พิมพ์หน้านี้ - ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: dareammmmm ที่ 23-04-2018 21:13:26

หัวข้อ: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 23-04-2018 21:13:26
สวัสดีค่ะ เป็นสมาชิกใหม่เพิ่งหัดวายนะคะ นี่เป็นนิยายวายเรื่องแรกของเรา ขอฝากผลงานด้วยนะคะ :)

**ตอนที่ 1 ลงในคอมเม้นที่ 5 นะคะ**



ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 1 |
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 23-04-2018 21:43:56
 o13
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 1 |
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-04-2018 10:52:48
เรื่องน่าติดตาม แปะไว้ก่อน  :katai2-1: เดี๋ยวมาอ่าน/เม้นนะก๊าบ  :katai4: :pig4:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 1 |
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 26-04-2018 11:44:13
ลงกฎด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 1 |
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-04-2018 22:01:16
สนุกครับ มายาวๆแต่อ่านเพลินไม่มีจุดน่าเบื่อเลย  :z2:
เรื่องเริ่มต้นมีปมให้น่าติดตามทั้งเรื่องน้ำยางที่โดนขโมย และพี่หมอห้องตรงข้ามที่คุ้นหน้าน้องหมอออม  :z1:
เดาว่านายหัวต้องโดนทำร้ายอะไรซักอย่าง แล้วไปเป็นคนไข้ของน้องหมอออมแน่นวล  :katai1:
ดำเนินเรื่องใช้ภาษาดีอ่านเข้าใจง่ายครับ  o13
รออ่านตอนต่อไปครับ
ปล.อย่าลืมแปะกฎเล้าตามที่พี่ๆน้องๆรีบนบอกนะครับ (สำคัญมาก)  :mew6:
หัวข้อ: Re: You're my Law of Attraction
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 29-04-2018 15:29:43
** ย้ายตอนที่ 1 มาไว้ตรงนี้นะคะ เนื่องจากตัวอักษรเกิน 20,000 ตัว***

ตอนที่ 1

โรงพยาบาลสุราษฎ์ธานี
“โอ้โห นี่คุณจบเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองเลยหรือนี่”
น้ำเสียงของชายวัยกลางคนบ่งบอกถึงความตกตะลึง เขาลดมือที่ถือกระดาษใบหนึ่งลง แล้วมองชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามไม่ตอบอะไรนอกจากอมยิ้มเล็กน้อย ชายวัยกลางคนพิจารณาเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง ใบหน้าขาวผ่องอมชมพูและริมฝีปากบางแดงระเรื่อบ่งบอกว่าเขาไม่เคยทำงานกลางแจ้งเลยสักครั้ง แว่นสายตากรอบดำตั้งบนดั้งจมูกโด่งเป็นสัน
“ดีมากเลย โรงพยาบาลของเราเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดก็จริง แต่เราก็ไม่เคยมีหมอเก่ง ๆขนาดที่ว่าจบเกียรตินิยมเหรียญทองมาทำงานใช้ทุนเลย ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้คนเก่งอย่างคุณมาร่วมงานด้วยกัน” นายแพทย์วิธาน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยังกล่าวด้วยความชื่นชม
“ผมเองก็ดีใจครับที่ได้มาทำงานใช้ทุนที่นี่” นายแพทย์ธีทัตตอบอย่างอ่อนน้อม
“วันนี้คุณไปพักผ่อนเถอะ ผมให้คนเตรียมห้องพักไว้ให้แล้ว เสื้อกาวน์เครื่องแบบก็อยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ตอนเที่ยงจะมีงานเลี้ยงเล็ก ๆ ต้อนรับอินเทิร์นใหม่ ยินดีต้อนรับสู่บ้านแห่งนี้ครับ” ธีทัตยิ้มยกมือไหว้ผู้สูงวัยก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับไป
“อ้อ เดี๋ยวก่อน ผมลืมบอกคุณไปอย่างหนึ่ง”
ธีทัตชะงักแล้วเลิกคิ้วอย่างงุนงง
“ตอนนี้คุณเป็นหมอเต็มตัวแล้ว มีคำนำหน้าชื่อว่านายแพทย์แล้วด้วย งานที่นี่หนักนะไม่เหมือนสมัยเรียน มาแล้วห้ามกลับหลังหันเด็ดขาด ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามแอบรักคนไข้ด้วย” นายแพทย์วิธานบอกด้วยน้ำเสียงเจือความขบขัน ธีทัตยิ้มตอบ
“ผมไม่หันหลังกลับหรอกครับ ผมอาจจะดูเป็นคนบอบบาง แต่อันที่จริงแล้วผมอึดมากครับ ผมพร้อมที่จะเจอของจริงแล้วครับ ส่วนเรื่องสุดท้ายที่ท่านว่า มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับผมแน่นอนครับ” ริมฝีปากบางแย้มยิ้ม
“โอเค งั้นก็ไปพักผ่อนให้เต็มที่เถอะ”
ธีทัตเดินกลับออกมายังรถของตัวเองที่จอดอยู่หน้าแฟลตที่พักสำหรับแพทย์และพยาบาลประจำโรงพยาบาล ชายหนุ่มขนของใช้ส่วนตัวจากในรถขึ้นไปยังห้องพัก ห้องพักขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่นถูกทำความสะอาดรอรับเจ้าของห้องคนใหม่เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินตรงไปยังห้องนอนจัดการปูที่นอนด้วยผ้าปูที่นำมาด้วย ชายหนุ่มมีของติดตัวมาด้วยไม่มากนัก นอกจากเสื้อผ้าแล้วส่วนใหญ่ก็มีหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ธีทัตเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ข้างในมีเสื้อกาวน์แบบสั้นแขวนเอาไว้แล้วสองสามตัว เขาหยิบตัวหนึ่งมาดู เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดปักตราโรงพยาบาลไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นชื่อของเขา “นพ. ธีทัต ลีพานิชย์สกุล”
“ในที่สุดก็ได้เป็นหมอเต็มตัวเสียที” เขาพูดกับตัวเองแล้วแขวนเสื้อกาวน์ไว้ตามเดิม ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง ชายหนุ่มถอดแว่นสายตากรอบดำวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ไม่นานเขาก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ธีทัตขับรถจากกรุงเทพมายังสุราษฎร์ธานีตั้งแต่เช้ามืด ชายหนุ่มอยากจะขับให้ถึงสุราษฎร์ธานีให้เร็วที่สุดจึงแวะพักระหว่างทางแค่สั้นๆ เท่านั้น เขาจึงอยากจะงีบหลับสักตื่นหนึ่งก่อนจะออกไปสำรวจรอบๆโรงพยาบาล

อีกมุมหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
รถยนต์เอสยูวีแบบขับเคลื่อนสี่ล้อวิ่งไปตามถนนลูกรังที่ล้อมรอบไปด้วยสวนยางพารา ถนนเส้นนี้ทอดยาวไปยังโรงงานแปรรูปน้ำยางสดแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยมีใบหน้านิ่งเฉย แต่แววตาคมเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เขากัดฟันด้วยความโกรธอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องที่คนงานโทรไปบอกเขาเมื่อสักครู่ น้ำยางสดที่คนงานเพิ่งกรีดทิ้งไว้เมื่อกลางดึกที่ผ่านมาถูกขโมยไปเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันแล้ว และยังจับมือใครดมไม่ได้ มือหนาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรของผู้ช่วยคนสนิท
“สันต์เหรอ ฉันใกล้แล้ว บอกคนงานให้รอก่อน” เขาสั่งเสียงเข้ม เมื่อผู้ช่วยตอบรับก็กดสายวาง
ร่างสูงหนาล่ำสันกระโดดลงจากรถทันทีที่จอดสนิทหน้าโรงงาน กันยกรเดินหน้าเครียดเข้ามาในสำนักงาน ลูกน้อง 4-5 คนที่จับกลุ่มคุยกันรีบหลีกทางให้เขาทันที
“เป็นไง หายไปเยอะมั้ย” กันยกรถามด้วยน้ำเสียงห้วน
“หายทั้งหมด 25 ต้นครับนายหัว” คนงานคนหนึ่งตอบ
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ อย่างโกรธเคือง แต่แล้วก็ผ่อนลมหายใจยาว
“แล้วมีร่องรอยอะไรเหลือไว้บ้างมั้ย”
“มีแค่รอยเท้าครับ แต่เป็นรอยรองเท้าบูทยางที่ใครๆก็ใช้” คนงานตอบ
“เห็นทีจะต้องขึงลวดหนามซะแล้ว” กันยกรพึมพำ
“ปกติสวนของเราไม่เคยขึงลวดหนาม เพราะไม่ค่อยมีใครเข้ามายุ่มย่าม แต่เดี๋ยวนี้คนในหมู่บ้านมันเยอะมากขึ้นครับ บางคนก็ไม่คุ้นหน้า” สันต์ที่เป็นผู้ช่วยบอก
กันยกรพยักหน้าหงึกหงัก “วันนี้ให้คนมาขึงลวดหนามให้หมด ถ้าเป็นไปได้ก็ทำประตูรั้วด้วย ส่วนนี้ใครเป็นคนตัด เขียวรึเปล่า?” ชายหนุ่มหันขวับไปถามคนงานที่ชื่อเขียว
“ครับ ผมตัดอยู่กับไอ้ป้อม” คนงานที่ชื่อนายเขียวตอบ
“สันต์วันนี้เข้าเมืองไปกับเขียวและป้อม จัดการสั่งของที่จะมาทำรั้วให้หมด เอาล่ะ แยกย้ายกันได้แล้ว ผมจะเข้าไปในโรงงานต่อ ขอบคุณทุกคนมาก” กันยกรเดินกลับเข้าไปในส่วนที่เป็นสำนักงานของโรงงาน
“นายหัวคะ หนูทำบัญชีค่าปุ๋ยสวนปาล์มเสร็จแล้วค่ะ” เด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาทำงานแผนกบัญชียื่นแฟ้มให้ชายหนุ่มดู
“ขอบคุณนะนิด” กันยกรตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรที่สุด เขาไม่อยากให้เด็กที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่คิดว่าเขาเป็นเจ้านายที่ขี้โมโหและอารมณ์ร้าย แต่การที่โดนขโมยผลผลิตในสวนเป็นสิ่งที่กันยกรยอมไม่ได้จริง ๆ
ก่อเกียรติและกานดามีลูกด้วยกัน 3 คน ได้แก่ กันยกร กวิตา และกวินทร์ ทั้งสองตัดสินใจส่งลูกชายคนโตไปศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อจบการศึกษากันยกรก็ได้รับการทาบทามให้ทำงานเป็นสถาปนิกประจำบริษัทแห่งหนึ่งในเมลเบิร์น ชายหนุ่มตอบตกลงทันทีโดยไม่ขออนุญาตพ่อและแม่นั่นทำให้ก่อเกียรติผู้เป็นพ่อโกรธมาก
 “ฉันส่งให้แกไปเรียนต่อเพื่อที่จะได้กลับมาสานต่อธุรกิจของครอบครัว นี่อะไร? แกดันไปเรียนออกแบบบ้าบออะไรนั่น ยังไม่พอ เรียนจบแกก็ไม่คิดจะกลับบ้านมาทำธุรกิจต่อจากฉันอีก”
“พ่อครับ ชีวิตมันเป็นของผม ไม่ใช่ของพ่อ ผมไม่อยากทำสวนแบบพ่อ ถึงพ่อจะบังคับยังไงผมก็ไม่ทำหรอก”
“งั้นก็ตามใจ สุดท้ายแล้วแกก็จะรู้เองว่าแกควรทำอะไร”
และแล้วคำพูดของก่อเกียรติก็เป็นจริง เมื่อผู้เป็นพ่อเสียชีวิตลงกันยกรก็ตัดสินใจลาออกจากงานแล้วกลับมายังสวนยางพาราที่พ่อของเขาบังคับให้ทำ กวิตาและกวินทร์ยังอยู่ในวัยเรียนหนังสือ กานดาผู้เป็นแม่เองก็เป็นผู้หญิงม่ายตัวคนเดียว กันยกรจึงกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว เขายอมกลับมาทำสวนยางพาราเพื่อปกป้องในผลประโยชน์ของตนเองและน้องที่ยังเล็ก จากเงื้อมมือของญาติที่พร้อมจะเข้ามาฉกชิงได้ทุกเมื่อ ในวันแรกของการทำงานเป็นชาวสวน กันยกรเริ่มต้นจากศูนย์เขาเรียนรู้ทุกอย่างจากคนงานและพนักงานทุกคนในโรงงาน
“ไหวมั้ยกันย์ ให้แม่ช่วยมั้ยลูก” กานดาถามเมื่อเห็นลูกชายกำลังง่วนกับตัวเลขบัญชีตรงหน้า
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำได้ งานแค่นี้เอง” ชายหนุ่มยิ้ม ไม่อยากให้มารดาเป็นห่วง
“มาเถอะ แม่ช่วยดีกว่า อย่างน้อยก็ช่วยตรวจดูว่ากันย์คิดเลขถูกหรือเปล่า”
หลักจากบิดาเสียได้ 3 ปี กันยกรกลายเป็นชาวสวนเต็มตัว ผิวขาวที่ไม่เคยโดนแดดก็กลายเป็นผิวคล้ำ มือนุ่มที่เคยจับแต่ปากกาเขียนแบบกลายเป็นมือกร้านสากที่จับแต่จอบเสียม จากที่ไม่เคยรู้เรื่องการเกษตรก็ต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมด จนกลายเป็นชาวสวนรุ่นใหม่และกลายเป็นที่ยอมรับจากคนในจังหวัดจนได้ตำแหน่งนายกสมาคมชาวสวนยางพาราประจำจังหวัด

ธีทัตลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย เขามองเพดานสีขาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ห้องพักของโรงพยาบาล ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาไล่ความง่วงออกไป ข้างนอกท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาหยิบแว่นตากรอบดำมาสวมก่อนจะเดินออกไปสำรวจรอบโรงพยาบาล โชคดีที่โรงพยาบาลอยู่ในเขตเมืองตรงข้ามมีเซเว่นอีเลฟเว่นและร้านค้าที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงอยู่ด้วยกันหลายร้าน ธีทัตคิดในใจว่ารอดตายแล้ว ตลอดระยะเวลา 6 ปีของการเป็นนักศึกษาแพทย์ ธีทัตจำเป็นต้องพึ่งพาร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงหลายครั้ง นั่นเป็นเพราะเมื่อเขาต้องอยู่เวรดึก กว่าจะเลิกเวรก็กินเวลาเกือบเที่ยงคืน หากอยู่เวรเช้าก็ต้องไปถึงโรงพยาบาลตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นพ้นขอบฟ้า ร้านค้าสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา
ชายหนุ่มกวาดอาหารแช่แข็งทุกชนิดที่วางอยู่บนชั้นวางของใส่ลงในตะกร้า หยิบขนมปังและเครื่องดื่มอีกสองสามขวดลงไปด้วย แล้วจึงเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ พนักงานเก็บเงินลอบมองชายหนุ่มผิวขาวริมฝีปากแดงตรงหน้าไม่วางตา
“พี่เป็นหมอคนใหม่เหรอคะ” เด็กสาวถาม
“ใช่ครับ เพิ่งมาวันนี้เอง” ธีทัตตอบ
“หูย ดีจังเลย โรงพยาบาลนี้ไม่มีหมอหล่อ ๆ มานานแล้ว กระชุ่มกระชวยหัวใจดีจัง”
ธีทัตหัวเราะแหะ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกเขาตรง ๆ ว่าหล่อ หากอยู่ที่กรุงเทพเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กแว่นเด็กเนิร์ดที่ชอบนั่งเรียนหน้าห้องเพียงเท่านั้น แต่อยู่ที่นี่เขากลายเป็นเทพบุตรรูปหล่อไปเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มเดินกลับมายังแฟลตที่พัก เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อกาวน์ตัวสั้นและกางเกงแสล็คสีดำกำลังพยายามไขกุญแจประตูห้องตรงข้ามโดยที่หอบเอกสารเต็มสองมือ
“ให้ผมช่วยมั้ยครับ” ธีทัตอาสา
“อ้อ ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มนิรนามส่งกุญแจให้ ธีทัตรับมาไขกุญแจแล้วเปิดประตูออกกว้าง
 “ขอบคุณมากนะครับ เอ่อ คุณคือ...”
“ผมชื่อธีทัตครับ เรียกผมว่าออมก็ได้ครับ ผมเพิ่งมาใหม่พักห้องตรงข้ามคุณนี่เอง”
“อ้อ คุณคงเป็นอินเทิร์นคนใหม่...ผมชื่อปฐวี เรียกผมว่าพี่วีก็ได้”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่วี” ธีทัตยื่นมือ แต่เพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายหอบเอกสารเต็มสองมือจึงชักมือกลับ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ มีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่ได้นะ ไหน ๆ เราก็เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนบ้านด้วย” ปฐวีหัวเราะเบา ๆ ข้อแขนที่เกร็งมานานเริ่มจะอ่อนล้า เขาจึงตัดบทด้วยการขอตัวเข้าห้องก่อน
ปฐวีวางเอกสารทั้งหมดไว้บนโต๊ะตัวเตี้ยในห้องนั่งเล่น แล้วจึงทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยล้า
“ออม...ชื่อน่ารักดีนี่นา” ปฐวีอมยิ้ม
ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ความทรงจำอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวสมอง ชายหนุ่มใจเต้นตึกตักตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นรูปว่าหมออินเทิร์นชุดใหม่มีใครบ้าง สายตาของเขาสะดุดอยู่ที่หมออินเทิร์นคนหนึ่ง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาดูอ่อนเยาว์ ริมฝีปากหยักบางอมยิ้มนิดหนึ่ง ปฐวีรู้สึกคุ้นหน้าอินเทิร์นคนนั้นทันทีตั้งแต่แรกเห็น

กันยกรขับรถกลับบ้านในเวลาเย็น ความตึงเครียดที่มีมาทั้งวันเริ่มผ่อนคลายลงไปบ้าง แต่ยังไม่หมดเสียทีเดียว ถ้าจะให้หายกันยกรต้องแน่ใจก่อนว่าได้สามารถจับมือแมวขโมยน้ำยางพาราในสวนให้ได้เสียก่อน ชายหนุ่มกำลังจะเดินเข้าบ้านแต่กานดาผู้เป็นแม่ออกมาเสียก่อน
“กันย์มาพอดีเลย มาดูนี่สิว่าใครมาบ้านเราแน่ะ”
“ใครเหรอครับ” ชายหนุ่มถามอย่างงุนงง กานดาไม่ตอบได้แต่ดันหลังลูกชายให้เดินเข้าไปในบ้าน
กวิตาและกวินทร์ น้องสาวและน้องชายของกันยกรนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร เมื่อเห็นพี่ชายคนโตทั้งสองจึงกวักมือเรียกพี่ชายให้นั่งลงด้วย กันยกรขมวดคิ้วยิ่งงุนงงมากขึ้น
“นี่มันอะไรกัน เล่นอะไรกันเนี่ย” เขาถามกวิตาที่นั่งตรงกันข้าม
“เรากำลังรออาหารมื้อพิเศษอยู่ค่ะ” กวิตาตอบ
“คนที่ปรุงอาหารมื้อนี้ก็เป็นคนพิเศษด้วยครับ” กวินทร์ที่นั่งติดกับกวิตาตอบยิ้ม ๆ
“ทาด่า!! อาหารมาแล้วจ้า” เสียงแหลมเล็กของใครคนหนึ่งทำให้กันยกรหันขวับไปมองที่ต้นเสียง
หญิงสาวร่างโปร่งบางเดินออกมาจากห้องครัว เธอสวมผ้ากันเปื้อนทับชุดเดรสยี่ห้อดัง ใบหน้าที่แต่งเติมด้วยเครื่องสำอางบาง ๆ มีเม็ดเหงื่อผุดเล็กน้อย
“พราว!! มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมไม่บอกพี่ก่อนว่าจะมา” กันยกรร้องด้วยความดีใจและตกใจปนกันไป
“ถ้าบอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพรส์สิคะ นี่ค่ะ...พราวทำผักโขมอบชีสให้กินด้วยนะ” พราวพิชชาวางถ้วยเซรามิกที่มีผักโขมอบชีสร้อน ๆ ลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ติดกับกันยกร
“นึกยังไงถึงทำไอ้เจ้านี่ให้พี่กิน” กันยกรหันมาถาม
“ก็...มันเป็นอาหารอย่างเดียวที่พราวทำเป็นตอนไปอยู่ที่สิงคโปร์นี่คะ” หญิงสาวตอบ
“หนูพราวเพิ่งมาถึงวันนี้ ตอนที่แม่กำลังจะทำอาหารเย็น หนูพราวเลยขอทำอะไรชีส ๆ นี่ให้กันย์กินด้วย ลองชิมสักคำสิลูก” กานดาบอก กันยกรมองอาหารจานอื่นที่เป็นฝีมือของมารดาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“หืม ดีนะครับที่มีอาหารที่แม่ทำด้วย ไม่งั้นผมคงต้องกินอาหารของยัยพราว ไม่รู้ว่าจะท้องเสียหรือเปล่า” ชายหนุ่มพูดจบมือเล็กบางของหญิงสาวก็ตีเพียะเข้าที่ต้นแขน
“ดูถูกกันเกินไปแล้วนะ ลองกินดูก่อนเถอะแล้วจะขอให้พราวทำให้กินอีกทุกวันเลย”
ชายหนุ่มจึงตักผักโขมอบชีสเข้าปากคำหนึ่ง กวิตา กวินทร์ และกานดาตักตาม เมื่อผักโขมอบชีสถูกส่งเข้าปากกวิตาและกวินทร์รีบคายทิ้งลงในจานของตัวเองเกือบจะทันที ในขณะที่กานดาและกันยกรยังรู้สึกเกรงใจหญิงสาวแขกของบ้านจึงพยายามกลืนอาหารในปากอย่างยากเย็น
“เป็นไงบ้างคะ” พราวพิชชาหันมาถามกันยกรและกานดา หลังจากที่สีหน้าเจื่อนเมื่อเห็นอาการของกวิตาและกวินทร์
“ก็...” กันยกรยกน้ำดื่มอึกใหญ่ “ก็ไม่เลวนักหรอก แค่ใส่ชีสเยอะไปหน่อย  แม่ว่าไงล่ะครับ”
“เอ่อ ป้าไม่ค่อยชอบชีสสักเท่าไหร่ เหม็นจะตาย” กานดาบอก
“ว้า พราวว่าพราวทำอร่อยแล้วนะคะ งั้นช่างมันเถอะค่ะ กินอาหารฝีมือป้าดาดีกว่า” พูดจบหญิงสาวก็ตักอาหารฝีมือกานดาเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
คืนนี้เป็นคืนฟ้าโปร่งลมเย็น ๆ พัดเข้ามาในห้องทำงานของกันยกรที่เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ ห้องทำงานนี้เคยเป็นห้องทำงานเก่าของก่อเกียรติมาก่อน หลังจากที่เจ้าของห้องเสียชีวิตกันยกรก็ยึดใช้เป็นห้องทำงานของตัวเอง ตู้หนังสือใหญ่ที่เคยมีหนังสือเกี่ยวกับการเกษตรเต็มแน่น ถูกแบ่งพื้นที่ให้หนังสือภาษาอังกฤษของผู้เป็นเจ้าของคนใหม่ กันยกรเงยหน้าเมื่อประตูถูกเคาะ 2-3 ครั้งแล้วเปิดออก
“อ้าว ว่าไงพราว ยังไม่นอนอีกเหรอ” เขาก้มหน้าลงมองจอคอมพิวเตอร์แล็บท็อปเมื่อเห็นว่าผู้ที่เปิดประตูเข้ามาคือพราวพิชชานั่นเอง
“ยังไม่ง่วงเลยค่ะ ป้าดาบอกว่าพี่กันย์ทำงานอยู่ในห้องนี้ เลยมาหาเพื่อนคุยด้วย พราวมารบกวนเวลาทำงานหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอก อยากคุยอะไรก็ว่ามาสิ” ชายหนุ่มละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์แล้วมองหญิงสาวที่เสมือนเป็นน้องสาวอีกคนหนึ่ง
พราวพิชชาเป็นลูกสาวคนเดียวของปกรณ์และอัมพร เพื่อนสนิทและลูกค้าคนสำคัญของก่อเกียรติที่กันยกรเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ปกรณ์เป็นเจ้าของโรงงานน้ำมันปาล์มที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดชุมพร เขาจึงเป็นทั้งเพื่อนและลูกค้าที่สนิทกับครอบครัวของกันยกรมานาน หญิงสาวเพิ่งแต่งงานไปกับหลี่อี้นักธุรกิจชาวสิงคโปร์เมื่อกลางปีที่แล้ว
“ให้พี่ทาย พราวมีปัญหากับหลี่อี้ใช่มั้ย” ชายหนุ่มถาม
“พี่กันย์รู้ได้ไงเนี่ย ทายเก่งยังกะเข้ามานั่งในใจพราวงั้นแหละ”
ชายหนุ่มหัวเราะร่วน
“ไหนเล่ามาสิ”
“พราวเบื่อ พราวไม่ชอบที่ต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่กับบ้านเลย หลี่อี้ไม่ยอมให้พราวทำอะไร จะออกไปหางานทำก็”
“ไม่ดีรึไง น่าอิจฉาออก มีแต่คนอยากนอนอยู่บ้านเฉย ๆ รอเงินจากผัวทั้งนั้นแหละ” กันยกรบอก
“มันไม่เหมือนกันนี่นา ที่โน่นน่าเบื่อจะตาย ประเทศก็เล็กนิดเดียว” กันยกรเลิกคิ้วอย่างเห็นใจ เขาไม่เคยเป็นผู้หญิง ไม่เคยต้องนอนอยู่บ้านเฉย ๆ จึงไม่รู้ว่ามันน่าเบื่อขนาดไหน
 “พราวก็เลยหนีมางั้นเหรอ? พ่อกับแม่รู้หรือเปล่าว่าหนีมาที่นี่” หญิงสาวส่ายหน้า ผมยาวดำขลับขยับไปมา
“ไม่รู้หรอกค่ะ พ่อกับแม่เค้าเห่อลูกเขยจะตาย ไม่มีใครเข้าข้างพราวหรอก” กันยกรคิดในใจ การเป็นภรรยาคนรวยมันดีอย่างนี้นี่เอง
“แต่พี่จำเป็นต้องบอกลุงกับป้านะ พราวหนีออกมาจากบ้านอย่างนี้คิดเหรอว่าหลี่อี้จะไม่เป็นห่วง หลี่อี้ต้องคิดว่าพราวหนีกลับมาเมืองไทยแน่นอน แล้วถ้าลุงปิกกับป้าอัมรู้เรื่องก็ต้องเป็นห่วงพราวมากๆ ยังไงพี่ก็ต้องบอกพ่อกับแม่ของพราว” ชายหนุ่มยืนยันเสียงแข็ง
“ก็ได้ค่ะ แต่ห้ามบอกหลี่อี้นะคะ” พราวพิชชาเสียงอ่อนลง
“พี่ไม่บอกก็ได้ แต่ถ้าพ่อกับแม่พราวบอกมันก็อีกเรื่องนึงนะ” กันยกรกดโทรออกหาปกรณ์ เขานึกอยากจะตีก้นพราวพิชชาเมื่อได้ยินน้ำเสียงโล่งใจของอีกฝ่าย
“ขอลุงคุยกับยัยลูกสาวตัวแสบหน่อยได้มั้ย” กันยกรยื่นโทรศัพท์มือถือให้หญิงสาวตัวต้นเรื่อง
“สวัสดีค่ะ” พราวพิชชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื่อน แล้วนิ่งเงียบฟังปลายสาย บางครั้งเธอพยักหน้าอย่างยอมรับผิด พราวพิชชาพูดกับปกรณ์อีกสองสามคำก็วางสายลง
“พี่กันย์อย่าเพิ่งบอกหลี่อี้นะคะว่าพราวอยู่ที่นี่” หญิงสาวบอกเมื่อส่งโทรศัพท์คืนชายหนุ่ม
กันยกรคิดถึงใบหน้าของชายหนุ่มที่เป็นสามีของพราวพิชชา ใบหน้ายาวรี ตาชั้นเดียวแบบคนที่มีเชื้อสายจีน ใบหูและใบหน้าจะกลายเป็นสีแดงเมื่อเขาโกรธ
“ก็ได้ พี่จะไม่บอก”
“ขอบคุณมากค่ะ พี่กันย์น่ารักที่สุดเลย” หญิงสาวบอกแล้วโผเข้ากอดกันยกรแน่น
กันยกรมองพราวพิชชาจนเธอเดินออกไปจากห้องทำงาน เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารัวนิ้วพิมพ์ไลน์ด้วยความรวดเร็วแล้วส่งไปหาหลี่อี้ ส่งข่าวบอกหลี่อี้ว่าพราวพิชชาหนีมาหาเขาที่สุราษฎร์ธานี เป็นไปตามคาดว่าอีกฝ่ายกำลังวุ่นวายหาภรรยาที่หายตัวไป หลี่อี้กล่าวขอบคุณกันยกรอีกหลายประโยคเมื่อชายหนุ่มรับปากว่าจะดูแลภรรยาของเขาให้
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 2 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 29-04-2018 15:40:40
ตอนที่ 2

งานเลี้ยงต้อนรับหมออินเทิร์นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตามที่นายแพทย์วิธานผู้อำนวยการโรงพยาบาลบอกไว้จริง ๆ เป็นเพียงงานเลี้ยงอาหารกลางวันสำหรับบุคลากรในโรงพยาบาลเท่านั้น โต๊ะยาวถูกจัดอาหารหลากหลายชนิด โดยเน้นเฉพาะอาหารทะเลสด ๆ ซึ่งธีทัตดูจะถูกใจเป็นพิเศษเมื่อเห็นปลาหมึกย่างตัวขาวอวบตรงหน้า ไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะพูดคุยกันเรื่องอะไร
“หมอออมจบเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองเลยเหรอคะ เป็นอาจารย์หมอที่ศิริราชพยาบาลได้เลยนะคะเนี่ย ทำไมถึงไม่เป็นอาจารย์ล่ะคะ” แพทย์หญิงสูงวัยที่นั่งติดกันถามธีทัต
“ผมไม่ชอบเป็นอาจารย์ครับ ผมคงสอนใครไม่ได้ด้วยก็เลยเลือกมาทำงานใช้ทุนดีกว่า” ธีทัตตอบ
“อ้อ เหมือนหมอวีเลยนะคะ”
“เอ้อ ว่าแต่ว่านี่หมอวีเค้าหายไปไหนอะ ทำไมยังไม่มาอีก”
“ขอโทษที่มาช้านะครับ ผมเพิ่งทำงานเสร็จ” ยังไม่ทันจะมีใครตอบ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ประตู ธีทัตเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง
“เอ้า เชิญเลยหมอวี เพิ่งกินกันไม่นานนี่เอง” วิธานเชื้อเชิญ ปฐวีนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่
“แหม ตายยากจังเลยนะ กำลังนินทาหมอวีอยู่พอดี”
“นินทาอะไรกันเหรอครับ”
“ก็นินทาว่าหมอวีไม่ยอมไปเป็นอาจารย์ แต่กลับมาทำงานใช้ทุนที่นี่ไงคะ”
 “วีรู้จักน้องเขารึยัง นี่หมอวี เป็นรุ่นพี่หมอออมด้วยนะจบจากศิริราชเหมือนกัน”
“รู้จักกันแล้วครับ หมอออมอยู่ห้องตรงข้ามกับห้องผม”
“อ้าว งั้นเรอะ ดีแล้วล่ะ ทำความรู้จักกันไว้นะ ยังไงก็ต้องร่วมงานด้วยกัน”
“พี่วีรุ่นไหนหรือครับ” ธีทัตหันมาถามอย่างสนใจ
“124 ครับ” ปฐวีบอก
“ผม 127 โอ้โห เราห่างกันตั้ง 9 ปีเลยหรือครับเนี่ย”

ธีทัตสวมเสื้อกาวน์สั้น ในมือถือสเตธ  กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังห้องฉุกเฉิน พยาบาล 2-3 คนหันมามองเมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป
“เอ่อ ผมชื่อธีทัตครับ เป็นอินเทิร์นมาใหม่...” ธีทัตแนะนำตัว
“อ้อ หมอออมใช่มั้ยคะ” พยาบาลสาววัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยภาษาไทยสำเนียงทองแดง
“ครับ”
“รู้แล้วค่า พี่ชื่อพิสมัย เรียกพี่ไหมก็ได้ ฮาย ตัวจริงหล่อหวาในรูปหล่าว”
“รูปอะไรเหรอครับ” ธีทัตถามด้วยความงุนงง
“ก็ใบส่งตัวหมอออมไง มันมีรูปอยู่ด้วย พอทุกคนเห็นรูปก็กรี๊ดกันยกใหญ่ โรงพยาบาลเราไม่มีหมอหล่อๆ มานานแล้ว”
“ตั้งแต่หมอวีก็ไม่มีเลยเนอะ” จินตนาพยาบาลรุ่นราวคราวเดียวกับพิสมัยบอก
“เวรดึกวันนี้ก็สบายๆ นะคะหมอ ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรหรอก ถ้าไม่ใช่สงกรานต์หรือปีใหม่จะไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ หมอจะนั่งที่โต๊ะตรงโน้นหรือจะมานั่งกับพี่ก็ได้นะคะ”
ธีทัตหัวเราะเบาๆ เขาเดินไปนั่งโต๊ะตัวนั้นแทนคำตอบ


โรงงานแปรรูปน้ำยางสดบรรยากาศเงียบเหงาเมื่อคนงานและพนักงานกลับกันหมดแล้ว กันยกรยังคงทำงานอยู่ในสำนักงาน กว่าทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยก็เป็นยามโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ชายหนุ่มลุกขึ้นปิดคอมพิวเตอร์ สำรวจความเรียบร้อยก่อนจะปิดไฟและออกจากห้อง เขาแวะทักทายยามที่ทำงานกะดึกเฝ้าโรงงานแล้วจึงเดินไปยังรถคันใหญ่ที่จอดด้านหน้าโรงงาน ระหว่างที่ขับรถออกมาจากโรงงานนั้นกันยกรนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง จึงหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายตรงทางแยกไปยังบ้านของคนงานคนหนึ่ง
นายเสมกำลังกินข้าวเย็นกับครอบครัว เมื่อเห็นรถของกันยกรเลี้ยวเข้ามาในบ้านเขาก็วางมือจากอาหารก่อนจะออกไปต้อนรับผู้เป็นนาย
“น้าเสมอยู่บ้านมั้ยครับ” กันยกรทักทาย
“ขอโทษที่มาเอาตอนนี้นะน้าเสม”
“นายหัวมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ” เสมถามพลางเลื่อนแก้วน้ำให้กันยกร
 “ผมอยากจะทราบว่ามีใครเปลี่ยนท่อน้ำในสวนผลฝั่งทิศเหนือหรือยังครับ...”
กันยกรหยุดนิดหนึ่งเมื่อลูกชายคนเล็กของนายเสมวัย 7 ขวบเข้ามาเกาะขา ชายหนุ่มลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู
“ป๋อง จะไปเล่นที่ไหนก็ไปไป๊ พ่อจะคุยเรื่องงานกับนายหัว” เด็กชายว่าง่ายปล่อยแขนที่เกาะยาวไปเล่นนอกบ้านตามประสาเด็ก
“เอ น่าจะเป็นไอ้ชัยนะครับ ทำไมหรือครับ”
“วันนี้มีคนบอกว่าน้ำยังซึมไปอยู่ พรุ่งนี้ให้คนที่รับผิดชอบฝั่งทิศเหนือมาเบิกเงินค่าท่อพีวีซีด้วยนะครับ”
กันยกรคุยกับนายเสมอยู่นานพอสมควร นายเสมจึงขอตัวไปหยิบบัญชีที่ตัวเองทำไว้ในบ้าน ระหว่างที่นั่งรออยู่นั้นกันยกรมองไปรอบๆ ตัวบ้าน เด็กชายป๋องยังคงเล่นอยู่นอกบ้าน ชายหนุ่มตะโกนบอกให้ระวังสัตว์เลื้อยคลานเพราะเริ่มมืดแล้ว แต่เด็กชายตอบกลับมาว่าไม่ต้องห่วง กันยกรหยิบมือถือขึ้นมาดู พราวพิชชาส่งไลน์มาบอกว่าหลี่อี้จะมาสุราษฎร์วันพรุ่งนี้ ยังไม่ทันจะได้ตอบกลับเสียงร้องของป๋องก็ดังขึ้น กันยกรตกใจ รีบพุ่งไปหาทันที
   “ป๋อง เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” ป๋องทำหน้าเหยเก
   “หนูโดนงูกัด หนูเจ็บ” กันยกรเห็นรอยเขี้ยวสองรูบนขาของเด็กชาย มองไปรอบๆ เห็นงูเห่าตัวหนึ่งกำลังเลื้อยหนีเข้าป่า นายเสมเพิ่งจะวิ่งออกมาจากบ้าน
“ป๋องโดนงูกัด เอาผ้าหรือเชือกมาด่วนเลย”
นายเสมวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน ไม่นานก็ถือเชือกเส้นหนึ่งติดมือมาด้วย กันยกรรีบรัดเชือกเหนือแผลและขันชะเนาะ เขารีบอุ้มเด็กชายขึ้นรถ
“เสมไปโรงพยาบาลกับผม คอยขันชะเนาะแผลไว้ด้วย”
กันยกรรีบสตาร์ทรถขับออกไปยังโรงพยาบาลทันที โชคทีที่บ้านของเสมไม่ไกลจากตัวเมืองมากนักและเป็นเวลาใกล้ค่ำรถในตัวเมืองจึงมีไม่มาก ทำให้มาถึงโรงพยาบาลในเวลารวดเร็ว เขาจอดตรงหน้าห้องฉุกเฉินแล้วรีบอุ้มเด็กลงไป
“เด็กถูกงูกัดครับ” กันยกรบอกบุรุษพยาบาลที่เข็นเตียงออกมารอรับ เขารีบก้าวขายาวๆ ตามเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
“อ้าว นายหัว มีใครเป็นอะไรนิ” พิสมัยถามขึ้นเมื่อเห็นกันยกร
“เป็นอะไรครับ” นายแพทย์หนุ่มประจำห้องฉุกเฉินถามขึ้น
“เด็กถูกงูกัดครับหมอ” กันยกรรีบตอบ
“นานหรือยังครับ” แพทย์หนุ่มถามอย่างใจเย็น พลางก้มลงดูแผล
“ประมาณ 10 ไม่สิ 15 นาทีที่แล้ว”
แพทย์หนุ่มได้แต่พยักหน้า เขากระตุกปมเชือกที่รัดเหนือแผลออก กันยกรร้องโวยขึ้นมาทันที
“เฮ้ย หมอเอาเชือกออกทำไม เดี๋ยวพิษก็แล่นเข้าหัวใจหรอก”
“โดนงูอะไรกัดครับ” หมอหนุ่มยังถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เอ่อ...” กันยกรเงียบ กำลังนึกถึงงูตัวที่เลื้อยกลับเข้าในป่า
“น่าจะเป็นงูเห่ามั้งครับ ผมเห็นงูเห่าเลื้อยหนีเข้าป่า”
“คุณยังไม่รู้เลยว่าเด็กโดนงูอะไรกัด การปฐมพยาบาลที่คุณทำมันเป็นวิธีที่ผิด เอาเชือกรัดไว้นานๆ จะทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงที่ขา ถ้านานเข้าเซลล์อาจจะตายทำให้ต้องตัดขา นั่นอันตรายกว่าพิษงูเยอะ”
กันยกรรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าจนชา หน้าแดงไปจนถึงใบหู เขาจ้องหมอหนุ่มคนนี้เขม็ง มันเป็นสายตาที่คนงานต่างบอกต่อกันว่าเป็นสายตาพิฆาตแต่สิ่งที่ได้รับตอบก็คือการมองตากลับโดยไม่ได้เกรงกลัวสายตาของเขาแม้แต่นิดเดียว
“โอเค เตรียมเซรุ่มรวมด้วยนะครับ” ธีทัตหันไปบอกจินตนา
“ส่วนคุณ ญาติคนไข้กรุณาออกไปรอข้างนอกด้วยนะครับ”
“นายหัวรอข้างนอกก่อนนะคะ หมอฉีดเซรุ่มให้แล้วต้องรอดูอาการประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วลูกแกไปทำพรื่อถึงได้โดนงูขบ” ประโยคหลังพิสมัยหันไปถามนายเสมด้วยภาษาถิ่นใต้ขณะเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
กันยกรนั่งรอข้างนอกด้วยความรู้สึกหลากหลายปนกัน อย่างแรกคือเขารู้สึกเสียหน้าและอับอายที่โดนหมอคนนั้นบอกว่าการปฐมพยาบาลของเขาทำผิดวิธี อย่างที่สองคือหมอคนนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวสายของเขายามโกรธที่ใครๆ ต่างก็บอกว่ามันดูน่ากลัว ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อคนได้เลย หมอคนนั้นไม่กลัวเขาเลยสักนิด ตาเรียวเล็กใต้แว่นกรอบดำนั่นเสียอีกที่มองกลับมาทำให้เขารู้สึกสะท้าน
“ไหม หมอคนนั้นคือใคร ทำไมไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” กันยกรถามพิสมัยเมื่อหล่อนเดินตามออกมาถึงนอกห้องฉุกเฉิน
“อ๋อ เป็นหมอมาใหม่ค่ะ มาทำงานใช้ทุนที่นี่”
“ชื่ออะไร”
“ชื่อ ออ...”
ยังไม่ทันที่พิสมัยจะตอบคำถามของกันยกรก็โดนเรียกกลับเข้าไปยังห้องฉุกเฉินตามเดิม เธอเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อเข้ามาในห้องฉุกเฉิน ธีทัตกำลังฉีดเซรุ่มให้กับผู้ป่วย
“พี่ไหมรู้จักพ่อเด็กด้วยเหรอครับ” ธีทัตถามพิสมัยขณะที่ใส่เครื่องช่วยหายใจให้เด็ก
“รู้จักค่ะ พ่อเด็กกรีดยางในสวนของนายหัวกันย์ อ้อ คนที่ตัวสูงๆ ตัวใหญ่ๆ น่ะค่ะ คนนั้นชื่อนายหัวกันย์ เมื่อก่อนพ่อกับแม่พี่ก็กรีดยางให้สวนเค้าเหมือนกัน สมัยที่นายหัวเกียรติพ่อของนายหัวกันย์ยังไม่ตาย พ่อเค้าใจดีมากเลยนะคะ ให้พี่ยืมเงินมาเรียนพยาบาลด้วย” พิสมัยตอบยาวเหยียด
“อ๋อ นายคนนั้นเป็นคนมีอิทธิพลแถวนี้เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ แต่แกไม่ใช่มีอิทธิพลแบบนักเลงนะคะ แกมีสวนหลายไร่ค่ะ ทั้งสวนยาง สวนผลไม้ สวนปาล์ม โรงงานน้ำยางทางไปพุนพินก็ของนายหัวนี่แหละค่า อ้อ แกเป็นนายกสมาคมชาวสวนยางด้วยนิ”
“เป็นเยอะจังเลยนะครับ”
พิสมัยไม่เข้าใจน้ำเสียงประชดประชันของธีทัต เธอจึงคุยจ้อเล่าเรื่องต่อไปอีกหลายนาที ทำให้ธีทัตรู้ว่านายหัวที่ชื่อกันยกรคนนี้เป็นลูกชายคนโต ก่อนหน้านี้ไปทำงานที่อื่นซึ่งพิสมัยเองก็ไม่แน่ใจว่าที่ไหน แต่สุดท้ายก็ยอมกลับมาทำสวนต่อหลังจากนายหัวสมเกียรติเสียชีวิต
เวลาผ่านไปจนครบสองชั่วโมง ป๋องไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่นั่นไม่ได้หมายถึงสามารถกลับบ้านได้ ธีทัตเดินมาดูอาการของเด็กชายที่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ สีหน้าดีขึ้นแต่ยังต้องอยู่ในการดูแลของหมอ
“ผมว่าแอดมิดเลยดีกว่า รอดูอาการสักวันสองวัน ถ้าไม่มีอาการก็ให้กลับบ้านได้” ธีทัตบอกพิสมัย หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย ธีทัตเม้มปากชั่งใจว่าจะไปบอกกันยกรด้วยตัวเองดีหรือจะให้พิสมัยบอกเอง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็นึกถึงจรรยาบรรณของแพทย์ที่แม้จะไม่ชอบหน้าผู้ชายคนนั้นสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
ธีทัตผลักประตูห้องออกมา กันยกรที่นั่งเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นหมอเขาก็รีบลุกขึ้นยืน แววตาที่จ้องเขม็งค่อยคลายลง
 ‘ผู้ชายคนนี้ตัวสูงจัง’ ธีทัตคิดในใจ เขาคิดว่าตัวเองที่สูงถึง 180 ซม.ก็สูงแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้ตัวสูงกว่าเขา นั่นแสดงว่าต้องสูงเกือบสองเมตรแน่นอน
“เด็กเป็นยังไงบ้างครับ” กันยกรถามทันทีเมื่อธีทัตออกมาจากห้องฉุกเฉิน
“ปลอดภัยแล้วครับ ให้เซรุ่มแล้วไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่ผมคงต้องให้อยู่โรงพยาบาลสัก 2 วันเพื่อรอดูอาการ ถ้าไม่แพ้ก็กลับบ้านได้”
“ขอบคุณมากนะครับหมอ” เสมจับมือธีทัต
“ขอบคุณนะครับ” กันยกรบอก
“ใครบอกคุณว่าถ้าถูกงูกัดแล้วต้องรัดเหนือแผล” ธีทัตถาม
“ก็...สมัยเรียนลูกเสือตอนเด็กๆ ไงครับ”
หมอหนุ่มถอนหายใจ
“เฮ้อ ก็สอนกันผิดๆอย่างนี้แหละ คนถึงจำเอามาใช้อย่างผิดๆ วันหลังห้ามทำแบบนี้อีกนะครับ มันอันตราย พวกคุณกลับไปพักก่อนเถอะครับแล้วค่อยมาเยี่ยมเด็กใหม่วันพรุ่งนี้” พูดจบธีทัตก็เดินกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากันยกรกำลังมองเขาอยู่
‘นพ. ธีทัต ลีพานิชสกุล’ กันยกรทวนชื่อหมอหนุ่มอยู่ในใจด้วยความสนใจ

หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 2 |
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 29-04-2018 20:28:39
มาสั้นจัง  :katai1: อยากอ่านยาวๆนี่นา TT
เขาเจอกันล้าวววว  :hao6: :o8:
หมอออมมมม หมอเพิ่งมาใหม่ไม่ควรไปพูดแบบนั้นกับนายหัวกัยน์หรือใครๆรู้ไหม
ถ้าไม่หล่อแบบนี้เรียกว่าสร้างศัตรูนะ   :a5:
หรือเพราะอีโก้ที่จบเกียรตินิยมเลยทำให้เป็นคนแบบนี้ (ในชีวิตเราเคยเจอกับตัวครั้งนึง หมอหล่อแต่หยิ่ง พูดกวนๆแบบนี้ล่ะ โคตรไม่ชอบเลย)  :mew5:
พี่ไหม...คิดถึงโอปอล์ เรื่องเพื่อนสนิทอ่ะ :m20:

ปล.รุ่น124-127 ห่างกัน 9 ปีนี่ผิดปะครับ  :katai5:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 2 |
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 29-04-2018 20:37:50
ติดตามต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 2 |
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-04-2018 10:42:15
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 2 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 30-04-2018 22:39:46
มาสั้นจัง  :katai1: อยากอ่านยาวๆนี่นา TT
เขาเจอกันล้าวววว  :hao6: :o8:
หมอออมมมม หมอเพิ่งมาใหม่ไม่ควรไปพูดแบบนั้นกับนายหัวกัยน์หรือใครๆรู้ไหม
ถ้าไม่หล่อแบบนี้เรียกว่าสร้างศัตรูนะ   :a5:
หรือเพราะอีโก้ที่จบเกียรตินิยมเลยทำให้เป็นคนแบบนี้ (ในชีวิตเราเคยเจอกับตัวครั้งนึง หมอหล่อแต่หยิ่ง พูดกวนๆแบบนี้ล่ะ โคตรไม่ชอบเลย)  :mew5:
พี่ไหม...คิดถึงโอปอล์ เรื่องเพื่อนสนิทอ่ะ :m20:


ปล.รุ่น124-127 ห่างกัน 9 ปีนี่ผิดปะครับ  :katai5:

- หมอออมนางมีอีโก้ค่ะ แต่นิดเดียวเท่านั้นแหละค่ะ นางจะออกแนวรำคาญนายหัวกันย์มากกว่าที่ปฐมพยาบาลแบบผิดๆ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ ส่วนอีตานายหัวนี่รู้สึกเสียหน้ามากกว่าค่ะ ปกตินางจะเป็นผู้นำมีแต่คนเกรงใจตลอด มาเจอหมอหน้าอ่อนแหกหน้าเข้าใจ รู้สึกเจ็บใจนิดๆ  :angry2:
- ใช่ค่ะ หมอออมกับหมอวีห่างกัน 9 ปีค่ะ หมอออมอายุ 23 หมอวีอายุ 32  o13
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 3 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 30-04-2018 22:47:32
ตอนที่ 3

   กันยกรขับรถออกจากโรงพยาบาลกลับมาถึงบ้านในเวลาเกือบเที่ยงคืน ป๋องยังคงอยู่ที่โรงพยาบาลคงใช้เวลา 2-3 วันกว่าจะกลับบ้านได้ ร่างบางของพราวพิชชาตรงมายังโรงจอดทันทีที่เขาดับเครื่องยนต์สนิท
   “พี่กันย์หายไปไหนมา กลับดึกเอาป่านนี้ พราวไลน์ไปก็ไม่ยอมตอบ” หล่อนชักสีหน้าบึ้งนิดหนึ่ง
   “พี่ไปบ้านน้าเสมมา ที่ไม่ได้ตอบไลน์เพราะกำลังยุ่ง ป๋องโดนงูกัดพี่เลยพาไปโรงพยาบาล”
   “อ้าว” หญิงสาวหน้าเจื่อนลงนิดหนึ่งเมื่อได้รู้ความจริง “แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ”
   “ปลอดภัยแล้วล่ะ แต่ยังอยู่ที่โรงพยาบาล หมอบอกว่ารอดูอาการสักวันสองวัน” กันยกรบอก พลางนึกถึงหมอหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมแว่นกรอบดำใบหน้าอ่อนเยาว์
   “พี่กันย์ยังไม่ได้กินข้าวเย็นนี่นา หิวมั้ยคะ เดี๋ยวพราวยกมาให้” พราวพิชชาเอ่ยอย่างเอาใจ กันยกรเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้กินข้าวเย็น จึงพยักหน้าแล้วนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
   “เอามาเลยละกัน พี่หิวแล้ว”
ร่างบางเล็กหายไปในครัวขณะหนึ่งก็กลับมาพร้อมสำรับอาหารเย็นลงบนโต๊ะอาหาร กันยกรตักข้าวสวยร้อนๆ และฟักทองผัดไข่เข้าปากอย่างหิวโหย
“พรุ่งนี้หลี่อี้จะมาเมืองไทยค่ะ” พราวพิชชาบอกกันยกรด้วยน้ำเสียงเง้างอน
“ก็ดีแล้วนี่นา มีปัญหาอะไรก็คุยกันให้เข้าใจ พราวจะหนีปัญหาตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”
“พราวเบื่อนี่นา หลี่อี้เป็นผู้ชายที่น่ารำคาญที่สุดในโลก อยากจะหนีมาอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตให้มันรู้แล้วรู้รอด” เธอนึกถึงความน่ารำคาญของสามีที่จะต้องพบเจอในวันรุ่งขึ้น
“มาอยู่บ้านพี่ ไม่กลัวพี่หน้ามืดเผลอปล้ำเอารึไง” กันยกรพูดติดตลก
พราวพิชชาหัวเราะร่วน แต่แล้วก็แอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอมองชายหนุ่มที่กำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยฝั่งตรงข้าม หากสามารถขอพรได้เพียงข้อเดียวพราวพิชชาอยากจะขอพรให้กันยกรรักเธอ แต่มันก็เท่านั้นในเมื่อเธอรู้ดีว่ากันยกรเป็น ‘แบบ’ ไหน และคิดกับเธอเพียงแค่น้องสาวเท่านั้น
“พี่อิ่มแล้วล่ะ พราวขึ้นไปนอนเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการทั้งหมดเอง” กันยกรรวบช้อนส้อม พลางเก็บจานชามที่ว่างเปล่าด้วยตัวเอง
“อย่านอนดึกนักนะคะ พรุ่งนี้พี่ต้องตื่นแต่เช้าอีก”
พราวพิชชากลับขึ้นไปยังห้องนอนของเธอ เมื่อร่างบางลับตาไปแล้วชายหนุ่มร่างสูงล่ำสันก็ถอนหายใจเบา ๆ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดไปที่แอพลิเคชั่นกูเกิลแล้วพิมพ์ชื่อ ธีทัต ลีพานิชสกุล ยังคงคิดอยู่ในหัวสมองของเขา ผลลัพธ์ที่ขึ้นมาทำให้กันยกรถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะสิ่งที่ปรากฏขึ้นมานั้นเป็นข่าวที่เกี่ยวกับการศึกษาของธีทัตทั้งสิ้น

‘เด็กเตรียมฯ เจ๋ง คว้าเหรียญทองชีวะโอลิมปิก ธีทัตนำทีมเด็กเตรียมคว้าเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการ...’
‘สุดเจ๋ง!! มารู้จักกับ ธีทัต ลีพานิชสกุล ที่ 1 กสพท.’
‘ธีทัต ลีพานิชสกุล นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 คว้าที่ 1 งานประกวดวิจัยสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์’
‘ออม-ธีทัต เผยเคล็ดลับสอบติดแพทย์อันดับ 1 ของประเทศไทย’


กันยกรเลือกเข้าไปอ่านข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเกี่ยวกับการศึกษาที่สัมภาษณ์ธีทัตสมัยยังเป็นนักเรียนมัธยม 6 เด็กหนุ่มใบหน้าขาวผ่องในวัยนั้นตัดผมรองทรงสูง ดวงตาเรียวเล็กอยู่ใต้แว่นกรอบกระยังคงส่องประกายในแบบที่กันยกรคิดว่านี่คือความหยิ่งจองหอง กันยกรค่อยๆ อ่านข่าวทีละบรรทัดจนจบ

ประกาศกันไปแล้วสำหรับคะแนน กสพท  ประจำปี 2554 วันนี้เราได้คิวสัมภาษณ์ น้องออม-ธีทัต ลีพานิชสกุล เจ้าของคะแนนสูงสุดอันดับ 1 ในการสอบกสพท. โดยมีสถิติคะแนนถึง 90.53 ทำลายสถิติคะแนนกสพท.ในรอบ 13 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย น้องออมจบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาสายวิทย์-คุณภาพชีวิต เกรดเฉลี่ยถึง 3.9 เลยทีเดียว และยังเคยได้เหรียญทองจากชีวะโอลิมปิกอีกด้วย ว้าว! เก่งมากเลยใช่ม้า เอาล่ะ อย่ารอช้าเลย ไปฟังเคล็ดลับเรียนเก่งจากน้องออมกันเถอะ!!
ความรู้สึกหลังจากที่รู้คะแนนเป็นยังไงบ้างคะ ?
•   รู้สึกดีใจครับ เพราะผมคิดว่าผมเตรียมตัวมาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่พอรู้ว่าได้คะแนนอันดับ 1 ก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยครับ
น้องออมรู้ตัวว่าอยากเป็นหมอตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ครอบครัวมีส่วนไหม?
•   ตั้งแต่คุณปู่ป่วยครับ ตอนนั้นผมอยู่ม. 3 ตอนแรกตั้งใจว่าโตขึ้นอยากจะเรียนบริหารเหมือนพี่ชาย เพื่อที่จะได้มาช่วยกิจการของครอบครัว แต่พออยู่ในเหตุการณ์ที่คุณปู่จากเราไปต่อหน้าต่อตา ก็เปลี่ยนความคิดตั้งแต่นั้นมาก อยากจะเป็นหมอรักษาคนไข้ ผมมีความฝันอยากจะเปิดคลินิกเพื่อการกุศลด้วยครับ แต่แค่คิดนะครับ (หัวเราะ)
หลังจากรู้ตัวเองแล้ว น้องออมเตรียมตัวตั้งแต่ตอนไหน และเตรียมตัวอย่างไรบ้างคะ?
•   ผมเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ม.3 เลยครับ พอรู้ว่าอยากจะเรียนหมอก็เตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนเตรียมสายวิทย์ ผมตั้งใจเลือกสายวิทย์คุณภาพชีวิตอยู่แล้วครับ
ตารางการอ่านหนังสือของน้องออมเป็นแบบไหนคะ?
•   ผมเน้นอ่านทุกวันครับ ทบทวนบทเรียนที่เรียนมาในแต่ละวัน จะอ่านวิชาละ 2 ชั่วโมงครับ อันนี้สำคัญมากครับ อาจจะเบื่อบ้างแต่ก็ต้องอ่านทุกวัน
การเลือก 4 อันดับในกสพท.*มีอะไรบ้างคะ?
       - อันดับที่1คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  อันดับที่ 2 คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี อันดับที่ 3 คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล และอันดับที่4 สถาบันแพทยศาสตร์ครับ ผมเลือกมหาวิทยาลัย M หมดเลย เพราะมีชื่อเสียงทางด้านแพทยศาสตร์อยู่แล้ว อีกอย่างผมเคยอ่านวิจัยของมหาวิทยาลัย M แล้วรู้สึกชอบ อยากเขียนงานวิจัยได้เก่ง ๆ แบบนี้บ้าง เลยเลือกมหาวิทยาลัย M หมดเลย…


    กันยกรอ่านไม่ทันจบก็ปิดมือถือแล้วขมวดคิ้วมุ่น พลางคิดในใจ ‘คนห่าอะไรจะเก่งขนาดนี้วะ’ พลางก็นึกถึงสายตาว่างเปล่าที่มองมายังตนเองแล้วรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดทั้งหมดออกไปก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ เพราะเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียและง่วงนอนขึ้นมาเสียดื้อๆ
   “ฮ้าด เช้ยยย” ธีทัตจามเสียงดัง โชคดีที่ออกเวรและกลับมายังห้องพักแล้ว เขายกนิ้วขึ้นขยี้จมูกนิดหนึ่ง ‘หรือว่าจะติดหวัดจากโรงพยาบาลแฮะ’ ธีทัตตัดความคิดนี้ออกไปเพราะเขาเป็นคนที่ล้างมือทุกครั้งหลังตรวจ และหมั่นใช้แอลกอฮอล์ล้างมือเสมอ ร่างสูงโปร่งเดินตรงไปยังห้องครัว เปิดตู้เย็นแล้วหยิบอาหารแช่แข็งที่ตัวเองซื้อตุนมาไว้เข้าไมโครเวฟ ส่วนตัวเองก็ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดโยนลงตะกร้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างไม่อายใคร เพราะอยู่ในห้องส่วนตัว
   น้ำอุ่นจากฝักบัวคอยไล่ความเหนื่อยล้าออกไปเกือบหมด พลันใบหน้าคมเข้มของผู้ชายร่างสูงล่ำสันก็เข้ามาในสมอง ธีทัตลืมตาขึ้นทันที อมยิ้มนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงสีหน้าที่ถอดสีของชายคนนั้นเมื่อเขาบอกว่าผู้ชายคนนั้นทำการปฐมพยาบาลผิดวิธี ธีทัตรู้ได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง และไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครเป็นอันขาด ชายหนุ่มรู้สึกสะใจนิดๆ ที่ได้ฉีกหน้ากันยกรต่อหน้าพยาบาลหลายคน หลังจากอาบน้ำเสร็จธีทัตแต่งตัวด้วยเสื้อยืดคอย้วยกับกางเกงขาสั้น กำลังจะกินข้าวกล่อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ชายหนุ่มชะงักช้อนในมือก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตู ปฐวียิ้มให้อย่างอ่อนโยน พลางยื่นถุงอะไรบางอย่างมาให้
   “พี่ซื้อโจ๊กมาฝาก เจ้านี้อร่อยที่สุดในตลาดแล้วล่ะ เวรดึกเป็นไงบ้าง”
   “ไม่แย่เท่าไหร่ครับ เว้นแต่...” ธีทัตเว้นวรรคนิดหนึ่ง นึกถึงชายหนุ่มร่างสูงล่ำสัน ใบหน้าคมกรำแดดมีไรหนวดขึ้นมาทันที แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่พูดออกไป
“เว้นแต่อะไร” ปฐวีถาม
“อ้อ เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอกครับ ขอบคุณสำหรับโจ๊กนะครับ ผมจะเก็บไว้กินพรุ่งนี้เช้า”
“กินซะเลยสิ เก็บไว้ค้างคืนไม่อร่อยนะ”
“ผมอุ่นข้าวแล้วน่ะครับ ผมหิวมากอยากกินข้าวให้หนักท้องมากกว่า โจ๊กนี่ผมเก็บไว้กินตอนเช้าดีกว่าครับ”
“อ้าว งั้นเหรอ พี่ไปนอนก่อนนะ เจอกันพรุ่ง” ปฐวีส่งยิ้มให้นึกโกรธตัวเองที่น่าจะชวนคุยให้มากกว่านี้
**************************************************************************************************
กันยกรลงบันไดมาจากชั้นสองเดินตรงไปยังโต๊ะอาหารเช้า พราวพิชชากำลังกินอาหารเช้าอยู่ หญิงสาวส่งยิ้มกว้างเมื่อชายหนุ่มนั่งลงตรงข้ามเธอ
“วันนี้มีอะไรกินบ้างเนี่ย” กันยกรถาม พลางมองอาหารที่ตั้งอยู่เต็มโต๊ะ เขาเดาว่าพราวพิชชาออกไปซื้อมาจากตลาดในตอนเช้า
“ข้าวเหนียวไก่ทอด ข้าวหมกไก่ ข้าวยำ โจ๊ก อ้อ มีปาท่องโก๋ ชาร้อน กาแฟร้อนด้วย พี่กันย์อยากกินอะไรคะ”
“โอ้โห ทำไมซื้อเยอะมาขนาดนี้ จะกินหมดรึเปล่าเนี่ย”
“พราวอยากกินนี่คะ ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว ที่สิงคโปร์ไม่มีอะไรพวกนี้ให้กินหรอกค่ะ”
กันยกรหยิบห่อข้าวหมกไก่มาแกะใส่จาน ข้าวหมกสีเหลืองนวลพร้อมด้วยน่องไก่ชิ้นใหญ่ โรยหน้าด้วยหอมเจียวหอมกรุ่น พราวพิชชาเลื่อนถ้วยซุปไก่ร้อน ๆ มาให้เขา
“พราวซื้อซุปไก่มาด้วย จะได้ซดคล่องคอ”
กันยกรซดน้ำซุปกลมกล่อมลงคอ พราวพิชชาช่างสรรหาอาหารอร่อยได้ถูกใจเขาจริง ๆ แวบนึงเขานึกอิจฉาหลี่อี้ที่ได้ภรรยาช่างเอาอกเอาใจอย่างพราวพิชชา กานดาเดินลงมาจากชั้นสองกันยกรขมวดคิ้วนิดหนึ่ง
“เอ๊ะ แม่แต่งตัวจะออกไปไหนเหรอครับ”
“แม่มีนัดหมอไง อย่าบอกนะว่ากันย์ลืมไปแล้ว”
“เออ ผมลืมจริง ๆ ด้วยครับ” กันยกรเกาหัว “งั้นเดี๋ยวผมจะให้สันต์เข้าไปที่โรงงานแทนละกันครับ แม่กินข้าวก่อนสิครับ”
“ไม่ได้ แม่มีนัดหมอเบาหวาน หมอให้อดข้าวอดน้ำแล้วเจาะเลือดไง กันย์นี่ยังไงกันนะขี้ลืมจริงๆ”
“พราวขอไปด้วยนะคะ ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว”
“งั้นก็ขึ้นไปเปลี่ยนชุดหน่อย” กันยกรมองหญิงสาวที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น พราวพิชชาตะเบ๊ะรับคำก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องของตัวเอง

ร่างสูงโปร่งในเสื้อกาวน์สั้นก้าวขาฉับๆ ด้วยความรวดเร็ว ธีทัตเพิ่งราวด์วอร์ด**  อายุรกรรมเสร็จแล้วกำลังจะไปยังหอผู้ป่วยนอก เขาเดินสวนกับพิสมัยที่หน้าแผนกอายุรกรรม หล่อนทักเขาด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย
“วันนี้หมอออมออกโอพีดี*** แทนหมอปิงน่อ”
“ครับ” ธีทัตตอบสั้นๆ แล้วเดินไปล้างมือก่อนจะเข้าไปประจำที่โต๊ะในห้อง เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก่อนทำงาน หน้าจอแจ้งเตือนข้อความไลน์ ‘สู้ๆนะคะ หมอออมลูกรักของแม่’ ผู้ที่ส่งมาคือจารวี มารดาบังเกิดเกล้าของเขานั่นเอง ธีทัตอยากจะพิมพ์ตอบกลับยาวๆ แต่ก็ทำได้เพียงตอบแค่ว่า ครับผม เท่านั้น ชีวิตการทำงานเป็นหมอเต็มตัวทำให้ธีทัตสูญเสียเวลาส่วนตัวไปอย่างมาก แต่เขาก็เต็มใจเพราะเป็นหนทางที่เขาเลือกไว้แล้ว
“หมอออมคะ อันนี้แฟ้มคนไข้ค่ะ” พยาบาลคนหนึ่งหอบแฟ้มคนไข้ปึกใหญ่เข้ามาให้เขา ชายหนุ่มพยักหน้า หยิบแฟ้มที่อยู่บนสุดขึ้นมาดู นางกานดา ธรรมสรณ์ เขาเปิดแฟ้มอ่านคร่าวๆ
“คุณกานดาค่ะ” เขาได้ยินพยาบาลหน้าห้องเรียกชื่อผู้ป่วย สักครู่หนึ่งประตูก็ถูกเปิดออก
หญิงวัยกลางคนปลายๆ คนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง หล่อนยกมือไหว้ธีทัต ชายหนุ่มรับไหว้ตอบแล้วจึงผายมือให้หล่อน
“เชิญนั่งครับ”
คนไข้ที่ชื่อกานดายังไม่ทันจะนั่งลงตรงข้าม ก็มีร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินตามหล่อนเข้ามา ธีทัตจำหน้าเขาได้ทัน ผู้ชายตัวสูง ล่ำสัน ใบหน้าคมคาย ไรหนวดเขียวครึ้มขึ้นรอบริมฝีปากและคาง...คนที่เขาเจอเมื่อคืนนี้ ธีทัตมองเห็นความตกใจในแววตาของเขาแวบนึง แค่แวบนึงจริง ๆ สายตาคมก็กลับเป็นปกติ ชายหนุ่มร่างสูงยังไม่ทันปิดประตูก็มีหญิงสาวอีกคนเดินตามหลังเขามา หญิงสาวผิวขาวนวล ร่างเล็กบาง เธอยกมือไหว้หมอหนุ่มแล้วยิ้มให้เขา
‘นี่แห่กันมาทั้งบ้านเลยรึไงเนี่ย’ ธีทัตคิดในใจ
คนไข้นั่งลงตรงข้ามธีทัต หล่อนเอ่ยขึ้นก่อนอย่างเกรงใจ “ขออนุญาตให้ลูกชายเข้ามาด้วยนะคะ เขาอยากรู้ว่าป้าเป็นอะไรบ้าง”
“อ้อครับ ไม่มีปัญหาครับ” ธีทัตบอก พยายามไม่หันไปมองหน้าผู้ชายร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง เคียงข้างกับหญิงสาว ธีทัตคาดเดาว่าทั้งสองน่าจะเป็นคู่รักกัน
“วันนี้คุณหมอวัชรพรติดธุระนะครับ ผมก็เลยมาแทน เอาละครับ อืม...คุณป้าเจาะเลือดมาแล้วใช่มั้ยครับ ผมขอดูผลเลือดก่อนนะครับ” แพทย์หนุ่มพลิกไปดูกระดาษใบหนึ่งที่แนบไว้หน้าปกแฟ้ม
“ผลเลือดอยู่ในเกณฑ์ดีนะครับ แต่คุณป้าต้องลดอาหารรสจัดลงหน่อย อ้อ มีโรคความดันด้วยเหรอครับ ยาหมดหรือยังครับ ผมจะได้จ่ายยาให้ทีเดียวเลย” ธีทัตขยับเข้าใกล้กานดา ทาบสเตธบนอกด้านซ้าย
“ใกล้จะหมดแล้วค่ะ เอ...คุณหมอชื่ออะไร ป้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” กานดาถาม นึกเอ็นดูในความน่ารัก มีน้ำใจของหมอหนุ่มคนนี้
“เอ่อ...ธีทัตครับ” ธีทัตตอบ เขาสัมผัสได้ว่าผู้ชายร่างสูงกำลังจ้องมองเขาอยู่
“ชื่อเล่นละคะ” กานดาถามอีก
“ออมครับ”
“อ้อ หมอออม” กานดายิ้มให้ธีทัตอย่างเอ็นดู
“อายุเท่าไหร่คะเนี่ย หน้าตาเด๊กเด็ก เรียนจบแล้วหรือคะ” พราวพิชชาถามแทรกขึ้นมา
 “ผมจะจัดยาให้คุณป้าหนึ่งอาทิตย์นะครับ อาทิตย์หน้ามาพบหมออีกครั้งนะครับ” ธีทัตจรดนิ้วลงบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ
“เรียบร้อยนะครับ เอาแฟ้มนี่ไปยื่นให้พยาบาลหน้าเคาน์เตอร์นะครับ”
มือใหญ่หนายื่นเข้ามารับแฟ้ม มือขาวรีบชักกลับทันที เขาตีหน้าเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ขอบคุณนะครับ” กันยกรบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แฝงอะไรบางอย่าง
“ขอบคุณนะคะคุณหมอ” หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังยกมือไหว้แล้วยิ้มกว้างอวดฟันขาวให้เขา ธีทัตยิ้มตอบ กันยกรมองท่าทีของทั้งคู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาจึงตัดบทด้วยการเลื่อนบานประตูออกทันที
เมื่อทั้งคนไข้และญาติคนไข้ออกไปหมดแล้ว ธีทัตพ่นลมหายใจเบา ๆ  อย่างนึกรำคาญ แววตาของนายหัวจ้องมองเขาเหมือนจะจับผิด
‘นี่คงคิดว่าเราคิดอะไรกับเมียตัวเองแน่ๆ น่าสงสารผู้หญิงคนนั้นแฮะ หน้าตาก็ดีไม่น่ามาเป็นเมียไอ้นายหัวคนนี้เล้ย’

   “นี่พราว เมื่อกี้พี่เห็นนะว่าส่งยิ้มให้ไอ้หมอคนนั้นน่ะ” กันยกรกระซิบเสียงเบากับพราวพิชชาขณะที่กำลังรอรับยา
   “หมอเค้าน่ารักดีนะคะ หน้าเด๊กเด็ก น่าจะยังไม่ถึง 25” พราวพิชชากระซิบตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
   “แต่เรามีสามีแล้วนะ อย่าลืมสิ”
   “ฮ่าๆ ไม่แน่นะคะ พราวอาจจะเปลี่ยนใจมาชอบคนที่เด็กกว่าก็ได้ค่ะ” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงแล้วหัวเราะคิกคัก

*************************************************************************************
หมายเหตุ
*กสพท. คือ กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย
**ราวน์วอร์ด (Roundward) คือ การตรวจคนไข้ในหอผู้ป่วยใน โดยเดินดูทีละเตียง ส่วนใหญ่หมอจะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า
***โอพีดี (OPD) คือ การตรวจคนไข้ในหอผู้ป่วยนอก
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 2 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 30-04-2018 22:50:14
ติดตามต่อค่ะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตาม  :mew1:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 1 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 30-04-2018 22:50:57
o13

ขอบคุณนะคะที่ติดตาม  :mew1:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 2 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 30-04-2018 22:52:19
:L2: :pig4:

ขอบคุณนะคะที่ติดตาม  :mew1:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 3 |
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-04-2018 23:19:02
คนไม่ชอบกัน อะไรก็ดูลบไปหมดเลย

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 3 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 02-05-2018 15:10:54
คนไม่ชอบกัน อะไรก็ดูลบไปหมดเลย

 :L2: :pig4:

ขอบคุณค่ะที่ติดตาม รอดูต่อไปนะคะว่าจะชอบกันตอนไหน :mew4:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 3 |
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-05-2018 09:10:57
เดี๋ยววันนี้มาเม้นตอนที่3ให้นะครับ  :mew3: :katai3:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 3 |
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 04-05-2018 09:35:21
ติดตามต่อค่ะ

อยากรู้จะเริ่มชอบกันยังไง

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 3 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 04-05-2018 19:46:47
เดี๋ยววันนี้มาเม้นตอนที่3ให้นะครับ  :mew3: :katai3:

ขอบคุณนะคะที่ติดตาม จะรออ่านคอมเม้นต์นะคะ  o18
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 3 |
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-05-2018 20:03:54
หมั่นไส้ความเย่อหยิ่ง ความขี้เก็กของหมอออมอ่ะ  :katai1: ถ้าฉันเป็นนายหัวกันย์ฉันไม่มีทางสนใจนายหรอก รู้เอาไว้ด้วย 555 คนอ่านอิน  :sad4:
แพรว...รู้ว่านายหัวกันย์เป็นเกย์ถูกมั้ย เลยชักอยากจะรู้เลยว่ารู้ได้ยังไง รีบมาเฉลยนะครับคุณคนเขียน  :katai1:
ตอนแรกจะบอกว่าผัดฟักทองของโปรดเราเลยยย แต่พออ่านลงมาเรื่อยๆ อ้าวทั้งข้าวหมกไก่ ข้าวยำ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ โจ๊ก นี่ของโปรดเราทั้งนั้นนี่นา หิวเลยยย  :ling1: :katai5:
โอมม ตอนที่ 4 จงมา  :katai4: :hao3: :call:
หัวข้อ: Re: You're my Law of Attraction | ตอนที่ 4 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 04-05-2018 21:16:20
ตอนที่ 4

ทันทีที่รถเรนจ์โรเวอร์สีดำเขรอะไปด้วยฝุ่นโคลนขับไปตามถนนโรยกรวดที่ทอดไปยังตัวบ้านสองชั้นหลังใหญ่ เห็นได้ชัดเจนว่าบางส่วนของตัวบ้านถูกต่อเติมใหม่ ผู้ออกแบบสามารถทำให้ตัวบ้านเก่าเข้ากับส่วนใหม่ที่ต่อเติมได้อย่างเข้ากันดี กันยกรขับรถตรงไปยังโรงจอดรถที่อยู่ห่างตัวบ้าน ยังไม่ทันที่รถจะจอดสนิท ชายหนุ่มคนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากตัวบ้าน คิ้วเข้มที่พาดเฉียงขมวดมุ่นจนเป็นปม เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน สอดชายเสื้อไว้ในกางเกงยีนส์เนื้อดี ทรงผมที่จัดแต่งไว้เป็นทรงอย่างดีเริ่มยับยู่ยี่ กันยกรเดาว่าเขาคงขยี้หัวด้วยความหงุดหงิด ใบหน้าขาวใสตามแบบคนเชื้อสายจีนเริ่มแดงไปจนถึงใบหู ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศร้อนหรือเพราะความโกรธกันแน่
มิสเตอร์ แบรนดอน ฟางอี้ หลี่ หรือที่พราวพิชชาชอบเรียกสั้นๆว่า หลี่อี้ ทายาทตระกูลหลี่เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่ำรวยที่สุดในเกาะสิงคโปร์ มิสเตอร์ โรเบิร์ต ชี เซียง หลี่ บิดาของหลี่อี้เป็นนักธุรกิจที่นอกจากจะเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาฯ ในสิงคโปร์แล้ว ตระกูลหลี่ยังลงทุนในธุรกิจอื่นๆ บนเกาะฮ่องกง และไต้หวัน จนติดอันดับ 1 ใน 50 ตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย
 “ทำไมไม่บอกไอก่อนว่ายูจะกลับมาเมืองไทย รู้ไหมว่าทุกคนตามหากันให้ทั่ว ไอเกือบจะไปแจ้งความแล้วด้วย” ชายหนุ่มพูดเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงบริทิชรัวเร็วทันทีที่พราวพิชชาลงมาจากรถ แต่หญิงสาวได้แต่ทำสีหน้าเมินเฉยให้สามี
“เราเข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ” หลี่อี้เลิกคิ้ว ลืมตัวไปว่าตอนนี้เขาอยู่ในบ้านของกันยกร เจ้าของบ้านว่าอย่างไรเขาต้องว่าตาม พราวพิชชาเดินเชิดหน้าผ่านสามีของตัวเองไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง กันยกรถอนหายใจเบาๆ
เมื่อน้ำใบเตยเย็นกลิ่นหอมถูกเสิร์ฟตรงหน้า หลี่อี้ก็ยกขึ้นดื่มด้วยความกระหาย รสหวานหอมของน้ำใบเตยทำให้อารมณ์ร้อนของชายหนุ่มลดลง เขาหันมายิ้มให้กานดาเป็นเชิงขอบคุณ
 “ถ้าชอบก็เอาอีกแก้วก็ได้นะ ป้าทำไว้เยอะเลย พราวถามคุณหลี่สิว่าหิวหรือยัง ป้าจะให้เด็ก ๆ เตรียมอาหารเที่ยงไว้ให้” กานดาถาม ทำเป็นไม่สนใจในอารมณ์ขุ่นมัวของหนุ่มสาวทั้งสอง เรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องปกติของคนที่เป็นสามีภรรยากัน ในวัยสาวหล่อนเองก็มีเรื่องขัดใจกับก่อเกียรติบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยดีเสมอ
“เอาล่ะ เรามาคุยกันแบบผู้ใหญ่กันเถอะ” กันยกรเริ่มต้นพูดกับหนุ่มสาวทั้งคู่ด้วยภาษาอังกฤษ
“เรื่องมันเป็นยังไงมายังไง ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“เมื่อวันก่อนไอไปทำงานตามปกติ พอกลับมาถึงบ้านแม่บ้านก็บอกว่าพราวออกไปข้างนอก ตั้งนานยังไม่กลับมา พอโทรไปหาก็ไม่ติด นึกว่าโดนลักพาตัวไปเสียแล้ว ถ้ายูจะมาเมืองไทยก็น่าจะบอกกันสักนิด”
“ไอมาเมืองไทยก็เพราะว่าเบื่อ ไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ บอกแล้วไงว่าจะหางานทำยูก็ไม่ยอม ยูออกไปทำงานทุกวันไม่เคยสนใจไอเลย ยูทิ้งให้ไออยู่บ้านคนเดียวทุกวัน รู้ไหมว่าบ้านยูมันน่าเบื่อขนาดไหน”
“ยูไม่ได้อยู่บ้านคนเดียวซะหน่อย ในบ้านเรามีแม่บ้านตั้งหลายคน” หลี่อี้เถียงกลับ พลางสบตากันยกรราวกับจะขอความช่วยเหลือ แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบ
กันยกรนวดขมับเบาๆ รู้สึกคิดผิดที่ตัดสินใจมาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยให้คนที่เอาแต่ใจทั้งสองคน คนหนึ่งก็เป็นลูกสาวคนเดียว อีกคนถึงแม้จะไม่ใช่ลูกคนเดียว หลี่อี้มีพี่สาวและน้องสาวสามคน ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียว ทำให้เขาถูกเลี้ยงดูมาด้วยการโดนใจอยู่ตลอดเวลา
 “ยูตามไอมาถึงเมืองไทยแบบนี้ แล้วใครจะทำงานล่ะ งานของยูมันสำคัญมากไม่ใช่เหรอไง” พราวพิชชาพูดด้วยน้ำเสียงประชด
“ช่างมันเถอะ ไอมาตามง้อยูไง กลับไปสิงคโปร์กับไอเถอะนะ ไอคิดถึงยูจริงๆ” หลี่อี้อ้อนวอน เขาเอื้อมมือมาจะกุมมือบาง แต่พราวพิชชารู้ทัน เธอชักมือกลับก่อนที่จะเอื้อมถึง
“ไม่กลับ ยูกลับไปก่อนเถอะ”
 “ไม่!! ไอจะอยู่ที่นี่จนกว่ายูจะกลับบ้านไปพร้อมกับไอ” ชายหนุ่มประกาศกร้าว พราวพิชชาเบะปาก เพราะเธอรู้จักนิสัยหลี่อี้ดี เขาเป็นคนหนุ่มที่ทุ่มเทให้กับการบริหารธุรกิจมาก จนลืมไปว่าภรรยาของเขาเองก็ต้องการความรักความเอาใจใส่เช่นกัน หากให้เลือกระหว่างภรรยากับงานพราวพิชชามั่นใจว่าหลี่อี้ต้องเลือกงานก่อนเป็นอันดับแรก
 “คืนนี้ไอจะนอนกับป้าดา ถ้ายูจะอยู่ที่นี่ก็นอนห้องพี่กันย์ก็แล้วกัน”
“ว้อท?...อะไรนะ?”
หลี่อี้เสียงสูงเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งตรงหัวโต๊ะ เขานึกถึงเมื่อ 2 ปีก่อน...พราวพิชชาแนะนำให้หลี่อี้รู้จักกับกันยกรเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มร่างสูงล่ำสัน เขาสูงเกือบสองเมตร เวลายิ้มจะเห็นฟันขาวตัดกับผิวสีแทนกร้านแดด น้ำเสียงทุ้มต่ำทำให้ภาษาอังกฤษสำเนียงออสซี่ของเขาฟังดูไพเราะยิ่งขึ้น พราวพิชชาเองก็ดูจะมีความสุขเมื่อพูดคุยกับผู้ชายที่เธอนับถือราวกับเป็นพี่น้องคนนี้ จนหลี่อี้นึกสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างแฟนสาวของเขากับชายหนุ่มคนนี้
“พี่กันย์คนนี้คิดอะไรกับยูรึเปล่า ทำไมเขาถึงแทคแคร์ยูดีเหลือเกิน”
พราวพิชชาหัวเราะร่วน “ยูจะบ้าเหรอ พี่กันย์เนี่ยนะ ฮ่าๆๆ เป็นไปไม่ได้หรอก”
“ทำไม?”
หลี่อี้ถามกลับด้วยความสงสัย ก็แฟนสาวของเขาออกจะสวยน่ารักขนาดนี้
“พี่กันย์เค้าชอบผู้หญิงซะที่ไหนเล่า”
“วาเลาเอ!!*  เป็นไปไม่ได้ ยูจะบอกว่า...เขาชอบผู้ชายอย่างนั้นเหรอ” หลี่อี้แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ก็ทำนองนั้นแหละ”

หลี่อี้ออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมจนหมาด เจ้าของห้องที่อยู่ในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นกำลังขนย้ายเครื่องนอนชุดหนึ่งไปยังโซฟาเบดตัวใหญ่ที่อยู่มุมหนึ่งของห้อง
“คืนนี้ยูนอนบนเตียงก็แล้วกัน เดี๋ยวไอนอนบนโซฟาเอง” กันยกรบอก
“โอ้ โนๆ ยูนอนบนเตียงเถอะ ยูเป็นเจ้าของห้อง ไอนอนบนโซฟาได้”
“งั้นก็ตามใจ”
กันยกรเปิดตู้เย็นขนาดกลาง หยิบเบียร์ขวดเล็กออกมาเปิดฝาขวด แล้วหันมาบอกแขก
“ไอจะออกไปนั่งเล่นข้างนอก ในตู้เย็นมีเบียร์นะ ดื่มได้ตามสบายเลย” ร่างสูงบึกบึนนั้นเปิดประตูมุ้งลวดอย่างเบามือ ออกไปยังระเบียงกว้างด้านนอก หลี่อี้ถือวิสาสะเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์สิงห์ขวดหนึ่งแล้วเดินตามออกไป กันยกรจุดขดยาไล่ยุงแล้วเอนหลังบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง หลี่อี้ร้องว้าวเมื่อเห็นดาวระยับบนท้องฟ้ามืดสนิท พร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป
“ยูรู้ไหมว่าที่สิงคโปร์ไม่มีดาวเลย” หลี่อี้บอกหลังจากถ่ายรูปเสร็จ เขายกเบียร์ขึ้นดื่ม
“อย่าบอกพราวนะว่าไอกินเบียร์ ไม่งั้นโดนด่าแน่เลย อิจฉายูจังได้กินเบียร์ทุกวัน”
“อิจฉายูมากกว่า ยูโชคดีนะที่ได้พราวเป็นเมีย พราวเป็นคนที่เอาใจใส่คนรอบตัว ไอว่าพราวน่าจะหายโกรธแล้วแหละ ง้อไม่กี่วันเดี๋ยวก็ดี”
หลี่อี้ลอบพินิจชายหนุ่มที่นั่งห่างออกไป เขาไม่เข้าใจว่าทำไมกันยกรถึงไม่ชอบผู้หญิง ถ้าจะบอกว่าอกหักจากหญิงสาวก็ไม่น่าจะใช่  เพราะกันยกรเป็นคนหน้าตาดี ใบหน้าคมสันมีรอยตอหนวดที่เพิ่งขึ้น แผงอกกว้าง ตามแบบคนที่เล่นกีฬาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหาคำตอบไม่เจอ ในเมื่อคิดไม่ออกก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มดีกว่า เบียร์ในมือหลี่อี้พร่องจนเกือบหมดขวด ใบหน้าขาวเนียนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
“ไอมีคำถามอยากจะถามยู” เมื่อเริ่มกึ่มๆ เขาก็เริ่มมีความกล้าที่จะถามในสิ่งที่ตนเองสงสัยมานาน
“ว่ามาสิ” ....กินไปขวดเดียว เมาแล้วเหรอวะ คออ่อนชิบหาย...กันยกรคิดในใจ
“ทำไมยูถึงไม่ชอบผู้หญิงล่ะ”
กันยกรแทบจะสำลักเบียร์ จริงอยู่ที่เขาไม่เคยปกปิดรสนิยมทางเพศแต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะถามคำถามนี้กับเขาตรงๆ แม้แต่กานดาผู้เป็นแม่เองก็ตาม ไอ้ตี๋นี่มันกล้ามากเลยนะเนี่ย เขาคิดในใจ
 “อืม ไม่รู้สิ เพราะว่าผู้หญิงไม่มีอะไรที่น่าเร้าใจมั้ง” กันยกรหัวเราะเบาๆ
“ว้อท? ไม่เร้าใจยังไง ยูลองนึกภาพ...ผู้หญิงที่เซ็กซี่ดูสิ อ้ะนี่” หลี่อี้หยิบมือถือขึ้นมาเปิดในอัลบั้มรูป เขายื่นมือถือให้กันยกรดู เป็นภาพของหญิงสาวในชุดบิกินีหลายคน ทั้งสาวยุโรปผมทอง สาวเอเชียผมดำ แต่ละนางล้วนมีทรวดทรงองค์เอวดึงดูดเพศตรงข้าม
“เป็นไง ชอบไหม?” หลี่อี้ถาม
กันยกรส่ายหัว “ไม่อะ ก็มันไม่ชอบนี่นา นี่นายแอบเก็บรูปนางแบบพวกนี้ไว้เยอะขนาดนี้เลยเหรอ”
“ช่ายยยย”
เสร็จล่ะ เรื่องนี้ต้องถึงหูยัยพราว
“เอาล่ะ ไหนๆก็คุยกันเรื่องนี้แล้ว ขอถามกลับได้มั้ย”
“ได้เล้ยครับพี่” หลี่อี้ซดเบียร์จนหมดขวด
“ทำไมนายถึงแต่งงานกับพราว”
“อืม...” หลี่อี้เกาคางอย่างครุ่นคิด “ไอชอบผู้หญิงแบบพราว ยูรู้มั้ยว่าก่อนไอจะเจอพราว ไอเจอผู้หญิงมาหลายคนแล้ว แต่ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตไอ มีแต่หวังเรื่องเงินทองทั้งนั้น อยู่มาวันหนึ่งไอก็พบพลังงานบางอย่างที่ทำให้ไอได้เจอพราว”
“พลังงานอะไร” กันยกรถามอย่างสนใจ
หลี่อี้ยิ้ม พลางกระซิบเสียงเบา “มันคือ กฎแรงดึงดูด Law of attraction งายยยย”
กันยกรขมวดคิ้วมุ่น “กฎแรงดึงดูด? คืออะไร?”

ธีทัตราวน์วอร์ดรอบดึกที่หอผู้ป่วยในเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับแฟลต ผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นซีเวียเคสที่ธีทัตเป็นเจ้าของไข้ เมื่อเห็นว่าคนไข้ไม่มีอาการแทรกซ้อนก็เดินกลับมาจดขยุกขยิกลงบนแผ่นชาร์ตที่เคาน์เตอร์ นางพยาบาลสาวคนหนึ่งกำลังก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ
“อ่านอะไรอยู่เหรอครับ” ธีทัตทักทายอย่างเป็นมิตร
“หนังสือที่คนเอามาบริจาคน่ะค่ะ พี่ว่างเลยหยิบมาอ่านเล่นๆ” หล่อนเงยหน้าขึ้นมาชูหน้าปกหนังสือให้เขา
“อ๋อ เดอะ ซีเคร็ต”
“หมอออมเคยอ่านเหรอคะ”
“เคยครับ เคยอ่านหลายปีมาแล้ว” ธีทัตพูดต่อโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นชาร์ต
“หมอออมคิดว่ากฎแรงดึงดูดมันมีจริงมั้ยคะ”
“อืม ไม่มีหรอกครับ ไอ้พลังที่แค่คิดอย่างเดียวแล้วมันจะเป็นไปตามที่เราคิด ถ้าผมคิดว่าผมอยากรวยแต่ไม่ทำงาน พี่คิดว่าผมจะรวยมั้ยครับ” ธีทัตหัวเราะเบาๆ ก่อนปิดแผ่นชาร์ตแล้วส่งคืน
“เออ นั่นสิ หมอออมพูดถูก ไอ้หนังสือพวกนี้ก็คงเขียนขึ้นมาเพื่อปลอบใจคนเท่านั้นแหละค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพลางปิดหนังสือ บทสนทนาของธีทัตและพยาบาลสาวจบลงด้วยเสียงออดที่ดังขึ้น หล่อนรีบลุกขึ้นไปยังเตียงคนไข้ที่กดออด
ธีทัตมองหนังสือปกสีน้ำตาลที่ถูกวางทิ้งไว้อย่างครุ่นคิด แล้วก็ถือวิสาสะหยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือกลับมาด้วย มันเป็นหนังสือที่เขาเคยอ่านก็จริงแต่มันก็เมื่อนานมาแล้ว เขาจึงจำได้เพียงรางๆ เท่านั้น วันนี้นึกอย่างไรก็ไม่รู้ที่อยากหยิบมาอ่านอีกรอบ

ในห้องที่มืดสนิทมีเสียงกรนเบาๆ มาจากโซฟาเบดมุมหนึ่งของห้อง ด้วยความแรงของแอลกอฮอล์ทำให้หลี่อี้หลับทันทีหลังจากที่ดื่มเบียร์ไปแค่ 2 ขวด แต่ร่างสูงบนเตียงยังคงลืมตาไม่ยอมหลับง่ายๆ เขานึกทบทวนสิ่งที่หลี่อี้เล่าให้เขาฟัง
“ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนมีชีวิตอยู่ด้วยกฎธรรมชาติชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องอยู่ด้วยกฎอันทรงพลังนี้ มันคือกฎแรงดึงดูด กฎนี้จะควบคุมทุกอย่างให้เกิดขึ้นในชีวิตด้วยความคิด กฎแรงดึงดูดจะตอบสนองต่อความคิดของยู ไม่ว่ายูจะคิดอะไรก็ตาม สิ่งที่ยูต้องทำก็คือ คิดในสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น และห้ามให้ความคิดที่ขัดแย้งเข้ามาในหัวของยูเด็ดขาด”
“แล้ว...มันเกี่ยวกับการที่นายได้เจอพราวได้ยังไง?” กันยกรขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“ฮ่าๆๆ ก่อนหน้าที่ไอจะเจอพราว ไอเคยคบกับผู้หญิงคนนึง แต่สุดท้ายแล้วผู้หญิงคนนั้นก็ทิ้งไอไปหาผู้ชายที่รวยกว่า ไอก็เลยคิดว่าไอจะต้องเจอผู้หญิงที่รักไอจริงๆ โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องเงิน แล้วไอก็ได้เจอกับพราว...”
“สิ่งนึงที่ยูต้องจำไว้ก็คือ ใจของยูมองเห็นสิ่งไหน ยูก็จะได้สิ่งนั้น”
“ใจมองเห็นสิ่งไหน แล้วจะได้สิ่งนั้นงั้นเหรอ” กันยกรพูดกับตัวเองเบาๆ
เขากำลังจัดระเบียบความคิดในหัวว่ากำลังคิดถึงอะไร แต่แล้วใบหน้าของคนหนึ่งก็เข้ามาในหัว ใบหน้าขาวใส ดวงตาเรียวยาวใต้แว่นทรงสี่เหลี่ยมดำฉายแววฉลาด ริมฝีปากแดงบางยกมุมยิ้มอย่างเหนือกว่า “เฮ้ย!” กันยกรสบถเบาๆ พลางสะบัดศีรษะ ทำไมอยู่ๆ ถึงคิดถึงไอ้หมอหน้าอ่อนนั่นได้วะ ชายหนุ่มคิดในใจพลางพลิกตัวไปมาพยายามข่มตาให้หลับ แต่ทำอย่างไรก็สลัดภาพไอ้หมอนั่นไม่ได้เสียที
กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบเช้า กันยกรจึงได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และวันนี้เป็นวันที่เขาต้องไปคุมคนงานตัดแต่งกิ่งทุเรียน ตอนบ่ายก็ต้องไปประชุมที่สมาคมชาวสวนยางในตัวเมือง ชายหนุ่มจึงตื่นนอนด้วยสีหน้าอิดโรย
“นุ้ย วันนี้มีอะไรกินบ้าง เอาโกปี้ออมาให้หน่อย จาโก้ยมาด้วยนะ” กันยกรสั่งเด็กสาวรับใช้เป็นภาษาถิ่นใต้ ไม่นานกาแฟดำควันกรุ่นและปาท่องโก๋ร้อน ๆ ก็วางอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มใช้มือบิแล้วฉีกปาท่องโก๋ออกจากกัน จิ้มชิ้นหนึ่งลงในถ้วยนมข้นหวาน
“คนอื่นหายไปไหนกันหมด”
“คุณพราวขับรถออกไปข้างนอกกับแฟนค่ะ คุณนายคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอก นายหัวเอาข้าวเหนียวปิ้งไหมคะ วันนี้มีไส้กุ้งด้วย”
“เออ เอามาสิ ไม่มีนาซินาแฆหรอ” ชายหนุ่มมุ่ยหน้านิดหนึ่งเมื่อเด็กรับใช้บอกว่าไม่มีของกินของโปรดของเขา กานดาเดินกลับเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้ากังวล
“กันย์ วันนี้กลับมาเร็วหน่อยนะลูก น้ารีเข้าโรงพยาบาล แม่ว่าจะไปเยี่ยมเย็นนี้”
“อ้าว น้ารีเป็นอะไรเหรอครับ” กันยกรแกะข้าวเหนียวปิ้งเข้าปาก
“ไส้ติ่งอักเสบ เพิ่งเข้าโรงพยาบาลเมื่อคืน น้าเส็งเพิ่งโทรมาบอกเมื่อเช้านี้แหละ”
“วันนี้ผมมีประชุมที่สมาคมตอนบ่าย น่าจะเสร็จไม่เกิน 4 โมงเย็น ผมจะรีบกลับมารับแม่นะครับ แล้วนี่ยัยพราวกับหลี่อี้ไปไหนเหรอครับ”
“เห็นขับรถกระบะออกไปแน่ะ น่าจะพาหลี่อี้ไปตลาดเช้า ดูท่าเหมือนจะคืนดีแล้วล่ะมั้ง”
กันยกรยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก หยิบปาท่องโก๋ชิ้นสุดท้ายเข้าปากแล้วเช็ดมือกับกางเกงยีนส์สีซีดตัวเก่าที่สวมอยู่

กันยกรก้าวขายาวๆ ไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ กานดาเดินตามมาห่างๆ พยายามเดินให้เร็วจนทันลูกชาย เขาได้คำตอบว่าอารีผู้เป็นน้าสาวเพิ่งย้ายจากห้องพักผู้ป่วยรวมมาพักอยู่ห้องพิเศษเมื่อบ่ายวันนี้ กันยกรกระชับกระเช้าผลไม้ในมือแน่นขึ้นแล้วหันมาบอกมารดา
“น้ารีอยู่ชั้น 4 ครับ ห้อง 416” ทั้งคู่เดินมาจนถึงลิฟต์ในห้องโถง
“หมิวรู้รึยังครับว่าน้ารีเข้าโรงพยาบาล” กันยกรถามกานดาถึงลูกสาวของอารี
“แม่ก็กำลังจะพูดเรื่องนี้อยู่พอดี หมิวมันเรียนจบแล้วทำงานต่อที่กรุงเทพ งานลิสต์ๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ แม่ก็เรียกไม่ถูก น้าเส็งกับน้ารีก็อยากจะให้กลับมาอยู่สุราษฎร์ก็ไม่ยอม”
“เด็กสมัยนี้ก็อย่างนี้แหละครับ ปล่อยให้ทำงานไปก่อนสัก 2-3 ปี พอเบื่อเดี๋ยวก็กลับมาบ้านเองแหละครับ”
กันยกรและกานดาเดินมาจนถึงห้อง 416 ป้ายหน้าประตูห้องระบุชื่อของอารี เมื่อเปิดประตูเข้าไปพบหญิงวัยกลางคนนอนหลับตาอยู่บนเตียง ผมยาวดำแซมขาวแผ่กว้าง ใบหน้าซีดเซียวแทบจะกลืนกับปลอกหมอนสีขาว เข็มน้ำเกลือปักคาอยู่ที่มือซ้าย หล่อนลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ใบหน้าซีดเซียวนั้นเผยอยิ้มนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าใครมาเยี่ยม
“พี่ดา” อารีพยายามจะยันตัวขึ้นนั่งด้วยความลำบาก
“นอนเถอะ ไม่ต้องลุกหรอก แล้วนี่ทำไมอยู่คนเดียว เส็งไปไหนล่ะ” กานดาถามเมื่อไม่เห็นน้องเขย
“ไปรับหมิวที่สนามบิน มันโทรมาบอกว่าจะกลับมาเยี่ยม”
“หมอว่ายังไงบ้างครับน้ารี” กันยกรถามขึ้น
“เมื่อคืนปวดท้องมากจนเส็งพามาโรงพยาบาล หมอบอกว่าไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน หมอเพิ่งผ่าตัดไปเมื่อบ่ายนี้เอง เดี๋ยวหมอน่าจะมาอีกกันย์รอถามหมอเองละกัน น้าปวดจนไม่รับรู้อะไรแล้ว”
ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง ทั้งสามหันไปยังประตูเห็นร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกาวน์ตัวสั้นสีขาวเดินเข้ามา ในมือถือสเตธมาด้วย เจ้าของร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ปรับสีหน้าเป็นเฉยเมยไม่บอกอารมณ์ใดๆ เดินไปอีกฝั่งตรงข้าม รู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่ฝั่งตรงข้ามกำลังมองตัวเองอยู่ แพทย์หนุ่มเสไปมองขวดน้ำเกลือนิดหนึ่ง
“คุณอารี เป็นไงบ้างครับ” ธีทัตก้มลงถามคนไข้
“ง่วงๆ ค่ะ”
“อ้อ ยาสลบน่าจะยังไม่หมดฤทธิ์ หมอขอตรวจหน่อยนะครับ” ธีทัตทาบหูฟัง
“ขอดูแผลนิดนึงนะครับ” เขาเปลี่ยนมาดูแผลผ่าตัด
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” กานดาถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
 “ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน หมอว่าอีก 2-3 วันก็กลับบ้านได้แล้วครับ” ธีทัตบอก แวบหนึ่งที่เขาเผลอไปสบตาดำคมเข้าจังๆ เพียงแวบหนึ่งจริงๆ แต่แล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง เด็กสาวคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาในห้องโดยไม่สนว่าคนในห้องกำลังทำอะไรอยู่
“แม่!!” เด็กสาวคนนั้นแผดเสียงแหลมเล็กออกมาก่อนจะแทรกตัวเข้าไปเกาะขอบเตียงระหว่างกานดาและกันยกร
“แม่เป็นไงบ้าง หนูตกใจหมดเลยตอนที่ป๊าโทรไปบอกว่าแม่ป่วย อ้อ สวัสดีค่ะป้าดา สวัสดีค่ะ พี่กันย์” เธอยกมือไหว้ญาติทั้งสองเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“แม่เค้าไม่เป็นอะไรแล้วล่ะหมิว หมอเพิ่งผ่าตัดไปเมื่อเที่ยงนี้เอง” กันยกรบอก
“ห๊า ผ่าตัด แม่เป็นอะไร ทำไมต้องผ่าตัดด้วย” เด็กสาวที่ชื่อหมิวหันมามองชายหนุ่ม กันยกรกลอกตาไปมา เหนื่อยใจกับอาการเล่นใหญ่ของญาติผู้น้อง
“ถามหมอเองละกัน คนนั้นเป็นหมอ” ชายหนุ่มชี้ไปยังคนที่ยืนตรงข้าม เด็กสาวมองตาม แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง เธอรู้สึกเหมือนมีลำแสงประหลาดสาดส่องออกมาจากตัวของชายหนุ่มที่ยืนฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง แว่นกรอบดำทรงสี่เหลี่ยมตัดกับผิวขาวอมชมพู มันไม่ได้บดบังเครื่องหน้าที่ได้รูปสวยเลยสักนิด ริมฝีปากแดงตามธรรมชาติบ่งบอกว่าเป็นคนสุขภาพดี ธีทัตยิ้มเห็นฟันขาวราวกับไข่มุกอันดามัน
“หล่อ...” เวณิกาเคลิบเคลิ้มราวกับต้องมนต์สะกด
“มีอะไรสงสัยจะถามหมอไหมครับ” ธีทัตมองเด็กสาวผู้มาใหม่
“คุณหมอชื่ออะไรคะ” เวณิกาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ธีทัตครับ” เจ้าของชื่อชี้ตรงที่ชื่อที่ปักบนหน้าอก
“ธีทัต...ชื่อเพราะจังเลยค่ะ น้องชื่อ ‘หมิวหมิว’ นะคะ” เวณิกาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สอง ยกมือขึ้นทัดผมกับใบหู
“เอ่อ...ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หมอขอตัวก่อนนะครับ” ธีทัตยิ้มอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป
“หมอหล่อจังเลยยย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอใครหล่อขนาดนี้มาก่อน หล่อแบบนี้เป็นดาราได้เลยนะ” เด็กสาวที่เพิ่งบอกว่าชื่อหมิวหมิวหรือชื่อจริงชื่อเวณิกาโพล่งขึ้นมา
“ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอใครหล่อเท่านี้มาก่อน”
“นี่ เพลาๆ บ้างนะ เรื่องบ้าผู้ชายน่ะ” เส็งดุลูกสาว
“แหม ก็หมอเค้าหล่อจริงๆ นี่ป๊า ถ้าได้แบบนี้เป็นลูกเขยจะเอาปะ” เวณิกาถามกลับ ภาพของธีทัตยังคงติดตา
“น่าเกลียด เป็นสาวเป็นแส้พูดจาอย่างนี้ได้ยังไง แล้วนี่ดูสิแต่งตัวอะไรก็ไม่รู้” อารีดุลูกสาวไปถึงการแต่งกายของเธอ เด็กสาวก้มลงมองกางเกงยีนส์ขาดๆ ของตัวเองสวมอยู่แล้วหัวเราะเบาๆ
กันยกรคุ้นเคยกับนิสัยคลั่งไคล้คนหล่อของเวณิกาดี เวลาเห็นผู้ชายหน้าตาดีทีไรญาติผู้น้องคนนี้จะต้องเป็นอันพร่ำเพ้ออยู่เรื่อยไป หนักเข้าหน่อยก็จะหาหนทางติดต่อ แต่ไม่เท่าไหร่เธอก็จะเบื่อไปเองโดยปริยาย เขาคงจะไม่ติดใจอะไรถ้าคนที่เวณิกาคลั่งไคล้ไม่ใช่ธีทัต ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจของกันยกร เป็นความรู้สึกที่อยากจะดีดญาติผู้น้องคนนี้ไปไกลสุดลูกหูลูกตา หากเป็นไปได้เขาอยากจะย่อส่วนหมอธีทัตให้เหลือตัวเล็กจิ๋ว แล้วเก็บไว้ในกล่องซ่อนไว้ไม่ให้ใครเห็น
เอ๊ะ! ทำไมเราต้องไม่อยากให้ยัยหมิวเจอหมอนั่นด้วยวะ
กันยกรคิดในใจ เสียงของเวณิกาดังขึ้นมาแทรกความคิด
“หมิวเป็นสไตลิสต์ค่ะป้าดา สไตล-ลิสต์ ป้าดาต้องตวัดลิ้นด้วย” เวณิกากำลังพุดคุยกับกานดาและคนรอบข้างอย่างสนุกสนาน แทบจะลืมถามถึงอาการป่วยของมารดาไปเสียสนิท
“เอ่อ ผมลงไปร้านกาแฟก่อนนะครับ มีใครอยากได้อะไรมั้ยครับ” กันยกรถาม เมื่อไม่มีใครอยากได้อะไรชายหนุ่มจึงออกจากห้อง ขณะที่เดินผ่านเคาน์เตอร์เขาก็ได้ยินเสียงพยาบาลคุยกันแว่วๆ
“หมอออมเขาดูเงียบๆเนอะ ไม่ค่อยคุยเท่าไหร่”
“อื้ม แต่เวลายิ้มน่ารักมาก เมื่อกี้หมอยิ้มให้ชั้นด้วยแหละ”
ทำไมใครๆ ก็ชอบหมอออมวะ
กันยกรยังคงถามตัวเองด้วยความว้าวุ่น
ชายหนุ่มเดินมาถึงร้านกาแฟสดร้านเดียวในโรงพยาบาล เสียงกรุ๋งกริ๋งดังขึ้นเมื่อเขาผลักประตูเข้าไป
“อเมริกาโน่ร้อน ไม่หวาน แก้วนึงครับ” ชายหนุ่มสั่ง
แม้จะเป็นเวลาเย็น แต่ภายในร้านคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าทั้งญาติคนไข้ หมอ และพยาบาล กันยกรหลีกหนีลูกค้าในร้านไปยืนที่มุมหนึ่งไม่ห่างจากเคาน์เตอร์มากนัก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสไลด์หน้าจอเพื่อสงบอารมณ์
“อเมริกาโน่ร้อนไม่หวานได้แล้วค่า”
กันยกรพุ่งตัวเข้าไปที่เคาน์เตอร์ด้วยความรวดเร็ว แต่มีมือปริศนามือหนึ่งเอื้อมมาถึงแก้วก่อน
“โอ๊ะ แก้วนี้ของคุณหมอนะคะ คุณหมอมาสั่งก่อนค่ะ” พนักงานในร้านรีบบอก
กันยกรหันขวับตั้งใจจะขอโทษ แต่แล้วก็พบว่าเจ้าของมือปริศนานั้นคือคนที่เข้าเพิ่งนึกถึงด้วยความว้าวุ่นใจเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ร่างสูงในเสื้อกาวน์สีขาวสะอาด สเตธสีน้ำเงินพาดไว้บนคอ ดวงตายาวเรียวใต้แว่นกรอบดำสบตากันยกรนิดหนึ่งก่อนจะหยิบแก้วกาแฟ ธีทัตแสร้งดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมืออีกข้างหนึ่ง กันยกรมองตามร่างสูงโปร่งที่เดินออกจากร้านไป ความคิดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวสมอง แต่การกระทำกลับไวกว่า กันยกรรีบเดินตามร่างสูงนั้นไปจนถึงห้องโถงใหญ่ของตึก ธีทัตเอื้อมมือไปกดลิฟต์
“หมอครับ อย่าเพิ่งไป” ธีทัตชะงักฝีเท้าหันหลังกลับมา
“มีอะไรเหรอครับ”
“ขอเบอร์หมอหน่อยได้มั้ยครับ” กันยกรโพล่งออกไปด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
“จะเอาไปทำไมครับ” อีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างงุนงง
“เอ่อ หมอก็รู้ว่าแม่ผมมีโรคประจำตัว ทุกวันนี้ผมเป็นคนดูแลแม่คนเดียว ถ้าอาการกำเริบขึ้นมา ผมจะได้ปฐมพยาบาลถูก” ธีทัตชั่งใจคิด กานดามีโรคประจำตัวคือความดันสูง ถ้ามีภาวะแทรกซ้อนพร้อมกับอาการทางประสาทจะอันตรายมาก อาจจะนำไปสู่โรคหลอดเลือดในสมองและโรคหัวใจได้ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจบอกไป
“ผมไม่ได้เป็นเจ้าของไข้แม่ของคุณนะครับ วันนั้นผมแค่ตรวจแทนหมอเจ้าของไข้ที่ลาหยุด” เสียงติ๊งดังมาจากลิฟต์ด้านหลัง เป็นสัญญาณเตือนว่าลิฟต์ที่กดเรียกไว้มาถึงแล้ว ธีทัตหันหลังกลับ ตาคมของกันยกรมองร่างสูงโปร่งที่เดินเข้าไปในลิฟต์ คนที่อยู่ในลิฟต์ขยับตัวเพื่อให้มีพื้นที่
“นึกแล้วว่าต้องไม่ใช่คนง่าย” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ หลังจากที่ประตูลิฟต์ปิดลง
กันยกรนึกถึงคำพูดของหลี่อี้ที่บอกเขาเมื่อคืน
...กฎแรงดึงดูดจะตอบสนองต่อความคิดของยู ไม่ว่ายูจะคิดอะไรก็ตาม สิ่งที่ยูต้องทำก็คือ คิดในสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น และห้ามให้ความคิดที่ขัดแย้งเข้ามาในหัวของยูเด็ดขาด
กันยกรเพิ่งรู้ว่าเขาใช้กฎแรงดึงดูดโดยไม่รู้ตัว และนั่น...ทำให้ชายหนุ่มค้นพบคำตอบเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง คำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมธีทัตถึงวนเวียนอยู่รอบตัวเขา ทำไมเขาถึงอยากจะดีดญาติผู้น้องไปให้ไกลสุดลูกหูลูกตา ทำไมเขาถึงอยากจะเก็บธีทัตไว้ดูคนเดียว...คำตอบของทั้งหมดก็คือ...เขาชอบธีทัต!!


_______________________________________________________________________________________
หมายเหตุ
*Walao eh!! เป็นภาษา Singlish ความหมายทำนองเดียวกับ Oh my god!
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 4 #21 |
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 04-05-2018 21:33:55
รออ่านตอนหน้าอยู่นะคะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 3 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 04-05-2018 21:36:05
หมั่นไส้ความเย่อหยิ่ง ความขี้เก็กของหมอออมอ่ะ  :katai1: ถ้าฉันเป็นนายหัวกันย์ฉันไม่มีทางสนใจนายหรอก รู้เอาไว้ด้วย 555 คนอ่านอิน  :sad4:
แพรว...รู้ว่านายหัวกันย์เป็นเกย์ถูกมั้ย เลยชักอยากจะรู้เลยว่ารู้ได้ยังไง รีบมาเฉลยนะครับคุณคนเขียน  :katai1:
ตอนแรกจะบอกว่าผัดฟักทองของโปรดเราเลยยย แต่พออ่านลงมาเรื่อยๆ อ้าวทั้งข้าวหมกไก่ ข้าวยำ น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ โจ๊ก นี่ของโปรดเราทั้งนั้นนี่นา หิวเลยยย  :ling1: :katai5:
โอมม ตอนที่ 4 จงมา  :katai4: :hao3: :call:

ขอบคุณนะคะที่ติดตาม ตอนที่ 4 มาแล้วน้าาา
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 4 #21 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 04-05-2018 22:38:24
รออ่านตอนหน้าอยู่นะคะ  :call: :call: :call:

ขอบคุณนะคะที่ติดตาม เป็นกำลังใจให้ด้วยน้าาา
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 4 #21 |
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjaij ที่ 07-05-2018 00:30:25
ชอบความจิบเบียร์เปิดใจแมนๆของหลี่อี้กะนายหัวมากค่ะ
เรื่องของหมอออมนายหัวต้องสู้นะคะ อิอิ

รอตอน5อยู่นะค้าาาา

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 4 #21 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 07-05-2018 08:42:36
ชอบความจิบเบียร์เปิดใจแมนๆของหลี่อี้กะนายหัวมากค่ะ
เรื่องของหมอออมนายหัวต้องสู้นะคะ อิอิ

รอตอน5อยู่นะค้าาาา

 :katai2-1:

ขอบคุณนะคะที่ติดตาม เป็นกำลังใจให้นายหัวด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 4 #21 |
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 07-05-2018 08:45:11
เดี๋ยววันนี้มาเม้นตอนที่4ให้นะครับ  :mew3: :katai3:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 4 #21 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 07-05-2018 08:47:07
เดี๋ยววันนี้มาเม้นตอนที่4ให้นะครับ  :mew3: :katai3:

รออ่านเลยค่ะ ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ  :mew3:
หัวข้อ: Re: You're my law of attraction | ตอนที่ 4 #21 |
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 07-05-2018 20:59:47
ว้อท? พราวพิชชา หลี่อี้สามีเทอรักเทอขนาดนี้ เทอจะเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ด้ายยย ไอไม่เห็นด้วย ถ้าเขาไม่รักเทอเขาจะบินตามมาง้อเทอถึงไทยแลนด์มั้ยยย คิดสิคิด เขาให้อยู่สบายๆเป็นคุณนายละยังจะเยอะอย่างอีก  :a5: #ทีมหลี่อี้นะพู่เลอ 555  :hao3:
กฎแห่งแรงดึงดูด จะดึงดูดหมอออมเข้าหานายหัวกันย์ยังไงนะ อยากเผือก 555  :hao6:
ข้าวเหนียวปิ้งจิ้มนมข้น อยากกินนนน แต่ทำไมไม่เช็ดมือกับทิชชูดีๆ ไปเช็ดกับกางเกงทำไมฮึนายหัว  :katai1:
อยากเป็นเพื่อนนายหัว อยากกินทุเรียนฟรี 555  :o8:
เห็นด้วยว่าหมิวเล่นใหญ่รัชดาลัยจริง เล่นใหญ่ไม่พอยังอ้อร้ออีก อ้อร้อที่แปลว่าแรดนะ เหอๆ อ่อแล้วหมอออมน่ะเขามีคนจองแล้ว ญาติผู้พี่หล่อนไง ไปงาบคนอื่นไป๊ ชิ่วๆ  :z6:
เอาละเหวย นายหัวรู้ตัวว่าชอบหมออมเข้าให้แล้ว  :laugh: ลุ้นๆรออ่านตอนที่5 นะคร้าบ  :really2: :pig4:

ปล.1 เจอคำผิดครับ = ทำให้เขาถูกเลี้ยงดูมาด้วยการ "โดนใจ" อยู่ตลอดเวลา <== "โดนตามใจ" ปะครับ  :hao4:
ปล.2 คนอ่านยังเม้นไม่เยอะ คนเขียนก็อย่าเพิ่งท้อล่ะ เป็นกำลังใจให้แต่งให้จบนะครับ  :L1: ในเล้ามีนิยายดีๆแบบนี้ที่ช่วงแรกอาจจะยังไม่มีคนสนใจเท่าไหร่หลายเรื่องมาก แต่เดี๋ยวซักพักจะมีคนอ่าน+คนเม้นเพิ่มมากขึ้นแน่นอน นิยายเรื่องนี้เหมาะจะเป็นเล่มมาก ย้ำว่าเขียนให้จบนะครับ เลามั่นใจว่าจะต้องมีสนพ.สนใจซื้อลิขสิทธิ์ไปทำเล่มขาย 100% แล้วเลาจะตามไปอุดหนุนนะ  :katai3:
ปล.3 ลองเพิ่มชื่อภาษาไทย "กฎแห่งแรงดึงดูด" หรือชื่ออะไรที่คนแต่งคิดว่าเข้ากับเรื่องเข้าไปบนหัวกระทู้ด้วยดีมั้ยครับ เผื่อจะทำให้คนอ่านท่านอื่นสนใจเข้ามาอ่านเพิ่มขึ้นไรงี้ (ชื่อเรื่องก็สำคัญนะ)  :katai5: :katai4:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5 | 13.04.18 | P.3 #30 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 13-05-2018 23:11:25
ตอนที่ 5.1
[/color][/size][/b]

สนามบินสุราษฎร์ธานี

ธีทัตยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วเงยหน้าขึ้น ตาเรียวยาวจับจ้องที่หน้าจอแสดงเที่ยวบินขาเข้า เที่ยวบินที่คุณจารวีผู้เป็นมารดาโดยสารมาจากกรุงเทพลงจอดที่สนามบินสุราษฎร์ธานีเรียบร้อยแล้ว ไม่นานเขาก็เห็นร่างเล็กของมารดาเดินลากกระเป๋าออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ ชายหนุ่มโบกมือให้จารวี
“แม่ครับ ทางนี้ครับ!!”
“ออม”
ธีทัตโผเข้ากอดมารดาแน่น จารวีหอมแก้มลูกชายซ้ายขวาฟอดใหญ่ ก่อนจะมองเต็มตา เธอยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองเสื้อกาวน์ตัวสั้นที่ลูกชายสวม บนอกปักชื่อ ‘นพ. ธีทัต ลีพานิชสกุล’
“ลูกแม่เป็นหมอเต็มตัวแล้วนะ มีคำนำหน้าชื่อว่านายแพทย์แล้วด้วย ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์ เป็นอย่างไรบ้าง ทำงานเหนื่อยไหมลูก”
“เหนื่อยสุด ๆ เลยครับแม่ รู้งี้ไม่น่าเรียนหมอเลย...เรียนวิศวะอย่างที่ครูแนะแนวบอกก็ดี” ธีทัตคว้ากระเป๋าลากจากมือมารดา มืออีกข้างที่ว่างก็จับมือจารวีไว้
“เอาน่า แม่เชื่อว่าออมทำได้อยู่แล้ว ลูกแม่เก่ง”
“แม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ วันนี้ผมเลี้ยงเอง” ธีทัตหันมาถาม
“อืม ลูกอยู่สุราษฎร์มาสองอาทิตย์แล้ว พาแม่ไปกินร้านขึ้นชื่อของสุราษฎร์หน่อยสิ”

ธีทัตจอดรถหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ลมพัดมาเบา ๆ ขณะที่ธีทัตเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้จารวี ร่างสูงโปร่งเดินนำมารดาไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ติดแม่น้ำ
“ร้านนี้อาหารอร่อยมากครับ อาหารทะเลก็สดด้วย เสียดายที่มากลางคืน ถ้ามาตอนกลางวันแม่จะเห็นวิวแม่น้ำตาปียาวไปถึงโน่นแน่ะ” ชายหนุ่มชี้มือไปอีกฝั่งหนึ่ง “แม่อยากกินอะไรบ้างครับ”
“แม่กินอะไรก็ได้ อะไรที่ออมว่าอร่อยแม่ก็กินได้หมดแหละ” หล่อนยิ้มให้ลูกชาย มองดูธีทัตที่กำลังจัดการสั่งอาหารเองทั้งหมด

จารวีเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร หล่อนเลี้ยงลูกชายคนเล็กด้วยการตามใจ สิ่งไหนที่ธีทัตเห็นว่าดี เธอก็จะเห็นดีด้วยหมด เพราะหล่อนอยากจะเติมเต็มความรักจากพ่อที่ขาดหายไป โชคดีที่ลูกชายคนเล็กตั้งใจเรียน ไม่เคยทำตัวเกเรเลยสักครั้ง...
ปกรณ์อดีตสามีของจารวีเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลลีพานิชกุล เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังหลายแห่ง แต่ด้วยความเจ้าชู้ของปกรณ์ทำให้เขามีภรรยาลับหลายคน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความอดทนของจารวีถึงขีดสุด จนกระทั่งวันที่ความอดทนของหล่อนได้หมดลง หล่อนจำวันนั้นได้เป็นอย่างดี เป็นวันที่ธีทัตกำลังจะขึ้นชั้นประถม 1 วันนั้นเด็กชายสวมชุดนักเรียนตัวใหม่เป็นวันแรก

“ออม ถอดชุดนักเรียนมาเถอะ แม่จะให้พี่มลเอาไปซักให้”
“ไม่เอา ออมจะรอพ่อ ออมจะให้พ่อดู” เด็กชายสวมชุดนักเรียนใหม่ รองเท้าถุงเท้าใหม่เต็มยศ
จารวียิ้มอ่อนให้ลูกชาย หล่อนรู้ดีว่าสามีจะกลับมาตอนเย็น และก็คงจะออกไปกับผู้หญิงคนใหม่เหมือนอย่างทุกวัน
“กว่าพ่อจะกลับมาก็ตอนเย็นโน่นแน่ะ เอามาให้แม่ซักก่อนเถอะ”
“ไม่เอา ออมจะรอพ่อ” เด็กชายกอดอก ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ
“ตามใจ” หล่อนปล่อยเลยตามเลย มองลูกชายคนเล็กที่เดินอวดชุดนักเรียนใหม่กับพี่ชายอีก 3 คนอย่างเอ็นดู
“พี่อ้น พี่อั๋น พี่อาร์มดูสิ ออมจะขึ้นป.1 แล้ว” เด็กชายเดินไปพี่ชายทั้ง 3 คนที่กำลังนอนพังพาบอ่านหนังสือการ์ตูนในห้องนั่งเล่น
“กะอีแค่ขึ้นป.1 ทำเป็นเห่อไปได้ แล้วนี่จะใส่ชุดนักเรียนนอนรึไง” ธีภพพี่ชายคนโตพูดขณะเล่นเกมกดในมือ
“เด็กน้อเด็ก” ธีมาพี่ชายคนรองขยี้หัวน้องชายเบา ๆ แล้วก้มลงอ่านหนังสือการ์ตูนต่อ
“ขึ้นป.1แล้วอะ อย่าให้ใครมาแกล้งนะเว้ย ถ้ามีใครแกล้งมาบอกพี่ พี่จะไปต่อยมัน” ธีรัชพี่ชายคนที่สามบอก
“อาร์มอยู่แค่ป.2 ทำเป็นซ่า ต้องให้พี่อ้นไปต่อยมันถึงจะถูก พี่อ้นอยู่ป.6 พี่อ้นโตสุด” 
กว่าที่ปกรณ์จะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมด้วยหญิงสาวคนหนึ่ง จารวีจำได้ว่าเธอคือนักแสดงที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขณะนั้น
“รอพี่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” ปกรณ์หอมแก้มเธอฟอดหนึ่ง จารวีเบือนหน้าหนีภาพนั้น
“คุณคะ ออมรอคุณอยู่ค่ะ ไปหาลูกหน่อยสิคะ”
“อะไรอีกล่ะ ผมกำลังรีบ เงินก็ให้ไว้แล้วนี่ มันอยากได้อะไรก็ซื้อให้มันไปสิ” ปกรณ์บอกอย่างหัวเสีย
“ลูกไม่ได้อยากได้อะไรค่ะ ลูกกำลังจะขึ้นป.1 ลูกอยากให้คุณเห็นตอนลูกใส่ชุดนักเรียน...” ยังไม่ทันที่จารวีจะพูดจบ ธีทัตก็ออกมาจากห้องนั่งเล่น
“คุณพ่อกลับมาแล้ว” เด็กชายรีบวิ่งมาหาผู้เป็นพ่อ ยกมือไหว้นิดหนึ่ง แต่สีหน้าของปกรณ์ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ
“อ้อ เออ ดีนิ” เขาลูบลูกชายอย่างขอไปทีแล้วเดินกลับขึ้นไปบนห้องชั้นสอง
“พ่อครับ ออมจะขึ้นป.1แล้ว ดูนี่สิ” เด็กชายถามขึ้นด้วยความไร้เดียงสา
“อย่าเพิ่งมากวนพ่อตอนนี้ พ่อกำลังจะรีบออกไปข้างนอก”
“พ่อจะไปไหนครับ” ธีทัตจับมือพ่อ “ให้ออมไปด้วยได้มั้ย”
“เฮ้ย รำคาญ บอกว่าอย่ามายุ่ง” ปกรณ์ขึ้นเสียงผลักลูกชายออกไปให้พ้นทาง
แต่ด้วยแรงที่มากกว่าทำให้ธีทัตล้มทำให้หัวกระแทกกับมุมเหลี่มขอบโต๊ะตัวหนึ่ง เด็กชายร้องไห้จ้า เลือดไหลอาบใบหน้า จารวีถลาเข้าไปหาลูกหล่อนพยายามห้ามเลือดให้ลูกชาย เสียงร้องไห้ของธีทัตทำให้ลูกชายอีกสามคนออกมาจากห้องนั่งเล่น เด็กทั้งสามตกตะลึงเมื่อเห็นเลือดไหลอาบใบหน้าน้องชายคนเล็ก ธีรัชสติดีสุดเขารีบหาผ้าสะอาดมาห้ามเลือดให้น้องชาย
“โว้ย กะอีแค่เป็นแผลนิดเดียวจะโวยวายหาอะไรวะ พาไปหาหมอสิ เราออกไปข้างนอกกันเถอะ” ปกรณ์โอบไหล่หญิงสาวที่มาด้วยกัน ทั้งคู่เดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามองเลยสักนิด หลังจากวันนั้นจารวีตัดสินใจฟ้องหย่าสามี ศาลตัดสินให้ทั้งคู่มีสิทธิ์ในการเลี้ยงลูกคนละเท่า ๆ กัน ปกรณ์มีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูธีภพและธีมา ส่วนจารวีได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูธีรัชและธีทัต

“ไหนให้แม่ดูหน่อยสิ แผลเป็นเริ่มจางลงตั้งเยอะแล้วนี่” จารวีลูบรอยแผลเป็นใต้คิ้วหนา อุบัติเหตุในวันนั้นแผลไม่ใหญ่นักแต่ก็ลึกพอสมควร ผู้เป็นพ่อไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด แผลคิ้วแตกเมื่อ 18 ปีก่อนยังคงเหลือรอยจางไว้ที่หางคิ้วและในใจของเจ้าตัว
“ออม” จารวีเรียกชื่อลูกชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง หล่อนส่งก้มลงหาของบางอย่างในกระเป๋าถือ จารวียื่นกล่องรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าผูกโบว์ด้วยริบบิ้นสีทอง
 “พ่อกำชับให้แม่เอานี่มาให้ลูกให้ได้” ธีทัตนิ่งเงียบมองกล่องของขวัญตรงหน้าอย่างครุ่นคิด สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ธีทัตเลื่อนกล่องของขวัญกลับไปยังมารดา
“แม่เอาไปคืนเขาเถอะครับ ออมไม่อยากได้ของของเขา”
“ออม...”
“แม่ครับ ออมเคยบอกแล้วไงครับว่าออมไม่อยากพูดถึงคนคนนี้ ถ้าแม่ไม่อยากให้ออมรู้สึกไม่ดี แม่อย่าพูดถึงเขาเลยนะครับ”
“แม่เพิ่งรู้ว่าออมบอกพ่อไปว่าไม่อยากให้พ่อมางานรับปริญญาของออม รู้มั้ยว่าพ่อเสียใจมาก ออมน่าจะไปเยี่ยมพ่อบ้าง พ่อดีใจมากเลยนะตอนที่รู้ว่าออมเป็นหมอแล้ว พ่อเขาอยากให้ออมไปดูตอนที่เขาจะทำเคมีบำบัด”
“ยังไงเขาก็เป็นพ่อนะออม”
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ตาเรียวยาวมองไปยังเงาดำของแม่น้ำตาปี อาหารที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟพอดี ธีทัตหลบสายตาผู้เป็นแม่แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอาหารแทน จารวีดูออกว่าลูกชายพยายามจะกลบเกลื่อน หล่อนรู้ดีว่าเธอไม่สามารถบังคับลูกชายคนเล็กได้แล้ว แผลเป็นในใจของธีทัตถูกทิ้งไว้นานเกินไป
“หมอออมคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างโต๊ะ
ทั้งจารวีและธีทัตเงยหน้าตามเสียงพร้อมกัน หญิงสาวรูปร่างเพรียวบางคนหนึ่งส่งยิ้มให้ธีทัต
“อ้อ คุณ...คุณพราว”
“ดีใจจังเลยที่หมอออมจำพราวได้” พราวพิชชาหัวเราะคิกคัก
“คุณหมอมากินข้าวเหรอคะ ร้านนี้อาหารอร่อยทุกอย่างเลย โดยเฉพาะปลา อ้อ พราวนั่งตรงโน้นค่ะ” ธีทัตมองตามนิ้วเรียว เห็นแผ่นหลังกว้างนั่งหันหลังให้เขา แม้จะไม่เห็นหน้าแต่ธีทัตก็พอจะเดาออกได้ว่าเป็นใคร ‘อ้อ มากับนายหัวนั่นนี่เอง’ ธีทัตคิดในใจ
“นี่คุณแม่ผมครับ” หญิงสาวยกมือไหว้จารวี “พราวไปก่อนนะคะ ดีใจที่ได้เจอหมอออมนะคะ” ธีทัตยิ้มให้เธอนิดหนึ่ง
“ใครน่ะ” จารวีถามลูกชายทันที
“ญาติของคนไข้น่ะครับ” ธีทัตวางเนื้อปูขาวนวลที่แกะเปลือกหมดแล้วลงบนจานของจารวี
“หืม แน่ใจนะว่าเค้าไม่ได้คิดอะไรกับลูกแม่ ดูเค้าน่าจะชอบลูกอยู่นา” หล่อนเย้า
“โธ่ แม่ครับ เขามีแฟนแล้วครับ นั่นไงครับ แฟนเขาเป็นนายหัวเจ้าของสวนยางมีอิทธิพลในจังหวัดนี้ด้วยครับ”
ธีทัตพยักเพยิดไปยังผู้ชายร่างสูงที่นั่งหันหลังตรงข้ามกับพราวพิชชา อดรู้สึกขุ่นใจไม่ได้ที่เจ้าของร่างสูงนั้นไม่คิดแม้แต่จะหันมายิ้มทักทายเหมือนอย่างที่เคยทำ สิ่งหนึ่งที่ธีทัตไม่ได้สังเกตเลยว่าชายหนุ่มคนนี้รูปร่างสมส่วนแตกต่างจากกันยกรที่ช่วงไหล่หนากว่า
“ว้า เสียดายจัง แม่อุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะได้สะใภ้ซะแล้ว แม่ว่าเค้าน่ารักดีนะ ดูนิสัยดีด้วย” ธีทัตอมยิ้มเมื่อนึกถึงพราวพิชชา เขาจัดแจงตักต้มยำทะเลใส่ถ้วย แล้วส่งให้ผู้เป็นแม่
“แล้ว...เมื่อไหร่แม่จะได้ลูกสะใภ้บ้างล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่มีใครมาชอบลูกชายแม่เลย”
“ออมยังไม่คิดเรื่องนั้นหรอกครับ”
“แม่ว่าคิดบ้างก็ดีน้า ผู้หญิงดี ๆ สมัยนี้เริ่มหายากทุกที แม่อยากอุ้มหลานแล้ว”
“ลูกพี่อ้นพี่อั๋นไงครับ” ธีทัตเอ่ยถึงพี่ชายคนโตและคนรอง
   ตั้งแต่ที่จารวีและปกรณ์แยกทางกัน แม้พี่ชายทั้งสองคนอยู่ในความดูแลของผู้เป็นพ่อ แต่ปกรณ์ก็ ไม่เคยดูแลลูกทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นคุณปกผู้เป็นปู่เสียอีกที่มีเมตตาคอยเติมเต็มความอบอุ่นให้ธีภพและธีมา หลังจากที่คุณปกผู้เป็นปู่เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจปกรณ์ก็ส่งลูกชายคนโตทั้งสองไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเหมือนเป็นการผลักไสภาระของตัวเอง ธีทัตเคยคิดว่าเขาโชคดีกว่าพี่ชายทั้งสองมาก ถึงแม้จะไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อ แต่เขาก็ยังได้รับความอบอุ่นจากแม่เสมอมา
“พี่อ้น พี่อั๋น เป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มถามถึงพี่ชายทั้งสอง
“สบายดี อ้นเพิ่งจะมาหาแม่ที่บ้านเมื่อวันก่อน ตอนนี้พี่อ้นทำงานแทนคุณพ่อทั้งหมดแล้ว” จารวีเล่าถึงลูกชายคนโต “ส่วนพี่อั๋นก็กำลังจะแต่งงานปลายปีนี้ ถ้าออมว่างก็ขึ้นไปงานแต่งงานพี่เขาด้วยนะ”

   พราวพิชชาเดินกลับไปที่โต๊ะ เธอเห็นหลี่อี้กำลังรัวนิ้วพิมพ์โทรศัพท์มือถือ
“ทำอะไรน่ะ แอบทำงานเหรอ ไหนยูบอกว่าวันนี้จะให้เวลาไอเต็มที่ จะไม่ทำงานไง” พราวพิชชาแว้ดใส่สามี
“ไม่ได้ทำงานเสียหน่อย” เขาโชว์โทรศัพท์มือถือให้ดู
“นี่ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวเกาะเต่ากันเถอะ ไอจองสปารีสอร์ตไว้แล้ว ฮันนีมูนรอบสองไง”
   พราวพิชชาเบิกตากว้าง ไม่เชื่อหูตัวเอง “นี่ไอหูฝาดไปรึเปล่า ยูลืมไปแล้วหรือว่าเราไม่เคยฮันนีมูนกันเลยสักครั้ง” หญิงสาวถอนหายใจเมื่อนึกถึงแผนฮันนีมูนที่เคยล่มมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะหลี่อี้มีงานด่วนเข้ามา
 “เราเคยวางแผนจะไปฮันนีมูนกันที่เกาะเซบู แต่ยูมีงานด่วนแทรกมาเสียก่อน จนต้องยกเลิกแผนฮันนีมูนไง ยูจำไม่ได้เหรอ”
“เอ้อ จริงด้วยสิ” ชายหนุ่มเกาหัวแก้เก้อ “แต่ครั้งนี้เราจะไปฮันนีมูนกันจริง ๆ นะ”
“ก็ได้ หวังว่าคงจะไม่มีงานเข้ามาอีกนะ”

   ธีทัตสละห้องนอนให้กับจารวี ส่วนตัวเองก็ออกมานอนบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เมื่อทิ้งตัวลงนอนเขาเหลือบไปเห็นหนังสือ เดอะ ซีเคร็ต ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กใกล้โซฟา เขาเอื้อมมือหยิบหนังสือมาเปิดอ่าน หน้าแรกเขียนไว้ว่า ‘หวังว่า เดอะ ซีเคร็ต จะช่วยนำพาความรักและความรื่นรมย์มาสู่ทุกชีวิตทุกส่วนเสี้ยวของคุณ’ ธีทัตเบ้ปาก แต่นิ้วเรียวยาวยังคงเปิดไปหน้าต่อไป
   กฎแห่งแรงดึงดูดทำหน้าที่ของมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม...
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ธีทัตปิดหนังสือแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอโชว์เบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เขารีบกดรับสายทันที
“สวัสดีครับ” ธีทัตกรอกเสียงลงไป   “หมอออมรึเปล่าครับ สะดวกคุยไหม” ปลายสายถาม
“นั่นใครครับ”
“จำเสียงผมไม่ได้เหรอครับ” ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
ธีทัตขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเบิกตากว้าง “คุณ! เอ้ย นายหัวกันย์เหรอครับ”
“อ้าว ก็จำได้นี่นา” กันยกรหัวเราะร่วน
“คุณได้เบอร์ผมมาจากไหน” ธีทัตถามด้วยน้ำเสียงขุ่น
“หมอลืมไปแล้วเหรอครับว่าผมเป็นใคร แค่เบอร์โทรของหมอแค่นี้ทำไมผมจะหามาไม่ได้”
   ธีทัตบีบนวดขมับ ต้องเป็นพี่ไหมแน่ ๆ เขาลืมคิดไปว่ากันยกรเป็นที่รู้จักของคนในจังหวัดนี้ ถ้าเขาอยากจะได้เบอร์โทร เรื่องแค่นี้เขาทำได้อยู่แล้ว
“ไม่ทราบว่านายหัวมีธุระอะไรเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่อยากคุยด้วย”
“ห๊ะ แค่เนี้ย? ถ้าไม่มีอะไรผมขอวางสายนะครับ ผมต้องการพักผ่อน”
“ดูเหมือนหมอจะไม่อยากคุยกับผมนะครับ”
“ถ้าคุณจะโทรมากวนเฉย ๆ ผมก็ไม่อยากคุยด้วยหรอกนะครับ แค่นี้นะครับ”
“เอาเถอะ ผมว่ายังไงหมอต้องโทรหาผมอยู่แล้ว...” ยังไม่ทันที่กันยกรจะพูดจบ ธีทัตก็กดตัดสายอย่างรำคาญ เขาบล็อกเบอร์โทรของกันยกรโดยไม่ต้องคิด ก่อนจะล้มตัวลงนอนรูปร่างสูงล่ำสันและใบหน้าคมเข้มของกันยกรยังคงติดอยู่ในหัวของธีทัต เจ้าของแผ่นหลังกว้างที่เจอที่ร้านอาหารนั่งหันหลังไม่แม้แต่จะหันมายิ้มทักทายทั้งที่ก็เคยเจอกันหลายครั้ง ความรู้สึกเหมือนกับน้อยใจแล่นเข้ามาในจิตใจ มันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนชายหนุ่มต้องสะบัดหัวไล่ความคิดออกไป

   ธีทัตตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ตามปกติ แต่วันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งคือเขาได้รับประทานอาหารเช้าฝีมือจารวีก่อนออกมาราวน์วอร์ด
“ทำไมไม่ซื้อของกินไว้ติดตู้เย็น อาหารแช่แข็งพวกนี้กินเข้าไปบ่อย ๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ”  จารวีบ่นอุบเมื่อเปิดตู้เย็นแล้วเจอแต่อาหารแช่แข็ง
“โธ่ แม่ครับทุกวันนี้โชคดีแค่ไหนแล้วที่โรงพยาบาลเขาเลี้ยงอาหารเที่ยง อาหารเย็น เลยได้กับข้าวมากินทุกวัน”
“อาหารโรงพยาบาลมันจะไปถูกปากได้ไง แม่ว่าทำเองดีกว่าเยอะ ถ้าไม่อยากทำเองก็ไปซื้อที่ตลาด” ธีทัตอมยิ้ม ไม่อยากเถียงกลับ อย่าว่าแต่จะทำอาหารเลย เวลาที่จะไปตลาดก็แทบจะไม่มีด้วยซ้ำไป
“วันนี้แม่จะไปตลาดสด ซื้อของมาทำอาหารเย็นให้กิน ไม่ต้องรับปิ่นโตอาหารเย็นมาล่ะ” ธีทัตรับคำก่อนจะออกไปทำงาน
   ชายหนุ่มรีบตรงปรี่เข้าไปหาพิสมัยที่วอร์ดอายุกรรมขณะราวน์วอร์ดรอบเช้า
“พี่ไหม ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
“อ้าว หมอออมมาพอดีเลย พี่กำลังจะโทรถามพอดี”
“มีอะไรเหรอครับ” ธีทัตถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงนิดหนึ่ง
“คนไข้ที่ชื่ออารี ห้องพิเศษ 416 ค่ะ เมื่อคืนแผลผ่าตัดติดเชื้อ ไข้ขึ้นสูงมากจนถึงตอนนี้ไข้ยังไม่ลดเลยค่ะ”
“งั้นเหรอครับ ผมจะไปราวน์วอร์ดก่อน เสร็จแล้วจะแวะขึ้นไปดู ระหว่างนี้ให้ยาลดไข้ไปก่อนนะครับ” ธีทัตรีบก้าวขาอย่างเร่งรีบ ที่นายหัวโทรมาหาเมื่อคืนจะเกี่ยวกับคนไข้หรือเปล่านะ? ถ้าใช่เขาก็เป็นหมอที่แย่มากที่ผลักไสหน้าที่ออกไป
   ธีทัตกลับเข้ามาดูอารีที่ห้อง 416 อีกครั้งหลังจากราวน์วอร์ดเสร็จ เขาเปิดดูแผลด้วยความเบามือ รอบๆ บริเวณแผลผ่าตัดบวมแดงบ่งบอกว่าติดเชื้อ ธีทัตถอนหายใจอย่างโล่งอกที่แผลไม่รุนแรงนัก
   “รัพเจอร์ แอพเพนดิก* อยู่ก่อนแล้ว คัลเจอร์** หา source*** ด้วยนะครับ” ธีทัตสั่งด้วยความคล่องแคล่ว
   “วันนี้ไม่มีญาติคนไข้มาเฝ้าเหรอครับ” ธีทัตถามพิสมัย
   “เฮียเส็งสามีคนไข้เพิ่งกลับบ้านไปเมื่อเช้าค่ะ ไม่รู้ว่ามีว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นรีบกลับไปแต่เช้า” ธีทัตพยักหน้าไม่ตอบอะไรอีก เพราะต้องรีบกลับไปตรวจคนไข้ต่อที่หอผู้ป่วยนอก


   กันยกรขับรถเข้าไปในตัวเมืองกับสันต์ตั้งแต่เช้า เพื่อเข้าไปสั่งปุ๋ยล็อตใหม่ที่เอามาใส่ในสวนยางและสวนผลไม้ สันต์นั่งคู่กับเขาที่เบาะหน้า ชายหนุ่มมองท้องฟ้าแล้วเริ่มบ่นเรื่องฝนฟ้าอากาศที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าจะมีฝนตกหนักในคืนนี้
   “กรมอุตุเค้าบอกว่าฝนจะตกหนักนะนายหัว ฟ้าก็ครึ้มเชียว ขอให้ตกกลางวันนี้ทีเถอะ คืนนี้จะได้กรีดยางได้อีกวัน เฮ้อ ค่ายางตอนนี้ก็ลงเหลือเกินนะครับ 40 กว่าบาทแล้ว รัฐบาลก็น่าจะช่วยสักหน่อย ขอสัก 80 ก็ยังดี วันก่อนไอ้ชมก็สั่งปุ๋ยมาผิด สั่งสูตร 0-0-60 มาใส่ทุเรียน ผมบอกมันแล้วมันก็ไม่จำเลยว่าห้ามใส่ปุ๋ยสูตรนี้ นายหัวน่าจะจัดการมันบ้างนะครับ...” กันยกรเบรกรถดังเอี๊ยดจนสันต์หน้าคะมำ
   “บ่นจบรึยัง อายุไม่เท่าไหร่บ่นเป็นหมีกินผึ้งไปได้ เลิกบ่นได้แล้ว จะถึงร้านแล้ว เตรียมใบสั่งของไว้ให้ดี” กันยกรเลี้ยวรถเข้าไปบริษัทจำหน่ายปุ๋ยที่คุ้นเคยกันดี หลังจากจอดรถเรียบร้อยสันต์รู้หน้าที่ว่าตัวเองจะต้องทำอะไร เขารีบเดินเข้าไปสั่งปุ๋ยในสำนักงานทันที
   “เอ้า วันนี้มันวันไอไรวะ นายหัวกันย์มาหาเลย พันพรื่อมั่ง” ชายสูงวัยคนหนึ่งส่งเสียงทักทาย พลางเดินเข้ามาตบบ่าทักทายกันยกรอย่างสนิทสนม
   “สวัสดีครับเถ้าแก่ ผมจะเข้าไปในเมือง เลยแวะมาสั่งปุ๋ยด้วย”
   “เอ้ย แลลูกค้าให้ดีนะ อย่าให้เสียชื่อกู” เถ้าแก่หันไปสั่งลูกน้อง เมื่อสั่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว กันยกรยกมือลาเถ้าแก่เจ้าของร้านก่อนจะเดินฝ่าแดดร้อนกลับไปขึ้นรถ สันต์เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
   “เอ้อ เกือบลืมเลยครับ วันก่อนคนงานมาบอกว่าถ้วยน้ำยางแตก ผมก็เลยสั่งที่ร้านเอาไว้ ไหนๆ เราก็เข้าเมืองมาแล้วแวะไปเอาเลยดีไหมครับ”
   “ก็ดี จะได้ไม่เสียเที่ยว นายสั่งของร้านไหนเอาไว้”
   สันต์บอกชื่อร้านขายอุปกรณ์การเกษตรร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองใกล้กับตลาดสดเทศบาล กันยกรสั่งให้สันต์ไปเอาของที่ร้านส่วนตัวเขาเองนึกอยากกินกาแฟดำเจ้าอร่อยในตลาดขึ้นมา จึงนัดแนะกันว่าหากสันต์ทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วให้โทรศัพท์หา เขาจะออกมาจากร้านกาแฟ
   ตลาดเทศบาลตอนสายผู้คนเริ่มซา ไม่หนาแน่นเหมือนตอนเช้า บางร้านเริ่มเก็บร้านเพื่อกลับบ้านแล้วจะมาตั้งร้านใหม่ในตอนเย็น กันยกรเดินผ่านตลาดเพื่อไปร้านกาแฟเจ้าเก่าชื่อดังของเมืองสุราษฎร์ ชายหนุ่มหยุดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าบางคนที่รู้จัก หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งหิ้วของพะรุงพะรังเดินผ่านเขาไปยังแผงข้างๆ ชายหนุ่มเหลือบมองหล่อน ดูจากภายนอกก็รู้ว่าไม่ใช่คนในพื้นที่ เด็กหนุ่มวัยรุ่นใบหน้าซูบตอบ ดูปราดเดียวก็รู้ว่าติดยาเสพติดเดินตามหล่อนมาด้วย มือผอมของเด็กหนุ่มค่อยๆ ยื่นออกไปล้วงหาของในกระเป๋าโดยที่หญิงคนนั้นไม่รู้ตัว
   “เฮ้ย ทำอะไรน่ะ” กันยกรถลาเข้าไปคว้าข้อมือผอมนั้น
   “ปะ เปล่าครับ ไม่ได้ทำอะไร” เด็กหนุ่มสะดุ้งจะชักมือหนีแต่ก็ไม่ทัน
   “ไม่ได้ทำอะไรได้ไง เห็นอยู่ว่ากำลังจะขโมยของ” กันยกรตวาดเสียงดัง ผู้คนในตลาดเริ่มหันมามองด้วยความสนใจ “มาด้วยกันหรือเปล่าครับ” เขาหันไปถามหญิงคนนั้น
   “เปล่าค่ะ ฉันไม่รู้จักเขา”
   “นั่นไง ยังจะบอกว่าไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ จะให้เรียกตำรวจมั้ย” เขาตวาดอีกครั้ง
   “เอ่อ อย่าเรียกตำรวจเลยค่ะ ปล่อยเค้าไปเถอะค่ะ ของของฉันก็ยังอยู่ครบ ฉันไม่อยากมีปัญหา” หญิงคนนั้นขอร้องเอาไว้
   “มึงไปเลย ไปไกลๆ เลย อย่ามาให้เห็นอีกนะ ถ้าเจออีกเมื่อไหร่ กูเรียกตำรวจมาจับมึงแน่” กันยกรปล่อยมือผอมบางนั้น เด็กหนุ่มรีบวิ่งแจ้นหนีไปทันที
   “คุณน้าดูของให้ดีนะครับ มีอะไรหายบ้างรึเปล่า แล้วก็เวลาเดินในที่ที่มีคนเยอะๆ ก็ระวังไว้ด้วยนะครับ” กันยกรหันมาถามหญิงวัยกลางคน
   “ไม่มีค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเอาไว้ น้ามาสุราษฎร์ครั้งแรก เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้เอง เมื่อเช้าก็โดนรถตุ๊กๆ เรียกค่ารถแพงเกินจริง” จารวีบ่น
   “จริงเหรอครับ พวกรถตุ๊กๆ นี่ก็หัวแหลม ชอบเรียกค่าโดยสารแพงกับนักท่องเที่ยว คุณน้าพักอยู่ที่ไหนครับ เดี๋ยวผมจะไปส่งครับ” จารวีมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ใบหน้าคมเข้มดูผ่านๆ เหมือนเป็นคนหน้าดุ แต่เขามีน้ำใจจนหล่อนรู้สึกซาบซึ้ง
   “น้าพักแถวโรงพยาบาลค่ะ ส่งที่หน้าโรงพยาบาลก็ได้” กันยกรพยักหน้า สันต์เดินกลับมาจากร้านขายอุปกรณ์การเกษตรพอดี
   “คุณน้ามาเที่ยวเหรอครับ” กันยกรถามขณะขับรถออกจากตลาด กำลังจะกลับรถเพื่อไปส่งจารวีที่โรงพยาบาล
   “มาเยี่ยมลูกชายค่ะ ลูกชายมาทำงานที่นี่” หล่อนบอก
   “อ้อ เหรอครับ ถ้ามีโอกาสก็ให้ลูกชายพาไปเที่ยวด้วยนะครับ ที่สุราษฎร์เรามีเกาะสวยๆ ชายหาดสวยๆ เยอะแยะเลย” กันยกรบอก มองจารวีจากกระจกมองหลัง
   “ขอบคุณที่แนะนำนะคะ แต่น้าคงไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรอกค่ะ ลูกชายเค้าทำงานทุกวัน นี่ก็มาช่วยเก็บกวาดบ้านให้เค้า อ้อ จอดที่หน้าโรงพยาบาลนั่นแหละค่ะ เดี๋ยวน้าเดินกลับบ้านเอง”
   กันยกรชะลอรถแล้วจอดตรงหน้าโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี “คุณน้าแน่ใจนะครับว่าจะเดินกลับเองได้ ของตั้งเยอะแยะ”
   “โอ๊ย ได้ค่ะ ของแค่นี้สบายมาก ขอบคุณมากนะคะที่มาส่ง” กันยกรพยักหน้าแล้วออกรถไป
   “เอ้า ตายจริงว่าจะถามชื่อเสียหน่อย ลืมไปเลย” จารวีบ่นกับตัวเอง


   ธีทัตกลับมารับประทานอาหารเที่ยงที่แฟลต จารวีทำกับข้าวไว้สองสามอย่าง ล้วนเป็นอาหารที่ธีทัตชอบทั้งสิ้น เมื่อลูกชายนั่งลงที่โต๊ะอาหารหล่อนก็นั่งตรงข้ามดูธีทัตกินอาหารด้วยความหิว
   “วันนี้แม่ไปตลาดมา สงสัยวันนี้จะเป็นวันไม่ดีของแม่แน่ๆ เลย ตอนเช้าโดนรถตุ๊กๆ โกงค่ารถ พอเดินในตลาก็เกือบโดนล้วงกระเป๋า” จารวีบอกขณะตักผัดผักให้ตัวเอง
   “แม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ” ธีทัตถามด้วยความตกใจ
   “ไม่เป็นอะไรหรอกจ้ะ มีคนมาช่วยไว้ทัน เขายังใจดีมาส่งแม่ที่หน้าโรงพยาบาลด้วยนะ”
   “ผมบอกแล้วว่าให้แม่ขับรถไปเอง แม่ไว้ใจคนแปลกหน้าได้ไงครับ”
   “เขาช่วยแม่เอาไว้นะ ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นคนไม่ดีหรอก”
   “คนสมัยนี้ดูภายนอกได้ที่ไหนครับ”
   “เอาน่า เซ้นส์ของแม่บอกว่าเขาเป็นคนดีนะ”
   “ทีหลังถ้าแม่จะไปไหนก็เอารถไปนะครับ เวลาเดินก็ระวังหน้าระวังหลังด้วย” ธีทัตบอกแกมสั่ง
   “จ้า รู้แล้วจ๊ะ คุณหมอออมขี้บ่นเหมือนกันนะเนี่ย อ้าว อิ่มแล้วเหรอลูก” ประโยคสุดท้ายจารวีถามเมื่อเห็นธีทัตกินไปได้เกือบหมดก็รวบช้อนส้อม หยิบแก้วน้ำดื่ม
   “ครับ ผมอิ่มแล้วล่ะครับ ต้องกลับไปดูคนไข้ด้วย แม่ยังทำอาหารอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับ คิดถึงบรรยากาศเดิมๆ จัง พี่อาร์มน่าจะได้มากินข้าวด้วยกัน”
   “โอ๊ย ปล่อยรายนั้นไปเถอะ ตั้งแต่เรียนจบเตรียมทหารก็ไม่ค่อยชอบอาหารของแม่สักเท่าไหร่ ออมไปทำงานต่อเถอะลูก เดี๋ยวแม้จัดการล้างจานเอง” หล่อนหยิบจานตรงหน้าธีทัตไปไว้ที่อ่างล้านจาน
   “เย็นนี้กลับมากินข้าวเย็นนะ แม่จะทำกับข้าวเก็บไว้ให้ในตู้เย็น” ธีทัตตอบรับแล้วยิ้มให้มารดาก่อนจะรีบออกไปทำงานต่อ

   
   อารีอาการดีขึ้นในสองวันต่อมา จนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ธีทัตจึงอนุญาตให้หล่อนออกจากโรงพยาบาลได้ กานดาและกันยกรมารับอารีกลับบ้านแทนเถ้าแก่เส็งสามีของอารีติดที่ต้องเฝ้าห้างทองซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว
   “เมื่อเช้าหมอเข้ามารึยัง” กานดาถามเมื่อเห็นหน้าน้องสาว
   “วันนี้หมอยังไม่ได้เข้ามาเลยพี่ดา พยาบาลเข้ามาบอกว่าหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว อ้าว ยัยหมิวไม่ได้มากับพี่ดาเหรอ” อารีถามเมื่อไม่เห็นลูกสาวของตัวเอง
   สองวันก่อน หลังจากที่ได้ข่าวว่าอารีป่วย เวณิกาก็ลาออกจากงานกะทันหันโดยอ้างเหตุผลในการลาออกว่าต้องกลับมาดูแลแม่ที่ป่วย
   “ตอนไปบ้านน้ารีก็ไม่เจอหมิวแล้วครับ น้าเส็งบอกว่าออกไปไหนแต่เช้า เอารถมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยครับ” กันยกรบอก
   “อีกแล้วเหรอไอ้ลูกคนนี้ น้าห้ามมันขับมอไซค์แล้วนะ กลัวรถราจะชน ดูสิยังจะดื้อขับอีก เฮ้อ ปวดหัวกับมันจริงจริ๊ง อยู่ๆ ก็ลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้านเสียเฉยๆ” อารีส่ายหน้าอย่างระอากับลูกสาว
   “เอาน่า อย่าไปว่ามันเลย หมิวมันกลับมาอยู่บ้านก็ดีแล้วจะได้ช่วยเส็งดูร้านทองด้วย รีกับเส็งก็อยากให้กลับมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
   “ก็อยากนะพี่ดา แต่อยู่ๆ นึกจะกลับก็กลับมา นึกจะไปก็ไป ฉันตามมันไม่ทันจริงๆ”

(มีต่อตอน 5.2)
[/color][/size]

หมายเหตุ
* รัพเจอร์ แอพเพนดิก - ไส้ติ่งแตก
**  คัลเจอร์ - เพาะเชื้อ
*** source - สาเหตุ

หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 13-05-2018 23:15:10
ตอนที่ 5.2

อีกด้านหนึ่งของโรงพยาบาล เวณิกาจอดรถมอเตอร์ไซค์ในลานจอดรถแล้วหิ้วของพะรุงพะรังเต็มสองมือเข้ามาในโรงพยาบาล เด็กสาวเดินก้าวขาฉับๆ ไปยังแผนกอายุรกรรม ปกติแผนกนี้จะมีคนไข้เยอะแทบล้นทุกเช้า เด็กสาวแทรกตัวไปตามช่องว่างจนเจอเก้าอี้ว่างตัวหนึ่ง เธอก็นั่งลงรอคอยใครบางคน โดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างที่พากันมองเป็นตาเดียวกัน สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผู้ป่วยและญาติในวอร์ดก็คือเสื้อผ้าของเด็กสาวนั่นเอง เวณิกาสวมเสื้อเปิดไหล่กับกางเกงขาสั้นอวดเรียวขายาวแต่มีเซลลูไลท์ประปราย ใบหน้าขาวเนียนไร้สิวฝ้านั้นแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอาง ริมฝีปากทาด้วยสีแดงสด เวณิกาเองก็ออกจะพอใจที่คนรอบข้างพากันหันมาสนใจเธอ
   “แหมๆๆ นึกว่าใคร น้องหมิวนี่เอง มารอพบหมอออมเหรอ ไอย๊ะ วันนี้สวยจังนิ” พิสมัยเอ่ยทักทายเวณิกา เด็กสาวยกมือไหว้อย่างสวยงาม
   “สวัสดีค่ะ พี่ไหม อ้อ หมิวมีของมาฝากพี่ไหมและพี่พยาบาลด้วยค่ะ นี่ค่ะ” เวณิกายื่นถุงบรรจุอาหารเช้าอย่างติ่มซำและซาลาเปาให้พิสมัย
   “อู้ยย ขอบใจจ้า แหม ไม่เห็นต้องลำบากเลย ลาภปากหล่าว”
   “พี่ไหมคะ หมอออมจะมารึยังคะ”
   “อีกสักพักละมั้ง เออนี่รู้รึยังว่าแม่เราออกจากโรงพยาบาลได้แล้วนะ หมออนุญาตให้กลับวันนี้แล้ว”
   “รู้แล้วค่ะ หมิวไม่อยากให้แม่ออกจากโรงพยาบาลเลย ถ้าแม่ออกจากโรงพยาบาลหมิวก็ไม่ได้เจอหมอออมบ่อยๆ แล้วสิคะ”
   “ฮาย บ้านน้องหมิวอยู่แค่นี้เองจะมาหาหมอออมเมื่อไหร่ก็ได้ เดี๋ยวพี่จะไปแอบดูมาให้ว่าหมอออมอยู่เวรวันไหนแล้วจะแวะไปบอกที่ร้านนะจ๊ะ” ประโยคหลังพิสมัยแอบกระซิบ
   เวณิกาดีดตัวขึ้นยืนเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งเดินตรงมายังวอร์ดอาบุรกรรม ใบหน้าขาวใสอมชมพูหันไปยิ้มกับคนไข้บางคนที่คุ้นหน้า
   “พี่หมอออมคะ” เวณิกาพุ่งพรวดไปยังเขาทันที ธีทัตสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังมีสติดีพอที่จะกระตุกมุมปากยิ้มให้เด็กสาวนิดหนึ่ง
   “พี่หมอกินอะไรรึยังคะ หมิวหมิวมีของมาให้หมอออมด้วยค่ะ” เธอยื่นถุงที่เหลือในมือไปให้ชายหนุ่ม ธีทัตจึงต้องจำใจรับไว้
   “ทีหลังไม่ต้องลำบากซื้อของมาเยอะขนาดนี้นะครับ ซื้อมาให้ทุกวันผมเกรงใจ”
   “ไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะพี่หมอ หมิวหมิวเต็มใจค่ะ” เวณิกาฉีกยิ้มกว้าง
   “อ่อ ครับ งั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ”
   “สู้ๆ นะคะ กินก่อนทำงานก็ดีนะคะ กำลังร้อนๆ เลย”
   ธีทัตยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตรวจ ชายหนุ่มยกของกินทั้งหมดให้พยาบาลเอาไปแบ่งกันกิน
   “หมอไม่เก็บไว้กินบ้างเหรอคะ น้องหมิวอุตส่าห์ซื้อมาให้ ถ้าน้องเขารู้ว่าหมอเอามาแจกต่อน้องเขาเสียใจแย่เลยค่ะ”
   “ไม่ละครับ พี่ๆ กินกันเถอะครับ ผมไม่หิว”
   “เอ๊ะ อันนี้น่าจะเป็นของหมอนะคะ น้องหมิวใส่ไว้ในถุงนี้”
พยาบาลยื่นห่อกระดาษเล็กๆ ลายซากุระสีชมพูให้ มือขาวเนียนรับมาดูมีกระดาษโพสอิทแปะไว้ว่า “ขอบคุณนะคะพี่หมอที่ดูแลแม่ของหมิวหมิวเป็นอย่างดี” เขาแกะออกก็พบถุงกำมะหยี่สีแดง เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในถุงธีทัตก็ขมวดคิ้วอย่างคิดหนัก เมื่อพบว่าข้างในบรรจุสร้อยคอทองคำเส้นหนึ่ง
“พี่ไหมครับ หมิวหมิวไปรึยัง” ชายหนุ่มรีบเปิดประตูออกมาถามพิสมัยที่นั่งประจำอยู่หน้าห้อง
“ไปแล้วค่ะ มีอะไรเหรอคะ”
“หมิวหมิวให้นี่กับผม แต่ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ มันมีค่ามากเกินไป” ธีทัตยื่นถุงกำมะหยี่สีแดงให้พิสมัยดู
“เก็บไว้เถอะค่ะหมอ น้องหมิวเขาคงอยากให้หมอ”
“ไม่ได้หรอกครับ มันมีค่ามากเกินไป พี่ไหมมีเบอร์โทรหมิวหมิวไหมครับ รบกวนโทรไปบอกให้มาเอาทองคืนได้ไหมครับ”
   “ไม่มีหรอกค่ะหมอ พี่ไม่ได้สนิทกับบ้านพี่รี อืม..เอางี้ไหมคะ พี่จะบอกนายหัวกันย์ให้ว่าน้องหมิวเอาทองมาให้หมอ ให้นายหัวมาเอาไปคืนร้านเถ้าแก่เส็ง”
   เมื่อได้ยินคำว่า นายหัว ธีทัตก็ชะงักนิดหนึ่งแต่ไม่อยากให้พิสมัยเห็นสังเกต แต่เมื่อคิดดูถี่ถ้วนดีแล้วว่าไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้เขาจึงต้องจำยอมทำตามความคิดของพิสมัย ธีทัตกลับเข้ามาในห้องตรวจ ชายหนุ่มยกมือขวาแตะหน้าอกด้านซ้าย หัวใจของเขากำลังเต้นระรัว
   ‘นี่เราเป็นอะไร ทำไมใจเต้นเร็วขนาดนี้’
 

   ในตอนเย็นลานจอดรถในโรงพยาบาลค่อนข้างโล่ง กันยกรขับรถเข้ามาถึงเขตที่พักของบุคลากรในโรงพยาบาล ชายหนุ่มดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถ เขากำลังรอใครบางคนที่พิสมัยโทรไปบอกว่าอยากเจอเขา ไม่ได้อยากเจอเพราะคิดถึง แต่อยากเจอเพราะมีธุระบางอย่างจะคุยด้วย แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้ใจเขาเต้นได้แล้ว
   “ผมถึงแล้ว เพิ่งจอดรถหน้าแฟลต หมออยู่ไหน?”
   ไม่นานร่างสูงโปร่งก็เดินออกมาจากแฟลต ธีทัตดูแปลกตากว่าทุกครั้งเพราะตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น ผมดำขลับกระเซิงเล็กน้อยเหมือนเพิ่งตื่นนอน
   “เพิ่งตื่นเหรอหมอ” กันยกรถาม
   “อื้ม วันนี้ผมไม่มีเวร อะนี่....” ธีทัตยื่นถุงกำมะหยี่สีแดงให้กันยกร มือใหญ่หยาบกร้านรับมาเปิดดู สร้อยคอทองคำส่องประกายเรืองรองบนมือหนาใหญ่
“หมิวหมิวน้องสาวคุณให้ผมมา แต่ผมรับไม่ได้หรอก มันแพงเกินไป” ธีทัตบอก
“เฮ้อ เพิ่งจะกลับมาอยู่บ้านไม่กี่วันก็ขโมยของในร้านมาให้ผู้ชายซะแล้ว” กันยกรพูดทำนองบ่นกับตัวเอง
“คุณว่าไงนะ”
“ไอ้หมิวมันเพิ่งลาออกจากงานที่กรุงเทพแล้วกลับมาอยู่ที่บ้าน บอกว่าจะมาช่วยน้าเส็งกับน้ารีดูแลร้านทอง นี่กลับมาได้ไม่กี่วันก็ขโมยทองในร้านซะแล้ว” กันยกรขยายความ
“นี่...คุณอย่าบอกนะว่า...ทองเส้นนี้ถูกขโมยมา” ธีทัตตกใจ
“ใช่ ผมมั่นใจว่าหมิวขโมยแน่ๆ แต่หมอไม่ต้องห่วงหรอก ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอก ผมจะเอาไปคืนน้าเส็งพรุ่งนี้” ธีทัตนิ่งเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“หมอกินข้าวรึยัง ไปกินข้าวกันไหม มีร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่ผมชอบกินอยู่ 2-3 ร้าน”
“อ่า...เอ่อ...ไม่ดีกว่า ผมไม่...”
โครกกก...ครากกก
ยังพูดไม่ทันจบน้ำย่อยในท้องก็เหมือนจะไม่เป็นใจ ส่งเสียงออกมาจนกันยกรหัวเราะร่วน
“ดูเหมือนว่าหมอจะหิวนะ เอาน่า มาเถอะ เดี๋ยวผมกลับมาส่ง”
อันที่จริงแล้วจารวีทำอาหารไว้หลายอย่างไว้เป็นเสบียงให้ลูกชายก่อนที่หล่อนจะบินกลับกรุงเทพคืนวันนี้ แต่ธีทัตกังวลเรื่องสร้อยทองที่ได้จากเวณิกาจนไม่อยากกินอาหารฝีมือแม่ เมื่อได้คืนของให้กันยกรแล้ว ความกังวลทั้งหมดก็คลายลง ความหิวจึงเข้ามาแทนที่ เขาไม่อยากปฎิเสธน้ำใจของนายหัวเจ้าของสวนยางคนนี้ จึงยอมออกไปกินอาหารมื้อเย็นด้วย ธีทัตเดินตามร่างสูงใหญ่ไปยังลานจอดรถ เมื่อมองจากด้านหลังแล้วเขาเพิ่งสังเกตว่ากันยกรเป็นผู้ชายไหล่กว้างหนาและล่ำสัน เป็นหุ่นวีเชฟตามแบบฉบับคนออกกำลังกายเป็นกัน ร่างสูงใหญ่กดรีโมทกุญแจเพื่อปลดล็อกรถเอสยูวีคู่ใจ ธีทัตเปิดประตูไปนั่งด้านหน้าข้างคนขับ
“รถรกหน่อยนะครับ ไม่ค่อยได้จัด” ชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยบอก ธีทัตไม่ถือว่าการที่รถรกเป็นเรื่องใหญ่เพราะรถของเขาเองก็รกไม่น้อยไปกว่ารถคันนี้สักเท่าไหร่


ธีทัตมองอาหารหลายอย่างถูกทยอยนำมาเสิร์ฟเรื่อยๆ  มีเพียงไม่กี่อย่างที่เป็นอาหารของโปรดที่เขาสั่ง กันยกรตะโกนสั่งเบียร์วุ้นเย็นๆ หนึ่งขวด
“คุณต้องขับรถนะครับ” ธีทัตท้วง
“ขวดเดียวเอง ไม่เมาหรอกน่า”
“จะเมาหรือไม่เมาก็ไม่ควรกิน มันอันตราย” กันยกรมองชายหนุ่มใบหน้าขาวอมชมพูที่กำลังขึ้นเสียงแข็ง ดวงตายาวรีจ้องเขม็งตาคมจนเขาเองต้องกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“เอ้า ไม่กินก็ได้ เฮ้ย ไม่เอาเบียร์แล้วนะ เอาข้าวต้มมาแทนก็แล้วกัน” กันยกรตะโกนสั่ง
 “ไม่เห็นต้องดุเลยนี่นา” กันยกรบอกขณะรินน้ำดื่มใส่แก้วที่บรรจุน้ำแข็งจนเต็ม
“ทำไมหมอต้องบล็อกเบอร์ผมด้วย” น้ำเสียงทุ้มถามขึ้นทำลายความเงียบ
ธีทัตเงยหน้ามองผู้ถามเต็มตา ดวงตาคมใต้คิ้วเข้มกำลังมองมาที่เขา ดวงตาที่ปกติมีแต่ความเฉยชาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บัดนี้กลับมีแววของความซุกซนเหมือนเด็ก ริมฝีปากหยักที่ถูกห้อมล้อมด้วยตอหนวดกำลังอมยิ้ม  ธีทัตรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าเมื่อสบตากับดวงตาดำคมคู่นั้น
“ก็...ไม่ได้บล็อกซะหน่อย”
“บล็อกสิ ผมโทรหาหมอครั้งที่สองไม่ติด”
“ก็คุณกวนตีนนี่นา ผมไม่ชอบคุยกับคนกวนตีน”
กันยกรหัวเราะร่วนอย่างขบขัน “ผมขอโทษก็แล้วกัน หมอดูติ๋มๆ ก็เลยอยากแกล้งเล่น”
“ว่าแต่ว่าคุณไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน จากพี่ไหมเหรอ?”
กันยกรพยักหน้ารับ
“นึกแล้วเชียว”


รถเรนจ์โรเวอร์สีดำกลับมายังโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีอีกครั้ง มันเคลื่อนตัวฝ่าความสลัวไปจนถึงแฟลตตึกหนึ่ง ไฟหน้าดับลงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคนขับจะลงมาส่งผู้โดยสารจนถึงประตูทางเข้า ร่างสูงสูงโปร่งหันกลับมามองร่างสูงใหญ่ที่หยุดยืนอยู่หน้าประตู
“ขอบคุณนะครับที่เลี้ยงอาหารเย็น”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมต้องขอโทษแทนน้องสาวผมด้วยที่ไปรบกวนหมอหลายครั้ง เรื่องสร้อยทองไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะจัดการให้เอง”
“ขอบคุณนะครับ” ธีทัตบอก
ทั้งสองเงียบกันไปครู่หนึ่งกันยกรเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ แต่ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดธีทัตก็เรียกชื่อใครคนหนึ่ง
“พี่วีเพิ่งออกเวรเหรอครับ” กันยกรหันขวับเมื่อได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม
ปฐวีชะงักกึกเมื่อร่างสูงใหญ่หันหน้ามา
“อ้าวเฮ้ย ไอ้วี แกมาทำอะไรที่นี่วะ” กันยกรถามห้วนๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ปฐวีขมวดคิ้วราวกับจะถามกลับเช่นกัน
“ฉันควรจะถามแกมากกว่า ฉันเป็นหมอไม่แปลกที่จะพักที่นี่ แกนั่นแหละมาทำอะไรที่นี่” ปฐวีถามกลับพลางมองหน้ากันยกรอย่างงุนงง
“นี่คุณสองคนรู้จักกันด้วยเหรอครับ?” ธีทัตถามอย่างงุนงงกว่า

____________________________________________________________________________________________

Writer Talk
สวัสดีค่ะ ผู้อ่านทุกท่าน

ตอนนี้ You're my Law of Attraction ก็ดำเนินเรื่องมาถึงตอนที่ 5 แล้วนะคะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อ ดรีม ค่ะ เรื่องนี้เป็นนิยายวายเรื่องแรกที่แต่งขึ้นมา ขอบคุณกำลังใจจากทุกคนที่ส่งมาให้นะคะ เราตามอ่านทุกคอมเม้นต์เลยค่ะ อาจจะได้ตอบกลับบ้างไม่ได้ตอบกลับบ้าง เพราะยังงงๆ กับเว็บอยู่เลยค่ะ 5555 ต้องขออภัยด้วยค่ะ (ป้าแก่เลี้ยว) ขอบคุณมากๆ จริงๆ นะคะ กำลังใจจากทุกคนทำให้เราอยากจะเขียนตอนต่อไปให้สนุกมากขึ้น ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและคำติชมด้วยนะคะ เราจะนำไปปรับปรุงในนิยายตอนต่อไปค่ะ มารอลุ้นกันนะคะว่ากฎแรงดึงดูดของนายหัวกันย์จะทำให้หมอออมเคลิบเคลิ้มแล้วติดกับนายหัวได้หรือไม่ (ฮา)

อ้อ ส่วนเรื่องตีพิมพ์เป็นเล่ม แอบกระซิบบอกนิดนึงว่าตอนนี้มีสำนักพิมพ์ติดต่อมาแล้วนะคะ แต่รายละเอียดขอเก็บไว้ก่อนนะคะ ไว้มีอะไรอัพเดทจะมาบอกอีกทีนะคะ ขอบคุณค่ะ

ดรีม
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-05-2018 00:15:46
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 14-05-2018 07:39:22
อ้อ ส่วนเรื่องตีพิมพ์เป็นเล่ม แอบกระซิบบอกนิดนึงว่าตอนนี้มีสำนักพิมพ์ติดต่อมาแล้วนะคะ แต่รายละเอียดขอเก็บไว้ก่อนนะคะ ไว้มีอะไรอัพเดทจะมาบอกอีกทีนะคะ ขอบคุณค่ะ
ดีใจแทนคุณดรีมด้วยนะครับ ผมว่าความฝันสูงสุดของนักเขียนทุกคนคือการที่นิยายตัวเองจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มๆนี่แหละ  :mc4: ประสบความสำเร็จแล้วน๊า  :z2:
รอซื้อเล่มเลยครับผม  :katai2-1:
ปล. ตอนที่5.1/5.2 เดี๋ยวว่างจะมาอ่านและมาเม้นดังเดิมนะครับ  :really2:
ขอบคุณครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: ใดฯจัง ที่ 19-05-2018 15:25:12
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ มีจุดให้ตามต่อไม่เบื่อ  อ่านรวดเดียวเลยค่ะ o13

ตัวละครเหมือนมีตัวตนจริงๆ  ฉาก สถานที่ สถานการณ์สมจริงมาก หาข้อมูลเก่งจัง นับถือค่ะ   :mew1:

นายหัวกับคุณหมอ เคมีเข้ากันดีมว้ากกกก  ตอนที่ห้าอ่านไปฟินไป อยากให้เข้มข้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ  :pighaun:

ยินดีด้วยนะคะที่ได้ตีพิมพ์ รอคอยตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อและเป็นกำลังใจให้ค่ะ  :katai2-1:

หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 19-05-2018 21:42:11
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ มีจุดให้ตามต่อไม่เบื่อ  อ่านรวดเดียวเลยค่ะ o13

ตัวละครเหมือนมีตัวตนจริงๆ  ฉาก สถานที่ สถานการณ์สมจริงมาก หาข้อมูลเก่งจัง นับถือค่ะ   :mew1:

นายหัวกับคุณหมอ เคมีเข้ากันดีมว้ากกกก  ตอนที่ห้าอ่านไปฟินไป อยากให้เข้มข้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ  :pighaun:

ยินดีด้วยนะคะที่ได้ตีพิมพ์ รอคอยตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อและเป็นกำลังใจให้ค่ะ  :katai2-1:

ขอบคุณนะคะ สำหรับกำลังใจ ช่วยติดตามและเป็นกำลังใจทั้งนายหัวและหมอออมด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 19-05-2018 21:44:42
อ้อ ส่วนเรื่องตีพิมพ์เป็นเล่ม แอบกระซิบบอกนิดนึงว่าตอนนี้มีสำนักพิมพ์ติดต่อมาแล้วนะคะ แต่รายละเอียดขอเก็บไว้ก่อนนะคะ ไว้มีอะไรอัพเดทจะมาบอกอีกทีนะคะ ขอบคุณค่ะ
ดีใจแทนคุณดรีมด้วยนะครับ ผมว่าความฝันสูงสุดของนักเขียนทุกคนคือการที่นิยายตัวเองจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มๆนี่แหละ  :mc4: ประสบความสำเร็จแล้วน๊า  :z2:
รอซื้อเล่มเลยครับผม  :katai2-1:
ปล. ตอนที่5.1/5.2 เดี๋ยวว่างจะมาอ่านและมาเม้นดังเดิมนะครับ  :really2:
ขอบคุณครับ  :pig4:

ขอบคุณ คุณกาแฟมั้ยฮะจ้าว ด้วยนะคะที่ติดตามมาทุกตอน ช่วยเป็นกำลังใจให้นายหัวกันย์และหมอออมด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-05-2018 08:07:34
เม้นบทที่5.1+5.2นะครับ  :katai3:
เอาตรงๆจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยชอบคาแรกเตอร์คนแบบหมอออมอยู่ดี นอกจากหยิ่งและเซลฟ์สุดๆแล้ว การใส่เสื้อกาวน์ออกไปนอกรพ.เช่นการไปรับคุณจารวีที่สนามบินนี่เลาว่ามันเยอะไป คนไม่ขี้อวดเขาไม่ทำกันนะ คืออยากจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าตัวเองเป็นหมองี้เหรอ คือถ้าไม่มีเวลาเปลี่ยนชุดก็หาแจ๊คเก็ตสวมทับไว้ดีไหม(วะ)ครับ  :z6:
แต่เรื่องเล่าพาร์ตอดีตสมัยยังเด็กของออมและพี่น้องอีก3กับแม่นี่น่าสงสารปนหดหู่อ่ะ  :o12: เข้าใจในความฝังใจและไม่ให้อภัยคนเป็นพ่อที่ทำอะไรเอาไว้ซะขนาดนั้น คือถ้าเป็นเลา...เลาก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยว่าจะให้อภัยกับเหตุการณ์นั้นได้มั้ย อ่านพาตนี้แล้วสงสารความบ้านแตกของครอบครัวนี้แบบจับใจ ไม่อยากคิดเลยว่าลูกทั้ง4คนจะมีปมในใจอะไรยังไงบ้าง แต่ก็นั่นล่ะนะ โลกก็แบบนี้ เห้อ  :sad11:
ก็ว่าละว่าแผลเป็นที่หัวคิ้วนี่ต้องมีที่มาที่ไป  :katai2-1:
แล้วอะไร การที่พราวเข้ามาทักที่ร้านอาหาร แต่เห็นแค่หลังหลี่อี้นั่งเฉยแล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนายหัวกันย์ แล้วไปเคืองเขาถึงขนาดกดตัดสายและบล็อคเบอร์โทรนี่คือ??? ปวดหัวกับความหมอออม ฮ่าๆๆๆ คนอ่านอิน  :pigha2:
เกลียดเวลาหมอออมเรียกยัยหมิวว่าหมิวหมิว ดูน่าหมั่นไส้ทั้งคนเรียกและคนถูกเรียก หึๆ  :hao3:
พี่หมอวีกับนายหัวกันย์รู้จักกัน???? แถมยังดูสนิทกันมากๆด้วย wtf มีแววว่าเพื่อนรักจะชอบผช.คนแล้วกันแล้วล่ะงานนี้ ฮ่าๆๆๆ  :katai2-1:
รอตอนต่อไปครับ
ขอบคุณครับ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 21-05-2018 16:12:27
เม้นบทที่5.1+5.2นะครับ  :katai3:
เอาตรงๆจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยชอบคาแรกเตอร์คนแบบหมอออมอยู่ดี นอกจากหยิ่งและเซลฟ์สุดๆแล้ว การใส่เสื้อกาวน์ออกไปนอกรพ.เช่นการไปรับคุณจารวีที่สนามบินนี่เลาว่ามันเยอะไป คนไม่ขี้อวดเขาไม่ทำกันนะ คืออยากจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าตัวเองเป็นหมองี้เหรอ คือถ้าไม่มีเวลาเปลี่ยนชุดก็หาแจ๊คเก็ตสวมทับไว้ดีไหม(วะ)ครับ  :z6:
แต่เรื่องเล่าพาร์ตอดีตสมัยยังเด็กของออมและพี่น้องอีก3กับแม่นี่น่าสงสารปนหดหู่อ่ะ  :o12: เข้าใจในความฝังใจและไม่ให้อภัยคนเป็นพ่อที่ทำอะไรเอาไว้ซะขนาดนั้น คือถ้าเป็นเลา...เลาก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลยว่าจะให้อภัยกับเหตุการณ์นั้นได้มั้ย อ่านพาตนี้แล้วสงสารความบ้านแตกของครอบครัวนี้แบบจับใจ ไม่อยากคิดเลยว่าลูกทั้ง4คนจะมีปมในใจอะไรยังไงบ้าง แต่ก็นั่นล่ะนะ โลกก็แบบนี้ เห้อ  :sad11:
ก็ว่าละว่าแผลเป็นที่หัวคิ้วนี่ต้องมีที่มาที่ไป  :katai2-1:
แล้วอะไร การที่พราวเข้ามาทักที่ร้านอาหาร แต่เห็นแค่หลังหลี่อี้นั่งเฉยแล้วเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนายหัวกันย์ แล้วไปเคืองเขาถึงขนาดกดตัดสายและบล็อคเบอร์โทรนี่คือ??? ปวดหัวกับความหมอออม ฮ่าๆๆๆ คนอ่านอิน  :pigha2:
เกลียดเวลาหมอออมเรียกยัยหมิวว่าหมิวหมิว ดูน่าหมั่นไส้ทั้งคนเรียกและคนถูกเรียก หึๆ  :hao3:
พี่หมอวีกับนายหัวกันย์รู้จักกัน???? แถมยังดูสนิทกันมากๆด้วย wtf มีแววว่าเพื่อนรักจะชอบผช.คนแล้วกันแล้วล่ะงานนี้ ฮ่าๆๆๆ  :katai2-1:
รอตอนต่อไปครับ
ขอบคุณครับ  :pig4:

อย่าเพิ่งเกลียดหมอออมน้าาา ถึงนางจะขี้เก๊ก+อีโก้จัดไปหน่อย แต่ตัวตนจริงๆ นางน่ารักน้าาา อ่านไปสักพักจะหลงรักหมอออมค่ะ บอกได้เลย  :katai1:

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างหมอวีกับนายหัวกันย์จะเฉลยในตอนที่ 6 เร็วๆ นี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 31-05-2018 00:29:54
จะมาลงตอนที่ 6 ให้พรุ่งนี้นะคะ พอดีว่าช่วงนี้ติดงานยุ่งนิดหน่อยค่ะ อย่าเพิ่งหนีหายกันไปไหนน้าาา  :3123:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 5.1-5.2 | 13.04.18 | P.2 #30-#31 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 01-06-2018 00:11:29
ขอเลื่อนลงตอน 6 เป็นพรุ่งนี้นะคะ พอดีว่าคนเขียนป่วยค่ะ เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ กำลังรอให้หมอออมตรวจอยู่ค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6 | 1.05.18 | P.2 #41 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 01-06-2018 21:42:28
ตอนที่ 6.1

   “อ้าวเฮ้ย ไอ้วี แกมาทำอะไรที่นี่วะ” กันยกรถามห้วนๆ
   “ฉันควรถามแกมากกว่า” ปฐวีขมวดหัวคิ้ว “ฉันเป็นหมอไม่แปลกที่จะอยู่ที่นี่ แล้วแกล่ะมาทำอะไรที่นี่”

   ความทรงจำเมื่อ 24 ปีก่อนค่อยๆ ผุดขึ้นมาในสมองทีละนิด กันยกรยังจำเพื่อนคนนี้ที่ชื่อปฐวีได้อย่างดี ไม่เคยลืม...

   วันเปิดเทอมวันแรกด.ช.กันยกรรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันเปิดเทอมวันแรกของการขึ้นชั้นประถม 1 เด็กชายคิดว่าการได้เลื่อนชั้นจากอนุบาลไปสู่ชั้นประถมเปรียบเสมือนการโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง กันยกรมองชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมที่แขวนไว้หน้าตู้เพื่อใส่ในวันพรุ่งนี้เช้าอย่างตื่นเต้น
   “คืนนี้กันย์จะนอนเร็วๆ จะได้ตื่นไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า” เด็กชายบอกผู้เป็นพ่อและแม่ขณะที่กำลังรับประทานอาหารเย็น
   “เอ้อ อยากไปโรงเรียนขนาดนั้นเชียว” ก่อเกียรติถามลูกชาย “ไม่ดูการ์ตูนแล้วเหรอ”
   “กันย์จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่เขาไม่ดูการ์ตูนกันหรอกพ่อ” ก่อเกียรติเลิกคิ้วมองลูกชายสลับกับมองภรรยาอย่างงุนงง
   “ขึ้นป.1 ก็คือโตแล้วไงพี่” กานดาบอก
   “อ้อ งั้นเหรอ” ก่อเกียนติอมยิ้มกับความคิดแบบเด็กๆ ของลูกชาย
   วันรุ่งขึ้น กันยกรลงจากรถด้วยความกระตือรือร้น เด็กชายไม่ยอมให้ผู้เป็นพ่อไปส่งถึงห้องเรียนโดยให้เหตุผลว่าเขาโตแล้ว ขึ้นป.1แล้วไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเป็นเด็กเล็กๆ กันยกรเดินมาถึงห้องป.1/4  ด้วยตัวเอง เด็กชายเข้าไปในห้องเลือกโต๊ะตัวหน้าสุด พลางมองดูรอบๆ ห้อง เพื่อนๆ ที่อยู่ห้องเดียวกันบางคนร้องไห้เมื่อพ่อแม่จะกลับ เด็กชายยิ้มกับตัวเองที่มายังห้องเรียนได้โดยไม่ต้องให้พ่อมาส่งเหมือนอย่างคนอื่น  เด็กชายผิวขาว รูปร่างผอมบางคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องโดยมีครูคนหนึ่งพาเดินมาส่ง กันยกรจำได้ว่าคุณครูคนนี้คือครูชูจิต ครูประจำชั้นห้องป.1/4 นี่เอง เด็กชายผู้มาใหม่เดินมาวางกระเป๋าลงบนโต๊ะตัวติดกับกันยกร
   “น้องวีนั่งตรงนี้นะลูก อยู่หน้าห้องเห็นกระดานชัดเจน นั่งตรงนี้จะได้อยู่ใกล้ๆ ครูด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกครูได้ตลอดนะลูก”
ครูชูจิตเอ่ยทิ้งท้าย หล่อนลูบหัวเด็กชายคนนั้นอย่างเอ็นดู ไม่แม้แต่จะปรายตามองกันยกรผู้นั่งอยู่ก่อน แม้จะเป็นเด็กในห้องของเธอเลยด้วยเช่นกัน เด็กชายปฐวีพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อุ๊ย นี่ปฐวีลูกชายหมอวิทยากับหมอปรานีใช่ไหม ต๊าย หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู” ครูคนอื่นอีก 2-3 คนเข้ามาในห้อง เอ่ยกับครูชูจิต
“ใช่ๆ อยู่ห้องชั้นเอง เมื่อกี้นี่เจอหมอวิทยามาส่งลูกชาย พอรู้ว่าอยู่ห้องชั้นก็เลยอาสาพามาส่งเอง”
“หมอวิทยาแกดี๊ดีเนอะ รักษาคนไข้ก็เก่ง ใจดีอีกด้วย วันก่อนชั้นพาพ่อไปหาหมอที่คลินิก หมอใจดีลดค่ายาให้ด้วย”
“นั่นสิ แกเป็นหมอที่เก่งที่สุดในจังหวัดเราแล้วมั้ง” ครูคนที่สองเอ่ย
กันยกรฟังพวกครูพูดคุยกันด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะเดาออกว่าพวกคุณครูดูท่าทางจะเอาอกเอาใจเพื่อนที่นั่งติดกันเสียเหลือเกิน
   “เฮ้ย นายชื่ออะไร เราชื่อกันย์” กันยกรถามขึ้นก่อน
   ปฐวีปรายตามองนิดหนึ่ง “เราชื่อวี ชื่อจริงปฐวี” เด็กชายปฐวีตอบ
   “เรานั่งด้วยกัน ยังไงก็เป็นเพื่อนกันนะ” กันยกรบอก
   “อื้ม” ปฐวีพยักหน้านิดหนึ่ง
   แต่แล้วดูเหมือนว่าการเป็นเพื่อนของกันยกรและปฐวีคงเป็นไปได้ยาก เพราะเด็กชายปฐวีเป็นเด็กพูดน้อย เวลาเรียนหนังสือเขาจะตั้งใจฟังที่ครูสอนและไม่ละสายตาไปจากกระดานเลยแม้แต่น้อย ผิดกับกันยกรที่มักจะชอบชวนคุยและนั่งขยุกขยิกเสมอ
   “กันยกรกวนเพื่อนอีกแล้วนะ ออกไปนอกห้องเลย” เด็กชายมักจะถูกทำโทษให้ออกไปนั่งนอกห้องเป็นประจำ นานวันเข้ากันยกรก็ไม่ได้ใส่ใจปฐวีอีก เขาชอบจับกลุ่มเล่นกับเพื่อนผู้ชายคนอื่นในห้องมากกว่า

   เช้าวันหนึ่ง กันยกรมาถึงโรงเรียนตั้งแต่เช้าตามปกติ ปฐวีมาถึงก่อนแล้วกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องชาลีบราวน์ซึ่งที่โต๊ะของตัวเอง มันเป็นภาพที่เริ่มจะคุ้นเคยเสียแล้วที่ปฐวีมักจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ที่โต๊ะนักเรียน บางครั้งก็อ่านหนังสือการ์ตูนภาษาต่างประเทศ แม้เพื่อนในห้องจะประหลาดใจที่ปฐวีสามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่ชั้นประถม 1 แต่ก็ไม่มีใครเป็นเพื่อนกับเขามากนัก เพราะเขาเป็นเด็กพูดน้อย ผิดกับกันยกรที่ชอบเรียกร้องความสนใจจากเพื่อนในห้องจนมีเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่เป็นหัวโจกของห้อง กันยกรวางกระเป๋าลงบนเก้าแล้วเดินไปหาเพื่อนผู้ชายคนอื่น เด็กชายไม่ลืมที่จะหยิบสมุดสะสมสติ๊กเกอร์ขึ้นมาอวดเพื่อนด้วยเช่นกัน
   “พวกนายได้ครบกันรึยังวะ หน้าที่ 5 เราขาดช่องที่ 3” กันยกรบอกเพื่อนที่จับกลุ่มคุยกันอยู่ก่อนแล้ว
   “เราก็ขาดช่องที่ 3 ทำไมช่องนี้มันหายากจังวะ” เพื่อนคนหนึ่งบอก
   “ไม่มีใครเจอช่องที่ 3 เลยเหรอวะ เอางี้ ใครหาสติ๊กเกอร์ช่องที่ 3 ได้ เราขอซื้อต่อ 5 บาท” กันยกรประกาศกร้าวกับเพื่อนๆ ทุกคนต่างฮือฮากับคำประกาศของกันยกรราวกับมันเป็นคำประกาศิต
   “เฮ้ย ไอ้เบิ้มมาแล้ว ไอ้เบิ้มมานี่เร็ว พวกเรากำลังคุยกันเรื่องสติ๊กเกอร์กันอยู่” กันยกรโบกมือทักเพื่อนคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงห้องเรียน เพื่อนที่ชื่อเบิ้มคนนี้เป็นเด็กชายที่ตัวโตที่สุดในห้อง ด้วยความที่เป็นเด็กตัวโตนี่เองที่ทำให้ใครๆ ต่างก็พากันเกรงกลัว กันยกรใช้วิธีเลี้ยงขนมเบิ้มทุกวันหลังเลิกเรียนเพื่อทำให้เบิ้มกลายเป็นเพื่อนสนิท พูดง่ายๆ เขาก็เปรียบเสมือนลูกน้องมือขวานั่นเอง แต่เช้าวันนี้แทนที่เบิ้มจะเดินเข้ามาหากันยกรเหมือนปกติ เขากลับหยุดที่ปฐวี   
“เมื่อวานปู่เราไปหาพ่อนายที่คลินิก ขอบคุณมากเลยนะที่พ่อนายช่วยชีวิตปู่เราไว้” เด็กชายเบิ้มพูดกับปฐวีด้วยความซาบซึ้งใจ
   “ไม่เป็นไร พ่อเราเป็นหมอ ก็ต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือคนไข้อยู่แล้ว” ปฐวีบอกเสียงเรียบ
   “งั้น...จากนี้ไปเรามาเป็นเพื่อนกันนะ เราจะเป็นเพื่อนกับนาย”
   “ได้สิ เราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่นา” ปฐวีจับมือตอบกลับแล้วชวนเบิ้มอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่องชาร์ลีบราวน์ด้วยกัน
   กันยกรมองภาพนั้นอย่างไม่เข้าใจ เด็กชายรู้สึกเหมือนกำลังโดนครูตีหน้าเสาธง โลกของเด็กวัย 7 ขวบกำลังแหลกสลายเมื่อเห็นคนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและลูกน้องกำลังแปรพักตร์ไปหาเพื่อนคนใหม่ เด็กชายเดินเข้าไปหาทันที
   “เฮ้ย เบิ้ม พวกเรากำลังคุยกันเรื่องสติ๊กเกอร์แน่ะ”
   “นายเล่นไปเหอะ เราเลิกสะสมสติ๊กเกอร์แล้ว” เด็กชายเบิ้มตอบ
   “ได้ไงวะ นายสะสมมาจะครบแล้วนี่นา”
   “พ่อเราบอกว่าไม่มีทางสะสมได้ครบหรอก คนขายเขาทำขาดไปชิ้นนึงอยู่แล้ว ไม่งั้นจะมีคนแลกของรางวัลจนขาดทุน”
   “แล้วนายไม่คิดจะบอกเราสักนิดเหรอว่าจะไปอยู่กลุ่มเดียวกับปฐวีน่ะ เราเป็นเพื่อนกันนะโว้ย”
   “นายไม่เคยเห็นเราเป็นเพื่อนหรอกกันย์ นายคิดว่าเราตัวใหญ่ก็เลยให้เราเป็นแค่ลูกน้องนายเท่านั้น”
   “เฮ้ย ไอ้เบิ้ม กูซื้อขนมให้มึงกินทุกวันนะเว้ย มึงคิดจะทิ้งกูง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ” กันยกรเริ่มโมโหตะคอกเสียงดัง
   เด็กชายเบิ้มตบโต๊ะดังปังแล้วลุกขึ้นยืน ความสูงของเขามากกว่า ทำให้กันยกรต้องเงยหน้ามอง
“ถ้ามึงอยากได้ขนมคืน กูจะขี้เอามาคืนมึง ตามกูมาห้องน้ำสิ”
   กันยกรขมวดคิ้วกำมือแน่น เขาไม่แน่ใจว่าความรู้สึกแบบนี้เรียกว่าอะไร แต่มันคือความโกรธที่มีมากมายเหลือเกิน โกรธจนไม่รู้จะทำอย่างต่อไป สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่วิ่งไปหาครูประจำชั้นหลังจากเข้าแถวเสร็จ
   “ครูครับๆ ผมไม่อยากนั่งกับปฐวีแล้ว ครูย้ายปฐวีไปนั่งหลังห้องได้มั้ยครับ”
   “พูดอะไรอย่างนั้นฮะกันยกร ปฐวีเขาสายตาสั้นจะไปนั่งข้างหลังได้ยังไง เขามองกระดานไม่เห็น” ครูชูจิตว่า กันยกรไม่เข้าใจว่าสายตาสั้นคืออะไร และทำไมต้องมองไม่เห็นกระดานดำ แต่เด็กชายยังคงยืนกรานที่จะให้ปฐวีย้ายที่นั่งอยู่ดี
   “เรื่องมากจริงเด็กคนนี้ เอางี้ ครูจะย้ายเธอไปนั่งหลังห้องกับสรารัตน์แล้วจะให้คนอื่นมานั่งกับปฐวีแทน ดีไหม” เด็กชายตอบรับด้วยความดีใจ แต่ลืมคิดไปว่าสรารัตน์เด็กหญิงสรารัตน์ที่นั่งหลังห้องนั้นเป็นเด็กที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เพราะเธอมีเหาเต็มศีรษะ เพียงสองวันหลังจากย้ายที่นั่งกันยกรก็ติดเหามาจากสรารัตน์ นี่เป็นความพ่ายแพ้ที่กันยกรทำใจยอมรับไม่ได้
   “ไอ้กันย์เป็นเหา ไอ้กันย์เป็นเหา” เพื่อนคนหนึ่งล้อ
   “อี๋ กันย์เป็นเหา อย่าไปเล่นกับคนเป็นเหาเลย”
   “หยุดนะโว้ย เราไม่ได้เป็นเหา” กันยกรตะเบ็งเสียงแต่มือยังเกาหัวยิกๆ
   “ไอ้กันย์เป็นเหา ไอ้กันย์เป็นเหา”
   ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อนผู้ชายในห้องต่างก็ทยอยตีห่างออกจากกันยกร เหลือเพื่อนไม่กี่คนที่ยังจะพอคบค้าต่อไปได้ แต่เพื่อนที่เหลือก็ไม่ได้ท่าทีชื่นชมหรือยกย่องกันยกรให้เป็นหัวหน้าอีกแล้ว เพราะพวกเขารู้สึกว่าหัวหน้ากลุ่มไม่ควรจะเป็นคนที่มีเหาบนหัวเหมือนเด็กผู้หญิง ความคับแค้นใจของด.ช.กันยกรมีมากขึ้นอีกครั้งเมื่อผลสอบปลายภาคประกาศออกมา ปฐวีสอบได้ที่ 1 ด้วยเกรด 4 หมดทุกวิชา
   “คนที่สอบได้ที่ 1 ของห้องเราก็คือปฐวี เอ้า นักเรียนทุกคนช่วยกันปรบมือชื่นชมเพื่อนหน่อยจ๊ะ” ครูชูจิตประกาศในห้อง เพื่อนๆ ทุกคนต่างก็ปรบมือให้ปฐวีด้วยความชื่นชม นักเรียนหญิงบางคนพูดกันว่าที่ปฐวีเรียนเก่งก็เพราะมีพ่อเป็นหมอ บางคนก็ชื่นชมว่าพ่อของปฐวีเป็นหมอที่เก่งมาก ปฐวีจึงได้ความเก่งมาจากพ่อ กันยกรได้ยินดังนั้นก็เกิดความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ความโกรธแค้นที่เสียเพื่อนไปแปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉา

   เด็กชายกระฟัดกระเฟียดเดินมายังรถกระบะตอนครึ่งคันเก่าที่ก่อเกียรติขับมารับที่หน้าโรงเรียน เด็กชายโยนกระเป๋านักเรียนไปไว้ท้ายกระบะก่อนจะเปิดประตูรถแล้วปิดอย่างแรง
   ปัง!
“เฮ้ย ปิดเบาๆ หน่อยสิ รถมันก็เจ็บนะ” ก่อเกียรติดุ
“ไปโกรธใครมา ทำหน้ายังกะยักษ์”
“พ่อ ทำไมพ่อไม่เป็นหมอ ทำไมพ่อต้องเป็นคนตัดยางด้วย” กันยกรถาม
ก่อเกียรติละสายตาจากถนนมามองลูกชายแวบหนึ่ง พร้อมกับอมยิ้มนิดๆ
“ทำไม? เกิดอะไรขึ้น เป็นคนตัดยางมันไม่ดีตรงไหน นี่คงเห็นครูที่โรงเรียนเอาใจพวกลูกหมอ ลูกตำรวจ ลูกทนายล่ะสิ” ก่อเกียรติพูดยิ้มๆ
“ตอนนี้เพื่อนในห้องแห่กันชื่นชมไอ้วีกันหมดเลย ไม่มีใครสนใจกันย์เลย พ่อไปเป็นหมอเถอะ นะๆๆ”
“จะบ้าเหรอ เป็นหมอมันเป็นกันได้ง่ายๆ ซะที่ไหน”
“ก็ไหนพ่อบอกว่าพ่อเรียนจบมหาลัยมาไง พ่อก็ไปสมัครหมอได้สิ” ในความคิดของเด็กมักจะคิดว่าการเรียนจบมหาวิทยาลัยคือการเรียนจบขั้นสูงที่สุด
“จบมหาลัยไม่ได้หมายความว่าจะเป็นหมอได้ทุกคนนะ ต้องเรียนหมอมาก่อนด้วย”
“อ้าว ทำไมพ่อไม่เรียนหมอล่ะ งั้นพ่อก็ไปเรียนหมอใหม่สิ เรียนจบแล้วก็มาเป็นหมอไง” กันยกรบอกด้วยความไร้เดียงสา
“ฮึ่ย เด็กคนนี้พูดอะไรไร้สาระน่า” ก่อเกียรติหัวเราะเบาๆ ในความไร้เดียงสาของลูกชาย
สองพ่อลูกเงียบกันไปสักครู่หนึ่ง สำหรับผู้เป็นพ่อเขากำลังคิดคำพูดที่จะอธิบายให้ลูกชายเข้าใจง่ายๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเด็กอย่างกันยกรจะเข้าใจหรือเปล่า
“กันย์...พ่อจะบอกอะไรให้อย่างนึงนะ คนเราทุกคนไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร มันก็มีค่ามากอยู่ดี ถ้ามันเป็นอาชีพที่สุจริต”
“อาชีพที่สุจริต? คืออะไรครับ” กันยกรไม่เข้าใจ
“อาชีพสุจริตก็คือ อาชีพที่ทำได้อย่างเปิดเผย คนอื่นยอมรับว่ามีความสำคัญ ไม่เบียดเบียนใคร อาชีพที่พ่อทำถึงแม้ว่ามันจะดูต่ำต้อยกว่าหมอ แต่มันก็เป็นอาชีพสุจริต เอาล่ะ พ่อบอกไปตอนนี้ลูกก็ไม่เข้าใจหรอก ไว้ลูกโตขึ้นก็จะรู้เองว่าสิ่งที่พ่อทำมันไม่ได้มีศักดิ์ศรีน้อยไปกว่าหมอเลย” ก่อเกียรติขยี้หัวลูกชายเบาๆ
“อ้อ อีกอย่างนึงนะ พ่อไม่ได้เป็นคนตัดยางสักหน่อย พ่อเป็นเจ้าของสวนยางต่างหาก”

กันยกรเถียงคำพูดนี้ของก่อเกียรติอยู่ในใจเบาๆ พ่อของเขาจะไม่ใช่คนตัดยางได้อย่างไร ในเมื่อทุกครั้งที่พ่อไปสวนยางจะสวมเสื้อและกางเกงเก่าๆ กับรองเท้าบูทยางครึ่งขา แทนที่จะแต่งตัวดีๆ แบบพ่อของเพื่อนที่เป็นหมอ ทนาย หรือนายธนาคาร ที่ชอบแต่งตัวดีมารับลูกที่โรงเรียน ทุกครั้งที่พ่อกลับมาจากสวนยางเสื้อตัวเก่านั้นก็จะเลอะไปด้วยน้ำยางที่เหนียวติดเสื้อจนซักไม่ออก
ตั้งแต่เริ่มภาคเรียนที่ 2 ของชั้นประถม 1 กันยกรก็เปลี่ยนตัวเองมาตั้งใจเรียนเพื่อเอาชนะปฐวีในเทอมที่ 2 ให้ได้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะได้ โดยเฉพาะคาบเรียนยามบ่าย เมื่อท้องอิ่มอาหารกลางวันหนังตาเป็นต้องหนักอึ้งจนลืมตาไม่อยู่ มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อเสียงกริ่งเลิกเรียน สมุดจดและหนังสือก็เปียกปอนไปด้วยน้ำลายที่ไหลออกมาขณะหลับ มีเพียงสองวิชาที่เขาเอาชนะปฐวีได้ก็คือวิชาพลศึกษาและวิชาศิลปะ ปฐวีเล่นกีฬาและวาดรูปไม่เป็น นั่นทำให้กันยกรได้คะแนนใน 2 วิชานี้มากกว่าปฐวีเสมอ แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อวิชาอื่น ๆ กันยกรผ่านมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

เมื่อขึ้นชั้นมัธยมต้นกันยกรและปฐวีก็ยังเจอกันอีกในโรงเรียนประจำจังหวัด หากแต่อยู่คนละห้องปฐวีอยู่ห้องคิง ส่วนกันยกรอยู่ห้องรองบ๊วย ความคิดที่จะแข่งเรียนกับปฐวีเริ่มจางลงไปตามกาลเวลา แต่ความหมั่นไส้ในตัวเพื่อนคนนี้ยังคงอยู่ ยิ่งครั้งใดที่ได้ยินชื่อปฐวีถูกเอ่ยที่หน้าเสาธงระหว่างเข้าแถวหรือได้ยินชื่อปฐวีจากการประกวดงานวิชาการ ไฟอิจฉาในใจที่มอดกลับถูกเขี่ยขึ้นมาให้ปะทุเสียทุกครั้ง ผลการเรียนของกันยกรออกมาแย่ทุกเทอม แถมยังถูกเรียกเข้าห้องปกครองหลายครั้ง เพราะทำตัวเป็นหัวโจกประจำโรงเรียน ก่อเกียรติจึงตัดสินใจส่งลูกชายไปเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่ประเทศนิวซีแลนด์ เด็กหนุ่มได้ข่าวมาจากเพื่อนว่าปฐวีสอบติดโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาที่กรุงเทพมหานคร นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ความหมั่นไส้และความอิจฉาได้ดับลงไปจริงๆ กันยกรไม่คิดเลยว่าจะได้เจอปฐวีอีกครั้ง....ต่อหน้าธีทัต

(ติดตามต่อตอนที่ 6.2)
[/font]
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1-6.2 | 1.05.18 | P.2 #41-#42 |❤️
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 01-06-2018 21:49:09
ตอนที่ 6.2

พราวพิชชารู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อตอนเช้าตรู่ เธอมองรอบตัวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของหลี่อี้ หญิงสาวมองใบหน้าของสามีครู่หนึ่ง ดวงตายาวรีหลับสนิท คิ้วเข้มพาดเฉียงบนวงหน้าขาวนวล จังหวะหายใจยามหลับทำให้หลี่อี้เหมือนเด็กทารก เธอบิดตัวอย่างเบาที่สุดเพื่อออกจากอ้อมแขนของสามีแล้วคว้าเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะเดินออกไปนอกระเบียงห้อง หลี่อี้จองโรงแรมที่ดีที่สุดและแพงที่สุดบนเกาะเต่าเพื่อฮันนีมูนรอบสองตามสัญญา ห้องนี้มีสระว่ายน้ำส่วนตัวและวิวมองเห็นทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ตัวห้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออกทำให้บัดนี้เริ่มเห็นแสงเรืองรองของพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า หญิงสาวกึ่งนั่งกึ่งนอนเหยียดขาลงบนเตียงริมสระว่ายน้ำ พลางคิดถึงชายหนุ่มอีกคน คนที่เคยเป็นรักแรกพบของเธอ
พราวพิชชารู้จักกันยกรครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนั้นเธออายุเพียงแค่ 17 ปี กำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมหญิงล้วนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ วันหนึ่งปกิตผู้เป็นพ่อขึ้นมาเยี่ยมที่กรุงเทพพร้อมกับไปรับพราวพิชชาจากโรงเรียนเพื่อมารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
“เราจะกินข้าวเสร็จกี่โมงคะ หนูมีนัดกับเพื่อนๆ” พราวพิชชาบ่นอุบ เมื่อผู้เป็นพ่อบอกว่าจะพาเธอไปรู้จักกับเพื่อนสนิทของพ่อคนหนึ่ง
“นัดจะดูซีรีส์อะไรกันอีกล่ะสิ เฮ้อ เด็กสมัยนี้นี่มันจริงๆ เล้ย ไปตามเห่อพวกนักร้องเกาหลีอะไรกันอยู่ได้” ปกิตบ่น
“แล้วพ่อจะพาหนูไปหาใครคะ”
“ลุงเกียรติเพื่อนพ่อที่สุราษฎร์ไง เขาขึ้นมากรุงเทพมารับลูกชายพอดี เดี๋ยวก็ได้รู้จัก”
พราวพิชชาไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังของการเจอกันในวันนี้ระหว่างเธอและลูกชายของก่อเกียรติเพื่อนสนิทของพ่อ คือการหมั้นหมายกลายๆ ที่ผู้เป็นพ่อทั้งสองตั้งใจเอาไว้ ความคิดนี้ได้รับความเห็นตรงกันจากผู้ใหญ่ทั้ง 2 ครอบครัว ที่คิดว่าควรให้ลูกสาวและลูกชายของตนรู้จักกันไว้ หากเด็กทั้งสองชอบพอกัน ผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่ายก็พร้อมจะเป็นทองแผ่นเดียวกัน
รถของปกิตแล่นมาจอดที่ภัตตาคารอาหารจีนแห่งหนึ่งในย่านอรุณอมรินทร์ เขาลงไปเปิดประตูให้ลูกสาวสุดที่รักด้วยตัวเอง เมื่อแจ้งชื่อบริการชายก็นำทางเขาไปยังห้องอาหารที่เป็นห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ก่อเกียรติและกันยกรนั่งอยู่ในห้องนั้นอยู่ก่อนแล้ว
“เอ้า มาเลยๆ ทำไมมาช้านักวะ” ก่อเกียรติลุกขึ้นทักทายปกิตและรับไหว้จากพราวพิชชา
“รถมันติดตรงราชดำเนินนิดนึงน่ะพี่ สั่งอาหารกันหรือยัง เป็นไงบ้างกันย์โตขึ้นเยอะเลยนะเรา” ประโยคสุดท้ายปกิตเอ่ยทักทายกันยกร แล้วรับไหว้จากชายหนุ่ม
โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะกลมสามารถนั่งได้ 6 คน ปกิตและก่อเกียรตินั่งติดกัน พราวพิชชาและกันยกรนั่งถัดจากพ่อของตน จึงกลายเป็นเกือบจะนั่งตรงข้ามซึ่งกันและกัน พราวพิชชามองชายหนุ่มเต็มตา
“นี่พี่กันย์ ลูกชายคนโตของลุงเกียรติ” พราวพิชชายกมือไหว้ ชายหนุ่มรับไหว้พร้อมส่งยิ้มเป็นมิตรให้เธอ เป็นรอยยิ้มของหนุ่มน้อยเป็นรอยยิ้มที่สดใสและเปิดเผย
“เฮ้ย ไม่ต้องไหว้หรอก ห่างกันไม่กี่ปีเอง” ชายหนุ่มว่า
“พี่กันย์เขาเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย ถ้าหนูอยากรู้อะไรก็ถามพี่เขาสิ”
“ผมตั้งใจว่าจะส่งยัยพราวไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียเหมือนกัน” ปกิตบอก
“อ้าว งั้นเหรอ ดีเลย ถามเจ้ากันย์มันสิ เรื่องออสเตรเลียนี่เจ้ากันย์มันถนัด เดินในกรุงเทพยังหลงแต่เดินในเมลเบิร์นไม่เคยหลงเลย” ก่อเกียรติเหย้า
“จริงเหรอคะ ตอนนี้พี่กันย์เรียนอยู่ไหนคะ” พราวพิชชาถามอย่างสนใจ
“พี่เรียนสถาปัตย์ฯ อยู่ที่ University of Melbourne พราวสนใจจะไปเรียนต่อที่โน่นจริงๆ เหรอ”
“อืม...” พราวพิชชาอิดออดที่จะตอบ
อันที่จริงเด็กสาวอยากจะเรียนต่อในเมืองไทยอย่างจุฬาลงกรณ์หรือธรรมศาสตร์กับเพื่อนๆ มากกว่า เพื่อนๆ ส่วนใหญ่เริ่มเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันบ้างแล้ว แต่ปกิตอยากจะส่งให้เธอไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย
“พราวยังไม่แน่ใจเลยค่ะ เพื่อนๆ พราวเลือกจุฬาฯ กับธรรมศาสตร์กันทั้งนั้น แต่พ่อบอกว่าอยากจะให้พราวไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย แต่พราวไม่เก่งภาษาอังกฤษเลยค่ะ”
“เรื่องภาษาไม่ต้องกลัวหรอก เอาอย่างสิ พี่จะให้อีเมลพี่ไว้สิ ถ้าพราวอยากรู้เรื่องอะไรก็เขียนอีเมลมาถามพี่ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเกรงใจ” กันยกรบอกอย่างใจดี
เด็กสาวสัมผัสได้ถึงน้ำใจของเด็กหนุ่ม ก่อเกิดความประทับใจอย่างลึกซึ้งที่ไม่เคยเกิดระหว่างเธอและเพื่อนสาวในโรงเรียนหญิงล้วนมาก่อน ปกิตและก่อเกียรตลอบมองตากันแล้วยิ้มมุมปากอย่างเข้าใจกันเมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกสาวและลูกชายตัวเอง อาหารหลากหลายชนิดถูกทยอยนำเสิร์ฟอย่างไม่ขาดสายจนกระทั่งถึงของหวาน ทั้งปกิตและก่อเกียรติยังคุยกันอย่างออกรสไม่จบสิ้นสักที
“กันย์พาน้องออกไปเดินเล่นข้างนอกก่อนสิ พ่อกับอากิตจะคุยกันอีกสักพัก” ก่อเกียรติบอกลูกชาย กันยกรเองก็เต็มใจที่จะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้ลุกขึ้น พราวพิชชาทำตามอย่างว่าง่าย
“พาน้องออกไปดูปลาข้างนอกสิ” ก่อเกียรติตะโกนทิ้งท้าย
กันยกรเดินนำมายังลานกว้างด้านข้างตัวภัตตาคาร เขาหยุดอยู่ที่บ่อปลาบ่อใหญ่น้ำใสทำให้เห็นปลาคาร์ฟหลากสีสรรแหวกว่ายอยู่ในน้ำ
“พราวรู้มั้ยว่าสีส้มบนตัวปลาคาร์ฟมาจากสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งปลาคาร์ฟมันสังเคราะห์สารนี้ไม่ได้เอง ต้องอาศัยอาหารที่กินในแต่ละวัน” กันยกรเริ่มชวนคุย
“พี่กันย์ชอบปลาคาร์ฟเหรอคะ”
“เปล่าหรอก พี่เรียนสถาปัตย์ โปรเจ็กต์จบที่พี่ทำเป็นเรื่องสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออก บ้านของคนญี่ปุ่นจะทำบ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟไว้ในบริเวณบ้านด้วย อันที่จริงปลาคาร์ฟมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิหร่านนะ”
“จริงเหรอคะ พราวไม่รู้เลยนึกว่ามาจากญี่ปุ่นซะอีก”
“คนไทยเรานำเข้ามาเลี้ยงครั้งแรกจากญี่ปุ่น”
กันยกรทำตัวเป็นผู้พูดที่ดี เขาชวนเด็กสาวคุยหลายเรื่อง ทั้งเรื่องชีวิตในโรงเรียนหญิงล้วนของพราวพิชชา และชีวิตในต่างแดนของเขา ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของเขาทำให้เด็กสาวไม่รู้สึกเก้อเขินทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก เธอรู้สึกว่ากันยกรคุยสนุกกว่าที่คิด เขาเหมือนเป็นกูเกิลเคลื่อนที่ที่มีคลังความรู้บรรจุอยู่เต็มหัวสมอง ไม่ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรกันยกรก็จะเชื่อมโยงตอบได้เสมอ บางครั้งเธอจะลอบสังเกตชายหนุ่มเงียบๆ กันยกรรูปร่างสูงใหญ่เหมือนนักกีฬา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาอมชมพูอย่างคนที่อยู่เมืองหนาว
“เอ้อ จริงสิ เกือบลืมเลย” กันยกรพูดขึ้นมา เขาเดินไปขอกระดาษและปากกาจากพนักงานในร้านคนหนึ่งแล้วเขียนขยุกขยิก
“นี่อีเมลพี่ เก็บไว้สิ อยากถามเรื่องเรียนต่อก็ถามมาได้ตลอดเลยนะ พี่ยินดี” หนุ่มน้อยส่งยิ้มอ่อนโยนให้เมื่อพราวพิชชารับกระดาษใบเล็กมาจากเขา ก่อเกียรติและปกิตออกมาจากห้องอาหารพอดี ทั้งคู่เดินตรงมาที่หนุ่มสาวทั้งสอง
“เด็กๆ ได้เวลากลับบ้านกันได้แล้ว”
“พี่ไปก่อนนะ อย่าลืมอีเมลมาหาล่ะ ไปละนะครับคุณอา” ประโยคหลังกันยกรยกมือไหว้ลาปกิต

“ลูกสาวอากิตเป็นไงบ้าง พ่อว่าน้องเขาน่ารักดีนะ กันย์คุยแล้วเป็นไงบ้าง” ก่อเกียรติถามลูกชายระหว่างทางกลับบ้าน
“ก็...ดีนี่ครับ ดูน้องเขายังอายๆ อยู่” กันยกรบอก สายตาจับจ้องอยู่ที่วิวนอกรถ
“น้องเขาคงไม่ชินน่ะ เรียนหญิงล้วนมาตลอด มาเจอผู้ชายก็คงจะเขินๆ เอ้อ แล้วนี่แลกอีเมลกับน้องเขาแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ” ก่อเกียรติลอบยิ้มบางๆ คิดว่าลูกชายตนเองคงจะสานสัมพันธ์กับพราวพิชชาแน่นอนถึงขนาดยอมแลกอีเมลด้วย ผู้เป็นพ่อหารู้ไม่เลยว่าลูกชายไม่ได้คิดอะไรแม้แต่นิดเดียว
พราวพิชชาอมยิ้มเมื่อนึกถึงวันที่เธอเจอกันยกรครั้งแรก แล้วย้อนไปนึกถึงวันที่ที่ตัดสินใจบอกรักกับชายหนุ่ม วันนั้นเป็นวันที่กันยกรนั่งเครื่องบินมาหาเธอที่บริสเบนจากเมลเบิร์น วันนั้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ครั้งแรกตั้งแต่วันที่เธอบินมาเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย กันยกรยังคงทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีด้วยการพาไปเที่ยวรอบเมือง
“เป็นยังไงบ้าง อยู่ที่นี่มา 1 อาทิตย์แล้ว” กันยกรถามด้วยความห่วงใย
“พราวยังปรับตัวไม่ทันเลยค่ะ คนที่นี่พูดภาษาอังกฤษเร็วมาก บางครั้งก็ฟังไม่ทัน”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “อยู่ไปสักพักก็คงจะปรับตัวได้เองแหละ สำเนียงออสซี่จะฟังดูห้วนๆ ไม่เพราะเหมือนสำเนียงบริทิช แต่จะฟังง่ายกว่า เอ้อ วันนี้พี่จะพาเราไปทัวร์รอบเมืองเอง จะได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน”
กันยกรพาพราวพิชชาเดินผ่านถนนอาดิเลดมาจนถึงควีนสตรีตมอลล์ อันเป็นแหล่งช้อปปิ้งสายหลักของเมืองบริสเบน ชายหนุ่มพาเธอลัดมาจนถึงร้านฮังกรี้แจ็คส ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
“รู้เปล่าว่าร้านนี้จริงๆ แล้วมันคือเบอร์เกอร์คิงนะ แต่ที่อะดิเลดมันมีร้านนึงที่จดลิขสิทธิ์ชื่อเบอร์เกอร์คิงเอาไว้ ทำให้ร้านเบอร์เกอร์คิงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นฮังกรี้แจ็คสแทน”
“โอ้โห พี่กันย์นี่รู้เรื่องที่นี่ดีจังเลยนะคะ”
“ก็ลองมาอยู่สัก 4-5 ปีแบบพี่สิ แล้วจะรู้เองแหละ เอ้อ กินเสร็จแล้วไปเที่ยวเซาธ์แบงค์กันดีกว่า”
“เอ้อ พี่กันย์คะ พราวอยากเที่ยวในเขตซิตี้ก่อนค่ะ เย็นนี้เราค่อยไปเซาธ์แบงค์กันดีไหมคะ ค่ำๆ เราค่อยไปขึ้น The wheel of Brisbane กัน เพื่อนพราวบอกว่าวิวตอนกลางคืนสวยกว่าตอนกลางวัน”
กันยกรพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขายอมตามใจหญิงสาวผู้เป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทพ่อ อันที่จริงแล้วพราวพิชชาทัวร์รอบเมืองบริสเบนมาแล้วหนึ่งรอบกับเพื่อนใหม่ชาวออสซี่ แต่ด้วยจริตของเด็กสาวที่เพิ่งจะหัดรักผู้ชายเป็นครั้งแรก เธอตอบตกลงทันทีด้วยอาการลิงโลดเมื่อกันยกรอาสาพาเธอทัวร์เมืองด้วยตัวเอง เขต South Bank เป็นเขตสำคัญของเมืองบริสเบน มีสัญลักษณ์โดดเด่นคือ The Wheel of Brisbane มีลักษณะคล้ายชิงช้าสวรรค์ สามารถขึ้นไปชมวิวเมืองบริสเบนบนมุมสูงได้ ชายหนุ่มลดความเร็วในการเดินเพื่อให้หญิงสาวเดินทัน เขายังบอกวิธีสังเกตป้ายรถเมล์ และป้ายรถเมล์อีกด้วย พราวพิชชาตั้งใจฟังและเคลิบเคลิ้มไปกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่ม ยิ่งเวลาที่เขาพูดภาษาอังกฤษยิ่งเหมือนทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน เธอนึกถึงวิธีการพิชิตใจชายหนุ่มที่เพื่อนๆ จากโรงเรียนหญิงล้วนแนะนำมา ซึ่งแต่ละคนไม่ได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเองหากแต่จดจำมาจากหนังสือการ์ตูนค่ายบงกชบ้าง จากนิยายแจ่มใสที่เคยอ่านบ้าง พราวพิชชารวบรวมความกล้าที่จะลองทำมันในวันนี้
“รถเมล์ที่ขึ้นต้นด้วยเลข 1 จะไปฝั่งใต้ เลข 2 จะไปฝั่งตะวันออก เลข 3 ไปทางทิศเหนือ เลข 4 ไปฝั่งตะวันตก เข้าใจนะพราว” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ พลางมองใบหน้าเขาราวกับต้องมนต์สะกด
“พราว...เข้าใจที่พี่บอกใช่ไหม”
“คะ...อ๋อ ค่ะ” ผิวขาวนวลซับสีเรื่อ เมื่อกันยกรส่งยิ้มให้ พราวพิชชาได้แต่ยิ้มขวยเขินกับตัวเอง
กันยกรมองหญิงสาวรุ่นน้องอย่างเป็นห่วงเกรงว่าการเดินทั้งวันจะทำให้เธอเหนื่อย เขาจึงแวะที่ตู้กดน้ำ ซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่สองขวดสำหรับตัวเองและพราวพิชชา
“พราวอาจจะไม่ชินกับการเดิน อะนี่ แก้เหนื่อย” เขายื่นขวดน้ำเย็นเฉียบให้เธอ หญิงสาวรับมาดื่ม
ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันทั้งวัน หลังจากเสร็จอาหารมื้อเย็นชายหนุ่มพาหญิงสาวขึ้นรถโดยสารประจำทางไปยั่งฝั่งเซาธ์แบงค์ ผู้โดยสารในรถมีมากเป็นปกติกันยกรแตะไหล่พราวพิชชาส่งสัญญาณให้เธอยืนด้านใน ส่วนตัวเขายืนด้านนอก สองแขนแข็งแรงคอยจับเสาและราวเอาไว้แน่น ดูเผินๆ คล้ายกับว่าเขากำลังโอบกอดเพื่อปกป้องเธอจากผู้โดยสารคนอื่นในรถ
โชคดีที่วันนี้คนที่ต่อแถวรอขึ้นกระเช้า The Wheel of Brisbane มีไม่มากนักแม้จะเป็นวันหยุด
กันยกรและพราวพิชชาจึงได้ขึ้นกระเช้าในเวลาไม่นาน วิวมุมสูงทำให้หญิงสาวเพลิดเพลินไม่น้อย แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับมองออกไปข้างนอกอย่างเหม่อลอย
   “พี่กันย์...ไม่สนุกเหรอ” พราวพิชชาถาม
   “เปล่าหรอก พี่แค่คิดอะไรบางอย่างน่ะ” กันยกรส่งยิ้มให้อีกครั้ง
   “คิดเรื่องอะไรเหรอคะ บอกพราวได้ไหมคะ”
   “เรื่องไร้สาระน่ะ ช่างมันเถอะ” กันยกรบอกปัดยิ้มๆ แล้วเบนสายตาออกไปภายนอกอีกครั้ง
   ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบ ภายนอกตู้กระเช้ามีละอองน้ำเบาบางจับเกาะกระจก กันยกรยังคงทอดสายตาดื่มด่ำกับวิวเมืองบริสเบนยามค่ำคืน ส่วนหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามจิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับวิวภายนอกเท่าที่ควร หัวใจของเธอเต้นรัวราวกับกลองรบ ความคิดในหัวตีกันไปมาราวกับจะบอกว่า ‘เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว เป็นไงเป็นกัน เราต้องบอกรักพี่กันย์วันนี้แหละ’ หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะเอ่ยปาก
   “พี่กันย์คะ”
   กันยกรเลิกคิ้ว หันมามองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกัน “ว่าไงเหรอ”
   พราวพิชชาสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้งก่อนจะโพล่งออกไป
   “พราวชอบพี่กันย์นะคะ คบกับพราวได้ไหมคะ”
   เมื่อได้พูดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป พราวพิชชารู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
   “ขอบคุณนะพราว...” กันยกรบอก หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอเริ่มพองโตราวกับสูบลม แต่แล้วก็ต้องแฟบลงเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
   “...แต่พี่คงคบกับพราวไม่ได้หรอก” กันยกรเม้มปากแน่น ชั่งใจอยู่สักครู่ว่าควรจะเอ่ยประโยคต่อไปหรือไม่
   “พี่ไม่ได้ชอบผู้หญิง”
   พราวพิชชานิ่งอึ้งราวกับถูกสายฟ้าฟาด หัวสมองมึนงงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อไปอีกดี
‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’    ‘พี่กันย์ไม่ได้ชอบผู้หญิง’
   ในหัวสมองของหญิงสาวมีแต่ประโยคเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัว

พราวพิชชาหัวเราะเบาๆ ให้กับความทรงจำอันน่าขบขันของเธอ หญิงสาวดูไม่ออกเลยว่ากันยกรไม่ได้ชอบผู้หญิง เพราะบุคลิกของเขาไม่ใช่คนตุ้งติ้ง แล้วยังนึกขำต่อไปอีกเมื่อคิดว่าเกย์ด้าของเธอมันทำงานได้ไม่ดีเสียเลย พระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้ามาแล้วในเวลา 7.00 น. หลี่อี้ตื่นนอนแล้ว เขาคว้าเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินออกมาที่ระเบียง ลมทะเลยามเช้าพัดพาเอากลิ่นไอทะเลขึ้นมาด้วย
“มาอยู่ที่นี่เอง หัวเราะอะไรอยู่” ชายหนุ่มอ้าปากหาว พลางเบียดกายลงบนเตียงริมสระข้างภรรยา
“เรื่องตลกน่ะ”
“ทำไมตื่นแต่เช้าเลย” พราวพิชชาเหลียวไปมองเจ้าชายในชีวิตจริงของเธอ
“ตื่นมาตอน 6 โมงกว่า แล้วก็นอนต่อไม่หลับ เลยมานอนดูพระอาทิตย์ขึ้นดีกว่า” พราวพิชชาตอบ
“ไม่ปลุกไอด้วยล่ะ”
“เห็นหลับสนิท ไม่อยากรบกวน” หญิงสาวจิ้มแก้มสามี
“ไม่อยากกลับไปทำงานเลย” หลี่อี้สวมกอดภรรยาหลวมๆ
“ไม่กลับไปทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงเมียล่ะ อีกอย่างปาป๊ายูต้องไม่ยอมแน่ๆ”
“นั่นสิ เฮ้อ คิดไปคิดมาก็น่าเบื่อเหมือนกันนะ แต่เพื่อเงิน เอาล่ะ ไอต้องไปทำงานต่อให้ได้ ไอสัญญากับพ่อแม่ยูไว้แล้วว่าไอจะต้องทำให้ยูเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกให้ได้...ยูแน่ใจนะว่าจะไม่ไปฮ่องกงกับไอ”
“ไม่ไปดีกว่า ไอจะกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่ชุมพรก่อน”
“อยู่ที่นี่ก่อนก็ดีเหมือนกัน ไอจะบอกทางบ้านว่ายูกลับมาเยี่ยมครอบครัว ถ้ายูกลับไปสิงคโปร์ตอนนี้คงโดนหม่าม้าดุแน่ๆ โทษฐานที่ทำให้วุ่นวายกันทั้งบ้าน ไว้ไอเสร็จงานที่ฮ่องกงแล้วจะมารับกลับไปสิงคโปร์ด้วยกันนะ” เขาจูบแก้มภรรยาหนึ่งที


 “นุช ผมฝากดูเรื่องตัดไม้ยางด้วยนะ ติดต่อหาคนที่จะรับซื้อไม้ให้ผมด้วย เดี๋ยวผมต้องไปส่งพราวที่สนามบินก่อน ได้เรื่องยังไงก็โทรบอกผมด้วยนะ” กันยกรสั่งงานที่เหลือให้ลูกน้องก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ สันต์รีบกุลีกุจอเอากุญแจรถมาให้
“กุญแจรถครับนายหัว ผมสั่งให้เด็กเอารถนายหัวไปล้างให้แล้วนะครับ”
“อ้อ ขอบใจนะ แต่ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว สงสัยต้องเอารถกระบะออกมาขับซะบ้าง ผมไปละนะ เดี๋ยวจะต้องขับรถไปส่งพราวที่ชุมพรอีก” สันต์มองตามร่างสูงที่เดินออกจากออฟฟิศก็ตรงไปยังลานจอดรถ รถยนต์เอสยูวีสีดำคันที่ขับประจำถูกนำไปล้างอัดฉีดจนกลับมาใหม่เอี่ยมเหมือนเดิม
ประตูรั้วของบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ทั้งวัน ภายในรั้วบ้านด้านหนึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังทำครัวกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าบ้านหลังนี้กำลังจะมีงานเลี้ยงใหญ่
 ชายหนุ่มเดินเลยไปยังกลุ่มคนที่กำลังทำอาหารหยิบข้าวเกรียบปลาที่เพิ่งทอดเสร็จร้อนๆ เข้าปาก
“ไปล้างมือล้างไม้ก่อนไป๊” กานดาดุลูกชายที่กำลังเคี้ยวข้าวเกรียบปลากร้วมๆ
“ไม่ล่ะครับ เดี๋ยวจะอาบน้ำแล้วพาพราวกับหลี่อี้ไปส่งที่สนามบินเลย”
“อ้อ จริงสิ แหม เสียดาย หนูพราวไม่ได้อยู่งานเลี้ยงออกบวชด้วยกัน เอ้อ กันย์จะนอนบ้านอากิตคืนนึงก่อนแล้วค่อยกลับมาพรุ่งนี้ก็ดีนะลูก แถวท่าฉางกำลังทำถนนใหม่ ขับรถดึกดื่นอันตราย แม่เป็นห่วง”
กันยกรพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย “ก็ได้ครับ งั้นผมจะกลับมาตั้งแต่เช้าจะได้ทันงานเลี้ยงละศีลอด”
กันยกรเดินกลับเข้าไปในบ้าน พราวพิชชากำลังแพ็คสัมภาระต่างๆ ให้สามี กันยกรมองห่อยาหม่องและแผ่นปิดบรรเทาปวดตราเสือจำนวนมากที่กองอยู่บนพื้นแล้วเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“นี่ ทำไมไอ้ตี๋นั่นมันจะซื้อยาหม่องไปมากมายขนาดนี้เนี่ย มันซื้อไปใช้เองหรือไง” มือใหญ่หยิบกล่องบรรจุยาหม่องมาเปิดดู
“พวกคนสิงคโปร์ก็แบบนี้แหละค่ะ เขาบอกว่ามันใช้ดี โดยเฉพาะไอ้แผ่นปิดแก้ปวดนี่ที่โน่นขายดีมากเลยนะคะ” หญิงสาวบอกพลางพยายามห่อของอย่างดี
“ป้าของหลี่อี้ชอบยาหม่องนี่มาก เวลาพราวกลับมาไทยทีไรจะฝากซื้อทุกที ไม่รู้ว่าซื้อไปทำไรเยอะแยะ ของเก่ายังใช้ไม่หมดเลย นี่ฝากซื้อล็อตใหม่มาอีกละ”
“นั่นสิ เอาไปถมที่มั้ง”
 “ฮันนีมูนรอบสองเป็นไงบ้าง ไอ้ตี๋นี่ก็ช่างหาที่ฮันนีมูนนะ ได้ข่าวว่าเกาะเต่าพายุเข้าคงไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนเลยสิ” กันยกรแซวพลางกลั้วหัวเราะ
“บ้า พี่กันย์ก็...ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย” หญิงสาวแหวเสียงสูง แต่ใบหน้าที่แดงระเรื่อเป็นหลักฐานบ่งบอกว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดก็ไม่ได้ผิดสักเท่าไหร่
“พี่กันย์จะอาบน้ำก่อนไหมคะ หลี่อี้กลับไฟลท์ค่ำ” ในเมื่อห้ามชายหนุ่มไม่ได้เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ดีเหมือนกัน ไปสวนยางมาตั้งแต่เช้า เหนียวตัวจะแย่”
กันยกรอาบน้ำแต่งตัวใหม่ด้วยเสื้อยืดโปโลสีขาวสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงยีนส์สีซีด หนวดเคราที่เคยมีถูกโกนจนใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทรงผมที่เคยกระเซอะกระเซิงก็ถูกจัดแต่งอย่างดีด้วยเจลตัดแต่งทรงผม ชายหนุ่มเปลี่ยนไปขับรถเก๋งเมอเซเดสแทนรถเอสยูวีที่ขับตามปกติ สัมภาระของหลี่อี้ถูกนำไปเก็บท้ายรถ
“ขับรถดีๆ นะลูก ขาไปชุมพรก็ระวังด้วยล่ะ มีบางช่วงทำถนนด้วย หนูพราวคอยชวนพี่เขาคุยด้วยนะลูก อย่าให้กันย์หลับ” กานดาย้ำ
“ได้ค่ะป้าดา พราวไปก่อนนะคะ แต่จะกลับมาอีกประมาณต้นเดือนหน้านะคะ”
“มาเลยลูก ป้ายินดีต้อนรับเสมอ เอ้อ กู๊ดบายนะคะหลี่อี้ ซียูเน็กซ์ไทม์นะคะ” ประโยคท้ายกานดาหันไปบอกกับหลี่อี้

(มีต่อตอนที่ 6.3)
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 01-06-2018 21:53:42
ตอนที่ 6.3
[/b][/color]

หลักจากได้รู้ว่าลูกสาวขโมยสร้อยทองในร้านเอาไปให้หมอหนุ่ม เถ้าแก่เส็งโวยวายจนบ้านเกือบแตกและสั่งให้คนในบ้านคอยจับตามองความประพฤติไม่ให้ลูกสาวออกจากบ้าน เวณิกาไม่ได้ไปเฝ้าธีทัตที่โรงพยาบาลเหมือนอย่างเคย แต่ก็หายได้เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น เธอหอบอาหารมาและกลับมาเฝ้าธีทัตที่แผนกอายุรกรรมอีกครั้งและทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะรุกมากกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ธีทัตต้องคอยหลบเวณิกาเหมือนเช่นทุกครั้ง พิสมัยขยิบตาส่งสัญญาณบอกธีทัตว่าเวณิกาคอยอยู่ที่หน้าห้องตรวจ ชายหนุ่มจึงออกทางประตูอีกด้านหนึ่งซึ่งทะลุไปยังแผนกสูตินรีเวช
“ขอโทษนะครับพี่วิ ขอออกด้านนี้หน่อยนะครับ” ธีทัตบอกแพทย์หญิงประจำห้องตรวจที่อยู่ติดกัน
“นี่หมอออมหนีสาวอีกแล้วล่ะสิ เนื้อหอมจริงๆ เลยนะ ลูกสาวเฮียเส็งเจ้าของร้านทองใช่ไหม”
“ไม่รู้ว่าดีหรือเปล่านะคะ มาเฝ้าเช้าเที่ยงเย็นขนาดนี้ยิ่งกว่าสุนัขเฝ้าบ้านอีกค่ะ ถ้านางเห็นผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้หมอออม พยาบาลสาวๆ ก็โดนกันหมดค่ะ สงสารหมอออมจังกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย”
“ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวจังเลยนะ”
ธีทัตก้าวเท้ายาวๆ ด้วยความรวดเร็วพลางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง เพราะเวณิกาไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เธอฉลาดพอที่จะเดาออกว่าชายหนุ่มจะไปที่ไหนบ้าง ชีวิตประจำวันของธีทัตมีไม่กี่อย่าง หากไม่ได้อยู่บนวอร์ดก็จะอยู่ที่แฟลต โชคดีหน่อยที่แฟลตที่พักมียามคอยเฝ้าห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า ธีทัตไม่อยากนึกภาพเวลาที่เปิดประตูห้องพักเข้าไปแล้วเห็นเวณิกาอยู่ในนั้น เมื่อเห็นว่ารอดพ้นจากเด็กสาวแล้วชายหนุ่มก็ค่อยผ่อนฝีเท้าลงอย่างโล่งใจ ธีทัตกลับมากินอาหารเที่ยงที่แฟลตเพราะจารวีทำอาหารตุนไว้ให้ลูกชายมากพอกินไปได้ถึง 2-3 วัน
“ออม” ธีทัตหันขวับเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ เป็นปฐวีนั่นเองที่เรียกเขา
“ตกใจอะไร” ปฐวีถามเมื่อเห็นหนุ่มรุ่นน้องสะดุ้งนิดหนึ่ง
“เปล่าครับ นึกว่าไม่มีใครตามมา”
“หนีเด็กนั่นอยู่เหรอ เอ...ชื่ออะไรแล้วนะ ลูกสาวเถ้าแก่เส็ง เจ้าของห้างทองใช่ไหม” ปฐวีหัวเราะในลำคอพลางเดินคุยไปด้วย
“ชื่อหมิวหมิวครับ” ธีทัตตอบ
“จริงๆ ชื่อหมิวเฉยๆ ต่างหาก แต่พอเจอผู้ชายหล่อเข้าหน่อยก็เปลี่ยนเป็นหมิวหมิว เอ้อ นี่จะกลับไปกินข้าวเที่ยงที่ห้องใช่ไหม ไปพร้อมกันเลย...มากินข้าวที่ห้องพี่สิ วันก่อนพี่แวะกลับไปที่บ้าน แม่พี่ทำอาหารไว้ให้เยอะเลยเอากลับมากินที่นี่ด้วย”
“วันก่อนแม่ผมก็มาเยี่ยมครับ ทำกับข้าวไว้ให้เยอะเหมือนกัน งั้นผมเอาไปกินที่ห้องพี่นะ”
ธีทัตจัดเตรียมอุ่นอาหารที่มีอยู่จนร้อนได้ที่ก็เตรียมยกไปที่ห้องปฐวีที่อยู่ตรงกันข้าม
“เข้ามาสิ พี่กำลังอุ่นจานสุดท้ายพอดี” ปฐวีบอก
ธีทัตวางอาหารไว้บนโต๊ะ เขามองปฐวีที่กำลังอุ่นอาหาร ชายหนุ่มดูแปลกตาในผ้ากันเปื้อนสีสันสดใส เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวถูกพับขึ้นถึงข้อศอก เขากำลังตั้งใจหมุนปุ่มไมโครเวฟ
“มองอะไร” ปฐวีถามเมื่อเห็นธีทัตมอง
“มองพี่วีนั่นแหละ ไม่เคยเห็นพี่วีใส่ผ้ากันเปื้อน ปกติเห็นแต่ใส่ชุดผ่าตัด...แปลกดีครับ” ปฐวีหัวเราะร่วน “นั่งรอก่อนนะ ใกล้จะเสร็จแล้ว ตามสบายเลย”
ในเมื่อเจ้าของห้องอนุญาตธีทัตก็ถือวิสาสะเดินรอบๆ ห้อง ห้องของปฐวีมีขนาดเท่ากันกับห้องของธีทัต แต่ดูแคบกว่าเพราะทุกบริเวณในห้องเต็มไปด้วยกองเอกสารและงานต่างๆ มุมหนึ่งของห้องมีโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยหนังสือที่เปิดทิ้งไว้และงานที่ทำค้างไว้อยู่ ชายหนุ่มเดินไปอีกด้านหนึ่งที่มีชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือเต็มจนเกือบล้น ธีทัตไล่สายตาดูแต่ละชั้น เขาออกจะแปลกใจที่บนชั้นมีหนังสือหลากหลายประเภททั้งนวนิยาย หนังสือการ์ตูน ตำราอาหาร วรรณกรรมเยาวชน บทกวีนิพนธ์ และหนังสือการแพทย์ทั้งไทยและภาษาอังกฤษ
“พี่วี...อ่านหนังสือหมดนี่เลยเหรอครับ” ธีทัตถามด้วยความสงสัย
“อื้ม ใช่ หนังสือพี่เองแหละ บางเล่มก็เอามาจากที่บ้าน บางเล่มก็เพิ่งซื้อใหม่” ปฐวีตอบ
ธีทัตไล่นิ้วไปเรื่อยๆ จนถึงหนังสือเล่มหนึ่ง ชายหนุ่มเบิกตากว้างแล้วดึงออกมาจากชั้นหนังสือ
“พี่วีอ่านเรื่องชาร์ล็อต* ด้วยเหรอ”
“ใช่” ปฐวีหันมาตอบ “นั่นเล่มโปรดของพี่เลยนะ อ่านเหมือนกันเหรอ”
“โห เล่มนี้ก็เล่มโปรดของผมเหมือนกัน” ธีทัตตอบ “ออมอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ม.ปลายแน่ะ อ่านแล้วชอบมากก็เลยซื้อเก็บไว้”
“เออ ใช่ เรื่องนี้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสมัยพี่เรียน นี่จริงๆ แล้วมันอยู่ที่บ้านพี่นะ แต่พี่ไม่ค่อยกลับบ้านสักเท่าไหร่ พอมาอยู่แฟลตก็ขนหนังสือมาหมดเลย”
“เฮ้ย มีครอบครัวตัวฮอด้วยเหรอ เรื่องนี้ออมก็ชอบ โคตรตลกอะ” ธีทัตเริ่มสนุกกับการไล่ดูหนังสือทีละเล่ม
“เอาล่ะ กับข้าวเสร็จละ มากินก่อนไหมแล้วค่อยคุยกันเรื่องหนังสือ” ปฐวีถอดผ้ากันเปื้อนออก
ชายหนุ่มเพิ่งรู้ว่ารุ่นพี่ของเขาเป็นนักอ่านตัวยง ไม่เพียงแค่อ่านหนังสือเท่านั้นแต่ปฐวียังมีงานอดิเรกอีกอย่างคือทำอาหาร แต่ด้วยที่ไม่มีเวลามากนักส่วนใหญ่จึงฝากปากท้องไว้กับโรงครัวของโรงพยาบาลมากกว่า ธีทัตไม่นึกว่าปฐวีที่ดูเป็นคนเงียบขรึมแท้ที่จริงแล้วเป็นคนคุยสนุกกว่าที่คิด บทสนทนาของปฐวีทำให้ธีทัตรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าในวัยเด็ก
“ชอบตอนไหนในเรื่องโอซาว่าฮายกครัวมากที่สุด” ปฐวีถาม
“อืม..ชอบตอนที่ฮารุมากิติดเกาะกลาง ตอนนั้นอะโคตรตลกเลย คนเชี่ยอะไรก็ไม่รู้ พี่วีอะ ชอบตอนไหน” ธีทัตหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
“พี่ชอบตอนที่แม่ของจินไปซื้อของในห้างแล้วรถไฟฟ้าดับ แล้วต้องกินของที่ซื้อมาจนหมด” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ธีทัตเพิ่งสังเกตชัดๆ ว่าปฐวีมีลักยิ้มบนแก้มขวาข้างเดียว
“เออ ตอนนั้นก็ตลก โคตรตลกเลยเนอะ” ธีทัตละสายตาจากชายหนุ่มรุ่นพี่
“เคยอ่านเทวดาหน้าโฉดเปล่า”
“ยังอะ” ธีทัตส่ายหัว
“เอาไปอ่านดิ ตลกนะเว่ย” ปฐวีบอกก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบหนังสือการ์ตูนบนชั้นสองสามเล่มมาให้ธีทัต แต่หนุ่มรุ่นน้องส่ายหน้า
“ออมไม่มีเวลาอ่านหรอกครับพี่วี งานยุ่งจะตาย ไหนจะอยู่เวรอีก” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อนึกถึงงานที่ต้องทำ
“นี่ยังดีนะ อินเทิร์นรุ่นนี้มี 10 คน สมัยพี่มีแค่ 6 คนเอง”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ธีทัตได้พูดคุยกับปฐวีมากกว่า 10 คำ ถึงแม้จะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันกัน แต่ปฐวีก็เป็นคนเงียบขรึมพูดน้อยมาตั้งแต่ต้น ทำให้ธีทัตไม่กล้าชวนคุยมากนัก แต่วันนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่าปฐวีไม่ใช่คนเงียบขรึม เพียงแต่เขาจะเปิดเผยตัวตนกับคนที่เข้ากันได้ดีเท่านั้น
“เอ้อ พี่วีครับ พี่วีรู้จักนายหัวกันย์ด้วยเหรอครับ รู้จักได้ยังไงครับ” คำถามของธีทัตทำให้ปฐวีนิ่งเงียบ เขาละสายตาไปจากชายหนุ่มไปจับอยู่ที่บนโต๊ะอาหาร
“จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่เชิงนักหรอก รู้จักกันมาตั้งแต่ชั้นประถมแล้วล่ะ เคยเรียนด้วยกัน” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ว่าแต่ถามเรื่องนี้ทำไม”
“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ วันก่อนที่เจอกันออมเห็นเขากับพี่วีคุยกัน เลยคิดว่าสนิทกัน ไม่นึกว่าจะเป็นเพื่อนกันนะฮะ นายหัวเขาดูหน้าแก่กว่าพี่วีตั้งเยอะ”
“อืม ไม่สนิทกันหรอก เขาคงไม่อยากสนิทกับพี่สักเท่าไหร่มั้ง สมัยเด็กๆ ตอนอยู่ป.1 เคยอยู่ห้องเดียวกัน นั่งติดกันนี่แหละ แต่กันย์เขาเป็นประเภทหัวโจกของห้อง ตอนหลังเพื่อนของกันย์มาสนิทกับพี่เขาก็โกรธพี่ไปเลยแล้วก็ย้ายไปนั่งหลังห้อง” ปฐวีเล่าถึงความทรงจำวัยเด็กที่เริ่มจางไปตามกาลเวลา
“เอ้อ แล้วคิดเอาไว้หรือยังว่าจะต่อเฉพาะทางด้านไหน” ปฐวีเปลี่ยนเรื่องคุย เขาเองก็ไม่อยากพูดถึงกันยกรมากนัก
“ยังไม่รู้เลยครับ แต่คิดไว้ว่าคงทำงานใช้ทุนให้หมดก่อนแล้วค่อยไปเรียนต่อ...เอ้อ ที่พี่วีบอกว่านายหัวเขาเป็นหัวโจกนี่เป็นยังไงเหรอครับ”
ปฐวีชะงักสบตาหลังแว่นกรอบดำอย่างค้นหาคำตอบ นึกแปลกใจที่ธีทัตอยากรู้เรื่องของกันยกร
“อืม ก็เป็นคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจคนหนึ่ง ตอนเรียนม.ต้นรู้สึกว่าจะเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วยนะ แต่ก็ชอบมีเรื่องเข้าห้องปกครองบ่อยๆ อย่าไปสนใจเลย”
ธีทัตพยักหน้าหงึกหงักนึกภาพชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมสัน หนวดเคราที่ไม่ได้โกนขึ้นเขียวครึ้ม ผมหยักศกกระเซอะกระเซิงตลอดเวลา กันยกรชอบแต่งตัวด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ตัวเก่า ดวงตาคมวับบ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวเอง ริมฝีปากยามไม่ได้ยิ้มดูดุเอาเรื่อง ธีทัตจำได้ตั้งแต่วันแรกที่พบกันที่ห้องฉุกเฉินในวันนั้น น่าแปลกที่ธีทัตจำดวงตาคู่นั้นได้อย่างแม่นยำจนบางครั้งออกจะนึกถึงมากไปจนกลายเป็นความคิดถึงโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน

_________________________
* ชาร์ล็อต แมงมุมเพื่อนรัก - วรรณกรรมเยาวชนชื่อดัง เขียนโดย E. B. White
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjaij ที่ 02-06-2018 01:58:59
โอยยยยยย เกลียดความลำเอียงของครูกะพวกลูกหมอ ลูกทหาร ลูกตำรวจมาก รำๆๆ นายหัวคะถ้าหมอวีไม่อยากเป็นเพื่อนด้วยไม่เปนไรนะคะมาทางนี้ค่ะ เด่วเราจะไปหาติ๊กเกอร์ช่อง3ให้น้าาาาา

อ่านมาถึงตอน6ก็ยังยืนยันคำเดิมว่า พราวพิชชาเทอคือคนที่น่าอิดสามากสามีรักขนาดนี้อ่ะะะ อย่างอนบ่อยนะไม่งั้นนี่จะไปปลอบใจหลี่อี้เอง

หมิวหมิวรู้กกกกกกกกกกกกกกกกก ผช.เค้าไม่เล่นด้วยก็พอเนาะไม่ต้องไปตามเค้าแล้วเนาะ ///ปรายตามองด้วยจริตนางรำคาญ

คุณดรีมสู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจค่าาาา
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: ใดฯจัง ที่ 02-06-2018 09:41:56
ตอนนี้ย้อนอดีตสนุกน่าติดตามทีเดียวค่ะ

สมัยเด็กของพี่วีลึกลับน่าค้นหา :impress2: จากตอนแรกไม่ค่อยชอบ ตอนนี้อยากรู้เรื่องพี่วีมากขึ้นค่ะ  :hao6:

ถ้านายหัวกับพี่วีตอนเด็กเปิดใจเข้าใจกันก็อาจสนิทกันมากกว่านี้ เสียดายค่ะ เคมีแอบเข้ากัน คนหนึ่งเกี้ยวกราด  :katai4: อีกคนนิ่งขรึม  :mew5:

คุณดรีมป่วยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือคะ  หายไวๆน้า อย่าหักโหม เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjaij ที่ 03-06-2018 00:28:04
อยากให้เพิ่มแฮชแม็กชื่อเรื่องด้วยอ่ะค่ะคุณดรีม เผื่อเอาไปลงทวิตได้โปรโมทเพิ่มด้วยค่าาาา
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 03-06-2018 14:01:57
ตอนนี้ย้อนอดีตสนุกน่าติดตามทีเดียวค่ะ

สมัยเด็กของพี่วีลึกลับน่าค้นหา :impress2: จากตอนแรกไม่ค่อยชอบ ตอนนี้อยากรู้เรื่องพี่วีมากขึ้นค่ะ  :hao6:

ถ้านายหัวกับพี่วีตอนเด็กเปิดใจเข้าใจกันก็อาจสนิทกันมากกว่านี้ เสียดายค่ะ เคมีแอบเข้ากัน คนหนึ่งเกี้ยวกราด  :katai4: อีกคนนิ่งขรึม  :mew5:

คุณดรีมป่วยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือคะ  หายไวๆน้า อย่าหักโหม เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :mew1:

ขอบคุณมากๆ นะคะที่รักตัวละครพี่หมอวี  o18

ตอนนี้หายป่วยแล้วค่า ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 03-06-2018 14:04:46
โอยยยยยย เกลียดความลำเอียงของครูกะพวกลูกหมอ ลูกทหาร ลูกตำรวจมาก รำๆๆ นายหัวคะถ้าหมอวีไม่อยากเป็นเพื่อนด้วยไม่เปนไรนะคะมาทางนี้ค่ะ เด่วเราจะไปหาติ๊กเกอร์ช่อง3ให้น้าาาาา

อ่านมาถึงตอน6ก็ยังยืนยันคำเดิมว่า พราวพิชชาเทอคือคนที่น่าอิดสามากสามีรักขนาดนี้อ่ะะะ อย่างอนบ่อยนะไม่งั้นนี่จะไปปลอบใจหลี่อี้เอง

หมิวหมิวรู้กกกกกกกกกกกกกกกกก ผช.เค้าไม่เล่นด้วยก็พอเนาะไม่ต้องไปตามเค้าแล้วเนาะ ///ปรายตามองด้วยจริตนางรำคาญ

คุณดรีมสู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจค่าาาา

ขอบคุณมากๆ นะคะที่ติดตาม และเป็นกำลังใจให้ ขอบคุณมากๆ จริงๆ ค่ะ :mew2:
อ้าว ชอบคู่หลี่อี้-พราว ซะงั้น 5555 แต่นางก็น่าอิจจริงๆแหละ
หมิวหมิวสายเปย์ค่ะ จะเปย์จนกว่าหมอออมจะใจอ่อน บางทีก็อยากให้มีคนมาเปย์แบบนี้บ้างเนอะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 03-06-2018 14:23:57
อยากให้เพิ่มแฮชแม็กชื่อเรื่องด้วยอ่ะค่ะคุณดรีม เผื่อเอาไปลงทวิตได้โปรโมทเพิ่มด้วยค่าาาา

ขอบคุณมากนะ ที่ติดตาม #youaremylawofattraction #กันย์ออมattraction ตอนนี้ทำทวิตเตอร์ด้วยค่ะ ตามไป follow กันได้ที่ @dreamssalinpat นะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 04-06-2018 07:54:34
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: IIIA ที่ 04-06-2018 21:46:41
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากเลยค่ะ รออ่านนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction | ตอนที่ 6.1- 6.3 | 1.0.18 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 04-06-2018 22:50:05
เนื้อเรื่องน่าสนใจมากเลยค่ะ รออ่านนะคะ  :mew1:

ขอบคุณนะคะที่ติดตาม
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction กฎดึงดูดพิสูจน์รัก | ตอนที่ 6.1- 6.3 | P.2 #41-#43 |❤️6
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 07-06-2018 12:55:46
Writer Talk

สวัสดีค่ะ ผู้อ่านทุกท่าน เรื่องราวของหมอออมและนายหัวกันย์เดินทางมาถึงตอนที่ 6 แล้วนะคะ
จะบอกว่าตอนนี้เราเพิ่งคิดชื่อภาษาไทยได้ค่ะ 555 ด้วยความที่เป็นคนหัวทึบในเรื่องการตั้งชื่อนิยายมาก ก็เลยคิดว่าจะใช้แค่ชื่อภาษาอังกฤษอย่างเดียว เพราะคิดชื่อไทยไม่ออก แต่ๆๆๆ ยังไงก็คิดว่าควรจะมีชื่อภาษาไทยด้วยก็เลยเป็นที่มาของการไปรบกวนแกมบังคับเพื่อนๆ หลายคนให้ช่วยคิดชื่อไทยให้หน่อย จนได้ชื่อว่า “กฎดึงดูดพิสูจน์รัก” ค่า คุณผู้อ่านที่เห็นชื่อมีภาษาไทยด้วยก็อย่าเพิ่งงงนะคะ เรื่องเดียวกันค่ะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 6.1- 6.3 | P.2 #41-#43 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 15-06-2018 20:59:47
Writer Talk

สวัสดีค่ะ คุณผู้อ่านทุกท่าน ดรีมเองนะคะ ต้องขอโทษด้วยที่ห่างหายจากการโพสต์ไปนาน เนื่องจากว่าตอนนี้ดรีมประสบปัญหาชีวิตนิดหนึ่งค่ะ เลยทำให้ยุ่งๆ อาจจะโพสต์ตอนที่ 7 ช้าไปหน่อยนะคะ แต่ตอนที่ 7 จะมาแน่นอนค่ะ ไม่เบี้ยวแน่ๆ ขอโทษผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ และขอบคุณทุกคนสำหรับกำลังใจนะคะ  :mew3:

ดรีม
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 6.1- 6.3 | P.2 #41-#43 |
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjaij ที่ 16-06-2018 02:18:52
เป็นกำลังใจให้นะคะคุณดรีม สู้ๆค่าาา :L1:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 7 | P.2 #41-#43 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 23-06-2018 11:30:24
ตอนที่ 7

สนามบินสุราษฎร์ธานีคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ลานจอดรถของที่นี่ไม่เสียค่าจอดทำให้มีรถจอดค้างคืนจนเกือบเต็มลานจอดรถ กว่ากันยกรจะหาที่จอดรถได้ก็กินเวลาหลายสิบนาที ไม่นานร่างสูงใหญ่ก็ตามไปสมทบที่หน้าประตูเที่ยวบินขาออกภายในประเทศ ผู้คนรอบข้างเริ่มหันมามองชายหนุ่มที่กำลังสวมกอดหญิงสาวร่างบางหน้าประตูเที่ยวบินขาออกในประเทศอย่างอยากรู้อยากเห็น หลี่อี้อิดออดไม่ยอมปล่อยมือภรรยา
“ยูต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ กินข้าวทุกมื้อด้วย ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอก ถึงอ้วนยังไงก็รัก”
“รู้แล้วน่า ยูเข้าไปข้างในได้แล้วใกล้จะถึงเวลาบอร์ดแล้วนะ” ฝ่ายสามียังคงอิดออด เขาดึงตัวเธอเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง “ไอไม่อยากไปเลย ไม่ไปแล้วได้ไหม”
“อย่างอแงสิ ถ้ายูไม่ไปทำงาน ยูต้องโดนปาป๊าไล่ออกแน่ๆ แล้วคราวนี้เราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้กัน” ชายหนุ่มหน้ามุ่ย แต่พอนึกถึงบิดาผู้มีนิสัยเข้มงวดแล้วก็คลายอ้อมแขนออกยอมกลับไปทำงานแต่โดยดี
“ไอฝากให้ยูช่วยดูแลพราวด้วยนะ” หลี่อี้หันมาบอกกันยกรซึ่งเขาก็พยักหน้ารับอย่างเต็มใจ
พราวพิชชายืนมองแผ่นหลังของสามีที่เดินเข้าไปในเกทจนลับตา ตัวเธอเองก็เซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่จะต้องห่างกันนานถึงสามเดือนตั้งแต่แต่งงานอยู่กินด้วยกันมา ปกติแล้วหลี่อี้จะไปทำงานที่ต่างประเทศเพียงแค่ไม่กี่วัน ทุกครั้งหญิงสาวจะบินไปเจอสามีหลังจากทำงานเสร็จแล้วใช้เวลาท่องเที่ยวก่อนจะกลับสิงคโปร์ แต่ครั้งนี้หลี่อี้เล่าให้ฟังว่าเป็นงานสำคัญจึงต้องอยู่นานกว่าครั้งอื่นๆ
“เราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะถึงชุมพรค่ำ”
พราวพิชชานั่งเงียบตลอดทางตั้งแต่สนามบินสุราษฎร์ฯ จนกระทั่งออกจากตัวเมืองสุราษฎร์ไปสู่จังหวัดชุมพร
“เป็นอะไรไป นั่งเงียบเชียว หลี่อี้มันยังไม่ทันออกจากเมืองไทยเลยคิดถึงแล้วเหรอ” กันยกรถามขึ้นทำลายความเงียบ
“ค่ะ ตอนอยู่ด้วยกันก็ทะเลาะกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พอห่างกันก็คิดถึงอีก”
“แล้วทำไมไม่ตามไปด้วยล่ะ” กันยกรถามอย่างสงสัย
“จริงๆ ก็อยากจะตามไปด้วยนะคะ แต่ปาป๊าของหลี่อี้เขามีกฎอยู่ว่า เวลาไปทำงานที่ต่างประเทศห้ามไม่ให้พาครอบครัวไปด้วย เพราะไม่อยากให้เราเรื่องส่วนตัวมาปะปนในเวลาทำงาน เดี๋ยวจะทำงานได้ไม่เต็มที่”
“อ้อ ดุเหมือนกันเนอะ ไม่แปลกใจเลยนะที่รวยติดอันดับโลก” กันยกรเบ้ปากนิดหนึ่ง
“เอ้อ พี่กันย์ เมื่อเช้าพราวคิดถึงพี่กันย์ด้วยแหละ” หญิงสาวบอกเสียงใส ลืมเรื่องสามีไว้ชั่วขณะ
“คิดถึงพี่เหรอ? ทำไมล่ะ?”
“อยู่ๆ ก็คิดถึงขึ้นมา นึกถึงตอนที่พราวบอกรักพี่กันย์ที่บริสเบน อายตัวเองจัง” กันยกรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโยกหัวหญิงสาวเล่นเป็นการหยอกเย้า
“เอ้อ ตอนนั้นพี่ก็อึ้งๆ เหมือนกันแหละ พี่คิดว่าพราวรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรารู้จักกันแล้วว่าพี่เป็นแบบไหน”
“แหม พราวเรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาตลอด เพื่อนก็มีแต่ผู้หญิง ถ้าออกสาวน่ะก็พอจะดูออก แต่อย่างพี่กันย์ดูยากจะตาย เกย์ด้าพราวพังเองแหละ”
 “พี่กันย์...ถามอะไรหน่อยสิ พี่กันย์ไม่เคยมีแฟนเลยเหรอ” หญิงสาวหันมาถามอย่างสงสัย พลางมองพิจารณาชายหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างดวงตาคมวับใต้คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากหยักหนา สันกรามชัดเจนเห็นรอยเขียวครึ้มของหนวดเคราที่ถูกโกนจนเกลี้ยง ผิวที่เคยขาวนวลกลับคล้ำแดดกว่าตอนอยู่ที่ออสเตรเลีย ริมฝีปากหยักหนานั้นจุดรอยยิ้มที่มุมปาก
 “เคยสิ ทำไมจะไม่เคย...พราวจำตอนที่พี่ไปหาพราวครั้งแรกที่บริสเบนได้ไหม ตอนนั้นพี่เพิ่งเลิกกับแฟน เฮิร์ทสุดๆ เลยล่ะ”
หญิงสาวเลิกคิ้ว นึกถึงครั้งแรกที่ทั้งคู่เจอกันที่บริสเบน ครั้งนั้นเขาดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งผิดหวังจากความรักเลยสักนิด กันยกรดูร่าเริ่งและเป็นกันเองกับเธอตลอดเวลาที่เจอกัน ความสงสัยกลายเป็นความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นเข้ามาแทนที่ เธออยากรู้นักว่าความรักในอดีตของเขาเป็นเช่นไร กันยกรถอนหายใจเบาๆ เขาไม่เคยเล่าเรื่องความรักในอดีตให้ใครฟังมาก่อน พราวพิชชาเป็นน้องสาวที่สนิทกันมากที่สุด มีหลายครั้งที่หญิงสาวคนนี้ขอคำปรึกษาปัญหาชีวิตซึ่งเขาเองก็เต็มใจให้คำแนะนำ ชายหนุ่มจึงยอมเปิดปากเล่าเรื่องความรักในอดีต
“เขาเป็นนักกีฬาออสซี่รูลส์  เคยเล่นออสซี่รูลส์ด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัยที่เมลเบิร์น พอเรียนจบพี่ทำงานที่นั่น ส่วนเขาเป็นนักกีฬาอาชีพ” กันยกรเล่าถึงความรักเก่ากับหนุ่มชาวออสซี่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย บ่งบอกว่าเขาไม่ได้เหลือเยื่อใยให้กับคนรักเก่าอีกแล้ว
   “ทำไมถึงเลิกกันคะ”
   “เขานอกใจก่อน...พราวก็น่าจะรู้นี่นาพวกนักกีฬาน่ะแฟนคลับเยอะจะตาย พอมีแฟนคลับตามเข้าหน่อยก็แอบนอกใจไปมีคนอื่น พี่เป็นคนไม่ชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้วก็เลยบอกเลิก”
   “เลิก? พี่กันย์บอกเลิกทันทีเลยเหรอคะ ไม่เสียดายเวลาที่คบกันมาเลยเหรอคะ”
   “ใช่ ทำไมพี่ต้องเสียดายด้วยล่ะ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำผิดแค่ครั้งแรกหรอก พี่เคยให้โอกาสเขาแก้ตัวมาสองครั้งแล้ว พอมีครั้งที่สามอีกพี่ก็เลยตัดสินใจเลิกเด็ดขาด”
   “พี่กันย์ไม่คิดจะมีคนใหม่บ้างเหรอคะ” พราวพิชชาถามขึ้น ชายหนุ่มผู้ถูกถามยิ้มกริ่ม ถึงแม้สายตาจะจับอยู่ที่ถนนด้านหน้าแต่พราวพิชชาก็เห็นได้ว่าดวงตาของเขากำลังยิ้มอย่างมีเลศนัย
   “ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า”
   “ใครอะ ไม่เห็นบอกกันเลย บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
   “ฮ่าๆๆ ยังไม่มีซะหน่อย เอาเป็นว่าถ้าพี่มีใครพี่จะบอกเราคนแรกเลย โอเคไหม?”

   แสงแดดยามสายส่องลอดผ้าม่านสีเทามากระทบวงหน้าขาวนวลที่กำลังหลับสนิท มือเรียวยาวคว้าโทรศัพท์มือที่กำลังแผดร้องมากด snooze ธีทัตพยายามจะลืมตาแต่ดูเหมือนว่าเปลือกตาช่างหนักอึ้งเหลือเกิน เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดของเขาชายหนุ่มก็ไม่พยายามจะลืมตาขึ้นมาอีก กว่าจะตื่นขึ้นมาได้ก็เป็นเวลาเกือบ 11 โมงแล้ว ธีทัตดีดตัวลุกขึ้นจากเตียงเดินไปยังห้องครัวเพื่อหาอาหารเช้า
   ‘เอ่อ ไม่มีอะไรกินแล้วนี่หว่า’ เขาคิดในใจเมื่อเห็นตู้เย็นว่างเปล่า
‘ไปหาอะไรกินที่ตลาดก็แล้วกัน’
   ตลาดที่ธีทัตว่าก็คือแผงขายของที่ตั้งเรียงกันยาวบนฟุตบาธหน้าโรงพยาบาลซึ่งเปิดขายทุกวันตั้งแต่เที่ยงไปจนถึงดึก ชื่อเสียงของหมอออมเป็นที่ร่ำลือกันในตลาดหน้าโรงพยาบาลว่าเป็นหมอที่พูดน้อยแต่ใจดีแถมรูปหล่ออีกต่างหาก หากมาซื้อของที่นี่เมื่อไรบรรดาแม่ค้าทั้งหลายจะกลายร่างเป็นนักโฆษณาคอยบรรยายสรรพคุณของลูกสาวตัวเองหรือแม้แต่ลูกสาวของคนรู้จักพร้อมเบอร์โทรให้ชายหนุ่ม ซึ่งเขาก็ทำได้เพียงแค่อมยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ
   ธีทัตได้อาหารมาสองสามอย่าง กำลังจะเดินกลับแฟลตแต่เห็นรถมอเตอร์ไซค์แม่บ้านสีฟ้าคันหนึ่งกำลังขับออกมาจากโรงพยาบาล คนขับสวมเสื้อแจ็กเก็ตคลุมทับชุดยูนิฟอร์มสีขาวที่สวมอยู่ หล่อนชะลอรถเมื่อเห็นแพทย์หนุ่มก่อนจะเอ่ยปากทักทาย
   “หมอไปไหนมานิ วันนี้ไม่อยู่เวรเหรอ” ธีทัตอยู่ที่นี่มานานหลายเดือนจนทำให้เขาเริ่มจะคุ้นเคยกับภาษาไทยกลางติดสำเนียงถิ่นใต้ของพิสมัย
   “วันนี้หยุดครับ พี่ไหมกำลังจะไปไหน”
   “ไปหาอะไรกินหน่อย ไปด้วยกันไหม” พิสมัยชวน
   “ไปกินที่ไหนอะ” ธีทัตถามด้วยความอยากรู้
   “ฮาย อย่าแหลงมากตะ อยากรู้ก็ตามมา แขบๆ ตะ เดี๋ยวของหมด อดกินหล่าว” เธอตบเบาะด้านท้าย
ธีทัตรีบขึ้นซ้อนท้ายรถอย่างว่าง่าย เขาอยากรู้ว่าพิสมัยกำลังจะไปไหน รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า 110 ซีซีของพิสมัยขับออกไปชานเมือง เลี้ยวเข้าถนนทางหลวงชนบทที่สองข้างทางเป็นสวนปาล์มสลับกับสวนยาง ต้นยางสูงใหญ่ไหวน้อยๆ ตามแรงลม วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนตั้งแต่ย้ายมาทำงานที่นี่ที่เขาได้ออกไปข้างนอกไกลกว่าโรงพยาบาล พิสมัยหันมาพูดอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มแต่ลมที่ตีปะทะหน้าทำให้ฟังไม่ถนัดนัก ไม่นานพิสมัยก็เลี้ยวรถเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งที่เปิดประตูรั้วทิ้งไว้ราวกับต้อนรับทุกคน ถนนโรยกรวดเม็ดเล็กทอดไปยังตัวบ้านสองชั้นที่บัดนี้มีเต้นท์ผ้าใบกางอยู่บนสนามที่เป็นลานกว้างหน้าบ้าน ดูเหมือนจะเป็นงานเลี้ยงอะไรบางอย่าง พิสมัยจอดรถมอเตอร์ไซค์ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่พลางกันมาบอกหมอหนุ่ม
“นี่บ้านคุณนายกานดาค่ะ วันนี้เค้ามีงานเลี้ยงละศีลอดให้คนงานที่เป็นมุสลิม บ้านนี้เค้าจัดงานทุกเทศกาลแหละค่ะ ตรุษจีน ตรุษไทย ตรุษแขก พี่ชอบมาทุกงาน กินฟรีแถมยังได้ห่อกลับบ้านได้ด้วย”
“อ้อ” ธีทัตครางในลำคอ พยักหน้าหงึกหงักพลางมองรอบๆ บ้านก่อนจะเดินตามพิสมัยที่เดินนำลิ่วไปยังกลุ่มคนที่นั่งล้อมโต๊ะวงกลมตัวใหญ่จนเต็ม ผู้คนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วหันมามองพลางกวักมือเรียกทักทาย
“ฮาย หวางอีมาได้ เติ้นไปไหนมา มาตะๆ เค้ากำลังกินกันอยู่นิ อ้าว หมอออมมากัน” ใครคนหนึ่งทักขึ้น ธีทัตจำได้ว่าเธอเป็นพยาบาลในวอร์ดออโธปิดิกส์
“ต๊ายย หมอออมมา มาเร็วๆ มานั่งตรงนี้เลยค่ะหมอ” ทุกคนดูแปลกใจที่เห็นธีทัตปรากฏตัวพร้อมกับพิสมัยแต่ก็ทักทายด้วยความยินดี
พิสมัยทักทายทุกคนอย่างสนิทสนม หญิงสาวเดินไปนั่นมานี่อย่างคนที่คุ้นชินกับบ้านหลังนี้เป็นอย่างดี เธอยกมือไหว้กานดาที่เดินเข้ามาหา หญิงวัยกลางคนดูแปลกใจนิดหนึ่งที่เห็นธีทัตอยู่ที่นี่ด้วยแต่แล้วก็ยิ้มด้วยความยินดี
“หมอออมมาด้วยเหรอคะ เชิญตามสบายนะคะ กินข้าวด้วยกันก่อนนะคะ ไหม...ไปหาข้าวหาปลาให้หมอออมกินเร็ว” หล่อนบอกแกมสั่ง
 “วันนี้ป้าจัดงานเลี้ยงละศีลอดค่ะ ป้าจะเลี้ยงอาหารละศีลอดในเดือนรอมฎอนให้กับคนสวนที่เป็นมุสลิมค่ะ” กานดาอธิบาย การถือศีลอดของชาวไทยมุสลิมในเดือนรอมฎอนคือการละเว้นจากการกิน ดื่ม ร่วมประเวณี ตั้งแต่แสงอรุณขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก และการละศีลอดก็เปรียบเสมือนรางวัลสำหรับเวลาอันยาวนานจากการถือศีลอดนั่นเอง ธีทัตพยักหน้าหงึกหงัก มองไปรอบๆ เห็นชาวไทยมุสลิมสวมเสื้อสีสันสดใสแล้วมองตัวเองที่สวมแค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นมาร่วมงาน
 “ผมเจอพี่ไหมที่หน้าโรงพยาบาลก็เลยขอติดรถมาด้วย ไม่ทราบว่าจะต้องมางานเลี้ยงเลยแต่งตัวไม่สุภาพ ขอโทษด้วยนะครับ”
“อุ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าจัดเลี้ยงแบบกันเอง เลี้ยงเฉพาะคนที่รู้จักกันเท่านั้น แค่หมอมาด้วยนี่ก็ดีใจแล้วค่ะ หมอเคยกินนี่ไหมคะ” กานดาหยิบผลไม้อบแห้งชนิดหนึ่งมาให้ ชายหนุ่มถือวิสาสะหยิบเข้าปากเคี้ยวหยุบหยับ รสชาติหวานซ่านติดลิ้น
“อินทผาลัมค่ะ คนไทยมุสลิมเขาจะกินหลังจากละศีลอดกัน คนมุสลิมเขาจะต้องอดอาหารในช่วงเดือนรอมฎอน ส่วนอินทผาลัมมีรสหวานจะได้มีกำลัง”
“ผมเคยเห็นแต่ไม่เคยกินมาก่อน งั้นวันนี้ผมขอฝากท้องที่นี่ด้วยเลยนะครับ ผมเองก็ถือศีลอดมาตั้งแต่เช้าแล้ว ยังไม่ได้กินอะไรเลยครับ” กานดาดีใจที่ชายหนุ่มตรงหน้าชื่นชอบ หล่อนเคยคิดว่าหมอใหม่ที่มาจากกรุงเทพคนนี้ดูเป็นคนพูดน้อยและเข้าถึงยาก แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่หล่อนคิดว่าธีทัตไม่ได้เป็นคนอย่างที่คิด
“มาแล้วค่า หมอเคยกินนี่ไหม ลองหน่อยไหม” พิสมัยถือจานใส่อาหารชนิดหนึ่ง ดูคล้ายขนมจีนแต่เส้นม้วนกันเป็นวงกลมราดได้น้ำแกงทำจากกะทิ
“อะไรเหรอครับ”
“เขาเรียกว่าลาแซ เหมือนขนมจีนแหละ แต่เป็นขนมจีนแบบมุสลิม นี่คนทำอิมพอร์ตมาจากนราธิวาสเลยนา” พิสมัยโฆษณา ธีทัตมองดูอาหารในมืองอย่างสนใจพลางตักเข้าปากหนึ่งคำแล้วก็ต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าจะอร่อย
“เอ้อ อร่อยดี คล้ายๆ หมี่กะทิเลย”
“กินเยอะๆ เลยนา มีเยอะแยะ อ้อ หมอกินแกงแพะไหม”
“อะไรนะครับ” ชายหนุ่มทวนคำ คิดว่าได้ยินผิดไป
“แกงแพะ เดี๋ยวเอามาให้กิน อันนี้ก็ของเด็ดเหมือนกัน” พิสมัยบอกแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว หล่อนทักทายคนโน้นที คนนี้ที เอาอาหารหลากหลายชนิดมาเสิร์ฟอย่างคล่องแคล่ว
ธีทัตเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เข้ามาในบ้านยังไม่เห็นเจ้าของบ้านอีกคนหนึ่ง ครั้นจะเอ่ยปากถามกานดาก็เกรงจะผิดสังเกตจึงเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วกินอาหารต่ออย่างเงียบๆ พิสมัยเดินกลับมาพร้อมอาหารเต็มสองมือ จานหนึ่งคือแกงแพะส่วนอีกมือหนึ่งคือไก่ทอดร้อนๆ
“นายหัวไปไหนล่ะคะคุณนาย หนูยังไม่เห็นเลยตั้งแต่มาถึง”
‘เยี่ยมมากครับพี่ไหม ถามได้ตรงใจจริงๆ’ ธีทัตคิดในใจ
“ไปชุมพร ใกล้จะถึงแล้วล่ะ อ้าว ดูสิ พูดถึงก็มาพอดี” กานดาบุ้ยไปทางประตูรั้วบ้าน
รถเก๋งเมอเซเดสสีน้ำเงินกำลังเลี้ยวเข้ามาในบ้านอย่างช้าๆ ก่อนจะขับเข้าไปจอดในโรงจอดรถ ธีทัตรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตเหมือนลูกโป่งเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่เดินอ้อมไปเปิดท้ายรถ เขาเรียกให้คนมาช่วยยกลังโฟมออกจากท้ายรถแล้วชายหนุ่มก็เดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ชายหนุ่มจับมือทักทายทุกคนอย่างสนิทสนมจนมาถึงโต๊ะที่ธีทัตนั่งอยู่ แวบหนึ่งเขามองแพทย์หนุ่มอย่างแปลกใจ แต่ก็เพียงแค่แวบหนึ่งเท่านั้น
“ขนอะไรมาด้วยน่ะ” กานดาถามลูกชาย
“อากิตกับป้าอัมให้ปูกับหมึกมาเยอะแยะครับ มีปูเนื้อ ปูม้า หมึกไข่” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อุ๊ย งั้นเหรอ ดีเลยแม่จะได้ทำหมึกไข่นึ่งมะนาว แล้วก็...ทำอะไรอีกดีน้า คุณหมอชอบกินปูไหมคะ” กานดาหันมาถามแขกคนพิเศษ
“ชอบมากครับ” แขกคนพิเศษเองก็ตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“ดีเลย ป้าจะได้ทำปูไข่นึงให้คุณหมอ อย่าเพิ่งรีบอิ่มนะคะ แม่จะโทรกลับไปขอบคุณอากิต ป้าอัมซะหน่อย ลูกนั่งตรงนี้เป็นเพื่อนหมอก่อนนะ” หล่อนลุกขึ้นกลับเข้าไปสั่งงานในครัว
 “ว่าไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่” กันยกรหันมาตบไหล่ทักทายพิสมัย
“เพิ่งมาไม่นานนี่เองก่อนนายหัวจะมา เจอหมอออมที่หน้าโรงพยาบาลก็เลยชวนมาด้วย”
“วันนี้ไม่ทำงานเหรอครับ” เขาหันมาถาม
“หยุดครับ ไม่มีเวร” ธีทัตตอบพลางแกล้งเสตักแกงแพะเข้าปาก
“หิวจัง ยังไม่ได้กินอะไรเลย ไหม...ไปหาอะไรมาให้กินหน่อยสิ” พิสมัยโอดครวญเพราะหล่อนเองก็เพิ่งจะนั่งได้ไม่นาน แต่ก็ยอมลุกขึ้นไปแต่โดยดี เหลือเพียงกันยกรและธีทัตนั่งด้วยกันที่โต๊ะ คนตัวขาวกว่าแสร้งกินอาหารเงียบๆ มือเรียวแกล้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสไลด์หน้าจอ
“อร่อยไหม?” กันยกรถามขึ้น
“อร่อย” เขาตอบแค่คำเดียว
“ผมมาช้าไปหรือนี่ หมอแย่งกินของโปรดผมหมดเลย” ชายหนุ่มตัวโตอวดครวญเหมือนเด็ก
“งั้นกินด้วยกันไหมครับ” ธีทัตถาม
“ผมล้อเล่น ตามสบายเถอะหมอ ผมกินมาบ้างแล้ว” กันยกรยิ้มจนเห็นฟันขาว
‘ยิ้มสวยนี่นา ฟันขาวตัดกับผิวเชียว’ ธีทัตแอบคิดในใจ
“เอ่อ นายหัวไปทำอะไรที่ชุมพรเหรอครับ”
“ไปส่งคุณพราว หมอจำได้ไหม ผู้หญิงที่สูงๆ ตัวบางๆ หน่อย”
“อ้อ จำได้ครับ” คำตอบของกันยกรทำให้ธีทัตเจ็บแปลบอย่างแปลกประหลาด ความรู้สึกเหมือนหัวใจที่พองโตเมื่อสักครู่คล้ายจะฟีบลงทันที
“คุณพราวที่หน้าตาสวยๆ น่ารัก ใช่ไหมครับ” ธีทัตถามกลับ
“หมอชอบผู้หญิงแบบนั้นเหรอ” ชายหนุ่มติดใจในคำถามของคนฝั่งตรงข้าม
“ก็...” แพทย์หนุ่มนิ่ง นึกแปลกใจที่ตัวเองไม่เคยมีสเปกผู้หญิงเลย แม้ที่ผ่านมาจะมีผู้หญิงเข้ามาวนเวียนในชีวิตอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยสานสัมพันธ์จริงจังกับใครจนถึงขั้นคบหาเป็นแฟนเลยสักคน
“คุณพราวเขาก็น่ารักดีครับ ถ้าเขายังโสดผมก็ว่าจะจีบคุณพราวแหละ” ธีทัตโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
‘เชี่ยเอ้ยยย! พูดไรออกไปเนี่ย’ ธีทัตอยากจะหยิกปากตัวเอง
“อ้อ งั้นหมอก็แห้วแล้วล่ะ เพราะยัยพราวมีเจ้าของแล้ว” ชายหนุ่มผิวคล้ำยิ้มมุมปาก
ธีทัตนิ่งคิด ใจหนึ่งก็อยากจะถามว่า ‘เจ้าของ’ ที่ว่านั้นคือใคร ใช่กันยกรหรือเปล่า แต่แล้วก็ไม่ได้หลุดปากออกไป ชายหนุ่มจึงแสร้งยกน้ำขึ้นดื่ม พิสมัยเดินกลับมาพร้อมกับหญิงวัยกลางคนตัดผมซอยสั้น ดูท่าทางห้าวเกินกว่าผู้หญิงทั่วไป
“อ้าว ป้าบัว มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” กันยกรยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนคนนั้น
“มาตั้งแต่เช้าแล้ว นี่ ป้ามีของมาฝากนายหัวด้วย” หล่อนคลี่กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ห่ออะไรบางอย่างเอาไว้ กันยกรเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในนั้น
“เอาไปในพวกในครัวทำมาเดี๋ยวนี้เลย อยากกินมาก” ชายหนุ่มบอกกึ่งออกคำสั่ง ซึ่งป้าบัวก็ทำตามแต่โดยดี หล่อนเดินหายกลับเข้าไปในครัว
“ป้าคนนั้นเขาเอาอะไรมาให้เหรอครับ” ธีทัตถามอย่างสงสัย
“หมอรอดูก็แล้วกัน แต่ว่าถ้าเห็นแล้วอย่าตกใจนะ” กันยกรบอกอย่างแฝงความนัย
ไม่นานป้าบัวก็กลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้หล่อนถือถ้วยใบใหญ่ เมื่อวางถ้วยลงบนโต๊ะก็เห็นว่ามีไข่มดแดงเม็ดเล็กๆ กลมรีเต็มถ้วย
“หมอรู้จักนี่รึเปล่า เคยกินไหม” กันยกรถามยิ้มๆ เมื่อเห็นคนผิวบางตรงหน้าต้องเบิกตากว้าง แต่แล้วก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ
“นี่มัน...ไข่มดแดงนี่ครับ! ของโปรดของผมเลย!” คนตัวโตเลิกคิ้วด้วยความงุนงง “หมอเคยกินด้วยเหรอ?”
“นายหัวแบ่งกับผมได้ไหม”
“ถ้าชอบหมอก็กินเถอะ ผมยกให้หมดเลย”
ชายหนุ่มตรงหน้าฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ปล่อยให้กันยกรคาดคิดไม่ถึงว่าหมอหนุ่มผู้นี้จะชอบอาหารเปิบพิสดารอย่างไข่มดแดงเช่นเดียวกับเขา ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นภาพหมอหนุ่มผิวขาวอมชมพูสวมแว่นกรอบดำที่ดูยิ่งยโสและไว้ตัวกำลังตักไข่มดแดงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยจนลืมเก๊ก ไม่นานไข่มดแดงถ้วยใหญ่ก็หมดเรียบ
“อร่อยจัง”
“โอ้โห ไม่นึกเลยว่าหมอจะชอบกินของแปลกแบบนี้ ผิดคาดเลยนะเนี่ย ผมนึกว่าคนเมืองกรุงแบบหมอจะกินอะไรแบบนี้ไม่เป็นซะอีก” กันยกรบอก
“แปลกตรงไหน ไข่มดแดงนี่ไม่ใช่ของแปลกนะครับ ถ้าจะให้แปลกจริงๆ ต้องเป็นพวกงู แมงมุม แมงป่อง ไข่มดแดงนี่เคยกินตอนไปฝึกงานที่อีสานครับ ผมชอบมาก ไม่เคยกินอะไรอร่อยแบบนี้มาก่อน อีกอย่าง แม่ผมสอนไว้ว่าไม่ควรเลือกกิน มีอะไรผมก็กินหมดแหละ”
“เลี้ยงง่ายดีนี่นา” คนตัวคล้ำพูดยิ้มๆ “หมอกินไอศกรีมไหม ผมเหมาไอศกรีมกะทิมาเลี้ยงคนงานด้วย อยู่ตรงโน้นแน่ะ”
ถังสแตนเลสบรรจุไอศกรีมกะทิที่พร่องลงไปเล็กน้อย เด็กหญิงตัวเล็กสวมฮิญาบสีสันสดใสยืนเขย่งขาเกาะขอบถังไอศกรีม ธีทัตตักไอศกรีมพูนถ้วยส่งให้เธอ เด็กน้อยยิ้มให้เขาจนเห็นฝันหลอก่อนจะรับถ้วยไอศกรีมมา ชายหนุ่มตักไอศกรีมให้ตัวเอง ไม่ลืมที่จะตักจนพูนถ้วยเช่นกัน
“ด้านหลังบ้านคืออะไรครับ” หมอหนุ่มถามพลางตักไอศกรีมกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อ๋อ สวนมังคุดน่ะ อยากไปเดินเล่นไหม” เจ้าของบ้านถาม แขกคนพิเศษพยักหน้าหงึกหงัก ในเมื่อกินอิ่มแล้ว ลุกไปเดินย่อยสักนิดก็น่าจะดี พิสมัยเองก็น่าจะยังไม่กลับบ้านในตอนนี้ เธอแวะคุยกับคนรู้จักคนนั้นทีคนนี้ที นานๆ ครั้งจะเดินกลับเข้าไปหาอาหารในครัวมาเสิร์ฟให้แขกในงานเลี้ยง
ร่างสูงใหญ่ล่ำสันเดินนำร่างสูงโปร่งไปยังสวนมังคุดที่อยู่บนที่ดินแปลงด้านข้างบ้าน เสียงใบไม้แห้งดังแกรบกราบเมื่อทั้งสองเดินผ่านตัดเข้าไปในสวน ต้นมังคุดนับสิบปรากฏขึ้นตรงหน้าธีทัต ชายหนุ่มห่อปากเพราะไม่เคยเห็นต้นมังคุดมาก่อน
“โอ้โห คุณรู้ไหมว่าผมชอบกินมังคุดมาก แต่ไม่เคยเห็นต้นมังคุดมาก่อนเลย” ธีทัตบอก
“ผมว่าจะโค่นแล้วล่ะ จะเปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่นแทน”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ ผมว่าน่าอิจฉาดีออก มีต้นมังคุดมากขนาดนี้คงได้กินมังคุดทุกวันเลยสินะฮะ”
“ตลกน่าหมอ มังคุดมันเก็บยาก เสียเวลาด้วย จะเก็บทีนึงก็เก็บได้ทีละลูก บางครั้งบำรุงไม่ดีพอถึงฤดูมันไม่ออกลูกก็มี” กันยกรอธิบาย
“นายหัวปลูกอะไรบ้างเนี่ย”
“ผลไม้ก็มีทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ลางสาด แต่หลักๆ ก็มียางพารา ปาล์มน้ำมัน หมอถามทำไมเหรอ”
“ก็...อยากรู้นี่ครับ” ธีทัตตักไอศกรีมกินต่อ
กันยกรเดินมาถึงขนำหลังเล็กที่เปิดโล่งรอบด้าน สร้างเอาไว้กลางสวนอย่างเรียบง่าย เพื่อเป็นที่พักเหนื่อยชั่วคราวสำหรับคนสวนที่มาเก็บมังคุด ธีทัตนั่งลงข้างๆ ร่างสูงใหญ่ ขนำหลังนี้อยู่กลางสวนห่างไกลจากบ้านที่จัดงานเลี้ยงพอสมควรทำให้ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมคนทั้งสอง
“หมอสนิทกับไอ้วีเหรอ” จู่ๆ คนตัวใหญ่ก็ถามขึ้น เขาหันมามองธีทัตที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่สนิทหรอก อาจารย์วิธานบอกว่าพี่วีเป็นรุ่นพี่ผม ผมเองก็เพิ่งมารู้จักเขาที่นี่แหละ บังเอิญอยู่ห้องตรงข้ามกัน”
“อ้อ พักใกล้กันด้วยคงคุยกันบ่อยสินะ” น้ำเสียงนั้นเหมือนแฝงความน้อยใจอยู่ในที
“ไม่บ่อยหรอกครับ เอ้อ แต่วันก่อนก็เพิ่งคุยกัน ผมไปกินข้าวที่ห้องพี่วีมา พี่วีบอกว่าเคยเป็นเพื่อนกับนายหัวมาตั้งแต่เด็กๆ” คราวนี้คนตัวโตเป็นฝ่ายแปลกใจ
“ไอ้วีมันเล่าอะไรให้หมอฟังบ้าง”
“ไม่ได้เล่าอะไรนี่ครับ” คนผิวบางยักไหล่ อันที่จริงแล้วปฐวีเล่ามากมายด้วยซ้ำ แต่เป็นเรื่องแย่ๆ ของอีกฝ่ายเสียมากกว่า
“ตอนเด็กๆ นายหัวชอบเรียนวิชาอะไรเหรอครับ”
“อืม ผมชอบศิลปะกับพละ”
“ผมนึกว่าจะชอบเรียนเกษตรซะอีก เห็นเป็นเกษตรกร” คราวนี้เป็นฝ่ายกันยกรที่ต้องหัวเราะเสียงดัง “หมอคิดว่าวิชาเกษตรที่เคยเรียนสมัยประถมจะเอามาใช้ประกอบอาชีพได้เหรอ วันๆ เรียนแต่รดน้ำต้นไม้”
“ผมเคยเป็นสถาปนิกมาก่อน” กันยกรบอกหลังจากที่หยุดหัวเราะ
“แล้วทำไมถึงมาทำสวนได้ล่ะครับ”
“เมื่อก่อนผมทำงานเป็นสถาปนิกที่ออสเตรเลีย หลังจากที่พ่อเสียผมก็กลับมาเมืองไทย กลับมาทำงานแทนพ่อ ผมทิ้งครอบครัวไปไม่ได้หรอก มีน้องชายกับน้องสาวอีกสองคนที่กำลังเรียนอยู่...ทำไมหมอทำหน้าแบบนั้น” กันยกรถามเมื่อเห็นชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ มองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ
“นึกไม่ถึงว่าคุณจะจบเมืองนอก แถมทำงานที่ออสเตรเลียอีกต่างหาก”
“อ้าวหมอ...พูดงี้หมายความว่าไง ผมดูเป็นคนไม่มีการศึกษาขนาดนั้นเลยเหรอ” กันยกรถามอย่างไม่ถือสา คนผิวขาวบางหัวเราะร่วน
“ผมล้อเล่นน่ะ ขอโทษด้วยก็แล้วกัน ไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้น” ชายหนุ่มตักไอศกรีมคำสุดท้ายเข้าปาก ยกถ้วยขึ้นซดไอศกรีมที่ละลายเป็นน้ำจนเกลี้ยง
 “เรากลับกันเถอะ ป่านนี้พี่ไหมคงใกล้จะหาเสียงเสร็จแล้วมั้ง”
กันยกรหัวเราะอย่างชอบใจ ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ ทั้งคู่เดินกลับมายังบริเวณบ้านอีกครั้ง แขกเหรื่อที่มาร่วมงานเริ่มทยอยกันกลับไปแล้ว พระอาทิตย์เริ่มราแสงเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอีกไม่นานราตรีกำลังจะมาเยือน
“หมอมาพอดี หายไปถึงไหนกันมาคะ” พิสมัยถาม
“ไปเดินเล่นดูสวนมังคุดด้านหลังมาครับ พี่ไหมจะกลับหรือยัง”
“ใกล้แล้วล่ะค่ะ รออีกแป๊บนึงนะคะ คุณนายบอกว่ามีของจะให้หมอออมด้วย”
กานดาเดินออกมาจากครัวหลังบ้าน ในมือของหล่อนมีถุงใบใหญ่บรรจุกล่องพลาสติกอยู่เกือบเต็มถุง
“ปูนึ่งค่ะ กล่องนี้ปูเนื้อ อีกกล่องปูไข่นะคะ ป้าได้มาสดๆ เลย เนื้อหวานแน่นอนค่ะ”
“อ้าวแม่ กันย์ก็ชอบกินปูนะ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่โวยวาย แต่ไม่จริงจังนัก
“อย่าเสียมารยาทกับหมอ ของลูกแม่เก็บไว้ให้แล้ว อันนี้ของหมอออม” หล่อนเอ็ดลูกชาย
“ขอบคุณมากนะครับ วันนี้ผมได้กินอาหารที่อร่อยที่สุดนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เลยครับ กินแต่อาหารโรงพยาบาลทุกมื้อก็เบื่อเหมือนกันครับ”
“โถ คุณหมอกินข้าวโรงพยาบาลทุกวันคงเบื่อแย่เลยนะคะ งั้นพรุ่งนี้ป้าจะทำอาหารใส่ปิ่นโตไปให้นะคะ” หล่อนมองหมอหนุ่มอย่างอดสงสารไม่ได้ นึกถึงอาหารจืดๆ ชืดๆ ของโรงพยาบาล
“ขอบคุณนะครับ งั้นผมลาแล้วนะครับ คุณป้าดูแลสุขภาพดีๆ นะครับ อย่าลืมกินยาด้วย” คนเป็นหมอไม่วายกำชับคนไข้ เขาบอกลากานดาแล้วเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์กับพิสมัย ชายหนุ่มร่างสูงอีกคนเดินตามไปช้าๆ
“หมอ” เขาเรียก ธีทัตหันกลับมา ปล่อยให้พิสมัยเดินล่วงหน้ากลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดทิ้งไว้
“ครับ?”
“ขออะไรอย่างนึงได้ไหม”
“อะไรเหรอครับ”
“อย่าเรียกผมว่านายหัวได้ไหม มันฟังดูห่างเหินชอบกล” คนตัวสูงเกาแก้เก้อด้วยการยกมือขึ้นเสยผมแล้วหลบตา
“อ้าว แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะครับ ทุกคนก็เรียกกันแบบนั้นนี่นา”
“คนอื่นเรียกมันไม่เท่าไหร่หรอก หมอเรียกว่าพี่กันย์ก็พอ” ธีทัตสบตาอีกฝ่าย ทั้งคู่มองตากันครู่หนึ่งหากไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเอง เขารับรู้ได้ว่ามีความหมายอะไรบางอย่างสื่อออกมาจากดวงตาคมวับคู่นั้น มันมีพลังมากพอที่จะทำให้หัวใจหมอหนุ่มไหววูบ
“โอเคครับ พี่กันย์”
คำตอบของคนผิวบางทำให้กันยกรแย้มยิ้มออกมาอย่างพอใจ เขาหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน ธีทัตหันหลังกลับเดินไปยังมอเตอร์ไซค์สีฟ้าที่จอดใต้ร่มไม้ รถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าสีฟ้าเคลื่อนตัวพ้นอาณาเขตของบ้านหลังใหญ่ไปนานแล้วแต่เจ้าของบ้านยังคงยิ้มกริ่มกับตัวเองไม่หยุด และหากใครที่ขับสวนกับรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้าสีฟ้าบนทางหลวงชนบทในวันนั้น หากสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่าชายหนุ่มผิวขาวบางสวมแว่นกรอบดำที่เป็นผู้นั่งซ้อนท้ายแอบยิ้มบางๆ กับตัวเองไม่หยุดเช่นกัน
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 7 | P.2 #55 |
เริ่มหัวข้อโดย: ใดฯจัง ที่ 23-06-2018 21:32:10
แอร๊ยยยย ช่วงท้ายก่อนกลับบ้าน ฟินมากค่ะ  :katai2-1:

รอติดตามต่อค่ะว่าจะเป็นยังไง  ขอเป็นกำลังใจให้คุณดรีมด้วยนะคะ สู้ๆค่ะ

อ่านตอนที่เจ็ดตอนกลางคืนหิวมากค่ะ มีทั้งแกงแพะ ปูนึ่ง หมึก ไข่มดแดง  :z3:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 7 | P.2 #55 |
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 24-06-2018 02:41:51
เนื้อเรื่องน่าสนใจดีนะคะ
เหนืออื่นใด อ่านแล้วคิดถึงเมนูโปรดหลายเมนูเลย ฮือ ฮือ
โดยเฉพาะเมนู "ข้าวมันแกงไก่" ที่นายหัวชอบ ...
ที่คุณเขียนว่า "นาซินาแฆ"
คิดถึงมาก   ...

แต่เท่าที่ทราบ เมนูนี้เรียกว่า นาซิ ดาแกฺ หรือ นาซิ ดาแฆ (nasi dagang) ไม่ใช่เหรอคะ?

(อ้างอิงจาก พจนานุกรมภาพ ภาษาไทย-มลายูปาตานี-มลายูกลางอาหารอัตลักษณ์มลายู-ไทย ครัวมุสลิมชายแดนใต้ นะคะ)

edit : พยายามจะใส่ภาพอ้างอิง .. แต่ใส่ไม่ผ่าน
งั้นอ้างอิงด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ แทนนะคะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 7 | P.2 #55 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 24-06-2018 02:52:52
เนื้อเรื่องน่าสนใจดีนะคะ
เหนืออื่นใด อ่านแล้วคิดถึงเมนูโปรดหลายเมนูเลย ฮือ ฮือ
โดยเฉพาะเมนู "ข้าวมันแกงไก่" ที่นายหัวชอบ ...
ที่คุณเขียนว่า "นาซินาแฆ"
คิดถึงมาก   ...

แต่เท่าที่ทราบ เมนูนี้เรียกว่า นาซิ ดาแกฺ หรือ นาซิ ดาแฆ (nasi dagang) ไม่ใช่เหรอคะ?

(อ้างอิงจาก พจนานุกรมภาพ ภาษาไทย-มลายูปาตานี-มลายูกลางอาหารอัตลักษณ์มลายู-ไทย ครัวมุสลิมชายแดนใต้ นะคะ)

edit : พยายามจะใส่ภาพอ้างอิง .. แต่ใส่ไม่ผ่าน
งั้นอ้างอิงด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ แทนนะคะ


เออ อาจจะใช่ก็ได้ค่ะ พอดีว่าแถวบ้านคนเขียนเรียกแบบนี้ 555
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ ไว้จะเอาไปแก้ไขค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 7 | P.2 #55 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 24-06-2018 02:54:45
แอร๊ยยยย ช่วงท้ายก่อนกลับบ้าน ฟินมากค่ะ  :katai2-1:

รอติดตามต่อค่ะว่าจะเป็นยังไง  ขอเป็นกำลังใจให้คุณดรีมด้วยนะคะ สู้ๆค่ะ

อ่านตอนที่เจ็ดตอนกลางคืนหิวมากค่ะ มีทั้งแกงแพะ ปูนึ่ง หมึก ไข่มดแดง  :z3:

ขอบคุณมากนะคะที่ติดตาม นี่ก็เขียนไปหิวไปเหมือนกันค่ะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 7 | P.2 #55 |
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjaij ที่ 27-06-2018 11:45:58
กิ๊ดดดดดด คุนดรีมกลับมาแล้ววว ตอนนี้พี่กันย์เค้าก็หยอดเก่งงงง จังเลยนะคะ เมื่อไหร่หมอออมจะรู้ซักทีว่าพราวนางไม่ได้เป็นแฟนพี่กันย์ ฮรึ่มๆๆๆ ขัดใจจจจจจจจ

หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 8 | P.3 #62 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 21-07-2018 23:23:24
ตอนที่ 8
[/color][/size]

   รถเก๋งแบบห้าประตูกลางเก่ากลางใหม่ขับมาจอดหน้าประตูบ้านตระกูลลีพานิชสกุล ยามประจำประตูรีบเปิดประตูให้เพราะคุ้นเคยว่ารถคันนี้เป็นรถของอดีตภรรยาเจ้าของบ้าน รถคันนั้นเลี้ยวไปจอดหลบใต้เงาร่มไม้ใหญ่บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าของจะอยู่ที่นี่ไม่นาน หญิงวัยกลางคนลงมาจากรถ ผมดำแซมขาวถูกรวบไว้เป็นมวยผมเรียบร้อย ดวงตาที่มองบ้านหลังใหญ่ที่เธอเคยอาศัยมีแววเจ็บปวดลึก ความขมขื่นของการใช้ชีวิตคู่ในอดีตยังคงตามติดชีวิตเธอเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ จารวีเดินเข้าไปในบ้านเก่าของตัวเองอย่างคุ้นเคย บ้านเก่าเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่ปกรณ์ป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ ธีภพลูกชายคนโตกลายมาเป็นเจ้าของบ้านแทน บางส่วนของบ้านถูกต่อเติมใหม่หลังจากธีภพแต่งงาน แม่บ้านบางคนที่เป็นคนเก่าแก่เข้ามาทักทายนายเก่าอย่างนอบน้อม
   “คุณกรณ์ล่ะ” จารวีถามแม่บ้านคนเก่า
   “อยู่ในห้องค่ะ เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลสักครู่นี่เองค่ะ”
   “เขากินอะไรหรือยัง”
   “คุณพยาบาลบอกว่าอาเจียนออกมาหมดเลยค่ะ เป็นอาการข้างเคียงจากทำเคมีบำบัดค่ะ”
   อดีตนายหญิงพนักหน้ารับรู้ หล่อนสั่งให้นำอาหารไปจัดแจงใส่ถ้วยส่วนตัวเธอเดินไปยังห้องนอนของอดีตสามี หล่อนค่อยๆ เปิดประตูอย่างเบามือ ความเงียบในห้องทำให้รู้ว่าผู้ป่วยกำลังหลับ เมื่อเห็นว่าผู้มาเยี่ยมเป็นใครพยาบาลส่วนตัวที่ธีภพจ้างมาดูแลจึงออกไปจากห้อง ปล่อยให้ทั้งสองมีความเป็นส่วนตัว จารวีมองร่างผอมแห้งผิวซีดเหลืองบนเตียง ปกรณ์ไม่เหลือเค้าความหล่อในวัยหนุ่มเลยสักนิด มีเพียงแค่จังหวะการหายใจเบาๆ เท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าร่างบนเตียงยังมีลมหายใจอยู่ หล่อนนั่งลงข้างเตียงบีบมืออดีตสามีเบาๆ ผู้ป่วยลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน
   “เป็นอย่างไรบ้างคะ” จารวีถามอดีตสามีเบาๆ
   “เหนื่อย” ปกรณ์ตอบกลับน้ำเสียงแผ่วเบา เสียงประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง สาวใช้คนเดิมนำอาหารอ่อนเข้ามาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะยอบตัวเดินออกไป
   “กินอะไรหน่อยนะคะ” อดีตภรรยาจัดแจงป้อนอาหารให้
   “ลูก...เป็นยังไง...บ้าง” ปกรณ์พยายามจะพูด
   “ออมสบายดีค่ะ” จารวียื่นมือจะป้อนอาหารให้เขา
   “ของ...ของขวัญล่ะ” คราวนี้เป็นฝ่ายจารวีที่นิ่งอึ้ง ของขวัญที่ปกรณ์ฝากไปให้ธีทัตยังอยู่ในกระเป๋าถือของเธอ จารวียิ้มให้สามีก่อนจะจำใจโกหก
   “ลูกชอบมากค่ะ ทีนี้จะกินได้หรือยังคะ” เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เป็นสามีจึงยอมอ้าปากกินอาหาร แม้จะฝืดคอแต่เขาก็พยายามกินให้ได้มากที่สุด
   “ออม...” เสียงของปกรณ์ขาดหายไป
   “ลูกทำงานยุ่งมาก แต่ลูกก็ยังถามถึงคุณนะคะ” รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้าผู้ป่วย จารวีน้ำตารื้นนึกสังเวชในสภาพของอดีตสามี ความโกรธเกลียดที่เคยมีกลับหายวับไปหมดราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งก่อนจะเปิดออก ธีภพเข้ามาในห้อง
   “ไม่รู้ว่าแม่จะมา คราวหลังแม่โทรมาบอกก่อนนะครับ อ้นจะได้ให้คนขับรถไปรับจะได้ไม่ต้องขับรถมาเอง” ธีภพทักขึ้นเมื่อเห็นมารดา ชายหนุ่มเดินเข้าไปข้างเตียงของผู้เป็นพ่อ
   “เป็นไงบ้างครับพ่อ” ลูกชายคนโตทักผู้เป็นพ่อ น้ำเสียงแม้จะแสดงถึงความห่วงใยแต่ก็แฝงไปด้วยความห่างเหิน
   “คุณย่า” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาในห้องแล้วโผเข้ากอดจารวีแน่น ผู้เป็นย่ากอดตอบ เด็กหญิงทำท่าจะผละจากจารวีเข้าเกาะขอบเตียงปกรณ์ แต่ถูกธีภพดึงตัวไว้เสียก่อน
   “ลินาอย่าเข้าใกล้คุณปู่”
   “ทำไมละคะคุณพ่อ”
   “วันนี้คุณปู่เพิ่งไปโรงพยาบาล หนูยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะลูก” ผู้เป็นพ่อบอกอย่างนั้น เด็กน้อยจึงถอยห่างจากเตียงของปู่
   “พ่อนอนพักเถอะนะครับ...แม่ครับ อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะครับ อย่าเพิ่งกลับ” คำพูดของธีภพบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาอยากให้ปกรณ์นอนพักผ่อน จารวีจึงไม่ปฏิเสธลูกชายคนโต
   หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ธีภพสบตาภรรยาเป็นเชิงบอกว่าต้องการความเป็นส่วนตัวกับมารดา ผู้เป็นภรรยารู้ใจสามี
   “กินข้าวเสร็จแล้วขึ้นห้องไปอาบน้ำได้แล้วมั้ง” ภรรยาของธีภพพูดกับเด็กหญิงลินา
   หลังจากที่ภรรยาและลูกสาวออกไปจากห้องแล้ว ผลไม้ที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นพอดีคำถูกจัดเรียงไว้บนจานเปลถูกนำมาเสิร์ฟแทนของหวาน
   “เจ้าออมเป็นอย่างไรบ้างครับแม่ ผมไม่ได้คุยกับน้องเลยตั้งแต่ลงไปทำงานที่ใต้” ธีภพถามถึงน้องชายคนเล็กเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังสองคนแม่ลูก
   “น้องสบายดีแต่งานยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน กินแต่อาหารแช่แข็ง แม่ต้องทำอาหารเก็บไว้ให้เป็นเสบียง ว่างๆ อ้นลองโทรหาน้องบ้างนะลูก แม่อยากให้อ้นลองคุยกับออมให้น้องมาพบพ่อเขาบ้าง” ธีภพพยักหน้า เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อพี่น้อง แต่หลังจากครอบครัวแตกแยกทุกคนต่างมีปมในใจของตัวเอง แม้แต่ตัวธีภพเองก็เปลี่ยนจากเด็กชายที่มีนิสัยร่าเริงเป็นคนเงียบขรึม
   “จะลองคุยให้นะครับ...” ธีภพนิ่งเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “แม่ครับ...หมอบอกว่าอาการของพ่อทรุดลงเรื่อยๆ อ้นว่าพ่อคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน” แม้จะทำใจมาบ้างแล้วแต่เมื่อได้ยินดังนั้นจารวีก็ใจหายอยู่ดี
   “พ่อทำพินัยกรรมไว้หมดแล้ว อ้นคุยกับอั๋นแล้วว่าหลังจากพ่อเสียอ้นจะโอนหุ้นของพ่อให้อาร์มกับออม โชคดีที่พ่อไม่ได้มีลูกกับเมียคนอื่นก็เลยไม่มีปัญหาอะไร”
   “ขอบใจนะอ้นที่ยังคิดถึงน้อง” ธีภพยิ้มบางให้มารดา บีบมือมารดาเบาๆ “อาร์มกับออมก็เป็นน้องของอ้นนะครับ”
   ลูกชายคนโตเดินมาส่งมารดาถึงรถ มองจนรถเก๋งคันนั้นขับออกไปจากรั้วบ้าน ธีภพเคยนึกอิจฉาน้องชายคนเล็กทั้งสองมาตลอดที่ได้รับความรักความอบอุ่นจากมารดา ต่างจากเขาที่แม้จะถูกเลี้ยงดูมาโดยไม่ขาดเงินทอง แต่กลับขาดความรักความอบอุ่นจากครอบครัว

   ชายสูงวัยผมสีดอกเลา แต่งตัวง่ายๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นและกางเกงสแล็คโบกมือให้ปฐวีขณะที่เขาเดินเข้ามาในภัตตาคารเก่าแก่ชื่อดังของเมืองสุราษฎร์ธานี ปฐวีเดินตรงไปหาผู้เป็นพ่อ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งอย่างหัวเสีย นายแพทย์วิทยายิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะยื่นเมนูปกหนังให้ลูกชาย
   “สั่งอาหารซะสิ พ่อไม่รู้ว่าเราจะกินอะไรเลยไม่ได้สั่งเผื่อ” นายแพทย์วิทยาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ
   ปฐวีเปิดเมนูดูทีละหน้า สั่งอาหารโปรดสองสามอย่างกับบริกรก่อนจะส่งเมนูคืน
   “แม่ไปไหนฮะ ทำไมไม่มาด้วย” ปฐวีถามผู้เป็นพ่อ
   “ขึ้นไปกรุงเทพ ไปงานเลี้ยงรุ่นที่จุฬา”
   “ไหนลองเล่ามาซิว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้ขุ่นใจ” ผู้สูงวัยถามอย่างรู้ทัน
   “พ่อดูออกด้วยเหรอฮะ พ่อน่าจะไปเป็นหมอดูมากกว่าจะเป็นหมอศัลย์” ผู้เป็นพ่อหัวเราะ
“พ่อเป็นพ่อแกนะ เลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็กๆ ทำไมจะดูไม่ออก ถ้าพร้อมแล้วก็เล่ามาก็แล้วกัน”
“ผมตั้งใจว่าจะชวนอินเทิร์นใหม่มาแนะนำให้รู้จักกับพ่อ อุตส่าห์แลกเวรให้หยุดตรงกันด้วย แต่ไม่รู้หายไปไหน” ปฐวีขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ผู้เป็นพ่อนั่งกอดอกฟังอย่างใจเย็น
“แค่นี้เองเหรอที่ทำให้แกหัวเสีย...ปกติแกไม่ค่อยสุงสิงกับอินเทิร์นนี่นา ทำไมคนนี้ถึงดูสนิทเป็นพิเศษล่ะ”
“ก็...”
ผู้เป็นพ่อเหมือนจะดูออกว่าลูกชายกำลังคิดอะไร เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะตักอาหารว่างเข้าปาก
   “วี...แกรู้ใช่ไหมว่าแกเป็นคนชอบเอาชนะ แล้วก็เป็นคนดื้อเงียบด้วย บางครั้งในชีวิตเราไม่จำเป็นต้องชนะเสียทุกเรื่องหรอก แพ้บ้างก็ได้”
   “ผมไม่อยากเอาชนะซะหน่อย” ชายหนุ่มเถียง “ผมแค่อยากรู้จักเค้ามากขึ้นกว่าเดิม อยากให้คิดถึงผมคนแรก”
   “วี...พ่อว่าวีควรจะรู้จักเคารพสิทธิของคนอื่นบ้างนะ สิ่งที่วีคิดมันก็ไม่ผิด แต่คนเรามีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่มีใครชอบหรอกถ้าต้องถูกบังคับให้ทำอะไร หรือต้องอยู่กับใคร ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า อีกอย่างนึงเรื่องบางเรื่องน่ะไม่ต้องใช้เวลานานหรอก แค่เริ่มต้นก็พอจะรู้คำตอบแล้ว” วิทยาพูดเป็นนัยๆ ยิ่งทำให้ปฐวีหน้ามุ่ยมากกว่าเดิม อาหารที่สั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ชายหนุ่มกินไปสองสามคำก็รู้สึกเฝื่อนคอจนกินไม่ลง เขารวบช้อนส้อม
   “ผมอิ่มแล้วครับ จะกลับแฟลตแล้ว”
   “อื้ม กลับดีๆ ล่ะ ถ้าว่างก็กลับบ้านบ้างนะ แม่เขาบ่นคิดถึง อ้อ แล้วอีกอย่างนึง...” ผู้เป็นพ่อเงยหน้าขึ้นสบตาลูกชายจริงจัง
“อย่าลืมที่แม่เขาบอกไว้ล่ะ ‘อยากทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าให้มันออกนอกหน้ามากนัก’
   “ครับ” ปฐวีตอบรับห้วนๆ


   คนไข้คนสุดท้ายออกไปจากห้องตรวจ นายแพทย์ธีทัตพาดสเตธไว้รอบคอ กำลังจะเปิดประตูออกไปนอกห้องแต่ก็ชะงักเมื่อพิสมัยกระหืดกระหอบเปิดประตูห้องเข้ามาในห้องด้วยความรีบร้อน
   “หมอคะ น้องหมิวนั่งรออยู่ข้างนอกค่ะ พี่ให้จินตนารับมืออยู่ หมอแขบออกไปทางประตูหลังตะ” หล่อนกระซิบให้พอได้ยินกันเพียงแค่สองคน ธีทัตพยักหน้าพร้อมกับเปิดประตูหลังที่เชื่อมกับอีกห้องหนึ่งตามแผนเดิม นายแพทย์วัยกลางคนผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาจารย์แพทย์ประจำโรงพยาบาลชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นแพทย์หนุ่มรุ่นคราวหลานเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาโดยไม่เคาะขออนุญาตก่อน
   “ขอโทษครับอาจารย์ ผมขออนุญาตออกทางนี้หน่อยนะครับ”
   “อ้อ ได้สิ เชิญเลย” นายแพทย์สูงวัยยิ้มให้อย่างใจดี พลางนึกสงสารหมอหนุ่มรุ่นน้อง
ข่าวลือเรื่องลูกสาวเถ้าแก่เส็งเจ้าของร้านทองเจ้าใหญ่ในตลาดมาเฝ้าหมอหนุ่มคนใหม่ดังไปทั่วโรงพยาบาลราวกับไฟลามทุ่ง และเรื่องนี้จะไม่ถูกเล่าต่อจากปากต่อปากจนเป็นเรื่องดังระดับอำเภอเลยถ้าหญิงสาวต้นเรื่องไม่บอกใครต่อใครว่าหมอหนุ่มคนนี้คือคนที่เธอตีตราจองเรียบร้อยแล้ว และต้องการจะแต่งงานด้วย บางครั้งข่าวลือก็ถูกใส่สีตีไข่เพิ่มเติมอย่างสนุกปากแล้วแต่ว่าคนเล่าจะชื่นชอบเรื่องประเภทไหน
   ธีทัตเปิดประตูมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง มั่นใจว่าทางโล่งแล้วก็รีบก้าวอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเลี้ยวขวาเพื่อออกทางเดินยาวที่ทะลุไปยังโรงอาหาร เวณิกาโผล่พรวดมาจากหัวมุม ธีทัตสะดุ้งตกใจ แต่ยังมีสติควบคุมสีหน้าให้เรียบเฉยไว้ได้
   “จ๊ะเอ๋ พี่หมออยู่นี่เอง พี่หมอออกมาจากทางไหนคะ ทำไมหมิวหมิวไม่เห็นเลย นี่ดีนะคะที่หมิวหมิวเดินมาเข้าห้องน้ำพอดี ไม่งั้นก็คลาดกันอีกแล้ว ไม่เจอหน้าพี่หมอมาหลายวัน คิดถึ๊ง คิดถึง” หญิงสาวทักทายอย่างดีใจ มือข้างหนึ่งหิ้วของพะรุงพะรัง ส่วนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็คล้องหนับเข้าที่แขนของชายหนุ่ม
   “พี่หมอคะ เราไปหาที่กินข้าวกันเถอะค่ะ หมิวหมิวเตรียมอาหารกลางวันมาให้พี่หมอด้วย”
   “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ โรงพยาบาลเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้แล้ว”
    “หูย กินแต่อาหารโรงพยาบาลทุกวันน่าเบื่อจะตายไป หมิวหมิวเตรียมของอร่อยไว้ให้พี่หมอเยอะแยะเลยน้า” หญิงสาวชูถุงอาหารในมืออย่างเรียกร้องความสนใจ
   ‘ไม่...ไม่เอา...ไม่อยากเจอ...ใครก็ได้ช่วยด้วย! พี่กันย์ช่วยผมด้วย!’ ธีทัตคิดในใจ
   ……….
   “หมออยู่นี่เอง ตามหาตั้งนาน” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งคู่หันขวับไปมองพร้อมกัน ธีทัตลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ชายหนุ่มร่างสูงล่ำสันเดินตรงมายังทั้งสอง ดวงตาคมวับปรายตามองญาติสาวคนสนิทอย่างตำหนิเมื่อเห็นว่าเธอเกาะแขนอีกฝ่ายไว้แน่น
   “อ้ะ แม่ผมฝากมาให้” กันยกรยื่นปิ่นโตเถาหนึ่งให้ ธีทัตรับมาถือไว้อย่างงงๆ
“อาหารเที่ยงน่ะ เมื่อวานแม่ผมสัญญาเอาไว้ว่าจะทำอาหารให้หมอกินไง” กันยกรขยายความ
   “พี่กันย์คะ เรื่องอาหารเที่ยงของพี่หมอไม่ต้องห่วงนะคะ หมิวจัดการแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้พี่หมอมีอาหารเที่ยงแล้วนะคะ”
   “เอ่อ พี่กันย์กินข้าวเที่ยงหรือยังครับ ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันสิครับ” จู่ๆ ธีทัตถามขึ้นมา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สบดวงตายาวรีใต้แว่นกรอบดำที่กำลังส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
   “ดีเหมือนกันครับ ชักจะเริ่มหิวแล้วเหมือนกัน” กันยกรตอบตกลงไม่สนใจญาติผู้น้องที่แผดเสียงสูงทะลุกลางปล้องขึ้นมา
   “แต่ว่าเราจะไปกินข้าวด้วยกันนะคะพี่หมอ”
   “ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ กินด้วยกันหลายคนสนุกดีออก ดีไหมครับ”
   “นั่นสิ อย่าเรื่องมากได้ไหม” กันยกรดึงญาติผู้น้องออกจากการเกาะกุมหมอหนุ่ม  เวณิกาหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ที่ญาติผู้พี่มาขัดจังหวะพอดี
   โรงอาหารของโรงพยาบาลในช่วงพักกลางวันหนาแน่นเกือบทุกพื้นที่ แต่มีห้องกระจกเล็กๆ ถูกจัดไว้เป็นห้องรับประทานอาหารสำหรับหมอและพยาบาล แม้จะมีพัดลมตัวใหญ่ถูกวางเอาไว้เพื่อคลายร้อน แต่เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าขาวเนียนจนไรผมเปียกชุ่ม เวณิกานั่งติดกับธีทัตไม่ยอมห่าง เธอจัดแจงวางอาหารแต่ละอย่างไว้ตรงหน้าหมอหนุ่มอย่างเอาใจ กันยกรไม่สนใจการกระทำของญาติผู้น้อง เขาค่อยๆ แกะเถาปิ่นโตอย่างระมัดระวังไม่ให้อาหารที่บรรจุอยู่ภายในหกออกมา
   “พี่หมอคะ หมิวหมิวซื้อบะหมี่เป็ดเจ้าอร่อยมาให้ เป็ดเจ้านี้เนื้อนุ่มมากๆ เลยค่ะ หนังก็กรอบ รับรองว่าไม่แพ้โรงแรมโฟร์ซีซันแน่นอน อ้อ ยังมีหมูกรอบที่กรอบที่สุดในสุราษฎร์ด้วยค่ะ” หญิงสาวแกะห่อกระดาษวางลงตรงหน้าหมอหนุ่ม
   “แกงส้มไข่ปลาริวกิว หมึกน้ำดำ ห่อหมกใบยอ...” กันยกรวางปิ่นโตและชั้นลงตรงหน้าธีทัต ชายหนุ่มผิวบางยิ้มมุมปาก ตักกับข้าวจากปิ่นโตอย่างละนิดอย่างละหน่อย
   “ฝีมือแม่ผมเอง ไม่ใช่จากร้านดัง หวังว่าหมอคงไม่ถือนะ”
   “ไม่เป็นไรเลยครับ ผมชอบอาหารฝีมือป้าดา”
   “พี่หมอกินหมูกรอบของหมิวหมิวสักนิดสิคะ” เวณิกาพูดเสียงอ่อน ธีทัตจึงยอมกินหมูกรอบที่เธอคะยั้นคะยอนักหนา
   “ว่าแต่ว่าพี่หมอไปกินอาหารฝีมือป้าดาจากที่ไหนเหรอคะ” หญิงสาวถาม
   “เมื่อวานหมอมาที่บ้านพี่ งานเลี้ยงละศีลอดที่จัดให้คนงานไง” คนที่นั่งตรงข้ามตอบเสียเอง แถมยังถือวิสาสะจิ้มหมูกรอบที่ญาติผู้น้องภูมิใจนำเสนอเข้าปากหน้าตาเฉย
   “อ้าว ไม่เห็นบอกกันเลยว่าพี่หมอไปด้วย”
   “พี่บอกไปแล้วนี่ ไม่ยอมมาเอง”
   “ก็ไม่นึกว่าพี่หมอจะไปด้วยนี่นา พี่กันย์น่าจะไลน์มาบอกบ้าง” หญิงสาวหน้างอ
   “เอ่อ พี่ไปโดยบังเอิญน่ะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะไป แต่พี่ไหมพาไป”
   “อ๋อ งั้นก็แล้วไป แต่แหม เราอดเจอกันเลยนะคะ ป้าดาเค้าทำอาหารอร่อยค่ะ หมิวหมิวก็ชอบกินอาหารฝีมือป้าดา”
   เวณิกามองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ ด้วยความปลื้มและหลงใหล ธีทัตเป็นผู้ชายที่ตรงสเปกตามที่เธอชอบทุกประการ แต่ติดอย่างเดียวก็ตรงที่ชายหนุ่มไม่ได้แสดงออกถึงความชอบพออย่างที่เธอสื่อกับเขา หากธีทัตแสดงให้เธอเห็นว่าเขาพึงพอใจในตัวเธอสักนิด หญิงสาวก็พร้อมที่จะเป็นของเขาตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป
   “พี่หมอคะอันที่จริงหมิวหมิวมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่หมอด้วยค่ะ พี่กันย์จะนั่งฟังก็ได้นะคะ หมิวอยากให้มีใครสักคนเป็นพยาน” ดวงตายาวรีสบตาคมอย่างสงสัย แต่คำตอบที่ได้จากดวงตาคู่นั้น
“พี่หมอไม่น่าเอาสร้อยทองมาคืนหมิวหมิวเลยนะคะ หมิวหมิวเต็มใจให้เพราะหมิวหมิวรักพี่หมอ แต่ก็เข้าใจนะคะว่าพี่หมอคงเกรงใจ พี่หมอไม่ต้องเกรงใจนะคะ อะไรที่เป็นของหมิวหมิวมันจะเป็นของพี่หมอด้วยค่ะ...” กันยกรสบตากับธีทัตพยายามจะตีความคำพูดของญาติผู้น้อง
“สรุปนะคะ ถ้าพี่หมอเงินเดือนไม่พอใช้ก็บอกหมิวหมิวได้นะคะ หมิวหมิวยินดีซัพพอร์ตพี่หมอเต็มที่ ถ้าพี่หมออยากได้อะไรก็บอกหมิวหมิวได้เลยนะคะ หมิวหมิวจะซื้อให้” ธีทัตสำลักอาหารแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ กันยกรเองก็ทำหน้าเจื่อนนึกไม่ถึงว่าญาติผู้น้องจะกล้าออกตัวเลี้ยงดูผู้ชายตรงๆ
“พี่หมอเป็นอะไรไหมคะ ดื่มน้ำก่อนค่ะ” มือขาวรับน้ำมาดื่ม เมื่อตั้งสติได้แล้วเขาแทบอยากจะล้วงคออาเจียนเอาอาหารทั้งหมดที่กลืนเข้าไปกลับมาคืนเวณิกา
“หมอออมอยู่นี่เอง เคสซีเวียร์*ค่ะ” พิสมัยขยิบตา
“อ้อ ครับ พี่ต้องไปดูคนไข้ก่อน ขอบคุณนะครับสำหรับอาหารเที่ยง ไปแล้วนะครับ” ประโยคสุดท้ายพูดกับกันยกรแล้วก็รีบเดินคู่ไปกับพิสมัยทันที
“หมอพันพรื่อบ้างนิ” พิสมัยถามเสียงลอดไรฟัน
“โชคดีที่พี่กันย์มาช่วยเอาไว้ ไม่งั้นผมต้องไปกินข้าวกับเด็กนั่นสองต่อสอง รู้ไหมว่ายัยหมิวเสนอว่าให้เงินเลี้ยงดูผมทุกเดือนด้วยนะ”
 “ตายแล้ว! จริงเหรอคะ ตายๆๆๆๆ ผู้หญิงอะไรแบบนี้ ดีนะคะที่นายหัวมาช่วยเอาไว้ทัน ว่าแต่ว่านายหัวเค้ารู้ได้ไงคะเนี่ยว่าหมอกำลังตกที่นั่งลำบาก” ธีทัตนิ่งคิดตามคำพูดของพิสมัย จริงอย่างที่เธอว่า ทุกครั้งที่นึกถึงร่างสูงใหญ่เจ้าของดวงตาคมวับ...เพียงแค่นึกถึงเท่านั้นก็จะเจอกันยกรปรากฏตัวตรงหน้าราวกับปาฏิหาริย์ ข้อความหนึ่งที่เคยผ่านตาแวบเข้ามาในหัวสมอง

กฎแห่งการดึงดูดจะตอบสนองต่อความคิดของคุณ เมื่อคุณคิดถึงสิ่งที่คุณต้องการ และตั้งใจจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ กฎแห่งการดึงดูดก็จะมอบสิ่งที่คุณต้องการให้แก่คุณทุกครั้ง...ยิ่งคิดกฎก็ยิ่งขับเคลื่อน เมื่อใดที่กระแสความคิดคุณไหลออกไป กฎแห่งการดึงดูดก็จะทำหน้าที่**

หมายเหตุ
*ซีเวียร์ (Severe) - ผู้ป่วยอาการหนัก
**จากหนังสือ The Secret
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 8 | P.3 #62 |
เริ่มหัวข้อโดย: ใดฯจัง ที่ 22-07-2018 11:15:48
ขอบคุณค่า ตอนนี้สนุกครบรสเลยค่ะ
ดรามา รักหวานซึ้ง เอาใจช่วยนายหัวกับหมอออมต่อนะคะ
แอบสงสารคุณพ่อหมอออมค่ะ เชียร์ให้หมอออมเปลี่ยนใจกลับไปเยี่ยมคุณพ่อไวๆ
รอติดตามตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้คุณดรีมค่ะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 8 | P.3 #62 |
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjaij ที่ 22-07-2018 18:14:25
ยัยหมิวหมิว นี่น่าตีจริงๆ จะเป็นสายเปย์ตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลยรึ หมอออมนี่ไม่ค่อยเลยน้าาา อะไรๆก็พี่กันย์ พออ่านตอนนี้ก็แอบเอ๊ะว่า สรุปหมอวีนี่คนดีป่ะนะหรือว่ายังไงเค้่มไม่แน่ใจ หมอออมใจอ่อนไปเยี่ยมุณพ่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 9 | P.3 #64 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 20-08-2018 22:48:49
ตอนที่ 9

“พี่กันย์!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” 
เสียงแหลมแผดขึ้นดังลั่น ไม่สนใจว่ากำลังอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่ห้ามใช้เสียงดัง ร่างสูงใหญ่นั้นทำเป็นหูทวนลม เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนถึงลานจอดรถ หญิงสาวเหมือนจะรู้ทันรีบเร่งฝีเท้าให้ทันคนขายาวแล้วชิงเดินตัดหน้าไปจนถึงรถปิกอัพของชายหนุ่มที่จอดอยู่
“เอ้า ว่าไง” กันยกรหันมาเผชิญหน้ากับเวณิกา
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าพี่กันย์คิดจะทำอะไร ที่พี่กันย์ตามมาที่นี่มีอะไรแอบแฝงใช่ไหม” เวณิกาคาดคั้น
“เฮ้อ” ญาติผู้พี่ถอนหายใจเบาๆ “พี่จะทำอย่างนั้นทำไมกัน”
“ก็...ไม่รู้สิ พี่กันย์อาจจะแอบชอบหมอเหมือนหมิวก็ได้ เลยตามมากีดกัน” เพราะรู้ว่าญาติผู้พี่ของตัวเองเป็น ‘แบบไหน’ เธอจึงเดาว่าชายหนุ่มกำลังหมายปองผู้ชายคนเดียวกัน ซึ่งก็เดาได้ถูก กันยกรเลิกคิ้วพยายามทำสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย”
“หมิวรู้ตัวหรือเปล่าว่าคนอื่นเขาพูดถึงหมิวว่ายังไง” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง
“หมิวไม่แคร์หรอก ใครจะพูดยังไงก็ช่าง”
“ไม่แคร์คนอื่น แต่แคร์พ่อกับแม่บ้างก็ดีนะ เดี๋ยวนี้น้าเส็งน้ารีไปไหนแทบจะเอาถุงคลุมหัว ชาวบ้านลือกันว่าลูกสาวตามมาหาผู้ชายถึงโรงพยาบาล แล้วคงจะเป็นลมหรอกถ้ารู้ว่าลูกสาวเพิ่งเสนอจะส่งเสียเลี้ยงดูผู้ชาย”
“แกอาจจะไม่สนใจความรู้สึกของน้ารีน้าเส็งก็ได้นะ แต่แกควรสนใจความรู้สึกของหมอเขาบ้าง”
กันยกรโยนหินถามทาง...ซึ่งได้ผล หญิงสาวหันขวับมาหาเขาทันที เธอเขย่าแขนชายหนุ่มอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“ทำไม? พี่หมอเป็นอะไร พี่กันย์รู้อะไรมาเหรอ เล่ามาเดี๋ยวนี้นะ” หญิงสาวเร่งเร้าจนเกือบจะกระชากแขนใหญ่นั้น
“โอ๊ย เบาๆดิวะ เออๆๆ บอกก็ได้ แต่ไม่ใช่ตรงนี้นะ ปะ ไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่า”

กันยกรเลือกร้านไอศกรีมร้านดังในห้างสรรพสินค้าเป็นสถานที่พูดคุย เมื่อไอศกรีมร็อกกี้โรสถูกนำมาเสิร์ฟไว้ตรงหน้า หญิงสาวค่อยๆ ละเลียดไอศกรีมกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อะ เล่ามาให้หมดนะพี่กันย์ พี่หมอเขาบอกพี่กันย์ว่าอย่างไรบ้าง”
“ก็...เอ่อ...” กันยกรเกาหัวพยายามนึกคำพูด
“หมอเค้าก็ไม่ได้บอกอะไรหรอก แต่พี่ดูออก”
“ดูออก? ดูออกยังไง”
“หมิวอาจจะไม่ได้สังเกตนะ แต่เมื่อกี้พี่เห็นอะไรบางอย่างในแววตาของหมอ ตาของหมอมันบอกว่าหมอกำลังอึดอัด แล้วอีกอย่างแกเพิ่งเสนอตัวไปว่าจะให้เงินเลี้ยงดูหมอทุกเดือนแบบนี้ใครจะวางตัวถูก”
“หมายความว่าไงอะ หมอเขาไม่ชอบงั้นเหรอ อยู่เฉยๆ ก็มีเงินเข้าบัญชี เผลอๆ อาจจะมากกว่าเงินเดือนหมอด้วยซ้ำ” กันยกรยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ฝืนเต็มที
“ในฐานะที่พี่เป็นผู้ชายเหมือนกันนะ ผู้ชายเค้าไม่ชอบให้ผู้หญิงมาทำอะไรแบบนี้หรอก มันเสียเกียรติมาก แล้วอีกอย่างนึงผู้ชายก็ไม่ชอบผู้หญิงที่มาตามตื๊อทุกวันด้วย”
“แต่พี่หมอเค้าไม่เคยบอกว่าไม่ชอบเลยนะพี่กันย์”
“แกคิดว่าหมอเค้าจะพูดออกมาตรงๆ เหรอ ล
องมองในมุมกลับกันสิ ถ้ามีคนมาตามตื๊อแกมากๆ แกชอบเหรอ ไม่รำคาญบ้างเหรอ” เวณิกาครุ่นคิดตาม วางมือจากช้อนตักไอศกรีม
“มันก็จริงนะ พี่กันย์ว่าหมิวควรทำยังไงดี” หญิงสาวนิ่งคิดตามคำพูดของญาติผู้พี่ ชายหนุ่มทำท่า
เกาคางอย่างครุ่นคิด
    “เอางี้สิ ลองใช้แผนของพี่ดูไหม แกลองหายไปสักพัก ไม่ต้องไม่หาหมอที่โรงพยาบาลสักเดือนนึง”
“โอ๊ย ไม่เอาอะ หมิวคิดถึงพี่หมอ ไม่ได้เห็นหน้าหล่อๆ แค่วันเดียวก็คิดถึงจะแย่ นี่ตั้งเดือนนึงเลยเหรอ มันนานไปนะ” หญิงสาวโอดครวญจนกันยกรหมั่นไส้ นึกอยากเขกหัวญาติผู้น้องสักทีหนึ่ง
“แบบนี้แหละดีแล้ว ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะ แกหายไปนานๆ หมอเค้าได้อิสระกลับคืนมาก็จริง แต่เค้าไม่ได้เจอหน้าแกนานๆ เค้าจะต้องคิดถึงแกแน่นอน”
“แล้ว...ถ้าระหว่างนั้นมีคนมาชอบหมอล่ะ ไม่เอาอะ คนนี้หวง”
“โอ๊ย ใครจะกล้าแย่ง พี่เอาหัวเป็นประกันเลยว่าไม่มีทางที่จะมีใครดีเท่าแกหรอก” เวณิกาครุ่นคิด เริ่มคล้อยตามสิ่งที่กันยกรพูด
“เออ มันก็จริงนะ ดีล่ะ! พรุ่งนี้หมิวจะไม่ไปหาพี่หมอละ หมิวจะหายไปเลย พี่หมอจะต้องทนคิดถึงไม่ไหวแน่ๆ ขอบคุณมากนะคะพี่กันย์ที่แนะนำ”
   กันยกรยืนโบกมือให้มอเตอร์ไซค์สีชมพูของเวณิกาที่กำลังแล่นออกจากลานจอดรถ ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ แทบจะเก็บความดีใจที่กำจัดญาติผู้น้องผู้เหนียวดั่งกาวตราช้างออกไปได้ เวณิกาเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ บางครั้งจึงต้องใช้เล่ห์กลหลอกลวงให้ตายใจ

ธีทัตแยกตัวออกมาจากห้องผู้ป่วยใน เขามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่เปิดไลน์ค้างเอาไว้ ในนั้นบอกรายชื่อที่เจ้าของเครื่องบล็อกจากการติดต่อ แพทย์หนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปลดบล็อกรายชื่อหนึ่ง...ชื่อของกันยกร
‘ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมวันนี้’
ธีทัตพิมพ์ข้อความ ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็กดส่ง ทันทีที่ข้อความถูกส่งไปไม่กี่วินาทีก็ขึ้นว่าอ่าน
‘ไม่เป็นไรครับ’ ข้อความต่อมาตอบกลับมาแทบจะทันที
‘หมอว่างไหม ขอโทรไปได้หรือเปล่า’ ธีทัตนิ่งคิดก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไป
‘ครับ’
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชายหนุ่มรีบกดรับทันที
“ครับ”
“เป็นไงครับหมอ ช็อกไหมที่อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงมาขอเสนอเลี้ยงดู” กันยกรพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ช็อกนิดนึงครับ มาคิดดูก็ตลกดีเหมือนกัน ไม่คิดว่าน้องสาวพี่กันย์จะกล้าทำอะไรแบบนี้”
“แล้วหมออยากให้มันเลี้ยงดูหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่เอาครับ” ธีทัตรีบตอบทันที
“สบายใจได้เลยนะ ช่วงนี้หมิวคงไม่ได้ไปกวนใจหมอออมสักพัก”
“เหรอครับ พี่กันย์ทำยังไงครับ หมิวหมิวถึงยอม”
“พี่มีวิธีของพี่ก็แล้วกัน วิธีธรรมดาไอ้หมิวมันไม่ยอมหรอก นี่ต้องใช้วิธีพิเศษเท่านั้น”
“ขอบคุณนะครับ งั้น...แค่นี้ก่อนนะครับ ขอตัวกลับไปทำงานก่อน”
“อ้อ เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งวาง”
“ครับ?”
“ขอบคุณเหมือนกันนะครับ ที่ปลดบล็อกไลน์”
“พี่กันย์รู้ได้ไงครับว่าผมบล็อกไลน์พี่” ธีทัตนิ่งเงียบก่อนจะถามออกไป
“รู้สิครับ หมอไม่รู้หรอกว่าพี่ส่งไลน์หาหมอทุกวันเลย แต่หมอก็ไม่เคยอ่าน แค่นี้ก็รู้แล้วว่าโดนหมอบล็อกไลน์” กันยกรหัวเราะเบาๆ
“หมอไปทำงานเถอะ พรุ่งนี้เจอกันน้า”
“พรุ่งนี้?” ธีทัตทวนคำ
“พรุ่งนี้หมอมีนัดกับแม่พี่ไง”
“อ้อ งั้นเหรอครับ งั้น...ไว้เจอกันนะครับ”
ธีทัตกดวางสาย ความรู้สึกมากมายปนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือเขาเพิ่งเข้าใจสิ่งหนึ่งที่เคยมีคนบอกไว้ นั่นก็คือ ‘รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้อง’
“บ้าเอ๊ย! นี่เราชอบผู้ชายหรือวะเนี่ย” ธีทัตทึ้งผมตัวเองเบาๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาชอบผู้ชายจริงๆ
ชายหนุ่มคิดทบทวนตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมามีผู้หญิงมากมายที่แสดงออกว่าสนใจในตัวเขา แต่เขาก็ไม่เคยชอบใครจนคบจริงจัง จนผู้หญิงเหล่านั้นหายไปเอง ธีทัตคิดว่าตัวเองคงเป็นคนเลือกมากและหัวสูงไปหน่อย จึงไม่เคยเจอผู้หญิงที่ชอบเลย แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วเขาเองก็ไม่เคยตั้งสเปกไว้เลยว่าชอบผู้หญิงแบบไหน แต่ตอนนี้...ธีทัตเข้าใจตัวเองแล้ว เขาไม่ได้ชอบผู้หญิง
“หมอคะ หมอออม หมอ...” เสียงเรียกจากพยาบาลคนหนึ่งดึงชายหนุ่มกลับมาจากภวังค์
“ครับ” ธีทัตตอบรับ
“พรุ่งนี้เช้าราวน์วอร์ดออโถ*นะคะ”
ธีทัตเกือบลืมไปแล้วว่าการทำงานในโรงพยาบาลจะต้องทำงานวอร์ดละสองเดือน แล้วจึงสลับไปทำงานยังวอร์ดอื่นต่อไป เพื่อเป็นการเรียนรู้การทำงานในแต่ละวอร์ดอย่างเท่าๆ กันนั่นหมายความว่าพรุ่งนี้เขาจะไม่ได้พบกับกันยกร

“ป้ากานดาคิวต่อไปนะคะ”
“ขอบคุณนะจ๊ะหนู” กานดาบอกพยาบาลสาว
“แม่...อีกนานไหมกว่าคนที่อยู่ในห้องจะออกมา” กันยกรที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“รอหน่อยสิ แม่ก็บอกไม่ได้ว่าเขาจะใช้เวลาเท่าไหร่”
“เฮ้อ นานจัง ป่วยอะไรนักหนา คนอื่นเค้ารอนาน”
“ใจเย็นสิ วันนี้เป็นอะไร ดูใจร้อนหงุดหงิดพิกล” ชายหนุ่มจึงได้ยอมปิดปาก นั่งรออย่างเงียบๆ
เมื่อประตูห้องตรวจเปิดออก กันยกรรีบลุกขึ้นด้วยความดีใจ เขาเร่งเมารดาให้รีบลุกขึ้นแต่หญิงสูงวัยกลับเคลื่อนไหวด้วยความชักช้า ไม่ได้ดั่งใจชายหนุ่มก็ช่วยประคองมารดาอีกแรง แต่เมื่อไปถึงห้องตรวจก็ต้องชะงักเมื่อคนที่อยู่ในห้องไม่ใช่คนที่อยากเจอ แพทย์หญิงร่างอวบหน้าตาท่าทางเป็นคุณหมอใจดีเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ส่งยิ้มให้คนไข้และชายหนุ่มอย่างเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ คุณป้า เชิญนั่งก่อนค่ะ” เธอผายมือไปยังเก้าอี้ว่างตรงข้าม กันยกรมองซ้ายขวาอย่างงุนงง
“เอ๊ะ หมอออมล่ะครับ”
“หมอออม...อ๋อ ธีทัตเหรอคะ วันนี้ธีทัตไปราวน์วอร์ดออโถ*ค่ะ ไม่มาโอพีดี” เธอตอบ
หัวใจกันยกรแห้งเหี่ยวเหมือนดอกไม้ที่โดนรดด้วยน้ำร้อน ใบหน้าที่ยิ้มแย้มและท่าทางกระตือรือร้นในตอนแรกกลัยหายวับไปในพริบตา ชายหนุ่มนั่งรอผู้เป็นแม่ด้วยความหมดอาลัย เมื่อตรวจเสร็จเขาก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะช่วยประคองมารดาเหมือนครั้งแรก
“อาการดีขึ้นแล้วนะคะ คิดว่าน่าจะหยุดยาได้แล้ว อย่าลืมทำตามที่หมอแนะนำนะคะ หมอไม่นัดแล้วนะคะ” เมื่อได้ยินคำว่าไม่นัดแล้วทำเอาจิตใจของชายหนุ่มห่อเหี่ยวมากขึ้นกว่าเดิม โอกาสที่จะได้เจอธีทัตอีกครั้งเป็นศูนย์ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนยื่นมือให้มารดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อ้อ คุณคะ” หมอสาวเรียกเอาไว้ก่อนกันยกรจะออกจากห้อง
“ธีทัตฝากบอกว่าเสร็จจากวอร์ดแล้วจะไลน์หานะคะ” เธอยื่นโทรศัพท์ให้ สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าชายหนุ่มคือหน้าจอที่เปิดไลน์ค้างเอาไว้
‘ฝากบอกผู้ชายตัวสูงๆ ที่มากับคนไข้ด้วยว่าราวน์วอร์ดเสร็จแล้วจะไลน์หา’
หลังจากอ่านข้อความที่ปรากฏตรงหน้าจบ หัวใจที่ห่อเหี่ยวกลับสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ กันยกรส่งโทรศัพท์คืนหญิงสาวแล้วกล่าวขอบคุณ พยายามกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ให้ระบายบนใบหน้า
“เป็นอะไร ยิ้มทำไม” กานดาถามเมื่อเห็นลูกชายอมยิ้ม
“เปล่านี่ครับ ผมยิ้มเหรอ” กันยกรถามกลับ
“ใช่น่ะสิ เนี่ย ยิ้มอยู่” ลูกชายไม่ตอบกลับโอบไหล่มารดาแล้วพาเธอไปที่รถด้วยความสุขใจ

เสียงเตือนข้อความจากไลน์ดังขึ้น ธีทัตล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง หน้าจอเป็นข้อความที่หมอสาวเพื่อนร่วมงานส่งมา
‘อะไรยังไง ผู้ชายคนนั้นเค้าจีบแกเหรอ’ ข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาในหน้าจอ ธีทัตรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
‘เปล่า เรารู้จักเค้า เป็นญาติกับหมิวเด็กที่มาจีบเรา’
‘อ้อ งั้นเหรอ’ ข้อความจากเพื่อนจบลงเพียงเท่านี้
ธีทัตไม่ได้พิมพ์ข้อความตอบกลับไปอีก เขาปล่อยให้จบลงเพียงแค่นั้นแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม
“ออม” เสียงเรียกของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“พี่วีมีอะไรเหรอครับ”
“ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ” ปฐวีส่งซองสีน้ำตาลขนาดใหญ่ให้ ธีทัตดึงแผ่นฟิล์มเอ็กซเรย์ออกมาดู เป็นภาพโครงกระดูกส่วนแขนข้างหนึ่ง
“คิดว่าไง” ปฐวีหันมาถามมองธทัตที่กำลังดูแผ่นฟิล์ม
 “colles fracture รึเปล่าครับ” ธีทัตตอบ
“เก่งนี่นา” ปฐวีตบบ่าแล้วดึงปฐวีดึงฟิล์มมาเก็บใส่ซองตามเดิม
“โรงพยาบาลของเรามีนโยบายให้ทุนอินเทิร์นไปเรียนต่อเฉพาะทาง สนใจบ้างไหม” ธีทัตส่ายหัว
“ผมยังไม่รู้ตัวเองเลยครับว่าชอบด้านไหน แต่ก็ขอบคุณที่แนะนำนะครับ”
“ไม่เป็นไร มีอะไรก็คุยกับพี่ได้นะ”
ธีทัตมองตามปฐวีที่เดินกลับออกไป บางครั้งเขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ส่งผ่านมาจากสายตาของรุ่นพี่คนนี้ แต่เมื่อต้องการจะค้นหาเพิ่มเติมกลับเป็นปฐวีเสียเองที่ซ่อนมันจนมิดชิด


หมายเหตุ
*ออโถ - ออโธปิดิกส์ แผนกรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูก
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 03-10-2018 23:50:07
ตอนที่ 10

   
‘การคาดหวังเป็นแรงดึงดูดที่ทรงอานุภาพ จงคาดหวังสิ่งที่คุณต้องการ และอย่าคาดหวังสิ่งที่คุณไม่ต้องการ’

   ชายหนุ่มในชุดเสื้อกาวน์สีขาวตัวสั้นพลิกหน้ากระดาษในแฟ้มประวัติคนไข้อย่างช้าๆ มือเรียวขาวที่กำลังจดขยุกขยิกชะงักมือเหมือนนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรกันยกรตามที่ได้บอกเอาไว้
   “เหนื่อยไหมคะหมอ” เสียงหวานของพยาบาลคนหนึ่งถามขึ้น
“นิดหน่อยครับ แต่เหนื่อยกว่านี้ก็เจอมาแล้ว” ชายหนุ่มเร่งมือทำงานต่อจนเสร็จ
   “หมออยากดื่มอะไรหน่อยไหมคะ” หญิงสาวชวนคุยอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ไม่ดีกว่าครับ ผมยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เที่ยงกะว่าจะไปหาอะไรกินสักหน่อย นี่ครับ เสร็จเรียบร้อยแล้ว” เขายื่นแฟ้มคืนให้
ธีทัตเดินออกมาจากวอร์ด เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู หน้าปัดบอกเวลาเกือบหกโมงเย็น กระเพาะอาหารที่ว่างเปล่าปราศจากอาหารมาตั้งแต่เที่ยงเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าอาการโรคแผลในกระเพาะอาหารเริ่มจะแสดงอาการกำเริบอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำงานติดต่อกันเป็นเวลาเกือบสิบชั่วโมงโดยที่ไม่มีอาหารตกถึงท้อง ชายหนุ่มเคยชินกับการเรียนและทำงานหนักมาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ แต่เมื่อได้มาทำงานเต็มตัวภาระหน้าที่การงานมีมากกว่าตอนเป็นนักศึกษา จนเวลาที่จะหยุดหายใจเข้าลึกๆ ยังแทบจะไม่มี ความเจ็บปวดทำให้ธีทัตต้องหยุดนั่งพักที่เก้าอี้ยาวพลางยกมือข้างหนึ่งกดบริเวณท้องน้อย เพื่อบรรเทาความปวด
“หมอ” ธีทัตเงยหน้าขึ้นมองหาเสียงทุ้มที่คุ้นเคยทันที
“พี่กันย์...มาทำอะไรที่นี่ครับ” ความรู้สึกแสบมวนในช่องท้องเริ่มก่อตัวขึ้นทวีคูณเมื่อร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหาแล้วยิ้มอวดฟันขาว
“หมอบอกว่าจะไลน์มาหา แต่พี่ไม่เห็นไลน์มาสักทีก็เลยมารอที่นี่ เพิ่งเลิกงานเหรอแล้วนี่เป็นอะไร” กันยกรถามเมื่อเห็นธีทัตกุมท้องขมวดคิ้วมุ่น
 “ปวดท้องครับ เป็นแผลในกระเพาะอาหารน่ะครับ”
“อ้าว งั้นทำไงดี ไปหาหมอไหม”
“ฮ่าๆๆ ผมก็เป็นหมอนะครับ ทำไมต้องไปหาคนอื่นอีก” ธีทัตหัวเราะร่วนลืมอาการเจ็บไปชั่วขณะ
‘น่ารักชิบหาย’ ธีทัตคิดในใจ
“เออ จริงด้วย ลืมไปเลย” กันยกรเกาหัวแก้เก้อ
“แล้วต้องทำยังไงถึงจะหาย ต้องกินยาไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมียาเคลือบกระเพาะอยู่ที่ห้อง ตอนนี้ต้องหาอะไรกินก่อน ผมยังไม่ได้กินอะไร
ตั้งแต่เที่ยง”
“งั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ หมออยากกินอะไร เดินไหวไหมหรือจะให้พี่ซื้อมาให้กินที่นี่”
“ไหวครับ ออกไปกินหน้าโรงพยาบาลดีกว่า อยากกินบะหมี่เกี๊ยวหน้าโรงพยาบาล ป่านนี้น่าจะมาขายแล้ว”
“เอาสิ ไปกินด้วยกันนะ”
ร่างสูงทั้งสองเดินไปตามโถงทางเดินของโรงพยาบาลผ่านแผนกอายุรกรรมที่ว่างเปล่าไร้คนไข้ ธีทัตซุกมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋าเสื้อกาวน์ แม้จะเคยยืนเคียงข้างกันตามลำพังมาก่อน แต่ลึกๆ แล้วธีทัตก็รู้สึกประหม่าเกินกว่าจะชวนกันยกรพูดคุย ทั้งคู่จึงได้แต่เดินอย่างเงียบๆ ไปจนออกไปนอกบริเวณโรงพยาบาล ตลาดกลางวันเริ่มเปลี่ยนมาเป็นตลาดโต้รุ่ง ธีทัตเลือกร้านบะหมี่เจ้าดังที่เพิ่งตั้งร้านเสร็จ ร้านบะหมี่ร้านนี้เปิดเกือบตลอดทั้งคืน ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคักเพราะของดีขึ้นชื่อของร้านนี้คือเกี๊ยวกุ้งที่โด่งดังจนติดอันดับบนเว็บไซต์รีวิวจากนักท่องเที่ยวจีน
 “วันนี้โคตรเหนื่อยเลย” ธีทัตบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนเนือยหลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว เขาถอดแว่นกรอบดำออกเสียบไว้กับสาบเสื้อแล้วยกมือขึ้นเสยผมอย่างลวกๆ
 “ปกติหมอทำงานจนไม่ได้กินข้าวแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”
“หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว ไม่ได้นอนติดต่อกันสองวันข้าวก็ไม่ได้กินก็เคยเจอมาแล้ว แต่ก็ชินแล้วฮะ”
“โห ทำงานหนักขนาดนี้แล้วจะมีเวลาให้แฟนเหรอ”
“เคยบอกแล้วไงว่าไม่มีแฟน ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยมีแฟนเลย” น้ำเสียงของธีทัตเหมือนจะเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
“ไม่น่าเชื่อว่าหมอไม่เคยมีแฟน หล่ออย่างหมอน่าจะมีสาวๆ มาชอบเยอะแยะ”
“แน่นอน สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะ แต่ผมไม่เลือกใครเลย”
“ทำไมอะ หมอไม่ชอบผู้หญิงเหรอ”
“ก็...” ธีทัตดูดน้ำอัดลมอึกหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะตอบคำถามบะหมี่เกี๊ยวกุ้งที่สั่งไว้ก็เสิร์ฟลงตรงหน้า
“มาแล้วค่า ของคุณหมอป้าแถมเกี๊ยวเพิ่มให้ด้วย แล้วก็แถมถุงนี้ให้อีกเอากลับไปกินที่แฟลตเวลาหิวกลางดึกนะคะ”
“ขอบคุณนะครับ” ธีทัตยิ้มหวานตอบ
“โอ้โห แฟนคลับเยอะนะเนี่ย อิจฉาชะมัด” ธีทัตรีบหยิบตะเกียบมาคีบบะหมี่ร้อนๆ เข้าปากอย่างหิวโหย
 “หิวมากใช่ไหม เอ้า เอาไปเลย ยกให้” กันยกรคีบเกี๊ยวกุ้งในชามของตัวเองให้
“กินเยอะๆ เลยนะ” กันยกรมองคนที่นั่งตรงข้าม ใบหน้าขาวอมชมพูบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่เคยสัมผัสงานหนักกลางแดดบัดนี้ไม่มีแว่นกรอบดำแบบทุกครั้ง
“หมอตาสั้นเท่าไหร่”
“ประมาณ 800 มั้ง” ธีทัตเงยหน้าขึ้นตอบแล้วคีบเกี๊ยวกุ้งเข้าปาก
“โห สั้นเยอะจัง หมอตาสั้นตั้งแต่เด็กเลยรึเปล่าเนี่ย ถ้าถอดแว่นจะมองเห็นไหมอะ”
“ถอดแว่นออกก็มองไม่เห็นอะไรเลย นี่ก็เห็นพี่กันย์แค่รางๆ เอง”
“งั้นเหรอ อ้ะ ไหนทายสิ นี่กี่นิ้ว” ชายหนุ่มโบกมือไปมา
“พี่กันย์! ตาสั้นนะไม่ได้ตาบอด” ธีทัตถอนหายใจมองชายหนุ่มยังคงคะยั้นคะยอให้เขาตอบ เขามองดูกันยกรที่เล่นซนเหมือนเด็กชายทั้งที่ตัวโตอย่างกับยักษ์
“อืม” ธีทัตหรี่ตา พยายามจะมองก่อนจะคว้าหมับมือใหญ่เอาไว้ได้
“อยู่นิ่งๆ สิ โบกมือแบบนี้ใครจะไปมองทัน” กันยกรนิ่งอึ้งมองคนตรงหน้าที่กำลังจับมือสากใหญ่ของเขา ชายหนุ่มสัมผัสอ่อนนุ่มของมือเรียวขาว
“โหย ถ้าอยู่นิ่งๆ ก็ไม่สนุกสิ ไม่เอาละ ไม่เล่นด้วยแล้ว” ชายหนุ่มชักมือกลับ ใบหน้าร้อนวูบวาบจนต้องแกล้งก้มหน้าลงดูดน้ำอัดลมอึกใหญ่ โชคดีที่ผิวคล้ำกร้านแดดช่วยบดบังความอายไว้ได้
 “เออนี่ คุณป้าน่ะ ถึงไม่มีนัดแล้วแต่ก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับ หมั่นตรวจสุขภาพด้วย อาหารก็ควรจะควบคุมไม่กินรสจัดเกินไป ผมว่าพี่กันย์พาคุณป้ามาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเดือนละครั้งจะดีกว่า”
“มาครั้งหน้าจะได้เจอหมอรึเปล่าล่ะ ถ้าได้เจอหมอก็จะมาอีก”
 “พี่อยากเจอผมเหรอ”
ดวงตาเรียวยาวสบกับดวงตาคมอย่างตั้งใจ แม้จะเห็นเพียงแค่รางๆ แต่ธีทัตก็รู้ว่ากันยกรกำลังสบตากับเขาอยู่ ทั้งคู่สบตากันราวกับจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร ปล่อยให้ความเงียบบอกเล่าความรู้สึกของกันและกัน
“ถ้าตอบว่าใช่ล่ะ” กันยกรยกมือขึ้นเท้าคางจ้องตาหมอหนุ่มอย่างทะเล้นแล้วยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ จนธีทัตเองต้องเป็นฝ่ายหลบสายตากรุ้มกริ่มนั้น แพทย์หนุ่มแก้เก้อด้วยการเติมน้ำอัดลมให้ตัวเอง
“ตารางเวรเดือนหน้ายังไม่ออกเลย ถ้าตารางออกเมื่อไหร่จะบอกอีกทีนะครับ ผมไม่ค่อยเล่นมือถือสักเท่าไหร่ อาจจะลืมตอบไลน์ ถ้าผมลืมพี่ก็โทรมาได้เลยนะครับ” ธีทัตหลุบตาดูดน้ำจนหมดแก้ว
“พี่กันย์ มีอีกเรื่องนึงจะบอก เวลาอยู่ด้วยกันอย่าเรียกว่าหมออีกนะครับ ผมมีชื่อเล่นเรียกชื่อเล่นก็ได้”
“ทำไมอะ ก็หมอเป็นหมอ เรียกว่าหมอก็ถูกแล้วนี่นา” ธีทัตหยิบแว่นที่เสียบมาใส่ตามเดิม
“ทีพี่กันย์ยังไม่ให้เรียกว่านายหัวเลย ผมก็ไม่อยากให้เรียกว่าหมอเหมือนกัน มันดูเหินห่างยังไงก็ไม่รู้ เรียกว่าออมดีกว่า เป็นกันเองดีออก เอ่อ มื้อนี้ผมเลี้ยงเองนะ”
“เฮ้ย พี่จ่ายเอง พี่เลี้ยงหมอ เอ๊ย พี่เลี้ยงออมเอง”
“ถ้าพี่อยากจะเลี้ยงเอาไว้เลี้ยงผมคราวหน้าก็แล้วกัน คราวหน้าไม่ใช่แค่บะหมี่หน้าโรงพยาบาล
หรอก ผมจะกินภัตตาคารเลย” ธีทัตยิ้มมุมปาก เป็นยิ้มที่กันยกรเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก และเขาก็ชอบมันมากเสียด้วย
“เอาสิ อยากกินอะไรก็บอกมา แพงเท่าไหร่ก็เลี้ยงได้หรือจะให้เลี้ยงตลอดชีวิตก็ยังได้นะ” ธีทัตสะอึกในใจนึกอยากจะต่อยปากคนพูดสักเปรี้ยง แต่ชีวิตนี้ก็ไม่เคยต่อยใครมาก่อนแถมอีกฝ่ายยังตัวโตกว่าตั้งเยอะ จึงทำได้แค่ลุกขึ้นไปจ่ายเงินค่าอาหารทั้งหมด
ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่อยู่ด้วยกัน ทำให้ทั้งสองต่างรับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่อีกฝ่ายส่งมาได้ แม้จะไม่แสดงออกโดยตรงแต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร ทั้งคู่เดินอ้อมผ่านตึกฉุกเฉินไปยังที่พักด้านหลัง กันยกรเหลือบมองธีทัตชายหนุ่มยังคงซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อกาวน์เหมือนเดิม
“พรุ่งนี้พี่มาอีกนะ” ธีทัตเลิกคิ้ว
“ก็มาดิ ไม่ได้ห้ามซะหน่อย แต่ไม่ว่างคุยด้วยนะ งานยุ่งมาก”
“ไม่เป็นไร เจอตอนพักเที่ยงก็ได้ กำลังหาคนกินข้าวเที่ยงด้วยพอดี”
“ตัวโตยังกะยักษ์ กินข้าวคนเดียวไม่เป็นหรือไง” ธีทัตแหย่
“เป็น แต่อยากมีเพื่อนกินด้วย ออมอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า จะให้แม่ทำมาให้”
“อะไรก็ได้ เกรงใจคุณป้า ไม่อยากรบกวน”
ธีทัตอยากให้ระยะทางเดินยาวขึ้นมากกว่านี้ เขาจะได้คุยกับกันยกรให้มากขึ้นกว่าเดิม ธีทัตชะลอฝีเท้าเมื่อเดินมาถึงทางเข้าอาคาร เขาหันมาหาชายหนุ่มอีกคน แสงไฟส่องกระทบใบหน้าคมสันด้านหนึ่ง
“อย่าลืมกินยานะออม”
 “พี่กันย์ยังอยากรู้อีกหรือเปล่า” ธีทัตถาม
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องที่พี่ถามไงว่าชอบคนแบบไหนน่ะ”
“อ้อ อยากรู้สิ ตกลงว่าออมชอบคนแบบไหนล่ะ”
“ผมไม่เคยมีแฟนก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองชอบคนแบบไหน ผมเคยคิดว่าอยากจะมีแฟนเป็นคนที่เพอร์เฟกต์ทุกอย่าง แต่ผมก็พบว่าผมไม่ได้ต้องการแบบนั้นเลย ผมต้องการแค่คนที่เข้าใจในตัวผมก็พอ แค่ทำงานอย่างเดียวผมก็แทบจะไม่มีเวลาให้ตัวเองแล้ว”
“เราสองคนนี่สเป๊กเหมือนกันเลย” กันยกรหันขวับมาบอกพร้อมกับส่งยิ้มให้ธีทัต
“ผมขึ้นไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปราวน์วอร์ดเช้าอีก ฝากบอกคุณป้าด้วยว่าผมเป็นห่วง ถ้าว่างจะไปเยี่ยมที่บ้าน”
กันยกรมองร่างสูงโปร่งเดินไปจนลับตาแล้วลอบยิ้มคนเดียว ร่างสูงใหญ่หันหลังจะเดินกลับไปที่รถแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมมืด
“ช่วงนี้มาโรงพยาบาลบ่อยเหลือเกินนะ” กันยกรหันไปตามเสียง เห็นปฐวีเดินกอดอกออกมาจากมุมมืดด้านหนึ่ง
“ไอ้วี...มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” กันยกรถาม
“นานพอที่จะเห็นแกยืนคุยกับออมนี่แหละ” ปฐวีตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่สายตาที่มองมาเป็นสายตาฉายแววเฉลียวฉลาดเหมือนจะรู้ทันทุกเรื่อง
 “ไอ้กันย์...บ้านมึงนี่ก็แปลกเนอะชอบมาโรงพยาบาลทั้งที่ไม่ได้ป่วย ทั้งพี่ทั้งน้องมาเฝ้าหมอคนเดียวกัน”
“มึงพูดเรื่องอะไรวะ” กันยกรแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“มึงคิดว่ากูดูไม่ออกเหรอวะ ว่ามึงคิดอะไรอยู่” คราวนี้กันยกรเป็นฝ่ายนิ่งอึ้ง
“กูจะเตือนมึงในฐานะที่เคยเป็นเพื่อนเรียนห้องเดียวกันนะ อย่าคิดอะไรเกินตัวไปหน่อยเลยว่ะ”
“มึงอยากจะบอกอะไรก็บอกมาเลยเหอะ”
“กูขอพูดตรงๆ นะ มึงกับออมมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
“แล้วมึงคิดว่ามึงกับออมจะเป็นไปได้งั้นเหรอ” กันยกรตอบโต้กลับด้วยน้ำเสียงยียวน
“ลองมาแข่งกันไหมล่ะ ว่าใครจะเป็นไปได้มากกว่ากัน”
“เอาดิ มาแข่งกัน จะได้รู้กันไปเลย” กันยกรตอบแววตาสงบนิ่งแต่ไม่แข็งกระด้าง
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |
เริ่มหัวข้อโดย: FanclubPong ที่ 04-10-2018 03:07:15
ทำไมผมรู้สึกชอบตัวช่วยอย่างพี่พิสมัย ดูมีสีสันต์ดี
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 04-10-2018 07:04:14

หายไปนานมากกกกก
รออ่านอยู่นะคราบ 
 
ขอบคุณครับ ให้ +1 แต้มนะครับ :a2:
 
หัวข้อ: Re: ❤️You're my law of attraction ดึงดูดพิสูจน์รัก ❤️ ตอนที่ 10 | P.3 #66 |
เริ่มหัวข้อโดย: dareammmmm ที่ 09-10-2018 11:56:20
ยังอยู่นะคะ ไม่ได้หายไปไหน พอดีเปลี่ยนงานเพิ่งจะลงตัวนี่แหละค่ะ ขอบคุณนะคะที่ยังรอคอยกันอยู่