พิมพ์หน้านี้ - THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: lolito ที่ 18-05-2018 09:26:43

หัวข้อ: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-05-2018 09:26:43
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
[/size]


The Heartbreak Holidays : พ่ายรัก.. มาพักร้อน


คนไม่ใช่ ให้ตายยังไงก็ไม่ใช่

จอสรู้ซึ้งถึงความหมายของประโยคนี้ดีกว่าใคร

เพราะถึงจะเป็นทุกอย่างให้แล้วแม้กระทั่งตัวร้าย สุดท้ายคนที่ชอบก็ไปเลือกคนอื่น

ถึงคราวต้องหอบความขมขื่นไปหลบเลียแผลใจเงียบๆคนเดียวบนเกาะที่ห่างไกล

แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด จากที่หวังจะฟันวินทร์หนุ่มหล่อเจ้าของรีสอร์ท

กลับกลายเป็นโดนเขาฟันเสียเอง ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังตามตอแยไม่เลิกรา

จากผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่า หรือจะถึงเวลาต้องลองเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆดูเสียที

เพราะถ้าการอกหักพาจอสข้ามทะเลมาถึงเกาะนี้ได้

ความรักครั้งใหม่ก็คงไม่แคล้วจะเปลี่ยนโลกทั้งใบให้ไม่มีวันเหมือนเดิม



สำหรับเรื่องนี้เดิมทีตั้งใจจะทำให้เป็นแค่ตอนพิเศษสั้นๆ ไม่กี่ตอนจบ

แต่ด้วยความนิยมของน้องจอสที่แรงเกินหน้าเกินตาคู่เอกของเรื่อง ทำให้ผู้อ่านหลายท่านอยากให้เขียนเป็นเรื่องเดี่ยวๆของเขาไปเลยเรื่องนึง

ผู้เขียนพิจารณาดูด้วยพล็อตก็พบว่า เราก็ทิ้งเรื่องต่างๆเกี่ยวกับจอสไว้แบบปลายเปิดในเนื้อเรื่องหลักเยอะพอสมควร น่าจะพอเอามาเขียนจนเป็นเรื่องยาวได้

ผลก็เลยออกมาเป็นนิยายเรื่องนี้ เนื้อหาของเรื่องนี้จะมีความเบากว่าเนื้อเรื่องหลักพอสมควร ไม่ดราม่าจัดมากเหมือนเรื่องของน้องภู แค่พอมีบ้างให้เป็นกระสัย และอาจจะมีฉาก nc เยอะกว่าพอสมควร เพราะคงรู้ๆกันอยู่ว่าน้องจอสเราไม่ใช่เด็กใสๆ อินโนเซนส์

ความถี่ในการอัพจะพยายามไม่ให้เกินหนึ่งสัปดาห์ต่อหนึ่งตอน ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ

สำหรับท่านที่เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก บางส่วนของเนื้อเรื่องจะเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก หากไม่ได้อ่านมาก่อนอาจจะงงนิดหน่อยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หากอยากเข้าใจเพิ่มเติมสามารถอ่านเนื้อเรื่องหลักก่อนได้  ที่นี่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66201.0) เลยครับ

หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 1 [18-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-05-2018 09:27:24
Contents

Episode 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3832875#msg3832875)
Episode 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3834729#msg3834729)
Episode 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3836152#msg3836152)
Episode 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3838253#msg3838253)
Episode 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3839979#msg3839979)
Episode 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3842157#msg3842157)
Episode 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3843709#msg3843709)
Episode 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3845429#msg3845429)
Episode 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3847955#msg3847955)
Episode 10 EPILOGUE (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67203.msg3851510#msg3851510)
หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 1 [18-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-05-2018 10:06:48
Episode 1

               “รีบๆ วางสายไปเลยป่ะ...”

               หลังจากกดตัดสายจากภูซึ่งโทรมาโวยวายเรียกตัวให้เขากลับไปทำงานของตัวเอง สายตาของจอสยังคงจ้องมองค้างที่หน้าจออยู่อีกครู่หนึ่ง ใบหน้าเกือบจะยิ้มออกมาจากความรู้สึกดีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแต่ก็ยังถูกความหม่นหมองที่ยังค้างเติ่งอยู่ในหัวใจสกัดกั้นเอาไว้ การอกหักครั้งแรกในชีวิตไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เขายังทำใจยอมรับความรู้สึกที่เกิดจากมันไม่ค่อยได้ มันไม่ใช่ความโกรธ ไม่เชิงเศร้า หากจะใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะเป็นความใจหาย เหมือนเป้าหมายสำคัญในชีวิตได้ดับหายไป

               เวลาเลยผ่านช่วงบ่ายย่ำเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว จอสรูดเปิดผ้าม่านที่ปิดเอาไว้เพื่อกันแสงแดดจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาในช่วงบ่าย สามวันแล้วที่เอาแต่เก็บตัวหมกอยู่ในห้องนี้ คืนนี้คงถึงเวลาต้องพยายามออกไปปรับตัวให้ชีวิตเลิกจมกับความหมองหม่นเสียที เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องพักรีสอร์ทซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูงเพื่อหาสถานที่สักแห่งซึ่งเหมาะสมสำหรับใช้เวลาให้ผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไป การพักงานทั้งหมดแล้วหนีมากบดานอยู่บนเกาะแห่งนี้ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะบนเกาะเล็กๆ ซึ่งมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นประชากรส่วนใหญ่เช่นนี้ มีโอกาสเพียงน้อยนิดที่เขาจะถูกจำได้ว่าเป็นใคร อีกทั้งด้วยรูปลักษณ์ที่เอนเอียงไปทางชาวต่างชาติตามเชื้อสายอเมริกันของผู้เป็นพ่อทำให้เพียงแค่เปลี่ยนสีผมเพียงเล็กน้อยและใส่คอนแทคเลนส์เปลี่ยนสีตาให้เป็นแบบชาวตะวันตกก็มากพอที่จะทำให้ดูจอสเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคน

               เมื่อไม่อาจตัดสินใจแบบเจาะจงได้ว่าจะไปที่ไหน จอสจึงพาตัวเองออกไปตายเอาดาบหน้า เขาตั้งใจจะเดินออกจากรีสอร์ทและตระเวนดูตามแนวชายหาดให้ทั่วพื้นที่เพื่อหาสักแห่งที่ถูกใจพอจะแฮงค์เอาท์ได้ เด็กหนุ่มพยายามใช้ความระมัดระวังขณะเดินลงบันใดเล็กๆ ที่ตัดเป็นทางลัดจากรีสอร์ทสำหรับลงไปยังชายหาด ด้วยระดับความสูงที่ค่อนข้างชันซ้ำยังเต็มไปด้วยกรวดหินก้อนเล็กๆ ซึ่งอาจพาให้เท้าเหยียบพลาดและลื่นไถลตกลงไปได้อย่างง่ายดาย แต่ขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุ แม้จะระวังตัวมากเพียงใดมันก็อาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด ดังเช่นในครั้งนี้ที่ถึงแม้จอสจะระมัดระวังอย่างเต็มที่ แต่ท้ายที่สุดก็มีปัจจัยอื่นเข้ามาทำให้เสียกระบวนจนได้ เมื่อในขณะที่ตาทั้งสองข้างกำลังจับจ้องมองแต่ละก้าวของตนเองเบื้องหน้านั้น จู่ๆ ด้านหลังซึ่งไร้การป้องกันก็ถูกพุ่งชนอย่างแรงด้วยอะไรบางอย่างซึ่งมีขนสีทองและน้ำหนักไม่ต่ำกว่ายี่สิบกิโลกรัม

               ร่างของเด็กหนุ่มเกือบจะทะยานออกไปข้างหน้าตามแรงกระแทก แต่โชคดีที่ยังพอจะตั้งหลักรั้งตัวเองเอาไว้ได้ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะรอดพ้นจากการบาดเจ็บเมื่อเท้าซึ่งเสียการทรงตัวบนพื้นกรวดนั้นเกิดลื่นไถลจนเสียหลักล้มก้นกระแทกพื้นหินของขั้นบันไดอย่างแรง

               “อุ… อูยย” จอสเจ็บจนอุทานไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงครวญครางออกมาเพื่อระบายความทรมาน

               “โจโฉ!” เสียงใครบางคนร้องเรียกชื่อที่เหมือนกับตัวละครในวรรณกรรมจีน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคำอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่โจโฉที่ว่านั่นได้ทำเอาไว้ “ตายห่าแล้ว… เป็นอะไรไหมครับ?”

               “อ่ะฮะ…” จอสพยักหน้า นึกในใจว่าไม่เห็นต้องถาม ก็น่าจะรู้ๆ กันอยู่

               ลิ้นแฉะๆ เลียเข้าที่แก้มของจอสหนึ่งครั้ง เมื่อหันไปดูก็พบสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่กำลังนั่งยิ้มแฉ่งอยู่ข้างที่เกิดเหตุ จอสรู้ได้ในทันทีว่าอะไรที่พุ่งชนตนจนเกือบหน้าทิ่มเมื่อครู่ เมื่อรู้ว่าคู่กรณีของตนไม่ใช่มนุษย์จอสจึงไม่คิดจะถือสาให้ตัวเองดูปัญญาอ่อน เขายันตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะปัดเอาเศษดินเศษกรวดออกจากกางเกงเบาๆ ไม่ให้กระเทือนจุดที่บอบช้ำเมื่อครู่

               “คุณไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ?” เจ้าของเสียงเดิมถามมาอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษเมื่อเข้ามาใกล้พอจะเห็นรูปลักษณ์ซึ่งผ่านการพรางให้ดูเหมือนชาวต่างชาติของจอส “ขอโทษครับ หมามันหลุด ผมวิ่งไล่ตามมาไม่ทัน”

               “ไม่เป็นไรๆ แค่ลื่นล้ม ไม่สาหัส” จอสตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษเช่นกันเพื่อความแนบเนียน

               “แน่นะครับ” เขาถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะรีบเข้ามาประคองเมื่อจอสตั้งท่าจะเสียหลักอีกรอบขณะหันกลับมา “หัวไม่กระแทกใช่ไหมครับ?”

               “น่า… ไม่เป็นไรจริง…”

               คำตอบของจอสหยุดชะงักลงกลางประโยคเมื่อเขาหันกลับมาเห็นหน้าชายผู้เป็นเจ้าของสุนัขตัวแสบ ชายคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้จอสนึกถึงเด็กหนุ่มผู้ซึ่งเพิ่งหักอกเขาและเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นเพื่อนใหม่ ทั้งผมที่ไว้ยาวในทรงเดียวกันอีกทั้งยังความอ่อนหวานปนไร้เดียงสาบนใบหน้านั้นอีก หากจะมีสิ่งใดที่พาสติของจอสให้แยกออกว่าทั้งสองคือคนละคนกัน นั่นก็คงเป็นรูปร่างของอีกฝ่ายที่ดูจะมีกล้ามเนื้อแข็งแรงทะมัดทะแมงมากกว่าภูซึ่งบอบบางจนแทบจะปลิวตามกระแสลมแรงได้

               “ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ?” เขายังถามซ้ำเมื่อเห็นจอสเอาแต่จ้องหน้าตนเหมือนยังไม่ได้สติ “ฮัลโหลววว”

               นี่แหละ ใช้ได้เลย… ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาในหัวอย่างทันควัน โดยไม่ต้องลงไปถึงชายหาดตามที่คิดเอาไว้ แต่ในที่สุดจอสก็พบเจอสิ่งที่เขาอยากจะใช้เวลาในค่ำคืนนี้ด้วยแล้ว ความสนุกเล็กๆ น้อยๆ แบบชั่วข้ามคืนก็ไม่เลวนักที่จะใช้เป็นสิ่งปลอบประโลมหัวใจช้ำๆ ที่เพิ่งเจ็บมาหมาดๆ ของตน จอสหันไปมองเจ้าโจโฉด้วยสายตาขอบคุณที่ส่งเจ้านายมันมาเป็นเหยื่อสังเวยให้ถึงที่ ทั้งหมดที่เขาต้องทำต่อจากนี้คือล่อลวงและพาอีกฝ่ายไปให้ถึงขอบเตียงให้จงได้

               “เป็น… ตอนนี้เป็นแล้ว…” จอสไม่ปล่อยโอกาสที่จะทำให้ตัวเองได้เปรียบทิ้งไป เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นขาอ่อนแรงจนทรุด ทักษะการแสดงที่ร่ำเรียนมาถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง “สงสัยจะเดินไม่สะดวกไปอีกหลายวันแน่เลย”

               “อ้าว… คนไทย?” ชายคนนั้นตกใจเมื่อจอสหลุดตอบกลับมาเป็นภาษาไทย ก่อนที่ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจะทำให้เขาต้องก้มลงจ้องดูใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ “ก็ว่า… หน้าก็ดูคุ้นๆ อยู่นะ…”

               “คนไทยแล้วไง จะไม่รับผิดชอบงั้นเหรอ?” จอสโวยวาย ก่อนจะทำสีหน้าให้ดูเจ็บปวดรวดร้าวมากขึ้นกว่าเดิม

               “ยังไม่ได้พูดแบบนั้นซักคำเลยนะครับ” ชายคนนั้นรีบแก้ตัว ขณะที่ตาก็ยังจ้องหน้าจอสไม่ยอมเลิก เหมือนพยายามจะนึกให้ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

               “รับผิดชอบมาเลย” จอสเรียกร้อง

               “ให้ผมพาไปหาหมอก็แล้วกันครับ” ชายคนนั้นเสนอก่อนจะทำท่าเดินกลับขึ้นไป “เดี๋ยวผมขอไปเอารถแป๊ปนึงนะ รอตรงนี้แหละ”

               “ไม่! หยุด!” จอสรีบห้ามเมื่อได้ยินคำว่าหมออันเป็นจุดอ่อนหนึ่งเดียวของตน “ไม่ไปหาหมอ!”

               “อ้าว… แล้วจะให้ผมรับผิดชอบยังไง?” อีกฝ่ายเอาใจไม่ถูก

               “ชื่ออะไร?” จอสถามกลับไป

               “ดาวินทร์แต่เรียกแค่วินทร์ก็ได้ครับ เรียกเต็มๆ มันเหมือนชื่อผู้หญิง ” อีกฝ่ายตอบกลับมา “แล้วคุณล่ะ? จะให้ผมเรียกว่าอะไร?”

               “นี่จำไม่ได้จริงๆ เหรอ?” จอสแปลกใจ เพราะหากเป็นคนไทยก็ย่อมจะต้องเคยเห็นตนผ่านสื่อมาบ้างไม่มากก็น้อย

               “ก็คุ้นๆ … แต่ไม่รู้ว่าจะใช่หรือเปล่า” วินทร์ไม่แน่ใจ “ก็คนนั้นเค้าไม่ได้ตาสีนี้…”

               “อ๋อนี่เหรอ…” จอสถอดคอนแทคเลนส์ออกแล้วโยนทิ้งให้ดูต่อหน้า “ทีนี้จำได้หรือยัง?”

               “โอ้… ชัดเจน” วินทร์ตบมือผาง “เจมส์ ภาณุวัฒณ์”

               “ไม่ใช่!” จอสปรี้ดแตกที่ถูกจำสลับเป็นดาราวัยรุ่นอีกคนหนึ่งของทางช่อง “นี่จอส! จอส วาโย!”

               “เออ ใช่ นั่นแหละ” อีกฝ่ายหัวเราะร่วน รีบเออออตาม “จำผิดไปนิดเดียวเอง”

               “ไม่นิดแล้ว คนละคนกันเลย” จอสรีบดึงกลับเข้าประเด็น “ตกลงจะรับผิดชอบยังไง ไม่เอาหาหมอ”

               “ถ้าไม่หาหมอก็ไม่รู้จะรับผิดชอบยังไงแล้วล่ะครับ” วินทร์เกาหัวจนปัญญา “ให้คุณเสนอมาเองดีกว่าว่าอยากให้ชดใช้ยังไง”

               “กินอะไรรึยังล่ะ?” จอสถามกลับไป “เลี้ยงข้าวหน่อยก็แล้วกัน ไปกินด้วยกันนี่แหละ”

               “อืม แค่เลี้ยงเฉยๆ ก็ได้ แต่ผมคงไม่กินด้วยนะครับ” วินทร์ตอบกึ่งตกลง “หลังหกโมงเย็นไปแล้วผมไม่ชอบกินอะไรหนักๆ แล้ว เดี๋ยวนอนไม่หลับ”

               กินๆ ไปเหอะน่า คืนนี้ยังไงก็หลับ เพราะก่อนนอนเดี๋ยวได้เสียแรงเยอะแน่… จอสหื่นจนหน้ามืดจากอากัปกิริยาการแสดงออกของอีกฝ่ายที่ดูยั่วยวนชวนให้ข่มเหง เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่เขาพบเจอกับภูครั้งแรกในการถ่ายแฟชั่นลงนิตยสาร จะแตกต่างอยู่บ้างก็เพียงแค่กับภูมันมีเพียงความเอ็นดู แต่กับวินทร์นอกจากเอ็นดูเขาก็อยากจะดูเอ็นด้วย เพราะอีกสิ่งหนึ่งที่วินทร์มีแต่ภูไม่มีนอกจากกล้ามเนื้อแบบนักกีฬาแล้วก็คือเสน่ห์เย้ายวนของแรงดึงดูดทางเพศซึ่งทำให้จอสใจเต้นแรงทุกครั้งได้ในทุกครั้งที่สบตา จนบางขณะเขาถึงกับต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาคู่นั้นเสียเองด้วยความประหม่า

               “แล้วจะไปกินทีไหนดีครับ?” วินทร์ถามขึ้นมาขณะนำสายจูงไปคล้องไว้กับปลอกคอของโจโฉเหมือนเดิม

               “ไม่ต้องไปไกลหรอก สั่งเอาจากรูมเซอร์วิสก็ได้” จอสเสนอทางเลือกที่ง่ายที่สุดให้

               “ผมว่า… ไปกินตามร้านจะสะดวกกว่าแล้วก็มีอะไรกินเยอะกว่านะครับ” วินทร์ดูจะไม่เห็นด้วย

               “ไม่อ่ะ เราไม่ชอบไปกินตามร้านอาหาร” จอสยืนกรานความคิดเดิม

               “อ๋อ… กลัวคนจำได้เหรอ?” วินทร์เข้าใจไปแบบนั้น

               เปล่าหรอก กินร้านข้างนอกมันก็เริ่มด้วยคาวแล้วจบด้วยหวาน แต่ถ้ากินในที่ส่วนตัวสองต่อสองเนี่ย อาจจะมีของคาวตบท้ายหลังของหวานอีกรอบนึง… จอสเก็บคำตอบที่แท้จริงเอาไว้ในใจแล้วตอบออกไปแบบที่อีกฝ่ายคิดเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น “ใช่… เราอยากอยู่เงียบๆ”

               “ก็ได้ๆ เข้าใจครับ เป็นคนดังนี่ลำบากเนอะ” วินทร์ทำท่าเข้าอกเข้าใจโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังจะเดินลงกับดักที่อีกฝ่ายขุดหลุมพรางไว้

               “งั้นสองทุ่ม เจอกัน” จอสนัดเวลาเผื่อไว้ให้ตนได้จัดสถานที่รอ

               “ได้ครับ สองทุ่มจะไปหานะครับ” วินทร์รับปาก “อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ? จะได้ซื้อติดไปด้วยเลย”

               มาตัวเปล่าก็ได้ เพราะนั่นแหละที่อยากกินอยู่ตอนนี้ จอสระงับความกระหายเอาไว้ในอกขณะที่ปากก็ตอบอีกฝ่ายไปกว่าอะไรก็ได้แล้วแต่จะซื้อมา แต่ก่อนจะแยกย้ายกันไปนั้นจู่ๆ เขาก็เพิ่งจะรู้สึกผิดสังเกตกับบางอย่างที่อีกฝ่ายได้พูดออกมาเมื่อครู่

               “ไหนทวนอีกที เรานัดกันว่ายังไง?” จอสหันไปถามทวนเพื่อดูคำตอบของอีกฝ่ายอีกครั้ง

               “ก็สองทุ่มไงครับ เดี๋ยวผมไปหาที่ห้องของคุณเลย” วินทร์ตอบกลับมาเหมือนเมื่อครู่

               “แล้วรู้เหรอว่าเราอยู่หลังไหน?” จอสจับพิรุธได้ “นี่คงไม่ได้กะจะรับปากส่งๆ แล้วชิ่งเบี้ยวหนีไปหรอกนะ…”

               “แหม ลืมถามเลยครับ” วินทร์แก้ตัวน้ำขุ่นๆ “แล้วอยู่หลังไหนล่ะครับ? “

               “7A” จอสตอบ ตามองเขม็งอย่างไม่ไว้วางใจ

               “ได้เลยครับ เดี๋ยวสองทุ่มเจอกันครับ” วินทร์ตอบรับแบบสบายๆ เหมือนไม่ได้รับผลใดๆ จากสายตานั้น

               “เดี๋ยวก่อน” หลังจากเห็นเล่ห์เหลี่ยมแบบเนียนหน้ามึนเมื่อครู่ จอสรู้ดีว่าอีกฝ่ายถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายแต่เอาเข้าจริงนายคนนี้ก็รอบจัดแสบสันต์กว่าภูหลายเท่า ดังนั้นเขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างหลักประกันว่าอีกฝ่ายจะไม่เบี้ยว และเจ้าตัวขนทองที่นั่งลิ้นห้อยอยู่นี้ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เข้าที “หมานายน่ะ เดี๋ยวเราดูแลให้จนกว่าจะสองทุ่ม”

               “ไม่ดีมั้งครับ” วินทร์ส่ายหน้าดิก “โจโฉน่ะ ติดเจ้าของมาก มันไม่ยอมไปกับคุณหรอก”

               “แน่ใจเหรอ?” จอสถามก่อนจะผิวปากเป็นสัญญาณเรียก

               สิ้นเสียงผิวปาก โจโฉก็ดิ้นจนหลุดจากสายจูงอีกรอบและกระโจนเข้ามาหาจอสทันที มันพยายามตะกุยตะกายแต่เมื่อเด็กหนุ่มผิวปากอีกครั้งพร้อมส่งสัญญาณมือทำท่าให้นั่งลง มันก็ยอมนั่งแต่โดยดี และเมื่อผิวปากอีกครั้งพร้อมกับหมุนข้อมือไปมา มันก็ล้มตัวลงนอนและกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น ทำเอาผู้เป็นเจ้าของอย่างดาวินทร์ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง ซ้ำยังเจือไปด้วยความรู้สึกเสียหน้าที่หมาของตนเชื่อฟังคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอมากกว่าเจ้านาย หลังจากพิสูจน์แล้วว่าทฤษฎีที่อีกฝ่ายพูดมานั้นผิด จอสเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับยื่นมือไปขอสายจูงจากวินทร์ ซึ่งอีกฝ่ายก็หมดหนทางจะต่อสู้จึงจำใจต้องส่งให้

               “รีบๆ มารับหมาคืนไปล่ะ อย่าลืมนะ สองทุ่ม 7A จะมาก่อนเวลาก็ได้ ไม่ว่า” จอสยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัยเหนือกว่า

               “ได้…” วินทร์ดูเจ็บใจที่พลาดท่าแต่ก็หมดทางจะดิ้นรนเมื่อลูกรักถูกจับเป็นตัวประกันอย่างสมยอม

               “ไปรอพ่อแกมารับกันดีกว่าโจโฉววววว” จอสคล้องสายจูงและออกวิ่งนำให้โจโฉตาม

               “ขาไม่เจ็บแล้วเหรอครับ?” วินทร์ตะโกนถามไล่หลังไป

               จอสได้ยินก็จึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่กำลังแสดงละครฉากบาดเจ็บค้างเอาไว้ เด็กหนุ่มรีบชะลอฝีเท้าลงและทำเป็นเดินกระเผลกให้อีกฝ่ายเห็น วินทร์ส่ายหน้ารู้สึกอายแทนกับการซดโป๊ะแตกชามใหญ่ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักแสดง เขายืนมองจนกระทั่งจอสจูงโจโฉหายลับพ้นเนินเขาไปจึงค่อยถอนหายใจออกมาและทรุดนั่งลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากความตึงเครียดที่ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่าย หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุดเพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังอาการใดๆ แล้ว แม้จะทุลักทุเลแต่วินทร์ก็ถือว่านี่เป็นความสำเร็จก้าวใหญ่ของตน

               โจโฉเป็นสุนัขที่ถูกฝึกมาอย่างดีและมีอุปนิสัยรับแขกเป็นเลิศ มันชอบเล่นกับคนแปลกหน้า จริงๆ แล้วมันชอบเล่นกับทุกคนยกเว้นเจ้าของตัวเอง ดังนั้นวินทร์จึงตั้งใจจูงมันออกมาหลังจากเห็นจอสออกมาจากห้องเพื่อใช้เป็นสื่อในการเข้าหา เพราะเคยได้รับรู้ข้อมูลจากบทสัมภาษณ์ว่าอีกฝ่ายชอบสุนัขเป็นชีวิตจิตใจ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดคือโจโฉจะเล่นแรงจนเป้าหมายเกือบจะดับอนาถคาเกาะเช่นนี้

               สามวันมาแล้วนับจากวันแรกที่จอสเชคอินเข้าพัก แม้อีกฝ่ายจะผ่านการอำพรางตัวจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแต่เขาในฐานะเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้รู้ดีแขกผู้มาเยือนคือใครจากเอกสารที่ใช้ประกอบการเข้าพัก หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมความกล้าเฝ้ารอที่จะเข้าไปทำความรู้จักหลังจากได้แต่เฝ้าดูผ่านหน้าจอโทรทัศน์และปกนิตยสารมานานสองนาน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะจอสเอาแต่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องพักไม่ยอมออกมาเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนกระทั่งวันนี้ในที่สุดโอกาสก็มาถึง แม้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันจนเสี่ยงที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องบาดเจ็บหนัก แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้…
หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 1 [18-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 18-05-2018 10:14:06
              เสียงเคาะประตูดังขึ้นเมื่อเข็มนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่มพอดิบพอดี จอสหันมองรอบตัวตรวจดูสภาพความเรียบร้อยของห้องพักเป็นครั้งสุดท้าย รวมถึงความเป๊ะของเสื้อผ้าหน้าผมของตนในกระจก เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดวาดภาพเอาไว้ในหัวแล้วจึงค่อยเดินตรงไปเปิดประตูรับเหยื่อเข้าสู่ลานเชือด

              “ตรงเวลาดีจังเลย ห่วงหมาหรือห่วงคนเจ็บกันเนี่ย?” จอสถามโดยไม่ลืมโปรยยิ้มกระชากใจแบบที่เคยเรียกเสียงกรี้ดจากแฟนคลับได้ทุกครั้งที่ทำ

              “ห่วงหมาครับ” วินทร์กลั้นยิ้ม แต่ก็รู้ตัวดีว่าใบหน้ากำลังแดงอย่างห้ามไม่ได้จากพลังทำลายล้างของรอยยิ้มนั้น

              “นู้นน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก ดูแลอย่างดี” จอสชี้ไปยังโจโฉที่ตอนนี้นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน

              “ไปให้มันนอนบนเตียง เสียนิสัยหมด” วินทร์เอ็ดเอาก่อนจะรีบไปปลุกโจโฉและพามันลงจากเตียง จากนั้นจึงส่งถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ถือมาให้กับเจ้าของห้อง “นี่ครับ คิดว่าดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในละแวกนี้แล้วนะ ไม่รู้ว่าจะถูกปากดาราหรือเปล่า”

              “อาหารจะถูกปากหรือไม่ มันอยู่ที่ว่ากินกับใคร…” จอสรับถุงมาก่อนที่กลิ่นหอมฉุยซึ่งโชยออกมาจากด้านในจะกระตุ้นให้เขาเปิดออกดู ของข้างในเป็นอาหารทะเลเผาหลากชนิด “แต่อันนี้ก็จัดว่าโอเคอยู่ ใช้ได้ๆ”

              วินทร์ซ่อนความดีใจที่อีกฝ่ายชอบสิ่งที่ตนหามาเอาไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉย เขามองดูบรรยากาศในห้องที่จอสเลือกจะปิดไฟหลักแล้วใช้ไฟสลัวแทนเพื่อเพิ่มบรรยากาศ อีกทั้งยังมีดอกไม้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไปแอบเด็ดมาจากสวนของรีสอร์ทจัดวางใส่ในแก้วน้ำเพื่อประดับโต๊ะกินข้าว หากเป็นคนอื่นวินทร์คงจะโมโหและต่อว่าไปแล้วกับการที่ดอกไม้ซึ่งดูแลเองกับมือถูกเด็ดมาใช้ส่วนตัวตามใจชอบ แต่เห็นว่าเป็นจอสด้วยฉันทคติที่มีจึงทำให้กฎระเบียบต่างๆ กลายเป็นยืดหยุ่นไปได้เสียหมด

              ในขณะเดียวกับทางด้านของจอสแม้มือจะสาละวนจัดวางอาหารขึ้นโต๊ะ แต่ตาก็ยังแอบจ้องลอบมองเหยื่อของตนในค่ำคืนนี้ มั่นใจในลางสังหรณ์อันแม่นยำว่าอีกฝ่ายก็คงจะพอมีใจสมยอมอยู่บ้างโดยสังเกตจากอาการเขินอายที่ถึงแม้จะพยายามปกปิดแต่ก็หลุดแสดงออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ เด็กหนุ่มพยายามคิดวางแผนว่าต่อจากนี้จะเอาอย่างไรต่อเพื่อให้บรรลุยังเป้าหมายที่คาดหวังเอาไว้ แน่นอนว่าต้องใช้การรุกคืบที่รวดเร็วเพราะนี่ไม่ใช่การจีบ ไม่เหมือนอย่างเคสของภูที่จะสามารถมานั่งคุยกันทั้งคืนแล้วปล่อยกลับไปโดยไม่มีอะไรบุบสลายได้ ครั้งนี้กับวินทร์ มันคือเรื่องของความใคร่ล้วนๆ เนื้อหนังเน้นๆ

              “นี่อายุยี่สิบเจ็ดแล้วเหรอเนี่ย?” จอสตกใจกับอายุของอีกฝ่าย หลังจากการคุยบนโต๊ะอาหารทำให้รู้ถึงรายละเอียดส่วนตัวของกันและกันมากขึ้น จริงอยู่ที่แค่มองจากภายนอกก็พอเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงจะอายุมากกว่าตน แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากกว่าขนาดนี้ “แล้วแบบนี้เราต้องเรียกพี่หรือเปล่า?”

              “ไม่ต้องหรอกครับ เอาแบบตามสบายกันดีกว่า” วินทร์รีบบอกปัดเพราะโดยส่วนตัวก็ไม่ชอบการเป็นฝ่ายอายุมากกว่าอยู่แล้ว

              “เรียกพี่ดีกว่า…” เมื่อรู้อายุจริงของวินทร์แล้วจอสก็ยากที่จะทำใจมองข้ามได้ “พี่เองก็ตามสบายนะ ไม่ต้องคุณต้องผมกับผมก็ได้”

              วินทร์พยักหน้าว่าตกลงตามนั้น จอสหยิบก้ามปูชิ้นสุดท้ายขึ้นมาใส่ปากและดูดเนื้อจนเกลี้ยง การหมกตัวอยู่แต่ในห้องด้วยอารมณ์หม่นหมองทำให้ความอยากอาหารถดถอยไปตลอดช่วงสามวันที่ผ่านมา วันนี้เมื่อความรู้สึกโดยรวมเริ่มดีขึ้นความหิวจึงกลับมาเป็นสามเท่าเช่นกัน เด็กหนุ่มจัดการสวาปามอาหารทะเลทั้งหมดซึ่งน้ำหนักรวมกันไม่ต่ำกว่าสี่กิโลกรัมจนเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที แม้จะเอาน้ำหนักเปลือกออกแล้วแต่ปริมาณเนื้อที่ลงท้องไปก็ถือว่าเยอะมากอยู่ดี ในขณะที่วินทร์ผู้เป็นเจ้าภาพจัดหามาเซ่นกลับนั่งเฉยไม่แตะเลยแม้แต่นิดเดียว

              “นี่พี่จะไม่กินอะไรจริงๆ เหรอ?” จอสวางก้ามปูซึ่งตอนนี้เหลือแต่วิญญาณลงบนจาน

              “มาถามคำนี้ตอนเหลือแต่เปลือกกุ้งกระดองปูแล้วเนี่ยนะครับ?” วินทร์หัวเราะในลำคอ หลังจากนั่งมองจอสกินอย่างดุเดือดมาเกือบครึ่งชั่วโมง

              “ก็ถ้าจะกินเดี๋ยวจะได้ซื้อเพิ่ม คราวนี้ผมออกเองก็ได้” จอสเช็ดปากกลบเกลื่อนความอายก่อนจะกลับเข้าสู่โหมดล่อลวงต่อทันที “ขอแค่พี่หิวอ่ะ ผมก็พร้อมจะเสิร์ฟให้”

              “เสิร์ฟเจ้านี่ก่อนเลย หิวแน่นอน” วินทร์ชี้ไปทางโจโฉที่ตื่นนอนแล้วและกำลังนั่งรออย่างมีความหวังถึงส่วนแบ่งจากโต๊ะอาหาร

              “เฉไฉเก่ง ตีมึนเก่งนะ…” จอสไม่ยอมให้วินทร์ดิ้นหลุดง่ายๆ “ถามดีๆ ไม่ยอมกินแบบนี้ สงสัยต้องจับป้อนให้ถึงปากซะล่ะมั้ง…”

              “คิดจะปีนเกลียวเหรอครับ?” วินทร์เอาอายุมาข่ม

              “ปีนแล้วได้ก็จะปีนครับ” จอสลุกจากเก้าอี้มาป้วนเปี้ยนอยู่ด้านหลังของวินทร์ มือทั้งสองข้างยกขึ้นบีบนวดเบาๆ เพื่อกล่อมให้ผ่อนคลาย “พี่ก็อยากให้ปีนไม่ใช่หรือไง ถึงได้ยอมมา…”

              “รู้ได้ยังไง พี่อาจจะแค่มารับหมากลับเฉยๆ ก็ได้” ใบหน้าของวินทร์ร้อนวูบวาบไปตามสัมผัสของอีกฝ่าย

              “ถ้าพี่จะมาแค่นั้นจริงๆ ตอนนี้พี่ก็กลับได้เลย” จอสปล่อยมือออก มั่นใจมากกว่าอีกฝ่ายไม่มีทางลุกหนี

              “โอเค…” ทว่าวินทร์กลับลุกขึ้นและคล้องสายจูงเข้าที่ปลอกคอโจโฉก่อนจะเปิดประตูพาออกไปนอกห้องพัก

              อ้าวเฮ้ย… ไปจริงว่ะ… จอสงงเป็นไก่ตาแตก ถึงกับไปต่อไม่เป็นเมื่อหมูไม่ยอมอยู่ในอวยอย่างที่คิด เด็กหนุ่มพยายามคิดย้อนกลับไปว่าตนทำอะไรผิดพลาดหรือข้ามขั้นตอนหรือเปล่า เพราะทั้งที่ทุ่มเทเสน่ห์ออกไปหมดตัวแล้วอีกฝ่ายทำไมถึงยังเดินออกไปได้อย่างหน้าตาเฉย ความวิตกกังวลทำให้เขาหมดความมั่นใจจนถึงกับต้องพ่นลมหายใจตัวเองออกมาดมเพื่อค้นหาว่าใช่สาเหตุหรือไม่ และในขณะที่จอสกำลังยกแขนขึ้นดมหากลิ่นตัวตามใต้วงแขนอยู่นั้น ประตูห้องพักก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับวินทร์ซึ่งกลับมาโดยไร้เงาของโจโฉ

              “อ้าว…” จอสงงยิ่งกว่าเดิม “ก็เมื่อกี้ออกไปแล้วนี่…”

              “ก็เมื่อกี้มารับหมากลับไงครับ” วินทร์ปิดประตูแล้วเดินตรงเข้ามาหาจอสที่ยืนงงอยู่ “ธุระเรื่องหมาเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้ก็ถึงเวลาของธุระส่วนตัวเจ้าของหมาบ้างแล้ว”

              วินทร์ก้าวเข้ามาประชิดตัวจอสซึ่งยังยืนงงงวยปรับอารมณ์ไม่ทันอยู่ตรงหน้า ก่อนที่สองมือจะประคองศรีษะของเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วประกบริมฝีปากของตนเองเข้าไป จอสซึ่งตั้งตัวไม่ทันถึงกับตกใจจนตาเบิกโพลงและเม้มปากปิดแน่นก่อนจะค่อยๆ เผยออ้าออกรับจูบของอีกฝ่ายเมื่อเริ่มตั้งสติได้ มืออุ่นหนาของวินทร์ซึ่งขยับบีบนวดศรีษะที่ประคองจับอยู่เบาๆ ร่วมจังหวะไปกับการสอดลิ้นเข้าไปสำรวจช่องปากของจอสนั้นมอบสัมผัสที่ผ่อนคลายเป็นเลิศ ปลายลิ้นที่ช่ำชองหยอกเย้ากับริมฝีปากสลับกับวนเวียนเข้าไปสอดไล้เบียดเสียดกับลิ้นของอีกฝ่ายข้างใน และตอนนั้นเองที่จอสได้ค้นพบอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่างวินทร์กับภูนอกจากเรื่องของรูปร่างและอายุ นั่นคือความชำนิชำนาญในการจูบซึ่งทำเอาจอสที่เคยมั่นใจว่าไม่เป็นรองใครในเรื่องแบบนี้ถึงกับรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยเพิ่งหัดเดินไปเลย

              “เดี๋ยว! ขอเวลานอก!” จอสผลักอีกฝ่ายออกเมื่อเริ่มรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน เด็กหนุ่มหอบจนตัวโยน แข้งขาอ่อนปวกเปียกจนต้องควานหาที่เกาะเพราะยืนตรงไม่ไหว

              “อะไรกันครับ… ไหนเมื่อกี้บอกพร้อมจะเสิร์ฟให้พี่ไม่ใช่เหรอ?” วินทร์หัวเราะหึ ก่อนจะขยับเท้ารุกไล่ตามจอสที่พยายามถอยหนีจนกระทั่งต้อนอีกฝ่ายไปจนมุมยังขอบเตียงนอน “ถามเองยิกๆ ว่าพี่จะกินไหม พอพี่จะกินจริงๆ แล้วหนีทำไมครับ?”

              “เดี๋ยว… เดี๋ยวนะ…” ลางสังหรณ์บางอย่างเตือนจอสว่าสิ่งที่กำลังจะดำเนินต่อไปจากนี้เขาอาจจะต้องตกอยู่ในสถานะที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบซื้อเวลาหาทางเอาตัวรอด “เรามานั่งคุยกันอีกแป้ปนึง ให้รู้จักกันดีกว่านี้ดีไหม?”

              “เรื่องคุยไว้ทีหลังก็ได้ครับ..” วินทร์ออกแรงผลักเพียงเบาๆ ร่างซึ่งประคองอยู่บนขาที่แทบจะทรงตัวไม่ไหวอยู่แล้วของจอสก็หงายล้มลงไปนอนแผ่บนเตียงทันที

              แรงกระแทกเค้นลมออกจากปอดจอสจนเกลี้ยง เด็กหนุ่มหน้ามืดจนเห็นดาวขณะที่ตาพยายามโฟกัสมองร่างสูงของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ปลายเตียงอย่างหวาดหวั่นในสิ่งที่อีกฝ่ายจะทำเป็นอย่างต่อไป จริงอยู่ที่เขาเป็นฝ่ายเปิดฉากล่อลวงหวังจะพาอีกฝ่ายขึ้นเตียงแต่นั่นก็ด้วยเจตนาที่จะเป็นฝ่ายกระทำไม่ใช่ฝ่ายถูกกระทำแบบนี้ แม้จะเห็นท่าไม่ดีแต่จอสก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ร่างกายของตนไม่แสดงถึงการต่อต้านมากเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่ในสถานการณ์ซึ่งเสี่ยงต่อการตกเป็นฝ่ายรับเช่นนี้เขาควรจะรีบยันตัวลุกขึ้น อาจจะผลักอีกฝ่ายจนล้มแล้ววิ่งหนีออกไปก็ย่อมได้ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นในความเป็นจริง มีเพียงหัวใจที่เต้นระรัวแรงขึ้นในทุกขณะที่สายตาเอาแต่จับจ้องมองเนื้อหนังใต้ร่มผ้าที่เผยออกมาขณะอีกฝ่ายเหยียดชูแขนขึ้นและถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก

              อาจเป็นเพราะเขาช่างดูเหมือนเจ้ากระรอกนั่นเสียเหลือเกิน… จอสให้เหตุผลกับตัวเอง

              วินทร์โถมร่างเปลือยท่อนบนของตนลงมาคร่อมทับร่างของจอสเอาไว้ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะสอดเข้าใต้เสื้อและลูบไล้ไปตามลอนกล้ามเนื้อหน้าท้องของเด็กหนุ่มผู้อยู่เบื้องล่าง ปลายนิ้วลากสะกิดหยอกเย้ากับติ่งเนื้อที่ปลายยอดอกสร้างสัมผัสอันชวนให้สติหลุดก่อนจะก้าวเข้าสู่ขั้นถัดไปเมื่อเสื้อถูกเลิกเปิดขึ้นและวินทร์แทนที่ปลายนิ้วนั้นด้วยปลายลิ้นแทน จอสร่างเกร็งกระตุกเฮือกใหญ่เมื่อสัมผัสถึงปลายลิ้นนุ่มร้อนผ่าวซึ่งโลมเลียอยู่บนยอดอกของตนราวกับจะกวาดกลืนกินรสชาติใดๆ ที่เคลือบอยู่บนนั้น มือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มยกขึ้นและเสยเส้นผมของวินทร์ซึ่งตกลงมาปรกใบหน้าให้ขึ้นไปทัดอยู่หลังหู สายตาจ้องมองใบหน้างามของอีกฝ่ายซึ่งกำลังปรนเปรอความสุขให้ตนอย่างหลงไหล สติหลุดลอยไปไกลจนเกินจะกู่กลับ

              จอสขยับสะโพกยกขึ้นเปิดทางให้เมื่อรู้สึกได้ถึงมือของอีกฝ่ายซึ่งเปลี่ยนเป้าหมายมาพยายามถอดกางเกงของตนออก จนเมื่อมันหลุดออกพ้นปลายเท้าไปแล้ววินทร์จึงค่อยถอดของตัวเองออกด้วยเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มต้องรู้สึกประหม่าจากการต้องเปลือยกายเพียงฝ่ายเดียว กระทั่งร่างกายเหลือแต่เพียงเนื้อหนังเปลือยเปล่าทั้งคู่เขาจึงค่อยก้มหน้าโน้มลงมาอีกครั้งและประทับจูบเบาๆ เข้าที่เนินเนื้อใต้สะดือของจอสก่อนจะค่อยๆ ขยับเลื่อนจูบต่ำลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงสัญลักษณ์แห่งความเป็นชายของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่ จอสร้องครางลั่นไม่เป็นภาษาเมื่อส่วนปลายของมันถูกกลืนกินผ่านริมฝีปากของอีกฝ่ายเข้าไปจนสุดทาง วินทร์บรรจงโลมไล้มันด้วยช่องปากของตนอย่างระมัดระวังแต่ก็ไม่ละทิ้งซึ่งจังหวะอันเร่งเร้า เสียงลมหายใจของจอสยิ่งหอบถี่กระชั้นขึ้นทุกขณะ ก่อนที่ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาทั้งร่างจะเกร็งกระตุกราวกับถูกไฟช๊อต จอสร้องครางออกมาอย่างสุดกลั้น กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายเกร็งเขม็ง สะโพกยกลอย ปลายเท้าเหยียดตรงค้างอยู่อย่างนั้นขณะที่ทุกหยาดหยดที่หลั่งออกมาถูกอีกฝ่ายกลืนกินลงคอไปจนหมดโดยไม่รังเกียจ

              “กินไปหมดเลยเหรอ…?” จอสถามเสียงอ่อย ตายังเห็นดาวระยิบระยับไม่หาย แต่ก็ยังไม่วายมีแก่ใจจะพูดแซวอีกฝ่ายอยู่ “ไหนบอกหลังหกโมงไม่กินอะไรแล้วไง?”

              “ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วคิดเองเออเองนะครับ” วินทร์เลียริมฝีปากของตนคล้ายกับยังไม่อิ่ม “พี่บอกว่าหลังหกโมงจะไม่ทานมื้อหนักแล้ว แต่อาหารว่างแบบนี้ ทานได้…”

              วินทร์ขยับเคลื่อนตัวขึ้นมาและก้มหน้าลงประกบปากกับจอสอีกครั้งเพื่อให้เด็กหนุ่มได้กลืนกินรสชาติของตนเองที่ค้างคาอยู่ในปากเขาเข้าไปด้วย แม้จะเคลิ้มไปกับรสจูบแต่จอสยังพอมีสติจะรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แข็งและร้อนราวกับเหล็กอังไฟซึ่งนาบอยู่บนหน้าท้องของตนในขณะที่อีกฝ่ายโถมตัวทับลงมาและรู้ได้ในทันทีว่าเกมนี้ยังไม่จบ หลังกำหนัดคลายลงจากการปลดปล่อยเมื่อครู่ความกลัวก็เริ่มกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง จอสจึงตัดสินใจต่อรองเพื่อหาทางออกแบบไม่ต้องเจ็บตัวให้กับตนเอง

              “เอาเป็นว่า… เดี๋ยวผมทำให้แบบที่พี่ทำให้ผมเมื่อกี้ก็แล้วกันนะ” จอสขยับตัวจะลุกขึ้นแต่ก็โดนอีกฝ่ายกดให้นอนราบลงไปเหมือนเดิม

              “นายไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละครับ อยู่เฉยๆ ก็พอ” วินทร์ตอบกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้มใสซื่อที่ถอดแบบมาจากภูได้เป๊ะทุกกระเบียด ซึ่งนั่นทำให้จอสขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุนอกเหนือจากความรู้สึกที่รู้ตัวว่ากำลังจะโดนจับขึ้นเขียงเชือด

              “พี่ไม่เอาน่า…ผมไม่เคยรับนะ ไม่อยากด้วย” เมื่อข้อเสนอแลกเปลี่ยนตกไป จอสจึงเปลี่ยนมาใช้ไม้แข็งข่มขู่แทน “ถ้าผมไม่ยอม มันก็คือการข่มขืนนะ คุกนะ บอกเลย”

              “งั้น…” วินทร์ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะได้คำตอบแทบจะในทันที “พี่ก็แค่ต้องทำให้นายยอมให้ได้สินะครับ”

              “ไม่! ยังไงก็ไ..ม่…. อื้ออออ”

              วินทร์ไม่ปล่อยให้จอสได้มีโอกาสพูดปฏิเสธอีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ริมฝีปากนุ่มชื้นประกบกลับเข้ามาอีกครั้ง เด็กหนุ่มพยายามดิ้นรนขัดขืนพร้อมกับปิดปากแน่นเพื่อยืนยันความไม่สมยอมของตนเอง ทว่าก็ทำได้ไม่นานเมื่อทันทีที่สายตาเผลอสบเข้ากับดวงตาใสซื่อเป็นประกายคู่นั้น จอสก็แพ้ทางจนอ่อนระทวยและเผลออ้าปากรับจูบของอีกฝ่ายโดยไม่ทันจะรู้ตัว ขณะที่ลิ้นของวินทร์บุกรุกคืบคลานเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขาในโพรงปากนั้น ในหัวของจอสก็ยังเต็มไปด้วยความคิดพิศวงสงสัยว่าชายหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ซ่อนความร้อนเร่าราวกับเปลวเพลิงเอาไว้ภายใต้ใบหน้าไร้เดียงสานั้นได้อย่างไร หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรกเขาจะไม่มีทางพาตัวเองมาข้องเกี่ยวให้เสียเชิงชายอย่างแน่นอน

              ไฟราคะที่เพิ่งมอดดับไปถูกกระตุ้นจนลุกฮือขึ้นมาอีกรอบ ริมฝีปากของวินทร์เคลื่อนเปลี่ยนเป้าหมายมายังซอกคอของจอส เขาขบเม้มและดูดดุนสลับกับลากลิ้นโลมเลียอย่างชำนาญ เด็กหนุ่มขนลุกทั่วทั้งร่างในขณะที่เนื้อตัวเกร็งเขม็ง แขนทั้งสองข้างตอนนี้ถูกมือแข็งแรงของวินทร์จับรวบชูขึ้นตรึงเอาไว้เหนือหัวเตียงไม่ให้ดิ้นรนหรือปัดป้องขัดขืน ซึ่งจอสมองว่าไม่จำเป็นเลย เพราะแค่สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำกับตนอยู่ในตอนนี้ก็มากพอจะทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงจะต้านทานแล้ว ในขณะที่ริมฝีปากกำลังสาละวนกับซอกคอของเด็กหนุ่มอยู่นั้น วินทร์ก็แทรกเบียดลำตัวเข้ามากลางหว่างขาของจอสจนเขาจำต้องอ้ากางขาออกรับ ชายหนุ่มขยับตัวเคลื่อนลงจนใบหน้าอยู่เกือบถึงแก่นกายของอีกฝ่ายซึ่งกำลังชูคอแข็งขันขึ้นมาอีกรอบแม้จะเพิ่งถึงจุดหมายไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา จอสหลับตาเตรียมใจรับสัมผัสด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงใช้ปากจัดการกับมันเหมือนเช่นที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทว่าสิ่งนั้นกลับไม่เกิดขึ้น ริมฝีปากของวินทร์เคลื่อนผ่านมันไปก่อนจะจูบลงที่ต้นขาด้านในของเด็กหนุ่ม ปลายลิ้นเลียไล้ลากเป็นแนวยาวจนสุดทางก่อนจะย่ามใจใช้ฟันขบกัดเนื้ออ่อนบริเวณนั้น

              “ฮึก…” จอสพยายามกลั้นเสียงครางของตนเอาไว้ในลำคอแต่ทว่ามันก็ยังหลุดออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความเป็นต่อที่มีอยู่

              “ไงครับสุดหล่อ…” วินทร์ถามพลางแหงนตาขึ้นมองขณะที่ปากยังไม่ละจากจุดนั้น “เปลี่ยนความคิดหรือยัง?”

              “ไม่…” จอสยังดื้อดึงไม่ยอม “ไม่เอา พอได้แล้ว…”

              “ปากนายบอกไม่…” วินทร์โฉบเลียเนื้ออ่อนบริเวณขาหนีบอีกครั้งแล้วใช้ริมฝีปากจูบเข้าไปแรงๆ ร่างของจอสสะดุ้งเฮือกเหมือนถูกไฟช๊อต เสียงครางน่าอายหลุดออกจากปากมาอีกครา ทำให้วินทร์รู้ได้ในทันทีว่าตนกำลังจะเป็นผู้มีชัยชนะเหนือเกมนี้ “แต่ร่างกายนายบอกว่าชอบนะครับ…”

              จอสพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้แก่ใจดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นจริงจนไม่อาจเถียงได้ เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดพยายามข่มอารมณ์ที่ลุกโชนให้สงบลงหากทว่าก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งวินทร์รุกล้ำเข้าไปจนถึงซอกหลืบซึ่งไม่เคยยอมให้ใครแตะต้องจอสก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าวราวกับเปลวเพลิงสุม ผิวกายร้อนรุ่มราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทุกอณูของประสาทรับรู้กรีดร้องขอการปลดปล่อย ท่อนขาเกร็งจนปลายเท้ากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ มือข้างหนึ่งของวินทร์เอื้อมขึ้นมาจับยังใบหน้าของจอส ปลายนิ้วสอดเข้ามาในปาก เด็กหนุ่มอ้ารับและใช้ลิ้นโอบรัดมันตอบสนองจนเปียกชุ่มก่อนที่เจ้าของนิ้วจะถอนมือกลับไปและจ่อนิ้วซึ่งเปียกลื่นไปด้วยน้ำลายนั้นเข้าที่ปากช่องทางซึ่งปิดสนิทจากนั้นจึงออกแรงดันให้สอดผ่านเข้าไปอย่างช้าๆ

              “อย่า! เจ็บ!” จอสร้องห้ามพร้อมกับถดตัวหนีเมื่อรู้สึกถึงการบุกรุก ทว่าก็ไปไหนไม่รอดเมื่อวินทร์จับรั้งตัวเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

              “อดทนหน่อยนะครับ อีกแป้ปนึงก็ดีขึ้นแล้ว พี่สัญญาจะไม่ทำให้นายต้องเจ็บมาก” วินทร์กระซิบกล่อมด้วยเสียงอ่อนโยนขณะที่มือก็ยังดำเนินการเบิกเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ริมฝีปากดูดดุนที่ยอดอกสลับกับไซร้ซอกคอของเด็กหนุ่มเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ให้คลายจากความเจ็บที่กำลังเผชิญ

              เมื่ออาการเกร็งเริ่มผ่อนคลายลงจอสก็รู้สึกถึงนิ้วของอีกฝ่ายซึ่งเคลื่อนเข้าออกอยู่ในร่างกายของตน ความเจ็บเริ่มจางหายจนกลายเป็นความหฤหรรษ์เมื่อปลายนิ้วเฉียดผ่านจุดเร้นลับบางอย่างภายในซึ่งไวต่อความรู้สึกอย่างยิ่งยวด วินทร์ค่อยๆ ปรับเพิ่มระดับจากหนึ่งนิ้วเพิ่มขึ้นเป็นสองและสามอย่างใจเย็น เด็กหนุ่มแอ่นสะโพกยกรับสัมผัสอันแปลกใหม่ที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

              “ชอบไหมครับ?” วินทร์ถาม แต่เพียงแค่ดูอาการของจอสเขาก็ได้คำตอบ “ไม่เจ็บแล้วล่ะสิ เก่งมากเลย เด็กดีของพี่…”

              “อย่า… อย่าลึกมาก…” จอสพยายามห้ามแต่สะโพกที่เอาแต่แอ่นรับไม่ยอมถอยทำให้คำพูดนั้นดูไม่น่าเกรงขามเท่าไหร่นัก “อ่ะ…. อา… พอแล้ว… ไม่ไหวแล้ว..”

              “อยากเปลี่ยนจากนิ้วเป็นอย่างอื่นหรือยังครับ?” วินทร์ถาม เป็นคำถามเพื่อยืนยันความสมัครใจก่อนปฏิบัติการจริงจะเริ่ม

              “….” จอสปิดปากไม่ยอมตอบ ทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำนั้นฟ้องทุกอย่างแล้ว วินทร์เห็นความดื้อของเด็กหนุ่มแล้วก็ชวนให้เอ็นดูระคนหมั่นไส้จึงแกล้งถอนนิ้วออกจนเกือบหมดแล้วดันกลับเข้าไปใหม่พรวดเดียวสุดทาง จอสตาเหลือกหลุดครางออกมาดังลั่น “อึ๊ก!!! อ๊า!!”

              “ถามก็ตอบกันบ้างสิครับ” วินทร์ขอร้องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แววตาข่มขู่อยู่ในทีว่าหากจอสยังดื้อ การลงโทษในครั้งต่อไปจะหนักกว่านี้ “ว่ายังไงครับ จะตอบคำถามพี่ได้หรือยัง?”

              “จะทำอะไรก็ทำ…” จอสตอบเสียงเกือบจะเป็นกระซิบ

              “อะไรนะครับ?” วินทร์แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

              “จะทำอะไรก็รีบทำเลย! ” จอสตอบอีกครั้งด้วยเสียงดังเกือบจะเป็นตะโกน เด็กหนุ่มหันหน้าหลบไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย อับอายจนเกินจะบรรยายกับการต้องร้องขอให้ผู้อื่นทำอะไรแบบนี้กับตน

              เมื่อได้ยินคำยินยอมจากปากของอีกฝ่าย วินทร์จึงค่อยถอนนิ้วออกมาอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง ชายหนุ่มขยับตัวเข้าจ่อประชิดอยู่กลางหว่างขาของเด็กหนุ่มซึ่งนอนตัวสั่นอยู่เบื้องล่าง ขาข้างหนึ่งของจอสถูกวินทร์จับยกขึ้นพาดบนบ่าก่อนที่เขาจะขยับจัดท่าทางจนได้ที่ จอสรู้สึกได้ถึงไอร้อนจากบางสิ่งซึ่งใหญ่โตกว่านิ้วมากซึ่งกำลังจ่ออยู่บริเวณปากทางเข้าก่อนจะค่อยๆ ดันเข้ามา เด็กหนุ่มตัวเกร็ง มือทั้งสองข้างจิกผ้าปูเตียงแน่นขณะที่ช่วงล่างรู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดจนแน่นตื้อจากสิ่งที่บุกรุกเข้ามา

              “อย่าเกร็งครับ ผ่อนคลายไว้ เด็กดีของพี่” วินทร์กระซิบบอกขณะที่สะโพกก็ยังพยายามดันเข้ามาโดยช้าๆ แต่ไม่ให้ขาดตอน ความคับแน่นที่โอบรัดอยู่นั้นทำให้เขาแทบจะอดกลั้นต่อไปไม่ไหวอยากกระแทกเข้าไปให้สุดในครั้งเดียว หากแต่ก็พยายามอดทนเพื่อมอบความทรงจำที่ดีที่สุดให้กับครั้งแรกของจอส “อีกนิดเดียวก็จะเข้าไปหมดแล้วครับ อดทนนะ”

              “อือ…” จอสพยักหน้ากัดฟันกรอด พยายามอดทนตามที่อีกฝ่ายบอก

              วินทร์หยุดสะโพกแช่คาเอาไว้เมื่อดันเข้าไปจนสุดทาง จนกระทั่งรู้สึกว่าช่องทางนั้นเริ่มผ่อนคลายขึ้นบ้างแล้วจึงค่อยขยับอย่างช้าๆ และเนิบนาบ ความเจ็บปวดเริ่มจางหายไปกลายเป็นความเสียวซ่าน สองแขนของจอสยกขึ้นโอบรัดรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้ขณะที่ร่างถูกกระแทกกระทั้นจากเบาและทวีเป็นแรงขึ้นเรื่อยๆ เส้นขนทั่วร่างลุกชันเมื่อวินทร์ก้มหน้าลงซุกไซร้ซอกคอและลามขึ้นมาเลียที่ใบหู

              “ตัวจริงนายหล่อกว่าในโทรทัศน์มากเลยรู้ไหม?” วินทร์มองดูใบหน้าของอีกฝ่ายในยามนี้ที่แม้จะบิดเบี้ยวเหยเกจนหมดท่า แต่เขาก็ยังคิดว่ามันช่างหล่อเหลาไม่ผิดจากเวลาปกติ “ขนาดทำหน้าบิดเบี้ยวแบบนี้ยังหล่อมากเลย”

              “รู้ตัวน่า…” จอสตอบ นึกดีใจที่ใบหน้าของตนคงแดงก่ำอยู่แล้วจนอีกฝ่ายคงดูไม่ออกว่าคำถามเมื่อครู่ทำให้เขาเขินมากแค่ไหน

              “ไม่ใช่แค่หล่อ… แต่ยังน่ารักมากด้วย” วินทร์ยกมือขึ้นจับบนศรีษะของจอสแล้วลูบไปตามแนวผม “ขอบคุณนะครับที่ให้พี่ได้เป็นคนแรกของนาย”

              คำพูดของอีกฝ่ายยิ่งทำให้หัวใจของจอสเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม ร่างของเด็กหนุ่มเปิดอ้าขารับแรงกระแทกที่อีกฝ่ายโถมเข้ามาหนักหน่วงขึ้นในทุกขณะ มือเกร็งขยุ้มเส้นผมยาวสลวยของอีกฝ่ายไว้แน่น เสียงหอบหายใจผสมกับเสียงครางกระเส่าและเหงื่อที่เปียกชุ่มทั่วร่างของทั้งคู่บ่งบอกว่าจุดสิ้นสุดกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า วินทร์ขยับสะโพกอัดกระแทกเข้ามาแบบหนักแน่นเน้นย้ำอีกเพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างในหัวจะสว่างไสวไปหมดด้วยแสงของดอกไม้ไฟซึ่งประทุขึ้นจากทั้งสองฝั่งโดยพร้อมเพรียงกัน


To be continued...
หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 1 [18-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-05-2018 03:10:36
 :pighaun: ร้อนแรงมากกกกก
หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 1 [18-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 19-05-2018 11:36:36
 :a5:  o22 โอ้มายก้อดๆๆๆๆๆๆ ไหงเปนงี้อะ ทำไมจอสโดนกิน  :heaven
หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 1 [18-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-05-2018 19:30:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ ๆๆๆๆๆๆ  นุ้งจอส

กะจะเสียบเขา  สุดท้ายถูกเขาเสียบ

น่าวงวาร

 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 1 [18-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 20-05-2018 21:15:48
กรี๊ดดดด เข้ามาลงชื่อให้กำลังคนแต่งก่อนค่ะ
เดี๋ยวกลับมาอ่านนะจ๊ะ
หัวข้อ: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 2 [22-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 22-05-2018 10:02:40
Episode 2

          กว่าจอสจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นในวันต่อมาเวลาก็ล่วงเลยจนย่างเข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ๆแล้ว เด็กหนุ่มปวดไปทั้งร่างกายรู้สึกเหมือนผ่านการใช้แรงงานอย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งคืน ตามผิวกายเต็มไปด้วยรอยจ้ำและแผลเล็กๆที่วินทร์บรรจงใช้ริมฝีปากกับคมฟันฝากเอาไว้ แต่จุดที่ดูจะสาหัสสากรรจ์ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นบั้นท้ายที่ทั้งเจ็บระบมและแสบ แม้เท่าที่ตรวจดูเบื้องต้นด้วยตนเองจะไม่พบบาดแผลฉีกขาดแต่แค่อาการบวมอักเสบที่เป็นอยู่นั้นก็ทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่สะดวกจนแทบจะกลายเป็นคนพิการไปครึ่งตัวแล้ว

          วินทร์ไม่ได้อยู่ในห้องแล้วตอนที่จอสตื่นขึ้นมา มีเพียงข้อความบนกระดาษโน้ตซึ่งแปะทิ้งเอาไว้เหนือหัวเตียงที่บอกว่าอีกฝ่ายจำเป็นต้องขึ้นฝั่งไปทำธุระในเมืองจึงต้องขอตัวกลับไปก่อนที่เขาจะตื่น หัวใจของจอสเบาหวิวเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่าตนอยู่ตามลำพัง จริงอยู่ที่ความสัมพันธ์เพียงข้ามคืนคงไม่อาจจะถือเป็นเรื่องจริงจังได้ แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่าอีกทั้งยังเพิ่งจะได้บางสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่เคยมอบให้ใครไป จอสจึงอดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาไม่ได้ว่าอย่างน้อยตนก็ควรได้รับความเอาใจใส่จากคู่นอนของตนมากกว่าที่เป็นอยู่นี้

          หลังจากต้องใช้ความพยายามอย่างมากจนเรียกได้ว่าเกินควรในการอาบน้ำชำระล้างร่างกายจนกระทั่งผ่านพ้นไปได้อย่างทุลักทุเล จอสซึ่งยังคงตัดความรู้สึกที่ว่าตนเป็นฝ่ายถูกทิ้งออกไปไม่ได้จึงประคองสังขารออกมาจากห้องและพยายามจัดท่าทางการเดินให้ดูเป็นปกติ ขณะที่สายตาก็มองหาสะเปะสะปะไปอย่างไร้จุดหมายเผื่อว่าจะพบกับวินทร์ซึ่งอาจจะกลับมาที่เกาะแล้วและอยู่ที่ไหนสักแห่งในตอนนี้ แต่หลังจากความพยายามผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบตัว อีกทั้งอาการบาดเจ็บยังเรียกร้องให้ร่างกายหยุดพัก เด็กหนุ่มจึงยอมถอดใจและหย่อนกายลงนั่งบนพื้นทรายนุ่มริมชายหาด สายตามองเหม่อออกไปยังผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหน้า

          กะจะฟันเค้า พอเอาเข้าจริงโดนเค้าฟันซะเองแถมยังเป็นการฟันแล้วทิ้งอีกต่างหาก จอสสะเทือนใจกับชีวิตช่วงนี้ที่ทุกอย่างดูจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเลย แต่อีกฟากหนึ่งเขาก็โล่งอกที่ความสัมพันธ์คืนเดียวของตนจบลงอย่างเรียบง่ายไม่มีปัญหาหรือการคร่ำครวญใดๆจากอีกฝ่ายตามมาให้ปวดหัว เด็กหนุ่มยังจดจำครั้งสุดท้ายที่เขาทำอะไรทำนองนี้ได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นเขายังไม่รู้จักกับภูและได้พบกับเด็กหนุ่มมัธยมปลายคนหนึ่งขณะแคสต์งาน ซึ่งแม้ก่อนเริ่มจะตกลงกันจนเป็นที่เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างไม่มีการผูกมัด เป็นแค่ความสนุกร่วมกัน แต่พอเอาเข้าจริงอีกฝ่ายก็กลับอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมเลิก ซ้ำยังคอยตามรังควาญจนชีวิตเขาอยู่ไม่เป็นสุขไปพักใหญ่ ดังนั้นในครั้งนี้เมื่อวินทร์เป็นฝ่ายยอมจากไปเองโดยไม่ต้องรอให้คู่กรณีเอ่ยปาก แม้จะรู้สึกเหมือนโดนทิ้งแต่ในใจจอสก็อดไม่ได้ที่จะมีความยินดีแฝงอยู่

          ก็แน่สิ… ก็ไอ้หมอนั่นมันมีแต่ได้กับได้… มันจะต้องคร่ำครวญอะไรอีก จอสเดือดอยู่ในใจ เพราะแม้จะยินดีที่จากไปแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคืองที่ถูกพรากพรหมจรรย์

          เสียงคลื่นและลมทะเลที่พัดโชยเข้าฝั่งมาช่วยกล่อมอารมณ์ของจอสให้สงบลงทีละน้อย เด็กหนุ่มเริ่มปรับสภาพจิตใจตัวเองให้เข้าที่เข้าทางได้ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เคยชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เป็นแค่อีกครั้งหนึ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ อาจจะง่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาด้วยซ้ำเพราะความมืดแสนน่ากลัวที่คอยกระซิบบอกให้เขาเกลียดชังชีวิตซึ่งเคยเกาะกินอยู่ในสามัญสำนึกได้จางหายไปจนหมดแล้ว ครั้งหนึ่งมันเคยเกือบจะทำสำเร็จและฝากรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เหล่านี้ไว้บนท้องแขนเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ แต่มันจะไม่มีครั้งต่อไปอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ จอสก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้อยู่ตามลำพังเดียวดายอีกต่อไปแล้ว

          เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงเย็นอย่างเต็มตัว แสงแดดลดทอนความเข้มข้นลงจนไม่แสบผิวอีกต่อไปแล้ว จอสเอนหลังลงบนพื้นทรายและหลับตาเพื่อซึมซับบรรยากาศแห่งความผ่อนคลายนี้ไว้ ทว่าขณะที่กำลังปล่อยกายปล่อยใจไปจนเกือบเคลิ้มหลับนั้นก็ถูกรบกวนโดยสัมผัสเปียกแฉะชวนจั๊กจี้ที่เกิดขึ้นข้างแก้มจนต้องลืมตาขึ้นมาดูว่ามันคืออะไรก่อนจะพบเข้ากับใบหน้าของโจโฉซึ่งนั่งลิ้นห้อยจ้องมองอยู่ข้างศรีษะ เมื่อมันเห็นเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นแล้วจึงทำการเลียเข้าที่ใบหน้าเป็นการทักทายอีกหนึ่งที

          “นึกว่าใคร…” จอสยันตัวลุกขึ้นมาและกวักมือเรียก “มานี่มา…”

          โจโฉกระโดดเข้าใส่ตามคำเชิญทันทีโดยไม่รีรอ แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่พอๆกับกระสอบข้าวทำให้มันโถมทับร่างของจอสจนหงายลงไปกับพื้นทรายอีกครั้ง เด็กหนุ่มไม่ถือสากับเนื้อตัวที่เลอะทรายจัดการกอดรัดฟัดเหวี่ยงเล่นกับสุนัขต่อทั้งอย่างนั้น แต่ก็สนุกได้ไม่เต็มที่เมื่ออาการบาดเจ็บบริเวณบั้นท้ายยังคอยส่งสัญญาณเตือนให้ต้องสะดุ้งอยู่เป็นระยะ และในตอนนั้นเองที่จอสนึกขึ้นได้ว่าหากโจโฉอยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่าเจ้าของๆมันก็ย่อมอยู่แถวนี้เช่นกัน เพียงคิดเท่านั้นหัวใจก็พาลเต้นตึกตักขึ้นมาอีกรอบขณะที่สายตาก็กวาดมองรอบตัวหาอย่างมีความหวัง 

          “หาใครอยู่เหรอครับ?” เสียงของวินทร์กระซิบถามเขาที่ข้างหู

          จอสรีบหันกลับไปหาต้นเสียงก่อนจะพบว่าใบหน้าของทั้งสองในขณะนี้จ่อประชิดกันอยู่จนปลายจมูกแทบจะเฉี่ยวชนกันได้ ด้วยความตกใจที่จู่ๆอีกฝ่ายก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกทั้งยังมาจ้องหน้าตนด้วยสายตาที่ชวนให้แพ้ทางนั่นอีก จอสจึงตอบสนองกลับไปโดยอัตโนมัติด้วยการผงกศรีษะโขกใส่หน้าผากของอีกฝ่ายแบบเต็มๆ จนต่างฝ่ายต่างหงายลงไปกองกับพื้นทรายทั้งคู่

          “อูยย…” วินทร์ร้องครางด้วยความเจ็บ แรงกระแทกนั้นมากพอจะทำให้เขาเห็นดาวทั้งที่ฟ้ายังไม่มืดด้วยซ้ำ “ทักทายกันแรงจังเลยครับ”

          “ไปไกลๆเลย!” จอสขู่ฟ่อใส่ “ไอ้พวกบ้ากาม บังคับขืนใจเด็ก”

          “อายุเกินสิบแปดนี่เรียกเด็กไม่ได้แล้วนะบอกเลย” วินทร์ลอยหน้าลอยตาแย้ง “แล้วพี่ไปขืนใจนายตอนไหนครับ?”

          “ยังจะมีหน้ามาถามอีก” จอสยันตัวลุกขึ้นยืนแต่ก็เป็นไปอย่างลำบากยากเย็นเพราะอาการเจ็บบั้นท้ายคอยรั้งเอาไว้

          “ถ้าพูดถึงเรื่องเมื่อคืน…” วินทร์ทำท่านึกย้อนความทรงจำ “เห็นมีแต่คนสมยอมนะครับ”

          “ไม่มี!” จอสไม่ยอมรับ

          “แล้วใครพูดนะประโยคนี้น่ะ… จะทำอะไรก็รีบทำเลยยยยย” วินทร์ล้อเลียนด้วยน้ำเสียงแบบจอสตอนที่พูดประโยคเดียวกันนี้เมื่อคืน

          รองเท้าแตะข้างหนึ่งลอยเข้าหน้าวินทร์ทันทีที่พูดประโยคนั้นจบ จอสซึ่งอับอายที่โดนขุดพฤติกรรมไร้สติตอนเข้าด้ายเข้าเข็มมาล้อจนทนอยู่ตรงนั้นต่อไปไม่ไหวจึงรีบเดินหนีไปทั้งที่ยังสวมรองเท้าแค่ข้างเดียว แต่ก็ไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก่อนที่แขนจะถูกอีกฝ่ายที่วิ่งตามมาทันฉุดรั้งเอาไว้

          “ปล่อยเซ่!” จอสโวยวายพร้อมกับพยายามสะบัดมือออกแต่ยิ่งทำอีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น เมื่อสู้แรงไม่ได้จอสจึงสู้ด้วยปากแทน “ปล่อย! ไม่งั้นจะเรียกให้คนช่วยแล้วนะ!”

          “เอาสิครับ” วินทร์ไม่ห้ามกลับยุส่งด้วยซ้ำ “ถ้าอยากให้คนบนเกาะเค้ารู้กันทั่วว่ามีดาราเพิ่งเสียตัวเมื่อคืน ก็เอาเลย”

          “พี่ไม่กล้าหรอก” จอสบอกกับอีกฝ่ายก่อนจะตะโกนให้คนช่วย “ช่วยด้วย!!!”

          “เรียกมาเยอะๆ จะได้ฟังกันทีเดียวเลยว่าน้องจอสหนุ่มแบดบอยตัวแสบจริงๆแล้วนอกจอเมื่อคืนนี้เป็นเด็กน่ารักขนาดไหน” วินทร์แสยะยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า

          “หนอย…” จอสหยุดร้องเพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกล้าทำจริงตามที่พูด

          “ดีมาก…” วินทร์ลูบหัวจอสเหมือนเล่นกับสุนัข “พี่น่ะไม่แคร์หรอกถ้าใครจะรู้ แต่พี่รู้ว่านายจำเป็นต้องแคร์…”

          “ไม่รู้จักคำว่าอายบ้างหรือไงหา?” จอสหงุดหงิดเกินทนกับท่าทางแบบผู้ชนะของอีกฝ่าย

          “ไม่เห็นมีอะไรต้องอายนี่ครับ” วินทร์ออกแรงดึงให้ร่างของจอสเข้ามาชิด “หนุ่มชาวเกาะบ้านนอก ได้น้องจอสดาราดังทำเมีย ไม่มีอะไรน่าอายซักนิดเลย”
    
          ครั้งนี้เมื่อไม่สามารถก้มลงไปถอดรองเท้าแตะที่เหลืออีกข้างมาประทับตราบนหน้าอีกฝ่ายได้เหมือนเมื่อครู่ จอสจึงเปลี่ยนวิธีมาเป็นการยกขาขึ้นและกระทืบไปที่เท้าอีกฝ่ายอย่างแรงแทน ความเจ็บและตกใจทำให้วินทร์เผลอผ่อนแรงมือที่จับกุมจอสเอาไว้ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่ยอมพลาดโอกาสทองนั้นรีบสลัดแขนจนหลุดออกมาเป็นอิสระและใส่เกียร์หมาโกยอ้าวหนีกลับรีสอร์ทด้วยความเร็วมากที่สุดเท่าที่สังขารอันบอบช้ำจะสามารถทำได้
   
          อยู่ไม่ได้แล้ว มีแต่อายกับอาย ไปหาที่อื่นอยู่เอาก็ได้วะ… จอสรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าหลังจากตระหนักได้ว่าหากยังอยู่ร่วมกับวินทร์ที่นี่ ตนก็มีแต่เสียทั้งตัวเสียทั้งหน้า เด็กหนุ่มขยุ้มเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแบบลวกๆก่อนจะรูดซิปปิด และในขณะที่กำลังเข้าไปเก็บข้าวของจำพวกของใช้ส่วนตัวที่วางอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำนั้นเอง หูก็พลันแว่วได้ยินเสียงดังกริ๊กคล้ายลูกบิดประตูถูกปลดล๊อค จอสชะโงกหน้าออกจากห้องน้ำมาดูก่อนจะพบว่าวินทร์ได้ตามเข้ามาถึงในห้องแล้วอีกทั้งกำลังนำเสื้อผ้าที่เขาเพิ่งยัดใส่กระเป๋าไปเมื่อครู่ออกมาใส่ไม้แขวนจัดวางไว้ในตู้เหมือนเดิม
   
          “ทำบ้าอะไรฟะ!!” จอสโกรธจัด เป็นความโกรธที่ผสมกับความกลัวจากการที่รู้สึกว่ากำลังถูกต้อนจนมุม
         
          “จะไปไหนครับ?” วินทร์ถามเสียงเรียบ ขณะที่มือสะบัดเสื้อเชิ๊ตของจอสซึ่งยับยู่ยี่จากการถูกขยำยัดลงกระเป๋าให้คลี่ออกก่อนจะนำใส่ไม้แขวน “เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย โกรธพี่เรื่องอะไร?”

          “แล้วนี่เข้ามาได้ยังไง?” จอสงงว่าเขาล๊อคห้องไว้แล้วทำไมวินทร์ถึงตามเข้ามาได้

          “พี่ก็เข้าได้ทุกหลังแหละครับ” วินทร์ชูกุญแจพวงใหญ่ในมือให้ดู แต่ละดอกมีเลขประทับบ่งบอกเอาไว้ว่าเป็นของหลังไหนบ้าง “ทีนี้รู้หรือยังว่าเมื่อวานนี้ทำไมพี่ถึงไม่จำเป็นต้องถามว่านายอยู่หลังไหน”

          “อย่าบอกนะ…” จอสประติดประต่อใจความทั้งหมดเข้าด้วยกันก่อนจะสะพรึงกับผลลัพท์ที่ได้

          “ใช่เลยครับ” วินทร์ฉีกยิ้มใบหน้าสว่างไสว “ที่นี่ของพี่เอง”

          “งั้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวาน…” จอสขยายผลจากข้อมูลที่ได้รับ เพราะหากวินทร์เป็นเจ้าของที่นี่และรู้ว่าเขาพักอยู่หลังไหนตั้งแต่แรก ก็เท่ากับว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่วินทร์จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร “การแสดงงั้นเหรอ?”

          “ก็แค่พยายามเข้าหาแบบที่นายสบายใจที่สุดน่ะครับ” วินทร์ยอมรับ “เพราะดูจากวันแรกที่เชคอิน ก็พอเดาได้ว่านายไม่ต้องการให้ใครจำได้”

          “ไอ้ตอแหลเอ๊ย!” ความโกรธของจอสทวีขึ้นด้วยความเสียหน้าจากการที่เพิ่งรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อในแผนการของอีกฝ่ายมาตั้งแต่เริ่มต้น

          “ช่างกล้าที่จะว่าคนอื่นด้วยคำนี้” วินทร์ยิ้มเยาะ “ทั้งที่ตัวเองก็วางแผนยึดหมาหลอกล่อให้พี่มาห้องแท้ๆ”

          “ออกไปเลยป่ะ!” จอสเถียงไม่ออก

          “ไม่ออก” วินทร์ยืนกอดอกนิ่งไม่ขยับ “ทีนี้บอกพี่มาได้แล้วว่าโกรธอะไร พี่ไปทำอะไรให้”
   
          “ไม่โกรธ แต่ไม่อยากสนใจ ไม่อยากยุ่งด้วย เรื่องของเรามันจบแล้ว วันไนท์สแตนด์ไม่เข้าใจหรือไง” แม้ปากจะพูดไล่  แต่ในใจจอสก็แอบหวาดหวั่นว่าอีกฝ่ายจะเชื่อตามนั้นและหันกลับออกไปจริงๆ
   
          “ถ้าไม่โกรธก็ไม่จำเป็นต้องหนี” วินทร์มองไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าของจอส

          “ก็ไม่ได้หนี แค่ไม่ชอบที่นี่แล้ว จะย้ายที่พัก” จอสแก้ตัว

          “ไม่มีที่อื่นให้พักแล้วล่ะครับ ตอนนี้บนเกาะเต็มหมดทุกที่แล้ว ถ้านายไม่อยู่ที่นี่ก็คงต้องไปนอนริมหาด” วินทร์พูดกดดันให้จอสเปลี่ยนใจ

          “ได้!” จอสไม่ยอมแพ้ “นอนริมหาดก็นอน ดีกว่านอนรีสอร์ทพวกบ้ากาม ไม่มีความรับผิดชอบ”

          “อ้อ… นี่เองที่โกรธ” วินทร์จับบางสิ่งที่จอสเพิ่งหลุดเผยออกมาได้ “ที่แท้ก็โกรธที่ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวนี่เอง”

          “ไม่ใช่โว๊ย!” จอสหน้าแดงก่ำ เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดพูดความรู้สึกจริงๆออกไป

          “ถ้าโกรธเรื่องนั้นก็ขอโทษนะครับ” วินทร์ขยับเดินเข้ามาใกล้ขึ้น หลังจากดูรอบๆจนมั่นใจแล้วว่าจอสคงไม่มีอะไรที่สามารถคว้ามาขว้างใส่ตนได้อีก เขาหยิบถุงของร้านขายยาจากในกระเป๋ากางเกงออกมาและส่งให้กับจอส “เมื่อเช้าพี่ตื่นมาก็สายมากแล้ว ก็เลยรีบขึ้นฝั่งไปซื้อนี่มาให้ เพราะบนเกาะมันไม่มีร้านขายยา มีแต่สถานีอนามัย แล้วนายก็คงไม่อยากไปหาหมอด้วยอาการแบบนี้หรอก”

          จอสรับถุงใบนั้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ใจหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายจะยังซ่อนลูกไม้อะไรเอาไว้อยู่หรือไม่ เขาเปิดออกดูข้างในและพบกับยาเหน็บสำหรับแก้อาการอักเสบของทวารหนัก เพียงแค่นึกถึงวิธีการใช้มันก็มากพอที่จะสร้างความอับอายให้แก่ตัวเองได้แล้ว จอสส่งมันกลับคืนไปให้กับวินทร์ทันที

          “เอาคืนไป” จอสยื่นถุงให้ “ขอบคุณที่ไปซื้อมาให้โดยที่ไม่ได้ขอ แต่คนอย่างจอสไม่ต้องใช้ของพรรค์นี้หรอก เดี๋ยวก็หาย”

          “ไม่ได้ครับ นายต้องใช้ นี่คือความรับผิดชอบจากพี่” วินทร์ยืนกรานคำเดิม “ของแบบนี้ไม่หายเองง่ายๆหรอก ถ้าไม่ใช้นายก็ต้องเดินท่าประหลาดๆแบบนี้ไปอีกหลายวัน ไม่อายคนหรือไง?”

          “ประหลาดตรงไหนฟะ!?” จอสตะโกนถามอย่างลืมตัวด้วยความตกใจ เพราะที่ผ่านมาเขาคิดว่าท่าทางการเดินของตนดูปกติดีแล้ว

          “ไม่รู้ตัวจริงๆเหรอ?” วินทร์ทำหน้าประหลาดใจ “นี่พี่ทำลายความมั่นใจนายเลยสิเนี่ย?”

          ขอบคุณที่ยังอุตส่าห์รู้ตัวนะว่าทำบ้าอะไรกับความรู้สึกของคนอื่นเค้าไว้บ้าง จอสแดกดันอยู่ในใจ แม้จะหายโกรธเรื่องที่ถูกทิ้งเอาไว้ตามลำพังเมื่อตอนตื่นนอนเพราะรู้เหตุผลของอีกฝ่ายแล้ว แต่ก็ใช่ว่าความอับอายจะหายไปตาม แม้กระทั่งในเวลานี้แล้ว กับชายผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีทางพฤตินัยเป็นคนแรกในชีวิตของตน จอสยังไม่อาจจะมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆโดยไม่สะทกสะท้านได้ด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่วินทร์หันมาหรือจังหวะที่ทั้งสองเผลอสบตาเข้าหากัน เด็กหนุ่มก็จำต้องเบนสายตาหรือเบือนหน้าหนี สีหน้าถูกกลบเกลื่อนเอาไว้ด้วยอารมณ์โกรธและหงุดหงิดฉุนเฉียวเพียงเพื่อไม่ให้ถูกมองทะลุไปถึงความประหม่าที่ซ่อนเอาไว้ภายใน

          จอสพยายามบอกกับตัวเองว่านี่ไม่ใช่การตกหลุมรัก เขาเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของภูมิคุ้มกันทางด้านความสัมพันธ์ของตนเองที่จะไม่มีวันหลงใหลคลั่งไคล้หรือคิดจริงจังกับคนที่เพิ่งมีสัมพันธ์กันแค่ข้ามคืนเด็ดขาด หากเขาตัดสินใจแล้วว่าคนนี้มีไว้เพื่อความสนุกมันก็จะต้องจบเพียงเท่านั้นไม่มีวันพัฒนาได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นความรู้สึกประหลาดที่กำลังรบกวนจิตใจอยู่นี้มีที่มาจากอะไรกันแน่ จอสคิดเอาเองว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะความคลึงกันอย่างน่าประหลาดระหว่างวินทร์และภู เพราะยิ่งมองแบบเพ่งพินิจจอสก็ยิ่งรู้สึกว่าชายคนนี้เหมือนเป็นภูในวัยผู้ใหญ่ที่นั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับมาแก้แค้นตนกับสิ่งที่เคยถูกกระทำเอาไว้ ซึ่งนั่นทำให้จอสยิ่งรู้สึกเสียหน้ามากขึ้น

          เสียตัวให้คนอื่นยังไม่หมดความมั่นใจเท่าเสียให้ไอ้กระรอกซื่อบื้อนี่เลย…

          มันไม่ใช่เพียงแค่ความคล้ายคลึงกันของหน้าตา จอสมั่นใจในจุดนี้อีกเช่นกัน วินทร์มีบางอย่างที่ทำให้เขาแพ้ทางโดยธรรมชาติ เป็นบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจต่อกรด้วยได้ ไม่ใช่เพราะสู้ไม่ได้แต่เป็นเพราะไม่อยากสู้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแม้ปากของจอสจะคอยพูดขับไล่ไสส่งวินทร์อยู่แทบจะตลอดเวลาที่เจอหน้ากัน แต่ลึกๆนั้นเขากลับรู้สึกดีที่อีกฝ่ายกลับมาหาและกลัวเหลือเกินว่าจะวินทร์จะหนีหายไปอีกครั้ง

          “เนี่ยตั้งแต่เจอกันที่หาดก็เห็นนายเดินแบบนี้ตลอดเลย” วินทร์ไม่พูดเปล่าสาธิตท่าทางประกอบให้ดูอีกต่างหาก

          ครั้งนี้เป็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้าของจอสที่ลอยเข้ามาปะทะร่างของวินทร์แบบเต็มๆ นี่ไงล่ะ เพราะแบบนี้ไงถึงอยู่ด้วยไม่ได้ เหตุผลในการเกลียดขี้หน้าหาง่ายกว่าเหตุผลในการชอบเสมอ จอสฉวยโอกาสที่วินทร์ยังมึนไม่หายรีบเดินออกมาข้างนอกแต่พอก้าวพ้นประตูห้องออกมาก็เจอกับโจโฉซึ่งนั่งดักรออยู่เป็นด่านที่สอง

          “ถอยไป!” จอสสั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปอีกทาง

          แต่ครั้งนี้โจโฉกลับนิ่งไม่ยอมทำตามคำสั่ง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเห็นจอสขยับไปทางไหนมันก็ย้ายไปนั่งดักไม่ยอมให้ผ่านไปได้โดยเด็ดขาด ครั้นเมื่อเด็กหนุ่มสามารถใช้ความว่องไวหลบฝ่าออกไปได้มันก็ยังตามมากัดชายเสื้อรั้งไว้ไม่ยอมปล่อย ในตอนนั้นเองวินทร์ก็เดินตามออกมาข้างนอกจนทัน

          “ไม่ต้องตามมาเลย ไม่อยู่แล้ว ค่าพักเท่าไหร่ก็ว่ามา จะจ่ายให้” จอสร้องห้ามไม่ให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้

          “ไม่คิดเงินหรอกครับ” วินทร์เลิกล้อเลียนจอสแล้วกลับเข้าสู่ใบหน้าจริงจัง “แค่นายอยู่ต่อก็พอ”

          “รู้หรอกว่าหวังอะไรอยู่” จอสรู้ทัน “อย่าหวังซะให้ยากเลย”

          “ถ้าจะบอกว่าไม่หวังก็คงเป็นการโกหก” วินทร์ยอมรับตามตรง “แต่ถ้านายไม่ยินยอม นายไม่ต้องการมันก็จะไม่เกิดขึ้นครับ”

          “งั้นแค่ผมไม่ยอม ก็เท่ากับอยู่ที่นี่ไปฟรีๆได้ตลอดใช่ไหม?” จอสพยายามยั่วยุ

          “ก็จนกว่านายจะสบายใจ” วินทร์ไม่ขัดข้อง “พี่ไม่รู้หรอกนะครับว่านายเจออะไรมา แต่การที่คนดังที่น่าจะมีงานชุกแทบทุกวันอย่างนาย อยู่ๆก็หยุดการทำงานแล้วมาหมกตัวอยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าต้องมีเรื่องไม่สบายใจแน่”

          “อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย” จอสเสียงอ่อยลดท่าทีคุกคามลง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมอบเจตนาที่ดีให้ “ถ้าอยากให้อยู่ขนาดนั้นก็จะอยู่ แต่บอกไว้ก่อนนะ ว่าไม่รีวิวหรือโฆษณาให้หรอก ช่วงนี้ไม่ทำงาน”

          “เรื่องพวกนั้นไม่จำเป็นหรอก เอาเป็นว่าอยู่ให้สบายใจนะครับ ขาดเหลืออะไรก็โทรเข้าไปแจ้ง” วินทร์ยอมปล่อยให้จอสมีเวลาส่วนตัว “แต่ถ้านายอยากจะไปจริงๆ พี่ก็ไม่มีสิทธิ์จะรั้งตัวไว้ ก็แค่รอให้ถึงหลังเที่ยงพรุ่งนี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ อาจจะมีแขกที่รีสอร์ทอื่นเชคเอาท์แล้วมีห้องว่างให้นายเข้าพักได้”

          “ถ้าฟรีก็อยู่ เท่านี้แหละ” จอสพยายามพูดให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนยอมอยู่ต่อเพราะไม่ต้องเสียเงิน ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องการเงินไม่เคยเป็นปัญหากับเขาเลยแม้แต่น้อย “เดี๋ยวจะพังห้องให้เละเทะเลย แล้วอย่ามาคิดค่าเสียหายทีหลังก็แล้วกัน”

          “ค่าเสียหายเป็นเงินคงไม่คิด” วินทร์ยิ้มมุมปาก “แต่ถ้านายทำแบบนั้นเดี๋ยวก็ได้รู้กันครับว่านายจะต้องชดใช้ยังไง”

          วินทร์เดินตรงเข้ามาและหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มก่อนจะโน้มตัวก้มลงมาหา จอสรีบหลับตาไม่อยากต้องจ้องใบหน้านั้นในระยะประชิดเพราะกลัวจะปกปิดอาการที่ซ่อนเอาไว้ไม่อยู่ วินทร์มองดูอาการเกร็งประหม่านั้นอย่างเอ็นดูก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะขโมยหอมแก้มจอสซักฟอดหนึ่งให้หายคิดถึงเพราะรู้ดีว่ามันคงทำให้อีกฝ่ายเขินอายมากกว่าเดิมแล้วเตลิดหนีไปอีกรอบ บางทีทุกสิ่งอาจดีขึ้นถ้าปล่อยให้มันเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อคืนนี้พวกเขาได้กระโดดข้ามขั้นไปสู่จุดสูงสุดแล้วต่อไปจากนี้คงได้เวลาย้อนขั้นบันไดลงมาทำความรู้จักกันและกันให้มากขึ้น

          ใบหน้าของวินทร์ก้มเลยต่ำลงไปก่อนจะหยิบสายจูงของโจโฉขึ้นมาและพาเดินออกไปจากตรงนั้น จอสเปิดตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของวินทร์ห่างไกลออกไปจากตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มเกลียดตัวเองที่รู้สึกผิดหวังกับการที่อีกฝ่ายเพียงแค่เดินจากไปเฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไรส่งท้ายอย่างที่คาดคิดเอาไว้ว่าจะโดน จอสพยายามบอกกับตัวเองว่าดีแล้วที่เป็นเช่นนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องพักของตน ถุงใส่ยาเหน็บวางอยู่บนหัวเตียง วินทร์ไม่ยอมเอามันกลับไปด้วย จอสหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพลิกอ่านดูวิธีการใช้บนกล่อง แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกอัปยศอดสูกับการต้องมาทำอะไรแบบนี้กับตัวเอง เด็กหนุ่มโยนมันทิ้งไปไว้บนเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตาม แรงกระแทกส่งความเจ็บจี้ดพุ่งตรงจากบั้นท้ายขึ้นมาอีกระลอก ยาเหน็บจึงเริ่มกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง

          อาบน้ำก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน…  จอสตกลงใจเช่นนั้นก่อนจะลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าห้องน้ำไป


To be continued...
หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 2 [22-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 22-05-2018 10:25:37
:pighaun: ร้อนแรงมากกกกก

รับน้ำแข็งไปประคบเย็นซักถุงมั้ยครับ  :hao6:



:a5:  o22 โอ้มายก้อดๆๆๆๆๆๆ ไหงเปนงี้อะ ทำไมจอสโดนกิน  :heaven

ช่วงนี้ชีวิตน้องดูจะไม่ค่อยได้ดั่งใจ  :hao5:



:pig4: :pig4: :pig4:

โถ ๆๆๆๆๆๆ  นุ้งจอส

กะจะเสียบเขา  สุดท้ายถูกเขาเสียบ

น่าวงวาร

 :z1: :z1: :z1:

ทำไมเหมือนสะใจมากกว่าสงสาร  :ling3:



กรี๊ดดดด เข้ามาลงชื่อให้กำลังคนแต่งก่อนค่ะ
เดี๋ยวกลับมาอ่านนะจ๊ะ

ตอนสองมาแล้ว อย่าลืมมาติดตามนะครับ  :katai4:


หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 2 [22-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-05-2018 12:03:08
อีพี่วินทร์ ท่าทางจะร้ายเนอะ จอสสู้ๆ ลูก  :katai1:
หัวข้อ: Re: The Heartbreak Holidays : พ่ายรักมาพักร้อน (จอสxวินทร์) Episode 2 [22-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-05-2018 22:17:39
 :pig4: :pig4: :pig4:

เขาเรียกว่า "แพ้ทาง" จ้ะนุ้งจอส

แต่นะ...แค่ถูกเสียบเนี่ย  พฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกมาช่างคล้ายกับสาวน้อยเลยนะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 3 [25-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 25-05-2018 13:07:53
Episode 3

          การสอดยาเหน็บไม่ส่งผลเสียใดๆ ทั้งสิ้นทางกายภาพ แต่กลับสร้างหายนะทางจิตใจได้อย่างมหาศาล หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการเรียบร้อยแล้วจอสยังรู้สึกจิตตกหดหู่กับการกระทำชำเราตัวเองอยู่ทั้งคืนจนกระทั่งผล็อยหลับไป จนเมื่อตื่นมาอีกครั้งในตอนเช้าความรู้สึกจึงค่อยดีขึ้นพร้อมๆ กับอาการอักเสบที่จางหายไปจนแทบไม่เหลือ จอสบิดขี้เกียจพลางเหยียดแข้งเหยียดขายืดเส้นสายตามร่างกายที่ตึงยึดเพราะว่างเว้นจากการออกกำลังกายมาพักใหญ่ บนเกาะเล็กๆ แห่งนี้คงไม่มีฟิตเนสหรือยิมสำหรับให้เขาได้ฟิตเพิ่มพูนกล้ามเนื้อเหมือนอย่างในเมืองดังนั้นการวิ่งและกายบริหารด้วยตัวเองเพียงเล็กๆ น้อยๆ อาจจะพอช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง

          จอสอาบน้ำและเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดและกางเกงวอร์มสำหรับออกกำลังกาย หลังจากสวมรองเท้าสำหรับวิ่งเสร็จเรียบร้อยก็จึงเปิดประตูออกมาข้างนอกและวิ่งเหยาะๆ อยู่กับที่เพื่ออบอุ่นร่างกาย ก่อนจะชะงักหยุดฝีเท้ากลางคันเมื่อหันไปเจอเข้ากับวินทร์ซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกประดับประดาข้างทางเดินของรีสอร์ทเอาไว้อยู่ ลำพังการรดน้ำต้นไม้นั้นไม่ได้ชวนให้ตกใจสักเท่าไหร่ หากว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังกระทำมันโดยอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนสวมเพียงกางเกงผ้ายืดขายาวตัวเดียวซึ่งขอบเอวร่นต่ำลงจนเกือบจะเห็นพงหญ้าสีดำอยู่รำไร

          ทำไมต้องมาเห็นอะไรแบบนี้แต่เช้าเลยวะเนี่ย… จอสปวดหัวตึ๊บ รู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบแต่ก็พยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า ทว่าก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จอสจะทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาต่อภาพที่เห็น ในเมื่อเนื้อหนังทุกส่วนที่ยามนี้ถูกปกปิดอยู่ภายใต้กางเกงของอีกฝ่ายยังคงเปล่าเปลือยเด่นชัดอยู่ในความทรงจำ และย้ำเตือนถึงความรู้สึกที่มันฝากเอาไว้ในร่างกายของเขาเมื่อยามที่ชำแรกแทรกตัวผ่านเข้าไปในช่องทางอันคับแน่น เด็กหนุ่มกำมือแน่นจนปลายเล็บจิกเข้ากับเนื้ออุ้งมือเพื่อให้ความเจ็บดึงตัวเองกลับออกมาจากเปลวเพลิงราคะที่กำลังคุโชนขึ้นมาอย่างหยุดยั้งไม่ได้

          “ตื่นแล้วเหรอครับ?” วินทร์วางสายยางลงกับพื้นก่อนจะเดินตรงเข้ามาหา

          “ยังหรอก นี่ละเมอออกมา” จอสกวนประสาทกลับไปทันที

          “ละเมอเดินออกมาแบบนี้อันตรายแย่ อยากให้อุ้มกลับไปนอนต่อไหมครับ?” วินทร์รับมุกและไม่รีรอที่จะฉวยโอกาส

          “ไม่ต้องอ่ะ ตอนนี้ตื่นแล้ว” จอสเตรียมชิ่งหนี “พี่รดน้ำต้นไม้ไปเหอะ ผมจะไปวิ่งเรียกเหงื่อซักหน่อย”

          “ทำอย่างอื่นก็เรียกเหงื่อได้เยอะพอกันนะครับ…” วินทร์ยื่นใบหน้าเข้ามาประชิดจนปลายจมูกชนเนื้อแก้มของจอส

          “อย่างเช่นชกหน้าเจ้าของรีสอร์ทใช่มะ?” จอสไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ใจมากไปกว่านี้ เพราะจากประโยคเมื่อครู่ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าการที่วินทร์มารดน้ำต้นไม้ให้เขาเห็นในสภาพเหมือนนายแบบปกนิตยสารปลุกใจแม่ม่ายแบบนี้นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางหมากยั่วยวนให้อีกฝ่ายหวั่นไหวแล้วงับเหยื่อที่วางไว้ และเมื่อตระหนักได้เช่นนั้นตัวตนที่ชอบเอาชนะของจอสก็ไม่ยอมที่จะเป็นฝ่ายถูกยั่วเพียงข้างเดียวอีกต่อไป

          ไวเท่าความคิด จอสดึงวิญญาณนายแบบมืออาชีพกลับมาเข้าร่างและทำการถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ออกด้วยท่วงท่าที่ผ่านการฝึกปรือจากการทำงานมาแล้วนับร้อยครั้ง แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวเพียงช่วงสั้นๆ แต่ทุกการขยับเขยื้อนถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อขับเน้นจุดเด่นอันเป็นเสน่ห์ของร่างกายออกมาให้ได้มากที่สุด โชคดีที่รอยจ้ำแดงทั้งหลายที่วินทร์ฝากทิ้งไว้ตามร่างกายเมื่อคืนก่อนจางหายไปจนแทบมองไม่เห็นแล้ว เด็กหนุ่มหันไปมองชายเจ้าของรีสอร์ทเพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองต่อการอวดเนื้อหนังมังสาของตน ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความสะใจกับชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ นี้เมื่อสีหน้าตะลึงงันของอีกฝ่ายนั้นช่างตลกจนไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยายได้ถูก

          “ชอบไหมครับ?” จอสถามทิ้งหางเสียงยั่วยวน

          “ก็ไม่ปฏิเสธครับ” วินทร์กลืนน้ำลายพยายามดึงสติกลับมาและทำหน้าให้เป็นปกติ

          “ถ้าชอบก็ดูให้เต็มตาเลยครับ เพราะต่อจากนี้ไปพี่ก็มีสิทธิ์แค่ดูเฉยๆ แล้ว” จอสแทรกลมหายใจเข้ามาในประโยคเพื่อให้เสียงที่พูดออกมาฟังดูอบอวลไปด้วยกลิ่นราคะ เขาโยนเสื้อที่เพิ่งถอดออกมาให้กับวินทร์ก่อนจะออกวิ่ง “ฝากด้วย ไปก่อนนะครับ แล้วเจอกัน”

          “เรื่องแบบนี้ต้องยกให้เค้าเลย มืออาชีพจริงๆ …” วินทร์บ่นพึมพำกับตัวเอง ตามองเสื้อที่อยู่ในมือก่อนจะยกมันขึ้นมาสูดดมกลิ่นอายจากร่างกายของจอสที่ยังติดค้างอยู่บนนั้น

          อาจเป็นเพราะห่างเว้นจากการออกกำลังกายมานานเกินไปหรือการวิ่งบนพื้นทรายทำให้เสียแรงในการทรงตัวมากกว่าการวิ่งบนพื้นผิวปกติ หลังจากออกวิ่งและลงมาจนถึงชายหาดได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีจอสก็เริ่มเหนื่อยจนหอบ ซ้ำร้ายอาการเจ็บที่คิดว่ายาเหน็บได้ขจัดจนหายไปหมดแล้วนั้นก็ยังย้อนกลับมากำเริบ เด็กหนุ่มตัดสินใจไม่ดึงดันฝืนต่อเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ เขาหยุดและแวะนั่งพักยังร้านอาหารแบบโอเพ่นแอร์ริมชายหาดที่บริการอาหารเช้าสำหรับนักท่องเที่ยว จอสสั่งแพนเค้กกับไข่และเบคอนชุดใหญ่พร้อมเครื่องดื่มเป็นนมสดกับน้ำผลไม้อย่างละหนึ่งแก้วก่อนจะจ่ายเงินแล้วมานั่งรออาหารที่โต๊ะ

          อาหารมาเสิร์ฟในไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เด็กหนุ่มค่อยๆ บรรจงใช้มีดส้อมหั่นแพนเค้กกับเบคอนเป็นชิ้นพอคำแล้วเอาเข้าปากพร้อมกัน รสหอมหวานจากเนยและแป้งฟุ้งตลบปากให้ความรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์แถมยังพ่วงมาด้วยความเค็มและมันจากเบคอนที่ช่วยกระตุ้นความเจริญอาหารให้เพิ่มมากขึ้นอีก นี่คืออาหารที่ทำให้จอสมีความสุข ไม่ใช่เพียงแค่เพราะรสชาติของมัน แต่เป็นเพราะทุกครั้งที่ได้ลิ้มรสความทรงจำบางอย่างที่แสนจะเลือนรางในอดีตก็จะหวนกลับมาเด่นชัดอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเสียงหวานสดใสของแม่ที่ร้องเรียกให้เขาลุกจากเตียงในยามเช้า กลิ่นของเนยที่ฟุ้งอยู่ทั่วครัว และกลิ่นหอมจากกาแฟดำในถ้วยใบใหญ่ของพ่อ

          เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างล้นพ้นจนไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะสิ้นสุดลงได้…

          จอสกระดกนมขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ล้างรสชาติที่ติดปากอยู่ให้ลงคอไปพร้อมกับภาพความทรงจำเหล่านั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะนึกถึงสิ่งที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีกแล้ว ป่านนี้แม่คงทำแพนเค้กให้ลูกที่เกิดจากครอบครัวใหม่อยู่ที่ไหนสักแห่ง และอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีลูกอย่างเขา ในขณะที่พ่อเองก็คงวุ่นวายแต่กับงานและบรรดาผู้หญิงที่อายุห่างจากลูกตัวเองไม่เคยเกินห้าปี

          ตลับใส่ยาถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงวอร์มก่อนที่จอสจะเขย่าให้เม็ดยาข้างในหลุดออกมา เด็กหนุ่มมองยาสามเม็ดบนอุ้งมือของตนและรู้สึกว่าบางทีพวกมันอาจจะเป็นสิ่งที่เขารู้สึกผูกพันด้วยมากที่สุดในชีวิต เขาหย่อนมันเข้าปากแล้วกลืนก่อนจะดื่มน้ำผลไม้ตามลงไปครึ่งแก้วเพื่อให้คล่องคอ จากนั้นจึงเอนหลังพิงพนักของเก้าอี้ เหยียดขาผ่อนคลายและมองวิวทะเลเบื้องหน้าพลางจิบน้ำผลไม้ที่เหลือไปเรื่อยๆ นานแล้วที่กระแสแห่งชีวิตไม่ได้สงบนิ่งเช่นนี้ หากไม่นับเรื่องไม่คาดฝันกับวินทร์เมื่อคืนก่อนก็นับว่านี่เป็นการพักผ่อนอันน่าประทับใจแม้สาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้นจะชวนให้เจ็บอกเมื่อนึกถึงก็ตามที

          ถ้าเจ้ากระรอกนั่นมาอยู่ตรงนี้ด้วยก็คงดีนะ… อาจจะฟังดูเหมือนไม่รู้จักตัดอกตัดใจเลิกรา แต่แม้กระทั่งในขณะนี้จอสก็ยังคงคิดถึงแต่ภู นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกันในกองถ่ายแฟชั่นตอนนั้นเขาเพียงแค่ชอบในรูปร่างหน้าตาและบุคลิกของอีกฝ่ายที่ดูน่ารังแกให้ร้องไห้เพื่อจะได้ปลอบโยนในภายหลังและตั้งใจจะเพียงแค่เล่นสนุกด้วยเหมือนเช่นคนอื่นๆ ที่เคยผ่านมา แต่หลังจากที่เขาได้เป็นประจักษ์พยานการพูดคุยปรับความเข้าใจระหว่างภูกับกรรณอยู่เงียบๆ ในขณะที่ทั้งสองไม่รู้ตัว ได้เห็นแววตาที่ภูใช้มองกรรณในทุกเวลาที่อยู่ด้วยกันและรู้ได้ทันทีว่ามันคือแววตาของคนที่จะไม่ทอดทิ้งคนที่ตนรักอย่างเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นเองที่ทำให้จอสอยากเป็นผู้ครอบครองหัวใจดวงนั้นจนยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งกลายเป็นปีศาจร้าย

          รู้งี้ยึดนาฬิกาไว้แล้วลากมาฟันที่คอนโดซะตั้งแต่วันแรกให้จบๆ ไปก็ดี ไม่น่าพาไปส่งบ้านเลย... จอสนึกเสียดายขึ้นมา เพราะหากทำเช่นที่คิดเอาไว้แต่แรก เรื่องก็คงไม่ยืดเยื้อจนเผลอไปหลงรักอีกฝ่ายแล้วสุดท้ายก็กลายเป็นคนอกหักแบบทุกวันนี้ แต่ก็ใช่ว่าเรื่องนี้จะมีแต่แง่ร้าย อย่างน้อยที่สุดคนโดดเดี่ยวอย่างเขาก็ได้เพื่อนแท้มาหนึ่งคน ด้วยสายตาที่ภูมองมาขณะให้คำมั่นในคืนสุดท้ายที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน จอสรู้ดีว่าถึงแม้จะไม่ใช่สถานะคนรักอย่างที่คาดหวังเอาไว้ แต่ภูก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเขาไปอย่างแน่นอน

          สัมผัสของพลาสติกเย็นเยียบที่นาบลงบนไหล่เปลือยทำให้จอสสะดุ้งโหยงตื่นจากภวังค์ที่กำลังปล่อยอารมณ์ให้จมจ่อมอยู่ เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตนเองก่อนจะพบว่าด้านหลังของตนในเวลานี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งประมาณด้วยสายตาน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเขากำลังยืนยิ้มอยู่ ในมือมีขวดน้ำซึ่งเมื่อสังเกตจากไอเย็นที่แผ่ออกมาและน้ำในขวดที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแล้วคาดว่าน่าจะเพิ่งถูกนำออกมาจากช่องฟรีซ เมื่อเห็นจอสหันหน้ามาเด็กหนุ่มก็คนนั้นเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งคล้ายกับรอให้อีกฝ่ายเริ่มทักทาย แต่จอสก็เอาแต่นิ่งอึ้งเพราะนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายคือใคร

          “จอส?” เด็กหนุ่มคนนั้นเรียกชื่อของอีกฝ่ายคล้ายจะถามยืนยันตัวตนว่าใช่หรือไม่

          “อ่ะฮะ…” จอสพยักหน้า การถูกคนแปลกหน้ารู้จักนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจสำหรับเขาแต่อย่างใด

          “หัสนัยน์ เวย์โอลต์?” เด็กหนุ่มคนนั้นขานอีกชื่อหนึ่งเพิ่มเติมขึ้นมา

          “หืมมม…” นี่สิที่ทำให้จอสประหลาดใจได้ ชื่อนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้

          จอสเพ่งดูใบหน้าของอีกฝ่ายขณะที่สมองพยายามนึกให้ออกว่าเค้าเป็นใคร มีบางอย่างบนใบหน้านั้นที่มอบความรู้สึกอันคุ้นเคยให้แก่สายตาแต่ทว่าก็ยังไม่มากพอจะทำให้ระลึกถึงได้ ข้อมูลสำคัญที่มีอยู่ในเวลานี้คืออีกฝ่ายรู้ชื่อจริงของจอสซึ่งไม่เคยถูกเปิดเผยออกสื่อ นั่นก็หมายความว่าจะต้องเป็นใครสักคนที่เคยอยู่ร่วมสังคมกับเขาในช่วงก่อนเข้าวงการ

          “จำไม่ได้จริงดิ?” เด็กหนุ่มคนนั้นถามขึ้นหลังจากให้เวลาจอสนึกคำตอบจนรู้สึกว่านานเกินไปแล้ว

          “หึ… จำไม่ได้” จอสส่ายหน้า แม้จะมีความรู้สึกคุ้นเคยเป็นเครื่องยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ตนเคยรู้จักจริงๆ แต่จู่ๆ จะให้มานึกออกทันทีก็คงเป็นไปไม่ได้ “ขอโทษที เอาเป็นว่าช่วยแนะนำตัวใหม่อีกครั้งได้ไหม?”

          “งั้นที่เค้าว่ากันว่าไม่มีใครลืมความรักครั้งแรกได้ สงสัยจะไม่จริงซะแล้ว” เด็กหนุ่มคนนั้นเฉลยตัวตนออกมาโดยอ้อม “อย่างน้อยก็ไม่จริงสำหรับมึงแน่นอนล่ะคนนึง”

          จอสรู้ดียิ่งกว่าอะไรในโลกนี้ว่าตนไม่เคยลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับความรักครั้งแรกอย่างที่อีกฝ่ายได้กล่าวหา เขายังจำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นจูบแรกในห้องสมุดยามเย็นอันไร้ผู้คนหรือกระทั่งกลิ่นเมนทอลจากบุหรี่ที่มักจะติดอยู่ตามเสื้อผ้าของเขาคนนั้นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นแค่เรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะจำไม่ได้

          ถ้ามันมาในรูปแบบเดิมน่ะนะ…
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 3 [25-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 25-05-2018 13:13:19
         จอสถลึงตามองดูอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น หากนี่คือวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ก็นับว่าเจ้าหมอนี่มาไกลจากจุดเริ่มต้นมาก จากเด็กมัธยมหน้าตี๋หล่อตาใสไร้เดียงสาที่ไม่ว่าจะมองจากภายนอกยังไงก็เป็นคุณหนูลูกผู้มีอันจะกินได้กลายสภาพมาเป็นเด็กหนุ่มหน้าหล่อคมแบบพิมพ์นิยม ผมไถข้าง เจาะหูเรียงเป็นทาง และยังไม่นับรอยสักแนวเซอร์เรียลระดับที่ทำให้จอห์น เลนน่อนบนท้องแขนของเขากลายเป็นภาพเด็กวาดเล่นบนผนังไปเลย ซึ่งในความคิดของจอสนั้นภาพลักษณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ดูจะตรงกับนิสัยตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายมากกว่าคราบเด็กไร้เดียงสาในวัยมัธยมซึ่งเคยหลอกเขาจนติดกับมาได้แล้วครั้งหนึ่ง

         “ใช่มึงจริงๆ เหรอเนี่ย ไอ้มีน…” จอสยังคงตกตะลึงไม่หาย

         หนังสือที่มีเนื้อหาไม่ตรงกับปก ประโยคนี้คือคำจำกัดความของมีนวัชร์ หรือมีน บุตรชายคนเดียวของตระกูลอัศวโสภณเจ้าของธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเสียงและเครื่องดนตรีรายใหญ่ของประเทศ ด้วยนิสัยที่ห่ามและบ้าระห่ำสุดชีวิตผิดกับหน้าตาที่สุดแสนจะคุณหนูผู้ดีมีสกุลรุณชาติ ดูเรียบร้อยปราศจากพิษสง จอสสามารถพูดได้เต็มปากว่าความไร้เดียงสาตามประสาวัยแรกหนุ่มของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้นด้วยการคบหากับมีน ความสัมพันธ์สุดโลดโผนโจนทะยานของทั้งคู่ดำเนินมาเป็นระยะเกือบสามปีก่อนที่มันจะจบลงพร้อมๆ กับชีวิตมัธยมในพิธีจบการศึกษา ไม่มีความขัดแย้งหรือปัญหาใดๆ มาเป็นสาเหตุ มีนให้เหตุผลเพียงแค่ว่าความรักของเด็กมัธยม ก็ควรจบเมื่อพ้นวัยมัธยม เพื่อที่ต่างคนจะได้มีโอกาสพบเจออะไรใหม่ๆ บ้าง ซึ่งจอสก็ตกลงตามนั้นเพราะรู้ว่าถึงตนจะไม่ยอมอีกฝ่ายก็คงไม่เปลี่ยนความคิดอยู่ดี และนั่นจะทำให้เขาต้องกลายเป็นฝ่ายที่ถูกทิ้งในความสัมพันธ์นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้

         “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ… ทั้งที่กูไม่เคยลืมมึงเลยนะ ขนาดเลิกกันตั้งนานแล้วพอมาเห็นมึงในทีวีกูก็ยังจำได้ จำได้แม่นเลยว่าไอ้นี่แหละ…” มีนขยับหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูของจอส “ที่มันเปิดซิงกูในห้องน้ำโรงเรียน”

         “ถ้ามึงทำตัวแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาทัก กูก็ไม่ต้องมานั่งนึกให้เสียเวลาหรอก” จอสกรอกตามองบน ระอากับความกร้านโลกของอีกฝ่ายที่ดูจะทวีมากขึ้นกว่าสมัยมัธยมหลายเท่า

         “หุ่นดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะเนี่ย” มีนไม่พูดเปล่า ยื่นมือเข้ามาจะลูบแผงกล้ามหน้าท้องของจอส

         จอสตกใจกับความปากว่ามือถึงของอีกฝ่ายรีบเอี้ยวตัวขยับหลบจนมือนั้นพลาดเป้ามาปะป่ายบนท้องแขนของเขาแทน สัมผัสผิวด้านนูนจากรอยแผลเป็นที่ถูกหมึกสีของรอยสักปกปิดพรางเอาไว้ทำให้มีนถึงกับชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรีบดึงมือกลับมา

         “แล้วนี่มาเที่ยวเหรอ?” มีนถามขึ้นมา

         “ก็ประมาณนั้น มึงล่ะ?” จอสถามกลับไป

         “เปล่า ตอนนี้กูอยู่ที่นี่” มีนฉีกยิ้มเหมือนภาคภูมิใจ “กูหนีพ่อกูมาอยู่คนเดียวได้เกือบปีแล้ว”

         “ฉิบหาย…” จอสเพิ่งรู้ตัวว่าเจอเด็กหนีออกจากบ้าน “แล้วนี่มึงกินอยู่ยังไงเนี่ย?”

         “กูเป็นดีเจให้ผับที่หาดนี่ไง” มีนตอบ “ที่พักก็พักบ้านพักที่เจ้าของผับเค้าจัดให้ ก็โอเคนะมึง เงินก็ดี ทิปจากแขกก็เยอะ”

         “อยู่บ้านสบายๆ ไม่ชอบ” จอสว่าเข้าให้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายแน่จริงที่อยู่ด้วยตัวเองมาได้เกือบปี

         “ก็พ่อจะจับกูแต่งงานกับลูกสาวเพื่อนเค้า” มีนบอกสาเหตุแห่งการหนีออกจากบ้าน “กูบอกเค้าไปแล้วว่ากูไม่ได้ชอบผู้หญิง เค้าก็บอกว่ากูจะชอบอะไรไม่สำคัญ แต่กูต้องมีเมีย ต้องมีทายาทสืบสกุล กูเลยบอกว่าถ้าพ่ออยากให้ลูกสาวเพื่อนมีผัวมาก พ่อก็แต่งกับเค้าเองไปเลยแล้วกัน ต่อจากนั้นกูก็หนีมาอยู่นี่แหละ”

         “พ่อมึงนี่มีศรัทธาในตัวลูกมากเลยนะที่คิดว่าลูกจะทำหลานให้อุ้มได้” จอสกัดอีกฝ่ายไปเบาะๆ มือเอี้ยวไปคว้าบั้นท้ายของมีนที่อยู่หลังพนักพิงเก้าอี้ “เค้าคงไม่รู้ว่ามึงน่ะไม่ถนัดการทำ ถนัดเรื่องถูกทำซะมากกว่า”

         “โอ้โห… นี่สิหัสนัยน์คนเดิมที่คิดถึง” มีนตบมือเปาะแปะ

         “แล้วทำไมมึงตื่นซะเช้าเลย ไหนว่าทำงานกลางคืน” จอสถามเพราะดูจากเวลาแล้วตอนนี้มีนน่าจะอยู่บนเตียงนอนมากกว่า

         “ยังไม่ได้นอนต่างหาก” มีนแก้ใหม่ให้ถูกต้อง “ว่าแต่มึงพักที่ไหนเนี่ย?”

         “รีสอร์ทตรงเนินเขานู้น” จอสชี้ไปยังทิศทางที่ตนเพิ่งวิ่งจากมา “ถามทำไม? อยากไปนอนด้วยเหรอ?”

         “ถ้าบอกว่าอยาก มึงจะให้ไปไหมล่ะ?” มีนตอบกลับมาด้วยคำถามหยั่งเชิง

         “กูว่าอย่าเลย…” จอสนึกขึ้นมาได้ว่าที่นั่นมีบางสิ่งที่พร้อมจะเข้ามาทำให้เขาขายหน้ากับคนรู้จักได้ตลอดเวลาอยู่

         “ก็ตามใจ กูนอนห้องกูก็สบายดีอยู่” มีนทำเป็นไม่แคร์กับการถูกปฏิเสธทั้งที่แอบเสียหน้าอยู่นิดๆ เพราะคิดว่าถ่านไฟเก่าอาจจะยังพอมีเชื้อไฟอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่หมดหวังจึงหยอดทิ้งท้ายเปิดทางให้อีกฝ่ายเอาไว้ “ถ้ามึงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ จะมานอนห้องกูบ้าง กูก็ไม่ใจร้ายกับมึงแบบที่มึงทำกับกูเมื่อกี้หรอกนะ”

         “มึงไปนอนเถอะ เหนื่อยเปล่าๆ” จอสรู้ทันการยั่วยุนั้น

         “โอเค…” มีนผละออกไปที่เคาท์เตอร์บาร์น้ำของร้านก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกระดาษในมือ “นี่เบอร์โทรกับที่อยู่กู อย่าโทรมาก่อนห้าโมงเย็นเพราะกูจะหงุดหงิดมากถ้าถูกกวนตอนนอน”

         “ใครว่ากูจะโทรไป ชีวิตวัยรุ่นกูเข้าสู่ด้านมืดก็เพราะมึง ตอนนี้กูหลุดพ้นแล้วกูไม่กลับไปหรอก” จอสรับกระดาษมาและขยำเป็นก้อนให้มีนดูต่อหน้า “แล้วอีกอย่างมึงบอกกูเองตอนจบม.หกไม่ใช่เหรอ? ว่าคนเราต้องออกไปพบเจออะไรใหม่ๆ ไม่ใช่จมกับอะไรเดิมๆ”

         “ก็ไม่รู้สิ แล้วแต่มึงเลย” มีนยักไหล่ ทำหน้าอมยิ้มเหมือนมั่นใจในการคาดคะเนของตน “กูว่าทั้งกูและมึงตอนนี้ ต่างคนต่างก็ไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จักกันทั้งคู่นั่นแหละ”

         มีนแตะไหล่ของจอสและตบเบาๆ สองสามทีก่อนจะเดินออกไปจากร้าน เด็กหนุ่มมองอดีตรักในวัยเรียนของตนเดินจากไปจนกระทั่งลับสายตาจึงค่อยถอนหายใจออกมา การเผชิญหน้ากับมีนโดยไม่คาดฝันทำให้เขาเกือบตั้งตัวไม่ทัน แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะกลับไปคบหาเป็นคนรักกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเมื่อไหร่ที่มีนจะติสต์แตกและขอจบความสัมพันธ์แบบเอาแต่ใจเหมือนเช่นคราวนั้นอีก แต่ถ้าเป็นแค่ความสนุกสนานชั่วครั้งชั่วคราวตามประสาวัวเคยขาม้าเคยขี่ มันก็จัดว่าไม่ใช่ข้อเสนอที่เลวร้ายอะไร เขายังจดจำได้ในทุกประสาทสัมผัสว่าร่างกายของมีนมอบความรู้สึกสุดวิเศษแค่ไหนยามเมื่อเขาได้พาตัวเองเข้าไปสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับมัน อีกทั้งจอสยังมั่นใจว่ามีนจะเห็นดีเห็นงามกับความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดนี้ด้วยซ้ำ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงคลี่กระดาษแผ่นที่ตนเพิ่งขยำจนเละคามือออกมาอีกครั้งและพับให้เรียบร้อยก่อนจะยัดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงเผื่อต้องใช้ในอนาคตแม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าอนาคตที่ว่านั่นคงยังไม่ใช่ในเวลาอันใกล้นี้แน่ๆ

         เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ทจอสรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่นิดหน่อยที่พบว่าตนกำลังมองหาวินทร์โดยไม่รู้ตัวเหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่ถูกปลูกฝังลงในจิตใต้สำนึก เขาสั่งตัวเองให้เลิกสนใจคนพรรค์นั้นและคิดว่าโชคดีแล้วที่วินทร์ไม่ได้มาอยู่ใกล้ๆ ให้เสียสุขภาพจิตก่อนจะตรงดิ่งกลับไปยังห้องพักของตน จนเมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยจึงออกมานั่งรับลมด้านหน้าก่อนจะเห็นโจโฉกำลังวิ่งเล่นอยู่ไกลๆ บนชายหาดด้านล่าง จอสรู้ทันทีว่าวินทร์ต้องอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นด้วย และเมื่อนึกถึงใบหน้าแสนตลกของวินทร์เมื่อช่วงเช้าขึ้นมาแล้วเด็กหนุ่มก็ยังขำไม่หาย บางทีการแกล้งยั่วอีกสักรอบก็เป็นความคิดที่เข้าท่า จอสคิดเช่นนั้นก่อนจะสวมรองเท้าและเดินลงเนินเขาไปยังชายหาดด้านล่าง ในหัววางแผนเป็นฉากๆ ว่าจะสร้างสถานการณ์ปลุกเร้าอีกฝ่ายอย่างไรบ้าง

         เมื่อลงมาถึงชายหาด จอสแอบหลบตรงมุมหลังต้นมะพร้าวเพื่อมองหาเป้าหมายก่อนจะพบว่าวินทร์นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ไม่ห่างไกลออกไปจากจุดที่เขายืนอยู่นัก ทว่าในเวลานี้แผนที่วางไว้ดูจะทำตามไม่ได้เสียแล้ว เมื่อจอสพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ตามลำพังในเวลานี้ บนแคร่หลังเดียวกับที่วินทร์นั่งอยู่มีเด็กหนุ่มผมสั้นซึ่งประมาณด้วยสายตาแล้วอายุน่าจะน้อยกว่าจอสด้วยซ้ำกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอาบแดดอยู่บนนั้น ทั้งสองกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอย่างถูกคอเหมือนสนิทสนมกันมานานปี

         และนั่นทำให้จอสไม่พอใจขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง…

         จอสไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขาตัวเองก้าวเดินออกไปแล้วในขณะที่สองตายังจับจ้องคนทั้งคู่บนแคร่อยู่ เด็กหนุ่มเดินโฉบเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะผ่านเลยไปเหมือนว่าตนบังเอิญผ่านมาและไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าวินทร์กำลังนั่งอยู่แถวนั้น หางตาชำเลืองมองย้อนกลับไปดูท่าทีตอบสนองของอีกฝ่ายก่อนจะพบว่าวินทร์ก็มองมาทางตนเช่นกันแต่กลับไม่ร้องทักหรือพูดอะไร เขาเพียงแค่มองแล้วก็หันกลับไปสนใจเด็กหนุ่มบนแคร่นั่นตามเดิม จอสยังไม่ยอมแพ้ เขาตรงเข้าไปเล่นกับโจโฉเพื่อดึงความสนใจจากเจ้าของๆ มัน เด็กหนุ่มสิ้นหวังจนยอมทำแม้กระทั่งถอดเสื้อออกและลุยลงไปเล่นน้ำทะเลให้ตัวเลอะทั้งที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาดๆ เพียงเพื่อจะสร้างฉากการขึ้นจากน้ำในแบบที่เคยสะกดทุกสายตาได้เสมอ แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้ เมื่อทุกการกระทำล้วนสูญเปล่าเพราะแม้จะทำทุกอย่างแล้วแต่วินทร์ก็ยังไม่แม้แต่จะโบกมือทักทายเขาด้วยซ้ำ นั่นทำให้จอสอารมณ์เดือดปุด โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงรีบขึ้นจากน้ำและเดินกลับเข้ารีสอร์ทไปทันที

         จอสอาบน้ำล้างคราบน้ำทะเลออกจากร่าง แต่ไม่อาจล้างความเดือดดาลออกจากอารมณ์ได้ การถูกเมินใส่เป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ และยิ่งรับไม่ได้มากขึ้นเมื่อถูกเมินขณะกำลังเรียกร้องความสนใจเช่นนี้

         ไอ้คนอวดดีนั่น… มันกล้าดีมาจากไหนถึงทำแบบนี้กับคนแบบจอส วาโย!

         แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าความโกรธมากมายนี้มาจากความเสียหน้า แต่ทว่าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความจริงอันแสนจะน่าละอายที่เสียดแทงขึ้นมาในอกเป็นระยะๆ ว่าต้นเหตุแห่งความไม่พอใจที่แท้จริงคือการที่วินทร์ให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มคนนั้นมากกว่าเขา เด็กหนุ่มรู้ดีว่ากำลังแสดงอาการเป็นเด็กงี่เง่าแต่ก็หยุดตัวเองไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่อารมณ์ตามปกติธรรมชาติที่จะสามารถข่มได้ด้วยขันติ เปลวเพลิงแห่งโทสะโหมลุกขึ้นมาจนหัวใจรุ่มร้อนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เห็นบาดแผลที่ต้นคอของภูในวันที่ติดฝนอยู่ใต้สะพานนั้น จอสส่งเสียงคำรามออกมาลั่นห้องน้ำเพื่อระบายอารมณ์ก่อนจะบันดาลโทสะกวาดทุกอย่างที่วางอยู่หน้ากระจกทิ้งลงพื้น

         ใจเย็นๆ พอแล้ว… พอ… แกจะให้มันกลับมาอีกไม่ได้ ไอ้จอส… แกต้องหยุดเดี๋ยวนี้!!

         เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นจากด้านนอก จอสสูดหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อปรับสภาพอารมณ์ตัวเองแต่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้มาก เด็กหนุ่มตัดสินใจพึ่งตัวช่วยฉุกเฉินรีบควานหาขวดยาจากกองสิ่งของที่ตนเพิ่งกวาดทิ้งจากหน้ากระจกลงมาบนพื้นเมื่อครู่ ก่อนจะคว้ามันขึ้นมาเปิดฝาออกแล้วหยิบกลืนลงคอไปหนึ่งเม็ด เสียงล๊อกที่ลูกบิดถูกไข จอสรู้ทันทีว่าวินทร์คงผิดสังเกตที่เคาะนานแล้วแต่เขายังไม่ยอมมาเปิดจึงถือวิสาสะไขเข้ามาดู

         “จอส?” เสียงวินทร์ร้องเรียกมาจากนอกห้องน้ำ “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

         “มะ… ไม่เป็น” จอสพยายามควบคุมลิ้นที่เกร็งแข็งของตนให้ออกเสียงเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ผมไม่เป็นไร ออกไปได้แล้ว”

         “พี่จะมาบอกว่าเย็นนี้ถ้าจะทานอะไรก็สั่งจากร้านข้างล่างได้เลย บอกกับที่ร้านว่าให้ลงบิลชื่อพี่ไว้” วินทร์บอกกับจอส “พอดีพี่ต้องขึ้นฝั่งไปธุระ อาจจะกลับมาดึก”

         “ไปไหนก็ไปเหอะ” จอสคุมเสียงไม่ให้สั่นในขณะที่โทสะกำเริบขึ้นมาอีกรอบจากสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่

         “งั้นพี่ไปก่อนนะครับ” วินทร์เคาะที่ประตูห้องน้ำเบาๆ “นายโอเคแน่นะ?”

         “ก็บอกไม่เป็นไรไง! รีบๆ ไปเหอะ น่ารำคาญว่ะ” จอสกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ตะคอกตอบกลับไป

         ไม่มีเสียงตอบกลับจากวินทร์หลังประโยคนั้น มีเพียงเสียงประตูห้องพักข้างนอกที่เปิดออกก่อนจะปิดอีกครั้ง จอสออกมาจากห้องน้ำเมื่อมั่นใจว่าวินทร์ไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว เขาทรุดนั่งลงปลายเตียงทั้งที่ตัวยังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ผิวตั้งแต่หน้าอกขึ้นไปแดงเถือกเป็นปื้นจากเลือดในกายที่สูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง โกรธจนแทบจะเสียสติเมื่อนึกถึงว่าวินทร์ให้ความสำคัญกับเด็กหนุ่มคนนั้นมากแค่ไหน อารมณ์ด้านลบส่งผลเสียต่อการคิดและตัดสินใจเสมอ เช่นเดียวกับในตอนนี้ที่เบอร์โทรและที่อยู่ของมีนกำลังจะได้บรรลุผลตามจุดประสงค์ที่เจ้าของๆ มันตั้งไว้ก่อนส่งมอบมาแล้ว

         เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่… แล้วพี่จะต้องเสียใจที่ให้ความสำคัญกับมันมากกว่าผม…

         จอสเช็ดตัวจนแห้งก่อนจะแต่งตัวแล้วหยิบตะกร้าผ้าใช้แล้วมาเทเสื้อผ้าข้างในนั้นลงบนพื้น กางเกงตัวที่ใส่ออกไปวิ่งเมื่อตอนเช้าถูกหยิบขึ้นมาและล้วงเอากระดาษใบเล็กๆ ที่พับเก็บไว้ข้างในกระเป๋าออกมาคลี่ดู เด็กหนุ่มกดหมายเลขสิบหลักที่เขียนอยู่บนนั้นลงไปในโทรศัพท์แล้วโทรออก เสียงสัญญาณดังขึ้นเกือบสิบครั้งจึงมีผู้รับสายด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความงัวเงียและหงุดหงิด

         “ฮัลโหล ใครวะเนี่ย!?” เสียงของมีนร้องถามมาอย่างไม่พอใจที่ถูกรบกวนเวลาพักผ่อน

         “กูเอง แฟนเก่ามึงน่ะ” จอสตอบกลับไป

         “อ้าว หัสนัยน์ ว่างายยย” น้ำเสียงของมีนเปลี่ยนเป็นสดใสต้อนรับทันที

         “คืนนี้มึงทำงานไหม?” จอสถาม

         “จริงๆ ก็ทำ แต่ถ้ามีเรื่องน่าสนใจพอจะให้หยุด กูก็โทรให้อีกคนไปแทนกูได้” มีนตอบโดยไม่ลืมจะบอกความเป็นไปได้ให้อีกฝ่ายได้รู้

         “มึงโทรเลย” จอสบอก “เดี๋ยวเย็นนี้กูจะเข้าไปหา ขอนอนด้วยหน่อย ที่นี่แม่งน่าเบื่อว่ะ”


To be continued...
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 3 [25-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 25-05-2018 13:18:08
อีพี่วินทร์ ท่าทางจะร้ายเนอะ จอสสู้ๆ ลูก  :katai1:

จะปราบพยศเด็ก ก็ต้องแพรวพราวนิดนึงครับ  :impress2:



:pig4: :pig4: :pig4:

เขาเรียกว่า "แพ้ทาง" จ้ะนุ้งจอส

แต่นะ...แค่ถูกเสียบเนี่ย  พฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกมาช่างคล้ายกับสาวน้อยเลยนะ  อิอิ

สงสัยจะแพ้ทางหนักไปหน่อย เขี้ยวเล็บหลุดหมดเลย  :z3:


หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 3 [25-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-05-2018 16:36:23
จอส ทำร้ายตัวเองอีกแล้วนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 3 [25-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-05-2018 19:56:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไบโพลาร์กำเริบ

เพราะพี่วินทร์ไม่สนใจ  แม้จะขนอ้อยมาทั้งไร่ก็ไม่สน

น่าสงสารนุ้งจอสจัง

แต่...จอสไปจุดจุดจุดกับมีน  พี่วินทร์รู้เข้าจะทำไงน้อ

สงสัยนุ้งจอสจะโดนหนักแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 4 [29-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 29-05-2018 17:21:25
Episode 4

          มีนนั่งสูบบุหรี่อยู่หน้าบ้านอันเป็นที่พักซึ่งผู้เป็นนายจ้างจัดหาให้ มันเป็นบ้านปูนชั้นเดียวหลังเล็กๆ ขนาดไม่ใหญ่โต แต่ถ้ามองว่ามีผู้อาศัยเพียงแค่คนเดียวก็นับได้ว่ามีพื้นที่ใช้สอยเหลือเฟือ จอสลอบมองต้นขาขาวเนียนของอีกฝ่ายซึ่งเผยออกมาจากขากางเกงยามเมื่อนั่งไขว่ห้าง แม้ภาพลักษณ์โดยรวมจะดูโตเป็นผู้ใหญ่และกร้านแดดกร้านลมมากขึ้น แต่ผิวเนื้อกายใต้ร่มผ้าเหล่านั้นยังดูเนียนละเอียดน่าสัมผัสไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มโบกมือทักทายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับรู้การมาถึงของตนแล้ว ในขณะที่มีนเมื่อเห็นจอสเดินเข้ามาก็พ่นควันบุหรี่ในปากออกมาใส่หน้าเขาแทนการทักทาย

          “มึงยังสูบยี่ห้อนี้อยู่อีกเหรอวะ?” จอสจำกลิ่นเมนทอลอันเป็นเอกลักษณ์นี้ได้

          “อะไรที่มันดีอยู่แล้วก็ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม” มีนตอบก่อนจะโยนก้นบุหรี่ลงบนพื้นแล้วยืนขึ้นใช้เท้าบี้เหยียบให้ไฟดับสนิท “เพียงแต่ตอนเรียนจบกูอาจจะรู้ตัวช้าไปนิดว่าอะไรดีหรือไม่ดี ก็เลยมีพลาดทำของดีหลุดมือไปบ้าง”

          “ของบางอย่างลองหลุดมือไปแล้วก็ไม่มีวันได้คืนหรอก” จอสบอกเจตนาที่มาให้ชัดเจน “บอกไว้ก่อนตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกัน ว่าไม่มีคำว่ารีเทิร์นสำหรับกูกับมึงแน่นอน วันนี้กูเบื่อเลยแค่หาอะไรทำเฉยๆ ไม่มีพันธะอะไรต่อทั้งนั้น เสร็จแล้วก็ทางใครทางมัน”

          “อันนั้นเป็นเรื่องของอนาคต” มีนไม่รีบร้อน “แต่ปัจจุบันนี้ มึงเข้าไปข้างในก่อนดีกว่า กูมีเซอร์ไพรส์ไว้ให้มึงด้วย”

          จอสมองมีนอย่างไม่ไว้วางใจ เพราะเท่าที่รู้จักกันมาถ้าเจ้าหมอนี่พูดคำว่าเซอร์ไพรส์ก็บอกได้เลยว่ามันต้องไม่ธรรมดาจริงๆ และส่วนมากมักจะเป็นไปในทางที่ไม่ดีเสียด้วย แต่เมื่อตัดสินใจพาตัวเองมาถึงนี่แล้วอย่างไรก็คงถอยลำบาก จอสพยายามนึกถึงแต่จุดประสงค์ในการมาที่นี่ เขาต้องทำบางอย่างเพื่อให้วินทร์ได้สำนึกว่าตนเองนั้นได้ทำพลาดครั้งใหญ่ลงไปแล้วสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงสาย บางทีเขาอาจจะยอมให้มีนฝากรอยจ้ำไว้ที่ลำคอเหมือนอย่างที่อีกฝ่ายชอบทำตั้งแต่สมัยที่ยังคบหากันอยู่ หรือจะเป็นร่องรอยหลักฐานใดๆ ก็ได้ที่ทำให้วินทร์ได้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นตัวสำรองที่จะมาให้ความสำคัญด้อยจากคนอื่นได้

          ไม่ใช่ว่าแคร์อะไรหรอกนะ มันก็แค่เรื่องของศักดิ์ศรี! คนแบบจอสไม่ใช่คนที่ใครจะมาทำเป็นเมินใส่ได้!

          เมื่อเดินผ่านประตูหน้าของบ้านเข้าไป จอสก็พบว่าบรรยากาศด้านในนั้นมืดสนิทจนต้องหยุดยืนเฉยๆ เพื่อปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่งจึงจะพอมองทัศนวิสัยรอบตัวได้ชัดเจนขึ้นบ้าง ภายในบ้านถูกจัดอย่างเรียบง่ายมีเพียงเครื่องเรือนพื้นฐานเท่าที่จำเป็น ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่าเด็กหนีออกจากบ้านอย่างมีนคงไม่มีเงินติดตัวมามากพอจะซื้อเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งเพิ่ม อีกทั้งนี่ก็เป็นเพียงแค่บ้านพักชั่วคราวที่นายจ้างจัดหาให้ ไม่มีใครรู้ว่ามีนจะทำงานที่นี่ไปได้อีกนานแค่ไหน แค่เวลาเกือบปีตามที่อีกฝ่ายได้กล่าวอ้างมาหากเป็นความจริงก็ถือว่าเขาทนอยู่กับสิ่งเดิมๆ ได้นานจนเกินปกติวิสัยแล้ว

          มีนถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ออกด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับจอสซึ่งมองดูอย่างเกร็งๆ แม้จะเป็นเรือนร่างที่เคยเห็นมาจนหมดทุกสัดส่วนแล้วก็เถอะ แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปหลายปีทำให้มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเยอะมาก รอยสักของมีนที่บนท่อนแขนเมื่อช่วงเช้านั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทั้งหมด เมื่อไม่มีเสื้อปิดบังไว้จอสจึงเห็นว่าลวดลายเหล่านั้นยึดครองพื้นที่ผิวหนังเกินครึ่งหนึ่งของร่างกายท่อนบนเลยทีเดียว แต่ด้วยผิวพรรณที่ละเอียดขาวใสตามแบบลูกคนมีชาติตระกูล ทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมกลับไม่ออกมาดูสกปรกเลอะเทอะ ซ้ำยังขับลวดลายเส้นเหล่านั้นให้สีสันของมันออกมาเด่นชวนมองกว่าปกติ

          หลังจากถอดเสื้อออกมีนเดินเข้ามาประชิดร่างของจอสแล้วคล้องแขนกอดรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างหลวมๆ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นมาเพื่อประกบริมฝีปาก เด็กหนุ่มผงะหน้าถอยออกด้วยความตกใจเพราะยังไม่ทันตั้งตัว จริงอยู่ที่เขาตั้งใจจะมาเพื่อสิ่งนี้และมีนก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน มากกว่านี้ก็เคยทำด้วยกันมาแล้ว แต่จะด้วยความตื่นสถานที่ๆ ไม่คุ้นเคยหรือรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนไปมากก็ตาม มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างเริ่มต้นเร็วเกินไป บางทีการนั่งคุยกันก่อนสักครู่อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการอุ่นเครื่อง จอสอดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าความคิดเช่นนี้ช่างไม่สมกับเป็นตัวเขาเลย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาเปลี่ยนแปลงจากคนที่พร้อมจะเริ่มสัมพันธ์สวาทได้ตลอดเวลาไม่ว่าที่ไหนขอเพียงแค่ถูกใจในตัวของอีกฝ่าย กลายมาเป็นคนที่ชอบความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป

          “อะไร พอไม่ใช่แฟนแล้วจูบมึงไม่ได้เหรอ?” มีนกระซิบถาม

          “กูเหม็นบุหรี่” จอสแก้ตัว พยายามหลบสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองตนในความมืดสลัวนั้น

          “เมื่อก่อนไม่เห็นจะบอกว่าเหม็น” มีนเปลี่ยนเป้าหมายมาจูบเข้าที่ลำคอของจอสเบาๆ

          “ก็เมื่อก่อนกูคิดว่ากูรักมึง” จอสขนลุกเกรียวจากสัมผัสที่ต้นคอ

          “มึงไม่ได้แค่คิด มึงรักกูจริงๆ” มีนจูบซ้ำที่เดิมอีกครั้งก่อนจะลามมาที่ใบหูของอีกฝ่าย

          “ไม่ กับมึงมันแค่ความหลง มึงทำกูจนใจแตกเสียผู้เสียคน ตอนนี้กูรู้แล้วว่าความรักจริงๆ มันเป็นยังไง” จอสไม่ยอมให้อีกฝ่ายชักนำความคิดเหมือนในอดีต

          “โตแต่ตัวนะมึงน่ะ” มีนดูไม่สบอารมณ์กับการที่จอสแข็งขืน “เชื่ออะไรเป็นเด็กไร้เดียงสาไปได้”

          “การที่กูไม่ได้กร้านโลกจนหัวใจหยาบกระด้างแบบมึง ไม่ได้แปลว่ากูไร้เดียงสานะ” จอสแก้ไขความคิดอีกฝ่ายเสียใหม่ “มึงก็น่าจะรู้ดีที่สุด ว่าถ้าจะมีคำไหนที่ความหมายห่างไกลตัวกูแบบสุดๆ ไร้เดียงสาคือหนึ่งในนั้น”

          “พิสูจน์ให้กูเห็นสิ” มีนเลื่อนมือลงมาและตะปบเข้าที่เป้ากางเกงของจอส “ทำให้กูเชื่อว่ามึงไม่ไร้เดียงสา”

          “ก็ได้” จอสเหนื่อยจะเล่นเกมสงครามประสาทต่อ “คุยกับมึงนานๆ กูจะหมดอารมณ์ซะก่อน”

          มีนยื่นใบหน้าเข้ามาอีกครั้งราวกับเชื้อเชิญ จอสประทับริมฝีปากของตนลงไปนาบประกบกับอีกฝ่ายโดยไม่รีรอเพื่อลบคำสบประมาทที่ว่าตนเป็นเด็กไร้เดียงสา เขาออกแรงบดขยี้กลีบบางสวยของริมฝีปากคู่นั้นอย่างไม่ปราณีก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปในช่องปากอันร้อนผ่าวของมีนซึ่งเจ้าตัวก็เผยออ้าออกรับอย่างยินดีราวกับกระหายจะลิ้มรสชาติของมัน มือทั้งสองของจอสเปะป่ายลูบไล้ผิวเนื้อกายเนียนละเอียดนั้นไปทั่วก่อนจะสอดล้วงผ่านขอบเอวของกางเกงเข้าไปฟอนเฟ้นหนั่นเนื้อนุ่มมือที่บั้นท้าย

          แม้ริมฝีปากจะถูกประกบปิดแต่ก็ยังได้ยินเสียงครางของมีนที่เล็ดลอดออกมาจากในลำคอซึ่งบ่งบอกถึงความพอใจในสัมผัสที่ได้รับ มีนผละออกจากริมฝีปากของจอสเพื่อพักหายใจก่อนจะโผซบกลับลงไปอีกครั้งยังบริเวณข้างศรีษะของอีกฝ่าย ปลายลิ้นฉ่ำร้อนแลบออกมาและไล้เลียไปตามซอกมุมของใบหู จอสขนลุกเกรียวทั่วร่างเมื่อโดนเล่นงานเข้ายังจุดที่สุดแสนจะอ่อนไหว ขณะที่ช่วงเอวก็รู้สึกได้ว่าเสื้อที่กำลังสวมใส่อยู่ได้ถูกเลิกถอดขึ้นมาอย่างช้าๆ จนกระทั่งมาสุดที่ใต้วงแขน จอสพักมือที่คลึงเคล้นบั้นท้ายของมีนเอาไว้แล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อเปิดทางให้เสื้อหลุดออกไปโดยง่าย

          มีนละความสนใจจากใบหูและลำคอมาลิ้มรสผิวกายบนแผ่นอกของจอส เด็กหนุ่มลากปลายลิ้นร้อนฉ่านั้นไปรอบติ่งเนื้อยอดอกของอีกฝ่ายสลับกับการครอบริมฝีปากลงไปดูดดุนมันจนเม็ดเล็กนั้นแข็งเป็นไตขึ้นมาเช่นเดียวกับบางสิ่งที่แม้ตอนนี้ตอนนี้จะยังถูกปิดซ่อนอยู่เบื้องใต้เนื้อผ้าของกางเกง แต่ก็เริ่มจะสำแดงอาการตื่นตัวตอบสนองกับสิ่งเร้าจนคับแน่นบริเวณเป้าไปหมด ความรู้สึกอึดอัดเริ่มทวีขึ้นจนกลายเป็นปวด จอสขยับมือลงมาจะปลดกระดุมกางเกงยีนที่ใส่อยู่ออกเพื่อปลดปล่อยเจ้าสิ่งที่อยู่ด้านในให้เป็นอิสระแต่มือของมีนก็เข้ามาจับห้ามเอาไว้

          “อยู่เฉยๆ …” มีนบอกกับจอสขณะที่มือไล้ลูบสัมผัสพลังแห่งวัยหนุ่มของอีกฝ่ายที่อัดแน่นอยู่ในเป้ากางเกง “กูถอดให้ดีกว่า… กูชอบเป็นคนแกะของขวัญเอง มันตื่นเต้นดี…”

          “เอาเลย มากกว่านี้มึงก็เคยทำมาแล้ว” จอสไม่ขัดศรัทธา

          มีนย่อตัวลงจนใบหน้าลดระดับเสมอกับเป้ากางเกงของอีกฝ่ายก่อนจะบรรจงแกะกระดุมกางเกงยีนออกทีละเม็ด จนเมื่อหลุดออกหมดจึงค่อยแง้มผ้าให้เปิดออกและจูบเบาๆ ลงไปยังท่อนเนื้อที่คับแน่นอุดอู้อยู่ใต้กางเกงชั้นใน ปลายลิ้นจรดลงที่ปริเวณปลายของมันแล้วเลียตวัดผ่านเนื้อผ้าลงไป จอสสะดุ้งเฮือกเกร็งตัวคล้ายจะขยับหนีแต่มีนก็จับสะโพกตรึงรั้งเอาไว้ไม่ให้ไปไหนได้พ้น ขอบเอวยางยืดของกางเกงในถูกดึงถลกให้ร่นลงจนในที่สุดเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างในก็หลุดพ้นที่คุมขังออกมาสู่โลกภายนอก แต่อิสรภาพนั้นก็มีอายุไม่ยืนยาวเท่าไหร่เมื่อไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นมันก็ถูกกลืนกินผ่านริมฝีปากของมีนเข้าไปจากปลายจนสุดถึงต้นตอ

          จังหวะแห่งลิ้นและริมฝีปากที่ดูดดุนถี่กระชั้นเล่นงานจอสจนอยู่หมัด มือทั้งสองข้างเผลอขยุ้มเส้นผมของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนน่ากลัวจะหลุดติดมือออกมา ร่างกายเกร็งสั่นสะท้านทุกครั้งที่ริมฝีปากแสนร้ายกาจของคู่ขารูดโลมเลียไปตามท่อนลำซึ่งบัดนี้ชูผงาดแข็งขันพร้อมแล้วที่จะทำหน้าที่ของมัน ทว่าในตอนนั้นเองสัมผัสของอ้อมแขนหนาใหญ่ซึ่งโอบคล้องเข้ามาจากทางด้านหลังก่อนจะจรดปลายนิ้วลงเขี่ยหยอกเย้าบนยอดอกก็ทำให้จอสสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกครา ขาเริ่มสั่นจนหมดแรงจะยืนเมื่อถูกปลุกเร้าจากสองทางในเวลาเดียวกัน ทว่าแม้สติจะเริ่มหลุดลอยจากความเคลิบเคลิ้มแต่จอสก็ยังพอฉุกคิดขึ้นมาได้ทันว่าหากมือของมีนยังคงรั้งสะโพกเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมคลาย แล้วคู่นี้เป็นมือของใครกันที่กำลังเล้าโลมร่างกายท่อนบนของตนอยู่

          “อะไรวะเนี่ย!” จอสดิ้นรนสะบัดตัวจนหลุดจากการเกาะกุมมาได้และรีบหันไปประจันหน้ากับบุคคลที่สามผู้นั้น "มึงใครวะเนี่ย!?"

          “เฮ้ย ใจเย็น” มีนยันตัวลุกขึ้นยืน “มึงจะโวยวายทำไมวะ?”

          “ไม่โวยวายได้ไง ก็มึงพาคนแปลกหน้ามาอ่ะ” จอสย้อนถามกลับไปขณะที่มือสาละวนเก็บน้องชายตัวเองเข้ากางเกงตามเดิม

          “เนี่ยอ่ะเหรอ?” มีนชี้ไปที่หนุ่มตาน้ำข้าวหุ่นล่ำตัวสูงเกือบสองเมตรที่ยืนทำหน้าตกใจอยู่ “ไม่ใช่คนแปลกหน้า นี่อังเดร เพื่อนกูเอง”

          “เพื่อนมึงไม่ใช่เพื่อนกู!” จอสโวยลั่นบ้านก่อนจะหยิบเสื้อขึ้นมาสวม “มึงคิดอะไรของมึง? บ้าไปแล้วเหรอ?”

          “ก็นี่ไงเซอร์ไพรส์” มีนทำเหมือนเป็นเรื่องสนุก “พอมึงโทรมา กูก็มานั่งคิดดู ก็มีแบบนี้นี่แหละที่กูกับมึงยังไม่เคยลอง”

          “มึงไปลองกับคนอื่นเถอะ” จอสไม่เอาด้วย

          จอสหุนหันออกมาจากบ้าน มีนวิ่งตามออกมาทั้งที่ยังไม่สวมเสื้อและรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะออกไปถึงถนนแต่ก็โดนผลักออกจนลงไปคลุกฝุ่นอยู่บนพื้น จอสโกรธจนหน้ามืดตามัวไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น รู้สึกเหมือนโดนหักหลังความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยการหลอกมาเป็นของเล่นให้คนอื่น แต่ก็ไม่อาจจะโทษว่าเป็นความผิดของมีนเพียงผู้เดียวได้ ในเมื่อตนก็เป็นผู้ที่เต็มใจมาที่นี่เองเพียงเพื่ออยากจะใช้มีนเป็นเครื่องมือในการปั่นหัววินทร์

          “ไอ้ห่า...” มีนพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ทรุดลงไปอีกรอบ “ขากูเจ็บ… มึงทำข้อเท้ากูพลิก!”

          “เออ เจ็บสิดี!” จอสไม่สงสาร “มึงเจ็บตัว กูเจ็บใจ ถือว่าแลกกันไปแล้วกัน!”

          “มึงจะมาดัดจริตเจ็บใจอะไร เอากันมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ทำตัวเหมือนเด็กยังไม่เคยเสียตัว!” มีนเถียงกลับมา “ก็แค่สนุกกัน ไม่ใช่ว่ากูหลอกมึงมาขายให้คนอื่นที่ไหน”

          “แบบนี้กูไม่สนุก กูไม่ชอบ” จอสชี้หน้ามีนให้หยุดพูดและพอเสียที “ถึงกูจะไม่ใช่คนดี แต่ก็มีเรื่องที่ไม่ว่ายังไงกูก็จะไม่ทำเด็ดขาดอยู่”

          “นี่ไม่ใช่มึงเลยอ่ะ” มีนส่ายหน้าผิดหวัง “จอสที่กูรู้จักไม่ใช่พวกน่าเบื่อแบบนี้”

          “บางทีมึงอาจจะไม่เคยรู้จักกูจริงๆ เลยก็ได้ไอ้มีน” จอสมองหน้าอีกฝ่าย ความรู้สึกบางอย่างในอดีตเริ่มปะทุขึ้นมาเหมือนสะเก็ดไฟจากเปลวเพลิง “ส่วนกูตอนนี้ กูรู้จักมึงดีเลยล่ะ และมันก็ทำให้กูดีใจมากที่ตอนนี้เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว”

          “งั้นมึงก็ไปให้พ้นๆ หน้ากูเลย!” มีนวักดินบนพื้นขึ้นมาซัดใส่จอส

          “กูก็จะไปอยู่นี่ไง” จอสเตะฝุ่นใส่อีกฝ่ายกลับไป

          “ที่ผ่านมากูคิดมาตลอดว่าคงมีแต่มึงคนเดียวที่อยู่กับกูได้ เพราะเรามันเหมือนกัน” มีนก้มหน้าพูด น้ำเสียงแม้จะยังกร้าวอยู่แต่ก็ฟังรู้ว่ามีความอ่อนแอแฝงในนั้น “ตอนนี้ก็รู้แล้ว คนแบบกูมันก็แค่นี้แหละ ขนาดคนที่ไม่มีใครต้องการแบบมึง ยังไม่ต้องการกูเลย…”

          จอสมีคำพูดเจ็บแสบอยู่มากมายที่จะใช้ตอกหน้าอีกฝ่ายกลับไป แต่เมื่อเห็นบางอย่างในแววตาคู่นั้นของมีน เขาก็ตัดสินใจกลืนมันกลับลงคอไปแล้วเพียงแค่เดินจากมาเฉยๆ

          คนที่ไม่มีใครต้องการ เข้าใจคิดนะ… จอสอดนึกชมอีกฝ่ายไม่ได้ที่สามารถนิยามประโยคสั้นๆ แต่อธิบายตัวตนของเขาได้อย่างครบถ้วน ถึงแม้จะกำลังโกรธจัดที่ถูกหลอกแต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ทำให้จอสเกิดความกังวลขึ้นในใจ เขาไม่อาจรู้ได้ว่าตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ไม่ได้เจอกันมีนได้พบเจอกับเรื่องอะไรมาบ้าง แต่แววตาที่เขาเห็นเมื่อครู่นั้นสะท้อนเงาแห่งความเจ็บปวดออกมา เป็นความเจ็บแบบที่เจ้าตัวกำลังชาชินและคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จอสมั่นใจว่าดูไม่ผิดเพราะรู้จักและคุ้นเคยกับแววตาเช่นนี้ดีจากการเห็นมันบนใบหน้าตัวเองในกระจกเงามาเกือบทั้งชีวิต
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 3 [25-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 29-05-2018 17:25:15
          เมื่อเป้าหมายแห่งความโกรธถูกหันเหออกจากวินทร์มาเป็นมีน จอสก็พบว่าอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ของตนนั้นได้กลับมาสงบเข้าที่ ความขุ่นเคืองยังพอหลงเหลือตกค้างอยู่แต่ไม่ได้มากจนคิดจะทำอะไรโง่ๆ เพื่อประชดอีกฝ่ายต่อไปแล้ว มันมักเป็นเช่นนี้เสมอถ้าเป็นเรื่องของการเมินเฉยหรือตีตัวออกห่าง ความโกรธจากสาเหตุอื่นๆ ไม่เคยเลยที่จะทำให้อาการของมันกำเริบ แต่หากเป็นเรื่องของความหึงหวงเช่นเมื่อครั้งที่เกิดขึ้นกับภู หรือความรู้สึกว่าใครบางคนกำลังหมดความสนใจใส่ใจในตัวของเขา มันก็จะระเบิดขึ้นมาอย่างเหนือการควบคุมของสติสัมปชัญญะ

          เหตุผลที่มันเป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของจอสก็คือกลัวจะต้องกลับไปอยู่โดดเดี่ยวอีกครั้ง เขาเคยผ่านชีวิตแบบนั้นมาแล้วอย่างสะบักสะบอมและเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งร่างกายและจิตใจ รู้ซึ้งถึงความน่าสะพรึงกลัวของปีศาจที่ชื่อว่าความเหงาซึ่งคอยหลอกหลอนเขาอยู่ทุกค่ำคืนยามที่ต้องข่มตาหลับลงตามลำพัง ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนที่จอสรู้สึกว่าสามารถเติมเต็มช่องว่างในหัวใจได้ผ่านเข้ามาในชีวิต เขาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ยอมให้คนๆ นั้นจากไปไหน แม้นั่นจะหมายถึงการบังคับข่มขู่ก็ตามที

          งานในวงการเป็นสิ่งที่ตอบสนองความใคร่แสวงหาความผูกพันธ์ของจอสได้ในระดับหนึ่ง เมื่อชื่อเสียงนำพามาซึ่งความสนใจที่ผู้คนรอบข้างพากันเทมาให้กับเขาอย่างล้นหลาม เขามีแฟนคลับที่ไม่ว่าเขาจะกระดิกตัวทำอะไรก็พร้อมจะสนับสนุน หรือเพียงแค่เปลี่ยนสเตตัสในโซเชียลบอกว่ากำลังป่วย ทุกคนก็เป็นห่วงราวกับตัวเองเป็นพ่อแม่และเขาคือลูกแท้ๆ ที่เบ่งออกมาเอง บางคนถึงกับอาสาจะพาไปหาหมอและออกเงินค่ารักษาพยาบาลให้ด้วยซ้ำ แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกลายเป็นดาบสองคม เพราะเมื่อจิตใจเคยชินกับการถูกพะเน้าพะนอเอาใจเหมือนเป็นที่หนึ่งเหนือใครอยู่เสมอ หากวันหนึ่งความสนใจจากผู้คนเหล่านั้นจางหายไปหรือถูกถ่ายเทไปให้กับคนอื่น เด็กหนุ่มจะรู้สึกเหมือนถูกหักหลังจนเกิดภาวะล่มสลายทางอารมณ์ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับเรื่องของวินทร์ในวันนี้

          ป่านนี้จะกลับมาหรือยังนะ แล้วจะพาไอ้เด็กนั่นกลับมาด้วยไหม… จอสนึกสงสัยด้วยใจที่เป็นกังวล แม้อารมณ์โดยรวมจะสงบลงแล้วแต่เขาก็ยังไม่อยากจะกลับไปที่รีสอร์ทในตอนนี้ ด้วยกลัวว่าหากพบเจอกับวินทร์หรือที่ร้ายกว่านั้นคือเจอวินทร์ซึ่งอยู่กับเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้น อารมณ์ที่เพิ่งสงบลงไปก็คงไม่แคล้วจะพลุ่งพล่านเดือดดาลขึ้นมาอีก จอสไม่เคยชอบเวลาที่ตนเป็นแบบนั้น เพราะเมื่อสติสัมปชัญญะหวนคืนกลับมาอีกครั้งเด็กหนุ่มก็จะต้องมานั่งเสียใจกับร่องรอยความเสียหายที่ตนทำไว้ ไม่ว่าจะกับตนเองหรือคนรอบข้าง

          เมื่อกลับมาถึงบริเวณด้านหน้าทางเข้าของรีสอร์ท จอสลอบมองเข้าไปดูลาดเลาจนมั่นใจแล้วว่าวินทร์ไม่อยู่แถวนั้นจึงค่อยเดินเข้าใจตั้งใจจะเข้าไปเก็บข้าวของแล้วไปหาที่พักใหม่ ระหว่างทางกลับมาเมื่อครู่เขาลองสอบถามรีสอร์ทอีกแห่งหนึ่งดูแล้วและพบว่ายังมีห้องพักว่างอยู่จากแขกที่เพิ่งออกไปเมื่อช่วงเที่ยง แม้สภาพโดยรวมของห้องพักจะไม่ได้ดูดีเท่าที่นี่แต่ก็คงดีต่อสภาพจิตใจและอารมณ์มากกว่า

          เมื่อกลับเข้ามาในห้อง จอสจัดการเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า ครั้งนี้เขาไม่ได้รีบร้อนมากเหมือนเมื่อคืนก่อนเพราะสังเกตเห็นจากตอนที่เดินเข้ามาแล้วว่าในสำนักงานมีเพียงพนักงานต้อนรับหญิงที่นั่งจัดการเอกสารต่างๆ อยู่ตามลำพังบ่งบอกให้รู้ว่าวินทร์ยังคงกลับมาไม่ถึงเกาะ จอสรูดซิปปิดกระเป๋าเมื่อจัดเก็บทุกอย่างลงไปหมดแล้ว เด็กหนุ่มหยิบเงินสดจำนวนหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าสตางค์ก่อนจะวางไว้ที่หัวเตียงพร้อมกับกระดาษซึ่งเขียนบอกให้วินทร์รู้ว่านี่คือเงินค่าที่พักสำหรับตลอดช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่นี่ ความรู้สึกหดหู่เกิดขึ้นในใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงว่าการจากลากำลังจะมาถึงโดยไม่มีโอกาสได้ร่ำลากันให้เป็นเรื่องเป็นราว จริงอยู่ที่ถึงแม้จะโดนวินทร์จับเปลี่ยนสถานะบนเตียงแถมยังถูกล้อเลียนให้เจ็บใจ แต่อีกมุมหนึ่งจอสก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความปรารถนาดีต่างๆ มากมายที่ชายผู้นี้กึ่งๆ ยัดเยียดให้ มันมีความหมายจริงๆ สำหรับคนที่ป่วยทางใจอย่างเขา

          ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ ขอโทษด้วยที่ทำตัวแย่ๆ ใส่ จอสเขียนลงในกระดาษเตรียมจะนำไปแปะไว้ที่หน้าประตูห้องพัก ทว่าเมื่อเปิดประตูออกไปก็ต้องรีบขยำกระดาษแผ่นนั้นแล้วโยนทิ้งไปข้างหลังเมื่อพบว่าวินทร์ยืนดักอยู่ข้างนอก ชายหนุ่มยังคงหายใจกระหืดกระหอบจากการที่รีบวิ่งขึ้นจากท่าจอดเรือบริเวณชายหาดมายังที่นี่ และยิ่งเมื่อเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าที่อยู่ในมือของจอสอาการร้อนรนบนใบหน้าก็ยิ่งแสดงออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น

          “จะไปไหนเหรอครับ?” วินทร์ชี้ไปที่กระเป๋าในมือจอส

          “อย่ายุ่ง…” ถึงแม้เมื่อครู่นี้ในใจจะเพิ่งอาลัยอาวรณ์อีกฝ่ายไป แต่เมื่อมาเจอกันต่อหน้า อาการปากแข็งก็กำเริบขึ้นมาอีกจนได้

          “มันดึกแล้ว นายไม่คุ้นพื้นที่ ออกไปอันตรายนะครับ” วินทร์ไม่พูดเปล่า พยายามแย่งกระเป๋ามาจากมือของจอส

          “ไปห่วงคนที่ควรห่วงเถอะ” จอสพูดออกไปโดยไม่ทันคิดว่ามันฟังดูเหมือนการหึงหวงอีกฝ่ายไม่มีผิด

          “โกรธอะไรอีก? เห็นอารมณ์เสียตั้งแต่ตอนที่พี่เข้ามาหาเมื่อเช้าแล้ว” วินทร์ยังไม่รู้ว่าตนทำอะไรกับความรู้สึกของจอสเอาไว้

          “ไม่ได้โกรธ สบายใจหรือยัง?” จอสโกหกให้อีกฝ่ายเลิกเซ้าซี้ “แล้วทีหลังจะไปไหนมาไหนกับใครก็ไม่ต้องมาบอกผมก็ได้ เราไม่ได้เป็นอะไรกัน”

          “พูดถึงนูเหรอ?” วินทร์ถามกลับมาพร้อมกับชื่อของใครบางคนซึ่งจอสคาดว่าน่าจะเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น

          “นูไหนอีกล่ะ ผมไม่รู้จักบรรดาผู้คนในชีวิตของพี่หรอกนะ” จอสขี้เกียจสนใจให้อารมณ์เดือดขึ้นมาอีกรอบ

          “ก็เด็กที่นายเห็นเมื่อเช้าไง นั่นดนู น้องชายพี่เอง ปกติมันเรียนที่กรุงเทพ พอดีมันมาเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนหลังสอบเสร็จก็เลยแวะมาเอาเงินค่าเรียนพิเศษด้วยเลย พี่ก็เลยขึ้นฝั่งไปธนาคารกับมัน เพราะบัญชีทุนการศึกษาพี่ไม่ได้ทำเอทีเอ็มไว้ ต้องถอนเอาอย่างเดียว แล้วไหนๆ ก็มาแล้วก็เลยกินข้าวดูหนังกันบ้าง พี่น้องนานๆ เจอกันที” วินทร์แก้ความเข้าใจผิดให้จอส “ถ้าไม่เชื่อเอาเบอร์จากพี่แล้วโทรไปถามเค้าเองเลยก็ได้ ทีหลังถามก่อนสิแล้วค่อยหึง”

          “ใครหึงฟะ!? ” จอสโดนจี้ใจดำเข้าพอดี

          “เมื่อเช้าขอโทษที่ต้องทำเป็นไม่สนใจ นายก็ต้องเข้าใจนะ ถึงจะเป็นพี่น้องมันก็ยังมีบางเรื่องที่บอกกันไม่ได้” วินทร์พยายามอธิบาย “นี่พี่ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ก็รีบกลับมาที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะครับ”

          “โว๊ย! ไม่เกี่ยวกันเลย!” ใบหน้าของจอสร้อนฉ่า อับอายที่ถูกอีกฝ่ายมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง “ก็บอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วไงว่าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว พี่ก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าจะไปก็ไม่รั้ง”

          “ก็ได้ ไม่รั้งก็ได้ งั้นก็จ่ายค่าพักมาครับ” วินทร์แบมือยื่นไปหาจอส ใบหน้าเริ่มยิ้มเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายหายเข้าใจผิดและไม่คิดจะหนีไปแล้ว

          “โน่น บนหัวเตียง วางไว้ให้แล้ว” จอสชี้ไปยังเงินที่วางไว้อยู่บนหัวเตียง

          “โหย… แค่นั้นไม่พอหรอกครับ” วินทร์มองแล้วส่ายหน้า

          “นั่นก็ห้าพันแล้ว!” จอสโวยลั่น “แล้วจะเอาเท่าไหร่ ว่ามา จะได้จ่ายให้จบๆ”

          “สองล้าน” วินทร์แจ้งราคา

          “เรื่องนี้ต้องถึงสคบ. แน่” จอสรู้ดีว่าตนถูกชาร์จราคาเพิ่มจากปกติหลายเท่าอย่างแน่นอน “จะบ้าเหรอสองล้าน โรงแรมห้าดาวยังไม่แพงเท่านี้เลย”

          “ไม่จ่ายก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นครับ” วินทร์ใช้อำนาจความเป็นเจ้าของสถานที่ “ถ้าไม่มีเงินจ่าย ก็ต้องอยู่ทำงานชดใช้จนกว่าจะปลดหนี้ได้”

          “แจ้งตำรวจเลยง่ายกว่า” จอสเสนออีกหนทางหนึ่งให้

          “ก็ได้ คดีแบบนี้โทษไม่ได้หนักอะไร แต่คู่กรณีเป็นดารา ยังไงก็คงได้ออกสื่อแน่ๆ” วินทร์เริ่มคำนวนส่วนได้ส่วนเสียเพื่อนำผลลัพท์มาข่มขวัญจอส “งั้นพี่นั่งเขียนร่างเตรียมเอาไว้เลยดีกว่า ว่าจะเล่าอะไรให้นักข่าวเค้าฟังบ้าง”

          “หยุดเลยนะเว้ย!” จอสขู่ฟ่อ

          “ให้โทรเรียกตำรวจมาเลยไหม?” วินทร์ไม่เลิก

          “ไม่ต้อง!” จอสวางกระเป๋าลง

          “ถ้างั้นตกลงว่าจะจ่ายเหรอครับ?” วินทร์ยังเล่นสนุกกับจอสต่อ เขาแกล้งเดินเข้ามาประชิดตัวเด็กหนุ่มและคว้าเข้าที่บั้นท้าย “ไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นเงินก็ได้นะครับ จ่ายเป็นอย่างอื่นมา เดี๋ยวค่อยมาประเมินราคากันว่าจะหักลบหนี้ได้เท่าไหร่”

          “เหรอ งั้นที่จ่ายไปครั้งก่อน หักลบไปได้เท่าไหร่แล้วล่ะ?” จอสดึงมืออีกฝ่ายออก “น่าจะสักล้านห้าได้แล้วมั้ง”

          “อืม ถ้าจะให้ประเมินจริงๆ ก็น่าจะราวๆ หมื่นนึง” วินทร์เผยราคาต่ำกว่าที่จอสประเมินไว้เป็นร้อยเท่า

          “มันจะดูถูกกันเกินไปแล้วนะเว้ย!” จอสโวยวายลั่นกับราคาค่าตัวของตนที่โดนกดลงจนถูกกว่าตอนถ่ายปกนิตยสารสมัยเข้าวงการใหม่ๆ เสียอีก

          “หมื่นนึงนี่รวมค่าเปิดซิงไปแล้วด้วยนะ” วินทร์ขยี้ซ้ำไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ “เพราะงั้นถ้าจ่ายอีกงวดหน้า ก็จะหักค่าเปิดซิงออกไป ก็คงเหลือรอบละห้าพัน”

          “รอบละห้าพัน ก็ต้องสี่ร้อยครั้งกว่าจะสองล้าน” จอสไม่เข้าใจว่าตนจะคำนวณไปทำไม แต่ก็ทำไปแล้ว

          “ถ้าจ่ายวันละรอบ ปีกว่าๆ ก็หมดหนี้แล้วครับ” วินทร์สรุปให้ “ถ้าวันไหนขยัน อยากจ่ายหลายรอบ หนี้ก็หมดเร็วขึ้นนะ”

          “แต่ถ้าเจ้าหนี้ตาย หนี้ก็สูญใช่ไหม?” จอสค้นพบหนทางปลดหนี้ที่ง่ายกว่ามาก

          “เจ้าหนี้คนนี้ไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ” วินทร์ก้มหน้ามาข้างหูของจอสก่อนจะงับเบาๆ ที่ติ่งหูแล้วกระซิบ “เพราะเพิ่งจะกินเด็กสดๆ ซิงๆ มาคนนึง เห็นเค้าว่ากันว่า กินเด็กแล้วอายุจะยืน”

          จอสกระทุ้งศอกใส่หน้าท้องของวินทร์เต็มแรงแล้วหยิบกระเป๋ากลับเข้าห้องพักไปทิ้งอีกฝ่ายที่กำลังจุกจนตัวงอเป็นกุ้งให้อยู่ข้างนอก วินทร์แม้จะจุกเจ็บจนเห็นดาวระยิบระยับแต่ก็ยังอารมณ์ดีจนยิ้มไม่หุบจากการที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายหึงหวงตนจนเก็บอาการไม่อยู่

          เห็นแสบๆ ห้าวๆ ไม่คิดว่าจะน่ารักได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย… วินทร์นึกเอ็นดูจอสขึ้นมา จากเริ่มแรกที่เป็นแค่ความชื่นชอบทางรูปร่างหน้าตา แต่เมื่ออีกฝ่ายเริ่มเผยตัวตนความเป็นเด็กน้อยที่ซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกแบดบอยออกมาทีละน้อย ความรู้สึกที่มีก็เริ่มพัฒนาขึ้นเป็นความผูกพัน จริงอยู่ที่ถึงแม้จุดเริ่มต้นของมันจะเป็นแค่เรื่องฉาบฉวยและจนถึงตอนนี้ก็ยังอาจจะเป็นเช่นนั้นอยู่ แต่ตราบใดที่จอสยังอยู่ที่นี่ไม่หนีไปไหน วินทร์มั่นใจว่าความสัมพันธ์จะต้องพัฒนาไปเป็นอะไรที่ยั่งยืนกว่านี้ได้อย่างแน่นอน


To be continued...
[/b]
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 4 [29-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-05-2018 18:41:29
นังวินทร์ หน้าเลือด ต้องฟ้อง สคบ.  :katai1:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 4 [29-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 29-05-2018 18:54:38
ติดตามจ้า  จอสน่ารัก
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 4 [29-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-05-2018 19:40:36
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ ๆๆๆๆๆ   แพ้ทางตลอดนะนุ้งจอส
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 4 [29-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-05-2018 21:27:30
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 4 [29-MAY-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 02-06-2018 08:37:53
กลับมาแล้วค่าาาาา
ตามอ่านครบ4ตอนแล้ว
เรืีองนี้ทำให้เราเข้าใจและเห็นใจจอสมากขึ้น
ขอใครสักคนที่เข้าใจจอสจริงๆค่ะ...
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 5 [2-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 02-06-2018 09:49:05
Episode 5

          “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?”

          จอสในสภาพเพิ่งตื่นนอนมาหมาดๆ เพราะเสียงโครมครามจากภายนอกที่รบกวนการหลับร้องถามขณะที่ตากวาดมองไปยังอุปกรณ์ทำสวนนานาชนิดที่วินทร์นำมากองไว้ด้านหน้าห้องพัก มีทั้งจอบ เสียม พลั่วและอื่นๆ อีกมากมายที่เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต ในขณะที่วินทร์ก็ยังคงเข็นพวกถุงใส่ดินและปุ๋ยเข้ามาเพิ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มไม่สามารถมองอีกฝ่ายซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพเหงื่อชุ่มร่างจนเสื้อเปียกแนบติดเนื้อในได้เต็มตา จะด้วยเพราะทำให้หวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนอันน่าอัปยศนั้นหรือเพราะภาพที่เห็นทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำแถมยังรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างก็ตามที

          “งานของนายไงครับ” วินทร์ตอบพร้อมกับยกดินล๊อตสุดท้ายออกจากรถเข็น เขาขกแขนข้างหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากออกก่อนจะดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดตามลำคอ “ก็อย่างที่บอกเอาไว้ ถ้าไม่จ่ายเป็นเงิน ก็ต้องจ่ายเป็นแรงงาน”

          “นี่ยังตลกไม่เลิกใช่ไหมเรื่องสองล้านน่ะ” จอสปวดหัวกับสิ่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้ แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้มีเจตนายั่วยุทางกามารมณ์ แต่ภาพของกล้ามเนื้อหน้าท้องชุ่มเหงื่อจนเป็นเงาวาวซึ่งเผยออกมายามดึงชายเสื้อขึ้นนั้นก็ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับหัวใจเต้นผิดจังหวะ “ไหนวันนั้นบอกว่าให้อยู่ฟรี เล่นตุกติกนี่หว่า”

          “ก็ให้อยู่ฟรีแล้วยังคิดหนี คงต้องมีอะไรผูกมัดกันบ้างแล้วล่ะ” วินทร์นั่งลงพักเหนื่อยบนกองถุงใส่ดิน

          “แล้วพี่มีสิทธิ์อะไรมาผูกมัดผม” จอสร้องขอเหตุผล “ผมจะอยู่ต่อหรือจะไปก็เรื่องของผมสิ”

          “สิทธิ์ในความเป็นสามีมั้งครับ” วินทร์งัดเอาคำซึ่งเป็นดั่งหมัดฮุกออกมาใช้

          “มีอะไรกันแค่คืนเดียวอย่าเพิ่งสำคัญตัวผิดเลย” จอสทำเป็นไม่สะทกสะท้านกับคำนั้นเพื่อปกปิดความอาย “ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจจะมีแฟนแล้ว”

          “ถ้ามีแล้ว เค้าอยู่ไหนล่ะครับ?” วินทร์ถามหา “ทำไมปล่อยแฟนมาเที่ยวคนเดียว “

          “เค้าไม่ว่าง ทำงานอยู่” จอสโกหกต่อให้หมดม้วน

          “ไม่มีแฟนจริงๆ ด้วย” วินทร์จับไต๋ได้ทันที

          “ไปให้พ้นๆ เลยปะ” จอสหงุดหงิดที่ตื่นมาก็ต้องเจอเรื่องให้เสียหน้าแต่เช้า

          “จะไปได้ยังไง บอกแล้ววันนี้นายมีงานต้องทำ” วินทร์กลับเข้าประเด็น “เดี๋ยวเอาพวกต้นไม้ที่เพิ่งซื้อมาไปลงดินกันครับ”

          “แล้วทำไมผมต้องทำตามที่พี่สั่งด้วยไม่ทราบ?” จอสไม่ยอม

          “ถ้าไม่นับเรื่องแทนค่าเช่า ก็ถือซะว่าออกกำลังกาย มีอะไรทำบ้างจะได้ไม่เบื่อไงครับ” วินทร์ให้เหตุผล

          จอสไม่เถียงอะไรต่อเพราะเหตุผลที่อีกฝ่ายให้มาก็ฟังดูเข้าทีอยู่ การใช้ชีวิตบนเกาะถ้าไม่ได้มาท่องเที่ยวโดยตรงเหมือนพวกชาวต่างชาติก็นับว่าเป็นชีวิตที่ขาดสีสันมากพอสมควรอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีอะไรที่พอจะทำเพื่อฆ่าเวลาในแต่ละวันไปได้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดี อีกทั้งร่างกายก็ยังโหยหาการได้ออกกำลังกายตามประสาคนที่เคยทำเป็นมาจนเป็นกิจวัตร เมื่อหยุดไปไม่ได้ทำก็มักจะเกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

          หลังจากอาบน้ำล้างหน้าแล้ว จอสตามวินทร์ลงไปยังสวนหย่อมด้านล่างก่อนจะสวมถุงมือกับรองเท้ายางที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้เพื่อทำการนำบรรดาต้นไม้หลากหลายชนิดที่วินทร์สั่งมาจากในเมืองลงปลูกในพื้นดินของสวน แรกเริ่มเด็กหนุ่มทำลองผิดลองถูกด้วยตัวเองอย่างทุลักทุเลจนวินทร์เห็นว่าหากปล่อยให้ทำเองต่อไปนอกจากต้นใหม่จะไม่ได้ขึ้นแล้วต้นเก่าก็อาจจะตายด้วยเขาจึงรีบมาดูแลกำกับทุกขั้นตอน เมื่อได้มืออาชีพมาสอนผลงานก็ดีขึ้นมากจนสามารถทำเองได้อย่างคล่องแคล่วหลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่ต้น

          “ดีครับ เก่งมาก” วินทร์เอ่ยปากชม “หัวไวเหมือนกันนะเนี่ย สอนแป้ปเดียวก็ทำเป็นแล้ว”

          “คนอย่างจอสน่ะ ทำอะไรก็ออกมาดีหมดแหละ” จอสยกหางตัวเองแบบไม่เสียเวลาถ่อมตัว

          “จริงๆ ไม่เถียง” วินทร์พยักหน้าเออออห่อหมก “ขนาดคืนก่อนนู้น เพิ่งเคยครั้งแรกยังทำออกมาได้ดีเลย”

          “ไม่ทำแม่งละ! ” จอสโยนเสียมในมือทิ้งด้วยความโมโห

          “อย่างอนสิ” วินทร์รั้งตัวไว้ก่อนที่จอสจะทันได้ลุกขึ้น

          “ก็ชอบล้อเรื่องนี้ทำไมล่ะ” จอสตัดสินใจพูดตรงๆ ถึงความไม่พอใจที่มีอยู่ “พี่ได้ผมแล้ว โอเค พี่ชนะผมแพ้ ผมยอมรับ เข้าใจแล้ว พี่ก็สะใจอยู่เงียบๆ ก็ได้มั้ง ไม่ต้องคอยเอามาพูดให้ผมเจ็บใจหรอก”

          “ไม่ใช่อย่างนั้น พี่ไม่ได้รู้สึกสะใจอะไรกับเรื่องนี้เลยนะ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชนะหรือนายแพ้เลยด้วย” “วินทร์อธิบาย “ขอโทษนะ ที่ทำให้รู้สึกไม่ดี พี่ก็แค่… ถ้าไม่แกล้งแหย่นายด้วยเรื่องนี้ก็ไม่รู้จะคุยกับนายเรื่องอะไรแล้ว…”

          “ก็มีเรื่องอื่นให้คุยอีกตั้งเยอะแยะ” จอสถอนหายใจออกมาเมื่อเหตุผลของอีกฝ่ายนั้นฟังแล้วโกรธไม่ลงจริงๆ

          “ไม่รู้สิ พี่ก็อายุมากกว่านายหลายปี ไม่ค่อยรู้หรอกว่าเด็กรุ่นนายเค้าคุยอะไรกัน ชอบอะไรกันบ้าง” วินทร์ปล่อยแขนจอสเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเลิกพยายามจะลุกหนีแล้ว

          “ผมชอบอ่านหนังสือ” จอสก้มหน้าบอกสิ่งที่น้อยคนนักจะรู้ให้วินทร์ฟัง “ผมชอบการ์ตูน ชอบต่อฟิกเกอร์ แค่นี้พอจะหาเรื่องคุยได้รึยัง?”

          “หน้าไม่ให้เลยอ่ะ…” วินทร์ไม่อยากเชื่อว่าจอสจะเป็นเด็กโข่งของแท้

          “ตกลงจะคุยดีๆ ไม่ได้ใช่ไหม?” จอสโมโหขึ้นมาอีกรอบ

          “โอเคๆ นายชอบอ่านหนังสือ” วินทร์เลิกแซว “งั้นเรามาคุยเรื่องหนังสือที่นายชอบกันดีกว่า”

          เนื่องจากวินทร์ไม่ได้เป็นหนอนหนังสือ ดังนั้นการคุยเรื่องหนังสือของทั้งคู่จึงเป็นการให้จอสเล่าเรื่องราวของหนังสือที่เขาอ่านแล้วชอบหรือประทับใจและบอกถึงเหตุผลว่าทำไมจึงชอบเรื่องราวเหล่านั้น ระหว่างที่คุยมือก็ยังทำงานส่วนที่เหลือต่อไปด้วยเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดดาหลาต้นสุดท้ายก็ถูกนำลงไปอยู่บนพื้นดินเป็นที่เรียบร้อย เป็นอันสิ้นสุดงานของเช้าวันนี้ จอสนอนแผ่ลงบนพื้นหญ้าเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการที่ต้องก้มหลังขุดดินมาเป็นระยะเวลานานก่อนจะรู้สึกในไม่กี่วินาทีต่อมาว่าวินทร์ได้ล้มตัวลงนอนแบบเดียวกันที่ข้างๆ ตัวเขา

          แสงแดดจากดวงอาทิตย์ยามสายสาดส่องลอดผ่านร่มเงาของต้นไม้ลงมายังพื้นเบื้องล่าง สร้างประกายแสงระยิบระยับจนตาของจอสพร่ามัวเมื่อมองย้อนขึ้นไป ลมทะเลหอบเอากลิ่นอายของเกลือและชายหาดขึ้นมาด้วยยามเมื่อพัดเข้าฝั่ง เด็กหนุ่มสูดหายใจอย่างสดชื่นแม้ร่างกายจะเหนื่อยเจียนตายกับงานที่เพิ่งทำแต่กลับรู้สึกผ่อนคลายและสงบอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเอียงคอหันไปมองข้างๆ วินทร์ก็นอนอยู่ตรงนั้นและมองไปบนท้องฟ้าเช่นกันหากแต่แววตาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นกลับดูราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่

          “คิดอะไรอยู่เหรอครับ?” จอสถาม

          “ถามหน่อยได้ไหม?” วินทร์เอียงคอหันมาถาม “ทำไมนายถึงมาหลบอยู่ที่นี่?”

          “จริงๆ มันก็น่าอายอยู่ แต่ก็ต้องยอมรับ…” จอสไม่อยากบอกแต่ก็ตัดสินใจไม่ปิดบัง “ผมอกหักมา…”

          “จากใคร?” วินทร์คิดไม่ออกจริงๆ ว่าคนแบบไหนที่กล้าปฏิเสธความรักจากจอส

          “เดาไม่ยากหรอก” จอสไม่พูดออกมาตรงๆ “ภาพที่เห็นในทีวี มันก็ไม่ใช่การแสดงเสมอไปนะ”

          “หมายถึงคนนั้นน่ะเหรอ ที่ชื่อภู” วินทร์คิดตามที่อีกฝ่ายใบ้มา

          จอสพยักหน้า แม้กระทั่งตอนนี้การได้ยินชื่อของภูก็ยังทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บในอกอยู่ เป็นความเจ็บในแบบที่ไม่ได้ทำให้ร้าวรานจนทุรนทุรายแต่ทรมานจากความโหยหา ในบางเวลาจอสเคยตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่าหากเขามีสภาพจิตใจเป็นปกติเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป ภูจะมีอิทธิพลต่อจิตใจของเขาได้มากขนาดนี้หรือไม่ หากเขาไม่ได้เป็นคนที่โหยหาใครสักคนที่พร้อมจะเคียงข้างเขาได้เสมอ ที่ตรงนี้ในหัวใจจะยังเป็นของภูอยู่หรือเปล่า ไม่อาจรู้ได้เลย และก็คงไม่สำคัญเพราะปัจจุบันมันเป็นเช่นนี้ไปแล้ว

          มันไม่สำคัญหรอก เพราะถึงยังไงเค้าก็ไม่เอาแก!! อีกเสียงอันเกรี้ยวกราดในใจของจอสตะโกนเสริมมาให้

          “นึกว่าเป็นแค่คู่จิ้นกันเฉยๆ ที่ไหนได้ชอบกันจริงเหรอ” วินทร์ประหลาดใจกับความลับที่เพิ่งรับรู้มา

          “ผมชอบเค้า เค้าไม่ได้ชอบผม ไม่งั้นจะเรียกอกหักเหรอ” จอสอธิบายให้ชัดเจนขึ้น “เค้ามีแฟนอยู่แล้ว”

          “แล้วแผลที่แขนนั่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช่ไหม?” วินทร์ถามถึงสิ่งผิดปกติที่ตนเห็นมาตั้งแต่คืนแรกที่อยู่ด้วยกันแต่ยังไม่กล้าถามจนกระทั่งบัดนี้

          “เนี่ยอ่ะเหรอ…” จอสยกแขนขึ้นให้อีกฝ่ายมองเห็นถนัดตา “ไม่เกี่ยวกันหรอกครับ นี่มันก่อนหน้าที่ผมจะเจอเขาตั้งนานแล้ว”

          “เกิดอะไรขึ้น?” วินทร์อยากรู้ที่มาของแผลเหล่านั้น

          “ไว้ให้เรารู้จักกันดีกว่านี้ก่อน แล้วผมจะบอกนะ” จอสยังไม่สะดวกใจที่จะเล่ามุมมืดของชีวิตตนให้คนที่เพิ่งเจอไม่กี่วันฟัง

          “ไม่เป็นไรหรอกครับ” วินทร์ไม่ได้ต้องการคำตอบหากอีกฝ่ายไม่สบายใจที่จะพูดถึง “แค่รู้ว่ามันไม่ได้เกิดจากการที่นายอกหักมาก็พอแล้ว ถึงจะรักใครมากแค่ไหน ก็ต้องรักตัวเองให้มากกว่านะ”

          “จะเป็นพ่อแล้วหรือไง?” จอสทำเป็นพูดเล่นกลับไป ทั้งที่คำพูดแสดงความเป็นห่วงเป็นใยของวินทร์นั้นทำให้ความโหยหาบางอย่างซึ่งซ่อนอยู่ในจิตใจได้กลิ่นสิ่งที่มันต้องการและปีนกลับแสดงตัวขึ้นมาอีกครั้ง

          “ทำกันไปแบบนั้นคงเป็นไม่ได้แล้วพ่อน่ะ แต่อย่างอื่นก็พอได้อยู่” วินทร์แกล้งถามทีเล่นทีจริง “แล้วไงล่ะ อยากให้พี่เป็นอะไร?”

          “ไม่อยากให้เป็นอะไรเลย” จอสทำเป็นเล่น

          “แต่พี่อยาก…” วินทร์ไม่เล่นด้วย “มันอาจจะเร็วไป เราเพิ่งเจอกัน นายเองก็เพิ่งเสียใจมา เพราะฉะนั้นพี่จะไม่เร่งรัดอะไรนายหรอก แค่อยากบอกให้นายรู้ไว้ก็พอ เผื่อว่าสักวันนึงเมื่อนายพร้อม นายจะให้โอกาสพี่ได้รักนายบ้าง”

          ถ้าพี่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมเป็นยังไง พี่จะยังรักผมอย่างที่พูดได้หรือเปล่า? คำถามผุดขึ้นมาในใจของจอส แม้ความรู้สึกของวินทร์จะเป็นสิ่งที่พอคาดเดาได้อยู่บ้างแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำสารภาพจากอีกฝ่ายโดยตรงก็ทำให้หัวใจของจอสพองโตขึ้นมาด้วยความสุขอย่างห้ามไม่ได้ นานมากแล้วที่ไม่มีใครแสดงออกว่าใส่ใจในความรู้สึกของเขาแบบนี้ ทว่าความสุขนั้นก็ไม่อาจจะเบ่งบานได้เต็มที่เมื่อรู้ดีว่าบางทีตนอาจจะไม่ดีพอที่จะคู่ควรรับความรักจากใครทั้งสิ้น

          “เอาไว้พี่รู้จักผมดีกว่านี้แล้วค่อยมาว่ากันดีกว่าครับ” จอสตัดสินใจให้เวลาทำหน้าที่ของมันเองในการหาคำตอบว่าสิ่งที่อีกฝ่ายขอมาจะเป็นไปได้หรือไม่ “ถ้าวันนึงพี่รู้จักผมแบบทะลุปรุโปร่งแล้ว พี่อาจจะไม่อยากเป็นอะไรกับผมเลยก็ได้”
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 5 [2-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 02-06-2018 09:54:50
          วินทร์ทำตามคำพูดที่ว่าจะไม่เร่งรัดจอสเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสองนอนพักอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่งจนกระทั่งแสงแดดของยามส่ายเริ่มทวีความร้อนแรงมากขึ้นจึงค่อยพากับลุกและนำอุปกรณ์ทั้งหลายไปเก็บยังหน้าห้องพักของจอสซึ่งบัดนี้ถูกใช้เป็นพื้นที่เก็บอุปกรณ์การทำสวนชั่วคราว การใช้แรงงานเรียกเหงื่อออกมาได้เยอะจนเด็กหนุ่มรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัวและอยากอาบน้ำชำระล้างร่างกายเต็มแก่ แต่ติดที่วินทร์ซึ่งถึงแม้จะเก็บอุปกรณ์เสร็จแล้วแต่ก็ยังวนเวียนแถวนี้อยู่ไม่ยอมไปไหนสักที

          “มีอะไรอีกป่ะเนี่ย?” จอสทนไม่ไหวต้องถามออกไป

          “จะบอกว่าเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จไปกินข้าวด้วยกัน เดี๋ยวเลี้ยงเอง” วินทร์ตอบ

          “ได้ ของฟรีไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว” จอสตกลงแล้วรีบไล่แบบอ้อมๆ “งั้นเดี๋ยวอาบน้ำก่อนแล้วเจอกันข้างล่างเลยนะ”

          “จะต้องให้เสียเวลามากทำไม ทำไมไม่ลงไปพร้อมกันเลย” วินทร์ไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

          “ก็จะอาบน้ำ!” จอสคันเนื้อตัวจนหงุดหงิดเต็มแก่

          “ก็นี่ไง อาบด้วยกัน เสร็จแล้วก็ลงไปกินข้าวพร้อมกันเลย เสื้อผ้าพี่เตรียมมาเปลี่ยนแล้ว” วินทร์พูดพลางหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากถุงใบที่วางอยู่ใกล้ๆ ซึ่งน่าจะถูกนำมาพร้อมกับบรรดาอุปกรณ์ทำสวนเมื่อเช้าโดยที่จอสไม่ทันได้สังเกต

          “ไม่เอา!” จอสเพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ในแผนการของอีกฝ่ายมาแต่แรก “ลงไปอาบที่ห้องน้ำของตัวเองสิ อันนี้ห้องน้ำลูกค้า”

          “แต่นายไม่ใช่ลูกค้านี่ ตอนนี้นายเหมือนพนักงานคนนึง พนักงานกับเจ้านายก็อาบด้วยกันได้อยู่แล้ว” วินทร์เถียงแบบหน้ามึน

          “ไม่เอา ไหนบอกจะไม่เร่งรัดไง ทำไมทำงี้อ่ะ” จอสเตือนความจำให้วินทร์ถึงสิ่งที่พูดไว้

          “ที่บอกจะไม่เร่งรัดน่ะมันเรื่องของความรัก” วินทร์เล่นลิ้นเป็นศรีธนญชัย “แต่เรื่องนี้เราเคยบรรลุจุดหมายกันไปรอบนึงแล้ว ดังนั้นไม่ถือว่าเป็นการเร่งรัดหรอกนะครับถ้ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง”

          “จะเรื่องนี้หรือเรื่องอะไรก็ห้ามเร่งรัด! ” จอสไม่ยอมให้อีกฝ่ายโมเมเอาประโยชน์เข้าตัว “ถ้าชอบผมก็ต้องให้เกียรติผมด้วย ไม่ใช่หวังแต่จะมาทำแบบนี้”

          “มันจะฟังดูแล้วน่าเชื่อถือกว่านี้นะถ้าประโยคเมื่อกี้มันไม่ได้ออกมาจากปากคนที่วางแผนหลอกพี่มาฟันตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้า” วินทร์ยิ้มมุมปากก่อนจะเดินเข้าประชิดตัวจอสซึ่งถอยกรูดหนีเข้าไปในห้องพัก

          “ก็ตอนนี้ไม่ใช่แล้วไง เรากำลังดูใจกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เมื่อไม้ขู่ไม่ได้ผลจอสจึงจำต้องลดศักดิ์ศรีมาใช้มารยา “เมื่อกี้ตอนเราคุยกัน ผมรู้สึกดีกับพี่มากเลยนะ อย่าให้เรื่องนี้มาทำลายทุกอย่างที่เกิดขึ้นเลย”

          “อาบน้ำด้วยกันเฉยๆ มันจะไปทำลายอะไรได้ยังไง?” วินทร์ตีหน้าซื่อ “บอกแล้วไงครับ ถ้านายไม่ร้องขออย่างอื่นเพิ่มเอง พี่ก็ไม่ฝืนใจนายอยู่แล้ว”

          ก็นั่นแหละที่อันตรายยิ่งกว่าฝืนใจอีก… จอสรู้ดีว่าสิ่งที่กลัวอยู่นั้นไม่ใช่กลัวว่าอีกฝ่ายจะดึงดันฝืนใจแต่เป็นความกลัวว่าตัวเองจะสมยอมให้เขาทำต่างหาก เด็กหนุ่มยังคงจดจำได้ว่าเทคนิคในการเกลี้ยกล่อมเล้าโลมของวินทร์นั้นเจนจัดจนน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน ขืนปล่อยให้ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองในที่ลับ ไม่วายเขาต้องได้เจ็บตัวซ้ำรอยเดิมอีกแน่ แต่ทว่าในอีกฟากหนึ่งของความคิดนั้นก็กลับเป็นปฏิปักษ์กับด้านที่ปฏิเสธ เมื่อมองในแง่ที่ว่าเขาเองก็รู้สึกดีกับวินทร์และวินทร์ก็บอกชัดเจนว่าชอบและอยากจะคบหากับเขา แล้วจะมีเหตุผลใดอีกที่จะต้องอิดออดไม่ยอมมีอะไรกับคนที่รู้ทั้งรู้ว่าชอบเราและเราก็ชอบเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเคยเกิดขึ้นไปแล้วครั้งหนึ่งด้วยซ้ำ

          “คิดนานจังเลย” วินทร์กระตุ้นเมื่อเห็นจอสเอาแต่นิ่งเงียบคล้ายกำลังลังเลใจ

          “ครั้งนี้ถ้าบอกไม่ก็คือไม่นะ” จอสมีเงื่อนไข “อาบน้ำเฉยๆ ห้ามทำอะไรเกินกว่านั้น”

          “พี่เคยฝืนใจนายเหรอ?” วินทร์ทำเป็นตีหน้าซื่อ

          “นั่นล่ะตัวดีเลย…” จอสนึกขึ้นมาว่าเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันไหม

          การอาบน้ำร่วมกับผู้อื่นครั้งแรกในชีวิตของจอสผ่านพ้นไปได้ด้วยดี วินทร์ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่ทำอะไรเกินเลยหากเด็กหนุ่มไม่ยินยอม ดังนั้นถึงแม้อารมณ์จะพาไปจนอีกฝ่ายสมยอมแล้ว แต่เมื่อจอสขอร้องให้เขาหยุดจากความเจ็บที่เกินทนเนื่องด้วยอาการอักเสบจากครั้งแรกยังไม่หายสนิท วินทร์จึงยอมหยุดเจ้าน้องชายที่กำลังล่วงล้ำเบิกทางให้พอเพียงเท่านั้นแม้ใจจะอยากพาตัวเองเข้าไปให้สุดเพื่อลิ้มรสชาติความคับแน่นด้านในอีกรอบมากเพียงไหนก็ตามที

          “เราลองคบกันดูไหม?” วินทร์ถามขึ้นมาหลังอาบน้ำเสร็จขณะที่จอสกำลังนั่งจ่ออยู่หน้าพัดลมเพื่อเป่าผมบนศรีษะให้แห้งสนิท

          “จำได้ว่าพี่เป็นคนพูดเองนะว่าจะไม่เร่งรัด” จอสเตือนสติให้

          “ก็ไม่ได้หมายถึงเป็นแฟน แค่อยู่ในสถานะคบหากัน” วินทร์อธิบาย “นายจะได้ลงไปอยู่บ้านพี่ที่ด้านล่างได้ ไม่ต้องมานอนห้องพัก”

          ”กลัวเสียรายได้ล่ะสิ” จอสดักคอพยายามเลี่ยงออกจากประเด็นที่อีกฝ่ายกำลังเสนอ “ใช่สิ ช่วงนี้นักท่องเที่ยวเยอะนี่ ให้ผมอยู่นี่ก็เสียห้องไปเปล่าๆ ห้องนึง”

          “เรื่องแค่นั้นพี่ไม่สนใจหรอก ถ้าตกลงจะคบกัน นายจะนอนนี่ต่อก็ได้ หรือจะลงไปบ้านพี่ก็ได้” วินทร์ชี้แจงตัวเองให้ชัดเจน "แล้วนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะเร่งรัดอะไร แค่ถ้ามันชัดเจนว่าเราคบกันอยู่ พี่ก็จะได้ปฏิบัติตัวกับนายแบบคนใกล้ชิดได้ ถ้ายังไม่ตกลงคบแล้วไปทำตอนนี้ นายก็จะหาว่าพี่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนายอีก”

          “แล้วใครบอกว่าผมอยากคบกับพี่?” จอสปั้นรอยยิ้มชั่วร้ายมาประดับบนหน้าหมายจะให้อีกฝ่ายเปลี่ยนความคิด “บางทีความสัมพันธ์ระหว่างเราอาจจะจบลงพร้อมๆ กับวันหยุดของผมก็ได้นะ”

          “นายยังไม่อยากก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เราเพิ่งเจอกันไม่กี่วันเอง แต่สำหรับพี่ พี่โอเคกับนายนะ ไม่ใช่เพราะนายเป็นดาราหรือนายหน้าตาดี แต่นายมีบางอย่างที่ทำให้พี่รู้สึกว่าพี่จะรักนายและทำให้นายรักพี่ได้” วินทร์รู้เจตนาของสิ่งที่จอสพูดมา “ก็ถือว่าเป็นการทดลองคบ ไหนๆ เราทั้งคู่ก็ไม่ได้คบใครอยู่พอดี ลองดูว่าเราเข้ากันได้หรือไม่ได้ ถ้าหมดวันพักผ่อนของนายแล้วนายต้องกลับไปกรุงเทพ ก็ค่อยตัดสินใจตอนนั้นแล้วกันว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะจบหรือว่าจะได้ไปต่อ”

          “ถ้าถึงตอนนั้นแล้วผลของมันคือทุกอย่างต้องจบลงล่ะ” จอสถามกลับไป “เราจะไม่โกรธกันใช่ไหม?”

          ไม่อยากเชื่อเลยว่าคำถามพรรค์นี้จะหลุดออกมาจากปากตัวเอง… จอสประหลาดใจกับการที่คนซึ่งมีความคิดมาโดยตลอดเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ว่าหากไม่รักก็เกลียดกันไปเลยจะเป็นผลดีกว่าการต้องมายืดเยื้อเป็นเพื่อนพี่น้องกันทั้งที่ใจเจ็บ มาในตอนนี้คนๆ นั้นกลับกริ่งเกรงที่จะเสียความสัมพันธ์ที่มีถึงขนาดร้องขอไม่ให้อีกฝ่ายเกลียดตนหากสิ่งที่หวังนั้นเป็นไปไม่ได้ นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่รากแห่งความสัมพันธ์ซึ่งผู้อื่นเป็นคนปลูกสามารถหยั่งลึกลงไปในหัวใจของจอสได้อีกครั้ง และเขาก็รู้ดีว่ายิ่งมันลงไปลึกมากเท่าไหร่ ยามเมื่อถูกถอนออกไปความเจ็บปวดก็จะยิ่งมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ถอนมันเอง

          “ถ้าสุดท้ายแล้วมันยังไม่ได้จริงๆ พี่ก็ไม่โกรธนายหรอกครับ” วินทร์ตอบ “แต่ตอนนี้เราทั้งคู่มาพยายามกันให้ดีที่สุดก็แล้วกันนะ ถือว่าเป็นช่วงเรียนรู้กันและกัน”

          เมื่อได้ยินเช่นนั้นจอสก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้ ชีวิตคนโดดเดี่ยวอย่างเขามีความทรงจำอันอ้างว้างและมืดมนมากพอแล้ว แม้กระทั่งความรักครั้งแรกกับมีนก็ยังแทบจะเรียกได้ว่าไม่น่าจดจำ ออกจะน่าละอายด้วยซ้ำเมื่อนึกถึง ความรักจากบรรดาแฟนคลับหรือผู้คนที่มาชื่นชอบก็แสนจะบางเบาและฉาบฉวย ดังนั้นหากจะมีแสงสว่างสาดส่องเข้ามาในชีวิตอันอับเฉานี้ แม้จะเพียงแค่วูบเดียวแต่มันก็ยังควรค่าที่จะไขว่คว้าเอาไว้ อีกทั้งการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนก็อาจจะช่วยให้ทำใจเป็นเพื่อนกับภูได้ง่ายยิ่งขึ้น

          วินทร์ช่วยจอสเก็บข้าวของส่วนตัวก่อนจะพาเด็กหนุ่มลงไปยังบ้านพักของตนซึ่งอยู่บริเวณด้านล่างของเนินเขา โจโฉรีบวิ่งมาต้อนรับที่ประตูรั้วทันทีที่เห็นเจ้านายของตนกลับมาพร้อมกับแขกคนพิเศษ จอสตรงดิ่งเข้าไปเล่นกับมันปล่อยให้วินทร์เอากระเป๋าของตนเข้าไปเก็บข้างในจนกระทั่งเหงื่อท่วมตัวหมดแรงกันทั้งคนทั้งสุนัขจึงได้ยอมเลิกราและตามอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน

          บ้านพักของวินทร์แทบจะเรียกได้ว่าไม่ต่างกับห้องพักเก่าของจอสบนรีสอร์ทในด้านการออกแบบ จะต่างออกไปก็เพียงมีเครื่องเรือนตกแต่งและเครื่องอำนวยความสะดวกที่เยอะขึ้น และมีห้องนอนซึ่งแยกออกมาจากส่วนของห้องรับแขกอย่างเป็นสัดเป็นส่วน จอสอดเป็นกังวลไม่ได้หลังจากสำรวจดูจนทั่วแล้วพบว่ามีห้องนอนเพียงห้องเดียวเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องนอนร่วมเตียงกับวินทร์โดยไม่มีทางเลือกเว้นแต่จะหนีลงมานอนพื้นซึ่งก็คงดูเป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเมื่อมองในแง่ที่ว่าทั้งสองต่างก็ตกลงคบกันแล้ว แม้จะยังไม่ชี้ชัดระดับความสัมพันธ์ว่าเป็นคนรักก็ตามที

          “พี่เอาเสื้อผ้านายใส่ในตู้ไว้แล้ว ส่วนพวกของใช้ส่วนตัวเดี๋ยวให้นายจัดเองดีกว่า” วินทร์เดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าของจอสออกมาจากในห้อง “พี่เห็นมีขวดยาจากโรงพยาบาลอยู่สองสามขวด นายมีโรคประจำตัวด้วยเหรอ?”

          “อ่า ชะ ใช่ครับ” จอสใจหล่นวูบไปอยู่ปลายเท้าเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าความลับของตนอยู่ในกระเป๋าใบนั้น โชคยังดีที่วินทร์ไม่ได้อ่านฉลากของมัน

          “เป็นอะไร? อันตรายมากไหม? พี่ต้องรู้ไว้ก่อนจะได้ช่วยนายระวังอีกแรง เพราะบนเกาะไม่มีโรงพยาบาลใหญ่ๆ หรอกนะ เผื่อมีอะไรฉุกเฉินขึ้นมาจะลำบาก” วินทร์เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อันไม่คาดฝัน

          “ไม่อันตรายมากหรอก แค่ภูมิแพ้น่ะครับ” ถึงแม้จะโกหกชื่อโรคแต่จอสก็ไม่ได้โกหกที่ว่ามันไม่อันตรายมาก เพราะโรคนี้หากจะมีใครเป็นอันตรายเพราะมันก็คงจะเป็นคนรอบตัวของเขาเสียมากกว่า

          “เห็นหน้าใสๆ มีกล้ามท่าทางแข็งแรง ที่ไหนได้ป่วยเป็นกับเค้าด้วย” วินทร์ดูโล่งอกหลังจากได้ฟังคำตอบ

          “ก็เป็นได้เหมือนคนอื่นทุกอย่างนั่นแหละครับ แค่ไม่ค่อยจะคร่ำครวญให้ใครฟัง” จอสตอบกลับไปด้วยเสียงที่เกือบจะเป็นการตัดพ้อ

          หรือถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือไม่มีใครจะให้คร่ำครวญด้วยต่างหาก จอสนึกย้อนกลับไปเมื่อช่วงสมัยยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมในเวลาที่พ่อกับแม่เพิ่งจะแยกทางกันใหม่ๆ และเขายังไม่ชินกับชีวิตที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ในกลางดึกคืนหนึ่งที่เขาต้องทนทรมานจากอาการปวดท้องจนกระทั่งทนไม่ไหวต้องพาตัวเองลงไปยังล๊อบบี้ของคอนโดและขอให้ใครสักคนที่อยู่แถวนั้นช่วยพาเขาไปส่งโรงพยาบาลแล้วจึงได้รู้จากคำวินิจฉัยของแพทย์ว่ามันคืออาการไส้ติ่งอักเสบซึ่งจำเป็นต้องผ่าตัดเป็นการด่วน แต่เนื่องจากอายุของจอสยังไม่บรรลุนิติภาวะ การผ่าตัดจำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองนั่นทำให้เขาต้องรอจนเกือบเช้ากว่าที่จะสามารถติดต่อให้พ่อของเขามาเซ็นเอกสารให้และเข้ารับการผ่าตัดได้ และหากนั่นยังไม่หนักหนาพอก็ยังมีช่วงเวลาแห่งการพักฟื้นที่เขาต้องเผชิญกับมันตามลำพังอีกเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ

          “แต่อยู่กับพี่เป็นอะไรต้องบอกนะ” วินทร์เข้ามากอดเด็กหนุ่มจากทางด้านหลัง “ไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือเกิดงอนอะไรขึ้นมา ก็ต้องบอกต้องถาม จะได้แก้ไขทัน”

          “จะได้แก้ตัวทันด้วยใช่ไหม?” จอสต่อประโยคให้

          “รู้มากจริงๆ เด็กฉลาด” วินทร์หอมแก้มเข้าฟอดหนึ่งก่อนจะผละออก “จะจัดของก่อนเลยไหม? หรือจะออกไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับมาจัด?”

          “จริงๆ ไม่มีอะไรต้องจัดแล้วล่ะครับ พวกนี้เอาไว้ในกระเป๋าก็ได้ จะได้ไม่เกะกะข้างนอก เวลาจะใช้หาง่ายดี” จอสรูดซิปกระเป๋าปิดแล้ววางเก็บข้างในตู้เสื้อผ้า “รีบไปหาอะไรกินดีกว่า หิวแล้วล่ะ ตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้กินอะไรเลย”

          เมื่อพูดจบจอสตั้งท่าจะเดินออกไปจากห้องแต่วินทร์ก็กลับขยับมาปิดทางขวางประตูเอาไว้ เด็กหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาสงสัยว่าจะเอาเช่นไรกันแน่แต่ก็โดนตอบโต้กลับด้วยการขยับรุกไล่ให้ถอยหลังกลับเข้ามา มือข้างหนึ่งของวินทร์ยกขึ้นดึงประตูให้ปิดในขณะที่อีกข้างออกแรงดันจอสให้นั่งลงบนเตียง

          “ไหนบอกจะไปกินข้าวไง…” จอสเริ่มรู้สึกว่าพาตัวเองมาติดกับ

          “กินที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวสั่งให้มาส่ง” วินทร์ยื่นหน้ามากระซิบที่ข้างหู “แต่ช่วงนี้ท่าทางที่ร้านลูกค้าคงเยอะ เรามาหาอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างรอดีกว่าไหม?”

          “ไม่เอา บอกแล้วไงว่ายังเจ็บอยู่” จอสถอยกรูด

          “ก็แล้วถ้าพี่อยากทำจริงๆ จะยอมทนเจ็บได้หรือเปล่า?” วินทร์รุกไล่เข้ามาจนจอสจนมุมเมื่อถอยไปชนกับขอบเตียงนอน

          “อย่านะ… อย่าเห็นแก่ตัวแบบนั้นสิ…” จอสหมดทางไปต่อจำต้องนั่งลงบนขอบเตียง “พี่ไม่อยากทำให้ผมเจ็บหรอก ใช่ไหม?”

          “ใครจะไปรู้ บางทีพี่อาจจะชอบแบบนั้นก็ได้” วินทร์ดันให้จอสนอนลงแต่เมื่อเด็กหนุ่มแข็งขืนจึงเปลี่ยนจากมือดันมาเป็นใช้ร่างกายโถมทับลงไปแทน “เวลาเห็นหน้านายตอนเจ็บแล้วมันก็ตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ”

          “ไอ้ซาดิสต์” จอสพยายามดิ้นรนแต่ด้วยต้นขาก็ถูกทับตรึงเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ ” ปล่อยนะเว้ย! ”

          “ไม่ปล่อยครับ” วินทร์ส่ายหน้าทำหน้ายียวน “ถ้าอยากให้ปล่อย น้องจอสก็ต้องพูดเพราะๆ อย่าลืมสิตอนนี้เราคบกันแล้วนะ พูดหวานๆ ทำตัวน่ารักบ้างจะเป็นอะไรไป”

          “ไม่มีทาง!” จอสลั่น “คนแบบจอส ไม่มีทางยอมทำอะไรไร้ศักดิ์ศรี ไร้ยางอายแบบนั้นแน่!”

          “งั้นมาลองดูว่าจะจริงอย่างที่พูดไหม” วินทร์ยิ้มมุมปากก่อนจะก้มลงใช้ปลายจมูกซุกไซร้ที่ซอกคอของจอส

          “อืออออ” จอสสะบัดศรีษะต่อสู้แต่เรี่ยวแรงกลับค่อยๆ จางหายไปเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงจูบและลมหายใจอุ่นชื้นของอีกฝ่ายที่รินรดต้นคอ “ปล่อย!”

          “บอกแล้วไงให้พูดเพราะๆ” วินทร์ไม่หยุด ซ้ำยังเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นข้างใบหู “ถ้ายังทำตัวไม่น่ารักก็จะต้องโดนแบบนี้ต่อเรื่อยๆ นั่นแหละ”

          “อ๋อยยย พอแล้ววว” จอสดิ้นเร่าๆ ร้องเสียงกระเส่า “ไม่เอาแล้ว พี่ครับ จอสขอร้อง พอนะครับ”

          “หือว่าไงนะ?” วินทร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง “พูดอีกทีซิ”

          “พี่วินทร์ครับ พอแล้ววว” จอสโยนศักดิ์ศรีที่ค้ำคอทิ้งจนหมดเพื่อเอาตัวรอดจากตรงนี้ให้ได้ “อย่าแกล้งจอสแบบนี้ พอนะครับ”

          ไม่ไหวแล้ว! โครตน่ารักเลย วินทร์หัวใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดเมื่อเห็นอาการอ้อนวอนที่จอสเพิ่งแสดงออกมา แม้จะอยากฟัดต่อให้สมใจอยากแต่เขาก็เลือกจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะไม่ดึงดันหากอีกฝ่ายไม่ยินยอม ที่ทำไปเมื่อครู่ก็เพียงแค่หวังจะแกล้งจอสเล่นเพียงนิดหน่อย แต่ผลลัพท์ที่ได้นับว่าเกินความคาดหมายอย่างมหาศาล วินทร์ยันตัวลุกขึ้นปล่อยให้จอสเป็นอิสระ เด็กหนุ่มรีบกระโจนออกจากเตียงแล้วแก้ตัวว่าที่เห็นเมื่อครู่นี้เป็นแค่การแสดงเท่านั้นก่อนจะเผ่นหนีออกนอกห้องนอนไปทันที วินทร์มองภาพเหล่านั้นก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูและขบขันแล้วจึงค่อยเดินตามออกไป



To be continued...
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 5 [2-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 02-06-2018 10:06:35
นังวินทร์ หน้าเลือด ต้องฟ้อง สคบ.  :katai1:

ราคารวมค่าบริการพิเศษ  :o8:



ติดตามจ้า  จอสน่ารัก

ยินดีครับ ตามจนจบนะ เรื่องนี้ไม่ยาวมาก เพราะเดี๋ยวจะรวมเล่มกับภาคหลักแล้ว  :katai4:



:pig4: :pig4: :pig4:

โถ ๆๆๆๆๆ   แพ้ทางตลอดนะนุ้งจอส

มาดูว่าน้องจะกลับมาเป็นผู้นำกับเค้าบ้างได้มั้ย ตอนนี้สภาพกลายเป็นช้างเท้าหลังไปแล้ว  :hao5:



:L2: :pig4:

ยินดีต้อนรับกลับมาครับ ติดตามกันจนจบเนอะ เรื่องนี้ไม่ยาวๆ  :katai2-1:



กลับมาแล้วค่าาาาา
ตามอ่านครบ4ตอนแล้ว
เรืีองนี้ทำให้เราเข้าใจและเห็นใจจอสมากขึ้น
ขอใครสักคนที่เข้าใจจอสจริงๆค่ะ...

ยินดีต้อนรับกลับมาครับ เรื่องนี้ตั้งใจอยากให้คนอ่านแล้วเข้าใจจอสมากขึ้นจริงๆ แล้วก็จะเฉลยปมเกี่ยวกับตัวเค้าที่ไม่ได้เล่าในเนื้อเรื่องหลักด้วยครับ ติดตามจนจบนะครับ เรื่องนี้คงไม่ยาวเท่าของน้องภูเพราะเวลาในเรื่องมันแค่สามเดือนกว่าๆเท่านั้นเอง ของน้องภูตั้งสามปี 5555  o13


หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 5 [2-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-06-2018 16:12:13
จอส ยอมๆ ไปเถอะ ดูแล้วแพ้หมดทุกทางเอย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 5 [2-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-06-2018 17:51:10
 :L2: :pig4:

ขอบคุณการลงอย่างสม่ำเสมอ
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 5 [2-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 02-06-2018 18:29:10
จอสเค้าน่าเอ็นดูนะคะ​ สงสารอ่ะ​ คนมีปม​ หวังว่าพี่วินทร์จะรักและเอ็นดูไปตลอด​ ยอมรับน้องให้ได้ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 5 [2-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-06-2018 18:57:11
 :pig4: :pig4: :pig4:

บอกแล้วว่า "แพ้ทาง"

ยังไงก็ไม่รอดหรอก  นุ้งจอส

ป.ล. ก็อีกเรื่องเฉลยมาแล้วนิ ว่าคบกันเป็นแควน  อิอิ
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 5 [2-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 02-06-2018 20:22:03
อิพี่วินทร์มันร้ายนัก
น้องจอสสู้ๆ
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 6 [6-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 06-06-2018 09:40:12
Episode 6          

          หนึ่งเดือนแรกของการอยู่ร่วมชายคาเดียวกันผ่านไปอย่างราบรื่น แม้กระทั่งจอสเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีมากกว่าที่คิด การนอนร่วมเตียงกับวินทร์ไม่ได้ทำให้อึดอัดหรือลำบากใจอย่างที่กังวลเอาไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนการใช้ชีวิตในแต่ละวันก็ยิ่งเรียบง่ายยิ่งกว่า วินทร์มักจะวุ่นวายกับงานบริหารจัดการของรีสอร์ทในขณะที่จอสก็คอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นบริการต้อนรับลูกค้าชาวต่างชาติที่มาพักรวมไปถึงเป็นไกด์นำเที่ยว ซึ่งก็เป็นงานแนวพบปะผู้คนที่ถนัดและเด็กหนุ่มก็มีทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดีมากจากเชื้อสายลูกครึ่งอยู่แล้ว เพียงแค่ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวอีกนิดหน่อยแล้วผนวกเข้ากับความสามารถในการนำเสนอและเอนเตอร์เทนผู้คนระดับมืออาชีพก็ทำให้บรรดานักท่องเที่ยวต่างชื่นชอบจนจอสสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากเพียงแค่ค่าทิป

          เมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้แถมยังพ่วงด้วยสถานะของการคบหาดูใจ แน่นอนว่าเรื่องบนเตียงย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้นได้แต่เมื่อลองเปิดใจจอสก็พบว่ามันไม่ได้เลวร้ายหรือน่าอายแบบที่รู้สึกในครั้งแรก อันที่จริงมันค่อนข้างจะเรียกได้ว่ารู้สึกดีมากเสียจนช่วงหลังมานี้หลายครั้งทีเดียวที่จอสเกิดเป็นฝ่ายต้องการมันขึ้นมาเอง และอีกหลายครั้งเช่นกันที่ความต้องการทำให้ใจร้อนรุ่มจนอดทนรอให้ถึงเวลาเลิกงานไม่ไหวต้องแอบไปหาวินทร์ที่ออฟฟิสของรีสอร์ทแล้วใช้ห้องเก็บของอันแสนจะเล็กและคับแคบเป็นรังรักแบบฉุกเฉิน จนเมื่อเสร็จสมอารมณ์หมายจึงพาร่างกายซึ่งชุ่มไปด้วยเหงื่อหลบออกจากออฟฟิสไปโดยไม่ให้พนักงานคนอื่นเห็น

          ในขณะที่ทางฝั่งของวินทร์ก็เรียกได้ว่ามีความสุขจนยิ้มไม่หุบกับการที่ได้มีจอสเข้ามาอยู่ในชีวิต ได้ใช้เวลาร่วมกัน หลับไปด้วยกันและตื่นมาเจออีกครั้งในตอนเช้า แต่ท่ามกลางความสุขนั้นก็ยังมีความหวาดหวั่นแอบแฝงอยู่ ด้วยรู้ดีว่าจอสไม่อาจอยู่ที่นี่กับเขาได้ตลอดไป สักวันหนึ่งเด็กหนุ่มก็ต้องกลับไปอยู่ในจุดที่จากมาและเมื่อเวลานั้นมาถึงความสุขที่กำลังดำเนินไปในขณะนี้นั้นจะยังคงมีอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้เลย มีบางคืนที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกและเฝ้ามองใบหน้าของจอสที่หลับไม่รู้เรื่องอยู่ข้างๆ หลงใหลสุดหัวใจแต่ก็ยังนึกสงสัยว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายรู้สึกเช่นไรกับตนกันแน่ เป็นความรู้สึกที่จริงแท้หรือเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการลืมรักเก่าที่ไม่สมหวัง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ก็คือพยายามทำทุกอย่างในตอนนี้ให้ดีที่สุด เผื่อว่าหากวันนั้นมาถึงมันคงจะช่วยเปลี่ยนใจให้จอสไม่จากไปได้

          วันนี้แม้จะไม่มีอะไรเร่งด่วนต้องจัดการในรีสอร์ทแต่วินทร์ก็ยังต้องตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่เช้าเพื่อขึ้นฝั่งพาโจโฉไปฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลสัตว์ในตัวเมือง จอสผู้ซึ่งเบื่อชีวิตบนเกาะเต็มแก่งอแงขอตามไปด้วยแม้อีกฝ่ายจะอธิบายแล้วว่าไปต้องไปทำธุระต่ออีกหลายอย่าง แต่เด็กหนุ่มก็หาฟังไม่ ซ้ำยังทำถึงขนาดงัดอุปกรณ์ในการแปลงโฉมที่เคยใช้ตั้งแต่เมื่อครั้งมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ออกมาอีกครั้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นจนในที่สุดวินทร์ก็ใจอ่อนยอมให้ตามไปด้วยได้

          “จะไปด้วยก็แต่งตัวได้แล้วครับ” วินทร์เร่งเมื่อเห็นจอสยังคงไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งที่ใกล้จะได้เวลาออกไปแล้ว

          “แป้ปนึง อีกสิบนาทีจะครบครึ่งชั่วโมงแล้ว” จอสนั่งจับเวลารอให้ครบกำหนดตามที่ระบุไว้บนกล่องน้ำยาเปลี่ยนสีผม

          “ใส่หมวกเอาก็ได้มั้ง ไม่เห็นจะต้องทำสีให้ผมเสียเลย” วินทร์ขัดตากับสีที่จอสเลือกใช้

          “พี่คิดว่าใบหน้าหล่อระดับนี้สมควรจะถูกหมวกปิดบังเอาไว้เหรอครับ?” จอสตอบกลับมาอย่างหลงตัวเองแบบสุดๆ

          “มันสายแล้ว…” วินทร์หมั่นไส้อยากเขกกะโหลกอีกฝ่ายใจจะขาดแต่ก็กลัวน้ำยาเปลี่ยนสีผมจะเลอะมือ

          “นิดเดียวน่า เดทแรกทั้งที ให้เวลาเตรียมตัวบ้างสิ” จอสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาอีกรอบก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมเข้าห้องน้ำไปสระผมล้างน้ำยาออกเมื่อเห็นว่าใกล้จะครบครึ่งชั่วโมงแล้ว

          “หือ?” วินทร์สะดุดกับคำบางคำในประโยคเมื่อครู่ “นายบอกว่าเดทแรกเหรอ?”

          “อ่ะฮะ” จอสพยักหน้า “ก็ตั้งแต่คบกันมาเรายังไม่เคยไปไหนด้วยกันไกลกว่าชายหาดเลยนี่นา”

          “ใช้คำว่าเดท ก็หมายความว่านายพร้อมจะเปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ของเราแล้วเหรอ?” วินทร์ใจเต้นตึกตักกับข่าวดีที่มาถึงแบบไม่ทันตั้งตัว จริงอยู่ที่ว่าการที่ทั้งสองมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับฉันผัวเมียแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นคู่รักแล้ว แต่ถ้ามันถูกชี้ชัดอย่างเป็นทางการโดยตัวของอีกฝ่ายเองก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความหมายมาก

          “ก็คงงั้น…” จอสตอบโดยไม่มองหน้าอีกฝ่ายเพราะเขินเกินไปที่จะยอมรับ

          “แสดงว่าต่อไปนี้พี่ก็มีสิทธิ์ในตัวนายเต็มที่แล้วสิ” วินทร์เดินตรงดิ่งเข้ามากอดเอวจอสรั้งเอาไว้ไม่ให้เข้าห้องน้ำ “งั้นต่อไปต้องเลิกดื้อแล้วเชื่อฟังพี่ทุกอย่างนะ เข้าใจไหม?”

          “อย่าได้ใจให้มันมากไปนักเลย” จอสยกมือขึ้นยันศรีษะอีกฝ่ายออก “แค่จริงจังขึ้นมากว่าเดิมหน่อยนึง ไม่ได้หมายความว่าเป็นแฟน”

          “แล้วเมื่อไหร่จะเป็นซักที นี่ถ้าเป็นผู้หญิงนายท้องมีลูกกับพี่ไปไม่รู้กี่คนแล้วนะ” วินทร์โยกศรีษะหลบมือของจอสแล้วก้มหน้าลงมาซุกที่ไหล่ “พี่ว่าเราสองคนก็โอเคอยู่นะ ไม่เคยทะเลาะกัน เรื่องอย่างว่าก็เข้ากันได้ อยู่ด้วยกันก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือไง?”

          “ยังไม่ถึงเวลา อย่ามารีบได้ป่ะ” จอสดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมแขนอีกฝ่ายได้ก็รีบหลบเข้าห้องน้ำไป

          แม้จะรู้ดีว่าในสถานการณ์ที่ทุกอย่างยังไม่แน่นอนเช่นนี้เขาไม่ควรให้ความหวังกับวินทร์อย่างเช่นที่เพิ่งทำเมื่อครู่ แต่มันก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่เขาพอจะตอบแทนอีกฝ่ายสำหรับช่วงเวลาอันแสนวิเศษตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาได้ ด้วยสภาพจิตใจที่ดีขึ้นจนเกือบจะเป็นปกติทำให้จอสเริ่มคิดถึงการกลับไปทำงานและพาชีวิตของตนเข้าสู่สถานะบุคคลสาธารณะเหมือนเดิมเสียที แต่แน่นอนว่าก่อนจะกลับไปทำเช่นนั้นก็ยังมีเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวินทร์ที่ต้องจัดการให้ลงตัวเสียก่อน อีกไม่กี่วันหลังจากนี้จอสตั้งใจจะบอกวินทร์ทุกอย่างเกี่ยวกับที่มาของแผลเป็นบนท้องแขนเหล่านี้รวมไปถึงเงาดำมืดที่เกาะกินอยู่ในจิตใจซึ่งจะไม่มีวันจางหายไป และหากเวลานั้นมาถึงเขาก็พร้อมจะยินดีรับคำตอบที่ได้ ไม่ว่ามันจะสมหวังหรือผิดหวังก็ตาม หากมันสมหวังเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะอ้าแขนรับความรักครั้งใหม่เข้ามาในชีวิต แต่หากคำตอบคือไม่ ความรู้สึกของเขาก็ยังคงยินดี ที่ครั้งหนึ่งเคยได้เป็นที่รักของใครสักคนแม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

          เพียงแต่ตอนนี้ขอมีความสุขแบบนี้ไปอีกสักพักก็แล้วกันนะ….

          หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการเปลี่ยนสีผมอำพรางตน วินทร์รีบจูงโจโฉเดินนำจอสไปยังท่าเรือก่อนจะข้ามฟากไปขึ้นฝั่งยังแผ่นดินใหญ่ ชายหนุ่มกดสวิทช์ที่รีโมทเพื่อปลดล๊อครถซีดานสีดำคันที่จอดทิ้งไว้ในลานจอดรถในขณะที่จอสวิ่งหลบไปมองหาจักรยานยนต์คู่ใจของตนที่ใช้บริการจุดรับฝากรถแบบรักษาความปลอดภัยรายเดือนก่อนจะพบว่ามันยังคงอยู่ดีไม่บุบสลายจึงได้กลับไปหาวินทร์ซึ่งยืนรออยู่ในลานจอดรถโดยมีโจโฉซึ่งออกอาการกระสับกระสายเพราะรู้ตัวว่ากำลังจะโดนพาไปหาหมอนั่งคอตกอยู่ข้างๆ

          ทั้งสองออกเดินทางไปทำธุระตามตารางที่วางเอาไว้เริ่มจากนำโจโฉไปส่งโรงพยาบาลสัตว์เพื่อฉีดยาและฝากไว้เพื่อรับบริการกรูมมิ่งอาบน้ำและตกแต่งขนก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังในตัวเมืองที่ซึ่งวินทร์มีธุระต้องเข้าไปติดต่อยังหน่วยงานราชการอีกสองสามแห่ง ซึ่งกว่าจะเสร็จสิ้นทุกอย่างเวลาก็ล่วงเลยจนเข้าสู่ช่วงบ่ายทำให้จอสเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเมื่อเช้าอีกฝ่ายถึงดูเร่งรีบจะออกมานัก หลังจากช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายได้ผ่านพ้นไป ยังเหลือเวลาอีกกว่าสองชั่วโมงจะถึงเวลานัดที่ไปรับตัวโจโฉกลับจากโรงพยาบาลสัตว์ วินทร์จึงใช้เวลาที่เหลือพาจอสไปเดินเที่ยวเล่นยังศูนย์การค้าเพื่อให้เด็กหนุ่มได้เติมเต็มความหิวกระหายในความศิวิไลซ์ให้สมอยาก

          แม้จะพรางบุคลิกจนเหมือนชาวต่างชาติแล้วแต่จอสก็ยังดูโดดเด่นจนดึงดูดสายตาผู้คนที่มาเดินจับจ่ายใช้สอยในศุนย์การค้าแห่งนี้ให้ต้องมองตามทุกครั้งที่เดินผ่าน บางคนก็ดูเหมือนจะจำได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นใครและรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้แต่ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็กลับดูไม่เดือดร้อนหรือสนใจอะไรเลย ทำให้กลายเป็นวินทร์เสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายระวังไม่ทำตัวรุ่มร่ามเพื่อรักษาภาพลักษณ์ให้กับจอสเสียเอง ทั้งคู่เดินตะลุยจนทั่วทุกซอกทุกมุมของห้างก่อนจะพากันมาจบลงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งตามเสียงเรียกร้องของกระเพาะที่ว่างเปล่ามาตั้งแต่ช่วงเช้า หลังจัดการกับอาหารจนเสร็จเรียบร้อยวินทร์ก็บอกกับจอสว่าต้องไปรับของที่สั่งไว้และขอตัวออกจากร้านไปพักใหญ่ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับกล่องเล็กๆ หนึ่งใบที่เขาวางมันลงบนโต๊ะ

          “อะไรอ่ะ?” จอสละความสนใจจากเครื่องเล่นเกมแบบพกพาที่เพิ่งซื้อมาใหม่สดๆ ร้อนๆ เมื่อครู่

          “เปิดดูสิครับ” วินทร์เลื่อนกล่องไปตรงหน้าจอส

          ด้วยประสบการณ์ทั้งจากที่เห็นในภาพยนตร์และการอ่านหนังสือทำให้จอสพอจะเดาได้ไม่ยากว่าในกล่องนั้นมีอะไรอยู่ข้างใน แต่เมื่อเปิดมันออกแล้วเจอเข้ากับแหวนเงินเงาวับวงนั้นหัวใจก็พลันพองโตขึ้นมาด้วยความยินดีอย่างห้ามไม่ได้ แม้อีกใจหนึ่งจะยังส่งเสียงร้องเตือนว่าทุกอย่างกำลังถลำลึกลงไปเกินขอบเขตที่ควรจะเป็นในเวลานี้แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดให้เขาลองสวมมันลงบนนิ้วนางข้างขวาตามคำขอของวินทร์ ความรู้สึกเมื่อมองดูแหวนบนมือของตัวเองสลับกับสายตาเปี่ยมไปด้วยความรักของชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามทำให้ช่องว่างในหัวใจราวกับได้ถูกเติมเต็มจนแทบจะล้นปรี่

          “ชอบใช่ไหม?” วินทร์ถาม “พี่เอาเป็นแหวนเงินเพราะดูจากบุคลิกนายแล้ว คิดว่าน่าจะชอบอะไรที่เรียบๆ แบบนี้”

          “อ่ะฮะ… ก็ดี” จอสซ่อนความดีใจเอาไว้เพื่อรักษาฟอร์ม “แล้วรู้ได้ไงว่านิ้วผมใส่ไซส์นี้”

          “แอบวัดตอนนายหลับน่ะ กว่าจะได้เหนื่อยแทบตาย นอนดิ้นอยู่ไม่สุขเลย” วินทร์รู้ดีว่าอีกฝ่ายดีใจจากอาการที่ถึงแม้จะปิดซ่อนเอาไว้แล้วก็ยังไม่มิด

          “แล้วนี่มันคืออะไร การเร่งรัดรูปแบบใหม่เหรอ?” จอสดันแหวนออกจากนิ้วแต่ไม่ให้หลุดเพียงแค่คาปลายนิ้วไว้เช่นนั้น

          “ของขวัญสำหรับเดทแรกไง” วินทร์ตอบเขินๆ “ตอนแรกก็อยากจะให้เป็นแหวนหมั้น แต่นายก็จะหาว่าเร่งรัด ก็เลยให้เป็นแค่ของขวัญไปก่อน พี่ถึงให้นายสวมมันเองไง ถ้าวันนึงนายพร้อมจะเป็นคนรักของพี่แบบเต็มตัวแล้ว พี่จะเป็นคนสวมมันให้นายอีกครั้งในฐานะแหวนหมั้น”

          “แล้วถ้าสิ่งที่พี่หวังมันไม่เกิดขึ้นล่ะ” เมื่อนึกขึ้นมาแล้วจอสก็ไม่อยากที่จะรับมันไว้ เพราะหากถึงเวลาที่ต้องคืนมันกลับไปเด็กหนุ่มก็ไม่รู้ว่ามันจะเจ็บเหมือนหัวใจของตนถูกกระชากออกไปด้วยหรือเปล่า

          “ถึงมันจะเป็นอย่างนั้น นายก็เก็บมันไว้เถอะครับ” วินทร์ไม่ร้องขอคืนสิ่งที่ตนให้ไปแล้ว “มันเป็นของนาย ไม่ว่าจะแหวนวงนี้ หรือความรู้สึกที่พี่ให้นาย ต่อให้นายจะไปเป็นของใคร สิ่งที่ได้จากพี่ไปมันก็จะยังเป็นของนายเสมอนั่นแหละครับ”

          “ก็ให้จริง อย่ามาทวงแล้วกัน ไม่คืนนะบอกก่อน” จอสรีบสวมแหวนกลับเข้านิ้วตามเดิม

          ทั้งสองออกจากศูนย์การค้าหลังจากนั้นไม่นานก่อนจะรีบตรงไปรับโจโฉกลับจากโรงพยาบาลเพื่อเตรียมข้ามฟากกลับไปยังเกาะ ระหว่างรอวินทร์นำรถกลับเข้าไปเก็บในลานจอดรถจอสรีบตรงไปยังสำนักงานของจุดรับฝากรถเพื่อชำระค่าบริการล่วงหน้าสำหรับการฝากดูแลรถจักรยานยนต์คู่ใจอีกหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นการเผื่อเอาไว้เพราะเอาเข้าจริงแล้วเด็กหนุ่มคิดว่าตนคงอยู่ที่เกาะนั้นอีกไม่นาน หลังจากบอกความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับตนเองให้วินทร์ฟังแล้วไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร เขาก็จะกลับกรุงเทพและเริ่มพาชีวิตตนเองเข้าสู่วิถีอันเป็นปกติเสียที

          เมื่อจัดการธุระส่วนของตนเป็นที่เรียบร้อย จอสรีบตามไปสมทบวินทร์ซึ่งล่วงหน้าไปรอยังบริเวณท่าเรือข้ามฟากก่อนตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ความเร่งรีบทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบตัวตนจนไม่เห็นมีนซึ่งกำลังเดินเข้ามายังบริเวณท่าเรือเช่นกัน ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายที่สังเกตเห็นจอสอย่างชัดถนัดสองตา เริ่มแรกมีนเร่งฝีเท้าเตรียมจะเข้าไปทักแต่เมื่อเห็นว่าอดีตคนรักของตนมากับใครบางคนที่แสนจะคุ้นหน้าคุ้นตา เขาจึงเปลี่ยนความตั้งใจเร้นกายหลบในมุมที่ทั้งสองไม่อาจมองเห็นแล้วเฝ้าสังเกตการณ์อยู่อย่างเงียบๆ จนกระทั่งเดินทางไปถึงเกาะจึงได้ปลีกตัวเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง

          วินทร์พาโจโฉกลับไปเข้าบ้านในขณะที่จอสขอตัวเดินเล่นที่ริมชายหาดอีกครู่หนึ่งแล้วจะตามเข้าไป เด็กหนุ่มจ้องมองดูทิวทัศน์ยามเย็นที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าแล้วจดจำภาพของมันไว้เพราะรู้ดีว่าอีกไม่นานทุกอย่างก็จะกลายเป็นแค่อดีต ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวินทร์จะเป็นเช่นไร วันพักผ่อนนี้ก็คงต้องจบลงเสียที แต่ถ้ามันจะเป็นไปได้ หากโชคชะตาจะเป็นใจให้เพียงสักครั้ง เขาก็อยากจะให้ความรักครั้งนี้ได้คงอยู่ต่อไปแม้จะเป็นในรูปแบบของความรักทางไกลก็ตามที

          แสงอาทิตย์กำลังจะเลือนหายไปจากฟากฟ้าในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ จอสเตรียมจะเดินกลับไปยังบ้านของวินทร์ที่รีสอร์ทแต่ทว่ายังไม่ทันจะก้าวขาพ้นชายหาด มีนก็ปรากฏตัวขึ้นมาขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน เด็กหนุ่มมองบุคคลตรงหน้าตนแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเพราะรู้ดีว่าคงไม่พ้นได้มีเรื่องปวดหัวอีกแน่
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 6 [6-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 06-06-2018 09:45:31
          “ขอคุยด้วยหน่อย” มีนบอกกับจอสก่อนจะขยับตัวไปขวางทางไว้เมื่ออีกฝ่ายตั้งท่าจะเดินเลี่ยงหนีไป

          “มีอะไรกับกูอีก?” จอสตัดสินใจเผชิญหน้าไปให้จบๆ “ถ้าเรื่องกูทำมึงเจ็บตัววันนั้น กูขอโทษก็ได้เอ้า… กูผิดเอง พอใจมึงไหม?”

          “กูไม่ได้มาเรื่องนั้น” มีนส่ายหน้าปฏิเสธ “มึงบอกความจริงกูมาได้แล้ว มึงมาที่นี่ทำไม?”

          “เรื่องของกูป่ะ?” จอสไม่ตอบและไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตอบคำถามนั้น

          “มึงเป็นเด็กใหม่พี่วินทร์เหรอ?” มีนเลิกอ้อมค้อมแล้วเข้าประเด็นทันที “กูต้องถามเพราะกูไม่เชื่อว่าคนแบบมึงจะสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้นนะ”

          “มึงเสือกอะไรกับเรื่องของกู?” จอสใจหล่นวูบเมื่อได้ยินชื่อวินทร์ออกมาจากปากของมีน ซึ่งหมายความว่าทั้งสองต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน แต่จะเป็นในรูปแบบไหนเท่านั้น “กูจะคบใครมึงมายุ่งอะไรด้วยไอ้มีน?”

          “กูก็ไม่ได้อยากเสือกหรอกนะ ถ้าเป็นคนอื่นกูคงปล่อยไปตามเวรตามกรรมแล้ว” มีนจ้องหน้าจอสด้วยแววตาจริงจังจนน่าขนลุก “แต่ก่อนจะพูดอะไรออกไป กูต้องรู้ก่อนว่ามึงกับเค้าเป็นอะไรกัน”

          “ถ้ามึงอยากรู้มาก กูจะตอบให้ก็ได้ จะได้เลิกวุ่นวายกับกูซักที” จอสตัดสินใจบอกออกไปตรงๆ “กูคบกับเค้าอยู่ สบายใจรึยัง?”

          “งั้นมึงฟังกูให้ดี กูจะเตือนมึงไว้” มีนก้าวเข้ามาประชิดอีกฝ่ายราวกับกลัวใครจะได้ยินสิ่งที่ตนกำลังจะพูด “คนๆ นี้ไม่ได้ดีแบบที่มึงคิด เค้าไม่ได้เป็นแบบที่เค้าพยายามแสดงออกให้มึงเห็น”

          “นี่คือมึงจะทำลายชีวิตกูให้ได้ทุกวิถีทางเลยใช่ป่ะ?” จอสโมโหขึ้นมาติดหมัดกับพฤติกรรมจองล้างจองผลาญไม่เลิกของมีน “ตอนคบกันก็พากูไปลงเหวจนเสียผู้เสียคน พอเลิกกันแล้วมึงยังจะมาทำแบบนี้อีกเหรอ มากไปแล้วมั้ง”

          “มึงจะเกลียดกู อคติกับกูก็เรื่องนึง แต่มึงก็ควรจะรับฟังไว้” มีนไม่ยอมออกนอกประเด็น “มึงไม่สงสัยหรือไง ว่าทำไมกูถึงเป็นคนที่มาเตือนมึงเรื่องนี้?”

          จอสชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น ด้วยสมองได้คิดตามและพบกับคำตอบอันไม่พึงประสงค์

          “มึงเคยรู้เรื่องส่วนตัวของเค้ามากกว่าที่เห็นบ้างไหม?” มีนยังซ้ำต่อ “มึงรู้ไหมนอกจากรีสอร์ทแล้วเค้ายังมีธุรกิจอะไรบนเกาะนี้อีกบ้าง?”

          ในหัวของจอสว่างเปล่า ไม่มีคำตอบใดๆ สำหรับคำถามนี้ เด็กหนุ่มเพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าแม้จะอยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เขาก็เคยรู้เรื่องอะไรของวินทร์มากไปกว่าเท่าที่เห็นเลย อีกทั้งอีกฝ่ายก็ไม่เคยจะเล่าอะไรเกี่ยวกับตนเองให้ฟังด้วย ซึ่งในเวลานั้นมันไม่รบกวนจิตใจของจอสเพราะเขาคิดว่าก็เป็นเรื่องยุติธรรมดีแล้ว เนื่องจากตนก็ไม่ได้เล่าชีวิตส่วนที่ปกปิดไว้ให้วินทร์ฟังเช่นกัน แต่ในเวลานี้เมื่อมีนมาพูดให้สงสัย มันก็ทำให้ใจอดไม่ได้ที่จะกระหายใคร่รู้ขึ้นมา

          “มึงไม่สงสัยบ้างเหรอ? ว่านายจ้างกูเป็นใคร ทำไมถึงใจดีกับกูนัก ถึงขนาดหาที่พักส่วนตัวให้อยู่ฟรีๆ” มีนขมวดปมเข้ามาถึงจุดอันเป็นชนวนเหตุ “มึงน่ะไม่ใช่เด็กหลงทางคนแรกที่เค้าเก็บมาเลี้ยงหรอกนะ”

          “มึงจะพูดอะไรก็พูดมาตรงๆ” จอสตอบกลับไป แต่ด้วยจิตใจที่ไขว้เขวทำให้น้ำเสียงกลับฟังดูอ่อนแอราวกับคนป่วย

          “ก็เอาเป็นว่าจุดที่มึงยืนอยู่ตอนนี้ ไอ้ที่ได้นั่งชูคออยู่ร่วมชายคากับเค้าน่ะ กูเคยไปยืนมาแล้ว” มีนยิ้มมุมปากเหมือนเย้ยหยัน “แล้วถ้าสักวัน มีเด็กหลงทางคนใหม่ที่เค้าเห็นว่าน่าเอ็นดูพอจะเก็บมาเลี้ยง มึงก็เตรียมตัวลงมาอยู่จุดเดียวกับกูได้เลย แต่ก็ดีนะมึง อิสระดี แค่เวลาที่เค้าโทรมาบอกว่าจะมาหามึง มึงก็ต้องเคลียร์ตัวเองให้ว่างไว้เท่านั้นเอง”

          “ไร้สาระ… มึงหุบปากไปเลย…” จอสไม่อยากได้ยินอะไรมากกว่านี้แล้ว บางสิ่งในจิตใจที่ตรึงรั้งตัวตนอันเป็นปกติไว้กำลังจะหมดแรงยึดเหนี่ยว

          “ถ้ามึงไม่เชื่อหรือยังไม่อยากจะเชื่อ กูมีหลักฐานที่จะทำให้มึงจำใจต้องเชื่อ” มีนงัดไพ่ใบสุดท้ายออกมา เด็กหนุ่มล้วงหยิบบางอย่างออกมาจากในกระเป๋ากางเกงก่อนจะโยนมันใส่จอส ซึ่งอีกฝ่ายก็รับเอาไว้ได้ทัน “ดูเอาซะ กูว่ามึงก็คงมีอะไรแบบนี้เหมือนกัน”

          จอสดูสิ่งที่ตนกำเอาไว้อยู่ในอุ้งมือก่อนจะต้องเบือนหน้าหนีไม่อาจทนมองมันต่อได้ เมื่อสิ่งที่มีนเพิ่งโยนมาให้นั้นมันคือแหวนเงินซึ่งไม่มีตรงไหนแตกต่างจากวงที่อยู่บนมือของเขาเลย หากจะมีก็เพียงขนาดที่ดูจะเล็กกว่าตามนิ้วของผู้ใส่ ถึงแม้จอสจะรู้ดีจากประสบการณ์ผ่านวันเวลาที่รู้จักคบหากันมาว่าคำพูดของมีนนั้นไม่อาจเชื่อถือได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่กับครั้งนี้ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะมีหลักฐานรองรับจนไม่อาจเปลี่ยนความคิดให้เป็นอื่นได้ เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนพื้นดินใต้เท้าปริแตกออกและสลายหายไปเหลือแต่เพียงเวิ้งความมืดดำไร้ที่สิ้นสุด ตัวตนอันแสนเปราะบางของเขากำลังจะร่วงหล่นลงไปเบื้องล่างนั้นในขณะที่เงาดำมืดซึ่งแสนจะน่าชิงชังได้โอกาสที่จะปีนกลับขึ้นมาสู่พื้นผิวอีกครา

          “มึงมีอะไรจะถามกูเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า? กูจะตอบให้ จะได้ไม่มากล่าวหากูทีหลังว่ามาพูดอะไรคลุมเครือให้มึงเข้าใจผิดไปเอง” มีนพูดต่อโดยทันได้สังเกตว่าจอสเริ่มมีอาการผิดปกติ เขาคิดว่ามันเป็นแค่อาการโกรธธรรมดาเท่านั้น “กูก็สงสัยอยู่ว่าทำไมระยะหลังเค้าถึงไม่มานอนค้างกับกูเลย ที่แท้ก็กำลังเห่อมึงนี่เอง”

          “มึงโกหก” จอสตัวสั่น ดวงตาพร่าไปด้วยน้ำตาที่เอ่อขึ้นมา “กูไม่เชื่อมึง…”

          “โธ่ คุณหัสนัยน์…” มีนพูดด้วยน้ำเสียงสมเพช “เห็นไปเป็นดาราอยู่ตั้งนาน ผมนึกว่าคุณจะแสดงละครได้เก่งกว่านี้นะ”

          สติของจอสขาดผึง มือกำหมัดแน่น น้ำตาที่เอ่อหยดลงมาเพียงแค่หยดเดียวก่อนที่จะเหือดหายไปด้วยเพลิงที่เผาอยู่ในดวงตา ร่างกายสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธแต่เขาเลือกที่จะเดินหันหลังกลับออกมาจากตรงนั้นเพราะรู้ดีว่ามีนไม่ใช่คนที่จะต้องสะสางด้วยในเวลานี้ เด็กหนุ่มเดินมุ่งหน้าตรงกลับไปยังรีสอร์ทที่ซึ่งมีบุคคลอันเป็นเป้าแห่งโทสะอยู่ วินทร์กำลังเก็บกวาดบริเวณกรงนอนของโจโฉอยู่ในตอนที่จอสเดินกลับเข้ามา เขาวุ่นวายกับงานจนไม่ทันสังเกตเห็นเลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในสภาพอารมณ์ปกติ

          “กลับมาแล้วเหรอครับ?” วินทร์ถามเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่ข้างหลัง

          “พี่สนุกมากใช่ไหม?” จอสถาม “เห็นผมโง่มากนักเหรอ?”

          “อะไรอีกล่ะ?” วินทร์วางมือจากงาน “เมื่อกี้ก็ยังเห็นดีๆ อยู่เลย เป็นอะไรอีกแล้ว?”

          ทันทีที่วินทร์หันหน้ากลับมาหา จอสก็จัดการซัดกำปั้นลุ่นๆ ใส่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง ผิวบริเวณโหนกแก้มใต้ตาขวาของวินทร์ถึงกับแตกจนเลือดซึมออกมา การใช้กำลังยิ่งเหมือนโหมไฟแห่งความโกรธเกรี้ยวให้รุนแรงมากขึ้น เด็กหนุ่มหน้ามืดไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นแล้วในขณะนี้ เขาเหวี่ยงกำปั้นซัดซ้ำลงไปอีกหลายต่อหลายครั้ง โจโฉซึ่งอยู่ในกรงส่งเสียงเห่ากรรโชกเมื่อเห็นเจ้านายถูกทำร้ายแต่ก็ไม่อาจออกมาช่วยได้ วินทร์ได้แต่ปกป้องตัวเองจนกระทั่งสบโอกาสจึงหยุดอีกฝ่ายไว้ได้ด้วยการจับข้อมือแล้วบีบเอาไว้แน่นชนิดที่มากพอจะสร้างความเจ็บปวดแก่เจ้าของมือได้ แต่ความเจ็บเพียงเท่านั้นไม่อาจดึงตัวตนของจอสให้พ้นกลับขึ้นมาจากเวิ้งแห่งความมืดดำที่จิตใจกำลังจมดิ่งอยู่ได้ เขาพยายามดิ้นให้หลุดแต่เมื่อสู้แรงคนโตกว่าไม่ได้จึงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดราวกับสัตว์ร้ายที่ติดกับของนายพราน

          “จอส หยุด!!” วินทร์ร้องห้าม แม้เรี่ยวแรงจะมีมากพอจะหยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย แต่ใจก็ยังอดไม่ได้ที่หวาดหวั่นต่อพายุอารมณ์ที่อีกฝ่ายสาดโถมเข้ามา มันรุนแรงน่ากลัวจนดูราวกับผีร้ายที่กำลังคลั่ง “เป็นอะไรไป มีอะไรมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ! ”

          “คุยเพื่ออะไร? พี่จะได้โกหกผมต่อไปเรื่อยๆ งั้นเหรอ? ! ” จอสตะคอกใส่หน้า

          “โกหกเรื่องอะไร! ?” วินทร์ตะโกนถามกลับไป เพราะรู้ดีว่าเสียงพูดปกติไม่อาจเข้าถึงอีกฝ่ายได้แน่ในอารมณ์แบบนี้ “เลิกเป็นบ้าแล้วบอกมาสิว่าพี่โกหกนายเรื่องอะไร? ! ”

          “ก็เรื่องนี้ไง กล้าพูดไหมว่าไม่เคยเห็นแหวนวงนี้? ! ” จอสล้วงแหวนที่ได้จากมีนออกมาแล้วโยนลงบนพื้น มันกระเด้งตามแรงกระแทกก่อนจะกลิ้งไปหยุดตรงปลายเท้าของวินทร์ “บอกมาสิว่าพี่ให้แหวนแบบนี้กับใครไปบ้าง แล้วไหนจะเรื่องธุรกิจลับๆ ของพี่อีก”

          วินทร์ก้มลงมองดูแหวนที่ปลายเท้าตนแล้วก็ถึงกับหน้าถอดสี ด้วยคาดไม่ถึงว่ามันจะมาอยู่กับจอสได้ โจโฉยังส่งเสียงเห่าไม่หยุดจนวินทร์ต้องหันไปส่งสัญญาณให้มันเงียบก่อนจะกลับมาสะสางเรื่องของตนต่อ

          “นายไปเอามันมาจากไหน? มีนงั้นเหรอ?” วินทร์ถาม มือยังไม่ปล่อยแขนจอสเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่ยอมคุยแล้วโจมตีตนต่อแน่

          “ไม่สำคัญหรอก” จอสสะบัดตัวอย่างแรงจนหลุดจากการจับกุมได้ แต่ก็เสียหลักล้มลงไปกับพื้นเช่นกัน “ห่าเอ๊ย! ”

          “ไม่ว่านายจะรู้อะไรมา มันจบไปแล้ว” วินทร์พยายามอธิบาย ใจอยากจะเข้าไปพยุงจอสขึ้นมาแต่ก็ยังเกรงท่าทางฮึดฮัดของอีกฝ่ายที่ดูอันตรายเสียเหลือเกิน “พี่ยอมรับมันเคยเกิดขึ้นจริง ก่อนหน้านายจะมาถึง แล้วมันก็จบลงก่อนหน้านายจะมาถึงหลายเดือนแล้วเหมือนกัน ส่วนเรื่องธุรกิจบาร์ พี่เป็นแค่หุ้นส่วนเท่านั้น ที่ไม่เล่าให้นายฟังเพราะมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้น”

          “งั้นของผมมันจะจบเมื่อไหร่ล่ะ?” จอสยังไม่สงบ “เมื่อมีคนใหม่ที่ถูกใจกว่าเข้ามางั้นเหรอ? เมื่อไหร่ที่ผมจะโดนเฉดหัวออกไปอยู่ที่อื่นเหมือนไอ้มีน? แล้วไอ้แหวนเฮงซวยนี่มันมีความหมายอะไรมากไปกว่าปลอกคอแสดงความเป็นเจ้าของที่พี่สวมให้คนที่พี่นอนด้วยทุกคนหรือเปล่า?”

          “อย่ามาพูดแบบนั้นกับพี่นะ” วินทร์เจ็บขึ้นมากลางอกเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา

          “ทำไม? มันแทงใจดำเหรอ?” จอสยังพ่นคำพูดร้ายกาจออกมาไม่หยุด แม้จะรู้จากใบหน้าเจ็บปวดของผู้ฟังว่าควรพอแล้วแต่ก็ไม่อาจหยุดตัวเองได้ “หรือเพราะเจ็บใจที่ผมรู้ทันแผนของพี่?”

          “บอกให้พอไง…” วินทร์พยายามใช้ความสงบจบเรื่องนี้ เขาเดินเข้าไปพยุงให้จอสลุกขึ้น “มาเถอะ ลุกขึ้นครับ เข้าบ้านกันดีกว่านะ นายกำลังโกรธ เอาไว้ดีขึ้นเราค่อยมาคุยกันดีกว่า”

          “อย่ามายุ่งกับผม ไอ้พวกตอแหล!!! ” จอสกระถดตัวหนี

          เมื่อพ้นจากมือของอีกฝ่ายเด็กหนุ่มฉวยคว้าก้อนหินจากบนพื้นขึ้นมาแล้วขว้างสวนกลับไป มันกระแทกเข้าที่หน้าผากของวินทร์แบบเต็มๆ เขาผงะถอยออกมือยกขึ้นกุมยังจุดที่เกิดการปะทะพร้อมกันกับเลือดที่เริ่มไหลออกมาจากปากแผล

          “ถ้านายจะเป็นแบบนี้ เราคงไม่ต้องคุยอะไรกันต่อแล้วล่ะครับ เปล่าประโยชน์” วินทร์หมดความอดทนกับความไร้เหตุผลของจอส ด้วยไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของอีกฝ่าย

          “ได้งั้นก็ดี!” จอสรู้สึกเหมือนกำลังจะอาเจียน ความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้นมากจนเกินกว่าที่สมองจะรับไหว

          “ถ้าไม่เข้าบ้านตามที่พี่บอก นายอยากจะไปไหนก็ไปเถอะ” วินทร์ปาดเลือดที่กำลังจะไหลลงมาเข้าตาออก “เรื่องของเราก็พอกันแค่นี้แหละ พี่ไม่อยากเกลียดนายมากไปกว่านี้ ขอบคุณมากสำหรับช่วงเวลาที่ผ่านมา”

          “ก็เท่านั้นแหละ...” จอสเสียงแผ่วอ่อนลงด้วยความเจ็บราวกับถูกมีดกรีดลงกลางหัวใจ “ผิดจากที่ผมบอกเอาไว้ไหมล่ะ ว่าสุดท้ายแล้วก็จะเป็นพี่ที่ไม่อยากเป็นอะไรกับผมทั้งนั้น”

          “พี่ไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องนี้นะ” วินทร์โมโหที่จอสพูดเหมือนตนเป็นคนผิด

          “รู้… ผมรู้ ไม่ใช่พี่ แต่เป็นผมเอง พี่ไม่ผิดหรอก ไม่ผิดเลย” จอสยันตัวลุกขึ้นยืน ความเจ็บทางใจเมื่อครู่ได้ผลชะงัด เงามืดดำได้สลายหายไปเหลือไว้แต่เพียงหมอกแห่งความเศร้าซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่า “ผมมันของพังแล้ว ไม่มีใครอยากได้ของที่พังแล้วหรอก”


To be continued...
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 5 [2-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 06-06-2018 09:54:58
จอส ยอมๆ ไปเถอะ ดูแล้วแพ้หมดทุกทางเอย  :เฮ้อ:

แพ้หมดรูปจริงๆงานนี้  :hao5:



:L2: :pig4:

ขอบคุณการลงอย่างสม่ำเสมอ

ครับ จะพยายามไม่ห่างไม่หายครับ  :katai4:



จอสเค้าน่าเอ็นดูนะคะ​ สงสารอ่ะ​ คนมีปม​ หวังว่าพี่วินทร์จะรักและเอ็นดูไปตลอด​ ยอมรับน้องให้ได้ :katai2-1:

ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าน้องเป็นอะไรก็ยังรับได้ แต่รู้แล้วจะยังเหมือนเดิมไหมก็ต้องรอดูครับ  :ling3:



:pig4: :pig4: :pig4:

บอกแล้วว่า "แพ้ทาง"

ยังไงก็ไม่รอดหรอก  นุ้งจอส

ป.ล. ก็อีกเรื่องเฉลยมาแล้วนิ ว่าคบกันเป็นแควน  อิอิ

อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้น้า อิอิอิ :hao6:



อิพี่วินทร์มันร้ายนัก
น้องจอสสู้ๆ

ไม่ร้ายคงปราบน้องจอสไม่ลง  :hao7:


หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 6 [6-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-06-2018 09:58:19
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :sad11: :sad11: :sad11:

น่าสงสารนุ้งจอส  อาการไบโพลาร์กำเริบ  อิพี่วินทร์ไม่รู้ก็เลยไปกันใหญ่
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 6 [6-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-06-2018 11:06:39
ไม่ฟังเหตุผล วู่วาม ก็ออกมาแบบนี้
แล้วเจ็บทั้งคู่  ทั้งที่กำลังจะดีๆกันแล้ว  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถ้าฟังหูไว้หู ก็จะดีนะจอส  :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 6 [6-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-06-2018 16:06:56
พี่มันเลว หรือนังมีนมันแค้น  :katai1:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 6 [6-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 07-06-2018 21:50:53
นัองจอสค่อยๆตั้งสตินะคับ
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 7 [9-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 09-06-2018 11:57:19
Episode 7


          แกทำพังอีกจนได้… กี่ครั้งแล้วที่เป็นแบบนี้...

          จอสนึกด่าตัวเองอยู่ในใจขณะเดินออกมาจากรีสอร์ท เมื่อมองย้อนกลับไปด้วยความหวังอันน้อยนิดว่าจะเห็นวินทร์ยังคงยืนมองอยู่จากตรงนั้น แต่ในความเป็นจริงก็มีแต่ความผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายกลับเข้าไปในบ้านแล้ว ซึ่งเด็กหนุ่มก็ไม่แปลกใจเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นมันรุนแรงและไร้เหตุผลจนเกินกว่าที่ใครจะมายอมรับได้แม้จะรักแค่ไหนก็ตามที การย่างเท้าเดินแต่ละก้าวนั้นช่างหนักอึ้งเมื่อตระหนักดีว่าแสงสว่างในชีวิตที่เคยคิดว่าเป็นดวงดาวบัดนี้กลับดับวูบไปเป็นเพียงแค่ดอกไม้ไฟ และแน่นอนว่าจอสไม่อาจโทษใครได้เลยนอกจากตัวเอง

          วินทร์มีเหตุผลทุกอย่างที่เขาควรจะรับฟัง แม้จะอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความโกรธที่ควบคุมไม่ได้แต่จอสก็รับรู้และเข้าใจทุกอย่างที่อีกฝ่ายพยายามอธิบาย หากแต่ไม่อาจหยุดตัวเองได้ ความเกรี้ยวกราดที่สาดออกไปนั้นน่ารังเกียจจนแม้กระทั่งตัวของเขาเองยังไม่อยากจะนึกถึง ซึ่งก็เหมือนกับทุกครั้งที่มันเคยเกิดขึ้นที่ในเวลานี้ความหดหู่และเสียใจจะตามมาเป็นคลื่นระลอกสองที่ถาโถมซัดให้จิตใจเสียหลัก เหมือนกราฟที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุดแล้วร่วงลงมาแตะก้นเหว จอสรู้ดีว่าการอยู่คนเดียวในช่วงเวลาแบบนี้ย่อมนำพาไปสู่การทำอะไรโง่ๆ เช่นทำร้ายตัวเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเริ่มมองหาใครสักคนที่พอจะอยู่เป็นเพื่อนได้จนกระทั่งถึงเวลาเช้าที่เรือข้ามฟากจะให้บริการอีกครั้ง และถึงตอนนั้นเขาจะไปจากที่นี่และทิ้งทุกอย่างให้เป็นเพียงแค่ความหลัง

          ความสิ้นหวังทำให้จอสรู้สึกเหมือนตัวเองหมดทางเลือก อับจนหนทางไป ถึงแม้จะเกลียดแสนเกลียดแต่ในเวลานี้ก็คงมีแต่มีนคนเดียวที่พอจะเป็นที่พึ่งพาได้ แม้จะรู้ดีว่าอาจต้องพบเจอกับความน่าหงุดหงิดรำคาญใจ แต่ถึงอย่างไรก็คงดีกว่านั่งทำร้ายตัวเองอยู่คนเดียวแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังบ้านพักของมีนที่ซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งรออยู่ด้านหน้าราวกับรู้อยู่ล่วงหน้าแล้วว่าอีกฝ่ายจะมา

          “มึงมาช้ากว่าที่กูคิด” มีนทักทายเมื่อเห็นจอสปรากฎตัวขึ้น

          “สะใจมึงแล้วสิ” จอสไม่มีอารมณ์จะทะเลาะหรือแม้แต่จะต่อล้อต่อเถียงกับใครแล้ว

          “นิดนึง” มีนยอมรับ แล้วลุกมาประคองจอสไปนั่ง

          “แต่กูไม่โทษมึงหรอก ลำพังลูกไม้ปั่นหัวของมึงก็ทำได้แค่ให้กูโกรธ” จอสสะบัดแขนมีนออก “ที่มันฉิบหายป่นปี้แบบตอนนี้ มันเป็นปัญหาจากตัวกูเองทั้งนั้น”

          “ไม่มีใครยอมรับมึงได้แบบที่กูยอมรับหรอก” มีนตบบ่าจอส “มึงก็รู้ว่าเราสองคนมันพวกของชำรุดทั้งคู่ แต่พอมาอยู่ด้วยกันมันก็เติมเต็มกันได้พอดี”

          “อย่าเอากูไปจัดเข้าประเภทเดียวกับมึง” จอสรับไม่ได้ “กูไม่เหมือนมึง”

          “มึงจะพูดยังไงก็ได้” มีนยักไหล่เหมือนไม่แคร์ “แต่ก็ดูเอาสิ ว่าตอนนี้ใครกันที่ซมซานมาหากู”

          “กูแค่หาที่นอน เช้ากูจะขึ้นฝั่งกลับกรุงเทพแล้ว” จอสบอกให้อีกฝ่ายเลิกสำคัญตัวเองผิด

          “โอเค…” มีนไม่ขัด แค่จอสมาที่นี่ก็ถือว่าเข้าทางแผนการที่วางไว้แล้ว “เดี๋ยวกูไปหาอะไรให้มึงดื่มก่อน หรือว่าอิ่มน้ำตาจนกินอะไรไม่ลงแล้ว?”

          จอสปัดมือไล่ให้มีนไปให้พ้นๆ ตา เด็กหนุ่มหัวเราะก่อนจะปลีกตัวเข้ามาในบ้าน เมื่อลับสายตาของจอสแล้วมีนจึงค่อยหยิบขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบผสมสำเร็จออกมาจากในตู้เย็นก่อนจะเปิดฝาแล้วเทของเหลวไร้สีไร้กลิ่นในขวดสีชาลงไปจากนั้นจึงแกว่งขวดเขย่าให้ทั้งหมดผสมเข้าด้วยกันแล้วนำไปเสิร์ฟให้กับจอสที่นั่งรออยู่ด้านนอก

          “เอ้า แดกซะ จะได้เลิกเครียด” มีนส่งขวดให้กับจอสที่นั่งหน้าซึมเซาหมดอาลัยตายอยากอยู่

          จอสไม่ปฏิเสธอะไรก็ตามที่สามารถทำให้สติสัมปชัญญะของตนหันเหออกห่างจากเรื่องที่กำลังรุมเร้าอยู่ เขารับมันมาแล้วกระดกดื่มเข้าไปรวดเดียวครึ่งขวดก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อช่วงหัวค่ำตนมัวแต่วุ่นวายกับการทะเลาะกับวินทร์จนลืมกินยาจึงรีบหยิบตลับใส่ยาออกมาจากในกระเป๋ากางเกงแล้วเทยาทั้งหมดที่เหลือในนั้นเข้าปากและกลืนลงคอไป อันที่จริงมันเป็นยาสำหรับช่วงเวลาหลังอาหารเย็นแต่คงไม่จำเป็นแล้วในเวลาที่ความอยากอาหารหดหายไปหมดสิ้นเช่นนี้ จะกินตอนไหนก็คงมีค่าเท่ากัน เด็กหนุ่มรีบกระดกเครื่องดื่มที่เหลือตามลงไปจนหมดขวดเพื่อบรรเทาอาการขื่นคอแล้วจึงค่อยพาตัวเองเข้าไปในบ้าน

          “อาบน้ำหน่อยไหม?” มีนยื่นผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ให้ “หรือจะให้กูอาบด้วยก็ได้นะ”

          “อาบกับมึงมีแต่จะสกปรกขึ้นกว่าเดิมน่ะสิ” จอสรับผ้ามา เมื่อมองดูสภาพตัวเองที่มอมแมมจากฝุ่นดินที่เลอะตัวตอนหกล้มเมื่อครู่ การอาบน้ำชำระล้างร่างกายก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าปฏิเสธ อย่างน้อยเมื่อรู้สึกสบายตัวก็คงทำให้ข่มตาหลับในที่ๆ ไม่คุ้นเคยได้ง่ายขึ้นบ้าง

          “งั้นมึงก็ไปอาบก่อนเลยไป เดี๋ยวกูจะได้อาบบ้าง” มีนปล่อยให้จอสอาบน้ำคนเดียวตามที่ต้องการ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่เขาผสมลงไปในเครื่องดื่มของจอสก็คงต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่งกว่าจะออกฤทธิ์ ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็คงจะกลายเป็นแค่แมวเชื่องๆ ให้เขาได้เล่นสนุกด้วยได้ตามใจชอบ ดังนั้นการยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานก็ย่อมเป็นผลดีกว่า

          มีนจ้องมองดูจอสซึ่งกำลังสลัดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ออกจนเหลือแต่กางเกงชั้นในอย่างไม่วางตา ใจนึกชื่นชมอดีตคนรักที่มีพัฒนาการไปในทิศทางที่ดีมากเมื่อเทียบกับสมัยที่ยังคบกันอยู่ ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายภายนอกที่ดึงดูดสายตาไปทุกสัดส่วนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทุกสิ่งอันที่ประกอบขึ้นเป็นตัวตนของอีกฝ่ายด้วย ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามในเวลานี้แววตาของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ว่างเปล่าไร้วิญญาณเหมือนเมื่อสมัยมัธยมอีกต่อไปแล้ว จอสคนใหม่กลายเป็นคนที่ไม่ยอมให้เขาชักจูงได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน จากของตายกลายเป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าเอาชนะ และนั่นทำให้เขาอยากจะกลับมาเป็นผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าที่เคยปล่อยให้หลุดมือไปแล้วนี้อีกครั้ง แม้จะต้องใช้วิธีสกปรกเช่นนี้ก็ตาม

          ในห้องน้ำ จอสปล่อยให้น้ำจากฝักบัวไหลรดร่างกายไปเรื่อยๆ ขณะที่ในสมองนึกอยากให้ความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหลายที่รุมเร้าจิตใจอยู่ถูกชำระล้างออกไปตามสายน้ำได้เหมือนกับความสกปรกตามร่างกาย แม้กระทั่งตอนนี้จอสก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเรื่องของเขาและวินทร์ได้มาถึงจุดจบแล้ว ทั้งที่ทุกอย่างดูเหมือนกำลังจะไปได้ดีแท้ๆ มันคงไม่เป็นเช่นนี้หากเขามีสภาพจิตใจที่เป็นปกติเหมือนคนทั่วไป หากเป็นเช่นนั้นเขาก็คงจะควบคุมอารมณ์ของตนเอาไว้ได้และรับฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างลุกลามจนพังพินาศแบบนี้

          ร่างของจอสสะท้านเฮือกเมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะจนเกิดอาการปวดเสียดขึ้นกลางอก เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ทันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ร่างกายจะเริ่มอุ่นจนกลายเป็นร้อนเหมือนมีไฟรุมสุม ทว่านั่นก็ไม่ได้สร้างความสงสัยอะไรให้กับเขามากนักด้วยเข้าใจไปว่ามันเป็นเพียงอาการข้างเคียงจากการดื่มแอลกอฮอล์ จอสพยายามรีบถูสบู่ด้วยมือที่สั่นราวกับกล้ามเนื้อกำลังจะหมดเรี่ยวแรงจนกระทั่งชำระล้างร่างกายเสร็จจึงค่อยเช็ดตัวแล้วออกมาจากห้องน้ำ มีนนำเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนมาให้ก่อนที่เจ้าตัวจะเข้าไปอาบน้ำต่อเป็นคิวถัดไป

          เมื่อไม่อยากนอนร่วมเตียงกับมีน จอสจึงไม่มีทางเลือกอื่นเหลือนอกจากนอนบนโซฟาของชุดรับแขกซึ่งเล็กกว่าตัวของเขามาก เด็กหนุ่มขยับจัดท่าทางจนได้ที่แล้วจึงหลับตาพยายามข่มจิตใจให้สงบเพื่อพักผ่อนรอเวลาเช้าของวันใหม่แต่ทว่าร่างกายที่เกิดอาการร้อนวูบวาบแบบแปลกๆ และหัวใจเต้นรัวแรงจนผิดปกติกลับทำให้ร่างกายตื่นตัวจนเกินจะข่มตาให้หลับได้ เหงื่อกาฬเม็ดเป้งผุดออกมาทั่วใบหน้าและแผ่นหลังในขณะที่ฝ่ามือและเท้าเย็นเฉียบราวกับถูกน้ำแข็งเกาะ นี่ไม่ใช่อาการจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นแล้วแต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคืออะไร

          จอสพยายามลุกขึ้นจากโซฟาแต่ขาที่จู่ๆ ก็เกิดเปลี้ยหมดแรงก็ทำให้เขาต้องล้มกลับลงไปอีกรอบบนโต๊ะกระจกด้านหน้าโซฟา เสียงโครมครามเรียกให้มีนซึ่งอยู่ในห้องน้ำออกมาดูก่อนจะพบว่าบัดนี้จอสได้ลงมานอนกองจมกองเศษกระจกที่แตกอยู่บนพื้น ร่างกายชักเกร็งกระตุกน้ำลายฟูมเป็นฟองสีขาวท่วมปาก

          “ฉิบหายแล้วไง!” มีนรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายใกล้ๆ

          ใบหน้าของจอสเริ่มเปลี่ยนสีในขณะที่อาการชักยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก สารเคมีที่เขาผสมลงในเครื่องดื่มของจอสนั้นไม่ควรจะให้ผลเช่นนี้ มันควรจะแค่ทำให้อีกฝ่ายมึนงงและเคลิบเคลิ้มยอมโอนอ่อนผ่อนตามทุกอย่างที่เขาต้องการเหมือนเช่นครั้งที่เขาเคยใช้มันกับดนูน้องชายของวินทร์ ต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ มีนลุกขึ้นแล้วรีบค้นหาเบอร์โทรฉุกเฉินของหน่วยกู้ภัยในท้องที่เพื่อพาจอสไปส่งโรงพยาบาล แต่ก็มืดแปดด้านเพราะจะด้วยความรีบร้อนลนลานหรืออะไรก็ตามที เขาไม่สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้ในเวลาที่จำเป็นที่สุดเช่นนี้ และในตอนนั้นเองหนทางหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว เป็นหนทางสุดท้ายบนโลกนี้ที่มีนอยากจะใช้แต่ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้วในเวลานี้ เด็กหนุ่มรีบกดโทรศัพท์หาเบอร์ของวินทร์ที่เคยบันทึกเอาไว้ก่อนจะกดโทรออก เสียงรอสายดังขึ้นอยู่หลายครั้งซึ่งมีนก็พอเข้าใจเหตุผลถ้าอีกฝ่ายจะไม่อยากรับ เขาทำได้เพียงแค่ภาวนาให้วินทร์ยอมรับสายในขณะที่อาการของจอสดูจะแย่ลงในทุกขณะ

          “มีอะไรก็รีบว่ามา” ในที่สุดคำภาวนาของมีนก็ได้รับการตอบสนอง

          “พี่ จอสอยู่กับผม อาการไม่ดีเลย พี่มาช่วยที” มีนรีบระล่ำระลักบอก

          “จะลูกเล่นอะไรอีก?” วินทร์ไม่เชื่อ เพราะคิดว่าเป็นอีกหนึ่งหลุมพรางของมีน “คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอว่านายเป็นคนไปปั่นหัวให้จอสมาโวยวายใส่พี่น่ะ”

          “เรื่องนั้นไว้ทีหลังได้ไหมครับ” มีนแทบจะก้มลงกราบถ้าทำได้ “ตอนนี้จอสมันจะไม่ไหวแล้ว พี่รีบมาพามันไปโรงพยาบาลก่อนเร็ว”

          บางอย่างในความรู้สึกของวินทร์บอกว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริง เขารีบวางสายจากมีนแล้วตรงไปยังบ้านพักก่อนจะรีบพาจอสซึ่งตอนนี้อาการชักสงบลงแล้วแต่ที่น่าเป็นกังวลกว่าคือใบหน้าและริมฝีปากที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงจากการขาดออกซิเจน ซึ่งบ่งบอกว่าเด็กหนุ่มหยุดหายใจมาได้ระยะหนึ่งแล้ว วินทร์ทำการผายปอดแบบเป่าปากเพื่อช่วยหายใจระหว่างที่รอรถพยาบาลมาถึง จนกระทั่งมาถึงโรงพยาบาลจอสก็ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินไปปล่อยให้วินทร์และมีนนั่งรออยู่ด้านนอกอย่างเป็นกังวล

          “ผมไม่ได้ตั้งใจ…” มีนเสียงสั่น หน้าซีด เมื่อรู้ดีว่าหากจอสเป็นอะไรไป เขาจะมีความผิดทางกฎหมายทันที

          “ทำไปทำไม? พี่ไม่เข้าใจนายเลยให้ตายสิ ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?” แม้จะอยากต่อว่าอีกฝ่ายแรงๆ แต่ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาการของจอสก็ทำให้เขาไม่อาจจะโฟกัสความสนใจไปที่เรื่องอื่นได้ “เมื่อไหร่จะเลิกสักทีนิสัยที่ชอบทำเหมือนคนอื่นเป็นของเล่นตัวเอง?”

          “มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ” มีนไม่เข้าใจว่าทำไมจอสถึงตอบสนองต่อฤทธิ์ยาอย่างรุนแรงเช่นนี้

          “รู้จักกับจอสมาก่อนเหรอ?” วินทร์ถาม ก่อนจะเขย่าที่ไหล่แล้วถามซ้ำเมื่อเห็นว่ามีนยังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “พี่ถามว่านายรู้จักกับจอสมาก่อนงั้นเหรอ?”

          “อ่ะ อืม…” มีนพยักหน้า “เราเคยคบกันสมัยมัธยม”

          “แล้วทำไมทำกับเค้าแบบนี้?” วินทร์ไม่เข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้คิดอยู่จริงๆ “โกรธพี่ก็มาลงกับพี่สิ ไม่ใช่ไปทำกับคนที่เค้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แถมยังเป็นคนรู้จักของตัวเองอีก ทำลงไปได้ยังไง”

          “ผมไม่ได้ทำเพราะโกรธ…” มีนก้มหน้าเสียงอ่อย

          มีนเป็นคนที่ซับซ้อน วินทร์พอจะรู้ถึงเรื่องนี้ดีนับตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ทั้งสองรู้จักกัน เด็กหนุ่มคนนี้เดินทางมาถึงเกาะโดยมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าและเงินติดตัวเพียงไม่กี่พันบาท มีนได้เข้ามาพักอยู่ที่รีสอร์ทจนกระทั่งเงินหมดจึงได้เอ่ยปากของานทำ แต่ถึงแม้จะอยู่ในสภาวะถังแตกแต่อีกฝ่ายก็ยังดูผ่อนคลายไร้ความวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น จนในที่สุดวินทร์ก็อดรนทนไม่ได้ต้องพาไปฝากงานให้ที่บาร์ซึ่งเขาเป็นหุ้นส่วนก่อนที่ความใกล้ชิดสนิทสนมจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มเกินเลยไปกว่าคำว่านายจ้างและลูกจ้าง และหลังจากนั้นไม่นานก็เป็นวินทร์เองอีกนั่นแหละที่ตัดสินใจถอยห่างออกมาและลดระดับความสัมพันธ์ลงเนื่องจากรับไม่ได้กับพฤติกรรมรักสนุกจนเกินขอบเขตของมีน เด็กหนุ่มเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับทุกอย่างที่อาจพาให้ชีวิตย่ำแย่ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กส์กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอ ยาเสพติด และเลยเถิดไปจนถึงขั้นมอมยาดนูน้องชายของวินทร์ ซึ่งเป็นจุดแตกหักที่ทำให้วินทร์ตัดสินใจจบทุกอย่างลงในทันที แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าประวัติศาสตร์จะวนกลับมาซ้ำรอยอีกครั้งกับจอสในวันนี้

          หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมง หมอจึงได้ออกมาจากห้องฉุกเฉินและแจ้งกับวินทร์ซึ่งเป็นเจ้าของไข้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับจอสคืออาการช๊อคจากการใช้ยาเกินขนาด หมอตรวจพบแอลกอฮอล์และตัวยาหลายชนิดในเลือดซึ่งล้วนแล้วส่งผลต่อระบบประสาททั้งสิ้น ตอนนี้ได้ทำการรักษาเบื้องต้นจนพ้นขีดอันตรายแล้วและจะต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลบนแผ่นดินใหญ่ที่มีเครื่องมือทางการแพทย์พร้อมกว่าสำหรับการเฝ้าระวังดูอาการต่อไป เนื่องจากสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่แท้จริงในเวลานี้คือการที่สมองของจอสอยู่ในสภาวะขาดออกซิเจนมานานเกินไป ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเด็กหนุ่มจึงยังหลับไหลไม่ได้สติจนกระทั่งในเวลานี้

          “นายใช้อะไรกับเค้ามั่ง?” วินทร์ถามมีนหลังจากที่หมอขอตัวไปจัดการเรื่องเอกสารส่งตัวจอส “ตอบมาสิว่าใช้ยาอะไรกับเค้ามั่ง!?”

          “ผมใช้แค่ตัวเดียว” มีนดูสับสน “เหมือนที่เคยใช้กับนูตอนนั้น มันแค่ยากล่อมประสาทธรรมดา”

          “แล้วทำไมหมอบอกว่ามียาในเลือดเค้าหลายตัวล่ะ หยุดโกหกแล้วพูดความจริงมาซักที! ” วินทร์เหลืออดเพราะคิดว่ามีนยังปากแข็งไม่พูดความจริง แต่ในวินาทีต่อมาเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกกับน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้าของอีกฝ่าย เขาก็รู้ว่ามีนได้พูดทั้งหมดที่ตนรู้ไปแล้ว “ช่างมันเถอะ รู้ไปก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว นายกลับไปเถอะ เดี๋ยวที่เหลือพี่จัดการเอง”

          “จอสมันกินยาอะไรก็ไม่รู้…” มีนพูดถึงสิ่งที่ตนเห็นเมื่อช่วงหัวค่ำ “ก่อนที่มันจะเข้าไปอาบน้ำ มันกินยาอะไรบางอย่าง”

          “งั้นเหรอ?” วินทร์นึกถึงขวดยาที่ตนเจอในกระเป๋าเสื้อผ้าของจอสเมื่อครั้งที่เด็กหนุ่มเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ร่วมบ้าน

          “ผมรู้แค่นี้แหละ ฝากบอกจอสด้วยว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายมันแบบนี้” มีนปาดน้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมา แม้กระทั่งในเวลาเช่นนี้เขาก็จะไม่ยอมให้ใครเห็นน้ำตาตัวเองอย่างเด็ดขาด “บอกมันว่าผมขอโทษ”

          “แล้วจะบอกให้ ถ้าเค้ามีโอกาสตื่นขึ้นมาฟังน่ะนะ” วินทร์ถอนหายใจออกมา
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 7 [9-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 09-06-2018 12:01:13
          วินทร์แยกกับมีนที่หน้าโรงพยาบาล ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์ของทางโรงพยาบาลประจำจังหวัดมาถึงจอสก็ถูกนำตัวขึ้นไปและออกเดินทางอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในส่วนของวินทร์เมื่อกลับมาเตรียมของที่บ้านเสร็จก็จึงค่อยออกเดินทางตามไปทางเรือโดยไม่ลืมที่จะหยิบขวดยาในกระเป๋าของจอสติดมือไปด้วยเพื่อสอบถามกับหมอให้รู้แน่ชัดว่ามันคือยาสำหรับรักษาโรคอะไรกันแน่ ขณะที่ในใจนั้นภาวนาอย่าให้มันเป็นยาเสพติดหรืออะไรที่พาดเกี่ยวทางนั้นเลย เพราะเขาไม่อยากจะให้ความรู้สึกดีๆ ต้องมาสูญเสียไปเหมือนเมื่อครั้งที่เกิดขึ้นกับมีน

          วินทร์มาค้นพบในภายหลังว่าขวดยาที่เตรียมมานั้นไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อทางโรงพยาบาลสามารถตรวจค้นหาทะเบียนผู้ป่วยผ่านระบบออนไลน์ได้ซึ่งข้อมูลการรักษาตัวตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของจอสก็ไม่อาจที่จะหลุดพ้นจากการค้นหาไปได้ ซึ่งนั่นทำให้วินทร์ได้รู้ความจริงในที่สุดว่ายาของจอสนั้นใช้สำหรับรักษาโรคอะไร และคำตอบที่ได้นั้นก็ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันทีถึงที่มาแห่งอารมณ์อันร้ายกาจที่อีกฝ่ายสาดโถมใส่ตนในยามที่ทะเลาะวิวาทว่ามันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเจ้าตัว เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ววินทร์ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากไล่ให้เด็กหนุ่มไปให้พ้นจากชีวิต

          ถ้ารู้ว่านายป่วย ต่อให้เจ็บตัวมากกว่านี้ ก็ต้องเอาตัวเข้าบ้านไปด้วยให้ได้ จะไม่ปล่อยไปแบบนั้นเด็ดขาด…

          จอสยังคงไม่รู้สึกตัวแม้ตัวยาที่เป็นพิษในร่างกายจะถูกกำจัดออกไปจนพ้นขีดอันตรายแล้ว สมองที่ขาดออกซิเจนมานานเกินไปทำให้ตอนนี้คาดหวังได้เพียงแค่ปาฏิหาริย์ วินทร์มองเด็กหนุ่มซึ่งนอนหลับตาใบหน้าซีดเซียวราวกับไร้ชีวิตอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลโดยมีสายระโยงระยางของอุปกรณ์พยุงชีพติดอยู่ตามร่างกายจนดูคล้ายกับเครื่องพันธนาการ หากยังมีสติอยู่จอสคงร้องโวยวายให้เอาออกทั้งหมดเป็นแน่ วินทร์นึกเช่นกันแล้วก็ยิ้มออกมาแต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวก่อนที่ความวิตกกังวลจะกลับเข้ามาครอบงำจิตใจตามเดิม

          แผลบนหน้าผากเริ่มออกอาการปวดหนักขึ้นจนวินทร์ตัดสินใจให้หมอที่โรงพยาบาลทำแผลและสั่งยาให้ด้วยเลย เมื่อรับยาเสร็จเรียบร้อยและกลับขึ้นมายังห้องของจอสก็พบกับหมอที่กำลังเข้ามาตรวจดูอาการและได้แจ้งกับวินทร์ว่าทางโรงพยาบาลได้ติดต่อไปยังพ่อของจอสแล้วแต่เจ้าตัวยังไม่สามารถเดินทางมาได้ในเวลานี้เนื่องจากยังติดธุระที่ต่างประเทศ ทางโรงพยาบาลจึงได้ให้หมายเลขโทรศัพท์ของวินทร์ซึ่งเป็นเจ้าของไข้ไปเพื่อจะได้ติดต่อประสานงานกันเองเมื่อพ่อของเด็กหนุ่มกลับมาถึงประเทศไทย ซึ่งวินทร์ก็เห็นดีด้วยตามนั้นไม่ขัดข้อง

          เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นก่อนที่มีนจะเปิดเข้ามา เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของวินทร์เด็กหนุ่มก็ผวาถอยหลบไปอยู่หลังบานประตูเหมือนเดิม ก่อนที่กลับเข้ามาอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าอนุญาต วินทร์สังเกตเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าที่มีนถือมาขณะที่เด็กหนุ่มวางมันลงบนพื้นข้างเตียงคนไข้ มีนมองดูจอสที่นอนหลับใหลไม่ได้สติแล้วก้มหน้านิ่ง วินทร์เองแม้จะไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้แต่ก็มั่นใจว่าตนเห็นความรู้สึกผิดที่ฉายอยู่บนใบหน้านั้น

          “จะไปไหน?” วินทร์ถามพลางพยักเพยิดไปยังกระเป๋าที่วางอยู่ “คิดจะหนีหรือไง? รู้ใช่ไหมว่าถ้าจอสเป็นอะไรไป นายจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”

          “ไม่หนี ผมแค่จะกลับบ้าน” มีนล้วงเอากระดาษจดที่อยู่ของตนออกมาจากในกระเป๋ากางเกง “ถ้าผมต้องรับผิดชอบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมก็อยู่ที่นี่แหละ ไม่หนีไปไหนแน่”

          “แล้วจะกลับไปทำไม ถ้าอยากรับผิดชอบก็อยู่รอซะที่นี่ไม่ดีกว่าหรือไง?” วินทร์รับกระดาษมาและวางมันลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง “ไหนว่าเป็นพวกไม่เคยกลัวอะไร มาวันนี้ถึงคราวใจฝ่อแล้วสิ”

          “ถ้าผมจะติดคุกเพราะเรื่องนี้ ผมก็อยากใช้เวลาช่วงสุดท้ายที่บ้านตัวเองนะ” มีนถอนหายใจออกมาเหมือนคนปลงตก “มีอีกหลายคนเลยที่ผมต้องขอโทษ”

          “เริ่มจากพี่ก่อนเลยเป็นไง?” วินทร์เสนอจุดเริ่มต้นให้ “ไม่ต้องไปถึงเรื่องเก่าๆ ของเราหรอก เอาแค่ปัจจุบันนี้ก็พอ มีอะไรจะพูดไหมถึงสิ่งที่ทำลงไปเมื่อตอนเย็น”

          “ขอโทษ…” มีนไม่มีอะไรจะแก้ตัว การยอมรับผิดสำหรับเขาเป็นเรื่องที่แสนจะทำใจยอมรับได้ยาก แต่ในเมื่อมันมาถึงขั้นนี้แล้วดื้อดึงไปก็คงไม่ช่วยอะไร

          “พี่อยากได้เหตุผลจากนายมากกว่า แค่ซักครั้งก็ยังดีว่าทำลงไปทำไม?” วินทร์ร้องขอ “ที่ผ่านมานายไม่เคยมีเหตุผลอะไรให้พี่เลย แต่นั่นไม่สำคัญหรอกมันจบไปแล้ว เอาแค่ครั้งนี้ว่ามาสิว่าทำไปทำไม?”

          “พี่เคยเลี้ยงนกไหม?” มีนเริ่มเล่าในจุดที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ถามเลย “ผมเคยมีนกตัวนึงอยู่ในกรง มันทำให้ผมอารมณ์ดีได้ตลอด จนวันนึงผมเบื่อมันแล้วคิดว่าน่าจะมีนกตัวอื่นที่ดีกว่านี้ ผมเลยปล่อยมันไป”

          ในวันแรกที่พบกันสำหรับมีนแล้วจอสเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ถึงแม้จะมีใบหน้าที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ ในโรงเรียนด้วยเชื้อสายลูกครึ่งแต่สำหรับเขาแล้วมองว่าอีกฝ่ายนั้นจืดชืดเกินไป จอสมักจะทำอะไรคนเดียว กินข้าวกลางวันคนเดียว ในเวลาว่างก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องสมุด นานทีปีหนถึงจะเห็นเขาพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน แต่เมื่อถึงชั่วโมงพละจอสก็แสดงให้เห็นว่าเขามีทักษะในด้านกีฬาอยู่พอตัวซึ่งนั่นเป็นสิ่งแรกที่จุดประกายแห่งความสนใจของมีนขึ้น และยิ่งเมื่อได้เข้าไปตีสนิทและรู้จักมากขึ้น มีนก็ยิ่งชอบใจที่พบว่าตัวตนที่แสนว่างเปล่าของจอสเป็นสิ่งที่สามารถถูกแต่งแต้มและชักจูงไปได้ตามที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะด้วยความรักหรือหลงหรือเหตุผลอันใด จอสยอมมีนทุกอย่างเพียงเพื่อให้อีกฝ่ายยังอยู่ข้างๆ เขาไม่จากหนีไปไหน

          แต่ถึงแม้จะเป็นของเล่นที่ถูกใจเพียงใดก็ย่อมมีวันที่ถูกเบื่อ หลังจากหมดความสนใจในตัวของจอสมาได้พักใหญ่ ในที่สุดมีนก็เลือกที่จะจบความสัมพันธ์ลงในวันสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปลาย ซึ่งถึงแม้จะเห็นได้ชัดจากสีหน้าว่าเจ็บปวดกับคำบอกเลิกแต่จอสก็ไม่ฉุดรั้งมีนเอาไว้ เด็กหนุ่มเพียงแต่ก้มหน้ายอมรับมันเงียบๆ ก่อนจะหายไปจากชีวิตของมีนราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน จนกระทั่งมารู้ข่าวอีกครั้งก็เมื่อจอสกลายเป็นดาราดังมีชื่อเสียงในวงการแต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้มีนอยากได้อดีตคนรัก หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือของเล่นชิ้นเก่าของตนกลับมา

          “เวลาผ่านไป นกตัวใหม่ที่ผมคาดหวังว่าจะเจอก็ไม่เคยมีอยู่จริง” มีนพยายามกดความขื่นขมในน้ำเสียงเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองดูน่าสมเพชมากไปกว่านี้ “จนกระทั่งนกตัวเดิมมันกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิม มันสดใส มีชีวิตชีวา ต่างกับตัวผมที่กลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ในกรงซะเอง”

          “ก็เลยอยากได้เค้าคืนงั้นเหรอ?” วินทร์สรุปความตามที่เข้าใจ

          “อืม…” มีนพยักหน้ายอมรับตามนั้น “แต่ก็พอรู้อยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว ให้ตายยังไงจอสก็ไม่กลับมาหาผม”

          “แล้วคิดว่าใช้ของพรรค์นั้นแล้วเค้าจะยอมกลับมาหานายหรือไง? คิดอะไรโง่ๆ” วินทร์ตำหนิ

          “ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะช่วยหรอก ที่ปั่นหัวมันเรื่องพี่ก็แค่อยากเอาคืนเรื่องที่มันปฏิเสธผมเฉยๆ แต่พอมันทะเลาะกับพี่ ผมก็เหมือนเห็นตัวตนที่ว่างเปล่าของมันกลับมาอีกครั้ง แล้วก็เลยคิดว่าแค่มอมเมามันนิดหน่อยผมคงกลับไปครอบงำชีวิตมันได้เหมือนเมื่อก่อน” มีนสารภาพสิ้นไส้

          “นายต้องโตซักทีนะมีน…” วินทร์พูดด้วยความเป็นห่วง ถึงจะมีเรื่องบาดหมางกันมาแต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมองอีกฝ่ายเป็นเหมือนน้องชายคนนึง “นายจะหวังให้ใครมาเห็นคุณค่าของตัวเองได้ยังไง ถ้านายยังไม่เคยมองใครเป็นมากกว่าของเล่นสำหรับนาย”

          “คำว่ารักของผมมันคงมีความหมายต่างจากคนอื่นๆ มั้ง” มีนไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ “จิตใจผมอยู่กับความผิดปกติมานานเกินไปจนบางทีมันอาจจะสายเกินไปที่จะซ่อมแซมแล้ว”

          “ไม่หรอก ถ้าจอสยังเปลี่ยนได้ นายก็ต้องเปลี่ยนได้” วินทร์ยกจอสขึ้นมาอ้างอิง

          “เกี่ยวอะไรกับจอส?” มีนไม่เข้าใจ

          “ไม่รู้เหรอว่าเค้าเป็นอะไร? ไม่ได้สังเกตแผลที่แขนเค้าเหรอ? แล้วไหนจะยาที่เค้ากินอีก” วินทร์อธิบาย “เค้าเองก็ไม่ได้บอกพี่ตรงๆ หรอก คงจะรอโอกาสเหมาะๆ ที่จะเล่าอยู่แต่ดันมาเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน พี่ก็เลยรู้เองหมดทุกอย่าง”

          “จอสเป็นอะไร?” มีนถาม

          “ไบโพลาร์ ดิสออเดอร์” วินทร์ตอบตามที่ฟังจากหมอมา “แผลที่แขนเค้าก็เกิดจากอาการซึมเศร้าของมัน เขาฆ่าตัวตายช่วงหลังจากเรียนจบมัธยมได้ไม่นาน”

          เป็นคำบอกเล่าที่ชวนให้ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง มีนยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ รู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าตนอาจเป็นหนึ่งในต้นเหตุของแผลเหล่านั้น

          ร่างของจอสกระตุกเบาๆ ดึงความสนใจของคนทั้งสอง แต่ก็ยังเป็นแค่อีกหนึ่งอาการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกาย ไม่ใช่สัญญาณแห่งการฟื้นคืนสติ มีนหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมา หากจะเข้ากรุงเทพเขาควรจะไปถึงที่ท่ารถได้แล้ว เด็กหนุ่มมองดูอดีตคนรักของตนเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับคำขอโทษที่ดังก้องอยู่ในใจ หวังเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาเพื่อรับฟังมันจากปากของเขาเอง

          “ผมต้องไปแล้วล่ะครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้าพี่แจ้งผมด้วย ไม่ว่าจะข่าวดีหรือข่าวร้ายก็ตาม” มีนขอร้องก่อนไป

          “อืม ไปเถอะ” วินทร์ไม่รั้งไว้

          “พี่ว่าจอสมันจะตื่นขึ้นมาอีกไหม?” มีนถามแม้จะรู้ว่าเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ

          “ต้องตื่นสิ เค้าต้องตื่นมาเล่นงานนายอยู่แล้ว ทำเขาเอาไว้ขนาดนี้” วินทร์ยังเชื่อมั่นในตัวของจอส “ตอนนี้คงกำลังฝันดีมากอยู่ อีกเดี๋ยวพอหมดสนุกก็คงตื่นขึ้นมาเองนั่นแหละ”


To be continued...
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 6 [6-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 09-06-2018 12:11:30
:pig4: :pig4: :pig4:

 :sad11: :sad11: :sad11:

น่าสงสารนุ้งจอส  อาการไบโพลาร์กำเริบ  อิพี่วินทร์ไม่รู้ก็เลยไปกันใหญ่

เล่นพี่ซะหัวแตกเลย หุหุหุ :ling3:



ไม่ฟังเหตุผล วู่วาม ก็ออกมาแบบนี้
แล้วเจ็บทั้งคู่  ทั้งที่กำลังจะดีๆกันแล้ว  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถ้าฟังหูไว้หู ก็จะดีนะจอส  :mew2: :mew2: :mew2:

อารมณ์ของคนที่เป็นแบบจอส ลองมีอะไรสะกิดถูกจุดนิดนึงก็จะเอาไม่ลงเลยครับ ไม่มีสติคิดหาเหตุผลอะไรทั้งสิ้น  :ling2:



พี่มันเลว หรือนังมีนมันแค้น  :katai1:

ต้องรอดูงานนี้ใครจะแหล  :katai4:



นัองจอสค่อยๆตั้งสตินะคับ

ถ้าเป้นคนปกติทั่วไปก็คงพอสงบสติได้เนอะ แต่นี่จอสมีปัญหาอยู่แล้ว มันเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่  :ling3:


หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 7 [9-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 09-06-2018 12:25:54
ที่แท้ก็นังมีนนี่เอง  :z6:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 7 [9-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-06-2018 12:33:39
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 7 [9-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-06-2018 19:21:49
 :pig4: :pig4: :pig4:

หวังว่ามีนคงจะปรับปรุวตัวให้ดีขึ้นนะ 

ดูจากสัญญาณความสำนึกผิดที่แสดงออกมา ก็น่าจะเป็นไปในทางที่ดีะ  เขื่อว่าอย่างนั้น
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 8 [12-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 12-06-2018 14:16:24
Episode 8

          “งั้นกูกลับก่อนนะ…”

          จอสหันไปบอกกับกลุ่มเพื่อนที่กำลังนั่งสุมหัวกันเร่งทำงานสำหรับส่งในเช้าวันพรุ่งนี้ ซึ่งสำหรับตัวของเขาเองนั้นถือว่าลอยตัวอยู่เหนือปัญหาเพราะทำเสร็จเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว ที่อยู่จนถึงป่านนี้ก็เพียงแค่ช่วยเพื่อนคนอื่นๆ ทำก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ถึงแม้จะอยากช่วยต่อก็คงไม่ได้เพราะอีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลานัดแล้ว เด็กหนุ่มจึงต้องขอตัว

          “เดี๋ยวดิไอ้จอส!” เพื่อนคนหนึ่งรั้งตัวเขาเอาไว้ “มึงช่วยกูอีกนิดนึง มึงจะมาทิ้งกูกลางคันแบบนี้ไม่ได้นะ!”

          “ก็อยากช่วยนะ แต่มีนัดว่ะ” จอสตอบพลางฮัมเพลงในลำคออย่างสบายอารมณ์

          “นัดอะไร มีใครสำคัญกว่าเพื่อนมึงอีกเหรอ?” เพื่อนคนเดิมร้องถาม

          “มึงก็ไม่น่าถามเลยนะไอ้เคี้ยง ไอ้จอสมันจะมีนัดกับใครที่ไหนได้ ก็ไอ้พิภูเด็กสถาปัตย์ผมยาวนั่นไง มันรักมันหลงของมันยังกับอะไรดี” เพื่อนผู้หญิงมาดห้าวตอบคำถามนั้นแทนจอส “แต่จะว่าก็ว่าเถอะ หล่อน่ารักขนาดนั้น เป็นกูได้มาควงก็คงหลงเหมือนกัน”

          “แสดงว่าแม่งน่ารักจริง ขนาดเปลี่ยนทอมแบบอีเจี๊ยบให้เป็นเธอได้” เคี้ยงคล้อยตาม

          “มึงก็ดูหน้าไอ้จอสมันก่อน” ทอมเจี๊ยบชี้ไปทางจอสซึ่งกำลังยืนโก้งโค้งส่องกระจกข้างของรถจักรยานยนต์เพื่อจัดแต่งทรงผมอยู่ “ขั้นเทพขนาดนี้ จะมีแฟนก็ต้องได้ระดับนั้นนั่นแหละ”

          “ถ้าหวังจะให้กูพูดถ่อมตัวกับคำชมของพวกมึง รู้ใช่ไหมว่าต้องผิดหวังอยู่แล้ว?” จอสหันไปเลิกคิ้วข้างหนึ่งให้เพื่อน “กูไปก่อนนะ สายละ”

          จอสรีบจ้ำเท้าเดินออกจากตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์และมุ่งตรงไปยังคณะสถาปัตย์กรรมศาสตร์ ที่ซึ่งภูผู้เพิ่งจะเสร็จสิ้นการเรียนกำลังลงมาจากตึกพร้อมกับกลุ่มเพื่อน เมื่อเห็นจอสยืนรออยู่ด้านหน้าตึกภูก็แยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนแล้วเดินด้วยความเร็วที่เกือบจะกลายเป็นวิ่งเข้ามาหาจอส

          “รอนานรึเปล่า?” ภูถามเสียงกลั้วลมหอบหายใจ “โทษที อาจารย์เพิ่งปล่อยเนี่ยแหละ”

          “ไม่นานหรอก แต่ถึงนานก็รอได้” จอสเอากระเป๋าเป้ของภูมาสะพายไว้เอง “ขนาดตอนจีบนาย ตั้งหลายเดือนกว่าจะยอมรับรัก เรายังทนรอได้เลย”

          “โยงเก่ง” ภูหัวเราะออกมา “แล้ววันนี้จะไปไหนกัน? บอกไว้ก่อนนะว่าเรามีงานต้องทำส่ง กลับดึกไม่ได้นะ”

          “ก็หาอะไรกินกันก่อน” จอสเสนอโดยอิงจากข้อเท็จจริงที่ว่าภูไม่ชอบสถานที่ๆ คนพลุกพล่าน “แล้วไปนั่งเขียนงานที่คอนโดเราก็ได้ ดึกๆ ค่อยกลับบ้าน”

          ภูตกลงตามนั้น ทั้งสองแวะทานมื้อเย็นที่ร้านใกล้ๆ มหาวิทยาลัยก่อนที่ภูจะซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันยักษ์ไปยังคอนโดของจอส เมื่อขึ้นลิฟท์มาถึงชั้นอันเป็นจุดหมายประตูก็เลื่อนเปิดออกประจวบเหมาะพอดีกับที่ชายชาวต่างชาติวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่ด้านนอกตั้งท่าจะเดินเข้ามา เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ด้านในเขาก็ชะงักและหยุดให้ทั้งคู่เดินออกมาก่อน ภูลอบมองดูอีกฝ่ายขณะเดินออกจากลิฟท์ ชายคนนี้แต่งตัวภูมิฐาน แม้จะดูมีอายุแล้วแต่ก็ยังจัดว่าหล่อมาก ภูอดรู้สึกไม่ได้ว่าหากแก่ตัวไปจอสก็คงจะดูไม่ต่างไปจากเขาคนนี้

          “สวัสดีครับ” ภูยกมือไหว้ชายคนนั้น ซึ่งเขาก็รับไหว้เป็นอย่างดีด้วยท่าทีคุ้นเคย

          “พ่อจะไปไหนเนี่ย?” จอสถามออกไปเป็นภาษาอังกฤษ

          “พาแม่แกไปดินเนอร์ไง นานๆ จะมีเวลาว่างซักที ไม่พาไปเดี๋ยวก็จะมางอนพ่ออีก” พ่อของจอสตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน “แล้วนี่ไม่ไปไหนหรือไง กลับบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดได้”

          “ไม่ครับ ภูเค้ามีงานต้องทำส่ง” จอสบอกกับพ่อ ก่อนจะหันไปทักทายแม่ที่เพิ่งเดินตามออกมา “โอ้โห้ แม่ใครเนี่ย สวยยังกับนางงาม”

          “ปากหวานไปก็ไม่ได้ค่าซ่อมมอเตอร์ไซค์คืนหรอกนะ” แม่ของจอสในชุดเดรสสวยตั้งแต่หัวจรดเท้าบอกกับจอสขณะเดินมาที่หน้าลิฟท์ “เดี๋ยวเดือนหน้าแม่จะหักจากเงินรายเดือน”

          “แม่อ่ะ…” จอสคอตก “ออกให้มั่งบ้านเราคงไม่จนลงหรอกมั้ง”

          “ไม่เกี่ยวกับจนหรือรวย เราขับไปชนเองก็ต้องรับผิดชอบเองสิ” แม่ของจอสเอ็ดก่อนจะหันมาหาภูและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลต่างกับเมื่อครู่ราวกับคนละคน “ถ้ามีลูกแบบภูก็ดีเนอะ ท่าทางจะไม่ค่อยมีเรื่องให้ปวดหัว”

          “เดี๋ยวก็ได้เป็นลูกสะใภ้แล้ว ไม่ต้องรีบหรอก” จอสดึงแขนภูเข้ามา

          “เพ้อเจ้อ นิสัยแบบนี้ใครเค้าจะไปแต่งด้วย แม่ไปก่อนล่ะ ฝากดูแลจอสด้วยนะลูก” แม่จอสฝากฝังกับภูก่อนจะเข้าลิฟท์ “ถ้าวุ่นวายมาก จะทุบซักทีสองทีก็ไม่ว่าหรอก”

          เมื่อพ่อกับแม่ออกไปแล้ว จอสเข้ามาด้านในห้องคอนโดก่อนจะถอดเสื้อช๊อปที่สวมอยู่ออกพาดไว้แล้วเดินตรงไปหยิบน้ำอัดลมจากในตู้เย็นมาสองกระป๋องจากนั้นจึงเดินจูงมือพาภูไปยังห้องนอนส่วนตัวของตนเอง ไม่มีกิจกรรมอื่นใดที่สามารถทำร่วมกันได้ในเวลานี้เนื่องจากภูยังมีงานที่ต้องทำให้เสร็จเพื่อส่งในวันถัดไป ซึ่งจอสก็ไม่ว่าอะไรเพราะเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ชิดกันและมองดูอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ก็มีความสุขมากแล้ว จอสนอนเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงสลับกับแอบมองภูที่กำลังเขียนงานอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ จนกระทั่งผ่านไปเกือบสองชั่วโมงภูก็วางดินสอเขียนแบบลงเพื่อพักสายตา เด็กหนุ่มยืนขึ้นและบิดตัวยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้าจากที่ต้องนั่งอยู่ในท่าเดิมๆ มาร่วมชั่วโมง จอสฉวยโอกาสนั้นย่องเขยิบเข้าไปใกล้ๆ แล้วกอดรั้งลากตัวภูให้ล้มมานอนลงบนเตียง ภูดิ้นรนขัดขืนนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย จอสยันตัวลุกขึ้นมาคร่อมทับอีกฝ่ายเอาไว้แล้วก้มหน้าลงไปประกบริมฝีปากจูบซึ่งภูก็ตอบรับสนองกลับมาเป็นอย่างดี

          “ดะ… เดี๋ยวก่อน…” ภูดันแผ่นอกของจอสให้ผละออกเมื่อรู้สึกว่ามือของอีกฝ่ายเริ่มรุกรานมาแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาของตน “พอเลย ไม่เอา”

          “เราขอนะ…” จอสกระซิบแล้วก้มลงไปจูบต่อแต่ก็โดนภูปิดปากสนิทแน่นเป็นการแสดงความต่อต้าน เขาจึงยอมถอนปากออกมาอ้อนวอนต่อ “น่า… นะ ไม่เจ็บหรอก”

          “ไว้คราวหน้าดีกว่า” ภูยังไม่ยอม “เรายังไม่พร้อมอ่ะ”

          “ครั้งที่แล้วก็พูดแบบนี้อ่ะ” จอสงอแงจะเอาให้ได้ “เราก็คบกันมาหลายเดือนแล้วนะ เมื่อไหร่จะยอมซักที ไม่สงสารเราบ้างเหรอ”

          “หน้าตาบ้ากามอย่างนี้มีอะไรให้สงสารไม่ทราบ?” ภูย้อนถามกลับไป “นายสิไม่สงสารเราบ้างหรือไง? ก็รู้อยู่ว่าถ้าทำเราก็ต้องเจ็บแน่ๆ”

          “แป้ปเดียวก็หาย แล้วหลังจากนั้นรับรองสนุกตื่นเต้นเร้าใจยิ่งกว่ารถไฟเหาะอีก เชื่อฝีมือจอสได้เลย” จอสรีบโฆษณาชวนเชื่อเพื่อโน้มน้าวใจ

          “ยังไงก็คือไม่” ภูยืนกราน “เรารู้กิตติศัพท์นายดี ถ้าให้นายง่ายๆ นายก็ทิ้งเราไปง่ายๆ เหมือนกัน นี่ครั้งแรกของเรา เราไม่อยากโดนชนแล้วหนี”

          “เดี๋ยวจับข่มขืนเลยนี่” จอสแยกเขี้ยวใส่ “ชอบไปฟัง ไปเชื่อข่าวลือมั่วซั่วมา เราอ่ะเสียหายนะแบบนี้”

          “หรือไม่จริง?” ภูแกล้งถาม “ก่อนจะมาคบเรา นายทิ้งมากี่คนแล้วล่ะ”

          “ไม่เคยอ่ะ” จอสถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอนหงายบนเตียง “มีแต่โดนเค้าทิ้งตอนเรียนจบมัธยม พอเข้ามหาลัยก็มีนายคนแรก จะไปทิ้งใครที่ไหนมาก่อนได้”

          “แน่ใจ?” ภูถามย้ำ

          “แน่ซะยิ่งกว่าแน่” จอสยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเอง “นายนั่นแหละ ที่น่ากลัว ไม่รู้ว่ายังแอบติดต่อกับไอ้ตากล้องนั่นอยู่หรือเปล่า”

          “พี่กรรณน่ะนะ? ก็บอกแล้วไงว่าแค่พี่ข้างบ้าน รู้จักกันมาแต่เด็กเฉยๆ” ภูหัวเราะออกมา “นี่จนเค้าแต่งงานไปอยู่ต่างประเทศแล้วยังไม่เลิกคิดเล็กคิดน้อยเรื่องเค้าอีกเหรอ”

          “ก็ไม่รู้ ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีนายอาจจะหวงตัวกับเราเพื่อรอเก็บไว้ให้เค้าก็ได้” จอสใช้ลูกไม้ตัดพ้อ เขาลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ตีหน้าเครียด

          “คิดอะไรแบบนั้น…” ภูถอนหายใจ มือยื่นไปแตะไหล่ของจอสแต่เจ้าตัวก็กระเถิบหนี “ไม่เห็นจะต้องทำตัวจริงจังกับเรื่องแบบนี้เลย แค่จูบกันแบบเมื่อกี้ก็มีความสุขแล้วนี่นา”

          “แค่นั้นมันไม่พอหรอก นายไม่เข้าใจเรา” จอสยิ่งได้ใจเมื่อเห็นภูออกอาการว่ากลัวตนจะโกรธ “นายไม่เข้าใจว่ามันรู้สึกยังไงเวลาคนที่เรารักไม่ยอมให้แตะต้อง”

          “จอส…” ภูยื่นมือไปอีกแต่จอสก็ยิ่งขยับหนีจนเกือบจะชิดสุดขอบเตียงอีกด้านแล้ว

          “ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจแล้ว” จอสงัดไม้ตายออกมาเพื่อปิดเกม “นายเก็บไว้ให้ใครที่นายอยากให้เถอะ เราไม่เซ้าซี้แล้วล่ะ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น แต่เราให้นายไปทั้งหมดที่เรามีแล้ว”

          “อย่ามาดราม่าได้ป่ะ?” ภูพยายามง้อด้วยการล้มตัวลงนอนเอาศรีษะหนุนบนต้นขาของจอส “ถ้าไม่มีเรื่องนี้มาเกี่ยว เราจะคบกันไม่ได้หรือไง?”

          “ก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก…” จอสก้มลงมองใบหน้าของภูซึ่งมองตาแป๋วขึ้นมาจากหน้าตักของตนแล้วก็เกือบเคลิ้มไปกับความน่ารักที่เห็นจนเผลอยิ้มออกมาแต่ก็รีบปั้นหน้าเครียดแสดงต่อ “แต่บางทีมันก็น้อยใจไง ขอเท่าไหร่ก็ไม่ให้… เราก็อยากเป็นคนแรกของคนที่เรารักนะ”

          “ถ้าเราให้ พอได้แล้วจะไม่หายหัวไปใช่ไหม?” ภูถาม คล้ายจะขอคำยืนยันให้มั่นใจก่อนจะตัดสินใจ

          “ไม่หาย สัญญา” จอสรู้ดีว่าสิ่งที่หวังอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือแล้ว “เราจะรักจะหวงนายมากขึ้นกว่านี้เยอะๆ เลยด้วย”

          “ถ้าหายเราเอาตายแน่ บอกไว้ก่อน…” ภูยันตัวลุกขึ้นมานั่งและจ้องหน้าจอส แต่ทว่าคำขู่ที่หลุดออกมาจากปากนั้นไม่มีความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเพราะใบหน้าผู้พูดกำลังแดงเรื่อไปด้วยเลือดที่สูบฉีดจากความเขิน

          “นี่คือยอมแล้วใช่ไหม?” จอสถามเพื่อความแน่ใจ “ถ้ายอมแล้วทำๆ อยู่ห้ามถีบเราออกเหมือนคราวก่อนนู้นนะ”

          “เออ ไม่ถีบหรอก อยากทำอะไรก็ทำไปเลย” ภูหลบตาอีกฝ่ายขณะพูด “แล้วก็เบาๆ ด้วย ไม่เคยนะเว้ย”

          “คร้าบบบ ได้ทุกอย่างตามที่นายท่านสั่งเลยคร้าบบบบ” จอสยิ้มร่าเมื่อในที่สุดก็สมหวังเสียที

          เด็กหนุ่มรีบถอดเสื้อยืดสีดำที่สวมอยู่ออกแล้วโยนทิ้งไปข้างเตียงก่อนจะกระโจนเข้าหาภูซึ่งยังมัวแต่เขินจนไม่ทันตั้งตัว เขายันแขนขึ้นคร่อมแล้วมองดูร่างบอบบางที่นอนรอให้กระทำอยู่เบื้องล่างพลางนึกวางแผนว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี และในตอนนั้นเองเหมือนฟ้าจะเข้าข้างผู้ถูกกระทำ เมื่อยังไม่ทันที่กระดุมเสื้อนักศึกษาของภูจะถูกปลดออกหมด เสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้นเสียก่อนพร้อมกับเสียงเรียกของแม่จอสซึ่งกลับมาจากข้างนอกเร็วกว่าที่ลูกชายได้คาดคิดเอาไว้ ภูเห็นทางรอดของตนและไม่ลังเลที่จะคว้าไว้โดยผลักจอสออกแล้วติดกระดุมเสื้อกลับตามเดิมก่อนจะไปเปิดประตูห้องให้แม่ของจอสทันทีในขณะที่จอสยับยั้งอะไรไม่ทันได้แต่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างตัวเองไว้ไม่ให้แม่เห็นพิรุธจากการเปลือยท่อนบน

          แม่ของจอสมาเพื่อบอกกับเด็กหนุ่มทั้งคู่ว่ามีขนมมาให้เป็นของฝากจากโรงแรมที่ไปดินเนอร์มา ภูรับปากจะรีบออกไปกินก่อนจะปิดประตูกลับมาเผชิญหน้ากับจอสซึ่งมองตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์อยู่

          “พวกขี้โกง ฉวยโอกาสเอาตัวรอด สัญญาไม่เป็นสัญญา” จอสว่า ตาจ้องมาที่ภูอย่างเอาเรื่อง

          “ก็แม่นายมา จะให้ทำไงอ่ะ?” ภูแกล้งทำมึนใส่

          “ไม่รู้ล่ะ ไม่คุยด้วยแล้ว อยากกินเค้กก็ไปกินเถอะไป” จอสดึงผ้าห่มมาคลุมโปง

          “ก็ไปกินด้วยกันสิ” ภูเดินเข้าไปเขย่าไหล่จอสจากนอกผ้าห่ม

          “ไม่!” จอสส่ายหน้า

          “ไปกินด้วยกันเถอะน่า กินเอาแรงไว้ก่อนไง” ภูนั่งลงข้างๆ โปงผ้าห่ม

          “เอาแรงขับรถไปส่งนายที่บ้านน่ะเหรอ?” จอสส่งเสียงออกมาจากในนั้น

          “เปล่า ใครว่าจะกลับบ้านล่ะ” ภูเขินจนหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเมื่อต้องเป็นฝ่ายเปิดทางให้เอง “คืนนี้จะอยู่ค้างด้วยก็ได้ ถ้ามีเสื้อนักศึกษาให้เรายืมใส่พรุ่งนี้”

          “มีสิมี!” จอสโผล่พรวดออกมาจากผ้าห่ม “กางเกงในก็มี แปรงสีฟันก็มี อยากได้อะไรมีให้หมดเลย”

          “งั้นก็เลิกงอนแล้วออกไปกินเค้กได้แล้ว แม่นายอุตส่าห์ซื้อมาฝาก” ภูลงจากเตียงแล้วยื่นมือให้จอสจับเพื่อลุกตามมา
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 8 [12-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 12-06-2018 14:21:15
         หลังจัดการกับของฝากจนหมด ขณะที่ภูช่วยแม่ของจอสเก็บล้างจาน จอสก็รีบปลีกตัวไปอาบน้ำเพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะต้องมีการใช้ร่างกายเกิดขึ้น เมื่ออาบน้ำเสร็จเด็กหนุ่มรีบตรงกลับไปยังห้องนอนของตนก่อนจะพบเพียงแต่ความว่างเปล่าเมื่อภูไม่ได้รออยู่ข้างในนั้นตามที่ควรจะเป็น เขารีบย้อนกลับออกมาดูข้างนอก ภายในคอนโดที่เมื่อครู่เปิดไฟเอาไว้สว่างไสวกลับถูกปิดจนมืด บรรยากาศในห้องเย็นเยียบไม่มีวี่แววของพ่อและแม่อีกต่อไป ขณะที่เดินไปยังส่วนของห้องรับแขก ทุกก้าวที่เหยียบย่างลงบนพื้นปลุกความทรงจำบางอย่างที่อยู่เบื้องลึกขึ้นมา ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้เคยเกิดขึ้นไปแล้ว และนี่คือภาพย้อนของมัน ความเจ็บปวดดึงความสนใจจอสไปยังท้องแขนของตน รอยแผลเป็นได้ปรากฎขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไปแต่เด็กหนุ่มกลับไม่มีความสงสัยเกี่ยวกับมัน เขายังคงออกเดินต่อจนกระทั่งมาถึงห้องรับแขก และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก้ตาม จอสรู้ว่าประตูระเบียงจะต้องเปิดอยู่และภูจะต้องยืนอยู่ข้างนอกนั่น

         “นึกว่าหนีไปแล้วซะอีก…” จอสร้องทักภูที่เพิ่งเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง เขาแต่แรกแล้วเช่นกันรู้ว่าตัวเองจะต้องพูดคำนี้ทันทีที่เจอหน้าอีกฝ่าย

         “อีกเดี๋ยวเราต้องกลับแล้วล่ะ” ภูตอบกลับมาหลังดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือ

         “ไหนว่าวันนี้จะอยู่ค้างด้วยไง?” จอสทวงสัญญา “มีธุระอะไรด่วนเหรอถึงต้องรีบกลับ?”

         “นายรู้อยู่แล้วว่าเราต้องรีบไปไหน” ภูตอบเสียงเรียบ

         “ไม่ เราไม่รู้…” จอสปฏิเสธออกไปทั้งที่ในใจมีคำตอบปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนว่าภูกำลังจะต้องไปที่สุโขทัย

         “นายรู้ เหมือนที่ตอนนี้นายรู้ว่าพ่อกับแม่นายทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่” ภูเอนตัวลงพิงกับขอบระเบียงแล้วกอดอกมองมาทางจอส

         จอสส่ายหน้าไม่ยอมรับ แต่รู้อยู่เต็มอกว่าทุกสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นจริงจนไม่เหลือช่องให้ได้โต้เถียง ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย เขารู้ดีถึงที่มาของทุกสิ่งทุกอย่างในนี้และรู้กระทั่งมันจะดำเนินต่อไปอย่างไร เขารู้ดีว่าโลกใบนี้ไม่ใช่ความจริงแต่เป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างประกอบขึ้นมาจากความทรงจำสิ่งละอันพันละน้อยต่างๆ ในชีวิต แล้วบิดผันมันให้ออกมาเป็นโลกที่เขาต้องการ เขาเคยเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอยู่เทอมหนึ่งก่อนจะดรอปเรียน ส่วนเคี้ยงและเจี๊ยบเป็นชื่อของเพื่อนร่วมชั้นปีเพียงไม่กี่คนที่เขาพอจะจำได้ในชีวิตการเป็นนักศึกษาอันแสนสั้นนั้น

         “แล้วถ้านี่ไม่ใช่ความจริง มันคืออะไร?” จอสย้อนถามภูกลับไป

         “สวรรค์ล่ะมั้ง เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้นายมีความสุขที่สุด “ภูจำกัดความให้ “แต่ไม่ว่ามันจะคืออะไร นายยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องมาอยู่ที่นี่”

         “ทำไมล่ะ?” จอสถอนหายใจออกมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นระเบียง “อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ไม่ต้องออกไปเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการอยู่ข้างนอกนั่น”

         “แน่ใจเหรอว่าไม่มี?” ภูถามย้ำ

         “อาจจะมี แต่ที่นั่นไม่มีนาย” จอสไม่อยากละทิ้งความสุขตรงหน้านี้ไป “ไม่มีพ่อกับแม่ ไม่มีเพื่อน ไม่มีชีวิตเด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ เหมือนที่เรามีในตอนนี้”

         “แต่มันคือชีวิตนายนะ” ภูเดินเข้ามาและย่อตัวลงนั่งยองตรงหน้าจอสเหมือนผู้ใหญ่กำลังจ้องดูเด็ก “จะไม่ลองให้โอกาสมันบ้างเลยเหรอ?”

         “เราเหนื่อย…” จอสชันเข่าขึ้นแล้วฟุบหน้าลง “เราอยากพัก”

         “พักเท่านี้ก็คงพอแล้วมั้ง” ภูยื่นมือมาแตะที่ไหล่ของจอส “เดี๋ยวคนทางนั้นเค้าจะเป็นห่วงเอานะ”

         “ถ้านายบอกว่านี่เป็นสวรรค์ หมายความว่าสักวันเราจะได้เจอกันอีกใช่ไหม?” จอสเงยหน้าขึ้นมาถาม

         “ก็อาจจะ ถ้าตอนนั้นภาพความสุขของนายยังเป็นแบบนี้อยู่” ภูยันตัวลุกขึ้นยืน “แต่ตอนนี้ ออกไปมีความสุขกับชีวิตจริงก่อนเถอะ”

         “มานี่ก่อนสิ” จอสลุกขึ้นยืนตาม “มาให้กอดหน่อย”

         “รีบๆ กลับไปได้แล้วไป ลีลาจริงๆ” ภูกรอกตา

         “นี่สวรรค์ของเรา นายขัดขืนไม่ได้ มาเดี๋ยวนี้” จอสพลิกตัวเองขึ้นมาควบคุมทุกอย่าง ภูถอนหายใจแล้วยอมเดินเข้ามาอย่างว่าง่าย เด็กหนุ่มกอดภาพลวงแห่งคนรักของตนเอาไว้แน่น จมูกฝังลงบนเรือนผมดอมดมกลิ่นอายสุดท้ายและกักเก็บมันไว้ในความทรงจำ “สัญญานะว่าจะรออยู่ที่นี่”

         “ถึงตอนนั้นนายอาจจะอยากเจอคนอื่นที่นี่แทนเราแล้วก็ได้” ภูหัวเราะขณะที่หน้าฟุบลงบนไหล่ของจอส “แต่ก็จะรอนะ”

         “งั้นคงไม่ต้องบอกลากันหรอกใช่ไหม?” จอสสูดหายใจแล้วปล่อยอีกฝ่ายออกจากอ้อมกอด

         “ไม่ต้องทำอะไรน้ำเน่าแบบนั้นหรอกน่า” ภูโบกมือให้ “แล้วก็ไม่ต้องรีบกลับมานะ”

         “จะพยายาม” จอสโบกมือตอบกลับ

         วินทร์เดินกระวนกระวายอยู่ที่หน้าห้องไอซียู เมื่อจู่ๆ ช่วงเช้าของวันนี้ จอสซึ่งอาการทรงตัวมาตลอดก็เกิดภาวะความดันตกอย่างกะทันหันจนกระทั่งนำไปสู่การหยุดหายใจ แม้จะรู้ดีว่าทีมแพทย์กำลังพยายามกันอยู่อย่างเต็มความสามารถแต่ชายหนุ่มก็ยังอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดที่ตนไม่อาจช่วยอะไรได้มากไปกว่านี้ ตลอดระยะเวลาเกือบสองสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งจอสนอนหลับเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงคอยเฝ้าดูอาการและกันพวกนักข่าวจมูกไวที่ได้กลิ่นเรื่องนี้และเตรียมนำไปกระพือข่าวให้ออกไปพ้นทางด้วยการจ่ายเงินก้อนใหญ่ปิดปาก เพราะรู้ดีว่าหากเรื่องนี้หลุดออกไปสู่สาธารณะชนภาพลักษณ์ของจอสจะต้องเสียไปอย่างไม่อาจกอบกู้ได้เนื่องจากมีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้ในความเป็นจริงเจ้าตัวจะถูกมอมและเป็นฝ่ายเสียหาย แต่ใครจะเชื่อเช่นนั้นในเมื่อจอสเองก็มีภาพจำในรูปแบบของหนุ่มรักสนุกชอบปาร์ตี้อยู่แล้ว

         พ่อของจอสติดต่อกลับมาหาวินทร์เพื่อขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลทั้งหมดเอง แต่เมื่อถูกถามว่าจะมาเยี่ยมลูกชายของตนเมื่อไหร่ อีกฝ่ายกลับไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนั้น วินทร์เองถึงแม้จะไม่พอใจกับการที่พ่อแสดงความเหินห่างต่อลูกชายที่กำลังอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายเช่นนี้แต่ก็ไม่อาจจะก้าวล่วงเรื่องของครอบครัวได้ ทำได้เพียงบอกกับตนเองว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้พ่อของจอสเป็นอย่างที่เห็น เพราะคงไม่มีพ่อคนไหนที่จะอยากทำตัวไม่ไยดีต่อลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตน และหากสุดท้ายแล้วจอสจะไม่มีครอบครัวให้กลับไปหา เขาก็พร้อมจะอ้าแขนรับเอาไว้เอง ขอเพียงแค่ในตอนนี้เด็กหนุ่มจะฟื้นขึ้นมาให้โอกาสนั้นกับเขา

         ประตูห้องไอซียูเปิดออกพร้อมกับหมอและพยาบาลที่พากันเดินออกมา วินทร์ภาวนาขอให้เป็นข่าวดีขณะที่ลุกจากเก้าอี้สำหรับญาตินั่งรอแล้วตรงไปหาหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ ซึ่งก็สมดังหวังเมื่อได้รับการแจ้งว่าอาการของจอสพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ข่าวดียังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะนอกจากจอสจะรอดพ้นจากความตายมาได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้เขายังได้สติฟื้นคืนมาอีกด้วย วินทร์แทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะเข้าไปเห็นใบหน้าที่ลืมตาตื่นของจอสอีกครั้งแต่ก็ต้องอดทนรอจนกระทั่งเด็กหนุ่มถูกย้ายกลับไปพักฟื้นยังห้องพิเศษ ทั้งสองจึงได้โอกาสพบเจอกันอย่างเป็นส่วนตัวอีกครั้ง

         “ตื่นซักทีนะ ไอ้ขี้เซา” วินทร์ยื่นมือไปลูบศรีษะของจอสซึ่งนอนตาปรืออยู่บนเตียง ที่แขนยังมีสายน้ำเกลือและยาห้อยระโยงระยางอยู่พร้อมกับเครื่องวัดออกซิเจนในกระแสเลือดและสัญญาณชีพ

         “พี่มาได้ไง…” จอสตอบกลับมาด้วยเสียงที่แหบเครือ

         “แล้วทำไมพี่ต้องไม่มาล่ะ?” วินทร์นั่งลงที่ข้างเตียง มือละจากศรีษะมาจับมือของจอสไว้แล้วนวดเบาๆ

         “ก็ผมทำร้ายพี่…” จอสมองไปยังแผลบนหน้าผากของวินทร์ซึ่งบัดนี้เริ่มแห้งตกสะเก็ดแล้ว

         “ไม่เป็นไรหรอกนะ ไม่เป็นไร” วินทร์ยิ้มให้จอสเลิกกังวล “พี่รู้ทุกอย่างหมดแล้ว พี่เข้าใจ ไม่โกรธนายหรอก”

         “พี่โกรธไปแล้ว พี่ไล่ผม” แค่นึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายในตอนนั้น กลางอกก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที

         “ก็ไม่รู้นี่ นายก็ไม่เคยบอกพี่” วินทร์ไม่แก้ตัว “ขอโทษนะ มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว”

         “พี่ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมไม่ได้โกรธพี่ ผมโกรธตัวเองมากกว่าที่ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้น” จอสพักกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพูดต่อ แม้จะรู้สึกเหนื่อยมากจากร่างกายที่เพิ่งฟื้นตัวแต่เด็กหนุ่มก็ยังอยากจะพูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ “ผมควรจะมีสติมากกว่านั้น ควรฟังพี่อธิบาย”

         “ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะควบคุมได้นี่” วินทร์ไม่ถือสา “ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วก็พอ นายรู้ว่าพี่ไม่ได้เป็นแบบที่มีนพูด พี่ก็รู้ว่านายมีปัญหาอะไรที่ต้องคอยระวัง เท่านี้ทุกอย่างก็โอเคแล้ว”

         “แต่มันจะไม่มีวันหายนะ” จอสบอกกับวินทร์ให้เตรียมใจรับ “สิ่งที่ผมเป็น มันอาจจะควบคุมได้ แต่มันจะไม่มีวันหาย แล้วผมก็บอกไม่ได้ว่ามันจะกลับมาอีกเมื่อไหร่”

         “งั้นเราก็ต้องช่วยดูแลกันไป โอเคไหม?” วินทร์กุมมือของจอสเอาไว้ “ต่อไปนี้มันจะไม่ใช่เรื่องของนายคนเดียว แต่มันจะเป็นเรื่องของเราทั้งคู่แล้ว”

         “แต่ผม…” จอสพยายามจะพูดต่อแต่ลำคอที่ฝืดเคืองก็ขัดขวางเอาไว้ เด็กหนุ่มไอออกมาชุดใหญ่จนวินทร์ต้องรีบเข้ามาลูบหลังกันสำลัก

         “ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ นอนพักดีกว่า” วินทร์บอกกับจอส “เดี่ยวพอหายดีจะได้กลับบ้านเรากันนะ”

         จอสพยักหน้าแล้วหลับตาปล่อยร่างกายให้ได้พักผ่อนตามที่มันต้องการ แม้เปลือกตาจะปิดแต่ประสาทสัมผัสก็ยังรู้สึกได้ถึงฝ่ามือของวินทร์ซึ่งลูบเบาๆ อยู่บนศรีษะ ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากฝ่ามือลงมามอบความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย เด็กหนุ่มหวนนึกไปถึงทุกสิ่งที่ตนเพิ่งจากมาอีกครั้งและพบว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงในขณะนี้ นี่คือความสุขอันจริงแท้แบบที่ไม่ต้องการสิ่งใดมายืนยันไม่ใช่เพียงแค่ภาพฝันลวงตาที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมาปลอบประโลมตัวเอง จอสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะถอดแหวนบนนิ้วนางของตนออกแล้วส่งมันคืนให้กับวินทร์

         “ยังโกรธอะไรอีกล่ะ?” วินทร์เข้าใจไปว่าจอสคืนแหวนเพราะยังมีเรื่องไม่พอใจอยู่

         “ใครว่าโกรธ” จอสแม้จะเขินมากแต่ก็คงถึงเวลาต้องยอมรับความรู้สึกตัวเองเสียที เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าโชคดีที่สมองยังคงเบลออยู่ การพูดอะไรแบบนี้ออกไปจึงง่ายกว่าที่ควรจะเป็นอยู่พอสมควร “ก็พี่บอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าถ้ายอมคบเป็นแฟนเต็มตัวเมื่อไหร่ จะสวมมันให้ผมเอง”

         วินทร์ถึงกับอึ้งไปพักหนึ่งเพราะตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะตั้งสติได้แล้วรีบรับแหวนวงนั้นมา เขาบรรจงสวมมันกลับคืนให้ที่นิ้วนางของจอสอีกครั้งก่อนจะจูบลงไปเบาๆ เมื่อมันอยู่บนนิ้วของเด็กหนุ่มแล้ว จอสรีบชักมือกลับก่อนที่อีกฝ่ายจะทำอะไรให้ตนต้องเขินมากไปกว่านี้ เขาผล็อยหลับไปหลังจากนั้นไม่นานด้วยความเพลียและฤทธิ์ยาที่หมอสั่งให้ เหลือเพียงวินทร์ที่ยังคงนั่งเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง และโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว ที่หลังบานประตูของห้อง พ่อของจอสกำลังมองผ่านกระจกเข้ามา เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าลูกชายพ้นขีดอันตรายและมีคนคอยดูแลอยู่จากนั้นจึงเดินจากไปอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนขามา


To be continued...
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 8 [12-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-06-2018 17:31:33
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยังไงเนี่ย  พ่อมาแต่ไม่ยอมเข้าหา

ดูเหมือนจะรัก  แต่ทำไมต้องทำเยี่ยงนี้

ไม่เข้าใจ  รอเฉลยคำตอบ
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 8 [12-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-06-2018 17:51:24
ปลอดภัยแล้วนะจอส  :กอด1:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 8 [12-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-06-2018 21:16:35
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 8 [12-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 12-06-2018 22:14:34
ขอเม้นท์ตอนก่อนหน้าหน่อยนะ
.... อยากโดดถีบไอ้มีนมาก!!! คนอะไรนิสัยแย่สุดๆ
ถ้าไม่ปรับปรุง ก็จงอยู่ในโคลนตมต่อไปเถอะ!!!

สำหรับตอนนี้
โชคดีเหลือเกินที่จอสไม่เป็นอะไรมากกว่านี้
เห็นความฝันของจอสแล้วเศร้าจัง
ในชีวิตจริงพี่วินทร์จะเป็นแสงสว่างให้นะ ^^
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 8 [12-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 14-06-2018 22:11:44
พี่วินทร์เป็นผู้ใหญ่ดี่จัง ยอมให้อภัยคนที่ทำร้ายน้องชายกับ คนรักตัวเอง  มีความเข้าใจ ยอมรับตัวตนของจอสได้ ดูแลน้องด้วยนะพี่วินทร์. 
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 8 [12-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 17-06-2018 20:21:21
Episode 9

          จอสยืนอยู่หน้ารั้วพุ่มโมกของบ้านเลขที่แปดสิบห้าอันเป็นที่อยู่ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของกรรณจากข้อมูลที่สอบถามผู้จัดการส่วนตัวของภูและสืบเสาะเอาจากคนในละแวกนี้มา เด็กหนุ่มเขย่งเท้าจนพ้นความสูงของรั้วเข้าไปดูลาดเลาภายในบริเวณบ้านก่อนจะพบว่าบรรยากาศนั้นเงียบเชียบไร้วี่แววของผู้คนที่อาศัยอยู่จนเขาอดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่าตนมาผิดบ้าน ด้วยความไม่มั่นใจจอสถอยออกมาตั้งหลักยังรถจักรยานยนต์ของตนที่จอดอยู่ห่างออกไปใต้ร่มไม้ไม่กี่เมตรจากตรงนั้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาวินทร์ เสียงรอสายดังขึ้นแต่ไม่มีใครรับ จอสไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงยังไม่หายโกรธกับการตัดสินใจของตน

          นับจากวันที่ออกจากโรงพยาบาลเวลาก็ผ่านมาได้หนึ่งเดือนเศษ แม้จอสจะยืนยันว่าตนหายดีแล้วแต่วินทร์ก็ยังยืนกรานที่จะให้เขาพักผ่อนอยู่กับบ้านไม่ต้องออกไปทำอะไรท้าแดดท้าลมข้างนอกซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกทรมานเหมือนติดคุกแต่ก็ไม่ได้ออกฤทธิ์เดชอะไรมากเนื่องจากรู้ดีว่าอีกฝ่ายทำไปแบบนั้นก็เพราะความเป็นห่วง เมื่อไม่มีงานให้ต้องรับผิดชอบเวลาของจอสในแต่ละวันจึงหมดไปกับการสรรหาความบันเทิงใส่ตัวในทุกรูปแบบเท่าที่สภาพแวดล้อมจะเอื้ออำนวยให้ได้ เขาเล่นเกมจนไม่เหลืออะไรให้เล่นต่อ อ่านหนังสือทุกเล่มเท่าที่วินทร์ขนซื้อมาให้จากในเมือง แต่สุดท้ายความเบื่อก็บีบบังคับให้จอสต้องละการปลีกวิเวกปิดกั้นข่าวสารแล้วเปิดโทรทัศน์ดูจนได้

          ข่าวเรื่องภาพหลุดของภูทำให้จอสรีบติดต่อไปยังพี่ช้างผู้ซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของอีกฝ่าย ก่อนจะทราบเรื่องราวทั้งหมดว่าความสัมพันธ์ระหว่างภูกับกรรณจบลงแล้ว และนั่นทำให้จอสลุกขึ้นมาจัดของเตรียมตัวออกจากเกาะมุ่งเข้าสู่กรุงเทพทันที แต่ไม่ใช่เพราะอยากจะไปฉวยโอกาสที่ภูกำลังอ่อนแอสานต่อความสัมพันธ์ที่เคยถูกปฏิเสธ แต่เป็นเพราะเขาไม่อาจทนอยู่เฉยได้ในเวลาที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเจ็บปวด ทุกอย่างต่างออกไปจากเดิมแล้ว เขาจะกลับไปในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น

          ทว่ากลับเป็นวินทร์ที่เมื่อรู้เจตนาของจอสแล้วก็รีบขัดขวางอย่างเต็มกำลังในทุกวิถีทาง ด้วยเหตุผลที่เด็กหนุ่มก็พอจะเข้าใจได้ว่ามันคือความหวาดระแวงเพราะรู้ว่าภูคืออดีตรักที่ไม่สมหวังของจอสจึงทำให้วินทร์เข้าใจไปว่าการกลับไปครั้งนี้คือความหวังที่จะสานต่อ วินทร์ปิดหนทางการเดินทางเข้าฝั่งของจอสแต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็หาจ้างเรือจากคนท้องถิ่นจนได้ ทว่าถึงกระนั้นก็ไม่อาจรอดพ้นหูตาของผู้เป็นเจ้าถิ่น วินทร์รู้เรื่องและตามมาจนไล่ทันจอสในขณะที่เขากำลังจะขึ้นเรือออกเดินทางพอดี

          “ลงมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!” วินทร์ตะโกนเรียกก่อนจะหันไปอาละวาดใส่เจ้าของเรือซึ่งกำลังตกใจอยู่ “ห้ามออกเรือเด็ดขาด! ออกได้มีเรื่องกันแน่!”

          “พี่จะมาขังผมไว้นี่ไม่ได้นะเว้ย!” จอสโวย “ก็บอกแล้วไง ไปแป๊ปเดียว เดี๋ยวกลับมา เชื่อใจกันมั่งสิ! ”

          “พี่ไม่ห้ามหรอกถ้านายจะไปเพราะเรื่องอื่น จะกลับไปทำงานหรืออะไรก็ได้ จะไม่รั้งเลย แต่ไม่ใช่เรื่องนี้” วินทร์แสดงจุดยืนชัดเจน “ของๆ พี่ พี่หวง!”

          “อย่ามาพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นนะเว้ย!” จอสอับอายกับสายตาคนขับเรือที่มองจ้องมา “ผมบอกว่าผมไปแป้ปเดียวก็กลับ อะไรก็อธิบายไปหมดแล้ว ปกติพี่เป็นคนมีเหตุผลเข้าใจอะไรง่ายจะตาย อย่ามาเสียประวัติทำตัวงี่เง่ากับเรื่องแค่นี้ได้ป่ะ?”

          “ถ้าพี่จะทำตัวไม่มีเหตุผลกับอะไรซักอย่าง เรื่องนี้ก็สมควรที่สุดแล้วล่ะ” วินทร์ไม่ยอม “ขืนปล่อยไปก็ไม่รู้ว่านายจะกลับมาอีกทีในสถานะแฟนเก่าหรือเปล่า”

          “ก็บอกว่าไม่มีอะไรแล้ว!” จอสปวดหัวตึบ “เพื่อนกัน ก็แค่นั้น เพื่อนไม่สบายใจก็ต้องไปดูแล”

          “ช่วยให้เค้าสบายใจแล้วแลกกับการทำให้แฟนไม่สบายใจแทนงั้นสิ” วินทร์สวนกลับไป

          “ถ้าปัญหามันเยอะมากนักก็ไปด้วยกันเลยมา ขึ้นเรือมาเลย” จอสหมดปัญญาจะอธิบายให้วินทร์เข้าใจ “ไปด้วยกัน เดี๋ยวผมบอกกับเค้าเลยว่าพี่แฟนผม”

          “ทำไมพี่ต้องไป? นายนั่นแหละลงมา ไม่ต้องไป เค้าอยากได้กำลังใจก็แค่โทรไปก็ได้ ไม่ต้องโร่ไปถึงกรุงเทพ” วินทร์ยืนกระต่ายขาเดียว

          “รู้งี้ไม่น่าบอกเลย พอรู้แล้วก็เป็นแบบนี้อ่ะ นี่ถ้าไม่รู้ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอกใช่ไหม?” จอสเหลืออดเหลือทน

          “ไม่สำคัญอ่ะ ตอนนี้พี่รู้แล้ว และพี่ไม่ให้ไป” วินทร์ไม่รับฟัง

          “ผมจะไป” จอสงัดลูกดื้อออกมาใช้หลังจากยอมทำตัวเชื่องอยู่นาน “พี่ห้ามผมไม่ได้”

          “ดี” คำพูดของจอสเหมือนจะเข้าไปกระทบบางอย่างในใจวินทร์ “ถ้านายไปก็ไม่ต้องกลับมาหาพี่อีกก็แล้วกัน พี่ถือว่านายเลือกเค้าแล้ว”

          “ไม่สนใจ” จอสมึนใส่ “เสร็จธุระแล้วผมจะกลับมา ต่อให้พี่จะต้อนรับหรือไม่ผมก็จะกลับมา”

          “นายเลือกเองนะ” วินทร์จ้องหน้าจอส

          “ผมรักพี่นะ พี่เป็นคนสำคัญที่สุดของผม” จอสกลับมาใช้ลูกอ้อน “แต่ที่ผมต้องไป ก็เพราะเค้าเป็นเพื่อนคนเดียวในชีวิตที่ผมมี”

          “ตามใจ…” วินทร์เหมือนจะใจอ่อนลงแต่ก็ยังหงุดหงิดมากอยู่ “อยากทำอะไรก็ตามใจ แต่ไม่รับประกันนะว่ากลับมาพี่จะยังเหมือนเดิมกับนายอยู่”

          “ไม่สำคัญหรอก เพราะผมจะเหมือนเดิมกับพี่” จอสหันไปพยักหน้าบอกคนขับเรือให้เตรียมออกเดินทาง “รอหน่อยนะ สองสามวันก็กลับมาแล้ว”

          “สองสามวันอะไรๆ ก็คงเปลี่ยนไปเยอะแล้วล่ะ” วินทร์ทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปจากท่าเรือ

          บทสนทนาของทั้งสองจบลงเพียงเท่านั้น และนับตั้งแต่นั่งเรือออกมาจากเกาะจนขึ้นฝั่งยันกลับมาถึงกรุงเทพจนกระทั่งเมื่อครู่นี้วินทร์ก็ยังไม่ยอมรับสายจอสเลยแม้แต่ครั้งเดียว เด็กหนุ่มถึงแม้จะกังวลแต่ก็สายเกินกว่าจะถอยกลับไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงแต่ต้องทำธุระของตนให้สุดทางก่อนแล้วจึงค่อยกลับไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย ที่พอจะทำได้ในเวลานี้ก็มีเพียงเชื่อมั่นในวุฒิภาวะของวินทร์ว่าจะไม่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เลยเถิด จอสเดินกลับไปที่รั้วบ้านอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจกดกริ่งเพื่อเรียกเจ้าของบ้านออกมาดูหน้าให้รู้ไปเสียทีว่าตนมาถูกบ้านหรือไม่

          เสียงกริ่งดังขึ้นจากในตัวบ้าน จอสชะเง้อคอคอยมองหาความเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะตอบรับกลับมา เงาของใครบางคนปรากฎขึ้นที่หน้าต่างบ้านซึ่งมีผ้าม่านสีขาวบางๆ กั้นอยู่ก่อนจะผลุบหายกลับเข้าไปอีกครั้ง จอสรีบกดกริ่งซ้ำเพราะรู้แล้วว่าข้างในนั้นมีคนอยู่อย่างแน่นอน ขณะที่ในหัวคิดหาทางเล่นงานแบบเจ็บแสบหากคนที่ออกมาเปิดประตูเป็นกรรณเพื่อเป็นการเอาคืนที่ทำให้ภูเสียใจ ทว่าอีกฝ่ายก็เหมือนนกรู้ทำหูทวนลมกับเสียงกริ่งไม่ยอมออกมาเสียที จนในที่สุดจอสก็เป็นฝ่ายหมดความอดทน เด็กหนุ่มมองซ้ายมองขวาจนเมื่อเห็นว่าปลอดคนจึงได้กระโดดขึ้นประตูรั้วบ้านแล้วปีนเข้าไปข้างใน

          จอสตรงดิ่งไปยังประตูหน้าบ้านในขณะที่ตาก็ยังสอดส่องมองไปตามหน้าต่าง เงาร่างสูงของคนปรากฏขึ้นอีกแวบหนึ่งก่อนจะผลุบหายเข้าไปเมื่อเห็นว่าจอสกำลังจ้องมา ไม่ผิดแน่ในบ้านหลังนี้มีคนอยู่และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรคนผู้นั้นไม่ต้องการจะพบเจอกับเขาถึงขนาดเมินเฉยต่อเสียงกริ่ง สิ่งนี้ยิ่งยืนยันให้จอสมั่นใจขึ้นมาอีกระดับว่าตนมาถูกที่แล้ว เด็กหนุ่มยังทู่ซี้เคาะประตูบ้านไปอีกสองสามครั้งแต่คนข้างในก็ยังดื้อไม่ยอมมาเปิด

          “เฮ้ย ไอ้ลุง!” จอสตัดสินใจตะโกนเรียกให้รู้แล้วรู้รอด “เห็นนะว่าอยู่ข้างใน จะหลบทำไม”

          “ไปให้พ้นๆ เลยไป” เสียงของกรรณตะโกนไล่ตอบกลับมาจากหลังบานประตู “ปกติก็ไม่อยากเห็นหน้าอยู่แล้ว หนีมาถึงนี่แล้วยังตามมารังควาญอีก”

          “ไม่ไป” จอสเห็นแล้วว่าพูดดีๆ คงไม่ได้เรื่อง จึงเปลี่ยนมาใช้การท้าทายยั่วยุอีกฝ่ายแทน “ออกมาหน่อยเซ่ คนเค้าอุตส่าห์มาขอบคุณที่อุตส่าห์ส่งต่อแฟนให้ใช้ต่อ”

          ได้ผลเหมือนสูตรสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ สิ้นเสียงประโยคนั้นประตูหน้าบ้านก็เปิดผัวะออกมาทันทีพร้อมกับร่างสูงของกรรณซึ่งกระโจนออกมาจากข้างใน จอสซึ่งเตรียมตั้งรับอยู่แล้วเบี่ยงตัวหลบได้ทันก่อนจะหันกลับไปซัดกำปั้นเข้าที่เบ้าตาของชายรุ่นพี่เต็มแรง ซึ่งนั่นก็เหมือนยิ่งเติมเชื้อไฟให้เพลิงโทสะของกรรณจนคุโชนยิ่งขึ้น ชายหนุ่มยันตัวขึ้นยืนตรงได้ก็ตรงกลับเข้าไปตะลุมบอนกับจอสอย่างไม่รีรอ ทั้งสองฟัดกันจนฝุ่นตลบจนเมื่อแรงหมดทุกอย่างก็มาถึงจุดจบอย่างกลายๆ จอสยกมือขึ้นทำสัญญาณขอสงบศึกในขณะที่กรรณถ่มเลือดซึ่งซึมออกมาจากบาดแผลแตกบนริมฝีปากลงพื้น

          “พอก่อนลุง คุยกันก่อน” จอสพยายามดึงสถานการณ์ให้กลับสู่เจตนารมณ์ดั้งเดิมในการมาของตน

          “ไสหัวไปให้พ้นๆ เลยไป” กรรณทั้งเจ็บตัวทั้งเหนื่อยจนไม่มีอารมณ์จะเสวนาอะไรต่อทั้งสิ้น “ชั้นไม่มีอะไรจะคุยกับแกทั้งนั้นแหละ”

          “แม้แต่เรื่องของภูเหรอ?” จอสยิงจั่วหัว

          “นี่แกต้องการอะไรวะเนี่ย?” กรรณฉุนกึกขึ้นมาอีกรอบ “จะคบกันก็คบไปสิ จะมาเยาะเย้ยชั้นให้มันได้อะไรขึ้นมา”

          “แก่แต่ตัว เชื่อคนง่ายจังนะ” จอสยันตัวลุกขึ้นยืน “ก็แค่ยั่วโมโหเล่นนิดหน่อย คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้”

          “แล้วมาที่นี่ทำไม?” กรรณไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย

          “บอกเหตุผลมาว่าบอกเลิกภูทำไม?” จอสเข้าเรื่อง เขาต้องรู้เหตุผลในการตัดสินใจของกรรณก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นต่อไป

          “จุ้นอะไรด้วยล่ะ?” กรรณไม่ยอมตอบ ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่จอสคาดเอาไว้เท่าไหร่นัก

          “ถามก็ตอบเหอะ” จอสกระทืบเท้าหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ

          “แค่ที่เห็นในข่าวมันยังไม่ชัดพอหรือไง” กรรณมองว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเขาก็ไม่รู้จะปิดบังต่อไปทำไม การตอบคำถามจอสอาจเป็นเรื่องดีเสียอีกเพราะช่วยให้ได้ระบายออกกับใครสักคนบ้าง “ภูเคยมีชีวิตที่ดีมากอยู่แล้ว แต่สนิมที่เข้ามาเกาะแบบชั้นทำทุกอย่างให้วุ่นวายจนพังไปหมด ถอยออกมาซะดีกว่า ชีวิตเค้าจะได้กลับไปสมบูรณ์เหมือนเดิม”

          “แล้วไม่คิดหรือไงว่าเค้าจะเสียใจแค่ไหนที่คนที่ควรอยู่เคียงข้างเค้ามากที่สุดในเวลานี้กลับเลือกจะเดินหนีไป” จอสถามกลับไป “บทพระเอกผู้เสียสละมันไม่ได้เวิร์คกับทุกปัญหาหรอกนะ”

          “มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” กรรณเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ นับตั้งแต่วันที่บอกเลิกภูไป ก็ไม่มีวันไหนเลยที่ความเสียใจจะห่างหายออกไปจากชีวิต “ผ่านมาตั้งหลายเดือน มันคงสายไปแล้ว เค้าเองก็คงโกรธมาก”

          “ก็เพราะรักอยู่ไง ถึงได้โกรธ” จอสบอกสิ่งที่รู้จากปากของภูมาให้กรรณฟัง “หมอนั่นไม่เคยเลิกรักคนที่ทิ้งตัวเองไปเลย”

          “….” กรรณมองหน้าอีกฝ่าย พยายามหาร่องรอยหรือวี่แววของลูกไม้ตุกติกที่จะใช้ล่อหลอกให้ตนหลงกล แต่ก็ไม่พบอะไรที่จะส่อไปในแนวทางนั้นเลย “หมายความว่าไง?”

          “หมายความว่ายังไงก็ไปถามกับเจ้าตัวเองเถอะ นี่ก็รู้มาแค่นี้แหละ” จอสหมดธุระแล้ว เขาหยิบกุญแจรถจักรยานยนต์ออกมาจากในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันไปถามกรรณอีกครั้ง “ไงล่ะ จะไปถามเค้าเลยไหม?”

          “อ่า…” กรรณดูลังเล แต่สิ่งที่จอสพูดมาหากเป็นความจริงนี่ก็คือโอกาสที่จะพลาดปล่อยทิ้งไปไม่ได้เด็ดขาด เมื่อรู้ว่าหนทางกลับไปครอบครองความรักที่เคยหลุดลอยได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงเลิกพะวักพะวงและตัดสินใจพุ่งเข้าไปลองเสี่ยงกับมัน “ติดเครื่องรถรอเลย… ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป้ปนึง”
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 8 [12-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 17-06-2018 20:26:56
          เวลาล่วงมายังกลางดึกของวันเดียวกัน จอสยืนหลบอยู่ในมุมรั้วมองดูภาพของภูและกรรณที่กำลังกอดกันอยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้าน ซึ่งเมื่อสังเกตจากอากัปกิริยาท่าทางเด็กหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสองคงปรับความเข้าใจและกลับมาคืนดีกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นก็หมายความว่าภารกิจที่ตั้งใจเอาไว้ได้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี รวมไปถึงอีกหนึ่งความตั้งใจซึ่งเขาไม่ได้บอกให้ใครรู้ การเผชิญหน้ากับภูอีกครั้งได้พิสูจน์ความรู้สึกของจอสจนชัดเจนแล้วว่าบัดนี้เขาไม่ได้ต้องการจะครอบครองอีกฝ่ายมาเป็นของตนอีกต่อไป ความรู้สึกดีๆ มากมายยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยมแต่ไม่มีความกระหายจะครอบครองรวมอยู่ในนั้น เขามีเพียงความเป็นห่วงและยินดีที่เห็นอีกฝ่ายมีความสุขอีกครั้ง

          แม้จะห่วงพะวงกับเรื่องของวินทร์อยากรีบกลับไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการขับขี่ทางไกลตลอดทั้งวันก็ส่งสัญญาณเตือนว่าสมควรแก่เวลาที่จะต้องพักผ่อนแล้ว จอสเลือกจะเชื่อความรู้สึกตนเองเพราะรู้ดีว่าหากฝืนเดินทางตอนนี้เปอร์เซ็นต์ที่จะไปไม่ถึงที่หมายมีอยู่สูงมาก เขาจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะกลับไปนอนพักที่คอนโดก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยรีบออกเดินทางทันทีที่ตื่น แต่ขณะที่กำลังจะติดเครื่องรถเพื่อออกเดินทางนั้นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นขัดจังหวะเอาไว้เสียก่อน เด็กหนุ่มรีบหยิบมันขึ้นมาดูก่อนที่ร่างกายซึ่งเหนื่อยเพลียจะตื่นตัวขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนเมื่อเห็นชื่อวินทร์เป็นผู้โทรเข้า

          “ผมกำลังจะกลับ…” จอสรีบออกตัวทันทีที่กดรับสาย

          “เสร็จธุระแล้วเหรอ?” เสียงของวินทร์ถามมาตามสาย

          “เสร็จแล้ว เค้ากลับไปดีกันแล้ว” จอสตอบ แม้จะมีปัญหากันก่อนจากมา แต่การได้ยินเสียงของวินทร์ก็ช่วยให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นได้มาก

          “นายช่วยให้เค้าดีกัน แล้วใครจะมาช่วยนายให้ดีกับพี่” วินทร์ถามต่อ

          “ไม่ต้องให้ใครช่วยหรอก แฟนผม ผมง้อเองได้” จอสทำทะเล้นสู้ แม้ใจจะยังหวั่นๆ กับความสงบในน้ำเสียงของอีกฝ่าย

          “พี่ยังเป็นแฟนนายอยู่อีกเหรอ?” วินทร์ถามด้วยคำถามที่ทำให้หัวใจจอสหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่ม

          “ทำไมพูดงั้นอ่ะ…” จอสถึงกับทะเล้นต่อไม่ออก

          “ก็…” วินทร์เงียบไป จอสได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ดังแว่วมาจากฝั่งนั้น “พี่พูดไม่ดีกับนายก่อนนายไป…”

          “เรื่องแค่นั้นเอง ไม่เป็นไร” จอสโล่งอกเมื่อได้รู้ว่าบรรยากาศหนักอึ้งนี้เกิดจากความรู้สึกผิดของวินทร์ ไม่ใช่ความโกรธเคือง “ผมรู้ว่าพี่ทำไปเพราะหวงผม”

          “ขอโทษนะ ขอโทษที่ทำตัวงี่เง่าไม่สมอายุเลย” วินทร์ขอโทษเสียงอ่อย “แล้วนี่นายจะกลับมาเลยหรือเปล่า?”

          “ผมเหนื่อยมากเลย อยากพักก่อนซักคืน” จอสยอมรับตามตรง “แต่ถ้าพี่อยากให้ผมกลับไปเลย ผมก็จะกลับ”

          “ไม่ต้องเลย เหนื่อยก็พัก ฝืนเดินทางมันอันตราย” วินทร์รีบห้ามไม่ให้จอสฝืนตัวเอง “แค่รู้ว่านายจะกลับมาก็พอ จะเมื่อไหร่พี่ก็รอได้”

          “โอเค…” เด็กหนุ่มหลุดหาวออกมาก่อนจะพูดจบประโยค “งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับ”

          จอสวางสายจากวินทร์ แม้จะอ่อนเพลียจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแต่เมื่อความกังวลเกี่ยวกับวินทร์จางหายไปทุกอย่างก็ดูไม่หนักหนาเกินกว่าจะรับไหวอีกต่อไป เด็กหนุ่มขับขี่ด้วยความเร็วปานกลางเพื่อลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเนื่องจากประสาทสัมผัสที่ง่วงซึม จนเมื่อมาถึงคอนโดจึงได้จอดรถแล้วตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องของตนแต่ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออกแม้สมองจะเบลอแต่เขาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดไปจากปกติวิสัยที่ควรเป็น แสงไฟจากโคมด้านหน้าห้องเปิดสว่างอยู่ทั้งที่จอสมั่นใจว่าก่อนออกไปตนได้ปิดทุกอย่างจนหมดเรียบร้อยแล้ว

          เด็กหนุ่มรู้ดีว่าคนแปลกหน้าไม่มีทางผ่านระบบรักษาความปลอดภัยจากชั้นล่างขึ้นมาถึงบนนี้ได้แน่ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนเปิดไฟในห้อง เขาจะต้องเป็นคนที่มีคีย์การ์ดผ่านประตูขึ้นมาได้ ซึ่งนั่นก็มีเพียงแค่คนเดียว จอสเปิดประตูออกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปดูลาดเลาข้างใน หากผู้ที่อยู่ในนั้นคือคนที่เขาคาดคิดเอาไว้จริงๆ เด็กหนุ่มก็ไม่มั่นใจว่าตนพร้อมที่จะเผชิญหน้าด้วยหรือไม่ บรรยากาศด้านในห้องมีสัญญาณแห่งการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะแสงไฟที่เปิดอยู่ทั่วทั้งห้อง แก้วเครื่องดื่มที่วางทิ้งเอาไว้บนเคาท์เตอร์ของบาร์น้ำซึ่งน้ำแข็งภายในยังไม่ละลายนั่นหมายความเจ้าของเพิ่งละออกไปจากมันเพียงไม่นานก่อนหน้านี้

          “กลับมาแล้วเหรอ?” เสียงอันคุ้นเคยที่ห่างหายไปจากโสตประสาทมานานร้องทักเป็นภาษาอังกฤษมาจากด้านหลัง

          จอสรีบหันกลับไปตามเสียงก่อนจะพบเข้ากับร่างสูงของพ่อที่ยืนมองมาทางตนอยู่ เด็กหนุ่มเขม้นมองด้วยสายตาตื่นตระหนก แม้จะเป็นพ่อแท้ๆ ของตนแต่ด้วยความไม่คุ้นเคยจากการที่ห่างหายหน้าจากกันไปนานทำให้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า พ่อดูแปลกตาไปมากนับจากวันที่จอสได้เจอหน้าครั้งล่าสุดเมื่อเกือบสองปีก่อน นอกจากริ้วรอยแห่งวัยอันเป็นธรรมชาติตามอายุที่มากขึ้นแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือความสดใสในแววตาซึ่งเด็กหนุ่มไม่เคยพบเห็นมันมาก่อนแม้กระทั่งเมื่อครั้งที่ครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้ากัน

          “พ่อกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” จอสถามทันทีที่ตั้งสติได้

          “สองสามวันได้” พ่อของจอสตอบก่อนจะเดินเข้ามาหยิบแก้วเครื่องดื่มที่วางทิ้งเอาไว้ไปจิบต่อ “แกมาทันก่อนพ่อจะกลับไปพอดี”

          “พ่อไม่บอกผมล่ะว่าจะมา” จอสรู้สึกแย่ที่แม้จะกลับมาถึงบ้านแล้วไม่เจอตน พ่อก็ยังดูไม่ห่วงหรือสนใจจะติดตามหาเลย “แล้วพ่อกลับมามีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”

          “ก็แค่แวะมา ธุระก็พอมี แต่ตอนนี้มาคุยเรื่องสารทุกข์สุกดิบกันก่อนดีไหม?” พ่อของจอสผายมือเชิญให้ลูกชายของตนนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ “นั่งก่อนสิ”

          จอสนั่งลงตามคำเชิญของพ่อ เด็กหนุ่มขยับตัวหันออกห่างเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะ ผู้เป็นพ่อมองอาการประดักประเดิดของลูกชายตนเองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจที่ความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่เคยมีในกาลก่อนกลับกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะตน สิ่งที่เกิดขึ้นกับจอสเมื่อเดือนก่อนทำให้เขายิ่งเป็นกังวลกับการปล่อยให้เด็กหนุ่มต้องอยู่ตามลำพังคนเดียว จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จอสปางตาย แต่ครั้งก่อนที่เป็นการฆ่าตัวตายก็ยังไม่น่ากังวลเมื่อคิดในแง่ที่ว่าอาการเหล่านั้นถูกบำบัดโดยแพทย์จนเกือบเป็นปกติแล้ว สิ่งที่รบกวนจิตใจของผู้เป็นพ่อมากที่สุดในขณะนี้คือการที่ลูกถูกประทุษร้ายจากบุคคลที่สามต่างหาก

          ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวว่าการทอดทิ้งลูกให้อยู่ตามลำพังตั้งแต่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งภาวะผิดปกติทางจิตใจของจอสก็เป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงอันตรายของมันได้เป็นอย่างดีแล้ว แต่เขาก็ยังเชื่อว่ามันจะเป็นการดีที่สุดหากตนจะอยู่ห่างจากลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ มันไม่ใช่ความผิดของจอสที่ภรรยาเก่าของเขานอกใจไปกับผู้ชายอื่น แต่การได้เห็นหน้าลูกที่เกิดจากเธอคนนั้นก็ย้ำเตือนให้ความรู้สึกแย่ๆ อันไม่พึงประสงค์ย้อนกลับมาครอบงำจิตใจได้ทุกครั้ง ในช่วงที่การเลิกราเกิดขึ้นใหม่ๆ หลายครั้งที่เขามองเด็กชายที่นอนหลับอยู่บนเตียงในยามค่ำคืนแล้วต้องข่มกลั้นความรู้สึกไม่ให้เอื้อมมือไปบีบคอน้อยๆ นั้นให้แหลกคามือ ด้วยหวาดกลัวความรู้สึกอันดำมืดเช่นนั้นจึงได้ตัดสินใจตัดปัญหาทุกอย่างด้วยการพาตัวเองออกมาแล้วทิ้งจอสไว้ลำพังเบื้องหลัง

          “เป็นยังไงบ้าง?” พ่อเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบน่าอึดอัด “ที่ผ่านมา อยู่ได้ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”

          “พ่อห่วงด้วยเหรอ?” จอสแค่นหัวเราะ “เรื่องน่าประหลาดใจที่สุดในรอบหลายปีเลยนะเนี่ย”

          “พ่อรู้ว่าตัวเองไม่ใช่พ่อที่ดี” พ่อของจอสไม่โต้แย้งกับคำค่อนแคะจากลูกชาย “แต่เชื่อเถอะ ถ้าพ่อจะบอกว่าพ่อก็ห่วงแกไม่น้อยไปกว่าพ่อคนอื่นๆ ห่วงลูกหรอก”

          “งั้นก็แสดงออกให้ผมรู้สึกแบบนั้นบ้างก็ดีนะ” จอสหัวใจพองโตขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินถ้อยคำแสดงความห่วงใยจากพ่อ

          “ก็นี่ไง พ่อพยายามอยู่นะ” พ่อจ้องจอสตาเขม็งเหมือนขอความร่วมมือ “แล้วไงล่ะ ที่ผ่านมาอยู่ได้ ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”

          “ก็ถ้าไม่นับเรื่องรอยจารึกบนแขนนี่” จอสชูแผลเป็นบนท้องแขนให้พ่อดู “ทุกอย่างก็โอเคครับ เรื่อยเปื่อยตามประสา”

          “ก็ดี…” พ่อเบือนสายตาออกจากแผลเหล่านั้น เพราะเพียงแค่มองก็เจ็บในอกราวกับมีดกรีด “เห็นไปเป็นดาราดังแล้วนี่ ไปไงมาไงล่ะ?”

          “ก็เค้ามาชวนไปทำก็ทำ ดีกว่าอยู่ว่างๆ” จอสก้มหน้าหลบอาการเขิน

          “แกเปลี่ยนไปเยอะ ในทางที่ดี และพ่อภูมิใจกับมันนะ” พ่อบอกกับจอส ขณะพูดตาก็เสมองไปทางอื่นด้วยความเก้อเขินไม่ต่างกัน

          “ขอบคุณครับ” จอสพยักหน้ารับคำชมนั้น

          “อันที่จริง ที่พ่อมาก็มีเรื่องอยากจะคุยกับแก ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรหรอก พ่อเองก็ยังลังเลอยู่ว่าควรจะคุยดีไหม ถึงได้ไม่โทรเรียกแก ปล่อยวัดดวงเอาว่าถ้าแกมาทันเจอพ่อ ก็จะได้รู้ แต่ถ้าไม่ มันก็คือยังไม่ถึงเวลา” พ่อของจอสเกริ่นเข้าถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาครั้งนี้ “พ่อกำลังจะแต่งงานใหม่”

          “นี่พ่อเรียกเรื่องแบบนี้ว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเหรอ?” จอสงงกับตรรกะของพ่อ “เรื่องนี้มันเรื่องสำคัญที่ต้องบอกผมเลยนะ”

          “พ่อแต่งไม่ใช่แกแต่ง มันจะสำคัญอะไรมากมาย อีกอย่างแกเองก็มีแฟนเป็นผู้ชาย คบกันเป็นตัวเป็นตน ไปอยู่กินด้วยกันพ่อก็ยังไม่ว่าอะไรเลย” พ่อของจอสสวนกลับด้วยข้อมูลที่เด็กหนุ่มไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้

          “พ่อรู้ได้ไง?” จอสทำตัวไม่ถูก จริงอยู่ที่เขาไม่ได้คิดจะปกปิดสถานะทางเพศของตน แต่การที่จู่ๆ โดนพ่อโพล่งเปิดโปงออกมามันก็ชวนให้ตื่นตระหนกไม่ใช่น้อย

          “แกเป็นลูก ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าพ่อจะไม่รู้ความเคลื่อนไหวของแกนะ” พ่อยกเครื่องดื่มกระดกเข้าปากไปอีกอึกใหญ่ราวกับจะย้อมใจก่อนพูดต่อ

          “แล้วไง?” จอสเริ่มก่อกำแพงป้องกันตัวเอง “ถ้าคิดจะมาบอกให้ผมเลิก ก็รู้ไว้เลยนะว่านี่ไม่ใช่เรื่องของพ่อ พ่อสั่งผมไม่ได้”

          “พ่อยังไม่ได้พูดแบบนั้นซักคำเลย” พ่อส่ายหน้าระอากับความตื่นตูมของลูก “แกจะคบใครก็คบไปเถอะ ไม่ได้ว่าอะไรทั้งนั้นล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ ก็แล้วกัน”

          “ก็ดูแลมาตลอดนั่นแหละ ไม่มีใครมาดูแลให้นี่” จอสแอบแขวะพ่อกลับไป “พ่อจะแต่งกับใครก็แต่งไปเหอะ ผมก็ไม่ว่าเหมือนกัน แค่ให้แม่ใหม่แก่กว่าผมหน่อยก็ดี”

          “จริงๆ เค้าอายุเท่าๆ กับพ่อนี่แหละ” พ่อของจอสบอก

          “จริงเหรอ? ดูไม่ใช่สเปกพ่อเลยนะ” จอสแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาบรรดาผู้หญิงของพ่อมักจะอายุห่างจากเขาไม่ถึงห้าปีเสมอ

          “เค้าเป็นจิตแพทย์ที่ดูแลพ่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา” พ่อเล่าถึงตัวตนของหญิงที่จะมาเป็นแม่เลี้ยง “เค้าเป็นคนดีนะ พ่อว่าถ้าได้เจอแกก็คงจะชอบเค้าเหมือนกัน”

          “ถ้าพ่อไม่ยุ่งเรื่องแฟนผม ผมก็ไม่ยุ่งเรื่องแฟนพ่อ” จอสบอกจุดยืน “เพราะงั้นถ้าพ่อชอบเค้าและมั่นใจว่าเค้าเป็นคนที่ใช่จริงๆ ผมก็ไม่ขัดอะไรหรอกครับ”

          “เราเป็นพ่อลูกที่คุยอะไรเข้าใจกันง่ายดีนะ” พ่อหัวเราะออกมาด้วยความขบขันปนโล่งใจที่ทุกอย่างดูจะง่ายไปหมด

          “อาจเป็นเพราะเรามีชีวิตแบบตัวใครตัวมันมานานแล้วมั้งครับ” จอสหาสาเหตุให้

          “แล้วก็อีกเรื่อง หลังแต่งงานพ่อจะไปอยู่บ้านหลังใหม่แถบชานเมือง” พ่อบอกส่วนที่เหลือของธุระ “ที่นั่นก็ไม่มีใครหรอก ก็แค่พ่อแล้วก็แม่เลี้ยงของแก ถ้าแกอยากจะไปอยู่กับเรา…”

          “ขอคิดดูก่อนนะ” จอสไม่มั่นใจว่าตนต้องการเช่นนั้น “ไม่ใช่รังเกียจหรืออะไร แต่พ่อเข้าใจผมใช่ไหม?”

          “เข้าใจ…” พ่อพยักหน้า “แต่บ้านใหม่มันมีพื้นที่พอสมควร คงจะเลี้ยงหมาอะไรอย่างที่แกอยากเลี้ยงมาตลอดได้ ในบริเวณบ้านก็มีบ้านหลังเล็กอีกหลัง แกไม่ต้องอยู่บ้านหลังเดียวกับพ่อก็ได้ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว”

          “ถ้าแค่แวะไปสุดสัปดาห์ก็คงได้อยู่มั้งครับ” จอสเริ่มเอนเอียงตามคำชวนเชื่อ

          “แล้วแต่เถอะ พ่อต้อนรับแกตลอดนั่นแหละ” พ่อให้เวลาจอสปรับตัวเพราะรู้ดีว่าทุกอย่างค่อนข้างฉุกละหุก

          หลังหมดธุระทั้งสองยังนั่งคุยกันต่ออยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่จอสจะทนถ่างเปลือกตาที่หนักอึ้งให้ตื่นต่อไปไม่ไหวต้องขอตัวไปนอนพักผ่อน และเมื่อตื่นมาอีกครั้งในตอนเช้าเขาก็พบว่าความว่างเปล่าได้กลับมาอีกครั้งเมื่อพ่อได้ออกเดินทางไปกลับไปสู่ชีวิตอันแสนวุ่นวายตามเดิมตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่เขายังไม่ลุกจากเตียง หากทว่าในครั้งนี้มีบางสิ่งที่ต่างออกไปจากที่เคย เพราะจอสรู้ดีว่าบางสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว แม้จะไม่ใช่ในรูปแบบที่ต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คำว่าครอบครัวกำลังจะกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอีกครั้ง แน่นอนว่ามันย่อมมาพร้อมกับการปรับตัวขนานใหญ่ แต่เวลาก็คงจะช่วยให้ทุกอย่างลงตัวได้เอง จอสเชื่อเช่นนั้น


To be continued...

หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 9 [17-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-06-2018 20:44:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถ...มีอาการทางจิตทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะ   

สงสัยคงถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 9 [17-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-06-2018 01:17:08
รอวันที่จอสพาวินทร์ไปแนะนำตัวกับพ่อนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 9 [17-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 18-06-2018 05:46:12
ขอให้มีแต่สิ่งดีๆนะ ^^
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 9 [17-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 21-06-2018 07:42:07
รีบกลับไปหาพี่วินทร์เลยจอส คงต้องง้องอนกันอีกนิดหน่อย

ดีที่จอสได้เจอพ่อ ได้เปิดใจคุยกันบ้าง เป็นการเริ่มต้นที่ดี
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 9 [17-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-06-2018 23:16:04
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 9 [17-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: sangzaja122 ที่ 22-06-2018 02:13:30
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 [17-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 25-06-2018 14:10:29
EPISODE 10 EPILOGUE

          “ขอบคุณมากครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ”

          ภูบอกลาลูกค้าโต๊ะสุดท้ายประจำวันก่อนจะล็อกประตูหน้าร้านจากนั้นจึงถอดผ้ากันเปื้อนวางพาดบนพนักพิงของเก้าอี้แล้วนั่งพัก เขาดูเวลาจากนาฬิกาบนผนังสลับกับมองไปยังบริเวณด้านนอกร้านด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะรู้ดีว่าหากต้องการจะเดินทางไปถึงโรงแรมอันเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานของสาลี่ให้ทันเวลานัดหมายเขาก็ควรจะออกจากบ้านได้แล้ว ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเลือกที่จะปิดร้านไวกว่าเวลาปกติแต่ก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่เสียเปล่าเพราะถึงแม้จะรีบปิดร้านแต่หัววันทว่าท้ายที่สุดเขาก็ยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่ากรรณจะกลับมาถึงและออกไปพร้อมกัน

          เด็กหนุ่มเอนหลังคลายความเมื่อยล้า สายตากวาดมองไปยังทุกสิ่งที่รายล้อมอยู่รอบตัว ถ้านับตั้งแต่วันแรกที่เปิดบริการร้านนี้ก็มีอายุได้หนึ่งปีเศษแล้ว หลังจากหมดสัญญากับทางช่องภูก็เริ่มใช้เวลาว่างมองหาสิ่งที่ตนต้องการจะทำจริงๆ เริ่มแรกเขาไปเข้าคอร์สเรียนทำขนมและเครื่องดื่มที่สถาบันแห่งหนึ่งจนเมื่อฝึกปรือฝีมือจนชำนาญแล้วจึงได้ตัดสินใจใช้พื้นที่บริเวณบ้านของกรรณเปิดร้านกาแฟเล็กๆแห่งนี้ขึ้นโดยมีคอนเซปต์ของร้านเป็นกึ่งๆแกลลอรี่สำหรับแสดงภาพถ่ายจากฝีมือของเจ้าของบ้านด้วย กิจการเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างรุ่งโรจน์ ชื่อเสียงของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของร้านสามารถใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ร้านได้เป็นอย่างดี ร้านของภูกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างและมีลูกค้ามาอุดหนุนอย่างเนืองแน่นทุกวัน ทั้งที่อยากมาเพื่อสัมผัสใกล้ชิดกับเจ้าของร้านคนดังและอยากมาลิ้มลองตามคำรีวิว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกจนคุ้นหน้านั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากติดใจในบรรยากาศและรสชาติของอาหารกับเครื่องดื่มด้วย

          ภูไม่อาจทิ้งงานในวงการไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ด้วยยังคงเกรงใจบรรดาผู้จัดละครและผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือกันซึ่งคอยดูแลเขามาตลอดช่วงเวลาที่สังกัดกับทางช่องจึงทำให้เด็กหนุ่มยังต้องกลับไปรับงานแสดงบ้างประปราย ซึ่งเขาก็พยายามมองในแง่ดีว่าอย่างน้อยการรักษาชื่อเสียงของตนให้ยังเป็นที่รู้จักของผู้คนอยู่บ้างก็อาจจะช่วยให้เป็นผลดีกับกิจการร้านในระยะยาว ไม่จำเป็นต้องโด่งดังจนใช้ชีวิตลำบากเหมือนแต่ก่อน แค่พอให้ชื่อไม่เลือนหายไปจากกระแส

          ต่างจากกรรณ ซึ่งหลังจากหมดสัญญากับสำนักข่าวที่ต่างประเทศแล้วกลับมาใช้ชีวิตอยู่ไทย กราฟชื่อเสียงของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นจนสูงลิบ มันเริ่มมาจากการไปปรากฏตัวในรายการเรียลลิตี้โชว์ค้นหานายแบบและนางแบบ ซึ่งกรรณถึงแม้จะไปในฐานะตากล้องที่ทำหน้าที่ถ่ายภาพผู้เข้าแข่งขันระหว่างทำตามโจทย์ที่ได้รับมอบหมาย แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่จัดได้ว่าเด่นเกินหน้าผู้เข้าแข่งขันก็ทำให้สามารถขโมยซีนดึงความสนใจจากคนดูจนเกิดเป็นกระแสพูดถึงอย่างต่อเนื่องหลังรายการจบ และลามมาจนพาให้กรรณติดอันดับหนุ่มโสดในฝันของนิตยสารหัวใหญ่ระดับประเทศ แน่นอนว่าอดีตอันไม่น่าจดจำของทั้งคู่อย่างเรื่องภาพหลุดก็ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้งด้วยเช่นกัน ทว่าหลังจากผ่านมันมาได้หลายต่อหลายครั้ง ในยามนี้ทั้งสองก็ดูจะชินชาจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับมันอีกต่อไปแล้ว

          ภูพอใจกับทุกอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ แม้จะไม่มีอะไรหวือหวาและออกจะน่าเบื่อในบางวันแต่ก็ยังมีความสุขกว่าชีวิตช่วงที่อยู่ในวงการแบบเต็มตัวอย่างเทียบไม่ได้ เขาได้มีเวลาให้ตัวเอง ครอบครัว คนรักและเพื่อนฝูง ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ยิบย่อยวุ่นวายมาคอยกำกับควบคุมชีวิตว่าอะไรทำได้หรืออะไรทำไม่ได้ เรื่องความรักก็เป็นไปอย่างราบรื่น กรรณยังคงเสมอต้นเสมอปลายเหมือนอย่างที่เคยเป็นนับตั้งแต่เริ่มแรกคบกัน มีเพียงเรื่องความขี้หึงที่ดูจะเพิ่มมากขึ้นตามวันเวลา ยิ่งเมื่อภูไม่ได้อยู่ในวงการกรรณก็ยิ่งแสดงความเป็นเจ้าของเด็กหนุ่มคนรักออกมาได้เต็มที่ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับภูเพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจอยู่เสมอว่าตนยังเป็นสิ่งสำคัญที่อีกฝ่ายหวงแหน

          “ทำไมยังไม่ไปเปลี่ยนชุดอีกล่ะเนี่ย?” กรรณถามขณะเปิดประตูเข้ามาในชั้นล่างของบ้านซึ่งทำการรีโนเวทให้กลายเป็นร้านกาแฟและแกลลอรี่ภาพ

          “ก็รอพี่มานี่แหละ ใส่สูทแล้วมันลุกนั่งลำบากไม่ถนัด รอพี่มาค่อยไปเปลี่ยนแล้วออกไปเลย” ภูตอบก่อนจะลุกขึ้นเหยียดตัวยืดเส้นยืดสายอีกรอบ “กลับมาช้าจัง อุตส่าห์บอกแต่เช้าแล้วนะว่าต้องรีบออก โรงแรมมันไกล รถก็ติดด้วย”

          “นี่ก็รีบสุดแล้วครับ” กรรณแทบจะไม่มีเวลาพักหายใจด้วยซ้ำ ทันทีที่เสร็จงานเขาก็รีบออกจากสตูดิโอแล้วตรงดิ่งกลับมาทันที “ถ้ายังพึ่งพารถไฟฟ้าเหมือนเมื่อก่อนก็น่าจะกลับมาถึงเร็วกว่านี้แหละ”

          “จะโทษว่าเป็นความผิดของผมอีกสิ ที่ให้พี่ซื้อรถ” ภูดักคอเอาไว้ก่อน “ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยแท้ๆ”

          “ไม่ได้พูดอย่างนั้นซักคำเลย” กรรณยื่นมือไปผลักศีรษะเด็กหนุ่มจอมหาเรื่อง “รถน่ะต่อให้นายไม่ยุยังไงพี่ก็ต้องซื้อ ไม่ใช่ปัญหาหรอก แค่วันนี้การจราจรมันไม่เป็นใจให้กลับมาเร็วเท่านั้นเอง”

          “งั้นก็รีบไปเปลี่ยนชุดกันเถอะครับ” ภูมองดูเวลาอีกรอบพลางคิดวางแผนเส้นทางในการเดินทางที่จะสามารถประหยัดเวลาได้มากที่สุดเอาไว้ในหัว

          หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ทั้งคู่ก็เตรียมพร้อมออกเดินทางทันทีเพราะเสียเวลาไปมากแล้ว ภูวางกล่องของขวัญที่เตรียมไว้ให้กับคู่บ่าวสาวเอาไว้เบาะหลังของรถในขณะที่กรรณติดเครื่องรอและใช้กระจกมองหลังตรวจเช็คสภาพความเรียบร้อยของตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากบ้าน ในตอนนั้นภูนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเดินตัดผ่านส่วนที่เคยเป็นรั้วบ้านซึ่งปัจจุบันถูกทุบออกเพื่อเชื่อมอาณาเขตของทั้งสองบ้านเข้าด้วยกันเพื่อกลับไปหาพ่อและแม่ยังบ้านของตน เด็กหนุ่มรับฝากซองเงินช่วยงานแต่งจากพ่อและแม่ที่ไม่สะดวกไปร่วมงานเพื่อนำไปมอบให้กับเจ้าภาพก่อนจะรีบกลับมาขึ้นรถ

          กรรณขับไปตามเส้นทางที่ภูคอยกำกับบอก ถึงแม้จะซื้อรถมาได้เกือบหนึ่งปีแล้วแต่ชายหนุ่มก็ยังอ่อนด้อยเรื่องเส้นทางในกรุงเทพ เขาจดจำได้แต่เส้นทางที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเท่านั้นหากต้องไปที่อื่นที่ไม่คุ้นเคยก็จำเป็นต้องมีภูคอยเป็นผู้นำทางให้เสมอ หลังจากฝ่าการจราจรที่ติดขัดของช่วงเย็นหลังเลิกงานมาเกือบหนึ่งชั่วโมงในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงโรงแรมระดับสี่ดาวอันเป็นจุดหมายปลายทาง ภูรีบลงที่ด้านหน้าของโรงแรมในขณะที่กรรณเข้าไปวนหาที่จอดรถแล้วจะตามเข้าไปในงานทีหลังเนื่องจากในฐานะเพื่อนเจ้าสาวเขายังมีบางสิ่งที่ต้องจัดการประสานงานให้เรียบร้อยก่อนที่งานจะเริ่ม

          ทันทีที่มาถึงบริเวณห้องจัดเลี้ยง ภูกดยกเลิกสายที่กำลังโทรออกหาจอสเมื่อเห็นอีกฝ่ายมานั่งรออยู่บริเวณด้านหลังเวทีแล้ว สมาชิกคนอื่นๆในวงกำลังเตรียมความพร้อมของเครื่องดนตรีและระบบเสียงเพื่อการแสดงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ในขณะที่จอสเมื่อเห็นภูมาถึงก็รีบทิ้งทุกอย่างที่กำลังทำแล้วตรงเข้ามาหาเหมือนเช่นที่เคยทำจนติดเป็นปกติวิสัย เด็กหนุ่มมองร่างสูงที่กำลังมุ่งมาทางตนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เกือบหนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้พบกัน จอสดูเปลี่ยนไปจากที่เห็นครั้งสุดท้าย เขาดูโตขึ้น บางสิ่งในแววตาบ่งบอกถึงความสุขในชีวิต ไม่มีวี่แววของคนที่หิวโหยความรักและความผูกพันจากใครสักคนอีกต่อไป

          “นึกว่าจะยังมาไม่ถึง กำลังจะโทรตามพอดีเลย” ภูโล่งอกที่เห็นทุกอย่างเกือบจะพร้อมแล้ว

          “คนเค้ามารอตั้งนานแล้วมั่งเหอะ” จอสเกทับ “มีแต่คนที่ติดต่อจ้างงานมานี่แหละ ที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน นึกว่าโดนหลอกให้มาเก้อแล้ว”

          “ก็ไม่โทรมาล่ะ ทีเรื่องจำเป็นน่ะไม่รู้จักโทร” ภูย้อนเข้าให้ “ทีเวลาทะเลาะกับแฟนดึกๆดื่นๆนี่โทรมาจัง”

          “พูดมากน่ะ” จอสเถียงไม่ได้เมื่อโดนเอาเรื่องจริงมาย้อน “แต่โทรไปทีไรก็รับสายทุกทีไม่ใช่หรือไง?”

          “ก็สัญญาเอาไว้แล้วนี่” ภูยังจดจำทุกคำที่บอกกับอีกฝ่ายในคืนนั้นได้ “เดี๋ยวจะหาว่าเราไม่รักษาสัญญา”

          “ก็ดี…” จอสยิ้มออกมา เขาเองก็จดจำทุกอย่างได้ดีเช่นกัน “แล้วไอ้ลุงนั่นไม่มาด้วยเหรอ?”

          “จอดรถอยู่เดี๋ยวตามมา” ภูตอบ “แล้วลุงของนายล่ะ ไม่มาด้วยหรือไง?”

          “ไม่รู้ ไม่สนใจ” จอสตอบแบบปัดๆ

          “ทะเลาะกันมาอีกแล้วสิท่า” ภูเดาออกทันที

          “พอรู้ว่ามาทำอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับนาย เค้าก็ออกอาการทุกทีนั่นแหละ” จอสบอกสาเหตุ “รู้งี้แค่บอกว่ามานอนบ้านพ่อก็ดี”

          “เอาน่า ก็เค้ารักของเค้า เค้าก็ต้องหวง” ภูพยายามบอกให้อีกฝ่ายไม่คิดมาก แต่ในใจก็รู้ดีเช่นกันว่าจอสก็เพียงแค่บ่นไปอย่างนั้น สุดท้ายแล้วพอเจอหน้ากันทั้งคู่ก็กลับไปหวานชื่นเหมือนเดิมอยู่ดี

          “ถ้านายคบเรา เราก็คงหวงแบบนี้เหมือนกันมั้ง” จอสแอบแหย่ลองดูท่าทีของภู

          “แต่ตอนนี้แกหวงไม่ได้ ชั้นหวงได้คนเดียว” กรรณที่เพิ่งตามขึ้นมาถึงได้ยินประโยคนั้นเข้าพอดี “ไปไกลๆเลย เค้าจ้างมาร้องเพลงก็เก็บปากไว้ร้องเพลง ไม่ต้องมาวุ่นวายกับแฟนคนอื่นเค้า”

          “นี่ไอ้ลุง หัดจำซะบ้างนะ ว่าถ้าไม่ได้ผู้มีพระคุณคนนี้ช่วยเอาไว้ ป่านนี้ภูก็เป็นแฟนคนอื่นไปแล้ว” จอสลำเลิกบุญคุณเมื่อครั้งก่อน “รู้งี้ไม่ช่วยหรอก เอาเองซะตอนนั้นเลยก็ดี”

          “แล้วเค้าจะเอาแกเหรอหา? มั่นใจเหลือเกินนะ” กรรณเริ่มขึ้น

          “พอได้แล้ว ทั้งคู่เลย จอสนายทำอะไรค้างไว้ก็ไปทำต่อเถอะไป” ภูปวดหัวกับการที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนสองคนนี้ก็ไม่อาจลงรอยกันได้ “พี่ก็จะไปหาเรื่องเค้าทำไม ตัวเองเป็นผู้ใหญ่กว่านะ”

          “นี่ปกป้องมันเหรอ? เดี๋ยวนี้เห็นมันดีกว่าพี่แล้วใช่ไหม?” กรรณหันมาโวยภูในขณะที่จอสทำหน้าตาสะใจอยู่ห่างๆขณะเดินกลับไปหาเพื่อนร่วมวงของตนเอง

          “ก็มันจริงไหมล่ะ?” ภูแสดงออกชัดเจนว่าไม่เข้าข้างแฟนตัวเองในครั้งนี้

          กรรณออกอาการงอนภูด้วยการปิดปากเงียบไม่เถียงต่อ เพราะรู้ว่าเถียงไปก็ไม่ชนะสำหรับเรื่องนี้ เขาแยกไปที่โต๊ะเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการถ่ายภาพในงาน งานแต่งงานครั้งนี้จะว่าภูเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของงานก็คงจะไม่ผิด เพราะตั้งแต่การจองโรงแรมยันหาบุคลากรในด้านต่างๆเด็กหนุ่มก็เป็นคนวิ่งเต้นจัดหามาให้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรีสำหรับเล่นในงานซึ่งภูก็ติดต่อไปหาจอสและอีกฝ่ายก็ตอบรับมาเป็นอย่างดีถึงแม้ในตอนนี้ชื่อเสียงของวงจะติดลมบนจนคิวแน่นขนัด แต่เขาก็ยังจัดการเคลียร์ตัวเองจนว่างในวันนี้ได้ ซึ่งภูก็ตอบแทนด้วยการยืนยันจะให้ค่าจ้างแม้อีกฝ่ายจะออกตัวแต่แรกว่ายินดีมาช่วยโดยไม่คิดเงิน  ส่วนหน้าที่การเก็บภาพบรรยากาศในงานแน่นอนว่าจะตกเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากกรรณ ซึ่งเมื่อองค์ประกอบพิเศษทั้งสองอย่างนี้มารวมเข้าด้วยกันก็ทำให้งานแต่งงานครั้งนี้ดูเลิศเลอสมบูรณ์แบบราวกับหลุดมาจากความฝัน

          เมื่อถึงเวลางาน ภูนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งจัดไว้สำหรับเพื่อนเจ้าสาวโดยมีนฤดลนั่งประกบอยู่ข้างๆ ทั้งสองมองภาพคุ่บ่าวสาวบนเวทีแล้วก็เกิดความรู้สึกที่ต่างกันออกไปในหัว สำหรับภูมันคือความดีใจที่เห็นเพื่อนเป็นฝั่งเป็นฝาแม้จะยังประหลาดใจไม่หายที่สุดท้ายสาลี่ก็กลับมาลงเอยกับตฤณผู้เป็นเพื่อนร่วมคณะมาตลอดสี่ปีของชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัย มันไม่มีเค้าลางใดๆส่อให้เห็นถึงเรื่องนี้มาก่อนแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับไม่ได้ เพราะเด็กหนุ่มรู้ดียิ่งกว่าใครว่าความรักมักทำให้คนเราประหลาดใจได้อยู่เสมอ

          “ไอ้ฉิบหาย…” นฤดลบ่นออกมาเบาๆเหมือนพูดกับตัวเอง “เผลอแป๊บๆ มีผัวมีเมียกันหมดแล้ว ทำไมมีแต่กูยังโสดเนี่ย?”

          “เพราะสันดานมั้ง” ภูพูดลอยๆกลับไป

          “นี่มึงยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ?” นฤดลหันมาหาเพื่อนแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “จะให้กูขอโทษอีกรอบก็ได้นะ”

          “ไม่ต้องอ่ะ” ภูไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องจำเป็นอีกต่อไปแล้วในเวลานี้ “รอบเดียวกูก็เข้าใจแล้ว ที่พูดเมื่อกี้ก็แหย่มึงเล่นเฉยๆ ไม่ได้โกรธ เมื่อก่อนก็กัดกับกูอยู่ทุกวัน เดี๋ยวนี้ดัดจริตทำมาเป็นอ่อนไหวเปราะบางนะ”

          “ก็กูรู้สึกแย่นี่หว่า” นฤดลเสียงอ่อย

          ย้อนกลับไปในวันที่ภูเรียนจบ ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกอยู่ในงานเลี้ยงหลังรับปริญญา จู่ๆนฤดลก็ลากตัวภูออกมาข้างนอกโดยบอกว่ามีบางเรื่องที่จำเป็นต้องขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว ก่อนจะสารภาพสิ้นไส้ว่าเขาเป็นผู้ปล่อยภาพหลุดของภูและกรรณที่ได้ถ่ายเอาไว้หลังจากบังเอิญผ่านไปเจอทั้งสองตอนอยู่ด้วยกันในวันนั้นพอดี เริ่มแรกการตัดสินใจกระทำลงไปแค่เพราะนึกสนุกและอยากแฉความลับที่ได้รู้มา แต่สุดท้ายเรื่องราวกลับเลยเถิดจนลุกลามใหญ่โตจนชีวิตของภูต้องสะดุดไปพักใหญ่ นฤดลไม่กล้าออกมาแสดงความรับผิดชอบได้แต่ปกปิดความผิดตัวเองเอาไว้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จนนำมาซึ่งการสารภาพบาปในครั้งนี้ ภูตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเพราะไม่คิดว่าต้นเหตุแห่งความวุ่นวายในชีวิตจะเป็นคนสนิทใกล้ตัวถึงเพียงนี้ ทว่าก็ได้คำอธิบายสำหรับข้อสงสัยที่ค้างอยู่ในใจว่าทำไมช่วงสองปีหลังอีกฝ่ายจึงตีตัวออกห่างจากตนและกลุ่มเพื่อนโดยไม่ทราบสาเหตุคล้ายกับไม่กล้าสู้หน้า และเมื่อตั้งสติได้เด็กหนุ่มก็ตระหนักดีว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องถือโทษโกรธเคืองนฤดลอีกต่อไป เพราะถึงแม้จะโกรธเกลียดให้ตายก็ใช่ว่าจะแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ อีกทั้งอีกฝ่ายก็แสดงออกอย่างจริงใจว่าสำนึกในการกระทำของตนเองแล้ว ดังนั้นเขาจึงให้อภัยทุกอย่างและไม่เคยปริปากบอกใครที่เกี่ยวข้องถึงสิ่งที่นฤดลทำ เพราะรู้ดีว่าถึงแม้ตนจะไม่ถือสาแต่คนอื่นๆอาจไม่คิดเช่นนั้น

          หลังจากเสร็จสิ้นงานเลี้ยง ภูในฐานะเพื่อนเจ้าสาวมาส่งสาลี่ยังรถที่ทางโรงแรมเตรียมเอาไว้ แม้จะอ่อนเพลียจากการที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามาเตรียมตัวและยังไม่ได้พักจนถึงบัดนี้แต่สาลี่ก็ยังดูสวยหยาดเยิ้มในชุดเจ้าสาวสีขาว ในฐานะเพื่อนเขามาส่งได้ไกลสุดเพียงเท่านี้ นับจากนี้จะเป็นส่วนของทางครอบครัวของเจ้าสาวแล้วที่จะทำการส่งตัวเข้าห้องหอ ก่อนจะขึ้นรถสาลี่ก็หันกลับมาสวมกอดเพื่อนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้าย

หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 9 [17-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 25-06-2018 14:15:27
          “ขอบใจมากนะภู งานวันนี้แกช่วยเอาไว้หลายอย่างเลย” สาลี่บอกขอบคุณ

          “ไม่เป็นไร วันสำคัญของแก เพื่อนจะมีผัวทั้งที แค่นี้เล็กน้อย” ภูบอกก่อนจะเหลือบมองบนไหล่ของตนว่าเลอะเครื่องสำอางจากหน้าของอีกฝ่ายหรือไม่ เพราะมันช่างดูฉ่ำเยิ้มจนแทบจะละลายไหลออกมาเป็นสายได้เลยทีเดียว

          “แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของชั้นเลยนะรู้ไหม?” สาลี่ตื้นตันจริงๆ กับทุกสิ่งที่ผ่านมาในมิตรภาพระหว่างคนทั้งสอง

          “ส่วนแกก็เป็นเพื่อนที่แย่มาก” ภูแกล้งว่าเหน็บแนมเพื่อน “ตอนเรียนก็ทิ้งชั้นหนีกลับบ้านบ่อยๆ ชอบเห็นละคร เห็นบอยแบนด์เกาหลี เห็นผู้ชายสำคัญกว่าชั้น พอมาตอนนี้ก็ยังทิ้งชั้นไปแต่งงาน”

          “เอาจริงๆ แกน่ะเหมือนแต่งงานมาก่อนชั้นตั้งนานแล้วนะ” สาลี่ลองนึกเปรียบเทียบดู “มีอย่างที่ไหนพอเรียนจบ แฟนกลับจากเมืองนอกก็ทิ้งพ่อแม่ย้ายไปอยู่บ้านแฟนเลย ไวไฟเวอร์”

          “บ้านแฟนที่ว่ามันก็บ้านข้างๆ ป่ะ” ภูพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเอง “แล้วอีกอย่างตอนนี้จะเรียกว่าเป็นบ้านเดียวกันก็คงได้ เพราะไม่มีกำแพงแบ่งเขตแล้ว ใช้พื้นที่ร่วมกัน”

          “ค่ะ แล้วแต่เถอะค่ะ คิดว่าดีก็ทำไป” สาลี่ไม่เถียงสู้ “ชั้นไปก่อนนะแก”

          “เออ ไปเหอะ รีบไปเข้าหอได้แล้ว ป่านนี้เจ้าบ่าวนั่งตบยุงรอแล้วมั้ง” ภูเองก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วเช่นกัน “แล้วเดี๋ยวเจอกันคราวหน้ามาเล่าให้ชั้นฟังด้วยว่าไอ้ตฤณมันทำเป็นมั้ย”

          “แกไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนั้น เค้าทดลองขับกันตั้งนานแล้ว” สาลี่ทำหน้ามีเลศนัยเป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องพูดตรงๆ

          “ไปได้แล้ว” ภูพยายามกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงเมื่อรู้ความหมายของประโยคเมื่อครู่

          ระหว่างที่รถวิ่งออกไป สาลี่ยังโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างและโบกมือลาภูกับคนอื่นๆ ที่มาส่งไปจนกระทั่งลับสายตา เมื่อไม่มีอะไรต้องทำอีกต่อไปแล้วภูจึงกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงที่ซึ่งกรรณกำลังนั่งฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะจากอาการเมาไวน์ที่มีให้ดื่มแบบไม่อั้นในงาน ภูมองคนรักของตนที่กำลังนอนหมดสภาพแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ถึงแม้ในเวลาปกติกรรณจะไม่ใช่พวกติดเที่ยวหรือชอบการดื่มสุรา แต่ถ้ามีโอกาสได้สังสรรค์ครั้งใดเขาก็มักจะเต็มที่กับมันจนผลมาลงเอยในรูปแบบนี้เสมอ เด็กหนุ่มนึกถึงพลังงานที่ต้องใช้ในการแบกอีกฝ่ายไปขึ้นรถแล้วก็ตัดสินใจปล่อยให้กรรณได้นอนพักต่ออีกสักครู่ก่อนจะเดินไปหาจอสที่กำลังเก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง

          “ทางนั้นเค้าให้ค่าจ้างมาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” ภูถามเพื่อความมั่นใจ

          “อ่ะฮะ” จอสพยักหน้า “เรียบร้อยแล้ว แต่ก็นะ อุตส่าห์บอกแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องก็ได้ งานนี้ถือว่าช่วยกัน”

          “เค้าให้ก็รับไปเถอะ มานี่ก็เสียค่าน้ำมันรถ เสียอะไรตั้งหลายอย่าง” ภูขอรับไว้แค่น้ำใจ “แล้วนี่นายจะกลับไปที่ไหน บ้านตัวเอง บ้านพ่อ หรือบ้านแฟน?”

          “คงบ้านแฟนมั้ง ดูอารมณ์ก่อน เหนื่อยมากก็ขี้เกียจกลับไปง้อ” จอสพยายามทำเป็นไม่สนใจวินทร์ แต่ก็ปกปิดอาการกระวนกระวายใจเอาไว้ไม่มิด “เมื่อกี้ก็โทรมาถามว่าเสร็จงานหรือยัง แค่ฟังเสียงก็รู้ว่ายังงอนอยู่”

          “ง้อเค้าหน่อย” ภูแนะนำ “นิดเดียวก็หายแล้ว แค่ให้เค้ารู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่หนึ่ง”

          “ผู้เชี่ยวชาญด้านการคบลุงมาแนะนำเองแบบนี้ต้องเชื่อแล้วล่ะ” จริงๆ แล้วไม่ต้องให้ภูบอก จอสก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะต้องทำเช่นนั้น “งั้นเรากลับก่อนนะ ต้องเดินทางอีกไกล”

          “โอเค มีอะไรก็โทรมาล่ะ ถ้าวันไหนมากรุงเทพแล้วมีเวลาว่างค่อยเจอกัน” ภูโบกมือลาอีกฝ่ายขณะที่อีกฝ่ายหิ้วกระเป๋าใส่กีตาร์ขึ้นสะพายบนบ่า

          “นี่…” จอสยังหันกลับมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

          “หือ?” ภูเลิกคิ้วขึ้นคล้ายจะถามว่ามีอะไร

          “ขอบใจนะ ที่รักษาสัญญามาตลอด” จอสพูดสิ่งที่ตั้งใจจะบอกอีกฝ่ายมาหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่ไม่มีโอกาส

          “ขอบใจเหมือนกันที่กลับมาเป็นเพื่อนกับเรา” ภูยิ้มออกมา เขาเองก็รอโอกาสจะพูดประโยคนี้มานานแล้วเช่นกัน

          หลังจากจอสกลับไปแล้ว ภูก็ยังมีงานหนักที่ต้องทำอีกหนึ่งอย่างนั่นคือการพยุงกรรณซึ่งคอพับคออ่อนไม่ได้สติกลับไปขึ้นรถ เด็กหนุ่มวางร่างของชายคนรักลงบนเบาะข้างคนขับด้วยความแรงในระดับเกือบจะเป็นการโยนทิ้งก่อนจะพักหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยขึ้นมาสตาร์ทเครื่องจากนั้นจึงขับออกไปจากบริเวณลานจอดรถของโรงแรม

          เวลาขณะนี้ได้เลยผ่านเข้าสู่วันใหม่มาได้เกือบสามชั่วโมงแล้ว แต่น่าแปลกที่ถึงแม้จะไม่ได้พักผ่อนมาตลอดทั้งวันแต่ภูก็ยังไม่รู้สึกง่วงหรือเพลียแม้แต่น้อย เอ็นโดรฟินที่ฉีดพล่านในกระแสเลือดจากความยินดีกับวาระสำคัญของเพื่อนกอปรกับความสุขจากการได้พบเจอเพื่อนฝูงที่ห่างหายไปนานทำให้เด็กหนุ่มยังตื่นตัวอยู่ได้ เขาผ่อนแรงเท้าที่เหยียบคันเร่งลงเพื่อลดความเร็วจนอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติก่อนจะกดเลื่อนเปิดกระจกหน้าต่างทั้งสองด้านลงเพื่อรับลมจากภายนอกแทนเครื่องปรับอากาศในรถ

          "หือ…” กรรณรู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อสัมผัสถึงอากาศเย็นเจือความชื้นของค่ำคืนยามใกล้รุ่ง

          “ตื่นแล้วเหรอครับ ตาแก่ขี้เมา” ภูละสายตาจากถนนเบื้องหน้าแล้วหันมาถามกรรณซึ่งยังตื่นไม่เต็มตาอยู่บนเบาะข้างคนขับ

          “เรียกขี้เมาไม่ว่า แต่ตาแก่นี่เคืองนะ” กรรณพูดเสียงงัวเงีย “ใช่สิ เดี๋ยวนี้รักกันน้อยลงแล้วนี่ เข้าข้างไอ้เด็กแว้นนั้นไม่พอ ยังมาเรียกเราว่าตาแก่อีก”

          “จะเมาก็เมาไป ไม่ต้องดราม่าเพิ่ม” ภูรีบหยุดอีกฝ่ายไม่ให้ทำตัวน่าสงสารจนเกินกว่าเหตุ

          “อยากได้น้องภูคนเดิมคืนมา คนที่แคร์พี่กรรณทุกลมหายใจเข้าออก ไม่พูดจาทำร้ายจิตใจ” กรรณยังงอแงเป็นเด็กจนภูไม่มั่นใจว่านี่เป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเป็นนิสัยที่แท้จริง

          “น่าถ่ายคลิปไว้ให้ดูตอนหายเมาจริงๆ เลย” ภูกลั้นขำ “ทำตัวแบบนี้ระวังคณะกรรมการคัดเลือกหนุ่มโสดในฝันเค้าจะคัดชื่อออกนะ”

          “เอาออกสิดี นี่ก็ไม่โสดนะ คุณสมบัติไม่ครบ ไม่รู้เข้ารอบมาได้ไง” กรรณไม่เคยอยากจะเข้าร่วมอะไรแบบนี้แต่แรกอยู่แล้ว

          “แล้ววันนี้พี่ต้องไปทำงานหรือเปล่าครับ?” ภูถาม เพราะเมื่อมองจากสภาพแล้วเมื่อถึงบ้านกรรณคงจมอยู่ในเตียงนอนทั้งวันแล้วตื่นอีกทีตอนตะวันใกล้ตกดินเป็นแน่

          “ไม่มี… มั้ง…” กรรณตอบพลางนึกดูให้แน่ใจเท่าที่สมองอันชุ่มแอลกอฮอล์จะระลึกได้ “จะมีก็แค่จัดการกับรูปงานแต่งที่เพิ่งถ่ายมาเตรียมส่งให้เจ้าภาพก็เท่านั้นแหละ”

          “อืม ผมก็ว่าจะปิดร้านซักวัน” ภูเองก็รู้ตัวดีว่าคงไม่มีแรงพอจะตื่นขึ้นมาเตรียมของเปิดร้านได้เช่นกัน

          กรรณผล็อยม่อยหลับไปอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน ภูยังคงรักษาระดับความเร็วในการขับรถเอาไว้เท่าเดิมจนกระทั่งมาถึงบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำ เด็กหนุ่มค่อยๆ เหยียบเบรคหยุดรถอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เกิดแรงกระชากรบกวนชายหนุ่มคนรักที่หลับสนิทส่งเสียงกรนอยู่บนเบาะข้างๆ จากนั้นจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกของสูทที่ใส่มาออกวางไว้ข้างเบาะก่อนจะเปิดประตูและลงมายืนชิดยังขอบราวของสะพาน ตามองออกไปยังท้องฟ้าที่อีกไม่นานก็จะเรืองรองไปด้วยแสงทองของวันใหม่ ลมหายใจสุดท้ายของยามค่ำคืนโชยมาปะทะใบหน้าและอาบไล้ร่างกาย ภูยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดอกเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตนเอง

          วันเวลาหมุนผ่านไปอย่างไม่เคยหยุดยั้ง ดอกไม้เบ่งบานและร่วงโรยไปก่อนจะกลับมาผลิดอกอีกครั้งเมื่อฤดูกาลเวียนกลับมาถึง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่แต่ทุกสิ่งก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ภูยืนนิ่งอยู่ตรงจุดนั้นเฝ้ามองดูจุดเล็กๆ ของชีวิตที่กำลังจะเริ่มต้นและเมืองหลวงที่กำลังจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เสียงประตูรถเปิดออกและปิดกลับเข้าไป เด็กหนุ่มหันไปมองตามเสียงและพบว่ากรรณตื่นขึ้นมาแล้วและกำลังเดินตามมายังจุดที่ยืนอยู่

          “ไม่อยากกลับบ้านหรือไง?” กรรณถามขณะเข้ามายืนขนาบข้างภู

          “อยากดูพระอาทิตย์ขึ้นก่อนครับ” ภูตอบพลางขยับเอาตัวเข้าเบียดชิดอีกฝ่าย

          “คิดมากอะไรอยู่หรือเปล่า?” กรรณยกแขนขึ้นโอบไหล่เด็กหนุ่มเอาไว้

          “เปล่านี่ครับ” ภูส่ายหน้าปฏิเสธ “มีอะไรต้องคิดมากด้วยเหรอ?”

          “ก็แค่เป็นห่วงตามประสา” กรรณดูโล่งใจขึ้น “นึกว่าเห็นเพื่อนแต่งงานแล้วจะคิดมาก อยากแต่งตามเพื่อน”

          “อยู่แบบนี้ก็มีความสุขดีแล้วครับ” ภูเอนศีรษะเข้าหาอีกฝ่าย “มามีความสุขกันแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เถอะนะครับ”

          “เรื่อยๆ ไปจนแก่เลยก็ได้” กรรณพยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย “จนกว่าจะตายไปข้างนึงเลยยิ่งดี”

          “ตอนนี้ยังไม่แก่อีกเหรอ?” ภูแกล้งแหย่จี้ใจดำแฟนตัวเอง “ขึ้นเลขสามแล้วนะพี่น่ะ”

          กรรณปล่อยแขนที่โอบไหล่ภูออกแล้วยกมือขึ้นผลักศีรษะเด็กหนุ่มจนตัวเซ ภูหัวเราะชอบใจแล้วรีบง้อด้วยการเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้เอง กรรณก้มหน้าลงมาหาภูพลางเหลือบสายตามองรอบตัวก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไปแล้วเขาจึงจูบเข้าที่หน้าผากของเด็กหนุ่มเบาๆ ภูหลับตาพริ้มรับสัมผัสอันอ่อนโยนนั้นด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข

          ความมืดเริ่มละลายหายไปที่ปลายขอบฟ้า แสงแดดอันอ่อนโยนของอรุณรุ่งส่องประกายทั่วผืนน้ำและฉายประทับลงบนตึกรามบ้านช่องของเมืองใหญ่ ภูเหม่อมองออกไปไกลเท่าที่จะทำได้และรู้ว่ากรรณก็คงมองไปยังจุดนั้นเช่นกัน วันใหม่ได้มาถึงอีกครั้งพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงอีกมากมายที่ชีวิตจะต้องเผชิญ แม้จะไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องพบเจอกับอะไรในบทถัดไปอีกบ้างแต่ภูก็มั่นใจว่าเขาจะมีความสุขกับมันได้

          ขอเพียงยังมีกันและกันอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็พอ…


The End
[/i]
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 [25-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: lolito ที่ 25-06-2018 14:30:25
จบแล้ว สำหรับเรื่องของจอส จบซะที  :ling3:

ขอโทษด้วยที่ตอนสุดท้ายมาช้านิดหน่อย เพราะมัวแต่เป็นหวัดอยู่สัปดาห์นึงเต็มๆ อาการไม่หนักมากแต่พอกินยาแล้วมันจะมึนง่วงทำอะไรไม่ได้เลย กลัวจะเขียนออกมาแล้วงงๆเลยพักไว้รอหายค่อยเขียนต่อดีกว่า

ตอนนี้กำลังเร่งพิสูจน์อักษรกับปรับเนื้อหาเตรียมส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์อยู่นะครับ คาดว่าอีกไม่นานรวมเล่มคงออกมาให้เห็นตามร้านหนังสือ ตอนแรกว่าจะทำเองแต่ก็ไม่มีประสบการณ์ทางทำหนังสือเลย กลัวจะออกมาไม่ดีเลยปล่อยให้เป็นหน้าที่มืออาชีพที่ติดต่อมาขอทำดีกว่า

ยังไงถ้ารักน้องภู พี่กรรณ น้องจอส ก็รอสนับสนุนรวมเล่มกันด้วยนะครับ  :hao5:

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตั้งแต่เนื้อเรื่องหลัก จนถึงเนื้อเรื่องพิเศษนี้ หวังว่าคงถูกใจและได้ความรู้สึกดีๆกลับไปไม่มากก็น้อยนะครับ ยินดีที่ทั้งหมดนี้ทำให้เราได้เจอกัน ขอบคุณจริงๆครับ

 :bye2: :bye2: :bye2:



หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-06-2018 19:47:29
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-06-2018 21:50:16
 :mew1: :mew1: :pig4: :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-06-2018 23:11:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ...นี่คือเรื่องราวความรักของจอส   แต่ไฉนตอนจบนุ้งจอสออกนิดเดียว  แถมกลายเป็นตอนจบของคู่หลักอีกเรื่อง กรรณภู ซะงั้น 555

Thanks for your novel.
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-06-2018 03:28:00
ใจร้ายอ่ะ ไม่เห็นมีตอนหวาน ๆ ของจอสกับวินทร์เลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 26-06-2018 07:54:42
ขอบคุณค่ะ
การได้อ่านตอนจบดีๆมันทำให้ยิ้มได้แล้วก็รู้สึกดีชะมัด ^^

อยากได้ตอนจบที่เป็นบทของจอสบ้างอ่ะค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-09-2018 12:25:50
 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: THE​ HEARTBREAK HOLIDAYS : พ่ายรักมาพักร้อน Episode 10 END [25-JUNE-2018]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:38:40
 :pig4: