Close Friend
#เพื่อนสนิทที่ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท
“หลังจากนี้กูจะไม่จูบกับมึงแล้วนะ” ผมพูดจบก็หันไปเล่นเกมต่อ ส่วนคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างกันเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะส่งเสียงงอแงแล้วเอาคางมาวางพักที่บ่าผม
“ล้อเล่นใช่ไหมวะ”
“หน้ากูเหมือนคนล้อเล่น”
“มึงจะไม่จูบกูจริงๆดิ”
“เออ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะตอนนี้มึงมีแฟน”
“แล้วไง?” ยังจะมีหน้ามาถามตาใสใส่อีก ผมผลักหัวเพื่อนสนิทจนมันร้องโวยวายแต่ก็ยังไม่ยอมเอาคางออกจากบ่าผม “มีแฟนแล้วทำไมถึงจูบไม่ได้ มึงแม่งไร้สาระ”
“มึงต่างหากที่ไร้สาระ”ผมดีดหน้าผากเขาด้วยความหมั่นไส้ไปที ทำปากยู่แบบนี้คิดว่าน่ารักงั้นเหรอ
เออออ น่ารัก
“กูไร้สาระตรงไหนวะ ไม่มีเถอะ มึงนั่นแหละที่ไร้สาระ” เขาลูบหน้าผากที่โดนผมดีดเบาๆก่อนจะช้อนตาขึ้นมองผมอีกรอบ “หรือว่ากูทำอะไรผิดไป”
“ผิด”
“ตรงไหน”
“ตรงที่มึงมาจูบกับคนอื่นอย่างกูไง”
“มึงไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย”
“แล้วกูเป็นใคร”
“เพื่อนสนิท” มันพูดพร้อมกับเอาหัวไถที่บ่าผมอย่างอ้อนๆ
“เพื่อนสนิทกับแฟนถ้าเทียบกันแล้วมึงว่าอะไรสำคัญกว่า”
“...”
“เงียบเพราะคุณรู้ใช่ไหมว่าแฟนสำคัญกว่า”ผมเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองเพราะผมต้องการจริงจังในบทสนทนา เขาเองก็คงจะรู้ว่าผมเริ่มเข้าโหมดจริงจัง
“...”
“ถ้าคุณคิดเหมือนผม...คุณก็ไม่ควรทำแบบนี้กับคนที่ไม่ใช่แฟน”
“แต่ว่าแฟนกูคงไม่รู้...”
“ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเราทำอะไรกัน แต่เราก็ควรให้เกียรติแฟนคุณหรือเปล่าครับ!” ผมเผลอขึ้นเสียงในตอนท้าย
“ทำไมต้องดุกันด้วย”
“ดุดิ เพราะคุณไม่ยอมแยกแยะระหว่างเพื่อนกับแฟน คุณควรสงสารเขาเพราะนั่นน่ะแฟนคุณ ส่วนผมก็แค่...เพื่อน”
“อื้อ รู้แล้ว” เสียงอ่อยไปเลย แต่สิ่งที่ผมพูดไปมันเป็นเรื่องที่เราทั้งคู่ควรจะทำมาตั้งนานแล้ว เพราะเราสองคนโตขึ้นเรื่อยๆการจะมาจูบปลอบกันพร่ำเพรื่อแบบแต่ก่อนก็คงไม่ได้
ส่วนสาเหตุที่เราเริ่มจูบกันมาจากผมที่อยากปลอบเขาล้วนๆ แต่ก่อนตอนเด็กสิ่งที่เราทำกันมันไม่ใช่การจูบดูดดื่มแบบนี้หรอก มันก็แค่กอดแน่นๆแล้วก้มลงไปหอมแก้มหรือไม่ก็จูบที่หน้าผากเท่านั้น
อาจเพราะเขาไม่เคยมีพี่น้อง พ่อแม่ก็ไม่ค่อยทำแบบนี้ พอได้รับสัมผัสอุ่นๆจากผมมันเลยทำให้เขารู้สึกชอบหลังจากนั้นเวลาที่โดนใครแกล้ง หรือเสียใจมากๆเขาก็จะมาหาผมแล้วพูดว่า มึงอยากได้กำลังใจอ่ะ
ใครได้ยินประโยคนั้นพร้อมกับสีหน้าอ้อนๆ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องใจอ่อนป่ะวะ
แน่นอนว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ส่วนเรื่องจูบที่ปาก...ตอนแรกมันก็เริ่มจากการจุ๊บที่ปากเท่านั้นแหละ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ๆผมถึงมีความคิดอยากลองเปลี่ยนจากจุ๊บที่ปากมาเป็นการจูบที่ดูดดื่มแทน
ผมไม่ได้คิดไว้หรอกครับว่ามันจะเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ถ้าไม่ติดว่าลองดูแล้วมันติดใจผมก็คงไม่คิดที่จะทำต่อ ยิ่งครั้งแรกที่จูบกันเสร็จ สีหน้าเขาแสดงออกมาทันทีเลยว่าทั้งเขินและอายจนผมอดถามเขาในทิศทางตรงกันข้ามไม่ได้
‘ไม่ชอบหรือเปล่า ต่อไปไม่ทำก็ได้นะ’
‘...’
‘ถ้างั้นไม่ทำ โทษทีว่ะ’
‘ไม่เอาดิ ทำแบบนี้แหละ กูชอบ...แบบนี้’
เชื่อไหมว่าอากัปกิริยาของคนตรงหน้ามันโคตรน่ารัก ทุกสิ่งที่เขาแสดงออกมามันตรึงผมไว้จนหัวใจแทบหยุดเต้น
สุดท้าย...ผมก็ไม่สามารถต้านทานความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้
ผมชอบเขาทันทีและก็ชอบมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งตอนนี้อยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่สามแล้วผมก็ยังชอบเขาอยู่
ที่ผ่านมาผมใช้ความสนิทสนมตักตวงเอาความสุขจากเขามากจนบางครั้งก็ไม่อยากให้เขามีใคร
แต่แน่นอนแหละ เราเป็นเพื่อนสนิท แถมเป็นผู้ชายเหมือนกัน ความรักที่แม้ตอนนี้จะเปิดกว้างแต่มันก็อาจจะไม่กว้างพอสำหรับผมกับเขา
เพราะงั้นผมเลยอยากพอ หยุดความรู้สึกของตัวเองไว้แค่นี้
แล้วยิ่งมารู้ว่าเขามีแฟนเมื่อหลายเดือนก่อนผมก็ยิ่งคิดว่าตัวเองไม่สามารถสู้แฟนของเขาได้ และที่สำคัญคือผมไม่อยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเราด้วย
ดังนั้นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมคือสิ่งที่ดีที่สุด
“เข้าใจแล้วใช่ไหม” ผมหันไปถามเขาอีกรอบ เจ้าตัวพยักหน้าแกนๆแล้วมุดหน้าลงกับบ่าผมอยู่นานหลายนาที จนเป็นผมที่ทนไม่ไหวขยับบ่าข้างที่เขามุดอยู่ขึ้นลงเบาๆเพื่อเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นมองผม “เป็นไรเนี่ย”
“ก็แค่กำลังคิด”
“คิด?”
“อื้อ แค่คิดว่าเหตุผลที่มึงไม่ยอมจูบกู จริงๆแล้วเป็นเพราะมึงมีคนคุยหรือเปล่า”
“...” ผมเงียบไม่ได้บอกเขาว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาพูด แต่การเงียบก็ทำให้คนตรงหน้าเข้าใจไปอีกทาง
“เรื่องจริงสินะ”
“...”เป็นอีกคำถามที่ผมเลือกจะไม่ตอบ
ความเงียบระหว่างเราเกิดขึ้นชั่วขณะ พอหันไปเลิกคิ้วถามเจ้าตัวก็ส่ายหน้าบอกทำนองว่าไม่มีอะไรกลับมาแทน
ผมเองก็ไม่อยากเข้าไปวุ่นวายในความคิดเขาเลยเลือกที่จะกลับมาโฟกัสที่เกมตรงหน้าแม้ในใจจะร้อนรนที่คนข้างกายเงียบซึมก็ตาม
“มึง...” ในที่สุดก็เป็นเขาที่เอ่ยปากพูดกับผมก่อน
“ว่า?”
“ในเมื่อหลังจากนี้เราจะไม่จูบกันแล้ว...กูขอจูบกับมึงเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมวะ”
“...” ผมมองหน้าเขา
“ไม่ได้สินะ”
“ยังไม่ทันพูดเลยว่าไม่ได้” ผมถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ ก่อนจะช้อนคางคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนสนิทขึ้นมาจูบเบาๆ เรียวลิ้นเล็กถูกดูดกลืนเป็นจังหวะ เสี้ยวหน้าถูกขยับให้พอดีกันก่อนเจ้าตัวจะลุกขึ้นมานั่งคร่อมบนตักผม มือเล็กวางพาดบนบ่าอย่างที่เขาชอบทำ
ความหวานบนปลายลิ้นถูกแลกเปลี่ยนกันครั้งแล้วครั้งเล่า แม้กระทั่งร่างกายก็ขยับแนบชิดเข้าหากันอย่างลืมตัว
“มึง...” ผมเอ่ยปากเรียกเขา
“แฮ่ก แฮ่ก”
“พอเถอะ” เพราะถ้าทำมากกว่านี้คนที่ทนไม่ไหวคงจะเป็นผม
“อึก...อื้อ...” เขาหลับตาลงพร้อมกับขยับออกจากตัวผม จังหวะที่ลุกขึ้นมันมีความเย็นของหยดน้ำตกกระทบลงมาบนใบหน้าผม
“เดี๋ยวดิ...” คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าสิ่งที่ร่วงหล่นลงมาคือน้ำตาของเขา
“เดี๋ยวอะไรอีกล่ะ เอาไว้ค่อยคุยกันวันจันทร์ละกัน ยังไงก็ขอบคุณมึงมากนะสำหรับการจูบปลอบที่ผ่านมา ฝันดีเว้ยเจอกันวันจันทร์” พูดจบเขาก็เดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองที่วางอยู่บนเตียงทันที
ปัง!!
ยังไม่ได้ทันได้พูดอะไรออกไปคนตัวเล็กก็เดินออกจากห้องผมไปแล้ว จะเหลือทิ้งไว้ก็แค่ความเงียบกับความไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงร้องไห้ออกมาแบบนั้น
ไม่เข้าใจจริงๆ
✦✦✦
Close Friend 2
#เพื่อนสนิทที่ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท
น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวคือความเสียใจที่ถูกยกเลิกข้อตกลง
ผมแอบชอบเพื่อนสนิท จำไม่ได้เหมือนกันว่าชอบเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่รู้ตัวอีกทีความรู้สึกเหล่านี้ก็อัดแน่นอยู่ในหัวใจจนแทบจะเอ่อล้น
“มึง...มันไม่ได้ผลหรอก” หลังจากปรับความรู้สึกกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในรถพักใหญ่ผมก็โทรหาเพื่อนอีกคนทันที
เพื่อน...ที่ถูกยืมมือมาเป็นแฟนเมื่อหลายเดือนก่อน
(ยังไง)
“ก็...วันนี้มันยกเลิกข้อตกลงบางอย่างของกูกับมันแล้ว”
(ข้อตกลงอะไรทำไมกูไม่รู้)
“ข้อตกลงที่กูกับมันรู้กันอยู่สองคนไง”
(ถ้ามึงจะมาพูดปิดๆเปิดๆใส่กูแบบนี้ก็ไม่ต้องเล่านะ เพราะกูไม่ว่าง)
“อะไรคือไม่ว่างวะ ไหนมึงบอกว่าถ้าเป็นเรื่องกูกับมันมึงว่างเสมอ”
(ก็ตอนนี้กูกำลังตามปั่นโหวตให้แก๊งผัวกูอยู่เลยไม่ค่อยมีเวลามาเล่นสนุกกับมึงไงคะ) ผมถอนหายใจออกมาทันทีที่เพื่อนพูดถึงนักร้องเกาหลีของมัน (แต่กูจะว่างให้มึงทันทีถ้ามึงบอกข้อตกลงระหว่างมึงกับมันให้กูฟัง)
“ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก”
(แล้วมันอะไรล่ะ)
เล่าดีไหมวะ
(ถ้าไม่รีบเล่ากูจะวางแล้วนะจ๊ะ)
“เล่าดิเล่า ก็คือ...ปกติกูกับมันถ้ามีเรื่องเศร้าๆหรือมีเรื่องที่อยากให้ปลอบใจกันเมื่อไหร่ กูกับมันมักจะใช้การจูบเป็นการปลอบ” ผมพูดเสียงเบามาก เพราะรู้สึกอายที่มาเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง
(เดี๋ยวนะ จูบปลอบเหรอ)
“เออ”
(จูบปลอบ!! ว๊ายยย ตายแล้ววววววว อกอีแป้นจะแตกจ้า) เสียงหวีดร้องดังขึ้นที่ปลายสายอยู่นานจนผมต้องรีบเบรกเพื่อนตัวเองก่อน
“กรี๊ดพอยัง”
(ไม่ไหวว่ะ หัวใจกูรับเรื่องนี้ไม่ไหวจริงๆ)
“นี่คือจะไม่ฟังต่อใช่ไหมกูจะได้วาง”
(โว้ยยยย อะไรของมึงเนี่ย แค่กรี๊ดนิดๆหน่อยๆทำเป็นงอนไปได้ อย่าหัวเสียดิเพื่อน)
“เออ” ก็ที่มันหัวเสียได้ง่ายเพราะจู่ๆคนที่ตัวเองชอบดันเลิกข้อตกลงที่เราเคยทำไว้ด้วยกันมาหลายปี รู้หรอกว่ามันดูสมเหตุสมผลกับการเลิกจูบกันเพราะผมมีแฟน(ปลอมๆ)หรือเขามีคนคุย
แต่สิ่งนี้มันไม่ใช่หลักใหญ่ใจความของการมีแฟน(ปลอมๆ)ของผม เพราะการที่ผมแกล้งมีแฟนก็เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกหึงหวงและรู้ใจตัวเองสักทีว่าเขารู้สึกยังไง
แต่วันนี้เขากลับทำให้ผมตาสว่างเพราะที่ผ่านมาเป็นผมเองที่คิดไปคนเดียวว่าเขาชอบ
จูบอ่อนโยน วิธีการดูแล หรือแม้แต่เวลาที่อยู่ข้างๆ ทั้งหมดที่เขาทำก็แค่ในฐานะเพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้น
(อ่าว เงียบทำไมเนี่ย)
“...”
(เชี่ย มึงร้องไห้งั้นเหรอ)
“กูเปล่า” ไม่ได้ร้องแค่รู้สึกจุกและเจ็บในใจเฉยๆ
(แล้วที่มันยกเลิกจูบกับมึงเนี่ย...แม่งไม่อยากพูดเลย พูดทีไรกูเขินทุกที)
“เขินมากไหม”
(มากกกก)
“ถ้าเขินมากกูจะวางแล้วนะ”
(เออๆเข้าเรื่องแล้ว คือที่มันเลิกจูบเพราะมึงมีแฟนใช่ป่ะ)
“เออส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนกูคิดว่ามันก็น่าจะมีคนคุย”
(คนคุยเหรอ?)
“อืม”
(ไม่น่าใช่นะ...กูว่าเรื่องนี้มึงตัดทิ้งไปได้เลย ส่วนเรื่องที่เลิกจูบเพราะมึงมีแฟนเนี่ยกูว่าเข้าเค้า) เสียงมันดีใจเหมือนคนที่รู้ในทุกๆอย่าง (กูว่ามันเศร้าเลยเลิกจูบ ไม่อยากจูบทับรอยใคร กรี๊ดดด อยากข้อความไปบอกเพื่อนมึงจังว่ากูไม่มีทางจูบกับคนแบบมึงแน่ๆ)
“...”
(เพราะงั้นคอนเฟิร์มเลยค่ะว่ามันชอบมึงแน่นอน)
“ไม่รู้ว่ะ”
(เรื่องอื่นฉลาด แล้วทำไมเรื่องนี้ทำไมถึงโง่นัก!!)
“มึงไม่ได้เป็นกูมึงจะรู้อะไร”
(กูรู้ เชื่อกูสิว่ามันชอบมึงแน่นอน) แม่งไปเอาความมั่นใจมาจากใจวะ ขนาดผมยังไม่กล้าฟันธงเลยว่ามันชอบ ยิ่งวันนี้มาเจอเหตุการณ์นี้อีกก็ยิ่งไม่แน่ใจเข้าไปใหญ่
“แล้วถ้าสมมติว่ามันชอบกูจริงทำไมมันต้องเลิกจูบกูด้วย”
(โอ๊ยยย กูบอกเหตุผลไปแล้วไงคะว่ามันเศร้าไม่อยากจูบทับรอยใคร มึงนี่ลำไยจริงๆ มัวแต่ลีลาร่ำไรอยู่นั่น เนี่ยกูบอกมึงไปแล้วตั้งแรกว่าให้สารภาพกับมันไปเลยว่าชอบ ไม่ใช่มาทำเรื่องแกล้งมีฟงมีแฟนให้มันยุ่งยากซับซ้อนขนาดนี้)
ผมก็บอกเหตุผลไปแล้วเหมือนกันว่าที่แกล้งมีแฟนเพราะนี่เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้ผมดูเขาออกว่ารู้สึกยังไงกับผม
ส่วนการบอกเพื่อนสนิทที่คบกันมาเกินสิบปีว่าชอบ... ผมว่ามันเป็นความเสี่ยงที่น่ากลัวเกินไปเพราะคงไม่มีใครรับได้ถ้าการบอกชอบของเราที่นอกจากจะไม่สมหวังแล้วยังต้องสูญเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไปหนึ่งคน
ดังนั้นทางออกเดียวสำหรับผมคือการแกล้งมีแฟนแล้วดูปฏิกิริยาของเขา แต่แล้วไงล่ะสุดท้าย ความจริงว่าเขาไม่ได้ชอบผมก็ปรากฏขึ้นอย่างที่เห็น
(งั้นเอางี้ มึงนัดมันออกมากินเหล้า แล้วช่วยกันมอมมัน เค้นความจริงจากปากว่าสรุปแล้วมันชอบมึงหรือเปล่าดีไหม)
“แต่ว่า...”
(มันเป็นทางเดียวแล้วเว้ย ถ้ามันไม่ได้ชอบมึงก็แค่ตัดใจแล้วเดินต่อ แถมมึงไม่ต้องกังวลว่ามันจะเลิกเป็นเพื่อนด้วยเพราะมันไม่รู้ว่ามึงรู้สึกยังไงกับมัน แต่ถ้าสมมติมันชอบมึงก็รุกแม่งเลย ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น จริงๆกูน่าจะเสนอวิธีนี้ให้มึงตั้งนานแล้วนะ มัวแต่ลำไยทำทีว่ามีแฟนเพื่อดูพฤติกรรมมันอยู่ได้)
“...” ผมยังลังเลไม่แน่ใจว่ามันเป็นวิธีที่โอเคหรือเปล่า
(ไม่ต้องลังเลอะไรแล้ว เจอกันร้านเดิม เดี๋ยวกูเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปเลย)
“มึงกูว่า...”
(ไม่ต้องปฏิเสธเชี่ยอะไรทั้งนั้นค่ะ แค่นี้นะ ไว้เจอกัน) สายถูกตัดไปทันที ส่วนผมก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนจะฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยนึกไปแล้วก็เซ็งจริงๆผมไม่ควรกุเรื่องแฟนปลอมๆขึ้นมาตั้งแต่แรก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะกระจกทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปดูว่าใครพอเห็นว่าเป็นมันผมถึงค่อยลดกระจกลง
“ทำไมมานอนฟุบแบบนี้วะ ไม่สบายหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับมือหนาที่ยื่นมาแตะหน้าผากผม
“เปล่า ว่าแต่มึงเถอะแต่งตัวกำลังจะไปไหนวะ”
“พี่ที่ร้านโทรมาว่านักร้องประจำป่วยกูเลยต้องไปแทน”
“ไปด้วยดิ”
“ห้ะ??”
“ไปด้วยได้ไหม” ไม่รู้หรอกว่าส่งสายตาอ้อนๆไปหาเขาหรือเปล่า แต่การที่มันยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมเบาๆแบบนี้แสดงว่าหน้าผมคงอ้อนมันน่าดู
“ไปดิ งั้นเอารถมึงไป”
“ไม่เอาอ่ะ เวลานี้รถติดจะตายห่า เอามอเตอร์ไซค์มึงนั่นแหละไป” ผมออกจากรถแล้วปิดล็อกก่อนจะไลน์ไปบอกแฟนปลอมๆของตัวเองว่ากำลังจะไปอีกร้านนึงแทน “ขี้เกียจใส่หมวก”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องใส่ ใกล้แค่นี้เองคงไม่มีด่าน แต่ถ้าขับรถแล้วแหกโค้งหัวทิ่มตายขึ้นมาก็อย่าหาว่ากูไม่เตือนละกัน”
“เออรู้แล้วน่า” ทุกครั้งที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์ ผมจะชอบเอาคางไปวางซบบนบ่าเขา ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าชอบให้ลมเย็นๆปะทะเข้าที่ใบหน้า แต่อีกส่วนก็เพื่อความสุขของตัวเองล้วนๆ
ความสุข...ที่ได้มองหน้าด้านข้างของคนขับ
และก็เป็นความสุข...ที่ได้ซบจมูกลงบนไหล่กว้างเวลาที่เขาเผลอไผล
ปกติผมไม่เคยกอดเอวเขาเลยสักครั้ง มากสุดก็แค่จับเสื้อ แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรเหมือนกัน
“หืม” คนขับรถคงรู้สึกถึงมือผมที่โอบกอดรอบเอวเขา เสียงครางในลำคอถึงดังขึ้นด้วยความสงสัยแบบนี้
“ก็แค่อยากอ้อน...ไม่ได้เหรอ”
“ได้ดิ ทำไมจะไม่ได้” มือข้างหนึ่งปล่อยจากแฮนรถมอเตอร์ไซค์แล้วเอื้อมมาขยี้หัวผมช้าๆ สัมผัสอบอุ่นตราตรึงจนไม่อยากให้เขาปล่อยมือ แต่แน่นอนแหละการโฟกัสที่ทางข้างหน้าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
เราสองคนใช้เวลาไม่เกินยี่สิบนาทีในการขับรถมาถึงร้าน ตอนแรกพี่เจ้าของร้านจะให้ผมไปนั่งโต๊ะเดียวกับเขา แต่พอเดินเข้ามาแฟนปลอมๆของผมก็รีบเข้ามาทักและควงเข้าที่แขนผมทันที
“เราจองโต๊ะไว้แล้ว ไปนั่งด้วยกันนะ” ไม่พูดเปล่าเธอลากพวกเราไปตรงโต๊ะที่ถูกจองไว้หน้าเวทีด้วย
“เดี๋ยวกูไปเตรียมตัวก่อน มึงก็อยู่กับแฟนไปละกัน”
“อ่าว”
“เออตามนี้” มันผลักหัวผมแล้วเดินไปตรงข้างเวที
“หล่อมาก เห็นใกล้ๆแล้วก็อยากจะลากกลับบ้านเลยอ่ะ” คนข้างกายผมพูดแล้วหันไปมองคนที่เพิ่งแยกกัน
“พูดอะไรของมึงเนี่ย” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่เพื่อนตัวเอง
“โอเคๆ รู้จ้าว่าหวง ไม่พูดแล้วก็ได้” ก็ไม่ได้หวงขนาดนั้นป่ะวะ
“แล้วนี่สั่งเหล้าไปหรือยัง”
“สั่งแล้วเรียบร้อย ภารกิจมอมเหล้าเพื่อนมึงวันนี้ เชื่อมือกูได้เลยค่ะ กูจัดแต่ตัวเด็ดๆทั้งนั้น” ผมพยักหน้าให้มันเบาๆก่อนจะหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างเวทีอีกรอบ เขากำลังประชุมกับคนในวง คงกำลังตกลงกันแหละว่าจะร้องเพลงอะไรบ้าง
สีหน้าตอนจริงจังก็หล่อเสียจนน่าหมั่นไส้ โต๊ะสาวแถวนี้นั่งมองมันจนแทบจะสิง นี่ถ้าผมหล่อได้สักครึ่งหนึ่งของมัน ผมอาจจะไม่ต้องมานั่งจมปลักแอบหลงรักเพื่อนตัวเองแบบนี้ก็ได้
เออไงคนที่กูหลงรักก็มันนั่นแหละจะใคร
“เอาละครับหลังจากนี้จะเป็นการเล่นดนตรีสดของวงเก่าแต่นักร้องหน้าใหม่ หล่อๆแบบนี้บอกก่อนนะครับว่ายังไม่มีแฟน” เสียงกรี๊ดและตะโกนดังขึ้นทั่วร้าน บางคนถึงกับโบกไม้โบกมือให้นักร้องหน้าใหม่ในวันนี้ “แต่ส่วนจะมีคนคุยไหมก็ไปถามกับเจ้าตัวเองเลยละกัน ตอนนี้เชิญพบกับพวกเขาได้เลยยยยย!!!”
เสียงกรี๊ดยังดังขึ้นต่อเนื่องจนผมเผลอยกนิ้วขึ้นอุดหู
“แฟนมึงนี่ร้อนแรงจริงๆ”
“หึ” ผมหัวเราะออกมาอย่างขื่นๆ ถ้ามันเป็นแฟนผมจริงๆก็คงดี
ระหว่างที่รอวงดนตรีซาวด์เช็ค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกับแกล้มที่เพื่อนผมสั่งก็มาถึง
“มาค่าระหว่างรอเพื่อนมึงเล่นดนตรีก็จิบแอลกอฮอล์เล่นๆไปก่อน” ผมพยักหน้าแล้วยกน้ำสีอำพันขึ้นดื่มเรื่อยๆ เพราะแฟนปลอมๆที่มาด้วยกันนอกจากจะชวนคุยแล้วก็ทำหน้าที่มือชงส่งแก้วต่อแก้วให้ผมตลอด อดคิดไม่ได้ว่ามันกำลังเปลี่ยนเป้าหมายจากมอมเพื่อนสนิทผมเป็นมอมผมแทนหรือเปล่า
“สรุปมึงจะมอมกูหรือมอมมัน”
“มอมมันสิ แต่มันยังไม่มาไง มึงก็กินไปพลางๆก่อน นั่นไงมันจะร้องเพลงแล้ว” สายตาผมละจากเพื่อนข้างกายไปที่เวทีแทน ออร่าความหล่อของเขายังคงโดดเด่นเหมือนเดิม เสียงกรี๊ดจากสาวแท้และเทียมในร้านดังขึ้นเป็นระยะๆ ยิ่งเวลาที่เขายิ้มออกมาเสียงกรี๊ดแทบจะดังกลบเสียงดนตรีไปเลย
“ถ้างานนี้มันไม่ยอมสารภาพว่าชอบ มึงก็อ่อยแล้วให้มันจับมึงทำเมียเลยนะ”
“ทำไมกูต้องเป็นเมีย เป็นผัวไม่ได้เหรอ”
“หนังหน้าอย่างมึงแน่ใจเหรอคะว่าเป็นผัว” พูดเสร็จก็ผลักหัวผมจนแทบทิ่ม คือมึงเป็นผู้หญิงแบบไหนของมึงเนี่ย
“รู้ฉันรู้ยังไงก็คงไม่ต่าง...รู้ฉันรู้ยังไงเธอก็เลือกเขา...รู้ถึงฉันขอร้องยังไงเธอคงต้องลืมเรื่องของเราเพราะว่าเขาดีกว่าเพราะเขาสำคัญกว่า” น้ำเสียงคุ้นเคยมาพร้อมกับเพลงคุ้นหู
“หล่อเว่อร์ ตอนไม่ร้องก็หล่อแล้วนะเพราะอ้าปากร้องเพลงแม่งหล่อกว่าเดิมอีก” ได้ยินเสียงเพื่อนพูดอยู่ข้างๆแต่ไม่ได้เข้าหูผมสักนิด เพราะตอนนี้ผมกำลังโฟกัสสายตาเขาที่ส่งตรงมายังผม
“แต่อยากจะขอร้องเธออีกครั้ง รักฉันรักฉันเถอะนะจะไม่ทำให้เธอเสียใจ” ทั้งสายตาและน้ำเสียงมันทำเอาหัวใจผมเต้นโครมครามไม่หยุด เพื่อนสนิทที่กำลังร้องเพลง please ของอะตอม ยังไม่ละสายตาไปจากผม
“มึงๆ” จนกระทั่งเพื่อนที่นั่งข้างกันเอียงหัวเข้ามาใกล้แล้วทำท่ากระซิบบางอย่าง
“ว่า”
“เห็นแบบนี้ ชะนีฟันธงเลยค่ะว่าชอบมึงแน่นอน ดูดิมองมึงสายตาหวานเยิ้มเชียว นี่แค่กูเอียงหัวมาซบมึงมันก็หน้าตึงซะแบบนั้น ชอบก็บอกว่าชอบกันสิวะ จะปิดบังกันเพื่ออะไร สาววายอย่างฉันลุ้นค่า” ผมส่ายหัวแล้วมองกลับไปที่เวที มีบ้างที่เขาหันไปเล่นกับคนดูแต่ส่วนใหญ่ก็มองมาทางผม
เขาร้องเพลงจบไปหลายเพลงและในทุกๆเพลงที่ร้องมันมีความหมายทั้งเศร้า เหงา และแอบรัก นี่ถ้าผมไม่คิดไปเองคนเดียว ผมว่าสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกมาคือเขาชอบผมนะ...
แล้วทำไมเขาถึงไม่อยากจูบกับผมอีกวะ
ทำไม
“ขอบคุณทุกคนมากๆนะครับ” นักร้องนำพูดขอบคุณคนดูหลังจากที่หมดเวลาเล่นดนตรีสด ในมือเขามีกระดาษเล็กๆที่คาดว่าน่าจะเป็นเบอร์โทรของสาวในร้าน ผมถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ เลือกจะชอบคนหน้าตาดีก็ต้องทำใจเรื่องนี้สินะ
แก้วเหล้าที่วางอยู่ตรงหน้าถูกยกขึ้นดื่มอีกครั้ง ผมมองตามนักร้องนำจนเขาลงไปยืนข้างเวที สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้คือผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาคุยกับเขาด้วยท่าทางสนิทสนม รอยยิ้มและมือของผู้หญิงคนนั้นที่จับบ่าเขาบ่งบอกว่าทั้งสองคนรู้จักกันเป็นอย่างดีและแน่นอนไม่ใช่แค่ผมที่คิดไปเอง
“คงเป็นคนรู้จักแหละ” เพื่อนที่นั่งข้างกันตบบ่าผมเบาๆ
“เห็นแค่นี้ก็รู้เหตุผลของมันแล้วว่าคืออะไร ไม่ต้องมอมแล้วมั้ง”
“มอมค่ะ ยังไงวันนี้ไม่มึงก็มันที่ต้องเป็นคนได้” เหล้าถูกเติมเรื่อยๆ ส่วนผมก็ส่งมันเข้าปากตัวเองเรื่อยๆเหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็เหมือนสติผมจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
✦✦✦
Close Friend - End
#เพื่อนสนิทที่ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิท
“ทำไมสภาพมันเป็นแบบนี้อ่ะ” ผมเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วเห็นคนตัวเล็กสภาพแย่มาก เมาหัวราน้ำ ในมือยังคงกระดกแก้วสีสวยลงคอเรื่อยๆ
“เราพยายามห้ามแล้วนะ แต่แบบก็อย่างที่เห็น มันทำตัวเหมือนคนอกหัก” จะอกหักได้ไงในเมื่อเธอที่เป็นแฟนมันก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมขมวดคิ้วไม่ได้พูดอะไรแต่ขยับนั่งลงข้างเขา
“เมาแล้วนะมึง”
“เออเมาแล้ว” ยอมรับง่ายๆแบบนี้ก็ได้เหรอวะ ผมส่ายหัวแล้วลากเก้าอี้มันให้ขยับมานั่งอยู่ตรงหว่างขาตัวเองก่อนจะหันไปเรียกเด็กเสิร์ฟที่เดินมาพอดี “ขอโทษนะครับ พี่ขอผ้าเย็นกับเครื่องดื่มแก้แฮงค์สักขวดสิ”
“ได้ครับได้” พอเด็กเสิร์ฟรับปากผมก็หันมาหาคนที่เมาไม่รู้เรื่อง
“พอไหม เลิกกินได้แล้ว” ผมดึงแก้วในมือเขาออก ส่วนเจ้าตัวก็เบ้ปากเพราะโดนขัดใจ ท่าทางของเขาแม่งโคตรน่ารัก นี่ถ้าไม่ติดว่าแฟนมึงนั่งข้างๆกูจะกัดปากมึงให้บวมเลยคอยดู
“เบื่อมึง”
“...” ผมไม่ตอบแต่ปล่อยให้คนที่ปากบอกว่าเบื่อผมซบเข้าที่บ่า คงเมาและใกล้จะหลับเต็มที เหนื่อยฉิบหายเจอแบบนี้คงต้องรอให้เขาสร่างเมาสักพักเพราะไม่งั้นคงได้ร่วงไปกองกับพื้นระหว่างที่ผมกำลังขับมอเตอร์ไซค์
“นี่นาย” ผมเงยหน้าจากเพื่อนสนิทไปที่ใครอีกคนที่นั่งอยู่อีกด้าน
“ครับ”
“เรามีเรื่องจะถามนายเรื่องนึงว่ะ นายตอบเราได้ไหม” ผมขมวดคิ้วไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาจะถามมันคืออะไร
“ถ้าตอบได้ก็จะตอบ”
“ก็ถ้านายตอบเราตามความจริง เราก็จะบอกความลับของคนที่กำลังเมาซบนายอยู่ตอนนี้”
“ความลับอะไรกูไม่มีความลับเถอะ” จู่ๆคนที่เมาก็เงยหน้าขึ้นมาโวยวายแต่โวยวายได้สักพักก็ขยับมาซบที่บ่าผมเหมือนเดิม ส่วนแฟนของเขาที่นั่งอยู่ก็เอียงคอมองราวกับจะจับผิดว่าคนที่ซบผมอยู่หลับไปแล้วหรือยัง
พอเห็นว่าน่าจะหลับไปแล้วเธอถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมามองผม
“?”
“ถามจริงนายชอบมันใช่ไหม” ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าแฟนเพื่อนเอ่ยถามเบาๆพร้อมกับชี้นิ้วไปยังคนที่ซบผมอยู่
“...” ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไรออกไป
“ตอบมาเถอะน่า สัญญาว่าจะไม่บอกใคร”
“...”
“บอกแล้วไงว่าสัญญาจะปิดปากเงียบ เราไม่ว่าอะไรหรอก นายชอบมันใช่ป่ะ”
“อืมใช่ ขอโทษด้วยนะ” ผมพูดขอโทษแฟนของเพื่อนสนิทเพราะไม่อยากให้เธอคิดมาก “เราไม่เข้าไปวุ่นวายหรือทำให้มันกับเธอไม่สบายใจแน่นอน”
“นั่นไงกูว่าแล้ววว” เธอพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆจนผมแอบตกใจ ไม่เข้าใจกับการกระทำที่เธอแสดงออกมาเท่าไหร่ “ส่วนความลับที่เราจะบอกนายก็คือ เรากับมัน จริงๆแล้วไม่ได้เป็นแฟนกันนะ แค่แกล้งเป็นแฟนกันเฉยๆ”
“แกล้งทำไม”
“อืมมม นายก็ลองถามคนที่ซบนายดูละกันว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น” สมองผมประมวลความคิดบางอย่างออกมาเป็นฉากๆ เหตุผลเดียวที่ดูจะมีน้ำหนักมากที่สุดในหัวคือเขาแกล้งมีแฟนเพื่อที่จะให้ผมหึง“ยังไงเรากลับก่อนละกัน เงินค่าเหล้าก็จ่ายด้วยนะเพราะเราไม่ได้กิน เราแค่สั่งมามอมไอ้นี่”
เธอชี้นิ้วไปที่คนเมาไม่รู้เรื่องก่อนจะลุกขึ้นยืน
“อ้อ สุดท้ายนี้เราอยากบอกนายสักหนึ่งประโยค ถ้าเมื่อไหร่ที่โอกาสมันวิ่งเข้ามาแล้วก็อย่าไปรอนะนาย เขาอ่อยขนาดนี้ คืนนี้ก็อย่าพลาดโอกาสล่ะ เราเป็นกำลังใจให้เว้ย ขอให้ได้ขอให้โดน”
แล้วเธอก็เดินไปด้วยสีหน้าฟินๆ ส่วนผมก็ยังงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นนิดหน่อยแต่ก็พอจะลำดับเหตุการณ์ต่างๆได้บ้าง
“ผ้าเย็นกับเครื่องดื่มแก้แฮงค์ได้แล้วครับพี่”
“ขอบคุณมาก เดี๋ยวน้องเช็กบิลเลยนะ”
“อ้อ ไม่เป็นไรพี่ พอดีเฮียเขาสั่งมาแล้วว่าไม่ต้องคิดเงินโต๊ะนี้ ส่วนเหล้าที่เหลือจะฝากหรือจะเอากลับดีครับ”
“งั้นฝากไว้ละกัน” ผมพูดกับเด็กเสิร์ฟไม่กี่นาทีก็หันกลับมาดูคนที่ซบบ่าผมอยู่ แต่แปลกตรงที่ทำไมหูแม่งแดงกว่าเมื่อกี้วะ
จะว่าเกิดจากอาการเมาไหมก็ไม่น่าใช่เพราะตอนแรกที่เมาหูเขาก็ไม่ได้แดงขนาดนี้
อย่าบอกนะว่า...
“มึงได้ยินที่กูพูดกับแฟนปลอมๆของมึงเมื่อกี้ใช่ไหม”เขาเงียบ พอผมยักไหล่ เจ้าตัวก็ส่ายหน้าไปมา
ท่าทางแบบนี้ล้านเปอร์เซ็นต์คือได้ยินแน่นอน
เสียงเพลงในร้านยังดังขึ้นเรื่อยๆ คนทั่วไปไม่ได้สนใจเราสองคนเท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่คนเมาจะเลื้อยและทรงตัวไม่อยู่
“ที่นี่คนเยอะ เดี๋ยวออกไปคุยข้างนอกนะ”
“...”
“ถ้ายังแกล้งหลับอยู่กูจะอุ้มออกไปจริงๆ” เขาเด้งตัวขึ้นทันทีก่อนจะยู่หน้าไม่พอในน้อยๆ ใบหน้าแดงก่ำไม่สามารถเดาได้ว่าเกิดจากความเมาหรือความเขินที่ได้ยินคำสารภาพของผมก่อนหน้านี้กันแน่
ไม่รอให้ความสงสัยเข้ามากัดกินความรู้สึกผมลุกขึ้นยืนแล้วกระตุกดึงมือเพื่อนสนิทให้ออกไปนอกร้านพร้อมกัน
“นั่งลง” ผมบอกให้เข้าขึ้นไปนั่งบนรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองก่อนจะแทรกกายเข้าไปอยู่ตรงช่องว่างระหว่างขาเขา
“มึง...”
“อะไรครับ” ยิ้มกรุ้มกริ่มส่งกลับไปให้คนที่หน้าแดงขึ้นทุกที
“ทำไมต้องแทรกเข้ามาด้วยเนี่ย”
“คนดื้อจะได้ไม่ดิ้นไง หรือถ้ามึงไม่ถนัดก็เอาขากอดเอวกูไว้ก็ได้ ปกติก็ทำอยู่แล้วเวลาที่มึงขึ้นมานั่งบนตักแล้วจูบ”
“สัด!!” ผมไม่ตอบโต้อะไร แค่เปิดเครื่องดื่มแก้แฮงค์ส่งไปให้เขา “ดื่มซะจะได้หายเมา”
“ขอบใจ” ผมจบเจ้าตัวก็แกะฝาแล้วเริ่มดื่มมันทันที ส่วนผมก็หันไปแกะผ้าเย็นแล้วเริ่มเช็ดหน้าให้เขา ตอนแรกก็ดื้อดึงจะเช็ดเองนั่นแหละ แต่ผมไม่ยอมไง เขาเลยได้แต่นั่งหน้าบึ้งอยู่บนรถ
“หน้าแดงนะเรา”
“กูเมาไง”
“อ่าวเหรอคิดว่าแดงเพราะกูสารภาพรักซะอีก”
“...” เขาเงียบหันหน้าหนีไปทางอื่น คงกำลังเขินกับสิ่งที่ผมพูดเสียเต็มประดา
“มึงคงได้ยินที่กูสารภาพไปแล้ว” ผมเอ่ยปากพูดออกมาอีกครั้งเพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ ไหนๆเขาก็รู้อยู่แล้วว่าผมชอบ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้วแหละว่าจะพูดมันออกมาเมื่อไหร่
“ไม่ได้ยินเถอะ ใครจะไปได้ยินเสียงเพลงในร้านก็ดังขนาดนั้น โอ๊ยยย ได้ยินแล้วได้ยินนน” ผมดึงแก้มเขาเต็มแรงข้อหาทำตัวน่าหมั่นไส้
“ถ้าได้ยินก็แสดงว่ามึงรู้แล้วว่ากูรู้สึกไง”
“อื้อรู้...มั้งนะ”
“มั้งนะเหรอ”
“อ้าารู้แล้ว รู้แล้วครับ” เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดแก้มตัวเองไว้ราวกับกลัวว่าผมจะดึงแก้มเขาอีก ใช่ครับไม่ดึงแก้มแต่ดีดหน้าผากแทน
“ถ้าในเมื่อมึงรู้แล้ว หลังจากนี้ก็อยู่ที่มึงแล้วแหละว่าจะพูดออกมาไหม ถ้าไม่พูดคืนนี้กูจะถือว่ามึงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันซึ่งตอนนี้...ก็เหลือเวลาอีกสิบนาทีถึงจะหมดวัน”
“...”
“มึงก็คิดเอาเองละกันว่าจะให้ความรู้สึกมันจบหรือจะให้มันไปต่อ” นอกจากจะใช้คำพูดกดดันแล้วผมก็ตีกรอบของเวลาให้เขาพูดว่าชอบผมภายในวันนี้ให้ได้
แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่พูด
ผมเองก็ไม่พูดเหมือนกันแค่ใช้ผ้าเย็นเช็ดไปตามใบหน้า ซอกคอ ใบหูของเขาเรื่อยๆจนกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่
“เหลือเวลาอีกหนึ่งนาทีนะ” ผมก้มดูนาฬิกา แล้วเริ่มนับเข็มวินาทีที่ลดลง “ยี่สิบ สิบเก้า สิบแปด...สิบเจ็ด...สิบหก...สิบ...เก้า”
“เดี๋ยวดิ”
“หก...ห้า...สี่”
“ชอบ! กูชอบมึง กูชอบมึงแล้ว ได้ยินไหมเนี่ย!!!”
“...”
“ทันไหมอ่ะ”
“...”
“ไม่ทันเหรอ”
“ทันดิ...ทำไมจะไม่ทัน รอมาตั้งหลายปีแค่ไม่กี่วินาทีที่มึงสารภาพกูเลื่อนให้อีกสักสิบนาทีก็ยังได้”
“มึงแม่ง...” ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปแค่ขยับหน้าไปใกล้เขาก่อนจะกดจูบลงไปที่ริมฝีปากเล็กเบาๆ จูบครั้งนี้มันหวานกว่าครั้งไหนๆเพราะมันเป็นจูบแรกของสถานะคนรักไม่ใช่เพื่อนสนิทอย่างที่เคย “แล้วไม่ต้องมาทำหน้าระรื่นครับ กลับหอไปคุณเจอจัดหนักแน่ กล้ามากนะคุณที่เอามุกแฟนปลอมๆมาใช้กับผม...”
จริงๆความรักไม่ได้ซับซ้อน มันก็แค่ต้องการความจริงใจ ไม่จำเป็นต้องมีมุกหรือลูกเล่นใดๆมาตรวจสอบเพราะถ้าสารภาพออกไปแล้วใจตรงกัน เราจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาไปกับระยะทางที่เค้นหาคำตอบว่าเขาชอบเราไหม อีกทั้งยังได้ตักตวงความสุขจากคำว่ารักได้เต็มที่
แต่ถ้าสารภาพไปแล้วมันไม่ใช่ เราก็จะสามารถยอมรับและทำใจกับความผิดหวังได้เร็วขึ้น
ส่วนความรักที่เริ่มต้นจาก เพื่อนสนิท มันอาจจะมีความเสี่ยงในอนาคตหากเราเลิกกัน แต่ในเมื่อเลือกที่จะรักแล้ว เราก็แค่ต้องพร้อมและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็เท่านั้นเอง
- End -
จบแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ
ถ้าชอบฝากให้กำลังใจด้วยนะคะ