-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐานในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
************************************************************************************
RUSE เล่ห์รัก กลปรารถนา
[หนังสือ พร้อมส่ง]
(https://fy.lnwfile.com/5ye6sa.jpg)
สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ Marionetta's shop (http://marionetta.lnwshop.com)
:z13: Recommend
:กอด1:แอบมารัก...ก็ไม่บอก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35520.0)
:กอด1:PLAYBOY LOVER (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=41046.0)
:กอด1:Adorable COUPLE (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50156.0")
:กอด1:Between us...รักข้างเดียว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56894.0")
:กอด1:Between us... รักเลื่อนขั้น
(https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69766.0)
-
00
บทนำ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกตกแต่งด้วยแสงสีที่ประดับอย่างสวยงาม ในเมืองที่เต็มไปด้วยการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจและมนต์เสน่ห์ของแฟชั่นที่หลากหลาย อีกด้านหนึ่งของความน่าหลงใหลกลับแอบแฝงไปด้วยความลับที่แสนอันตราย
กลุ่มอิทธิพลมืด
กลุ่มอำนาจที่ขับเคลื่อนความเป็นไปของเมืองอย่างเงียบงัน แต่ทว่าผลกระทบนั้นกลับมีมากมายจนคนทั่วไปอาจคาดไม่ถึง
แม้จะเป็นเช่นนั้น...วิถีการใช้ชีวิตประจำวันของคนในเมืองก็ยังเป็นไปอย่างปกติ หากผู้คนเหล่านั้นไม่ได้แสวงหาอำนาจและเม็ดเงินมหาศาลที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง
แต่ถ้าหากว่า ไม่... ก็จงเตรียมใจให้พร้อมเพื่อเอาตัวรอด
เพราะผลประโยชน์อันหอมหวาน เหมาะสำหรับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น!
TBC++++++++
Marionetta ดีค่ะ สำหรับท่านใดที่ติดตามอยู่ หลังจากนี้จะเริ่มทยอยลงไปเรื่อยๆ ค่ะ ส่วนท่านใดที่เพิ่งเข้ามาอ่าน ก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
-
01
ค่ำคืนของการเริ่มต้น
ในย่านที่เต็มไปด้วยสถานเริงรมย์และครบถ้วนไปด้วยสิ่งบันเทิง ค่ำคืนที่ควรเงียบสงบกลับคึกคักไปด้วยนักท่องราตรี ดวงไฟหลากสีส่องแสงสะท้อนกับอาคารและตึกพาณิชย์สูงเสียดฟ้าราวกับมีชีวิต
รถยนต์สีดำคันหรูเข้ามาจอดเทียบที่หน้าตึกระฟ้าขนาดใหญ่ ก่อนที่ชายในชุดสูทสีดำจะเปิดประตูรถออกจากฝั่งด้านข้างคนขับ แล้วกระวีกระวาดไปเปิดประตูด้านหลังอย่างนอบน้อม
“เชิญครับนาย”
ชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงยีนส์พอดีตัวลงมาจากรถ ใบหน้าได้รูปและผิวขาวเกลี้ยงช่วยขับเครื่องหน้าให้ดูโดดเด่น ริมฝีปากบางน่าลิ้มลองเข้าคู่กับจมูกโด่งอย่างพอเหมาะ เรือนผมยาวสีดำสนิทถูกรวบต่ำไว้ที่กลางหลัง ทำให้รูปลักษณ์ของเขาไม่ต่างจากดาราที่หลุดมาจากหน้าจอโทรทัศน์
ทว่าชายผู้งดงามไม่ต่างจากรูปปั้นชั้นเลิศนั้นกลับแฝงไปด้วยอำนาจบางอย่าง ความน่าเกรงขามที่ทำให้คนต้องนอบน้อมถูกฉายผ่านนัยน์ตาที่ถูกประดับด้วยแว่นตาสีชาอย่างชัดเจน
“หึ...”
เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้น ก่อนริมฝีปากสีอ่อนจะเหยียดยิ้มยามทอดมองความโอ่อ่าของตึกที่อยู่เบื้องหน้า ความยิ่งใหญ่ที่ประกาศถึงความมั่งคั่งของเจ้าของไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอะไร ก่อนที่เขาจะเดินนำคนสนิทเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
“กรุณาถอดแว่นออกด้วยครับ”
น้ำเสียงขึงขังของชายร่างยักษ์ที่ดูแลการเข้าออกของตึก ทำให้ชายหนุ่มผู้มีแว่นตาสีชาประดับบนใบหน้าต้องเลิกคิ้วขึ้น ทว่าก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งตัว ชายร่างสูงในชุดสูทสีเข้มที่เดินตามหลังมาไม่ห่างก็ชักปืนออกมา ก่อนจะจ่อวัตถุสีดำปลาบไปยังหน้าผากของคนที่หาญกล้ามาสั่งเจ้านายของตน พร้อมกับน้ำเสียงเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง
“ไปบอกนายแกว่า กาเบรียลมา”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
บรรดาชายหญิงตั้งแต่รุ่นหนุ่มสาวยันรุ่นแก่ต่างก็ลุ้นกับผลแพ้ชนะตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ เม็ดเงินมากมายแพร่สะพัดในแต่ละวินาที ผู้คนที่มัวเมาในการพนันต่างหาหนทางเพื่อชัยชนะของตัวเอง
ในขณะเดียวกัน...ภายในห้องทำงานหรูที่ตกแต่งอย่างสวยงามกลับมีบรรยากาศมาคุและเต็มไปด้วยความกดดัน
“สวัสดีคุณถานอี้เทา ผมเจิ้งหยุน”
คำทักทายของแขกผู้มาเยือน ทำให้ถานอี้เทาผู้เป็นเจ้าของตึกหลังนี้รู้สึกแปลกใจ นัยน์ตากร้านโลกมองคนรุ่นลูกอย่างพิจารณา
“กล้ามากเลยนะที่มาถึงถิ่นของฉันแบบนี้”
“มันไม่จำเป็นต้องใช้ความกล้าเลยสักนิด”
เนื้อความที่แสดงถึงความอวดดีอย่างเปิดเผย ทำให้คนฟังต้องยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วพยักหน้าให้ลูกน้องเตรียมของว่างรับรองแขกที่นั่งอยู่ตรงหน้าตามมารยาท
“แหม...ใจเย็นก็ได้น่าคุณเจิ้ง” ถานอี้เทาเอ่ยขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะระบายยิ้มอย่างเอื้อเฟื้อ “ทานของว่างก่อนสิ สั่งมาจากโรงแรมระดับหกดาวเชียวนะ”
เจิ้งหยุนไม่ได้ตอบรับ เขาทำเพียงแค่ปรายตามองของว่างที่วางบนโต๊ะรับแขกครู่เดียว แล้วกลับมามองเจ้าของห้องนี้อย่างเฉยชา
ท่าทางไม่ยินดียินร้ายของเจิ้งหยุนไม่ได้ทำให้เจ้าบ้านใส่ใจนัก ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีท่าทางไร้อารมณ์ แต่ถานอี้เทารู้ดีว่า มีบางอย่างที่ชายหนุ่มคนนี้กำลังแสดงออกมาอย่างชัดเจนผ่านแว่นตาสีชาอันนั้น
ความแข็งกร้าว...
“ว่าแต่ที่มาวันนี้ คงไม่ได้แค่มาเยี่ยมกันหรอกใช่ไหม” ถานอี้เทาเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร พร้อมกับคลี่ยิ้มสบอารมณ์
“ผมมาคุยเรื่องผับของผม” เจิ้งหยุนตอบเสียงเรียบ เขาจ้องมองบุคคลตรงหน้าไม่ต่างจากนักล่าที่กำลังรอเวลาที่เหยื่อเผลอ
“ผับของคุณ? อ่า...ผับกาเบรียลนั่น มีอะไรให้ฉันช่วยหรือ”
“คุณไม่ควรเข้ามายุ่มย่ามในผับของผมโดยไม่ได้รับอนุญาต”
น้ำเสียงที่ถึงแม้จะราบเรียบราวกับทะเลสาบ แต่ก็แฝงไปด้วยอารมณ์ดังขึ้น ถานอี้เทานึกย้อนตามคำกล่าวหาของบุรุษตรงหน้าอีกครั้ง และเมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขาก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“อ่า...ต้องขอโทษที่ไม่ได้บอก เอาอย่างนี้แล้วกัน คราวหน้าฉันจะบอกก่อน” ถานอี้เทายอมรับความผิดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เจิ้งหยุนแค่นเสียงในลำคออย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“คงจะไม่มีคราวหน้า”
“ไม่เอาน่า. .เราตกลงกันได้ไม่ใช่หรือ”
เจิ้งหยุนมองอีกฝ่ายนิ่ง บรรยากาศที่ดูผ่อนคลายลงไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นแม้แต่น้อย
“หึ! ผมยังไม่อยากให้มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นที่ผับของผม”
ถ้อยคำที่แสดงออกถึงการไม่ยอมรับข้อตกลง ทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเปลี่ยนไป ถานอี้เทานึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ
คนอย่างถานอี้เทาไม่ใช่คนที่ต้องมาขอร้องใคร!
เขายกน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะใกล้ตัวขึ้นจิบเพื่อข่มอารมณ์พลุ่งพล่านจากความไม่พอใจ ก่อนจะปั้นยิ้มบนใบหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วคุณต้องการอะไรล่ะ”
“ผมแค่มาเก็บเงินที่ควรได้รับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ แล้วยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นสีหน้าของคนฟังเปลี่ยนไป “ในเมื่อคุณทำการค้าขายในสถานที่ของผม คุณก็ควรจ่ายภาษีผ่านทางด้วยก็เท่านั้น”
“พูดเป็นเล่นน่า! คนกันเองแท้ๆ”
ถานอี้เทาหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลกด้วยเสียงที่ดังก้อง ซึ่งท่าทางแบบนั้นก็ทำให้เจิ้งหยุนต้องคิ้วกระตุก
“แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น” ผู้มาเยือนตอบเสียงเย็น แต่เจ้าบ้านก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้าน ผู้มีอิทธิพลใหญ่ยกยิ้มหยัน
“คุณจะบอกว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำการซื้อขายในผับของคุณ จะต้องเสียเงินให้คุณด้วย ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นจะเป็นลูกค้าอย่างนั้นหรือ พูดตลกจังนะ” ถานอี้เทาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยท่าทีที่แสร้งทำเป็นสงสัย
“จริงๆ ก็ไม่จำเป็นหรอก ถ้าหากการซื้อขายพวกนั้นไม่ใช่ยาเสพติดที่ลักลอบเข้ามา คุณไม่คิดว่าภาษีนำเข้าผ่านผับของผมจะฟรีหรอกใช่ไหม”
“มันจะไม่ดูขี้ตืดไปหน่อยหรือ” ถานอี้เทาเอ่ยเสียงห้วนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“แน่นอนว่าผับของผมไม่มีตำรวจเข้ามาเพ่นพ่าน ความปลอดภัยในการซื้อขายของคุณจึงมีความสำเร็จสูง คุณควรจะจ่ายค่าบริการที่ผมมีให้”
ถานอี้เทามองคู่กรณีที่อยู่ตรงหน้าอย่างเก็บอารมณ์ เจิ้งหยุนก็ไม่ต่างจากหมาป่าที่ริจะแหย่ราชสีห์ให้กรุ่นโกรธ
“แล้วถ้าฉันไม่ให้ล่ะ?” ถานอี้เทาถามกลับเสียงแข็งอย่างหยั่งเชิง พร้อมกับมองคนที่กล้าท้าทายไม่ละสายตา
“คุณก็น่าจะรู้ดีว่า ผมคงไม่ปล่อยคุณเอาไว้หรอก จริงไหม?” เจิ้งหยุนแค่นยิ้มตอบ พร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างกดดัน
“ก็แค่เจ้าของผับ คิดว่าจะทำอะไรฉันได้หรือ!”
ถานอี้เทามองเจิ้งหยุนด้วยสายตาเกรี้ยวกราด ความอวดดีที่กล้ามาถึงที่ของเขาก็นับว่าจองหองมากพออยู่แล้ว แต่คนตรงหน้ายังยกระดับมากไปกว่านั้นด้วยการข่มขู่เขา!
ให้ตายเถอะ! คิดว่ายอมให้หน่อย ก็จะมาปีนเกลียวกันได้หรือ!
“แล้วคุณจะลองดูไหมล่ะว่า เจ้าของผับอย่างผมจะทำอะไรคุณได้บ้าง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างท้าทายด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ทว่ากระแสนัยน์ตากลับพุ่งตรงอย่างจริงจัง
ถึงแม้ถานอี้เทาอยากจะจัดการคนตรงหน้าจนแทบทนไม่ไหว แต่ก็รู้ดีว่า คนรุ่นลูกที่กำลังลองดีกับเขาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่แค่เจ้าของผับธรรมดา นอกจากบุคลิกที่ไม่กลัวใครหน้าไหนแล้ว ชื่อสกุลของอีกฝ่ายก็ฟ้องสถานะอย่างชัดเจน
คนตระกูลเจิ้ง...
ถานอี้เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แค่ตำรวจที่ตามไล่บี้อยู่ตอนนี้ก็น่าปวดหัวพออยู่แล้ว เขายังไม่อยากมีปัญหาเพิ่มอีก
เอาล่ะ! เป็นผู้ใหญ่ต้องใจกว้าง ก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้นเอง
“แล้วจะเอาสักเท่าไร หมื่นดอลลาร์ดีไหมล่ะ”
เจิ้งหยุนมองท่าทีอ่อนลงของถานอี้เทา แล้วลอบยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย ค่าบริการคิดตามมูลค่าของสินค้านะครับ”
“แล้วจะเอาเท่าไร”
“สามสิบเปอร์เซ็นต์”
คำตอบที่ได้ยิน ทำให้คนฟังตาวาวด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง ถานอี้เทาจ้องคนตรงหน้าอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่
“มันไม่มากไปหน่อยหรือ! แค่ห้าเปอร์เซ็นต์ก็พอแล้วมั้ง!”
“สรุปว่าคุณจะไม่จ่าย?”
“ฉันให้ได้แค่นั้น!” ถานอี้เทาเอ่ยเสียงดัง ใบหน้าที่เคยปั้นยิ้มเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง นัยน์ตาเรียวที่แต้มริ้วรอยตามวัยแข็งกร้าว
ไอ้เวรตรงหน้ามันหวังชุบมือเปิบเห็นๆ!
“แต่ผมยอมรับไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น...”
ทว่ายังไม่ทันที่เจิ้งหยุนจะพูดจบ ลูกน้องคนหนึ่งของถานอี้เทาก็เปิดประตูพรวดเข้ามา ท่าทางตื่นตระหนกเรียกความสนใจของทุกคนในห้องได้ทันที
“นายครับ! มีตำรวจบุกมา! ตอนนี้ที่บ่อนกำลังชุลมุนกันไปหมด! ที่สำคัญตอนนี้ตึกของเรากำลังโดนล้อมอยู่ด้วยครับ!” ลูกน้องที่วิ่งกระหืดกระหอบรายงานสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงรัวเร็ว
“ว่าอย่างไรนะ!” ถานอี้เทาสบถลั่น ก่อนจะทุบโต๊ะไม้ตรงหน้าเสียงดังอย่างระบายความหงุดหงิด อารมณ์ที่กรุ่นอยู่เมื่อครู่ทะยานถึงขีดสุด “แล้วคนของเรามันหายหัวไปไหนหมด! ทำไมถึงปล่อยให้ตำรวจเข้ามาได้!”
“เอ่อ... ตายหมดแล้วครับ”
“บัดซบ! เป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร!”
ดวงตาเรียวถลนจนน่ากลัว ก่อนจะหันไปมองใบหน้าของแขกที่บัดนี้ยังนั่งอยู่บนโซฟา โดยไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาอยู่มาได้ตั้งหลายปีไม่เคยมีปัญหา จู่ๆ ตำรวจก็เข้ามา อีกทั้งยังมาวันเดียวกับไอ้เวรนี่ที่ดูก็รู้ว่า อยากมาหาเรื่องกันเห็นๆ หรือว่า...
“นี่แก!” ถานอี้เทาตะโกนลั่น พร้อมกับชี้ไปที่ใบหน้าของแขกในวันนี้อย่างเดือดดาล ถึงอย่างนั้นคนที่ได้รับกิริยาไร้มารยาทก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด
“ผมไม่ชอบคนไม่สุภาพ”
ถานอี้เทาตอบรับคำพูดนั้นด้วยการสบถอย่างหยาบคาย ก่อนจะคว้าปืนพกสีดำจ่อไปที่ใบหน้าของเจิ้งหยุนอย่างต้องการหาที่ระบายความคับแค้นระคนร้อนใจของตัวเอง
“แกทำอย่างนี้ทำไม!”
“คุณควรจะรู้เอาไว้ว่า ผมไม่ชอบให้ใครยุ่งในที่ของผม ถ้าไม่ได้รับอนุญาต” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงนิ่ง โดยไม่ได้หวั่นเกรงต่อปลายกระบอกปืนที่เล็งมาตรงหน้า มิหนำซ้ำชายหนุ่มยังคลี่ยิ้มรับอีกต่างหาก
“ก็ดี! ถ้าฉันไม่รอด! แกก็อย่ารอด!”
ในขณะที่ถานอี้เทากำลังจะเหนี่ยวไก ลูกน้องอีกคนก็เปิดประตูเข้ามาด้วยใบหน้าตื่นตระหนก และทำให้ผู้มีอิทธิพลใหญ่ต้องกัดกรามแน่น พร้อมกับคิดหาทางหนีทีไล่
“นายครับ! ตำรวจมันบุกขึ้นมาถึงชั้นสิบแล้วครับ!”
ไอ้สารแลวเอ๊ย!
ถานอี้เทาสบถอย่างหัวเสีย แล้วพยายามคุมสติและอารมณ์ที่กระเจิดกระเจิงจนกู่ไม่กลับ เนื่องจากการบุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบของตำรวจ รวมถึงปัญหาใหม่ที่เจิ้งหยุนต้องการจะสร้างขึ้นอีก
ความแค้นอัดแน่นในอก ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาแก้แค้นอะไร การรักษาตัวให้รอดจากวิกฤตตรงหน้าสำคัญกว่า!
“เอาอย่างไรดีครับ!” ลูกน้องคนเดิมเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อรับรู้ว่า อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าตำรวจจะบุกมาถึงห้องนี้ ซึ่งเป็นห้องทำงานใหญ่ของตึกหลังนี้แน่นอน
“โธ่เอ๊ย! ก็หนีสิวะ! จะรอให้พวกมันมายิงหัวหรือ!” ถานอี้เทาว่าเสียงกร้าว ก่อนจะหันไปหาคู่กรณีที่ยังนั่งมองตัวเองวิ่งพล่านด้วยรอยยิ้มเขม็ง “ฉันไม่ปล่อยแกเอาไว้แน่! คอยดู!”
เจิ้งหยุนไม่ได้เอ่ยคำใดตอบรับ ชายหนุ่มได้แต่คลี่ยิ้มมองภาพความวุ่นวายจากการหนีตายของเจ้าของตึกใหญ่อย่างสนุกสนาน เพียงไม่นานห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงามก็ตกอยู่ในความเงียบ เมื่อเหลือเพียงแต่แขกที่ยังอยู่ภายใน
“นายครับ แล้วเรา?” ชายในชุดสูทสีดำเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นเจ้านายยังนั่งนิ่งไม่ได้มีอาการกระวนกระวายใจเลยสักนิด แถมยังยกยิ้มที่มุมปากอย่างอารมณ์ดีอีกต่างหาก “ผมว่า...เราควรออกไปกันได้แล้ว ถ้าตำรวจมาเจออาจจะมีปัญหายุ่งยากตามมา”
“ไม่ต้องกังวลหรอกอู่หนิง หมูที่มันอยู่ในอวยน่ะ มันหนีอย่างไรก็ไม่พ้นหรอก”
อู่หนิงได้แต่มองเจ้านายที่หัวเราะกับตัวเองอย่างลำบากใจ ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่า คนอย่างเจิ้งหยุนไม่เกรงต่อสิ่งใด แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ยังนับว่าไม่ปลอดภัยอยู่ดี
“แต่...”
“เอาน่า... เรื่องนี้ไม่เห็นเกี่ยวกับพวกเราเลย ไม่เห็นต้องรีบไปไหนให้เหนื่อย”
เจิ้งหยุนเลิกคิ้วมองอู่หนิง สายตาคมที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเลนส์สีชาพราวระยับอย่างถูกใจจนบอดี้การ์ดหนุ่มรู้สึกได้
“ถ้าเกิดเรื่องถึงตำรวจขึ้นมา คุณเจิ้งเทียน...”
“นี่นายเป็นลูกน้องฉัน หรือเป็นลูกน้องพี่กันแน่”
น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจของเจ้านายหนุ่ม ทำให้อู่หนิงต้องถอนหายใจออกมา ก่อนจะนึกโล่งใจ เมื่อเห็นคนตรงหน้าลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากห้องอย่างใจเย็น ทันทีที่พวกเขาพ้นจากเขตของห้องทำงานใหญ่ แว่วเสียงปืนและเสียงกรีดร้องก็ดังเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ
สองชายหนุ่มนายบ่าวเดินไปทางบันไดหนีไฟ ซึ่งน่าจะเป็นทางเดียวกับที่ถานอี้เทาใช้เป็นทางออก ในเมื่อมันเป็นเส้นทางเดียวที่จะลดการปะทะกับตำรวจที่อยู่ด้านหน้าของตึกหลังนี้ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีตำรวจมาดักรออยู่อย่างแน่นอน
เจิ้งหยุนหันไปพยักหน้าให้อู่หนิงเป็นการส่งสัญญาณ ชายในชุดสูทสีดำยกเครื่องมือสื่อสารขึ้น แล้วติดต่อไปยังปลายสายด้วยน้ำเสียงราบเรียบมั่นคง
"เริ่มได้”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
“ไอ้สารเลวเจิ้งหยุน!” ถานอี้เทาคำรามลั่น เมื่อเห็นว่ายังมีตำรวจดักล้อมอยู่ ลูกน้องหลายคน บ้างก็ได้รับบาดเจ็บ บ้างก็ตายไปแล้ว แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับตอนนี้โอกาสในการรอดของเขาเหลือน้อยเต็มที
“นายครับ! มีตำรวจดักทางออกไว้แล้ว! เราจะเอาอย่างไรต่อดี!”
ถานอี้เทาหันไปมองลูกน้องที่เหลือรอดอย่างครุ่นคิด สถานการณ์ที่บีบคั้นกำลังเร่งให้สมองของเขาคิดหนทางเอาตัวรอด
โชคยังดีที่เขาฉลาดพอจะให้ลูกน้องนำล่วงหน้าไปก่อน ถึงได้รู้ว่า ขืนตัวเองออกไปตอนนี้ ก็มีแต่ไม่รอด ยังไม่นับอีกกลุ่มที่อาจจะตามบุกมาประกบหลังอีก
ทำไมวันนี้ถึงได้ซวยมหาซวยขนาดนี้!
เจ้าของตึกเตะผนังปูนสีเรียบอย่างฉุนเฉียว ยังดีที่ทางหนีไฟเป็นช่องทางเดินแคบที่มีทางเพียงเส้นเดียว หากโชคยังเข้าข้างเขาอยู่บ้าง ก็สามารถดักยิงตำรวจหน้าโง่ที่ตั้งใจมาจับเขาได้
แต่ไม่ทันได้คิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อ เสียงฝีเท้าที่เดินลงบันไดตามมาอย่างเป็นจังหวะ ก็ทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นชะงัก มือของทุกคนกระชับปืนแน่น ก่อนจะพร้อมใจกันหันไปยังทิศทางของต้นเสียง แล้วพอถานอี้เทาเห็นว่าใครที่เดินลงมา เขาก็ได้แต่หัวเราะเย้ย
“แกเองก็จะไม่รอดเหมือนกัน! ตอนนี้ตำรวจล้อมปิดทางออกไว้หมดแล้ว!”
ผู้มาใหม่ยักไหล่พลางมองลูกน้องสองคนของถานอี้เทา ก่อนจะเลื่อนมามองหัวหน้าที่บัดนี้ใบหน้าซีดเซียวและมีเหงื่อโซมทั่วร่าง เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้น
“ผมไม่คิดอย่างนั้น”
เจิ้งหยุนเดินเอามือล้วงกระเป๋า ก่อนจะเดินเลยผ่านเจ้าถิ่นอย่างไม่สนใจ ความท้าทายและถือดีของชายหนุ่ม ทำให้ถานอี้เทาต้องข่มอารมณ์โกรธ แต่ก็ไม่วายเดินตามอีกฝ่ายอย่างจนหนทาง
“ข้างล่างนั่นมีตำรวจรอแกอยู่!” เจ้าของตึกกล่าวย้ำอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจว่า อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ มันอาจจะโง่หรือบ้า บางทีอาจจะเป็นทั้งสองอย่าง
ผมว่าตำรวจรอคุณต่างหาก ผมแค่โดนพาตัวมาเพื่อถูกข่มขู่อะไรบางอย่าง แล้วบังเอิญโชคดีมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า ทำให้ผมหนีออกมาได้”
เรื่องเล่าจากปากของชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้ถานอี้เทานิ่งค้าง ก่อนจะคำรามลั่น ทว่ากลับมีเพียงเสียงหัวเราะแผ่วเบาตอบกลับมาเท่านั้น
ไอ้ตอแหล!
ถึงแม้เหตุผลแก้ต่างอย่างหน้าด้านๆ ของไอ้คนรุ่นลุก มันน่าหัวร่อสิ้นดี แต่ในใจกลับอดคิดไม่ได้ว่า มันอาจจะได้ผล แล้วเป็นเขาเพียงคนเดียวที่จะไม่รอด
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ไม่ว่าจะหันซ้ายหรือหันขวาก็ยังหาทางหนีทีไล่ไม่เจอ คนที่น่าจะพอทำให้รอดได้ คงมีแต่คนตรงหน้านี้เท่านั้น ถึงแม้จะแค้นใจจนแทบอยากจะขย้ำอีกฝ่ายให้แหลกคามือก็ตาม
“ก็ได้! ถ้าแกช่วยฉันให้รอดจากครั้งนี้ไปได้ ฉันจะให้สามสิบเปอร์เซ็นต์ที่แกต้องการ”
ปลายเท้าของชายหนุ่มชะงัก เจิ้งหยุนหันไปมองคนพูดด้วยท่าทีแปลกใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบาง ท่ามกลางเสียงปืนที่ยังแว่วมาไม่หยุด
“คุณจะมีปัญญาที่ไหนมาให้ผม ในเมื่อตอนนี้คุณเองก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว”
“ฉันมีปัญญาหามาให้แน่” ถานอี้เทาพยายามต่อรอง ทั้งที่ในใจกำลังเดือดจากคำดูถูก
“ก็ได้ครับ สามสิบเปอร์เซ็นต์นั่นเป็นส่วนที่ผมต้องได้อยู่แล้ว แต่การช่วยชีวิตคุณก็อีกกรณีหนึ่ง” ฝ่ายที่เป็นต่อกว่าบอก นัยน์ตาคมที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์สีชาส่องประกายวาบ
“หมายความว่าอย่างไร!” คนเป็นรองถามเสียงเข้ม ถานอี้เทารู้สึกโกรธและร้อนใจจนมือสั่นไปหมด เขาสาบานกับตัวเองว่า ถ้าพ้นจากภัยร้ายครั้งนี้ไปได้ จะเอาคืนอีกฝ่ายอย่างสาสม
“เอาเป็นว่า...เพื่อความเท่าเทียม ธุรกิจและสมบัติทุกอย่างที่คุณมีจะตกเป็นของผม แลกกับชีวิตของคุณ”
“ไอ้หน้าเลือด! ถ้าแกทำอย่างนั้น แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนมาให้!” ถานอี้เทาต่อว่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
“นั่นคือสิ่งที่คุณเป็นคนเลือกเอง” เจิ้งหยุนเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินลงบันไดไปเรื่อยๆ โดยไม่นึกสนใจคนที่หน้าซีดหน้าแดง เพราะใกล้มาถึงจุดสุดท้ายของชีวิตเต็มที
ถานอี้เทากำมือแน่น หัวคิ้วขมวดมุ่น พร้อมกับจ้องมองแผ่นหลังของเจิ้งหยุนราวกับกินเลือดกินเนื้อ
"ได้! ฉันยอมทุกอย่าง!”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ด้านหน้าของตึกพาณิชย์หลังใหญ่ บัดนี้เต็มไปด้วยรถตำรวจจอดเทียบอยู่ทั่วบริเวณ บรรดาชายหญิงหลายสิบคนถูกจับได้จากการเล่นพนันผิดกฎหมาย ลูกน้องของผู้มีอิทธิพลอย่างถานอี้เทาถูกจับเป็นได้บางส่วน แต่ทว่าหัวหน้าใหญ่ยังคงหลบหนีไปได้
“ผู้กองหวังครับ พวกเราเข้าค้นที่ห้องทำงานของถานอี้เทาแล้ว ไม่พบใครเลยครับ!”
คนที่รับรายงานพยักหน้ารับ เมื่อสิ่งที่ได้ยินไม่ได้ผิดคาดจากที่เขาคิดไว้ ผู้กองหนุ่มมองแปลนของตึก ก่อนจะคำนวณหาช่องทางหนีที่เป็นไปได้
“ผู้กองหวังครับ แล้วคนที่เราจับมาได้ จะให้ส่งไปที่โรงพักเลยหรือเปล่าครับ”
“อืม พวกคุณไปบอกหมวดเหอผิงว่า ผมสั่งให้ทำการเคลียร์พื้นที่ แล้วนำคนที่ถูกจับได้กลับโรงพักไปลงบันทึกได้เลย”
“ครับ!”
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นคลี่คลายลง ราตรีที่ยาวนานยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า สายลมเย็นพัดผ่านพากลิ่นของความสูญเสียคลุ้งไปทั่วบริเวณ
หวังหยูเฟิงในชุดเครื่องแบบเม้มริมฝีปากแน่น เมื่อภารกิจสำคัญในครั้งนี้นอกจากจะบุกทำลายบ่อนการพนันแล้ว ยังรวมไปถึงการจับกุมถานอี้เทา ผู้มีอิทธิพลใหญ่ของเมืองที่เปิดบ่อนการพนัน เงินกู้นอกระบบ และค้ายาเสพติด
หลังจากที่ตามติดอยู่หลายปี ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า อีกฝ่ายมีความผิด แต่ด้วยอำนาจที่รายล้อมถานอี้เทาเอาไว้ ทำให้ทางตำรวจไม่สามารถจัดการได้เด็ดขาด จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่มีผู้หวังดีส่งข่าวที่เป็นประโยชน์ ทำให้เขารวมทั้งเพื่อนร่วมงานเริ่มเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น จนมาถึงการบุกจับกุมในครั้งนี้
คนที่ทำผิด ไม่ว่าอย่างไรก็หนีเงื้อมมือของกฎหมายไปไม่พ้น!
หวังหยูเฟิงหันไปมองลูกน้องที่กระจายกันไปทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างแข็งขัน ใบหน้าขาวแสดงความเคร่งเครียดออกมาอย่างชัดเจน
“ผู้กองหวังครับ มีวอมาขอความช่วยเหลือ พบพวกของถานอี้เทาที่ยังหลบหนีไปได้อยู่” นายตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
“ที่ไหน”
“ตอนนี้มีพวกเราบางส่วนโดนโจมตีอยู่บริเวณทางออกด้านหลังฝั่งซ้ายครับ”
“ผมทราบแล้ว”
หวังหยูเฟิงเรียกนายตำรวจกลุ่มหนึ่งมาสมทบ แล้วรีบรุดไปยังสถานที่ดังกล่าว แน่นอนว่าพื้นที่ที่ได้รับแจ้งมา เขาได้จัดแบ่งตำรวจไปดักจับอยู่บริเวณนั้นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่าตอนนี้น่าจะมีการปะทะกับกลุ่มของถานอี้เทาอยู่แน่นอน
ทว่าเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ ชายหนุ่มก็ต้องชะงักไป เมื่อพบเพียงร่างไร้วิญญาณของนายตำรวจที่นอนเกลื่อนพื้น หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วข่มอารมณ์ที่ร้อนระอุของตัวเอง ก่อนจะรีบส่งสัญญาณเพื่อกระจายเจ้าหน้าที่ไปรอบบริเวณ
นี่เขามาช้าไปหรือ!
หวังหยูเฟิงได้แต่ขบคิดอยู่ในใจด้วยความเจ็บแค้น พร้อมกับกวาดตามองอย่างระแวดระวัง ความเงียบโรยตัวจนไม่มีใครกล้าขยับตัวนัก เหลือแค่เพียงกลิ่นควันปืนที่ลอยอยู่ในอากาศ
ปัง!
เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบกระตุกเส้นความตื่นตัวของทุกคนให้ตื่นขึ้น หวังหยูเฟิงมองไปโดยรอบเพื่อหาต้นทางของเสียง จนกระทั่งเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ยังหาผู้ลงมือไม่เจอ
บ้าชะมัด! นี่พวกเขากำลังโดนลอบยิงอยู่!
เมื่อรับรู้ถึงสัญญาณอันตราย หวังหยูเฟิงก็ขยับตัวหลบวิถึของกระสุนที่พุ่งเข้าใส่ได้อย่างฉิวเฉียด พร้อมกับยิงตอบโต้ทันที นายตำรวจหนุ่มที่เผชิญกับวินาทีของความตายพยายามรวบรวมสมาธิที่มีอย่างเต็มที่ เขาคาดไม่ถึงเลยว่า พวกของถานอี้เทาจะยังเหลือรอดมากขนาดนี้ อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็ยังมีอาวุธครบมือ
TBC++++++++ 02 คนที่หมายตา
Marionetta ดีค่ะ มาหย่อนคอนแรกแล้วค่ะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ฝากเอาใจช่วยผู้กองหวังกันด้วยนะคะ ^^
สามารถติดตามอัปเดคได้ทางทวิตเตอร์ #เจิ้งหยุนหยูเฟิง หรือทางแฟนเพจค่ะ
-
:L2: :pig4:
-
รอต่อเลย
-
:katai2-1:
-
:L2: :pig4:
-
:mew1: :mew1:
-
:L2: :pig4:
ติดตาม
-
:katai2-1:
ชอบๆๆๆ
-
:katai2-1:
-
:L2: :pig4:
-
o13 o13
-
สนุกมากมากเลยยเลย น่าสนใจว่าใครกดใคร 5555 ยังเดาไม่ออก แต่เนื้อเรื่องดำเนินดีมากค่ะ
-
:hao7: :hao7:
-
:katai2-1:
-
:katai2-1:
ชอบๆๆๆ
-
:z1: :z1:
-
เพิ่งมาตามอ่านรวดเดียวจบ สนุกมากๆเลยค่ะ
คุณเจิ้งดูเลือดเย็น แต่ก็มีมุมขี้เล่น (แต่อาจจะเล่นแรกไปนิสสส)
คุณตำรวจตกหลุมตลอดเลย
-
:L2: :pig4:
-
:katai2-1:
ชอบห้องแบบนั้น จินตนาการออกเลย
-
เพิ่งเข้ามาอ่าน ตอนแรกนึกว่าคุณผู้กองจะรุกเสียอีก 555
แต่แนวนี้ก็ดีเราชอบบบบบ
-
ขอบตุณที่ติดตามค่ะ ตอนหน้าจะมาลงพรุ่งนี้จ้า ^^
-
:mew1: :mew1:
-
:laugh:
ถ้าทำกันขนาดนี้แล้ว กินเถอะ
-
:L2: :pig4:
-
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ จะมาต่อภายในวันพุธนี้จ้า :haun4:
-
:hao3:
-
:mew1: :mew1:
-
สนุกมากค่ะ
ติดตามต่อ
:L2: :L2:
-
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ อาทิตย์นี้เจอกันจ้า :z2:
-
:mew1: :mew1: :pig4: :pig4:
-
:katai2-1:
คุณแม่ เป๊ะ !!
-
:katai2-1:
-
:mew1: :mew1: :pig4: :pig4:
-
พรุ่งนี้มาต่อจ้า :z2:
-
:z1: :z1: :z1:
-
:katai2-1:
-
อ่านรวดเดียว 13 ตอนเลย เราเป็นคนที่ชอบแนวมาเฟียกับตำรวจมากๆ เลยได้ตามเข้ามาอ่านเพราะมีคนไปแนะนำไว้ในทวิตเตอร์ อ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ คนเขียน เขียนได้ลื่นไหลมาก สำนวนภาษาดี การดำเนินเรื่องก็ชวนติดตามมากๆ และโดยเฉพาะคาแรกเตอร์ของเจิ้งหยุน เป็นอะไรที่เราปลื้มสุดๆ ฮือออออ ความใสๆ ยิ้มๆภายนอก แต่จริงๆแล้วร้ายและเจ้าเล่ห์สุดๆ เป็นอะไรที่น่าค้นหามากๆ เหมาะสมกับผู้กองหวังที่เป็นคนมุ่งมั่น จริงใจ สองคนต่างขั้วแต่ลงตัวสุดๆ 555555555 พล่ามซะยาวเลย คนเขียนสู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ รออ่านอยู่น้าาาาาา ตอน 13 ค้างสุดๆไปเลย รีบมาอัพด่วนๆ 555555555 อาจจะได้อ่าน nc ตอนแรก รึเปล่า???? :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :o8: :o8: :o8:
-
รอแบบเต็มขั้นต่อไปค่ะ :z1: :z1:
-
ความสัมพันธ์เขยิบขึ้นมาอีกขั้นละ :mew4:
-
โอ้ยยยยยยยย แซ่บไม่ไหวแล้วววว เลือดกำเดาจะไหล :pighaun: อยากให้ถึงตอนที่เจิ้งหยุนกินหยูเฟิงอย่างเต็มรูปแบบแล้วววว :-[
-
ติดตามอยู่เรื่อยๆค่ะ สนุกมากกกกก คนเขียนก็สู้ๆนะ อยากรู้แล้วว่าจะเป็นยังไงต่อไป จะลงเอยกันท่าไหน
-
:katai2-1:
ชอบๆ
-
จะตามจนจบเลยค่ะ เราชอบมาก :mew1: :mew1:
-
โอ้ยยยย ชอบบบบบ
-
:mew1: :mew1: :o8: :o8:
-
คู่นี้จะลงเอยไงเนี่ย ตำรวจกะคนในเงามืด
-
อาทิตย์นี้ปั่นไม่ทัน แต่จะมาต่ออาทิตย์หน้าจ้า :z10:
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
-
ฉากจูบ&หาเศษหาเลยริมทะเลคือเขินมาก เจิ้งหยุนคือเจ้าเล่ห์ไม่ไหวแล้ววว ผู้กองหวังเตรียมตัวเป็นคุณนายเจิ้งเถอะ ไม่รอดหรอก 55555555 แต่แอบหวั่นใจเบาๆว่าในอนาคตเจิ้งหยุนกับผู้กองหวังจะรักกันยังไง มาเฟียกับตำรวจคือเส้นขนานสุดๆ ฮือออออออ หวังว่าคนเขียนจะไม่จบแบบ bad end นะคะ เราทำใจไม่ไหวจริงๆ แงงงงงงง
-
:pig4: :pig4:
-
o13
-
:hao7:
แล้วถ้ารู้ว่าผู้กองจะไม่กลับมา หูยยย
-
อื้อหือออ ถ้ารู้ว่ารับหน้าที่นี่แทนเพื่อนนนน จ้าา
-
นางน่าสงสารเหมือนกันนะเนี่ย :mew2: :mew2:
แต่หลีซิงนี่น่าจะอยู่ไม่นานนะ :m31: :m31:
-
:L2: :pig4:
-
คุณหนูเส้า เป็นเหยื่อ เฉยยยย
-
:katai1:
-
รอติดตามจ้า :pig4:
-
:L2: :pig4:
-
:pig4: :pig4:
-
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
-
:katai2-1:
-
:L2: :pig4:
-
:impress2: :impress2:
-
:haun4:
-
:mew1: :mew1:
-
:katai2-1:
ข้าวใหม่ปลามัน
-
โอ๊ยยยยยยสนุกกกกมากกกกก เพิ่งเข้ามาอ่านอแบบรวดเดียว วางไม่ลงเลย ภาษาและการบรรยายดี สวย แต่แอบมีคำผิดระดับนึง ไม่เป็นไร ยังคงอ่านไหลลื่นได้ 55555 // โห้ยยยยในที่สุด mission complete จีบแบบเนียนๆล่อล่วงๆจนได้กลืนกินสมใจ เจิ้งหยุนนายมันร้ายกาจ เจ้าเล่ห์ที่สุด ชอบความที่โหดกับคนอื่นแต่นุ่มนวลอ่อนโยนกับหยูเฟิงคนเดียว ชอบคำเรียก ''หนุเฟิง" โอ๊ยยยน่ารักไม่ไหวแล้ว เขินแทนอ่ะ 5555 เส้นทางความรักที่ไปคนละทางของหน้าที่ระหว่างตำรวจกับคนร้ายนายมาเฟีย จะบรรจบลงเอยยังไง จะจัดการกงเจ๋อตวนได้ไหม งานนี้ไม่ง่ายเลยแต่ก็วางใจระดับนึงว่าเจิ้งหยุนจะสามารถปกป้องหนุเฟิงได้ แต่ตอนนี้หมั่นไส้คนร้ายๆ เหม็นความรักอะ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ลูกน้องปรับอารมณ์ไม่ทันกันแล้ว 55555 อย่าให้ถึงวันหนุเฟิงรู้ว่าคนที่กำลังอมยิ้มตอนนี้อยู่เบื้องหลังทุกอย่าง จะโกรธมากไหมนะ มันก็จริง ที่ว่าไม่สามารถรับปากได้ว่าจะไม่ทำไม่ดี แต่ที่รู้ๆคือจะปกป้องคนรัก โอ๊ยยยยยเนี้ยความเป็นเจิ้งหยุน 55555 ชอบบบบบบบบ โอ๊ยยยสนุกมากก รอติดตามตอนต่อไปเลยค่ะ FC #หนุเฟิงเจิ้งหยุน ขอบคุณสำหรับเรืองนี้ มันดีมาก อ่านแล้วเอ็นจอย ^^
-
ช่วงนี้ก็จะ สวีท กัน หน่อย ๆ
-
จร้าาา งั้นก็รีบๆจัดการเลยนะ ถ้าอยากให้เขามาอยู่ด้วยถาวรเลยอ่ะ เอาข้อมูลมาล่อตลอดอ่ะ ที่บอกว่าจัดการได้ไม่ต้องห่วงไม่ผิดหวังก็เพราะตัวเองเป็นคนวางแผนกับดักหมดเองนะสิ เจิ้งหยุนคนเจ้าเล่ห์เอ้ย!!!!ฮาๆ //เอาจริงๆก็แอบสงสารหลีซิงเหมือนกันนะ หัวใจเจ้ากรรมดันมาหลงรักคนฆ่าพ่อตัวเองแถมเจ้าตัวมาทำเป็นพูดดีด้วยได้อย่างเลือดเย็นอีก อยากจะแก้แค้นแทนพ่อก็อยากจะแก้แค้น แอบเห็นใจอะ โถ หลีซิง เพราะงั้นละเจิ้งหยุนจัดการกงเจ๋อตวน ภาระกิจของหนุเฟิงกับหลีซิงจะได้จบๆ รอตอนต่อไปเลยค่ะ คนเจ้าเล่ห์จะวางแผนจัดการยังไง ขอบคุณที่มาอัพค่า ^^
-
:katai2-1:
-
:mew1: :mew1:
-
จ้าลูกล่อลูกชนเยอะ เอาเขามาอยู่ด้วย อย่าลืมขัดการเสี้ยนหนาม
ก่อนด้วยเน้อ คิดว่าน่าจะป่วนใช่ย่อย
-
เอ้า อิเด็กนี่
หลีซิงนี่น่ารำคาญแหะ
-
:L2: :pig4:
-
:katai1: :katai1: :katai1:
-
:hao7: :hao7:
-
รอจ้าา
-
ขออนุญาตแจ้งข่าวค่ะ
ตอนนี้กำลังรีไรท์เรื่องใหม่เพื่อทำการรวมเล่ม และจะทยอยเอามาลงใหม่อีกครั้งนึงค่ะ
ท่านใดสนใจสามารถคิดตามได้ที่ http://marionetta.lnwshop.com/ (http://marionetta.lnwshop.com/)
ขอบคุณค่ะ :o8:
-
หลังตากนี้จะเริ่มลงใหม่ในเวอร์ชั่นรีไรท์ค่ะ ฝากคิดคามด้วยนะคะ :-[
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
-
02
คนที่หมายตา
ยิ่งกว่าฝันร้าย...
หวังหยูเฟิงรู้ได้ทันทีว่า อัตราในการรอดมีน้อยหรือแทบไม่มีเลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจทนเห็นผู้ร้ายหนีไปต่อหน้าต่อตาได้ แน่นอนว่าผู้กองหนุ่มยอมตายเสียยังดีกว่า
การปะทะที่เกิดขึ้นไม่สามารถเรียกได้ว่าสูสี ในเมื่อฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องคอยหลบกระสุนเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้จะมีฝีมือ แต่มันอาจใช้ไม่ได้ผลกับผู้ร้ายที่มีจำนวนมากกว่าแบบนี้
นัยน์ตาสีนิลส่องประกายหงุดหงิด เมื่อเห็นร่างของเพื่อนร่วมทีมล้มลง และไม่ทันที่เขาได้ตั้งตัว ความเย็นจากโลหะที่สัมผัสเข้ากับศีรษะก็ทำให้ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะโดนอีกฝ่ายนำตัวออกมาจากที่กำบัง
“แสบจริงนะผู้กองหวัง!”
น้ำเสียงกร้าวดุดันที่ดังขึ้น ทำให้เจ้าของชื่อจ้องเขม็ง ภาพของ ถานอี้เทาในสภาพที่ผิดจากปกติไปมากโขกำลังยิ้มราวกับปิศาจ ไม่ทันที่ หวังหยูเฟิงจะได้เอ่ยคำใดโต้ตอบ กำปั้นหนักก็พุ่งเข้าโจมตีที่ใบหน้าของเขาเต็มแรง
“หึ! แกมันสมควรตาย!”
ถานอี้เทาแย้มรอยยิ้ม ก่อนจะคว้าปืนจ่อที่หน้าผากของนายตำรวจหนุ่ม เขาตั้งใจจะชำระแค้นศัตรูคืนทีละคน เริ่มจากตำรวจเฮงซวยตรงหน้า แล้วค่อยหาโอกาสไปจัดการไอ้สารเลวเจิ้งหยุนทีหลัง
“คุณถาน นายเรียกให้ไปพบ”
คำบอกกล่าวที่ดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังจะลงมือซ้ำต้องสบถอย่างขัดใจ ก่อนจะยอมเดินไปอีกทางอย่างว่าง่าย ทิ้งไว้แต่ร่างของผู้กองหนุ่มที่ทอดมองด้วยความสงสัย
ใครกันที่เรียกถานอี้เทาไป...
ถึงแม้ร่างกายจะถูกจับกุม อีกทั้งความปวดหนึบที่เล่นงานอยู่บนใบหน้าจากกำปั้นก่อนหน้านี้กำลังออกฤทธิ์ แต่สมองของผู้กองหวังกลับทำงานอย่างเต็มที่
หวังหยูเฟิงจ้องมองไปยังทิศทางของถานอี้เทา ก่อนจะขมวดคิ้ว เมื่อเห็นใครอีกคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มยืนอยู่ตรงนั้น อีกทั้งยังใส่แว่นกันแดดอำพรางใบหน้าอีก ดูเหมือนว่าชายหนุ่มที่น่าสงสัยก็มองมาทางเขาเช่นเดียวกัน
ใครกัน...
เนื่องจากระยะที่ไกลเกินจะได้ยินบทสนทนา ทำให้ผู้กองหนุ่มได้แต่มองท่าทางของคนกลุ่มนั้นและคาดเดาไปต่างๆ นานา ก่อนนัยน์ตาคู่สวยจะเบิกกว้าง เมื่อเห็นร่างของถานอี้เทาร่วงลงสู่พื้นด้วยฝีมือของใครอีกคนที่เขาไม่รู้จัก
เกิดอะไรขึ้น?!
หวังหยูเฟิงได้แต่ขบคิดอย่างเคร่งเครียด คำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ’ทำไม’ วิ่งพล่านไปทั่วสมอง ความเงียบเข้าปกคลุมโดยรอบ เพราะอีกฝ่ายใช้ปืนเก็บเสียง ทำให้เสียงของอาวุธสังหารไม่ดังอย่างที่ควรจะเป็น
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเรียบง่าย การตายของถานอี้เทาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่มีใครมีท่าทีใส่ใจเลยสักคน
ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับสัญชาตญาณของนายตำรวจที่กู่ร้องถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาไม่อาจละสายตาจากทุกย่างก้าวของบุคคลตรงหน้าได้แม้แต่วินาทีเดียว
ทว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวกลับก้าวได้เพียงครึ่งทาง กระบอกปืนที่เพิ่งพรากวิญญาณออกจากร่างของถานอี้เทาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า หวังหยูเฟิงได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ร่างกายที่โดนตรึงไว้จากคนร้ายอีกสองคน ทำให้เขาไม่สามารถขัดขืนได้เต็มที่ แล้วไม่ทันที่ผู้กองหนุ่มจะได้คาดคิด ความเจ็บก็พุ่งเข้ามาปะทะที่หัวไหล่ซ้ายเข้าอย่างจัง พร้อมกับหลักฐานยืนยันเป็นของเหลวกลิ่นคลุ้งที่ซึมขึ้นตามเนื้อผ้า
แสงไฟยังคงสว่างไสวสร้างความสวยงามในยามค่ำคืน มีหลายคนที่กำลังหลงระเริงในเสน่ห์ของราตรี ทว่าบริเวณพื้นที่เล็กๆ ด้านหลังของตึกขนาดใหญ่โอ่อ่า กลับมีชายคนหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตายอยู่
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ไม่เข้าใจ...
เจิ้งหยุนขมวดคิ้วมองร่างตรงหน้าอย่างสงสัย หลังจากที่ได้สัญญาต่างๆ ของถานอี้เทามา ชายหนุ่มก็เผลอหงุดหงิดจนพลั้งมือฆ่าอีกฝ่ายไปเสียได้
เอาล่ะ! ที่จริงมันก็มีความตั้งใจส่วนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ไอ้แก่นั่นก็ยังรนหาที่อีก ในเมื่อเขาก็เคยบอกไปแล้วว่า ไม่ชอบให้มายุ่มย่ามในพื้นที่ของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต ถึงแม้จะเพิ่งได้เป็นเจ้าของเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม และที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือการฆ่าคนต่อหน้าต่อตาเขาโดยพลการ
พวกดื้อด้าน...
ถ้าจะให้มานั่งดัดไม้แก่ก็คงจะยาก มีทางเดียวที่จะแก้สันดานของพวกนิสัยน่ารำคาญแบบนี้ได้ ก็คงต้องตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น เพียงเท่านี้มันก็สมเหตุสมผลพอที่จะส่งไปโลกหน้าแล้ว
เจิ้งหยุนลอบถอนหายใจ ก่อนจะมองไปยังร่างที่โดนคนของเขาจับเอาไว้อย่างพิจารณา นายตำรวจผู้โชคร้ายสภาพดูไม่จืดนัก ทว่าประกายของความเด็ดเดี่ยวกลับสะท้อนจากนัยน์ตาสีดำขลับคู่นั้นอย่างชัดเจน
พวกหัวแข็งอย่างไม่ต้องสงสัย...
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่ากลับเป็นความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ที่ไม่รู้ว่าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
จะว่าอย่างไรดีล่ะ...
เขาก็แค่เฝ้ามองการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของนายตำรวจคนนี้อย่างละสายตาไม่ได้ก็เท่านั้น ความรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่ก็พอจะนิยามได้ว่าถูกใจกับความบ้าบิ่นที่แม้จะเหลือเพียงตัวคนเดียวก็ยังไม่ยอมหนีไปไหน และที่น่าประทับใจยิ่งกว่า คงเป็นฝีมือที่ไม่ธรรมดาจนน่าจับตามอง
ทั้งที่กำลังเฝ้ามองการทำหน้าที่ของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจอยู่แท้ๆ แต่ไอ้แก่ถานอี้เทาก็ดันไปเอาตัวมา แล้วเขาคงจะไม่โมโหมากนัก หากคนจุ้นจ้านไม่เอาปืนจ่อหัวตำรวจคนนั้น แล้วทำท่าจะฆ่าทิ้ง โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนที่กำลังดูอยู่อย่างเขาเลยสักนิด
ใครก็ห้ามทำร้ายผู้ชายคนนี้!
เจิ้งหยุนที่เก็บก้อนอารมณ์เอาไว้เลยระบายโทสะของตัวเองออกไป ในเมื่อถานอี้เทาก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องอดทนให้เหนื่อยใจ และเมื่อความไม่สบอารมณ์สงบลง ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
แล้วถ้าเขาเป็นคนฆ่าเองล่ะ?
อันที่จริงแล้วการปล่อยให้พยานรู้เห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมของตัวเองก็นับว่าโง่เง่าเกินกว่าคนอย่างเจิ้งหยุนจะทำ อีกทั้งพยานยังเป็นตำรวจที่ดูซื่อตรงต่อหน้าที่ ไม่แน่ว่าความรู้สึกที่ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายนายตำรวจคนนี้ อาจเป็นเพราะเขาเองนั่นแหละที่อยากจะลงมือเอง
การได้ทำลายคนที่ยื้อชีวิตอย่างจริงจังแบบนั้น จะน่าสนุกสักแค่ไหน...
เจิ้งหยุนเหยียดยิ้มกับตัวเอง สายลมยังคงพัดพากลิ่นของความตายโชยเข้ามาในจมูก ชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะยกปืนเข้าหาอีกฝ่าย และเขาคงจะเหนี่ยวไกใส่จุดตายในเสี้ยววินาที หากไม่ได้สบนัยน์ตาแวววาวสีดำคู่นั้น
สายตาถือดีและไม่มีความกลัวเคลือบแฝงแม้แต่นิดเดียว
พวกไม่กลัวตาย...
เพราะความนัยที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน ทำให้เจิ้งหยุนหมดอารมณ์ไปพอสมควร สายตาที่ไร้ความหวาดกลัวแบบนั้น ต่อให้จับไปทรมานก็ยังน่าเบื่อ และด้วยความผิดหวังที่มีอยู่ในใจ ทำให้ชายหนุ่มผู้ไม่เคยสนใจใครต้องหงุดหงิด
ทั้งที่อยากจะยิงทิ้งให้หมดเรื่องหมดราว ก็เกิดนึกเสียดายคนแบบนี้ขึ้นมา ห้วงความรู้สึกที่หมุนเวียนสับเปลี่ยน ทำให้เจิ้งหยุนต้องหยุดความรู้สึกของตัวเองด้วยการเปลี่ยนจากตำแหน่งตรงหัวใจไปยังหัวไหล่แทน เมื่อเห็นผลงานของตัวเอง ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้
ใบหน้าที่กำลังข่มอารมณ์และพยายามปกปิดความรู้สึกของนายตำรวจเปื้อนเหงื่อที่ซึมออกมา ท่าทางต่อต้านผ่านสายตาสีนิล ทำให้ความรู้สึกบางอย่างของเจิ้งหยุนพุ่งสูงขึ้น ความแข็งกร้าวที่สร้างขึ้นเป็นเกราะป้องกันความอ่อนแอของอีกฝ่าย ไม่ต่างจากแมวที่กำลังขู่จนตัวพอง เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มจึงยกยิ้มขึ้น
เพียงแต่ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แมวธรรมดา แต่เป็นแมวป่าที่มีแรงดึงดูดบางอย่างจนทำให้เขาสนใจและไม่อาจถอนสายตาได้ ช่วงจังหวะของหัวใจเต้นเร็วขึ้น เมื่อได้ประสานสายตาดุดันที่อีกฝ่ายตั้งใจส่งมา
ตื่นเต้น...
ความร้อนของเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างตอกย้ำความเข้าใจของเจิ้งหยุนอีกครั้ง ก่อนที่มือแข็งแกร่งจะเชยคางของเหยื่อที่ตกอยู่ในเงื้อมมือหมุนพลิกไปมาอย่างสำรวจ
ผิวขาวเกลี้ยงที่คล้ำแดดไปบ้าง คิ้วเรียวเข้มได้รูป จมูกโด่งรับกับริมฝีปากบางสีส้มอ่อน แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นนัยน์ตาสีดำขลับคู่นั้น
ถ้าหน้าไม่ยับแบบนี้ ก็น่ามองอยู่หรอก...
เจิ้งหยุนทอดมองใบหน้าของนายตำรวจหนุ่มโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ทว่าไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว นอกจากเสียงหอบหายใจและอาการฮึดฮัดไม่พอใจของคนเจ็บที่สะท้อนกับความเงียบ และก่อนที่ใครจะทันคาดคิด ใบหน้ายับเยินของผู้กองหวังก็สะบัดออก
เมื่อใบหน้าของตัวเองได้รับอิสระอีกครั้ง หวังหยูเฟิงก็ไม่รีรอที่จะต่อสู้ด้วยการก้มลงกัดมือของคนที่จับจนเต็มเขี้ยว และแทบจะเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ คนที่จมอยู่ในห้วงความคิดก็ต่อยใบหน้าของคนทำร้ายไปเต็มแรง
เจิ้งหยุนขมวดคิ้วพลางมองใบหน้าของคนที่ดูไม่ได้อยู่แล้วอย่างนึกโมโห สายตาที่ยังส่องประกายกล้าและไม่หวาดหวั่น ทำให้ชายหนุ่มต้องถอนหายใจ ก่อนจะก้มมองมือของตัวเองที่รู้สึกเจ็บขึ้นมานิดๆ พร้อมกับเลือดที่ซึมออกมา
เพราะไม่ได้รับคำสั่งใดจึงไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ก่อนผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในที่นี้จะลงมือฟาดไปที่ท้ายทอยของคนที่ถูกจับไว้จนสิ้นสติ แล้วคนแผลงฤทธิ์ก็คงจะล้มไปกองกับพื้น หากลูกน้องของเขาไม่ได้จับเอาไว้
หึ! โดนแมวกัดจนได้...
เจิ้งหยุนมองคนที่สลบอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะนึกตลกตัวเองขึ้นมา ใครจะไปคาดคิดว่า คนอย่างเขาจะต้องเลือดตกยางออกเพราะโดนคนที่ตัวเองจับเอาไว้กัดมือเล่น มันน่าขบขันจนชายหนุ่มต้องหัวเราะกับตัวเองเบาๆ
บ้าบอสิ้นดี...
“นายเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” อู่หนิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับนึกสงสัยท่าทางของเจ้านายที่จู่ๆ ก็ดันหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น
“ฉันไม่เป็นไร”
อู่หนิงลอบถอนหายใจ ก่อนจะมองร่างของนายตำรวจหนุ่มตรงหน้า และเมื่อเห็นว่าเจ้านายยังเอาแต่ดูรอยแผลที่อยู่บนมือของตัวเอง ชายหนุ่มก็อดจะถามขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
“แล้วไอ้ตำรวจนี่?”
“ปล่อยไว้ที่นี่นั่นแหละ”
เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้น อู่หนิงก็พยักหน้ารับ ทว่าอาการที่ผิดแปลกไปจากทุกทีของเจ้านาย ทำให้ชายหนุ่มได้แต่เก็บงำความคิดของตัวเองเอาไว้ในใจ และยิ่งได้เห็นรอยยิ้มประหลาดกับเสียงหัวเราะแผ่วของเจิ้งหยุนที่เดินออกไปก่อน เขาก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
แต่ใครจะไปคาดเดาความติดของเจิ้งหยุน เจ้านายของเขาได้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
ภายในห้องสีขาวสะอาดของโรงพยาบาล ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนหลับสนิท ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้อุณหภูมิโดยรอบอยู่ในสภาวะที่พอเหมาะ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ร่างที่นอนอยู่ก็ขยับตัว เปลือกตาทั้งสองข้างพยายามทำงานเพื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง และทันทีที่การมองเห็นกลับมาใช้งานได้เต็มที่ ภาพของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้
ฟ่านมู่เหยียน เพื่อนร่วมงานของเขา
“เฮ้! เป็นอย่างไรบ้าง!”
น้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้น ทำให้หวังหยูเฟิงได้แต่กะพริบตา ก่อนจะรู้สึกถึงลำคอที่แห้งผากและอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ชายหนุ่มขยับตัวให้ถนัดมากขึ้น
“ขอน้ำหน่อย”
คนตรงหน้ารับคำ ก่อนจะกระวีกระวาดไปรินน้ำใส่แก้วพร้อมกับใส่หลอดเพื่อความสะดวกเสร็จสรรพ หวังหยูเฟิงวางแก้วน้ำลง หลังจากได้รับความชุ่มชื้นอีกครั้ง แล้วมองใบหน้าคมคายอย่างสงสัย
“ฉันเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้กองหนุ่มเริ่มไต่ถามอาการของตัวเองจากเพื่อนสนิทพร้อมกับนั่งพิงหัวเตียงให้สบายขึ้น
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก มีแผลโดนกระสุนถากกับส่วนที่โดนยิงตรงหัวไหล่ แล้วก็รอยฟกช้ำนิดหน่อย” ฟ่านมู่เหยียนตอบ แล้วส่งยิ้มไปให้ “ยังหนังเหนียวเหมือนเดิม”
“แล้วเรื่องของถานอี้เทา” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามต่อโดยไม่สนใจคำเย้า ถึงพอจะคาดเดาเรื่องราวได้บ้างแล้วก็ตาม
“ถานอี้เทาตายไปแล้ว”
หวังหยูเฟิงถอนหายใจพลางมองอีกฝ่ายที่ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์มองใบหน้าของคนป่วยอย่างคาดคั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หยูเฟิง ตอนแรกฉันได้ข่าวว่า นายทำภารกิจสำเร็จไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าพอพวกฉันไปถึงที่เกิดเหตุ ตึกนั่นก็โดนไฟไหม้ โชคดีที่เจอนายนอนสลบอยู่อีกที่ แล้วก็ยังมีร่างของถานอี้เทาที่โดนยิงตายอีก”
“แล้วแบบนี้...หลักฐาน” หวังหยูเฟิงถามขึ้นอย่างร้อนใจ ชายหนุ่มรู้ดีว่าหลักฐานที่จะสามารถเอาผิดกับถานอี้เทาได้อยู่ในตึกหลังนั้น
“เก็บกู้ได้บางส่วน” ฟ่านมู่เหยียนตอบพลางถอนหายใจออกมา “ยังดีที่เรียกรถดับเพลิงได้ทัน แต่จริงๆ ส่วนที่เก็บได้ ก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”
“อย่างนั้นหรือ”
“ช่างเถอะ! ในเมื่อคนผิดก็ตายไปแล้ว คงไม่มีปัญญามารับโทษได้อยู่ดี ”ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อย ใส่ใจนัก ก่อนจะเริ่มสวมบทเจ้าหน้าที่ตำรวจไต่สวนเพื่อนร่วมงานของตัวเองต่อ “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน เหมือนเรื่องมันกลับตาลปัตรไปหมด เอ่อ...แล้วจับใครได้บ้างหรือเปล่า มือวางเพลิงน่ะ”
ฟ่านมู่เหยียนส่ายหน้า แล้วลอบถอนหายใจออกมา ก่อนจะถ่ายทอดเรื่องราวให้เพื่อนสนิทฟังต่อ
“ฉันกำลังตามหาอยู่นั่นแหละ ยังดีไฟนั่นไม่ได้ลามไปยังบริเวณอื่น ที่สำคัญเรื่องนี้กำลังเป็นข่าวดังเลย”
“อืม” หวังหยูเฟิงรับคำ แล้วมองไปยังหน้าต่างที่มีผ้าม่านประดับไว้อย่างครุ่นคิด
“แล้วนายมีอะไรจะบอกบ้างไหมล่ะ บอกตามตรงตอนนี้ฉันยังเริ่มต้นตามเรื่องไม่ถูกเลยเนี่ย” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยถามต่ออย่างหนักใจ
"ไม่มี”
หวังหยูเฟิงไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงบอกเพื่อนร่วมงานไปแบบนั้น ทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ถานอี้เทาหนีออกมาได้ รวมถึงการตายของบุคคลดังกล่าว แต่ทว่าเขาเองก็ไม่ต่างจากเพื่อนสนิทนัก เพราะตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรเลยเช่นเดียวกัน นอกจากบุคลิกและรูปร่าง ไม่ว่าจะหน้าตาหรือน้ำเสียง อีกฝ่ายก็ปกปิดเอาไว้เสียหมด
“ถึงจะไม่เรียกว่าสำเร็จอย่างผุดผ่อง แต่ถือว่าทำลายบ่อนการพนันแหล่งใหญ่ได้ ถานอี้เทาก็ได้รับสิ่งที่ควรได้รับแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงโทษก็ตามที”
หวังหยูเฟิงไม่ตอบคำ ใบหน้าที่ปรากฏรอยช้ำมองหน้าต่างที่มีผ้าม่านสีอ่อนประดับอยู่อีกครั้ง ภาพท้องฟ้าใสฉายผ่านบานกระจกเข้ามาในสายตา
“แล้วไม่ไปทำงานหรือ” ผู้กองหวังถามเปลี่ยนเรื่อง เขาคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อน
“ฉันลามาทำธุระ” ฟ่านมู่เหยียนตอบพลางระบายยิ้มออกมา
“ธุระ?” หวังหยูเฟิงทวนคำอย่างสงสัย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสนิท
“แหม...ก็นายอย่างไรล่ะที่เป็นธุระของฉันน่ะ” ชายหนุ่มอารมณ์ดีตอบ แล้วยกยิ้มที่มุมปาก “ฉันก็ต้องมาดูว่า เพื่อนยังสุขสบายดี ยังไม่ล้มหายตายจากไปไหน”
“ฉันยังสบายดี” หวังหยูเฟิงบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เขาอมยิ้มมองสีหน้าทะเล้นของเพื่อน
“ขอบใจที่บอก ตอนนี้ฉันก็เห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่า นายยังหายใจได้อยู่ ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงต้องกลับก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยรับพร้อมกับลุกขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ให้ตายเถอะ! ขนาดตายไปแล้ว ยังมาสร้างปัญหาไว้ให้อีก ถานอี้เทา...ช่างสมกับเป็นผู้ร้ายเสียจริง”
“ขอโทษด้วยแล้วกัน”
“ช่วยไม่ได้ ก็นายดันมาเดี้ยงแบบนี้ ก็คงต้องเป็นฉันที่โดนสารวัตรโขกสับอยู่คนเดียว นี่ก็ขอลาได้แค่ตอนเช้านะเนี่ย” ชายหนุ่มบอกพลางมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “อืม... ตอนนี้ก็เข้างานสายไปอีกสองชั่วโมง แต่ก็ช่างมันเถอะ”
“เดี๋ยวมู่เหยียน!” หวังหยูเฟิงเอ่ยรั้งคนที่กำลังจะเปิดประตูเอาไว้ ก่อนจะสบมองใบหน้าคมคายของเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างตรงไปตรงมา
“มีอะไร ถ้ารู้อะไรก็รีบบอกมา เดี๋ยวฉันต้องมานั่งปั้นเรื่องที่เข้างานสายอีก แถมยังไม่มีข้อมูลที่จะรายงานส่งเลยด้วย”
หวังหยูเฟิงมองใบหน้าเคร่งเครียดของฟ่านมู่เหยียน ซึ่งเขามองออกได้ในทันทีว่า อีกฝ่ายแค่แสร้งทำ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา
“เรื่องรายงานปิดคดีของถานอี้เทา ฉันจะทำเอง”
“แหม...เล่นพูดออกมาแบบนี้ คิดว่าฉันจะปฏิเสธว่า ไม่ต้องทำใช่ไหม” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ดีเลย! ตอนนี้งานของฉันก็สุมหัวจนไม่มีเวลาไปทำอะไรแล้ว เชิญนายรีบหาย แล้วรีบกลับไปทำงานของตัวเองด่วน”
หวังหยูเฟิงยิ้มขำกับท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเพิ่มงานให้ตัวเองเด็ดขาด แต่ชายหนุ่มรู้ดี เมื่อเขาหายป่วยและกลับไปทำงานได้ตามปกติอีกครั้ง งานทุกอย่างในส่วนที่ตัวเองควรทำจะเสร็จเรียบร้อย
“ขอบใจที่ไม่แย่งงานของฉันไปทำ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชันแกมหยอกเย้า
“ไม่เป็นไร นั่นเป็นสิ่งที่ฉันควรทำอยู่แล้ว” ฟ่านมู่เหยียนตอบรับ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “สรุปไม่มีอะไรจะบอกฉันใช่ไหม”
“อืม...อย่าทำงานจนลืมกินข้าวล่ะ”
คนฟังได้แต่หัวเราะรับ ก่อนจะเดินออกจากห้อง หวังหยูเฟิงมองบานประตูที่ปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่มีอยู่ก่อนหน้านี้จางหายไป
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เสียงเพลงสากลที่มีจังหวะเร้าใจดังก้อง ชายหนุ่มหญิงสาวต่างเคลื่อนไหวไปตามทำนองเพลงที่สนุกสนาน แสงไฟสลัวที่ส่องอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้ยากที่จะคาดเดาว่าใครเป็นใคร
ในห้องทำงานที่อยู่บนชั้นห้าของผับชื่อดังอย่างกาเบรียล เจิ้งหยุนกำลังนั่งดื่มวิสกี้พลางไล่มองตัวเลขในบัญชีรายรับและรายจ่ายของเดือนนี้อย่างใช้สมาธิ
อันที่จริงแล้วผับแห่งนี้เพิ่งเปิดได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น แต่ด้วยการบริการอย่างมีระดับ รวมไปถึงความปลอดภัยที่ลูกค้าได้รับ ทำให้สถานบันเทิงน้องใหม่โด่งดังในหมู่นักท่องราตรี ถึงแม้เจิ้งหยุนที่เป็นเจ้าของจะดูแข็งกระด้างและไม่สนใจไยดีต่อสิ่งใด แต่ผับกาเบรียลก็เปิดบริการอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นจังหวะ ก่อนที่อู่หนิงจะเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มงานที่นำไปวางไว้บนโต๊ะ ชายหนุ่มมองเจ้านายที่กำลังนั่งทำงานของตัวเองอย่างไม่สนใจใคร
“นายครับ นี่คือประวัติของตำรวจคนนั้น” อู่หนิงเอ่ยขึ้น ก่อนจะส่งแฟ้มอีกฉบับไปให้เจิ้งหยุนที่เงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาคมพราวเสน่ห์วาวขึ้นอย่างชอบใจ
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล จะกลับไปทำงานต่ออาทิตย์หน้าครับ”
“อืม...ออกไปได้แล้ว” เจ้าของห้องเอ่ยขึ้น อู่หนิงเดินออกจากห้องไปอย่างนอบน้อม
เมื่อเหลือเพียงตัวเองตามลำพัง เจิ้งหยุนก็เปิดอ่านแฟ้มที่บรรจุข้อมูลที่เขาต้องการไว้ครบถ้วน ก่อนจะมองรูปถ่ายใบหน้าตรงของเจ้าของแฟ้มประวัตินี้อย่างตั้งใจ
หวังหยูเฟิง
เด็กที่โตจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ก่อนจะสอบเข้าที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และเข้าบรรจุจนเลื่อนขั้น ตอนนี้อายุสามสิบเอ็ดปี ชอบเล่นกีฬาและถนัดการยิงปืน สถานะโสด
เจิ้งหยุนจุดยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะกลับไปมองรูปถ่ายในเครื่องแบบเต็มยศของหวังหยูเฟิงราวกับถูกมนต์สะกด ความรู้สึกบางอย่างได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
ตั้งแต่วันที่ได้เจอกันจนถึงตอนนี้ เจิ้งหยุนก็ไม่อาจลบภาพของนายตำรวจจอมถือดีราวกับแมวป่าคนนั้นไปได้ เขาไม่เคยครุ่นคิดถึงใครแบบนี้มาก่อน
เจิ้งหยุนวางแฟ้มที่อ่านจนจำข้อมูลได้ขึ้นใจลง แล้วเอนตัวกับพนักพิงนุ่มอย่างเกียจคร้าน ดวงไฟสีนวลส่องให้ห้องทำงานที่เงียบเหงาดูอบอุ่นขึ้นราวกับถูกโอบล้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น ชายหนุ่มวาดยิ้มบางพลางยกมือที่มีรอยแผลของตัวเองขึ้นล้อกับแสงไฟบนเพดาน
มือสีขาวปรากฏรอยช้ำจาง เพราะไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ควร ชายหนุ่มอมยิ้มขึ้น ยามนึกถึงเจ้าของที่ฝากรอยแผลนี้เอาไว้
ฟันคมดีจริงๆ...คุณตำรวจ
นัยน์ตาสีดำสนิททอแววอ่อนโยนลง เมื่อนึกถึงใบหน้าจริงจังดวงนั้น ชายหนุ่มไม่เคยนึกเลยด้วยซ้ำว่า จะมีวันที่คนอย่างเขาจะลุ่มหลงใครสักคนอย่างง่ายดายแบบนี้
ซ้ำร้ายคนที่เขาหมายตากลับไม่ใช่หญิงสาวสวยงามหยดย้อยหรือนางฟ้าบนดินที่ไหน แต่เป็นนายตำรวจหนุ่มหน้าตาธรรมดาและมีท่าทางจริงจังในชีวิต ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็ไม่เห็นความสวยงามแม้แต่น้อย ทว่าเสน่ห์ของผู้ชายคนนั้นกลับแสดงออกมาอย่างชัดเจน
เจิ้งหยุนยังจำสายตาดุดันที่ตรึงความรู้สึกของเขาได้ติดตา มันทั้งร้อนแรงและสั่นคลอนความรู้สึกจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
อยากได้...
นี่คงเป็นความรู้สึกเดียวที่เขากลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ และแน่นอนว่าไม่มีอะไรที่เจิ้งหยุนอยากได้ แล้วจะไม่ได้
แล้วจะเป็นอะไรไหม... ถ้าจะถือว่ารอยแผลนี้เป็นสิ่งของแทนใจที่อีกฝ่ายฝากไว้ให้
ชายหนุ่มลดมือของตัวเองลงพลางมองรอยแผลที่อยู่บนมือราวกับของรักของหวง ก่อนริมฝีปากบางสีอ่อนจะแนบลงบนรอยแผลนั้นแผ่วเบา
TBC++++++++ 03 เงาที่มองไม่เห็น
Marionetta ก็ยังมาเรื่อยๆ ค่ะ ความจิตของอิเจิ้งก็กำลังตามมาเรื่อยๆ เหมือนกัน อิอิ ขอบคุณค่ะ :o8:
-
:katai2-1:
-
03
เงาที่มองไม่เห็น
หลังจากหวังหยูเฟิงพักฟื้นได้ครบหนึ่งอาทิตย์ ชายหนุ่มก็ดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติอย่างที่ผ่านมา เมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ทำงานในตอนเช้า เสียงทักทายของบรรดาลูกน้องและเพื่อนร่วมงานก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ผู้กองหวังหายดีแล้วนะครับ”
“อืม หายดีแล้วล่ะ ขอบใจ”
“ผู้กองหวังคะ ดิฉันได้ยินข่าว ยังห่วงว่าจะเป็นอะไรมาก”
“โชคดีที่ผมดวงแข็งน่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก ขอบใจที่เป็นห่วง”
หวังหยูเฟิงพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่ต่างก็พากันถามไถ่อาการของเขา จนกระทั่งเดินมาถึงห้องทำงานของตัวเอง
“แหม...วันนี้คึกคักดีจริงๆ”
ฟ่านมู่เหยียนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม พร้อมกับมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยืนจัดโต๊ะทำงานของตัวเองอยู่ เมื่อเจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมามอง ชายหนุ่มก็ยักคิ้วให้เป็นเชิงทักทาย
“ก็ผู้กองหวังกลับมาทำงานได้ปกติแล้วนี่คะ” เว่ยเจียวเซิน นายตำรวจสาวที่ดูแลด้านเอกสารเอ่ยขึ้น
“อะไรกัน ตอนนั้นผมก็เข้าโรงพยาบาล พอกลับมาทำงาน ไม่เห็นจะเป็นแบบนี้” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยท้วงกับหญิงสาวอย่างต้องการความยุติธรรม
“อะไรกันคะ ก็ผู้กองหวังไปทำงานนะคะ ส่วนผู้กองฟ่านน่ะ ที่เข้าโรงพยาบาลเพราะดันไปกินของแสลงนี่คะ”
เรื่องราวน่าอายที่ดังขึ้น เรียกเสียงหัวเราะจากตำรวจหลายคนได้ไม่น้อย ก่อนคนที่ตกเป็นหัวข้อดังกล่าวจะหน้าบึ้ง แล้วดีดหน้าผากของหญิงสาวตรงหน้าเบาๆ เป็นการลงโทษ
“ทีเรื่องแบบนี้ หมวดเว่ยจำละเอียดจังเลยนะ”
เว่ยเจียวเซินจับหน้าผากของตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย แต่เธอก็อดแสร้งชักสีหน้าขึ้นมาไม่ได้ หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเง้างอน
“เจ็บนะคะผู้กอง!”
ฟ่านมู่เหยียนไม่สนใจ แล้วเดินไปหาเพื่อนสนิทพลางเท้าแขนลงบนโต๊ะทำงานที่จัดอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยของเจ้าของ
“ตอนเก้าโมงสารวัตรเรียกประชุม จะได้สรุปปิดคดีให้มันจบๆ ไป”
“อืม”
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดคุยกันต่อ ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ช่อโต ซึ่งสามารถเรียกสายตาจากบรรดาผู้คนในสถานีตำรวจได้ไม่น้อย
“ตายจริง! นั่นของหมวดเหอหรือคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยถามขึ้น เธอมองชายหนุ่มที่ถือช่อดอกไม้อย่างใคร่รู้
“ไม่ใช่ครับ ของผู้กองต่างหาก” เหอผิงตอบด้วยรอยยิ้ม
ผู้กองหนุ่มทั้งสองคนมองดอกไม้ช่อสวยตรงหน้าอย่างแปลกใจ ก่อนที่ฟ่านมู่เหยียนจะยิ้มออกมา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“สงสัยเสี่ยวโหยวจะส่งมาให้ผม น่ารักแบบนี้ต้องให้รางวัลหน่อยแล้ว”
ฟ่านมู่เหยียนยิ้มแก้มปริพลางยื่นมือจะไปรับช่อดอกไม้ที่แฟนสาวส่งมาให้ ทว่าเหอผิงกลับเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของคนตรงหน้า
“ไม่ใช่อีกนั่นแหละครับ เป็นของผู้กองหวังต่างหาก”
“ของผมหรือ”
หวังหยูเฟิงแสดงสีหน้างุนงงอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะรับดอกไม้ช่อโตตรงหน้า ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
"แล้วใครเป็นคนส่งมาให้หรือ”
“ไม่ทราบสิครับ แต่เป็นบริษัทเอกชนที่บริการส่งดอกไม้ทั้วไป” เหอผิงเอ่ยตอบ ก่อนจะแซวผู้กองหนุ่ม “อะไรกันครับเนี่ย หยุดงานไปอาทิตย์เดียว พอกลับมา ก็มีช่อดอกไม้ส่งมาให้”
“นั่นสิ นี่แอบไปปล่อยเสน่ห์ใส่หมอหรือพยาบาลคนไหนหรือเปล่า ร้ายเอาเรื่องเหมือนกันนี่หว่า” ฟ่านมู่เหยียนแซวต่อด้วยสีหน้าล้อเลียน
“เปล่า” หวังหยูเฟิงปฏิเสธเสียงแข็งพลางมองช่อดอกทานตะวันที่ถูกจัดช่อด้วยริบบิ้นสีแดงเข้มอย่างสวยงาม ชายหนุ่มพลิกไปมาอย่างพิจารณา
“ไม่มีการ์ดอะไรบอกเลยครับ” เหอผิงบอก เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชามองหาอะไรบางอย่างในช่อดอกไม้ที่กำลังถืออยู่
“สวยมากเลยนะคะ คงราคาแพงน่าดู ไม่รู้ว่าผู้กองหวังไปแอบหว่านเสน่ห์ใครเข้านะคะเนี่ย” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้น แล้วหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ
“อืม ช่อดอกไม้ส่วนใหญ่มักจะใช้ดอกกุหลาบ ลิลลี่ หรือไม่ก็คาร์เนชั่น ไม่ค่อยเห็นคนเอาดอกทานตะวันมาจัดช่อเท่าไรเลย” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น เขามองสิ่งที่เพื่อนกำลังถืออยู่อย่างสงสัย
“ก็ใช่นะคะ ดิฉันก็ไม่ค่อยเจอเหมือนกัน หรือว่ามันจะมีความนัยอะไรแอบแฝงหรือเปล่าคะ” เว่ยเจียวเซินแสดงความคิดเห็น เธอมองช่อดอกทานตะวันอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน
จากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ บัดนี้กลับเงียบสนิท สายตาทั้งสี่คู่มองมาที่ช่อดอกไม้ปริศนาอย่างครุ่นคิด
“หรือเอาไปตรวจหน่อยดี เผื่อผู้ไม่ประสงค์ดีส่งมาให้” ฟ่านมู่เหยียนเสนอความคิดของตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น เขาฉวยช่อดอกไม้ที่เพื่อนถืออยู่มาพลิกไปพลิกมาเพื่อมองหาความผิดปกติ
“แหม...มันคงไม่ได้ซ่อนระเบิดมาหรอกนะคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขำๆ อย่างพยายามคลายบรรยากาศที่ดูจะเคร่งเครียดขึ้น
“ผมลองดูแล้วครับ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ คนส่งดอกไม้ ผมก็ขอดูบัตรพนักงานและแน่ใจว่าเป็นพนักงานของร้านจริงๆ” เหอผิงเอ่ยย้ำ ทว่ายังไม่ละสายตาไปจากช่อดอกไม้เจ้าปัญหา
“ขืนส่งไปตรวจสอบ ช่อดอกไม้สวยๆ ก็เละหมด ถ้าคนส่งมารู้ทีหลัง จะเสียใจเอานะคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้น ทั้งที่ใบหน้าสวยยังแสดงความไม่แน่ใจ
“อืม แล้วนายว่าอย่างไร” ฟ่านมู่เหยียนหันไปถามเพื่อน อย่างน้อยก็ควรให้เจ้าของได้เป็นคนตัดสินใจเองจะดีกว่า
“คงไม่มีอะไรหรอก” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ ฟ่านมู่เหยียนก็พยักหน้ารับ ทว่าใบหน้ายังไม่คลายความสงสัย เขาส่งช่อดอกไม้คืนให้เจ้าของ
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปเคลียร์งานก่อนแล้วกัน เจอกันที่ห้องประชุม”
หลังจากลับหลังฟ่านมู่เหยียนไปแล้ว เว่ยเจียวเซินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองเหอผิงที่ยิ้มบาง แล้วเดินไปทำงานของตัวเองต่อ หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ผู้กองหนุ่มที่ยังมองช่อดอกไม้ของตัวเองอยู่
“ผู้กองหวังก็ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ อาจจะเป็นใครสักคนที่ส่งมาเป็นกำลังใจให้ก็ได้นะคะ”
“อืม”
“แต่ว่า...เรื่องความนัยของดอกไม้ ผู้กองหวังไม่อยากรู้หรือคะ”
หวังหยูเฟิงมองเว่ยเจียวเซินที่คลี่ยิ้มสวย ถึงเขาจะชอบอ่านหนังสือและหาความรู้รอบตัวในเวลาว่าง แต่ก็ไม่เคยสนใจเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้เท่าไรนัก
"หมวดเว่ยรู้ความหมายของมันหรือ"
"ดิฉันคิดว่า ผู้กองหวังหาความหมายด้วยตัวเองดีกว่าค่ะ"
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ห้องประชุมขนาดกลางเต็มไปด้วยความเงียบ หน้าจอขนาดใหญ่ตรงหน้าห้องกำลังฉายภาพพร้อมกับเสียงบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเพื่อสรุปผลในการทำรายงานปิดดคีต่างๆ
“ครับ นี่คือข้อมูลที่เรามีทั้งหมดในตอนนี้” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น เมื่อชายหนุ่มรายงานถึงผลการทำงานในขณะนี้ให้ผู้รับผิดชอบและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ
"คุณมีอะไรอยากเพิ่มเติมไหม ผู้กองหวัง” สารวัตรใหญ่ผู้เป็นประธานในการประชุมเอ่ยถาม หลังจากฟังผลการรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา
“ผมคิดว่าประเด็นของการวางเพลิงครั้งนี้มาจากมือที่สาม”
“หมายความว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกงเจ๋อตวนอย่างนั้นหรือ”
“ครับ มันไม่สมเหตุสมผลที่กงเจ๋อตวนจะมาวางเพลิง เพราะถ้าเกิดลงมือจริง ก็น่าจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เราจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด ชายหนุ่มพยายามโยงเหตุการณ์ต่างๆ ทว่าไม่อาจเชื่อมต่อกับกลุ่มคนปริศนาที่ฆ่าถานอี้เทาได้
“ที่จริงผมก็เห็นด้วยกับผู้กองหวังนะครับ แต่ก็ไม่น่าจะมีใครอุกอาจหรือกล้าต่อกรกับถานอี้เทาได้ นอกจากกงเจ๋อตวน” ฟ่านมู่เหยียนย้ำเนื้อความของเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณได้เห็นถานอี้เทาก่อนเสียชีวิตหรือเปล่าผู้กองหวัง” สารวัตรเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับสายตาทุกคู่ในห้องประชุมที่พุ่งตรงมา หวังหยูเฟิงสูดลมหายใจลึก
“เห็นครับ แต่ว่าผมไม่สามารถระบุคนร้ายได้ เนื่องจากเห็นใบหน้าบางส่วนและเหมือนพวกนั้นจะวางแผนมาก่อนหน้านี้”
ทุกคนส่งเสียงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ก่อนที่ผู้เป็นประธานในการประชุมจะส่งสัญญาณให้เงียบเสียงอีกครั้ง นัยน์ตาคมที่ผ่านประสบการณ์มามากมายกวาดมองโดยรอบ แล้วหยุดตรงนายตำรวจหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์
“หมายความว่าคุณไม่สามารถตามหาคนร้ายได้อย่างนั้นหรือ”
“เท่าที่ผมพอจะคาดเดาได้ คนร้ายรู้จักกับถานอี้เทา แต่ว่าอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง ทำให้ต้องจัดการถานอี้เทาแบบนั้น พวกนั้นไม่ใช่มือปืนรับจ้าง เหมือนจะเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นตามที่ตัวเองรับรู้
“นอกจากถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนที่เป็นผู้มีอิทธิพลมืดรายใหญ่ในเมืองนี้ ยังจะมีอีกกลุ่มหนึ่งอย่างนั้นหรือ” นายตำรวจท่านหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“อาจจะใช่แล้วก็ไม่ใช่” หวังหยูเฟิงตอบรับได้แค่นั้น ชายหนุ่มไม่รู้แม้แต่น้อยว่า ความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่
"ถึงแม้การตายของถานอี้เทาจะยังเป็นปริศนา แต่โดยรวมเบื้องบนก็พอใจกับการทำงานในครั้งนี้อยู่" สารวัตรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบมั่นคง ท่าทีสุขุมเยือกเย็น ทำให้ทุกคนภายในห้องประชุมรับฟังอย่างยำเกรง “แต่ว่าเราก็อย่าได้วางใจ เราต้องสืบหาให้ได้ว่า ใครที่ยิงถานอี้เทา รวมถึงการวางเพลิงในครั้งนี้ด้วย”
“ผมคิดว่า ทั้งสองคดีต้องมาจากกลุ่มเดียวกันแน่” ฟ่านมู่เหยียนแสดงความคิดเห็น สารวัตรใหญ่ตอบรับด้วยการมองเพียงเล็กน้อย ก่อนสายตาจะมองตรงไปยังผู้ร่วมประชุมทุกคน
“ผมก็คิดแบบนั้น สิ่งที่เราต้องสืบต่อไปก็คือพวกมันเป็นใคร”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
แสงแดดที่แผดร้อนยามเที่ยงวันส่องประกายจ้า เจิ้งหยุนลงมาจากรถยนต์คันหรู ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยแว่นตาสีชาเข้ากับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่คลุมทับเสื้อกล้ามอย่างมีสไตล์ เขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตอนนี้มีบรรดาคนรับใช้เข้ามาต้อนรับ ก่อนจะส่งสัญญาณบอกให้อู่หนิงที่ติดตามรออยู่ข้างนอก
เจิ้งหยุนเดินผ่านห้องโถงที่ตกแต่งสไตล์ตะวันตกอย่างสวยงามไปยังห้องรับแขกที่อยู่ด้านใน ซึ่งมีกงเจ๋อตวนกำลังนั่งรออยู่บนชุดโซฟารับแขกหนังแท้ที่แพงระยับ
"มาเร็วดีจริง" เจ้าบ้านเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี ใบหน้าของชายวัยห้าสิบปีเศษแต้มรอยยิ้มชัดเจน
“ผมเป็นคนตรงต่อเวลาน่ะ” เจิ้งหยุนตอบรับ ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยไม่ได้มีท่าทีเกรงใจเจ้าบ้านแม้แต่น้อย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไร
“เอาของว่างหน่อยไหม”
“ขอบคุณ แต่คงต้องขอปฏิเสธ”
กงเจ๋อตวนไม่ได้ทักท้วงอะไร เขาหันไปสนใจหญิงสาวแรกรุ่นสองคนที่อยู่ในอ้อมแขน เจิ้งหยุนมองผู้ชายตรงหน้าอย่างเย็นชา ทว่าอีกฝ่ายกลับยกยิ้มขึ้น แล้วซุกไซ้ลำคอขาวของสาวน้อยที่ร้องครางด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
น่าสะอิดสะเอียนเป็นบ้า!
เจิ้งหยุนบริภาษกงเจ๋อตวนอยู่ในใจ แล้วยื่นเอกสารวางไว้บนโต๊ะรับแขกเพื่อทำธุระของตัวเองต่อ เขาไม่อยากอยู่ที่นี่นานเกินความจำเป็น
“นี่คือเอกสารที่คุณต้องการ”
“โอ้! รบกวนคุณแย่”
กงเจ๋อตวนระบายยิ้มรับ ก่อนจะหยิบเอกสารที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ทั้งหมดของถานอี้เทาขึ้นมาดูอย่างพอใจ คู่แข่งแสนน่ารำคาญที่ตอนนี้สิ้นชื่อ ไม่สิ...สิ้นชีวิตไปแล้วต่างหาก ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองทุกอย่างที่หมายมาดเอาไว้
ผู้มีอิทธิพลใหญ่มองชายหนุ่มผมยาวอย่างชื่นชม นอกจากเป้าหมายที่ตกลงกันเอาไว้จะเสร็จลุล่วงทันใจแล้ว สิ่งที่เหนือความคาดหมายไปกว่านั้น ก็คือการที่เจิ้งหยุนจัดการถานอี้เทาจนอยู่หมัด เดิมทีเขาก็ไม่นึกใส่ใจด้วยซ้ำ เมื่อคนตรงหน้าเสนอจะเอาสมบัติทั้งหมดของไอ้เลวนั่นมาให้
ถึงแม้ในปัจจุบันตระกูลเจิ้งจะทำธุรกิจขาวสะอาดต่างจากสมัยก่อน แต่ก็คงมีเขี้ยวเล็บซ่อนอยู่ นอกจากจะทำงานรอบคอบจนตำรวจตามกลิ่นไม่เจอแล้ว ความเหี้ยมของผู้ชายคนนี้ก็ยังทำให้เขาถูกใจ
“ไม่นึกว่าคุณจะจัดการเร็วขนาดนี้”
“ผมก็ทำไปตามเรื่อง ไม่อยากให้มันค้างคา”
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกคุณเจิ้ง” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้มือนวดคลึงทรวงอกเต่งตึงของหญิงสาวอย่างเพลิดเพลิน “แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ไม่ได้ให้คุณฆ่ามันหรอกนะ”
“อันนั้นเป็นบริการเสริม” เจิ้งหยุนตอบเสียงนิ่ง แล้วนึกสมเพชในความหื่นกามไม่เลือกเวลาของคนตรงหน้าไปด้วย
“ฮ่าๆ บริการดีแบบนี้ ผมจะได้ไปบอกต่อว่าคุณทำงานดีแค่ไหน”
“ไม่จำเป็น ผมไม่ได้ต้องการทำงานให้ใคร”
เจิ้งหยุนหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเห็นสายตาเชื่อมหวานของหญิงสาวข้างกายของเจ้าบ้าน ชายหนุ่มไม่ได้หลบตา ก่อนจะหันไปมองกงเจ๋อตวนที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“อะไรกัน! คุณจะบอกว่า เรื่องนี้คุณไม่ได้ทำงานให้ผมหรือ”
“คุณแค่บังเอิญตอบโจทย์ของปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับผมได้เท่านั้น”
“หมายความว่าอย่างไร”
“คุณคงไม่คิดว่า ผมจะโง่เอาเผือกร้อนมาถือไว้เองหรอกนะ”
น้ำเสียงเย่อหยิ่งอย่างถือดี เรียกนัยน์ตาเรียวให้เป็นประกาย ก่อนที่ กงเจ๋อตวนจะหัวเราะเบาๆ
“แต่คุณแน่ใจว่า ตำรวจจะไม่ตามมาถึงตัวผม?”
“นั่นก็ขึ้นอยู่ว่า คุณจะจัดการกับเผือกร้อนชิ้นนี้อย่างไร ซึ่งนั่นไม่เกี่ยวกับผม”
“ปัดภาระมาให้ผมชัดๆ”
กงเจ๋อตวนมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้าเขม็ง แล้วยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เมื่ออีกฝ่ายยังมีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่เขาจะเรียกให้ลูกน้องหยิบเช็คเพื่อจ่ายค่าจ้างสำหรับงานครั้งนี้
“นี่คือเงินของคุณ”
เจิ้งหยุนรับเช็คแผ่นบางแต่มูลค่ามากมายกว่าที่เห็นหลายร้อยหลายพันเท่า ก่อนจะลุกขึ้นยืน เมื่อหมดธุระที่นี่แล้ว
“จะกลับแล้วหรือ อยู่คุยด้วยกันก่อนสิ”
“ผมมีอย่างอื่นต้องทำต่อ”
“แหม...เจ้าของผับอย่างคุณคงจะยุ่งจนหัวหมุน ทำไมไม่ลองมาร่วมงานกับผมดูล่ะ คุณเป็นคนมีฝีมือนะ ผมชอบ”
“อย่าดีกว่า เป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว ผมไม่ชอบคลุกคลีกับอะไรที่ผิดกฏหมาย”
“พูดแบบนี้ผมเสียหายนะ เอาน่า... จะไม่เก็บไปคิดหน่อยหรือ”
“ขี้เกียจคิด ขอบคุณที่ชวน”
ในขณะที่เจิ้งหยุนหันหลังเดินออกจากห้องรับแขกที่หรูหรา เสียงหัวเราะของเจ้าบ้านก็รั้งชายหนุ่มเอาไว้
“ถ้าเปลี่ยนใจก็มาบอกผม เรื่องเงินเราตกลงกันได้อยู่แล้ว คุณก็รู้ว่าผมเป็นพวกกล้าได้กล้าเสีย”
ชายหนุ่มแค่นเสียงในลำคอรับอย่างนึกรำคาญ ท่าทางไม่แยแสต่อสิ่งใดที่แสดงออกมา ทำให้คนที่หว่านล้อมยิ้มขึ้นอย่างถูกใจมากกว่าเดิม
“ใจแข็งจริง! เอาผู้หญิงกลับไปกอดเล่นสักคนไหมล่ะคุณเจิ้ง ถือว่าเป็นของตอบแทนเล็กน้อยของผม”
เจิ้งหยุนหันหลังกลับมามอง ก่อนจะปรายตาไปทางผู้หญิงสองคนที่กำลังช้อนตามองอย่างยั่วยวน เรือนร่างบอบบางอ้อนแอ้นสวมทับด้วยเสื่อผ้าที่หลุดรุ่ยจนแทบจะเปลือยเปล่า
หึ! ใครจะไปเอาของแบบนั้นของแกกัน…
“อ๊ะ! แต่ไม่ใช่สองคนนี้หรอกนะ เพราะผมหวง” กงเจ๋อตวนเอ่ยหยอก ซึ่งต่างจากสีหน้าของหญิงสาวทั้งสองคนที่แสดงความเสียดายอย่างชัดเจน
เจิ้งหยุนยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อใบหน้าของใครคนหนึ่งเข้ามาในความคิดอย่างไร้สาเหตุ ก่อนจะปฏิเสธน้ำใจที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้อีกครั้ง
“ตอนนี้ผมไม่สนใจผู้หญิงน่ะ”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากการประชุมจบลง หวังหยูเฟิงก็นัดแนะกับฟ่านมู่เหยียนเพื่อมาสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เขาก็ยังไม่ได้มาดูด้วยสายตาของตัวเอง ได้แต่ติดตามเรื่องราวทั้งหมดผ่านรายงานที่เพื่อนสนิททำเท่านั้น
เมื่อพวกเขามาถึง ภาพของซากตึกที่ถูกไฟไหม้ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า หวังหยูเฟิงเดินสำรวจรอบบริเวณที่ถูกจำกัดเป็นพื้นที่อันตรายอย่างระมัดระวัง นอกจากจะเป็นสถานที่เกิดคดีแล้ว โครงสร้างของตึกที่ได้รับความเสียหาย อาจจะร่วงหล่นจนทำให้ได้รับบาดเจ็บได้
“ตรงนี้ที่เจอนายนอนสลบอยู่”
หวังหยูเฟิงมองตามปลายนิ้วที่ชี้บอกของฟ่านมู่เหยียน สัญลักษณ์ที่แต้มด้วยสเปรย์สีแดงบนพื้นซีเมนต์ฉายชัด เขาขมวดคิ้ว แล้วมองไปทางประตูที่เป็นทางออกของบันไดหนีไฟต่อ
“มันจะไม่เกลี้ยงขนาดนี้ ถ้าคนร้ายไม่วางเพลิงกลบร่องรอยจนจะสืบจากลายนิ้วมือก็ยังยาก” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก
“ลองไปสืบทางฝั่งของกงเจ๋อตวนแล้วหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามพร้อมกับกวาดตามองโดยรอบอีกครั้งเพื่อหาร่องรอยบางอย่างที่อาจจะหลุดรอดสายตาไป
“อืม ที่จริงก็มีตำรวจอีกกลุ่มจับตามองกงเจ๋อตวนอยู่ มีรายงานมาว่า ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกคิ เพราะพวกมันก็คงจะระวังตัวอยู่เหมือนกัน"
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับคำบอกเล่าของเพื่อน สายลมพัดผ่านจนรู้สึกถึงฝุ่นควันและเขม่าเบาบาง นัยน์ตาสีนิลทอดมองพื้นที่ตรงหน้า ทว่าสิ่งที่ส่งตรงไปถึงสมองกลับเป็นผู้ชายนิรนามในอดีตคนนั้น
พวกมันเป็นใครกัน
TBC++++++++ 04********เหตุร้ายจากความบังเอิญ****
Marionetta มาลงฉลองคริสต์มาสค่ะ แต่เนื้อหานี่คนละแนวกันเลย 555 ้เฟิงเฟิงยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกเล็งอยู่ อิอิ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
-
:katai2-1:
-
:pig4: :L2:
-
04
เหตุร้ายจากความบังเอิญ
หลังจากแยกย้ายกับฟ่านมู่เหยียน หวังหยูเฟิงก็มาซื้อของใช้ที่ห้างสรรพสินค้าต่อ ชายหนุ่มใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงก็ได้ของที่ต้องการครบถ้วน แต่ทว่าเมื่อเขากำลังขับรถออกจากลานจอดรถ รถยนต์คันหนึ่งก็ขับตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ปึง!
รถยนต์ของหวังหยูเฟิงสั่นสะเทือนไปทั้งคัน นัยน์ตาสีดำเบิกกว้างด้วยความตกใจ หลังจากควบคุมสติกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้สำเร็จ จังหวะของชีวิตที่เหมือนหยุดเต้นไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก็กลับมาทำงานเป็นปกติ
นายตำรวจเคราะห์ร้ายถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธที่ปะทุขึ้นภายใต้สีหน้าเรียบเฉยไม่ต่างจากลมสงบก่อนพายุมา
หวังหยูเฟิงเดินลงจากรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย แล้วมองดูสภาพยานพาหนะคันเก่งของตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ
ให้ตายเถอะ!
ผู้กองหวังสบถกับตัวเองในใจ เมื่อเห็นประตูด้านที่นั่งข้างคนขับยุบจนไม่ได้รูป ถ้าอีกฝ่ายเหยียบเบรกไม่ทัน เขาก็คงโดนอัดเละไม่ต่างกัน
"ขอโทษครับ! คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า!"
เสียงทักของคู่กรณี ทำให้หวังหยูเฟิงต้องหันไปมอง ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความกังวลและตกใจจนเหมือนตื่นตระหนก แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจกลับเป็นรูปร่างที่คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูกเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน โดยเฉพาะเส้นผมสีดำที่ถูกมัดไว้ด้านหลัง แต่คนที่มีรูปร่างแบบนี้ก็มีอยู่เกลื่อนสายตาเช่นเดียวกัน
"พอดีผม..."
"คุณมีใบขับขี่หรือเปล่า"
สัญชาตญาณความเป็นตำรวจสั่งให้หวังหยูเฟิงถามไปแบบนั้น ชายหนุ่มคู่กรณีรีบกลับไปที่รถยุโรปคันโตที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อย แล้วกลับมาหาเขาอีกครั้งพร้อมกับใบขับขี่ที่ส่งมาให้ดู
'เจิ้ง หยุน'
นัยน์ตาแวววาวสีดำอ่านข้อความบนบัตร ก่อนจะเลื่อนไปมองคนตรงหน้าเขม็ง แล้วส่งใบขับขี่คืนให้ เมื่อไม่พบความผิดปกติอะไร นอกจากทักษะการขับรถที่เข้าขั้นอันตรายต่อคนรอบข้าง
“ผมว่าคุณควรเรียกประกันมาได้แล้วนะครับ คุณเจิ้ง”
“เอ...คุณรู้จักผมด้วยหรือครับ!”
“ผมอ่านจากใบขับขี่ของคุณ”
“ครับ เดี๋ยวผมขอตัวโทรเรียกประกันมาดูก่อน”
หวังหยูเฟิงพยักหน้า เขาลอบมองท่าทางสุภาพปนซื่อของคู่กรณีอย่างนึกอ่อนใจ ความสงสัยที่มีอยู่คลายลง เมื่อเห็นสภาพรถยนต์ของตัวเองอีกครั้ง
"รอสักครู่นะครับ คุณ..."
"หวังหยูเฟิงครับ"
"อ่าครับ...คุณหวัง เรื่องค่าเสียหายทั้งหมด ผมจะเป็นคนรับผิดชอบเองครับ ไม่ต้องกังวล"
"มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว"
หวังหยูเฟิงถอนหายใจ แล้วเดินไปหยิบสิ่งของที่จำเป็น รวมไปถึงของใช้ทั้งหมดที่เพิ่งซื้อมาจัดเตรียมให้เรียบร้อย เพราะรถยนต์คันนี้คงได้ไปอู่แทนที่จะกลับบ้านพร้อมกับเขา
หลังจากรอได้เพียงไม่นาน พนักงานจากบริษัทประกันภัยก็มาจัดการเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร ผู้กองหนุ่มก็หยิบทุกอย่างที่เตรียมเอาไว้ แล้วตั้งใจจะไปเรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางกลับบ้าน
"ถ้าไม่รังเกียจ ให้ผมไปส่งไหมครับ"
หวังหยูเฟิงหันไปมองอีกฝ่ายที่ฉายความรู้สึกผิดอยู่เต็มใบหน้า แล้วลอบถอนหายใจออกมา
"ไม่เป็นไรครับ ผมกลับเองจะสะดวกกว่า"
"ไม่จริงหรอกครับ ผมไปส่งสะดวกกว่าอยู่แล้ว ที่จริง...ผมรู้สึกผิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น"
"คุณได้รับผิดชอบในส่วนของคุณพอแล้ว"
"แต่ผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ถ้าผมไม่ได้ไปส่งคุณเพื่อไถ่โทษของตัวเอง คืนนี้ผมคงนอนไม่หลับ"
"ลำบากคุณเอาเปล่าๆ"
"ไม่เลยครับ ถ้าคุณปฏิเสธต่างหากที่ทำให้ผมลำบากใจ"
หวังหยูเฟิงสบสายตากับเจิ้งหยุนเหมือนต้องการค้นหาความนัยจากแววตาสีเข้มที่เต็มไปด้วยความจริงจัง ก่อนจะลอบถอนหายใจอีกครั้งอย่างจนใจ ถึงแม้จะมีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขารู้สึกแปลกก็ตาม แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วจนคล้ายเป็นภาพลวงตาหรือสิ่งที่จินตนาการไปเอง
"ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณด้วยก็แล้วกัน"
เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้น เขาเดินไปช่วยถือของ พลันสายตาก็ปะทะกับเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คนตรงหน้าถืออยู่
"คุณหวังเป็นตำรวจหรือครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ และเมื่อหวังหยูเฟิงตอบรับ เขาก็ยิ้มแห้งออกมา "แล้วแบบนี้ผมจะโดนข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือเปล่าครับเนี่ย"
“มันเป็นอุบัติเหตุ” หวังหยูเฟิงบอกเสียงเรียบ แล้วมองอีกฝ่ายที่มีรอยยิ้มต่างไปจากเดิม
"โชคดีที่เป็นอุบัติเหตุ ไม่อย่างนั้นผมคงแย่" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินนำไปที่รถยนต์ของตัวเอง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ถึงแม้จะระแวงการขับรถของเจิ้งหยุน แต่ตลอดการเดินทางก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทำให้ผู้กองดวงตกอดคิดขึ้นมาด้วยความข้องใจไม่ได้ว่า เหตุใดเจ้าของรถคันนี้ถึงได้มีทักษะการขับรถล้มเหลวในช่วงเวลานั้นขึ้นมาได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะอ้างว่าลดความเร็วไม่ทันก็ตาม แต่ทำไมต้องใช้ความเร็วขนาดนั้นในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าด้วย
หวังหยูเฟิงเก็บงำความคิดอยู่ในใจ เขาปรายตามองคนขับเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังเส้นทางที่คุ้นเคย
ถึงหวังหยูเฟิงจะเป็นตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เป็นพวกขี้ระแวงสิ่งรอบตัวจนกลายเป็นคนวิตกจริต เขาไม่อยากให้ความสงสัยก่อเกิดเป็นอคติจนมองใครในแง่ร้ายโดยใช่เหตุ
ความคิดเป็นสิ่งที่หมุนเวียนอย่างรวดเร็ว การควบคุมไม่ให้สิ่งที่ไหลผ่านสมองวิ่งเตลิด ก็คือการฝึกฝนจิตใจของตัวเอง แล้วหวังหยูเฟิงก็เชื่อมั่นว่า ตัวเองทำสิ่งนั้นได้ดีเสมอ
หากไม่มีหลักฐานหรือเหตุจูงใจมากพอ มันก็แค่ความโชคร้ายครั้งหนึ่งในชีวิตของเขาเท่านั้น แล้วคนเราก็คงมีโชคชะตาที่ตกอับดวงกุดได้ไม่กี่ครั้งนักหรอก
"จอดตรงนั้นก็ได้"
"ครับ"
เมื่อรถยนต์จอดที่หน้าทางเข้าของอพาร์ตเมนต์ หวังหยูเฟิงก็หยิบสิ่งของของตัวเอง แล้วหันไปเปิดประตูรถ
"เดี๋ยวครับ! คุณหวัง" เจิ้งหยุนเรียก ก่อนจะส่งนามบัตรของตัวเองไปให้ "มีอะไรติดต่อได้ตลอดเวลาเลยนะครับ"
"ขอบคุณ" หวังหยูเฟิงตอบรับ แล้วสอดนามบัตรใส่กระเป๋าเสื้ออย่างไม่ค่อยสนใจนัก แต่ไม่ทันจะได้ปิดประตูรถ เสียงของคนที่มาส่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง
"แล้วคุณจะไม่แลกนามบัตรกับผมหน่อยหรือครับ"
“ถ้าคุณมีอะไร ก็ติดต่อผมที่สถานีตำรวจก็แล้วกัน”
เจิ้งหยุนมองนายตำรวจที่เดินหายเข้าไปในอพาร์ตเมนต์แล้วแค่นยิ้มออกมา เขาหยิบแว่นกันแดดมาใส่ ก่อนจะเร่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนไปตามถนนใหญ่อีกครั้ง
ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเท่าไร...
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
ทุกเช้าหวังหยูเฟิงจะต้องขับรถคันเก่งของตัวเองไปทำงาน ทว่าในวันนี้ชายหนุ่ยต้องเดินทางเบียดเสียดคนในรถไฟใต้ดิน ก่อนจะขึ้นรถโดยสารประจำทางมาลงหน้าสถานีตำรวจ
"อ้าว! ผู้กองหวัง! รถไปไหนล่ะครับ ถึงได้โหนรถเมล์มากับผม"
คนถูกทักหันไปมองต้นเสียงจากด้านหลัง ใบหน้าซื่อของเหอผิงแสดงความสงสัย หวังหยูเฟิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้ แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็เเดินมาด้วยกัน
"รถของผมโดนชน ตอนนี้อยู่ที่อู่"
"แล้วผู้กองหวังเป็นอะไรหรือเปล่าครับ!"
"ไม่เป็นอะไร แต่ประตูยุบไปเลย"
หวังหยูเฟิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจแกมบ่น แล้วเดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง หลังจากเตรียมงานตอนเช้าได้เพียงไม่นาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก่อนที่เว่ยเจียวเซินจะเดินเข้ามา
"เมื่อวานรถของผู้กองหวังโดนชนหรือคะ" เธอถามพร้อมกับวางเอกสารไว้บนโต๊ะทำงานของผู้กองหนุ่ม "แล้วบาดเจ็บอะไรหรือเปล่าคะ เห็นหมวดเหอเล่าว่าประตูยุบเลย"
"ไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าโดนชนฝั่งที่ผมขับ ป่านนี้ไม่ตายก็คงนอนโรงพยาบาลอีกรอบ" หวังหยูเฟิงบอกเสียงเนือย เขาหันไปมองแขกอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทำงานของตัวเอง
“อะไรกัน แยกจากกันแป๊บเดียวก็เกิดเรื่องเลยหรือ” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาสีเข้มมีแววยั่วล้ออย่างชัดเจน “แล้วไปทำอีท่าไหนล่ะ”
“ก็ท่าปกตินั่นแหละ โดนชน ไม่ได้ไปชนใคร”
“หึ! แล้วไม่เรียกมาจ่ายค่าปรับหน่อยหรือ”
หวังหยูเฟิงไม่ได้สนใจคำหยอกของเพื่อนสนิท ก่อนจะหันไปตั้งใจทำงานของตัวเองต่อ ฟ่านมู่เหยียนยิ้มขึ้น แล้วหันไปทางผู้หมวดสาวที่ยังไม่ได้เดินไปไหน
"หมดเวลาจีบหยูเฟิงแล้วครับหมวดเว่ย ทำงานๆ"
"ผู้กองฟ่านพูดอะไรคะ ดิฉันไม่ได้จีบผู้กองหวังสักหน่อย"
ฟ่านมู่เหยียนมองเว่ยเจียวเซินที่เดินออกจากห้องทันทีด้วยรอยยิ้มขำ และเมื่ออยู่ตามลำพังกับเพื่อนสนิท เขาก็นั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานที่มีเจ้าของกำลังใช้งานอยู่
"แล้วนายมีอะไร" หวังหยูเฟิงเอ่ยถามเสียงเรียบ ทั้งที่สายตายังมองเอกสารที่อยู่ตรงหน้า
"เมื่อคืนเพิ่งจับผู้ต้องหาได้คนหนี่ง เป็นยามที่เฝ้าตึกของถานอี้เทา" ฟ่านมู่เหยียนตอบ ก่อนจะสบตากับคนถามนิ่ง "แล้วได้คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจมา"
"อะไร" หวังหยูเฟิงเอ่ยถามต่อ เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
"กาเบรียล นายคิดว่าอะไร" ฟ่านมู่เหยียนถามกลับพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นเพื่อนสนิทยังมีท่าทีนิ่งเฉย
"คงไม่ได้เพ้อถึงเทวดาหรอกใช่ไหม" หวังหยูเฟิงตอบเสียงเรียบ แล้วปิดแฟ้มงานที่เพิ่งอ่านจบลง
"ถ้าเป็นแบบนั้นก็ตลกดี คืนนี้ไปหากาเบรียลกันไหมล่ะ" ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยชวนด้วยรอยยิ้ม เขาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายอารมณ์
"อืม" หวังหยูเฟิงตอบรับ ก่อนจะหยิบแฟ้มงานอีกฉบับมาอ่านต่อ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ภายในคฤหาสน์หลังย่อมที่ถูกตกแต่งอย่างร่วมสมัย เจิ้งหยุนนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดพลางเช็กตัวเลขของตลาดหุ้นที่วิ่งไม่หยุดโดยไม่ได้สนใจอู่หนิงที่เดินเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย
"นายครับ อู่ส่งรายละเอียดค่าซ่อมรถของคุณหวังมาแล้วครับ"
"อืม วางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ"
“ช่างบอกว่า จะต้องทำสีใหม่ด้วย เลยมาถามว่า ต้องการจะเปลี่ยนสีหรือใช้สีเดิมครับ”
“สีเดิมเป็นสีเทา แต่หยูเฟิงชอบสีขาว”
เจิ้งหยุนเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ แล้วหันไปมองอู่หนิงอย่างใช้ความคิด
“นายว่าฉันทุบรถนี่ทิ้ง แล้วซื้อคันใหม่ให้เขาเลยดีหรือเปล่า”
“ถ้าทำแบบนั้นคุณหวังอาจจะโกรธก็ได้นะครับ”
“อืม...แต่มันเก่ามากแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาใช้หรอก ดูไม่เหมาะกับระดับผู้กองอย่างเขาเท่าไร”
เจิ้งหยุนมองอู่หนิงที่ยืนรอรับคำสั่งอย่างสงบ ก่อนจะก้มหน้าลงสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเองตามเดิม
“เอาตามนี้ ไปบอกช่างว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้มันซ่อมไม่ได้อีก”
“แล้วแบบนี้จะอ้างกับคุณหวังอย่างไรล่ะครับ”
"ของจะพัง มันก็ต้องมีสาเหตุอยู่แล้วล่ะน่า ไม่ต้องห่วง"
อู่หนิงรับคำ แล้วเดินจากมาอย่างหนักใจ ก่อนที่เขาจะถ่ายทอดคำสั่งให้ช่างซ่อมรถทำลายรถทิ้งแทน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยเอื่อยท่ามกลางความเงียบสงบในห้องทำงานของหวังหยูเฟิง ชายหนุ่มหลับตาลงพลางลิ้มรสชาติของคาเฟอีนอย่างผ่อนคลาย เพียงไม่นานเสียงของโทรศัพท์ตั้งโต๊ะก็ดังขัดขึ้น
"สวัสดีครับ"
[คุณหวังหยูเฟิงใช่ไหมครับ]
"ครับ"
[ผมเจิ้งหยุนนะครับ ผมจะมาแจ้งข่าวเรื่องรถของคุณ]
"ครับ"
[เอ่อ...เมื่อครู่นี้ทางอู่เพิ่งแจ้งมาว่า รถของคุณหวังระเบิดน่ะครับ]
คนฟังแทบสำลักกาแฟที่กำลังดื่มอยู่ เขาขมวดคิ้วขึ้น เมื่ออีกฝ่ายยังอธิบายต่อ
[พอดีช่างใหม่ไม่รู้เรื่อง ดันสูบบุหรี่ใกล้รถของคุณที่ถังน้ำมันรั่วพอดี แต่ผมตามเรื่องให้แล้ว ทางอู่จะรับผิดชอบเรื่องนี้เต็มที่ครับ]
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
หวังหยูเฟิงสบถกับตัวเองพร้อมกับลุกขึ้นยืน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปดูรถยนต์คันเก่งที่กลายเป็นเศษเหล็กด้วยตาของตัวเองก่อน
"ผมจะไปดูสภาพก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง"
[คุณจะมาตอนไหนครับ ผมจะได้ไปคุยเรื่องค่าเสียหายทีเดียวเลย]
"ตอนนี้ครับ"
เมื่อวางสายไปแล้ว หวังหยูเฟิงก็เปลี่ยนเครื่องแบบ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานด้วยอารมณ์หงุดหงิด
"ผู้กองหวังจะไปไหนคะ" เว่ยเจียวเซินเอ่ยถาม ขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะทำงานของเธอ
"ผมจะไปธุระหน่อย ถ้ามู่เหยียนมาหา บอกเขาว่าเจอกันที่ร้านเลย" เขาบอกเสียงเรียบเป็นปกติ ก่อนจะเดินทางออกจากสถานีตำรวจด้วยความร้อนใจ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หวังหยูเฟิงเดินเข้ามาในอู่ซ่อมรถขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก่อนจะเห็นเจิ้งหยุนกำลังยืนคุยอยู่กับช่างคนหนึ่ง
"คุณหวัง" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปทางช่างที่ยืนอยู่ข้างกัน "พาคุณหวังไปดูรถก่อน"
"เชิญทางนี้เลยครับ" ช่างใหญ่ประจำอู่รีบพาลูกค้าไปยังรถยนต์ที่มีปัญหาอย่างรวดเร็ว
"คุณปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร!" ผู้กองหนุ่มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งตวาด หลังจากเห็นสภาพรถยนต์ของตัวเอง เขาก็แทบจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้
ถึงรถยนต์คันนี้จะไม่ได้หรูหราหรือมีราคาแพง แต่มันก็เป็นสมบัติที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงและเงินสะสมของการทำงานที่ผ่านมา อีกทั้งยังเป็นเสมือนเพื่อนคนสำคัญที่เขาดูแลมาหลายปีด้วย
"เป็นความผิดที่เราจะรับผิดชอบเต็มที่ครับ" ช่างใหญ่ยอมรับแต่โดยดีด้วยใบหน้าสำนึกผิดที่ทำให้เจ้าทุกข์ผ่อนลมหายใจอย่างหงุดหงิด
"ผมคุยเรื่องค่าเสียหายทั้งหมดแล้วครับ ถ้าคุณไม่ขัดข้องอะไร เขาจะซื้อรถยนต์คันใหม่ให้คุณ" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังมีพื้นอารมณ์ไม่ปกตินัก แต่ก็เก็บอาการของตัวเองเอาไว้
"โอเค ที่จริงรถของผมก็ไม่ได้แพงอะไร แล้วก็รุ่นเก่าพอสมควร ผมขอแค่ค่ารถตามราคาขายมือสองปัจจุบันก็พอแล้วกัน" ผู้เสียหายเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น ตำรวจอย่างเขาไม่อยากเอาเปรียบใคร ขอแค่ค่าเสียหายตามสมควรก็พอ ก่อนที่เขาจะหันไปทางเจิ้งหยุนต่อ "ส่วนคุณก็ช่วยจ่ายค่าซ่อมตามที่คุณต้องจ่ายให้ผมเท่านี้ก็พอครับ"
"แล้วคุณหวังจะไม่ซื้อรถคันใหม่หรือครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
"เรื่องนั้นผมจะตัดสินใจเองทีหลังครับ" หวังหยูเฟิงตอบ แล้วหันไปทางช่างใหญ่อีกครั้ง "คุณคงไม่มีปัญหากับการตัดสินใจของผมใช่ไหม"
"ครับ" ช่างใหญ่ตอบรับ หลังจากลอบมองไปทางเจิ้งหยุนที่พยักหน้ารับ "ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบประเมินราคา แล้วโอนเงินเข้าบัญชีของคุณหวังนะครับ"
ผู้กองหนุ่มตอบรับในลำคอ แล้วหันไปทางเจิ้งหยุนอีกครั้ง
"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อน"
"ตอนนี้ก็เย็นแล้ว กรุณาให้เกียรติไปทานมื้อเย็นเพื่อรับคำขอโทษจากผมด้วยนะครับ"
"ขอโทษทีครับ ผมมีธุระที่ต้องทำต่อ แล้วคุณก็ไม่ต้องคิดมาก คุณรับผิดชอบในส่วนของคุณแล้ว ผมขอตัว"
หวังหยูเฟิงเดินออกจากอู่ซ่อมรถพลางมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาหกโมงเย็น ก่อนจะโทรศัพท์หาเพื่อนสนิทเพื่อทำภารกิจในคืนนี้ต่อ
เจิ้งหยุนมองตามหลังของผู้กองหนุ่มจนหายไปจากสายตา ก่อนจะหันไปหาช่างใหญ่ที่ยืนอยู่ด้วยกัน แล้วส่งเช็คใบหนึ่งไปให้
"ขอบคุณครับคุณเจิ้ง" ช่างใหญ่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นตัวเลขสำหรับเรื่องยุ่งยากกับชื่อเสียงที่ด่างพร้อย
เจิ้งหยุนไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มเดินไปอีกทางหนึ่งที่มีอู่หนิงยืนรออยู่ เมื่อชายในชุดสูทเห็นเจ้านายเดินมาใกล้ เขาก็รีบเปิดประตูให้ทันที
"ผมเตรียมแคตตาล็อกรถทั้งหมดเอาไว้พร้อมแล้วครับ" อู่หนิงเอ่ยขึ้น หลังจากขับรถมาได้ระยะหนึ่ง
"เอาไปทิ้ง" เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเรียบ และอู่หนิงก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้านายของเขากำลังอารมณ์เสีย ซึ่งสาเหตุคงมาจากผู้กองหนุ่มที่อีกฝ่ายสนใจอยู่
"แล้วจะตรงไปที่ผับหรือกลับที่พักครับ" อู่หนิงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง ตอนนี้เขาไม่อยากเสี่ยงกับความแปรปรวนของเจ้านายสักเท่าไร
"กลับที่พัก" เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ ก่อนการเดินทางหลังจากนั้นจะมีแต่ความเงียบ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
พระจันทร์ส่องสว่างภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี หวังหยูเฟิงนั่งกินบะหมี่รอเพื่อนได้เพียงไม่นาน คนที่นัดกันไว้ก็เดินทางมาถึง ฟ่านมู่เหยียนนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"แล้วเมื่อตอนเย็นไปไหนมา"
"รถระเบิดที่อู่เลยต้องไปดู"
คนฟังเลิกคิ้วขึ้นพลางมองเพื่อนสนิทอย่างแปลกใจ ดูเหมือนช่วงนี้อีกฝ่ายจะเจอเรื่องร้ายบ่อยเกินไปจนน่าเป็นห่วง
"เป็นแบบนั้นได้อย่างไร มีคนไปวางระเบิดใต้ท้องรถหรือ"
"เปล่า น้ำมันรั่ว แล้วโดนไฟเลยระเบิด"
สีหน้าเบื่อหน่ายของหวังหยูเฟิง ทำให้ฟ่านมู่เหยียนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด
"เล่าเหมือนเรื่องปกติเลยนะ"
"ก็เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์"
"เฮ้อ...ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก็มีเรื่องให้ตกใจได้ตลอด ช่วงนี้นายคงดวงตกจนฉุดไม่อยู่"
หวังหยูเฟิงถอนหายใจเป็นคำตอบรับ บางทีความโชคดีของเขาคงหมดไป ตั้งแต่การรอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ได้
"แล้วคืนนี้ตั้งใจจะทำอะไรบ้าง" หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม ฟ่านมู่เหยียนอมยิ้มออกมาเล็กน้อย
"ก็คงต้องดูลาดเลาไปก่อน ผับนี้เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ก็ดังพอตัว" ฟ่านมู่เหยียนบอกพร้อมกับสบสายตากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม "ส่วนรายละเอียดอื่น คืนนี้ก็คงต้องหาด้วยตัวเอง"
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ เขาลุกขึ้นยืนเพื่อบอกคนที่มีใบหน้าแต้มรอยยิ้มบางว่าพร้อมแล้ว
กาเบรียล...ทูตสวรรค์ที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าจะแอบซ่อนความมืดอะไรเอาไว้บ้าง
TBC++++++++++ 05 ใต้ปีกของทูตสวรรค์
Marionetta ,สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดปีและตลอเไปค่ะ ^^ เอามาลงส่งท้ายปลายปีนี้ เจอกันปีหน้าค่ะ อิอิ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
-
:katai2-1:
-
05
ใต้ปีกของทูตสวรรค์
แสงสปอร์ตไลท์สาดส่องเข้าจังหวะกับเสียงเพลง ภายในผับกาเบรียลที่คึกคักเช่นทุกคืนที่ผ่านมา อู่หนิงยืนมองพนักงานและลูกค้าเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยเหมือนที่ทำเป็นประจำ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นคนสำคัญของเจ้านายเข้าพอดี
ผู้กองหวังหยูเฟิง!
อู่หนิงมองตามคนที่แต่งกายนอกเครื่องแบบแทบไม่ละสายตา หวังหยูเฟิงมากับเพื่อนอีกคน ซึ่งเป็นตำรวจเหมือนกัน หลังจากที่ได้สืบประวัติของอีกฝ่าย เขาก็รู้เรื่องรอบตัวของผู้ชายคนนี้โดยละเอียด
อันที่จริงแล้วการที่มีลูกค้าหน้าใหม่มาใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่คงไม่ใช่กับลูกค้าที่เป็นตำรวจที่มีนิสัยซื่อตรงต่อหน้าที่และไม่ชอบเที่ยวกลางคืนอย่างผู้กองคนนี้ ถึงตอนนี้ผับกาเบรียลจะไม่มีสิ่งล่อตาผู้พิทักษ์กฏหมายให้เอาผิดได้ ทว่าในฐานะผู้จัดการ เขาก็ยังไม่ควรวางใจ
จะบอกนายดีหรือเปล่า?
อู่หนิงลอบมองลูกค้าคนสำคัญอย่างพิจารณา ตอนนี้เจิ้งหยุนอารมณ์ไม่ดี แต่ถ้าบอกว่า ผู้กองหวังมาหา เจ้านายของเขาก็อาจจะอารมณ์ดีขึ้น แต่นั่นก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเหมือนกัน
เอาเป็นว่า..คอยสังเกตไปก่อนก็แล้วกัน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หวังหยูเฟิงยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นลิ้มรสชาติเพียงเล็กน้อย เขากวาดสายตามองผู้คนโดยรอบอย่างสังเกต
"คนเยอะดีจริงๆ" ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น ก่อนจะมองไปรอบตัว "โดยทั่วไปก็ปกติดี แบบนี้คงต้องเจอกับกาเบรียลตัวจริง"
"แล้วใครเป็นเจ้าของที่นี่"
"เจิ้งหยุน ทายาทคนเล็กของอีเดน"
หวังหยูเฟิงนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงคู่กรณีที่เพิ่งอัดรถยนต์ของเขายับ แล้วสุดท้ายก็ระเบิดคาอู่ รวมไปถึงนามบัตรที่ได้รับมา ซึ่งข้อความบนกระดาษการ์ดแผ่นนั้นระบุเพียงตำแหน่งกรรมการบริษัทอีเดนคอร์เปอเรชั่นเท่านั้น
ท่าทางที่เหมือนครุ่นคิดบางอย่างของเพื่อนสนิท ก็ไม่รอดพ้นสายตาของฟ่านมู่เหยียนได้
"ทำไมหรือ"
"พอดีว่าเป็นคนที่เพิ่งขับรถชนฉันเมื่อหลายวันก่อน"
ฟ่านมู่เหยียนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ชายหนุ่มมองเพื่อนสนิทที่ยังมีสีหน้าปกติ ทั้งที่คำบอกเล่าเมื่อครู่นี้ได้จุดข้อสงสัยให้สว่างวาบในความคิดของเขาก็ตาม
"แบบนี้ก็พอจะมีข้ออ้างเข้าหาแล้วสินะ ฉันก็กำลังคิดอยู่ว่า จะทำอย่างไรไม่ให้เหยื่อไหวตัวก่อน"
"แค่จับตามองตามปกติก็พอแล้ว"
"ตามใจ ก็มันงานของนายนี่หว่า"
"โยนงานกันเห็นๆ"
"อะไรกันเล่า! นี่ก็เป็นงานภาคต่อของถานอี้เทาที่นายต้องรับผิดชอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือ"
หวังหยูเฟิงได้แต่มองเพื่อนสนิทอย่างคาดโทษ แต่ก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรอีก ถึงอีกฝ่ายจะไม่บอก เขาก็จะอาสารับงานนี้โดยตรงอยู่แล้ว
เมื่อชายหนุ่มนึกถึงบุคคลที่สาม ภาพของเจิ้งหยุนในความทรงจำก็ทำให้เขาคิดอย่างสงสัย ก่อนความคิดจะวิ่งไปถึงกลุ่มปริศนาที่ตอนนี้ยังตามหาตัวไม่ได้
แต่จะว่าไปแล้วผู้ต้องสงสัยของเขาก็ใกล้เคียงผู้ชายในคืนนั้นอยู่ไม่น้อย ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่อยากเดาสุ่มจนเกิดเป็นอคติ ในเมื่อยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด ผู้ชายคนนั้นก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์
"ถึงตอนนี้ตระกูลเจิ้งจะล้างมือจนสะอาดแล้ว แต่เมื่อก่อนก็เคยพัวพันกับธุรกิจมืดอยู่ไม่น้อย อีเดน คอร์เปอเรชั่นคงมีรากฐานมาจากผลประโยชน์ที่ผิดกฏหมายแน่นอน" ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นต่อ ก่อนจะอมยิ้มออกมา "ไม่แน่ว่าในสวนสวรรค์นั่น ก็คงมีแอ๊ปเปิ้ลเน่าให้เราตามอะไรได้บ้าง"
"อืม" หวังหยูเฟิงตอบรับ ก่อนจะมองบรรยากาศโดยรอบอีกครั้ง
ถ้าหากกาเบรียลไม่ใช่ทูตสวรรค์ดังที่แสดงออกมา เขาจะเด็ดปีกอันงดงามให้จำนนต่อกฏหมายให้ได้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
อีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์ริมทะเลที่สวยงาม เจิ้งหยุนที่กำลังผ่อนคลายอารมณ์ขุ่นมัวด้วยเครื่องดื่มรสร้อนแรงนอนเอกเขนกบนโซฟานุ่ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะถูกขัดจังหวะ เมื่อสาวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาหา
"นายค่ะ มีแขกมาขอพบค่ะ"
"ฉันไม่รับแขก"
"เอ่อ...แต่เขาอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทของนาย"
"ใคร"
"คุณหลีซิงค่ะ"
เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเรียบเรียงเรื่องราวในความคิดบางส่วนได้
"ให้เข้ามา"
เมื่อได้คำตอบรับของเจ้านาย หญิงสาวผู้เป็นบ่าวก็รีบเดินออกไปจากห้อง เพียงไม่นานแขกผู้มาเยือนในยามวิกาลก็เดินเข้ามา
ใบหน้าขาวกระจ่างพร้อมกับนัยน์ตาเรียวตามแบบฉบับรับกับจมูกโด่งรั้นและริมฝีปากสีอ่อน โครงหน้านุ่มนวลถูกล้อมรอบด้วยเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างลงตัว รูปร่างผอมบางทว่าสง่างามอย่างถือดีเปล่งประกายชวนมอง
"นั่งก่อนสิ" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นมิตร ทว่าไม่อาจคลายสีหน้ากังวลของอีกฝ่ายที่กำลังนั่งลงได้
"ผม..."
"ฉันรู้ว่านายต้องการจะพูดอะไร"
เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้น แล้วจิบเครื่องดื่มที่บรรจุในแก้วสวยหรูอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลาย ซึ่งต่างจากความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง
"พี่หยุน ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรเลย"
หลีซิงเป็นลูกชายอย่างลับๆ ของถานอี้เทาที่เติบโตอยู่ที่อเมริกา หลังจากคดีครั้งล่าสุดได้ดับชีวิต อิทธิพล รวมไปถึงอำนาจของบิดาลง ชีวิตของเขาที่ปูทางด้วยบารมีของผู้ให้กำเนิดก็จบสิ้น สุดท้ายเด็กหนุ่มก็พบว่า ตัวเองไม่เหลืออะไร นอกจากเงินก้อนสุดท้ายที่มีอยู่ตอนนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้พลิกผันโชคชะตาราวกับฝันร้ายที่คาดไม่ถึง ทำให้หลีซิงผู้เป็นดั่งมังกรแก้วทะยานตกลงสู่หุบเหวลึก ไม่ว่าจะหันไปทางใด ก็เหลือแต่ตัวเองในความมืด เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีอย่างเขาจะไปทำอะไรได้ ดังนั้นจึงต้องกลับมายังประเทศบ้านเกิดเพื่ออาศัยร่มเงาจากคนที่ไว้ใจ
บุคคลที่มีอำนาจพอจะให้เขาได้หยิบยืมกำลังเพื่อสะสางความแค้นใจจากการจากไปของบิดา บุรุษที่เขาแอบมีใจให้อย่าง...เจิ้งหยุน
"เรื่องพ่อของนาย ฉันเสียใจ"
"ถึงเขาจะไม่ใช่คนดีของสังคม แต่เขาก็เป็นพ่อที่ดีของผมเสมอ"
ถึงแม้ถานอี้เทาจะทำธุรกิจผิดกฏหมาย แต่หลีซิงก็ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีในฐานะลูกชายในเงามืดเพียงคนเดียวมาตลอด บิดาที่หวังจะให้เขาเติบโตและรอดพ้นจากภัยร้ายและอันตรายจากอำนาจที่ตัวเองพัวพันอยู่
หลีซิงไม่เคยบอกความจริงเรื่องนี้กับใคร ยกเว้นเจิ้งหยุน ผู้ชายเพียงคนเดียวที่เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ที่อเมริกา
"หลีซิง นายอยากให้ฉันช่วยอะไร"
"ผมอยากรู้ว่า ใครเป็นคนฆ่าพ่อของผม!"
"นายจะแก้แค้น?"
หลีซิงกำมือแน่น ก่อนจะมองรอยยิ้มบางของเจิ้งหยุนอย่างจริงจัง เพราะเขามีกำลังไม่พอ สิ่งที่ตั้งใจไว้ก็เป็นเพียงวิมานในอากาศที่เอื้อมไม่ถึง เว้นเสียแต่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนตรงหน้า
เขารู้จักผู้ชายคนนี้ดี ถึงแม้ภายนอกเจิ้งหยุนจะสวมหน้ากากเป็นคนสุภาพนุ่มนวล แต่หากได้ใกล้ชิดก็จะรู้ถึงความน่ากลัวที่หลบซ่อนอยู่ ดังนั้นบุรุษตรงหน้าจึงจัดเป็นบุคคลที่ควรถอยห่างอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าสำหรับหลีซิงแล้ว...ความอันตรายนั้นกลับมีเสน่ห์น่าหลงใหลจนยากจะถอนตัว ถึงรู้ว่าไฟจะแผดเผาเพียงใด เขาก็ยอม เพื่อได้สัมผัสความร้อนแรงนั้น
"ผมรู้ว่าพี่ช่วยได้ ที่จริง...ผมก็พอจะรู้อะไรมาบ้างแล้ว" เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง คนฟังก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "สมบัติส่วนหนึ่งของพ่อถูกขายต่อ มีบางส่วนที่ถูกโอนเป็นชื่อของกงเจ๋อตวน"
หลีซิงพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ยามที่นึกถึงศัตรู นัยน์ตาเรียวสวยเป็นประกายเกรี้ยวกราด เจิ้งหยุนก็ได้แต่มองและรับฟังความอัดอั้นของเด็กหนุ่มอย่างขอไปที
"ผมรู้ว่ามันเป็นคู่แข่งของพ่อ แล้วจะต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่"
"ถ้าเป็นแบบนั้น ตำรวจคงจัดการไปนานแล้ว"
"เพราะกฏหมายยังจัดการมันไม่ได้ ผมเลยต้องลงมือเอง!"
"หืม? นายจะเป็นศาลเตี้ยตัดสินคนอย่างกงเจ๋อตวน? นี่มันเสี้ยนงัดไม้ซุงชัดๆ"
"เสี้ยนอย่างผมคงทำอะไรไม่ได้ แต่จะให้อยู่เฉย ผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน พี่ช่วยผมด้วยเถอะ"
"นายจะฆ่าไอ้แก่นั่น มันคุ้มหรือ"
"ถึงผมจะต้องตาย ก็ต้องเอามันไปด้วย!"
เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ถึงเขาจะไม่ได้สนใจหลีซิงเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่อยากให้เด็กหนุ่มเอาชีวิตไปทิ้งเปล่า ทว่าสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นก็บ่งชัดว่า อีกฝ่ายคิดใคร่ครวญและเตรียมใจมาพร้อมแล้ว
"แน่ใจแล้วหรือ"
"วางใจเถอะ ผมไม่คิดเอาชีวิตไปทิ้งเล่นหรอก"
หลีซิงคลี่ยิ้มออกมา ถึงแม้น้ำเสียงของเจิ้งหยุนจะเรียบเฉยอย่างเคย แต่เนื้อความที่แสดงความห่วงใยแม้เพียงน้อยนิด ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของเขาพองโตแล้ว
"อืม คืนนี้ก็พักอยู่ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ฉันจะหาที่พักให้"
"ขอบคุณครับ"
เจิ้งหยุนระบายยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะส่งแก้วเหล้าให้อีกฝ่ายอย่างเอื้อเฟื้อ ซึ่งหลีซิงก็รับไมตรีนั้นด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายขึ้น
หากสุดท้ายเขาจะไม่สามารถไขว่คว้าสิ่งใดกลับคืนมาได้ ก็ขอให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้ก็พอ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
แสงแดดและลมทะเลโชยเอี่อย นัยน์ตาคมทอดมองท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขตด้วยความผ่อนคลาย เมื่อเทียบกับความวุ่นวายของเมืองที่เป็นไปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ความเรียบง่ายที่แสนลงตัวของธรรมชาติก็เป็นศิลปะชั้นยอดที่หาได้ยากในปัจจุบัน
เจิ้งหยุนยืนมองทิวทัศน์เบื้องหน้าครู่หนึ่ง ก่อนเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น หลังจากนั้นอู่หนิงก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีระมัดระวัง
"ผมมารายงานเรื่องที่ผับเมื่อคืนนี้ครับ"
"อืม มีอะไร"
"เมื่อคืนนี้ผมเจอคุณหวังมาที่ผับกับฟ่านมู่เหยียนที่ตามคดีของ
กงเจ๋อตวนอยู่ครับ"
"แล้วอย่างไร"
"ผมคิดว่า การที่คุณหวังมา อาจเพื่อหาข้อมูลบางอย่าง"
เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์ เขายกแก้วกาแฟขึ้นดื่มด้วยรอยยิ้มบาง
"เขาอาจจะแค่มาเที่ยวตามประสา แต่ถึงจะไม่เป็นแบบนั้น ก็ไม่เห็นต้องกังวล พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด"
"ครับ"
"อู่หนิง นายไปเตรียมที่พักให้หลีซิง แล้วก็พาเขาไปหาไป๋ลู่เหอด้วย"
"ครับ"
หลีซิงเป็นลูกชายของถานอี้เทาที่เจ้านายของเขาเป็นคนดับลมหายใจ และที่สำคัญไปกว่านั้นเด็กหนุ่มคนนี้กำลังมีใจให้คนตรงหน้าอยู่
ถ้าหากหลีซิงรู้ว่า คนที่ตัวเองมีใจให้เป็นคนที่พรากพ่อของตัวเองไป เด็กหนุ่มคนนั้นจะทำอย่างไร
จนกว่าความจริงจะปรากฏ เจิ้งหยุนคงทำอะไรสักอย่าง บางทีการพาหลีซิงไปหาไป๋ลู่เหอก็อาจเป็นแผนการบางอย่างที่เจ้านายของเขาคิดเอาไว้ก็ได้
ช่วยเหลือหรือกำจัด...
"ออกไปได้แล้ว"
อู่หนิงโค้งตัวด้วยความเคารพ ก่อนจะเดินออกจากห้อง แล้วเตรียมการตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายต่อ
...แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ลูกน้องอย่างเขาก็คงต้องทำตามอยู่ดี
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากไปลอบสังเกตอยู่ที่ผับกาเบรียลระยะหนึ่ง ผู้กองหนุ่มก็ยังไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์อย่างที่คาดเอาไว้
ถ้าต้องการความจริง ก็คงต้องล้วงความลับจากเจ้าของผับโดยตรงเท่านั้น
หวังหยูเฟิงใช้เวลาสามวันในการเคลียร์งานต่างๆ ที่ค้างเอาไว้ให้เรียบร้อย ก่อนจะเริ่มค้นหาประวัติของเจิ้งหยุนอย่างจริงจังด้วยตัวเองอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวทำภารกิจจับตามองอย่างเป็นทางการ
เจิ้งหยุนเป็นทายาทคนเล็กของนักธุรกิจใหญ่ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นเจ้าของอีเดน คอร์เปอเรชั่น ในปัจจุบันบริษัทนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดในเศรษฐกิจถึงหนึ่งในสามของประเทศ ชายหนุ่มเติบโตและเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อเมริกา แล้วเพิ่งย้ายกลับมาเมื่อสามปีก่อน ต่อมาเขาก็เปิดผับกาเบรียลที่เมืองนี้เมื่อครึ่งปีก่อน โดยรวมทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากนี้ยังไม่เคยมีคดีความหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฏหมาย
เมื่อหวังหยูเฟิงนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาที่ดูไร้พิษภัย เขาก็ได้แต่นึกข้องใจ แต่คนเราจะดูกันแค่ภายนอกไม่ได้ ภายใต้หน้ากากนั้นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่สายตามองเห็น
"โชคดีนะคะผู้กองหวัง" เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะทำงานของเธอ
"มีอะไรก็ติดต่อผมหรือมู่เหยียนแล้วกัน"
"ค่ะ"
หวังหยูเฟิงเดินออกมาจากสถานีตำรวจ ก่อนจะขี้นมอเตอร์ไซค์ที่ยืมมาจากเพื่อนสนิท ซึ่งตอนนี้กำลังยุ่งหัวหมุนอยู่ในห้องทำงาน แล้วเร่งเครื่องทะยานไปยังคฤหาสน์ริมทะเล ซึ่งเป็นที่อยู่ของเจ้าของผับกาเบรียลที่ต้องสงสัย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ความร้อนจากแสงอาทิตย์ถูกลิดรอนด้วยลมทะเลและร่มเงาที่ทอดตัวผ่าน ถึงอย่างนั้นนายตำรวจที่หลบซ่อนอยู่ก็ปรากฏเม็ดเหงื่อทั่วใบหน้า
หวังหยูเฟิงยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขามองความเคลื่อนไหวในคฤหาสน์ด้วยกล้องส่องทางไกลตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนที่ออกมาเดินเล่นในสวน ก่อนจะหยิบแซนด์วิชขึ้นมากินแก้หิวด้วยความเบื่อหน่าย โดยที่สายตายังจับจ้องเป้าหมายอยู่ตลอด
ช่วงเวลาที่เลยผ่านระบายสีของท้องฟ้าให้เข้มขึ้นทีละน้อย สายลมจากทะเลหอบไอเย็นเข้ามาเป็นระยะ ทว่าผู้กองหนุ่มก็ยังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ทั้งที่ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เขาจะไม่ได้อะไรที่มีประโยชน์เลยก็ตาม
หวังหยูเฟิงมองตามผู้ชายที่กำลังเดินเข้าคฤหาสน์ ก่อนหยิบอุปกรณ์สื่อสารที่กำลังสั่นในกระเป๋ากางเกงออกมา
"ว่าอย่างไร"
[ ได้เรื่องอะไรบ้างไหม]
"ไม่มี แล้วทางนั้น?"
[อืม ปกติ ก็คิดอยู่แล้ว คงไม่โผล่หางมาง่ายๆ หรอก แล้วเอาอย่างไรต่อ]
"ก็คงต้องรอดูต่อ จนกว่ากาเบรียลจะขยับตัวนั่นแหละ"
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
"อู่หนิง เขายังอยู่หรือเปล่า"
"อยู่ครับ"
เจิ้งหยุนมองภาพนอกหน้าต่างที่คุ้นเคยพร้อมกับนึกถึงนายตำรวจที่ริอาจเป็นกาฝากเกาะตามกำแพงบ้านของเขาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
ถึงแม้อีกฝ่ายจะระวังตัวดีสักแค่ไหน แต่ไม่อาจรอดพ้นการทำงานของกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ทั่วบริเวณได้อยู่ดี
ตอนนี้ไม่ใช่แค่หวังหยูเฟิงที่จับตามองเขา เขาเองก็เฝ้ามองหวังหยูเฟิงเช่นเดียวกัน
อย่าดูถูกกันนักสิ คุณตำรวจ...
เจิ้งหยุนหลับตาลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันด้วยการท่องโลกอินเทอร์เน็ตและติดตามข่าวสารจากเว็บไซต์ต่างๆ
อู่หนิงมองเจ้านายที่ใช้เวลาในโลกส่วนตัวครู่หนึ่ง ถึงเจิ้งหยุนจะดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่กำลังตกเป็นเป้าหมายของตำรวจ แต่ในฐานะบอดี้การ์ดส่วนตัวและหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเจิ้งเทียนให้คอยจัดการไม่ให้เรื่องที่น้องชายทำบานปลายเกินความจำเป็น ในสถานการณ์ที่ยังคาดเดาไม่ได้อย่างตอนนี้ เขาจึงไม่อาจเก็บความนิ่งนอนใจได้เต็มที่
"แล้วเรื่องคุณหวัง..."
"ไปหาคนมา"
"ครับ"
เจิ้งหยุนถอนสายตาจากหน้าจอแท็บเล็ต ก่อนจะหันไปมองลูกน้องที่ยังยืนฟังคำสั่งอย่างสงบด้วยรอยยิ้มบาง
"คัดมือดีมาสักหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวจะตายเปล่า เพราะผู้กองเขายิงแม่น"
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ความเมื่อยล้าที่ร้องประท้วง ทำให้หวังหยูเฟิงต้องขยับร่างกายเล็กน้อย แต่ก็ระมัดระวังสิ่งรอบข้างเท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ วันนี้เป็นวันที่สี่แล้วที่เขาลอบจับตามองความเป็นไปของผู้ต้องสงสัย แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับฝังตัวอยู่แต่ในที่พัก แถมยังใช้ชีวิตประจำวันได้น่าเบื่อเป็นปกติ
หรือว่าจะไม่มีอะไร...
หวังหยูเฟิงเก็บรวบรวมความคิดได้เพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะขยับตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเป้าหมายเดินขึ้นรถยนต์คันหรูในเวลาพลบค่ำ
เมื่อรถยนต์แล่นผ่านสายตาราวห้าเมตร เขาก็ขับมอเตอร์ไซค์ตาม โดยเว้นระยะไว้ช่วงหนึ่ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะจอดรถที่หน้าภัตตาคารเฟยลี่ ซึ่งเป็นภัตตาคารชั้นหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่คนมีฐานะ แล้วเดินเข้าไปข้างใน
มีนัดกับใคร?
หวังหยูเฟิงอยากจะตามเข้าไปทันที แต่เพราะการแต่งตัวของเขาในตอนนี้ บริกรที่ยืนต้อนรับคงไม่อนุญาตแน่ ชายหนุ่มนึกเสียดาย แล้วมองหาใครสักคนที่จะพาตัวเองเข้าไปด้านในได้ ผู้กองหวังเดินเลาะไปยังด้านหลังของภัตตาคาร ก่อนจะเห็นบริกรคนหนึ่งยืนสูบบุหรี่อยู่ริมกำแพง
หวังหยูเฟิงใช้ทักษะที่ฝึกฝนมาโจมตีผู้บริสุทธิ์ แล้วนึกขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในใจ ในขณะที่เขากำลังลอกคราบคนตรงหน้าเพื่อปลอมตัวเข้าเป็นบริกรในภัตตาคารหรูแทน
อันที่จริงแล้วชายหนุ่มไม่ค่อยถนัดเรื่องสายลับหรือการแอบแฝงเพื่อหาข้อมูลแบบนี้นัก แต่ในเมื่อสถานการณ์ไม่มีทางเลือก เขาก็จำเป็นต้องทำ
หวังหยูเฟิงในชุดสูทบริกรเดินเข้าไปทางประตูหลังอย่างไม่รีบร้อน เขากวาดตามองความวุ่นวายในโรงครัวที่มีเชฟกำลังทำงานอย่างคร่ำเคร่ง แล้วรีบรุดผ่านไปยังพื้นที่ต้อนรับและให้บริการลูกค้าที่อยู่ด้านนอก
แสงไฟสีส้มอ่อนทำให้รู้สึกนุ่มนวล เสียงเพลงหวานจากนักร้องสาวที่คัดสรรมาอย่างดีขับกล่อมอารมณ์และบรรยากาศให้รื่นรมย์ชวนให้เจริญอาหารมากกว่าเดิม
หวังหยูเฟิงกวาดตามองรอบหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เห็นคนที่กำลังตามหา ก่อนสายตาจะหยุดมองบันไดที่มุ่งตรงไปยังชั้นสอง ซึ่งคงเป็นห้องอาหารระดับวีไอพี
นายตำรวจหนุ่มไม่รอช้าที่จะก้าวไปยังสถานที่ต้องสงสัย ทว่าปลายเท้าก็ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
"ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อน"
หวังหยูเฟิงหันไปมองด้วยท่าทีปกติ ใบหน้าสวยอ่อนหวานที่ล้อมรอบด้วยเรือนผมดัดลอนยาวสีเปลือกไม้มองเขาอย่างพิจารณา
"ผมเพิ่งมาใหม่ครับ"
"อย่างนั้นหรือ"
เสียงตอบรับดังขึ้น ก่อนริมฝีปากที่แต้มด้วยลิปสติกสีแดงสดจะคลี่ยิ้มอย่างพอใจ ร่างบางในชุดราตรีสีงาช้างเรียบหรูเดินตรงเข้ามา แล้วใช้ปลายนิ้วช้อนใบหน้าของผู้กองหนุ่มเพื่อทอดมองอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง
หวังหยูเฟิงกลั้นลมหายใจเล็กน้อย เมื่อสบกับนัยน์ตากลมโตของคนตรงหน้า ถึงแม้อีกฝ่ายจะงดงามชวนฝันไม่ต่างจากภาพวาด แต่เขารู้ดีว่า เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์นั้นมาจากฝีมือการศัลยกรรมจากแพทย์ชั้นยอด และที่สำคัญไปกว่านั้น...ไป๋ลู่เหอเป็นผู้ชาย!
"ถ้าเธอมาใหม่ก็ต้องสัมภาษณ์กับฉันก่อน ตามมาสิ"
ไป๋ลู่เหอวาดรอยยิ้มสวย ก่อนจะเดินนวดนาดราวกับพญาหงส์นำเขาขึ้นไปยังชั้นสองของภัตตาคารอย่างสง่างาม
โชคเข้าข้างเขาแล้ว!
TBC ++++++++ 06****หลุมพรางที่ซ่อนเร้น
Marionetta มาลงต่อหลังจากช่วงปีใหม่แล้วค่ะ หยูเฟิงกำลังจะตกอยู่ในเงื้อมมือมาร 555
-
:katai2-1:
-
06
หลุมพรางที่ซ่อนเร้น
หวังหยูเฟิงเดินตามร่างสูงเพรียว นัยน์ตาสีดำมองรอบกายอย่างจับสังเกต บริเวณชั้นสองของภัตตาคารเฟยลี่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์ตะวันออกแบบผสมผสาน ทางเดินยาวปูด้วยพรมอย่างดีตัดผ่านทางที่ขนาบข้างด้วยห้องอาหารที่ให้บริการแบบส่วนตัว ซึ่งตอนนี้เจิ้งหยุนก็อาจจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งที่เขากำลังเดินผ่าน
หวังหยูเฟิงเดินตามไปจนสุดทาง ก่อนที่ไป๋ลู่เหอจะพาเขาขึ้นบันไดมายังชั้นสาม ซึ่งน่าจะเป็นเขตส่วนตัวของอีกฝ่าย
“เชิญ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น เมื่อเจ้าของภัตตาคารเปิดประตูไม้เนื้ออ่อนสลักลวดลายบานหนึ่ง
ภายในห้องนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย สิ่งที่เด่นที่สุดคือโซฟาหนังมันเงาสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้อง ไป๋ลู่เหอคลี่ยิ้ม ก่อนจะปิดประตู บรรยากาศชวนอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้เคลื่อนตัวโดยรอบ หวังหยูเฟิงหันไปมองร่างเพรียวที่ไม่ต่างจากพญาหงส์อย่างไม่ไว้ใจ แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วออกมา เมื่ออีกฝ่ายออกคำสั่ง
"ถอดเสื้อออก"
"เอ่อ..."
"หรือจะให้ฉันถอดไห้"
ขาเรียวที่หลบซ่อนในชุดราตรีก้าวเข้าหา ท่าทางสง่างามที่แฝงไปด้วยการคุกคาม ทำให้หวังหยูเฟิงผงะ ผู้กองหนุ่มรีบตั้งสติรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
โชคร้ายขั้นสุดยอด!
หวังหยูเฟิงได้แต่บริภาษอยู่ในใจ เขาเองก็เตรียมใจมาส่วนหนึ่งแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะซื่อตรงต่อความต้องการของตัวเองมากขนาดนี้
"ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจ เธออาจจะได้เลื่อนขั้นหรือขึ้นเงินเดือนก็ได้นะ"
"ผม..."
"อย่ากลัวไปเลย ฉันเอ็นดูเด็กเสมอ"
จัดการเลยดีไหม!
หวังหยูเฟิงขบคิดอย่างเคร่งเครียด เพียงชั่วอึดใจต่อมาร่างเพรียวบางก็เข้ามาประชิดเขาอย่างรวดเร็ว
"เป็นเด็กดีของฉันเถอะนะ" ไป๋ลู่เหอเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหวาน มือบางเข้าจู่โจมที่ชุดเครื่องแบบบริกรด้วยความเร็วที่น่ากลัว ผู้กองหนุ่มที่กำลังถูกรุกรานได้แต่ปัดป้องพัลวัน
หากเขาทำอะไรไป๋ลู่เหอตอนนี้ ก็คงต้องหนีกลับแบบคว้าน้ำเหลว...
"อย่าทำสีหน้าแบบนั้นสิ ฉันยิ่งต้องการมากขึ้นไปอีก"
ไป๋ลู่เหอแลบลิ้นเลียริมฝีปากสีสดด้วยสายตาเป็นประกาย หวังหยูเฟิงรู้สึกสะท้านจนขนลุกไปทั่วร่าง เมื่อคนตรงหน้าเข้ากอดรัด มือเรียวลากผ่านร่างกายของเขาอย่างย่ามใจ ก่อนเรี่ยวแรงที่ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกจะผลักผู้กองหนุ่มให้ล้มไปนอนบนโซฟานุ่ม
"ร่างกายของเธอบอกฉันหมดแล้ว" ไป๋ลู่เหอแย้มยิ้ม ร่างกายงดงามทาบทับชายหนุ่มอย่างหมายมาด "ช่างไร้เดียงสาเหลือเกินนะ"
คนๆ นี้!
หวังหยูเฟิงที่กำลังถูกจู่โจมตัดสินใจเด็ดขาด นัยน์ตาสีดำเป็นประกายวาบ ถ้าหากยังอ่อนข้อให้แบบนี้ ไป๋ลู่เหอได้เขมือบเขาแน่!
ถึงอีกฝ่ายจะมีรูปร่างบอบบางราวกับเทพธิดา แต่กำลังกายกลับไม่ต่างจากชายฉกรรจ์เลย นอกจากนี้ยังมีความเร็วที่น่าตกตะลึงอีก ไป๋ลู่เหอต้องมีทักษะการต่อสู้ที่น่ากลัวแน่นอน ซึ่งผู้กองหวังก็ไม่ถนัดการต่อสู้แบบประชิดเสียด้วย
"เธอกำลังทำให้ฉันอดใจไม่ไหวแล้วนะ"
ทว่าในขณะที่ผู้กองหวังกำลังจะลงมือตอบโต้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากบานประตูที่ถูกเปิดออก
"คุณนายไป๋สายไปสิบห้านาทีแล้ว!"
หวังหยูเฟิงชะงักความคิดของตัวเอง ถึงชายหนุ่มจะไม่ได้หันไปมอง แต่เขาก็จำเสียงนี้ได้
เจิ้งหยุน!
"เสี่ยวหยุนล่ะก็! รอหน่อยไม่ได้หรือ" ไป๋ลู่เหอบ่นเสียงขุ่น ทั้งที่มือเรียวที่เต็มไปด้วยพละกำลังอันน่าตกใจยังจับผู้กองหนุ่มเอาไว้
"คุณมีเวลาอีกเยอะ แต่ผมไม่"
"เชอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเทียนสุดหล่อ ฉันไม่ยุ่งกับคนอย่างเธอหรอก"
"รีบมา ผมจะไปรอที่ห้อง"
หวังหยูเฟิงลอบฟังคำสนทนาอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ชายหนุ่มจะสะดุ้งเฮือก เมื่อถูกคนตรงหน้าจูบตรงต้นคอชวนให้ขนลุกซู่
"รอฉันอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะมาสัมภาษณ์ต่อ"
ไป๋ลู่เหอเดินออกจากห้อง ก่อนเสียงล็อกประตูจากด้านนอกจะทำให้ชายหนุ่มที่ถูกขังขมวดคิ้ว เขาลูบแขนของตัวเองไปมา
ขยะแขยงเป็นบ้า!
ผู้กองหนุ่มถอนหายใจ แล้วมองโดยรอบเพื่อหาช่องทางหนี ซึ่งดูเหมือนว่าหน้าต่างจะเป็นทางเดียวที่ช่วยเขาได้ หวังหยูเฟิงเดินไปเปิดหน้าต่างออก ลมกลางคืนเบาบางปะทะมาที่ใบหน้า นัยน์ตาสีดำทอดมองภาพโดยรอบจากมุมสูงของชั้นสามอย่างใช้ความคิด
ห้องที่ไป๋ลู่เหอขังชายหนุ่มเอาไว้อยู่ที่ด้านข้างของภัตตาคาร การจะออกจากที่นี่ไปได้ ก็คงต้องเสี่ยงตายกับความสูงเท่านั้น
ก่อนที่จะลักลอบเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ผูู้กองหวังไม่ได้มาตัวเปล่า หลังจากผลัดเปลี่ยนเอาชุดบริกรมาใส่ เขาก็ยังมีปืนพกขนาดเล็กและมีดสั้นเอนกประสงค์ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วย
หวังหยูเฟิงมองหาอุปกรณ์ที่พอจะช่วยตัวเองได้ เขาดึงผ้าม่านและผ้าปูโต๊ะที่ใช้ภายในห้องนี้ออกมา แล้วเริ่มสร้างเชือกผ้าแบบเร่งด่วนทันที
ถึงจะเสียดายที่ตอนนี้ต้องถอนตัวจากการติดตามเจิ้งหยุนไปก่อน แต่คืนนี้หวังหยูเฟิงก็ยังไม่ถอดใจ ถ้าเข้าไปไม่ได้ เขาก็จะรอจนกว่าผู้ต้องสงสัยจะออกมา
หลังจากสร้างเครื่องมือในการหลบหนีสำเร็จ ผู้กองหวังก็มองลงไปข้างล่างเพื่อวัดความสูงจากสายตาโดยประมาณ แล้วพบว่าความยาวของเชือกผ้าไม่อาจส่งเขาลงข้างล่างได้อย่างปลอดภัย แต่ก็พอจะใช้ระเบียงหน้าต่างไต่ลงไปข้างล่างได้
หวังหยูเฟิงได้แต่นึกทอดถอนใจ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังโรยเชือกผ้าฉุกเฉินไปด้านนอกหน้าต่าง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
กว่าหวังหยูเฟิงจะหลบหนีมาถึงชั้นล่างได้สำเร็จ ก็ใช้เวลาพักใหญ่ เขาหอบหายใจถี่และร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ ทั้งที่อากาศกำลังเย็นสบาย
ตอนนี้ชายหนุ่มไม่รู้ว่า เจิ้งหยุนอยู่ที่ไหนแล้ว เขาจึงติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มที่กำลังจับตามองความเคลื่อนไหวแถวที่พักของผู้ต้องสงสัย แต่ปรากฏว่าเจ้าของคฤหาสน์ริมทะเลยังไม่กลับ
ถ้าหากคืนนี้เขาตามตัวอีกฝ่ายไม่ได้ ก็คงต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง
หวังหยูเฟิงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ทว่าในขณะที่เขาเฝ้ามองทางเข้าออกของภัตตาคารหรูได้ครู่ใหญ่ คนที่กำลังตามหาก็เดินออกมา
นัยน์ตาสีดำจ้องมองเป้าหมายนิ่ง แล้วผู้กองหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อมีมือปืนที่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะยิงผู้ต้องสงสัยของเขาอย่างอุกอาจ
ปัง!
หลังจากเสียงกระสุนปืนดังขึ้น หวังหยูเฟิงก็ชักอาวุธที่มียิงใส่ผู้ร้ายที่ก่อเหตุต่อหน้าต่อตาทันทีี ลูกกระสุนเจาะเข้าที่มือของผู้ร้ายที่กำลังถือปืนอย่างแม่นยำ และก่อนที่เขาจะทันได้ยิงล้อรถเพื่อขัดขวางการหลบหนี อีกฝ่ายก็เร่งเครื่องยนต์ทะยานห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้กองหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อสกัดจับ
"ผมฝากด้วย"
[ครับผู้กองหวัง]
หลังจากตัดการติดต่อ หวังหยูเฟิงก็เดินเข้าไปหาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เจิ้งหยุนจับแขนขวาที่เปื้อนเลือดของตัวเองเอาไว้
"นายครับ!"
อู่หนิงรีบประคองเจ้านายของเขาด้วยความเป็นห่วง ทว่าคนเจ็บกลับยิ้มเย็นเป็นการตอบรับ
"ฉันไม่เป็นไร แค่เฉี่ยวน่ะ" เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะหันไปมองนายตำรวจด้วยสีหน้าแปลกใจ "คุณหวังมาที่นี่ได้อย่างไรครับ"
"ผมบังเอิญผ่านมา" หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย
"แล้วทำไมถึงแต่งชุดพนักงานของที่นี่ล่ะครับ" เจิ้งหยุนถามต่อ โดยไม่ได้สนใจสีหน้าไม่รับแขกของนายตำรวจ "หรือว่าเป็นงานเสริมหลังเลิกงานประจำ?"
"ผมว่าคุณควรห่วงตัวเองมากกว่าการถามไร้สาระกับผม" หวังหยูเฟิงตอบเสียงห้วน เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ เจิ้งหยุนระบายยิ้มบาง
"ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้นะครับ ผมชอบตำรวจจัง" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนสายตาจะเปลี่ยนไป เมื่อนัยน์ตาคมจับจ้องไปที่ต้นคอของผู้กองหนุ่ม "นั่นรอยอะไร"
หวังหยูเฟิงยังไม่ทันเข้าใจคำถาม เขาก็ต้องถอยเท้าหนีเล็กน้อย เมื่อคนเจ็บใช้มือที่เปื้อนเลือดของตัวเองเช็ดคราบลิปสติกที่ต้นคอขาวด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์
"นี่คุณ..."
"รอยสกปรก"
หวังหยูเฟิงมองท่าทีของเจิ้งหยุนด้วยความประหลาดใจ เขายกมือขึ้นแตะตรงต้นคอที่อีกคนเพิ่งสัมผัส ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อปลายนิ้วเปื้อนของเหลวสีแดง
"ขอโทษครับ ตั้งใจจะเช็ดรอยให้คุณ แต่ดันทำเลือดเปื้อนคุณแทนจนได้"
เจิ้งหยุนส่งยิ้มบางมาให้อีกครั้ง นัยน์ตาเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นประกายที่ผู้กองหวังเดาไม่ออก
"ช่างเถอะ คุณควรไปโรงพยาบาลได้แล้ว เพราะหลังจากที่คุณทำแผลเสร็จ ผมคงต้องเชิญคุณไปคุยที่สถานีตำรวจ"
"ด้วยความยินดีครับ"
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
เนื่องจากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้หวังหยูเฟิงต้องกลับมาทำงานที่สถานีตำรวจอีกครั้ง แล้วพบว่าคนร้ายเมื่อคืนนี้หนีรอดไปได้
ผู้กองหวังถอนหายใจ ทั้งที่คดีเก่ายังไม่คลี่คลาย คดีใหม่ก็มาสร้างความปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก เขาปิดแฟ้มรายงานที่เพิ่งอ่านจบ ก่อนจะหันไปสนใจ เหอผิงที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“พรุ่งนี้คุณเจิ้งจะมาให้ปากคำครับ”
“อืม”
หวังหยูเฟิงยกแก้วกาแฟเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยความเหนื่อยล้า เขาเสียเวลาไปหลายวันในการติดตามผู้ต้องสงสัย ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือตัวแปรปริศนา
ไป๋ลู่เหอกับเจิ้งหยุนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
แล้วใครที่คิดร้ายกับผู้ชายคนนั้น?
ถึงตอนนี้จะไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็เชื่อว่า ผู้ต้องสงสัยไม่ใช่แค่กรรมการบริษัทหรือเจ้าของผับธรรมดาแน่นอน
“ผู้กองหวังได้นอนบ้างหรือเปล่า กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ”
เหอผิงมองหัวหน้าด้วยความเป็นห่วง นอกจากร่างกายจะอ่อนเพลียแล้ว สมองก็คงทำงานหนัก ตอนนี้ปมคดีที่พยายามจะแก้กลับพันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าที่คิด
"ขอบใจมาก แต่ผมยังไหว" หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบาง วันนี้เขาจะกลับไปพักผ่อน โดยมอบหมายให้ลูกน้องจับตามองแทน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ เมื่อกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง เขาก็ทบทวนเรื่องราวที่เกิดชึ้นทั้งหมดในความคิด ตั้งแต่ถานอี้เทาที่ถูกฆ่าตายจากกลุ่มคนปริศนา จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ที่ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ถูกยิง
ในเวลานี้บุคคลที่อยู่เหนือใครในแวดวงมืดและกล้ากระทำผิดโดยไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย ก็คงจะเป็นกงเจ๋อตวน ตำรวจทุกนายต่างรู้ดี ถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนไม่ถูกกัน พวกเขาเปรียบเสมือนไม้กระดานที่อยู่คนละฟาก แล้วรอจังหวะให้อีกฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ
แต่จากคำบอกเล่าของฟ่านมู่เหยียนที่ตามไล่บี้กงเจ๋อตวนอยู่ ผู้มีอิทธิพลรายนี้ไม่ได้เคลื่อนไหว เขายังคงซุ่มรอจังหวะเพิ่มหลบหนีสายตาของตำรวจ
ตอนนี้นอกจากเรื่องของถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนแล้ว คดีเล็กน้อยจากกลุ่มคนที่เคยหวั่นเกรงอำนาจของผู้มีอิทธิพลใหญ่ก็ก่อเหตุไม่เว้นแต่ละวัน มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อผู้คุมอำนาจล้ม ผู้อ่อนแอที่ถูกควบคุมต่างก็พยายามดันตัวเองมาแทนที่ หวังหยูเฟิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้นัก มีเพียงประเด็นเดียวที่เขาจะต้องตามหาต่อไป
ใครกันที่เป็นคนล้มยักษ์...
ผู้กองหนุ่มวางแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุม แล้วเดินออกจากห้องทำงานของตัวเอง
ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะได้คำตอบไม่มากก็น้อย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
"เสี่ยวหยุน! เป็นอย่างไรบ้าง!"
"มาทำไม"
เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เมื่อเห็นว่าใครที่เดินทางมาหา และพอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ เขาก็ยิ่งหงุดหงิด
"คิดว่าฉันอยากจะมานักหรือ เธอโดนยิงที่หน้าร้านของฉันนะ จะให้ทำเฉยได้หรือ"
ไป๋ลู่เหอในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนนั่งไขว่ห้างบนโซฟานุ่ม โดยไม่ต้องรอคำอนุญาตของใคร
"ก็ยังไม่ตาย"
"ย่ะ! ก็ยังนึกเสียดายอยู่เนี่ย"
"แต่วันนี้อาจจะมีคนตายก็ได้ ถ้าผมหมดความอดทน"
เจิ้งหยุนมองร่างเพรียวตรงหน้าอย่างเย็นชา แต่คนอย่างไป๋ลู่เหอผู้งามสง่าไม่ได้สนใจ นัยน์ตากลมโตทอดมองอีกฝ่าย มือบางลูบเส้นผมของตัวเองเล่นอย่างผ่อนคลาย
"เธอนั่นแหละที่เป็นตัวบั่นทอนความอดทนของคนอื่น พูดจาอะไรก็ให้เกียรติสุภาพสตรีอย่างฉันบ้าง"
"หึ! ผู้หญิงอะไรไล่ปล้ำผู้ชาย แถมยังมีไอ้นั่นอยู่อีก"
"ฉันถือคติไม่ลืมรากเหง้าของตัวเองต่างหาก"
ใบหน้าสวยหวานมองคู่สนทนาด้วยสายตาขุ่นมัว ถึงเขาจะทำศัลยกรรมทั่วตัว แต่ก็ยังอยากใช้ส่วนสำคัญทางเพศที่ได้มาตั้งแต่เกิดและไม่ได้นิยมให้ใครมาแทงข้างหลัง
"จะอ้างอะไรก็ช่าง แต่ความจริงก็ยังเหมือนเดิม"
เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างดูแคลน ยิ่งหวนไปนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้อีกครั้ง เขาก็ยิ่งโมโห
"บางทีฉันควรจะตบสั่งสอนเธอบ้าง"
"ก็น่าลองว่า มือของคุณกับกระสุนของผม อะไรจะเร็วกว่ากัน"
ไป๋ลู่เหอเลิกคิ้วขึ้น นิ้วเรียวกรีดกราย ริมฝีปากสีสวยวาดรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
"รับรองได้เลยว่า ถ้าเธอทำให้ฉันเป็นแผลแม้แต่นิดเดียว เธอแหลกคามือฉันแน่เสี่ยวหยุน"
"แต่ผมว่าสมองของคุณคงกระจุยก่อนจะได้รับรู้อะไร"
ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันอย่างลองเชิง ก่อนนัยน์ตากลมจะถอนสายตาไปสนใจชามะลิที่กำลังส่งกลิ่นหอมแทน
"วันนี้เธอเป็นอะไร ธรรมดาไม่ไล่กัดใครแบบนี้นี่ หงุดหงิดที่โดนยิงหรือ"
เจิ้งหยุนไม่ได้ตอบ ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่เมื่อครู่ เขาก็ไม่ได้ชอบความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้เท่าไรนัก
"จริงๆ แล้วคนที่ควรหงุดหงิดคือฉันมากกว่านะ เมื่อคืนนี้กำลังได้เหยื่อดีเลย แต่เธอก็มาขัดจังหวะ แล้วรู้ไหม พอฉันกลับไปอีกครั้ง เขาก็หนีออกไปทางหน้าต่างแล้ว น่าสนใจจริงๆ"
น้ำเสียงหวานเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของคนฟังที่มืดมนลงเรื่อยๆ ทั้งที่เจ้าของคฤหาสน์กำลังจะดับไฟโทสะของตัวเองลง แต่แขกที่ไม่ได้รับเชิญดันกวนตะกอนให้ถ่านไฟอารมณ์ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ปัง!
เพง! "ตายแล้ว!" ไป๋ลู่เหอร้องขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อแก้วชาที่เขากำลังถือแตกเป็นเสี่ยงจากลูกกระสุน นัยน์ตากลมโตตวัดมองชายหนุ่มที่ตีหน้าเฉยอย่างไม่พอใจ
"เล่นไม่รู้เรื่อง! ถ้ามือฉันเป็นแผล เดี๋ยวก็ได้ตายจริงหรอก!"
"หึ!"
เจิ้งหยุนหันไปสนใจกาแฟของตัวเองแทนท่าทางไม่สบอารมณ์ของคนตรงหน้า ชายหนุ่มแค่ต้องการเอาคืนที่ไป๋ลู่เหอมาแตะต้องคนที่ตัวเองกำลังสนใจบ้างเท่านั้น ว่ากันตามจริงแล้วถึงเขาจะไม่ได้เกรงกลัวหรือเคารพอีกฝ่ายอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ได้นึกอยากหาเรื่องกับคุณนายไป๋นัก
“ดีนะที่ชุดไม่เปื้อน” ร่างบางบ่นอุบพลางสำรวจสภาพของตัวเองไปด้วยความกังวล
“หลบทันแล้วยังจะบ่นอะไรอีก” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างนึกรำคาญ เพราะรู้อยู่แล้วว่าไป๋ลู่เหอจะไม่เป็นอะไร เขาถึงได้ทำไปตามอารมณ์ หากอีกฝ่ายจะได้เลือดก็คงเป็นผลพลอยได้ ร่างเพรียวส่งสายตาค้อนกลับมา
“ช่วยสำนึกผิดบ้างเถอะ” ไป๋ลู่เหอต่อว่าอย่างระอา ใบหน้าสวยที่เคยบูดบึ้งเปลี่ยนเป็นปลงตก “ถ้ารู้ว่าโตแล้วไม่น่ารักแบบนี้ จับหักคอทิ้งตั้งแต่เด็กเลยก็ดี”
คนถูกว่าส่งสายตาไม่พอใจออกมา แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหรือตอบโต้ด้วยคำพูดอีก เพราะเขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ไป๋ลู่เหอเก่งและเคี้ยวยากจนใครหลายคนคาดไม่ถึง
TBC+++++++ 07ความเคลื่อนไหวที่เงียบงัน
Marionetta มาต่อแล้วค่ะ เป็นตอนที่ชอบคุณนายไป๋มากๆ เรื่องนี้มีแต่คนหื่น 5555
-
:katai2-1:
-
07
ความเคลื่อนไหวที่เงียบงัน
อู่หนิงที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ได้แต่นึกปลงตกกับอาการหัวร้อนของเจ้านาย เขารีบส่งผ้าเช็ดมือให้ไป๋ลู่เหอ แล้วสั่งให้สาวรับใช้นำชามาเสิร์ฟใหม่อย่างรู้งาน
เรื่องเมื่อคืนนี้ ถึงจะไม่มีใครเล่าให้ฟังชัดเจน ชายหนุ่มก็เดาเหตุการณ์ทั้งหมดได้ ตั้งแต่ที่เจ้านายของเขาเดินทางไปยังภัตตาคารเฟยลี่เพื่อคุยธุระกับไป๋ลู่เหอ
นอกจากเรื่องงานแล้ว อีกนัยยะหนึ่งก็เพื่อล่อหวังหยูเฟิงให้ตามมา จากนั้นก็รอจังหวะ เมื่อแน่ใจว่าผู้กองหวังที่ตกเป็นเป้าหมายอยู่ในสายตา เขาก็โทรศัพท์ให้ลูกน้องฝีมือดีจัดฉากการลอบยิง
ถ้าวิเคราะห์จากสถานการณ์แล้ว การกระทำนี้ก็เพื่อสร้างความสับสนให้หวังหยูเฟิง ตบตานายตำรวจที่เฝ้าจับผิดอยู่หลายวัน ทว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้านายของเขามีเพียงอย่างเดียว
เจิ้งหยุนต้องการเรียกร้องความสนใจและหาทางใกล้ชิดคนที่เล็งเอาไว้เท่านั้น!
อู่หนิงได้แต่นึกทอดถอนใจกับความบ้าบิ่นที่แสนอันตราย ทุกอย่างก็เหมือนจะลงล็อกตามแผน แต่กลับมีเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น
การที่หวังหยูเฟิงได้เจอกับไป๋ลู่เหอ
คนทั่วไปอาจจะมองเห็นแต่ความงดงามและชื่นชมกับทุกอิริยาบถของไป๋ลู่เหอ ทว่าหากได้รู้จักในระดับหนึ่งก็จะทราบว่า แท้จริงแล้วร่างบางราวกับเทพธิดาจำแลงเป็นผู้ชาย แน่นอนว่าคุณนายไป๋นิยมชมชอบเพศเดียวกัน และถ้าสนิทสนมกันเป็นอย่างดีก็จะทราบอีกว่า เขาแข็งแกร่ง เพราะเป็นบุตรคนโตของตระกูลหม่า ซึ่งสืบทอดและมีสำนักในการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อันเลื่องชื่อ อีกทั้งที่นี่ก็เปรียบเสมือนแหล่งที่ใช้คัดเลือกคนมีฝีมือไปเป็นบอดี้การ์ดแห่งหนึ่ง
เดิมทีไป๋ลู่เหอเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำสำนักอย่างยิ่ง แต่เพราะรสนิยมส่วนตัวที่ไม่อาจเป็นที่ยอมรับในตระกูล ทำให้ว่าที่ผู้นำขับไล่ตัวเองออกมา แล้วเปลี่ยนแซ่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีอำนาจพอจะควบคุมสำนักหม่าอยู่เบื้องหลัง
แต่ความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปร่างบอบบางไม่ได้มีแค่นั้น เพราะถ้าหากรู้จักไป๋ลู่เหออย่างแนบแน่นลึกซึ้งก็จะรู้อีกว่า หญิงสาวประเภทสองคนนี้ยังมีอาวุธประจำตัวที่ได้มาตั้งแต่เกิด แถมยังเป็นฝ่ายรุกยามที่ได้ออกรบในสงครามสวาทอีกด้วย
อาจเป็นเพราะฟีโรโมนใสสะอาดของหวังหยูเฟิงที่ล่อลวงเจ้านายของเขาอยู่นั้น ก็ส่งกลิ่นหอมล่อหลอกไป๋ลู่เหอเช่นเดียวกัน และนำพารอยลิปสติกที่ต้นคอของผู้กองหนุ่ม ซึ่งสิ่งนั้นก็ทำให้เจิ้งหยุนหัวเสียไม่น้อย
โชคยังดีที่หวังหยูเฟิงยังไม่ถูกพญาหงส์กลืนกินไปทั้งตัวเสียก่อน
"เสี่ยวหนิง รับใช้คนบ้าอย่างนี้คงเหนื่อยแย่สินะ ถ้าทนไม่ไหว ก็มาอยู่กับฉันได้"
ไป๋ลู่เหอส่งยิ้มให้บอดี้การ์ดหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามประจำตัวของเจิ้งหยุนอย่างเชิญชวน อู่หนิงได้แต่โค้งรับเล็กน้อยอย่างสำรวม
"ผมยินดีรับใช้นายไปจนตายครับ"
"เชอะ!"
ไป๋ลู่เหอสะบัดผมลอนสีเปลือกไม้อย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่ร่างบางจะย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นในการมาที่นี่ของตัวเอง
"แล้วตกลงเรื่องที่โดนยิงว่าอย่างไร" ไป๋ลู่เหอเอ่ยถามอย่างข้องใจ ถึงจะหมั่นไส้อีกฝ่ายเต็มประดา แต่เขาก็ไม่นึกนิ่งดูดาย อาจเป็นเพราะเคยดูแลชายหนุ่มมาตั้งแต่ยังเด็ก
"ไม่มีอะไร" เจิ้งหยุนตอบเสียงเรียบ แล้วเปลี่ยนเรื่องราวกับเหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นแค่เรื่องธรรมดาสามัญ "แล้วเรื่องที่วานไปเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง"
"ก็พอจะได้ข่าวอยู่หรอก ไอ้แก่นั่นมีกำหนดจะส่งอาวุธเถื่อนราวเดือนหน้า" ไป๋ลู่เหอตอบเสียงเรียบ หลังจากมองสภาพร่างกายและท่าทางของชายหนุ่มที่ยังปกติดี เขาก็วางใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน "เสี่ยวเทียนเร่งมาหรือ"
"เปล่า ก็แค่อยากจัดการให้จบไวๆ" เจิ้งหยุนตอบ เขาละสายตาจากคู่สนทนาไปยังวิวทะเลด้านนอก "จะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น"
"ทำอย่างอื่น? เธอตั้งใจจะทำอะไรต่ออย่างนั้นหรือ" ไป๋ลู่เหอถามต่อด้วยความสนใจ เจิ้งหยุนหันสายตากลับมามองอย่างเย็นชา
"ไม่ใช่เรื่องของคุณ"
"เชอะ!"
ไป๋ลู่เหอลุกขึ้นยืน ร่างบางลูบผมของตัวเองเล่นด้วยท่าทางงดงาม นัยน์ตากลมทอดมองชายหนุ่มผมยาวที่ยังนั่งอย่างมีมาดไม่สนใจใคร
"ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อน เดี๋ยวต้องไปอบผิวสักหน่อย"
"เชิญ"
คำตอบรับที่แฝงเจตนาขับไล่อย่างไม่ปิดบัง ไม่ได้ทำให้ไป๋ลู่เหอขัดเคืองใจ ขาเพรียวที่สวมใส่รองเท้าส่นสูงสีขาวมุกก้าวออกจากห้องอย่างสง่างาม ก่อนจะหมุนตัวกลับมาเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออก
"จริงสิ! เรื่องของหลีซิง"
เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาได้ฝากฝังลูกชายของ
ถานอี้เทาให้ไป๋ลู่เหอดูแล เพราะเกรงเด็กหนุ่มจะตายเปล่า ถ้าหากมุทะลุ
จะแก้แค้นกงเจ๋อตวน
"ฉันส่งเขาไปที่สำนักเมื่อหลายวันก่อน จื่อฝานเพิ่งรายงานมาเมื่อคืน ดูเหมือนว่าจิตใจจะเข้มแข็งดี แต่ร่างกายไม่เอื้อเท่าไร"
"อืม"
"จะไม่ถามอะไรต่อหรือ เธอเป็นคนฝากฝังมานี่"
"ไม่มี ไม่ได้อยากรู้อะไร"
ไป๋ลู่เหอไม่ต่อบทสนทนาอีก ร่างบอบบางหายลับไปจากสายตาเจ้าของคฤหาสน์
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“คุณเจิ้งมาแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
หวังหยูเฟิงในชุดเครื่องแบบเก็บเอกสารที่กำลังทำอยู่ให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปสอบปากคำผู้ต้องสงสัย ซึ่งตอนนี้ก็พ่วงตำแหน่งผู้เสียหายจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ด้วย
เมื่อผู้กองหนุ่มเดินเข้าไปในห้องสอบสวน เจิ้งหยุนที่วันนี้ใส่เพียงเสื้อเชิ้ตขาวสะอาดและกางเกงยืนส์สีซึดก็หันมามอง แล้วยกยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับคุณหวัง”
“สวัสดีครับ แผลของคุณเป็นอย่างไรบ้าง”
“โอเคครับ ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เพราะความช่วยเหลือของคุณแท้ๆ”
หวังหยูเฟิงไม่ได้โต้ตอบกับเจิ้งหยุนอีก เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นัยน์ตาสีนิลทอดมองคนตรงหน้าที่มีท่าทางสบายอารมณ์ ผิดกับความรู้สึกของเขาที่กำลังเคร่งเครียดขึ้น หลังจากเตรียมการสำหรับการสอบปากคำเสร็จ ผู้กองหวังก็เริ่มทำหน้าที่ของตัวเอง
“ผมจะขอถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ คุณคิดว่า ทำไมคุณถึงถูกลอบยิง”
“ไม่รู้สิครับ”
“คุณสงสัยใครเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกครับ”
“คุณเจิ้ง กรุณาให้ความร่วมมือด้วยครับ”
หวังหยูเฟิงมองคนตรงหน้าอย่างกดดัน ทว่าอีกฝ่ายก็ยังตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่อง
“ผมก็ตอบเท่าที่ผมรู้นะครับ”
เจิ้งหยุนคิดว่าตัวเองไม่ได้โกหก เรื่องที่ทำไมเขาถึงถูกลอบยิง ถึงจะเป็นคำสั่งของตัวเอง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมถึงได้คิดทำแบบนั้น
ก็แค่อยากทำล่ะมั้ง...
ส่วนเรื่องที่เขาไม่ได้สงสัยใคร เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาจากแผนการของตัวเองทั้งนั้น
ถึงคำถามที่ผ่านไปจะไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีจนชวนให้หงุดหงิด แต่หวังหยูเฟิงก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร นอกจากจดบันทึกคำให้การไว้เป็นหลักฐาน แล้วเริ่มตั้งคำถามต่อไป
“เมื่อคืนนี้คุณไปที่ภัตตาคารเฟยลี่ทำไม”
“ผมไปกินข้าวครับ”
นัยน์ตาสีดำสบมองกับดวงตาคมอย่างจับผิด แต่สิ่งที่ค้นพบคือท่าทางปกติของคนตรงหน้า
“คุณรู้จักกับไป๋ลู่เหอหรือเปล่า”
“รู้จักครับ ตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้ ผมก็เป็นลูกค้าขาประจำของเขา”
“เป็นไปได้ไหมที่เหตุการณ์เมื่อคืนนี้เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ”
“บางทีอาจจะเป็นคู่แข่งที่ไม่ชอบหน้าผมก็ได้มั้งครับ”
"แล้วตอนนี้คุณทำธุรกิจอะไรบ้าง"
"ผมมีผับเป็นของตัวเอง แล้วก็กินเงินกงสีที่บริษัทของครอบครัวเป็นรายได้เสริมครับ"
"คุณมาอยู่ที่นี่นานหรือยัง"
"ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ราวหนึ่งปีมั้งครับ"
"แล้วทำไมคุณถึงเลือกมาอยู่ที่นี่"
"อืม ก็ดูเหมือนที่นี่จะน่าอยู่ แล้วผมก็ดีใจที่ได้เจอตำรวจอย่างคุณหวังด้วย"
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนที่ยังไม่ได้แสดงท่าทางผิดปกติอะไร นอกจากการให้ปากคำที่แทบจะเสียเปล่า
"ครับ แล้วคุณรู้จักถานอี้เทาหรือเปล่า"
เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
"ผมไม่แน่ใจ แล้วเขาเป็นใครหรือครับ"
"ถานอี้เทาคือผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งของเมืองนี้ แต่เขาเพิ่งถูกฆ่าตายเมื่อปลายเดือนก่อน"
"อย่างนั้นหรือครับ"
เจิ้งหยุนแค่ยิ้มรับไปตามเรื่อง ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร ถ้าหากจะถูกไล่ต้อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แถมเขายังรู้สึกสนุกด้วยซ้ำ
ในการสอบปากคำครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากเกมวิ่งไล่จับ คนส่วนใหญ่มักจะชอบเป็นผู้ที่วิ่งไล่ เพราะเหมือนมีอำนาจมากกว่าอีกฝ่าย แต่เขาไม่คิดแบบนั้น
สำหรับเจิ้งหยุนแล้ว การได้หาวิธีหลบหลีกจากการถูกวิ่งไล่และเหยียบย่ำความล้มเหลวของคนไล่จับที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าครั้งแล้วครั้งเล่า มันสนุกและน่าสนใจมากกว่า
"เรื่องของเขาเป็นข่าวดัง นอกจากการตายของเขาแล้ว ก็ยังมีเรื่องที่ตึกของเขาถูกไฟไหม้ด้วย คุณน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง"
"อืม ก็เหมือนผมจะเคยได้ดูข่าวไฟไหม้ตึกอยู่เหมือนกันนะครับ"
"คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้"
"ก็ดีมั้งครับ ผู้ร้ายตายไป บ้านเมืองก็สงบสุขมากขึ้น แล้วคุณหวังคิดว่าอย่างไรล่ะครับ"
"ผมคิดว่า คนผิดควรถูกลงโทษตามกฏหมายมากกว่าการถูกฆ่าโดยใครบางคน"
"นั่นสินะครับ ว่าแต่...ผู้มีอิทธิพลที่ตายไปแล้วคนนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของผมหรือครับ"
เจิ้งหยุนแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอย่างชัดเจน ผู้กองหวังยังทำท่าทางนิ่งเฉยเฝ้าสังเกตพฤติกรรมและบทสนทนาอย่างเก็บงำความคิด
"เพราะถานอี้เทาที่เคยมีอำนาจตายไป พวกลูกน้องหรือกลุ่มคนที่อยากจะครองอำนาจแทนก็อาจจะอยากก่อเรื่องขึ้นเพื่อประกาศศักดาของตัวเองก็ได้"
"แย่จังเลยนะครับ ผมก็เป็นแค่คนทำมาหากินธรรมดาด้วย แล้วตอนนี้จับคนร้ายได้หรือยังครับ"
"ยังครับ ถ้าจับได้จะแจ้งให้คุณทราบอีกครั้ง หลังจากนี้อาจจะเรียกคุณมาสอบปากคำเป็นระยะ"
"ได้ครับ"
หลังจากจบการสอบปากคำเบื้องต้น หวังหยูเฟิงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ โดยที่มีเจิ้งหยุนลุกขึ้นยืนตาม
“คุณหวังครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยด้วยหน่อยครับ”
“อะไรครับ”
หวังหยูเฟิงมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างนึกแปลกใจ เจิ้งหยุนผ่อนลมหายใจออกมา ใบหน้าหล่อเหลาแสดงท่าทีไม่มั่นใจ
“เรื่องเมื่อคืนนี้ แล้วก็เรื่องที่คุณเพิ่งเล่าให้ฟัง ทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าไรครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองใบหน้านิ่งเฉยของอีกฝ่ายอย่างกังวล “ผมอยากได้คนคุ้มกันเป็นพิเศษจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
“เรื่องนั้นผมจะลองสอบถามให้” หวังหยูเฟิงตอบรับไปตามเรื่อง เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ อย่างไรก็ต้องถามสารวัตรก่อน
“ครับ ต้องรบกวนคุณหวังแล้ว”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
“ได้เรื่องอะไรบ้าง”
หวังหยูเฟิงมองฟ่านมู่เหยียนเล็กน้อย ก่อนจะสนใจคอมพิวเตอร์ที่กำลังทำงานอยู่ต่อ เขาเพิ่งทำการสอบปากคำเสร็จสิ้นเมื่อชั่วโมงก่อน
“น่าสงสัยมากกว่าเดิม”
“นั่นสิ ตอนนี้ก็ยังปัดความเป็นไปได้ของเจิ้งหยุนไม่ได้”
“คงต้องจับตามองไปก่อน จนกว่าจะได้อะไรเพิ่มเติม”
ฟ่านมู่หยียนพยักหน้ารับ ก่อนเสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของอีกฝ่ายจะดังขึ้น
“สวัสดีครับ”
[ผู้กองหวังมาพบผมที่ห้องตอนนี้ด้วย]
“ครับ"
หลังจากหวังหยูเฟิงวางสาย ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง ท่าทางของเพื่อนสนิท ทำให้ฟ่านมู่เหยียนต้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"จะไปไหน”
“สารวัตรเรียก”
คำตอบที่ได้รับ ทำให้คนฟังต้องพ่นลมหายใจออกมา แล้วกดยิ้มที่มุมปาก
“ขอให้โชคดี”
“อืม”
หวังหยูเฟิงเดินออกจากห้องทำงานของตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย เพราะเขารู้ดีว่า การที่สารวัตรเรียกหาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“ขออนุญาตครับ”
หวังหยูเฟิงเดินเข้ามาในห้องทำงานของสารวัตรใหญ่ ก่อนที่เขาจะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน
“ผมได้รับเรื่องมาว่า เมื่อคืนมีคดีที่ภัตตาคารเฟยลี่ใช่ไหม”
“ครับ ตอนนี้สอบปากคำผู้เสียหายเบื้องต้นแล้ว เหลือตามจับตัวคนร้าย”
“อืม ผมได้คุยกับคุณเจิ้งเมื่อครู่นี้ เขาอยากให้ตำรวจเข้าไปคุ้มกัน เพราะรู้สึกไม่ปลอดภัย”
หวังหยูเฟิงนึกประหลาดใจ เขาไม่คิดว่า เจิ้งหยุนที่กำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยจะกล้าติดต่อกับสารวัตรด้วยตัวเอง
“ครับ ผมกำลังจะส่งเรื่องนี้แจ้งท่านพอดี”
“ในเมื่อคุณก็จับตามองดูเขาอยู่แล้ว คุณก็ควรจะรับหน้าที่นี้ไม่ใช่หรือ"
ผู้กองหนุ่มชะงักความคิดของตัวเอง แล้วมองคนตรงหน้านิ่ง สารวัตรเองก็มองเขาด้วยท่าทีสุขุม นัยน์ตาที่ผ่านประสบการณ์ฉายแววน่ายำเกรง
“เอ่อ...ก็จริงอย่างที่ท่านว่า”
หวังหยูเฟิงยอมรับ ในตอนแรกเขานึกแปลกใจที่ตัวเองได้รับหน้าที่เพิ่มแบบกะทันหัน ทั้งที่สถานีตำรวจแห่งนี้ก็ยังมีเจ้าหน้าที่อีกหลายนายที่เหมาะสม ทว่าเมื่อได้ยินคำอธิบายเพิ่มและพิจารณาอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เข้าใจ หน้าที่นี้เหมาะกับเขามากที่สุดแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นงานนี้คุณก็รับผิดชอบไปแล้วกัน”
“ครับ”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ภายในคฤหาสน์ริมทะเล ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาสีดำทอดมองแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันผ่านหน้าต่างอย่างสงบ เขายกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้และต่อจากนี้
"นายคิดว่าคุณหวังจะรับหน้าที่นี้หรือครับ"
หลังจากเดินทางกลับที่พักได้ครู่หนึ่ง เจิ้งหยุนก็สั่งให้อู่หนิงต่อสายหาสารวัตรที่ดูแลสถานีตำรวจที่ผู้กองหวังทำงานอยู่ แล้วพูดคุยถึงความต้องการของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เจาะจงเลือกตำรวจคนไหนเป็นพิเศษ
"อืม เพราะนี่เป็นโอกาสดีที่จะจับตามองฉันอย่างใกล้ชิด”
“แล้วถ้าเกิดว่าเป็นคนอื่น?"
เจิ้งหยุนหันมามองอู่หนิงเล็กน้อย ถึงอีกฝ่ายจะมีบทบาทในฐานะลูกน้อง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถือตัวและไว้วางใจไม่ต่างจากเพื่อนหรือคนในครอบครัว ทุกสิ่งที่เขาคิดและต้องการจะทำ คนตรงหน้าจะรับรู้เสมอ
"ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะให้อีเดนจัดการ"
ในฐานะเจ้าของผับกาเบรียล เจิ้งหยุนคงไม่มีสิทธิ์ไปสั่งการข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนไหนได้ ทว่าในฐานะของกรรมการบริหารของอีเดน คอร์เปอเรชั่นแล้วไม่ใช่
บริษัทอีเดน คอร์เปอเรชั่นได้ควบคุมธุรกิจหลายอย่างภายในประเทศ นอกจากนี้ยังบริจาคเงินสนับสนุนหน่วยงานรัฐและเอกชนต่างๆ ในแต่ละปีไม่น้อย และการใช้อำนาจในการเลือกนายตำรวจที่ต้องการสักคนก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
"หึ! ฉันจะให้เขาตามติดแบบไม่ให้คลาดสายตาเลย"
TBC+++++++ 08ล่ากับผู้ถูกล่า
Marionetta มาแล้วค่ะ ^^ ช่วงนี้ยุ่งมาก ก็จะมาช้าหน่อยนะคะ แฮะๆ ขอบคุณืที่ติดตามค่ะ
-
:katai2-1:
-
08
ผู้ล่ากับผู้ถูกล่า
เนื่องจากรถยนต์ของตัวเองชะตาขาดไปแล้ว ตอนนี้หวังหยูเฟิงก็ยังไม่มีเวลาไปมองหาเพื่อนคู่ใจคันใหม่ ผู้กองหนุ่มเลยยึดมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนสนิทมายืมใช้ชั่วคราว
หวังหยูเฟิงเดินทางมาถึงคฤหาสน์ริมทะเลในเวลาเช้า ถึงจะมาทำงานแต่เขาก็ไม่ได้สวมเครื่องแบบตำรวจ วันนี้ชายหนุ่มใส่เพียงเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลกับกางเกงสแลคสีดำเท่านั้น
ประตูรั้วขนาดใหญ่เปิดออกต้อนรับ หวังหยูเฟิงขับมอเตอร์ไซค์ไปจอดที่ด้านข้างของคฤหาสน์ ทั้งที่เมื่อหลายวันก่อนเขาได้แต่สังเกตการณ์จากด้านนอกเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจะได้เข้ามาในที่พักของผู้ต้องสงสัยแบบนี้
“ยินดีต้อนรับครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยทักขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง เมื่อผู้กองหนุ่มเดินเข้ามาด้านในของคฤหาสน์
"ครับ ผมได้รับหน้าที่ให้มาดูแลคุณ ฝากตัวด้วย" หวังหยูเฟิงตอบรับ เขาลอบมองโดยรอบอย่างสำรวจ
ถึงภายนอกคฤหาสน์จะดูสวยงาม ทว่าการตกแต่งด้านในกลับไม่ได้ดูโอ่อ่าหรูหราอย่างที่คิดเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นของที่นี่ก็ดูราคาแพงจนคนทั่วไปยากที่จะเป็นเจ้าของ
“ผมก็ฝากตัวด้วยเหมือนกันครับ ไม่นึกเลยว่า สารวัตรจะส่งคุณมา” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นต่อ ชายหนุ่มไม่ได้สนใจท่าทางเคร่งขรึมของอีกฝ่ายนัก เพราะบุคลิกแบบนี้ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหวังหยูเฟิง “ตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมจะให้อู่หนิงพาคุณไปที่ห้องพัก”
หวังหยูเฟิงมองไปยังชายหนุ่มอีกคน อู่หนิงเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสูทสีดำสุภาพ ใบหน้าเรียบนิ่ง ทำให้เขาดูหนักแน่นมั่นคง ชายหนุ่มโค้งตัวเคารพอย่างนอบน้อม
"เชิญทางนี้เลยครับ"
ผู้กองหวังเดินตามอู่หนิง โดยทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองตามหลัง
ตั้งแต่วันแรกที่หวังหยูเฟิงเริ่มจับตามองจากด้านนอก ผู้กองหนุ่มก็สังเกตได้ถึงความไม่ธรรมดาของผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ นอกจากการเข้าออกที่ดูเข้มงวดมาก ซึ่งอาจเป็นเพราะเดิมทีตระกูลเจิ้งเคยทำงานในวงการมืดมาก่อน ทว่าเมื่อเขาได้เข้ามาด้านในกลับรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย
นอกจากเจิ้งหยุนกับอู่หนิงแล้ว เขาก็เห็นแค่สาวรับใช้ธรรมดาไม่กี่คนเท่านั้น ไร้วี่แววของบอดี้การ์ดอย่างที่คนมีอิทธิพลทั่วไปมักจะมี ถ้าหากมีใครคิดจะบุกเข้ามาอย่างจริงจัง ก็คงลอบเข้ามาได้ไม่ยาก
หลังจากเดินผ่านชั้นล่างได้สักพัก ชายหนุ่มก็นึกแปลกใจ เมื่ออู่หนิงพาเขาขึ้นมาที่ชั้นสองของคฤหาสน์แทนที่จะเป็นด้านหลังหรือที่พักสำหรับลูกจ้าง
ถึงหวังหยูเฟิงจะมาในฐานะตำรวจเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้เจ้าของบ้าน แต่เขาก็ระวังตัวไม่ต่างจากการเหยียบย่างเข้ามาในเขตแดนของศัตรู
ผู้กองหนุ่มรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เวลานี้คนที่ควรระวังและอันตรายก็คือคนที่เขาต้องคุ้มครองนั่นแหละ!
นี่คือห้องพักของผู้กองหวังครับ" อู่หนิงเอ่ยขึ้น เมื่อเดินนำอีกฝ่ายมาหยุดที่หน้าประตูบานหนึ่ง "บนชั้นนี้นอกจากคนรับใช้ที่ต้องขออนุญาตในการทำความสะอาด ก็มีแค่ผมกับนายเท่านั้นครับ"
"คุณเป็นพ่อบ้านที่นี่หรือ" หวังหยูเฟิงเอ่ยถามกลับ เขาสังเกตเห็นอีกฝ่ายตามติดราวกับเงาของเจิ้งหยุน จากข้อมูลที่ได้สืบค้นมาก่อนหน้านี้ ก็รู้พียงแต่ว่า อู่หนิงถูกคนตระกูลเจิ้งชุบเลี้ยงและทำหน้าที่เป็นคนสนิทคอยติดตามลูกชายคนเล็กของตระกูล
"ผมดูแลทุกอย่างที่นี่ครับ" อู่หนิงตอบอย่างสุภาพ ก่อนจะผายมือไปยังทางเดินที่ทอดยาวต่อ "ถัดออกไปจากห้องของคุณเป็นห้องของนายครับ ส่วนผมจะอยู่ชั้นล่างด้านหลังของที่นี่ ภายในห้องมีโทรศัพท์สายในอยู่ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถติดต่อผมได้ทุกเมื่อครับ"
"ให้ผมพักที่นี่จะดีหรือ" หวังหยูเฟิงถามต่ออย่างไม่เข้าใจ อันที่จริงเขาควรจะไปพักที่ไหนสักแห่ง ซึ่งไม่น่าจะเป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องส่วนตัวของเจ้าของคฤหาสน์
อู่หนิงมองใบหน้าของผู้กองหวังที่ปิดบังความสงสัยไว้ไม่มิด แล้วอธิบายต่ออย่างใจเย็น คำถามของอีกฝ่ายล้วนอยู่ในการคาดเดาของเจ้านายทั้งหมด
"ก็อย่างที่คุณเห็น นอกจากคนที่ดูแลการเข้าออกที่ประตูรั้วแล้ว ภายในคฤหาสน์หลังนี้ก็มีแค่ผมกับสาวรับใช้อีกไม่กี่คน ถ้าหากมีใครคิดจะบุกเข้ามา ก็ทำได้ไม่ยาก" อู่หนิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าจุดความสงสัยในความคิดของคนฟังขึ้นมาเรื่อยๆ "นายไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวครับ แต่เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น ถึงจะอยากหาคนอื่นมาคุ้มกัน นายก็ยังไม่วางใจ แต่ถ้าเป็นตำรวจก็พอจะเชื่อใจได้ครับ"
"แต่ก็คงไม่เกี่ยวกับที่ผมได้พักอยู่ข้างห้องของคุณเจิ้งหรอก"
"เกี่ยวครับ ถ้าหากผู้กองหวังไปพักที่อื่น แล้วเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น จะดูแลนายได้ทันท่วงทีหรือครับ"
"หมายความว่า ถ้าคนไหนมีหน้าที่คุ้มครองคุณเจิ้ง ก็จะได้พักที่ห้องนี้อย่างนั้นหรือ"
"ไม่ใช่ครับ เฉพาะผู้กองหวังคนเดียวเท่านั้น"
"ทำไมครับ"
"เพราะนายเชื่อใจคุณอย่างไรล่ะครับ"
หวังหยูเฟิงมองอู่หนิงอย่างพิจารณา ถึงคำถามของเขาจะได้รับคำตอบ แต่ก็มองออกว่าเป็นแค่ข้ออ้างเสียมากกว่า
ผู้ชายคนนั้นวางแผนอะไรไว้หรือเปล่า?
"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ" อู่หนิงเอ่ยลาพร้อมกับโค้งตัวเคารพอย่างมีมารยาทอีกครั้ง แล้วเดินจากไป
ผู้กองหวังลอบถอนหายใจออกมา ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้าไปในห้องที่ต้องพักในช่วงนี้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ห้องพักของหวังหยูเฟิงดูดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นเตียงนุ่มขนาดใหญ่ ตู้ไม่สลักสวยงาม หรืออ่างอาบน้ำราคาแพง สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดนั้นไม่เหมาะกับการให้แขกแบบเขานัก
หวังหยูเฟิงเดินวนรอบห้องสี่เหลี่ยมอย่างสำรวจ ซึ่งก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากกระจกเงาบานใหญ่ที่กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของผนัง ชายหนุ่มยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เงาสะท้อนของตัวเองฉายชัดถึงความสงสัย ชายหนุ่มเคาะที่กระจกเงาเบาๆ แล้วมองไปที่ขอบกระจกทั้งสี่ด้าน แต่ดูเหมือนว่ามันจะถูกฝังไว้กับผนังอย่างแน่นหนา
ผู้กองหวังขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ ถึงจะไม่มีอะไร แต่สัญชาตญาณของเขายังร้องเตือนอยู่ดี
เอาเถอะ! เขาอาจะคิดมากไปเองก็ได้...
ชายหนุ่มตัดใจจากความรู้สึกคาใจที่อธิบายไม่ได้ เขาเดินตรงไปที่หน้าต่าง แล้วมองทิวทัศน์ด้านนอก ท้องฟ้าสดใสในตอนนี้มีเมฆบางส่วน เบื้องล่างของผืนฟ้ากว้างมีชายหาดและทะเลที่ไกลสุดสายตา พื้นที่สวยงามแบบนี้ต้องมีราคามากเกินกว่าที่เขาจะประเมินได้แน่นอน
หวังหยูเฟิงวิเคราะห์ถึงทำเลโดยรอบของคฤหาสน์หลังนี้ ด้านหน้าติดถนน มีรั้วและกำแพงใหญ่เป็นปราการยักษ์ อีกทั้งยังมีคนคอยตรวจดูการเข้าออกอย่างเข้มงวด ส่วนด้านหลังก็มีชายหาดส่วนตัวที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ถ้ามีบอดี้การ์ดเฝ้าระวังแต่ละด้านเป็นอย่างดี ที่นี่ก็ไม่ต่างจากเซฟเฮาส์ของมาเฟียที่ไร้จุดบอด
หวังหยูเฟิงละสายตาจากวิวข้างหน้าต่าง ชายหนุ่มจัดเก็บของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อย และเริ่มคิดทบทวนสิ่งที่จะต้องทำ นอกเหนือจากการคุ้มกันเจ้าของที่พักแห่งนี้
การสืบหาเบาะแสหรือหลักฐานบางอย่างที่นำพาให้เขาเข้าไปค้นพบความจริงที่ถูกซ่อนเอาไว้
ความลับของเทวทูตที่เปื้อนเลือด
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
"อาหารถูกปากไหมครับ"
"ครับ"
หวังหยูเฟิงได้แต่รู้สึกตงิดอยู่ในใจ ตอนนี้ผู้กองหนุ่มกำลังร่วมมื้อกลางวันกับเจิ้งหยุนที่มีท่าทางอารมณ์ดีในห้องรับประทานอาหาร
"คุณหวังจะรับของหวานอะไรเพิ่มไหมครับ"
"ไม่ครับ ขอบคุณ"
เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ ก่อนจะโบกมือไล่สาวรับใช้ให้เดินออกไป ทำให้ห้องรับประทานอาหารเหลือเพียงเจ้าของคฤหาสน์กับตำรวจที่มีหน้าที่คุ้มกันเท่านั้น
หวังหยูเฟิงวางแก้วน้ำผลไม้ของตัวเองอย่างเชื่องช้า เขาลอบมองท่าทางของคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะไปด้วย การถูกรับรองเป็นอย่างดีเกินความจำเป็น ทำให้ผู้กองหวังหวาดระแวงเป็นเท่าตัว
เขาก็แค่ตำรวจธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว ก็เหมือนเป็นลูกจ้างที่มีหน้าที่ดูแลนายจ้าง ซึ่งเจิ้งหยุนไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากขนาดนี้
หรือว่าจะมีจุดประสงค์บางอย่าง?
"คุณหวังมีอะไรที่อยากถามผมหรือเปล่าครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ผู้กองหนุ่มที่จมอยู่ในความคิดหันไปมอง "วันนี้ผมไม่มีธุระที่ไหน ถ้าคุณหวังอยากจะสำรวจพื้นที่ ผมจะรับอาสานำทางให้เองครับ"
หวังหยูเฟิงรู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม แต่ผู้กองหนุ่มก็เก็บอาการเอาไว้ นอกจากจะได้เข้ามาด้านในของคฤหาสน์แล้ว ผู้ต้องสงสัยก็ยังเอื้อเฟื้อนำทางให้เขาตรวจสอบอีกด้วย!
เจิ้งหยุนต้องการอะไรกันแน่! หรือทุกอย่างที่เขาระแวงมาตลอด จะเป็นแค่เรื่องที่คิดไปเอง!
"ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอรบกวนด้วย"
"ด้วยความยินดีครับ"
ถึงหวังหยูเฟิงจะสงสัยและประหลาดใจมากก็ตาม แต่เขาก็ไม่ยอมพลาดโอากาสดีที่ถูกเสนอมาให้แน่นอน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องรับประทานอาหารด้วยกัน เจิ้งหยุนที่เป็นเจ้าบ้านก็เริ่มแนะนำที่พักของตัวเอง
"ผมซื้อคฤหาสน์หลังนี้มาจากเศรษฐีคนหนึ่ง หลังจากตกแต่งเพิ่มเติมเสร็จ ผมถึงย้ายมาอยู่ แล้วก็เริ่มทำกิจการที่เมืองนี้"
"คงราคาแพงมาก"
เจิ้งหยุนหันมาส่งยิ้มให้ผู้กองหวังเล็กน้อย ซึ่งต่างจากสีหน้าไร้อารมณ์ของนายตำรวจ
"ครับ คุณหวังก็คงจะรู้แล้วว่า เมื่อก่อนครอบครัวของผมทำอะไร"
หวังหยูเฟิงหันไปสบตากับผู้ต้องสงสัย ถึงเจิ้งหยุนจะแสดงท่าทีเหมือนไม่มีอะไร แต่เขามั่นใจว่า ตัวเองกำลังถูกลองเชิงอยู่
"แสดงว่าคฤหาสน์หลังนี้อาจจะมาจากเงินที่ผิดกฏหมายหรือครับ"
"ฮ่าๆ ไม่ใช่หรอกครับ" เจิ้งหยุนตอบรับอย่างอารมณ์ดี ชายหนุ่มทอดมองใบหน้าเรียบเฉยที่นัยน์ตาทอประกายจริงจังอย่างพอใจ "เงินที่ใช้ซื้อที่นี่ มาจากการทำธุรกิจในช่วงหลายปีก่อน ผมไม่ชอบยุ่งกับเรื่องผิดกฏหมายหรอกครับ"
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีผู้ร้ายคนไหนยอมรับความผิดของตัวเองออกมาอยู่แล้ว...
หวังหยูเฟิงไม่ได้ต่อบทสนทนา เขามองทางที่อีกฝ่ายเดินนำมา ตอนนี้พวกเขากำลังออกจากคฤหาสน์ผ่านทางประตูด้านหลัง ลมทะเลพัดเอื่อย เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเป็นระยะ ความร้อนจากแสงอาทิตย์ส่องประกายหาดทรายขาวให้งดงามมากกว่าเดิม
"ที่นี่เป็นชายหาดส่วนตัวครับ ถ้าขับเรือออกไปสักห้ากิโลเมตรก็จะสามารถดูปะการังน้ำตื้นได้"
"คุณได้สัมปทานจากรัฐอย่างนั้นหรือ" ผู้กองหนุ่มถามขึ้นพร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างจับผิดเต็มที่ ถ้าทะเลส่วนตัวแห่งนี้ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม เขาจะได้เก็บความผิดเพิ่มอีกคดี
"ใช่ครับ ผมเสียภาษีให้รัฐทุกปี ถ้าคุณหวังไม่เชื่อ ก็สามารถตรวจสอบได้"
หวังหยูเฟิงแค่มองตอบกลับเท่านั้น ถึงคนตรงหน้าจะไม่เอ่ยท้า เขาก็ต้องตรวจสอบแน่นอน ผู้กองหนุ่มตั้งปณิธานในใจ ก่อนนัยน์ตาสีดำจะสังเกตเห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ติดเชิงเขาสุดชายหาด
"นั่นเป็นบ้านของใครครับ"
"ครอบครัวของคนงานที่ดูแลเรือครับ" เจิ้งหยุนตอบ ก่อนจะพาผู้กองหวังเดินไปยังบ้านหลังนั้นอย่างใจกว้าง "ผมมีสปีดโบ๊ทกับเจ็ทสกีครับ บางทีเวลาเบื่อๆ ก็ขับเรือออกไปตกปลา"
"ผมไม่เห็นจะมีเรือแถวนี้"
"มีโรงเก็บเรืออยู่ที่ด้านข้างของภูเขาครับ ถ้าจะไปเอาต้องขับเจ็ทสกีไป"
"คุณบอกผมหมดอย่างนี้จะดีหรือ"
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนนอย่างไม่เข้าใจ ทว่าอีกฝ่ายก็แค่ยิ้มรับธรรมดา นัยน์ตาคมมองไปเบื้องหน้าด้วยท่าทางผ่อนคลาย
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็มันไม่ได้มีอะไรผิดกฏหมาย"
ผู้กองหนุ่มที่ตั้งใจจับผิดถึงกับคิ้วกระตุก แต่เขาก็พยายามเก็บความขุ่นเคืองใจที่อาจจะโดนอีกฝ่ายเหน็บแนมแบบทางอ้อมอยู่
หึ! ก็ให้มันจริงอย่างที่พูดก็แล้วกัน...
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากก้าวเท้าบนพื้นทรายมาได้ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงหน้าบ้านพักที่เป็นจุดหมาย เจิ้งหยุนเป็นฝ่ายเดินนำเปิดประตูเข้าไปก่อน โดยละเลยมารยาทอย่างการเคาะประตูไป
หวังหยูเฟิงที่เดินทิ้งระยะเล็กน้อยตามเข้าไปในบ้าน ซึ่งดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่มีใครอยู่ แล้วในไม่กี่วินาทีต่อมา ประสาทการรับรู้ของเขาทั้งหมดก็ตื่นตัวขึ้นกะทันหัน เมื่อรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่พุ่งตรงมาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ผู้กองหนุ่มเบิกตากว้าง เสี้ยวพริบตาร่างกายของเขาก็ถูกผลักออกไปด้านข้างจนเกือบล้ม แล้วสิ่งนั้นก็ถูกเจิ้งหยุนปัดวิถีการเคลื่อนที่ออกด้วยมือเปล่า
เคร้ง!
มืดสั้นคมกริบร่วงลงบนพื้นไม้ขัดมัน ผู้กองหนุ่มที่ตกตะลึงชั่วครู่หันหลังกลับไปมอง แล้วก็พบว่า ผู้ที่ลงมือเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่กำลังมีใบหน้าเผือดสี
"ต...ตายแล้ว! ขอประทานโทษค่ะ! ด...ดิฉันไม่ทราบว่า น...นายมาด้วย!" เธอร้องบอกเสียงสั่นด้วยความตกใจพร้อมกับรีบโค้งคำนับหลายรอบอย่างตื่นตระหนกและลนลาน
หวังหยูเฟิงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างพิจารณา นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงปามีดใส่คนอื่นแบบไม่ลังเลได้แบบนี้ หรือเธอจะคิดว่า เขาเป็นผู้ร้ายเข้ามาปล้นบ้านอย่างนั้นหรือ
ผมเป็นตำรวจนะครับ! เดี๋ยวก็แจ้งข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่หรอก!
ผู้กองหวังได้แต่บริภาษอยู่ในใจ แต่ดูเหมือนว่าคนที่น่าจะมีปัญหามากกว่า ก็คงจะเป็นเจ้านายของเธอ ปฏิกิริยาเฉียบไวแบบนั้น คนไม่รู้เรื่องก็ยังดูออกว่า อีกฝ่ายต้องมีทักษะทางร่างกายที่ดีมาก ถ้าเจิ้งหยุนไม่ผลักเขาออก วันนี้ชายหนุ่มอาจจะได้แผลไปแล้วก็ได้
"ช่างเถอะ นี่ผู้กองหวังหยูเฟิง เขาจะมาดูแลความปลอดภัยให้ฉันช่วงนี้"
"เอ๋? อ่า..." หญิงวัยกลางคนมีท่าทีงุนงง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเข้มขึ้นของเจ้านาย หล่อนก็รีบพยักหน้ารับรู้ "สวัสดีค่ะผู้กองหวัง ดิฉันจูอ้ายหรงค่ะ เรื่องเสียมารยาทเมื่อครู่นี้ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ"
"...ครับ"
มันไม่ใช่แค่การเสียมารยาทแล้ว แต่เป็นการสังหารเลยไม่ใช่หรือ?!
หวังหยูเฟิงมองหญิงวัยกลางคนที่ผ่อนสีหน้าเคร่งเครียดลงไปบางส่วน ถ้าไม่ได้เจอด้วยตาของตัวเอง เขาคงไม่เชื่อแน่ว่า จูอ้ายหรงคนนี้จะทำอะไรแบบนั้นได้
"ป้าจูเป็นแม่ครัวครับ แล้วก็มีลูกสาวที่ทำงานในคฤหาสน์ด้วย คนงานที่ดูแลเรือก็เป็นสามีของแก" เจิ้งหยุนอธิบาย ก่อนจะหันไปทางจูอ้ายหรงต่อ "บอกลุงจูด้วย พรุ่งนี้ฉันจะใช้สปีดโบ๊ท"
"ค่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะครับ คุณหวังไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม"
"ครับ ผมโอเค"
เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินนำออกจากบ้านพัก หวังหยูเฟิงหันไปมองจูอ้ายหรงที่เดินมาส่งอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
แม่ครัวที่ดี ควรมีทักษะการปามีดที่น่ากลัวแบบนี้หรือเปล่า...
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เนื่องจากช่วงนี้เจ้านายของอู่หนิงมีแขกพิเศษที่ต้องดูแล เรื่องกิจการและปัญหาต่างๆ เขาเลยต้องรับไว้เองทั้งหมด ชายหนุ่มนั่งทำงานไปได้สักพัก ก็มีเสียงเคาะประตูเรียก
"แย่แล้วค่ะพี่หนิง!"
"เข้ามา มีอะไร"
อู่หนิงมองสาวรับใช้ในชุดกระโปรงสีดำยาวคลุมเข่าที่สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนอย่างเฉยชา แตกต่างจากท่าทีร้อนรนของผู้มาเยือน
"เมื่อกี้แม่เพิ่งโทรมาเล่าให้ฟังว่า เผลอปามีดใส่แขกของนายเข้าค่ะ!"
จูเยี่ยนหลันเอ่ยขึ้นด้วยความไม่สบายใจ ใบหน้าอ่อนเยาว์มีเม็ดเหงื่อประดับอยู่อย่างเคร่งเครียด
"แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนั้นได้" อู่หนิงถามต่อด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ภายในใจก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ขนาดไป๋ลู่เหอแค่ทิ้งรอยลิปสติกไว้ยังโดนยิง แล้วกับจูอ้ายหรงที่เป็นเพียงแม่ครัวปามีดใส่ จะไม่โดนฆ่าในเวลานั้นเลยหรือ!
"พอดีแม่เห็นหลังไวๆ ของคนแปลกหน้าที่กำลังเดินเข้าบ้าน ไม่ทันได้มองว่านายก็อยู่ที่นั่นด้วย แต่ธรรมดานายก็ไม่เคยไปที่นั่นอยู่แล้ว แม่ก็เลย..."
จูเยี่ยนหลันมีสีหน้ากังวล เท่าที่จำได้เจ้านายไม่เคยไปที่บ้านของเธอมาก่อน ทุกครั้งจะติดต่อผ่านทางอู่หนิงมาโดยตลอด แล้วใครจะคาดคิดว่า วันหนึ่งอีกฝ่ายจะมากะทันหันแบบนี้
ถึงแม้ตอนนี้หญิงสาวจะอายุได้สิบเก้าปีและมีงานทำ อีกทั้งยังสามารถออกเรือนและดูแลตัวเองได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่อยากให้มารดาตายจากไปไหน
"ถ้าป้าจูยังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก เธอก็น่าจะรู้นี่"
เจิ้งหยุนเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก แถมความแรงของน้ำที่วนอยู่ในอารมณ์ก็แปรปรวนจนยากจะคาดเดา ถ้าเป็นปกติจูอ้ายหรงคงไม่รอด แต่หล่อนก็ยังมีโชค เพราะเจ้านายของเขาไม่กล้าทำอะไรไม่ดีต่อหน้าหวังหยูเฟิงอยู่แล้ว และข้อยืนยันก็พิสูจน์ได้จากการที่อีกฝ่ายยังมีลมหายใจมาเล่าให้ลูกสาวฟัง
"...นั่นสิค่ะ พอตกใจก็ไม่ทันได้คิดอะไรเลย" จูเยียนหลันยกมือขึ้นทาบที่หน้าอกของตัวเอง หัวใจของเธอที่เต้นระรัวก่อนหน้านี้กลับมาทำงานเป็นปกติอีกครั้ง "ขอบคุณมากค่ะพี่หนิง"
"อืม ทีหลังก็ระวังหน่อย นายมีสิทธิ์ไปที่ไหนก็ได้ที่ท่านอยากไป"
"ค่ะ"
หญิงสาวโค้งตัวเคารพคนที่มีตำแหน่งสูงกว่า ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง ทว่าร่างบางก็ชะงัก เธอยกมือข้างขวาขึ้นรับกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกส่งมาให้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้หันกลับไปมอง
"รายการอาหารเย็นนี้"
"รับทราบค่ะ"
หลังจากเหลือตัวเองเพียงลำพัง อู่หนิงก็ต้องถอนหายใจออกมา เจ้านายของเขาคงกลัวผู้กองหวังจะเบื่อเพราะไม่มีอะไรทำ เลยชวนออกไปเดินเล่น แต่ก็ดันเจอเรื่องแบบนั้นเข้าจนได้ ไม่รู้ป่านนี้หวังหยูเฟิงสงสัยไปถึงไหนแล้ว
ถึงที่นี่จะไม่มีบอดี้การ์ดที่คอยเดินตรวจตราเพื่อความปลอดภัยเหมือนที่พักของผู้มีอิทธิพลทั่วไป แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนมีทักษะการต่อสู้ที่ได้รับการยอมรับ
เพราะมีคนที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องใช้คนมากให้รกสายตา ข้ารับใช้ทุกคนในคฤหาสน์หลังนี้สามารถฆ่าคนได้ตามคำสั่งของเจ้านายโดยไร้ข้อกังขา
อู่หนิงที่จมอยู่ในภวังค์ความคิดตั้งสมาธิกลับมาที่งานของตัวเองอีกครั้ง เนื่องจากผับกาเบรียลได้รับความนิยม ทำให้มีปัญหาทั้งเรื่องคู่แข่งทางธุรกิจและการทะเลาะวิวาทภายในอยู่บ่อยครั้งจนน่าเบื่อ แล้วตอนนี้เจ้านายของเขาก็ผลักภาระไม่รับรู้อะไร นอกจากความเป็นไปของผู้กองหวังเท่านั้น
เฮ้อ...หวังว่าคืนนี้จะไม่มีเรื่องให้ปวดหัวเพิ่ม
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
พระจันทร์นวลสว่างลอยเด่น แสงดาวส่องประกายรายล้อมไม่ต่างจากผืนผ้าขนาดใหญ่สีเข้มที่ประดับด้วยอัญมณีเลอค่า
วันนี้เจิ้งหยุนอารมณ์ดีมากจนมองข้ามอะไรหลายอย่างที่น่าหงุดหงิดใจ การเฝ้ามองใบหน้าและท่าทีสงสัยที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ของหวังหยูเฟิง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกรื่นรมย์ไม่น้อย
ยิ่งอยากรู้ เขาก็จะบอกใบ้
ยิ่งอยากค้นหา เขาก็จะพาไป
แล้วสุดท้ายอีกฝ่ายก็จะไม่พบอะไร นอกจากความว่างเปล่า
พอนึกถึงภาพใบหน้าที่จริงจังเต็มไปด้วยความผิดหวัง ทว่านัยน์ตาสีดำก็ยังมุ่งมั่นอย่างไม่ยอมแพ้ เจิ้งหยุนก็รู้สึกสบอารมณ์จนอยากแกล้งอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
หลังจากจัดการกับถานอี้เทา ชายหนุ่มก็ไม่เหลือร่องรอยและหลักฐานอะไร หากผ่านไปอีกหลายปีข้างหน้า เขาก็อาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น
แต่ถ้าหวังหยูเฟิงต้องการจะเอาเรื่องให้ได้ สิ่งเดียวที่พอจะเป็นเบาะแส ก็คงเป็นรอยแผลที่เขาตั้งใจเก็บเอาไว้
รอยแมวกัด...
ถึงอย่างนั้นรอยแผลนี้ก็ไม่ใช่หลักฐานที่ฟ้องชัดเอาความผิดกับเขาได้อยู่ดี
เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้นกับตัวเอง ชายหนุ่มไม่ได้สนใจว่า หวังหยูเฟิงสงสัยและอยากรู้อะไร เขารู้แค่ว่า ตัวเองต้องการอะไร ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว
เส้นผมสีดำยาวเงางามที่มักจะถูกรวบต่ำเอาไว้เสมอถูกปล่อยออก เจิ้งหยุนถือแก้วไวน์แดงเดินไปที่โซฟานุ่ม ก่อนที่เขาจะทอดมองกระจกบานใหญ่ที่กำลังฉายภาพของใครบางคนอยู่
ตอนนี้หวังหยูเฟิงที่ร่างกายเปลือยท่อนบนกำลังเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า โดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองอยู่เลยสักนิด หลังจากวางแผนเรื่องของหวังหยูเฟิง เจิ้งหยุนก็ปรับปรุงห้องเล็กน้อย เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร
เขาแค่ไม่อยากให้คนที่กำลังสนใจอยู่คลาดสายตาเท่านั้นเอง
TBC+++++++++ 09เชื้อไฟที่เริ่มปะทุ
-
09
เชื้อไฟที่เริ่มปะทุ
ถึงแม้การอาสาสำรวจคฤหาสน์ของเจิ้งหยุนจะทำให้หวังหยูเฟิงได้ข้อมูลอะไรหลายอย่าง แต่เรื่องที่ผู้กองหนุ่มต้องการกลับไม่มีวี่แวว
หวังหยูเฟิงตื่นขึ้นแต่เช้ามืด ชายหนุ่มเดินออกจากห้องนอนของตัวเอง แล้วมองไปยังห้องที่อยู่ถัดออกไปอย่างพิจารณา
ห้องของเจิ้งหยุน...
ถ้าเข้าไปในห้องนั้นได้ เขาอาจจะได้ข้อมูลบางอย่างก็ได้ แต่จะทำอย่างไร ถึงจะมีโอกาสนั้น
ผู้กองหวังเดินไปตามทางที่ทอดยาวเบื้องหน้า เขาเดินเลยผ่านห้องพักของเจิ้งหยุนเพื่อสำรวจสถานที่ แล้วย่างก้าวที่ดำเนินอยู่ก็ต้องชะงัก เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหา
"อรุณสวัสดิ์ครับ"
อู่หนิงโค้งตัวทักทายอย่างสุภาพ หวังหยูเฟิงไม่ได้ตกใจนัก เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นพ่อบ้านของคฤหาสน์หลังนี้ก็คงต้องทำงานตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง
"อรุณสวัสดิ์ครับ"
"ผู้กองหวังจะไปไหนหรือครับ" อู่หนิงเอ่ยถามด้วยท่าทีเยือกเย็น นัยน์ตาคมเข้มมองแขกคนสำคัญของเจ้านายอย่างสงบ
"ผมแค่อยากเดินเล่น" หวังหยูเฟิงตอบ แล้วถือโอกาสสอบถามคนตรงหน้าเลยทีเดียว "คุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าว่าที่ชั้นนี้มีห้องอะไรบ้าง"
"ครับ ชั้นสองแบ่งเป็นสองฝั่ง ทางด้านซ้ายที่พวกเราอยู่ตอนนี้ นอกจากห้องพักของนายกับผู้กองหวัง ก็มีห้องพักของพี่ชายของนาย ส่วนด้านขวามีห้องสมุดและห้องพักใช้รับรองแขกอีกสามห้องครับ"
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ พี่ชายของเจิ้งหยุนก็คือเจิ้งเทียน ซึ่งตอนนี้เป็นประธานบริษัทอีเดน คอร์เปอเรชั่นคนปัจจุบัน ถึงจะคาใจอะไรหลายอย่าง แต่ตอนนี้เขานึกสนใจสิ่งหนึ่งที่เพิ่งได้รับรู้มา
"ผมขอเข้าไปในห้องสมุดหน่อยได้หรือเปลา"
"ได้ครับ"
อู่หนิงเดินนำหวังหยูเฟิงไปยังห้องสมุดของคฤหาสน์แห่งนี้ ชายหนุ่มมองแผ่นหลังตรงของคนที่เดินนำไป ก่อนจะมองทางโดยรอบ นอกจากของตกแต่งจำพวกเครื่องเรือนและแจกันดอกไม้แล้ว ที่นี่ก็ไม่มีกรอบรูปหรือภาพวาดอะไรประดับผนัง
"เชิญตามสบายครับ อาหารเช้าจะเริ่มตอนแปดโมงครับ"
"ขอบคุณครับ"
อู่หนิงโค้งตัวลาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินจากไป หวังหยูเฟิงหันไปมองเล็กน้อย แล้วกลับมาสนใจห้องที่อยู่ตรงหน้า เขาเดินเข้าไปข้างในด้วยความรู้สึกคาดหวังที่ก่อตัวขึ้น
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
"อรุณสวัสดิ์ครับนาย"
“อืม”
เจิ้งหยุนในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำก้าวออกมาจากห้องน้ำอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ชายหนุ่มจะปลดอาภรณ์ของตัวเองออก เผยร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยงามพอเหมาะ มีเพียงเส้นผมสีดำยาวที่ช่วยปกปิดแผ่นหลังกว้างเอาไว้
"ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม แล้วรับเครื่องแต่งกายที่อู่หนิงส่งมาให้ ก่อนหน้านี้เขาเดินไปมองหวังหยูเฟิงผ่านกระจก แต่ก็ไม่เห็นใครในห้อง
“ห้องสมุดครับ” อู่หนิงตอบ เมื่อเห็นเจ้านายปรายตามอง เขาจึงอธิบายต่อ “เมื่อเช้าผมเห็นผู้กองหวังสำรวจชั้นนี้ตั้งแต่ตีห้า พอรู้ว่ามีห้องสมุด เขาเลยขอเข้าไปครับ”
“อืม คงอยากไปค้นอะไรล่ะมั้ง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากแต่งตัวเสร็จ เขาก็หวีผมที่ชื้นของตัวเอง
“น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ” อู่หนิงตอบรับพร้อมกับส่งไดร์เป่าผมให้เจ้านายอย่างรู้จังหวะ การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของเจิ้งหยุนเป็นหนึ่งในหน้าที่ของเขา
ถึงอู่หนิงจะสามารถช่วยแต่งกายให้กับเจ้านายได้ แต่มีเพียงอย่างเดียวที่เขาไม่มีสิทธิ์แตะต้อง หากไม่ได้รับอนุญาตคือเส้นผม
ทุกวันนี้เจิ้งหยุนไม่เคยให้เรือนผมสีดำยาวของตัวเองผ่านมือช่างคนไหน ถ้าชายหนุ่มต้องการตัด ก็จะให้อู่หนิงที่ถูกสั่งให้ไปเรียนตัดผมเบื้องต้นเป็นคนจัดการเท่านั้น
อู่หนิงยืนมองเจ้านายที่กำลังไดร์ผมของตัวเองอย่างสงบ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มรัดผม เขาก็เดินไปเก็บไดร์เป่าผมเข้าที่เดิม เจิ้งหยุนมองตัวเองในกระจกเงาอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“แล้วเขาจะอยู่ในห้องสมุดนานแค่ไหน”
“ไม่ทราบครับ แต่ผมแจ้งผู้กองหวังเรื่องเวลาอาหารเช้าไปแล้วครับ”
“อืม ออกไปได้แล้ว”
อู่หนิงโค้งตัวเคารพเจ้านาย แล้วเดินออกไปอย่างสุภาพ เจิ้งหยุนไม่ได้สนใจคนสนิทอีก เขาเดินไปที่หน้าต่างมองทิวทัศน์ยามเช้าที่ประกอบด้วยท้องฟ้าและทะเลอันสวยงามอย่างเหม่อลอย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“เมื่อคืนนอนหลับสบายไหมครับ”
คำทักทายจากเจ้าของคฤหาสน์ ทำให้ผู้กองหนุ่มที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดต้องหันไปมอง เขาก้มหัวทักทายกลับเล็กน้อย แล้วเดินไปนั่งร่วมรับประทานอาหารเช้าอย่างเป็นปกติ
“ครับ”
หลังจากสาวรับใช้เริ่มเสิร์ฟอาหารเช้า หวังหยูเฟิงก็มองเจ้าของสถานที่แห่งนี้เล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลายังคงแต้มด้วยรอยยิ้มบางอย่างที่เห็นจนชินตา
“เมื่อเช้าคุณไปที่ห้องสมุดมาหรือครับ ที่นั่นมีแต่หนังสืออ่านเล่นสมัยที่ผมอยู่ที่อเมริกากับแผ่นหนังเก่าที่ไม่ได้หยิบมาดูอีก” เจิ้งหยุนเริ่มต้นบทสนทนาระหว่างมื้ออาหารพร้อมกับมองนายตำรวจด้วยสายตาเป็นประกาย “แล้วคุณหวังเจออะไรที่น่าสนใจบ้างไหมครับ”
"แล้วอะไรที่คุณคิดว่าน่าสนใจ"
หวังหยูเฟิงสบตากับเจิ้งหยุน หลังจากเข้าไปใช้เวลาในห้องสมุดของคฤหาสน์หลายชั่วโมง เขาก็ไม่ได้อะไรที่ต้องการสักอย่าง
"ที่นั่นผมเก็บหนังสือการ์ตูนยกชุดไว้หลายเรื่องเลย ถ้าคุณสนใจ ผมแนะนำได้นะครับ"
“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่...คุณหวังชอบอ่านหนังสือแนวไหนหรือครับ”
“ผมอ่านได้ทุกแนว”
ในวัยเด็กของหวังหยูเฟิงไม่ได้สุขสบายนัก ชายหนุมเติบโตในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า การช่วยเหลือตัวเองและค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอเป็นเรื่องจำเป็นในการผลักดันคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเลือกอ่านหนังสือทุกแนว แม้กระทั่งหนังสือภาพเด็ก โดยมีความเชื่อว่า หนังสือทุกเล่มสามารถให้ความรู้กับคนอ่านเสมอ
“ผมก็อ่านได้ทุกแนวเหมือนกันครับ แล้วแต่สถานการณ์กับอารมณ์ในช่วงนั้น”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
หวังหยูเฟิงมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเกี่ยวกับคดีที่ตามอยู่ แต่การศึกษาพฤติกรรม ความคิด หรือรสนิยมของผู้ต้องสงสัยก็อาจจะนำพาเขาไปสู่ความเป็นไปได้บางอย่าง
“อืม...ก็คงนิยายสืบสวนมั้งครับ อยากรู้ว่าสุดท้ายตำรวจจับผู้ร้ายได้อย่างไร”
แล้วเมื่อใดที่หวังหยูเฟิงเริ่มปล่อยวางข้อสันนิษฐานของตัวเองบางอย่าง เจิ้งหยุนก็มักจะรั้งข้อสงสัยให้ผู้กองหนุ่มต้องเก็บงำความคิดอีกครั้งเสมอ คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน
“เท่าที่ผมเคยอ่านมา ตอนจบ...ถ้าหากผู้ร้ายไม่โดนตำรวจจับ ก็มักจะฆ่าตัวตายหนีความผิด”
“นั่นสินะครับ ถ้าคนร้ายหนีไปได้ นิยายก็คงไม่จบ”
"แล้วถ้าหากคุณเป็นผู้ร้าย คุณจะทำอย่างไร" หวังหยูเฟิงถามลองเชิง เขาก็อยากรู้ว่า อีกฝ่ายจะตอบอย่างไร
"ถ้าผมเป็นผู้ร้าย ก็คงหาวิธีที่ทำให้ตำรวจมาเอาผิดไม่ได้ตั้งแต่แรก" เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงสบาย นัยน์ตาคมแวววาวอย่างนึกสนุก
"ไม่มีผู้ร้ายคนไหนทำผิดแล้วหนีรอดจากกฏหมายได้" หวังหยูเฟิงเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้านิ่งสงบเผยความเคร่งเครียดออกมา
"นั่นสินะครับ แล้วถ้าคุณเป็นผู้ร้าย จะทำอย่างไรครับ" เจิ้งหยุนถามกลับไปบ้าง เขาไม่ได้จริงจังกับคำถามแฝงนัยของนายตำรวจนัก จะตอบเลี่ยงไปก็ได้ แต่ก็อยากแกล้งอีกฝ่ายให้เครียดเล่นนิดหน่อยเท่านั้น
"ผมไม่รู้หรอก เพราะผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ร้าย" หวังหยูเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เจิ้งหยุนที่ตั้งใจฟังคำตอบแสดงสีหน้าตัดพ้อออกมา
"ขี้โกงนี่ครับ แบบนี้ก็แสดงว่าผมคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ร้ายได้อย่างนั้นหรือ" เจิ้งหยุนเอ่ยประท้วงอย่างไม่จริงจังนัก แล้วคลี่ยิ้มบางตามปกติ "เอาเถอะครับ ถ้าคุณหวังเอาผิดกับผมได้ ผมก็ยอมให้จับ"
หวังหยูเฟิงมองอีกฝ่ายอย่างใช้ความคิด สมองของชายหนุ่มกลั่นกรองคำพูดนั้น แล้วขมวดคิ้วออกมา
สารท้าทายหรือแค่การพูดเลื่อนลอย?
"เมื่อถึงเวลานั้น ถึงคุณไม่ยอมให้จับ ผมก็ไม่ปล่อยให้ลอยนวลแน่นอน"
เจิ้งหยุนยิ้มรับกับสีหน้าจริงจังของหวังหยูเฟิง เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่า ระหว่างพวกเราใครจะจับใครได้ก่อนกัน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เจิ้งหยุนก็ไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อพักผ่อนตามแบบคนไม่มีอะไรทำ โดยที่มีหวังหยูเฟิงเดินตามมาด้วย
“แล้ววันนี้คุณมีธุระที่ไหนหรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามขึ้น ถ้าหากวันนี้อีกฝ่ายยังเก็บตัว เขาก็คงไม่ได้อะไรและเสียเวลาเปล่าไปอีกวัน
“อันที่จริงก็ไม่ใช่ธุระหรอกนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อย “วันนี้ผมจะพาคุณหวังไปดูปะการังครับ”
“ฮะ?!” หวังหยูเฟิงตอบรับอย่างประหลาดใจ สีหน้านิ่งเฉยก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด
เจิ้งหยุนรู้จุดประสงค์ของหวังหยูเฟิงดี แล้วทำไมเขาจะไม่รู้ว่า อีกฝ่ายต้องการอะไร การที่ชายหนุ่มไม่ออกไปพบปะใคร ก็ทำให้คนที่ต้องการสืบหาข้อมูลทำงานไม่คืบหน้า เพราะภายในคฤหาสน์หลังนี้ไม่มีอะไรให้ผู้กองหวังค้นหา
“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเลยดีไหมครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟา หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย
“เรื่องนี้ผมต้องขอตัว ผมมาดูแลความปลอดภัยของคุณ ไม่ได้เป็นแขกของคุณ” หวังหยูเฟิงเอ่ยกลับด้วยใบหน้าเคร่ง นอกจากชายหนุ่มจะทำงานไม่คืบหน้า อีกฝายยังพาเขาออกทะเลเที่ยวเล่นอีกต่างหาก
เจิ้งหยุนไม่มีอะไรหรือตั้งใจจะบิดเบือนบางสิ่งกัน...
"แล้วถ้าผมเป็นอะไรระหว่างที่ออกไปดำน้ำ คุณจะว่าอย่างไรล่ะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยหน้าตาใสซื่อ ชายหนุ่มเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปยังด้านหลังของคฤหาสน์ ซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อไปยังทะเลกว้าง “แบบนี้ก็ถือว่า คุณหวังไม่ปฏิบัติตามหน้าที่นะครับ”
“นี่คุณ”
“ครับ?”
เจิ้งหยุนที่เดินนำอยู่หันกลับมามองหวังหยูเฟิงด้วยใบหน้าที่ยังมีรอยยิ้มแต่งแต้ม ในขณะที่ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้วอย่างขัดเคืองกับคำย้อนของคนตรงหน้า ทั้งสองคนจ้องหน้ากันพักหนึ่ง ก่อนที่นายตำรวจจะลอบถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ
“ก็ได้ ตามที่คุณว่า”
เจิ้งหยุนพยักหน้า แล้วเดินนำผู้กองหนุ่มไปยังชายหาดหวังหยูเฟิงมองแผ่นหลังที่มีเส้นผมยาวมัดรวบเอาไว้อย่างอ่อนใจ
สรุปว่าเขามาทำงานหรือมาพักร้อนกันแน่...
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เมื่อทั้งสองคนมาถึงชายหาด หวังหยูเฟิงก็เห็นเรือลำหนึ่งในทะเลอยู่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ราวสามร้อยเมตร ก่อนจะมีเจ็ทสกีคันหนึ่งขับมาจอดอยู่ตรงหน้า
"สวัสดีครับนาย"
คนมาใหม่รีบมายืนอยู่ตรงหน้า แล้วโค้งตัวเคารพ เขาเป็นผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างใหญ่โต ผิวสีเข้มจากแสงแดดขับเน้นทรวดทรงบึกบึนชัดเจน
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”
"ครับ"
เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ แล้วแนะนำหวังหยูเฟิงให้ลูกน้องรู้จัก
“นี่ผู้กองหวังหยูเฟิง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปมองคนที่มาด้วยกัน “นี่ลุงจูครับ มีหน้าที่ดูแลเรือทั้งหมดของผม”
“สวัสดีครับผู้กองหวัง เรื่องเมื่อวานนี้ต้องขอโทษด้วยนะครับ เมียผมมันเลอะเลือน ผู้กองหวังให้อภัยมันด้วยนะครับ” จูเฉิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับอย่างสุภาพ หวังหยูเฟิงก็พยักหน้ารับอย่างไม่ถือสาเอาความ
“แค่เรื่องเข้าใจผิด ไม่ต้องกังวลหรอกครับ”
“ขอบคุณครับ”
จูเฉิงลอบมองท่าทางของเจ้านาย เขาไม่ได้กังวลเรื่องที่ภรรยาปามีดใส่ใคร เพียงแต่เกรงกลัวอารมณ์ของเจิ้งหยุนที่แปรปรวนไม่ต่างจากลมทะเล
“เดี๋ยวเราต้องขับเจ็ทสกีไปที่เรือกันก่อน แล้วเดินทางต่ออีกราวครึ่งชั่วโมงก็เจอจุดที่สามารถดูปะการังได้แล้วครับ”
เจิ้งหยุนดึงความสนใจจากหวังหยูเฟิงที่มองจูเฉิงมาที่ตัวเอง ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เคยขับเจ็ทสกีมาก่อน ถึงแม้จะน่าอายไปหน่อย แต่ชายหนุ่มก็ยอมรับความจริง
“ผมขับไม่เป็นหรอกนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณหวังซ้อนท้ายผมไปก็ได้”
เจิ้งหยุนเดินไปขึ้นเจ็ทสกี ก่อนจะหันมาเรียกหวังหยูเฟิงที่ยืนนิ่งอยู่
“ขึ้นมาเลยครับ”
“คุณจะไปตอนนี้เลยหรือ”
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนที่ใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยืนส์ ส่วนเขาก็แต่งตัวไม่ต่างกันนัก ซึ่งเครื่องแต่งกายก็ไม่เหมาะกับการไปดำน้ำดูปะการังเลยสักนิด
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยไปเปลี่ยนชุดบนเรือ”
หลังจากได้ฟังคำตอบ ผู้กองหนุ่มก็ลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปนั่งซ้อนท้ายยานพาหนะที่ไม่คุ้นเคย ทว่ายังไม่ทันที่หวังหยูเฟิงได้ตั้งตัว เขาก็ต้องคว้าคนขับมาจับเอาไว้แน่นอย่างกะทันหัน เมื่อเครื่องยนต์พุ่งทะยานฝ่าคลื่นทะเล
“ขอโทษครับ จับผมเอาไว้ก็ได้ เดี๋ยวจะตกน้ำก่อนถึงเรือ”
“อืม”
หวังหยูเฟิงชักสีหน้าออกมา เขาไม่ได้จับไหล่ของเจิ้งหยุนเหมือนตอนแรก ทำเพียงแค่ยึดเสื้อของคนขับเอาไว้เป็นที่มั่น โดยไม่ได้รับรู้ถึงรอยยิ้มที่วาดอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“เราจะไปกันแค่สองคนหรือ”
หวังหยูเฟิงมองคนเฝ้าเรือก่อนหน้านี้ที่เพิ่งจะขับเจ็ทสกีออกไป ทำให้ตอนนี้เหลือแค่เขากับเจิ้งหยุนเพียงลำพัง แน่นอนว่าหลังจากนี้คนที่ต้องขับเรือต่อ ก็คงเป็นผู้ชายผมยาวคนนี้ เพราะชายหนุ่มไม่มีทักษะด้านนี้เลย
“ครับ คุณหวังมีอะไรหรือเปล่า”
“คุณคงไม่หลงทางในทะเลใช่ไหม”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมมีจีพีเอส”
เจิ้งหยุนมองหวังหยูเฟิงที่กำลังสำรวจเรืออย่างระแวดระวังด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ แล้วเริ่มเดินทางไปยังจุดชมปะการังน้ำตื้นที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปราวห้ากิโลเมตร
“แล้วเรื่องคนร้ายที่ยิงผมไปถึงไหนแล้วครับ” เจิ้งหยุนถามขึ้น ขณะที่ทำหน้าที่ขับเรือผ่านคลื่นทะเลไปด้วย
“ยังจับตัวไม่ได้ครับ” หวังหยูเฟิงตอบไม่เต็มเสียงนัก เขารู้สึกละอายแก่ใจ ในฐานะตำรวจไม่น้อย ทั้งที่เรื่องราวเกิดขึ้นนานแล้ว แต่ปัจจุบันก็ยังคว้าน้ำเหลว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่เอาความก็ได้” เจิ้งหยุนบอก แล้วหันไปทางผู้กองหนุ่มที่กำลังมองมาเช่นเดียวกัน “แต่ถ้าจับได้ก็ดี”
“ครับ” หวังหยูเฟิงได้แต่ตอบรับไปตามเรื่อง ตอนนี้คดีลอบยิงเจิ้งหยุนไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขาโดยตรง แต่ก็ได้รับรายงานมาเป็นระยะ
“ผมเชื่อว่าตำรวจทุกคนทำหน้าที่เต็มที่อยู่แล้วล่ะครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยสำทับราวกับต้องการให้กำลังใจอีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มรู้ความจริงดีอยู่แล้ว คดีนี้จะไม่มีวันจบจนกว่าจะหมดอายุความ ในเมื่อคนที่ลอบยิงเขาตอนนี้ถูกส่งไปต่างประเทศเรียบร้อย
หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เรือที่แล่นด้วยความเร็วสูงก็จอดนิ่ง หวังหยูเฟิงมองโดยรอบที่มีเพียงทะเลกว้าง น้ำใสสีครามเผยให้เห็นฝูงปลาหลากสีแหวกว่ายทั่วบริเวณ
“ที่นี่ไม่ค่อยมีใครมา ทรัพยากรทางธรรมชาติเลยยังอุดมสมบูรณ์อยู่ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก ก่อนจะเลิกคิ้วมองหวังหยูเฟิง “อะไรหรือครับ"
“เปล่า” หวังหยูเฟิงตอบเสียงเรียบ เขาตกใจที่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ดันแก้ผ้าหน้าตาเฉย แต่เมื่อนึกได้ว่า เจิ้งหยุนตั้งใจจะเล่นน้ำ เลยมองไปทางอื่นแทน
หวังหยูเฟิงไม่ได้รู้สึกอะไร ถ้ามีผู้ชายสักคนเปลือยกายตรงหน้า แต่คงไม่ใช่คนที่เพิ่งรู้จักกันแบบนี้
“แล้วคุณหวังไม่เปลี่ยนชุดหรือครับ” เจิ้งหยุนถามต่อ ชายหนุ่มถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออก เผยแผงอกที่ตกแต่งด้วยกล้ามเนื้อน่ามองและหน้าท้องแข็งแรง ผิวกายสีขาวสะอาดสะท้อนแสงอาทิตย์จนผู้ที่ได้พบเห็นยากจะถอนสายตา ส่วนท่อนล่างที่เคยมีกางเกงยีนส์ถูกแทนที่ด้วยกางเกงขาสั้นที่จูเฉิงเตรียมเอาไว้ให้
“ผมจะรอคุณอยู่บนเรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบ ชายหนุ่มไม่คิดจะลงน้ำตั้งแต่แรก เขามีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้อีกฝ่ายเท่านั้น
“ลงมาด้วยกันเถอะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยชวน เขามองผู้กองหนุ่มด้วยสายตาเหงาหงอย “ถ้าคุณหวังอายไม่กล้าถอดเสื้อออก จะลงทั้งอย่างนี้เลยก็ได้นะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น ผมมาทำงาน แล้วหน้าที่ของผมคือมาดูแลความปลอดภัยของคุณ ไม่ใช่เที่ยวเล่นกับคุณ" หวังหยูเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ดูเหมือนเจิ้งหยุนจะไม่ยอมรับ
“ผมอยู่อีกที่ แต่คุณอยู่อีกที่ แล้วจะเรียกว่าดูแลได้อย่างไรล่ะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยท้วงพร้อมกับมองคนตรงหน้าอย่างจับผิด “หรือคุณหวังว่ายน้ำไม่เป็น? ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมมีเสื้อชูชีพ”
“คุณนี่มัน...” หวังหยูเฟิงเปรยขึ้นอย่างจนคำพูด เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย เขาถอนหายใจออกมา แล้วปลดกระดุมเสื้อของตัวเอง “ก็ได้”
เจิ้งหยุนยกยิ้มเล็กน้อย เขามองผู้กองหนุ่มที่กำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกอย่างพอใจ หวังหยูเฟิงไม่ใช่คนรูปร่างผอมบาง นอกจากจะมีกล้ามเนื้ออย่างผู้ชายสุขภาพดีทั่วไป สีผิวเกรียมแดดเล็กน้อยบนเรือนร่างไร้ไขมันก็ดูเย้ายวนจนคนมองตาไม่กะพริบ
ผู้กองหวังปรายสายตาไปยังอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เจิ้งหยุนที่มองเขาอยู่เมื่อครู่ก็หันไปทางอื่น ชายหนุ่มเลยถอดกางเกงยีนส์ของตัวเองผลัดเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นที่คนตรงหน้าส่งมาให้
หลังจากเปลี่ยนชุดพร้อมสำหรับลงเล่นน้ำ เจิ้งหยุนก็เป็นคนแรกที่กระโดดลงจากเรือไปก่อน ชายหนุ่มหายไปใต้ผิวน้ำสีคราม ก่อนจะโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาที่เปียกปอนเป็นประกายกับแสงอาทิตย์
“น้ำเย็นดีนะครับ”
หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอะไร นอกจากกระโดดลงน้ำไปอีกคน เขาว่ายน้ำเป็นก็จริง แต่ก็ไม่ได้ว่ายน้ำบ่อยนัก นอกจากเวลาไปออกกำลังกายเป็นบางครั้ง เมื่อได้เล่นน้ำทะเลตามธรรมชาติแบบนี้ก็ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ
“มาดูทางนี้สีครับ”
เจิ้งหยุนว่ายน้ำไปอีกทาง ก่อนจะชี้ชวนให้หวังหยูเฟิงดูปลาสวยงามที่แหวกว่ายอยู่เบื้องล่าง ถึงจะไม่ได้สัมผัสโดยตรง แต่แค่ได้มองก็ทำให้เขาเพลิดเพลินจนลืมเรื่องเครียดที่อยู่ในความคิด
“เวลาที่ผมเบื่อ ก็มาดูพวกมัน ผมยังเคยคิดอยากจะมีตู้ปลาเอาไว้ดูเล่นเหมือนกันนะครับ แต่มาคิดอีกที มาดูมันในทะเลแบบนี้ดีกว่า”
หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอะไร เขามองเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มบางของอีกฝ่ายอย่างพิจารณา หากมองผิวเผิน ผู้ต้องสงสัยของเขาก็เหมือนผู้ชายมีฐานะดีทั่วไป แต่สัญชาตญาณของตำรวจไม่คิดแบบนั้น
เจิ้งหยุนต้องมีเบื้องหลังแน่นอน
พวกเขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงในการชื่นชมธรรมชาติใต้ท้องทะเลด้วยกัน จนกระทั่งหวังหยูเฟิงกำลังจะขึ้นเรือ ก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
“คุณเจิ้ง!” หวังหยูเฟิงร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเขาถูกอีกฝ่ายกอดเอาไว้ทั้งตัวอย่างกะทันหัน
“ขอโทษนะครับ อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกชาที่ปลายเท้าขึ้นมา” เจิ้งหยุนตอบเสียงเบา โดยที่แขนของเขากอดรัดร่างของผู้กองหวังเอาไว้แน่น “ขออยู่แบบนี้แป๊บนึงได้ไหมครับ”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ผลักไสคนที่เข้ามากอดตัวเองอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตอนแรก ผิวกายร้อนที่ชโลมด้วยน้ำทะเลแนบชิดชวนให้เขารู้สึกอึดอัด
เจิ้งหยุนมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ตัวเองกอดเอาไว้ด้วยสายตาแวววาว ปลายจมูกโด่งและริมฝีปากบางปัดผ่านผิวแก้มสีอ่อนแผ่วเบา แล้วหยุดตรงใบหูที่ชายหนุ่มอยากจะขบเม้มให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านเสียเหลือเกิน
อยากทำให้หวังหยูเฟิงครวญครางร้องเรียกชื่อของเขาจนแทบทนไม่ไหว...
ทว่าเจิ้งหยุนรู้ดี ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะกลืนกินอีกฝ่ายอย่างที่ใจต้องการ แต่ไม่เป็นไร...เวลานี้หวังหยูเฟิงก็กำลังเดินอยู่ในฝ่ามือของเขาแล้ว
ตะวันสาดส่องเหนือศีรษะ แต่หวังหยูเฟิงไม่แน่ใจว่า ความร้อนรุ่มที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในร่างกายตอนนี้เกิดจากแสงแดดหรือลมหายใจที่พัดอยู่ข้างใบหูของเขากันแน่
**TBC+++++++ **10ผู้ร้ายที่ไม่อาจจับกุม
-
:katai2-1:
-
10
ผู้ร้ายที่ไม่อาจจับกุม
ในช่วงเวลาที่ผืนทะเลเป็นสีดำ เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังขึ้นเป็นระยะราวกับกำลังพูดคุยกับพระจันทร์และดวงดาวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า
ภายในห้องพักรับรองแขกพิเศษของคฤหาสน์หลังงาม มีตำรวจคนหนึ่งกำลังตั้งสมาธิกับการพิมพ์รายงานผ่านทางโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างเคร่งเครียด เพียงไม่นานหลังจากนั้นชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมา เนื่องจากผลการทำงานตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมายังไม่มีอะไรคืบหน้า
หลายวันมานี้หวังหยูเฟิงได้ใกล้ชิดกับเจิ้งหยุนมาก แต่สิ่งที่ผู้กองหนุ่มรับรู้มีเพียงชีวิตประจำวันธรรมดาของผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่สามารถหาเบาะแสอื่นๆ ที่ต้องการได้ เพราะผู้ต้องสงสัยเอาแต่เก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์
หวังหยูเฟิงล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มขนาดใหญ่ เขาทั้งเหนื่อยใจและเสียดายเวลา นอกจากคดีของถานอี้เทาแล้ว คดีที่เจิ้งหยุนถูกลอบยิงก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้
นัยน์ตาสีนิลที่ทอดมองเพดานค่อยๆ ปิดลง ถึงแม้ประสาทการมองเห็นจะหยุดทำงานไปแล้ว แต่สมองของผู้กองหวังยังคงขบคิดเรื่องราวที่ผ่านมา
เขามาทำอะไรที่นี่กันแน่..
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“วันนี้อากาศดีนะครับ”
เจิ้งหยุนเริ่มต้นบทสนทนาในยามบ่ายด้วยรอยยิ้มบาง ชายหนุ่มยกแก้วชาขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี หวังหยูเฟิงที่ยืนอยู่ไม่ห่างไม่ได้พูดอะไร นอกจากส่งสายตามองตอบรับเท่าน้น
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในศาลาประดับไม้เลื้อยในสวนข้างคฤหาสน์ สายลมอ่อนพัดผ่านพาไอร้อนจากดวงอาทิตย์ให้เบาบางลง ชาไฟน์เนส ซีลอนหอมกรุ่นกับมัฟฟินถูกจัดเสิร์ฟอยู่บนโต๊ะขนาดเล็กที่อยู่ตรงกลางเรือนไม้หลังเล็กแห่งนี้
"คุณหวังมานั่งดื่มด้วยกันสิครับ”
“เชิญคุณตามสบาย”
“วันนี้เยี่ยนหลันตั้งใจทำมัฟฟินมาให้คุณลองด้วยนะครับ ธรรมดาเธอไม่ค่อยทำขนมเองนักหรอก”
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบสายตาไปยังหญิงสาวแรกรุ่นที่กำลังส่งยิ้มสุภาพมาให้ เขาลอบถอนหายใจออกมา แล้วเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของคฤหาสน์อย่างจนใจ
หลังจากหวังหยูเฟิงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ริมทะเลได้ระยะหนึ่ง เขาก็รู้จักทุกคนที่นี่ ถึงจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมาก แต่ก็ไม่อยากทำให้ใครเสียน้ำใจ
“ขอบคุณครับ”
จูเยี่ยนหลันโค้งคำนับรับตามมารยาทของสาวรับใช้ที่ดี ก่อนที่เธอจะเดินแยกออกมาเพื่อให้เจ้านายและผู้กองหวังได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ถึงจะไม่มีคำสั่งชัดเจน แต่ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า นายตำรวจคนนี้อยู่ในสถานะพิเศษ ถ้าหากเจิ้งหยุนไม่ได้เรียกใช้ ก็อย่าเสนอหน้าให้รกสายตา
“วันนี้คุณจะออกไปไหนหรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม หลังจากลิ้มรสชาติของชาอังกฤษรสนุ่ม จิตใจที่เบื่อหน่ายก่อนหน้านี้ก็พลันสดชื่นขึ้น
“ไม่ครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เขามองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างสบอารมณ์
“แล้วคุณไม่ไปทำงานบ้างหรือ” หวังหยูเฟิงยังเอ่ยถามต่อ เขาวางแก้วเซรามิกลงบนโต๊ะพร้อมกับสบนัยน์ตาคมอย่างข้องใจ
“ช่วงนี้อู่หนิงเป็นคนจัดการให้น่ะครับ” เจิ้งหยุนตอบเสียงนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลายังคงแต้มรอยยิ้ม โดยไม่ได้สนใจสีหน้าเคร่งขรึมของหวังหยูเฟิงนัก
“ถ้าคุณจะเก็บตัวอยู่แบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผมมาดูแลความปลอดภัยให้ก็ได้” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดใจ อันที่จริงแล้วเขาควรจะตามอู่หนิงน่าจะได้เรื่องมากกว่า แต่เจิ้งหยุนก็ตามติด แถมยังชอบพาเขาไปทำเรื่องไร้สาระจนหมดวันอีกต่างหาก
“ถ้าคนร้ายยังไม่ถูกจับ ผมก็ไม่วางใจจะออกไปที่ไหนหรอกนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นต่อ ผู้กองหนุ่มถึงกับคิ้วกระตุกกับความจริงที่ถูกตอกย้ำ เขาก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมป่านนี้แล้วยังจับคนร้ายไม่ได้สักที
“ถ้าอย่างนั้นผมจะไปจัดการคดีของคุณเอง แล้วผมจะให้ตำรวจคนอื่นมาดูแลคุณแทน” ผู้กองหวังเสนอแนวคิดของตัวเอง ตอนนี้เขาอยู่ใกล้อีกฝ่ายมากเกินไปจนทำอะไรไม่สะดวก บางทีก็ควรถอยห่างสักระยะน่าจะดีกว่า
"คุณหวังตั้งใจจะโยนงานที่ตัวเองเบื่อไปให้คนอื่นทำแทนหรือครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยถามเสียงเรียบ ใบหน้าที่เคยตกแต่งด้วยรอยยิ้มบางเสมอเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยแทน
ความกดดันล่องลอยมากับความเงียบ หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนอย่างพิจารณา เมื่อรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป
"ผมยังมีหน้าที่อื่นที่ต้องรับผิดชอบ"
"ตอนนี้หน้าที่ดูแลผมก็เป็นความรับผิดชอบของคุณเหมือนกัน"
ความดื้อดึงที่แสดงผ่านคำพูดของคนตรงหน้า ทำให้ผู้กองหวังต้องลอบถอนหายใจออกมา หลังจากได้ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกัน เขาก็รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเอาแต่ใจแบบสุดโต่ง ถึงแม้จะมีเหตุผลแค่ไหน ถ้าหากขัดกับความต้องการ เจิ้งหยุนก็หาวิธีหรือข้ออ้างมาลบล้างเสมอ
"ทำไมคุณถึงเลือกจะเปิดผับ กิจการที่เข้าท่ากว่านี้ยังมีอีกตั้งเยอะแยะ" หวังหยูเฟิงชวนคุยเรื่องอื่นแทน บรรยากาศน่าอึดอัดเริ่มเบาบางลง เจิ้งหยุนยกแก้วชาขึ้นจิบอย่างผ่อนคลายขึ้น รอยยิ้มบางปรากฏที่ใบหน้าอีกครั้ง
“ก็เหล้าช่วยดึงเงินออกจากกระเป๋าคนอื่นได้ง่ายนี่ครับ” เจิ้งหยุนบอก หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยกับเหตุผลที่เหนือความคาดหมาย “แล้วพอเมา มีเท่าไรก็จ่ายหมดด้วย”
"เหตุผลเหมือนพวกฉวยโอกาส" หวังหยูเฟิงเปรยขึ้น เจิ้งหยุนหัวเราะออกมาเบาๆ
"คนที่เข้ามาในผับ ก็แสดงว่ายินยอมที่จะจ่ายอยู่แล้วนี่ครับ ไม่ได้ฉวยโอกาสอะไร" เจิ้งหยุนแก้ตัว ผู้กองหวังก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะเป็นความจริงอย่างที่อีกฝ่ายกล่าว
"แล้วทำไมคุณถึงตั้งชื่อผับว่ากาเบรียล" หวังหยูเฟิงถามต่อพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวของผู้ชายตรงหน้าไปด้วย "หรือคุณต้องการให้เกี่ยวข้องกับชื่อบริษัทของครอบครัว"
"ก็ไม่เชิงหรอกครับ" เจิ้งหยุนตอบรับ แล้วยกยิ้มที่มุมปาก "กาเบรียลเป็นอัครทูตสวรรค์ เวลาทำอะไรผิด พระเจ้าก็คงไม่รู้ เพราะคาดไม่ถึงล่ะมั้งครับ"
"ความหมายสื่อเจตนาไม่บริสุทธฺ์เลยนะครับ" หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างจับผิด แต่อีกฝ่ายก็แค่ยิ้มออกมาเท่านั้น
"ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับ" เจิ้งหยุนบอก แล้วอธิบายต่อ "ผับก็ถือเป็นสถานที่อโคจร แต่ก็นับเป็นสวรรค์ของนักดื่ม ใครมีเรื่องทุกข์ใจก็มาปลดปล่อยอารมณ์กับบริการที่ผับได้ พระเจ้าก็คงไม่ว่าอะไร"
"รู้ไหม คนร้ายที่ผมจับได้คนหนึ่งเคยพูดถึงชื่อผับของคุณด้วย"
เมื่อได้พูดคุยเรื่องผับกาเบรียล ผู้กองหนุ่มก็หวนไปนึกถึงคนเฝ้าประตูตึกของถานอี้เทาที่เขาเคยจับกุมได้
"อย่างนั้นหรือครับ"
"เขาบอกว่า คืนที่ถานอี้เทาตาย เขาได้เจอกาเบรียลที่นั่น"
"บางทีเขาอาจจะเมายา คุณหวังได้ตรวจหาสารเสพติดหรือเปล่าครับ"
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ สายตาจ้องมองเจิ้งหยุนที่ยังตีหน้าซื่อไม่รับรู้สิ่งใด
“เขาไม่มีสารเสพติดอยู่ในร่างกาย” ผู้กองหนุ่มบอก เขายกแก้วชาที่เริ่มเย็นของตัวเองขึ้นจิบอีกครั้ง “คืนนั้นผมก็คิดว่า ตัวเองก็ได้เจอกาเบรียลเหมือนกัน แล้วเขาก็เหมือนคุณมากด้วย”
เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางตื่นตกใจอะไรกับคำพูดราวกับกล่าวหาของคนตรงหน้าเท่าไรนัก
"คุณหวังจะชมว่าผมหล่อเหมือนเทวดาหรือเปล่าครับเนี่ย"
"บางทีคุณอาจจะเมาชาแล้ว กาเบรียลที่ผมเจอไม่ใช่เทวดา แต่เป็นยมทูตมากกว่า"
หวังหยูเฟิงกลอกตาอย่างระอา ทั้งที่เขาตั้งใจจะพูดเรื่องจริงจัง แต่อีกฝ่ายดันเฉไฉไปคนละเรื่อง เจิ้งหยุนหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี นัยน์ตาคมเป็นประกาย เมื่อนึกถึงเจตนาของนายตำรวจ
“คุณคิดว่า ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของถานอี้เทาหรือครับ” เจิ้งหยุนย้อนถามด้วยน้ำเสียงสบาย เขายิ้มมองผู้กองหวังอย่างนึกสนุก “พูดแบบนี้ ผมแจ้งความกลับได้นะครับ คุณมีหลักฐานหรือเปล่า”
“หลักฐานก็พอมี แต่ยังไม่มีน้ำหนักมากพอ” หวังหยูเฟิงตอบกลับ เจิ้งหยุนแสดงสีหน้าสงสัยออกมา ก่อนน้ำเสียงทุ้มเรียบจะเฉลย “ก็แผลเป็นบนมือของคุณอย่างไรล่ะ”
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนอย่างสงบ ก่อนจะเหลือบสายตาไปยังรอยแผลบนมือของบุรุษตรงหน้าที่กำลังถือแก้วชาอยู่
ผู้กองหนุ่มสังเกตมาได้หลายวันแล้ว พอพิจารณาอย่างถี่ถ้วน คงจะมีไม่กี่คนที่มีรูปพรรณสัณฐานใกล้เคียงขนาดนี้ แล้วยังมีรอยแผลตรงกับที่เขาเคยทำเอาไว้กับคนร้ายอีก ยิ่งเวลาที่อีกฝ่ายใส่แว่นกันแดด ภาพในความทรงจำก็เด่นชัดขึ้น ทุกอย่างบ่งบอกมาที่ผู้ชายคนนี้ แต่หลักฐานที่เจอก็ยังไม่มากพอจะเอาผิดได้อยู่ดี
"รอยแผลนี้หรือ" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือที่มีรอยแผลจางมาพิจารณา "รอยแผลนี้ ผมโดนแมวกัดนะครับ"
แมวกัด?!
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมา เขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับผิด แต่ขุ่นเคืองที่ถูกหาว่าเป็นแมวต่างหาก!
"ตอนนั้นผมไปเดินเล่น แล้วบังเอิญเจอแมวตัวหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่พอดี ก็เลยลองไปจับดู แล้วก็ดันโดนกัดเข้านี่แหละครับ"
“แผลแค่นั้น ไม่น่าจะกลายเป็นแผลเป็นได้เลยนะ”
หวังหยูเฟิงจ้องมองคนที่ปั้นน้ำเป็นตัวเขม็ง เจิ้งหยุนก็ยังคงเป็นปกติ ชายหนุ่มไม่ได้มีอาการอนาทรร้อนใจกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของผู้กองหวัง เพราะเขารู้ดี ตราบใดที่ยังหาหลักฐานมายืนยันชัดเจนไม่ได้ คนตรงหน้าก็ทำได้แค่กล่าวหาเท่านั้น
"ผมไม่เคยโดนแมวกัดมาก่อน เลยฝังใจนิดหน่อย” เจิ้งหยุนบอกด้วยรอยยิ้ม เขาใช้ปลายนิ้วลูบรอยแผลเป็นจางบนมือของตัวเองแผ่วเบา “เวลาเห็นแผลจะได้นึกถึงมันน่ะครับ"
"ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร แต่ผมรู้ดีว่า คุณคือคนที่ยิงถานอี้เทา แล้วรอยแผลนั่นก็มาจากฝีมือของผม" หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ เขาจ้องตากับผู้ต้องสงสัยอย่างจริงจัง
"ตกลงว่าคุณหวังเหมาผมเป็นคนร้ายไปแล้ว?" เจิ้งหยุนถามย้ำด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
"ผมก็แค่พูดสิ่งที่ผมคิดให้คุณฟัง ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่จำเป็นต้องร้อนตัวอะไร”
เจิ้งหยุนหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจ เขาไม่คิดว่า หวังหยูเฟิงจะกล้าพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้
"ถ้าผมเป็นคนร้ายจริง จะให้คุณมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ทำไมล่ะครับ"
"ผมไม่รู้หรอก คุณจะช่วยบอกผมได้หรือเปล่า"
เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้น คราวนี้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว เพราะคาดไม่ถึงว่าจะโดนย้อนถามกลับมาแบบนี้ ยิ่งพอได้สบสายตาอยากรู้คู่นั้น ก็นึกอยากตอบความจริงออกไป แต่ชายหนุ่มไม่อาจทำแบบนั้นได้
"คงไม่มีคนร้ายคนไหนอยากอยู่ใกล้ตำรวจหรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกสบายใจเวลาได้อยู่ใกล้คุณ"
“การทำให้ประชาชนสบายใจก็เป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว”
“นั่นสิครับ ผมถึงได้ชอบตำรวจแบบคุณ”
หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบอะไร เขามองเจิ้งหยุนที่กำลังส่งยิ้มมาให้เล็กน้อยเท่านั้น นัยน์ตาคมแวววาว ทำให้ผู้กองหนุ่มต้องยกแก้วชาขึ้นจิบอย่างเก็บงำความคิด เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้เลย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ตอนนี้อู่หนิงทำงานหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว นอกจากคาดเดาสถานการณ์ระหว่างเจ้านายกับผู้กองหวังไม่ได้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจับตามอง
อาจเพราะเจิ้งหยุนเก็บตัวอยู่แต่ในคฤหาสน์มาหลายวัน หวังหยูเฟิงที่ไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้ เลยสั่งให้ตำรวจคนอื่นตามติดเขาแทน อู่หนิงไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร นอกจากเดินตรงเข้าไปในผับกาเบรียลตามปกติ
ส่วนใหญ่ภายในผับไม่ค่อยเกิดเรื่องอะไรมากนัก ถ้าไม่ใช่ลูกค้าเมาอาละวาด ก็อาจจะมีคู่แข่งมาระรานบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นปัญหาอะไร
หลังจากไปตรวจเช็กการทำงานของพนักงานและความเป็นไปภายในผับเสร็จเรียบร้อย เขาก็ไปจัดการงานด้านเอกสารต่อ
ชายหนุ่มไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับการถูกตำรวจจ้องจับผิด เพราะเวลานี้สิ่งที่เขาทำมีเพียงตำแหน่งผู้จัดการผับกาเบรียลเท่านั้น
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
หวังหยูเฟิงยืนมองเจ้าของคฤหาสน์ที่กำลังวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าอย่างใช้ความคิด ถึงแม้ว่าเขาจะประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่เจิ้งหยุนก็ยังทำตัวเป็นปกติราวกับพวกเขาไม่เคยพูดคุยเรื่องที่อีกฝ่ายถูกหาว่าเป็นคนร้ายมาก่อน
เจิ้งหยุนอยู่ในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงวอร์ม ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนเหงื่อ เส้นผมที่มักจะถูกมัดรวบต่ำ ทว่าในตอนนี้กลับถูกมัดรวบสูงเป็นหางม้าสีดำเงางาม
หวังหยูเฟิงมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหา เขาหยิบผ้าขนหนูกับน้ำดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้มือส่งไปให้ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลากลับมา
"ขอบคุณครับ"
ผู้กองหวังไม่ได้ตอบรับอะไร นอกจากใช้สายตามองผู้ต้องสงสัยที่แน่ใจว่าเป็นผู้ร้ายแน่นอน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเอาผิดกับผู้ชายคนนี้ได้อย่างไร
"มีอะไรหรือเปล่าครับ" เจิ้งหยุนหันมาถาม เขาเลิกคิ้วขึ้น เมื่อนัยน์ตาสีดำสงบของหวังหยูเฟิงจ้องมองไม่วางตา
"วันนี้คุณก็คงไม่ไปไหนใช่ไหม" หวังหยูเฟิงถามกลับไปตามเรื่อง แล้วถอนหายใจอย่างปลงตก ตอนนี้เขาอาจจะหาทางไม่ได้ แต่ไม่นานก็คงจะคลำทางต่อไปได้เอง
"วันนี้ผมมีนัดครับ" เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ แล้วยกยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย "คืนนี้ผมต้องไปงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทครับ"
"งานเลี้ยงของบริษัทอีเดนหรือ" หวังหยูเฟิงถามอย่างสนใจ ในที่สุดเจิ้งหยุนก็ออกจากคฤหาสน์เสียที
"ครับ ถึงผมจะไม่ได้เข้าไปทำงาน แต่ก็คงตำแหน่งกินเงินเดือนที่นั่นด้วย ก็คงต้องโผล่หน้าไปหน่อย" เจิ้งหยุนบอกด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์ ปกติเขาค่อนข้างเบื่อกับงานเลี้ยงแบบนี้ แล้วก็หาข้ออ้างไม่ไปตลอด แต่คราวนี้ต่างไปจากเดิม "คุณหวังก็ไปด้วยกันนะครับ"
"ผมไปได้หรือ" หวังหยูเฟิงย้อนถาม ทั้งที่เขาก็ตั้งใจจะหาข้ออ้างไปด้วยอยู่แล้ว การได้เห็นเจิ้งหยุนติดต่อกับใครบ้าง ก็เป็นสิ่งที่เข้าท่าไม่น้อย
"ครับ เพราะคุณต้องไปดูแลความปลอดภัยให้ผมนี่ครับ" เจิ้งหยุนบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปด้านในของคฤหาสน์ด้วยกัน "แล้วผมก็เตรียมชุดให้คุณเรียบร้อยแล้ว"
"ชุด?" หวังหยูเฟิงหันไปถามอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ
"ถึงจะเป็นแค่งานเลี้ยงภายในบริษัท แต่ก็มีสื่อต่างๆ มาด้วย ก็ต้องแต่งตัวให้ดีไว้ก่อนดีกว่านะครับ"
เหตุผลของเจิ้งหยุน ทำให้หวังหยูเฟิงที่มีแค่ชุดธรรมดาต้องยอมรับอย่างเห็นด้วย บางทีเขาควรกลับไปเอาเครื่องแบบตำรวจมาใส่น่าจะดีกว่า
"ถ้าอย่างนั้น...ผมกลับไปเอาเครื่องแบบมาใส่ดีกว่า"
"ไม่จำเป็นหรอกครับ ถ้าคุณใส่ชุดเครื่องแบบไป ทุกคนคงแตกตื่นกันพอดี ใส่แค่สูทก็พอแล้วครับ"
เจิ้งหยุนหันไปเรียกสาวรับใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่าง สือซีอิ๋งรีบเดินเข้ามารับคำสั่งอย่างนอบน้อม เธอเป็นสาวรูปร่างเล็กท่าทางเก็บตัวที่ดูแลเรื่องความสะอาดทั่วไปภายในคฤหาสน์ริมทะเลหลังนี้
"เดี๋ยวเอาชุดไปให้คุณหวังที่ห้องด้วย"
"ค่ะ"
หวังหยูเฟิงได้แต่มองหญิงสาวที่เดินจากไป แล้วหันมามองเจิ้งหยุนที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของคฤหาสน์
"เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน แล้วเจอกันตอนอาหารเช้าครับ"
เจิ้งหยุนเดินเข้าห้องของตัวเอง หวังหยูเฟิงที่ถูกทิ้งไว้ก็เดินเข้าห้องของตัวเองบ้าง หลังจากที่ผู้กองหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาได้เพียงครู่เดียว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
หวังหยูเฟิงเดินไปเปิดประตูรับ สือซีอิ๋งที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็โค้งตัวให้เล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเข็นราวเสื้อผ้าเข้ามาด้านใน
นี่มันอะไรกัน!
ผู้กองหนุ่มได้แต่มองอย่างนึกอึ้ง เพราะเสื้อและกางเกงมากมายบนราวแขวนเสื้อผ้าแบบล้อเลื่อนสามแถวมาอยู่ตรงหน้า
"ขอบคุณครับ แต่มันไม่เยอะไปหน่อยหรือ"
"ดิฉันแค่ทำตามคำสั่งของนายค่ะ"
"ว่าแต่คุณขนทั้งหมดขึ้นมาอย่างไรครับ"
หวังหยูเฟิงมองคนตรงหน้าอย่างนึกทึ่ง เพราะท่าทางของหญิงสาวไม่ได้ดูเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด
"ก็แค่ถือขึ้นมาน่ะค่ะ"
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับอย่างขอไปที หลังจากที่โดนแม่ครัวใหญ่ปามีดใส่ในวันนั้น เขาก็เริ่มสังเกตพฤติกรรมของทุกคนในคฤหาสน์ที่ดูไม่ธรรมดาเลยสักคน
การประเมินจากสายตาก่อนหน้านี้ของผู้กองหวังผิดพลาดไปหมด เมื่อได้เข้ามาใช้ชีวิตด้านในกำแพงยักษ์ นอกจากกล้องวงจรปิดมากมายที่ถูกซ่อนเป็นอย่างดีแล้ว หากใครคิดจะบุกรุกเข้ามา ก็คงต้องเผชิญกับคนงานที่มีทักษะและสภาพร่างกายที่น่าตกใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจได้เองว่า ทำไมถึงไม่มีบอดี้การ์ดอย่างที่ควรจะเป็น เพราะทุกคนที่นี่ก็มีความสามารถเพียงพอจะปกป้องเจ้านายของพวกเขาได้
ภายใต้เครื่องแบบของคนรับใช้ในคฤหาสน์ริมทะเลหลังนี้ หวังหยูเฟิงสังเกตเห็นทั้งมีดสั้นและปืนพกขนาดเล็กที่ทุกคนต่างมีติดตัวไม่ต่างจากเครื่องประดับ ท่าทางของแต่ละคนก็เหมือนใช้งานอาวุธของตัวเองได้เป็นอย่างดีด้วย
"เชิญตามสบายนะคะ" สือซีอิ๋งเอ่ยเสียงหวาน ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องอย่างสุภาพ
หลังจากบานประตูปิดลง ผู้กองหวังก็ถอนหายใจออกมา แล้วมองบรรดาเสื้อผ้ามากมาย ถึงเขาจะไม่มีความรู้ด้านแฟชั่น ทว่าเพียงแค่จับเนื้อผ้าดู ก็สามารถเดาได้ถึงคุณภาพและราคาที่แปรผันตรงกันได้
เอาเถอะ...
หวังหยูเฟิงได้แต่ลองหยิบชุดสูทสีดำขึ้นมาลองสวมดู แล้วเดินไปยืนพิจารณาตัวเองอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ โดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองมาจากอีกฟากของผนังแม้แต่น้อย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ถึงจะเป็นการไปงานเลี้ยงที่กะทันหันไปหน่อยสำหรับหวังหยูเฟิง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกประหม่าอะไร พวกเขาเดินทางออกจากคฤหาสน์ตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่โดยไม่มีอู่หนิงที่เสมือนเงาตามตัวของเจิ้งหยุนติดตามไปด้วย ซึ่งอีกฝ่ายก็ให้เหตุผลว่า มีตำรวจไปด้วยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพาใครไปเพิ่มให้วุ่นวาย
หวังหยูเฟิงรู้สึกคาใจ แต่เขาก็สั่งเหอผิงที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาให้คอยจับตามองแทนอยู่แล้ว ก็คงวางใจได้
การเดินทางจากคฤหาสน์ริมทะเลไปยังโรงแรมที่จัดงานใช้เวลาราวสองชั่วโมง กว่ารถยนต์คันหรูจะถึงที่หมายก็เวลาพลบค่ำพอดี
งานเลี้ยงประจำปีของบริษัทอีเดน คอร์เปอเรชั่นถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ ถึงจะไม่ได้มีการเปิดตัวอลังการ แต่ก็เหมือนจะเหมาห้องจัดเลี้ยงทั้งหมดของโรงแรมเพื่อรองรับพนักงานจากบริษัทสาขาย่อยและคู่ค้าทางธุรกิจ
เจิ้งหยุนพาหวังหยูเฟิงไปยังห้องจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟต์ที่เข้าได้เฉพาะระดับผู้บริหารและนักธุรกิจที่ได้รับเชิญ เมื่อทายาทคนเล็กของอีเดนเดินเข้าไปด้านใน สื่อมวลชนและบรรดาแขกระดับวีไอพีต่างก็จับจ้อง
เจิ้งหยุนในชุดสูทสีเทาที่สวมทับเสื้อเชิ้ตเนื้อดีสีดำถูกแสงแฟลชยิงใส่ เส้นผมสีดำยาวถูกรวบต่ำทิ้งตัวแนบชิดกับแผ่นหลังกว้างสง่างาม ท่วงท่าไม่สนใจสิ่งรอบข้างของชายหนุ่ม ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาทักอย่างจริงจัง
หวังหยูเฟิงที่เดินมาด้วยกันได้แต่สังเกตสายตาและท่าทางของผู้คนโดยรอบ มีผู้มีชื่อเสียงบางคนที่เขาเคยเห็นหน้า บ้างก็เป็นนักธุรกิจ หรือไม่ก็ดารานักแสดงดาวรุ่งที่เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับบริษัท
"นี่เธอ!"
เสียงหวานที่ดังขึ้นพร้อมกับแรงดึงที่แขน ทำให้หวังหยูเฟิงต้องหันไปมองด้วยความตกใจ แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อได้พบคนที่รั้งตัวเองเอาไว้
ไป๋ลู่เหอ!
หวังหยูเฟิงปั้นหน้ายาก เมื่อถูกร่างบอบบางเข้ามากอดแขนเอาไว้แน่นอย่างรวดเร็ว แล้วผู้กองหนุ่มก็ต้องขนลุกชัน เพราะรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่พัดพาเสียงกระซิบพร่าที่ข้างใบหู
"เจอกันสักทีนะ เด็กน้อยของฉัน"
TBC+++++++ 11แมงเม่ากับแสงไฟ
-
:katai2-1:
-
o13 o13 o13 o13
-
11
แมงเม่ากับแสงไฟ
การเข้ามาทักทายอย่างถูกเนื้อต้องตัวของไป๋ลู่เหอ นอกจากจะทำให้หวังหยูเฟิงตกใจแล้ว เจิ้งหยุนที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็หันไปมอง นัยน์ตาคมเจือแววขุ่นมัว เมื่อเห็นผู้กองหวังกำลังถูกคนอื่นกอดแขนเอาไว้
เจิ้งหยุนอยากจะเข้าไปกระชากไป๋ลู่เหอให้ออกห่าง แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นยิ้มออกมาเท่านั้น ก่อนจะกล่าวทักทาย
“สวัสดีคุณนายไป๋”
“อ๊ะ! เสี่ยวหยุน! ไม่นึกว่าเธอจะมานะ”
ไป๋ลู่เหอมองเจิ้งหยุนอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันไปยิ้มหวานให้หวังหยูเฟิงที่กำลังถูกกอดแขนเอาไว้แน่น
“เด็กน้อย...ต้องเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้ฉันได้เจอเธออีกครั้ง”
หวังหยูเฟิงไม่ตอบรับอะไร อีกทั้งยังพยายามดึงตัวเองออกมา แต่ก็ต้องวิตกกับแรงมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในอ้อมแขนบางของอีกฝ่าย
ทำไมถึงได้แรงเยอะอย่างนี้!
“พูดอะไรของคุณ เขามากับผม” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วมองไป๋ลู่เหอด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าสวยที่ตกแต่งมาอย่างดีของอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้น
“เอ๋? เธอรู้จักกับเด็กน้อยของฉันด้วยหรือ” เสียงหวานเอ่ยถาม ซึ่งมันก็จุดชนวนความหงุดหงิดให้แก่เจิ้งหยุนได้ในทันที แต่เขาก็ยังคงสีหน้าเป็นปกติไว้
“ผู้กองหวังหยูเฟิงเป็นตำรวจที่ดูแลผมในช่วงนี้”
“ตำรวจ?”
ไป๋ลู่เหอหันมามองใบหน้าของหวังหยูเฟิงที่ตีหน้าเรียบ แต่สายตาเผยความอึดอัดออกมาอย่างประหลาดใจ
“แล้วทำไมคืนนั้นตำรวจถึงใส่ชุดพนักงานที่ร้านของฉันได้ แถมยังบอกว่าเพิ่งเข้ามาใหม่ด้วย ฉันก็เลยจะสัมภาษณ์ แต่เธอก็ดันมาขัดจังหวะพอดี”
“ผมมีธุระนิดหน่อยครับ คืนนั้นผมต้องขอโทษด้วยที่เข้าไปในร้านของคุณแบบนั้น”
ใบหน้าซื่อตรงและแววตาไร้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมของผู้กองหวัง ทำให้เจ้าของภัตตาคารเฟยลี่ที่โดนตำรวจบุกรุกอย่างไม่ถูกต้องก็ไม่นึกถือสา ไป๋ลู่เหอซบใบหน้าลงบนไหล่แข็งแรงของกวางหนุ่มที่น่าขย้ำอย่างฉวยโอกาส
“ถ้ายอมไปหาฉันที่ร้านสักคืน ฉันจะไม่ถือโทษโกรธเธอก็ได้”
หวังหยูเฟิงกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง ถึงเรือนร่างบอบบางและน้ำเสียงหวานนุ่มนวลจะมีเสน่ห์ร้ายกาจ แต่ไป๋ลู่เหอก็เป็นเพียงเทพธิดาถือเคียวที่ไม่ควรเข้าใกล้
“เรื่องนั้น...ผมคงต้องขอโทษอีกครั้ง ตอนนี้ผมกำลังทำงาน คงไม่มีเวลาให้คุณ แต่ผมจะส่งของขวัญแทนคำขอโทษไปให้นะครับ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างต่อรอง อันที่จริงแล้วเขาก็รู้สึกผิดที่ทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นตำรวจในคืนนั้น
“เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก เอาเป็นว่าคืนนี้เธอเป็นคู่ควงให้ฉันก็แล้วกัน คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” ไป๋ลู่เหอถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน นัยน์ตากลมโตจ้องมองนายตำรวจอย่างอ่อนหวานแสดงความนัยออกมาอย่างไม่ปิดบัง
หวังหยูเฟิงมีท่าทีลำบากใจ แต่ก็พยายามเก็บอาการของตัวเองเอาไว้เต็มที่
ทว่ายังไม่ทันที่ผู้กองหนุ่มจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เจิ้งหยุนที่ยืนฟังบทสนทนามาสักพักก็เอ่ยแทรกขึ้น เขามองไป๋ลู่เหอด้วยความไม่พอใจ
“อายุก็ไม่น้อยแล้ว อย่าเอาแต่ใจสิ ตอนนี้คุณหวังมีหน้าที่ต้องดูแลผม คุณจะทำให้เขาลำบากใจทำไม”
คำพูดต่อว่าแบบไม่เกรงใจกันเลยสักนิด ทำให้หวังหยูเฟิงรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย แน่นอนว่าถ้อยคำเหล่านั้นสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้ที่ได้รับในทันที มือบางปล่อยแขนของชายหนุ่มที่หมายตาเอาไว้ แล้วมองผู้ชายเรือนผมสีดำยาวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“ที่นี่งานเลี้ยงบริษัท ไม่ใช่งานประชุมมาเฟียนะยะ ทำไมต้องให้ใครมาดูแลเธอด้วย” ไป๋ลู่เหอว่ากลับเสียงห้วน เจิ้งหยุนยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน เมื่อถูกนัยน์ตากลมงดงามจ้องเขม็ง “แล้วจำเอาไว้ด้วยนะ อย่ามาพูดเรื่องอายุกับผู้หญิง มันเสียมารยาท”
ร่างบางในชุดราตรีสีชมพูแสดงอาการกระฟัดกระเฟียด ไป๋ลู่เหอหันมามองหวังหยูเฟิงที่ยืนงงอยู่ด้วยท่าทีที่อ่อนลง ใบหน้าสวยหวานยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะจูบแก้มน่าฟัดอย่างรวดเร็ว แล้วเดินแยกตัวออกไป ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็สร้างความตกตะลึงให้ผู้ถูกกระทำอีกครั้ง
”มัดจำเอาไว้ก่อนนะจ๊ะ”
“ไป๋ลู่เหอ!”
เจิ้งหยุนสบถขึ้นอย่างไม่พอใจ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมาเช็ดแก้มของผู้กองหนุ่มที่เปื้อนรอยลิปสติกอย่างเบามือ ทั้งที่ภายในใจกำลังคุกรุ่นอยู่ก็ตาม
“ขอโทษแทนเขาด้วยนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ ใบหน้าหล่อเหลาแสดงความลำบากใจออกมา หวังหยูเฟิงที่เพิ่งดึงสติกลับมาได้พยักหน้ารับ
“ไม่เป็นไรครับ ดูเหมือนพวกคุณจะสนิทกัน”
“ก็นิดหน่อยครับ แต่อย่าไปสนใจเลย”
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายกำลังถืออยู่
“ขอบคุณนะครับ ผ้าเช็ดหน้าของคุณ...ถ้าไม่รังเกียจ คุณใช้ผ้าเช็ดหน้าของผมแทนไปก่อน ผมยังไม่ได้ใช้”
หวังหยูเฟิงยื่นผ้าเช็ดหน้าของตัวเองไปให้ด้วยความเกรงใจ เจิ้งหยุนนิ่งไปเล็กน้อย เพราะคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้ ความขุ่นเคืองที่มีต่อไป๋ลู่เหอเลือนหายไปทันที แถมตอนนี้ยังนึกขอบใจอีกฝ่ายที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดชายหนุ่มตรงหน้ามากขึ้นอีกนิด
“ครับ” เจิ้งหยุนตอบรับ แล้วแลกเปลี่ยนผ้าเช็ดหน้ากับผู้กองหวังด้วยความรู้สึกยินดี
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
บรรยากาศภายในงานไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ อันที่จริงเแล้วหมือนงานพบปะคู่ค้าทางธุรกิจของอีเดน คอร์เปอเรชั่นมากกว่า
เจิ้งหยุนพาหวังหยูเฟิงไปหาพี่ชายที่กำลังยืนเพียงลำพัง เจิ้งเทียนมีรูปร่างสูงใหญ่แต่งกายด้วยชุดสูทหรูหราสีน้ำเงินเข้ม เรือนผมสีดำตัดสั้นและใบหน้าคมคายที่แสนมีเสน่ห์ ทำให้เจ้าของงานที่มีอำนาจแห่งนี้ยิ่งน่าจับตามองมากกว่าเดิม ทว่าในชั่วอึดใจต่อมาก็มีผู้ชายท่าทางภูมิฐานและหญิงสาวที่สวยสะดุดตาเดินเข้าไปพูดคุยตัดหน้าพวกเขาเสียก่อน
“พี่”
คำทักของเจิ้งหยุน ทำให้คนที่กำลังพูดคุยกันหันมาสนใจ เจิ้งเทียนพยักหน้ารับการทักทายของน้องชายที่ไม่ค่อยได้เจอกันนัก
“มาแล้วหรือ แล้วนั่นคงเป็นผู้กองหวังหยูเฟิงสินะครับ” เจิ้งเทียนเอ่ยขึ้น เมื่อหันมามองน้องชาย แล้วเลื่อนสายตาไปมองใครอีกคน “ผมเจิ้งเทียนเป็นพี่ชายของเจิ้งหยุนครับ ขอบคุณที่ช่วยดูแลเขานะครับ”
”เป็นหน้าที่ของผมครับ” หวังหยูเฟิงตอบรับไปตามมารยาท เขาพิจารณาท่าทางสุภาพของเจิ้งเทียน ถึงจะเคยเห็นผ่านตามสื่อต่างๆ มาบ้าง แต่ตัวจริงก็ให้บรรยากาศเบาสบายไม่เหมือนทายาทของอดีตผู้มีอิทธิพลรายใหญ่มาก่อน
“เจิ้งหยุน นี่คุณเส้าเหิงและลูกสาว...คุณหนูซินฉี เขากำลังจะมาร่วมกิจการของเราด้วย” เจิ้งเทียนหันมาแนะนำคู่สนทนาให้น้องชายรู้จัก เจิ้งหยุนโค้งรับเล็กน้อยตามมารยาท แล้วส่งยิ้มบางไปให้พ่อลูกที่แสดงท่าทางเป็นมิตรไม่ต่างกัน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ผมได้ยินเรื่องของคุณมาตั้งนานแล้ว เพิ่งได้เจอตัวจริง บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คุณเจิ้งมีน้องชายอีกคน” เส้าเหิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง “แล้วเกิดอะไรขึ้นครับ ถึงต้องมีตำรวจมาดูแลแบบนี้”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากันอย่างมีไมตริ หวังหยูเฟิงก็กำลังลอบมองเส้าเหิงไปด้วย ผู้กองหนุ่มพอจะได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมาบ้าง เพียงแต่นักธุรกิจที่อาจมีส่วนพัวพันกับเรื่องไม่ถูกกฎหมายคนนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการทำงานของเขา
“พอดีเมื่อราวสองอาทิตย์ก่อน ผมเพิ่งโดนลอบยิงครับ ตอนนี้เลยวานให้ผู้กองหวังมาช่วยดูแลชั่วคราว”
“แล้วจับคนร้ายได้หรือยังครับ”
เส้าเหิงหันไปทางหวังหยูเฟิงแทน นายตำรวจรู้สึกลำบากใจแต่ก็จำใจต้องตอบไปตามความจริง
“ยังครับ แต่พวกเราก็กำลังทำงานอย่างเต็มที่”
“แล้วพอจะคาดเดาศัตรูได้หรือเปล่า”
“ก็คงเป็นคู่แข่งทางธุรกิจน่ะครับ ช่วงนี้ผับของผมกำลังได้รับความนิยม อาจจะสร้างความไม่พอใจให้ใครบางคนก็ได้”
เจิ้งหยุนยังคงมีใบหน้าที่แต้มรอยยิ้มเอาไว้ราวกับเหตุร้ายนี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่ควรใส่ใจ เส้าเหิงที่สอบถามไปตามมารยาทก็พยักหน้ารับ เพราะเขาก็พอจะรู้อยู่แล้ว รวมไปถึงเรื่องบางอย่างที่ตำรวจอาจจะยังไม่รู้
ชายวัยกลางคนยิ้มออกมา เขารู้ว่าแท้ที่จริงเบื้องหลังของธุรกิจที่เจริญรุ่งเรืองเติบโตมาจากเลือดและอำนาจ อีเดน คอร์เปอเรชั่นไม่ได้ขาวสะอาดอย่างที่คนทั่วไปทราบ ทุกอย่างบนโลกนี้มีสองด้านเสมอ
แสงสว่างจะเจิดจ้าและชัดเจนที่สุดก็ตอนที่ตัดกับเงามืด
ถ้าหากเจิ้งเทียนคือแสงสว่างที่ทุกคนมองเห็น เจิ้งหยุนก็คือเงามืดที่ซ่อนเร้น
ถึงจะมีหุ้นส่วนเล็กน้อยกับกลุ่มบริษัทอีเดน แต่เส้าเหิงก็ไม่ได้หวังเพียงแค่นั้น ความทะเยอทะยานในอำนาจและเงินตราที่หลั่งไหลไม่มีวันจบ ทำให้เขาจำเป็นต้องกลืนกินบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้
ถ้าคิดจะล้มยักษ์ ก็อย่ากลัวที่จะฆ่ายักษ์
“จริงสิ ฉีฉีเพิ่งเรียนจบเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แล้วอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองที่เมืองนั้นพอดี เลยอยากให้คุณเจิ้งหยุนช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับ”
“ผมก็เพิ่งทำธุรกิจที่นั่นได้ไม่นาน คงให้คำแนะนำอะไรไม่ได้มาก แต่อะไรที่พอทำได้ ผมก็จะช่วยครับ” เจิ้งหยุนตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เขามองหญิงสาวที่ระบายรอยยิ้มพองามเล็กน้อย แล้วหันไปทางผู้ฝากฝังต่อ
เส้าซินฉีเป็นผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียวอ้อนแอ้นไม่ต่างจากนางแบบชั้นแนวหน้า ใบหน้าสวยหวานเปี่ยมเสน่ห์จนละสายตาไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ” เส้าซินฉีเอ่ยรับ ก่อนใบหน้าสวยที่ตกแต่งเครื่องสำอางค์ชั้นเลิศจะปรากฏแววไม่แน่ใจออกมา “ถ้าขอเรียกคุณเจิ้งหยุนว่าพี่หยุนจะได้ไหมคะ”
เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เส้าซินฉียิ้มกว้างขึ้น ทำให้หญิงสาวสะพรั่งน่ามองราวกับกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนคุณเจิ้งหยุนหน่อยนะครับ” เส้าเหิงเอ่ยสำทับ วิธีการยึดอำนาจของอีเดนที่ดีที่สุดคือการแทรกแซงภายใน ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเบื้องหน้าและเบื้องหลังมากมายแบบนี้ การปะทะต่อหน้าไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก
เขาไม่ได้บังคับลูกสาวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอเต็มใจที่จะช่วย นอกจากรูปลักษณ์หล่อเหลาของพี่น้องตระกูลเจิ้งแล้ว การได้เกี่ยวดองกันก็ส่งผลดีในทุกทาง
“ผมเองก็แค่เจ้าของผับธรรมดา ไม่รู้ว่าจะแนะนำคุณหนูเส้าได้หรือเปล่า”
“เรียกซินฉีเถอะค่ะ พี่หยุน”
“ครับ”
บทสนทนาทั่วไปผ่านไปอย่างราบรื่น โดยมีสายตาของผู้กองหนุ่มทอดมองอยู่เงียบๆ เขาไม่ได้เข้าไปร่วมบทสนทนาแต่ก็ยืนลอบฟังอยู่ในระยะที่พอได้ยิน
เส้าเหิงกำลังจะเคลื่อนไหว
หวังหยูเฟิงขบคิด เดิมทีเส้าเหิงเป็นนักธุรกิจแนวหน้าที่ไม่ได้โดดเด่นให้ตำรวจจับตามอง แต่ก็พอจะได้ข่าวบางอย่างที่ชวนให้สงสัยบ้างเท่านั้น
อย่างเช่น...ธุรกิจที่เคยทำกับถานอี้เทา
ตอนนี้ถานอี้เทาล้มไปแล้ว ก็คงถึงเวลาที่ผู้มีอำนาจคนต่อไปเข้ามาสานต่อ
นัยน์ตาสีดำนิ่งลอบมองคนในความคิดอย่างพิจารณา เส้าเหิงยังไม่มีธุรกิจเต็มตัวในเมืองที่เขาดูแล ตอนนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้
“คุณหวังไปตักอาหารตรงนั้นกันไหมครับ พวกเรายังไม่ได้กินอะไรมาเลย”
หวังหยูเฟิงที่ตกอยู่ในภวังค์ของความคิดเลื่อนสายตาไปมองเจ้าของเสียง เจิ้งหยุนกำลังมองด้วยรอยยิ้มบางเป็นปกติ เขาพยักหน้ารับพอเป็นพิธี ก่อนจะมองไปยังบุคคลอื่นที่่ยืนอยู่
“ผมขอตัวก่อนนะครับ” เจิ้งหยุนบอก แล้วหันไปมองเส้าซินฉีเป็นพิเศษ “ไว้เจอกันนะครับ”
“ค่ะ”
เจิ้งหยุนเลื่อนสายตาไปสบกับพี่ชายอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากมาพร้อมกับหวังหยูเฟิง หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินมายังโต๊ะอาหารนานาชาติละลานตา ซึ่งมีบริกรคอยอำนวยความสะดวกอยู่
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
หลังจากตักอาหารเสร็จ พวกเขาก็เดินมานั่งรับประทานกันที่โต๊ะอาหาร ก่อนจะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมานั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่
“เมื่อกี้ฉันเห็นนะ”
ไป๋ลู่เหอที่เข้ามานั่งร่วมด้วยหันไปมองเจิ้งหยุนที่หันมามองเช่นเดียวกัน ก่อนที่เขาจะกลับไปสนใจอาหารที่ตัวเองตักมาต่อ
“ตาแก่นั่นตั้งใจจะเอาลูกสาวให้พวกเธอสักคน”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณ”
“เกี่ยวสิ! ถ้ายัดเยียดให้เธอก็ช่าง แต่ห้ามมายุ่งกับเสี่ยวเทียนของฉัน”
เจิ้งหยุนลอบชักสีหน้าอย่างหมั่นไส้ แล้วหันมาสนใจหวังหยูเฟิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ขอโทษที่มีคนมาส่งเสียงรบกวนนะครับ”
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุน ก่อนจะหันไปมองไป๋ลู่เหอที่กำลังตีหน้าทะมึนใส่อีกฝ่าย ทั้งที่ควรจะมีบรรยากาศอึดอัดใจ แต่ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนเห็นเด็กกำลังทะเลาะกันมากกว่า
”ไม่เป็นไรครับ”
”เด็กน้อยของฉัน กินเสร็จแล้ว เราไปดูดาวด้วยกันนะจ๊ะ” ไป๋ลู่เหอหันมาบอกผู้กองหนุ่ม ก่อนจะเอียงคอเล็กน้อยด้วยท่าทางน่ารัก “เธอติดคำขอโทษกับฉันอยู่นะ”
“ได้ครับ” ผู้กองหวังตอบรับแต่โดยดี เขาอยากหมดธุระกับไป๋ลู่เหอ แล้วก็อยากสอบถามบางอย่างอีกด้วย
ไป๋ลู่เหอยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี แล้วหันไปยักคิ้วให้เจิ้งหยุนเล็กน้อย ทั้งที่ปกติชายหนุ่มเรือนผมแพรไหมจะต้องตอบโต้กลับ ทว่าเขากลับทำเพียงแค่มองโดยไม่ได้โต้แย้งอะไร
ในเมื่อตอนนี้เจิ้งหยุนอยากจะคุยกับพี่ชายตามลำพังสักหน่อยเหมือนกัน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ใจกลางเมืองที่ทันสมัย ถึงแม้ดวงดาวที่ส่องสว่างบางครั้งจะเป็นแค่แสงไฟที่ลวงตา แต่ความงดงามที่มนุษย์สรรสร้างก็ให้ความแปลกตาชวนหลงใหล
“หวังหยูเฟิง”
เสียงหวานที่เอ่ยขึ้น ชวนให้ขนลุกชัน แต่หวังหยูเฟิงก็ยังคงท่าทางปกติ แล้วหันไปมองไป๋ลู่เหอที่เดินควงแขนของเขาอยู่
”ครับ”
“คืนนั้นไปทำอะไรที่ร้านของฉันหรือ”
“ผมมีธุระที่ต้องตามหาคนที่นั่นครับ”
“ใคร? หรือแฟนของเธอแอบมาที่ร้านของฉันกับชู้?”
”ไม่ใช่ครับ ผมยังไม่มีแฟน”
ไป๋ลู่เหอยิ้มออกมากับท่าทางปฏิเสธอย่างหนักแน่น เขาสนใจและเอ็นดูอีกฝ่ายในคราวเดียวกัน เพราะคนรอบตัวมีแต่พวกตีสองหน้าจนชวนให้ปวดหัว ถึงอยากจะฟัดให้หนำใจ แต่ถ้าหากเผลอลงมือรังแกหวังหยูเฟิงเข้า คงต้องมาเคลียร์ปัญหากับเด็กนิสัยไม่ดีแน่
ถึงเจิ้งหยุนจะไม่ได้บอกชัดเจน แต่เขาก็ดูออก เพราะเคยดูแลอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ลอบมองมาตั้งแต่ต้น ท่าทางเอาใจใส่ของเด็กปากเสียคนนั้นที่แสดงออกมา มันไม่ใช่นิสัยทั่วไปของคุณชายเจิ้งผู้เอาแต่ใจ
หึ! ไม่นึกว่าจะชอบแบบนี้ด้วย...
“อย่างนั้นหรือ”
“ว่าแต่...ผมจะขอสอบถามคุณไป๋หน่อยได้ไหมครับ”
หวังหยูเฟิงหันมามองไป๋ลู่เหอด้วยสายตาจริงจังขึ้น เขารวบรวมความคิดเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มต้นคำถามแรก หลังจากที่ร่างบางพยักหน้าเป็นการอนุญาต
“คุณรู้จักกับเจิ้งหยุนมานานหรือยังครับ”
ไป๋ลู่เหอไม่ได้นึกแปลกใจ เขาเพียงแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจพอเป็นพิธี ก่อนจะกล่าวหยอกเย้ากระเง้ากระงอด
“ทำไมถึงถามเรื่องของคนอื่นต่อหน้าฉันล่ะ แบบนี้ฉันเสียใจนะ”
หวังหยูเฟิงพยายามเก็บอารมณ์ของตัวเอง เมื่อถูกเรือนร่างบอบบางแนบชิดมากกว่าเดิม
”ตอนนี้ผมกำลังทำงานดูแลคุณเจิ้งอยู่ เลยอยากรู้เรื่องรอบตัวของเขา แล้วผมก็เห็นพวกคุณสนิทกันดี”
”อืม...ก็รู้จักมานานแล้วล่ะ ฉันรู้จักพี่ชายของเขาด้วยนะ”
“ในความคิดของคุณ คุณเจิ้งหยุนเป็นคนอย่างไรครับ”
“ก็นิสัยไม่ดีเลยน่ะสิ ปากร้าย ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจของฉันอยู่เรื่อย”
ไป๋ลู่เหอตีหน้าเศร้าพร้อมกับเอียงศีรษะซบไหล่ของผู้กองหวังอย่างอ่อนหวาน
“ฉันอยากให้มีใครสักคนมาปกป้องหัวใจดวงน้อยของฉันบ้าง เธอจะช่วยฉันได้ไหม”
”ไม่ได้หรอกครับ”
หวังหยูเฟิงที่ตอบปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด ทำให้ไป๋ลู่เหอต้องหันไปมอง นัยน์ตากลมกำลังเอ่อคลอด้วยหยดน้ำอย่างน่าสงสาร
”ทำไมล่ะ...ฉันสวยไม่พอหรือ”
“คุณสวยมากครับ แต่ผมไม่ชอบผู้ชาย”
“ฉันเป็นผู้หญิง!”
“เอ่อ...ครับ ผมไม่ชอบผู้ชายที่กลายเป็นผู้หญิงน่ะครับ”
ไป๋ลู่เหอสบตากับหวังหยูเฟิง ก่อนใบหน้าเศร้าจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม แล้วเสียงหัวเราะหวานก็ดังขึ้น ซึ่งปฏิกิริยาของร่างบางก็สร้างความงุนงงให้กับผู้กองหนุ่มไม่น้อย
“ฉันยอมแพ้ก็ได้” ไป๋ลู่เหอเอ่ยขึ้นพร้อมกับควงแขนของนายตำรวจ เขาซบศีรษะลงที่ไหล่กว้างเหมือนเดิมอีกครั้ง “แต่ถ้าเปลี่ยนใจ ก็มาหาฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ”
หวังหยูเฟิงไม่ตอบรับ เพราะไม่อยากสานต่อบทสนทนานี้อีก เขาผลักความสับสนเมื่อครู่ออก แล้วกลับมาสนใจเรื่องงานของตัวเองอีกครั้ง
“ผมกำลังตามหาคนร้ายที่ลอบยิงคุณเจิ้งหยุนอยู่ คุณคิดว่ามีใครน่าสงสัยไหมครับ”
“ไม่รู้สินะ คงจะไปปากเสียจนทำให้ใครหมั่นไส้เข้าจนอยากยิงทิ้งล่ะมั้ง ฉันยังอยากเอาส้นสูงตบปากเด็กนั่นเลย”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว เขาอยากจะถามเจาะลึกมากกว่านี้ แต่ก็กลัวจะดูน่าสงสัยเกินไป
“ฉันไม่รู้หรอกว่า เธอต้องการข้อมูลอะไรหรือกำลังสงสัยอะไร แต่เขาเป็นคนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด”
หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตาไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน ใบหน้างดงามที่ทาบทับด้วยแสงจันทร์บางเบายังคงซบไหล่ของเขา เรือนผมดัดลอนสีอ่อนพลิ้วไหวไปตามแรงลมชวนมอง ทว่าสิ่งที่ผู้กองหนุ่มสนใจกลับเป็นเสียงหวานที่กำลังเอื้อนเอ่ย
“ถ้าหากเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ ก็จะไม่มีใครรู้”
TBC++++++++ 12หลังม่านปิด
Marionetta ดีค่ะ ตอนนี้ก็ยังยุ่งๆ อยู่ค่ะ แต่ก็จะพนานามทยอยมาลงเท่าที่หาโอกาสได้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตาม แล้วก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ ^^
-
:katai2-1:
-
12
หลังม่านปิด
ในขณะที่ไป๋ลู่เหอกำลังอ้อล้อกับหวังหยูเฟิงอยู่นั้น เจิ้งหยุนที่แยกตัวออกมาก็เดินออกจากห้องจัดเลี้ยงตรงไปยังลิฟต์ของโรงแรม เมื่อตู้โดยสารเคลื่อนที่มาถึงชั้นบนสุด ชายหนุ่มก็เดินไปยังห้องหนึ่ง แล้วเปิดประตูเข้าไป
ภายในห้องหรูหราชั้นหนึ่งของโรงแรมมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งจิบวิสกี้อยู่บนโซฟา ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังทอดมองวิวค่ำคืนในมุมสูงหันมามองผู้มาเยือน
“ว่าอย่างไร”
เจิ้งเทียนวางแก้วเครื่องดื่มลงบนโต๊ะใกล้มือ เจิ้งหยุนเดินมานั่งลงบนโซฟาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีเฉื่อยชา นัยน์ตาคมมองพี่ชาย แล้วเริ่มต้นธุระของตัวเอง
“เรื่องเจ้านั่น”
เขาไม่จำเป็นต้องเรียกชื่อบุคคลที่สาม ประธานของอีเดนก็สามารถรับรู้ได้ว่ากำลังเอ่ยถึงใคร เจิ้งเทียนอมยิ้มเล็กน้อย
“แค่กาฝาก”
“หึ! แล้วอยากปล่อยไว้หรือตัดทิ้ง”
“ตามใจนาย พี่ไม่ได้สนใจเท่าไร”
“ใจดำ”
เจิ้งหยุนบ่นออกมา เพราะตอนนี้เขากำลังถูกพี่ชายโยนงานมาให้อีกแล้ว!
“ก็เธอทำท่าสนใจนายมากกว่าพี่” เจิ้งเทียนบอก แล้วหันไปมองวิวผ่านหน้าต่างใสขนาดใหญ่ “แค่หมาบ้านที่ริอยากจะเป็นหมาป่า ถ้ามาเกะกะก็จัดการได้เลย ไม่ต้องสนใจ”
นัยน์ตาคมที่ทอแววยิ้มฉาบความโหดเหี้ยมชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ ฉายาเทพบุตรแห่งอีเดนเป็นเพียงหน้ากากที่คนทั่วไปมองเห็น
“จริงสิ แล้วเรื่องตำรวจคนนั้น?”
เจิ้งเทียนขยับตัวเล็กน้อย เขาไว้ใจน้องชายเสมอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
“เรื่องของผม”
“พี่ไม่อยากให้นายเสี่ยงเกินไป”
“งานของผมก็เสี่ยงทุกอย่างอยู่แล้ว”
บางครั้งการครอบครองก็ต้องเหยียบย่ำผู้อื่นเพื่อให้ได้ไปจุดที่สูงกว่า ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการกำหนดและคุมอำนาจ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียสละผลประโยชน์อันหอมหวานให้ตกอยู่ในมือของคนอื่น
ในฐานะของน้องชาย เจิ้งหยุนมีหน้าที่ช่วยเหลือและส่งเสริมพี่ชายในการดูแลบริหารธุรกิจของตระกูล สิ่งไหนที่เจิ้งเทียนไม่สามารถคว้ามาได้ด้วยตัวเอง เขาก็ต้องเป็นคนจัดการ เพราะนักธุรกิจที่ขาวสะอาดไม่ควรแปดเปื้อน
“เอาเถอะ แล้วไอ้แก่หื่นกามเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็คงอีกไม่นานนักหรอก”
“พี่ไม่ได้รีบ แต่อย่าให้เหลือซาก”
”อืม”
เจิ้งหยุนลุกขึ้น เมื่อหมดธุระของตัวเองแล้ว เขาไม่ค่อยได้คุยกับพี่ชายนัก ส่วนใหญ่เจิ้งเทียนจะติดต่อผ่านอู่หนิงมากกว่า
“มีอะไรบอกพี่ได้ทุกเรื่อง”
ถึงแม้พวกเขาจะเกิดในตระกูลที่เปื้อนเลือด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ไม่ต่างจากครอบครัวทั่วไป ไม่ว่าเจิ้งหยุนจะเติบโตและแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่ในฐานะพี่ชายแล้ว เจิ้งเทียนก็ยังห่วงใยน้องชายเสมอ
“อืม”
เจิ้งหยุนเดินออกจากห้องไปแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มอีกคนที่ยังนั่งทอดอารมณ์อยู่กับเครื่องดื่มรสร้อนแรงเพียงลำพัง อันที่จริงแล้วเจิ้งเทียนอยากเป็นแบบน้องชาย แต่ก็ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น ในเมื่อสถานะของลูกชายคนโตของตระกูลเจิ้งเป็นที่จับตามอง
หน้ากากนักธุรกิจที่ฟาดฟันด้วยเล่ห์เหลี่ยมและเงินตราก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่ชายหนุ่มก็ยังถูกกักขังในที่แจ้งจนไม่อาจทำได้อย่างที่ใจอยาก
อยากละเลงเลือดได้อย่างอิสระเหมือนเจิ้งหยุน...
น้องชายที่ควบคุมฉากหลังที่ไม่อาจเปิดเผยได้ของตระกูลในตอนนี้
เจิ้งเทียนถอนหายใจ เขาก็ได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจเท่านั้น วันไหนที่อยากปลดปล่อยอารมณ์ ชายหนุ่มก็ไปที่สนามยิงปืนทดแทนความต้องการของตัวเอง
ถึงแม้ปัจจุบันใครต่างก็รู้ว่า ตระกูลเจิ้งหลุดพ้นจากแวดวงธุรกิจมืดมาหลายสิบปีแล้ว ทว่าไม่มีอำนาจไหนที่เจริญงอกงามจากสิ่งที่ถูกต้อง สีดำที่ถูกป้ายสีขาวกี่ร้อยกี่พันครั้งจนมองไม่เห็น แต่สีแรกเริ่มก็ไม่มีวันหายไป ตราบใดที่ไม่อยากให้ใครเห็นสีเดิมที่อาจเปิดเผยออกมาในสักวัน ก็จำเป็นต้องทาสีสะอาดทับซ้ำไปเรื่อยๆ จนไม่มีใครล่วงรู้ถึงสีที่แท้จริงอีกต่อไป
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“คุณไปที่ไหนมา”
เจิ้งหยุนหันหลังกลับไปมอง เมื่อเห็นหวังหยูเฟิงที่มีไป๋ลู่เหอตามติดกำลังมองมาอย่างจับผิด ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ผมออกไปดูพนักงานที่ห้องจัดเลี้ยงอื่นครับ ไม่ค่อยได้ไปทำงานที่บริษัท เลยต้องไปทักทายพนักงานหน่อย”
หวังหยูเฟิงไม่ได้เชื่อคำพูดนั้น แต่ผู้กองหนุ่มก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร ตอนนี้งานเลี้ยงผ่านไปสักพักแล้ว และมีแขกหลายคนที่ขอตัวกลับ
“คุณเจิ้งหยุน”
ชายหนุ่มเรือนผมสีดำยาวหันไปตามเสียงเรียก สองพ่อลูกตระกูลเส้ากำลังเดินเข้ามาพูดคุยด้วย
“ครับ”
“ผมคงต้องกลับก่อน พอดีไม่เจอคุณเจิ้งเทียนเลยมาลากับคุณแทน”
“ครับ ขอบคุณที่มาร่วมงานครับ”
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ขอฝากดูแลฉีฉีด้วยนะครับ”
เจิ้งหยุนส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ข้างบิดาของเธอ เส้าซินฉีไม่ได้หลบสายตา นัยน์ตากลมสวยมองกลับอย่างอ่อนหวาน
“ครับ”
หลังจากคล้อยหลังเส้าเหิงและลูกสาวไปแล้ว ไป๋ลู่เหอที่ยืนอยู่ด้วยก็ชักสีหน้าออกมา เขาเชิดใบหน้าขึ้นราวกับต้องการดูถูกคนที่กำลังจะเอ่ยถึง
“หึ! คิดจะใช้ลูกสาวล่อผู้ชาย สวยเทียบฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หวังหยูเฟิงกับเจิ้งหยุนไม่ได้ตอบรับอะไร อันที่จริงแล้วเส้าซินฉีถือเป็นผู้หญิงสวยน่ามองคนหนึ่ง เพียงแต่จุดประสงค์ของเธอทำให้ไป๋ลู่เหอนึกรังเกียจ
เจิ้งหยุนไม่ได้สนใจท่าทีของไป๋ลู่เหอ เขามองสำรวจหวังหยูเฟิงแล้วลอบผ่อนลมหายใจออกมา เมื่อไม่มีร่องรอยอะไรที่ทำให้เสียอารมณ์ ก่อนที่นัยน์ตาคมจะเลื่อนไปมองใบหน้าสวยที่ขยิบตามาให้อย่างรู้ทันความคิด
“ฉันกลับบ้างดีกว่า เอาไว้เจอกันนะ”
ไป๋ลู่เหอโบกมือลาด้วยท่าทางงดงาม แล้วเดินนวยนาดจากไปให้ผู้ชายในงานได้แต่มองตามจนเหลียวหลัง บรรยากาศในงานเลี้ยงเริ่มซาลง อาจเป็นเพราะเจิ้งหยุนไม่ได้เข้าไปทำงานบริหารบริษัทอีเดน คอร์เปอเรชั่นเต็มตัว ทำให้ไม่ค่อยมีใครเข้ามาทักทายเท่าไรนัก จนกระทั่งเจิ้งเทียนที่หายตัวไปกลับเข้ามาในงานเลี้ยง ทายาทคนเล็กของตระกูลเจิ้งก็ชวนผู้กองหวังกลับ
“ไม่ไปลาพี่ของคุณหน่อยหรือ”
“ไม่เป็นไรครับ”
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนเล็กน้อย เขามองเลยไปยังเจิ้งเทียนที่กำลังยืนยิ้มพูดคุยกับแขก แล้วเดินตามชายหนุ่มผมยามไปยังด้านหน้าของโรงแรมที่มีรถยนต์รอรับพร้อมกับความคิดที่พักนี้เข้ามาในสมองบ่อยเหลือเกิน
เขามาทำอะไรกัน...
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
พวกเขาเดินทางมาถึงคฤหาสน์ริมทะเลในเวลาเที่ยงคืน โดยมีอู่หนิงและสาวรับใช้ยืนต้อนรับ เจิ้งหยุนเดินไปยังชั้นสองพร้อมกับหวังหยูเฟิงอย่างไม่รีบร้อน
”ราตรีสวัสดิ์ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยลา เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของแขกคนสำคัญ
“เช่นกันครับ” หวังหยูเฟิงตอบรับไปตามมารยาท ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
เจิ้งหยุนมองจนบานประตูไม้ปิดลง เขาถึงสาวเท้าไปยังห้องของตัวเองบ้าง เมื่อเดินเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มก็ถอดเสื้อสูทที่ใส่อยู่ออก ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าด้านในที่มีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งอยู่
ผ้าเช็ดหน้าของหวังหยูเฟิง
ผ้าฝ้ายสีเรียบแสนธรรมดาที่พับเอาไว้ถูกคลี่ออก เจิ้งหยุนเอนตัวลงนอนบนเตียงใหญ่ทั้งที่สายตายังคงมองสิ่งที่กำลังถืออยู่ตรงหน้า ก่อนที่เขาจะปล่อยมือจากผ้าผืนบางให้มันตกลงมาบนใบหน้าของตัวเอง แล้วหลับตาสูดกลิ่นหอมสะอาดอย่างเชื่องช้า
ถึงแม้จะได้ใกล้ชิดแบบถึงเนื้อถึงตัวกับหวังหยูเฟิงเพียงไม่กี่ครั้ง แต่เจิ้งหยุนก็พอจะจำกลิ่นกายของผู้ชายคนนั้นได้ เขาอมยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่อยู่ข้างห้องนอนของตัวเองตอนนี้
จะทำอย่างไรต่อดี...
เจิ้งหยุนใช้ความคิดกับตัวเองไปเรื่อย โดยไม่ได้สนใจว่าเวลานี้เขาควรจะพักผ่อนได้แล้ว ถึงเขาจะยังไม่มีแผนการในใจ แต่ผ้าเช็ดหน้าของหวังหยูเฟิงจะไม่ได้กลับคืนสู่เจ้าของแน่นอน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
ในวันธรรมดาที่ไม่มีอะไรคืบหน้านักของหวังหยูเฟิง ผู้กองหนุ่มที่เพิ่งรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เดินตามเจ้าของคฤหาสน์มาที่ห้องนั่งเล่น ก่อนจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้เมื่อวันก่อนขึ้นมาอ่านต่อบนโซฟาราวกับคนว่างงาน
งานเลี้ยงประจำปีของบริษัทอีเดนเมื่อสองวันก่อนจบลงอย่างราบรื่นพร้อมกับข้อมูลน้อยนิดที่ผู้กองหวังได้รับ ถึงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีที่เขาตามอยู่ แต่เรื่องราวของเส้าเหิงและลูกสาวที่กำลังเข้ามาทำธุรกิจในเมืองนี้ก็น่าสนใจ
ตอนนี้เขาคงทำได้แค่รอเวลาที่อีกฝ่ายจะเผยตัว
เจิ้งหยุนมองท่าทางของผู้กองหนุ่มที่ทำหน้าเคร่งเล็กน้อย แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเล่นฆ่าเวลาบ้าง วันนี้เขาตั้งใจจะพาหวังหยูเฟิงไปขับเรือเล่น แต่สภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจนัก ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนจะตกมาได้ทุกเมื่อ
พวกเขาใช้เวลาช่วงสายกับตัวอักษรในหนังสือโดยไม่ได้พูดคุยอะไร ทว่าต่างคนก็ต่างลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเป็นระยะ ในขณะที่หวังหยูเฟิงครุ่นคิดกับตัวเองในเรื่องต่างๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องของผู้ต้องสงสัยที่กำลังนั่งอยู่ไม่ห่างกันนัก เจิ้งหยุนก็กำลังหาวิธียึดครองผู้กองหนุ่มอย่างละมุนละม่อม ก่อนทุกความคิดจะถูกขัดจังหวะ เมื่อมีสาวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา
“นายค่ะ คุณเส้าซินฉีมาพบค่ะ”
เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ เขาไม่นึกว่าเส้าซินฉีจะรุกเร็วแบบนี้ ชายหนุ่มวางหนังสือลงที่โต๊ะเล็กข้างโซฟา
”อืม เดี๋ยวฉันไป”
หลังจากสาวรับใช้เดินออกไป เจิ้งหยุนก็หันไปทางผู้กองหวังที่กำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์
“คุณหวังจะพบคุณหนูเส้ากับผมไหมครับ”
“ไปสิ”
หวังหยูเฟิงลุกขึ้นทันที นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ผู้กองหนุ่มย้ายเข้ามาอาศัยที่มีแขกมาหาเจิ้งหยุน ผู้มาเยือนไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลหรืออยู่ในแวดวงธุรกิจมืด แต่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเธอมาทำอะไร...
ผู้กองหวังขบคิดกับตัวเองพร้อมกับเดินตามเจ้าของคฤหาสน์ไปยังห้องรับแขก เมื่อพวกเขาเดินมาถึง เจิ้งหยุนก็ส่งเสียงทักทาย
“สวัสดีครับคุณซินฉี”
“สวัสดีค่ะพี่หยุน ขอโทษนะคะที่มาหา โดยไม่ได้นัดล่วงหน้าแบบนี้”
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า”
เจิ้งหยุนนั่งลงที่โซฟา ซึ่งจัดวางอยู่ฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว โดยที่มีหวังหยูเฟิงยืนอยู่ห่างออกมา แต่ก็ยังรับรู้บทสนทนาของคนทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน เส้าซินฉีหันมามองนายตำรวจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทักทาย ก่อนที่เธอจะหันไปสนใจชายหนุ่มผมยาวต่อ
“อย่างที่คุณพ่อบอกไปเมื่อคืนก่อน ซินฉีอยากมาเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวที่นี่ ก็เลยอยากมาปรึกษาพี่หยุนน่ะค่ะ” เส้าซินฉีเอ่ยถึงจุดประสงค์การมาเยือนของตัวเอง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยท่าทางที่ชวนให้เอ็นดู “จะหาว่าซินฉีใจร้อนก็ได้ค่ะ แต่พอคิดอยากจะทำ ก็อยากจะเริ่มให้เร็วที่สุด”
“ครับ แล้วคุณซินฉีสนใจธุรกิจแบบไหนอยู่หรือครับ” เจิ้งหยุนถามกลับไปตามเรื่อง เขาไม่ได้สนใจเรื่องของหญิงสาวเท่าไรนัก แต่ในเมื่อรับปากไปแล้วจะไม่สนใจเลยก็คงไม่ได้
“ซินฉีก็ไม่แน่ใจค่ะ เลยอยากรบกวนพี่หยุนช่วยพาไปดูรอบเมืองนี้หน่อยค่ะ”
“วันนี้คงไม่เหมาะหรอกครับ เพราะอากาศไม่ดีเท่าไร” เจิ้งหยุนบอกไปตามตรง แล้วเผยรอยยิ้มบางแสนสุภาพออกมา “คืนนี้ไปดูที่ผับของผมก่อนไหมล่ะครับ”
“ได้สิคะ ขอบคุณค่ะ!” เส้าซินฉีตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน เธอมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นซินฉีขอตัวก่อนนะคะ แล้วเราค่อยไปเจอกันที่ผับกาเบรียล”
“ได้ครับ”
เจิ้งหยุนมองเส้าซินฉีที่เดินออกไปอย่างพิจารณา เขาคิดว่าหญิงสาวจะถ่วงเวลาอยู่ที่นี่จนไปที่ผับกาเบรียลพร้อมกับเขาเสียอีก แต่ในเมื่อไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว
ชายหนุ่มไม่สนใจหรอกว่า เส้าซินฉีคิดจะทำอะไร จะอยากลงทุนทำธุรกิจที่นี่จริงหรือเป็นนกต่อให้เส้าเหิงเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง แต่เธอจะไม่ได้อะไร ถ้าหากเขาไม่เต็มใจให้
เจ้าของคฤหาสน์ลุกขึ้นจากโซฟา แล้วหันไปมองหวังหยูเฟิงที่กำลังยืนอยู่ห่างออกไป เขาอมยิ้มเล็กน้อย เมื่อได้สบนัยน์ตาจริงจังคู่นั้น
“คืนนี้คงต้องพาคุณหวังเที่ยวกลางคืนแล้ว”
“ผมไปทำงาน”
เจิ้งหยุนหัวเราะเบาๆ กับคำตอบที่จริงจังเสมอ ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับผู้กองหวังเพื่ออ่านหนังสือที่ค้างเอาไว้ต่อ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เมื่อรั้วประตูขนาดใหญ่ถูกปิดลง เส้าซินฉีที่นั่งหลังตรงที่เบาะด้านหลังของรถยนต์คันหรูกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ เธออยากจะใช้เวลาสร้างความคุ้นเคยกับเจิ้งหยุนมากกว่านี้ก่อน แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะหาโอากาสดีอย่างคืนนี้ได้อีกไหม
เจิ้งหยุนเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวต่างจากเจิ้งเทียน เธอไม่แน่ใจว่า ชายหนุ่มคนนี้จะช่วยเหลือตามที่อ้างได้มากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าหากเขาจะไม่สนใจเลยก็ได้ คืนนี้คงจะไปดูผับกาเบรียลอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
คงต้องเปิดแผนบุกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ไหวตัว!
เส้าซินฉียิ้มออกมา ก่อนจะหันไปมองวิวข้างทางที่ผ่านไปตามความเร็วของยานพาหนะ ก่อนหน้านี้บิดาได้เล่าถึงความต้องการของท่าน แล้วเอ่ยถึงบุตรชายทั้งสองของตระกูลเจิ้ง ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่างที่มีมูลค่ามหาศาลในนามของอีเดน คอร์เปอเรชั่นให้เธอฟัง
เส้าซินฉีไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครจะมาบังคับกันได้ เธอเป็นลูกคุณหนูและถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก นอกจากนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้สนใจธุรกิจของครอบครัว เป้าหมายในชีวิตก็คือการได้แต่งงานกับผู้ชายหน้าตาดีที่มีฐานะเท่าเทียมหรือสูงกว่าเท่านั้น นอกจากจะช่วยเกื้อกูลธุรกิจของบิดาแล้ว ก็ยังสามารถใช้เงินได้ตามใจปรารถนาอย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต
เธอคงจะไม่กระตือรือร้นทำตามความต้องการของบิดา ถ้าหากผลลัพธ์นั้นไม่ตรงกับความตั้งใจของตัวเองพอดี
เส้าเหิงไม่ได้เจาะจงให้เส้าซินฉีเลือกใคร แต่หลังจากได้พูดคุยและพบเจอด้วยตัวเองแล้ว ก็พบว่าทายาทคนเล็กของอีเดนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
เจิ้งหยุนดูเหมือนผู้ชายมาดเท่แสนสุภาพที่น่าค้นหา ต่างจากเจิ้งเทียนที่มีบุคลิกเป็นกันเองและเข้าถึงได้ง่าย แต่มีชั่ววินาทีหนึ่งที่ได้สบตากับเขา นัยน์ตาสีดำคู่นั้นส่อแววอำมหิตจนเธอผวา
สายตาราวกับปิศาจกระหายเลือด
เส้าซินฉีลูบแขนของตัวเอง เมื่อนึกถึงสายตาน่ากลัวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของนักธุรกิจผู้มีฉายาเทพบุตรแห่งอีเดน ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะจอดลงที่ลานจอดรถของคอนโดมีเนียมราคาแพง เธอเดินตรงไปที่ลิฟต์ แล้วสาวเท้าไปยังห้องพักของตัวเอง
ท้องฟ้าสีเทาตอนนี้กำลังมีเม็ดฝนโปรยปราย ทว่าคุณหนูเส้าไม่ได้สนใจสภาพอากาศภายนอก เธอหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา หลังจากตัดสินใจบางอย่างได้เด็ดขาด
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ฝนที่ตกมาตั้งแต่บ่ายเพิ่งจะหยุดตอนห้าโมงเย็น แล้วเริ่มร่วงหล่นอีกครั้งตอนประมาณหนึ่งทุ่ม หวังหยูเฟิงที่กำลังอยู่ในรถยนต์ข้างชายหนุ่มเรือนผมยาวถอนหายใจออกมา
หวังหยูเฟิงไม่ค่อยชอบสายฝนเท่าไรนัก นอกจากอากาศจะชวนให้รู้สึกขี้เกียจแล้ว มันก็สร้างความหงอยเหงา เมื่อนึกถึงสมัยที่ยังอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า มีครั้งหนึ่งเขาถูกเด็กคนอื่นแกล้ง เพราะไม่ยอมเป็นลูกไล่ทำตามคำสั่ง เลยถูกจับมัดกับต้นไม้ตากฝนจนไม่สบายไปหลายวัน
พวกเขาใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงผับกาเบรียล เจิ้งหยุนเดินลงจากรถโดยมีอู่หนิงเป็นคนเปิดประตูให้ ร่มสีดำขนาดใหญ่ถูกกางออกเพื่อป้องกันเม็ดฝนที่กำลังโปรยปรายอย่างต่อเนื่อง เจ้าของผับกำลังรับร่มอีกคันแล้วตั้งใจจะเดินไปรับคนที่นั่งมาด้วยกัน แต่หวังหยูเฟิงก็เปิดประตูออกมา โดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียก
“รีบลงมาทำไมครับ” เจิ้งหยุนว่าพร้อมกับกางร่มให้ผู้กองหนุ่ม แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมาซับน้ำที่เกาะบนใบหน้าจริงจังอย่างเบามือ หวังหยูเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งกับการบริการแสนประทับใจที่เขาไม่ได้ต้องการ
“ลูกผู้ชายต้องไม่กลัวเปียก” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ หลังจากรับร่มมาใช้งาน สายตามองท่าทางของเจิ้งหยุนที่ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “ขอบคุณ แต่คุณไม่ต้องดูแลผมดีขนาดนี้ก็ได้ ผมมีหน้าที่ดูแลคุณ ไม่ใช่ให้คุณดูแล”
“ไม่กลัวเปียก ก็ควรกลัวเรื่องสุขภาพบ้างนะครับ” เจิ้งหยุนว่าต่อ เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชื้นของตัวเองใส่กระเป๋ากางเกงพร้อมกับสบนัยน์ตาสีดำที่มองมานิ่ง “ถึงผมจะไม่ได้มีหน้าที่ดูแลคุณ แต่ผมเป็นห่วงคุณครับ”
หวังหยูเฟิงนิ่งงัน ความรู้สึกบางอย่างปริแตกและก่อตัวขี้นอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาคมสีรัตติกาลที่แสดงควมจริงใจ ทำให้ความเย็นจากละอองฝนอุ่นซ่านที่หัวใจของชายหนุ่มขึ้นมาทีละน้อย
TBC++++++++++ 13 ความจงใจของกาเบรียล
Marionetta เนื่องในเทศกาลตรุษจีน ขอให้รวยๆ เฮงๆ กันนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^ :mc4:
-
เต๊าะสุดดดดดดด
-
:katai2-1:
-
13
ความจงใจของกาเบรียล
ถึงแม้ฝนจะตกลงมา แต่ผับกาเบรียลในคืนนี้ก็ยังได้รับความนิยมเช่นเคย หวังหยูเฟิงมองบรรยากาศของสถานบันเทิงชื่อดังในย่านนี้ ก่อนจะเดินตามเจิ้งหยุนไปที่ลิฟต์
“ผับกาเบรียลมีทั้งหมดห้าชั้นครับ ชั้นแรกให้บริการเครื่องดื่ม ชั้นสองเปิดรับรองแขกวีไอพีหรือผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ตั้งแต่ชั้นที่สามขึ้นไปเป็นส่วนของสำนักงาน” เจิ้งหยุนอธิบาย หลังจากกดปุ่มไปยังชั้นสาม ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกมาจากลิฟต์ “ที่ชั้นนี้ผมใช้รับรองแขกที่มาเข้าพบหรือต้องการคุยธุระครับ”
“ดูเหมือนบริษัทเลยนะ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองโดยรอบไปด้วย เจิ้งหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อย
”ก็คงอย่างนั้นมั้งครับ ผับก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่งไม่ต่างจากบริษัททั่วไปนี่ครับ” เจิ้งหยุนตอบรับ เขาเดินนำผู้กองหวังเข้ามาในห้องรับรองที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ทันสมัย “ผมขอตัวไปดูงานสักหน่อย ไม่ได้มาหลายวันแล้ว คุณจะพักอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ครับ อยากดื่มอะไรก็สั่งพนักงานได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
“ห้องทำงานของคุณอยู่ที่ไหน” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อผ่อนคลายอารมณ์เหมือนลูกค้าที่มาใช้บริการที่ผับแห่งนี้
“ห้องทำงานของผมอยู่ชั้นห้าครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ ก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงแสร้งสงสัย “คุณหวังอยากไปดูห้องทำงานของผมหรือครับ”
“ผมอยากเดินเล่นที่นี่หน่อยได้หรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยไปอีกเรื่อง ถึงเขาจะเคยประกาศเจตนารมณ์ของตัวเองไปแล้ว และก็เริ่มสนิทจนไม่ค่อยนึกเกรงใจอีกฝ่ายเท่าไรนัก แต่ชายหนุ่มก็ยังสงวนท่าทีในการหาหลักฐานของตัวเองอยู่
“ตามสบายครับ”
หวังหยูเฟิงมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางของเจิ้งหยุนอย่างนึกหมั่นไส้เล็กน้อย แต่ก็รีบปัดความรู้สึกนั้นออกไป เมื่อนึกถึงหน้าที่ที่ต้องทำต่อจากนี้
หวังหยูเฟิงเดินออกจากห้องรับรองพร้อมกับเจิ้งหยุน ในขณะที่ผู้กองหนุ่มกำลังจะเดินแยกไปอีกทางเพราะจะเริ่มสำรวจที่ชั้นนี้ เขาก็โดนเรียกเอาไว้เสียก่อน
“คุณหวังครับ”
หวังหยูเฟิงหันไปมองชายหนุ่มผมยาวที่ส่งบางอย่างมาให้ และเมื่อเขารับมาก็รู้ว่ามันคือคีย์การ์ดอันหนึ่ง นัยน์ตาที่แสดงความจริงจังเป็นนิจเลื่อนไปมองอีกฝ่ายทันที
“นี่เป็นคีย์การ์ดสำหรับใช้งานลิฟต์ครับ สามารถขึ้นได้ทุกชั้น”
หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอะไร นอกจากเอาคีย์การ์ดใส่กระเป๋ากางเกงของตัวเอง เขาได้แต่มองแผ่นหลังของเจ้าของผับกาเบรียลเดินเข้าไปในลิฟต์ที่อยู่ห่างออกไปอย่างใช้ความคิด ผู้กองหนุ่มชักสีหน้าเล็กน้อย เมื่อรู้เท่าทันเจตนาของอีกฝ่าย
เจิ้งหยุนมั่นใจว่า เขาจะต้องไปหาที่ห้องทำงานอย่างแน่นอน
หึ!
หวังหยูเฟิงปรับอารมณ์ขุ่นเคืองที่ถูกเจิ้งหยุนหยอกล้ออย่างคนเหนือกว่า ก่อนจะเริ่มเดินไปตามทางเดินที่เงียบสงบของชั้นรับรองเพียงลำพัง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หวังหยูเฟิงใช้เวลาเดินวนรอบชั้นสามได้เพียงไม่นาน เขาก็ลงไปยังชั้นล่างของอาคารที่เปิดให้บริการเครื่องดื่มและเสียงเพลงกับลูกค้า
ทำนองเร้าใจจากบทเพลงที่ดีเจคัดสรรมาอย่างดีสร้างความรื่นรมย์ให้กับผู้ที่มาใช้บริการได้ไม่น้อย บริกรชายและหญิงต่างก็ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ถึงที่นี่จะเป็นเหมือนสวรรค์ของใครหลายคน แต่สำหรับผู้กองหนุ่มแล้ว สถานที่วุ่นวายแบบนี้ชวนให้เขาปวดหัวมากกว่า
เขามองโดยรอบของผับอีกครั้ง ก่อนจะสะดุดตากับผู้ชายคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามา หวังหยูเฟิงไม่รอช้ารีบตรงเข้าไปหาทันที
”เหอผิง”
“อ้าว! ผู้กองหวัง”
เหอผิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ ช่วงนี้เขาไม่ค่อยเห็นหน้าผู้บังคับบัญชาของตัวเองนัก เพราะอีกฝ่ายต้องไปทำภารกิจนอกสถานที่ ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะมีโอกาสได้เจอ
“เป็นอย่างไรบ้าง” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม หลังจากเดินนำเหอผิงไปยังที่ลับตาคน
“ครับ โดยรวมที่นี่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ส่วนคนที่ผู้กองให้ผมจับตาดู ก็ยังไม่แสดงท่าทีอะไรน่าสงสัยครับ” เหอผิงรายงานการทำงานของตัวเอง ไม่กี่วันก่อนเขาได้รับมอบหมายหน้าที่จากผู้กองหวังให้ช่วยจับตามองอู่หนิง คนติดตามของเจิ้งหยุนที่ตอนนี้เป็นทั้งผู้ต้องสงสัยและผู้เสียหายที่ผับแห่งนี้ “แล้วทางผู้กองหวังได้เรื่องอะไรบ้างไหมครับ”
“ผมก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรมากนัก” หวังหยูเฟิงตอบไปตามตรง เขารู้สึกหนักใจพอสมควร แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ “แล้วสถานการณ์ตอนนี้มีอะไรบ้างหรือเปล่า มีใครก่อเรื่องอะไรไหม”
“ยังครับ มีแต่คดีเล็กน้อยทั่วไปที่เรายังควบคุมได้ ส่วนทางกงเจ๋อตวน เห็นผู้กองฟ่านก็จับตามองอยู่ครับ”
“อืม” หวังหยูเฟิงตอนรับ เขาเองก็เพิ่งพูดคุยกับเพื่อนสนิทเมื่อไม่กี่วันก่อน ทางด้านของฟ่านมู่เหยียนเองก็พยายามสืบหาความเคลื่อนไหวที่น่าจะเกิดขึ้นของกงเจ๋อตวนหลังจากถานอี้เทาสิ้นอำนาจไป แต่ทางนั้นก็ระวังตัวแจเหมือนกัน ”คุณก็คอยจับตามองต่อไปแล้วกัน ผมเองก็จะพยายามเหมือนกัน”
”ครับ” เหอผิงตอบรับอย่างแข็งขัน หวังหยูเฟิงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกจากกันราวกับเป็นคนแปลกหน้า
หวังหยูเฟิงเดินไปที่ลิฟต์ ระหว่างทางเขาก็เห็นอู่หนิงที่กำลังยืนคุยกับพนักงานคนหนึ่ง เมื่อคนในสายตาหันกลับมาเห็นผู้กองหวังเข้า ชายหนุ่มก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
“ผู้กองหวังต้องการอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่าครับ ผมแค่มาเดินดูเรื่อยๆ ที่นี่คนเยอะนะ”
“ครับ”
หวังหยูเฟิงมองอู่หนิงเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ต่อ ชายหนุ่มกดชั้นที่ต้องการพร้อมกับครุ่นคิดบางอย่าง ถึงแม้ภายในใจส่วนหนึ่งจะไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่เขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้สำรวจผับกาเบรียลตามใจชอบแบบนี้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ในเวลาสองทุ่มสิบนาที เส้าซินฉีก็เดินทางมาถึงผับกาเบรียล สายฝนที่เคยโปรยปรายก่อนหน้านี้ได้หยุดลงแล้ว ร่างบางในชุดเดรสสีแดงสดก้าวลงจากรถยนต์คันหรู หลังจากบอดี้การ์ดส่วนตัวเดินมาเปิดประตูให้ด้วยความนอบน้อม เธอกวาดสายตามองรอบหนึ่ง ก่อนจะมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“ผมชื่ออู่หนิงเป็นคนสนิทของนาย เชิญคุณเส้าทางนี้ครับ”
เส้าซินฉีพยักหน้ารับอย่างถือตัว ก่อนที่เธอจะเดินตามชายในชุดสูทเข้าไปด้านในโดยใช้ทางด้านหลังของผับกาเบรียล
“พี่หยุนมาหรือยัง”
“มาแล้วครับ”
หลังจากได้รับคำตอบที่พอใจ รอยยิ้มหวานก็ปรากฏบนใบหน้าสวย รองเท้าส้นสูงสีดำก้าวเดินมาถึงลิฟต์อย่างไม่รีบร้อน ในขณะที่ตู้โดยสารกำลังทำงาน เส้าซินฉีก็กำลังคิดถึงแผนการที่วางเอาไว้ ก่อนที่เธอจะถูกพาไปที่ห้องรับรอง
“กรุณารอสักครู่ครับ ผมจะไปแจ้งให้นายทราบ คุณเส้าต้องการรับเครื่องดื่มอะไรไหมครับ”
“ไวน์แดงแล้วกัน”
“ได้ครับ”
อู่หนิงโค้งรับคำสั่งอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินไปจัดการตามความต้องการของเส้าซินฉี เขาไม่ได้สอบถามเรื่องของผู้หญิงคนนี้จากเจิ้งหยุน ชายหนุ่มรู้เพียงแค่ว่า ทั้งสองคนได้เจอกันในงานเลี้ยงประจำปีของอีเดนเท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้กังวลอะไร เพราะเชื่อว่าเจ้านายเอาอยู่
หลังจากเส้าซินฉีนั่งรออยู่ในห้องรับรองได้เพียงไม่นาน เธอก็ได้รับเครื่องดื่มที่ต้องการและอยู่ตามลำพังอีกครั้ง รสชาติของไวน์ชั้นดีกล่อมเกลาความคิดเกี่ยวกับแผนการในคืนนี้
ในมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ไม่ควรลังเลใจอีก!
มือบางยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มเหมือนต้องการให้กำลังใจตัวเอง และเมื่อแก้วทรงสูงว่างเปล่า ประตูของห้องรับรองก็เปิดออก เส้าซินฉีส่งยิ้มหวานทักทายชายหนุ่มผมยาวที่เธอกำลังรอคอย
“ซินฉีขอโทษที่มารบกวนอีกทีนะคะ” เส้าซินฉีเอ่ยเสียงหวาน หลังจากวางแก้วไวน์ในมือของตัวเองลงบนโต๊ะรับแขก
“ไม่เป็นไรครับ” เจิ้งหยุนตอบรับไปตามมารยาท แล้วเป็นฝ่ายเริ่มต้นธุระของหญิงสาว “ถ้าอย่างนั้นผมจะพาคุณไปดูบรรยากาศก่อนแล้วกัน”
“ค่ะ” เส้าซินฉีตอบรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากโซฟา แล้วถือวิสาสะเข้าไปควงแขนเจ้าของผับกาเบรียล เจิ้งหยุนเลื่อนสายตามองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยห้ามอะไร หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินออกจากห้องรับรองชั้นสามมาด้วยกัน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
เจิ้งหยุนพาเส้าซินฉีเดินดูการให้บริการทางหน้าร้านและการจัดการหลังร้านของผับกาเบรียลอย่างเอื้อเฟื้อพร้อมกับให้คำแนะนำไปตามประสา ซึ่งหญิงสาวเองก็ตอบรับไปตาเรื่องตามราวเช่นเดียวกัน
“ซินฉีเริ่มเมื่อยแล้วค่ะ เราไปนั่งพักกันก่อนดีไหมคะ” เส้าซินฉีเอ่ยขึ้น เมื่อพวกเขาเดินผ่านเคาน์เตอร์บาร์ที่มีลูกค้าเต็มทุกที่นั่ง บาร์เทนเดอร์หนุ่มส่งยิ้มพร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“ได้ครับ” เจิ้งหยุนตอบรับอย่างว่าง่าย เขาตั้งใจจะพาเส้าซินฉีไปที่ห้องรับรองอีกครั้ง แต่เสียงหวานก็ดังขัดความคิดของเขาเสียก่อน
“พี่หยุนคะ ซินฉีอยากเห็นห้องทำงานของพี่จัง ขอเข้าไปดูได้ไหมคะ” เส้าซินฉีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แขนบางที่ยังควงท่อนแขนแข็งแรงกระชับเข้าหาตัวมากขึ้น ใบหน้างดงามวาดยิ้มน่ามอง ”นะคะ”
เจิ้งหยุนมองคนที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยความรำคาญใจ แต่ก็ยอมตกลงโดยง่าย เพราะอยากรู้ว่า เส้าซินฉีต้องการทำอะไร ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มพาเดินชมผับกาเบรียล เธอก็เอาแต่เดินควงแขนของเขาเล่นมากกว่า
เส้าซินฉีเป็นคนสวยที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง ด้วยฐานะและรูปลักษณ์ย่อมเป็นที่ต้องการของผู้ชายอย่างแน่นอน เพียงแต่ในใจของเจิ้งหยุนเวลานี้มีคนที่น่าสนใจอยู่แล้ว
เจิ้งหยุนพาเส้าซินฉีขึ้นลิฟต์มาที่ชั้นห้า ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาและไม่อนุญาตให้ใครขึ้นมาโดยพลการ นอกจากอู่หนิงที่เป็นคนสนิท ภายในชั้นนี้นอกจากจะมีห้องทำงานแล้ว ก็ยังมีห้องนอนที่บางครั้งเขาก็ใช้ค้างคืนเวลาทำงานจนดึกแล้วไม่อยากเดินทางไปไหนอีก
“กว้างจังเลยค่ะ”
เส้าซินฉีมองไปรอบห้องทำงานของเจิ้งหยุนอย่างสนใจ ภายในห้องมีโต๊ะทำงานขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลางชิดผนังที่เป็นกระจกใสตลอดแนว ทางด้านขวามีตู้หนังสือและชั้นวางเอกสาร ถัดออกไปเล็กน้อยเป็นชุดโซฟาที่ถูกจัดวางอย่างลงตัว ส่วนทางด้านซ้ายมีชั้นวางเครื่องดื่มเรียงรายจนเต็มและเคาน์เตอร์บาร์ขนาดเล็กที่มีอุปกรณ์ครบครัน ซึ่งบ่งบอกนิสัยและความชอบของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี
เจิ้งหยุนพาเส้าซินฉีไปนั่งที่โซฟา ก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อจัดการเครื่องดื่มต่อ หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงมองตามร่างสูงด้วยรอยยิ้มหวาน
“คุณอยากดื่มอะไรครับ”
“อะไรก็ได้ค่ะ”
เจิ้งหยุนพยักหน้ารับ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเสิร์ฟบลู กามิกาเซ่ให้หญิงสาว ส่วนของตัวเองเป็นวิสกี้ที่นิยมดื่มเป็นประจำ
“ขอบคุณค่ะ”
เส้าซินฉีรับเครื่องดื่มสีสวยมาชิมรสชาติเพียงเล็กน้อย นัยน์ตากลมโตทอดมองรอบห้องเพื่อหาโอกาสลงมือ ก่อนสายตาจะหยุดตรงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาด้วยกัน เธอก็สังเกตว่าเสน่ห์ของตัวเองไม่ได้รับความสนใจจากเจิ้งหยุนแม้แต่น้อย
คุณหนูเส้าที่มั่นใจในตัวเองเสมอรู้สึกเสียหน้า อันที่จริงเธอก็ไม่อยากใช้เล่ห์กลให้ยุ่งยาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นที่จะครอบครองผู้ชายคนนี้ได้อย่างรวดเร็วอีก
“วันนี้ต้องขอบคุณมากเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ซินฉีขอทำเครื่องดื่มสักแก้วแทนคำขอบคุณให้พี่หยุนได้ไหมคะ”
เจิ้งหยุนมองเส้าซินฉีที่มีสีหน้ากระตือรือร้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างใจดีอีกครั้ง ร่างบางในชุดเดรสสีแดงเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ ก่อนที่เธอจะเริ่มผสมเครื่องดื่มรสร้อนแรงให้แก่เจ้าของผับ หลังจากใช้เวลาครู่หนึ่ง คุณหนูเส้าก็เดินมาเสิร์ฟแก้วเหล้าสีอำพันตรงหน้าของชายหนุ่ม
“ซินฉีเคยทำให้คุณพ่อนานมากแล้ว พี่หยุนลองชิมดูสิคะ”
เจิ้งหยุนมองของเหลวในแก้วอย่างพิจารณา โดยที่มีสายตาอีกคู่หนึ่งจ้องมองอย่างรอคอย ท่าทางของเส้าซินฉีท้าทายความรู้สึกของเขาไม่น้อย ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่า มันต้องมีสิ่งผิดปกติ ทว่าชายหนุ่มก็อยากลอง เพราะอยากรู้เหตุการณ์ต่อจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไร
เจ้าของผับกาเบรียลตัดสินใจยกแก้วขึ้นดื่มราวกับเหยื่อโง่ที่กระโดดลงกับดัก ทว่ารสชาติเหลือรับที่ไหลผ่านลิ้นก็ทำให้เขาวางแก้วเหล้าลงทันที ใบหน้าเรียบนิ่งฉายชัดถึงความไม่ถูกใจกับสิ่งที่ได้รับ
“เป็นอย่างไรบ้างคะ” เส้าซินฉีเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าของเจิ้งหยุน เธอก็แสดงท่าทีกังวลออกมา
“ลองชิมเองแล้วกัน” เจิ้งหยุนตอบ แล้วเลื่อนแก้วของตัวเองให้หญิงสาว เพราะตอนนี้เขาไม่อาจอธิบายรสชาติยอดแย่ของสิ่งนี้ได้เลย
เมื่อเส้าซินฉียกขึ้นดื่มด้วยความสงสัยระคนใคร่รู้ เธอก็ชักสีหน้า ก่อนจะรีบวิ่งไปที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อเททิ้ง แล้วรีบนำน้ำเปล่ามาเสิร์ฟให้ชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
“ซินฉีขอโทษค่ะ!” เส้าซินฉีเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระวีกระวาดส่งแก้วน้ำเปล่าให้เจิ้งหยุน “พี่หยุนดื่มน้ำเปล่าล้างปากก่อนเถอะค่ะ”
เจิ้งหยุนถอนหายใจพร้อมกับรับแก้วน้ำเปล่ามาถือไว้ แต่ไม่ได้ดื่มทันที เพราะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจเสียก่อน ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูให้คนที่เขาก็รู้ว่าใครด้วยรอยยิ้มบาง
“มาเดินเล่นถึงที่นี่เลยหรือครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อ แล้วเปิดทางให้ผู้มาเยือนเข้ามาด้านในอย่างอารมณ์ดี ต่างจากหวังหยูเฟิงที่มีใบหน้านิ่งสนิท “เข้ามาก่อนสิครับ”
“ผมแค่มาดูความเรียบร้อย” หวังหยูเฟิงเอ่ยไปเรื่องอื่น เขามองรอบห้อง แล้วหยุดสายตาตรงหญิงสาวที่กำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปทางเจ้าของห้องอีกครั้ง “ผมเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”
“ไม่หรอกครับ” เจิ้งหยุนตอบ ก่อนจะส่งแก้วน้ำเปล่าในมือของตัวเองให้หวังหยูเฟิง “ดื่มน้ำก่อนสิครับ”
“ไม่เป็นไร” หวังหยูเฟิงปฏิเสธ เขาอยากสำรวจห้องนี้โดยละเอียด ซึ่งเจิ้งหยุนก็คงไม่ว่าอะไร แต่ต้องรอให้เส้าซินฉีกลับไปเสียก่อน
“หรือคุณอยากดื่มอะไร ผมจะทำให้เอง” เจิ้งหยุนยังเอ่ยถามต่ออย่างเอื้อเฟื้อ โดยไม่ได้สนใจท่าทีของหญิงสาวอีกคนที่กำลังถูกลืมว่ามีตัวตนอยู่ในห้องนี้ด้วย “ลองวิสกี้ของผมไหม”
“ขอบคุณ แต่ผมขอปฏิเสธ”
“แต่ท่าทางคุณเหนื่อยมากเลยนะครับ”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว เขาก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว เพราะเดินวนไปวนมา
สี่ชั้น แต่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากจะเสียเวลา ก็ยังเสียอารมณ์อีกด้วย แล้วตอนนี้ก็ยังมาเจอคนเซ้าซี้ไม่เลิกอย่างเจิ้งหยุนเข้าไปอีก
“คุณหวังครับ”
หวังหยูเฟิงไม่ตอบอะไร นอกจากฉวยแก้วน้ำเปล่าในมือของเจิ้งหยุนมาดื่มจนหมดอย่างปัดรำคาญ แล้วส่งแก้วคืนให้ชายหนุ่มผมยาวที่กำลังส่งยิ้มบางมาให้
หวังหยูเฟิงถอนหายใจ พอร่างกายได้รับความชุ่มชื้น อารมณ์ไม่ดีก็ทุเลาลง ก่อนที่ผู้กองหนุ่มจะนึกแปลกใจ เมื่อเห็นเส้าซินฉีมองเขาตาค้างพร้อมกับเสียงของเจิ้งหยุนที่ดึงความสนใจ
“นั่งพักก่อนนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น เขาเดินไปเก็บแก้วเปล่าของตัวเอง แล้วรินน้ำสะอาดอีกแก้วขึ้นดื่มล้างรสชาติห่วยแตกที่ทนไว้ก่อนหน้านี้ให้เจือจางลง
หวังหยูเฟิงตั้งใจจะปฏิเสธ ทว่าเขาก็ต้องหยุดความคิด เมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเองกะทันหัน แล้วผู้กองหนุ่มก็หน้าเผือดสี หลังจากเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญ
“ผมจะไปรอข้างนอก” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะรีบออกจากห้องในทันที โดยมีสายตาสองคู่มองตามด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ภายในห้องทำงานของเจ้าของผับกาเบรียลเหลือเพียงชายหนุ่มและหญิงสาวสองต่อสองอีกครั้ง เจิ้งหยุนละสายตาจากบานประตูที่ปิดลง แล้วเดินกลับมานั่งที่โซฟา โดยที่มีหญิงสาวในชุดเดรสสีแดงนั่งตัวแข็งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้หัวใจของเส้าซินฉีกำลังเต้นระรัว
อีกนิดเดียว...ถ้าหากผู้ชายคนนั้นไม่เข้ามาเสียก่อน!
คุณหนูเส้าได้แต่ครุ่นคิดอย่างเจ็บใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ตอนนี้เธอก็ไม่มีโอกาสได้ลงมืออีกแล้ว เพราะยาที่เตรียมไว้ถูกใช้งานทั้งหมด ของเหลวไร้สีไร้กลิ้นที่มีฤทธิ์ปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศอย่างรุนแรง
ควรจะทำอย่างไรดี!
ถึงผลลัพธ์ของแผนการจะเป็นความสัมพันธ์ทางกายด้วยฤทธิ์ยาและอาจทำให้เจิ้งหยุนไม่พอใจ แต่เธอก็หวังว่าพันธะที่สร้างขึ้นนี้จะสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย ทว่าตอนนี้โอกาสนั้นกลับถูกคนอื่นทำลายไปแล้ว
ถ้าหากนายตำรวจคนนั้นเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้เจิ้งหยุนรู้ ชายหนุ่มที่เธอตั้งใจคว้าเอาไว้ก็คงหลุดลอยไปอย่างแน่นอน
”คุณซินฉี”
“ค...ค่ะ”
“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ...วันนี้ซินฉีขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ครับ”
เจิ้งหยุนยิ้มให้เส้าซินฉีตามปกติ ก่อนจะเดินไปส่งเธอที่รถยนต์อย่างมีไมตรี แล้วกล่าวปลอบใจหญิงสาวเล็กน้อย
“ไม่ต้องคิดมากเรื่องเครื่องดื่มนะครับ”
คำพูดของเจิ้งหยุน ทำให้เส้าซินฉีเผลอกลั้นลมหายใจ เธอมองใบหน้าหล่อเหลาที่เปื้อนรอยยิ้มบางด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ค่ะ...”
เจิ้งหยุนส่งยิ้มลาให้หญิงสาวที่ขึ้นรถไปแล้ว เขามองตามรถยนต์ที่เคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา แล้วหันไปคุยกับลูกน้องคนสนิทที่เดินตามมา
“ตอนนี้หยูเฟิงอยู่ที่ไหน”
“ห้องน้ำชั้นสี่ครับ”
อู่หนิงรายงาน หลังจากมองกล้องวงจรปิดที่ออนไลน์ผ่านเครื่องมือสื่อสารของตัวเอง เจิ้งหยุนยกยิ้มที่มุมปาก แล้วเดินกลับเข้าไปในผับกาเบรียลอีกครั้ง แน่นอนว่าจุดหมายของเขาคือตำแหน่งของผู้กองหวังที่กำลังแอบทำอะไรบางอย่างอยู่
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เจิ้งหยุนไม่ไว้ใจเส้าซินฉีตั้งแต่แรก ชายหนุ่มรู้เจตนาของหญิงสาวเป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่รู้วิธีการเข้าหาเท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของเขา
คุณหนูเส้าตั้งใจวางกับดักเขา…
แน่นอนว่าถ้าหากจะระแวงก็ควรระวังตั้งแต่แก้วแรก ทว่าหากเขาไม่ดื่มหรือทำท่าสงสัย ก็คงไม่รู้ว่าเส้าซินฉีจะทำอะไรต่อ เธอคงคาดการณ์ไว้แล้วถึงเรื่องนี้ แล้วก็พร้อมจะพิสูจน์ว่าเป็นแค่เหล้ารสชาติแย่เท่านั้น
เหล้าที่รสชาติอัปลักษณ์แก้วนั้นเป็นแค่ตัวหลอก แก้วน้ำเปล่านั่นต่างหากคือของจริง เธออาศัยปฏิกิริยาของร่างกายอย่างรุนแรงเร่งการตัดสินใจ ถ้าหากเขาต้องการลบรสชาติห่วยบรมในปากทิ้ง ก็คงรีบดื่มน้ำเปล่าตามในทันที
ถึงจะเป็นแผนที่ไม่ซับซ้อนนัก แต่ก็ทำให้เขาลุ้นอยู่พอตัว เพราะถ้าคาดผิด แล้วเป็นเหล้าแก้วแรกที่มียาขึ้นมา ก็คงต้องหาวิธีมารองรับผลลัพธ์ของตัวเอง
เจิ้งหยุนเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยย่างก้าวที่สม่ำเสมอ ชั้นสี่ของผับกาเบรียลเป็นส่วนของสำนักงาน ซึ่งตอนนี้ไร้ผู้คน
ไม่สิ...
ตอนนี้มีนายตำรวจคนหนึ่งกำลังแอบซ่อนอยู่
TBC++++++++ 14ความรู้สึกที่ยากจะต้านทาน
-
:katai1:
ผู้กองงงงงงงง
-
14
ความรู้สึกที่ยากจะต้านทาน
ลมหายใจที่ผิดจังหวะส่งเสียงตามอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หวังหยูเฟิงรีบเดินไปยังที่ปลอดคน ซึ่งก็คือบริเวณชั้นสี่ของผับกาเบรียลแห่งนี้
ผู้กองหวังรีบรุดเข้าไปในห้องน้ำที่อยู่สุดทางเดิน ทุกวินาทีที่ผ่านไปสร้างความเคร่งเครียดให้เขาทบทวี สติที่สั่นคลอนพยายามทบทวนความผิดปกติของร่างกายที่เกิดขึ้นแบบกะทันหัน
เขาถูกวางยา!
ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่เขาก็เข้าใจเหตุการณ์ที่ตัวเองเผชิญอยู่ได้ในทันที น้ำเปล่าแก้วนั้นที่เจิ้งหยุนส่งมาให้ดื่มมียากระตุ้นอารมณ์ทางเพศผสมอยู่
หวังหยูเฟิงกัดฟันข่มอาการหน่วงที่อัดแน่นอยู่ที่ส่วนกลางลำตัว หนทางเดียวที่จะปลดชนวนอารมณ์ที่อยากจะระเบิดคือการปลดปล่อยความต้องการที่ร้อนรุ่มเท่านั้น
ความคิดของนายตำรวจทำงานได้ช้าลงทุกขณะ เมื่อร่างกายเริ่มเคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ที่ทะยานสูงขึ้น มือที่เคยกำแน่นขยับเคล้าคลึงส่วนเคร่งเครียดที่แสดงตัวตนที่เป้ากางเกงของตัวเองอย่างลืมตัว ริมฝีปากเผยอขึ้นเพื่อผ่อนลมหายใจที่ร้อนผ่าวออกมา
ห้องน้ำชั้นสี่ที่เงียบสงบเกิดเสียงผะแผ่วที่ลอดผ่านริมฝีปากบางและลมหายใจกระชั้นที่สอดประสานกับมือที่กำลังบำเรอความต้องการที่อัดแน่นอยู่ภายใน จังหวะเนิบช้าเริ่มเร็วขึ้น เมื่อความรู้สึกที่ตื่นตัวไต่ระดับอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะชะงัก เพราะเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น
หวังหยูเฟิงที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเหลือบสายตาที่เลื่อนลอยและเปี่ยมอารมณ์ไปยังที่มาของเสียง เขาสูดลมหายใจที่หนักหน่วงครั้งหนึ่ง แล้วตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แรงสั่นสะเทือนและเสียงริงโทนยังดังอย่างต่อเนื่อง ผู้กองหนุ่มกดรับสายโดยไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าใครติดต่อมา
“ฮ...ฮัลโล”
[คุณหวังอยู่ที่ไหนครับ]
เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้น เรียกตัวตนของนายตำรวจที่จมอยู่ในห้วงราคะให้ฟื้นตื่นเล็กน้อย หวังหยูเฟิงควบคุมน้ำเสียงแหบพร่าของตัวเองอย่างเต็มที่
“ผมอยู่ข้างนอก”
[คุณโอเคไหม]
“ผมโอ...เค”
หวังหยูเฟิงกลืนน้ำลายลงคอ ชายหนุ่มหอบหายใจแรงขึ้น ความร้อนที่ต้องการปลดปล่อยร้องเตือนให้เขากลับไปสนใจตามเดิม ประสาทสัมผัสทางการได้ยินของผู้กองหวังเริ่มลดลงไปทีละน้อย เมื่อสมาธิจดจ่ออยู่กับฝ่ามือที่กำลังช่วยตัวเองให้หลุดพ้นจากความทรมาน
[...คุณหวัง?]
”อ...อืม”
หวังหยูเฟิงหลับตาลง โดยที่มือข้างหนึ่งถืออุปกรณ์สื่อสารอยู่ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กำลังเร่งจังหวะเพื่อนำพาอารมณ์ร้อนแรงให้ไปถึงขีดสุด เขาแทบจะลืมไปแล้วว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใคร
[ผมไปหาคุณนะ]
หวังหยูเฟิงไม่ได้ยินถ้อยคำของปลายสายที่ตัดไปแล้ว สมองของเขากำลังขาวโพลนและว่างเปล่า หลังจากพาตัวเองหลุดพ้นจากโซ่อารมณ์ที่รัดตรึงเอาไว้ ทว่าอิสระที่ได้รับเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อความร้อนที่มอดดับก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“อ่า...”
ผู้กองหวังครางออกมา เมื่อความอึดอัดกอดรัดที่ส่วนกลางลำตัวของเขาอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีฝีเท้าคู่หนึ่งกำลังก้าวเข้ามาใกล้ ประตูห้องน้ำที่ถูกล็อกเอาไว้จากด้านในถูกเปิดออกด้วยลูกกระสุนจากปลายกระบอกปืนเก็บเสียงอย่างง่ายดาย
หวังหยูเฟิงไม่รับรู้สิ่งรอบข้างเลยสักนิด จนกระทั่งไอร้อนของลมหายใจพัดผ่านสัมผัสที่ข้างแก้มพร้อมกับเสียงทุ้มที่คุ้นเคย
“คุณหวัง”
หวังหยูเฟิงที่หมดสภาพลืมตามองคนที่ไม่ได้รับเชิญ ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งย่อตัวอยู่ข้างกาย ความร้อนที่อัดแน่นอยู่ในร่างกายสูบฉีดไปที่ใบหน้าและหัวใจที่เต้นระรัว นัยน์ตาคมที่ทอดมองผู้กองหนุ่ม ทำให้นายตำรวจที่เคร่งขรึมอยู่เสมออับอายจนทำอะไรไม่ถูก
“เจิ้ง...หยุน”
หวังหยูเฟิงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่างกายและจิตใจ ความรู้สึกต้องการกำลังกลั่นแกล้งให้เขาอ่อนแอ ผู้กองหนุ่มจึงพยายามกัดฟันต่อสู้และควบคุมสติที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมาโดยเร็ว ทว่าอำนาจของยาร้ายก็รุนแรงจนคนที่เผลอตกเป็นทาสต้องพ่ายแพ้ นัยน์ตาสีนิลที่มักแน่วแน่สงบนิ่งสั่นไหวไม่ต่างจากผิวน้ำที่ถูกลมพายุพัด
“ผม...”
”ไม่เป็นไรครับ เป็นความผิดของผมเอง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมกับฝ่ามือที่ทาบทับมือที่เปรอะเปื้อนของเหลวของหวังหยูเฟิงเอาไว้ “ผมจะช่วยคุณ”
“ไม่...” หวังหยูเฟิงปฏิเสธ ทว่าน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบก็ลอยหายไปในอากาศ ก่อนคำที่ควรเอ่ยจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางที่ดังขึ้นแทน เมื่อฝ่ามือของเจิ้งหยุนสัมผัสส่วนร้อนระอุสีแดงก่ำของเขาเป็นจังหวะ
“ผมยินดีครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาขยับมือของตัวเองเพื่อปลดเปลื้องความทรมานให้กับผู้กองหนุ่ม นัยน์ตาคมมองสีหน้าเสียวซ่านที่แดงก่ำไม่ละสายตา “เป็นอย่างไรบ้าง ดีไหมครับ”
หวังหยูเฟิงไม่ตอบรับ เขาหลับตาลงอย่างจำนน มือที่เคยช่วยตัวเองในตอนแรกกำแน่น ร่างกายที่ถูกกระตุ้นเพื่อไปสู่จุดสูงสุดของอารมณ์แข็งเกร็งอย่างทรมาน ทว่าเบื้องลึกของจิตใจที่ไฟราคะแผดเผาอย่างไร้ความปรานีกลับมีความรู้สึกที่กำลังเป็นเถ้าถ่านร่วงหล่นอยู่ในใจ
ความสุขสม...
ริมผีปากที่เคยเม้มแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์เผยอออก ก่อนเสียงลมหายใจกระชั้นที่สอดแทรกเสียงทุ้มแหบพร่าจะดังขึ้น สีหน้าและท่าทางของหวังหยูเฟิงตอนนี้สร้างความรู้สึกวาบไหวให้กับผู้ที่กำลังมองได้ไม่น้อย เจิ้งหยุนเร่งความเร็วมือของตัวเองที่รีดเร้นอารมณ์ของผู้กองหนุ่มอย่างช่ำชอง ปลายนิ้วเรียวกดย้ำส่วนปลายชุ่มฉ่ำอย่างหยอกเย้าให้คนที่กำลังล่องลอยตกหลุมอากาศเป็นระยะ
”...อื้อ! อ่า!”
หวังหยูเฟิงเกร็งตัวขึ้น เขาลืมตามองคนที่อาสาเข้ามาช่วยด้วยนัยน์ตาที่เคลือบน้ำตา ใบหน้าทรมานที่แสนยั่วยวนของผู้กองหนุ่มกระชากความอดทนของเจิ้งหยุนได้ในที่สุด ชายหนุ่มผมยาวปล่อยมือจากหน้าที่ของตัวเอง แล้วเคลื่อนกายเข้าหาคนที่หมายตาเอาไว้อย่างรวดเร็ว
หวังหยูเฟิงเบิกตาขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าสมองที่ทำงานติดขัดของเขาก็ไม่อาจตั้งรับสถานการณ์กะทันหันที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ทัน ริมฝีปากที่เคยเผยอเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ถูกผนึกด้วยจูบที่แนบแน่น ผู้กองหนุ่มที่คิดจะขัดขืนในวินาทีแรกอ่อนระทวย เมื่อถูกปลายลิ้นที่รุกล้ำฉกฉวยลมหายใจไม่หยุด ก่อนที่เขาจะตกอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
เจิ้งหยุนถอนริมฝีปากของตัวเองออกมาเล็กน้อย ก่อนจะมอบความรู้สึกรัญจวนที่ร้อนแรงให้หวังหยูเฟิงอย่างหลงใหลอีกครั้ง มือหนาที่ละเลยหน้าที่ของตัวเองก่อนหน้านี้กลับไปทำงานตามเดิม เพียงไม่นานร่างกายที่จมอยู่ในอานุภาพของฤทธิ์ยากระตุ้นและการสัมผัสแนบชิดที่ถูกปรนเปรออย่างต่อเนื่องก็หลุดพ้นจากพันธนาการ
หวังหยูเฟิงหายใจหอบ ใบหน้าของเขาร้อนผ่าวและเต็มไปด้วยเหงื่อ หมดมาดนายตำรวจที่น่ายำเกรงจนสิ้น ทว่าสภาพน่าละอายในความคิดของผู้กองหวังตอนนี้กลับสร้างความพอใจให้กับเจิ้งหยุนเป็นอย่างมาก เขาฉุดร่างที่อ่อนแรงของชายผู้ตกอยู่ในห้วงราคะให้ลุกขึ้น
“ปล่อย...ผม” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงแหบ ตอนนี้เขาอยากขัดขืนมากกว่านี้ แต่ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้กระทั่งจะยืนด้วยซ้ำ เรือนกายของผู้กองหนุ่มจึงเซเข้าหาอ้อมแขนของเจิ้งหยุนอย่างง่ายดาย อีกทั้งอารมณ์ที่เพิ่งมอดดับก็กลับมาลุกโชนอีกครั้ง
“ผมจะช่วยจนกว่าคุณจะเป็นปกติ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วพาร่างที่ถูกควบคุมด้วยโซ่ตรวนของฤทธิ์ยาในอ้อมกอดออกจากห้องน้ำที่เงียบงัน
“ค..คุณจะ..พาผม..ไปไหน” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง สภาพของเขาตอนนี้ไม่ควรให้ใครเห็นทั้งนั้น แต่เจิ้งหยุนก็แค่หันมายิ้มให้เหมือนเคย
“ผมจะพาไปที่ที่เหมาะกว่านี้”
เจิ้งหยุนพาหวังหยูเฟิงขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นห้า ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา ผู้กองหนุ่มที่หมดสภาพทิ้งศีรษะซบลงที่ไหล่ของเจ้าของผับกาเบรียลอย่างสิ้นท่า สมองที่มึนงงหยุดคิดอะไรอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเองจะถูกพาไปที่ไหน ทำไมถึงถูกจูบ หรือผู้ชายคนนี้หาเขาเจอได้อย่างไร
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ชั้นห้าของผับกาเบรียลแบ่งเป็นสองส่วน ด้านหนึ่งเป็นห้องทำงานและอีกด้านหนึ่งเป็นห้องพัก เจิ้งหยุนแสกนนิ้วเพื่อปลดล็อกประตูห้องพัก แล้วพาร่างที่อ่อนปวกเปียกของผู้กองหวังวางไว้บนเตียงนอนขนาดใหญ่ของตัวเอง
เจิ้งหยุนนั่งลงบนเตียงข้างหวังหยูเฟิงที่ยังหลับตา รอยยิ้มบางยกขึ้นที่มุมปาก ฝ่ามือลูบเส้นผมชื้นเหงื่อของนายตำรวจที่ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเพลิดเพลิน
“คุณหวัง”
เสียงเรียกชื่อที่ดังขึ้น ทำให้หวังหยูเฟิงที่ตรากตรำในการต่อสู้กับความใคร่ที่ถูกปลุกเร้าอย่างรุนแรงปรือตาขึ้นสบกับนัยน์ตาสีดำแวววาวในระยะใกล้ มือที่เคยลากผ่านเส้นผมของเขาเลื่อนมาลูบไล้ที่ข้างแก้มอย่างอ่อนโยน
“ให้ผมช่วยคุณอีกนะครับ”
หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอีกครั้ง แต่ก็ไม่ปฏิเสธท่าทีของเจิ้งหยุนที่กำลังดึงกางเกงของเขาออกอย่างเชื่องช้า เวลานี้ผู้กองหนุ่มต้องการยุติวังวนของยาร้ายที่ได้รับเพียงอย่างเดียว
จะทำอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น!
เจิ้งหยุนมองหวังหยูเฟิงด้วยรอยยิ้มสมใจ ทั้งที่มีประสบการณ์เรื่องบนเตียงมาไม่น้อย แต่หัวใจของเขาก็ไม่เคยเต้นแรงและอยากกลืนกินใครเท่าผู้ชายคนนี้มาก่อน
หวังหยูเฟิงไม่ใช่ผู้ชายรูปงาม ทว่าผู้กองคนนี้กลับมีเสน่ห์และน่าหลงใหลอย่างที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ยิ่งเมื่อนึกถึงรสจูบหอมหวานที่ไร้เดียงสาและดวงตาซื่อตรงเปี่ยมอารมณ์ เจิ้งหยุนก็อยากจะกระโดดเข้าไปขย้ำสร้างความทรมานให้อีกฝ่ายครวญครางร่ำไห้ด้วยความสุขสม
เขาต้องการหวังหยูเฟิง!
นัยน์ตาคมทอประกายราวกับนักล่าที่คว้าเหยื่อชั้นดีมาไว้ในกำมือ เจิ้งหยุนอยากจะกอดรัดและฝังตัวตนเข้าไปในร่างกายของคนตรงหน้าอย่างลึกซึ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าชายหนุ่มก็ต้องหักห้ามความต้องการเบื้องลึกอันรุนแรงให้บรรเทาลง
ถึงแม้หวังหยูเฟิงจะเย้ายวนและล่อลวงจนยากจะห้ามใจ แต่เขาก็ไม่อยากมอบกามรสให้กับคนที่ตกอยู่ในฤทธิ์ยาอยู่ดี
เมื่อไรที่เวลานั้นมาถึง เจิ้งหยุนตั้งปณิธานเอาไว้ในใจว่า จะทำให้หวังหยูเฟิงไร้เรี่ยวแรงจมอยู่ในรสสัมผัสและอ้อมกอดของเขาทั้งวันทั้งคืน!
ถึงแม้จะมีความมุ่งมั่นในใจแบบนั้น แต่เจิ้งหยุนก็ยังเป็นนักธุรกิจที่ดีสมกับเป็นเจ้าของผับกาเบรียลที่โด่งดังได้อย่างราบรื่น ยามใดที่เขาลงทุนก็ต้องได้กำไรกลับคืน เช่นเดียวกับสถานการณ์ในตอนนี้ ถึงชายหนุ่มจะไม่คิดล่วงเกินผู้กองหวังจนถึงขั้นสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยร่างกายสีแดงระเรื่อพรมเม็ดเหงื่อตรงหน้าให้หลุดลอยโดยไม่ได้ทำอะไร
รอยยิ้มบางที่แต่งแต้มบนใบหน้าหล่อเหลาแปรเปลี่ยน เมื่อความคิดหมุนเวียนไป หลังจากถือวิสาสะปลดเครื่องแต่งกายท่อนล่างออกแล้ว เขาก็ถือโอกาสถอดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนที่นอนอยู่ออกด้วย ก่อนจะลากมือสัมผัสท่อนบนที่กำลังเปิดเผยในสายตาอย่างย่ามใจ
เจิ้งหยุนยกยิ้มอย่างพอใจ เมื่อลากฝ่ามือสัมผัสหน้าอกตึงแน่นและกล้ามท้องได้รูปอย่างคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ก่อนที่ความอดทนจะขาดสะบั้น เมื่อได้ยินเสียงครางอย่างสุขสมระคนเสียวซ่านของหวังหยูเฟิง หลังจากที่เขาได้บดขยี้ยอดอกสีหวานด้วยริมฝีปากและนิ้วมือของตัวเอง
”อ่า! เจิ้ง...หยุน”
ปลายลิ้นพลิ้วอ่อนนุ่มที่ลิ้มรสชาติติ่งเนื้อบนหน้าอกของผู้กองหนุ่มเปลี่ยนตำแหน่งเข้าไปเกี่ยวกระหวัดในโพรงปากรสหวานตามคลื่นอารมณ์ที่เพิ่มมากขึ้น มือที่เคยลูบไล้ร่างกายของผู้กองหนุ่มกำลังปลดเปลื้องเครื่องแต่งกายส่วนบนของตัวเองแทน
“อืม...”
หวังหยูเฟิงที่กำลังถูกละเลียดชิมร้องครางอย่างมัวเมา ความอึดอัด เสียวซ่าน และสุขสมปนเปจนไม่สามารถบ่งบอกความรู้สึกที่แท้จริงได้ แต่ก็มีบางสิ่งที่เขารับรู้ได้ชัดเจน
เขาไม่อยากให้เจิ้งหยุนออกห่างไปไหน...
ผู้กองหวังต้องการให้เรือนกายสูงที่กำลังทาบทับอยู่ตอนนี้แนบชิดมากกว่าเดิม มือที่เคยกำผ้าปูที่นอนอย่างอดกลั้นเลื่อนขึ้นมาโอบกอดแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่ประดับด้วยเส้นผมสีดำที่ถูกมัดต่ำเอาไว้อย่างเผลอไผล ถึงริมฝีปากที่ประทับไปทั่วร่างกายของเขาจะร้อนผ่าว แต่ก็สามารถลดทอนความทรมานและทำให้หัวใจอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด
“เจิ้งหยุน...”
เจิ้งหยุนเลื่อนใบหน้าที่ซุกไซ้ตรงลำคอของหวังหยูเฟิงขึ้นไปสัมผัสริมฝีปากที่เปล่งเสียงเรียกชื่อของเขา มือร้อนผ่าวของผู้กองหนุ่มที่เคยกอดรัดเลื่อนไปขยุ้มเส้นผมยาวจนยุ่งเหยิง คุณชายเจิ้งที่ตกอยู่ในภวังค์พิสวาทถอดยางรัดผมของตัวเองออก ปล่อยให้เรือนผมเงางามเคลื่อนไหวแทรกผ่านปลายนิ้วและฝ่ามือของบุรุษใต้ร่างได้สะดวก
เจ้าของผับกาเบรียลเลื่อนมือข้างหนึ่งกอบกุมและเคลื่อนไหวส่วนร้อนระอุที่ตั้งตรงของหวังหยูเฟิงอย่างเป็นจังหวะ ในขณะเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งก็วางทับผิวแก้มสีระเรื่อพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเล่นด้วยความอ่อนโยน นัยน์ตาคมสบกับนัยน์ตาหวานที่เปิดเผยอารมณ์ไม่ละสายตา
”...หยูเฟิง”
หวังหยูเฟิงกลั้นลมหายใจของตัวเองชั่วอึดใจหนึ่ง เมื่อความปั่นป่วนในร่างกายอัดแน่น ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อใบหน้าหล่อเหลาที่ส่งยิ้มให้ก้มลงใช้โพรงปากของตัวเองเร่งรัดความร้อนของเขาให้ระเบิดออกมา
หน้าท้องของผู้กองหนุ่มแข็งเกร็งขึ้นทุกครั้งที่ส่วนกลางลำตัวถูกสัมผัส เพียงไม่นานหวังหยูเฟิงก็หลุดจากความต้องการมาได้สำเร็จอีกครั้ง ชายหนุ่มที่เพิ่งพ้นผ่านความปรารถนาของเพศรสใช้ร่างกายอ่อนแรงเข้าหาคนที่ช่วยเขาเอาไว้ด้วยสติที่ไม่ครบสมบูรณ์นัก
“คุณทำแบบนี้ทำไม!” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามอย่างข้องใจ ถึงจะเผลอตัวปล่อยใจให้เจิ้งหยุนกระทำสิ่งที่ไม่สมควร แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลงทุนถึงขนาดนี้
”เส้าซินฉีต้องการวางยาผม แต่คุณกลับโดนแทน ผมเลยต้องรับผิดชอบ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ โดยที่ชายหนุ่มก็ยังนึกแปลกใจ เมื่อไม่ได้รังเกียจหยาดหยดที่ปลดปล่อยภายในปากของตัวเอง ทั้งที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต
“แต่...มันไม่ใช่ความผิดของคุณ” หวังหยูเฟิงเอ่ยแย้งเสียงเบา ก่อนที่คิ้วจะขมวดเข้าหากัน เมื่ออารมณ์ที่ควรสงบลงเสียทีคุกรุ่นราวกับลมต้องเชื้อไฟให้ปะทุ
เมื่อไรจะหยุดเสียที!
หวังหยูเฟิงได้แต่โอดครวญอยู่ในใจพร้อมกับนึกบริภาษหญิงสาวที่วางแผนร้าย ความรุนแรงของฤทธิ์ยา ตลอดจนความโชคร้ายของตัวเอง ก่อนที่ผู้กองหนุ่มจะตัวเกร็งขึ้น แล้วตะปบมือของคนตรงหน้าที่กำลังสัมผัสส่วนตื่นตัวของเขาอย่างอุกอาจ
“คุณ...”
“ตอนนี้ผมก็มีอารมณ์แล้วเหมือนกัน” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น รอยยิ้มวาดบนใบหน้าหล่อเหลา เมื่อเห็นสายตาของผู้กองหวังเลื่อนต่ำไปยังตำแหน่งใต้สะดือของเขา “เราต่างคนต่างช่วยกันดีไหมครับ”
ข้อเสนอของเจิ้งหยุนไม่ได้ทำให้หวังหยูเฟิงสนใจเท่ากับความร้อนของมือที่กำลังเคลื่อนไหวปลุกเร้าอารมณ์ของเขาอีกครั้ง การกระตุ้นอย่างเป็นจังหวะพัดพาระบบความคิดให้ล้มเหลว มีเพียงความกระสันที่สุขสมเกิดขึ้น ก่อนที่นัยน์ตาสีดำจะขยายใหญ่ เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงเสียดสีของแท่งเนื้อร้อนของคนตรงหน้าที่สัมผัสกับส่วนอ่อนไหวที่แข็งเกร็งของตัวเอง
“...เจิ้งหยุน”
“เรามาทำด้วยกันนะครับ”
สิ้นเสียงทุ้มต่ำของคนชักชวน ร่างกายเปลือยเปล่าของพวกเขาก็แนบชิดมากกว่าครั้งก่อน การสัมผัสที่เร่าร้อนสร้างความวาบหวามไปทั่วสรรพางค์ของคนทั้งคู่ เสียงน่าอายที่เกิดจากแรงอารมณ์ดังอย่างต่อเนื่อง โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้หล่อหลอมร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน
หวังหยูเฟิงกอดรัดเรือนกายที่ขยับไหวอย่างลืมตัว ช่วงล่างที่เสียดสีกันอย่างหนักหน่วงสร้างกองไฟที่ยากจะดับลงโดยง่าย ตอนนี้ผู้กองหนุ่มกำลังละลายในอ้อมแขนของทูตสวรรค์ที่กำลังมอบความลุ่มหลงผ่านบทจูบที่แสนร้อนแรง
หวังหยูเฟิงไม่เคยมีคนรักมาก่อน อีกทั้งไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องบนเตียงกับผู้หญิงคนไหนอีกด้วย ทว่าเขาก็เคยดูภาพวาบหวิวหรือหนังเอวีจนต้องช่วยตัวเองมาบ้างเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นความรู้สึกที่เคยผ่านมาก็เทียบกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ได้เลย
”อื้ม...หยูเฟิง”
เสียงที่กระซิบข้างหูดึงความสนใจของผู้กองหวังให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เขาปัดป่ายแขนของตัวเองไปตามร่างกายของเจิ้งหยุนพร้อมกับขยับสะโพกที่กำลังถูกนวดเฟ้นเต็มมือเข้าหา ก่อนจะเกร็งตัวอย่างรุนแรง เมื่ออารมณ์ใคร่ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดอีกครั้ง
หวังหยูเฟิงหอบหายใจถี่ เขามองการเคลื่อนไหวของคนในอ้อมแขนด้วยสายตาปรือปรอย ก่อนจะรับจุมพิตและรู้สึกได้ถึงของเหลวที่เปรอะเปื้อนหน้าท้องของตัวเอง
ผู้กองหนุ่มเลื่อนสายตาไปมองหลักฐานจากเหตุการณ์เล็กน้อย แล้วเลิกสนใจ เมื่อใบหน้าของเขากำลังถูกปลายจมูกและริมฝีปากของเจิ้งหยุนคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมายังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง อำนาจร้ายกาจของสารกระตุ้นอารมณ์ทางเพศกำลังทำให้ชายหนุ่มอยากจะร้องไห้ด้วยความสมเพช
“ไม่เป็นไรครับ ผู้กองของผม”
หวังหยูเฟิงสบตากับเจิ้งหยุนนิ่ง ก่อนจะหลับตาลง เมื่อริมฝีปากบางสัมผัสที่หน้าผากของเขาแผ่วเบา ร่างกายอ่อนแอที่กำลังเพิ่มอุณหภูมิสั่นไหวตามลมหายใจและความอ่อนนุ่มที่เดินทางผ่านทั่วใบหน้า
การกระทำที่แสนอ่อนหวานของเจิ้งหยุน ทำให้หัวใจของผู้กองหนุ่มบีบรัดด้วยความเร็วอย่างรุนแรง ก่อนที่หวังหยูเฟิงจะคล้อยตามการชักนำที่วาบหวามของบุรุษตรงหน้าอีกครั้ง
พระจันทร์เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า รอเวลาพระอาทิตย์หวนกลับคืนเพื่อเติมเต็มแสงสว่างในวันใหม่ ทว่าภายในห้องนอนบนชั้นห้าของผับกาเบรียลยังมีชายหนุ่มสองคนที่ติดอยู่ในวังวนของความต้องการที่มีต่อกันโดยไม่สนใจสิ่งใด
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
หวังหยูเฟิงที่สลบไสลไปเมื่อไรก็ไม่อาจรู้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สติที่เลือนรางกลับมาเป็นปกติทีละน้อย นัยน์ตาสีนิลมองเพดานที่ไม่คุ้นเคยครู่หนึ่ง แล้วมองร่างกายของตัวเองที่ถูกใครบางคนกอดอยู่
ผู้กองหวังหันไปมองใบหน้ายามหลับของเจิ้งหยุนอย่างพิจารณา ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ไหลเข้ามาในความคิด หวังหยูเฟิงเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับความร้อนที่สูบฉีดทั่วใบหน้า
เมื่อคืนนี้ชายหนุ่มถูกวางยา หลังจากนั้นเขาก็รีบไปหาที่จัดการสภาพร่างกายผิดปกติของตัวเอง ก่อนที่เจิ้งหยุนจะตามมา จนกระทั่งเรื่องราวเลยเถิดและจบลงอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
หวังหยูเฟิงรู้สึกอ่อนเพลีย ถึงสติจะไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็จำได้ว่า พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายที่ลึกซึ้งจนมองหน้ากันไม่ติด
เสียงพรูลมหายใจของผู้กองหนุ่มดังขึ้น ก่อนที่เขาจะขยับตัวเพื่อลุกขึ้นจากเตียง ซึ่งทำให้คนที่นอนกอดอยู่รู้สึกตัวตื่น
”หยูเฟิง” เจิ้งหยุนเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงงัวเงียบางส่วน ใบหน้าหล่อเหลาส่งรอยยิ้มแรกของวันให้ผู้กองหนุ่ม
“เรื่องเมื่อคืนนี้” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น ทั้งที่รู้สึกอับอายสุดแสน แต่ก็ต้องยอมรับความจริง เขาพยายามทำสีหน้านิ่งเฉยเป็นปกติ “ขอบคุณที่ช่วย”
“ไม่เป็นไรครับ” เจิ้งหยุนตอบรับพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มที่ปกปิดร่างกายของพวกเขาเลื่อนไปตกที่ตักแทน ทำให้ร่องรอยจากเรื่องราวร้อนแรงในค่ำคืนที่ผ่านมาถูกเปิดเผย
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วแน่นเพื่อข่มความรู้สึกอับอายเอาไว้เต็มที่ ก่อนที่ความพยายามของนายตำรวจจะถูกขัดจังหวะด้วยจูบของชายหนุ่มผมยาวที่เข้ามาประคองใบหน้าของเขาเอาไว้แบบไม่ทันได้ตั้งตัว
คนที่ถูกฉวยโอกาสอยากจะผลักไส ทว่าเรี่ยวแรงที่เหือดแห้งไปกับไฟราคะที่เผาไหม้ร่างกายเมื่อคืนนี้ ทำให้มือที่จะดันอีกฝ่ายออกเปลี่ยนเป็นจับไหล่กว้างเพื่อไม่ให้ตัวเองเซไปตามการรุกผ่านริมฝีปากที่เพิ่มมากขึ้น
เดิมทีหวังหยูเฟิงไม่เคยมีทักษะการจูบมาก่อน แต่ผู้กองหนุ่มก็เรียนรู้ได้แบบก้าวกระโดด เพราะได้รับประสบการณ์มากมายจากเจิ้งหยุนภายในคืนเดียว ด้วยเหตุนี้ทำให้บทจูบสามารถดำเนินได้ยาวนาน ก่อนที่ความอดทนของมือใหม่จะหมดลง ฝ่ายที่เชี่ยวชาญกว่าก็ตักตวงความต้องการของตัวเองจนพอใจ
“เจิ้งหยุน!” หวังหยูเฟิงเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างต่อว่า เขามองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ อีกทั้งยังขัดใจตัวเองกับความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นจากสัมผัสล่วงเกินที่ได้รับเมื่อครู่นี้
“ขอโทษครับ ผมงงไปหน่อย อย่าถือสาคนเพิ่งตื่นเลยนะครับ”
เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น เขาเสยเส้นผมยาวของตัวเองอย่างเฉื่อยชา ทว่านัยน์ตาคมกลับแสดงความพึงพอใจอย่างไม่ปิดบัง “คุณโอเคแล้วใช่ไหม”
หวังหยูเฟิงผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกับพยักหน้ารับ ก่อนความไม่พอใจจะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เมื่อเจิ้งหยุนยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเขา ทว่ายังไม่ทันที่ผู้กองหนุ่มจะได้ขัดขืนต่อว่า เสียงทุ้มที่ดังขึ้นอย่างห่วงใย ก็ทำให้นายตำรวจปล่อยให้ปลายนิ้วของอีกฝ่ายเกลี่ยแก้มของเขาต่อไป
“สีหน้าของคุณยังไม่ดีเท่าไร ไปอาบน้ำ แล้วเราค่อยไปหาอะไรกินกันนะครับ”
“อืม”
เจิ้งหยุนยิ้มรับ ก่อนที่เขาจะลุกออกจากเตียงอวดร่างกายงดงามตามแบบผู้ชายในฝันให้สายตาคู่หนึ่งมองอย่างใจกว้าง แต่กลับสร้างความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจให้กับหวังหยูเฟิงไม่น้อย ถึงพวกเขาจะได้เห็นและสัมผัสร่างกายเปลือยเปล่าของกันและกันอย่างใกล้ชิด แต่ผู้กองหนุ่มไม่อาจทนมองภาพตรงหน้าได้อย่างเฉยชาอยู่ดี
หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา เขานั่งคิดวิธีการลุกออกจากเตียงแบบไม่อุจาดไว้ในใจ ทว่าเมื่อผู้กองหนุ่มหมุนตัวและหย่อนปลายเท้าเหยียบพื้น เรือนกายสูงที่สวมทับด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนที่นัยน์ตาของพวกเขาจะประสานกัน
“ผมไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาให้ คุณลุกไหวไหม”
หวังหยูเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง ระบบความคิดของเขาหยุดนิ่งราวกับมีฟันเฟืองที่ติดขัด ผู้กองหวังไม่ได้ตอบรับอะไร นอกจากยื่นแขนให้บุรุษตรงหน้าดึงร่างกายที่อ่อนแรงให้ลุกขึ้นยืน ในเวลานี้เขาไม่ได้สนใจว่าตัวเองกำลังยืนเปลือยต่อหน้าคนที่เพิ่งต่อว่าไว้ในใจ ชายหนุ่มรู้เพียงความอบอุ่นจากเสื้อคลุมอาบน้ำที่ถูกสวมทับให้เท่านั้น
”ผมเดินไปส่งที่ห้องน้ำนะ”
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปที่ห้องน้ำอย่างไม่รีบร้อนด้วยความช่วยเหลือของเจ้าของห้อง
หลังจากประตูห้องน้ำปิดลง เจิ้งหยุนก็เดินไปเปิดผ้าม่านเพื่อให้แสงอาทิตย์ผ่านเข้ามาได้เต็มที่ ภาพสุดท้ายของท้องฟ้าค่ำคืนในความทรงจำเปลี่ยนเป็นสดใสสบายตา ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มถูกใจขึ้น เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมา
TBC++++++++ 15สายลมพัดหวน
Marionetta มาแล้วค่ะ เนื้อเรื่องมาได้ครึ่งทางแล้ว ในที่สุดผู้กองก็โดนกินสักที อิอิ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
ปล. สิ้นเดือนนี้จะหมดเขตสั่งจองเล่มแล้วน้า ใครสนใจรีบคว้าเอาไว้เลยจ้า
-
:hao6:
เร่าร้อนเร้าใจ
-
15
สายลมพัดหวน
ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนเพลีย ทว่าหลังจากที่ได้อาบน้ำ หวังหยูเฟิงก็รู้สึกสดชื่นขึ้น เมื่อชายหนุ่มเดินออกจากประตูห้องน้ำ ก็พบว่ามีเครื่องแต่งกายถูกเตรียมไว้ให้แล้ว
“คุณหวังใส่ชุดของผมไปก่อนนะครับ”
“ขอบคุณ”
เจิ้งหยุนยังคงส่งยิ้มให้เป็นปกติ ก่อนที่เจ้าของห้องจะเดินสวนเข้าไปในห้องน้ำบ้าง หวังหยูเฟิงรีบแต่งกายของตัวเอง แล้วเดินสำรวจภายในห้องนอนของกาเบรียลด้วยความใคร่รู้
เมื่อคืนนี้เขาถูกฤทธิ์ยาควบคุมจนยากจะดิ้นรน โดยไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบตัว ทว่าตอนนี้สติสัมปะชัญญะครบสมบูรณ์ หน้าที่ของตำรวจก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วย นัยน์ตาสีนิลกวาดมองโดยรอบครู่หนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าไปดูตามตู้และลิ้นชักอย่างไม่รีบร้อน
หวังหยูเฟิงไม่ได้คาดหวังว่า ตัวเองจะได้เจออะไรที่น่าสนใจ เพราะหากมีของสำคัญอยู่จริง เจิ้งหยุนก็คงนำไปเก็บไว้ไกลจากการค้นหาของเขาแล้ว แต่หากชายหนุ่มไม่ทำอะไรเลย ก็จะดูเสียเที่ยวอย่างไรชอบกล
มือหนาดึงลิ้นชักหนึ่งออก ก่อนที่คิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากันพร้อมกับหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ไดร์เป่าผม หวีแปรง และกล่องใส่ยางรัดผม!
อุปกรณ์ตกแต่งเรือนผมที่บุรุษน้อยคนที่จะมี ทำให้ผู้กองหวังนึกแปลกใจไม่น้อย แต่เมื่อได้พิจารณาอีกครั้ง ก็พอจะเข้าใจทั้งหมด
เจิ้งหยุนไว้ผมยาวจนถึงกลางหลัง เส้นผมสีดำสุขภาพดีที่หวังหยูเฟิงสัมผัสนั้นทั้งนุ่มและลื่นไหลผ่านนิ้วมือราวกับเส้นไหมชั้นดี
“นั่นของส่วนตัวของผมครับ”
เสียงทุ้มที่ดังจากด้านหลัง ทำให้คนที่มือซนแอบค้นของโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องหันไปมอง เพราะมัวแต่จินตนาการถึงความทรงจำเมื่อคืนนี้ ผู้กองหนุ่มจึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องน้ำ
เจิ้งหยุนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน เขาหยิบเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ออกมา ก่อนจะถอดเสื้อคลุมอาบน้ำของตัวเองเผยเรือนร่างเปลือยเปล่าด้วยอิริยาบถที่เป็นธรรมชาติ ต่างจากใครอีกคนที่รู้สึกกระดากอายจนต้องหันไปทางอื่นแทบไม่ทัน
ถึงเรือนกายสูงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อพอเหมาะจะดูดีน่ามองและยังเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่หวังหยูเฟิงก็ยังไม่พร้อมจะยืนมองร่างกายเปลือยเปล่าของใครได้หน้าตาเฉย
หลังจากสวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายเรียบร้อย เจิ้งหยุนก็เดินไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง นัยน์ตาคมมองกระจกเงาที่สะท้อนใบหน้าของตัวเองรวมไปถึงร่างของผู้กองหนุ่มที่ยืนห่างออกไป
“คุณหวังช่วยหยิบไดร์เป่าผมให้หน่อยครับ”
หวังหยูเฟิงละสายตาจากภาพวิวมุมสูงเบื้องหน้า เขาหันไปมองเจ้าของเสียง ก่อนจะหยิบไดร์เป่าผมในลิ้นชักส่งให้คนที่ร้องขอ ทว่าแทนที่ชายหนุ่มผมยาวจะรับ เจิ้งหยุนกลับเอ่ยขึ้นต่อ
“เป่าผมให้หน่อยได้ไหมครับ”
หวังหยูเฟิงนิ่งไปเล็กน้อย ถึงจะไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เขาจะต้องทำแบบนี้ แต่น้ำใจหลายอย่างที่อีกฝ่ายเคยมอบให้ ก็ทำให้นายตำรวจใจอ่อน
“...ครับ”
เสียงของเครื่องมือเพิ่มความร้อนดังขึ้น หวังหยูเฟิงรู้สึกเกร็งเมื่อต้องสัมผัสเส้นผมที่เขาเพิ่งนึกถึงก่อนหน้านี้ นัยน์ตาสีนิลจดจ้องเพียงเรือนผมยาว โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ในกระจกเงา
“ผมทำเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยเป็น ถ้ามือหนักไป ก็อย่ามาว่าแล้วกัน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น หลังจากตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพของตัวเองเป็นช่างทำผมฝึกหัดชั่วคราว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะเมื่อคืนคุณก็ดึงผมไปตั้งหลายครั้งแล้ว
ไม่เห็นเจ็บ” เจิ้งหยุนบอก รอยยิ้มบางยกมากขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าปั้นยากของนายตำรวจ
หวังหยูเฟิงไม่ต่อบทสนทนาอีก เขาเริ่มใช้นิ้วมือสางไปตามเส้นผมยาวสีดำสวยอย่างเบามือ สัมผัสที่รู้สึกในตอนนี้ ทำให้ชายหนุ่มหวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวน่าอายอีกครั้ง
ผู้กองหวังข่มความรู้สึกของตัวเอง แล้วพยายามทำหน้าที่เฉพาะกิจให้จบ โดยไม่ได้มองสีหน้าของคนที่กำลังอารมณ์ดี
หลังจากเส้นผมแห้งสนิทและได้รับการตกแต่งด้วยหวีแปรงจนเข้าทรง คนที่กำลังจะเดินไปเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่ก็ต้องหันไปตามเสียงทุ้มที่ดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณหวังช่วยรัดผมให้ด้วยนะครับ”
“เรื่องแค่นี้ ทำไมไม่ทำเอง”
“ช่วยผมอีกหน่อยนะครับ เมื่อคืนผมยังช่วยคุณตั้งหลายรอบ”
ถ้อยคำที่ตั้งใจจะต่อว่าถึงความเอาแต่ใจเกินพอดีของอีกฝ่ายย้อนกลับมาทำร้ายหวังหยูเฟิงจนสะอึก ผู้กองหนุ่มสูดลมหายใจ แล้วหยิบกล่องขนาดกลางที่บรรจุยางรัดผมหลากหลายสไตล์ออกมา
“แล้วคุณจะใช้อันไหน”
“คุณเลือกให้ผมเลย อันไหนก็ได้”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วใส่กับภาระที่ถูกโยนมาให้อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเลือกยางรัดผมเส้นหนึ่งที่น่าสนใจออกมาใช้งาน โดยที่มีนัยน์ตาคมมองค้างไปเล็กน้อย เมื่อพบว่าผู้กองหวังหยิบอะไรมาถือไว้
ยางรัดผมสตรอว์เบอร์รี่!
“คุณหวังครับ”
“ครับ”
“ขอเส้นอื่นได้ไหม”
“ทำไมล่ะ คุณให้ผมเลือกเองนี่”
เจิ้งหยุนลอบถอนหายใจออกมาพร้อมกับจำใจยอมให้หวังหยูเฟิงที่มีใบหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาทอประกายสมใจได้รังแก
ยางรัดผมเส้นนี้เจิ้งหยุนได้รับเป็นของขวัญจากไป๋ลู่เหอที่อยากจะกลั่นแกล้งหยอกเย้าเมื่อนานมาแล้ว ในตอนนั้นพอรู้ว่าได้รับอะไรมา เขาก็โยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดีจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะชายหนุ่มก็มียางรัดผมที่ใช้ประจำอยู่ไม่กี่อันติดตัวจนไม่เคยได้เปิดกล่องใบนี้
“ดูดีเหมือนกันนะ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น หลังจากจัดแต่งทรงผมให้คนตรงหน้าเสร็จ เขามองใบหน้าหล่อเหลาในกระจกเงา “ยางรัดผมเข้ากับคุณดี”
“หึ! ขอบคุณครับ” เจิ้งหยุนตอบรับด้วยรอยยิ้มที่แห้งแล้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืน โดยที่เส้นผมถูกรวบต่ำด้วยยางรัดผมสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตหวานแหวว “เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“อืม”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ณ คอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมือง เส้าซินฉีที่อยู่ในชุดนอนเนื้อบางรู้สึกกังวลจนหมดอารมณ์จะทำสิ่งใด หลังจากแผนการที่วางเอาไว้ผิดพลาด เธอก็รีบติดต่อหาบิดาเพื่อปรึกษา ซึ่งเส้าเหิงก็ให้คำปลอบใจและบอกให้รอดูสถานการณ์ไปก่อน
บัดนี้คนที่ไม่เคยรออะไร ก็ใช้ความอดทนมาได้สามวันแล้ว!
เส้าซินฉีผุดลุกจากเตียงแล้วเดินตรงไปที่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ร่างบอบบางราวกับนางแบบปรากฏใบหน้าบูดบึ้ง มือเรียวสางเส้นผมสีอ่อนพลางพิจารณารูปลักษณ์ของตัวเองด้วยความข้องใจ
ทำไมเจิ้งหยุนถึงไม่สนใจเธอเลย...
ช่วงชีวิตที่ผ่านมาเส้าซินฉีมักจะได้รับความสนใจอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางสังคมหรือใบหน้าที่งดงาม แต่ประสบการณ์ที่ได้พบปะพูดคุยกับเจิ้งหยุน หญิงสาวก็ตระหนักได้ทันทีว่า นัยน์ตาคมน่าค้นหาไม่ได้ฉายภาพของเธอเลย
เส้าซินฉีขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง แล้วหันไปสนใจโทรศัพท์มือถือที่กำลังส่งเสียงร้อง
คุณหนูเส้าที่จมอยู่ในความขุ่นเคืองรู้สึกประหม่าขึ้น เมื่อเห็นรายชื่อของคนที่ติดต่อมา เพราะเธอไม่รู้ว่าการเจรจาครั้งนี้จะเป็นอย่างไร หญิงสาวตั้งสติและปรับอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะกดรับสาย
“สวัสดีค่ะพี่หยุน”
[ผมโทรมารบกวนคุณหรือเปล่า]
“ไม่ค่ะ ซินฉีว่างพอดี”
[อย่างนั้นหรือครับ ว่าแต่...คุณยังอยากไปชมเมืองอยู่หรือเปล่า พอดีพรุ่งนี้ผมว่าง]
เสียงทุ้มเรียบเรื่อยที่ดังขึ้น ทำให้เส้าซินฉียิ้มออกมาอย่างโล่งอก หัวใจของเธอสั่นไหวด้วยความยินดี เจิ้งหยุนคงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับนายตำรวจคนนั้น
“ว่างค่ะ พี่หยุนสะดวกกี่โมงคะ”
[สิบโมงแล้วกัน เดี๋ยวผมไปรับคุณที่คอนโด]
”ได้ค่ะ”
[แล้วเจอกันครับ]
เสียงสัญญาณตัดไปแล้ว เส้าซินฉีโยนโทรศัพท์มือถือไปบนเตียงอย่างไม่สนใจ ก่อนจะเดินเขย่งปลายเท้าเป็นจังหวะอย่างอารมณ์ดีมาหยุดยืนหมุนตัวที่หน้ากระจกเงาบานใหญ่อีกครั้ง ทว่าคราวนี้ใบหน้าสวยสว่างสดใสต่างจากเมื่อหลายนาทีก่อน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
วันนี้อากาศแจ่มใส เมฆดำที่ควรล่องลอยบนท้องฟ้าตามฤดูกาลก็เลือนหายราวกับหนีไปพักร้อน เจิ้งหยุนที่มีนัดเดินออกมาด้านหน้าของคฤหาสน์ด้วยชุดลำลองธรรมดาแต่ก็ขับเน้นเรือนร่างให้ดูดีอย่างเคย เขาหยิบแว่นกันแดดมาใส่ ก่อนจะหันไปมองผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
“คุณหวังแน่ใจนะครับว่าจะขับรถให้ผม”
“ครับ”
หวังหยูเฟิงรับกุญแจรถยนต์ยุโรปมาจากอู่หนิง แล้วเดินไปยังตำแหน่งสารถี หลังจากได้ยินเรื่องราวของเส้าซินฉี รวมไปถึงเหตุการณ์ที่พบเจอด้วยตัวเอง เขาก็ไม่อาจปล่อยให้หญิงสาวหลุดรอดสายตาไปได้ แต่จะให้ไปนั่งคั่นกลางระหว่างหนุ่มสาวก็คงไม่เหมาะ ผู้กองหนุ่มจึงอาสาทำหน้าที่คนขับรถพร้อมกับลอบสังเกตพฤติกรรมของคนทั้งคู่ไปด้วย
เจิ้งหยุนเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง เขามองคนขับรถที่มีสีหน้าจริงจังด้วยรอยยิ้มบาง
”ผมเปลี่ยนใจไปเที่ยวกับคุณสองคนแทนดีไหม”
หวังหยูเฟิงไม่ตอบ เขาเหลือบสายตาไปยังกระจกมองหลัง หลังจากสบกับนัยน์ตาคมปลาบชั่วอึดใจ ผู้กองหนุ่มก็ติดเครื่องยนต์เพื่อออกเดินทาง
“ว่าอย่างไรครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถามเพื่อทวงคำตอบ หวังหยูเฟิงที่ทำเป็นไม่สนใจจึงจำใจตอบให้บทสนทนายุติ
“ไม่ดีหรอกครับ เพราะผมเป็นตำรวจ ส่วนคุณเป็นคนร้ายที่ผมกำลังหาหลักฐานอยู่”
“หึ...แต่ตอนนี้พวกเราก็กำลังไปเที่ยวด้วยกันนี่ครับ”
“ผมกำลังทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว”
“ถ้าคุณว่าอย่างนั้น ผมเองก็ไปทำงานเหมือนกัน”
หวังหยูเฟิงเหลือบสายตามองคนที่นั่งเบาะหลังผ่านกระจกเงาอีกครั้ง เจิ้งหยุนนั่งเอนหลังกับเบาะหนังด้วยท่าทีสบาย ใบหน้าหล่อเหลาแต้มรอยยิ้มบาง
“เอาไว้ผมทำธุระจบเมื่อไร พวกเราค่อยไปเที่ยวด้วยกันนะครับ”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เส้าซินฉีในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนนั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมได้ไม่นาน ชายหนุ่มที่เธอรอคอยก็เดินมาหา หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืนในทันที
“สวัสดีค่ะ” เส้าซินฉีเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วเธอก็ได้รับรอยยิ้มบางเป็นการทักทายตอบ
“สวัสดีครับ เราไปกันเลยแล้วกัน”
“ค่ะ”
เส้าซินฉีถือวิสาสะควงแขนของชายหนุ่มอย่างสนิทสนม และเมื่อเธอเดินมาถึงรถยนต์คันหรู ใบหน้าแต้มรอยยิ้มก็ค้างไปเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้ชายที่ไม่คาดคิดยืนอยู่
“วันนี้คุณหวังอาสาขับรถให้ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วอธิบายต่อ “ถึงผมจะทำธุรกิจที่นี่ แต่ให้คนพื้นที่อย่างเขานำทางจะดีกว่านะครับ”
“ค่ะ” เส้าซินฉีตอบรับ แล้วหันไปทักทายนายตำรวจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้เจอกัน “สวัสดีค่ะคุณหวัง วันนี้ต้องรบกวนคุณหน่อยนะคะ”
“ครับ” หวังหยูเฟิงก็ตอบรับไปตามมารยาท ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางจากคอนโดมิเนียมหรูต่อ
เมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากแต่ก็เป็นชุมชนที่มีผู้คนค่อนข้างหนาแน่น อีกทั้งยังมีสาธารณูปโภคที่ครบครัน พรั่งพร้อมไปด้วยความทันสมัยและความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกเอกชนจับจองในการสร้างตึกและอาคารสูงเพื่อใช้ประกอบธุรกิจประเภทต่างๆ นอกจากนี้ยังมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่รองรับเรือบรรทุกสินค้าและสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวได้อีกด้วย โดยที่ร้อยละหกสิบของพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด ซึ่งเป็นของเอกชนนั้น ผู้ที่มีอำนาจราวกับเป็นเจ้าเมืองในตอนนี้ก็คือกงเจ๋อตวน เขามีธุรกิจและเม็ดเงินภายในเมืองไหลเวียนไม่ขาดสาย
หวังหยูเฟิงขับรถพาสองหนุ่มสาวไปตามสถานที่ต่างๆ จนถึงเวลาเที่ยง เจิ้งหยุนก็เอ่ยขึ้นมาระหว่างที่พวกเขากำลังจะเดินทางออกจากท่าเรือที่มีชื่อเสียงของเมือง
“คุณหวังครับ เดี๋ยวพวกเราไปกินมื้อเที่ยงที่โรงแรมบลูรอยัลนะครับ ผมให้อู่หนิงจองที่ให้แล้ว”
หวังหยูเฟิงพยักพน้ารับ ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยควบคุมรถยนต์ให้วนผ่านวงเวียนเพื่อมุ่งไปยังถนนที่ตัดผ่านไปยังโรงแรมห้าดาว
พวกเขาใช้เวลาราวสิบห้านาทีก็เดินทางมาถึงที่หมาย ซึ่งมีห้องอาหารระดับไฮคลาสบนชั้นบนสุดของตึกสูงสี่สิบชั้น หวังหยูเฟิงขับรถมาจอดที่ด้านหน้าของโรงแรมเพื่อส่งเจิ้งหยุนและเส้าซินฉี
“เดี๋ยวผมรอที่ล็อบบี้นะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น หลังจากที่รอเส้าซินฉีเดินลงจากรถยนต์ไปก่อน หวังหยูเฟิงหันหลังมามอง
“พวกคุณตามสบาย ผมจะรออยู่แถวนี้” หวังหยูเฟิงบอก แต่ความตั้งใจของเขาก็ถูกขัดขวาง
“ผมจะรออยู่ที่ล็อบบี้จนกว่าคุณจะมา” เจิ้งหยุนเอ่ยต่ออย่างดื้อดึง ก่อนจะลงจากรถยนต์เป็นการตัดบทโต้แย้ง
หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา ก่อนที่เขาจะขับรถไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน แล้วเดินไปยังล็อบบี้ของโรงแรม ซึ่งมีชายหนุ่มและหญิงสาวที่เดินทางมาด้วยกันรออยู่
หลังจากรวมตัวกันอีกครั้ง หวังหยูเฟิงก็ทำเฉยราวกับไม่เห็นสายตาไม่พอใจที่เส้าซินฉีส่งมาให้ ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปในลิฟต์ที่มีพนักงานของโรงแรมให้บริการ
ตัวเลขบอกชั้นเปลี่ยนแปลงไปตามความสูงที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อห้องโดยสารมาถึงจุดสูงสุดของโรงแรม ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ก่อนที่เส้าซินฉีจะขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เวลานี้จึงมีเพียงสองหนุ่มที่พักอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ริมทะเลตามลำพัง
“เธอไม่พอใจที่ผมมาด้วย” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น ช่วงนี้เขาสนิทและคุ้นเคยกับเจิ้งหยุนจนเปิดเผยคำพูดไม่จำเป็นออกมาบ่อยครั้ง ถึงจะแปลกใจตัวเองภายหลัง ทว่าผู้กองหนุ่มก็ไม่อาจฉวยเอาถ้อยคำที่กล่าวออกไปแล้วกลับคืนมาได้
“ผมไม่อยากอยู่ตามลำพัง” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะขยับใบหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างใบหูของผู้กองหวัง “ผมไม่ไว้ใจเธอ”
คุณนั่นแหละที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด!
หวังหยูเฟิงขยับตัวออกห่างพร้อมกับบริภาษอีกฝ่ายในใจ ชายหนุ่มไม่ได้คิดไปเองแน่นอนว่า เมื่อครู่นี้ริมฝีปากของเจิ้งหยุนสัมผัสที่ใบหูของเขาอย่างจงใจ
ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องน่าอับอายขึ้น ดูเหมือนว่าความใกล้ชิดของพวกเขาจะมีมากกว่าเดิม ในแต่ละวันต้องมีเหตุให้เจิ้งหยุนได้แตะเนื้อต้องตัวหวังหยูเฟิงบ่อยครั้ง ทว่าช่องว่างที่ลดลงอย่างรวดเร็วนี้ก็ยังไม่น่าหวั่นใจเท่ากับความรู้สึกของตัวเอง
หวังหยูเฟิงไม่ได้โกรธ โมโห หรือรังเกียจ แต่เขารู้สึกประดักประเดิดจนไม่รู้ว่าควรจะทำสีหน้าท่าทางอย่างไร ความจริงนี้ทำให้ผู้กองหวังต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน เพราะความรู้สึกแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องปกติของผู้ชายทั่วไปแน่นอน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
มื้อเที่ยงราคาแพงผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายในความคิดของเส้าซินฉี เธอไม่มีโอกาสได้ทำคะแนนเอาใจเจิ้งหยุนได้เต็มที่ เพราะมีส่วนเกินนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ด้วย
“ตอนนี้คุณมีไอเดียอะไรบ้างหรือยังครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม หลังจากรับประทานอาหารมาได้ระยะหนึ่ง
“ก็นิดหน่อยค่ะ ซินฉีสนใจธุรกิจด้านความงาม เพราะเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและน่าจะทำเงินได้ดีด้วย” เส้าซินฉีตอบไปตามเรื่อง อันที่จริงเธอไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น นอกจากต้องการคว้าหัวใจและเข้าไปอยู่ในตระกูลเจิ้งที่ร่ำรวยด้วยเงินตรา บารมี และอำนาจ
“ก็ดีครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยรับ แล้วส่งยิ้มบางให้ตามมารยาท
“แต่ก็คงต้องขอพึ่งพี่หยุนไปอีกสักระยะจนกว่าจะได้เรื่องก่อนนะคะ” เส้าซินฉีบอกเป็นนัย เธอยังไม่คิดจะปล่อยให้ชายหนุ่มหลุดมือไปได้ง่ายๆ
“ถ้าผมว่าง ก็ยินดีช่วยครับ” เจิ้งหยุนตอบรับอย่างสงวนท่าที เขาไม่คิดว่าจะมีเวลาให้ผู้หญิงคนนี้อีก ถ้าไม่จำเป็น
“ขอบคุณค่ะ”
บทสนทนาทั้งหมดดำเนินไปอย่างเรียบง่าย หวังหยูเฟิงที่ไม่ได้มีส่วนร่วมและไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรผ่านสีหน้ารับฟังอย่างครุ่นคิด ตอนนี้เขากำลังสงสัยว่า บุตรสาวของเส้าเหิงมีเบื้องหลังมากกว่าความสเน่หาที่มีต่อเจิ้งหยุนหรือเปล่า ซึ่งเวลาเพียงวันเดียวคงไม่สามารถให้คำตอบได้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรมห้าดาวเสร็จ เจิ้งหยุนก็ชวนเส้าซินฉีไปเดินเล่นที่ย่านการค้าใจกลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยร้านค้ายอดนิยมและสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง
เส้าซินฉีเดินควงแขนเจิ้งหยุนเข้าออกร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับเกือบทุกร้านด้วยรอยยิ้ม ถึงวันนี้จะมีส่วนเกินขัดตาไปบ้าง แต่การเอาใจใส่ของชายหนุ่มที่เธอหมายปองก็ทำให้มีความสุขและรู้สึกวางใจถึงความสัมพันธ์ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
หวังหยูเฟิงเดินตามชายหนุ่มและหญิงสาว โดยทิ้งระยะห่างพอสมควร เวลาที่เคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้านำพาดวงอาทิตย์ที่เคยอยู่เหนือศีรษะให้ตกลงสู่เส้นขอบฟ้าเพื่อต้อนรับดวงจันทร์ที่กำลังมาเยือน
“ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เราไปหาอะไรกินกันดีไหมครับ” เจิ้งหยุนหันมาถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ได้ค่ะ” เส้าซินฉีตอบรับเสียงหวาน ใบหน้าสวยที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางแสดงความใคร่รู้อย่างมีจริตออกมา “แล้วจะไปกินที่ไหนกันดีคะ”
“ภัตตาคารเฟยลี่ครับ ที่นั่นเป็นร้านชื่อดังของเมืองนี้” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะเดินนำเส้าซินฉีกลับไปยังรถยนต์ที่หวังหยูเฟิงขับมาจอดรับ
“คุณหวังครับ เราจะไปที่เฟยลี่กันต่อนะครับ”
ประโยคบอกเล่าของเจิ้งหยุน ทำให้คนขับรถชะงักไปเล็กน้อย เพราะรู้ดีแก่ใจว่า สถานที่แห่งนั้นมีใครอยู่ ถึงจะไม่ค่อยอยากไป แต่เขาก็นึกสงสัยมากกว่า
ร้านอาหารหรูมีเป็นสิบร้าน ทำไมถึงเลือกพาเส้าซินฉีมาร้านนี้กัน...
หวังหยูเฟิงเก็บความคิดไว้กับตัวเองตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงภัตตาคารเฟยลี่จึงขับรถเข้าไปด้านหน้า แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เส้าซินฉีลงไปก่อนและเจิ้งหยุนก็รอเพื่อพูดคุยกับเขา
“คุณหวังอดทนไปกินมื้อเย็นที่คฤหาสน์ได้ไหมครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ผมไม่อยากให้คุณเจอเขาน่ะสิ”
บุคคลที่สามที่ละเอาไว้ ทำให้หวังหยูเฟิงเข้าใจในทันที ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เพราะเขาเองก็ไม่อยากเจอไป๋ลู่เหอที่ชอบส่งสายตาน่าขนลุกมาให้เสมอเช่นเดียวกัน
เจิ้งหยุนยิ้มรับ แล้วลงจากรถยนต์ไป เหลือเพียงผู้กองหนุ่มที่ต้องหาอะไรทำรอเวลา
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากเจิ้งหยุนและเส้าซินฉีเข้ามาด้านในของภัตตาคารเฟยลี่ พวกเขาก็ถูกรับรองเป็นพิเศษ เพราะพนักงานทุกคนต่างก็ทราบว่า ชายหนุ่มผมยาวคนนี้คือใคร
“คุณนายอยู่ไหม” เจิ้งหยุนหันไปถามผู้จัดการที่ออกมาต้อนรับ
“ไม่อยู่ครับ” ผู้จัดการตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพพร้อมกับเดินนำลูกค้า
วีไอพีไปยังห้องอาหารส่วนตัวที่อยู่ชั้นสองของภัตตาคาร “เชิญทางนี้ครับท่าน”
เจิ้งหยุนนึกเสียดาย เพราะเขาตั้งใจจะโยนหญิงสาวที่ควงแขนของตัวเองให้ไป๋ลู่เหอดูแลต่อแทน โดยอ้างคำขอร้องจากเจิ้งเทียน ถึงอีกฝ่ายจะไม่ชอบใจนัก แต่ก็คงไม่ติดขัดและหาวิธีจัดการได้เอง เมื่อพวกเขาได้เข้ามาในห้องอาหารส่วนตัวเรียบร้อย เส้าซินฉีที่มีความสงสัยก็เอ่ยถามขึ้นในทันที
“คุณนายที่ว่า คือใครหรือคะ”
“เขาเป็นเจ้าของที่นี่และกว้างขวางพอตัว ผมเลยอยากแนะนำคุณให้รู้จักเอาไว้”
“อ้อ...ค่ะ”
“คุณซินฉีสั่งตามสบายเลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ในขณะที่เจิ้งหยุนและเส้าซินฉีกำลังรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น หวังหยูเฟิงที่รอคอยและเฝ้าระวังอยู่บริเวณด้านหน้าของภัตตาคารมาระยะหนึ่งก็ตื่นตัวขึ้น เมื่อเขาได้พบกับบุคคลที่เหนือความคาดหมายอย่างกะทันหัน ผู้ชายที่มีอำนาจและทำตัวเหนือกฎหมายในเวลานี้
กงเจ๋อตวน!
หวังหยูเฟิงรีบตามติดผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ของเมืองเข้าไปด้านในของภัตตาคารอย่างรวดเร็ว โดยที่เขาใช้ชื่อของเจ้าของผับกาเบรียลเป็นบัตรผ่านทาง ก่อนที่เหตุการณ์จะทวีความน่าสงสัยมากยิ่งขึ้น เมื่อเจิ้งหยุนและเส้าซินฉีได้พบกับกงเจ๋อตวนระหว่างทาง นัยน์ตาสีดำแน่วแน่จ้องมองสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างใจเย็น
TBC++++++++ 16 คลื่นใต้น้ำ
-
16
คลื่นใต้น้ำ
”อ้าว! คุณเจิ้งบังเอิญจังเลยนะ”
คำทักทายของชายวัยกลางคนที่คุมอำนาจหลายด้านของเมือง ทำให้เจิ้งหยุนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เพราะเขาเคยบอกกับอีกฝ่ายไปแล้วว่า ถ้าเจอกันข้างนอกไม่ต้องมาทำเป็นรู้จักกัน
“สวัสดีครับ”
“ท่าทีเย็นชาจังเลยนะ ทั้งที่เป็นคนคุ้นเคยกันแท้ๆ”
คำพูดที่แสดงความสนิทสนม ทำให้เจ้าของผับกาเบรียลต้องข่มอารมณ์เอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“คุณให้เกียรติผมมากไปแล้วครับ”
“ฮ่าๆ”
กงเจ๋อตวนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คืนนี้เขาต้องการมาเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อชมความงดงามของไป๋ลู่เหอระหว่างมื้ออาหาร แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอมิตรที่เคยทำงานร่วมกัน
“คุณเจิ้งจะไม่แนะนำคุณผู้หญิงที่มาด้วยกันให้ผมรู้จักหน่อยหรือ”
กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นต่อ นัยน์ตาเรียวจ้องมองหญิงสาวข้างกายชายหนุ่มอย่างสนใจ
“คุณซินฉี นี่คือคุณกงเจ๋อตวน เขาทำธุรกิจหลายอย่างในเมืองนี้ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยแนะนำไปตามเรื่องกับหญิงสาวที่มาด้วยกัน
“สวัสดีค่ะ เส้าซินฉีค่ะ” เส้าซินฉีแนะนำตัวเอง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อมือหยาบของชายที่เพิ่งรู้จักถือวิสาสะจับมือของเธอไปจุมพิตบนหลังมือ
“ยินดีที่ได้รู้จักมากครับ คุณเส้า” กงเจ๋อตวนตอบรับด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาเรียวเจ้าเล่ห์ทอแววหื่นกระหายอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวที่ตกเป็นเป้าสายตารีบดึงมือของตัวเองกลับมาด้วยความขยะแขยง “แล้วกินข้าวกันเสร็จแล้วหรือ ผมอยากจะเลี้ยงอาหารพวกคุณสักหน่อย”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยปฏิเสธ ก่อนจะนำเส้าซินฉีที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักเดินจากมา “พวกเราต้องขอตัวก่อน”
“น่าเสียดาย แต่ก็คงมีโอกาสได้เจอกันอีกแน่นอน” กงเจ๋อตวนเอ่ยคำลา ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของภัตตาคาร
เส้าซินฉีถอนหายใจออกมา เธอควงแขนของเจิ้งหยุนเอาไว้ดังเดิม แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจนัก
“พี่หยุน ดูเขาเป็นคนที่ไม่น่าคบเลยนะคะ”
“ครับ”
หวังหยูเฟิงที่ลอบสังเกตการณ์พิจารณาบทสนทนาสั้นๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนจะรีบเดินออกจากภัตตาคารตามคู่หนุ่มสาวไปอีกคน
นอกจากจะมีนายตำรวจที่เฝ้ามองแล้ว ที่มุมหนึ่งไม่ไกลออกไปนักก็ยังมีสายตาอีกคู่กำลังจับจ้องเหตุการณ์เมื่อครู่เช่นเดียวกัน นัยน์ตาคู่นั้นเลื่อนตามหลังกงเจ๋อตวนเล็กน้อย ก่อนจะฉายภาพเจิ้งหยุนและเส้าซินฉีด้วยความมาดร้าย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากขับรถไปส่งเส้าซินฉีที่คอนโดมิเนียม หวังหยูเฟิงก็พาเจิ้งหยุนเดินทางกลับคฤหาสน์ริมทะเล ความคิดของผู้กองหนุ่มวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นที่ภัตตาคารเฟยลี่
“ยินดีต้อนรับกลับครับ” อู่หนิงเอ่ยทักพร้อมกับโค้งตัวอย่างนอบน้อม เจิ้งหยุนก็พยักหน้ารับอย่างขอไปที
“เตรียมตั้งโต๊ะ ฉันจะกินข้าวกับคุณหวัง” เจิ้งหยุนสั่ง แล้วหันมาหาผู้กองหนุ่มที่เดินมาเงียบๆ “คุณหิวแล้วใช่ไหมครับ”
“คุณกับกงเจ๋อตวนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร” หวังหยูเฟิงถามกลับ โดยเมินคำถามที่ได้รับอย่างสิ้นเชิง เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“คุณถามเรื่องอะไรน่ะ” เจิ้งหยุนย้อนถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมา
“ผมเห็นที่พวกคุณคุยกัน” หวังหยูเฟิงบอก แล้วจ้องจับผิดอีกฝ่ายเต็มที่ “ท่าทางสนิทสนมกันดีไม่ใช่หรือ”
“ผมรู้จักเขา แต่เราไม่ได้สนิทสนมกันหรอกนะครับ” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่ออย่างไม่รีบร้อน โดยที่มีผู้กองหวังเดินไปด้วยกัน
“แล้วพวกคุณรู้จักกันได้อย่างไร” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามอย่างไม่ลดละ เจิ้งหยุนถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“เอาไว้คุยเรื่องนี้ที่หลังได้ไหมครับ ผมว่าพวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะ ผมหิว” เจิ้งหยุนบอกราวกับต้องการตัดบทของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ขยันทำงานไม่รู้จักเวลา ก่อนหน้านี้เขาแค่รับประทานอาหารกับเส้าซินฉีพอเป็นพิธีเท่านั้น
“แต่..”
“ผมจะตอบคำถามของคุณ หลังจากที่พวกเราอิ่มท้องกันแล้วนะครับคุณหวัง”
หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมา แล้วจำใจยอมให้ผู้ต้องสงสัยต่อเวลาไปก่อน ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้เขาก็ต้องรู้เรื่องของเจิ้งหยุนกับกงเจ๋อตวนให้ได้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
มื้ออาหารเย็นผ่านไปด้วยความเงียบและรวดเร็ว หวังหยูเฟิงนั่งมองเจิ้งหยุนที่ละเมียดรับประทานอาหารอย่างรอคอย แต่ก็ใช้สายตากดดันเป็นระยะ จนกระทั่งช้อนและส้อมของคนที่นั่งตำแหน่งหัวโต๊ะรับประทานอาหารวางลง
“คืนนี้พระจันทร์สวย เราไปนั่งคุยกันแถวชายหาดดีไหมครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ประโยคที่คล้ายเป็นคำถามก็กลายเป็นแค่บอกเล่า เมื่อเจ้าของคำพูดเดินตรงไปยังด้านหลังของคฤหาสน์ทันที ทำให้หวังหยูเฟิงที่รอเวลามาสักพักต้องเดินตามไป
สายลมทะเลพัดพาเป็นระยะ เกลียวคลื่นม้วนตัวก่อนจะสลายกลายเป็นผืนน้ำที่เข้ากระทบฝั่ง หาดทรายละเอียดที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างปรากฏร่างของชายหนุ่มสองคนที่กำลังยืนอยู่
เจิ้งหยุนหันไปสั่งลูกน้องคนหนึ่ง ก่อนจะมีพรมที่ทอจากไหมเนื้อดีปูลงบนหาดทรายพร้อมกับชุดเครื่องดื่ม ท่ามกลางความงุนงงของหวังหยูเฟิง
“คุณจะทำอะไร”
“ผมจะนั่งชมจันทร์ครับ แล้วเราก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่คุณอยากจะถาม”
เจิ้งหยุนหันมาส่งยิ้มให้ แล้วนั่งเหยียดขาบนพื้นพรมนุ่มอย่างสบายตัว ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันไปเทวิสกี้ใส่แก้วเป็นเครื่องดื่มของตัวเองในค่ำคืนนี้ หวังหยูเฟิงที่ได้แต่มองพร้อมกับถอนหายใจออกมา แล้วนั่งลงเคียงข้างเจ้าของคฤหาสน์ริมทะเล
“รับไหมครับ” เจิ้งหยุนหันมาถาม เขายกแก้วทรงสูงในมือของตัวเองขึ้นเล็กน้อยเป็นการชักชวน ซึ่งแน่นอนว่านายตำรวจไม่ตอบรับน้ำใจ เจ้าของคฤหาสน์จึงลิ้มรสชาติร้อนแรงเพียงลำพัง
“อยากจะถามอะไรผมล่ะครับ”
“ตกลงว่าคุณกับกงเจ๋อตวนเกี่ยวข้องกันอย่างไร” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในสถานีตำรวจ แต่เขาก็พยายามปฏิบัติหน้าที่สอบสวนของตัวเองอย่างเต็มที่
“ผมกับเขาเป็นแค่คนรู้จักแบบผิวเผินเท่านั้นครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย นัยน์ตาคมทอดมองทะเลอย่างเหม่อลอย
“แต่ผมไม่เห็นแบบนั้น” หวังหยูเฟิงเอ่ยแย้ง เขายังจำสีหน้าและท่าทางยินดีของกงเจ๋อตวนได้ดี “แล้วคุณรู้จักกับเขาได้อย่างไร”
“ผมบังเอิญรู้จักครับ” เจิ้งหยุนตอบอย่างง่ายดายอีกครั้ง แล้วหันมามองสีหน้าจริงจังของผู้กองหนุ่ม “ตอนนั้นผมไปรู้เรื่องของเขาเข้าพอดี”
“เรื่องอะไร” นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย ทว่าคนถูกไล่ต้อนกลับเผยรอยยิ้มบาง
“เรื่องที่เขาทำธุรกิจผิดกฏหมายอยู่น่ะสิครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเหมือนต้องการจะกระตุ้นให้คนฟังอยากรู้มากกว่าเดิม แต่หวังหยูเฟิงที่นิ่งเฉยทำเพียงมองกลับอย่างรอคอยเท่านั้น “เขาค้ามนุษย์ครับ”
“แล้วคุณรู้ได้อย่างไร” หวังหยูเฟิงถามต่อ เขาไม่ได้แปลกใจกับข้อมูลที่ได้รับ เพราะเรื่องนี้ทางตำรวจก็รู้มานานแล้ว แต่กงเจ๋อตวนก็หาวิธีดิ้นหลุดจากกฎหมายไปได้
“มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งหนีเข้ามาขอความช่วยเหลือที่ผับ แต่ผมยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร เธอก็ตายเสียก่อน” เจิ้งหยุนบอก แล้วหันไปมองท้องทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง “ผมไม่อยากมีปัญหาเพราะตอนนั้นก็เพิ่งเปิดผับได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ แล้วผมเองก็มาจากตระกูลที่พอจะมีชื่ออยู่บ้าง เขาก็คงไม่อยากวุ่นวาย เราเลยตกลงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ผมก็ไม่ได้ไว้ใจนักหรอก ไม่แน่ว่าคนร้ายที่ลอบยิงผมในคืนนั้นก็อาจเป็นคนของเขาที่ต้องการขู่ผมก็ได้”
“ทำไมต้องขู่คุณด้วย” หวังหยูเฟิงถามต่ออย่างแปลกใจ เขานึกทบทวนเรื่องราวที่รับรู้มาอย่างครุ่นคิด “แล้วก่อนหน้านี้ ทำไมคุณไม่บอกผมถึงเรื่องนี้”
“ผมไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ตำรวจฟังหรอก ผมไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเพิ่ม”
“เขาเป็นคนไม่ดี แล้วคุณควรให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่”
“คุณจะเชื่อผมหรือ คุณเองก็คิดว่าผมเป็นคนร้ายนี่ครับ คำพูดของผมไม่มีน้ำหนักอะไรหรอก”
หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา ก่อนจะโน้มน้าวต่ออย่างใจเย็น ถึงจะมีความจริงบางส่วนจากคำพูดราวกับตัดพ้อนั้น แต่เขาก็ไม่อยากพลาดข้อมูลอะไรก็ได้ที่อาจทำให้จับกุมกงเจ๋อตวนได้
“แล้วผมต้องทำอย่างไร คุณถึงจะบอก”
เจิ้งหยุนที่ทอดสายตามองทะเลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกแสงสีเงินจากโคมไฟบนฟากฟ้าลูบไล้จะเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย
”ง้างปากผมสิ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมแวววาว เมื่อผู้กองหนุ่มแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ด้วยจูบของคุณ”
หลังจากได้รับคำชี้แจงเพิ่มเติม หวังหยูเฟิงก็ลอยคว้างกลางอากาศครู่หนึ่ง เขาสบกับดวงตาสีดำที่สว่างราวกับมีดาวฤกษ์ส่องแสงอยู่ข้างในนิ่ง ลมกลางคืนไม่อาจปัดเป่าความร้อนจากลมหายใจที่รินรดในระยะประชิดตอนนี้ได้
“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเรียกชื่ออีกฝ่ายเข้มขึ้นเป็นกำแพงให้ตัวเอง เมื่อช่องว่างระหว่างพวกเขาลดลงทุกวินาที
”ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยรับอย่างว่าง่ายไม่ต่างจากเด็กน้อยที่อยู่ในโอวาท
”คุณเป็นเกย์หรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามอย่างข้องใจ ซึ่งทำให้คนที่กำลังคุกคามชะงักในทันที
“ไม่รู้สิครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ หลังจากปล่อยให้ความเงียบเดินทางผ่าน เขายิ้มมองใบหน้าจริงจังของผู้กองหนุ่ม “ผมรู้แค่ว่า...ผมชอบคุณ”
คำสารภาพที่ไม่คิดว่าจะได้ยินนำพาความตกตะลึงและประหลาดใจเข้ามาจู่โจมผู้กองหนุ่มในทันที
ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของหวังหยูเฟิงไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รับคำหวานแบบนี้ครั้งแรกจากผู้ชายมาก่อน อยากจะคิดว่าอีกฝ่ายแค่พูดไปอย่างนั้น แต่แววตาที่สะท้อนความรู้สึกชัดเจน รวมไปถึงถ้อยคำตอกย้ำก็กระแทกหัวใจของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง
“หวังหยูเฟิง ผมชอบคุณครับ”
“ขอบ...คุณ”
หวังหยูเฟิงปั้นสีหน้าของตัวเองไม่ถูก ถึงบรรยากาศโดยรอบจะทำให้ความรู้สึกอ่อนไหวได้ไม่ยาก แต่ผู้กองหนุ่มก็ยังตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตัวเองควรทำในเวลานี้
“คุณอย่าชวนผมเปลี่ยนเรื่อง ตกลงเรื่องกงเจ๋อตวนว่าอย่างไร”
“ทั้งที่ผมเพิ่งจะบอกความในใจที่มีต่อคุณไป แต่คุณก็เอาแต่ถามเรื่องของคนอื่น”
เจิ้งหยุนหันใบหน้าหนี ก่อนจะหยิบแก้ววิสกี้ของตัวเองขึ้นดื่มราวกับไม่สบอารมณ์นัก หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมากับคนเล่นตัว
“ผมก็บอกขอบคุณไปแล้ว”
”แค่นั้น? ผมก็ไม่ได้หวังให้คุณชอบผมกลับหรอก เพราะผมก็เป็นคนร้ายในสายตาของคุณอยู่แล้ว แต่น่าจะบอกอะไรมากกว่านั้นหน่อยนะครับ”
“คุณต้องการให้ผมบอกอะไร”
หวังหยูเฟิงมองคนที่ทิ้งสายตาไปที่ทะเลอย่างใจเย็น ก่อนเสี้ยวหน้าได้รูปจะหันกลับมาทางเขาอีกครั้ง
“ก็อย่างเช่น...ความรู้สึกที่คุณมีต่อผมมั้งครับ”
“ผมไม่เคยคิดกับคุณในเรื่องแบบนั้น แล้วก็เชื่อว่าคุณคือคนร้ายที่ฆ่าถานอี้เทา และตอนนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับกงเจ๋อตวนด้วย”
“เฮ้อ...คราวนี้พูดถึงคนอื่นเพิ่มมาอีก”
เจิ้งหยุนหันใบหน้าหนีหวังหยูเฟิงอีกครั้ง ชายหนุ่มไม่ได้ขุ่นเคืองกับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะไม่ได้เกินความคาดหมายของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกชอบเท่าไรนัก
“เจิ้งหยุน”
“คำพูดของคนไม่ดีอย่างผม ก็คงไม่มีค่าอะไรสำหรับคุณนักหรอก”
“อย่าประชดผม” หวังหยูเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้น เพราะตอนนี้เขาถูกอีกฝ่ายใช้คำพูดกระแทกกระทั้นไม่หยุด
“ทำไมผมต้องทำแบบนั้น” เจิ้งหยุนว่ากลับ แล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน “เอาเถอะ...ถ้าไม่มีอะไร ผมก็ขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ”
“เรายังคุยกันไม่จบ” หวังหยูเฟิงเอ่ยรั้งพร้อมกับยึดแขนของเจิ้งหยุนไม่ให้ลุกหนี คืนนี้เขาต้องได้คำตอบที่อยากรู้ “ผมจริงจังนะ ผมต้องการรู้เรื่องของกงเจ๋อตวนที่คุณรู้ เพื่อคดีของคุณด้วย”
“หึ! ผมก็จริงจังเหมือนกัน แล้วผมก็บอกเงื่อนไขไปแล้ว” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น เขายกยิ้มที่มุมปาก “ข้อมูลฟรีไม่มีในโลกนะครับผู้กองหวัง”
“ก่อนหน้านี้คุณยังบอกเรื่องค้ามนุษย์ให้ผมรู้อยู่เลย” หวังหยูเฟิงเอ่ยท้วง เจิ้งหยุนเอนตัวไปด้านหลังโดยที่มือทั้งสองข้างวางเป็นหลักอย่างผ่อนคลาย
“เรื่องนั้น ผมรู้ว่าคุณรู้อยู่แล้วครับ”
“คุณกำลังบังคับผม”
เจิ้งหยุนหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นหวังหยูเฟิงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
“คุณกำลังพาลนะครับ” เจิ้งหยุนว่า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างหยอกล้อ “ถึงผมจะไม่เคยเห็นคุณยิ้ม แต่ผมก็ชอบตอนคุณหน้าบึ้งเหมือนกันนะ”
“พูดอะไรของคุณ” หวังหยูเฟิงว่ากลับ ตอนนี้เขาเริ่มสับสนแล้วว่า ควรจะจัดการเรื่องไหนก่อน ระหว่างท่าทีของเจิ้งหยุนหรือเรื่องของกงเจ๋อตวนที่ยังอยากรู้
“พูดเรื่องคนที่ผมชอบครับ” เจิ้งหยุนตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วถามย้ำอีกครั้ง “แล้วตกลงคุณจะเอาอย่างไร จะจูบผมหรือปล่อยให้ผมไปนอน”
หวังหยูเฟิงข่มอารมณ์ยุ่งเหยิงที่ตีรวนอยู่ในใจ ก่อนจะตัดสินใจเด็ดขาด ในเมื่อสิ่งที่เจิ้งหยุนต้องการแลกเปลี่ยนก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเขาด้วย ถึงจะลำบากใจมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรือฝืนใจอะไรนัก
เขาก็แค่อายเท่านั้นเอง...
ผู้กองหวังสูดลมหายใจมองคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นราวกับเร่งรัดให้เขาทำอะไรสักอย่างเสียที มือที่เคยวางอยู่ข้างลำตัวยกขึ้นรั้งท้ายทอยของชายหนุ่มผมยาวให้เข้ามาใกล้พร้อมกับเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าหาเพื่อประทับจูบลงบนกลีบปากบางที่ตอบรับสัมผัสในทันที
พระจันทร์ยังคงลอยเด่นกลางท้องฟ้า น้ำทะเลยังคงเคลื่อนไหวซัดสาดเข้าหาชายหาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ต่างจากชายหนุ่มทั้งสองคนที่ไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกเบื้องลึกที่มีต่อกันผ่านรสจูบที่ทวีความเร่าร้อนขึ้น เสียงสัมผัสดังแทรกแผ่วเบาราวกับเมโลดี้พิเศษที่แต่งเติมบทเพลงของธรรมชาติในตอนนี้ให้อ่อนหวานมากขึ้น
“บอกได้หรือยัง” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเบา หลังจากลมหายใจที่ถูกช่วงชิงขาดห้วงไปชั่วขณะ ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้กองหนุ่มเหน็ดเหนื่อยจนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้าคือหัวใจที่เต้นแรงมากกว่าปกติ
“คุณจูบเก่งขี้นนะครับ ดีใจจัง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แต่ไม่ใช่คำตอบที่หวังหยูเฟิงต้องการ
“เจิ้งหยุน!” หวังหยูเฟิงว่าด้วยใบหน้าบึ้งตึง เวลานี้นายตำรวจไม่อาจเก็บอารมณ์ของตัวเองได้อย่างปกติ “คุณบอกผมมาได้แล้ว
“อีกสองสัปดาห์กงเจ๋อตวนจะมีการนัดแลกเปลี่ยนอาวุธเถื่อนที่โกดังสองฝั่งตะวันตกครับ” เจิ้งหยุนบอกเรื่องราวที่ยื้อมานานในที่สุด ก่อนจะใช้อ้อมแขนของตัวเองโอบกอดนายตำรวจที่ตั้งใจฟังข้อมูลของเขาอย่างแนบเนียน
“วันไหน คุณพอจะรู้แน่ชัดหรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามต่ออย่างกระตือรือร้น โดยไม่ได้สังเกตถึงความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น
“เรื่องนั้นผมยังไม่รู้ครับ” เจิ้งหยุนบอก แล้วใช้ปลายจมูกของตัวเองคลอเคลียผิวแก้มของคนที่จมอยู่ในความคิดอย่างอารมณ์ดี
“แล้วกงเจ๋อตวนจะมาด้วยไหม” หวังหยูเฟิงถามขึ้นอีกครั้ง เขากำลังเรียบเรียงข้อมูลเพื่อส่งต่อให้เพื่อนสนิทที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง
“เรื่องนั้นผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แล้วกดจูบข้างแก้มที่หลอกล่อความอดทนของเขาอย่างอดใจไม่ไหว ซึ่งเรียกนัยน์ตาสีนิลที่จมอยู่ในความคิดให้ตวัดมองในทันที ชายหนุ่มยิ้มรับ “ถ้าคุณอยากรู้ ผมจะหาข้อมูลมาให้ครับ”
“คุณจะหามาอย่างไร” หวังหยูเฟิงถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องจากการถูกล่วงเกินเมื่อครู่ “ว่าแต่คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงเปิดเผยแหล่งข่าวไม่ได้” เจิ้งหยุนตอบ แล้วอมยิ้มออกมา “ข้อมูลอื่นๆ คุณก็ค่อยมาง้างปากจากผมทีหลังนะครับ”
“นี่คุณ...” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างพูดไม่ออก เพราะถ้าเขาอยากรู้อะไรจากผู้ชายคนนี้อีก จะต้องทำเรื่องแบบนี้อีกอย่างนั้นหรือ!
“ยื่นหมูยื่นแมวนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะฉวยโอกาสจุมพิตที่ริมฝีปากบวมเจ่อของหวังหยูเฟิงอย่างรวดเร็ว “ดึกแล้ว คุณไปพักผ่อนเถอะ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินกลับห้องนอนของตัวเองด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ถึงอย่างนั้นเขาก็มีเรื่องที่ต้องคิดก่อน ข้อมูลสำคัญที่เพิ่งรับรู้มาต้องส่งต่อให้ฟ่านมู่เหยียนโดยเร็วที่สุด
หลังจากหวังหยูเฟิงเดินหนีจากไปแล้ว เจิ้งหยุนที่ถูกทิ้งไว้บนพรมที่ปูตรงชายหาดก็ยกแก้ววิสกี้ของตัวเองขึ้นดื่ม สายตาเฉยชาทอดมองทะเลมืดที่ไม่เห็นสิ่งใด ทว่าภายใต้ผืนน้ำสุดจะหยั่งถึงมีกระแสมากมายไหลวนเวียนอย่างเหม่อลอย
“อู่หนิง”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มที่ยืนซ่อนตัวในมุมมืดเพื่อให้เจ้านายได้ใช้เวลาส่วนตัวเพียงลำพังกับผู้กองหวังรีบเดินมารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“ครับนาย”
“บอกเรื่องตำรวจให้ไอ้แก่นั่นรู้ด้วย”
“ครับ”
อู่หนิงโค้งรับคำสั่ง ก่อนจะเดินจากไป และทิ้งให้เจ้านายหนุ่มได้ชื่นชมทิวทัศน์เพียงลำพังต่อ เส้นผมหลุดลุ่ยจากยางรัดพลิ้วไหวไปตามลมทะเลที่เคลื่อนผ่าน ใบหน้าหล่อเหลาที่มักวาดรอยยิ้มบางเสมอแสยะยิ้มขึ้นมาพร้อมกับแววตาคมที่เป็นประกายน่ากลัว
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
อีกด้านหนึ่งหลังจากกลุ่มของเจิ้งหยุนเดินออกจากภัตตาคารเฟยลี่ราวหนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มร่างบางในชุดบริกรก็เดินตรงไปหาผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ของเมืองที่กำลังจะเดินทางกลับที่พักของตัวเอง
ขาเรียวไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในอาณาเขต เขาก็ถูกบอดี้การ์ดกันท่าเอาไว้ด้วยท่าทางข่มขู่ ใบหน้าหวานเกินชายบิดเบี้ยวเล็กน้อยด้วยความขัดใจ ก่อนจะเอ่ยเรียกคนที่ต้องการคุยด้วยอย่างอาจหาญ
“เดี๋ยวก่อนครับท่าน!”
กงเจ๋อตวนหมุนตัวหันกลับมามอง ชายวัยกลางคนรู้สึกแปลกใจที่ถูกหนุ่มน้อยเอ่ยรั้ง แต่พอได้พินิจดวงหน้าละมุนน่ามองก็ทำให้เขายอมหยุดตามคำขอร้องนั้น
“มีอะไร”
“ผมอยากเป็นลูกน้องของท่านครับ! ได้โปรดรับผมเอาไว้ด้วย!”
กงเจ๋อตวนเลิกคิ้วมองหนุ่มวัยละอ่อนที่คุกเข่าขอร้องอย่างสนใจ เดิมทีเขาก็ชอบคนกล้าอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ตกลงในทันที
“ทำไมฉันต้องรับคนอย่างเธอด้วย”
กงเจ๋อตวนพิจารณารูปร่างของอีกฝ่าย ทั้งใบหน้าหวานและร่างกายบอบบาง ผู้ชายคนนี้...ถ้าจะรับก็เป็นได้แค่ของเล่นบนเตียงเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้มีรสนิยมกกเด็กหนุ่มเสียด้วย
หรือว่า...จะลองดูสักที?
“เพื่อเป็นการพิสูจน์ ผมจะพาเส้าซินฉีมาให้ท่านครับ”
เสียงทุ้มหวานที่เอ่ยเงื่อนไขของตัวเองอย่างอวดดี ทำให้กงเจ๋อตวนยกยิ้มขึ้นอย่างถูกใจ เด็กหนุ่มคนนี้คงจะสังเกตเขามาตั้งแต่ก้าวเข้ามาในภัตตาคารแล้ว และเมื่อนึกถึงความงดงามของหญิงสาวที่เพิ่งได้พบ ก็ทำให้ความรุ่มร้อนก่อเกิดขึ้นในใจ
“เธอชื่ออะไร”
“หลีซิงครับท่าน”
“ฉันจะรอ”
“ขอบคุณครับท่าน!”
หลีซิงที่คุกเข่าคำนับลอบยิ้มสมใจ เขารอจนกระทั่งฝีเท้าของกลุ่มคนตรงหน้าหายไป แล้วจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง ใบหน้าหวานทอดมองความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด
TBC++++++++++ 17รอยัลสเตรทฟลัช
-
:katai2-1:
-
พี่หยุนร้ายสุดดดดด o13
-
17
รอยัลสเตรทฟลัช
หลังจากได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มา หวังหยูเฟิงก็รีบส่งต่อไปให้เพื่อนสนิททันที พวกเขาปรึกษากันเล็กน้อย ทางด้านฟ่านมู่เหยียนเองก็พอจะได้ข่าวมาบ้าง เพียงแต่ยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ผู้กองหวังจึงต้องเปลืองตัวเพื่อล้วงข้อมูลจากเจิ้งหยุนอย่างจำใจ ถึงจะรู้สึกแปลกกับความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปจากตอนแรก แต่เวลานี้ชายหนุ่มมีเรื่องอย่างอื่นที่ควรใส่ใจมากกว่า และเมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการมาพอสมควร เวลานัดหมายค้าขายอาวุธเถื่อนของกงเจ๋อตวนก็มาถึงในไม่กี่วัน
หวังหยูเฟิงรู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่ารอคอย คืนนี้ฟ่านมู่เหยียนวางแผนเข้าจับกุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อสืบสาวเอาผิดกับตัวการใหญ่ต่อไป
“เป็นอะไรครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม เมื่อเห็นผู้กองหนุ่มมีท่าทีเคร่งเครียดมากกว่าปกติ ร่างสมส่วนเดินวนไปมาอย่างว้าวุ่น
“คืนนี้มีนัดของกงเจ๋อตวน” หวังหยูเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขาอยากออกไปช่วยเพื่อนสนิท แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองในตอนนี้
“นั่นสินะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยรับอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะนั่งลงที่โซฟานุ่มในห้องนั่งเล่นอย่างผ่อนคลาย “คืนนี้คงวุ่นวายน่าดู”
หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตาไปมองคนที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมอย่างครุ่นคิด ถึงทุกอย่างจะถูกเตรียมการมาอย่างดี แต่ก็ไม่อาจไว้วางใจผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ที่สามารถลอยนวลจากกฎหมายมาหลายปีได้
แล้วตอนนี้...เขาก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วด้วย
นัยน์ตาสีดำมองวิวนอกหน้าต่างที่มืดสนิท มีเพียงแสงไฟสังเคราะห์ที่ประดับส่องสว่างเท่านั้น คืนนี้พระจันทร์ที่ควรลอยเด่นก็ถูกเมฆบดบังราวกับต้องการซ่อนเร้นบางสิ่งเอาไว้
หรือเขาควรจะตามไปช่วยเพื่อนอีกแรง?
“ผมว่าคุณควรทำใจให้สงบ แล้วไปพักผ่อนได้แล้วนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ทั้งที่สายตายังจับจ้องหน้าจอของอุปกรณ์สื่อสารขนาดเล็กที่กำลังฉายภาพกราฟิกของตัวละครที่กำลังควบคุมอยู่อย่างคล่องแคล่ว
“ผมจะรอฟังข่าว” หวังหยูเฟิงบอก ตอนนี้เวลาสี่ทุ่มแล้ว เหตุการณ์ที่เขารอคอยจะเกิดขึ้นราวตีสอง
เจิ้งหยุนเหลือบสายตาขึ้นมองคนที่ทำหน้านิ่ง แต่นัยน์ตามีความกังวลอย่างใช้ความคิด ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรทำรอเวลากันดีไหมครับ”
หวังหยูเฟิงหันไปมองอย่างสงสัย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เมื่อใบหน้าหล่อที่ประดับด้วยรอยยิ้มให้ความรู้สึกไม่น่าไว้ใจ อันที่จริงตอนนี้ผู้กองหนุ่มซาบซึ้งถึงความเจ้าเล่ห์ที่ถูกปกปิดด้วยสีหน้าใสซื่อแสนสุภาพเป็นอย่างดีแล้ว
“เราไปยิงปืนเล่นกันนะครับ”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ประตูใหญ่หน้าคฤหาสน์ริมทะเลในยามดึกถูกเปิดออก ก่อนที่รถสปอร์ตรูปทรงโฉบเฉี่ยวจะวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“เขาจะเปิดหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อใจนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว
“ผมรู้จักกับเจ้าของที่นั่นครับ อยู่ทั้งคืนก็ยังได้” เจิ้งหยุนบอกพร้อมกับเหยียบคันเร่งไปเต็มสมรรถภาพของเครื่องยนต์ที่เคลื่อนผ่านถนนโล่ง
หวังหยูเฟิงไม่ได้ต่อบทสนทนาอีก จนกระทั่งพวกเขาเดินทางมาถึงอาคารแห่งหนึ่งที่เปิดบริการสนามยิงปืนให้กับผู้สนใจทั่วไป หลังจากที่จอดรถเรียบร้อย เจิ้งหยุนก็พานายตำรวจเข้าไปด้านในอาคารสองชั้นที่เงียบสงัด มีเพียงไฟบางดวงที่เปิดอยู่ ผู้กองหนุ่มสำรวจโดยรอบอย่างจับสังเกต เมื่อเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้าไป ทั้งสองคนก็เจอผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ
“สวัสดี” เจิ้งหยุนเอ่ยทัก ชายหนุ่มวัยสามสิบตอนปลายเงยหน้าขึ้นจากงานเอกสารที่ทำอยู่ แล้วส่งยิ้มมาให้
“ฉันเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว” เจ้าของสถานที่เดินนำไปยังด้านในของอาคารที่เชื่อมต่อกับสนามยิงปืนขนาดใหญ่ แล้วหันกลับมาหาลูกค้าที่เหมาใช้สถานที่ทั้งคืน “มีอะไรก็โทรหาฉันแล้วกัน”
“อืม” เจิ้งหยุนตอบรับพลางใช้สายตากวาดมองสนามยิงปืนกลางเก่ากลางใหม่ที่ก่อนหน้านี้เขามาใช้เวลาเพื่อผ่อนคลายอารมณ์บ่อยครั้ง
หวังหยูเฟิงได้แต่มองบุคคลทั้งสองสนทนากันโดยไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม เมื่อผู้ชายซึ่งคาดว่าเป็นเจ้าของสถานที่เดินจากไปเหลือเพียงพวกเขาตามลำพัง ผู้กองหนุ่มก็เอ่ยขึ้น
“เขาเป็นเจ้าของที่นี่หรือ”
“ครับ เขาเป็นเพื่อนของไป๋ลู่เหอ ผมเลยรู้จักไปด้วย”
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปตรวจดูอุปกรณ์ที่คุ้นเคยอย่างพิจารณา ถึงเขาจะเป็นตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เข้าสนามยิงปืนเพื่อฝึกซ้อมมานานแล้ว
ปัง!
เสียงลูกกระสุนที่พุ่งจากรังเพลิงตรงไปยังเป้าที่ห่างออกไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีดำทอดมองความแม่นยำของชายหนุ่มผมยาวอย่างเก็บงำความคิด
หึ!
“เข้ากลางเลยแฮะ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ แล้วหันมายิ้มให้นายตำรวจ “คุณหวังโชว์ฝีมือให้ผมดูหน่อยสิครับ”
“ดูเหมือนคุณก็ฝีมือดี” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับอาวุธสีดำมาไว้ในมือ ผู้กองหวังตั้งสมาธิเพียงชั่วอึดใจ แล้วเหนี่ยวไกปืนด้วยท่าทางเยือกเย็น
ปัง!
เสียงปรบมือดังขึ้นจากผู้ชมที่มีอยู่เพียงคนเดียว เมื่อลูกกระสุนของหวังหยูเฟิงทะลุเป้าตรงกลางที่เจิ้งหยุนเพิ่งเจาะผ่านอย่างแม่นยำตอกย้ำฝีมือที่ไม่ใช่แค่เรื่องอวดอ้าง
“สุดยอดเลยนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมอย่างจริงใจ แต่ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกยินดีอะไรนัก
“ผมต้องแปลกใจมากกว่าที่คุณฝีมือดีมาก” หวังหยูเฟิงเอ่ยกลับ นัยน์ตาที่จ้องมองเป้าเบื้องหน้าเลื่อนมาฉายภาพบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกันแทน “ไม่สิ...ผมน่าจะรู้ฝีมือของคุณดีอยู่แล้ว”
เจิ้งหยุนเลิกคิ้ว ก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่ง ซึ่งถูกจัดเป็นโซฟาชุดพร้อมกับเครื่องดื่มรสร้อนแรงที่ชายหนุ่มสั่งเอาไว้
“ผมก็แค่ยิงปืนเป็นเท่านั้นแหละครับ เทียบฝีมือกับคุณหวังไม่ได้หรอก” เจิ้งหยุนบอก เขานั่งลงอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะเริ่มรินเครื่องดื่มของตัวเองใส่แก้ว
“แล้วคุณไม่ยิงปืนต่อแล้วหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม เมื่อเห็นเจิ้งหยุนตั้งท่าจะสนใจเครื่องดื่มมากกว่า
“เชิญคุณตามสบายเลยครับ” เจิ้งหยุนตอบ ก่อนจะยกแก้วที่บรรจุไวน์แดงขึ้นดื่ม “ที่ผมชวนคุณมาที่นี่ ก็แค่อยากให้คุณสงบใจเท่านั้นเอง”
หวังหยูเฟิงนิ่งไปเล็กน้อย แล้วหันความสนใจไปยังเป้าที่อยู่ห่างออกไป นิ้วมือที่เคยเหนี่ยวไกเคลื่อนไหวอีกครั้ง ก่อนเสียงปืนจะดังขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความเงียบของค่ำคืน
ความกังวลและไม่สบายใจที่หวังหยูเฟิงแบกรับมาก่อนหน้านี้ทุเลาลงตามจำนวนลูกกระสุนที่พุ่งออกไปยังเป้าหมายอย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกัน
เจิ้งหยุนก็ยกยิ้มขึ้นพลางมองผู้กองหนุ่มด้วยความรื่นรมย์ ภาพในความทรงจำยามที่ได้เจออีกฝ่ายครั้งแรกกลับเข้ามาในความคิด นายตำรวจที่มุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยฝีมือที่ตรึงสายตาของเขาเอาไว้
สายตาสีนิลที่แน่วแน่และท่าทางเหนี่ยวไกปืนที่สงบนิ่งของหวังหยูเฟิงตอนนี้ ทำให้เจิ้งหยุนร้อนรุ่มใจจนอยากจะเข้าไปขย้ำอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน ทว่าเขาก็ทำได้เพียงลิ้มรสเครื่องดื่มในมือเพื่อดับความกระหายอยากของตัวเองเท่านั้น
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ในขณะที่เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความคิดของหวังหยูเฟิงที่กำลังรอฟังข่าวคราวของเพื่อนสนิทอย่างใจจดใจจ่อ ทางด้านของฟ่านมู่เหยียนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ก็กำลังรอจังหวะเพื่อเข้าจับกุมคนร้ายตามแผนการที่ได้วางเอาไว้
เมฆที่เคยปิดบังแสงจันทร์เลื่อนผ่านเผยให้ความงดงามของโคมแขได้อย่างเต็มที่ ในช่วงเวลาที่ผู้คนควรพักผ่อนเพื่อเริ่มต้นในวันรุ่งขึ้น มีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่แต่งกายด้วยชุดสีทึบมารวมตัวกันที่โกดังทางด้านตะวันตกของเมืองเพื่อทำธุรกิจผิดกฎหมาย
นัยน์ตาคมของผู้กองหนุ่มจ้องมองทุกอย่างอย่างใจเย็น เขายกมือให้สัญญาณผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานด้วยความเงียบและว่องไวเพื่อจับกุมคนร้าย พร้อมทั้งยึดของกลางเพื่อใช้เป็นหลักฐานต่อไป
ทว่าก่อนที่ฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฏร์จะได้ลงมือเต็มกำลัง เสียงปืนที่ดังจากทางด้านหลังอย่างคาดไม่ถึงก็ทำให้ประสาทสัมผัสของฟ่านมู่เหยียนตื่นตัวอย่างรุนแรง ชายหนุ่มรีบยกปืนตั้งท่าเตรียมพร้อมการจู่โจมกะทันหันในทันที
ปัง! ปัง! ปัง!
การต่อสู้ระหว่างตำรวจและผู้ร้ายเปิดฉากขึ้น อาวุธที่เคยเป็นสินค้าถูกนำมาใช้งานเพื่อจู่โจมฝ่ายตรงข้าม รอยเลือด ปลอกกระสุน และร่างไร้วิญญาณอยู่โดยรอบไม่ต่างจากภาพศิลปะที่ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกสยองขวัญและหดหู่
“เรียกกำลังเสริม!” ฟ่านมู่เหยียนตะโกนสั่งพร้อมกับยิงสวนปะทะกับผู้ร้ายอย่างไม่ยอมแพ้
พวกเขาถูกตลบหลัง!
ฟ่านมู่เหยียนขบกรามแน่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเองก็เผื่อแผนสำรองในกรณีนี้มาแล้ว แต่ที่คาดไม่ถึงคือจำนวนที่มากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้
“ผู้กองฟ่านครับ! กองเสริมจะมาภายในห้านาที!” นายตำรวจที่อยู่ไม่ห่างรีบรายงานด้วยความรวดเร็ว ฟ่านมู่เหยียนพยักหน้ารับ ถึงเหตุการณ์จะผิดพลาด แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะยึดของกลางเอาไว้ให้ได้
ผู้กองฟ่านวิ่งเข้าที่กำบังพร้อมกับช่วยพยุงลูกน้องที่ได้รับบาดเจ็บไปด้วย ห้านาทีที่รอคอยไม่ต่างจากห้าปีที่ยาวไกล ถึงฝ่ายผู้ร้ายจะบาดเจ็บและถูกจับตายไปไม่น้อย แต่ฝ่ายตำรวจก็ได้รับความเสียหายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ฟ่านมู่เหยียนพาลูกน้องที่ช่วยเหลือเอาไว้ให้รออยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวสาดกระสุนใส่คนร้ายที่ติดตามอย่างแม่นยำ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ผู้กองหนุ่มไม่อาจต้านทานจำนวนคนที่มากกว่าได้ เขาจึงเลือกที่จะถอยเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง ทว่าลูกกระสุนที่คร่าชีวิตผู้คนอย่างง่ายดายก็พุ่งเข้ามาที่กลางลำตัวเสียก่อน
“อึก!”
ฟ่านมู่เหยียนกัดฟันแน่นพร้อมกับทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความจุก เขาใส่เกราะอ่อนเพื่อป้องกันอันตรายถึงชีวิตแต่ไม่อาจลดทอนความเจ็บจากแรงอัดของกระสุนปืนอย่างรุนแรงมากมายที่พุ่งเข้าใส่อย่างไม่ปรานีได้
ปัง! ปัง!
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าทีมหอบหายใจแรงกลั้นความเจ็บ เมื่อย่างก้าวของเขาถูกสกัดด้วยลูกกระสุนที่ทะลุเข้าที่ขาทั้งสองข้างจนล้มลง เสียงเย้ยหยันดังแว่วมากับสายลมยามดึก ถึงจะเหนื่อยล้าและบาดเจ็บ แต่ฟ่านมู่เหยียนก็ไม่ยอมแพ้ต่อผู้ที่กระทำความผิด ศักดิ์ศรีและหน้าที่อันทรงเกียรติกระตุ้นแรงใจเต็มเปี่ยม
“ฮ่าๆ ลาก่อน”
ชายหนุ่มที่สวมเครื่องแต่งกายมิดชิดเหยียดยิ้มในความมืด ปลายกระบอกปืนจ่อเข้าที่ใบหน้าของผู้กองหนุ่มที่วาระสุดท้ายของชีวิตกำลังมาถึง ก่อนเสียงที่ร้องเรียกมัจจุราชจะดังขึ้น
ปัง! ปัง!
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
เสียงร้องจากโทรศัพท์มือถือของหวังหยูเฟิงฉุดภวังค์ความคิดของเจ้าของให้รีบสนใจทันที ตอนนี้เข้าช่วงเช้าตรู่แล้ว แต่ผู้กองหวังและคุณชายเจิ้งก็ยังอยู่ด้วยกันที่สนามยิงปืน
ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้วอย่างกังวล เมื่อสายที่ติดต่อเข้ามาคือแฟนสาวของเพื่อนสนิท
“เสี่ยวโหยว”
[พี่...ฮึก หยูเฟิง]
เสียงหวานสะอื้นที่ดังลอดออกมา ทำให้ชายหนุ่มหัวใจสั่นไหวในทันที เขาพยายามตั้งสมาธิเพื่อรอรับฟังเรื่องร้ายที่กำลังจะได้รับรู้
“ใจเย็น มู่เหยียนเป็นอะไร”
ภารกิจในการเข้าจับกุมเครือข่ายของกงเจ๋อตวนในคืนนี้ล้มเหลวอย่างนั้นหรือ หวังหยูเฟิงขบคิดพร้อมกับเสียงหวานเศร้าที่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
[ฮึก...พี่มู่เหยียนถูกยิงค่ะ]
“เดี๋ยวพี่จะไปหา”
[...ค่ะ]
ผู้กองหนุ่มวางสายของหญิงสาวพร้อมกับลุกขึ้นยืน ถึงแม้การยิงปืนก่อนหน้านี้จะช่วยบรรเทาความกลัดกลุ้มของเขาไปได้มาก แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งเหตุร้ายที่สังหรณ์ใจก่อนหน้านี้ได้
“เกิดอะไรขึ้นครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม หลังจากหวังหยูเฟิงวางสาย
“ผมจะไปโรงพยาบาล คุณกลับไปก่อนได้เลย” หวังหยูเฟิงบอกพร้อมกับเดินออกไปจากสนามยิงปืนอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวผมไปส่งครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยอีกครั้ง หวังหยูเฟิงจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เพราะตอนนี้เขาอยากไปหาเพื่อนสนิทให้เร็วที่สุด
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เจิ้งหยุนมาส่งหวังหยูเฟิงที่โรงพยาบาล ก่อนที่นายตำรวจจะขอร้องกึ่งไล่เจ้าของผับกาเบรียลให้กลับไปก่อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก
“วันนี้ผมว่าง มีเวลาให้คุณได้ทั้งวัน” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วยุ่ง
“ขอเถอะ...อย่ามาดื้อกับผมตอนนี้ได้ไหม” หวังหยูเฟิงว่าอย่างเหนื่อยใจ เจิ้งหยุนก็ถอนหายใจออกมา
“ก็ได้ครับ แต่ผมจะได้อะไรเป็นรางวัลที่เชื่อคุณ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นต่อพร้อมกับจ้องนัยน์ตาสีดำอย่างคาดหวัง
“ผมติดคุณไว้ก่อนก็แล้วกัน” หวังหยูเฟิงเอ่ยตัดบท ก่อนจะลงจากรถยนต์ราคาแพง แล้วรีบเดินไปด้านในของโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ
หลังจากที่หวังหยูเฟิงเดินผ่านประตูห้องพักพิเศษเข้ามา เขาก็เห็นเพื่อนสนิทยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงผู้ป่วย โดยที่มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
“พี่หยูเฟิง” ถังเสี่ยวโหยวรีบลุกขึ้นยืน ใบหน้าเศร้าสร้อยเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาอีกครั้ง
“อาการของมู่เหยียนเป็นอย่างไรบ้าง” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามพร้อมกับลูบศีรษะแฟนสาวของเพื่อนอย่างปลอบประโลม
“ร่างกายโดยรวมปลอดภัยแล้วค่ะ แต่ไม่รู้จะฟื้นได้เมื่อไร”
ถังเสี่ยวโหยวตอบเสียงเครือ เธอรีบกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อล้น ยามเมื่อนึกถึงภาพของคนรักก่อนหน้านี้
“อืม มันดวงแข็ง ไม่เป็นอะไรง่ายๆ อยู่แล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงนุ่ม เขายิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังร่างที่นอนสงบอยู่บนเตียง
ความเงียบเดินผ่านไปทั่วห้องพัก ถังเสี่ยวโหยวมองคนรักที่ยังไม่ฟื้น ก่อนจะตัดสินใจหันไปทางผู้กองหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย
“พี่คะ”
“อะไรหรือ”
“ฉัน...มีเรื่องอยากจะขอร้องพี่”
หวังหยูเฟิงมองใบหน้าหวานเศร้าหมองอย่างสงสัย นัยน์ตากลมที่เคลือบน้ำตาทอความจริงจังและน่าเห็นใจ
“ว่ามาสิ”
ถังเสี่ยวโหยวกลั้นลมหายใจเล็กน้อย หญิงสาวมองชายคนรักบนเตียง ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องสำคัญที่เธอเพิ่งจะตัดสินใจได้เด็ดขาดเมื่อครู่นี้
“ฉันอยากให้พี่ช่วยทำงานนี้แทนพี่มู่เหยียนได้ไหมคะ” ถังเสี่ยวโหยวเอ่ยขึ้น เธอมองใบหน้านิ่งสงบของผู้กองหนุ่มอย่างเว้าวอน “จะหาว่าฉันเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ฉันไม่อยากให้พี่มู่เหยียนเป็นอะไรไปอีก”
หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมา ชายหนุ่มเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดี ฟ่านมู่เหยียนและถังเสี่ยวโหยวกำลังจะแต่งงานในไม่กี่เดือนข้างหน้า ไม่แปลกที่เธอจะหวาดกลัว ถึงแม้จะเข้าใจอาชีพของคนรักก็ตามที
“ได้สิ” หวังหยูเฟิงตอบรับเสียงอ่อน เขายิ้มบางออกมา
“ขอบคุณค่ะ!” ถังเสี่ยวโหยวเอ่ยเสียงเครือด้วยความซึ้งใจ รอยยิ้มแรกของวันปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานที่หม่นหมอง ผู้กองหวังพยักหน้ารับสำทับ ก่อนจะมองเพื่อนสนิทและแฟนสาวโดยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
ตำรวจเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ก็เสี่ยงอันตรายทุกเมื่อ ขณะที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้อื่นและรักษาความสงบในสังคม ในทางกลับกันก็ได้สร้างบาดแผลให้คนที่คอยห่วงใยอยู่ข้างหลัง
กงเจ๋อตวนเป็นคนอันตราย ไม่มีใครรู้ว่าครั้งหน้าที่ได้ปะทะกันจะเกิดอะไรขึ้นอีก คนที่ไม่มีภาระและครอบครัวรออยู่อย่างผู้กองหวังจึงสมควรรับหน้าที่นี้ที่สุดแล้ว
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากเยี่ยมฟ่านมู่เหยียนและอยู่เป็นเพื่อนถังเสี่ยวโหยวพักใหญ่ ชายหนุ่มก็ขอตัวลา ก่อนจะเดินทางไปยังสถานีตำรวจต่อ
เมื่อหวังหยูเฟิงไปถึง นายตำรวจยศต่ำกว่าต่างก็แสดงความเคารพ เขาทำเพียงพยักหน้ารับ แล้วเดินตรงไปยังห้องของสารวัตรทันที
“ผู้กองหวังคะ”
เสียงเรียกที่ดังขึ้น ทำให้หวังหยูเฟิงต้องหยุดฝีเท้าของตัวเอง เขาหันกลับไปมอง แล้วก็ส่งยิ้มบางให้หมวดสาวคนสนิท
“เจียวเซินเป็นอย่างไรบ้าง”
“สบายดีค่ะ แต่งานยุ่งมากเลย” เว่ยเจียวเซินบ่นอุบ ท่าทีสดใสร่าเริงของเธอ ทำให้หวังหยูเฟิงผ่อนคลายมากขึ้น
“ที่ต้องทำงานหนักก็เพื่อให้ประชาชนสงบสุขนะ” หวังหยูเฟิงเอ่ยให้กำลังใจหญิงสาว ในสายตาของผู้กองหนุ่ม เว่ยเจียวเซินก็ไม่ต่างจากน้องสาวของเขาคนหนึ่ง
“ค่ะ” หมวดสาวเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ก่อนนัยน์ตาหวานจะหมองลง “ผู้กองหวังรู้เรื่องผู้กองฟ่านหรือยังคะ”
“ผมรู้แล้ว เพิ่งไปเยี่ยมมา” หวังหยูเฟิงบอก ความกังวลกลับเข้ามาในความรู้สึกอีกครั้ง “ตอนนี้เขายังไม่ฟื้น แต่ก็อีกไม่นานหรอก ไม่ต้องห่วง”
“ค่ะ เย็นนี้ดิฉันว่าจะไปเยี่ยมเหมือนกัน” เว่ยเจียวเซินเอ่ยเสียงเบา หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ
“อืม ถ้าอย่างไรผมขอตัวไปพบสารวัตรก่อน”
หลังจากพูดคุยกับนายตำรวจสาวเสร็จ หวังหยูเฟิงก็เดินตรงไปยังจุดหมายเดิมต่อ เมื่อถึงหน้าประตูห้องทำงานของสารวัตร เขาก็เคาะตามมารยาท ก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบ
“สวัสดีครับท่าน” หวังหยูเฟิงเอ่ยทักทายพร้อมกับแสดงความเคารพผู้บังคับบัญชาด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“คุณมาก็ดี ผมกำลังจะเรียกตัวคุณอยู่เชียว” สารวัตรใหญ่แห่งสถานีตำรวจเอ่ยขึ้น ใบหน้าคร้ามตามวัยเคร่งขรึม “นั่งก่อนสิ”
“ครับ” หวังหยูเฟิงเอ่ยรับ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับท่านสารวัตร
“คุณคงรู้เรื่องเมื่อคืนนี้แล้ว”
“ผมทราบแค่เรื่องที่ผู้กองฟ่านได้รับบาดเจ็บครับ”
“อย่างนั้นหรือ เมื่อคืนนี้เราโดนกงเจ๋อตวนตลบหลัง ยังดีที่เตรียมกำลังเสริมไว้ แต่ก็ยึดได้แค่ของกลางบางส่วน คนร้ายที่ต้องการนำมาซักทอดบางคนหนีรอดไปได้ แล้วก็ถูกจับตายและฆ่าตัวตายก่อนที่เราจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม”
หวังหยูเฟิงพิจารณาเรื่องราวที่ได้รับฟัง การที่กงเจ๋อตวนสามารถวางแผนแบบนี้ได้ แสดงว่าต้องมีคนบอกข่าวของตำรวจให้อีกฝ่ายรู้ แล้วคนเดียวที่เข้ามาในความคิดของเขาก็คือ เจ้าของคฤหาสน์ริมทะเล...เจิ้งหยุน!
“ผู้กองฟ่านบอกกับผมว่า เรื่องการค้าขายครั้งนี้ได้ข้อมูลมาจากคุณ” สารวัตรเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมจ้องมองลูกน้องแน่วแน่ “คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“บางทีข้อมูลของเราอาจจะรั่วไหล” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น เขาได้แต่ตอบไปตามสถานการณ์เท่านั้น ผู้กองหนุ่มสบตากับผู้บังคับบัญชาอย่างจริงจัง “ท่านครับ เรื่องของกงเจ๋อตวนต่อจากนี้ ผมจะจัดการต่อเองครับ”
“แล้วเรื่องของเจิ้งหยุนที่คุณกำลังทำอยู่ล่ะ” สารวัตรเอ่ยถามถึงหน้าที่ในตอนนี้ หวังหยูเฟิงเก็บความรู้สึกขุ่นเคืองผู้ชายคนนั้นเอาไว้ในใจ
“เขาไม่มีอะไรหรอกครับ บางทีเราอาจกำลังจับตามองผิดคน” หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบคำโกหกเสียงเรียบ
“อืม ถ้าอย่างนั้นผมอนุญาตให้คุณทำ” สารวัตรเอ่ยขึ้น แล้วแสดงท่าทีกังวลใจออกมาเล็กน้อย “แต่ถ้าผู้กองฟ่านฟื้นแล้ว ก็อย่าลืมไปบอกเขาด้วยตัวเองล่ะ ผมไม่อยากฟังคำโวยวายของเขา”
“ได้ครับ” หวังหยูเฟิงตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ฟ่านมู่เหยียนเป็นคนขี้เล่น แต่ก็จริงจังในเรื่องงานไม่ต่างจากเขา ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าโดนขโมยงานของตัวเองไปทำคงไม่ยอมง่ายๆ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“นายครับ มีสายจากกงเจ๋อตวนครับ”
เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะรับโทรศัพท์มือถือมาพูดคุยกับคนที่ไม่อยากจะเสวนาสักเท่าไร
“ฮัลโล”
[คุณเจิ้ง สบายดีไหม]
“มีธุระอะไรกับผม”
[อย่าใช้น้ำเสียงเย็นชาอย่างนั้นสิ ทั้งที่คุณเพิ่งช่วยผมไปแท้ๆ ฮ่าๆ]
เจิ้งหยุนขมวดคิ้ว เขาอยากจะเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือในมือทิ้ง เพราะรำคาญน้ำเสียงน่ารังเกียจของปลายสาย แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ การจัดการกับปลาใหญ่ต้องใจเย็น
“ผมไม่ว่าง รีบพูดธุระของคุณมาได้แล้วครับ”
[ผมก็แค่อยากมาขอบคุณน้ำใจของคุณ ถือว่าไอ้ผู้กองนั่นยังดวงแข็ง ถึงได้รอดเงื้อมมือของผมไปได้]
“แค่นี้หรือ”
น้ำเสียงเฉยชาของเจิ้งหยุนเรียกเสียงหัวเราะของคนอารมณ์ดีอีกครั้ง กงเจ๋อตวนยกยิ้มอย่างชอบใจ เมื่อคืนนี้เขาได้วางแผนจัดการฟ่านมู่เหยียนที่เป็นศัตรู โดยการเสียสละของบางส่วนเป็นตัวล่อ แท้ที่จริงแล้วการนัดหมายค้าขายอาวุธเถื่อนล็อตใหญ่จะเริ่มขึ้นในคืนนี้
ซึ่งความสำเร็จส่วนหนึ่งก็ต้องยกให้เจิ้งหยุนที่นำข่าวมาบอก ถึงจะไม่รู้ว่าตำรวจล่วงรู้แผนการลับของตัวเองได้อย่างไรก็ตาม แต่การเป็นมิตรกันย่อมดีกว่าเป็นศัตรู
[เพื่อเป็นการขอบคุณเรื่องนี้ ผมจะจัดการหวังหยูเฟิงให้คุณดีไหม ดูเหมือนเขากำลังจับผิดคุณอยู่นี่]
“อย่ามายุ่งเรื่องของผม”
น้ำเสียงเยือกเย็นที่บ่งบอกความไม่พอใจไม่ได้ทำให้กงเจ๋อตวนรู้สึกขุ่นเคืองหรือกริ่งเกรง เขาหัวเราะออกมาเบาๆ
[คุณปฏิเสธน้ำใจของผมอยู่เรื่อย เอาเถอะ..อีกไม่นานผมกำลังจะมีงาน เดี๋ยวจะส่งบัตรเชิญไปให้คุณแล้วกัน]
“ถ้าไม่มีอะไร ผมขอวาง”
[อืม แล้วเจอกัน]
เจิ้งหยุนกำโทรศัพท์มือถือแน่น เขาเกือบจะขว้างอุปกรณ์สื่อสารในมือทิ้ง หลังจากได้ยินเสียงน่ารังเกียจเอ่ยถึงผู้กองของเขา
“หึ!” เจิ้งหยุนแค่นยิ้มออกมา ก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถืออย่างไม่สนใจ ซึ่งผู้ติดตามคนสนิทก็รีบไปรับเอาไว้อย่างทันท่วงที
อู่หนิงลอบมองสีหน้าครุ่นคิดของเจ้านายอย่างนึกหวั่นใจ ก่อนจะรีบเดินออกห่าง เพราะไม่แน่ใจว่า ตัวเองจะถูกลูกหลงจากพื้นอารมณ์แปรปรวนของเจิ้งหยุนหรือเปล่า ในเวลานี้คงมีเพียงคนเดียวที่จะทำให้ปิศาจร้ายกลายเป็นเด็กน้อยได้
ปัง! เพล้ง! โครม!
ผู้กองหวังกลับมาไวๆ นะครับ...
อู่หนิงได้แต่ภาวนา เขาต้องรอเจ้านายระบายอารมณ์ให้เสร็จก่อน ถึงค่อยเข้าไปเก็บกวาดข้าวของที่เสียหายให้เรียบร้อย
TBC++++++++18เหยื่อที่ถูกสังเวย
Marionetta ดีค่ะ มาลงแบบต่อเนื่อง คิดว่าน่าจะลงครบก่อนหมดวันจองเล่มพอดี 555 ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
-
:katai2-1:
-
:pig4:
-
18
เหยื่อที่ถูกสังเวย
ท้องฟ้าที่เคยสดใสถูกย้อมเป็นสีส้มอ่อน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท หลังจากที่หวังหยูเฟิงจัดการธุระและประสานงานของเพื่อนสนิทที่ค้างคาอยู่เสร็จ เขาก็ใช้บริการโดยสารสาธารณะลงที่ถนนใหญ่ แล้วเดินเท้าจนมาถึงคฤหาสน์ริมทะเล
“ผู้กองหวังเดินมาหรือครับ!” ต้าหุ่ย ชายหนุ่มที่ดูแลการเข้าออกของคฤหาสน์เอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ เพราะระยะทางจากถนนใหญ่มาถึงที่นี่ไม่ใช่ใกล้ๆ
“อืม” หวังหยูเฟิงเอ่ยรับเสียงเนือยพร้อมกับเดินเข้าไปในอาณาเขตของทายาทคนเล็กของตระกูลเจิ้งอย่างไม่รีบร้อน ใบหน้าของนายตำรวจอิดโรยเล็กน้อย เพราะเขายังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน แล้ววันนี้ก็มีหลายเรื่องให้ต้องจัดการอีก
“กลับมาแล้วหรือครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาแต้มรอยยิ้มบางเป็นปกติ “ทำไมไม่โทรมาบอก ผมจะได้ไปรับ”
“ไม่รบกวนคุณหรอก” หวังหยูเฟิงเอ่ยปฏิเสธ เขามองชายหนุ่มผมยาวด้วยใบหน้านิ่งสงบ “ผมจะกลับไปทำงานที่สถานีตำรวจตามปกติ ส่วนเรื่องคนคุ้มครองคุณ ผมจะส่งคนอื่นมาแทน”
“ผมว่าเราเคยคุยเรื่องนี้ไปแล้วนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงแข็งขึ้น รอยยิ้มจืดจางลงไปถนัดตา
หวังหยูเฟิงถอนหายใจ เขาอยากจะถามเรื่องราวหลายอย่างจากคนตรงหน้า แต่ในเมื่อเลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่งมองไม่เห็นความผิดของอีกฝ่ายไปแล้ว ชายหนุ่มก็จะไม่เสียเวลากับอะไรที่ไม่จำเป็นอีก
เหตุการณ์ที่ผิดพลาดจนทำให้ฟ่านมู่เหยียนได้รับบาดเจ็บหนัก ส่วนหนึ่งก็มาจากความประมาทของเขาเองด้วย
เขาเผลอวางใจเจิ้งหยุนมากเกินไป...
ทั้งที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ร้าย แต่เขาก็ยังปล่อยให้ความใกล้ชิด รวมไปถึงความคุ้นเคยบังตาและความคิด
“ผมต้องไปทำงานแทนเพื่อนที่ได้รับบาดเจ็บ” หวังหยูเฟิงอธิบาย แล้วสบนัยน์ตาคมนิ่งอย่างใจเย็น “หลังจากนี้ผมต้องไปจัดการเรื่องของกงเจ๋อตวนก่อน”
คำพูดของหวังหยูเฟิงไม่ได้ทำให้เจิ้งหยุนพอใจแม้แต่น้อย ถึงอยากจะเอาแต่ใจแล้วรั้งผู้กองหวังเอาไว้ แต่ชายหนุ่มก็ตระหนักดีว่า ครั้งนี้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
“เอาเถอะครับ ไม่ต้องส่งใครมาแทนคุณหรอก” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงห้วน ก่อนจะเดินนำไปทางห้องรับประทานอาหาร “ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ”
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุน แล้วเดินตามอีกฝ่ายไปโดยไม่ได้พูดคุยอะไรอีก
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หวังหยูเฟิงเดินทางออกจากคฤหาสน์ริมทะเลในตอนดึก และในวันรุ่งขึ้นผู้กองหนุ่มก็ไปทำงานตามปกติ มอเตอร์ไซค์ที่เคยยืมเพื่อนสนิทมาใช้จอดอยู่ที่ลานจอดรถของสถานีตำรวจ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในอาคารด้วยท่าทีมั่นคง
บรรยากาศภายในสถานีตำรวจยังเหมือนเดิม หวังหยูเฟิงเดินเข้าไปในห้องทำงาน แล้วบอกให้เว่ยเจียวเซินรวบรวมเอกสารของกงเจ๋อตวนที่เพื่อนสนิทดูแลทั้งหมดมา เพื่อเริ่มต้นงานใหม่ของตัวเองอย่างขยันขันแข็ง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เส้าซินฉีทิ้งตัวลงบนโซฟาในคอนโดมิเนียมอย่างหงุดหงิด วันนี้เธอติดต่อไปหาเจิ้งหยุน แล้วก็ถูกชายหนุ่มปฏิเสธ แถมยังไร้เยื่อใยมากกว่าทุกครั้งเสียด้วย หลายวันแล้วที่หญิงสาวไม่มีโอกาสสร้างความสนิทสนมกับเจ้าของผับกาเบรียลอย่างที่ใจต้องการ
คุณหนูเส้าถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปแต่งตัว แล้วตัดสินใจออกจากห้องพัก เวลาที่ผู้หญิงอารมณ์ไม่ดี การใช้เงินซื้อความสุขก็เป็นทางแก้ที่ดีและรวดเร็วที่สุด
เส้าซินฉีใช้เวลาไม่นาน ร่างบางไม่ต่างจากนางแบบก็เดินออกจากห้อง เธอเดินไปทางลานจอดรถที่มีคนขับรถและคนคุ้มกันมารอรับอยู่ก่อนแล้ว
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ตุบ! ปึก!
ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า ผู้ชายสองคนในชุดรัดกุมเข้าโจมตีคนขับรถและบอดี้การ์ดของลูกสาวนักธุรกิจใหญ่อย่างอุกอาจ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ หลีซิงหันไปมองผู้ชายอีกคนที่กำลังลากเหยื่อให้หลบซ่อนสายตาจากคนอื่น
“หลีซิง แล้วจะเอาอย่างไรต่อ”
เสียงทุ้มเรียบของคนร่วมแผนการ ทำให้ใบหน้าที่สวยเกินชายยุ่งขึ้น หลีซิงเข้าไปถอดชุดของคนขับรถประจำตัวคุณหนูเส้าเพื่อปลอมตัว
“รอเวลาให้ยายนั่นกลับมา” หลีซิงตอบ ริมฝีปากสีอ่อนแสยะยิ้มอย่างมาดร้าย โชคดีที่เส้าซินฉีไม่ชอบให้ใครตามติดในเวลาส่วนตัว ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงลงมือลำบากขึ้น
อินเสี้ยวตงถอดเครื่องแต่งกายของบอดี้การ์ดที่หมดสติมาใส่ นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองชายร่างบางที่กำลังหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ
“อย่าสูบเยอะ” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้น วันนี้หลีซิงสูบบุหรี่มาหลายมวนแล้ว
“เรื่องของฉันน่า” หลีซิงตอบปัด แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาที่นิ่งเสมอเจือความไม่พอใจ เด็กหนุ่มก็เสียงอ่อนลง “ก็ฉันเครียดนี่ ขอมวนสุดท้ายนะ”
อินเสี้ยวตงไม่ตอบ แล้วยืนพิงผนังปูนสีขาวรอเวลา ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย เขารู้จักกับหลีซิงที่สำนักสอนศิลปะการต่อสู้ของตระกูลหม่า ในครั้งแรกที่ได้พบ ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกอะไร ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีใบหน้างดงามน่ามอง แต่เมื่อได้เห็นความพยายามของร่างบาง ถึงได้เริ่มสนใจ
เดิมทีหลีซิงก็มีรูปร่างและหน้าตาไม่สมชายจนถูกคนในสำนักกลั่นแกล้ง แต่ความไม่ยอมแพ้และอดทน ก็ทำให้อินเสี้ยวตงหลวมตัวเข้ามาปกป้อง
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด กว่าที่เขาจะทันได้รู้สึกตัว สายตาก็เอาแต่เฝ้ามองหลีซิงอยู่เสมอ ยิ่งได้พูดคุยและรู้เรื่องราวของอีกฝ่าย ความสงสารในคราแรกก็แปรเปลี่ยน
อินเสี้ยวตงไม่ค่อยนึกเห็นด้วยกับแผนการของร่างบางนัก แต่ความคับแค้นใจที่กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาของหลีซิงก็ทำให้ชายหนุ่มใจอ่อนตบปากรับคำให้ความช่วยเหลือ
เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ไปผจญกับอันตรายตามลำพังได้ ถึงแม้หลีซิงจะต้องการหลอกใช้ก็ตาม
ชายหนุ่มไม่ได้คาดหวังอะไร แค่อยากดูแลและปกป้องในฐานะ...เพื่อนที่แอบรักคนหนึ่งเท่านั้น
พวกเขารอเวลาอย่างใจเย็นพร้อมกับมองคนขับรถและบอดี้การ์ดที่ตอนนี้กำลังดิ้นหนีจากพันธนาการในความมืดที่บุรุษทั้งสองจากสำนักตระกูลหม่าสร้างขึ้น
หลีซิงยกยิ้มขึ้น ก่อนจะเดินไปย่อตัวลงข้างเหยื่อเคราะห์ร้ายที่ถูกคลุมหัวและปิดปากของตัวเองอย่างย่ามใจ นัยน์ตาสวยเปล่งประกาย
“พวกเราไม่ฆ่าพวกแกหรอก แค่ทำตามคำสั่งของท่านกงเจ๋อตวนเท่านั้น” หลีซิงเอ่ยขึ้น รอยยิ้มหวานวาดบนริมฝีปาก ถึงแม้คู่สนทนาทั้งสองจะไม่ได้เห็นก็ตาม “มีอะไรก็ไปเอาเรื่องกับเจ้านายของพวกเราก็แล้วกัน”
สิ้นคำพูด หลีซิงก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้อินเสี้ยวตงจัดการคนที่ตกอยู่ในเงื้อมมือจนหมดสติไปอีกครั้ง
หลีซิงมองร่างสูงอย่างสมใจ ถ้าว่ากันตามจริงแล้วบุรุษตรงหน้าถือเป็นรุ่นพี่ในสำนักที่มีฝีมือ นอกจากนี้เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความรู้สึกผ่านสายตานิ่งเรียบของอินเสี้ยวตงอีกด้วย ทว่าหัวใจของเด็กหนุ่มมีเพียงบุคคลผู้เดียวเท่านั้น และไม่อาจเปิดรับใครได้อีก โดยเฉพาะในยามที่ความแค้นสุมอกเช่นนี้
ช่วงบ่ายคล้อยเลื่อนมาถึงหัวค่ำ หลีซิงและอินเสี้ยวตงยังรอคอยเป้าหมายต่อไป จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์มือถือของผู้ติดตามของเส้าซินฉีดังขึ้น เด็กหนุ่มจึงกดรับสาย
[ฉันจะกลับแล้ว]
“ครับ”
หลีซิงเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับรถ โดยมีอินเสี้ยวตงนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับในสถานะบอดี้การ์ด
รถยนต์คันหรูเคลื่อนที่มาจอดเทียบตรงหน้าเส้าซินฉีอย่างรวดเร็ว ก่อนที่บอดี้การ์ดตัวปลอมจะกระวีกระวาดไปเปิดประตูให้คุณหนูและเอาของไปเก็บอย่างรู้งาน หญิงสาวไม่ได้สนใจมอง เธอเดินเข้าไปนั่งที่เบาะด้านหลังตามปกติ
“พาฉัน...”
ในขณะที่เส้าซินฉีกำลังจะออกตำสั่ง อินเสี้ยวตงก็หันไปมองพร้อมกับฉีดสเปรย์ยาสลบใส่หญิงสาวทันที
“หึ...” หลีซิงแค่นยิ้มออกมา สายตาเหลือบมองเส้าซินฉีผ่านกระจกมองหลังเล็กน้อย แล้วกลับมาสนใจถนนข้างหน้าต่อ
“แน่ใจแล้วใช่ไหมที่จะทำแบบนี้” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้น เขานึกสงสารหญิงสาวที่ต้องเป็นเหยื่อล่อในครั้งนี้ โดยไม่ได้ล่วงรู้เจตนาแอบแฝงของหลีซิงแม้แต่น้อย
“ช่วยไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องมีของบรรณาการไปให้ไอ้แก่นั่นนี่” หลีซิงเอ่ยตอบ แล้วถอนหายใจออกมา “นายอยากถอนตัวตอนนี้ก็ได้ ฉันจะจัดการต่อคนเดียวเอง”
“นายควรรู้จักประมาณตัวเองด้วย” อินเสี้ยวตงเอ่ยเตือน เขาไม่มีทางปล่อยให้ลูกแกะอย่างหลีซิงเข้าไปในดงเสือตามลำพังแน่นอน
รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ หลีซิงรู้ดี...อินเสี้ยวตงไม่มีทางให้เขาไปเสี่ยงอันตรายตามลำพังอยู่แล้ว
ถึงจะพอมีทักษะการยิงปืนอยู่บ้าง แต่ในด้านการต่อสู้แล้ว หลีซิงยังอ่อนหัดมากนัก เด็กหนุ่มขาดทั้งสมรรถภาพทางร่างกายและประสบการณ์ เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ฝึกฝนและถูกสั่งสอนในสำนักสอนศิลปะการต่อสู้ของตระกูลหม่าไม่อาจทำให้เขาเก่งกาจจนไปต่อกรใครแบบไม่กลัวตายได้
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ” หลีซิงเอ่ยรับ ถึงจะขาดวิชามวย แต่เรื่องการเข้าหาคน เด็กหนุ่มก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร เขารู้จักและเลือกปฏิบัติกับคนที่เหมาะสมเสมอ
ในเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันของความเจริญ รถยนต์คันหรูวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดลงที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่
“ผมเอาของมาส่งให้ท่านกงเจ๋อตวนครับ” หลีซิงเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นชายในชุดสูทสีดำหลายคนกำลังมองมาที่พวกเขาอย่างไม่ไว้วางใจ “เรียนท่านว่า บรรณาการจากหลีซิงที่เคยตกลงเอาไว้ครับ”
ชายในชุดสูทสีดำไม่ได้ตอบรับ แต่เขาก็แจ้งการมาเยือนของคนแปลกหน้าให้เจ้านายทราบ ก่อนจะถามแขกที่ไม่ได้นัดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ของอะไร”
“หญิงสาวชั้นสูงครับ”
หลังจากรอคำอนุญาตจากเจ้าถิ่นอยู่สักพัก บานประตูรั้วก็เปิดออก หลีซิงขับรถเข้าไปด้านในแล้วจอดที่ด้านหน้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แวดล้อมด้วยทัศนียภาพสวยงามสมฐานะของผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ของเมือง
ชายในชุดสูทสีดำหลายคนเข้ามารุมล้อมอย่างเฝ้าระวังด้วยท่าทางจริงจัง หลีซิงไม่ได้สนใจ เขาลงมาจากรถยนต์โดยที่มีอินเสี้ยวตงเดินไปอุ้มร่างบางที่ยังไม่ฟื้นสติออกมา
“ตามมา” ลูกน้องของกงเจ๋อตวนคนหนึ่งออกคำสั่ง ก่อนจะเดินนำแขกเข้าไปพบเจ้านายของตัวเอง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
กงเจ๋อตวนนั่งมองแขกต่ำศักดิ์อย่างสนใจ ก่อนที่นัยน์ตาเรียวจะเป็นประกาย เมื่อได้ทอดมองร่างบางที่สลบไสลราวกับเจ้าหญิงนิทราในอ้อมแขนของผู้ที่มาเยือน
“พาเธอไปไว้ที่ห้อง” กงเจ๋อตวนสั่ง อินเสี้ยวตงจึงส่งหญิงสาวในอ้อมแขนให้ลูกน้องของเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้
“พวกเธอกล้ามากที่เอาลูกสาวของเส้าเหิงมาให้ฉันจนได้” กงเจ๋อตวนหันไปเอ่ยกับแขกทั้งสองคนที่กำลังยืนฟังด้วยท่าทางนอบน้อม “แต่ฉันชอบคนกล้า ตกลงจะรับพวกเธอมาเป็นลูกน้องของฉัน”
“ขอบคุณครับท่าน” หลีซิงและอินเสี้ยวตงเอ่ยตอบรับพร้อมกัน พวกเขาโค้งตัวทำความเคารพเจ้านายคนใหม่ของตัวเอง
“ฮ่าๆ ดีๆ” กงเจ๋อตวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงพอใจ เขาหันไปยกมือเรียกลูกน้องอีกคน “พาพวกเขาไปที่พัก”
“ครับท่าน” ผู้ชายในชุดสูทสีดำเอ่ยรับเสียงนิ่ง ก่อนที่เขาจะพาเด็กใหม่ทั้งสองคนไปยังที่พักพร้อมกับสั่งสอนกฎระเบียบและหน้าที่ในฐานะลูกน้องของกงเจ๋อตวน
หลีซิงลอบยิ้มในใจ เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจหรอกว่า ต่อจากนี้ไปชะตาชีวิตของเส้าซินฉีจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็บอกเบาะแสให้ลูกน้องของเธอไปแล้ว ถ้าดวงดี เส้าเหิงก็คงมาช่วยลูกสาวได้ทัน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ราตรีอันเงียบสงบ ภายในห้องนอนใหญ่ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ทว่ามีสไตล์แบบชนชั้นสูง หญิงสาวที่หลับใหลอยู่บนเตียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างงุนงง ภาพแรกที่เธอมองเห็นคือเค้าร่างของใครคนหนึ่งที่ทาบทับร่างกายของตัวเองอยู่
“อื้อ...”
เสียงครางหวานดังผะแผ่ว เส้าซินฉีมึนงง เธอตั้งใจจะยกมือขึ้นกุมศีรษะแต่ไม่อาจทำได้อย่างที่ใจคิด เมื่อข้อมือของหญิงสาวถูกยึดไว้ด้วยเชือกเส้นหนา
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
“ตื่นขึ้นมาแล้วหรือเจ้าหญิงของฉัน”
เสียงทุ้มหยาบโลน ทำให้สติของเส้าซินฉีกระจ่างชัดขึ้นในทันที นัยน์ตาสวยที่เคยสะลืมสะลือเบิกกว้าง เมื่อรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้
“ว๊าย! ออกไปนะ! แกเป็นใคร! ออกไป!!!” เส้าซินฉีกรีดร้อง แต่ไม่อาจหยุดยั้งลมหายใจร้อนและริมฝีปากที่ประทับไปตามเรือนกายบอบบางสวยงามอย่างย่ามใจได้เลย
“หึ! เราเคยเจอกันแล้ว จำไม่ได้หรือ” กงเจ๋อตวนเอ่ยถามอย่างหยอกเย้า มือหยาบลูบคลำผิวเนื้อนุ่มนิ่มที่กรุ่นกลิ่นหอมหวานของสาวงามอย่างหลงใหล “คืนนี้ฉันจะทำให้เธอมีความสุข”
“ไม่!!! ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้!!!” เส้าซินฉีกรีดร้องลั่น เธอพยายามดิ้นหนี แต่ไม่อาจทำอะไรได้เลย ร่างกายเปลือยเปล่าของหญิงสาวสั่นสะท้าน สัมผัสชวนคลื่นเหียนก็น่าขยะแขยงจนคิดอะไรไม่ออก
ทำไม! ทำไม! ทำไมเธอจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย!
ฉันคือเส้าซินฉีนะ!!!
คุณหนูเส้าได้แต่ร้องตะโกนอยู่ในใจ ทว่าร่างกายไม่อาจต่อต้านการรุกรานของผู้ชายตรงหน้าได้ น้ำตาปริ่มล้นที่หน่วยตาสวย เธอแทบจะกลั้นลมหายใจตาย เมื่อร่างกายของตัวเองกำลังสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับชายแก่ทีน่ารังเกียจ
จากความตื่นตกใจกลับกลายเป็นความหวาดกลัว ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโมโห เพราะไม่อาจขัดขืนสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ได้
เส้าซินฉีทั้งกรีดร้องและร่ำไห้ ร่างกายสะโอดสะองกำลังถูกย่ำยีไม่ต่างจากตุ๊กตายางบำบัดความใคร่ สัมผัสที่เธอได้รับราวกับน้ำกรดที่กัดกินหัวใจในทุกขณะ
แรงกระแทกกระทั้นตามอารมณ์ที่ลุกโชนและเสียงครางอย่างสุขสมของกงเจ๋อตวนผสานกับเสียงคร่ำครวญปานขาดใจของคุณหนูเส้าผู้โชคร้าย ไม่ต่างจากปิศาจที่กำลังกลืนกินมนุษย์ผู้อ่อนแออย่างเหี้ยมโหด
เส้าซินฉีไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ แต่เธอก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้ชายที่ตัวเองไม่เต็มใจ
“สุดยอด...” กงเจ๋อตวนพร่ำเพ้ออย่างมีความสุข หลังจากได้ปลดปล่อยหยาดหยดของความต้องการสมใจ เขาเชยปลายคางของร่างบางที่อ่อนแรงอย่างถือสิทธิ์ แล้วก้มลงช่วงชิงเรียวปากนุ่มหวานอย่างตะกละตะกลาม
เส้าซินฉีเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น หญิงสาวพยายามดิ้นหนีการตะโมบจูบอย่างบ้าคลั่งด้วยหัวใจที่ร้าวราน ความเสียใจและสมเพชในโชคชะตาที่สวรรค์ทอดทิ้ง ทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความเคียดแค้นเติบโตขึ้นในใจที่เจ็บปวด
กงเจ๋อตวนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เมื่อความปรารถนาไม่ได้รับการตอบสนอง มือหนายกขึ้นบีบคางมนเต็มแรงจนร่างบางที่ขัดขืนเผยช่องว่างให้เขาได้รุกล้ำเข้าไปชิมรสชาติภายในโพรงปากของสาวงามได้ดั่งใจ ก่อนจะใช้มือบีบขยำทรวงอกนูนเต่งตึงด้วยความเพลิดเพลิน
หยาดน้ำตาที่ไม่มีวันหมดไหลอาบแก้มเนียนจนเปรอะเปื้อน นัยน์ตาสวยบวมช้ำถลนขึ้น ทว่าไร้ประกายของชีวิตอย่างสิ้นเชิง ความหดหู่และสิ้นหวังถ่วงตัวตนของเธอให้ตกอยู่ในความมืดมิด ก่อนที่ความกล้ำกลืนฝืนทนถึงขีดสุดจะฉุดดึงสติสัมปะชัญญะที่ร่วงหล่นให้กลับมาอีกครั้ง
สมองของเส้าซินฉีเต็มไปด้วยความอาฆาต จิตใจที่มุ่งร้ายสั่งการร่างกายให้ต่อสู้ เธอตัดสินใจกัดลิ้นของกงเจ๋อตวนเต็มแรง
“โอ๊ย!” กงเจ๋อตวนร้องออกมา เขาจับลิ้นที่ถูกทำร้ายจนเลือดออกของตัวเอง แววตาถูกใจเปลี่ยนเป็นโกรธเคืองในทันที แล้วฝ่ามือที่เคยลูบไล้เรือนร่างตบเข้าที่ใบหน้าหวานเต็มแรงพร้อมกับตวาดลั่น
เพี๊ยะ!
“ฤทธิ์เยอะนักหรือ!”
แรงตบทำให้รู้สึกชาในตอนแรก ก่อนความเจ็บปวดจะเข้ามาแทนที่ ในชีวิตนี้เส้าซินฉีไม่เคยโดนใครทำร้ายแบบนี้มาก่อน เธอถลึงตาอย่างเอาเรื่อง และท่าทางจองหองก็ผลักดันอารมณ์ร้ายของผู้มีอิทธิพลรายใหญ่มากขึ้น
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
กงเจ๋อตวนฟาดมือเข้าที่ใบหน้างดงามอย่างไร้ความปรานีอีกหลายครั้งเพื่อระบายความกรุ่นโกรธที่ลุกโชนอยู่ในใจ เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและแค้นใจของเส้าซินฉีดังอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้พวงแก้มขาวนุ่มแดงก่ำจากรอยมือทั้งสองข้าง ริมฝีปากสีอ่อนอวบอิ่มก็แตกช้ำจนน่าเวทนา
กงเจ๋อตวนหยุดมือ เมื่อห้วงความรู้สึกพลุ่งพล่านสงบลง รอยยิ้มน่ากลัวปรากฏบนใบหน้าของชายวัยกลางคน
“ถ้าทำตัวดี ว่าง่าย ฉันจะดูแลเธอเป็นอย่างดี” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับบีบคางสวยไว้มั่น นัยน์ตาเรียววาวโรจน์ “อย่าคิดต่อต้านฉัน!”
“ถุย! ฉันยอมตายดีกว่าต้องมาบำเรอให้คนอย่างแก!!!” เส้าซินฉีตะโกนลั่นอย่างไม่กลัวตาย กงเจ๋อตวนที่ถูกหยามหน้าทั้งวาจาและการกระทำไม่อาจอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองได้อีก
“ดี! ฉันจะสงเคราะห์ให้เธอเอง!” กงเจ๋อตวนตวาดกลับ แล้วใช้ผ้าผืนบางรัดที่ลำคอเรียวระหงของหญิงสาวแน่น เส้าซินฉีพยายามดิ้นรนไปตามสัญชาตญาณพร้อมกับลมหายใจที่หดหายไปเรื่อยๆ ในช่วงวินาทีหนึ่งที่ความตายเข้ามาใกล้ ความหวาดกลัวก็ล้นปรี่ขึ้นในใจ
ทว่ายังไม่ทันที่มโนภาพสุดท้ายจะไหลเข้ามาในความทรงจำ ร่างบอบบางก็แน่นิ่งเสียก่อน กงเจ๋อตวนยังคงรัดลำคอของหญิงสาวต่อไปจนลมหายใจของความโมโหหอบถี่ นัยน์ตาสวยไร้ชีวิตที่เบิกโพลงไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไร นอกจากความสะใจ
“หึ! คิดว่าฉันไม่กล้าหรือ” กงเจ๋อตวนเอ่ยเสียงเหี้ยมพร้อมกับปล่อยมือจากผ้าที่เคยจับไว้มั่นออก ชายผู้ลงมือแค่นยิ้มออกมา “เสียของจริงๆ”
กงเจ๋อตวนลุกขึ้นจากเตียงนอน เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำ ก่อนจะเรียกลูกน้องเข้ามาจัดการความเรียบร้อย แล้วสั่งด้วยท่าทีเฉยชา
“เอาไปโยนทิ้งทะเล”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลีซิงและอินเสี้ยวตงแต่งกายในชุดสูทสีดำ ซึ่งเป็นเครื่องแบบบอดี้การ์ด พวกเขาเดินมารับประทานอาหารเช้าที่โรงครัวของคนรับใช้ ก่อนจะได้ยินบทสนทนาบางอย่างจากลูกน้องของกงเจ๋อตวนคนหนึ่ง
“เมื่อคืนท่านจัดการไปอีกคนแล้ว”
“น่าสงสาร ถ้ายอมสักหน่อยก็ได้อยู่สุขสบายไปแล้วแท้ๆ”
“แต่ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกว่าจะเป็นลูกคนรวยอยู่แล้วนี่ ที่เจ้าเด็กใหม่พามา”
“อย่างนั้นหรือ”
หลีซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาลอบฟังบทสนทนาไม่ค่อยเข้าใจนัก เลยตัดสินใจเดินไปถามกับคนที่กำลังเล่าอยู่โดยตรง
“พี่ชาย ผู้หญิงที่พวกผมพามา ทำไมหรือ” หลีซิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ใบหน้าหวานแต้มรอยยิ้มเล็กน้อย ทำให้คนฟังเผลอตอบออกมาอย่างง่ายดาย
“อ้อ ผู้หญิงที่แกพามาน่ะ ตายแล้ว”
หลีซิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้ารับ ก่อนที่เสียงของรุ่นพี่บอดี้การ์ดจะเล่าต่อ
“เมื่อคืนคงทำให้ท่านโมโหมาก ถึงได้มีจุดจบแบบนั้น”
“อย่างนั้นหรือครับ”
“พวกแกก็ระวังตัวให้ดี อย่าทำให้ท่านขุ่นเคืองเชียว เดี๋ยวจะตายไม่รู้ตัว”
“ครับ ขอบคุณพี่ชายที่ตักเตือน”
หลีซิงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอาหารของตัวเองอีกครั้ง เขาไม่ได้พูดคุยกับอินเสี้ยวตงที่ยังนั่งรับประทานอาหารเช้าต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เดิมทีหลีซิงรู้สึกเกลียดชังเส้าซินฉีมาก ยิ่งนึกถึงภาพความใกล้ชิดสนิทสนมกับเจิ้งหยุนที่ภัตตาคารเฟยลี่และล่วงรู้เจตนาของอีกฝ่ายผ่านการสอบถามไป๋ลู่เหอด้วยแล้ว ความริษยาและไม่พอใจก็เผาผลาญหัวใจของเขาจนไม่เหลือซาก ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ได้คาดหวังให้เธอต้องจบชีวิตเสียทีเดียว ก็แค่ตั้งใจให้เสียชื่อและศักด์ศรีจนไม่กล้าไปหาชายในดวงใจของเขาได้อีก
เส้าซินฉีก็แค่เหยื่อที่ใช้แล้วทิ้งของเขาเท่านั้น
TBC+++++++++ 19บทเพลงของผู้สูญเสีย
-
:katai1:
-
:katai4:
-
19
บทเพลงของผู้สูญเสีย
เรื่องราวของลูกสาวที่ได้ยินจากลูกน้องว่าถูกลักพาตัวเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ทำให้ผู้เป็นพ่อร้อนใจจนไม่สามารถทำอะไรได้เลย เส้าเหิงรีบจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ทันใจของเขาอยู่ดี
นักธุรกิจใหญ่ได้แต่นึกหงุดหงิดและกังวล ตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศและอีกหลายชั่วโมงกว่าจะกลับไปถึง ข่าวร้ายที่ไม่คาดฝัน ทำให้เส้าเหิงอยากจะมีเวทมนตร์เพื่อเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังสถานที่ที่ต้องการภายในพริบตา
มือใหญ่ที่กำแน่นเปลี่ยนไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา แล้วติดต่อบุคคลที่พอจะช่วยเหลือเขาได้ในเวลานี้ เสียงสัญญาณดังนานจนแทบจะทนรอไม่ไหว ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยรับ
[ฮัลโล...]
“ผมเส้าเหิงนะ! ตอนนี้ลูกสาวของผมถูกกงเจ๋อตวนจับตัวไป! คุณตามไปช่วยเธอได้ไหม! ตอนนี้ผมอยู่ต่างประเทศกำลังเดินทางกลับ!”
เส้าเหิงบอกความต้องการของตัวเองด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทว่าปลายสายกลับนิ่งเงียบ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยถ้อยคำของคนที่ไม่รู้จักกัน
[คุณโทรผิดแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานีตำรวจ]
“เดี๋ยว!...”
ทว่ายังไม่ทันที่เส้าเหิงจะได้กล่าวอะไรต่อ สัญญาณการเชื่อมโยงเครือข่ายก็ตัดขาด เมื่อเขาโทรศัพท์กลับไปอีกครั้ง ก็ไม่มีใครรับสายอีก
“โธ่เว้ย!” เส้าเหิงสบถอย่างหัวเสีย เขาอยากจะตามไปเอาเรื่องกับปลายสายที่ปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้าทันที
ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!
เส้าเหิงได้แต่ฝังแค้นอยู่ในใจ เวลานี้สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการรอคอยเท่านั้น
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เมื่อเส้าเหิงกลับมาถึงสนามบินในประเทศบ้านเกิดในหลายชั่วโมงต่อมา เขาก็รีบเดินทางไปหาคนที่คาดโทษเอาไว้ในใจทันที
รถยนต์ราคาแพงเคลื่อนที่มาถึงหน้าประตูรั้วของคฤหาสน์ริมทะเลในช่วงสาย ทันทีที่ได้พบกับชายหนุ่มที่นั่งดื่มชาอยู่ที่สวนอย่างอารมณ์ดี เส้าเหิงที่มีความเครียดและความไม่พอใจเต็มอกก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้อีก
“เจิ้งหยุน!”
เสียงเรียกแข็งกร้าว ทำให้จูเยี่ยนหลันและสือซีอิ๋งที่ยืนรับใช้หันไปมองด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก ถ้าหากอีกฝ่ายยังทำตัวไร้มารยาทกับเจ้านายของพวกเธออีก คงต้องได้รับการสั่งสอน
เจิ้งหยุนหันไปมอง แล้วเผยรอยยิ้มทักทายไปตามปกติ โดยไม่ได้สนใจสีหน้าและท่าทางของแขกผู้มาเยือนแม้แต่น้อย
“สวัสดีครับคุณเส้า มาหาผมถึงนี่ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
“มีสิ! มีแน่!” เส้าเหิงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางฉุนเฉียว นัยน์ตากร้านโลกจ้องมองบุรุษรุ่นลูกอย่างไม่พอใจ “ลูกสาวของผมถูกจับตัวไป! แต่คุณก็ยังตัดสายของผมทิ้ง! มันหมายความว่าอย่างไร!”
เส้าเหิงไม่อยากนึกถึงชะตากรรมของบุตรสาวในเวลานี้เลย เพราะรู้จักกิตติศัพท์ของกงเจ๋อตวนดี ป่านนี้ดวงใจของเขาอาจจะถูกทำให้แปดเปื้อนไปแล้วก็ได้
โธ่! ฉีฉีของพ่อ!
“ผมทำแบบนั้นหรือครับ” เจิ้งหยุนย้อนถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วแสดงใบหน้าถึงบางอ้อ “ตอนนั้นเอง ขอโทษนะครับ ผมคิดว่าตัวเองฝันไปเสียอีก”
เส้าเหิงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันข่มอารมณ์อย่างเต็มที่กับใบหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวของอีกฝ่าย เขาจะเอาคืนเจิ้งหยุนแน่ แต่ตอนนี้เรื่องช่วยเส้าซินฉีต้องมาก่อน
“พวกเราต้องไปช่วยฉีฉีกันเดี๋ยวนี้เลย!” เส้าเหิงเอ่ยถึงความต้องการที่ยังไม่สัมฤทธิ์ผลของตัวเอง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยับย่น
ถึงเส้าเหิงจะเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าและมีแผนการใหญ่ที่หมายมาดไว้ในใจ แต่อำนาจและอิทธิพลที่มีไม่อาจเทียบทายาททั้งสองของตระกูลเจิ้งได้เลย โดยเฉพาะที่เมืองนี้...เขาไม่มีแรงต่อกรกับกงเจ๋อตวนเพียงลำพัง
“คุณซินฉีถูกกงเจ๋อตวนลักพาตัวไปใช่ไหมครับ” เจิ้งหยุนย้อนถามอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ผมว่า…คุณควรไปแจ้งตำรวจมากกว่ามาบอกผมนะ”
“ตำรวจจะไปทำอะไรได้!” เส้าเหิงเอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน “ผมขอร้องล่ะ! ให้คนของคุณไปช่วยฉีฉีกลับมาที!”
“คนของผม?” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย แล้วระบายยิ้มบางให้คนตรงหน้า “ผมมีแต่คนที่คอยดูแลคฤหาสน์กับพนักงานในผับกาเบรียล จะเอาอะไรไปสู้กับกงเจ๋อตวนที่เป็นผู้มีอิทธิพลที่สุดในเมืองนี้ได้ล่ะครับ”
“คุณหยุดเฉไฉเสียทีเถอะ! ผมรู้ว่าคุณเป็นใคร!” เส้าเหิงเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด ทำไมเขาต้องมาเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเจิ้งหยุนในเวลาเช่นนี้ด้วย
“ใจเย็นก่อนเถอะครับคุณเส้า” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงอ่อน เขาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “พวกเราไปแจ้งความกัน ผมจะไปกับคุณด้วย”
“เจิ้งหยุน!”
“ผมไม่รู้หรอกว่า คุณคิดว่าผมเป็นใครหรือรู้อะไรมา แต่ความจริงก็คือ ผมเป็นแค่เจ้าของผับกาเบรียลธรรมดา แล้วก็ไม่ชอบทำสิ่งผิดกฎหมายนะครับ”
เจิ้งหยุนส่งยิ้มให้กับใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธของเส้าเหิง ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องให้เตรียมรถยนต์เพื่อออกเดินทาง อันที่จริงชายหนุ่มไม่ได้สนใจเรื่องราวของเส้าซินฉีเลย ไม่ว่าเธอจะไปไหนหรืออยู่กับใครก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา แต่ที่ยอมตกลงจะไปสถานีตำรวจด้วยก็เพราะอยากไปหาคนที่ไม่ยอมให้เจอมาหลายวันแล้ว
คิดถึงหยูเฟิงจะแย่...
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หวังหยูเฟิงที่กำลังคร่ำเคร่งกับกองงานที่มีอยู่เต็มโต๊ะเงยหน้าขึ้น เมื่อเว่ยเจียวเซินเดินเข้ามาแจ้งข่าว
“มีคนมาขอพบค่ะ”
“ใครครับ”
“คุณเจิ้งหยุนกับคุณเส้าเหิงค่ะ”
ผู้กองหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ตลอดหลายวันมานี้หวังหยูเฟิงตัดขาดการติดต่อกับเจิ้งหยุนโดยสิ้นเชิง สาเหตุหนึ่งก็เพราะอยากใช้เวลาที่เคยเสียเปล่าไปกับงานให้เต็มที่ และอีกส่วนหนึ่งเขายังรู้สึกโกรธที่ถูกอีกฝ่ายปั่นหัวเล่น
หลังจากย้ายออกมาจากคฤหาสน์ริมทะเล เจิ้งหยุนเคยมาหาที่สถานีตำรวจหลายครั้งด้วยข้ออ้างสารพัดที่เขารู้ทัน ผู้กองหนุ่มจึงไม่เคยออกไปพบด้วยเหตุผลหลายอย่างที่จะคิดได้ แต่วันนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เพราะการที่เส้าเหิงมาด้วยคงเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน
“เดี๋ยวผมออกไป”
หวังหยูเฟิงใช้เวลาจัดเก็บงานของตัวเองสักพัก ก่อนจะออกไปพบแขกของเขาในวันนี้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“คุณหวังครับ”
หวังหยูเฟิงตีหน้านิ่ง เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจางบนใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคย เขาไม่ได้ทักทายตอบ แต่เลื่อนสายตาไปมองเส้าเหิงที่มีใบหน้าเคร่งเครียด
“มีอะไรอย่างนั้นหรือครับ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามเส้าเหิง โดยไม่ได้สนใจชายหนุ่มผมยาวที่ย้ายตัวเองมานั่งบนที่เท้าแขนของโซฟาที่นายตำรวจนั่งอยู่ แถมยังถือวิสาสะโอบหลังของเขาเอาไว้ด้วย
เส้าเหิงมองท่าทางของเจิ้งหยุนอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเล่าเรื่องของตัวเองออกมาเสียงห้วน
“เมื่อคืนนี้ลูกสาวของผมถูกกงเจ๋อตวนจับตัวไป ตอนนี้ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง คุณช่วยส่งคนไปตามหาที”
หวังหยูเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งเพราะคาดไม่ถึง ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น
“ทำไมคุณถึงรู้ว่ากงเจ๋อตวนลักพาตัวคุณเส้าซินฉีไปล่ะครับ”
“พวกมันบอกเอง พวกมันจับลูกน้องของผมที่ส่งไปดูแลฉีฉีทิ้งไว้ที่ลานจอดรถของห้าง กว่าจะมีคนไปช่วยไว้ ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว” เส้าเหิงบอกด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ ตอนนี้เขาอยากบุกไปช่วยบุตรสาวเต็มทน ไม่ใช่มาเสียเวลากับตำรวจไม่ได้เรื่องแบบนี้ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่คุณมาไล่ถามผม ป่านนี้ลูกสาวผมเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”
“เดี๋ยวก่อนครับ คนร้ายอาจจะอ้างชื่อกงเจ๋อตวนไปก่อเหตุก็ได้ เรายังยืนยันเรื่องนั้นไม่ได้หรอกครับ” หวังหยูเฟิงบอกอย่างใจเย็น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเลื่อนสายตาไม่พอใจไปให้คนที่พ่นลมหายใจใส่ใบหูของเขาเล่น “คุณเจิ้งไปนั่งห่างๆ ได้ไหม ผมจะทำงาน”
“แต่ผมคิดถึงคุณนี่” เจิ้งหยุนเอ่ยความในใจอย่างตรงไปตรงมา แล้วแสดงใบหน้าตัดพ้อ “ก่อนหน้านี้คุณไม่ยอมเจอผมเลย เสียงก็ไม่ให้ได้ยิน”
“อย่ามาเรื่องมากกับผมตอนนี้” หวังหยูเฟิงว่าเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปสนใจเส้าเหิงที่อารมณ์เสียถึงขีดสุดต่อ โดยตั้งใจเมินคนที่ทำหูทวนลมนั่งโอบไหล่ของเขาต่อไปอย่างหน้าไม่อาย “ทางนี้คงทำตามที่คุณต้องการไม่ได้ในทันที ผมคงต้องขอตรวจสอบก่อน แล้วคนอย่างกงเจ๋อตวนก็ไม่ยินยอมให้ตำรวจไปค้นโดยไม่มีเหตุผลแน่นอน”
“แล้วเมื่อไร!” เส้าเหิงตวาดลั่นอย่างเหลืออด หวังหยูเฟิงยังแสดงสีหน้านิ่งสงบ ต่างจากชายหนุ่มอีกคนที่ปรากฏความไม่พอใจเจือจาง นัยน์ตาคมจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง
“คุณเส้าเหิงอย่าส่งเสียงดังสิ ที่นี่สถานที่ราชการนะครับ”
“เรื่องนั้นใครจะไปสน! ลูกสาวของผมตกอยู่ในอันตรายนะ!”
เส้าเหิงหันไปจ้องตากับเจิ้งหยุนอย่างเอาเรื่อง นักธุรกิจใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากโซฟา แล้วชี้หน้าคู่สนทนาทั้งสองคนด้วยความกรุ่นโกรธ
“ทำไมฉันต้องมาเสียเวลากับพวกแกด้วย! จะไปเอากันที่ไหนก็ไป!”
ปัง!
เส้าเหิงที่เดือดดาลตัวแข็งทื่อ เมื่อลูกกระสุนวิ่งผ่านผิวแก้มของเขาจนได้เลือด ก่อนที่มันจะฝังลงผนังปูนอย่างรวดเร็ว เสียงอาวุธที่ดังขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนรีบรุดเข้ามาดูทันที
“เกิดอะไรขึ้นคะผู้กองหวัง!”
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!”
หวังหยูเฟิงที่ตกตะลึงรีบลุกขึ้น แล้วเอ่ยกับเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาดูเหตุการณ์เพราะความห่วงใยและตกใจด้วยท่าทางสุขุมผ่าเผย
“ไม่มีอะไร แค่อุบัติเหตุน่ะ เจียวเซินคุณช่วยไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้คุณเส้าเหิงหน่อยนะ”
“ค่ะ”
หลังจากสถานการณ์กลับมาปกติอีกครั้ง หวังหยูเฟิงก็หันไปส่งสายตาดุใส่คนก่อเหตุที่ตีหน้าใสซื่อ
“ผมตกใจเสียงของคุณเส้า เลยมือลั่นน่ะครับ” เจิ้งหยุนแก้ตัวเสียงอ่อน นัยน์ตาคมมองนายตำรวจอย่างรู้สึกผิด “ความเสียหายครั้งนี้ ผมจะชดใช้ให้ครับ แล้วแบบนี้จะเป็นคดีความหรือเปล่า”
“คุณต้องจ่ายค่าปรับเรื่องทำลายสถานที่ราชการอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของคุณเส้าเหิง ก็ขึ้นอยู่ว่าเขาจะเอาเรื่องคุณหรือเปล่า”
เจิ้งหยุนเหลือบสายตามองคนที่หน้าซีดไปถนัดตา แล้วเอ่ยเสียงนุ่มที่มีกระแสความเย็นชาพร้อมกับแต้มรอยยิ้มมุมปาก
“หวังว่าคุณเส้าจะไม่เอาความกับผมนะครับ”
“อ..อืม”
หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา เขามองหมวดสาวที่เข้ามาปฐมพยาบาลให้เส้าเหิง แล้วจึงเริ่มกล่าวต่ออย่างใจเย็นอีกครั้ง
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณครับ แต่ทางตำรวจก็มีขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ถ้าหากเข้าไปหากงเจ๋อตวนสุ่มสี่สุ่มห้า อาจจะโดนแจ้งข้อหาพยายามบุกรุกกลับมาก็ได้ เราจำเป็นต้องมีหมายค้นก่อนนะครับ”
“แล้วเมื่อไร”
“ผมจะทำทุกอย่างให้เร็วที่สุดครับ”
“แล้วถ้าลูกสาวของผมเป็นอะไรไปก่อน คุณจะว่าอย่างไร”
หวังหยูเฟิงนิ่งเงียบ เขาไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของเส้าเหิงดี แล้วก็รู้สึกหนักใจไม่แพ้กัน
“ผมไม่อาจให้คำตอบเรื่องนี้กับคุณได้” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่ผมจะรีบดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดครับ”
“ผมคงนั่งรอคุณไม่ไหวหรอก” เส้าเหิงว่า ในขณะที่เขากำลังจะใส่อารมณ์อีกครั้งก็ต้องชะงัก เพราะสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองอยู่ “แล้วคุณจะให้ผมทำอะไร”
“ผมอยากเจอลูกน้องของคุณ แล้วสอบถามเรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่งครับ”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
เนื่องจากมีคดีเร่งด่วนที่เข้ามา ทำให้ผู้กองหนุ่มต้องหยุดงานอื่นเอาไว้ก่อน หวังหยูเฟิงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งตามหาร่องรอยและตรวจสอบกล้องวงจรปิด หลังจากได้สอบสวนเหตุการณ์ทั้งหมดจากลูกน้องของเส้าเหิงด้วยตัวเอง เขาก็ได้ข้อมูลหลายอย่างที่นำพาไปสู่กงเจ๋อตวน
กล้องวงจรปิดที่ตรวจสอบสามารถจับภาพของรถยนต์ทะเบียนที่ตามหา ซึ่งออกจากห้างสรรพสินค้าในตอนหัวค่ำ แล้ววิ่งผ่านไปตามถนนที่มุ่งหน้าไปทางคฤหาสน์ของผู้มีอิทธิพลรายใหญ่
“กาแฟครับ”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว เขามองเจิ้งหยุนที่เดินถือแก้วกาแฟมาเสิร์ฟในยามดึก
“แล้วทำไมคุณไม่กลับไปสักที” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น เมื่อเจิ้งหยุนวางแก้วกาแฟลงที่โต๊ะทำงานของเขา
“ผมว่างครับ” เจิ้งหยุนตอบ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของผู้กองหนุ่ม
“แต่ผมยุ่งอยู่” หวังหยูเฟิงบอกเสียงเข้ม แล้วหยิบแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ตอนนี้เขากำลังเตรียมการและรอหมายค้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“อันที่จริง...ผมพาคุณไปหากงเจ๋อตวนก็ได้นะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น รอยยิ้มบางระบายบนใบหน้า “หรือจะให้ผมไปช่วยดูให้ก็ยังได้”
หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตามองคนตรงหน้า เจิ้งหยุนที่สังเกตเห็นความลังเลในดวงตานิ่งสงบก็ยกยิ้มขึ้น
“ถ้าหากคุณยอมรับเงื่อนไขของผม”
“ผมไม่มีเวลามาเล่นกับคุณหรอกนะ”
“ผมเอาจริงครับ”
“เจิ้งหยุน”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมา ก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารที่ค้างคาเอาไว้ต่อ โดยที่มีเจิ้งหยุนเฝ้ามองอยู่เงียบๆ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เนื่องจากการทำงานที่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง หวังหยูเฟิงจึงได้เอกสารทางราชการในการค้นหาเส้าซินฉีอย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นผู้กองหวังเดินทางมาที่คฤหาสน์ของผู้มีอิทธิพลใหญ่พร้อมกับเส้าเหิง และเมื่อแสดงหลักฐานในการตรวจค้นให้กงเจ๋อตวนยินยอมเรียบร้อย นายตำรวจก็สั่งการให้ลูกน้องตรวจสอบโดยรอบในทันที
“ผมไม่ได้ซ่อนใครเอาไว้หรอก” กงเจ๋อตวนบอก เขานั่งลงที่โซฟาอย่างผ่อนคลาย “ไม่นึกว่าคุณจะมา คิดว่าจะเป็นผู้กองฟ่านเสียอีก”
“ผมรับผิดชอบงานแทนเขาอยู่น่ะ” หวังหยูเฟิงตอบเสียงเรียบ โดยที่มีเส้าเหิงเดินวนไปมาอย่างร้อนใจ
หวังหยูเฟิงไม่ได้คาดว่าจะได้เจอเส้าซินฉี เขาแค่ต้องการเบาะแสว่า กงเจ๋อตวนจับหญิงสาวไปไว้ที่ไหนต่างหาก เพราะกล้องวงจรปิดก็ไม่เห็นรถยนต์คันก่อเหตุอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงในการค้นหาแต่ก็ไม่พบบุตรสาวของนักธุรกิจใหญ่แม้แต่เงา รวมไปถึงรถยนต์ที่ตามหาก็คงถูกทำลายทิ้งไปแล้ว
“แกเอาลูกของฉันไปไว้ที่ไหน!” เส้าเหิงตวาดลั่นอย่างทนไม่ไหว ใบหน้าอ่อนล้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“พูดอะไรของคุณ ทำไมผมต้องทำเรื่องแบบนั้น ผมไม่เคยคุยกับคุณด้วยซ้ำ” กงเจ๋อตวนว่า แล้วถอนหายใจออกมา “ในเมื่อไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว ผมจะพักผ่อน”
“หนอยแก!” เส้าเหิงตะโกนสุดเสียง ก่อนจะถลาเข้าไปหมายจะทำร้ายเจ้าของคฤหาสน์ แต่ก็ถูกหวังหยูเฟิงห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ใจเย็นครับคุณเส้า”
“อะไรอีก! เพราะคุณชักช้า! มันเลยเอาตัวลูกสาวผมไปไว้ที่อื่นแล้ว!” เส้าเหิงหันไปว่าผู้กองหวังอย่างเกรี้ยวกราด
“หึ! กล่าวหากันอย่างนี้ ผมแจ้งความกลับเลยดีไหม” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้น แล้วหันไปมองหวังหยูเฟิง “ว่าอย่างไรล่ะ ผู้กองหวัง”
“เรื่องแค่นี้คุณคงไม่ถือสาหรอก พวกเราก็แค่ทำตามหน้าที่”
หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น เขาพาเส้าเหิงที่กระฟัดกระเฟียดเดินออกมา “ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ”
“ยินดีครับคุณตำรวจ เดินทางกลับดีๆ ล่ะ” กงเจ๋อตวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีไมตรี รอยยิ้มวาดขึ้นที่ริมฝีปาก “ผมไม่ไปส่งนะ”
หวังหยูเฟิงไม่ตอบรับอะไร เขาพาเส้าเหิงและกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางกลับพร้อมกับครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ทั้งหมด
เส้าซินฉีจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า...
หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม โดยที่มีเสียงของเส้าเหิงก่นด่าตำรวจไปตลอดทาง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากเข้าตรวจค้นที่คฤหาสน์ของกงเจ๋อตวนได้เพียงสองวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบเส้าซินฉีในสภาพไร้ลมหายใจลอยติดที่ท่าเรือ
เส้าเหิงกอดร่างกายของลูกสาวที่บวมอืดอย่างโศกเศร้า ยิ่งเห็นสถาพศพผู้เป็นพ่อก็กรีดร้องลั่นราวกับหัวใจสลาย หวังหยูเฟิงได้แต่มองความสูญเสียอย่างนึกสงสาร
ถึงเส้าซินฉีจะไม่ใช่ผู้หญิงที่นิสัยดีนัก แต่เธอก็ไม่ควรพบจุดจบเช่นนี้
“ฉันจะฆ่าแก!!! กงเจ๋อตวน!!!” เส้าเหิงตะโกนลั่น น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้ม ก่อนที่นัยน์ตาแดงก่ำจะตวัดมองมาทางหวังหยูเฟิง “เพราะแกชักช้า!!! ลูกสาวฉันถึงเป็นแบบนี้!!!”
หวังหยูเฟิงยืนเป็นเป้านิ่งให้บิดาของหญิงสาวผู้โชคร้ายต่อว่าด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ถึงแม้ภายหลังผลการชันสูตรศพจะพบว่า เส้าซินฉีเสียชีวิตก่อนที่เส้าเหิงจะมาแจ้งความแล้วก็ตาม
“ผมเสียใจกับเรื่องนี้มากจริงๆ ครับ แต่ผมสัญญาจะนำคนร้ายมาลงโทษ...”
“หยุดพูดอะไรเหลวไหลสักที! คนร้ายก็ไอ้กงเจ๋อตวน! ไปจับมันสิวะ!!!”
เส้าเหิงเข้าไปกระชากคอเสื้อของหวังหยูเฟิงแล้วเขย่าไปมาอย่างโกรธแค้น ตำรวจคนอื่นรีบเข้าไปห้ามทันที แต่ผู้กองหนุ่มก็ห้ามปรามเอาไว้ แล้วปล่อยให้นักธุรกิจใหญ่ระเบิดอารมณ์ใส่แต่โดยดี
“เพราะแกด้วย! เพราะแก!!!”
หวังหยูเฟิงยืนเป็นหุ่นมองเส้าเหิงเกรี้ยวกราดใส่โดยไม่โต้ตอบอะไร จนกระทั่งอีกฝ่ายทรุดตัวลงร้องไห้อย่างน่าเวทนา
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“เหนื่อยหน่อยนะคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มให้กำลังใจผู้กองหนุ่ม
“ขอบใจ” หวังหยูเฟิงเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง
คดีของเส้าซินฉีปรากฏบนสื่อในเช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งปฏิบัติหน้าที่จนสืบพบและสามารถจับกุมผู้ร้ายโหดเหี้ยมในคดีฆ่าข่มขืนลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ได้
จากพยานและหลักฐานได้ยืนยันความผิดไปยังชายสองคนที่ภายหลังสารภาพและยอมรับข้อกล่าวหาในที่สุด เพราะจำนนต่อหลักฐาน
หวังหยูเฟิงอ่านสำนวนคดีอย่างข้องใจ ถึงแม้คนร้ายจะสารภาพผิด อีกทั้งยังพรั่งพร้อมด้วยพยานหลักฐานและพยานบุคคลที่ชัดเจน แต่เขาไม่เชื่อว่าผู้ชายทั้งสองคนเป็นผู้ลงมือที่แท้จริง
บางทีชนวนเหตุอาจเริ่มต้นตั้งแต่ที่กงเจ๋อตวนได้เจอเส้าซินฉีที่ภัตตาคารเฟยลี่ในคืนนั้น แต่ก็ไม่คิดว่า อีกฝ่ายจะทำการลักพาตัวเหมือนโจรปลายแถวเช่นนี้
เส้าเหิงที่รับฟังผลคดีของบุตรสาวคำรามลั่น เขาไม่เชื่อว่า ผู้ชายทั้งสองคนที่กำลังคุกเข่าขอขมาอยู่ตอนนี้เป็นผู้ร้ายตัวจริงเช่นเดียวกัน แต่ในเมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงตรงนี้ การต่อสู้ทางกฎหมายคงต้องยุติลง
นักธุรกิจใหญ่ที่จิตใจเต็มไปด้วยความแค้นตั้งปณิธานไว้ในใจ ในเมื่อศาลยุติธรรมไม่สามารถเอาผิดกงเจ๋อตวนได้ เขาก็จะใช้ศาลเตี้ยจัดการคนชั่วด้วยตัวเอง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลายวันมานี้หวังหยูเฟิงยุ่งจนไม่มีเวลาหยุดพัก แน่นอนว่าเขาไม่มีเวลาให้เจิ้งหยุนที่เริ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิตประจำวันราวกับเด็กไม่รู้จักกาลเทศะด้วย
“หยูเฟิง!”
เสียงเรียกที่คุ้นเคย ทำให้หวังหยูเฟิงต้องเงยหน้าจากงานที่กำลังทำอยู่ ก่อนรอยยิ้มที่หลบหนีไปหลายวันจะกลับคืนมา
“มู่เหยียน!”
ฟ่านมู่เหยียนยักคิ้วให้ ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โต๊ะทำงานของเพื่อนสนิท เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน
“พอฉันพักหน่อย นายก็ขโมยงานของฉันไปทำสบายใจเลยนะ”
ฟ่านมู่เหยียนว่าด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “ตอนนี้ฉันหายดีแล้ว ของานคืนด้วยล่ะ”
“ไม่ได้หรอก” หวังหยูเฟิงปฏิเสธ ใบหน้านิ่งสงบปรากฏความจริงจัง “เรื่องนี้ฉันขอกับสารวัตรแล้ว”
“อะไรกัน” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเดินออกจากห้องทำงานของเพื่อน “ถ้าอย่างนั้นฉันต้องขอคืนจากสารวัตรสินะ”
“เดี๋ยวมู่เหยียน” หวังหยูเฟิงรั้งเอาไว้ เขาถอนหายใจออกมา “สารวัตรให้ฉันมาตกลงกับนายเองอีกที”
“อ้าว! ถ้าอย่างนั้น...”
ฟ่านมู่เหยียนกำลังกล่าวต่อ หวังหยูเฟิงก็รีบพูดแทรกขึ้นเสียก่อน
“มู่เหยียน ฉันขอเถอะ”
ผู้กองฟ่านขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะเขาเข้าใจนิสัยและความปรารถนาดีของเพื่อนสนิทเป็นอย่างดี
“เสี่ยวโหยวมาพูดกับนายใช่ไหม”
“ก็ใช่ แล้วฉันก็เห็นด้วย”
“แต่ฉันไม่...”
“มู่เหยียน นายกำลังจะเป็นเจ้าบ่าวมีครอบครัว ในเวลาที่สำคัญแบบนี้นายไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตราย”
“ฉันเป็นตำรวจ งานอันตรายก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
“อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้”
หวังหยูเฟิงถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ แล้วสบตากับเพื่อนสนิทแน่วแน่
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของนาย แต่นายก็ควรเข้าใจความรู้สึกของคนรออย่างเสี่ยวโหยวด้วย” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ บรรยากาศการสนทนาระหว่างเพื่อนสนิทมีความกดดันมากขึ้น ”เรื่องกงเจ๋อตวนให้ฉันทำต่อแทนเถอะ”
“ฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวที่จะยอมให้เพื่อนไปเสี่ยงและรับผิดชอบงานของตัวเองหรอก”
“ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้กับนายแล้ว จะไปไหนก็ไป”
หวังหยูเฟิงตัดบท เพราะเริ่มจะเถียงสู้เพื่อนไม่ได้ ทางที่ดีควรไล่อีกฝ่ายไปก่อน เพื่อตั้งหลักหาข้ออ้างมาโต้ตอบ
“หยูเฟิง ฉันไม่ยอม”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว แล้วต่อสายในพร้อมกับเปิดลำโพงหาสารวัตรทันที ถึงจะเข้าใจศักดิ์ศรีและความรักในอาชีพของฟ่านมู่เหยียนเป็นอย่างดี แต่ผู้กองหนุ่มไม่อยากผิดคำพูดกับถังเสี่ยวโหยว เวลานี้เขาทำให้คนอื่นผิดหวังมามากพอแล้ว
“ท่านสารวัตรครับ ผมขออนุญาตขอคำสั่งพักงานผู้กองฟ่านสามวัน หลังจากนี้จนกว่าจะแต่งงาน ห้ามปฏิบัติงานนอกสถานที่ครับ”
“อ้าวเฮ้ย...”
ฟ่านมู่เหยียนที่เจอเพื่อนใช้ไม้แข็งรีบหาข้ออ้าง ทว่าเสียงนุ่มลึกของสารวัตรใหญ่ผู้มีอำนาจสูงสุดในสถานีตำรวจแห่งนี้ก็ดังขึ้นขัด
[ผมอนุญาต อ้อ... คำสั่งผมถือเป็นคำขาด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก]
“ขอบคุณครับท่าน”
หวังหยูเฟิงตัดสาย แล้วสบตากับเพื่อนสนิทที่มีสีหน้าตกใจครู่หนึ่ง ฟ่านมู่เหยียนแค่นยิ้มอย่างนึกเคืองระคนขบขัน
“ก็ได้...ฉันยอมแพ้” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น ครั้งนี้เขาคงสู้ความตั้งใจจริงของหวังหยูเฟิงที่อุตส่าห์ลากสารวัตรเข้ามาเอี่ยวด้วยไม่ได้ “นายต้องพาฉันไปเลี้ยงอาหารหรูหนึ่งอาทิตย์ เฮ้อ...เบื่ออาหารโรงพยาบาลจะแย่อยู่แล้ว”
“อืม” หวังหยูเฟิงตอบรับทันทีด้วยความรู้สึกโล่งใจ ถึงแม้เงินในกระเป๋าของเขาจะหมด ก็ยังดีกว่าต้องทำให้ใครเสียใจอีก
TBC++++++++ 20บุรุษผู้ตกอยู่ในห้วงรัก
Marionetta ขอบคุณที่คิดตามค่ะ :-[
-
:hao3: :hao3:
-
:katai2-1:
-
20
บุรุษผู้ตกอยู่ในห้วงรัก
บนชั้นสี่ของอพาร์ตเมนต์สำหรับคนทำงานหาเช้ากินค่ำ หวังหยูเฟิงเดินออกมาที่ระเบียงห้อง ก่อนจะนำผ้าปูที่นอนและผ้าห่มที่เพิ่งซักจนหอมสะอาดมาตากแดดอย่างอารมณ์ดี เขาแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์ที่สาดแสงสดใสเล็กน้อย แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
หลังจากกระเป๋าฉีกเพราะต้องเลี้ยงอาหารเพื่อซื้องานเสี่ยงอันตรายของเพื่อนสนิทมาทำเอง ผู้กองหนุ่มก็ตะลุยงานอย่างหนัก จนเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เขาจึงขอลาพักร้อนสามวัน
วันนี้หวังหยูเฟิงตั้งใจจะทำความสะอาดห้องของตัวเองครั้งใหญ่ เพราะหลังจากที่ย้ายออกมาจากคฤหาสน์ริมทะเล ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้จัดการห้องพักที่ไม่ได้ใช้งานมานานให้เรียบร้อย
เม็ดเหงื่อไหลซึมทั่วใบหน้า แต่ชายหนุ่มก็ยังขะมักเขม้นกับการใช้เครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาดไปทุกซอกทุกมุม ก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำไล่เช็ดไปตามโต๊ะและตู้จนสะอาดราวกับของใหม่
หวังหยูเฟิงใช้เวลาเกือบทั้งวันในการทำความสะอาดและดูแลห้องพักของตัวเอง หลังจากเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จ เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟายาวขนาดสองที่นั่งอย่างเกียจคร้าน
“เหนื่อยเหมือนกันแฮะ”
หวังหยูเฟิงทอดสายตามองไปยังระเบียงที่ปิดกั้นด้วยกระจกใส ผ้าม่านที่เคยบังแสงแดดถูกรวบไว้ ทำให้เขาสามารถมองเห็นวิวยามเย็นที่กำลังทอแสงสีส้มงดงาม
ผู้กองหนุ่มปล่อยให้ความเงียบเลยผ่าน จากเดิมที่เอาแต่คิดเรื่องทำความสะอาด ทว่าตอนนี้เมื่อภารกิจในวันนี้เสร็จสิ้น ชายหนุ่มก็ย้อนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ว่ากันตามจริงแล้ว...ถึงแม้ช่วงนี้การงานจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ผลงานก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาตั้งใจเอาไว้
เริ่มจากคดีของถานอี้เทา ซึ่งถึงแม้อีกฝ่ายจะเสียชีวิตไปพร้อมกับความผิด แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถนำคนร้ายที่ท้าทายกฎหมายตัดสินคนอื่นอย่างเลือดเย็นมาลงโทษได้
ไม่สิ...เขารู้ทุกอย่าง เพียงแต่ตั้งใจปล่อยผ่านไป
เมื่อนึกถึงตรงนี้หวังหยูเฟิงก็ถอนหายใจออกมา ในห้วงความคิดภาพใบหน้าหล่อเหลาที่แต้มรอยยิ้มบางเสมอฉายชัด เจ้าของผับกาเบรียลที่มือเปื้อนเลือด
หลังจากนั้นเจิ้งหยุนก็ถูกลอบยิง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่ที่คฤหาสน์ริมทะเลในระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาอีกฝ่ายก็ทำท่าไม่สนใจแถมยังยอมความไม่เอาเรื่องง่ายๆ ไม่แน่ว่าคนก่อเหตุอาจจะถูกเก็บไปแล้วก็ได้ ตอนนี้ถึงยังไร้วี่แวว
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว ตั้งแต่ที่มั่นใจว่าแท้ที่จริงแล้วเจิ้งหยุนคือใคร เขาก็ไม่แปลกใจ ถ้าหากอีกฝ่ายจะจัดการปัญหาด้วยวิธีที่รุนแรงและไม่ถูกต้อง
นอกจากจะมีแต่เรื่องที่ยังคิดไม่ตก เจิ้งหยุนก็ยังหาเรื่องก่อกวนหัวใจของเขาอีกด้วย ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่หวังหยูเฟิงปล่อยให้ผู้ชายผมยาวคนนั้นมีอิทธิพลจนละเลยสิ่งที่ควรทำ
อย่างน้อยที่สุด...ก็ไม่ควรปล่อยให้ถูกจูบอย่างง่ายดายแบบนั้น
ความใกล้ชิดและความห่วงใยแบบที่ไม่เคยมีใครมอบให้มาก่อน ทำให้หวังหยูเฟิงเผลอจนลืมหน้าที่ของตัวเอง
เขาตัดสินใจปล่อยเจิ้งหยุนให้หลุดจากข้อสงสัยในคดีของถานอี้เทาไป เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ร้องบอกขึ้นมาในใจ
อยากรู้จัก...
อยากใกล้ชิดให้มากกว่านี้...
อยากได้รับความอ่อนโยนของเจิ้งหยุนอีก...
“บ้าไปแล้วหรือ...” หวังหยูเฟิงเปรยขึ้นพร้อมกับหลับตาลง ความคิดมากมายยังคงไหลเวียนชวนให้หัวใจสับสน โดยเฉพาะภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นที่ร่างกายของพวกเขาได้แนบชิด รวมไปถึงคำสารภาพรักที่เอื้อนเอ่ยยามที่คลื่นทะเลและแสงจันทร์เป็นพยาน รสจูบที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นในครั้งแรกตอกย้ำบางสิ่งที่พยายามหลีกเลี่ยงและไม่สนใจ
หวังหยูเฟิงเป็นเด็กกำพร้า ถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นคนเข้มแข็งและพึ่งพาได้ ทว่าเบื้องลึกในใจกลับว้าเหว่ มิตรภาพของเพื่อนสามารถเยียวยาหัวใจที่หงอยเหงาได้บ้าง แต่ไม่อาจเติมเต็มความปรารถนาที่อยากมีใครสักคนอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตได้
แล้วตอนนี้...เจิ้งหยุนก็ทำให้หวังหยูเฟิงรู้สึกหวั่นไหว
ผู้กองหวังถอนหายใจออกมา ในเวลานี้เขาควรสนใจเรื่องงานมากกว่าความรู้สึกไร้สาระที่ไม่อาจเข้าใจได้
เรื่องของเจิ้งหยุน...ก็ช่างมันไปก่อนแล้วกัน
คดีของเส้าซินฉีที่เพิ่งผ่านไป เขารู้ดีว่า คนร้ายตัวจริงยังใช้ชีวิตเย้ยกฎหมายอย่างสบายใจอยู่ หลังจากนี้คงต้องพยายามเก็บข้อมูลเพื่อเข้าจับกุมให้ได้
หวังหยูเฟิงลืมตาขึ้น ท้องฟ้าที่เคยระบายสีส้มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ ห้องพักที่ไม่ได้เปิดไฟจึงตกอยู่ในความมืดและความเงียบ ทว่าในความคิดของเขากลับกระจ่างชัด อีกทั้งยังมีเรื่องราวของคนที่ตั้งใจจะไม่สนใจย้อนกลับเข้ามาให้วุ่นวายใจ
ก๊อกๆ
หวังหยูเฟิงหันไปมองประตูห้อง เขานึกแปลกใจที่มีแขกมาหา เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีเพียงฟ่านมู่เหยียนที่แวะเวียนเท่านั้น ซึ่งในเวลานี้อีกฝ่ายน่าจะยังทำงานหรือไม่ก็ถูกแฟนสาวคอยดูแลอยู่
หวังหยูเฟิงลุกขึ้นจากโซฟาที่ใช้พักผ่อน นัยน์ตาที่คุ้นชินในความมืดและคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ทำให้เขาสามารถก้าวเดินไปยังจุดหมายได้อย่างมั่นคง
ชายหนุ่มมองตาแมวที่ประตู แต่กลับไม่เห็นใคร เขาเลยตัดสินใจเปิดปราการตรงหน้าออก ก่อนจะตวัดมองผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนพิงผนังห้องข้างประตูพร้อมกับรอยยิ้ม
“มาได้อย่างไร”
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนด้วยความแปลกใจ ถึงจะกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของคนตรงหน้า แต่ก็ไม่ได้คาดฝันว่าจะได้เจอในตอนนี้
“ขับรถ แล้วขึ้นลิฟต์มาครับ”
“เรื่องนั้นผมรู้ ผมหมายถึงคุณมาหาผมทำไม”
“ผมคิดถึงคุณนี่ครับ ไม่ได้เจอหลายวันแล้ว”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะถูกคู่สนทนาดันไหล่ให้เดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ทั้งที่ยังมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญไม่ละสายตา
“เราจะยืนคุยกันอยู่อย่างนี้หรือ เข้าไปนั่งคุยข้างในกันดีกว่านะครับ”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ห้องที่มีความมืดปกคลุมถูกเปิดไฟจนสว่าง เจิ้งหยุนมองสำรวจโดยรอบ แล้วหยุดตรงเจ้าของห้องที่มีท่าทางไม่ต้อนรับแขกเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะเมินใบหน้าเรียบนิ่งและสายตาฉายแววบางอย่างไป
“ห้องคุณสะอาดเรียบร้อยดีนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วส่งยิ้มบางให้หวังหยูเฟิงที่เดินมาเสิร์ฟน้ำรับรอง “ขอบคุณครับ”
“วันนี้ผมเพิ่งทำความสะอาด” หวังหยูเฟิงตอบพร้อมกับมองคนที่ทำตัวตามสบายกำลังนั่งบนโซฟาของเขา “ว่าแต่คุณมาหาผมทำไม”
“ผมบอกไปแล้วนี่ครับว่า ผมคิดถึงคุณ” เจิ้งหยุนบอก เขาส่งยิ้มบางให้เจ้าของห้องอย่างอารมณ์ดี
“คุณเลิกพูดเรื่องเหลวไหลได้แล้ว” หวังหยูเฟิงว่าด้วยน้ำเสียงระอา แล้วจ้องมองคู่สนทนาอย่างจริงจัง “เจิ้งหยุน คุณมีธุระอะไรครับ”
เจิ้งหยุนไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาหวังหยูเฟิงอย่างไม่รีบร้อน ผู้กองหวังก็ไม่ได้ถอยหนี จนกระทั่งพวกเขามายืนอยู่ตรงหน้าของกันและกัน
“ธุระของผมคือความต้องการ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมสบกับแววตาสีดำสวย แล้วเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกชนกัน “ผมต้องการอยู่ใกล้คุณ อยากสัมผัสคุณ”
หวังหยูเฟิงไม่ได้ขยับหนี ชายหนุ่มปล่อยให้แขกของวันนี้ได้ทำธุระของตัวเองตามใจชอบ หัวใจของผู้กองหนุ่มเต้นแรง เมื่อได้รับอ้อมกอดและริมฝีปากที่กำลังถูกช่วงชิงลมหายใจ
การตอบสนองที่ไร้ซึ่งการขัดขืนและต่อต้าน ทำให้ธุระของเจิ้งหยุนดำเนินไปอย่างไม่ติดขัด ชายหนุ่มไม่อาจล่วงรู้ความรู้สึกของหวังหยูเฟิงได้ แต่เขาก็มั่นใจว่า เป้าหมายที่มีต่อผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม
ในเมื่อตอนนี้หวังหยูเฟิงกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว!
เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้น เมื่อความปรารถนาส่วนหนึ่งได้ถูกเติมเต็ม ใบหน้าที่แต้มสีเลือดฝาดของคนที่หอบหายใจกระชั้น ยิ่งกระตุ้นหัวใจและความนึกคิดของเขา
อยากได้จริงๆ...
อยากได้มากกว่านี้...
อยากได้หวังหยูเฟิงจนทนไม่ไหวแล้ว...
เดิมทีเจิ้งหยุนหลงใหลในความแข็งแกร่งและแววตาไม่ยอมแพ้ที่งดงาม ทว่าเมื่อได้ใกล้ชิด เขาก็รับรู้ว่า ตัวตนของหวังหยูเฟิงช่างบริสุทธิ์และไร้เดียงสาจนไม่อยากให้ใครแตะต้อง
แต่เมื่อได้ทำให้แปดเปื้อนไปแล้วครั้งหนึ่ง ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์และนัยน์ตาที่หวานเชื่อมด้วยความต้องการก็ตราตรึงหัวใจของเขาจนไม่อาจห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีก
หวังหยูเฟิงต้องเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!
“คุณหวัง คุณรู้สึกอย่างไรกับผมหรือ”
คำถามที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้หวังหยูเฟิงตกตะลึง หัวใจที่เต้นกระหน่ำบีบเร่งจังหวะอย่างรุนแรง สมองของเขาทำงานหนักอย่างสับสน ทว่าความรู้สึกกำลังบอกคำตอบที่ยากเกินจะยอมรับอย่างชัดเจน
หวังหยูเฟิงเป็นนายตำรวจที่ไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคและอันตราย แต่ตอนนี้เขากลับไม่มีความกล้ามากพอจะเปิดเผยความในใจที่มีต่อผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า
นัยน์ตาสีดำหวานที่ทอดมองอย่างรอคำตอบ ทำให้ผู้กองหนุ่มหวั่นไหวจนไม่กล้าเอ่ยคำใด ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจลึก แล้วคว้าเจิ้งหยุนมาไว้ในอ้อมแขนเป็นคำตอบ ใบหน้าแดงก่ำซบลงที่หัวไหล่กว้างเพื่อหลบซ่อนความเขินอายของตัวเอง
เจิ้งหยุนเหลือบตามองผู้กองหวัง รอยยิ้มยกขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะตัดสินใจยกเบ็ดที่ตกเอาไว้มานานขึ้น ความรู้สึกของหวังหยูเฟิงที่อยู่ในกำมือของเขา
“หวังหยูเฟิง”
“...อืม”
“เราคบกันดีไหมครับ”
หวังหยูเฟิงเบิกตากว้าง แล้วเงยหน้าขึ้นมองการจู่โจมต่อเนื่องจนหัวใจของเขาสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นและประหม่า ผู้กองหนุ่มไม่ได้เตรียมใจมารับมือกับสถานการณ์เช่นนี้เลย
“ผมรักคุณ”
“แต่...คุณ”
หวังหยูเฟิงปล่อยตัวไปตามความรู้สึก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยสติให้หลุดลอย ผู้กองหวังยังตระหนักถึงตัวตนของบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ผู้ร้ายที่สั่นคลอนความถูกต้องในหัวใจของเขา
หวังหยูเฟิงมีความคิดเปิดกว้างพอจะยอมรับความสัมพันธ์ฉันท์คนรักของเพศเดียวกัน เพียงแต่บทบาทของพวกเขานั้นต่างกันเกินไป
ตำรวจกับคนร้าย...
“ผมเข้าใจว่าคุณระแวงผม” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบไล้ใบหน้าลังเลของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “แต่ผมจริงใจกับคุณนะครับ”
“จะให้ผมคบกับคนที่มีความลับปิดบังตัวเองหรือ” หวังหยูเฟิงย้อนถาม ซึ่งความนัยนั้นเป็นการตอบรับเกินกว่าครึ่ง เจิ้งหยุนยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
“ความลับของผม ถ้าคุณรู้แล้วจะทำไมหรือครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถามกลับ เขาเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าผมทำอะไรไม่ดี คุณจะจับผมหรือเปล่า”
หวังหยูเฟิงเม้มริมฝีปากแน่น ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของหัวใจที่ต้องขบคิด จิตใต้สำนึกของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ก็กำลังเอนไหว
“ว่าอย่างไรครับ หยูเฟิง” เจิ้งหยุนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง เขาไม่ได้มีสีหน้าและท่าทางตื่นตกใจหรือกดดัน เพราะไม่ว่าคำตอบรับของหวังหยูเฟิงจะเป็นอะไร อีกฝ่ายก็หนีเขาไม่ได้อยู่แล้ว
กฎหมายอาจจะเป็นบรรทัดฐานของสังคม แต่อำนาจก็เป็นสิ่งที่ควบคุมสังคมเช่นเดียวกัน
“ผมจะคุยเรื่องนี้ทีหลัง” หวังหยูเฟิงเอ่ยคำตอบในที่สุด เขาควรถอยหลังเพื่อพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกะทันหันในตอนนี้อย่างจริงจังอีกครั้ง ทว่าความตั้งใจของผู้กองหนุ่มก็ไม่อาจสมหวังได้ง่าย เมื่อคู่กรณีคือทายาทคนเล็กของตระกูลเจิ้งผู้เอาแต่ใจ
“แต่ผมอยากได้คำตอบตอนนี้ครับ” เจิ้งหยุนท้วงพร้อมกับเข้ามากอดหลังคนที่กำลังจะเดินหนีเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนไปกระซิบที่ใบหูนุ่มนิ่ม “คุณก็น่าจะรู้ ผมไม่ชอบให้ใครขัดใจ”
ผู้กองหวังมีสีหน้าปั้นยาก แต่ก็ยอมรับว่า มีความรู้สึกดีให้เจิ้งหยุน ทว่ามโนสำนึกก็ยังร้องเตือนถึงหน้าที่และบทบาทที่พึงกระทำ เขาควรนำตัวอีกฝ่ายไปลงโทษตามกฏหมายอย่างที่เคยปณิธานเอาไว้ ไม่ใช่กลายเป็นคนรักของผู้ร้าย
“ถ้าคุณเป็นคนรักของผม” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงล่อหลอก เขาตั้งใจเป่าลมหายใจให้คนในอ้อมแขนสะท้านกายด้วยความนึกสนุก “ผมจะบอกความจริงกับคุณ”
“คุณจะยอมรับผิดอย่างนั้นหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย ตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าควรยินดีกับโอกาสที่ถูกมอบให้หรือเปล่า
“ถ้าคุณตกลง คุณก็จะรู้คำตอบนั้นเองครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย แล้วฉวยโอกาสขบเม้มใบหูของผู้กองหนุ่มอย่างอารมณ์ดี
หวังหยูเฟิงเกร็งตัวขึ้น เขารู้สึกเสียววูบ เมื่อริมฝีปากนุ่มเริ่มไล่ดูดเม้มลงมาที่ซอกคอ ความคิดสับสนปั่นป่วนมากกว่าเดิม
“คุณไม่กลัวผมจะจับคุณหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามหยั่งเชิง เขาดันตัวเองออกจากอ้อมแขนอบอุ่นเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ร้ายปากแข็ง “ถึงผมจะคบกับคุณ แต่ถ้าคุณทำผิด ผมจะจับคุณเข้าคุก”
“แต่ผมว่าคุณไม่ทำแบบนั้นหรอก” เจิ้งหยุนเอ่ยแย้งด้วยท่าทีสบาย เขาพิจารณาใบหน้าจริงจังที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นคงในแววตาอย่างผ่อนคลาย “เพราะถ้าคุณตั้งใจทำอย่างนั้นจริง ตอนนี้เราสองคนคงไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้”
“ตอนนี้ผมกำลังหาหลักฐานเอาผิดอยู่” หวังหยูเฟิงเอ่ยโต้อย่างไม่ยอมแพ้ แต่คู่ต่อสู้กลับทำเพียงแสดงสีหน้าแปลกใจเท่านั้น “ถ้าผมมีข้อมูลเพียงพอ ผมจะทำในสิ่งที่ผมควรทำสักที”
“ก็จริงที่คุณไม่มีหลักฐาน แต่ผมว่าถ้าคุณตั้งใจมากกว่านี้ก็ไม่ยากหรอก” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อราวกับน้ำเย็นที่สาดหน้านายตำรวจผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่ “อย่างน้อยเรื่องของฟ่านมู่เหยียนในคืนนั้น คุณก็ควรทำอะไรสักอย่าง อย่างเช่นมาเอาเรื่องกับผมที่น่าสงสัยที่สุด”
ในตอนนั้นเจิ้งหยุนวางแผนเพื่อหวังผลสามอย่าง สิ่งแรกคือความเชื่อใจของกงเจ๋อตวน สิ่งที่สองคือล่อลวงความรู้สึกของหวังหยูเฟิงในเวลานั้น และสิ่งสุดท้ายคือรอดูปฏิกิริยาของผู้กองหนุ่มที่มีต่อเขาหลังจากเกิดเหตุขึ้น
ทั้งที่หวังหยูเฟิงควรจะมาเอาเรื่องกับเขาเพื่อสาวไปถึงกงเจ๋อตวนอย่างที่ควรทำ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ทำ แถมยังกระโดดเข้าไปจัดการไอ้แก่นั่นต่อเองเสียอย่างนั้น
ถ้าไม่ให้คิดเข้าข้างตัวเองเลย เขาก็ดูถูกตัวเองมากเกินไปหน่อย
เจิ้งหยุนมองท่าทางเคร่งเครียดเหมือนคนกำลังต่อสู้กับตัวเองของหวังหยูเฟิงครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา
“เอาเถอะ...ถึงผมจะชอบสีหน้าของคุณตอนนี้ แต่ผมจะให้เวลาคุณหน่อยก็แล้วกัน”
“ประสาท”
“หึ”
เจิ้งหยุนเดินกลับไปนั่งที่โซฟาอีกครั้ง โดยที่มีสายตาของเจ้าของห้องมองมาอย่างไม่ชอบใจ เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ หวังหยูเฟิงก็ลอบถอนหายใจออกมา เหตุการณ์น่าวิตกก่อนหน้านี้ก็เหมือนภาพฝันที่ตกค้างอยู่ในความคิด
“ถ้าหมดธุระ คุณก็กลับไปได้แล้ว”
หวังหยูเฟิงรวบรวมตัวตนที่หายไปเมื่อครู่ให้กลับคืนมา ผู้กองหนุ่มมองแขกที่ทำตัวตามสบายด้วยการนอนราบไปตามความยาวของโซฟาที่ไม่เพียงพอกับความสูงราวกับอยู่บ้านของตัวเองเขม็ง
“โซฟาเล็กไปหน่อยนะครับ”
“เจิ้งหยุน”
เจิ้งหยุนเหลือบตามองคนหน้านิ่งเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังประตูกระจกใสบานใหญ่ตรงระเบียงที่ฉายภาพวิวกลางคืนของอพาร์ตเมนต์ความสูงสี่ชั้น
“ผมขอค้างที่นี่ได้ไหมครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วหันไปมองหวังหยูเฟิงที่ทำหน้าแปลกใจออกมา “ตอนนี้ผมมีปัญหาน่ะ”
“ปัญหาอะไร” หวังหยูเฟิงถามต่อ เขาขมวดคิ้วพร้อมกับจินตนาการถึงเรื่องราวที่เป็นไปได้ หรือว่าเจิ้งหยุนจะไปมีเรื่องกับใครมา
“พอดีรถของผมเสียครับ” เจิ้งหยุนตอบ แล้วส่งยิ้มบางที่คุ้นตามาให้ หวังหยูเฟิงรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
“แล้วทำไมไม่โทรหาอู่หนิง” หวังหยูเฟิงถามต่อด้วยน้ำเสียงกดดัน แต่คนตรงหน้าก็ถอนหายใจออกมา
“ผมไม่ได้พกมือถือมา” เจิ้งหยุนบอก แล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “ตำรวจอย่างคุณคงไม่ใจร้ายกับประชาชนที่กำลังเดือดร้อนหรอกนะครับ”
“คุณจะใช้โทรศัพท์ของผมไหม” หวังหยูเฟิงเสนอความช่วยเหลือที่เข้าท่ากว่า แต่เจิ้งหยุนก็ตีสีหน้าหงอย เปลี่ยนจากจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เป็นสุนัขถูกทิ้งทันที
“คุณหวังหยูเฟิงครับ คืนนี้ผมอยากค้างที่นี่” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงอ่อน นัยน์ตาจ้องมองเจ้าของห้องอย่างจริงจัง หวังหยูเฟิงจึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
ทั้งที่ชายหนุ่มรู้ดีว่า เจิ้งหยุนเป็นคนที่มีข้ออ้างและเหตุผลสารพัดให้ตัวเอง แต่เขาก็จำใจยอม เพราะเหนื่อยกับการต่อปากต่อคำเต็มที วันนี้ผู้กองหวังไม่อยากปะทะคารมกับคนตรงหน้าอีก
“ก็ได้ แล้วเรื่องเสื้อผ้าล่ะ”
“ก็ใส่ของคุณ” เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “หรือคุณไม่พอใจ ผมไม่ใส่อะไรเลยก็ได้”
“กรุณาใส่เสื้อของผม!” หวังหยูเฟิงบอกเสียงเข้ม แต่กลับทำให้คนฟังหัวเราะออกมาเบาๆ
“ขอบคุณครับ” เจิ้งหยุนตอบรับเสียงนุ่มด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
หวังหยูเฟิงถอนหายใจครั้งที่เท่าไรก็ไม่อาจนับได้ เขารู้สึกกดดัน เพราะไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหน เส้นทางของชีวิตที่ราบเรียบไม่เคยคิดเลยว่า จะเจอทางแยกที่ตัดสินใจยากแบบนี้
ผู้กองหวังเดินออกจากห้องน้ำในชุดลำลองเนื้อบางสำหรับใส่นอน เขามองชายหนุ่มผมยาวที่ตอนนี้กำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพิ่งบอกเขาว่า ไม่ได้เอามาอย่างอ่อนใจ
“อาบน้ำได้แล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปสนใจโทรทัศน์ที่เปิดค้างเอาไว้
“ผมใช้ผ้าเช็ดตัวของคุณได้หรือเปล่า” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม เขาวางโทรศัพท์มือถือของตัวเองไว้บนหัวเตียง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ตามสบาย”
หวังหยูเฟิงไม่ค่อยมีของสำหรับรับรองแขกที่มาค้างคืนนัก แต่ของใช้ส่วนตัวก็พอจะมีสำรองอยู่บ้าง ทว่าในขณะที่ผู้กองหนุ่มกำลังก้มไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ในตู้เสื้อผ้า เจิ้งหยุนกลับฉวยผ้าเช็ดตัวที่เขาเพิ่งใช้งานเสร็จไปแทน
“ผมใช้ผืนเดียวกับคุณได้ครับ”
หวังหยูเฟิงได้แต่มองตามหลังผู้ชายผมยาวที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนที่สายตาจะเลื่อนไปมองอุปกรณ์สื่อสารของอีกฝ่ายที่วางอยู่
หวังหยูเฟิงไม่ได้เป็นคนเสียมารยาทหรือชอบละลาบละล้วงเรื่องราวของคนอื่น แต่โทรศัพท์มือถือของเจิ้งหยุนก็น่าสนใจเกินกว่าที่เขาจะห้ามใจได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า เจ้าของเครื่องคงล็อกรหัสผ่านเอาไว้ก็ตาม
ผู้กองหวังหยิบอุปกรณ์สื่อสารเครื่องเล็กมาไว้ในมือ ก่อนที่เขาจะชะงัก เมื่อเห็นภาพล็อกหน้าจอเต็มตา ใบหน้าเรียบนิ่งมีความร้อนวิ่งผ่านในทันที
“นี่มัน....”
หวังหยูเฟิงพูดไม่ออก เขาอยากจะโยนสิ่งที่ถือออกไป ทว่าสายตาก็ยังคงจับจ้องภาพน่าอายของตัวเองไม่วางตา
ภาพของเขาในคืนนั้น!!!
นี่คือตัวเองในตอนนั้นหรือ!!!
หวังหยูเฟิงไม่แน่ใจว่าเขาช็อกกับสีหน้าอันน่าอับอายของตัวเองอยู่นานแค่ไหน จนกระทั่งเสียงประตูห้องน้ำเปิดดังขึ้น ชายหนุ่มจึงรีบวางโทรศัพท์มือถือของเจิ้งหยุนไว้ที่เดิมราวกับของร้อน
“เป็นอะไรครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม เขามองใบหน้าปั้นยากที่ผิวแก้มแดงระเรื่ออย่างสงสัย ก่อนจะมองไปยังโทรศัพท์มือถือของตัวเอง แล้วยกยิ้มขึ้น
ว้าว! ตกเหยื่อได้อีกแล้วแฮะ
“ไม่มีอะไร” หวังหยูเฟิงตอบเสียงนิ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วมองเจิ้งหยุนที่ร่างกายเปลือยเปล่า เพราะผ้าเช็ดตัวที่ควรใช้ปกปิดท่อนล่างถูกอีกฝ่ายนำไปเช็ดผมของตัวเองแทน “แล้วทำไมไม่นุ่งผ้าให้มันดีหน่อย”
“ผมลืมไป” เจิ้งหยุนตอบหน้าตาใสซื่อ แล้วยิ้มออกมา “ผมชินน่ะ คิดว่าอยู่ห้องตัวเอง ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยหยิบชุดมาให้ผมหน่อยสิครับ”
หวังหยูเฟิงได้แต่ต่อว่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ ในขณะที่กำลังหาเสื้อผ้าให้แขกใส่อยู่นั้น อ้อมแขนอบอุ่นที่กรุ่นกลิ่นหอมสะอาดก็โอบกอดเขาจากทางด้านหลัง
“เจิ้งหยุน!”
“คุณเห็นภาพนั้นแล้วใช่ไหม”
“ภาพอะไร”
“ภาพที่ผมตั้งไว้ในมือถือ ภาพของคุณตอนนั้น”
หวังหยูเฟิงหันกลับไปมองพร้อมกับส่งเสื้อผ้าให้เจิ้งหยุนที่รับมาอย่างว่าง่ายด้วยสีหน้าไม่ชอบใจนัก ถึงความอายจะมีมากกว่าความขุ่นเคืองก็ตาม
“คุณควรจะสนใจเรื่องที่โกหกผมว่าไม่ได้เอามือถือมามากกว่านะ”
“อ้อ ผมเพิ่งนึกได้ว่าพกมา ตอนคุณอาบน้ำน่ะ”
หวังหยูเฟิงควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังทำหน้าไม่รู้เรื่อง ก่อนจะกัดฟันเอ่ยเสียงเข้มเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็ก
“ไปใส่เสื้อผ้าได้แล้ว”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หวังหยูเฟิงนอนไม่หลับ สาเหตุไม่ต้องหาคำตอบให้ยุ่งยาก เพราะเขารู้ดีว่ามาจากคนที่นอนสบายอยู่ข้างกันนั่นเอง
ผู้กองหนุ่มอยากจะนอนหันหลังให้อีกฝ่าย แต่สัญชาตญาณร้องเตือนว่าเขาไม่ควรทำแบบนั้น ดังนั้นเจ้าของห้องจึงต้องข่มตาอย่างอดทนเพื่อพาตัวเองเข้าสู่นิทรา
ร่างกายที่ควรผ่อนคลายยามที่ได้พักผ่อนเกร็งขึ้น เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสร้อนที่แตะลงผิวกายไปทั่วตัว หวังหยูเฟิงยังไม่ได้เข้าภวังค์ฝัน เขาเพียงหลับตาเพื่อขับกล่อมตัวเองเท่านั้น พอมาเจอเรื่องแบบนี้ความคิดก็ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม
ทำเฉยไปดีหรือเปล่า...
ทั้งที่ตั้งใจจะทำเป็นไม่สนใจเพื่อให้อีกฝ่ายเลิกราไปเอง แต่การก่อกวนยามดึกก็เริ่มหนักข้อขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ามือ ริมฝีปาก หรือน้ำหนักของร่างกายที่กำลังกดทับก็รบกวนจนเขาทนนอนนิ่งต่อไปไม่ไหว
“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงห้วน นัยน์ตาเปิดกว้างมองคนที่กำลังทำตัวเป็นผีอำขึ้นมาบนร่างกายของเขา เส้นผมยาวสีดำของอีกฝ่ายตกลงมาราวกับม่านไหมที่อยู่ล้อมกรอบใบหน้าหล่อเหลาเอาไว้
“ผมแค่ต้องการตอบแทนคุณครับ” เจิ้งหยุนเอ่ย ก่อนจะก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของผู้กองหนุ่มอย่างนุ่มนวล “ผมจะทำให้คุณหลับสบาย”
หวังหยูเฟิงต้องการจะโต้แย้งและปฏิเสธน้ำใจที่ไม่ได้ต้องการ แต่คำพูดของเขาก็ถูกริมฝีปากบางดูดกลืนไปจนหมด ก่อนที่คำประท้วงจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางผะแผ่วในความมืดที่เงียบสงบ
“ผมรู้ว่าคุณชอบอะไร” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม เขาลากฝ่ามือไปตามร่างกายของนายตำรวจอย่างย่ามใจ “เพราะผมรักคุณ เชื่อใจผมนะ”
คำว่ารักที่ได้ยิน ทำให้ร่างกายที่สั่นไหวด้วยสัมผัสวาบหวามเร่งอุณหภูมิขึ้น หวังหยูเฟิงไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน เขาเพียงนอนทอดกายให้อีกฝ่ายปรนเปรอความปรารถนาเบื้องลึกที่ไม่อยากให้ใครหรือตัวเองล่วงรู้แต่โดยดี
ความต้องการที่มีต่อเจิ้งหยุน...
เสียงสะอื้นดังขึ้น เมื่ออารมณ์ได้ถูกปลุกปั่นอย่างต่อเนื่อง ครั้งก่อนหวังหยูเฟิงอาจจะโทษฤทธิ์ยาที่มอมเมาให้ขาดสติ ทว่าเวลานี้ความรู้สึกพึงใจที่ไม่อยากยอมรับกำลังเล่นงานเขาจนอ่อนระทวย
“อื้อ...”
ส่วนสำคัญของร่างกายถูกสัมผัสด้วยจังหวะที่คุ้นเคย เมื่อทุกอย่างติดไฟ ความร้อนก็แผดเผาความยับยั้งชั่งใจทั้งหมดให้กลายเป็นเถ้าธุลี มีเพียงลมหายใจและเสียงทุ้มล่อลวงที่พัดโหมความต้องการให้ลุกโชนอย่างต่อเนื่อง
“ยังไม่ต้องเป็นคนรักก็ได้ แต่ให้ผมเป็นคนเดียวที่ได้ใกล้ชิดคุณแบบนี้” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมประสานกับดวงตาสีนิลแวววาวที่เอ่อล้นด้วยอารมณ์ที่เขาเป็นผู้เริ่มต้น ริมฝีปากยกยิ้มบางอย่างอ่อนโยน “ให้ผมเป็นคนพิเศษที่สุดของคุณนะครับ”
หวังหยูเฟิงตอบรับคำขอนั้นด้วยการรั้งต้นคอของชายหนุ่มผมยาวลงมามอบจูบดูดดื่ม โดยมีเรือนกายแข็งแรงแนบชิด ท่าทางซื่อตรงต่อความรู้สึกของผู้กองหนุ่มสร้างความรื่นรมย์ให้กับเจิ้งหยุนอย่างยิ่ง เขาปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองและอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย แล้วใช้ผิวกายร้อนมอบไออุ่นจากอ้อมแขนพร้อมกับตีตราจองด้วยรอยจูบที่แต่งแต้มไปทั่วร่างของบุรุษที่หมายปอง
เสียงครวญครางผสานกับเสียงสัมผัสชวนสยิวซาบซ่านดังขึ้นในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย หวังหยูเฟิงไม่อาจอดกลั้นคลื่นอารมณ์ที่ซัดสาดเข้ามาทุกครั้งที่ริมฝีปากร้อนประทับบนร่างกายของเขาอย่างเป็นเจ้าของได้เลย
เจิ้งหยุนละเมียดกลืนกินร่างกายที่ปรารถนาอย่างไม่รีบร้อน หยอกเย้าอารมณ์ให้เหยื่อทรมานด้วยพิษสวาทที่เขาบรรจงมอบให้ ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองใบหน้าเสียวซ่านที่น่าหลงใหลอย่างพอใจ ก่อนจะถอนริมฝีปากจากยอดอกที่ขึ้นสีแดงก่ำทั้งสองข้าง
“หยูเฟิง...” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับขยับกายเล็กน้อย เขายกมือขึ้นทัดเส้นผมยาวของตัวเองเผยใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยกยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ “เรามาเป็นของกันและกันเถอะนะครับ”
ใบหน้าของหวังหยูเฟิงร้อนผ่าวมากกว่าเดิม ร่างกายของเขามีเหงื่อซึมไปทั่วราวกับต้องการปลดปล่อยบางอย่างที่ระอุอยู่ภายใน รวมไปถึงความรู้สึกที่อยากจะระบายออกมาเต็มที แรงเสียดสีอย่างเชิญชวนที่เจิ้งหยุนชักนำ ทำให้ความลังเลของชายหนุ่มที่พ่ายแพ้ต่อหัวใจละเลยความคิดต่างๆ อีกต่อไป
“อืม”
สิ้นคำยินยอม เจิ้งหยุนก็ยิ้มกว้าง แล้วมอบจูบแสนหวานชวนเคลิ้มฝันให้หวังหยูเฟิง แขนและขาของพวกเขากอดเกี่ยวแสดงความต้องการที่มีต่ออีกฝ่ายอย่างชัดเจน ส่วนสำคัญทางเพศก็สัมผัสกันด้วยความเร่าร้อน
หลังจากเล้าโลมร่างกายและอารมณ์ให้แก่กันจนได้ที่ พวกเขาก็สร้างความสัมพันธ์ครั้งใหม่ด้วยการประสานร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน ทุกแรงที่เคลื่อนไหวตอกย้ำความปรารถนาที่ต้องการปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง
เสียงครางอย่างสุขสมที่ดังสลับกับเสียงร่ำร้องที่มีต่ออีกฝ่ายคล้ายกับบทเพลงรักที่ทำให้ผู้ใดที่ได้ฟังต้องเลือดสูบฉีดด้วยความเขินอาย ท่วงทำนองสวาทถูกบรรเลงอย่างเร่าร้อน นักประพันธ์ทั้งสองคนกำลังช่วยกันสรรสร้างและปีนป่ายไปตามเมโลดี้แสนหวานอย่างกระตือรือร้น และเมื่อโน้ตตัวสุดท้ายมาถึง ความอัดอั้นของพายุอารมณ์ก็กลายเป็นสายฝนเย็นฉ่ำดับไฟราคะให้มอดดับลงอย่างเชื่องช้า
เจิ้งหยุนหอบหายใจเล็กน้อย เขาไม่เคยรู้สึกเต็มอิ่มในเพศรสเท่าครั้งนี้มาก่อน ชายหนุ่มยกยิ้มมองใบหน้าอ่อนเพลียและนัยน์ตาสีดำที่ปริ่มน้ำตาแห่งความสุขสมของผู้กองหวัง แล้วก้มลงจุมพิจที่หน้าผากชื้นเหงื่ออย่างอ่อนโยน
หวังหยูเฟิงหลับตาลง ถึงแม้จะรู้สึกแปลก แต่เขาก็พอใจกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและสิ้นสุดลง ฝ่ามือของเขาลูบผ่านร่างกายเปลือยเปล่าพรมเหงื่อของเจิ้งหยุนอย่างเลื่อนลอย
“ผมมีความสุขมากเลยครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงต่ำ เขาทอดมองชายหนุ่มที่เพิ่งร่วมรักด้วยรอยยิ้มบาง “คุณมีความสุขไหม”
“อืม” หวังหยูเฟิงตอบรับเสียงเบา ก่อนจะเลื่อนสายตาไปสบกับนัยน์ตาเป็นประกายอย่างอ่อนหวานตามอารมณ์ที่ยังตกตะกอน
“เรามามีความสุขด้วยกันต่อเถอะ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบไล้ใบหน้าของหวังหยูเฟิงอย่างแสดงความต้องการ “ผมอยากกอดคุณอีก”
ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่าอายที่จะตอบรับ แต่หวังหยูเฟิงก็ต้องการและยังอยากได้ความอบอุ่นที่ร้อนแรงจากเจิ้งหยุนเช่นเดียวกัน
“เอาสิ” หวังหยูเฟิงตอบรับ หลังจากนั้นเศษอารมณ์ที่ปลิดปลิวก็รวมตัวกลับมาอีกครั้ง ความรู้สึกถูกปลุกเร้าด้วยลิ้นที่สอดเข้ามากระหวัดเกี่ยวอย่างชำนาญในโพรงปากของเขา
ชายหนุ่มทั้งสองคนยังคงเสพสุขและตักตวงความต้องการอย่างหิวโหย ลืมเลือนทุกสิ่งรอบตัวราวกับโลกทั้งใบมีเพียงตัวตนของกันและกันเท่านั้น พวกเขาได้ปล่อยตัวและหัวใจให้ล่องลอยไปตามความปรารถนาที่ไม่มีสิ้นสุดไปตลอดค่ำคืน
TBC++++++++ 21ผลลัพธ์ของการตัดสินใจ
Marionetta ในที่สุด...ผู้กองหวังก็โดนหินอย่างเป็นทางการ 5555ขอบคุณที่ติดตามค่ะ o18
-
21
ผลลัพธ์ของการตัดสินใจ
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หวังหยูเฟิงตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของเจิ้งหยุน ความอ่อนเพลียสร้างความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สติทุกอย่างจะทำงานได้ปกติอีกครั้ง
เขาหันไปมองผู้ชายที่กำลังนอนหลับสนิท ใบหน้าที่ล้อมรอบด้วยเรือนผมสีดำยาวราวกับเจ้าชายรูปงาม ทำให้คนจ้องมองนิ่งไปชั่วขณะ เรื่องราวในราตรีที่ผ่านมาย้อนเข้ามาในความทรงจำ
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า เมื่อมโนภาพเร่าร้อนแจ่มชัดในความคิด ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ ครั้งนี้เขาไม่อาจกล่าวโทษสิ่งใด นอกจากหัวใจของตัวเอง
ปลายนิ้วหยาบแตะผิวแก้มขาวของทายาทคนเล็กของอีเดนแผ่วเบา ความสับสนและกังวลใจวิ่งวนในความรู้สึก ถึงเจิ้งหยุนจะยอมปล่อยผ่านสถานะคนรักที่ต้องการไปก่อน แต่ความสัมพันธ์ทางกายอย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิมที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ถือเป็นคำตอบรับกลายๆ ของเขาได้
“คุณตื่นก่อนผมอีกแล้ว”
เสียงของเจิ้งหยุน ทำให้หวังหยูเฟิงหลุดจากภวังค์ เขาหันไปมอง ก่อนจะถูกอีกฝ่ายจู่โจมที่ริมฝีปากอย่างร้อนแรงแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
หวังหยูเฟิงอยากจะดันคนฉวยโอกาสออก แต่ร่างกายของเขากลับอ่อนระทวยและไร้เรี่ยวแรงจากรสรักที่เพิ่งประสบแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกในชีวิต
เมื่อคืนนี้หวังหยูเฟิงไม่รู้สึกอะไร เนื่องจากแรงอารมณ์เร่งเร้าร่างกายให้ตอบสนองทุกสัมผัสที่ได้รับอย่างอิ่มเอม ทว่าตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
“อื้อ...พอ” หวังหยูเฟิงเอ่ยปรามเสียงเบาพร้อมกับหันใบหน้าหนีเรียวปากหยักที่กดจูบย้ำที่ริมฝีปากของเขาอย่างถือสิทธิ์ แล้วผ่อนลมหายใจออกมา เพราะไม่อาจหลบเลี่ยงสัมผัสที่เดินทางไปทั่วใบหน้าจนถึงซอกคอได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยเรียกเป็นการทักท้วง “เจิ้งหยุน”
“คุณน่ารัก” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้วส่งยิ้มสดใสราวกับกระต่ายน้อย แต่แววตาวิบวับไม่ต่างจากเสือร้ายที่รอขย้ำเหยื่อ “อยากกอดคุณอีก”
“จะบ้าหรือ!” หวังหยูเฟิงว่าไม่เต็มเสียงนัก อาจเป็นเพราะลำคอที่ใช้งานอย่างหนักเมื่อคืนนี้ น้ำเสียงจึงแหบแห้งราวกับขาดน้ำมาหลายวัน ถึงแม้เมื่อครู่นี้จะเพิ่งได้รับความหวานฉ่ำจากรสจูบเติมเต็มมาบ้างแล้วก็ตาม
“ผมนอนกอดคุณได้ทั้งวันทั้งคืน” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แล้วกดจูบที่ไหล่กว้างของผู้กองหนุ่มอย่างหลงใหล
“แต่ผมไม่!” หวังหยูเฟิงเอ่ยปฏิเสธพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง โดยไม่ได้สนใจว่าตอนนี้ร่างกายกำลังถูกลวนลามอยู่ นัยน์ตาสีดำสวยเลื่อนไปมองนาฬิกาแล้วขมวดคิ้วอกมา
สิบเอ็ดโมงแล้วหรือ....
โดยปกติหวังหยูเฟิงเป็นคนตื่นเช้า การเริ่มต้นวันใหม่ในเวลาสายโด่งแบบนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้กองหนุ่มคุ้นชินนัก โชคดีที่วันนี้ยังเป็นวันลาพักร้อน ไม่อย่างนั้นเขาคงหงุดหงิดที่ไปทำงานสาย เนื่องจากความเหลวไหลของตัวเอง
“หยูเฟิง”
หวังหยูเฟิงหันไปมองเจิ้งหยุนที่เข้ามารัดเอวของเขาเอาไว้ ร่างกายของชายหนุ่มทั้งสองคนมีเพียงผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างอย่างหมิ่นเหม่ แผ่นหลังของนายตำรวจแนบชิดหน้าอกผ่าเผย ใบหน้าหล่อเหลาของคุณชายรูปงามวางลงบนหัวไหล่ของคนที่ตัวเองกกกอด
“ผมเป็นคนส่งเรื่องของถานอี้เทาให้ตำรวจเอง”
หวังหยูเฟิงรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน จนลืมเลือนความเขินอายที่กำลังได้รับไออุ่นจากผิวกายร้อนแบบแนบเนื้อ
ในระหว่างที่ผู้กองหวังกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อเอาผิดกับผู้มีอิทธิพลใหญ่ที่กำลังติดตามมาหลายปี ทว่าเมื่อราวสองเดือนก่อนที่จะเกิดเรื่อง เขาก็ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากผู้หวังดีที่ไม่ประสงค์ออกนามจนดำเนินการเข้าจับกุมถานอี้เทาในที่สุด
“เรื่องของกงเจ๋อตวน ผมก็จะช่วยคุณ”
หวังหยูเฟิงหันไปมองเจิ้งหยุนอย่างค้นหาคำตอบ ผู้กองหนุ่มไม่เคยคาดเดาความคิดของผู้ชายคนนี้ได้เลย รอยยิ้มบางของบุรุษแห่งกาเบรียลปรากฏขึ้น ก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะกดลงบนแก้มของเขา
“ผมไม่อยากให้คุณไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็น” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงห่วงใย กงเจ๋อตวนไม่ใช่เหยื่อที่จะจัดการได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้ยาก ถ้าหากเขาจะลงมือด้วยตัวเอง
“แล้วคุณจะหักหลังผมหรือเปล่า” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองอีกฝ่ายอย่างเคลือบแคลง “เหมือนที่คุณเคยทำกับผมไปแล้ว”
เจิ้งหยุนนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อทบทวนเรื่องราวในความคิดได้ เขาก็คลี่ยิ้ม แล้วกระชับอ้อมแขนเพื่อโอบกอดผู้กองหนุ่มอย่างเอาใจ
“ผมเคยทำแบบนั้นด้วยหรือ ไม่เห็นรู้เรื่องเลยครับ”
หวังหยูเฟิงพ่นลมหายใจออกมาเป็นการระบายความไม่พอใจ แล้วตั้งใจจะลุกออกจากเตียง แต่เขาก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการของเจ้าของผับกาเบรียลได้
“ปล่อยผมได้แล้ว”
“อาบน้ำด้วยกันนะครับ”
“ไม่!”
“ตอนนี้คุณยังยืนไม่ไหวหรอก”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว ถึงเขาจะรู้สึกว่าร่างกายกำลังอ่อนแอ แต่ก็ไม่ถึงขนาดช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพื่อยืนยันคำพูดนั้น เจิ้งหยุนจึงปล่อยให้ผู้กองหนุ่มที่เพิ่งผ่านสงครามรักบนเตียงครั้งแรกได้เผชิญความจริงด้วยตัวเอง
หวังหยูเฟิงสูดลมหายใจ แล้วหย่อนขาลงจากเตียงอย่างไม่รีบร้อน ชายหนุ่มชำเลืองมองคนที่นั่งกอดอกมองเขาอยู่เล็กน้อย และเมื่อฝ่าเท้ารองรับน้ำหนักเต็มความสูง ร่างกายที่หนักอึ้งก็ทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก
หวังหยูเฟิงไม่ได้ล้ม เพราะเขาประคองตัวเองได้ทัน แต่ท่าทางซวนเซก็เพียงพอให้เจิ้งหยุนได้บ่นออกมา
“ผมบอกแล้ว ตอนนี้ผมยังไม่อยากลุกจากเตียงเลย”
“เรื่องของคุณ!”
หวังหยูเฟิงชักสีหน้าออกมา แล้วพาร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากสงครามสวาทไปยังห้องน้ำอย่างทุลักทุเลด้วยความตั้งใจ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อร่างกายถูกใครอีกคนประคองกอดเอาไว้
“คุณอย่าดื้อกับผมเลย ให้ผมดื้อกับคุณฝ่ายเดียวก็พอ”
“หึ!”
ในที่สุดหวังหยูเฟิงก็ยินยอมให้เจิ้งหยุนพาเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อประตูปิดลง เสียงโวยวายและโต้เถียงก็ดังขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นเสียงครางหวิวที่แทรกผ่านเสียงน้ำที่ไหลจากฝักบัว
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เจิ้งหยุนเคยตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้ในใจเรื่องหนึ่ง เมื่อไรที่ได้กลืนกินหวังหยูเฟิง เขาจะทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในอ้อมกอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่งชายหนุ่มก็ได้ทำตามเป้าหมายนั้นแล้ว
ตอนนี้หวังหยูเฟิงที่ร่างกายอ่อนปวกเปียกจากความรู้สึกที่เขามอบให้กำลังนั่งทำหน้าซังกะตายใส่ ทว่าดวงตาสีนิลนั้นแข็งกร้าวด้วยความไม่พอใจ
“หยูเฟิง อย่าโกรธผมเลยนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอนที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน แต่เมื่อได้รับสายตาดุเป็นคำตอบ เขาก็ทอดเสียงหวานอย่างออดอ้อน “เพราะผมรักคุณ เลยอดใจไม่ไหว”
หวังหยูเฟิงถอนหายใจ แล้วรับประทานอาหารเช้าในตอนบ่ายอย่างระอา ตอนนี้ผู้กองหนุ่มเข้าใจถ่องแท้ถึงทุกความรู้สึกที่เจิ้งหยุนมีต่อเขาแล้ว รวมไปถึงความรู้สึกของตัวเองด้วย
ทั้งที่แสดงท่าทางไม่พอใจ แต่หวังหยูเฟิงก็ยินยอมให้อีกฝ่ายฉวยโอกาสอย่างเต็มใจ หัวใจก็หวั่นไหวทุกครั้งที่ได้รับทุกสัมผัสของเจิ้งหยุน ชายหนุ่มจ้องมองคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ถึงจะยังไม่อาจจินตนาการถึงอนาคตที่พวกเขาจะได้ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เวลานี้เขาก็ยอมรับว่า มีความสุขดีที่มีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างกาย
แต่...เจิ้งหยุนเป็นคนร้าย
ตอนนี้หวังหยูเฟิงมีความผิดติดตัวสามครั้ง
ความผิดของเขาครั้งแรกคือการปล่อยให้คนร้ายลอยนวลอย่างจนใจ
ความผิดของเขาครั้งที่สองคือการปล่อยอารมณ์ให้คนร้ายจนละเลยหน้าที่ของตัวเอง
และความผิดของเขาครั้งที่สามที่กำลังจะเกิดขึ้นคือการปกป้องคนร้ายในฐานะของคนรัก!
“หยูเฟิง...”
หวังหยูเฟิงเม้มริมฝีปากแน่น เขาวางตะเกียบของตัวเองลง ทั้งที่รับประทานอาหารเช้าไม่หมด นัยน์ตาสีดำทอประกายแน่วแน่เด็ดขาด
เขายังไม่อยากให้อ้อมกอดของเจิ้งหยุนหายไปจากชีวิต!
“ผมจะคบกับคุณ”
คำพูดของหวังหยูเฟิงสร้างความตกตะลึงให้เจิ้งหยุน เขามองใบหน้าจริงจังอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถึงตอนนี้จะรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีให้เขาผ่านการกระทำแล้วก็ตาม แต่ก็คาดไม่ถึงว่า ผู้กองหวังจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นและออกปากก่อนเอง
เจิ้งหยุนยกยิ้มด้วยความพอใจ เขายกมือข้างหนึ่งเท้าคางมองเจ้าของห้องที่ยังมีสีหน้าคร่ำเคร่งอย่างอารมณ์ดี
“ที่คุณยอมตกลง เพราะอยากรู้ความลับของผมหรือ” เจิ้งหยุนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา
“ผมอยากรู้ แต่คุณก็ไม่ต้องบอก” หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบพร้อมกับมองคนตรงหน้าอย่างจริงจัง “เรื่องที่ผ่านมา ผมจะปล่อยผ่านไปเป็นแค่อดีต แต่หลังจากนี้คุณอย่าทำผิดอีก”
ความผิดที่ผ่านมาของเจิ้งหยุน ในเมื่อไม่มีอะไรมายืนยัน หวังหยูเฟิงก็ถือว่า อีกฝ่ายบริสุทธิ์ ส่วนเรื่องฆาตกรตัวจริงในคดีของถานอี้เทาเป็นงานในความดูแลของเขาอยู่แล้ว ค่อยหาวิธีจัดการทีหลังก็ยังได้ ตอนนี้เกียรติและศักดิ์ศรีของตำรวจที่มีได้ถูกความรักและเห็นแก่ตัวทำลายจนแตกเป็นเสี่ยง
หวังหยูเฟิงรู้สึกละอายใจอย่างที่สุด แต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ย่อมมีวันที่พลาดพลั้งและหลงผิด ผู้กองหนุ่มจึงได้สัญญากับตัวเอง หลังจากนี้เขาจะทำหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อย่างเต็มที่และรับผิดชอบการกระทำของตัวเองอย่างแน่นอน
“เรื่องนั้น...ถึงจะเป็นคุณ ผมก็ไม่รับปากหรอกนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงนุ่มพร้อมกับมองคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน “ผมไม่อยากผิดสัญญากับคุณ มนุษย์ทุกคนย่อมทำผิดด้วยกันทั้งนั้น รวมถึงตัวคุณเองก็ด้วย”
หวังหยูเฟิงนิ่งเงียบ เพราะตอนนี้เขาก็ตระหนักได้ถึงสัจธรรมนี้เช่นเดียวกัน ท่าทางเคร่งขรึมของผู้กองหนุ่ม ทำให้เจิ้งหยุนต้องรีบพูดต่อ
“แต่ผมสัญญาว่า จะรักและดูแลคุณตลอดไป” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเรียบ แล้วยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก “ถึงจะไม่มั่นใจว่า จะทำให้คุณมีความสุขหรือเปล่าก็ตาม”
“ทำไม” หวังหยูเฟิงถามกลับอย่างแปลกใจ เพราะโดยทั่วไปคนรักกัน เขาก็ควรทำให้อีกฝ่ายมีความสุขไม่ใช่หรือ
“บางทีการใช้ชีวิตของผมอาจจะทำให้คุณเครียดก็ได้นี่ครับ” เจิ้งหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกเย้า เขาหัวเราะออกมาเบาๆ “ดูอย่างตอนนี้สิ คุณยังนั่งคิ้วขมวดเลย ผมไม่กล้าสัญญาอะไรที่ทำไม่ได้หรอก”
“ผมเข้าใจแล้ว” หวังหยูเฟิงตอบรับด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย แล้วรับประทานอาหารเช้าของตัวเองต่อไป
“ในเมื่อเราสองคนเป็นคนรักกันแล้ว” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น นัยน์ตาคมประสานกับดวงตาสีนิลที่มองมาอย่างหวาดระแวง “ผมขอค้างที่นี่อีกคืนนะครับ”
“ไม่ กลับบ้านคุณไปได้แล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยปฏิเสธทันที เจิ้งหยุนก็ตีหน้าหงอยทันตา
“ทำไมล่ะ คนรักกันก็ต้องอยากอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ” เจิ้งหยุนเอ่ยถาม ก่อนจะคิ้วขมวดกันเล็กน้อย “จริงสิ...มีแต่ผมที่บอกรักคุณ ไม่เห็นคุณบอกบ้างเลย”
“ผมไม่เหมือนคุณ” หวังหยูเฟิงโต้กลับเสียงแข็ง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะรู้สึกเขินขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม
“โอเคครับ ไม่ต้องพูดก็ได้” เจิ้งหยุนตอบรับอย่างว่าง่ายพร้อมกับทอดมองคนรักป้ายแดงด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เพราะเมื่อคืนนี้กับตอนสายคุณก็บอกผมผ่านร่างกายของคุณแล้ว”
“ทะลึ่ง!” หวังหยูเฟิงว่า ใบหน้าของชายหนุ่มแดงระเรื่อ ถึงแม้ไม่อยากนึกถึง แต่ความทรงจำสดใหม่ก็ย้อนเข้ามาให้เขารู้สึกอับอาย
“คุณน่ารักมากเลย ชักอยากกอดอีกแล้วสิ” เจิ้งหยุนเอ่ยต่อ โดยไม่สนใจสีหน้าของหวังหยูเฟิงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแม้แต่น้อย “หยูเฟิงครับ คืนนี้เรามาฮันนีมูนกันเถอะ”
“ไม่มีทาง! ไอ้คนบ้ากาม!” หวังหยูเฟิงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ โดยที่มีเสียงหัวเราะชอบใจของเจิ้งหยุนตอบรับ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากที่ได้ขยับความสัมพันธ์จากคนรู้จักกลายเป็นคนรัก วันลาพักร้อนที่แสนสำคัญของหวังหยูเฟิงก็ถูกใช้ร่วมกับเจิ้งหยุนที่ยังปักหลักอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ไม่ยอมกลับที่พักหรูหราของตัวเอง
พวกเขาออกไปซื้อของและรับประทานอาหารที่ห้างสรรพสินค้าในช่วงกลางวัน และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินก็ใช้เวลาทำความรู้จักกันให้มากขึ้นด้วยวาจาและร่างกายจนเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง
หวังหยูเฟิงมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงา วันนี้เขาต้องไปทำงานตามปกติแล้ว เครื่องแบบที่สวมใส่ย้ำเตือนหน้าที่และจิตวิญญาณที่เบาบางลงในมโนสำนึกให้กลับคืนมาดังเดิม
“ผมไปส่งคุณนะ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี “แล้วตอนเย็นผมจะไปรับคุณกลับ”
“ไม่ต้องหรอก ผมมีรถ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขัด แล้วเดินไปหยิบของใช้จำเป็นเพื่อเตรียมตัวออกจากห้อง
“คุณหมายถึงมอเตอร์ไซค์คันนั้นหรือ” เจิ้งหยุนย้อนถาม แล้วถอนหายใจออกมา “เดี๋ยวผมจะซื้อรถคันใหม่ให้”
“ทำไมต้องซื้อใหม่ คันนี้ก็ยังใช้งานได้อยู่” หวังหยูเฟิงถามกลับ เขามองเจิ้งหยุนที่แสดงความจริงจังอย่างไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มอเตอร์ไซค์ที่หวังหยูเฟิงยืมฟ่านมู่เหยียนมาใช้ ตอนนี้เขาก็ซื้อต่อเพื่อนสนิทมาเป็นของตัวเองแล้ว และตัวเลขในบัญชีธนาคารก็ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้จ่ายครั้งใหญ่
“แต่มันเก่าแล้วนะครับ ถึงมันจะใช้เดินทางสะดวก แต่ก็ปลอดภัยน้อยกว่ารถยนต์อยู่ดี” เจิ้งหยุนอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง นัยน์ตาคมมองนายตำรวจในเครื่องแบบที่ตอนนี้เป็นคนรักของเขาด้วยความห่วงใย “ถ้าคุณอยากจะขับมอเตอร์ไซค์จริงๆ ผมจะซื้อรุ่นใหม่ล่าสุดให้”
“ขอบใจ แต่ผมไม่ต้องการ” หวังหยูเฟิงปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะเดินนำเจิ้งหยุนออกจากห้องพัก “แล้วถ้าผมอยากได้คันใหม่ ผมก็จะซื้อเอง ไม่ต้องให้คนที่เคยขับรถชนผมมาซื้อให้หรอก”
เจิ้งหยุนชะงักไปเล็กน้อย เขาเกือบลืมไปแล้วว่า ครั้งหนึ่งตัวเองได้วางแผนเพื่อทำความรู้จักกับหวังหยูเฟิงอย่างไร ชายหนุ่มถอนหายใจพร้อมกับเดินตามคนรักไปที่ลิฟต์
“ไม่ซื้อใหม่ก็ได้ เอาไว้ให้ผมมารับส่งก็ดีเหมือนกัน” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น หวังหยูเฟิงตวัดตามองใบหน้าหล่อเหลาที่แต้มรอยยิ้มอย่างขุ่นเคือง
“ผมมีรถครับ” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเข้มขึ้น แต่เจิ้งหยุนก็ยังทำหูทวนลมราวกับไม่ได้ยินอะไร อีกทั้งยังขยับเข้ามาโอบเอวของผู้กองหนุ่มอย่างเป็นเจ้าของ
หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมา พวกเขาเดินมายังลานจอดรถที่อยู่ด้านหลังของอพาร์ตเมนต์ เมื่อผู้กองหวังเดินไปถึงรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่เพิ่งได้เป็นเจ้าของเต็มตัวได้ไม่นาน เขาก็หันไปมองเจิ้งหยุนที่ยืนอยู่ข้างกาย
“เอาไว้พวกเราค่อยเจอกันตอนผมหยุดครั้งหน้า” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น ขณะที่เขากำลังนั่งคร่อมคู่หูคันใหม่ แต่คนฟังกลับไม่พอใจนัก
“แล้วเมื่อไรครับ คุณทำงานไม่มีวันหยุดเลยนี่” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกดดัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะแสดงความเอาแต่ใจออกมาอีกครั้ง “เย็นนี้ผมจะมารอคุณที่ห้อง”
“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ ตอนนี้ก็เสียเวลามามากแล้ว แต่ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ได้รับคำตอบที่พอใจก็คงไม่ยอมปล่อยให้เขาไปไหนแน่ “ผมจะโทรหาคุณทุกวัน โอเคไหมครับ”
“แต่ผมอยากเจอคุณทุกวันมากกว่า” เจิ้งหยุนยังเอ่ยย้ำความต้องการของตัวเอง หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“ถ้าอย่างนั้นผมจะวีดีโอคอลหาคุณ” หวังหยูเฟิงเสนอหนทางที่ยอมรับได้ออกมา แต่เจิ้งหยุนก็ยังไม่พอใจ
“แต่ผมก็ยังไม่ได้จูบคุณอยู่ดีนี่ครับ” เจิ้งหยุนยังว่าต่ออย่างดื้อรั้น หวังหยูเฟิงรู้สึกทั้งเขินอายและระอาในคราวเดียวกัน
“คุณอย่าดื้อนักได้ไหม ผมสายแล้ว” หวังหยูเฟิงบ่นขึ้นมาบ้าง ใบหน้าเรียบนิ่งเจือความหงุดหงิดใจ เพราะเขาไม่มีเวลาให้เจิ้งหยุนได้ทุกวันอย่างที่อีกฝ่ายต้องการแน่นอน “ถ้าคุณไม่ยอมรับข้อตกลงของผม ก็ตามใจ ผมจะไปทำงานแล้ว”
“ก็ได้ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงอ่อนลง ถึงแม้ในใจจะหงุดหงิดเล็กน้อยก็ตาม แต่ถ้าหากเขายังดื้อแพ่งต่อไป แม้แต่การติดต่อก็คงไม่มีสิทธิ์ “แต่คุณต้องจูบให้รางวัลผมก่อนด้วย”
ถึงแม้การเจรจาจะไม่ประสบผลสำเร็จตามที่หวังเอาไว้ แต่ในฐานะของนักธุรกิจแล้ว เจิ้งหยุนจะไม่ยอมขาดทุนเด็ดขาด!
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมทำตามคำเรียกร้องของคนรัก เพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว ผู้กองหนุ่มจึงเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าหาอีกฝ่าย แล้วแนบริมฝีปากลงตรงตำแหน่งที่ต้องการ ก่อนจะถอนสัมผัสนุ่มนวลออกมา
“นี่ไม่ใช่จูบสักหน่อย” เจิ้งหยุนท้วง เขามองใบหน้าของหวังหยูเฟิงอย่างข้องใจ “เมื่อเช้าเราไม่ได้จูบกันแบบนี้นี่ครับ”
หวังหยูเฟิงปั้นสีหน้ายากกับความเรื่องมากของชายหนุ่มผมยาว เขาจึงยกมือขึ้นรั้งท้ายทอยของเจิ้งหยุนไว้ แล้วบดเบียดริมฝีปากไม่ต่างจากครั้งแรก ทว่าสิ่งที่เพิ่มมากขึ้นคือปลายลิ้นที่สอดเข้าไปเกี่ยวกระหวัดในโพรงปากอย่างเร่าร้อนจนเรียกเสียงครางในลำคอของคนถูกจูบออกมาได้
การให้รางวัลคนรักที่เลิกดื้อรั้นใช้เวลาไม่นาน แต่ก็สร้างความวาบไหวให้แก่ชายหนุ่มทั้งสองคน เจิ้งหยุนกดจูบซ้ำที่ริมฝีปากหวานของหวังหยูเฟิงอย่างรักใคร่
“ผมจะรอวีดีโอคอลของคุณนะครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยลาด้วยรอยยิ้มน่ามอง หวังหยูเฟิงที่ใบหน้าแดงก่ำหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาสวมใส่ แล้วพยักหน้ารับส่งท้าย
หลังจากนั้นมอเตอร์ไซค์ของหวังหยูเฟิงก็เคลื่อนตัวไปยังถนนใหญ่อย่างรวดเร็ว เหลือเพียงชายหนุ่มผมยาวที่ยืนอยู่ตามลำพังในลานจอดรถที่ไร้ผู้คน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
อู่หนิงลอบมองเจ้านายผ่านกระจกมองหลังอย่างใคร่รู้ เพราะตั้งแต่ที่ไปรับเจิ้งหยุนที่อพาร์ตเมนต์ของหวังหยูเฟิง อีกฝ่ายก็ดูมีความสุขจนออกนอกหน้า สังเกตได้จากริมฝีปากที่แต้มรอยยิ้มบางเกือบจะตลอดเวลา
“มีอะไร”
อู่หนิงชะงักไปเล็กน้อย เมื่อนัยน์ตาคมสีดำเลื่อนมาสบ เขาจึงได้ถามถึงสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ในทันที
“ท่าทางนายอารมณ์ดีมาก ผมเลยสงสัย”
“ก็ฉันเพิ่งกลับมาจากห้องของหยูเฟิง”
“นั่นสินะครับ”
อู่หนิงกลับไปสนใจท้องถนนอีกครั้ง เจิ้งหยุนไม่ไดักลับคฤหาสน์ แต่ไปค้างที่ห้องพักของหวังหยูเฟิงมาสามคืนแล้ว ซึ่งก็คงมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาพัฒนามากกว่าเดิม
ตั้งแต่หวังหยูเฟิงย้ายเข้าไปอาศัยในคฤหาสน์ ชายหนุ่มและคนรับใช้ทุกคนต่างก็ลอบสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับผู้กองหวังมาโดยตลอด และภายหลังพวกเขาก็รับรู้สถานะของบุคคลทั้งสองโดยไม่ต้องเอ่ยถาม
ไม่ว่าจะความใกล้ชิด การเอาใจใส่ หรือแม้กระทั่งการพลอดรักกัน ก็ล้วนตกอยู่ในสายตาของพวกเขาในมุมมืดทั้งสิ้น
หลังจากหวังหยูเฟิงได้ย้ายออกไป เจิ้งหยุนที่อารมณ์แปรปรวนอยู่แล้วก็อาการหนักมากขึ้น เพราะถูกคนที่สนใจตัดการติดต่อ คฤหาสน์ริมทะเลจึงพบกับพายุที่เข้ามาเป็นระยะให้คนรับใช้หวาดหวั่นใจ จนกระทั่งเกิดคดีของเส้าซินฉีขึ้น และในที่สุดเจ้านายของเขาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ถึงแม้เรื่องราวของเส้าซินฉีผู้โชคร้ายจะเป็นข่าวดังในเมือง แต่สิ่งที่คนในคฤหาสน์ริมทะเลสนใจคือหวังหยูเฟิงที่เข้ามาดูแลคดีนี้ คนรับใช้ทุกคนต่างก็หวังว่า ผู้กองหนุ่มจะทำงานเสร็จในเร็ววันเพื่อจะได้มีเวลาให้เจ้านายของพวกเขาบ้าง
คำภาวนาในใจของทุกคนสัมฤทธิ์ผลไม่นานเกินรอ เจิ้งหยุนที่ทราบเรื่องวันหยุดของหวังหยูเฟิงก็รีบรุดไปหาอีกฝ่ายในทันที
อู่หนิงลอบมองเจิ้งหยุนที่นั่งมองวิวข้างทางที่เบาะหลังอีกครั้ง เขาอมยิ้มเล็กน้อย เมื่อสามารถพยากรณ์บรรยากาศของคฤหาสน์ริมทะเลในช่วงนี้ได้
หลายวันหลังจากนี้ท้องฟ้าแจ่มใส คงอีกนานกว่าพายุจะเข้าอีกครั้ง
TBC +++++++++ 22ย่างก้าวในความมืด
-
หูยยยยยยยยยย :katai2-1: :katai2-1:
-
:katai2-1:
-
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
-
22
ย่างก้าวในความมืด
“ทำอะไรน่ะ”
“ผมมาหาของครับ พอดีเผลอทำตกหาย น่าจะอยู่แถวนี้”
“แล้วหาเจอหรือยัง”
“ไม่เจอครับ แต่เดี๋ยวผมกลับไปหาที่ห้องอีกที”
ชายชุดสูทสีดำมองบอดี้การ์ดน้องใหม่อย่างสงสัย เขาพยักหน้ารับโดยที่สายตายังทอดมองเด็กหนุ่มที่เดินไปทางห้องพักของคนรับใช้ ก่อนจะกลับมาเดินลาดตระเวณตามหน้าที่ของตัวเองต่อ
หลีซิงเข้ามาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของกงเจ๋อตวนได้หลายอาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสลงมืออะไร เด็กหนุ่มเดินไปตามทางอย่างหงุดหงิด คดีของเส้าซินฉีจบลงไปแล้ว ทั้งที่เขาวางแผนให้ตำรวจเล่นงานเพื่อสาวไปเอาผิดกับผู้มีอิทธิพลในเมืองนี้ได้ แต่ดูเหมือนว่าอำนาจของอีกฝ่ายจะไม่ใช่แค่คำพูดโคมลอย
พยานและหลักฐานเท็จถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบ แม้แต่หลีซิงที่เป็นคนลักพาตัวมาเองยังต้องทึ่ง
“ไปไหนมา” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้น หลังจากหลีซิงเดินเข้ามาในห้องพัก เด็กหนุ่มชักสีหน้าออกมาเล็กน้อย
“ก็ออกไปดูลู่ทางนิดหน่อย” หลีซิงเอ่ยตอบพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ไม้อย่างไม่พอใจนัก “คนเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด”
“นายต้องใจเย็นกว่านี้” อินเสี้ยวตงเอ่ยเตือน ซึ่งหลีซิงก็ยอมรับอย่างจนใจ
ตอนนี้หลีซิงเป็นเพียงบอดี้การ์ดปลายแถวของกงเจ๋อตวน ไม่ว่าจะเรื่องทักษะการต่อสู้ที่ต่ำชั้นและสมรรถภาพทางกายที่ด้อยกว่าคนอื่น เขาจึงตกเป็นข้ารับใช้ให้กับบอดี้การ์ดรุ่นพี่ ต่างจากอินเสี้ยวตงที่ถูกจัดอยู่ในชนชั้นที่ดีกว่า
มนุษย์ทุกคนไม่มีความเท่าเทียม แม้แต่สังคมขนาดเล็กที่มีแต่คนรับใช้ก็ยังมีการจัดระดับ คนที่อ่อนแอกว่าย่อมต้องตกเป็นเบี้ยล่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ทั้งความผิดหวังจากแผนที่วางเอาไว้ รวมไปถึงความเครียดจากการถูกใช้งานอย่างคนด้อยค่า หลีซิงที่มีดีแค่หน้าตาจึงต้องกัดฟันทน ถึงแม้บางครั้งเขาจะถูกบอดี้การ์ดกักขฬะลวนลามบ้างก็ตามที
อินเสี้ยวตงมองหลีซิงอย่างเห็นใจ เขารับรู้เหตุการณ์บางอย่างที่อีกฝ่ายต้องเผชิญ แต่ก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้ทั้งหมด เพราะชายหนุ่มก็เป็นคนใหม่เช่นเดียวกัน
“ความแค้นชำระสิบปีก็ยังไม่สาย” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
หลีซิงถอนหายใจออกมา
“รู้แล้ว” หลีซิงตอบรับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าประตูห้องพัก “ขอไปเดินเล่นแถวนี้หน่อย”
หลีซิงไม่ได้รอคำตอบของเพื่อนร่วมห้อง เขาเดินมาที่สวนหย่อมใกล้ที่พักของคนรับใช้ที่เงียบสงบ ร่างบางมองซ้ายและขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปซุกซ่อนใต้พุ่มไม้ใหญ่ที่ไม่ต่างจากฐานลับที่ปลอดภัยของตัวเอง
แสงจันทร์ฉายสว่างเผยให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งคุดคู้ราวกับสัตว์เล็กที่หลบซ่อนผู้ล่า หลีซิงผ่อนลมหายใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา
สาเหตุที่เด็กหนุ่มต้องแอบมาอยู่ในมุมมืดเช่นนี้ เพราะภายในเขตแดนของกงเจ๋อตวนมีคนคอยสำรวจผู้บุกรุกตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วสิ่งที่เขากำลังจะกระทำก็ไม่อาจเปิดเผยให้อินเสี้ยวตงได้รู้
ปลายนิ้วเรียวกดไปยังหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจ แล้วยกอุปกรณ์สื่อสารขึ้นแนบหู เขารอฟังสัญญาณด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ก่อนจะมีเสียงตอบรับ
[ฮัลโล]
“ฮ...ฮัลโล”
หลีซิงพยายามควบคุมความตื่นเต้นที่ล้นปรี่อยู่ในใจ ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่อาจทำตามที่ตั้งใจเอาไว้ได้ เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมา
[หลีซิง?]
เจิ้งหยุนจำเสียงของเขาได้!
“ครับ...”
[คุณนายไป๋ก็บอกฉันเหมือนกันว่า นายกลับมาแล้ว ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน]
หลีซิงคลี่ยิ้มกับตัวเองในความมืดสลัวพร้อมกับกำโทรศัพท์มือถือของตัวเองแน่น
“ผมมาเป็นบอดี้การ์ดของกงเจ๋อตวนแล้ว”
เมื่อหลีซิงนึกมาถึงตรงนี้ ความเครียดและคับแค้นใจก็สุมอยู่ในอก ถึงแม้การชำระแค้นให้บิดาควรจัดการอย่างรอบคอบ แต่เขาก็ไม่อยากรั้งรอ เด็กหนุ่มไม่อยากต้องทนใช้ชีวิตที่ถูกคนอื่นรังแกเช่นนี้
[อย่างนั้นหรือ ระวังตัวด้วยแล้วกัน]
ถ้อยคำธรรมดาของเจิ้งหยุนเป็นเหมือนน้ำเย็นที่ดับกองไฟในใจและสายธารที่ละลายความอดทนที่พยายามมาตลอดให้พังทลาย เขาอยากได้อ้อมกอดที่อบอุ่นและแข็งแกร่งประคับประคองชีวิตให้ยืนหยัดได้อีกครั้ง
“ครับ ขอบคุณ”
[แค่นี้ก่อน ฉันกำลังทำงานอยู่]
“ครับ”
เสียงสัญญาณตัดไปแล้ว แต่หลีซิงก็ยังยกโทรศัพท์มือถือแนบหูของตัวเองต่อไป สายลมกลางคืนเดินทางอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ริมฝีปากสีหวานจะขยับเอื้อนเอ่ย
“ผมรักพี่นะครับ”
หลีซิงไม่ได้คาดหวังความรักจากเจิ้งหยุน เด็กหนุ่มแค่ต้องการใกล้ชิดและเฝ้ามองชายผู้เป็นที่รักเท่านั้น แน่นอนว่าเขาไม่ปรารถนาให้ใครมาคว้าหัวใจของคนที่รักไปเช่นเดียวกัน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
วันนี้หวังหยูเฟิงมีประชุมเกือบตลอดทั้งวัน วาระที่เข้มข้นและเต็มไปด้วยความตึงเครียดสร้างความเหนื่อยล้าให้กับผู้กองหนุ่มไม่น้อย หลายวันมานี้เขาทำงานหนักเพื่อทดแทนความผิดที่อยู่ในใจของตัวเอง
คนร้ายที่เขาใช้ความรักช่วยเอาไว้...
หวังหยูเฟิงเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน ทว่าเขานั่งลงเพื่ออ่านแฟ้มงานได้เพียงไม่นาน เหอผิงก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับกุหลาบแดงช่อใหญ่ในมือ
“มีคนส่งมาให้อีกแล้วนะครับ” เหอผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพร้อมกับส่งช่อดอกไม้ราคาแพงให้หัวหน้าของตัวเอง
“คนบ้าน่ะ” หวังหยูเฟิงตอบเสียงเนือย แล้ววางช่อกุหลาบที่เพิ่งได้รับให้พ้นจากงานที่กำลังทำอยู่
“ถามจริงเถอะครับ ผู้กองหวังมีแฟนแล้วหรือ” เหอผิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ หวังหยูเฟิงปั้นหน้ายาก แล้วขมวดคิ้วมองลูกน้องเขม็ง
“เอาเวลาสนใจเรื่องของผมไปสนใจเรื่องงานดีกว่าไหมหมวด”
หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเข้มขึ้น เหอผิงก็หน้าเจื่อนลงเล็กน้อย
“เอาไว้ผมไปถามผู้กองฟ่านกับหมวดเว่ยดีกว่า” เหอผิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินออกจากห้องของผู้กองหนุ่มแต่โดยดี หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา
ตั้งแต่ที่เขาตกลงคบหากับเจิ้งหยุนในฐานะพิเศษ ทุกวันชายหนุ่มจะต้องวีดีโอคอลตามที่สัญญาเอาไว้ แล้วก็มักจะมีดอกไม้ส่งมาให้ที่สถานีตำรวจทุุกสองถึงสามวันจนเป็นที่สงสัยใคร่รู้ของเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามตามตรง
หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตามองช่อกุหลาบแดงเล็กน้อย เขาตั้งใจจะไม่สนใจ ทว่าเมื่ออ่านเอกสารไปได้ครู่เดียว ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหยิบช่อดอกไม้ราคาแพงมาพิจารณา
กลิ่นหอมบางเบาลอยแตะจมูก หวังหยูเฟิงเคยพูดกับเจิ้งหยุนเรื่องดอกไม้หลายครั้งแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ทำเมิน หลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาก็เลยมีดอกไม้ที่เว่ยเจียวเซินช่วยจัดให้เต็มห้องไปหมด
หวังหยูเฟิงทำงานจนดึก ก่อนจะเดินทางกลับที่พัก หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาก็เริ่มต้นทำกิจวัตรประจำวันก่อนนอน
[หยูเฟิง วันนี้ทำงานเหนื่อยไหมครับ]
ใบหน้าหล่อเหลาที่แต้มรอยยิ้มบางฉายบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ฉากหลังคือเก้าอี้ทำงานและวิวกลางคืนในมุมสูง
“ก็เหมือนทุกวัน แล้วคุณอยู่ที่ไหน”
หวังหยูเฟิงเอนหลังพิงกับหมอนใบใหญ่บนหัวเตียง ท่อนขายาวทั้งสองข้างเหยียดตรงวางราบกับที่นอนอย่างผ่อนคลาย
[ห้องทำงานที่ผับครับ]
“อืม แค่นี้แล้วกัน ผมจะนอนแล้ว”
เดิมทีหวังหยูเฟิงก็ไม่ใช่คนช่างเจรจาอยู่แล้ว เขาจึงไม่ค่อยมีเรื่องพูดคุยกับเจิ้งหยุนเท่าไรนัก บทสนทนาส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เรื่องทั่วไปและจบลงอย่างรวดเร็ว
[เดี๋ยวครับที่รัก]
เจิ้งหยุนเอ่ยรั้งคนรักเอาไว้ ทั้งที่ปกติชายหนุ่มจะยอมเอ่ยร่ำลาแต่โดยดี เพราะอยากให้ผู้กองหวังพักผ่อนเต็มที่
“มีอะไร”
หวังหยูเฟิงมองสบกับนัยน์ตาคมที่จ้องมาอย่างสงสัย ทั้งที่ในใจรู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย เมื่อได้ยินสรรพนามแสนหวานที่อีกฝ่ายเอ่ยเรียกตัวเอง
[ผมมีเรื่องของกงเจ๋อตวนให้คุณด้วยนะ]
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว หลังจากได้ฟังน้ำเสียงล่อลวงของเจิ้งหยุน
“เรื่องอะไรหรือ”
[มาหาผมสิครับ แล้วจะบอก]
“เจิ้งหยุน”
[ครับ คุณมาเมื่อไร ผมค่อยบอกเรื่องนี้กับคุณแล้วกัน ฝันดีครับที่รัก]
หวังหยูเฟิงได้แต่อ้าปากค้าง แต่ภาพของคู่สนทนาก็หายไปแล้ว เขาเลยวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่โต๊ะข้างเตียง แล้วเดินไปปิดไฟเพื่อพักผ่อน
ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดและเงียบสงบ ทว่าในสมองและความคิดของหวังหยูเฟิงยังเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายทำงานไม่หยุด เปลือกตาที่ปิดลงครู่หนึ่งจึงเปิดขึ้นอีกครั้ง
หลายวันมานี้นอกจากเรื่องงานทั่วไป ความเคลื่อนไหวของกงเจ๋อตวนก็เป็นที่ถกเถียงกัน คดีใหญ่ของเส้าซินฉีที่คนภายนอกรับรู้ว่าจบลงแล้ว ทว่าผู้ที่เกี่ยวข้องภายในต่างก็ยังค้นหาเรื่องราวบางอย่างต่อไป หวังหยูเฟิงที่เข้ามารับหน้าที่โดยตรงจึงเคร่งเครียดไม่น้อย
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดคดีเล็กน้อยประปราย แต่ปลาใหญ่ที่เขาต้องการก็ยังเก็บตัวอย่างระมัดระวัง นักธุรกิจที่มีอิทธิพลล้นเหลือของเมืองนี้ยังดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขด้วยรอยยิ้ม
หวังหยูเฟิงไม่รู้ว่า เมื่อไรจะจับกุมกงเจ๋อตวนได้ แต่เขาก็พยายามทำให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นชายหนุ่มก็คงต้องลงโทษตัวเองเช่นเดียวกัน
หวังหยูเฟิงถอนหายใจในความมืด ความร้อนใจและใคร่รู็ ทำให้เขาไม่อาจข่มตาหลับได้อีก ถึงแม้ตอนนี้เวลาจะเดินทางถึงหนึ่งนาฬิกาแล้วก็ตาม
ผู้กองหวังลุกขึ้นจากเตียง ก่อนจะเปลี่ยนชุดของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกจากห้อง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
หลังจากใช้เวลาไม่นานหวังหยูเฟิงก็เดินทางมาถึงผับกาเบรียล สถานบันเทิงชั้นสูงที่ได้รับความนิยมในย่านนี้ บอดี้การ์ดที่ควบคุมความเรียบร้อยมองเขาเล็กน้อย แล้วโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม
ถึงจะไม่เคยแนะนำตัวกับใคร แต่คนในความดูแลของเจิ้งหยุนทุกคนล้วนรู้จักและเข้าใจสถานะพิเศษของนายตำรวจผู้นี้เป็นอย่างดี
“สวัสดีครับผู้กองหวัง”
“สวัสดี เจิ้งหยุนกลับไปหรือยัง”
หวังหยูเฟิงไม่ได้นัดแนะกับเจ้าของผับกาเบรียลเอาไว้ ถ้าหากสวนทางกัน เขาคงหงุดหงิดด้วยความอยากรู้จนตามไปหาอีกฝ่ายถึงคฤหาสน์ริมทะเล
“ยังครับ”
“ขอบใจ”
หวังหยูเฟิงเดินเข้าไปด้านใน เขาไม่ได้สนใจลูกค้าที่ยังคงดื่มด่ำกับเสียงเพลงและแอลกอฮอล์เลิศรส เมื่อสืบเท้าไปถึงหน้าลิฟต์ ผู้กองหนุ่มก็เพิ่งตระหนักได้ถึงบางอย่าง
การที่จะใช้งานลิฟต์เพื่อไปที่ห้องทำงานของเจิ้งหยุนจำเป็นต้องใช้
คีย์การ์ด ซึ่งตอนนี้เขาไม่มี
หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา เขาตั้งใจจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อติดต่อหาคนรัก ในขณะที่กำลังกดปุ่มโทรออกแล้วเงยหน้าขึ้น ประตูลิฟต์ที่อยู่ตรงหน้าก็เปิดออก ก่อนที่ชายหนุ่มผมยาวที่รวบหางม้าต่ำจะเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่ตกแต่งด้วยรอยยิ้มบางแสนคุ้นตา
“ผมรอคุณอยู่เลย” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับดึงแขนของหวังหยูเฟิงเดินกลับเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน
ผู้กองหนุ่มกะพริบตาปรับสติ ก่อนที่อึดใจต่อมาเขาจะถูกดันจนติดผนังลิฟต์ แล้วสัมผัสกับริมฝีปากร้อนที่บดเบียดอย่างหื่นกระหาย
หวังหยูเฟิงครางอยู่ในลำคอ ขณะที่รับจุมพิตร้อนแรงจากคนรักที่ไม่ได้เจอมาร่วมเดือน เขาลืมเลือนธุระของตัวเองจนหมด มีเพียงไออุ่นและอ้อมกอดที่คิดถึงให้ถวิลหาเท่านั้น
“อื้ม...”
เสียงลิฟต์ดังขึ้นเมื่อถึงจุดหมาย เจิ้งหยุนกดจูบย้ำความต้องการของตัวเองอีกครั้งอย่างเสียดาย แล้วโอบเอวของนายตำรวจให้เดินไปที่ห้องทำงานต่อ
“ผมคิดถึงคุณมากเลย” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงนุ่ม แล้วก้มลงหอมแก้มสีแดงระเรื่ออย่างรักใคร่ “ผมคิดว่าจะต้องไปฆ่ากงเจ๋อตวนแล้ว คุณจะได้ว่างมาเจอผมสักที”
“ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด!” หวังหยูเฟิงปรามเสียงเข้ม ถึงแม้เขาจะยังรู้สึกวาบหวามกับสัมผัสเคลิ้มฝันเมื่อครู่นี้ก็ตาม
“ผมก็พูดไปอย่างนั้น” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แล้วพาหวังหยูเฟิงนั่งลงตรงโซฟาชุดหรูหรา “ดื่มอะไรไหม หรือว่าจะเอาน้ำเปล่า”
หลังจากที่ได้ยินคำว่า 'น้ำเปล่า' หวังหยูเฟิงก็รู้สึกแขยงขึ้นมา เพราะเหตุการณ์ในความทรงจำได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ต้นเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
“เอาน้ำผลไม้สักอย่างแล้วกัน” หวังหยูเฟิงตอบ ซึ่งเจิ้งหยุนก็พยักหน้ารับ ก่อนจะสั่งให้อู่หนิงนำเครื่องดื่มที่คนรักต้องการขึ้นมาเสิร์ฟ
เจิ้งหยุนเดินกลับมานั่งลงข้างหวังหยูเฟิงที่กำลังนั่งตัวตรง แล้วจับมือหยาบกระด้างของนายตำรวจมาลูบไล้อย่างเพลิดเพลิน
“ว่าแต่เรื่องกงเจ๋อตวน...” หวังหยูเฟิงเอ่ยเข้าเรื่องของตัวเอง แต่
เจิ้งหยุนขยับใบหน้าเข้ามาจูบแผ่วเบาเป็นเชิงห้ามเอ่ยสิ่งใดต่อ
“รอคุณพักดื่มน้ำก่อนนะครับ”
หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมา แล้วเอนหลังพิงกับโซฟาเล็กน้อย เพียงไม่นานอู่หนิงก็เดินเข้ามาในห้องทำงาน พร้อมกับน้ำพันช์ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม ก่อนจะเดินจากไปอย่างรู้กาลเทศะ
หวังหยูเฟิงดื่มน้ำผลไม้รสหวานจนลำคอที่ร้อนผ่าวจากไฟสวาททุเลาลง สมองของเขาแจ่มใสขึ้น ผู้กองหวังหันไปมองเจิ้งหยุนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
“คืนนี้ค้างกับผมนะ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงนุ่ม นัยน์ตาส่องประกายแพรวพราว ผู้กองหวังถอนหายใจออกมา
“ไม่ได้ บอกเรื่องของกงเจ๋อตวนมาได้แล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทว่าเจิ้งหยุนกลับพูดไปอีกเรื่อง
“คุยเสร็จ คุณต้องค้างกับผมนะ” เจ้าของผับกาเบรียลเอ่ยเสียงออดอ้อน ใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกถึงความคาดหวังอย่างชัดเจน
“พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงาน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขัด เขารู้สึกอ่อนใจและระอา เมื่อยังเห็นสายตากดดันอย่างเอาแต่ใจ “ผมทำงานเหนื่อยนะ อย่าดื้อสิ”
“ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปค้างที่ห้องคุณ” เจิ้งหยุนเอ่ยต่อรองพร้อมกับยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มของผู้กองหวังอย่างอ่อนโยน “ผมอยากอยู่กับคุณจะแย่ คุณไม่อยากอยู่กับผมบ้างหรือ”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เจือความตัดพ้อ ทำให้หวังหยูเฟิงใจอ่อนยวบทันที เขาหลับตารับสัมผัสจากปลายนิ้วที่ลากผ่านแก้มของตัวเอง แล้วเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะลืมตามองคนตรงหน้าอีกครั้ง
“ก็ได้ พอใจหรือยัง”
“พอใจครับ”
เจิ้งหยุนส่งยิ้มมาให้ แล้วรั้งท้ายทอยของผู้กองหวังเข้ามารับการยืนยันความพอใจของตัวเองผ่านรสจูบแสนหวาน ปลายลิ้นทั้งสองฉกเฉี่ยวพันเกี่ยวกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ความร้อนแรงของจุมพิตจะยุติลงอย่างเชื่องช้า
“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงห้วน เขาขมวดคิ้ว เมื่อถูกอีกฝ่ายชักจูงไปคนละทางกับสิ่งที่ตัวเองต้องการ “บอกผมเรื่องกงเจ๋อตวนได้แล้ว”
เจิ้งหยุนลุกขึ้นยืน เขาเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง แล้วหยิบกระดาษการ์ดแผ่นหนึ่งส่งให้หวังหยูเฟิง
“การ์ดเชิญไปงานเลี้ยงของกงเจ๋อตวนครับ”
หวังหยูเฟิงมองดูอย่างสนใจ กระดาษการ์ดแข็งสีแดงเงาวาวหรูหราบอกชื่องานเลี้ยงบนเรือสำราญ แต่ก็ไม่ได้ระบุวันเวลาและสถานที่นัดพบเอาไว้
“จัดขึ้นเมื่อไร”
“คงอีกอาทิตย์ข้างหน้า ทางนั้นจะติดต่อมาหาอีกที หนึ่งคืนก่อนวันงานครับ”
เจิ้งหยุนนั่งลงข้างคนรักที่เอาแต่ก้มลงมองกระดาษที่ตัวเองถือราวกับต้องการหาคำตอบทุกอย่างที่สงสัยในนั้น รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา
“ผมรู้มาว่า ภายในงานจะมีการประมูลสินค้าหายาก แล้วก็ของผิดกฎหมายอย่างเช่น มนุษย์” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเนิบ หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด “งานนี้เข้มงวดเรื่องคนที่ขึ้นเรือมาก แน่นอนว่าเฉพาะคนที่ได้รับเชิญเท่านั้น”
“แล้วการที่คุณได้เชิญ ก็แสดงว่าสนิทสนมกันสินะ” หวังหยูเฟิงถามขึ้นอย่างจับผิด เจิ้งหยุนก็หัวเราะเบาๆ
“ผมไม่ได้สนิท แต่ก็รู้จักในฐานะนักธุรกิจที่เคยติดต่อกันเท่านั้นครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ แล้วมองคนรักด้วยสายตาห่วงใย “อยากให้ผมช่วยพาขึ้นเรือไหม”
หวังหยูเฟิงลังเล แต่เวลานี้เขาต้องการจับคนร้ายมากกว่าตั้งแง่ทระนงตนแบบไม่เข้าเรื่อง อย่างน้อยการช่วยเหลือของคนรักคงพอจะขจัดอุปสรรคบางอย่างได้บ้าง
“คุณจะช่วยอย่างไร” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม เจิ้งหยุนคลี่ยิ้มเล็กน้อย
“เรื่องนั้นผมจะบอกคุณอีกที” เจิ้งหยุนตอบ สายตาของเขาทอแววยิ้ม “แต่คุณต้องตกลงกับผม ถ้าเสร็จงานครั้งนี้ คุณต้องย้ายมาอยู่กับผมถาวร โอเคไหมครับ”
“แล้วถ้าไม่สำเร็จ” หวังหยูเฟิงย้อนถาม เขาเริ่มรู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายขึ้นมาเล็กน้อย
“มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ” เจิ้งหยุนถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย แล้วอมยิ้มออกมา “ผมไม่ทำให้คุณผิดหวังหรอกครับที่รัก”
TBC ++++++++ 23ภารกิจบนพื้นสีคราม
-
:hao5: :hao5: :hao5:
-
23
ภารกิจบนพื้นสีคราม
ข่าวเรื่องงานเลี้ยงของกงเจ๋อตวนที่จะจัดขึ้นอย่างลับๆ ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องต่างตื่นตัวอย่างเต็มที่ หวังหยูเฟิงเข้าประชุมเพื่อเตรียมพร้อมและวางแผนเข้าจับกุมในงาน โดยที่มีข้อมูลของเจิ้งหยุนส่งมาให้เป็นระยะ
“ไว้ใจได้หรือ” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นอย่างกังวล เขาอยากจะออกร่วมภารกิจพร้อมกับเพื่อน ทว่าติดสัญญาที่จะไม่ออกงานภาคสนามเอาไว้
“อืม ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” หวังหยูเฟิงตอบรับด้วยสีหน้านิ่งเฉย แล้วรับประทานอาหารกลางวันของตัวเองต่อ
“ให้ตายเถอะหยูเฟิง ฉันไม่สบายใจเลย” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขามองใบหน้าเคร่งขรึมของเพื่อนด้วยสายตาจริงจัง “คราวของฉันก็ทีหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เจ้านั่นอาจจะวางแผนอะไรอยู่ก็ได้”
“ก็อาจจะใช่ แต่ก็คงรับมือได้นั่นแหละ” หวังหยูเฟิงเอ่ยไปตามตรง ผู้กองหนุ่มมั่นใจว่า เจิ้งหยุนวางแผนอะไรเอาไว้แน่ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร อีกฝ่ายจะไม่ทำให้เขาได้รับอันตรายถึงชีวิตแน่นอน
“นายมั่นใจได้อย่างไร เรื่องพรรค์นี้” ฟ่านมู่เหยียนว่า แล้วถอนหายใจออกมา เมื่อยังเห็นสายตาไม่ทุกข์ร้อนของคู่สนทนา “เฮ้อ...ฉันเป็นห่วงนายจริงๆ นะ”
“ขอบใจ แต่ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” หวังหยูเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อยให้คนตรงหน้าวางใจ
ไม่แปลกที่ฟ่านมู่เหยียนจะกังวลขนาดนี้ เพราะชายหนุ่มได้รับบทเรียนครั้งหนึ่งจากการได้ข้อมูลของเจิ้งหยุนมาแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ ครั้งนี้คนที่ทำภารกิจคือหวังหยูเฟิงไม่ใช่เขา
หวังหยูเฟิงที่เป็นคนรักของเจิ้งหยุน!
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
กว่าที่หวังหยูเฟิงจะได้รับรู้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับภารกิจสำคัญ ก็จวนเจียนจะถึงเวลาที่กงเจ๋อตวนนัดหมายกับเหล่าแขกผู้มีเกียรติที่ได้ขึ้นเรือสำราญแล้ว
หวังหยูเฟิงถอนหายใจ เขามองสารรูปของตัวเองอย่างพิจารณา ใบหน้าเรียบนิ่งกับนัยน์ตาแน่วแน่ถูกอำพรางด้วยแว่นตาหนา เส้นผมสีดำสั้นถูกสวมทับด้วยวิกผมสีมะฮอกกานีที่ยาวประบ่า ซึ่งตอนนี้ถูกรวบต่ำให้เข้าทรง เครื่องแบบที่สวมใส่เป็นเสื้อกั๊กสีกรมท่าและเสื้อเชิ้ตสีขาวประดับหูกระต่ายสีแดงสดที่มีป้ายชื่อของภัตตาคารเฟยลี่ประทับที่หน้าอก
“ตายจริง! พอเธอแต่งแบบนี้แล้วน่ารักจังเลย” ไป๋ลู่เหอเอ่ยขึ้น เมื่อเดินเข้ามาเห็นหวังหยูเฟิงที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบบริกรที่จะใส่ขึ้นเรือสำราญของกงเจ๋อตวนคืนนี้
หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอะไร นอกจากยิ้มแห้งอย่างฝืดเคือง ก่อนที่เขาจะถูกเรี่ยวแรงมหาศาลจากท่อนแขนเรียวบางคว้าเข้าหาตัว มือขาวราวงาช้างหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปคู่กับชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
เสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้นเรียกสติของหวังหยูเฟิงที่กลายเป็นตุ๊กตาชั่วครู่ให้กลับคืนมา เขาหันไปมองใบหน้าหวานงดงามของไป๋ลู่เหอด้วยความสงสัย เมื่อร่างบางในชุดสีฟ้าอ่อนกำลังกดพิมพ์ข้อความบางอย่างด้วยความตั้งใจ
“เรียบร้อย” ไป๋ลู่เหอเอ่ยกับตัวเองด้วยรอยยิ้มน่ารัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตางุนงงของนายตำรวจที่วันนี้ปลอมตัวเป็นบริกรขึ้นเรือเพื่อไปทำงานของตัวเอง “ฉันส่งรูปเธอไปยั่วเด็กนิสัยไม่ดีล่ะ ป่านนี้คงทุรนทุรายน่าดู”
รอยยิ้มหวานที่วาดขึ้นบนใบหน้าสวยนั้นน่ามองจนยากจะถอนสายตา หวังหยูเฟิงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะถูกลากออกจากห้องแต่งตัว
“รีบไปเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน” ไป๋ลู่เหอเอ่ยขึ้น แล้วส่งยิ้มหวานมาให้ “ระวังตัวด้วยนะ”
“ขอบคุณครับ” หวังหยูเฟิงตอบรับด้วยน้ำเสียงมั่นคง ก่อนจะเดินไปสมทบกับเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งที่ปะปนกับบริกรของภัตตาคารเฟยลี่
คืนนี้หวังหยูเฟิงและพรรคพวกได้วางแผนลอบขึ้นเรือ โดยการปลอมตัวปะปนไปกับพนักงานของภัตตาคารเฟยลี่ที่ได้รับหน้าที่ดูแลอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดในเรือสำราญ ซึ่งสิทธิพิเศษนี้ก็มาจากวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งของเจิ้งหยุน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องเตรียมตัวออกเดินทางไปทำงาน กลุ่มคนจากภัตตาคารเฟยลี่ก็ถูกปิดตาและพาขึ้นสปีดโบ๊ทที่มารับตรงท่าเรือฝั่งตะวันตกของเมือง สายลมปะทะใบหน้าเป็นระยะร่วมชั่วโมง จนกระทั้งเบาบางลงเมื่อเครื่องยนต์ชะลอความเร็ว
พนักงานทุกคนที่ถูกปิดกั้นการมองเห็นได้รับอิสระอีกครั้ง หวังหยูเฟิงปรับโฟกัสของสายตา แล้วเดินเข้าไปในเรือสำราญขนาดกลางที่อยู่กลางทะเล ซึ่งไม่สามารถระบุตำแหน่งได้แน่ชัด แสงไฟสว่างไสวห้อมล้อมด้วยเสียงดนตรีที่บรรเลงปลุกให้ยานพาหนะลอยน้ำมีชีวิตขึ้น
หวังหยูเฟิงลอบส่งสายตากับลูกน้อง พวกเขาถูกจัดให้แยกย้ายไปทำงานของตัวเอง โดยมีบอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่คอยควบคุมดูแล
ท้องฟ้าที่มืดมิดบดบังสภาพแวดล้อมภายนอก มีเพียงเสียงของกระแสทะเลที่เคลื่อนไหวและสายลมเย็นลอยผ่าน พนักงานทุกคนถูกตรวจค้นอย่างละเอียด วิธีเดียวที่พอจะหาอาวุธมาใช้ติดตัวเพื่อทำหน้าที่ได้คือการแย่งชิงจากฝ่ายศัตรู
หวังหยูเฟิงลอบสำรวจอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะถูกพาไปยังห้องครัวขนาดใหญ่ ภารกิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นความลับ นอกจากไป๋ลู่เหอแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ความจริงอีก
“อย่ามัวแต่ยืนเฉย! ทำงานกันได้แล้ว!” พ่อครัวใหญ่สั่งการด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ หวังหยูเฟิงจึงจำใจต้องยกเครื่องดื่มถาดหนึ่งออกไปเพื่อเสิร์ฟแขกภายในงาน
งานเลี้ยงของกงเจ๋อตวนจัดขึ้นสามวันสองคืน นอกจากการแสดงดนตรีเพื่อความสำราญภายในเรือแล้ว ก็ยังมีบ่อนคาสิโนรองรับนักพนันที่ชอบวัดดวง และงานประมูลของสะสมและหายากราคาแพง ซึ่งไฮไลท์ของงานจะเริ่มขึ้นในคืนที่สอง ซึ่งเป็นงานประมูลสิ่งผิดกฎหมาย
หวังหยูเฟิงและเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่อาจทำอะไรได้จนกว่าจะได้บุกเข้าจับที่งานประมูลพร้อมกับหลักฐาน อีกทั้งยังต้องยืนยันตำแหน่งที่ตั้งของเรือเพื่อเรียกเจ้าหน้าที่มาสมทบ โดยที่มีเจิ้งหยุนทำหน้าที่ช่วยประสานงานให้บางส่วน
ผู้คนที่เข้าร่วมงานมีทั้งคนดังและดาราที่มีชื่อเสียง เศรษฐีหน้าเก่าและหน้าใหม่ รวมไปถึงผู้มีอิทธิพลระดับต่างๆ ที่เจ้าภาพพบปะพูดคุยกัน
หวังหยูเฟิงพยายามจดจำบุคคลที่มาร่วมงานเอาไว้เพื่อนำไปขยายสำนวนคดีต่อภายหลัง และเพราะมัวแต่มองอย่างอื่น เขาจึงไม่ทันระวังจนเผลอชนเข้ากับใครคนหนึ่ง แก้วเครื่องดื่มกระฉอกโดนอีกฝ่าย
“ว๊าย! อะไรของแกเนี่ย!” หญิงสาวคู่กรณีของหวังหยูเฟิงกรีดร้อง ผู้คนที่อยู่ไม่ห่างต่างก็หันมามองอย่างสนใจ ผู้กองหนุ่มรีบก้มโค้งขอโทษอย่างสุภาพ
“ขออภัยครับคุณผู้หญิง ผมจะเช็ดให้” หวังหยูเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เขาก็หวั่นใจและตำหนิความสะเพร่าของตัวเอง ทว่ายังไม่ทันได้แตะตัว มือเรียวของสาวร่างบางก็ปัดออกราวกับรังเกียจ
“อย่ามาแตะนะ!” หญิงสาวตวาด ก่อนที่เธอจะฟาดมือลงบนใบหน้าของนายตำรวจด้วยความโมโห “ไสหัวไป!”
หวังหยูเฟิงได้แต่ก้มลงรับ แล้วรีบเดินจากไป เหตุการณ์เมื่อครู่ไม่มีใครสนใจอีก มีเพียงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องเขม็งอยู่เท่านั้น
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
บ้าเอ๊ย!
หวังหยูเฟิงถอนหายใจออกมา ถึงแม้จะไม่ได้เจ็บปวดอะไร แต่แรงที่ฟาดลงมาก็สร้างรอยแดงพาดที่แก้มของเขาจนเห็นชัด ผู้กองหนุ่มนึกบริภาษหญิงสาวที่ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุในใจ
แขกในงานเลี้ยงครั้งนี้ล้วนแต่เป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคม ด้วยอำนาจของเจ้าภาพที่เป็นผู้มีอิทธิพลใหญ่ ทำให้เรือสำราญลำนี้มีการใช้กำลังและอำนาจจนเกินพอดีได้ตามใจ หญิงสาวคนนั้นก็คงเป็นลูกสาวของเศรษฐีสักคนที่ทำตัวสูงส่งจนเกินงาม
เรือสำราญยังล่องไปด้วยความเร็วคงที่ หวังหยูเฟิงที่หลบไปมองสภาพตัวเองก็กลับเข้าไปทำงานอีกครั้ง เขายิ้มให้ลูกน้องบางคนที่ส่งสายตาเป็นห่วงมาให้ เมื่อเห็นใบหน้าแดงช้ำของเขา
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ภายในงานเลี้ยงผ่านไปอย่างราบรื่น ถึงแม้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจปะปนส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับจำนวนของแขกที่มาดื่มด่ำความสำราญในงานแล้ว พวกเขาก็เป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆ เพียงหยิบมือเท่านั้น
หวังหยูเฟิงไม่ได้ต้องการจับกุมทุกคนที่เกี่ยวข้อง แต่เขาต้องการแค่
กงเจ๋อตวนคนเดียวเท่านั้น ผู้กองหวังมองหาเจ้าภาพที่ยังไม่แสดงตัว จนเมื่อเวทีของนักร้องคลาสสิกเงียบลง ทุกสายตาก็หันไปสนใจทันที
กงเจ๋อตวนในชุดสูทสีดำยืนยิ้มกว้าง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยตามวัยทอดมองบรรดาแขกเหรื่อที่ตัวเองเชื้อเชิญ งานครั้งนี้นอกจากจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์และมอบความสำราญให้ในฐานะมิตรสหายที่มีไมตรีต่อกัน บ่อนและงานประมูลที่เขาเตรียมเอาไว้ก็เป็นการค้าขายและลงทุนที่คุ้มค่า
“สวัสดีครับทุกท่าน ผมกงเจ๋อตวน คืนนี้ผมมีความยินดีที่ได้รับเกียรติจากทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงของผม เชิญทุกท่านตามสบายนะครับ”
เสียงเฮโลยินดีดังขึ้นตอบรับ ก่อนที่ดนตรีจะบรรเลงขึ้นอีกครั้ง
กงเจ๋อตวนกวาดตามองโดยรอบด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินลงจากเวทีไปยังที่รับรองของตัวเอง หวังหยูเฟิงมองตาม แต่เขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้มากนัก เพราะมีบอดี้การ์ดจับตามองแทบทุกจุด
จากข้อมูลที่เจิ้งหยุนให้มา เขาคงต้องรอให้งานประมูลในคืนพรุ่งนี้เริ่มต้นขึ้นก่อน ถึงจะสามารถรวบหลักฐานได้ทีเดียว เพราะสิ่งของและหญิงสาวที่จะถูกนำมาขายจะเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้
หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจออกมา เขาเดินเสิร์ฟเครื่องดื่มอยู่พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น นัยน์ตาสีดำตวัดมองด้วยความตกใจ
ใบหน้าสวยหวานบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด เสียงร้องโอดโอยทำให้ผู้คนโดยรอบมองอย่างเวทนาและสนใจ ทว่ากลับไม่มีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยว หวังหยูเฟิงกำลังจะเดินผ่านกลุ่มคนเพื่อเข้าไปช่วยเหลือ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย
“โอ๊ย! ปล่อยนะ! ใครก็ได้ช่วยด้วย! กรี๊ด!”
หญิงสาวโชคร้ายร้องสุดเสียง มีดเล่มหนึ่งปักที่หลังมือของเธอ เลือดรินไหลมาถึงข้อมือเล็กที่มีใครอีกคนยึดเอาไว้แน่น ก่อนที่หวังหยูเฟิงจะเบิกตากว้างขึ้น เมื่อได้ยินเสียงกระดูกที่แตกของร่างบาง
“โอ๊ย!!!”
เสียงร้องโหยหวนดังลั่น แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วยเหลือ มีเพียงสายตาที่จ้องมองราวกับรอดูเหตุการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ หวังหยูเฟิงกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเห็นชัดว่าผู้กระทำการโหดร้ายคือใคร
เส้นผมสีดำยาวพัดปลิวไปกับสายลม ร่างสูงสง่างามในชุดสูทกึ่งลำลองจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเย็นชา
“ไสหัวไป”
น้ำเสียงเยือกเย็นที่ดังขึ้น ทำให้หญิงสาวที่ถูกทำร้ายรีบพยุงตัวเองหนีไปด้วยความเจ็บปวดและอับอาย ผู้คนมากมายที่ดูเหตุการณ์เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง แต่ภายในใจของหวังหยูเฟิงยังเต้นระรัว เขาสาวเท้าเข้าไปหาคนก่อเหตุอย่างรวดเร็ว
“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเอ่ยเรียกเสียงนิ่ง นัยน์ตาสีนิลฉายความไม่พอใจออกมาชัดเจน
“หยูเฟิง” เจิ้งหยุนเอ่ยรับด้วยความแปลกใจ ท่าทางราวกับปิศาจร้ายสลายหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาเจือรอยยิ้มบาง “ผมจำคุณไม่ได้เลยนะ”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้สนใจสีหน้าประหลาดใจของบุรุษตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อครู่นี้ยังติดอยู่ในความทรงจำ นอกจากนี้ไป๋ลู่เหอก็ส่งรูปของเขาตอนปลอมตัวให้อีกฝ่ายไปแล้ว
“เมื่อกี้คุณทำอะไร” หวังหยูเฟิงถามเสียงเย็น แต่เจิ้งหยุนกลับทำหน้าซื่อออกมา
“เรื่องอะไรครับ” เจิ้งหยุนย้อนถามพร้อมกับใช้นิ้วแตะที่แก้มของ
หวังหยูเฟิงแผ่วเบา “เจ็บไหม”
“คุณทำร้ายเธอทำไม” หวังหยูเฟิงถามต่อ เขาปัดนิ้วของบุรุษตรงหน้าออก เจิ้งหยุนก็ถอนหายใจออกมา
“เธอเดินชนผม แถมยังตั้งใจลวมลามด้วย” เจิ้งหยุนบอก แล้วขมวดคิ้ว “ผมเลยลงโทษนิดหน่อย”
“บอกความจริงกับผม” หวังหยูเฟิงย้ำเสียงเข้ม เจิ้งหยุนเลิกคิ้วขึ้น แล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“อย่าเครียดเลย ผมว่าคุณรู้นะว่า ทำไมผมถึงทำแบบนั้น” เจิ้งหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แล้วดึงแขนของหวังหยูเฟิงให้เดินหลบกลุ่มคนออกมา “อย่าไปสนใจเรื่องไร้สาระเลย เรามาชมวิวกันดีกว่านะ”
หวังหยูเฟิงลอบถอนหายใจ ชายหนุ่มคงคาดเดาการกระทำของ
เจิ้งหยุนไม่ได้ ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นคนเดียวกับที่ตบหน้าของเขาก่อนหน้านี้ จะบอกว่าเป็นการเอาคืนให้ก็ดูจะรุนแรงมากไปเยอะ
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ แต่
เจิ้งหยุนกลับส่งสายตาไม่พอใจกลับมา
“ผมไม่ตัดมือนั้นทิ้งก็ดีแล้ว” เจิ้งหยุนว่า ก่อนจะหันไปมองทะเลที่ไกลสุดสายตาดังเดิม “ก็ผมโมโห แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงนี่ แผลแค่นั้นอาทิตย์เดียวก็หายแล้วมั้ง”
หวังหยูเฟิงไม่สามารถสรรหาคำพูดใดมาต่อว่าอีกฝ่ายได้อีก เขารู้สึกปลงตก ก่อนจะเดินแยกไปทำงานของตัวเองต่อ เมื่อเห็นบอดี้การ์ดบางคนเริ่มมองมาทางพวกเขาแล้ว
“ผมจะกลับไปทำงานต่อ” หวังหยูเฟิงเอ่ยลา ทว่าในขณะที่กำลังจะเดินแยกตัวออกมา เขาก็ถูกรั้งแขนเอาไว้เสียก่อน
“คุณไปนอนที่ห้องของผมนะ” เจิ้งหยุนเอ่ย นัยน์ตาสีดำอ่อนแสงลงราวกับร้องขอ หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วออกมา
“จะบ้าหรือ เดี๋ยวก็มีคนสงสัย” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงดุ แต่เจิ้งหยุนกลับยกยิ้มขึ้น
“ไม่หรอก เมื่อกี้คุณไม่เห็นหรือ ที่นี่ใครจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะเชยใบหน้าของผู้กองหนุ่มอย่างเย้ายวน “แล้วถ้าผมจะหิ้วบริกรสักคนไปนอนด้วยก็ไม่เห็นแปลก”
“นี่...” หวังหยูเฟิงอ้าปากค้าง เพราะไม่สามารถหาคำพูดใดมาแก้ต่างได้อีก และไม่ทันที่เขาจะได้หาเหตุผล เจิ้งหยุนก็คว้าแขนของเขาดึงไปอีกทาง
“ผมอยากไปพักแล้ว เราไปกันเลยดีกว่า”
“เดี๋ยวสิ!”
เสียงประท้วงของผู้กองหวังไม่ต่างจากเสียงลมที่ลอยไปในทะเลกว้าง เพราะตอนนี้ชายหนุ่มได้ถูกคนรักลากเข้าห้องพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
หลีซิงได้ขอร้องบอดี้การ์ดรุ่นพี่ด้วยมารยาที่มี จนในที่สุดก็ได้ขึ้นมาทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนเรือสำราญของกงเจ๋อตวน เด็กหนุ่มถูกจับให้ทำงานคู่กับอินเสี้ยวตงที่เข้ามาด้วยกัน
“นายจะไปไหน” อินเสี้ยวตงเอ่ยถาม เมื่อเห็นร่างบางก้าวออกไปจากตำแหน่งที่ได้รับผิดชอบ
“ฉันจะไปตามหาคนหน่อย” หลีซิงเอ่ยขึ้น ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มบางประดับ ท่าทางยินดีของเด็กหนุ่มสร้างความสงสัยให้กับร่างสูงที่มองอยู่
“ใครหรือ”
“ผู้มีพระคุณน่ะ นายช่วยจัดการตรงนี้ให้ด้วย”
หลีซิงไม่รอฟังคำสนทนาอะไรอีก เขาเดินไปตามกลุ่มคนอย่างแนบเนียนพร้อมกับมองหาผู้ชายคนหนึ่งที่มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย
เมื่อวันก่อนหลีซิงได้ไปออดอ้อนกับบอดี้การ์ดรุ่นพี่คนหนึ่งที่ดูแลเรื่องรายชื่อของแขกที่จะมาร่วมงานเลี้ยงบนเรือสำราญ ถึงแม้จะเปลืองตัวไปสักหน่อย แต่ก็ทำให้เขาได้รู้เรื่องน่ายินดี
เจิ้งหยุนก็มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย!
ตั้งแต่กลับมาจากสำนักตระกูลหม่า หลีซิงก็ไม่ได้ไปพบอีกฝ่ายอย่างเป็นกิจจะลักษณะ นอกจากการแอบมองที่ภัตตาคารเฟยลี่เพียงครั้งเดียว ทว่าตอนนี้เขาจะได้มีโอกาสพบเจอกับบุรุษผู้เป็นที่รักแล้ว เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเดินที่คาดว่าจะพบเจออีกฝ่าย จนกระทั่งฝีเท้าของร่างบางหยุดลง เมื่อเห็นใครคนหนึ่งเข้า
อู่หนิง คนสนิทของเจิ้งหยุน!
หลีซิงไม่ได้เข้าไปทัก เพราะการที่เขารู้จักกับคนของฝ่ายอื่นคงไม่ดีนัก แต่ถ้าหากจะเป็นกรณีที่เจิ้งหยุน ซึ่งเป็นแขกเรียกเข้าไปพูดคุยเพื่อใช้งานก็คงไม่แปลกอะไร หลีซิงรีบซ่อนตัวเพื่อหลบสายตาคมที่ตวัดมามองอย่างฉิวเฉียด ก่อนที่เขาจะชะโงกหน้ากลับไปลอบมองทางเดินที่เงียบสนิทและมีบุคคลเพียงผู้เดียวยืนเฝ้าอยู่
เอาเถอะ...เขารู้แล้วว่าตอนนี้เจิ้งหยุนพักแถวนี้ ค่อยไปแลกที่กับคนอื่นก็แล้วกัน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หวังหยูเฟิงได้แต่นึกก่นด่าตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าที่ใจอ่อนตามแรงยั่วเย้าของคนรัก หลังจากถูกเจิ้งหยุนกกกอดทั้งคืน ผู้กองหนุ่มก็ยังไม่มีโอกาสได้ลุกไปทำหน้าที่ของตัวเอง ป่านนี้พวกลูกน้องคงสงสัยว่า เขาหายไปที่ไหนกันแน่แล้ว
“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม ก่อนจะจัดหูกระต่ายสีแดงให้กับหวังหยูเฟิงที่มีใบหน้าบูดบึ้ง “ของจะมาถึงตอนสี่โมงเย็น แล้วงานประมูลจะเริ่มตอนหนึ่งทุ่มตรง คนที่มีสิทธิ์เข้างานได้ เฉพาะคนที่ได้รับเลือกพิเศษเท่านั้น”
“คุณก็ได้เข้าไปด้วยใช่ไหม” หวังหยูเฟิงเอ่ยถาม เจิ้งหยุนก็พยักหน้ารับ
“ตอนนี้ผมส่งพิกัดของเรือให้เพื่อนของคุณแล้ว งานประมูลเริ่มเมื่อไร คุณก็ทำงานได้เลย” เจิ้งหยุนอธิบายด้วยท่าทางเฉื่อยชา แล้วทอดมองคนตรงหน้าอย่างเว้าวอน “ผมทำขนาดนี้ คุณจะไม่ให้รางวัลผมหน่อยหรือ”
“จะเอาอะไรอีก” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเข้ม ผู้กองหวังทั้งกระดากอายแล้วก็หมั่นไส้คนที่ชอบเรียกร้องจากเขาเสมอ
“อืม เอาอะไรดี” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงครุ่นคิดพร้อมกับใช้สายตาโลมเลียนายตำรวจอย่างชัดเจน แววตาส่อเจตนาลามก ทำให้
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วมอง จนชายหนุ่มผมยาวหัวเราะออกมา “หอมแก้มผมก็แล้วกัน”
หวังหยูเฟิงแม้มริมฝีปากแน่น แต่เมื่อเห็นสายตารอคอย เขาก็โอนอ่อนทำตามที่คนรักต้องการด้วยความเขินอาย ปลายจมูกแตะสัมผัสที่แก้มขาวอย่างรวดเร็วแล้วถอยออก
“ผมต้องไปแล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากต่อบทสนทนาที่จะทำให้ต้องเปลืองตัวมากกว่านี้ ทว่ายังไม่ทันเดินพ้นจากหน้าประตู ผู้กองหนุ่มก็ถูกรั้งไว้อีกครั้ง ก่อนจะได้รับจูบดูดดื่มส่งท้าย
“แล้วเจอกันครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงหวาน เขาลูบผมสีอ่อนที่ยาวประบ่าของคนรักอย่างเอ็นดู แล้วเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย “จริงสิ คุณลืมรัดผมนะ”
หวังหยูเฟิงไม่ทันได้ทักท้วง เจิ้งหยุนก็ถอดยางรัดผมที่ใช้อยู่ออก แล้วรัดผมให้คนรักอย่างชำนวญ ก่อนจะยิ้มบางมองผลงานของตัวเอง
“โอเคแล้วครับ”
“ขอบใจ”
หวังหยูเฟิงหน้าแดงก่ำ เขารีบเดินออกไปจากทางเดิน ซึ่งเป็นส่วนที่พักเฉพาะของเจิ้งหยุนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มผมยาวมองตามอีกฝ่ายจนลับสายตา ก่อนจะปิดประตูห้องของตัวเองอีกครั้ง
ภาพความสนิทสนมเป็นพิเศษที่เกิดขึ้นได้สร้างบาดแผลรุนแรงให้กับผู้ที่แอบมองอยู่พักใหญ่ หลีซิงมีใบหน้าบึ้งตึง เขาจ้องมองตามชายหนุ่มในชุด
บริกรของภัตตาคารเฟยลี่อย่างกินเลือดกินเนื้อ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หวังหยูเฟิงรีบเข้าไปสมทบกับเจ้าหน้าที่คนอื่นและแจ้งแผนงานขั้นต่อไปอย่างรวดเร็ว เมื่อนัดแนะเรียบร้อย พวกเขาก็แยกย้ายทำหน้าที่ของตัวเองที่ได้สวมบทบาทเอาไว้
วันนี้ท้องฟ้าสดใส มีเสียงนกร้องและคลื่นลมทะเลดังเป็นระยะ บนเรือสำราญเงียบสงบเพราะแขกส่วนใหญ่นอนหลับพักผ่อนเพื่อสังสรรค์กันต่อในค่ำคืนนี้
หวังหยูเฟิงเดินสำรวจไปตามเส้นทางที่ก้าวผ่าน ก่อนที่เขาจะปะทะเข้ากับบอดี้การ์ดคนหนึ่ง ใบหน้าเรียบเฉยที่ตกแต่งด้วยแว่นตาหนามองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“แกเป็นใคร”
น้ำเสียงห้วนดังขึ้น หวังหยูเฟิงมองชายชุดสูทที่มีใบหน้าหวานอ่อนเยาว์อย่างสงบ ทั้งที่ในใจเริ่มไม่ปกติแล้วก็ตาม
“ผมเป็นพนักงานของภัตตาคารเฟยลี่ครับ”
“แกไม่ใช่ ฉันเคยทำงานที่เฟยลี่มาก่อน”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองคนตรงหน้าที่มีรูปร่างบางไม่เหมือนบอดี้การ์ดทั่วไปอย่างระมัดระวัง
“ผมเพิ่งเข้ามาครับ”
“หึ! อย่ามาโกหก ฉันเช็กกับคนรู้จักที่นั่นแล้ว ไม่มีใครรู้จักแกสักคน”
หลีซิงมองคนตรงหน้าเขม็ง เขาใช้เวลาเกือบค่อนวันในการตามหาข้อมูลของคนที่กล้าทอดสะพานให้เจิ้งหยุน แล้วก็ได้รู้ความลับบางอย่างเข้า
มีพนักงานของภัตตาคารเฟยลี่บางคนที่มาเพิ่ม เพียงแต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร
“คนที่คุณถามอาจจะไม่รู้จักผมก็ได้” หวังหยูเฟิงแก้ต่างให้กับตัวเองอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะไม่ยอมฟัง
“ฉันจะจับตัวแกไปก่อน” หลีซิงว่า แล้วหันไปส่งสัญญาณเรียก
อินเสี้ยวตงที่ยืนหลบมุมอยู่ให้ออกมาสมทบ ชายหนุ่มร่างสูงเข้าจับผู้กองหวังเอาไว้
หวังหยูเฟิงเบิกตากว้าง เขาคิดจะขัดขืนในทีแรก แต่ก็เปลี่ยนใจ เพราะถ้าหากเปิดเผยมากเกินไป เหตุการณ์อาจจะพลิกผัน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายแค่สงสัยแต่ยังไม่รู้ว่าเขาคือใคร
“เอาไปส่งให้รุ่นพี่จัดการสอบปากคำก็แล้วกัน” หลีซิงเอ่ยขึ้น เขาเหยียดยิ้มออกมา แน่นอนว่าการสอบปากคำคงไม่ใช่แค่พูดคุยกันธรรมดา
ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นพนักงานจริงอย่างที่อ้าง ก็แค่เจ็บตัวฟรี แต่ถ้าเป็นคนน่าสงสัยที่บังเอิญจับได้ขึ้นมา ก็จะทำให้เขามีผลงานและสามารถเข้าใกล้
กงเจ๋อตวนได้อีก
ไม่ว่าจะทางไหน เขาก็ได้ผลประโยชน์ทั้งนั้น!
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว เมื่อเขาถูกบอดี้การ์ดของกงเจ๋อตวนพาเข้าไปในห้องเก็บของใต้ท้องเรือ โดยรอบมีชายชุดสูทสีดำหลายคนยืนล้อมวงอยู่
“เฮ้อ เจ้านี่น่ะหรือ” ชายหนุ่มในชุดสูทคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเชยใบหน้าของหวังหยูเฟิงขึ้นมาพิจารณา “เห่ยเป็นบ้า”
เสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นโดยรอบ ก่อนที่คนถูกเย้ยจะถูกมัดไว้กับเสาเหล็กต้นหนึ่ง หวังหยูเฟิงขัดขืนเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวไปตามเรื่องตามราว
“ผมเป็นแค่เด็กเสิร์ฟธรรมดา! ปล่อยผมไปเถอะ!”
“มันไม่ใช่คนของเฟยลี่แน่ ผมเคยทำงานที่นั่น ไม่เคยเห็นมัน พอไปถามคนที่นั่นก็บอกว่าไม่รู้จักคนแบบนี้” หลีซิงอธิบาย เขาจ้องมองคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาอย่างมาดร้าย
“สรุปว่าแกเป็นใครไอ้หน้าเห่ย”
ชายในชุดสูทอีกคนเข้ามาบีบคางของหวังหยูเฟิงเอาไว้อย่างข่มขู่
ผู้กองหนุ่มที่ตกเป็นรองก็ปากแข็งยืนยันสถานะของตัวเอง
“เขาอาจจะไม่รู้จักผม ผมเป็นพนักงานของเฟยลี่จริงๆ ไม่เชื่อไปถามคุณไป๋ก็ได้” หวังหยูเฟิงยืนกราน เขาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างแน่วแน่มั่นคง จนคนถามชะงักกับความมั่นใจที่สื่อออกมาไปเล็กน้อย
“มันว่าอย่างนั้น จะเอาอย่างไรต่อ” ชายในชุดสูทอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันเอ่ยขึ้น สายตาหลายคู่ต่างมองกันและกันอย่างครุ่นคิด หลีซิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
ถ้าหากมันเป็นคนของไป๋ลู่เหอจริงๆ จะทำอย่างไร?
แต่…เขาไม่มีทางปล่อยให้คนที่มาเข้าใกล้เจิ้งหยุนลอยนวลไปง่ายๆ หรอก!
หลีซิงเดินแทรกบอดี้การ์ดรุ่นพี่เข้าไปหาเหยื่อที่หมายตาเอาไว้ แล้วใช้กำปั้นที่เก็บความโมโหจากภาพที่เห็นเมื่อเช้าอัดใส่ใบหน้าของหวังหยูเฟิงจนแว่นตากรอบหนาหลุดกระเด็น
“อย่าเอาคุณไป๋มาอ้าง! แกคงคิดว่าพวกเราไม่กล้าทำอะไรใช่ไหม!” หลีซิงว่าพร้อมกับปล่อยหมัดอัดใส่ท้องของผู้กองหนุ่มเต็มแรง เรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนร่วมงานที่มองอยู่
ผลั่ว! ผลั่ว!
“ไอ้หนูพอก่อน” บอดี้การ์ดรุ่นพี่คนหนึ่งเข้ามาห้าม เมื่อเห็นว่าเด็กใหม่ซ้อมอีกฝ่ายจนมันมือ หลีซิงยอมถอยออกมาแต่โดยดี อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ได้ระบายอารมณ์ที่กรุ่นโกรธไปบ้างแล้ว
“คืนนี้จะมีงานสำคัญด้วย อย่าเพิ่งปล่อยมันไป” ชายในชุดสูทอีกคนเอ่ยขึ้น เขามองหวังหยูเฟิงอย่างไม่ไว้วางใจ แล้วหันมาทางหลีซิง “นายเฝ้ามันไว้ก็แล้วกัน”
“ได้ครับ” หลีซิงรับคำอย่างแข็งขัน ก่อนจะหันไปมองหวังหยูเฟิงด้วยสายตาทิ่มแทง ความอาฆาตพยาบาทที่ไม่ปิดบัง ทำให้ผู้กองหนุ่มสงสัยมากกว่าหวาดกลัว
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงทำท่าไม่พอใจเขาขนาดนั้น...
“เดี๋ยว” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้น เขาพิจารณาหวังหยูเฟิงมาสักพักแล้ว ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แล้วกระชากเส้นผมสีอ่อนออกมา เหตุการณ์ตรงหน้าสร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนทันที “ผมเห็นว่ามันแปลกๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ”
หวังหยูเฟิงใจเต้นระรัว นอกจากการออกหมัดของชายร่างบางก่อนหน้านี้จะทำให้แว่นตาของเขาหลุดออกไปแล้ว แรงสะบัดจากหมัดที่เข้าโจมตีก็คงทำให้วิกเลื่อนออก อันที่จริงเขาเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า ตัวเองใส่วิกผมอยู่
“นี่แก!” ชายในชุดสูทคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อได้เห็นใบหน้าของคนที่จับมาเต็มตา “หวังหยูเฟิง! มันเป็นตำรวจ!”
หลีซิงมองเหยื่อของตัวเองอย่างประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะเหยียดยิ้ม เมื่อเริ่มคุ้นหน้าชายหนุ่มที่กำลังโดนบอดี้การ์ดรุ่นพี่ซ้อมอีกครั้ง ครั้งหนึ่งนายตำรวจคนนี้เคยเข้ามาค้นที่คฤหาสน์ของกงเจ๋อตวนในคดีของเส้าซินฉี
“อินเสี้ยวตง นายทำดีมาก” ชายในชุดสูทหันมาชมเชยบอดี้การ์ดน้องใหม่ แล้วก็หันไปมองเด็กหนุ่มอีกคน “หลีซิง นายก็ด้วย”
“ขอบคุณครับ” หลีซิงและอินเสี้ยวตงโค้งคำนับรับคำชมด้วยใบหน้าที่แตกต่างกัน ชายหนุ่มร่างสูงยังมีสีหน้าเยือกเย็น ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังคลี่ยิ้มอย่างยินดี
“รีบไปแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านทราบ แล้วก็ให้คนตามหาพวกมันที่เหลือด้วย” บอดี้การ์ดรุ่นพี่ที่มีอำนาจมากที่สุดออกคำสั่ง ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไปทำตาม โดยมีคนกลุ่มหนึ่งยังคงลงทัณฑ์ผู้บุกรุกที่ลอบขึ้นเรือ
หลีซิงมองร่างของนายตำรวจที่สะบักสะบอม แต่ก็ยังกัดฟันไม่ยอมร้องออกมาอย่างหมั่นไส้ เขาคาดไม่ถึงเลยว่า เหยื่อที่ทำให้เขาริษยาจะสร้างผลกระทบและนำพาเรื่องราวให้เปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้
TBC +++++++ 24 เผชิญหน้ากับศัตรู
Marionetta ตอนนี้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของเรื่องแล้วค่ะ เอาใจช่วยผู้กองกันด้วยนะคะ แล้วก็เข้าโค้งสุดท้ายของการจองเล่มด้วยนะเออ อิอิ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
-
24
เผชิญหน้ากับศัตรู
กงเจ๋อตวนที่กำลังพักผ่อนรีบเดินทางไปยังห้องใต้ท้องเรืออย่างรวดเร็ว เมื่อได้รับรายงานจากลูกน้องว่า มีตำรวจกลุ่มหนึ่งลักลอบขึ้นเรือมาได้ ซึ่งผู้นำทัพก็คือหวังหยูเฟิง นายตำรวจที่กำลังเข้ามางัดข้อกับเขา
เมื่อผู้มีอิทธิพลใหญ่เดินมาถึง เขาก็ยิ้มออกมา หลังจากที่ได้เห็นสภาพของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ซึ่งตอนนี้ถูกลูกน้องของตัวเองต้อนรับอย่างสาสม
“ว่าอย่างไร ผู้กองหวัง มาทำอะไรบนเรือของผมล่ะเนี่ย” กงเจ๋อตวนเอ่ยทักพร้อมกับยิ้มหยันอย่างดูแคลน “ทำตัวเป็นหนูสกปรกขึ้นเรือมาแบบนี้ ตำรวจจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
กงเจ๋อตวนหัวเราะเยาะออกมา ก่อนจะยกเท้าถีบที่ท้องของนายตำรวจเต็มแรง เสียงไอโคลกดังขึ้นจากคนที่ถูกทำร้ายจนสภาพสะบักสะบอม
“เฮ้ๆ จะไม่พูดคุยอะไรกับผมหน่อยหรือ”
หวังหยูเฟิงกัดฟันแน่น เขารู้สึกปวดระบมไปทั้งร่าง นัยน์ตาสีนิลจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ก่อนที่ริมฝีปากแตกช้ำจะวาดยิ้มออกมา
“วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่แกจะได้หัวเราะ แกหนีไปไหนไม่รอดหรอก”
“เอาน้ำมาสาดมันหน่อย สงสัยจะยังฝันอยู่”
สิ้นคำสั่งของกงเจ๋อตวน น้ำทะเลก็สาดใส่หวังหยูเฟิงจนเปียกชุ่ม ความเค็มออกฤทธิ์ให้บาดแผลที่ได้รับแสบร้อนทันที ใบหน้ายับเยินบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด
“ตื่นแล้วใช่ไหมผู้กองหวัง ฮ่าๆ” กงเจ๋อตวนเอ่ยถามอย่างพอใจ ก่อนจะกระชากเส้มผมสีดำจนใบหน้าของนายตำรวจแหงนขึ้น เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเหนือกว่า “ใครช่วยแกให้ขึ้นมาที่นี่ ไป๋ลู่เหอหรือ”
กงเจ๋อตวนมองคนในเงื้อมมืออย่างกดดัน งานเลี้ยงครั้งนี้เป็นความลับที่แจ้งเฉพาะคนที่เขาตั้งใจจะสานสัมพันธ์ด้วย แน่นอนว่าคนกลุ่มนั้นย่อมไม่ใช่ตำรวจ แล้วการที่อีกฝ่ายปลอมตัวเป็นพนักงานของภัตตาคารเฟยลี่ขึ้นมา ก็สามารถคาดเดาได้ว่า ไป๋ลู่เหอที่เป็นเจ้าของอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
“เส้าซินฉีเป็นคนบอกข่าวนี้กับผม” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับมองใบหน้าเกรี้ยวกราดของคนตรงหน้า “หึ! เธอคงยังไปไม่สงบสุข เพราะคนร้ายตัวจริงยังลอยนวล”
“แก! ปากดีนักนะ!” กงเจ๋อตวนเอ่ยเสียงเหี้ยม ก่อนจะตบฉาดใส่ใบหน้ายับเยินของผู้กองหนุ่มจนเลือดกบปาก “ถ้ายายนั่นมาหาแกจริง คงอยากชวนแกไปอยู่เป็นเพื่อนมากกว่า”
บรรยากาศระหว่างผู้มีอิทธิพลรายใหญ่กับผู้กองหนุ่มเป็นไปอย่างตึงเครียด ก่อนที่การปะทะของทั้งสองฝ่ายจะถูกขัดจังหวะ เมื่อมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาร่วมเหตุการณ์
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงทักที่คุ้นเคย ทำให้กงเจ๋อตวนหันไปมอง เขายิ้มให้มิตรที่ไม่ได้รับเชิญด้วยความประหลาดใจ
“คุณเจิ้งนี่เอง มาทำอะไรที่นี่หรือ”
“ก็ได้ข่าวว่า เจอคนน่าสงสัยขึ้นเรือมาน่ะสิครับ”
เจิ้งหยุนมองเจ้าของงานเลี้ยง ก่อนจะปรายตาไปยังบรรดาลูกน้องของกงเจ๋อตวนอย่างเย็นชา นัยน์ตาที่ไม่สนใจสิ่งใด ทำให้หลีซิงที่แอบหวังบางอย่างอยู่ในใจต้องหงอยลง
“ข่าวไวดีนี่ครับ” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเอง แล้วผายมือไปทางนายตำรวจที่เขาจับได้ “คุณน่าจะรู้จักนะครับ เขาเคยไปอยู่กับคุณมาพักหนึ่งนี่”
เจิ้งหยุนเลิกคิ้ว ก่อนจะมองหวังหยูเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาสีดำของเขาวาวโรจน์ราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนวูบหนึ่งแล้วสลายไปไม่ทิ้งร่องรอย เรียวปากหยักยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ใช่ครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยตอบ เขาเดินเข้าไปหานายตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ มือใหญ่เชยคางของผู้กองหวังขึ้นพร้อมกับมองสบนัยน์ตาสีดำแข็งกร้าว “ผมจะจัดการเขาเอง”
“จะดีหรือ คุณเป็นแขกของผมนะ” กงเจ๋อตวนเอ่ยถาม ใบหน้าที่มีริ้วรอยแต้มรอยยิ้มหยอกเย้า
“ผมแค่ไม่อยากให้แผนการติดขัด” เจิ้งหยุนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วตวัดสายตามองเจ้าของงานเลี้ยง “อีกสักพักของจะมาส่งแล้วไม่ใช่หรือ คุณควรสนใจเรื่องนั้นมากกว่านะ”
“จริงสิ! ถ้าอย่างนั้นผมฝากคุณจัดการไอ้ตำรวจนี่ด้วยแล้วกัน”
กงเจ๋อตวนตอบรับพร้อมกับมองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเรือนหรูของตัวเอง แล้วเงยหน้ามองสหายรุ่นลูก “อยากให้คนของผมช่วยอะไรไหม”
“ไม่จำเป็น” เจิ้งหยุนตอบ แล้วกลับไปสนใจผู้กองหนุ่มที่ถูกมัดเอาไว้ต่อ กงเจ๋อตวนหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ตามใจคุณแล้วกัน” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้น เขายกยิ้มเหี้ยมออกมา “คุณจะยิงทิ้งเหมือนที่จัดการถานอี้เทา ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ฮ่าๆ”
กงเจ๋อตวนเดินนำลูกน้องกลุ่มหนึ่งออกจากห้องใต้ท้องเรือ เจิ้งหยุนไม่ได้เอ่ยตอบคำใด นอกจากจ้องมองใบหน้าเครียดขึงที่มีรอยช้ำของ
หวังหยูเฟิงนิ่ง ในขณะเดียวกันก็มีอีกคนหนึ่งที่ช็อกจนไม่สามารถขยับไปไหนได้
หลีซิงมองชายหนุ่มผมยาวที่ยืนหันหลังให้ตัวเองอย่างตกตะลึง บทสนทนาเมื่อครู่ไม่ต่างจากน้ำกรดที่ราดลงบนแผลสดที่อยู่ในใจ เด็กหนุ่มยืนนิ่งงันด้วยหัวใจที่เจ็บร้าว และเมื่อได้สบกับนัยน์ตาสีดำที่สงบนิ่งไร้ความรู้สึก เขาก็เหมือนตกอยู่ในเหวลึกอีกครั้ง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
ฆาตกรที่สังหารบิดาที่แท้จริงคือบุรุษผู้เป็นที่รัก!!!
“หลีซิงเป็นอะไร ไปได้แล้ว” อินเสี้ยวตงเอ่ยเรียกพร้อมกับดันไหล่ของเด็กหนุ่มที่ยังมองเจิ้งหยุนค้างให้เดินออกไปบ้าง แน่นอนว่าเขาสังเกตพฤติกรรมของอีกฝ่ายมาโดยตลอด
อาการอาลัยอาวรณ์ที่บ่งบอกความผิดหวังอย่างสุดแสนแสดงผ่านดวงตาเรียวสีดำอย่างชัดเจน อินเสี้ยวตงลอบมองเจิ้งหยุนที่ยืนอยู่ไม่ห่างออกไปเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด
หลังจากกลุ่มของกงเจ๋อตวนเดินผ่านประตูห้อง โดยที่มีอู่หนิงยืนเฝ้าระวังอยู่ เจ้าของงานเลี้ยงก็ประกาศคำสั่งตามเก็บกวาดหนูของทางการที่จะทำให้งานเลี้ยงของเขาติดขัด ก่อนจะเดินทางไปเตรียมตัวรับสินค้าที่จะใช้ในงานประมูลคืนนี้ต่อ
บอดี้การ์ดแต่ละคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน ผิดจากหลีซิงและอินเสี้ยวตงที่เดินรั้งท้ายด้วยความเชื่องช้า
“พวกนายไปแถวท้ายเรือ ตรวจดูว่ามีใครน่าสงสัยอีก” บอดี้การ์ดรุ่นพี่หันมาสั่งเด็กใหม่ทั้งสองคน หลีซิงและอินเสี้ยวตงก็พยักหน้ารับ
หลังจากคล้อยหลังบรรดาลูกน้องของกงเจ๋อตวนไปแล้ว หลีซิงที่มีใบหน้าเคร่งขรึมแต่นัยน์ตาโศกเศร้าก็ไม่สามารถเดินไปไหนต่อได้อีก เขาทรุดตัวพิงกับผนังของเรืออย่างหมดแรง เรื่องราวที่เพิ่งรับรู้สร้างความเสียหายต่อจิตใจไม่ต่างจากพายุใหญ่ที่ทำลายความหวังทุกสิ่ง
เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี?!
“หลีซิง นายเป็นอะไร” อินเสี้ยวตงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย บางทีหลีซิงอาจจะผิดหวังที่ตั้งเป้าหมายในการล้างแค้นผิดคน
“เสี้ยวตง ฉันจะทำอย่างไรดี” หลีซิงเอ่ยเสียงเบา ใบหน้าหวานทอดมองชายหนุ่มอย่างคนเคว้งคว้างที่ต้องการที่พึ่ง “เขาเป็นคนที่ฆ่าพ่อของฉัน”
“คนที่ชื่อเจิ้งหยุนนั่นหรือ” อินเสี้ยวตงย้อนถาม แล้วถอนหายใจออกมา “นายรู้จักเขาก่อนหน้านี้สินะ”
“ใช่ เขาเป็นคนที่ฉันรัก” หลีซิงสารภาพเสียงอ่อน เวลานี้เขาอ่อนแอจนไม่อยากอดทนต่อสิ่งใดอีก “แต่เขาคือคนที่ฆ่าพ่อของฉัน”
น้ำตาไหลลงผ่านผิวแก้มขาวเนียน นัยน์ตาหวานหม่นหมองจนน่าสงสาร อินเสี้ยวตงมองคนตรงหน้าด้วยความเห็นใจ ถึงแม้หลีซิงอาจจะนิสัยไม่ดีนัก แต่เขาก็เชื่อว่า เด็กหนุ่มรักผู้ชายคนนั้นด้วยใจจริง
“ไม่เป็นไร ฉันจะช่วยนายเอง” อินเสี้ยวตงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาลูบเรือนผมนิ่มอย่างเบามือพร้อมกับความคิดบางอย่าง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ในขณะที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง ทางด้านของเจิ้งหยุนและหวังหยูเฟิงก็ตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดไม่แพ้กัน ชายหนุ่มผมยาวใช้มีดสั้นที่พกไว้ตัดเชือกป่านที่มัดคนรักอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึงจนน่ากลัว หวังหยูเฟิงผ่อนลมหายใจออกมาหลังจากที่ได้รับอิสระ ถึงแม้จะมีบาดแผลและรอยช้ำเต็มตัวก็ตาม
“ไหวไหมครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยถามพร้อมกับพยุงร่างของผู้กองหนุ่มเอาไว้อย่างทะนุถนอม
“อืม ผมต้องไปช่วยลูกน้องก่อน ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง”
หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน เขานึกห่วงเจ้าหน้าที่คนอื่นที่อาจจะกำลังต่อสู้กับคนของกงเจ๋อตวนอยู่ แผนการครั้งนี้ไม่ใช่การปะทะกับกลุ่มคน แต่คือการจับกุมผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ให้ได้เท่านั้น
“ใจเย็นครับที่รัก” เจิ้งหยุนเอ่ยห้าม แล้วถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด “ตอนนี้ผมไม่ให้คุณไปวิ่งหาเรื่องที่ไหนหรอกนะ เดี๋ยวผมจะให้คนพาคุณออกไปจากที่นี่”
“ผมมาทำงาน จะให้หนีได้อย่างไร” หวังหยูเฟิงว่าเสียงห้วน เขาจ้องมองเจิ้งหยุนอย่างจริงจังและแน่วแน่ “ผมเป็นตำรวจ ผมต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จ”
“ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าอย่าดื้อกับผม” เจิ้งหยุนว่ากลับ เขาขมวดคิ้วมองหวังหยูเฟิงอย่างไม่พอใจ “สภาพนี้จะไปเป็นตัวถ่วงหรือจะไปตายฟรีครับ”
หวังหยูเฟิงกัดฟันกรอดอย่างข่มอารมณ์ เขาอยากจะต่อว่าคนรัก แต่ก็เข้าใจความจริงของตัวเอง รวมไปถึงความรู้สึกที่ส่งผ่านสายตาของเจิ้งหยุนได้ ผู้กองหนุ่มก้มหน้าลงต่ำอย่างจนใจและคับแค้นในความไม่เอาไหนของตัวเอง
“หยูเฟิง สภาพของคุณตอนนี้ ทำให้ผมอยากเอากระสุนอัดกะโหลกไอ้แก่นั่นแค่ไหนคุณรู้ไหม แต่ผมก็ต้องอดทน” เจิ้งหยุนเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับเชยคางให้ใบหน้าของนายตำรวจขึ้นมาสบสายตา “ดังนั้นคุณก็ช่วยอดทน แล้วทำตามที่ผมบอกด้วย”
“แต่ลูกน้องของผม...”
“ตั้งแต่รู้เรื่องนี้ ผมก็แจ้งข่าวไปให้เพื่อนคุณแล้ว อีกไม่นานตำรวจก็คงจะตามมาสมทบ”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“แล้วเรื่องหลักฐานล่ะ ถ้าจับก่อนกงเจ๋อตวนก็จะหาข้ออ้างหลุดรอดไปได้อีก แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะหาโอกาสแบบนี้ได้อีกไหม”
“เรื่องนั้น...ผมบอกให้เพื่อนของคุณส่งตำรวจกลุ่มหนึ่งไปดักรอเรือสินค้าเพื่อตรวจสอบก่อนแล้ว ตอนนี้ก็รอเวลานั้นไม่ได้แล้ว”
เจิ้งหยุนประคองหวังหยูเฟิงเอาไว้ อันที่จริงเขาอยากจะอุ้มคนรักด้วยซ้ำ แต่คนเจ็บคงไม่พอใจแน่ ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวไปไหน ผู้กองหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“เดี๋ยว! แล้วคุณจะพาผมออกไปอย่างไร”
“นอกจากคนของตำรวจที่ปะปน บนเรือนี้ก็มีคนของผมอยู่ด้วย เพื่อรองรับสถานการณ์ไม่คาดฝัน” เจิ้งหยุนบอก แล้วยกยิ้มขึ้น “ไม่ต้องกังวลหรอก คุณปลอดภัยแน่นอน”
“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น” หวังหยูเฟิงแย้ง แล้วถอนหายใจแรง “คนของ
กงเจ๋อตวนเดินเต็มไปหมด คุณคงไม่พาผมเดินออกไปโต้งๆ หรอกนะ”
“ครับ เราต้องรอสัญญาณก่อน” เจิ้งหยุนบอก แล้วระบายยิ้มที่คุ้นเคยบนใบหน้าหล่อเหลา หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“สัญญาณอะไร”
สิ้นคำถามของนายตำรวจ ก็เกิดเสียงกัมปนาทขึ้น เรือสำราญไหวเอนและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หวังหยูเฟิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“มีคนส่งสัญญาณมาแล้ว เราไปกันเถอะ”
เจิ้งหยุนพาหวังหยูเฟิงออกจากห้องใต้ท้องเรือ ทว่าผู้กองหนุ่มก็ยัง
รั้งรอ ใบหน้าเรียบนิ่งขึ้นสีระเรื่อ
“เดี๋ยวคุณช่วยหยิบของให้ผมก่อน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น แล้วเม้มริมฝีปากแน่น เมื่ออีกฝ่ายเลิกคิ้วมอง “ยางรัดผมของคุณที่มัดวิกให้ผม”
หวังหยูเฟิงเลื่อนสายตาไปทางวิกผมที่่ถูกบอดี้การ์ดของกงเจ๋อตวนเขวี้ยงทิ้งไปอีกทาง เจิ้งหยุนยิ้มออกมา ก่อนจะเดินไปแกะยางรัดผมของตัวเองกลับมารัดไว้ที่ข้อมือของผู้กองหวังไม่ต่างจากกำไล แล้วจุมพิตลงบนขมับของคนรักอย่างอ่อนโยน
“ผมอยากกอดคุณแล้วสิ”
“นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องไร้สาระนะ!”
เจิ้งหยุนหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะพาหวังหยูเฟิงไปยังหน้าประตู
อู่หนิงรออยู่พร้อมกับลูกน้องที่ปลอมตัวมาของเขาอีกคน
“พาหยูเฟิงไปที่เรือเล็ก”
“ครับนาย”
หวังหยูเฟิงคว้าแขนของเจิ้งหยุนที่กำลังจะเดินไปอีกทางไว้ ผู้กองหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัย เจิ้งหยุนหันกลับมามองด้วยสีหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้มบาง
“แล้วคุณจะไปไหน”
“ผมจะไปจัดการงานนิดหน่อยครับ แล้วค่อยเจอกัน”
“สัญญากับผมว่าจะไม่ฆ่ากงเจ๋อตวน”
เจิ้งหยุนสบสายตากับหวังหยูเฟิงนิ่ง ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ แล้วหอมแก้มช้ำแผ่วเบา
“โอเคครับที่รัก”
หวังหยูเฟิงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า เขาพยักหน้าตอบรับ แล้วเดินไปอีกทางโดยที่มีลูกน้องของเจิ้งหยุนช่วยดูแล
นัยน์ตาคมทอดมองร่างของผู้กองหนุ่มที่ห่างออกไปเล็กน้อย รอยยิ้มอบอุ่นที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้หายไปราวกับหมอกควัน มีเพียงความเย็นชาที่เปิดเผยออกมาเท่านั้น
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เสียงระเบิดและไฟที่ลุกไหม้ไปทั่วห้องโดยสารสร้างความโกลาหลและแตกตื่น ทุกคนภายในเรือสำราญต่างวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น ตอนนี้ยานพาหนะลอยน้ำก็เริ่มเอียงไปทางหนึ่ง เมื่อมวลกระแสทะเลซัดเข้ามาภายใน
“กรี๊ด! ช่วยด้วย!”
“โอ๊ย! อย่าผลักฉัน!”
“แกถอยไปนะ! ฉันจะออกไปจากที่นี่!”
ถ้อยคำมากมายดังไม่ได้ศัพท์ เสียงร้องโวยวายและคำสบถผรุสวาทหลั่งไหลไม่ต่างจากคลื่นที่กระหน่ำใส่เรือที่ไม่มั่นคง กงเจ๋อตวนวิ่งอ้าวไปที่จุดปลอดภัยทันที ถึงแม้ตอนนี้เขาจะงุนงงและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตาม
“หนอย!!!” กงเจ๋อตวนได้แต่คำรามอย่างโกรธแค้น การระเบิดครั้งนี้ต้องมาจากฝีมือของตำรวจที่ลักลอบเข้ามาแน่ ซึ่งคนของเขากำลังตามจับได้บ้างแล้ว แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเสียก่อน วินาทีนี้การเอาตัวรอดจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
“คุณกง! พาผมไปด้วย!”
ชายในชุดภูมิฐานวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าอ้อนวอนและซีดเผือด กงเจ๋อตวนตวัดตามองอย่างเครียดขึง ก่อนจะเอ่ยคำสั่งด้วยน้ำเสียงไร้ความปรานี
“อย่าให้ใครมาวุ่นวาย”
ปัง! ปัง!
สิ้นคำสั่งเสียงปืนก็ดังขึ้น ทำให้เหล่าแขกที่ต้องการจะเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าของงานต่างพากันหวาดผวาไม่กล้าขยับ กงเจ๋อตวนเหยียดยิ้ม แล้วประกาศก้อง
“ด้านขวาท้ายเรือมีเรือชูชีพอยู่ ไปแย่งขึ้นเรือกันที่นั่น แต่ถ้าใครจะมากับผมก็ต้องเป็นศพเหมือนผู้ชายคนนี้!”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
หลีซิงและอินเสี้ยวตงต่างก็หันไปทางต้นเสียงอย่างตกใจ พวกเขารีบวิ่งออกจากจุดอันตรายที่มีการระเบิดต่อเนื่อง น้ำทะเลบางส่วนไหลทะลักเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น” หลีซิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว เขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
“ไม่รู้ แต่เรารีบหนีออกไปก่อนดีกว่า” อินเสี้ยวตงเอ่ยเสียงเข้มพร้อมกับคว้ามือของหลีซิงให้วิ่งไปด้วยกัน “เราต้องไปที่เรือชูชีพ แต่ที่นั่นก็คงมีคนเยอะน่าดู”
“อืม ทั้งน้ำทั้งไฟทั้งระเบิด อีกไม่นานเรือนี้คงไม่เหลือซาก” หลีซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว “รีบขึ้นไปที่สูงของเรือก่อนแล้วกัน”
อินเสี้ยวตงพยักหน้าทั้งที่ยังไม่หยุดวิ่ง เขาสวนกับกลุ่มคนมากมายที่พยายามเอาชีวิตรอด บางคนก็กระโดดลงทะเล บางคนก็ร้องไห้อย่างสิ้นหวัง ความเวทนาและหวาดกลัวลอยฟุ้งไปทั่วเรือสำราญหรูที่กำลังถูกทำลาย
ถึงแม้หลีซิงจะผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หัวใจของเขาก็ยังร่ำร้องห่วงหาถึงชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก
เจิ้งหยุนจะเป็นอะไรหรือเปล่า...
พวกเขาวิ่งมาถึงจุดที่อยู่เหนือมวลน้ำที่เข้ายึดครองพื้นที่ในเรือ อานุภาพจากเปลวไฟระอุจนผิวกายแสบร้อน แต่สิ่งที่รับรู้มากกว่าคือเสียงกรีดร้องและการเอาชีวิตรอด เรือชูชีพเต็มไปด้วยผู้คนที่แก่งแย่งเข้าไปจับจองพื้นที่
“บางทีพวกเราคงต้องหาอะไรลอยคอในทะเลแล้วมั้ง” อินเสี้ยวตงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เมื่อสถานการณ์ในตอนนี้มีทางออกให้เลือกไม่มากนัก
หลีซิงนึกเห็นด้วย เขากวาดสายตามองผู้คนที่พยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเรือชูชีพอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วก็มีหลายคนที่ผลัดตกลงทะเลอย่างชุลมุน ก่อนที่นัยน์ตาเรียวหวานจะเบิกกว้าง เมื่อเห็นเรือลำหนึ่งมีคนที่เขาต้องจัดการ
หวังหยูเฟิง!
หลีซิงคิดเอาไว้แล้วว่า เจิ้งหยุนต้องช่วยอีกฝ่ายไปแน่ เพราะความสัมพันธ์ที่เขาได้เห็นด้วยตาของตัวเอง เด็กหนุ่มจึงหันไปเอ่ยกับเพื่อนรุ่นพี่อย่างรวดเร็ว
“ฉันจะไปที่เรือเล็ก”
หลีซิงไม่รอคำพูดของอินเสี้ยวตง เขารีบวิ่งไปยังที่หมายทันที ชายหนุ่มอีกคนจึงต้องวิ่งตามด้วยความเป็นห่วง พวกเขาถอดเสื้อสูทของตัวเองออก แล้วตั้งใจจะกลมกลืนไปกับแขกที่ยัดเยียดอยู่เต็มทางเดิน
หลีซิงมองซ้ายและขวา หวังหยูเฟิงไม่ได้อยู่ที่เรือชูชีพที่บรรดาแขกกำลังพยายามเข้าไปแย่งชิง ในเรือชูชีพลำนั้นมีแต่พนักงานของเรือที่โดยสารอยู่
ในขณะที่หลีซิงกำลังมองหาเรือที่ศัตรูหัวใจอยู่ อินเสี้ยวตงก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของหัวใจของร่างบางที่เขากำลังปกป้อง เจิ้งหยุนกำลังเดินสวนผู้คนที่กำลังแตกตื่นไปอีกทาง
“นายไปขึ้นเรือก่อน ฉันไปทำธุระหน่อย” อินเสี้ยวตงหันไปบอก หลีซิงหันมามองอย่างสงสัย
“ธุระอะไรตอนนี้ ช่างมันเถอะน่า!” หลีซิงว่า ก่อนจะหันไปมองหาเรือของเป้าหมายต่อ
“ธุระที่นายจัดการไม่ได้ ฉันจะช่วยเอง” อินเสี้ยวตงตอบพร้อมกับวิ่งไปตามทางที่เจิ้งหยุนผ่านทันที
“เดี๋ยว!” หลีซิงรีบท้วง ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ ทว่าอินเสี้ยวตงแค่ส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะกลืนหายไปกับกลุ่มคน ทิ้งให้เด็กหนุ่มได้แต่มองตามอย่างกังวลและห่วงใย
ถ้าหาก 'ธุระ' ที่ว่าคือการล้างแค้นให้เขา หลีซิงก็ไม่อาจภาวนาสิ่งใดได้ เพราะไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอะไรไปเลยสักคนเดียว
TBC ++++++++ 25 แค้นที่ต้องชำระ
Marionetta เช้ามาลงแล้ว เย็นก็มาลงต่อ ^^
-
พี่เจิ้ง รีบไปช่วยผู้กองเร้ววววววว
-
:katai1:
-
25
แค้นที่ต้องชำระ
ความโกลาหลบนเรือสำราญยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มีเรือของตำรวจมาถึงเพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารเบื้องต้นแล้ว เปลวไฟจากแรงระเบิด ทำให้โครงสร้างของเรือพังทลายอย่างรวดเร็ว
เจิ้งหยุนไม่ได้สนใจสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น เขารีบเดินไปยังตำแหน่งที่เจ้าของงานเลี้ยงอยู่พร้อมกับลูกน้องคนสนิท ก่อนจะชะงักเล็กน้อย แล้วเอนตัวหลบตามสัญชาตญาน เมื่อมีบางสิ่งวิ่งเข้ามาจากด้านหลัง
เจิ้งหยุนปรายตากลับไปมอง โดยที่มีอู่หนิงยืนเป็นเกราะกำบังเบื้องหน้า ชายหนุ่มทั้งสองคนไม่ได้พกปืนขึ้นเรือตามกฎ แต่พวกเขาก็ขโมยอาวุธมาจากบอดี้การ์ดของกงเจ๋อตวนที่เพิ่งจัดการไปก่อนหน้านี้
เจิ้งหยุนจำฝ่ายตรงข้ามได้ทันที บุรุษตรงหน้าคือหนึ่งในบอดี้การ์ดของกงเจ๋อตวนที่รุมซ้อมคนรักของเขา ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นและไม่รอช้าที่จะหยิบปืนพกเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
อินเสี้ยวตงรีบหลบอันตรายไปตามทักษะของร่างกาย ก่อนจะยิงสวนไปอย่างไม่ยอมแพ้ เจิ้งหยุนเหยียดยิ้ม เขาอยากจะจัดการอีกฝ่ายด้วยตัวเอง แต่ไม่มีเวลามาเล่นอะไรไร้สาระ
“อู่หนิงจัดการให้ที” เจิ้งหยุนสั่ง แล้วหมุนตัววิ่งไปตามทางเดินเดิม เหลือแต่คนสนิทที่เผชิญหน้ากับศัตรู
“ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลามาเล่นกับนายหรอก” อู่หนิงว่า แต่ก็ไม่ยอมลดกระบอกปืนในมือลง
“ฉันแค่มาล้างแค้นให้หลีซิง” อินเสี้ยวตงประกาศเจตนาของตัวเองด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ อู่หนิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แค้นของคนอื่น นายจะมาจัดการเองทำไม หนีไปซะ ก่อนจะหมดโอกาส” อู่หนิงว่าเสียงเข้ม เขาไม่ได้บ้าเลือดอยากฆ่าใครตามอารมณ์แบบเจ้านาย ถ้าเป็นไปได้วิธีสันติย่อมดีกว่า
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของนายที่ต้องมาบอกฉัน!” อินเสี้ยวตงว่ากลับ ชายหนุ่มรู้ตัวว่าใจร้อนเกินไปแล้ว แต่ภาพความเสียใจของหลีซิงก็ทำให้เขาทุกข์ไม่ต่างกัน
แค้นของหลีซิงก็คือแค้นของเขาด้วย!
“ให้ตายเถอะ!” อู่หนิงสบถอย่างอารมณ์เสีย เขาเป็นห่วงเจ้านาย แต่ก็ต้องมาติดแหง็กกับคนน่ารำคาญ
ชายหนุ่มยิงปะทะโรมรันอีกครั้ง ก่อนจะขยับเท้าวิ่งไปอีกทาง เพราะถ้าหากไปช่วยเจ้านายไม่ได้ เขาก็ต้องเอาตัวรอดเช่นเดียวกัน
“ถ้านายอยากฆ่าเขา ก็ต้องจัดการฉันให้ได้ก่อนก็แล้วกัน”
อินเสี้ยวตงไม่รอช้าที่จะวิ่งตามไปหาอีกฝ่าย เขาไม่รู้ว่าจะไปเจอกับดักหรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มตระหนักคือ ตัวเองได้เอาชีวิตเข้าแลกกับการต่อสู่ครั้งนี้แล้ว
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เจิ้งหยุนวิ่งไปจนเกือบสุดทาง เขาก็เห็นเป้าหมายกำลังจะนั่งเรือหนีไปพร้อมกับบอดี้การ์ดจำนวนหนึ่ง ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม ก่อนจะยกปืนขึ้นเล็งไปยังร่างของเหยื่อผู้โชคร้ายอย่างไม่ลังเล
เสียงกระสุนที่วิ่งออกจากรังเพลิงดังอย่างต่อเนื่อง ร่างของบอดี้การ์ดที่ไม่ทันได้ตั้งตัวถูกยิงเข้าที่จุดตายด้วยความแม่นยำ พวกเขาล้มลงราวกับกิ่งไม้ที่ไร้น้ำหนัก ภาพที่เกิดขึ้นสร้างความตกตะลึงให้กับกงเจ๋อตวนเป็นอย่างมาก
“นี่แกกำลังทำอะไร!!!”
“กำจัดคนที่ไม่จำเป็นครับ”
เจิ้งหยุนก้าวผ่านกองศพด้วยสีหน้าเฉยชา ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามานั่งในเรือของกงเจ๋อตวนที่กำลังยกปืนขึ้นป้องกันตัว ชายหนุ่มส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“วางปืนลงครับ ผมเป็นพวกเดียวกับคุณไม่ใช่หรือ”
กงเจ๋อตวนมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ แต่เพียงพริบตาต่อมา เจ้าของเรือก็ต้องร้องลั่น เมื่อปืนของเจิ้งหยุนยิงเข้าที่มือของเขาจนอาวุธที่กำลังถืออยู่หลุดออกจากมือ
“โอ๊ย!”
“ผมไม่ชอบให้ใครหันปืนใส่ มันเสียมารยาทนะครับ”
“ก...นี่แก! แกต้องการอะไร!”
“ผมก็จะพาคุณออกไปจากเรือที่กำลังจะจมอย่างไรล่ะครับ”
เจิ้งหยุนหันไปควบคุมเรือให้แล่นพ้นจากอาณาเขตที่เรือใหญ่กำลังจะจม กงเจ๋อตวนมองคนตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก จากมังกรผงาดไม่เกรงผู้ใดกลับกลายเป็นแค่งูใหญ่ที่ระแวงภัยรอบกาย
กงเจ๋อตวนฉวยปืนมาถือไว้อีกครั้งด้วยมือที่สั่นเทา ถึงแม้เลือดจะไหลและเจ็บปวดแค่ไหน แต่เขาก็ต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน สัตว์ร้ายที่เคยคิดว่าควบคุมได้ ตอนนี้ได้แว้งกัดเขาแล้ว ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อก็ยากจะคาดเดา
“แล้วทำไมต้องยิงคนของฉันด้วย!”
“เรือลำเล็กแค่นี้ คนเยอะแล้วเรือจมขึ้นมาจะทำอย่างไรครับ การพาคุณออกมาอย่างปลอดภัยสำคัญกว่า”
กงเจ๋อตวนไม่ได้เชื่อในเหตุผลที่กล่าวอ้าง แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากรับฟังด้วยใจที่หวาดระแวง ตราบใดที่ยังไม่ถึงคฤหาสน์อย่างปลอดภัยก็วางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่เวลานี้จำเป็นต้องตามน้ำอีกฝ่ายไปก่อน
“คุณจัดการไอ้ตำรวจนั่นแล้วหรือ”
“ครับ เรียบร้อยแล้ว เลยมาหาคุณต่อ”
เจิ้งหยุนบังคับเรือให้วิ่งห่างออกมาระยะหนึ่ง จนเรือสำราญที่เกิดเหตุเป็นเพียงวัตถุบางอย่างที่ไม่อาจระบุได้ กงเจ๋อตวนมองความเลวร้ายที่เกิดขึ้น แล้วตวัดสายตามองเรือลำหนึ่งที่กำลังวิ่งเข้ามาหา
“มีคนกำลังมา” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เจิ้งหยุน
มองตาม แล้วส่งยิ้มให้เพื่อนร่วมเดินทาง
“นั่นคนของผมเองครับ มารับช่วงต่อ”
กงเจ๋อตวนเหลือบมองเจิ้งหยุนเล็กน้อย เมื่อเรืออีกลำวิ่งเข้ามาใกล้ นัยน์ตาเรียวเจ้าเล่ห์ก็เบิกกว้างขึ้น เพราะมีคนที่คาดไม่ถึงโดยสารอยู่บนเรือลำนั้นด้วย
“ฉันรอแกอยู่นานเลย”
เส้าเหิง!
เสียงเหี้ยมจากผู้มาเยือน ทำให้กงเจ๋อตวนต้องหันไปมองเจิ้งหยุน
อย่างตกใจ ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินเข้าไปในเรืออีกลำ
“เจิ้งหยุน! นี่แก!!!” กงเจ๋อตวนตวาดลั่น แต่บุรุษที่ถูกต่อว่าทำเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเท่านั้น
“ผมกับคุณเส้ามีข้อตกลงด้วยกันนิดหน่อย” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น แล้ววาดยิ้มบนใบหน้า “เขายอมแลกกิจการทั้งหมดที่มีเพื่อให้ได้พบกับคุณเลยนะ เป็นคนที่ทุ่มเทจริงๆ”
“ไอ้สารเลว! แก!” กงเจ๋อตวนคำรามลั่นพร้อมกับยกปืนขึ้นด้วยมือที่เปื้อนเลือดเพื่อกำจัดคนที่ทรยศตัวเองจนได้ ทว่าความตั้งใจนั้นก็ถูกขัดขวาง เพราะฝ่าเท้าของเจิ้งหยุนอัดใส่ใบหน้าของเขาเต็มแรงจนล้มหงายหลัง ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบปืนที่หันใส่ตัวเองโยนลงทะเลให้หมดเรื่องหมดราว
เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างรำคาญ การที่ปล่อยให้กงเจ๋อตวนมาหาเส้าเหิงอย่างมีลมหายใจไม่ใช่เพราะข้อแลกเปลี่ยนที่เคยตกลงกันไว้ หากแต่เป็นสัญญาที่เพิ่งมีให้หวังหยูเฟิงก่อนหน้านี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจัดการอีกฝ่ายด้วยไฟโทสะไปตั้งแต่แรก
“ผมจะจัดการมันต่อเอง” เส้าเหิงที่เพิ่งเดินขึ้นมาบนเรือเอ่ยขึ้น เขามองกงเจ๋อตวนด้วยสายตาเคียดแค้น
“ตามสบาย” เจิ้งหยุนเอ่ยลาพร้อมกับขึ้นไปบนเรืออีกลำ ก่อนที่เขาจะหันไปสั่งลูกน้องที่ทำหน้าที่ขับเรือ “ไปได้แล้ว”
จูเฉิงพยักหน้ารับ แล้วบังคับเรือให้ออกห่างจากจุดเดิม ทิ้งให้เส้าเหิงและกงเจ๋อตวนอยู่กันตามลำพัง
บนเรือลำเล็กที่ลอยกลางทะเล นักธุรกิจใหญ่ทั้งสองคนเผชิญหน้าด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน เส้าเหิงมองสภาพของกงเจ๋อตวนด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ฉีฉีคงรอแกอยู่” เส้าเหิงเอ่ยขึ้น ก่อนจะยกปืนจ่อหัวของอีกฝ่าย “ถึงแกจะไม่ทรมานนัก แต่ฉันจะให้แกได้รับสิ่งที่ทำไม่ต่างจากลูกของฉัน”
“อย่า!...”
กงเจ๋อตวนไม่ทันได้เจรจา เส้าเหิงก็เหนี่ยวไกปืน ก่อนจะยิงเข้าที่ร่างของผู้มีอิทธิพลใหญ่ของเมืองแบบไม่ยั้งจนนับไม่ถ้วน แรงกระสุนที่เจาะเนื้อ ทำให้เลือดสาดกระเด็น แต่ใบหน้าของผู้ลงมือกลับมีรอยยิ้มกว้างด้วยความบันเทิงใจ
เส้าเหิงมองร่างที่แน่นิ่งครู่หนึ่ง แล้วกระทืบร่างไร้วิญญาณพร้อมกับหัวเราะลั่นด้วยความสะใจ หลังจากได้ปลดปล่อยห้วงอารมณ์ที่กักเก็บเอาไว้จนหมด เขาก็ลากคนบาปที่พรากบุตรสาวของตัวเองอย่างโหดเหี้ยมลงไปในทะเล ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ฉีฉี พ่อล้างแค้นให้ลูกได้แล้วนะ”
ท้องทะเลยังคงไหลไปตามคลื่นลม มีเพียงเรือลำเล็กและผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่เพียงลำพัง เส้าเหิงมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่เริ่มมืดลง ก่อนจะยกปืนในมือขึ้นจ่อที่ขมับของตัวเอง แล้วตัดสินใจลั่นไกอีกครั้ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตกอยู่ในสายตาสองคู่ที่มองอยู่ในระยะไกล เสียงปืนนัดสุดท้ายจบลงพร้อมกับความเงียบสงบ จูเฉิงที่มองอยู่นานก็ขมวดคิ้วขึ้น
“แล้วทำไมต้องฆ่าตัวตายด้วย”
เจิ้งหยุนที่นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร นัยน์ตาคมมองเรือที่ไร้สิ่งมีชีวิตอย่างเฉยชา
“หึ! แค่คนอ่อนแอที่คิดน้อย อย่าไปสนใจเลย”
เมื่อหลายวันก่อนเจิ้งหยุนได้รับงานจากเจิ้งเทียนให้ช่วยทำความปรารถนาของเส้าเหิงให้เป็นจริง แน่นอนว่านี่ไม่ใช่งานการกุศล
ชีวิตย่อมต้องแลกด้วยชีวิต
ในกรณีของเส้าเหิงที่ต้องการแก้แค้นให้ลูกสาวที่เสียชีวิต สิ่งแลกเปลี่ยนก็คือชีวิตในฐานะของนักธุรกิจ ความช่วยเหลือครั้งนี้จึงแลกกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดของอีกฝ่ายเป็นค่าตอบแทน ส่วนเรื่องการฆ่าตัวตายนั้นไม่เกี่ยวกับเขา
“นายครับ แล้วที่เรือเป็นอย่างไรบ้าง” จูเฉิงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง เขามองไปยังต้นเหตุที่เป็นเพียงจุดเล็กที่มีกลุ่มควันลอยในทะเล
“ไม่รู้สิ แต่คงไม่มีอะไร” เจิ้งหยุนตอบไปตามเรื่อง ก่อนจะมองตามลูกน้องอย่างนิ่งเฉย ถึงแม้ในใจจะเริ่มห่วงใครคนหนึ่งแล้วก็ตาม แต่เขาก็เตรียมการรองรับไว้หมดแล้ว
ตำรวจที่เข้ามาช่วยเหลือคงจะทำอะไรได้บ้าง เพราะถ้าไม่ได้เรื่อง...รายต่อไปที่ต้องพินาศคงเป็นสถานีตำรวจ
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เรือสำราญของกงเจ๋อตวนกำลังล่ม ทว่าแขกหลายคนก็ถูกช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจนปลอดภัยแล้ว อีกด้านหนึ่งของเรือที่ใกล้พังทลายกลับมีผู้ชายสองคนที่กำลังต่อสู้กันราวกับไม่รู้สถานการณ์ อู่หนิงกับอินเสี้ยวตงผลัดกันรุกและรับ ก่อนที่พวกเขาจะยิงกระสุนนัดสุดท้ายของตัวเองออกไป
เมื่ออาวุธไม่สามารถใช้งานได้อีก ชายหนุ่มทั้งสองคนจึงเข้าปะทะกันด้วยศิลปะการต่อสู้แบบประชิดตัว คงเพราะจบมาจากสำนักตระกูลหม่าเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะออกกระบวนท่าไหนต่างก็ตั้งรับและโจมตีได้อย่างสูสี
“นี่มันไม่ใช่เวลามาทำแบบนี้เลย” อู่หนิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาหวดหมัดใส่ใบหน้าของอินเสี้ยวตงที่หลบได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะถูกคู่ต่อสู้โต้กลับด้วยการเตะที่หน้าแข้งจนเสียการทรงตัวชั่วขณะ
“ฉันจะจัดการนาย แล้วไปจัดการเจ้านายของนายต่อ” อินเสี้ยวตงเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน ชายหนุ่มหมายจะจับอู่หนิงทุ่มให้หมดทางสู้ แต่อีกฝ่ายก็ตวัดขาสกัดกระบวนท่าของเขาเอาไว้ ฝ่ายที่ตกเป็นรองในทีแรกขึ้นคร่อมร่างที่เสียหลักอย่างรวดเร็ว
“ไอ้ปัญญาอ่อนเอ๊ย!” อู่หนิงคำรามลั่น เขาง้างหมัดเข้าใส่คู่ต่อสู้อีกครั้ง ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นโครงสร้างบางส่วนกำลังโค่นลงมา ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงรีบหลบพร้อมกับลากร่างที่อยู่เบื้องล่างให้รอดพ้นวิกฤตด้วย
โครม!
อินเสี้ยวตงหันไปมอง เขาเบิกตากว้างเล็กน้อย เมื่อเห็นสถานที่ต่อสู้กำลังถล่ม เรือสำราญดิ่งลงเพราะน้ำหนักของน้ำทะเลที่เข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
“ช่วยฉันทำไม!” อินเสี้ยวตงเอ่ยถามอย่างข้องใจ เมื่อเห็นอู่หนิงโยนเสื้อชูชีพมาให้
“ก็ไม่ได้อยากฆ่าใครนี่หว่า แล้วก็ยังไม่อยากตายตอนนี้ด้วย” อู่หนิงตอบ ก่อนจะกระโดดลงทะเลไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้สนใจคู่ต่อสู้ที่ได้แต่มองอย่างงุนงง
อินเสี้ยวตงชะงักเพียงชั่วอึดใจ เขาก็รีบสวมเสื้อชูชีพ แล้วกระโจนลงทะเลไปอีกคน หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาทีโครงสร้างของเรือก็พังทลาย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังต่อสู้และล่อล่วงเหยื่อของตัวเอง หลีซิงเดินไปหาเป้าหมาย ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วยระงับเหตุ และพาคนส่วนใหญ่ทยอยขึ้นเรือของทางการ
“ไม่ต้องดันกันครับ! ทุกคนจะปลอดภัย!”
เสียงของตำรวจและทหารเรือเข้ามาควบคุมสถานการณ์ หลีซิงเดิน
กลมกลืนไปกับกลุ่มคนจนเข้าใกล้หวังหยูเฟิงได้สำเร็จ อีกฝ่ายคงไม่ทันได้สังเกต เพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มสืบเท้าเข้าไปใกล้พร้อมกับเหยียดยิ้ม
ในเมื่อไม่สามารถทำร้ายหัวใจของตัวเองได้ เขาก็จะทำลายหัวใจของเจิ้งหยุนเป็นการล้างแค้นก็แล้วกัน!
หลังจากที่ตัดสินใจแน่วแน่ หลีซิงก็ล้วงปืนพกที่ติดตัวมาหมายจะลอบยิงศัตรูในช่วงชุลมุน วัตถุสีเงินถูกอำพรางด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น นัยน์ตาหวานจ้องมองเหยื่อที่ยังชะล่าใจนิ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปประชิดแล้วลั่นไกอย่างไม่ลังเล
ปัง!
เสียงปืนที่ดังขึ้น สร้างความตื่นตกใจให้แก่ทุกคน หวังหยูเฟิงเบิกตากว้าง เขาใช้สัญชาตญาณที่มีไหวตัวทัน แต่ด้วยขอบเขตที่มีพื้นที่จำกัดและร่างกายที่บอบช้ำ ทำให้ลูกกระสุนเจาะเข้าที่สีข้างของตัวเอง
ในช่วงเสี้ยววินาทีต่อมา หวังหยูเฟิงก็เตะปืนในมือของหลีซิงที่กำลังจะลงมือซ้ำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโจนเข้าใส่เด็กหนุ่มจนล้มลง โดยไม่ได้สนใจสภาพร่างกายและความเจ็บปวดที่ได้รับ
หลีซิงไม่ยอมแพ้ เขาใช้เข่ากระแทกใส่หวังหยูเฟิงที่คร่อมตัวเองไว้ให้ถอยห่าง แล้วใช้กำปั้นอัดใส่อีกฝ่ายทันที โดยไม่สนใจสิ่งรอบตัว ผู้กองหนุ่มรีบคว้าหมัดที่จะทำร้ายตัวเองเอาไว้ แล้วกัดฟันใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเหวี่ยงเด็กหนุ่มไปอีกทาง
การต่อสู้ผ่านไปไม่ถึงสามนาที เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาจับกุมหลีซิงเอาไว้ เด็กหนุ่มพยายามขัดขืนทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าไม่มีประโยชน์ นัยน์ตาเรียวสวยจ้องหวังหยูเฟิงอย่างเคียดแค้น เขาใช้กำลังใจที่มีดิ้นหลุดจากเงื้อมมือของตำรวจที่เข้ามาควบคุม แล้ววิ่งเต็มฝีเท้าผลักศัตรูหัวใจที่กำลังจะถูกนำตัวไปปฐมพยาบาลตกเรือไปพร้อมกัน ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์
ตู้ม!
หลีซิงมองสีหน้าตกใจของหวังหยูเฟิงอย่างยินดี ถ้าหากเขาจะต้องตาย ก็จะพาอีกฝ่ายจมลงใต้ท้องทะเลไปด้วยกัน ทว่าความตั้งใจของเด็กหนุ่มก็ไม่สมหวัง เพราะนอกจากผู้กองหวังจะไม่ยอมทิ้งชีวิตง่ายๆ แล้ว พวกเขาก็กำลังถูกเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ
ในช่วงวินาทีชีวิตที่เรือสำราญกำลังพังทลายและจมลงได้สร้างน้ำวนและคลื่นลูกใหญ่เข้าใส่ ราวกับสวรรค์ต้องการทดสอบมนุษย์ การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจและทหารจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก
แรงของทะเลและกระแสน้ำที่รุนแรง ทำให้หลีซิงเผลอคลายมือจนปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ เขาตั้งใจจะคว้านายตำรวจเอาไว้อีกครั้ง แต่คลื่นที่แปรปรวนยากจะควบคุมก็ขัดขวางเอาไว้
หวังหยูเฟิงพยายามพาร่างกายที่บาดเจ็บจนแทบทนไม่ไหวว่ายขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อสูดออกซิเจน ในช่วงที่แรงใจไม่สามารถประคับประคองร่างกายได้อีก เขาก็ได้ถูกช่วยเหลือเอาไว้
“ผู้กองหวังอดทนไว้นะครับ!”
“อู่หนิง ช่วยเขาด้วย”
อู่หนิงขมวดคิ้ว ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ก็ยกมือส่งสัญญาณให้ลูกน้องทำตามคำสั่งของหวังหยูเฟิง โชคดีที่ฟ้ายังเมตตาให้เขากระโดดลงน้ำใกล้กับจุดเกิดเหตุ เพราะถ้าหากผู้กองหวังได้รับอันตรายถึงชีวิต พวกเขาทั้งหมดคงได้ตกเป็นเครื่องสังเวยในงานละเลงเลือดของเจ้านายแน่นอน
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เหตุการณ์เรือสำราญระเบิดของกงเจ๋อตวนเป็นข่าวดัง มีผู้รอดชีวิตบางส่วน และเจ้าของงานเลี้ยงที่หายสาปสูญในทีแรก ก็มาพบในสภาพที่เป็นศพในหลายวันต่อมา ร่างกายบวมอืดเต็มไปด้วยกระสุนปืน รวมไปถึงนักธุรกิจใหญ่อย่างเส้าเหิงที่อยู่ในเรือกลางทะเล ทางตำรวจได้สันนิษฐานเบื้องต้นว่า สาเหตุการเสียชีวิตของบุคคลทั้งสองอาจมาจากคดีของเส้าซินฉีที่มีมูลเหตุกันก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็นำเสนอกับสื่อในเชิงความขัดแย้งทางธุรกิจ
ต่อมาตำรวจได้ตรวจจับของผิดกฎหมายและช่วยเหลือหญิงสาวจำนวนหนึ่งที่ถูกหลอกมาขายได้สำเร็จ ก่อนที่ภายหลังจะขยายสำนวนคดีและสามารถเอาผิดกับกงเจ๋อตวนได้ทั้งหมด ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม
ในขณะที่ทุกสื่อกำลังขุดคุ้ยเรื่องราวของอดีตนักธุรกิจที่มีอิทธิพลรายใหญ่ ภายในห้องผู้ป่วยวีไอพีของโรงพยาบาลที่ดีที่สุดของเมือง มีร่างของชายหนุ่มที่นอนยังไม่ได้สติอยู่
เจิ้งหยุนมองคนที่นอนหลับอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ได้ยินจากลูกน้อง เดิมทีคนรักของเขาก็สภาพย่ำแย่มากพออยู่แล้ว คราวนี้มาโดนยิงซ้ำอีก โชคยังดีที่ไม่ได้โดนจุดสำคัญ
หวังหยูเฟิงหลับมาสองคืนแล้วหลังจากวันเกิดเหตุ ร่างกายที่ทำงานอย่างหนักคงถือโอกาสพักผ่อนจนไม่ได้สนใจความรู้สึกของคนที่นั่งรอข้ามวันข้ามคืน นัยน์ตาคมทอดมองคนป่วยที่ยังไม่รู้สึกตัว ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองอู่หนิงที่ยืนอยู่ไม่ห่าง
“ไปตามหมอมา”
“ครับนาย”
เจิ้งหยุนนั่งกอดอกรอ จนกระทั่งมีหมอและพยาบาลเข้ามาในห้องผู้ป่วยตามคำสั่งของเขา ชายหนุ่มผมยาวเลื่อนสายตามองอีกฝ่ายอย่างกดดัน
“เมื่อไรเขาจะฟื้น”
น้ำเสียงเยียบเย็น ทำให้นายแพทย์ที่เข้าวัยกลางคนเต็มตัวรู้สึกวิตก ถึงจะไม่ได้ดำเนินชีวิตเกี่ยวข้องกับแวดวงอันตราย แต่ชื่อเสียงที่เกี่ยวกับตระกูลของชายหนุ่มก็สร้างความยำเกรงได้ไม่น้อย
“ไม่เกินพรุ่งนี้ครับ”
“แล้วถ้าพรุ่งนี้ไม่ฟื้น?”
“เอ่อ...”
ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็ลอบมองกันอย่างกังวล เจิ้งหยุนจ้องเขม็งอย่างข่มขู่ ก่อนบรรยากาศอึดอัดจะคลายลงด้วยเสียงของอู่หนิง
“คุณหวังเหมือนจะฟื้นแล้วนะครับ”
เจิ้งหยุนหันไปมองในทันที ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา เมื่อเปลือกตาของคนที่นอนหลับยาวจนน่าเป็นห่วงจะเปิดขึ้นทีละน้อย
“หยูเฟิง”
เสียงเรียกอ่อนหวานผิดจากเมื่อครู่นี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึก
โล่งอกทันตา หวังหยูเฟิงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวในตอนแรกหันใบหน้าไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง ริมฝีปากที่แห้งผากเผยอขึ้นเล็กน้อย
“เจิ้ง...หยุน”
เจิ้งหยุนส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันไปมองหมอและพยาบาลด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับเอ่ยเสียงเข้มอย่างผู้ที่มีอำนาจ
“ตรวจสิ มัวยืนเฉยกันทำไม”
“ค..ครับ”
หมอและพยาบาลต่างก็เข้ามาตรวจดูอาการของคนป่วยอย่างร้อนรน เจิ้งหยุนยอมลุกจากเก้าอี้นุ่มพิเศษที่ใช้เฝ้าคนรักมาหลายชั่วโมง แล้วเอ่ยสั่งลูกน้องอีกครั้ง
“ติดต่อเพื่อนของหยูเฟิง”
“ครับ”
อู่หนิงโค้งรับคำสั่ง แล้วเดินออกจากห้องพัก โดยที่ปล่อยให้นายแพทย์และพยาบาลอยู่รับแรงกดดันของเจ้านายต่อไป เขารีบโทรศัพท์แจ้งข่าวของหวังหยูเฟิงให้เพื่อนสนิทของผู้กองหนุ่มทราบ
ก่อนหน้านี้เจิ้งหยุนยืนยันเด็ดขาดว่า จะไม่ให้ใครเข้าเยี่ยมหวังหยูเฟิงทั้งนั้น แล้วรับปากกับทุกคนที่ห่วงใยผู้กองหวังว่า ถ้าหากอีกฝ่ายฟื้นเมื่อไรจะติดต่อไปเอง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“เมื่อไรจะออก” เจิ้งหยุนหันไปถามหมอที่เพิ่งแจ้งรายละเอียดสภาพร่างกายของคนป่วย
“ผมขอดูอาการอีกสักหนึ่งอาทิตย์ก่อนนะครับ” นายแพทย์แจ้งเสียงสั่น เจิ้งหยุนก็ขมวดคิ้วออกมา
“ออกไปได้แล้ว”
สิ้นคำพูดของชายหนุ่ม แพทย์และพยาบาลต่างก็แทบจะวิ่งออกจากห้องผู้ป่วยวีไอพี หวังหยูเฟิงที่มองเหตุการณ์ข่มขู่ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ
“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเรียก เขารู้สึกระบมไปทั้งตัว แต่ก็มีแรงพูดคุยได้
“ครับ” เจิ้งหยุนตอบรับพร้อมกับเดินกลับเข้ามานั่งข้างเตียงอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “หน้าคุณซีดมากเลย”
“ก็ผมไม่สบาย” หวังหยูเฟิงตอบไปตามเรื่องเขามองคนรักอย่างจริงจัง “แล้วกงเจ๋อตวนเป็นอย่างไรบ้าง จับเขาได้ไหม”
“จับได้ครับ” เจิ้งหยุนตอบ แล้วยกยิ้มออกมา “เจอลอยเป็นศพในทะเล”
“ฝีมือของคุณหรือ!” หวังหยูเฟิงรีบถามด้วยความตกใจ ก่อนจะจับท้องของตัวเองที่เผลอขยับแรงมากเกินไป
“ไม่ใช่ครับ เส้าเหิงเป็นคนฆ่าเขา” เจิ้งหยุนตอบคำถาม ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้ผู้กองหนุ่มอีกครั้ง นัยน์ตาคมสบสายตาสีนิลสวย “ผมไม่ผิดสัญญากับคุณหรอก”
“เส้าเหิง? เขาก็ขึ้นเรือมาด้วยหรือ”
“ไม่รู้สิครับ”
หวังหยูเฟิงมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างจับผิด นึกไม่ถึงเลยว่าผู้มีอิทธิพลใหญ่ของเมืองนี้จะถูกจับตายด้วยฝีมือของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกแล้ว
“แล้วตอนนี้เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็ทั่วไป ไม่มีอะไรน่าสนใจ”
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ เขาก็พอจะคาดเดาเรื่องราวหลังจากนี้ได้ ตำรวจจะยึดทรัพย์สินทั้งหมด แล้วดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
“คุณจำสัญญาของเราได้ไหม”
คำถามของเจิ้งหยุน ทำให้ผู้กองหวังที่กำลังอยู่ในภวังต์ของความคิดหันไปมองอย่างสงสัย แล้วปั้นหน้ายาก เมื่อได้ยินคำอธิบาย
“ถ้าจบเรื่องของกงเจ๋อตวน คุณจะย้ายไปอยู่กับผม”
“ที่นั่นมันไกลจากที่ทำงานของผม”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำแล้ว งานอะไรก็ไม่รู้ มีแต่ทำให้คนเป็นห่วง”
คำบ่นของเจิ้งหยุน ทำให้หวังหยูเฟิงหัวเราะออกมาเบาๆ ชายหนุ่มผมยาวมองใบหน้าแต้มรอยยิ้มของคนรักอย่างพอใจ
“ผมไม่เคยเห็นคุณหัวเราะเลย”
“ผมหัวเราะแล้วทำไม”
“ก็ไม่ทำไม คุณจะแสดงสีหน้าแบบไหน ผมก็ชอบทั้งนั้น”
“โรคจิตจริงๆ ด้วย”
“อย่าชวนผมคุยเรื่องอื่นสิ ตกลงคุณต้องไปอยู่กับผมนะครับ”
เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างเว้าวอน หวังหยูเฟิงที่ไม่เคยทนต่อสายตาของคนรักก็ได้แต่เลื่อนไปมองทางอื่นแทน อันที่จริงแล้วเขาก็คิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวของตัวเองหลังจากนี้เอาไว้แล้วเช่นเดียวกัน
“เอาแต่ใจ”
เจิ้งหยุนไม่ได้โต้ตอบถ้อยคำต่อว่า เขาหมุนคางของหวังหยูเฟิงให้หันมา ก่อนจะแนบริมฝีปากลงบนเรียวปากแห้งผากที่ภายในยังคงหวานฉ่ำราวกับผลไม้สดเป็นการตอบรับ
สัมผัสที่เกิดขึ้นดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน ชายหนุ่มที่เคยนั่งบนเก้าอี้ก็ขยับขึ้นมาอยู่บนเตียงเพื่อส่งต่อความรู้สึกที่มีให้คนรักได้มากขึ้น
บุรุษทั้งสองคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงรักไม่ได้สังเกตสิ่งรอบตัวแม้แต่น้อย ภาพการพลอดรักจึงตกอยู่ในสายตาของฟ่านมู่เหยียนและแฟนสาวเข้าอย่างจัง
นายตำรวจที่กำลังจะเป็นว่าที่เจ้าบ่าวในอีกสองเดือนข้างหน้ามีสีหน้าตกตะลึง ก่อนที่ถังเสี่ยวโหยวจะรีบดึงแฟนหนุ่มให้ออกมาจากห้องผู้ป่วยวีไอพีด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“รอสักพักก่อน พวกเราค่อยเข้าไปแล้วกันนะ” ถังเสี่ยวโหยวหันไปมองแฟนหนุ่ม ซึ่งฟ่านมู่เหยียนก็พยักหน้ารับ แล้วตวัดสายตาไปมองคนสนิทของเจิ้งหยุนที่ยืนทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวที่อยู่ถัดออกไป
“นี่เจ้านายของคุณกับเพื่อนของผม…” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อกับความจริงที่เพิ่งค้นพบ เขามองบอดี้การ์ดหนุ่มอย่างไม่มั่นใจ
“ยังต้องให้ผมพูดอะไรอีกหรือ” อู่หนิงเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับมองคู่สนทนาที่แสดงสีหน้าสับสนอย่างเฉยชา
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากที่ฟ่านมู่เหยียนและถังเสี่ยวโหยวเข้ามาเยี่ยมหวังหยูเฟิงในห้อง เจิ้งหยุนก็ขอตัวออกมาทำธุระเล็กน้อย เขาเดินทางมายังเรือนจำในช่วงเวลาบ่ายแก่
เมื่อเจิ้งหยุนเข้าไปพูดคุยและจัดการเรื่องราวทั้งหมดกับเจ้าหน้าที่เสร็จสิ้น ตำรวจก็พาเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา ก่อนที่พวกเขาจะก้าวเท้าออกจากสถานที่ราชการมาด้วยกัน
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“สบายดีครับ”
เจิ้งหยุนมองเด็กหนุ่มที่เดินก้มหน้าหมดมาดอดีตคุณชายที่เย่อหยิ่ง ก่อนจะส่งคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นให้คนที่เอาแต่มองพื้นดินต้องเงยหน้าขึ้น
“อยากแก้แค้นฉันหรือเปล่า”
หลีซิงเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับมองชายที่ตัวเองรักด้วยสายตาโศกเศร้า ความจริงที่แสนโหดร้ายทำลายหัวใจของเขาจนเป็นแผลฉกรรจ์ คงไม่มียาใดสมานบาดแผลอันน่าสมเพชนี้ได้
หลีซิงมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว อิสระที่เจิ้งหยุนมอบให้กำลังทดสอบเขา
จะแลกทุกสิ่งเพื่อความแค้นหรือจะลืมทุกอย่างเพื่อลมหายใจของตัวเอง
“ผม…จะเริ่มต้นชีวิตใหม่” หลีซิงเอ่ยเสียงเบา เขาก้มหน้าลงต่ำด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้าใส่จนไม่อาจอดกลั้นหยดน้ำตาที่กำลังร่วงหล่น
น้ำตาที่ทดแทนความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อผู้ชายที่เขารัก
“จำเอาไว้ เมื่อไรที่นายยกปืนเข้าหาใคร ก็ต้องเตรียมใจที่จะรับลูกกระสุนของอีกฝ่ายด้วย”
“ครับ…”
หลีซิงเข้าใจความหมายทันที คำเตือนนั้นกำลังส่งความนัยเชิงท้าทายและข่มขู่มาให้ ถ้าหากเขาคิดจะล้างแค้นต่อก็ย่อมได้ แต่ผลของการตัดสินใจก็หนักหนา เพราะกระสุนปืนของเจิ้งหยุนหมายปลิดชีพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เจิ้งหยุนมองหลีซิงเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากมาอย่างไม่สนใจเด็กหนุ่มอีก ความช่วยเหลือครั้งนี้แทนคำขอโทษของเขาทั้งหมด หลังจากนี้ถ้าอีกฝ่ายจะเป็นมิตรก็ไม่รังเกียจ หรือหากเป็นศัตรูก็จะไม่มีการละเว้นอีก
หลีซิงมองรถยนต์คันใหญ่ที่เคลื่อนที่ห่างไปจนลับสายตา ก่อนที่เขาจะก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปตามทางเท้าแล้วหยุดนิ่ง เมื่อมีใครคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดเทียบ
“หลีซิงขึ้นมาสิ”
“เสี้ยวตง!”
หลีซิงมองอินเสี้ยวตงอย่างยินดี เขายิ้มกว้างพร้อมกับเข้าไปนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ทะยานไปบนถนนอย่างรวดเร็ว
“ฉันดีใจนะที่นายปลอดภัย แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร” หลีซิงเอ่ยถามพร้อมกับเกาะเอวของคนขับเอาไว้แน่น
“ฉันตามเจ้านั่นมา” อินเสี้ยวตงตอบ เดิมทีเขาแค่ต้องการมาเจรจาเกี่ยวกับบุญคุณที่ศัตรูมอบให้ก่อนหน้านี้ แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอหลีซิงเสียก่อน “แล้วนายจะเอาอย่างไรต่อ”
“อยากกลับสำนักไปฝึกตัวเองใหม่อีกครั้ง” หลีซิงเอ่ยตอบ หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดสักพัก นอกจากจะได้เพิ่มทักษะการต่อสู้แล้ว เด็กหนุ่มก็หวังว่าจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งขึ้น
TBC ++++++++ 26ยามอาทิตย์อัสดง
Marionetta ดีค่ะ มาถึงจุดสุดท้ายที่ยังไม่ท้ายสุด แต่ละคนก็เป็นไปตามแนวทางและผลของการกระทำของตัวเอง ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ค่ะ ตอนหน้าจบแล้วนะ >0<
ปล. หลีซิงผู้รอดชีวิต 555
-
:hao5: :hao5:
-
26
ยามอาทิตย์อัสดง
ฟ่านมู่เหยียนนึกอยากจะถามหวังหยูเฟิงถึงเรื่องของเจิ้งหยุนใจจะขาด แต่เพราะสายตาปรามของแฟนสาว เขาจึงทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับภาพน่าอายของเพื่อนสนิท
“เป็นอะไรหรือเปลา” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามเพื่อนอย่างสงสัย เพราะตอนนี้ใบหน้าของผู้กองฟ่านหมือนอดกลั้นอะไรบางอย่างอยู่
“เปล่า แล้วเป็นอย่างไรบ้าง”
“ก็โอเค เห็นหมอว่าพักดูอาการอีกอาทิตย์”
“เอ่อ...พวกเราออกภาคสนามทีไร ก็ต้องได้นอนโรงพยาบาลตลอด แย่ชะมัด”
“มันช่วยไม่ได้นี่ แต่ไม่มีใครเป็นอะไรร้ายแรงใช่ไหม”
ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว นอกจากเขาจะทำงานไม่สำเร็จแล้ว ก็มีผู้ไม่เกี่ยวข้องมากมายที่ได้รับผลกระทบ ถึงแม้สาเหตุหลักจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะมาจากอุบัติเหตุก็ตาม
“อืม เข้าไปช่วยได้ทันเกือบทั้งหมด” ฟ่านมู่เหยียนบอก แล้วเอ่ยแซวเพื่อน “รีบหาย แล้วไปสะสางงานที่ค้างของตัวเองด้วยล่ะ”
“อืม ฉันต้องหายดีไปทันงานแต่งงานของนายอยู่แล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้เพื่อนสนิท ”เสี่ยวโหยว พี่ขอคุยกับมู่เหยียนตามลำพังหน่อยนะ”
“ได้ค่ะ” ถังเสี่ยวโหยวตอบรับ แล้วเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี
ฟ่านมู่เหยียนมองเพื่อนสนิทอย่างสงสัย เขารู้ว่าหลังจากนี้อีกฝ่ายคงมีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยกับเขาโดยเฉพาะ
“นายมีอะไร” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น หวังหยูเฟิงมองใบหน้าจริงจังของเพื่อน แล้วผ่อนลมหายใจออกมา
“ฉันจะลาออกจากงาน” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคง นัยน์ตาสีดำนิ่งสงบ
“หา! พูดบ้าอะไรเนีย!” ฟ่านมู่เหยียนร้องถามด้วยน้ำเสียงตกใจ เขาขมวดคิ้วมองสีหน้าเรียบเฉยของเพื่อนอย่างจริงจัง ”เกิดอะไรขึ้น”
“ฉันรู้สึกผิดน่ะ” หวังหยูเฟิงอธิบายไปตามตรง เขาตั้งใจเอาไว้นานแล้ว และการตัดสินใจลาออกก็ไม่ได้มาจากเจิ้งหยุน แต่เป็นเพราะความละอายใจกับความผิดของตัวเอง
“รู้สึกผิดเรื่องอะไร เรื่องที่นายชอบผู้ชายหรือ” ฟ่านมู่เหยียนพลั้งปากเอ่ยถึงเรื่องที่ตั้งใจจะเก็บเงียบ ทว่าไม่ทันการเสียแล้ว หวังหยูเฟิงหันขวับไปมองอีกฝ่ายทันที ผู้กองหนุ่มที่เพิ่งรู้สึกตัวเลยปั้นหน้ายากออกมา “เอาน่า ถ้านายจะคบกับผู้ชายก็ไม่เห็นเป็นอะไร มิน่า...ถึงเก็บเงียบ แอบไปกิ๊กกับเจ้านั่นตอนไหนล่ะ ตอนที่ไปอยู่ด้วยกันหรือ”
หลังจากได้หลุดปากไปแล้ว ฟ่านมู่เหยียนก็ไม่อาจหยุดวาจาหยอกล้อกระเซ้าเย้าแหย่เพื่อนสนิทได้ ชายหนุ่มไม่ได้มีปัญหาอะไร ถ้าหากหวังหยูเฟิงมีความสุข เขาก็ยินดี
“มู่เหยียน…”
“โอเค เอาเป็นว่าสบายใจเรื่องนั้นเถอะ ถึงฉันจะไม่ไว้ใจเจ้านั่นเท่าไร แต่ถ้านายเลือกแล้ว ฉันก็เชื่อใจนาย”
มิตรภาพที่แสดงออกมา ทำให้หวังหยูเฟิงซาบซึ้ง ทว่าสาเหตุที่เขาตัดสินใจลาออกไม่ใช่เรื่องแค่นี้ แต่ในเมื่อทุกอย่างถูกชักนำมาแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มก็หาข้ออ้างมาใช้งานได้ในที่สุด
“ฉันตกลงกับเขาไว้ ถ้าเสร็จเรื่องของกงเจ๋อตวนจะใช้ชีวิตอย่างสงบ ไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายอีก” หวังหยูเฟิงเอ่ยไม่เต็มเสียง นอกจากจะไม่ถนัดเรื่องพูดปดกับใคร เขาก็รู้สึกเขินอายอีกด้วย
“พูดเป็นตาแก่วัยเกษียณไปได้” ฟ่านมู่เหยียนว่า แล้วถอนหายใจออกมา “แบบนี้ฉันก็โดนสารวัตรโขกสับอยู่คนเดียวน่ะสิ”
หวังหยูเฟิงอมยิ้มมองใบหน้าเหยเกของเพื่อนสนิท ฟ่านมู่เหยียนหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อบรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายขึ้น
“แล้วถ้าไม่ทำงาน จะทำอะไร คนขยันทำงานไม่มีวันหยุดจะอยู่เฉยได้หรือ”
“อืม ก็คงพักสักระยะ แล้วหางานอื่นทำต่อนั่นแหละ”
หวังหยูเฟิงคิดตามคำพูดของฟ่านมู่เหยียน ถ้าหากเขาไปอยู่เฉยที่คฤหาสน์อย่างเดียวคงไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหารายได้เป็นของตัวเอง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากที่หวังหยูเฟิงพักฟื้นจนหายดี โดยมีเจิ้งหยุนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เขาก็กลับไปทำงานตามปกติ แล้วทำเรื่องขอลาออกจากราชการ ซึ่งข่าวนี้ก็สร้างความตกใจให้ทุกคนในสถานีตำรวจเป็นอย่างมาก
“ผู้กองหวังจะลาออกจริงหรือคะ”
“ตอนนี้เปลี่ยนใจก็ยังทันนะครับ”
“ใช่ค่ะ ลองคิดดูอีกทีนะคะ”
เว่ยเจียวเซินและเหอผิงต่างก็พูดโน้มน้าวหวังหยูเฟิงที่ยังนั่งทำงานต่อไปด้วยท่าทีปกติเหมือนเคย
“ขอบคุณพวกคุณมาก แต่ผมตัดสินใจแล้ว” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น แล้วส่งยิ้มบางให้ลูกน้องทั้งสองคนที่มองตอบกลับมาด้วยสายตาละห้อย
“แต่ว่า...”
เว่ยเจียวเซินกำลังจะหว่านล้อมผู้กองหวังต่อ แต่ฟ่านมู่หยียนที่นั่งฟังมาได้สักพักก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“หมวดเว่ยอย่าไปเซ้าซี้หยูเฟิงเลย มีแฟนรวยแบบนั้น ไม่ได้ทำงานก็ไม่อดตายหรอก”
หวังหยูเฟิงส่งสายตาดุใส่เพื่อนสนิทที่ยิ้มเผล่ เว่ยเจียวเซินและเหอผิงมองกันและกันเล็กน้อย ก่อนจะพร้อมใจกันหันไปทางฟ่านมู่เหยียนที่มีใบหน้ายิ้มกริ่ม
“หมายความว่าอย่างไรคะ”
“นั่นสิครับ ใช่คนที่เคยส่งดอกไม้มาให้ก่อนหน้านี้หรือเปล่า”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้วพร้อมกับมองบุคคลทั้งสามที่กำลังตั้งท่าจะพูดคุยเรื่องราวของเขาอย่างไม่ชอบใจนัก อย่างน้อยก็อย่ามานินทากันต่อหน้าแบบนี้
“นี่พวกคุณ ไปทำงานกันได้แล้ว” หวังหยูเฟิงว่า ฟ่านมู่เหยียนที่กำลังเปิดหัวข้อสนทนาแฉก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้
“เอาล่ะๆ พวกเราอย่าไปรบกวนเวลางานของผู้กองหวังเลย มีอะไรพวกเราไปคุยกันต่อข้างนอกเถอะ” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินนำผู้หมวดทั้งสองออกจากห้องทำงานของเพื่อนสนิท
หวังหยูเฟิงถอนหายใจ ชายหนุ่มไม่ได้มีปัญหา ถ้าหากรสนิยมเรื่องความรักจะถูกเปิดเผย เพราะเรื่องส่วนตัวของเขาก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน นอกจากจะรู้สึกกระดากอายบ้างเท่านั้น
เมื่อเวลาเลิกงานมาถึง หวังหยูเฟิงก็เดินทางกลับที่พักของตัวเอง เขาไขประตูห้องบนอพาร์ตเมนต์ชั้นสี่ แล้วก็รู้สึกแปลกใจที่มีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องก่อนแล้ว
“ไหนบอกว่าจะกลับมาพรุ่งนี้” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามพร้อมกับเดินไปหาน้ำดื่มที่ตู้เย็น โดยที่มีสายตาอีกคู่มองตาม
เจิ้งหยุนวางโทรศัพท์มือถือไว้ที่โต๊ะรับแขก ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดคนรัก แล้วหอมแก้มอย่างรักใคร่ เขาอมยิ้มออกมา เมื่อได้รับสายตาดุที่เจือความเขินอายตอบกลับมา
“ก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นั่นนาน เลยรีบกลับ” เจิ้งหยุนตอบพร้อมกับทอดมองนายตำรวจด้วยสายตาอ่อนหวาน “ผมคิดถึงคุณ”
“อืม” หวังหยูเฟิงตอบรับเสียงเบา ก่อนที่เขาจะเดินหนีอ้อมแขนของคนรักไปนั่งที่โซฟาแทน โดยที่มีเจิ้งหยุนเดินตามมานั่งอยู่ข้างกัน
หลายวันก่อนเจิ้งหยุนได้เดินทางไปคุยธุระกับเจิ้งเทียนเกี่ยวกับเรื่องของกงเจ๋อตวน ซึ่งเป็นตัวหมากหนึ่งที่พวกเขาได้วางแผนกำจัดเพื่อขยายธุรกิจของอีเดน คอร์เปอเรชั่นและยึดตำแหน่งผู้นำทางเศรษฐกิจของเมืองนี้ แน่นอนว่าการล้มผู้มีอิทธิพลใหญ่ทีละคนไม่สามารถใช้วิธีการที่ขาวสะอาดได้
หลังจากเป้าหมายสำเร็จ หน้าที่เปื้อนเลือดของกาเบรียลก็สิ้นสุดลง
ทรัพย์สินทั้งหมดของกงเจ๋อตวนที่ทางการกำลังจะปล่อยประมูลจึงเป็นหน้าที่ของเทพบุตรแห่งอีเดนอย่างเจิ้งเทียนต่อไป ซึ่งเรื่องราวธุรกิจเหล่านี้เจิ้งหยุนไม่ขอยุ่งเกี่ยว
ตอนนี้ภารกิจของครอบครัวจบลงแล้ว เขายังมีภารกิจของหัวใจที่ต้องทำต่อไป
หวังหยูเฟิงต้องย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์และใช้ชีวิตเคียงข้างเขาตลอดไป!
“เมื่อไรคุณจะย้ายไปอยู่กับผมสักที”
คำถามของเจิ้งหยุน ทำให้หวังหยูเฟิงหันไปมองเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะกลับมาสนใจรายการในโทรทัศน์ต่อ
“ก็รอลาออกก่อน”
“พรุ่งนี้ก็ไปลาออก”
“ทำเรื่องลาออกไปแล้ว”
“คืนนี้ก็เก็บของไปอยู่กับผมเลยนะ”
“เจิ้งหยุน”
หวังหยูเฟิงมองเจิ้งหยุนด้วยสายตาระอา หลังจากออกจากโรงพยาบาลและกลับไปจัดการงานที่ค้างคาให้เรียบร้อย อีกฝ่ายก็มีความมานะพยายามในการเร่งให้เขาลาออกจากงานแล้วย้ายไปอยู่ด้วยกันทุกวัน
“รออีกอาทิตย์เดียว” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น เขาทำเรื่องลาออกมาหลายสัปดาห์แล้ว และวันศุกร์หน้าจะเป็นวันสุดท้ายของการทำงานในอาชีพตำรวจ
“ก็ได้ครับ จนกว่าคุณจะย้ายไปอยู่กับผม ผมก็จะอยู่กับคุณที่นี่ไปก่อน” เจิ้งหยุนเอ่ยรับ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือมาเล่มเกมของตัวเองต่อ
หวังหยูเฟิงเหลือบสายตามองเล็กน้อย ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา เขาลุกขึ้นจากโซฟา แล้วเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมมื้อเย็นในวันนี้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ในสถานบันเทิงชื่อดังอย่างผับกาเบรียล บนชั้นสองที่ให้บริการห้องส่วนตัว ตำรวจกลุ่มหนึ่งกำลังสังสรรค์เพื่อเลี้ยงส่งหวังหยูเฟิงที่เพิ่งสิ้นสุดอาชีพตำรวจในวันนี้
“ผมขอดื่มให้ผู้กองหวังครับ” เหอผิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งแก้วเหล้าชนกับหวังหยูเฟิงที่เป็นพระเอกของงานเลี้ยงครั้งนี้
“ขอบคุณ” หวังหยูเฟิงเอ่ยรับ เขายิ้มให้ลูกน้องคนสนิท แล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม
“ดิฉันก็ขอดื่มให้ผู้กองหวังด้วยค่ะ ว่างๆ ก็มาเยี่ยมพวกเราบ้างนะคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้นบ้าง แล้วยกแก้วชนกับหวังหยูเฟิงด้วยอีกคน ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบรับไมตรีนั้นอย่างไม่ลังเล
“แน่นอน” หวังหยูเฟิงตอบรับด้วยรอยยิ้มบางอีกครั้ง แอลกอฮอล์มากมายหลั่งไหลผ่านลำคออย่างต่อเนื่อง
งานสังสรรค์ประสานายตำรวจผ่านไปอย่างชื่นมื่น บางคนที่ดื่มหนักก็เริ่มเมามายไม่ได้สติ ส่วนคนที่คอแข็งหน่อยก็นั่งพูดคุยเรื่องความหลังที่ผ่านมากันอย่างสนุกสนาน ประสบการณ์ของหวังหยูเฟิงในฐานะของตำรวจถูกถ่ายทอดผ่านถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
“เฮ้! นายก็พูดอะไรกับทุกคนหน่อยสิ” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนสนิทเริ่มนั่งเอนตัวไปมาราวกับทิวไผ่ต้องลม หวังหยูเฟิงที่ไม่ถนัดเรื่องงานสังคมวงเหล้าก็พยักหน้ารับและลุกขึ้นยืนตัวตรง
“ผมขอขอบคุณทุกคนที่มาเลี้ยงส่งในวันนี้ ผมดีใจมากที่ได้เป็นตำรวจและได้ทำงานร่วมกับทุกคน ถึงแม้ต่อจากนี้ไปอาชีพของผมจะเปลี่ยนไป แต่จิตวิญญาณของตำรวจจะอยู่กับผมตลอดไป”
หวังหยูเฟิงโค้งคำนับให้กับทุกคน โดยที่มีเสียงปรบมือเป็นการตอบรับ ก่อนที่ชายหนุ่มจะนั่งลงอีกครั้ง แล้วเริ่มรับแก้วเครื่องดื่มจากบรรดาอดีตเพื่อนร่วมอาชีพต่อ
“ขอบคุณ ขอบคุณ” หวังหยูเฟิงเอ่ยรับพัลวัน เขาอมยิ้มและหัวเราะออกมาเล็กน้อยด้วยความสุขและฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
-
บรรดาตำรวจที่ทำงานอย่างตั้งใจ บัดนี้กลับนอนเมาไม่ได้สติกันทั่วหน้า ฟ่านมู่เหยียนที่คอแข็งที่สุดได้แต่มองอย่างอ่อนใจ เขาเริ่มไล่ปลุกแต่ละคนให้กลับบ้านไปพักผ่อน
“ไหวกันไหมเนี่ย” ฟ่านมู่เหยียนบ่น เขาทั้งเรียกทั้งเขย่าเพื่อนร่วมงานที่บางคนก็เหมือนจะได้สติอีกครั้ง แต่บางคนก็หลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ผู้กองฟ่าน พวกเรากลับก่อนนะครับ”
“อืม กลับกันดีๆ ล่ะ”
ฟ่านมู่หยียนพยักหน้ารับ เขาไล่ปลุกแต่ละคนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งประตูห้องพิเศษที่ปิดอยู่เปิดออก ผู้กองหนุ่มหันไปมองแขกเล็กน้อย
เจิ้งหยุนกวาดตามองภายในห้องรอบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะก้าวผ่านเจ้าหน้าที่หลายคนไปยังเป้าหมายของตัวเองโดยไม่สนใจใคร แล้วพยุงร่างของหวังหยูเฟิงเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“ถ้ากลับกันไม่ไหว จะนอนค้างที่นี่ก็ได้ ผมอนุญาต” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนจะพาคนรักที่คอพับคออ่อนหมดสภาพอดีตผู้กองที่แข็งขันเดินออกจากห้อง
“อืม ขอบคุณ” ฟ่านมู่เหยียนตอบรับ แล้วมองเจ้าของผับกาเบรียลที่กำลังพาเพื่อนสนิทของเขาออกจากห้อง “คุณเจิ้ง คุณจริงใจกับหยูเฟิงใช่ไหม”
เจิ้งหยุนหันไปมอง นัยน์ตาคมสีนิลนิ่งเฉย ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มเรียบมั่นคงจะดังขึ้น
“ผมรักหยูเฟิงและผมทำทุกอย่างได้เพื่อเขา”
คำยืนยันนี้ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่า เป็นเรื่องจริงหรือแค่ลมปากเลื่อนลอย นอกจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของที่ตระหนักอยู่ในใจ ฟ่านมู่เหยียนพิจารณาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง เขาปรารถนาให้เพื่อนสนิทได้พบรักแท้จากคนที่จริงใจ ไม่ว่าบุคคลนั่นจะเป็นสตรีหรือบุรุษก็ตาม
“หยูเฟิงเป็นคนดี ฝากดูแลเขาด้วย”
“หึ! นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องมาบอก”
เจิ้งหยุนพาหวังหยูเฟิงออกจากห้อง ฟ่านมู่เหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา แล้วไล่ปลุกคนที่ตกอยู่ในห้วงของน้ำเมาอีกครั้ง
“หยูเฟิงชอบไปได้อย่างไร ปากเสียชะมัด”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“ทำไมพูดกับเพื่อนของผมแบบนั้น”
เสียงของหวังหยูเฟิง ทำให้เจิ้งหยุนที่กำลังพยุงร่างของคนรักต้องหันไปมอง เขาเลิกคิ้วขึ้น แล้วคลี่ยิ้มบาง
“พูดอะไรครับ”
“เสียมารยาท”
หวังหยูเฟิงขมวดคิ้ว เขาเพียงแต่เมาไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ไร้สติสัมปะชัญญะจนไม่รู้เรื่องอะไร บทสนทนาระหว่างเพื่อนสนิทกับคนรักเมื่อครู่นี้จึงได้ยินชัดเจน
“ผมก็พูดไปตามความจริง” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น เขาพาหวังหยูเฟิงเข้ามาที่ห้องพักบนชั้นห้าของผับกาเบรียล “คุณไม่พอใจอะไรหรือ”
“ช่างเถอะ ผมอยากนอนแล้ว” หวังหยูเฟิงตัดบท เขาเถียงสู้ใครไม่เก่งนัก ยิ่งคู่ต่อสู่คือเจิ้งหยุนจอมเอาแต่ใจ ชายหนุ่มก็ยอมยกธงขาวมากกว่าจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
“อาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวผมอาบให้” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นพร้อมกับเริ่มปลดเครื่องแต่งกายของคนรักทันที หวังหยูเฟิงก็ยืนนิ่งไม่ได้ขัดขืนอะไร
“เจิ้งหยุน” หวังหยูเฟิงเอ่ยเรียกบุรุษตรงหน้า เจิ้งหยุนประสานสายตาสีนิลสวยที่แวววาวมากกว่าปกติอย่างตั้งใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำมั่นคงของอดีตนายตำรวจจะดังขึ้น “ผมก็รักคุณ”
ตั้งแต่ที่พวกเขาคบกันฉันท์คนรัก หวังหยูเฟิงก็ไม่เคยเอ่ยคำหวานกับเจิ้งหยุนเลยสักครั้งเพราะความเขินอาย ทว่าตอนนี้ฤทธิ์ของเครื่องดื่มได้เร่งความกล้าให้เขาเปิดเผยความรู้สึกที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจออกมา
ประโยคสั้นๆ ที่ได้ยินมาจากเจิ้งหยุนหลายครั้ง แต่หวังหยูเฟิงไม่เคยเอ่ยออกมาจากปากของตัวเองเสียที
“ครับที่รัก” เจิ้งหยุนตอบรับเสียงหวาน แล้วเลื่อนใบหน้าเข้ามาจูบริมฝีปากของคนรักอย่างนุ่มนวล ก่อนการส่งมอบความรู้สึกของพวกเขาที่มีให้กันผ่านร่างกายจะดำเนินต่อไป
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
“ยินดีต้อนรับครับ คุณหยูเฟิง”
“ขอบคุณครับ”
หวังหยูเฟิงปั้นสีหน้ายาก ชายหนุ่มส่งยิ้มแห้งให้บรรดาคนรับใช้ประจำคฤหาสน์ริมทะเลที่มายืนต้อนรับ โดยที่มีเจิ้งหยุนเดินโอบเอวของเขาอย่างเป็นเจ้าของ
ครั้งก่อนหวังหยูเฟิงมาอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ริมทะเลในฐานะตำรวจที่มีสถานะพิเศษ ทว่าครั้งนี้ชายหนุ่มมาในฐานะคนรักของเจิ้งหยุนอย่างเป็นทางการ คนรับใช้ทั้งหมดจึงพากันแสดงความเคารพและจงรักภักดีด้วยการโค้งคำนับกันอย่างพร้อมเพรียง
งานเลี้ยงต้อนรับสมาชิกคนสำคัญของคฤหาสน์ริมทะเลเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายที่หาดทรายส่วนตัว หวังหยูเฟิงนั่งมองทะเลยามเย็นที่ไกลสุดสายตาอย่างสงบ แสงอาทิตย์อัสดงงดงามย้อมบรรยากาศโดยรอบให้อบอุ่น ก่อนความมืดที่หนาวเย็นจะเข้ามาเยือน
“หยูเฟิง”
หวังหยูเฟิงหันไปมองเจิ้งหยุนที่นั่งเหยียดขาบนพรมไหมราคาแพงอยู่ข้างกัน แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อบาร์บีคิวกลิ่นหอมยื่นมาตรงหน้า
“ผมป้อนนะครับ อ้าม...”
หวังหยูเฟิงไม่ได้ตอบรับอะไร เขาอมยิ้มแค่ชั่วอึดใจ ก่อนจะอ้าปากรับการเอาใจของคนรักด้วยหัวใจที่มีความสุข
หวังหยูเฟิงเติบโตมาจากความเดียวดาย ถึงแม้ต่อมาชายหนุ่มจะมีกัลยาณมิตร แต่ก็ไม่อาจแบ่งปันเรื่องราวในชีวิตของตัวเองทั้งหมดกับเพื่อนได้ ทว่าความสุขและความทุกข์ต่อจากนี้ เขาอยากให้เจิ้งหยุนได้ช่วยดูแลและเติมเต็มช่องว่างของหัวใจให้สมบูรณ์
“ผมยอมทำผิดต่อหน้าที่เพื่อคุณ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้น แล้วหันกลับไปมองทะเลที่กว้างไกลอีกครั้ง “ผมไม่ได้ตัดสินใจผิดใช่ไหม”
“ไม่หรอกครับ” เจิ้งหยุนเอ่ยรับพร้อมกับจับมือของอดีตนายตำรวจคนเก่งเอาไว้ “คุณได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ถ้าหน้าที่นั่นหมายถึงการที่คุณอยากจับผมเข้าคุก”
หวังหยูเฟิงมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เจิ้งหยุนยิ้มบางพร้อมกับสบสายตาสีนิลสวยนิ่ง ก่อนที่เขาจะยกมือที่จับไว้ขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบา แล้วเลื่อนมือนั้นไปแตะที่หน้าอกข้างซ้ายของคนรัก
“ผมยอมถูกจับทุกข้อกล่าวหา ถ้ากรงขังนั้นเป็นหัวใจของคุณ”
สิ้นถ้อยคำอ่อนหวาน หวังหยูเฟิงก็หัวใจเต้นแรงและใบหน้าร้อนผ่าว เขาอมยิ้มออกมาอย่างเขินอาย แล้วเอ่ยรับด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ในฐานะของตำรวจ ผมอาจจะพลาดพลั้งให้คุณ แต่ในฐานะของคนรัก ผมไม่ยอมปล่อยให้คุณลอยนวลไปไหนแน่”
เจิ้งหยุนยกยิ้มขึ้นมองหวังหยูเฟิงอย่างพอใจ นัยน์ตาแน่วแน่บนใบหน้าที่แดงระเรื่อช่างมีเสน่ห์จนไม่อยากถอนสายตาไปมองสิ่งใด ชายหนุ่มไม่แยแสอดีตและไม่ใส่ใจอนาคต เขาต้องการแค่ปัจจุบันที่สัมผัสได้
เหมือนกับหัวใจที่กำลังเต้นแรงยามเมื่อได้สบตากับหวังหยูเฟิงขณะนี้
“ด้วยความยินดีครับที่รัก”
.
.
.
.
END
Marionetta สวัสดีค่ะ ในที่สุดเรื่องก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ขอบคุณที่ติดตามมาขนถึงตอนนี้ เรื่องนี้แต่งยากและแต่งนานมาก มีอุปสรรคมากมาย แต่งๆ หยุดๆ เป็นระยะ กว่าจะจบ 555 คิดว่าจะไม่รอดแล้ว ถึงเรื่องนี้คนอ่านจะไม่เยอะ แต่ดีใจและภูมิใจมากค่ะที่ได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา รู้สึกถึงพัฒนาการบางอย่างของตัวเอง ยังไงก็ฝากติดตามเรื่องต่อๆ ไปด้วยนะคะ
ปล. ใกล้หมดเขตวันจองรวมเล่มแล้วนะ ^^ :pig4:
-
:pig4: :pig4:
-
:heaven :heaven
-
เย้ แฮปปี้เอนดิ้ง
-
กว่าจะแฮปปี้ก็กินลูกกระสุนกันไปหลายร้อยลูกกก :ruready
-
สนุกดีค่ะ ชอบเจิ้งหยุน
-
ขอบคุณทุกความคิดเห็นมากๆ เลยค่ะ :กอด1:
-
ตอนนี้หนังสือพร้อมส่งแล้วค่ะ ท่านใดสนใจสามารถติดตามได้ที่หน้าแรกค่ะ
ขอบคุณค่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
:mew4: ชอบพระเอกมากฉลาดไปไหนเอาคนร้ายมาแลกให้อีกคนจัดการยืมมือคนอื่นแบบเนียนๆ
-
กว่าจะรักกันน ลุ้นมากครับบ