถ้าไม่ติดว่าคุณป้ายังอยู่ในบ้ายหลังนี้ด้วยคงจับลูกชายเขาฟัดจริงๆ นั่นล่ะ ถ้าติดหวัดค่อยดูแลทีหลังแล้วกันเนอะ มันเขี้ยวเว้ย!

“งั้นอยู่กับปอมต่อไปเลย” เอ้า สะบัดบ๊อบงอนกันเฉยเลย แถมเดินหนีอีกด้วย กลับมาก่อนสิครับที่รัก ~

“เฮ้ยๆ ไม่เอาดิ กิมจะอยู่กับคีน” ผมรีบวิ่งไปกอดเขาจากด้านหลังแล้วใช้จมูกถูไถตรงลาดไหล่กว้างเป็นการอ้อน โอกาสมาเกยถึงหน้าแล้วใครจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปได้ล่ะวะ อยู่กับคีน ใช้ชีวิตร่วมกับคีนอาจเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเราแต่ผมก็พร้อมเริ่มต้นและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีพอและพอดี

“ขี้อ้อนเอ๊ย” คีนหัวเราะก่อนจะหันมากอดตอบผมแบบเต็มรัก โอย ซี่โครงจะหักแต่ดันมีความสุขอะคนเรา

“ตัวเองก็ขี้อ่อยเหมือนกันนั่นล่ะ” ผมกระซิบบอกในขณะที่คียพยักแล้วระเบิดเสียงหัวเราะหนักกว่าเดิม ถือว่าเรื่องนี้เราศีลเสมอกันเนอะ



--------------------------------------------------------

คีนน่ารักมากคิดเหมือนเราปะ? ส่วนกิมอะ กากแบบเสมอต้นเสมอปลายสุดๆ 55555
เหลืออีก 1 ตอน กับ 1 บทส่งท้ายจะจบแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 23 -P.3- 09/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 15-12-2018 05:57:08
โอ้ย! น่ารัก :o8:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 24 -P.3- 16/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-12-2018 15:07:27
รูปถ่ายใบที่ 24



ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าที่ผมโคตรมีความสุขเพราะว่าลืมตาตื่นมาแล้วเจอคีนนอนอยู่ข้างๆ เนื่องจากเมื่อคืนพี่ปิ๊งต้องอยู่แก้ชุดเจ้าสาวให้ลูกค้าที่ร้านจนดึกดื่นเลยขอกลับบ้านแทนที่จะลากสังขารมาคอนโดซึ่งอยู่ไกลกว่า พอมีโอกาสผมเลยจัดการใช้มารยาออดอ้อนเขาและได้ผลลัพธ์อย่างที่เห็น ผมเก่งใช่ไหมล่ะ? แต่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างนอกจากกอดธรรมดาๆ ก็วันนี้ดันมีงานถ่ายพรีเวดดิ้งนอกสตูฯ น่ะสิ โธ่ เซ็งเลย

ผมพยายามบันทึกภาพตรงหน้าเข้าสู่สมองเพื่อจดจำทุกช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน เมื่อพอใจแล้วก็ถึงคราวต้องปลุกคีนให้ตื่นสักทีเพราะนัดถ่ายงานไว้ตอนเก้าโมงเช้าแถวๆ เกษตร - นวมินทร์ เจ้าบ่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเพราะเป็นรุ่นพี่ในคณะซึ่งเรียนจบไปแล้วแถมยังเป็นสายรหัสของผมอีก เออ ก็ยินดีกับเขาด้วยแต่ก็หงุดหงิดตรงที่มันต้องเป็นวันนี้นี่ล่ะ เฮ้อ อยากอยู่กับแฟนไง!

“คีน... ตื่นได้แล้ว” ผมเอื้อมมือไปจับแขนคีนแล้วออกแรงบีบเพื่อเป็นการปลุก ว่าจะแถมด้วยการมอร์นิ่งคิสสักหน่อยแต่เจ้าตัวดันขยับเข้ามารวบกอดเอวผมซะอย่างนั้น อืม... แบบนี้ก็อุ่นดีแต่มันแย่ตรงที่น้องชายน่ะสิ โว๊ย อย่าปลุกอารมณ์กันเลย ทรมานนะยู ~

“อือ” คีนครางรับแต่ไม่ยอมลืมตาแถมยังขยับซุกหน้าเข้ากับซอกคอของผมพร้อมระบายลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดจนรู้สึกขนลุกขนชัน มันต้องเป็นคนความอดทนสูงขนาดไหนวะที่มานอนท่องยุบหนอพองหนออยู่ตอนนี้ จะร้องไห้แล้วเว้ย

“เดี๋ยวไปสายนะ” ผมพยายามข่มอารมณ์แล้วลองกระตุ้นคีนด้วยประโยคเบสิกอย่างเช่นไปทำงานสาย เรื่องเวลาสำหรับเขาเป็นอะไรที่สำคัญ เชื่อสิว่าอีกเดี๋ยวก็คงตื่น แต่ผมเนี่ยใกล้ถึงคาดแล้ว ฮือ

“งืม กิมเป็นคนขับ... ถ้าสายก็โทษกิม” อะ ขยับใบหน้าขึ้นมาแล้วคลี่ยิ้มหวานๆ ให้ทั้งที่ตายังปิดสนิทแถมยังโยนความผิดให้กันอีก แต่โกรธไม่ลงไง แม่งเอ๊ย เล่นน่ารักน่าฟัดซะขนาดนั้น หัวใจเหลวเป็นน้ำหมดแล้วจ้า

“โธ่ พี่กันต์ด่าเรายับแน่” ผมแสร้งบ่นด้วยใบหน้ามู่ทู่ในขณะที่คีนยอมลืมตาขึ้นมาและจู่โจมกันด้วยการโน้มตัวเข้ามาเรื่อยๆ จน...

จุ๊บ

ไอ้ฉิบหาย ชีวิตนี้ผมตายอย่างสงบแล้วจ้า ได้มอร์นิ่งคิสจากแฟนโว๊ย!

“แบบนี้ยอมให้ด่าได้ยัง?” อะ สรุปว่ายอมติดสินบนเพื่อให้ผมใจอ่อนเนี่ยนะ เอ้อ คีนโคตรเก่งที่จับจุดอ่อนได้ขนาดนี้ จ้า ไม่ว่ายังไงก็แพ้ราบคาบจริงๆ

“พี่กันต์ต่อยก็ยอมล่ะวะ” ผมพึมพำเสียงเบาก่อนจะฟัดแก้มคีนด้วยความมันเขี้ยว คนเจ้าเล่ห์ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดแต่ไม่นานนักก็ยอมอยู่เฉยๆ ให้กระทำตามใจ เนี่ย น่ารักแบบนี้ไงถึงได้โคตรรัก

“อื้อ พอแล้วน่า กิมไปอาบน้ำก่อนเลย เราขอนอนต่อสักสิบนาที” พอผลักผมออกไม่ได้ก็หันมาห้ามปรามด้วยเสียงเนือยๆ แทน แหม... ก็คนมันติดลมไง แต่เห็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนถึงหกโมงครึ่งแล้วหรอกนะถึงได้ยอมตัดใจไปอาบน้ำเนี่ย

“โอเคครับที่รัก ~” ก่อนไปขอหอมอีกสักฟอดใหญ่ๆ แล้วกระโดดวิ่งหนีเมื่อคีนง้างเท้าเตรียมถีบ หูย โหมดโหดก็ยังน่ารักน่าเอ็นดู เนี่ยล่ะที่เขาบอกว่าความรักทำให้คนตาบอด

หลังจากที่คีนจัดเตรียมของสำหรับการถ่ายพรีเวดดิ้งเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็ออกจากบ้านในเวลาเจ็ดโมงครึ่งไปยังร้านเพื่อรับชุดของเจ้าบ่าวเจ้าสาวและพี่ปิ๊งขึ้นรถแล้วมุ่งสู่จุดนัดพบ ผมลองประเมินสภาพการจราจรคร่าวๆ ยังคงสามารถแวะซื้อมื้อเช้าที่เซเว่นได้โดยถึงที่หมายไม่สาย

“แวะซื้ออะไรที่เซเว่นก่อนไหม?” ผมหันไปถามคนข้างๆ แล้วสบตากับพี่ปิ๊งผ่านทางกระจกมองหลัง เธอส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะหยิบกล่องใส่อะไรบางอย่างขึ้นมา จากการมองเผินๆ คิดว่าคงเป็นแซนวิชที่เตรียมมาจากบ้านแน่นอน หูย ขอสักชิ้นได้ไหมครับ ตอนนี้ท้องร้องโครกครากเลย

“พี่มีแซนวิชแล้ว พวกนายจะแวะก็ตามใจ” พี่ปิ๊งเอ่ยบอกก่อนจะแกะฝากล่องจนกลิ่นทูน่าลอยอวลอยู่ในรถ ผมกลืนน้ำลายเสียงดังเอื๊อกทำให้คีนที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับหลุดหัวเราะ คือมันหิวมาก ปกติตื่นมาต้องหาอะไรรองท้องก่อนแต่วันนี้ทำตัวเป็นแฟนที่ดีช่วยเตรียมเลนส์กล้องใส่กระเป๋าไง

“พี่ปิ๊งไม่ได้ทำเองแน่ๆ” คีนหันไปหรี่ตามองพี่สาวอย่างจับผิดในขณะที่อีกคนปิดฝากล่องแซนวิชดังปึกแล้วหันทำหน้าบึ้งตึงใจ โอ้ จะเกิดสงครามระหว่างพี่น้องตอนรถติดไม่ได้นะเว้ย ผมทำตัวไม่ถูกอะ ควรห้ามไหม หรือคอยเชียร์ดี?

“คีนดูถูกพี่เกินไปแล้วนะ” อะ เสียงฉุนแล้วเว้ย กอดอกสะบัดบ๊อบแล้วด้วย ฉิบหาย ทำไมกูกลายเป็นน้องเขยที่ลุ้นให้พี่น้องเขาตีกันอะ คือท่าทางมันดูน่ารักเหมือนแมวทั้งคู่ไง

“ผมเป็นน้องพี่นะครับ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นพี่เข้าครัวเลย” คีนยกยิ้มมุมปากอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ส่วนคนพี่พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาก่อนจะได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะหลุดรอดจากลำคอ ท่าทางขัดใจแต่เถียงไม่ได้ประมาณนั้น เอาจริงดิ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาไม่ค่อยเข้าครัวกันแล้วเหรอ?

“เออๆ ซันทำให้ พอใจยัง?” แล้วพี่ปิ๊งก็แก้ความงุ่นง่านด้วยการเปิดฝากล่องหยิบแซนวิชขึ้นมางับก่อนจะเคี้ยวงั่มๆ ไม่สนใจผมกับคีนที่เอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่มให้เธอ เนี่ย ใครได้พี่ซันเป็นแฟนโคตรโชคดีเลย ดูแลคนไข้ดียังไงกับแฟนดีกว่าสิบเท่า

“หวานกันจริงๆ เลย น่าอิจฉาเนอะกิม” คีนหันมาพยักพเยิดใส่กันด้วยใบหน้าทะเล้นที่เดี๋ยวนี้มีให้เห็นบ่อยขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผมยิ้มรับเป็นเชิงบอกว่าคิดแบบนั้นเหมือนเขาเลยทำให้คนถูกพาดพิงถึงกับสติแตกจนถึงขั้นวางแซนวิชไว้บนกางเกงยีนส์แทนที่จะเป็นกล่องทัปเปอร์แวร์

“ไม่ต้องมาแซว คู่ตัวเองก็ใช่ย่อย อย่าคิดว่าพี่โง่นะ เมื่อคืนแอบไปนอนด้วยกันมาใช่ไหม?” พี่ปิ๊งยืนหน้ามาตรงกลางระหว่างเบาะแล้วเอ่ยถามด้วยประโยคที่ทำให้ผมกับคีนรีบขยับตัวหนีทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพราะกลัวว่าเธอคิดจะทำอะไรแผลงๆ เพื่อเป็นการลงโทษอีก หูย คือมีประสบการณ์ตรงมาแล้วเนื่องจากบางวันพวกเราก็แอบไปกินข้าวเย็นด้วยกันบ้างทั้งที่ถูกสั่งห้ามครั้งนั้นผมเลยโดนสั่งวิดพื้นร้อยรอบ ระบมปวดเมื่อยเกือบอาทิตย์จ้า ขยาดเลยครับท่าน

“กิมๆ แวะเซเว่นในปั๊มด้านหน้าเลย เราอยากกินเปาหมูสับไข่เค็มกับมอคค่าเย็น” คีนที่ได้สติก่อนผมรีบชี้มือไปทางปั๊มน้ำมันด้านหน้าโดยไม่สนใจพี่ปิ๊งซึ่งกำลังทำเสียงฮึดฮัดขัดใจ พวกเราแค่ไม่อยากโดนลงโทษโปรดให้อภัยด้วยเถิดจ้า สัญญาว่าต่อไปจะไม่แหกกฎอีก

พวกเราถึงที่นัดหมายก่อนบ่าวสาวเลยมีเวลาเดินดูสถานที่และเลือกมุมถ่ายภาพสวยๆ ไว้โดยมีนางแบบจำเป็นคือพี่ปิ๊งทดลองลงสนามก่อนเริ่มงานจริง คีนหยิบกล้องคู่ใจออกมาจากกระเป๋าทำการเตรียมพร้อม ส่วนผมส่งข้อความไปเร่งพี่กันต์ให้มาไวๆ เพราะถ้าสายกว่านี้อาจจะมีคนเป็นลมได้ อากาศประเทศไทยโคตรร้อน!

“กิม มานี่หน่อย” ผ่านไปเกือบสิบนาทีที่ผมนั่งอยู่ท้ายรถเพื่อมองคู่พี่น้องถ่ายรูปวอร์มฝีมือกันอยู่ไม่ไกล คีนหันมากวักมือพร้อมส่งเสียงเรียกให้เข้าไปหา ซึ่งผมก็ทำตามอย่างไม่อิดออดรีบใส่เกียร์หมาออกตัวอย่างไว

“มีอะไรเหรอ?” ผมถามเมื่อเดินมาถึงเป้าหมาย คีนไม่ตอบแต่ส่งกล้องในมือมาให้ก่อนพยักพเยิดให้รับมาถือไว้ ไอ้ครั้นจะขัดขืนก็โดนสายตาเว้าวอนทำให้คล้อยตามง่ายๆ เออ แพ้เขาตลอดเวลานั่นล่ะ เฮ้อ

“เราจะให้กิมลองถ่ายรูปพี่ปิ๊งน่ะ” ผมรับกล้องมาจากเขาก่อนจะได้ยินประโยคอธิบายสั้นๆ แต่ความหมายนั้นทำให้ดวงตาเบิกค้าง เขาบอกให้ผมถ่ายรูปพี่ปิ๊งน่ะนะ โอย ถ้าผลงานออกมาไม่สวยคือตายกับตายลูกเดียวเลย

“หา... แต่เราไม่ถนัดถ่าย Portrait นะ” ผมส่ายหน้าพรืดปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายในขณะที่คีนส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ

“นั่นล่ะ ไม่ถนัดมันก็ต้องหัดไง ตอนถ่ายงานส่งอาจารย์จะได้คล่องๆ”

แหนะ อย่ามาหลอกล่อซะให้ยากเลย พี่ปิ๊งยิ่งไม่ชอบขี้หน้าผมอยู่ด้วย ขืนถ่ายรูปเธอออกมาอ้วนคงโดนด่าหูชาแน่

“ตกลงกันได้หรือยังเนี่ย? นางแบบจะละลายแล้วค่ะคุณชายทั้งหลาย!” นั่น... เสียงโวยวายจากคนที่ยืนรอทำให้ผมกับคีนถึงกับหันขวับไปมองเธอแบบพร้อมเพรียงกัน เอาวะ ถ่ายก็ถ่ายดีกว่าโดยฆ่าตายด้วยสายตาพิฆาต

“ลองถ่ายดู ไม่ยากหรอก” คีนย้ำอีกครั้งพลางยกมือขึ้นตบบ่าผมเพื่อให้กำลังใจก่อนจะเดินไปหาพี่ปิ๊งเพื่อตกลงกัน เฮ้อ ถือว่าเป็นการฝึกมือตามที่เขาอ้างไว้ก็ได้วะ เถียงเมียไม่มีวันเจริญใช่ไหมล่ะ?

ใครบอกว่าการถ่ายรูปแค่กดชัตเตอร์และมือนิ่งก็พอ การหามุมที่เหมาะสมนั่นยากยิ่งกว่าอะไรดี ทั้งนั่งทั้งยืน มากสุดคือการนอนราบลงไปบนพื้นหญ้าจนคันคะเยอทั้งตัวแถมยังโดนพี่ปิ๊งด่าเรื่องภาพออกมาดูอ้วนเหนียงเยอะ โอย อยากมุดท่อหนีฉิบหายเลยจ้า

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่ผมโดนบังคับให้เป็นตากล้องจำเป็น ถึงจะโดนด่าโดนว่าเยอะแต่มันก็ช่วยทำให้ฝีมือการถ่ายรูปพัฒนาขึ้นจากข้อผิดพลาดได้จริงๆ ภาพสุดท้ายก่อนจะเริ่มการทำงานจริงเพราะคู่บ่าวสาวมาถึงแล้วนั้นได้รับคำชมจากตัวนางแบบอย่างพี่ปิ๊งเองและคีนอย่างล้นหลาม ผมยิ้มรับด้วยความภาคภูมิใจ เอ่ยขอบคุณทุกคนที่พยายามสอนเกือบทุกเทคนิคให้ในวันนี้

ความรู้สำหรับวันนี้คือ Live View หรือช่องมองภาพของกล้อง DSLR มีประโยชน์มากและเป็นข้อดีเหนือกล้อง Mirrolress ในสภาวะแสงจ้า เพราะมันสามารถทำให้เราถ่ายรูปได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องทนแสบตากับความสว่าง อีกอย่างคือการตั้งค่า Speed Shutter สูงๆ เพื่อเก็บภาพในส่วนของวัตถุเคลื่อนที่ให้หยุดนิ่ง อย่างเช่นการให้นางแบบเป่าดอกไม้ในมือ ผลลัพธ์ที่ได้โคตรสวยแต่ก็ใช้ระยะเวลาในการจับจังหวะชัตเตอร์นานอยู่เหมือนกัน เอาเป็นว่าถึงขั้นโดนพี่ปิ๊งปารองเท้าใส่อะ

กลับมาที่ปัจจุบันซึ่งคุณเจ้าบ่าวนามว่า ‘กันต์’ กำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ด้านข้างมีสาวสวยดีกรีอดีตดาวมหา’ลัยกำลังอ้าปากหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังจนคนมองทั้งสามได้แต่ส่ายหัวด้วยความละเหี่ยใจ เธอจะคีพลุคให้สมกับหน้าตาบ้างไม่ได้เลยเหรอไงกัน

“สวัสดีครับพี่” ผมเอ่ยทักทายทั้งสองคนพร้อมยกมือไหว้เหมือนๆ กับคีน พี่กันต์ทำเพียงพยักหน้ารับเหมือนคนไร้อารมณ์ ส่วนพี่ ‘ข้าวปุ้น’ ยิ้มแย้มแจ่มใสแถมเดินเข้ามากอดพวกเราอีกต่างหาก จะฟินกว่านี้ถ้าเธอไม่ตีก้นผมดังปึกน่ะนะ โคตรเจ็บ!

“ไปกอดมันทำไมเนี่ยปุ้น? ถอยออกมาเลย!” พี่กันต์รีบดึงพี่ปุ้นออกห่างจากผมเหมือนหวงนักหวงหนาทั้งๆ ที่จริงแล้วเขาก็แค่ไม่อยากให้น้องในสายรหัสโดนทำร้ายไปมากกว่านี้ ก็ไอ้อดีตดาวมหา’ลัยเป็นผู้หญิงประเภททะลึ่งตึงตังชอบจับนั่นดึงนี่แกล้งคนอื่นไปทั่ว

“ขี้หวงอะ” พี่ปุ้นสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมแล้วหันไปหาพวกอย่างพี่ปิ๊งที่ยืนขำหึหึอยู่ในลำคอ ทำไม๊ทำไมทั้งคู่ต้องรู้จักกันเป็นการส่วนตัวด้วยวะ ถ้าเกิดพวกเธอรวมพลังกันคงสามารถทำลายโลกใบนี้ได้แน่ๆ น่ากลัวฉิบหาย

“ใครหวงปุ้น? กันต์หวงไอ้กิมมิคต่างหาก กลัวมันโดนลวนลาม” พี่กันต์ยักคิ้วกวนใส่แฟนตัวเองก่อนจะหันมายิ้มให้ผมกับคีนที่กำลังกลั้นขำอย่างสุดชีวิต เออ ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเรียนปีหนึ่งแล้ว หวงน้องก่อนหวงพี่ปุ้นตลอด

“เดี๋ยวปุ้นจะแฉให้หมดว่าทำไมพวกเรามาสาย” พี่ปุ้นทำสีหน้าจริงจังพร้อมแฉมากจนผมอดหวั่นๆ ไม่ได้ว่าพี่กันต์จะช็อกตายไปก่อนได้แต่งงานหรือเปล่า โธ่ บางทีมีแฟนใจกล้าบ้าบิ่นแบบนี้ก็เสียวสันหลังนะเออ

แต่ผมว่าไม่ต้องแฉให้เปลืองน้ำลายก็พอจะรู้ถึงสาเหตุในการมาสายของทั้งคู่เนื่องจากสีหน้าและท่าทางของพี่กันต์มันฟ้องให้เห็นชัดเจน คือท้องเสียแน่ๆ ไม่ต้องสืบเพราะเมื่อคืนผมนอนไถไอจีเจอเขาอัปฯ รูปส้มตำปูปลาร้าพริกแดงเต็มจานขนาดนั้น... อร่อยปากลำบากตูดชัวร์

“โอเคๆ กันต์ยอมแพ้แล้วครับที่รัก เราเริ่มถ่ายรูปเลยเนอะ เดี๋ยวแดดจะร้อนไปกว่านี้” อะ พ่อปลาไหลรีบออดอ้อนว่าที่ภรรยาแล้วจูงมือกระหนุงกระหนิงให้เดินออกไปยังมุมที่ตัวเองคิดว่าสวย ผมกับคีนมองหน้ากันก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินพี่ปุ้นพูดอะไรบางอย่าง ถึงขนาดที่พี่ปิ๊งยังเบ้ปากมองบนอะคิดดู

“หึหึ เป็นเด็กดีนะน้องกันต์ ไม่ดื้อไม่ซนเนอะ”

จ้า ไอ้น้องกันต์ไม่ซนหรอกครับ มีแต่พี่ข้าวปุ้นนั่นล่ะที่เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าใคร

ตอนนี้พี่ปิ๊งกำลังดูแลเสื้อผ้าหน้าผมของคู่บ่าวสาวอยู่บนศาลาข้างริมสระน้ำ ส่วนคีนก้มหน้าก้มตาเลือกระยะเลนส์ที่เหมาะสมในการถ่ายงาน และวันนี้ผมทำหน้าที่เป็นฝ่ายสวัสดิการจัดหาเครื่องดื่ม อุปกรณ์คลายร้อนและอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ ถ้าให้นั่งดูเฉยๆ มันคงเหมือนคนไร้ประโยชน์ไปหน่อย

“พี่กันต์โคตรกลัวเมียอะ” ผมหย่อนก้นลงบนม้านั่งสีน้ำตาลตัวยาวใต้ร่มไม้ข้างๆ กับคีน เขาชะงักมือที่กำลังประกอบเลนส์เข้าตัวกล้องแล้วหันมาเลิกคิ้วแสดงความสงสัย

“แล้วกิมล่ะ?” คีนไม่ได้ตอบโต้เรื่องพี่กันต์แต่เปลี่ยนเป็นตั้งคำถามด้วยใบหน้าจริงจังแทน ซึ่งผมทำได้แค่เลิกคิ้วขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ

“หืม?” เอียงคอทำหน้าหมาสงสัยเข้าไปอีกจ้า

“กลัวเราบ้างหรือเปล่า?” คีนขยายความให้ชัดเจนขึ้นก่อนจะเอื้อมมือมาเคาะหน้าผากกันดังกึกๆ หลายครั้ง ผมที่เพิ่งเข้าใจความหมายเลยเอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางโน้มตัวใกล้คู่สนทนาชนิดที่ว่าปลายจมูกแตะกันและทำเหมือนว่าโลกนี้มีแค่เราสองคนทั้งๆ ที่รอบข้างยังมีบ่าวสาวและคุณพี่สุดโหดอีกหนึ่ง เอาน่า ไว้เคลียร์ทีหลัง

“ถ้าตอบว่าไม่กลัวจะโดนกระทืบปะ?” ผมถามเสียงเบาเกือบชิดริมฝีปากอีกคนเพื่อแกล้งให้คีนแสดงท่าทีฟึดฟัดออกมาแต่ผลที่ได้คือโดนดึงหูเว้ย เน้นๆ เจ็บจี๊ดไปถึงก้นกบเลยเหอะ โอย ไม่ได้จูบยังจะหาเรื่องใส่ตัวอีกกู แง

“เห็นเราเป็นคนยังไงเนี่ย?” คีนปล่อยมือออกขยับถอนหลังหนีแล้วมองมาที่ผมด้วยแววตาขุ่นเคืองที่บังอาจไปใส่ร้ายว่าเขาจะกระทืบกัน โธ่ ผมก็แค่หยอกเล่นเอง อยากให้อารมณ์ดีทั้งที่อากาศร้อน ( เมื่อครู่นังบอกว่าอยากเห็นอาการฟึดฟัดของคีนอยู่เลย ย้อนแย้งเนอะคนเรา)

“อูย ล้อเล่นๆ เราไม่เคยกลัวคีนนะ แต่ให้เกียรติซึ่งกันและกันมากกว่า” ผมรีบพูดเสียงหวานพลางขยับตัวเข้าไปซบหัวลงบนลาดไหล่เป็นการออดอ้อนและทำให้เขาเชื่อใจ คีนเหล่มองครู่หนึ่งก่อนจะหลุดยิ้มออกมาพร้อมๆ กับการเอื้อมมือมาดึงแก้มกันจนยืด โอย ไม่ต้องเอ็นดูผมด้วยวิธีเจ็บตัวแบบนี้ก็ได้จ้า ระบบไปหมดแล้ว

“โห พูดดีนะเนี่ย” แหนะ ปากชมแต่สายตาแสดงออกว่าล้อเลียนกันสุดๆ เอ้อ ยอมรับอยู่ในใจเลยว่าผมเป็นประเภทรักและเคารพเมีย เผลอๆ อาจถึงขั้นบูชาอะ ฮือ ไอ้กากกิมเอ๊ยย

“เฮ้ย ไอ้สองคนนั้นจะจีบกันอีกนานปะวะ? พวกพี่โพสต์ท่ารอจนเหงื่อซกแล้วเว้ย!” เสียงตะโกนแว่วมาจากพี่กันต์ทำให้ผมชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปดึงแก้มคีนคืนบ้างอยู่กลางอากาศ ในขณะที่เขาลุกพรวดขึ้นจากม้านั่งเพื่อเดินไปประจำจุดถ่ายงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มซึ่งต่างจากผมที่มีท่าทีฮึดฮัดเหมือนเด็กโดนขัดใจ ก็เมื่อครู่จะได้แต๊ะอั๋งแฟนอยู่แล้วเชียว ไอ้พวกมารหัวใจ ฝากไว้ก่อนเถอะ!

ผมนั่งกระดิกเท้าอยู่บนม้านั่งใต้ร่มไม้ที่เดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือในมือมีกล้อง DSLR หนึ่งตัวไว้สำหรับเก็บภาพเบื้องหลังการถ่ายพรีเวดดิ้งของวันนี้ ส่วนใหญ่แล้วจุดโฟกัสจะตกไปที่คีนมากกว่าคู่บ่าวสาวเพราะการลงทุนลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นหญ้า บางครั้งปีนบันใดเพื่อลั่นชัตเตอร์มุมสูง พลีชีพรับลมปากยามพี่ปุ้นเป่าดอกไม้และอื่นๆ อีกมากมาย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนน่าเก็บเป็นความทรงจำทั้งนั้น

“เพลินเชียวนะ” เสียงหวานๆ ติดกระแนะกระแหนเอ่ยขึ้นทำให้ผมระลึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวเพราะยังมีพี่ปิ๊งที่หลบอากาศร้อนนั่งข้างๆ กัน เธอสังเกตมานานแล้วว่าผมเอาแต่ถ่ายรูปคีน ก็นั่นแฟนไงครับ... ส่วนบ่าวสาวไม่เห็นจะน่าสนใจเลย จริงไหม?

“นิดนึงครับ นานๆ จะได้ถ่ายรูปคีน” ผมลดกล้องในมือลงแล้วหันไปยิ้มเผล่ใส่พี่สาวแฟน เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะก่อนจะเอาหมวกปีกกว้างตีเข้าที่หัวเต็มๆ อูย เจ็บแต่ไม่ร้องจ้า กลัวจะโดนหาว่าสำออย เดี๋ยวเปิดประเด็นผมอ่อนแอดูแลน้องชายเขาไม่ได้อีก หูย มีอีกสารพัดเหตุผลในการแยกเราออกจากกัน แท้จริงแล้วพี่ปิ๊งก็แค่ต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจว่าผู้ชายอย่างไอ้กิมรักคีนจริงๆ และในอนาคตจะมั่นคงไม่มีวันทิ้งไปไหน

“หมั่นไส้ แอบถ่ายจนเป็นนิสัยมากกว่ามั้ง” พี่ปิ๊งทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอพลางใช้สายตามองผมอย่างจับผิด ซึ่งมันโคตรแทงใจดำเพราะความจริงตรงตามที่เธอสันนิษฐานไว้ทุกอย่าง ผมแอบถ่ายรูปคีนจนเป็นนิสัยแถมยังมีหลักฐานมัดตัวอยู่ในโทรศัพท์จำนวนไม่ต่ำกว่าพัน เนี่ย ถ้าโดนแจ้งความจับข้อหาสต็อกเกอร์คงติดคุกหัวโตแน่ๆ สงสารแม่ที่มีลูกชายโรคจิตจัง...

“พี่ปิ๊งหิวน้ำไหม? เดี๋ยวผมไปซื้อให้” ผมตัดสินใจวางกล้องในมือลงก่อนถามพี่ปิ๊งที่ยังคงไม่ละสายตาไปไหน หวังว่าการชวนเปลี่ยนเรื่องจะทำให้เธอไม่คาดคั้นเอาคำตอบเรื่องเมื่อครู่น่ะนะ

“อื้ม ซื้อเผื่อสามคนนั้นด้วยแล้วกัน”

“รับทราบครับ”

ผมฝากกล้องไว้กับพี่ปิ๊งแล้วปลีกตัวออกมาที่ร้านสะดวกซื้อแถวๆ นี้ ในตอนแรกคิดว่าจะรีบมาแล้วรีบกลับแต่ดันเจอใครบางคนที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้ากันสักเท่าไหร่ แม่ง อยู่คอนโดเดียวกันห้องเดียวกันแท้ๆ ไอ้สัดปอมชอบหายหัวตลอด ถึงมันจะชอบใช้ข้ออ้างประเภท ‘ไม่อยากเป็นก้างขวางคอเพื่อน’ แต่สถานการณ์จริงคือผมกับคีนได้นอนด้วยกันซะเมื่อไหร่ล่ะ

“ปอม!” ผมตะโกนเรียกชื่อมันจากทางด้านหลังพร้อมๆ กับเอื้อมมือไปตีไหล่เต็มแรง มันสะดุ้งเฮือกหันมาเหลือกตาใส่อย่างกับเห็นผี ตกใจได้โอเวอร์สุดๆ ดีหน่อยที่ไม่ถึงขนาดกับปล่อยโทรศัพท์ลงพื้น ถ้าเป็นแบบนั้นผมงานเข้าชัวร์

“ไอ้เชี่ย! มึงมาที่นี่ได้ไง?” ไอ้ปอมหันขวับมามองด้านหลัง เมื่อมันเห็นว่าเป็นผมก็รัวคำถามด้วยเสียงตื่นๆ ดวงตารีคมเหลือบซ้ายขวาดูมีพิรุธชอบกล ลักลอบคบชู้หรือไงวะ

“คีนรับงานถ่ายพรีเวดดิ้งแถวนี้ มึงเหอะหายหัวไปไหนมาทั้งอาทิตย์?” ผมเลือกที่จะตอบคำถามของเพื่อนตามตรงพลางลอบมองสำรวจปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปหลังจากโดนถามกลับบ้าง เมื่อครู่มันกลอกตาหลุกหลิกแต่ตอนนี้ถึงขั้นสั่นขาคล้ายเตรียมวิ่งหนี

“นอนบ้านไง”

อะ โกหกไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะเพื่อน

“ตอแหล”

“เอ้า ไม่เชื่อกูอีก” มันแสร้งโวยวายแต่ไม่กล้ามองตาผมกลับเลยสักนิด สกิลการโกหกตกต่ำพอๆ กันเลยเหอะ โดนจับได้คงไม่แปลกอะไร

“ก็แม่มึงบอกเองว่าลูกชายสุดที่รักไม่ยอมกลับบ้าน” ผมหรี่ตามองพร้อมกับเอ่ยถึงคำพูดที่แม่ของไอ้ปอมเคยบ่นๆ ไว้ในวันนั้นซึ่งเผอิญเจอกันพอดี แต่เธอก็ไม่มีทีท่าเดือดร้อนเรื่องลูกชายไม่กลับบ้านหรอกเพราะรู้ดีว่ามันโตเป็นผู้ใหญ่รับผิดชอบตัวเองได้แล้ว แต่ผมเนี่ยอยากเผือกจะแย่ว่าเพื่อนหนีไปซุกหัวนอนที่ไหนมากันแน่

“อย่ามาอำ” ไอ้ปอมมองกันด้วยสายตาหวาดระแวงแต่ผมกลับเมินเฉยแล้วควานมือหยิบขวดน้ำขึ้นมากระดกใส่ปาก เอาจริงๆ ก็แค่อยากแกล้งถ่วงเวลาให้มันงุ่นง่านมากกว่าเดิม ถือว่าเป็นการลงโทษในข้อหาที่ไม่กลับคอนโดนานนับอาทิตย์โดยไม่บอกกล่าว คิดดูสิว่าผมจะกังวลเรื่องเพื่อนแค่ไหน

“แม่มึงไปซื้อเพชรที่ร้านเหอะ” นั่นล่ะที่ทำให้ผมเจอแม่ไอ้ปอม

“อ้าวเหรอ? แหะๆ” มันร้องเสียงสูงก่อนจะแสร้งหัวเราะขำๆ ออกมา แต่อย่าคิดว่าผมจะปล่อยผ่านนะเว้ย ยังไงก็ต้องคาดคั้นเอาตำตอบให้ได้

“ตกลงจะตอบได้ยังว่าหายไปไหนมา?” ผมถามย้ำก่อนจะเก็บขวดน้ำลงถุงแล้วจ้องไอ้ปอมเขม็งเพื่อกดดัน คือถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทที่ปกติแล้วจะบอกกันทุกเรื่องคงไม่ต้องสนใจขนาดนี้ แต่นี่อยู่ๆ เลิกเรียนเล่นหายหัวตลอด ใครก็เป็นห่วงปะวะ กลัวโดนผู้หญิงหลอกไปปลิ้นไง เชี่ยแม่งชอบเมาเรื้อนอยู่ด้วย

“ก็... โฮมเขาย้ายไปอยู่คอนโดอะ กูเลยไปช่วยขนของ” มันตอบเสียงอ้อมแอ้มไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองเหมือนตอนปกติแถมสีแก้มยังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อจนผมนึกหมั่นไส้ ผ่านผู้หญิงมาก็เยอะแต่ดันเขินผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ เออ นี่ล่ะคืออานุภาพแห่งรักที่แท้จริง

“แล้วมึงก็เสนอหน้าไปนอนเป็นเพื่อนเขาด้วย?” ผมสันนิษฐานตามนิสัยของเพื่อนซึ่งมีความเจ้าเล่ห์อยู่มากไม่แพ้กัน ไอ้ปอมถึงกับหันขวับมามองด้วยสายตาอึ้งๆ ขยับตัวเข้าประชิดเพื่อกระซิบถามด้วยเสียงสั่นๆ

“นี่เพื่อนหรือแฝดทำไมรู้ดีจังวะ?”

ผมไหวไหล่ไม่ใส่ใจคำถามของมัน เป็นแค่เพื่อนที่สนิทกันมาเกือบสิบปีไง เรื่องแค่นี้ไม่รู้ก็โง่เกินไปแล้วเหอะครับ

“ได้กันแล้ว?” ผมถามหน้านิ่งแต่ปากกลับกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์

“ได้ก็งามไส้แล้วมึง ยังไม่ได้เป็นอะไรกันเว้ย” ไอ้ปอมตอบเสียงเครียดหน้าเครียดก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิงเพื่อตกย้ำว่าสิ่งที่มันพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ทว่าสำหรับผมมันโคตรน่าเหลือเชื่อ เพลย์บอยตกม้าตายเพราะผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งเนี่ยนะ? ที่ผมอึ้งไม่ใช่เรื่องเซ็กซ์แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ยังไม่คืบไปไหนต่างหาก (ไอ้การกอดแบบลึกซึ้งน่ะ ควรเริ่มตอนทั้งคู่พร้อม อันนี้ไอ้กิมเข้าใจดี)

“เอ้า ไม่คืบหน้าเลยเหรอ?”

“เออ โฮมใจแข็งกว่าที่คิดไว้เยอะอะ” ไอ้ปอมหยุดขยี้หัวแต่เปลี่ยนเป็นถอนหายใจยาวๆ ออกมาแทน ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของมันเลยส่งมือไปตบบ่าเพื่อให้กำลังใจ คนที่มีแต่ผู้หญิงเข้าหาโดยไม่ต้องลงมือจีบใครก่อนอาจจะเหนื่อยหน่อยที่ต้องรอ แต่เชื่อเหอะว่าความรักสามารถทำให้เราอดทนได้เก่งขึ้นจนถึงวันที่ประสบความสำเร็จ

“สู้ๆ นะมึง แล้วมาทำอะไรแถวนี้?” อะ วนเข้าคำถามที่อยากรู้มากที่สุด เพราะนานทีปีหนไอ้ปอมจะยอมถ่อสังขารขับรถมาที่ไกลๆ แบบนี้ ซึ่งผมเองถ้าคีนไม่รับงานถ่ายพรีเวดดิ้งก็คงไม่อินดี้พอจะเดินทางเหมือนกัน

“พาโฮมมากินข้าว แล้วเย็นๆ ว่าจะไปเดินตลาดนัดเลียบด่วน”

อยากจะแหมให้ถึงดาวอังคารเว้ย เนี่ย ยอมไปไหนมาไหนไกลๆ ทั้งที่ไม่ชอบขับรถ เอาใจทุกอย่างไม่ว่าเขาอยากทำอะไร เที่ยวที่ไหน กินอะไร อานุภาพแห่งความรักสามารถเปลี่ยนแปลงคนเราได้จริงๆ ผมอยากแซวเพื่อนต่ออีกสักหน่อยแต่เผอิญว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นหลายรอบบ่งบอกว่าถูกตามตัวแน่ๆ

“อ้อ เออๆ ไว้เจอกันที่มหา’ลัย กูต้องกลับแล้ว” ผมโบกมือลาในขณะที่ไอ้ปอมก็พยักหน้ารับแถมยังจะอาสาไปส่งกันเลยต้องปฏิเสธเพราะระทางไม่ได้ไกลมากมาย เดินออกกำลังกายบ้างก็ดีเนื่องจากช่วงนี้รู้เสื้อผ้าคับยังไงชอบกล ฮือ เริ่มกินเยอะเหมือนคีนแต่อ้วนไง เศร้า!



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 24 -P.3- 16/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 16-12-2018 15:07:46
ผมรีบสาวเท้ากลับไปหาสมาชิกทีมถ่ายงานพรีเวดดิ้งเพราะคิดว่าทุกคนคงหิวน้ำ แต่สิ่งที่เห็นคือพวกเขานั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้พูดคุยกันอย่างออกรสและมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดี คีนเป็นคนแรกที่มองเห็นผมแล้วกวักมือเรียกให้ร่วมวง ทว่าไอ้พี่กันต์ทำไมดูร่าเริงผิดปกติวะ คิดแผนแกล้งใครอยู่หรือเปล่า โคตรไม่น่าไว้ใจ

ผมวางถุงใส่ขวดน้ำลงบนตักเจ้าบ่าวที่อยู่ๆ ก็บ่นว่าคอแห้ง พี่กันต์ไม่ด่าอะไรแต่กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางคีนซึ่งกำลังลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ตอนนี้เองที่ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาใส่หูกระต่ายแถมในมือยังถือ Veil (ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว) ของพี่ปุ้นอยู่ด้วย คือ... ลางสังหรณ์มันบอกว่ากูจะฉิบหายเร็วๆ นี้ล่ะ

“ถ่ายรูปคู่กัน” คีนโปรยยิ้มหวานหลังพูดจบแล้วส่ง Veil มาให้ผมซึ่งยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะรู้ตัวว่าจะต้องทำอะไรต่อไป โอย คือมันสลับโพสิชั่นกันหรือเปล่าอะ ผมต้องใส่หูกระต่ายไหม โธ่ ไม่แกล้งกันแบบนี้สิ ไม่น่ารักเลย

“ให้เราใส่เวลล์จริงๆ เหรอคีน?” ผมมองผ้าคลุมผมเจ้าสาวแบบยาวถึงไหล่ในมือคีนด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน ไอ้ใส่มันก็ได้อยู่หรอกแต่เกลียดสายตาของสามคนที่เหลือน่ะ... แม่ง จะทำหน้าสะใจอะไรขนาดนั้นเว้ย

“อื้อ ไม่อยากเป็นเจ้าสาวของเราบ้างเหรอ?” อะ โดนคำถามนี้เข้าไปผมแทบจะหงายหลังลงไปนอนบนพื้นหญ้า ยิ่งคีนกระพริบตาปริบๆ คล้ายต้องการอ้อนก็ยิ่งทำให้หัวใจทำงานหนักมือไม้อ่อนแรงแทบตบปากรับคำเดี๋ยวนั้น โอ๊ย ตั้งสติก่อน มึงไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งเจ้าสาวนะเว้ย

“โธ่ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเราเป็นอะไรของคีน” ผมบ่นพึมพำทั้งที่ใจอ่อนไปมากกว่าครึ่ง พยายามไม่สบตาอ้อนๆ ของเขาแต่สุดท้ายกลับแพ้การกระทำที่เจ้าตัวขยับมาใกล้แล้วเกาะแขนเหมือนเด็กน้อยนั่น อ้อนเข้าไปให้หัวใจผมแหลกเป็นผุยผงเลยจ้า

“นิดเดียวเอง ไม่ได้เหรอครับ?”

“ไม่อ้อนดิ” ผมพยายามทำใจแข็ง เม้มปากกลั้นยิ้มเมื่อหัวทุยๆ ของแฟนถูไถต้นแขนโดยไม่อายคนอื่นที่กำลังผิวปากล้อเลียนถือว่าโคตรลงทุนกับรูปคู่สุดๆ แต่ขอเล่นตัวอีกนิดเถอะน้า อยากรู้ว่าคีนจะทำยังไงต่อ

“น่านะ พี่กิมสุดหล่อของผม” พร้อมกับการเงยหน้าจุ๊บปลายคางหนึ่งที

อะ แผ่นดินไหวแต่ผมไม่ไหวครับคุณ! ใจเหลวหมดแล้วจ้า

“แม่ง... จะถ่ายสักร้อยรูปก็จัดมา!” เนี่ย ฉันแพ้ให้เธอทุกทาง โอ้ ที่รัก ~

ตากล้องจำเป็นคือไอ้คนที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ตั้งแต่ผมกลับมาจากซื้อน้ำนั่นล่ะ จะว่าพี่กันต์ขี้แกล้งก็ใช่แต่เวลาเป็นงานเป็นการก็ตั้งใจจนไม่มีที่ติ ภาพที่ได้คือสวยอลังการเหมือนผมกับคีนเป็นบ่าวสาวที่กำลังจะแต่งงานกันซะเอง มันก็เขินๆ กันนิดหน่อยล่ะวะ หูย

เมื่อการถ่ายพรีเวดดิ้งรอบเช้าจบลงพวกเราก็เก็บของย้ายสถานที่ไปกินข้าวเที่ยงกันก่อนจะเตรียมตัวเพื่องานตอนเย็นที่สะพานพระรามแปด เอาเป็นว่าพี่กันต์กับพี่ปุ้นใช้งานคุ้มค่าจ้างจริงๆ

ผมยังคงเป็นสารถีในการขับรถอีกเช่นเคย ในขณะที่ผู้โดยสารสาวสวยเพียงคนเดียวหลับคอพับคออ่อนอยู่ด้านหลังเพราะเมื่อคืนแก้ชุดเจ้าสาวจนดึกดื่น ส่วนคีนก้มหน้าก้มตากดอะไรยุกยิกในโทรศัพท์มาร่วมสิบนาทีแถมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พอใจอีกด้วย โอย ต่อมเผือกเริ่มทำงานอะ แอบคุยกับใครเนี่ย ฮึ่ม!

ช่วงจังหวะที่เราแวะซื้อขนมทานเล่นเป็นมื้อบ่ายนั้นผมไม่ได้ลงจากรถเพราะพี่ปิ๊งยังหลับสบายอยู่ตรงเบาะหลังเลยมีเวลาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูบ้าง แต่ยังไม่ทันได้สแกนนิ้วสายตาดันสะดุดแจ้งเตือนแอปฯ ไอจีว่ามีใครคนหนึ่งแท็กรูปมาหากัน

the_kirin.z เจ้าสาวของผมสวยไหม? ในอนาคตเรามาแต่งงานกันเถอะนะ

ผมได้แต่ยกมือปิดปากเพื่อซ่อนรอยยิ้มแห่งความดีใจและหัวเราะกับรูปภาพที่ปาากฏบนไอจี มันคือตอนที่เราหันหน้าเข้าหากัน จับมือ มองตา แต่สุดท้ายดันหลุดหัวเราะ แต่บรรยากาศโดนรวมก็ยังหวานซึ้งจนทำให้ใครหลายคนอิจฉาตาร้อนเข้ามาคอมเม้นต์มากมาย

โอย ถ้าคีนจะมีความสุขขนาดนี้ผมยอมเป็นสามีในคราบเจ้าสาวของเขาก็ได้ครับ และผมจะรอคอยวันที่เราได้แต่งงานกันนะ



--------------------------------------

หวานไม่หวานไม่รู้ แต่อิจฉาจนตาร้อนแล้วจ้า 55555

ตอนหน้าเหลือแค่บทส่งท้ยแล้วนะ เจอกันใหม่ในนิยายเรื่องใหม่ วันส่งท้ายปีเลย จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 24 -P.3- 16/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-12-2018 05:39:16
โอยยยยย คีน พอคบกันแล้ว หวานมาก หวานเวอร์
เปิดตัวรัวๆ จับจองแบบไม่ให้ใครได้เข้าใกล้อีก

กิมแพ้ทางคีนตลอด แพ้ความขี้อ้อนและอ่อยเก่งของคีน
งอแงเก่ง จนคิดว่า ควรเปลี่ยนคีนรุกมากกว่า 5555

น่ารักมากค่ะ โมเมนท์กิมคีนคือมุ้งมิ้งมาก
คุยนิดคุยหน่อย งับจมูก หอมแก้ม จุ๊บ น่าจับฟัด

ตอนนี้กิมแต้มนำปอมแล้วนะ เร่งทำคะแนนหน่อย
ตอนแรกมัวแต่ไม่ชัดเจน โดนโฮมเอาคืนเลย


แงงงง ยังไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 24 -P.3- 16/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 19-12-2018 14:33:46
อยากได้คีน กิมขอคีนเถอะนะ โอ้ย! :z6: ตีนลอยมาจากไหน
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: รูปถ่ายใบที่ 24 -P.3- 16/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Cyclopbee ที่ 19-12-2018 22:21:23
อ้อนเก่ง คีนก็ยอมตลอด555555
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-12-2018 15:44:40
จุดบรรจบ


เช้าวันเสาร์ที่แสนเหี่ยวเฉาทำให้ผมนอนแผ่บนเตียงด้วยความขี้เกียจ มองซ้ายก็เจอหมอนข้าง มองขวาก็เจอโต๊ะเลยได้แต่ถอนหายใจทิ้งก่อนขยับตัวซุกผ้าห่มมากกว่าเดิมในขณะที่คีนนั้นเดินทางไปรับงานถ่ายพรีเวดดิ้งที่ชลบุรี เนี่ย ผมจะตามเขาเหมือนหมาติดเจ้าของก็ไม่ได้เพราะตอนเย็นต้องออกงานการกุศลกับแม่อีก โธ่ ทำไมคุณนายต้องอยากควงลูกชายแทนสามีเล่า!

เปลือกตากำลังจะปิดลงอีกครั้งถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงครืดๆ ของโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ผมตลบผ้าห่มให้เปิดออกแล้วใช้มือควานหยิบมันขึ้นมารับสายโดยไม่ได้ดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ แม่ง ใครที่ไหนมันรบกวนเวลานอนแสนหวานของกูนักวะ คนยิ่งเซ็งๆ ด่าให้ลืมทางกลับบ้านเลยดีไหม

“คนจะหลับจะนอน โทรมาทำไมนักหนาวะ!” ผมตะโกนด่าด้วยอารมณ์หงุดหงิดก่อนหอบหายใจแฮ่กเพราะใช้กำลังมากเกินไป แต่แทนที่คนปลายสายจะสำนึกกลับได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ลอดออกมา ใครมันกล้าดีขนาดนี้วะ ไม่เคยเจอฤทธิ์เดชของไอ้กิมซะแล้ว

‘สายแล้วครับคุณกิม เดี๋ยวชมจันทร์โมโหหิวนะ’ อะ แค่ได้ยินเขาพูดชื่อไอ้ตัวขนฟูก็รู้แล้วว่าใครอยู่ปลายสาย จากที่ผมกำลังง่วงๆ ก็กลายเป็นตื่นเต็มตาแถมรีบกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงรีบสับขาไปหากระต่ายในกรง โอย ลืมไปซะสนิทเลยว่าคีนฝากเลี้ยงน้องชาย แล้วเมื่อครู่ยังเผลอด่าให้อีก เสี่ยงหัวขาดไหมเนี่ยกู!

“ขอโทษๆ ไม่คิดว่าคีนจะโทรมา” ผมละล่ำละลักเอ่ยของโทษแฟนแล้วตรงดิ่งไปหาชมจันทร์ที่ตอนนี้กำลังคาบถาดใส่หญ้าเหวี่ยงชนกรงดังปึกๆ ดูท่าทางโมโหหิวอย่างที่คีนบอกไว้ แล้วถ้าผมเปิดประตูเทอาหารใส่ให้จะโดนกัดมือปะเนี่ย คนเคยมีประสบการณ์ก็ต้องระแวงเป็นธรรมดา

‘รู้ว่ากิมจะตื่นสาย เราเลยโทรมาปลุกไง’ เสียงหัวเราะปลายสายทำให้ผมพลอยยิ้มตามไปด้วย คีนไม่โกรธแถมยังมองเป็นเรื่องตลกอีกต่างหาก นี่ล่ะแฟนในฝันที่ต้องการ ไม่งี่เง่า เข้าใจเหตุผลของการกระทำต่างๆ แต่ว่านะ... โทรมาปลุกกันขนาดนี้มันไม่น่าฟัดเกินไปหน่อยเหรอ มันเขี้ยวว่ะ โอย คิดถึงแล้ว

“คีนโคตรน่ารักเลยว่ะ” ผมกัดฟันพึมพำเพราะต้องการข่มอารมณ์อยากจับเขาฟัดให้น่วมไว้ข้างใน พยายามเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองด้วยการหยิบกระป๋องใส่อาหารของชมจันทร์มาเปิดรอไว้ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปถอดสลักกลอนประตูออก ไอ้ฟูรีบเสนอหน้าทำจมูกฟุดฟิดหาของกินด้วยท่าทางน่ารัก แม่งเอ๊ย เข้าใจแฟนแล้วว่าทำไมหลงมันนักหนา

‘เราแค่กลัวกระต่ายหิวน่ะ’ คีนหัวเราะเสียงดังกว่าเดิมเหมือนถูกใจนักหนาที่สามารถแกล้งผมให้เกือบทำกระปุกอาหารกระต่ายร่วงจากมือ ไอ้ชมจันทร์มันมีดีอะไรนักหนาเนี่ย ชักอิจฉาตาร้อนแล้วสิ จับย่างกินซะนี่ ไม่ต้องมาทำตาแป๋วเลย!

“โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าแฟนจะโทรปลุกเหมือนคู่อื่นซะอีก” ผมแกล้งตัดพ้อพลางเทอาหารใส่ถาดให้ชมจันทร์ประมาณหนึ่ง เจ้ากระต่ายรีบกระโจนใส่ของกินเคี้ยวแก้มตุ่ย เฮ้อ การเลี้ยงสัตว์ก็เพลินดีเหมือนกันนะ ในอนาคตผมอาจจะงอกเจ้าขนฟูอีกสักตัวก็ได้

‘หึหึ เราไม่ใช่สาวๆ สักหน่อย’ อะ ปลายสายเขาว่ามาแบบนั้นก็อย่าเถียงเลย

“ครับๆ เราให้อาหารชมจันทร์แล้วนะ” ผมบอกคีนก่อนจะลงกลอนประตูให้ชมจันทร์แล้วตรวจดูน้ำในขวดว่ามีปริมาณพอดื่มหรือไม่ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ลุกขึ้นปิดขี้เกียจพลางหาวหวอดออกมาจนน้ำตาไหล ถ้าไม่ติดว่าได้คุยกับเขาคงซุกผ้าห่มต่อแน่ๆ โคตรง่วงจ้า เมื่อคืนมัวแต่เล่นเกมไง

‘อื้อ อย่าลืมกินข้าวด้วยล่ะ’

อุบ... ผมเบิกตาโตก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากซ่อนรอยยิ้มกว้างเอาไว้ มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติทั้งๆ ที่ก็ไม่มีใครอื่นรู้นอกจากตัวเองว่ากำลังเขินแฟน ฮึ่ย เนี่ย น่ารักน่าฟัดอีกแล้ว

“ฮันแน่ เป็นห่วงเราอะดิ” ผมแซวคีนด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อสูดอากาศยามเช้าเข้าปอด อยู่คอนโดชั้นสูงๆ มันก็ดีอยู่หน่อยหนึ่งตรงที่ไม่ต้องเจอมลพิษมากมาย

‘เปล่า... เป็นแฟนต่างหาก’

เดี๋ยว... ตอนแรกแทบจะเข่าอ่อนเพราะโดนปฏิเสธอยู่แล้ว แต่ไอ้ประโยคหลังเนี่ยทำให้ผมกระโดดโลดเต้นระบายอารมณ์มันเขี้ยวคีนอย่างบ้าคลั่ง ดูเขาสิครับ เดี๋ยวนี้ออกตัวแรง หยอดได้หยอดเอาตลอด โว๊ย ขับรถไปหาตอนนี้เลยได้ไหม ทนไม่ไหวแล้วจ้า!

“ตั้งใจจะฆ่าเราใช่ไหมเนี่ย? กลับมาโดนหนักแน่!” เนี่ย ชอบมายั่วตอนอยู่ห่างกันให้ผมลงแดง พอทำอะไรไม่ได้ก็ทรมานเก็บความมันเขี้ยวสะสม แล้วเมื่อคียกลับมาไอ้ความทะนุถนอมหลุดหายไปจากสมองเหลือแต่ความอยากกอดแรงๆ ฮึ่ย!

‘เราไม่กลัวหรอก แค่นี้นะ จะไปทำงานแล้ว’ อะ คนไม่กลัวเขาจะหนีไปทำงานแล้วเว้ย ไอ้คนโดนแกล้งจะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้ารับกับท้องฟ้าและสายลม

“ครับๆ ตั้งใจทำงาน รีบกลับมาด้วย” ไม่ลืมย้ำให้เขารีบกลับคอนโด ก็คนมันคิดถึง ~

‘รับทราบครับคุณกิม’

อ่า สบายใจแล้ว อาบน้ำได้!

ผมรีบออกจากห้องโดยลืมกินมื้อเช้าเพราะลืมว่านัดไอ้ว่านเอาไว้เพื่อจะไปซื้อของด้วยกันที่ห้างฯ ส่วนคุณกะปอมนั้นติดเมีย เอ๊ย ติดเด็กอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ โทรไปก็ไม่รับไลน์ไปก็ไม่ตอบ เอาเป็นว่าผมได้แช่งให้มันสำลักความสุขตายซะแล้ว

เสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบยังเป็นไอเท็มโปรดที่ผมหยิบมาใส่มันทั้งสะดวกและยังคลาสสิคไม่เปลี่ยนแปลง รถเอสยูวีสีเขียวมินต์พุ่งทะยานออกสู่ถนนใหญ่ด้วยความเร็วที่ช้าอย่างกับเต่าเพราะไม่ว่าเวลากี่โมงจราจรก็ยังติดขัดเช่นเคย สายแน่ๆ ไอ้ว่านด่าหูฉีกชัวร์

จอดรถปุ๊บเสียงสั่นครืดของโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สิบ หน้าจอแสดงชื่อ ‘ต้นว่าน’ โดยไม่ต้องหยิบขึ้นมาดู ถ้าผมรับสายตอนนี้มีหวังขี้หูเต้นระบำแน่ๆ สู้วิ่งเข้าหาไปเจอมันเลยดีกว่า เอาวะ ตายเป็นตาย

‘ไอ้สัด!’

อ่าฮะ... ผมนี่แทบเบรกหัวทิ่มเมื่อเห็นเพื่อนอยู่ไกลๆ แต่มันดันขยับปากชัดเจนเป็นคำด่า ถ้าผมไม่ต้องพึ่งพาอาศัยไอ้ว่านป่านนี้คงชูนิ้วกลางใส่ไปแล้ว แต่ความเป็นจริงทำให้แค่ยิ้มประจบประแจงเหมือนหมาอ้อนเจ้านาย ทำหน้าตาใสซื่อก่อนจะเข้าไปกอดไหล่อย่างทะนุถนอมยิ่งกว่าเมีย

“รถติดครับคุณ อย่าเพิ่งด่าต่อ” ผมรีบเอ่ยปากก่อนที่ไอ้ว่านจะร่ายคำด่าออกมา มันหรี่ตามองก่อนสะบัดหน้าหันแสดงความไม่พอใจ มึงรอกูแค่ยี่สิบนาทีไม่ได้เลยเนอะ นี่ก็คนติดผัวเหมือนกันจ้า

“ชอบดักคอ!” เอ้า ทำปากยื่นใส่อีก กูไม่บีบคอมึงก็บุญแค่ไหนแล้ว

“อย่าโกรธสิ กูขอโทษที่มาช้า” ง้อมันหน่อย เดี๋ยวจะงอนจนปล่อยให้ผมเดินซื้อของคนเดียวจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นแย่แน่

“เออๆ จะไปซื้อของก็รีบๆ ถ้าพี่โซนมาถึงไวกูทิ้งมึงแน่” มันสะบัดบ๊อบเดินนำแต่ผมยังอยู่ที่เดิมเพราะงงๆ กับสิ่งที่ได้ยิน คนอย่างพี่โซนคงไม่มาก่อนเวลานัดมั้ง ปกติต้องเลทสักสิบนาทีอะ

“ไหนบอกว่านัดบ่าย?” ผมสาวเท้าตามเพื่อนจนทันก่อนจะพาดแขนยาวๆ ลงบนบ่า ไอ้ว่านหันมาเลิกคิ้วทำหน้าใสซื่อแต่ดวงตากลับมีประกายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด นี่สรุปว่ามึงนัดซ้อนเหรอหรือยังไง? กูจะได้เตรียมตัวเตรียมใจถูก

“นัดบ่าย แต่กูให้พี่โซนมาเที่ยง” อะ ยักคิ้วกวนประสาทแถมยังยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบแก้มผมพลางหัวเราะคิกคักอีก ไอ้ว่านคนหลายใจเอ๊ย นัดซ้อนเพื่อ!

“ไอ้ว่าน มึงนี่มัน...” กำลังจะด่าต่อแต่ไอ้ว่านดันเอามือมาดีดปากผมแถมถลึงตาใส่อีก คราวนี้มึงผิดนะเว้ย จะเอาเขกหัวสักทีก็ไม่กล้าอีกกลัวมันไปฟ้องพี่โซน

“อีกชั่วโมงครึ่ง” ดูมัน... เอาเวลาที่เหลือว่าข่มขู่เพื่อนแบบนี้ก็ได้เหรอวะ? คิดว่าผมจะกลัวเหรอไง ฮือ ยอมแพ้ก็ได้!

“เออ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!”

ไอ้ว่านคนดีศรีสังคมมันลากผมเค้าร้านหนังสือและเครื่องเขียนชื่อดังเพื่อหาซื้ออุปกรณ์ทำของขวัญวันเกิดเซอร์ไพร์สคีนในอาทิตย์หน้า ในหัวมีความคิดแค่ว่าอยากใช้รูปที่แอบถ่ายแฟนมาตั้งนานเพื่อปริ้นท์ ตัด แล้วยัดลงกล่องสวยๆ สักใบพร้อมด้วยการ์ดทำมือและกระเป๋ากล้องใบใหม่ แต่ว่าที่คุณหมอบอกว่ามันธรรมดาเกินไป ก็ความสามารถกูมีแค่นั้น กลัวทำเยอะไปแล้วเละไม่เป็นท่านี่หว่า

“มึงจะปริ้นท์รูปคีนตั้งแต่สมัยมัธยมอะนะ?” ไอ้ว่านเงยหน้าขึ้นจากกล่องกระดาษหลากสีเพื่อสบตาผมที่ยืนค้ำหัวมันอยู่

“อืม” ผมพยักหน้ารับ ส่วนมันส่ายหัวดิกพลางโบกมือไล่ให้ไปไกลๆ เอ้า กูผิดอะไรอีกเนี่ย

“ภูมิใจนำเสนอความโรคจิตของตัวเองเนอะ” อะ จะไล่จะแซวเอาสักอย่าง เดี๋ยวกูหยิบกล่องครอบหัวมึงซะเลยนี่ ชักเริ่มรำคาญ!

“ปากหมาจริง” ผมบ่นพึมพำก่อนจะหันไปสนใจพวกปากกาต่างๆ อันนี้ก็น่าซื้อให้คีนเพราะเห็นเขาชอบใช้จดแล็คเชอร์ อืม... เอาสีอะไรดีน้า ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าควรซื้อแท่งไหนดีนั้นกลับรู้สึกว่ามีพลังงานอะไรบางอย่างจ้องเขม็งอยู่ด้านหลัง ยิ่งได้ยินเสียงลมหายใจฟึดฟัดนี่เดาได้ไม่ยากเลยจ้า ไอ้ว่านชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์

“ด่ากูเดี๋ยวก็ทิ้งซะเลยนี่” หูย ไอ้คนหูดียิ่งกว่าหมา ยอมแพ้ๆ

“หยอกนิดหยอกหน่อย ไม่จริงจังดิ” ผมยกมือขึ้นยีหัวเพื่อนเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมองหน้า อารมณ์ตอนนี้คนนอกคงคิดว่าเราทั้งคู่เป็นแฟนกันแน่ๆ แต่มันก็คุ้มตรงที่ไอ้ว่านเขินหน้าแดงอะ หึหึ แกล้งง่ายฉิบหาย

“เออ กูจะแนะนำให้ทำ Photo Book จะได้เขียนบรรยายความรู้สึกลงไปด้วย ดูดีกว่ามึงจับรูปยัดๆ ใส่กล่องเยอะ” ไอ้ว่านรีบหันหน้ากลับไปสนใจพวกอุปกรณ์พวกนั้นตามเดิมด้วยท่าทีลนลานเลยทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาเมื่อสามารถแกล้งเพื่อนได้สำเร็จ จุดอ่อนของมันคือการโดนจ้องตานี่ล่ะ ไม่รู้จะเขินอะไรนักหนา แต่ที่เสนอมาเมื่อครู่ทำเข่าแทบทรุด บ้าเอ๊ย แค่ตัดรูปให้ตรงยังยาก นี่เพิ่มการบรรยายความรู้สึกลงไปอีก บ้าไปแล้วจ้า ไม่ใช่พวกผู้หญิงจินตนาการสูงสักหน่อย

“เพิ่มความยากไปอีก...” ผมบ่นงึมงำแต่ยังไม่ทันปฏิเสธไอ้คนหูดีก็หันขวับมาทำหน้าจริงจังใส่แถมยังกอดอกอีกด้วย อะไรอีกเนี่ย ก็มันยากไง... งานประดิษฐ์ประดอยสมัยประถมแม่ทำให้ทั้งนั้นเหอะ

“รักคีนไหมล่ะ?” เฮ้ย เล่นถามแบบนี้จะให้ตอบยังไงล่ะวะ

“รัก” ผมตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสายตาแน่วแน่แต่ในใจรู้สึกตงิดๆ ชอบกล เหมือนกำลังจะโดนคลื่นลูกใหญ่ซัดใส่เลยว่ะ

“งั้นก็ทำสิ ให้เขาประทับใจน่ะ” อะ ไอ้สัด มาเหนือจนผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ จะปฏิเสธก็กลัวเพื่อนหาว่าไม่รักแฟน ครั้นตอบรับไปก็กลัวทำพังแล้วไม่มีอะไรเซอร์ไพร์สวันเกิดคีนสักอย่าง เอาไงดีวะ หรือเปลี่ยนแผนซื้อเลนส์กล้องตัวใหม่ให้เลย คราวนี้จากฉายากิมจ๊อกลายเป็นอาเสี่ยแน่นอน สายเปย์สุดๆ

“เอาไง พี่โซนส่งไลน์มาแล้วนะ” ไอ้ว่านหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโบกให้เห็นว่าพี่โซนไลน์มาหาจริงๆ ผมเม้มริมฝีปากชั่งใจคิดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เอาวะ ลองทำให้สุดความสามารถก็ได้

“มึงแม่ง... เออ ทำก็ทำ!”

สุดท้ายผมก็ได้อุปกรณ์ทำ Photo Book อย่างง่าย มีสมุดสเก็ตภาพ เทปลวดลายต่างๆ ของตกแต่ง สติ๊กเกอร์ ปากกาสี กระดาษสีและของจิปาถะอีกเยอะแยะจนไม่รู้ว่าจะเอามันไปใช้ประโยชน์อะไรได้แค่ไหนเนื่องจากคนเลือกคือไอ้ว่าน ผมยกถุงในมือขึ้นมองอีกครั้งก่อนจะก้าวเอื่อยๆ ออกจากร้านเพื่อหามื้อกลางวันกินคนเดียว ย้ำว่าคนเดียวเพราะเพื่อนตัวดีแยกไปหาแฟนแล้ว เนี่ย ขอร่วมทางด้วยก็ไม่ได้ เฉดหัวอย่างกับหมูกับหมาบอกว่าอยากสวีทกับแฟน เอ้อ ใช่สิ๊ ไม่สำคัญนี่ น่าน้อยใจชะมัด ฮึ!

หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ตรงดิ่งกลับคอนโดเพื่อลงมือทำ Photo Book ทันที แต่อุปสรรคคือการที่ชมจันทร์คอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ กระโดดขึ้นตักบ้าง คาบอุปกรณ์หนีไปตรงระเบียงบ้างจนทนไม่ไหวจนต้องไล่ไอ้อ้วนเข้ากรงก่อนหมดเวลาเล่นของมันซะอีก วันนี้งดวิ่งสักวันเนอะฟู พรุ่งนี้จะชดเชยให้จ้า

หาว ~

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน ตื่นมาอีกทีก็เห็นทั้งห้องสว่างด้วยการเปิดไฟ ผมหาวอีกครั้งก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบที่นอนฟุบโต๊ะไปเกือบสามชั่วโมง แต่เดี๋ยว... เมื่อตอนกลางวันกูไม่ได้เปิดไฟทิ้งไว้นี่ เฮ้ย!

“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มติดหัวเราะหน่อยๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลังซึ่งเป็นโซฟาที่ผมใช้พิงตอนทำงาน ร่างกายแข็งทื่อเมื่อได้ยินประโยคคำถามนั่น นี่กูคิดถึงคีนจนหลอนขนาดนี้เลยเหรอ แต่มันชัดขนาดนี้ลองหันไปดูหน่อยคงไม่เสีย...

“คีน!” ผมแผดเสียงดังลั่นห้องเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งอยู่ด้านบนจริงๆ ดวงตารีที่มองตรงมามีแววตกใจแถมมือเรียวยังเอื้อมมาปิดปากกันอีกด้วย โว๊ย ผมเนี่ยช็อกแล้ว คีนตัวเป็นๆ มาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน!

“จะตะโกนทำไม? อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง” คีนมองผมอย่างคาดโทษก่อนปล่อยมือออกจากปาก เขาขยับไปนั่งพิงพนักโซฟาตามเดิมแต่ใบหน้าตกใจได้กลายเป็นการอมยิ้มขำซะแล้ว โธ่ ก็ผมตกใจนี่หว่า อยู่ๆ แฟนก็โผล่มาก่อนวันที่ตกลงว่าจะกลับ นึกว่าโดนผีอำอะ

“ไหนบอกว่าจะกลับพรุ่งนี้ตอนเย็น?” ผมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน คีนไม่ได้ตอบในทันทีเหมือนต้องการแกล้งในอกแตกตาย และมันก็ได้ผลมากเมื่อผมทนไม่ไหวจนต้องย้ายตัวเองขึ้นนั่งบนโซฟาก่อนจะเอื้อมมือจับแก้มทั้งสองข้างของเขา พูดมาเร็วๆ สิคุณคนินท์ ไอ้กิมอยากรู้จนแทบดิ้นอยู่แล้วจ้า!

“ก็... สงสารกระต่ายน่ะ กลัวมันอดกินข้าว” คีนยักคิ้วทำหน้าทะเล้นใส่กันในขณะที่ผมเผลอบุ้ยปากเมื่อได้ยินคำตอบที่ไม่ถูกใจ เนี่ย อะไรๆ ก็กระต่ายตลอด ไม่เห็นเคยคิดถึงแฟนบ้างเลย งอนได้ไหมไม่รู้ แต่ผมนี่เก็บไม้เก็บมือกอดรอบอกเรียบร้อย

“.....” ผมเปลี่ยนท่านั่งเป็นกอดเข่าไม่พูดไม่จาจนคนข้างๆ ถึงกับหลุดหัวเราะเสียงหึหึก่อนที่มืออุ่นจะวางแปะลงบนหัวแล้วออกแรงขยี้ โอย ไม่เอาโมเม้นต์แบบนี้ดิ แพ้ครับแพ้ ~

“ล้อเล่น ก็กิมบอกให้เรารีบกลับไม่ใช่เหรอ?” อะ คนขี้แกล้งสารภาพด้วยใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ดวงตารีเสมองไปทางอื่นผิดจากเมื่อครู่ที่แกล้งกันโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนลูกโป่งที่กำลังลอยขึ้นสู่ฟ้า หัวใจคันยุบยิบจนอยากหาที่ระบาย ฮึ่ย มันเขี้ยวจะแย่แล้วเว้ย

“น่ารักว่ะ” ผมกัดฟันกรอดพยายามอดทนกดความรู้สึกที่พุ่งพล่านแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ๆ ก็เผลอกระโจนเข้าใส่คีนแถมคร่อมไว้เกือบทั้งตัวอีกต่างหาก

“อย่าเพิ่ง... เรายังไม่ได้อาบน้ำ” คีนที่ตอนนี้โดนบังคับให้นอนราบลงบนโซฟารีบออกปากห้ามปรามเมื่อผมโน้มตัวใกล้เพื่อคลอเคลียจมูกกับซอกคอขาวเนียน มือเรียวยันแผ่นอกโดยออกแรงผลักอย่างเต็มที่จนผมรู้สึกจุก แต่เรื่องอะไรจะยอมแพ้ง่ายๆ ว่ะ ยอมอดอยากปากแห้งมาเกือบสองอาทิตย์แล้วเหอะ! (ขนาดย้ายมาอยู่ด้วยกันแบบจริงจังยังไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมเข้าจังหวะบ่อยๆ เลย ชีวิตช่างเศร้านัก...)

“อยากฟัด” ผมบอกความต้องการก่อนจะเลียริมฝีปากที่แห้งผาก คีนหลุดหัวเราะพร้อมๆ กับยกมือขึ้นมาตีแก้มกัน เนี่ย เขาอนุญาตเมื่อไหร่ผมพร้อมรุกเลยนะ

“รอก่อนสิ ไอ้หมาตัวโต” อะ โดนปฏิเสธด้วยใบหน้าทะเล้นๆ ตบท้ายด้วยการโน้มคอผมลงไปจูบคืออะไรครับ นี่มันยั่วให้อยากแล้วจากไปชัดๆ ร้ายนักนะ!

“คีน...” ผมจะตายแล้วเนี่ย หน้าตาบิดเบี้ยวยิ่งกว่าคนปวดอึซะอีก คีนใจร้ายโคตรๆ เลย

“กิมจะทำ Photo Book ให้เราเหรอ?” อยู่ๆ คีนก็ชวนเปลี่ยนเรื่องโดยการชี้นิ้วไปที่โต๊ะญี่ปุ่นด้านล่าง ไอ้ผมที่กำลังหื่นเต็มกำลังถึงกับชะงักค้างก่อนจะเบิกตาโตรีบกระโดดลงจากโซฟาเพื่อโกยอุปกรณ์ทุกอย่างลงกล่อง

“ระ รู้ได้ยังไง!?” ปากก็ยังจะถามเขาน้อ หลักฐานมัดตัวแน่นหนาขนาดนี้ แล้วผมก็เดาว่าคีนคงเห็นตั้งแต่กลับถึงห้องด้วย ตายๆ จากที่จะเซอร์ไพร์สกลายเป็นว่าเขารู้แผนทุกอย่าง แง๊ ไอ้ว่าน พังหมดแล้วมึง!

“รูปเราที่อยู่ในกล่องข้างโต๊ะกับอุปกรณ์นั่นไง” จ้า หยุดขยายความด้วยใบหน้าขำขันได้แล้ว ผมอายจนจะมุดพรมหนีอยู่แล้วเว้ย

“ฮือ หมดกัน ว่าจะทำเซอร์ไพร์สวันเกิดสักหน่อย” ผมบ่นหงุงหงิงเหมือนเด็กโดนขัดใจก่อนจะนั่งแหมะลงบนพรมอย่างหมดแรง ใบหน้าซบลงบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างยกขึ้นขยี้หัวตัวเองหนักๆ เนี่ย เกิดเป็นคนโง่แถมยังไม่รอบคอบอีก เฮ้อ คีนดีใจหรือเสียใจที่มีแฟนแบบผมเนี่ย

“หึหึ แค่เห็นรูปเราตอนเรียนมัธยมก็เซอร์ไพร์สแล้วปะ?”

“.....” อะ พูดไม่ออกเลยจ้า ได้แต่แสร้งนอนฟุบโต๊ะทั้งที่ในใจกรี๊ดเสียงดังจนหูแทบแตก ความลับเปิดเผยสองเรื่องเลยจ้า ชีวิตหนอชีวิต ต้องไปทำบุญโลงศพต่ออายุไหมเนี่ยกู

“ชอบเราตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ?” เนี่ย แค่เห็นรูปตัวเองก็สามารถประติดประต่อเรื่องราวได้ถูกต้อง ไม่เรียกคีนว่าคนเก่งก็ไม่รู้จะยังไงแล้ว ส่วนผมน่ะเหรอ... ทำได้แค่พยักหน้ารับหงึกๆ ทั้งที่ยังฟุบโต๊ะอยู่นั่นล่ะ ทั้งเขินทั้งอายแถมยังรู้สึกผิดที่ปิดบังเรื่องนี้กับเขาอีกต่างหาก

“อื้ม... ขอโทษที่ปิดบังนะ”

“เราสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษที่ไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง แถมยังแซวกิมกับโฮมอีก โกรธบ้างไหม?” คีนไถลตัวลงมานั่งข้างกันในขณะที่ผมเพิ่งเลิกมุดหน้าลงกับโต๊ะ เรานั่งพิงโซฟาหันหน้ามองสบตา ต่างคนต่างแสดงความรู้สึกในหัวใจแบบไม่มีการเสแสร้ง

“ไม่เคยโกรธเลยครับ ตรงกันข้าม... การที่เราได้แอบมองคีนอยู่ห่างๆ ทำให้ความรู้สึกมันมีมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก” ผมระบายยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับกุมมือคีนเอาไว้เพื่อเสริมความมั่นใจให้มากขึ้น ใครจะโกรธเขาได้ลงในเมื่อผมไม่เคยแสดงออกว่าชอบเลยสักครั้ง มีบ้างที่พูดคุยด้วยแต่ก็เป็นแค่เรื่องสัพเพเหระทั่วไป

“อืม... รู้สึกเขินแปลกๆ” คีนหลุบตาลงต่ำ ใบหน้าค่อยๆ มีสีแดงระเรื่อขึ้นประดับลามไปถึงใบหู เขาน่ารักเสมอไว้ว่าจะเป็นตอนไหน ตั้งแต่มัธยมจนปัจจุบันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เหมือนกับความรู้สึกของผมที่ยังมั่นคงกับคนๆ เดียวเสมอ

“รักนะครับ” ความรู้สึกที่มีให้เขาคงเป็นอย่างเดียวที่เปลี่ยนไป จากความชอบแปรผันเป็นความรัก ใช้เวลาบ่มเพาะความรู้สึกเรื่อยๆ จนวันหนึ่งมันก็ออกดอกและมีผลให้ชื่นชม

“ไอ้กิมบ้า... เมื่อกี้เราเพิ่งบอกว่าเขินไม่ใช่เหรอ? ยังจะบอกรักอีก” อะ ผมโดนบ่นใส่แต่ไม่เห็นจะรู้สึกรำคาญเลยสักนิดในเมื่อคนตรงหน้าคือคนที่รักที่สุด

“ก็คีนเขินแล้วน่ารักไง” พูดอย่างเดียวกลัวเขาจะไม่ยอมรับเลยก้มหน้าลงขโมยหอมแก้มซะเลย แต่คีนดันไม่เขินต่อเพราะทำตาขวางใส่ผมซะแล้ว โอย ตายแน่ๆ

“อยากโดนเอาคืนใช่ไหม?” นั่น... กลายเป็นคนแค้นฝังหุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่ กลัวแล้วจ้า แต่การท้าทายอำนาจมืดอาจจะได้พบเจออะไรดีๆ ก็ได้น้า

“จะทำอะไรเราล่ะ?” ลองดูสักครั้งคงไม่ตาย ~

“หึหึ ก็แบบนี้ไง” คีนพูดจบก็คว้าท้ายทอยของผมเข้าไปประกบปากจูบแลกเปลี่ยนความหอมหวานซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ส่งผ่านความรัก ความห่วงใยด้วยการกระทำที่มีความหมาย อ่า... ผลลัพธ์โคตรดีอะ ไว้โอกาสหน้าจะท้าทายบ่อยๆ เนอะ

จุดเริ่มต้นของผมคือคีนจนมาวันนี้เราเดินทางถึงจุดบรรจบได้ก็เพราะคีนอีกเช่นกัน

โชคชะตา สายลมแสงแดด สถาบันกวดวิชา กล้องถ่ายรูป อินสตาแกรม มหา’ลัย คอนโด กระต่าย พ่อแม่ คุณป้า ไอ้ว่าน ไอ้ปอม โฮม พี่ซัน พี่เซียน พี่โซน พี่ปิ๊ง น้ำปิง และทุกๆ สิ่งในชีวิต ผมขอขอบคุณที่เป็นใจให้การแอบรักของคนๆ หนึ่งสมหวังในที่สุด

ช่วงซึ้งๆ ถูกตัดจบด้วยเสียงครืดของโทรศัพท์ แทนที่ผมจะหงุดหงิดกลับยิ้มกว้างจนหน้าแทบเป็นกระด้งเมื่อเห็นอะไรบางอย่างบนหน้าจอ รูปแผ่นหลังของตัวเองยามฟุบหลับอยู่กับโต๊ะพร้อมแคปชั่นที่ว่า...

the_kirin.z ขอบคุณที่รักกัน #mygimmick

อ่า... ให้ตายเถอะ แฟนผมน่ารักฉิบหาย!



-----------------------------------------

จบบริบูรณ์แล้วน้า ถ้ามีโอกาสเราจะได้เจอกิมกับคีนในรูปเล่ม

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะ จุ๊บ

อย่าลืมติดตามนิยายเรื่องใหม่ของเราด้วยเนอะ
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 25-12-2018 15:04:14
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-06-2019 09:43:21
 :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 04-06-2019 19:18:14
หวานได้น่าอิจฉามากค๊าาาาา

 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 30-06-2019 09:07:44
หื้อออออ น่ารักกันมากๆเบยทั้งสองคน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ::Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ:: จุดบรรจบ -P.3- 24/12/61
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:33:56
 :pig4: