lเรื่องสั้นl
เรื่องเล่าในวันศุกร์ที่ฝนตกหนัก
Send someone to love me
I need to rest in arms
Keep me safe from harm
In pouring rain
ในค่ำคืนที่ฝนตกและขณะที่ยังอยู่ในออฟฟิศของเย็นวันศุกร์นี่มันช่างแย่จริงเชียว ทำไมกันนะฝนถึงได้ตกหนักในวันที่ใครๆกำลังจะมีความสุข แน่นอนว่าคนอื่นในออฟฟิศแห่งนี้ได้ออกไปข้างนอกกันตั้งแต่ช่วงบ่ายและคงจะกลับถึงบ้านกันหมดแล้ว ณวัฒน์ที่นั่งทำงานอยู่แต่ในออฟฟิศทั้งวันอดที่จะหดหู่ไม่ได้ เขาควรจะชินกับความเหงาได้แล้ว เพราะผู้ชายคนนี้เป็นคนที่แย่จริงๆ ทั้งๆที่เอาแต่ทำงานจนคนที่เขาแคร์ที่สุดทนไม่ไหวต้องบอกลากันไป สุดท้ายเป็นเขาเองที่เอาแต่เพิกเฉยเลยต้องมานั่งทนเหงาอย่างนี้ ตอนมีกันอยู่เคียงข้าง เขาก็ชอบอยู่คนเดียว พอคนๆนั้นไม่อยู่แล้วและได้อยู่คนเดียวสมใจกับไม่ชอบ มนุษย์ช่างเป็นสัตว์สังคมที่ไม่มีความสมดุลอยู่จริงเอาเสียเลย
แฟนเก่าของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะตอนนี้ มันอดไม่ได้ที่จะคิดกับตนเองเกี่ยวกับคนที่ขอเลิกกันไป เรื่องนี้ไม่มีใครผิดเลย คนทั้งคู่ได้พยายามแล้ว แต่มันเป็นไปไม่ได้ เวลาและความเหมาะสมไม่เคยเดินไปได้ด้วยกัน มันน่าเศร้านักที่ณวัฒน์ไม่สามารถใช้คำว่า ‘เรา’ กับความสัมพันธ์ที่จบไปแล้วนี้ เพราะไม่มี ‘เรา’ อีกต่อไปแล้ว มันจบไปแล้วเพราะคนทั้งคู่ทนต่อไปไม่ไหวอีกต่อไป ชายหนุ่มไม่ถือโทษโกรธแฟนเก่า หรือมีคำแก้ตัวใดๆ เขายอมสำหรับทุกเงื่อนไขที่ถูกขอมา พวกเขาโตพอที่จะพูดคุยกัน และหาหนทางที่ดีที่สุดให้กับชีวิตคู่ และนั่นคือที่มาที่ทำให้เขาต้องมานั่งเศร้าอยู่ในออฟฟิศตอน 6 โมงในวันที่ฝนตกหนักอย่างนี้
Give me endless summer
Lord I fear the cold
Feel I'm getting old
Before my time
As my soul heals the shame
I will grow through this pain
Lord I'm doing all I can
To be a better man
กำลังจะสองทุ่มแล้วแต่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ตอนนี้ใครๆก็คงขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ในขณะที่เอกสารอีกมากมายยังรอให้เขาตรวจเช็คก่อนที่จะนำเสนอให้ลูกค้าในวันจันทร์หน้า จริงๆเขาตรวจมันเสร็จแล้วรอบนึง แต่อยู่เฉยๆไปก็คงจะฟุ้งซ่านเป็นแน่ เลยต้องพยายามทำตัวเองไม่ให้ว่าง ช่างน่าขันนักที่วัฒน์ซึ่งเคยอยากได้เวลาว่างมากมาย กลับไม่อยากว่างในตอนนี้
‘พี่วัฒน์….พี่กลับบ้านได้แล้วนะ’
‘พี่ยังทำงานไม่เสร็จน่ะ’
‘อืม’
‘แค่นี้ก่อนนะ ซื้ออะไรกินเองก่อนนะ’
แต่ถึงจะบอกให้หากินเอง แต่ก็ยังไม่วายที่เมื่อกลับไปบ้านแล้วจะเห็นจานกับข้าวที่ปิดสนิทไม่ให้แมลงตอม แฟนเก่าของเขาแม้จะน้อยใจแค่ไหนแต่ก็ยังใจดีต่อคนที่ไม่รักษาสัญญาและเย็นชาคนนี้เหลือเกิน เป็นวัฒน์เองที่เอาแต่เพิกเฉยต่อสัญญาณอันตรายต่างๆ ที่คนรักพยายามสื่อสารมาให้ พระเจ้า…..คนๆนั้นได้เดินจากไปแล้ว….และเขาก็ได้ทำงานเท่าที่ตนอยากทำโดยที่ไม่มีใครโทรตามอีก น่าแปลกที่ณวัฒน์ควรจะดีใจและเพ่งสมาธิไปกับงานได้อย่างเต็มที่ แต่เขากลับทำมันไม่ได้ เพราะตาก็เอาแต่จะจ้องโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาอย่างนี้ ในที่สุดก็ได้รู้ว่าการมีคนรออยู่ที่บ้านนั้นดีแค่ไหน เมื่อเทียบกับการเดินเข้าไปแล้วพบว่าบ้านทั้งหลังปิดไฟเงียบไม่มีใคร ชีวิตที่เขาเคยคิดว่าน่ารำคาญนั้น…ก็ยังมีแสงสว่างจากหลอดไฟที่บ้านให้เขารู้สึกอุ่นใจยิ่งกว่า
เขาเลือกที่จะหยุดพักและตั้งใจจะมาชงกาแฟดื่ม แม้ว่านี่จะมืดค่ำแล้วแต่เขากลับจะดื่มมันต่อไป แม้ควรจะหลับใหลในตอนกลางคืนเพื่อลืมเลือนว่าตอนนี้เขาไม่มีใคร แต่มันก็หลอกตัวเองได้เพียงนิดเดียว เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาควานหาคนข้างกายเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ต่อให้เรียกชื่อก็ไม่มีใครตอบกลับมา นั่นมันช่าง….เป็นตลกร้ายที่ทำให้น้ำตาพาลจะไหลเสียเหลือเกิน ตลกมากแต่กลับไม่มีเสียหัวเราะหลุดออกมา ตลกจนขำไม่ออกเลยทีเดียว แทนที่จะทนหลอกตัวเอง สู้เผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญไม่ดีกว่าเหรอ ใครคนหนึ่งเคยบอกเขาไว้ แต่ใครคนนั้นจะรู้ไหมหนอว่ามันช่างเจ็บเหลือเกินในวันที่ฝนตกอย่างนี้
เพื่อที่จะเป็นคนที่ดีกว่านี้……ขอแค่ใครสักคนเดินเข้ามา…..
ไม่ไหวเอาเสียเลย…..เขาควรจะชงกาแฟแล้วดื่มมันซะให้หมดๆ แต่ทำไมกาแฟที่ดื่มอยู่นี่มันช่างปร่าทั้งๆที่ใส่น้ำตาลลงไปมากมายนัก กาแฟยามค่ำคืนในออฟฟิศที่เงียบสงบนั้นไม่ได้ทำให้ผ่อนคลายเลย ขณะเดียวกันมันทำให้รู้สึกผิดที่มากินกาแฟตอนสองทุ่มอย่างนี้ ให้ตายเถอะเขาอยากออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมนี่ ฝนตกอย่างนี้จะไปที่ไหนได้ ไม่มีใครตอบไลน์สักคน เขาเพียรส่งข้อความไปหาคนนู้นคนนี้ดูแต่กลับไม่มีใครตอบกลับ นี่มันวันอะไรกัน เป็นโสดอย่างเดียวไม่พอ ต้องฝนตกเข้าจังหวะด้วยเหรอ ฟ้าดินจะแกล้งกันเกินไปแล้ว!
นาฬิกาล่วงมาเกือบสามทุ่มแล้วทำไมฝนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เขาคิดถึงโซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขกของออฟฟิศก่อนจะเปลี่ยนใจมองไปที่พื้นห้องของตน การค้างคืนก็ไม่ใช่เรื่องแย่นัก โชคดีที่อาคารสำนักงานที่บริษัทเช่าห้องออฟฟิศอยู่ไม่มีนโยบายปิดประตู เขาจึงมีอิสระมากพอจะทำที่ทำงานให้เป็นที่นอนได้ สมัยก่อนก็นอนอยู่บ่อยครั้งจนแทบจะย้ายสัมมะโนครัวมาอยู่ที่นี่ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาที่นอนสบายๆในสถานที่ๆใครก็ไม่นอนกันอย่างที่นี่ วัฒน์มีทุกอย่างพร้อมทั้งฟูกนอน หมอน และผ้าห่มส่วนตัว แม้แต่เสื้อผ้าสองสามชุดและเครื่องอาบน้ำก็มีติดไว้ เอาไว้ไปขออาบน้ำที่ฟิตเนสชั้นบน ถึงกระนั้นใครเล่าจะรักที่ทำงานมากกว่าบ้านของตนเอง แต่ในเมื่อกลับบ้านไปก็ไม่มีใครให้กอด ไม่มีใครชวนคุย หรือหัวเราะใกล้ๆกัน บางทีห้องสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยเอกสารและเศษแม๊กก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่น้อย
เปรี้ยง!!!!!!!!
ฟ้าผ่าดังลั่น…..คืนนี้คงอีกนานสินะ นี่ณวัฒน์ต้องนอนที่นี่จริงๆเหรอ เขาค่อยๆลุกขึ้นก่อนจะเดินไปที่ตู้เก็บเอกสารในห้องทำงานของตนจริงๆมันก็ควรจะมีแต่เอกสาร แต่เขาเก็บความลับของตนไว้ที่นี่ด้วย นั่นคือชุดเครื่องนอนส่วนตัวที่ไม่ให้ใครยืมนั่นเอง ริมฝีปากบางนั้นยกยิ้มหยันขึ้นมาเพียงนิด นี่ก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้วที่เขาไม่ได้ใช้มันเลย มีคนมากมายที่เพื่อนๆพยายามแนะนำมาให้ แต่คนเหล่านั้นยังไม่มีค่าพอให้วัฒน์ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง เขาเป็นคนเรื่องมาก การที่จะเลือกใครสักคนเข้ามาแชร์ชีวิตมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาเคยมีชีวิตที่สนุกไปวันๆ แต่เมื่อเขาได้หยุดเพื่อใครคนหนึ่งสักครั้ง มันทำให้เขารู้ว่าเวลาที่เขาใช้เรื่อยเปื่อยนั่นช่างไร้ค่าแค่ไหน แม้จะได้เรียนรู้จักความรักได้ไม่นานก็ต้องเลิกลากันไป แต่เขาก็ตระหนักดีว่าคนที่ผ่านมาเพียงข้ามคืนนั้นมันแค่ทางผ่านชีวิตที่วันนึงเขาจะลืมลงไป แต่ความรักอันอ่อนหวานนั้นคือสิ่งที่เขาจะจดจำ
เปรี้ยง!!!!!
Once you've found that lover
You're homeward bound
Love is all around
Love is all around
I know some have fallenon stony ground
But love is all around
มันอยู่รอบๆ ใครๆต่างก็มีคนรัก มีแต่เขาที่ได้แต่เฝ้ามองคู่รัก เขาเคยมีใครข้างกาย ดังนั้นจึงรู้ดีว่าตอนที่ได้รับการเติมเต็มจากใครสักคนนั้นมันดีแค่ไหน แต่รักเป็นสิ่งที่ยากจะรักษาหากมันแตกหักไปแล้ว เมื่อคนสองคนไม่พร้อมที่จะรักกันต่อก็ควรจะปล่อยมันซะ ทว่าในตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว แต่ทำไมถึงไม่มีใคร ในเวลาที่เหมาะสม ในเวลาที่สมควรเช่นนี้ ใยชีวิตจึงว่างเปล่าเหลือเกิน
ได้โปรดเถิดฟ้า…..
Send someone to love me
I need to rest in arms
Keep me safe from harm
In pouring rain
กริ้ง!....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
แย่จัง….ทำไมฝนต้องตกในตอนที่ซักผ้าเพิ่งเสร็จด้วยนะ ธรณ์คิดกับตัวเองอย่างนั้นก่อนจะพยายามดึงราวผ้าเข้ามาข้างในให้มากขึ้น หวังว่ามันจะไม่หนักจนผ้าที่เพิ่งตากนี่เปียกหนักกว่าเดิม มันช่วยไม่ได้ในเมื่อไม่มีใครห้ามฝนฟ้าได้ แต่น่าโมโหที่กรมอุตุรายงานว่าวันนี้ท้องฟ้าจะสดใสทั้งวันแท้ๆ แต่กลับมืดครึ้มและมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ซึ่งพื้นที่นั้นรวมถึงคอนโดของตนด้วย ธรณ์ได้แต่บ่นในใจพลางหยิบกระดาษที่ตัวเองเขียนลิสต์ที่ต้องทำในวันนี้เอาไว้ขึ้นมาดู
ซักผ้า Ok
ดูดฝุ่น Ok
ซักรองเท้า Ok
ล้างห้องน้ำ Ok
เก็บชั้นหนังสือ Ok
เก็บเสื้อผ้าไปบริจาค Ok
ดูเหมือนว่าจะทำทุกอย่างที่ตั้งใจครบหมดแล้ว ช่างคุ้มค่ากับการทำเป็นป่วยการเมืองและเอาเวลามาทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมานานนัก ธรณ์เองก็ยุ่งอยู่พอตัวแต่ช่วงนี้เริ่มซาลงมาแล้ว งานเซลล์ที่เพิ่งเริ่มทำดูเหมือนจะไปได้ดีและก้าวหน้าไม่ใช่น้อย ลูกค้าที่ในช่วงต้นวอแวจนทำให้งานที่ควรจะง่ายดายเป็นเรื่องยาก แต่เพราะจับไต๋และเข้าขากันได้ในระดับหนึ่งแล้ว ช่วงหลังๆมานี่จึงคุยงานและจัดการอะไรได้เร็วจึงประหยัดเวลาไปได้แยะ งานบนโต๊ะไม่มีอะไรที่ต้องรีบจัดการเป็นพิเศษแต่สิ่งที่ต้องรีบทำคือทำความสะอาดห้อง ผ่านมาหลายวันฝุ่นเริ่มจับตัวจนผู้อาศัยรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก ก่อนที่ป่วยการเมืองจะกลายเป็นป่วยจริงๆต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ลางานในช่วงที่ลาได้ดูจะเป็นหนทางที่ดีไม่ใช่น้อย
แต่เสียงท้องร้องนั้นย้ำเตือนให้ธรณ์ได้ทราบว่ามีอีกหนึ่งสิ่งที่ตนควรทำ เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคกระเพาะที่ค่อนข้างสนิทกันในช่วงหลังๆมานี้ ทำให้ร่างบางเดินตรงไปที่โทรศัพท์มือถือ ในใจคิดจะโทรสั่งอาหารมาทานแต่ก็ต้องวางโทรศัพท์ลง ธรณ์ไม่ใช่คนขี้สงสาร แต่คงลำบากไม่น้อยหากคนส่งอาหารต้องฝ่าฝนมาหากันที่นี่ในวันที่ทุกคนอยากจะนอนกลิ้งหรือปาร์ตี้ให้สุดเหวี่ยง วันศุกร์นี้ดีจริงๆ แต่ธรณ์ไม่จำเป็นต้องคิดอย่างนั้นเพราะได้โดดงานในวันศุกร์แล้ว ร่างบางเดินไปยังหัวเตียงก่อนจะหยิบกุญแจรถ ไหนๆก็ไหนๆแล้วไปซื้อของใช้ที่จำเป็นมาไว้เลยดีกว่า เหนื่อยมาทั้งวัน….จะเหนื่อยอีกสักรอบจะเป็นอะไรไป พรุ่งนี้จะได้นอนอยู่แต่บนเตียงไม่ต้องออกไปไหน อยากกินอะไรก็ซื้อมาตุนไว้ จะได้ไม่ต้องออกไปอีก ด้วยความเคยชินทันทีที่ขึ้นรถก็จะรีบเปิดเพลงแบบแรนด้อมไว้ให้ตัวเองฟัง ฝนตกแบบนี้ไม่ดีเลยจริงๆ จะขับรถไปไหนก็ลำบาก ถึงกระนั้นก็ขอแค่ได้ออก ไม่รู้ทำไมวันนี้ถึงอยากออกจากบ้านนัก อารมณ์ล้วนๆเพราะถ้าใช้สมองธรณ์คงไม่ทำเช่นนี้เป็นแน่!
I’ve been living with a shadow overhead
I’ve been sleeping with a cloud above my bed
I’ve been lonely for so long
Trapped in the past, I just can’t seem to move on
ร่างบางค่อยๆฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ทั้งๆที่ท้องก็ร้อง และรถก็ติด มันเป็นความคิดที่แย่มากที่ขับรถฝ่าฝนในวันศุกร์ตอนเย็น ธรณ์พยายามหลอกตัวเองด้วยเสียงเพลงฟังสบายๆให้ใจเย็น แต่ใจจริงนึกก่นด่าตัวเองที่เกิดติสท์แตกอยากออกมาชมบ้านเมืองในวันที่ฝนตกหนักราวกับว่าพายุจะลง ตึกรามากมายที่ธรณ์ขับผ่านเริ่มเงียบสงบไม่คึกคักเหมือนตอนกลางวัน ย่านที่เต็มไปด้วยมนุษย์ทำงานเยี่ยงนี้ในตอนกลางคืนแทบไม่มีคนเดิน จะมีก็แต่รถที่ค่อยๆเคลื่อนตัวไปช้าๆเพราะน้ำที่ขังขึ้นมาจากฝนที่ตกหนัก ธรณ์ต้องเสียสติ หรือจิตไม่ปกติเพราะอะไรบางอย่างแน่ๆ แต่ถ้าหากไม่ออกมาก็คงทนความหดหู่เพราะอะไรบางอย่างที่หาสาเหตุไม่ได้แน่ๆ
จากคอนโดที่ตนอาศัยอยู่ขับผ่านย่านธุรกิจใจกลางเมืองเพียงเล็กน้อยก็จะถึงห้างสรรพสินค้าที่มีทุกอย่างให้เลือกสรร บางทีอาจจะได้ดูหนังสักเรื่องนึงคนเดียว คิดได้ดังนั้นในระหว่างที่รถติดอยู่ก็เช็ครอบหนังฆ่าเวลา หนังรักก็เป็นโจทย์ที่ชวนฆ่าตัวตายในวันฝนตกเหงาๆคนเดียวไม่น้อย หากซื้อของสัก 15 นาทีคงดูทัน คิดดังนั้นจึงกดจองตั๋วไปอย่างไม่ลังเล เรื่องทำร้ายหัวใจตนเองคนโสดนั้นเก่งกว่าใครในโลกหล้า เชื่อสิ! ว่าคงไม่มีใครบ้าพอใส่ชุดนอนขับรถมาเดินห้างหรู ซื้อของ และดูหนังคนเดียวแบบนี้ หวังว่ายามห้างจะไม่จับโยนออกไปหรอกนะ
แต่รอแล้วรอเล่า รถที่ควรจะเคลื่อนตัวไปก็ยังคงหยุดอยู่กับที่ ท้องยังคงร้องโอดโอยไม่หยุดเหมือนจะเตือนว่าหากไม่ทำอะไรเสียตรงนี้จะฉีกประท้วงกันให้ได้ลาป่วยอีกครั้งในวันจันทร์แน่ๆ ใบหน้าเบะออกมาเพียงนิดด้วยน้อยใจแก่ชะตาชีวิตตัวเอง บางทีพระเจ้าคงไม่อยากให้ธรณ์ใส่ชุดนอนเดินห้างนั่นจริงๆแน่ๆเลยทรมานให้ท้องไส้กิ่วอย่างนี้ เพลงก็วนซ้ำกลับมาเพลงเดิมแต่รถก็ไม่เคลื่อนตัวออกไปไหน นี่มันจะสามทุ่มแล้ว แต่ธรณ์ก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเพราะเอาแต่ยุ่งกับการจัดเก็บข้าวของที่รกหูรกตา การจะเป็นธรณ์ที่มีระเบียบนั้นช่างกินเวลาเป็นวันๆจนท้องไส้ประท้วง ร่างบางหันซ้ายหันขวา ไม่ต้องฟังข่าววิทยุรายงานสภาพถนน หรือเข้าทรงที่ไหนก็บอกได้ทันทีว่าอีกชั่วโมงก็ไม่พ้นสี่แยกข้างหน้า
เปรี้ยง!!!!!!!!
ให้ตาย!!!!!! ทำไมฟ้าต้องผ่าด้วยนะ สวรรค์แกล้งกันหรือไง ที่ดลให้ออกมาตากฝนช๊อปปิ้งดูหนังเล่น แต่สร้างฟ้าผ่าที่เกลียดแสนเกลียดมาให้ในตอนนี้ อุปสรรคที่ว่ารถติดว่าใหญ่แล้ว แต่อุปสรรคที่ชื่อฟ้าผ่านั้นใหญ่กว่าร้อยเท่า! ร่างเล็กที่กำพวงมาลัยรถแน่นสั่นระริกไปด้วยตกใจกลัวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติอันเลวร้าย หากอยู่บ้านก็คงเปิดเพลงดังๆแล้วใส่หูฟังกลบเสียงฟ้าร้อง แต่ในตอนนี้ดันไม่ได้เอาหูฟังมาแล้วธรณ์จะอยู่ได้อย่างไร ดวงตากลมจ้องมองฟ้าที่ทำท่าจะคำรามอีกครั้งอย่างตกใจ ขมวดคิ้วอย่างขัดใจและไม่ลังเลเลยที่จะเลี้ยวรถเข้าไปในตึกแห่งหนึ่งกลางซอยอโศกทันที ถ้าทนอยู่ต่อไปในรถต้องตกใจเสียงฟ้าจนเผลอเหยียบคันเร่งไปชนคันหน้าแน่ๆ ดังนั้นธรณ์จึงตัดสินใจที่จะพักสักนิดในร้านสะดวกซื้อใต้ตึกนี้ พอฝนซาแล้วจะกลับบ้านทันที
ทำไมถึงคิดช้าจังนะ ถ่อมาทำไมตั้งไกล เซเว่นก็มีไม่ใช่เหรอไอ้อาหารแช่แข็งนี่!!! ธรณ์ก่นด่าตัวเองออกมาอีกครั้ง วันนี้มันวันอะไรนะ ทำไมทำตัวเหมือนคนไม่มีสติสตังอย่างนี้ ชักจะโกรธดินโกรธฟ้าโกรธฝนและโกรธตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่มที่ถือในมือเปียกชุ่มหลังจากที่ฝ่าฝนจากรถมายังร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ ด้วยความโกรธจึงโยนทุกสิ่งที่ตนคิดว่าสำคัญโดยไม่ไตร่ตรองลงไปในตะกร้า ในใจยังคงไม่หยุดก่นด่าธรรมชาติ เผลอแป๊ปเดียวก็เดินออกมาเสียแล้วโดยลืมขอให้พนักงานช่วยอุ่นกับข้าวให้ มันน่าโมโหเสียจนอยากจะทึ้งหัวตัวเองและโขกหัวโง่ๆนี่กับกำแพงสักสองที ดวงตาหวานที่ส่องประกายอย่างสดใสมาทั้งวันค่อยๆเอ่อล้นด้วยน้ำตา ธรณ์ผู้อ่อนแอกำลังโผล่หัวออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
ธรณ์สะบัดหัวไล่ความซวยออกสองสามครั้ง และเรียกสติที่วิ่งหายไปให้กลับมา มือที่ถือร่มถูกยกขึ้นมามอง ฝนตกขนาดนี้ต่อให้มีร่มหรือไม่มีก็เปียกพอกัน แต่มีก็ยังดีกว่าไม่มี คิดได้ดังนั้นก็มองเข้าไปยังในตัวอาคารที่เปิดไฟเพียงไม่กี่ดวงเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว ดวงตาของธรณ์เหม่อลอยอีกครั้ง สติที่พยายามเรียกกลับมาหลุดลอยออกไป….ไกลแสนไกลเกินกว่าที่ตนจะฉุดรั้งไว้ และเมื่อรู้ตัวก็พบว่าตนได้ทำเรื่องที่บ้ามากๆออกไปเสียแล้ว
กริ้ง!
เสียงสัญญาณเปิดประตูจากการที่กดรหัสสี่ตัวลงไปดังขึ้น ธรณ์เหมือนจะได้สติแล้ว และตนก็ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปนัก ร่างบางค่อยๆเปิดประตูกระจกของออฟฟิศเข้าไป ไม่แปลกเลยที่ตนจะรู้รหัสออฟฟิศดี เพราะมันคือรหัสที่ตรงกับวันเกิดของตน จึงจำมันได้ขึ้นใจ ธรณ์หวังเพียงจะวางร่มที่ตนถือขึ้นมายันชั้น 21 ในออฟฟิศแห่งนี้ เพื่อให้พนักงานบางคนที่ไม่มีร่มได้ใช้มันกลับบ้านอย่างปลอดภัยโดยไม่เป็นไข้หวัด และจะรีบวิ่งออกไปทันที ครั้งหนึ่งในตอนที่เป็นนักศึกษาฝึกงานตนเคยได้ทำงานให้บริษัทนี้ช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะกลับไปเรียนต่อจนจบ ไม่รู้ว่านี่โชคดีหรือโชคร้ายที่เขาไม่เปลี่ยนรหัสกัน
“ใครน่ะ!” เสียงเรียกแข็งๆของชายคนหนึ่งเรียกให้คนที่ทำอะไรลับๆล่อในออฟฟิศคนอื่นต้องสะดุ้งไปทั้งร่าง เห็นว่าไฟเปิดอยู่แต่ไม่คิดว่าจะออกมาเร็วถึงเพียงนี้ ดวงตาของคนทั้งสองที่ควรจะแปลกหน้าประสานกัน ประกายไฟบางอย่างก่อขึ้นที่หัวใจอันแห้งเหี่ยวของคนทั้งคู่ ให้กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง
เปรี้ยง!!!!!!
“อึ้ยยยยยยยยย” ร่างบางทรุดลงนั่งปิดหูตนกับพื้น มันกลับมาอีกแล้วยังไม่ทันได้หนีเลย!ดวงหน้าหวานบิดเบี้ยว น้ำตาเริ่มก่อตัวที่หางตาอีกครั้ง ร่างสูงที่ยืนมองกันค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆ มือของเขาค่อยๆเคลื่อนเข้าไปหาแผ่นหลังเล็กที่ไหล่บางลู่ลงอย่างน่าสงสาร
เปรี้ยง!!!!!!!!!!
“อื้อออ!!!!!!” ความมืดเข้าครอบงำคนทั้งสอง ทั่วทั้งอาคารที่เคยมีแสงไฟประปราย กลับมืดสนิททันทีหลังฟ้าผ่าครั้งสุดท้าย ปลายนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มที่สัมผัสแผ่นหลังบางนั้นรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะท้านอันน่าสงสาร แต่ในยามนี้คนที่ไม่หวาดกลัวต่อฟ้าผ่าอย่างเขา กลับกลัวที่จะสัมผัสโจรตัวน้อยข้างหน้านี่ที่ถือวิสาสะเข้ามาในบริษัทคนอื่นจับใจ ช่างใจกล้า แต่ก็ขี้กลัวเสียจริงเชียว
เปรี้ยง!!!!!!!
“ฮึกๆ….ฮือออออออ” เสียงสะอื้นของร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าตัวเองอย่างน่าสงสารเรียกความกล้าที่หายไปของชายหนุ่มให้กลับมา เขาเลิกห้ามความต้องการลึกๆของตัวเอง และโผเข้าโอบกอดเด็กน้อยผู้น่าสงสารนี้
หวังว่าความอบอุ่นจะช่วยละลายทิฐิระหว่างกัน….
“พี่วัฒน์” เสียงของน้องเรียกเขาอย่างน่าสงสาร
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ธรณ์…” เขาตบต้นแขนคนที่เขากอดอยู่เบาๆเพื่อปลอบโยน ธรณ์ของเขาบอบบางแค่ไหน วัฒน์รู้ดีกว่าใคร และมันก็เคยเป็นหน้าที่ของเขาที่จะอยู่เคียงข้างเด็กคนนี้อย่างนี้ แต่มันก็แค่เคย เพราะในตอนนี้เขาทำมันไม่ได้แล้ว วัฒน์รู้สึกสับสนอยู่ในใจ หากมีสักนิดที่ธรณ์ต่อต้านอ้อมกอดของเขา วัฒน์ก็จะไม่ลังเลเลยที่จะปล่อยไป แม้จะไม่อยากปล่อยแค่ไหนก็ตาม เขาสัญญากับธรณ์ไว้แล้ว ว่าจากวันนั้นที่เลิกกัน เราจะเป็นเพียงแค่พี่น้องที่ดีต่อกันต่อไป
“ฮึก…ฮืออออ” ร่างบางยังคงร้องไห้อย่างอ่อนแออยู่อย่างนั้น มันไม่ใช่เพียงฟ้าร้อง แต่มันคือแรงดันน้ำตาที่อยู่ภายในใจที่ล้นทะลักออกมา ธรณ์ดูเหมือนปกติทุกอย่าง แต่มันก็เพียงแค่ดูเหมือน แม้จะพยายามหานู่นนี่ทำเพื่อไม่ให้ตนดูว่าง แต่ลึกๆแล้วก็ไม่สามารถสละเขาออกไปจากใจได้เลย เพราะวัฒน์เคยเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง และยังคงเป็นอยู่แม้จะเลิกกันไปแล้ว อ้อมกอดอันอบอุ่นของเขายังคงกอดกระชับกันแน่น ธรณ์รู้ตัวว่ามันไม่ดีเลยที่จะปล่อยให้จิตใจตัวเองอ่อนแออย่างนี้ แต่เสียงที่ดังเบาๆภายในหัวใจ ทำให้ไม่มีแรงที่จะสลัดหนีอ้อมกอดดีๆของเขาเลย ธรณ์นั้นอ่อนแอ กลัวไปหมด กลัวแม้แต่จะยอมรับใจตัวเอง
เสียงฟ้าผ่าที่ตนเกลียดนักหนายังคงดังเรื่อยๆ ธรณ์จะยังใช้มันเป็นข้ออ้างที่จะรับความหวังดีจากคนเป็นพี่ต่อไปได้ไหมนะ เขาจะคิดอะไรมากหรือเปล่าที่ต้องมากอดเด็กขี้แยไม่รู้จักโตคนนี้ ธรณ์พยายามแล้วที่จะเป็นผู้ใหญ่ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถสลัดธรณ์ผู้ขี้งอนคนนั้นออกไปจากตัวได้ แม้จะยืนเชิ่ดหน้าบอกขอเลิกเขาออกไป เพราะทนไม่ได้ที่เขาไม่มีเวลาให้กัน แต่ก็เป็นตนนี่แหละที่ร้องไห้หนักกว่าใคร แม้จะคิดดีแล้วที่ไปขอเลิก แต่พอเขายอมเลิกจริงๆกลับฟูมฟายไม่พอใจ ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะปรับอารมณ์และเริ่มต้นชีวิตโสดแบบปกติเหมือนคนทั่วไปได้เสียที
มาวันนี้ความพยายามที่ตนสร้างไว้ดูเหมือนจะพังทลายลงไปทั้งหมด ร่างบางยังคงสะอึกสะอื้นในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าหวานที่สดใสกลับซีดขาว จมูกแดงนั่นสูดดมกลิ่นหอมจากน้ำยาปรับผ้านุ่มของณวัฒน์ที่กอดกันเอาไว้ กลิ่นที่คุ้นเคยนี้กำลังทำลายความตั้งใจอันดูดีของตนเสียพังย่อยยับ
เนิ่นนานในอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความหวานขมนี่ ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนในที่สุดธรณ์ก็รวบรวมความกล้าที่จะผละออก มันคงพอได้แล้วสำหรับการระลึกถึงความหวานหอมที่เคยได้รับในครั้งก่อน เพราะในความเป็นจริง ในตอนนี้…พวกเขาเลิกกันไปแล้ว และเป็นเพียงคนรู้จักกันเท่านั้น มันจึงไม่ดีเลยที่จะมาแสดงความรักต่อกันเหมือนเมื่อครั้งก่อนเก่า ดวงตาเรียวของเขาดูตกใจพอตัวเมื่อธรณ์ผละออกมา แต่ก็ปรับมันให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว สมกับเป็นณวัฒน์….เขาไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง ยังคงเป็นคนที่มั่นคงต่อคำพูดเสมอแม้จะไม่ได้เจอกันนาน ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังคงติดอยู่ในออฟฟิศ ใช้ชิวิตเหมือนที่นี่คือบ้านหลังที่สอง
“ธรณ์มีอะไรหรือเปล่าถึงได้….” ลักลอบเข้ามา