-
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com) ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
***************************************************************************************
POINT OF NO RETURN
โดย กระเหี้ยนกระหือรือ
“เลือดหนึ่งลิตรฉันรับซื้อที่สองหมื่นบาท แก้วตาเหมาสองข้างแปดหมื่น ย้ำว่าเหมา กระดูกเก้าหมื่น” ไม่จำเป็นต้องกางแผ่นพับก็จำได้ขึ้นใจ จะเป็นนายคนก็ต้องรู้จักเรียนรู้ ไม่ใช่ขี้หมูขี้หมาที่ขึ้นมาสูงสุดได้เพราะแค่หน้าตาดี อาชามีสมองและมีฝีมือ เสียงลือเสียเล่าอ้างยังบอกอีกว่ามีเสน่ห์เหลือร้าย ระหว่างพูดก็นั่งสบสายตาคู่สนทนาตลอด
“ปอดฉันให้ได้มากสุดห้าแสน แต่นายต้องไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน ส่วนตับขาดตัวสองแสน หรือถ้านายอยากขายเป็นอวัยวะอย่างอื่นก็ลองเสนอมาได้ ฉันจะให้ราคาตามสม…”
“แล้วถ้าฉันขายทั้งตัวล่ะ” เสียงหวานแทรกขึ้นมากลางคัน ถามหน้าตายสยบได้ทุกความเคลื่อนไหว
อาชาพยายามจะตีความหมาย หมายความว่าจะขายอวัยวะทุกชิ้นในร่างกายน่ะเหรอ ขอรอฟังอีกรอบชัด ๆ
“หมายถึงขายตัวน่ะ …ขายให้กับนาย”
คราวนี้พ่อค้าอวัยวะได้ยินถนัดเต็มสองรูหูก่อนจะรู้สึกว่าประเมินอีกคนต่ำไป เห็นหน้าซื่อตาใส ดูท่าจะร้ายใช่เล่น
สารบัญ – POINT OF NO RETURN
PROLOGUE (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3832330#msg3832330)
II (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3832337#msg3832337)
III (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3842817#msg3842817)
IV (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3845587#msg3845587)
V (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3896400#msg3896400)
VI (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3896493#msg3896493)
VII (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3896696#msg3896696)
VIII (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3897647#msg3897647)
IX (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3897684#msg3897684)
X (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3902800#msg3902800)
XI (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3904192#msg3904192)
XII (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3904681#msg3904681)
XIII (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3905251#msg3905251)
XIV (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3906745#msg3906745)
XV (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3908537#msg3908537)
XVI (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3909560#msg3909560)
XVII (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67193.msg3911994#msg3911994)
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
PROLOGUE
แม้ว่าใครหลายคนจะมองว่า “กรุงเทพมหานคร” เป็นเมืองแห่งความวุ่นวาย รถติด ชีวิตไม่มีความปลอดภัยและไม่น่าอยู่เอาซะเลย แต่กรุงเทพก็เคยคว้าตำแหน่งเมืองจุดหมายปลายทางที่คนมาเยือนมากที่สุดในโลก เป็นความผกผันที่ยากจะอธิบาย คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า วัน ๆ จึงมีชาวต่างชาติแวะเวียนมาเที่ยวในประเทศอย่างไม่ขาดสาย
บนรถไฟฟ้ากลายเป็นแหล่งรวบรวมคนหลากหลายสัญชาติศาสนาไว้ด้วยกัน เหมือนสถาบันสอนภาษาเคลื่อนที่ ไม่ว่าจะผิวสีหรือผิวขาว ไม่ว่าจะเป็นชาวตะวันออกหรือชาวตะวันตกก็เดินกันให้ขวักไขว่ คงเพราะขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแลนด์ออฟสมาย ใครก็อยากมาสัมผัสความรู้สึกนั้นด้วยตัวเอง ตั้งแต่เด็กไปจนผู้ใหญ่
แม้จะมีข่าวอาชญากรรมเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็ไม่อาจนำมาลดทอนความมีเสน่ห์หรือคุณค่าทางอารยธรรมได้ ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง กรุงเทพก็ยังถือเป็นแหล่งเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หลายคนจำจากบ้านมาไกลเพื่อหวังจะได้ทำงานดี ๆ แต่ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงใช่ว่าทุกคนจะเลือกอาชีพได้ บางคนก็ถูกชะตาฟ้าลิขิตไว้แบบนั้น
งานผิดกฎหมายมีให้เห็นถมเถไป แต่ที่จะกล่าวถึงไม่ใช่อาชีพอย่างว่า ไม่ใช่การค้าประเวณี ไม่มียาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง หัวใจหลักของอาชีพนี้คือความสมัครใจ ไร้การบังคับพร้อมทั้งรับเงินก้อนไป เพียงแค่แลกกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายเท่านั้น ‘ธุรกิจค้าอวัยวะเถื่อน’ กำลังรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในตลาดมืดและเติบโตขึ้นทุกวัน เดิมทีมีจุดเริ่มต้นที่จีนแผ่นดินใหญ่ก่อนจะขยายกิจการมายังประเทศไทยและอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ ‘อาชา’
ชายเจ้าของสมยานาม ‘อาชาค้าอวัยวะ’ เลือกจะหันหลังให้กับกฎหมาย ได้คุมกิจการตั้งแต่อายุย่างยี่สิบแปดจนตอนนี้ย่างยี่สิบเก้า ทั้งที่หล่อเหลาเอาการจนสามารถใช้หน้าตาทำมาหากินไปได้ทั้งชีวิตกลับเลือกทำธุรกิจที่ขัดต่อจริยธรรมและล่ำซำจากการมองดูคนแล้วคนเล่าเข้ามาเซ็นสัญญาขายอวัยวะแลกสตางค์
ถือคติใครใคร่ขายก็ขาย การแลกเปลี่ยนจะไม่เกิดขึ้นหากผู้ขายไม่ตกลงเซ็นเป็นลายลักษณ์อักษรและก่อนเซ็นต้องเข้าใจว่าจะไม่สามารถกลับมาเรียกร้องได้ทีหลัง ก็อย่างที่บอกไปว่าอาชีพค้าร่างกายยังไม่เป็นที่ยอมรับบนดิน ยังถือเป็นธุรกิจผิดกฎหมาย แต่คนคุมกิจการมานานก็สามารถทำให้มันถูกต้องได้ด้วยการจ่ายเงินคุณตำรวจในท้องที่ทุก ๆ เดือน
“คนต่อไป” ปกติแล้วชายฉกรรจ์จะคอยทำหน้าที่เรียกคิว เจ้านายปล่อยให้ลิ่วล้อทำงาน นั่งรอยายเซ็นลายมือแทนหลานแล้วสั่งให้ลูกน้องพาทั้งสองคนไปห้องผ่าตัดซึ่งมีอุปกรณ์ครบครัน จำลองมาจากโรงบาลฯพร้อมหมอภาคสนาม
ถ้าถามว่าสองยายหลานมาทำอะไร ด้วยความจนจัดยายเลยพาหลานมาขายแก้วตาหนึ่งข้าง ทั้งที่ปกติแล้วมีนโยบายเหมาสองข้างแต่เผอิญเห็นว่าเป็นแก้วตาเด็ก ยิ่งเล็กยิ่งดี ซื้อมาแค่ไม่กี่หมื่นบาทแต่ขายทอดตลาดมืดได้เป็นแสน
“ไปดูข้างนอกไป เดี๋ยวตรงนี้ฉันจัดการเอง” กระทั่งมีคำสั่งให้ย้ายก้น คนยืนค้ำหัวเอ่ยเสียงเรียบแล้วใช้เท้าเขี่ยลูกน้องอย่างเสียมารยาท ชายฉกรรจ์รีบลุกจากที่อย่างรวดเร็วและไม่ลืมค้อมหัวให้เจ้านายที่เพิ่งกลับเข้ามาในห้องหลังจากออกไปยืนคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงอยู่นานสองนาน
อาชานั่งลงบนโซฟานวมสีน้ำตาลแล้วพาดขาไขว่ห้างระหว่างหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าสูท แค่คาบไว้กับปาก ลูกน้องก็รีบเข้ามาบริการจุดไฟที่ปลายมวนยาสูบให้อย่างรู้หน้าที่ก่อนจะปล่อยให้เจ้านายอัดนิโคตินเข้าปอดตามสบาย ไม่มีใครกล้าเตือนว่าให้ระวังมะเร็งเพราะกลัวหัวตัวเองจะหลุดจากบ่า แค่ยืนก้มหน้ามองปลายเท้าขณะเจ้าของความสูงร้อยแปดสิบเก้ามอมเมาตัวเองด้วยการรมควัน พ่นมลพิษผ่านจมูกที่สูงโด่งเป็นสันจนควันลอยกระจัดกระจาย แต่สีนัยน์ตาเฉดเดียวกับบรั่นดีก็ยังปรากฏเด่นชัดท่ามกลางควันที่พยายามบดบัง สีผมที่ดำสนิทอย่างกับถ่านตัดกันลงตัวกับผิวสุขภาพดี
กล่อมตัวเองจนมีอารมณ์ทำงาน “…คนต่อไป” จึงเอ่ยเสียงดังฟังชัด สั่งคนด้านนอกให้ปล่อยลูกค้าเข้ามา
บานประตูที่เคยปิดไว้ถูกเลื่อนออกด้านข้างโดยฝีมือชายร่างเพรียวบางที่ก้าวเท้าเข้ามาอย่างสงบนิ่งและไม่ลังเลที่จะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผู้ชายตัวใหญ่ไหล่กว้างอย่างกับมหาสมุทร สุภาพบุรุษซึ่งสวมชุดสูทสีดำกับเสื้อเชิ้ตเทาด้านใน
“จะขายอะ… ไรล่ะ” อาชาเว้นวรรคคำพูดชั่วอึดใจ นึกว่าตัวเองตายแล้วไม่ก็ตาฝาด
บรรยากาศมันไม่ต่างจากงานพบปะระหว่างซาตานกับนางฟ้าที่ยอมลดตัวมาเยือนในสถานที่โกโรโกโสเป็นอย่างยิ่ง ลังเลว่าจะแทนตัวอีกคนว่าเธอหรือนายเพราะไม่แน่ใจว่าเป็นชายหรือหญิง ยิ่งนัยน์ตากลมโตจ้องกลับมาอย่างแน่วแน่ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับความงดงาม ความขาวที่ทำเอาสายพร่าเลือน
จนต้องเตือนตัวเองว่าอย่าได้หลงกลง่าย ๆ สายสืบในหนังก็มักจะหน้าตาดี บางทีข่าวรสนิยมทางเพศของตัวเองอาจจะรั่วไหลออกไป คู่แข่งทางการค้าอาจรู้ว่าตนชอบผู้ชายหน้าสวยเป็นพิเศษ เห็นทีว่าจะต้องระวังตัวไว้ให้มาก ๆ
แต่ลึก ๆ แล้วจะต้องยอมรับว่าคนตรงหน้าตรงตามสเป็คตัวเองแทบทุกอย่าง เคยนอนด้วยทั้งหญิงและชาย แต่ก็ไม่เคยมีใครผ่านเกณฑ์ครบทุกข้อ ส่วนมากก็สวยพอแก้ขัด นาน ๆ ทีจะเจอช้างเผือกในป่าใหญ่ ทั้งริมฝีปากกระจับที่รับกับปลายจมูกเชิดขึ้นอย่างดื้อรั้น ไหนจะสีตาน้ำตาลอ่อน แถมขนตายังยาวงอนตอนกะพริบตาจะยิ่งเห็นชัด
เทพธิดา นางฟ้านางสวรรค์มีนามว่า ‘เฟยฮวา’ นอกจากนั่งกะพริบตาก็แทบจะไม่ขยับเขยื้อนส่วนใด
“แล้วจะขายอะไร เพิ่งเคยมาครั้งแรกใช่ไหมสินะ”
จะว่าแปลก ๆ ก็ใช่ ไม่บ่อยนักที่จะมีคนเนื้อตัวสะอาดสะอ้านเข้ามาขายอวัยวะ แถมหน้าตาผิวพรรณก็ไม่ได้บ่งบอกว่าขัดสนตรงไหน เกณฑ์การแต่งตัวก็อยู่ในระดับมีอันจะกิน ติดที่ว่าดูหยิ่งทระนงไม่เบา
อาชาเข้าใจว่าลูกค้าอาจจะขัดเขิน เดินเข้ามาใช้บริการครั้งแรกก็เงียบเป็นเป่าสากเหมือนกันทุกคน ดังนั้นในฐานะเจ้าของกิจการจึงเริ่มต้นอธิบายราคาซื้อขายให้ฟัง เจ้าของร่างเพรียวบางจะได้เอาไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจ
“เลือดหนึ่งลิตรฉันรับซื้อที่สองหมื่นบาท แก้วตาเหมาสองข้างแปดหมื่น ย้ำว่าเหมา กระดูกเก้าหมื่น” ไม่จำเป็นต้องกางแผ่นพับก็จำได้ขึ้นใจ จะเป็นนายคนก็ต้องรู้จักเรียนรู้ ไม่ใช่ขี้หมูขี้หมาที่ขึ้นมาสูงสุดได้เพราะแค่หน้าตาดี อาชามีสมองและมีฝีมือ เสียงลือเสียเล่าอ้างยังบอกอีกว่ามีเสน่ห์เหลือร้าย ระหว่างพูดก็นั่งสบสายตาคู่สนทนาตลอด
“ปอดฉันให้ได้มากสุดห้าแสน แต่นายต้องไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน ส่วนตับขาดตัวสองแสน หรือถ้านายอยากขายเป็นอวัยวะอย่างอื่นก็ลองเสนอมาได้ ฉันจะให้ราคาตามสม…”
“แล้วถ้าฉันขายทั้งตัวล่ะ” เสียงหวานแทรกขึ้นมากลางคัน ถามหน้าตายสยบได้ทุกความเคลื่อนไหว
อาชาพยายามจะตีความหมาย หมายความว่าจะขายอวัยวะทุกชิ้นในร่างกายน่ะเหรอ ขอรอฟังอีกรอบชัด ๆ
“หมายถึงขายตัวน่ะ …ขายให้กับนาย”
คราวนี้พ่อค้าอวัยวะได้ยินถนัดเต็มสองรูหูก่อนจะรู้สึกว่าประเมินอีกคนต่ำไป เห็นหน้าซื่อตาใส ดูท่าจะร้ายใช่เล่น
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
-
II
“ที่นี่ไม่ใช่ซ่อง”
บอกเสียงดังเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ประกาศกร้าวให้ได้ยินโดยทั่ว อาชาแสดงออกถึงความหัวเสียและไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน หงุดหงิดหลังคิดว่าคนตรงหน้าคงแค่เข้ามาล้อเล่น สงสัยเห็นเป็นเพื่อนเลยนึกจะเข้ามากวนเวลาทำมาหากินของตนยังไงก็ได้ ซึ่งก็เคยมีหลายคนเข้ามาทำให้รำคาญ แล้วก็มีอีกหลายคนเช่นกันที่กลับบ้านไปแบบไม่ครบสามสิบสอง
“แต่ฉันยังไม่เคยเลยนะ” รู้ว่ากำลังอวดอ้างสรรพคุณแบบผิดที่ผิดทาง แต่คนทำสีหน้าจริงจังเองก็ไม่มีเวลาแล้วเหมือนกัน แม้จะเกลียดการต้องมาทนนั่งดมกลิ่นบุหรี่จนเริ่มคัดจมูกตามประสาคนเป็นภูมิแพ้ แต่ชายหนุ่มตรงหน้านับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เฟยฮวาจึงไม่อยากปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ
“ใครก็ได้มาช่วยลากหมอนี่ออกไปหน่อย” แต่ความหวังก็ต้องมีอันสลาย เพราะอาชาดันออกคำสั่งแบบตัดเยื่อใยและนั่นทำเอาร่างเพรียวบางนั่งไม่ติด เฟยฮวาคิดยื้อเวลาขณะมีชายสองคนเข้ามาหิ้วปีก คนแรงน้อยกว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกลากได้เลย พยายามขืนแรงฉุดไว้เพราะไม่อยากให้ทุกอย่างลงเอยที่คำว่าสูญเปล่า “นายฟังฉันก่อน!”
“เห็นทำธุรกิจแบบนี้แต่ฉันก็มีจรรยาบรรณพอนะ” พ่อค้าอวัยวะเอ่ยเสียงเย็น ไม่มีเวลามาเล่นด้วยกับใคร “ถ้าไม่ขายอวัยวะก็ออกไป” ขณะกลับมานั่งสูบบุหรี่อีกครั้ง มือใหญ่ก็ควักบางอย่างออกมาจากขอบกางเกงด้านหลังและวางมันลงบนโต๊ะแก้วแผ่วเบา ให้กระบอกปืนสีดำขลับกล่าวคำขู่แทน
“อย่าทำให้ฉันต้องอารมณ์เสีย” คลุกคลีกับวงการมาเฟียมานานจนสามารถแตะต่อยปล่อยหมัด ปืนก็เป็นอีกอาวุธสังหารที่ถนัดใช้และไม่ใช่ประเภทยิงมั่วสุ่มสี่สุ่มห้า ทุกนัดจะต้องมีความหมาย ยิงหนึ่งนัดที่ขาเพื่อทำให้เหยื่อล้มลงและชะงัก หลังจากนั้นก็จะเล็งที่กระหม่อมยอมเสียอีกนัดเพื่อให้เหยื่อไปพบยมบาลโดยเร็ว “แล้วถ้าอยากขายมากนัก โน่น เดินไปอีกสองซอย อย่างนายคงขายได้อยู่แล้วล่ะ เอาไว้ว่าง ๆ ฉันจะไปใช้บริการ”
อาชาปัดมือในอากาศเป็นสัญญาณไล่และเฟยฮวาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน เหมือนเดินเข้าซอยตันและด้วยความกะทันหันทั้งทีรู้ว่าอาจตายได้เพราะปากตัวเอง แต่ถ้าหากลองอวดเก่งสักหน่อย ผลพลอยได้ก็คือจะมีเวลาเจรจาเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นเลยเลือกเอ่ยในสิ่งที่เป็นปรปักษ์กับพ่อค้าอวัยวะ “งั้นฉันจะแจ้งตำรวจ”
ได้ผล… อาชาบอกให้ลูกน้องทุกคนถอยห่างจากร่างบางทันควัน สร้างระยะห่างที่แสนอึดอัดแล้วงัดปืนขึ้นมาคนละกระบอกสองกระบอก “นะ…นายทำธุรกิจผิดกฎหมายนี่” ท่าทีใจกล้าดูจะเป็นแค่การแสดงละครตบตาล้วน ๆ
พอเจอปลายกระบอกปืนเล็งเข้าหน่อยก็พลอยหน้าซีด ความตายอยู่ชิดขมับโดยมีชายฉกรรจ์จ้องหน้าว่าถ้าขยับมีตาย “ซื้อตัวฉันไปแล้วฉันจะไม่แจ้งตำรวจ จริงๆ”
“ดูท่าจะฟังภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่องสินะ มาจากไหนน่ะเรา” ถามไถ่ราวกับสนใจ พ่อค้าอวัยวะคว้าปืนและขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ในมือก็พลิกปืนไปมาราวกับมันเป็นของเล่น “ฉันพูดภาษานางฟ้าไม่เป็นหรอกนะ”
อาชาย่างก้าวเข้าใกล้คนปากเก่ง ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ใช้ได้ แต่ก็ยังเล็กเกินไปเมื่อยืนเทียบกับขนาดตัวของพ่อค้าอวัยวะ แม้เห็นมุมปากบางเฉียบขยับแต่นัยน์ตาไม่เคยยิ้มตาม ยิ่งยามหันปลายกระบอกปืนจ่อหน้าผากมนของคนสูงร้อยเจ็ดสิบตอนต้น ก็ไม่เหลือแววตาซุกซนอีกเลย “ถ้าคิดว่าจะได้มีชีวิตออกไปบอกตำรวจก็เอาสิ”
“นายจะไม่ฆ่าฉันหรอก” บอกออกไปทั้งที่ภายในใจก็หวาดหวั่น ไม่มีอะไรการันตีความปลอดภัย เฟยฮวาไม่ยอมกะพริบตาขณะได้ยินเสียงปลดล็อก นัยน์ตาที่ผู้คนมักบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันดูเศร้ากล้าสบนัยน์ตาแข็งกร้าวของอาชาตรง ๆ อย่างไม่กลัวอันตราย เพราะไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหน ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างก็ต้องตายทั้งเป็นอยู่ดี
“ถ้านายฆ่าฉันที่นี่ ทุกคนที่อยู่ด้านนอกก็จะได้ยินเสียงปืน พอมีคนแตกตื่นคราวนี้เรื่องก็อาจถึงหูตำรวจก็ได้ แล้วสุดท้ายนายก็จะถูกสอบสวน ธุรกิจผิดกฎหมายของนายจะต้องหยุดชะงัก …จริงไหม”
“ฉลาดดีนี่” เกือบจะปรบมือให้ ติดที่ว่ามือไม่ว่างกำลังถือปืน
อาชาพยักหน้าเหมือนเข้าใจและเห็นด้วยกับประโยคยืดยาวเหล่านั้น
นัยน์ตาของเฟยฮวาค่อย ๆ ปรากฏประกายแห่งความหวัง ยิ่งเมื่อพ่อค้าอวัยวะลดปืนลงแล้วหันหลังให้ก็แอบดีใจไปล่วงหน้า อาชาใช้เวลาคิดสักครู่ดูท่าจะใจอ่อน ก่อนที่เวลาต่อมาจะทำให้ร่างบางดีใจเก้อด้วยการออกคำสั่งใหม่ล่าสุด พูดง่าย ๆ เหมือนให้พาลูกแมวจอมเชิดออกไปเดินเล่น “งั้นพวกแกอุ้มหมอนี่ออกไปฆ่าที่อื่นไป”
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวสินาย ปล่อยฉัน!” เรื่องความดื้อรั้นยกให้เป็นที่หนึ่งในชั่วโมงนี้ ร่างเพรียวบางมีคุณสมบัติคุณหนูที่ถูกตามใจอยู่ตลอด แถมตอนโดนลูกปืนเล็งหัว สีหน้าก็ไม่ได้ดูกลัวตายเท่าไหร่ จนอาชาอดนึกเฉลียวใจไม่ได้
“หรือว่านายเป็นสายให้ตำรวจ”
บุกเดี่ยวเข้ามาแบบนี้ถ้าไม่มีแบล็คดีก็ต้องพอมีฝีมือเอาตัวรอดได้ หรือแท้ที่จริงแล้วอีกคนไม่ได้ตั้งใจจะขายตัวอย่างปากว่า พ่อค้าอวัยวะเองก็ชักสนใจ ว่าจะรอดูอยู่ว่าเมื่อไหร่ไอ้ท่าทางจองหองจะเปลี่ยนเป็นร้องกระจองอแง
แค่อาชาส่ายหน้าน้อย ๆ ลูกน้องก็ทยอยเก็บปืนจนครบทุกกระบอกแล้วย้ายไปยืนซ้อนด้านหลังร่างเพรียวบางระหว่างคุมเชิงและปล่อยให้เจ้านายจัดการต่อ “ตกลงใครส่งนายมา”
“ฉันเปล่า” คนถูกปรักปรำหาว่าเป็นสายลับปฏิเสธทันที เฟยฮวาเชื่อว่าบนโลกมีคนตาถั่วเป็นร้อยเป็นพัน เห็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ วัน ๆ นึงมีคนเข้าใจผิดเรื่องราวตั้งมากมาย แต่ไม่เคยคิดว่าชายหนุ่มที่เป็นถึงเจ้าคนนายคนจะมองสภาพคนหนีร้อนมาพึ่งเย็นอย่างตนไม่ออก จะยอมบอกเหตุผลให้ทราบก็ต่อเมื่ออีกคนรับประกันความปลอดภัย แต่ในเมื่อยังตกลงกันไม่ได้ ร่างบางจึงเลือกเงียบไว้และนั่นกลายเป็นยิ่งทำให้เจ้าของธุรกิจค้าอวัยวะเถื่อนคิดหนัก
อาชาจงใจจะดัดหลังอย่างชัดเจน “ได้ยินว่าพวกสายของตำรวจต้องฝึกมาหนักใช่ไหม” ไหน ๆ วันนี้ฤกษ์งามยามดีก็เสียหมด เจอคนกวนประสาทก่อนก็ต้องเล่นกลับ เดี๋ยวจะถูกเหยียดหยามได้ว่าไม่มีน้ำยา เกิดใครเอาไปโพนทะนาว่าแพ้ให้กับผู้ชายหน้าตาน่ารักแล้วจะเสียชื่อ “แล้วทำอะไรเป็นบ้างล่ะ”
คนถือปืนยืนห่างอยู่หนึ่งเมตร สามารถเห็นนัยน์ตาถือดีถนัดจนอยากกลั่นแกล้ง “เตะต่อย ยิงปืนหรือใช้มีดดี” คนเป็นนายทำมือขอมีดจากลูกน้องและเดินเข้ามามอบของมีคมให้กับร่างบางเองกับมือ “เลือกลูกน้องฉันมาสักคนสิ ถ้าสู้ชนะจะยอมบอกความลับให้หรือถ้าเกิดทำให้ฉันพอใจได้ ฉันอาจจะยอมซื้อตัวนายด้วย”
อาชาปิดประโยคคำพูดด้วยการยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่เฟยฮวารู้ว่ารอยยิ้มนั้นจอมปลอมสิ้นดี
คล้ายเวลามีการเจรจาธุรกิจพวกคิดคดก็จะยิ้มแบบนี้ทุกราย แน่นอนว่าไม่มีทางหลงกล “แต่ฉันสู้ไม่เป็น” ที่มาไกลขนาดนี้ได้ก็เพราะนิสัยเด็ดเดี่ยวทั้งนั้น มือที่ถือมีดรีบปล่อยมันตกลงพื้นพลางกล่าวยืนยันหนักแน่น “แล้วฉันก็ไม่ใช่สายตำรวจด้วย”
“ฉันจะแน่ใจได้ยังไง” เห็นท่าทางไม่ยอมคนแล้วมันคันไม้คันมืออย่างประหลาด จะถือว่าการกระทำเมื่อครู่คือการท้าทาย ถ้ายกมือไหว้แต่แรกก็อาจจบด้วยดี แต่นี่มีอย่างที่ไหน มาขอให้คนอื่นเขาซื้อตัวแต่กลับทำท่าเหมือนจะไม่ยอมก้มหัวให้ใครเลย ชีวิตนี้เคยขอร้องใครจริง ๆ หรือเปล่า สงสัยจะเจอพวกคุกเข่าไม่เป็นอีกราย
แต่เอาเข้าจริงก็ต้องยอมรับน่าสนใจมาก “ใครจะรู้ว่าในกระเป๋ากางเกงนายอาจจะมีพวกเครื่องดักฟังหรืออะไรทำนองนั้น” และถ้าร่างเพรียวบางกำลังใช้วิธีอวดดีเพื่ออัพราคา อาชาก็อยากตรวจดูสินค้าก่อนจะตกปากยอมรับซื้อจริง ๆ “และเพื่อยืนยันว่านายไม่ใช่สายตำรวจ งั้นฉันขอแก้ผ้าตรวจดูหน่อยแล้วกัน”
วินาทีนั้นเฟยฮวาเพิ่งจะเผยโฉมความตระหนกเป็นครั้งแรกและมันก็ดูไม่แปลกเท่าไหร่ที่ผู้ชายหน้าหวานจะหวาดกลัวการจู่โจมของชายฉกรรจ์จากทุกทิศทุกทาง ร่างเพรียวบางเสียหลักล้มลงเมื่อพยายามห้ามผลักอกใครต่อใครให้ออกห่าง แม้ในชีวิตจะเคยถูกทำหยาบคายใส่หลายครั้งก็ยังไม่ชิน ไม่คิดจะทำใจคุ้ยเคยกับความรุนแรงและกำลังโกรธจนหน้าแดงก่ำ นั่งอยู่ท่ามกลางฝูงแร้งทึ้งถูกดึงจนเสื้อขาด ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนไปในวันวานอันน่าอดสู
เฟยฮวาเกลียดธุรกิจผิดกฎหมาย เกลียดใครก็ตามที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่เหมือนยิ่งเกลียดก็จะยิ่งได้เจอกับสิ่งนั้น นึกเกลียดสถานที่นี้ เกลียดกลิ่นบุหรี่ เกลียดผู้คนที่กำลังสัมผัสร่างกายและเกลียดผู้ชายคนนั้นที่ยืนมองอย่างใจเย็น เห็นตนถูกหยามศักดิ์ศรีแล้วไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน
เฟยฮวาเกลียดแต่ก็ต้องการให้คนที่ชังน้ำหน้าช่วยเหลือ เมื่อเหลือตัวคนเดียวก็จำเป็นต้องหาคนคอยคุ้มกะลาหัว และตั้งใจเลือกคนที่คิดว่ามีความชั่วสูสี “จะอายทำไม ไหนว่าจะขายตัว ถึงไม่แก้ผ้าให้พวกฉันดูตอนนี้ก็ต้องไปแก้ผ้าให้คนอื่นดูทีหลังอยู่ดี” …หรือบางทีอาจจะชั่วกว่าพวกคนที่เคยเจอมา
“ถอยไป!” น้ำตาที่คลอเบ้าไหลอาบแก้มเมื่อสุดจะทน เสื้อถูกฉีดขาดยาวจนกลายเป็นเสื้อเปิดไหล่ ส่วนชายเสื้อก็กำลังถูกเลิกขึ้นจนเห็นหน้าท้องแบนราบขณะมองเห็นหลายใบหน้าสลับไปมาจนตาลาย ร่างเพรียวบางล้มลงนอนหงายจนง่ายต่อการรุมล้อม แต่ฝูงแร้งก็ยอมหลีกทางยามมีเสียงดังสั่งให้ถอย แล้วอาชาค่อยก้าวเข้ามายืนในจุดที่สามารถเห็นได้
ภาพแรกที่พ่อค้าอวัยวะประจักษ์ก็คือตอนร่างเพรียวบางนอนกอดตัวเองคุดคู้ “เฮ้…”
ส่วนภาพที่สองค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าประทับใจ เมื่ออีกคนหันใบหน้าเปียกปอนกลับมามองขณะร้องไห้จนจมูกแดง ไม่แปลกที่บางคนจะเกิดมาเพื่อคู่กับน้ำตา พอร้องไห้แล้วดูน่ารักขึ้นเป็นกอง จนมองเพลินเกินเวลา
กว่าจะรู้ตัวก็ตอนคนนอนพยุงร่างลุกขึ้นนั่ง
“แค่จะโดนแก้ผ้าเข้าหน่อยยังร้องไห้แทบเป็นแทบตาย” อาชาแดกดันระหว่างเฟยฮวาใช้หลังมือเช็ดหน้าแก้มลวก ๆ และไม่ลืมโอบกอดร่างกายตัวเองไว้ “ยังอยากให้ฉันซื้อตัวอยู่ไหมล่ะ” อย่าหวังว่าจะมีฉากพระเอกใจดีแบบที่ปลดเสื้อสูทตัวนอกให้นางเอกสวมกันหนาว พ่อค้าอวัยวะปล่อยให้คนผิวขาวจั๊วะนั่งเป็นอาหารตา มองแต่หน้าลูกน้องจนเอียน วันนี้ได้เปลี่ยนที่พักสายตาบ้างก็ดีไม่หยอก
“ถามหน่อยว่าทำเป็นไหม” จ้องไหล่มนนานจนเฟยฮวาไหวตัวทัน ก่อนจะยักไหล่แทนคำขอโทษที่เสียมารยาท “จะขายน่ะรู้หรือเปล่าว่าเรื่องอย่างว่าเขาทำกันยังไง” พ่อค้าอวัยวะแค่ใช้สายตาเจ้าชู้มองตามและย่างสามขุมเข้าใกล้ “แต่ไม่เป็นไร ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันสอนให้เอง”
“ฉันไม่ขาย ไม่ขายแล้ว…” นานกว่าเฟยฮวาจะขยับปากพูดและเลือกหยุดการซื้อขาย
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่อาชาอยากได้ยิน คิดจะกลับคำมันง่ายไปหน่อย “…แต่ฉันจะซื้อ”
ในเมื่อดูถ่อยในสายตาแล้วก็ต้องเอาให้สุด “เห็นปืนในมือฉันไหม”
มือที่ยังถืออาวุธสีดำขลับชูให้ดวงตาฉ่ำน้ำดูชัด ๆ ก่อนจะลดปลายกระบอกลงเล็งหน้าผากมนเหมือนในตอนแรกแต่คราวนี้แปลกคำสั่งแตกต่างไป “อมให้ดูหน่อย” เอ่ยแล้วค่อยไต่ระดับอาวุธสังหารลงตามสันจมูกสวยและเขี่ยกระจับปากอิ่มด้วยปลายกระบอกปืน “แต่ถ้าไม่อม มันตาย” จู่ ๆ ก็ย้ายเป้าหมายฉับพลัน มีเรื่องตัวประกันเข้ามาเกี่ยวข้อง เล็งปืนที่หน้าอกลูกน้องซึ่งถลึงตาโตอย่างตกใจ ยกมือยกไม้พยายามเรียกสติเจ้านายว่าอย่าทำ
“เลือกไม่ยากใช่ไหม” เฟยฮวาไม่ตอบและขณะเดียวกันก็ไม่ยอมขยับ
ได้แต่นั่งทำสงครามประสาทและกัดปากอย่างคิดหนัก รู้ดีว่าทุกคนก็รักชีวิตตัวเองด้วยกันทั้งนั้นและร่างเพรียวบางก็กลัวเหมือนกันว่าคนร้ายกาจอาจจะสับปลับ เปลี่ยนเป็นลั่นไกขณะที่ตนตกลงใช้ปากทำเรื่องน่ารังเกียจกับด้ามปืน
ดวงตากลมมองอาวุธที่ยื่นมาตรงหน้าสลับกับช้อนนัยน์ตามองคนยืนจ้องอยู่ก่อน และตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงร้องให้ช่วย ลูกน้องคนดังกล่าวบอกว่าไม่อยากตายและขอให้เฟยฮวาช่วยทำตามคำสั่งเจ้านายเสียงสั่น
“หนึ่ง…” การนับเลขถือเป็นการเร่งทางอ้อมและทำให้ร่างบางยอมเคลื่อนใบหน้าทีละนิด สุดท้ายก็เลือกชีวิตคนอื่น ยอมกล้ำกลืนฝืนทนเพราะไม่อยากเห็นคนอื่นเดือนร้อนเพราะตัวเอง จังหวะนับเลขสองเป็นตอนที่ริมฝีปากแดงอ้าออกปลายกระบอกปืนอยู่ไม่ไกล แต่เมื่อได้ยินเสียงนับสาม ริมฝีปากก็งับได้แต่ลม ก่อนจะก้มตัวปิดหู จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังปัง
กระสุนนัดหนึ่งปักเข้ากลางอกลูกน้องซึ่งล้มลงไปนอนกองกับพื้นทันที ทำให้คนที่กล่าวหาว่าชักช้าเองยิ่งรู้สึกสะเทือนใจ ใบหน้าผู้ตายหันมาทางที่นั่งสร้างภาพติดตา ยังไม่ทันจะขออโหสิกรรมก็มีคำสั่งใหม่ “เอาตัวหมอนี่ไปไว้ที่รถฉัน” เจ้านายดูจะเป็นคนเดียวที่ไม่เสียใจ ให้ลูกน้องพาคนช็อกออกไปแล้วเหลือไว้ไม่กี่คนก่อนจะสั่งเก็บกวาด “จัดการซะ” พ่อค้าอวัยวะแค่มองลูกน้องช่วยกันแบกศพออกไป เป็นศพของสายตำรวจตัวจริง หาจังหวะยิงทิ้งมาตั้งนานเมื่อสบโอกาสแล้วก็ไม่อยากจะพลาด ต้องขอบคุณนางฟ้านางสวรรค์ที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายจนอะไร ๆ มันง่ายขึ้น
“มีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่จะยอมทำเพื่อคนอื่น หึ”
การอยู่จัดการปัญหากินเวลากว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่บ่ายคล้อย พ่อค้าอวัยวะก็ได้ฤกษ์เดินออกจากประตูภัตตาคาร สร้างร้านอาหารขึ้นมาบังหน้าสายตรวจ ตำรวจหลายรายก็เคยมาฝากท้องที่นี่ ดีกรีพ่อครัวจากโรงแรมระดับห้าดาว ชั้นหนึ่งกับชั้นสองเอาไว้รับรองลูกค้าทั่วไป ส่วนชั้นสามกับสี่นั้นก็เอาไว้ประกอบธุรกิจอย่างที่เคยกล่าวมาข้างต้น
เมื่อหมดงานหนึ่งวัน คนเป็นนายเดินสวมแว่นกันแดดนำโดยมีลูกน้องเดินตามมาแค่สองคน เตรียมจะก้าวขาพ้นพุตปาธ แต่จู่ ๆ ก็มียายแก่เดินตัดหน้ากะทันหัน ไม่ทันระวังจนชนเข้ากับอาชาก่อนจะร้องโวยวาย ที่แท้เป็นหญิงบ้าใบ้ทัดดอกไม้สีแดงสด ลูกน้องสองคนทำท่าจะหามปีกหญิงแก่ออกไป แต่เผอิญเจ้านายยกมือห้ามและปล่อยให้จับแขนพลิกไปมา อยากรู้เหมือนกันว่าอีกคนกำลังหาอะไร พ่อค้าอวัยวะมองยายแก่หัวเราะชอบใจ แต่พอได้สบตากันชั่วแวบเดียว พริบตาเดียวยายแก่ก็เบิกตากว้างอย่างกับเห็นผีพลางร้องทักขึ้นมาว่าพ่อหนุ่มกำลังจะมีเคราะห์
“ชีวิตพ่อหนุ่มกำลังจะฉิบหาย เพราะของที่เก็บได้จากพื้น” ชี้นิ้วขึ้นบนฟ้าสวนทางกับวาจาที่บอกว่าพื้น
นอกจากจะยืนงงยังตลกจนหลุดขำ ถ้าการกระทำไปในทิศทางเดียวกับคำพูดก็คงจะเชื่ออยู่หรอก ตอนลูกน้องเกือบเข้าชาร์ตหญิงบ้าข้อหาพูดจาสามหาว คนถูกทำนายทายทักว่าชีวิตจะบรรลัยก็ได้แต่พูดว่าไม่เอาน่า อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา
อาชาทำแค่ยิ้มรับ ถามว่าติดใจไหมตอบเลยว่าไม่ พ่อค้าอวัยวะไม่เคยเชื่อคำพูดใครและถ้าต้องให้ใส่ใจกับคำเตือนทุกอย่างบนโลก สงสัยโรคประสาทคงได้ถามหา ถ้าจะฉิบหายก็ให้มันฉิบหายไป ยังไงก็เชื่อว่าตัวเองสามารถรับมือได้
อีกอย่าง “สภาพแบบนั้นจะทำอะไรฉันได้…” อาชามองทะลุเข้าไปในตัวรถที่จอดติดเครื่องไว้ เห็นเงาลาง ๆ ว่าใครบางคนกำลังนั่งเช็ดน้ำตา พูดจาสบประมาทร่างเพรียวบางที่หันมาจ้องผ่านหน้าต่างของรถอย่างโกรธเคือง
มัวแต่ร้องไห้จนสายตาพร่าแต่เฟยฮวาก็ยังเห็นหน้าคนใจคอโหดเหี้ยมชัดเจน ก่อนจะแบ่งเขตแดน รีบเขยิบเข้าด้านในเมื่อชายหนุ่มขายาวก้าวขึ้นมาร่วมนั่งบนรถ ทั้งสองคนโดยสารตรงเบาะหลังและมีช่องว่างเป็นตัวคั่นกลาง
ร่างเพรียวบางเลือกหันมองนอกกระจกรถยามสี่ล้อเคลื่อนไปบนถนนสายหลัก แหงนคางมองท้องฟ้าตอนเกือบเย็น เห็นพระอาทิตย์สีส้มอมแดงสาดแสงจนต้องหยีตา แล้วนึกอิจฉานกน้อยที่ทยอยบินกลับรัง อยากติดปีกบินกลับบ้านบ้างแต่คงต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ขนตายาวขยับชิดติดกระจกเพื่อมองพวกนกและหวังว่าคงมีสักวันที่จะได้โอบกอดอิสรภาพ
ทุกอิริยาบถถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของอาชาที่เฝ้ามองมาตลอดทาง เห็นนั่งเศร้าก็อยากจะถามอยู่ว่าเป็นอะไร แต่ก็ต้องไว้ทีรักษากิริยา เท่านี้ก็นับว่าปรานีมากโข จะไม่ยอมปล่อยให้วิ่งโร่ไปแจ้งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในฐานะพยานและที่พามาด้วยก็เพราะจะซื้อบริการ จริง ๆ แล้วก็คาดหวังจะเห็นท่าทางตื่นตระหนก แต่ภาพสะท้อนบนกระจกกลับเป็นสีหน้าเรียบเฉย ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง แถมทำอย่างกับเด็กหนีออกจากบ้านที่แค่โดยสารรถนั่งวนไปรอบ ๆ เมือง
“ไปส่งฉันที่คอนโด”
หลังตัดสินใจได้เด็ดขาดและบอกสารถีถึงสถานที่ที่ต้องการจะไป ฝ่ายทำลายความเงียบก่อนก็หันมาชวนคนข้างกายคุยบ้าง แต่พอดีร่างเพรียวบางเหมือนจะไม่มีอารมณ์ต่อคำ เลยกลายเป็นว่าอาชาสนทนากับดินฟ้าอากาศ นานทีปีหนเพิ่งจะมีคนกล้าทำราวกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เป็นธาตุอากาศ
“นี่ใจคอจะไม่พูดกับฉันจริง ๆ เหรอ” อาชาได้แต่นั่งทบทวนว่าตัวเองทำผิดอะไร ก่อนจะพบความผิดบานตะไท ดีดนิ้วดังเปาะเหมือนเข้าใจเรื่องทุกอย่างกระจ่างแล้ว “ที่ไม่ยอมพูดด้วยเนี่ยเพราะโกรธเรื่องเมื่อกี้ใช่ไหม” พ่อค้าอวัยวะยึดท่าทางนิ่งเงียบเป็นคำตอบว่าใช่แล้วพูดต่อด้วยท่าทางสบาย ๆ “นายจะโกรธอะไร ญาติก็ไม่ใช่ แค่คนตายคนเดียวเอง”
ประโยคที่ราวว่าชีวิตคนเป็นเรื่องเล็กน้อยพลอยทำให้คนฟังยิ่งโกรธ ก่อนคนพูดจะโดนตบหน้าหันและบรรยากาศภายในรถก็พลันเงียบสงบ อาชาที่ถูกตบแน่นิ่งไปชั่วขณะ แล้วถึงใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มข้างที่เจ็บ ที่แก้มมีเลือดซิปเพราะถูกเล็บข่วน พ่อค้าอวัยวะปวดไปทั้งซีกหน้าด้านข้าง ทั้งที่คิดว่าตัวเองหน้าหนาแต่กลับรวดร้าวเพราะฝ่ามือเดียวเท่านั้น
อาชาหันมองเจ้าของฝ่ามือเหมือนจะถามว่านี่มันอะไร ไอ้โกรธมันก็โกรธ โดนลูบคมต่อหน้าลูกน้องก็ต้องเคืองเป็นธรรมดา แต่ขณะเดียวกันก็อยากรู้เหตุผลในการลงมือตบตน
“อย่าพูดเหมือนชีวิตคนไม่มีค่าอีกนะ” เฟยฮวาพูดเสียงแข็ง แล้วตั้งใจใช้สายตาดูแคลนด่าแทนปากแดงก่ำ ไม่รู้ไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน คงเพราะคำพูดพวกนั้นแทงใจดำจนยากจะห้ามความรู้สึก “มีคนตายเพราะฉันมามากพอแล้ว” แก้วตากลมสั่นระริก แต่ก็รีบหันไปอีกทางก่อนที่คนด้านข้างจะทันเห็นความอ่อนแอ
“ทำไมถึงไม่ฆ่าฉันให้ตายไปด้วยอีกคนล่ะ” แค่ถามด้วยความสงสัย แต่เล่นตบไปแรงขนาดนั้นก็คงไม่มีเงาหัวถึงวันพรุ่งหรอก อาชายังทำแค่จ้องอย่างข้องใจ ดูเหมือนว่านางฟ้าไร้ปีกจะมีอีกหลายปริศนารอให้ไข “นั่นสิ ทำไมฉันถึงไม่ฆ่านายให้ตาย ๆ ไปซะ” พ่อค้าอวัยวะขยับเข้ามาใกล้จนไหล่เบียดและเนียนยกแขนพาดกับเบาะ
พอความเจ็บเจือจางก็ไม่อยากยกเรื่องตบมาเป็นประเด็นต่อ ยอมเพราะอะไรยังไม่แน่ชัด อาชาแค่หันตัวเข้าหาคู่สนทนา บ่งบอกว่ากำลังให้ความสนใจร่างเพรียวบางซึ่งเหมือนนั่งอยู่ในอ้อมแขนกลาย ๆ
แทนที่จะให้คำตอบกลับย้อนถามด้วยความใคร่รู้ พยายามหาคำตอบกับตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ระหว่างนั้นก็ถูกไหล่ขาวนวลชวนหลอกล่อให้สัมผัส ทั้งที่อาจถูกตบรอบสองก็ยังมีหน้าลองขบกัดหัวไหล่มนขณะช้อนตาเฝ้ามองปฏิกิริยาคนโดนลวนลาม แต่เฟยฮวายังนิ่งแม้จะเห็นว่าพ่อค้าอวัยวะกำลังทำอะไรกับเรือนร่าง แค่หลุบตามองอย่างเย็นชาแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง นั่งเฉยให้ใบหน้าหล่อเหลาซุกไซ้ซอกคอ แอบห่อไหล่เพราะแรงดูดดุน
ไม่พูดกันแต่ขานรับด้วยร่างกาย… จะเกริ่นนำสักเล็กน้อยก็ไม่มี อย่างดีอาชาก็แค่กระซิบข้างหูว่าให้อยู่เฉย ๆ ก็เลยทำตามคำสั่งด้วยการนั่งหลังตรงประหนึ่งเป็นท่อนไม้ ซึ่งถึงจะดูให้ความร่วมมือแต่คืออารมณ์ร่วมเป็นศูนย์ นึกว่าปูนปั้นมาเองสร้างความเซ็งให้กับพ่อค้าอวัยวะ ถอนจมูกโด่งจากแอ่งชีพจรแล้วย้อนถามหน้าตาย “ตกลงไม่ขายแล้ว…?”
ถามไม่ตอบ สงสัยชอบให้สวมบทคนร้าย “ดี จะได้พาไปฆ่าเลย”
เอ่ยวาจาฆ่าคนเป็นเรื่องธรรมดา แล้วค่อยเบือนหน้าไปอีกทาง เริ่มจะไม่สนุกที่อีกคนเอาแต่เงียบเป็นเป่าสากและถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกสักชั่วโมงอารมณ์ถูกใจคงได้มอดดับลง คงจะทำกรรมมาร่วมกันน้อยละมั้ง
ขณะที่พ่อค้าอวัยวะกำลังตัดพ้อราวกับผิดหวังเสียเต็มประดา ฝ่ามือที่ประทับลงบนแผงอกก็ทำให้ก้มลงมองอย่างฉงน “หันมาสิ” สั่งน้ำเสียงเบาและเฝ้ารอการหันมา อาชายอมหันตามคำบอกอย่างอ้อยอิ่งแล้วนิ่งงันเมื่อคนที่ปรามาสไว้เป็นฝ่ายยื่นปากแตะปากก่อนและถอนออกอย่างเชื่องช้า ทิ้งระยะห่างไม่เท่าไหร่ ให้เวลาตัวเองได้ลังเลใจสักนิด
เพราะมีคนเคยบอกว่าถ้าไม่คิดจะผูกพันอย่าสร้างความสัมพันธ์
“ฉัน…” เอ่ยทันแค่นามแทนตัวแสนเหินห่างก่อนจะได้รู้จักนิสัยใจคอของพ่อค้าอวัยวะผ่านจูบแสนมุทะลุ รสจูบดุเดือดทำให้เลือดลมไหลเวียนทั่วร่างกายและย้ายมารวมกันบนหน้าแก้ม ความแนบแน่นนำไปสู่การเฟ้นหาที่หนึ่งในสนามประลอง สองกลีบปากโรมรันเข้าห้ำหั่นกันอย่างร้อนแรง ต่างฝ่ายก็ได้น้ำลายจนหายคอแห้ง แกล้งหยอกเย้ากันไปมา
แล้วเปลี่ยนจังหวะเป็นบดเบียดเนิบนาบ งับกลีบปากล่างนั้นแล้วดึงทึ้งแผ่วเบา ราวกับตอดเยลลี่ ก่อนที่จะพักหายใจ ทั้งคู่โตเป็นผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะแล้วและรู้ดีว่ากำลังทำอะไร แต่ในช่วงเวลาเดียวกันก็ลืมคำนวณความเสียหายจากการถลำลึก แค่เอาความรู้สึกเป็นที่ตั้งอย่างอื่นเป็นรอง สองนัยน์ตาสะท้อนภาพดวงหน้ากันและกันและร่างเพรียวบางก็ขยับขึ้นนั่งตักตามการชักนำ กลับหลังหันลำบาก ทางเดียวคือเดินหน้าต่อ
“ชื่ออะไร” พ่อค้าอวัยวะกระซิบกระซาบถามชิดมุมปาก อยากรู้เรื่องอีกคนขึ้นมาจับใจ พูดอะไรก็พร้อมจะฟัง
ส่วนเจ้าของร่างเพรียวบางก็มีสีหน้าผ่อนคลายมากขึ้น “เฟยฮวา …เสี่ยวเฟยฮวา”
หมดสภาพคนจองหอง ที่แท้ก็แข็งนอกอ่อนในและพร้อมจะหลอมละลายถ้าไฟล่นถูกจุด
แล้วค่อยต่างคนต่างให้ริมฝีปากพูดแทนความในใจอีกรอบ หลอมเกลียวลิ้นเป็นเนื้อเดียวกันไร้ความขัดเขิน ละเมิดความเป็นส่วนตัวของกันและกันผ่านการแลกน้ำลาย ถ่ายโอนอากาศอย่างลึกซึ้งถึงแก่น สองแขนขาวรีบโอบรอบลำคอหนาหาที่ยึดเมื่อกำลังถูกกลืนกินจนสูญเสียสมดุลและความเป็นตัวเองไป
ส่วนอาชาก็ประคองเอวคอดไว้ระหว่างประกาศทางสายตาว่ามันจะมีไว้มองแค่นายคนเดียว
“นับจากนี้ไปเสี่ยวเฟยฮวาเป็นของฉัน”
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
-
พล็อตเรื่องน่าสนใจ แปะไว้ก่อน :katai2-1: เดี๋ยวมาอ่าน/เม้นนะก๊าบ :katai4: :pig4:
-
แปะไว้อีกคนค่ะ :z13:
-
III
พ่อค้าอวัยวะเลือกจะพาคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเข้าคอนโดแทนการพาไปบ้านตามมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ยึดถือมาตลอด ทุกรายที่ร่วมหลับนอนด้วยล้วนเคยมาเยือนแล้วทั้งนั้น แม้มันจะเหมือนเป็นการป้องกันที่ปลายเหตุ เพราะกว่าจะเสร็จกิจต้องถูกประชิดตัวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ยังสบายใจกว่าให้ใครตามไประรานถึงบ้าน
ประตูคอนโดถูกยันให้เปิดด้วยฝ่าเท้า อาชาอุ้มเฟยฮวาด้วยท่าเจ้าสาวเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน เจ้าบ่าวข้ามขั้นตอนพิธีช่วงค่ำและกำลังจะพาเจ้าสาวเข้าหอ ไม่มีการรั้งรอใด ๆ เพราะกว่าจะมาถึงที่หมาย ได้ใช้ความอดทนไปจนหมดเกลี้ยง เพียงเดินถัดจากประตูไม่เท่าไหร่ ยังไม่ทันปล่อยร่างเพรียวบางลงยืนอย่างมั่นคงก็ระดมจูบลำคอระหงอย่างว่องไว อาชาโถมเข้าใส่คล้ายพายุพัด เฟยฮวายืนต้านลมแรงก่อนแผ่นหลังแทบแทรกเป็นเนื้อเดียวกับผนังปูน สุดทางตันแต่ชายร่างสูงใหญ่ก็พยายามดันตัวเข้าหา จะหลอมเป็นร่างเดียวกันท่าเดียวแถมกักขังหน่วงเหนี่ยวด้วยช่วงแขนอีกต่างหาก
ร่างเพรียวบางอึดอัด หายใจติดขัดจนต้องขอออกซิเจน เป็นฝ่ายกุมใบหน้าสมส่วนไว้แล้วจูบอย่างดูดดื่ม ลืมอายและคิดได้เมื่อสายว่าต้องรักษากิริยา แต่ดูเหมือนพ่อค้าอวัยวะจะชอบที่อีกคนทำตัวเป็นธรรมชาติแทนการแสแสร้ง
ระหว่างแลกน้ำลายสลับกับซุกไซ้ซอกคอ พ่อค้าอวัยวะก็รีบออกตัว “คงไม่ว่ากันนะถ้าฉันจะข้ามเรื่องอาบน้ำไปก่อน” อากาศร้อนอบอ้าวข้างนอกเล่นเอาเหงื่อไหลไคลย้อย แต่อาชาเบื่อจะคอยให้เสียเวลาและถ้าอีกคนเกิดปฏิเสธแล้วไล่ให้ไปอาบน้ำ คิดว่าจะทำตามไหม คำตอบก็คือไม่แน่นอน
ไม่มีใครสามารถสั่งหรือสอนพ่อค้าอวัยวะที่กำลังถอยเสื้อสูทตัวนอกออกอย่างชำนิชำนาญได้ อาชาเคยอยู่ภายใต้บังคับบัญชาคนอื่นมาเหมือนกัน แต่เมื่อรู้ว่านั่นไม่ใช่แนวทางที่ชอบจึงพยายามถีบตัวเองให้สูงเข้าไว้ ใครหลายคนเรียกมันว่าความทะเย่อทะยาน ความพยายามนับเป็นความสามารถจนสุดท้ายได้อยู่เหนือยอดพีระมิดของห่วงโซ่อาหารและผันตัวมาเป็นนักล่า
เพราะไม่เคยเลยที่จะได้ลิ้มรสชาติเนื้อนางฟ้าจึงยังไม่รู้ว่ามันอร่อยถูกปากแค่ไหน แม้แต่ให้คุณให้โทษก็ไม่ทราบ รู้แค่ว่าจับตรงไหนก็นุ่มไปหมด จรดจมูกหอมตรงไหนก็ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ตอนแรกอาชานึกว่าตัวเองตาถั่วที่เห็นเฟยฮวายิ้มบางมุมปาก กระทั่งถอยใบหน้าออกห่างก็เห็นได้ชัดเจนขึ้น ก่อนจะหลุบตามองมือที่ยื่นมาช่วยถอดเสื้อตัวในหลุดออกจากร่างจนเผยแผงอกที่แน่นหนัดไปด้วยเนื้อหนังกับช่วงกลางลำตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
ความมือคล่องทำให้สมองฉุกคิด “ไหนว่าไม่เคยไง” ไอ้ท่าทางทะมัดทะแมงชวนให้แปลกใจไม่น้อย
มีแต่พวกเคยลงมือปฏิบัติจริงเท่านั้นแหละที่จะรู้จังหวะจะโคน เฟยฮวารู้ขนาดที่ว่าเอามือโดนส่วนไหนแล้วจะทำให้เพศชายตื่นตัวและถึงจะยืนยันว่ามั่วเอา พ่อค้าอวัยวะก็ไม่มีทางเชื่อ
“ถ้าฉันบอกว่าเคยนายก็ไม่พาฉันมาน่ะสิ” มาถึงขั้นนี้ไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบังแล้ว
“คิดว่าฉันเป็นพวกชอบล่าพรหมจรรย์หรือไง”
“อย่างน้อยคนอย่างพวกนายก็น่าจะชอบของสดใหม่มากกว่า”
“แต่ฉันชอบพวกกะดังงาลนไฟนะ” จะคิดว่าพยายามยกยอปอปั้นเพื่อหวังผลก็ได้ แต่นัยน์ตาสีบรั่นดีของอาชากำลังบอกว่านั่นเป็นความจริง “ไม่ต้องสอนงานดี” และยิ่งเมื่อขายาวก้าวเข้าชิด เฟยฮวาก็ยิ่งเห็นแววตาติดเจ้าชู้ชัด ๆ
ยามที่สองใบหน้าอยู่ระดับเกือบเสมอกัน ร่างเพรียวบางหันใบหน้าไปอีกทางเพื่อเปิดโอกาสให้พ่อค้าอวัยวะเล้าโลมตั้งแต่หลังใบหูลงมาขณะริมฝีปากอิ่มของตัวเองคลอเคลียอยู่บริเวณแถวช่วงไหล่กว้าง เฟยฮวาฝากรอยเขี้ยวเล็ก ๆ ไว้บนผิวกร้านอย่างระมัดระวัง สร้างรอยประทับนำหน้าชายหนุ่มไป
ร่างเพรียวบางเองก็โดนงับเข้าที่ผิวละเอียดหลายครั้ง ผิวละเอียดถูกดูดดุนจนเกิดรอยจ้ำจาง ๆ จากรอยเลือนรางกระจ่างชัดเจนเห็นแล้วนึกว่าเป็นโรครัก ถูกผู้ชายซึ่งรู้จักยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงฝากสัญลักษณ์เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ คนที่หวังลอกคราบพยายามปลดเปลื้องอาภรณ์
จอห์นวู้ดเดนเคยกล่าวว่าไว้ใครเริ่มเกมนั้นไม่สำคัญเท่าคนที่ปิดเกม แม้จะเจ็บและได้ไปคนละแผลสองแผลแต่สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร อาชาปลดเข็มขัดแล้วงัดอาวุธออกมาสู้ มันชูชันเมื่อผ่านการปลุกปั่นจากการมองแล้วจินตนาการก็ดีหรือจากการที่ถูกรูดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขยายขนาดก่อนจะเกิดการเปลี่ยนถ่ายมือคนทำ
เฟยฮวาจับแก่นกายใหญ่ไว้มั่นแล้วลูบคลำมันด้วยความรัก ถือเป็นช่วงนาทีทองที่ร่างเพรียวบางเลือกจะปล่อยของเพื่อมัดใจ ยกความดีความชอบให้กับระดับความสูงที่พอเหมาะ ยกมือโอบคอชายหนุ่มไว้ระหว่างมุดหน้าละเลงปลายลิ้นกับตุ่มไตซ้ายสลับกับขวา จะย่อยสลายมันด้วยเอนไซม์ แต่มันก็ไม่ยอมละลายคาปากและเป็นตัวเองที่ครางฮือ มือก็กำแก่นกายใหญ่ไว้เมื่อพ่อค้าอวัยวะล่วงมือเข้าในกางเกงสามส่วนแล้วนวดคลึงบั้นท้ายอย่างเมามัน แล้วจัดการปลดท่อนล่างถอดทั้งกางเกงตัวนอกตัวใน ให้คนขาวยืนหนาวขาขณะขย้ำก้น เฟ้นจนเนื้อปลิ้นติดตามง่ามนิ้ว
เฟยฮวาหน้านิ่วคิ้วขมวดยามปวดหน่วงแถมท้องน้อย แล้วค่อยพยายามกลับมาโฟกัสที่จุดสูญถ่วง สองมือป้วนเปี้ยนอยู่กับช่วงล่างของพ่อค้าอวัยวะที่ขยับถอดกางเกงสเลคออกอย่างรวดเร็วแล้วรวบเอวคอดไว้ชิดตัวเพื่อนัวเนีย
อาชาสบตาว่าที่เมียที่ส่อแวววิบวับ ตามประสาคนเพิ่งเคยเจอกันก็อยากจะลองสัมผัสตรงนั้นตรงนี้ไปเสียหมด ปลายนิ้วชี้ไล่ตามร่องกล้ามที่น่าจะเอาน้ำราดแล้วดูเส้นทางการไหลของมัน เฟยฮวาลดระดับตัวลงแล้วคว้าลูกอัณฑะอย่างจงใจ นั่งบนส้นเท้าตอนบีบนวดมันเพื่อคลายความตึงเครียดแล้วเปลี่ยนมาประคองแก่นกายและไล้ส่วนปลายตามสันจมูกตัวเอง เคลื่อนลงต่ำจนโดนกระจับปากก่อนจะแลบลิ้นแตะอย่างแผ่วเบา ระหว่างสาวมือตามความยาวก็เอาปากเล็มส่วนหัวทีละนิด กัดกินส่วนปลายของฮอทดอก ลองใช้ลิ้นเลียเพื่อรับรสแล้วดูดดุนจนแก้มตอบท่ามกลางการสมยอมพร้อมใจ
พ่อค้าอวัยวะถึงกลับเคลิบเคลิ้มจนหัวโล่ง ยกมือข้างหนึ่งยันผนังระหว่างหายใจสะดุด ร่างเพรียวบางที่ยังใช้ขอบปากรูดแก่นกายช้อนนัยน์ตาเชิญชวนมองแทบตลอดเวลา เพื่อสังเกตสีหน้าแห่งความประทับใจ ค่อยเพิ่มความไวในการขยับโพรงปาก อมทั้งแท่งจนมันแยงกระพุ้งแก้มไปมา ยึดต้นขาหนาไว้เป็นหลักยามเขยื้อนศีรษะอย่างเป็นจังหวะ จนกระทั่งเป็นฝ่ายสำลักเมื่ออาชาปลดปล่อยไม่ทันตั้งตัว แถมยึดหัวกลมไว้ตอนอวัยวะสืบพันธุ์คายน้ำ
แต่ไม่ทันถึงหยดสุดท้ายเฟยก็ฮวารีบคายแก่นกายแล้วนั่งไอคอกแคกหน้าแดงเถือกและส่งสายตาเคือง ๆ ให้กับคนยืนค้ำหัวที่กลั้นขำ มีหน้ายิ้มหวานแล้วขอโทษขอโพยที่ลืมถามความสมัครใจเสียงพร่า ก่อนจะเป็นฝ่ายพยุงร่างเพรียวบางขึ้นจนยืนเต็มฝ่าเท้า แล้วเข้ากอดพลางช่วยถอดเสื้อที่ติดร่างอย่างใจดี
พ่อค้าอวัยวะผิวปากเมื่อประจักษ์กับความขาวเต็มสองตา จะมีก็แค่จุดสีขมพูเล็ก ๆ บนหน้าอกที่เรียกร้องให้สัมผัส มันล่อตาล่อใจแต่พอเคลื่อนหน้าเข้าใกล้กลับมีมือมากั้น คั้นกลางระหว่างปากกับยอดอกน่ารัก เพราะเฟยฮวายังไม่หายเคือง เรื่องมันก็มีเท่านี้ แต่อาชาเองก็มีวิธีจัดการ พยายามงัดแต่ละนิ้วด้วยริมฝีปากแล้วหาช่องว่างเพื่อแหยปลายลิ้น
ท่ามกลางการอิดออด ร่างเพรียวบางรู้สึกว่าช่างยากจะต่อกรด้วยจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยากจะต้านทาน จนขนาดลืมตัว เผลอไผลไปกับความพยายามชั่วครู่ พอรู้ตัวก็หน้าแดงก่ำ แอบกัดปากด้วยความอับอาย แล้วต้องมาใจอ่อนเพราะคำพูดคำจาหวาน ๆ เป็นการพูดว่าฉันต้องการนายที่จับใจที่สุด อาชาพูดมันเองข้างกกหู เฟยฮวารู้ดีว่าอีกคนอาจจะพูดไปเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ปรารถนา แต่สายตาหลอกใครไม่ได้ มันเปล่งประกายไปด้วยความจริงใจ ฉันก็ต้องการนายเหมือนกัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชอบตอนที่นัยน์ตาดำสะท้อนภาพแค่ตัวเองเท่านั้น ฝ่ามือที่เป็นปราการสุดท้ายคลายออกจากหน้าอกตกลงข้างกาย เหมือนจะบอกว่าอยากทำอะไรก็เชิญ อาชาจึงอุ้มเฟยฮวาด้วยท่าเจ้าสาวแล้วเดินมายังโซฟาขนาดกลาง
พ่อค้าอวัยวะวางร่างขาวนวลกับพื้นราบแล้วตามขึ้นคร่อมด้วยร่างกายใหญ่ ทีใครทีมัน เมื่อคนนอนใต้ร่างได้วาดลวดลายไปก่อนหน้า คราวนี้ก็ถึงตาตนบ้าง ฝ่ามือใหญ่บีบเนิ่นอกจนตั้งเต้าแล้วเอาหน้าซุก ตุ่มไตถูกไล่เลียอย่างตะกละตะกลาม ด้วยความมันเขี้ยว เกลียวลิ้นยาวตวัดเหนือยอดอกซ้ายย้ายไปขวาแล้ววกกลับมาที่ข้างเดิมและเริ่มทำซ้ำ
ใบหน้าสวย ๆ ของเฟยฮวาหงำงอ เพราะอาชากัดเนื้อหน้าอกเข้าเต็มคำ แถมขย้ำตามร่างสะโอดสะอง ไล่ตั้งแต่สีข้างลงยังเอวคอด ร่างเพรียวบางนอนหายใจพะงาบ งับอากาศแล้วเผยอออก แหงนมองเพดานก่อนความว่างเปล่าเหล่านั้นจะถูกแทนที่ด้วยดวงหน้าหล่อจัด ทั้งคู่ผสานสายตาอย่างจังแล้วปากก็ยื่นจุ๊บกันโดยอัตโนมัติ
เหงื่อตามไรผมยิ่งขับให้อาชาดูเป็นผู้ชายร้อนแรง มีการแกล้งหายใจรดจนคนใต้ร่างนอนสะท้าน ทั้งสองคนจูบกันช่วงสั้น ๆ แวะเต็มน้ำมันให้มากพอต่อการก่อกองไฟ ก่อนพ่อค้าอวัยวะจะเคลื่อนริมฝีปากผ่านหว่างอกแอ่นลงสู่หน้าท้องแบนราบที่เหมาะต่อการประทับตรา
“นาย…”
“เรียกอาชาสิ” นานทีเดียวกว่าจะได้คุยกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องรีบยิงมุขตลกร้าย “หรือจะเรียกว่าผัวก็ได้นะ”
เฟยฮวาหัวเราะเบา ๆ เหมือนจะชอบใจ “ยังไม่ใช่สักหน่อย”
“แต่อีกหนึ่งนาทีถัดไปน่ะใช่แน่” อาชาเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหายขณะใช้มือสาวน้องชายไว ๆ พอให้มือเปียก
นิ้วกร้านทยอยเรียงคิวเข้าสู่ช่องทางลับที่ตอดเป็นการต้อนรับแล้วเดินทางกลับออกมาในชั่วอึดใจ อาศัยตอนที่ปากทางยังขยายแก่นกายที่จ่อรอก็เคลื่อนเข้าแทน แต่กว่าจะฝ่าความคับแน่นได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ดันเข้าเรื่อย ๆ จนมิดด้าม ทำเอาร่างเพรียวบางเกร็งไปทั้งร่างทั้งยังประท้วงเสียงเครือ แต่เพื่อให้เข้าที่เข้าทางจากที่คาอยู่เฉย ๆ จึงลองขยับอย่างช้า ๆ ก่อนจะตามมาด้วยการเขยื้อนทีละนิด
เฟยฮวานอนบิดเร้าเพราะความอึดอัดระคนเสียวซ่าน พยายามลดแรงเสียดทานด้วยการอ้าขาสุดความกว้าง ขณะมือจิกเบาะหนัง เปลี่ยนมาหายใจทางปากเมื่อท่อนเนื้อถอนออกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วเบียดกลับเข้าทางเก่าอย่างรวดเร็ว อาชาเท้าเอวในตอนแรกเหมือนกำลังคำนวณแรงที่ต้องใช้ระหว่างมองแก่นกายตัวเองถดเข้าถดออกอย่างคงที่
แล้วเปลี่ยนเป็นสอยเอวสอบถี่ ๆ ยามคร่อมเหนือร่างวางฝ่ามือข้างลำตัวขาว เท้าโซฟาเป็นหลัก ตั้งใจทุกจังหวะไม่ใช่ขยับสะเปะสะปะแต่ว่าโดนเน้น ๆ จนกระทั่งร่างเพรียวบางเป็นฝ่ายล่าถอย คอยแต่จะถดสะโพกหนี กระเทิบห่างทุกทีที่ถูกกระแทกกระทั้น พ่อค้าอวัยวะจึงต้องยึดสะโพกผายไว้มั่นแล้วเคลื่อนไม่บั้นยะบั้นยัง ไม่ปล่อยให้เฟยฮวาตั้งตัวติด
เสียงกรีดร้องดังให้ระงมห้องพักผสานกับเสียงเนื้อกระแทกหนังไม่หยุด
เฟยฮวามองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของความทรมานนี้แต่ก็มีความสุขจนเกินบรรยายเช่นกัน หัวสั่นหัวคลอนนอนเกลือกแก้มกับโซฟา หลับตาเพราะหาจุดโฟกัสไม่เจอ ครวญครางไม่ได้ภาษาเหมือนคนละเมอเพ้อพก อกแอ่นกระเพื่อมอย่างน่ากลัว ตัวอ่อนปวกเปียกเรียกว่าระทวยใต้ร่าง ก่อนจะถูกยกตัวขึ้นนั่งทั้งที่ช่วงล่างยังเชื่อมต่อ วงแขนขาวรีบโอบรอบลำคอหนา หน้าแนบใบหูสะอาดตอนที่พ่อค้าอวัยวะเค้นบั้นท้ายแล้วประคองให้ขยับก้นรับกับแก่นกายที่กระทุ้งสวนอย่างแม่นยำ
อาชาปรับเปลี่ยนท่านั่ง กางขาเอนหลังพิงโซฟาอย่างสบาย ๆ แล้วถึงปล่อยให้คนบนหน้าขาเลือกขยับตามจังหวะที่ตัวเองต้องการ ให้อำนาจในการควบคุมเต็มที่ อยากเชยชมลีลาของคนที่บอกว่ามีประสบการณ์มาก่อนเหมือนกัน นางฟ้าตกสวรรค์จึงค่อยยันฝ่ามือกับแผงอกแล้วลองยกสะโพกขึ้นลงจนกว่าจะคล่อง ระหว่างทำก็หันมองด้านหลังไปพลาง
จนพ่อค้าอวัยวะต้องเชยคางให้มองตรงก่อนจะส่งยิ้มกวน ๆ ให้ ซาตานร้ายผายมือว่าเชิญตามสบาย หารู้ไหมว่ากำลังจะถูกเอาคืนอย่างแสนสาหัส เฟยฮวาทำให้อีกคนทรมานผ่านการทำร้ายตัวเองซ้ำ ๆ ดูท่าช่องทางลับคงช้ำหนักเพราะยังไม่หยุดขย่มท่อนเนื้อตั้งแต่เมื่อกี้และต่อเนื่องมาอีกนาทีกว่าจนเจ้าของตักเริ่มเกร็งหน้าท้อง ยกสองมือเสยผมลวก ๆ
เจอท่าขวงสวาทเข้าไปถึงกับหายใจกระท่อนกระแท่น ทำท่าทางราวกับหัวเสียที่โดนเมียใหม่ป้ายแดงเล่นงานเข้าให้ ขณะเดียวกันแก่นกายก็ประท้วงเร้า ๆ เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย ไอ้นั้นอิ่มเอมไปด้วยความกำหนัดและไม่ทันไรน้ำสีขาวขุ่นก็อัดฉีดในร่างนวล ชวนผวา เฟยฮวาโถมกอดอาชาเมื่อน้ำรักเดือดราวน้ำร้อน ส่วนท่อนเนื้อก็เหมือนถ่านติดไฟ มันกำลังเผาไหม้ทั้งภายในทั้งโคนขาจนไม่กล้าหุบ
มือใหญ่ยกขึ้นลูบแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่สั่นราวกับตื่นกลัว สัมผัสผิวกายลื่นแล้วหอมหัวไหล่ขาวให้หายชื่นใจ แอบงับปลายคางมนอย่างหยอกล้อ ขอดมกลิ่นคาวที่จะเห็นเป็นพิเศษหลังช่วยเสร็จกิจ ได้แตะนิดแตะหน่อยก็มีความสุข
คงเพราะทุกอย่างต้นเริ่มด้วยความเต็มอกเต็มใจ ให้โอกาสได้มีส่วนร่วม ร่างเพรียวบางเองจึงรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับกิจกรรมที่ทำและเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกดี เฟยฮวาจะทำตัวน่ารักเป็นพิเศษ น้อยคนนักที่จะได้เห็นด้านนี้
นับว่าเป็นความโชคดีของอาชาที่ได้รางวัลแถมเป็นจูบแนบแน่นอีกหน ระหว่างนั้นก้นงอนก็เริ่มเขยื้อน เคลื่อนตัวอีกครั้งอย่างเนิบนาบโดยไม่ถามความเห็นจากพ่อค้าอวัยวะก่อน บดเบียดแก่นกายแทบขาดเป็นสองท่อน ค่อย ๆ ร่อนเอวอย่างชำนิชำนาญ จนอาชาต้านทานเสน่ห์แทบไม่ไหว เหมือนจะตายแต่ถ้าต้องหัวใจวายก็ไม่เสียดายชีวิตและยินดีจะเล่าให้นายทวารในปรโลกฟังว่ารสรักของนางฟ้าเด็ดดวงแค่ไหน ที่ว่าใสใสน่ะไม่จริงเลยสักนิด จริตจกร้านก็แพรวพราว
จากโซฟาลากยาวมาถึงเตียงขนาดหกฟุต หวุดหวิดจะล้มเพราะเดินประกบปากกันมาตลอดทาง มัวแต่วุ่นวายอยู่กับเรือนร่างของกันและกัน นอนเอาขาพาดบ่าท่าทางล่อแหลมระหว่างครวญครางจนเสียงแหบแห้ง ร้อนแรงกว่าตะวันด้านนอก รอบสุดท้ายของบ่ายนี้ใกล้ถึงฝั่งฝัน อาชาหยุดกลางคันเพื่อสอดหมอนเป็นฐานรองก้นแล้วเริ่มต้นเคลื่อนสะโพกอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง เรียวขาขาวตะวัดเกี่ยวเอวสอบไว้เพื่อรั้งไม่ให้ไปไหน แต่ถึงจะถูกไล่พ่อค้าอวัยวะก็ไม่ไปหรอก เพราะนอกจากจะเจอคู่นอนที่ดี ยังได้เจอศรีภรรยาที่น่ารัก จะมีสักกี่คนที่ลุกขึ้นมานั่งทำความสะอาดแก่นกายให้ทั้งที่ตัวเองน่าจะเป็นฝ่ายไม่สบายตัวมากกว่า เล่นปล่อยข้างในทะลักทะลายขนาดนั้นก็น่าจะรู้สึกคั้นเนื้อคั้นตัวบ้างสิ
เฟยฮวาในสภาพอ่อนล้ามีเวลาได้ทบทวนในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ถามว่าเสียใจไหมที่เลือกอย่างนี้ตอบเลยว่าไม่เสียใจสักวินาทีเดียว แต่พอเหลียวมองคราบน้ำบนผ้าปูที่ยับย่นก็อาย โตเป็นผู้ใหญ่ซะเปล่าแต่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจราววัยว้าวุ่น ที่สุดอวัยวะทุกส่วนในร่างกายก็พร้อมใจกันโอดครวญ มันปวดเมื่อยไปหมดเหมือนโดนบดทับด้วยของหนัก
หลังได้สติและไม่มีอะไรจะแก้ตัวทั้งสิ้นก็คิดวนเวียนแต่เรื่องจากลา แม้บทรักจะตราตรึงใจสักแค่ไหน อ้อนวอนให้ตายสุดท้ายก็คงเป็นได้แค่ความทรงจำดี ๆ
“ฉันขอนอนพักที่นี่สักชั่วโมงได้ไหมแล้วเดี๋ยวฉันจะไป”
“ไปไหน” อาชาถามด้วยความสับสน กระเด้งกายล่อนจ้อนขึ้นมานั่งเคียงคนที่คว้าผ้าห่มมาโอบรอบกายกันอาย
“ไปจากที่นี่ไง แต่นายไม่ต้องจ่ายเงินหรอกนะ” ช่วงเวลาปกติทำเป็นพูดห่างเหิน บางทีอาจเป็นกลไกแก้เขินของเฟยฮวาที่หลงเข้าใจว่าการร่วมรักเมื่อก่อนหน้ากี้เป็นเพียงการซื้อบริการเท่านั้น
“เดี๋ยวนะ ฉันว่าเราต้องคุยกัน”
“นายก็ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วนี่” ที่หอบหิ้วมาถึงห้องพักไม่ใช่เพราะปรารถนาแค่เรื่องอย่างว่าหรอกเหรอ
พ่อค้าอวัยวะนิ่งเงียบไป เพราะก็ใช่ ตนได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วจริง ๆ
“แล้วสิ่งที่นายต้องการล่ะ คืออะไร” เหตุผลจริง ๆ ของการเดินเข้ามาขายตัวมันคืออะไรกันแน่ ถ้าแค่เพราะเงินแล้วทำไมถึงไม่รับเงินที่แน่นอนว่าจะได้เป็นกอบเป็นกำ จำนวนแบงค์มันเพิ่มตามความพึงพอใจ อาจได้หลายหมื่นด้วยซ้ำ
เฟยฮวาเผลอเม้มปากที่บวมเจ่อด้วยความประหม่า หลบเลี่ยงสายตา
ถึงจะกล้าแก้ผ้าต่อหน้าก็ใช่ว่าจะกล้าเปิดอกคุยทุกเรื่อง
“พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน ฉันมีเวลาทั้งวัน” อาชาตัดบทด้วยการล้มตัวลงนอนและชิงหลับตา
ปล่อยให้ร่างเพรียวบางเผชิญกับความลังเลโดยลำพัง จากที่นั่งก็ค่อยล้มตัวลงนอนตะแคงข้างและหนุนท่อนแขนหนาต่างหมอน ก่อนเจ้าของท่อนแขนจะลืมตาข้างเดียวเพื่อเหล่มอง แล้วค่อยลืมตาทั้งสองข้างนิ่ง ๆ เมื่อได้ยินในสิ่งที่อีกคนต้องการ “รับเลี้ยงดูฉันในฐานะอะไรก็ได้” เสียงนั้นบางเบาแต่ก็หนักแน่นพอจะแทรกซึมเข้าไปในหัวใจคนฟัง “ที่ฉันต้องการคือการมีนายอยู่ข้าง ๆ …อาชา”
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
-
น้อนนนนน แซ่บจังเลยค่าาาา ดูเป็นงานเป็นการ เอาอยู่จริงๆด้วย ว่าแต่น้องหนีอะไรมาพึ่งอาชาคะเนี่ย อ่านไปเสียววูบไป กลัวปอดหาย ฮืออออ
-
เลี้ยงน้องเถอะนะขุนพรี่
ไหนๆก้มาถึงขนาดนี้กันละนะ
ว่าแต่ขุนน้องหนูมาจากไหนลูก
จู่ๆจะมาให้เค้าเลี้ยงนี้ต้องมีต้นสายปลายเหตุนิดนึงน้า
ชอบเรื่องนี้จังเลนค่ะ อ่านไปลุ้นไปตลอด
กลัวอิพี่จะเอามีดมาปาดตับน้อง 5555
มาต่อเร็วๆนะคะ คอยน้าาาาา
-
:katai2-1:
-
IV
‘ที่ฉันต้องการคือการมีนายอยู่ข้าง ๆ …อาชา’
ประโยคเดียวและประโยคเดิมถูกรีเพลย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัว ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็คล้ายได้ยินเสียงหวานกระซิบข้างหูอยู่ตลอด คนที่เอาเวลานอนมายืนอ่านเอกสารลองสะบัดหัวเผื่อจะสลัดเรื่องรบกวนใจไปได้ แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ราบคาบ ทำแค่ยกยิ้มหยันกับตัวเอง เป็นเด็กสามขวบหรือไงถึงได้หลงเชื่อและหวั่นไหวไปกับคำพูดฉอเลาะ
นี่กลายเป็นคนบ้ายอตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ขณะที่ส่ายหน้าอย่างระอาก็ยอมรับว่ารู้สึกดีไม่หยอกกับการเป็นที่ต้องการของใครสักคน ราวกับได้พบเหตุผลในการมีชีวิตอยู่อีกข้อหลังจากที่อยู่เพราะเงินมาโดยตลอดและคิดถึงแต่ตัวเองก่อนใคร
พ่อค้าอวัยวะที่อยู่ในสภาพสวมกางเกงนอนขายาวตัวเดียวเปลี่ยนเวลาหลับเป็นเวลาทำงานอย่างขยันขันแข็ง ภายใต้คอนเซ็ปต์ผู้ชายจะดูเซ็กซี่และร้อนแรงโดยธรรมชาติยามเอาจริงเอาจัง
ระหว่างมุ่งสมาธิไปที่บัญชีรายรับรายจ่าย มาดก็อย่างกับนายแบบที่ยืนพิงขอบโต๊ะด้วยสะโพกสอบ ไม่รู้ว่าขอบกางเกงจะโหลดต่ำไปไหน ร่นลงขนาดเห็นวีไลน์กับไรขนอ่อน ชายหนุ่มซึ่งจัดอยู่กลุ่มจำพวกสัตว์เลือดร้อนเปิดแอร์คอนดิชั่นอุณหภูมิต่ำถึงยี่สิบองศา อากาศที่เย็นจัดมีผลต่ออาการเมื่อยขบ แล้วตอนขยับกล้ามเนื้อแขนก็พบความเคลื่อนไหว หูฟังส่วนสายตายังจดจ่อกับตัวเลขตามประสาคนเก่งเรื่องแยกประสาท
“มาป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ เดี๋ยวก็ได้โดนดีอีกหรอก”
อาชาทักทาย คนในปกครอง ที่เดินเข้ามาในห้องทำงานคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตพลางหลุดยิ้มร้ายกาจเมื่อเหลือบหางตาแล้วเห็นว่าเฟยฮวาอยู่ในสภาพสวมเสื้อยืดของตนที่ก็ไม่พ้นไม่ขอยืมก่อนอีกเช่นกัน ร่างเพรียวบางกำลังแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่านับจากนี้เป็นคนของใครหลังจากที่คำขอได้รับคำตอบตกลง
พ่อค้าอวัยวะตกปากรับคำว่าจะเลี้ยงดู ขอเพียงอยู่ภายใต้อาณัติ ซึ่งมันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไรสำหรับเฟยฮวา แต่ก็อย่าได้คาดหวังว่าจะว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาทไปตลอด ตอนที่ตอบตกลงกันได้แอบไขว่นิ้วไว้ด้านหลังด้วย
“ดึกแล้วนะ นายจะไม่นอนเหรอ” ถามโดยใช้น้ำเสียงสงสัย เร็วไปที่จะถามด้วยความเป็นห่วง
คนที่ยังอยู่ในภวังค์แห่งความง่วงซึมหลับไปหลายตื่นก่อนจะลืมตาขึ้นมากลางดึก จนพบว่าคนเคยนอนข้างกายไม่อยู่เลยเดินมาดูว่ากำลังทำอะไร ว่าจะถามแล้วเดี๋ยวก็ไปแต่กลายเป็นว่ากลับถูกเมินตั้งแต่คำถามแรก อุตส่าห์แต่งตัววับ ๆ แวม ๆ แต่คนเปลือยท่อนบนกลับสนใจกระดาษขนาดเอสี่มากกว่าตนที่ยืนโชว์ต้นขาขาวโพลน
“นี่…” สองขายาวทำท่าจะก้าวผ่านหน้าเสมือนมองไม่เห็น เป็นเหตุให้น้ำเสียงขุ่น ๆ ร้องทักจนถูกจุ๊บปาก แล้วอาชาค่อยเดินเลยไปเพื่อหาของในลิ้นชักหน้าตาเฉย ทำอย่างกับยุ่งมากจนไม่มีเวลาคุยด้วยเลยสักนิดเดียว ปล่อยให้คนยืนหนาวขาเคว้งคว้าง กระทั่งระหว่างทางที่เดินย้อนกลับมายังโต๊ะทำงาน อาศัยว่าผ่านพอดี พ่อค้าอวัยวะก็ฉวยหอมขมับขาวไปที แต่ไม่มีการชวนคุยต่อ นั่นทำให้ดวงหน้านิ่ง ๆ ยิ่งหงิกงอ พอเห็นว่าตัวเองไม่มีตัวตนในสายตาก็ว่าจะกลับไปนอน
“อยู่ด้วยกันก่อนสิ” ยังดีที่รู้จักรั้ง ตอนแรกก็นึกว่าจะปล่อยร่างเพรียวบางไปตามทาง
อาชาเป็นฝ่ายสวมกอดเฟยฮวาจากด้านหลัง ก่อนจะยกกระดาษทั้งแผ่นขึ้นมาตรวจสอบต่อ
“ฉันง่วง” คนที่ติดอยู่ในวงล้อมอ้อมแขนแน่นหนาพยายามเคลื่อนตัวให้เป็นอิสระ “ปล่อยสักที ฉันจะไปนอน”
เฟยฮวาแทบจมอยู่ในอ้อมกอดเมื่อแขนแกร่งข้างหนึ่งรัดเอวคอดไม่ยอมปล่อย “ปล่อยฉัน”
“รอไปนอนพร้อมกัน” คนถูกกอดกำลังอึดอัด
ผิดกับคนกอดที่ยืนอ่านเอกสารสบาย ๆ ได้ทั้งความอบอุ่นได้ทั้งที่พักคาง วางเกยบ่าแคบพอดิบพอดี
“อาชา”
“นี่เราสนิทกันขนาดเรียกชื่อห้วน ๆ ได้แล้วเหรอ” พอได้ยินน้ำเสียงหงุดหงิดแล้วยิ่งมีความสุขแปลก ๆ จึงหาสารพัดวิธีมาแกล้ง เริ่มแรกด้วยวิธีเบาะ ๆ “อ่อ ลืมไป เราสนิทขนาดสีกันแล้วนี่เนอะ”
พ่อค้าอวัยวะหอมแก้มเนียนไปเสียหลายฟอด จนคนที่ถูกกอดถูกหอมตั้งปณิธานว่าจะไม่ยอมเสียเปรียบอีกต่อไป แต่พอเอี้ยวใบหน้ามาเห็นแววตาขำขันปนสนุกสนาน แทนที่จะสวมบทบาทนางเอกจอมดีดดิ้นให้อีกคนตลกเล่นเลยทำตัวเป็นท่อนไม้ ยืนนิ่งให้อาชารุ่มร่ามตามร่างกายได้ตามสะดวก แต่แค่เห็นเงียบไปนักล้วงขาอ่อนก็รีบอธิบายเจตจำนง
“ที่ทำเนี่ยก็เผื่อคุณเมียจะอารมณ์ดีขึ้นไง”
“แค่เลิกกอดแล้วปล่อยฉันไปนอน ฉันก็จะอารมณ์ดีขึ้นมาก ๆ แล้ว”
“อยู่ด้วยกันก่อนสิ ผัวอุตส่าห์ทำงานหาเงินงก ๆ เพื่อเมียเลยนะ”
“เลิกเรียกฉันว่าเมียสักทีได้ไหม ฉันมีชื่อ”
“สวยแล้วยังดุอีก” ต่างคนต่างทันกัน สามารถโต้ตอบอัตโนมัติเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นคู่กัดในยามสงบ ขณะที่ยามรบบนเตียงกลับเพรียกหากันเสียงหลง “ว่าแต่ชื่อนาย เสี่ยวเฟยฮวา คนจีนงั้นเหรอ”
“ลูกครึ่งไทยจีน”
“ถึงว่าพูดไทยได้แต่บางคำไม่ชัด”
“แต่ฉันด่าชัดนะ เก่งด้วย จะลองหน่อยไหม”
“อย่าคิดว่าได้กันแค่ครั้งสองครั้งแล้วฉันจะปรานีนะ” กระซิบทีเล่นทีจริง ฉีกยิ้มแค่ปากแต่นัยน์ตาติดขวางและเพื่อไม่ให้ดูเป็นการข่มขู่มากเกินไปจึงหัวเราะปิดท้ายคล้ายล้อเล่น อาชาแค่จะบอกว่าตัวเองไม่ใช่ประเภทจะยอมอ่อนข้อให้ใครแค่เพราะนอนด้วยกัน บนเตียงเมามันราวกับรักกันจะตาย แต่ตราบใดที่เฟยฮวายังถือว่าเป็นกล่องปริศนาก็ยังจะต้องประคองด้วยความระมัดระวังต่อไป เก็บมาโดยไม่มีคำบอกใบ้ แถมค้นลงไปไม่รู้จะเจออะไรบ้าง ก็ต้องระวังมือหน่อย
อีกคนจะเล่นหัวตนได้ก็เฉพาะตอนอยู่บนเตียง ระเบียงหรือโซฟา เอาเป็นว่าในช่วงเวลาที่ลึกซึ้งกัน เสี่ยวเฟยฮวาจะมีสิทธิ์ในตัวอาชาทุกประการ แต่นอกเหนือจากนั้นอำนาจจะตกเป็นของตน “ฉันอยากให้นายรู้กฎของการอยู่ร่วมกันไว้สักข้อ” พ่อค้าอวัยวะเลิกสนใจงานในมือได้สักที วางกระดาษเอสี่กับโต๊ะทำงานแล้วหมุนคนในวงแขนให้หันมาเผชิญหน้า
“กฎของการอยู่ร่วมกันคือพูดความจริง …ทำได้ไหม”
ไม่ทราบจุดประสงค์แน่ชัดว่านั่นคือการพูดไปส่ง ๆ หรือจงใจย้ำน้ำเสียงเด็ดขาด แต่ก็สามารถทำให้เฟยฮวาชะงักไปสักพักและการตอบตกลงก็ดูจะไม่ใช่งานง่ายเลยสักนิด ในระหว่างที่ร่างบางคล้ายมีอะไรซ่อนอยู่ในใจ อาชาก็เร่งเร้าจะเอาคำตอบให้ได้ โดยเคลื่อนหน้าเข้าใกล้ หรี่สายตาเหมือนจับผิดจนริมฝีปากเกือบชิดริมฝีปาก
“ทำไม่ได้…?”
“ฉันทำได้” สุดท้ายก็ตอบตกลงและไม่ยอมปกปิดท่าทีว่ากำลังโกหกด้วย ขณะที่พ่อค้าอวัยวะเองก็รู้ว่าคนสวยกำลังโกหกหน้าตาย แต่ก็ทำเป็นหลับหูหลับตาพยักหน้าราวกับพึงพอใจในคำตอบนั้น “แล้วฉันจะคอยดู”
“ฉันเอง… ก็มีเรื่องอยากจะขอเหมือนกัน” เฟยฮวารู้ดีว่าต้องระวังกิริยาให้มาก หลังจากนี้ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ไม่น่ารอดพ้นสายตาคนฉลาดเป็นกรดไปได้ แต่ก็เพื่อทำให้เรื่องราวคาราคาซังยุติโดยสมบูรณ์ จึงเลือกจะทำตัวให้อาชายิ่งพอกพูนความสงสัย “ฉันขอยืมเงินหน่อยได้ไหม”
“ได้คืบจะเอาศอกมันเป็นแบบนี้สินะ” แปลกที่อาชาหัวเราะเพราะความจริงก็คิดไว้อยู่แล้ว มีแต่พวกฉลาดที่ไม่ยอมรับเงินตั้งแต่แรกเพื่อแลกกับการเลี้ยงดูที่น่าจะได้เงินเยอะกว่า
อย่าว่าแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ต้องการแก้วแหวนเงินทอง เท่าที่มองคนตรงหน้าก็คงจะเป็นประเภทใช้เงินเก่ง ดูรสนิยมดีและเห็นแก่ความที่มาตัวเปล่า เดี๋ยวป๋าจะควักแบงค์เทาให้ไปซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่ ให้เงินเอาไว้กินขนมเล่น
“ต้องการเท่าไหร่ล่ะ”
“สิบล้าน”
แต่คิ้วได้รูปก็ต้องมีอันขมวดมุ่น อาชานึกว่าตัวเองหูเพี้ยนไปจนเมื่อได้สบนัยน์ตาเลยเข้าใจว่าเฟยฮวาพูดจริง
“นายจะเอาเงินเยอะแยะพวกนั้นไปทำอะไร”
“เหตุผลส่วนตัว”
“ไหนว่าจะพูดความจริง”
“เหตุผลส่วนตัวนั่นคือความจริง”
“งั้นฉันก็ไม่ให้ยืม” ตัดโอกาสอย่างไร้เยื่อใย ไม่เผื่อเวลาทบทวนอีกสักรอบ “ฉันไม่ไว้ใจนั่นก็คือความจริงเหมือนกัน” เงินก้อนใหญ่ใช่ว่าไม่มีให้ แต่อีกคนเคยรู้จักไหมวิธีขอร้องน่ะ เวลาบากหน้ามาขอยืมเงินใครก็ควรเล่าจำเป็นให้ฟัง รู้จักหาเหตุผลดี ๆ มาเล่า แกล้งร้องไห้เดี๋ยวคนเขาก็ใจอ่อน ทำตัวให้เหมือนคนกำลังเดือดร้อนจริง ๆ ไม่ใช่นิ่งเป็นหุ่น
“งั้นฉันขายอวัยวะก็ได้”
“รวมทั้งตัวนายยังไม่ได้3ล้านด้วยซ้ำ”
เฟยฮวางับปากฉับหลังจากได้ยินอีกคนพูดจาหักหาญความตั้งใจแล้วกิริยามันก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ พอโดนขัดใจก็สะบัดไหล่และเนื้อตัวออกจากการเกาะกุม ทำเอาอาชากลุ้มเพราะไม่ได้รับคำอธิบาย ซ้ำร้ายร่างเพรียวบางยังเดินหนี รีบพาสองขาขาวโพลนเดินออกไปให้พ้นจากห้องทำงาน
ทิ้งให้อาชายืนสงสัยว่าการที่อีกคนสะบัดก้นหนีไปหมายความว่ากำลังงอนอย่างนั้นน่ะเหรอ
“อะไร…? นี่ฉันถูกงอนเหรอ” พ่อค้าอวัยวะโวยวาย สาบานได้ว่านี่คือครั้งแรกในชีวิตที่เกิดมา อย่าว่าแต่ลูกน้องเลย ผู้หญิงที่เคยนอนด้วยก็ไม่เคยทำท่าทีแง่งอนใส่ รีบตะโกนไล่หลังหวังให้ได้ยิน งอนแล้วอย่าคิดว่าฉันจะตามไปง้อนะ!
บนเตียงนอนสีกรมท่าขณะรุ่งสางกำลังมีหนึ่งร่างนอนดิ้นอย่างทุรนทุราย ใบหน้านั้นซีดเผือดและมีเหงื่อซึมตามขมับ นอนกระสับกระส่ายราวกับไม่สบายตัวอย่างยิ่ง ส่ายหน้าเป็นพัลวันเหมือนกำลังปฏิเสธความจริงระหว่างจิกเล็บกับผ้าห่ม ดูท่าคนหลับตาสนิทจะจมอยู่ในฝันร้ายและพยายามจะตะเกียกตะกายเพื่อให้มีชีวิตรอด ก่อนจะกรีดร้องโวยวาย เสียงขอร้องให้คนช่วยในฝันนั้นดังกึกก้องแต่เสียงจริง ๆ ที่เปล่งออกมาจากกลีบปากอิ่มช่างแผ่วเบา
ร่างเพรียวบางกำลังดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมานกระทั่งฝันยาวนานดำเนินมาเรื่อยจนถึงกาลอวสาน เฟยฮวาผวาตื่นขึ้นเพราะเสียงปืนในฝัน เสียงดังสนั่นช่วยปลุกจากนิทรา คนเบิกตาโพลงลุกขึ้นมานั่งหอบหายใจในเวลาปัจจุบัน ก่อนจะรีบหันซ้ายแลขวาเพื่อเช็กว่าตัวเองอยู่ในคอนโดไม่ใช่บ้านหลังโตที่เต็มไปด้วยอดีตอันเลวร้าย
จนมั่นใจว่าตัวเองปลอดภัยแล้วจริง ๆ ช่วงไหล่ที่สั่นก็ค่อยลดอัตราการเคลื่อนไหวลง เริ่มหายใจคงที่ขึ้นตอนควานมือลูบพื้นที่ข้างกายที่เหลือแต่ไอร้อน ส่วนคนเคยนอนหายไปกลายเป็นความว่างเปล่า มันเช้าขนาดที่ไก่ยังไม่ทันขันแต่ก็มีคนเตรียมอาบน้ำแต่งตัวออกไปคุมกิจการแล้ว
เฟยฮวาโล่งใจไปอีกเปราะ อย่างน้อยพ่อค้าอวัยวะที่อยู่ในห้องน้ำก็ไม่ทันเห็นอาการฝันร้ายที่เป็นเหมือนโรคประจำตัวของตนไปแล้ว โรคประจำตัวที่จะกำเริบในทุก ๆ คืน ต่อให้มืดแล้วแต่ก็ไม่เคยได้หลับสนิทสักวัน มันติดเป็นนิสัยที่จะนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา หลับตาช่วงสั้น ๆ แล้วตื่นด้วยความหวาดระแวง
ร่างเพรียวบางขยับตัวอย่างเงียบเฉียบ ค่อย ๆ เหยียบฝ่าเท้าลงบนพื้นข้างเตียงนอน ก่อนกระดาษแผ่นหนึ่งที่ทำท่าจะปลิวเพราะแรงลม จะดึงดูดสายตากลมโตให้สนใจ บนตู้เล็ก ๆ ข้างหัวเตียงมีเช็คจำนวนสิบล้านพร้อมลายเซ็นกำกับลงนามว่าอาชา ผู้ที่เคยปฏิญาณว่าง้อใครไม่เป็นอยู่เมื่อคืน แต่พอตื่นก็บันดาลตวัดปากกาเซ็นตัวเงินให้
ซึ่งนั่นทำให้เฟยฮวายิ่งรู้สึกผิดและละอายใจ มีสิทธิ์อะไรเมื่อคืนถึงได้กล้าทำตัวไม่น่ารักใส่อีกคน เลยได้แต่ขอโทษในใจ พร้อมทั้งขอบคุณที่ให้ยืมเงินจำนวนมากโดยไม่ถามหาหลักประกัน เอาไว้จะหาทางตอบแทนเท่าที่สามารถทำได้ จะชดใช้ให้สมกับที่พ่อค้าอวัยวะยอมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร ยอมรับว่าที่ทำอยู่คือเข้าข่ายหลอกลวงและหลอกใช้ แต่ก็สาบานได้เหมือนกันว่าไม่เคยมีเจตนาร้าย แค่ต้องการพึ่งใบบุญเท่านั้น
“…ฉันขอโทษนะ”
“ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำ เดี๋ยวจะให้ลูกน้องพาไปซื้อของ” คนนั่งห้อยขารีบหันมองเจ้าของเสียงคำสั่งที่ จู่ ๆ ก็เดินพรวดพราดออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพพันช่วงล่างแค่ผ้าขนหนูปมหลวม ๆ
“แต่ฉันอยากไปคนเดียว”
“ตลกแล้ว นายเห็นตัวเลขในเช็คนั่นไหม ฉันไม่ยอมให้นายหนีไปพร้อมกับเงินของฉันแน่”
“ฉันก็ไม่ได้คิดจะหนีสักหน่อย”
“กันไว้ดีกว่าแก้” ไหล่กว้างยักเล็กน้อยก่อนจะฉวยผ้าขนหนูผืนที่พาดบ่ามาเช็ดปอยผมลวก ๆ และเริ่มเดินไปมาอีกครั้งระหว่างยังเอ่ยต่อไป “ฉันก็แค่ขี้เกียจต้องออกตามหานาย”
อาชาพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาเลยไม่รู้ว่าอยู่ในห้วงอารมณ์ไหน แล้วเจ้าตัวก็ไม่รู้เลยว่ากำลังทำให้คนฟังใจเต้นแรง ประโยคก่อนหน้านี้เหมือนก่อกองทรายแห่งความหวัง จนเฟยฮวาตั้งใจถามคำถามนึงออกมา
“ถ้าฉันหายไป นายจะออกตามหาจริง ๆ เหรอ”
“แน่นอน” ลูกตากลมเต็มไปด้วยความคาดหวังหลังจากได้ยินคำตอบแรก ใจเต้นแรงกว่าเดิมเริ่มเข้าข้างตัวเอง แต่พอได้ฟังคำตอบที่สองกองทรายก็คล้ายโดนคลื่นซัดจนมันพังครืนลงมา “เพราะว่านายเอาเงินฉันไป”
ใช่ว่าไม่ทันเห็นท่าทีหงอยเหงา อาชาเห็นเข้าเต็มสองตาเพราะไม่เคยจะละสายตาจากเสี้ยวหน้าของเฟยฮวาเลยสักครั้ง เคยบอกไปแล้วว่าจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด แต่ก็อดคิดต่อยอดไปไม่ได้ว่าที่นัยน์ตานั้นดูเศร้าสร้อยเป็นเพราะคำตอบของตน คนเป็นผัวก็แค่อยากให้เมียเลิกทำหน้าเหมือนโลกกำลังล่มสลาย
ลึก ๆ ก็อยากให้ร่างเพรียวบางมั่นใจ
“จะเพราะเงินหรือเพราะอะไร นายไม่ต้องสนใจหรอกเฟยฮวา”
ประโยคบอกเล่าทำให้คู่สนทนายอมหันกลับมาสบตาอย่างเชื่องช้า
เฟยฮวาแค่กำลังรอว่าชายหนุ่มจะพูดอะไรโดยไม่ตั้งความหวังเหมือนคราวแรก แต่แปลกที่คนตัดความหวังอย่างเลือดเย็นกลับเป็นคนเดียวกับที่สร้างความหวังอันหอมหวานครั้งใหม่ขึ้นมา “…รู้ไว้แค่ว่าฉันออกตามหานายแน่ก็พอ”
ว่าต่อให้ไกลสุดขอบหล้าฟ้าเขียว ก็จะตามไปหาจนเจอ
ช่วงสายภายในลานจอดรถกำลังหนาตาไปด้วยคนชุดดำไม่ต่ำกว่าห้า พ่อค้าอวัยวะลงทุนจ้างบอดี้การ์ดมาเพื่ออารักขาคน ๆ เดียว ในฐานะคนของนาย เสี่ยวเฟยฮวาก็ต้องจำใจยอมรับสภาพและสละความเป็นส่วนตัวไปจนหมดสิ้น โชคดีว่าชินแล้วกับการเดินไปไหนมาไหนเป็นขบวน แต่ก็รู้สึกขอบคุณมากที่อีกคนไม่ทำถึงขนาดจ้างตำรวจขับรถนำหน้า
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น สาบานเลยว่าร่างเพรียวบางจะไม่ออกไปไหนให้สะดุดตาคนทั่วไปเล่น ๆ แน่
“ต้องการอะไรก็บอกลูกน้องฉัน เข้าใจไหม”
คนสูงกว่ารอคนตัวเล็กพยักหน้ารับก็ค่อยพอใจ อาชาทำท่าปัดมือเหมือนจะไล่ให้ขึ้นรถที่มีลูกน้องเปิดประตูรอ แต่พอร่างเพรียวบางจะก้าวไปเท่านั้นแหละ มือใหญ่ก็ฉวยข้อมือขาวไว้และรั้งมาใกล้เพื่อกอดหอมท่ามกลางการห้อมล้อมจากบรรดาลูกน้องที่แสร้งมองไปคนละทาง ขณะเฟยฮวาเองก็เลี่ยงที่จะมองสายตาล้อเลียนจากคนในบริเวณเพราะลึก ๆ แล้วยังอาย ก่อนจะเป็นฝ่ายกระซิบกับอกแกร่งว่าพอเถอะ แล้วอาศัยช่วงชายหนุ่มเผลอ เขย่งรองเท้าและจูบเข้าที่แก้มซ้าย
“ตั้งใจทำงานนะ”
“น่ารักเป็นเหมือนกันนี่นา” แววตาอาชาแพรวพราวทันควัน ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจสถานที่ก็คงจะจับคนที่รีบเดินไปขึ้นรถมาฟัดให้หายอยาก แต่พอรถคันที่ร่างเพรียวบางขึ้นนั่งขับผ่านไปก็ต้องกลืนน้ำลายด้วยความเสียดายก่อนจะหันกลับมาชี้หน้าลูกน้องรายตัวโทษฐานแอบมองหน้าเมียตน
ส่วนเฟยฮวาที่อยู่บนรถก็แอบยืดคอมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เพิ่งจากมาจากเบาะหลัง แล้วค่อยหันกลับมานั่งหน้าตรง คงเพราะมีบางอย่างทำให้อยากยิ้ม ริมฝีปากอิ่มเลยคลี่บาง ๆ ราวกับเด็กน้อยที่กำลังมีความสุขแต่ก็กลัวเหลือเกินว่าการแสดงออกจะทำให้ทุกข์ขนัดถามหา แต่ไหนแต่ไรไม่กล้าแสดงออกมากมายเพราะกลัวคำสาปร้ายจะตามรังขวาน
พระเจ้ามักประทานคนที่มีความหมายในชีวิตมาให้แล้วก็ฆ่าตายอย่างเลือดเย็นลงตรงหน้า
ก็แค่ไม่อยากจะกระโตกกระตาก อยากให้ความรู้สึกดีถูกเก็บไว้เงียบที่สุดแล้วเก็บหอมรอมริบไออุ่นไว้กับตัวจนกว่าความกลัวและขลาดเขลาจะจืดจางไป นานแล้วที่ไม่รู้สึกปลอดภัยแต่อาชาสามารถทำได้ด้วยการยืนอยู่ข้างกาย เฟยฮวาคุ้นเคยกับการถูกควบคุมและอยู่ภายใต้การคุ้มกัน แต่ความรู้สึกระหว่างที่ติดอยู่กับบอดี้การ์ดมันแตกต่างจากตอนอยู่กับพ่อค้าอวัยวะชัดเจน
จนเมื่อเห็นป้ายสัญลักษณ์ทางการเงินจึงเลิกใจลอย “พาฉันไปธนาคารก่อน” รีบบอกจุดหมายปลายทางตอนรถเคลื่อนสู่ถนนใหญ่ เลือกธนาคารที่ใกล้ที่สุด รอจนล้อหยุดหมุนแล้วก้าวลงจากรถและทนต่อสายตาสนใจใคร่รู้ของคนรอบข้าง ยืนข้างทางก่อนจะหันกลับมาสั่งพวกชายชุดดำน้ำเสียงเด็ดขาด “ฉันจะเข้าไปทำธุระ ส่วนพวกนายก็รออยู่ข้างนอก”
ไม่ว่าใครก็ต้องเหลือบมองบอดี้การ์ดที่ยืนคุมหน้าธนาคารอย่างขยันขันแข็ง แย่งหน้าที่ยามตอนเฟยฮวาได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ พอไม่มีคนเดินตามตัวเองเป็นโขยงก็หายใจโล่งขึ้น แม้อึดอัดแต่นานเข้าก็รู้สึกไม่เท่าไหร่ อย่างน้อยคนของอาชาก็ไม่ได้มีจำนวนมากมาย ยังพอให้หายใจได้สะดวกกว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมา
แม้จะเป็นลูกครึ่งไทยจีนแต่ก็เคยมีอดีตกับประเทศบ้านเกิดของตัวเองไม่น้อย พ่อคนจีนพบรักกับแม่คนไทยจนนำไปสู่การแต่งงาน ร่างเพรียวบางเกิดที่ไทยจึงได้สัญชาติตามประเทศที่เกิดและเคยเดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างไทยกับจีนหลายต่อหลายครั้งตอนเป็นเด็ก ก่อนจะย้ายตามพ่อไปที่จีนแผ่นดินใหญ่ถาวรตอนเป็นวัยรุ่น แล้วสุดท้ายก็ได้กลับมาเหยียบบ้านเกิดเมืองนอน ยังถือพาสปอร์ตคนไทย มีบัตรในนามพลเมืองที่สามารถใช้ทำธุรกรรมทางการเงินได้
ร่างบางเพรียวบางทำตามที่พนักงานหญิงบอกทุกประการเพื่อให้มั่นใจว่าเงินสิบล้านจะถูกส่งเข้าบัญชีปลายทางอย่างเรียบร้อย นั่งคอยใจจดใจจ่อรอจนเจ้าหน้าที่สาวส่งหลักฐานการโอนเงินสำเร็จมาให้ ถึงได้เดินกำกระดาษออกมาจากธนาคารด้วยความโล่งอก เหมือนยกภูเขาทั้งลูกออกไป
ไม่ว่าปลายทางจะอยากรับเงินหรือไม่แต่ก็ถือว่าได้ชดใช้ครบทุกบาททุกสตางค์
แก้วตากลมสั่นไหวระหว่างก้าวเท้าซ้ายที่รู้สึกเบาโหวง พันธะที่เคยถ่วงขามันหมดลงไปแล้ว
เสียงก๊อกก๊อกก๊อกสามครั้งดังขึ้นที่หน้าประตูเพื่อเป็นการขออนุญาต
ก่อนคนที่อยู่ด้านในจะขานรับด้วยน้ำเสียงธรรมดา “เข้ามา”
อาชาแทบไม่เงยหน้ามองลูกน้องด้วยซ้ำ แถมยังสั่งให้รีบรายงานความเคลื่อนไหว “รีบ ๆ พูดมา”
“คุณเฟยฮวาโอนเงินเข้าบัญชีต่างประเทศครับ ปลายทางเป็นประเทศจีน”
“เช็กได้ไหมว่าเป็นบัญชีของใคร”
“กำลังพยายามอยู่ครับ”
“แล้วข้อมูลอื่น ๆ ล่ะ”
นอกจากจะให้คอยรายงานความเคลื่อนไหว พ่อค้าอวัยวะยังไหว้วานให้ลูกน้องสืบหาข้อมูลส่วนตัวของเสี่ยวเฟยฮวามา อยากรู้ใจแทบขาดว่ารูปบัตรต่าง ๆ ที่แอบถ่ายส่งไปให้ตอนร่างเพรียวบางนอนหลับมันจะทำประโยชน์ให้แค่ไหน
“ผมอยากให้เจ้านายลองอ่านนี่ดูก่อนครับ”
“อะไร” เห็นอยู่ว่าเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับฉบับสีน้ำตาลอ่อนค่อนไปทางเหลืองแล้ว แต่เจ้าของแววตาสงสัยก็ยังแอบไม่เข้าใจอยู่ดีว่าอีกคนจะยื่นหนังสือพิมพ์เล่มเก่ามาให้อ่านทำไมจนกระทั่งได้มีโอกาสกางกระดาษหน้าที่ลูกน้องบอกว่าอยากให้ลองอ่านดู
อาชาหยุดนัยน์ตาอยู่ที่หัวข้อข่าวที่ถูกวงด้วยปากกาสีแดงเอาไว้และแม้ว่าหมึกจะเลือนรางไปตามกาลเวลา เห็นว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่ย้อนศักราชถอยไปราว ๆ หลายสิบปี แต่ที่น่าสนกว่านั้นคือเนื้อหาที่เขียนเล่าถึงเหตุการณ์ที่คฤหาสน์เจ้าสัวค้าไม้ถูกฆ่าตายยกครัวที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ “นี่มันอะไร”
“อ่านต่อไปสิครับ”
“…เจ้าสัวค้าไม้กับภรรยาเสียชีวิตคาที่เกิดเหตุ แต่ที่สร้างความงวยงงให้กับตำรวจก็คือไม่มีการพบศพลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เด็กชายหายตัวไปอย่างลึกลับ…”
หัวคิ้วขยับขมวดเป็นปมทันทีหลังจากที่อ่านทุกบรรทัดเสร็จ “แล้วมันเกี่ยวกับที่ฉันให้แกไปสืบเรื่องของเสี่ยว…” ปากของอาชานั้นงับปิดทั้งที่ยังไม่ทันเอ่ยถามจนจบข้อความดีด้วยซ้ำ “แกกำลังจะบอกฉันว่า…”
“เจ้าสัวค้าไม้มีแซ่ว่าเสี่ยวชื่อจริงหานเจี้ย ภรรยาชื่อวาสนา ส่วนชื่อลูกชายที่หายไป”
“เฟยฮวา” อาชาตอบให้และมองลูกน้องด้วยสายตาคาดคั้นเหมือนจะถามว่าที่แกกำลังจะพูดก็คือชื่อนี้ใช่หรือเปล่า ถือเป็นการคาดเดาได้แม่นยำเมื่อลูกน้องตอบในสิ่งที่พ่อค้าอวัยวะสงสัยด้วยคำว่าครับก่อนเงียบไป ยืนไพล่มือด้านหลังอย่างสุภาพ “แกออกไปก่อนไป”
อาชาออกปากไล่เพราะอยากได้เวลาส่วนตัวคืนมา ก่อนจะปล่อยมือจากหนังสือพิมพ์พร้อมถอนหายใจ ทั้งที่มีงามท่วมหัวให้จัดการ แต่หลังจากได้รับรู้เรื่องราวที่ยังยืนยันไม่ได้จิตใจมันวอกแวก ถึงเหตุการณ์ในข่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับตน ถึงจะเชื่อได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ไม่เชื่อเหมือนกัน
บนโลกนี้มีคนชื่อซ้ำกันเป็นร้อยเป็นพัน ชื่อเฟยฮวาอาจจะเป็นชื่อที่โหลในจีนก็ได้
แต่ถ้าเป็นคนเดียวกับเด็กชายที่หายสาบสูญไป ก็อดจินตนาการไม่ได้อีกเช่นกันว่าระหว่างนั้นต้องพบเจอกับอะไรบ้าง ในหัวมีแต่เครื่องหมายเควสชั่นมาร์คเต็มไปหมด จะลดปริมาณได้ก็ต่อเมื่อออกปากถามเท่านั้น
“ตกลงนายเป็นใครกันแน่”
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
-
อดีตน้องลึกลับมาก อยากรู้ว่าโอนเงินให้ใคร มีคนเลี้ยงดูหรือเปล่า :ling3:
-
หนูลูกพี่เค้าจับไดละนะว่าหนูแอบโอนเงินอะ
รีบๆบอกพี่เค้าไปเร็วๆว่าโอนอะไรไปให้ใคร
ขอเดาว่าน้องต้องฝังใจอะไรสักอย่างแน่ๆเลย
เหนวลาฝันร้ายละน่าสงสาร
-
V
“มองอะไร”
“มีอะไรอยากเล่าให้ฉันฟังบ้างไหม” คนยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มถามหลังจากกลืนน้ำสีแดงคล้ำลงลำคอจนหมด ส่วนคนที่กำลังใช้มีดหั่นสเต็กออกอาการชะงักไปเล็กน้อยแล้วค่อย ๆ บรรจงตัดชิ้นเนื้อต่อ งดออกเสียงก็ไม่พ้นถูกทักด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงอีกครั้ง “เคยกินอาหารในร้านแพง ๆ บ่อยเหรอ”
คราวนี้ร่างบางจึงรวบมีดพร้อมส้อมแล้วเงยหน้าขึ้นทันที “นายต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
เฟยฮวาสบตาไปขณะอาชาสบตามา ต่างฝ่ายต่างใช้นัยน์ตาเพื่อเฟ้นหาความจริงซึ่งซ่อนอยู่ในแววตาของฝั่งตรงข้าม ท่ามกลางเสียงจอแจจากบริเวณโดยรอบคำตอบว่าต้องการอะไรยังไม่ปรากฏจนบรรยากาศชักดูจะไม่ค่อยสู้ดี ก่อนฝ่ายที่ยอมรับว่าหาเรื่องก่อนจะยกมือยอมแพ้
“ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมนายใช้ของพวกนั้นคล่องจัง” ปลายนิ้วยาวชี้ระบุว่าของพวกนั้นที่หมายถึงก็คืออุปกรณ์สำหรับรับประทานที่มีไว้ใช้เฉพาะในร้านอาหารแพง ๆ และมันก็ยิ่งน่าสงสัยที่ร่างบางดันใช้อย่างถนัดถนี่ รู้วิธีอย่างกับเคยมีใครสอน ดูไม่ใช่คนประเภทแค่นอนแลกเงินไปวัน ๆ
“บอกฉันมาตามตรงว่านายเอาเงินไปทำอะไร”
“เรื่องส่วน…”
“ห้ามตอบว่าเรื่องส่วนตัว” ไม่เกรงกลัวตำรวจนั่นก็ใช่แต่เพราะเห็นว่าตัวเองนั่งอยู่ในมุมอับเลยปลดปืนที่เอวมาวางบนโต๊ะอาหาร จงใจให้เฟยฮวาเห็นเต็มสองตาเผื่อว่าจะนึกหาคำตอบได้ดีขึ้น
“จะขู่เหรอ”
“ฉันไม่เคยขู่นายก็รู้” จู่ ๆ ภาพเหตุการณ์วันที่อีกคนยิงลูกน้องตายต่อหน้าต่อตาก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำและนั่นทำให้เฟยฮวาสงบปาก แม้ว่าภายนอกของคนฝั่งตรงข้ามจะแฝงไปด้วยความขี้เล่นอยู่บ้าง แต่หากเป็นตอนเอาจริงเอาจัง บางทีอาชาก็อาจจะไม่ต่างจากยักษ์ที่ฉีกกระชากเหยื่อด้วยความทารุณ
และเพราะร่างบางยังอยากรักษาชีวิตตัวเองไว้จึงยอมพูดประโยคที่คิดอยู่ในใจ “ฉันขอเวลาหน่อยได้ไหม” ถึงจะไม่ใช่ความจริงแต่นี่ก็คือความตั้งใจจริง “แล้วฉันจะบอกนายเป็นคนแรก”
แปลกที่มือใหญ่ไม่คว้าด้ามปืนแล้วยกขึ้นจ่อหน้าผากมน คนอยากได้ความจริงแค่นั่งนิ่งเฉย ทั้งที่เคยใจแข็งแต่แรงเว้าวอนในแววตากลมกลับทำให้จมอยู่ในความคิด กำลังเลือกระหว่างจะเร่งเอาคำตอบหรือยอมรออีกสักนิดสักหน่อย ก่อนประโยคชวนคุยประเด็นใหม่จะทำให้รู้ว่าเลือกช้อยส์รอ
“งั้นเรามาคุยเรื่องหนี้ของนายกัน จะจ่ายคืนยังไง”
“นายบอกเองว่าฉันขายอวัยวะไม่ได้ มีงานอื่นพอจะให้ฉันทำไหม” ที่เฟยฮวาถามเพราะต้องการจะทำอะไรสักอย่างเพื่อหาเงินมาคืนจริง ๆ เป็นสิ่งเล็กน้อยหรืออะไรก็ได้ แค่ไม่ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้อง นอกนั้นคนมีประกายนัยน์ตามุ่งมั่นก็ไม่เกี่ยง
“ถ้าจะให้ใช้ร่างกายชดใช้หนี้ก็ดูจะละครน้ำเน่าไปหน่อย ฉันอยากนอนกับนายโดยไม่มีเงื่อนไขมากกว่า” แผนของอาชาคือการให้เฟยฮวาอยู่ใกล้หูใกล้ตาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง “งั้นมาเป็นเลขาให้ฉัน” ถ้ายังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นใคร การเก็บคนประวัติไม่โปร่งใสไว้กับตัวก็น่าเป็นทางออกที่ดีกว่า “กลางวันเป็นเลขา กลางคืนเป็นเมีย ตกลงไหม”
“แล้วนายไม่ระแวงฉันเลยเหรอ” ถ้าเป็นเลขาก็เท่ากับว่าจะมีสิทธิ์ได้รู้เห็นทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจ
“ระแวงสิ แต่เห็นว่ากล้าขอยืมเงินแสดงว่าคงมีเรื่องเดือดร้อนจริง ๆ”
“นายดูไม่ใช่คนที่น่าจะใจดีเลยนะ”
“หน้าฉันดูเป็นคนใจดีออกจะตาย แต่อย่าทำให้ฉันต้องร้ายก็แล้วกัน” ยิ้มหวานเคลือบยาพิษ ร่างบางเกือบจะคิดหลงเชื่ออยู่แล้วถ้าไม่เห็นแววตาเย็นยะเยือกซะก่อน “…และฉันเกลียดคนโกหก คงเข้าใจใช่ไหมว่าถ้าฉันรู้เรื่องทุกอย่างที่นายพยายามปกปิดเองแล้วมันจะเป็นยังไง”
ท่าทีผ่อนคลายกลายเป็นเคร่งเครียดถนัดตาขณะร่ายประโยคยาวอย่างเป็นทางการ เอ่ยคำมั่นโดยที่ไม่มีคำว่าสัญญาสักคำแต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัย “ตอนนี้นายอยู่ภายใต้การคุ้มครองของฉัน ถึงฉันจะไม่ใช่มาเฟียแต่เมียคนเดียวฉันปกป้องได้ ไม่ว่านายจะเคยเจออะไรมา …เชื่อใจฉัน แค่นั้นทำได้ไหม” อาชาไม่รู้และที่เอ่ยไปก็แค่เดา เอาเข้าจริงก็แค่อยากให้อีกคนเบาใจ ถ้าร่างบางคือเด็กชายที่สูญหายแสดงว่าก็ต้องผ่านความโหดร้ายมาน่าดู
ต่อให้ปิดหูปิดตาเฟยฮวาก็ยังสัมผัสได้ว่าประโยคพวกนั้นอัดแน่นไปด้วยความหนักแน่นและอ่อนโยนจนเล่นทำเอาสับสน เพิ่งจะเคยเจอคนที่ดูเป็นห่วงสวัสดิภาพตนมากกว่าห่วงเรื่องผลประโยชน์
“ฉันคงไม่ใช่คนแรกที่นายพูดแบบนี้ด้วยใช่ไหม…”
“ไม่ นายคือคนแรก” ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมตอบไปเลยอย่างลูกผู้ชาย แถมให้โอกาสจ้องตาเพื่อหาข้อเท็จจริงและความเปิดเผยนั้นก็ยิ่งทำร่างบางหวั่นไหวและประหม่าจนเลือกจะเบือนหน้าหนี ทำทีมองบรรยากาศภายในร้านอาหารที่ชายหนุ่มอุตส่าห์พามาดินเนอร์มื้อเย็นเป็นการส่วนตัว
“จะจีบฉันเหรอ” ลูกตากลมโตแฝงไปด้วยความขบขันเพราะดันเผลอคิดว่าตัวเองมีความสำคัญกับอีกคนขึ้นมา
“แล้วติดไหมล่ะ”
ก่อนใบหน้านวลเนียนจะเหลียวหันกลับมามองสีหน้าคนถามกลับซึ่งขยับมุมปากเป็นรอยยิ้มนิด ๆ
นับต่อจากนนี้คงต้องมาดูกันว่าใครจะมีจิตใจที่เข้มแข็งกว่า ระหว่างอาชาที่ถูกยกให้เป็นเทพแห่งการขยันสร้างความหวังกับเฟยฮวาซึ่งถูกแต่งตั้งให้เป็นเทพีแห่งปริศนาที่ช่างชวนค้นหา
ต้องมารอลุ้นกันว่าใครจะเป็นฝ่ายถลำลึกก่อน แต่ถ้าหากสังเกตจากตอนอยู่บนเตียงด้วยกันคงไม่อาจรู้ผล เพราะต่างคนต่างหลงใหลในกันและกัน เตียงขนาดหกฟุตถูกเปลี่ยนเป็นสังเวียนรักมาได้สักชั่วโมงกว่า โดยมีนักชกฝีไม้ลายมือดีจากทั้งสองประเทศเป็นตัวแทนในการเอาตัวเข้าปะทะอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ร่างกายขาวนวลสั่นราวถูกเขย่าขณะเท้าเข่ากับฝ่ามือบนผ้าปูที่นอน แก้มเฟยฮวาซบไปกับหมอนตอนไม่อาจต้านแรงดัน ลำตัวเอียงลาดเพราะแรงอัดอย่างต่อเนื่อง
ระคายเคืองช่องทางหลังระหว่างเผยอปากท่ามกลางเสียงเนื้อกระแทกกระทั้น ส่วนอาชากำลังกัดฟันจนเห็นสันกราม ยามเสียงลมหายใจห้วงสั้น ๆ ดังคลอในบรรยากาศ ชายหนุ่มวาดลีลาเคลื่อนสะโพกเป็นพัก เว้นจังหวะเนิบนาบยามโอบเอวคอดไว้ด้วยวงแขนข้างเดียว เชี่ยวชาญแถมยังแม่นยำ ซ้ำจุดเดิมแล้วเพิ่มความถี่ เหมือนจะทำสถิติความเร็วอย่างไรอย่างนั้น จนมันถึงขีดสุดของความสามารถ มากกว่านี้อาจเอวหลุดและเมื่อของเหลวอุ่นร้อนปนเปื้อนในช่องทางตอดรัดถือเป็นสัญญาณหมดยก ส่งเสียงครางผสานและล้มลงทับร่างกันพร้อมอาการผวา แล้วอาชาถึงค่อยถอนกายออก พลิกตัวลงนอนหงายบนพื้นที่ว่าง ใบหน้าบ่งบอกว่ากำลังสบายใจ
ลอบกลืนน้ำลาย คอแห้งแต่ไม่วายพูดหยอกล้อ “จีบติดไม่ติดฉันก็ได้แอ๋มนายอยู่ดี” หันตะแคงแล้วโอบร่างที่นอนคว่ำหน้าเข้ามาชิดอกและก้มลงจูบหัวไหล่ราดซ้ำ ๆ ลามไปยังซอกคอ ซึ่งเฟยฮวาเองก็อ่อนแรงเกินกว่าจะทำอะไร กำลังเหนื่อยเลยปล่อยให้อีกคนเย้าแหย่ ร่างบางแค่พลิกตัวหันกลับมาแล้วหลับตานอนในอ้อมกอดที่ทั้งร้อนและเหนียวเหนอะหนะ ดูท่าแอร์จะดับอุณหภูมิในร่างไม่อยู่แต่เฟยฮวาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลุกขึ้นไปจัดการอาบน้ำแต่งตัวใหม่
ทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่มและเนิ่นนานภายใต้แสงสีส้มเพื่อเป็นการเซย์กู๊ดไนท์
ด้วยความที่เหนื่อยกายด้วยกันทั้งคู่ สุดท้ายพอปิดโคมไฟก็หลับไปทั้งที่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า กอดกันยามนอนหนาว แต่พอดึกเข้าสองร่างที่เกี่ยวกวัดกันก็ค่อย ๆ คลาย แยกย้ายไปนอนคนละฝั่ง ปลีกวิเวกอยู่ในนิทราแบบที่ตัวเองสร้าง
ร่างของอาชานอนด้วยความสงบพบแค่ผ้าห่มปิดท่อนล่าง ส่วนร่างด้านข้างที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่เช่นกันนั้นก็กำลังเกร็งมือเกร็งปลายเท้าอย่างเห็นได้ชัด เฟยฮวาถูกฝันร้ายหลอกหลอนตามเคยเลยออกอาการกระสับกระส่าย ย้ายร่างไปมาถีบขากับผ้าปูเตียงจนเกิดเสียงเสียดสี แรงสะเทือนจากการพลิกตัวมากพอที่จะปลุกคนนอนร่วมเตียงให้ตื่นขึ้นมาแล้วเจอภาพอีกคนกำลังส่ายหน้าปฏิเสธอะไรสักอย่าง เล่นทำเอาสร่างความง่วงและรีบเขยิบเข้าหา
อาชาเท้าศอกกับที่นอนก่อนจะเขย่าต้นแขนขาวอยู่ครึ่งนาที แล้วเฟยฮวาก็ฟื้นสติ
เปลือกตาบางเปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไร ฝันร้าย?” ด้วยความที่มืดมาก คนถามจึงไม่ทันได้เห็นน้ำตาของร่างบางที่ไหล
แถมเฟยฮวาเองก็ไม่ยอมตอบอะไร แต่เลือกจะดันอาชาลงนอนตามเก่าแล้วขยับตัวเข้าใกล้แทน ยกหัวนอนหนุนท่อนแขนแกร่งพลางหลับตาเอาหน้าผากซบอกเปล่า ร่างบางจบการสนทนาด้วยการทำราวจะนิทราต่อ พ่อค้าอวัยวะจึงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดในความมืดมิด แค่ขยับช่วงแขนพาดเอวคอด ตะคองกอดไว้แล้วใช้ฝ่ามือลูบแผ่นหลังบาง
คืนนั้นสองร่างเหมือนถูกมัดด้วยด้ายแดง
อาชาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้กลายเป็นอัศวินที่กวัดแกว่งดาบไล่มังกรร้ายในความฝันให้เฟยฮวา
ทุกก้าวที่ย่างต่างทิ้งรอยเท้าลายน้ำไว้ เพราะใครบางคนเพิ่งเปลือยกายขึ้นมาจากอ่างน้ำวนและมีหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยรีบเข้ามาปรนนิบัติ แปลกที่พวกคนรวยมักชอบการมีเซ็กส์แบบวิตถาร สงสัยเก็บกดมาจากงานที่หนัก รายนี้ก็เช่นกันชอบแบบสองรุมหนึ่งมากกว่าหนึ่งต่อหนึ่ง พอมีเงินจะเป็นคนทะลึ่งยังไงก็ได้และไม่มีสาวใดกล้าเกี่ยง ยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอาจจะรวมถึงพาโรคร้ายเข้าตัวแลกกับถูกฟาดหัวด้วยเงินจำนวนมหาศาล ธนบัตรปึกหนึ่งมีอำนาจพอจะหันก้นให้จัดการ หากไม่ด้านคงอดตาย พวกเธอไม่ได้รับการเล้าโลมแต่เป็นการขึ้นขย่มอย่างเกรี้ยวกราด คำว่าคนกับสัตว์ใกล้กันนิดเดียว แต่ระหว่างที่กำลังขึ้นควบจนรู้สึกเสียวซ่าน ปรากฏเสียงเคาะก๊อกก๊อกก๊อกที่บานประตูห้องก่อนประตูจะถูกเปิดออกโดยฝีมือลูกน้องคนสนิทที่ชินแล้วกับภาพเจ้านายยักย้ายลีลาบนร่างสุภาพสตรี
“สายรายงานมาว่าพบเห็นคุณเฟยครั้งสุดท้ายที่ประเทศไทยครับนาย”
รายงานด้วยภาษาจีนกลางระหว่างเลี่ยงมองภาพอุจาดตา
“ประเทศไทย?” คนเป็นนายทวนอย่างไม่แน่ใจขณะแหงนใบหน้ามองเพดาน มีผู้หญิงอีกคนเข้ามาผลัดเปลี่ยนเวียนมาดูดแก่นกายจนแก้มตอบ มือนั้นลูบผมหญิงสาวแทนการบอกว่าชอบก่อนจะขย้ำกำเส้นผมอย่างแรงและแยงอวัยวะเข้าจนลึกสุดลำคอ คำรามเสียงพออกพอใจ “จะหนีทั้งทีทำไมไม่เลือกให้มันไกลกว่านี้หน่อยนะเฟยฮวา”
“อย่าลืมกินยาแก้ปวดแล้วก็ยาแก้อักเสบตามที่หมอบอกด้วยล่ะ”
น้ำเสียงห่วงใยช่างไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมภายในห้องคับแคบขนาดสามคูณสามซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับทำการผ่าตัดเคลื่อนที่ ในเมื่อมีอาชีพพ่อค้าอวัยวะเถื่อน …หมอเถื่อนก็คือของคู่กัน
สหรัฐรับไหว้จากหญิงวัยกลางคนแล้วค่อยปลดหน้ากากอนามัยออกจากหูข้างเดียวเพราะเดี๋ยวจะมีเคสต่อไป แม้จะลาออกจากการเป็นบุคลากรทางแพทย์ในโรงบาลรัฐแต่ความสามารถผ่าตัดก็ยังติดตัวมาจวบจนปัจจุบันและสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มสูงร้อยแปดสิบเอ็ดพลิกบทบาทมาหาเงินนอกโรงพยาบาลนั่นก็เพราะเกลียดความเป็นความตายที่เห็นอยู่ในทุกวินาที บนโลกนี้มีใครไม่ย้อนแยงบ้าง โดยทางธรรมชาติแล้วเป็นหมอก็ต้องรับสภาพความสูญเสียได้ แต่ไม่ใช่กับตน
และแม้สุดท้ายแล้วจะลงเอยด้วยอาชีพที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้มนุษย์ด้วยกันตายไวขึ้นหลายปี แต่เพราะเห็นจำนวนตัวเงินที่ส่งเข้าบัญชีทุกเดือนจึงยอมจะทำผิดจรรยาบรรณ ประจวบกับต้องหาเงินมารักษามารดาที่ว่าป่วยด้วยโรคไต จะใช้เงินฟอกไตไม่ใช่แค่ร้อยหรือพัน มันเป็นหมื่นที่ต้องหา นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้กล้าทำอาชีพผิดกฎหมาย
เหตุผลข้อที่สามก็เพราะไม่ค่อยชอบสีขาวสักเท่าไหร่ แต่ยังไงคนเป็นหมอที่พ่วงตำแหน่งว่าเถื่อนก็รู้จักคำว่าสุขอนามัย วิธีการผ่าตัดรวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ไม่ต่างจากอุปกรณ์ภายในโรงพยาบาล แม้วิธีการซื้อมาจะเถื่อนแต่เรื่องคุณภาพรับประกันความปลอดภัย เอาจริง ๆ ก็เหมือนหมอที่แค่ย้ายสถานที่ทำงานและตอนนี้ก็พอใจกับการทำอยู่ตรงนี้
จะอยู่ที่ไหนสหรัฐก็ยังมีรอยยิ้มละมุนละไม สายตาอบอุ่นเหมือนแฟนหนุ่มที่มองแฟนสาวระหว่างช่วยพาคนไข้ที่ขายนิ้วก้าวลงจากเตียงผ่าตัด อาจจะดูผกผันกันไปหมดแต่คนลงมีดพื้นฐานเป็นคนใจดี มีนิสัยเห็นอกเห็นใจแต่ในขณะเดียวกันก็แอบบ้าบิ่นพอตัว เลือกว่าจะชั่วกับใคร ดูแลคนไข้ใส่ใจเหมือนลูกหลานถือว่าทุกท่านคือผู้มีพระคุณ พาเดินมาส่งถึงหน้าประตูแล้วค่อยหมุนตัวกลับเข้าในห้อง ก่อนร้องเรียกคิวต่อไป ใครมาใช้บริการก็เชิญ
“ขึ้นไปนอนรอบนเตียงเลย” เคยได้ยินเสียงเปิดปิดประตูจนชิน คนยืนหันหลังจึงสั่งไปพลางระหว่างจัดแจงอุปกรณ์ผ่าตัด ก่อนจะสวมใส่ถุงมือขนาดพอดีแล้วเดินมาพร้อมถาดบรรจุสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ต่อการทำงาน
“ปกติใช้เวลาผ่านานไหมครับ…”
ยอมรับว่าคำถามเรียบ ๆ นั้นทำเอาแอบประหลาดใจ
แต่สีหน้าไร้ความกลัวนั่นต่างหากที่ทำให้หมอเถื่อนสนอกสนใจมากกว่า ถ้าดูจากสายตาคนขึ้นนั่งห้อยขาบนเตียงผ่าตัดน่าจะอายุสักสิบห้าสิบหก เป็นช่วงอายุที่ควรหลงเหลือความกลัวอยู่บ้างแต่คนร่างเล็กกับต่างไป ดูไม่กลัวแสงไฟ ไม่กลัวอุปกรณ์ ไม่กลัวตอนต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ
“ผ่าตาข้างนึงใช้เวลานานไหมครับ” มะตูมถามยามคนตรงหน้ายังยืนเฉย
แทนที่จะเอ่ยคำตอบไปเป็นหมอทำไมไม่จะไม่รู้เวลา กลับกลายเป็นว่าพูดกับตัวเองอย่างข้องใจ “แปลกแฮะ ปกติพอใครเข้ามาก็จะถามว่าเจ็บมากไหมเป็นประโยคแรก แต่นายกลับถามว่าใช้เวลานานแค่ไหน” หมอเถื่อนใช้ความคิดขณะก้าวมายืนชิดข้างเตียง ก่อนส่งเสียงถามอยากรู้ความเป็นไป “มีเรื่องให้ต้องรีบไปจัดการต่อหรือไง”
“นั่นเป็นเรื่องที่หมอจำเป็นต้องรู้เหรอครับ”
ริมฝีปากหนายิ้มเมื่อเข้าใจว่าถูกคนอายุน้อยกว่าหลอกด่าว่าสอใส่เกือก
“งั้นฉันขอวัดความดันหน่อยแล้วกัน” สหรัฐขยับเข้าหาร่างเล็กที่ค่อย ๆ เอนนอนลงบนเตียงผ่าตัด แต่ระหว่างที่กำลังเอาผ้ารัดเหนือข้อพับแขนซ้าย สายตาหมอเถื่อนก็ดันสะดุดเข้ากับรอยช้ำที่ขึ้นคราบม่วงจาง ๆ บนโหนกแก้มขาว ทำเอาอยากรู้ ระหว่างก้ม ๆ เงย ๆ เลยลองถามดู “หน้าเราไปโดนอะไรมา”
“รีบ ๆ ผ่าเลยได้ไหมครับ” มะตูมคิดว่าตัวเองใช้น้ำเสียงขอร้องแต่ฝ่ายที่ยืนมองดันได้ยินว่าเป็นประโยคคำสั่ง จนมันทำให้ชายหนุ่มยิ่งอยากประวิงเวลา ว่าจะถ่วงหาอะไรทำให้คนหน้านิ่งได้แสดงในสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์อื่นบ้าง
“ทำไม จะรีบไปไหน”
หมอมีสิทธิ์เข้าใกล้คนไข้แค่ยามรักษา แต่ว่าหมอเถื่อนมีสิทธิ์เข้าใกล้คนไข้ได้ทุกเวลา
สหรัฐเท้าฝ่ามือสองข้างกับเตียงเว้นเพียงตรงกลางซึ่งมีร่างเล็กนอนแข็งทื่อ “ฉันถาม”
คนถูกกักบริเวณอยู่ในท่อนแขนทำหูทวนลม ขบริมฝีปากอวบอิ่มไว้เพราะไม่อยากตอบและไม่ชอบที่หมอเข้าใกล้เกินจำเป็น เห็นอยู่ว่ากำลังกระทำและถามคำถามกับตนเกินหน้าที่ จึงไม่มีความคิดที่จะโต้กลับ แค่ขยับให้พอรู้ว่าอึดอัดแค่ไหนก่อนพยายามหันนัยน์ตาไปมองทางอื่น
“เมื่อกี้นายพูดว่าผ่าตาใช่ไหม” สหรัฐก้มลงดูกระดานใบคำสั่งที่วงแขนเล็กกำลังกอดเอาไว้แนบอกพลางอ่านออกเสียง “นายต้องการผ่าแค่ข้างซ้าย” เป็นปกติที่ผู้ขายจะต้องถือกระดานแนบใบคำสั่งเข้ามา โดยมีลูกน้องข้างนอกจัดการให้เพื่อที่ว่าหมอจะได้ไม่ผ่าผิดผ่าถูก “ไหน หันหน้ามาให้ฉันดูหน่อย”
พอได้ยินคำสั่งที่เกี่ยวกับผ่าตัดแก้วตาสักที มะตูมที่ได้ชื่อมาเพราะว่าชอบทำหน้าตาเลิ่กลั่กอย่างกับกระต่ายตื่นตูมเลยไม่มีเหตุให้จำต้องหลบหน้า คิดแค่ว่าเสร็จแล้วจะได้รีบกลับ ค่อยขยับโครงหน้ากลับมาแล้วช้อนมองใบหน้าที่อยู่เหนือกว่า ไม่ได้สนใจเรื่องระยะ สหรัฐเป็นฝ่ายก้มหน้าลงมาอีก ไม่หลีกและเลือกจะจ้องดวงตากลมโตกว่าของคนทั่วไป
“ตาโตดีนะ” เสียงนุ่มว่าราวกับหลุดปาก “น่าเสียดายถ้ามันจะต้องหายไป” เพราะดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจถ้าหายไปข้างโลกของร่างเล็กก็จะยิ่งมืดบอด เมื่อหน้าต่างถูกถอดไปและความสว่างสาดใส่ไม่ทั่วถึง สักวันนึงดอกไม้ที่ควรจะเจริญเติบโตก็จะเหี่ยวเฉาตาย “บอกได้ไหมจะเอาเงินไปทำอะไร” วันนี้หมอเถื่อนเปลี่ยนตัวเองเป็นเจ้าหนูจำไม สงสัยและอยากกว่าทุกวัน จนทำให้คนที่ปรารถนาจะขายอวัยวะเกิดความสงสัยตาม ตกลงหมอช่างถามต้องการอะไร
“บอกไปคุณก็ช่วยอะไรผมไม่ได้หรอก”
“ได้สิ ฉันเป็นหมอและฉันมีเงิน” เกิดอาเพศแล้วแหง ๆ คนที่ปกติแค่ทำงานหาเงินเลี้ยงแม่ไปวัน ๆ กำลังพูดเหมือนปรารถนาจะสร้างภาระให้ตัวเองเพิ่ม “เผื่อฉันจะช่วยอะไรนายได้”
“คุณคงไม่ได้ช่วยทุกคนที่เดินเข้ามาในห้องนี้หรอกใช่ไหม”
“คนก่อนหน้านายฉันเพิ่งตัดนิ้วเขาไป ใช่ ฉันไม่ได้ช่วยทุกคนหรอก” สหรัฐบอกพลางยืดหลังกลับมายืนตัวตรงตามปกติก่อนที่จะถอดถุงมือยางออกแล้วบอกให้ร่างเล็กรออยู่แต่ภายในห้องนี้
ส่วนมะตูมหลังจากที่ถูกแย่งกระดานคำสั่งผ่าตัดไปจากมือก็รีบลุกขึ้นนั่ง “แล้วคุณจะไปไหน”
หมอเถื่อนไม่ตอบให้คนด้านหลังหายใคร่รู้และเดินเปิดประตูออกมาจนเห็นว่าข้างนอกยังมีคนนั่งรอต่อคิวผ่าตัดอยู่หลายราย สหรัฐได้แต่บอกลูกน้องที่ยืนเฝ้าว่าเดี๋ยวมา แล้วขายาวค่อยสับต่อ พอเจอบันไดก็ใช้ความไวในการก้าวข้ามสามสี่ขั้นจนมาถึงชั้นห้าและแค่เห็นใบหน้าพวกลูกน้องเจ้าของกิจการก็พร้อมหลีกทางโดยไม่มีข้อแม้ เพราะสหรัฐไม่ใช่แค่หมอเถื่อนประจำร้านค้าอวัยวะ ชายหนุ่มยังเป็นเหมือนเพื่อนของอาชาที่สนิทกันได้เนื่องจากพูดภาษาเดียวกัน รวมถึงสถานการณ์บีบคั้นจนกลายเป็นมิตรไปโดยปริยาย
“ยังไม่ตายอีกเหรอวะไอ้หมอเถื่อน” แค่ประตูเลื่อน คนนั่งประจำตำแหน่งก็กล่าวต้อนรับ
“ฉันรอให้แกตายก่อน” ตอกกลับอย่างเจ็บแสบแทบไม่มีใครยอมใคร ก่อนคนมาใหม่จะเพิ่งเข้าใจว่าไม่ได้อยู่กับสหายตามลำพัง แต่ยังมีร่างบางไม่คุ้นหน้าเดินพ้นออกมาจากตู้เก็บเอกสาร เป็นเฟยฮวาที่พอจะมองสถานการณ์ออกเลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปข้างนอกเอง เพื่อให้ทั้งคู่ได้มีเวลาคุยเรื่องงานกัน “งั้นฉันออกไปข้างนอกก่อนนะ”
ความจริงเฟยฮวาพยายามจะหาจังหวะออกจากห้องนั้นอยู่เหมือนกันเพราะเหม็นควันบุหรี่จนแทบหายใจไม่ออก ทั้งที่บอกอีกคนไปแล้วว่าไม่ชอบแต่คนนั่งบนเก้าอี้นวมก็ตอบแค่ว่าฉันพอใจ เห็นได้ชัดว่าต้องการกวนประสาท
“เมียน่ะ” อาชาไม่ห้ามหรือรั้ง แค่แนะนำหมอเถื่อนให้รู้จักกับร่างบางที่เดินผ่านประตูเลื่อนออกไป
“เมีย?” สหรัฐคิดว่าตัวเองทำงานยุ่งจนไม่มีเวลาได้เจอพ่อค้าอวัยวะแค่ไม่กี่วัน ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ อีกคนก็ชิงตัดหน้าด้วยการมีภรรยาที่ดูท่าจะพิเศษ เห็นมีคนนี่แหละยอมเรียกว่าเมีย
“ว่าแต่แกเถอะ เข้ามามีอะไร” จนได้คำถามที่อยากทราบเป้าหมายเรียกสติ จากที่ถือกระดานแนบใบสั่งเลยโยนลงกลางโต๊ะทำงาน “คนนี้ฉันไม่ผ่า”
“อะไร” อาชาไถ่ถามแล้วเลื่อนกระดานกวาดตาลวก ๆ “นี่ของเด็กผู้ชายที่ตาโต ๆ ใช่ไหม” ไม่ใช่แค่จำชื่อได้แต่ด้วยเพราะหน้าตาของเด็กผู้ชายเองที่ดูเป็นเอกลักษณ์ ดูน่ารักดีแถมมีรอยช้ำที่หน้า พ่อค้าอวัยวะที่เดินผ่านตอนลูกน้องกับเด็กนั่นเจรจาเลยแอบจดจำได้ กระทั่งคนนั่งต่ำกว่าหรี่ตาใส่คนถือวิสาสะหย่อนก้นบนโต๊ะทำงานอย่างจับผิด “เกิดเอ็นดูอะไรเด็กขึ้นมา ระวังจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์นะไอ้หมอเถื่อน”
“หน้าฉันเหมือนพวกอยากเลี้ยงต้อยมากงั้นสิ”
“เอากระจกไหม ส่องเองจะได้รู้” สหรัฐเกือบจะชูนิ้วกลางให้ แต่เห็นว่าตัวเองยังอยู่ในหน้าที่เลยทำแค่กลอกตาใส่ เบื่อจะเล่นลิ้นเลยตัดเข้าใจความสำคัญ “เอาเป็นว่าเด็กคนนี้ฉันขอ”
“เอาไปเลยพ่อพระเอก”
“เมียแกสวยดีนะ” ก็ว่าจะไม่เล่นแต่อดไม่ได้ สุดท้ายเลยจี้เข้ากลางใจดำยกเรื่องของรักมาแหย่ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครแน่กว่ากัน “ไว้ว่าง ๆ จะมาทำความรู้จักด้วย”
“อย่าคิดยุ่งเชียว” เสียงเขียวร้องเตือนทันที
“ฉันไม่ยุ่งแต่ก็ใช่ว่าเมียแกจะไม่มายุ่งกับฉันนี่”
“เฟยฮวาไม่เอาแกหรอก”
“หน้าสวยแล้วยังชื่อเพราะซะด้วย”
“ไอ้หมอเวร!” ด่าเท่านี้ยังไม่พอ ยังสบถต่อยาวเหยียดแบบที่ไม่ผ่านกองเซ็นเซอร์ เจอยั่วโมโหเข้าไปพ่อค้าอวัยวะถึงกับน็อตหลุด ฉุนขาดตอนหมอเถื่อนเดินลอยหน้าลอยตาไปใกล้ประตู ยิ่งรู้ว่าอะไรคือจุดอ่อนตอนนั้นเลยใส่ไม่ยั้ง
“เฟยฮวาครับ” เรียกชื่อเมียเพื่อนระหว่างอยู่บริเวณหน้าประตู ทำให้คนในห้องเห็นว่าเหมือนกำลังคุยอยู่กับร่างบางทั้งที่ตรงนั้นมีแต่ความว่างเปล่า ความจริงแล้วสหรัฐกำลังหันหน้าเข้าผนังสร้างบทสนทนาปลอม ๆ แล้วยิ่งชอบใจใหญ่เมื่ออาชาออกอาการโวยวายเรียกหาเฟยฮวาเป็นว่าเล่น
“เฟยฮวาเข้ามาในห้อง!” ออกคำสั่งอย่างกับสิงโตคำราม “ฉันบอกให้เข้ามาในห้อง!” จนเมื่อไอ้หมอเวรที่ด่าเดินหายไป ชายหนุ่มไม่อาจนั่งรออยู่กับที่รีบเดินปรี่มาที่ประตู ชะโงกหน้าดูจนเจอความว่างเปล่าถึงยกฝ่าเท้าถีบประตู รู้แล้วว่าโดนต้มจนเปื่อย ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่คนเคยเรียกหาเพิ่งเดินขึ้นบันไดมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เฟยฮวาก้าวขึ้นมาพร้อมกับถาดอาหารที่ร้านข้างล่างจัดหาให้และหยุดถามคนทำหน้ายุ่ง อย่างกับไปกินรังแตนที่ไหนมา “เป็นอะไร”
“เพราะนายนั่นแหละ”
ภาวนาให้เป็นแค่ความรู้สึกหวงของเท่านั้น
“เพราะฉัน?”
“เพราะนายคนเดียว”
รู้ดีว่าการตกหลุมรักเป็นความผิดของทั้งสองฝ่าย
แต่พ่อค้าอวัยวะก็ยังยัดเยียดข้อหาให้ อย่างน้อยก็โทษฐานทำว้าวุ่นใจจนตนไม่เป็นตัวของตัวเอง
----------------------------------------------------
มาต่อแล้วค่ะ เว้นช่องไปนานเลย ขอโทษนะคะ (´・ω・`)
สามารถคอมเม้นหรือติดแท็กได้ตามสะดวกนะคะ
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
-
VI
เมื่อพูดถึงจีนแผ่นดินใหญ่อย่างแรกที่คนเราจะนึกถึงคืออะไร จำนวนประชากรที่มากที่สุดในโลก เทศกาลไหว้บรรพบุรุษ ชายชุดดำอย่างเปาบุ้นจิ้นหรือดินแดนแห่งเจ้าพ่อมาเฟียที่เลี้ยงชีพด้วยการกระทำผิดกฎหมายและยกตนใหญ่คับฟ้า มีคนสอนว่าเวลาดูละครให้ย้อนดูความเป็นจริง ในละครมีเจ้าพ่อถือปืนฉันใดในโลกแห่งความเป็นจริงก็มีเหมือนกัน
ผิดแต่ตรงที่ว่าในฉากปะทะถ้าเป็นบทละครพอยิงกันจนตายสุดท้ายก็ยังฟื้นลุกขึ้นมาเดินได้อีก แต่ในชีวิตจริง ยิงทิ้งก็คือยิงทิ้งเลย ชีวิตคนอ่อนแอมักจะลงเอยด้วยการตายอย่างน่าเวทนาและเหตุผลในการตายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ถ้าไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ก็อย่าคิดหนีไปฟ้องตำรวจเรื่องที่โดนทำร้าย
ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่พอจะทำให้หยางไอยอมเหนี่ยวไกไล่ฆ่าคนตาย
ทั้งที่ก็ไม่จำเป็นต้องลดตัวมาทำอะไรแบบนี้แต่บางทีก็หงุดหงิดงุ่นง่าน ฟังคำพูดแก้ตัวที่วกไปวนมาแล้วมันระคายหูจนอยู่เฉยไม่ไหว สุดท้ายเลยยื่นมือขอปืนจากลูกน้อง บอกเลยในบรรดาชายชุดดำทั้งหลาย ใครก็ไม่ใจเด็ดเท่าเจ้านายใส่สูทที่ตัดสินใจเล็งกระบอกปืนเข้ากลางกะโหลกด้วยนัดเดียว จนร่างสะบักสะบอมและถูกมัดมือล้มลงนอนเดี๋ยวนั้น
“ถ้ามันหาเงินมาคืนไม่ได้ก็ไปเก็บกับลูกเมียมัน” น้ำเสียงเรียบหันมาสั่งกับลูกน้องที่ก้มหน้ารับคำสั่งพวกนั้นทันที ก่อนจะเดินตามเจ้านายที่ก้าวขาไปก็เช็ดมือไปด้วยผ้าเช็ดหน้า
ระหว่างเดินออกจากโกดังสีหน้าของชายนัยน์ตาขวางยังเรียบตึงนึกว่าหนังกลอง ถ้าลองได้รำคาญ ปล่อยให้ชายหนุ่มสัญชาติจีนแท้อยู่เงียบ ๆ คนเดียวน่าจะเป็นการดีกว่า อย่าหาเหาให้ตัวเองด้วยการเดินเข้าไปถามเพราะผลที่จะตามมาก็คือถูกซ้อม จะชายหรือหญิงพร้อมลงมือทุกเมื่อเชื่อเถอะว่าหยางไอเป็นประเภทขาดความรุนแรงไม่ได้ สงสัยถูกครอบครัวไม่แท้เลี้ยงมาแบบเจ็บ ๆ โดนเก็บขึ้นมาจากกองขยะก่อนจะถูกสอนให้รู้จักโลกมืดถือปืน มันเป็นเรื่องปกติของพวกทำธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่เปิดโต๊ะเงินกู้ อาวุธสงครามก็รับขนข้ามแดน
หน้าตาดีแต่ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน อยากได้คนไหนก็จ่ายเงินเอา โดยมีผู้หญิงมากมายยอมเอาตัวเข้าแลกกับความสบาย ต่างจากร่างบางคนนึงที่ไม่เชื่อว่าความหอมหวานของความสบาย ทนนิสัยเลวไม่ไหวถึงได้คิดไม่ซื่อกล้าหือหนีไปทั้งที่คนเพิ่งได้รับตำแหน่งต่อจากพ่อบุญธรรมได้ไม่นานก็อุตส่าห์เลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี
เสี่ยวเฟยฮวาเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มต้องใช้บริการโสเภณีเพิ่มเป็นสองเท่า
“ได้เรื่องอะไรเพิ่มไหม” เจ้านายถามกับลูกน้องยามรถแล่น นั่งแหงนมองท้องฟ้านอกหน้าต่างจากเบาะหลัง “บอกพวกมันไปว่าฉันจะให้เงินเป็นสองเท่า แค่หาให้ได้ว่าลูกกวางน้อยของฉันไปซ่อนที่ไหน” ถ้าต้องจ่ายเงินเป็นถุงเป็นถังเพื่อแลกกับการได้ขย้ำลูกกวางที่แสนคิดถึงอีกสักครั้ง หยางไอก็ยอมพร้อมเทหมดหน้าตัก ยอมจ่ายเพื่อรักและพร้อมฆ่าใครก็ได้ที่คิดขัดขวางความรัก
“อยากหนีก็หนีไป แต่ฉันหานายเจอแน่เฟยฮวา” ริมฝีปากได้รูปวาดเป็นรอยยิ้มหวานแต่ดูขาดความจริงใจ รักจนต้องเอาชนะให้ได้และจะทำให้ร่างบางกลับก้มหัวให้อีกครั้งอย่างสมยอมเอง
‘ถ้าอยากได้เงิน เดี๋ยวฉันจะหางานให้ทำ’
‘แล้วเมื่อไหร่ล่ะครับ ผมต้องการใช้เงินตอนนี้นะ’
‘งั้น …รับเงินนี่ไปก่อน แล้วพรุ่งนี้เที่ยงตรงมาเจอฉันที่นี่’
‘แต่ว่า…’
มะตูมยังจำสัมผัสที่ฝ่ามือใหญ่ยัดธนบัตรใส่มือตัวเองได้และถึงจะเป็นเด็กแต่ก็เข้าใจว่านั่นคือการมัดมือชก ถือเป็นตกลงร่วมกันและแม้จริง ๆ แล้วจะไม่ค่อยไว้ใจแต่เพราะความยากไร้เป็นเหตุเลยจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนั้นไปกับการซื้อยารักษา เหลือเงินคาติดอยู่ที่ตัวก็แค่ไม่กี่ร้อยบาทแต่ยังพอให้หย่อนค่าโดยสารรถประจำทาง ร่างที่เล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันเล็กน้อยเลือกนั่งติดหน้าต่างซึ่งว่างหนึ่งที่พอดิบพอดี แล้วค่อยหลับตาลง ปล่อยให้ลมจากหน้าต่างที่เปิดไว้ลมโกรกหน้า เหมือนคนกำลังนิทรา แต่ว่าความจริงแค่กำลังใช้ความคิด
ติดนิสัยชอบคิดอะไรเกินวัยและอยากเป็นผู้ใหญ่เพื่อที่จะได้สามารถหาเงินได้สะดวก ๆ เพราะลำพังเป็นเด็กแค่อายุสิบเจ็ดบวกกับตัวเล็กเลยไม่ค่อยมีคนกล้าจ้างทำงาน ไม่ผ่านทั้งด้านความสูงทั้งด้านกำลัง ปัจจุบันจึงว่างงานหลังจากเว้นวรรคจากการเรียนหนังสือมานานเกือบเดือน
ถ้าอยากรู้เหตุผลว่าทำไมถึงงดเรียนหนังสือก็ลองเลื่อนไปอ่านบรรทัดบน ๆ ดูสิ มะตูมมีความจนเป็นเพื่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จำความได้ว่าพอลืมตาปุบก็เจอมันทักทายและเพราะความจนนั้นที่ทำให้แม่เสียไปได้หลายปี ครอบครัวไม่มีเงินรักษา ขณะนี้เลยอยู่กับพ่อแค่สองคน
สองพ่อลูกหมดหนทาง ร่างเล็กจึงได้คิดเสียสละและเลือกจะขายอวัยวะในร่างกาย แต่ก็นั่นแหละนะ จู่ ๆ อะไรมันก็พลิกผัน เมื่อวานยังดูไร้โอกาสแต่วันนี้กำลังจะได้รับโอกาส อาจเป็นโชคชะตาที่ทำให้ได้กลับมายืนอยู่หน้าร้านอาหารที่ด้านบนถูกสร้างเป็นโรงเชือดหนัง มะตูมยืนรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมีคนเปิดประตูร้านเดินออกมา เป็นร่างสูงซึ่งดูคุ้นหน้าคุ้นตา ท่าทางดูอบอุ่นเหมือนเคย สรหัฐเอ่ยทักทายเด็กวัยมอปลายที่ความสูงเกินช่วงไหล่ตัวเองขึ้นมาหน่อย ต้องคอยก้มหน้าเวลาคุย “มาตรงเวลาดีนะ”
“คุณไม่ต้องทำงานเหรอครับ” มะตูมเงยหน้าทักทายกลับด้วยการตั้งคำถามใส่ และนั่นทำให้หมอเถื่อนหลุดขำก่อนจะพยายามกลับมาเก๊กหน้านิ่งแข่งกับคนตรงหน้า “ฉันลางานครึ่งวันน่ะ”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณมีสิทธิ์ลาด้วย ยังมีหมอคนอื่นทำงานแบบนี้อีกเหรอครับ”
“นี่นายคงไม่ได้เป็นสายของตำรวจหรอกใช่ไหม” หรี่ตาราวกับไม่ไว้ใจ “อย่าคิดว่าเป็นเด็กแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรนะ” กะว่าแค่แหย่ร่างเล็กที่มักสงสัยใคร่รู้เล่น เห็นเป็นหมอใช่ว่าไม่มีเซ้นส์ด้านอารมณ์ขัน สหรัฐรู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าเป็นพวกไม่มีพิษไม่มีภัยและน่าจะไว้ใจได้ในระดับนึงด้วย
“ถ้าคุณคิดว่าผมเป็นสายให้ตำรวจ งั้นผมไม่ทำงานกับคุณก็ได้นะ” ทำท่าทางอย่างกับจะไปจากตรงนั้นจนหมอเถื่อนต้องทำการรั้ง คว้าข้อมืออย่างไวแล้วถามด้วยความสงสัย “เฮ้ นายรู้จักอารมณ์ขันบ้างไหมเนี่ย”
“ผมไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหนเลย”
“โอเค มันไม่ตลก แต่นายก็ไม่จำเป็นต้องเครียดนี่นา”
“ผมไม่ได้เครียด”
“แต่หน้านายโคตรเครียดเลย รู้ตัวบ้างไหม” สหรัฐจับไหล่ร่างเล็กให้ยืนตรงก่อนใช้รถแถวนั้นเป็นกระจกสะท้อนเงา จนมะตูมเห็นกับตาว่าเงาของเขากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดแค่ไหน ผิดกับใบหน้าของชายอีกคนที่ลดลงมาอยู่เสมอกัน หมอเถื่อนกำลังยิ้มเห็นฟันอยู่ด้านหลังร่างเล็ก
“หัดยิ้มน่ะไม่ยากหรอก เอาไว้อยู่ด้วยกันไปแล้วฉันจะทำให้นายยิ้มเยอะ ๆ”
เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนใจดีและดูเหมือนจะดีเกินไป นัยน์ตากลมไม่ได้สบมองเงาหน้าของตัวเองอีก แต่เลือกจะมองเงาสะท้อนของคนที่ฉีกยิ้มกว้าง อย่างกับพระอาทิตย์ที่แสนร้อนแรงแต่ก็อบอุ่นในเวลาเดียวกัน
การได้นั่งอยู่ด้านข้างภายในรถยนต์ส่วนตัวทำให้ร่างเล็กแสดงเห็นหลายอย่าง สิ่งที่สร้างรอยยิ้มให้คนเป็นหอมเถื่อนได้ง่าย ๆ ก็คือเสียงเพลงจากวิทยุ ดูไม่เข้ากันแต่ก็ต้องยอมรับว่าเสียงอีกคนเพราะขนาดน่าจะเป็นนักร้องได้ น้ำเสียงนุ่มนวลจริงใจน่าจะเป็นสไตล์ในแบบที่หญิงสาวชื่นชอบบวกกับท่าทางเคลื่อนไหล่อย่างอารมณ์ดี
แต่บางทีนั่นก็ทำให้ร่างเล็กรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เหมือนกับว่าเราเป็นถนนสองเลนที่มีเส้นทางสวนกัน
“แล้วตกลงคุณจะให้ผมทำงานอะไรเหรอ”
“ไม่ต้องเรียกคุณหรือว่าหมอหรอก เรียกพี่สิ” สหรัฐอนุญาตให้เรียกอย่างสนิทสนมและรู้ด้วยว่าอีกคนจะส่ายหน้าไม่ยอมเลยรีบพูดดัก “ฉันยังไม่อยากถูกมองว่าแก่หรอกนะ เรียกพี่น่ะแหละดีแล้ว” แววตาสีน้ำตาลละจากถนนหันมาดูสีหน้าคนข้างตัว แล้วยกฝ่ามือขึ้นลูบหัวกลมเบา ๆ แต่เล่นทำเอามะตูมรีบหดคอเพราะไม่ชินกับสัมผัส
แค่ภายในวันเดียวมีเรื่องกะทันหันเกิดขึ้นมากมาย ก่อนคนนั่งข้างเบาะคนขับจะยิ่งเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นว่ารถกำลังขับมุ่งหน้าเข้าสู่ลานจอดรถภายในคอนโด คนตาโตเกิดอาการระแวงฉับพลันเผลอจินตนาการเรื่องงานไปต่าง ๆนานา งานประเภทไหนนะที่ต้องขึ้นห้อง
“ดูทำหน้าเข้า” มะตูมสะดุ้งจนหลุดจากภวังค์ตอนประตูฝั่งตัวเองถูกเปิดออกโดยมือใหญ่
หมอเถื่อนกำลังส่ายหน้าราวกับเสียอกเสียใจ ถ้าดูจากสายตาหวาดหวั่นของอีกคน ภาพตนคงไม่พ้นเป็นพวกชายตัณหากลับ จะขยับช่วยปลดสายรัดนิรภัยมือเล็กก็รีบจับยึดไว้จะไม่ไปไหน จนต้องอธิบายเสียงขุ่น หน้าตาและหุ่นแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้เด็กมาช่วยเติมเต็มความต้องการทางเพศหรอก “ฉันไม่ได้จะนายพามาทำเรื่องอย่างว่าหรอกน่า”
ฟังประโยคแรกใช่ว่าจะเชื่อทันที มะตูมยังจ้องท่าทีของคนยืนนอกรถอย่างระมัดระวังและยืนยันจะไม่ลงจากรถจนกว่าจะได้ยินอะไรที่มันน่าเชื่อถือและดูเป็นไปได้มากกว่านี้
“พอดีห้องฉันมันรกเลยต้องการแม่บ้าน” ในเมื่ออยากฟังก็จะบอกความจริงให้ “งานพวกนี้นายคงทำได้ใช่ไหม” สหรัฐถอนหายใจโล่งอกยามมือเล็กยอมปลดสายเข็มขัดนิรภัยและก้าวลงจากรถโดยยอมรับการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ มือสองขนาดค่อย ๆ จับกันไว้เล็กน้อย ประคับประคองและค่อยเป็นค่อยไป
ถ้ารู้ว่ามีเมียแล้วชีวิตจะดีคงมีไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ดีแล้วที่ตอนก่อนหน้านี้ตัดสินใจทำตัวลอยไปลอยมาหาเศษหาเลยกับการค้าบริการไปวัน ๆ จนโชคดีได้มาเจอกับนางฟ้านางสวรรค์อย่างเฟยฮวา ได้เมียแล้วยังเหมือนได้แม่บ้าน จานชามไม่เคยได้จับ สำรับก็มาเกยอยู่ตรงหน้า ปกติลิ้นเคยได้แตะรสชาติผลไม้ซะที่ไหน ภาพลักษณ์ผู้ชายร้ายกาจแทบหายไปเมื่อคาบชิ้นฝรั่งไว้ที่ปากขณะนั่งอ่านข้อกำหนดคนทำผิดกฎหมายต้องส่งส่วยให้ตำรวจด้วยอะไร กระทั่งเคี้ยวผลไม้จนไม่เหลือกากใยก็เรียกใช้ ให้คนที่เห็นแผ่นหลังแวบ ๆ เข้าไปในห้องทำงาน ไหว้วานหยิบแฟ้มสีดำ
ก่อนจะทำเฟยฮวางงเพราะมองไปตรงไหนก็มีแต่สีดำ “อธิบายให้มันแคบกว่านี้หน่อยได้ไหม” ร่างบางตะโกนถามขณะใช้มือจับสันแฟ้ม แทบจะทันทีที่มีเสียงตะโกนสวนกลับมา อาชาบอกว่าไม่ต้องหาเดี๋ยวฉันเข้าไปเอาเอง
เฟยฮวาจึงเลิกละเลงฝ่ามือไปบนโต๊ะทำงานและหันมาช่วยจัดระเบียบให้ดูเรียบร้อย ค่อย ๆ แยกปากกาออกจากกองกระดาษ วางแฟ้มมากมายไว้ทางซ้าย ย้ายพวกใบเสร็จไปทางขวา จนเมื่อข้าวของเกะกะหายไปนัยน์ตาก็สบกับด้ามปืน ร่างบางยืนลังเลก่อนตัดสินใจเอื้อมมือสัมผัส
“ไหนว่ายิงไม่เป็น” แต่ยังไม่ทันได้พินิจพิจารณา คนเพิ่งเดินเข้ามาเงียบ ๆ ก็คว้าปืนไปจากมือขาว อาชาทำราวกับผู้ใหญ่ไม่อยากให้เด็กเล่นปืนตอนยืนพิงขอบโต๊ะ กอดอกระหว่างซักไซ้
“ฉันยิงไม่เป็นแต่ฉันถือเป็น” เห็นสายตาจับผิดแต่ไม่คิดติดใจ แล้วเฟยฮวาก็ไม่ขอโทษที่จับของของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตก่อน “นายสอนฉันยิงปืนหน่อยสิ”
“อยากยิงเป็นไปทำไม เดี๋ยวมือนิ่ม ๆ ก็ด้านหมดหรอก” เอ่ยอย่างเดียวคงไม่ใช่นิสัย มือไวพอจะฉวยฝ่ามือขาวเอาไปหอม ขณะอีกคนก็ยอม ลอบมองจ้องการกระทำนั้นอย่างไม่ขัดเขิน แต่พฤติกรรมเกินเลยก็ต้องอันชะงัก
“ฝึกไว้เผื่อได้ยิงพวกนอกใจ”
แววตาแฝงไปด้วยความจริงจังและทำให้คนอย่างอาชาหลุดยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นฉันคงรอด เพราะฉันเป็นพวกรักเดียวใจเดียว” เสี่ยวจนร่างบางต้องชักมือกลับ บางทีเฟยฮวาก็แอบหงุดหงิดที่มักแพ้อีกคนอยู่ร่ำไป ในแมตช์ที่คิดว่าจะชนะก็กลายเป็นว่าถูกคนร้ายกาจกว่าตลบหลัง
“ตกลงจะสอนไหม”
“แล้วฉันจะได้อะไร”
“นายก็รู้ว่าฉันไม่มีอะไร” ไม่ได้กำลังกวนแต่อย่างใดขณะต่างฝ่ายต่างรู้ความจริงข้อนี้ดี “อีกอย่างตัวฉันก็ให้ไปแล้ว …นี่อย่าบอกนะว่านายอยากได้หัวใจฉัน?”
“แล้วให้ไม่ได้? นายกำลังทำฉันเสียใจนะเฟยฮวา” ถ้าเป็นคนอื่นคงอาจมีหลงเชื่อกันบ้างแต่อย่างร่างบางพอเห็นสีหน้าเศร้าแต่นัยน์ตาวาววับด้วยความเจ้าชู้ก็เบือนหน้าส่ายหัวหนี
“ฉันไม่ยกให้ง่าย ๆ หรอก”
“เห็นนางเอกปากดีแบบนี้ทีไร สุดท้ายก็เป็นฝ่ายรักพระเอกก่อนทุกที”
“แต่ละครเรื่องนี้จะแตกต่างออกไป” เป็นครั้งแรกที่เฟยฮวาจุดยิ้มกว้างอย่างมั่นอกมั่นใจและเชื่อว่าในแมตช์นี้ตัวเองจะชนะ “…พระเอกต้องเป็นฝ่ายรักนางเอกก่อน”
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาที่ริมฝีปากอิ่มขยับยิ้มน่ะ พระเอกแทบจะมอบให้ทั้งสามส่วนสี่ของหัวใจ
แต่ก็อดสบประมาททางสายตาไม่ได้ “มั่นใจจังนะ”
“ฉันทำได้ก็แล้วกัน” เฟยฮวาพูดภาษาไทยฉะฉานและเผลอลืมตัวยิ้มหวานให้อีกคน ลืมมองจนกระทั่งฝ่ายตรงข้ามค่อย ๆ ยิ้มตาม
อาชาทำเป็นยักไหล่ระหว่างยิ้มไม่หุบ “งั้นฉันจะรอดูเลย ไหน จะทำยังไงให้พระเอกรัก” ก่อนจะยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่เมื่อเจอมารยานางเอกที่เขย่งปลายเท้าแล้วบดจูบปากชายหนุ่มก่อน แต่ตอนจะแหย่ลิ้นเล่นด้วยกลับทำเป็นผละหน้าหนี ลีลาเล่นตัวยังแพรวพราวจนอาชาบอกจะเอายังไงก็เอาเลยแม่คนสวย แถมช่วยเตือน “เล่นแบบนี้ระวังปืนลั่นนะ”
“ปืนกระบอกไหนล่ะ” ยกมือเกาะไหล่กว้างแล้วเขยิบร่างเบียดอย่างออเซาะ แล้วก็เห็นมือใหญ่ลดปืนของจริงลงวางกับโต๊ะเพื่อบอกว่าไม่ใช่กระบอกนี้ขณะที่สายตาเจ้าชู้ก้มมองลงต่ำทำสัญลักษณ์จะบอกว่าปืนที่เตรียมลั่นคือกระบอกที่อยู่ตรงหว่างขานี่
นัยน์ตาสีบรั่นดีจ้องดวงหน้าสวยเหมือนจะกลืนกิน แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผาก มือใหญ่ขย้ำนั่นแตะนี่ที่ตัวเฟยฮวาก่อนจะโดนมือขาวเอาคืนด้วยการบีบคั้นอวัยวะสืบพันธุ์และนำไปสู่การแบกขึ้นบ่า ร่างบางกำลังจะโดนลักพาตัวออกจากห้องทำงานแต่กลับไม่มีความกลัว “ไม่หาแฟ้มแล้วเหรอ” ระหว่างเลือดลงหัวก็ยังกล้ากวนเลยโดนนวดแก้มก้นยกใหญ่ อาชาหมั่นไส้เลยตบก้นงอนไปหลายทีและคงไม่ต้องมีการบรรยายอะไรเพิ่มเติมมากนัก ก็เหมือนกับฉากหนังรักทั่วไปที่เคยเห็น ๆ กัน อยู่บนเตียงถ้าไม่นอนก็นั่ง ร่างเปลือยทั้งคู่ขณะหมกมุ่นเรื่องเพศจนลืมดูเวล่ำเวลา
กว่าจะอาบน้ำเตรียมนอนก็ตอนพ้นเที่ยงคืน อาชาในสภาพสวมแค่กางเกงนอนออกมายืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงขณะตรงข้างเตียงมีเฟยฮวากำลังติดกระดุมเสื้อนอน แต่ก่อนที่ร่างบางจะล้มลงนอนก่อนเพราะอ่อนล้า เผอิญคนยืนนอกห้องดันกวักมือเรียก สองขาขาวยอมเดินไปหาแต่ว่าไม่คิดเปิดประตูระเบียงเพื่อเลี่ยงกลิ่นบุหรี่ที่แพ้
แล้วจู่ ๆ ก็หลุดหัวเราะเพราะเห็นสภาพของกันและกันผ่านกระจกกั้น เนื่องจากทั้งสองคนสวมชุดนอนคู่ กางเกงอยู่ที่อาชา เสื้ออยู่ที่เฟยฮวาและมันดูน่ารักดีเวลาที่ชายหนุ่มตัวสูงขยับเข้ามาใกล้ประตูกระจก คงอยากจูบราตรีสวัสดิ์แต่รู้ว่าตัวเองมีกลิ่นควัน จึงเปลี่ยนเป็นการประทับริมฝีปากบนบานกระจกและยังคงแนบปากรออยู่อย่างนั้น จนร่างบางวางฝ่ามือทับเงาฝ่ามือใหญ่แล้วเงยปลายคางเพื่อประทับริมฝีปากให้พอดีกับอีกคน หลับตาจนเมื่อลืมขนตางอนขึ้นช้า ๆ ก็ยังเห็นใบหน้าหล่อเหลาอยู่อีกด้านนึงของกระจก เฟยฮวาหลับตาลงอีกครั้งตอนรูปปากของคนอีกฝั่งเลื่อนขึ้นจุมพิตตำแหน่งหน้าผาก ก่อนอาชาจะผละออกไปแล้วทำสัญลักษณ์ว่าสูบนิโคตินอีกสักหน่อย ให้ร่างบางไปนอนก่อน
เฟยฮวาหลับไปจนใกล้รุ่งสางถึงได้รู้สึกว่ามีคนนอนกอด ตอนงัวเงียก็พลิกร่างกอดตอบมอบความอบอุ่นให้เพราะในช่วงเวลาเช้า ๆ อากาศจะหนาวมากเป็นพิเศษ เห็นอีกคนตัวเล็กกว่าแต่ก็พอจะฮีตเตอร์เคลื่อนที่ให้ได้ กระทั่งช่วงสายอาชาที่ตื่นก่อนปลุกให้ร่างบางรีบไปอาบน้ำ รับขวัญยามสายด้วยการหอมขมับแล้วกระซิบกระซาบว่าจะพาไปยิงปืน
จนสองชั่วโมงถัดมาเสี่ยวเฟยฮวาก็ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าโต๊ะซึ่งวางปืนสั้นสีดำด้านพร้อมด้วยกระสุนสำหรับซ้อมครบครัน ร่างบางหันหน้ามองคนพูดสลับกับอาวุธอยู่ตลอด อาชาถอดชิ้นส่วนแล้วประกอบเข้าไปใหม่ อธิบายเหมือนง่ายแต่คนฟังก็ส่ายหัวไม่เข้าใจ จนเอ่ยปากไล่ลูกน้องที่ยืนคุ้มกันให้ออกไปก่อน ตอนอยู่สองต่อสองอาจจะสอนอะไรได้ง่ายขึ้น
พ่อค้าอวัยวะข้ามขั้นประกอบปืนไปและให้ร่างบางพอรู้แค่วิธีบรรจุกระสุน แล้วพูดถึงจุดตายยิงยังไงจะไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามลุกขึ้นมาอีก ให้ยิงเข้าที่สมอง ก้านสมองไม่ก็หัวใจ มือใหญ่สวมที่ครอบหูให้เป็นอันดับแรกแล้วสวมแว่นตากันกระสุนดีดกลับมากระแทกตา ก่อนจะหมุนร่างเฟยฮวาให้หันหน้ากลับไปดูเป้าหมายซึ่งไกลออกไปหลายเมตร เป็นกระดาษสีขาวที่มีเส้นวงกลมวาดซ้อนทับกันหลายชั้น โดยทุกรอบวงกลมจะมีตัวเลขคะแนนบอกกำกับ คนเป็นปืนขยับจัดท่าทางให้ซึ่งพอเอาเข้าจริงร่างกายมันก็เกร็งไปเองโดยอัตโนมัติ เฟยฮวาจับปืนอย่างที่คิดว่าถนัดแล้วยืดสุดความยาวแขนไปข้างหน้า
ระหว่างที่เผลอแขนสั่นเพราะความหนัก ร่างสูงโปร่งที่ยืนซ้อนเบื้องหลังก็ช่วยประคอง สองแขนยาวแนบไปกับช่วงแขนสั้นกว่า อาชาที่สวมที่ครอบหูอยู่เช่นกันวางคางพาดบ่าเฟยฮวาเล็กน้อยและคอยตะโกนว่าอย่าเกร็ง ให้เล็งในสิ่งที่เราอยากจะยิง จนเมื่อยิงนัดแรกออกไปแรงดีดทำให้คนยิงเซถอยหลัง แต่ยังโชคดีที่มีอีกคนประคอง ก่อนเสียงตะโกนจะบอกให้ลองอีกครั้ง ตัวเองก็ยืนประกบหลังไม่เหลือสักช่องว่าง
ร่างบางยิงออกไปแต่เพราะเผลอหลับตาเลยกลายเป็นว่าไม่โดนเป้า ทำเอาโดนดุ อาชาดูเป็นจริงเป็นจังจนเฟยฮวายังแอบกลัว แอบมองใบหน้าด้านข้างแล้วรีบหลบตา รีบมองไปทางข้างหน้าทันทีก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับเข้ามายืนซ้อนหลัง วางสองมือรองใต้แขนร่างบางแล้วสั่งให้ลั่นไก กดนิ้วแรง ๆ จนกว่าลูกกระสุนในปืนจะหมด “ยิง!”
เสียงนั้นตะโกนอยู่ข้างหู “ยิง!” และเฟยฮวาก็พยายามตั้งใจยิงจนโดนบ้างไม่โดนบ้าง ซึ่งต่างจากอาชาที่หลังจากสั่งให้ร่างบางไปพัก ตัวเองก็อยากทบทวนฟอร์มซ้อมยิงด้วยปืนกระบอกเดียวกัน
สายตาชื่นชมของเฟยฮวามองตามอย่างทึ่งในความสามารถ กระสุนหกนัดทำเลขสิบบนกระดาษขาดเป็นรูพรุน โดยไม่จำเป็นต้องพูดโอ้อวดแต่อย่างใด พ่อค้าอวัยวะวางปืนแล้วหันกลับมายักไหล่ให้ร่างบาง ก่อนกางวงแขนออกเพื่อบอกให้อีกคนเดินเข้ากอดตนซะดี ๆ แต่คนที่ถูกสั่งด้วยท่าทางก็ส่ายหน้าช้า ๆ ไม่ยอมขยับ
เฟยฮวายิ้มขำเมื่ออาชาทำสีหน้าขุ่นข้องหมองใจ กระทั่งเลิกเป็นฝ่ายเล่นตัว เพราะตอนแรกร่างบางก็แค่กลัวว่าชายหนุ่มจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงจึงแกล้งถ่วงเวลา รอให้จังหวะก้อนเนื้อในอกซ้ายช้าลงก่อน ตอนนั้นเลยกล้าเดินเข้าหา แต่สงสัยชักช้าไม่ทันใจจึงโดนกระชากเข้าไปกอด ร่างบางเผลอมองค้อนตอนอีกคนใช้ความรุนแรง แต่แปลกที่พอได้ลองแนบหูฟัง เสียงดังจากในหน้าอกซ้ายของพ่อค้าอวัยวะก็ชวนให้ระบายยิ้ม เผลอกัดริมฝีปากด้วยความเขินอาย
ยิ่งถอดที่ครอบหูก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวใจกันและกัน …ลั่นสนามยิงปืน
วัน ๆ หยางไอมีงานให้ทำจนล้นมือ ไหนจะถือปืนยิงคน ค้นรายชื่อลูกหนี้รายใหญ่ ตรวจสต็อกสินค้าผิดกฎหมาย พอตกบ่ายก็ต้องพาลูกคุณหญิงไปกินข้าวและยิ้มรับยามคุณแม่พยายามจะถวายลูกสาวให้โดยมีอาเสี่ยลงพุงหนุนหลัง
อยากใช้ลูกเป็นของกำนัลเผื่อการเจรจาค้าขายจะได้ง่ายขึ้น ซึ่งหยางไอก็ยื่นมือจับหลังรับประกันด้วยการร่วมเซ็นสัญญา จะหาเงินทุนให้อีกครอบครัวแลกกับตัวลูกสาวที่มองตาก็เหมือนเข้าใจและหลังจากที่แยกย้าย ให้พ่อแม่กลับแต่ลูกสาวอยู่ต่อก็พอดีกับที่ลูกน้องเคาะประตูห้องเป็นการขออนุญาต “นายครับ” แค่เอ่ยสองคำเป็นอันรู้กันและนั่นทำให้ชายหนุ่มออกปากบอกให้หญิงสาวไปรอที่รถก่อน ตอนคุยธุระเสร็จแล้วจะรีบตามไป ไม่ให้รอนานแน่นอน
“มีอะไร” รอให้หญิงสาวออกไปก่อนแล้วถามขึ้นยืนกอดอกรอฟัง
“ข้อมูลคุณเฟยฮวาที่นายให้ไปสืบ…”
“ตกลงว่ายังไง”
“นายดูเอกสารเองดีกว่าครับ” หยางไอทำสีหน้าหงุดหงิด แทนที่จะพูดมาเลยก็ต้องมาเสียเวลาดึงกระดาษสีขาวออกจากซองน้ำตาล ตอนแรกดวงตาขวางก็แค่กวาดมองแบบผ่าน ๆ จนเจอบานรูปแอบถ่ายในลานจอดรถ
บานแรกเห็นหน้าคนที่ตามหาชัดแต่คนอยู่ด้วยไม่ชัด
จนบานที่สองเห็นใบหน้าของทั้งคู่อย่างชัดและมือกร้านเผลอขย้ำ
กำเป็นก้อนแล้วปล่อยตกลงพื้นขณะนัยน์ตาว่างเปล่า
“มันเป็นใคร ทำไมเฟยฮวาถึงไปอยู่กับมัน” …และทำไมเสี่ยวเฟยฮวาถึงยิ้มให้มันอย่างนั้น
“ชื่ออาชา เป็นเจ้าของธุรกิจค้าอวัยวะเถื่อนในไทยครับ”
“ค้าอวัยวะเถื่อน? ” นึกว่าหูฝาดแต่พอกลับไปอ่านข้อมูลในเอกสารก็ตรงกัน ก่อนจะกัดฟันเอ่ยตามประสาคนพยายามอดกลั้น “ฉลาดเลือกดีนะเฟยฮวา”
การคว้าคนมีอำนาจมาควงคงจะช่วยฉุดดวงชะตาชีวิตขึ้นไปหน่อย แต่ลูกกวางน้อยคงลืมว่าคนที่ต้องต่อกรด้วยก็คือตน คนที่มีนิสัยแสนพยาบาทและจะตามล้างตามเช็ดจนกว่าจะไม่มีที่ให้ร่างบางระเห็จหนีไปไหน ถือคติว่าถ้าฉันไม่ได้ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ คิดจะแย่งก็ต้องตาย
“มันดีกว่าฉันตรงไหนนะ” เดี๋ยวจะทำให้ร่างบางได้รู้ว่าไม่มีใครกล้าพกระเบิดเวลาไว้กับตัวหรอก ร้อยทั้งร้อยก็ต้องออกปากไล่ถ้าคนที่ดันเลี้ยงไว้เป็นบ่อเหตุแห่งความฉิบหาย
เฟยฮวาน่ะดวงกินคนรอบข้าง คนที่อยู่รอบตัวร่างบางน่ะตายห่าทุกคน
“ส่งของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปให้ไอ้อาชา”
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
-
VII
“หมายค้น?”
คนคุยโทรศัพท์ถึงกับทวนประโยคอย่างไม่แน่ใจ พ่อค้าอวัยวะหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นปม
“หมายความว่าไง ในเมื่อฉันก็จ่ายเงินครบทุกเดือน” อาชากำลังหงุดหงิดอย่างมากฟังได้จากน้ำเสียง ก่อนจะจบบทสนทนาด้วยการตัดสายก่อนตอนอีกฝ่ายร่ายเหตุผลยืดยาวจบ
“มีเรื่องอะไรเหรอ” เฟยฮวาที่เดิมทีนั่งอยู่ยังต้องลุกเดินมาดูใกล้ ๆ
“มีปัญหานิดหน่อย” …ไม่หรอก ความจริงมันก็เป็นปัญหาใหญ่ อาชายอมจ่ายส่วยทุกเดือนเพื่อแลกกับความปลอดภัยของกิจการ ถึงอยู่มาได้นาน ตลอดเวลาหลายปีไม่เคยขาดสักสลึงและทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะโอนเงินเข้าบัญชีนายตำรวจท้องถิ่นไป แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับรีบโทรมารายงานว่าจะมีหมายค้น คนใหญ่คนโตมีคำสั่งลงมากะทันหัน ถึงได้โทรมาแจ้งเพื่อต้องการให้เตรียมตัวรับมือ
“งั้นมีอะไรที่ฉันพอจะช่วยนายได้บ้างไหม”
“กลับไปนั่งที่โซฟาแล้วยิ้มสวย ๆ”
“แต่ว่า…”
“ฉันกำลังหงุดหงิดนะเฟยฮวาและฉันไม่อยากพาลอารมณ์เสียใส่นาย”
สายตาอาชาน่ากลัว แผ่รังสีความหัวเสียจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แอเรียโดยรอบ
เฟยฮวายังต้องหอบความห่วงใยกลับไปนั่งที่โซฟาตามคำสั่ง ไม่อยากก่อปัญหาเพิ่ม ซ้ำเติมอีกคนด้วยการทำตัวเกะกะ นัยน์ตากลมทำแค่เฝ้ามอง สังเกตสีหน้าเคร่งเครียดของเจ้านายที่คอยสั่งให้ลูกน้องขนย้ายของจำเป็นไปซ่อน แม้จะเป็นเลขาแต่ร่างบางก็มีหน้าที่แค่นั่งมองความเคลื่อนไหวอย่างเดียว แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องโดยที่ก็ยังไม่รู้ว่าที่อาชาต้องเดือดร้อนก็เพราะตัวเอง
ในยามที่ทุกคนเร่งทำงานแข่งกับเวลาเฟยฮวาว่างมากพอที่จะคิดฟุ้งซ่าน มันสังหรณ์ใจยังไงชอบกล แต่ก็ไม่สามารถหาอะไรมาพิสูจน์ข้อสันนิษฐานว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย ขอภาวนาว่านี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากความปกติ ไม่ได้มีใครแอบอยู่เบื้องหลัง นั่งนึกแล้วหวั่นใจ จู่ ๆ คำว่าหยางไอก็แวบเข้ามาในสมอง
ร่างบางสะบัดหน้าเผื่อว่าชื่อที่ไม่ควรนึกถึงจะหลุดออกไปจากความคิด เปล่าประโยชน์จะนึกถึง จึงหาอะไรทำ เดินเข้ามาถามเสียงอ่อน “นายหิวอะไรไหม เดี๋ยวฉันลงไปหาอะไรให้กิน”
“ขอเบียร์กระป๋องเดียวก็พอ” ใจคอจะไม่มองหน้ากันหน่อยเหรอ ร่างบางแหงนคอแทบเมื่อยแต่คนตัวสูงกว่าก็ยังกวาดสายตามองไปทางอื่น กระทั่งรู้สึกว่ามีคนยืนจ้อง อาชาถึงได้เห็นสีหน้ายุ่ง ๆ ของภรรยา พ่อค้าอวัยวะเกือบถามว่าเป็นอะไร แต่สัมผัสมือที่เอื้อมแตะท่อนแขนตัวเองไว้ก็เรียกความสนใจให้ก้มลงมอง ก่อนจะเงยสบตาเจ้าของมือนิ่มนั้นอีกครั้ง
“ฉันไม่อยากให้นายเครียดนะ” เฟยฮวาเอ่ย ทั้งที่เคยไม่อยากให้อีกคนเรียกว่าเมียสักเท่าไหร่ แต่ในเวลาที่อาชาอาจจะลำบากจนอยากได้เพื่อน เฟยฮวาเลยพยายามเตือนความจำคนกังวลว่ายังมีตนนะ แค่อยากทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยให้เป็นผู้ฟังก็ยังดี “ฉันเป็นเมียนายจำได้ไหม”
ไอ้เราก็นึกว่าไม่สบายตรงไหน อาชาถอนหายใจโล่งอกไปทีระหว่างยินดีรับความห่วงใยนั้นมา เฟยฮวายังเป็นคนที่เหนือความคาดหมายเสมอ จนเมื่อควานมือหากันเจอ ยามสองมือกุมกันไว้ ไหล่กว้างซึ่งแบกภาระหนักจึงค่อยคลายความเกร็ง “ทำไมจะจำไม่ได้ สวยออกขนาดนี้” อาชาพาร่างบางหลีกหนีออกมาจากทางเดินที่วุ่นวาย ให้ลูกน้องจัดการขนย้ายกองเอกสารต่อ ส่วนคนเป็นเจ้านายขอเวลาอ้อนเมียสักแป๊บ นั่งลงบนโซฟาแล้วแนบหน้ากับหน้าท้องแบนราบ อ้อมวงแขนโอบรอบเอวคอด กอดคนที่ยืนวางฝ่ามือไว้บนบ่า
“เป็นห่วงฉันเหรอ” แหงนคอถามแล้วใช้ปลายจมูกโด่งขยี้กับหน้าท้อง ชวนจั๊กจี้จนเฟยฮวาต้องเตือนว่าเราอยู่ข้างนอก ไม่ใช่อยู่สองต่อสองภายในห้องนอน แต่อาชาก็ยังอ้อนต่อไปจนร่างบางจนใจ ยอมยืนให้อีกคนฟัดเพื่อบำบัดความเครียด ส่วนตัวเองก็เปลี่ยนมายืนสร่างผมอีกคนเล่นระหว่างถามในเรื่องที่สงสัย “ปกติเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นบ่อยหรือเปล่า” หมายถึงต้องรีบขนข้าวของออกจากทั้งชั้น ทำเหมือนว่าไม่เคยใช้งานบริเวณนี้
“ไม่หรอก” บอกได้ก็บอก ไม่ถือเป็นความลับมากมาย สุดท้ายพอตำรวจมาตรวจสอบร่างบางก็จะรู้ทุกอย่างอยู่ดี “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกหมายค้น” คนใหญ่คนโตที่ไหนมันเกิดระแคะระคายขึ้นมา แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกันให้มันยกพวกมาตรวจ พอไม่เจอจะได้หน้าแตกกลับไป
“มันจะไม่กระทบกับงานของนายใช่ไหม”
“ถ้าย้ายทุกอย่างทันก็ไม่มีปัญหา”
“แต่หลังจากนี้ตำรวจจะต้องคอยจับตาดูนายแน่” พอแก้ปัญหาตรงนี้ก็ใช่ว่าจะจบเลย เคยดูหนังสายลับตำรวจจะส่งคนมาจับตาดูความเคลื่อนไหวและมันจะยิ่งทวีความเลวร้าย วันใดวันนึงก็ต้องเกิดปัญหาที่สองตามมา “แล้วเราจะทำยังไงกันดี”
“เราเหรอ? นายดูเป็นกังวลกว่าฉันอีกนะเนี่ย”
“เพราะฉันกลัวนายไม่มีเงินเลี้ยงฉันต่างหาก”
“ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วงกันจริง ๆ” เฟยฮวายิ้มอย่างผู้ชนะ โดยมีอาชาคอยส่งสายตาหมั่นไส้ให้ ถ้าไม่ติดว่าคนพลุกพล่านอาจมีการเอาคืนให้สาสม แต่ระหว่างที่สู้รบกันผ่านการสบตา คนไม่รู้อะไรเลยก็ก้าวเข้ามาในห้อง
“เกิดอะไรขึ้นวะ” สหรัฐมีสีหน้าสงสัยยามมองความวุ่นวายภายในห้องสลับกับหน้าคนที่พอจะให้คำตอบได้
“หมายค้น” โดนขัดจังหวะจนเผลอทำหน้าเซ็งและยิ่งเซ็งเข้าไปใหญ่เมื่อร่างบางถอยห่าง เนื่องจากอยากให้มีเวลาคุยกับคุณหมอประจำกิจการดี ๆ “ฉันให้แกลางานตลอดอาทิตย์”
“แล้วรายได้ฉันล่ะ” ถ้าหยุดก็เท่ากับว่าไม่ได้เงิน
“ไอ้หน้าเลือด”
“เงินทองเป็นของนอกกาย แต่ต้องใช้ทุกวันจริงไหมไอ้พ่อค้าตับ”
“รวยแล้วยังจะงกอีก” อาชาฉีกยิ้มเหี้ยมก่อนจะนึกอะไรออก เข็มนาฬิกาบอกเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแต่ว่าหมอผ่าตัดเพิ่งจะเสด็จมาเมื่อกี้ “แล้วนี่เพิ่งจะมาทำงานเหรอ นาฬิกาบ้านแกตายหรือไง”
“สวัสดีครับเฟยฮวา” รู้ว่าจะถูกเล่นงานเลยรีบไหวตัวทันถ่วงที ร่างบางไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะทักทายยังไงตอบจนเมื่อเห็นแววตาชอบใจของคนที่ทักทายก่อน ตอนนั้นเฟยฮวาจึงยิ้มให้ สมรู้ร่วมคิดในการกลั่นแกล้งอาชา “มองนาน ๆ แล้วยิ่งเพลินนะครับ” หมอเถื่อนหยอดอย่างออกหน้าออกตาจนขาคนลุกขึ้นยืนชักกระตุก อาชาลุกขึ้นมายืนบังร่างบาง ยืนกั้นกลางสองสายตาจะได้ส่งหากันไม่ได้
“จะไปไหนก็ไปไอ้หมอเวร” ถ้าเป็นเวลาปกติคงได้มีวางมวย แต่ด้วยเหตุการณ์ ณ ปัจจุบัน พ่อค้าอวัยวะเลยทำมือปัด ๆ เหมือนไล่หมูไล่หมา จะไปตายเอาดาบหน้าที่ไหนก็ไป
“เห็นว่าเครียดอยู่หรอกนะ” สหรัฐไม่ถือสาแล้วถามวกกลับเข้ามาในเรื่องงาน “แกสั่งให้ลูกน้องไปขนของในห้องฉันหรือยัง” ด้วยความที่อุปกรณ์ทางการแพทย์มันมีราคาแพงเลยไม่อยากจะสั่งให้ใครแบกห่ามไปมาสุ่มสี่สุ่มห้า “ยัง รอแกมาคุมเอง”
“ดี งั้นเดี๋ยวฉันไปดูอุปกรณ์ก่อน”
แต่ก่อนหมอเถื่อนจะไป พ่อค้าอวัยวะก็ออกปากรั้งตัวไว้แค่ช่วงสั้นๆ “เย็นนี้ว่างไหมไอ้หมอเวร ว่าจะหาคนช่วยหารค่าเหล้า”
“นัดเวลามา”
“สถานที่บ้านฉัน”
“แต่อาจจะพาคนอื่นไปด้วยนะ”
“ทุ่มนิด ๆ”
“ดีล/ดีล” สองน้ำเสียงเอ่ยพร้อมกันก่อนจะแยกย้ายหันไปทำหน้าที่คนละทิศคนละทาง ส่วนร่างบางพอหลังจากโดนตบก้น คนมีงานเลยสั่งให้ไปนั่งรอแบบสวย ๆ ต้องยิ้มด้วยถ้าเมื่อไหร่หันมามอง แต่เฟยฮวาลองไม่ยิ้มยามอาชามองมา ทำสีหน้าหยิ่งทระนงแล้วยกนิตยสารขึ้นปิดหน้า
กว่าพ่อค้าอวัยวะจะคุมการขนย้ายจนภายในห้องเหลือโซฟาตัวเดียวที่ร่างบางนั่งก็ปาไปหลายชั่วโมงกว่า จนอ่านนิตยสารหมดไปหลายเล่มและเริ่มหิวท้อง เฟยฮวาเอ่ยบอกจะลงไปชั้นล่างอีกครั้งและคนยืนคุยกับลูกน้องก็ไม่ได้รั้งไว้ เห็นว่ายังไงก็อยู่ภายในตึกที่มีคนของตัวเองพลุกพล่าน เฟยฮวาเองก็ไม่ระวังตัวเดินลงชั้นล่างซึ่งเป็นร้านอาหารแล้วเดินเข้าไปหลังครัว ขออาหารอะไรก็ได้ง่าย ๆ สองที่และระหว่างที่รอก็ออกมายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์คิดสตางค์ ร่างบางคุยกับพนักงานหญิงด้วยหัวข้อวันนี้ลูกค้าเยอะไหม ดวงตากลมแค่กวาดมองไปรอบ ๆ แบบผ่าน ๆ
โดยที่ไม่ทันรู้ว่าตัวเองกำลังยืนเป็นเป้านิ่งให้ชายสองคนจ้องมองอีกทอด ก่อนสองแววตาน่ากลัวจะเซหลบยามมีผู้ชายเดินเข้ามากอดเอวเป้าหมาย อาชาลงมาข้างล่างได้เหมาะเจาะพอดี งานข้างบนเหมือนจะเรียบร้อยให้ลูกน้องทยอยขนออกด้วยทางประตูหลังร้าน
พ่อค้าอวัยวะกระซิบข้างกกหูเล็กว่าไปกินอาหารญี่ปุ่นกันและแน่นอนว่าร่างบางต้องทำตามบัญชา ฝากพนักงานขอโทษป้าแม่ครัวอย่างเกรงใจเพราะดันสั่งให้ทำอาหารเก้อ เฟยฮวาไม่ทันอยู่เจอตัวเพื่อขอโทษเองเพราะคนขายาวฉุดมือเร่งให้เดินตาม แล้ววันนี้อาชาก็อาสาเป็นคนขับรถยนต์เอง
ค่อยเหมือนคู่รักคนธรรมดา มีสามีเป็นคนขับ ส่วนภรรยาก็นั่งประจำตำแหน่ง มันเป็นครั้งแรกที่เฟยฮวาไม่เผลอเหม่อมองออกไปนอกรถอย่างโหยหาอิสระ ดวงตากลมหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสารถีตลอดเวลา จนคนรู้ตัวหันมายิ้มให้และนั่นเอาร่างบางยิ่งสบายใจ เฟยฮวาผ่อนคลายและยอมให้อีกคนใช้กระดาษช่วยเช็ดมุมปาก ระหว่างอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นก็คุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระ จนกระทั่งอาชาเอ่ยปากถึงหัวข้อใหม่ “เดี๋ยวคืนนี้นอนที่บ้านนะ”
“บ้านนาย?”
“ใช่ บ้านจริง ๆ ไม่ใช่คอนโด” อาชามีบ้านหลังโตอยู่หนึ่งหลังแถวชานเมืองมหานคร แต่ถามว่าได้กลับมานอนบ่อยแค่ไหน บอกเลยว่าเดือนนึงไม่เกินสองครั้ง “เรียกว่าบ้านร้างน่าจะถูกกว่า”
“นายไม่ค่อยได้กลับมาอยู่ที่นี่เหรอ” เอียงคอมองบรรยากาศนอกหน้าต่างรถอย่างสนใจ กว่าจะฝ่ารถติดออกมาได้ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ ล้อรถมุ่งตรงเข้าสู่เขตตัวบ้านทุกด้านล้อมด้วยรั้วรอบขอบชิด ก่อนชายชุดดำที่ขับรถล่วงหน้ามาก่อนจะวิ่งตามรถนำเข้าที่จอดเทียบบันไดหน้าบ้าน เปิดประตูด้านเฟยฮวาพร้อมกับก้มหัวทำความเคารพอย่างสุภาพหนึ่งที
เฟยฮวายิ้มรับและยืนรอคนที่ลงจากรถอีกด้าน อาชาคุยเรื่องจัดการความเรียบร้อยกับลูกน้องเล็กน้อย จนขายาวก้าวมาเทียบกับคนที่ยืนคอย แล้วค่อยพลางตอบคำถามที่ร่างบางถามค้างไว้
“ไม่ค่อยได้กลับมาหรอก ฉันว่าบ้านมันใหญ่เกินไป”
“แล้วซื้อไว้ทำไม”
“ให้ลูกน้องกับแม่บ้านอยู่” ดูใจบุญสุนทานขึ้นมาแต่ว่าอาชาเองก็พูดความจริงทุกประการเช่นกัน
ก่อนจะเดินนำเข้าตัวบ้านที่ด้านหน้าเป็นประตูไม้สลักขนาดใหญ่ ก็บ้านสไตล์คนรวยอย่างที่นิยายเรื่องอื่น ๆ เคยบรรยายมา มีสองชั้นด้านบนมีปีกซ้ายปีกขวา ตรงกลางมีบันไดให้เดินและเลือกได้ว่าจะแยกไปทางไหน ประยุกต์กันระหว่างสไตล์ไทยกับฝรั่ง บ้านหนึ่งหลังมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน สะอานสะอาดแม้ว่าจะแทบไม่มีคนเข้ามาอยู่บ้านเลยก็ตาม
“คือฉัน …ขอถามเรื่องครอบครัวนายได้ไหม” ร่างบางแค่สงสัยและพร้อมเข้าใจด้วยถ้าอีกคนจะมองด้วยสายตาด่าว่าไร้มารยาท แต่เจ้าของบ้านกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม
อาชาตอบตามความจริง “กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เกิด แล้วนายล่ะ” จงใจถามกลับเพื่อหวังว่าจะได้ความจริงจากริมฝีปากอิ่มเหมือนกัน แต่เฟยฮวานิ่งอยู่นานก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่น “พวกท่านเสียไปนานแล้วล่ะ”
“งั้นแล้วที่ผ่านมานายอยู่กับใคร” ถามน้ำเสียงสบาย ๆ แต่ในเวลาเดียวกันก็ลอบสังเกตอาการอึกอัก
ร่างบางเลือกหลบตาเป็นอันดับแรก แปลกที่ไม่พูดจาฉะฉานเหมือนเดิม เฟยฮวาเริ่มเม้มปากกระทั่งได้ยินเสียงบางอย่างที่พอจะใช้เปลี่ยนประเด็นที่คุย “นั่นเสียงรถนี่ สงสัยหมอมาแล้ว”
“เฟยฮวา” พอร่างบางจะเฉไฉ มือใหญ่รีบคว้าข้อแขนขาวไว้ท่ามกลางการส่ายหน้ากลับ เฟยฮวาไม่ได้ขยับหนี การตอบโต้เดียวที่ร่างบางทำคือการเผยแววตาเศร้า น้ำตาคลอเบ้าเหมือนจะสั่งได้จนพ่อค้าอวัยวะยอมใจอ่อน
ปล่อยไปก่อนตอนสองขาสั้นสับเดินหนีไป
คนเดินหนียังไม่ถึงขั้นน้ำตาไหลแค่นัยน์ตาแดงก่ำจนหมอเถื่อนร้องถามนามเดินสวน เฟนฮวาปฏิเสธว่าไม่ได้เจ็บปวดตามร่างกายตรงไหน ก่อนคนเดินตามมาจะยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าใช่ฉันแกล้งเมียตัวเองจนเกือบทำให้ร้องไห้ สหรัฐเลยย้ายเป้าหมายในการปลอบเป็นการด่า ชี้หน้าอาชาว่าไม่รู้จักเป็นคนอบอุ่นเอาซะเลย
พูดอย่างกับแกเคยมีมุมแบบนั้น เกิดสงครามน้ำลายและดูท่าจะวางมวยในไม่ช้า จนเฟยฮวาต้องพาเด็กชายอีกคนซึ่งติดรถมากับหมอเถื่อนหลบไปก่อน ตอนเห็นสีหน้าเลิ่กลั่กรู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก มะตูมเองก็ยังงง ๆ ยกมือไหว้ร่างบางที่น่าจะอายุมากกว่าอย่างสุภาพ ริมฝีปากอิ่มทำท่าจะถามว่าตัวเองอยู่ไหนขณะเดินเข้ามาในบ้านคนอื่นอย่างเชื่องช้า ไหนหมอบอกว่าจะพาส่งกลับบ้านแล้วตกลงนี่มันบ้านใคร บ้านตนก็ไม่ใช่สักหน่อย
“เป็นน้องชายหมอเหรอ” ร่างเล็กสะดุ้งเล็กน้อยยามคนเดินนำหันกลับมาถามเสียงใส
“เปล่าครับ” มะตูมตอบกลับนำมาซึ่งแววตาสงสัย
เฟยฮวาไม่ได้ตั้งใจจะซักประวัติ แต่ด้วยความที่เราทั้งคู่เหมือนลงเรือลำเดียวกัน ถูกปล่อยให้ยืนคว้างกลางบ้าน ถ้าหันไปอีกด้านจะเห็นว่าสองคนที่ตอนแรกเดินตามเข้ามาได้ย้ายไปนั่งตั้งวงลงขวดกันแล้วตั้งแต่หัววัน
“แล้วทำไมถึงมาด้วยกันกับหมอล่ะ”
“ผมเป็นแม่บ้านน่ะครับ”
“แม่บ้าน? หมายถึงทำความสะอาดบ้านน่ะเหรอ”
“ครับ”
“แปลกดีแฮะ” เห็นร่างเล็กพยักหน้ารับก็ยิ่งแปลก ตอนแรกนึกว่าเป็นพี่น้องเพราะลองได้เดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้แสดงว่าต้องสำคัญ แต่อีกคนดันบอกว่าตัวเองเป็นแค่แม่บ้าน แล้วคนเป็นนายจ้างต้องบริการลูกจ้างดีขนาดนั้นเลยเหรอ
“แปลกยังไงเหรอครับ”
“เปล่าหรอก” ทำให้อยากแล้วจากไป เฟยฮวาแค่โอบไหล่แคบให้เดินไปด้วยกันระหว่างแนะนำตัวว่าชื่อเฟยฮวา สัญชาติจีนแต่พูดภาษาไทยได้ ส่วนมะตูมก็แนะนำตัวเองบ้างถึงจะร่างเล็กแต่ช่วยงานแบกหามได้ ส่วนมากจะเล่าว่าเคยทำงานอะไรมาก่อน ตอนแรกเริ่มด้วยเคอะเขินแต่เผอิญคุยกันถูกคอ พอผ่านไปสักระยะบรรยากาศอึดอัดก็ผ่อนคลาย
กลายเป็นว่านั่งกินขนมเค้กด้วยกัน โดยมีป้าแม่บ้านยกมาเสิร์ฟให้ถึงห้องรับรองแขก แยกมาอยู่กันสองคนจนนาฬิกาประจำบ้านดังลั่นตอนสามทุ่ม หนึ่งหนุ่มด้านนอกจึงเดินเข้ามาหาขณะถือขวดเหล้า สหรัฐไม่ได้เมาเขาแค่มึน ๆ ยังสามารถยืนพูดคุยได้
“ไหนคุณว่า…พี่บอกว่าจะพาผมกลับบ้านไง” มะตูมถามและลุกขึ้นมาคุยด้วยความไวแสง ระหว่างอีกคนมีเจตนาจะหลอกก็ไม่ใช่จะแกล้งก็ไม่เชิง แค่ยกขวดเหล้าให้เด็กน้อยดูรู้นะว่านี่คืออบายมุข “เห็นไหมฉันดื่มเหล้า” กฎข้อห้ามเขาว่าเมาแล้วไม่ขับ
ความจริงขี้เกียจขับรถกลับเพราะยังอยากสนทนาพาทีกับไอ้พ่อค้าอวัยวะ อีกอย่างก็ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะเข้ากับเมียเพื่อนได้ หมอเถื่อนเลยสบายใจไปอีกเปราะถ้าขอให้คืนนี้เฟยฮวาดูแลแทนคงไม่มีปัญหา แต่ดูท่าสิ่งที่จะเป็นปัญหาก็คือตัวเด็กซะเอง
“งั้นเดี๋ยวผมกลับเองก็ได้”
“เดี๋ยวให้ลูกน้องอาชาไปส่งให้แทนก็ได้ครับ”
“เมียฉันนี่หน่อมแน้มจริง” เสียงที่สี่มาพร้อมเจ้าตัว คนเป็นผัวส่ายหัวไปมาเมื่อภรรยาตามอะไรไม่ทันแล้วดันจะพยายามช่วยส่งเหยื่อกลับบ้านอีก “คืนนี้นายนอนที่นี่นั่นแหละ” อาชาย้ำให้เด็กน้อยเข้าใจสถานการณ์ บอกเป็นนัยบอกว่าจะไม่มีใครไปส่งนายกลับบ้านทั้งนั้น
“แต่”
“หรือจะขัดคำสั่งผู้ใหญ่”
และก็เป็นเฟยฮวาที่ใจกล้า “มะตูมก็แค่อยากกลับบ้าน ไม่ได้ขัดคำสั่งใครสักหน่อย”
“ปกป้องคนอื่น เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย” ชี้หน้าคาดโทษสงสัยแอบกรุ่นโกรธตั้งแต่ตอนร่างบางพยายามปิดบังความลับ ฤทธิ์น้ำเมาชักจะทำให้เก่งกับเมีย ต้องได้เคลียร์กันไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง แต่ถึงจะปากไวแต่มือไม้ยังสงบเพราะเข้าใจว่ามีคนอื่นอยู่ร่วมบ้าน แค่หันมาบอกเด็กอีกครั้ง “นอนที่นี่เข้าใจไหม”
“แต่ผมมีบ้านให้ต้องกลับนะ” ร่างเล็กเสียงดังขึ้นมาหน่อยตอนคนไม่คุ้นหน้าหันหลังกลับไป แล้วคนก้าวเดินออกไปก็ตะโกนตอบกลับ “ไม่กลับสักวันบ้านมันก็ไม่หายหรอก”
“ฝากด้วยนะครับเฟยฮวา” สหรัฐที่ยังยืนอยู่ร้องขอให้คนร่างบางช่วย ด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกร่างบางเลยตกปากรับคำบอกจะจัดการให้ ในเมื่อไม่มีใครยอมไปส่ง จะปล่อยให้เด็กกลับคนเดียวกลางค่ำกลางคืนก็คงไม่ดี
“ไปเถอะมะตูม ข้างบนน่าจะยังมีห้องว่างอยู่นะ”
เจ้าของชื่อเกือบจะแย้งอีกให้ได้ แต่สุดท้ายก็ปิดปากเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของเฟยฮวา แค่ไม่ยอมมองหน้าตอนเดินผ่านจนสหรัฐคิดว่าร่างเล็กคงงอน แต่เอาไว้ตอนก่อนนอนเดี๋ยวจะขึ้นไปง้อ ขอเวลาสังสรรค์ตามประสาผู้ชายที่ห่างหายจากน้ำอำพันมานาน มัวแต่ทำงานจนแทบลืมรสชาติความขมพร่าไปแล้ว
ด้านล่างมีคนสองคนกำลังชนแก้ว ส่วนด้านบนมีคนที่กำลังเลือกห้องให้แขกนอนสักห้อง เฟยฮวาออกตัวว่าเขาไม่ใช่เจ้าของบ้านตัวจริงหรอกนะ นี่ก็เพิ่งเคยมาครั้งแรกเหมือนกันจึงพาเดินออกห้องนั้นพาเข้าห้องนี้ จนมาจบที่ห้องทางด้านปีกซ้าย มีเตียงขนาดใหญ่และสะอาดพอสำหรับนอน ร่างบางให้ร่างเล็กนั่งรออยู่บนเตียงก่อน ส่วนตัวเองก็เอื้อมมือเปิดตู้เสื้อผ้า จะหาผ้าขนหนูหรืออะไรก็ได้ให้อีกคนใช้เช็ดตัวหลังจากอาบน้ำเสร็จ กระทั่งมะตูมเห็นมือขาวปิดประตูตู้และในมืออีกข้างถือผ้าขนหนูแล้วหันกลับมา หวังจะชวนคุยเพื่อฆ่าเวลาแต่ว่าดันเปิดประเด็นอะไรก็ไม่รู้
“ที่ผู้ชายคนนั้นพูดว่าเมีย…”
“อาชาน่ะเหรอ ดูเป็นคนหยาบคายใช่ไหมล่ะ” เฟยฮวาไม่ถือสาที่เด็กชายสนใจเรื่องของผู้ใหญ่ ความจริงมะตูมก็ไม่ใช่เด็กทารกที่อ่อนต่อโลก คงจะเคยเจอคำศัพท์พวกนี้มาแล้ว ถึงแววตาจะซื่อแต่คงรู้ว่าอะไรคือผัวอะไรคือเมีย “หมอนั่นน่ะปากร้าย แต่ลึก ๆ แล้วใจดีนะ”
“แต่ผมเห็นเขาดุคุณ ทะเลาะกันเหรอครับ” มะตูมตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน ก่อนเฟยฮวาจะเป็นฝ่ายหัวเราะน้อย ๆ ขณะยื่นผ้าขนหนูให้ก็คอยตอบคำถามไปด้วย
“ก็ฉันดันไม่บอกความจริงกับเขาไปน่ะสิ”
“แล้วทำไมไม่บอกเขาไปล่ะครับ”
“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่พร้อมจะรับฟังในสิ่งที่เราต้องการบอก แถมบอกไปแล้วก็ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง เขาอาจจะสมเพชเวทนาหรือแย่กว่านั้นอาจถึงขั้นขับไล่ไสส่งฉันออกไปจากชีวิตเลยก็ได้”
“เรื่องที่คุณปิดบังไว้มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“ไม่รู้เหมือนกันสิ แต่นายรู้ไว้แค่ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีก็พอ” คนอายุเยอะกว่ายิ้มเพื่อให้คนอายุน้อยสบายใจ “เอาล่ะ ไปอาบน้ำได้แล้ว” ก่อนฉุดร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืนแล้วดันแผ่นหลังให้ออกเดิน
“แต่เรื่องบางเรื่องก็ต้องลองดูนะครับ ลองบอกไปเราถึงจะรู้ว่าเขาพร้อมจะอยู่ข้างเราหรือเปล่า”
“เอาไว้ฉันกล้าเมื่อไหร่แล้วจะลองดูนะ”
“ผมว่าคุณทำได้”
“เข้าไปอาบน้ำได้แล้ว” เฟยฮวาตัดบทสนทนาด้วยการส่งร่างเล็กเข้าห้องน้ำที่มีอยู่ในตัวห้องนอนแล้วปิดประตูให้ ร่างบางยืนถอนหายใจขณะที่มือยังกุมลูกบิดเอาไว้อยู่
ใช่ว่าไม่อยากรู้ว่าอาชาจะใช่คนที่พร้อมอยู่เคียงข้างหรือไม่ ความหวังเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้ามีมากไปก็อันตราย ยิ่งคลุกคลีด้วยกันนานไปก็ยิ่งกลัว เป็นครั้งแรกที่เริ่มกลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวชายหนุ่มจะเปลี่ยนไปถ้าได้รับรู้ความจริง
“มายืนทำอะไรตรงนี้” กลิ่นเหล้าคลุ้งมาพร้อมน้ำเสียงคุ้นเคยทำเอาร่างบางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เฟยฮวารีบหันหลังกลับภายในอ้อมกอดแน่นหนาก่อนจะเห็นผิวหน้าพ่อค้าอวัยวะแดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ พออีกคนผลูลมหายใจก็ได้กลิ่นบุหรี่ผสมกับความมึนเมามาด้วย “นายเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วหมอล่ะ”
“มันกำลังเดินตามขึ้นมา” อาชาหลับตานึกว่ากำลังหลับกลางอากาศ ก่อนลืมตาและดันร่างบางเข้าพิงผนัง จนเฟยฮวาจำเป็นต้องตั้งการ์ดเอาฝ่ามือดันอกคนเมาไว้ ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนและมันไม่เหมาะแน่ถ้าคนในห้องน้ำเดินออกมาเจอภาพผู้ใหญ่กำลังทำเรื่องไม่ดี
“งั้นเดี๋ยวฉันพานายไปนอนก่อน โอเคไหม”
“ไม่โอเค” อย่างกับเครื่องตอบอัตโนมัติ เอ่ยสวนทันควันแล้วค่อยเริ่มก้มหน้าก้มตา
เหมือนจะเมาแต่เอาเข้าจริงก็ยังมีสติพอจะละเลงริมฝีปากทั่วลำคอระหง อาจจะหลงลืมไปบ้างว่าอะไรควรอะไรไม่ควรเมื่อเห็นผิวขาวเย้ายวนใจ แต่ก็ถูกห้ามไว้ด้วยเสียงหวาน เฟยฮวากำลังหาแผนจัดการคนที่พอเมาก็ชักเดาอารมณ์ยากอยู่ “เดี๋ยวมะตูมออกมาเห็นนะ”
“เจอเด็กนั่นแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ดูห่วงกันจังเลยนะ”
“ฉันห่วงนายมากกว่า”
“ทำเป็นพูดดี พูดให้ฉันดีใจเล่นจะได้ไม่หาเรื่องต่อใช่ไหม”
“นายเมาแล้วนะ”
“แล้วไง เมาแล้วทำไม” เมาแล้วก็ดูร้ายกาจขึ้นเป็นกองยังไงล่ะ
นัยน์ตาติดขวางหลุบตามองร่างบางอย่างกับจะหาเรื่องและจะไม่มีวันหายเคืองถ้าเฟยฮวาไม่เล่าเรื่องที่ปิดบังไว้
ต่อให้ต้องทำตัวเลวทรามก็จะเค้นความลับมาให้จงได้
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
-
โอ้ยค้างมากกก เฟบฮวารีบบอกไปเลย จะได้ตั้งมือรับกันทัน สงสารน้อง ฮือ ;_;
เป็นกำลังใจให้คุณตุ๊กติ๊กนะคะ เรารออ่านอยู่เสมอ :katai2-1:
-
ความเคะราชินีนี้ :pighaun:
-
สนุกค่ะ
ความสัมพันธ์ความรู้สึกของเฟยฮวากับอาชาไปเร็วมาก
แต่ทั้งสองคนหวานกันแล้วมันดี
ิอยากให้เฟยฮวาเล่าให้อาชารู้ อาชาจะได้เตรียมรับมือทัน
นังหยางไอดูน่ากลัวมาก
:pig4:
-
ติดตามค่า สนุกมากกก :impress2:
-
สนุกมากกกก ชอบแนวนี้เวลาคนถ่อยเขาทำตัวหวานนี้มันน่ารักเนอะะ
มาต่อเร็วๆนะคะ
-
โอ้ยทำไมมันละมุนนนนเบอร์นี้ :-[
-
ติดตามค่าา :impress2:
-
VIII
การทรมานเป็นวิธีตั้งแต่โบราณกาลเก่า
เอาไว้ใช้เมื่อยามต้องการคำตอบแต่อีกฝ่ายดันไม่ยอมปริปาก
อยากรู้ก็ถามแต่พอไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควรจึงสวมบทตำรวจเลวตอนสอบปากคำ ทำตัวทรามพยายามเค้นคอด้วยเซ็กส์ แต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าอาชาใช้กำลังเข้าข่มเหงคนอ่อนแอกว่า เฟยฮวาเองก็สมยอมให้สัมผัสอย่างจวบจ้วง ปล่อยให้ล้วงเกินด้วยความรุนแรงกว่าทุกครั้งโดยไม่มีปริปากบ่น เพียงเพื่อให้อีกคนพอใจแลกกับการไม่ต้องคายความลับ
แต่การไม่ห้ามยิ่งทำให้พ่อค้าอวัยวะงุ่นง่านจนเผลอบันดาลโทสะ เคลื่อนสะโพกด้วยความเกรี้ยวกราด จนสุดท้ายแล้วความเสียวซ่านก็แทนที่ด้วยความปวดหนึบ ร่างบางแทบลืมหายใจตอนร่างกายไหวโยกอย่างหนัก ศีรษะโขกกับหัวเตียงท่ามกลางเสียงเนื้อกระทบเนื้อนับครั้งไม่ถ้วน การปะทะอย่างฉุนเฉียวทำเอารวดร้าวทั้งสองขาที่เกี่ยวกวัดเอวสอบ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ยอมขอร้องให้หยุดกระทำการคุกคาม แบกรับความป่าเถื่อนโดยดุษฎี
อาชาที่ใกล้สร่างเมาเฝ้าประเคนสัมผัสอย่างดุเดือด เลือดขึ้นหน้าองค์ปีศาจประทับ หวังให้ร่างบางร้องขอความเมตตา จะปรานีถ้ามีข้อแลกเปลี่ยน แต่ดันเจอคนใจเด็ดกว่า แผนรีดความจริงจึงล้มไม่เป็นท่า คลุ้มคลั่งอยู่คนเดียวจนเริ่มล้าและกลายเป็นว่าแพ้ภัยตัวเองจนเลิกทำไปเองโดยอัตโนมัติ เปล่าประโยชน์จะลงโทษด้วยความทรมาน เพราะมันเหมือนทำร้ายตัวเองเช่นกัน พ่อค้าอวัยวะเลิกขยับกลางคัน แล้วหันมาใช้วิธีสนทนา “มันลึกลับขนาดบอกฉันไม่ได้เลยหรือไง” ไม่น่าเชื่อว่าตนจะรู้สึกน้อยใจกับเขาเป็นด้วย นอกจากน้อยใจก็ยังคิดว่าตัวเองไม่สำคัญขนาดที่จะต้องรับรู้
เฟยฮวาดูออกว่าอีกคนกำลังคิดมาก “ฉันยอมให้นายทำรุนแรงกับฉันดีกว่าให้นายตัดขาดฉันออกไปจากชีวิต”
“ฉันคงทำให้นายมั่นใจไม่พอสินะ” วกกลับมาโทษตัวเองหน้าตาย ลืมไปเวลาแค่ไม่นานคงไม่สามารถซื้อความมั่นใจจากใครได้ ก็ไม่แปลกที่อีกคนทำ เป็นตัวเองต่างหากที่กำลังล้ำเส้น อารามน้อยใจก็ยกทุกเหตุผลมาข่มตน
“มันไม่ใช่ความผิดของนายนะ”
“ฉันจำได้ว่านายเป็นเมียฉัน แล้วนายล่ะจำได้ไหมว่าฉันเป็นใคร”
เฟยฮวาเงียบไป ผลูลมหายใจอย่างอ่อนล้า แววตาท่อประกายสับสน อยากจะขอเวลาอีกคนอีกสักนิด
“นานแค่ไหน… ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่านายจะเชื่อใจฉัน” ถ้าไม่นานขนาดทั้งชีวิตจะได้รอ บวกกับที่ขอเวลาจากคราวก่อน บอกมาเลยว่าต้องรอไปถึงตอนไหน อย่างน้อยให้มันมีจุดหมายปลายทาง
ร่างบางใจชื่นขึ้นมาเมื่อเข้าใจว่าพ่อค้าอวัยวะกำลังพยายามผ่อนผันให้ “ไม่นานหรอก” มือเรียวประคองแก้มกร้านไว้ เป็นอาชาที่เอนใบหน้าซบฝ่ามือนิ่ม จนเฟยฮวานอนอมยิ้มแต่พอลองขยับตัวก็ต้องเม้มริมฝีปาก “มันเจ็บนะ” หมายถึงการร่วมเพศที่ผ่านมา อาชาหน้าเจื่อนก่อนจะเคลื่อนแก่นกายออกด้วยความระมัดระวัง ถ้าบอกว่าไม่ได้ตั้งใจก็ดูจะเป็นการแก้ต่าง เพราะเจตนาแรกกะใช้การบังคับขืนใจเป็นเครื่องมือในการรีดความลับจริง ๆ
“ฉันขอโทษ”
“ถ้าอ่อนโยนก็ไม่ใช่นายอยู่ดี”
“พูดแบบนี้เดี๋ยวก็โดนอีกหรอก”
“ฉันเชื่อใจนายนะ”
“ทีอย่างนี้ละทำมาเป็นพูดดี” บดบี้ปลายจมูกตนกับปลายจมูกมนด้วยความมันเขี้ยว
ก่อนสองริมฝีปากจะคาบเกี่ยวกันอย่างเชื่องช้า ประทับจุมพิตด้วยความสโลโมชั่น ขาดความมั่นใจแต่แฝงไปด้วยความเร้าหรือ ไม่หวือหวาแต่ว่าวาบหวาม ไล่งับความยืดหยุ่นเป็นนานก่อนจะหยุดความเนิบนาบไว้เพื่อส่งสายตาหากัน หน้าผากดันหน้าผากอย่างหยอกล้อ แล้วประกบจูบต่ออย่างรวดเร็วและร้อนแรง คราวแรกแสดงออกอย่างรู้สึกผิดที่ทำร้าย เมื่อมั่นใจว่าอีกคนไม่ถือโทษ คราวสองจึงบดเบียดกลีบปากอย่างหนักแน่น ทำให้น้ำลายสองสายแปดเปื้อนทันที อาชาดูดดุนริมฝีปากอิ่มจนช้ำ ขึ้นสีแดงก่ำแต่พอยามคลายก็สลายเป็นสีชมพูจาง ๆ เฟยฮยาทำอย่างเดียวกัน ผลัดเปลี่ยนเพื่อละเลียดรสชาติที่ขาดไปคงขาดใจ แต่ก่อนที่จูบนี้จะเลยเถิดไปไกล ร่างกายจำเป็นต้องพักจึงต่างก็ยอมถอยห่าง
“พรุ่งนี้เป็นไง” ร่างบางขอความเห็นว่าถ้าทนรออีกสักวันจะเป็นยังไง “แล้วฉันจะเล่าทุกอย่างให้นายฟัง”
อาชาพยักหน้าว่าได้ อีกวันเดียวยังไงก็รอไหว คำพูดของเฟยฮวาช่วยลบล้างความน้อยใจจนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงความอ่อนโยน ไถ่โทษด้วยการรั้งร่างบอบบางขึ้นมานั่งอย่างทะนุถนอมแล้วมอบอ้อมกอดให้เป็นของแถม
เนื่องจากเหนียวตัวเฟยฮวาจึงขอตัวไปอาบน้ำ ขณะอาชาแยกตัวออกมาดื่มด่ำกับบุหรี่ที่ระเบียงบ้าน แต่ยังไม่ทันจะจุดสูบ ลมวูบหนึ่งก็พัดพาความคิดบางอย่างมา เป็นเหตุให้ลดระดับมวนบุหรี่ลงข้างตะเข็บกางเกงตัวยาว ทอดสายตาไปไกลยามเจอเป้าหมายใหม่ ตอนที่ร่างบางก้าวออกมาจากห้องน้ำพร้อมสภาพชุดนอนตัวใหญ่ก็เห็นพ่อค้าอวัยวะกำลังเอนกายพิงหัวเตียง โดยบนตักมีโน้ตบุ๊กกำลังเปิดใช้งาน แสงสว่างสาดเข้าหน้า สะท้อนในดวงตาเป็นรูปหน้าจอสี่เหลี่ยม
“ทำอะไรอยู่เหรอ” เฟยฮวาคลานเข้าหาอาชาที่เหลือบตามองเล็กน้อย พ่อค้าอวัยวะปล่อยให้ร่างบางเอาหัวลอดวงแขน เพื่อเอนหัวซบอกระหว่างมองหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งปรากฏตารางตัวเลขมากมาย เห็นแล้วลายตาสู้ชิงหลับก่อนน่าจะดีกว่า เฟยฮวาที่เพลียจัดหลับไปทั้งอย่างนั้น พาดศีรษะกับร่างกายใหญ่ ท่าทางมันก็ไม่ได้สบายแต่เพราะอยากอยู่ใกล้อีกคนให้นอนตรงไหนก็ทนได้ อาชาก้มลงมองเพื่อเช็กให้มั่นใจว่าร่างบางหลับลึก ถึงได้เปลี่ยนจากหน้าบัญชีเป็นหน้าเว็บไซด์ที่เปิดค้างไว้ ใจความของประโยคค้นหาคือวิธีลดละเลิกบุหรี่อย่างเด็ดขาด
ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่รู้สึกอยากลงหลักปักฐานกับใครสักคนและไม่รู้เลยว่าตนจะมีศักยภาพพอที่จะทำเพื่ออีกคนมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่ทำวันนี้ก็ไม่รู้จะเริ่มเมื่อไหร่ เหมือนเวลาจะขายความเชื่อใจก็ต้องทำให้ลูกค้าเชื่อใจเสียก่อน
แถมถ้าเป็นมะเร็งปอดตายแล้วใครจะอยู่กับร่างบาง
ก็แค่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลง แสดงให้เห็นว่าฉันเป็นที่พึ่งของนายได้เสมอ
เสียงเตียงเคลื่อนเงียบไปแล้วพักใหญ่ แต่เสียงแว่วในหูยังทำงาน
ผนังที่บางสร้างความอึดอัดให้กับแขกร่วมบ้านที่ต่างฝ่ายต่างนอนตาค้าง ตอนแรกก็คิดว่าเพราะไม่คุ้นที่คุ้นทาง แต่ที่ไหนได้เพราะเสียงแปลก ๆ จากห้องข้าง ๆ ต่างหากที่เล่นเอาซะหลับไม่ลง สงสัยจะลืมว่าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง
มะตูมเขยิบตัวนอนชิดริมเตียงฝั่งซ้าย ความจริงถ้าลงไปนอนพื้นห้องได้ก็คงทำ แต่ด้วยความกลัวว่าอีกคนจะเข้าใจผิดคิดว่ารังเกียจเลยยอมนอนร่วมเตียงระหว่างได้ยินเสียงประหลาด อาจเป็นแค่เยาวชนแต่ก็เข้าใจ
เข้าใจพอ ๆ กับคนข้างกายที่นอนสอดแขนไว้ใต้ท้ายทอย ตอนที่เข้ามาในห้องใหม่ ๆ สหรัฐกำลังรอเด็กน้อยอาบน้ำจนเผลอหลับไปด้วยความมึนเมา ว่าจะแค่เข้ามานั่งคุยด้วยและปรับความเข้าใจ แต่ก็กลายเป็นล้มตัวลงนอนถอดเสื้อเชิ้ตออกเพราะร้อน นอนแผ่อาณาเขตภายใต้บรรยากาศแอร์เย็น ๆ จนมารู้ตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่มีแรงเขย่าแถวข้อขา
หมอเถื่อนเห็นสายตาหวาดระแวงชัดเจน โดดเด่นจนต้องรีบยกมือยกไม้ปฏิเสธว่าไม่ได้คิดอกุศลอันใด แต่ระหว่างที่กำลังอธิบายถึงความเป็นมาให้คนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จฟัง จู่ ๆ เสียงบางอย่างที่ทำเอาใบหน้าร้อนฉ่าก็ดังขึ้นขัดจังหวะ จำได้ว่าตอนนั้นรีบเสหลบตากันไปคนละทิศคนละทาง เรื่องที่เคยพูดค้างไว้เป็นอันจบ
ร่างเล็กรีบเดินไปนั่งอีกฝั่งของเตียง ส่วนสหรัฐก็เลี่ยงออกมา มองไปที่ผ้าม่านหน้าต่าง จนเมื่อบรรยากาศกระอักกระอ่วนได้ที่ คนที่อายุน้อยกว่าก็บอกว่าจะนอนแล้ว เป็นเหตุให้หมอเถื่อนดีดตัวลุกขึ้นยืน ยิ้มฝืดตอนบอกว่าจะไปนอนอีกห้อง แต่มะตูมลองคิด ๆ ดูแล้วก็เข้าใจว่าห้องที่ใช้นอนได้มีเหลืออยู่ไม่มาก ก่อนปากจะไวเท่าความคิด คนตาโตชวนอีกคนนอนด้วยกัน เตียงขนาดหกฟุตก็ออกจะกว้างความจริงน่าจะนอนได้ตั้งเกือบสามคน
ปันจุบันถึงได้อยู่บนเตียงเดียวกัน
“ไอ้เวร…” สหรัฐกัดปากแล้วรีบแก้ตัวกลัวร่างเล็กจะเข้าใจว่าตนด่า “ฉันด่าไอ้อาชามันน่ะ” บ้ากามแล้วยังนำความเดือดร้อนมาสู่เพื่อน ต้องค่อย ๆ เลื่อนผ้าห่มมาปิดเป้า สหรัฐเป็นผู้ชายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร
เรื่องอย่างว่าแน่นอนว่าก็เคยมีอยู่และรู้นะว่าอารมณ์หลังจากที่ดื่มเหล้าเข้าไปมันจะไม่นิ่ง ยิ่งดื่มเยอะสภาวะจิตใจยิ่งเปลี่ยวขณะเหลียวไปทางขวาก็เจอคนตัวเล็กนอนด้วยท่าคดตัวหันตะแคงข้าง เห็นแค่แผ่นหลังยังจินตนาการใบหน้าออก ไม่บอกก็รู้ว่าร่างเล็กกำลังนอนหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศ เห็นนิ่งแต่ชายหนุ่มก็รู้ว่ายังไม่หลับและมะตูมก็ขยับร่างกายเล็กน้อย ค่อย ๆ ยืดขา เมื่อยเพราะนอนท่าเดิมมาเป็นเวลานาน ยังไม่มีการเริ่มพูดคุยแต่อย่างใด
กระทั่งหมอเถื่อนคิดว่าปล่อยไว้ชักไม่ได้การ ลุกขึ้นมานั่งใส่เสื้อกะทันหัน ว่าจะหาทางขจัดเสียวแว่วในหู
“ฉันว่าจะลงไปข้างล่าง อยากลงไปด้วยกันไหม เผื่อนายต้องการอะไร”
“ผมเองก็หิวน้ำพอดี” ร่างเล็กคิดว่าดื่มน้ำดับความฟุ้งซ่านก็เข้าท่าเหมือนกัน ออกจากห้องจะได้หายอึดอัด มะตูมลุกขึ้นเห็นสหรัฐยืนติดกระดุมเสื้อพอดี ก่อนจะชี้ว่าติดผิดนะ กระดุมที่สองไปอยู่ที่รังดุมที่สาม มันสลับที่กัน หมอเถื่อนที่ออกอาการอายจึงรีบจัดการตัวเองและเป็นฝ่ายเดินนำอีกคนออกจากห้อง
บ้านคนมีเงินไม่ต้องกลัวว่าจะเดินตกบันไฟ เพราะดวงไฟถูกเปิดทิ้งไว้ตามจุดต่าง ๆ จะเดินไปทางไหนความสว่างไสวก็ตามไปด้วยทุกย่างก้าว พอเดินลงมาถึงชั้นล่างมะตูมก็เดินตามเข้ามายังห้องครัวและถือวิสาสะหาน้ำดื่มตามใจชอบ ยืนเกาะขอบตู้เย็น จนเมื่อดื่มเสร็จก็ปิดประตู แต่เพราะจู่ ๆ หมอเถื่อนก็มายืนเต๊ะท่ากอดอกอยู่ข้าง ๆ ร่างเล็กจึงตกใจ
คิดว่าบางทีอาจจะกระหายน้ำเช่นกันจึงยื่นแก้วให้ สหรัฐรับแก้วไปถือไว้แล้วรอให้อีกคนรินน้ำจนค่อนแก้ว แล้วถึงยกดื่มวันช็อต ภายในมันร้อนจริง ๆ ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานได้
“ไปหาหนังดูกันดีกว่า” หมอเถื่อนว่าขณะก้าวถอยหลัง ระหว่างนั้นก็มองหน้าร่างเล็กที่กำลังเดินตาม
“พี่เคยมาที่นี่บ่อยเหรอ” มะตูมถามกลับ เพราะอีกคนพูดเหมือนรู้ว่าจะหาหนังดูได้จากที่ไหน
“ไม่บ่อยแต่ก็เคย แค่มาเมาที่นี่อยู่ไม่กี่ครั้ง”
“แล้วรู้จักกับผู้ชายคนนั้นได้ยังไงเหรอครับ คนที่เป็นเจ้าของบ้านน่ะ”
“อ๋า นายคงยังไม่รู้จักไอ้อาชามัน หมอนั่นก็เจ้าของธุรกิจค้าอวัยวะไง ที่นายเคยจะเอาตาไปขายจำได้ไหม” ร่างเล็กพยักหน้ารับเพื่อบอกว่าจำได้ “แต่เขาดูอายุน้อยกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก”
“หน้ามันเด็กแต่อายุไม่เด็กแล้วล่ะ” ถ้าเด็กน่ะมันจะทำเรื่องอย่างว่าบนบ้านแบบนั้นเหรอ
“พี่ก็เลยรู้จักกับเขาเพราะทำงานด้วยกันใช่ไหม”
“ก็ไม่อยากรู้จักหรอกแต่มันจำเป็น” ทำหน้าเซ็งซะสมจริงจนร่างเล็กเกือบหลงเชื่อ จนเมื่อพอใจในการแกล้งก็แค่เฉลยด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ฉันล้อเล่น ความจริงฉันเป็นหมออยู่ที่นั่นก็ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เปิดกิจการนั่นแหละ ทำงานทุกวันนอกจากคนที่ต้องผ่าก็เจอแต่หน้ามันเนี่ยแหละ”
สหรัฐเอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายและได้เวลาถามกลับ “แล้วนายล่ะ ถามฉันซะเยอะ เคยคิดจะเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังบ้างไหม” แถมกึ่งบังคับให้ตอบ “เริ่มจากเรียนที่ไหนก่อนก็ได้”
“ผมไม่ได้เรียนแล้ว ผมจบแค่มอสาม” พูดความจริงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ทำไมล่ะ” แต่กลายเป็นหมอเถื่อนที่สงสัยก่อนจะร้องอ่อในใจเมื่อเข้าใจว่าสถานะทางการเงินของร่างเล็กคงมีปัญหา “แล้วไม่อยากเรียนต่อเหรอ หมายถึงถ้ามีเงินจะยังอยากเรียนหนังสือต่อไหม”
“ผมเอาเงินก้อนนั้นไปทำอย่างอื่นดีกว่า”
“เป็นประเภทรักคนอื่นมากกว่าตัวเองสินะนาย” คำพูดไม่กี่คำก็ทำให้รู้แล้วว่าคนตรงหน้าเป็นคนยังไง มะตูมเป็นเด็กใจดีและซื่อตรง “แล้วตอนนี้อยู่กับใคร พ่อแม่ ตายายหรือคนเดียว?”
“พ่อครับ”
“งั้นพ่อทำงานอะไรล่ะ” คงมีแค่เรื่องบิดาเรื่องเดียวที่ยังไม่กล้าเอ่ยถึง แสดงอาการอึกอักอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ตอนนั้นเป็นคนบอกเฟยฮวาว่าให้ซื่อสัตย์ด้วยการบอกความจริงไป แต่พอถึงคิวตัวเองร่างเล็กกลับทำไม่ได้อย่างปากว่า จนสหรัฐเอ่ยขัดขึ้นมา “ยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร” เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะไม่กล้าเล่าทุกอย่างให้คนไม่สนิทรู้ หมอเถื่อนเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องต้องใช้เวลาเรียบเรียงอยู่นานพอสมควร อีกอย่างเรื่องที่ถามมันก็ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร ข้ามไปก่อนก็ได้
“แล้วงานทำความสะอาดห้องฉันน่ะไหวไหม อยากได้เงินเป็นรายเดือนหรือรายวัน”
“รายวันครับ”
“งั้นฉันแถมค่าข้าวสามมื้อต่อวันให้ด้วย”
“ทำไมพี่ถึงใจดีกับ …!!”
เครื่องหมายอัศเจรีย์เอาไว้ใช้ตอนที่เกิดเรื่องน่าตกใจและต้นเหตุนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น สหรัฐเป็นคนที่ยื่นมือคว้าข้อแขนเล็กเพื่อหวังใช้เป็นหลักยึดยามที่ตัวเองจะล้มลื่นเพราะสะดุดพื้นพรม โดยลืมไปว่ามะตูมมีความสูงเกินเด็กประถมไม่เท่าไหร่และไม่น่าจะเป็นฐานยึดอันแข็งแรง จึงไม่แปลกที่สุดท้ายการขอความช่วยเหลือจะกลายเป็นการพาฉุดกันล้ม
บนพื้นพรมบริเวณทางเดินก็กำลังเกิดแอคซิเดนไม่คาดฝัน
คนตัวใหญ่อยู่ด้านล่าง คนตัวเล็กอยู่ด้านบน ขณะริมฝีปากชนกัน
องศาสองใบหน้ามันพอดิบพอดียามที่สองดวงตาเบิกกว้าง อย่างกับโดนสต๊าฟ ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนไปไหน มือไม้เก้ ๆ กัง ๆ ก่อนจะเป็นร่างเล็กที่รีบลุกออกจากร่างตรงหน้าด้วยความรีบร้อน มะตูมนั่งแก้มร้อนอยู่บนพื้นขณะหันหน้าไปทางอื่น ไม่คิดยื่นมือช่วยคนที่ต้องพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเองพร้อมสติสตางค์ที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง หมอเถื่อนเกือบจะถามว่าเมื่อกี้นายพูดอะไรค้างไว้นะ เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกคนลุกขึ้นยืน
“ผมว่าเราขึ้นไปนอน…” ตอนแรกจะเอ่ยปากชวนโดยไม่คิดอะไร แต่พอคิดไปถึงอุบัติเหตุเมื่อครู่ หูก็เกิดแดงขึ้นมา ขาสั้นรีบเดินออกไปจากบริเวณทันที ไม่มีรอหมอเถื่อนที่ยังนั่งหน้ามึนอยู่กับพื้นก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ เผลอตัวใช้มือลูบริมฝีปาก ไม่นึกว่าฉากสะดุดจะเกิดกับตน แล้วสหรัฐก็ไม่รู้ว่าฉากสะดุดเนี่ยแหละที่ทำให้คนรักกันมานักต่อนัก
“พวกไม่ได้เรื่อง!” ถึงขนาดชี้เบาะแสแต่พวกตำรวจก็ยังทำงานพลาด หลักฐานในประวัติคนประกอบกิจการก็ออกจะชัดเจนแต่กลายเป็นว่าไม่เจอไม่เห็นอะไร ไม่แม้แต่จะเอาผิดได้สักอย่าง
อย่างกับพวกเตรียมตัวมาดี หยางไอเชื่อว่าอาชามีสายคอยรายงานความเคลื่อนไหว
พ่อค้าเงินกู้เจ็บใจที่สุดท้ายก็ได้รู้ว่ากำลังเจอกับคนศีลเสมอกัน ตอนแรกนึกว่าจะเป็นแค่เห็บหมัดที่เขี่ยด้วยรองเท้าก็กระเด็น แต่ถ้าเป็นแบบนี้ดูท่าจะไม่ง่าย เฟยฮวาไม่ได้เลือกใครมั่วซั่วและเลือกจะคั่วกับคนมีอำนาจทัดเทียมตน
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ท่อนแขนยาวกวาดข้าวของบนโต๊ะทำงานล้มระเนระนาด หัวเสียเมื่อไม่มีใครทำงานได้ตามสั่งและเมื่อจัดการทางอ้อมไม่ได้ก็ต้องเอาทางตรง มันคงจะดีกว่าถ้าไปให้เห็นกับตา เผื่อจะได้ประเมินขนาดตัวคู่ต่อสู้ถูก อีกอย่างก็คิดถึงลูกกวางใจแทบขาด สู้ไปจัดการเองให้สิ้นซาก เพราะถ้าเรื่องถึงมือหยางไอเมื่อไหร่ …ตนไม่เคยใช้เวลานาน
ปลายนิ้วกร้านรีบกดต่อสายหาเบอร์ภายในและทันทีที่ปลายสายกดรับ ก็เอ่ยความต้องการ “เตรียมตั๋วเครื่องบินไปประเทศไทยให้ฉันด่วนที่สุด”
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
-
ชอบที่อาชาจะเลิกบุหรี่จังเลยค่ะ
เฟยฮวารู้ต้องดีใจมากแน่ๆ
คู่คุณหมอน้องมะตูมใสๆวัยมัธยมมาก
:pig4:
-
เป็นกำลังใจให้นะค้าาา เราตามอ่านอยู่ตลอด รักน้องเฟย
-
IX
เกิดอาการมองหน้ากันไม่ติดตั้งแต่เมื่อคืนยันตื่นนอนในตอนเช้า อีกคนหลบเข้าห้องน้ำ อีกคนออกไปเดินยืดเส้นยืดสายนอกห้อง แล้วสลับพฤติกรรมกันจนกระทั่งอยู่ในสภาพที่พร้อมออกเดินทาง ร่างเล็กลงมานั่งรอหมอเถื่อนอยู่ด้านล่าง ระหว่างนั้นก็ส่ายหัวเมื่อภาพตัวเองสะดุดล้มดันฉายซ้ำ แล้วถึงได้ยินเสียงที่ทำเป็นกระแอมไอ คนที่กำลังรอเดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าที่คิดว่าทำได้เรียบเฉยสุด ๆ และพยายามจะพูดด้วยความผ่อนคลาย
“วันนี้ไม่ต้องไปที่ห้องฉันวันนึงก็แล้วกัน ฉันให้หยุดถือว่าไถ่โทษที่เมื่อคืนบังคับให้นอนที่นี่”
“ถ้างั้นวันนี้ผมก็ไม่ได้เงินใช่ไหม”
“เดี๋ยวฉันจ่ายให้แต่ไม่ต้องทำงาน”
“มีที่ไหนกัน”
“ถือเป็นค่าเสียหา… ไม่ ๆ เอาเป็นว่าวันนี้นายทำงานตามปกติ” เกือบจะหลุดพูดว่าให้เงินเป็นการชดเชยเรื่องที่จุ๊บปากและถ้าหากเอ่ยออกไปรับรองเป็นเรื่องแน่นอน ต้องเดือดร้อนแน่ ๆ เพราะเด็กน้อยจะคิดว่าตนเหมือนคนแก่ซื้อบริการ เอาเงินแลกกับการได้สัมผัสเดี๋ยวเดียว “กลับกันเถอะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”
มะตูมแอบงุนงงกับคำพูดที่เปลี่ยนไปมาและยังหลบตาตอนถาม “แล้วจะไม่ลาเจ้าของบ้านก่อนเหรอครับ”
“ใช้แรงงานเมื่อคืนหนักขนาดนั้นกว่าจะขยับตัวอีกทีคงบ่าย ๆ” เป็นชายด้วยกันถึงรู้ ยิ่งอยู่กับเมียสวยขนาดนั้น ผู้ชายจะยิ่งมีความเกียจคร้านเป็นพิเศษ ตื่นมาเห็นความงามถามว่าใครอยากจะละสายตาออก แต่บอกไว้เลยว่าตนชอบแบบน่ารัก ตาโต ๆ ปากอวบอิ่ม ยิ้มทีริมฝีปากเป็นรูปหัวใจ
สหรัฐรีบตวัดสายตามองทางด้านซ้าย เพราะดันอธิบายสเป็กตัวเองในใจแล้วมันไปตรงกับเด็กผู้ชายที่กำลังลงมือขาดเข็มขัดนิรภัย มะตูมช้อนนัยน์ตาขึ้นมองใบหน้าหมอเถื่อนเล็กน้อยแล้วค่อยเคลื่อนสายตาออกนอกหน้าต่างรถ
ต่างคนต่างก็เห็นภาพล้มทับกัน จนสหรัฐต้องเป็นฝ่ายออกปากขอโทษ คนเป็นผู้ใหญ่ควรแสดงความบริสุทธิ์ใจ จะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย อะไร ๆ มันจะได้ดูเป็นปกติ “เรื่องเมื่อคืนนี้ …ฉันขอโทษนะ” แต่ร่างเล็กก็หันกลับมาแล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง “ส่งแค่ตรงป้ายรถเมล์ก็ได้ครับ” ไม่ได้กำลังเคืองโกรธสักนิด แค่พยายามคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุและไม่อยากให้อีกคนขุดขึ้นมาพูด เหตุสุดวิสัยมันเกิดกันได้และมะตูมเชื่อว่าสุดท้ายความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดในอกมันจะหายไปถ้าได้อยู่ห่างจากผู้ชายข้างตัวสักเล็กน้อย “พี่ขับรถเลยป้ายรถเมล์แล้วนะ”
“บอกทางมาสิ ฉันจะไปส่งที่บ้านเลย”
“แต่ว่า…”
“นายนี่เหมือนจะมีความลับเยอะดีนะ หรือว่าจะเป็นสายให้ตำรวจจริง ๆ”
“เลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมครับ” สหรัฐยิ้มขำยามอีกคนชอบชวนเปลี่ยนเรื่อง
นอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศ คนทั้งคู่ก็ขาดการติดต่อกันชั่วขณะ ไม่สนทนาแต่ว่ามีเสียงบอกทางเป็นระยะ ๆ และมะตูมเริ่มมีสีกังวล โดยมีคนข้างกายเหลือบหางตามองปฏิกิริยา
กระทั่งรถดับเครื่องยนต์ที่หน้าบ้านหลังเล็ก เป็นบ้านหนึ่งชั้นมีรั้วกั้นระดับเอวเท่านั้น ดูแล้วก็เข้ากันกับขนาดตัวผู้อยู่อาศัย ไม่จำเป็นต้องมีใครเชิญลงจากรถหมอเถื่อนก็ปลดเข็มขัดนิรภัยและก้าวลงจากยานพาหนะตามใจชอบ จะว่าจุ้นจ้านก็ได้ จงใจกวาดสายตามองความเงียบเหงา แปลกที่บ้านไม่มีเงาคนอยู่ “พ่อนายไปทำงานแล้วเหรอ”
เช้า ๆ ไม่อยู่บ้านก็ต้องออกไปทำงานจริงไหม แต่การปฏิเสธด้วยการส่ายหัวของร่างเล็กก็ทำให้สหรัฐเลิกคิ้ว
“พ่อไม่ได้ออกไปทำงานหรอกครับ”
“ถ้างั้นเขาอยู่ไหนล่ะ”
มะตูมเคยคิดว่าจะบอกเรื่องบิดากับผู้ชายตรงหน้าเป็นเรื่องสุดท้ายแต่ดูท่าคงจะไม่ทัน ซึ่งมันไม่ใช่เพราะอายตอนแรกถึงได้เลือกจะปกปิด แต่ร่างเล็กแค่กลัวว่าชีวิตความเป็นอยู่ของพ่อจะทำให้อีกคนเดือดร้อน เพราะสหรัฐมีเงินก้อนอย่างที่พ่อคอยตามหา พ่อน่ะชอบดื่มสุรา …มันเป็นภาพติดตาไปซะแล้ว ในแววตากลมโตมักจะฉายภาพคนเมามายเดินปัดซ้ายเป๋ขวา หน้าแดงก่ำเดินใกล้เข้ามาพร้อมกับกลิ่นเหล้า
เด็กผู้ชายเฝ้ามองจากมุมเดิมขณะที่หมอเถื่อนเริ่มหันมองตามจนเห็นผู้ชายคนนึงสีหน้าครึ่งหลับครึ่งตื่น
“นั่นพ่อนาย …เหรอ?”
ผู้ชายขี้เมากอดขวดเหล้าที่เดินใกล้เข้ามาเนี่ยนะคือพ่อ
บ่ายวันนี้อาชาดูหล่อเนี้ยบเป็นพิเศษ
ผมเซตขึ้นและเปลี่ยนจากเสื้อยืดด้านในชุดสูทสีดำเป็นเสื้อเชิ้ต
เผอิญถูกสำนักงานย่อยเรียกเข้าไปคุยเรื่องที่จู่ ๆ กิจการค้าอวัยวะก็โดนตำรวจหมายหัว โดยได้ล่ามส่วนตัวเป็นเฟยฮวา สำหรับอาชานั้นร่างบางถือเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดี จากที่ปกติภาษาจีนพอไปวัดไปวา ก็คนคุมสำนักงานย่อยในประเทศไทยดันเป็นคนจีนแท้ เวลาเจอหน้ากันก็จะพูดแค่ครับกับขอบคุณครับแล้วให้ล่ามที่ทางสำนักจ้างเป็นสื่อกลาง แต่พอมีร่างบางอะไร ๆ ก็ดีขึ้น ยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจเวลาคนอีกฝ่ายชมว่าได้ล่ามดี ดังนั้นแทนที่จะถูกต่อว่าต่อขาน แต่ทางสำนักงานย่อยแค่บอกให้ระวังตัวขึ้นอีกสักหน่อย แล้วค่อยเบนเข็มไปคุยกับเฟยฮวาอย่างออกรส
คนจีนแท้บ่นว่าไม่ค่อยได้เจอคนจีนด้วยกันสักเท่าไหร่ แม้จะมีเชื้อไทยแต่สำเนียงจีนกลางของร่างบางก็ทำให้ประทับใจ บอกจะซื้อตัวให้มาทำงานด้วยกันตอนอาชานั่งหันซ้ายหันขวามองหน้าคนสองคนสลับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ จนกระทั่งคนอาวุธโสยกนิ้วให้ พ่อค้าอวัยวะจึงขมวดคิ้วมีริ้วรอยความงุนงง คิดว่าคงต้องแอบถามกับร่างบางทีหลังว่าคุยอะไรกัน แต่เมื่อสบโอกาสเฟยฮวากับส่ายหน้าว่าฉันก็ไม่รู้
“นายจะไม่รู้ได้ยังไงในเมื่อนายคุยกับเขาต่ออีกยาวเหยียด” อาชาบ่นหมีกินผึ้งตั้งแต่ตอนเดินออกจากตึกยันลานจอดรถใต้อาคาร โดยมีเสียงหวานคอยปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เฟยฮวาเอาแต่บอกว่าตนไม่รู้และไม่รู้ “ก็ฉันไม่รู้ว่าเขายกนิ้วให้นายทำไมจริง ๆ นี่”
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ” อาชาเดินมาดักหน้าระหว่างเอาร่างบังทางเข้าประตูรถที่เปิดรอ
“ฉันไม่รู้จริง ๆ” เฟยฮวาตีหน้านิ่งสนิทจนพ่อค้าอวัยวะคิดว่าต้องมีอะไรผิดพลาด ก่อนมือเรียวจะดันร่างสูงโปร่งให้หลีกทางเพราะอยากจะขึ้นรถ ส่วนคนโดนผลักก็โวยวายหาว่าเมียไม่สนใจบ้างล่ะ
ขณะนั่งอยู่บนรถที่แล่นไปก็ไม่วายด่าดินฟ้าอากาศ บ่นกระทั่งเสียงแอร์ในรถ ผิดกับคนข้างกายที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ฟังคนพาลเอะอะด้วยความเพลิดเพลินใจ มีความสุขจากการได้แกล้งชายหนุ่มผู้ซึ่งไม่รู้ภาษาจีน คำง่าย ๆ ก็ไม่เข้าใจ ตอนนั้นตนแค่พูดว่ามีเจ้านายดีแล้วเลยไม่อยากไปทำงานที่ไหนและคำตอบที่ตอบชายแก่ไปอีกอย่างก็คือเราไม่ได้เป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น ชายจีนเลยตอบกลับมาว่าอาชาวาสนาดีก่อนที่จะยกนิ้วเยี่ยมให้
เฟยฮวากลั้นยิ้มแทบไม่ไหวเมื่อชายหนุ่มข้างกายยังไม่หยุดคาดคั้น อุตส่าห์หันมาเล่นงานด้วยการส่งสายตาออดอ้อนแล้วสะบัดหน้างอนตอนเสียงหวานไม่ยอมตอบสักคำ อาชาขยับตัวหนีไปชิดประตูอีกฝั่ง แล้วคนรู้ตัวว่าถูกงอนก็ค่อย ๆ ขยับตามไปและเอนศีรษะซบไหล่กว้างทั้งที่ยังยิ้ม
ถ้าเทียบกับแต่ก่อน ตอนนี้ใบหน้าของร่างบางดูอิ่มเอิบขึ้น ไม่ได้หมายถึงน้ำหนักแต่เป็นความน่ารักที่บานสะพรั่ง มีความสุขแบบที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่ง ไม่ได้กำลังแสดงละครเพื่อเอาตัวรอดไปวัน ๆ พอมันมีความชอบพอเข้ามาก็ยินดีจะอยู่ใกล้คนที่ปากบอกหงุดหงิดแต่ช้อนเอวคอดไว้ซะชิดลำตัวเหมือนกลัวภรรยาจะหาย อาชากระซิบบอกว่ายังไม่ให้อภัยหรอกนะขณะเอนหัวซบหัวร่างบางอีกทอด แล้วบ่นกระปอดกระแปดว่าปวดเอวแทบตายเมื่อคืนใช้แรงไปเยอะ
จนเจอมือขาวฟาดเข้าที่หน้าตักเพื่อให้สงบปาก เพราะร่างบางกระดากอายภายในรถยังมีลูกน้องอีกสองคนร่วมเป็นสักขีพยาน ถ้าเฟยฮวาไม่ห้ามบางทีอาชาอาจจะปากไว
เมื่อยิ่งรู้ว่าอีกคนอาย พ่อค้าอวัยวะก็ได้ทีมีหรือจะไม่เอาคืนด้วยการทำปากยื่นปากยาว ขยับปากเหมือนจะเล่าบางอย่างให้ลูกน้องฟังแต่ถูกมือขาวตะครุบปากดังป๊าบ นึกว่าร่างบางกำลังตบปากชายหนุ่มที่ปรากฏแววตาเจ้าชู้ สุนัขจิ้งจอกหูตั้งหางกระดิกตอนงับฝ่ามือบางลามยังข้อนิ้วทีละข้อ แล้วรอจังหวะเผลอจนได้หอมกอดเฟยฮวา
ความจริงถ้าไม่เปิดโอกาสให้ก็ไม่มีทางได้ทำหรอก เฟยฮวามองอาชาพร้อมความคิดที่ว่าอาจจะฝากผีฝากไข้ได้ ส่วนพ่อค้าอวัยวะก็ชอบใจใหญ่เมื่อได้มีจังหวะหอมแก้มนิ่มซีกขวาซ้ำ ทำเหมือนไม่เคยสัมผัสจนจะกลายเป็นคนขาดการสกินชิพไม่ได้ ความจริงแล้วตั้งแต่มีร่างบางเข้ามา ชีวิตอาชาก็เปลี่ยนไปอยู่หลายอย่าง ดั่งสุภาษิตที่ว่าคบคนดีจะฉุดให้ชีวิตยิ่งดีขึ้นไป ทั้งได้กินข้าวตรงเวลาสารอาหารครบถ้วน มีงานอะไรไม่ด่วนหนักหนาก็ให้เลขาเฉพาะกิจช่วยอีกแรง เหมือนคนโดนเสน่ห์ยาแฝด ความเหงาแทนที่ด้วยความสบายใจ อยู่ใกล้แล้วเบิกบาน มอบความรู้สึกดี ๆ ให้กันทีละเล็กทีละน้อยทั้งในที่ลับตาและสถานที่เปิดเผย อาชาเคยมือไวยังไงก็อย่างนั้น ส่วนเฟยฮวาทำเป็นมองผ่าน นั่งนิ่ง ๆ เป็นตุ๊กตาให้มือกร้านขย้ำเดี๋ยวจับเดี๋ยวรวบร่างเข้าไปกอด กว่าจะถึงคอนโดร่างบางคงตัวช้ำเป็นจ้ำเป็นจุด จะฉุดมือกลับก็ไม่ยอม จะหอมหลังมืออะไรกันนักกันหนา คนโดนกระทำยังว่ามันมากไปแต่อีกคนส่ายหน้าว่าน้อยไปน่ะสิ
พ่อค้าอวัยวะส่ายนิ้วชี้ไปมาระหว่างทำท่าจะปล้ำจูบ เตรียมจะสูบวิญญาณถ้าไม่เพราะหันเห็นร่างบางที่ จู่ ๆ ก็นิ่งไปยามทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ คนข้องใจแทบจะหันมองตามในทันทีเพราะสงสัยอะไรทำให้เฟยฮวามีสีหน้าช็อคราวกับเห็นผีในตอนกลางวัน แต่เฟยฮวาเองก็ไหวตัวและหันหัวอาชาไปทางอื่นได้ทัน พยายามคิดว่าตัวเองคงตาฝาดเพราะคนพรรค์นั้นไม่มีทางมาโผล่ที่ประเทศไทย หมอนั่นมีเส้นมีสายแต่ไม่น่าจะตามมาเจอไวขนาดนี้
บางทีอาจจะเป็นแค่คนใบหน้าคล้าย
รถที่จอดติดสัญญาณไฟลดกระจกลงเพื่อให้เห็นหน้าค่าตาชัด ๆ
เป็นหยางไอที่สวมใส่แว่นกันแดดกลับตามเดิมเมื่อรถเริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง
ศัตรูมีสองประเภท ถ้าไม่เป็นพวกลอบกัดก็จะเป็นพวกชอบสู้ซึ่งหน้าและหยางไอเป็นประเภทที่สองจึงได้กล้าบุกมาถึงถิ่นของคนอื่นตั้งแต่หัววัน ชายหนุ่มเชื้อชาติจีนยืนปลดกระดุมสูทเม็ดสองเม็ดหลังก้าวลงจากรถพอเป็นพิธีก่อนที่จะเป็นคนเดินตาม ให้ลูกน้องเดินนำไปเปิดประตูร้านอาหารไทยก่อนและมีลูกน้องชุดดำตามเป็นพรวนอีกที
จนนึกว่ามีถ่ายละครฉากมาเฟียบุกที่ไหน ความทะมึนทำให้ลูกค้าลุกมองด้วยความสงสัย คนนั่งด้านในอยากเห็นส่วนคนบริเวณนอกพอได้เห็นก็เบือนหน้า ไม่ใช่ว่าไม่สนใจแต่พอเห็นสายตาไม่เป็นมิตรจากผู้ชายหลายคน เหมือนโดนเตือนว่าอย่ายุ่ง กลิ่นความโหดร้ายฟุ้งกระจาย ไหนจะท่าทีอวดเบ่งเล็งโต๊ะไหนต้องได้นั่ง โต๊ะว่าง ๆ ก็มีแต่คนเป็นนายกลับไม่นั่ง สั่งให้ลูกน้องจัดการผ่านการพยักหน้า ลูกค้ายังถือช้อนคาอยู่ในมือตอนที่ถูกไล่ให้ลุก จนพนักงานในร้านต้องเข้ามาจัดการถามว่ามากี่ท่านด้วยความสุภาพ แต่หยางไอที่ทรุดตัวลงนั่งกับเอ่ยสวนด้วยการออกคำสั่ง ต้องการความเป็นส่วนตัวเพราะงั้นจะเหมาทั้งร้าน จะอยู่ที่จีนหรือไทยก็วางอำนาจเหมือนกันผ่านการพูดภาษาไทยที่ค่อนข้างคล่อง
“ช่วยไล่แขกทั้งหมดออกไปหน่อยได้ไหม เผอิญฉันไม่ชอบเสียงดัง” พนักงานหญิงยืนอึกอักตอนลูกน้องผู้ชายที่คอยอยู่ดูแลภายในร้านตัดสินใจเดินหลบขึ้นบันได เพราะเจ้านายเคยบอกไว้ว่าถ้ามีเรื่องฉุกเฉินให้รีบขึ้นไปตาม
ถ้ารู้สึกว่าอยู่ในระดับเกินจะรับมือให้รีบขึ้นไปเรียก
อาชาได้ยินเสียงเรียกพร้อม ๆ กับเสียงเคาะประตูห้องทำงาน ก่อนคนด้านนอกจะเปิดเข้ามาโดยไม่ฟังเสียงตอบรับก่อนเพราะก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เหตุการณ์ข้างล่างจะเป็นยังไงบ้าง ลูกน้องรีบรายงานพูดกับเจ้านายด้วยประโยคที่พอรู้กัน
“เจ้านายครับ ข้างล่างเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย”
คงเป็นเฟยฮวาคนเดียวที่ไม่เข้าใจ ก่อนจะลุกตามยามอีกคนลุกขึ้นยืน แต่มือกร้านก็ยื่นออกเหมือนจะห้ามบอกไม่ต้องตามลงไป ให้รออย่างปลอดภัยอยู่บนห้อง เกือบบอกให้ล็อกประตูอยู่แล้วเชียวแต่เดี๋ยวจะไม่ทันเลยรีบเดินออกมา
พ่อค้าอวัยวะถามลูกน้องยามเดินลงบันไดมาแค่ว่าเคยเห็นหน้าพวกที่มาก่อกวนไหมแล้วยิ่งสงสัยเมื่อลูกน้องส่ายหน้า จนเมื่อเดินลงมาชั้นล่างสุดก็ยิ่งหางตากระตุก เพราะความรกร้างของลูกค้าถูกแทนที่ด้วยชายชุดดำที่ทำท่าเหน็บมือไว้ที่กระเป๋าหลังอย่างกับพวกพร้อมยิง เจ้าของร้านอาหารสั่งให้พนักงานทั้งหมดถอยห่างออกไป ให้ตนจัดการเอง เนื่องจากเล็งเห็นถึงความไม่ปลอดภัย ลูกน้องฝ่ายอาชาก็มายืนคุ้มเชิงอยู่เบื้องหลัง ไม่จำเป็นต้องสั่งให้เสียเวลา
ระหว่างเจรจาถ้าใครตุกติกก็พร้อมชักปืนยิงเหมือนกัน
“พอดีผมเป็นเจ้าของร้าน มีอะไรต้องการให้ช่วยเหลือไหมครับ” อาชาเอาความสุภาพที่ปกติแทบไม่มีเข้าสู้ ถามใครสักคนที่ดูก็รู้ว่าใช้ของแบรนด์เนมตั้งแต่เจลใส่ผมยันรองเท้าหนัง
คนที่ออกตัวว่าเป็นเจ้าของร้านอาหารยืนมองคนนั่งสวมแว่นกันแดดสีชาอย่างสนอกสนใจ แต่ไม่ใช่เพราะพิศวาสหรอกนะ แค่รู้สึกว่าหมอนี้มันเยอะดีขณะที่เหมือนจะเห็นคำว่าศัตรูประทับอยู่ที่หน้าผาก กลิ่นอายบางอย่างทำให้รู้สึกเหม็นขี้หน้า ยิ่งเวลาที่อีกคนถอดแว่นสีชาจนสองสายตาสบกัน แววตาเขม่นก็ปรากฏขึ้นทันที นัยน์ตามีความหมั่นไส้ในตัวฝ่ายตรงข้ามขณะความอยากเอาชนะตีตื้นขึ้นสมอง ไม่ใช่แค่เพศหญิงหรอกที่มีเซ้นส์ เห็นเป็นผู้ชายก็รู้สึกได้เหมือนกัน
ซึ่งไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ได้ตั้งใจโอ้อวดก็ตามแต่ยามที่หยางไอยืนขึ้น ยืดตัวตรงต่อหน้าอาชาเหมือนจะแข่งกันตั้งแต่ความสูงและสันจมูกใครโด่งกว่าคนนั้นชนะ แต่เผอิญว่าพ่อค้าอวัยวะชนะแบบใส ๆ แถมให้ด้วยว่าไหล่กว้างกว่า หยางไอมองด้วยสายตาขวาง แล้วอย่างกับอาชาทำไม่เป็น เอาแต่มองเขม็งคล้ายลูกพี่นักเลงเวลาเจอพวกตรงข้ามและอาชาเกือบตบปากตัวเองโทษฐานพูดจาต้อนรับอย่างสุภาพในคราวแรก น่าจะแลกด้วยหมัดเลยแทนการเอ่ยอะไรยืดยาวเขามีเวลาเป็นเงินเป็นทอง เกิดลูกกวางบนห้องร้องกลัวแล้วใครจะปลอบ
อีกอย่างชายหนุ่มไม่ชอบความท่าเยอะของคนที่ยืนเผชิญหน้า กว่าจะอารัมภบทได้พ่อค้าอวัยวะถอนหายใจทิ้งไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เกือบจะออกปากว่ามาทางไหนก็กลับไปทางนั้น
“ไปเอาน้ำมาเสิร์ฟให้หน่อยสิ” พูดเป็นแถมดูกวนอวัยวะเบื้องล่างใช้ได้
และเพราะไม่อยากให้มีปัญหา ไหน ๆ อีกคนก็ยอมพูดจาอาชาจึงออกปากสั่งพนักงานรับออเดอร์ “ไปเอาน้ำมาเสิร์ฟให้แขก” ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกแหกหน้าด้วยการที่คนวางอำนาจยกมือห้ามและปัดว่าไม่ใช่พลางชี้นิ้วใส่เจ้าของร้าน
“ฉันหมายถึงแก” กล้าใช้เจ้าของร้านแบบไม่กลัวตายโหงแสดงว่าคงจงใจมาเปิดศึกสงครามเต็มที่ แล้วคนเป็นเจ้าบ้านมีหรือจะไม่ต้อนรับ อาชาขยับมือไปรับแก้วน้ำจากพนักงานหญิงและหันกลับมาฉีกยิ้มหวานระหว่างเตรียมจะทำการเสิร์ฟแบบเอ็กซ์คลูซีฟ
เสียมารยาทมาก็ไม่จำเป็นต้องรักษาหน้าใคร มือกร้านทำท่าจะยื่นแก้วให้แล้วไหวมือถอยหนี ให้ท้ายว่าสิ่งที่อาชากำลังจะทำคืออะไร กดหนึ่งสาดน้ำใส่หน้า กดสองเอาแค่เทน้ำรดลงพื้น แต่ท้ายที่สุดแล้วพ่อค้าอวัยวะก็ไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะดันมีมือที่สามยื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็คือคนลงมาจากห้องอย่างเฟยฮวาที่จัดการลงมือสาดน้ำใส่หน้าหยางไอเอง เนื่องจากเกรงว่าถ้าอาชาทำเรื่องคงไม่จบง่ายดาย ถ้าเป็นตนยังไงคนตรงหน้าก็ไม่มีทางทำร้ายให้อายสายตาลูกน้อง
แล้วแทนที่จะสนใจคนถูกสาดน้ำใส่หน้า อาชากลับหันไปเอ็ดร่างบางที่ภายในมือยังถือแก้วไม่ปล่อย
“ฉันบอกให้รออยู่บนห้องไง”
เดิมทีร่างบางก็อยากจะอยู่เฉย ๆ อยู่หรอก แต่ในเมื่อพ่อค้าเงินกู้บากหน้ามาหาเรื่องพ่อค้าอวัยวะซะขนาดนี้ แสดงว่ามีข้อมูลที่อยู่ของตนอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุให้ต้องหลบซ่อน จะออกมาช้าหรือเร็วสุดท้ายผู้ชายบ้าอำนาจก็จะสร้างความวุ่นวายและถ้าตนไม่ใช่คนลงมือสาดน้ำแต่เป็นอาชา หยางไอก็จะอ้างได้ว่าถูกเจ้าของร้านคุกคามจึงมีสิทธิ์ตามกฎหมายในการป้องกันตัว เฟยฮวากล้าเอาหัวเป็นประกันว่าทั้งร้านจะเป็นพังราบเป็นหน้ากอง
ในฐานะที่เป็นต้นเรื่องและรู้จุดประสงค์ของคนมาหาเรื่องอยู่แก่ใจ ถ้าเฟยฮวาสามารถทำหน้าที่ปกป้องใครได้ก็พร้อมจะทำ จะคิดว่าเพื่อชดเชยเรื่องที่ทำให้พ่อค้าอวัยวะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็ได้ แต่ปกติแล้วร่างบางไม่มีความกล้าเพื่อปกป้องใครขนาดนี้หรอก อาชาถือเป็นคนแรกก็ไม่ผิดที่ตัดสินใจเอื้อมมือไปจับก่อนตอนยืนอยู่ข้าง ๆ เฟยฮวากำลังฝากชะตาชีวิตไว้ในฝ่ามือกร้านที่กระชับตอบเบา ๆ ราวกับเข้าใจ
แม้ว่าความจริงจะยังสงสัยในอีกหลาย ๆ เรื่อง แต่สิ่งนึงที่อาชาเห็นด้วยตาจนกระจ่างชัดก็คือตั้งแต่เฟยฮวาปรากฏกาย ฝ่ายตรงข้ามก็เอาแต่ยืนมองจ้องด้วยสายตาแบบเดียวกับตน มันเป็นสายตาของคนหลงเสน่ห์ชัด ๆ จนพ่อค้าอวัยวะต้องดันร่างบางไปหลบด้านหลัง เอาร่างกายใหญ่ยืนบังด้วยความหวงก้าง
สร้างความขบขันหยางไอหัวเราะโดยไม่มีสาเหตุ ตอนแรกนึกว่าจะโกรธที่โดนน้ำสาดหน้า แต่พ่อค้าเงินกู้ก็แค่เอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับอย่างใจเย็น เป็นจังหวะที่ก้มหน้าเลยไม่รู้ว่าสายตาส่อแววแบบไหน “พนักงานร้านนี้หน้าตาน่ารักดีนะ แถมยังต้อนรับลูกค้าด้วยความเป็นมิตรเชียว” หยางไอยืนจดจ้องเสี้ยวหน้าที่โผล่ขึ้นมาเหนือบ่ากว้างตามประสาคนคิดถึง
ซึ่งอาชาก็เห็นบรรยากาศมาคุระหว่างทั้งคู่เต็มสองตา เกรงว่าเฟยฮวาจะถูกหมายหัวเลยรีบออกตัวรับแทน
“ต้องขอโทษแทนคนของผม…”
“คุ้น ๆ หน้าเหมือนจะเคยเห็นที่ไหน” หยางไอรีบแทรกเหมือนกลัวอีกเสียงจะพูดจบ ยังไม่พร้อมยอมรับกำลังคิดว่าลูกกวางก็แค่ออกมาวิ่งเล่นนอกบ้าน ส่วนไอ้ผู้ชายที่ยืนเผชิญหน้าอยู่ก็เป็นแค่ทางผ่าน เฟยฮวาไม่มีทางจริงใจกับใครหน้าไหนทั้งนั้น เหมือนที่ไม่เคยให้ใจกับตน “หน้าตาดูคุ้น ๆ เหมือนคนที่ฉันเคยนอนด้วย”
ท่าจะจบไม่ค่อยสวยซะแล้ว แววตาอาชาแข็งกร้าวขึ้นเมื่อ จู่ ๆ ก็ได้ยินประโยคแสลงหู ควันออกจากรูจมูกเล็กน้อย ความหัวเสียค่อย ๆ อุ่นเครื่องแต่เรื่องอะไรจะแสดงออกให้คนตรงหน้าได้ใจ แค่นิ่งเข้าไว้ประหนึ่งเป็นคนใจกว้างระหว่างเอ่ยน้ำเสียงปกติ “คงจะจำผิดคนแล้วล่ะครับ”
“ไม่ ๆ ชื่ออะไรนะ เสี่ยวเฟยฮวาใช่ไหม” หยางไอประกาศเปิดศึกเป็นที่เรียบร้อยนับตั้งแต่เอ่ยชื่อร่างบางออกมา ก่อนจะขยับเข้าใกล้เพื่อย้ำให้ผู้ชายความสูงเกือบเสมอกันเข้าใจ ว่าตนกับคนร่างบางที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเคยลึกซึ้งกันถึงขั้นไหน “ที่รัก บอกผัวใหม่นายไปสิว่าเรารู้จักกัน”
อาชารู้สึกเหมือนถูกซัดด้วยหมัดล่องหนเข้าที่หน้า แล้วก็ว่าจะซัดกลับถ้าไม่ได้เพราะเฟยฮวาคอยกุมมือไว้และกระชับเพื่อห้ามไม่ให้ก้าวไป เพราะเห็นแก่คนร่างบาง ไม่อย่างนั้นพ่อค้าอวัยวะคงง้างหมัดตะบันหน้าให้เละไปข้าง
แต่ในเมื่อยังทำอะไรไม่ได้เลยแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ระหว่างยืนชั่งใจว่ากำลังโกรธเกรี้ยวเพราะเหตุใด เพราะเรื่องที่ร่างบางไม่ยอมเล่าความหลังให้ฟังหรือเพราะเรื่องบนเตียงที่ร่างบางเคยผ่านใครมาก่อน แล้วสุดท้ายอาชาก็เลือกเหตุผลได้ เรื่องเคยนอนกับใครมาพ่อค้าอวัยวะไม่สนเพราะเคยบอกไปแล้วไงว่าชอบพวกกระดังงาลนไฟ ที่หน้าร้อนผ่าวด้วยความหงุดหงิดเป็นเพราะอีกฝ่ายพยายามปกปิดความจริงต่างหาก
“ฉันเอาเงินมาคืน” โดยมีหยางไอคอยเป็นคนเติมเชื้อไฟ
มือใหญ่ขอซองสีน้ำตาลจากลูกน้องมาถือแล้วยัดใส่มืออาชาที่เริ่มปะติดปะต่ออะไรได้
พ่อค้าอวัยวะกำซองที่บรรจุเงินที่ร่างบางเคยขอยืมไปไว้แน่น ส่วนแขนอีกข้างก็เกร็งจัด ถ้ามองลงมาจะเห็นว่ามือกร้านกำลังรัดฝ่ามือขาวให้ความรู้สึกอย่างกับกำลังเข้าเครื่องบดกระดูก เฟยฮวาถูกบีบมือจนชาขณะทำเหมือนไม่เป็นอะไร
“แล้วก็จะมาทวงนายคืนด้วย…” ร่างบางเงยหน้าขึ้นหลังจากได้ยินประโยคที่พ่อค้าเงินกู้ตั้งใจกระซิบข้ามไหล่กว้างเหมือนอยากจะให้ได้ยินกันแค่สองคน โดยที่รู้อยู่แก่ใจว่ายังไงคนยืนหัวโด่อย่างอาชาไม่พ้นต้องได้ยิน …หยางไอหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพ่อค้าอวัยวะด้วยหางตาก่อนยิ้มเยาะอย่างเหนือกว่าเมื่ออีกคนยังตีสีหน้านิ่งสนิท
ตอนแรกก็นึกว่าจะยืนแข็งเป็นก้อนหินอีกนาน แต่แล้วอาชาก็ขยับก้าวไปด้านข้างเพื่อยืนบังร่างเฟยฮวาให้ยิ่งพ้นจากการมองเห็น ตอนที่ซ่อนเร้นร่างบางภายใต้แผ่นหลังอันกว้างใหญ่ก็ตอกกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คงไม่ง่ายขนาดนั้นมั้ง” เพราะตัวร้ายก็คือตัวร้าย คิดจะชิงนางเอกไปจากพระเอกมันไม่ง่ายนักหรอก
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
แง้ๆไม่เอาน้า
-
เป็นพระเอกก็ต้องเอาชนะตัวร้ายได้ใช่ไหม
อาชาสู้ๆ :ped149:
-
ต่ิอยมันเลยอาชา หมันไส้ :m16:
-
มัวอมพะนำอยู่นั่นจนสุดท้ายต้องให้อาชามารู้เอง หลังจากนี้คงเคลียร์กันยาวไหนจะศึกนอกอีก
-
X
พ่อค้าอวัยวะถือคติเรื่องผัวเมียต้องเคลียร์กันภายในและห้ามให้ใครเข้ามาสอดเด็ดขาด ดังนั้นจึงลงกลอนล็อกประตูห้องหลังบอกลูกน้องให้ลงไปตรวจตราด้านล่างหลังจากไอ้เวรที่มาก่อกวนยอมล่าถอยไป ที่อาชาออกปากไล่ให้ทุกคนออกห่างก็เพื่อหวังให้ร่างบางสบายใจ โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเผลอทำหน้ายักษ์ ใครบางจะกล้าเล่าความเป็นมา
อาชาทำสีหน้าเคร่งเครียด เคยบอกไปหรือยังว่าเกลียดพวกโกหก คงเพราะไม่เคยทำเองเลยยิ่งไม่ชอบใจเวลามีคนมาทำใส่ ไม่แน่ใจว่าเฟยฮวายังจำกฎข้อเดียวของการอยู่ร่วมกันได้ไหมและไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าถามไปแล้วจะได้คำตอบ แต่หนนี้อาชาจะไม่ยอมอีกต่อไปแล้ว แม้จะแลกมาด้วยการทะเลาะกันยกใหญ่ก็ตาม คนยืนกอดอกทำการเรียกชื่อคนนั่งหลบสายตาบนโซฟาด้วยชื่อเต็มผ่านน้ำเสียงกดดัน “เสี่ยวเฟยฮวา”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกกดอุณหภูมิห้องให้ยิ่งดิ่งลงต่ำ ทำเอาหายใจไม่คล่อง ร่างบางแทบจะไม่มองอะไรมากไปกว่าหาจุดโฟกัสบนพื้นที่เหยียบ เฟยฮวายังเงียบเหมือนต้องการเล่นสงครามก่อนจะเห็นปลายเท้าใหญ่ขยับใกล้เข้ามา ซึ่งพอดีกับตอนที่ปลายคางถูกคว้ามือกร้านบังคับให้เงยหน้าขึ้น จนนัยน์ตาสีน้ำตาลได้สบกับสีตาบรั่นดีของคนที่ยืนค้ำหัวเข้าอย่างจัง
“หมอนั่น… ชื่อหยางไอ”
“แล้ว?” คำตอบแรกสั้นไปต้องการคำอธิบายอย่างละเอียดยิบ อยากรู้ตั้งหลายเรื่องและเลือกเริ่มจากเรื่องเงินที่อีกคนหยิบยืมไปก่อน “นายยืมเงินฉันไปแล้วทำไมมันถึงเป็นคนเอามาคืนล่ะ มันหมายความว่าไง”
“ฉันติดหนี้” ลังเลแต่ในที่สุดก็พูดออกมา ยิ่งผสานสายตาก็ยิ่งรู้ว่าพ่อค้าอวัยวะเอาจริงจนเข้าใจว่าตัวเองมีสิทธิ์โดนยิงทิ้งได้ทุกเมื่อ เพื่อรักษาชีวิตก่อนจะพูดเลยต้องคิดให้มาก ๆ เฟยฮวาระมัดระวังในการใช้ถ้อยคำแต่นั่นยิ่งทำให้อาชาจับพิรุธได้ ร่างบางบอกความจริงไม่หมด ตัดเรื่องราวในอดีตจนหดเหลือแค่ประโยคห้วน ๆ
“ฉันขอคำอธิบายมากกว่านายติดหนี้”
“หมอนั่นเป็นเจ้าหนี้”
“เฟยฮวา” ไม่รู้ว่าร่างบางจงใจกวนประสาทหรือไม่แต่พ่อค้าอวัยวะก็คิดไปในแง่นั้นเรียบร้อย ด้วยความที่หงุดหงิดอยู่เป็นทุน พออีกคนพูดอะไรผิดหูนิดหน่อยอารมณ์ก็พลอยจะขึ้นได้ง่าย ๆ
พ่อค้าอวัยวะถอยหายใจออกยาว ๆ แล้วหายใจเข้าลึก ๆ พยายามข่มใจให้เย็นขณะเตือนสติตัวเองว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าใช้กำลัง อย่างน้อยก็ห้ามพลั้งมือตบใคร อย่าทำร้ายร่างบางด้วยอารมณ์เพราะรู้ดีว่ามันจะจบไม่สวย จนเมื่อใจสงบได้สุดท้ายจึงถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเรียบ
“ก่อนจะมาเจอฉัน นายเคยอยู่กับมันมาก่อนใช่ไหม แล้วไหนว่าอยู่คนเดียว”
“ฉันเลิกยุ่งกับหมอนั่นไปตั้งนานแล้ว”
“งั้นมันจะมาตามทวงนายคืนทำไม” อาชาพูดตามที่คิดและอิงเหตุผลจนคนกึ่งโกหกเงียบไป “แถมสายตามันก็ยังดูมีเยื่อใยให้นาย เคยเป็นคนรักกันมาก่อนเหรอ”
“เปล่า ฉันไม่ได้รักหยางไอ”
“แต่มันรักนายใช่ไหม” ถามอย่างตรงไปตรงมาและประโยคเหล่านั้นเหมือนจะไม่ห่างไกลจากความจริงสักเท่าไหร่ขณะคนนั่งฟังรู้สึกราวกับโดนขุดเรื่องในวันวาน คล้ายกับชายหนุ่มที่ปล่อยมือจากปลายคางรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตนจนหมดเปลือก “นายหนีมันมางั้นสิ …ใช่ไหม”
“ฉันกับหมอนั่นไม่ได้เป็นอะไรกัน สถานะมีแค่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้”
“ไม่ใช่ว่าพ่อเป็นคนสร้างหนี้แล้วนายต้องกลายเป็นคนที่ชดใช้หนี้แทนเหรอ”
“นาย”
“ทำไม ฉันก็แค่เดาหรือว่าฉันพูดถูก”
ใช่… อาชารู้ว่าตัวเองมาถูกทาง เห็นจากสีหน้าตกใจของร่างบางก็เข้าใจว่าน่าจะเดาอะไรไม่ผิด คำพูดของตนอาจจะไปตรงกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตและอาจเป็นเรื่องเดียวกับที่อีกคนพยายามปกปิดอยู่
บางทีคงไม่อยากให้ใครล่วงรู้ชีวิตว่าเคยเป็นเด็กชายคนที่หายไปจากคฤหาสน์ แต่พ่อค้าอวัยวะเชื่อว่าเป็นคนเดียวกัน เฟยฮวาคือเด็กคนนั้นไม่ผิดแน่ แต่ถึงจะมั่นใจเกือบเต็มร้อย อาชาก็ยังลองพูดเหมือนค่อย ๆ โยนหินถามทาง “คนที่หายไปเป็นสิบ ๆ ปีจะโผล่มาที่นี่ได้ยังไงล่ะจริงไหม” ยิ่งสังเกตจากอาการหลบสายตาและนั่งผสานมือไว้แน่นบนตัก เท่านี้อาชาก็ได้คำตอบ ไม่มีใครตอบคำถามได้ชัดเจนเท่าร่างบางอีกแล้วล่ะ
ไม่ได้ทะเลาะกันแต่พฤติกรรมที่หันนอนตะแคงไปคนละฝั่งเตียงก็ดูไม่ต่างจากคนที่เพิ่งผ่านการมีปากเสียงกันมาสักเท่าไหร่ พ่อค้าอวัยวะหลับไปได้ร่วมชั่วโมงขณะที่เฟยฮวายังคงลืมตาในความมืดมิด ความกลัวในยามหลับกลับมาทักทาย หลายคืนก่อนได้อ้อมกอดอบอุ่นเป็นภูตพิทักษ์ฝันร้ายแต่พอได้กลับมานอนเพียงลำพังเลยยังไม่ชินในคืนแรก
ระหว่างทำตัวเหมือนคนแปลกที่แปลกทางจนนอนไม่หลับ ก็กำลังคิดถึงเรื่องที่คุยไปเมื่อบ่าย ตนไม่ได้โกรธเคืองที่อีกคนพูดจาตรง ๆ แบบนั้นและเพิ่งนึกได้ว่าเป็นตัวเองที่หลงลืมเรื่องสำคัญ พ่อค้าอวัยวะคงไม่ปล่อยให้เดินลอยไปลอยมาโดยไม่สืบประวัติ มันเลยยิ่งเหมือนตนพยายามฝืนโกหกต่อไปอย่างหน้าด้าน ๆ กลายเป็นคนนิสัยไม่ดีจนสมควรที่จะถูกอีกคนโกรธ เฟยฮวาไม่โทษใครหรอกนอกจากตัวเองและเล็งเห็นถึงอนาคตภายในภาคหน้า นัยน์ตากลมส่อแววเศร้าเงาน้ำใสส่องประกายในความมืดสนิท ก่อนจะปิดเปลือกตาเพื่อซ่อนอารมณ์อันอ่อนไหว หลับไปเมื่อไหร่แทบไม่รู้ตัวจนมารู้ตัวอีกทีตอนที่พลิกร่างกลับมาแล้วเห็นว่าคนข้างกายหายไป
พ่อค้าอวัยวะแค่ทิ้งโน้ตไว้ เขียนด้วยลายมือหวัด ๆ ว่ามีงานต้องไปจัดการและอาจหายไปทั้งวัน ซึ่งมันก็เป็นแค่ข้อความธรรมดาที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่คนนั่งบนเตียงกลับสัมผัสได้ถึงความห่างเหิน แม้จะรู้สึกไม่ดีแต่ก็พยายามเดินหน้าลุกขึ้นไปจัดการตัวเองตามกิจวัตรประจำวัน
ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนอีกด้านที่เดินหน้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาชาลุกขึ้นยืนเมื่อการประชุมเรื่องหุ้นส่วนคนใหม่เสร็จสิ้นและไม่คิดอยู่ทักทายชายสัญชาติจีนที่กำลังวางแผนว่าจะเปิดร้านค้าอวัยวะสาขาสองในไทย อาชาไม่เคยหวงธุรกิจแต่เผอิญอีกคนดันเป็นศัตรูไม่ใช่มิตร เห็นได้ชัดว่าหยางไอกำลังพยายามแทรกแซงไปทั่ววงการตลาดมืดเหมือนปรสิตและคิดจะเข้ามาก่อกวนอย่างจงใจ ถ้าไม่เพราะต้องอยู่ทานอาหารเที่ยงกับคนคุมสำนักงานใหญ่ พ่อค้าอวัยวะคงจะรีบขอตัวกลับ ไม่ปล่อยให้ผู้ชายตาขวางขยับมายืนขนาบข้าง ทำอย่างกับเป็นเพื่อนสนิทยามส่งเสียงทักทาย
“สีหน้าเมื่อวานกับวันนี้ดูต่างกันนะ”
ชายสวมสูทดำสองคนยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องรับประทานอาหารและการที่หยางไอทักก็ทำให้ความอยากอาหารของอาชายิ่งลดลงไปอีก อย่าว่าแต่ฉีกยิ้มเลย อาชาไม่เคยรู้สึกส้นเท้ากระตุกเท่านี้มาก่อน โดยเฉพาะตอนได้ยินคนจีนพูดถึงชื่อบุคคลที่สาม “หรือว่าทะเลาะกับเฟยฮวามาล่ะ”
แทบจะหันกลับไปซัดคนที่ทำเป็นรู้มากอย่างกับอยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานด้วย แถมยังชวนคุยต่อทั้งที่ก็เห็นว่าอีกคนไม่อยากสนทนาพาที เพราะพ่อค้าเงินกู้มีวิธีจะดึงความสนใจ หยางไอหงายการ์ดในฐานะที่เคยเป็นคนใกล้ชิดและคิดโอ้อวดว่ารู้จักร่างบางที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร พยายามแสดงตัวว่าเป็นผู้ชายคนแรกที่เฟยฮวายอมพลีกายให้ด้วยการเล่า โดยเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น
ชายสัญชาติจีนยืนพูดไปพลางระหว่างรอดูปฏิกิริยา
เปรยขึ้นมาว่า “นี่เฟยฮวาคิดถึงฉันมากจนขนาดต้องหาผัวใหม่ที่หน้าตาคล้ายฉันเลยเหรอเนี่ย”
“ที่บ้านคงขาดกระจกสินะ” ว่าจะไม่ตอบโต้แต่มันอดไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าพลาดที่เผลอเล่นไปตามเกมอีกคนที่พ่นแต่เรื่องน่าขำ อาชาเกือบจะกลับหันหลังเดินเข้าข้างในห้องอาหารแต่ก็ดันเป็นเวลาเดียวกับที่ได้ยินประโยคเรื่องใต้สะดือแล้วเผลอกำมือโดยไม่รู้ตัว
“เฟยฮวาใช้ปากเก่งนะ” หยางไอยังเอ่ยต่อไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา รู้แค่ว่าสนุกดีตอนที่เห็นชายไทยยืนตีสีหน้านิ่งแต่แววตาราวกับมีวิญญาณร้ายเข้าสิง กระทิงหนุ่มควันออกหู ส่วนงูพิษก็พร่ำต่อไป “ฉันชอบเวลาที่เฟยฮวาใช้ปากช่วย แหม ผู้ชายด้วยกันเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องอายหรอกน่า”
จะตายเพราะปากยังไม่รู้ตัว “เราก็เหมือนมีเมียคนเดียวกันจริงไหม”
หยางไอไม่กลัวท่าทีขบกราม ตัวดีภายในสมองกำลังห้ามพ่อค้าอวัยวะว่าอย่ามีเรื่องขณะตัวร้ายบอกว่าเรื่องอะไรจะปล่อยให้ไอ้เวรมันหยามอยู่ฝ่ายเดียวท่ามกลางน้ำเสียงที่ยังเอ่ยด้วยความพึงพอใจ “ผัวเก่ากับผัวใหม่ก็น่าจะทำความรู้จักกันไว้ เผื่อวันใดวันนึงอาจจะได้มีโอกาสใช้บริการเฟยฮวาร่วมกัน ถ้าสองต่อหนึ่งอย่างเฟยฮวาก็น่าจะสบายอยู่นะ”
“มึง!” ใครทนได้ก็ช่างหัวมัน ส่วนอาชาตัดสินใจกระชากคอเสื้อหยางไอ ชายร่างสูงกว่าผลักร่างอีกคนเข้าผนังระหว่างใช้ท่อนแขนดันเข้าที่ลำคอ แต่ขนาดจะตายอยู่แล้วก็ยังกล้าหัวเราะร่า แม้ว่าลำคอจะถูกท่อนแขนหนักกดไว้จนแทบหายใจไม่ออกก็ยังอุตส่าห์พยายามบอกอะไร ให้คนโมโหฟังไว้เป็นความรู้ประดับหัว “รู้ไว้ด้วยว่าแกกำลังถูกหลอกใช้”
อาชาใกล้ฟิวส์ขาดเต็มทนขณะที่โดนปั่นหัวด้วยถ้อยคำที่ความจริงก็เหมือนจะถูกต้อง
“เฟยฮวาหนีมาจากฉันแล้วก็หวังใช้แกเป็นที่พึ่ง” คนฟังนิ่งไปไม่รู้ว่าเพราะกำลังอึ้งหรือเปล่าแต่มันก็เข้าแผนคนจงใจยุแหย่ แค่ใส่สีตีไข่ ใช้คำพูดทำลายความสัมพันธ์ ถ้ายังจะอยู่ด้วยกันต่อไปได้ก็เอาสิ “ถ้าการที่เฟยฮวาอยู่กับฉันคือความจำใจ เฟยฮวาก็อยู่กับแกเพราะความจำเป็นเหมือนกัน”
มีต่อด้านล่าง
-
คนหายไปตั้งแต่เช้ากลับเข้ามาที่คอนโดในตอนหัวค่ำและยกมือห้ามทันทีเมื่อคนที่รอทำท่าจะเดินเข้ามาช่วยถอดเสื้อสูทตัวนอก เฟยฮวาหน้าเสียยามอาชาเอ่ยย้ำอีกครั้งว่าไม่ต้องจนบรรยากาศเวลาอยู่กันสองต่อสองยิ่งดูเลวร้าย คล้ายมีควันขมุกขมัวบดบังระหว่างคนสองคน
ต้นอาทิตย์ยังดูฟ้าโปร่งดีแต่พอปลายอาทิตย์ดันเหมือนกับมีพายุเข้า เมฆครึ้มลอยตัวต่ำอยู่ภายในห้องจนมองไปทางไหนก็ให้ความรู้สึกหมองหม่น คนตัวสูงเดินผ่านร่างบางราวกับไม่เห็นอยู่ในสายตา จนแข้งขาคนยังยืนอยู่กับที่แทบหมดเรี่ยวแรงดื้อ ๆ ถ้าพ่อค้าอวัยวะจงใจแกล้งเย็นชาก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมและเฟยฮวาก็สัมผัสได้ว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น ไม่งั้นอีกคนคงไม่ยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงแค่เพียงเพราะถอดเนคไทไม่ได้ แล้วแม้อีกคนจะบอกว่าไม่ให้ช่วย แต่ร่างบางก็ยังเลือกขัดคำสั่ง เดินเข้าหาแล้ววางมือบนเนคไท
“ฉันบอกว่าไม่ต้องไง” เพิ่งเคยได้ยินการออกปากไล่เป็นครั้งแรก แต่เฟยฮวาก็ยังดื้อรั้นจนกระทั่งเกิดเป็นการยื้อแย่ง อาชาออกแรงบีบมือขาวอยู่นานเพื่อให้ปล่อย ส่วนคนที่คอยปิดปากสนิทก็ยังพยายามฝืนจะขยับ ก่อนจะเป็นคนใจแข็งที่ยอมพ่ายแพ้ให้กับความเด็ดเดี่ยว มือใหญ่คลายแล้วเหลียวมองไปทางอื่น ยืนให้ร่างบางช่วยปลดปมเนคไทและเพราะว่ามัวหันไปสนใจอย่างอื่น เลยไม่ทันเห็นอาการสองมือสั่น
ดวงตากลมโตที่เอาแต่โฟกัสเส้นเนคไทปรากฏความเสียใจ เฟยฮวาเกือบร้องไห้ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนอ่อนแอเลยสักนิด ปกติจะคิดก่อนเสมอว่าร้องไปเพื่ออะไร แต่จู่ ๆ มาถูกพ่อค้าอวัยวะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย น้ำตามันก็พานจะไหลเองซะอย่างนั้น
“มันบอกว่านายอยู่กับฉันเพราะความจำเป็น จริงอย่างที่มันพูดหรือเปล่า” อาชาไม่เล่าหรืออธิบายอะไรให้มากความ แค่ถามคำถามด้วยความสงสัยขณะยอมหันสายตากลับมาสบและพบว่าร่างบางช้อนนัยน์ตามองใบหน้าอยู่ก่อนหรืออาจจะตลอดเวลา
“แล้วถ้าฉันตอบอะไรไป คำตอบของฉันจะเปลี่ยนสิ่งที่นายคิดอยู่ในตอนนี้ได้ไหม” เฟยฮวารู้ว่าท่าทีหงุดหงิดงุ่นง่านมันเกิดขึ้นเพราะจิตใจชายหนุ่มเอนเอียงไปกับคำบอกพวกนั้นแล้ว ถึงจะเลือกถามออกมาแต่ความจริงคนตรงหน้าก็มีคำตอบอยู่ในใจ ถ้าพูดอะไรไปก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
“ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักพัก”
พ่อค้าอวัยวะเป็นฝ่ายหันหลังเดินหนีก่อนที่จะปิดประตูห้องทำงานตัดขาดการรับรู้ว่ามีอีกคนอยู่ร่วมห้อง อาชาแค่อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อไขข้อข้องใจ อยากเข้าใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรและเหตุอะไรที่ทำให้รู้สึกนอยด์แบบนี้ กลับมานั่งคิดถึงช่วงเหตุการณ์แรก ๆ ที่ตอนนั้นความสัมพันธ์ก็ดูจะเริ่มผ่านจากการซื้อบริการที่เมื่อผ่านไปคืนเดียวก็น่าจะจบกัน แต่สุดท้ายหลายวันผ่านไปเสี่ยวเฟยฮวาก็ยังเดินเข้านอกออกในอาศัยร่วมชายคา
หรือว่าความผูกพันจะเริ่มทำงานภายในระยะเวลาช่วงสั้น ๆ แล้วพัฒนาไปเป็นความชอบพอ อาชาพอเข้าใจทฤษฎีที่ว่าเมื่ออยู่ด้วยกันไปแถมใช้ร่างกายเป็นสื่อกลางร่วมกันแทบทุกวัน มันต้องเกิดสายใยอะไรสักอย่างบ้างแหละ แต่ที่ข้องใจก็คือทำไมเพิ่งจะมารู้สึกกับคนนี้ คนที่ดูจะมีความลับมากมาย นิสัยก็เหมือนจะเข้าถึงยาก
ส่วนถ้าพูดถึงเรื่องความรักน่ะ อาชาแทบจะลืมไปหมดแล้วหลังจากยอมเสี่ยงเอาชีวิตเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมาย เพราะมีโอกาสตายได้ทุกเมื่อเลยไม่อยากดึงใครเข้ามาเกี่ยว แต่ก็เป็นเสี่ยวเฟยฮวาคนแรกอีกเหมือนกันที่ปรากฏกายขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ และดันเป็นบุคคลที่ตรึงใจได้มากที่สุด พูดว่าชอบได้เต็มปาก เพราะถ้าไม่สนใจก็คงไม่มานั่งเครียดอย่างนี้และทำสีหน้าเหมือนคนท้องผูก กำลังเป็นทุกข์โดยรู้สาเหตุ
เส้นผมที่เคยจัดทรงอย่างเท่ถูกสางอย่างลวก ๆ พ่อค้าอวัยวะคงจะฝังตัวอยู่ในห้องทำงานอีกนานถ้าไม่ดันลืมโทรศัพท์เอาไว้กับเสื้อสูทที่อยู่ด้านนอก ดังนั้นจึงจำใจต้องออกมาแล้วก้าวขาไปห้องรับรองและเห็นหมอนกองวางอยู่บนโซฟาคล้ายกับถูกใครจัดเป็นเตียงนอน เป็นตอนนั้นเองที่เฟยฮวาเดินหน้านิ่งออกมาจากห้องนอนขณะตอนสวนกันแทบไม่มองหน้า มีคนเดียวที่เหมือนจะเหลือบหางตาดูระหว่างส่งเสียงห้ามตัวเองในใจ ในเมื่อสวมบทเป็นคนโกรธอยู่เลยเลือกเดินหนี อาชาเดินปรี่เข้าห้องนอนเพื่อจะเดินไปยังห้องเก็บเสื้อผ้าแต่ขาก็ต้องชะงัก
เมื่อบางอย่างยังดูเหมือนเดิมในยามที่ความสัมพันธ์กำลังสั่นคลอน บนเตียงมีชุดนอนจัดวางไว้ให้และผ้าขนหนูผืนประจำ ความจริงอาจจะไม่เคยบรรยายว่าร่างบางปรนนิบัติถึงขั้นนี้แต่ทีนี้ก็คงรู้กันแล้วนะ ความประณีตและความใส่ใจมันยังบ่งบอกอีกว่าต่อให้มีปัญหา เฟยฮวาก็ยังเต็มใจจะเป็นคนดูแลเหมือนเดิม
จนจิตใจพ่อค้าอวัยวะเริ่มเอนเอียงอีกครั้งตอนสมองออกคำสั่งว่าช้าก่อน อย่าเพิ่งหลงเชื่อและลืมคำพูดของหยางไอไป ถ้าทุกอย่างที่ร่างบางทำคือการประจบเอาใจเพื่อให้ยอมให้อยู่ด้วยต่อล่ะ แต่ก้อนเนื้อในอกซ้ายก็แย้งแถมด่าว่าชายหนุ่มน่ะว่าประสาท อยู่กับร่างบางด้วยกันทุกวันยังไม่รู้อีกเหรอว่าอันไหนเสแสร้งแกล้งทำหรืออะไรคือพฤติกรรมที่ออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ อาชานิ่งไปขณะปล่อยให้สมองกับหัวใจตีกันเองอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ส่วนเฟยฮวาที่ค่ำคืนนี้อาศัยโซฟาเป็นสถานที่พักพิงก็เอาแต่นอนนิ่ง ถ้ามองจากแผ่นหลังคงคิดว่ากำลังหลับ แต่ความจริงกำลังเหม่อลอยและหลงทางอยู่ในภวังค์ความคิด เข้าใจว่าคนผิดก่อนไม่มีสิทธิ์ต่อว่าและยังโชคดีด้วยซ้ำที่เจ้าของห้องไม่ออกปากไล่ให้ไปพ้น ๆ ซะตั้งแต่วันนี้ ส่วนถ้าพรุ่งนี้จะถูกไล่ให้ออกจากคอนโดก็ไม่โกรธหรอก ร่างบางแค่โกรธตัวเองที่ปากหนักไม่ยอมบอกอะไรซะตั้งแต่เนิ่น ๆ และพอเกิดกลับใจจะมาพูดเอาเวลานี้มันก็คล้ายจะสายไปเสียแล้ว แถมตอนที่คุยกันก็ทันเห็นแววตาเคลือบแคลงใจด้วย บางทีเวลาของตัวซวยคงจะใกล้หมดลงสักที
เฟยฮวาไม่มีหนทางอะไรอื่นนอกจากพยายามทำใจยอมรับกับผลของการกระทำ กับประโยคคำถามของพ่อค้าอวัยวะ ถ้าให้ตอบร่างบางก็จะตอบว่าใช่ เพราะมีความจำเป็นไงถึงได้เลือกเข้าหาและจะพูดต่อไปอีกว่า ‘แต่ฉันสาบานได้ ความรู้สึกในวันนั้นกับวันนี้มันต่างกันแล้ว’ จะให้ไปบนบานศาลกล่าวที่ไหนหรือจะให้สารภาพต่อหน้ารูปปั้นพระเจ้าก็ได้ จะได้ถามพระองค์เหมือนกันภายในเวลาแค่ไม่นาน คนสองคนมีโอกาสจะเชื่อใจกันได้มากแค่ไหน ความสัมพันธ์ของเราที่ยังไม่เหนียวแน่นพอมันจะแปรเปลี่ยนไหมหรือว่าลูกไม่สมควรอยู่กับใครเลยจริง ๆ ดวงของลูกต้องอยู่คนเดียวไปจนตายอย่างนั้นน่ะเหรอ จะขออยู่เคียงใครสักคนคงไม่ได้เลยใช่ไหม
พอคิดจะฝากชีวิตไว้ที่ใครก็ต้องมีเหตุให้พลัดพรากกันอีกแล้วสินะ… หลังมือขาวยกขึ้นปาดหน้าแก้มเพราะหลังจากที่นอนคิดอะไรเพ้อเจ้อน้ำตาก็เอ่อเต็มสองเบ้าตา เฟยฮวาค่อยลุกขึ้นนั่งบนโซฟาเมื่อรู้ว่ายามเช้ามาเยือน ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนขึ้นบนท้องนภาเพื่อทำหน้าที่ให้แสงสว่างระหว่างเป็นตนคนเดียวที่รู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในความมืดมิด
เสียงปิดประตูห้องทำให้รู้ว่าอีกคนได้ออกไปทำงานตามปกติและไม่มีคำทักทายเป็นวันที่สอง หลังจากปฏิบัติกิจวัตรเสร็จเรียบร้อย นอกจากนั่งเหม่อลอยมองฝุ่นละอองในอากาศ ร่างบางก็แทบจะไม่ขยับทำอะไรเลย ทั้งที่เคยเพลียถ้ากลางคืนไม่ค่อยได้นอน แต่ตอนบ่ายก็แล้วกลับยังนั่งตาโตรออาชากลับมา
เฟยฮวาแค่อยากจะเห็นใบหน้าที่ดู ๆ ไปแล้วก็มีแววแห่งความอ่อนล้าเหมือนกัน
เพราะดันนอนไม่หลับทั้งคืนด้วยอีกคนแต่ก็ยังทนทำเป็นใจแข็ง ปล่อยให้ร่างบางนั่งกินข้าวเย็นคนเดียว ส่วนตัวเองก็หนีมานั่งอยู่คนเดียวที่ปลายเตียงนอน พ่อค้าอวัยวะแค่อยากนอนหลับสักตื่นแล้วฟื้นขึ้นมาอีกทีตอนที่ความอึดอัดภายในอกซ้ายหายไป อยากทำอะไรก็ได้ที่มันมีประโยชน์กว่านั่งถอนหายใจทิ้งไปวัน ๆ ฝ่ามือกร้านยกขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองราวกับคนคิดไม่ตก แผ่นหลังกว้างคดโค้งและไม่ยืดตรงสง่าผ่าเผยเหมือนเก่า ข้อศอกเท้ากับหน้าขาขณะเอามือปิดใบหน้า สุดท้ายแล้วคนที่ทำตัวราวกับใจจืดใจดำก็กำลังน้ำตาตกใน ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกกระทำให้เสียความรู้สึก ลึก ๆ แล้วอาชากำลังน้อยใจและเลือกใช้การไม่พูดกันเป็นการดัดนิสัยคนนอนหลังให้บนโซฟา
แล้วนี่ก็เข้าคืนที่สองแล้วที่มายืนกอดอกมองอีกคนอยู่ข้างขอบประตู
เฟยฮวาจะไม่มีทางรับรู้ถ้าไม่ยอมหันหลังกลับมา แค่เปิดใจและเปิดตาก็จะรู้ว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิด แล้วมันก็ไม่ผิดที่คนเราเคยมีอดีตอันเลวร้าย …ร่างบางพยายามจะคิดให้ได้เช่นนั้นขณะชะเง้อคอหาโอกาส ตื่นก่อนตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นและรีบลุกยืนยามร่างสูงโปร่งเดินผ่าน
“ฉัน…” สงสัยไม่ได้พูดภาษาไทยหลายวันริมฝีปากมันเลยขยับแบบติด ๆ ขัด ๆ แต่ขณะที่เฟยฮวาพยายามจะเริ่มบทสนทนาอย่างจริง ๆ จัง ๆ พ่อค้าอวัยวะก็ยังหันหลังให้เหมือนเดิมและเดินออกไปจากห้องอย่างเย็นชา จนกระทั่งเกิดฉากเสียน้ำตา ใบหน้าสวยเปียกปอนตอนที่ยืนนิ่ง แล้วทิ้งไว้แค่เพียงอาการบวมของเปลือกตากับสีหน้าหมองเศร้า เอาแต่ทนทุกข์ขนาดลุกนั่งพยายามหาอะไรทำแต่ยังฟุ้งซ่าน เฟยฮวาเริ่มกลัวความห่างเหินมากกว่าเรื่องอนาคตของตัวเอง
ในสภาพที่ต่างคนต่างอยู่แต่ทั้งคู่กลับดูไม่มีความสุขไปพร้อม ๆ กัน คนสองคนเลือกจะหันหลังให้กันและตัดฉากยิ้มแย้มออกไปจากบทละคร ท่ามกลางแสงที่เปิดไว้ให้ความสว่างหลังพระจันทร์เปลี่ยนกะทำงานกับพระอาทิตย์ เฟยฮวาคิดไว้ว่าจะเข้าไปทักทายพ่อค้าอวัยวะอีกครั้ง ร่างบางยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนทั้งที่ค่อนข้างไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย เคยใช้ความสวยให้เป็นประโยชน์แต่กับสถานการณ์แบบนี้อีกคนคงไม่สนใจและขี้คร้านจะไล่ตะเพิดตั้งแต่เห็นหน้า ดังนั้นคนอยากขอแก้ตัวจึงต้องตระเตรียมคำพูดให้ดี อย่าวกวน เอาแต่เนื้อไม่เอาน้ำ แต่ระหว่างที่กำลังซักซ้อมประตูที่ปิดอยู่จู่ ๆ ก็เปิดออกจนสองสายตาหลบกันไม่ทัน นัยน์ตาสีบรั่นดีกับนัยน์ตาสีน้ำตาลผสานกัน ก่อนจะเป็นเฟยฮวาที่สังเกตเห็นเสื้อผ้าหน้าผมของอีกคน หัวค่ำป่านนี้พ่อค้าอวัยวะเตรียมจะไปไหน ใส่สูทซะเต็มยศจนอดไม่ได้ที่จะถาม “จะไปไหนเหรอ”
ปกติก็มีแค่ตอนเช้าที่ออกไปทำงาน แต่วันนี้ดันมีงานพิเศษขึ้นมา ก็งานเลี้ยงต้อนรับไอ้เวรที่พยายามจะพาตัวเองเข้ามาสู่วงการมืด แค่ที่จีนยังไม่พอยังอยากจะมีจุดยืนในไทยโดยใช้เงินเป็นใบเบิกทาง สงสัยว่างมากจนต้องหาอะไรทำ
“ไปงานเลี้ยง” นี่เป็นประโยคแรกที่อาชายอมพูดกับเฟยฮวาหลังจากผ่านมาแล้วร่วมสามคืนสี่วัน “ไปด้วยกันไหมล่ะ” และนี่เป็นประโยคที่สองที่ทำให้ประกายตาคนถูกชักชวนปรากฏความหวังขึ้นมา “เผื่อนายจะอยากไปหาผัวเก่า” ก่อนประโยคที่สามจะทำเอากลับไปเซื่องซึม
ลืมอารมณ์อยากไปด้วยจนหมดเพราะคำพูดประชดประชัน เฟยฮวาปฏิเสธด้วยการส่ายหน้า แต่สุดท้ายก็ถูกบังคับให้มาด้วยอยู่ดี เนื่องจากคนที่บังคับอยากจะเห็นท่าทีของร่างบางเวลาอยู่กับไอ้เวรนั่นอีกครั้ง เพื่อจะได้ตัดความลังเลหนึ่งอย่างออกไป อยากจะรู้ว่าไม่ได้รักหยางไอจริงเหรอ แล้วพอพาเข้ามาในงานเลี้ยงพ่อค้าอวัยวะก็เริ่มปฏิบัติการปล่อยร่างบางให้ยืนอยู่เพียงลำพัง เฟยฮวาซึ่งสวมชุดสูทขนาดพอดีหลังจากที่แวะเช่าระหว่างเดินทางมายืนลังเลว่าจะขยับไปรวมกลุ่มกับพ่อค้าอวัยวะดีไหมหรือจะแฝงตัวไปกับผ้าม่าน เพราะไม่รู้จักใครสักคนในงาน มีแต่คนทำงานด้านมืดที่มารวมตัวกันท่ามกลางแสงไฟที่ให้ความสว่าง แล้วคนอย่างร่างบางก็เตะตาน้อยที่ไหน
เดิมทีคงไม่มีใครกล้าแหยมเพราะดันมากับคนชื่ออาชา แต่ถ้าพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันมันมีคนนึงที่กล้ามากพอก็หยางไอเจ้าเก่าที่เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจและมือยังไวเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด โอบเอวร่างบางเข้ามาชิดกับสีข้างตัวเองและถ้าไม่ติดว่าคนเยอะคงมีการละเลงจูบเพื่อรำลึกความหลัง อยากจะกกกอดนอนเคียงกายร่างเสี่ยวเฟยฮวาจะแย่
“ปล่อยฉัน” แต่คงมีแค่เจ้าพ่อเงินกู้ที่คิดแบบนั้น เฟยฮวารีบดันตัวเองออกเพราะรังเกียจ ขนลุกและขยะแขยง หยางไอเหมือนของแสลงที่แค่เห็นก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาน่ะร่างบางอยู่ด้วยความอดทนจนได้อิสระมากอบกุมไว้ และจะไม่มีทางกลับไปอยู่ในกรงนกอีก “ฉันบอกให้ปล่อย”
“ทำไม จะไปหาผัวใหม่งั้นสิ” แต่ก่อนไม่ให้สะดีดสะดิ้งมากแต่หลังจากมีอีกคนคุ้มกะลาหัวเลยเพิ่งคิดเล่นตัวขึ้นมาสินะ “ดูให้ดี ๆ สิเฟยฮวาที่รัก มันไม่ได้สนใจอะไรนายเลยสักนิด” และหยางไอเป็นคนบังคับร่างบางให้หันกลับไปมองบุคคลที่สามซึ่งกำลังคุยกับคนอื่นอยู่อย่างออกรส
จนนึกว่าเป็นคนละคนกับที่อยู่คอนโด อาชาดูมีความสุขดี ยิ้มทีก็ยังดูมีเสน่ห์ ผิดกับเฟยฮวาที่ขยับปากพูดไม่ออก จะบอกปฏิเสธว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้เพราะท่าทางของอีกคนก็ดูไม่สนใจตนแล้วจริง ๆ “นายก็เห็นนี่ว่ามันไม่เอานายแล้ว” วันก่อนยุอีกคนที วันนี้ก็มายุคนนึงต่อ ไม่รู้ว่าจะนิยามหยางไอด้วยคำว่าอะไร แต่นับเป็นความร้ายกาจและชาญฉลาดในการใช้คำพูด “ไม่มีใครอยากอยู่กับคนมีอดีตอย่างนายหรอกนะที่รัก”
โชคดีว่าคนฟังเป็นเฟยฮวาซึ่งค่อนข้างรู้กมลสันดานหยางไอดีจึงไม่มีท่าทีโอนอ่อนสักเท่าไหร่และเลือกตอกกลับไป “งั้นฉันก็จะอยู่คนเดียว” แล้วสะบัดตัวจนหลุดจากการเกาะกุม
“กลับไปกับฉันดีกว่าน่าเฟยฮวา ฉันจะลืมทุกอย่างที่นายเคยทำกับฉันไว้”
รวมถึงเรื่องที่ร่างบางเคยใช้มีดแทงตนก่อนจะหนีมาประเทศไทยคนเดียวด้วย
“ฉันพร้อมอภัยให้นายได้เสมอนะที่รัก” กระซิบข้างใบหูขาวเป่าหูเหมือนพ่อมดร้าย
“แต่ฉันไม่มีทางให้อภัยลูกชายคนที่ฆ่าพ่อแม่ฉัน…” เฟยฮวาตัดสินใจผลักอีกคนจนกระเด็นก่อนจะถูกกระชากจนช่วงแขนแทบหลุดจากบริเวณหัวไหล่ ร่างบางไม่มีทางเลือกมากนักเลยพยายามส่งสายตาหาพ่อค้าอวัยวะให้ช่วย ด้วยความที่คล้ายเหตุทะเลาะวิวาทจนคนผ่านไปผ่านมาเริ่มมองอย่างสนใจ มีเพียงคนเดียวที่ชายตามองมาแล้วเบือนหนีไป นั่นทำให้เฟยฮวาต้องช่วยตัวเองไปโดยปริยายด้วยการยื้อ
สู้มือใหญ่ด้วยการชักท่อนแขนกลับก่อนอีกคนจะขย้ำเนื้อต้นแขน บีบแน่นจนมั่นใจว่าผิวหนังใต้ร่มผ้าต้องขึ้นเป็นรอยและคนโดนกระทำเกือบร้องไห้ซึ่งไม่ใช่ความเจ็บแต่เพราะความน้อยใจล้วน ๆ ต้องให้ด่วนจากไปก่อนใช่ไหมถึงจะพอใจ สายตาตัดพ้อมองไปยังอาชา จนน้ำตาไหลหนึ่งหยดระหว่างสองคนยื้อแย่ง หยางไอหงุดหงิดจนเริ่มออกแรงใช้กำลัง
ฝ่ามือหนึ่งง้างขึ้นกลางอากาศเพราะตั้งใจจะตบร่างบางโดยไม่เกรงใจสถานที่ คนสัญชาติจีนไม่สนใจประชาชีที่มองมาอย่างตกตะลึงแต่ก็ไม่มีใครกล้าทะลึ่งพรวดเข้ามายุ่งเรื่องชาวบ้าน
เฟยฮวาจำเป็นต้องเอาตัวรอดเหมือนกับในช่วงตอนที่ยังเป็นเด็ก จำได้ว่าตอนยังเล็กตนเลือกหลับตาลงเพื่อไม่ให้เห็นภาพอันโหดร้าย ร่างบางรู้ว่าสุดท้ายฝ่ามือใหญ่จะสัมผัสเข้าที่ข้างแก้ม ความป่าเถื่อนจะแนบลงมาเวลาที่มีพฤติกรรมดื้อรั้น เฟยฮวาจึงหลับตาและกัดฟันรออย่างยอมรับชะตากรรม รออยู่นานแต่ก็ยังไม่ได้สัมผัสความเจ็บปวดสักที
จนในวินาทีที่ลืมตา น้ำสีใสก็ยิ่งไหลบ่า นึกว่าจะปล่อยให้ตายแล้วค่อยเข้ามาเก็บร่างกันซะอีก เฟยฮวาพยายามฝืนฉีกยิ้มด้วยความดีใจที่สุดท้ายก็มีคนพร้อมจะยอมปกป้องสักที แถมยังเป็นคนที่คาดหวังว่าอยากให้เป็น แม้มีน้ำตาคอยบดบังการมองเห็นแต่ใบหน้าอีกคนก็ยังเด่นชัด เห็นแววตามุ่งมั่นยามหันกระบอกปืนเข้าจี้ที่หน้าผากคนซึ่งยังวาดมืออยู่ในอากาศ หยางไอชะงักไปยามความเย็นจากปลายปืนสีดำขลับชนเข้าที่ผิวหนังอย่างกับจะบอกว่าไม่ได้ขู่แต่กูเอาจริง อาชาก็ยังคือกระทิงเลือดร้อนตอนวางนิ้วอยู่ในตำแหน่งเตรียมลั่นไก “จะตบเมียกู ต้องข้ามศพกูไปก่อน…”
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
ดีที่อาชาจบสวย
จะไปขโมยน้องเฟยฮวาคนสวยมาไว้ที่บ้านอยู่แล้ว
ดีใจที่อาชาหมางเมินเฟยฮวาจบในตอนเดียว
ไอ้หยางไอคนยุแยงตะแคงรั่วต้องโดนจัดการ
:pig4:
-
คิดถึงน้องเฟยยยยยย พระเอกมาช่วยล้าว
'จะตบเมียกู ข้ามศพกูไปก่อน' :mew1: :oo1:
-
XI
“เมีย? เมียมือสองน่ะเหรอ แกยังไม่เข้าใจที่ฉันเคยบอกไปหรือไง” หยางไอนึกว่าชายตรงหน้าจะฉลาด ที่ไหนได้โง่เหมือนกันที่ดูไม่ออกว่าร่างบางกำลังหลอกใช้แล้วก็โง่ขนาดไม่สนใจคำตักเตือน เพื่อนอุตส่าห์ช่วยแนะนำ กลัวว่าจะฉิบหายเลยอยากให้อยู่ห่าง ๆ ตัวอัปมงคล
“รู้ไหมลีลาที่เฟยฮวาเคยใช้กับแก ฉันก็เป็นคนสอนงานทั้งนั้น”
“ชีวิตนี้คงภูมิใจเป็นอยู่เรื่องเดียวสินะ ทำไม ปมในชีวิตเยอะจนต้องเอาเรื่องบนเตียงมาข่ม…?” ลมปากคนเป็นเรื่องที่จะปรุงแต่งยังไงก็ได้ แล้วแม้ว่าอีกคนจะเอ่ยความจริงแต่นี่ก็คือสิ่งที่พ่อค้าอวัยวะเลือกแล้วหลังจากยืนทนมองคนรักถูกรังแกต่อไปไม่ได้ “ไม่รู้จะสมเพชหรือเวทนาดีนะที่มีเมียคนเดียวแต่ดันรักษาไว้ไม่ได้ แถมเขายังหนีมาอีก รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”
“มึง!” ชายสัญชาติจีนทำท่าจะทะลึ่งพรวดเข้าหา สงสัยจะลืมไปว่ามีปืนจี้หน้าผาก อาชาจึงต้องย้ำให้รู้สึกจนเกิดเสียงกระแทกดังกึก นึกว่าจะเกิดศึกชิงนางและทางคนคุมสำนักงานใหญ่เห็นว่าท่าไม่ดีเลยรีบปรี่เข้ามาขอไว้ คนถือปืนถึงได้ค่อย ๆ ยอมลดอาวุธลงไว้ข้างลำตัว
กลัวแทบตายว่างานรื่นเริงจะกลายเป็นงานศพแต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ก่อนที่คนพกอาวุธเข้ามาในงานจะขอตัวกลับก่อนเวลาและมือกร้านก็ไม่ลืมคว้าข้อแขนเล็กติดมือมาด้วย ฉุดคนสวยน้ำตานองหน้าให้ออกมาเจอกับลูกน้องซึ่งยืนรออยู่หน้าประตูทางออกด้วยกัน
เฟยฮวายังสะอึกสะอื้นระหว่างยืนอยู่ท่ามกลางการอารักขาของชายชุดดำยามโดยสารอยู่ในลิฟต์ แล้วสัมผัสที่บีบฝ่ามือเบา ๆ ก็ทำให้ก้มมองจนกลายเป็นยิ่งร้องไห้หนัก แม้คนเย็นชาจะหันหน้าไปทางอื่นแต่ก็ยังยืนกุมมือนิ่มไม่ปล่อยพลางค่อย ๆ ผสานนิ้ว เห็นใจแข็งแต่พอเห็นน้ำตามาก ๆ ก็ใจหวิวอยู่เหมือนกัน แต่ครั้นจะให้ปลอบโยนกันง่าย ๆ ก็ดูจะใจดีไปนิด คิดจะดัดนิสัยต้องเอาให้สุด อาชาพูดกับแค่ลูกน้องว่าจะเป็นคนขับกลับคอนโดเองเท่านั้น
ภายในรถพ่อค้าอวัยวะไม่แม้จะคุยกับเฟยฮวาที่ใช้หลังมือปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ ดวงตาบวมช้ำมองวิวยามวิกาลผ่านกระจกหน้าต่าง ร่างบางแค่กำลังรวบรวมความกล้าก่อนหันกลับเข้ามาอีกทีเมื่อรถติดสัญญาณไฟแดง “ฉันขอโทษ”
ไม่อายที่จะต้องขอโทษก่อนเมื่อเป็นฝ่ายผิดและเพราะคิดดีแล้วถึงได้เริ่มพูดประโยคอ้อนวอน เฟยฮวาไม่อยากนอนกอดตัวเองอีกแล้ว “อย่าเมินฉันเลยนะ ฉันไม่เหลือใครแล้ว” แววตาเศร้าสร้อยมองเสี้ยวหน้าของสารถีที่ยังมองตรงไปข้างหน้าจนทำให้ไม่เห็นว่าแท้จริงส่อนัยน์ตาแบบไหน “ให้ฉันเป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าไล่ฉันไปเลยนะ” ท้ายประโยคจบลงพอดีกับที่รถสามารถออกตัวได้ แต่แทนที่สี่ล้อจะขับไปตามถนน รถยนต์นำเข้ากับเปิดไฟท้ายหักเลี้ยวขอเข้าข้างทาง ไฟท้ายส้มแดงสว่างวับ ณ เวลาเดียวกับที่ริมฝีปากบางจากฝั่งคนขับขยับเข้าบดเบียดริมฝีปากอิ่ม
อาชาได้ลิ้มรสชาติความเค็มจากคราบน้ำตาที่ติดปากกระจับขณะค้นพบว่าตัวเองโหยหาสัมผัสอันเกิดจากเฟยฮวาเหมือนกับวันแรกที่ได้จับต้อง แสนคิดถึงคนที่จู่ ๆ ก็ประหม่าตอนจะยกแขนคล้องคอ เพราะร่างบางไม่มั่นใจนักหรอกว่าตัวเองยังมีสิทธิ์ จนพ่อค้าอวัยวะยิ่งเคลื่อนชิด คนคิดมากจึงยอมปิดเปลือกตาลงก่อนจะหลงอยู่ในรสจูบที่ห่างหาย
เริ่มถ่ายทอดความคิดถึงผ่านท่าทาง ให้ริมฝีปากแนบสนิทชิดใกล้เหมือนวันก่อน ๆ จากต่างฝ่ายต่างก็ปากหนักเหลือเพียงความอ่อนยวบยาบ สัมผัสเนิบนาบบอกว่าไม่ได้อยู่แค่เพียงลำพัง ยังมีกันและกันท่ามกลางความวุ่นวาย จนรถขับผ่านไปหลายคันคนสองคนถึงเพิ่งได้ฤกษ์แยกย้าย
ก่อนจะเตลิดไปไกลพ่อค้าอวัยวะแค่อยากถามทั้งที่ก็เห็นความจริงมากับตาตัวเองแล้ว “นายไม่ได้รักมันจริง ๆ ใช่ไหม” นัยน์ตาคาดหวังจ้องลึกเข้ายังลูกตากวาง กระทั่งร่างบางส่ายหน้าโดยไม่ลังเล ใจที่เคยกรุ่นโกรธก็แยกโทษให้หมดแล้ว “งั้นก็ดี ถ้าฉันเผลอฆ่ามันตายจะได้ไม่มีใครมานั่งร้องห่มร้องไห้เพราะเสียใจ”
เฟยฮวาเบาใจเรื่องที่ชายหนุ่มเหมือนจะหายโกรธจนยอมคุยด้วยแต่ในขณะเดียวกันก็หนักใจกับประโยคพร้อมฆ่าคนตายของคนที่ยังไม่ยอมเคลื่อนหน้าไปไกล “อย่าให้ถึงขั้นฆ่าแกงกันเลยนะ”
“ทำไม ตกลงยังเป็นห่วงมัน?”
“ฉันเป็นห่วงนาย หยางไอไม่ใช่คนดี หมอนั่นเลวได้มากกว่าที่นายคิดซะอีก”
“ฉันก็เลวได้ไม่ต่างจากมันนักหรอก นายคิดว่าถ้าฉันหยุดแล้วมันจะยอมหยุดด้วยหรือไง” อาชาพูดถูกต้องและนั่นเป็นความจริงที่ทำให้สีหน้าของร่างบางหม่นหมองลงทันตา “ถ้าไม่ตายกันไปข้างนึงก็อย่าหวังเลยว่ามันจะเลิกตามตอแย” เพราะเฟยฮวาตระหนักได้ว่าตัวเองคือพาหะนำพาความอันตรายมาสู่อีกคน “ฉันขอโทษนะ” น้ำเสียงละห้อยดังขึ้นในความเงียบ ก่อนจะมีเสียงถอนหายใจปะปน
อาชาพยายามโทษตัวเองมากกว่าใคร คิดถึงเหตุการณ์ในวันที่ร่างบางขอให้เลี้ยงดูก็เป็นตัวเองนั่นแหละที่ตกปากรับคำ ถ้าจู่ ๆ ปล่อยมือในวันที่ลำบาก หากทำแบบนั้นลงไปมีหวังคงตกนรกหลายขุมน่าจะตกหลุมลึกกว่าเดิม ในเมื่อเริ่มมาด้วยกันแล้วก็ต้องถึงจุดหมายปลายทางด้วยกันอย่างปลอดภัย จะลองเชื่อใจร่างบางดูอีกสักครั้ง ถ้าจะพังก็ให้มันรู้ไป อนาคตก็คืออนาคตจริงไหม จะไปเดือดเนื้อร้อนใจกับมันทำไมกัน สู้อยู่กับปัจจุบัน ปล่อยให้กาลเวลาพิสูจน์ทุกอย่าง
“ฉันยกโทษให้” พ่อค้าอวัยวะยืนยันผ่านคำพูดแล้วรุดใบหน้าเข้าใกล้จากที่ใกล้อยู่แล้ว แสงไฟจากรวงร้านข้างทางทำให้เห็นแววตาของกันและกันอย่างชัดเจน “แต่ทำยังไงก็ได้ให้ฉันรู้สึกว่านายไม่ได้อยู่กับฉันเพราะความจำเป็น” จนต่างฝ่ายต่างเห็นความหวั่นไหวและรู้สึกใจสั่น
ด้านในอกซ้ายก้อนเนื้อหัวใจเต้นเป็นจังหวะ ก่อนสองริมฝีปากจะเคลื่อนเข้าประกบกันอีกหน บดเบียดเสียดสีจนเกิดความร้อนจาง ๆ ทแยงปาก เฟยฮวาจูบตอบอาชาอย่างแผ่วเบาขณะเอาวงแขนรั้งคอแกร่งไว้ ส่วนมือใหญ่ก็รั้งแผ่นหลังบางให้ยิ่งเขยิบเข้าใกล้ท่ามกลางเสียงการจราจรตอนสี่ทุ่มที่ยังมีรถอยู่มากมาย แต่เสียงจ้อแจไม่อาจดึงความสนใจ เสียงหัวใจต่างหากที่กำลังฟัง มันโห่ร้องอย่างยินดีปรีดาเหมือนกับว่ามีงานรื่นเริง
ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะผละออกจากกันไม่ทันไร ก็เป็นพ่อค้าอวัยวะที่เข้างับกลีบปากนิ่มลิ้มรสเนื้อหวานราวกับหิวโซ ไม่รู้ว่าอาชาจะยอมกลับมาทำหน้าที่คนขับรถเมื่อไหร่ จนไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้วเกิดซ้ำ เจ้านายก็ทำตามใจโดยไม่สนหัวอกลูกน้องที่ต้องจอดรถรอต่อท้ายอยู่อีกสามคัน ลืมวันลืมคืน ลืมหมดทุกอย่างแค่เพราะได้กกกอดร่างบางอีกครั้ง
นานแสนนานที่ไฟเลี้ยวเข้าข้างทางของรถยังสว่างไสวเหมือนความรู้สึกบางอย่างที่ลุกโชน แต่อัตราการกะพริบของมันคงไม่ไวเท่าอัตราการเต้นของหัวใจคนสองคนที่ยิ่งดึกก็ยิ่งโดนอารมณ์อิทธิพลของดวงจันทร์เข้าครอบงำ
จูบแรกเพื่อรำลึกความหลัง จูบสองเพราะยังรู้สึกไม่พอ จนขอจูบรอบที่สามก็แล้ว แว่ว ๆ ว่าจะมีรอบที่สี่ ดูท่าจะไม่มีใครยอมเสียเวลา ใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่าทดแทนกับสี่วันที่เคยเสียไป
เวลาดึกดื่นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาหรอก แต่เพราะดันได้ยินเสียงก็อกแกกดังอยู่นอกห้องนอน มะตูมถึงได้ลืมตาแล้วลุกขึ้นมานั่งถอนหายใจอยู่บนเตียงหลังเล็ก ถ้าเป็นคนอื่นแรก ๆ ก็อาจจะเข้าใจว่าเป็นขโมยขโจรขึ้นบ้าน แต่เมื่อผ่านไปหลายคืนจนกลายเป็นสิบ ๆ วัน ก็รู้ทันว่านั่นคือเสียงของบุคคลที่เพิ่งกลับมาบ้านเอาป่านนี้
แถมกลับมาแบบไม่มีสติเหมือนทุกวัน ร่างเล็กชินเสียแล้วกับภาพที่พอเปิดประตูห้องออกมา เมื่อเปิดไฟก็เจอบิดายืนโงนเงนเอนตัวทำท่าจะล้มเนื่องจากดื่มเหล้ามากไป หลังจากหายออกไปจากบ้านเมื่อเย็นก็กลับมาตอนดึกด้วยสภาพเมามาย เดือดร้อนให้คนเป็นลูกรีบเข้าไปประคองเพราะหวิดจะล้มหัวฟาดพื้น แต่พอยืนเองได้ก็โวยวายว่าไม่ต้องมายุ่งกับกู
ฟังดูจากน้ำเสียงก็จะรู้ว่าพ่อไม่รัก ออกแนวชังด้วยซ้ำทำเหมือนอีกคนไม่ใช่ลูกชายด้วยการเริ่มด่าท่อ เวลาเมาทีไรคนเป็นพ่อจะขุดทุกเรื่องราวในอดีตขึ้นมาพรรณนา หาว่าเพราะลูกชายเมียตนถึงได้ตาย ไม่เคยโทษตัวเองที่เอาเงินไปเล่นการพนันจนหมดเงินในการใช้รักษาพยาบาล สงสัยมะตูมเคยสะสมบาปหนามาจากชาติที่แล้วถึงได้อาภัพซ้ำซ้อน ขนาดตอนที่พยายามทำงานหนักอีกคนก็ยังไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ทุกเงินบาทที่หามาได้ก็ไม่เคยลืมแบ่งปันให้พ่อพอประมาณ แต่ถ้ารู้ว่าการให้เงินอีกคนบ่อย ๆ จะทำให้ยิ่งติดเหล้า ร่างเล็กจะซ่อนกระเป๋าเงินให้มิด
ลูกชายไม่คิดเกรงกลัววิธีคาดคั้นขอเงินของบิดา เวลาเมากลับมาพ่อก็จะอารมณ์ร้ายและใช้ความรุนแรง ไม่แปลกที่จะรู้สึกชินชาเพราะโดนตบหน้าเป็นประจำ จำการบรรยายที่ไปขายแก้วตาแล้วบนหน้ามีร่องรอยฟกช้ำได้ไหม รอยเก่าหายไปรอยใหม่ก็มาทันที เพราะถือคติเป็นลูกที่ดีไม่ควรตอบโต้ผู้มีพระคุณ มะตูมจึงยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้กระทำ จนมุมปากช้ำก็ยังยืนสงบ นัยน์ตากลมโตปรากฏความเรียบเฉย เคยเจอซ้อมมาหนักจนรู้ว่าอีกแป๊บเดียวมันก็จะผ่านไป เมื่อพ่อหายเมามือและเท้าก็จะขยับช้าลง คงยืนได้ไม่นานเท่าไหร่สังเกตจากท่วงท่าที่พร้อมจะล้มพับได้ตลอดเวลา ดังนั้นร่างเล็กจึงแค่ยืนรอเวลาให้อีกคนหมดฤทธิ์ ก่อนจะเป็นคนช่วยหามปีกเข้าห้องนอนหลังจากที่จู่ ๆ พ่อก็วูบหลับไป คนตัวเล็กกำลังพาร่างที่ใหญ่กว่าเดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล เทซ้ายทีขวาทีแล้วปล่อยร่างหนักลงบนเตียง เพียงแค่ห่มผ้าให้ แล้วค่อยเช็ดเลือดข้างมุมปากตัวเองเป็นอย่างสุดท้าย
มะตูมเดินกลับเข้ามาในห้องตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วล้มตัวลงนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับตาและไม่แม้แต่จะคิดหาหยูกยามาใส่บาดแผล แค่ปล่อยให้มันเหือดแห้งไปเองตามธรรมชาติ รีบหลับเพราะรู้ว่าวันพรุ่งนี้ยังมีอะไรรอคอยอยู่อีกมากมาย เข้าใจว่าอีกไม่นานความเจ็บช้ำก็จะจางหายจึงไม่ใส่ใจตัวเองเหมือนที่หมอเถื่อนเคยว่า
ร่างเล็กนึกถึงคนอื่นก่อนตัวเองตลอดเวลา แถมยังรีบตื่นมาทำงานแต่เช้า แม่บ้านวัยเยาว์เข้าห้องคนที่ยังไม่ตื่นได้ด้วยเพราะกุญแจสำรองและเริ่มไล่เก็บข้าวของรกรุงรัง เสื้อผ้าทั้งที่ใส่แล้วและยังไม่ได้ใส่ ตบหมอนบนโซฟาให้เข้ารูปเข้ารอยแล้วค่อยไปทำอาหารเช้า
สหรัฐคนขี้เซางัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะได้กลิ่นข้าวต้มก่อนจะแบกท้องที่มีแต่ลมลุกขึ้นจากเตียง หมอเถื่อนเดินเอียงหัวสะบัดไปมาเพื่อให้สมองตื่น แล้วหยุดยืนเลิกชายเสื้อยืดรัดรูปขึ้นพลางใช้มือเกาหน้าท้องระหว่างมองตามแผ่นหลังแม่บ้านรุ่นจิ๋ว “มาแต่เช้าเชียวนะวันนี้”
“ผมก็มาแบบนี้ของผมทุกวัน” หันมาตอบโดยไม่สบตาขณะฉวยภาชนะที่วางเตรียมไว้บนโต๊ะแก้วแล้วหันกลับไปยืนคนข้าวต้มในหม้อ มะตูมไม่ได้ชวนหมอเถื่อนคุยต่อแต่อย่างใดแต่แล้วก็เกือบทำทัพพีหลุดจากมือเนื่องจากตกใจ เพราะอีกคนพลิกตัวให้หันกลับไปมองอย่างกะทันหัน
จนดวงตาต่างขนาดผสานกันและนั่นทำให้สหรัฐเห็นใบหน้าร่างเล็กชัดๆ ตอนแรกนึกว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นบาดแผลเพราะยังตื่นไม่เต็มตา แต่พอได้เห็นในระยะใกล้ ๆ ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นหมอหรือเปล่าที่ทำให้มีเลือดห่วงคนไข้หรือความจริงแล้วกำลังห่วงในฐานะผู้ชายคนนึง
“หน้านายไปโดนอะไรมา” ฝ่ามือหนากุมแก้มนิ่มแผ่วเบา หัวแม่โป้งลูบเข้าที่รอยช้ำข้างมุมปากจนร่างเล็กอึกอักทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนเงยหน้าให้สัมผัสและรับรู้ความอบอุ่นแรกหลังจากที่ไม่ได้รับมานาน
หรือว่าวันร้าย ๆ กำลังจะผ่านพ้นไปเพราะผู้ชายที่แสดงอาการเป็นเดือดเป็นร้อน
ตอนช่วยทำแผล ดวงตากลมโตมองแค่สัดส่วนบนใบหน้าของอีกคนจนโดนมองตอบถึงได้หลบตา สหรัฐมองใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำต่อเล็กน้อยแล้วส่ายหัวทั้งที่ยิ้มบางๆ ขำร่างเล็กสงสัยเด็กจะเพิ่งเคยมีใครดูแลและในขณะที่รู้สึกห่วงใย สหรัฐจะดีใจมากนะถ้าตัวเองคือคนแรกที่ได้ทำแผลให้มะตูม
ด้วยความที่อยู่ในช่วงเจ้าหน้าที่คุมเข้ม กิจการค้าอวัยวะจึงจำเป็นต้องหยุดต่ออีกสองสามวัน ดังนั้นวันทั้งวันหมอเถื่อนเลยได้มีเวลาพักอยู่แต่กับห้องและมีเวลามากพอจะคาดคั้นร่างเล็กว่าได้บาดแผลมาจากไหน ตามตื๊อจะเอาคำตอบให้ได้แต่ถามเท่าไหร่อีกคนก็เอาแต่ตอบว่าหกล้ม มะตูมเอาแต่อมพะนำจนสหรัฐเองก็ไม่อยากจะวอแวและแม้จะรู้ดีว่าร่างเล็กโกหกก็ไม่โกรธ คนเรามีเหตุผลในการปกปิดบางอย่างเสมอนั่นแหละ
“ถ้าฉันรับอุปการะเด็ก นายว่าจะเป็นยังไง” ระหว่างนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันบนโต๊ะแก้ว เสียงนุ่มที่เอ่ยถามแบบไม่มีการเกริ่นนำก็ทำให้แก้วตากลมโตยอมเลิกก้มมองจานแล้วเงยหน้าขึ้นแทน
“แล้วพี่มาถามผมทำไม” เอ่ยถามกลับอย่างซื่อ ๆ
“ก็ภายในห้องนี้มีแค่ฉันกับนาย” ร่างเล็กค่อย ๆ พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจหลังได้ยินคำตอบ
แล้วค่อยวกกลับมาตอบคำถามที่เคยถูกถามค้างไว้ “ผมว่าก็ดีครับ”
ในฐานะที่รู้ซึ้งถึงความลำบากคงจะดีมาก ๆ ถ้ามีใครสักคนรับเด็กน้อยไปดูแลตั้งแต่แบเบาะและส่งเสียให้มีการศึกษา โตมาจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ แถมสหรัฐก็ดูไม่ใช่ผู้ชายเลวร้ายอะไร น่าจะเป็นเสาหลักให้คนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่จะปล่อยให้อีกคนเอ่ยต่อ มะตูมขอถามอีกสักเล็กน้อยเพราะยังแอบสงสัย “แล้วพี่ไม่อยากแต่งงานมีลูกเองเหรอครับ ภรรยาในอนาคตจะยอมรับได้เหรอถ้ารู้ว่าพี่รับเลี้ยงเด็กทารกไว้ก่อนแต่งงานน่ะ”
“เด็กทารกที่ไหน” หมอเถื่อนถามเสียงสูงขณะขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่คนนั่งฝั่งตรงข้ามถาม “นายไง…” สหรัฐชี้หน้าร่างเล็กด้วยส้อมเป็นการย้ำแล้วค่อยใช้ส้อมอันเดิมจิ้มเนื้อหมูเข้าปากระหว่างอธิบายด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “เด็กที่ว่าฉันหมายถึงนาย”
อย่าเพิ่งคิดว่ามีเงินเหลือใช้ แต่จริง ๆ ก็มีเหลือพอจ่ายค่าเทอมโรงเรียนเอกชนนั่นแหละ
หลังจากนั่งตะแคงนอนตะแคงคิดมาทั้งคืน เดิมทีก็ไม่ใช่ประเภทจะยื่นเงินให้ทุกคนที่ตกยากหรอก แต่มะตูมถือเป็นกรณียกเว้น ดันไปล่วงรู้และเห็นชีวิตความเป็นอยู่เข้าเลยยากจะทำเป็นไม่สนใจ ทั้งอายุก็ไม่มาก โรงเรียนก็ไม่ได้ไป ไหนจะมีพ่อที่ดูท่าขี้เมาเอาเงินไปลงกับเหล้าอีก
วันนั้นที่ไปส่งถึงบ้านหมอเถื่อนแทบหลีกให้ชายวัยกลางคนอ้วกไม่ทันและดันได้รู้ธาตุแท้ตอนผู้ใหญ่แบเงินขอธนบัตรหลังจากแนะนำตัวว่าเป็นนายจ้างของร่างเล็กที่ยืนหน้าเสีย ถ้าให้เดาสหรัฐว่ารอยช้ำบนแก้มนิ่มก็คงไม่พ้นฝีมือคนเมาหรอก นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้รีบออกปากขอรับอุปการะคนที่นิ่งเงียบไป มะตูมแค่คิดว่าตัวเองอาจจะหูฝาด
“ผมเหรอ?”
“ถ้าอยากกลับไปเรียนหนังสือ ฉันก็จะส่งให้เรียน” หมอเถื่อนดูไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ยังเจริญอาหารเย็นได้ดี ผิดกับร่างเล็กที่เลิกสนใจอาหารและเริ่มจ้องหน้าคนพูดจาเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดาย มะตูมพยายามจะมองหาท่าทีล้อเล่น ซึ่งพอดีกับที่สหรัฐเงยหน้ามาเห็น ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นการถามร่างเล็กว่ามีอะไร
“ทำไมพี่ถึงต้องดีกับผมมากขนาดนี้ด้วย”
“แล้วไม่ดีหรือไงที่มีคนรัก เอ่อ …หมายถึงคนเอ็นดูน่ะ”
“ตอบให้ตรงคำถามหน่อยสิ” เมื่อเห็นมะตูมจริงจัง สหรัฐเลยนั่งหลังตรงและวางช้อนลงบ้าง “ฉันเป็นลูกคนเดียว ไม่มีน้องชาย แล้วพอเจอนายก็ถูกชะตาดี ถือเป็นนุ่งเป็นน้องคนนึง”
“น้องชาย?”
“หรือถ้าอยากเป็นมากกว่านั้นก็บอกกันได้นะ” เผลอหลุดปากจากที่ยิ้มหน้าระรื่นต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก เรื่องกำลังจะดีอยู่แล้วเชียวถ้าไม่หลุดพูดความในใจลึก ๆ ที่อุตส่าห์แอบซ่อนไว้
สหรัฐรีบยกมือยกไม้โบกสะบัดปฏิเสธหน้าตายขณะมะตูมใช้นัยน์ตาโปน ๆ จ้อง บอกไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไร ไม่รู้ว่าโกรธกันหรือเปล่าหรือตกลงจะเอายังไง ร่างเล็กเงียบไปเกือบห้านาทีขณะที่หมอเถื่อนเริ่มก้มหน้าก้มตาหาอะไรทำ พอจับช้อนได้ก็ตักน้ำแกงเข้าปากไปพลาง ๆ
“ผมต้องคุยกับพ่อก่อน” ก่อนคนนั่งซดน้ำจะชะงักแล้วเงยคางขึ้นทั้งที่ช้อนยังคาริมฝีปาก
ส่วนร่างเล็กก็เริ่มจับช้อนอีกครั้งขณะเอ่ยต่อเสียงเรียบ “เรื่องส่งเรียนห้ามคืนคำเด็ดขาดนะ” มะตูมก้มหน้าตักข้าวเข้าปากพลางยิ้มบาง ๆ ยามเห็นหมูหนึ่งชิ้นมีคนสละไม่กินแล้วตักใส่จานให้
ตามประสาคนมีเงินจะออกมาเดินเที่ยวห้างบ้างก็ไม่แปลก คนทั้งคู่เลือกทานอาหารญี่ปุ่นเป็นมื้อแรกของวันตอนเข็มสั้นชี้เลขหนึ่งส่วนเข็มยาวชี้เลขสิบสอง เพราะเมื่อคืนดันสนุกกันจนเพลินไปหน่อยพลอยทำให้ตื่นสาย ไหนกว่าจะได้อาบน้ำอีกล่ะ เฟยฮวานึกว่าตัวเองมีลูกที่ต้องคอยดูแล พอแต่งตัวให้คนแก้ผ้าเสร็จถึงได้ฤกษ์เสด็จออกจากคอนโด
ปัจจุบันอาชานั่งด้านนอกและให้ร่างบางนั่งด้านใน สลับกันป้อนใช้ช้อนร่วมกันอย่างไม่นึกรังเกียจท่ามกลางเสียงลุ้น “อ้ามมม” พูดก็พูดเถอะเฟยฮวากำลังอายแปลก ๆ จนต้องมองซ้ายมองขวาแล้วเอามือป้องปากเวลาอ้างับช้อน
ตอนจะดีก็ดีใจหาย ตอนจะร้ายก็ร้ายจนน่ากลัวนั่นคือคำนิยามของพ่อค้าอวัยวะ คนเมื่อสองสามวันก่อนกับคนในวันนี้เรียกได้ว่ามีพฤติกรรมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่จำเป็นต้องสังเกตให้วุ่นวายแค่การคีบเส้นให้แล้วคอยใช้กระดาษทิชชู่ช่วยเช็ดนั่นก็ไม่ใช่อิริยาบถปกติแล้ว ส่วนเรื่องแววตาไม่ต้องพูดถึง มีแต่ความทะลึ่งตึงตังมองร่างบางอย่างกับกินแทนซูชิ เฟยฮวาแกล้งทำสีหน้าเบื่อหน่ายแล้วท้ายที่สุดก็หลุดหัวเราะเพราะอีกคนดัดเสียงเล็กเสียงน้อย อ้อนด้วยน้ำเสียงสองขณะฉวยมือนิ่มขึ้นไปหอมไปดม เอามืออีกข้างช่วยทัดปอยผมที่แอบหยักศกกับใบหูเล็กพลางเอ่ยถึงกำหนดการ วันนี้ทั้งวันพ่อค้าอวัยวะจะให้เวลากับร่างบางเต็มที่
แต่พูดยังไม่ทันขาดคำจู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดัง อาชาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วทำท่าจะไม่ยอมรับ รอให้เสียงเรียกเข้าดับไปเองในคราแรกและเมื่อมันดังในหนที่สองจนเริ่มรอบที่สาม เฟยฮวาไม่อยากให้อีกคนเสียงานเพราะตนเลยพยักหน้าอนุญาต อาชาตัดสินใจกดรับและทำมือทำไม้ขอเวลาออกไปคุยนอกร้านอาหารที่มีคนพลุกพล่านสักครู่ แต่แม้ตัวจะอยู่ไกลกันประมาณสี่เมตร แต่คนสองคนก็ยังเห็นกันผ่านกระจกร้าน
เฟยฮวานั่งเท้าค้างมองคนยืนเท้าเอวคุยโทรศัพท์ พ่อค้าอวัยวะโบกมือรับจนริมฝีปากอิ่มเผลอยิ้มหวานให้ นัยน์ตาสีน้ำตาลไล่มองสัดส่วนบนใบหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างเพลิดเพลินกระทั่งขายาวเดินกลับเข้ามาในร้าน ร่างบางถึงได้รีบหันตัวกลับมาอีกด้านและทันเห็นอีกคนถอนหายใจขณะนั่งลงข้าง ๆ
“มีอะไรเหรอ”
“คนจากสำนักใหญ่เรียกตัว”
“งั้นก็ไปกันเลยสิ” เฟยฮวาทำท่าจะลุกขึ้นยืนในทันทีที่พูดจบแต่มือกร้านก็รีบห้ามจับเอวคอดให้นั่งลงตามเดิม “แต่ฉันสัญญาแล้วว่าจะให้เวลากับนายทั้งวัน”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันไปสำนักงานใหญ่กับนายก็ถือว่าได้ใช้เวลาด้วยกันแล้วนะ”
“มันต้องไม่ใช่แบบนั้นสิ” อุตส่าห์ได้ใช้เวลาด้วยกันทั้งทีมันก็ต้องมีไปดูหนังฟังเพลงเพื่อความบันเทิงเริงรมย์ ไม่ใช่จบวันหวาน ๆ ด้วยการที่ตนเข้าไปคุยงานและให้ร่างบางนั่งรออยู่หน้าห้องจนไม่ต้องไปไหนกันต่ออีก ดังนั้นตอนนี้ชายหนุ่มจึงกำลังคิดวิธีหลีกเลี่ยงหาข้ออ้างเฉไฉ
ขณะร่างบางเหมือนจะปิ๊งไอเดียออก “งั้นนายรีบไปรีบมาดีไหม เดี๋ยวฉันรอที่นี่เอง” เฟยฮวาเสนอความคิด ซึ่งมันก็คล้ายจะเป็นทางออกที่ดีถ้าไม่ติดอยู่ที่เรื่องนึง “แต่มันอันตรายนะ”
มีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังก็ใช่ว่าจะปลอดภัย อาชาไม่ไว้ใจให้ใครดูแลร่างบางนอกจากตัวเองจริง ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดเรื่องความปลอดภัยของเฟยฮวา จนคนนั่งมองทนดูใบหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ไหวพยายามใช้น้ำเสียงนุ่ม ๆ เข้าลูบ
“นั่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา แล้วนายจะเอายังไงล่ะ” เฟยฮวาถามด้วยความสงสัยก่อนตบท้ายด้วยมุกที่คงพอทำให้พ่อค้าอวัยวะมีอารมณ์ขันขึ้นมาบ้าง “ห้ามตอบว่าเอาฉันนะ”
ซึ่งก็เป็นไปตามคาด อาชาหลุดยิ้มแทบจะทันทีที่ได้ยิน “รู้ทันอีก”
“ฉันอยู่ได้” เห็นอีกคนกำลังสบายใจเลยใช้โอกาสนี้ยืนยันอย่างหนักแน่น ฝ่ามือนิ่มวางบนท่อนแขนแกร่งแล้วลูบเบา ๆ เพื่อให้เบาใจ
สุดท้ายอาชาก็ยอมตกลง ไม่อยากขัดใจคนนัยน์ตาเป็นประกายแต่ก่อนจะไปก็ต้องอธิบายข้อแม้กันก่อน
“งั้นฉันจะให้ลูกน้องทั้งหมดอยู่กับนายที่นี่ โอเคไหม” พอเห็นใบหน้าสวยพยักขึ้นลงจึงได้พูดเรื่องต่อไปต่อ “และนายต้องนั่งอยู่แต่ในร้านนี้ สั่งทุกอย่างมากินได้เลยระหว่างรอฉันกลับมา”
“มีหวังท้องแตกตายกันพอดี”
“แล้วฉันจะรีบไปรีบมา” คนอยู่สีหน้าเป็นปกติ มีแต่คนจะไปที่ทำหน้างอไม่พอใจ
เฟยฮวาให้รางวัลก่อนไปทำงาน มองซ้ายมองขวาแล้วคว้ามือกร้านมาหอม ไม่ยอมทำมากกว่านั้นเพราะจำนวนคนในร้านก่อนจะยกมือโบกให้ยามพ่อค้าอวัยวะเดินผ่านกระจก ร่างบางเห็นอีกคนยืนตกลงกับลูกน้องแค่ชั่วครู่แล้วรีบก้าวเดินไปจนหายลับจากสายตา
กระทั่งนัยน์ตาสีน้ำตาลหันกลับมาเห็นจำนวนอาหารบนโต๊ะแล้วก็ต้องถอนหายใจ อะไรจะมากมายขนาดนี้ตอนที่อยู่กันสองคนก็ไม่เห็นจะดูเยอะแยะสักเท่าไหร่ แต่พอเหลือตัวเดียวก็กลายเป็นกองพะเนินเท่าภูเขา ตอนที่พ่อค้าอวัยวะกลับมายังไม่รู้เลยว่าจะจัดการหมดหรือเปล่าเถอะ
จนดวงตากลมหันไปเจอเหล่าลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าร้านอาหาร เฟยฮวาทำการกวักมือเรียกให้เข้ามาด้านในแล้วเอ่ยเริ่มต้นด้วยประโยคคำถามว่ากินด้วยกันไหม โดยที่รู้ว่าอีกหกคนจะส่ายหน้าปฏิเสธ พอเห็นเป็นเช่นนั้นเลยเปลี่ยนเป็นประโยคคำสั่ง อ้างสิทธิ์ความเป็นเมียเจ้านายชี้นิ้วให้ลูกน้องนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วกินทุกอย่างแทนตนหรือจนกว่าอาหารทุกจานจะหมด
ร่างบางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่ออีกหกคนเชื่อฟังนั่งเกร็งเวลาขยับตะเกียบคีบเส้น เห็นจะไม่พอกินเลยเลื่อนจานอื่น ๆเข้าไปให้จนลูกน้องต้องรีบก้มหัวกันเป็นพัลวัน เฟยฮวากวักมือเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารแบบกลับบ้านอีกหลาย ๆ ชุด ใจดีแบบสุด ๆ ในวันที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากที่ร่ายรายการอาหารที่จะซื้อกลับไปฝากพวกลูกน้องพ่อค้าอวัยวะเสร็จ ร่างบางก็ลุกขึ้นยืนจนลูกน้องที่เหลือลุกขึ้นตามมือยังถือชามไม่ปล่อย เฟยฮวาหัวเราะเล็กน้อยแล้วบอกทุกคนว่าไม่ต้องตามไปหรอกฉันแค่จะออกไปเข้าห้องน้ำข้าง ๆ พูดจบร่างบางก็หมุนตัวออกไปจากร้าน
คนแวะมาเข้าห้องน้ำใช้เวลาทำธุระส่วนตัวแค่ไม่นานและกำลังล้างมืออยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ เฟยฮวายิ้มให้ตัวเองระหว่างสะบัด ๆ มือไปด้วย ฝึกยิ้มสวย ๆ รอต้อนรับอีกคนกลับมา แล้วค่อยเดินออกมาเกือบจะถึงหน้าประตู แต่จู่ ๆ ก็สะดุ้งตกใจยามที่ชายชุดดำก้มหน้าก้มตาเข้ามาดัก
“มีอะไร อาชามาแล้วเหรอ”
“พอดีนายโทรมาตามให้คุณเฟยฮวากลับไปที่คอนโดด่วนครับ”
“มีเรื่องอะไรเหรอ”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ” ร่างบางย่นคิ้วด้วยความสงสัยแต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจว่าถ้าปุบปับจะให้กลับแสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน คนต้องกลับจึงไม่เกี่ยงงอนหรือดึงเวลาเพื่อถามอะไรซอกแซก แค่จะแวะกลับไปจัดการเคลียร์บิลในร้านอาหารก่อน แต่ท่อนแขนใต้สูทสีดำก็ยื่นขวางทางพลางพูดว่าทุกคนไปรอที่รถกันหมดแล้วครับ
คนเป็นเมียพ่อค้าอวัยวะจึงพยักหน้ารับแบบเข้าใจระคนมึนงง “เชิญทางนี้ครับ”
เฟยฮวาเดินตามการนำทางของชายชุดดำที่พาลัดเลาะผ่านผู้คนมากมายจนมาเจอทางออกที่เชื่อมกับลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า เห็นว่ามีรถสีดำมาจอดเทียบท่ารอรับ แทบจะไม่ต้องเดินไปไกลก็ได้ก้าวขึ้นรถขณะคนด้านนอกรีบปิดประตูให้ ชายชุดดำรีบเดินอ้อมบริเวณหน้ารถยนต์ หยุดหันรีหันขวางก่อนขึ้นรถมานั่งเทียบตำแหน่งสารถีแล้วไม่รีรอที่จะสั่งให้ออกรถอย่างรวดเร็วราวกับรีบร้อน ตอนขับวนเพื่อหาทางออกก็ไม่ลืมล็อกประตูอัตโนมัติสี่ด้านจนคนนั่งตรงเบาะหลังหันมองบรรยากาศภายในรถด้วยความสนใจ
ท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนไปจนเกือบใกล้จะถึงปากทางออก นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่รถอีกคันเพิ่งขับถอยเข้าช่องจอดก่อนจะดับเครื่องสนิทบิดกุญแจออกแล้วก้าวลงจากรถ
เผอิญคนที่สำนักงานใหญ่โทรมาแคนเซิลการให้เข้าไปหา อาชาเลยรีบบึ่งรถกลับมาหาเฟยฮวาที่ห้างทันที ไม่มีกะจิตกะใจจะมองท้ายรถคันที่เพิ่งขับผ่านหน้าไป ระหว่างโยนกุญแจรถเล่นคิดแต่ว่าจะเซอร์ไพรส์อีกคนยังไง โดยหารู้ไม่ว่าบางทีอาจเป็นตัวเองที่กำลังจะถูกเซอร์ไพรส์ เพราะเมียไปกับใครก็ไม่รู้
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
เอ้าาาาา น้องงงงงลงมาลูกกก โดนหลอกแล้ว แง :ling3:
-
น้องเฟยยยยย
คนที่สำนักงานใหญ่ร่วมมือกับหยางไอใช่ไหม
อาชาสู้ๆ พาเมียกลับบ้านให้ได้นะ
-
ลูกน้องอาชาโดนซื้อตัวป่าวเนี่ย พาน้องกลับมาให้ได้นะอาชา
-
แงงงงง ลุ้นไปเรื่อยๆ
-
XII
ยามที่กำลังเดินขึ้นบันไดเลื่อนมีความคิดอยู่มากมายวันนี้จะดูหนังเรื่องอะไรกันดีนะ ความจริงพ่อค้าอวัยวะก็ห่างหายจากการหาความบันเทิงใส่ตัวเองมานาน แถมต้องยอมรับว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป ปกติวัยผู้ใหญ่ก็ชวนกันทำอยู่ไม่กี่อย่าง ตอนนี้เลยต้องมาเดินระลึกว่าระหว่างช่วงเป็นวัยรุ่นเคยทำอะไรลงไปบ้างและอะไรที่ร่างบางน่าจะพึงพอใจ
แต่การวางแผนทั้งหลายแหล่ก็จำต้องถูกพับเก็บใส่กระเป๋า “เกิดอะไรขึ้น” เมื่อขายาวก้าวเข้ามาใกล้บริเวณหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วพบว่าลูกน้องวิ่งวุ่นเหมือนกำลังหาของหาย
“ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น!” คนเราจะรู้สึกได้ถึงลางร้ายง่ายกว่าลางดีและเพราะว่าตรงนี้ไม่มีคนที่สมควรจะยืนอยู่ อาชาก็แทบจะรับรู้เรื่องราวทุกอย่างโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใครบอกและเริ่มออกวิ่งพล่านหลังลูกน้องรายงานว่าคุณเฟยฮวาขอตัวไปเข้าห้องน้ำแต่สุดท้ายก็ไม่เดินกลับมาที่โต๊ะ
อาชาเก็บเรื่องจัดการลูกน้องที่หละหลวมในการรักษาความปลอดภัยไว้ทีหลังและยกเรื่องตามหาร่างบางมาไว้เป็นอันดับแรก พ่อค้าอวัยวะพยายามแจกแจงงานให้ไปทำ สามคนวิ่งไปทางซ้าย อีกสองคนวิ่งไปทางขวา คนหนึ่งวิ่งเข้าหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อขอดูกล้องวงจรปิด ส่วนคนเดียวที่วิ่งไปทั่วบริเวณโดยไม่คิดชีวิตก็คือคนเป็นเจ้านาย
ภายในห้างขนาดกว้างใหญ่ไพศาล มันไม่เหมือนกับหนึ่งฉากในหนังที่สามารถเห็นแค่แผ่นหลังไว ๆ แล้วก็วิ่งเข้าไปคว้าตัวมากอดก่อนจะจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงมันไม่เคยง่ายดาย ท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่านพ่อค้าอวัยวะยืนหันรีหันขวาง เคว้งคว้างอยู่กลางห้างระหว่างหายใจหอบ ร่างกายเหมือนจะยอมแพ้แต่จิตใจไม่ยอมหยุดค้นหา อาชายังเชื่อว่าจะเจอเฟยฮวาที่อาจเล่นซนจนเดินหลงไปกับฝูงชนอันแน่นขนัด วิ่งชนไหล่ใครบ้างก็ยังไม่มีเวลาหันมากล่าวขอโทษ คนรีบอย่าถือสา ตามร่างกายเหงื่อซึมประปรายกับนัยน์ตาแดงก่ำ ขายาวสับไม่หยุดขณะพูดพึมพำเรียกชื่อร่างบางซ้ำ ๆ ด้วยน้ำเสียงสั่น เป็นครั้งแรกที่รู้สึกถึงคำว่าเสียศูนย์ ก้อนเนื้อหัวใจในอกซ้ายมันบีบคั้นอย่างรุนแรง
มันดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมานจนสร้างความเจ็บปวดให้ทางกาย
อาชาเคยคิดว่าตัวเองใหญ่คับโลกและคงอยู่เหนือพระเจ้า ไม่เคยเชื่อเรื่องการเข้าโบสถ์ ไม่ชอบสวดมนต์อ้อนวอนหรือขอพรให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเลยสักนิด แต่จะผิดไหมถ้าคิดกลับใจและอยากขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยชี้นำทาง อย่างน้อยก็ช่วยปกป้องร่างบางแทนลูกด้วยในตอนที่ยังไปช่วยไม่ได้ ได้โปรดอย่าปล่อยให้ดวงใจของลูกตกอยู่ในอันตราย ถ้าเขาเป็นอะไรไปลูกก็เหมือนปางตายไปด้วย หรือถ้าคิดจะทำร้ายกันก็ช่วยอย่าใช้วิธีแบบนี้ มาลงที่ลูกเลยสิจะไปลงกับคนที่ลูกรักทำไม
อาชาเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ขออะไรมากนอกจากขอเสี่ยวเฟยฮวากลับคืนสู่อ้อมอก
“ว่าไง ได้เรื่องอะไรบ้างไหม!”
สงสัยคนบนฟ้าจะสงสารคนกลับตัวกลับใจถึงได้ส่งข่าวดีมาตามสาย พ่อค้าอวัยวะรีบวิ่งไปตามเส้นทางที่ลูกน้องโทรมาบอกเพื่อให้มาดูกล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ พอเห็นภาพร่างบางเดินตามชายชุดดำขยับเป็นภาพเคลื่อนไหวอาชาก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ อยู่ใกล้แต่ไม่สามารถจับต้องได้เลยสักนิด ถ้าได้เจออีกครั้งสัญญาจะกอดแน่น ๆ จะหวงแหนให้สมกับที่เป็นคนพิเศษ ต้องเป็นหยางไอแน่นอนที่ต่อกรตรง ๆ ไม่ได้ก็เลยใช้วิธีสกปรก
หลังจากได้ภาพจากกล้องวงจรปิดจากภายในลานจอดรถมาแบบชัด ๆ รถทุกคันจำเป็นต้องขับผ่านกล้องเลยทำให้มองเห็นทะเบียนรถ ดังนั้นพ่อค้าอวัยวะจึงรีบต่อสายหาคนที่ไว้วางใจได้สั่งให้ช่วยตรวจสอบ ยอมจ่ายไม่อั้นสำหรับค่าข้อมูลและเริ่มพูดดังขึ้นเมื่อคนปลายสายยังชักช้า คนร้อนใจแทบด่ากราดหันมาจ้องลูกน้องด้วยสายตาดุดันเรียงตัว ลูกน้องหน้าเจื่อนเป็นแถวเมื่อแววตาน่ากลัวมาราวกับต้องการฆ่า ถ้าไม่ยิ้มก็คือใบหน้าของคนเย็นชาที่แสนใจร้ายดี ๆ นี่เอง แถมพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจากที่ควบคุมตัวเองได้ก็ไม่ต่างจากปีศาจซึ่งสั่งให้ลูกน้องเตรียมอาวุธกันให้พร้อม
พอปลายสายตอบคำถามและรายงานถึงที่อยู่ซึ่งตามได้จากจีพีเอส คนได้ยินคำตอบก็แทบเหาะเหินเดินนำแล้วตามด้วยลูกน้องอีกเป็นพรวน เนื่องจากมีเรื่องด่วนกำลังเสริมจึงมารวมตัวกันและรถคันแรกพุ่งทะยานออกจากลานจอดรถด้วยความรวดเร็ว ก่อนตามอีกหลายคันติดๆ เสียงประตูปิดเป็นทอด ๆ สะท้อนทั่วบริเวณชั้นล่างสุดของตัวห้าง
ซึ่งต่างกับลานจอดรถอีกด้านที่เพิ่งจะมีการจอดรถและคนยืนรอรับก็รีบเปิดประตูบริเวณเบาะหลังก่อนจะอุ้มร่างคนสลบสไลออกมา เฟยฮวาหลับไปเพราะฤทธิ์ยาที่ใช้ราดบนผืนผ้าขนาดกลาง เหตุที่ให้ต้องทำให้หลับก็เพราะเมื่อขับรถมาได้ครึ่งทางคนนั่งมาด้วยดันเริ่มไหวตัวทัน พอมองบรรยากาศโดยรวมร่วมกับบริเวณสองข้างทางก็เริ่มโวยวาย ลูกน้องที่ปกติทำตามแต่คำสั่งนายใหญ่เลยใช้วิธีโปะยาสลบหลังหักหลบล้อรถเข้าข้างทาง รอจนกระทั่งคนร่างบางได้กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา แล้วค่อยจัดการหาเชือกมามัดข้อมือขาวเอาสองแขนเรียวไพล่กันด้านหลัง
ปัจจุบันเฟยฮวาตัดขาดจากการรับรู้และอยู่เฉย ๆ เหมือนตุ๊กตาให้คนอุ้มเดินพาเข้าลิฟต์ นิ่งสนิท ขนาดเสียงเปิดปิดประตูก็ยังไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้ จนร่างนอนราบไปบนผ้าปูเตียงก็ยังปิดเปลือกตา ดูท่ายาจะออกฤทธิ์ไปสักพัก หรือบางทีการได้หลับลึกก็อาจจะเป็นเรื่องดี จะได้ไม่ต้องเห็นสีหน้าคนที่เหม็นเบื่อ
เพื่อความเป็นส่วนตัว หยางไอรีบสะบัดมือไล่ให้ลูกกระจ๊อกรีบออกไปจากห้องพักชั่วคราวทันที อยากได้เวลาย่ำยีคนที่แสนคิดถึงเต็มแก่ แต่ปกติแล้วไม่ชอบมีอะไรกับท่อนไม้ เลยกะรอให้ร่างบางตื่นก่อนสอดใส่ตอนสะลืมสะลือน่าจะมัน
ระหว่างรอก็แค่นั่งขำขันกับแผนการตื้น ๆ ของตน ใช้คนในสำนักงานใหญ่ให้เป็นประโยชน์ เรียกอีกคนออกมาหา พอพาตัวร่างบางมาได้ก็คืนคำทำเป็นโทรแคนเซิล เกิดมาฉลาดมันดีแบบนี้แหละ แค่ใช้สมองนิด คนอารมณ์ดีผิวปากเป็นทำนองเพลงไปพลาง ๆ ขณะลดตัวลงนั่งร่วมเตียง ทำเพียงสัมผัสร่างกายนุ่มนิ่มแค่ผิวเผิน เกิดอยากจะดมเลยก้มปลายจมูกลงไปใกล้ ๆ หน้าแก้ม แค่ได้ฟังเสียงหายใจเข้าออกของคนสลบก็มีความสุข ไม่ลืมจูบขมับแรง ๆ ให้ชื่นใจ
เฟยฮวาก็เหมือนสารเสพติดที่พอได้ใกล้ชิดก็ยิ่งทำให้ลุ่มหลง ยังคงเป็นดอกไม้แสนงดงามแม้จะผ่านความคาวโลกีย์มามากมาย อันที่จริงร่างบางก็ไม่เคยทอดร่างให้ใครนอกจากตน อ่อ จะมีอีกคนก็คือไอ้เวรนั่นที่บังอาจเอาปืนจี้หน้าผากตน คิดจะเล่นกับคนชอบเอาชนะก็ต้องรู้จักเตรียมแพ้ ด่าตนว่าแค่เมียคนเดียวกลับดูแลไม่ได้ งั้นขอดูหน่อยสิว่าไอ้คนที่ด่าจะมีปัญญาปกป้องเมียตัวเองยังไง ถ้ารู้ว่าสุดท้ายแล้วเมียก็กลายเป็นของคนอื่นอยู่ดียังจะยอมรับได้หรือเปล่า
“ตื่นขึ้นมาเล่นด้วยกันสักทีสิลูกกวางของฉัน” ก้านนิ้วยาวเกลี่ยแก้มใสเล่น
หยางไอยังรู้สึกรักใคร่และฝักใฝ่คนที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้เจ็บจนต้องเย็บบริเวณหน้าท้องและเกิดรอยแผลเป็น เห็นยามหลับดูสิ้นฤทธิ์แต่เวลาตื่นกลับร้ายใช่ย่อย จะไม่ปล่อยให้ร่างบางได้มีโอกาสทำร้ายซ้ำสองแล้วหนีไป จะใช้โอกาสในคราวนี้คิดบัญชีทบทั้งต้นทั้งดอก อย่าหวังว่าจะได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวัน แม้แต่ใบหน้าไอ้เวรนั่นก็จะไม่มีสิทธิ์เห็นอีกตลอดกาล
หยางไอหลุดจากภวังค์ตอนอีกคนหันนอนตะแคงข้างและครางด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ฤทธิ์ยาจะทำให้เพลียและอ่อนแรง แข้งขาเคลื่อนไหวได้ช้าขณะม่านตาค่อยๆขยายจนเผยแก้วตาใส นัยน์ตาสีน้ำตาลเห็นแสงแดดซึ่งส่องเข้ามาทางหน้าต่างห้องแต่พอมองผ้าม่านดี ๆ แล้วดูไม่คุ้นเคย เลยลองหันมองบรรยากาศรอบ ๆ ดูบ้าง
เฟยฮวาเห็นหลายอย่างแปลกตาก่อนจะรีบลุกขึ้นนั่งหลังจากเห็นใบหน้าคนนั่งร่วมเตียง แค่ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจก็ขนลุกขนพอง ไม่จำเป็นต้องรำลึกเหตุการณ์ก่อนถูกพาตัวมา ร่างบางกำลังคิดแค่ว่าจะหาทางเอาตัวรอดยังไง พอดีกับที่เข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกมัด ภายในใจหวั่นวิตกแต่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย เคยรับมือได้และคิดว่าน่าจะรับมือไหว
ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันเพื่อหยั่งเชิงก่อนหยางไอจะทำเป็นหยอกเอินยื่นมือมาจะสัมผัสร่างกาย ส่วนเฟยฮวาก็รีบถดกายหนี มีพื้นที่ไม่มากให้ขยับ กระทั่งมือใหญ่เอื้อมจับข้อเท้าขาวก็ราวกับได้ยินเสียงระฆังแห่งการต่อสู้ดังขึ้น ร่างบางไถลลื่นไปกับเตียงนอนแต่ตอนที่หยางไอเกือบจะได้ขึ้นคร่อม โชคดีที่ว่าขาไม่ถูกมัด ดังนั้นคนไม่ยอมท่าเดียวเลยยันฝ่าเท้าเข้าที่หน้าอกแข็ง ถีบเต็มแรงจนคนคุกคามกระเด็นไปไกล
ร่างบางรู้ว่าการกระทำของตนมันจะเป็นการเติมเชื้อไฟแต่ใครจะยอมทนให้รังแกอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าปกป้องตัวเองได้ก็ต้องลองทำไปพลางๆ ไม่อยากตกเป็นเบี้ยล่างก็ต้องสู้จนกว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ เฟยฮวารีบลุกขึ้นมานั่งและคลำหาปมที่ใช้ในการมัดเชือกท่ามกลางเสียงขบกราม
เพราะหยางไอเกลียดพวกประเภทขัดคำสั่ง ยิ่งดีดดิ้นมากยิ่งไม่ชอบ เพราะในโลกนี้มีคนยอมอยู่ใต้อาณัติให้ตั้งมากมายเลยติดนิสัย แถมร่างบางเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่ยอมปรนนิบัติอย่างจงรักภักดี พอมาเจอตอนพยศแบบนี้จึงทำให้รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยถึงปานกลาง หลังจากตั้งศูนย์ได้ก็หัวเราะเหมือนคนเพิ่งคิดเรื่องตลกออกและบอกเลยว่าเป็นเรื่องตลกร้าย ปกติน่ะถนัดใช้กำลังอยู่แล้ว ถ้าอีกคนปรารถนาก็จะจัดให้ ขอกันดี ๆ ก็ได้เพราะพร้อมสนองให้อยู่ตลอดเวลา รอจังหวะที่เฟยฮวาเผลอจึงเจอตบจนเลือดกบปาก มันก็ไม่แปลกจากฉากใช้ความรุนแรงในละครสักเท่าไหร่ คนบาดเจ็บรับรู้รสชาติเลือดในทันทียามที่พยายามจะลุกขึ้นมา ซึ่งดันเป็นเวลาเดียวกับที่ถูกตบซ้ำจนร่างล้มคว่ำกับเตียงนอน ก่อนจะถูกบังคับให้เงยหน้าด้วยฝ่ามือใหญ่ที่กระชากเส้นผมและจากที่อมเลือดอยู่ในปากเลยถุยใส่
หยางไอแทบเต้นเป็นเจ้าเข้าตอนใช้หลังมือเช็ดน้ำลายผสมเลือดที่เปรอะเปื้อนหน้า แล้วค่อยใช้พละกำลังเข้าข่มเหง คนสองคนละเลงตัวบนผ้าปูเตียงนอนซะยับ คนแข็งแรงกว่าพยายามจับร่างบางให้อยู่นิ่ง ๆ ระหว่างขึ้นทับพลางเริ่มซุกไซ้ใช้ปากขบรอบลำคอขาว “ปล่อยฉัน!” เฟยฮวากัดเข้าที่หัวไหล่หนาจนจมเขี้ยว ไม่ได้กัดแค่แป๊บเดียวยังมีขยี้ปลายฟันจนหยางไอส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษาและเวลาโกรธมือไม้มันก็ไป พอกระชากผมร่างบางได้ก็จับศีรษะให้กระแทกกับฟูกเตียงนอนซ้ำ ๆ ย้ำคิดย้ำทำด้วยความโมโหจนคนตั้งตัวไม่ทันเริ่มมึนงง โลกของเฟยฮวาถูกเขย่า โคลงเคลงราวกับล่องเรือน้อยอยู่กลางมหาสมุทร อะไรหยุดความเกรี้ยวกราดไม่ได้
จะมาโทษว่าตนใจร้ายก่อนได้ไงในเมื่ออีกคนเป็นฝ่ายเริ่มขัดขืนเอง มือใหญ่จับหัวร่างบางกระแทกกับเตียงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยให้ลงไปนอนขด เฟยฮวาไอจนหน้าดำหน้าแดง กระเทือนถึงมุมปากที่แตก หมดเรี่ยวแรงจะต่อกรตอนถูกทาบทับ เหลือเพียงปากที่ขยับเรียกชื่ออาชาไม่หยุดและนั่นยิ่งทำให้หยางไอฉุนจัด หมัดนึงต่อยเข้าที่ท้องน้อยจนความเจ็บปวดค่อย ๆ แพร่กระจาย เฟยฮวาจึงไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือนัก
ร่างบางพยายามปัดป้องด้วยแรงเฮือกสุดท้าย หลบเลี่ยงการซุกไซ้อย่างอ่อนล้า สองขาถูกแยกจากกัน หยางไอย่ามใจเมื่ออีกคนไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมต่อต้าน สามารถลูบคลำได้ตามใจชอบ หอมแก้มเนียนจนชุ่มปอดระหว่างถอดเสื้อสูทตัวเองว่องไว เป้าหมายเหนือการเล้าโลมก็คือการประกบจูบลงไป แต่ยังไม่ทันขยับ สงสัยลืมสั่งว่าห้ามให้ใครเข้ามารบกวน ลูกน้องถึงได้กล้าเปิดประตูเข้ามาเพราะว่ามีเหตุด่วนเหตุร้ายจริง ๆ “นายครับ…”
หยางไอหลับตาข่มอารมณ์หงุดหงิดเมื่อถูกรบกวนจังหวะดี ๆ ในชีวิต ก่อนจะคิดว่าเสียงลูกน้องก็เหมือนเสียงนกเสียงกา โฟกัสกับของดีตรงหน้า จะขอจูบให้หนำใจแต่ก็ต้องถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกนายครับเป็นหนที่สอง “นายครับ”
“อะไร!” รำคาญเกินกว่าจะไม่สนใจและต้องการคำอธิบายดี ๆ ตอนที่หันกลับมาจ้องหน้าลูกน้องเหมือนจะกินหัว ใจคนศักดิ์น้อยกว่าก็กลัวเจ้านายแต่เพราะกลัวความฉิบหายที่เกิดขึ้นกับด้านล่างมากกว่าถึงบากหน้ามาเชิญให้อีกคนลงไปดูพร้อมกัน “นายลงไปดูเองดีกว่าครับ” หยางไอมีท่าทีลังเลในตอนแรกแต่พอนึกได้ว่าร่างบางคงไม่มีแรงลุกขึ้นมาวิ่งหนีจึงยอมตีตัวออกห่าง เดินออกไปจากห้องพร้อมลูกน้อง
ปล่อยให้เฟยฮวานอนเดียวดาย มองเพดานแล้วจิตนาการถึงหน้าชายคนรัก “ฉันอยากกอดนายจังอาชา”
เดิมทีก็ไม่ใช่ประเภทพวกชอบท้าตีท้าต่อย
แถมน้อยครั้งที่จะเป็นฝ่ายเปิดศึกเพราะระลึกถึงปัญหายาวเหยียดที่จะตามมาเป็นหางว่าว แต่นั่นก็คือความคิดเก่าเก็บของคนเคยรักความสันโดษ คนในปัจจุบันพร้อมหมัดแลกหมัด จะจัดการหมาลอบกัดทุกตัวที่คาบของรักไป แต่ก่อนจะได้ยืดเส้นยืดสายอย่างจริงจังอาชากำลังหมุนห่วงเหนี่ยวไกปืนเล่นขณะนั่งบนเก้าอี้ที่สั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ เป็นเก้าอี้มนุษย์ใส่สูทดำที่มีแขนขาแต่ใบหน้านี่เลือดอาบจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ย้ายร่างแน่นิ่งมาวางกองรวมกัน ไว้ถือเป็นการรียูสใช้ของเก่าให้เป็นประโยชน์ คนเป็นลูกน้องจัดการเก็บกวาดพวกเห็บหมัดให้คนเป็นนายที่ไม่ได้ออกแรงเองตั้งแต่ยกแรก
พ่อค้าอวัยวะแค่นั่งหล่อ ๆ ระหว่างรอหยางไอลงมาดูความพินาศ ชั้นหนึ่งของตึกเก่าเอาไว้สร้างเป็นเซฟเฮาส์หลอกตาคนภายนอกปรากฏแต่ความเสียหาย ด้านนอกไม่เท่าไหร่แต่ด้านในผนังเพิ่งจะถูกประดับด้วยลวดลายใหม่ กระสุนปืนฝังยังได้กลิ่นเขม่าคละคลุ้ง แถมต้องเสียลูกน้องไปเกือบสิบชีวิต ถ้ามาเห็นภาพเข้าคงได้ร้องวี๊ดว๊ายเสียเชิงชายก็คราวนี้ มีแต่ลูกกระจอกกิ๊กก๊อกคอยอารักขามันน่าปลอดภัยตรงไหน บินข้ามประเทศมาไกลทั้งทีจะหาพวกฝีมือมาคุ้มครองตัวเองหน่อยก็ไม่ได้ …นัยน์ตาว่างเปล่าปรากฏแววสมเพชตอนคิดได้เช่นนั้น
ก่อนอาชาจะลุกขึ้นยืนเป็นสัญญาณเตรียมพร้อมขณะหยางไอหอบลูกน้องมากลุ่มใหญ่และหยุดยืนเว้นระยะห่างไว้ประมาณหนึ่งเมตร แล้วพ่อค้าอวัยวะก็เป็นฝ่ายบอกถึงเหตุผลในการมา “จะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน เมียฉันอยู่ไหน”
“เก่งนักก็หาให้เจอสิ”
คนบุกรุกบอกว่าจะไม่อ้อมค้อมและในเมื่อเจ้าบ้านไม่ยอมตอบจึงตัดสินใจเล็งปลายปืนที่ใบหน้า แล้วตามมาด้วยเสียงชักปืนอีกนับสิบกระบอก ปลายทางของอาวุธร้ายคือฝ่ายตรงข้ามและถ้ามีใครสักคนทำปืนลั่นก็จะเหมือนกับโดมิโนที่ล้มกันเป็นทอด ๆ
“เมีย-กู-อยู่-ไหน!” แม้จะเป็นเป้าหมายของปืนหลายกระบอกแต่ก็ยังกล้าตะคอกออกไป
จนหยางไอได้แต่ส่ายหัวให้กับความกล้าหาญ แล้วหันกลับมายิ้มหวานประหนึ่งไม่กลัววายชีวิน ทำเป็นพูดเล่นลิ้น เอ่ยกลอุบายที่เพิ่งนึกได้สด ๆ “ป่านนี้คงจะขึ้นเครื่องไปแล้วมั้ง”
“มึงหมายความว่าไง มึงจะพาเฟยฮวาไปไหน” คิ้วคนถามขมวดอย่างไม่เข้าใจ
“กลับบ้านไง ลูกกวางฉันหาย ฉันก็ต้องมารับกลับบ้านสิถูกไหม” ระหว่างแจกแจงก็ทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามอง ก่อนจะยิ้มขำกับความขี้ระแวงของลูกน้องของอาชา แค่ตนขยับ มือพวกนั้นก็กระชับปืนให้ยิ่งแน่นขึ้นทันที “ถึงเวลาเครื่องออกแล้วด้วยสิ มัวช้าระวังไม่ทันนะ” กลัวจะคลาดกันเลยอยากให้ได้ไปเจอ สายตาเจ้าเล่ห์เพทุบายเหมือนจะบอกพ่อค้าอวัยวะว่าให้ตามไปสิแล้วได้ทียิ้มกว้าง
พอเอาเรื่องร่างบางมาอ้าง คนเก่งก็กลายเป็นคนโง่เง่า พ่อค้าอวัยวะลดปืนลงแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป เจ้านายยกมือห้ามลูกน้องว่าไม่ต้องตามคนที่บุกมาทำความเดือดร้อนถึงถิ่น หยางไอเหมือนงูร้ายที่มีลิ้นสองแฉก หลังจากได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทยอยขับออกไปเจ้านายก็ลั่นวาจา ถึงเวลาต้องเคลื่อนย้ายก่อนคนถูกหลอกจะวกกลับมาชิงเมียของมันไป
เฟยฮวาถูกพาตัวลงมาจากชั้นบนสุดแล้วลิฟต์ก็หยุดที่ชั้นใต้ดิน ใบหน้านั้นซีดเผือดไร้เลือดฝาดตอนชายชุดดำพาขึ้นยานพาหนะ รถแวนสีดำเปิดประตูรอต้อนรับอยู่ก่อน คนปวดท้องพยายามฝืนแรงดันต้านแรงผลักเพราะไม่อยากขึ้นรถ ประวิงเวลาจนกระทั่งหยางไอเดินตามมาสมทบและเป็นคนผลักร่างบางให้เขยิบเข้าไปด้านในภายในแรงเดียวเท่านั้น
แต่ในจังหวะที่ขายาวเตรียมจะก้าวขึ้นรถคนเดียวกัน เสียงปืนหนึ่งนัดก็ชะงักงันได้ทุกอย่าง กระสุนถากรองเท้าหนังไปเพียงเล็กน้อยตามความต้องการของคนยิงสกัด แล้วทุกคนในบริเวณก็หันมาเห็นคนถือปืนเดินฉายเดี่ยวมาแต่ไกล เดินลงทางลาดเพื่อย่นระยะเข้ามาใกล้ขณะให้ลูกน้องจอดรถทุกคันทิ้งไว้ด้านบนเพื่อปิดหนทางเข้าออกของลานจอดรถและทยอยเดินตามลงมา จะไม่มีคนไหนได้ออกไป ถ้าต้องตายก็ต้องตายด้วยกันทั้งหมดที่นี่
“มึงนี่มันจีนแดงจริง ๆ มีแต่พวกกินหญ้าเท่านั้นแหละที่เชื่อมึง” สิ้นประโยคพอดีกับที่ประตูรถถูกปิดดังปึง เจ้าพ่อเงินกู้หันร่างกลับมาแต่คราวนี้สีหน้านิ่งสนิทท่ามกลางความเงียบที่มากพอจนทำให้ได้ยินเสียงร้องเรียก
คนถูกขังอยู่ภายในรถแวนพยายามส่งเสียงดัง ทุบกระจกหลังรถเพื่อส่งสัญญาณการมีตัวตนให้คนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เฟยฮวาน้ำตาไหลเป็นสายเมื่อได้เห็นอาชาที่มองตรงมาตาไม่กะพริบ จะบอกว่าพ่อค้าอวัยวะยิ้มด้วยความโล่งใจก็ไม่ถูก รู้แต่ว่ามีความสุขที่ได้เห็นใบหน้าหวาน ถึงต้องมองผ่านกระจกกั้นก็ตาม
ในยามสบตากัน อาชาก็ยิงกระสุนนัดแรกเข้ากลางหน้าอกลูกกระจ๊อกที่ทำท่าจะลอบยิงและนัดที่สองเหมือนเป็นการเปิดศึกสงครามโลกครั้งที่สาม หมดเวลาพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ห่ากระสุนพุ่งสาดเข้าใส่กันเหมือนฉากแอคชั่น
ณ ลานจอดรถมีคนตายจริงและสิ่งที่ทุกคนรีบทำก็คือหาที่กำบัง อาชาแนบแผ่นหลังกับเสาปูน กระชับอาวุธพลางนับหนึ่งถึงสามในใจ ใช่ว่าไม่มีสิทธิ์ตายตามลูกน้องไปอีกคน แต่ถ้ามัวกลัวจนไม่เป็นอันทำอะไร แล้วใครจะช่วยร่างบางออกมาจากรถคันนั้น เสียงลั่นไกดังสนั่นหวั่นไหวจนหูอื้อตาลาย โชคดีที่จู่ ๆ ก็มีชายชุดดำถอยมาล้มพับอยู่ใกล้ ๆ จึงใช้เป็นตายตัวแทน เอาร่างมาทำเป็นโล่กำบังรับกระสุนจากข้างหน้าขณะเดินเข้าหารถคันดำให้ได้ใกล้มากที่สุด
จุดหมายเดียวของการยิงตอบคือเสี่ยวเฟยฮวาที่หมอบหลบตรงที่วางเท้า พร้อมภาวนาให้ทุกอย่างจบลงสักที
ดวงตากลมโตคอยจ้องมองประตูที่ขยับไปมาเหมือนกับว่ามีคนจะเปิดออกแต่ก็ถูกขัดขวางอยู่ร่ำไป ก่อนจะได้เห็นหน้าคนรักที่กำลังเอาสันปืนทุบขมับฝั่งตรงข้ามเมื่อยามกระสุนหมดแม็กและเฟยฮวาก็สะดุ้งสุดตัวตอนหัวแข็ง ๆ กระแทกลงมากับตัวรถซ้ำ ๆ อาชาจับคอหนาแล้วเอาอีกฝ่ามือนึงกดหัวพวกดื้อด้านที่สุดท้ายก็ต้านความเจ็บปวดไม่ไหวสลบไสลไหลลงไปนอนกองอยู่ข้างล้อ ซึ่งพอหมดตัวเกะกะก็เตรียมจะคว้าที่จับประตู จิตใจจดจ่อกับคนอยู่ในรถมากไปเลยไม่ทันระวัง โดนถีบเข้ากลางหลังจนร่างด้านหน้ากระแทกเข้ากับรถ
พ่อค้าอวัยวะได้ยินเสียงคนด้านในหวีดร้องด้วยความเป็นห่วงอย่างชัดเจนขณะรีบพลิกร่างกายที่ปวดระบมเพื่อหลบกำปั้น แล้วหาจังหวะยันหน้าอกคืน ยืนตั้งการ์ดได้ไม่ทันไรก็ต้องออกหมัด อาชาโดนซัดกลับเข้าที่โหนกแก้ม แต่อีกฝ่ายก็ได้ของแถมเป็นหมัดเบิ้ลสองของนักเทควันโดสายแดงที่เกือบได้สายดำแต่เพราะความขี้เกียจเลยไม่ไปสอบเลื่อนสาย ข้อนิ้วแข็ง ๆ ชกเข้าที่เบ้าตาซ้าย อาศัยตอนอีกคนยืนมึนงงค่อยเหวี่ยงวงแขนพร้อมกำปั้นจนได้กลายเป็นแจ็คผู้ล้มยักษ์
ถ้าหากเก่งกาจสมดั่งฉายาและมีดวงดีเหมือนเด็กชายในนิทานปรัมปราก็ดีสิ “อาชา!” เจ้าของชื่อหันรีหันขวางก่อนจะเห็นจังหวะเฟยฮวาโดนกระชากลงจากอีกฝั่งของรถแล้วถูกแบกขึ้นหลัง ชายชุดดำหวังพาเข้าข้างในตัวตึกตามคำสั่งเจ้านายที่ชอบใช้ทีเผลอ เจอศัตรูหันหลังให้จึงเข้ารัดคอด้วยท่อนแขนหนา สีหน้ามาดมั่นกัดฟันกรอดตอนลงแรงจนคนถูกกระทำหน้าดำหน้าแดงไปหมด เกร็งขมับจนเห็นเป็นเส้นเลือด ต้องเดือดร้อนแน่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ร่างบางก็กำลังรอความช่วยเหลืออยู่ด้วย อาชาจึงตัดสินใจกระทุ้งข้อศอกไปด้านหลังจนเข้ากลางหน้าท้องแข็งอย่างจัง หยางไอไม่ทันระวังก็เลยเจ็บจนเผลอปล่อยมือ
ก่อนคนทั้งคู่จะเปลี่ยนมาเป็นยื้อแย่งแข่งความยาวของช่วงแขนเมื่อเห็นปืนตกอยู่ไม่ไกล จะปืนใครก็ช่างแต่พอเห็นว่าอีกคนเกือบเอื้อมหาปืนได้ก่อน ตอนนั้นพ่อค้าอวัยวะจึงถีบอาวุธร้ายจนมันไถลไปไกลแล้วค่อยเตะเสยคางคนยังไม่ทันลุกขึ้นมายืนตั้งหลัก อยากลอบกัดกันก่อนทำไม ทำให้เคียดแค้นก่อนก็ต้องโดนเอาคืน อย่าหวังว่าจะได้ยืนขึ้นมาอีกเลย
อาชาเตะเสยไปอีกทีแล้วขึ้นคร่อมหยางไอที่ล้มลงนอนหงาย ถ้าไม่ใช่กระดูกหน้าก็ต้องกระดูกมือที่มีการแตกหักเพราะคนด้านบนลงแรงกำปั้นเต็มรัก สร้างบาดแผลที่ตอนแรกแค่ช้ำสักพักมาเป็นน้ำเลือดจนส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่ว
เลือดชั่วของเจ้าพ่อเงินกู้กำลังไหลออกจากโพรงจมูก รวมถึงมุมปากแต่คนมากเล่ห์ยังไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ เอื้อมมือบีบคอคนด้านบนได้ในจังหวะชุลมุนแล้วอาชาก็บีบคอกลับ ขย้ำรอบลำคอจนต่างฝ่ายต่างส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา เจ้าป่าสองตัวกำลังคำรามด้วยความทรมานก่อนจะเป็นตัวบนที่ถูกหามปีกออกไป ลูกน้องเข้ากระชากให้ออกห่างจากเจ้านายที่ลุกมานั่งบ้วนน้ำลาย หยางไอทำท่าจะเข้าจัดการอีกคนที่โดนลูกน้องตัวเองจับตัวไว้ แต่พอเข้าใกล้ก็ถูกยันเข้าที่ยอดอก คงลืมไปว่าถ้าตัวเองมีลูกน้องได้พ่อค้าอวัยวะเองก็มีได้เหมือนกัน คนชั้นวรรณะเดียวกันถูกลากออกไปสู้ตัวต่อตัว เหลือแต่หัวหน้าที่ยืนหอบหายใจด้วยสภาพสะบักสะบอมพอกัน
สองสายตาน่ากลัวสอดผสาน และเต็มไปด้วยแรงอาฆาตขณะต่างคนต่างอ่านใจกันเองออก ผู้ชายสองคนกระโดดเข้าสู่การประลองวิ่งแข่งขัน เพื่อปืนกระบอกเดิมอาชาดันเริ่มวิ่งได้ไวกว่าจึงไม่แปลกที่จะคว้าปืนได้ ร่างกายไถลไปกับพื้นแล้วรีบลั่นไกปืนเล็งเข้าที่หน้าขาหยางไอทันที
แล้วลูกน้องที่เห็นเจ้านายบาดเจ็บก็เริ่มชะงักชัก ทำอะไรไม่ถูกและคิดล่าถอย รวมถึงชายชุดดำอีกสองคนที่ก็ปล่อยเฟยฮวาทิ้งไว้กลางทางจนร่างทรุดลงไปนั่งกองกับพื้นระหว่างได้ยินเสียงสัญญาณไซเรน น่าจะเป็นเสียงรถตำรวจที่กำลังขับมาจากที่ไกล ๆ นัยน์ตากลมโตปรากฏความหวัง
“เฟยฮวา!” ร่างบางหันตัวเข้าหา อยากจะโผเข้ากอดแต่ติดที่ข้อมือถูกมัด
เฟยฮวารอจนกระทั่งมือกร้านช่วยแกะปมเชือกออกให้อย่างรวดเร็ว แล้วรีบโถมร่างใส่คนที่คุกเข่าเอาวงแขนกอดรัดตอบ อาชาพยายามปลอบคนร้องไห้อย่างหนักด้วยการลูบแผ่นหลังระหว่างกระซิบเสียงเบาว่าไม่เป็นไร กลับกันเฟยฮวายิ่งน้ำตาไหลบ่า วงแขนสั้นรัดลำคอแกร่งไว้แน่น กอบโกยความใกล้ชิดที่เป็นเหมือนฝัน ใช้สัมผัสยืนยันว่าอีกคนมีตัวตนจนความกลัวค่อย ๆ เจือจาง
“มึง!” แต่แล้วดวงตาก็ต้องเบิกกว้าง ร่างบางคือคนที่เห็นภาพหยางไอลุกขึ้นมาหลังจากคว้าปืนกระบอกที่พ่อค้าอวัยวะไม่ยอมถือติดมือมาด้วยได้ จนสบโอกาสลั่นไก
กระสุนซึ่งเดินทางไวกว่าคำพูดเสมอพุ่งมาหาในจังหวะที่เป็นใครก็หลบไม่ทัน อาชาตัดสินใจกอดเฟยฮวาจนจมอกจนรู้สึกถึงแรงสะเทือนร่วมกัน กระสุนหนึ่งนัดน่าจะฝังอยู่ที่บริเวณแผ่นหลังท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ร่างบางน้ำตานองขณะเป็นฝ่ายโอบกอดร่างของคนที่ยังไม่ทันหมดสติ
พ่อค้าอวัยวะพยายามที่จะทำเป็นรู้ตัวตลอดเวลาแต่ว่าก็ฝืนอาการอ่อนล้าไม่ได้ จึงเป็นเฟยฮวาที่รีบเขย่าตัวให้ตื่น อาชายื่นมือขึ้นเพื่อหวังจะช่วยเช็ดน้ำตาแต่เพราะดวงตากำลังฝ้าฟาง ใบหน้าคนรักดูเลือนรางและบิดเบี้ยว อีกนิดเดียวเกือบสัมผัสได้แต่มือก็ตกลงข้างกายเสียก่อน ชีพจรเต้นอ่อนเต็มทีขณะที่เฟยฮวาประคองนอนลงบนตักแล้วตบแก้มกร้านหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ลืมตา ร่างบางรีบเรียกหาความช่วยเหลือเมื่อตำรวจเข้าเคลียร์พื้นที่
“นายตื่นขึ้นมาสิ ตื่นขึ้นมามองหน้าฉันก่อน!”
อาชายังนอนหายใจแต่แผ่วเบาเหลือเกิน ตกลงมันเป็นความบังเอิญหรือเพราะเสี่ยวเฟยฮวาเป็นตัวนำความโชคร้ายมาจริง ๆ แล้วสิ่งไหนจะช่วยยืนยันได้บ้างว่าพ่อค้าอวัยวะจะรอดหรือว่าละครเรื่องนี้พระเอกจะตายตั้งแต่กลางเรื่อง
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
อาชาต้องฟื้นขึ้นมาหาน้องเเล้วววว ไม่ิอยากให้น้องคิดว่าตัวเองเป็นตัวโชคร้ายอีกเลย
-
ฉากบู๊ระทึกใจมากค่ะ
อยากเข้าไปร่วมซัดหยางไอด้วยคนเลย
อาชาเป็นพระเอกต้องไม่ตายนะ
น้องเฟยก็อย่าคิดมากจนหนีไปนะ
-
พระเอกไม่ตายหรอกลูกกกกกก อาชาฟื้นมาหาน้องงงงง :ling1:
-
รอเขาหวานกันอยู่นะ :hao7:
-
พี่อาชา นี่พระเอกจริงๆ น้องเฟยรอพี่อาชานะ
-
อาชาต้องไม่ตายยยยย รีบฟื้นมาหาน้องเฟยนะคุณพี่
-
XIII
พ่อค้าอวัยวะตกอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น ฟื้นขึ้นมากลางทางระหว่างเห็นแสงจากหลอดไฟบนเพดานด้วยความพร่าจนไม่อาจระบุได้ว่าตกลงตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน ภาพทุกอย่างมันสลับสับเปลี่ยนด้วยความว่องไวจนสายตาเบลอ ๆ ไม่สามารถจับโฟกัสท่ามกลางเสียงสนทนาจากสถานที่ไกล ๆ ได้ยินเหมือนคนหูแว่ว
สองข้างแนวเตียงเหล็กมีทั้งหมอทั้งพยาบาลร่วมถึงญาติวิ่งตามอย่างใกล้ชิด แต่คนนอนหายใจรวยรินก็ไม่อาจแยกแยะว่าใครเป็นใคร รู้สึกได้ว่ามีคนจับมือแต่ไม่มีเรี่ยวแรงบีบกลับ คิดว่าจำสัมผัสได้แต่ไม่สามารถตอบสนองยามจิตใจล่องลอยและวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
สภาวะใกล้หมดสติเป็นเหตุให้บุคลากรทางแพทย์รีบเข็นเตียงคนบาดเจ็บผ่านเขตประตูปลอดเชื้อ แต่เมื่อเฟยฮวาทำท่าจะวิ่งตามเข้าไปด้วย มันช่วยไม่ได้ที่คนนอกจะถูกกักบริเวณ ถึงจะเป็นญาติก็ต้องทำตามกฎด้วยการรออยู่ข้างนอก ประตูเลื่อนถูกล็อกอัตโนมัติจากด้านในและป้ายไฟข้างประตูก็โชว์เลขห้องที่กำลังใช้ผ่าตัด แต่มันไม่บอกเวลา ร่างบางจึงไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหน เฟยฮวาใจเสียจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ระหว่างยืนเกาะประตูกระจกไม่ไปไหน ความกลัวมันประดังประเดเข้ามา หวั่นว่าอาจได้เห็นหน้าอีกคนเป็นครั้งสุดท้าย ไม่เคยอยากคิดในแง่ร้าย แต่บังคับให้ตายสมองก็ไม่ให้ความร่วมมือ คิดออกแต่เรื่องเลวร้ายซ้ำไปซ้ำมา
“พี่เฟยฮวา!” เจ้าของชื่อหมุนตัวหันหาคนเรียกทันทีแล้ววิ่งปรี่เข้ามากอดคนตัวเล็กกว่า เวลานี้มะตูมไม่ต่างจากหลักยึดอันเข้มแข็ง เป็นกำแพงให้คนเสียน้ำตาพักพิง
“ไม่เป็นไรนะครับ คุณอาชาจะต้องปลอดภัยนะ” ฝ่ามือเล็กยกขึ้นลูบแผ่นหลังที่ยังสะเทือนตามแรงสะอื้น ก่อนจะเงยหน้าสบตาคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อยากให้คนเป็นหมอช่วยพูดอะไรสักหน่อย
“ไอ้อาชามันหนังเหนียวจะตายไปครับ มันไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก”
ถ้าถามในฐานะคนเป็นหมอขอพูดตามตรงเลยว่าเวลาคนถูกยิงมามีสิทธิ์เป็นตายเท่ากัน แต่ด้วยหน้าที่นั้นก็จำเป็นต้องพูดให้ญาติคนเจ็บเบาใจ ปลอบให้ทุเลาความกังวลและสหรัฐก็ไม่คิดว่ามันเหนือบ่ากว่าแรงขณะเชื่อด้วยซ้ำว่าคนแข็งแรงอย่างพ่อค้าอวัยวะไม่มีทางลาโลกไปเร็วนัก นั่นน่ะหัวแข็งตัวพ่อ ต่อให้โดนมากกว่าหนึ่งนัดขี้คร้านวันสองวันจะรีบลุกขึ้นมาอ้อนเมีย คงไม่ยอมนอนเป็นผักนาน ๆ หลังจากที่ยอมเสี่ยงตายไปช่วยเมียกลับบ้านได้แล้วหรอก
แล้วจะบอกเลยว่าตนเนี่ยแหละคือพระเอกตัวจริงที่ส่งตำรวจไปช่วยเพื่อนผู้บ้าระห่ำ โชคดีที่ว่าดันแวะเข้าไปหากะจะกินมื้อค่ำที่ร้านอาหาร พามะตูมไปด้วยเพื่อถือว่าช่วยอุดหนุนกิจการหลอก ๆ ของพ่อค้าอวัยวะ แต่ขณะกำลังตักข้าวเข้าปากก็เห็นว่าลูกน้องกำลังอยู่ในช่วงวุ่นวาย จึงอ้างสิทธิ์ใช้ความเป็นหมอสอบถามคำตอบมา จนได้ความว่าหัวหน้าพาลูกน้องไปช่วยของรัก ไปสักที่ที่อยู่แถบชานเมืองและความจริงก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตนักหรอก แต่เพราะลูกน้องดันกระซิบบอกว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา แถมปกติไอ้พ่อค้าอวัยวะก็ไม่เคยมีใครกล้ามาหาเรื่อง แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามต้องทำการบ้านมาดีหรืออย่างน้อยก็มีอำนาจเสมอกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หมอเถื่อนรีบต่อสายหาสหายซึ่งเป็นตำรวจที่พอจะช่วยเก็บงำความลับให้ได้ เลือกคนที่ว่าพอความวุ่นวายจบลง เรื่องทุกอย่างก็จะไม่แดงขึ้นมาให้เด่นหราบนหน้าหนังสือพิมพ์
สหรัฐรีบเดินออกห่างหลังชูโทรศัพท์ให้มะตูมดูว่ามีสายเข้า เกรงว่าสัญญาณมือถือจะรบกวนเครื่องมือทางการแพทย์เลยเดินออกมาไกล หมอเถื่อนถือสายแนบหูแล้วตอบรับ งึมงำกลับด้วยความสงสัยระหว่างหันมองกลับไปเห็นร่างเล็กค่อย ๆ พาคนร้องไห้ไปนั่ง
ถึงแม้จะยังใช้คำว่าสนิทสนมกันไม่ได้ แต่คนปลอบใจก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเช็ดน้ำตา รู้สึกเป็นเกียรติมากกว่าด้วยซ้ำที่อีกคนไม่ปฏิเสธความหวังดี มะตูมที่นั่งยอง ๆ เอื้อมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาบนสองแก้มเนียนแผ่วเบาแล้วตบหัวเข่าคนนั่งอยู่สูงกว่าตอนเอ่ยว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
ก่อนร่างเล็กจะหันมองใบหน้าของคนเดินกลับเข้ามาสมทบที่แย้มยิ้มให้เล็กน้อย สหรัฐขยับปากชมเด็กน้อยว่าเก่งมากระหว่างยืนกอดอกพิงผนัง ปากยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่สมองกำลังคิดถึงประโยคที่เพิ่งได้ยินก่อนจะวางสายโทรศัพท์ เพื่อนที่เป็นตำรวจจำเป็นต้องปล่อยหยางไอไปเพราะผู้ใหญ่ขอมา อีกอย่างต่างฝ่ายต่างก็ยิงกันจึงถือว่าเจ๊ากัน เข้าโรงบาลฯ ด้วยกันทั้งคู่ ดูท่าไอ้พ่อค้าอวัยวะจะไม่ได้สู้กับพวกขี้หมูขี้หมาจริง ๆ ซะด้วย มีคนช่วยหนุนจนหลุดจากตะรางแบบนี้คงมีแบ็คดีใช้ได้ เห็นแววความพังระเนระนาดมาแต่ไกลและคนอย่างอาชาจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อผู้ชายหน้าสวยคนเดียวเนี่ยนะ หิมะจะตกในหน้าร้อนก็คราวนี้นี่แหละ
หมอเถื่อนก็ได้แต่ภาวนาให้ไอ้พ่อค้าอวัยวะอยู่รอดปลอดภัยและอย่าได้ทิ้งให้เมียเป็นหม้ายเด็ดขาด ดูจากอาการที่ร่างบางเสียอกเสียใจ อาชาโชคดีแล้วที่มีคนรัก เป็นห่วงเป็นใยมากขนาดนี้ ทีนี้ก็เหลือแค่ตื่นขึ้นมาให้เห็นเองกับตา รีบตื่นขึ้นมาสารภาพรักซะเมียจะได้หายเสียขวัญ
สหรัฐยืนคิดอะไรคนเดียวอยู่นานก่อนอาสาออกไปหาซื้ออะไรมาให้คนอีกสองคนกินรองท้อง เห็นว่าคนบาดเจ็บคงยังไม่ออกมาได้ง่าย ๆ จึงให้มะตูมกับเฟยฮวานั่งรอ ร่างบางเองก็พอควบคุมตัวเองได้บ้างแล้ว น้ำตาหายไปเหลือแค่แววตาหมองเศร้าระหว่างเอาแต่จ้องไปที่บานประตูอย่างรอคอยและในยามที่ร่างเล็กข้างกายคะยั้นคะยอให้ดื่มน้ำสักหน่อย เฟยฮวาก็เอาแต่ส่ายหน้า
“กินอะไรสักหน่อยนะครับ” มะตูมเข้าใจว่าคงไม่มีอารมณ์อยากกิน แต่คนเพิ่งหยุดร้องไห้ได้หมาด ๆ หน้าซีดมากจนกลัวจะเป็นลมเป็นแล้งไปอีกคน มือเล็กจึงจำต้องยัดก้อนขนมปังใส่มือ
เฟยฮวาถือขนมปังเอาไว้ในอุ้งมือเป็นพัก อารมณ์อยากอาหารแทบไม่มีแต่ก็ยอมที่จะเอาของกินเข้าปากเพื่อความสบายใจของอีกสองคน แต่มันก็เป็นอาหารมื้อเย็นที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย แถมเต็มไปด้วยความทรมานและเจ็บปวดจนยามที่อ้าปากงับจู่ ๆ น้ำตาก็ไหล เคี้ยวไปเศร้าไปอยู่ด้านหน้าห้องผ่าตัด กัดหนึ่งคำก็คิดว่าคนในนั้นจะหิวน้ำไหม จะมีแรงสู้กับโชคชะตาไหวหรือเปล่านะ รีบออกมาสักทีสิอาชา ฉันรอได้แต่อย่านานได้ไหม… เวลายังเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ขณะร่างบางถือขนมปังคามือจนมันเย็นชืด เฟยฮวาเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมขยับไปไหน ผิดกับอีกสองคนซึ่งลุกยืดเส้นยืดสายบ้างท่ามกลางบรรยากาศเงียบเหงา ก่อนลูกน้องจะทยอยเข้ามายืนเฝ้าอยู่ห่างๆ และยังคงเป็นร่างบางคนเดิมที่ดีดตัวลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็วและรีบวิ่งไปหาหมอที่เดินออกมาจากประตูเลื่อนอย่างร้อนรน คนร้อนใจถามว่าคนด้านในเป็นอย่างไรบ้าง หมอจึงพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้ พลางตอบอย่างใจดีว่าปลอดภัย กระสุนไม่ได้โดนในจุดที่สำคัญ
“ญาติรบกวนช่วยตามไปกรอกประวัติคนบาดเจ็บด้วยนะคะ” เฟยฮวาที่ดีใจจนเขย่ามือของมะตูมไม่หยุดเกือบจะหลงเดินตามพยาบาลไป แต่เผอิญสำนึกได้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวพ่อค้าอวัยวะเลยนอกจากชื่อกับอาชีพ สหรัฐจึงอาสาทำหน้าที่นั้นแทนและแตะแขนร่างบางว่าไม่เป็นไร
“เดี๋ยวผมไปเองดีกว่า เฟยฮวารออยู่ที่นี่นะ จะได้เจอมันตอนออกมาด้วย”
คนได้ฟังพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วไม่ลืมขอบคุณอีกคนที่เดินตามพยาบาลไป ทิ้งไว้แค่ร่างเล็กที่กำลังยืนยิ้มน้อย ๆ ให้ร่างบาง เฟยฮวายิ้มกว้างตอบกลับแล้วค่อยหันไปมองบานประตู ขนาดตนยังรู้สึกอึดอัดที่ไม่รู้ประวัติอีกคนจนไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ …นายเองก็คงจะอึดอัดที่ไม่รู้จักเกี่ยวกับตัวฉันเหมือนกันใช่ไหมอาชา
ร่างบางตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่าง จะเหลือก็แค่รอให้พ่อค้าอวัยวะตื่นขึ้นมาฟัง หมอบอกว่าฤทธิ์ยาสลบอาจยังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย คนบาดเจ็บจึงไม่ได้ฟื้นสติในทันทีและยังไงถ้ามีความเคลื่อนไหวก็ให้กดเรียกพยาบาลได้ตลอดเวลาอย่าคิดว่ามันเป็นการรบกวน
ก่อนหมอเจ้าของไข้จะชวนพยาบาลสองคนเดินออกไปจากห้องพักฟื้นวีไอพี ปล่อยให้ญาติได้มีเวลาอยู่กับคนไข้และมะตูมก็อาสาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนร่างบางในคืนนี้ แต่คนที่พามาด้วยกับส่ายหน้าบอกว่าเด็กต้องกลับบ้านนอน สหรัฐไม่สนสายตามองค้อนแต่อย่างใดขณะเฟยฮวาก็ช่วยพูดให้ร่างเล็กเข้าใจ ยังไงอีกคนก็ปลอดภัยแล้ว ดังนั้นแค่ตนเฝ้าคนเดียวก็น่าจะพอ
“แต่ว่า”
“เรากลับกันก่อนดีกว่า” หลังจากตบหน้าขาเพื่อนที่ยังนอนนิ่งบนเตียงเหล็กเบา ๆ แล้วบอกว่าจะมาเยี่ยมใหม่ สหรัฐก็คว้าต้นแขนเล็กให้เดินออกไปจากห้องสีขาวด้วยกัน มะตูมจึงจำต้องรีบหันมาโบกมือให้เฟยฮวาเป็นการลา ร่างบางสวนกลับด้วยประโยคขอบคุณนะ กระทั่งประตูห้องปิดลง
จนภายในห้องคงเหลือแต่ความเงียบเฉียบ สองเท้าเหยียบย่างเข้าใกล้คนนอนหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ กลัวคนยังไม่รู้สึกตัวจะเจออากาศเย็นจนจับไข้เลยมัดปมเชือกเสื้อของทางโรงพยาบาลให้ยิ่งกระชับแล้วค่อยก้มใบหน้าลงต่ำ ริมฝีปากนุ่มทาบบนหน้าผากซีดเซียวอยู่นาน เฟยฮวาไล่จุมพิตเปลือกตาที่ยังปิดสนิทและเลื่อนปากลงเพื่อจูบชิดสันจมูกโด่ง หอมบริเวณข้างแก้มตอบและลอบจูบริมฝีปากแห้งผากอย่างแผ่วเบา ถือเป็นรางวัลให้คนเก่งที่ต่อสู้จนรอดปลอดภัย ไม่มีอะไรจะมอบให้นักหรอกนอกจากความในใจ …ฉันรักใครอยู่นายจะอยากรู้ไหมนะ
หลังจากที่ปิดไฟจนภายในห้องมืดสนิท ร่างบางก็กลับมานั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่เคียงข้างเตียงเหล็กแล้วฉวยมือกร้านมากุมไม่ปล่อย ให้ดวงจันทร์ด้านนอกหน้าต่างเป็นแสงสว่างนำทางน้อย ๆ จะคอยจับมืออยู่อย่างนี้เวลาที่หลงจะได้ไม่รู้โดดเดี่ยว ระหว่างเฝ้ามองใบหน้าของคนที่ยังหลับตาพริ้ม เสียงเบาพึมพำว่ารีบตื่นขึ้นมานะ
คนนั่งเฝ้าปฏิญาณว่าจะไม่นอนตลอดทั้งคืน จนค่อนคืนก็แล้ว ดวงตากลมโตก็ยังลืมค้างไว้อย่างแน่วแน่ เพราะแค่กลัวจะพลาดโอกาสสำคัญ อยากให้พ่อค้าอวัยวะเห็นว่าตนนั้นอยู่ตรงนี้เสมอและรอเจอเป็นคนแรก เฟยฮวารอคอยอย่างมีความหวัง นั่งวาดภาพว่าจะดูแลคนบาดเจ็บอย่างไรดี จนกระทั่งไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน
จนเมื่อสายของวันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
เป็นคนนอนบนเตียงเหล็กต่างหากที่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแล้วรีบหลับลงใหม่ สายตายังสู้แสงธรรมชาติไม่ได้เลยต้องขอเวลาสักครู่ ระหว่างรู้สึกว่าช่วงขาชาและขยับไม่ได้ อาชาพยายามประมวลผล คิดเป็นฉากต่อฉากจนเข้าใจเหตุผลว่าทำไมตัวเองถึงได้มานอนเกลือกกลิ้งที่นี่ โดยที่ตอนแรกก็เผลอเข้าใจไปอีกว่าอาจจะมีอาการข้างเคียงเป็นอัมพาตช่วงล่างเนื่องจากโดนยิงที่แผ่นหลังซึ่งรวมเส้นประสาทไว้มากมาย แต่ที่ไหนได้เพราะมีคนกำลังใช้ต้นขาตนหนุนแทนต่างหมอนตลอดหลายชั่วโมงจนทำให้เกิดอาการเหน็บชา คนเฝ้าหลับไปทั้งที่ยังจับมือคากันไว้
“เฮ้…” เสียงแหบเอ่ยแผ่วเบาเท่าที่มีแรงเพื่อต้องการปลุก แต่สงสัยรีบลุกนั่งไปหน่อยเลยเกิดอาการเจ็บแผล ไหนจะเพราะขำที่ตกลงว่าใครกำลังเฝ้าใครสุดท้ายเลยส่งเสียงครวญคราง ทำเอาคนขี้เซาสะดุ้งตื่นพลางลุกยืนขึ้นอย่างดีใจ
จากที่งัวเงียหายง่วงเป็นปลิดทิ้งก่อนโผเข้ากอดคนที่อ้าแขนรอรับอย่างรู้งาน เฟยฮวาคงจะลืมว่าชายหนุ่มกำลังเจ็บ แถมคนเจ็บก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร อดทนอดกลั้นความระบมของบาดแผลไว้แล้วปล่อยให้ร่างบางได้กอดจนหนำใจ ให้กอดจนกว่าจะหายคิดถึง “ร้องไห้อีกแล้ว”
เสียงแหบพึมพำยามรู้สึกได้ถึงแรงสั่น กอดกันแน่นจนรับรู้ได้ว่าอีกคนกำลังสะอื้นเสียน้ำตา
“เป็นห่วงฉันมากขนาดนั้นเชียว” ถามพลางยิ้มกว้าง เพราะถึงร่างบางจะไม่ตอบเป็นคำแต่การกระทำก็สำคัญกว่าเสมอ เจอแหย่เข้าไปแทนที่จะโกรธจนถอยห่างแต่กับกระชับอ้อมกอด แทบจะปีนขึ้นมานอนร่วมเตียงกับพ่อค้าอวัยวะที่เอียงตัวไปมาเพื่อปลอบคนเจ้าน้ำตา
“ไหน ฉันขอดูหน้าหน่อย” ไม่เห็นหน้าค่าตากันจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงได้แล้วมั้ง และทั้ง ๆ ที่คนเจ็บขอดูหน้าแต่คนผละออกไปกับส่ายหัวหลบ ขอเวลาปาดน้ำตาเพราะกลัวว่าจะสภาพเหมือนศพและไม่สวยเหมือนเดิม กระทั่งชายหนุ่มบนเตียงเริ่มร้องโอดโอยอีกครั้ง ร่างบางจึงรีบหันกลับมาและรู้ว่ามันเป็นแผน
สองแขนยาวรั้งเอวคอดเข้ามากอดใกล้ ๆ ขณะแหงนใบหน้ามองจ้องจนแก้มเนียนที่เริ่มแดงโดยไม่มีสาเหตุ เป็นคนเจ็บใช่ว่าจะส่งสายตาเจ้าชู้ไม่ได้และพ่อค้าอวัยวะรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าตอนได้เห็นมุมปากอิ่มช้ำ “เจ็บมากไหม” ร่างบางส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยิ่งรู้สึกอายเมื่อสายตาเดิม ๆ ยังจ้องเขม็ง
“มีอะไร” เฟยฮวายกมือขึ้นลูบหน้ากลัวว่าจะมีอะไรติดจนทำให้ดูตลกและอาชาก็เป็นฝ่ายดึงข้อมือขาวข้างนั้นลงพลางเลื่อนมือจนนิ้วทั้งสิบได้สอดผสานกัน “แค่คิดถึงน่ะ” อาการเฉียดตายทำให้ยิ่งตระหนักว่าควรจะพูดในสิ่งที่รู้สึกจริง ๆ ออกไปทันที “คิดถึงมากที่สุดเลย”
“ฉันก็คิดถึงนาย” คิดถึงอยู่ตลอดจนไม่เป็นอันทำอะไร ร่างบางเดินเข้าใกล้อีกก้าวก่อนจูบหน้าผากแผ่วเบาช่วยปัดเป่าภยันอันตราย สุดท้ายสำหรับอาชา เฟยฮวาก็คือนางฟ้าแม่ทูนหัวที่เนื้อตัวนุ่มนิ่มเกินห้ามใจ พ่อค้าอวัยวะหอมต้นแขนขาวที่อยู่ใกล้ปลายจมูกให้หายชื่นใจแล้วค่อยออดอ้อน ช้อนตามองอย่างน่าสงสาร “หิวน้ำ”
“จริงด้วย เดี๋ยวฉันไปรินน้ำมาให้นะ” ลืมไปว่าเพิ่งฟื้นคงต้องกระหาย แต่เพราะอีกคนยังกอดเอวไม่เลิกจะเดินไปเลยไม่ถนัด พอหันกลับมาอีกทีก็ยังเห็นสายตาเว้าวอนและตอนนั้นเองที่เฟยฮวาเพิ่งเข้าใจความหมาย “แต่หมอบอกว่าถ้านายฟื้นเมื่อไหร่ให้กดปุ่มเรียกพยาบาล”
“ช่างหมอช่างพยาบาลไปก่อนได้ไหม”
แล้วริมฝีปากที่ก้มลงมาประกบกับมุมปากคนถามก็ถือเป็นคำตอบว่าทำไมจะไม่ได้ล่ะ
“โว้ยยยย!”
เสียงโวยวายต่อท้ายด้วยเสียงดังโครมคราม ถ้วยชามข้าวคนไข้ถูกปัดลงจากโต๊ะเสริมโดยที่จำนวนอาหารยังเต็ม เดือดร้อนให้พยาบาลที่ยืนอยู่ในบริเวณต้องก้มลงเก็บกวาด ไม่ใช่ข้าทาสแต่ก็เหมือนใช่เพราะคนไข้รายนี้ช่างเอาใจยากและขี้หงุดหงิด สงสัยเป็นเพราะฤทธิ์จากการถูกยิงที่ขา
หยางไอนั่งทำหน้ากรุ่นโกรธอยู่บนเตียงเหล็กขณะกล่าวโทษดินฟ้าอากาศด้วยความหัวเสีย เจ้าพ่อเงินกู้รู้สึกขัดอกขัดใจเพราะหมอยังไม่อนุญาตให้เดิน ซึ่งพอเกิดคำสั่งห้ามเคลื่อนไหวก็เท่ากับว่าไม่สามารถรีบกลับไปจัดการมารคอหอยได้ทั้งที่อยากให้มันรีบตาย ๆ ไปซะ
“กูจะฆ่ามึงให้ได้!” การตีงูต้องดูให้มั่นใจว่ามันตาย ไม่งั้นมันจะกลับไปทำร้ายด้วยความเคียดแค้นอีกครั้ง …ถือว่าอาชาพลาดที่ปล่อยให้ศัตรูยังมีชีวิต “มึงกับกูไม่มีทางอยู่ร่วมโลกกัน!”
มือกร้านหยิบหมอนรองแผ่นหลังแล้วขวางเข้าใส่พยาบาลที่กำลังลุกขึ้นยืนหลังจากเก็บกวาดจานกระเบื้องเสร็จอย่างแรง กระทั่งหญิงสาวล้มลงไปจนข้าวของกระจัดกระจายระเนระนาด จากที่ขัดหูขัดตาอยู่แล้วจึงยิ่งสร้างความน่ารำคาญเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มเรียกหาลูกน้องข้างนอกให้รีบเข้ามาแล้วสั่งให้ช่วยพาผู้หญิงชุดขาวออกไปให้พ้น ๆ หน้าสักที
“อย่าหวังว่าพวกมึงจะมีความสุข” ลูกคนเดียวลึก ๆ แล้วล้วนเป็นเด็กเอาแต่ใจและแม้จะได้ของเล่นเปลี่ยนใหม่ไม่ซ้ำกัน แต่ว่าก็มักมีของเล่นชิ้นโปรดปรานอยู่ในดวงใจเสมอ แม้ตอนโตมาจะเผลอไผลได้กับคนอื่นไม่เลือกเวลา แต่ว่าเฟยฮวาก็คือหนึ่งเดียวในใจ ไม่งั้นไม่ตามเทียวไล้เทียวขื่อให้เสียเวลาทำมาหากินหรอก กล้าบอกว่าหวงได้อย่างเต็มปาก
หยางไอรักร่างบางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตกหลุมรักตั้งแต่วันแรกที่ได้พบเจอกัน ในวันที่พ่อพาเด็กผู้ชายตัวเล็กเนื้อตัวมอมแมมและเปื้อนคราบเลือดกลับมาที่บ้านด้วย พอจับอาบน้ำแต่งตัวซะใหม่ถึงได้เห็นว่าเด็กผู้ชายหน้าหวานนั้นสวยสดตั้งแต่ยังเยาว์วัย หลังจากที่บิดาซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจเงินกู้อยู่ในตอนนั้นออกปากบอกว่านี่คือสมาชิกใหม่ของบ้านและฝากให้ช่วยดูแลน้องดี ๆ เด็กชายวัยรุ่นก็พยายามที่จะเข้าหาเพื่อผูกมิตรและค่อย ๆ ชวนคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระ แต่ว่าอีกคนกับเมินอย่างไร้เยื่อใย บอกแค่ว่าไม่อยากคุยกับลูกฆาตกร
ตอนนั้นหยางไอในวัยสิบหกก็ไม่รู้เรื่องนักหรอก จนวันที่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เล่มเก่า ๆ รื้อเอาออกมาดูด้วยความสนอกสนใจ จึงเริ่มเข้าใจว่าทำไมอีกคนถึงได้เย็นชากับตัวเองนัก ที่แท้พ่อแม่ของเฟยฮวาก็ถูกพ่อตนฆ่าตายคาคฤหาสน์ เลยไม่แปลกที่จะมีการปฏิบัติตัวอย่างต่อต้าน เฟยฮวาในวัยสิบสี่พยายามหลบหนีอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ถูกจับกลับมาที่เก่า ก่อนจะโดนสั่งให้อดข้าวอดน้ำอยู่บ่อย ๆ และไม่น้อยกว่าสามครั้งที่เด็กชายซึ่งถูกพากลับมาพยายามฆ่าตัวตาย จนประมุขของบ้านสั่งขังให้อยู่แต่ในห้องแคบ ๆ ที่ไม่มีกระจก ไม่มีมุมไม่มีสัน จนวันนึงหยางไอเข้ามาช่วยพูดไกล่เกลี่ยกับคนเป็นพ่อ ขอให้ช่วยยกโทษให้ร่างเล็กที่ยังไม่สามารถยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่กำลังค่อย ๆ โตเป็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สมวัย เด็กหนุ่มอาสาและออกปากว่าจะเป็นคนดูแล ตักเตือนและสั่งสอนคนดื้อรั้นเอง
แต่หารู้ไม่ว่ากลับกลายเป็นตัวเองซะเองที่ถูกสอนให้เข้าใจว่าการเป็นคนดีไม่ได้ทำให้อีกคนยอมเปิดใจ ความพยายามภายในเวลาหลายปีดูไร้ความหมาย ไร้ค่าเมื่อคนที่อายุน้อยกว่าปีสองปียังตีตัวออกห่างอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ เฟยฮวาไม่เคยด่าทอผ่านคำพูดให้ยืดยาว แต่นัยน์ตาเศร้าจะจ้องเหมือนต้องการกินเลือดกินเนื้อ มองจนให้รู้สึกกระดากภายในใจไปเอง กระทั่งถึงวันที่ร่างเล็กกลายเป็นเด็กวัยมอปลาย ร่างกายเปล่งปลั่ง อย่างกับคนที่เกิดมาผิดเพศ หยางไอเห็นวิวัฒนาการของเฟยฮวาอยู่ทุกเชื่อวันจนความรู้สึกมันค่อย ๆ คิดเลยเถิดไปไกล
ความจริงหยางไอก็ไม่อยากใช้วิธีการอันหยาบโลน แต่เข้าใจอารมณ์ของคนที่หลงรักแต่กับถูกปฏิเสธอยู่ร่ำไปไหม ไม่ได้อยากหลวมตัวเข้าไปทำชั่วแต่หัวสมองคิดออกแต่วิธีนี้ เด็กหนุ่มรู้ว่าครอบครัวเฟยฮวาเป็นหนี้พ่อตนโดยบังเอิญอีกครั้ง ดังนั้นตัวร้ายในหัวจึงสั่งให้สวมบทเป็นคนใจโฉด ขอคนที่นับวัน ๆ ยิ่งงดงามกับคนเป็นพ่อ ไหน ๆ ร่างบางก็ไม่ได้ทำอะไรที่ดูจะเป็นการใช้หนี้ตั้งแต่วันที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์เลยสักนิด หยางไอวัยสิบเก้าย่างยี่สิบจึงคิดวิธีให้
ในเมื่อรักก็ต้องมีความอยากได้ อีกอย่างวัยก็ถึงเวลาเหมาะสม เคยข่มใจได้แต่ไม่ใช่ตลอดไป สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้ร่างบางมากกกอดด้วยข้ออ้างล้างหนี้และคงจะเป็นคนเดียวที่มียินดีปรีดากับค่ำคืนที่ไม่เต็มไปด้วยความขัดขืน แต่ไม่ว่าจะยืน นั่งหรือนอนร่างบางก็ไม่ต่างจากท่อนไม้ เฟยฮวายังหายใจได้แต่เหมือนขาดแคลนคำว่าชีวิตชีวา ใบหน้าสวยก็ยังเย่อหยิ่งและตายด้านจนหลายครั้งหยางไอก็ต้องหลอกตัวเองว่ากำลังมีความสุข
มันเป็นสุขที่ทุกข์ถนัดในเวลาเดียวกัน นอนด้วยกันทุกวันแต่ความสัมพันธ์ดี ๆ ไม่เคยคืบหน้า ยิ่งเข้าหาเหมือนยิ่งถอยห่างและร่างบางไม่เคยมีคำว่าเห็นใจ ปรนนิบัติให้ซะดิบดีแต่มันเป็นกระทำที่แฝงไปด้วยความจำใจ ปฏิบัติไปวัน ๆ เหมือนหุ่นยนต์จนหลายต่อหลายครั้งตนทนไม่ไหว เคยพลั้งมือใช้กำลังไปในคราวแรกและก็ถึงคราวตามมาของครั้งที่สอง ชายหนุ่มเริ่มมองว่าการใช้ความรุนแรงเป็นการแก้ปัญหาถ้าร่างบางขัดใจก็จะตบตี จนอยู่ในจุดที่มีความรักให้แต่อารมณ์อยากเอาชนะก็มากขึ้นเหมือนกัน แต่มันน่าแปลกตรงที่ว่าเฟยฮวาไม่เคยแม้แต่จะร้องห่มร้องไห้ให้เห็น ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดเจียนตาย
แล้วก็เป็นเมื่อวานที่ได้เห็นเป็นบุญตาขณะรู้สึกอิจฉาจนเลือดขึ้นหน้าถ้าตำรวจไม่เข้ามาก็คงได้ยิงซ้ำ เพราะเกลียดภาพที่เฟยฮวากำลังร้องไห้ให้กับอาชาที่ล้มลงไปนอนกอง ภาพน้ำตานองและกรีดร้องปานจะขาดใจยังวนเวียนเป็นฝันร้ายในหัว นอกจากตัวที่อยากได้ก็ยังมีความห่วงใย ตนอยากได้หัวใจของร่างบาง แต่พอเกิดเรื่องแบบนี้แล้วดูท่ามันคงจะยิ่งยากเกินไป สุดท้ายก็เหลือแต่วิธีเดิม ๆ เริ่มมาจากความร้ายกาจ ถ้าจะให้เปลี่ยนเป็นคนดีกลางคันมันก็คงไม่สมเหตุสมผล จนกว่าจะตายกันไปข้างหรือถ้าระหว่างตกนรกแล้วเผอิญเดินสวนกัน ตนก็จะฆ่าไอ้เวรนั่นให้ตายซ้ำ ๆ แล้วก็เชิญเฟยฮวาที่อยู่บนโลกตัวคนเดียวร้องห่มร้องไห้เสียใจได้ตามสบาย
…เพื่อขอให้ไว้ชีวิตอาชา “ฉันจะทำให้นายก้มหัวขอร้องฉันให้ได้ เฟยฮวา”
มีต่อด้านล่าง
-
“มันคือการเอาตัวรอดน่ะ”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาสำหรับเฟยฮวามันคือการพยายามมีชีวิตรอด “ฉันเคยถูกซ้อมเพราะว่าไม่ยอมตามใจหมอนั่น” สักพักมาแล้วที่น้ำเสียงราบเรียบค่อย ๆ เล่าให้คนนอนกอดฟัง
คนสองคนกำลังแย่งเตียงเหล็กโรงพยาบาลกันนอน ร่างบางหนุนท่อนแขนหนาแทนหมอน ส่วนพ่อค้าอวัยวะนอนตะแคงข้างขณะริมฝีปากยังจูบซ้ำ ๆ ประทับคาไว้ที่หน้าผากมน
“ฉันเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่าจะไม่ยอมตายง่าย ๆ จนกว่าจะได้หลุดพ้นจากคนพวกนั้น หยางไอบอกฉันว่าพ่อติดหนี้อยู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ฉันต้องอยู่เพื่อใช้ร่างกายชดใช้หนี้แทน”
“นายอยู่กับไอ้เวรนั่นตั้งหลายปี แต่ทำไมดูเหมือนหนี้จะไม่ลดลงเลยล่ะ”
“มันไม่มีทางลดหรอกตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่นั่น หยางไอบอกว่าต้องเสียเงินเลี้ยงฉันไปตั้งมากมาย ฉันเลยตัดใจเรียนแค่มอปลาย เพราะว่าไม่อยากให้มีหนี้เพิ่ม ค่าเทอมมหาลัยฯมันน้อยซะที่ไหน”
“แล้วนายหนีมาได้ยังไง”
“คงเรียกว่าฟลุ๊คได้ล่ะมั้ง ปกติหยางไอจะเข้าหาฉันก็ต่ออยากเรื่องอย่างว่า วันนั้นที่เคาน์เตอร์บาร์เบียร์ด้านล่างคฤหาสน์ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจฉันหยิบมีดปากผลไม้แถวนั้นขึ้นมาแทงหมอนั่น”
“แทง?” อาชาถึงขั้นถอยใบหน้าออกเพื่อมองหน้าเฟยฮวาที่แหงนมองตอบให้ชัด ๆ
“ใช่ ฉันแทงสุดแรงเพราะไม่อยากให้หยางไอลุกขึ้นมาได้อีก ฉันกลัวเขาจะลุกขึ้นมาทำร้ายอีกก็เลยแทงซ้ำ แล้วก็รีบคลำกระเป๋าเงินตามตัวหมอนั่นแล้วค่อยรีบวิ่งออกจากบ้าน โชคดีว่าวันนั้นพ่อของหยางไอมีงานเลยพาลูกน้องยกโขยงไปด้วยกันเกือบหมด เหลือไว้แต่พวกคนขี้เกียจ”
พ่อค้าอวัยวะกลับมานอนเบียดร่างบางเหมือนในตอนแรกอีกครั้งและกระชับอ้อมกอดนอนฟัง
ส่วนคนสวยก็กอดเอวตอบพลางเริ่มเล่าต่อ “ความจริงฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาไกลขนาดนี้หรอก ตอนนั้นฉันรีบเอาบัตรของหยางไอไปกดเงินออกมาจากบัญชี ดีว่าหมอนั่นไม่เคยมีความลับกับฉัน ฉันจึงรู้รหัสและทิ้งบัตรกับของทุกอย่างไว้ที่ถังขยะ ฉันหาห้องเช่าเพื่อซ่อนตัวสักพักและเริ่มคิดว่าควรไปจากจีนเพื่อความปลอดภัย นายคงรู้ว่าจีนเป็นแหล่งปลอมแปลงได้ทุกอย่าง ใช้เวลาไม่นานฉันก็ได้พาสปอร์ต แล้วก็เลือกจะมาที่นี่”
“ทำไมไม่เลือกไปให้ไกลกว่านี้ล่ะ”
“ภาษาอังกฤษฉันแย่เกินไป ฉันได้ภาษาไทยเพราะแม่เคยสอนตอนเป็นเด็ก แม่ฉันเป็นคนไทยน่ะ แถมสวยกว่าฉันตั้งร้อยเท่าพันเท่า” จู่ ๆ เบ้าตาก็เอ่อไปด้วยน้ำ แต่เพราะเฟยฮวากำลังก้มหน้า อีกคนเลยไม่มีสิทธิ์เห็น ร่างบางรีบใช้หลังมือยกเช็ดน้ำตาลวก ๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไป” อาชาพยายามจะเชยคางเพราะอยากเห็นสีหน้า จนเห็นนัยน์ตาแดงก่ำก็นึกสงสาร อารมณ์คือไม่อยากรู้เรื่องราวอะไรแล้วทั้งนั้น แค่กอดเนื้อตัวคนข้างกายไว้จนจมอก หวังว่าตนคงจะช่วยเยียวยาได้ “ไม่จำเป็นต้องเล่าก็ได้นะถ้านายไม่สบายใจ”
“ไม่หรอก ทุกอย่างมันเป็นอดีตไปแล้วล่ะ” เฟยฮวาเอ่ยเสียงเบา ลมหายใจร้อนเป่ารดต้นคอพ่อค้าอวัยวะ ทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบอยู่เป็นนาทีก่อนที่เสียงแหบจะถามโดยที่ไม่รู้ว่านั่นอาจกลายเป็นขุดความทรงจำของร่างบางให้ยิ่งลึกลงไปอีก
“แล้วมันเกี่ยวกับที่นายชอบนายฝันร้ายด้วยไหม”
“ฉันได้ยินเสียงปืนดังซ้ำไปซ้ำมาในความฝัน” เสียงนั้นเริ่มสั่นโดยไร้สัญญาณเตือน “ฉันเห็นแม่ถูกยิงต่อหน้าต่อตา” เหมือนเขื่อนที่พังทลาย เฟยฮวาไม่เคยพูดหรือเล่าให้ใครฟังนับตั้งแต่เกิดเรื่อง มันเป็นหลายสิบปีที่ไม่รู้จะเอาไประบายกับใคร ไม่เคยร่ำไห้เพราะความคิดถึงพ่อแม่ให้ใครเห็น
“วันนั้นแม่เอานมมาให้ฉันในห้องนอน แต่ว่าดันมีเสียงดังเกิดขึ้นซะก่อนแม่เลยวางแก้วนมรีบออกไปดู ฉันอยู่บนเตียงเพื่อรอให้แม่มาจูบราตรีสวัสดิ์ แล้วแม่ก็รีบร้อนวิ่งกลับเข้ามาในห้องอีกครั้งแล้วบอกให้ฉันหนี” เนื้อตัวที่เคยอยู่นิ่งกับเคลื่อนไหว ร่างกายผอมบางกำลังสั่นตามแรงสะอื้น
“พอเถอะ ไม่ต้องเล่าแล้ว”
“เราสองแม่ลูกจับมือกันวิ่งออกจากห้องและออกมาเจอพ่อนอนกองอยู่ตรงหน้าบันได”
“เฟยฮวา”
“แม่รีบวิ่งเข้าไปกอดพ่อแล้วกรีดร้อง แล้วฉันก็มองเห็นแม่ถูกยิงต่อหน้าต่อตา ตอนนั้นฉันแค่กลัวว่าพวกท่านจะถูกยิงซ้ำเลยรีบวิ่งเอาตัวเข้าไปบัง ฉันกอดร่างของพ่อแม่ไว้แล้วร้องไห้ไปด้วย”
เพราะสายตาเว้าวอนราวกับจะบอกว่าช่วยรับฟังฉันหน่อย อาชาจึงเปลี่ยนจากการพยายามห้ามเป็นสวมกอดให้แน่นขึ้นจนไม่เหลือช่องว่างและถ้าอยากร้องก็ร้องให้พอ ตนพร้อมจะเป็นเบาะรองน้ำตา คอยรองรับเวลาอีกคนต้องการ
การกระทำของพ่อค้าอวัยวะเหมือนจะปลอบเฟยฮวาอยู่เสมอว่าไม่เป็นไร ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายสัมผัสได้อย่างชัดเจนและความอบอุ่นนั้นก็เป็นเหมือนของวิเศษคอยช่วยเยียวยา จิตใจที่พะว้าพะวังเพราะเรื่องในอดีตกับแผลในใจที่เคยถูกกรีดกำลังค่อย ๆ สมาน หยาดน้ำตาผลิตช้าลง
“ตอนแรกฉันนึกว่าตัวเองจะตายไปด้วยซึ่งฉันก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น แต่พ่อของหยางไอไม่ยอมฆ่าฉัน เขาลากฉันเดินลงจากบันได มันเหมือนกับว่าบ้านถูกปูพรมไปด้วยเลือดสีแดง ทุกคนภายในบ้านตายกันหมด ลูกน้องของพ่อก็ไม่เหลือสักคน” ร่างบางไม่ได้อยากจดจำเรื่องราวเลวร้าย แต่สีแดงเป็นสีที่จำได้ง่ายที่สุด ชุดของทุกคนเปื้อนเลือดขณะนอนเกลื่อนเป็นผักปลา “ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ฉันรู้ว่าแค่ว่าตอนนั้นฉันช่วยอะไรใครไม่ได้เลย”
“มันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย” อาชาแย้ง
แล้วเฟยฮวาก็แย้งกลับทันที “ไม่ มันคือความผิดฉัน ฉันคือตัวซวยสำหรับทุกคน”
“เฟยฮวา” น้ำเสียงเป็นกังวลเอ่ยปรามร่างบางที่ชักโทษตัวเองเกินไป
ทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย พ่อค้าอวัยวะเชื่อว่าคนเราจะตายไม่ใช่เพราะดวงคนอื่นและคนที่ต้องยืนดูคนอื่นถูกยิงตายต่อหน้าต่อตาก็ไม่ใช่คนผิดเช่นกัน อีกอย่างตอนนั้นร่างบางก็ยังเด็กเกินกว่าจะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ยังเล็กเกินไปที่จะต่อกรกับพวกคนใจร้าย เข้าใจว่าการเคยเป็นคุณหนูคงไม่ง่ายที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียวเป็นเวลาหลายปี เฟยฮวามีสิทธิ์เสียใจ ไขว้เขวไปกับคำพูดของคนพาลที่ดูท่าคงคอยพูดเป่าหูว่าเป็นตัวซวยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แล้วการพูดว่าร้ายใส่ตัวเองของร่างบางก็ทำให้คนนอนฟังสัญญากับตัวเองในใจดัง ๆ ว่าจะต้องไม่เป็นอะไร เพื่อเป็นการพิสูจน์ให้นัยน์ตาเศร้าเห็นว่ายังมีคนรอดปลอดภัยอยู่อีกทั้งคน ตนจะอยู่ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัยตามวัยชรา ไม่ใช่ตายห่าเพราะกระสุน เฟยฮวาจะได้เป็นหลุดพ้นจากคำครหาและสถานะตัวซวย ตนจะช่วยให้ร่างบางเป็นอิสระเอง
“สำหรับฉัน นายมีค่ามากกว่าคำแย่ ๆ แบบนั้นนะเฟยฮวา”
“แต่ฉันอยากมีประโยชน์ ไม่ใช่เป็นแค่ลูกที่ไม่มีกระทั่งโอกาสไปร่วมงานศพพ่อแม่ ฉันไม่เคยทำอะไรได้เลยนอกจากพยายามหนี ฉันปกป้องใครไม่ได้เลย”
“นายตัวแค่นี้จะไปปกป้องใครไหว” ร่างกายใหญ่กว่าถอยห่างเล็กน้อยแล้วค่อยใช้มืออีกข้างช่วยเช็ดคราบน้ำตา ผืนผ้าจะไปอบอุ่นอะไรเท่าฝ่ามือที่แม้จะดูใหญ่เทอะทะแต่ยามที่วางทาบบนหน้าแก้มแล้วกุมไว้แผ่วเบา คนสองคนเหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอที่ต่อเข้ากันพอดี “ปกป้องแค่ตัวเองต่อไปเพื่อฉันก็พอ เข้าใจไหม”
สายตาโหยหากันอยู่ตลอด นอนมองใบหน้ากันและกัน
“ฉันกลัวจริง ๆ นะอาชา หมอนั่นเคยพูดว่าจะฆ่าทุกคนที่ฉันรัก…” พ่อค้าอวัยวะเพิ่งเคยรู้ว่าการเอ่ยอย่างช้า ๆ แล้วเว้นวรรคสามารถทำให้หัวใจเต้นแรงได้มากล้น ลุ้นจนตัวโก่งว่าอีกคนจะเอ่ยอะไรต่อ “แล้วฉันก็รักนาย…” พอได้ยินประโยคบอกรัก ริมฝีปากคนฟังก็ประกอบกับฝีปากคนพูดจนทำให้หยุดสนทนาไปชั่วขณะ ความบางและหนานุ่มขยับดูดดุนกันอย่างเนิบนาบ จูบซับแค่ภายนอกอย่างละเมียดละไมระหว่างสองลมหายใจปนเป็นสายลมเดียวกัน
เฟยฮวาใบหน้าขึ้นสียามที่สายตาลึกซึ้งลอบมอง เหมือนจิ้งจอกที่กำลังตกหลุมรักลูกกวาง “ฉันไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอกน่า เลิกร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวไม่สวยนะ” วิธีเบี่ยงความสนใจของอาชาใช้ได้ผล เพราะคนร่างบางกำลังให้ความสนใจกับความอายไม่ใช่มัวแต่ระลึกถึงเรื่องในอดีต “จะว่าไปฉันเองก็เริ่มถูกใจนายตั้งแต่ตอนที่นายร้องไห้ให้เห็นครั้งแรก”
“นายสั่งให้ลูกน้องแก้ผ้าฉันแล้วก็บังคับให้อมปืนบ้า ๆ นั่น ไหนจะเรื่องที่นายผิดสัจจะ ยิงคนต่อหน้าฉันอีก”
“ฉันยิงสายของตำรวจต่างหาก”
“แสดงว่านายใช้ฉันเป็นข้ออ้างเพื่อยิงคนงั้นเหรอ” ปลายคางแหงนขึ้นยามถามกลับอย่างไม่ค่อยพอใจ “นิสัยไม่ดี” ก่อนที่กำปั้นจะทุบอักเข้าที่แผงอกล่อนจ้อน อาชานอนสวมเสื้อโรงบาลฯแต่ไม่มัดเชือกผ้า ฝ่ามือขาวเลยมีโอกาสได้ตีถึงเนื้อหนัง ตบเสียงดังจนน่ากลัวว่าจะสะเทือนถึงแผ่นหลังอย่างแน่นอน “ฉันเจ็บอยู่นะ ถ้าฉันตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ” คว้าข้อมือขาวไว้ ด้วยความไม่ทันคิดเลยพลั้งปาก เดือดร้อนต้องรีบปลอบร่างบางที่จู่ ๆ ก็เบะปากอยากร้องไห้ เพราะไม่ชอบคำว่าตายน่ะสิ
“โอเค ๆ ฉันไม่พูดแล้ว จะไม่มีใครเป็นอะไรทั้งนั้น ตกลงไหม” เฟยฮวากลายเป็นเด็กว่าง่ายที่พยักหน้าขึ้นลง แต่ริมฝีปากยังเม้มไว้ระหว่างนิ้วใหญ่ยกขึ้นสัมผัส นวดความตึงเครียดให้คลาย อาชาใช้โอกาสเล่นริมฝีปากนุ่มนิ่มไปเพลิน ๆ “เมื่อก่อนไม่เห็นร้องไห้ง่ายขนาดนี้เลย”
“ก็เพราะนายนั่นแหละ” กลีบปากตามงับปลายนิ้วหัวแม่โป้งเบาๆ ถือเป็นการเอาคืนเมื่อพ่อค้าอวัยวะยินยอม แถมชอบใจมองสายตาไม่กะพริบก่อนกระซิบกระซาบให้ได้ยินถนัดกันแค่ระหว่างสองคน นอนหายใจรดเหนือร่องปากกันและกัน “เมียใครทำไมขี้แยจังห๊ะ”
“เมียนาย”
“เดี๋ยวนี้กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยนะ ไหนเมียใคร ฉันขอฟังให้ชัด ๆ อีกที”
“เมียอาชา”
“ทำไมพูดห้วน ๆ แบบนี้ล่ะ” เห็นร่างบางยังเหลือความเศร้าจึงกะจะหาอะไรแกล้ง “ไหนพูดเมียพี่อาชาซิ เร็วเข้า เดี๋ยวอปป้าไม่รักนะ” พูดไปเพราะไม่ได้คิดว่าจะเป็นการหางานให้ตัวเอง กระทั่งแค่แวบเดียวผ่านไป นัยน์ตากลมสั่นคลอนเหมือนสั่งได้และเป็นตอนนั้นเองที่อาชาเพิ่งสำนึกว่าพูดอะไรผิดไป คำว่าตายกับไม่รักคือสองคำต้องห้ามสำหรับเสี่ยวเฟยฮวา “รัก ๆ ถึงนายไม่พูดฉันก็รัก” พ่อค้าอวัยวะลนลานจนคำสารภาพดูขาดความโรแมนติก แต่ถึงจะไม่หวานซึ้งกินใจก็ล้วนส่งตรงมาจากใจ กลายเป็นร่างบางที่ชอบถ้อยคำซึ่งไม่จำเป็นต้องประดิษฐ์ประดอย ชอบริมฝีปากที่ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าหา “ฉันยอมหมดแล้ว อยากได้อะไรก็เอาไป เอาความรักฉันไปแล้วห้ามคืนเด็ดขาด เข้าใจไหม” สายตาแน่วแน่นั้นทำเอาเฟยฮวายกยิ้มบาง “ถ้านายมีคนอื่นในใจนอกเหนือจากฉัน มันตาย นายสาหัส” และยิ่งยิ้มกว้างกับประโยคขู่
ดวงตากลมดูยังไงก็ไม่ปรากฏความหวาดกลัว แถมยังเอาตัวเข้าไปใกล้ความอันตรายและกระชับกอดคนที่เตือนว่าจะฆ่าให้ตายถ้าคิดนอกใจไว้อย่างแนบแน่น “หยาบคายจัง”
“ฉันไม่ได้แค่ขู่หรอกนะ”
“ฉันรู้” เฟยฮวาหลับตาลงและถอนหายใจโล่งอก รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากบ่า ถ้ารู้ว่าการเล่าอดีตให้ใครสักคนที่พร้อมจะรับฟังมันฟังแล้วจะรู้สึกดีอย่างนี้ ร่างบางคงจะรีบตามหาอาชาให้ไว ไม่ปล่อยให้ผ่านมานานจนรู้สึกเสียดายเวลา “แต่ยังไงนายก็ไม่มีทางได้ทำร้ายฉันหรอก”
ตอนแรกนึกว่าเสียงหวานจะต่อท้ายอีกสักประโยคเพื่อตัดจบตอน แต่รอจนเป็นพัก ร่างบางก็ยังไม่ยอมเอ่ยอะไรแถมนิ่งเงียบไปจนทำให้อาชาสงสัย แต่จะก้มหน้าดูว่าทำอะไรก็เจอแต่กลุ่มผม จะให้ผลักคนนอนกอดจมอกก็ไม่อยากทำ ใบหน้าฟกช้ำจึงหันมองภาพสะท้อนในกระจกหน้าต่าง ในเวลากลางคืนยิ่งทำให้เห็นเงาคนสองคนนอนกอดกันบนเตียงเหล็กแจ่มชัด พ่อค้าอวัยวะไม่อยากปลุกหรือขัดเมื่อเห็นอีกคนกำลังหลับ เหตุผลที่ไม่ขยับปากพูดเลยก็เพราะความเพลียรุมเร้านี่เอง นอนแก้มยุ้ยเป็นเด็กน้อยขณะอาชามองฝ่ามือตัวเองที่ค่อย ๆ ลูบคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลือใบหน้าขาวเนียนผ่านกระจกหน้าต่างที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นกระจกเงา
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะปกป้องนายเอง” พึมพำจนแทบไม่ได้ยิน แต่สำหรับคนนอนใกล้ชิดตัวติดเป็นแฝดอย่างร่างบางกลับได้ยินชัด แต่ยังทำเป็นเนียนแกล้งหลับต่อไป แค่เขยื้อนตัวราวกับยังนอนท่าไม่ค่อยสบายจนกระทั่งรู้สึกได้ว่าขมับตัวเองกำลังถูกหอม “ฉันรักนาย” มาพร้อมถ้อยคำบอกรักแว่ว ๆ แต่ฟังแล้วกับสะท้อนดังก้องอยู่ในหู เฟยฮวานอนอมยิ้ม หลับตาพริ้มขณะเอ่ยตอบกลับเปิดเผยกลาย ๆ ว่าไม่ได้หลับตั้งแต่แรก “ฉันก็รักนาย”
แค่มีนาย ฉันก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้ว
----------------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
หูย ไม่เสียแรงลุ้น ไม่นึกว่าพ่อค้าอวัยวะเถื่อนจะมีมุมอ้อนเมีหลงเมียแบบนี้ค่ะ
-
น้องเฟยเด็กน้อยน่าเอ็นดู น่าปกป้องมากเลย
อาชาไม่น่ายิงหยางไอตรงขาเลย น่าจะขยับไปสักนิด :m16:
-
ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ เข้าชมรมคนรักเมียอีกคนแล้วพี่อาชา
-
รักอาชาแบบนี้ที่สุด ไม่มีความลับต่อกันแล้วเนอะ :katai2-1:
-
เอ็นดูความน้อนนน พอพี่เค้าเเหย่ว่าจะไม่รักก็น้ำตาจะไหล พี่อาชาก็เเพ้น้ำตาเมียตัวเองจังเลยยย ให้น้อนอ้อนพี่อีกเยอะๆเลย เอาให้ไปไหนไม่ได้เลยย
-
ดีงามพระรามแปดเก้าสิบ
-
เข้มข้น ดุเดือด เชือดเฉือน ประดุจซีรีย์ฮ่องกง สนุกมากเลยค่ะ ติดงอมแงม อ่านรวดเดียวเลย
-
:pig4:
-
การใช้ภาษาของไรต์คือโคตรของโคตรดีอะ สุดยอด :katai2-1: :mew1:
-
XIV
ไม่มีความรักใดพิเศษเท่าความรักที่เต็มไปด้วยความเข้าใจกันหรอก ยิ่งบอกความจริงไปมากเท่าไหร่สายสัมพันธ์ของคนสองคนก็ยิ่งแน่นแฟ้นและเพิ่มความหวงหวนเป็นหลายเท่าตัวสำหรับอาชา พ่อค้าอวัยวะกลัวร่างบางจะปลิวไปตามลมจึงกอดจมอกระหว่างปล่อยให้ลมโกรกหน้ายามทอดสายตาไปไกล
หลังจากช่องว่างถูกอุดด้วยความเชื่อใจ ไม่หลงเหลือความลับที่ปกปิดต่อกัน เฟยฮวาเป็นฝ่ายชวนอาชาขึ้นมาบนสวนดาดฟ้า ถือว่ามาเก็บบรรยากาศโรงพยาบาลก่อนกลับบ้านภายในบ่ายนี้ โดยมีอีกคนกอดจากทางด้านหลัง
ไหล่กว้างซ้อนทับไหล่แคบ แผ่นหลังบางแนบแผงอกหนาระหว่างยืนมองท้องนภาอันกว้างใหญ่ อาชาพยายามชี้ให้ดูว่าก้อนเมฆที่อยู่บนฟ้านั่นคือสัตว์ชนิดใด แต่คนยืนอยู่ในอ้อมแขนก็ส่ายหน้าว่าไม่ใช่สักหน่อย คอยขัดซ้ำ ๆ จนทำให้พ่อค้าอวัยวะหมั่นไส้ ไม่วายดัดเสียงปฏิเสธเลียนแบบและก็เรียกเสียงหัวเราะได้แทบจะทันที นานแล้วที่เฟยฮวาไม่ได้หัวเราะอย่างเต็มใจ หลากหลายอารมณ์ที่เคยซุกซ่อนไว้หวนคืนกลับมาหลังจากที่ได้อาชาคอยช่วยกระตุ้นทีละนิด
พ่อค้าอวัยวะเหมือนยาวิเศษและเป็นวิตามินชนิดเข้มข้น จนทำให้ร่างบางไม่อยากไปไหนไกลเพราะอยู่ใกล้แล้วคล้ายจะได้รับพลังเยียวยา แล้วคนที่ถูกกอดอยู่ก็รู้ว่าอีกคนคิดเหมือนกัน ยิ่งหันตัวกลับมาและเจอสายตาลึกซึ้งก็ยิ่งแน่ใจ ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความก็เข้าใจได้โดยง่ายว่าต่างฝ่ายต่างกำลังเสพติดพลังรักษาจากกันจนถอนตัวไม่ขึ้น
คนตัวเล็กกว่ายืนเขย่งปลายเท้าพยายามจะทำตัวให้สูงเท่ากับคนตัวใหญ่กว่าที่ก้มหน้าลงมาตามประสาคนรู้งาน ท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน ทั้งคู่ยืนต้านทานอย่างแรงกล้า ปอยผมปลิวไสว ก้านนิ้วยาวช่วยปัดเส้นผมออกจากใบหน้าเนียนให้ขณะบดจูบริมฝีปากอิ่มไปด้วยอย่างแนบแน่น สองแขนของอาชารั้งเอวคอดเข้ามาขณะสองแขนของเฟยฮวาโอบกอดรอบเสื้อคนไข้ไว้ สลัดความเขินอายเหมือนเด็กสาวออกไปเพราะไม่อยากเสียแต่ละวินาทีอันมีค่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงจูบให้เหมือนเป็นจูบสุดท้ายเสมอ จูบเหมือนเราไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนานและกำลังโหยหาวันคืนที่เคยเป็นของกันและกัน เฟยฮวาอยากจะบอกผ่านการจูบตอบว่าไม่ใช่แค่หัวใจที่ได้มอบให้ไปเท่านั้น แต่ฉันจะเป็นของนายแค่คนเดียวตลอดกาล ขณะอาชาเองก็รับรู้ได้ถึงสัญญานั้นก่อนเกิดการลงนามเซ็นยอมรับ ประทับตราด้วยจูบ
แล้วสายลมกรรโชกแรงก็แปรเปลี่ยนเป็นความแผ่วเบา ราวกับจะบอกฤดูพายุเข้ากำลังใกล้จะเคลื่อนไป อยากให้คนทั้งคู่จับมือกันไว้แล้วอดทนกับอุปสรรคไปอีกสักนิด สำหรับอาชาต่อให้อีกนานก็พร้อมสู้ไหว แค่มีร่างบางอยู่ใกล้ ๆ ก็พร้อมจะสู้ยิบตาและจะด้วยอนุภาคแห่งความรักหรืออะไรก็ตามแต่ แค่เฟยฮวาก็กอดตอบก็คล้ายได้มอบพรให้ พ่อค้าอวัยวะถอนริมฝีปากแล้วเปลี่ยนเป็นหอมกระหม่อมบางอย่างแสนรัก
อย่างกับฉากอวสานแต่ความจริงแล้วเป็นเพียงการเริ่มต้นสู่บทใหม่ ปลายคางร่างบางเกยอยู่บนช่วงบ่ายามลืมตาจนเห็นความใสแจ๋วดุจกระจก เดตนอกสถานที่คงจะไม่สมบูรณ์ถ้าไม่มีการพูดประโยคบอกรัก ผลัดกันสลักข้อความขยับปากเอือนเอ่ยอย่างบรรจง ไม่มีใครอุปโลกน์ไปเองว่านี่คือความรักและต่างก็ยืนยันว่านี่คือความรัก
ก่อนจะโดนขัดจังหวะ หมอเถื่อนเคาะผนังแถวนั้นเพื่อเป็นการขออนุญาต สหรัฐมาตามคนทั้งคู่ให้กลับลงไปข้างล่างหลังจากเป็นคนเดินเรื่องติดต่อขอกลับบ้านให้คนบาดเจ็บจนเสร็จเรียบร้อย ยืนคอยอยู่ในร่มกระทั่งคนเดินโอบเอวกันก้าวเข้ามาใกล้ จึงได้หาเรื่องแซวเล่น “ให้มันน้อย ๆ หน่อย ฉันอิจฉา”
“กลับไปหาเด็กแกไป” ไล่แบบเป็นจริงเป็นจัง ไม่เคยนึกอยากให้อีกคนไปให้พ้นหน้าเท่าตอนนี้มาก่อน แล้วพ่อค้าอวัยวะที่เริ่มจะรู้สึกตึงแผ่นหลังก็กลอกตาหน่ายเมื่อหมอเถื่อนย้อนว่าเด็กมันยังอายุไม่ถึงสิบแปด “เพิ่งรู้ว่าคนอย่างแกกลัวกฎหมายกับเขาก็เป็นด้วย”
“เฟยฮวาดูสิ มันกำลังพยายามยุให้ผมปล้ำเด็ก”
“แต่อาชาเขายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ” นึกว่าจะรับมุกแล้วยอมอยู่ข้างหมอเถื่อนเพื่อกลั่นแกล้งคนเจ็บ แต่ที่ไหนได้สุดท้ายความรักก็ทำให้คนตาบอด เฟยฮวาเลือกปกป้องคนที่ประคองเอวตัวเองไว้ขณะยิ้มให้สหรัฐที่ยืนทำหน้าเซ็ง ฟังน้ำเสียงอวดเบ่งก็ได้แต่ส่ายหน้า “นี่เมียใคร เมียฉันไง”
ชั่วโมงนี้ไม่มีใครหน้าบานได้เท่าอาชาอีกแล้ว หลังจากต่อสู้ทางวาจาจนชนะก็เป็นฝ่ายออกเดินนำพลางโอบเอวร่างบางให้เดินตาม ทำท่าจะเดินตัดหน้าคนที่สุดท้ายก็หลุดยิ้มขำ แต่ไม่ลืมกระแอมไอจนอาชาเข้าใจว่านั่นเป็นสัญลักษณ์บอกถึงบางอย่าง ทั้งที่ไม่อยากห่างคนรักสักเท่าไหร่แต่จำต้องปล่อยให้คนพยักหน้าเข้าใจเดินไปก่อนสักสามสี่ก้าว แล้วพ่อค้าอวัยวะจึงถอยเท้าเดินลงมาให้เสมอเท่ากับหมอเถื่อนที่กระซิบกระซาบ ถามให้ได้ยินกันแค่ระหว่างสองคน
“พอออกจากโรง’บาล แล้วแกจะเอายังไงต่อ”
“คงพาเฟยฮวากลับไปอยู่บ้าน มีคนคุ้มกันเยอะขนาดนั้นน่าจะปลอดภัยกว่า”
“คิดว่าจะปลอดภัยไปได้นานแค่ไหน”
“ไม่หรอก ความจริงมันไม่ปลอดภัยเลย แต่ฉันแค่อยากให้เฟยฮวารู้สึกอุ่นใจ”
“ตกลงเอาจริงแล้วใช่ไหม” คนโดนถามแค่ยักไหล่แทนคำตอบ ไม่ยอมพูดเรื่องตัวเองแล้วเปลี่ยนประเด็นเป็นเอ่ยประโยคขอความช่วยเหลือ
“ช่วงนี้ขอยืมตัวเด็กแกมาหน่อยสิ ฉันอยากให้เฟยฮวามีเพื่อน”
“อะไร ๆ ก็เฟยฮวา ท่าจะอาการหนักนะเนี่ย” สหรัฐขอแซวตามประสาคนโสดและก็อดดีใจด้วยไม่ได้ สุดท้ายอีกคนก็ยอมตกล่องปล่องชิ้นกับใครสักที “งั้นเดี๋ยวจะลองคุยกับเด็กมันดูให้ แต่น่าจะยอมอยู่แล้วล่ะถ้าขอให้มาช่วยอยู่เป็นเพื่อนเฟยฮวา แล้วเรื่อง…ไอ้หยางไอล่ะ”
สีหน้าผ่อนคลายกลายเป็นเคร่งเครียดภายในวินาทีแค่เพราะได้ยินชื่อที่ค่อนข้างแสลงหู อาชาดูไม่สบอารมณ์นักขณะหันมองหน้าหมอเถื่อนที่มองกลับด้วยความสงสัยก่อนส่ายหน้าปฏิเสธเมื่อดันเข้าใจว่าอีกคนจะให้ไปจับปืนแทนมีดผ่าตัด “ฉันเป็นหมอ ฉันฆ่าใครไม่เป็นหรอกนะ”
“ก็ไม่ได้จะบอกให้แกไปฆ่าใครตายสักหน่อย” พ่อค้าอวัยวะถอนหายใจค่อยซะที่ไหน แถมทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย แค่คิดว่าจะต้องไปเจอหน้าศัตรูคู่อาฆาตก็เซ็งจะตายชัก “ฉันก็แค่จะถามว่าไอ้เวรนั่นออกจากโรงพยาบาลหรือยัง”
“จะทำอะไรนึกถึงแผลที่หลังตัวเองไว้หน่อยก็ดี”
“ฉันจะไปหาอย่างสันติหรอกน่า” มือใหญ่ตบลงบนบ่าคนทำสีหน้ากังวล แล้วคนเป็นหมอเถื่อนก็ผายมือเชิญบอกให้เดินไปก่อนเลยครับ ซึ่งอาชาก็พยักหน้ารับแล้วรีบก้าวขาให้ทันร่างบาง ตลอดทางเดินกลับห้องพักยังตัวติดกันตลอด จะแยกกันก็ตอนขาออกจากโรง’บาล
เฟยฮวาพยายามถามว่านั่นนายจะไปไหน แต่อาชาก็ตอบเพื่อความสบายใจว่าไปทำธุระ แล้วรับปากว่าจะรีบบึ่งรถกลับไปหาที่บ้านถ้าจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พอสัญญาว่าจะไม่ให้คอยนาน ร่างบางถึงได้ยอมปล่อยท่อนแขน แต่ไม่วายแหงนหน้ามองตาละห้อยระหว่างที่ล้อทั้งสี่ค่อย ๆ เคลื่อน อาชาไม่ลืมทำมือทำไม้ให้เลื่อนกระจกหน้าต่างขึ้นด้วยเมื่อคนสวยยังเอาแต่โผล่หน้าออกมา “ฉันฝากด้วย” พ่อค้าอวัยวะฝากฝังไปยังคนขับหน้าตาคุ้น ๆ ซึ่งคุณหมอสหรัฐที่พยักหน้ารับก่อนเพิ่มระดับความเร็วเร่งตามคันหน้า รักษาระดับความเป็นกึ่งกลางขณะด้านหลังมีรถอีกสองคันปิดขบวน
อาชายืนมองจนไม่เห็นป้ายทะเบียนรถคันสุดท้าย ก่อนเป็นฝ่ายชวนลูกน้องที่เหลือออกเดินทางบ้างระหว่างถามหาซองเงินก้อนใหญ่ที่คงใช้ไปได้ทั้งปีทั้งชาติ มันเป็นเงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตนที่แม้จะเป็นคนหามาเองแต่ก็ไม่รู้สึกเสียดายถ้าจะต้องใช้จ่ายไป คนที่ยังมีผ้าพันแผลพันรอบกายภายในร่มผ้าเข้าใจว่าคำว่าอิสรภาพมันมีราคาที่ต้องจ่ายจึงพยายามจะทำให้มันถูกวิธี มาดีและรู้อยู่หรอกนะว่าเขตโรงพยาบาลเป็นเขตปลอดความรุนแรง แต่เพื่อความอุ่นใจจึงให้ลูกน้องเดินตามอยู่ห่าง ๆ และไม่จำเป็นต้องถามทางกับพยาบาลให้เสียเวลา
“ฉันขอพบเจ้านายพวกแกหน่อย” แค่เห็นลูกน้องคอยยืนเฝ้าอยู่มากมายก็รู้แล้วว่านี่คงเป็นห้องเจ้าพ่อมาเฟียใหญ่และอาชาก็ไม่ได้รู้สึกหัวเสียสักเท่าไหร่ที่มีปืนหลายกระบอกส่องมาที่บริเวณศีรษะ แค่ยกฝ่ามือขึ้นเสมอหน้าเหมือนยอมยกธงขาว จะเข้าถ้ำก็ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“ใจเย็นพวก ที่นี่โรงพยาบาล” ก่อนพ่อค้าอวัยวะจะผ่านด่านแรกได้ด้วยการที่คนด้านในตะโกนว่าให้มันเข้ามาได้ พูดคำหยาบเหมือนไม่รู้เลยว่าแขกสำคัญจะได้ยิน แต่สิ่งที่แขกทำกับคนบาดเจ็บที่ขาก็หยาบคายไม่ต่างกันหรอก ออกแรงปาซองเงินไปบนหน้าตักแต่ระหว่างทางดันกระทบโดนขา
“โอะ โดนแผลเหรอ เจ็บหน่อยนะ” เดินเข้ามาใกล้พร้อมสีหน้าบ่งบอกว่าสุดแสนจะสะใจ ถนัดเหลือเกินเรื่องทำให้ศัตรูคู่อาฆาตรู้สึกหมั่นไส้กว่าเก่า แย้มยิ้มก่อนรีบพูดเข้าเรื่อง “หนี้ที่เฟยฮวาติดแกทั้งหมด เงินสดไม่ขาดสักบาทแล้วก็ไม่ต้องถอนด้วยถ้ามันเกิน”
“แค่นี้ง่ายไปมั้ง” แน่นอนว่าหยางไอที่พยายามซ่อนความเจ็บปวดบริเวณขาไว้ไม่ยอมรับ เพราะรู้ว่าถ้ายอมก็เท่ากับว่าหมดโอกาสตามจับร่างบางกลับไป ถ้าไม่เหลือหนี้ต่อกันแล้วเจ้าพ่อเงินกู้จะใช้อะไรเป็นข้ออ้างในการชำระแค้น
“แล้วแกจะทำให้ทุกอย่างมันยากไปทำไม” อาชารู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไง แต่ก็ถือว่าให้แล้วเพื่อความสบายใจ ส่วนจะรับหรือไม่รับนั่นก็เป็นอีกเรื่อง พยายามลดความโกรธเคืองลงและเลือกคุยอย่างมีสติ “แค่เอาเงินไปแล้วฉันก็จะถือว่าหายกัน”
“รู้ไหมเวลาเห็นหน้าแกแล้วฉันยิ่งรู้สึกอยากเอาชนะ” แต่ดูท่าหยางไอจะไม่อยากคุยด้วยดี ๆ ยิ้มร้ายเหมือนมีแผนการซึ่งอาชาก็พออ่านเกมออกระหว่างหยอกเอินด้วยคำพูดแนวชวนหาเรื่องพอ ๆ กัน
“เวลาเห็นหน้าแก ฉันเองก็อยากซัดปากแกสักหมัดสองหมัดเหมือนกัน”
พ่อค้าอวัยวะหันตัวกลับทันควันเพราะเหม็นเบื่อเต็มทน เหม็นทั้งกลิ่นคนกลิ่นยา ไม่อยากเสวนากับคนพูดไม่รู้เรื่องให้เสียน้ำลาย แต่ยังไม่ทันได้เลื่อนประตูหูก็ได้ยินประโยคตักเตือนซะก่อน
“แล้วแกจะต้องเสียใจ...”
ตอนแรกก็ว่าจะไม่ต่อความยาวสาวความยืด แต่ยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ไหวจึงหันกลับมาพูดอะไรสักหน่อย “ฉันเสียใจแน่ ถ้าไม่ได้ฆ่าแกให้ตายคามือ” และนั่นคือเวลาเดียวกับที่ประตูถูกเปิดเลื่อนจากคนด้านนอก ลูกน้องรีบเดินเอาโทรศัพท์เข้ามาให้เจ้านายที่ยังลุกเดินไปไหนไม่ค่อยได้สะดวก
พ่อค้าอวัยวะจึงถือโอกาสล่ำลาโบกมือว่าฉันกลับก่อนแล้วกันตอนเห็นอีกคนดูท่าจะมีเรื่องยุ่ง ๆ ให้ต้องรีบจัดการ อาชาเดินออกไปจนไม่ทันได้เห็นอาการกำหมัดของหยางไอและเจ้าพ่อเงินกู้พอจินตนาการใบหน้าหัวเราะเยาะของคนจากไปออก หลังคนในสายโทรมาบอกว่าบริษัทเงินกู้ที่จีนกำลังถูกสอบสวน หยางไอก็เชื่อว่าคนที่เดินออกไปจากห้องต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน “ยังมีเรื่องอีกเรื่องครับนาย โกดังเก็บอาวุธผิดกฎหมายโดนลอบวางเพลิงครับ” คนได้ยินกำโทรศัพท์แทบแหลกคามือขณะไฟแค้นยิ่งลุกฮือจนลืมไปว่าตัวเองก็เคยใช้วิธีการสกปรก
คงไม่เคยถูกตอกกลับเลยยิ่งคับอกคับใจความโกรธมันฝังแน่นอยู่ภายในเต็มไปหมด
ส่วนคนเดินออกจากห้องพักฟื้นมาก็แค่ผิวปากและยิ้มกว้างอย่างเริงร่าขณะยกมือเซย์ไฮเด็กน้อยที่อยู่บริเวณแถวนั้น อารมณ์ดีจัดระหว่างจินตนาการไปไกลว่าถ้าเฟยฮวามีลูกได้แล้วเด็กผู้หญิงจะน่ารักเหมือนแม่ไหม แต่ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะสอนให้ยิงปืนเป็นตั้งแต่เจ็ดแปดขวบควบกับการเรียนศิลปะป้องกันตัว อาชาลูบหัวเด็กน้อยด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะเดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
มีต่อด้านล่าง
-
“ผมว่าเป็นวันอื่นดีกว่าไหมครับ” ถ้านับจำนวนรอบอย่างจริงจัง มะตูมน่าจะพูดประโยคกึ่งถามความเห็นไปแล้วประมาณแปดรอบ ร่างเล็กไม่ยอมเดินห่างคนที่กำลังเดินนำ ขาสั้นสับตามหมอเถื่อนที่หันกลับมาพูดแค่ว่าเดี๋ยวฉันจะจัดการเองขณะเปิดประตูรั้วบ้านคนอื่นอย่างถือวิสาสะ
สหรัฐมีธุระกับคนเป็นพ่อของร่างเล็ก ตั้งใจว่าจะมาคุยเรื่องการรับอุปถัมภ์ จำได้ไหมที่มะตูมเคยบอกว่าจะคุยกับพ่อดูก่อน แต่หมอเถื่อนดันเป็นประเภทร้อนใจในเรื่องสำคัญ ขืนรอให้คุยเองอาจจะต้องรอเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี ไหน ๆ เย็นนี้ก็ว่าง มาส่งร่างเล็กแล้วก็ถือโอกาสคุยต่อเลย
“วันนี้พ่ออาจจะยังไม่กลับมา” มะตูมแค่พยายามจะหาข้ออ้างเพราะยังไม่อยากให้อีกคนเจอบิดาผู้ชื่นชอบสุรา แต่ว่ารองเท้าเจ้ากรรมก็ได้กลายเป็นหลักฐานการกลับบ้านมาของพ่อ สหรัฐจึงเคาะประตูไม้สองสามครั้งพอเป็นพิธีแล้วค่อยเปิดเข้าไปและได้กลิ่นเหล้าโชยจนต้องย่นจมูก
“กลับมาได้สักทีนะ ไอ้ลูกไม่รักดี!” เป็นคำต้อนรับที่เล่นทำเอาแขกของบ้านชะงักไป
ผิดกับลูกชายที่แม้บิดาจะด่าสาดเสียเทเสียแค่ไหนก็ยังรีบเดินเข้าไปพยุงตัว กลัวคนหลับหูหลับตาชี้หน้าด่าจะล้มหัวฟาดพื้น ร่างเล็กยืนอยู่ข้าง ๆ หวังเป็นไม้ค้ำยัน แต่ไม่นานก็ถูกคนเมาปลิ้นผลักออกจากตัวจนกระเด็นกระดอน ตอนแรกคิดว่าจะล้มแต่ก็ได้หมอเถื่อนช่วยรับจับลำตัวไว้
แล้วมะตูมก็ถูกดันให้ยืนอยู่เบื้องหลังและเป็นสหรัฐที่ขยับขึ้นมายืนเป็นคนกลางพลางแนะนำตัวอย่างสุภาพ ชายหนุ่มกำลังจะทำความเคารพหลังเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองจบ แต่เพราะคนตรงหน้าโงนเงนทำท่าจะล้มอีกเลยต้องรีบเข้าไปหามปีกและประคองแทน
“แกเป็นใคร เข้ามาในบ้านฉันทำไม” พอเมาสายตาก็ยิ่งไม่ดี เห็นเงาลาง ๆ ไม่คุ้นเลยชี้หน้าคนที่อุตส่าห์พยายามจะช่วย “พ่อนายเป็นแบบนี้มานานแค่ไหน เคยคิดจะพาไปหาหมอบ้างหรือเปล่า”
สหรัฐถามยามพยุงคนเมาเข้าหาโซฟาผ้าแล้วค่อยปล่อยตัวหนัก ๆ ให้ลงนอนราบ โดยมีมะตูมเข้ามาช่วยจับเนื้อตัวคนเป็นพ่อ จัดท่าจัดทางการนอนของคนสะลึมสะลือด้วยความชำนิชำนาญ หมอเถื่อนยืนมองแล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่าร่างเล็กคงใช้ชีวิตแบบนี้มานานมากแล้วสินะ
“ปกติพ่อนายดื่มเหล้าแบบนี้ทุกวันเลยหรือไง”
“ครับ” ไม่จำเป็นต้องโกหกให้มากความเพราะเชื่อว่ายังไงคนถามก็รู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว
“แล้วเขาก็ซ้อมนายบ่อยด้วยใช่ไหม” นัยน์ตากลมรีบช้อนขึ้นมองใบหน้าคนยืนค้ำหัวอยู่ทันที ก่อนจะเป็นสหรัฐที่เฉลยไขข้อข้องใจ “ถึงนายไม่บอก ฉันก็รู้ และต่อให้นายจะหกล้มจริงแต่ที่หน้าก็ไม่มีทางช้ำเป็นจ้ำ ๆ แบบเมื่อหลายวันก่อนหรอก”
“ตกลงผมไม่เคยโกหกพี่ได้เลยใช่ไหม” คนโดนถามแค่ยักไหล่แล้วไม่ยอมตอบกลับ
หมอเถื่อนแค่ขยับตัวลงนั่งยอง ๆ ด้านข้างพลางเฝ้ามองอาการของคนนอนบนโซฟาที่กระสับกระส่ายไปมาเพราะฤทธิ์เหล้า “พ่อนายเหมือนเป็นพวกแอลกอฮอล์ลิซึ่มเลยนะ”
“แล้วพ่อจะเป็นอะไรมากไหมครับ” มะตูมไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรหรือร้ายแรงมากน้อยแค่ไหน แต่เพราะคนเป็นหมอกำลังวินิจฉัยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี คนที่เป็นลูกชายเลยฉายความกังวล
“พ่อนายเคยมีอาการตัวสั่นเวลาไม่ได้ดื่มบ้างไหม” ร่างเล็กนั่งระลึกความทรงจำไปได้ไม่ไกลก็ค่อย ๆ พยักหน้ารับ “ต้องดื่มแล้วถึงจะหายสั่นใช่ไหมล่ะ” สหรัฐยังพูดไปขณะคนข้างกายผงกหัวขึ้นลงแผ่วเบา “แล้วเคยบอกให้พ่อลดดื่มเหล้าบ้างหรือเปล่า”
“ผมพูดแบบนั้นไม่ได้หรอก” ใช่ว่าไม่เคยบอกแต่หลังจากลองพูดไปก็รู้ว่ามันได้ไม่คุ้มเสียกันเลย เพราะเคยต้องดูแลรักษาตัวเองอยู่เกือบวันสองวัน กว่าแผลจะหายทันก็ชวดงานดี ๆ ไป
ความจริงแล้วมะตูมเองก็อยากให้พ่อหายขาดจากของมึนเมาทั้งหลาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าทำงานหาเงินงก ๆ ไปวัน ๆ รู้ดีว่าตัวเองกำลังเป็นคนผลักดันให้สุขภาพของอีกคนยิ่งย่ำแย่แต่ถ้าไม่ให้เงินเอาไปซื้อสุรา พ่อก็คล้ายคนที่พร้อมจะลุกขึ้นมาฆ่าลูกชายตัวเองให้ตาย สำหรับเด็กอายุสิบเจ็ดแล้ว ความรู้สึกตอนกำลังถูกบีบคอนั้นมันเป็นเหมือนฝันร้ายที่ไม่ว่าจะนึกถึงอีกกี่ครั้งก็ยังทำให้รู้สึกหายใจลำบาก
สหรัฐเองก็สังเกตเห็นความตึงเครียดได้จากท่าทีที่นิ่งเงียบไป เห็นร่างเล็กนั่งเหม่อลอยไปไกลเลยพยายามดึงสติกลับมา มือใหญ่วางบนศีรษะกลมแล้วโยกให้โคลงเคลงเบา ๆ “ฉันเข้าใจ” ฝ่ามือกร้านลูบผมเผ้าเส้นลื่นไปมาขณะแย้มยิ้มอ่อนโยน ก่อนคนอายุน้อยกว่าจะพยายามดึงข้อมือข้างนั้นออกเพราะรู้สึกไม่คุ้น แต่สุดท้ายก็เข้าใจว่าเสียแรงเปล่า นอกจากจะไม่เอามือออก ยังแกล้งใช้ฝ่ามือกดจนอีกคนหดคอ หมอเถื่อนยิ้มพอใจเมื่อตัวเองดูจะทำให้ร่างเล็กเครียดได้
แล้วก็ยิ่งมีความสุขไปใหญ่เมื่อมะตูมไม่ได้พยายามปฏิเสธสัมผัสอีกต่อไป “วันนี้คงต้องล้มเลิกแผนคุยกับพ่อนายไปก่อนแล้วล่ะ” ฝ่ามือเลื่อนลง คงเหลือวงแขนที่คอยโอบบริเวณหัวไหล่แคบไว้หลวม ๆ ทำเนียนแต๊ะอั๋งระหว่างคิดว่าอีกคนคงจะไม่รู้สึกรู้สา แต่ว่าหน้าแก้มเนียนกำลังปรากฏสีระเรื่อและเพื่อปกปิดอาการประหม่า มะตูมจึงได้แต่หันหน้ามองคนเป็นพ่อ เกร็งคอแทบเคล็ดขณะตัวแข็งค้างอย่างผิดธรรมชาติ “แล้วพี่จะกลับเลยหรือเปล่า” ร่างเล็กก็แค่อยากจะชวนคุยเพราะบรรยากาศมันเงียบเหงาแปลก ๆ แต่คำพูดคำจากับกลายเป็นว่าเหมือนกำลังไล่ คนพูดผิดจึงรีบหันกลับมาแล้วยกมือยกไม้ไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น
ขณะสหรัฐยิ้มขันและพยักหน้าเข้าใจ พูดไปจะหาว่าคุยแต่ขอพูดหน่อยก็แล้วกัน สหรัฐพอรู้ว่าอีกคนมีลักษณะนิสัยเป็นเช่นไรและรู้ด้วยว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยกับความเป็นคนตรง ๆ เด็กตัวเท่านี้คงจะเก็บซ่อนเรื่องราวอันหนักอึ้งเอาไว้กับตัวมากมาย แล้วจะคิดว่าตนพยายามเต๊าะเด็กก็ได้ แต่อยากให้รู้ไว้อย่าง เพราะร่างเล็กเองนั่นแหละที่ทำตัวน่าเอ็นดู จะรู้ไหมว่าตัวเองเป็นคนน่ารัก มีคำพูดสมัยเก่าเก็บที่ว่าถ้าอยากได้ลูกสาวต้องเข้าทางพ่อแม่ แล้วเพราะว่ามีจิตสำนึกอยู่บ้าง เห็นคนตกยากเลยอยากช่วย “ไว้ฉันจะลองคุยกับพ่อนายให้ เรื่องที่ให้เพลา ๆ ดื่มเหล้าน่ะ”
“แต่พ่ออาจจะไม่พอใจพี่ก็ได้นะ” มะตูมรีบแย้งแล้วเอ่ยต่ออีกประโยคด้วยน้ำเสียงเบา “แล้วพ่อก็อาจจะไม่ยอมให้พี่อุปการะผมด้วย” ร่างเล็กเศร้าสร้อยเหมือนคนที่ลึก ๆ แล้วก็กลัวว่าโอกาสได้เรียนหนังสือจนจบมอปลายจะหลุดลอยไป ซึมลงถนัดตาจนฝ่ามือใหญ่ต้องคอยลูบที่บ่า “ไม่ต้องห่วง ฉันมีวิธี” โฆษณาชวนเชื่อแต่ไม่ใช่เพื่อหลอกเด็กให้ดีใจ
“ฉันทำให้พ่อนายเซ็นยอมรับการอุปการะภายในสามวินาทียังได้เลย”
“ยังไง”
“ไม่บอก เอาไว้คุยกับพ่อนายก่อน แล้วถ้าไม่ยอมค่อยจัดการ”
“พี่คงจะไม่ทำร้ายพ่อผมหรอกใช่ไหม”
“เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย”
“สามารถควักลูกตาคนอื่นได้โดยไม่รู้สึกอะไร”
“เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวนายจะเป็นรายต่อไป” มือกร้านข้างที่ว่างยกขึ้นชี้หน้าคาดโทษ
แทนที่คนอายุน้อยกว่าจะกลัวกลับลอยหน้าลอยตา หลุดยิ้มจนแก้มอูมขึ้นมาอย่างลืมตัว ส่วนหมอเถื่อนผู้กลัวว่าถ้าทักแล้วร่างเล็กจะรีบหุบยิ้มเลยทำเป็นเนียนไป กระแอมไอพลางลอบมองสีหน้าที่เหมาะกับรอยยิ้มเป็นพัก ๆ แอบเฝ้าดูคนน่ารักที่ยังแสดงอารมณ์ร่วมอื่น ๆ เป็น เห็นแล้วก็อดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ถ้ามุมปากฉีกไปถึงใบหูได้ก็คงจะทำ สหรัฐขยับยิ้มกว้างอย่างออกหน้าออกตาจนดวงตากลมหันมาเห็นแล้วสงสัย อะไรทำให้ผู้ชายข้างกายดูความสุขจังจนกระทั่งเห็นเงาสะท้อนในแก้วตาสีเข้ม พอเห็นเป็นเงาหน้าตัวเองเต็ม ๆ ก็เกิดใจเต้นแรง
มะตูมแสร้งหาอะไรอย่างอื่นทำแทบไม่ทัน แต่จะลุกขึ้นอย่างกะทันหันก็ไม่ได้เพราะขาเป็นเหน็บ เจ็บ ๆ ซ่า ๆ ไปทั่วขาหนึ่งข้างและร่างเล็กก็เขินอายเกินกว่าจะให้อีกคนที่ยังยิ้มแก้มปริช่วย
ด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง สหรัฐคิดว่าตัวเองน่าจะกลับไปก่อน แต่เพราะรู้สึกไม่อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่นอนด้านนอก ถ้าจะปล่อยให้คนตัวเล็ก ๆ แบกพ่อเข้าไปนอนเองก็ไม่ใช่เรื่องจึงออกปากอาสา ทำความดีก่อนที่จะกลับไป “เดี๋ยวฉันพาพ่อนายเข้าไปนอนในห้องให้เอง” ลุกขึ้นทำท่าจะช่วยพยุงตัวคนเมาจนหลับขึ้นมา แต่ร่างเล็กกลับไม่ยอมขยับหนีแถมทำท่าดูมีพิรุธ คนยืนอยู่ก็สงสัย ลดตัวลงนั่งใกล้ ๆ อีกครั้ง “เป็นอะไร”
มะตูมไม่ได้บอกในทันทีบวกกับมีอาการอึกอักจนคนรอฟังต้องเร่งให้รีบพูด สหรัฐจะไม่หยุดถามว่าตกลงเป็นอะไรตราบใดที่คนนั่งก้มหน้ายังไม่ยอมบอกความจริง จนมะตูมทนความตื้อไม่ไหวและจำเป็นต้องพูดในสิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องแสนน่าอาย “เป็นเหน็บที่ขา”
สหรัฐระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจตามที่ร่างเล็กได้จินตนาการไว้ หมอเถื่อนทำให้คนเป็นเหน็บยิ่งรู้สึกอับอายพลางก้มหน้างุดแทบมุดไปกับพื้นบ้าน ก่อนจะออกอาการต่อต้านเมื่อมีมือกร้านพยายามยืดขาตัวเองและช่วยบีบนวด
หมอเถื่อนยังยิ้มอวดฟันขณะทำการปฐมพยาบาลเบื้องตน คนเป็นหมอไม่มีทางรังเกียจคนไข้ ยิ่งถ้าเป็นรายที่ถูกใจใฝ่ปองเล็ก ๆ ด้วยแล้ว อย่าว่าแต่วางขาพาดตัก ให้พาดลงมาหนัก ๆ ที่บ่ายังได้ ...ไม่สิ นั่นเป็นเรื่องที่เรทเกินไป สหรัฐพยายามปรับภาพความคิดซะใหม่แล้วพูดอะไรที่ดูภูมิฐาน “ทีหลังเป็นอะไรก็ต้องรีบบอกรู้ไหม” นิ้วโป้งค่อยกดคลึงใต้ฝ่าเท้าก่อนจะเพิ่มน้ำหนักจนร่างเล็กกระตุก รีบเอื้อมมือเข้าหาราวกับจะห้ามปรามมือข้างที่พยายามช่วยนวดนั้น
“ฝึกไว้ พอฉันเป็นผู้ปกครองนายเมื่อไหร่ นายก็ต้องรายงานฉันทุกเรื่อง” แต่ก็ไม่ทันกินคนแรงเยอะกว่าหรอก ถูกแกะมือออกได้ก็กลับมาจับฝ่าเท้าเล็กได้ใหม่ ใครจะดื้อเงียบกว่ากันก็ให้มันรู้ไปสิ แล้วถ้าคนอย่างสหรัฐมีความตั้งใจว่าจะช่วย อะไรหรือสิ่งใด ๆ บนโลกก็ขัดไม่ได้
“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว” อยากทำก็ปล่อยให้ทำและเมื่ออาการเหน็บชาดีขึ้นแล้วก็รีบบอกอย่างที่อีกคนพูดว่าให้ทำ
“แน่นะ” สหรัฐถามย้ำแล้วเมื่อเห็นร่างเล็กพยักหน้าเลยยอมยกท่อนขาขาววางลงกับพื้น ลุกขึ้นยืนก่อนแล้วตอนอีกคนจะลุกตามก็แบมือเป็นสัญลักษณ์ให้จับ มะตูมที่ยังมีอาการชาเล็กน้อยก็กลัวตัวเองจะล้มพับเลยจับแค่ปลายนิ้วกร้านเป็นที่ยึด แต่มือที่แบอยู่ก็ยื่นสอดเข้าใต้ฝ่ามือเล็กอย่างถือวิสาสะ กลายเป็นสองฝ่ามือต่างขนาดแนบจับกันสนิท
ไม่รู้ว่าอีกคนจะกำลังคิดอะไรอยู่ไหม แต่ร่างเล็กน่ะค่อนข้างคิดไปไกลเลยทีเดียว
“พี่ปล่อยมือผมก่อนสิ” มีเหตุผลหลายประการที่อยากบอกเพื่อให้อีกคนปล่อยมือหลังจากยืนขึ้นได้ด้วยขาตัวเอง แต่ร่างเล็กก็เลือกจะพูดแค่บางข้อ โดยการยกเรื่องพ่อขึ้นมาอ้าง “ถ้าไม่ปล่อยแล้วพี่จะพยุงพ่อผมขึ้นมาได้ยังไง”
สหรัฐทำสีหน้าราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วค่อยจำใจปล่อยมือเล็กด้วยความเสียดาย หมอเถื่อนเคลื่อนย้ายร่างกายคล่องแคล่วก่อนเดินเข้าพยุงร่างคนเมาจนหลับขึ้นจากโซฟาอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย โดยมีมะตูมคอยเป็นผู้ช่วยในบางจังหวะ จัดท่าพ่อให้ยกแขนโอบลำคอของคนประคอง
มะตูมรีบเดินขึ้นนำหน้าคนทั้งสองเพราะต้องเป็นคนช่วยเปิดประตูห้องนอนอีกที ก่อนที่จะได้ยินประโยคขอบใจ สหรัฐเอ่ยขณะเดินผ่านหน้าและช่วยพาบิดาร่างเล็กนอนลงบนเตียงโดยสวัสดิภาพ จับขาหนักยกขึ้นจากพื้น จับแขนที่ยื่นออกจากเตียงให้ ดูแลใส่ใจประหนึ่งเป็นญาติ ระหว่างจัดท่ามีการเงยหน้าส่งยิ้มให้กับคนยืนอยู่ตรงบานประตู สงสัยเพราะแสงไฟมันดูส้ม ๆ อมเหลืองด้วยละมั้ง ภาพที่ร่างเล็กกำลังเฝ้ามองจึงยิ่งให้อารมณ์สวยงามกว่าทุกวัน หรือเพราะว่าวันนี้อาจจะกินอะไรผิดสำแดงมา ดวงตากลมจึงไม่อาจละออกจากคนที่คอยสร้างความประทับใจ
สหรัฐไม่ได้ปฏิบัติหรือทำอะไรให้รู้สึกว่าผิดแปลกแตกต่างจากทุกวัน แต่ความดีของหมอเถื่อนนั้นช่างเสมอต้นเสมอปลาย สะสมมาทีละเล็กทีละน้อย และความรู้สึกดี ๆ ก็ค่อย ๆ พอกพูนจากกองทรายจนใกล้จะกลายเป็นภูเขาอยู่ภายในใจของคนที่ยืนเอาสองแขนไพล่หลัง มะตูมกำลังแอบจับมือตัวเองที่ครั้งนึงเคยถูกใครอีกคนสัมผัสระหว่างกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเกร็ง ๆ แล้วร่างเล็กก็แค่เดินตามออกมาหลังจากอีกคนบอกว่าคงต้องกลับก่อนแล้ว
“ส่งฉันแค่นี้ก็พอ” แก้วตาใสเหมือนจะลดประกายลงทันตายามถึงช่วงโบกมือลาตรงหน้าประตูบ้านแทนการเดินไปส่งถึงรั้ว ตัวหมอเถื่อนหันกลับมาขณะอยู่ในระดับต่ำกว่าและแม้ว่าลูกชายเจ้าของบ้านจะยืนอยู่บนพื้นสูง แต่ความสูงของทั้งคู่กับดูเสมอกัน “เดินทางปลอดภัยนะครับ”
สหรัฐพยักหน้ารับแล้วค่อยพูดอีกประโยคสวน “แน่ใจนะว่าจะไม่ไปนอนกับฉันสักคืน” เกิดความเงียบเข้าครอบงำเมื่อชายหนุ่มเหมือนจะใช้คำพูดคำจาผิด “หมายถึงไปนอนที่ห้องฉันแทนสักคืนดีไหม”
“พ่อเมาขนาดนั้นคงลุกขึ้นมาซ้อมผมไม่ได้หรอก”
พอคิดภาพตามแล้วก็เห็นด้วย “งั้นก็ตามใจ”
คนเตรียมกลับไม่เซ้าซี้ก่อนเอ่ยประโยคปิดท้าย “แล้วเจอกันพรุ่งนี้” ก่อนเดินจากไปมีการยีผมเส้นเล็กเล่น เห็นศีรษะกลมของคนอายุน้อยกว่าเป็นของเล่นไปได้ พอลูบหัวเสร็จก็ยกมือบายและไม่ลืมทำท่าบอกว่าให้อีกคนใส่กลอนประตู ถึงจะอยู่ในเขตชุมชนก็ต้องระวังขโมยขโจรไว้บ้าง
หมอเถื่อนยืนรอจนเห็นร่างเล็กปิดประตูบ้านและหูได้ยินเสียงลงกลอนจากด้านใน ช่วงขายาวถึงได้ก้าวเดินต่อขณะขวงกุญแจรถเล่นและเป็นคนลงมือล็อกรั้วบ้านให้อย่างเรียบร้อย
โดยไม่รู้ว่ามีคนคอยแอบดูทุกการกระทำจากซอกผ้าม่านหน้าต่าง ริมฝีปากอวบอิ่มกล้าแย้มยิ้มกว้างยามอยู่ตามลำพังขณะยกฝ่ามือหนึ่งข้างขึ้นสัมผัสศีรษะตัวเองไปพลางๆ มะตูมกำลังควานหาไออุ่นซึ่งยังติดอยู่ที่ปลายเส้นผมไม่ไปไหน พร้อมมืออีกข้างซึ่งทาบทับไว้ตรงตำแหน่งหัวใจ ก้อนเนื้อในอกซ้ายมันเต้น คล้ายจะเป็นอาการแรกเริ่มของคนตกหลุมรัก
--------------------------------------------
มีข่าวดีมาแจ้งค่า พี่อาชากับน้องเฟยฮวา จะได้ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ รักคุณ นะคะ เกร้ดดดดดดดดดดดด
ส่วนรายละเอียดอื่นๆเดี๋ยวตุ๊กติ๊กมาบอกอีกทีค่ะ ได้รับข่าวดีเมื่อคืนตื่นมาก็ยังยิ้มหน้าบาน อิอิ
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
คู่หลักก็เหมือนกำลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ คู่รองก็ยิ่งดีไปใหญ่อ่านเเล้วหวั่นไหวเเทนน้องมะตูมเลย น้อนนนนนน คุณหมอคนรว้ายย
-
ยังแอบกลัวตัวปัญหาอย่างหยางไออยู่
คุณพี่อาชาสู้ๆนะคะ :katai2-1:
-
เดินหน้ากันไปไกลทั้ง2คู่เลยย ดีใจด้วยนะคะคุณตุ๊กติ๊ก :pig4:
-
งื้ออออ อยากให้เขาอยุ่ด้วยกันแบบไม่ต้องมีเรื่องเจ็บตัวกันอีกแล้ว สงสารอ่าาาา อาชาต้องปกป้องน้องได้แน่ๆ สู้ๆนะคะไรท์ ภาวนาว่าเป็นแฮปปี้เอนดิ้ง
-
หูยหวานน้อยๆ หวานนานๆ
-
ขอปืนค่ะ จะยิงหยางไอให้ 555555555555
-
XV
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา พ่อค้าอวัยวะจะใช้ช่วงเวลาก่อนนอนหมดไปกับการเดินตรวจตรากลอนภายในบ้าน ไม่ว่าจะหน้าต่างกี่บานก็ต้องผ่านสายตา หลังออกคำสั่งให้ลูกน้องกระจายกำลังเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่า เกณฑ์คนมาเยอะกว่าเก่าเพื่อความปลอดภัย เคยพลาดแล้วก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสอง ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ สบถสาบานแล้วว่าจะดูแลดั่งดวงใจ โดยเฟยฮวาที่เดินเข้ามากอดจากด้านหลังอย่างหลวม ๆ ก็รับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นอันท่วมท้น แต่สิ่งที่ร่างบางห่วงในตอนนี้ก็คือสุขภาพของอีกคน หลังจากโดนยิงมาก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน จะหลับก็ตอนกลางคืนเท่านั้น แสร้งว่าอาการดีขึ้น ฝืนว่าหายขาดแต่ยามใดขยับตัวกะทันหันก็แอบกัดฟัน บ่อยครั้งก็ดื้อไม่ยอมทานยาตามคำสั่งหมอ
จนร่างบางต้องใช้มาตรการยืนรอดู อยู่เฝ้าให้เห็นเองกับตาว่าอีกคนกลืนยาลงคอแล้วจริง ๆ ถึงจะปล่อยให้เดินไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ แล้วคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่คนมีแผลรั้นจะชำระล้างร่างกายให้ได้ สุดท้ายเมื่ออาบน้ำเสร็จก็ต้องมานั่งตรงปลายเตียงเพื่อเปลี่ยนผ้าพันแผลยกชุด โดยมีคุณพยาบาลจำเป็นคอยเช็ดรอบบริเวณแผลให้แห้ง เบาแรงในตอนแปะผ้าก๊อซผืนใหม่เข้าไปกับผิวหนัง เฟยฮวาพยายามประณีตเท่าที่ฝีมือผู้ชายคนนึงพอจะทำได้
หลังจากแปะเทปกาวเพื่อรัดผ้าสีขาวไม่ให้ขยับก็ค่อยประทับจูบบนผืนผ้า น้ำเสียงหวานเสกคาถาให้บาดแผลหายไว ๆ จนพ่อค้าอวัยวะที่ไม่เชื่อพวกเรื่องเวทมนต์หลุดขำขณะทำท่าจะรั้งบั้นท้ายให้ลงมานั่งตัก แต่ร่างบางกับขยับตัวหนีและเริ่มปลดเสื้อผ้าทีละชิ้นตามประสาคนคนหมดยางอาย “ถ้านายง่วงก็หลับไปก่อนนะ ฉันจะไปอาบน้ำ”
คนเปลื้องผ้าไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าถอดเสื้อผ้า ผิดกับคนนั่งมองประกายตาวิบวับ หยาดเยิ้มราวกับพวกที่ดื่มสุราจนมึนเมา จำซอยทางเข้าบ้านตัวเองไม่ถูก
“จะอาบบ่อย ๆ ทำไม แค่นี้ก็ตัวหอมจะตายแล้วนะ”
“ไม่ต้องมาอ้อน ขึ้นไปนอนบนเตียงเดี๋ยวนี้” ชี้นิ้วสั่งอย่างเลือดเย็นและทำเป็นไม่เห็นสายตาที่จดจ้องทรวดทรงของตัวเอง ก่อนจะถอดกางเกงชั้นในเฟยฮวาก็แค่ทำให้อีกคนฝันสลายด้วยการหยิบผ้าขนหนูมาพันตัวและดับความคิดชั่วร้ายด้วยการปิดประตูห้องน้ำซ้ำยังล็อกกลอนจากด้านใน ร่างบางอาบน้ำตามปกติมีแค่เรื่องเวลาที่ใช้นานขึ้น ยืนตัวเปียกท่ามกลางกระแสน้ำอุ่นจนรู้สึกผ่อนคลายและกลับออกมาจากห้องน้ำอีกทีก็ตอนที่ภายในห้องนอนเหลือแต่แสงสว่างสีส้มจากโคมไฟเท่านั้น “อย่างน้อยก็ยังฟังคำสั่งกันบ้างสินะ” พึมพำยามเห็นพ่อค้าอวัยวะนอนหลับตาบนเตียง
เฟยฮวาถอนหายใจโล่งอก คงเพราะยาตัวใดตัวหนึ่งมีฤทธิ์ง่วงเลยสอยคนพลังช้างสารร่วงได้ เมื่ออีกคนหลับไปก็ทำให้ตนพอมีเวลาส่วนตัวเพิ่มขึ้นมา สามารถสวมเสื้อนอนตัวใหญ่อย่างช้า ๆ ได้ แล้วตามด้วยชั้นในและกางเกงนอนตัวยาวที่เอามาจากอาชายกเซต เป็นพวกขาดความอบอุ่นจนต้องเอาเสื้อผ้าอีกคนมาใส่เพื่อให้รู้สึกเหมือนถูกกอดตลอดเวลา
ร่างบางปีนกลับขึ้นมาบนเตียงสีเลือดนกอีกทีตอนเวลากี่โมงก็ไม่ทราบแน่และก่อนจะหลับไปเหมือนทุก ๆ คืนก็แค่ปัดปอยผมที่บังหน้าคนหลับตามปกติ จูบที่หน้าผากแล้วบอกฝันดีจากใจจนกลายเป็นนิสัย ก่อนจะดับโคมไฟข้างหัวเตียงจนทั้งห้องมืดสนิท เฟยฮวาขยับลงนอนชิดร่างกายใหญ่แล้วยกแขนพาดไว้บนตัว จัดท่าจัดทางเมื่ออยากให้อีกคนนอนกอดตัวเองตลอดทั้งคืน
พยายามขยับร่างกายหาท่านอนสบาย ๆ ในวงแขนหนาด้วยความระมัดระวังเพราะไม่อยากรบกวนให้คนนอนตื่นขึ้นมา แต่ถ้าสายตาจะชินกับความมืดสักนิด ดวงตากลมก็จะเห็นว่ามีคนนอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่รู้ชอบใจอะไรนักหนาจนในที่สุดก็ลืมตา บนฟ้ามีดาว ในห้องก็มีสายตาพราวระยับ ไม่เหมือนคนเคยหลับมาก่อนเลยสักนิด เฟยฮวาเผลอตกหลุมพรางการแสดงว่าหลับไปก่อนจะมาจับเท็จได้เมื่อสาย เห็นสายตาเจ้าเล่ห์แล้วยิ่งย่นจมูก
“หลอกกันนี่”
“ฉันนอนหลับได้ที่ไหนถ้าไม่มีนายอยู่ข้าง ๆ” ไม่ได้อ้างส่ง ๆ เพื่อเอาตัวรอดและไม่ใช่แค่เวลานอนเท่านั้นที่อาชาติดสัมผัสของร่างบาง ช่วงเวลาปกติก็เหมือนจะลงแดงตายถ้าหากไม่ได้จับผิวลื่น ๆ เล่นหลังเวลาสามมื้ออาหาร
“แล้วตอนที่นอนแยกกัน นายทำยังไง” เฟยฮวาถามยามนอนหายใจรดแผงอกแข็ง
“ก็ไม่ได้หลับเลยทั้งคืนน่ะสิ” พอคิดถึงตอนที่ต้องนอนคนเดียวในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วก็เข็ดขยาด แล้วก็ได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่าตลอดเวลาที่ผ่านมายี่สิบกว่าปีนอนคนเดียวได้ยังไง พ่อค้าอวัยวะเพิ่งรู้ว่าซื้อไซส์เตียงมาใหญ่เกินไปยามไม่มีอีกคนนอนข้าง ๆ และหากต้องกลับไปนอนคนเดียวอีกก็ขอบาย “นับจากนี้ไปนายนอนไหน ฉันนอนด้วย” พ่อค้าอวัยวะให้คำสัตย์ด้วยความหนักแน่นพลางรัดกล้ามแขนกับเนื้อตัวนุ่มนิ่ม จนร่างบางแทบลีบติดไปกับแผงอก
ต้องลงไม้ลงมือเพื่อเตือนสติ ฝ่ามือขาวตีเข้าที่บ่ากว้างไปหลายทีเพราะจะขาดอากาศหายใจตาย จนอาชายอมคลายวงแขนให้มีช่องว่าง แลกกับการจู่โจมหอมแก้มอย่างรุนแรงจนไรหนวดทิ่มแก้มขาว ทำให้เจ็บจนเจ้าของผิวยู่หน้า
“พรุ่งนี้พอตื่นแล้วรีบไปโกนหนวดเลยนะ”
“ทำไมล่ะ ฉันว่าไว้หนวดก็น่าจะดี ไอ้เวรนั่นจะได้กลัวฉันจนหัวหดหนีกลับประเทศไปเลย”
“แต่ฉันไม่ชอบ” และหลังจากเผลอหลุดคำว่าไม่ชอบออกไป คิดว่าคนกวนประสาทจะทำอะไรถ้าไม่พยายามเอาตอหนวดรอบบริเวณริมฝีปากซุกไซ้ผิวขาวเป็นการกลั่นแกล้ง เดือดร้อนให้คนถูกแกล้งต้องรีบหลบเป็นพัลวัน ใช้ฝ่ามือดันอีกคนให้ถอยห่าง ร่างบางหลุดหัวเราะเพราะความจั๊กจี้ มือเปลี่ยนมาตีตามร่างกายหนาไปพลางระหว่างพ่อค้าอวัยวะพยายามเกลือกหน้ากับช่วงผิวที่โผล่พ้นเสื้อผ้า ก่อนจะชะงักและทำเป็นเบิกตาโตราวกับตกใจเสียเต็มประดา
“อะไรเนี่ย รักฉันถึงขนาดต้องเอาเสื้อผ้าฉันมาใส่เลยเหรอ”
“โอเวอร์ ทำเหมือนไม่เคยเห็นฉันใส่แบบนี้ไปได้”
“แล้วรู้ไหมว่าการเอาเสื้อผ้าคนอื่นมาใส่มันหมายความว่ายังไง” เฟยฮวาที่เพิ่งจะรู้ว่ามันมีความหมายส่ายหน้า ก่อนฝ่ามือใหญ่จะโอบใบหน้าเนียนให้ยิ่งขยับมาใกล้จนริมฝีปากบางเฉียบเกยกับใบหูเล็กเพื่อกระซิบกระซาบใจความที่สมควรได้ยินกันแค่สองคน ไม่งั้นอาจจะโดนกองเซ็นเซอร์เล่นงานได้ข้อหาพูดจาหยาบคาย
ประโยคที่ไตร่ตรองไว้ก่อนของอาชาก็ทำแก้มเนียนร้อนฉ่า หน้าแดงแต่โชคดีที่ไม่มีแสงสว่างส่องถึง อีกคนจึงมองไม่เห็น แล้วร่างบางที่ไม่ได้มีเจตนาใส่เสื้อผ้าคนอื่นเพราะเรื่องอย่างว่าก็รีบพูดสวน “งั้นฉันถอดก็ได้”
“ถอดเลย ๆ” ไม่ว่าจะเอ่ยอะไรก็ดูจะเข้าทางคนลามกไปเสียหมด จนยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ไอ้สายตาเจ้าชู้ที่หมั่นส่งหา ครั้นจะให้หันตะแคงหนีก็กลัวว่าจะกลายเป็นการให้ท่า นอนหันก้นหาอีกคนก็เหมือนกับการฆ่าตัวเองทางอ้อม เลยเลือกจะสงบปากสงบคำทำเหมือนไม่มีตัวตน โดยที่ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นผลดีผลร้าย แต่ยังไงพ่อค้าอวัยวะก็หาทางไปต่อได้อยู่ดี
“ไม่ถอดเอง งั้นฉันถอดให้นะ”
มือเรียวรีบตะครุบกระดุมเสื้อนอนตัวเองทันทีขณะที่อีกคนทำสีหน้าเหมือนเสียดาย
“คิดจะทำอะไรช่วยเกรงใจแผลที่หลังตัวเองด้วยนะ”
“แต่ฉันไม่ได้ใช้หลังทำสักหน่อย”
“อาชา” เจ้าของชื่อทำเมินน้ำเสียงขุ่นแล้วมุดหน้าซบกับหัวไหล่แคบ แนบแก้มกับต้นแขนขณะเงยหน้ามองเพดาน “นายลองนับดูสิว่ามันผ่านมาตั้งกี่วันแล้ว”
แววตากลมแหงนมองเพดานตามเช่นกันระหว่างนับจำนวนวันในใจว่าห่างหายจากเรื่องใต้สะดือมานานแค่ไหนแล้ว “ก็ไม่กี่วันเองนะ”
“เฟยฮวาจ๋า” คำพูดคำจาจะน่าหยิกน่าตีก็เพราะน้ำเสียงที่ใช้เนี่ยแหละ และดูจะเป็นประโยคแสลงหูของร่างบางที่รีบหันมองใบหน้าด้านข้างของอาชาอย่างกับคนไม่เชื่อหู “ไปเอาคำพูดพวกนี้มาจากไหน อย่าพูดอีกนะ ฉันขนลุก”
“ที่รัก”
“นายทำฉันหมดอารมณ์แล้ว” เฟยฮวาหักดิบด้วยการบอกว่าตัวเองไม่มีอารมณ์ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมเกือบถึงศีรษะและหันตะแคงข้าง ปล่อยให้พ่อค้าอวัยวะที่ตอนแรกนึกว่าจะเคว้งคว้างหาทางทำอะไรไม่ถูก แต่ที่ไหนได้รีบลุกขึ้นมาเปิดโคมไฟ ก่อนเอียงกายเข้าหาแล้วชะโงกหน้าเป่าลมใส่หูร่างบาง
“หมดแล้วจริงเหรอ” ริมฝีปากชื้น ๆ ไล่จูบตั้งแต่ด้านบนแล้วลดลงมายังบริเวณต้นคอที่ห่อหนีอัตโนมัติด้วยความขนลุก มือใหญ่ที่แสนจะซุกซนผลุบหายเข้าใต้ผ้าห่มแล้วจับโดนอะไรต่อมิอะไร เห็นนิ่มหน่อยก็บีบใหญ่จนร่างบางทำนอนเฉยไม่ไหว ว่าจะหันมาเหวี่ยงใส่คนขย้ำแก้มก้น
แต่ยังไม่ทันอ้าปากก็โดนประกบปากอย่างกะทันหัน สองริมฝีปากแทบสมานเป็นเนื้อเดียว ลิ้นเกี่ยวกวัดอย่างเผลอไผล หวั่นน้ำลายกระฉอกเพราะจูบของพวกเขาเต็มไปด้วยดูเดือดเลือดพล่าน ลืมไปเลยว่าเคยพูดว่าไม่อยากขณะความรู้สึกวูบวาบมันสปาร์คขึ้นมา มีคนเคยบอกว่าอย่าวางน้ำมันไว้ใกล้กับไฟ เพราะถ้าเผลอเมื่อไหร่ประกายความร้อนอาจลุกพรึบพรับ เปลวไฟจะโหมกระหน่ำจนสาดน้ำไปก็มีแต่จะเสียดายน้ำเปล่า ๆ
ต้องขนน้ำมาดับไฟเท่าไหร่ถึงจะเพียงพอ น้ำลายหนึ่งหยดไหลรดผ้าปูเตียงสีเลือดนกที่ยับย่นน้อยกว่าใบหน้าหล่อเหลา ชั้นเชิงการกลืนกินท่อนเนื้อของร่างบางเล่นทำเอาคนถูกปรนนิบัติน้ำเหงื่อไหลไคลย้อยข้างขมับ ขย้ำกำมือด้วยความอดกลั้นและหลุดคำรามยามฟันซี่เล็กจงใจขูดใกล้โคนโดนจุดไวต่อสัมผัส งับด้านบนแผ่วเบาแล้วใช้มือช่วยยัดเข้าปากจนหมด จนรู้สึกอึดอัดไปทั้งโพรงปาก จะขยับก็ลำบากแข็งปั่กไม่ยอมงอ ส่วนปลายคล้ำอยู่ลำคอร่างบางขณะใช้ขอบปากสาวจนน้ำคาวปะปนไปกับน้ำลาย เสียงซู๊ดเหมือนกำลังดูดดุนอะไรสักอย่างด้วยความอร่อยทำให้อาชายิ่งล่องลอย
เพราะแรงที่เฟยฮวาใช้ใช่ว่าน้อยซะที่ไหน มันไม่ยากที่จะทำให้ผู้ชายคนนึงถึงฝั่งฝัน ทำการส่งสายตายั่วยวนหาระหว่างผงกหัวขึ้นลงเป็นจังหวะ ฝ่ามือหนึ่งข้างยังกอบกุมลูบตามความยาวช่วยไปพลางๆระหว่างดูดส่วนปลายจนแก้มตอบ อาชาออกปากว่าชอบผ่านส่งเสียงแล้วหลั่งรดลงเตียงนอน ก่อนเฟยฮวาจะอ้าปากรองรับความสำเร็จของตัวเอง
แม้จะเสียน้ำไปแล้วแต่แก่นกายใหญ่ก็ยังเต่งตึงเหมือนเจ้าของร่างกาย แต่พ่อค้าอวัยวะก็กระซิบว่าอย่าเพิ่งไปสนใจมันมากนัก ร่างบางถูกผลักกึ่งนั่งกึ่งนอนลง ข้อศอกยังคงเท้าไว้กับที่นอน พ่อค้าอวัยวะไม่ยอมถอดเสื้อนอนอีกคนให้หมดแต่เปลี่ยนเป็นปลดลงจากไหล่ จนเห็นไหปลาร้าขาวแต่สิ่งที่พุ่งเข้าหาเป็นอย่างแรกคือตุ่มไต
ใครจะกล้าละเลยความน่ารักที่มีขนาดเล็กกว่าเม็ดถั่วแต่เอาหัวเป็นประกันว่ารสชาติดีกว่าเป็นไหน ๆ มันหวานและแทบละลายหายไปกับปลายลิ้น ผิวบริเวณโดยรอบแดงระเรื่อเมื่อถูกดูดดุน ฟันคมกัดกินจนน่ากลัวว่าผิวหนังจะหลุดออกมาเป็นชิ้น ๆ เฟยฮวาดิ้นรนขณะหน้าอกอีกข้างโดนเค้นจนตั้งเต้า การกระทำของอาชาเล่นทำเอาร่างบางหายใจไม่ทั่วท้องน้อย พ่อค้าอวัยวะคอยแต่จะกระตุ้นจุดศูนย์รวมเส้นประสาท จนความวาบหวามไหลผ่านกระแสเลือด ความปรารถนาซึมซับเข้าเส้น เห็นภาพทุกอย่างเบลอ ๆ จะชัดเจนก็แค่ใบหน้าชายคนรักที่โน้มลงมาซุกไซ้
เนื้อตัวแดงเถือกอ่อนยวบยาบเหมือนเทียนไขเวลาบดเบียดกายกับกองหมอน เฟยฮวานอนแผ่บนพื้นผ้าขณะพ่อค้าอวัยวะขึ้นคร่อมแล้วดอมดมแก้มแดงด้วยความหื่นกระหาย ทั้งหอมทั้งบดจูบโดยไม่เกรงใจ ไรหนวดที่ทิ่มแทงสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ แม้จะระคายผิวแต่ก็ช่วยบิ๊วอารมณ์ดิบเถื่อนได้มาก เฟยฮวากำลังหายใจลำบาก หอบหายใจหนักจนกระดูกไหปลาร้าบุ๋มลึกลงไป ส่งเสียงอืออ้าข้างใบหูอาชาที่หยุดทำการกัดหัวไหล่มนแล้วเปลี่ยนมาปล้นจูบอีกครั้ง โดยไม่ยอมปล่อยมือให้ว่าง เอื้อมลงด้านล่างกำลังบีบนวดโคนขาขาว
มือใหญ่แวะทักทายเจ้าเนื้อนิ่มตรงหว่างขาที่อ้าออกอัตโนมัติ ก่อนจะพยายามถอดกางเกงนอนคนใต้ร่างทั้งที่ยังนัวเนียไม่ห่าง จนร่างบางเห็นว่าอีกคนไม่ถนัดเลยรีบเข้าช่วยเท่าที่ไหว กระทั่งอาชารูดขอบกางเกงนอนลงได้และส่งให้เฟยฮวาจัดการต่อ พอใช้ฝ่าเท้าทั้งดันทั้งถีบ ไม่ต้องรีบร้อนมากกางเกงนอนก็ร่นติดอยู่ที่ข้อเท้า จะเหลือก็แค่ชั้นในเจ้าปัญหาที่พ่อค้าอวัยวะต้องการแสดงฝีมือเอง แต่ระหว่างที่เคลื่อนย้ายร่างก็ไม่ลืมละเลงปลายลิ้นที่เปรียบเหมือนปลายใบมีดกรีดกลางหว่างอกบางลงมายังหน้าท้องแบนราบ แล้วค่อยอ้าปากงับขอบกางเกงชั้นในไว้ให้มั่น กัดด้วยฟันและดึงลง
งานถลกคงเป็นเรื่องสบาย ๆ ของอาชาที่มุดเข้าใต้หว่างขาร่างบางทั้งที่ยังดึงกางเกงในด้วยปลายฟันลงไม่สุดข้อเท้า ปล่อยให้ค้างเติ่งบริเวณหัวเข่าเพราะเอาจริง ๆ กำลังทนความกำหนัดไม่ไหว อยากจะสอดใส่แทบแย่แต่แผลถูกยิงก็ดันมาปวดรุม ๆ เต้นตุบ ๆ จนเผลอทำหน้าเสีย
แล้วคนเป็นเมียที่เฝ้ามองอากัปกิริยาผัวตลอดเวลามีหรือจะไม่เห็นความเจ็บปวดนั้น จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ไม่มีทางเล็ดลอดสายตาเฟยฮวาที่พร้อมจะจบทุกอย่างหากอีกคนเอ่ยปากว่าไม่ไหว แต่อาชาเป็นประเภทใจสู้ไม่ถอยผสมดื้อเล็กน้อยถึงปานกลาง ร่างบางจึงจำเป็นต้องออกโรงขึ้นเป็นผู้นำ ลุกกลับขึ้นมาจัดแจงแหกขาขึ้นนั่งบนหน้าตักแข็ง
ไม่ให้พ่อค้าอวัยวะออกแรงเอง แต่ตัวเองจะเป็นคนลงแรงแบกรับหน้าที่สำคัญ มือขาวคลำหาแล้วปั้นแก่นกายให้ตั้งตรงและการสอดใส่ก็จะคงจะทุลักทุเลมากกว่านี้ถ้าอีกคนไม่มีจิตอาสา เฟยฮวาบีบบ่ากว้างด้วยมือหนึ่งข้างระหว่างทิ้งน้ำหนักตัวลง แอบกระดกก้นหนีเล็กน้อยเมื่อชนโดนส่วนปลาย ไม่แน่ใจว่าจะเข้าได้ในคราวเดียวหรือเปล่าแต่ก็ลอง ต้องเป็นอาชาที่ช่วยประคองน้องชายแล้วค่อยให้อีกคนบดเบียดหว่างขาลงมา อ้ารับและครอบครองมิดด้าม
ร่างบางขาอ่อนตอนรู้สึกได้ว่าช่องว่างถูกเติมเต็มจนแน่นขนัด ไม่สามารถนั่งทับตักพ่อค้าอวัยวะได้สนิท มันติดขัดและอึดอัดตามประสาคนเว้นเรื่องอย่างว่ามาหลายวัน แถมเพราะร่างกายน่าจะยังไม่ทันผลิตสารคัดหลั่งเลยยากจะเขยื้อน
ขอทำใจก่อนเคลื่อนตัวสักเล็กน้อย คอยเวลาด้วยการซุกไซ้กันไปพลางๆ ต่างคนต่างมีเป้าหมาย เฟยฮวาเลือกใบหน้าสมส่วน ข่วนแก้มกร้านด้วยปลายฟัน ถ้าไม่เกรงใจหน้าหล่อ ๆ คงกัดให้เกิดรอยบาก อยากฝากเป็นของที่ระลึก
ร่างบางน่ะแค่กำลังนึก ๆ ว่าอยากจะทำ ผิดกับอาชาที่ลงมือทำก่อนจะคิดไตร่ตรองด้วยซ้ำ มือใหญ่ขย้ำแก้มก้นจนเนื้อปลิ้นตามง่ามนิ้วยาว กะเอาให้แหลกคามือเหมือนถือลูกพีชผลใหญ่ไว้ แล้วใช้โอกาสนี้เป็นการหยิบยื่นคำหวาน บอกว่ารักเฟยฮวาเสียงดังฟังชัดเต็มสองรูหู แถมไม่วายส่งสายตาเจ้าชู้ประตูดิน ถ้ากินอีกคนเป็นขนมขบเคี้ยวได้ก็คงทำ
แล้วแม้ว่าความจริงจะกลืนกินร่างบางลงท้องไม่ได้ แต่พ่อค้าอวัยวะก็ยังได้ลิ้มรสชาติหวานหอม ยอมใจกับความขาวที่ตัดกับสีรอยฟันจาง ๆ ริมฝีปากบางเฉียบงับตามผิวลื่นแล้วฝากความชื้นแฉะไว้
เมื่อเริ่มมีการเคลื่อนไหวก็ได้ยินเสียงครวญคราง ภายในห้องนอนตอนแรกเสียงเครื่องปรับอากาศเคยดังที่สุด แต่กลายเป็นว่าพอโดนแก่นกายชนจุดกระสันเข้าบ่อย ๆ เฟยฮวาก็คอยแต่จะเปล่งภาษาเข้าใจยากเป็นชุด หลุดพูดภาษาจีนกลาง แล้วยังต้องมาแปลให้อาชาฟัง ก็คนมันอยากรู้ความหมาย แต่ร่างบางก็บ่ายเบี่ยงและยิ่งร้องเสียงพร่าเมื่อพ่อค้าอวัยวะกระแทกช่วงล่างสวน เฟยฮวาถดก้นด้วยความรวดเร็วหมุนเอวเป็นวงกลมและขย่มตักอย่างเอาจริงเอาจัง
เป็นการต่อสู้ท่ามกลางความกดดัน บั้นท้ายนิ่มบดลงบนหน้าขา กระดกก้นขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยทิ้งน้ำหนักตัวลงตามแรงโน้มถ่วงอย่างแรง จนแข้งขาสั่น กล้ามเนื้อหลายส่วนในร่างกายกำลังทำงานผ่านการยักย้ายส่ายสะโพกเป็นจังหวะ
อาชายอมถูกประณามว่าเลวที่เอาเปรียบร่างบาง ชายหนุ่มไม่อยากขยับสวนให้เสียระบบ อยากจะเฝ้ามองสีหน้าสุขสมและนัยน์ตากลมโตที่เคลือบไปด้วยความหวานเยิ้มมากกว่าตอนไหน ๆ นาน ๆ ทีจะได้เห็นสีหน้าอันหลากหลายของเฟยฮวาที่หมั่นชายตามองอย่างเชิญชวนอยู่ตลอด ตอนยั่วยวนจะดูสวยเป็นพิเศษ แต่อันที่จริงแล้วจะเป็นตอนไหนก็สวยไม่สร่าง ทำให้รักทำให้หลงได้ด้วยเสน่ห์อันร้ายกาจ สุดท้ายเมื่อถูกท้าทายอย่างหนัก อยากให้รักแบบแรง ๆ ก็บอกมา มันถึงเวลาของมืออาชีพที่รีบผลักร่างอีกคนให้ลงนอนหงายทั้งที่อะไรยังติดพัน
แล้วการเชื่อมต่อที่จวนจะหลุดก็ถูกดันกลับเข้าไปใหม่จนสุด ทำเอาขนลุกขนชันกันทั้งสองฝ่าย ก่อนพ่อค้าอวัยวะจะเท้าฝ่ามือกับที่นอนตอนเคลื่อนสะโพกไม่บันยะบันยัง เสมือนลืมความเจ็บปวดบนแผ่นหลัง ความป่าเถื่อนรั้งจะทำให้อารมณ์ยิ่งไต่ขึ้นเพดาน จนเสียงหวานกรีดร้องแทบขาดใจ หายใจไม่ทัน
เฟยฮวาส่ายหน้าแต่อาชาเข้าใจเสมอว่านั่นไม่ใช่การปฏิเสธ เป็นอาการเวลาฟุ้งซ่านหนัก ๆ และถ้าหากไม่ต้องการจะพันมือกับท่อนแขนแกร่งไว้ทำไม ร่างบางคว้าต้นแขนใหญ่ไว้เป็นหลักยามแผ่นหลังเสียดสีกับที่นอนตลอดเวลา
คนใต้ร่างมีการกัดริมฝีปากจนอาชาอยากจะถามว่าใครสั่งใครสอนให้ทำต่อหน้าสามีที่รัก สงสัยคืนนี้คงไม่อยากนอนหลับดี ๆ กลีบปากที่เม้มอยู่ถึงได้เผยอออกบอกเป็นนัย โดยความหมายก็เข้าใจง่าย คนด้านบนใช้ริมฝีปากง้างริมฝีปาก ทั้งคู่หลับตายามแลกน้ำลายไม่รู้ว่ารอบที่เท่าไหร่ของวัน
เฟยฮวาวาดมือบนแผ่นอกอย่างหลงใหลในสรีระ เวลาเป็นจริงเป็นจังอาชาดูมีเสน่ห์มากล้นจนรู้สึกว่าตัวเองเป็นบุคคลที่โชคดีที่ได้อีกคนมาครอง ได้เป็นเจ้าของเต็มตัว ได้หัวใจมา
แล้วความรักที่บ่มเพาะด้วยจังหวะหนักหน่วงก็ใกล้จะสุกงอมพร้อมถึงฝัง ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นพาดบ่ากว้างจนร่างสองคนยิ่งแนบสนิทกัน ยิ่งก่อเกิดความถนัดถนี่แต่ละทีที่เคลื่อนเต็มไปด้วยความแม่นยำ เสียงหวานออดอ้อนตอนอารมณ์พุ่งขึ้นสูงก่อนจะถูกหอมแนวขมับหนัก ๆ ท้ายที่สุดก็เป็นร่างบางที่ชะงักและร่างกายกระตุกก่อนขณะนอนหายใจพะงาบ ๆ ไม่ทันได้พักก็ต้องมาใจหายใจคว่ำกับการกระทำบ้าบิ่น นึกว่ากินยาไวอากร้ามาพ่อค้าอวัยวะถึงได้ดูคึกคัก
อาชาเลียริมฝีปากระหว่างเคลื่อนเอวสอบไม่หยุดตอกย้ำจุดเดิมซ้ำ ๆ สวนแก่นกายเอาเข้าออกขณะล็อกเอวคอดไว้ด้วยสองมือใหญ่ สัมผัส คั้นจนเนื้อนิ่มในกำมือขึ้นริ้วเป็นนิ้วยาวทั้งสิบ รีบมากกระทั่งหลุดออกจากกัน ต้องจับยัดเข้าไปใหม่ ส่งต่อแรงดันจนเฟยฮวาสั่นเป็นคนทรงเจ้า ยิ่งเขย่าสองอวัยวะยิ่งเข้าล็อก ก่อนจะต่างฝ่ายต่างเกิดอาการน็อคกลางอากาศ ความหนักหน่วงครั้งสุดท้ายอัดแน่นอยู่ภายในทางตัน อัดฉีดของเหลวเต็มคราบ
สองน้ำเสียงสอดประสานชั่วครู่ แล้วอาการเจ็บแผลที่หลังก็มาเยือนอย่างรู้เวลา เพราะความผลีผลามไม่ดูกำลังตัวเองของพ่อค้าอวัยวะนั่นแหละ ทั้งที่ควรจะแค่หลับไปกลายเป็นว่าต้องถูกหัวเราะเยาะเย้ยที่ไม่เจียมสังขาร หลังหลุดปากขำกับความโอดโอยเกินเหตุ เฟยฮวาก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าก่อนจะจัดหายาแก้ปวดมาให้ ได้กินยาสักหน่อยความปวดก็น่าจะทุเลาเบาบาง แม้ความฝันในการสานต่อรอบสองจะสลาย แต่หนทางออดอ้อนยังสามารถไปได้ต่อ ขอกอดหอมอย่างหน้าไม่อาย ไม่มีใครได้ทำความสะอาดร่างกาย นอนหลับไปทั้งกลิ่นของกันและกัน กลิ่นความรักที่นานวันยิ่งหอมกรุ่น
มีต่อด้านล่าง
-
ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด คนนอนติดเมียอยู่บ้านดี ๆ ก็ถูกเรียกให้เข้ามาที่สำนักงานใหญ่อย่างกะทันหัน แถมเป็นนัดนอกเวลาที่ทำให้ต้องรีบบึ่งรถมาเพื่อพบว่าคน ๆ อื่นยังมาไม่ครบองค์ประชุม อาชาเลยหลบมุมออกมาเข้าห้องน้ำชายภายในตัวตึกเพื่อทำธุระส่วนตัว พ่อค้าอวัยวะสะบัดหัวสองสามทียามมีอาการตึง ๆ ที่ศีรษะ แต่เมื่อได้ปล่อยปัสสาวะจนสุดจึงอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยถึงค่อยเริ่มฮัมเพลงภายในลำคอและพอเก็บน้องชายใส่กางเกงพร้อมรูดซิปก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีคนขยับเข้ามายืนใช้โถปัสสาวะข้าง ๆ พอดิบพอดี
แล้วไอ้ท่าทีวางก้างเบ่งอำนาจก็จะเป็นใครไปไม่ได้ ขนาดยืนขับถ่ายธรรมดา ๆ ใบหน้าของหยางไอยังดูน่าหมั่นไส้ จนชายเสร็จกิจก่อนเลิกฮัมเพลง อาชารู้สึกเซ็งขึ้นมาดื้อ ๆ แล้วทำแค่เดินมาล้างมือตรงอ่างล้างบริเวณหน้ากระจก เพราะคงไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวจึงเงียบเข้าไว้
“ไม่เจอกันตั้งหลายวัน ยังดูมีความสุขดีจังนะ” แต่เจ้าพ่อเงินกู้ไม่ได้คิดเหมือนพ่อค้าอวัยวะสักหน่อย เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ขอให้ได้จิกกัด ตามมาแดกดันด้วยการส่งเสียงระหว่างยืนล้างมืออยู่ข้าง ๆ หลังจากปลดทุกข์เสร็จเรียบร้อย
“จะมีความสุขกว่านี้อีกถ้าไม่ได้เห็นหน้าแก” ตอกกลับสักหน่อยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ก่อนถามถึงอาการที่ขาเผอิญปรายตามองพอดี “แผลที่ขาหายแล้วเหรอ ถึงได้ออกมาเดินเพ่นพ่านได้” และเสียงน้ำไหลในอ่างก็ดังก้องห้องน้ำยามต่างฝ่ายต่างคนสนใจที่จะเอาแต่ล้างมือ
อาชาไม่ได้ติดใจกับอาการไม่หือไม่อือของอีกคน ไม่สนใจสักนิดจนกระทั่งได้ยินเสียงปิดหัวจ่ายน้ำ แค่ปรายตามองตามพฤติกรรมกำลังจัดทรงผมหน้ากระจก ก่อนจะเป็นหยางไอที่หลุดขำทำเหมือนมีเรื่องตลกเสียเต็มประดา
“โทษทีนะที่ฉันมันดันเป็นพวกตายยาก”
พ่อค้าอวัยวะเลิกล้างมือแล้วเปลี่ยนเป็นยืนเท้าขอบอ่าง “แต่ระวังไว้หน่อยก็ดี บางทีอาจจะกลายเป็นผีโดยไม่รู้ตัว” กลัวจะนึกว่าแค่ขู่ไปงั้นอาชาเลยหันจ้องขณะหยางไอมองกลับพร้อมยิ้มชั่ว
“แกบอกตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง” ยังไงฉายาก็คือหมาลอบกัด ดังนั้นก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ถ้าจะทำในสิ่งที่มีแต่พวกขี้ขลาดเท่านั้นที่ทำ “ดูท่าแผลที่หลังจะหายช้าหน่อยนะ”
เงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่บัดนี้ไม่ได้มีแค่เงาของผู้ชายตัวสูงสองคนเหมือนตอนแรก ผู้ชายตัวใหญ่ห้าถึงหกคนแทรกเข้ามายืนในห้องน้ำด้วยจนความกว้างหดเหลือช่องทางเดินเล็ก ๆ แถมคนเป็นลูกน้องก็ไม่ได้ขยับเดินตามหลังเจ้านายที่เดินขากะเผลกออกไป ยืนเป็นหัวหลักหัวตอเหมือนรออะไรอยู่ ซึ่งอาชาก็รู้ดีถึงจุดมุ่งหมาย ถึงได้ยืนพ่นลมหายใจราวกับแสนเบื่อหน่าย โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ หยางไอหยุดอยู่หน้าประตูห้องน้ำก่อนหันกลับมาขยับปากบอกช้า ๆ ว่าขอให้สนุกนะ ถือซะว่าเป็นการต้อนรับที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง เจ้าพ่อเงินกู้เดินออกจากห้องน้ำแล้วปิดประตูตามไล่หลัง
ไม่ลืมกดล็อกลูกบิดจากด้านใน เพื่อกันคนเดินผ่านไปผ่านมาเข้าไปช่วยอีกคนได้ เก่งดีนักก็หาทางเอาตัวรอดออกมาเองแล้วกัน หยางไอจัดเสื้อสูทตัวนอกที่ออกแบบสั่งตัดให้เข้ารูปเข้ารอย แล้วค่อยปล่อยเสียงโครมครามภายในห้องน้ำไว้เป็นแค่ฉากหลัง เดินจากไปโดยไม่คิดจะหันมาเหลียวแลชะตากรรมเพื่อนร่วมโลก
ลูกน้องคงถูกสั่งมาอย่างดีว่าถ้าเป้าหมายไม่นอนหมอบหอบหายใจเหมือนคนจะตายก็อย่าได้หยุดโจมตีเป็นอันขาด แล้วคน ๆ เดียวจะไปต้านทานแรงผู้ชายห้าหกคนได้ยังไงไหว พ่อค้าอวัยวะมีคติที่ว่าถ้าลองได้ออกหมัดแล้วก็ห้ามหยุด สุดท้ายโดนต่อยเข้าที่แก้มขวาซ้ำสองแลกกับเสียงของคู่ต่อสู้ที่ร้องด้วยความจุก เผอิญฝ่ารองเท้าหนังชั้นดีดันถีบเข้าเต็ม ๆ ที่ตำแหน่งลูกอัณฑะ และโชคยังดีที่ว่าไม่มีใครชักปืนขึ้นมายิงสวนกันให้เลือดตกยางออก แต่ขณะเดียวกันก็ถือว่าโชคร้ายเพราะอาชาดันลืมปืนไว้ในรถ แถมดันเป็นแค่คนเดินดินธรรมดาไม่ใช่กัปตันอเมริกาที่ถือโล่ เป็นแค่นายอาชาที่จับคว้าอะไรได้ก็ใช้ทุ่มสุดกำลัง ก้อนขยะร่วงกราวกับพื้นเมื่อมือใหญ่ใช้ถังขยะอะลูมิเนียมภายในห้องน้ำเป็นอาวุธ ชุดสูทสีดำพอดีตัวแทบขาดยามวาดของหนักขึ้นในอากาศแล้วฟาดไปที่หัวใครสักคนอย่างแรง
ไม่ใครก็ใครสักคนนั่นแหละที่ต้องหัวร้างข้างแตก แล้วก็ไม่แปลกด้วยที่พ่อค้าอวัยวะจะถูกเอาคืน หวืดล้มเพราะโดนเตะที่ช่วงขาจนเปิดโอกาสให้คนที่ใกล้ที่สุดเดินเข้ามายืนคร่อมแล้วตะบันหน้า โดยกะว่าจะต้องได้เลือดแต่พอโดนถีบเข้าที่บริเวณหน้าท้องก็สะเทือน ตัวเคลื่อนถอยห่างไป อาชาตระหนักอยู่ตลอดว่าสู้ไปยังไงก็มีแต่จะแพ้ และแม้ประตูห้องน้ำจะอยู่ห่างออกไปไม่ไกล แต่กว่าจะไปถึง ดูท่าใบหน้าคงจะเละจนไม่เหลือความเป็นผู้เป็นคน ต่อยไปสองหมัดก็โดนซัดกลับมาอีกหมัดจนหน้าหัน เหมือนจัดการซอมบี้ที่ฟื้นชีพใหม่ได้ทุกรอบ จนเล่นเอาหอบเหนื่อยขณะเริ่มปวดระบมบาดแผลตรงบริเวณแผ่นหลัง ล้มหงายตั้งหลายครั้งแผลจะไม่ชอกช้ำบ้างก็ให้มันรู้ไป
ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายภาพมันตัดไปตัดมาจนน่าเวียนหัวยิ่งนัก จนหน้าผากใครสักคนถูกกระแทกเข้ากับขอบเคาน์เตอร์อ่างล้างมืออยู่หลายครั้ง เรียกว่าหลั่งเลือดจากบาดแผลแตกกันสด ๆ สีแดงเข้มหยดลงบนอ่างสีขาวที่ยังเปิดหัวจ่ายน้ำคาไว้ สายน้ำคอยชะล้างจนกลิ่นคาวจางไปขณะเป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อค้าอวัยวะหันใบหน้าเข้าหาและมองเห็นเงาสะท้อนในกระจกพอดี
จากที่กำลังกดหัวคนอื่นอยู่ก็เป็นอันต้องปล่อย อาชาถอยออกจากตำแหน่งเดิมพร้อมกับยกแขนขึ้นกำบังเศษกระจกที่กระเด็นมาโดนตามลำตัว กระจกใสบานใหญ่กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันทีหลังจากที่มีคนหมายจะเอาแจกันดอกไม้ที่ปกติใช้วางตกแต่งทุ่มใส่หัวพ่อค้าอวัยวะ ถ้าหลบไม่ทันคงเป็นศีรษะที่แตกละเอียด คนรอดหวุดหวิดคิดไม่ออกเลยว่ามันจะเจ็บสักแค่ไหนในเมื่ออีกฝ่ายเล่นปาแบบไม่ออมแรง
แล้วก็ขอบอกเลยว่าไม่ได้มีเจตนาจะแทงใครตาย ที่ทำไปก็เพื่อป้องกันตัวเองล้วน ๆ เศษแก้วกลายเป็นอาวุธในการดวนฝีมือ มันคือภาพที่เด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าน่าจะมีผู้ปกครองคอยแนะนำอยู่ข้าง ๆ การตวัดปลายแหลมคมไปมาตรงหน้าสร้างความน่าหวาดเสียวได้เป็นอย่างดี คนสองคนที่หันหน้าเผชิญกันกำลังหยั่งเชิง จ้องตาและรอจังหวะ ช่วงขารอที่จะขยับเข้าประชิดขณะมือกำอาวุธไว้แน่นจนมันกินเนื้อ
เพื่อรีบจบทุกอย่างหรือก่อนที่อีกหลาย ๆ ร่างจะลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง พ่อค้าอวัยวะจำเป็นต้องเป็นฝ่ายเปิดศึกโดยที่ลึก ๆ แล้วก็ไม่ชำนาญการเปลี่ยนเศษแก้วให้เป็นมีด แต่ก็ดีใจที่ใช้มันกรีดท่อนแขนอีกคนจนกลายเป็นแผลทางยาวได้สำเร็จ แล้วค่อยมารู้สึกได้ถึงความเย็นวาบตรงหน้าท้อง แต่ไม่มีเวลาก้มลงมองก็ต้องหลบเป็นพัลวันและดันเสียท่าทำอาวุธหลุดจากฝ่ามือ อาชารีบใช้สองมือยื้อข้อมืออีกคนที่กระโจนเข้าหาหวังจะใช้ปลายแหลมปักแทงนัยน์ตาที่เบิกกว้าง
แผ่นหลังกระแทกติดกับผนังห้องน้ำเย็น ๆ ทำให้อาชากลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสมบูรณ์ แถมแผ่นหลังยังขูดกับผนังระหว่างค่อย ๆ ย่อตัวลงต่ำกำลังพยายามต้านทานแรงกดลงมา ซึ่งถ้ามองจากภาพพูดกันตามเนื้อผ้า ดูท่าต้องเพลี่ยงพล้ำแน่ แต่เผอิญว่าเป็นพระเอก ยิ่งคนได้เปรียบกดคนเสียเปรียบให้ย่อตัวเล็กลงมากเท่าไหร่ พ่อค้าอวัยวะที่อยู่ในท่วงท่าเกือบนั่งกับพื้นก็ยิ่งสามารถคว้าเศษกระจกที่ตกตามพื้นได้อีกครั้ง กระทั่งตัดสินใจใช้ท่อนแขนเดียวเป็นตัวต้านคนด้านบน อาชาออกแรงยื้อจนไม่อาจอดกลั้น ขอระบายด้วยการร้องลั่นตอนควานมืออีกข้างอย่างสะเปะสะปะเพื่อหาอาวุธ
มือใหญ่ยื่นไปจนสุดเอื้อมแขนระหว่างแหงนหน้าเกร็งจนเส้นเลือดขึ้นบริเวณลำคอ ขอเวลาอีกชั่วอึดใจ สุดท้ายปลายนิ้วก็ชิดติดเศษแก้วอันใหญ่ ในช่วงเวลาที่เกือบจะได้เป็นชายตาบอดหนึ่งข้าง จู่ ๆ ร่างคนที่ยืนคร่อมค้ำหัวก็ล้มพับทับช่วงตัวคนที่นั่งหอบจนตัวโยน ก่อนอาชาจะผลักร่างคนแน่นิ่งออกจากร่างกายด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์
นัยน์ตาก่ำไปด้วยเส้นเลือดหันมองของมีคมที่ยังเสียบคาบริเวณสีข้างซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้อีกคนจนไม่รู้ว่าตายหรือแค่สลบ แต่สำหรับพ่อค้าอวัยวะถือว่าการต่อสู้แบบหมาหมู่ได้จบลงแล้ว แต่แววตาเคียดแค้นยังคงแจ่มชัด คนเหนื่อยสายตัวแทบไม่ทันพักหายใจหายคอ รีบลุกขึ้นยืนแล้วก็ก้าวขาข้ามร่างที่เสียเลือดมากจากบาดแผลถูกแทง
รองเท้าหนังสีดำเหยียบแอ่งเลือดจนกระจัดกระจายและไม่สนใจด้วยว่าแต่ละก้าวของตัวเองที่ออกเดินจะทำให้พื้นตลอดทางเปื้อน เป้าหมายเดียวก็คือการตามล่าหาตัวไอ้หัวหน้าหมาหมู่ เปิดประตูมันทุกบาน กระทั่งฝ่ามือใหญ่ที่เห็นว่าได้แผลจากของมีคมบาดเลือกผลักบานประตู พรวดพราดเข้ามาห้องประชุมแล้วเจอกลุ่มคนหัวหงอกหัวดำนั่งเรียงรายพร้อมหน้า ทุกคนพร้อมใจกันเบิกตาตกใจกับสภาพสะบักสะบอม ลอบมองรอยกรีดที่บริเวณหน้าท้องของคนวัยยังหนุ่มยังแน่นที่กลายเป็นผู้มาสายที่สุด สีหน้ากรุ่นโกรธและอาฆาตแค้นของอาชาทำให้ภายในห้องประชุมกว้างปราศจากเสียงพูดและบรรยากาศดูไม่ยินดียินร้าย
แต่ก็ยังมีคนหนึ่งที่ยิ้มได้… หยางไอลุกจากที่นั่งบุหนังแล้วจัดสูทบนร่างกายให้เข้าที่ ไม่มีอาการตกอกตกใจเหมือนใครอีกหลาย ๆ คนและเป็นฝ่ายเดินเข้าหาคนสภาพเละเทะ ไม่รู้ว่ามีเวลาได้ก้มหน้าลงสำรวจร่างกายตัวเองบ้างหรือเปล่า “เอาทิชชู่หน่อยไหมอาชา เผื่อจะอยากเช็ดเลือด”
หยิบยื่นความมีน้ำใจให้ได้ดูจอมปลอมเอามาก ๆ แต่พ่อค้าอวัยวะก็ยังเฉย ไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม เหตุเพราะเกรงใจหัวหน้าใหญ่ ไหนจะผู้ใหญ่อีกหลาย ๆ คนที่จดจ้องสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้าเป็นตาเดียว “ที่หัวหน้าใหญ่เรียกทุกคนมาวันนี้ก็เพราะอยากให้ช่วยมาเป็นพยานและที่เขานัดนายกับฉันมาวันนี้ก็เพราะอยากให้เราสองคนสงบศึกกัน”
ด้านคนรู้ความจากหัวสำนักงานใหญ่ก่อนอธิบายอย่างไม่ซับซ้อนให้คนที่ยังยืนจ้องตาเขม็งฟัง ก่อนยื่นมือออกมาข้างหน้าและทำท่ารอให้อีกคนยื่นมาจับ
“จับมือฉันสิ…” หยางไอพูดในสิ่งที่อาชาสมควรจะทำ แค่จับมือเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเราจะไม่ทะเลาะกันอีกนับต่อจากนี้ “เร็วสิอาชา ทุกคนรอเป็นพยานอยู่นะ”
ถ้ามองใบหน้ายับเยินแค่เผิน ๆ ก็ยังเข้าใจได้เลยว่าไม่พร้อมหย่าศึกกับใครทั้งนั้น และมันก็เป็นแค่เพียงการแสดงละครตบตา ฝ่ามือได้เลือดยอมจับกับฝ่ามืออันขาวสะอาดของอีกคน โดยมีคนนอกนั่งมองท่าทางที่บ่งบอกว่ายอมตกลงด้วยดี จะมีก็แค่กันและกันเท่านั้นที่รู้ว่าไม่ใช่ ภายใต้สีหน้าเย็นชากับสีหน้ายิ้มร่าของอีกคน แต่ใครจะรู้ว่าสองมือบีบกันจนแทบแหลกเป็นผุยผง ด้านหยางไอส่งยิ้มเสแสร้ง ส่วนอาชาแกล้งยกยิ้มมุมปากคืน …แด่สันติภาพที่จะไม่มีวันเกิดขึ้น
--------------------------------------------
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง[/size][/b]
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
หวานอยู่ดีๆ ตอนท้ายดันเปลี่ยนอารมณ์ซะงั้นนน หยางไอกลับจีนไปเห๊อะ รังควานคนอื่นเค้าอยู่ได้
-
โอ้โห ไม่เคยอ่านนิยายที่สัมผัสคล้องจองทุกประโยคขนาดนี้อะค่ะ เพลินเว่อ
นึกภัตตาคารบ้านทุ่งเลย
-
ปัก :hao7: :hao7: :hao7:
-
รำคาญนังหยางไอ ยิงๆๆๆๆๆ :m16:
-
XVI
เสียงเครื่องยนต์วันนี้ดูฉุนเฉียวพิกล แถมขับวนเข้ามาภายในรั้วบ้านด้วยความหุนหันเป็นพิเศษ สี่ล้อเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงเหมือนอารมณ์ที่พุ่งติดเพดานของคนขับ ยางบดเบียดกับพื้นถนน เข้าโค้งจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
เสียงดังไม่ได้ลั่นแค่บริเวณด้านหน้าทางเข้าประตู แต่ยังดังเข้ามาด้านในจนคนที่นั่งคุยกันอยู่ภายในห้องรับแขกรีบหันมอง สามดวงตาจ้องไปในทิศทางเดียวกันด้วยความตกอกตกใจ
ก่อนจะเป็นเฟยฮวาที่ลุกขึ้นจากโซฟา เพราะหมายจะรีบเดินออกไปต้อนรับคนกลับบ้าน
“อาชา วันนี้หมอพามะตู…” แต่ประโยคบอกเล่าก็มีอันต้องขาดหาย เพราะใบหน้าบอบช้ำและยับเยินของคนกลับมาดึงสติสตางค์ไปจนหมด คนช็อกทำอะไรไม่ถูก และในวินาทีที่รีบปรี่จะเข้าไปดูอาการ พ่อค้าอวัยวะกับแค่เปรยนัยน์ตาขวางมองผ่านเสียอย่างนั้น “หน้านาย…” เฟยฮวาชะงัก มือขาวยังยื่นค้างด้วยความเป็นห่วงอยู่ในห้วงอากาศตอนที่จู่ ๆ อาชาก็เดินผ่านตัวไปราวกับว่าไม่เห็นหัว ร่างบางต้องหมุนตัวเพื่อมองตามแผ่นหลังกว้าง
ร่างบางที่ยังสับสนตัดสินใจเดินตามพ่อค้าอวัยวะเข้ามาภายในห้องรับแขก โดยมีแขกของบ้านนั่งทำสีหน้าแตกต่างกัน ดวงตากลมโตของมะตูมเลิ่กลั่กยามเห็นคราบเลือดแห้งกรังบนใบหน้าคนเพิ่งกลับมา ส่วนคนเป็นหมอก็เผยแววตาสงสัย นั่งมองเจ้าของบ้านพยายามปลดเนคไทออกจากรอบคอด้วยความหงุดหงิด สีหน้าสหายเหมือนพร้อมจะปลิดชีพใครทุกเมื่อ
เพื่อประกาศกร้าวไปเลยว่ากำลังไม่พอใจ อาชาระบายอารมณ์ผ่านการถอดเสื้อสูทตัวนอกแล้ววางพาดฟาดไปกับโซฟา เรียกว่าเกือบโดนหน้าสหรัฐ จากบรรยากาศดี ๆ ก็เริ่มมีกลิ่นมาคุ นัยน์ตาดุไม่ได้ลดดีกรีลงเลย ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามและในยามนี้ก็คงมีแค่คนเดียวที่กล้าจะซักไซ้คนที่พ่นลมหายใจร้อน ๆ เหมือนมังกรผู้สั่งสมความโกรธไว้กับตัวมาตลอดทั้งปีทั้งชาติ เฟยฮวาคือหน่วยกล้าตายที่คิดว่าตัวเองสามารถรับมือไหว
“เกิดอะไรขึ้น หน้านายไปโดนอะไรมา” นอกจากความกังวล แววตายังปนไปด้วยความหวั่นใจและการที่อีกคนไม่ยอมตอบกลับ ก็แอบทำคนกล้าหาญเสียความมั่นใจอยู่เหมือนกัน และขณะนั้นก็กวาดสายตามองตามร่างกาย พอเสื้อตัวนอกหายไปจึงได้เห็นว่าพ่อค้าอวัยวะมีบาดแผลทั้งที่ฝ่ามือและหน้าท้อง “เดี๋ยวฉันรีบไปหายามาทำแผลให้นายนะ”
“ไม่ต้อง” มันเป็นสองคำที่ทำเอาร่างบางก้าวขาไม่ออก แล้วต้องกลับมายืนเฉย ๆ เพื่อคิดทบทวนว่าตนทำอะไรผิด ซึ่งเฟยฮวาก็คิดออกอยู่ไม่กี่อย่าง “อาชา…ฉัน” จากหันด้านข้างยังพอได้เห็นสีหน้า จู่ ๆ พ่อค้าอวัยวะก็เปลี่ยนเป็นหันแผ่นหลังให้และยืนนิ่งบ้าใบ้จนคนห่วงใยยิ่งสลด
รับรู้ได้ถึงความมึนตึงของอีกคนอย่างแจ่มชัด “ฉันขอโทษนะ ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้นายเจ็บตัวอีกแล้วใช่ไหม” เฟยฮวาจะถือเอาความนิ่งเป็นการตอบว่าใช่ ก่อนนัยน์ตากลมจะเหลือบมองอีกสองคนที่เหลือเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร ยังไงปัญหาก็ต้องได้รับการแก้
คงจะจริงที่ว่าเมื่อคนเรามีความรักจะยิ่งอ่อนแอและหวั่นไหวง่ายกว่ากิ่งไม้ซะอีก รวมถึงชอบคิดเล็กคิดน้อย พออีกคนเปลี่ยนไปหน่อยก็หวาดกลัวและสำหรับคนมีคำสาปร้ายติดมากับตัวอย่างเฟยฮวา จิตใจยิ่งเปราะบางเมื่อคนที่เป็นเหมือนบ้านหลังเดียวไม่เหลียวแลเหมือนเคย
“นายคงโมโหที่ต้องมาเจ็บตัวเพราะฉัน ฉันขอโทษจริง ๆ นะ” นัยน์ตากลมหลุบตามองปลายเท้าระหว่างขุดเอาความหลังของตัวเองขึ้นมา ก่นด่าตัวเองในใจว่าทำไมไม่จำว่าอยู่กับใครก็ทำให้เขาเดือดร้อน “สุดท้ายแล้วฉันก็ยังเป็นได้แค่ตัวปัญหาสำหรับนาย แต่ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลยจริง ๆ นะ” น้ำตามันพาลจะไหลจนต้องรีบเงยหน้า
อาศัยว่าอีกคนหันหลังเลยคงยังไม่เห็นดวงตาแดงก่ำ เฟยฮวากำชายเสื้อไว้เหมือนเด็กน้อยที่เข้าใจสถานะของตัวเองยามอยู่ในบ้านหลังใหญ่ หลังจากหยิ่งผยองพองขนเหมือนคนไม่เจียมเนื้อเจียมตัวมานาน ก็เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองก็เป็นแค่เฟยฮวาคนน่ารำคาญที่นำความโชคร้ายมา
ยิ่งเห็นบาดแผลบนร่างกายคนที่รักมากเท่าไหร่ ความคิดที่เคยแอบซ่อนไว้ก็ยิ่งผุดขึ้นมา ถ้าเลือกได้ก็อยากให้พ่อค้าอวัยวะปลอดภัย แต่นั่นหมายถึงการต้องไม่มีตนอยู่ข้าง ๆ
“ฉันลองมาคิด ๆ ดูแล้ว ความจริงฉันน่าจะเป็นฝ่ายไปดีกว่า…”
หลังจากอีกคนถูกยิงคราแรก ร่างบางก็แอบคิดอะไรแบบนี้เรื่อยมา และแม้อยากจะแก้ต่างว่าไม่ใช่เพราะตน แต่หลักฐานมันทนโท่ บางทีชีวิตของอาชาอาจจะกินดีอยู่ดีและมีความสุขสบายมากกว่านี้ถ้าไม่มีคนอย่างตนเข้ามาเกี่ยวข้อง
โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีหนที่สาม สภาพเจ็บช้ำกลับมาของพ่อค้าอวัยวะถือเป็นเหตุผลมากพอให้เฟยฮวาเสียสละความสุขส่วนตนแลกกับที่อีกคนจะได้กลับไปมีชีวิตปกติสุข “ฉันไม่ควรจะอยู่เพื่อสร้างปัญหาให้นายต่อ” แต่ถึงปากจะพูดเช่นนี้ออกไป แต่ภายในใจไม่มีใครอยากอยู่ห่างจากคนรักจริง ๆ หรอก แม้บอกทางแก้ปัญหาออกไป แต่ในใจก็ยังหวังให้ชายหนุ่มยื้อ ที่เฟยฮวาเว้นวรรค ไม่พูดประโยคต่อก็คือกำลังรอให้อีกคนหันมาแล้วบอกว่าอย่าไป คนน้ำตาไหลยังหลงเหลือความหวังว่าจะได้ยินประโยคสั่งห้าม แต่คนที่เป็นความหวังเดียวกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง น้ำตาจึงยิ่งทิ้งตัวอัตโนมัติ
ดันเผลอคิดว่าอีกคนคงไม่ต้องการกันจริง ๆ แล้ว แววตาที่มองเห็นดูพร่าเลือน ภาพแผ่นหลังกว้างเหมือนไกลออกไปในความรู้สึกระหว่างนึกได้แต่เรื่องที่ทำให้ตัวเองยิ่งเสียอกเสียใจ เบะปากร้องไห้จนหลุดสะอื้นก่อนยืนก้มหน้า
จนมะตูมรีบลุกขึ้นมา แต่สหรัฐคว้าแขนว่าอย่าได้เดินเข้าไปยุ่งเรื่องของคนสองคน
แขกของบ้านจำต้องทนมองสีหน้าตายด้านของคนใจร้ายขณะมีผู้ชายร่างบางอีกคนนึงยืนร้องไห้อยู่เบื้องหลัง ทั้งที่ก็อยากช่วยแต่ด้วยสถานะคนนอกมันค้ำคอ
“ตะ แต่ก่อนจะไป ขอให้ฉันได้ทำแผลให้นายก่อนเถอะนะ ให้ฉันได้ตอบแทนนายสักหน่อยก็ยังดี” น้ำเสียงสั่นเครือกล่าวถึงข้อเสนอสุดท้ายเพราะลึก ๆ แล้วก็อยากถ่วงเวลาไว้อีกสักนิด อ้างการปฐมพยาบาลเพราะอยากมองใบหน้าคนรักให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย “ให้ฉันช่วยเถอะนะ แล้วฉันสัญญาว่าจะไม่มีวันลืมบุญคุณนายเลย”
“พี่เฟยฮวา…” คำพูดแบบนั้นพอใครได้ฟังก็อยากเข้าไปกอดปลอบ ก่อนเจ้าของชื่อจะยิ้มบาง ๆ ตอบร่างเล็กที่แสดงสีหน้าเป็นกังวล จนอาจจะดูมากกว่าคนที่ยืนหันหลังให้ด้วยซ้ำ
เฟยฮวาใช้หลังมือปาดน้ำตาออกลวก ๆ “งั้นเดี๋ยวฉันไปเอากล่องยามาทำแผลให้นะ”
สองขาล้ารีบเดินออกมาโดยที่ยังไม่รู้เลยว่ากล่องยาที่ว่านั้นปกติแล้วอยู่ไหน คนกำลังจะไร้บ้านหลงทิศหลงทางและยืนคว้างอยู่ตรงกลางทางเดินโล่ง ๆ ขณะน้ำตาไหลระลอกใหม่ จนเด็กรับใช้ที่เดินผ่านมาตกใจและเห็นท่าทางไม่ดีเลยรีบเข้ามาสอบถามว่าเป็นอะไร ร่างบางจึงปากปัดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและได้โอกาสถามว่ากล่องยาหาได้จากที่ไหน
“เดี๋ยวหนูไปหยิบให้เองดีกว่าค่ะ” เฟยฮวาพยายามฝืนส่งยิ้มให้คนที่ยังไม่รู้ว่าตนกำลังจะกลายเป็นอดีตเจ้านายของบ้าน “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปเอาเอง” ร่างบางรีบเร่งฝีเท้าก้าวห่างออกมาขณะเดินเลี้ยวลดตามที่หญิงสาวอีกคนบอก จนเจอกล่องยาสามัญในตู้กระจกติดผนังและทั้ง ๆ ที่ตู้มันก็ไม่ได้อยู่สูงมาก แต่สงสัยเป็นเพราะกำลังเหนื่อยกายไม่ใช่แค่ที่ใจ เฟยฮวาถึงพยายามเขย่งเท้าเท่าไหร่หรือเอื้อมมือแค่ไหนก็ไม่ถึงเป้าหมายสักที ขัดใจจนพาลทำให้น้ำตาไหลซ้ำ พอจับขอบตู้ได้ก็ดันล้ม นั่งก้มหน้ากับพื้นขณะโทษตัวเองว่าไม่เอาไหน
ไหล่แคบสั่นราวกับมีธรณีพิบัติภัยเกิดขึ้น จะยืนก็อ่อนล้า แข้งขาไม่ยอมขยับขณะปริมาณน้ำตาก็กำลังจะทำให้เกิดอุทกภัย สำหรับเสี่ยวเฟยฮวาแล้วโลกทั้งใบกำลังค่อย ๆ ล่มสลาย
หลายอย่างประดังประเดเข้ามา เหนือกว่าการซัดเซพเนจรเช่นคนไร้บ้านคือจะทนอยู่กับการขาดอาชาได้อย่างไร ในเมื่อก่อนหน้านี้มีชีวิตยี่สิบสี่ชั่วโมงที่แชร์ร่วมกัน หันไปทางไหนก็เจออยู่ในสายตาตลอด แล้วนับจากนี้จะให้นอนกอดใคร ไม่เคยแม้แต่จะซ้อมการกลับไปใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว ลืมเลือนวิธีการการเดินเดี่ยว ๆ ท่ามกลางผู้คนมากมาย
จะอยู่ต่อไปได้ยังไงในเมื่อขายแม้แต่จิตวิญญาณให้อีกคนไปจนหมดสิ้น
“ไหนว่าจะมาเอายาไปทำแผลให้ฉัน…” เฟยฮวารีบหันมองเจ้าของประโยคคำพูดเย็นชาด้วยความร้อนรน ก่อนพยายามลุกขึ้นยืนและยื่นมือจะหยิบกล่องยาในตู้ให้จงได้ ระหว่างร้องไห้ไปก็เขย่งปลายเท้าสุดแรงก่อนจะถูกมือถลอกปอกเปิกแย่งหยิบกล่องปฐมพยาบาลไปต่อหน้าต่อตา
“ฉันขอโทษ” คนร่างบางกลับมายืนก้มหน้าแล้วจิกเล็บกับฝ่ามือหลังทำตามคำกล่าวของตัวเองไม่ได้ “ฉัน ขะ ขอโทษนะอาชา” ยิ่งพูดเหมือนจะยิ่งขาดใจ เสียงขาด ๆ หาย ๆ ในยามหลับตา จะยื่นมือออกไปขอกล่องยาก็ไม่กล้าเช่นเก่า จะเอายังไงต่อไปก็ไม่ได้ทันคิดเหมือนกัน
“หยุดร้องไห้เฟยฮวา”
“เปล่านะ ฉันไม่ได้ร้อง” สองมือรีบยกขึ้นปาดน้ำตาต่อหน้าพ่อค้าอวัยวะที่มีสีหน้าผ่อนคลายกว่าเก่า แต่ยังขาดความขี้เล่นและเป็นอีกคนนึงซึ่งทำให้ร่างบางหวาดกลัวจนตัวหดเหลือคืบ ยามจะเอ่ยขอเลยละล้าละลัง เงยใบหน้าแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย “ขอกล่องยาให้ฉันเถอะนะ”
ยื่นฝ่ามือออกไประหว่างกลั้นลมหายใจอยู่นาน เฟยฮวายืนรออีกคนอนุญาตอย่างคนขาดความมั่นใจและน้ำตาไหลเพราะรู้สึกเสียใจอีกครั้ง จนกระทั่งเสียงสวรรค์ดังอยู่ตรงหน้า เป็นพ่อค้าอวัยวะที่เดินเข้าหาแล้วยัดหูหิ้วกล่องยาใส่อุ้งมือขาว “อยากได้ก็เอาไปสิ”
อาชาเหมือนเทพบุตรที่สวมชุดของซาตาน ดวงตาเย็นชานั้นจ้องเฟยฮวาไม่กะพริบยามปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำของตัวเองอย่างไม่รีบร้อนไปด้วย ค่อยแหวกรอยแยกของผ้าให้คนยืนเช็ดน้ำตาได้เห็นถนัด ๆ รอยกรีดจากของมีคมพาดเป็นทางยาวแนวนอนบริเวณลอนกล้าม
“จะทำแผลให้ฉันไม่ใช่เหรอ" เห็นร่างบางมัวแต่ยืนมองจึงทักท้วงขึ้นมา ทำเอาคนน้ำตาคลอด้วยความเป็นห่วงรีบพยักหน้าตอบรับ เฟยฮวาจับกล่องยาแล้วพยายามจะเปิดมันอย่างผิด ๆ ถูก ๆ ลุกลี้ลุกลนจนเปิดได้แต่กลายเป็นทำข้าวของด้านในร่วงหล่นกระจัดกระจาย
เดือดร้อนให้ต้องรีบคุกเข่าและก้มลงเก็บเป็นพัลวันท่ามกลางเสียงถอนหายใจที่ดังเคล้าอยู่ในบรรยากาศและเฟยฮวาก็รู้ดีว่านั่นเป็นเสียงผ่อนลมหายใจที่แสนเหนื่อยหน่ายของอาชา
“แค่เปิดกล่องยายังทำไม่ได้ แล้วนายจะใช้ชีวิตข้างนอกยังไงเฟยฮวา” คำถามที่เอนเอียงไปในเชิงเหยียดหยามทำให้คนอยู่ต่ำกว่าเม้มปากระหว่างพยายามจะเทแอลกอฮอล์รดสำลีด้วยมืออันสั่นเทา และเผลอเอาราดรดมือตัวเองจนชุ่มและเหือดแห้งไป สิ่งเดียวที่หยดลงบนหลังมือแล้วไม่สลายก็คือน้ำตาและมันไหลบ่าเมื่อคนยืนอยู่เอ่ยประโยคที่เฟยฮวารอมาตลอดหลายสิบนาที “คิดว่าฉันจะยอมปล่อยให้นายไปง่าย ๆ หรือไง”
“ลุกขึ้นมา” เฟยฮวาช้อนนัยน์ตามองคนออกคำสั่งทันที แล้วส่งสายตาถามว่าฉันไม่ได้มีอาการหูฝาดไปเองใช่ไหม ร่างบางรอจนแน่ใจว่าอาชาจะไม่เปลี่ยนคำพูด จึงลุกขึ้นแล้วยืนรอว่าคนตรงหน้าจะเอ่ยอะไร “กอดฉัน” ทำนบน้ำตาทลาย น้ำตาล็อตแรกกลายเป็นเด็ก ๆ ไปเลย ร่างบางรีบเดินเข้าสวมกอดคนเอ่ยอย่างไม่ลังเลใด ๆ
ท่อนแขนขาวโอบรอบแผ่นหลังกว้างไว้แน่น แหงนคางเกยบ่าหนาแล้วส่งเสียงสะอึกสะอื้นออกมาโดยไม่อายใคร “ขอโทษ ฉันขอโทษที่พาลใส่นาย” โดยมีฝ่ามือใหญ่คอยลูบแผ่นหลังบางอย่างปลอบประโลม ยกขึ้นลูบผมเส้นหนาสลับกันไปมาขณะหลุดยิ้มเวลาโดนทุบคืน อาชายืนให้ร่างบางแก้แค้นทุบตามร่างกายได้ตามสบาย ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนมากกว่าเก่า เหมือนแผลมันถูกปล่อยไว้นานจนเข้าสู่ระบบด้านชาไปเองโดยปริยาย
ก็ใช่ที่ว่าเจ็บ แต่มันไม่เจ็บเท่ากับตอนได้ยินถ้อยคำตัดพ้อต่อว่าตัวเองเป็นตัวปัญหาของร่างบาง พ่อค้าอวัยวะไม่เคยคิดว่าการพยายามกางปีกป้องปกอีกคนเป็นเรื่องที่ทำให้เดือดร้อนหรือนำภัยมาสู่ตัว และสิ่งเดียวที่ตนกลัวก็คือการคุ้มครองดวงใจไว้ไม่ได้ บางทีเฟยฮวาอาจลืมไปแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันมีการเอาคืนตามประสาลูกผู้ชายผสมเข้ามาด้วย ซึ่งต่อให้มีการโยกย้ายไล่กันออกจากบ้าน ก็ใช่ว่าสงครามแห่งศักดิ์ศรีจะจบลงโดยทันที
“ฉันผิดไปแล้ว เฟยฮวายกโทษให้ฉันนะ”
“นะ นายไม่ผิดหรอก ทุกอย่างมันผิดที่ฉันเอง ฉันเป็นคนนำความเดือดร้อนมาให้นาย” ปัดป่ายหน้าแก้มกับเนื้อผ้าบริเวณไหล่ แล้วผละร่างออกเปลี่ยนเป็นประคองเอวพ่อค้าอวัยวะไว้หลวม ๆ “ถ้าฉันไม่อยู่สักคน ชีวิตนายอาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็ได้” เบะปากจนพ่อค้าอวัยวะนึกเอ็นดู
“เด็กโง่ แล้วนายคิดว่าจะไปอยู่ที่ไหน ในเมื่อฉันคือบ้านของนาย” ฝ่ามือใหญ่ใช้เป็นกระดาษซับความเปียกปอนที่แก้ม ส่วนเฟยฮวาก็ยังแอบงอนน้อย ๆ แต่พอได้อีกคนคอยช่วยเช็ดน้ำตาก็ใจอ่อน แพ้รอยยิ้มกะล่อนที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา สงสัยพ่อค้าอวัยวะคงหายหงุดหงิดจากเรื่องนอกบ้านแล้ว
“ฉันขอโทษที่เห็นแก่ตัวนะ แต่ว่าฉันไม่อยากไปจากนายจริง ๆ” สิ่งที่เลือกมีผลดีกับตัวเองแต่เป็นผลร้ายกับชายคนรักแน่นอน และเฟยฮวาก็ยังเลือกเอาความสุขของตัวเองก่อนทั้งที่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้อาชามีชีวิตแบบผ่อนส่ง จะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ไม่เป็นไร นายไม่ได้เห็นแก่ตัวคนเดียวสักหน่อย” ก้านนิ้วยาวปัดปอยผมที่บังหน้าออกให้แล้วเกลี่ยผิวใบหน้าแดง ๆ เล่นอย่างเพลิดเพลิน “นายอาจจะยังต้องร้องไห้เพราะฉันอีกมาก” คนเดินทางผิดก็ต้องใช้ชีวิตแบบผิด ๆ และสิ่งที่ตามติดมาก็คือความตาย อาชาตระหนักและเข้าใจว่าพญามัจจุราชเริ่มเคลื่อนไหว จ้องจะทำลายและหมายเอาชีวิต
“ฉันขอโทษที่ทำให้เสียใจ แต่ถ้าฉันยอมปล่อยให้นายไป มีหวังฉันได้ขาดใจตายแน่”
ฝ่ามือใหญ่โอบศีรษะกลมเข้าหาตัวด้วยความแผ่วเบาขณะอีกคนพร้อมก้าวชิด กอดกันจนแนบสนิทท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อย ๆ คลี่คลาย หวังว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดีในเร็ววัน
“พี่เฟยฮวาจะเป็นอะไรหรือเปล่า” ร่างเล็กนั่งแทบไม่ติดขณะชะเง้อชะแง้ แต่แย่หน่อยที่คอสั้น มะตูมก็เลยไม่ทันได้เห็นอะไร ก่อนจะโดนคำพูดของหมอดึงความสนใจ ดวงตากลมโตมองสีหน้าคนเอ่ยประโยค “คิดว่าคนอย่างไอ้อาชาจะกล้าซ้อมเมียที่รักหรือไง” ด้วยท่วงท่าสบายๆแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ยามความกังวลยังค้างคาตกตะกอนในใจ
“แต่เมื่อกี้เขาดูอารมณ์เสียมากเลยนะครับ”
“ที่เดินตามไปก็คงไปขอปรับความเข้าใจนั่นแหละ”
“แต่ว่า…”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“ผมสิบแปดแล้ว”
“ได้ไง?” สหรัฐสงสัยเสียงสูงขึ้นมาพร้อมขยับท่านั่ง จากหลังพิงพนักอยู่ดี ๆ ก็เปลี่ยนมานั่งตัวตรง บ่งบอกถึงความกระตือรือร้นและความอยากรู้เต็มที่ “นี่อย่าบอกนะว่าวันนี้เป็นวันเกิดนาย…?” มะตูมไม่ตอบแต่จ้องหน้าคืน แล้วเลื่อนสายตาขึ้นตามการยืนเต็มความสูงของอีกคน “เป็นวันเกิดทั้งทีไหนนายบอกมาสิว่าอยากได้อะไรล่ะ เค้ก ของขวัญ เพิ่มเงินเดือน?”
ร่างเล็กเคลื่อนหน้าซ้ายขวาเล็กน้อยเพื่อปฏิเสธน้ำใจ ไม่ได้รู้สึกเสียดายเพราะไม่ได้ต้องการข้าวของตั้งแต่แรก ก่อนจะทำให้สหรัฐแปลกใจด้วยการขอให้ช่วยพาไปที่ ๆ หนึ่ง ซึ่งค่อนข้างอยู่ห่างจากตัวเมืองกรุงไปไกลและในที่สุดสี่ล้อยานยนต์ก็หยุดจอดในบริเวณลานปูนขนาดไม่กว้างสร้างเป็นที่จอดรถแค่ชั่วคราว ก่อนจะต่างคนต่างถือเอาช่อดอกไม้เล็กๆลงจากรถ คนเป็นหมอขยับเดินเสมอร่างเล็กแล้วถามด้วยความสำรวมว่านายมาที่นี่บ่อยเหรอ
ส่วนมะตูมก็แค่พยักหน้าแล้วอธิบายต่อด้วยประโยคยาว ๆ อีกว่าถ้ามาเองต้องนั่งรถประจำทางหลายต่อหลายต่อ และต่อจะให้ยากเย็นหรือลำบากกว่านี้ ก็จะดั้นด้นมาอย่างไม่ลดละ เพราะร่างเล็กกลัวว่าคนเป็นมารดาจะเหงา เขามักมาในวันอื่นด้วยนอกเหนือจากวันเกิด
คนสองคนกำลังเดินโดยปราศจากเสียงพูดคุยยามย่างเข้ามาในสถานที่สงบร่มเย็นเพื่อถือเป็นการให้เกียรติและไม่รบกวนเหล่าผู้เสียชีวิตซึ่งมีป้ายชื่อปักไว้ให้ดูต่างหน้าพร้อมข้อความอาลัยรักอยู่บรรทัดล่างสุด
สุสานคือสถานที่ฝังร่างของคนที่เรารักและยังคงอยู่ในความทรงจำ คนรู้ทางเดินนำชายหนุ่มซึ่งเดินตามขึ้นเนินเขาลูกเตี้ย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เสมือนเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้และความเสียใจ แต่มะตูมก็ยิ้มออกด้วยความดีใจยามได้เห็นป้ายชื่อคุ้นตาที่ช่างแสนคิดถึง
แล้วการที่ร่างเล็กก้มลงวางช่อวางดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ก็คล้ายเป็นการบอกอีกคนให้เข้าใจว่าได้มาถึงสถานีปลายทาง คนร่างสูงกว่ารอให้คนเป็นลูกชายเดินถอยออกมา แล้วค่อยก้าวเข้าไปความเคารพใกล้ ๆ และวางช่อดอกไม้ไว้เคียงข้างกับดอกไม้อีกช่อ
“ตามสบายนะ” ไม่จำเป็นเอ่ยขอ คนเป็นหมอก็พร้อมจะให้เวลากับคนร่างเล็กเต็มที่
สหรัฐยืนหลบฉากและยืนห่างออกไปเพื่อให้มะตูมได้มีความเป็นส่วนตัวกับคนเป็นแม่ที่แม้จะสลายกลายเป็นเนื้อเดียวกับหน้าดินหลังจากสิ้นอายุไข แต่สำหรับร่างเล็ก มารดายังคงมีตัวตนภายในจินตนาการเสมอ พบเจอได้บ่อยครั้งในความฝันอันแสนงดงาม
“แม่สบายดีไหมครับ” ถามด้วยประโยคเดิม เริ่มต้นเหมือนครั้งแรกที่จำต้องแบกร่างไร้วิญญาณมาฝังกลบเอาไว้ที่นี่ “วันนี้ผมอายุสิบแปดเต็มแล้วนะ ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมได้เกิดมา” มะตูมชอบเล่าเหมือนเคย เอ่ยทั้งที่รู้ว่าอีกคนจะไม่ตอบกลับมา แต่แม่ก็ถือว่าเป็นผู้ฟังที่ดีมาโดยตลอด …เป็นเหมือนผู้กุมความลับ ทุกความรู้สึกทุกประโยคบอกเล่าที่ระบายออกไป มะตูมมั่นใจว่ามารดาจะไม่เอาไปบอกใครต่อแน่นอน
“ผมพาเขามาให้แม่รู้จักด้วย เขาชื่อสหรัฐครับ เขาเป็นคนที่คอยช่วยเหลือผมเอง” ร่างเล็กแค่หันมองใบหน้าคนที่ยืนอยู่ห่าง ๆ อย่างกับรู้ว่ากำลังถูกพูดถึง สหรัฐจึงยกยิ้มอ่อนโยนจนเป็นมะตูมที่ต้องหลบหน้า หันกลับมามองป้ายชื่อด้วยอาการใจเต้นเหมือนเป็นโรคหัวใจ
“เขาเป็นคนดีครับ สำหรับผมน่ะนะ” เสียงนุ่มว่าติดตลก ก่อนนัยน์ตาจะสลดไปเมื่อต้องเริ่มพูดอะไรที่เป็นการโกหก “พ่อสบายดีครับ พ่อกำลังพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อผมอยู่”
“อีกอย่างผมใกล้จะเรียนจบแล้วนะครับแม่” เพื่อแค่ทำให้คนตายสบายใจ ต่อให้ต้องโกหกพกลมใหญ่โตคนเป็นลูกก็พร้อมจะทำ เพราะยามมีก็มีกันอยู่เท่านี้ แล้วจะให้ไปถนอมน้ำใจใครที่ไหน
“ผมคิดถึงแม่นะ” ไม่คิดว่าประโยคธรรมดาจะเรียกน้ำตาได้ แต่มันก็แค่คลอเบ้าและไม่ได้ไหลอย่างเป็นจริงเป็นจัง ร่างเล็กยิ้มหวานเท่าที่จะหวานได้ เพราะอยากให้คนเป็นแม่ที่อาจจะอยู่บนสรวงสวรรค์จดจำภาพลักษณ์ตัวเองที่มีแต่ความสดใส “แล้วผมจะดูแลพ่อเอง แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ แล้วผมจะช่วยดูแลเขาให้เองอีกที” มีแต่คนตายเท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่าลูกชายกำลังฝืนเข้มแข็ง สหรัฐจึงจำต้องแทรกเข้ามาเพื่อเป็นเสาหลักให้ร่างเล็กพักพิง
ยามยืนจ้องมองอยู่เบื้องหลัง คนอื่นอาจจะเห็นว่าแผ่นหลังเล็กนั้นช่างนิ่งสงบสมเป็นลูกผู้ชาย แต่ตนกับเห็นได้แต่ความเปราะบางและอาการตัวหดเล็กลงอย่างกับรับน้ำหนักโลกทั้งใบไว้ที่บ่า จนกลัวว่าจะล้มต่อหน้าหลุมศพคนเป็นมารดา หลังจากลั่นวาจาว่าจะรับช่วงดูแลต่อ สหรัฐเอ่ยขออนุญาตคุณแม่ร่างเล็กในใจ
ก่อนขยับเข้าใกล้และยืนในตำแหน่งขนาบข้างแล้วค่อยสอดมือจับกับมือเล็กที่เกร็งขึ้นมา
มะตูมเหมือนจะสะบัดออก แต่พอคนเป็นหมอหันมองแล้วส่งรอยยิ้มกว้างให้จนดวงตากลายเป็นสองขีด ริมฝีปากอิ่มก็คล้ายจะแย้มยิ้มตามโดยคงความเป็นธรรมชาติมากกว่าฝืนทำ
ก่อนดวงตากลมจะก้มลงมองตามการโค้งคำนับ สหรัฐทำความเคารพป้ายหลุมศพอีกครั้งก่อนประกาศดังๆออกมากว่าคราแรกว่าจะแบกรับการดูแลโดมะตูมด้วยความเต็มใจ
โดยมีสายลมโบกและหญ้าสีเขียวโยกไหวเป็นระลอกคลื่น คนสองคนยืนจับมือกันท่ามกลางพยานนับร้อยพันร่าง แม้แต่มารดาที่อยู่บนสรวงสวรรค์ก็ยังรับรู้และร่วมยินดี
สุสานไม่มีดอกไม้ขึ้นมานาน แต่ดอกรักกำลังเบ่งบานที่นี่
--------------------------------------------
หลังจากนี้จะพยายามเขียนทอร์คให้ยาวขึ้นนะคะ อาจจะเป็นการบ่นขิงข่าอะไรไปเรื่อย เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้สึกใกล้กันอีกนิดนึง ด้วยแนวนิยายที่เขียน(เข้าถึงยาก) บวกกับที่ผ่านมาๆไม่ค่อยพูดเลยกลัวนักอ่านจะคิดว่าตุ๊กติ๊กเย็นชาและไม่น่าคบ ฮ่า ตุ๊กติ๊กมาอย่างสันติและเป็นมิตรมั่กๆค่ะ ออกจะแบ๊วๆด้วยซ้ำ ʕథ౪థʔ ขอบคุณสำหรับยอดวิวและคอมเม้นด้วยน้า ส่วนรายละเอียดหนังสือเมื่อไหร่ยังไงเดี๋ยวมีการแจ้งให้ทราบแน่นอนค่ะ อันนี้เป็นทวิตเตอร์สำหรับอัพเดตนิยายของตุ๊กติ๊กค่ะ @9crimessss สามารถกดติดตามได้น้า ขอบคุณอีกครั้งค่า จุ๊บ
Tag #PONR #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
หันหลังไม่ได้แล้วจริงๆ เพราะใจมันไปข้างหน้าแล้ว
-
สงสารอ่ะ น้องเค้าร้องไห้เยอะสุดจากทุกตอนเลย :hao5:
-
ปักกหมุด :ling1: :ling1: :ling1:
-
ฮึ่ยย นึกว่าอาชาจะทิ้งน้อง :hao5:
-
:ling1: :ling1: :ling1:
-
XVII
ผ่านมาเป็นอาทิตย์ อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ
“แต่นายน่าจะพักอยู่บ้านมากกว่านะ”
“ฉันไหวน่า”
มันห้าครั้งเข้าไปแล้วที่เฟยฮวาได้ยินคำตอบแนว ๆ นี้จากปากอาชาและจะไม่มีหนที่หกแน่นอน เพราะคนเป็นห่วงชักงอนคนชอบฝืนสังขาร แทนที่จะพักอยู่บ้านให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ก็ยังคอยแต่จะฝ่าฝืนคำสั่งหมอมาตามคำชวนเชิญงานสังสรรค์ ซึ่งร่างบางก็ไม่เห็นว่ามันจะสำคัญตรงไหน
ก็แค่งานที่พวกใส่สูทสวมหน้ากากเข้าหากัน มาพร้อมภรรยาอวดเครื่องเพชร แล้วความจริงตนก็ไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ แต่เพราะห่วงพ่อค้าอวัยวะที่พร่ำบอกว่าถ้าไม่ติดต่อกับคนอื่นบ้าง วันหลังจะลำบากได้ในการทำธุรกิจ คนไม่มีหัวคิดทางด้านการค้าอย่างตนเลยต้องมาดูแล
“อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวฉันเดินไปเอามาให้”
“นายน่ะอยู่เฉย ๆ ไปเลย ฉันคือคนที่สบายดี แต่นายไม่ใช่” อาชายักไหล่หลังถูกเหน็บกลาย ๆ ว่าไม่เจียมบอดี้ ทำทียักไหล่แล้วยอมปล่อยให้ร่างบางเดินห่างไปไกลเพื่อหาอะไรมาให้กินรองท้อง บอกเลยว่าออกมานอกบ้านตนก็ยังต้องกินยาแก้ช้ำตามคำสั่งหมออยู่ดี โดยมีพยาบาลเฟยฮวาคอยตามประกบสามเวลาหลังอาหาร เรียกว่าบริหารจัดการจนไม่เคยขาดยาสักเม็ดและร่างบางก็เป็นคนแรกในชีวิตที่เฝ้าทวงถามอาการบาดเจ็บด้วยความห่วงใย ใส่ใจในทุก ๆ ชั่วโมง จนทำให้รู้ว่าคงจะหาคนสวยแล้วยังใจดีแบบนี้จากที่ไหนไม่ได้อีก
พ่อค้าอวัยวะอยากรู้จังว่าร่างบางเอาปีกไปซ่อนไว้ที่ไหน พยายามมองทั่วแผ่นหลังแคบเท่าไหร่แต่ก็ไม่ยักจะเจอสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นนางฟ้า ขอบคุณสรวงสวรรค์ที่ปล่อยให้เฟยฮวาตกลงมาจนเจอเข้ากับมนุษย์ธรรมดาอย่างตน …คนที่โชคดีที่สุดในชั่วโมงนี้
“กินซะ จะได้กินยาหลังอาหารตาม” เฟยฮวาเดินกลับมาพร้อมจานของว่างอย่างละชิ้นสองชิ้นและยืนถือจานเพื่อรอให้คนตรงหน้าหยิบไปกินขณะมองตามไม่คาดสายตา
“นายกำลังทำฉันหมดมาดที่สั่งสมมานานรู้ไหม” มานึกได้เมื่อสายหลังหยิบอะไรเข้าปากอย่างลืมตัว ความน่ากลัวที่คนอื่นเชื่อว่ามีอยู่มากมายถูกลบล้างมลายสิ้นหลังจากเผลอแสดงพฤติกรรมคล้าย ๆ จะกลัวเมีย หรือเรียกอีกอย่างแบบไม่ให้ดูเสียเชิงชายก็คือเคารพ
“นายจะร้ายกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่กับฉัน”
“คิดว่าสั่งฉันได้?” ชายหนุ่มย้อนถามน้ำเสียงเจ้าเล่ห์เพทุบาย “นายสั่งฉันได้ก็เฉพาะตอนอยู่บนตัวฉันเท่านั้นแหละ” อาชาจีบปากแล้วหรี่ตา ส่ายหน้าเหมือนจะบอกกลาย ๆ ว่าเวลาอื่นร่างบางหมดสิทธิ์เป็นใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันเฟยฮวาก็กลับไม่คิดเช่นนั้น
“งั้นเดี๋ยวจะทำให้ดู” เวลาไม่มีน้ำตาดูปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาจนนึกว่าคนละคน งดงามจนพ่อค้าอวัยวะไม่ยอมละสายตา มองกี่ครั้งก็ยังเพลิดเพลินกับอากัปกิริยาที่เคลื่อนไหว เสน่ห์อะไรก็ตามที่ปั้นตัวร่างบางขึ้นมากำลังทำให้ช่วงขายาวขยับเดินเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัวอีกตามเคย
เรื่องเกือบจะลงเอยด้วยการจัดโชว์พลอดรักแขกเหรื่อ แต่เมื่อเฟยฮวาแบมือจนเผยให้เห็นเม็ดยาหน้าตาคุ้น ๆ อาชาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางหันหน้าหนีไปทางอื่น ยืนถือแก้วไวน์หนึ่งข้าง แล้วเอามืออีกหนึ่งข้างยัดใส่กระเป๋ากางเกงต่อหน้าต่อให้ร่างบางเห็นเลยว่ามือไม่ว่างแล้ว
“กินยา” จนโทนเสียงยะเยือกออกคำสั่งอย่างชัดเจน และเป็นพ่อค้าอวัยวะที่หายใจฟึดฟัดขัดใจเหมือนเด็กชายเวลาแม่บังคับให้กินผัก คนต้องกินยาตามคำสั่งหมอยึกยักลีลา อิดออดและพยายามอ้อนขณะเฟยฮวาเรียกเด็กเสิร์ฟให้มาเอาจานเก่าไปแล้วคว้าแก้วน้ำเปล่ามาใหม่
มือขาวดึงแก้วไวน์ออกจากมือที่ใหญ่กว่าอย่างถือวิสาสะ ยัดยาใส่ฝ่ามือแล้วยื่นแก้วน้ำธรรมดาให้ตามลำดับ บังคับนิ่ม ๆ ด้วยการยิ้มแบบอ่อนหวาน แต่คนอยู่ด้วยกันมานานรู้ว่านี่ไม่ใช่โหมดใจดี และก่อนที่จะมีการเปิดศึกภรรยาตบตีสามีโชว์ต่อหน้าประชาชน นั่นเพราะพ่อค้าอวัยวะไม่อยากให้เป็นเรื่องกลางงานหรอกนะ ถึงได้ยอมกรอกเม็ดยาลงคอแล้วตามต่อด้วยน้ำเปล่าหลายอึก มีการแลบลิ้นโชว์ว่ากลืนลงลำคอแล้วพลางคว่ำแก้วให้ดูว่าไม่เหลือน้ำสักหยด
“พอใจแล้วใช่ไหม” ประชดประชันซึ่ง ๆ หน้าแต่ถามว่าเฟยฮวาสนใจไหมก็ไม่เลยสักนิด
“อยากไปเล่นซนที่ไหนก็ไปสิ” แถมออกปากไล่จนอาชายกมือยกไม้ขึ้นมาชี้หน้า ยามเดินผ่านยังมีการกระซิบกระซาบส่งข้อความขู่ว่าเดี๋ยวรอกลับไปที่บ้านก่อน ตอนเดินเข้าไปร่วมกลุ่มคุยกับคนอื่นก็ยังไม่วายส่งสายตาขวางให้เฟยฮวาที่หันมองและยืนอยู่ห่าง ๆ จนเมื่อร่างบางหลุดยิ้ม ชายหนุ่มก็หลุดยิ้มขำตาม ทำเหมือนมีกันแค่สองคน
แล้วการแจกยิ้มเรี่ยราดก็ทำให้พ่อค้าอวัยวะโดนคนอาวุโสกว่าในกลุ่มแซวไปต่าง ๆ นานา โดยที่คนอยู่ห่างไกลออกมาก็ไม่รู้หรอกว่าพวกหัวนักธุรกิจกำลังคุยเรื่องอะไร ร่างบางแค่กำลังมีความสุขในแบบฉบับของคนที่ได้เฝ้ามองคนรัก จนเมื่อมีคนทักถึงได้หลุดจากภวังค์
“ขอโทษนะครับ”
“ครับ?” เฟยฮวาขานรับแล้วหันกลับมาเจอคนที่เอ่ยคำทักทายมาตรฐานเวลาต้องการจะเริ่มสานบทสนทนากับคนไม่รู้จัก
“พอดีผมไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนเลย เพิ่งเคยมางานนี้ครั้งแรกเหรอครับ”
พวกที่กล้าเข้ามาสอบถามความเป็นไปของคนอื่น ตามทฤษฎีแล้วอย่างน้อยก็ต้องเป็นพวกที่มั่นใจในหน้าตาของตัวเองอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งร่างบางก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าชายหนุ่มตรงหน้าหน้าตาดูดี แต่เผอิญว่ามีพันธะแล้วเลยได้แต่ตอบครับกลับตามมารยาท ขาดการส่งสายตาเชิญชวนและหวังว่าอีกคนจะรีบด่วนจากไปเมื่อเข้าใจว่าตนไม่พร้อมจะสานสัมพันธ์หรือสานบทสนทนาต่อ ในขณะที่ชายแปลกหน้าเองก็ถือคติท้อเป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร คิดจะเด็ดดอกฟ้าต้องใจกล้าหน้าด้านเข้าไว้ แถมเห็นยืนอยู่คนเดียวเลยยิ่งไปกันใหญ่
“แล้วคุณทำธุรกิจสายไหนครับหรือถ้าให้เดาผมว่าคุณคงมากับคุณพ่อ ...ใช่ไหมครับ?”
“มากับผัว” ตัวยังอยู่ห่างแต่น้ำเสียงหวงกางนำมาก่อนเลย แล้วตอนยืนเผชิญหน้าไม่ลืมเอ่ยย้ำอีกที “ฉันนี่แหละผัว” จนคนที่คิดว่าร่างบางมากับพ่อหน้าหดเหลือสองคืบแล้วทำเป็นกระแอมไอกลบเกลื่อน เลื่อนมือด้านขวาคว้าแก้วไวน์ก่อนเดินตัดหน้าบริกรไปอย่างรีบร้อน
“พูดจาอะไรของนาย น่าเกลียด” เฟยฮวาลอยหน้าลอยตาต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก ส่วนคนอยู่ในห้วงอารมณ์หงุดหงิดถึงขั้นกัดฟันกราม เดินตามประกบร่างบางที่ยังดูใจเย็นในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย “ฉันทำอะไรน่าเกลียดได้มากกว่านี้อีกนะเฟยฮวา”
พ่อค้าอวัยวะเดินขึ้นมาดักหน้าพร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทำตัวขี้เหร่สักวันน่ะเป็นไหม” ร่างบางขอโทษที่เผลอหลุดยิ้มออกไป แต่เป็นใครก็ต้องกลั้นไม่อยู่หรอก
นอกจากตอนหลับที่ดูน่ารัก ก็ระหว่างที่หึงหวงเนี่ยแหละที่น่ารักยิ่งกว่า
“นี่ฉันอุตส่าห์หมดห่วงที่ไอ้เวรนั่นไม่มาร่วมงานแล้วนะ” นัยน์ตาขึงขังจ้องร่างบางราวกับจะข่มขู่ คิดไปเองว่าอยู่ในโหมดน่ากลัวและคนตรงหน้าต้องกลัวแน่ แต่แย่หน่อยที่ผลลัพธ์ไม่เป็นเช่นนั้น เฟยฮวาจิ้มชิ้นผลไม้ขึ้นมาจากจานแล้วยื่นให้อาชาที่กำลังเดือดปุด ๆ ชิดถึงริมฝีปาก
แล้วถ้าหากคิดว่าพ่อค้าอวัยวะจะปัดมือขาวทิ้งคุณคิดผิด เสิร์ฟให้ขนาดนี้แล้วมีหรือจะไม่กิน ถึงจะหงุดหงิดอยู่แต่ก็อ้าปากงับ เคี้ยวแอปเปิ้ลกรุบกรับทั้งใบหน้าเครียด ๆ ขณะร่างบางเองก็เพียรป้อนผลไม้ชิ้นใหม่ แต่สุดท้ายผลไม้ก็ไม่หวานเท่ากับคำพูดเบา ๆ ของเฟยฮวาหรอก
“ฉันรักนายคนเดียวนะ”
แววตาพ่อค้าอวัยวะลดความกร้าวลงแทบทันที แต่ยังมีความฉุนเฉียวให้เห็นอยู่หน่อย ๆ
จากหายใจแรงก็เปลี่ยนเป็นค่อย ๆ ผ่อนลม ยกมือขึ้นเสยผมยามเข้าใจว่าสุดท้ายแล้วตัวเองก็เผลอใจร้อนและทำนิสัยพาลอีกตามเคย “ก็ลองรักคนอื่นดูสิ นายไม่มีหน้าได้ออกมาเดินแบบนี้อีกแน่” อาชาแค่จะเอ่ยดักไปอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่เชื่อใจเฟยฮวาแต่อย่างใด
ซึ่งคนฟังก็พยักหน้าเข้าใจ ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตด้วยการแง่งอนหรือตีตนออกห่างร่างบางแค่เอื้อมจับมือกร้านแล้วกุมไว้พลางยิ้มให้จนพ่อค้าอวัยวะรู้สึกแพ้ราบคาบ ท้ายที่สุดก็ทำเป็นเข้มกับอีกคนไม่ลง “ฉันไม่เคยรักใครมากเท่านี้นะ หรือจะพูดว่าฉันไม่เคยรักใครเลยก็ได้”
“นายก็คือคนแรกที่ฉันรักเหมือนกันนะอาชา”
“พูดได้ดีนี่”
“หายหงุดหงิดแล้วใช่ไหม เอาผลไม้อีกสักหน่อยดีหรือเปล่า”
“เห็นฉันเป็นเด็กหรือไงที่ต้องทำให้ใจเย็นด้วยการกินเนี่ย” พูดไปอีกอย่างแต่ทำอีกอย่าง อ้าปากรับผลไม้ที่คนเป็นเมียป้อนด้วยความเต็มใจ แล้วไม่หยุดพูดต่อด้วย “คอยดูนะ ฉันจะฆ่าใครก็ตามที่มันมองนาย”
“แล้วถ้าเป็นคนทั้งโลกเลยล่ะ นายจะทำยังไง นายฆ่าหมดไม่ไหวหรอก”
“งั้นฉันก็จะขังนายไว้แต่ในห้อง ไม่ให้ออกมาอีก”
“แค่ขังเหรอ? เสียใจจัง นึกว่าจะทำอะไรมากกว่านั้นซะอีก”
เห็นร่างบางฉีกยิ้มร้ายแล้วอาชาอยากยกฉายานางมารให้เลย “นายนี่มันร้ายจริง ๆ นะ” เฟยฮวาคงเป็นนางฟ้าที่ผ่าเหล่าผ่ากอและเป็นเหตุผลมากพอที่ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ
“แล้วอยากให้ทำอะไรล่ะ”
ร่างบางถูกถามกลับแต่เลือกไม่ตอบแล้วเดินหนีไปโซนเครื่องดื่ม ลืมว่ามากับสามีขณะที่ยกแก้วชนกับคนที่หลงเดินเข้าทักทาย สงสัยจะอยากเห็นงานพังเลยสร้างความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าไปทั่ว เดือดร้อนคนเป็นผัวที่ต้องแกล้งเกรี้ยวโกรธจนหมดพลังไปหลายขีด เที่ยวเดินบอกคนนู้นคนนี้ที่ว่าเฟยฮวามีเจ้าของแล้วระหว่างคนช่างยั่วก็ยังไม่หยุดโปรยเสน่ห์
อาศัยตอนทุกคนเทความสนใจไปที่หน้าเวทีมีชายแก่พูดอะไรสักอย่าง พ่อค้าอวัยวะพาร่างบางออกมาข้างนอกห้องจัดงานแล้วจัดการสำเร็จโทษ บดจูบริมฝีปากอิ่มในที่ลับตาคนอย่างดูดดื่ม จนอีกคนลืมว่าต้องต่อต้าน เฟยฮวาจูบตอบด้วยความสมยอมล้วน ๆ แถมเชิญชวนด้วยสายตาหวาน อยากให้สัมผัสกันนาน ๆ อาชากัดริมฝีปากนิ่มด้วยแววหยอกล้อ ครั้งเดียวไม่พอตามต่อด้วยรอบสอง จนอากาศที่ใช้หายใจเริ่มพร่องลงไป ถึงได้ผละห่างกันนิดหน่อย ร่างบางหลับตาแล้วค่อยลืมหลังจากที่อีกคนจุมพิตหน้าผากเสร็จ
เฟยฮวาเป็นฝ่ายเดินนำออกจากมุมอับขณะจับมือคนโรคจิตที่คิดจะบีบแก้มก้นนิ่มโดยไม่แคร์สายตาใคร พ่อค้าอวัยวะเป็นเหตุให้คนถูกลวนลามพยายามจะเดินหนีทั้งที่มือยังกุมกัน คนสองคนหันสบตาแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ก่อนร่างบางจะแอบสะดุ้งเพราะเสียงตบมือชุดใหญ่ เมื่อหันกลับมามองทางตรงหน้าก็ได้เห็นหยางไอที่ตอนแรกคนพูดถึงกันหนาหูว่าต้องรีบบินกลับไปจัดการปัญหาธุรกิจเองถึงประเทศบ้านเกิด คงไม่มีเวลามาเดินนวยนาดในงานวันนี้ให้ใครเห็น แต่มันก็เป็นไปแล้ว เจ้าพ่อเงินกู้ยกโขยงคนมาจนอาชามองว่านั่นไม่ใช่ลางดี
“กลับกันเถอะ” พ่อค้าอวัยวะเดินนำหน้าแล้วกระชับมือนิ่มไว้มั่นตอนพาเดินผ่านคนที่ก็ไม่ได้ดูจะสนใจอยากเข้าไปร่วมงานสังสรรค์ที่จัดขึ้นภายในห้องเลยสักนิด
“เวลาคนเรามีความรักเนี่ยน่าอิจฉาจังเลยนะ” ขนาดก้าวพ้นรัศมีก็ยังมีประโยคที่เข้าใจว่าประชดประชันตามมากระทบแก้วหู “…ฉันเองก็เคยรักนายแล้วก็ยังรักอยู่นะเฟยฮวา …แล้วฉันก็แค่อยากให้นายรู้ไว้ว่าฉันเสียใจเรื่องพ่อแม่ของนาย” ถ้าคิดจะรั้งกันไว้ด้วยการพูดเรื่องในอดีตขึ้นมา ก็ถือว่าหยางไอทำสำเร็จโดยสมบูรณ์ ร่างบางหยุดก้าวแล้วหวนเดินเข้ามาใกล้อย่างไม่สนอาการตึง ๆ ของอาชา “นายเป็นคนที่เล่นละครได้ไม่เก่งเลยนะหยางไอ แล้วการพูดขึ้นมาตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วด้วย”
“มีสิ เผื่อนายจะมีความสุขมากเกินไปจนลืมว่าเคยทำให้ใครตายมาก่อน ฉันอยากให้นายจดจำไว้นะว่าพ่อแม่นายตายก็เพราะนาย และมันก็จะตายเพราะนายเป็นรายต่อไป”
“ขอบคุณที่ช่วยย้ำแต่ฉันจำทุกอย่างได้เสมอ”
“ก็ดี แล้วเวลาที่มันตายก็อย่าลืมร้องไห้จนกระอักเลือดตายตามมันไปด้วยล่ะ เพราะบางทีตอนนั้นฉันอาจจะไม่อยากได้นายคืนแล้วก็ได้”
“ฉันไม่เคยคิดจะกลับไปหานายอยู่แล้ว”
“ใจเด็ดเหมือนเดิมเลยนะ เพราะแบบนี้ไงฉันถึงได้รักนายนัก”
“แต่ฉันไม่ได้รักนายและไม่เคยรัก”
“เรื่องนั้นฉันรู้ ไม่ต้องย้ำนักหรอกน่า” หน้าตาคนสัญชาติจีนยังดูเจ้าเล่ห์เหมือนเก่า แต่ถ้ามองเข้าไปยังดวงตาจะเห็นถึงความอ่อนล้า ก็แน่ล่ะไม่ได้นอนจนจะครบสี่สิบแปดชั่วโมง แล้วก็คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าเป็นเพราะใคร ก็ไอ้พ่อค้าอวัยวะตัวดีนั่นแหละที่สร้างปัญหา
คิดว่าจะโค่นล้มอำนาจด้วยการบอกตำรวจพร้อมให้หลักฐานในการทำธุรกิจผิดกฎหมายของตน กะจะกวาดล้างธุรกิจที่พ่อตนพยายามสร้างขึ้นมาจนปั่นป่วนกันไปทั้งระบบ แล้วที่เลือกเดินทางมานี่ก็ใช่ว่าปัญหามันจบลงแล้วด้วยดี ยังมีอีกหลายปัญหารอให้กลับไปจัดการ แต่หยางไอแค่ต้องการจะนอนหลับโดยไม่มีภาพคนสองคนหยอกล้อกันภายในสมอง เลยต้องคิดหาทางทำอะไรสักอย่างที่เด็ดขาดกว่าทุกการกระทำที่ผ่าน ๆ มา
“ฉันก็แค่อยากจะคุยกับนายเป็นครั้งสุดท้ายหน่อยน่ะ” ไม่ต่างจากที่คาด หยางไอมองเห็นแววตาส่องประกายของคนที่คงดันเข้าใจว่าตนจะรามือ แต่ความจริงก็คือไม่มีวันนอกจากตายกันไปข้าง “อย่าเพิ่งดีใจไปล่ะเฟยฮวา ฉันไม่เลิกรากับพวกนายสองคนง่าย ๆ แน่”
และเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์จะอยู่ฟัง อาชาจึงรั้งข้อมือขาว จะพาก้าวเดินออกห่างจากอีกคนที่ยืนยิ้มเย็น แม้จะเห็นว่าพ่อค้าอวัยวะกับภรรยาเก่าของตนไม่ได้กำลังยืนกันแค่สองคนแต่กับมีลูกน้องเข้ามาสมทบยืนประกอบฉากด้านหลัง แต่หยางไอก็ยังเก่งยั่วยวนกวนโมโห
ด้วยการคว้าข้อมืออีกข้างของเฟยฮวาไว้หวังสร้างโทสะ เจ้าพ่อเงินกู้หยิบยื่นสถานะคนกลางให้ร่างบางที่ยังทำสีหน้านิ่งดูดาย สิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวก็คงเป็นความสั่นของแก้วตากลม
“ถ้านายอยากได้คำขอโทษล่ะก็ …ฉันขอโทษนะหยางไอที่หลอกนายมาโดยตลอด” ได้มีโอกาสพูดอะไรแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ติดค้างต่อกันเพราะอย่างน้อยครั้งนึงหยางไอก็เคยให้ข้าวให้น้ำ ให้ความสะดวกเท่าที่จะให้ได้กับตน “แล้วก็ขอบคุณมากที่ตอนนั้นยังปรานีฉัน”
“พูดแบบนี้แสดงว่าเริ่มคิดได้แล้วใช่ไหมที่รัก”
“ได้เวลาไปแล้วนะเฟยฮวา” อาชาส่งเสียงคั่นกลางบทสนทนาแล้วดึงร่างบางเข้าหาตัว แต่สงสัยหยางไอจะกลัวน้อยหน้า กวนบาทาด้วยการดึงข้อแขนเฟยฮวากลับ ทำเหมือนกำลังยื้อแย่งของเล่นและคนที่หัวเสียก็ดูจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากคนยืนอีกฝั่ง “ปล่อยแขนเมียกู”
มันเหมือนกำลังยืนดูหนังสงครามระหว่างประเทศจีนและประเทศไทย โดยมีชายงามเป็นชนวนของทุกสิ่ง เกิดศึกแย่งชิง แต่ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดคำถามว่านายเลือกจะตามไปอยู่กับใคร เฟยฮวาตัดสินใจบิดข้อแขนออกจากมือหยางไอ ประกาศอ้อม ๆ ว่าเลือกอาชา
แล้วคนถูกปฏิเสธก็ไม่ได้ยื้อไว้ให้อยู่ต่อเหมือนตอนแรก ดวงตาขวางแค่มองฝ่ามือที่ยังรู้สึกอุ่น ๆ ของตัวเองก่อนซุกเข้าในกระเป๋ากางเกง และไม่เชิงตะเบ็งเสียงแต่ก็ได้ยินกันทั่ว “ฉันขอโทษกับสิ่งที่ทำกับนายในอดีต แต่จะไม่ขอโทษกับสิ่งที่จะทำในอนาคตหรอกนะ” ตอนนั้นเองที่แววตามุ่งมั่นมองเลยผ่านไปยังใบหน้าของอาชา “เตรียมตัดชุดไว้อาลัยให้มันได้เลยที่รัก”
มีต่อด้านล่าง
-
จริงอยู่ที่หยางไอชอบขู่จนกลายเป็นนิสัย แต่ไม่มีครั้งไหนที่แสดงออกถึงความเอาจริงเอาจังมากเท่าครั้งนี้มาก่อน ประโยคสุดท้ายที่อีกคนฝากไว้ทำให้ตลอดการเดินทางของเฟยฮวาเจือไปด้วยความกังวล นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาจนมือใหญ่สอดเข้ามากุมมือก็ยังทำแค่ยิ้มล้าตอบกลับ คนเครียดนิดหน่อยกำลังจะพูดว่าฉันไม่เป็นไร แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นถึงได้เข้าใจว่าพ่อค้าอวัยวะไม่ได้กำลังมองตน แต่คนข้างกายเอาแต่มองกระจกข้างซึ่งปรากฏบางอย่างที่ดูผิดสังเกต
“อะไรเหรอ” เฟยฮวาถามอย่างสงสัย
“นายครับ”
“ฉันรู้แล้ว” ลูกน้องที่ทำหน้าที่พลขับกับเจ้านายกลายเป็นรู้กันแค่สองคนเท่านั้น
อาชาหันมาบอกคนนั่งข้างกายแค่ว่าไม่มีอะไร โกหกได้ไม่เนียนเลยสักนิดทั้งที่ร่างบางเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ มีลางสังหรณ์ว่าจะเป็นเรื่องร้าย แล้วการหยุดรถอย่างกะทันหันก็ทำให้ข้อสันนิษฐานของเฟยฮวายิ่งดูจะกลายเป็นจริง รถสองคันที่ขับนำจอดแน่นิ่งเพราะมีสิ่งกีดขวาง
“ลงไปดูซิ” พ่อค้าอวัยวะสั่งให้คนขับรีบลงจากรถไปดู แต่วิ่งไปได้ไม่ไกลก็เดินวกกลับมาเปิดประตูทางด้านเจ้านายแล้วรายงานจากการฟังเสียงตามสายที่ส่งผ่านหูฟังในหู
“ข้างหน้ามีคนนอนขวางอยู่บนถนนครับ เอาไงดีครับเจ้านาย”
“บอกให้รถทุกคันขับเหยียบไปได้เลย”
“แต่อาชา…” ถ้าพูดถึงเรื่องความใจอ่อน เฟยฮวายังมีกว่าพ่อค้าอวัยวะมากโข
“ใจดีได้แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้นะเฟยฮวา” คนมีอำนาจสั่งการหันมาเตือนร่างบางแล้วเตรียมจะป้อนคำสั่งใหม่ให้ลูกน้องบอกต่อแก่ทุกคน แต่ยังไม่ทันพูดสักประโยค คนยืนด้านนอกรถก็ล้มลงต่อหน้าต่อตา เหตุเพราะมีกระสุนฝังคาหน้าอก ลงนอนหงายถัดจากประตูรถที่เปิดคาไว้
อาชาตื่นตัวและเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างดี เหมือนลูกน้องทุกคนที่ชักปืนขึ้นมาเตรียมอารักขาคนเป็นนาย ชายใส่สูทดำวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมรอบหลังป้ายทะเบียนรถคันสำคัญเพื่อตั้งรับกับขบวนรถศัตรูที่อยู่ห่างและกำลังเขยิบเข้ามาใกล้ ลูกน้องมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยแต่ขณะเดียวกันก็สุดแล้วแต่เจ้านายว่าจะเอายังไงต่อ ทุกคนในบริเวณรอให้เจ้านายรีบก้าวลงจากรถแล้วขึ้นนั่งแท่นคนขับ และเฟยฮวาดูจะเป็นคนเดียวที่ยังไม่ยอมขยับเคลื่อนไหว จนได้อาชาตะโกนเรียกสติ
“เฟยฮวาขยับมานั่งด้านหน้า! เฟยฮวา!” เจ้าของชื่อกลับมาอยู่กับปัจจุบันก่อนลนลานรีบร้อนลงจากรถ ร่างบางขึ้นมานั่งข้างคนขับที่ออกคำสั่งรัดเข็มขัดทันที แต่ยังไม่ทันที่ร่างบางจะหาที่ยืดเกาะ ล้อรถเพียงคันเดียวก็รีบเคลื่อนออกจากจุดจอด ลูกน้องปล่อยให้เจ้านายเอาตัวรอดโดยลำพัง
แล้วหลังจากนั้นจึงเริ่มยิงปืนสกัด ไม่ว่าคันไหนก็ไม่มีสิทธิ์ขับฝ่าห่ากระสุนไป จะเห็นว่าในหนังหลายครั้งต้องมีคนตายเพื่อให้พระเอกได้มีชีวิตรอดไปถึงตอนอวสาน สถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นเช่นนั้น บนถนนเส้นที่เคยเงียบเหงากำลังเต็มไปด้วยเขม่าควันจากปืน ยังไงพวกยืนเป็นเป้านิ่งมีสิทธิ์ถูกยิงกว่าพวกขยับแถมยังมีรถเป็นโล่กำบัง แล้วระหว่างที่ตอบโต้กันไปมา มีรถคันนึงพยายามขับฝ่าการอารักขา เรียกว่าชนดะไม่สนใครหน้าไหน
หยางไอบังคับอยู่หลังพวงมาลัยรถคันดังกล่าวและขับเข้าชนคนไม่เลือกหน้า กระแทกเข้ากับรถคันอื่นก็หลายคัน ดึงดันจนพาสี่ล้อขับผ่านความวุ่นวายได้สำเร็จโดยไม่เป็นอะไร คนของพ่อค้าอวัยวะเป็นบอดี้การ์ดภาษาอะไรถึงยิงไม่เข้าล้อสักนัด หยางไอผ่านด้านป้องกันจนได้และเป็นรถคันที่สองที่ขับออกห่างจากจุดที่มีผู้คนล้มตายเหมือนถ่ายหนัง
รองเท้าหนังเหยียบคันเร่งจนขีดไมล์ไต่ระดับเกินเลขร้อย อย่าหวังว่าจะผ่อนแรงค่อยถ้ายังไม่เห็นท้ายรถเป้าหมาย กระทั่งนัยน์ตาขวางเหมือนจะมองเห็นดวงไฟ ความสว่างของมันคงไม่เท่ากับกองไฟที่สุ่มในอก แล้วก็คงไม่มีการมอดนอกจากจะได้เห็นตอนไอ้เวรนั่นตาย เสียงเร่งเครื่องยนต์ดังไปทั้งถนนเส้นสายเลี่ยงเมือง บางทีเสียงนั้นอาจจะบ่งบอกถึงความแค้นเคืองของคนขับที่พยายามไล่ตามจนระยะห่างหดเหลือสั้น
เฟยฮวาทันเห็นแสงไฟหน้าของรถอีกคันและเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของคนขับซึ่งมีเจตนาจะพารถขึ้นตีเสมอ และเพราะถนนมันเส้นเล็ก รถคันของร่างบางเองเลยเจอเบียดจนแฉลบ รถแทบจะชนกับเหล็กกั้นตรงเกาะกลางถนน แต่โชคดีที่อาชายังมีความสามารถพอที่จะประคองรถให้กลับมาขับอยู่บนถนนด้วยความรวดเร็ว พ่อค้าอวัยวะอะดรีนาลีนหลั่งไม่ต่างจากวัยรุ่นใจร้อน ตอนที่เพิ่มความเร็วรถมากกว่านี้ไม่ได้ นัยน์ตาเคร่งเครียดยิ่งแข็งกร้าว
“เกาะไว้!” เสียงดังฟังชัดตะโกนบอกให้ร่างบางจับอะไรสักอย่างหลังรถถูกเบียดอีกรอบ แล้วจำเป็นต้องโต้ตอบด้วยการเบียดกลับคืน ด้านข้างรถสองคันเสียดสีกันจนเกิดรอยครืนรอยถลอก จะบอกว่ามีประกายไฟเกิดขึ้นก็ดูจะเว่อร์ไป แต่มันก็ใกล้เคียงอยู่ ลองคิดถึงฉากแข่งรถและมองผ่านภาพมุมสูงจากโดรนดูสิ มีรถสองคนขับเบียดกันไปตลอดทางที่อย่างกับเสาไฟส่องให้ความสว่างพร้อมใจกันเสีย ไม่มีแสงใดนอกจากพระจันทร์กับแสงไฟหน้ารถที่สาดส่องบนถนนส่ายไปส่ายมา คดเคี้ยวเลี้ยวตามรถที่เคลื่อนเหมือนงู
รถยนต์สองคันมุ่งสู่ความมืดมิดและการเร่งความเร็วเรื่อย ๆ ก็อาจจะมาซึ่งแก่ชีวิตได้ในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง พ่อค้าอวัยวะมีอาการเส้นประสาทตึงเพราะความกังวล ไหนจะต้องคอยมองทั้งสีหน้าหวาดกลัวของคนภายในรถ มองอีกคนที่ยิ้มเย็นให้ผ่านบานหน้าต่างรถ
หยางไอไม่ได้แสดงอาการห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะนั่งขับมาคนเดียวเลยไม่มีใครให้ห่วง แต่ก็ต้องมีอันเจ็บใจที่รถโดนเบียดจนล่วงตกไหล่ทางและลำบากในการจะถอยล้อหลังขึ้นจากหลุมไม่ตื้นนัก แถมการที่แก้ปัญหาได้ช้าก็เท่ากับว่าต่อให้รถอีกคันขับล่วงหน้าไปก่อนอีกจนได้ เจ้าพ่อเงินกู้ทุบพวงมาลัยยกใหญ่เพื่อระบายอารมณ์ และเมื่อรถขึ้นจากหล่มได้สำเร็จก็รีบตามอาฆาต โดยไม่สนว่าเฟยฮวาจะกลายเป็นคนที่โดนลูกหลงด้วยหรือเปล่า แต่คนขับตามมาทันพยาบาทหมายจะเอาชีวิตคนขับรถอีกคันแน่นอน
ตอนที่สี่ล้อยังหมุนวนด้วยความรวดเร็ว จู่ ๆ หยางไอก็ลดกระจกรถคันตัวเองลงอย่างมีจุดประสงค์ ปลายกระบอกปืนที่เล็งเข้าหาคนขับรถคันข้าง ๆ คงเป็นคำตอบได้ดีว่าชายหนุ่มที่กำลังลงทุนขับรถมือเดียวต้องการจะทำอะไร คนสัญชาติจีนตระหนักดีว่าตัวเองอาจตายได้เพราะความประมาท แต่การทำให้สองคนที่อยู่ในรถอีกคันเสียขวัญนั่นก็คุ้มที่จะแลก
แล้วก็ไม่แปลกที่ทั้งอาชาและเฟยฮวาจะตระหนกกับเสียงปืนที่ลั่น รู้สึกใจสั่นแม้รู้ว่าลูกปืนจะทะลุผ่านกระจกเข้ามาไม่ได้ เพราะที่เลือกซื้อรถมาไม่ใช่จะราคาถูก ๆ แน่นอนว่าโครงสร้างต้องกันลูกกระสุนได้ แต่มีข้อดีแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อยกเว้น กระจกสั่งทำขึ้นพิเศษก็จริง แต่ถ้าได้ลองถูกยิงที่ตำแหน่งเดิมซ้ำ ๆ ย้ำรัว ๆ ก็น่ากลัวว่าจะกระจกจะแตกในไม่ช้า
กระทั่งวินาทีที่มีกระสุนลูกหนึ่งปักคาแล้วทำให้ความใสร้าวเป็นเส้น ๆ เหมือนใยแมงมุม พ่อค้าอวัยวะจึงตัดสินใจใช้ด้านข้างรถเบียดอีกคันให้เสียหลัก อย่างน้อยหยางไอก็จะเสียสมดุลไปชั่วขณะ อาชาเทหมดหน้าตักยามเลือกชนฝั่งด้านข้างตัวเองกับรถคันข้าง ๆ โดยมีร่างบางนั่งเกร็งใบหน้าซีดเซียว เฟยฮวาไม่เคยเปิดเผยว่ากลัวเร็วและเวียนหัวแค่ไหนเมื่อรถโคลงเคลงส่ายไปส่ายมาอย่างบ้าคลั่ง จนเผลอหลั่งน้ำตาแล้วเลือกหลับตาลงระหว่างกำสายรัดนิรภัยไว้แน่น
มือกำจนส่งผลให้แขนชาดิกไปด้วย นอกจากเสียงกระจกแตกแล้วมีเสียงสายลมแรงแทรกเข้ามาภายในตัวรถ คนกลัวแทบจะไม่ยอมขยับ ทำแค่จับใจความผ่านจากเสียงกระแทกปึงปัง โครงสร้างบางอย่างกระทบกระทั่ง ชนกันอย่างแรงก่อนตามมาด้วยเสียงดังโครมใหญ่
เพราะรถคันที่เต็มไปด้วยความแค้นถูกเบียดตกไหล่ทางอีกครั้งแล้วคราวนี้ยังชนเข้ากับต้นไม้จนเกิดเป็นควันกระจายหน้ากระโปรงรถ ส่วนคนขับเลือดอาบบริเวณหน้าผาก ยังสะลืมสะลือและหายใจ แต่ใกล้จะหมดสติเต็มทีตอนที่ฟุบหน้ากับพวงมาลัยและมือยังกำปืนคาไว้
มันเป็นเรื่องของกรรมตามสนองที่ไม่ว่าใครก็ต้องเจอเหมือนกันหมด แถมไม่มีคนร่วมแสดงอาการเป็นห่วงเป็นใย อย่างน้อยก็พ่อค้าอวัยวะคนหนึ่งที่ตะโกนร้องด้วยความดีใจลั่นรถที่ค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงตามลำดับ อาชากล้าขับเคลื่อนช้าลงเพื่อความปลอดภัยและไม่ลืมหันมองร่างบางเพื่อพูดบางประโยคให้รู้สึกสบายใจ “ไม่เป็นอะไรแล้ว …เฟยฮวา!”
เจ้าของชื่อยอมลืมตาเมื่อได้ยินเสียงคนรักเรียกด้วยความตกใจ ก่อนร่างบางจะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ท่อนแขน เฟยฮวาก้มลงมองบาดแผลเลือดไหลที่ไม่มีที่มาที่ไปแล้วส่ายหน้าให้อีกคนว่าไม่เป็นไร แต่อาชาเชื่อซะที่ไหนล่ะ ก็ในเมื่อสีหน้าคนบาดเจ็บซีดอย่างกับกระดาษ
“อดทนหน่อยนะ” พ่อค้าอวัยวะเอ่ยขณะยูเทิร์นรถกลับด้วยความรีบร้อน
ไม่รู้ว่าตอนถูกรถหยางไอขับตามกับตอนนี้ ความเร็วที่ใช้จะสูสีกันหรือเปล่า ชายหนุ่มรีบขับรถเข้าเมืองเพื่อพาร่างบางไปโรงพยาบาล มือกร้านเอื้อมจับหลังมือที่กำรอบต้นแขนไว้ไม่ปล่อยสักเวลา เพราะถ้าจะต้องเปื้อนเลือดก็ต้องเปื้อนไปด้วยกัน ตามคำสัตย์มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมเผชิญหน้า
-------------------------------------
อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า อีกไม่กี่ตอนก็ใกล้จะจบแล้วค่ะ มาช่วยลุ้นกันน้าว่าบทลงเอยจะเป็นยังไง หยางไอจะถูกเอาคืนอย่างสาสมหรือเปล่า อิอิอันนี้เป็นทวิตเตอร์สำหรับอัพเดตนิยายของตุ๊กติ๊กค่ะ @9crimessss สามารถกดติดตามได้น้า ขอบคุณอีกครั้งค่า จุ๊บ
Tag #เดินหน้าลูกเดียวไม่มีเหลียวหลัง
ติดตามข่าวสาร
กระเหี้ยนกระหือรือ - นายคราม FANPAGE (https://www.facebook.com/pg/9crimess/posts/?ref=page_internal)
◕‿◕。 นิยายที่แต่งจบแล้ว ---> เหมายัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61731.0) ลั่นดาล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64273.0)
-
:man1: :man1:
-
โอ๊ยยยยยย
มาต่อเร็วๆๆๆๆๆ
:katai1: :katai1:
-
ค้าง!!!!! มากค่ะ มาต่อไวๆนะ
-
มาต่อไวๆๆน้าาาาา :impress2:
-
นังหยางไอต้องได้รู้สึก !!
-
ขอให้ปลอดภัยนะเฟยฮวา หยางไอนี่จบได้รึยัง โธ่
-
พูดก็ไม่พูดสักทีโว้ยยยยยยย ต้องให้ไอ่ตัวร้ายมันโผล่มาก่อนหงุดหงิด :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:
-
นิยายดีมากเลยค่ะ เราชอบภาษาของคุณมากๆและก็ชอบเรื่องนี้ด้วยเนื่องจากไม่กล้าอ่านเรื่องก่อนๆเพราะดูหน่วงมาก แงงงงง พอมาเจอเรื่องนี้ดูยังไม่ค่อยสาหัสเท่าไหร่เราเลยชอบมาก สู้ๆนะคะ รออ่านเสมอ และอยากได้น้องเฟยฮวามาเป็นเมียซักวันค่ะ ต้องมีซักวันค่ะ55555555555
-
:pig4:
-
o13 :pig4:
-
สนุกน้าาาา แต่น้องเฟยฮวา นิสัยนางเอกละครไปหน่อย
แต่ความหื่น กับความหวานมากลบได้อยู่ 55555
รออ่านตอนจบน้าาาา สู้ๆ :กอด1:
-
มาต่อไหมมมมมม มาาาเหอะะะอยากอ่าานนน
-
มาต่อนะคะ หนูติดตามอยู่
หนูรออ่านอยู่น๊าาาาาา :mew2: :mew2:
-
น้องงงงงงงงเเสนเเซ่บบบบ
-
เข้ามาหาเรื่องถึงที่เลย :hao7: