พิมพ์หน้านี้ - ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Ch0cmint ที่ 15-03-2018 09:47:56

หัวข้อ: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-03-2018 09:47:56
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



(https://imgur.com/5bZNXwW)


Delicious Cafe
#รักรสกลมกล่อม


ความรักที่สมหวังเป็นแค่เพียงจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นจริง

วัฏจักรของความรู้สึกคือ
ชอบ > แอบรัก > เจ็บปวด > ตัดใจ > คิดถึง
สุดท้ายก็กลับไปวนลูปเดิมไม่มีวันสิ้นสุด

โชคร้ายที่โลกดันเหวี่ยงคนๆ นั้นให้กลับเข้ามาใกล้ชิดกันโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
แล้ว 'ปัณณ์' จะต้องทำยังไงให้ตัวเองหลุดพ้นจากเรื่องนี้สักที

เลี้ยงเด็กว่ายากแล้ว ตัดใจจากคนที่แอบชอบนี่ยากโคตรๆ เลยว่ะ!



ฝากติดแท็ก #รักรสกลมกล่อม และ แฟนเพจ Ch0cmint (http://facebook.com/ch0cmint) ด้วยน้า



Contents


ทดลองชิม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3804389#msg3804389)
จานที่ 1 : ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3804428#msg3804428)
จานที่ 2 : กุ้งเทมปุระ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3806739#msg3806739)
จานที่ 3 : ข้าวห่อไข่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3809487#msg3809487)
จานที่ 4 : ราเมน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3812010#msg3812010)
จานที่ 5 : สเต็กแซลมอน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3813643#msg3813643)
จานที่ 6 : ชุดเบนโตะ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3816900#msg3816900)
จานที่ 7 : ข้าวปั้น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3818101#msg3818101)
จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่นเย็นทรงเครื่อง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3819783#msg3819783)
จานที่ 9 : ซูชิ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3823203#msg3823203)
จานที่ 10 : ทาโกะยากิ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3825156#msg3825156)
จานที่ 11 : ซาซิมิ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3827959#msg3827959)
จานที่ 12 : ไข่ม้วน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3829774#msg3829774)
จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3831077#msg3831077)
จานที่ 14 : ทงคัตสึ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3832451#msg3832451)
จานที่ 15 : แคลิฟอร์เนียโรล (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3835741#msg3835741)
จานที่ 16 : โซบะเย็น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66506.msg3838575#msg3838575)




หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม♦♦ ทดลองชิม P.1 -15/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-03-2018 09:50:10
ทดลองชิม

 

“Ladies & Gentlemen, Now, We have landed at Suvarnabhumi Airport, Please keep your fasten seat belt, Return a seat back up right, Open your window shade and turn off your mobile phone and electronic devices until the fasten sign has been turn off, Please check your personal belonged and travel documentary before you leave the aircraft, On behalf of Thai Airways International, Captain and together with our crew would like to thank you for flying with us and we look forward to see you again, Thank You for Flying SHARK. Sawasdee Krab” เสียงประกาศแจ้งผู้โดยสารให้ทราบว่าการเดินทางครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วดังขึ้นเมื่อเครื่องบินกำลังจะลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ลูกเรือสี่ชีวิตกำลังเดินสำรวจความเรียบร้อยเพื่อความปลอดภัยของทุกคนก่อนจะกลับไปนั่งประจำที่ตัวเอง

 

การทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของผมจะสิ้นสุดลงในวันนี้หลังจากที่เท้าแตะพื้นดิน สาเหตุที่ลาออกหลักๆ คือเบื่อการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด บางครั้งเหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่รายได้ก็ถือว่าคุ้ม เหตุผลรองคือพี่เขยไม่สามารถเลี้ยงลูกชายวัยสามขวบพร้อมกับดูแลร้านอาหารได้ หน้าที่อันทรงเกียรติเลยตกเป็นของคุณน้าคนนี้

 

‘พี่ยู’ เคยถามความสมัครใจกันบ้างหรือเปล่า พอรู้ว่าผมจะลาออกก็ยื่นขอเสนอนี่มาให้เป็นพี่เลี้ยงหลานบวกกับเป็นเด็กเสิร์ฟในร้าน เงินเดือนแค่สองหมื่นแต่กินฟรีก็ถือว่าคุ้ม ทำไมคนอย่าง ‘ปัณณ์’ ต้องมาทำอะไรแบบนี้วะ มันไม่คูลเข้าใจไหม แต่ยอมตอบตกลงกับเขาไปแล้วคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ แย่จริงๆ

 

“ปัณณ์” แอร์โฮสเตสสาวที่นั่งข้างกันเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ คงเสียใจเพราะหลังจากนี้พวกเราคงไม่ได้เจอหน้ากันอีกแล้ว แต่ถ้าอยากสานสัมพันธ์คุยหลังไมค์ได้ ไม่ยากเกินกิเลสตัณหาที่มนุษย์สร้างขึ้นหรอก มีวิธีอีกร้อยแปดเพื่อจะทำให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

 

“ครับมิลค์” ผมตอบรับเสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกมากเกินควร ถึงแม้ว่าเราจะนั่งประจำที่ท้ายเครื่องแต่ก็ยังอยู่ในเวลาทำงานที่ไม่ควรยกเรื่องส่วนตัวขึ้นมาพูด แต่เวลานี้คงต้องยอมๆ เธอไปก่อนเพราะหลังจากลงเครื่องก็ต้องรีบไปหาสารถีที่อุตส่าห์มารับถึงสนามบินทั้งที่ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน เขาเรียกว่าวิธีต้อนรับลูกจ้างคนใหม่หรือเปล่านะ

 

“ปัณณ์จะทิ้งมิลค์ไว้คนเดียวเหรอคะ ทำไมใจร้ายขนาดนี้” เธอตัดพ้อด้วยแววตาและคำพูด ดูแล้วน่าสงสารจนผมอยากดึงเธอเข้ามากอด แต่ติดอยู่ตรงที่เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่าเซ็กซ์เฟรนด์ ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีความรู้สึก และรวมถึงไม่มีสิทธิ์ในตัวของกันและกัน มิล์คิดว่าตัวเองสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอไง โธ่ๆ สาวน้อย อย่าคิดว่าสวยแล้วจะเอาผู้ชายอยู่หมัดทุกคนสิ ถ้าใจมันบอกว่าไม่ใช่ยังไงก็ไม่ใช่อยู่ดี

 

“ผมใจร้ายตอนไหนครับ จำได้ว่าไม่เคยเป็นคนแบบนั้น” ผมมั่นใจว่าตัวเองเดินทางสายกลางมาตลอด ไม่เคยให้ความหวังคู่นอนคนไหนเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์เลยสักครั้งเพราะความรักเป็นแค่จินตนาการสวยหรูที่ไม่มีวันเป็นจริง ปัณณ์พิสูจน์มันมาหลายปีแล้ว รู้ซึ้งและเข้าใจดี

 

มิลค์ตวัดสายตามองค้อนผมอย่างเอาเรื่อง ความจริงแล้วเธอไม่ใช่คนที่น่าสงสารเลยสักนิด ถึงจะพลาดจากสจ๊วตอย่างผมก็มีนักบินอย่างไอ้ทอยคอยดามใจอยู่ ไม่ใช่ว่ามันเลวแย่งคู่นอนของเพื่อนแต่ผู้หญิงเขาเสนอตัวเอง เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากแกล้งโง่

 

“ปัณณ์ไม่รู้สึกอะไรกับมิลค์บ้างเหรอคะ” เธอถามอย่างมีความหวังว่าผมจะคิดอะไรกับเธอเกินเลยบ้าง ถ้ามิลค์ไม่ทำตัวอย่างนั้นความเป็นไปได้อาจสูงกว่านี้ แต่ลึกๆ แล้วปัณณ์มีหัวใจแค่ดวงเดียวและมันสามารถบรรจุความรักได้แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น แอบรัก เจ็บปวด ตัดใจ แต่สุดท้ายมันก็วนเข้าลูปเดิมเสมอเพราะความคิดถึง

 

“จะให้ผมรู้สึกกับคู่นอนทุกคนคงไม่ไหวมั้งครับ เราเคยตกลงกันแล้วเนอะ หวังว่าคงจำได้” ผมคลี่ยิ้มหวานที่เคลือบยาพิษส่งไปให้มิลค์ คนความจำดีอย่างเธอคงไม่ลืมเรื่องที่เราเคยตกลงกันไว้อย่างแน่นอน

 

“แต่มิล์ชอบปัณณ์...” เธอมองผมด้วยดวงตาสั่นไหว สองมือเรียวเอื้อมมากุมตรงตำแหน่งเดียวกันอย่างอ่อนโยนคล้ายเว้าวอนเหนี่ยวรั้ง ถ้าหากหลุดหัวเราะออกไปตอนนี้จะผิดมากไหม ก็มิลค์เล่นละครไม่เนียนเลย ไอ้ความอยากได้ไม่รู้จักพอมันน่ากลัวถึงขั้นทำให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นนางร้ายในละครหลังข่าว

 

“ก่อนจะพูดคิดดีแล้วเหรอครับ ไอ้ทอยมาได้ยินคงเสียใจแย่เลย” ผมเลื่อนมือออกจากการเกาะกุมของเธอก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางห้องบังคับการบินที่คนโดยพาดพิงกำลังทำงานอยู่ ตอนนี้คงจามจนจมูกแดงแล้วมั้ง อยู่ๆ ก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาแถมเนื้อเรื่องดราม่าอีกต่างหาก

 

“ปัณณ์รู้...” มิลค์เบอกตาโตด้วยความตกใจ ทั้งมือและปากบางๆ นั่นสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ผมแอบสงสารเธอแต่รู้สึกโล่งมากกว่าที่ไม่ต้องมานั่งแอ๊บโง่ต่อ ดูเป็นควายในสายตาใครหลายคนมานาน วันนี้ขอเป็นอัจฉริยะหน่อยแล้วกัน

 

“ไหนๆ ก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว ผมอยากบอกว่าความลับไม่มีในโลกหรอก ขอตัวนะครับ” ผมหันไปยิ้มหวานเป็ครั้งสุดท้ายให้มิลค์เพื่อเป็นการบอกลาเพื่อนร่วมงานพ่วงด้วยความสัมพันธ์แบบเซ็กซ์เฟรน ต่อจากนี้ไปเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เธอจะคิดว่าโดนหลอกหรืออะไรก็ช่างเพราะมันไม่ได้สำคัญต่อชีวิตเลย

 

เมื่อเสียงประกาศแจ้งครั้งสุดท้ายบนเครื่องจบลง ผู้โดยสารทยอยลุกขึ้นเปิดชั้นวางกระเป๋าแล้วเดินตรงไปยังประตูด้านหน้าเพื่อมุ่งสู่อาคารโดยใช้อุปกรณ์ที่ชื่อว่างวงช้วงเป็นทางผ่าน ผมคลี่ยิ้มการค้ายกมือไหว้ทุกคนด้วยอารมณ์แจ่มใสทั้งที่เหนื่อยสายตัวแทบงาน คนที่จะทำงานบริการแบบนี่ได้ต้องมีความอดทนสูง รับแรงกดดันและสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว

 

ผมลากกระเป๋าใบเขื่องไปตามทางเดินที่มุ่งสู่ประตูทางออกโดยมีเพื่อนซี้อย่างไอ้ทอยเกาะติดไม่ห่าง สงสัยกลัวว่าจะโดนมิลค์ลากไประบายความโกรธในที่ลับตาคนล่ะมั้ง หึหึ คิดแล้วก็รู้สึกอยากขำที่ยอมใช้ผู้หญิงร่วมกับเพื่อนมาหลายเดือน แต่ดีหน่อยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องโรคติดต่อเพราะเราป้องกันอย่างดี และที่สำคัญคือไม่ป่องอย่างแน่นอน

 

“เชี่ยปัณณ์ มึงแม่งใจร้ายสุดๆ” อยู่ๆ ไอ้กัปตันหน้าหล่อก็พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแต่ใบหน้ากลับร่าเริงผิดวิสัย ผมว่ามันมีปัญหาเกี่ยวกับระบบความคิดเพราะไม่สัมพันธ์กับการแสดงออกอย่างแรง

 

“อะไร กูใจร้ายตอนไหนอีก” ผมตั้งคำถามพาซื่อทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนหมายถึงอะไร มีเรื่องอีกมายมายให้เราสนใจแค่ผู้หญิงคนเดียวไม่ทำให้ชีวิตเราพังได้หรอก ใครจะหาว่าปัณณ์ร้ายก็ช่างเพราะไม่มีเวลาพอให้แคร์ความรู้สึกของคนทั้งโลก

 

“ทำน้องมิลค์คนสวยร้องไห้ได้ไงวะ” มันโอบไหล่ของผมไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งแล้วกระชับอ้อมกอดแน่นจนรู้สึกเจ็บ ถ้าหากมีใครให้ลองเปรียบเทียบไอ้ทอยกับสัตว์ อย่างแรกที่นึกถึงคงเป็นงูเหลือม... ถนัดรัดสาวๆ นักรายนี้

 

“มึงก็ลากเขาไปปลอบบนเตียงสิ จากร้องกลายเป็นครางแน่นอน” ผมยักคิ้วกวนปิดท้ายประโยคโดยไม่สนอาการตกใจโอเว่อร์ของไอ้ทอย ทำตาโตอย่างกับไข่ห่าน ไม่กลัวมันถลนออกมาข้างนอกหรือไง

 

“แหม... แนะนำกูแบบผู้เชี่ยวชาญสุดๆ” มันกระแนะกระแหนก่อนจะคลายอ้อมกอดแล้วปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ไอ้ทอยน่ะเพลย์บอยตัวพ่อ ใครๆ ก็อยากสัมผัสนักบินรูปหล่อพ่อรวย แถมเก่งเรื่องบนเตียงด้วยกันทั้งนั้น นิสัยแม่งเสียโดนยิงทิ้งฉิบหาย

 

“มึงเชี่ยวกว่ากูอีกมั้งไอ้ทอย” ผมว่าเสียงกลั้วหัวเราะพลางกระชับที่จับกระเป๋าเดินทางให้แน่นขึ้น ล้อลากมันฝืดแปลกๆ ถ้าต้องไปไหนอีกคงต้องมองหาใบใหม่

 

“เออๆ ไม่เถียง แล้วนี่มึงจะกลับคอนโดยังไง” คนอย่างไอ้ทอยไม่เคยเถียงชนะเพราะผมรู้จักนิสัยมันดีกว่าใคร มันเปลี่ยนเรื่องด้วยการตั้งคำถามที่ชวนให้นึกถึงบางคนที่ส่งไลน์บอกว่าจะมารับถึงสนามบินทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยให้ความสนใจเรื่องนี้เลย แปลก... เอาไว้ถามตอนเจอหน้าก็แล้วกัน

 

“มีคนมารับ”

 

“ใครที่ไหนวะ เด็กใหม่เหรอ” ไอ้ทอยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ ผมได้แต่พ่นลมหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ทำไมต้องคิดว่าคนนั้นคนนี้เป็นคู่ควงใหม่ด้วยวะ จะเป็นเพื่อน คนรู้จัก ญาติ หรือมีความสัมพันธ์แบบอื่นไม่ได้เลยหรือไง บางทีปัณณ์ก็ไม่ได้ส่ำส่อนขนาดนั้น

 

“เด็กมากมั้ง แก่กว่ากูสิบปีเนี่ย” ผมตอบอย่างกำกวมเพราะอยากแกล้งเพื่อนให้ตกใจเล่น อยากคิดอกุศลดีนัก ขอเตือนไว้แต่เนินๆ ถ้าใครคิดจะหลงเสน่ห์ไอ้กัปตันคนนี้ต้องทำใจหน่อย มันทั้งกาก ทั้งเกรียน และที่สำคัญโคตรหื่น

 

“ห๊ะ เดี๋ยวนี้แดกหญ้าแก่เหรอมึง” ไอ้ทอยถามเสียงดังจนผมต้องยกมือฟาดเข้าที่ไหล่แข็งๆ ของมัน ดูท่าทางแผนแกล้งจะไม่สำเร็จ เฉลยออกไปคงดีกว่า

 

“พ่อง ไปกันใหญ่แล้ว พี่ยูมารับน่ะ” ผมตอบไม่เต็มเสียงเพราะยังคาใจที่เขาอาสามารับกัน ไม่ใช่อยู่ๆ ก็เบี้ยวแล้วปล่อยให้โบกแท็กซี่กลับบ้าน ถ้าเป็นอย่างนั้นจะโกรธสักสิบปี คอยดู

 

“อะไรนะ โคตรเซอร์ไพร์ส!” ไอ้ทอยถึงกับหยุดเดินกะทันหัน ดวงตาคมเบิกค้างราวกับว่าเจอเรื่องอัศจรรย์ แต่ผมเข้าใจดีเพราะรู้สึกไม่ต่างกัน พี่ยูผีเข้าหรือไง ทำตัวดีด้วยแบบนี้ก็แย่สิ

 

“คงอยากต้อนรับพนักงานใหม่” ผมไหวไหล่เป็นเชิงไม่อยากคิดอะไรมากก่อนจะออกเดินเท้าต่อ แอบบ่นในใจว่าเมื่อไหร่จะถึงที่นัดหมายสักที เกลียดสนามบินกว้างขวางนี่เหลือเกิน

 

“ถุย เจ้านายมารับลูกน้องมีที่ไหนวะ ร้านอาหารก็ไม่ใช่ใกล้ๆ สักหน่อย” เจ้าหนูจำไมรีบเร่งฝ่าเท้านำหน้ากันเพื่อที่จะดักทาง แต่ผมเบี่ยงหลบได้ทัน ไม่อยากสบตาไอ้ทอย กลัวว่ามันจะเห็นอะไรบางอย่างในนั้น สิ่งที่เก็บไว้มานานจนลืมไปแล้ว

 

“มีสิ เพราะลูกน้องคนนี้มีศักดิ์เป็นน้องเมียของเขาไง” ผมคงมีความสำคัญกับพี่ยูเพียงเท่านี้ สถานะสุดท้ายที่สามารถเป็นได้ในชีวิต บางทีมันอาจจะฟังดูดีกว่าการเป็นรุ่นน้องคนสนิทล่ะมั้ง

 

“แลดูสำคัญว่ะ” ไอ้ทอยพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ แต่ไอ้คำพูดนี่จะทำร้ายจิตใจไปถึงไหนกัน หน้าตาซื่อๆ โง่ๆ นั่นอีก เตะสักทีดีไหม เรายังเป็นเพื่อนกันหรือเปล่าวะ ทำไมต้องซ้ำเติม

 

“นั่นสินะ ดูเหมือนจะสำคัญทั้งๆ ที่จริงแล้วก็ไม่” แต่ผมยอมรับความจริงข้อนี้ ตั้งแต่พี่ป่านและครอบครัวประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสองปีที่แล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พี่ยูต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ส่วนผมก็ทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย ความสูญเสียนี่มันยิ่งใหญ่จริงๆ

 

“มึงจะดึงดราม่าเพื่ออะไร” ฝ่ามือใหญ่ๆ ตบลงบนท้ายทอยจนผมถลาไปด้านหน้าเพราะไม่ทันตั้งตัว จะหันไปเอาคืนไอ้ทอยแต่กลับรู้สึกมึนและต้องใช้มันเป็นหลักยึด สัด นี่เพื่อนนะไม่ใช่ลูกบาสฯ

 

“กูเปล่าเหอะ มึงจะไปไหนต่อไหม” ผมแยกเขี้ยวใส่มันแล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากคุยเรื่องบั่นทอนจิตใจตัวเอง ตอนนี้อยากกลับคอนโดไปนอนยาวๆ ยันพรุ่งนี้เช้าเลยยิ่งดี

 

“กลับบ้านไปนอน ง่วงมาก” มันหาวหวอดประกอบคำพูดก่อนจะแกล้งทำตาปรือ หน้าอย่างกับคนเมา ผมหัวเราะพรืดแล้วยกมือเคาะหัวไอ้ทอย ถึงจะหล่อแต่มีความต๊องไม่แพ้ใคร

 

“เออ ขับรถดีๆ นะมึง อยากแหกโค้ง กูขี้เกียจตามไปเก็บซาก” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วผละตัวออกมาห่างๆ รู้ดีว่าเพื่อนต้องทำร้ายกันแน่ๆ ก็ดันปากหมาใส่มัน

 

“รักกูจังเนอะ” มันเบ้ปากใส่แล้วเดินมาล็อกคอ อยากจะถามไอ้ทอยจริงๆ ว่ามึงไม่อายสายตาผู้โดยสารกับพนักงานสนามบินบ้างหรือไง เล่นกันเหมือนเด็กอายุสิบสามทั้งที่จะสามสิบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตัวก็อย่างกับตึกทั้งคู่ไม่ได้ดูน่ารักเลย

 

“แน่นอน กูไปแล้วนะ” ผมผลักมันออกแล้วขอตัวแยกไปอีกทางเพราะต้องไปหาพี่ยูส่วนไอ้ทอยไปลานจอดรถ แต่มือหนาที่รั้งกันไว้นั่นทำให้ต้องชะงักเท้า อาลัยอาวรณ์กูขนาดนั้นเชียว จูบลาเลยไหม

 

“รีบไปไหนวะมึง คุยกันก่อน” ไอ้ทอยขมวดคิ้วยุ่งแล้วบีบข้อมือผมไว้แน่นแถมออกแรงกระตุกให้เข้าไปประชิดตัว ดูเผินๆ เหมือนคู่รักแต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย แค่สนิทกันมากเกินไปเท่านั้นเอง

 

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพี่ยูรอนาน” ผมแกะมือไอ้ทอยออกแล้วส่ายหน้าปฏิเสธอย่างจริงจัง ไม่อยากให้พี่ยูรอนานไปกว่านี้ เขาส่งไลน์มาบอกว่าถึงที่นี่ตั้งแต่สามทุ่ม ตอนนี้ปาเข้าไปจะสี่ทุ่มแล้ว อีกอย่างเราทั้งคู่ไม่ได้คุยกันอย่างจริงจังมาเกือบสองปีแล้วมั้ง ความสนิทลดลงน่าดู

 

ผมหันหลังให้เพื่อนสนิทเพื่อออกเดินอีกครั้ง แต่เสียงทุ้มที่คุ้นเคยของมันกลับรั้งกันเอาไว้พร้อมทั้งสัมผัสบีบเค้นที่หัวไหล่นั่น ขัดใจไอ้ทอยแล้วทำเป็นเมินได้ไหม มีอะไรค่อยโทรคุยหรือนัดเจอเวลาว่างก็ได้

 

“ปัณณ์...”

 

“ว่าไง” ผมถามโดยไม่หันไปมองหน้ามัน เริ่มหงุดหงิดที่โดนรั้งไม่จบไม่สิ้นสักที ถึงพี่ยูจะเป็นคนใจดีแต่ตอนนี้เขาเสียเวลาพักผ่อนไปมากแล้ว

 

“พี่ยูยังสำคัญกับมึงเหรอ” คำถามชวนคิดหนักจนผมได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงไปมากกว่านี้ เท่าที่ผ่านมาก็ช่วยดูแลกันมากเกินพออยู่แล้ว

 

“อื้ม ก็นั่นพี่เขยพ่อของหลานกูเชียวนะ” ผมหันไปคลี่ยิ้มกว้างให้มัน ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนได้คือเขาเป็นพ่อของหลานชายตัวน้อยๆ จะไม่สำคัญได้ยังไง

 

“โอเค สู้ๆ กับงานใหม่นะเพื่อน ไว้เจอกัน” ไอ้ทอยพยักหน้ารับก่อนจะตรงเข้ามากอดแล้วบอกลา หลังจากวันนี้ไปคงต้องเริ่มศึกษาอะไรหลายๆ อย่างเพื่มขึ้น ทั้งเรื่องของอาหารญี่ปุ่น การเลี้ยงเด็ก เผลอๆ อาจต้องเป็นคนดูพี่ยูด้วย ก็รายนั้นทำงานเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเสมอ ไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพเท่าที่ควร

 

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับพี่เขยที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขามีรูปร่างสูงใหญ่ หุ่นนายแบบ หน้าตาหล่อเหลาสไตล์หนุ่มลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นเหมือนหลุดออกมาจากนิตยสาร ตัดผมทรงอันเดอร์คัตทำสีน้ำตาลอ่อน ใส่เสื้อยืดสีขาวพอดีตัวเน้นสัดส่วนกับกางเกงผ้าขาสั้นสีเทา ร้องเท้าแตะแบบสอด บอกได้คำเดียวว่าออร่ากระจายในระยะสิบเมตรเลย

 

พี่ยูหันมาทางนี้พร้อมรอยยิ้มที่คลี่กว้างออกเมื่อเห็นผมในระยะที่เรียกได้ว่าสามารถขยับเข้ามาใกล้กัน อ้อมแขนแข็งแรงอ้าออกเพื่อกอดรับน้องชายต่างสายเลือด อกกว้างนั่นน่าซบแต่อย่าดีกว่า ไม่ได้คุยกันตั้งนานมันรู้สึกห่างเหินแปลกๆ

 

“สวัสดีครับพี่ยู” ผมผละมือจากกระเป๋าแล้วยกมือไหว้คนตรงหน้าพร้อมคลี่ยิ้มให้เป็นการทักทาย พี่ยูชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะโค้งตัวตามธรรมเนียมบ้านเกิด อยู่ใกล้กันขนาดนี้ถึงได้เห็นส่วนสูงที่ชัดเจน เขาสูงกว่าเกือบหนึ่งฝ่ามือ ก็นะร้อยแปดสิบกับร้อยเก้าสิบเชียว พอๆ กับอายุที่ห่างกันสิบปี

 

“เหนื่อยมากไหมปัณณ์ ได้ข่าวว่าบินจากญี่ปุ่นใช่ไหม” พี่ยูแสดงความเป็นห่วงด้วยการถามไถ่ ผมพยักหน้าตอบรับก่อนจะออกเดินเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา อีกเดี๋ยวเขาต้องขับรถไปส่งที่คอนโดอีก ซึ่งระยะทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ ด้วย

 

“ก็นิดหน่อยครับ วันนี้คึกอะไรมารับผมเนี่ย” ผมถามกลับด้วยความอยากรู้ก่อนจะลอบมองปฏิกิริยาบางอย่าง แต่พี่ยูทำเพียงแค่ยิ้มแล้วเอื้อมมือมาลูบหัวกันเหมือนสองปีที่แล้ว เขายังอ่อนโยนและเป็นพี่ชายที่แสนดีคนเดียว มีแต่ปัณณ์ล่ะมั้งที่เปลี่ยนไป

 

“นานแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย” คำพูดกำกวมคล้ายคนที่มีความสัมพันธ์มากกว่าพี่น้องทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจ ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าการกลับมาทำงานใกล้ๆ พี่ยูจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่พอเอาเข้าจริงก็ไปไม่เป็นอยู่ดี

 

“ผมทำงาน พี่ก็ทำงานไง ยุ่งด้วยกันทั้งคู่” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจทั้งที่อยากแหกปากตะโกนใส่หน้าเขาว่าเกลียดความอ่อนโยนแบบนี้เพราะมันทำให้ความรู้สึกเก่าๆ กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง พยายามไปมาเท่าไหร่ปัณณ์ก็ยังกลับมาสู่จุดเริ่มต้นได้เสมอ แย่ที่สุด โตจนป่านนี้แล้วแค่เรื่องง่ายๆ อย่างการลืมยังทำไม่ได้เลย

 

“นั่นสิ วันนี้เลยอยากรับไปหาอะไรกินไง” พี่ยูละมือออกจากศีรษะแล้วล้วงมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตามนิสัย ดูไปก็รู้สึกให้ความขี้เก๊กแต่ก็เท่ดี สาวๆ คงกรี๊ดกร๊าดกันน่าดู บางทีที่ร้านอาหาร ‘นัทสึ’ ลูกค้าเยอะก็เพราะสาเหตุนี้ล่ะมั้ง เพราะเคยเห็นรูปเขาในแท็กทวิตเตอร์อยู่บ่อยๆ #เชฟหล่อบอกต่อด้วย

 

“ระวังกระเป๋าฉีกนะครับ” อย่าคิดว่าผมจะมีความเกรงใจ ถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วไม่อยากอยู่ใกล้พี่ยูเกินควรแต่ของฟรีใครเกี่ยงบ้าง

 

“ตัวก็แค่นี้ จะกินได้สักเท่าไหร่กันเชียว” พี่ยูใช้แขนยาวๆ โอบไหล่กันอย่างสนิทสนม แผ่นหลังที่เกยอยู่บนอกกว้างร้อนวาบเพราะมันแนบชิดกันจนอากาศผ่านไม่ได้ ผมเม้มปากแน่นเพื่อสกัดกลั้นความรู้สึกกระอักกระอวนเอาไว้แล้วแสร้งทำตัวปกติ

 

“คอยดูเถอะ ผมจะกินให้พี่หมดตัวเลย” หัวเราะตบท้ายเพื่อความแนบเนียนทั้งที่พยายามเบี่ยงหน้าหลบ กลัวเขาจะเห็นความจริงที่ว่าผมไม่ได้รู้สึกอย่างที่แสดงออก

 

“หึหึ ตามสบายครับน้องชาย พี่เปย์ไหวแน่นอน” พี่ยูขยี้หัวผมแรงๆ แล้วผละออกไปเดินเคียงข้างตามปกติ ผมเหลือบมองเขาก่อนจะลอบถอนหายใจ ปัณณ์ยังไม่ได้อาบน้ำ เดี๋ยวกอด เดี๋ยวจับตรงนั้นตรงนี้ไม่เหม็นกันบ้างหรือไงวะ

 

พี่ยูเดินนำไปที่รถเอสยูวียี่ห้อหรูตัวใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปี เขาจัดการเปิดประตูรถให้ผมแถมยังช่วยยกกระเป๋าเก็บให้อีกต่างหาก ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อดูแลลูกชายวัยอนุบาล คงติดนิสัยมาจากการดูแลเจ้าหลานชายตัวแสบล่ะมั้ง ถ้าจำไม่ผิดปีนี้คงอายุสามขวบแล้ว กำลังซนได้ที่เลย

 

พี่ยูเลิกเปิดเพลงภาษาไทยที่ผมฟังรู้เรื่องทั้งที่ปกติแล้วเขาชอบฟังเพลงภาษาญี่ปุ่นมากกว่า ก็คนมันเกิดและโตที่นั่นคงคิดถึงเป็นธรรมดา บรรยากาศในรถไม่ได้อึดอัดอย่างตอนแรกเจอหน้า มือเรียวเคาะเป็นจังหวะตามทำนอง เขาดูผ่อนคลายอย่างน่าเหลือเชื่อ คงเพราะด้วยอายุที่กำลังย่างเข้าสู่วัยเลขสี่เลยทำให้นิสัยสุขุมมากขึ้น

 

“ปัณณ์...” อยู่ๆ เขาก็เรียกชื่อกันพร้อมทั้งเบนสายตามาทางนี้ คิ้วเรียวสวยขมวดยุ่งเหมือนกำลังมีเรื่องสงสัยอยู่ในใจ เป็นเพราะผมหรือเปล่านะ แต่เจอกันยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยจะเป็นไปได้ยังไง เลิกคิดมากสักทีน่าปัณณ์

 

“ครับ”

 

“ทำไมไม่แทนตัวเองด้วยชื่อกับพี่เหมือนแต่ก่อนล่ะ” คำถามของพี่ยูทำให้ต้องชะงักมือที่กำลังเสยผมอยู่ ดวงตารีเบิกขึ้นด้วยความตกใจ ไม่เคยคิดเลยว่าแค่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ตั้งใจเปลี่ยนนั่นจะติดใจเขาได้ขนาดนี้ ควรรู้สึกยังไงดีนะ

 

“เวลาเปลี่ยนอะไรๆ ก็ไม่เหมือนเดิมหรอกครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ พยายามปัดความคิดฟุ่งซ่านให้กระจายหายไปกับอากาศ ตอนนี้สิ่งที่ต้องโฟกัสคือการเลี้ยงเด็กและการเป็นพนักงานเสิร์ฟเท่านั้น

 

“แต่พี่ชอบเวลาที่ปัณณ์พูดแบบนั้นนะ” เขายิ้มและพูดประโยคชวนคิดอีกแล้ว ไม่รู้ตัวหรือไงว่ากำลังทำให้คนอื่นรู้สึกไม่มั่นคง ผมอุตส่าห์หยุดทุกอย่างเอาไว้เมื่อสองปีที่แล้ว แต่พี่ยูกำลังจะเปิดทางให้ทุกอย่างดำเนินต่อ... สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกมันน่ากลัวจริงๆ

 

“ทำไมครับ” ผมถามกลับเสียงเบาโดยที่ดวงตาโฟกัสอยู่ตรงถนนเบื้องหน้า แสงไฟนีออนสาดสว่างทำให้ราตรีนี้ดูไม่เงียบเหงาจนเกินไป ทำไมเพลงร็อคส์ต้องมาดังเอาจังหวะนี้ด้วยวะ ไม่เข้าบรรยากาศละมุนเลย

 

“น่ารักดี” คำชมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ผมขยำมือทั้งสองข้างเข้ากับเครื่องแบบพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน พี่ยูเป็นคนพูดดีปากหวานอยู่เสมอไม่ว่ากับใครตามแบบฉบับผู้ชายอบอุ่นพ่อบ้านชาวญี่ปุ่นประมาณนั้น ใครๆ ก็อยากได้เป็นสามี ไม่เว้นแม้กระทั่งเพื่อนของพี่ป่านและร่วมถึง... ช่างมันเถอะ แล้วนี่หลานชายตัวแสบหายไปไหน ลืมสนิทเลย

 


ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม♦♦ ทดลองชิม P.1 -15/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-03-2018 09:51:01
“แล้วนี่ ‘ริว’ ไปไหนครับ” ผมเหลียวมองใบหน้าด้านข้างของพี่ยูแล้วดันเผลอไล่สายตาไปตามสันกรามของเขา จมูกโด่งรับกับแว่นสายตาแบบกลมอย่างเข้ากัน ลุคแบบนี้ค่อยดูสมกับเป็นคุณพ่อลูกหนึ่งสักหน่อย เชื่อว่ามีสาวๆ หลายคนอิจฉาพี่ป่าน เพราะตั้งแต่เธอเสียชีวิตไปก็มีผู้หญิงมากหน้าหลายตาตบเท้ากันเข้ามาหาเขาไม่ขาดสาย เสน่ห์แรงจริงๆ ช่วงนี้เขาฮิตมีแฟนแนวแด๊ดดี้กันใช่ปะ

 

“อ๋อ วันนี้โอกาซังอาสาเลี้ยงริวให้น่ะ” หืม... เพราะแบบนี้ถึงได้มีเวลาว่างมาทำอะไรไร้สาระกับผมอย่างนั้นเหรอ เห็นปกติเวลานี้ต้องนอนกอดลูกชายตัวแสบ นี่ปัณณ์แย่งเวลาพักผ่อนเขาหรือเปล่าวะ อดคิดมากไม่ได้เลย

 

“คุณป้ามาไทยเหรอครับ”

 

“ใช่แล้ว อยากไปเจอไหม”

 

“ไม่ดีกว่าครับ ผมง่วง อยากกลับคอนโดไปนอนแล้ว” ผมตอบปัดเพราะยังไม่อยากเจอใครตอนนี้ คุณป้าให้ความรู้สึกเหมือนแม่มากเกินไปถ้าเห็นหน้าคงอดร้องไห้ไม่ได้

 

“หลังจากกินข้าวเสร็จพี่จะไปส่งนะ” พี่ยูหันมายิ้มให้อย่างจริงใจก่อนจะหักพวงมาลัยเข้าร้านข้าวต้มรอบดึกที่ยังเปิดทำการอยู่

 

กว่าจะจัดมื้อดึกกันเสร็จก็ปาไปเที่ยงคืนกว่า พี่ยูหาวแล้วหาวอีกจนผมกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว ตาปรือขนาดนั้นยังสามารถกินข้าวเป็นเพื่อนกันได้อีก สามารถจริงๆ เลย

 

ผมอาสาขับรถไปส่งตัวเองที่คอนโดเพื่อให้คุณพ่อนอนพักผ่อนสักตื่นเพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุหลังจากนี้ เขาอิดออดอยู่ครู่ใหญ่เนื่องด้วยความที่แก่กว่าเลยและไม่ได้เจอกันนานเลยอยากอำนวยความสะดวกให้ ปัณณ์รู้สึกขอบคุณจริงๆ แต่อย่าดื้อจนทำให้ต้องเป็นห่วงสิวะ แก่แล้วอย่าทำตัวเหมือนเด็กสิ

 

“อยู่คอนโดคนเดียวเหงาไหม” อยู่ๆ คนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็เอ่ยถามขึ้นพลางหันมามองกันเพื่อรอคำตอบ ผมขมวดคิ้วแน่น สงสัยว่าทำไมถึงถามแบบนี้ ก็อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เรียนมหา’ลัยนี่ ถ้าเหงาก็คงเหงาตายไปนานแล้วหรือเปล่า

 

“พี่ยูมาถามตอนนี้สายไปหรือเปล่าครับ” ผมถามกลับเสียงเรียบเพราะอยากดูปฏิกิริยา พี่ยูถึงกับเกิดอาการอึกอักมองกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย กำลังจะดราม่าหรือเปล่า ปัณณ์ขอโทษที่แกล้งว่ะ

 

“ก็...” พี่ยูพูดได้แค่นั้นก็เงียบไปเหมือนหาคำตอบไม่เจอ ถ้าจะบอกว่าเขาละเลยน้องชายคนนี้คงไม่ใช่เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันก็ใส่ใจอยู่เสมอ ผมก็แค่แยกมาอยู่คนเดียวด้วยตัวเอง ไม่มีใครอยากเข้าไปเป็นตัวถ่วงของคู่รักหรอก

 

“ผมล้อเล่นน่า ขมวดคิ้วไปได้” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเลี้ยวจอดที่หน้าคอนโดหรูใจกลางเมือง พลางปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยเพื่อเตรียมลงจากรถแต่กลับโดนมืออุ่นรั้งหัวไหล่ไว้ก่อน ดวงตาคมที่มองมามีแววอ้อนวอนจนอดขมวดคิ้วไม่ได้ พี่ยูต้องการอะไร

 

“พี่อยากให้ปัณณ์ย้ายไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน” น้ำเสียงนุ่มเชิญชวนให้ผมทำสิ่งที่ลำบากที่สุดในชีวิต เขาพยายามเข้ามาดูแลกันตั้งแต่สูญเสียครอบครัววันแรก แต่ด้วยความเป็นปัณณ์ที่อยากรักษาระยะห่างอย่างพอดีเพราะเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดสักอย่าง กลัวคนอื่นจะเอาไปนินทาลับหลัง

 

“ไม่ครับ ผมขออยู่คอนโดเหมือนเดิมดีกว่า สัญญาว่าจะไม่ไปทำงานสาย” เพื่อความสบายใจของผมเพียงคนเดียว แต่สำหรับพี่ยูแล้วคงกังวลแทบบ้า โดยปฏิเสธไปรอบที่ร้อยแล้วมั้งควรเลิกตื๊อสักที

 

“พี่ไม่ได้กังวลเรื่องนั้น” พี่ยูเอื้อมมือมาจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเพื่อบังคับให้สบตากัน อยากจะขัดใจแล้วปัดป่ายสัมผัสนั่นทิ้งแต่ทำได้แค่จ้องกลับไปเท่านั้น ปัณณ์มีสิทธิ์อยู่ในความดูแลของเขาด้วยเหรอ ในฐานะน้องชายของเมียเก่าน่ะนะ ตลกตายเลย

 

“ผมอยู่ได้สบายดีครับ ไม่ต้องห่วง”

 

“พี่อยากดูแลปัณณ์” คำเดิมที่เคยฟังมาตลอดหลายปีถูกเอ่ยออกมาอีกครั้งพร้อมกับแรงบีบที่หัวไหล่ ผมเบนหน้าหนีสายตาอ้อนวอนของเขา ถ้าใจอ่อนเมื่อไหร่ความรู้สึกที่พยายามกดไว้จนลึกจะหวนกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

 

“ผมดูแลตัวเองได้”

 

“ปัณณ์...” พี่อย่าเรียกผมด้วยเสียงที่อ่อนโยนแบบนั้นสิวะ

 

“ผมไม่สะดวกครับ พอดีว่า ‘แฟน’ จะมาอยู่ด้วยน่ะ” ผมโกหกคำโตก่อนจะผละตัวออกมาเมื่อพี่ยูคลายแรงบีบลง ประตูถูกเปิดพร้อมๆ กับขาที่หย่อนลงจากรถ ต้องรีบขึ้นคอนโดสักที ไม่อย่างนั้นกลัวว่าคืนนี้คงไปจบที่บ้านเขาอย่างแน่นอน

 

“อ๋อ... มีแฟนแล้วเหรอ พามาแนะนำให้รู้จักบ้างสิ” เขาเปลี่ยนน้ำเสียงและท่าทางอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ส่าผมจะมีคนมาอยู่ด้วย นี่พี่ยูกลัวน้องชายเหงาจริงๆ เหรอวะ แล้วไอ้แฟนอะไรนั่นก็เป็นของจอมปลอม ถ้าคู่ขาก็พอมีบ้างประปราย ไม่อยากจริงจังกับใครให้เสียใจซ้ำซาก

 

“ผมคิดว่าคงไม่เหมาะเพราะเขาเป็นผู้ชาย” มันคือการเบี่ยงประเด็น ที่กล้าพูดไปแบบนั้นเพราะความจริงแล้วผมเป็นไบเซ็กซ์ชวล หญิงก็ได้ชายก็ดี รุกได้ทุกสถานการณ์แต่ไม่เคยเป็นรับให้กับใครทั้งนั้น

 

“เฮ้ย พี่ไม่ถือเรื่องนี้ ชิวๆ เลย” พี่ยูโบกมือเป็นพัลวันพลางหัวเราะร่า บ่งบอกให้รู้ว่าเขาไม่คิดมากเรื่องนี้จริงๆ สมกับเป็นผู้ใหญ่รุ่นใหม่ที่มองโลกกว้าง

 

“งั้นเหรอครับ ไว้ผมจะพาไปที่ร้าน” ผมคลี่ยิ้มส่งไปให้เขาก่อนจะคิดในใจว่าจะเอาคู่ขาคนไหนออกหน้าออกตาดีวะ ต้องเลือกหนุ่มน้อยที่แสดงละครเก่งๆ เด็กนิเทศศาสตร์ที่กำลังคุยอยู่ก็น่าสนใจดี

 

“โอเค คืนนี้ฝันดีนะ” พี่ยูโน้มตัวมาบอกฝันดีกันในระยะประชิด ลมหายใจที่เป่ารดข้างแก้มทำให้ผมดีดตัวออกจากเบาะอย่างรวดเร็ว หัวใจจะวาย ทำไมต้องมาแกล้งกันตอนนี้ด้วยวะ เกลียด!

 

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังลั่นรถแบบไม่เกรงใจใคร ผมได้แต่หน้างอง้ำเพราะเผลอเอาหัวชนขอบประตูรถอย่างจัง คนเจ็บต้องเหยียบซ้ำหรือไง โอย หงุดหงิดที่สุด เจ็บก็เจ็บ ยังไม่ช่วยเหลือกันอีก โกรธพี่ยูจริงๆ ด้วย

 

“Nightmare!”

 

ผมจะรอดพ้นวัฏจักรความรู้สึกของตัวเองไปได้นานแค่ไหนกันวะ มันกำลังจะวนลูปอีกครั้งใช่ไหม เฮ้อ







---------------------------------------------------



บทนำมาแล้วน้า ฝากติดตามเรื่องนี้ด้วยเนอะ

ติดแท็ก #รักรสกลมกล่อม เม้าท์มอยได้น้า เดี๋ยวเราตามไปส่อง

ติชมได้เนอะ ^^
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 1 : ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด P.1 -15/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-03-2018 13:27:08
จานที่ 1 : ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด



วันแรกของการเริ่มงานใหม่ช่างไม่สดใสเอาซะเลยเนื่องจากสายฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ผมได้แต่ยืนมองสภาพอากาศแปรปรวนก่อนจะถอนหายใจเฮือก ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่ จะให้เดินตัวเปล่าไปหน้าปากซอยเพื่อรอรถโดนสารคงไม่ไหว ทำไมซวยอะไรขนาดนี้

ผมตัดสินใจปิดประตูกระจกลงเมื่อละอองฝนกระเด็นเข้ามาด้านในจนทำให้ผ้าเช็ดเท้าและพื้นเปียกชื้น เดือดร้อนต้องหาอะไรมาเช็ดอีก ขืนปล่อยทิ้งไว้คงได้ลื่นหัวแตกกันพอดี ไม่น่าทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีเลยปัณณ์ ต้องมานั่งหัวเสียแบบนี้มันคุ้มหรือไง

Rrrrr
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ผมต้องผละตัวออกจากประตูระเบียงเพื่อตรงไปรับสาย ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอสี่เหลี่ยมนั้นชวนให้มือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ พี่ยูต้องโทรมาด่าแน่ เพราะตอนนี้ใกล้เวลาเริ่มงานเข้าไปทุกที ร้านเปิดสิบโมงเช้าแต่ต้องเข้าไปเตรียมของตั้งแต่เก้าโมง ตอนนี้แปดโมงครึ่งแล้วปัณณ์ยังไม่ก้าวขาออกจากคอนโด ฉิบหาย

“สวัสดีครับพี่ยู” ผมกดรับสายแล้วกรอกเสียงเรียบๆ ลงไปพลางทิ้งตัวนั่งบนเตียง ดวงตารีเหม่อมองสถานการณ์ด้านนอกอีกครั้งก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัว เอาไงกับชีวิตต่อดี ฝนตกเหมือนฟ้ารั่ว ถ้าให้ขี่สปอร์ตไบค์ฝ่าไปคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ เกิดป่วยขึ้นมาคงถูกหักเงินเดือนยับเยิน ยังไม่ผ่านการทดลองงานสามเดือนเลยนะเว้ย

‘โอะฮะโย ปัณณ์ออกมาทำงานได้หรือเปล่า ที่ร้านฝนตกหนักมาก’ ปลายสายแสดงความเป็นห่วงแทนที่จะโทรมาดุทำให้ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หางตาเหลือบเห็นรูปบนโต๊ะข้างหัวเตียงก็ได้แต่คลี่ยิ้มบางให้ พี่ป่านมีสามีที่ดีนะแถมยังน่ารักเอาใจใส่คนอื่นเสมอด้วย มีใครบ้างที่ไม่หลงผู้ชายคนนี้

“ตอนนี้คงออกไปไม่ได้ครับ ขอโทษที่เริ่มทำงานวันแรกก็มีแววจะสายซะแล้ว” ผมนึกย้อนไปถึงคำพูดของตัวเองที่สนามบินแล้วอยากหยิบหมอนมาอุดจมูกให้ตาย เสียเซลฟ์มากที่ทำไม่ได้ตามนั้น อุตส่าห์มั่นใจว่าไม่มีปัญหาเรื่องตื่นเช้าแต่ดันเกิดเหตุสุดวิสัย เบื่อจริงๆ

‘เหตุสุวิสัยน่า ไม่ต้องขอโทษหรอก ให้พี่ไปรับที่คอนโดไหม?’ พี่ยูยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจมาให้แต่จากพี่ผมลองคำนวณระยะทางดูแล้วคงไม่ตอบรับความช่วยเหลือจะดีกว่า ขืนยอมตกลงแล้วใครจะดูแลร้านช่วงนั้น อีกอย่างฝนตกรถก็ติด ไม่เวิร์คแน่ๆ ทั้งยังเป็นการรบกวนเขาด้วย

“หยุดความคิดนั่นเลยพี่ยู เดี๋ยวผมโทรให้เพื่อนมารับแล้วไปส่งที่ร้านก็ได้” ผมเบรกความคิดของเขาจนหัวแทบทิ่ม ตกใจเกือบสบถคำหยาบออกไป ร้านอยู่เกือบถึงชานเมืองแต่จะถ่อสังขารมารับคนที่พักใจกลางเมือง ไม่บ้าก็บ๊องแน่ๆ ทำอย่างกับตัวเองมีเวลาเหลือเฟือ

‘หืม มีเพื่อนที่จะผ่านมาทางนี้เหรอ?’ พี่ยูถามกลับด้วยความสงสัยก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงโครมครามดังตามมา นั่นเขากำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับขายอาหารวันนี้ใช่ไหม อยู่กับพี่เคียวจริงๆ เหรอวะ คงยุ่งวุ่นวายน่าดูแต่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงน้องชายคนนี้ นิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลยสินะ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เป็นแบบนี้

“บังคับมันไป” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนเอนตัวลงบนที่นอนแล้วคว้าตุ๊กตานุ่มนิ่มมากอดไว้แนบอก ความขี้เกียจเริ่มโถมเข้าใส่ ริมฝีปากหยักอ้าออกกว้างเพื่อหาว ง่วงอีกแล้ว เมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาเข้าไปตีสามเพราะสมองมัวแต่คิดเรื่องไร้สาระ ต้นเหตุคือพี่ยูคนเดียว ชอบแกล้งกันดีนัก อย่าให้มีโอกาสเอาคืนบ้างแล้วกัน

‘ถ้าฝนหยุดตกเมื่อไหร่ปัณณ์ค่อยมาที่ร้านก็ได้ ลูกค้าคงไม่เยอะหรอก อีกอย่างริวก็ยังอยู่กับโอกาซัง’ พี่ยูร่ายยาวยืดแต่ผมก็จับใจความสำคัญได้จนเผลอหลุดยิ้มออกมา เจ้านายที่ไหนเขายอมลูกน้องขนาดนี้บ้างวะ ไม่ขาดทุนแย่เหรอ แปลกคนจริงๆ

“โห สวัสดิการดีเว่อร์มากครับ ปล่อยให้ผมเข้างานสายได้ด้วย” ผมพูดเสียงหัวเราะก่อนจะดีดตัวขึ้นจากเตียงเมื่อได้ยินเสียงฝนเทกระหน่ำมากกว่าเดิม สงสารต้นดอกกุหลาบที่อยู่ริมระเบียงนั่น ไหนจะสวนที่พี่ป่านเคยทำเอาไว้ พังหมดแล้วมั้งตอนนี้ ไกลออกไปแทบมองไม่เห็นทัศนียภาพใดๆ แล้วเพราะมันขาวโพลนไปหมด อย่าหวังว่าวันนี้จะได้ทำงานเลย เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วซุกตัวในผ้าห่มดีกว่ามั้ง อากาศพร้อมคนพร้อม

‘แค่ปัณณ์คนเดียวเท่านั้นล่ะที่ได้สิทธิพิเศษข้อนี้’ ผมไม่รู้ว่าปลายสายมีสีหน้ายังไงตอนพูดประโยคนี้ แต่คำว่า ‘คนเดียว’ นั้นมีอานุภาพทำลายล้างที่รุนแรงเหลือเกิน หัวใจเต้นตึกตักอย่างน่ากลัว พี่ยูช่างเป็นบุคคลที่รับมือยากจริงๆ เขากำลังทำให้ความพยายามหลายปีของปัณณ์พังทลาย

“อ่า... โอเคครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะ จะไปหาอะไรกิน” ผมตัดบทเพื่อจบการสนทนาชวนอึกอักทั้งที่ในห้องไม่มีแม้แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไม่สามารถซื้อตุนเอาไว้ได้เพราะเมื่อก่อนบินไปบินมาตลอดเวลากลัวมันหมดอายุแล้วเสียดาย

“มาตะ เนะ” (แล้วเจอกัน) พี่ยูบอกลาเสียงใสก่อนจะตัดสายไปเตรียมวัตถุดิบทำอาหารต่อ ส่วนผมทำเพียงแค่วางโทรศัพท์ลงข้างตัวแล้วยกมือขึ้นลูบหน้าไล่ความสับสนในใจออกไป ต้องไม่รู้สึกสิวะ พยายามมาได้ตั้งนาน จะมาเสียเรื่องเอาตอนที่กลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้งไม่ได้ เขาก็ใจดีกับคนอื่นแบบนี้ไปเรื่อย ไม่ได้เจาะจงเฉพาะกับปัณณ์หรอก อย่าเข้าข้างตัวเอง

ผมไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนลากสังขารเปลี้ยๆ ลงลิฟท์หาอะไรกินที่มินิมาร์ทข้างคอนโด แต่เนื่องด้วยฝนที่ตกกระหน่ำเลยทำได้แค่เพียงถอนหายใจและยืนนิ่งๆ อยู่หน้าประตูห้องโถงเพราะไม่สามรถทำอะไรได้ ร่มไม่มี เสื้อกันฝนไม่มี แล้วเช้านี้ปัณณ์จะเอาอะไรยัดใส่ท้องวะ สภาพหลังลาออกจากงานทำไมถึงรันทดได้ขนาดนี้

ตอนที่จะหันหลังกลับขึ้นห้องนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายรูปร่างคุ้นตากำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ในมือของเขาถือร่มคันใหญ่พอสำหรับสองคนแต่ก็ไม่สามารถปกป้องรองเท้าผ้าใบสีขาวได้ ใส่อะไรแบบนี้ตอนฝนตกมันโง่หรือโง่วะ ไม่เข้าใจจริงๆ

“มาทำอะไรเนี่ย?” ผมเอ่ยถามผู้ชายตรงหน้าที่กำลังจัดการกับรองเท้าเปียกๆ ของตัวเอง มือหนาหยุดชะงักกึกก่อนจะเปลี่ยนเป็นตวัดสายตามองกันพลางขมวดคิ้วเหมือนเจอของแปลก ก็คนมันแปลกใจผิดด้วยเหรอวะ

“เห็นฝนตกเลยกะว่าจะมารับไปส่งที่ร้าน” มันตอบกลับแล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนส่งยิ้มหวานมาให้ แต่ดูกวนตีนจนต้องเบ้ปากใส่ ไม่ชอบความเสแสร้งของไอ้ทอยจริงๆ

“งานการไม่มีทำเนอะ” ผมลอยหน้าลอยตาแล้วกอดอกมองไอ้ทอยที่กำลังเทน้ำออกจากรองเท้าผ้าใบคู่โปรด นี่ถ้าลองเอาปลาทองมาเลี้ยงคงดีไม่นอน น้ำขังเยอะขนาดนั้น

“วันนี้ไม่มีตารางบิน อย่ากล่าวหา” มันแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะแกล้งสะบัดน้ำที่ติดร่มให้กระจายไปทั่ว ผมกระโดดหลบจนเกือบลื่นหัวแตกตายอยู่หน้าประตู แม่ง อยากฆ่าไอ้ทอยทิ้งจริงๆ เล่นบ้าอะไรเนี่ย

“สัด!” ผมสบถด่าก่อนจะยกขายันก้นมันด้วยความหมั่นไส้ ไอ้ทอยหลบได้อย่างหวุดหวิดสมแล้วที่เป็นนักบาสฯ เก่าของมหา’ลัย หึ อย่าคิดว่าจะรอดไปตลอดนะ ยังไงปัณณ์ต้องเอาคืนแน่นอน

“แล้วนี่มึงจะไปไหน?” ไอ้ทอยเสยผมขึ้นแล้วสะบัดหัวเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นในสายตาคนอื่นคงหล่อเท่แต่สำหรับปัณณ์แล้วน่าหมั่นไส้มากกว่า ทำตัวเรียกคะแนนจากสาวๆ ที่ยืนอยู่มุมตึกไปได้ อยากบอกพวกเธอเหลือเกินว่ามันแอ๊บ ถ้าผัวเขาถือปืนมายิงจะไม่ช่วยเลย ปล่อยให้ตายอยู่ตรงนี้ล่ะ

“มินิมาร์ท หาอะไรกิน” ผมชี้ไปทางเป้าหมายที่อยู่ห่างออกไปเพียงห้าเมตร ถ้าไม่รู้สึกตัวรุมๆ หรือเจ็บคอคงกล้าเดินผ่าสายฝนจนถึงมินิมาร์ท เสียงท้องร้องดังจนไอ้ทอยที่ยืนอยู่ใกล้ถึงกับหลุดหัวเราะ นี่มันกี่โมงแล้วทำไมหิวได้ขนาดนี้วะ ลืมหยิบโทรศัพท์ลงมาซะด้วย

“อ๋อ ไปๆ เดี๋ยวกูกางร่มให้” มันยังไม่หยุดหัวเราะแถมกางร่มใส่หน้าผมจนเสื้อโดนละอองน้ำเป็นจุดๆ อยากจะถีบมันให้กระเด็นนัก คนยิ่งใส่สีขาวอยู่ด้วย

“เพื่อ... ให้กูยืมร่มก็พอปะ” ผมกระชากร่มออกจากมือคนตรงหน้าแต่มันไม่ยอมปล่อยจึงทำให้ตัวเขื่องๆ ถลาเข้ามาปะทะกัน ปลายจมูกไอ้ทอยเกือบจรดลงบนแก้ม ดีหน่อยที่ปัณณ์เบี่ยงตัวหลบทัน โอย ขนลุกตั้งแต่เช้า วันนี้คงซวยไปทั้งวันแน่ๆ

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินหนีมันไปอีกทาง ตัดสินใจว่าจะเดินผ่าฝนเพราะรำคาญไอ้ทอยที่ทำตัววุ่นวายไม่เลิก เดี๋ยวแกล้ง เดี๋ยวอ่อนโยน สติแตกเพราะโดนผู้หญิงทิ้งหรือไง

“อยากไปส่งมึง” ไอ้ทอยตามมากางร่มให้แล้วพูดประโยคชวนขนลุก ผมถึงกับชะงักเท้าแล้วหันไปคว้าคอเสื้อมันอย่างเอาเรื่อง แม่ง ทำไมต้องมาตีกันกลางฝนด้วย รองเท้าแตะเปียกหมดแล้วเนี่ย

“ไอ้นี่... ผีเข้าเหรอ”

“ไม่ถามสักเรื่องจะตายไหม” มันใช้นิ้วจิ้มลงบนหน้าผากกันอย่างแรงต่อด้วยการบุ้ยปากใส่เหมือนเด็กโดนขัดใจ ผมไม่ยอมโดนกระทำฝ่ายเดียวเลยยกเท้าเตะหน้าแข้งไอ้ทอยไปหนึ่งที ได้ยินเสียงร้องซี๊ดก่อนจะกระโดดเร่าๆ ตามมา สมน้ำหน้า อยากซ่าดีนัก

“ก็มึงทำตัวประหลาด จะมาเทคแคร์กูทำไม” ผมแย่งร่มมาถือเอวไว้ซะเองแล้วมองเพื่อนด้วยสายตาเย้ยหยัน ไอ้ทอยแยกเขี้ยวใส่แต่ไม่กล้าลงไม้ลงมือด้วยเพราะถ้าปัณณ์โมโหจริงๆ ขึ้นมามันอาจจะตายคามือ

“เป้าหมายกูคือแคชเชียร์ที่มินิมาร์ทเว้ย ใครจะพิศวาสคนแบบมึง ตัวอย่างกับควาย” ผมถึงบางอ้อทันทีที่มันเฉลย จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วมันไปติดใจแคชเชียร์สาววัยมหา’ลัยคนหนึ่ง เธอหน้าตาจิ้มลิ้มติดหมวยๆ ผิวขาว ตัวเล็ก สเปคไอ้ทอยชัดๆ เพราะสมารถอุ้มขึ้นเตียงหรือหนีบเอวได้สบาย แต่น้องเขามีผัวเป็นทอมปะวะ... ช่างแม่งเถอะ ไม่ใช่เรื่องของปัณณ์

“มึงก็ควายพอกัน” ผมไม่ยอมแพ้เลยด่ามันกลับ ขนาดตัวใหญ่และส่วนสูงพอๆ กัน ถ้าจะเป็นควายมันก็ต้องควายทั้งคู่ อย่าหือ!

“ครับคุณเพื่อน ไปได้ยัง” ไอ้ทอยโค้งรับอย่างสุภาพแต่มันคือการประชดแบบนิ่งๆ ให้ผมได้ทำหน้าบูดใส่ก่อนจะคว้าร่มมาถือซะเองแล้วแบ่งที่ให้มันเดินข้างกัน

ระหว่างทางผมพยายามคิดว่าจะซื้ออะไรกินเป็นมื้อเช้าแต่เสียงฮัมเพลงผิดคีย์ของไอ้ทอยรบกวนสมาธิกันอย่างแรง ใช้ศอกกระทุ้งท้องมันก็แล้ว แกล้งเหยียบเท้าก็แล้วยังไม่หยุดหอน ต้องสับท้ายทอยให้สลบอยู่กลางถนนเลยไหม เพลียใจกับจริงๆ

ผมสะบัดน้ำออกจากรองเท้าแตะก่อนจะเข้ามินิมาร์ท ส่วนไอ้ทอยหยุดชะงักอยู่หน้าเค้าน์เตอร์แคชเชียร์เมื่อเห็นสาวน้อยที่มันหมายตากำลังทำงานอยู่ มือหนาหยิบกล่องถุงยางส่งให้เธอพร้อมกับสื่อความหมายทางสายตา คืนนี้คงได้หมอนข้างแล้วล่ะ ถ้าผัวทอมของน้องเขาไม่เอามีดจ้วงแทงมันน่ะนะ ส่วนปัณณ์ก็นอนกอดอากาศตามแบบฉบับคนไร้แฟน

ผมเลือกหยิบอาหารแช่งแข็งสองสามกล่องและไส้กรอกเพื่อกินมื้อเช้าทั้งอาทิตย์ เดินวนไปวนมาเพื่อเลือกขนมเอาไปฝากเจ้าตัวแสบอีกนิดหน่อยแล้วถือตะกร้าไปวางบนเค้าน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน แต่สาวแคชเชียร์ตรงนั้นกลับยืนนิ่งเป็นเสา แก้มแดงหูแดงเพราะโดนไอ้ทอยจับมือ เอาเข้าไป มึงจะจีบกันยันร้านปิดเลยไหม กูหิว

“ช่วยคิดเงินด้วยครับ” ผมทะลุกลางปล้องด้วยรอยยิ้มเย็น ไอ้ทอยสะดุ้งปล่อยมือสาวตรงหน้าแล้วหันมาถลึงตาใส่กัน คงแค้นน่าดูแต่ทำอะไรไม่ได้สินะ สะใจจัง

“อะ อ๋อๆ ได้ค่ะคุณลูกค้า” ส่วนเธอรีบลนลานคิดเงินให้ผมโดยไม่ยอมมองหน้า มือเล็กๆ นั่นสั่นกึกหยิบของหล่นบ้างปัดโดนนั่นโดนนี่บ้าง ดูไปแล้วก็น่ารักดี ถ้าไอ้ทอยจริงจังกับน้องเขาอาจจะไปได้ไกลล่ะมั้ง เพราะเมื่อครู่ได้ยินแว่วๆ ว่าไม่ใช่คนใจง่าย

“มึงนี่มารผจญจริงๆ” ไอ้ทอยพูดเสียงรอดไรฟันอยู่ข้างหู แต่ผมเลือกที่จะเมินแล้วหยิบเงินขึ้นมาจ่ายให้น้องแคชเชียร์ก่อนเดินผ่านหน้ามันออกจากมินิมาร์ทแล้วหยิบร่มขึ้นกางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แกล้งกลับบ้างคงไม่โกรธกันนะเพื่อน หึหึ

ผมกดลิฟท์ขึ้นชั้นสิบห้าโดยมีวิญญาณตามติดห้อยท้ายมาด้วย ไล่ให้กลับบ้านก็ไม่ไป ดั้นด้นบอกว่าจะไปส่งกันท่าเดียว ด้วยความขี้เกียจเถียงก็เลยหยิบไส้กรอกใส่ไมโครเวฟเผื่อไอ้ทอยอีกถุง ถือว่าเป็นการปิดปากมันไปในตัว ขี้เกียจฟังเสียงงอแงเป็นเด็ก น่ารำคาญจะตาย

ไอ้ทอยนั่งกินไส้กรอกอย่างสงบเสงี่ยมพร้อมกับพิมพ์ไลน์คุยกับบรรดาเด็กในสังกัด ส่วนผมตักข้าวผัดกะเพราใส่ปากเคี้ยวหงุบหงับพลางดูเวลาในโทรศัพท์ จะสิบโมงแล้วยังไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกเลย

“เออ แล้วนี่จะไปส่งกูจริงๆ เหรอ” ผมวางช้อนลงแล้วถามไอ้ทอยให้แน่ใจ กลัวมันจะเปลี่ยนใจ

“อืม ตามนั้น” มันพูดเสียงอู้อี้เพราะยังมีไส้กรอกเต็มปาก สกปรกไม่มีใครเกิน อยากให้สาวๆ มาเห็นสภาพนี้เหลือเกินจะได้เลิกกรี๊ดพ่อกัปตันขี้เก๊กนี่สักที ผมไม่ได้อิจฉาที่มีผู้หญิงติดน้อยกว่ามันเลยนะ จริง จริ๊ง

“ทำไมวะ” ผมถามถึงเหตุผลอีกครั้งเพราะคราวนี้มันจะอ้างเรื่องสาวน้อยแคชเชียร์นั่นไม่ได้อีก มันถ่อสังขารมาที่นี่ก็ว่าไกลแล้วถ้าต้องขับรถไปจนถึงร้านพี่ยูก็เหมือนข้ามจังหวัดเลยทีเดียว

“แค่อยากไปดูหน้าคนที่มึงชอบให้ชัดๆ อีกสักครั้ง” มันยักคิ้วหลิ่วตาใส่ก่อนจะคว้าจานใส่กรอกพร้อมทั้งกล่องข้าวของผมไปจัดการล้างหรือทิ้งให้ ถึงแม้ว่าไอ้ทอยคือเพื่อนตั้งแต่สมัยประถมแต่ไม่เคยเข้าใกล้หรือคลุกคลีกับพี่ยูเลย รู้จักกันแค่ผิวเผิน เจอหน้าก็แทบนับครั้งได้

ไอ้ที่ใช้คำว่า ‘ชอบ’ น่ะ ผิดหรือเปล่า

“เคยชอบ ใช้คำให้มันถูกต้องหน่อย” ผมแย้งเมื่อรู้สึกกระอักกระอวนกับประโยคเมื่อครู่ ไอ้ทอยเหมือนจะพึ่งรู้ตัวว่าพูดผิดเลยรีบตระครุบปากไว้ แต่ดวงตาที่จ้องมามีแต่แววสนุกสนาน เดี๋ยวถีบตกเก้าอี้เลยนี่ สำนึกให้จริงสักครั้งเถอะ ไอ้เพื่อนเวร!

“ครับๆ เคยก็เคย” มันกลั้นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงแล้วออกปากว่าจะไปส่งกันที่ร้านตอนนี้เลย ผมซึ่งทำอะไรไม่ได้นอกจากแยกเขี้ยวใส่เพราะหลังจากนี้ต้องพึ่งไอ้ทอย ฝากไว้ก่อนเถอะ สักวันขอให้มึงเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ! แสบดีนัก

ขอเสียอย่างหนึ่งของการได้นั่งรถสปอร์ตเปิดประทุนของไอ้ทอยคือมันไม่เปิดเพลง มันต้องใช้สมาธิในการขับสูงเพราะเมื่อหลายปีก่อนเคยประสบอุบัติเหตุรถชนจนต้องพักรักษาตัวไปเกือบสองเดือน คงจะเข็ดกับความประมาทในตอนนั้นยันปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นการชวนคุยก็พอตอบกลับได้บ้าง

“ทอย...” ผมเรียกชื่อมันเมื่อนึกถึงเรื่องที่เคยคุยค้างไว้กับพี่ยูตั้งแต่เจอหน้ากันวันแรก มันเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรทั้งที่ตายังมองไปด้านหน้า นี่สินะคนที่มีประสาทสัมผัสดี สมแล้วที่เป็นนักบินทำหลายๆ อย่างได้พร้อมกัน

“หืม”

“พี่ยูให้กูพาแฟนไปแนะนำให้รู้จัก” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไป เด็กที่เรียนนิเทศฯ ก็ขาดการติดต่อไปดื้อๆ สาเหตุเพราะกำลังอยู่ในช่วงสอบ กว่าจะว่างก็คงเดือนหน้า คิดเหรอว่าพี่ยูจะปล่อยให้ปัณณ์อยู่คนเดียวไปถึงตอนนั้น

“ห๊ะ มึงมีของแบบนั้นซะที่ไหน” ไอ้ทอยอุทานเสียงดังก่อนจะเหยียบเบรกจึกจอดไฟแดง หัวเกือบทะลุกระจกแล้วไหมล่ะ ตกใจโอเว่อร์เกินไปไหมมึง อยากหันไปด่าให้มันลืม้านเลขที่แต่ตอนนี้เรื่องที่ต้องโฟกัสคือการหาแฟนปลอมๆ ไปหลอกพี่ยู

“กูโกหกเขาว่ะ ก็ไม่อยากย้ายไปอยู่ที่บ้านด้วยกัน” ผมบอกไอ้ทอยเสียงอ่อยก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าเผื่อจะลดความกังวลที่มีในใจ แต่เมื่อเสียงของเพื่อนดังขึ้นหัวใจก็แทบหยุดเต้น

“กลัวความรู้สึกเดิมๆ กลับมาว่างั้น” ไอ้ทอยพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้สื่อถึงความดราม่าแต่ผมกลับจุกจนพูดไม่ออก ได้แต่มองเหม่อตรงไปด้านหน้าพลางคิดถึงเรื่องราวในอดีต ครั้งหนึ่งที่เคยรู้สึกรักและครั้งที่ที่เคยพยายามตัดใจ

“แสนรู้เนอะ” ผมหัวเราะตบท้ายเพราะรู้สึกสมเพชตัวเอง ถ้าหากมั่นใจว่าตัวเองตัดใจได้แล้วทำไมต้องกลัว

“ไม่ต้องหลอกด่ากู” มันบุ้ยปากใส่ก่อนจะเอื้อมมือมาฟาดขาผมเต็มแรง เจ็บจนเผลอร้องโอ๊ยดังลั่น แม่ง ทำร้ายกันแบบนี้เลยเหรอ อยากเอาคืนแต่ต้องยั้งไว้เพราะไอ้ทอยกำลังขับรถอยู่ ถ้ามันตกใจเดี๋ยวพากันเข้าป่าพอดี

“จะทำไงดีวะ”

“ให้กูเป็นแฟนมึงไหม” ข้อเสนอมันดีแต่สิ้นคิดไปหน่อยไหมเพราะ...

“พ่อง พี่ยูรู้จักมึงเหอะ” ผมสบถด่ามันแบบไม่ต้องคิดให้ซับซ้อน พี่ยูรู้จักไอ้ทอยดีจากการเล่าสู่กันฟังมานาน ถึงทั้งสองคนไม่สนิทกันแต่ก็พอรู้นิสัยใจคอกันดี จะให้โกหกว่าเพื่อนเป็นแฟนคงไปไม่รอด เดี๋ยวจะโดนหาว่าหลอกผู้ใหญ่

“อ้าว เป็นเพื่อนแล้วเลื่อนขั้นไม่ได้หรือไง” ไอ้ทอยยังคงเอาความคิดง่ายๆ ของตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้เลย มึงเล่นถ่ายรูปคู่สาวไม่เว้นวันอัพลงโซเชี่ยลขนาดนั้น เขาคงเชื่อว่าคบกับผมหรอก

“That’s nonsense.”

“Why?” ยังมีหน้ามาถามอีก สำนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำบ้างสิวะไอ้ทอย

“มึงเป็นเพื่อนกับกูมาตั้งนานจะเลื่อนขั้นตอนแก่ก็เชี่ยแล้ว” พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วซบหน้าลงกับคอนโซลรถ อีกไม่นานพี่ยูคงรู้ว่าผมโกหกแน่ๆ แล้วเขาคงมีโอกาสใช้เหตุผลร้อยแปดมาโน้มน้าวกัน สุดท้ายคนที่แพ้ทางอย่างปัณณ์จะทำอะไรได้นอกจากตอบตกลง เพลียเว้ย ขอลาออกจากการเป็นตัวเอง

“ความรู้สึกช้าไง” ไอ้นี่ ต่อยสักทีดีไหม ช่วยจริงจังกับเพื่อนหน่อยเถอะ

“ช่วยอะไรได้บ้างคนอย่างมึงน่ะ” ผมเหล่มองมันด้วยหางตาแล้วตั้งใจรอฟังคำตอบ ไอ้ทอยหันมายิ้มกรุ้มกริ่มให้กันก่อนจะเอียงไหล่มากระแซะ นี่มึงลืมตัวว่าขับรถอยู่หรือเปล่า ไม่กลัวเสียหลักพุ่งชนต้นไม้แล้วเหรอไง พอนึกสนุกอยากแกล้งคนอื่นอะไรๆ ก็ไม่สนใจแล้วสินะ

“หลีหญิง จีบผู้ชาย” มันขยิบตาพลางพูดเสียงทะเล้น ใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มกว้าง หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ผมไม่เถียงว่ามันช่วยได้จริง แต่มันใช่เวลาที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาไหม โอย ปวดหัว ถ้ารู้ว่ามากับไอ้ทอยแล้วเป็นแบบนี้คงยอมหัดขึ้นรถเมล์กับแท็กซี่เองดีกว่า

“ไปตายซะ!” หงุดหงิดเว้ย มีเพื่อนแบบนี้ยอมอยู่ตัวคนเดียวดีกว่า ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากทำให้โมโห!

ไอ้ทอยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเพราะสามารถยั่วอารมณ์จนผมปรี๊ดแตกได้ โรคจิตไม่มีใครเกินจริงๆ แล้วอีกอย่างคือไม่รู้อะไรดลใจให้มันเอื้อมมือไปเปิดเพลงซึ้งๆ แนวแอบรักเพื่อนสนิทแถมฮึมฮัมตามทำนองก่อนจะหันมาสบตาหวานชวนให้รู้สึกขนหัวลุก มึงสารภาพมาเถอะว่าลืมกินยาระงับอาการบ้าถึงได้คึกทำอะไรแปลกๆ

ผมปล่อยเรื่องไอ้ทอยให้หายไปกับอากาศแล้วเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลาเนื่องจากฝนตกรถติด แต่แจ้งเตือนแอพฯ ทวิตเตอร์กลับสะดุดตาซะก่อน ใครเมนชั่นมาหาตอนนี้วะ

แด๊ดดี้ยู @Osawayuuki
@_Misterpann พี่เพิ่งหัดเล่นทวิตเตอร์ ไว้ว่างๆ ปัณณ์ช่วยสอนหน่อยนะ

ผมได้แต่อ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพี่ยูถึงลุกขึ้นมาเล่นทวิตเตอร์ทั้งๆ ที่เคยบ่นว่าไม่ชอบโซเชี่ยลสมัครทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยเข้าเรียนมหา’ลัยปีแรกหลังจากนั้นก็ทิ้งร้างมาโดยตลอดหรือเพราะมีแฟนคลับเรียกร้อง ถ้าเป็นอย่างนั้นคงสมใจพวกเธอแล้วที่จะได้ติดตามเขา แล้วทำไมปัณณ์ต้องรู้สึกหงุดหงิดด้วยวะ ตั้งสติสิ ห้ามคิด!

สุดท้ายโทรศัพท์ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อเชิ้ตเหมือนเดิม ตอนนี้ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ มองสายฝนเพื่อรอเวลาที่จะไปถึงร้านอาหาร เหลือบตามองนาฬิกาข้อมือครั้งแล้วครั้งเล่าจนเผลอถอนหายใจออกมา เวลาหมดไปครึ่งวันแล้ว ยังไม่ทันได้เริ่มต้นทำอะไรเลยนอกจากชวนไอ้ทอยคุยเรื่องไร้สาระ

พวกเรามาถึงร้านอาหารในเวลาเที่ยงกว่าๆ ฝนที่กระหน่ำตกตั้งแต่เมื่อเช้าได้หยุดลงแล้ว ผมจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนลงจากรถก่อนจะหันไปลาสารถีในวันนี้

“ขอบคุณที่มาส่ง” ผมคลี่ยิ้มให้มันก่อนเปิดประตูรถ แต่สัมผัสอุ่นๆ ที่ข้อมือนั้นกลับทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักพลางคิดในใจว่าไอ้ทอยอยากคุยอะไรตอนนี้อีก กูสายจนไม่รู้จะสายยังไงแล้ว นี่ก็กลัวว่าจะโดนพี่ยูไล่กลับคอนโด

“เปลี่ยนเป็นหอมแก้มแทนได้ปะ” ไอ้ทอยโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ แทนกผ่านความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ผมผงะถอยหลังรีบก้าวลงจากรถแต่ก็ไม่วายยื่นหน้าไปถามเพื่อนด้วยความสงสัย เป็นบ้าอะไรของมึงเนี่ย

“มึงเมากัญชาหรือไง วันนี้รุงรังกับกูจังวะ” ผมหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ พยายามมองหาสิ่งผิดปกติจากดวงตาคมคู่สวยแต่กลับไม่พบอะไรเพราะไอ้ทอยใส่แว่นสีชา หล่อได้อีกคุณเพื่อน ถ้ากูเป็นสาวๆ คงกรี๊ดจนคอแตกไปแล้ว แต่เผอิญว่าเพศเดียวกันเลยไม่พิศวาส

“ล้อเล่นน่า ตั้งใจทำงาน” เสียงพูดกลั้วหัวเราะดังขึ้นเหมือนทุกๆ ครั้งที่ไอ้ทอยแกล้งผมได้สำเร็จ แต่ครั้งนี้มันมีอะไรบางอย่างแปลกไป ถ้าจะให้อธิบายเป็นคำพูดคงยาก

“เออ ไปล่ะ” ผมตอบเพื่อตัดบทสนทนาแล้วผละตัวหันหลังให้เพื่อนสนิท ขายาวๆ ก้าวไปข้างหน้าด้วยหัวใจเต้นรัว แค่ยืนตรงนี้ก็เห็นพี่ยูกำลังง่วนกับการเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าด้วยตัวเอง คงเหนื่อยน่าดูเลยสินะ ปัณณ์ขอโทษ”

“เดี๋ยว... ตอนเย็นให้มารับไหม” ไอ้คนที่ผมนึกว่ามันออกรถไปแล้วยังส่งเสียงมาถามกันอย่างห่วงใย จะอาลัยอาวรณ์อะไรนักหนา เดี๋ยวอยากมาส่ง เดี๋ยวเสนอตัวมารับ ถ้าไม่ใช่เพื่อนคงคิดว่ากำลังโดนผู้ชายจีบ

“ไม่ต้อง” ผมตอบอย่างไร้เยื่อใยไม่ใช่เพราะเป็นห่วงกลัวมันจะขับรถทางไกลแต่เบื่อขี้หน้ามากกว่า ชอบทำให้ระแวงไม่หยุดหย่อน

“ใจร้ายจัง” มันตัดพ้อด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ทำตาละห้อยเหมือนลูกหมาหลงแม่ หมั่นไส้อยากกระโดดถีบมันสักที ตอแหลเก่งเกินใคร นี่น่ะเหรอ คนที่สาวกรี๊ดให้แท็ก #นักบินหล่อบอกต่อด้วย ความจริงไม่เหมือนที่พวกเขามโนเลยสักนิด

“อย่าทำเหมือนกูเป็นเมียมึง ขนลุก” ผมทำท่าขยะแขยงใส่แต่มันกลับจ้องกันด้วยสายตาจริงจังผิดวิสัย วันนี้เซนซิทิฟ

“กลัวพี่ยูเข้าใจผิดเหรอ” ทำไมต้องใช้คำถามแบบนั้น แล้วจะให้ผมตอบยังไง ตอนนี้สมองไม่ประมวลผลเว้ย

“หึ คุยกับมึงแล้วเสียเวลาจริงๆ” ผมโบกมือลามันแล้วได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ คำถามที่ว่า ‘ไอ้ทอยยังอยากเป็นเพื่อนกันต่อหรือเปล่า’ ตอบยากจริงๆ ทั้งการกระทำและแววตาที่แปลกไป อาจจะแกล้งหรืออาจจะจริง ดูไม่ออกเลย




ต่อด้านล่างนะ

หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 1 : ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด P.1 -15/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-03-2018 13:28:06
คิดไปคิดมาไอ้ทอยอาจแค่เป็นห่วงผมที่ต้องกลับมาอยู่ใกล้ชิดคนที่เคยแอบชอบแล้วกลัวว่าจะเจ็บซ้ำๆ แบบเดิมเลยแสดงท่าทีแปลกไป คงไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก เป็นเพื่อนกันมายี่สิบปีแล้ว ตอนนี้โฟกัสงานใหม่ก่อนดีกว่าเพราะเจ้านายมองลอดกระจกใส่พร้อมโบกมือทักทายให้แล้ว รอยยิ้มหล่อๆ นั่นช่างสะกดสายตาได้ดีเหลือเกิน

ผมรีบเดินเข้าร้านโดยไม่ทันระวังว่ารองเท้าตัวเองยังไม่แห้งดี เผลอลื่นจนเกือบล้มก้นกระแทกพื้นแต่ดีหน่อยที่หาหลักยึดได้ทัน ใจหายใจคว่ำหมดเลยกู!

“อ๊ะ... สวัสดีครับ” ผมรีบเอ่ยทักทายเมื่อเห็นพี่ยูเดินตรงมาทางนี้ สีหน้าของเขาปกติคงไม่ทันเห็นตอนที่รองเท้าลื่น โชคดีไป ไม่อย่างนั้นคงอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี

“มาได้ยังไงหืม ฝนเพิ่งหยุดตกนี่นา” พี่ยูเงยมองท้องฟ้าที่ยังมือครึ้มด้านนอกสลับกับใบหน้าของผม เขาคงคำนวณระยะเวลาจากคอนโดถึงร้านอาหารเอาไว้คราวๆ

“เพื่อนมาส่งครับ” ผมตอบก่อนจะถือวิสาสะเปลี่ยนจากรองเท้าแตะเป็นรองเท้าผ้าใบที่ดูสุภาพมากกว่าเดิม

“อ๋อ มาตรงนี้สิ มีคนรออยู่” พี่ยูพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินนำไปที่หลังเค้าน์เตอร์บาร์ ผมเอียงคอมองด้วยความสงสัย ไม่ใช่ว่ามีแต่เขาที่รออยู่เหรอ

“ครับ?” ผมยอมเดินตามก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ผมที่เปียกชื้น สาเหตุมาจากตีกับไอ้ทอยตอนเดินไปลานจอดรถของคอนโดจนร่มกระเด็น ตามเก็บกันให้วุ่นเพราะลมแรง ถ้ากูเป็นไข้มึงต้องรับผิดชอบค่ารักษา!

“น้าปัณณ์ ~ ริวคิดถึง!” ร่างป้อมๆ พุ่งออกมาจากหลังเค้าน์เตอร์ก่อนจะสัมผัสได้ถึงแรงกอดรัดรอบขาอย่างหนักหน่วง ผมเบิกตาโตด้วยความดีใจที่วันนี้ได้เจอหลานชายสักที

“เจ้าตัวแสบ!” ผมชอบเรียกหลานแบบนี้เพราะริวทั้งดื้อทั้งซน ถ้าโดนดุเมื่อไหร่จะเบะปากเตรียมร้องไห้ทันที แต่ดีหน่อยที่เขาเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่เลยถือว่าเลี้ยงง่ายอยู่พอตัว แถมใบหน้ายังถอดพิมพ์พี่ยูออกมาทุกกระเบียดนิ้ว สงสัยตอนนั้นคงตั้งใจปั๊มลูกมากสินะ...

“หื้อ ไม่แสบ ริวน่ายัก!” เจ้าตัวน้อยผละออกไปแล้วยืนกอดอกทำหน้างอง้ำให้ผมทันที ไอ้ความคิดถึงก่อนหน้านั้นคงจางหายไปในอากาศ เด็กๆ นี่ก็ดีนะ ลืมเรื่องเก่าได้ไวเหลือเกิน

“น่ารักครับ พูดใหม่สิ” ผมย่อตัวลงให้ระดับสายตาพอดีกับหลานแล้วสอนให้เขาออกเสียงคำที่ถูกต้องแทนการเถียงกลับว่าเขาเป็นเจ้าตัวแสบ ถ้าใครจะหาว่าปัณณ์เลี้ยงหลานผิดวิธีก็เอาเถอะ คนมันไม่เคยมีลูกจะให้ทำยังไง อีกอย่างคือโดนพื้นฐานแล้วไม่ได้ชอบเด็กแต่ถ้าอายุสิบแปดอัพก็พอไหว กรุบกริบดี หึหึ

“น่าลัก!” ริวพูดเสียงดังฟังชัดก่อนจะโถมทั้งร่างเข้าใส่อีกครั้งแต่ผมกลับผละตัวหลานออกพอให้มีระยะห่างระหว่างกันเนื่องจากเสื้อผ้ายังชื้นอยู่ กลัวเขาจะเป็นหวัด

“โอเคๆ น้าปัณณ์ขอเช็ดผมก่อนได้ไหมครับ” ผมถามหลานชายคนเก่งก่อนจะเหลือบสายตามองพี่ยูที่หายไปหาผ้าขนหนูมาให้กันอย่างรู้งาน ถ้าไม่ใส่ใจขนาดนี้ปัณณ์คงไม่กลัวอะไรเลย การย้ายไปอยู่ด้วยกันก็แค่เรื่องง่ายๆ แต่ความจริงมันเป็นอย่างที่ทุกคนรู้ดี ผู้ชายอบอุ่นคือนิยามของเขา ใครๆ ต่างก็แพ้ทางเชื่อเถอะ

“ริวเช็ดให้ ป๊าขอๆ” เจ้าตัวแสบวิ่งดุ๊กดิ๊กไปหาคุณพ่อที่ถือผ้าขนหนูสีขาวเดินตรงมาทางนี้ ขาน้อยๆ พยายามเขย่งเพื่อที่ตัวเองจะสูงพอคว้ามันมาไว้ในมือ แต่พี่ยูกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

“น้าปัณณ์ทำเองดีกว่าครับ เดี๋ยวริวจะเปียกนะ” ผมบอกด้วยเสียงอ่อนโยนก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปหาพ่อลูกที่หยุดยืนอยู่กลางร้าน ตอนนี้ไม่มีลูกค้าก็เลยทำให้การพูดคุยระหว่างเราสะดวกสบาย

“หื้อ ไม่เอา ริวอยากทำ” เด็กน้อยหันมาเบะปากใส่ผมเพราะเขาเริ่มโดนผู้ใหญ่ทั้งสองขัดใจ กำลังจะเอื้อมมือไปอุ้มริวเผื่อปลอบแต่ต้องชะงักเมื่อพี่ยูนั่งยองๆ ลงแล้วจับไหล่ลูกเอาไว้

“ไม่ดื้อครับริว ไปนั่งรอน้าปัณณ์หลังเค้าน์เตอร์นะ” ถึงคำพูดจะเหมือนการดุแต่เขากลับคลี่ยิ้มให้ลูกชายพร้อมกับช้อนตัวริวขึ้นอุ้มแล้วพาไปนั่งประจำที่หลังเค้าน์เตอร์เหมือนเดิม ที่ตรงนั้นมีคอกกั้นเด็กกับของเล่นจำนวนไม่น้อยวางอยู่ ช่วงปิดเทอมเป็นอะไรที่วุ่นวายจริงๆ พี่ยูไม่ยอมจ้างให้ใครเลี้ยงเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายกับลูก เชื่อเขาเลย นั่งสบายเป็นผู้บริหารโรงแรมดีๆ ไม่ชอบดันอยากเปิดร้านอาหารเอง แบบนี้เรียกว่าความอินดี้ได้ไหม

“ป๊า... เช็ดๆ ให้น้าปัณณ์” เมื่อตัวเองทำสิ่งที่ต้องการไม่ได้เลยผลักหน้าที่ให้คนพ่อแทน พี่ยูหันมาส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไงดี ส่วนผมได้แต่ละล่ำละลักบอกเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ หนูอย่าทำตัวเป็นกามเทพครับ น้าไม่อยากกลับไปอยู่ในวังวนเดิม

“มะ ไม่ต้อง น้าเช็ดเองได้”

“น้าปัณณ์ดื้อ ริวโกรธ!” โดนเข้าให้แล้วไหมล่ะปัณณ์ ทำยังไงดีวะ ไม่คุ้นกับเด็กอายุสามขวบด้วยสิ ถ้าเป็นสาวๆ หรือหนุ่มๆ คงโยนลงเตียงคุยด้วยภาษากายจบไปแล้ว

“ไม่น่ารักเลยครับริว” คราวนี้พี่ยูทำเสียงดุ หน้าตาขึงขังอย่างเอาเรื่อง เวลาเขาจริงจังน่ากลัวยิ่งกว่ายักษ์ในละครอีก ผมต้องหาวิธีแก้ปัญหาสิวะ หลานก็น้ำตาคลอดแล้ว โอย อยากจุดธูปเชิญพี่ป่านมาช่วยเหลือเกิน ปัณณ์จะร้องไห้

“ฮึก ป๊าดุ” ริวเริ่มสะอื้นพร้อมกับน้ำตาหยดใสไหลลงบนแก้ม พี่ยูไม่มีทีท่าว่าจะปลอบ เขายังคงยืนนิ่งๆ แล้วมองเด็กในอ้อมกอดอย่างไม่ลดละ ผมเองที่เป็นฝ่ายลนลานเข้าไปเกาะแขนคนเป็นพ่อ เอาวะ แค่อ้อนคิดหน่อยคงไม่ตายหรอก เมื่อก่อนเคยทำมากกว่านี้อีก

“อ่าๆ พี่ยูครับ ช่วยเช็ดผมให้หน่อยได้ไหม” ผมว่าพลางชี้หัวที่เปียกลู่ไม่เป็นทรง พี่ยูถึงกับหันขวับมาขมวดคิ้วใส่กันเพราะวิธีการแบบนี้คือกำลังจะสปอยหลานนั่นเอง ก็ปัณณ์ไม่อยากให้ริวร้องไห้ น่าสงสารจะตาย

“ปัณณ์...” อย่าเรียกผมด้วยเสียงดุๆ แบบนั้นสิ คิดว่าไม่กลัวหรือไง ก็ตอนพี่ยูโมโหน่ะใครก็เอาไม่อยู่ แต่เพื่อหลานปัณณ์ต้องสู้!

“นะครับ ผมไม่อยากเห็นหลานร้องไห้” ผมเขย่าแขนพี่ยูเบาๆ ช้อนสายตาอ้อนมองเขา ยอมใจอ่อนให้ปัณณ์สักครั้งได้ไหม

“อย่าตามใจริวมาก” พี่ยูจ้องเขม็งดูท่าจะไม่ยอมทำตามที่ผมขอ ก็เข้าใจว่าไม่อยากโอ๋ลูกแบบผิดๆ แต่มันเรื่องนิดเดียวเอง โธ่ อย่าซีเรียสสิ

“นะครับ” ผมลองอ้อนอีกครั้งคราวนี้ลองเอาแถมถูไถต้นแขนแกร่งเบาๆ อย่างที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว มันไม่ได้รู้สึกดีเหมือนตอนนั้นแต่กระอักกระอวนแทบบ้า ไอ้ความรู้สึกที่คิดว่าตัดใจได้แล้วทำไมถึงสั่นคลอน

“โอเค พี่ถือว่าทำเพื่อปัณณ์” พี่ยูถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนแล้วพาเด็กชายตัวน้อยที่ร้องดีใจเมื่อภารกิจของตัวเองสำเร็จไปวางไว้ในคอกกั้นเด็กก่อนใช้ผ้าขนหนูในมือค่อยๆ บรรจงเช็ดผมให้กัน มันอ่อนโยนจนปัณณ์แทบเคลิ้มตาม ต้องดึงสติสิ ไม่อย่างนั้นแย่แน่ๆ

“พูดซะผมคิดไกล” ผมพึมพำเสียงเบาไม่ได้ตั้งใจให้อีกคนได้ยิน แต่ด้วยความเงียบและระยะห่างที่สามารถสัมผัสลมหายใจกันได้นั้นทำให้เขาหลุดหัวเราะเบาๆ ปัณณ์อยากจะมุดดินหนีจริงๆ

“พูดแบบนี้เดี๋ยวแฟนก็หึงหรอก” พี่ยูเพิ่มแรงขยี้ลงบนหัวอย่างหยอกล้อก่อนจะผละมืออกเมื่อเส้นผมเริ่มเข้าใกล้คำว่าแห้ง ผมเหลือบตามองเขาเพียงครู่เดียวแล้วเบนหน้าหนีไปทางอื่น ทำเป็นสนใจริวที่กำลังหยิบหนังสือนิทานขึ้นมาดูภาพ

“พี่ยูไม่ตกใจที่ผมบอกว่าคิดไกลเหรอ” ผมถามเสียงอ้อมแอ้มแล้วย่อตัวลงนั่งเกาะขอบคอกกั้นเด็ก เอื้อมมือไปลูบหัวริวเล่นด้วยความมันเขี้ยว ปัณณ์กล้าถามแต่ดันไม่อยากฟังคำตอบ หัวใจเต้นระรัวเมื่อสัมผัสได้ถึงความอุ่นของฝ่ามือหนาที่แตะลงบนไหล่

“พี่รู้ว่าปัณณ์พูดเล่น จริงไหม” พี่ยูก็ยังเป็นคนเดิมที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรสักอย่าง เขาทิ้งตัวนั่งข้างๆ กัน ส่งยิ้มมาให้ ทำทุกอย่างตามปกติ ซึ่งผมคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วก็เลยพยักหน้ารับคำ

ในอนาคตผมเชื่อว่าตัวเองคงไม่หวั่นไหวกับพี่ยูไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน คงต้องหาแฟนแบบเป็นตัวเป็นตนให้ได้สักที มีใครอยากสมัครบ้างไหม หญิงก็ได้ชายก็ดีเชิญรับบัตรคิวเลยครับ



---------------------------------------------------

อะไรยังไงนะคุณทอย ตกลงอยากเป็นเพื่อนหรือเป็นมากกว่านั้นกันแน่
ส่วนคนที่ปัณณ์ 'เคย' แอบชอบก็คือพี่ยูนั่นเอง
มาช่วยลุ้นกันว่าปัณณ์จะทำยังไงต่อไป ฮึบบ

หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 1 : ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด P.1 -15/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 15-03-2018 16:36:05
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 1 : ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด P.1 -15/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-03-2018 17:20:31
 :z1:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 1 : ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด P.1 -15/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-03-2018 02:27:16
โดนลุกทั้งซ้าย ทั้งขวา งั้นก็รับทั้งคู่เลยแล้วกัน  o18
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 2 : กุ้งเทมปุระ P.1 -20/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-03-2018 13:56:55
จานที่ 2 : กุ้งเทมปุระ



“อิรัชชัยมาเสะ” มันคือคำที่ผมต้องพูดทุกครั้งเมื่อมีลูกค้าผลักประตูกระจกเข้ามาในร้านพร้อมกับโค้งตัวลงเพื่อเป็นการต้อนรับกอปรกับการคลี่ยิ้มการค้า คำทักทายเมื่อครู่ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง ‘ยินดีต้อนรับ’ ลูกค้าสาวๆ จะหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินแต่ถ้าเป็นผู้ชายจะชอบขมวดคิ้วเป็นเชิงถามว่ามึงพูดอะไร

ผมเดินไปส่งลูกค้าที่โต๊ะก่อนจะวางเมนูสี่ใบเท่ากับจำนวนคน พวกเธอคลี่ยิ้มหวานมาให้อย่างสื่อความหมาย ไม่ได้อยากหลงตัวเองแต่หลายวันที่ผ่านมาปัณณ์มักจะโดนจีบอยู่เสมอไม่แพ้เชฟอย่างพี่ยูเลย

“อีกห้านาทีผมมารับออเดอร์นะครับ” ผมโค้งตัวลงเพื่อลาออกไปรับลูกค้าอีกกลุ่มทีาเดินเข้ามา แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาเสียงแหลมๆ ของใครคนหนึ่งก็รั้งกันไว้

“เดี๋ยวค่ะ ยืนรอตรงนี้เลยก็ได้พวกเราเลือกไม่นานหรอกเนอะ” เธอยิ้มหวานให้ก่อนจะหันไปขอความเห็นจากเพื่อนร่วมโต๊ะ ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียงเลยทำให้ผมต้องยืนอยู่ที่เดิม พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าทำไมต้องรั้งกันขนาดนี้

“ครับ” ผมตอบรับก่อนหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาเตรียมไว้ แอบเหลือสายตามองพวกเธอว่าเริ่มเลือกอาหารกันหรือยัง แต่สิ่งที่เห็นคือผู้หญิงสี่คนกำลังจับเข่าซุบซิบอยู่ เชื่อไม่ได้จริงๆ ลูกค้าโต๊ะนี้ ดูก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตั้งใจจะจีบ ปัณณ์ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลยว่ะ ร้านขายอาหารไม่ใช่ขายตัว

“แหม ~ แกมันร้าย อยากจะมองหน้าเขานานๆ ล่ะสิ” ถ้าจะกระซิบดังขนาดนี้ก็ตะโกนใส่หูผมเลยเถอะ ไอ้การที่ต้องปั้นหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้มันยากจริงๆ

“หรือพวกแกไม่อยากมองล่ะจ๊ะ?” เชิญคุยกันให้เต็มที่แล้วคิดว่าผมหูหนวกเถอะครับ ถึงจะเป็นผู้ชายก็รู้สึกว่าโดนคุกคามได้เหมือนกัน

“รู้ใจ ~” พวกเธอตอบอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มหวานให้ผมด้วยกันทั้งนั้น รู้สึกกระอักกระอวนจนต้องเบนหน้าหนีเพื่อหาตัวช่วยแต่กลับเจอพี่ยูที่ยืนหัวเราะอยู่ไม่ไกล สนุกนักหรือไงที่ผู้หญิงมาจีบน้องชายตัวเองแบบนี้ หึ

ผมจดออเดอร์ลงในกระดาษก่อนจะเอื้อมมือไปรับเมนูคืน จังหวะนั้นถือว่าแย่สุดๆ เพราะเธอคนที่เป็นต้นเรื่องแอบแตะมือกันจนคนที่เหลือกรี๊ดกร๊าดด้วยความอิจฉา นี่มันอะไรกัน สมัยนี้ผู้หญิงออกตัวแรงจนน่ากลัว ถึงปัณณ์จะเป็นเพลย์บอยแต่ไม่ชอบให้ใครเข้าหาก่อน มันไม่ใช่สไตล์

หลังจากที่ช่วงเวลาเที่ยงผ่านไปงานทุกอย่างในร้านก็เบาลง ผมวางหน้าที่ต้อนรับทิ้งไว้แล้วสวมบทพี่เลี้ยงเด็ก สอนเจ้าแสบท่องศัพท์ภาษาไทย อังกฤษและญี่ปุ่น ริวตอบได้เกือบทุกคำ รางวัลของคนเก่งคือข้าวโพดต้มของโปรด จริงๆ อยากจะให้ขนมแต่โดนพี่ยูห้ามไว้เพราะถ้ากินเยอะไม่ดีต่อสุขภาพ คุณพ่อสายอนามัยก็มา

“น้าปัณณ์ ริวง่วง งือ ~” เด็กน้อยยกมือขึ้นขยี้ตาก่อนจะเดินเข้ามาโถมตัวกอดกันทั้งที่ผมยังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางคอกกั้น ริวซบหัวลงบนไหล่ก่อนจะครางงุ้งงิ้งอยู่ข้างหู สงสัยจะง่วงมากจริงๆ แต่อดทนท่องคำศัพท์เพราะอยากกินข้าวโพด

“เดี๋ยวน้าเรียกป๊าให้เนอะ” ผมโอบรอบตัวหลานแล้วจัดท่าให้นั่งลงบนตักก่อนจะมองหาพี่ยู เขากำลังรับง่วนอยู่กับการทำซูชิที่บาร์เปิดโล่งนั่นโดยมีสาวน้อยวัยมหา’ลัยนั่งมองตาไม่กระพริบ ต้องขอยอมรับจริงๆ ว่าเขาเสน่ห์แรงมากถึงแม้อายุเยอะแล้วก็ตาม

“ไม่เอา ริวจะนอนกับน้าปัณณ์” ริวส่ายหัวดิกพลางออกแรงรัดรอบคอหนักขึ้น ผมได้แต่อึกอักเพราะในชีวิตไม่เคยกล่อมเด็กคนไหนนอน มันต้องทำยังไงบ้างวะ ให้กินนมก่อนนอนด้วยไหม

“เอ่อ คือน้า...” ผมทำท่าจะปฏิเสธเพราะยังเตรียมตัวไม่พอ วันนี้คงต้องขอให้พี่ยูทำหน้าที่ไปก่อน ต้องกลับไปศึกษาวิธีเลี้ยงเด็กให้ละเอียดมากกว่านี้ซะแล้ว

“อ้าว เจ้าตัวยุ่งกวนอะไรน้าปัณณ์ครับ?” พี่ยูคงเสร็จจากการทำซูชิเลยเดินเข้ามาหาที่หลังเค้าน์เตอร์ เขามองผมสลับกับลูกชายเหมือนจะถามว่ามีอะไรก่อนทิ้งตัวนั่งยองๆ ลง

“เนะมุ่ย ~ งือ” (ง่วง) เจ้าตัวแสบบอกพ่อเสียงอู้อี้แต่ไม่ยอมขยับออกจากตัวผมเลย มือป้อมๆ ขยำอกเสื่อไว้อย่างแน่นหนา เกาะติดอย่างกับลูกลิงเลย ผมไม่รู้สึกรำคาญแต่เอ็นดูมากกว่า เสียดายที่พี่ป่านไม่ได้เห็นริวเติบโต แต่ไม่เป็นไรนะ ปัณณ์จะคอยอยู่ข้างๆ หลานเอง

“งั้นเดี๋ยวป๊าพาไปนอนครับ” พี่ยูพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ก่อนเอื้อมมือมาจับแขนริวเพื่อจะอุ้ม แต่เด็กน้อยกลับขืนตัวหนีแล้วเอาแต่เกาะผมไม่ปล่อย ใบหน้ามู่ทู่นั้นซุกซบลงบนอกท่าทางบ่งบอกให้รู้ว่าไม่เอาคนอื่นนอกจากน้าปัณณ์ ดีใจที่หลานเห็นความสำคัญแต่... ทำไงดีวะกู งานยากเลย

“จะเอาน้าปัณณ์ ฮึก” เสียงอื้นมาพร้อมหยดน้ำตาใสๆ ผมรีบโยกตัวแล้วลูบหัวเพื่อปลอบ พี่ยูพยักหน้าเป็นเชิงให้เอาหลานไปนอน คราวนี้ปัณณ์คงหาทางรอดไม่ได้แล้ว เฮ้อ เด็กหนอเด็ก งอแงเก่งจังเลย

“โอเคๆ เดี๋ยวน้าปัณณ์พาไปนอนเนอะ” ผมพยุงตัวลุกขึ้นเต็มความสูงโดยมีพี่ยูช่วยประคองเจ้าแสบที่อยู่ในอ้อมกอด ริวคลี่ยิ้มกว้างก่อนยืดตัวขโมยหอมแก้มเมื่อได้ดั่งใจนึก น่าตีจริงๆ เด็กคนนี้ พอน้ามาก็ลืมพ่อซะอย่างนั้น ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่น้อยใจ

“ผมฝากงานด้วยนะครับพี่ยู”

“ไม่มีปัญหา เคียวอยู่ด้วยทั้งคน” พี่ยูยิ้มกว้างแล้วดันหลังผมให้ขึ้นไปชั้นบน แค่บอกไม่พอเหรอ ทำไมต้องสัมผัสด้วย อย่าทำให้ความพยายามของปัณณ์ไร้ประโยชน์สิ

ผมวางเจ้าตัวแสบลงบนเตียงแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อกล่อม วิธีที่เห็นผ่านตาคือตบก้นใช่ไหม ต้องทำแบบนั้นสินะ รอวไม่เรียกร้องหานมคงไม่ต้องให้ดื่มล่ะมั้ง การเลี้ยงเด็กนี่ยากกว่าเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินซะอีก นับถือพี่ยูที่ยอมเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง

“น้าปัณณ์ กอดกัน” ริวอ้าแขนรอพร้อมกับส่งสายตาอ้อนมาให้กัน ผมอึกอักก่อนจะยอมล้มตัวลงนอนข้างๆ แล้วดึงรั้งเจ้าตัวน้อยเข้ามาแนบอก ตกลงว่าแค่กอดก็พอใช่ไหม ปัณณ์เก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องสองพ่อลูกคู่นี้

“ครับ กอดกันเนอะ” มือเรียวขยับขึ้นลูบหัวทุยๆ ด้วยความรักก่อนกระชับอ้อมกอดเพิ่มความอบอุ่นให้ริวที่กำลังเอาแก้มยุ้ยถูไถกับหน้าอก เสียงพึมพำทำให้ผมเผลอสะดุดลมหายใจตัวเอง หลานจะรู้สึกแย่แค่ไหนกันที่ไม่มีแม่อีกแล้ว

“คิดถึงป่านจัง” ริวช้อนตามองแล้วเบะปาก มือป้อมๆ กำเสื้อของผมไว้แน่นเหมือนกำลังทรมาน ถึงปัณณ์จะหน้าเหมือนป่านแต่เราก็คือคนละคน ความสัมพันธ์ทดแทนกันไม่ได้

“แม่ป่านก็คงคิดถึงตัวแสบเหมือนกัน” ผมพูดเสียงเบาเพราะพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ตีตื้นอยู่ภายในใจ ไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้ใครเห็น พี่ป่านบอกเสมอว่าเป็นผู้ชายแมนๆ ต้องหนักแน่นเข้มแข็งถึงจะสามารถดูแลคนที่เรารักได้

ผมใช้เวลากล่อมหลานไม่นานก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอ ครั้นจะลุกจากเตียงเพื่อลงไปทำงานต่อกลับโดนมือป้อมๆ ดึงรั้งเสื้อเอาไว้จะแกะออกก็กลัวตื่น ถ้าโทรลงไปขอวิธีจากพี่ยูคงน่าอาย แต่ตอนนี้หนักตายังไงไม่รู้วะ ของีบหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง

เมื่อรู้สึกตัวตื่นสิ่งแรกที่ทำคือการป่ายมือหาโทรศัพท์เพื่อดูเวลา ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะทำแบบเดิมอีกครั้ง อยากให้มั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด บ่ายสามแล้ว... นี่กูงีบหรือว่าเผลอตาย!

“เชี่ย!” ผมสบถเสียงดังก่อนเม้มปากแน่นเมื่อคิดได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ริวขยับตัวยุกยิกส่งเสียงครางเบาๆ คล้ายกำลังจะตื่นนอน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับนิ่งสงบและเข้าสู่นิทราอีกครั้ง ปัณณ์ถอนหายใจเฮือกก่อนก้าวลงจากเตียงช้าๆ แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องพัก แอบหลับนานขนาดนี้พี่ยูโกรธแน่

ด้วยความรีบร้อนเลยไม่ทันระวัง ประตูห้องพักเปิดออกด้วยฝีมือคนด้านนอก มันฟาดเข้ากลางหน้าผากผมเต็มๆ จนล้มก้นกระแทกพื้น โอ๊ย ทั้งเจ็บทั้งจุก อย่าให้รู้ว่าใครนะ ปัณณ์จะด่าให้ลืมเพศตัวเองเลย!

“โอ๊ย เจ็บๆๆ” ไม่รู้จะลูบหน้าผากหรือก้นก่อนดี ช้ำไปหมดแล้ว!

“เป็นอะไรมากไหมปัณณ์ ให้พี่ดูหน่อย” เสียงทุ้มๆ เอ่ยอย่างร้อนรนก่อนที่เข้าจะย่อตัวลงมาให้อยู่ระดับเดียวกัน ผมชะงักกึกเมื่อดวงตาเห็นพี่ยูอยู่ตรงหน้า ไอ้ที่อยากจะด่ากลับต้องกลืนลงคอทั้งหมด

“มะ ไม่เป็นไรครับ ผมรีบจนไม่ดูทางเอง” ผมถอยหลังกรูดจนแผ่นหลังชนกับผนัง แต่อย่าคิดว่าจะรอดพ้นจากพี่ยูที่ขยับตามเข้ามาเลย ใกล้มากกว่าครั้งแรกซะอีก ใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ ตกกระทบลงบนหน้าผาก ถ้าหัวใจวายตอนนี้คงไม่แปลก

“อย่าดื้อครับ ให้พี่ดูหน้าผากเราหน่อย” เสียงดุๆ ของคนตรงหน้าทำให้ผมเม้มปากเน้นแล้วพยักหน้าตอบรับ ถ้าหากยังขัดขืนคงจะโดนลงโทษไม่น้อย เผลอๆ อาจกดมือลงบนแผลจนช้ำมากกว่าเดิม นี่ล่ะพี่ยูสายดาร์กเวลามีคนดื้อใส่

มือหนาปัดปอยผมที่หน้าผากออกก่อนจะใช้นิ้วอุ่นๆ แตะลงตรงจุดบวม พี่ยูขยับไล้อย่างแผ่วเบาจนรู้สึกเกร็งไปทั้งร่างกาย ปัณณ์ขอเกลียดความอ่อนโยนของเขาไม่มีที่สิ้นสุดนับจากวันนี้ เพื่อป้องกันการเผลอตัวและเผลอใจไปกับสัมผัสทุกรูปแบบ

“บวมเลย เดี๋ยวไปนั่งรอพี่บนเตียงนะ จะเอายาให้” พี่ยูบอกพลางคลี่ยิ้ม ผมพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วเพื่อให้เขารีบขยับออกไปห่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือมือหนาวางลงกลางศีรษะก่อนออกแรงขยี้เบาๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักจนต้องเป็นฝ่ายผละตัวหนีซะเอง มันต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นสิปัณณ์ ท่องไว้

“ขะ ขอโทษนะครับ เผลอหลับไปกับริวเฉยเลย” ผมละล่ำละลักพูดโดยไม่ยอมมองหน้าพี่ยู เขาส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนผละมือออกไปจากหัว แบบนี้สิถึงจะหายใจคล่องหน่อย

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ยังไงๆ ปัณณ์ก็ต้องดูแลเจ้าแสบอยู่แล้ว” พี่ยูลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลใบเล็กที่วางอยู่บนตู้เสื้อผ้า ห้องนี้คล้ายกับหอพักราคากลางๆ ที่มีเฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้สอยเบื้องต้น แล้วทำไมผมต้องมองตามเขาแบบไม่วางตาด้วยล่ะ... โธ่เว้ย

ผมย้ายสังขารเปลี้ยๆ ไปที่เตียงแล้วหย่อนตัวลงนั่งให้เบาที่สุดเพราะกลัวว่าเจ้าตัวแสบจะตื่น สายตายังคงจ้องมองแผ่นหลังกว้างที่ครั้งหนึ่งเคยได้สัมผัสมันตอนเมาแอ๋ในคืนปาร์ตี้สละโสดของพี่ยู ช่วงเวลานั้นมันทั้งดีใจและเสียใจจนแทบบ้า รักแต่ทำอะไรไม่ได้ต้องปล่อยให้เขาแต่งงานกับพี่สาวต่อหน้าต่อตา

ปัจจุบันนี้ความเจ็บปวดในวันนั้นจางหายไปจนหมด แต่ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งความหวาดหวั่นเอาไว้ ถึงแม้ว่าตัดใจไปแล้ว ถึงแม้ว่าเชื่อมั่นในตัวเองแค่ไหน แต่เมื่อมีความคิดถึงบวกกับความใกล้ชิดเข้ามาเอี่ยว กลัวว่าสักวันผมจะดึงความรู้สึกในอดีตกลับมาและมันอาจจะมากกว่าเดิมหลายเท่า เพราะตอนนี้ไม่มีพี่ป่านอีกแล้ว... ปัณณ์เลวมากใช่ไหมที่ครั้งหนึ่งเคยรักพี่ยู

“มา เดี๋ยวพี่ทายาให้” เสียงทุ้มของพี่ยูดังขึ้นเรียกสติให้ผมหลุดออกจากความคิด เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ระยะห่างที่เหลือแค่ฝ่ามือกั้นช่างน่ากลัวจนต้องผงะหนี ไม่กล้าสบตาแถมยังมือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

“ผมทำเองก็ได้ครับ” ผมรีบบอกเมื่อพี่ยูกำลังจะใช้มือเชยคางให้เงยหน้าขึ้น เขาชะงักกึกก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ

“ยาติดมือแล้ว ให้พี่ทำเถอะ” เขายื่นมืออีกข้างที่ใช้ป้ายยาเรียบร้อยแล้วมาให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ผมได้แต่อึกอักจะปฏิเสธก็ดูไร้เหตุผล ถ้าใครบอกว่าพี่ยูเป็นผู้ชายที่เทคแคร์ดี เอาใจใส่ ปัณณ์ไม่เถียง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนกว่านั้นคือความเจ้าเล่ห์ ใช้วิธีบังคับแบบเงียบๆ ให้เราไม่ทันตั้งตัวเหมือนอย่างตอนนี้... ทำอะไรได้นอจากยอม จริงไหม

“อื้อ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อให้คุณหมอชั่วคราวทายาตรงหน้าผาก ปลายนิ้วอุ่นนวดคลึงอย่างแผ่วเบาชวนเคลิ้ม ตอนแรกพยายามเบนสายตาหนีเขาแต่สุดท้ายก็แอบมองปลายคางอยู่ดี ถ้าเลื่อนลงมาอีกนิดจะเจอแผงอกที่โผล่ออกมาจากสาบเสื้อ ก็เล่นปลดกระดุมตั้งสองเม็ด อยากโชว์สาวนักหรือไง ถ้าปัณณ์หล่อได้สักครึ่งของพี่ยูคงบรรเทิงจนฟ้าเหลือง

“เพี้ยง หายไวๆ นะเด็กดี” ลมหายใจอุ่นร้อนตกกระทบลงบนหน้าผากบวกกับน้ำเสียงนุ่มๆ รอยยิ้มหวานละมุนนั่นทำให้ผมใจเต้นแรงเหมือนเพิ่งนั่งเครื่องบินตกหลุมอากาศ ความคิดอยากจะถอยหนีแต่ร่างกายกลับหยุดนิ่งมองสบตาคนตรงหน้า

พี่ยูเคยรู้ตัวบ้างไหมว่าการกระทำบางอย่างสำหรับผมแล้วนั้นมันให้ความรู้สึกมากเกินกว่าพี่น้อง คิดดีไม่ได้จริงๆ ทั้งสายตาและท่าทางที่แสดงออก แต่ทั้งหมดนั่นคือนิสัยพื้นฐานของเขา ปัณณ์เป็นคนที่ต้องปกป้องหัวใจตัวเองให้แน่นหนา ล็อกกุญแจ สร้างกำแพง หรือหนีไปให้พ้นหน้า วิธีไหนถึงจะให้ผลดีที่สุดกันนะ

“ผะ ผมไม่ใช่เด็กๆ ไม่ต้องเป่าก็ได้” ทั้งที่พยายามควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในระดับปกติแต่ไม่วายพูดเสียงสั่นออกไปจนได้ พี่ยูมองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้าคืออะไรกัน

“งั้นเหรอ? แต่ปัณณ์น่ารักเหมือนกับริวเลยนะ” คำชมที่ออกมาจากปากพี่ยูนั้นไม่ว่าจะจริงหรือหลอกแต่มันก็ทำให้ผมเสียงการทรงตัว มือไม้อ่อนไร้เรี่ยวแรงจะลุกหรือเดินหนี ถ้าเขาเป็นผู้ชายทั่วไปไม่เกี่ยวของกับปัณณ์ในสถานะพี่เขยกับน้องชายแบบนี้คงคืดได้ว่ากำลังโดนหยอด แต่มันไม่ใช่... คุณพ่อก็แค่เอ็นดูเหมือนมีลูกอีกคน

“.....” ผมนิ่งไม่ยอมตอบคำถามเพราะสติหลุดไปตั้งแต่โดนชมด้วยคำนั้น แก้มร้อนวูบอย่างควบคุมไม่ได้จนต้องซบหน้าลงกับฝ่ามือทั้งสองข้างเพื่อปกปิด แต่ไหนเลยจะรอดพ้นคนสายตาดีไปได้

“นี่... เป็นไข้หรือเปล่า? หน้าแดงเชียว” ผมอยากถามเหลือเกินว่าเขาซื่อหรือเซ่อที่ดูอาการนี้ไม่ออก พี่ยูไม่รู้จักคำว่าเขินอายเหรอ

“ห๊ะ เอ่อ... คะ คงงั้นครับ รู้สึกเจ็บคอมาหลายวันแล้ว” แต่ผมดันตอบเขากลับไปแบบนั้น ดูเป็นคนโง่กว่าร้อยเท่า ตอนนี้ทำยังไงก็ได้ให้พี่ยูเลิกทำตัวยุ่มย่ามสักที ถ้าเขายังไม่ไปตอนนี้ปัณณ์ก็เตรียมตัวตายเพราะความรู้สึกหล่นทับได้เลย

“งั้นนอนต่อเถอะ ปิดร้านเมื่อไหร่จะมาเรียก เดี๋ยวพี่ไปส่งที่คอนโดเนอะ” เขาจัดแจงเสร็จสรรพก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วใช้มือทั้งสองข้างดันไหล่ให้ผมกลับไปนอนเป็นเพื่อนริวอีกครั้ง อยากปฏิเสธใจจะขาดแต่ผ้าห่มที่ถูกเลื่อนมาคลุมตรงหน้าอกนี้... ปัณณ์กำลังแพ้ทางผู้ชายคนนี้รอบที่ล้าน ทำไงดี

“แต่ว่า...” อยากชนะพี่ยู แต่ใจไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธ

“ไม่มีแต่ครับน้องปัณณ์ ห้ามดื้อกับพี่ยูกิ เข้าใจไหม?” นิ้วเรียวแตะลงมาบนริมฝีปากของผมพร้อมกับส่งเสียงชู่เบาๆ เพื่อเป็นการห้ามต่อปากต่อคำ ทำไมต้องสัมผัสทุกครั้งที่เอ่ยปากพูด ทำไมกันครับพี่ยู อยากให้ปัณณ์กลับไปอยู่ในฐานนะคนแอบรักอีกหรือไง

“เข้าใจก็ได้ครับ” ผมซุกหน้าลงใต้ผ้าห่ม พึมพำรับเสียงแผ่วก่อนจะหลับตาหนีพี่ยูที่ยืนยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ

ผ่านไปเกือบห้านาทีแต่เขายังไม่ออกไปจากห้องเพราะไม่มีเสียงเปิดประตู ผมอยากรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ตอนนี้ อยากลืมตามองก็กลัวจะโดนจับได้ แต่สัมผัสตรงกลางหน้าผากคือคำตอบที่ดีที่สุด ปัณณ์ไม่ใช่ลูก ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย... แค่อาทิตย์แรกหัวใจก็ทำงานหนักขนาดนี้ ต่อไปคงตายไม่รู้ตัว

“ปัณณ์” เสียงเรียกชื่อดังแว่วมาในโสตประสาทการรับรู้แต่ผมยังไม่อยากตื่นเลยป่ายมือควานหาตุ๊กตาหมีนุ่มของริวบนหัวเตียงมาปิดหู หวังว่าเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ข้างๆ จะไม่กลิ้งจนตกที่นอนไปแล้วนะ

“ปัณณ์ครับ” เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้งและมันได้ยินชัดมากกว่าเดิมเหมือนเข้าขยับเข้ามาใกล้ สัมผัสอุ่นๆ ที่ข้างแก้มทำให้รู้สึกรำคาญจนต้องขยับหนี ปล่อยเจ้าตุ๊กตาแล้วคว้าสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยมากอดไว้แทน

“ตื่นได้แล้วนะ” สิ้นคำนั้นสติของผมก็ตื่นเต็มร้อยเพราะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่ข้างใบหู เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียกนั่นชัดเจนจนสามารถระบุเจ้าของได้ ทำไมพี่ยูต้องเข้ามาใกล้กันขนาดนี้

ผมตัดสินใจคลายอ้อมกอดออกจากหลานแล้วขยับลุกพรวดขึ้นไม่ยอมมองบุคคลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ แต่สัมผัสนุ่มหยุ่นบริเวณแก้มนั้นทำให้ตื่นตกใจจนต้องลืมตาโพลง มันไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม

“อะ... พะ พี่ยู!” ผมอุทานเสียงดังเมื่อพี่ยูทำหน้าตกใจก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก มันยืนยันว่าเมื่อครู่เขาหอมแก้มกันแบบไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ถ้าจะเรียกให้ถูกคือมันเป็นอุบัติเหตุ แต่ทำให้ปัณณ์เกือบช็อกตาย ทะ ทำยังไงดี

“ขอโทษที พี่ไม่ได้ตั้งใจ” เขาลดมือลงเอ่ยคำขอโทษแต่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าและดวงตาพราวระยับนั้นทำให้ผมต้องก้มหน้าหงุด ไหนล่ะความสำนึก เห็นแต่ความสนุกเต็มไปหมด

ปัณณ์ไม่เคยแพ้ใคร เจอคนเข้าหาแบบไหนก็รับมือได้ตลอด แต่กับพี่ยูแล้วนั้นความกล้าหาญแทบติดลบ แพ้ไปหมดทุกเรื่อง ทั้งที่เขาก็ทำตัวปกติ วางตัวเป็นผู้ใหญ่ คอยดูแลเสมอ แค่เพิ่มความชอบแกล้งเข้ามาเท่านั้นเอง

“มะ ไม่เป็นไรครับ ปิดร้านแล้วเหรอ?” ผมพูดเสียงสั่นเพราะใจยังเต้นแรง พี่ยูขยับถอยออกไปแล้วแต่สัมผัสเมื่อครู่นั้นยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ต้องหาวิธีลบมันออกไปจากสมองโดยใช้ร่างกายของคนอื่น สงสัยว่าคืนนี้ต้องโทรหาเด็กนิเทศฯ แล้วล่ะ

“อื้ม วันนี้ว่าจะพาเราสองคนไปกินข้าวน่ะ” พี่ยูชี้มือมาที่ผมกับเจ้าตัวแสบที่นอนก้นโด่งอยู่ไม่ไกล ตอนนี้สิ่งที่อยากทำคือกลับไปตั้งหลัก พยายามกลบรอยร้าวของกำแพงให้มั่นคงเหมือนเดิม

“คือ... ผมอยากกลับคอนโด” ผมบอกพี่ยูไปตามตรงโดยไม่อ้อนค้อม ใบหน้าหล่อฉายแววฉงนไม่เข้าใจว่าทำไมโดนปฏิเสธ เขาไม่มีเจตนาแอบแฝงแต่ปัณณ์เองนี่ล่ะที่จะทนไม่ได้ แค่กลับมาใกล้ชิดไม่ถึงหนึ่งเดือนก็แย่ขนาดนี้เลยเหรอวะ กลัวใจตัวเองจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว

“หาว ~ น้าปัณณ์” เจ้าตัวแสบเอ่ยเรียกเสียงอู้อี้ก่อนกลิ้งลุนๆ เข้ามาชนขากัน มือเล็กป่ายกอดรอบเอวคล้ายละเมอ แต่ดวงตาปรือๆ นั้นยืนยันได้ว่าริวตื่นแล้ว ขอบคุณที่ขัดจังหวะการสนทนาได้เป็นอย่างดี ผมไม่อยากตอบคำถามพี่ยู เพราะไม่รู้จะเอาเหตุผลอะไรมาอ้าง

“ตื่นแล้วเหรอครับ?” ผมอุ้มริวมานั่งบนตักก่อนจะใช้มือลูบหัวทุยอย่างเอ็นดู ใบหน้าเล็กซบลงบนอกแล้วหลับตาลง สงสัยยังตื่นไม่เต็มที่แต่ปากเริ่มขยับแจ๊บๆ

“อื้อ หิวจัง” ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะตอนนี้เวลาหกโมงเย็นแล้ว ผมก็รู้สึกไม่ต่างกัน เมื่อเที่ยงได้กินข้าวไปนิดเดียวเอง ลูกค้าทยอยเข้าร้านอย่างกับหนอน เกลียดวันเสาร์ได้ไหมล่ะ

“อยากกินอะไรครับ?” คุณพ่อแสนดีก้มหน้าถามลูกชายตัวน้อยที่กำลังขยี้ตาด้วยความงัวเงีย แต่เมื่อริงได้ยินเรื่องของกินกลับเปลี่ยนท่าทางเป็นยิ้มกว้างทันที เด็กหนอเด็ก พอเอาของกินมาล่อก็ลืมทุกอย่างเฉยเลย มันเขี้ยวจนอยากฟัดแรงๆ สักที

“พิซซ่า!” เสียงร่าเริงดังขึ้นพร้อมกับร่างป้อมๆ พุ่งเข้าใส่คนเป็นพอ ทั้งกอดทั้งหอมเพื่ออ้อนให้ใครอ่อน ใครโดนแบบนี้ไม่ยอมก็คงแปลกแล้ว ส่วนพี่ยูหัวเราะท่าทางของริวก่อนที่มือหนาจะขยี้ลงบนหัวทุยนั่นอย่างเอ็นดู

“โอเค เดี๋ยวป๊าพาไปกิน”

“เย้ๆ ป๊าใจดี ~” เจ้าตัวแสบกระโดดโลดเต้นไปรอบเตียงอย่างมีความสุข ผมได้แต่นั่งยิ้มกับภาพตรงหน้า ถ้าพี่ป่านยังอยู่คงถ่ายรูปหรือวีดีโอของริวเก็บไว้เยอะแน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นปัณณ์ก็เริ่มมองหาโทรศัพท์ของตัวเองแต่ต้องชะงักกึกเมื่อเสียงทุ้มของพี่ยูถามขึ้น

“ริวอยากให้น้าปัณณ์ไปกับเราไหม?”ผมหันขวับไปมองคนพูดด้วยความตกใจ ลองเขาถามริวแบบนี้เท่ากับว่าเป็นการบังคับไปในตัว ใครที่ไหนจะปฏิเสธการอ้อนของเด็กได้ พี่ยูยกยิ้มเจ้าเล่ห์พลางยักคิ้วกวนเมื่อรู้ว่าสุดท้ายตัวเองต้องชนะ

“อยาก~ น้าปัณณ์ หม่ำๆ พิซซ่ากัน” เจ้าตัวแสบพุ่งมาหาผมก่อนจะใช้แก้มกลมๆ ถูเข้ากับหน้าอกเป็นการอ้อน สถานการณ์แห่งความลำบากใจที่สร้างโดยพี่ยู ปัณณ์จะแก้ยังไงวะ ใจแข็งปฏิเสธเด็กไปได้ไหม ไม่อยากกินพิซซ่า อยากกลับคอนโด

“เอ่อ คือน้า...” ผมอึกอักไม่กล้าพูดตรงๆ กับหลานเพราะตอนนี้โดนสายตาออดอ้อนเข้าเล่นงาน ไหนจะแรงกอดรัดที่เอว ไหนจะปากเล็กๆ ที่ขโมยจุ๊บแก้มไปเมื่อครู่ โคตรแย่ พี่ยูเลี้ยงลูกยังไงให้กลายเป็นเด็กแบบนี้วะ เจ้าเล่ห์พอกันทั้งพ่อทั้งลูกเลย

“น้า นะ พิซซ่าอย่อยๆ ~” ริวยังคงพยายามเชิญชวนในแบบฉบับเด็กๆ ซึ่งตอนนี้ผมกำลังทำใจแข็งอย่างสุดความสามารถ ห้ามอ่อนข้อให้หลานเพราะมันจะทำให้ความใกล้ชิดกับพี่ยูมีเพิ่มขึ้น เขามีสเน่ห์เหลือล้นเกินไป ยิ่งตอนเสยผมขึ้นแล้วเอาแต่จ้องมองปัณณ์เพื่อรอคำตอบนั้นแทบทำให้ร่างกายละลายเป็นของเหลว

“แต่...”

“ปัณณ์จะใจร้ายกับริวเหรอ?” พี่ยูบัดไม้ตายอีกครั้ง ที่ถามมานั้นผมไม่เห็นว่าริวจะเดือดร้อนอะไรเพราะเจ้าตัวลงจากเตียงพร้อมหมีนุ่มไปแล้ว

“พี่ยู...” ผมเรียกเขาเสียงแผ่วเพราะเห็นดวงตาคมฉายแววน่าสงสาร ตกลงว่าพ่อหรือลูกกันแน่ที่อยากให้ไปด้วยกัน คนช่างเผด็จการ ทีกับพี่ป่านยอมทุกอย่างไม่ใช่เหรอ เพราะปัณณ์เป็นแค่น้องชายต่างสายเลือดใช่ไหม... แค่คิดก็น้อยใจแล้ว

“หรือว่ากลัวแฟนรอนาน” คำถามจากปากพี่ยูพร้อมกับสายตาตัดพ้อนั้นคืออะไรไม่อาจทราบได้ แต่คนฟังอย่างผมตะลึงจนเผลอกลั้นหายใจไปแล้ว แฟนเหรอ... ถ้ามีสักคนอย่างจริงจัง ปัณณ์คงไม่ต้องมานั่งระแวงความรู้สึกในอดีตแบบนี้

“ปะ เปล่าครับ ไปก็ไป” สุดท้ายผมก็แพ้พี่ยูอย่างราบคาบ ก็แค่สงสารเจ้าตัวแสบที่ยืนรอเราสองคนอยู่ตรงหน้าประตูห้องเท่านั้นเอง คงหิวจนไส้จะขาดแล้วมั้ง

ผมเป็นคนจูงริวลงมาจากชั้นบนก่อนพาไปขึ้นรถ ส่วนพี่ยูตรวจสอบความเรียบร้อยของร้านแล้วเดินตามมาทีหลัง เจ้าตัวแสบไม่ยอมนั่งคาร์ซีทเอาแต่งอแงจะอยู่กับน้าปัณณ์ท่าเดียว เกลี้ยกล่อมก็แล้ว ดุก็แล้วไม่เป็นผลสำเร็จสรุปก็ต้องยอมแพ้เด็ก

เพลงเด็กถูกเปิดขึ้นเพื่อเอาใจเด็กที่นั่งอยู่บนตักพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัย เจ้าตัวแสบส่ายหัวดุกดิกตามทำนองดูมีความสุขจนผมอดเผลอยิ้มตามไม่ได้ ถึงริวจะไม่มีแม่แต่พี่ยูก็เลี้ยงดูมาอย่างดี ให้ความอบอุ่น ให้ความรัก คอยดูแลเอาใจใส่มาตลอดเลยทำให้ไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไป นับถือเขาจริงๆ เป็นคุณพ่อมือวางอันดับหนึ่งในการเลี้ยงลูก

“ริวไม่เคยติดใครขนาดนี้เลยนะ” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยแทรกขึ้นในขณะที่รถกำลังอยู่ในสภาวะจราจรติดขัด ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะเด็กวัยนี้ถ้าเลือกติดใครได้สักคนน่าจะเป็นพ่อแม่ตัวเองที่คลุกคลีอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ กับน้าที่ปีหนึ่งเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งมันคงเป็นแค่ความเห่อมั้ง






ต่อด้านล่าง





หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 2 : กุ้งเทมปุระ P.1 -20/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 20-03-2018 13:57:23
“ริวไม่ติดพี่ยูเหรอครับ?”

“ไม่นะ ปกติ ให้นั่งคาร์ซีดก็ไม่เคยงอแง นอนก็ไม่ต้องกอดแบบที่ปัณณ์ทำ” พี่ยูคลี่ยิ้มละมุนแล้วเหลือบมองเจ้าตัวน้อยที่ฮัมเพลงอย่างร่าเริง เขาไม่มีอาการน้อยใจหรือเสียใจที่ลูกติดคนอื่นมากกว่าตัวเอง นั่นเลยทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ไม่น้อย แต่ความคิดบางอย่างกลับผุดขึ้นในหัว

“สงสัยผมหน้าเหมือนพี่ป่านมั้ง” ก็แค่อยากพูดขำๆ ทำไมพี่ยูถึงต้องทำหน้าอึดอัดใจด้วย... ผมคงทำให้รู้สึกแน่สินะ ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นตัวแทนใคร

“ถึงจะเหมือนป่านแต่ริวก็รู้ว่าเป็นคนละคน สงสัยหลงรักน้าปัณณ์เข้าแล้วมั้ง” ประโยคแรกพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วคลี่ยิ้มตบท้าย ประโยคที่สองพูดกับริวที่นั่งมองพ่อตาปริบๆ อย่างสนใจ

“รักๆ รักน้าปัณณ์ ~” เจ้าตัวแสบตอบรับเสียงใสก่อนจะดึงมือผมให้กอดตัวเองแน่นพร้อมกับเอาแก้มกลมๆ ถูไถอย่างรักใคร่ ก็น่ารักแบบนี้ใครไม่หลงก็แปลกแล้ว โตเมื่อไหร่คงหัวกระไดบ้านไม่แห้ง ขี้อ้อนแถมเจ้าชู้ตั้งแต่เด็กเลย

“รักน้าปัณณ์คนเดียวเหรอ?” พี่ยูแกล้งทำเสียงอ่อย ใบหน้าหล่อเศร้าสร้อยจนผมแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แสดงเก่งขนาดนี้เอารางวัลออสก้าร์เลยไหม เจ้าตัวแสบเลยขยับตัวยุกยิกก่อนเอามือแตะแขนพ่อพลางคลี่ยิ้มหวานๆ อย่างเอาใจ

“ป๊าด้วย รักกันๆ ~” ถ้าริวสามารถลุกขึ้นไปกอดพี่ยูได้คงทำไปแล้ว อ้อนขนาดนี้แถมยังกระพริบตาปริบๆ อีก น่าฟัดซะไม่มี

“ป๊าก็รักริวครับ” พี่ยูบอกรักกลับพร้อมเอื้อมมือมาขยี้หัวเด็กน้อยจนยุ่งเหยิง ริวยิ้มกว้างจนตากลายเป็นขีด ดูน่ารักน่าชัง

“เย้ๆ ป๊ารักน้าปัณณ์ด้วยนะ น้า” คำพูดของเด็กสามขวบทำให้ผมสะดุดลมหายใจก่อนจะออกแรงกอดกระชับริวไว้แน่นไม่กล้ามองหน้าพี่ยู ก้อนเนื้อในอกเต้นตุบตับอย่างน่ากลัว ทำไมต้องรู้สึกคาดหวังในคำตอบของเขาทั้งที่มันก็คงไม่มีอะไร

ปัณณ์ยังมั่นใจได้ไหมว่าตัวเองไม่ได้ทลายกำแพงและล้ำเส้นที่ขีดเอาไว้

พี่ยูเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่รถจะจอดนิ่งเพราะติดไฟแดง ผมกระสับกระส่ายจนเผลอบีบมือลงบนขาในขณะที่ริวเงยมองหน้ากันแล้วยืดตัวขึ้นมาหอมแก้ม คงคิดว่าน้าปัณณ์ร้องไห้สินะ... ไม่หรอก ก็แค่น้ำตาคลอเฉยๆ

“ป๊าตอบ ~” เจ้าเด็กแสบเร่งเร้าคุณพ่อคนหล่อให้ตอบคำถามเมื่อครู่ ผมอยากจะเอาจุกนมใส่ปากหลานนัก เรื่องอื่นลืมได้ง่ายๆ ทำไมกับเรื่องรักๆ ถึงจำแม่นขนาดนี้เล่า

“อืม.... รักสิ ป๊ารักน้าปัณณ์ครับ” พี่ยูบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มก่อนจะมองสบตาผมที่ตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้น หัวใจเต้นโครมครามจนแทบทะลุออกมานอกอก ทำไมต้องรู้สึกเหมือนโดนสารภาพรักในเชิงชู้สาวทั้งที่ตะหนักดีว่าความหมายมันคืออะไร

“.....” ผมเบนหน้าหนีเมื่อรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าว กลัวพี่ยูจะจับได้กำลังคิดลึกแถมตอนนี้ยังรู้สึกเขิน เสียงดีใจเจื้อยแจ้วของริวไม่ได้ช่วยให้ความอึดอัดลดลงเลย ต้องทำยังไงดีล่ะ

“ปัณณ์ พี่ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด รักแบบน้องชายน่ะ อย่าโกรธนะ” พี่ยูรีบพร่ำคำขอโทษเมื่อสถานการณ์ระหว่างเราดูอึดอัด ผมหลุดหัวเราะหึเพราะสมเพชตัวเองที่ยั้งใจไม่ได้ สุดท้ายความจริงจากปากเขาก็ร้ายกาจมากกว่าความคิดของตัวเอง

ไม่ต้องย้ำความสัมพันธ์ของเราก็ได้ รู้แล้วว่าควรอยู่ในสถานะไหน ก็พยายามอยู่นี่ไง พี่ยูอย่าทำความพยายามของปัณณ์พังสิ

“ผมรู้อยู่แล้วครับ ไม่ได้โกรธ พี่ยูวางใจเถอะ” ผมตัดบทเขาด้วยรอยยิ้มที่พยายามฝืนทำให้มันดูปกติก่อนจะซุกหน้าเข้ากับหัวทุยๆ ของริวเพื่อปิดกลั้นความสั่นไหวในดวงตา ปัณณ์ไม่น่ากลับมายืนอยู่ตรงนี้เลย กำแพงที่สร้างขึ้นอย่างแน่นหนาเมื่อครั้งก่อนกำลังผุกร่อนด้วยการกระทำของพี่ยู

“อยากกินอะไรสั่งเลยนะ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” น้ำเสียงทุ้มดังลอดเมนูอาหารที่ปิดหน้าเขาอยู่ ผมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับหลุดหัวเราะ นี่เป็นนิสัยอีกอย่างนึงของพี่ยู รวยและเปย์เก่งมาก แต่เฉพาะคนในครอบครัวหรือคนสนิทเท่านั้น ไม่ได้เปย์พร่ำเพรื่อเหมือนไอ้ทอย

“พี่ยูสายเปย์” ผมล้อด้วยเสียงทะเล้นก่อนจะรีบยกเมนูขึ้นบังหน้าเมื่อพี่ยูตวัดสายตาคมๆ พร้อมกับกระตุกรอยยิ้มที่มุมปากขึ้น ไม่ใช่กลัวเขาจะดุ แต่อานุภาพทำลายล้างหัวใจมันสูง เคลียร์ความรู้สึกอึดอัดในรถได้แต่กลับมาสร้างความขัดเขินอีก หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เลยปัณณ์เอ๊ย

“แน่นอนครับ” คำตอบที่ไม่มีการถ่อมตัวทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือก อยากเปย์ก็ให้เปย์จนกระอักเลือดตายไปเลยก็แล้วกัน หึหึ

มื้ออาหารดำเนินไปอย่างราบรื่น ริวดูเอ็นจอยกับพิซซ่าแป้งบางกรอบตรงหน้า ทั้งมือทั้งปากเลอะเทอะจนพี่ยูต้องคอยใช้กระดาษทิชชู่เช็ดให้อยู่เรื่อย เอาง่ายๆ คือผู้ใหญ่สองคนแทบไม่ได้กินส่วนของตัวเองเพราะมัวแต่ดูเจ้าเด็กแสบ ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปสองพ่อลูกไปหลายช็อต เดี๋ยวกลับบ้านค่อยส่งให้แล้วกัน

Rrrrr

โทรศัพท์ในมือร้องดังจนผมเกือบเผลอขว้างมันทิ้ง เห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็ได้แต่สบถคำด่ากับตัวเองเบาๆ ช่างโทรมาได้จังหวะจริงๆ คนกำลังกินมื้อเย็นเพลินๆ

“ฮัลโหล” ผมกดรับสายแล้วกรอกน้ำเสียงปกติลงไป หลายวันมานี้ไอ้ทอยบินไปเกาหลีและไม่ได้ติดต่อกันมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ สงสัยจะไปหลงแสงสีและผู้หญิงขาวๆ สวยๆ ที่นั่นจนลืมเพื่อน น่าหมั่นไส้

‘มึงอยู่ที่ไหน?’ มันถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่มีการทักทายกันก่อน ผมขมวดคิ้วพลางจิ้มผักสลัดใส่ปาก มึงจะเกริ่นนำเรื่องสักหน่อยไม่ได้เหรอ งงเว้ย

“ห้าง มากินข้าว มีอะไรหรือเปล่า?” ผมกลืนผักลงคอแล้วตอบกลับไปเป็นขณะเดียวกันที่ริวลงจากตักพี่ยูเพื่อเดินมาหา ดูมุมปากเล็กๆ นั่นสิ เลอะซอสมะเขือเทศด้วย อยากถ่ายรูปอีกแต่ติดที่ต้องคุยสายกับไอ้ทอย มันคือมารขัดความสุขที่แท้จริง

‘รถซ่อมเสร็จหรือยัง?’ ไอ้ทอยไม่ยอมตอบคำถามยิ่งทำให้ผมขมวดคิ้วหนักขึ้นจนหลานชายตัวน้อยที่ปีนขึ้นมานั่งบนตักใช้นิ้วจิ้มๆ ส่วนพี่ยูที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลุดหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของเราสองคน ตอนนี้เหมือนช่วงเวลาครอบครัวสุขสันต์ในมโนภาพเมื่อนานมาแล้ว

“ทำไม?” ผมเลียนแบบมันบ้าง ก็มันเล่นไม่ตอบกันก่อน ส่วนรถก็ซ่อมเสร็จแล้ว กำลังจะไปเอาหลังจากนี้

‘ช่วยมารับกูที่สนามบินหน่อยได้ปะ?’

“ห๊ะ ทำไมต้องไปรับ?” แปลกจนผมเผลออุทาน ร้อยวันพันปีไอ้ทอยไม่เคยเรียกให้ใครไปรับทั้งนั้น ถึงรถจะเสียมันก็เรียกคนที่บ้านตลอด หรือไม่ก็นั่งรถโดยสารกลับ

‘อยากเจอ’ อะไรนะ ผมแทบสำลักพิซซ่าที่ริวเพิ่งยักใส่ปากเมื่อครู่ ไอ้ทอยเมาเครื่องบินหรือเปล่าหรือมันเจ็ทแลค

“ให้โอกาสพูดใหม่อีกที” ผมถามย้ำเพราะแน่ใจว่าเมื่อครู่ฟังไม่ผิดแน่ๆ ว่าเพื่อนอยากเจอ แต่ที่ผ่านมาไอ้ทอยไม่เคยงอแง บางช่วงเคยเงียบหายไปจากสารบบเพราะตารางบินไม่ตรงกันก็เกิดขึ้นมาแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงได้พูดอะไรชวนขนลุก

‘ก็... รถกูเสีย อยากให้เพื่อนมารับ’ เหตุผลฟังไม่ขึ้น บ้านมันมีรถเกือบสิบคัน จะมาเสียพร้อมกันคงไม่ใช่ แล้วเพิ่งกลับมาจากบินไม่ใช่เหรอ ทำไมมึงทำตัวย้อนแย้งแบบนี้

“กูอยู่ไกล จะไปรับยังไง?” ผมคงไม่ลงทุนขับรถข้ามฝังเพื่อไปรับมันถึงสนามบินได้หรอก อีกอย่างเวลานี้จราจรติดขัดจนแทบอยากดับเครื่องนอนรอเชียวล่ะ

‘นั่นสินะ ลืมไปว่ามึงอยู่ไกลกูมาตั้งนานแล้ว’ น้ำเสียงตัดพ้อนั่นทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ถึงไม่ได้คุยกันต่อหน้าแต่สัมผัสได้ว่าไอ้ทอยกำลังสื่อความหมายบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น อย่างเช่น ‘หัวใจเราอยู่ไกลกันมานานแล้ว’

กูขอเป็นคนโง่โดยที่ยังมีมึงอยู่ข้างกายแบบไม่ต้องระแวงได้ไหม? ผมว่าการแสดงออกของไอ้ทอยครั้งนี้ก็ยังกำกวมไม่ชัดเจนแต่เริ่มมีกลิ่นตุๆ ของการคิดไม่ซื่อเพิ่มเติม อาจจะแกล้งเพื่อความสนุกหรือหวั่นไหวเหมือนตอนโดนสาวๆ ทิ้งล่ะมั้ง ทุกวันนี้แค่หาวิธีอยู่ห่างจากพี่ยูก็ปวดหัวพอแล้ว

“ทอย... มึงกับกูพูดเรื่องเดียวกันอยู่ใช่ไหม?”

‘แน่นอน มึงนี่ถามแปลกๆ นะ’ มันตอบเสียงกลั้วหัวเราะแต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้า เอาเป็นว่าผมจะมองข้ามเรื่องนี้ไป ไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนเพราะความคิดของตัวเองฝ่ายเดียว

“เออๆ กูต้องวางแล้ว ริวงอแงจะให้ป้อนพิซซ่า” เด็กน้อยทำเสียงงุ้งงิ้งแล้วชี้นิ้วไปที่พิซซ่าในจานของผมคล้ายขออนุญาตว่ากินได้หรือเปล่าเพราะพี่ยูบอกก่อนหน้านี้ว่าของน้าปัณณ์ ริวมารยาทดีได้พี่ป่านจริงๆ

‘มึง... อยู่กับพี่ยูเหรอ?’ น้ำเสียงขาดห้วงของไอ้ทอยทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบพิซซ่าในจาน ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้บอกว่าอยู่กับพี่ยู ทำไมต้องถามแบบนี้ แต่เอาเถอะกูขอตอบความจริงเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง หวังว่ามึงคงไม่โกรธ

“อืม แค่นี้นะ” ผมแกล้งบอกไปแบบนั้นทั้งที่ถือสายรอว่าไอ้ทอยจะทำยังไงต่อไป

‘เดี๋ยว...’ เสียงรั้งอย่างตื่นตะหนกดังขึ้นจนทำให้ริวหันมาขมวดคิ้วมองกันด้วยความสงสัย โธ่ ไอ้ทอย หูกูจะแตกแล้ว ได้ยินไปทั้งร้านเลยมั้งเนี่ย ขนาดพี่ยูยังแอบสะดุ้งเลย

“ว่าไง?”

‘กินข้าว... ให้อร่อยนะปัณณ์’ ถ้าเสียงสั่นขนาดนั้นสู้ตัดสายไปเลยดีกว่าไหม ทำไมต้องทนอวยพรด้วยล่ะ

“เออๆ มึงก็โบกแท็กซี่กลับบ้านซะ ถึงเมื่อไหร่ไลน์บอกกูด้วย แค่นี้นะ” ผมตัดบทเพราะไม่อยากคุยกับไอ้ทอยจนคิดอะไรมากไปกว่านี้ คำว่าเพื่อนสนิทที่เราใช้ร่วมกันมาตลอดหลายปีคงไม่มีทางสั่นคลอนอย่างแน่นอน ช่วงนี้วุ่นวายเรื่องพี่ยูจนสมองเบลอๆ กูขอโทษที่เผลอระแวงไปหน่อยแล้วกันเพื่อน

‘โอเคครับ’ คำตอบรับสุภาพนั่นคืออะไร ทำไมไอ้ทอยต้องทิ้งปริศนาเชาว์ไว้ให้คิดด้วยล่ะ เฮ้อ ช่างแม่งเถอะ กินเด็ก เอ๊ย กินพิซซ่าต่อดีกว่า

“เพื่อนโทรมาเหรอ?” พี่ยูถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางตักสปาเก็ตตี้ใส่จานให้ ผมก้มหัวเพื่อขอบคุณความมีน้ำใจนั้น แอบยิ้มให้กับความอ่อนโยนเล็กๆ น้อยๆ ในดวงตาคู่คมสวยที่มองมา

“ครับ ไอ้ทอยน่ะ”

“อ๋อ กัปตันน่ะเหรอ?” พี่ยูพยักหน้ารับ เขาเป็นคนความจำดี ใส่ใจเรื่องของคนใกล้ตัวเสมอ ผมชอบนะ แต่บางทีก็เกลียด มีใครสับสนมากกว่านี้อีกไหม

“ใช่ครับ” ผมตอบก่อนจะตักสปาเก็ตตี้เข้าปาก ความอร่อยกำลังแผ่ซ่านไปทุกอณูของต่อมรับรสแต่ทุกอย่างกลับต้องชะงักเมื่อมืออุ่นๆ ของคนตรงหน้าเอื้อมมาป้ายคราบซอสตรงมุมปากด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติแถมด้วยการแลบลิ้นเลียปลายนิ้วเพื่อทำความสะอาด ปัณณ์มองภาพนั้นด้วยดวงตาสั่นไหวแม้แต่แรงจะประคองอาวุธในมือก็หดหาย บ้าจริง

ทำไมพี่ยูเป็นคนร้ายกาจแบบนี้ ทำทุกอย่างเหมือนปกติโดยไม่ตะขิดขะขวงใจว่าผมเป็นผู้ชายเลยสักนิด เขาไม่รู้หรือไงว่าคนอื่นใจเต้นแรงแค่ไหนกับการกระทำสุดแทนธรรมดานั่น ถ้าหากว่าปัณณ์ตายแล้วฟื้นใหม่ได้ ครั้งนี้คงเป็นรอบที่ล้านแล้ว

“อ้าว พี่ปัณณ์” เสียงใสๆ ดังขึ้นทำให้ผมหันขวับไปหาเจ้าของ ใบหน้าหวานของคนในความคิดกำลังยิ้มกริ่มและเดินตรงมาทางนี้

“เฮ้ย กราฟ” ผมทักน้องด้วยใบหน้าปั้นยิ้มแต่ข้างในแล้วกลัวว่าเขาจะเห็นฉากระทึกใจเมื่อครู่

“คิดถึงพี่ปัณณ์จัง” กราฟคลี่ยิ้มหวานดูสบายๆ คงไม่เห็นเหตุการณ์นั้น ร่างบางขยับเข้ามาใกล้พลางเอื้อมมือมาแตะต้นแขน การได้สัมผัสเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ความคิดถึงจางลงแต่ทำไมกับพี่ยูยิ่งรู้สึกมากขึ้น...

“คิดถึงเราเหมือนกันครับ สอบเสร็จแล้วเหรอ?” กราฟคือเด็กนิเทศฯ ที่ผมนึกถึงบ่อยๆ รูปร่างหน้าตาของเขาตรงสเปคพวกสายรุกทั้งหลาย มีผู้ชายมากมายที่ตรงเข้าไปขายขนมจีบแต่ก็นก เพราะสาเหตุที่ว่าปัณณ์คือผู้ชนะ คุยกันแบบไม่มีสถานะยังไงก็ดีกว่าสำหรับคนรักสนุกอย่างเรา

“อื้อ เหนื่อยจะแย่ พี่ปัณณ์ไม่ให้กำลังใจกราฟเลย จะงอแงแล้วนะ” เด็กน้อยเบะปากงอแงด้วยท่าทางเง้างอน กราฟดูน่ารักจนผมอยากจับฟัดสักที ยิ่งเห็นร่องอกขาวที่โผล่พ้นสาบเสื้อนักศึกษาออกมา สัญชาตญาณดิบยิ่งพุ่งสูง กัดให้เป็นรอยสักทีดีไหม อ่อยเหยื่อเก่งเหลือเกิน

“ก็หนูไม่ยอมตอบไลน์พี่เลยนี่คะ” ผมถือวิสาสะจับมือเรียวนั่นแล้วช้อนตามองกราฟด้วยสายตาตัดพ้อ อยากจะตอกกลับให้หน้าหงายว่าพี่ส่งข้อความไปเป็นร้อยน้องก็ไม่อ่านเลย จะมางอนกันแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน แบบนี้มันต้องลงโทษให้น่วม หึหึ

“พี่ปัณณ์บ้า คะอะไรเล่า” กราฟเขินจนหน้าแดง ถึงปากจะด่าแต่ก็ยิ้มจนแก้มแตก เขาสะบัดมือหนีแต่กลับดันตัวเข้ามาชิดไหล่ของผม สะโพกตึงๆ ถูไถอย่างเชิญชวน หึหึ คืนนี้คงสนุกยันเช้าแน่นอน เจ้าเด็กนี่ยั่วเก่งจะตาย

ริวหนีไปนั่งกับพ่อแล้วคุยกันกระหนุงกระหนิงกันสองคนแต่ผมรู้ว่าพี่ยูเก็บรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้ เขาเป็นคนหวงน้อง แต่ก็มีลิมิตและเหตุผลแบบผู้ใหญ่

“เขินเหรอ?” ผมหยอดกราฟต่อหน้าพี่ยูเพื่อหวังว่าหลังจากนี้เขาจะยอมวางมือจากเรื่องย้ายคอนโดสักที ในจังหวะที่เหลือบตามองเขาก็ได้รับรอยยิ้มบางๆ จากฝั่งตรงข้าม คงรู้สึกยินดีที่ปัณณ์มีแฟน แต่เปล่าเลย นี่แค่คู่นอนคลายเหงา

“ก็ต้องเขินสิ” มือเรียวฟาดเข้ามาที่ไหล่ของผมอย่างหยอกล้อ กราฟบิดตัวไปมาเพราะเขินจริงๆ น่ารักดี แต่ก็รักไม่ได้

“โอ๊ะ แล้วนี่มากับใครเอ่ย?” ผมชวนกราฟเปลี่ยนเรื่อง เพราะอยากตัดบทความหวานละมุนนั่น เพราะกลัวว่าพี่ยูจะมองการแสดงออกแบบเมื่อครู่ว่าไม่เหมาะสม ก็ตอนนี้เราอยู่กลางร้านอาหาร

“เพื่อนๆ ครับ” กราฟคลี่ยิ้มแล้วชี้ไปทางเพื่อนผู้หญิงและผู้ชายประมาณอีกห้าคนซึ่งก็เป็นคนที่ผมรู้จักทั้งนั้น

“อ๋อ งั้นไว้พี่ไปหาที่หอคืนนี้นะ” ผมออกปากเมื่อเห็นว่าเพื่อนกราฟกำลังกวักมือ

“อื้อ จะรอนะครับ อ่า... สวัสดีครับ” ประโยคแรกพูดกับผมพร้อมเอื้อมมือมาดึงแก้มกัน ส่วนประโยคหลังหันไปพูดกับพี่ยูพร้อมยกมือไหว้อย่างมีมารยาทก่อนที่กราฟจะขอตัวแล้วเดินจากไป

“น้าปัณณ์ ใครหย๋อ?” เสียงเจื้อยแจ้วของริวดังขึ้นทันทีหลังจากคนแปลกหน้าเดินหายไป ดวงตากลมๆ จ้องกันนิ่งคล้ายบังคับให้ตอบ ผมเหลือบมองพี่ยูก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยคำโกหก

“แฟนน้าปัณณ์ครับ”

“หื้อ แฟนคือไย กินได้ไหม?” เจ้าเด็กแสบเอียงคอมองอย่างสงสัย ผมกับพี่ยูหลุดขำพรวดกับประโยคคำถามนั่น ริวห่วงกินเป็นอันดับหนึ่ง ห่วงเล่นเป็นอันดับสอง และห่วงนอนเป็นอันดับสาม เรื่องการเรียนอย่าไปพูดถึงมัน ทุกวันนี้ก็รู้เยอะเกินเด็กสามขวบแล้ว

“กินไม่ได้ครับๆ โคอิบิโตะไง รู้จักไหม?” พี่ยูอธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟังเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมที่กำลังกินไก่ย่างบาร์บีคิวถึงกับกลืนไม่ลงคอ เขาไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอวะ

“อ๋อๆ เหมือนป๊ากับป่านใช่ไหม? เขินจัง” เจ้าเด็กแสบบิดตัวไปมาพร้อมก้มหน้าหงุดแสดงความเขิน ผมมองว่าหลานน่ารักแต่หัวใจกลับรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ ปัณณ์ยังอิจฉาพี่ป่านอยู่อีกเหรอ ก็ตัดใจไปแล้ว ทำไมล่ะ... ไม่ชอบความสับสนแบบนี้เลย

“เก่งมากครับลูกชายป๊า” นั่นสินะ เก่งมากเลยริวน่ะ

พี่ยูจัดการจ่ายค่าเสียหายอย่างที่พูดไว้ในตอนแรก ซึ่งผมค้านว่าอยากช่วยออกบางส่วนแต่กลับโดนดุ เขาบอกว่าเป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องคิดเลี้ยงผู้ใหญ่หรอก ซื้อขนมให้ริวกินบ้างก็พอแล้ว

ผมอาสาจูงหลานเดินย่อยอาหารโดยมีพี่ยูเดินประกบอยู่อีกด้านไม่ห่าง ดูคล้ายครอบครัวสุขสันต์แต่ผิดตรงที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ น่าสมเพชที่เผลอคิดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ตลกดีเนอะ ท่องไว้สิวะว่าเขาคือสามีของพี่สาวตัวเอง

“ป๊า ติมๆ อยากกิน ~” เจ้าเด็กน้อยสะกิดแขนพ่อยิกๆ แล้วชี้ร้านไอศกรีมแบรนด์ดังให้ดู

“ค่อยมากินใหม่เนอะ ตอนนี้เรากลับบ้านก่อนดีกว่า จะสองทุ่มแล้ว ริวไม่ง่วงเหรอครับ?” พี่ยูย่อตัวลงอุ้มลูกชายขึ้นแนบอกก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ริวกรอกตาแล้วใช้มือน้อยๆ เคาะข้างขมับเหมือนกำลังคิด แก่แดดจริงๆ เลยหลานน้า

“งือ ง่วงก็ได้” คำตอบนั่นทำให้พี่ยูหลุดหัวเราะก๊าก ส่วนผมทำเพียงคลี่ยิ้ม

“เจ้าตัวแสบ มันเขี้ยวจริงๆ เล๊ย” พี่ยูจับริวฟัดจนหนำใจแล้วหันมามองผมเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังเงียบกริบ จนเมื่อเดินถึงบริเวณลานจอดรถเขาจึงเอ่ยปาก

“ปัณณ์”

“ครับ”

“ให้พี่ไปส่งที่หอน้องกราฟหรือเปล่า?” คำถามเรียบๆ แต่ทำให้ผมถึงกับชะงักเท้า หัวใจเหมือนกำลังหยุดเต้นลงช้าๆ พี่ยูไม่ควรใจดีกับปัณณ์เรื่องนี้ เข้าใจไหมครับ...

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวผมเอารถที่อู่เพื่อนเสร็จค่อยไปหากราฟก็ได้”

“ดึกแล้ว เพื่อนคงไม่เปิดร้านรอปัณณ์อยู่หรอก”

“ผม...” จะเถียงพี่กลับยังไงดี ไม่อยากให้ทำเหมือนว่าดีใจที่ผมมีแฟน ทำไมไม่รู้สึกแย่หรือรั้งกันไว้ล่ะ ปัณณ์เกลียดตัวเอง เกลียดที่ยังหวังอะไรลมๆ แล้งๆ

ผมยอมแพ้แล้ว พี่ยูยังอยู่ในอกด้านซ้ายที่เดิมเสมอถึงแม้ว่าพยายามลืมเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกก็ถูกเจือจางด้วยความเจ็บปวดและวันเวลา มันบางเบา เลื่อนลอย ไม่มีรูปร่าง เป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ต่อจากนี้ไปปัณณ์ขอสัญญาว่าจะสร้างกำแพงให้แน่นหนากว่าเดิม ไม่เกิดรอยร้าวอีกแน่นอน เชื่อสิ

“ให้พี่ไปส่ง เดี๋ยวตอนเช้าจะไปรับ” พี่ยูเอ่ยเสียงเข้มเพราะผมกำลังแสดงท่าทางดื้อใส่ ดวงตาคมมีแววดุอย่างน่ากลัว โอเค ปัณณ์ยอมแค่ครึ่งทางก็แล้วกัน

“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกครับ ให้กราฟไปส่งที่ร้านก็ได้” ผมเสนอข้อต่อรองที่วินทั้งสองฝ่าย พี่ยูนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับแล้วส่งร่างป้อมๆ ที่หลับปุ๋ยในอ้อมกอดให้กับผม ถึงเวลาที่ต้องเผชิญความจริงส่วนต่อไปแล้วล่ะ หวังว่ากราฟจะช่วยเยียวยาความรู้สึกนี้ได้นะ



----------------------------------------------------


สงสารเจ้าปัณณ์น้อย สุดท้ายก็แพ้พี่ยูจนได้
ตาทอยนี่อะไรยังไงหื้อ? น้องกราฟนี่น่าฟัดจริงๆ เชื่อสิ
ส่วนริวมีความสุขที่สุดในเรื่องแล้ว 55555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 3 : ข้าวห่อไข่ P.1 -26/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-03-2018 12:04:03
จานที่ 3 : ข้าวห่อไข่



สองอาทิตย์แล้วที่ผมขลุกตัวอยู่หอกราฟเพื่อกลบรอยร้าวของกำแพงความรู้สึกให้แน่นหนาเหมือนเดิม ทุกอย่างถูกเยียวยาด้วยคำว่าเซ็กซ์ไม่เว้นวัน เรามีความสุขอิ่มเอมจนแทบสำลัก แต่ทว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป สิ่งที่เรียกว่าความรัก...

แขนเรียวสวยพาดอยู่บนเอวสอบเปลือยเปล่า ร่างกายของเราแนบชิดกันโดยปราศจากเสื้อผ้า ถ้าเผลอขยับตัวนิดหน่อยคงปลุกอารมณ์ความต้องการได้ง่าย อย่างเช่นตอนนี้ที่กราฟใช้ศีรษะถูไถยอดอกของผม จะให้คิดว่าละเมอคงเป็นไปไม่ได้เพราะหน้าสวยๆ ของเขาประดับรอยยิ้มกริ่มขนาดนี้ เด็กช่างยั่ว ต้องลงโทษให้เข็ด

“ยั่วเหรอ?” ผมถามเสียงต่ำแล้วขยับมือลูบไล้ไปตามผิวเนียน เด็กในอ้อมแขนช้อนตามองก่อนจะบดเบียดร่างกายเข้ามาแนบชิดยิ่งกว่าเดิม ต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนในการพูดคุยกับกราฟให้จบเรื่อง

“เปล่าซะหน่อย กราฟแค่หนาว” วงแขนนุ่มนิ่มกระชับกอดมากยิ่งขึ้นก่อนใช้ใบหน้าหวานๆ ถูไถกับหน้าอกของผมจนรู้สึกร้อนผ่าว สัญชาตญาณดิบถูกปลุกขึ้นแล้ว กราฟต้องรับผิดชอบ หนาวมากใช่ไหม เดี๋ยวจะทำให้เหงื่อตกเลย คอยดู

“อยากให้พี่ ‘กอด’ แรงๆ ก็บอกสิครับ” ผมก้มลงกระซิบข้างหูแล้วใช้ปลายลิ้นชื้นลากเลียไปตามแนวลำคอขาว กลิ่นสบู่หอมละมุนยังคงติดผิวกายของกราฟอยู่ อยากกัดให้จมเขี้ยวแสดงความเป็นเจ้าของแต่ถ้าทำแบบนั้นคงไม่แฟร์กับน้องเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของเราก็แค่คู่นอนเท่านั้น ห้ามรู้สึก

“บอกตรงๆ ก็ไม่เร้าใจสิครับ” เสียงหวานมาพร้อมกับสายตายั่วยวน สัมผัสแผ่วเบาตรงปลายคาง นิ้วเรียวที่ลากไล้ไปตามแผ่นอกอย่างเชื่องช้า ทุกสิ่งนั้นทำให้ผมหมดความอดทน ตอนแรกกะว่าจะปรานีเพราะกราฟมีนัดไปเที่ยวกับเพื่อนช่วงสาย แต่ถ้ายั่วกันขนาดนี้คงปล่อยไม่ได้

ความสำราญเริ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าและค่อยๆ ทวีความเร้าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ตามอุณหภูมิร่างกายและอากาศด้านนอก เสียงครางอื้ออึงสลับกับเสียงเนื้อกระทบเนื่อทำให้ใบหน้าของกราฟแดงระเรื่อ ด้วยความมั่นเขี้ยวผมเลยบดริมฝีปากลงในตำแหน่งเดียวกัน สอดลิ้นแหวกว่ายเก็บเกี่ยวความหวานภายใน ดูดดุน ขบเม้ม ละเลียดเลียจนพอใจแล้วค่อยผละออก สุขใดเล่าจะเท่าการมีเซ็กซ์กับคนที่ตัวเองพึงพอใจ

ผมทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กราฟหลังจากเราเสร็จภารกิจในรอบเช้า นาฬิกาตั้งโต๊ะบอกเวลาเจ็ดโมงแล้วแต่ร่างกายยังไม่พร้อมออกไปทำงาน มันทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ถ้าถามถึงเหตุผลคงตอบได้เพียงแค่ว่า ‘ปัณณ์... ดุมาก’ เหมือนไปตายอดตายอยากที่ไหนมา ก็คนยังหนุ่มยังแน่น คึกก็ไม่แปลกหรือเปล่า

Rrrrr

เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้น ผมรีบลืมตาแล้วควานมือหามันจนเจอ ชื่อที่เห็นอยู่บนหน้าจอทำให้คิ้วทั้งสองข้างขมวดแน่น ไอ้ทอยโทรมาเช้าขนาดนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือแค่ละเมอวะ แปลกใจ จะปล่อยให้สายตัดก็คงไม่ดี

“มีอะไร?” ผมรับสายด้วยคำถามเพราะปกติแล้วไอ้ทอยไม่เคยโทรมาเช้าขนาดนี้ในวันที่ไม่มีตารางบิน เอาแต่นอนอุตุกินบ้านกินเมืองหรือไม่ก็กกสาวจนลืมเพื่อนฝูงเสมอ แต่พักหลังมานี่รู้สึกว่ามันทำตัวแปลกไป ดูเหมือนมันจะหันมาใส่ใจปัณณ์มากขึ้น

‘พูดจาห่างเหินจังวะ’ คำตัดพ้อที่ไม่รู้ว่าจริงจังหรือแค่ล้อเล่นดังขึ้นในขณะที่กราฟขยับตัวเข้ามาคลอเคลียเหมือนลูกหมาขี้อ้อน อยากจะวางสายแล้วเข้าตะลุมบอนอีกรอบเหลือเกิน สนุกกว่าคุยกับไอ้ทอยเยอะ

“ก็มึงโทรมาซะเช้า” ผมพยายามคุมเสียงให้เป็นปกติเมื่อโดนกราฟดูดดึงหน้าอกอย่างแรง เจ้าเด็กคนนี้คงหมั่นไส้ที่ใช้เวลาคุยโทรศัพท์ต่อหน้า เขาเริ่มคลอเคลียกันมากขึ้นจนต้องเม้มปากไว้แน่น ถ้าเผลอร้องครางออกไปไอ้ทอยต้องแซวแน่นอน ปากหมาไม่มีใครเกิน

‘ถ้าไม่มีอะไรกูโทรหาไม่ได้เลยใช่ไหม?’ ปลายสายเริ่มดึงบทสนทนาเข้าโหมดดราม่าจนผมต้องขอเวลานอกจากกราฟเพื่อคุยโทรศัพท์ให้จบ ถ้ายังนอนนัวเนียกันอยู่แบบนี้คงได้ทะเลาะกับไอ้ทอยแน่ๆ

“กูว่าอะไรสักคำหรือยังเนี่ย ดราม่าเพื่อ?” ผมหยิบผ้าขนหนูมาพันรอบเอวแล้วเดินออกไปคุยตรงระเบียง แสงแดดของเดือนมีนาคมช่างร้อนแรงจนผิวแทบไหม้ นี่ขนาดช่วงเช้า ถ้าเป็นช่วงสายไม่ต้องพูดถึงเลย ละลายกลายเป็นน้ำแน่ๆ

‘ล้อเล่นน่า ตอนนี้มึงอยู่ห้องไหมอะ?’ ไอ้ทอยเปลี่ยนน้ำเสียงแต่ผมยังคงขมวดคิ้วอยู่เหมือนเดิม รู้สึกช่วงนี้อารมณ์มันขึ้นๆ ลงๆ ยังไงไม่รู้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

“ถามทำไม?” ผมใช้เวลาว่างเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ วันนี้จะกลับไปนอนคอนโดให้หนำใจสักทีเพราะอยู่กับกราฟไม่สามารถปลีกตัวหนีไปเล่นเกมหรือตามโซเชี่ยลอะไรได้เลย น้องมันคอยแต่จะยั่วอารมณ์อยู่เสมอ

‘จะชวนไปกินข้าวต้มหมูทรงเครื่อง’ ผมชะงักมือที่กำลังจะคว้ากางเกงยีนส์เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ สมองเริ่มประมวลผลสิ่งที่เพื่อนกระทำแล้วพบว่าเหตุการณ์ตอนนี้ไอ้ทอยไม่ปกติเป็นอย่างมาก แต่ก่อนไม่เคยขยันตื่น ไม่เคยกินข้าวเช้า หรือถ้ากินก็ไปกับสาวในสต็อก

“มึงลืมกินยาปะ? ถ่อสังขารจากบ้านมาชวนกูกินข้าวเช้าเนี่ยนะ”

‘ไม่ได้เจอกันเกือบเดือนแล้วนะ ไม่คิดถึงกูเหรอ?’

“จะคิดถึงทำไมวะ มึงไม่ได้น่าพิศวาสสักหน่อย” ผมเบ้ปากใส่โทรศัพท์ทั้งที่รู่ว่าอีกฝ่ายไม่รับรู้แล้วเริ่มเก็บเสื้อผ้าต่ออีกครั้ง ดวงตาคมเหลือบไปเห็นว่ากราฟกำลังพาสังขารเปลี้ยๆ เข้าห้องน้ำแล้วนึกสงสารและอยากขอโทษที่รุนแรงด้วย แต่ช่างมันเถอะ อ่อนโยนไปอาจจะทำให้น้องคิดว่าเราให้ความหวัง

‘นี่เพื่อน จำไม่ได้เหรอ?’

“เออ จำไม่ได้ วันนี้กูไม่สะดวกไปกับมึง” ผมหอบเสื้อผ้าเข้าห้องแล้วกองไว้บนเตียง หนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ก่อนจะเริ่มพับผ้าใส่กระเป๋าเป้ ที่บอกว่าไม่สะดวกก็เพราะว่าหอของกราฟอยู่ใกล้ร้านพี่ยูก็เท่ากับมันต้องขับรถจากดอนเมืองถึงรังสิต ไกลเว่อร์มาก ต่างคนต่างหาข้าวกินเองเถอะ

‘ได้ไงวะ ทำงานตั้งเก้าโมงไม่ใช่เหรอ?’ คำถามเซ้าซี้ของไอ้ทอยทำให้ผมลอบถอนหายใจ มันไม่ใช่คนจู้จี้โดยพื้นฐานแล้วมาทำตัวแบบนี้ก็มีพิรุธสิ ถ้าจะเก็บเป็นความลับก็ให้เนียนหน่อย ครึ่งๆ กลางๆ มันน่าอึดอัด

“ใช่ แต่กูไม่ได้อยู่คอนโด”

‘อยู่ที่ไหน?’ ไอ้ทอยถามเสียงแข็งแล้วตามมาด้วยเสียงสบถไม่เป็นภาษา ผมได้แต่ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง เพิ่งเคลียร์หัวใจเรื่องพี่ยูไปยังต้องมาเจอศึกเพื่อนสนิทอีกเหรอ เป็นเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย ทำตัวน่าขนลุกเข้าไปทุกวัน

“อยู่หอน้องกราฟ” ผมเตะกระเป๋าเป้ลงจากเตียงแล้วม้วนตัวเข้าผ้าห่มอีกครั้ง อยากนอนต่อแล้ว ขี้เกียจตอบคำถามบ้าๆ ของมันเต็มทน ตั้งแต่ปัณณ์ลาออกจานเก่าแล้วมาทำงานกับพี่ยู ไอ้ทอยก็ทำตัวประหลาดมาตลอด สรุปว่าแค่หวงเพื่อนหรือคิดไม่ซื่อกันแน่ ถ้าคุยกันตรงๆ จะไม่รู้สึกอึดอัดขนาดนี้ ชักเริ่มสับสน

‘ปัณณ์... มีงนอนกับกราฟเหรอ?’ คำถามขาดห้วงที่ไม่รู้ว่าคนพูดทำสีหน้าแบบไหน แต่พอจะเดาได้รางๆ คงกำลังเบิกตาโตไม่ก็เบะปากใส่โทรศัพท์

“เออดิ จะให้กูมาเล่นหมากเก็บกับน้องเขาหรือไง?” ผมดีดผ้าห่มออกจากตัวแล้วตัดสินใจว่าจะไปอาบน้ำพร้อมกับกราฟเพราะเมื่อครู่น้องโผล่หน้ามากระดิกนิ้วเชิญชวนทั้งที่ตัวเต็มไปด้วยฟองสีขาว ไปช่วยกันถูหลังคงเสร็จเร็วดี หึหึ

‘นั่นสิเนอะ งั้นกูก็ต้องกลับบ้านใช่ไหม?’ พูดอะไรของมัน

“เดี๋ยว... มึงอยู่คอนโดกูเหรอ?”

‘อื้อ นั่งอยู่ตรงล็อบบี้’ ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ คิดจะไปก็ไปก็ได้เหรอ เซอร์ไพร์สมากมั้ง ไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนั้นแล้วผมจะเผลอใจอ่อน หรือที่ทำเพราะรู้ว่าสุดท้ายเรื่องคงลงเอยแบบนี้ โธ่เว้ย

“สัด! เฮ้อ เที่ยงไปกินข้าวที่ร้านพี่ยูด้วยกัน” ผมบอกมันอย่างจำยอม ถ้าลงทุนถ่อสังขารมาถึงคอนโดแล้วก็ช่วยกรุณาขับรถต่อจนถึงร้านนัทสึก็แล้วกัน อยากกินข้าวด้วยนักใช่ไหม ได้เลยไอ้ทอย

‘รับทราบ มึงเลี้ยงนะ’ ไอ้ทอยพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนที่สัญญาณจะตัดหายไป ผมผละโทรศัพท์ออกจากตัวด้วยความหงุดหงิดก่อนจะโยนมันลงบนเตียงแล้วสบถด่าตามหลัง เจอหน้าเมื่อไหร่ขอกระโดดถีบเป็นอันดับแรกเลยแล้วกัน

ผมจัดการอาบน้ำพร้อมกับกราฟอย่างเชื่องช้าเพราะโดนยั่วเข้าไปอีกรอบ กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเก้าโมง ตอนแรกว่าจะไปส่งน้องที่ห้างแต่สุดท้ายก็รีบคว้ากระเป๋าแล้วขับรถตรงไปที่ร้านนัทสึ ถ้าไปทำงานสายเกรงว่าคราวนี้คงโดนตัดเงินเดือนแน่นอน

การจราจรช่วงเช้าแทบเป็นอัมพาต รถขยับได้แค่ครั้งละนิดแข่งกับเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงที่เหลืออยู่ แต่ดีหน่อยที่หอกราฟกับร้านพี่ยูไม่ได้ไกลกันมากผมเลยถึงที่หมายในเวลาทำงานเป๊ะๆ แบบไม่ขาดไม่เกิน

“น้าปัณณ์มาแย้ว!” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน ร่างป้อมๆ พุ่งตรงมากอดขากันไว้แน่น ความตั้งใจที่จะยกมือไหว้พี่ยูเป็นอันดับแรกก็ต้องพับเก็บเพราะริวกางแขนเป็นสัญญาณให้อุ้มซะแล้ว เจ้าตัวแสบเหมือนเด็กติดแม่เข้าไปทุกวัน

“ฮึบ สวัสดีครับริว สวัสดีครับพี่ยู” ผมเอ่ยทักทายเด็กในอ้อมกอดก่อนหันไปคลี่ยิ้มให้พ่อเด็กที่ยืนส่ายหัวกับความขี้อ้อนของลูกชาย สงสัยจริงๆ ว่าได้นิสัยแบบนี้มาจากใคร พี่ยูก็ไม่น่าจะใช่ ยิ่งพี่ป่านตัดทิ้งไปได้เลย รายนั้นแมนกว่าผู้ชายอีกมั้ง แต่เวลาเขาอยูาด้วยกันสองคนอาจจะเป็นอีกแบบ...

“คิดถึงจัง ฟอด ~” ริวขโมยหอมแก้มผมฟอดใหญ่ก่อนจะหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ แขนเล็กๆ คล้องไว้ที่ลำคอ พี่ยูถึงกับเบ้ปากใส่ลูกชาย คงรู้สึกน้อยใจล่ะมั้ง โธ่ อย่างอแงนะครับคุณพ่อ

“แอบขโมยหอมแก้มน้าปัณณ์เหรอเจ้าแสบ?” พี่ยูเอื้อมมือมาขยี้หัวริวจนยุ่งเหยิงก่อนโน้มตัวให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน ผมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นแล้วรอฟังคำตอบจากริวด้วยใจจดจ่อ อยากรู้ว่าจะตอบยังไง เจ้าเด็กแก่แดด (แอบเปลี่ยนฉายาให้หลานไปอีก)

“นุ่มๆ เหมือนมาร์ชเมลโล่” ริวฉีกยิ้มกว้างแล้วยืนยันคำพูดด้วยการหอมแก้มของผมอีกครั้งหนึ่ง พี่ยูได้แต่หัวเราะร่าพยักหน้ารับคำลูกชายก่อนจะใช้มือบีบจมูกน้อยๆ อย่างมันเขี้ยว

“เจ้าเล่ห์นักนะ”

“คิกๆ ป๊าขี้อิจฉา ~” เจ้าตัวแสบแลบลิ้นใส่พี่ยูแล้วเอนตัวหลบมือใหญ่ที่กำลังเอื้อมมาดึงแก้ม ผมสะดุ้งเฮือกก่อนรีบประคองริวเอาไว้ ถ้าพลาดหล่นตุบลงไปบนพื้นคนซวยจะเป็นปัณณ์แบบไม่ต้องสงสัย

“อิจฉาอะไรครับ? ไหนพูดให้เคลียร์สิ” พี่ยูจ้องหน้าริวแต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆ เพราะตำแหน่งสายตามันอยู่ระดับเดียวกันทั้งสามคน ไอ้ความรู้สึกที่สลัดทิ้งไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนกำลังจะย้อนกลับมาหรือเปล่า แต่คงไม่หรอก มันเป็นเพียงความกลัวการตกหลุมรักอีกครั้งก็เท่านั้นเอง

“ป๊าก็อยาก... หอมแก้มน้าปัณณ์ ใช่ม้าๆ” เจ้าตัวแสบหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีโดยที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ กลับเบิกตาโตด้วยความตกใจ ผมกระอักกระอวนไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนแต่กลับสะดุดที่ริมฝีปากของพี่ยู มันดูหน้าจูบมากกว่าใช้หอมแก้ม... ฉิบหาย ต้องห้ามคิดแบบนั้นสิ

“เฮ้ย เอาอะไรมาพูดครับริว เดี๋ยวน้าปัณณ์เข้าใจผิด” พี่ยูโวยวายแล้วรีบใช้นิ้วแตะปากเจ้าตัวเล็กคล้ายห้ามพูดประโยคเมื่อครู่ออกมา สีหน้าเขาดูตกใจมากกว่าจะดุลูก ดวงตาคมเหลือบมองผมเป็นระยะคงอยากอธิบาย ปัณณ์รู้ดีว่าในสมองโตๆ ไม่มีความคิดแบบนั้นหรอก

“อ้าว ป๊าไม่อยากหอมน้าปัณณ์เหยอ?” ริวเอียงคอถามผู้เป็นพ่อสลับกับเอานิ้วเล็กๆ จิ้มแก้มของผมที่ตอนนี้คงแดงเถือกไปแล้ว ทั้งที่พยายามไม่รู้สึก แต่สุดท้ายมันก็เขินอย่างช่วยไม่ได้ ก็มันใช่เรื่องปกติที่ไหนโดนเด็กพูดแบบนั้นใส่ เห็นน้าปัณณ์เป็นแม่ป่านหรือไง

“ครับ ป๊ากับน้าปัณณ์เป็นผู้ชาย เขาไม่หอมแก้มกัน” น้ำเสียงพี่ยูจริงจังจนผมแอบรู้สึกใจเสีย หรือเขาไม่ชอบความรักแบบเพศเดียวกันแต่ไม่แสดงออกเพราะปัณณ์เป็นแบบนั้น...

“ริวก็เป็นผู้ชาย ~” เด็กน้อยตีมือลงบนอกตัวเองเพื่อบอกว่าเขาก็เป็นผู้ชาย พี่ยูถึงกับหลุดขำแล้วอุ้มริวออกจากอ้อมกอดของผม

“ริวเป็นเด็ก หอมน้าปัณณ์กับป๊าได้ครับ แต่ถ้าโตแล้วหอมไม่ได้นะ เข้าใจไหม?” จบคำพูดปากหยักก็ประทับลงบนแก้มกลมนั่นอย่างแรง ริวหลับตาปี๋ก่อนขยับหนีคงเจ็บที่โดนไรหนวดทิ่ม พี่ยูลุคนี้เพิ่มความแบดบอยขึ้นเป็นเท่าตัว ไหนวันนี้จะแต่งตัวด้วยโทนสีดำอีก เท่ไม่มีที่ติ

“อ๋อ วาการิมัส ~” (เข้าใจแล้ว) เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงักจนแก้มกลมๆ สั่น ผมหลุดยิ้มให้กับความน่ารักนั่น กะว่าจะเอื้อมมือไปขยี้หัวริวสักหน่อยแต่โดยเสียงทุ้มขัดไว้ซะก่อน

“ขอโทษน้าปัณณ์ด้วยครับ” พี่ยูเหลือบมองผมแล้วคลี่ยิ้มบางให้ ที่จริงแล้วริวก็พูดไปตามประสาเด็ก เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่เพื่อการสอนสิ่งที่ควรหรือไม่ควรก็คงห้ามคนเป็นพ่อไม่ได้ เอาเถอะ ขอโทษมาก็แค่ให้อภัยกลับไป ไม่มีอะไรดราม่าแน่นอน

“โกะเมนนะไซฮับ” (ขอโทษครับ) ริวก้มหัวตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นก่อนจะยกมือไหว้ตามวัฒนธรรมไทย ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้ผมโกรธไม่ลง น่าขยำขยี้เพราะมันเขี้ยวมากกว่า

“ไม่เป็นไรครับ” ผมจับแก้มกลมทั้งสองข้างของหลานยืดออกแล้วคลี่ยิ้มสดใสไปให้ ริวรับรู้ว่าได้รับการให้อภัยเลยโน้มตัวมาให้อุ้มแทน จะอยู่กับพี่ยูสักห้านาทีไม่ได้เลยเหรอหืม นี่ถ้าเป็นหนุ่มๆ น้าคงจีบไปแล้ว ทำตัวน่ารักขนาดนี้น่ะ (กับหลานก็ไม่เว้น)

“ปัณณ์ อย่าถือสาหลานเลยนะ” พี่ยูอุ้มริวไปวางไว้ในคอกกั้นเด็กแล้วหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขาคงกลัวว่าจะโดนโกรธสินะ แต่ความรู้สึกของปัณณ์ดันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง หรือง่ายๆ ก็คือมันสับสนจนเลือกไม่ได้ เขิน ดีใจ เสียใจ อึดอัด

“ครับ ผมชิวๆ” แต่สิ่งที่ผมแสดงออกคือรอยยิ้มปั้นแต่งอย่างดี เวลาสองอาทิตย์ที่เอาไปใช้ร่วมกับกราฟเหมือนไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่เมื่อโดนสิ่งที่เรียกว่าพี่ยูสะกิดแผลเก่า หรือว่าปัณณ์ต้องลองเป็นเมียคนอื่นวะ ความรู้สึกหวั่นใจนี่ถึงจะหายไปสักที

“อื้ม แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง?” เขาย่อตัวลงเพื่อขยี้หัวเจ้าลูกชายที่ทำตาปริบๆ เกาะคอกกั้น เจ้าตัวเล็กพยายามปีนตังพี่ยูออกมาจากตรงนั้น ดูท่าทางคงอยากวิ่งเล่นมากกว่า

“ยังเลยครับ” ผมตอบกลับในขณะที่สายตาดันโพกัสไปที่แผ่นหลังกว้าง ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นจนต้องส่ายหน้าไล่มันออกไปจากหัว คิดอะไรแบบนั้นไม่ได้นะปัณณ์ อยู่ๆ อยากซบก็ได้เหรอวะ สงสัยคงเกิดจากอาการง่วงสะสมล่ะมั้ง

“งั้นมากินด้วยกันสิ พี่เพิ่งเตรียมขนมปังปิ้ง ไข่ดาวกับนมสดเสร็จพอดี” พี่ยูผายมือไปทางโต๊ะกลมริมสุดของร้าน อาหารมากมายเรียงรายอยู่บนนั้นเหมือนตั้งใจทำเผื่อกันอยู่แล้ว กินมื้อเช้าด้วยกันคงไม่เป็นอะไรมั้ง

“ครับ ขอรบกวนด้วยนะ”

ผมนั่งฝั่งตรงข้ามกับพี่ยูโดยมีเจ้าแสบอยู่บนตัก ครั้นจะดุก็ไม่กล้าเพราะหลานเอาแต่จะเบะปากร้องไห้ สุดท้ายเลยจบในสภาพนี้ ตกลงว่าลืมคนเป็นพ่อไปแล้วใช่ไหม เกาะน้าแน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกซะอีก เด็กหนอเด็ก ทำเป็นเห่อของใหม่ไปได้ เดี๋ยวนานไปก็เบื่อกัน เชื่อเถอะ

“อิตาดาคิมัส!” เสียงเจื้อยแจ้วของริวดังขึ้นทำให้ผมกับพี่ยูหลุดหัวเราะพร้อมกันแล้วเริ่มลงมือกินอาหารตรงหน้า จัดการหั่นไข่ดาวกับขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ ให้หลาน ส่วนพี่ยูแค่นั่งไขว่ห้างจิบกาแฟดำใส่ส้มหั่นแว่น

“จิ้มๆ” ริวชี้นิ้วไปที่ไข่ดาวในจานของผม คงอยากเอาส้อมจิ้มให้มันเยิ้มๆ เหมือนในโทรทัศน์

“ห้ามจิ้มครับ” ผมแกล้งเจ้าเด็กน้อยด้วยการขยับจานหนี แก้มกลมๆ ป่องขึ้นทันตาเห็น อยากหยิกสักทีแต่รอดูปฏิกิริยาต่อไปดีกว่า

“งือ ริวอยากจิ้ม” เริ่มเบะปากแล้ว ผมต้องยอมให้หลานจิ้มไข่แดงใช่ไหม

“จิ้มของตัวเองสิครับ” พี่ยูวางแก้วกาแฟลงแล้วจ้องลูกชายเขม็ง ริวเริ่มเค้นน้ำตาออกมาก่อนที่มันจะไหลลงบนแก้ม ผมรีบดึงส้อมออกแล้วกอดหลานไว้แน่นพลางโยกตัวเบาๆ เพื่อปลอบ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องดุด้วยวะ ปัณณ์ไม่เข้าใจ

“ป๊าใจร้าย...” ริวพูดเสียงเครือก่อนจะหมุนตัวมาซบหน้าที่อกของผมส่วนหางตายังเหลือบมองคนเป็นพ่อ ปัณณ์พยายามส่งสายตาให้พี่ยูหยุดทำท่าทีขึงขังแต่เขาไม่ให้ความร่วมมือ สุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย รอดูต่อไปแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“ทำลายของคนอื่นนิสัยไม่ดี เข้าใจไหม? ถ้าริวจิ้มไข่แดงแตก น้าปัณณ์จะเสียใจ” พี่ยูมองผมแค่ครู่เดียวก่อนจะเอื้อมมือมาจับแก้มกลมๆ ของริวไว้ คงเป็นการส่งถ่ายความรู้สึกระหว่างสองพ่อลูก เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเขาอยากสอนลูกเรื่องนี้

ริวนิ่งไปครู่ใหญ่เหมือนกำลังใช้สมองน้อยๆ คิดทบทวนเรื่องที่ได้ทำลงไป เจ้าตัวแสบเม้มปากแน่นก่อนพยักหน้ารับคำ ทุกอย่างจบลงด้วยการที่หลานขอโทษผมและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ทางด้านพี่ยูยิ้มอย่างพอใจที่สามารถสอนลูกให้เข้าใจได้ ถือว่าเก่งทั้งคู่ น่านับถือจริงๆ

หลังจากที่พวกเราจัดการมื้อเช้าเรียบร้อยผมอาสาเป็นคนเก็บจานไปล้างโดยมีผู้ช่วยตัวน้อยคอยเดินตามต้อยๆ จะไล่ให้ไปเล่นคนเดียวก็สงสารให้เป็นลูกเป็ดเดินตามแม่แบบนี้คงดีกว่า

พี่ยูเริ่มเตรียมวัตถุดิบอยู่ไม่ไกล วันนี้เรามีเมนูแนะนำประจำวันเป็นข้าวห่อไข่สุดฮิตที่มีขั้นตอนการทำไม่ยากแต่สำหรับผมทุกอย่างที่เรียกว่าอาหารญี่ปุ่นนั้นยากเสมอเพราะเครื่องปรุงเยอะ วัตถุดิบเยอะ ไม่รู้ว่าต้องใส่อะไรเท่าไหร่ เคยพยายามเรียนทำอยู่หลายครั้งแต่ล้มเหลว จนสำเหนียกได้ว่าควรรอกินอย่างเดียวคงดีกว่า

“พี่ยูครับ” ผมเอ่ยเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ข้าวๆ ในขณะที่หยิบจานใบสุดท้ายขึ้นจากซิงค์ล้างจาน พี่ยูชะงักมือแล้วเงยหน้ามองกันพลางขมวดคิ้วเป็นเชิงถาม

“ครับ?”

“ตอนเที่ยงผมชวนไอ้ทอยมากินข้าวที่ร้านนะ” ผมวางจานลงบนตะแกรงแล้วเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน เหตุผลที่ต้องบอกกล่าวเขาไว้ก่อนนั้นคือเราอาจจะได้สิทธิพิเศษเป็นของหวานล้างปากโดยไม่ต้องเสียเงินหรือได้ส่วนลดต่างจากลูกค้าคนอื่น ไม่ใช่ว่างกแต่อยากเอาคืนไอ้ทอย มีอย่างที่ไหนแกล้งให้ปัณณ์จ่ายคนเดียวล่ะวะ

“โอเค เดี๋ยวพี่จะแสดงฝีมือขั้นเทพให้ได้กินกันเลย” พี่ยูยิ้มอย่างใจดีก่อนจะเริ่มลงมือซอยต้นหอมญี่ปุ่นต่อ สกิลการใช้มีดของเขานับว่าอยู่ในระดับสูง ทั้งความเร็วและความแม่นยำสามารถให้คะแนนสิบเต็มสิบได้เลย ถ้าเป็นผมนิ้วอาจเป็นแผลไปแล้ว ทำอาหารเป็นใช่ว่าเรื่องอุปกรณ์จะเป๊ะ

“มันมัดมือชกให้ผมเลี้ยงอะ” อันนี้ผมยอมรับว่าตั้งใจฟ้องพี่ยูอย่างจริงจัง เรื่องเลี้ยงเพื่อนไม่มีปัญหาแต่ไอ้ทอยเป็นคนที่กินจุมากถึงมากที่สุด สามารถกินข้าวห่อไข่ห้าจานแล้วตามด้วยราเมนร้อนๆ อีกสามชาม เกี๊ยวซ่า ทาโกะยะกิ ปลาดิบ ซูชิ และอีกหลายอย่างในมื้อเดียว โคตรอึ้งที่มันไม่อ้วนเลย คงเป็นเพราะเข้าฟิตเนสหลักล่ะมั้ง

“ไม่ต้องจ่ายเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง เนื่องในโอกาสจะได้เจอกัปตันทอยตัวเป็นๆ สักที” พี่ยูยิ้มพร้อมกับยักคิ้วจึกๆ ประกอบคำพูด ผมหลุดหัวเราะแล้วพยักหน้ารับ ถึงจะเกรงใจแต่การที่ผู้ใหญ่ออกปากแบบนั้นเราก็ควรทำตามใช่ไหม ขัดไปก็เท่ากับว่าเป็นเด็กมารยาทไม่ดี ปัณณ์ไม่ได้หัวหมอนะสาบานเลย

“เปย์อีกแล้วนะพี่ยู” อดที่จะกัดเขาไม่ได้ พี่ยูสายเปย์ตัวจริงเสียงจริง ตั้งแต่รู้จักกันมาถ้าไม่ออกปากขัดบ้างผมคงดูเหมือนเด็กเสี่ยไปแล้ว เพราะไม่ว่าทำอะไร ดูหนัง กินข้าว ซื้อของ เขาจะออกตัวจ่ายให้เสมอ นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เด็กชายปัณณ์ในตอนนั้นปลื้มคนๆ นี้มาก

“เพราะทอยเป็นเพื่อนปัณณ์ไง พี่เลยอยากดูแลไปด้วย” พี่ยูมาโหมดซึ้งทำให้ผมที่หวังผลลัพธ์แบบกวนๆ ถึงกับไปไม่เป็น ทุกครั้งที่เขาพูดนั้นจะให้ความสำคัญกับปัณณ์เสมอ ไอ้อาการหวั่นไหวที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากที่คิดว่าตัดใจได้แล้วนั้นมันมีสาเหตุมาจากเขา อยากเกลียดความอ่อนโยน ความอบอุ่น แต่ไม่เคยทำได้เลย

“ผมไปทำงานต่อแล้วนะ” ตอนนี้มีทางเดียวคือผมต้องพาตัวเองออกห่างจากเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดี๋ยวอะไรๆ มันก็คงดีขึ้นเอง




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 3 : ข้าวห่อไข่ P.1 -26/03/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 26-03-2018 12:06:21
วันนี้ลูกค้า (ผู้หญิง) เข้าร้านมากกว่าปกติเพราะเป็นวันแรกที่ร้านมีการร้องเพลงเล่นดนตรีสดในเวลาเที่ยงตรง ผมและพี่ยูเป็นคนทำหน้าที่ มันเหมือนเป็นการคืนกำไรอย่างหนึ่ง คงมีหลายคนชอบโดยเฉพาะสาวๆ บางคนถึงขนาดพกกล้องถ่ายรูปมาเก็บภาพ นี่เขาดังกว่าดาราหรือเปล่าวะ สาบานว่านั่นคือคุณพ่อลูกติดวัยสามสิบเจ็ดปี อะไรจะฮอตขนาดนั้น

“ตื่นเต้นเหรอ?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นข้างหูทำให้ผมสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมอง ปลายจมูกของเราแตะกันเพียงครู่เดียวก่อนจะผละออก ทำไมพี่ยูต้องเข้ามายืนใกล้ขนาดนี้ด้วยวะ หัวใจเต้นแรงเป็นบ้า

“ปะ เปล่าครับ แค่ไม่เคยร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ ขนาดนี้” ผมเบนหน้าหนีแล้วจิกมือลงบนวงกบประตูแน่น กะว่าจะโผล่หัวออกมาดูจำนวนลูกค้าสักหน่อยเพื่อลดความประหม่าแต่พี่ยูกลับทำให้สมาธิกระเจิงมากกว่าเดิม แม่ง ไอ้ทอยอยู่ไหน มึงควรมาช่วยกูได้แล้ว

“ปกติร้องจีบหนุ่มๆ สาวๆ ที่ตัวเองชอบสินะ” พี่ยูเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงระรื่น เขาคงไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์เมื่อครู่เหมือนผม ตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อในอกได้เลย ขนาดใช้มือขยำเสื้อ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่เปล่าประโยชน์ ทำไมกัน ก็ลบความรู้สึกนั้นไปแล้วไม่ใช่เหรอ

“อีกห้านาทีจะเที่ยงแล้ว เตรียมตัวกันเถอะครับ” ผมเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนั้นเพราะความจริงแล้วไม่มีใครคนไหนที่เคยได้ฟังนอกจากครอบครัวและพี่ยู เพลงที่เลือกมาในวันนี่เหมือนการย้อนอดีตกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความรู้สึกในตอนนั้น มันช่างเจ็บปวดแต่สวยงามตามแบบฉบับของคนแอบชอบ

“อื้ม เพลงที่ปัณณ์เลือกเพราะดีนะ” พี่ยูถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วหยิบกีตาร์ที่พิงหลังเค้าน์เตอร์แล้วเดินนำหน้าผมไปที่เก้าอี้ตัวสูงหน้าบาร์ทำอาหาร เนื่องด้วยร้านไม่ได้มีขนาดใหญ่เลยไม่ต้องใช่ไมค์ให้ยุ่งยาก ถือว่าร้องเพลงสดจริงอะไรจริง

ผมกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะหลับตาลงแล้วสูดหายใจเข้าปอด เพลงที่เลือกในวันนี้คือ ‘มุม’ ของวง Playground มันเพราะอย่างที่พี่ยูชมจริงๆ แต่ความหมายช่างน่าสงสาร ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องร้องมัน

“แก๊... พี่เจ้าของร้านเล่นกีต้าร์เหรอ? คือดีอะ!” ระหว่างทางผมได้ยินประโยคทำนองนี้มาสองสามครั้งก่อนตามมาด้วย ‘นักร้องเป็นพนักงานใหม่หน้าใสๆ นี่เหรอ โอ๊ย มีแต่คนหล่อ’ แทนที่มันจะช่วยให้มีกำลังใจแต่ไม่เลย ประหม่ายิ่งกว่าเดิมซะอีก ไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้เลยว่ะ

“พี่ยู... ผมเล่นกีต้าร์แทนได้ปะ?” ผมขยับเข้าไปกระซิบพี่ยูที่กำลังหย่อนก้นเพื่อนั่ง เขาชะงักแล้วเอียงคอมองอย่างสงสัย

“พี่ร้องเพลงไม่เป็นนะครับ สกิลระดับเสียงเป็ดเลย” พี่ยูพูดติดตลกก่อนจะนั่งลงแล้วยกกีตาร์วางไว้บนตักเป็นท่าเตรียมพร้อม ผมลอบถอนหายใจแล้วพยักหน้าจำยอมในโชคชะตา แม่ง... เปลี่ยนเพลงตอนนี้ทันไหม เริ่มหวั่นใจว่าจะอินกับมันเกินเหตุ (ไม่ได้ประหม่าเพราะลูกค้าเหรอ? ปัณณ์หลอกลวง!)

ผมหย่อนก้นลงข้างพี่ยูแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกกำลังใจแต่เกือบสำลักอากาศตายเพราะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักบนหัว มือหนาของวางลงแล้วออกแรงลูบเบาๆ ถ้าปัณณ์ตายตรงนี้ก็ไม่ต้องสงสัย

“คิดซะว่ามีพี่กับปัณณ์อยู่แค่สองคนก็พอ สี่นาทีเอง สู้ๆ ครับ” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะผละมือออกไปจับคอร์ดกีต้าร์เพื่อเตรียมพร้อม ผมได้แต่เม้มปากเน้นแช้วเบนสายตาหนี ถ้าให้คิดว่าอยู่กับพี่ยูแค่สองคนยอมมองลูกค้านับสิบในร้านยังสบายใจกว่าเยอะ

แค่สี่นาทีกับหนึ่งเพลงแอบรัก ปัณณ์จะต้องผ่านมันไปให้ได้!

“สวัสดีครับลูกค้าทุกคน” พี่ยูเป็นคนออกปากเพื่อประกาศเริ่มการร้องเพลง ลูกค้าเกือบทุกคนรีบวางมือจากอาหารแล้วอยู่ในท่าเตรียมพร้อมคือหยิบโทรศัพท์เพื่อถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอ ผมชักอยากจะมุดพื้นหนีเพราะเมื่อครู่ตอนโดนลูบหัวมีสาวๆ หลายคนกรี๊ดกร๊าด อย่าสร้างกระแสคู่จิ้นเลย อย่าเอาไปแต่งนิยายด้วย

“วันนี้เราจะคืนกำไรให้กับลูกค้าโดยการร้องเพลงนะครับ ถ้าเสียงไม่ดีหรือกีต้าร์เพี้ยนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เราตั้งใจทำเต็มที่เลยเนอะ” ท้ายประโยคพี่ยูหันมาพูดกับผมพร้อมคลี่ยิ้มหวานที่ชวนให้ใจสั่น ผมพยักหน้ารับก่อนจะรีบยกกระดาษเนื้อเพลงขึ้นมาเพื่อเตรียมทำหน้าที่

เสียงกีตาร์ดังขึ้นเป็นอินโทรเพลงจากฝีมือของพี่ยู เขาดูเท่มากในการเล่นดนตรี มันเหมือนได้พบเจออีกหนึ่งตัวตนที่แฝงอยู่ข้างใน คล้ายกับภาพอดีตเมื่อนานมาแล้ว ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งก่อนจะเปล่งคำร้องที่จำได้ขึ้นใจ กระดาษก็แค่ของที่หยิบมาเพื่อเยียวยาอาการประหม่าเท่านั้นเอง

หากใครคนนึงมีคำถาม
สักวันคงอยากจะพบใคร
คำตอบในใจคือใครที่คุณต้องการ
เธอคือคนที่ดีพร้อมใครใครต่างพากันชอบเธอ
เธอคือคำตอบที่ทุกหัวใจใฝ่ฝัน


สายตาของผมกวาดมองลูกค้าไปทั่วบริเวณร้านพร้อมคลี่ยิ้มบางให้กับทุกคนก่อนจบลงที่คนข้างตัว พี่ยูกำลังมองมาทางนี้ด้วยใบหน้าที่อ่านไม่ออก เขากำลังอินเพลงเหรอ ช่างแม่งเถอะ จดจ่อกับงานที่ทำอยู่ดีกว่า เดี๋ยวร้องเพี้ยนขึ้นมาจะโดนโห่ไล่

และฉันเป็นคนที่ประทับใจเธอ
แต่ฉันก็ไม่กล้าที่จะพูดไป
ได้แต่ยิ้มให้เธอเบาเบา
อยู่ในมุมที่เธอไม่สนใจ
แอบมองดูเธอไกลไกลอย่างนี้ต่อไป

ผมเผลอยิ้มตามเนื้อเพลงแล้วจ้องมองใบหน้าด้านข้างของพี่ยูด้วยความเผลอไผล มีวูบหนึ่งที่รู้สึกเหมือนว่าความทรงจำเก่าๆ กำลังหวนคืนกลับจนต้องเบนสายตาหนีก้มมองกระดาษที่อยู่ในมือแทน หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติมาตลอดเริ่มไม่รักดี ทำไมวะ ก็กราฟช่วยชีวิตปัณณ์ไว้แล้วนี่

ได้แอบมองเธอข้างเดียวอยู่ที่มุมนี้
ก็พอแล้วไม่มีเงื่อนไขใดใดในความหวังดี
แค่ได้ชอบเธออยู่ตอนนี้
ก็ถือเป็นโชคชะตาดีดี
ที่คนอย่างฉันได้เกิดมาพบกับเธอ

พี่ยูหันมาสบตากันด้วยรอยยิ้มบางที่เขามักชอบทำกับผม มันมีความเอ็นดู ความห่วงใยอยู่ในนั้นเต็มไปหมด จริงๆ แล้วการแอบชอบแอบรักใครสักคนมันไม่ได้แย่ แต่ในเมื่อเขามีฐานะเป็นพี่เขยจึงไม่สมควร ปัณณ์ต้องหนีให้ไกลกว่านี้เพราะการอยู่ใกล้กันมันอันตรายมากเกินไป

หากเราใกล้กันมากกว่า
สักวันหนึ่งอาจจะไม่ดี
บางสิ่งในใจฉันอาจทำให้เธอลำบาก
ก็ปล่อยเธอลอยอยู่บนฟ้า
ขอมองดูเธอจากพื้นดิน
แค่เพียงได้เห็นเธอฉันก็สุขใจแล้ว

ผมหลุดยิ้มมุมปากเพื่อเยาะเย้ยตัวเอง เนื้อเพลงท่อนนี้ช่างแทงใจเหลือเกิน ใช่สิ ถ้าวันหนึ่งผมกลับมารู้สึกแบบเดิมกับพี่ยูแล้วแสดงออกไป เขาอาจเกิดความลำบากใจจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราสั่นคลอน หรือบางครั้งการมองหน้ากันหรือพูดคุยตามปกติคงอึดอัดตามไปด้วย ห่างออกมานั่นล่ะดีแล้ว ปลอดภัยไว้ก่อน

เพลงจบลงพร้อมเสียงปรบมืของลูกค้า ผมกับพี่ยูลุกขึ้นเพียงโค้งรับแล้วแยกย้ายกันไปทำงานประจำต่อ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาประตูร้านก็เปิดออกพร้อมกับผู้ชายที่มีใบหน้าคุ้นเคยเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม มันยกมือขึ้นทักทายก่อนมองหาโต๊ะว่าง

ขอบคุณที่มึงมาในเวลาที่กูไม่ต้องการแล้ว ไอ้สัดทอย!




------------------------------------------------

ให้ทายว่าในเรื่องนี้ใครร้ายที่สุด
พี่ยู ทอย ปัณณ์หรือเจ้าริว?
ต้องลุ้นกันว่าปัณณ์จะหนีความรู้สึกเดิมๆ ได้สำเร็จไหม
แท้จริงแล้วทอยคิดยังไงกับเพื่อนกันแน่

เอาเป็นว่าตอนนี้น้องกราฟเด็ดสุดอะ เราว่างั้นนะ 5555

หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 4 : ราเมน P.1 -01/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-04-2018 11:05:29
จานที่ 4 : ราเมน



ผมสวมบทบาทพนักงานประจำร้านที่ดีโดยการหอบเมนูอาหารเดินตรงไปหาลูกค้ารายใหม่ด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ เพราะสาเหตุหลักๆ คือมันบอกว่าจะเข้ามาตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งแต่ดันโผล่เอาตอนเที่ยงสิบห้า ผิดนัดแบบนี้ไม่น่าเป็นถึงกัปตันขับเครื่องบินเลยว่ะ

ผมวางเมนูลงบนโต๊ะดังปึกทำให้ไอ้ทอยที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ถึงกับสะดุ้ง มันบุ้ยปากใส่กันก่อนที่จะคลี่ยิ้มกว้างพลางขยับตัวเข้ามาใกล้จนใบหน้าแทบฝังเข้ากับท้องของผม อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อเด็ดขาดนะเว้ย อย่าหาว่าไม่เตือน

“ทำหน้าแบบนั้นคงดีใจล่ะสิที่กูมาหาแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยแซวแถมด้วยการเอื้อมมือมาสะกิดเอวกันเพื่อเป็นการหยอกล้อ ผมเบี่ยงตัวหลบก่อนจะใช้ปากกาเคาะลงตรงหน้าผากของไอ้ทอย หมั่นไส้ความกวนตีนของมันนัก คนกำลังทำหน้าบึ้งหมายถึงดีใจตรงไหน กูอยากเหยียบมึงให้จมดินจริงๆ

“สมองมีปัญหาเหรอ?” ผมถามกลับไปสั้นๆ เพราะรู้ว่าเพื่อนสามารถแปลความหมายได้ มันไหวไหล่ไม่ตอบโต้ก่อนจะหยิบเอาเมนูขึ้นมาเปิดดู เป็นการหนีปัญหาที่ถือว่าเลวระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ เกลียดจริงๆ

“Do you have anything special today?” มันยังคงเปิดเมนูไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตา ผมได้แต่เบะปากกับความกระแดะพูดภาษาอังกฤษนอกเวลาทำงานของไอ้ทอย เดี๋ยวเจอกูตอบกลับเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วจะหนาว เพิ่งเรียนมาจากพี่ยูสดๆ ร้อนๆ เลย รับรองว่าโคตรรสเปเชี่ยล

“โอะมุไรซุ” ชื่อเมนูแนะนำของร้านเป็นภาษาญี่ปุ่นถูกตอบออกไปด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผมยักคิ้วกวนให้ลูกค้ากิตติมศักดิ์หนึ่งครั้ง สะใจที่ได้เห็นไอ้ทอยทำหน้าเอ๋อหลุดมาดที่พยายามเก๊กแทบตายเพราะในร้านมีแต่สาวๆ ทั้งนั้น

“What?” ไอ้ทอยวางเมนูลงบนโต๊ะแล้วขมวดคิ้วมองหน้ากันเขม็งคล้ายกับคาดคั้นเอาคำตอบ ผมร้องเยสอยู่ในใจเมื่อเพื่อนติดกับดักที่วางไว้ ขอเอาคืนสักทีเถอะ เก็บกดมานาน

“ข้าวห่อไข่ไง ไอ้โง่” ผมแสยะยิ้มก่อนเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือไอ้ทอยที่เอื้อมมาฟาดกัน มันกัดฟันแน่นเมื่อพลาดเป้า คนทำอะไรไม่ได้ก็จะดูโง่ๆ หน่อย อยากขำให้ร้านแตกแต่เกรงใจลูกค้าคนอื่น

“ระวังตัวให้ดีเถอะมึง อย่าเผลอนะ”

“ไม่กลัว” ผมแลบลิ้นใส่มันก่อนจะหัวเราะร่า มีความสุขที่สามารถยั่วอารมณ์เพื่อนให้บูดสนิทได้ในประโยคเดียว ทำให้ลืมความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับพี่ยูอีกครั้งได้อยู่หมัด หวังว่าเขาจะไม่กระตุ้นอะไรอีก

“มันเขี้ยวมึงจริงๆ เลย” ไอ้ทอยกัดฟันพูดแล้วจ้องกันเขม็ง ถ้าอยู่ด้วยกันสองคนในที่รโหฐานมันคงลุกขึ้นถีบผมกระเด็นไปแล้ว

“จะทำอะไรกู?” ผมยังคงแกล้งมันต่อไป ติดลมกับหน้าหงิกๆ ของไอ้ทอย

“ปล้ำมึง” มันคว้าข้อมือของผมไปจับพลางลูบไล้เบาๆ สีหน้าและแววตาไม่ได้บ่งบอกถึงการล้อเล่น ถ้าไอ้ทอยทำแบบนั้นได้จริงๆ ก็แสดงว่าที่ผ่านมาแม่งหลอกลวงทั้งนั้น มึงก็คงเป็นไบเซ็กชวลเหมือนกัน

“ไอ้สัด ไม่ต้องแดกแล้วข้าวเที่ยงมึงน่ะ” ผมสะบัดมืออกแล้วทำหน้าขยะแขยงก่อนจะแยกเขี้ยวใส่ ตอนนี้ขนลุกไปทั้งตัว อยากเตะก้านคอมันด้วยซ้ำ ถ้าจะชอบกันก็ไม่ว่า แต่อยากตอดเล็กตอดน้อยเพราะในความจริงแล้วสถานะของเราไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหมือนความสัมพันธ์ของปัณณ์และพี่ยู

“โอ๋ๆ นะ กูแค่ล้อเล่นเอง ไม่ปล้ำหรอกรอให้มึงสมยอม” ไอ้ทอยยังไม่เลิกแหย่จนผมรู้สึกหงุดหงิดเข้าจริงๆ มันเล่นแบบนี้ทั้งที่การกระทำก็แปลกไปจะให้คิดยังไง ถึงแม้ว่าปัณณ์ไม่เคยจริงจังกับใครมาก่อน แต่เรื่องเพื่อนนั้นสำคัญกับชีวิตในระดับหนึ่ง

“มึงจะหุบปากได้หรือยัง?” ผมเอื้อมมือไปเก็บเมนูเพื่อเตรียมไล่มันออกจากร้าน ถ้ายังกวนประสาทกันไม่เลิกก็ไม่ต้องกินข้าวเที่ยง จริงๆ ไอ้ทอยก็ไม่ได้ผิดอะไร แค่เอาเรื่องละเอียดอ่อนมาเล่นเท่านั้น คงคิดว่าตัวเองทำเนียนแล้วสินะ แต่สายตาที่มองมากลับบอกทุกอย่างชัดเจน ความรู้สึกที่เกินเพื่อนเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

“โอเคครับ ขอโทษ” มันบอกเสียงอ่อยแล้วเอื้อมมือมากระตุกเมนูเบาๆ เพื่อเอาไปดูอีกครั้ง ผมเหลือบตามองก่อนจะถอนหายใจและปล่อยไอ้ทอยให้เลือกอาหารที่ต้องการ บรรยากาศโดยรอบตอนนี้อึมครึมกว่าท้องฟ้าด้านนอกอีก ฝนตกในเดือนมีนาคมเนี่ยนะ ประหลาดจริงๆ คงเหมือนน้ำตาล่ะมั้ง อยากไหลตอนไหนก็ได้

“ตกลงจะกินอะไร?”

“อ่า... ขอข้าวห่อไข่สองจาน ราเมนหมูชาบูหนึ่ง ซูชิหน้าปลาดิบหนึ่ง แล้วก็ชาเขียวเย็น” เมนูยาวยืดออกจากปากไอ้ทอย มันสั่งรัวจนผมเลิกจดเพราะมันสั่งเป็นประจำเมื่อไปร้านอาหารญี่ปุ่น

“อืม รอสิบนาทีนะ” ผมหมุนตัวเพื่อจะเดินไปส่งออเดอร์ให้กับพี่ยูแต่โดนไอ้ทอยรั้งข้อมือกันไว้ก่อน สัมผัสเพียงแผ่วเบาไม่เหมือนทุกครั้งที่บีบแน่นแทบตาย ที่จริงปัณณ์อยากจับเพื่อนมานั่งคุยให้เป็นเรื่องเป็นราวแต่เนื่องจากว่าตอนนี้อยู่ในเวลางานทำให้ต้องข่มใจเอาไว้ รอว่างเมื่อไหร่จะจัดการให้เรียบร้อย

“มึงจะเป็นคนทำให้กินปะ?” คำถามของมันทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น มากินข้าวร้านพี่ยูแต่เรียกร้องฝีมือปัณณ์คืออะไร ถ้าจะขอแบบนั้นไว้รอไปที่คอนโดดีกว่าไหม แล้วจับข้อมือไม่ยอมปล่อยหมายความว่ายังไง

“พี่ยูทำ กูเสิร์ฟอย่างเดียว” ผมหมุนข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วเตรียมเดินหนีเพื่อนสนิทอีกครั้ง พี่ยูที่ออกมาเสิร์ฟอาหารส่งยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะหายเข้าไปในครัว ทำไมต้องรู้สึกอึดอัดกับสายตาแวววาวนั่นด้วย หรือเขาดูออกว่าไอ้ทอยกำลังคิดอะไร

“อยากกินฝีมือปัณณ์” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งฟังดูออดอ้อนและขอร้องจนผมเผลอสะดุดลมหายใจ ความกระอักกระอ่วนตีรวนอยู่ในอก แทนที่ไอ้ทอยจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจากเรื่องพี่ยูแต่กลายเป็นว่ามันสร้างปัญหาใหญ่ซะเอง ปัณณ์ควรหาทางออกด้วยวิธีไหน

“กูทำอาหารญี่ปุ่นไม่เป็น” ผมตอบกลับโดยไม่หันไปมองหน้ามันอีก ในใจลึกๆ แอบแพ้ลูกอ้อนของไอ้ทอยอยู่เหมือนกัน

“นะครับ ทำให้ทอยกินหน่อย” โอเค ผมแพ้ราบคาบเพราะมันแทนตัวเองด้วยชื่อนี่ล่ะ จะทำตัวน่าสงสารไปถึงไหน กับสาวๆ ในสต็อกเคยอ้อนแบบนี้บ้างหรือเปล่าเถอะ

“มึงมันน่ารำคาญ”

“ตกลงว่าจะทำให้กินใช่ปะ?” มันแปลความหมายได้ถูกเป๊ะ สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันมานาน แต่ผมกลับถอนหายใจเฮือกเพราะมันเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าหลังจากนี้คงเกิดเรื่องวุ่นวายหนักกว่าเก่า ทั้งพี่ยูทั้งไอ้ทอย ปัณณ์ต้องจัดการความรู้สึกกับใครเป็นอันดับแรกวะ

“เออ รอบ่ายแล้วกัน ตอนนี้คนเยอะ”

“รอได้เสมอครับผม!”

ผมไม่ได้อยู่รอฟังว่าเพื่อนเพี้ยนๆ พูดอะไรไล่หลังมาเพราะขี้เกียจคุยต่อ ระหว่างเดินไปส่งออเดอร์ก็จดรายการอาหารที่จำได้ลงในกระดาษเพื่ออำนวยความสะดวกกับพี่ยู ปัณณ์จะทำแค่ข้าวห่อไข่เมนูเดียว ส่วนที่เหลือก็ให้เชฟประจำร้านทำ

“หน้าบึ้งมาเชียว ทะเลาะกับเพื่อนเหรอ?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักเมื่อผมก้าวขามาหยุดอยู่ตรงเค้าน์เตอร์เตรียมวัตถุดิบ พวกอาหารทอด ต้ม หรือผัดจะทำในครัวร้อน ส่วนอาหารเย็นๆ จำพวกข้าวปั้นหรือซาซิมิจะทำที่บาร์เปิดด้านหน้า

“เปล่าครับ พี่ยูช่วยสอนทำข้าวห่อไข่หน่อย” ผมปฏิเสธก่อนจะยื่นกระดาษจดออเดอร์ของไอ้ทอยให้ พี่ยูเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วรับไปอ่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“หืม?” คงสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ผมก็คึกอยากทำอาหารญี่ปุ่นขึ้นมาทั้งที่เคยบ่นว่ามันทำยาก

“ไอ้ทอยมันอยากชิมฝีมือผม” เสียงเนือยๆ หลุดจากปากก่อนจะทิ้งสะโพกพิงกับเค้าน์เตอร์ ไม่เข้าใจว่าไอ้ทอยจะอินดี้ไปไหนแล้วทำไมต้องหางานเพิ่มให้ผมอีก

“เพื่อนคนพิเศษหรือเปล่าเนี่ย?” พี่ยูหรี่ตามองอย่างจับผิดก่อนขยับเข้ามาใกล้เพื่อจ้องตา ผมผงะถอยหลังแล้วแยกเขี้ยวใส่เขา

“ใช่ก็บ้าแล้วพี่ยู พูดอะไรน่าขนลุก”

“แต่จากที่พี่เห็น ทอยเขามองปัณณ์แปลกๆ นะ” พี่ยูถอยหลังออกไปแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีท่าทางล้อเล่นเหมือนในตอนแรก ผมถอนหายใจก่อนพยักหน้ารับคำ จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยคงไม่ได้ ก็ไอ้ทอยเล่นแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น แต่ลึกๆ ยังไม่ปักใจเชื่อว่ามันจะคิดแบบนั้นกับปัณณ์ ใช่แน่เหรอวะ ไอ้ความรู้สึกที่มึงพยายามซื่อให้กูเข้าใจน่ะ

“ผมรู้ แต่ช่างมันเถอะ ยังไงเพื่อนก็คือเพื่อน เป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก” ผมบอกปัดทั้งที่ภายในใจกำลังว้าวุ่น ไม่อยากให้พี่ยูเก็บเอาเรื่องของไอ้ทอยไปคิดให้รกสมอง อีกอย่างคือปัณณ์กำลังรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

“เด็ดขาดจริงๆ เลยเนอะ” พี่ยูเริ่มทำอาหารต่อโดยการหยิบชิ้นสันในหมูที่คลุกเกล็ดขนมปังเรียบร้อยแล้วลงไปทอดในน้ำมัน ผมขยับเข้าไปช่วยจัดจานข้างๆ เขา

“มันแน่อยู่แล้ว” ผมตอบพลางกระตุกยิ้ม ความเด็ดขาดก็ใช้ได้แค่กับไอ้ทอยคนเดียวเท่านั้น ในส่วนของเรื่องพี่ยูแล้วมันช่างเลือนรางจนน่ากลัว

“อืม... ถ้าเปลี่ยนจากทอยเป็นพี่ล่ะ คำตอบยังเหมือนเดิมอยู่ไหม?” พี่ยูเหลือบสายตามองผมที่ตอนนี้ชะงักมือที่กำลังตักสลัดมันฝรั่งใส่จานไปแล้ว หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ากลัว ในสมองมีแต่คำถามว่าทำไมเต็มไปหมด นี่เขามาไม้ไหน หรือรู้ตัวแล้วว่าปัณณ์ ‘เคย’ แอบชอบ แต่ไม่น่าจะใช่เพราะตลอดเวลามั่นใจว่าเก็บความรู้สึกนั้นไว้อย่างมิดชิดที่สุดแล้ว

“ทำไมถึงถามแบบนี้?” ผมจ้องคนถามเขม็งเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ พี่ยูไหวไหล่ก่อนจะหันกลับไปสนใจหมูทงคัตสึในหม้อทอดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขารู้ไหมว่าคำถามนั่นมันกวนตะกอนบางอย่างในลอยขึ้นมาอยู่เหนือความทรงจำและรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน การแอบรัก... ต้องไม่เกิดขึ้นซ้ำสองสิปัณณณ์ ท่องไว้ว่าเขาเป็นพ่อของหลานชาย ไม่ใช่คนที่สามารถหวั่นไหวได้

“ถามเล่นๆ น่า ก็เห็นปัณณ์ทำหน้าเครียดเชียว” เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนส่งนิ้วเรียวมาคลึงหว่างคิ้วกันอย่างแผ่วเบา ความอุ่นทำให้เผลอเคลิ้มไป เพียงครู่เดียวก็สามารถเรียกสติกลับมาได้ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายขยับหนีออกมา ปัณณ์คงเครียดจนสมองระเบิดก็เพราะพี่ยูนั่นล่ะ ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าการกระทำของตัวเองก็ไม่ต่างจากไอ้ทอยสักเท่าไหร่ เหมือนให้ความหวังแต่ไม่มีหวัง ย้อนแย้งเนอะ

“เดี๋ยวฟาดเลยนี่ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ครับ”

“โหดนะเราน่ะ” ยังจะเอานิ้วมาจิ้มแก้มกันอีก เดี๋ยวผมกัดซะเลยนี่

“ตกลงจะสอนผมทำอาหารปะครับ?” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องแล้วผละหนีนิ้วเรียวที่ยังพยายามประทุษร้ายแก้มกันไม่เลิก พี่ยูทำหน้าตาตื่นก่อนจะพยักหน้ารับพลางหัวเราะเบาๆ ตลกนักหรือไงที่แกล้งให้ปัณณ์อายจนหน้าร้อน

“สอนครับๆ เดี๋ยวรอพี่เคลียร์ออเดอร์ใบนี้ก่อนนะ” พี่ยูชี้ไปที่กระดาษใบสุดท้ายบนรางเสียบออเดอร์ ผมพยักหน้ารับก่อนจะช่วยหยิบกระดาษซับมันวางในจานให้เขา

ร้านนัทสึมีโต๊ะอยู่แค่แปดที่ตามจำนวนเลขมงคลของญี่ปุ่น สามารถรับลูกค้าพร้อมกันทั้งหมดได้สามสิบสองคนกำลังพอดี ถ้าถามว่ารายรับต่อเดือนเยอะไหม ตอบได้เลยว่าพี่ยูแค่ทำงานอดิเรกเท่านั้น ส่วนงานหลักของพวกเราทั้งคู่คือเป็นหุ้นส่วนธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ในทุกสิ้นเดือนต้องเข้าประชุมสรุปผลประกอบการและกำไรที่ได้ เหมือนจะดูดีแต่ความจริงแล้วโคตรน่าเบื่อ ปัญหาจุกจิกเยอะจนแก้ไม่หวาดไม่ไหว สู้การเป็นเชฟกับเด็กเสิร์ฟไม่ได้หรอก

“ผมขอขึ้นไปดูริวก่อนนะ” ผมพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทิ้งริวให้นอนอยู่ชั้นบนนานเกินไป ถึงจะมีพี่เคียวคอยดูให้ก็ยังไม่สบายใจเพราะหลานติดน้าอย่างกับอะไรดี ถ้าตื่นมาไม่เจอหน้าคงร้องงอแงจนใครก็เอาไม่อยู่แน่นอน

“อืม ถ้าตื่นก็เอาริวลงมาก็ได้ ให้นั่งดูการ์ตูนบ้างคงไม่วุ่นวาย”

ผมรับคำพี่ยูก่อนจะเดินขึ้นบันไดทีละสองถึงสามขึ้นจนถึงที่หมายแล้วพบว่าทั้งพี่เคียวและริวต่างหลับปุ๋ยหันหน้าไปคนละทิศละทาง ภาพตรงหน้าให้ความรู้สึกเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปเอาไว้ ถ้าส่งไปให้คุณป้ากับคุณลุงดูคงมีคนโดนดุแน่ๆ (เคียวไงจะใครล่ะ)

หลังจากที่แอบถ่ายรูปสองอาหลานจนพอใจก็ถึงเวลาที่ผมต้องลงไปเรียนทำข้าวห่อไข่จากอาจารย์กิตติมศักดิ์สักที วางใจเรื่องริวจะไม่งอแงได้แล้วก็ควรทำหน้าที่อย่างต่อไปให้จบๆ ถ้ามีเวลาว่างพอก็อยากเคลียร์เรื่องไอ้ทอยด้วย

วัตถุดิบในการทำข้าวห่อไข่ถูกเตรียมไว้อย่างเรียบร้อยโดยฝีมือของพี่ยู ระยะเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ผมไปเอ้อระหายถ่ายรูปชาวบ้านนั้นเป็นช่วงที่เขาทำงานเสร็จไปหลายอย่าง อายไหมล่ะกู

“ริวล่ะ?”

“ยังไม่ตื่นครับ หลับปุ๋ยพอๆ กับพี่เคียวเลย” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วรับผ้ากันเปื้อนสีฟ้ามาใส่ เตรียมพร้อมที่จะลงมือทำอาหารญี่ปุ่นจานแรกในชีวิต อยากจะบอกไอ้ทอยเหลือเกินว่ามันโคตรโชคดีที่เป็นคนได้ชิมลำดับที่หนึ่ง จนฟินซะเถอะ! แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเชฟกำลังหงุดหงิด...

“ไอ้เคียว... $&@#*?!” พี่ยูสบถรัวเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ผมฟังไม่ออก แต่พอเดาได้ว่าคงด่าลูกพี่ลูกน้องอยู่แน่ๆ ใช้มาช่วยงานแต่ดันพากันหลับไปกับหลานทำนองนั้น

“ใจเย็นๆ ครับ พี่เคียวคงเพลีย” ผมยื่นมือไปแตะไหล่คนตรงหน้าแล้วออกแรงลูบเบาๆ เพื่อปลอบ พี่ยูเหลือบมองก่อนจะส่ายหน้าพลางถอนหายใจเฮือก ถ้าพี่เคียวตื่นเมื่อไหร่คงโดนสวดยับแน่ๆ

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวพี่สอนปัณณ์ทำข้าวห่อไข่เลยแล้วกัน ทอยคงหิวแย่แล้วมั้ง” เขาขยับที่ว่างหน้าเตาให้แล้วกวักมือเรียก ผมเบ้ปากเล็กน้อยเพราะพี่ยูแสดงความเป็นห่วงไอ้ทอย คนอย่างมันทนอย่างกับควาย ถ้าหิวคงโวยวายร้านแตกไปแล้ว

“ปล่อยให้มันเป็นลมตายไปเลยยิ่งดีครับ” ผมตอบเสียงฉุนก่อนจะเดินเข้าไปประจำที่ เหลือบมองวัตถุดิบบนเค้าน์เตอร์ที่มีไม่กี่อย่างก็ทำให้ใจชื้น มันคงไม่ยากเท่าไหร่ล่ะมั้งเมนูข้าวห่อไข่เนี่ย

“ร้ายจริงๆ เลยเรา” พี่ยูเอื้อมมือมาโคลงหัวกันด้วยความเอ็นดู เขาทั้งยิ้มและหัวเราะในเวลาเดียวกันจนทำให้ผมรู้สึกวูบโหวงในใจแปลกๆ อาการคงไม่กำเริบง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง ก็แค่อิจฉาความหล่อของคุณพ่อลูกตืดเท่านั้นเอง อย่าให้ปัณณ์ไปโมหน้าที่เกาหลีนะ หึ

“เริ่มกันเถอะครับ” ผมเบี่ยงหัวหนีมือใหญ่ก่อนจะหันไปหยิบกระทะตั้งบนเตาก่อนจะหยิบขวดน้ำมันพืชมาเทใส่โดยไม่ปริปากถามพี่ยูสักคำ ถ้าไม่จ้องกันขนาดนั้นคงไม่ประหม่าแบบนี้หรอก เดี๋ยวก็ทำข้าวผัดสไตล์ไทยๆ ซะเลยนี่ ไม่ต้องรงต้องเรียนมันแล้ว

พี่ยูหัวเราะในลำคอก่อนจะเริ่มอธิบายวิธีการทำข้าวห่อไข่ก่อนจะส่งถ้วยวัตถุดิบแต่ละอย่างมาให้ เริ่มจากแฮม ถั่วลันเตา แครอทหั่นเต๋า และข้าวโพดต้มสุก ผัดรวมกันจนได้ที่แล้วใส่ข้าวสวย ซอสมะเขือเทศ ตบท้ายด้วยซีอิ๊วขาว คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วตักพักไว้

ขั้นตอนต่อมาคือการตอกไข่ใส่ถ้วยเติมเกลือและนมสดก่อนจะตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน ตั้งกระทะใช้ไฟแรง ทาน้ำมันบางๆ แล้วเทส่วนผสมลงไป ใช้ตะเกียบหรือไม้พายคนไข่อย่างรวดเร็ว พอได้ที่เป็นแผ่นสวยงามก็ให้ปรับลดความร้อนลงแล้วนำข้าวผัดที่พักไว้ใส่ลงไป ตะล่อมห่อให้สวยงามก่อนจะเทใส่จานแล้วตกแต่งด้วยซอสมะเขือเทศและมายองเนส

ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้ผมต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูป อาหารญี่ปุ่นจานแรกในชีวิตที่ทำเองกับมือนอกจากต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน พี่ยูยกนิ้วโป้งให้กันก่อนจะหันไปจัดการเมนูอื่นในออเดอร์ของไอ้ทอยต่อ ถ้าขอกินสักคำได้ไหมวะ ไม่มั่นใจว่าอร่อยหรือเปล่าเพราะปัณณ์ทำอาหารไม่ชอบชิม

“ปัณณ์เอาข้าวไปเสิร์ฟก่อนก็ได้ เดี๋ยวเมนูอื่นพี่ยกตามไปให้”

“โอเคครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเรียกผมนะ”

“ไม่เป็นไร คุยกับเพื่อนเถอะ ช่วงบ่ายไม่ค่อยมีลูกค้าหรอก” พี่ยูส่งยิ้มละมุนให้กันแล้วกลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารที่เหลือต่อ ผมพยักหน้ารับกับตัวเองแล้วถือจานข้าวห่อไข่ออกมาจากในครัว ดวงตารีเห็นไกลๆ ว่าไอ้ทอยกำลังวีดีโอคอลกับใครบางคน เดาว่าคงเป็นสาวในสต็อกที่นัดให้ความอบอุ่นกันคืนนี้ ถ้ามึงเป็นเอดส์ขึ้นมากูไม่แปลกใจเลย เฮ้อ

“เอาไป แดกๆ ซะ” ผมวางจานข้าวห่อไข่ลงแล้วทิ้งตัวบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ไอ้ทอยรีบตักสายสาวในสต็อกก่อนจะคลี่ยิ้มหวานในกันจนต้องขมวดคิ้วมองด้วยความแปลกใจ ปกติมันเคยสนใจที่ไหนว่าเพื่อนจะอยู่หรือไม่อยู่ตรงนี้ มันคุยโทรศัพท์ไปกินไปยังได้เลย เหมือนพวกบล็อกเกอร์ในยูทูป

“หูย ขอถ่ายรูปอัพลงไอจีก่อนดิ ปัณณ์ลงมือทำให้กินทั้งที” มันทำหน้าตาตื่นเต้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปจริงๆ ระยะโฟกัสติดผมเข้าไปในเฟรมด้วยอย่างแน่นอน ไอ้ทอยกำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง เหมือนคนอยากอวดแฟน ไอจงไอจีบ้าอะไร ชาตินึงอัพครั้งเดียว หึ

“มึงอ้อนวอนกูหรอกถึงยอมทำ” ผมบึนปากใส่ก่อนจะเท้าคางมองมันที่กำลังถ่ายรูปอย่างเอาเป็นเอาตาย คาดว่าคงมีลงไอจีไปถึงปีหน้าเพราะรัวชัตเตอร์ยิ่งกว่ายิงปืนเอ็มสิบหก

“ปากร้ายจังวะ” มันลดโทรศัพท์ลงก่อนจะเอื้อมมือมาจิ้มหน้าผาก ผมผงะถอยหลังแล้วแยกเขี้ยวใส่ ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับหัวตัวเอง แต่ยกเว้นพี่ยูไว้คนหนึ่ง ยอมรับว่าเขาเป็นคนพิเศษอยู่เสมอถึงแม้ตอนนี้จะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ใครด่าว่าสองมาตรฐานก็ขอน้อมรับอย่างลูกผู้ชาย

“พูดความจริง” ผมยักคิ้วกวน เปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้างแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมาเล่น ขี้เกียจนั่งมองหน้ามันเดี๋ยวเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาจะเป็นเรื่องอีก ยิ่งอยากเคลียร์เรื่องรบกวนใจอยู่ด้วย แต่ไม่กล้าเอ่ยปาก

“จ้าๆ ไม่เถียงแล้วครับ”

“อืม กินซะ เดี๋ยวมันเย็นไม่อร่อย” ผมเลื่อนจานข้าวห่อไข่ไปให้มันทั้งที่ตายังไล่อ่านทวิตเตอร์ เผลอกดเข้าแท็กเชฟหล่อบอกต่อด้วยแล้วต้องกุมขมับ สาวๆ พวกนั้นไวอย่างกับลิง ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงก็มีคลิปวีดีโอร้องเพลงโผล่ในโซเชี่ยล กดเข้าไปดูเพื่อเช็คสภาพตัวเองสักหน่อยดีกว่า ถ้ามันน่าเกลียดครั้งหน้าจะได้เอาหน้ากากมาใส่

“ไม่กินด้วยกันเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางส่งมือมาแตะแขนกันเบาๆ ผมเหลือบตามองเพื่อนสนิทแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะจดจ่อกับคลิปร้องเพลงอีกครั้ง พี่ยูตอนเล่นกีตาร์โคตรมีเสน่ห์ หมดข้อสงสัยเลยว่าทำไมสาวๆ ถึงชอบเขานัก ลูกค้าบางรายมาที่ร้านทุกวันจนถึงขั้นรู้จักชื่อ พูดคุยเล่นหัวได้ ยอมเสียค่าอาหารมื้อหนึ่งไม่ต่ำกว่าสองร้อยเพื่อนั่งมองคนที่ปลื้ม นี่ล่ะคือนิยามของคำว่า ‘ชีวิตคือการลงทุน’

“ยังไม่หิว” ผมย้ำคำตอบเพื่อไม่ให้ไอ้ทอยถามซ้ำ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงเออออแล้วลงมือกินข้าวโดนไม่สนอะไร แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เพราะมือที่แตะแขนอยู่เริ่มกดแรงลงมา

“บ่ายโมงกว่าแล้ว จะไม่หิวได้ยังไง” น้ำเสียงฟังแล้วให้ความรู้สึกเป็นห่วงจนรู้สึกขนลุก ผมดึงแขนออกจากการเกาะกุมก่อนจะเงยหน้ามองอีกคน อึดอัดกว่าสถานการณ์ตอนนี้ก็คงเป็นช่วงน้ำหนักเพิ่มจนกางเกงปริล่ะมั้ง โธ่เว้ย

“มึงรีบๆ กินเหอะ อย่ามาเซ้าซี้กู”

“เดี๋ยวกูป้อนมึงนะ” ไม่พูดเปล่าแต่ส่งช้อนที่มีข้าวห่อไข่พูนๆ มาจ่อปาก ผมผงะถอยหลังจนเกือบตกเก้าอี้แล้วผลักมือมันออกไปไกลๆ แล้วทำตาดุใส่ บอกว่าอย่ายุ่งคือฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม

“ไอ้ทอย ถ้ายังเล่นอยู่แบบนี้กูจะไม่คุยด้วยแล้วนะ รำคาญ”

“โอเค ไม่กินก็ไม่กิน” มันวางช้อนลงในจานแล้วยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้ ผมเหล่ตามองเพื่อนครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปนั่งไถทวิตเตอร์ต่อ หาร้านสั่งซื้อน้ำหอมกลิ่นพีชดีกว่า

ผมเป็นโรคคลั่งทุกอย่างที่ได้ชื่อว่ามีส่วนผสมของลูกพีช ไม่ว่าจะเป็นขนม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผม น้ำหอม ยาสีฟัน ครีมอาบน้ำ เครื่องดื่ม ลิปมันหรือแม้กระทั่งตัวผลไม้เอง กลิ่นมันหอมชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและน่ากินในเวลาเดียวกัน ไม่สนหรอกว่าของพวกนั้นเหมาะกับผู้หญิงมากกว่าเพราะอยู่ที่ความพอใจของผู้ใช้

“มึง... อร่อยว่ะ” อยู่ๆ ไอ้คนที่เงียบไปนานก็เรียกร้องความสนใจของผมด้วยการออกปากชมฝีมือการทำอาหาร ดวงตารีละจากหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้น ตกลงว่าข้าวห่อไข่อร่อยจริงๆ ใช่ไหม ถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จครั้งแรกในการทำอาหารญี่ปุ่น

“จริงเหรอ? กูไม่ได้ชิมอะ” ผมมองอาหารที่พร่องลงไปกว่าครึ่งจานก่อนสารภาพบาปกับเพื่อน แต่เชื่อว่าไอ้ทอยคงไม่ตกใจเพราะรู้ดีกันอยู่แล้วว่าการชิมนั้นหาไกลจากคนชื่อปัณณ์ รสชาติแย่ก็แค่เททิ้ง

“เออ ติดนิสัยไม่ชิมตลอดนะมึง” ไอ้ทอยบุ้ยปากก่อนจะตักอาหารใส่จานเคี้ยวหงุบหงับอีกครั้ง มุมปากระบายเป็นรอยยิ้มของความพอใจจนผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี

“ขี้เกียจไง กินได้ก็กิน กินไม่ได้ก็เททิ้ง” ผมตอบด้วยเสียงสบายๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นต่อแต่ต้องชะงักกึกเมื่อไอ้ทอยพูดบางอย่างออกมา

“ใครได้มึงเป็นแฟนนี่โชคดีตายเลย” มันวางช้อนลงแล้วเท้าคางมองกันด้วยสายตาหวานเชื่อม ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนอยากด่าแต่ก็พูดไม่ออก อยากลุกหนีก็ทำไม่ได้เพราะลึกๆ ก็อยากรู้ว่าไอ้ทอยคิดอะไรอยู่กันแน่

“หล่อ รวย ทำอาหารเป็น” ผมตอบอย่างมั่นหน้าพลางยักคิ้วกวนส่งให้ แทนที่มันจะกรอกตาหรือเบ้ปากกลับยิ้มกริ่มจนรู้สึกขนลุก สถานการณ์มันชักล่อแหลมยังไงชอบกล แล้วพี่ยูเมื่อไหร่จะทำอาหารเสร็จวะ มาขัดจังหวะหน่อยก็ดี

“อยากได้บ้างอะ” มันพูดอะไรนะ

“อะไร?” ผมถามย้ำเพื่อความเข้าใจของตัวเอง คงไม่ได้เป็นอย่างที่แอบคิดไว้ใช่ไหม ถึงการแสดงออกจะชัดเจนแค่ไหนแต่บางครั้งก็มีหลายคนมองผิด

“อยากได้มึง” ไอ้ทอยยื่นหน้าเข้ามากระซิบด้วยเสียงหวานๆ ที่ทำให้ขนในกายลุกชัน ในแววตาคมไม่มีแววล้อเล่นจนผมเป็นฝ่ายโวยวายซะเอง พี่ยูไม่ออกมาขัดจังหวะใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นปัณณ์จะเข้าไปยุ่งในครัวเอง

“ตลกแล้วไอ้สัด แดกๆ ไป” ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วก้าวขาฉับๆ ไปหมดตัวอยู่กับพี่ยูในครัว แต่สุดท้ายก็โดนไล่ออกมาพร้อมรายการอาหารของไอ้ทอยที่เหลืออยู่




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 4 : ราเมน P.1 -01/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-04-2018 11:06:48
ผมเลือกที่จะหาตัวอย่างนิยายแนวสืบสวนสอบสวนนั่งอ่านเพื่อไม่ให้สติกระเจิงไปมากกว่านี้เพราะโดนดวงตาคมของไอ้ทอยจ้องมาเกือบตลอดเวลา การทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้คือทางออกที่ดีที่สุด จริงๆ อยากกวักมือเรียกพี่ยูมานั่งด้วยแต่เขาเอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธเพราะอยากให้เราคุยกันแบบไม่ต้องเกรงใจคนอื่น ตอนนี้ใครปริปากคุยกันบ้างล่ะ อึดอัดจะตายอยู่แล้ว

“น้าปัณณ์ งั่มๆ” เสียงงัวเงียจากระยะไกลดังขึ้นทำให้ผมละสายตาจากจอโทรศัพท์เพื่อพลกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่เดินหอบเอาพี่หมีนุ่มเดินลงมาจากบันไดพร้อมอาเคียวที่เผลอหลับไปด้วยกัน เจ้าตัวแสบเดินขยี้ตาตรงเข้ามาหา ดูน่ารักน่าชังจนอยากจับฟัดจริงๆ

“อ้าว ริวตื่นไวจังครับ” ผมอ้าแขนรับหลานเข้าสู่อ้อมกอดแล้วอุ้มขึ้นนั่งบนตัก ริวซบหน้าลงกับอกกว้างก่อนใช้แก้มนุ่มถูไถเอาๆ อย่างออดอ้อน ถ้ามีเด็กอายุสิบแปดอัพมาทำแบบนี้ด้วยคงใจละลายไปแล้ว

“งือ อาเคียวเสียงดัง” ริวฟ้องแล้วชี้ๆ ไปในทิศทางที่ตัวเองเดินจากมา พี่เคียวหลบหายเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวความผิด ผมหลุดหัวเราะแต่ต้องเก็บอาหารเมื่อหลานเริ่มเบะปาก คงยังไม่หายง่วงสินะ

“โอ๋ๆ จะอยู่กับน้าปัณณ์หรือจะไปหาป๊าในครัว?” ผมชวนริวเปลี่ยนเรื่องแล้วดึงแก้มกลมๆ นั่นเล่น เจ้าตัวแสบส่ายหัวพรืดแล้วกอดเอวไว้แน่น

“น้าปัณณ์” ครับ... ติดน้ามากกว่าพ่อแบบนี้จะโดนเกลียดไหมเนี่ย

“หลานมึงน่ารักว่ะ” คนที่เพลิดเพลินกับอาหารพูดขึ้นทั้งที่ยังเคี้ยวราเมนอยู่เต็มปาก ผมส่งสายตาดุๆ ให้มันก่อนจะก้มลงไปคุยกับริวที่เอาแต่กอดกันแน่นไม่ยอมปล่อย

“ริวสวัสดีน้าทอยหรือยังครับ?” ผมสะกิดเด็กน้อยที่เอาแต่ซุกหน้าอยู่กับอกแล้วพึมพำคุยกับพี่หมีนุ่มเป็นเรื่องเป็นราว แว่วๆ ว่าชวนกันกินขนมอะไรสักอย่าง เจ้าตัวแสบชะงักกึกแล้วช้อนตามองก่อนจะหันไปมองผู้ร่วมโต๊ะอีกคน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันครู่หนึ่งและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มใสซื่อ

“คนนิจิวะครับ หาว ~” ริวทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อนจะอ้าปากหาวหวอด มือน้อยๆ ยกขึ้นขยี้ตาจนพี่หมีนุ่มเกือบหล่นจากตัก ดีหน่อยที่ผมคว้าไว้ได้ทัน

“ไปนอนต่อไหมเรา?” ผมรวบกอดทั้งคนทั้งตุ๊กตาไว้แน่นแล้วโยกตัวช้าๆ เพื่อกล่อมคนบนตัก ริวส่ายหัวรัวก่อนจะยืดตัวขึ้นจุ๊บปลายคาง แบบนี้ต้องอ้อนอยู่กับน้าปัณณ์แน่นอน ตกลงว่าใครเป็นพ่อหนูกันแน่หืม

“ไม่เอา อยากดูการ์ตูน กินขนมด้วย” เด็กหนอเด็ก ตื่นมาก็คิดถึงเรื่องกินกับเล่นเป็นอันดับแรกเลยเชียว ก็ดีนะที่ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วเก็บมาปวดหัวแบบผู้ใหญ่

“เดี๋ยวน้าปัณณ์ไปเอาให้ ริวอยู่กับน้าทอยก่อนได้ไหมครับ?” ผมชี้ไปที่ไอ้ทอยซึ่งยิ้มกริ่มพร้อมต้อนรับหลานอยู่ฝั่งตรงข้าม ริวเหลือบมองคนแปลกหน้าอยู่พักใหญ่เหมือนกำลังตัดสินใจ อย่าปล่อยให้น้าลุ้นนานนักสิตะคริวจะกินอยู่แล้วครับ เกร็งไปทั้งตัว

“อื้อ” คำตอบของเจ้าตัวแสบทำให้ผมกับไอ้ทอยถอนหายใจพร้อมกันด้วยความโล่งอก

ผมปล่อยริวให้อยู่กับไอ้ทอยโดนสั่งไว้ว่าห้ามดื้อก่อนจะเดินตรงเข้าครัวเพื่อหาน้ำกับขนมให้หลาน กะว่าจัหยิบเองแต่ดันเจอพี่ยูที่ยืนพิงเค้าน์เตอร์ละเลียดชิมเมนูใหม่ที่เขาชอบประดิษฐ์คิดค้นเอง หน้าตาพอใช้ได้แต่รสชาติไม่กล้าเสี่ยงจริงๆ เพราะเมื่อหลายวันก่อนเขาเอามะระไปทำเทมปุระให้ชิมโดยไม่บอก ปัณณ์แทบอ้วก

“พี่ยูครับ” ผมเอ่ยเรียกเขาแล้วเดินเข้าไปใกล้เพื่อส่องเมนูพิสดารของวันนี้ หน้าตามันธรรมดาคล้ายข้าวผัดไข่แต่มีสีเขียว พอโน้มหน้าเข้าไปใกล้ถึงได้กลิ่นวาซาบิลอยตีขึ้นจมูกจนต้องผละออกอย่างไว เกือบจามใส่แล้วไหมล่ะ

“ครับ” พี่ยูตอบรับเสียงกลั้วหัวเราะ คงเป็นเพราะท่าทีของผมเมื่อครู่ ถ้าเกิดเขาท้องเสียขึ้นมาอย่าอ้อนวอนให้พาไปโรงพยาบาลนะ จะสมน้ำหน้าให้เข็ด ชอบทำอะไรแปลกๆ ดีนัก

“ขอขนมให้ริวหน่อยครับ” ผมเอ่ยขอสิ่งที่ต้องการก่อนจะผละไปเปิดตู้เย็นเพื่อหานมสด ได้ยินเสียงพี่ยูวางช้อนลงบนจานตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกาย

“หืม เจ้าตัวแสบตื่นแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหูจนผมเผลอสะดุดลมหายใจในขณะที่เอื้อมมือหยิบขวดนม เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพี่ยูเข้ามาใกล้จนเกือบไร้ช่องว่าง ถ้าหันกลับไปไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเลย

“ครับ เห็นบอกว่าพี่เคียวเสียงดัง” ผมพยายามควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติแล้วเบี่ยงตัวออกทางด้านข้างเพื่อความปลอดภัยของร่างกายและก้อนเนื้อในอก นมขวดใหญ่ที่ตั้งใจว่าจะรินใส่แก้วนั้นถูกบีบแน่นอยู่ในมือ ตอนนี้โกยได้ไวเท่าไหร่ยิ่งดี ค่อยไปหยิบแก้วเอาที่หน้าเค้าน์เตอร์แคชเชียร์ก็ได้

“อ้อ โอเคครับ เดี๋ยวพี่เตรียมขนมให้ ปัณณ์รอก่อนนะ” พี่ยูผละออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมสิ่งที่ลูกชายต้องการ ผมลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับไปมองแผ่นหลังกว้างที่ขยับหยิบนั่นนี่อยู่ไม่ไกล ความรู้สึกตื่นเต้นที่เกิดขึ้นไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ทำไมถึงกลับมาสับสนอยู่ในวังวนเดิมๆ อีกแล้ว หรือเวลาแค่สองอาทิตย์นั้นยังทำให้รอยร้าวบนกำแพงยังปิดไม่สนิท

“อย่ามายุ่งนะ!” เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของริวดีงขึ้นจนทำให้ผมกับพี่ยูหันมาหน้ากันทันที ขวดนมให้มือแทบร่วงเมื่อคิดได้ว่าไอ้ทอยแอบทำอะไรหลานหรือเปล่า เพราะถ้าพี่ยูเอาเรื่องขึ้นมามันอาจจะกลายเป็นผีเฝ้าร้านไปเลยก็ได้

“เจ้าตัวแสบโวยวายอะไรน่ะ เดี๋ยวพี่ออกไปดูหน่อยดีกว่า” พี่ยูวางจานขนมลงเพื่อถอดผ้ากันเปื้อนออกแต่ผมเข่สไปรั้งเอาไว้เพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องใหญ่

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมดูให้ พี่ยูทำงานต่อเถอะ” ผมคลี่ยิ้มบางเพื่อให้พี่ยูสบายใจ เขาดูลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

“งั้นฝากด้วยนะ”

ผมรีบคว้าจานขนมแล้วก้าวขายาวๆ ออกจากครัว เมื่อพ้นประตูออกมาก็เจอเจ้าตัวแสบกำลังผลักไอ้ทอยให้ลุกจากเก้าอี้ พี่หมีนุ่มกลิ้งเกลือกไปตามพื้นโดยที่ริวไม่สนใจใบดี ดูจากรูปการณ์แล้วคงกำลังโมโหเอามากๆ

“ออกไปเลย ฮื่อ!” เด็กน้อยตวาดลั่นแล้วพยายามออกแรงผลักไอ้ทอยอีกครั้งทำให้ผมต้องรีบปรี่เข้าไปห้ามทัพ โดยไม่ลืมวางจานขนมไว้บนโต๊ะซะก่อน ถ้าเผลอทำแตกขึ้นมาอาจจะบาดเท้าของใครหลายคน

“ริวครับ ไม่เสียงดังใส่น้าทอยแบบนั้นสิ” ผมย่อตัวลงแล้วรวบร่างป้อมๆ เข้าสู่อ้อมกอด เด็กน้อยชะงักกึกด้วยความตกใจพอรู้ว่าใครอยู่ด้านหลังถึงกับโผเข้าใส่เต็มรักจนเกือบหงายหลังทั้งน้าทั้งหลาน

“น้าปัณณ์ ริวไม่ชอบน้าทอย” คำพูดของริวทำให้ผมต้องเงยหน้ามองคู่กรณีอย่างห้ามไม่ได้ เลิกคิ้วเป็นเชิงถามไอ้ทอยว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่มันกลับไหวไหล่ไม่สนใจแล้วกลับไปตั้งหน้าตั้งตากินมื้อเที่ยงต่อ อยากจะด่าว่ามึงกวนตีนกูทำไม หลานร้องงอแงจนจมูกแดงไปหมดแล้วเนี่ย

“ทำไมพูดแบบนั้นครับ? ไม่น่ารักเลย” ผมดุเพราะริวแสดงกิริยามารยาทไม่น่ารักกับผู้ใหญ่แต่ไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของเขาเพราะโดยนิสัยแล้วหลานไม่ใช่คนก้าวร้าวถ้าไม่มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ เชื่อว่าไอ้ทอยต้องพูดอะไรสักอย่างแน่ๆ

“น้าทอยจะแย่งน้าปัณณ์ไปจากริว ฮึก” เจ้าตัวแสบพูดเสียงสั่นก่อนซบหน้าลงกับบ่า ผมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ค่อยๆ ซึมเข้ามาใต้เสื้อ ริวกำลังร้องไห้เพราะกำลังจะโดนแย่งของรักไป แล้วไอ้ทอยพูดอะไรกับหลาน

“โอ๋ๆ น้าปัณณ์ไม่ไปไหนหรอก ไม่ต้องร้องนะคนดี” ผมลูบหัวลูบหางปลอบเด็กให้หยุดร้องไห้โดยมีไอ้ทอยเหลือบมองมาเป็นระยะ ใบหน้าหล่อของกัปตันไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดแต่อย่างใดราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เด็กงอแงโดยไม่มีเหตุผล

“อื้อ ฮึก สัญญานะ กะ เกี่ยวก้อยกัน” นิ้วเล็กๆ ยกขึ้นในระดับสายตา ริวสะอื้นก่อนจะเม้มปากกลั้นเสียง

“ครับๆ น้าปัณณ์สัญญา” ผมยื่นมือไปเกี่ยวก้อยแล้วกดจมูกลงบนแก้มใส่ก่อนจะเกลี่ยคราบน้ำตาออก ริวยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำสัญญาแต่กลับหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ทอยตบท้ายด้วยการแลบลิ้นปลิ้นตา หลังจากนี้ต้องสอบสวนไอ้เพื่อนตัวดียาวแน่ๆ มีงเตรียมตัวไว้เลยอยากแกล้งหลานกูดีนัก

“เปิดการ์ตูนให้หน่อย” ริวกระตุกแขนเสื้อเชิ้ตยิกๆ แล้วชี้ไปที่โทรศัพท์ในกระเป๋าตรงหน้าอก ผมพยักหน้ารับก่อนจะอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นแล้ววางลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอีกตัวเพื่อไม่เป็นการรบกวนไอ้ทอยที่ยังกินข้าวไม่เสร็จ

“โดราเอมอนใช่ไหม?” ผมเอ่ยชื่อการ์ตูนเรื่องโปรด ของริวก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วเปิดวีดีโอให้ดู เจ้าตัวแสบพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ดีนะที่ติดที่ตั้งเอาไว้ด้านหลัง ไม่อย่างนั้นต้องเสื้อเวลาไปหยิบโน้ตบุ๊คที่ชั้นสองอีก ขืนปล่อยหลานไว้กับไอ้ทอยอีกครั้งคงร้านแตก พี่ยูด่ายับแน่ๆ

ผมนั่งดูการ์ตูนเป็นเพื่อนหลานอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าสมาธิของเขาจดจ่อตรงนั้นแล้วผละตัวออกมาเพื่อคุยกับไอ้ทอยตัวปัญหา

“ทอย...” ผมเรียกมันเสียงต่ำ

“หืม?” ไอ้ทอยเงยหน้าขึ้นจากชามราเมน ปากยังดูดเส้นเข้าไปไม่หยุดหย่อน เห็นสภาพมันแล้วอยากถ่ายรูปไปประจานในเพจสายการบินจริงๆ เลย ดูสิว่ายังจะมีคนชื่นชมอยู่อีกหรือเปล่า

“มึงพูดอะไรกับหลาน?”

“เปล่า”

“จะเปล่าได้ยังไง ริวงอแงขนาดนั้น” ผมชักสีหน้าไม่พอใจใส่มัน ถ้าไม่ได้ทำหลานจะโวยวายเสียงดังทำไม ผีแกล้งเหรอไง อย่าให้กูต้องเปิดกล้องวงจรปิดในร้านดูนะ

“ไม่มีอะไรหรอก อย่าสนใจเลย” มันโบกมือปัดๆ แล้วคีบทาโกะยากิใส่ปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ให้มากกว่านี้ ถ้าพูดตามหลักความจริงแล้วมันเป็นเรื่องเล็กมากแต่ที่ไม่ยอมความเพราะริวคือหลานที่ยังเป็นเด็กตัวนิดเดียว ไม่โดนคนอื่นแกล้งคงไม่ร้องพร่ำเพรื่อ ถ้าโตพอที่จะมีเล่ห์เหลี่ยมก็อีกกรณี

“แต่มึงทำหลานกูร้องไห้” ผมลุกขึ้นยืนค้ำหัวไอ้ทอยก่อนจะเอื้อมมือไปบีบไหล่ของมันเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ ดวงตาคมเหลือบมองกันอย่างเหลืออด ตะเกียบในมือถูกกระแทกลงบนชามราเมนบ่งบอกให้รู้ว่ากำลังไม่สบอารมณ์

“อย่าเซ้าซี้น่าปัณณ์ กูแค่แกล้งริวเล่นๆ” มันปัดมือผมทิ้งแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เสียงถอนหายใจเบาๆ นั้นยิ่งทำให้รู้สึกแย่มากยิ่งขึ้น มึงแกล้งอะไรหลาน กูอยากรู้รายละเอียดมากกว่านั้น

“ถ้ามึงไม่บอก ต่อไปก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก” ผมยื่นคำขาด ตอนนี้ไม่สนแล้วว่าตัวเองจะดูงี่เง่ามากแค่ไหนหรือลูกค้าจะมองเราสองคนยังไง ถ้าเรื่องแค่นี้ไอ้ทอยยังปริปากบอกความจริงไม่ได้คงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด

“กูเพื่อนมึงนะ” ไอ้ทอยหน้าตึงมองผมด้วยสายตาดุดันเหมือนแยากกินเลือดกินเนื้อ

“แน่ใจเหรอว่ามึงยังอยากเป็นเพื่อนกับกู” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหลุดปากพูดประโยคนั้นออกไป อาจจะเป็นสถานการณ์บีบคั้นหรือความอึดอัดภายในใจ ตอนนี้เรื่องหลานตกไปเป็นรองกลายเป็นยกเรื่องตัวเองขึ้นมาแทรก ช่างเถอะ ยังไงๆ วันนี้มันต้องจบทุกอย่าง

“เอาอะไรมาพูด” ไอ้ทอยหันขวับมามองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก มันทั้งวูบไหวและหวาดกลัว ผมเข้าใจอาการของคนที่ต้องพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้เป็นอย่างดี เวลาที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างมันช่างทรมานเหลือเกิน

“ความจริงที่มึงแสดงออก” ผมจ้องตาคู่สนทนา แต่ไอ้ทอยกลับบ่ายเบี่ยงแกล้งยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

“กูแสดงออกอะไร ก็ปกติดีทุกอย่าง” มันตอบด้วยท่าทางกวนๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างให้กัน ทำตัวเหมือนปกติบ้าอะไร มีงทะเลาะกับเด็กสามขวบ ถ่ายรูปกูลงไอจี เซ้าซี้เรื่องพี่ยูกับกราฟ ทำตัวอ้อนเหมือนแฟน มันใช่เหรอวะทอยธรรมชาติน่ะเป็นแบบนี้เหรอ

“พี่เคียวครับ” ผมหันไปกวักมือเรียกพี่เคียวที่กำลังเก็บโต๊ะอยู่ตรงมุมร้านด้วยน้ำเสียงฉุนๆ ฝ่ายนั้นคงนึกว่าโดนโกรธเลยรีบทิ้งงานวิ่งมาหากันทันที โธ่ ปัณณ์ขอโทษที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

“ครับน้องปัณณ์”

“ฝากดูเจ้าตัวแสบหน่อยครับ เดี๋ยวผมขอคุยธุระกับเพื่อนแป๊ปนึง” ผมคลี่ยิ้มให้พี่เคียวเพื่อให้เขาสบายใจว่าไม่ได้โดนโกรธอย่างที่คิด

“ได้ครับๆ” พี่เคียวตอบรับก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งข้างริว ถ้าพี่ยูออกมาเห็นว่าอู้งานคงโดนด่าหูชาแน่ ก็ได้แต่ภาวนาให้เขาง่วนอยู่กับการคิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆ ก็แล้วกัน

“ส่วนมึงมานี่” ผมหันกลับไปคว้าข้อมือไอ้ทอยเพื่อลากออกไปคุยด้านหลังร้าน มันเสี่ยงที่พี่ยูจะได้ยินแต่ดีกว่าลูกค้าเห็นล่ะวะ

“อะไรวะ ลากกูทำไมเนี่ย?” มันโวยวายแต่ก็ไม่จอมสะบัดมือออกจากการเกาะกุม แถมใบหน้าที่แสดงออกตแนนี้กลับเต็มไปด้วยความดีใจมากกว่า หรือว่าสมองมึงมีปัญญาหา กูโมโหจะตายอยูาแล้ว!

“มาเปิดอกคุยกันให้จบๆ” ผมปล่อยแขนมันเมื่อถึงที่หมายแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว ตรงนี้เหมือนที่พักผ่อนหย่อนใจของทุกคนในร้าน สามารถสูบบุหรี่ได้ มีกระถางดอกไม้และต้นไม้ประดับพอให้มีชีวิตชีวา

“อยากเห็นกูแก้ผ้าเหรอ?” ไอ้ทอยที่ยืนค้ำหัวผมอยู่นั้นคลี่รอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยก่อนจะวางมือลงบนกระดุมเม็ดแรกของเสื้อเชิ้ต มันทำท่าจะปลดในขณะที่ผมกำหมัดแน่นแล้วจิกตาใส่ สื่อสารทางอารมณ์ให้รู้ว่าตอนนี้ไม่สนุกด้วย

“ทอย กูซีเรียส”

“โอเคๆ มีอะไรก็ว่ามา” มันหุบยิ้มแล้วทิ้งตัวลงข้างกัน ดวงตาคมจ้องมองมาที่ผมอย่างรอคอยว่าจะพูดอะไร ขอทำใจสักสิบวินาทีได้ไหม นี่มันเรื่องใหญ่ระดับหัวใจและความสัมพันธ์เลยนะ

“มึง... ชอบกูเหรอ?” ผมถามมันเสียงแผ่วแต่เชื่อว่าคงได้ยินอย่างชัดเจนเพราะตรงนี้เงียบสงบอย่างน่าเหลือเชื่อทั้งที่ปกติแล้วได้ยินเสียงรถวิ่งแทบตลอดเวลา อะไรๆ คงเป็นใจให้เราได้เคลียร์เรื่องค้างคา

“ชอบสิ ไม่ชอบจะมาเป็นเพื่อนกันทำไมวะ?” ไอ้ทอยตอบด้วยน้ำเสียงปกติแต่ผมกลับขมวดคิ้วยุ่งเพราะคำตอบนั้นมันเหนือความคาดหมายไปไกล เมื่อครู่เพิ่งบอกไปว่าจริงจังแล้วตอนนี้ทำไมกลับมากวนตีนอีกแล้ว มึงต้องการอะไรจากกูไม่ทราบครับเพื่อน

“มึงรู้ว่ากูไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ผมยังคงอารมณ์ไว้ในระดับเดิม พยายามมองดอกไม้ใบหญ้าไปเรื่อยแทนที่จะเป็นไอ้ทอย

“ปัณณ์...” มันเรียกผมแค่นั้นแล้วเงียบไป หางตาเหลือบเห็นว่าไอ้ทอยกำลังก้มหน้าต่ำและกำหมัดแน่นเหมือนพยายามข่มอารมณ์เอาไว้ อยากรู้จริงๆ ว่ามันสามารถทนเก็บความรู้สึกนั้นได้มากแค่ไหน จะเท่ากับที่ปัณณ์ทำได้มาตลอดเวลาเป็นสิบปีหรือเปล่านะ

“ตอบมา” ไม่อยากคาดคั้น แต่ถ้าไม่ทำเรื่องก็คงไม่จบ คนเราไม่สามารถปล่อยวางเรื่องใกล้ตัวขนาดนี้ไปได้หรอก ถึงภายนอกจะทำตัวปกติแต่ข้างในคงอึดอัดแทบบ้า

“กูไม่ต้องพูดอะไรมึงก็คงรู้ดี” ไอ้ทอยหันมาคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะถอนหายใจเฮือกแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆฝน มันคงเหมือนสภาพจิตใจของเราทั้งคู่ในตอนนี้ ไม่สดใส อึดอัด ขุ่นมัว หาทางออกจากสถานการณ์นี้ไม่ได้

“ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือในขณะที่ออกปากถามมันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มันทรยศความเป็นเพื่อนของเราตั้งแต่ตอนไหน ทำไมเพิ่งมาแสดงออกชัดเจนเอาตอนนี้ หรือเพราะว่าความใกล้ชิดกับพี่ยูมีมากขึ้นกว่าเดิม

“.....” มันปิดปากเงียบก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อหันหลังกลับเข้าร้าน การกระทำนั้นปลุกอารมณ์ดิบของผมขึ้นทันที ถามไม่ตอบคืออะไรวะ

“กูถามว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มึงรู้สึกแบบนั้น!” ผมตะโกนเสียงดังลั่นโดยไม่สนว่าใครจะได้ยินบ้าง ไอ้ทอยชะงักกึกก่อนจะหลุดหัวเราะในลำคอแล้วหันมองกันด้วยสายตาปวดร้าว

“หลังจากงานแต่งพี่ยู คืนที่มึงร้องไห้เจียนตาย” มันยอมตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ คนที่เข้มแข็งอย่างไอ้ทอยกำลังจะร้องไห้แล้ว ผมผิดเหรอที่ถาม...

“ห้าปีแล้วสินะ” เวลาที่มันแอบรักผมนานพอที่จะบอกว่าเนียนใช้ได้เลย หึ

“อืม... กูรู้ว่าไม่ควรรู้สึก แต่ก็ยังอยากเข้าไปแทนที่พี่ยู อยากถูกรัก อยากเป็นคนสำคัญ อยากดูแล อยากเช็ดน้ำตา อยากเป็นทุกๆ อย่างในชีวิตให้มึง” มันร่ายยาวแล้วพุ่งเข้ามารวบกอดผมไว้ทั้งตัว ไหล่ที่ถูกซบเริ่มเปียกชื้นแต่ไร้ซึ่งเสียงสะอื้น ผมไม่ได้ผละมันออกแต่ก็ไม่ได้ตอบสนองกลับ

“เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

“กูอยากเป็นมากกว่านั้น ให้โอกาสได้ไหม?” ไอ้ทอยผละออกแล้วจับไหล่ผมไว้แน่น ดวงตาคมสบมองอย่างอ้อนวอนแต่ผมกลับดึงมือเพื่อนมากุมเอาไว้แล้วคลี่ยิ้มบางให้ ถึงในชีวิตปัณณ์จะไม่มีพี่ยู เพื่อนคนนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลือกวำหรับความสัมพันธ์แบบนั้น

“เพื่อนก็คือเพื่อนมันเปลี่ยนไม่ได้หรอก เหมือนกูกับพี่ยูไง เริ่มด้วยสถานะไหนก็จบลงด้วยสถานะเดิม”

“มึงไม่เปิดใจไง จะเก็บไว้ให้เขาทำไมในเมื่อรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้!” มันตะโกนเสียงดังก่อนจะพยายามเข้ามาจูบ ผมออกแรงผลักจนเพื่อนกระเด็นไปชนเข้ากับกำแพงร้าน อยากเข้าไปช่วยแต่ปล่อยไว้แบบนั้นคงดีแล้ว คนเรามันจะเจ็บก็ต้องเจ็บให้สุดแล้วหลังจากนั้นแผลมันคงดีขึ้นเอง

“มึงควรตั้งสติให้มากกว่านี้ กลับไปคิดทบทวนว่าอะไรดีหรือไม่ดี กูไม่ได้ปิดใจ แต่กูแค่ไม่มีหัวใจให้ใครอีกแล้ว ไม่อยากเจ็บซ้ำซาก” ผมพูดสิ่งที่คิดมาเสมอให้เพื่อนฟังแบบหมดเปลือก ไม่มีการกั๊กคนที่มาชอบตัวเองแต่อย่างใด ไอ้ทอยกัดฟันแน่นพร้อมแสดงสีหน้าเจ็บปวดจนน่าสงสาร แต่เรื่องนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้ายิ่งปลอบเรื่องราวคงยิ่งไปกันใหญ่ คนอ่อนแอมักอ่อนไหวเสมอ

“มึงแม่งงี่เง่า ไหนว่าลืมได้แล้วไง!” ไอ้ทอยตะโกนอย่างเหลืออดแล้วจับไหล่ผมเขย่าอย่างแรงจนรู้สึกเวียนหัวและเริ่มโมโหขึ้นมากกว่าเก่าแต่พยายามควบคุมอารมณ์

“มันเป็นเรื่องของกู มึงไม่จำเป็นต้องรู้ กลับไปซะเถอะ” ผมผลักเพื่อนสนิทออกห่างแล้วเดินไปที่ประตูร้านเพื่อกลับเข้าไปด้านใน แต่ไอ้ทอยก็คว้าข้อมือเพื่อรั้งกันเอาไว้

“ปัณณ์... อย่าไล่กูแบบนี้” น้ำเสียงสั่นเครือมาพร้อมกับแรงกอดรัดจากด้านหลัง ใบหน้าหล่อของมันซบลงบนลาดไหล่พึมพำตัดพ้อไม่หยุดปาก ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วแกะมือนั้นออก วันนี้คงเคลียร์ไม่จบเพราะต่างคนต่างอยู่ในสภาวะจิตใจย่ำแย่

“กลับไปทอย อย่าให้กูอารมณ์ดิ่งไปมากกว่านี้” ผมหันไปบอกมันเสียงแข็ง ขอโทษที่ความอดทนกำลังหมดลง ขอโทษที่มองข้ามเรื่องนี้ไปไม่ได้ ขอโทษที่กลัวคำว่าเพื่อนจะหายไป ขอโทษ

“ขอโทษครับปัณณ์ แต่ทอยรัก... ฮึก”

“กลับไป!” ผมตะโกนใส่มันครั้งสุดท้ายแล้วเปิดประตูกลับเข้าภายในร้าน ตอนที่กำลังจะเดินผ่านห้องครัวก็โดนฝ่ามืออุ่นรั้งต้นแขนเอาไว้ ใบหน้าหล่อที่มองมาเต็มไปด้วยความห่วงใย ทำไมต้องรู้สึกอ่อนแอต่อหน้าพี่ยูด้วย

“ปัณณ์... ร้องไห้เหรอ?” คำถามของพี่ยูทำให้ผมเบิกตากว้างก่อนจะรู้สึกตัวว่ามีน้ำใสๆ ไหลลงบนแก้ม ทำไมล่ะ...

“หา ปะ เปล่านี่ครับ” ผมรีบปฏิเสธแล้วบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมเพื่อหลีกหนีไปจากตรงนี้ ถึงแม้ว่าลึกๆ แล้วจะรู้ว่าพี่ยูคงได้ยินสิ่งที่พวกเราตะโกนใส่กันไม่มากก็น้อย

“กอดกันไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมอ้อมแขนที่อ้าออกเตรียมพร้อมรับ ผมมองพี่ยูผ่านม่านน้ำตาที่มีมากขึ้นแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ ตอนนี้กลัวไปหมดทุกอย่าง ถ้าหากว่าเผลอกอดเขาไปแล้วความรู้สึกบางอย่างปะทุขึ้นมาจะทำยังไง

“ไม่เอาครับ”

“มาเถอะ เผื่อจะทำให้สบายใจขึ้น” พี่ยูไม่รอฟังคำตอบแต่เดินเข้ามารวบกอดผมเอาไว้ก่อนใช้มืออุ่นลูบลงบนหัวอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายแข็งแกร่งทำให้อารมณ์คุกรุ่นลดระดับลง ยอมแล้ว ยอมจริงๆ ไม่ว่าจะพยายามตีตัวออกห่างมากแค่ไหนสุดท้ายก็กลับมาอยู่ที่เดิม

“อยากร้องไห้ก็ร้องนะ ไม่ต้องเก็บเอาไว้”

“อึก มันไม่แมน” เม้มปากกลั้นเสียงสะอื้นจนรู้สึกปวดหัวปวดตาไปหมดแล้ว

“เวลาเสียใจยังจะห่วงภาพลักษณ์อีกหรือไงเจ้าเด็กน้อย” พี่ยูทิ้งท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอยากหยุดเวลาตอนนี้เอาไว้ ไม่ต้องคิดเรื่องไอ้ทอยหรือเรื่องความรู้สึกที่มีต่อเขา

“ฮึก... พี่ยู กอดปัณณ์แน่นๆ นะ” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมยอมหลุดแทนชื่อตัวเองกับเขา พี่ยูคือคนที่คอยดูแล ช่วยเหลือ ให้กำลังใจ ทำทุกๆ อย่างแทนพี่ป่านทุกเรื่อง ถ้าไม่เพิ่มระดับความสัมพันธ์ขอแค่สถานะเดิมแบบนี้ตลอดไปก็ได้ ไม่ต้องรักมากกว่านี่อีกแล้ว

“ครับ จะกอดจนกว่าจะหยุดร้องเลย” แล้วเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ

ผมถูกสั่งให้ขึ้นไปนอนพักด้านบนตลอดทั้งช่วงบ่ายโดยพี่ยูเป็นคนจัดการคุยกับไอ้ทอยให้ทั้งหมด เขาไม่ได้ด่าทำเพียงแค่บอกให้มันกลับไปก่อน ถ้าคุยตอนนี้มีแต่เรื่องจะเลวร้ายลงทุกที ปัณณ์ก็แค่คนที่แกล้งเข็มแข็งทั้งที่ข้างในเปราะบางยิ่งกว่าแก้ว ทั้งที่เตรียมใจมาแล้วว่าคงรับเรื่องที่เพื่อนแอบชอบได้ แต่พอเจอเข้ากับสถานการณ์จริงทุกอย่างมันดูเบลอไปหมด

ผมตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ เรียกอยู่ข้างหู จำได้ดีว่าเป็นเจ้าตัวแสบที่ตืดกันอย่างกับอะไรดี คงโดนคุณพ่อใช้ให้มาปลุกแน่ๆ ก็ตอนนี้มันสองทุ่มกว่าเข้าไปแล้วนี่ ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหลับไปนานขนาดนี้

เจ้าตัวแสบจูงผมลงบันไดพร้อมกับหนีบตุ๊กตาสุดที่รัก ริวไม่ยอมปล่อยมือกันเลยด้วยสาเหตุที่ว่าน้าปัณณ์กำลังเศร้าและที่สำคัญคือป๊าขอร้องให้มาปลอบใจ มันคือความน่ารักของสองพ่อลูกบ้านนี้ อบอุ่น เป็นกันเอง

“คืนนี้ไปค้างที่บ้านพี่ก็แล้วกัน” คำแรกที่พี่ยูพูดเมื่อเห็นหน้ากันทำให้ผมเกือบสะดุดบันไดขั้นสุดท้าย หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติเริ่มไม่รักดี ความรู้สึกสับสนตีรวนขึ้นมาในอกอีกครั้ง ไม่ดีแน่ๆ แค่ถูกเขากอดทำไมต้องหวั่นไหวอีกแล้ว

“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว กลับคอนโดดีกว่าครับ” ผมแสร้งคลี่ยิ้มเพื่อให้เขาสบายใจก่อนจะนั่งยองลงเพื่อบอกลาเจ้าตัวแสบที่ยังไม่ยอมห่างไปไหน นี่กะจะตามกลับไปที่คอนโดด้วยกันเลยไหม ถ้าพี่ยูอนุญาตปัณณ์ก็พร้อมรับเลี้ยงนะ ดีซะอีที่คืนนี้มีหมอนกอดอุ่นๆ ไว้ข้างตัว

“อย่าดื้อ ร้องไห้จนตาบวมขนาดนี้จะขับรถกลับยังไงไหว” เสียงดุๆ มาพร้อมกับมะเหงกที่เขกลงกลางหัวดังป๊อก ผมเผลอร้องโอ๊ยจนริวสะดุ้งแล้วหันไปเบะปากใส่พ่อที่บังอาจมาทำร้ายน้าปัณณ์ จะให้โกรธพี่ยูก็คงไม่ได้เพราะนั่นคือความหวังดีของเขา แต่มันไม่ดีต่อหัวใจเลย ช่วงอ่อนแอถ้าได้ใกล้ชิดกันกลัวว่าความรู้สึกเก่าๆ จะหวนกลับมา

“แต่ว่า...”

“น้าปัณณ์ ~ นอนกับริวนะ นะ” มันก็จะพบเจอความฉิบหายเพราะเด็กอ้อนนี้ล่ะ โอย ทำไมผมต้องแพ้ความน่ารักของริวด้วยเนี่ย แล้วไหนจะสายตาเป็นห่วงของพี่ยูอีก ถ้าร่วมมือกันทั้งพ่อทั้งลูกขนาดนี่ก็เอามีกมาแทงกันเลยเถอะ

“คือ...” ผมยังคงมองหาคำปฏิเสธอย่างสมเหตุสมผลแต่สุดท้ายก็โดนขัดด้วยเสียงทุ้มของพี่ยูที่รอจังหวะอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่น่าเลยริว หนูกำลังทำให้น้าลำบากใจ

“หลานอยากนอนด้วย ปัณณ์จะใจร้ายเหรอ?” พี่ยูกำลังกดดันผมด้วยความเป็นห่วงและเอาเรื่องหลานมาอ้าง จะปฏิเสธก็ดูเป็นน้าที่ใจร้ายจริงๆ แต่ลึกๆ ก็กลัวว่าถ้าไปนอนแล้วเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจมันต้องทำยังไงต่อ เสี่ยงเหลือเกิน

“โธ่ ก็ได้ครับ ผมโดนรุมแบบนี้จะเอาอะไรไปชนะล่ะ” แต่สุดท้ายไม่รู้ทำไมถึงหลุดปากตอบออกไปแบบนั้น อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะวะ เฮ้อ




-------------------------------------------------


เขียนเพลินจริงๆ ตอนนี้เลยยาวมากกว่าปกติ

เฉลยแล้วเนอะว่าทอยคิดยังไงกับปัณณ์

ส่วนพี่ยูก็ยังเป็นปริศนาคาใจกันต่อไป 

ตอนหน้าเขาจะนอนด้วยกันล่ะ !?

หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 5 : สเต็กแซลมอน P.1 -05/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-04-2018 10:01:36
จานที่ 5 : สเต็กแซลมอน



การตัดสินใจผิดพลาดทำให้ผมต้องทนนั่งอยู่บนเตียงด้วยหัวใจเต้นระรัว ดวงตารีเหลือบมองเจ้าของบ้านที่ตอนนี้กำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองทีละชิ้นจนเหลือแต่บ็อกเซอร์แล้วหันไปจัดการกับลูกชายต่อโดยไม่แคร์ใคร เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติของพี่ยูแต่ไม่ใช่สำหรับปัณณ์ จะออกปากเตือนเดี๋ยวโดนหาว่าเรื่องมากอีก ก็ผู้ชายเหมือนๆ กัน อายทำไม

ผมพยายามละสายตาจากเขาหลายครั้งแต่สุดท้ายก็กลับไปที่จุดโฟกัสเดิมเหมือนโดนมนต์สะกด ขนาดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมยังไม่มีสมาธิ ถ้าเปลี่ยนใจกลับคอนโดตอนนี้ได้ไหม เพิ่งสามทุ่มเอง

“ปัณณ์” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยเรียกทำให้ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะทำโทรศัพท์ตกลงบนเตียง ลนลานเก็บมันขึ้นมาแล้วตอบรับอีกคนด้วยท่าทางตื่นๆ เมื่อครู่พี่ยูจะทันเห็นไหมว่าโดนมองอยู่

“คะ ครับ!” พยายามควบคุมน้ำเสียงตัวเองแล้วแต่ยังตกใจไม่หายเลยเผลอตะโกนรับออกไป พี่ยูที่ก้มตัวลงเพื่ออุ้มริวถึงกับชะงักมือก่อนหันมามองกันด้วยสายตาสงสัย โอย ผมมันแย่เองที่ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยโดยไม่ระวัง

“พี่ทำให้ตกใจเหรอ? ขอโทษครับ” พี่ยูก้มหัวขอโทษแล้วคลี่ยิ้มบางเพื่อปลอบใจกัน ผมส่ายหน้ารัวปฏิเสธก่อนลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินตรงไปหยิบผ้าเช็ดตัวให้สองพ่อลูกเพราะมันแขวนอยู่ที่ประตูเสื้อผ้า หวังว่าคงเดาใจเขาถูกว่าจะใช้ทำอะไร

“พี่ยูจะเอาผ้าเช็ดตัวใช่ไหมครับ?” ผมถามพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดตัวทั้งสองผืนให้ เขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนสงสัยแต่ก็ยอมรับไปพาดบ่าอีกข้าง ตกลงว่าปัณณ์เข้าใจผิดใช่ไหม โธ่เว้ย น่าจะสงบจิตสงบใจแล้วรอฟังดีกว่า แบบนี้ดูมีพิรุธมากแน่ๆ ทำไมเวลาอยู่ด้วยกันถึงต้องฟุ้งซ่านขนาดนี้วะ ท่องไว้สิว่าไม่รู้สึกอะไรแล้ว

“ปัณณ์เป็นอะไรหรือเปล่า?” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้คล้ายจะดูให้แน่ใจว่าเป็นอะไร แต่ผมกลับถอยหลังแล้วโบกมือรัวๆ ทำไมถึงควบคุมอาการไม่ได้สักอย่าง ต้องเป็นเพราะผิวขาวอมชมพูกับซิกแพคแน่นๆ ที่ทำให้อิจฉานั่นแน่ๆ คิดว่าหุ่นเฟิร์มจะโชว์ใครก็ได้หรือไง

“ปะ เปล่าครับ รีบไปอาบน้ำเถอะ ดึกแล้ว” เมื่อไหร่จะเลิกพูดตะกุกตะกักแล้วก้มหน้ามองพื้นสักทีวะ หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนเปลื้องผ้าของกราฟออกทีละชิ้นซะอีก

“น้าปัณณ์อาบกับริวนะ นะ” เสียงเล็กๆ กับมือน้อยที่เอื้อมมาแตะแก้มกันทำให้ผมเบิกตาโตแล้วเงยขึ้นมองอย่างช่วยไม่ได้ ผมแทบจะขาดอากาศหายใจแต่ดีที่พี่ยูมัวแต่ทำหน้าดุให้ลูกชาย หลานช่วยขออะไรที่มันห่างไกลคำว่าใกล้ชิดได้ไหม ตัวแค่นี้แต่ทำเหมือนรู้ดีไปซะทุกอย่าง หรือริวเกิดมาเป็นกามเทพกันแน่ แต่ปัณณ์ไม่ต้องการ มันไม่ใช่ มันผิด... นั่นพี่เขยนะ

“อาบกับป๊าดีกว่าครับ” พี่ยูพยายามกล่อมเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดหลอกล่อด้วยการบอกว่าจะพาไปเที่ยวสวนสนุกในวันหยุดบ้าง ยอมซื้อขนมให้กินบ้างแต่ริวไม่สนใจฟังเพราะสายตายังจ้องผมไม่ละไปไหน ความพยายามของเด็กที่แท้จริงมันน่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ

“อาบด้วยกันสามคนเลยน้า นะ ~” ริวใช้นิ้มป้อมๆ จิ้มแก้มของผม ดวงตากลมโตฉายแววอ้อนจนเกือบเผลอใจอ่อนตอบตกลงแต่เมื่อคิดได้ว่าอาบน้ำด้วยกันต้องถอดเสื้อผ้าล่อนจ้อน ความรู้สึกวูบโหวงมันก็ค่อยๆ ตีตื้นขึ้นมาในอก จะทนเห็นชีเปลือยตัวพ่อได้ยังไงวะ ความมั่นใจว่าตัวเองมั่นคงตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว ภาพในหัวที่พยายามนึกถึงกราฟนั่นว่างเปล่าเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

ความพยายามของปัณณ์เมื่อสองอาทิตย์ก่อนกำลังกลายเป็นเรื่องโมฆะอย่างนั้นเหรอ

“เอ่อคือว่า...” ผมคิดหาคำปฏิเสธสวยหรูให้หลานไม่ได้ ขนาดพี่ยูเอาทั้งขนมและการไปเที่ยวมาล่อยังไม่ได้ผล ต้องทำยังไงวะ สมองเสือกไม่สั่งการอะไรแล้วด้วย ขนาดเรื่องดราม่าของไอ้ทอยยังจางหายไปกับอากาศ

“ปัณณ์ไปนั่งรอเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเจ้าตัวแสบเอง” พี่ยูบอกด้วยน้ำเสียงใจดีก่อนจะยื่นมือมาแตะบ่ากัน ผมลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พยักหน้ารับอย่างแข็งขัน แค่นี้ก็รอดตายไปได้หนึ่งเหตุการณ์ แต่ถ้ามันจบแค่นี้คงง่ายไปสำหรับชีวิตนายปัณณ์เพราะริวกำลังเบะปากแถมน้ำยังมีน้ำใสๆ ปริ่มขอบตา บ้าเอ๊ย อย่าร้องนะเจ้าตัวแสบ

“ไม่เอา จะอาบกับน้าปัณณ์ด้วย ป๊าขี้งก!” ริวกอดอกแน่นแล้วบุ้ยปากใส่พี่ยูจนแทบติดปลายจมูก คนเป็นพ่อถึงกับถอนหายใจแล้วใช้ตายตาดุๆ มอง ช่วงนี้เด็กน้อยเอาแต่ใจเป็นพิเศษอาจจะเป็นเพราะอยากใช้เวลากับน้าปัณณ์ที่มีบรรยากาศคล้ายแม่ของตัวเอง

“เรามันดื้อ”

“งือ ป๊าดุ” ริวน้ำตาหยดแหมะ ผมทนไม่ได้ที่ต้องเห็นหลานร้องไห้เลยตัดสินใจแบบไม่คิดชีวิตว่าต่อไปตัวเองจะเป็นคนตายก่อนหรือเปล่า

“เอ่อ ผมอาบด้วยก็ได้ครับ” ผมบอกอีกฝ่ายเสียงอ้อมแอ้ม พยายามคลี่ยิ้มและสบตาตามปกติที่คนเป็นพี่น้องเขาทำกัน แต่หัวใจไม่รักดีกลับเต้นแรงจนรู้สึกกลัวว่าพี่ยูจะได้ยิน ไอ้สถานะไร้การควบคุมมันคืออะไร หรือว่าปัณณ์กลับไปชอบเขาอีกแล้ว ใครก็ได้ช่วยขัดจังหวะทีได้ไหม

“ถ้าลำบากใจไม่ต้องฝืนนะปัณณ์ ริวก็แค่งอแงไปตามประสาเด็ก” พี่ยูเหมือนจะสังเกตจากแววตาของผมออกว่ามันมีความกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย แต่การส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อยืนยันคำตอบเดิมก็ช่วยได้มากจริงๆ

“มะ ไม่เป็นไร รีบไปเถอะครับ” ผมอ้อมไปด้านหลังแล้วผลักให้พี่ยูรีบเดินเข้าห้องน้ำในขณะที่ตัวเองลอบถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตารีมองประตูสีขาวที่แง้มเปิดอยู่ด้วยความขัดเขิน ถ้าเปิดเข้าไปต้องเจอภาพแบบไหนเป็นอย่างแรกวะ พี่ยูยืนใต้ฝักบัวหรือนั่งแช่ฟองสบู่อยู่ในอ่าง เอาเป็นว่าตอนนี้ทำใจถอดเสื้อผ้าให้ได้ก่อนแล้วกัน

เพราะมัวแต่ยืนนับเลขเพื่อเตรียมความพร้อมอยู่หน้าห้องน้ำเลยโดนเสียงทุ้มๆ เอ่ยเรียกชื่อกัน ผมสะดุ้งโหยงก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์แล้วยื่นมืออันสั่นเทาไปผลักประตูบานสีขาวให้เปิดออก ภาพที่เห็นทำให้ลมหายใจติดขัด พี่ยูกำลังนั่งพิงหลังกับอ่างโดยที่ริวเดินไปเดินมาผ่าฟองสบู่เล่น สรุปว่าต้องลงไปอัดกันสามคนในที่แคบแบบนั้นเหรอ มันให้ความรู้สึกวาบหวิวเหมือนอีหนูกำลังลงอ่างกับเสี่ยเลยว่ะ

ถึงผมจะผ่านสนามรบที่ได้ชื่อว่าเตียงกับคู่นอนมากหน้าหลายตาแค่ไหนแต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ยูก็เหมือนว่าตัวเองกลายเป็นเด็กไม่ประสีประสา หน้าบางลงแบบกะทันหัน ทำตัวไม่ถูก พยายามเก็บอาการแต่ก็ยังสั่นทุกครั้งเมื่อเจอสถานการณ์ล่อแหลมชวนคิด ปัณณ์สามารถต่อรองเพื่อเอาเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งอาบน้ำฝักบัวอยู่ข้างๆ อ่างได้ไหม

พี่ยูหันมาประสานสายตากับผมพร้อมรอยยิ้มละมุนพลางกวักมือเรียกให้ลงอ่างด้วยกัน ส่วนริวอ้าแขนรอรับน้าชายคนดีด้วยความตื่นเต้นทำให้สิ่งที่ตั้งใจว่าจะปฏิเสธตั้งแต่แรกถูกพับเก็บ นี่มันบรรยากาศวาบหวิวระหว่างคู่รักไม่ใช่เหรอวะ อยากหนีจากเหตุการณ์ตรงหน้าฉิบหาย

“คือ...”

“เดี๋ยวพี่ขยับที่ให้ ลงมาสิ” ปล่อยให้ผมพูดสักประโยคก็ไม่ได้เลยใช่ไหม แล้วไอ้ท่าทางขยับที่ว่างให้ทำไม่ต้องชันขาจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนด้วยล่ะครับพี่ยู ไม่เห็นใจคนมองบ้างหรือไงว่าคิดไปไกลแค่ไหน ถ้ากำเดาไหลใครรับผิดชอบหืม

“น้าปัณณ์ ฟู่ ~” ริวเป่าฟองในมือใส่ผมขณะที่ก้าวลงอ่างแบบเก้ๆ กังๆ น้ำกระเพื่อมเป็นระลอกจนรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำเพราะกลัวว่าจะเห็นของสงวน

“ริวนั่งลงดีๆ ครับ เดี๋ยวลื่น” พี่ยูคว้าเอวลูกชายไว้แน่นแล้วดึงตัวริวออกไปเพื่อให้ผมหย่อนตัวลงในอ่าง ฟองสบู่สีขาวค่อยๆ ล้อมวงเข้ามาจนปิดท่อนล่างไว้อย่างมิดชิด แต่สุดท้ายมันก็กระจายออกเมื่อเจ้าตัวแสบแหวกน้ำเข้ามานั่งบนตัก

“ถูหลังกัน ฮึบๆ” ริวเอื้อมมือไปหยิบใยขัดตัวสีฟ้าสดใสแล้วใช้มันถูๆ ไปตามหน้าอกของผมอย่างสะเปะสะปะ ดวงตารีเหลือบมองคุณพ่อที่นั่งเงียบอยู่อีกฝั่งแล้วก็เผลอกลั้นหายใจเพราะเขาจ้องมาทางนี้ ไม่รู้จุดโฟกัสคือปัณณ์หรือเด็กบนตัก อยากถอดบ็อกเซอร์มาปิดหน้าฉิบหาย ทำไมรู้สึกแปลกๆ วะ

“ปัณณ์” พี่ยูเรียกชื่อกันก่อนจะขยับเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยหลังจนชิดขอบอ่าง แขนทั้งสองข้างกอดกระชับเด็กน้อยที่ยังซนไม่เลิก เอาใยขัดตัวถูตรงนั้นทีตรงนี้ทีให้รู้สึกสยิวเล่น อย่าวนตรงยอดอกนักสิครับริว เดี๋ยวพ่อนายก็หาว่าน้าหื่นหรอก

“ครับ?” ผมขานรับด้วยน้ำเสียงโทนปกติแต่ไม่กล้าสบตาเขา มองลงเบื้องล่างก็เห็นว่าพี่ยูยังใส่บ็อกเซอร์เหมือนกันพลอยให้โล่งใจได้หนึ่งเรื่อง

“ทีหลังบอกแฟนให้เบามือหน่อยสิ ช้ำเป็นรอยม่วงขนาดนั้นเจ็บแย่” เขายื่นมือมาสัมผัสตรงรอยช้ำที่ไหปาร้าแล้วลูบเบาๆ เหมือนต้องการคลายความเจ็บให้ ผมเกร็งตัวไม่กล้าขยับหนี ดวงตารีมองการกระทำนั้นด้วยความอึ้ง หัวใจเต้นแรงเกินกว่าจะควบคุม ทำไมความรู้สึกถึงได้ปั่นป่วนขนาดนี้ แค่คิดคำโต้ตอบยังไม่ได้เลย

“.....”

“พี่เตือนเพราะเป็นห่วง อย่าโกรธเลยนะ” มืออุ่นผละออกไปแล้วแต่ผมยังคงจ้องมองเขาอยู่เหมือนเดิม ตอนนี้กำลังสับสนว่าควรรู้สึกยังไงที่ถูกเป็นห่วงเรื่องนี้ พี่ยูไม่ตกใจเลยเหรอว่าปัณณ์ขึ้นเตียงกับใคร ไม่เคร่งครัดเรื่องเซ็กซ์เหมือนตอนที่เป็นเด็กเหรอ

“พี่ยูไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอที่ผมมีแฟน?” ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องการคำตอบแบบไหนด้วยซ้ำแต่ไม่สามารถยั้งปากตัวเองได้ทัน ความหวั่นไหวทั้งร่างกายและจิตใจกำลังอยู่เหนือสมองที่เอาแต่คิดเรื่องผิดชอบชั่วดีหรือความเหมาะสม ถ้าหากว่าคราวนี้ปัณณ์พลาดกลับไปยืนที่จุดเดิม ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร

“หืม หมายความว่ายังไงครับ?” พี่ยูเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนขยับเข้ามาใกล้เพราะโดนเจ้าตัวแสบดึงแขน ทำให้ตอนนี้ขาของเราทั้งสองคนแตะสัมผัสกัน ผมไม่กล้าขยับหนีเพราะกลัวว่าจะแสดงพิรุธ ถ้าหัวใจล้มเหลวคงต้องโทษริว พ่อกามเทพน้อยแผงศรไม่ดูเวล่ำเวลาจริงๆ

“ไม่มีอะไรครับ รีบๆ อาบกันเถอะ ผมง่วงแล้ว” ผมก้มหน้าแล้วแย่งใยขัดตัวมากจากริวเพื่อจัดการอาบน้ำให้เสร็จเรียบร้อย ไม่สนใจแล้วว่าพี่ยูจะทำหน้าฉงนมากเพียงใด ตอนนี้ขอหลุดออกจากบรรยากาศอึดอัดนี่ก่อนเถอะ

ผมกับริวนั่งกองกันอยู่หน้าทีวีเพื่อดูการ์ตูนเรื่องโปรดที่มีฉายรีรันตอนสี่ทุ่ม เจ้าเด็กน้อยยังตาใสกิ๊งผิดวิสัยจนพี่ยูถึงกับบ่นไม่หยุดเพราะปกติแล้วเวลานี้ลูกชายคงนอนฝันหวานถึงขนมไปแล้ว

“ไม่ง่วงเหรอเจ้าตัวแสบ?” พี่ยูละสายตาจากหน้าจอไอแพดเพื่อมองลูกชายที่นั่งดูการ์ตูนนิ่ง ผมชะงักมือที่กำลังหยิบแก้วนมแล้วลอบสังเกตพฤติกรรมของคนทั้งคู่

“ไม่ง่วง อยู่กับน้าปัณณ์สนุก ~” ปลายประโยคลากเสียงยาวก่อนจะหันมายิ้มแฉ่งและเข้ามากอดกันอย่างเอาใจ ผมโน้มตัวลงงับแก้มกลมนั่นด้วยความมันเขี้ยว เด็กอะไรเจ้าเล่ห์เหลือเกิน แบบนี้ใครจะไปดุลง

“นอนดึกสักวันคงไม่เป็นไรมั้งครับ” ผมออกตัวแทนหลานแล้วฟัดแก้มกลมๆ นั่นต่อจนได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังออกมา พี่ยูถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าแบบปลงตกแต่สุดท้ายก็ยกยิ้มมุมปากแล้วกลับไปสนใจไอแพดต่อ

หลายครั้งที่ผมเหลือบสายตามองพี่ยู เขายังไม่เลิกจ้องไอแพดบางครั้งก็ขมวดคิ้วบางครั้งก็พยักหน้ารับคล้ายกับเข้าใจข้อความที่กำลังอ่าน คงเป็นงานจากโรงแรมล่ะมั้ง ก็ตอนนี้มันใกล้สิ้นเดือนที่พวกเราต้องเข้าประชุมสรุปรายได้กันแล้ว

“หาว ~” เสียงของริวดึงสติของผมให้กลับสู่ความเป็นจริง ดวงตากลมใสตอนนี้ปรือปรอยจะปิดลงทุกขณะ ถึงเวลานอนแล้วสินะเจ้าเด็กน้อย

“เดี๋ยวปัณณ์พาริวไปนอนก่อนเลยก็ได้ พี่ขอเคลียร์เอกสารต่อนิดหน่อย” พี่ยูพูดทั้งที่ตายังคงจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมอยู่แบบนั้น ผมพยักหน้ารับแล้วจัดการปิดทีวีและถอดปลั๊กก่อนจะอุ้มริวหนีบเอวเพื่อส่งเข้านอน ท่าทางแบบนี้หัวถึงหมอนคงหลับเลยไม่ต้องงัดวิธีกล่อมให้ยุ่งยาก

“งั้นเดี๋ยวถ้าริวหลับแล้วผมออกมานอนที่โซฟานะครับ” ผมทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะหันตัวไปทิศที่ห้องนอนตั้งอยู่ บ้านหลังนี้มีชั้นเดียวแต่กว้างขวาง แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน คล้ายกับคอนโดแต่มีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า

“นอนด้วยกันสิ เตียงออกจะกว้าง” เสียงพี่ยูดังขัดขึ้นจนผมแทบสะดุดขาตัวเองก่อนจะเม้มปากเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บ อาบน้ำด้วยกันยังไม่พออีกเหรอ ทำไมต้องถึงขนาดนอนด้วยกันอีก จงใจแกล้งเพราะเห็นท่าทางเงอะงะของปัณณ์หรือเปล่า

“เดี๋ยวพี่ยูอึดอัด” ผมปฏิเสธด้วยภาพลักษณ์ของเด็กดีที่เป็นห่วงพี่ชายทั้งที่ในใจกำลังกลัวว่าตัวเองจะเผลอไผลปล่อยอารมณ์ให้เป็นอย่างที่จิตใต้สำนึกเรียกร้อง ปัณณ์ทราบดีว่ากำแพงกั้นความรู้สึกนั้นบางลงทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับพี่ยู

“สบายมากครับ ห้ามปฏิเสธ” คราวนี้เขายอมละสายตาจากไอแพดแล้วจ้องมองกันด้วยสายตาอ้อนวอนแกมบังคับ ผมเบนหน้าหนีก่อนจะพึมพำเสียงเบา

“ทำไมชอบบังคับกันนัก”

“เพราะพี่รู้ว่าปัณณ์จะดื้อขอนอนข้างนอก” หูดีเหมือนหมาเลยว่ะ พลาดแล้วไอ้ปัณณ์!

“โอเคๆ ผมยอมแพ้” สุดท้ายผมก็พยักหน้ายอมรับชะตากรรมก่อนจะพาริวเข้าสู่ห้องนอนของพี่ยูด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ที่ยอมแพ้น่ะแค่เรื่องวันนี้ แต่หัวใจต้องปกป้องให้ถึงที่สุด

เตียงขนาดคิงไซส์ตั้งอยู่ชิดริมผนัง อีกด้านเป็นตู้เสื้อผ้าแบบวอร์คอิน ด้านข้างคือห้องน้ำ หลังผ้าม่านสีเทาเป็นประตูกระจกที่สามารถเปิดออกไปรับอากาศยามเช้าและชมสวนดอกไม้ข้างบ้าน ริมระเบียงมีโต๊ะสำหรับนั่งทำงานหรือจิบชายามบ่าย มันดูเรียบง่ายจนผมอยากมีเป็นของตัวเองบ้าง ใช่ว่าอยากจะอยู่บ้านลอยฟ้าไปตลอดชีวิตซะหน่อย

เจ้าตัวแสบผล็อยหลับไปบนบ่าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ ผมวางหลานลงกลางเตียงเพื่อแบ่งอาณาเขตการนอนของผู้ใหญ่สองคน จัดห่มผ้าให้เสร็จสรรพก่อนจะทิ้งตัวลงข้างกัน วันนี้เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ไม่ใช่เพราะงานหนักแต่เพราะไอ้ทอย ป่านนี้คงเมาแอ๋ไปแล้วมั้ง แต่คงไม่ต้องห่วงอะไรมาก คงมีคนคอยดูแลไม่ขาดอยู่แล้ว

ผมรักทอย... แต่อยู่ในขอบเขตของคำว่าเพื่อนก็เท่านั้นเอง

เนื่องจากเมื่อช่วงบ่ายเผลอร้องไห้ไปอย่างหนักจึงทำให้ดวงตาช้าเกินต้าน ความมืดเข้าครอบงำช้าๆ ก่อนที่ห้วงนิทราจะดึงผมให้จมลงไปสู่ความฝันแสนหวานที่มีแค่ปัณณ์กับพี่ยูเมื่อครั้งวัยเยาว์

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเตียงนอนฝั่งตัวเองยวบลงและสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอุ่นๆ จากร่างกายของใครคนหนึ่ง กลิ่นสบู่ที่คล้ายคลึงกันลอยมากระทบจมูกทำให้ระบุได้ว่าเขาเป็นใคร

“พี่...” ภายใต้แสงไฟสลัวผมกำลังจะเรียกชื่อคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่กลับโดนนิ้วเรียวแตะลงบนริมฝีปากเพื่อให้หยุดพูด ปลายประโยคถูกกลืนหายลงไปในลำคอพร้อมกับที่ลมหายใจสะดุดกึก ทำไมพี่ยูต้องแสดงท่าทีชวนคิดแบบนี้ด้วย

“ชู่ว อย่าเสียงดังครับ เดี๋ยวริวตื่นนะ” เข้าก้มหน้าลงมากระซิบข้างใบหู มันใกล้จนผมต้องย่นคอหนีแต่ไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวริวตื่น หัวใจเริ่มเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้

“ทำไม... ไม่ไปนอนฝั่งนู้นครับ” ผมกลั้นใจตั้งคำถามก่อนจะคว้าพี่หมีนุ่มของหลานมากอดไว้เพราะทำอะไรไม่ถูก ความใกล้ชิด เสียงทุ้ม กลิ่นกาย ลมหายใจ สัมผัส ทุกอย่างกำลังปั่นป่วนหัวใจของปัณณ์อย่างรุนแรง

“เจ้าตัวแสบยึดพื้นที่หมดแล้ว ปัณณ์ขยับไปนอนตรงกลางสิ” พี่ยูชี้นิ้วไปอีกฝั่งที่ตอนนี้เจ้าตัวแสบแผ่หลาอยู่สุดขอบเตียงติดกับผนัง ผมอึกอักทำอะไรไม่ถูก แค่คิดว่านอนคนละฝั่งก็หนักพออยู่แล้ว แต่จะย้ายมานอนข้างกันมันมากไปหรือเปล่า

“แต่ว่า...”

“พี่ง่วงแล้ว” พี่ยูตัดบทด้วยการอ้าปากหาวหวอดใส่กัน ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากการยอมเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน ขยับให้คนตัวโตเข้ามานอนเบียดแล้วพยายามข่มตาหลับ มันช่างยากนัก แต่สุดท้ายความเหนื่อยล้าก็ชนะทุกสิ่ง

ผมหลับลึกกว่าทุกวันที่ผ่านมา โดยปกติต้องมีสักช่วงเวลาที่ตื่นเพื่อลุกไปฉี่ แสงแดดยามเช้าที่ลอดรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาทำให้ต้องหรี่ตาลงแล้วยกมือขึ้นปิดปากเพื่อหาว ทำไมรู้สึกเพลียขนาดนี้วะ หรือเพราะไม่ได้ร้องไห้นานเลยไม่ชิน

“ตื่นแล้วเหรอครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นข้างหู ลมหายใจที่เป่ารดนั้นทำให้ผมตื่นเต็มตา สิ่งที่รับรู้คือตอนนี้หัวปัณณ์หนุนอยู่บนแขนพี่ยู จิตใต้สำนึกร้องสั่งให้ดีดตัวออกแทบทันที หัวใจเต้นรัวจนปวดหน้าอก ให้ตายสิ เมื่อคืนกูเผลอทำอะไรลงไปบ้าง

“เอ่อ ขะ ขอโทษครับ” ผมผุดนั่งก้มหน้าเอ่ยคำขอโทษเสียงสั่น ดีหน่อยที่ผ้าม่านทึบสามารถบังแสงแดดได้อย่างดีเยี่ยม ไม่อย่างนั้นพี่ยูคงเห็นว่าปัณณ์หน้าแดงมากแค่ไหน

“ไม่เป็นไร แต่นวดแขนให้พี่หน่อยก็ดี” พี่ยูพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนเริ่มขยับแขนที่น่าจะชาจนไม่รู้สึก ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อระงับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ใจเย็นๆ เราแค่นอนทับแขนไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น

“ทำไมไม่ปลุกผมล่ะ” ผมหันไปทำตาดุใส่แต่กลับโดนรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์โต้กลับจนต้องแกล้งบิดขี้เกียจเพื่อกลบเกลื่อนอาการขัดเขิน ถ้าไม่ร้องไห้แล้วเหนื่อยพอที่จะหลับไปคงตาค้างทั้งคืน พี่ยูอันตรายต่อหัวใจจริงๆ ใกล้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้องถอยออกมาโดยด่วน

“เห็นปัณณ์หลับสบายเลยไม่อยากกวนน่ะ” พี่ยูก็ยังคงเป็นพี่ชายที่ให้ความสำคัญกับน้องเสมอ ถึงสนิทกันแค่ไหนก็ต้องมีความเกรงใจตามมารยาทของผู้ดี ผมรู้สึกว่ามันดูห่างเหินแต่พูดไม่ได้เพราะต่างคนต่างความคิด จะแย้งอะไรควรไตร่ตรองและลองทำความเข้าใจไว้ก่อน

“ตามใจผมตลอด ระวังจะเคยตัวนะครับ”

“ไม่ชอบเหรอ?” พี่ยูลุกขึ้นนั่งทำให้หัวเข่าของเราชนกัน ผมทำใจกล้าไม่ขยับหนีก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแขนที่โดนทับมาตลอดทั้งคืน ทำผิดก็ต้องยอมรับ

“ผมนวดให้” มือเรียวบรรจงบีบนวดต้นแขนที่มีรอยกดทับสีแดงจางๆ ไม่ออกแรงมากเกินไปเพราะกลัวพี่ยูเจ็บ

“นวดเก่งนะเรา” คำชมลอยๆ ที่มาพร้อมรอยยิ้มหวานรับอรุณทำให้ผมชะงักมือแต่ยังคงไม่ปล่อยแขนแกร่ง

“ผมก็นวดไปมั่วๆ ล่ะครับ” ออกแรงนวดต่อโดยสายตาโฟกัสไปที่ลำตัวของพี่ยู ผมอยากจะกัดลิ้นตาย ทำไมเมื่อคืนถึงไม่เอะใจว่าเขาถอดเสื้อนอนวะ โอย ลืมไปได้ยังไงเนี่ยปัณณ์

“พอแล้วครับ ขอบคุณมาก” พี่ยูเอื้อมมาแตะมือกันเป็นสัญญาณให้หยุด ผมตกใจผละออกแล้วรีบลุกขึ้นเพื่อหนีไปอาบน้ำด้วยหัวใจที่เต้นแรง จะให้ปัณณ์ตายวันละกี่รอบกันนะ

ผมจัดการอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อยด้วยเสื้อผ้าของพี่ยู กางเกงในก็ยืมเขาแต่เป็นตัวใหม่เอี่ยมถึงหลวมไปบ้างก็ดีกว่าไม่มีใส่ หลังจากนั้นก็รับหน้าที่จัดกระเป๋าให้ริวเพราะวันนี้คุณอาสุดที่รักจะพาไปเที่ยว บ้านพี่ยูน่ะญาติเยอะ

ส่งตัวริวให้กับญาติของพี่ยูเสร็จแล้วก็พากันขับรถไปหาอะไรกินช่วงเช้า เวลาเกือบแปดโมงทำให้การจราจรติดหนักจนต้องงัดขนมปังที่ติดกระเป๋ามาแบ่งครึ่งกินกันสองคน พอประทังชีวิตได้ในชั่วโมงเร่งรีบได้

“ปัณณ์...” ขณะที่รถติดไฟแดงคนด้านข้างเอ่ยปากเรียกชื่อผมแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดคลอ วันนี้เป็นสไตล์เกาหลีหวานๆ เพราะๆ ตามอารมณ์ของผู้เป็นเจ้าของ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้างแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้บรรยากาศเงียบกริบ

“ครับ?” ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรแล้วยกขนมปังในมือที่เหลืออยู่อีกหนึ่งคำใส่ปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย พี่ยูที่มองอยู่ถึงกับหลุดยิ้มก่อนจะเบนหน้ากลับไปมองไฟจราจร

“ใช้แชมพูยี่ห้ออะไร? ผมหอมดีนะ” น้ำเสียงสบายๆ เหมือนชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศแต่มันช่างสะเทือนใจคนฟังอย่างรุนแรง พี่ยูต้องเข้ามาใกล้กันแค่ไหนถึงจะได้กลิ่นแชมพูบนเส้นผม หรือว่าเมื่อคืนนี้... บ้าน่า คงไม่ใช่หรอก ต่างคนต่างนอนนี่

“พี่...” ผมไปต่อไม่เป็นเลยได้แต่ครางเรียกเขาไปเท่านั้น

Rrrrr

เสียงริงโทนจัดจังหวะการสนทนาทำให้พี่ยูต้องควานมือหาโทรศัพท์เพื่อกดรับ ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะไม่ต้องตอบคำถามแต่กลับคิดมากว่าทำไมเขาถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองว่าแอบโดนกอดโดนหอมหัวจะเป็นไรไหม

“ปัณณ์อยากกินอะไร?” หลังจากที่เขาวางสายก็เอ่ยถามทันทีเพราะเป็นเวลาที่ไฟจราจรเปลี่ยนสี ผมส่ายหัวพรืดปฏิเสธ ตอนนี้ไม่อยากกินอะไร สมองมันพาลแต่จะคิดถึงเรื่องที่โดนถามไปก่อนหน้านี้ ทำไมวะ

“ตามใจพี่ยูเลยครับ” ผมบอกปัดก่อนจะแสร้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น หน้าจอมีข้อความไลน์จากกราฟที่แสดงความตัดพ้อก็เมื่อคืนไม่ได้รับสายเขาเลยมัวแต่วุ่นวายกับสองพ่อลูกนี่

“ไม่เอาครับ พี่ให้ปัณณ์เลือก”

“พี่ยูกำลังทำให้ผมเป็นคนเอาแต่ใจ” ผมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์เพื่อเหล่ตามองคนข้างกาย ไอ้การสปอยน้องก็ดีแต่มันจะทำให้เคยตัวตัวและเผลอคิดไปไกล ถ้าไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นก็ช่วยทำตัวปกติด้วยเถอะ ดูแลกันแบบนี้ปัณณ์จะแย่เอา หัวใจไม่ใช่หิน มันคงไม่แข็งตลอดไปหรอก

“ไม่เห็นเป็นไรเลยเพราะพี่เต็มใจ” พอกันทีครับ ความอดทนของผมที่พยายามกดความรู้สึกสับสนสงสัยในตัวพี่ยู เหนื่อยเกินกว่าจะเก็บไว้แล้ว

“ถ้าผมไม่ใช่น้องพี่คงคิดว่าโดนจีบ” แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่พูดทีเล่นทีจริงเพราะว่ากลัวคำตอบที่ได้รับ

“เจ้าเด็กบ๊อง” นั่นคือการปฏิเสธแบบสุภาพของพี่ยูใช่ไหม โอเคครับ ผมจะถือว่าไม่เคยถามอะไรแบบนั้นไปก็แล้วกัน

มื้อเช้าจบลงที่ร้านข้าวต้มหมูทรงเครื่อง ผมกินแบบไม่ใส่เครื่องในและผักโรยส่วนพี่ยูใส่ทุกอย่างแถมเพิ่มไข่ลวกหนึ่งฟองตบท้ายด้วยปาท่องโก๋ อิ่มแปร้จนแทบลุกไม่ไหว ค่าอาหารทั้งหมดอย่างที่รู้กันว่ามีคนเปย์เหมือนเดิม ปัณณ์จะขอจ่ายก็โดนดุ

เมื่อถึงร้านนัทสึผมก็วิ่งหาเสื้อกันเปื้อนเป็นอันดับแรกเพราะตอนนี้เวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเก้าโมงครึ่งแล้ว ไหนจะต้องเตรียมของจัดโต๊ะอีก พี่เคียวก็โทรมาบอกว่าเข้าขอเข้างานสาย เป็นวันที่นับว่าวุ่นวายสุดๆ

“วันนี้ร้องเพลงอะไร คิดไว้หรือยัง?” ขณะที่เรากำลังเตรียมวัตถุดิบทำอาหารอยู่ในครัวพี่ยูก็เอ่ยปากถามขึ้น เพลงที่ผมคิดไว้มันไม่ได้ห่างไกลกับสถานการณ์ตอนนี้มานัก อยากจะยอมรับว่าแพ้แล้วแต่ขอพยายามให้ถึงขีดจำกัดก่อนก็แล้วกัน

“ฝันหวานอายจูบ” ผมบอกชื่อเพลงก่อนเดินไปหย่อนวัตถุดิบต้มซุปลงในหม้อใบใหญ่แล้ววนกลับมาล้างผักต่อ ทำงานให้หนักเข้าไว้จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

“โห เพลงเก่ามาก”

บทสนทนาของเราจบลงแค่นั้นเพราะเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าลูกค้ารายแรกของวันได้มาเยือนแล้ว ตลอดเวลาสองชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาทำกิจกรรมคืนกำไรให้กับลูกค้านั้นผมกับพี่ยูคุยกันแค่เรื่องออเดอร์เท่านั้น หัวหมุนที่สุดตั้งแต่ทำงานมาในรอบเดือน เฮ้อ

เวลาเที่ยงตรงที่พวกเราหยุดทำหน้าที่ทุกอย่างแล้วโยนให้พี่เคียวที่เพิ่งเข้ามาได้แค่สิบนาทีเพื่อเตรียมตัวสำหรับการร้องเพลงในวันนี้ คอร์ดกีตาร์ถูกเปิดในไอแพดซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหน้าพี่ยู ส่วนเนื้อเพลงนั้นผมจำได้ขึ้นใจเพราะฟังอยู่บ่อยๆ

ทำนองเพลงแรกจากเสียงกีตาร์ดังขึ้นทำให้การสนทนาของลูกค้าภายในร้านเบาลง ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมทั้งกายและหัวใจในการร้องเพลงรักหวานๆ แต่แฝงด้วยความอึดอัดสับสน

ฉันฝันถึงเธอคนที่อยู่ไกล แสนไกล
ช่างหวานละมุม อบอุ่น ข้างในหัวใจ
แต่อายไม่กล้า แม้จะบอกกับใคร
จึงจูบผ่านสายลม ให้พัดพาไป


ผมเปล่งคำร้องด้วยเสียงที่หวานและเอื่อยตามทำนองเพลงต้นฉบับ ดวงตารีเหลือบมองพี่ยูก่อนจะต้องเบนหลบเพราะเขากำลังส่งยิ้มละมุนมาให้ ทำไมทุกครั้งต้องทำท่าทางเหมือนมีใจให้เสมอ การกระทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกันครับ

เพราะฝันและจริงยังไม่เคยพบกัน
เพราะหวานเกินไป ไม่ว่าใครก็ต้องใจสั่น
เพราะอายเหลือเกินกว่าที่จะพูดคำนั้น
เพราะจูบของเธอ ยังไม่ใช่จูบของฉัน




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 5 : สเต็กแซลมอน P.1 -05/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 05-04-2018 10:02:03
เพลงถูกขับร้องไปเรื่อยตามเนื้อพร้อมทั้งความรู้สึกที่ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกขณะที่ชิดใกล้ ผมพยายามแล้วที่จะเลิกสนใจพี่ยู หยุดรัก หยุดหวัง แต่สุดท้ายกำแพงที่พยายามสร้างมาราวสิบปีก็ไร้ประโยชน์ ความเข้มแข็งที่แสดงออกมาตลอดนั้นเป็นเพียงสิ่งลวงโลก ปั้นคำโกหกหลอกลวงกับเพื่อนสนิทและตัวเองทั้งที่ส่วนลึกมันเรียกร้องหาคนๆ เดียวเสมอ

ความรักครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
ฉันควรจะต้องทำใจรึเปล่า
(จะเป็นได้แค่เพียงฝัน)


พี่ยูใจดีร้องคอรัสให้กันด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกแข็งกระด้างแต่ผมกลับระบายยิ้มเพราะเขาไม่เคยทำแบบนี้แม้ว่าพี่ป่านจะเคยขอร้องเป็นร้อยครั้ง

ความรักครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
สุขสมได้ดั่งใจ หรือเป็นฝันชั่วคราว
(อยู่ที่เธอรู้ไหม)

ชีวิตของฉันเมื่อพบกับเธอนั้น
จะเปลี่ยนแปลงหรือเป็นเหมือนเก่า
(เป็นแค่ฝันไป)

คือคำถามฝากไว้
ฉันวอนไห้สายลมพัดลอยผ่านไป ถึงเธอ


ผมควรถามตัวเองก่อนว่ายอมรับได้หรือยัง สุดท้ายความรักที่เคยมีให้เขาก็ไม่เคยจางหายไปไหน วันนี้ปัณณ์แพ้แล้วจริงๆ ไม่ต้องหาบทพิสูจน์ ไม่ต้องสร้างกำแพง ไม่ต้องทดลองเป็นเมียใครหรือผัวใครอีกแล้ว ที่ผ่านมาเหนื่อยทั้งกายและใจ พอกันที

ถ้าฝันและจริงจะบังเอิญเจอกันสักวัน
ถ้าหวานข้างใน ใจทั้งสองได้พร้อมๆ กัน
ถ้าอายจะหายไปจากประโยคเหล่านั้น
และถ้าจูบของเธอจะกลายเป็นจูบของฉัน


ผมไม่มีความกล้าหาญพอที่จะบอกความรู้สึกข้างให้พี่ยูฟัง แค่ยอมรับว่าตัวเองตัดใจไม่ได้ก็แย่มากพออยู่แล้ว อยากขอโทษพี่ป่านที่แอบรักคนของเธอ ขอโทษทุกๆ คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่หลานตัวน้อย

อย่าผลักไสปัณณ์ออกห่างจากพี่ยูไปไหนเลยเพราะทั้งชีวิตและหัวใจอยู่ได้เพื่อคนๆ นี้เท่านั้น มันอาจจะดูโง่งมงายในความรัก แต่มันดีที่สุดสำหรับผมแล้วจริงๆ

เสียงเพลงยังคงดำเนินต่อไปด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น ผมหันไปสบตากับพี่ยูอย่างไม่เคอะเขิน ส่วนเขาระบายยิ้มหวานตามปกติ คงไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ เหมือนอย่างเคย ก็ดีแล้ว เราจะได้คุยกันเหมือนเดิมไม่มีความกระอักกระอ่วนเข้ามาแทรกแซง

แอบรักต่อไปก็คงไม่แย่นักหรอก ขอแค่ตัวเองมีความสุขก็พอ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อยจริงไหม

ฝากทุกข้อความส่งไปถึงเธอ
สิ่งที่ไม่อาจจะเอ่ยในยามที่พบเจอ
อาจมีสักวันเธอจะได้รับมัน
จะรู้ว่าฉันนั้นคิดเช่นไร


หวังว่าสักวันพี่จะรับรู้โดยที่ผมไม่ต้องพูดอะไร ถ้าผลจะออกมาในรูปแบบเลวร้ายก็คงน้อมรับไว้ด้วยหัวใจทั้งหมดที่มี ขอโทษนะครับ ขอโทษที่เลิกรักพี่ยูไม่ได้จริงๆ ให้อภัยปัณณ์ด้วยนะ

เพลงจบลงด้วยเสียงปรบมือเหมือนอย่างเคย พวกผมโค้งรับด้วยรอยยิ้มแต่ต้องชะงักกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่มุมร้าน ดวงตาคมที่มองมานั้นแดงก่ำและมีหยาดน้ำใสไหลลงบนแก้ม มันพยักหน้าคล้ายกับเข้าใจอะไรบ้างอย่างก่อนจะลุกออกไป

ผมได้แต่หวังว่าไอ้ทอยจะไม่โกรธกันไปมากกว่านี้

“ปัณณ์” เสียงเรียกที่มาพร้อมสัมผัสตรงหัวไหล่ทำให้ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไร พี่ยูทำหน้าตาเคร่งเครียดจนคิ้วแทบผูกเป็นปม อยู่ๆ ก็อารมณ์ไม่ดีเหรอ หรือว่ารู้แล้วความจริงแล้ว... ไม่สิ ปัณณ์ยังไม่พร้อมโดนเกลียดตอนนี้

“นั่นกราฟหรือเปล่า?” พี่ยูพยักพเยิดหน้าไปทางกลุ่มคนที่กำลังเปิดประตูร้านเข้ามา ผมมองกราฟด้วยความตกใจทำไมอยู่ๆ ถึงควงผู้ชายคนอื่นมาที่นี่ทั้งที่เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะเล่นละครเป็นแฟนกัน

“เชี่ย...” ผมอุทานเสียงเบาก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อพี่ยูเปลี่ยนจุดโฟกัส กีตาร์ให้มือหนาสั่นระริกคล้ายกำลังโกรธเคืองแทนกัน

“ทำไมถึงควงคนอื่นหน้าระรื่นขนาดนั้น” ถึงพี่ยูจะเป็นคุณพ่อที่แสนอบอุ่นของลูก เป็นพี่ชายแสนดีของน้อง แต่เขามีมุมเตรียมปะทะกับทุกสิ่งที่ผิดเสมอ ครั้งนี้ผมบอกได้เลยว่ากราฟกำลังจะซวยที่โดนเข้าใจผิดว่านอกใจ

“ช่างเขาเถอะครับ” ผมบอกปัดก่อนจะเดินนำหน้าพี่ยูเข้าไปในครัว เขาแวะวางกีตาร์ไว้ตรงใต้บันไดแล้วตามเข้ามาทีหลัง

“ปัณณ์ไม่รู้สึกอะไรเหรอ?”

“เขาอาจจะมากับเพื่อนที่สนิทกันก็ได้”

“เพื่อนเขาหอมแก้มกันด้วยเหรอ?” ผมชะงักกึกกับคำถามของพี่ยู เมื่อครู่มันหอมแก้มกันด้วยเหรอวะ แม่งเอ๊ย หาความซวยมาให้แก้อีกแล้ว เพิ่งยอมรับหัวใจตัวเองไปหยกๆ ต้องมาโดนเขาคาดคั้นเรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่นอีกเหรอ ไม่ตายก็ต้องตายคราวนี้ล่ะ

“พี่ยู...”

“ปัณณ์กำลังปิดบังอะไรพี่อยู่หรือเปล่า?” เขาขยับเข้ามาประชิดแล้วรั้งไหล่ให้ผมหันกลับไปเผชิญหน้า กระดาษออเดอร์ที่อยู่ในมือบัดนี้ร่วงลงสู่พื้นเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเจอสายตาบ่งบอกถึงความหวั่นไหว สิ่งที่พี่ยูเกลียดมากคงเป็นคำโกหก

“ขอโทษครับ” ผมก้มหน้าลงมองปลายเท้าเพราะครั้งนี้ไม่มีข้อแก้ตัว จะให้โกหกต่อคงไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าพี่ยูเกลียดกันขึ้นมาคงทนไม่ไหว

“ปัณณ์...” เสียงดุนั้นเป็นการบังคับให้ตอบคำถามโดยไม่ต้องพูดยาว แรงบีบที่ไหล่ทำให้ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นเพื่อเรียบเรียงประโยคบอกเล่าให้สวยหรู แต่สุดท้ายก็ตายน้ำตื้นเพราะการบอกไปตรงๆ คงดีกว่า

“ผมกับกราฟแค่ Friend With Benefit” ผมพูดเสียงเบาแทบกระซิบในขณะที่พี่ยูถอยเท้าออกไปแล้วปล่อยมือออกจากบ่า สีหน้าเขาดูโกรธมากแต่พยายามระงับอารมณ์ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ จะให้ปัณณ์ก้มลงกราบเท้าก็ได้ถ้าหากเขายอมยกโทษ

“ทำไมต้องโกหกพี่ว่ามีแฟน?” เขาทิ้งสะโพกพิงกับเค้าน์เตอร์แล้วจ้องผมเขม็ง ที่จริงคาดว่าพี่ยูจะด่าเรื่องไม่จริงจังกับใครมากกว่าแต่ผิดคาดจนอดถามกลับไม่ได้

“พี่ไม่ตกใจที่ผมทำตัวแย่เหรอ?”

“มันเรื่องปกติของผู้ชาย อีกอย่างกราฟก็สมยอมไม่ใช่หรือไง ทำไมพี่ต้องตกใจด้วย” เขาพูดเหตุผลที่ผมฟังแล้วสบายใจไปได้หนึ่งเรื่อง แต่สายตาดุๆ ที่จ้องมาอย่างไม่ลดละย้ำเตือนว่ายังไม่ลืมคำโกหก

“นั่นสินะครับ หวงกันสักนิดก็ไม่มี” ผมพึมพำเสียงเบาแล้วหลุดยิ้มเยาะให้กับความหวังลมๆ แล้งๆ ของตัวเอง

“ตอบคำถามพี่ครับ”

“ผมแค่ไม่อยากรบกวนพี่ยู” ผมไม่ได้โกหกแต่บอกเหตุผลไม่หมดก็แค่นั้น

“วันนี้จะปิดร้านตอนหกโมง” เขาก้มลงเก็บออเดอร์ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นแล้วจัดการอ่านมัน เตรียมอุปกรณ์ทำอาหารโดยทำเหมือนไม่ได้พูดอะไรที่เข้าใจยากไปเมื่อครู่

“ทำไมปิดเร็วครับ?”

“จะไปขนของเจ้าเด็กดื้อที่คอนโด” พี่ยูตวัดสายตาดุมองผมครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นเขกลงกลางกระหม่อมเหมือนต้องการลงโทษที่โกหกเขาเอาไว้ อยากจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกเจ็บเลยแต่อึ้งมากกว่า อยู่ๆ ก็มัดมือให้ย้ายไป

“พี่ยู...” ผมเรียกอีกคนอย่างอ่อนใจ ครั้นจะปฏิเสธแต่หัวใจกลับเรียกร้องต่างจากเมื่อก่อนที่โดนคะยั้นคะยอเท่าไหร่ก็ไม่ยอม หวังว่าการย้ายไปอยู่ด้วยกันจะไม่ทำให้พี่ยูเกลียดปัณณ์

“ห้ามเถียง ห้ามต่อรองครับ พี่ไม่ยอมเป็นคนโง่ให้ปัณณ์หลอกอีกแล้ว”

ขอโทษนะครับที่ผมมันแย่และนิสัยเสีย แต่ที่โกหกทั้งหมดก็เพื่อความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ ถ้าหากวันหนึ่งพี่ยูรู้ความจริงที่เก็บซ่อนไว้ยังจะน่ารักกับปัณณ์อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปเงียบๆ ก็ดีอยู่แล้ว




--------------------------------------------------

สุดท้ายปัณณ์ก็แพ้หัวใจตัวเอง ยอมรับแล้วนะว่ารักพี่ยู
ตอนต่อไปเขาจะย้ายไปนอนด้วยกัน เอ๊ย ไปอยู่ด้วยกันแล้วน้า

1 คอมเม้นต์ = 1 กำลังใจ
ช่วยๆ กันหน่อย ฮึบบ อยากรู้ว่าคนอ่านชอบหรือไม่ชอบนิยายเรื่องนี้ยังไงบ้าง
จะได้ปรับปรุงเนอะ ♥
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 6 : ชุดเบนโตะ P.1 -12/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 12-04-2018 12:54:00
จานที่ 6 : ชุดเบนโตะ




วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะขนย้ายทรัพย์สมบัติจากคอนโดไปบ้าน ผมค่อยๆ เก็บหนังสือลงลังกระดาษในขณะที่พี่ยูก็ช่วยด้วยอีกแรง ส่วนเจ้าตัวแสบขลุกอยู่กับคุณอาสุดหล่อนามว่า ‘เอย์จิ’ ที่เพิ่งบินมาจากญี่ปุ่นเมื่อต้นอาทิตย์

ผมยื่นข้อแม้ทั้งที่โดนห้ามว่าขออยู่ที่คอนโดจนกว่าจะขนของเสร็จแล้วค่อยย้ายเข้าบ้านพี่ยูอย่างเป็นทางการ ตอนแรกเขาไม่ยอมท่าเดียวบอกว่าปัณณ์ดื้อแต่พอทำเสียงหวานหน่อยมองอ้อนๆ อีกนิดสุดท้ายก็ชนะ

เหตุผลที่ทำแบบนั้นคือมันช่วยยืดเวลาความหวั่นไหวของหัวใจผมได้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้อย่าถามถึงปัจจุบันเลย แค่เงยหน้าขึ้นจากกองหนังสือก็เจอพี่ยูในระยะประชิด ไม่รู้ใครสั่งใครสอนให้เข้ามาใกล้กันขนาดนี้วะ

“ปัณณ์เขียนไดอารี่ด้วยเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามในขณะที่มือก็กรีดหน้าสมุดเล่มสีฟ้าอ่อนไปเรื่อย ผมขมวดคิ้วมุ่นพลางคิดว่าตัวเองไปเขียนไดอารี่ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเคยทำแต่จำไม่ได้เพราะมันนานมาแล้ว

“ไดอารี่อะ... เฮ้ย เอาคืนมานะพี่ยู!” ผมโวยวายเสียงดังลั่นเมื่อเห็นสมุดในมือเขาอย่างชัดเจนหลังจากที่จัดหนังสือที่เหลือเข้ากล่องเรียบร้อยแล้ว ด้วยความที่ลนลานเลยยืดแขนพร้อมโถมร่างกายไปด้านหน้าอย่างไม่ทันระวัง เสียการทรงตัวจนล้มทับพี่ยูเข้าเต็มรัก ไดอารี่ลอยหวืดกระเด็นไปอีกทางส่วนเราทั้งคู่กอดกันกลมพลางนิ้วหน้า เจ็บจนจุกแต่โคตรโล่งใจ

ถ้าเขาเปิดอ่านไดอารี่เล่มนั้น มีหวังผมคงต้องย้ายของจากบ้านเขากลับมาอยู่ที่คอนโดแน่ๆ แม่งเอ๊ย ในนั้นมีความลับระดับชาติซ่อนอยู่เลยนะเว้ย เกือบตายไปแล้วไหมล่ะ

“พะ พี่ยูเจ็บมากไหม? ผมขอโทษครับ” เปล่งคำถามด้วยน่ำเสียงสั่นพร่าแล้วรีบยันแขนกับพื้นเพื่อพยุงเอาตัวเองออกจากร่างกายเขา แต่มือที่วาดโอบรอบเอวของผมยังไม่ผละไปไหนแถมยังกอดไว้ซะแน่นจนรู้สึกว่าอุณหภูมิตรงแก้มสูงกว่าส่วนอื่นในร่างกาย

“เจ็บ... หัวกระแทกพื้น จะบวมหรือเปล่าก็ไม่รู้” พี่ยูตอบก่อนจะนิ่วหน้าแสดงอาการเจ็บปวด ผมพยายามผละตัวออกจากอ้อมแขนอุ่นอีกครั้งแต่โดนคนใต้ร่างรวบกอดแน่นกว่าเดิม ตกลงเจ็บหรือกำลังแกล้งกันวะ ทำอะไรไม่เคยเดาทางถูกเลยสักครั้ง เล่นแบบนี้ปัณณ์ไม่สนุกด้วย

“พี่ปล่อยผมก่อน เดี๋ยวดูให้ว่าบวมหรือเปล่า?” ผมคิดให้ทางที่ดีว่าพี่ยูคงตกใจและลืมไปว่ากำลังกอดกันอยู่ แต่เขาทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเหมือนไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหาและยังคงไม่ผละแขนออกห่าง ไอ้การที่นอนทับกันแบบนี้มันไม่รู้สึกแปลกๆ หรือไง

“ปัณณ์ทับพี่อยู่”

“พี่กอดผมอยู่”

“อ้าวเหรอ? ไม่เห็นจะรู้ตัวเลย” เขาแสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่มุมปากกลับกระตุกเป็นรอยยิ้มให้ผมได้ขบฟันกรามแน่น โดนซะแล้วไอ้ปัณณ์ พี่ยูโหมดขี้แกล้งนี่รับมือยากจริงๆ เพราะมันพาลจะทำให้หัวใจเต้นแรงได้เสมอ เหมือนให้ความหวังแต่ก็ไม่มีหวัง มนุษย์เรามีความย้อนแย้งในชีวิตมากเกินไปแล้ว เฮ้อ

“แกล้งผมใช่ไหม?” ถามจบก็พยายามเงยหน้าขึ้นมองคนขี้แกล้งที่บัดนี้ยังไม่ยอมปล่อยกันให้เป็นอิสระจนต้องแอบหยิกเข้าที่เอวถึงจะคลายวงแขนออก ผมรีบลุกขึ้นแล้วจ้องอีกคนเขม็งอย่างเอาเรื่อง ไม่รู้ว่าเขาจีบสังเกตได้หรือเปล่าว่าหัวใจปัณณ์เต้นแรงมากแค่ไหน

“ว้า แย่เลย รู้ตัวซะแล้ว” พี่ยูแสร้งทำหน้าเศร้าก่อนใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวลุกขึ้นแล้วขยับตัวไปพิงโซฟาที่อยู่ไม่ไกลพลางเอื้อมมือเพื่อแตะตรงตำแหน่งที่หัวโขกกับพื้น คงเจ็บน่าดูแต่ยังมีอารมณ์แกล้งคนอื่น ต้องบ้าขนาดไหนถึงทำแบบนี้ได้ ผมคิดผิดหรือเปล่าที่ยอมเอาหัวใจไปเสี่ยงอยู่ในกรงขังของเขา บ้าจริง ถอยกลับก็ไม่ได้แล้วด้วย

“เล่นบ้าอะไรของพี่เนี่ย ไม่หนักหรือไง?” ผมโวยวายกลบเกลื่อนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหยิบสก็อตเทปมาปิดลังด้วยตัวเองโดยไม่ขอให้อีกคนช่วย มันลำบากจนต้องส่งเสียงจิ๊จ๊ะอยู่เป็นระยะ ในสายตาคนมองคงคิดว่ามันตลกดีแน่ๆ คิดจะช่วยกันสักหน่อยไม่ได้หรือไง น้ำใจน่ะมีไหมพี่ยู!

“ปัณณ์ตัวเบาจะตาย พี่อุ้มได้สบายมาก” เขาขยับเข้ามาช่วยจับฝากล่องเหมือนล่วงรู้ความคิดของผม แต่ประโยคเมื่อครู่กลับทำให้มือที่ดึงสก็อตแทบถึงกับไร้เรี่ยวแรงจนปล่อยมันหลุดไปติดกันเป็นกระจุก เดือดร้อนพี่ยูต้องหยิบกรรไกรส่งให้ตัดส่วนนั้นทิ้งไป

“ผมไม่ใช่ผู้หญิงเหอะ ไม่ต้องมาอุ้ม” ผมบ่นพึมพำแล้วจัดการแปะสก็อตเทปลงบนฝากล่องโดยแกล้งติดทับนิ้วพี่ยูไปด้วย เจ้าตัวออกอาการเหวอในตอนแรกแต่สุดท้ายก็หลุดหัวเราะอย่างไม่ถือสา

“ปัณณ์งอนพี่จนปากจะติดจมูกอยู่แล้ว” พี่ยูเอื้อมมือเข้ามาหวังจะใช้มันเชยคางกัน แต่ผมผงะถอยหลังก่อนจ้องเขม็ง รู้ได้ไงว่ากำลังบุ้ยปากอยู่ โมเมชัดๆ

“พี่ยู...” ผมเรียกชื่อเขาเสียงดุ พอดีก็ดีจนน่าใจหาย แต่พอร้ายก็แทบจะฆ่ากันให้ตายโดยไม่ต้องลงมือ แค่ใช้สายตากับคำพูดเท่านั้น

“อะๆ ไม่แกล้งแล้วครับ ช่วยดูหัวให้พี่หน่อยสิ กระแทกพื้นจนรู้สึกมึนไปหมด” คนแก่ยกมือขึ้นเพื่อยอมแพ้แล้วหมุนตัวเพื่อให้ผมดูอาการบวมที่ศีรษะด้านหลัง ลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยรับคำอย่างสุภาพ

“ครับ”

ตีตัวออกห่างกลับยิ่งใกล้ชิด แล้วผมจะต้องทำยังไงให้หัวใจตัวเองปลอดภัยจากการตัดสินใจครั้งนี้ดี

พวกเราแบกทรัพย์สินอย่างสุดท้ายของผมออกจากห้องอยากทุลักทุเล หนังสือเป็นร้อยๆ เล่มที่กวาดลงลังกระดาษไม่ใช่น้ำหนักที่เบาเลย ถ้าคอนโดมีแต่บันไดคงตายกันไปข้างหนือไม่ก็ปล่อยมันทิ้งไว้แบบนั้น อยากอ่านเมื่อไหร่ค่อยขับรถมาเอา

พอถึงรถก็ทิ้งกล่องลงที่เบาะด้านหลัง ยืนปาดเหงื่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูด้านหน้าแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งรับแอร์ช่ำๆ อีกคนยังคงคุยโทรศัพท์กับน้องชายอยู่ด้านนอก ผมรู้จักเอย์จิในระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงขั้นสนิทมากมาย เขาเป็นคนหน้าตาดี บุคลิกดี มีเสน่ห์แต่น้อยกว่าพี่ยู

ในความทรงจำเมื่อหลายปีก่อน เอย์จิเป็นบุคคลที่ชอบเข้ามาวอแวกันทุกครั้งที่มีโอกาส ทำเหมือนกับว่าสนิทกัน เล่นหัวได้ หยอกล้อได้ พูดเรื่องสัปดนใส่ได้ ผมไม่ถือสาแต่เป็นพี่ยูที่ออกอาการไม่พอใจแล้วจับเราแยกกันทุกทีเมื่อมีความใกล้ชิดมากเกินไป เหตุผลที่แท้จริงยังไม่มีใครรู้แน่ชัดจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นปริศนาที่รอคำตอบ

เสียงเปิดประตูรถอีกฝั่งทำให้สติกลับคืนสู่ปัจจุบัน ผมเหลือบมองคนข้างตัวว่ามีสีหน้าเป็นอย่างไร ถ้ากำลังหงุดหงิดจะได้เงียบ ถ้าปกติก็คงหาเรื่องชวนคุยให้บรรยากาศมันไม่น่าอึดอัดเกินไป สรุปเป็นแบบที่สอง อืม... เริ่มจากตรงไหนดี

“พี่...” ผมเรียกเขาได้แค่นั้นก็โดนขัดขึ้นมาด้วยประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความ

“เดี๋ยวแวะกินข้าวที่ร้าน xxx ก่อนเข้าบ้านเนอะ” เหมือนถามความคิดเห็นแต่สุดท้ายก็มัดมือชก เอาเถอะ จะแวะกินอะไรก็ได้ขอแค่อิ่มท้องเป็นพอ

“ยังไงก็ได้ครับ”

“เลือกบ้างก็ได้ ไม่ต้องตามใจพี่ทุกครั้งหรอก”

“ผมกินง่าย ไม่ต้องกังวลครับ เอาที่พี่ยูชอบเลย” ผมบอกปัดเพราะไม่อยากเถียงอะไรเขาอีก ทำอะไรก็ผิดไปซะหมด พอเลือกก็ว่าอีกอย่างพอไม่เลือกก็ว่าอีกอย่าง สับสนว่ะ

“งั้นกลับไปกินข้าวที่บ้านดีกว่า” พี่ยูบอกด้วยน้ำเสียงสดใสพลางเอื้อมมือไปเปิดเสียงเพลงให้ดังขึ้นมากกว่าเก่า ผมที่โดนปั่นหัวจนตามไม่ทันได้แต่นั่งขมวดคิ้วฉับ ไม่เข้าใจว่าตกลงแล้วจะเอายังไงกันแน่ เวลานี้ก็ปาไปเกือบสามทุ่มคงอยากต้มมาม่ากินล่ะมั้ง

“หืม จะทำกินเองเหรอ?” ก็แค่แกล้งถามให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัดมากเกินไป สุดท้ายก็รู้ดีแก่ใจว่าพี่ยูคงลงมือทำเองนั่นล่ะ ก็เป็นถึงเชฟใหญ่ร้านนัทวึคงไม่ต้มมาม่ากินประทังชีวิตหรอก

“เปล่า”

“แล้วยังไงครับ?” เอาจริงๆ ตอนนี้ผมสงสัยว่าคุยภาษาเดียวกันกับพี่ยูหรือเปล่า ทำไมมีแต่ความงงวนเวียนอยู่ตรงหน้าเต็มไปหมด

“ให้ปัณณ์ทำ พี่ชอบรสชาติอาหารไทยของเรา” พี่ยูเหลือบสายตามองกันพร้อมคลี่ยิ้มบางภายใต้แสงไฟนีออนสลัวๆ ผมสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะจนไอโขลกออกมา เดือดร้อนให้เจ้าของรถต้องส่งผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาให้ ครั้นจะปฏิเสธก็เหมือนเล่นตัว รับๆ มาแล้วแอบเอาไปดมคงดี... ทำไมโรคจิตแบบนี้วะปัณณ์!

“ก็คง... คล้ายๆ กับพี่ป่านล่ะมั้งครับ” ผมพูดพลางกระแอมให้คอโล่ง ไม่ได้มีเจตนาประชดหรือน้อยใจ แต่เพราะการทำอาหารล้วนแล้วแต่เป็นพี่ป่านสอนกันมาทั้งนั้น รสมือคงใกล้เคียงหรือไม่ก็เหมือนอย่างกับฝาแฝด

“ไม่หรอก ป่านก็ส่วนป่าน ปัณณ์ก็ส่วนปัณณ์สิ จะคล้ายกันได้ยังไงหืม?” พี่ยูเอื้อมมือมาขยี้หัวกันพลางส่งเสียงหัวเราะเบาๆ คล้ายกำลังบอกเป็นนัยว่าความคิดผมเหมือนเด็กตัวเล็ก อยากหลีกหนีสัมผัสที่ชวนหวั่นใจแต่สุดท้ายก็ทำได้แค่นั่งก้มหน้าแล้วรู้สึกดีกับความอบอุ่นนั่น ในชีวิตนี้ปัณณ์ไม่เคยแพ้ใครนอกจากคนนี้จริงๆ

“อยากกินอะไรครับ เราแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อนดีไหม?” ผมไม่ตอบตำถามแต่ชี้ชวนให้เขาแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จะถึงในอีกห้าสิบเมตรข้างหน้า พี่ยูผละมืออกไปแล้วครางรับในลำคอก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวตามความต้องการของพ่อครัวใหญ่ในมื้ออาหารค่ำวันนี้

“โอเคครับ พ่อครัวหัวป่า” ถ้าตัดหัวพี่มาต้มยำได้ผมจะทำเป็นอย่างแรกเลย!

ขณะที่เดินอยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตรถเข็นถูกยื้อแย่งไปจากมือของผมด้วยเหตุผลที่ว่าพี่ยูอยากอำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับทำต้มยำกุ้ง ผัดผักรวม และไก่ผัดขิง สามเมนูนี้คงใช้เวลาทำราวๆ หนึ่งชั่วโมง กว่าจะได้กินคงสี่ทุ่มพอดี... ควรเอาเวลาไปนอนฝันหวานไหม แต่เอาเถอะ นานๆ ทีโดนขอให้ทำอาหารก็โชว์ฝีมือสักหน่อยแล้วกัน

“ใส่เห็ดฟางด้วยนะ พี่ชอบ” เสียงทุ้มลอยมากระทบหูในขณะที่ผมก้มๆ เงยๆ หยิบผักอยู่หน้าตู้แช่ขนาดใหญ่

“ใส่เมนูไหนครับ?” ผมถามกลับเพราะทั้งสามเมนูสามารถใส่เห็ดฟางได้หมด มือทั้งสองข้างยังง่วนอยู่กับการเลือกผัก มะเขือเทศ ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ชุดผักรวมสำหรับผัด ขิง กระเทียม อืม... ยังขาดอะไรอีกวะ ไม่ได้ทำอาหารจัดเต็มขนาดนี้มานานแล้ว

“อืม... ทั้งสามเลยครับ อร่อยดี” สาวกเห็ดฟางคลี่ยิ้มกว้างให้ผมที่หันกลับไปวางผักลงในรถเข็น ดูไปก็คล้ายๆ กับริวที่เจอของกินถูกใจ น่ารักดี

“ผมว่าไก่ผัดขิงใส่เห็ดหูหนูดำอร่อยกว่า” ผมเสนอแนะจากประสบการณ์ตรง ช่วงแรกๆ ที่เจอเห็ดหูหนูดำในไก่ผัดขิงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งก็มีหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเหมือนการเพิ่มปริมาณแบบโกงๆ คล้ายผัดกะเพราใส่ถั่วฝักยาวและข้าวโพดอ่อน แต่พอกินไปมันก็อร่อยแถมยังเข้ากันได้ดีอีกด้วย

“I don’t like it.” ชัดถ้อยชัดคำพร้อมสีหน้าขยะแขยงที่แสดงออกมาทำให้ผมหลุดหัวเราะ สรุปว่าพี่ยูไม่ได้ปลิ้มเห็ดทุกชนิดบนโลกใบนี้สินะ เอ้า เห็ดฟางจะเป็นพระเอกของค่ำคืนนี้

“ครับๆ งั้นช่วยผมเลือกเห็ดฟางหน่อยแล้วกัน” ผมพยายามกลั้นหัวเราะแล้วชี้ไปที่กองเห็ดฟาง หยิบถุงพลาสติกเตรียมให้อีกคนในขณะที่ดวงตาคมจับจ้องมาทาวนี้อย่างไม่ลดละ คงอายที่เผลอแสดงอาการเด็กน้อยออกมาให้คนอื่นเห็นล่ะมั้ง

พวกเราขนของลงจากรถใช้เวลาราวๆ ยี่สิบนาที วางกล่องหนังสือไว้มุมห้องนั่งเล่นแล้วเลือกหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมเพื่อทำอาหารก่อนไปอาบน้ำ คืนนี้คงต้องนอนกับพี่ยูอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะไม่มีปัญญาลากสังขารทำงานบ้านตอนเกือบสี่ทุ่ม ร่างกายมันล้าอยากนอนมากกว่า เผลอๆ ข้าวมื้อนี้ก็อาจไม่ตกถึงท้องตัวเอง

พี่ทาวน์ลงมือเตรียมวัตถุดิบให้แทบทุกอย่างเหลือแค่ผมหยิบจับใส่หม้อและกระทะ ปรุงรส รอมันสุกเป็นอันเสร็จพิธี เนื่องจากไม่ได้ทำอาหารนานเลยมีท่าทีเงอะงะเล็กน้อยจนพี่ยูแอบขำเป็นระลอก อย่าให้ถึงทีปัณณ์บ้างนะ จะเอาคืนให้มากกว่านี้สิบเท่าเลย

ผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือก่อนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ โล่งอกที่ใช้เวลาทำอาหารไปแค่สี่สิบห้านาทีไม่นานอย่างที่ประมาณไว้ จัดเตรียมทุกอย่างขึ้นโต๊ะตกแต่งจานให้ดูน่ากินแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้มองผลงานของตัวเองอย่างภูมิใจ หวังว่าคนที่กำลังอาบน้ำอยู่จะชอบนะ

ครืด ~

เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำให้ต้องละสายตาจากอาหารตรงหน้าแล้วเหลือบสายตามองว่าใครโทรมาเอาป่านนี้ ชื่อที่ปรากฎอยู่บนกน้าจอทำให้ลมหายใจติดขัดอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกที่คุ้นเคยแต่ทว่าห่างไกลมันคืออะไรกัน ไม่ชอบเลยว่ะ

ถึงจะรู้สึกแย่แค่ไหนแต่ความสัมพันธ์ของคำว่าเพื่อนก็บังคับให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ ไม่อยากเสียมันไปเพราะเรื่องนี้เลย ผมรักทอยแต่เป็นในรูปแบบอื่น...

“ว่าไง?” ผมกรอกเสียงที่พยายามคุมให้มันฟังดูเป็นปกติทั้งที่กำลังหวั่นใจว่าไอ้ทอยจะโทรมาคุยเรื่องอะไร เพราะตั้งแต่วันนั้นที่เราทะเลาะกันจนถึงวันนี้ยังไม่ได้เคลียร์อะไรเลย

‘มึง... สบายดีไหม?’ คำถามง่ายๆ แต่แฝงไปด้วยความลำบากใจทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว เริ่มต้นแบบนี้จะจบแบบไหนวะ

“ก็ดี”

‘ย้ายไปอยู่กับ... พี่ยูแล้วเหรอ?’ มันเว้นวรรคไปราวครึ่งนาทีแล้วต่อท้ายประโยคด้วยเสียงเบาแทบกระซิบ ถ้าหากผมเปิดเพลงคลอคงไม่ได้ยิน

“รู้ได้ยังไง?” ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วยกขาขึ้นนั่งชันเข่า วางคางลงก่อนใช้มือที่ว่างเขี่ยช้อนบนโต๊ะเล่นเพื่อลดอารมณ์หงุดหงิดที่กำลังปะทุอยู่ภายใน เรื่องย้ายบ้านก็ไม่เคยบอกใครแล้วมันไปรู้มาจากที่ไหน แอบตามเหรอ ว่างถึงขนาดนั้นเชียว

‘กูขอโทษ’ เสียงปลายสายสั่นเครือคล้ายกำลังจะร้องไห้เต็มทน ผมไม่ชินกับสถานการณ์แบบนี้เพราะโดยปกติแล้วไอ้ทอยเป็นคนร่าเริง ชอบแกล้ง ชอบแหย่ ความรักทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้จริงๆ

“กูไม่เข้าใจ” ผมซุกหน้าลงกับเข่าแล้วปล่อยให้ความเบียบไหลผ่านช่วงเวลาที่แสนอึดอัด ความหวังที่ว่าไอ้ทอยจะกลับมาเป็นแบบเดิมในวันนี้พังทลายตั้งแต่ได้ยินคำถามที่สองจากปากมัน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ปัณณ์คงสังเกตแววตาท่าทางของเพื่อนให้มากกว่านี้

‘กูเห็นมึงกับเขาช่วยกันขนของลงมาจากห้อง...’

นี่เล่นตามกันทุกฝีก้าวเลยเหรอ มันลาออกจากงานมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้หรือเปล่าวะ กลัวใจไอ้ทอยจริงๆ บทจะบ้าขึ้นมาคงไม่มีใครเอาอยู่

“มึงไปที่คอนโดเหรอ?” ผมเสี่ยงถามทั้งที่สามารถเดาได้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร บางทีการทำตัวเป็นคนโง่ก็ทำให้สถานการณ์มันเบาบางลง

‘อืม คิดถึงว่ะปัณณ์ ออกมาเจอกันหน่อยได้ไหม?’ มันเบี่ยงประเด็นด้วยการบอกคิดถึงแล้วนัดเจอแบบกะทันหัน ผมเงยหน้าขึ้นจากเข่าแล้วลอบถอนหายใจเมื่อเวลาตอนนี้ไม่สมควรออกไปไหนนอกจากซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม

“ทอย มึงดูนาฬิกาแล้วบอกกูว่าตอนนี้มันกี่โมงแล้ว” ผมแค่อยากย้ำให้ไอ้ทอยได้สติว่าตอนนี้เราควรอยู่กับตัวเองมากกว่าออกไปเจอกันในขณะที่ความรู้สึกยังรุนแรง ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาคงมองหน้ากันไม่ติดอีกแล้ว ปัณณ์ไม่ใช่คนใจร้ายแต่ก็ไม่ใช่คนใจดีเช่นกัน

‘แค่สี่ทุ่ม’ เสียงกระซิบแหบพร่าของมันทำให้ผมใจกระตุก ไอ้ทอยคงกำลังร้องไห้อยู่ที่ไหนสักแห่งในตอนนี้ อาจจะเป็นล็อบบี้คอนโด บ้านตัวเอง ร้านเหล้า หรือแม้กระทั่งที่นี่ อยากปลอบประโลมด้วยคำพูดนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่ถ้าทำแบบนั้นอาจจะปลุกความหวังลึกๆ ขึ้นมาใหม่

แอบรักได้ปัณณ์ไม่ว่าอะไรแต่ต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนสิ จริงไหม?

“ตั้งสี่ทุ่มต่างหาก มันดึกแล้ว มึงควรนอน” ผมพยายามข่มเสียงและอารมณ์ให้เข้าสู่สภาวะปกติก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำมาดื่มดับความร้อนในร่างกาย

‘เมื่อก่อนมึงไม่เคยปฏิเสธคำชวนของกู’ คำตัดพ้อนั้นฟังดูช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ผมเผลอบีบขวดในมือทำให้น้ำพุ่งใส่เสื้อจนเปียกเป็นวงกว้าง ยิ่งพอโดนลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศยิ่งหนาวจับใจ โธ่เว้ย จะทำยังไงกับเรื่องบ้าๆ นี่ดี

“ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน” วางขวดน้ำลงแล้วจัดการลากผ้าเช็ดเท้ามาซับน้ำบนพื้นพลางปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ดอย่างไม่เร่งรีบเพราะพยายามเพ่งสมาธิกับมันให้มากกว่าที่จะเลือกสนใจคนในสาย

‘ทำไมวะ แค่กูรักมึงเกินคำว่าเพื่อนน่ะเหรอ?’ ผมชะงักมือที่ปลดกระดุมแล้วปล่อยให้มันตกลงข้างลำตัวก่อนเอนหลังพิงตู้เย็นโดยไม่กลัวว่าจะถูกไฟดูด อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่มีแรง หัวใจเจ็บแปลบเพราะไม่สามารถคงไว้ซึ่งสถานะเพื่อนระหว่างเรา แต่ในส่วนลึกกลับอิจฉาที่ไอ้ทอยกล้าพูดคำว่ารักออกมาอย่างง่ายได้โดยไม่สนว่าจะโดนเกลียดหรือเปล่า ช่างเป็นคนที่กล้าหาญจริงๆ

“มึงห้ามใจตัวเองได้เมื่อไหร่ค่อยคุยกันดีไหม?”

‘พูดแบบนี้เท่ากับว่ามึงอยากตัดกูออกจากชีวิตใช่ไหม!?’ มันตะโกนลั่นจนผมต้องผละโทรศัพท์ออกไปไกลๆ ตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะคุยกันต่อจริงๆ ในเมื่ออารมณ์ของทอยมีแค่อยากให้ทุกอย่างเป็นดั่งใจนึก ไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรสักอย่างทั้งที่ก็พูดชัดเจนทุกครั้งว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้ จะให้หลับหูหลับตายอมรับความรู้สึกแบบนั้นคงยาก

“ไม่เคยพูดแบบนั้นสักคำ ถ้ามึงไม่พยายามเปลี่ยนสถานะกับกูมันคงดี” ความสัมพันธ์ของเราคงสวยงามเหมือนดังเดิมที่เคยเป็นมา ตอนนี้แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากเจอ คนเรามักคิดว่าแค่เพื่อนแอบรักมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ทำตัวปกติไปเดี๋ยวสักวันสถานการณ์ก็ดีขึ้นเอง แต่ถ้าได้มาเจอเรื่องจริงแล้ว สุดท้ายก็มีแต่ความอึดอัด วางตัวไม่ถูก หวาดระแวง กังวล ที่สำคัญคืออาจเผลอทำอะไรบางอย่างที่เป็นการให้ความหวังโดยไม่รู้ตัว มีแต่แย่กับแย่

‘กูแค่อยากได้โอกาส ลืมพี่ยูแล้วเริ่มต้นใหม่กับกูเถอะ’ คำขอร้องแบบเดิมครั้งแล้วครั้งเล่านั้นทำให้ทุกอย่างที่สร้างมาเพื่อปกป้องคำว่าเพื่อนกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมไม่เคยคิดว่าต้องมานั่งแก้ปัญหาชีวิตเพื่อนแอบรักเพื่อนกับตัวเอง เมื่อก่อนเคยมีคนมาปรึกษาบ่อยๆ ทำนองเดียวกัน ก็ได้แต่แนะนำให้เขาทำตัวปกติเหมือนที่เคยเป็น แล้ววันนี้เป็นไงล่ะ ทฤษฎีกับปฏิบัติน่ะแตกต่างคนละอย่างเลย ยอมรับว่าหาทางออกยากกว่าเรื่องพี่ยูสิบเท่า

“กูทำไม่ได้ทอย มึงอย่าพยายามเลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วซุกหน้าลงกับหัวเข่าที่ตั้งชันขึ้น ปล่อยให้ความรู้สึกย่ำแย่กัดกินหัวใจเงียบๆ ตอนนี้ไม่มีสิ่งเยียวยาที่ดีพอให้เข้มแข็ง น้ำตามากมายไหลลงข้างแก้มโดยไร้ซึ่งการสะอื้น หัวสมองขาวโพลน ถ้าหากความจำเสื่อมขึ้นมาตอนนี้คงดีจะได้ลืมว่าใครรักเราและเรารักใครมากแค่ไหน

‘ปัณณ์แม่ง... ใจร้ายว่ะ อึก’ ไอ้ทอยร้องไห้แล้ว ผมเป็นเพื่อนที่แย่มากใช่ไหม ทำร้ายจิตใจคนอื่นได้ขนาดนี้ แต่เอาเถอะ ถ้าเลือกจะเลวก็ต้องเลวให้สุดสินะ

ผมเงยหน้าขึ้นแล้วใช้หลังมือปาดน้ำตาล ลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตัดบทสนทนาด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เด็กอนุบาลก็คงเดาเจตนาหลักของการกระทำนี่ได้เป็นอย่างดี

“กูวางแล้วนะ จะกินข้าว” ทุกอย่างจบลงด้วยการที่ผมกดปุ่มปิดเครื่องแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ยืนมองมันนิ่งๆ คิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้พูดคุยกับไอ้ทอยไปเมื่อครู่ หนีไปนอนเลยดีไหม เชื่อเถอะว่าพี่ยูมาเห็นสภาพนี้คงโดยซักจนขาวแน่นอน

ในขณะที่กำลังจะผละออกจากห้องครัวเพื่อไปหยิบเสื้อตัวใหม่มาใส่ก็เจอเข้ากับพี่ยูที่โผล่ออกจากห้องนอนด้วยสภาพผ้าขนหนูคลุมอยู่บนหัวใส่ชุดลายหมีพูห์ซึ่งพอจะเดาได้ว่าซื้อตามใจใคร ดูตลกจนอยากขำดังๆ แต่จิตใจตอนนี้แม้แต่การคลี่ยิ้มยังยากลำบาก

“คุยกับใครเหรอ? คิ้วขมวดเชียว” พี่ยูถามพลางขยับผ้าขนหนูเพื่อเช็ดเส้นผมที่เปียกลู่ ใบหน้าหล่อยังมีหยดน้ำเกาะพราวจนอดคิดไม่ได้ว่าเขาได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ชัดเจนแค่ไหนถึงได้รีบวิ่งออกมาดูกันขนาดนี้

“ทอยครับ...” ผมตอบก่อนจะก้มหน้าลงเพื่อซ่อนตาที่บวมแดงไว้ มือทั้งสองรวบชายเสื้อเข้าหากันเมื่อรู้สึกหนาวเกินต้านทาน

“ดีกันแล้วเหรอ?” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนเห็นปลายเท้าอยู่ในสายตา มือหนาเอื้อมลงมาแตะบนศีรษะก่อนที่จะขยับเบาๆ เพื่อลูบ ความอ่อนโยนของเขาทำให้ทำนบน้ำตาพังลงอีกครั้ง เหนื่อยเหลือเกิน อยากมีที่พักพิงหัวใจ

“ปะ เปล่าครับ” เสียงสั่นจนยากจะควบคุมทำให้พี่ยูรู้ว่าผมกำลังปิดบังอะไร เขายื่นมือใกล้เข้ามาจนใช้มันเชยคางกัน ตาสบตาแต่ทุกอย่างกลับพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตามากมาย

“ปัณณ์อย่าร้องไห้” เขาดูตกใจมากที่เห็นผมร้องไห้อีกครั้งในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน อ้อมแขนอุ่นๆ โอบกอดกันไว้อย่างแผ่วเบา มือหนาบรรจงลูบหัวเพื่อปลอบประโลมความรู้สึกภายในใจ ถึงแม้จะรู้สึกดีแต่ก็ไม่สุดเพราะไม่ว่ายังไงเรื่องราวระหว่างปัณณ์กับพี่ยูก็คงคล้ายไอ้ทอย ผลลัพธ์คงไม่ต่างกันมากนัก

“ฮึก ผมไม่อยากเสียเพื่อนไป แต่จะให้รักมันก็ทำไม่ได้” ผมสะอื้นพร้อมทั้งไอโขลกเมื่อหายใจเข้าออกไม่ทัน อ้อมแขนแกร่งกระชับเพิ่มความอบอุ่น อยากยึดทุกสิ่งทุกอย่างของพี่ยูให้เป็นของปัณณ์คนเดียวได้ไหม

“ไม่เป็นไรนะครับ พี่เชื่อว่าสักวันทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง” มันไม่ใช่คำปลอบที่สวยหรูแถมยังดูธรรมดาไปด้วยซ้ำแต่ก็ช่วยให้ผมคลี่ยิ้มทั้งที่ซุกหน้ากับอกแกร่งอยู่ จะเชื่อตามที่เขาบอก สักวันไอ้ทอยคงเข้าใจเรื่องทั้งหมดเอง

ผมผละตัวออกจากอ้อมกอดที่เคยโหยหามานาน ใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนพยักหน้ารับคำของพี่ยู คลี่ยิ้มบางส่งให้ สรุปว่าเสื้อคงไม่ต้องเปลี่ยนแล้วล่ะมั้ง แห้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“อือ ขอโทษนะ ทำเสื้อพี่ยูเปื้อนน้ำตา”

“ช่างมันเถอะ กินข้าวดีกว่าเนอะ ห๊อม หอม” พี่ยูบอกเสียงใสแล้วก้มหน้าสูดกลิ่นอาหารเข้าเต็มปอด รอยยิ้มกว้างที่ส่งให้ผมนั้นดูดีไร้ที่ติจนหัวใจเริ่มเต้นแรงอีกครั้งทั้งๆ ที่ยังรู้สึกหน่วงกับเรื่องราวเมื่อครู่

ในช่วงเวลาหนึ่ง คนเราสามารถมีอารมณ์ได้กี่รูปแบบกันนะ สุขและเศร้าในเวลาเดียวกันต้องแสดงสีหน้ายังไงวะ เกิดเป็นปัณณ์ไม่ง่ายเลยจริงๆ

การนอนร่วมเตียงกับพี่ยูในครั้งที่สองแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิงเพราะไม่มีเจ้าตัวแสบอยู่ด้วย ฟูกกว้างขึ้นแต่กลับรู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะข่มตาหลับได้ อยากพลิกตัวหันหน้าหนีก็เกรงใจกลัวมันสะเทือน

ผมพยายามข่มตานอนอีกครั้งแล้วปล่อยสมองให้ว่าง หลับตา หายใจเข้าลึกๆ กระชับผ้าห่มจนถึงคอและเริ่มนับแกะไปเรื่อยจนรู้สึกเคลิ้มจะหลับ แต่ต้องสะดุ้งเฮือก อยู่ๆ แขนแกร่งของอีกคนก็พาดทับหน้าท้องกัน ตามมาด้วยเสียงหายใจที่รดอยู่ข้างใบหู ไม่กล้าขยับออกเพราะพี่ยูเป็นคนตื่นง่าย

ความลำบากใจยังคงดำเนินต่อไปแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆ แล้วก็รู้สึกดีกับการถูกสวมกอดจากคนที่แอบรัก ผมลองขยับตัวแล้วลอบมองปฏิกิริยาว่าเขาจะตื่นหรือเปล่า หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าทุกอย่างผ่านไปด้วยดีการพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาผ่านความมืดจึงเกิดขึ้น มือเรียวเอื้อมไปแตะสันจมูกอย่างแผ่วเบาก่อนค่อยๆ ไล้ลงมาเป็นเส้นตรงลากผ่านริมฝีปากแห้งผาดเพราะโดนลมจากเครื่องปรับอากาศ อยากบรรจงจูบสักครั้งให้ตราตรึงในหัวใจ

ผมหลุดยิ้มกับความคิดบ้าๆ ของตัวเองก่อนผละมือออกจากใบหน้าหล่อ นึกขอโทษพี่ป่านอยู่ในใจที่ไม่สามารถถอยห่างจากพี่ยูได้เลย แค่ได้อยู่ใกล้ ได้สัมผัส ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ก็ลืมเลือน อาจจะเพราะอารมณ์บวกกับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศที่ต่ำกว่าปกติทำให้ต้องขยับเข้าหาไออุ่น ซุกใบหน้าลงกับอกแกร่งอย่างแผ่วเบา ตอนนี้มีความสุขเหลือเกิน ถ้าสามารถหยุดเวลาได้คงดี

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงแล้วยังข่มตาหลับไม่ได้เพราะกลัวว่าตื่นมาแล้วทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงความฝัน ผมผละตัวออกเล็กน้อยเพื่อใช้สายตามองใบหน้าของเขาอีกครั้ง ยามนอนเขาเหมือนริวไม่มีผิด ดูน่ารักไร้พิษสงจนเผลอยืดตัวขึ้นประกบปากลงไปที่ตำแหน่งเดียวกันอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล หัวใจเต้นแรงแทบหลุดออกมาจากอก ถ้าพี่ยูรู้ตัวปัณณ์ต้องตายแน่ๆ

ผมค่อยๆ ขยับลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วหลับหูหลับตาวิ่งเข้าห้องน้ำไปสงบสติอารมณ์ บานกระจกตรงอ่างล้างหน้าฉายภาพผู้ชายใบหน้าคุ้นเคยที่ตอนนี้มีสีแดงระเรื่อประดับไปทั่วลามจนถึงใบหู มือเรียวยกขึ้นแตะตรงริมฝีปากก่อนที่รอยยิ้มบางจะปรากฎขึ้น ปัณณ์คนเก่งกลายเป็นโจรขโมยจูบไปซะแล้ว

ถ้าคืนนี้ต้องนอนในห้องน้ำก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง




------------------------------------------------

ตอนนี้น้องปัณณ์ของเราช่างมีหลายอารมณ์เหลือเกิน
แต่เด็ดสุดคงเป็นความกล้าหาญแอบจูบพี่ยูกินี่ล่ะ !

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจ
ช่วยติชมหน่อยกันหน่อยน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 6 : ชุดเบนโตะ P.1 -12/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-04-2018 16:27:37
นึกว่าเรื่องจะนุ่มๆอบอวลไปด้วยความรักที่ไหนได้สีเทาคลุมเรื่องเลยค่ะ หนักใจแทน
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 6 : ชุดเบนโตะ P.1 -12/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-04-2018 17:54:47
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 6 : ชุดเบนโตะ P.1 -12/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-04-2018 23:25:36
ปัณณ์สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 7 : ข้าวปั้น P.1 -15/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-04-2018 20:15:19
จานที่ 7 : ข้าวปั้น




ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการเดินงัวเงียออกจากห้องนอนไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือนที่กดออดรัวจนน่ารำคาญ เซซ้ายชนตู้โชว์เซขวาชนโซฟาเพราะยังตื่นไม่เต็มตาเพิ่งได้นอนไปเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว แต่น่าแปลกที่คนตื่นง่ายอย่างพี่ยูไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน

ประตูถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาหรี่เล็กลงเพราะต้องกับแสงแดด นิ้วเรียวบรรจงกดปุ่มบนรีโมทเพื่อให้รั้วไฟฟ้าเคลื่อนที่ ผมยกมือขึ้นปิดปากแล้วหาวหวอดออกมา พยายามเพ่งสายตามองรถหรูที่ขับเข้ามาจอดด้านใน

ผ่านไปครู่หนึ่งขายาวก็ก้าวลงจากรถ เขาเป็นผู้ชายผิวขาวอมชมพูตัวสูงพอๆ กับผม ใส่แว่นตากันแดดสีดำสนิท ในมือถือปืนฉีดน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถทำให้เปียกไปทั้งตัวในเวลาอันสั้น สมองที่ยังเบลอเริ่มประมวลผลอะไรบางอย่าง พอรู้อีกทีเสื้อผ้าก็ชุ่มช่ำจนอยากวิ่งกลับไปเอาสบู่มาถูตัว นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!

“ไอ้สัด!” ผมด่าอีกคนอย่างเหลืออดแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำออกจากใบหน้า เล่นน้ำอย่างกับวันสงกรานต์ มึงบ้าไปแล้วหรือไง!

“โอ๊ะ โกเมนนะไซ” สำเนียงญี่ปุ่นจ๋าที่ฟังดูคุ้นเคยหลุดจากปากคนตรงหน้า ผมชะงักกึกแล้วรีบลืมตามอง ต่างคนต่างออกอาการตกใจปนดีใจเมื่อรู้ว่าฝั่งตรงข้ามคือใคร

“เอย์จิ!” ผมตะโกนเรียกชื่อของคนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปีทั้งที่สนิทกันมาก แต่ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับพี่ยูเลยต้องตีตัวออกห่างตลอดเวลา ทำเป็นไม่รับรู้ ไม่ติดต่อเพราะกลัวตัดใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ช่างมันเถอะ อะไรจะเกิดก็ปล่อยมันไป ปัณณ์ยินดีพร้อมรับผลทุกอย่าง

“ปัณณ์ ปัณณ์ ปัณณ์ โคตรคิดถึงเลย!” เอย์จิพุ่งเข้ามารวบกอดผมเอาไว้ทั้งตัวแล้วหมุนไปรอบๆ จนเกิดเสียงหัวเราะดังประสานกันลั่นบ้าน ลืมสนิทว่ายังมีคนที่นอนหลับสบายอยู่บนเตียง เชื่อว่าอีกไม่นานพี่ยูคงตื่นมาด่าแน่ๆ แต่ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้มีเพื่อนร่วมทำผิดแล้ว

“พอ พอแล้ว เราเหนื่อย” ผมตีไหล่เอย์จิพลางประท้วงเสียงสั่นเนื่องจากยังหยุดหัวเราะไม่ได้ เขากอดแน่นจนเราแทบรวมร่างกันได้อยู่แล้ว อีกอย่างคือกลัวกลิ่นปากตัวเอง ยังไม่ได้แปรงฟันอย่าเข้ามาใกล้กันนักสิวะ

“โอเคๆ เราปล่อยปัณณ์ก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” เอย์จิหยุดหมุนตัวแต่ยังไม่ยอมคลายอ้อมกอด สายตาที่มองมานั้นทั้งเจ้าเล่ห์และกรุ้มกริ่มจนน่าหวั่นใจ เคยได้ยินมาว่าเขาเคยแอบปลื้มผมมาก่อน อาจจะมีความหมายประมาณพูดคุยถูกคอล่ะมั้ง ถ้าอยากได้เป็นแฟนคงจีบไปนานแล้ว ก็เล่นเป็นคนตรงๆ โผงผางขนาดนี้

“เจ้าเล่ห์ว่ะ” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้า พยายามผละตัวออกห่างมากกว่านี้แต่ดันสู้แรงของเอย์จิไม่ได้จนรู้สึกเกลียดคนที่เล่นกีฬาเป็นประจำเหลือเกิน จะแข็งแรงไปถึงไหนวะ

“นานๆ เจอกันที ยอมเราหน่อยเถอะ” เสียงทุ้มติดอ้อนดังขึ้นพร้อมกับแสดงใบหน้าหมาน้อยอ้อนเจ้าของให้เห็น ผมเบนสายตาหลบพลางถอนหายใจเฮือก ไม่ใช่เพราะเขินแต่เหนื่อยใจมากกว่า คนบ้านนี้ติดนิสัยชอบบังคับชาวบ้านหรือไง

“เออๆ ข้อแลกเปลี่ยนอะไร?”

“ให้เราหอมแก้มหรือว่าปัณณ์จะหอมแก้มเราก็ได้นะ” เอย์จิคลี่ยิ้มกว้างคล้ายกำลังชวนคุยเรื่องปกติที่คนอื่นๆ ก็ทำกัน ผมเบิกตากว้างก่อนจะโวยวายเสียงรอดไรฟัน

“เฮ้ย ผู้ชายที่ไหนเขาหอมแก้มกันวะเอย์จิ?” ผมถามกลับแล้วพยายามผละตัวออกจากอ้อมกอดแข็งแรงแต่กลับต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูแทรกเข้ามา พี่ยูที่ยืนขยี่หัวอยู่ตรงนั้นมองพวกเราด้วยใบหน้าบึ้งตึง โดนด่าแน่ๆ ที่บังอาจทำลายเช้าวันหยุดของเขาพังป่นปี้

“เสียงดังอะไรกัน คนจะหลับจะนอน” มาแล้วครับดอกที่หนึ่ง แต่แทนที่เอย์จิจะตกใจแล้วปล่อยผมให้เป็นอิสระ อ้อมกอดนั่นกลับรัดแน่นขึ้นจนช่วงหน้าอกแนบชิดกันอีกครั้ง ดีหน่อยที่สามารถเบนหน้าหลบได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงเกิดการจูบขึ้นแน่นอน บ้าเอ๊ย พี่ยูเข้าใจผิดหรือเปล่าวะ ปัณณไม่ได้พิศวาสมันสักนิด

“เฮ้ พี่ชาย ผมกำลังทำข้อแลกเปลี่ยนกับปัณณ์อยู่ล่ะ” จะไปบอกเขาทำไมวะเนี่ย โอย ผมอยากกระทืบเท้าเอย์จิแรงๆ สักที คิดว่ายืนกอดกันกลมแบบนี้มันปกตินักหรือไง ไม่สังเกตเลยเหรอว่าพี่ยูกำลังหงุดหงิด ถึงจะตื่นง่ายแค่ไหนแต่เวลาตั้งใจว่าจะนอนแล้วโดนปลุกมันโคตรแย่ ปัณณ์เข้าใจดี

“จำเป็นต้องเสียงดังโวยวายด้วยหรือไง แล้วนั่นจะกอดกันอีกนานไหม?” โดนดอกที่สองเข้าไปเต็มๆ เอย์จิก็ยังคงกอดกระชับไว้แน่นแถมยังมากกว่าเดิม แต่ผมดันเผลอใจเต้นแรงเพราะหวังลึกๆ ว่าพี่ยูคงออกอาการหวงกัน แต่พอลองคิดทบทวนแล้วนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ ถึงแม้ปัณณ์จะไปขึ้นเตียงกับใครก็คงไม่สนใจ

“ทำไมอะ หวงผมเหรอ?” คำถามของเอย์จินั่นช่างเรียบง่ายแต่มันสะเทือนจิตใจของผม อยากยกมือขึ้นมาอุดหู กลัวคำตอบที่กำลังจะหลุดออกจากปากของเขา ถ้าหวงน้องชายแท้ๆ ก็แสดงว่าปัณณ์น่ารังเกียจสินะ

“คนอย่างแกมีอะไรให้หวง” พี่ยูอ้าปากหาวหวอดก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้พวกเรา มือหนาวางแปะลงบนศีรษะของเอย์จิจากด้านหลังแล้วออกแรงขยี้อย่างแรง ที่ผมเห็นทุกอย่างเพราะกำลังหันหน้าไปทางเขา เผลอสบตากันก่อนจะได้รับรอยยิ้มละมุนแต่ดวงตากลับว่างเปล่าไร่ความรู้สึก ผู้ชายคนนี้อ่านยากจริงๆ

“งั้นก็หวงปัณณ์สินะ?” เอย์จิยังคงดิ้นรนหาคำถามมางัดข้อกับพี่ชายบังเกิดเกล้า เขาดูสนุกแต่ผมอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายมากกว่า เชี่ยนี่เคยคิดถึงใจคนอื่นบ้างหรือเปล่า ไอ้นิสัยพูดตรงๆ โผงผางเก็บใส่กล่องไว้ก่อนได้ไหม

ผมได้แต่ก้มหน้าซบกับไหล่ของเอย์จิเพราะไม่กล้าสบตากับพี่ยูที่จ้องเขม็งมาทางนี้ เขาคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ ทำไมเวลาถามถึงปัณณ์ต้องใช้เวลาคิดนานมากกว่าปกติ คำถามก็อันเดียวกันนี่ จะไม่ให้คิดเข้าข้างตัวเองได้ยังไงกัน การกระทำเหมือนให้ความหวัง... เจ็บว่ะ

ตกลงเรื่องนี้ใครโง่กันแน่ ผมหรือยูกิ

“ก็... เปล่า” พี่ยูผละออกไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแล้วทอดสายตามองผ่านพวกเราออกไปด้านนอก ข้างประตูใหญ่เป็นบานกระจกใสเพื่อชมสวนบริเวณรอบบ้าน ทำไมต้องทำให้ผมหวั่นไหวอยู่เรื่อยครับ ให้คำตอบกันได้ไหม ไอ้ความไม่แน่ใจที่อยู่ในดวงตาเมื่อครู่คืออะไร

“อ้อ ผมปล่อยปัณณ์ตอนนี้ไม่ได้หรอก” คนดื้อแห่งปียืนยันคำเดิมแต่ผ่อนแรงที่รวบกอดกันให้เบาบางลง ผมขยับตัวเพื่อความสบายตัวใบหน้ายังคงซุกซบอยู่บนไหล่กว้าง ก็ง่วง ก็เพลีย แค่หาที่วางคางเท่านั้นเอง ไม่ได้ติดใจกลิ่นน้ำหอมแนวสปอร์ตแต่อย่างใด ยังไงๆ พีชก็ดีที่สุดสำหรับปัณณ์

“ทำไม?” พี่ยูเริ่มขมวดคิ้วแสดงสีหน้าไม่พอใจมากยิ่งขึ้นเพราะเอย์จิกำลังทำตัวเป็นเด็กดื้อ ผมต้องจบเรื่องนี้โดยเร็ว ไม่อย่างนั้นต้องเกิดศึกกลางบ้านแน่ๆ

“เอ่อ... เอย์จิปล่อยเราเหอะ” ผมกระซิบบอกแต่เอย์จิกลับส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแถมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นจนอากาศไม่สาราถแทรกผ่านระหว่างเราได้ จะยินดีกว่านี้ถ้าอีกคนคือพี่ยู โอย กูไม่ได้พิศวาสผู้ชายทุกคนบนโลกนี้ ถึงหล่อแค่ไหนไม่ถูกใจก็ไม่เอาหรอก

“เฉยๆ น่า ก็ข้อแลกเปลี่ยนของผมคือจะยอมปล่อยก็ต่อเมื่อผมได้หอมแก้มปัณณ์หรือปัณณ์ยอมหอมแก้มผมเท่านั้น” เอย์จิเอ่ยปรามก่อนจะหมุนตัวไปคุยกับพี่ชายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขายอมคลายอ้อมกอดหลวมๆ แต่ใช้ปลายนิ้วเชยคางกัน เชื่อไหมว่าผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวเพราะมันเหมือนเป็นแฟนกันกำลังสวีท คราวนี้ออกแรงผลักแต่โดนสายตาดุห้ามไว้ นี่ตกลงมันอยากหอมแก้มหรือแกล้งกวนตีนพี่ชายกันแน่ คนบ้านนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใครก็ตามไม่ทันจริงๆ

“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” ดอกที่สามก็มาพร้อมกับปฏิกิริยาส่ายหัวแบบปลงๆ ไอ้ผมที่โดนกอดก็ขี้เกียจจะขัดขืนแล้ว ช่างแม่งเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไป

“ผมจริงจังนะพี่ชาย ปัณณ์ตัวหอมจะตาย ถ้าไม่เกรงใจอยากขอฟัดมากกว่า”

“.....” ผมถึงกับพูดไม่ออกได้แต่ยืนหน้าซีด รู้สึกถึงรังสีอะไรบางอย่างจากตัวเอย์จิ อย่าบอกนะว่ามึงคิดอกุศลกับกูมานานแล้วไม่ใช่การกอดเพราะคิดถึงแบบเพื่อน ยันให้ติดผนังเลยดีไหม สัด

“เอย์จิ ปล่อยปัณณ์ซะ” พี่ยูลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวเข้ามาหาเราที่ยังยืนคาประตูบ้านไม่ขยับไปไหน ผมเห็นความไม่พอใจในดวงตาของเขาแต่ไม่สามารถตีความได้ว่าเหตุผลเพราะอะไร หวง รำคาญ ง่วง หรือกลัวยุงเข้าบ้าน...

“ไม่ปล่อยครับ พี่อย่าทำตัวเป็นหมาหวงก้างสิ” ห๊ะ... ผมนี่ไปไม่เป็นเลยครับได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่กมองพี่ยูด้วยสายตาขอโทษ เอย์จิกำลังพาทุกคนออกกลางทะเลแล้วนะเว้ย เขาจะมาหวงก้างใครล่ะวะ มึงบ้าปะเนี่ย อาการหนักกว่าไอ้ทอยเยอะ

“พูดเรื่องบ้าอะไร?” เสียงดุๆ ทำให้ผมใช้แรงทั้งหมดสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของเอย์จิช่วงที่เจ้าตัวเผลอออกมายืนหอบหายใจอยู่อีกมุมหนึ่ง กว่าจะเป็นอิสระคือเหงื่อท่วม แรงควายชะมัด แล้วคราวนี้ถ้าเขาตีกันกูควรห้ามทัพยังไง

“ผมชอบปัณณ์ ชอบมานานแล้วด้วย” เอย์จิพูดด้วยสีหน้าจริงจังก่อนเหลือบสายตามองผมที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก บอกพี่ยูไปแบบนั้นเพื่ออะไรวะ คาดหวังปฏิกิริยาแบบไหนอยู่ มันเกี่ยวกับคำว่าหวงก้างตรงไหน ทำไมกูงง

“แก... อยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย พี่ไปอาบน้ำล่ะ” แล้วทำไมพี่ยูถึงไม่ว่าอะไรสักคำแถมยังเดินหนีเข้าห้องนอนอย่างหน้าตาเฉยปล่อยทิ้งไว้ให้ผมกับเอย์จิมองตากันปริบๆ ตอนนี้สมองเบลอจนคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง สองสามวันมานี้มีแต่เรื่อง พอถึงวันหยุดก็ยังมีคนมาตามราวีชีวิตอันสงบสุข รู้แบบนี้ใจแข็งดื้อด้านอยู่คอนโดต่อคงดีกว่า

“ปัณณ์...” เอย์จิขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้าข้อมือของผมไปจับพลางคลี่ยิ้มบางเหมือนพระเอกกำลังจะสารภาพรักกับนางเอก สายตาหวานซึ่งที่มองมาทำให้ขนอ่อนในกายลุกชันอีกครั้ง ไม่ได้ๆ ต้องหาทางออกจากสถานการณ์นี้ ความรู้สึกในส่วนลึกกำลังร้องเตือนว่ามีอะไรบางอย่างผิดพลาด

“ปล่อยเถอะ เรายังไม่ได้แปรงฟัน” ผมแกะมือเรียวออกแล้วใช้เหตุผลโคตรเด็กเพื่อจะหนี อันที่จริงก็มั่นใจวากลิ่นปากตัวเองไม่ได้แย่เพราะเพิ่งบ้าจี้แปรงฟันไปเมื่อก่อนนั่งหลับในห้องน้ำ ก็มันฟุ่งซ่านเรื่องที่ขโมยจูบพี่ยูจนทำอะไรไม่ถูก

“โกรธหรือเปล่าเนี่ย เสียงแข็งอะ” เอย์จิทำหน้าหงอยในขณะที่ผมขมวดคิ้ว ตอนนี้สนใจพี่ยูมากกว่าว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เปล่า” ผมตอบปัดโบกมือประกอบเพื่อให้เอย์จิครายความกังวล ไม่มีเรื่องอะไรต้องโกรธกันนี่ ก็แค่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ทำให้พี่ยูเห็นภาพกำลังกอดกัน ลึกๆ ก็หวังให้เขาออกอาการหวง แต่... อย่างที่เห็น ห่วงนอนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

“ที่เราบอกว่าชอบอะ... เราชอบปัณณ์จริงๆ นะ ไม่ได้โกหก”

“เรารู้แล้ว ไม่ต้องบอก”

“เราอยากจีบปัณณ์” ห๊ะ เดี๋ยวๆ แค่ปลื้มทำไมต้องอยากจีบ นี่สรุปว่าผมแปลความหมายผิดอย่างนั้นเหรอ

“อะไรนะ?” ผมถามย้ำเผื่อเอย์จิจะใช้ภาษาไทยผิด

“เฮ้ย ไม่ใช่สิ ภาษาไทยใช้คำว่าอะไรนะ เอ่อ... อ๋อ เราเคยอยากจีบปัณณ์!” หืม... กูว่าชัดแล้วล่ะ ไม่ได้ใช้ผิดแต่ตกคำ ไม่เห็นจะรู้สึกต่างกันตรงไหน มีแต่อึ้งกับอึ้ง!

“เคยเหรอ?”

“ใช่ แต่ตอนนี้ไม่คิดแล้วล่ะ พอดีว่าศัตรูหัวใจเทพเกิน รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้แน่ๆ” เอย์จิหนีไปทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยท่าทางสบายๆแถมมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า บรรยากาศตอนถูกสารภาพจากเขากับไอ้ทอยช่างต่างกันลิบลับ หรือเพราะคนที่อยู่ด้วยตอนนี้ไม่ได้ใช้ชีวิตประจำวันด้วยกันบ่อยๆ เลยรู้สึกว่ามันไม่อึดอัด แต่เรื่องที่ต้องโฟกัสมันคือศัตรูหัวใจต่างหาก หมายความว่ายังไง

“ใคร?” ไม่ใช่ไอ้ทอยแน่ๆ เพราะเอย์จิไม่รู้จัก ผมขมวดคิ้วพลางคิดแล้วคิดอีก ส่วนคนที่สร้างเรื่องก็นั่งยิ้มกริ่มเหมือนรอเวลาพูด มึงจะทิ้งระยะไปเป็นนาทีแบบนี้ไม่ได้นะ

“ก็คนที่ด่าพวกเราเมื่อกี้ไง” อยู่ๆ ไอ้คนที่เงียบไปนานก็เอ่ยปากก่อนจะหัวเราะคิกคักตบท้ายราวกับเป็นเรื่องตลก แต่คนฟังอย่างผมทำได้แค่นิ่งอึ้งมองอีกคนด้วยความหวั่นใจ เอย์จิรู้มานานแค่ไหน รู้ได้ยังไง ทำไมถึงรู้ทั้งที่ไม่เคยบอก

“เอย์จิ... นายรู้?” ผมยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อบรรเทาความตื่นกลัวในหัวใจ เอย์จิลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจไม่ยอมตอบคำถามในทันที เขายิ้มก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางห้องนอนที่คนถูกกล่าวถึงอาบน้ำอยู่

“แน่นอน ก็ปัณณ์ชอบแอบมองเขาเวลาเผลอตลอดนี่นา เราช่างสังเกตนะ” เอย์จิดูจะภูมิใจกับนิสัยของตัวเองเป็นอย่างมาก แต่นั่นคือความพินาศของผม เขาบอกพี่ยูไปหรือยังว่าน้องเมียคิดไม่ซื่อกับตัวเอง แม่ง เครียดกว่าเรื่องไอ้ทอยไม่ยอมเข้าใจกันอีก ควรจัดการยังไงดี

“แล้วพี่ยูเขา...” รู้เรื่องนี้หรือเปล่า

“โนๆ รายนั้นโง่จะตาย” เอย์จิปัดมือปฏิเสธพลางพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ยาขาวๆ ก้าวเข้ามาประชิดตัวก่อนจะวางแขนเรียวลงบนไหล่ กระชับให้แน่นเหมือนพยายามปลอบว่าสบายใจได้ แต่ผมกลัว...

“อย่าบอกเขาได้ไหม?” ผมถามเสียงสั่นเพราะว่าคนอย่างเอย์จิไม่ใช่พวกขี้ขลาดตาขาว ถ้าเกิดเขาอยากบอกเรื่องนี้กับพี่ยูย่อมทำได้โดยไม่แคร์ใครอยู่แล้ว

“เราไม่บอกหรอก การแอบรักไม่ใช่เรื่องตลกเลย” แต่สิ่งที่ตอบกลับมาจากเขามันเกิดคาด สายตาของเอย์จิมรแต่ความสงสารเต็มไปหมด ผมคลี่ยิ้มบางพยักหน้ารับก่อนจะเปลี่ยนเป็นสวมกอดอย่างเต็มใจ

“อื้อ ขอบคุณ”

“ปัณณ์ไปล้างหน้าแปรงฟันเถอะ เราเริ่มเหม็นกลิ่นปากแล้วอะ” เอย์จิผละตัวออกแล้วแสร้งยกมือขึ้นปิดจมูก ทำหน้ายี้ใส่เหมือนเหม็นกลิ่นปากกันจริงๆ จนผมได้แต่แยกเขี้ยว ทำร้ายก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนเอาคืนจะแย่

“อยากโดนกระทืบใช่ไหม?” แต่ขอขู่ไว้ก่อนเถอะ เผื่อเอย์จิลืมตัวแซวประเด็นอื่นจะได้ยั้งคิดทันว่าผมอาจกระทืบเขาจริงๆ

“กลัวแล้วจ้า ~” ท่าทางกลัวแบบทะเล้นๆ แล้ววิ่งหนีเข้าไปในครัวคืออะไรวะ ตามไปกระทืบจริงดีไหม แม่งเอ๊ย หลังจากนี้คงต้องออกกำลังกายบ้างแล้ว เผื่อโดนแกล้งจะได้เอาคืนหนักๆ หึ

ผมจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำจนเรียบร้อยหยิบเสื้อผ้าสบายๆ อย่างเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงขาสั้นลายต้นมะพร้าวมาใส่เพราะอุณหภูมิวันนี้คาดว่าคงเกือบสามสิบหกองศา ร้อนตับแตกแน่ๆ

ห้องนั่งเล่นในตอนนี้ว่างเปล่าเพราะสองหนุ่มพี่น้องย้ายก้นเข้าไปอยู่ในครัว เดาว่าพี่ยูคงกำลังลงมือทำอาหารส่วนเอย์จิคงช่วยวุ่นวายเพราะเป็นแค่คนชิม รายนั้นทอดไข่ดาวยังไหม้เลย ใครได้เป็นแฟนคงลำบาก

“แกมาทำไมตั้งแต่เช้า?” เสียงทุ้มดังขึ้นในขณะที่ผมก้าวขาเข้าสู่บริเวณห้องครัว เอย์จิที่กำลังยกแก้วนมขึ้นดื่มถึงกับชะงัก

“ไปเล่นสงกรานต์กัน” อะไรนะ

“เดี๋ยว... วันนี้เหรอ?” ผมหลุดถามพลางขมวดคิ้วมองหน้าคู่สนทนาด้วยความแปลกใจ

“ใช่สิ ปัณณ์ทำงานหนักจนจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?” เอย์จิบุ้ยปากใส่ก่อนจะเอื้อมมือมาบีบแก้มกันจนรู้สึกเจ็บ ผมผงะถอยหลังเมื่อเห็นสายตาของพี่ยู ช่วงนี้เขาเป็นอะไร ชอบมองแปลกๆ อยู่เรื่อย

“โทษที ช่วงนี้เบลอๆ น่ะ” ผมตอบปัดๆ แล้วรับแก้วนมมาจากเอย์จิ จำได้ด้วยเหรอว่าชอบกินรสช็อกโกแลตกรือเลือกให้เพราะเดาสุ่ม

“ไปกันนะปัณณ์ ส่วนพี่ยูก็ช่างเขา แก่แล้วคงไม่อยากเล่นน้ำ” เอย์จิจับแขนผมเข่าแล้วมองด้วยสายตาอ้อนๆ อยากปฏิเสธแบบไม่ต้องแคร์อะไรเพราะนานมากแล้วที่หมดความตื่นเต้นกับเทศกาลนี้ โดนน้ำสลับกับตากแดดมีหวังไข้ขึ้นแน่นอน ไม่ใช่ว่าเป็นคนอ่อนแอแต่ร่างกายปรับตัวไม่ทันต่างหาก

“เอ่อ...” แต่ไอ้สายตาเป็นประกายเหมือนเห็นหางกระดิกไปมาเหมือนลูกหมาคืออะไรวะ แม่ง อย่าใจอ่อนสิ ผมจะแพ้ทั้งพี่ทั้งน้องไม่ได้นะเว้ย

“ชิเน่!” อยู่ๆ พ่อครัวประจำบ้านก็สบถด่าเสียงดังจนผมกับเอย์จิสะดุ้งโหยง ชามอุด้งหน้ากุ้งเทมปุระถูกกระแทกลงบนโต๊ะจนน้ำซุปกระเซ็นเปรอะไปทั่ว บ่งบอกอารมณ์บางอย่างที่กำลังปะทุขึ้นในตัวพี่ยูได้เป็นอย่างดี โธ่ ไปหาว่าพี่ชายตัวเองแก่ได้ยังไงวะ เดี๋ยวอาหารเช้าก็อดแดกกันพอดี

“โอ๊ะ อยู่ๆ ก็บอกให้ผมไปตายอะ ใจร้ายจังเลยน้า” ไอ้คนไม่สำนึกยังลอยหน้าลอยตายิ้มแป้นแถมยังกล้าเลื่อนชามอุด้งไปครอบครอง นั่นมันของผมเหอะ! กุ้งเทมปุระห้าตัวนั่น แม่ง เดี๋ยวก็ไล่ให้ไปตายอีกคนเลย หมั่นไส้จริงๆ

“หยุดกวนตีนสักทีเถอะ รำคาญ” พี่ยูพ่นลมหายใจก่อนจะยกชามอุด้งกลับมาให้ผมแล้ววางข้าวหน้าไก่ให้เอย์จิแทน ถ้าจำไม่ผิดนั่นคือเมนูโปรดของเขา มีพี่ชายที่ไหนจะจำรายละเอียดของคนในบ้านได้ขนาดนี้วะ ปัณณ์ยังไม่รู้เลยว่าสมัยพี่ป่านเป็นวัยรุ่นชอบนักร้องเกาหลีวงไหนทั้งที่สนิทกันมาก

“โอ๋ๆ นะครับพี่ชายคนหล่อ จะไปกับพวกผมไหมล่ะ?” เอย์จิลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปสวมกอดพี่ชายจากด้านหลัง ใช้ใบหน้าตี๋ๆ นั่นถูไถออดอ้อน ดูไปก็น่ารักดีแต่รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก อึ๋ย เกิดเป็นพี่ยูก็น่าสงสารว่ะ น้องชายไม่เต็มบาทขนาดนี้

“ปัณณ์ยังไม่ได้ตอบว่าอยากไปกับแกหรือเปล่า” คนแก่ผลักหัวน้องชายแล้วใช้หางตาเหล่มองราวกับเหนื่อยใจมาก แต่ผมรู้ว่าเขาเทคแคร์คนในครอบครัวดีมากแค่ไหน เอาเป็นว่าหาที่ติไม่ได้เลยก็แล้วกัน

“ปัณณ์จ๋า ~” เฮ้ย แล้วไหงย้ายมาอ้อนผมล่ะ ก่อนที่เอย์จิจะพุ่งเข้ามากอดต้องชิงตอบตำถามพี่ยูให้สิ้นเรื่อง

“เออๆ ไปก็ไป แล้วริวล่ะ?” ผมถามหาหลานชายที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน ครั้งล่าสุดคือแวะไปกินข้าวที่ร้านแต่ไม่ได้ค้างที่บ้านไปขลุกอยู่กับคุณย่าและเอย์จิเพราะมีของเล่นเยอะ หึหึ ใช่ว่าที่นี่จะน้อยหน้าซะเมื่อไหร่พี่ยูสายเปย์นะอย่าลืม

“อยู่กับโอกาซังครับ” เป็นอันว่าเอย์จิเตรียมแผนการเที่ยววันสงกรานต์ไว้เรียบร้อยแล้วสินะ โอเค ผมยอมแพ้ก็ได้

“อือ”

“ว่าไงครับคุณพี่ชาย ไปด้วยปะ?” พอได้คำตอบที่น่าพอใจก็หันไปถามพี่ชายอีกครั้งด้วยรอยยิ้มระรื่น ผมนั่งแทะกุ้งเทมปุระรอฟังอยู่เงียบๆ ลุ้นว่าคุณพ่อจะยอมย้อนวันวานหรือเปล่า

“อืม” ถือว่าทุกคนแพ้ลูกอ้อนของเอย์จิสินะ เฮ้อ ถ้าผมป่วยก็ช่วยหาข้าวหาน้ำให้กินด้วยแล้วกัน

พวกเราเดินทางด้วยรถเอสยูวีของพี่ยูเพราะสามารถจุคนและสัมภาระได้เยอะ ปืนฉีดน้ำพร้อม ซองพลาสติกกันน้ำใส่มือถือพร้อม แว่นตาสีใสพร้อม แต่ผมว่าแดดเมืองไทยร้อนเกินไป

เพลงไทยๆ ถูกเปิดให้เข้ากับบรรยากาศวันสงกรานต์โดยฝีมือของเอย์จิที่นั่งอยู่ข้างพี่ยู ท่ารำวงแบบมั่วๆ ของเขาทำให้ผมหลุดหัวเราะเป็นระยะจนต้องแอบหยิบโทรศัพท์มาถ่ายคลิปเก็บเอาไว้

“จะไปเล่นน้ำที่ไหน?” พี่ยูเอ่ยปากถามเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านมุ่งสู่ถนนสายหลักที่เริ่มติดขัดเนื่องจากผู้คนเริ่มออกมาเล่นน้ำ ดวงตาคมเหลือบมองผ่านกระจกมาทางผมครู่หนึ่ง คงตั้งใจขอความคิดเห็นหรือเพราะยังไม่หายโกรธเรื่องนั้น... พอดีเผลอไปขัดใจเขาก่อนขึ้นรถ

“ข้าวสาร!” เอย์จิตะโกนตอบอย่างรวดเร็วเหมือนคิดไว้อยู่แล้ว สีหน้าดูตื่นเต้นมากจนผมอดยิ้มไม่ได้ เด็กญี่ปุ่นกับสงกรานต์คงเป็นอะไรที่แปลกใหม่เพราะนานๆ ครั้งเขาจะบินกลับมาช่วงเมษายน (ปกติเอย์จิทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เป็นนายแบบ ส่วนครอบครัวคนอื่นก็ไปๆ มาๆ ระหว่างสองประเทศตลอดทั้งปีเพราะทำธุรกิจ)

“คนเยอะ” อันนี้เสียงพี่ยู ไม่ได้ปฏิเสธตรงๆ แต่ก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากไปตรงนั้น ผมเข้าใจความคิดคนวัยนี้นะ ไอ้เรื่องไปเบียดเสียดกับคนจำนวนมากคงไม่โอเคเป็นธรรมดา

“ต้องแบบนั้นสิ เราไปเล่นน้ำนะไม่ใช่กระโดดคลองหลังบ้าน” เอย์จิไม่จอมแพ้แถมยังทำหน้ากวนส้นเท้าใส่พี่ชายอีก ผมที่นั่งอยู่เบาะหลังทำได้แค่ถอนหายใจเฮือก เลี้ยวรถกลับบ้านกันดีไหม เล่นน้ำในสระเป่าลมของริวแทน

“ไอ้...” พี่ยูตั้งท่าจะด่าคนข้างๆ เป็นจังหวะเดียวกันที่ผมคิดอะไรออก

“แค่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ก็พอมั้ง” ถึงคนจะเยอะแต่ก็น่าจะดีกว่าไปข้าวสารล่ะมั้ง

“ปัณณ์อยากไปเหรอ?” เอย์จิหันขวับมามองกันด้วยดวงตาเป็นประกายเช่นเดียวกับพี่ยูที่ลอบมองผ่านกระจก ผมไม่ได้อยากออกจากบ้านด้วยซ้ำ ที่จริงแพลนวันนี้คือไปซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วซื้อของกลับไปทำบาร์บีคิวกินต่างหาก

“ก็น่าจะดีกว่าข้าวสาร” เดาเอาน่ะนะ ไม่รู้จะดีหรือแย่กว่า ต้องพิสูจน์

“งั้นตกลงตามที่ปัณณ์เสนอเลยครับ” ไหนบอกว่าไม่อยากจีบแล้วไง จะตามใจผมเพื่ออะไร เมื่อครู่ยังเถียงพี่ยูฉอดๆ อยู่เลย เฮ้อ เข้าใจยากว่ะคนบ้านนี้

“หึ” แล้วพี่ยูจะหัวเราะแบบนั้นทำไม รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีแปลกๆ แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง

พวกเราทั้งสามคนเดินเข้าสู่สงครามสายน้ำด้วยอุปกรณ์เตรียมพร้อม ผมแอบเหลือบมองพี่ยูที่เดินอยู่ข้างกัน วันนี้ดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษคงเพราะเสื้อกล้ามสีดำที่แหวกจนถึงช่วงเอวเผยให้เห็นมัดกล้ามของซิกแพคอย่างชัดเจน ไหนบอกว่าไม่อยากเล่นสงกรานต์แล้วทำไมจัดเต็มมาล่อสาวๆ ปะแป้งขนาดนี้ ส่วนเอย์จิก็ไม่ต่างกัน

“พี่เตือนแล้วว่าให้เปลี่ยนเสื้อ” คนข้างตัวดุทันทีที่น้ำระลอกแรกสาดเข้ามาจนทำให้เสื้อกช้ามสีขาวของผมเปียกแนบเนื้อ ได้ยินเสียงกรี๊ดของสาวๆ แถวนั้นก็พลอยหลุดยิ้มไปด้วย โชว์หน่อยจะเป็นไรไป

“พี่ก็ใส่เสื้อกล้ามเหมือนกัน แถมโป๊กว่าผมอีก” ผมเหล่สายตามองเสื้อพี่ยูแล้วได้แต่เบ้ปาก ถึงจะไม่โดนน้ำแต่ก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน ไม่ใส่ยังดีกว่าอีกมั้ง

“มันสีขาว” พี่ยูไม่ยอมแพ้แถมยังเอื้อมมือมาดึงเสื้อผมไม่ให้แนบกับลำตัวราวกับหวงกันนักหนา เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้เหมือนให้ความหวัง ขอเกลียดตัวเองที่ขี้มโนเกินไปก็แล้วกัน

“ผู้ชายจะอายอะไรครับ?”

“คนมอง” ดุอีก นี่พี่หรือพ่อครับ แต่อยากให้เป็นแฟนมากกว่า... โธ่ ฝันกลางวันน่ะ อย่าสนใจเลย

“หวงผมเหรอ?” ผมแกล้งถามทั้งที่ก็หวังว่าคำตอบมันจะออกมาเป็นคำว่าใช่ แต่อย่าคิดว่าบรรยากาศมันจะโรแมนติกเพราะตอนนี้โดนฉีดน้ำมาแล้วไม่ต่ำกว่าสิบรอบ เข้าปากบ้าง เข้าตาบ้างแต่เราทั้งคู่ก็ยังไม่ละความต้องการของตัวเอง

“ไม่หวงน้องแล้วจะให้หวงใคร?” คำตอบเดิมที่เคยทำให้ผมหวั่นไหว มาวันนี้กลับรู้สึกว่ามันช่างธรรมดาจนอยากหัวเราะออกมาดังๆ เขาไม่เคยให้ความหวัง มีแต่มโนเพ้อพกไปเอง

“เหรอ? แล้วเอย์จิล่ะครับ รายนั้นก็ใส่เหมือนกัน” แต่วันนี้ผมอยากได้คำตอบที่ต่างจากนั้น และเวลานี้ก็เหมาะที่จะถามเพราะเอย์จิแยกตัวออกไปหาเพื่อนทางด้านโน่นและคาดว่าคงไม่กลับมาเร็วๆ นี้

“ปัณณ์มี Sex Appeal สูงเกินไป พี่กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย” พี่ยูเอื้อมมือมาวางบนหัวแล้วออกแรงขยี้เบาๆ ผมก้มหน้าลงต่ำแล้วหลุดหัวเราะเยอะตัวเอง อืม เข้าใจเหตุผลโดยไม่มีข้อกังขา ไม่น่าถามเลยกู

“ผมดูแลตัวเองได้ครับ ชินแล้ว” ผมผละตัวออกแล้วเงยหน้าขึ้นส่งรอยยิ้มบางไปให้พี่ยูก่อนจะเลิกสนใจเขาแล้วหันไปยิงปืนฉีดน้ำโต้ตอบสาวสวย

“ถ้าโดนล้วงขึ้นมาจะทำยังไง?” เขาเดินมาบังหน้าผมแล้วจ้องตาเขม็งทำอย่างกับมีน้องสาว ทำไมเป็นคนขี้ระแวงแบบนี้นะ โดนล้วงแล้วไง ไม่เสียหายหรอกน่า

“ล้วงกลับครับ ไม่ขาดทุนแน่นอน” ผมนักคิ้วกวนให้เข้าแล้วเบี่ยงตัวออกไปยิงปืนฉีดน้ำใส่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา จุดประสงค์คือเล่นสงกรานต์ก็ต้องทำให้เต็มที่สิ

“เจ้าเด็กคนนี้!” พี่ยูทำเสียงดุแล้วยกมือขึ้นแจกมะเหงกแต่ผมรู้ตัวเลยหลบทันก่อนจะคลี่ยิ้มทะเล้นให้ โธ่ อย่าทำตัวเครียดไปเลยน่า อุตส่าห์วางออกมาเล่นน้ำทั้งที ปลดปล่อยความอึดอัดระหว่างเราทิ้งไปบ้างเถอะ

“ล้อเล่นครับ ผมอยู่กับพี่ยูยังต้องกังวลเรื่องถูกลวนลามอีกเหรอ?”

“พี่ดูแลเราไม่ได้ตลอดเวลาหรอก” เหมือนเขาจะดุต่อแต่กลับคลี่ยิ้มละมุนให้

“ผมไม่เรียกร้องขนาดนั้นหรอกน่า สบายใจได้ครับ” ผมโบกมือปัดๆ ก่อนจะก้าวขาไปด้านหน้า ยืนตรงนี้มานานจนตกเป็นเป้าสายตาแล้ว มันก็ดีที่มีคนชอบแต่รู้สึกโดนก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวเมื่อถูกถ่ายรูป

“ปัณณ์...” พี่ยูส่งเสียงเรียกโดยที่เดินตามมาคว้าข้อมือกันไว้ ผมชะงักเท้าหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สลัดความรู้สึกหวั่นไหวที่เริ่มก่อตัวขึ้นทิ้งไปแล้วหันไปคลี่ยิ้มกว้าง

“เดินต่อเถอะครับ คนเริ่มมองเยอะแล้ว เดี๋ยวเอาตัวรอดไม่ทันจะแย่นะ”

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้วทำให้จำนวนผู้คนที่เล่นน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็แทบหาที่ว่างไม่เจอ ปืนฉีดน้ำก็ใช้งานไม่ได้แล้ว พอหันไปมองพี่ยูก็แทบกลั้นขำไม่ไหว เสื้อสีดำกลายเป็นสีขาวเพราะแป้งไปทั้งตัว ลึกๆ ก็แอบหวงว่ะ แต่ช่างมันเถอะ ยังไงก็ทำได้แค่มองเท่านั้น แสดงอาการไม่ได้




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 7 : ข้าวปั้น P.1 -15/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-04-2018 20:15:50
“ขอปะแป้งหน่อยได้ไหมฮะ?” เสียงทุ้มหวานดังขึ้นจาทางด้านข้างทำให้ผมหันไปเลิกคิ้วมอง เขาเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักที่ใส่เสื้อยืดสีชมพูพาสเทลกับกางเกงขาสั้นสีขาวดูยั่วยวนราวกับตั้งใจ ถ้าไม่เกรงใจพี่ยู ปัณณ์คงชวนไปสาดน้ำกันแค่สองคน

“เอาสิครับ” ผมตอบรับก่อนจะยื่นแก้มเลอะไปให้น้องเขา หางตาเหลือบเห็นพี่ยูทำหน้าบึ้งเหมือนกำลังไม่พอใจ อยากถามจริงๆ ว่าหงุดหงิดที่อากาศร้อนหรือว่าหิวกันแน่

“พี่น่ารักจัง” ในขณะที่มือเล็กๆ นั่นเอื้อมมาปะแป้งกันริมฝีบางสีชมพูก็เอ่ยคำชม ผมกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะแกล้งขยับหน้าเข้าไปใกล้ ไม่ยอมแพ้ให้เด็กคนนี้หรอก

“หนูก็น่ารักเหมือนกันครับ” ผมโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูแล้วผละออกมายิ้มกริ่มมองใบหน้าแดงๆ ของเด็กน้อย น่ารักจนอยากเกี่ยวแขนลากเข้าโรงแรมแถวนี้ ส่วนพี่ยูยังคงนิ่งเงียบมองการกระทำทั้งหมดแบบไม่วางตาอยู่ห่างๆ

“โห เรียกแบบนี้ผมก็เขินแย่สิฮะ ปากหวานจัง” เหมือนเหยื่อจะติดกับ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากหยอดเล่นๆ เมื่อผู้ปกครองยืนคุมอยู่แบบนี้ พี่อย่าคิดว่าคนอื่นชอบแล้วจะยอมไปทุกอย่างนะ

“ลองชิมดูไหม? รับรองติดใจนะ”

“กรี๊ด ผู้ชายอ่อยว่ะแก โคตรอิจฉาเลย” สาวๆ ที่คาดว่าเป็นเพื่อนกับน้องกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ ผมเลยแจกจ่ายรอยยิ้มเผื่อแผ่พวกเธอด้วย สงกรานต์ก็สนุกแบบนี้ล่ะ ได้บริหารเสน่ห์บ้างหลังจากเสียเวลาไปกับพี่ยู

“ปัณณ์ครับ เดินต่อได้แล้ว” เขาเดินเข้ามาแตะไหล่กันก่อนจะออกแรงบีบเพื่อเป็นการเร่งเร้า แต่ผมทำเป็นไม่เข้าใจความหมายพลางเลิกคิ้วมอง

“เดี๋ยวสิครับ กำลังสนุกเลย”

“เอ่อ... มาด้วยกันเหรอฮะ?” เสียงหวานขัดจังหวะพี่ยูที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง

“ครับ มาด้วยกัน” พี่ยูหันไปตอบโดยไม่ต้องคิดในขณะที่ผมยังเบลอๆ อยู่ ทำไมท่าทางเขาดูเหมือนหวงก้างอย่างที่เอย์จิเคยพูดไว้ หรือเพราะกลัวว่าถ้ามีแฟนแล้วจะขยันทำงานน้อยลงเหรอ คิดว่ามีใจให้คงไม่ใช่หรอก

“เป็นพี่น้องกันเหรอฮะ?”

“ชะ...”

“แฟนกันครับ ขอตัวนะ” เดี๋ยวสิ มันหมายความว่ายังไงวะ!

ผมโดนพี่ยูลากออกมาจากตรงนั้นโดยที่มีเสียงกรี๊ดกร๊าดตามมาทางด้านหลัง ตอนนี้สมองกำลังทำงานหนักเพราะไม่เข้าใจว่าเขาโกหกเด็กคนนั้นไปทำไม หรือจะหวงกันจริงๆ แต่คงไม่ใช่หรอกมั้ง

“ทำไมพี่ยูพูดกับน้องเขาแบบนั้นล่ะครับ?” ผมรั้งแขนไว้ไม่ยอมเดินต่อทำให้คนด้านหน้าต้องหยุดชะงักตามก่อนที่เขาจะหันมาจ้องหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ข้อมือถูกบีบแรงขึ้นราวกับเผลอไปทำให้ไม่พอใจ เป็นอะไรของพี่ยู ตั้งแต่เรื่องเสื้อกล้ามนี่แล้ว

“ปัณณ์กำลังทำตัวไม่เหมาะสม” หน้านิ่งเสียงดุจริง ผมถึงกะบขมวดคิ้วมอง นี่พ่อหรือพี่ครับ เข้มงวดเรื่องนี้จังวะ แต่ก็เข้าใจว่าเขาเป็นห่วง แต่บางจังหวะมันทำให้เรามีความหวัง แย่มาก

“ตรงไหนครับ?” ผมบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมแล้วเงยหน้ามองเขา พี่ยูหลับตาลงเหมือนกำลังข่มความรู้สึกบางอย่าง พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ คล้ายเหนื่อยล้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น

“ไปอ่อยเขาทำไม?”

“ก็แค่แซวเล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไร”

“ห้ามเล่นแบบนี้อีกครับ ถ้าน้องเขาเอาจริงขึ้นมาปัณณ์จะลำบาก”

“แค่เสียจูบผมไม่คิดมากหรอก”

“ทำไมดื้ออย่างนี้หืม?” พี่ยูขยับเข้ามาประชิดตัวแล้วเอื้อมมือมาดึงแก้มกันด้วยความหมั่นไส้ แต่แทนที่จะรู้สึกดีเพราะโดนสัมผัสกลับทำให้อะไรบางอย่างที่กำลังตกตะกอนถูกกวนขึ้นมา

“ผมโตแล้วนะครับพี่ยู รู้ว่าทำแบบไหนดีหรือไม่ดี” ผมปัดมือเขาทิ้งด้วยอารมณ์ที่ดิ่งลง ถ้าไม่ได้รักไม่ได้ชอบก็ช่วยถอยออกไปห่างๆ ได้ไหมวะ ทำแบบนี้มันโคตรแย่ไม่รู้หรือไง

“พี่... ขอโทษ” เสียงอ่อยที่เอ่ยคำขอโทษนั้นทำให้ผมชะงักกึกในขณะที่กำลังจะหมุนตัวเดินหนี อยู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำลายความห่วงใยของเขาทิ้งแบบนั้น สับสนว่ะ ถ้าพี่ป่านยังอยู่ปัณณ์คงยั้งความรู้สึกได้มากกว่านี้

“ผม...” ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีเพราะผมก็รู้สึกแย่กับการกระทำที่ไม่ชัดเจน

“เล่นน้ำต่อเถอะ เสร็จจากตรงนี้จะได้แวะซุปเปอร์มาร์เก็ตกัน” พี่ยูเดินนำออกไปแล้วโดยปล่อยให้ผมยืนมองแผ่นหลังด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เขายังจำเรื่องที่จะทำบาร์บีคิวของวันพรุ่งนี้ได้ ยังให้ความสำคัญกับมัน แล้วปัณณ์ล่ะ มัวแต่ห่วงความรู้สึกตัวเองจนหลงลืมคำว่าครอบครัวที่ดีไปแล้ว

ผมคงทำได้แค่วิ่งตามไปแล้วเอ่ยคำขอโทษพี่ยูจากใจจริงก็เท่านั้น หรือไม่ก็กลับไปเตรียมน้ำอบพร้อมพวงมาลัยรวบการรดน้ำดำหัวในวันพรุ่งนี้เลยดีไหม เฮ้อ ไม่ชอบความสับสนของตัวเองเลยว่ะ!




--------------------------------------

มันก็จะออกอาการหวงๆ หน่อย
ตอนหน้าพี่ยูจะมาเคลียร์ความคิดของตัวเองนะออเจ้า...

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจ น้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 7 : ข้าวปั้น P.1 -15/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 15-04-2018 21:05:19
ชอบก็บอกเขาไปพี่ยู
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 7 : ข้าวปั้น P.1 -15/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-04-2018 22:51:03
พี่ยูชัดเจนหน่อยสิว่าชอบหรือไม่ชอบกันแน่
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 7 : ข้าวปั้น P.1 -15/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 16-04-2018 01:05:56
โอ้ยยยยย คุ้ณณณณณณ อ่านทีเดียวรวดคือน้ำตาซึม เจ็บหัวใจจี้ดๆตลอดเวลา เมื่อไหร่จะเลิกปากแข็งกันนนนน โอยยยยยยยย อินี่ก็ช่วยลุ้น ขัดใจแต่หยุดอ่านไม่ได้ 5555555 ชอบค่าาา สงสารทอย
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 7 : ข้าวปั้น P.1 -15/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-04-2018 20:22:43
น่ารักดีค่ะ ถึงจะงงงวยกับความสับสนทางอารมณ์ของปัณณ์ก็เหอะ

พี่ยูจะยังไงคะ จะหวงน้อง หรือหวงว่าที่แฟน
ทำไมแลดูจะอาการหนักเหลือเกิน
ปัณณ์ก็อารมณ์เข้าใจได้ ยิ่งอยู่กับคนที่แอบรักด้วย

สงสารทอยนะ รักมานาน อยู่เคียงข้างมานาน
ถ้าทอยชัดเจนแต่แรก อาจจะเสียเพื่อนกันไปนานแล้ว

เอจิชวนมาเที่ยวเนาะ แล้วหนีไปเฉย
ริวน่ารักมากค่ะ เด็กน้อยช่างอ้อน น่าจับฟัด
อะไรก็น้าปัณณ์ มีความน้ำตาไหลบ่อยมาก 55555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-04-2018 13:04:38
จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่นเย็นทรงเครื่อง
Yuuki’ s Part




ชื่อของผมในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าความกล้าหาญซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่าหิมะ เป็นพ่อหม้ายลูกติดที่ภรรยาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตพร้อมกับพ่อตาและแม่ยาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยรู้จักความรักเลยสักครั้งแม้แต่ช่วงเวลาที่ต้องแต่งงานกับ ‘เพื่อน’ เพื่อธุรกิจของครอบครัว ไม่ใช่การบังคับจากผู้ใหญ่ใดๆ มันคือความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายเอง

เราทั้งสองคนไม่เคยรักกัน

ผมไม่เคยกลัวการรักใครสักคน แต่คิดว่าความสัมพันธ์ที่ใช้ความรักในแบบของคู่รักไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตก็เท่านั้นเอง

ผมรู้จักกับปัณณ์เมื่อสมัยเรียนปีสี่เพราะต้องไปแนะนำมหา’ลัยกับคณะให้น้องๆ ที่กำลังจะสอบเข้า เผอิญระหว่างทางดันเดินชนเจ้าเด็กน้อยหน้าตาน่ารักตรงบันไดทางเข้าหอประชุม จังหวะที่ช่วยกันเก็บของเลยทำความรู้จักไปด้วย พอเริ่มสนิทก็นัดเจอ เลี้ยงข้าว หรือแม้กระทั่งอาสาเป็นติวเตอร์ให้น้องจนถึงขั้นสามารถขอพ่อแม่ให้ค้างคืนที่บ้านได้ ความสัมพันธ์นับว่าดีเทียบเคียงคนในครอบครัว

เมื่อวานหลังจากที่ผมพาเด็กๆ ไปเล่นสงกรานต์บริเวณหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยความไม่เต็มใจเพราะปัณณ์เอาแต่ดื้อไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า เขารู้ทั้งรู้ว่าใส่สีขาวบางๆ เวลาโดนน้ำมันจะแนบเนื้อจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน สุดท้ายตาลุงก็ต้องยอมแพ้ปล่อยให้ทำตามใจ

ผมลากทุกคนกลับในเวลาประมาณเกือบสองทุ่มด้วยสภาพที่เละจนจำหน้าแทบไม่ได้ ดีหน่อยที่พกเสื้อผ้ามาเปลี่ยนก่อนขึ้นรถ จอดแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตให้ปัณณ์ตามความตั้งใจแรกของเขาที่ว่าอยากทำบาร์บีคิวกินในวันรุ่งขึ้น ตามใจได้ทุกอย่าง ซื้อให้ได้ทุกอย่าง ขอแค่เป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนก็พอ

จะว่าไปช่วงนี้ผมมีอาการหงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษโดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ของปัณณ์กับคนอื่นๆ คิดว่ามันคงเป็นปฏิกิริยาของพี่ชายที่หวงน้องมากไปกลัวว่าเขาจะพลาดท่าให้ใครสักคน ทอย กราฟ หรือแม้กระทั่งเอย์จิ ไม่ใช่ว่าอยากกีดกันเรื่องเพศเดียวกันแต่มันอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดลำบาก เอาเป็นว่าคนแก่ก็สับสนเป็น

เมื่อครู่ผมแทบกระทืบเอย์จิให้ตายคาเตียงเพราะเห็นน้องก้มๆ เงยๆ เหมือนพยายามทำอะไรสักอย่างกับปัณณ์ที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่ กระโจนเข้าไปล็อคคออีกฝ่ายทั้งที่ยังนุ่งผ้าเช็ดตัวไว้แค่ส่วนล่าง ขอเคลียร์เรื่องนี้ก่อนแล้วค่อยแต่งตัวทีหลัง

“โอ๊ย เล่นบ้าอะไรเนี่ย?” เอย์จิร้องโวยวายงุ้งงิ้งอยู่ในอ้อมแขนของผมแต่ก็ไม่เสียงดังจนทำให้ปัณณ์ตื่น ดูเหมือนเขาจะหลับลึกเพราะเริ่มมีไข้อ่อนๆ จากการตากแดดและเล่นน้ำ

“พี่ต้องถามมากกว่าว่าแกกำลังจะทำอะไรปัณณ์?” ผมกดเสียงต่ำถามน้องแล้วเหลือบตามองคนที่เริ่มหายใจแรงขึ้น ตอนนี้อยากลืมๆ เอย์จิแล้วเข้าไปดูอาการของปัณณ์มากกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องห่วงเขาขนาดนี้ อาจจะเพราะกลับมาใช้ชีวิตอยู่ใกล้กันล่ะมั้ง ความสัมพันธ์เลยดูแน่นแฟ้นขึ้น

“ผมแค่ก้มดูรอยสักข้างกกหูของปัณณ์ พี่คิดอะไรเนี่ย?” เอย์จิดิ้นขลุกขลักออกจากอ้อมแขนได้สำเร็จ น้องหันมาบึนปากใส่เหมือนกำลังโกรธแต่ผมกลับขมวดคิ้วแล้วจ้องเขม็ง ปัณณ์มีรอยสักที่ไหนกัน ปกติก็เห็นทั้งตัวขาวสะอาดดี... หมายถึงตอนถอดเสื้ออาบน้ำกับริวครั้งก่อน

“มีของแบบนั้นที่ไหน อย่ามาโกหก” ผมกอดอกมองคนตรงหน้าด้วยสายตาคาดโทษ แต่เอย์จิกลับทำในสิ่งที่ไม่คาดฝันคือการกระโจนขึ้นคร่อมปัณณ์แล้วใช้มือแตะสันกรามเพื่อเอนคอระหงนั่น เกือบกระชากคอเสื้อน้องอยู่แล้วเชียวถ้าสายตาไม่สะดุดกับลวดลายเกล็ดหิมะสีดำที่ข้างกกหู มันมีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

“แล้วนี่อะไรครับ พี่อยู่กับปัณณ์ทุกวันนะ ไม่เห็นเลยเหรอ? เอย์จิลงจากเตียงแล้วเดินมาประจันหน้ากับผมเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ จะว่าไปปัณณ์อยากทำอะไรก็ได้ในเมื่อเขาโตแล้ว ทำไมไอ้เด็กนี่ต้องทำอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่โตถามนั่นถามนี่อยู่ได้ล่ะ

“ไม่เคยสังเกต” ผมตอบปัดอย่างเป็นกลางเพื่อไม่ให้ตัวเองดูเป็นคนโง่ ดวงตาคมเผลอเหลือบมองรอยสักแนวมินิมอลอีกครั้งก่อนระบายยิ้มบาง มันดูสวยแถมเพิ่มเสน่ห์ให้ปัณณ์อย่างน่าประหลาด ยิ่งถ้าเมื่อไหร่เขาใส่ต่างหูสีเงินด้วยแล้วคงดึงดูดผู้คนน่าดู แค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เป็นบ้าอะไรของมึงวะยูกิ ตั้งสติหน่อย

“พี่มันแย่จริงๆ เลย ผมไปนอนดีกว่า” เอย์จิสะบัดหน้าใส่เหมือนกำลังงอนอะไรบางอย่างทั้งที่ผมคิดไม่ออกว่าไปทำอะไรให้ ยิ่งเป็นคำพูดกล่าวหากันแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง

“เฮ้ย พูดอะไรของแก กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ!” ผมร้องเรียกน้องแล้วก้าวขาตามเพียงเพื่อต้องการคำตอบกับสิ่งที่คาใจ แต่ยังไม่ทันถึงประตูเสียงแหบๆ ของคนบนเตียงก็ทำให้ต้องชะงักเท้าแล้วรีบเดินกลับไปหา

“หนาว” แค่คำๆ เดียวที่หลุดออกจากริมฝีปากซีดเผือดไร้สีเลือดนั้นทำให้ผมแทบอยากอุ้มเขาไปโรงพยาบาล มันกังวลใจกลัวจะเป็นอะไรหนักไปกว่านี้

“ปัณณ์ครับ เดี๋ยวพี่ปรับแอร์ให้ ลุกขึ้นมากินยาก่อน” ผมก้าวขึ้นเตียงแล้วพยายามปลุกคนที่นอนขดตัวเป็นกุ้ง ปัณณ์ขยับหลบก่อนส่งเสียงอู้อี้พลางขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ

“ไม่เอา... เดี๋ยวก็หาย” เขาพูดทั้งๆ ที่ดวงตายังปิดสนิท แก้มที่เคยขาวใสตอนนี้กลับขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะพิษไข้ ถ้าปัณณ์ไม่ดื้อผมคงสบายใจกว่านี้

“เราเป็นคนไม่ใช่เทวดานะ อยู่ๆ มันจะหายได้ยังไง?” ผมเผลอออกปากดุจนปัณณ์เปิดเปลือกตามองกันครู่หนึ่งแล้วหันหน้าหนีก่อนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงปลายจมูก ไหนใครบอกว่าคนป่วยขี้อ้อนกัน คนนี้ดื้อใส่ชัดๆ ไม่เห็นจะน่ารักเลย

“ไม่ชอบยา”

“มีใครที่ไหนชอบกินยาบ้างล่ะเด็กดื้อ” ผมถอนหายใจเมื่อจบประโยคเลยโดยสายตาตัดพ้อมองอย่างไม่ลดละ ผ้าห่มถูกลดลงพอที่จะได้เห็นใบหน้ายุ่งเหยิงของปัณณ์ อยู่ๆ ก็รู้สึกมันเขี้ยวอยากดึงแก้มเด็กดื้อขึ้นมา โตแล้วยังงอแงไม่ยอมกินยาอีก แพ้ริวแล้วนะคุณน้า

“ปัณณ์ไม่ดื้อ” คำแทนตัวเองด้วยชื่อทำให้ชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปขยี้หัวเจ้าเด็กดื้อ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รู้สึกว่าเราสนิทกันแบบนี้ ตั้งแต่เรากลับมาเจอกันปัณณ์ไม่ยอมเป็นคนเดิมเมื่อหลายปีก่อน อาจจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ผมตัดสินใจแต่งงานกับป่าน มันเพราะอะไรจนปัจจุบันก็ยังหาคำตอบไม่ได้

ยูกิไม่เก่งเรื่องความรู้สึก เรียกว่าเข้าขั้นโง่เลยก็ว่าได้

“งั้นต้องยอมกินยา ถ้าไม่หายใครจะทำบาร์บีคิวพรุ่งนี้ล่ะ” ผมหมุนตัวไปหยิบขวดพาราเซตามอลที่เตรียมไว้ตั้งแต่กลับมาจากเล่นน้ำแต่ยังไม่ได้ใช่เพราะปัณณ์หลับไปซะก่อน มือหนาเปิดฝามันออก เทยาเม็ดสีขาวออกมาแล้วส่งให้กับปัณณ์ที่ตอนนี้ดันตัวลุกขึ้นพิงหัวเตียงได้แล้ว

“พี่ยู...” เขาตอบคำถามของผมแล้วมองยาในมือเหมือนวัตถุระเบิดที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หัวคิ้วขมวด ปากเบะราวจะร้องไห้พลางส่ายหัวปฏิเสธรัวๆ นี่ต้องโทรไปหาไอ้หมอที่โรงพยาบาลเพื่อขอยาน้ำแบบเด็กให้ปัณณ์กินไหม เห็นสภาพนี้แล้วเครียดเลย ตอนป่านยังมีชีวิตอยู่ใช้วิธีไหนจัดการกับน้องชายนะ

“คนเสนอก็ต้องทำเองสิครับ พี่อุตส่าห์ซื้อของให้ทุกอย่างแล้ว” ผมแสร้งทำเสียงดุตาดุพลางถอนหายใจแล้วลอบมองปฏิกิริยาของคนป่วยที่ยังคงเอาแต่นั่งเม้มปากแน่นราวกับกลัวว่าเม็ดสีขาวๆ ในมือจะลอยเข้าไปในนั้น นี่ยาไม่ใช่ขี้ ทำไมต้องกลัวขนาดนั้น หรือต้องบดใส่น้ำให้ดื่มแทน แบบนั้นขมติดลิ้นตายเลย

“แค่ก กินก็ได้” ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดหรือเพราะความดุของผมจึงทำให้มือเรียวนั่นยอมหยิบยาสองเม็ดบนมือไปจัดการให้เรียบร้อย แต่กว่าจะเสร็จก็หมดน้ำไปเป็นขวดๆ แถมยังเกือบอ้วกเอาทุกอย่างออกมา พอเห็นสภาพนี้แล้วก็ตัดสินใจว่าครั้งต่อไปถ้าปัณณ์ป่วยอีกจะยอมโทรไปขอยาน้ำจากไอ้ทาวน์ที่โรงพยาบาลจริงๆ

หลังจากส่งปัณณ์เข้านอนผมก็หยิบงานเอกสารของโรงแรมขึ้นมาอ่านเป็นพวกรายงานผลประกอบการครึ่งเดือนนี้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น พฤติกรรมของพนักงาน คาดว่าคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง ลึกๆ แล้วที่ยอมแหกตาจมอยู่กับกองกระดาษเพราะว่าเป็นห่วงปัณณ์ ไข้ขึ้นมาคงแย่ถ้าไม่มีใครเฝ้า

เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่สิ่งที่ผมอ้างว่าจะเอามาอ่านกลับไม่ได้จดจำลงไปในสมองแต่อย่างใดเพราะสายตาเอาแต่เหลือบมองสิ่งมีชีวิตที่นอนหายใจแรงอยู่ข้างกัน เสียงครางเบาๆ บ่งบอกได้ดีว่าปัณณ์ทรมานจากพิษไข้แค่ไหน อยากพาไปหาหมอแต่ก็ไม่อยากปลุก... ทำไมดูแลคนป่วยถึงมีแต่คำว่ากังวลเต็มไปหมด ทีเอย์จิเข้าโรงพยาบาลทำไมไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้

ผมไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองคิดยังไง กำลังสับสนและสงสัย ปัณณ์ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเอย์จิ แต่ไม่รู้ว่ามันคือตรงไหนเพราะอะไร ทำไมถึงต่างกัน...

ตลอดทั้งคืนผมหมดเวลาไปกับการวัดอุณหภูมิและเช็ดตัวให้ปัณณ์เนื่องจากไข้ขึ้น ปลุกมากินยาอีกรอบกลางดึกด้วยสภาพสะลึมสะลือโดยหลอกว่าเป็นลูกอมซึ่งมันได้ผล แต่กว่าจะได้นอนก็ตอนที่ดวงตากระทบแสงแดดที่แทรกผ่านรอยแยกผ้าม่านเข้ามาในห้อง ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียกับการเล่นน้ำแถมยังต้องดูแลคนป่วยมันไม่สนุกเลยจริงๆ

ผมรู้สึกอึดอัดช่วงท้องหายใจไม่สะดวกจนต้องปรือตาขึ้นมอง ภาพรางๆ ที่เห็นคือเด็กคนหนึ่งแต่งชุดไทยนุ่งโจงกระเบน เกล้าผมขึ้นเป็นจุกอยู่กลางศีรษะ กำลังนั่งขย่มอยู่ตรงนั้น ถ้าเป็นกลางคืนคงช็อกตายไปแล้วเพราะนึกว่าเจอดี โธ่ ใครจับริวแต่งตัวเป็นกุมารทองแบบนี้เนี่ย พ่อเกือบหัวใจวาย

“Papa, Wake up!” วันนี้เจ้าตัวแสบทักทายผมด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ทำให้กุมารทองตัวน้อยดูน่ารักขึ้นอีก เขายังออกแรงขย่มหน้าท้องจนรู้สึกจุกเสียดไปหมด น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย เปลี่ยนไปเรียกว่าลูกหมูดีไหมเนี่ย

“ครับ ป๊าตื่นแล้ว ริวอยู่นะ นิ่งๆ ครับ” ผมเอื้อมมือไปจับตัวริวเอาไว้แล้วรั้งเข้ามากอดเมื่อเขายังพยายามขย่มหน้าท้องกันอยู่ เจ้าตัวแสบออกแรงดิ้นขลุกขลักแต่สุดท้ายก็ยอมอยู่นิ่งๆ เงยหน้ามองพลางกระพริบตา เชื่อะเถอะว่าเดี๋ยวจะมีคำถามบางอย่างตามมา

“น้าปัณณ์ไปไหน?” เสียงหงอยๆ เอ่ยถามก่อนที่ริวจะขยับลุกขึ้นนั่งบนตัวเพื่อมองหาปัณณ์ ผมคลำหาโทรศัพท์เพื่อดูว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ทำไมคนป่วยถึงลุกออกจากเตียงไปได้ หายดีหรือยัง กำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน

“ริวลงไปนั่งบนเตียงก่อนครับ เดี๋ยวป๊าตามน้าปัณณ์ให้เนอะ” ผมคลี่ยิ้มให้ลูกก่อนจะส่งเขาลงบนเตียงแล้วพยุงตัวลุกขึ้น มือหนาเอื้อมมือไปแตะแก้มยุ้ยออกแรงบีบเล็กน้อยด้วยความมันเขี้ยว หลังจากหาตัวปัณณ์เจอคงต้องถ่ายรูปริวเก็บไว้เยอะๆ เพราะนานครั้งเขาจะได้ใส่ชุดแปลกตาแบบนี้

“เร็วๆ น้า คิดถึง ~” โธ่ แทนที่จะบอกว่าคิดถึงพ่อกลับกลายเป็นว่าเรียกหาน้าแทน น่าน้อยใจเนอะ แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ที่ลูกเข้ากับคนอื่นได้ดี

“ติดน้าปัณณ์จริงๆ เลยนะเรา” ด้วยความมันเขี้ยวผมเลยจับหัวริวโยกไปมาเบาๆ เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นก่อนที่ประโยคหวานจะหลุดจากริมฝีปากสีแดงสดนั่น

“ริวรักน้าปัณณ์” ไม่แปลกใจเลยที่ริวจะรู้สึกแบบนั้นเพราะปัณณ์ใจดี แล้วผมล่ะคิดอะไรอยู่ในตอนนี้กันแน่

ผมอุ้มริวออกจากห้องนอนเพื่อพบกับเอย์จิที่ยังนอนแผ่อยู่บนโซฟาในห้องรับแขก คนที่พาริวมาที่นี่เป็นโอกาซังไม่ผิดแน่ๆ เพราะโทรมาบอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แล้วตอนนี้เธอหายไปไหน ปัณณ์ก็ด้วย เช้านี้ทำไมมีแต่เรื่องให้คิดหนัก

“อาจิตายแย้ว” อยู่ๆ ริวก็พูดขึ้นพลางชี้นิวไปที่เอย์จิ ผมหลุดหัวเราะให้กับความคิดเด็กก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ ถ้าคนอื่นมาเห็นท่านอนของมันคงคิดไม่ต่างกันเพราะทุเรศสิ้นดี อ้าปากหวอ หัวกับตัวอยู่บนโซฟาแต่ขาข้างหนึ่งพาดโต๊ะรับแขกอีกข้างพาดพนักพิง

“ยังครับยัง อาจิแค่นอนหลับ”

“เหรอ? งั้นปลุกกัน” เจ้าตัวแสบเอียงคอมองครูหนึ่งก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเหมือนนึกอะไรสนุกๆ ออก คงไม่พ้นการแกล้งอาเอย์จิสุดที่รักแน่นอน

“เอาเลยครับ” ไอ้ผมก็สนับสนุนลูกในทางที่ผิดเพราะนึกหมั่นไส้ที่โดนเอย์จิกล่าวหาว่าทำตัวแย่ไปเมื่อคืน ให้ริวแก้แค้นแทนคงสะใจพิลึกแถมไม่ต้องลงมือเองด้วย

เจ้าตัวแสบเดินย่องเข้าไปหาคุณอาก่อนจะนั่งยองลงข้างๆ แล้วส่งนิ้วป้อมไปจิ้มแก้ม พอเห็นว่าวิธีแรกไม่ผ่านเลยโน้มตัวเข้าไปใกล้ใบหูแล้วพ่นลมใส่

“คิกๆ อาจิ ฟู่ ~”

“ฮื่อ อย่ายุ่ง!” คนขี้รำคาญยกมือขึ้นปิดหูแล้วพลิกตัวเข้าหาพนักโซฟา ท่าทางเกรี้ยวกราดนั้นทำให้ริวผงะถอยหลังจนเสียหลังก้นกระแทกพื้น ผมรีบเข้าไปดูอาการของลูกพลางกล่าวโทษตัวเองในใจ ถ้าไม่คิดเล่นแผลงๆ ก็คงไม่มีใครเจ็บตัว

“งือ ป๊า... อาจิดุ” ได้ทีฟ้องใหญ่เลย ไอ้ตอนจะแกล้งเขาก็ยิ้มหน้าระรื่นดีอยู่หรอก เด็กหนอเด็ก

“ไม่หรอกครับ ลองปลุกใหม่สิ” ครั้งนี้ผมไม่ได้จะใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการแกล้งน้อง แต่อยากให้มันลุกขึ้นมาคุยเรื่องปัณณ์มากกว่า หายไปไหนของเขา โน้ตสักใบก็ไม่ทิ้งไว้ โทรศัพท์ก็ไม่หยิบไปด้วย อย่าถามถึงโอกาซัง โทรให้สายไหม้ก็ไม่รับเพราะชอบปิดเสียงริงโทน

ริวมองผมสลับกับเอย์จิอย่างชั่งใจว่าควรปลุกอีกรอบหรือเปล่า ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ผงกหัวเป็นเชิงตอบรับก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน ถ้ามันไม่ตื่นคงหูหนวกแน่นอน

“อาจิขี้เซา!” ขี้หูเต้นเลยครับ ส่วนเอย์จินี่สะดุ้งตื่นดีดตัวจากโซฟาแทบทันทีแต่พอมันเบนสายตามาเจอเรียวในสภาพชุดไทยเท่านั้นล่ะ เสียงโวยวายดังมากกว่าหลานตะโกนเมื่อครู่อีก

“ฮะ เฮ้ย อ๊าก ไทยโกสต์ ฮือ โควาอิ!” มันควานมือหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวแล้วนั่งสั่นเหมือนเจ้าเข้าจนผมเผลอหลุดหัวเราะ แต่ริวกลับตกใจที่อยู่ๆ เอย์จิก็โวยวายเสียงดัง

“ป๊า แง!” ริวพุ่งเข้ามากอดกันไว้แน่นก่อนจะร้องไห้โยเยเพราะตกใจ ผมลูบหัวลูบหลังเพื่อปลอบใจ น่าสงสารทั้งคู่แต่ก็ตลก

“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะครับริว”

“ฮึก อาจิเสียงดัง นิฉัยไม่ดี” เสียงอู้อี้ดังขึ้นข้างหูทำให้ผมกระชับอ้อมแขนกอดลูกแน่นขึ้น ส่วนเอย์จิที่เหมือนได้สติกลับคืนมาค่อยๆ ดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้เพื่อมองริวให้ชัดเจน

“นั่นริวเหรอพี่?” เสียงดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าที่ควร แต่พอริวหันหน้าไปมอง คุณอาที่รักถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เออ แกจะตะโกนใส่หลานทำไม?” ผมปล่อยลูกให้เป็นอิสระแล้วใช้สายตาดุมองเอย์จิที่คว้าตัวริวเข้าไปกอด

“โอ๊ย ก็มันตกใจ ดูหลานใส่ชุดสิ นึกว่าเจอดีแต่เช้า” เอย์จิจับชุดริวตรงนั้นทีตรงนั้นทีจนโดนตีมือดังเพี๊ยะ ดูท่าทางจะหวงเอามาก ก็คุณย่าเปย์ให้ทั้งทีนี่นะ หึหึ

“แต่งตัวเข้ากับเทศกาลไง” ผมไขข้อสงสัยให้น้องก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อบิดไล่ความเมื่อยขบสะสม เมื่อคืนเผลอหลับไปทั้งที่ยังนั่งพิงเตียง ตื่นมาก็เจอกุมารทองน้อยนั่งขย่มท้อง แต่ที่น่าแปลกคือผ้าห่มมาอยู่บนตัวได้ยังไง หรือจะเป็นเพราะปัณณ์จัดการให้กันนะ แค่คิดก็รู้สึกอุ่นใจอย่างน่าประหลาด

“ฝีมือโอกาซังแน่ๆ” เอย์จิพึมพำอะไรบางอย่างแต่ผมไม่ได้สนใจฟัง

“แล้วนี่โอกาซังกับปัณณ์หายไปไหน?” ถามออกไปเผื่อจะรู้บ้างว่ามีใครเข้าออกภายในบ้าน อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้ยินเสียงพูดคุยของทั้งสองคนบ้างล่ะ ถ้าเอย์จิไม่หลับลึกน่ะนะ

“ผม... หลับไม่รู้เรื่องเลย ลองโทรหาปัณณ์ดูไหม?” ขอบคุณพ่อน้องชายที่เลือกหลับลึกในวันนี้ทั้งที่ปกติมันจะตื่นขึ้นมาฉี่กลางดึกบ่อยๆ

“ปัณณ์ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป”

“อ้าว คงออกไปซื้อของกันมั้ง” เอย์จิเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วหาวปิดท้าย

“อืม ฝากริวหน่อยสิ พี่จะไปอาบน้ำ” น้องพยักหน้ารับแล้วก้มลงพูดอะไรบางอย่างกับหลาน ผมไม่ทันได้ฟังเพราะรีบไปจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมของทำบาร์บีคิวในมื้อเที่ยงแทนปัณณ์ที่ตอนนี้คงโดนโอกาซังลากไปข้างนอก

ผมหยิบเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงบ็อกเซอร์ง่ายๆ มาใส่ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องก็ต้องผงะถอยหลังเมื่ออีกคนเปิดประตูเข้ามา ปัณณ์อยู่ในชุดที่คล้ายกับริวอย่างกับฝาแฝดแต่ดูหล่อมากกว่าน่ารัก นี่ต้องเป็นฝีมือโอกาซังแน่ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหมาะดี

“ตื่นแล้วเหรอครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมส่งรอยยิ้มให้มันสดใสจนผมรู้สึกว่าวันนี้ต้องมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน

“อืม เราหายไปไหนมาตั้งแต่เช้า หายป่วยแล้วเหรอ?” ผมถามด้วยความเป็นห่วงก่อนเอื้อมมือไปด้านหน้าเพื่อที่จะวัดอุณหภูมิ แต่ปัณณ์กลับเบี่ยงตัวหลบขยับถอยหลังด้วยท่าทีแปลกๆ ช่วงหลังมานี้เหมือนเขาพยายามหนีกัน อยากถามว่าเพราะอะไรแต่ไม่กล้า กลัวความสัมพันธ์ระหว่างเราจะแย่ลงกว่าเดิม

“ดีขึ้นแล้วครับ คุณป้าฝากชุดมาให้” ปัณณ์ส่งถุงกระดาษขนาดใหญ่มาให้ ผมมองมันแล้วขมวดคิ้วแน่น อย่าบอกนะว่าชุดเหมือนปัณณ์ พอชะโงกหน้าไปมองก็พบความจริงคือ เสื้อสีแดงเลยครับมันๆ แววๆ แบบเดียวกันเด๊ะ

“เอ่อ พี่ไม่ใส่ได้ไหม? มันดูเหมือนเจ้าที่” ผมมองหน้าปัณณ์อย่างอ้อนวอนแล้วผลักถุงกระดาษกลับไปให้ เขาแยกเขี้ยวมองด้วยสายตาดุๆ กลับมา โกรธเรื่องอะไรวะนั่น

“ว่าผมเหรอ?” เสียงแข็งเชียว เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว

“เปล่าๆ ปัณณ์กับริวใส่แล้วน่ารัก แต่พี่คงไม่รอด” ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะเหลือบมองชุดในถุงอีกครั้ง คนไม่เคยใส่มันก็ไม่ค่อยมั่นใจแบบนี้ล่ะ ออกมาเป็นตัวตลกคงไม่ดีแน่ๆ

“อ่า... ใส่เถอะครับ เอย์จิก็โดนบังคับให้ใส่เหมือนกัน” ปัณณ์ยัดถุงกระดาษใส่มือผมจนได้ เขาก้มหน้าก้มตาพูดก่อนจะหันหลังให้ คงเขินละมั้งที่โดนชม หูแดงเชียว โคตรน่ารัก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมมองเขาแล้วรู้สึกแบบนั้นทั้งที่เป็นเพศเดียวกัน หัวใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

“โธ่ เทรนด์ชุดย้อนยุคกำลังมาสินะ”

“อื้อ ตามใจคนแก่เขาหน่อยเถอะครับ” ปัณณ์พูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะหมุนตัวเพื่อเตรียมออกจากห้องแต่ผมกลับเอื้อมมือไปรั้งไหล่เอาไว้เพียงเพราะเหตุผลที่ว่าใส่ชุดไม่เป็น

“ครับ?” ปัณณ์เหลียวมามองก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมปล่อยข้อมือขาวแล้วหลบตา ทำไมรู้สึกว่าเหตุผลที่คิดไว้เมื่อครู่มันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อต่อเวลาอยู่ด้วยกัน

“พี่... ใส่ชุดไม่เป็นน่ะ ช่วยหน่อยได้ไหม?” ผมอยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเพราะชุดไม่ได้ใส่ยากเลยแถมโจงกระเบนยังเป็นแบบสำเร็จรูป แต่ปัณณ์กลับคลี่ยิ้มแล้งพยักหน้ารับเหมือนไม่สงสัยอะไรพลางยื่นมือมาขอถุงกระดาษ

“พี่ยูสวมเสื้อทับไปได้เลยครับ แล้วค่อยใส่โจงกระเบนทีหลัง” ปัณณ์บอกวิธีการใส่ที่ผมตระหนักดีอยู่ในใจตั้งแต่ต้น ดวงตาคมแอบไล่มองคนตรงหน้าตั้งแต่ใบหน้าไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึงริมฝีปากที่กำลังเผยอออกเล็กน้อยเพราะอุณหภูมิในห้องเริ่มร้อนอบอ้าวเนื่องจากไม่ได้เปิดแอร์ทิ้งไว้

ทำไมตอนนี้เมื่อผมเผลอสำรวจมองปัณณ์อย่างละเอียดทีไรต้องรู้สึกลำคอแห้งผาดอยู่เสมอ บางครั้งถึงกับอยากกระชากเขาให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดเหมือนเด็กขี้หวงหรือเพราะว่าคำฝากฝังของป่านมีอิทธิพลมากเกินไป คนแก่กำลังสับสนจนหัวแทบระเบิดแล้ว...

“อื้ม” ผมตอบรับทั้งที่สายตายังมีจุดโฟกัสอยู่ที่ใบหน้าหล่อติดหวานของคนตรงหน้า แต่ปัณณ์คงไม่รู้เรื่องเพราะกำลังหยิบเสื้อและโจงกระเบนออกจากถุง ท่าทางที่ตั้งใจทำอะไรสักอย่างดูมีเสน่ห์มากเกินไป ถ้าเป็นผู้หญิงคงไม่ลังเลที่จะหลงใหลเด็กคนนี้

“เดี๋ยวผมจะผูกผ้าคาดเอวให้” ปัณณ์พูดพร้อมกับส่งชุดมาให้ผมทำให้เราได้สบตากันแต่เพียงครู่เดียวเพราะเขาเบนหน้าหลบก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งทิ้งไว้มากดเล่นแทน

ผมลอบถอนหายใจแล้วจัดการใส่ชุดตามขั้นตอนที่ปัณณ์บอกเอาไว้ หางตาก็พลอยเหลือบมองอีกคนเป็นระยะจนเผลอติดกระดุมเสื้อผิดไปหลายเม็ด ก่อนจะได้แก้ไขอะไรเขาก็เงยหน้าขึ้นเห็นเหตุการณ์ทำให้เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังขึ้นอย่างไม่อายใคร โธ่ ขายขี้หน้าชะมัด

“เหม่ออะไรครับพี่ยู? เดี๋ยวผมช่วยดีกว่า” ปัณณ์วางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วจัดการปลดกระดุมออกทีละเม็ดแล้วติดเข้าไปใหม่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมลอบมองทุกการกระทำอย่างตั้งใจ ในใจลึกๆ กำลังสงสัยว่าผู้ชายกับผู้ชายเวลาชอบกันเขารู้สึกยังไง ใจเต้นไหม หรือเขินอาย หลบตา อยากอยู่ใกล้ๆ อยากดูแล

“ปัณณ์...” อยู่ๆ ผมก็หลุดเรียกชื่อน้องโดยไม่ตั้งใจ ปัณณ์ชะงักมือก่อนจะเงยหน้ามองกัน

“ครับ?” เขาตอบรับแล้วจัดการกับกระดุมเม็ดสุดท้าย ตรวจดูความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายก่อนจะผละออกไปหยิบผ้าคาดเอวเพื่อจบการแต่งตัวลุคย้อนยุคนี้

“กับทอย... เป็นยังไงบ้าง?” ทำไมผมต้องถามเรื่องส่วนตัวของน้องตอนนี้ด้วยวะ เป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง

“ก็... ไม่ได้คุยกันตั้งแต่วันนั้นครับ” เสียงปัณณ์ดูเศร้าลงถนัดตาแต่เขาก็ยังทำหน้าที่ผูกผ้าคาดเอวให้ผมอย่างคล่องแคล่ว ตอนที่แขนนั่นโอบเข้าทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดจนเผลอกอดร่างตรงหน้า ทำไมพักหลังๆ ถึงสูญเสียการเป็นตัวเองได้ถึงขนาดนี้ หรือเรากลับมาเจอกันมันมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างนั้นเหรอ

“ไม่ลองมองทอยในรูปแบบอื่นดูบ้างเหรอ?” ที่ถามเพราะอยากรู้หรือเพราะอยากออกปากห้ามกันแน่ ทำไมตอนนี้เหมือนมีเส้นด้ายสีขาวพันกันในสมองจนยุ่งเหยิงไปหมดนะ คิดอะไรไม่ออกเลย

“พี่อยากให้ผมทำแบบนั้นเหรอครับ?” ปัณณ์ละมือออกจากผ้าคาดเอวเมื่อทำการผูกเรียบร้อย สายตาที่มองมานั้นให้ความรู้สึกหวาดหวั่นจนผมไปต่อไม่ถูก

“พี่แล้วแต่ปัณณ์ครับ” ถึงผมจะโตกว่าเขาแค่ไหน บางครั้งก็เกิดอาการโง่ชั่วขณะได้เหมือนกัน

“ใจร้ายจังนะ” เขาพึมพำอะไรบางอย่างก่อนจะหลุดยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยออกมาแต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนใบหน้าเป็นเรียบเฉย

“หืม ปัณณ์ว่าอะไรนะครับ?” ผมถามย้ำเมื่อได้ยินไม่ถนัด มองหน้าเขาแต่ก็โดนหลบตา สถานการณ์ตอนนี้ใกล้เคียงกับคำว่าอึดอัดมากเกินไปแล้ว ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ถามเรื่องทอยตั้งแต่แรก ยับยั้งความอยากรู้ได้คงดี

“เปล่าครับ ออกไปข้างนอกกันเถอะ คนอื่นรออยู่” เป็นปัณณ์ที่เลือกไม่ตอบคำถามแล้วเดินออกจากห้องโดยที่ลืมหยิบโทรศัพท์ ผมมองแผ่นหลังที่ห่างไปเรื่อยๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว ถ้าโดนน้องโกรธคงโทษใครไม่ได้ ปากพาซวยแท้ๆ

เมื่อผมก้าวเท้าออกจากห้องนอนความสงบสุขเมื่อครู่ก็จางหายไปทันทีเพราะทุกคนต่างรอคอยให้พร้อมหน้าเพื่อถ่ายรูปหมู่และรดน้ำดำหัว พอจะปลีกตัวเอาโทรศัพท์ไปให้ปัณณ์หลังเสร็จพิธีก็โดนโอกาซังเรียกคุยเรื่องร้านอาหาร ส่วนริวก็วิ่งไปคลอเคลียคุณน้าสุดที่รักเหมือนแมวน้อย อ้อนเอานั่นเอานี่จนคนมองรู้สึกแปลกๆ แถมยังสับสนคิดว่าตัวเองอยากแทนที่ลูกชายซะเอง ยูกิตั้งสติหน่อยสิวะ

ผ่านไปครึ่งวันแล้วที่ผมได้แต่นั่งมองลูกกับปัณณ์เล่นกันอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้านเพราะยังคุยเรื่องงานไม่จบไม่สิ้นเสร็จจากร้านอาหารต่อด้วยโรงแรม อยากโวยวายกลางวงว่านี่วันหยุดขอพักก่อนได้ไหมก็เกรงใจ แล้วอีกอย่างทำไมต้องรู้สึกอยากวิ่งไปอยู่ตรงนั้นมากกว่า





ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-04-2018 13:05:07
เวลาล่วงเลยจนถึงช่วงเย็น ผมรับอาสาพาเจ้าตัวแสบไปอาบน้ำแล้วให้ปัณณ์เตรียมทำบาร์บีคิวโดยมีเอย์จิและเคียวค่อยช่วยเหลือ ส่วนโอกาซังขอตัวกลับบ้านเพราะรู้สึกปวดหลังเนื่องจากนั่งมาทั้งวันเลยเหลือแต่หนุ่มๆ เพียงสี่และเด็กอีกหนึ่งคนเท่านั้น แต่อย่าหวังจะได้กระดกของมึนเมา งานนี้มีแต่น้ำอัดลมกับน้ำผลไม้ล้วนๆ

ทุกคนผลัดเปลี่ยนกันไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดสบายๆ แล้วออกมานั่งกินบาร์บีคิวที่ริมสระน้ำหลังบ้าน ริวเป็นเด็กติดน้าตามเคย ส่วนผมเป็นพ่อที่แย่เพราะเอาแต่นั่งแช่เท้าแหงนหน้ามองดวงจันทร์อยู่เงียบๆ ปล่อยความคิดและอารมณ์ให้จางหายไปในอากาศ นานครั้งที่จะยกน้ำอัดลมสีดำขึ้นมาจิบเพื่อบรรเทาความกระหาย

“พี่ครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ๆ ก่อนที่เจ้าของจะทิ้งตัวลงนั่งข้างกันในท่าขัดสมาธิ ในมือของเอย์จิมีจานที่บรรจุบาร์บีคิวเกือบสิบไม้ ส่งกลิ่นหอมชวนให้ลิ้มลองแต่ผมกลับไม่รู้สึกอยากกินทั้งที่ท้องก็ร้องไปหลายครั้ง

“ริวล่ะ?” ถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าลูกไปไหน ผมก็แค่อยากทำลายความเงียบก็เท่านั้นเอง จะว่าไปดวงจันทร์คืนนี้สวยดีเพราะเหมือนมีเงาสีดำรูปร่างคล้ายกระต่ายอยู่บนนั้น

“นั่งกินบาร์บีคิวกับปัณณ์อยู่ทางนู้นครับ” เอย์จิวางจานลงบนตักก่อนพยักพเยิดหน้าไปที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่อยู่ห่างไม่เกินสิบเมตร

“รักน้ามากกว่าพ่อแล้วมั้ง” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วละสายตาจากคนทั้งคู่มามองผืนน้ำด้านหน้ามันระยิบระยับเพราะแสงไฟตกกระทบ สวยจนอยากลงไปสัมผัส แต่เกรงว่าเวลานี้คงไม่เหมาะแก่การว่ายน้ำ ถ้าเป็นไข้ขึ้นมาต้องแย่แน่ๆ

“นั่นสิน้า เอาไหมครับ?” อยู่ๆ เอย์จิก็ตั้งคำถามที่กำกวมขึ้นมา ซึ่งผมเองไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเข้าใจว่าน้องคงสื่อถึงบาร์บีคิวในจานแน่นอน

“อืม เอาสิ” ตั้งแต่เริ่มปาร์ตี้กันมาเกือบหนึ่งชั่วโมงผมยังไม่ได้แตะอาหารหลักสักไม้

“ที่ผมถามไม่ได้หมายถึงบาร์บีคิวนี่หรอกนะ” เอย์จิขยับจานหนีแล้วมองกันด้วยใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มบาง ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่น้องต้องการสื่อ

“อะไร?”

“พี่ต้องการปัณณ์ไหมครับ? ถ้าคำตอบคือไม่ผมจะขอ” เอย์จิมีท่าทีจริงจังขึ้นมาเมื่อพูดถึงเรื่องปัณณ์ รอยยิ้มเมื่อครู่หายไปในพริบตาเดียว คำถามของเขาทำให้ผมสะอึก มึนงงและสงสัย

“แกต้องการจะสื่ออะไรเอย์จิ?”

“ผมให้เวลาพี่คิดทบทวนสองวันครับ ไว้ค่อยตอบคำถามนี้แล้วกัน” น้องทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะส่งจานบาร์บีคิวให้แล้วสะบัดตูดเดินหนีไป ผมรีบตะเกียกตะกายลุกตามแต่ไม่ทันแล้วเพราะเอย์จิเข้าไปร่วมวงกับคนที่เหลือ

ให้เวลาในการคิดคำตอบโดยไม่อธิบายคำถามให้ชัดเจน ผมควรจะหันหน้าไปพึ่งใครที่ไหนดีล่ะ

คืนนี้เป็นครั้งแรกที่ปัณณ์จะย้ายไปนอนอีกห้องที่ทำความสะอาดแล้วพร้อมกับเจ้าตัวแสบเพราะไม่ยอมปล่อยน้าชาย ผมอนุญาตแต่โดยดี ส่งทุกคนเข้านอนเสร็จสรรพก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มแล้วข่มตาหลับทั้งที่สมองยังคิดเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำวนเวียนอยู่เหมือนเดิม

สิ่งที่เอย์จิสื่อคือผมต้องการปัณณ์ในฐานะอื่นนอกจากน้องชายหรือเปล่าใช่ไหม... ทำไมต้องถามแบบนั้น แล้วที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ความสับสนที่เกิดขึ้นมันหมายความว่ายังไง

อยากอยู่ใกล้ อยากดูแล อยากสัมผัส เป็นห่วง ไม่เป็นตัวของตัวเอง หงุดหงิดเวลาที่เห็นเขาคุยกับใคร ว้าวุ่นใจ ไม่อยากให้เปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น ตามใจได้ทุกอย่าง ชอบรอยยิ้ม อุณหภูมิร่างกายหรือแม้กระทั่งกลิ่นตัว ถ้ารู้สึกทั้งหมดนี้กับคนๆ หนึ่งมันจะหมายความว่าอะไร ผมโง่เกินกว่าจะตอบคำถาม คือความรักหรือเปล่า เพราะไม่เคยเจอเลยไม่กล้าตัดสินใจ

ผมผุดลุกขึ้นแล้วควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อต่อสายหาผู้ช่วยที่น่าจะชำนาญเรื่องนี้ ดวงตาคมเหลือบมองเวลาก็ได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าให้มันด่าชุดใหญ่เลย นี่ก็เที่ยงคืนกว่าแล้วด้วย... แต่ถ้าให้รอพรุ่งนี้คงไม่ได้ เสียเวลามากไป

รอสายอยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็รับโทรศัพท์ด้วยเสียงกุกกัก

‘ฮัลโหล’ คำทักทายแรกทำให้ผมที่กำลังเคลื่อนตัวไปพิงหัวเตียงชะงักกึก ไม่ใช่เสียงไอ้หมออย่างแน่นอนแต่มันกลับทำให้มุมปากเผยอขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“เดี๋ยวนี้รับโทรศัพท์แทนได้แล้วเหรอ?” ผมถามคนปลายสายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะปนยินดีที่เจ็ทสามารถก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของไอ้หมอทาวน์ได้อย่างเต็มที่สักทีหลังจากที่คบกันมาสิบกว่าปี คนโลกส่วนตัวสูงเข้าถึงยากยังต้องแพ้ลูกอ้อน เชื่อเขาเลย

‘โธ่ ถ้าจะล้อเลียนกันแบบนี้ก็ว่างไปเถอะครับยูกิ’ เจ็ทบ่นเสียงงุ้งงิ้งตามนิสัยจนได้ยินเสียงทาวน์ด่าตามมาแผ่วๆ ผมหลุดหัวเราะอีกครั้งก่อนจะเข้าเรื่องจริงจัง

“ไม่แกล้งแล้วๆ ขอคุยกับทาวน์หน่อย” ผมปรับลมหายใจให้เป็นปกติเมื่อความคิดในหัวเรื่องปัณณ์เริ่มกลับมาอีกครั้ง

‘จะจีบแฟนผมเหรอ?’ ไอ้บ้านี่ก็เล่นไม่เป็นเวลาจริงๆ เลย ผมเลิกแกล้งแต่มันกลับหาวิธีเอาคืน นิสัยเด็กไม่เปลี่ยนแต่มันก็เป็นเสน่ห์ของเจ็ทที่ทำให้ไอ้หมอแพ้มาตลอด เป็นคู่รักที่น่าอิจฉามากเลยล่ะ

“ดุแบบนั้นเก็บไว้ให้นายคนเดียวเลย ไม่อยากแย่ง” ถ้าผมชอบไอ้ทาวน์โลกคงแตกแน่ๆ ใครจะไปทนกับคนพูดน้อยได้วะ บางทีไปหามันที่โรงพยาบาลยังต้องบอกอาการป่วยเองเลย ถามสักคำก็ไม่มี โธ่

‘ว่าแฟนผมเป็นหมาเหรอ?’ รายนี้ก็ช่างมโน ผมพูดอะไรสักคำหรือยัง แต่ก็แอบคิดนะ ทาวน์ดุเหมือนหมาจริงๆ นั่นล่ะ

“คิดเองเออเองว่ะ”

‘โอ๊ยๆ ผมโดนตีแล้วอะยูกิ เดี๋ยวคุยกับทาวน์เลยแล้วกัน’ เสียงดังเพี๊ยะนั่นเดาไม่ยากว่าทาวน์คงฟาดคนปากดีเอาซะเต็มแรงซะแล้ว อยู่ๆ ก็ว่าแฟนตัวเองเป็นหมา สมควรโดน แต่ผมดันหัวเราะไม่ออก เรื่องความรักความชอบทำไมดูยากเย็นสำหรับคนไม่เคยพบเจอขนาดนี้

‘ว่าไง หัดดูนาฬิกาบ้าง’ เสียงทาวน์ดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์ มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าเผื่อว่ามันจะลดความกังวลลงได้ ป่านนี้ปัณณ์หลับไปหรือยังนะ ตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ยังไม่ได้คุยกันสักคำ

“มีเรื่องอยากปรึกษา มึงอย่าดุนักได้ไหม?” ก็รู้ว่ามันดึก แต่ถ้าไม่ร้อนใจคงไม่อยากรบกวนเวลาสวีทหวานของเพื่อนหรอก รู้จักกันมาสิบปียังทำตัวเหมือนพ่อไม่เคยเปลี่ยน นับถือเจ็ทที่อยู่กับมันได้จริงๆ

‘อืม เจ็ทปล่อยก่อน กูจะไปคุยโทรศัพท์’ อยากจะเบ้ปากใส่พวกมันทั้งสองคน ไอ้เสียงกุกกักๆ นี่คือฟัดกันอยู่ใช่ไหม ผมไม่เคยมีโมเม้นท์แบบนั้นกับใครเลย

“พร้อมฟังหรือยัง?” เมื่อผมได้ยินเสียงลมผ่านเข้ามาแทนผมเลยตั้งคำถามกลับไป มันคงออกไปยืนที่ระเบียง

‘เออ ให้เวลาห้านาที’ นี่ผมต้องเสียเงินซื้อเวลาปรึกษานาทีละหนึ่งพันบาทหรือเปล่าวะ

“ใจร้ายว่ะ” ผมบ่นแต่ไอ้ทาวน์กลับไม่สนใจใยดี

‘เหลือสี่นาทีห้าสิบวิ’ ถ้าไม่ต้องพึ่งมันคงด่าไปแล้ว ร้ายจริงๆ

“โอเคๆ คือกูสับสน ไม่เข้าใจว่าตัวเองคิดยังไง รู้สึกแบบไหนกับเขา” ผมบอกสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจออกไปก่อนจะพ่นลมหายใจหนักๆ ปิดท้าย ถ้าความรู้สึกมันยุ่งยากแบบนี้ทำไมมนุษย์ถึงชอบสร้างมันขึ้นมานักล่ะ เพื่อความสุขอย่างนั้นเหรอ... หรือความทุกข์กันแน่

‘มึงควรโทรหาจิตแพทย์ไม่ใช่ศัลยแพทย์’ ไอ้เวรนี่

“เดี๋ยวนี้มีอารมณ์ขันนะ” ผมพยายามเก็บอารมณ์ให้ได้มากที่สุดเพราะเข้าใจว่าเวลานี้ไม่เหมาะกับการนำเรื่องยุ่งยากใจมาใส่หัวเพื่อน แต่มันจำเป็นจริงๆ วะ โทษที

‘มีอะไรก็พูดไวๆ รำคาญเสียงงอแงไอ้เจ็ท’ เพื่อนหวงผัวมากกว่าตัวเอง ควรดีใจไหมหืม... ปากบอกรำคาญแต่จริงๆ ก็อยากกลับไปกอดเขาใช่ไหม คนอย่างไอ้ทาวน์ดูง่ายจะตาย

“อ่า ตอนมึงเริ่มชอบไอ้เจ็ทรู้สึกยังไงวะ?” เผื่อเป็นแนวทางให้ผมคิดอะไรได้โดยไม่ต้องขายตัวเอง

‘บอกกูมาว่าใคร?’ แต่ไอ้หมอกลับฉลาดถามจนผมได้แต่กุมขมับตัวเองแน่น เอาเถอะ มันเป็นคนเก็บความลับเก่ง

“เอางี้เลยเหรอวะ ให้กูเกริ่นหน่อยไม่ได้เหรอ?” ผมพยายามต่อรองแต่เหมือนมันจะไม่เป็นผลเพราะได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอจากอีกฝ่ายบ่งบอกว่าตอนนี้เริ่มรำคาญเพื่อนแทนแฟนซะแล้ว

‘เสียเวลา’ สั้นง่ายได้ใจความจนผมหน้าหงายเลยล่ะ ยอมๆ ตอบคำถามดีกว่า

“เฮ้อ เออๆ น้องเมียอะ” ปลายประโยคแผ่วจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ ผมเผลอขยำชายเสื้อแน่นเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา มันช็อกหรือเปล่าวะ

‘ปัณณ์น่ะเหรอ ไม่แปลกที่มึงจะสับสน น้องน่ารักดี’ คำตอบเรียบง่ายไม่มีการแสดงความตกใจเลยสักนิดถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ผมยิ่งสับสนหนักกว่าเก่า ผู้ชายรู้สึกชอบใครง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“ไม่รู้ว่ะ กูไม่เคยชอบใครแต่อยู่ๆ เสือกรู้สึกแปลกกับปัณณ์”

‘ยังไงบ้าง?’ คุณหมอเริ่มซักถามอาการป่วยของผมแล้วล่ะ...

“ก็ช่วงนี้รู้สึกหงุดหงิดเวลารู้ว่ามีคนชอบเขา อยากดูแลทุกเรื่อง เป็นห่วงปัณณ์มากกว่าเอย์จิ อยากกอด อยาก...”

‘พอ มึงนี่โง่เนอะ จบ MBA เกียรตินิยมได้ยังไง?’ ไอ้ทาวน์เบรกกันไว้ทั้งที่ผมยังสาธยายความรู้สึกไม่จบแถมยังด่าว่าโง่อีก โอเค ยอมรับแบบไม่มีข้อกังขาจริงๆ

“รู้สึกจุกเลยว่ะ” แต่มันก็ตรงไปปะวะ คนไม่เคยต้องไม่ผิดสิ

‘มึงชอบปัณณ์’ เดี๋ยว... มึงไม่ต้องใช้เวลาวิเคราะห์หน่อยเหรอ ผมอาจจะแค่หวงน้องมากเกินไปหรือเปล่า แต่กับเอย์จิทำไม่รู้สึกขนาดนี้ แม่ง ชอบจริงๆ เหรอ นั่นน้องเมียนะ

“อะไรนะ?” ผมถามย้ำเผื่อว่าไอ้ทาวน์จะแก้คำพูดแต่เปล่าเลย ได้ยินแค่เสียงพ่นลมหายใจใส่โทรศัพท์เหมือนคนกำลังโมโห

‘หูตึงเหรอ?’ ด่ากูแก่เลยยังดีกว่า

“กูไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกแบบนั้นกับผู้ชายแถมยังเป็นน้องเมีย” ผมพึมพำเสียงอ่อย จะให้ยอมรับความรู้สึกตัวเองมันเป็นเรื่องง่ายแต่ไม่เข้าใจว่าไปเผลอตกหลุมรักเขาตอนไหน... ผิดศีลธรรมหรือเปล่าวะ

‘ความรักมันเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบนั่นล่ะ ส่วนเรื่องที่ปัณณ์เป็นน้องเมียก็ไม่ต้องกังวล กูเชื่อว่าทุกคนต้องเข้าใจ’ ผมทึ่งกับคำปลอบโยนยาวเหยียดของไอ้หมอมาก นานๆ ครั้งถึงจะยอมพูดมากขนาดนี้ ความรู้สึกชัดเจนขึ้นแต่ความกังวลใจยังไม่หายไป ในเมื่อเราชอบเขามันต้องทำยังไงต่อวะ แล้วปัณณ์ล่ะคิดยังไงถ้าพี่เขยชอบ...

“แต่ว่าปัณณ์...”

‘มึงควรหาวิธีจีบเขาก่อนที่หมาจะคาบไปแดก’ อ้าว ไอ้นี่ ผมยังไม่ทันเริ่มมันก็แช่งกันเลยเหรอวะ แล้วดูคำพูดอย่างกับยูกิเก่งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ นักนี่

“ไอ้หมอ... กูไม่เคยชอบใคร จะจีบยังไงวะ?” คำถามเหมือนเด็กอนุบาลมากไปไหม แต่ผมเริ่มต้นไม่ถูกจริงๆ หรือต้องเดินเข้าไปบอกปัณณ์ตรงๆ ว่าชอบ แต่เขาจะเชื่อเหรอ รู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้วไม่มีเค้ารางเลยสักนิด

‘เอาสมองมึงคิด กูวางล่ะ ไอ้เจ็ทเริ่มโวยวายแล้ว’ มันตัดสายจริงๆ แล้วปล่อยให้ผมตีอกชกลมอยู่คนเดียวเพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง

แล้วผมต้องเริ่มจากตรงไหนวะ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะจีบใครเลยสักคน อายุป่านนี้แล้วต้องใช้วิธีไหนไปสู้กับเด็กๆ ในการพิชิตใจปัณณ์ล่ะนี่ เฮ้อ





---------------------------------------------------

อย่าเทพี่ยูกิของเราน้า คนแก่ก็แค่ไม่เคยรักใครมาก่อนเท่านั้นเอง
ส่วนน้องปัณณ์ก็รอรับมือพี่ยูไว้ได้เลยจ้า

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจเน้อ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 19-04-2018 16:02:56
จีบแบบยูกิสไตลล์ค่ะ ...
ด่วนด้วย อย่ารอ แสดงออกเต็มที่
จะดีถ้าบอกน้องไปตรงๆ น้องจะได้รู้
เอาใจช่วยนะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 19-04-2018 21:27:50
รู้ใจแล้วก็ต้องลงมืิจีบนะยูกิ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-04-2018 23:03:15
พี่ยูสู้ๆ รีบๆจีบน้องได้แล้ว น้องรักพี่มานานแล้ว
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 20-04-2018 00:41:07
 :กอด1:ติดตามคร่าาา
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-04-2018 01:01:57
โอ้ยยย อิพี่แกจะซึนอะไรขนาดน้านนน
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 21-04-2018 08:40:34
อื้อหือ คุณพ่อลูกหนึ่งไม่เคยรักใครและจีบก็ไม่เป็นไร
งานก็เข้าไปตามระเบียบ คนให้คำแนะนำก็พูดทิ้งขว้างมาก
งานนี้ไม่รู้ว่าปัณณ์ต้องหนีไปมีใครจริงจังก่อน พี่ยูถึงจะลงมือหรือเปล่า
ปัณณ์ก็เหมือนเป็นไบโพล่าไปเลย พี่พูดดีด้วยก็ใจฟู
พี่พูดเหมือนอยากให้มีใคร ก็ใจแฟบ

เอย์จิควรเรียกพี่ยูมาจูนความคิดและความรู้สึกใหม่นะ
สองวันเองนะพี่ยู จะรู้ตัวและยอมลุยไหม
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: A_bookworm ที่ 21-04-2018 14:01:47
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 8 : เต้าหู้ญี่ปุ่น... P.1 -19/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 21-04-2018 23:36:40
ถึงกับต้องโทรไปถามหมอทาวน์เลยเหรอ :laugh:
รู้ใจตัวเองแล้วก็รีบๆเดินหน้าจีบได้แล้วพี่ยู  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 9 : ซูชิ P.2 -27/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-04-2018 09:09:47
จานที่ 9 : ซูชิ



จากวันที่ปาร์ตี้ริมสระน้ำผ่านไปแล้วเอย์จิก็ไม่ได้โผล่หน้ามาที่บ้านอีกเลยเหมือนกับว่าโดนใครบางคนสั่งห้าม แต่ผมคงคิดมากไปเพราะไม่มีเหตุผลที่พี่ยูจะทำตัวหวงก้างแบบนั้น ส่วนริวก็ยังคงเป็นเด็กติดน้ามากกว่าพ่ออยู่ดี

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบแปดโมงเช้าที่พี่ยูควรจะตื่นมาทำอาหารแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา ผมอุ้มริวที่ยังงัวเงียออกมาจากห้องเพื่อตรงไปดูอีกคนว่าเกิดอาการไม่สบายหรือเปล่า นี่มันเป็นเรื่องผิดสังเกตเอามากๆ

“หาว ~” ริวอ้าปากหาวหวอดก่อนจะซุกไซร้ใบหน้าลงกับไหล่ สองแขนเล็กโอบรอบคอไว้แน่นเหมือนกลัวตก ผมลูบหลังเจ้าตัวแสบเพื่อกล่อมให้หลับอีกครั้ง ถ้าไม่ติดน้าคงได้นอนบนเตียงสบายๆ ไปแล้ว เด็กหนอเด็ก

ผมยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของหลานก่อนจะหยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้องพี่ยูแล้วยกมือขึ้นเคาะประตู ยืนรอการตอบรับอยู่เกือบหนึ่งนาทีแต่ก็เงียบกริบ ถ้าอย่างนั้นก็ขอเสียมารยาทเข้าไปข้างในหน่อยแล้วกัน จริงๆ แล้วตั้งแต่แยกกันนอนก็รู้สึกเหงายังไงชอบกลทั้งที่มีริวนอนอยู่ด้วย

บนเตียงขนาดคิงไซส์มีร่างสูงใหญ่นอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มไม่รับรู้ถึงการมาเยือนของใครทั้งนั้น ผมวางริวที่หลับสนิทคาไหล่ลงบนที่ว่างก่อนจะย่องไปอีกฝั่งเพื่อสำรวจดูพี่ยูว่าไม่สบายหรือเปล่า นั่งลงข้างเตียงเอื้อมมือไปสัมผัสลมหายใจยังอุ่นด้วยอุณหภูมิปกติ หน้าผากไม่มีความร้อน แต่ทำไมเขายังไม่ตื่น มันน่าสงสัยหรือเมื่อคืนแอบคุยกับสาว... เฮ้อ แล้วปัณณ์จะคิดมากให้ปวดใจทำไมวะ

“อือ” เสียงครางพร้อมกับการขยับตัวทำให้ผมสะดุ้งเฮือกจนหงายหลังลงก้นกระแทกพื้น เจ็บแต่ก็ต้องเม้มปากเพื่อกลั้นเสียงเพราะกลัวว่าพี่ยูจะตื่น ท่าทางตื่นยากแบบนี้คงเพิ่งได้นอนไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว สังเกตได้จากใต้ตาที่คล้ำผิดปกติ

ผมดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วลูบก้นเพื่อบรรเทาความเจ็บก่อนจะเดินอ้อมเตียงเพื่อกลับไปหาริวแต่ข้อมือกลับโดนรั้งเอาไว้แถมยังกระตุกจนตัวหงายลงบนเตียงทับอีกคน ความตกใจทำให้เผลอดิ้นแรงจนโดนแขนแกร่งรวบตัวเท่ากับว่าโดนกอดแบบเต็มๆ บ้าเอ๊ย ทำแบบนี้ให้ปัณณ์หวั่นไหวเพื่ออะไร

“ตะ ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” ผมถามเสียงตะกุกตะกักเมื่อเจอเข้ากับลมหายใจอุ่นที่เป่ารดท้ายทอย แรงดิ้นหนีเหือดหาย หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่ามันจะทะลุออกมาด้านนอก ครั้งนี้ถือว่าเราทั้งคู่เข้าใกล้กันมากเกินไป

“พี่ยังไม่ได้นอนต่างหาก แค่หลับตาเฉยๆ หาว ~” เขาตอบก่อนหาวออกมาพร้อมทั้งกระชับอ้อมแขนกอดกันแน่นขึ้นจนผมเผลอกลั้นหายใจเมื่อแผ่นหลังแนบกับอกอุ่นมากกว่าเดิม อยากหนีแต่ลึกๆ ก็ชอบความใกล้ชิดที่นานครั้งจะพบเจอ ถ้าหากหยุดเวลาไว้ได้คงดีกว่านี้

“ทำไมไม่นอนล่ะครับ ขอบตาเป็นหมีแพนด้าแล้ว”

“นอนไม่หลับน่ะ”

“หืม คิดถึงริวเหรอ?” ก็ริวเล่นตัวติดไปนอนกับผมตั้งแต่วันแรกที่ย้ายห้องจนถึงวันนี้ เกือบๆ หนึ่งอาทิตย์แล้ว

“นิดหน่อย แต่ไม่ใช่สาเหตุหรอก” พี่ยูซบหน้าลงบนแผ่นหลังถูไถเบาๆ จนผมรู้สึกเกร็งไปทั้งตัว ขนอ่อนเริ่มลุกชันจนอยากจะวิ่งหนีแล้วตอนนี้ พยายามดิ้นอีกครั้งแต่ได้ยินเสียงจิ๊ปากเลยต้องหยุดนิ่งเพราะกลัวว่าเขาจะทำอะไรมากกว่านี้ อย่างเช่นถีบตกเตียง...

“อ๋อครับ ตอนนี้ปล่อยผมก่อนได้ไหม?” ผมครางรับก่อนจะร้องขอคนด้านหลังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ความพยายามในการควบคุมการเต้นของหัวใจนั้นพังไปแล้ว ถ้าพี่ยูรับรู้บ้างว่าปัณณ์คิดอะไรคงไม่ทำแบบนี้หรอก

“ไม่อยากปล่อย” คำตอบของพี่ยูยิ่งทำให้ตัวใจเต้นแรงขึ้นอีกระดับ เพราะอะไรถึงไม่อยากปล่อย เพราะอะไรช่วงนี้ถึงได้มีท่าทีแปลกไป ชอบเข้ามาใกล้ พูดจาชวนคิดลึก ดูแลกันดีมากกว่าลูกตัวเองซะอีก จนบางครั้งก็รู้สึกว่าเขาคงมีใจให้ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ

“มันอึดอัดนะครับ” ผมดิ้นอีกรอบแต่ไม่แรงเท่าครั้งแรก พี่ยูส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ ที่รับรู้ได้ก็เพราะเขายังแนบหน้าผากอยู่บนแผ่นหลัง ถ้าเรายังอยู่กันท่านี้อีกไม่นานริวตื่นมาเจอคงแย่ไม่แพ้กับหัวใจของปัณณ์ จะอธิบายหลานว่าอะไร ยากพอๆ กับการล่วงรู้ความคิดของผู้ชายอีกคน

“แต่พี่... คิดถึงปัณณ์” หมายความว่ายังไง ที่บอกว่าคิดถึงนั่นด้วยคืออะไร เราอยู่ด้วยกันทั้งคืนทั้งวันนะ

“.....” ผมเงียบเพราะสมองกำลังคิดหาเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่จะไม่มโนเป็นอื่น ปากบางเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นยิ้มเอาไว้ ตอนนี้สับสนจนไม่รู้ว่าตัวเองควรรุ้สึกยังไง ดีใจ หรือเสียใจ

“ปัณณ์...” เสียงเรียกที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ผมย่นคอหนี มันใกล้จนปลายจมูกของพี่ยูเฉียดข้างแก้ม เงาดำที่ทาบทับลงมาทำให้รู้ว่าตอนนี้เขามองหน้ากันอยู่ ต้องทำยังไงถึงจะซ่อนความกระอักกระอ่วนใจนี้ไว้ได้

“คะ ครับ” จะสำลักอากาศตายอยู่แล้ว ช่วยขยับออกไปห่างๆ ได้ไหมครับ

“พี่มีเรื่องอยากสารภาพ” เสียงของพี่ยูเปลี่ยนไปจากเดิม มันดูไม่สดใสแถมยังสั่นหน่อยๆ เหมือนคนขาดความมั่นใจ ผมหลับตาลงเพื่อสงบอารมณ์พุ่งพล่านภายใน พยายามใช้สติที่มีเหลืออยู่น้อยนิดคุยกับอีกคนให้รู้เรื่อง เขาอยากบอกอะไร มันจะเกี่ยวข้องกับท่าทีแปลกๆ ไหม

“ระ เรื่องอะไรครับ?” เสียงผมก็สั่นไม่แพ้คนที่กอดกันอยู่หรอก รอฟังคำตอบจนเกร็งไปหมดทั้งตัวแม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้า

“งื่อ น้าปัณณ์ไปไหน?” ทุกอย่างสิ้นสุดลงเมื่อเสียงเรียกหาน้าของหลานชายดังขึ้น ผมพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนของพี่ยูอีกครั้งแต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยแถมยังขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแตะลงบนหลังหู ถ้าตอนนี้ต้องวัดอัตราการเต้นของหัวใจคงทะลุร้อยแล้วล่ะ

“อะ ปล่อยผมก่อนครับพี่ยู ริวตื่นแล้ว”

“โธ่... ไอ้ลูกคนนี้” เขาบ่นพึมพำอะไรนิดหน่อยก่อนจะยอมปล่อยให้เป็นอิสระ ผมรีบลุกขึ้นแล้วตรงไปหาริวที่นั่งโงนเงนอยู่อีกฝั่ง พอเด็กน้อยเห็นน้าอยู่ในสายตาก็รีบพุ่งเข้าหาจนหัวชนเข้ากับปลายคาง ดีหน่อยที่แค่เฉียดๆ ไม่อย่างนั้นคงได้ยินเสียงร้องไห้จ้าไปแล้ว

“น้าปัณณ์ หิวจัง งั่ม” เจ้าตัวแสบเกาะเอวผมหนึบแล้วบ่นงอแงว่าหิวข้าวกับหน้าท้องพลางใช้จมูกถูไปมาอย่างออดอ้อน อยู่ๆ ก็เผลอคิดถึงการกระทำของพี่ยูเมื่อครู่ พ่อลูกเหมือนกันเด๊ะเลยแต่ให้ความรู้สึกต่างกันมาก

ผมช้อนตัวริวขึ้นมาอุ้มก่อนจะใช้คางถูกับหัวทุยๆ ด้วยความมันเขี้ยว เจ้าตัวแสบหัวเราะคิกคักหลบซ้ายทีขวาทีจนกลัวว่าท่าไม่ระวังจะตกกลิ้งลงไปบนเตียง ส่วนพี่ยูก็จ้องเราสองคนด้วยใบหน้าเรียบแต่มุมปากกลับมีรอยยิ้ม คิดอะไรอยู่กันนะ

“ตื่นมาก็หิวเลยนะเจ้าตัวแสบ” พี่ยูยันตัวลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเอื้อมมือมาจี้เอวของริว แต่ผมกลับช่วยหลานด้วยการขยับตัวหลบ เหตุผลคือถ้าเจ้าตัวแสบดิ้นก็ต้องใช้แขนพยุงรับน้ำหนักมากขึ้น ตอนนี้อยากสารภาพว่าเมื่อยแล้ว ไม่น่าเล่นอะไรแผลงๆ ตั้งแต่เช้าเลย

“ป๊าตื่นสาย แบร่” ริวไม่วายล้อเลียนพ่อด้วยการแลบลิ้นแล้วใช้มือทั้งสองข้างหมุนไปมาตรงข้างแก้ม ท่าทางน่ารักจนผมอยากก้มหน้าลงไปฟัดให้หนำใจ แต่ติดตรงที่ว่าพี่ยูส่งสายตาดุมาทางนี้ จะโดนด่าทั้งน้าทั้งหลานหรือเปล่าวะ แย่แล้ว

“หัดล้อเลียนเหรอ เดี๋ยวป๊าจะลงโทษด้วยการกัดแก้มนี่เลย” พี่ยูขู่เจ้าตัวแสบแต่สายตาดันโฟกัสมาที่แก้มของผมซะอย่างนั้นทำให้เกิดความขัดเขินขึ้นจนต้องชวนเขาเปลี่ยนเรื่อง ขืนปล่อยให้จ้องกันมากกว่านี้เกรงว่าตัวเองจะละลายกลายเป็นของเหลว

“เอ่อ... เดี๋ยวผมไปทำอาหารเช้าให้ทุกคนก่อนดีกว่าเนอะ” ผมเบนหน้าไปอีกทางก่อนจะวางริวลงบนเตียงเพื่อหนีออกไปข้างนอกแต่เสียงทุ้มต่ำกลับชะงักการก้าวเท้าได้อยู่หมัดพอๆ กับมือเล็กที่เอื้อมมากระตุกชายเสื้อกัน ทำไมขี้ตื๊อทั้งพ่อทั้งลูกเลยวะเนี่ย พี่ป่านดูพวกเขาสิ ร้ายจริงๆ เลย

“พี่ไปช่วยเอง” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจจนชายเสื้อยืดเผยอขึ้นให้เห็นชอบชีสยี่ห้อ Calvin Klein มันโคตรเซ็กซี่และสามารถเขย่าหัวใจผมได้อย่างน่ากลัว จะโทษกันไม่ได้เพราะพี่ยูไม่ระวังตัวเอง

“พี่กับริวไปอาบน้ำดีกว่าครับ ผมทำคนเดียวได้” ผมละสายตาเมื่อรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มร้อนวูบ มือไม้ดูเหมือนจะเกะกะจนไม่มีที่ไว้ที่วางเลยต้องยกขึ้นลูบใบหน้าแทน

“แต่พี่...” พี่ยูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ แต่ผมกลับรีบขัดขึ้นด้วยความรีบร้อนเพราะกลัวว่าเดี๋ยวก็ยอมใจอ่อนอีกตามเคยถ้าเจอลูกอ้อน ส่วนริวน่ะจัดการง่ายแค่เอาเมนูโปรดล่อก็พอ

“จะออกไปสวนสัตว์กันไม่ใช่เหรอครับ ถ้าช้าเดี๋ยวอากาศจะร้อนจนเดินเที่ยวไม่ไหวนะ” วันนี้เป็นวันหยุดของร้านนัทสึและพี่ยูสัญญากับริวไว้ว่าจะพาไปดูเสือที่สวนสัตว์ซาฟารีก็เลยจัดทริปเที่ยวขึ้นมา ในตอนแรกผมปฏิเสธเพราะขี้เกียจแต่สุดท้ายก็ทนมองเด็กน้อยน้ำตาคลอเบ้าไม่ได้ บ้านนี้สอนลูกเป็นนักแสดงหรือยังไง หลอกผู้ใหญ่เก่งชะมัด

“โอเคๆ ครับ เหมือนมีแม่อยู่ด้วยเลย” พี่ยูพยักหน้าตอบรับก่อนจะอุ้มริวขึ้น ผมที่ตอนแรกทำแค่เหลือบตามองกลับต้องหันไปแยกเขี้ยวใส่เขา เรื่องอะไรที่ต้องมายกยอให้เป็นแม่ล่ะวะ ปัณณ์ไม่ได้มีนิสัยเหมือนแม่สักหน่อย ก็แค่พูดด้วยความเป็นห่วงทำไมถึงได้ตีความหมายผิด!

“พี่ยู ผมเป็น ‘น้อง’ นะไม่ใช่แม่” ผมเน้นย้ำคำว่าน้องเป็นพิเศษจนรู้สึกปวดหนึบในอก บางทีเป็นแม่อาจจะดีกว่าล่ะมั้ง ยิ่งอยู่ใกล้หัวใจก็ยิ่งทำงานลำบาก ชาตินี้คงไม่ได้แก่ตายแน่เลย

“แล้วอยากเป็นไหมล่ะครับ?” ใช้น้ำเสียงทะเล้นในการถามแถมยังก้าวขาเข้ามาประชิดตัวกัน ถ้าไม่มีริวขวางป่านนี้คงอกชนอกไปแล้ว ผมล่ะเกลียดทุกอย่างที่ทำให้ต่อมมโนเริ่มทำงานจริงๆ ไม่รู้ว่าบอกตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ความหวังในรักครั้งแรกและครั้งเดียวนั้นจะไม่มีวันเป็นจริงหรอก

“ผู้ชายที่ไหนเขาอยากเป็นแม่กันบ้างวะ?” ผมถามกลับด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งหงุดหงิด เสียใจ และคาดหวังในสิ่งที่จะถูกตอบกลับมา คนที่อยู่ในสภาวะสับสนเขาจัดการอารมณ์ตัวเองด้วยวิธีไหนบ้าง ใครก็ได้ช่วยเล่าสู่กันฟังหน่อย

“แม่ทูนหัวของพี่ไง” เสียงกระซิบข้างหูช่างแผ่วเบา เลื่อนลอยเหมือนอยู่กลางทุ่งหญ้า ดวงตารีเบิกกว้างด้วยความตกใจ ปากบางอ้าพะงาบ สติหลุด สมองหยุดประมวลผล เมื่อครู่นี้ผมมโนไปเองหรือได้ยินจริงๆ ถ้าเป็นเรื่องจริงมันหมายความว่ายังไง แต่ถ้าโดนแกล้งให้เขินจะโกรธสักปีหนึ่ง!

“อะไรนะ!” กว่าจะได้สติถามกลับไปพี่ยูก็อยู่หน้าห้องน้ำเตรียมพร้อมทำธุระส่วนตัวแล้ว เดี๋ยวสิ ยังไม่เคลียร์เลย

“เปล่าครับๆ ริวไปอาบน้ำกับป๊าดีกว่าเนอะ” พี่ยูหันไปคุยกับลูกเพื่อตัดบทสนทนากับผมอย่างแนบเนียน ถ้าตาไม่ได้ฝาดจะเห็นว่าแก้มของเขาขึ้นสีระเรื่ออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไอ้ท่าทางประหลาดๆ นี้มันเกิดขึ้นหลังจากที่เอย์จิเข้ามาป่วนพวกเรา หรือว่าความลับจะแตกไปแล้ว... ไม่จริงน่า เพื่อนคงไม่ทรยศเพื่อนใช่ไหม โอย เกิดเป็นปัณณ์ไม่ง่ายเลยจริงๆ

“น้าปัณณ์ไปด้วยกัน” ริวหันมากวักมือเรียกกันแต่ผมกลับไม่ได้ตอบรับเพราะยังคิดสะระตะเรื่องคำพูดของพี่ยูก่อนหน้านี้ อยากได้ความกระจ่าง อยากถามย้ำ อยากรู้ว่าทำไมถึงทำตัวเปลี่ยนไป เอย์จิพูดอะไรบ้าง หรือเป็นเพราะตัวปัณณ์เองที่แสดงออกเรื่องความรู้สึกมากเกินไปจนทำให้เขาเอะใจ

“ไปกับป๊าดีกว่า เดี๋ยวให้น้าปัณณ์ทำข้าวต้มอู๊ดๆ เนอะ” พ่อเขาเอาของกินล่อลูกเพื่อเปลี่ยนเรื่องแล้วว่ะ ผมอยากจะกราบขอบพระคุณมากที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนใจ เพราะถ้าต้องไปแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันในเวลานี้คงมีคนหนึ่งต้องตายแน่ๆ

“อื้อ ก็ได้ ~” ขอบคุณริวที่เห็นของกินสำคัญกว่าน้านะลูก สัญญาว่าวันนี้จะทำอาหารสุดฝีมือและจะตักหมูให้เยอะๆ ด้วย

ผมสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมองก่อนจะรีบเดินออกจากห้องนอนเพื่อตรงไปยังครัวเพื่อทำข้าวต้มหมู เตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบเรียบร้อยพร้อมลงมือทำแต่ทุกอย่างต้องชะงักเมื่อคำพูดของพี่ยูลอยเข้ามาในความคิดอีกครั้ง ‘แม่ทูนหัว’ หมายความว่ายังไงแค่แกล้งหรืออยากให้เป็นตามนั้นจริงๆ แต่...

ผมเป็นฝ่ายชอบเขา ไม่มีวันที่เขาจะชอบกลับนี่นา เลิกหวังสักทีเถอะ ต้องเตือนตัวเองอีกกี่ครั้ง ฝันก็คือฝัน ความสัมพันธ์ในปัจจุบันที่เป็นอยู่ก็ดีพอแล้ว จงภูมิใจกับมันสิปัณณ์

การทำอาหารนั้นไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น ลืมคนข้าวจนติดก้นหม้อกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งต้องเททิ้งทั้งหมดเพื่อเริ่มทำใหม่ ครั้งนี้พยายามเพ่งสมาธิอยู่กับกิจกรรมตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่จะได้หย่อนก้อนหมูบดลงในหม้อเสียงทุ้มต่ำกับแรงกอดรัดที่ช่วงต้นขาก็เกิดขึ้นพร้อกัน นี่พวกเขาอาบหรือวิ่งผ่านน้ำกันแน่ ทำไมออกมาไวจัง หรือเป็นปัณณ์ที่ทำอะไรเชื่องช้าเอง

“ปัณณ์ครับ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย หมูบดที่ปั้นก้อนอยู่ในมือถูกปล่อยกลับไปในชามตามเดิม ก็ใครใช้ให้พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ กัน ส่วนริวเหมือนจะโดนพ่อไล่ไปดูการ์ตูนรอในห้องนั่งเล่น ไม่เหลือตัวช่วยให้ปัณณ์เลย แย่มาก

“คะ ครับ?” ผมขานรับก่อนจะบังคับมือให้ปั้นหมูบดเป็นก้อนอีกรอบแล้วหย่อนลงให้หม้อข้าวต้มเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง ไม่โฟกัสที่ลมหายใจร้อนๆ ตรงท้ายทอยนั่น ครั้นอยากขยับหนีด้านหลังก็โดนปิด แถมด้านข้างยังมีแขนของพี่ยูกั้นไว้อีกด้วย เพิ่งรู้เดียวนี้เองว่าโดนต้อนจนมุมมันเป็นยังไง

“ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวพี่ทำต่อให้” เสียงกระซิบที่ดังขึ้นข้างหูทำให้ผมย่นคอหนีแล้วปล่อยจวักในมือทิ้ง เขาอนุญาตให้ไปแถมยังเปิดทางด้านข้างอีก ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้วเพราะตอนนี้หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกจุกอก

“อ๋อ อื้อ ฝากด้วยนะครับ” ผมก้มหน้าก้มตาเดินหนีแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาพ้นกรอบประตูห้องครัวก็ได้ยินเสียงพี่ยูรั้งกันไว้ เขาต้องการอะไรอีกล่ะ สนุกนักหนีไงที่เข้ามาใกล้ชิดแช้วทำให้ปัณณ์แสดงอาการแปลกๆ ออกไป

“เดี๋ยว...”

“หืม?” ผมครางรับในลำคอแต่ไม่ยอมหันไปเผชิญหน้า มือทั้งสองข้างบีบกันแน่นเพราะลุ้นว่าประโยคถัดไปที่เขาจะพูดคืออะไร ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้อยากโทรหาเอย์จิแล้วถามความให้กระจ่างไปเลย พี่ยูโดนหลอกให้กินยากล่อมประสาทหรือเปล่าวะ ทำไมดูมึนๆ เบลอๆ ตาหวานเยิ้มขนาดนั้น

“คืนนี้กลับมานอนที่ห้องพี่เถอะ” น้ำเสียงคล้ายต้องการอ้อนวอนนั้นทำให้ผมเม้มปากเข้าหากันแน่น ความสับสนตีตื้นขึ้นในหัวใจจนสมองคิดหาหนทางไม่เจอ ยอมรับว่าทั้งอึ้งและตกใจ แต่ลึกๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดที่พี่ยูไม่เคยเข้าใจกันเลย ยิ่งทำแบบนี้ปัณณ์ก็เหมือนยิ่งมีความหวัง

“ทะ ทำไมล่ะ?” ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วคลายมือออกจากกันเพื่อยกขึ้นลูบหน้าบรรเทาอาการสับสนก่อนจะเอนไหล่พิงเข้ากับกรอบประตู ทอดสายตามองตรงไปเบื้องหน้าที่มีริวนั่งดูการ์ตูนอยู่ตรงนั้น เป็นเด็กก็ดี ไม่ต้องคิดมาเรื่องความรู้สึกให้ปวดหัว

“ไม่อยากนอนคนเดียว” คุณพ่อคงคิดถึงลูกชายสินะ ผมหวังคำตอบแบบไหนอยู่กันแน่

“เดี๋ยวผมคุยกับริวเองครับ ไม่ต้องห่วง” ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อปรับอารมณ์ให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนจะหันไปคลี่ยิ้มให้พี่ยูที่มองมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ ถ้าเป็นเรื่องคุยกับริวคงไม่ยากเกินความสามารถหรอก

“ไม่ใช่” ทำไมพี่ยูต้องขมวดคิ้วทำหน้าเครียดใส่ผมขนาดนั้นด้วย แล้วไอ้ที่ขอกว่าไม่ใช่คืออะไรกัน

“ครับ?” ผมเอียงคอมองอีกคนด้วยความสงสัย รอคอยให้เขาขยายความมากกว่านี้ แต่สุดท้ายพี่ยูก็หันหลังกลับไปทำอาหารต่อแล้วโบกมือเป็นสัญญาณไล่กัน ตอนนี้เราทั้งสองคนกำลังคิดอะไรกันอยู่นะ

“ไม่มีอะไร ไปอาบน้ำเถอะ”

ผมพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไปด้วยสมองที่ว่างเปล่าเนื่องจากคิดอะไรไม่ออก ยืนมองตัวเองอยู่ในกระจกเกือบห้านาทีจนได้ยินเสียงริวร้องเรียกหาถึงได้สติแล้วรีบจัดการธุระให้เสร็จเรียบร้อย แต่ไม่วายลืมแปรงฟันอีก ยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องเดียวเกือบหนึ่งชั่วโมง ปัณณ์หนอปัณณ์ ถ้ากลายเป็นคนไร้สมองไร้ความรู้สึกได้คงดีกว่านี้

ล้อหมุนตอนประมาณเก้าโมงเช้าเพราะกว่าจะจัดที่นั่งได้ลงตัวก็เกือบครึ่งชั่วโมง ริวไม่ยอมนั่งคาร์ซีทจนผมต้องยอมทิ้งพี่ยูเป็นคนขับรถเพื่อเอาใจหลาน ระยะทางจากบ้านไปซาฟารีนั้นไกลพอจะงีบได้เลยแต่อย่าคิดฝันถึงความสงบสุขข้อนั้นเพราะเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังอยู่ข้างหูตลอดเวลา

“โทะระ คิริน ชิมะอุมะ ~” (เสือ ยีราฟ ม้าลาย) ริวส่ายหัวด๊อกแด๊กแล้วท่องชื่อสัตว์เป็นเพลง ผมหลุดหัวเราะกับความร่าเริงนั่นก่อนจะเอื้อมมือไปโยกหัวกลมอย่างมันเขี้ยว บางทีก็แอบอิจฉาพี่ยูที่มีลูกน่ารักแบบนี้เพราะตัวเองคงไม่คิดแต่งงานกับใคร

“ชอบตัวไหนมากที่สุดหืม?” ในขณะที่ริวหันมาสบตาผมเลยตั้งคำถามให้เขาคิด ในตอนแรกดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงร้องอ๋อตามมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแห่งความสุข

“คิริน คอยาวๆ ~” ริวพยายามยืดคอให้เหมือนยีราฟด้วยท่าทางตลกๆ จนผมต้องหลุดขำอย่างช่วยไม่ได้ สายตาเหลือบไปเห็นพี่ยูที่มองพวกเราผ่านกระจกคล้ายอยากมีส่วนร่วม นั่นเลยทำให้แผนการแกล้งผุดขึ้นทันที สงสัยนั่งคนเดียวข้างหน้าคงเหงา

“ป๊าเหมือนคิรินไหม?” ผมก้มลงกระซิบข้างหูแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางเบาะคนขับ พี่ยูขมวดคิ้วยุ่งคงได้ยินคำถามนั้นแล้ว เกิดมาหูดีอะไรตอนนี้ครับ เพลงก็ออกจะดัง เฮ้อ หมดสนุกเลย

“ป๊าเหรอ? เหมือนๆ ตัวสูง ~” เด็กน้อยยิ้มแป้นชี้มือไปที่พ่อของตัวเองอย่างร่าเริง ผมเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นขำ ดูเหมือนพี่ยูจะไม่ชอบยีราฟเพราะลิ้นยาวๆ สีดำน่าขยะแขยง

“โธ่ อย่าเอาพี่ไปเปรียบเทียบกับยีราฟสิครับ” แล้วทำไมต้องหน้างอใส่ผมด้วยล่ะ คนที่บอกว่าเหมือนยีราฟก็ริวไม่ใช่หรือไง

“ไม่ชอบเหรอครับ? ริวอุตส่าห์ปลื้มคุณยีราฟ” ผมถามกลับด้วยรอยยิ้มกว้างไม่แพ้หลานชาย ส่วนพี่ยูไหวไหล่โดยไม่ตอบอะไร ชวนเปลี่ยนเรื่องซะอย่างนั้น

“แล้วปัณณ์ชอบสัตว์อะไรครับ?”

“ผมชอบหมาครับ น่ารักดี” ถ้ามีโอกาสก็อยากลองเลี้ยงหมาดูสักตัว พันธ์เล็กอย่างปอมก็น่ารัก หรือจะพันธุ์ใหญ่อย่างชิบะก็ดูดีไปอีกแบบ มันคือความใฝ่ฝันในวัยเด็กเพราะพี่ป่านแพ้ขนสัตว์ทุกชนิด

“งั้นพี่ยอมเป็นหมาให้ปัณณ์ดีกว่า” หน้าตาและน้ำเสียงที่ดูดีขึ้นคืออะไรวะ ผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดีแล้วนะ

“ทำไมครับ?”

“ก็ปัณณ์จะได้เล่นกับพี่บ่อยๆ ไง” ห๊ะ อายุจะสี่สิบแล้วยังต้องเล่นอะไรอีก

“พี่ยูไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ต้องเล่นด้วยเหรอ?” ผมถามเพราะไม่เข้าใจจริงๆ แต่พี่ยูกลับส่งเสียงหัวเราะให้รู้สึกหวาดกลัว ตกลงความหมายของประโยคเมื่อครู่คืออะไรวะ

“เล่นในแบบผู้ใหญ่ไงครับ” น้ำเสียงทุ้มเจือความสนุกสนานตอบกลับมา แต่ผมไม่เห็นสายตาของเขาขณะพูด ทำไมต้องชวนให้ใจสั่นและคิดลึกอยู่เรื่อย

“ยะ ยังไง?” มันจะเหมือนหนังแบบผู้ใหญ่หรือเปล่าวะ แล้วทำไมผมต้องฟุ้งซ่านขนาดนี้ พี่ยูไม่มีทางคิดเรื่องแบบนั้นแน่นอนเชื่อสิ! ไอ้ปัณณ์หยุดเพ้อเจ้อสักทีเถอะ

“น้าปัณณ์ ริวอยากกินขนม งั่มๆ” บทสนทนาระหว่างเราจบลงเมื่อริวเริ่มงอแงควานมือหาถุงขนมที่หยิบติดมือมาด้วย ผมส่ายหัวไล่ความสับสนออกไปแล้วรีบทำตามที่หลานขอร้อง

“เอ่อ เดี๋ยวน้าแกะให้เนอะ เอาอันไหนดี?” ผมหยิบถุงขนมมาเปิดออกตรงหน้าแล้วให้ริวเลือก เด็กน้อยเอียงคอมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกเสียงใส

“ทูน่าๆ อย่อย” คงหมายถึงขนมปังไส้ทูน่าสินะ

“โอเค” ผมคลี่ยิ้มก่อนจะหยิบถุงขนมปังทูน่ามาแกะแล้วค่อยๆ บิเป็นชิ้นเล็กเพื่อป้อนให้ คนกินดูมีความสุขมากพอปากว่างก็ฮัมเพลง เฮ้อ อิจฉาเด็กจัง

กว่าจะถึงสวนสัตว์เล่นเอาผมหลับพับคาตักหลานไปซะอย่างนั้น ส่วนเจ้าตัวแสบก็ไม่งอแงแถมยังขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิงไปหมด พี่ยูบอกว่าปรามไปหลายครั้งแต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม ดีหน่อยที่น้ำลายไม่ได้หยดใส่หัว... คิดแล้วสยองกลิ่นทูน่าเลย

ผมอุ้มริวลงจากรถแล้วตรงไปที่ช่องขายตั๋วเข้าสวนสัตว์โดนมีพี่ยูเดินตามมาด้านหลัง อากาศร้อนจนต้องหยิบหมวกแก๊ปในกระเป๋าผ้าสวมให้กับเจ้าตัวแสบ กลัวว่าจะงอแงกลับบ้านเพราะไม่สบายตัวเหลือเกิน

“ปัณณ์เดี๋ยวพี่ไปซื้อตั๋วให้” พี่ยูก้าวเท้ามาเดินข้างกันแล้วส่งรอยยิ้มหวานละมุนให้ ไหล่ของเราเสียดสีกันเพราะความใกล้ชิดที่มากเกินพอดี หัวใจเต้นแรงขึ้นตามลำดับ อยากขยับถอยออกมาแต่ลึกๆ กลับรู้สึกดี

“ครับ” ผมตอบรับเสียงเบาพลางก้มหน้าลงมองเด็กในอ้อมแขนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ริวชี้นั่นชี้นี่ด้วยความตื่นเต้นจนพี่ยูหลุดหัวเราะแล้วแยกตัวออกไปเพื่อจัดการหน้าที่ของตัวเอง สายเปย์จริงๆ เชื่อเขาเลย

ผมวางริวลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาถ่ายรูป จัดท่าทางตลกๆ ให้หลานบ้าง เซลฟี่ด้วยกันบ้างเพื่อฆ่าเวลารอพี่ยูที่ไปเข้าคิวซื้อตั๋ว มีหลายครั้งที่อยากเบนกล้องไปทางเขาแต่ก็ต้องตัดใจกลัวว่าจะเอาไปนอนดูทั้งคืน มันอาจมีความสุขอยู่ในมุมคนแอบรักแต่ก็เศร้าไม่แพ้กัน

พี่ยูเดินกลับมาพร้อมตั๋วในมือสามใบ ผมกวักมือเรียกให้เข้ามาร่วมเฟรมเพื่อเก็บภาพสองพ่อลูกเอาไว้เพื่ออวดครอบครัวที่ไม่ได้มาด้วยกันโดยเฉพาะเอย์จิ เขาดันติดงานมาด้วยไม่ได้ทั้งทีนัดกันอย่างดิบดีแล้ว

“นี่ครับ ปัณณ์ถือไว้นะ ส่วนเจ้าริวจะเดินเองหรือให้ป๊าอุ้ม” พี่ยูส่งตัวในมือให้ผมก่อนหันไปถามลูกชายตัวยุ่งที่เต้นดึ๋งๆ เพราะตื่นเต้น เดี๋ยวก็เหนื่อยก่อนได้ดูสัตว์หรอก

“เดินเอง!” เสียงดังฟังชัดพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างมาให้คนเป็นพ่อ ผมแอบถ่ายรูปนั้นแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า

“วันนี้เก่งจังครับ งั้นจับมือป๊ากับน้าปัณณ์ไว้เนอะ” พี่ยูจับมือริวไว้แล้วพยักพเยิดให้ผมเป็นคนจับมือหลานอีกต่อ มันเหมาะสมแล้วเหรอที่เราจะทำแบบนั้น

“มันจะไม่ดูแปลกๆ เหรอครับ?” ผมถามพลางขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเบนสายตามองไปรอบบริเวณที่มีผู้คนประปรายพร้อมเข้าสู่ด้านในสวนสัตว์ บางคนส่งยิ้มให้เราแต่บางคนก็จ้องอย่างกับเจอของประหลาด

“ทำไมล่ะ ก็ดูเป็นครอบครัวดีออก เนอะริว” พี่ยูไหวไหล่ไม่สนใจใครนอกจากพวกเราแค่สามคนแถมยังคง้ามือผมไปจับกับริวอย่างง่ายดายก่อนจะเริ่มพาขบวนเข้าสู่โลกของสัตว์ เดี๋ยวสิ นี่มันเกินความคาดหมายของปัณณ์แบบสุดโต่งเลย เขาทำเพราะอยากให้ลูกมีความสุขหรือเพราะแค่คิดว่าจูงมือกันแบบครอบครัวที่มีพ่อ น้องชาย และลูกไม่มีอะไรมากกว่านั้น

“ใช่ๆ จับมือกัน เดี๋ยวหลงน้า” เสียงเจื้อยแจ้วของริวทำให้ผมถอนหายใจแล้วยอมเดินไปพร้อมๆ กับพวกเขา ทิ้งความคิดมากไว้ด้านหลังแล้วเต็มที่กับการเที่ยวในวันนี้คงดีกว่า ฮึบ!

ด่านแรกไม่ไกลจากประตูทางเข้าคือการขึ้นสะพานไปดูจระเข้ที่นอนนิ่งอาบแดดอยู่ริมสระ ริวเอาแต่เกาะขาผมแน่นเพราะกลัวฟันแหลมๆ ของมัน เราเดินเที่ยวกันไปเรื่อยเข้าซอยนู้นออกซอยนี้ตามแผนที่ที่ได้รับมาพร้อมกับตั๋ว

ริวดูจะได้สัตว์ตัวโปรดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชนิด มันคือคาปิบาร่าหรือคนทั่วไปอาจจะเรียกมันว่าหนูยักษ์เพราะเป็นตระกูลเดียวกันแต่คนละสายพันธุ์ เจ้าตัวแสบเต้นดึ๋งๆ ร้องเรียกให้ผมถ่ายรูปไปหลายชอตจนพี่ยูถึงกับพูดเปรยว่าถ้าที่ไหนขายพวกมันจะยอมซื้อให้เลี้ยงที่บ้าน

ผมถึงกับหลุดหัวเราะก๊ากเพราะเห็นความฉิบหายอยู่รางๆ ขนาดคาปิบาร่าอยู่ในสวนสัตว์ยังวิ่งเร็วจนฝุ่นตลบขนาดนั้นถ้าอยูาบริเวณบ้านสนามหญ้าต้องเละแน่นอน แถมสระน้ำยังมีสิทธิ์กลายเป็นที่แช่ตัวของมัน




ต่อด้านล่างนะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 9 : ซูชิ P.2 -27/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 27-04-2018 09:10:39
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงที่เราเดินเที่ยวกับแบบไม่หยุดพักจนเหนื่อยหอบ พี่ยูร้องขอน้ำเย็นๆ เป็นคนแรกแถมยังบ่นว่าปวดเข่าเลยต้องหาที่นั่งในขณะที่ริวยังงอแงจะไปต่อจนผมต้องเอาไอติมล่อถึงจะยอม

ผมหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋าสะพายข้างแล้วส่งให้พี่ยูก่อนจะเอาที่เหลือกลับมาเช็ดเหงื่อให้เจ้าตัวแสบที่นั่งกินไอติมอย่างเอร็ดอร่อยไม่สนใจใคร แก้มของริวเป็นสีแดงจัดดูแล้วน่ารักจนอดใจไม่ไหวที่จะแอบบีบเบาๆ มันเขี้ยว

“ไปดูแสดงโชว์แมวน้ำกันไหม?” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็ถามขึ้น ผมละสายตาจากริวพร้อมกับขมวดคิ้วเมื่อเจอสายตามองตรงมาที่ตัวเอง

“ถามริวสิครับ ถามผมทำไม” ผมบุ้ยปากไปทางเจ้าตัวแสบแต่พี่ยูกลับคลี่ยิ้มบางแล้วเอื้อมมือไปโยกหัวกลมนั่นเล่นทั้งที่สายตายังโฟกัสอยู่ที่เดิม ตกลงว่าพาใครมาเที่ยวสวนสัตว์กันแน่ ปัณณ์หรือริว งงแล้วเนี่ย

“ก็เผื่อปัณณ์ไม่อยากไปเราจะได้ไปขึ้นรถบัสกันเลย” พี่ยูคงหมายถึงรถบัสชมสัตว์ในพื้นที่เปิดโล่ง

“พี่พาริวมาเที่ยวไม่ใช่ผมซะหน่อย เอาใจลูกเถอะครับ” ผมว่าก่อนจะคลี่ยิ้มให้เขาแล้วหยิบทิชชู่แผ่นใหม่เช็ดคราบไอติมที่มุมปากของริวออก พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านกับการเอาใจใส่เกินความจำเป็นของพี่ยูซึ่งมันดูมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเหมือนอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป

“พี่อยากเอาใจปัณณ์บ้างไม่ได้เหรอ?” ใบหน้าหล่อขยับเข้ามาใกล้จนผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมาบนหัว ประโยคเมื่อครู่ทำให้มือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบขวดน้ำให้ริวหยุดชะงัก

ผมยอมรับว่าตกใจแต่ความอึดอัดที่ก่อตัวมาเป็นเวลาหลายวันนั้นกลับปะทุเพราะทนไม่ไหวต้องหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ขยับตัวห่างออกมาเพื่อรักษาระยะห่างมากพอเพื่อตั้งตัวรับทึกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากถามคำถามที่คิดไว้ออกไป

“ผมถามจริงๆ เถอะ ช่วงนี้ทำไมพี่ยูทำตัวแปลก” พยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุดแล้วทำใจกล้าสบตากับพี่ยูเพื่อค้นหาความจริงที่เขาปิดบังเอาไว้ เขาคุยอะไรกับเอย์จิในวันนั้น ทำไมการกระทำและคำพูดถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้

“ยังไงครับ?” พี่ยูเลิกคิ้วถามเหมือนคนไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้าง แล้วไอ้การที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนเบียดริวเนี่ยมันคืออะไร จะนั่งตักลูกเหรอ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าคำถามต่อไปหรอก

“เหมือนพี่กำลัง... จีบผม” ปลายประโยคเสียงหายไปในลำคอแต่ก็พอจะทำให้พี่ยูได้ยิน ผมหลบสายตาหนีเพราะกลัวว่าคนโดนถามจะชักสีหน้าไม่พอใจใส่หรือมากดว่านั้นคือโกรธ ผู้ชายที่ไหนบ้างจะชอบที่โดนกล่าวหาว่าจีบเพศเดียวกัน ถึงอยากย้อนเวลากลับแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ปากพาซวยแท้ๆ เลยไอ้ปัณณ์เอ๊ย

“อย่างนั้นเหรอครับ?” พี่ยูถอยออกไปแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้ายามเที่ยงวัน รอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากไม่ได้มีความรังเกียจแฝงอยู่แม้แต่นิดเดียว

“ผมคงคิดมากไปเอง เดินต่อเถอะครับ” ผมลุกขึ้นแล้วโน้มตัวลงเพื่ออุ้มริวขึ้นแต่ต้องชะงักเมื่อพี่ยูเอื้อมมือมาจับไหล่กันไว้ก่อน

“ปัณณ์...” เขาเรียกชื่อพร้อมกับเงยหน้าขึ้นสบตา

“ครับ” ผมตอบรับแล้วผละมือออกจากตัวริวเพื่อรอฟังสิ่งที่พี่ยูจะพูด

“พี่กำลังจีบปัณณ์อยู่จริงๆ” ทุกคำที่ออกมาจากปากพี่ยูชัดจนไม่ต้องถามย้ำ ผมผงะถอยหลังด้วยความตกใจ หัวสมองขาวโพลนไร้ความคิด มือไม้อ่อนจนคว้าจับอะไรไม่ได้สักอย่าง ร่างกายร้อนวูบเหมือนมีใครเอาไฟมาเผา ไม่เข้าใจเลยว่าเขากำลังนึกสนุกอะไรอยู่ เล่นกับความรู้สึกอย่างนั้นเหรอ

“นี่... ล้อเล่นกันใช่ไหมครับ?” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะทั้งที่ในใจกำลังสับสน ดวงตาคมของพี่ยูไม่ได้ฉายแววล้อเล่นแต่อย่างใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้เหมือนอยู่ในความฝันหรือว่าอากาศร้อนทำให้คนเพี้ยนไปจริงๆ กันนะ แม้แต่ริวเองยังเอาแต่สนใจสิ่งรอบข้างแทนที่จะงอแงติดน้าอย่างเคย

“พี่จริงจัง” คำยืนยันของพี่ยูมาพร้อมกับรอยยิ้มหวานจริงใจ เขาลุกขึ้นยืนตามผมแล้วอุ้มริวก้าวออกไปจากตรงนี้โดยปล่อยผมให้ยืนอึ้งเพราะคิดหาทางออกไม่เจอ ตกลงว่าเขาชอบกันจริงๆ เหรอ ทำไมมันกะทันหันแบบนี้ ทำไมไม่รู้ตัว... มีแต่คำว่าทำไมเต็มหัวไปหมด

“.....” ผมยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะคิดอะไรไม่ออกทั้งที่ใจอยากถามว่าเขาชอบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงชอบ หรือเพราะอยากลองของแปลกกันแน่แต่ปากกลับไม่ยอมขยับ โธ่เว๊ย พอโดนสารภาพรักมันควรดีใจไม่ใช่เหรอ ทำไมกลายเป็นว่าเกิดความระแวงขึ้นแทน กลัวว่าจะโดนหลอก

“อย่าเพิ่งสงสัยเลยเนอะ ไว้คุยเรื่องนี้ต่อที่บ้าน เดินเที่ยวต่อดีกว่า”

ผมจะขัดอะไรพี่ยูกับริวได้นอกจากเก็บความสงสัยแล้วเดินตามเขาไปต้อยๆ ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ยิ่งได้มองแผ่นหลังกว้างยิ่งอยากเข้าไปกอดแล้วเคลียร์สิ่งที่ค้างคาใจ หลอกหรือจริงจัง ถ้าวาร์ปกลับบ้านตอนนี้ได้ก็อยากถามเรื่องให้กระจ่างทั้งหมด เมื่อไหร่ริวจะง่วงวะ ปัณณ์งอแงแทนหลานได้ไหม!



---------------------------------------------------

พอคุณพ่อเขารู้ใจตัวเองก็รุกหนักเลย
แต่ปัณณ์ค่อนข้างสับสนเพราะไม่คิดว่าความฝันจะเป็นจริง? 5555
รอดูกันต่อไปเนอะว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและคอมเม้นท์น้า ชอบอ่าน มันมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเยอะเลย ♥
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 9 : ซูชิ P.2 -27/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 27-04-2018 12:39:37
พี่ยู รุกหนักมาก หยอดเอาๆ นี่ถ้ายิ่งรู้ว่าปัณณ์แอบชอบพี่แกอยู่แล้ว ไม่ยิ่งลั๊ลลาเลยเหรอนั่น :laugh:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 9 : ซูชิ P.2 -27/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-04-2018 22:21:06
เขาบอกรักกันแล้ววว :hao7:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 9 : ซูชิ P.2 -27/04/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-04-2018 03:24:12
โง้ยยยยย เขินพี้ยู น้องริวรีบๆง่วงเร็วลูกกกก
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 10 : ทาโกะยากิ P.2 -01/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-05-2018 11:06:15
จานที่ 10 : ทาโกะยากิ



ตั้งแต่กลับมาจากสวนสัตว์พี่ยูก็เอาแต่ทำตัวยุ่ง คุยโทรศัพท์บ้าง อ่านเอกสารบ้าง กล่อมลูกนอน เข้าครัวหรือแม้กระทั่งอาบน้ำนานเป็นชั่วโมงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไอ้ผมที่รอถามเรื่องค้างคาก็เอาแต่เดินวนรอบห้องรับแขกจนพื้นจะสึกอยู่แล้ว นี่เขาจงใจหลีกเลี่ยงตอบคำถามหรือเปล่า หรือสำนึกผิดที่แกล้งกันแรงเกินไป

ผมถอนหายใจเฮือกแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาหลับตาลงเพื่อระงับอารมณ์พุ่งพล่านเพื่อรอพี่ยูออกมาจากห้องน้ำ พยายามนับแกะหรือท่องศัพท์ภาษาญี่ปุ่นไปเรื่อยแต่ไม่เป็นผลสำเร็จเมื่อคำพูดเมื่อตอนนั้นลอยกลับมาเข้าสมอง ตกลงว่าเขาจีบกันจริงๆ น่ะเหรอ เพราะชอบกันหรือไปรู้อะไรจากเอย์จิมา หรือแย่หน่อยคืออยากลองของแปลก...

แกร๊ก

เสียงเปิดประตูทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วใช้แขนทั้งสองข้างพยุงตัวลุกแต่กลับโดนแขนยาวๆ พาดทับลงบนลาดไหล่แล้วตามมาด้วยการกระชับกอดรอบคอ ตอนนี้อย่าว่าแต่ขยับไปไหนเลยแค่หายใจยังไม่กล้า พี่ยูกำลังทำบ้าอะไรเนี่ย สงสารหัวใจคนอื่นบ้างหรือเปล่า มันเต้นแรงก็เท่ากับเหนื่อยนะ

“ยังไม่เข้านอนอีกเหรอครับ?” เสียงทุ้มกระซิบถามข้างหูแล้วตามมาด้วยลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่าลงมาให้รู้สึกขนลุกจนเผลอย่นคอหนีแต่ยังไม่กล้าพอที่จะออกแรงให้หลุดจากพันธนาการนี้ ยิ่งเจอกลิ่นสบู่หอมอ่อนๆ มันยิ่งทำให้เคลิบเคลิ้มกว่าเก่า ต้องคอยเตือนสติตัวเองว่ามีเรื่องสำคัญต้องถามพี่ยู

“กะ ก็อยู่เคลียร์เรื่องนั้นไงครับ” เสียงตะกุกตะกักแสดงชัดว่าผมกำลังตื่นเต้นและเชื่อว่าคนด้านหลังก็รับรู้ได้เพราะเขาคลายอ้อมกอดแล้วเดินอ้อมมานั่งข้างกันแทบไม่เว้นระยะห่าง ถ้าขึ้นเกยตักได้คงทำไปแล้ว

“เรื่องไหนเอ่ย?” พี่ยูเนียนพาดแขนมาโอบไหล่กันไว้แต่สายตากลับมองไปด้านหน้าเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไร ผมเหลือบมองเขาก่อนจะเม้มปากแน่นเมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฎอยู่ไม่ไกล พี่ยูกำลังแกล้ง ถ้าไม่ติดว่าปัณณ์กลัวความลับแตกคงโน้มคอเข้ามาจูบแล้ว หมั่นไส้!

“พี่ยู... อย่าแกล้งสิครับ” ผมบอกเสียงดุแล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่เขา ทำไมเวลาอยู่ด้วยกันถึงรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ไร้ทางสู้ แต่พอเวลาตีปีกผจญภัยกลับกลายเป็นเสือล่าเหยื่อ งงจริงๆ

“ก็จำไม่ได้จริงๆ นี่” เขาหันมาคลี่ยิ้มด้วยใบหน้าใสซื่อทำให้ผมต้องหลบสาตาอย่างช่วยไม่ได้ อะไรก็ตามที่ประกอบรวมเป็นเขาสามารถทำให้ปัณณ์ใจสั่นได้เสมอ อย่างเช่นสัมผัสบางเบาที่หัวไหล่... อุ่นจนแทบหลอมละลาย

“เรื่อง... จีบ” แล้วทำไมผมถึงพูดมันออกมาได้แค่ลมล่ะ เสียงหายไปกับความตื่นเต้นหมดแล้วเหรอ

“ไม่เชื่อพี่เหรอ?” พี่ยูเข้าโหมดเคร่งขรึมพลางขยับใบหน้าดุดันเข้ามาใกล้จนผมต้องขยับถอยห่างเพื่อตั้งตัว

“คือมันกะทันหัน แล้วพี่... เป็นผู้ชาย” ผมก้มหน้าลงมองตักเมื่อพูดจบประโยค มันรู้สึกเจ็บแปลบในอกเมื่อคิดว่าพี่ยูนั้นเป็นใคร เพศไหน และมีความสัมพันธ์แลบใดกับตัวเอง คนที่ซื่อตรงในผู้หญิงมาตลอดสามสิบเจ็ดปีจะหันมาชอบผู้ชายได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ ถ้าเกิดเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบสุดท้ายปัณณ์ก็เจ็บไม่ต่างจากเมื่อก่อน

“ปัณณ์ก็เป็นผู้ชายนี่ครับ” เขาย้อนพลางขมวดคิ้วแน่น

“มันไม่เหมือนกัน” ผู้ชายแต่คนละไทป์ปะวะ

“พี่จะชอบใครสักคนไม่เห็นต้องคำนึงถึงเรื่องเพศเลยนี่ครับ” พี่ยูพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติที่สังคมรับได้ แต่คนฟังอย่างผมถึงกับตะลึง

“อะไรนะ?” ผมถามย้ำเพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเข้าใจถูกต้องตรงกันหรือเปล่า ในขณะที่พี่ยูคลี่ยิ้มหวานให้ มันใช่เวลามาทำใจคนอื่นสั่นแบบนี้เหรอวะ

“พี่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเพศครับ” เขาย้ำอีกครั้งอย่างชัดเจนแต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ โธ่เว๊ย ทำไมลำบากขนาดนี้เนี่ย ไอ้เรื่องความรู้สึกน่ะ ง่ายๆ สบายๆ หน่อยไม่ได้หรือยังไง

“ไม่ใช่ ก่อนหน้านั้น” ผมบอกเสียงนิ่งแล้วมองตาเพื่อเค้นเอาคำตอบ รู้อยู่แล้วว่าพี่ยูแกล้งทำเป็นตอบเรื่องนั้น คนฉลาดอย่างเขาน่ะ

“อ๋อ... พี่ชอบปัณณ์ครับ” เขาคลี่ยิ้มกว้างจนตาเป็นขีดก่อนจะล้มตัวลงนอนบนตักของผม ดูพี่ยูทำสิครับ จะให้ใจเย็นอยู่ได้ยังไงล่ะ แต่ต้องใจแข็งดูท่าทีไปก่อน ถ้าเกิดสุดท้ายแล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบจะได้ไม่เสียใจมากกว่าเดิม

“ชอบ... แบบไหน?” ผมยังไม่มั่นใจว่ะ เพราะมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ กับการแอบรักเขามานาน มันไม่เคยมีท่าทีจะเปลี่ยนความสัมพันธ์เลยสักช่วงเวลา แต่ตอนนี้...

“หืม ชอบถึงขั้นจีบมันคือชอบแบบไหนล่ะครับ?” พี่ยูพลิกตัวนอนหงายแล้วยกมือขึ้นแล้วโน้มใบหน้าผมเพื่อให้สบตากัน ก็จริงของเขา ชอบแบบที่อยากจีบมันจะเป็นอย่างอื่นได้ยังไง เอาเป็นว่าขอดีใจสุดๆ ไปเลยแล้วกันหลังจากกังวลมาครึ่งค่อนวัน

“พี่... จริงเหรอครับ?” ผมหมายถึงชอบกันแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม อย่างฟังอีกสักครั้งให้มั่นใจ

“จริงสิครับ เนี่ย ถ้าจีบติดนะ พี่ก็จะได้คุณแม่คนใหม่ของริวด้วยไง” เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะดึงแก้มผมจนรู้สึกเจ็บ ใบหน้าเปี่ยมสุขของพี่ยูบ่งบอกว่าคำพูดทั้งหมดไม่ได้โกหก แต่พอมีชื่อริวเข้ามาแทรกความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด

“พี่ยูไม่กลัวว่าริวจะ...” ถ้าริวรู้ว่าเราสองคนคิดอะไรต่อกันจะรู้สึกยังไง พ่อกับน้ารักกันในเชิงชู้สาวเด็กจะรับได้อย่างนั้นเหรอ สังคมล่ะ ครอบครัวล่ะ

“ถ้าถึงวันนั้นพี่จะเป็นคนอธิบายให้ริวเข้าใจเอง” พี่ยูผละมือออกจากใบหน้าของผมแต่ให้ความมั่นใจโดยการอ้อมแขนกอดรอบเอวไว้พลางซุกหน้าลงกับท้อง โอเคครับ ผมจะตายแล้ว เขินจนไม่รู้จะเอาแก้มไปซ่อนไว้ตรงไหนของบ้านดี เฮ้อ

“คะ ครับ” เสียงสั่นเลยไหมล่ะ พี่ยูจะถูจมูกกับท้องผมทำไมเนี่ย ว๊อย!

“ยังสงสัยอะไรอีกไหม?” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามก่อนก่อนจะลุกพรวดออกจากตักแล้วจ้องหน้าผมในระยะประชิดที่จมูกแทบชนกัน ครั้นอยากขยับหนีก็ติดขอบโซฟาแล้ว สถานการณ์มันตื่นเต้นยิ่งกว่าขึ้นเตียงกับคู่นอนคนใหม่ซะอีก

ผมลังเลว่าควรจะถามสิ่งที่สงสัยมาตลอดเวลาหรือเปล่าเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของคนสองคน เหลือบมองพี่ยูก็เห็นว่ากำลังทำท่าตั้งใจฟัง เอาวะ ยังไงๆ เรื่องราวก็ดำเนินมาไกลกว่าจะหมุนตัวกลับแล้ว ถามให้รู้เรื่องไปเลยดีกว่า

“คือ... พี่ยูยังรักพี่ป่านหรือเปล่าครับ?” ผมก้มหน้าลงเมื่อจบคำถามเพราะกลัวว่าเขาจะโกรธที่ถามถึงอดีตอันไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นครอบครัวริวคงสมบูรณ์กว่านี้

“รักสิ ยังรักแบบเพื่อนอยู่เสมอ” คำตอบนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกรักจริงๆ แต่ผมกลับสะดุดลมหายใจตัวเองเพราะคำว่าเพื่อน สรุปว่าเรื่องที่เคยได้ยินผ่านหูมาเป็นจริงอย่างนั้นเหรอ เขาไม่ได้รักกันแต่แต่งงานเพราะธุรกิจ

“พวกพี่ไม่ได้รักกันจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?” ผมถามพลางแอบมองใบหน้าของพี่ยู เขาคลี่ยิ้มบางก่อนพยักหน้ารับแบบง่ายดาย จะให้โทษเขาทั้งสองคนว่าทำปัณณ์ทรมานมาหลายปีก็คงไม่ได้ในเมื่อเราไม่ได้บอกความรู้สึกกับใครทั้งนั้น

“ป่านบอกปัณณ์แล้วสินะ อืม... ใช่ เราไม่ได้รักกันแบบนั้น” พี่ยูเบนหน้าไปทางอื่นแล้วพึมพำคำตอบออกมา ผมพยักหน้ารับพลางเม้มปากแน่นเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัว ถ้าไม่ได้รักกันแล้วทำไมถึงได้มีเซ็กซ์จนมีลูกล่ะ...

“แล้วทำไมถึงมีริว...” ปลายประโยคขาดหายไปเพราะมีก้อนอะไรบางอย่างจุกขึ้นมาที่อก ความรู้สึกปวดแปลบในใจนี่เกิดขึ้นเพราะอะไรกัน สงสารตัวเองหรือสงสารริว

พี่ยูหันมาสบตากันแล้วเอื้อมมืออุ่นวางทาบทับลงบนหัวก่อนจะออกแรงลูบเบาๆ รอยยิ้มละมุนที่ประดับอยู่บนใบหน้านั้นทำให้รู้สึกว่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่ผมคิด การที่เขาวางแผนมีลูกคงทบทวนมาดีอยู่แล้ว

“เด็กในหลอดแก้วน่ะ เราไม่เคยมีอะไรกัน แต่พี่กับป่านรักริวนะ”

“.....” ผมพูดอะไรไม่ออกเพราะตลอดเวลาเอาแต่คิดว่าพี่ยูกับพี่ป่านรักกันเลยหนีไปทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ย้ายที่อยู่ ติดต่อหาบ้างยามเมื่อคิดว่าถึงคราวจำเป็น จะให้ทนใช้ชีวิตมองพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันคงทำไม่ได้

ช่วงแรกที่ริวคลอดเคยรู้สึกว่าเกลียดเด็กมากด้วยซ้ำเพราะนั่นเป็นเหมือนเครื่องหมายความรักของทั้งคู่ แต่เมื่อคิดได้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลยปรับทัศนคติใหม่จนปัจจุบันกลายเป็นคนหลงหลานไปแล้ว

“เสียใจไหมที่พี่กับป่านไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆ เห็นจากภายนอก” คำถามของพี่ยูนั้นทำให้ผมต้องก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ จะว่าดีใจก็ไม่ จะว่าเสียใจก็ไม่ มันกึ่งๆ กลางๆ จนไม่สามารถอธิบายมาเป็นคำพูดได้ เอาเป็นว่าถ้าเรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดคงดีกว่านี้

“อ่า... ผมคิดอะไรไม่ออกเลยครับ” นั่นคือคำตอบแบบปัดความรับผิดชอบของผม ขอเวลาตั้งตัวกับเรื่องราวต่างๆ ที่เพิ่งรับรู้ความจริงในวันนี้สักหน่อย อีกอย่างต้องคอยรับมือกับวิธีจีบของพี่ยูด้วย ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนและนานแค่ไหน

ไม่ใช่ว่าคนเราจะยอมใจอ่อนให้กับคนที่แอบรักได้โดยง่ายเพียงเพราะว่าเขาชอบเรากลับ มันต้องใช้เวลาพิสูจน์ความจริงใจ ความพยายาม หรือแม้กระทั่งดูว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกของพี่ยูนั้นแค่อารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่า ใครหาว่าปัณณ์เล่นตัวก็ช่างเถอะ ทั้งหมดก็เพื่อความสบายใจ

“อย่าโกรธพวกเราได้ไหมครับ?” พี่ยูผละมือมากุมมือผมเอาไว้แล้วขอร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แววตาที่มองมามีแต่คำขอโทษอยู่เต็มไปหมด อยากบอกว่าไม่ได้โกรธเลยสักนิด แต่ลึกๆ ก็สงสารทั้งคู่ที่ไม่ได้มีความรักอย่างแท้จริง

“ผม...” ผมพูดได้แค่นั้นก่อนจะโดนดึงเข้าไปกอดไว้จนแน่น พี่ยูเกยคางลงมาบนลาดไหล่ก่อนจะพร่ำบอกสิ่งที่คิดออกมา

“ถ้าจะโกรธก็ไม่เป็นไร พี่ให้เวลาปัณณ์กับเรื่องนี้เสมอ แต่เรื่องจีบพี่ถอยไม่ได้หรอก” ทุกคำพูดดูดีหมดแต่ไอ้ตรงประโยคสุดท้ายทำไมมันฟังแล้วรู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ วะ หรือใครแอบเอาไฟมาจุกเผาเราทั้งคู่เพราะกำลังทำบาปต่อพี่ป่าน

“ทำไมครับ?” ผมผลักพี่ยูออกแล้วมองนิ่งเพื่อเค้นเอาคำตอบ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนยกมือหนาขึ้นมาตะปบข้างแก้มกันเอาไว้บังคับให้สบตาหวานๆ คู่นั้น คุยกันธรรมดาไม่ต้องโปรยเสน่ห์สักหนึ่งนาทีได้ไหมล่ะ ตอนนี้ปัณณ์เหมือนคนเป็นไบโพล่าร์เข้าไปทุกที เดี๋ยวสุขเดี๋ยวเสร้า เฮ้อ ต้องโทรไปปรึกษาพี่หมอทาวน์ไหมเนี่ย (ทาวน์ : กูเป็นหมอศัลฯ ท่องไว้ ไอ้ตัวน่ารำคาญทั้งหลาย!)

“คู่แข่งเยอะน่ะสิ ถ้าไม่ทำคะแนนเดี๋ยวจะได้กินแห้ว” พี่ยูทำหน้างอนๆ พลางบีบแก้มผมอย่างมันมือ หงุดหงิดคนอื่นแล้วลงที่น้องได้ด้วยเหรอวะ ไม่ได้ไปขอร้องพวกมันให้มาชอบตัวเองซะหน่อย แค่เริ่มจีบก็ออกอาการหวงแล้วหรือไง แบบนี้ก็เขินสิวะ โอย ผ่านผู้ชายมาก็เยอะ ทำไมต้องมาตกม้าตายเพราะอดีตพี่เขยด้วยวะ โลกนี้ไม่ยุติธรรม!

“ไม่ชอบกินแห้วสินะครับ” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วปัดมือเขาทิ้ง พอได้เห็นสีหน้าบูดบึ้งราวกับเด็กต้อยของพี่ยูก็ต้องรีบเม้มปากไว้เพราะกลัวว่าจะขำเสียงดังกว่าเดิม คนหล่อกลายเป็นคนหน้ายุ่งไปแล้ว

“ถ้าบอกว่าอยากลองกินปัณณ์มากกว่าจะว่าอะไรไหม?” พี่ยูเขาคืนด้วยคำพูดที่ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอกด้านซ้าย เบนหน้าหนีจากสายตาคุกคาม ขยับขึ้นไปนั่งบนที่พักแขนเพราะกลัวว่าเขาจะอ้าปากเพื่อกินกันเข้าไปจริงๆ เห็นเขานิ่งๆ ที่จริงน่ะโคตรหื่น สมัยเรียนช่วงปีหนึ่งปีสองเชี่ยวชาญเรื่องบนเตียงมากด้วย (อันนี้ฟังจากเพื่อนเล่ามาอีกที)

“พี่ยู... รุกกันมากไปไหมครับ?” ผมแยกเขี้ยวใส่ทั้งทีตัวเองคงหน้าแดกเถือกไปถึงหู โธ่เว้ย แพ้คนที่ชื่อยูกิเพื่ออะไรกันวะ

“ก็จะรุกจนกว่าปัณณ์จะรับ” เดี๋ยว รีบเหรอ!

“ระ รับอะไร?” จีบก่อนสิวะ จะล็อกโพสิชั่นแล้วหรือไง ถึงจะเห็นผมขึ้นเตียงกับคู่นอนบ่อยๆ แต่ไม่เคยเป็นฝ่ายรับให้ใครนะเว้ย

พี่ยูคงสังเกตเห็นใบหน้าตื่นตูมของผมเลยขยับออกห่างพอให้มีพื้นที่หายใจสะดวกก่อนจะส่งเสียงหัวเราะร่าเริงออกมา มันมีอะไรให้ตลกตรงไหนวะ ล่าสุดขึ้นเตียงกับกราฟยังบ่นๆ ว่าระบมสะโพกอยู่เลย เป็นฝ่ายรับนี่ต้องใจเด็ดแค่ไหนกันเชียว แค่คิดก็กลัวแล้ว

“รับรักไงครับ คิดอะไรทะลึ่งแน่ๆ แก้มแดงเชียว” อ้าว ฉิบหาย คดีพลิกเฉยเลย สรุปว่าผมคิดลึกไปเองใช่ไหม ไม่สิ พี่ยูแกล้งกันแน่ๆ เดี๋ยวเถอะ จะเหมาไร่อห้วมาให้!

“ไม่คุยด้วยแล้ว ง่วง!” ผมตะโกนบอกแล้วลุกพรวดขึ้นจากโซฟา ใบหน้าร้อนผ่าวลามไปลำคอจนถึงปลายเท้า มือไม้ดูเกะกะไม่มีที่ไว้เลยตกยกขึ้นเกาหัวแรงๆ ถ้าขี้รังแคกระเด็นก็โทษพี่ยูแล้วกัน แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกว่าห้องนอนอยู่ไกลจังวะ ก้าวขาสักทีสิเฮ้ย

“จะไปไหนครับนั่น?” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมกับที่ผมรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวทางด้านหลัง เมื่อคนูเพิ่งก้าวขาไปแค่ข้างเดียวเขาจะรีบทักกันเกินไปไหมวะ

“นอนสิครับ” ผมตอบโดยไม่หันไปนอนแล้วก้าวขาอีกข้างตามแต่ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อโดนโจมตีด้วยคำพูดเข้าไปอีกหนึ่งดอก

“นอนกับพี่สิ” ขอกันแบบนี่เขาไม่เรียกว่าจีบแล้วเว้ย อย่าข้ามขั้นตอนให้มันมากนักสิ คนเขาชอบตัวเองอยู่แล้วเดี๋ยวยอมนอนนิ่งๆ ให้ปล้ำจะทำยังไง

“ไม่ครับ เดี๋ยวพี่หาว่าผมง่าย” ผมพูดตามที่คิด ถ้าเกิดยอมเขาตั้งแต่วันนี้ตามหัวใจเรียกร้องก็เท่ากับว่าเป็นของตายโดยที่ไม่ต้องทำตัวให้น่าเบื่อ ต้องเก็บเรื่องแอบชอบไว้เป็นความลับ ไม่อย่างนั้นพี่ยูจะได้ใจไปกันใหญ่ จากที่เคยพยายามจีบจะเปลี่ยนเป็นพยายามปล้ำกันแทน

“โธ่... พี่ก็อายุปูนนี้แล้ว คิดมุกจีบหนุ่มไม่ออกหรอก” เสียงอออดอ้อนที่ฟังดูแล้วเสแสร้งสิ้นดีทำให้ผมลอบเบะปากก่อนแอบชูนิ้วกลางให้ คนอย่างพี่ยูที่โปรยเสน่ห์ให้ลูกค้าสาวๆ หลงใหลไปทั่วเนี่ยนะจะคิดวิธีจีบใครไม่ออก เชื่อก็ความแล้วครับคุณ ไว้เอาไปหลอกริวเถอะ!

“ไม่เห็นเกี่ยวเลยครับ ถ้าชอบกันจริงยังไงคนเราก็ต้องพยายามจนถึงที่สุดใช่ไหมล่ะ?” เหมือนกับผมที่พยายามเก็บความลับมาทั้งชีวิตแต่โดนเอย์จิจับได้ซะอย่างนั้น เฮ้อ พรุ่งนี้คงต้องโทรหาสักหน่อยแล้ว ไอ้สาเหตุที่กระตุ้นให้พี่ยูเข้าใจความรู้สึกตัวเองมันคืออะไรกันแน่

“ครับๆ ไม่เถียงแล้วครับแม่” พี่ยูเหมือนจะยอมแพ้แต่ไอ้คำเรียกท้ายประโยคมันคืออะไรอีกวะ ใครเป็นแม่กัน

“ผมไม่ใช่แม่” ผมหันไปค้อนใส่เขาวงใหญ่แต่คนโดนกลับยักคิ้วหลิ่วตากวนประกาศ ถ้ากระโดดถีบให้หงายหลังสักครั้งเขาจะเปลี่ยนความคิดที่ชอบกันหรือเปล่า เอาเป็นว่าระงับอารมณ์เพื่อลดความเสี่ยงดีกว่าเนอะ

“แม่ทูนหัว”

โอเคครับ ครั้งนี้ผมทนไม่ไหวจริงๆ จนต้องถอยหลังไปคว้าหมอนอิ้งแล้วปาใส่เขาก่อนจะจ้ำอ้าวออกมาจากตรงนั้นด้วยร่างกายที่ร้อนจนแทบระเบิด เขินเหี้ยๆ เพิ่งเข้าใจคนที่กำลังจะสมหวังในความรักก็วันนี้ล่ะ โอย ความพยายามตลอดสิบกว่าปีไม่สูญเปล่าแล้ว

ผมเข้านอนตามปกติแต่แทนที่จะหลับสบายเพราะไม่ต้องระวังริวกลับกลายเป็นว่าสมองเอาเรื่องพี่ยูมาคิดจนรอยยิ้มบางเริ่มปรากฎบนใบหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกเหมือนตัวเองใกล้เคียงกับคนบ้าเข้าไปทุกที พลิกซ้ายทีขวาทีแต่ทำยังไงก็ไม่เลิกแก้มร้อน โธ่ ปัณณ์อาการหนักเกินเยียวยาแล้ว ก็มันคือรักแรกนี่นา

ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนกี่โมงแต่แสงแรกของวันที่รอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ผมขยับตัวเพื่อบิดไล่ความเมื่อยขบสะสมจากการนอนตะเคียงเข้าผนังทั้งคืน ดวงตากระพริบถึ่ๆ ปรับการมองเห็นก่อนจะพาดแขนไปข้างตัว แต่เดี๋ยว... ทำไมมันมีก้อนอะไรแข็งๆ คล้ายๆ คนนอนอยู่วะ อย่าบอกนะว่าผีหลอกตั้งแต่เช้าที่นอนคนเดียว!

“เฮ้ย!” ผมร้องโวยวายก่อนจะผละตัวหนีเมื่อเห็นว่าใครตอนอยู่ข้างๆ จนพลาดตกเตียงระบมไปทั้งตัวแต่ต้องกลั้นเสียงไว้เพราะกลัวอีกคนจะตื่น ยกมือขึ้นลูบหลังลูบก้นเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด เชื่อว่าตรงมีเนื้อบางส่วนเขียวช้ำแน่ๆ ใครใช้ให้พี่ยูแอบย่องเข้ามาในห้องเนี่ย!

“ปัณณ์ ไปทำอะไรตรงนั้น?” เสียงงัวเงียตามมาพร้อมกับสภาพพี่ยูที่กำลังตาปรือได้ที่กำลังยื่นหน้าพ้นเตียงเพื่อมองกัน ผมยิ้มแหยก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแต่แอบปวดเมื่อยจนเผลอซี๊ดปาก

“ผมต้องถามพี่มากกว่าว่าทำไมมานอนที่นี่ได้” ผมหย่อนก้นลงบนขอบเตียงเป็นจังหวะเดียวกันที่พี่ยูขยับเข้ามาซุกหน้าที่บั้นเอวคล้ายกำลังอ้อน มืออุ่นเอื้อมมาโอบกอดกันไว้ชวนให้เกร็งไปทั้งร่าง เรื่องเก่ายังไม่เคลียร์ทำไมต้องสร้างเรื่องใหม่อีก คิดว่าทำให้หัวใจคนอื่นเต้นแรงแล้วจะให้อภัยเหรอ บอกเลยว่ายาก

“นอนไม่หลับ” เสียงอู้อี้ตอบกลับมาก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงแรงกอดรัดรอบเอวที่เพิ่มขึ้น ในตอนนี้ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าโคตรอึดอัดแต่โคตรรู้สึกดีก็เลยยอมอยู่นิ่งๆ ให้พี่ยูทำตามใจโดยที่ยังคงแสร้งทำเป็นไม่พอใจที่เขาย้ายสำมะโนครัวมานอนด้วย แล้วริวล่ะ?

“มันเกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย แล้วริวล่ะ?” ผมแงะแขนของเขาออกจากเอวแล้วหันไปทำหน้าดุใส่ แต่พอเห็นสภาพหัวยุ่งเป็นรังนกก็อดที่จะขำไม่ได้ จากคุณพ่อที่ดูหล่อเหลาตลอดเวลามาตอนนี้ช่างน่ารักน่าชังเหมือนคนลูกไม่มีผิด จะมีสักกี่คนที่ได้พบเจอมุมนี้ หมดความคูลเลยล่ะ

“ลูกยังหลับอยู่ ไม่ตื่นตอนนี้หรอกครับ” เขาให้คำเรียกแทนตัวริวต่างจากปกติ ทั้งแววตาและน้ำเสียงทุ้มนั่นทำให้ผมเบือนหน้าหนีอย่างช่วยไม่ได้เพราะตอนนี้รู้สึกว่าเขากำลังพูดกับภรรยายังไงไม่รู้ แม่ง... ปัณณ์ต้องจุดธูปขอโทษพี่ป่านอีกกี่ร้อยครั้งถึงจะเลืกรู้สึกผิดเนี่ย

“แต่พี่ก็ควรระวังหน่อยนะครับ เดี๋ยวริวตื่นมาไม่เจอใครจะร้องไห้เอา” ผมเตือนสติเขาเรื่องริวเพราะตามหลักการแล้วเราไม่ควรทิ้งเด็กไว้ที่ไหนคนเดียวนานๆ ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจะทำยังไง ให้ผลิตลูกคนใหม่ก็ทำไม่ได้นะเออ

พี่ยูถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะพยักหน้ารับความผิดครั้งนี้โดยไม่โต้ตอบ เขาพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแล้วโค้งตัวเพื่อขอโทษ ผมส่ายหน้าแล้วคลี่ยิ้มบาง ก็แค่อยากเตือนในระวังมากกว่านี้ อย่าใช้อารมณ์อยู่เหนือทุกสิ่งที่สำคัญกว่า จีบปัณณ์น่ะเมื่อไหร่ก็ได้ไม่หนีไปไหนแน่นอน

“งั้นพี่ขอตัวไปดูลูกก่อน ถ้าปัณณ์ง่วงก็นอนต่อเถอะ” พี่ยูลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันมาคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะหมุนตัวเพื่อเตรียมออกจากห้อง ส่วนผมหยิบผ้าห่มมาสะบัดพับเก็บทำให้อีกคนเหลียวมองกันด้วยใบหน้าสงสัย ขมวดคิ้วจนแทบเป็นโบว์อยู่แล้ว ตลกชะมัด

“เดี๋ยวผมไปเตรียมอาหารเช้าให้ดีกว่า” ผมเดินไปยืนข้างเขาแล้วหันไปยิ้มกว้างให้ก่อนจะก้าวขาต่อเพื่อออกไปช้างหน้าแปรงฟันด้านนอกแต่กลับต้องชะงักกึกเมื่อข้อมือโดนรั้งจากอีกคนที่ยังไม่ยอมขยับไปไหน พอเหลียวไปมองก็พบว่าพี่ยูมีสีหน้าที่อธิบายยาก สันกรามขบแน่นจนขึ้นสันนูน เอ่อ ปัณณ์พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

“ทำตัวน่ารักแบบนี้อยากให้พี่ตายเหรอครับ?” เขากัดฟันพูดแล้วมองกันด้วยสายตาแวววับ ผมรับรู้ถึงความอันตรายแต่ไม่สามารถถอยหนีได้เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมความน่ารักถึงมีอานุภาพรุนแรงขนาดนั้น

แต่ปกติผมก็อาสาทำกับความอยู่ตั้งหลายครั้งไม่เห็เคยชมว่าน่ารัก พอรู้ใจตัวเองนี่พลิกหน้ามือเป็นหลังมือเชียวนะ กลัวจีบไม่ติดหรือกลัวหมาคาบไปแดกกันแน่เนี่ย รุกหนักเกินไปแล้วจริงๆ

“หืม ทำไมต้องตายด้วยล่ะครับ?” ผมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนขยับเข้าไปใกล้พี่ยู จะคิดว่าแกล้งให้เขาลำบากใจมากยิ่งขึ้นก็คงได้เพราะตอนนี้ใบหน้าหล่อเบนหนีไปทางอื่นแล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่

“ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะจีบติด อยากทำอะไรกับปัณณ์มากกว่านี้” พี่ยูพึมพำเสียงเบาแต่ผมได้ยินอย่างชัดเจน เขาต้องการสื่ออะไรกันแน่ ทำไมฟังแล้วไม่เข้าใจวะ

“หมายถึงอะไรครับ?” ผมถามพลางขยับก้าวถอยหลังเพื่อเว้นระยะห่างแต่พี่ยูกลับไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นโดยการกระตุกแขนผมจนลำตัวของเราปะทะกัน ต่อจากนั้นคือโดนรวบกอดจนแน่นหนาจะดิ้นหนีก็กลัวว่าเดี๋ยวพลาดไปโดนปากของเขาที่อยู่ใกล้มากชนิดที่ว่าหายใจรดกันได้

“มันเขี้ยว อยาก...” ใบหน้าหล่อโน้มลงมากระซิบเสียงแผ่วชิดใบหู ผมเบิกตาโพลงก่อนจะออกแรงผลักพี่ยู อยากบ้าอะไรวะ จีบกันไม่กี่วันจะปล้ำกันแล้วหรือไง ปัณณ์ไม่ง่ายนะเว้ย!

“อยากอะไร?” ผมถามย้ำแล้วมองพี่ยูอย่างหวาดระแวง ไม่กล้าเข้าใกล้ในระยะที่เขาจะเอื้อมมือถึงกัน จริงๆ ถ้าเขาคิดจะปล้ำคงไม่มีแรงสู้ ขนาดตัวไม่ได้ช่วยเรื่องกำลังกายเลย

พี่ยูมองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆ ขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ย่างสามขุมเข้ามาเรื่อยจนต้องถอยเท้าจนชนกับขอบเตียงแล้วล้มหงายหลังลงไป ส่วนอีกคนยังตามไม่เลิกถึงขนาดตามมาคร่อมด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม ถ้าปล้ำกันมีถีบจริงด้วย ตอนนี้ปัณณ์ไม่พร้อมรับอะไรทั้งนั้นล่ะเว้ย

“อยากฟัดครับ” พี่ยูเฉลยคำตอบก่อนจะผละออกไปยืนหัวเราะอยากมีความสุขอยู่ไม่ไกล ไอ้ผมที่ช็อกตาค้างเพราะเขาขึ้นคร่อมนั้นตอนนี้ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโห เกลียดตัวเองที่เผลอแสดงความคิดอกุศลออกทางสีหน้าและท่าทาง โว๊ย แบบนี้จะเอาอะไรไปชนะคนแก่วะ

“ปะ ไปดูริวเถอะครับ ป่านนี้คงตื่นแล้ว!” สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับหูหลับตาตะโกนไล่เขาออกจากห้อง ยังดีที่มันได้ผลก็เลยมีเวลานอนสงบจิตใจก่อนออกไปเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคน

ไม่คิดว่าเป็นคนโดนจีบจะเหนื่อยขนาดนี้ หัวใจเต้นแรงชะมัด เฮ้อ

ผมผ่านมื้อเช้าด้วยเมนูง่ายๆ อย่างข้าวผัดไข่ใส่ไส้กรอกกับน้ำซุปผักรวมก่อนลากสมาชิกออกไปเปิดร้านอาหาร พี่ยูเป็นคนขับรถส่วนริวงอแงจะนั่งตักน้าสุดที่รักเหมือนเดิม ตกลงใครเป็นพ่อเจ้าตัวแสบกันแน่หนอ ติดยิ่งกว่าแฟนก็หลานนี่ล่ะครับ

ลองคิดเล่นๆ ถ้าตอนนี้ผมไปจีบคนอื่นซึ่งไม่ใช่พี่ยูแต่เวลาทั้งหมดดันให้ริวทั้งหมด อีกฝ่ายคงส่งแห้วทั้งไร่มาให้ทำทับทิมกรอบกินแน่

วันนี้พี่เคียวมาถึงร้านเป็นคนแรก เขากวาดขยะถูพื้นและจัดโต๊ะอย่างเรียบร้อย เหลือแต่วัตถุดิบทำอาหารที่รอให้พี่ยูลงมือ ส่วนผมกระเตงลูกชายของคนอื่นไปวางในคลอกกั้นเด็ก รื้อหนังสือการ์ตูนออกมาก่อนนั่งลงข้างๆ เพื่อตกลงว่าวันนี้จะทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง ท่องศัพท์หนึ่งคำแลกขนมหนึ่งชิ้นดีไหม ขุนให้อ้วนเป็นหมูไปเลย



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 10 : ทาโกะยากิ P.2 -01/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-05-2018 11:06:33
“วันนี้ริวอยากเล่นอะไรครับ?” ผมเอ่ยถามหลานชายที่ตอนนี้กำลังวุ่นวายกับกล่องน้ำผักผสมผลไม้ที่คนพ่อซื้อให้ดูดก่อนจะมาถึงร้าน ริวชะงักเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นมากันแล้วเอียงคอเหมือนกำลังใช้ความคิด

“งืม... ช่วยน้าปัณณ์” ริวฉีกยิ้มกว้างแล้วทิ้งกล่องนมเพื่อเดินมาหาผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คำตอบนี้เป็นข้อห้ามของพี่ยูเชียวล่ะเพราะมันหมายถึงเจ้าตัวแสบอยากวิ่งเล่นด้านนอก ถ้าไปกวนลูกค้าจะโดนดุไม่น้อยเลย

“เล่นท่องศัพท์ดีกว่า ถ้าริวทำได้น้าปัณณ์ให้ขนม” ผมหยิบขนมปังกรอบสอดไส้ช็อกโกแลตขึ้นมาหลอกล่อ ริวรรบพยักหน้ารับแล้วมองตาเป็นประกายเพราะคือของโปรด

“ท่องๆ เริ่มเยย” ริวกระโดดเหยงๆ แล้วตีมือลงบนแขนผมเบาๆ เพื่อเร่ง ถ้าเป็นเรื่องของกินไม่มีปฏิเสธเลยเด็กคนนี้ แก้มถึงได้ป่องน่ากันขนาดนี้ไงล่ะ หึหึ

ผมรับคำของหลานแล้วควานหาบัตรคำศัพท์ในกระเป๋าเป้เลือกเอาเฉพาะคำที่เกี่ยวกับฤดูกาลมากองไว้รวมกันก่อนที่จะเริ่มภารกิจก็แอบเหลือบมองพี่ยูที่กำลังคุยอะไรบางอย่างกับพี่เคียวตรงประตูครัว คงปรึกษาเรื่องร้านล่ะมั้ง แต่ไอ้การที่ปากสนทนากับอีกคนแต่สายตาดันอยู่ที่อีกคนนี่มันอะไรกัน

เลิกสนใจสายตาหวานเชื่อมของพี่ยูแล้วยกบัตรคำศัพท์อันแรกให้ริวดูรูปหยอดน้ำที่หล่นลงมาจากก้อนเมฆหรือที่เราเรียกกันว่าฝน ซึ่งมันเข้ากับบรรยากาศตอนนี้ทากเพราะด้านนอกกำลังอึมครึมได้ที่ ผ่านหน้าร้อนเข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการแล้วสินะ

“นี่อะไรครับ?” ผมถามหลานแต่สายตากับเหลือบมองพี่ยูอีกครั้ง เขาหายไปจากตรงนั้นแล้ว คงกลับไปเตรียมของสำหรับเปิดร้าน ส่วนพี่เคียวที่ยังยืนอยู่แถวนั้นกลับหันมายิ้มกรุ้มกริ่มให้ ประหลาด... เมื่อครู่เขาคุยอะไรกันวะ

“เรน ~” เสียงใสๆ ดึงสติผมให้กลับไปสนใจริวอีกครั้ง คำตอบเมื่อครู่ถูกต้องแต่ยังไม่ครบตามที่เราตกลงกันไว้ว่าต้องสามภาษา ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น

“ภาษาไทยล่ะครับ?”

“งืม... ฝน”

“ถูกต้องครับ ภาษาญี่ปุ่นด้วย”

“อะเมะ!” ตอบด้วยความมั่นใจพลางฉีกยิ้มหวานเพราะริวรู้ว่ากำลังจะได้กินขนมที่ชอบแล้ว แต่ผมกลับส่ายหัวเป็นการปฏิเสธเพราะคำว่า ‘อะเมะ’ ในภาษาญี่ปุ่นยังมีอีกความหมายซึ่งถือเป็นคำพ้องเสียง

“ริวจำได้ไหมว่า ‘อะเมะ’ แปลว่าอะไรได้อีกบ้าง?” ผมเคยสอนให้เขาท่องจำคำพ้องเสียงพวกนี้ไปด้วยไม่ใช่สักแต่ว่าอยากถามก็ถามสักหน่อย

“งื้อ... อยากกินขนม” แต่ริวกลับเริ่มงอแงเพราะไม่ได้กินขนมสักที ไอ้หมูน้อยเอ๊ย ห่วงกินมากกว่าห่วงเล่นซะอีก อนาคตคงเป็นนายแบบไม่ได้แล้ว

“ถ้าริวตอบได้น้าให้สองชิ้นเลย” ผมเพิ่มจำนวนขนมเพื่อหลอกล่อให้ริวใช้สมองในการคิดหาคำตอบ จากที่เคยหน้าบูดบึ้งตอนนี้กลับตาเป็นประกาย ฉลาดเรื่องกินจริงๆ เลยเด็กคนนี้

“ง่า... ขอคิดก่อนน้า” มีแปะโป้งด้วยเหรอเจ้าตัวแสบ น่ามันเขี้ยวจริงๆ เลย แล้วไอ้ท่าทางยกนิ้วจิ้มข้างขมับเพื่อใช้ความคิดก็น่ารักซะไม่มี

ผมนั่งรอคำตอบโดยการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทวิตเตอร์ที่ช่วงนี้ไม่ได้แตะมันเลยพอๆ กับพี่ยูที่เปิดแอคเค้าท์แล้วทิ้งร้างไว้แบบนั้น แอบส่องแท็กเชฟหล่อบอกต่อด้วยก็ยังมีเจ้าของร้านนัทสึอยู่ในนั้นเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมีริวติดไปด้วย สรุปว่าฮอตทั้งพ่อทั้งลูก มันก็น่าภูมิใจแต่หงุดหงิดมากกว่า

“เล่นอะไรกันอยู่ครับ?” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองก็เจอกับใบหน้าหล่อที่อยู่ห่างออกไปแค่คืบเดียว หัวใจจะวายตาย ใกล้เกินไปแล้ว เกรงใจคนอื่นบ้างสิวะ ลูกก็นั่งหัวโด่อยู่ทั้งคนเนี่ย

“เอ่อ... ทายคำศัพท์ครับ” ผมตอบไม่เต็มเสียงเพราะขยับตัวหนีพี่ยูไปด้วย เขาหลุดหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างกัน เอื้อมมือไปลูบหัวริวแล้วหันกลับมามองกันอีกรอบด้วยสายตาหวานเยิ้ม เกลียดเขาโหมดนี้จริงๆ เพราะพลังทำลายล้างสูงขึ้นเกือบสิบเท่า ใครไม่ตายปัณณ์ตายเอง

“พี่เล่นด้วยได้ไหม?” ขอเล่นทายคำศัพท์ไม่จำเป็นต้องยื่นหน้ามาหายใจรดกันก็ได้ไหม ทำแบบนี้มันคิดลึกไม่รู้หรือไง ปัณณ์น่ะเก่งกับทุกคนแต่อ่อนด้อยกับพี่ยูนะเว้ย แพ้ทุกทางจริงๆ

“เตรียมของเสร็จแล้วเหรอครับ?” ผมเฉไฉไปเรื่องอื่นแล้วหยิบขนมใส่ปากตัวเองแก้เก้อ ได้ยินเสียงริวงอแงที่โดนขโมยของกินแต่ใครจะสนใจในเมื่อตอนนี้โดนมือของพี่ยูเกลี่ยริมฝีปากกันอยู่ แม่ง ถ้าลูกค้าเข้ามาเห็นฉากนี้ต้องบรรลัยแน่ๆ ไม่อยากกลายเป็คนดังภายในหนึ่งชั่วโมงที่เขาถ่ายรูปลงโซเชี่ยลหรอก

“อื้ม” พี่ยูตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะผละมือออกไป ผมลอบถอนหายใจแล้วสัญญากับตัวเองว่าครั้งหน้าจะกินระวังไม่ให้ปากเลอะเป็นอันขาดเพราะมันเหมือนการเปิดทางให้พี่ยูทำคะแนนอย่างง่ายดาย ขืนเป็นแบบนี้บ่อยๆ ปัณณ์คงยอมใจอ่อนให้ในไม่ช้า

“ได้สิครับ” ปากตอบเขาเสียงเรียบแต่หัวใจเต้นแรงมาก จะควบคุมตัวเองได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว แล้วนี่ริวบอกความหมายอีกอย่างหรือยังวะ ไม่ทันได้สนใจฟังเลย

“ขอของรางวัลด้วยนะถ้าพี่ตอบถูก” พี่ยูยกยิ้มมุมปากแสดงความเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างชัดเจนแต่ผมกล้บคิดว่าเขาอยากแย่งขนมลูกกินก็เท่านั้นเลยพยักหน้ารับง่ายๆ

“ได้ครับ เดี๋ยวผมให้ขนม” ล้วงหยิบขนมเต็มห่อขึ้นมาเตรียมไว้แต่พี่ยูกลับส่ายหน้าปฏิเสธ อ้าว ก็ไหนว่าอยากได้รางวัลเหมือนริวไง

“ไม่เอาครับ อยากได้อย่างอื่น” ไม่ต้องใช้เสียงกระซิบได้ไหมล่ะครับคุณพ่อ มันชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

“จะเอาอะไรครับ?” ผมทำใจดีสู้เสือถามออกไปตรงๆ ทั้งที่ในใจเริ่มหวั่น สิ่งที่เขาอยากได้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนเพราะสายตาที่มองมานั้นโคตรเจ้าเล่ห์ คล้ายอยากกลืนกินเข้าไปทั้งตัว

“หนึ่งข้อต่อหนึ่งจุ๊บ”
นั่นไง กูว่าแล้ว ถ้าซื้อหวยถูกแบบนี้บ้างจะเอาเงินไปเปย์รถใหม่!

“ถ้าพี่กล้าทำต่อหน้าริวก็ลองดูครับ” ผมท้าอย่างผู้เหนือกว่าแล้วอุ้มริวออกมาจากคอกกั้น ทุกอย่างมันจะดีกว่านี้ถ้าไม่ได้รู้สึกว่าแก้มร้อน... เสียท่าให้พี่ยูจนได้!

“กล้าสิครับ ระดับนี้แล้ว” ขนาดมีริวนั่งอยู่ตรงกลางเขายังไม่วายขยับตัวเข้ามาประชิดจนปลายจมูกแทบแตะกัน นี่มันรุกหนักเกินไปไหม กะว่าจีบอาทิตย์เดียวได้เป็นแฟนเลยหรือยังไงกัน

“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะครับ อยู่ๆ ก็ปวดท้อง” ผมส่งริวให้กับเขาแล้วลุกพรวดขึ้นเดินหนีไปทางห้องน้ำ ได้ยินเสียงหัวเราะตามท้ายมาก็ได้แต่ยกมือขึ้นตีหน้าผากซ้ำๆ เกลียดความโง่ของตัวเองเหลือเกิน ทำอะไรก็มีพิรุจไปหมด เหตุผลส้นตีนมาก เฮ้อ

วันนี้ผ่านไปด้วยความรู้สึกไม่ปกติสักเท่าไหร่เพราะผมแทบจะมีหน้าที่เป็นช่างภาพมืออาชีพ เดี๋ยวลูกค้าคนนั้นขอให้ถ่ายรูปพี่ยูกับตัวเองบ้าง อุ้มริวมาเข้าเฟรมบ้าง มีเกาะแขน โอบไหล่ แตะเนื้อต้องตัวสารพัดท่าโพสต์ ถ้าปัณณ์ได้เลื่อนสถานะเมื่อไหร่อย่าหวังเลยไอ้การกระทำแบบนั้นน่ะ พ่อจะไล่ออกจากร้านให้หมด ที่นี่ขายอาหารไม่ใช่ผู้ชาย ดูได้มืออย่าต้องของจะเสีย!

ผมถอดผ้ากันเปื้อนพาดไว้กับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วปาดเหงื่อตรงหน้าผากออกเพราะเพิ่งช่วยพี่เคียวเก็บโต๊ะเสร็จ พี่ยูอุ้มริวที่ยังคงหลับปุ๋ยลงมาจากชั้นบนเพื่อเตรียมกลับบ้าน ระหว่างทางคงต้องแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตเนื่องจากขาดวัตถุดิบทำแกงเขียวหวานไก่ (พี่ยูเรียกร้องอยากกินคืนนี้)

Rrrrr

เสียงริงโทนทำให้ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวไปเอากระเป๋าเป้ มือข้างหนึ่งล้วงหยิบมันขึ้นมาดูว่าเป็นใครติดต่อมา ชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอทำให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอัตโนมัติ ไหนบอกว่ามีติดงานที่ญี่ปุ่น ทำไมเบอร์ถึงเป็นของไทย งงในงงว่ะ

ผมเลื่อนหน้าจอเพื่อรับสาย ยังไม่ทันกรอกเสียงลงไปปลายสายก็โผลงขึ้นมาก่อน ดังจนริวที่หลับอยู่บนบ่าของพี่ยูถึงกับสะดุ้ง หูกูจะแตกไหมเนี่ยเอย์จิ

‘มาหาที่สนามบินหน่อย มีเรื่อง!’

เดี๋ยวๆ เฮ้ย บอกแค่นั้นแล้ววางสายไปเลยคืออะไรวะ โทรกลับก็ไม่มีคนรับ เพิ่งมีชีวิตสงบได้ไม่กี่วันเอง โอย ผมขอลาออกจากการเป็นปัณณ์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!



-------------------------------------------------

หัวใจจะพังเพราะมุกหยอดของพี่ยูนี่ล่ะฮะ ไม่พักให้ปัณณ์หายใจเลย
1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 10 : ทาโกะยากิ P.2 -01/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 01-05-2018 16:42:11
พี่ยูรุกหนักไปไหน  :-[
รอตอนต่อไปนะคะ เกิดอะไรขึ้นที่สนามบินนะ อยากรู้ๆๆๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 10 : ทาโกะยากิ P.2 -01/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: goosongta ที่ 01-05-2018 21:30:14
พี่ยูสู้ๆ ถ้าได้รู้ว่าปัณณ์แอบรักตัวเองมานานขนาดนี้จะทำยังไงนะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 10 : ทาโกะยากิ P.2 -01/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-05-2018 21:42:29
ส่งสายตาดาเมจขนาดนี้ ไปไหนไม่รอดหรอกจ้า~
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 10 : ทาโกะยากิ P.2 -01/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 01-05-2018 23:02:14
พี่ยูรุกหนักมาดจริงๆ ส่วนเอย์จิมีเรื่องอะไรล่ะนั่น
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 11 : ซาซิมิ P.2 -07/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 07-05-2018 09:53:13
จานที่ 11 : ซาซิมิ



“เอย์จิแม่ง...” ผมสบถคำหยาบออกมาเมื่อพยายามติดต่อกลับไปหาอีกคนแต่ไม่ยอมรับสายเลย ตกลงว่ามีเรื่องอะไรที่สนามบินกันแน่ น้ำเสียงเมื่อครู่ก็ดูร้อนรนผิดวิสัยคนเอาตัวรอดได้ดี โอย จะบ้า

“มีอะไรหรือเปล่า ขมวดคิ้วยุ่งเชียว” พี่ยูเอ่ยปากถามพลางสละมือข้างหนึ่งมาคลึงหว่างคิ้วให้ด้วยความเป็นห่วง ผมพ่นลมหายใจออกแล้วขยับปากบอกเรื่องเมื่อครู่ให้ฟัง

“เอย์จิบอกว่าให้ผมไปหาที่สนามบิน เหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น” ผมขมวดคิ้วอีกครั้ง พยายามกดโทรศัพท์ติดต่ออีกฝ่ายใหม่แต่ผลก็เหมือนเดิม ไม่มีใครรับทั้งที่สายว่าง เอย์จิไปพกระเบิดขึ้นเครื่องหรือยังไงวะ ถ้าพวกเราไปถึงแต่เจอเรื่องไม่เป็นเรื่องจะเตะให้ก้นช้ำเลย ทำคนอื่นเป็นห่วงแล้วหายตัวไปแบบนี้ได้ยังไงกัน

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปด้วย” พี่ยูบอกเสียงเรียบแต่ใบหน้าแสดงความเป็นห่วงน้องชายอย่างเห็นได้ชัด ผมชะงักมือที่กดโทรศัพท์เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะหยุดที่ริว หลานง่วงจนตาเหลือขีดเดียวแล้ว ทำไงล่ะทีนี้

“แล้วริวล่ะครับ?” ผมมองตาพี่ยูเพื่อหาตัวช่วยจนเขาเบนหน้าไปทางพี่เคียวที่ยืนเลือกคิ้วไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ตรงประตูร้าน

“ริวอยู่กับอาเคียวก่อนได้ไหมครับคืนนี้?” พี่ยูก้มลงไปถามเด็กในอ้อมแขนด้วยเสียงนุ่มนวล ริมเงยหน้าขึ้นมองพ่อพลางขมวดคิ้วยุ่งก่อนเอื้อมมือไปแตะแก้มกร้าน

“ป๊าจะไปไหนอ่า?” กระพริบตาปริบๆ อย่างน่าเอ็นดูใส่พ่อด้วยว่ะ โคตรน่ามันเขี้ยว

“มีธุระด่วนมากๆ เลย” พี่ยูยังคงพยายามหลอกล่อลูกต่อไปโดยที่ผมยังไม่ยอมละสายตาจากเขา ส่วนพี่เคียวก็ยืนเกาหัวแกรกๆ เพราะรอว่าพวกเราจะเอายังไงกันแน่ ยิ่งคุยเวลาก็ยิ่งผ่านไป ดึกจนเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา ที่จริงอยากกลับบ้านมากกว่า

“งืม... ริวอยู่กับน้าปัณณ์ไม่ได้เหรอ?” ไหงหวยมาออกที่ผมล่ะ โธ่ อยากส่งพี่ยูไปแทนแต่ก็กลัวเอย์จิโกรธเพราะปกติแล้วเวลามีปัญหาเขาก็ไม่เคยโทรหากันตรงๆ แบบนี้

“น้าปัณณ์ต้องไปกับป๊าครับ ไว้จะซื้อขนมมาฝาก ดีไหม?” ผมนับถือพี่ยูที่สามารถเข้าของกินหลอกลูกได้ตลอดเวลาทั้งที่ความจริงแล้วเขามักจะซื้อพวกธัญพืชให้มากกว่า ขนมกรุบกรอบทั่วไปนี่อย่าหวัง

“โอเคฮับ” เด็กน้อยยิ้มกว้างให้คนเป็นพ่อก่อนจะยืดตัวหอมแกเมื่อได้ขนมเป็นของแลกเปลี่ยน พี่ยูหัวเราะก่อนเดินตรงไปหาพี่เคียวแล้วส่งริวให้

“ฝากริวด้วย”

“ได้ จะให้นอนกับกูเลยใช่ไหม?” พี่เคียวฟัดแก้มหลานอย่างมันเขี้ยว ดูเขามีความสุขที่ได้เลี้ยงเด็ก ก็คนมีลูกแล้วนี่เนอะ

“ตามนั้น ไปล่ะ” พี่ยูตบไหล่เพื่อนแล้วบอกลา ก้มลงหอมหัวริวก่อนจะหันมาจับมือผมออกไปจากร้าน เหลือบตาไปเห็นพี่เคียวยิ้มกริ่มก็อยากเอาหน้ามุดถนนหนี ทำไมถึงได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้วะ นี่บอกคนอื่นมาจีบปัณณ์อยู่ใช่ไหม

ผมไม่ได้สะบัดมือพี่ยูทิ้งเพราะรู้สึกดีและเป็นชั่วโมงเร่งรีบ เขาประจำที่คนขับแล้วออกรถตรงสู่สนามบิน เอย์จิยังคงไม่รับโทรศัพท์เหมือนติดต่อมาจบก็ตายไปเลย มันไม่คิดว่าคนอื่นจะกังวลบ้างหรือไง ยิ่งได้ยินเสียงโวยวายดังเป็นแบ็คกราวน์ยิ่งคิดไปในทางที่ดีไม่ได้ หรือท้าต่อยกับคนแถวนั้นวะ โอย สมองบวมแล้วกู

“ปัณณ์” พี่ยูที่เหยียบคันเร่งจนเลขไมล์สูงเป็นตัวเลขร่วมร้อยเรียกชื่อกันในขณะที่ผมพยายามทั้งโทรและส่งข้อความไปหาเอย์จิ นิ้วเรียวชะงักกึกก่อนจะหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ครับพี่”

“เอย์จิบอกหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร?”

“ไม่ครับ บอกให้ไปหาแล้วก็วางสายเลย ผมโทรไปก็ไม่รับ” ผมบอกด้วยเสียงร้อนรน อยากได้ประตูโดราเอม่อนฉิบหาย วาร์ปไม่ถึงห้าวินาทีก็ถึงที่หมายแล้ว

“อย่าให้เจอตัว พี่จะเขกหัวให้กบาลแยก” พี่ยูขบกรามแน่นทุบมือลงบนพวงมาลัยจนผมเผลอสะดุ้ง นี่ล่ะคนใจดีเวลาโมโหน่ากลัวกว่าเสือซะอีก ได้แต่ภาวนาให้เอย์จิรอดพ้นจากการโดยฆ่าด้วยเถอะ

“ใจเย็นๆ ครับ” ผมเอื้อมมือไปแตะไหล่คนขับเพื่อปลอบให้เขาใจเย็นลง ดวงตาคมเหลือบมองครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ สีหน้าแสดงทั้งความหงุดหงิดและความเป็นห่วงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าโน้มตัวเข้าไปหอมแก้มจะสงบลงหรือเปล่านะ... แล้วทำไมต้องมานั่งคิดอกุศลตอนนี้ พี่ยูจีบกูห้ามรุกเองสิวะ

“กล้าดียังไงมาทำให้ปัณณ์ของพี่เป็นกังวล” พี่ยูบอกเสียงฉุนแล้วคว้ามือผมไปจับไว้แน่น ครั้นจะดึงออกก็โดนกระชับบีบจนขยับไม่ได้ แก้มร้อนหูร้อนไปหมดแล้วกู สาบานว่าตอนนี้เครียดเรื่องเอย์จิอยู่ อยากจะว้ากให้รถพังจริงๆ ทำอะไรของเขาเนี่ย

“จะหยอดทุกสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้นะครับ” ผมพึมพำเสียงเบาแล้วถลึงตามองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างเอาเรื่อง ดีหน่อยที่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนคงไม่เห็นสีแก้มระเรื่อนี่หรอก แล้วมือน่ะแทนที่จะปล่อยกลับประสานแนบชิดกว่าเดิม พี่ยูไม่เขินแต่ปัณณ์ใกล้ตายแล้ว เพิ่งรู้ว่าเขินแทบขาดใจเป็นยังไงก็คราวนี้ล่ะ

“ขนาดหยอดทุกวันยังจีบไม่ติดเลย” เสียงอ่อยจนผมใจกระตุกเลยเหอะ ไอ้กำแพงที่สร้างขึ้นสูงจรดฟ้าเนี่ย ตอนนี้ความสูงเหลือแค่เอวแล้วมั้ง โธ่ ไอ้ปัณณ์ ใช้เวลาดูความจริงใจของพี่ยูมากกว่านี้ไม่ได้หรือยังไง

“รู้ได้ไงว่าจีบไม่ติดครับ” ผมพูดให้พี่ยูตกใจเพื่อจะดึงมือที่ถูกกอบกุมออกและมันก็ได้ผลดีเกินคาดเพราะเขาถึงกับเหยียบเบรกจนหัวทิ่ม ดีหน่อยที่เวลานี้ถนนไม่ค่อยมีรถวิ่งเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงท้ายบี้ไปแล้ว

“ปัณณ์อย่าบอกนะว่าพี่จีบตะ...” พี่ยูยังพูดไม่ทันจบผมก็สวนขึ้นทันที

“ไม่ครับ ตั้งใจขับรถเถอะ ผมจะพยายามโทรหาเอย์จิต่อ” ก็กลัวว่าจะตอบความจริงเขาไปทำนองว่าไม่จีบก็ชอบก็รักอยู่แล้วอะไรแบบนั้น ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาหรอก อยากให้เชื่อมั่นในความรู้สึกของพี่ยูมากกว่านี้

“ใจร้ายชะมัด” คนผิดหวังถึงกับบุ้ยปากแล้วส่งเสียงพึมพำราวเด็กน้อย ผมกลั้นขำจนไหล่สั่นกำหนดลมหายใจให้เข้าสู่อารมณ์ปกติ โธ่ ถ้างอแงอีกนิดคงไม่ต่างจากคนลูกเลยเนี่ย น่าถีบมากกว่าน่าหยิก อย่าลืมว่าอายุตัวเองจะเหยียบเลขสี่อยู่แล้ว

“บ่นอะไรครับ ผมได้ยินนะ” ผมแกล้งว่าเสียงดุแล้วลอบมองปฏิกิริยาของคนช่างหยอด เขาสะดุ้งเฮือกก่อนหันมาคลี่ยิ้มกว้าง ใช้วิธีกลบเกลื่อนได้แย่ที่สุดเลยรู้ตัวไหมเนี่ย

“เงียบแล้วครับๆ” มีแววจะกลัวเมีย เอ๊ย แฟนด้วยล่ะ หึหึ แบบนี้ก็หวานหมูน่ะสิ

พี่ยูฝ่ารถติดเมื่อถึงเขตสนามบินในเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ถ้าเป็นไปได้ป่านนี้เอย์จิคงเคลียร์ปัญหาจบไปแล้ว แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นพอได้ที่จอดก็รีบวิ่งเข้าสู่ตัวอาคาร กดโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อติดต่อว่าเขาอยู่ที่ไหน กว้างขนาดนี้ใครจะไปหาเจอไม่ใช่เซเว่นนะเว้ย

“ติดต่อได้หรือยัง?” พี่ยูถามด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะปลายสายยังไม่มีการตอบรับ แล้วไอ้แถวตรวจสัมภาระจะยาวไปถึงไหนวะเนี่ย แซงคิวก็ไม่ได้ โอย บ้าฉิบหาย

“ไอ้เด็กเวร” คำสบถด่าหลุดออกจากริมฝีปากหยักอีกครั้ง คราวนี้เขาเป็นคนกดโทรหาเอย์จิเอง ส่วนผมสอดส่ายสายตามองไปทั่วเผื่อจะเจอตัวการณ์ของเรื่องนี้บ้าง แม่ง ไม่มี ตรงไหนก็ไม่มี ไปมุดรูอยู่ที่ไหน!

แถวเริ่มขยับไปเรื่อยๆ จนถึงคิวผมที่อยู่ด้านหน้า ตรวจทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มกดโทรศัพท์หาเอย์จิอีกครั้งแต่ต้องชะงักเมื่อมีสายเรียกเข้าซะก่อน ไม่จริงน่า ทำไมกลายเป็นไอ้ทอยล่ะ ควรจะรับดีหรือเปล่า

“มีอะไรเหรอปัณณ์ ยืนมองโทรศัพท์ทำไม?” พี่ยูเดินมาแตะไหล่พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ผมอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้ว่าควรบอกดีหรือเปล่า แต่พอเห็นสายตาเป็นห่วงก็เลยยื่นโทรศัพท์ให้ดู

“คือ... ทอยโทรมา”

“.....” พี่ยูนิ่งเงียบก่อนพยักหน้ารับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ผมลังเลหนักกว่าเดิมจนสายตัดไปแต่ทอยก็ยังโทรมาอีกครั้ง แปลกที่อยู่ๆ ก็โทรมาทั้งที่หายไปนานแล้ว

“ผมรับสายดีไหม?” ถามความคิดเห็นคนข้างกายอีกครั้งเพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าผมมีอะไรในกอไผ่กับทอย

“รับสิ เผื่อเขามีธุระ” พี่ยูคลี่ยิ้มบางก่อนจะหันไปมองทางอื่นเหมือนกำลังหาเอย์จิ แต่ผมรู้ดีว่าลึกๆ เจ้าตัวคงกังวลเรื่องทอยอยู่ไม่น้อย ช่วยมั่นใจหน่อยเถอะว่าปัณณ์ไม่อยากกินเพื่อนน่ะ

ผมเลิกสนใจพี่ยูแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือเรียวสไลด์หน้าจอเพื่อรับสายก่อนจะกรอกเสียงปกติลงไป ถึงแม้จะรู้สึกแปลกก็ตามที ไอ้คนที่เราอยากให้ติดต่อมันดันหายหัว บ้าจริง

“ว่าไง?”

‘ปัณณ์ มึงอยู่ที่ไหน?’ คำถามของไอ้ทอยทำให้ผมขมวดคิ้วฉับเพราะไม่มีการทักทายหรือถามสารทุกข์สุกดิบเหมือนอย่างปกติ ขายาวๆ ก้าวห่างออกจากพี่ยูเล็กน้อยเผื่อว่ามีการพูดคุยบางเรื่องที่ไม่อยากให้เขารู้

“สนามบิน มีอะไรหรือเปล่า?”

‘มาที่ออฟฟิศหน่อย’ ออฟฟิศสายการบินผมจะเข้าไปได้ยังไงวะ ไม่ได้เป็นพนักงานของเขาแล้วสักหน่อย

“กูกำลังรีบไปหาญาติ” ผมตอบไปตามความจริงเพราะตอนนี้ยังคงหาเอย์จิไม่เจอ ส่วนพี่ยูเริ่มหยิบโทรศัพท์มากดต่อสายหาน้องชายอีกครั้งพลางมองหาไปรอบๆ เชื่อว่าเจอตัวเมื่อไหร่คงได้มีปากเสียงกันแน่นอน

‘ถ้าหมายถึงผู้โดยสารที่ชื่อเอย์จิ เขาอยู่ที่นี่’ อะไรนะ!

“เกิดอะไรขึ้นไอ้ทอย เอย์จิเป็นอะไร?” ผมถามเสียงรัวพร้อมกับเบิกตาโต ทำไมถึงไปอยู่ด้วยกันตรงนั้นได้ เอย์จิไปทำอะไรให้ไอ้ทอย ทะเลาะกัน มีปัญหาหรือยังไง โลกกลมได้ขนาดนี้เชียวเหรอ

‘มาเถอะ เดี๋ยวก็รู้เอง’ มันบอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนตัดสายไป ผมรีบเก็บโทรศัพท์แล้วเดินไปจับต้นแขนพี่ยู สีหน้าของเขาเวลานี้เรียบตึงจนกลัวว่าถ้าพูดไม่เข้าหูแม้แต่คำเดียวอาจจะโดนตวาดลั่นก็ได้

“พี่ยูครับ ทอยโทรมาบอกว่าเอย์จิอยู่กับมัน” ผมเล่าสิ่งที่รับรู้ให้เขาฟังแล้วปล่อยมือออกจากต้นแขนย้ายมาลูบใบหน้าของตัวเองหวังเพียงว่าจะลดความกังวลลงได้บ้าง พี่ยูคล้ายสะดุดลมหายใจไปหนึ่งจังหวะ สีหน้าแสดงความงงงวยและสับสนอย่างเห็นได้ชัด คงรู้สึกไม่ต่างว่าทำไมสองคนนั้นถึงอยู่ด้วยกัน

“รีบไปเถอะครับ” ผมถือวิสาสะคว้าข้อมือพี่ยูตรงไปที่ออฟฟิศของสายการบินซึ่งอยู่บริเวณชั้นสอง ความอบอุ่นที่ส่งผ่านการสัมผัสทำให้ความกังวลเบาบางลงแต่หัวใจกลับเต้นแรง เพิ่งมาคิดได้เอาตอนก้าวขึ้นบันไดเลื่อนว่าเผลอแต๊ะอั๋งเขาก่อนซะแล้วทั้งที่ตั้งใจว่าจะวางมาดแท้ๆ แต่ช่างมันเถอะ ตอนนี้เรื่องอื่นสำคัญกว่า

ตลอดทางเดินจนถึงออฟฟิศผมไม่ได้ปล่อยมือพี่ยูเลยแถมยังสอดประสานกันแน่นกว่าเดิม (ถ้าเป็นฉากโรแมนติกของเราก็คงดี) ถึงขนาดยอมใช้แขนข้างที่ว่างดันประตูให้เปิดออก ภาพที่เห็นคือทอยกำลังยืนพิงสะโพกกับโต๊ะทำงานสีหน้าเรียบตึงอยู่ในชุดนักบินเต็มยศคาดว่าเพิ่งลงจากเครื่อง ส่วนเอย์นั่งกอดอกจ้องเขม็งอยู่บนเก้าอี้แถมด้วยการกัดฟันกรอดท่าทางเอาเรื่อง สถานการณ์ตึงเครียดจนน่ากลัว ถ้าแต่ละคนบันดาลโทสะมากกว่านี้คาดว่าคงต่อยกันไปแล้ว

เสียงประตูเปิดทำให้สายตาทั้งสองคู่มองตรงมาทางนี้ ผมกับพี่ยูเผลอบีบมือกันแน่นโดยไม่ได้นัดหมาย รู้สึกถึงรังสีอำมหิตแผ่ออกมาล้อมรอบบริเวณห้อง มันช่างน่าอึดอัดเหลือเกิน ปล่อยมันสองคนเถียงกันต่อไปเหมือนเดิมดีไหม เริ่มไม่อยากสอดปากยุ่งแล้วสิ

“ปัณณ์!” เอย์จิเบิกตาโตแล้วลุกพรวดตรงมากอดกันแน่นแทบหายใจไม่ออก ผมดิ้นขลุกขลักสู้แรงอีกคนแต่ไม่สำเร็จ มือที่ประสานกับพี่ยูผละออกจากกันแทบทันที รู้สึกเสียดายความอุ่นนั่นแต่มันไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องส่วนตัวนี่หว่า โอย ขอแกะไอ้ตุ๊กแกยักษ์นี่ออกก่อนเถอะ!

“เฮ้ย กอดเราทำไม?” ผมโวยวายก่อนจะผลักเอย์จิออกแต่ไม่ทันพี่ยูที่จับต้นแขนน้องชายแล้วลากออกไปซะไกล อย่าบอกนะว่าหวง ในสถานการณ์แบบนี้สามารถเขินได้หรือเปล่าวะ

“ถอยออกไปสงบสติอารมณ์เดี๋ยวนี้” พี่ยูสั่งเสียงเข้มไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ไม่กล้าพูดแทรกอะไร หางตาเหลือบเห็นไอ้ทอยยืนนิ่งเลยรู้สึกอึดอัดแทบบ้า ทำไมต้องจ้องมาทางนี้ คู่กรณีมันเป็นเอย์จิไม่ใช่หรือไงกัน

“ผมกำลังสะเทือนใจนะเว้ย ขอกอดแค่นี้ก็ไม่ได้ ขี้งก” เอย์จิสะบัดหน้าใส่พี่ชายก่อนจะหลบมาเกาะแขนกันอยู่ด้านหลัง ผมรีบยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เขาเงียบซะ ไม่อย่างนั้นจากที่มีเรื่องกับไอ้ทอยจะกลายเป็นว่าเพิ่มคู่กรณีอีกคน คราวนี้ปัณณ์ขอลาล่ะไม่อยากปะทะพายุอารมณ์

“เงียบก่อนน่าเอย์จิ เดี๋ยวพี่ยูกินหัวเอา” ผมกระซิบข้างหูเอย์จิแล้วเหลือบมองพี่ยูที่ละสายตาไปมองไอ้ทอยแทน ตอนนี้ทำไมรู้สึกว่าเขาทั้งสองคนกำลังเปิดศึกแย่งผมไม่ใช่การเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นวะ ไม่ได้คิดไปเอง แต่บรรยากาศรอบตัวมันฟ้อง

“ตกลงมีเรื่องอะไรกัน?” พี่ยูเอ่ยถามไอ้ทอยก่อนน้องตัวเอง ผมเข้าใจว่าฝั่งเราเป็นคนมุทะลุกว่าจะใจเย็นคุยรู้เรื่องคงอีกนานเลยเบนเข็มไปทางนู้นที่ดูควบคุมอารมณ์ได้มากกว่า

“คุณเอย์จิขโมยกระเป๋าตังค์ของผม” ไอ้ทอยพูดเสียงเรียบไม่มองคู่สนทนาแต่กลับจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก เอย์จิทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจก่อนจะก้าวท้าวตรงไปหาคู่กรณี แต่ดีหน่อยที่พี่ยูเข้าไปดักหน้าได้ทัน ตอนแรกมันยังไม่ต่อยกันแต่ตอนนี้ไม่แน่

“ไม่ได้ขโมย ก็บอกว่ามันตกอยู่บนพื้นไงเล่า ฟังภาษาคนไม่ออกหรือไง อุตส่าห์เก็บมาคืนยังไม่สำนึกบุญคุณอีก!” เท้าไปหาเรื่องเขาไม่ได้แต่ปากไม่ยอมแพ้เว้ย เสียงดังจนผมต้องยกมือขึ้นอุดหู ในส่วนของพี่ยูถึงกับหันมาถลึงตาใส่ คาดว่าคงหงุดหงิดเต็มที่แล้ว

“เอย์จิ พี่บอกให้เงียบ” เสียงเย็นขึ้นเป็นสองเท่าจนคราวนี้ผมใช้มือปิดปากเอย์จิแล้วลากมันเข้ามุมห้องอีกด้านหนึ่งปล่อยให้พี่ยูเป็นคนเจรจากับไอ้ทอยไป ถ้าหากว่าเรื่องไม่เคลียร์เดี๋ยวปัณณ์คนนี้จะคุยเอง รับรองว่าจบทุกอย่าง อาจหมายรวมถึงความสัมพันธ์ด้วยเพราะเริ่มรู้สึกว่าสายตาที่มองมานั้นมีแต่ความโหยหา

“ทำไมถึงคิดว่าเอย์จิขโมยกระเป๋าตังค์?” พี่ยูยังคงถามด้วยน้ำเสียงเรียบไม่แสดงท่าทีคุกคามอีกฝ่ายที่เอาแต่กล่าวหาเอย์จิ ลองคิดง่ายๆ ว่าคนที่เป็นนายแบบได้เงินจากการทำงานครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทจะขโมยกระเป๋าตังค์คนอื่นเพื่ออะไร ต้องเอาชื่อเสียงตัวเองมาแลกกับของแค่นี้น่ะเหรอ โคตรไม่เมคเซ้นส์

“ผมเก็บมันอย่างดีในกระเป๋าเดินทาง” ไอ้ทอยยังคงยืนยันคำเดิมทั้งที่สายตามองข้ามไหล่พี่ยูมาหาผมชัดๆ สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องอาจจะไม่ใช่กระเป๋าตังค์เจ้าปัญหาแต่เป็นความรู้สึกของคนๆ หนึ่งต่างหาก

“ไม่ใช่!” เอย์จิผู้ไม่ยอมคนยังคงส่งเสียงปฏิเสธจนผมต้องแอบหยิกแขนเขาให้สงบเสงี่ยมลง ขืนยังใช้อารมณ์อยู่แบบนี้มีหวังพี่ยูกระโดดถีบหน้าแน่ๆ ดูจากที่เขากำหมัดสิ ไม่รู้โมโหน้องหรือไอ้ทอย

“เอย์จิ อย่าตะโกนสิ” ผมปรามคนข้างตัวจนโดนมองแรงใส่แต่สุดท้ายก็ยอมเชื่อฟังถึงแม้จะมีเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจก็ตาม

“ไอ้บ้านั่นทำตกจริงๆ นะปัณณ์ เราจะขโมยกระเป๋ามันเพื่ออะไร เงินมีท่วมหัวใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดอะ” เอย์จิบ่นงุ้งงิ้งใส่ผมแล้วส่งสายตาอาฆาตไปให้ไอ้ทอย ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนั้นพลางเอื้อมมือไปบีบไหล่เพื่อปลอบใจ

“เราเชื่อเอย์จิ ใจเย็นๆ” ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปหาพี่ยูที่ยังคงนิ่งเงียบแล้วใช้สายตาจ้องมองไอ้ทอยคล้ายพยายามหาความจริง เขาสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“พี่ยูครับ ผมขอคุยกับทอยสองคนได้ไหม?” ผมคิดว่าปัญหาทั้งหมดคงเริ่มจากตัวเองด้วยเรื่องเดิมๆ ที่เรียกว่าความรู้สึก ถ้าบอกว่าเหนื่อยไม่อยากพูดแล้วจะดูเลวเกินไปไหม ถ้ามันยากในการทำใจตัดเพื่อนก็ได้ ถึงจะเสียใจแต่มันอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้

“จะดีเหรอปัณณ์?” พี่ยูมองผมสลับกับไอ้ทอยอย่างไม่ไว้ใจเพราะตั้งแต่ที่เราคุยกันมาต้องมีการเสียน้ำตาตลอด ไม่เคยคุยกันได้ ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยจบลงด้วยดีสักครั้ง

“นะครับ ไม่มีอะไรหรอก” ผมคลี่ยิ้มให้เป็นเชิงบอกว่าสบายใจได้ พี่ยูเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนพยักหน้ารับ

“พี่ให้เวลาสิบนาที” เสียงเครียดเชียว หวงปะเนี่ย

“โธ่ สั่งเหมือนพ่อเลย” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ

“อืม ก็พ่อทูนหัวไงครับ” พูดแบบนั้นก่อนจะเดินไปลากเอย์จิออกจากห้อง แบบนี้ก็ได้เหรอ โยนระเบิดให้เขินเนี่ยนะ มันใช้จังหวะหยอดกันหรือยังไงเล่า โอย บิ้วซะดราม่าไม่ออกเลย

แต่ในความเป็นจริงที่ผมแสดงออกต่อหน้าเพื่อนนั้นกลับเป็นสีหน้าเรียบเฉยพร้อมเอาเรื่องได้ทุกเวลา ทั้งห้องเงียบสงบมีแค่เสียงลมหายใจและเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังสลับกันสร้างความกดดันให้มากยิ่งขึ้น ไอ้ทอยเอาแต่มอง มอง แล้วก็มองโดยไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูดก่อน

“มึงต้องการอะไร?” ผมเป็นฝ่ายเปิดประเด็นเพราะทนความกดดันไม่ไหว ร่างกายตอนนี้เรียกร้องหาที่นอนนุ่มๆ อยากนอนเอนหลัง อยากซุกตัวในผ้าห่มหนาๆ ท่ามกลางเสียงสายฝนเทกระหน่ำ

“ทำไมถามแบบนั้น?” เอย์จิขยับยืนตัวตรงก่อนแสดงใบหน้าของคนไม่เข้าใจคำถาม ผมกัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิด ทำไมต้องเป็นแบบนี้

“ก็น่ารู้อยู่แก่ใจหรือเปล่าว่าคนอย่างเอย์จิจะไม่ทำเรื่องแบบนั้น” ไอ้ทอยรู้จักเอย์จิดีเพราะผมเคยเล่าให้มันฟังบ่อยๆ ว่าน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าจะเอาความจำว่านั่นคือน้องของพี่ยูซึ่งแน่นอนว่าต้องพ่วงกับชีวิตปัณณ์ซึ่งเอามาสร้างเรื่องได้ขนาดนี้มันก็เหี้ยเกินไปไหม

“กูผิดมากไหมที่ใช้เขาเป็นเครื่องมือให้มึงมาที่นี่” ผมเหมือนถูกล็อตเตอรี่หกสิบล้านแต่โดนปล้นกลางทางไม่เหลือแม้แต่เสื้อผ้าใส่ติดตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ไอ้ทอยใช้สมองคิดเรื่องชั่วแบบนี้ ทำอะไรโดยไม่คิด เอาหน้าที่การงานมาเสียงก็ได้เหรอ คุ้มไหมกับการเจอหน้ากันในสภาพต่างคนต่างหงุดหงิดและมีเรื่องเก่าค้างใจ

“ทอย... มึงทำบ้าอะไรอยู่ สมองพิการไปแล้วเหรอไง?” ผมเค้นเสียงถามเพราะกำลังพยายามระงับอารมณ์ ทอยมองกันด้วยสายตาสั่นไหวก่อนที่หยอดน้ำใสจะกลั่นตัวลงมาบนแก้ม ร่างทั้งร่างทรุดลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่เอย์จินั่ง

“อยากเจอ... อึก” เสียงสั่นๆ ดังขึ้นพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลเป็นทาง ผมได้แต่เบนหน้าหนีแล้วถอนหายใจทิ้งเป็นรอบที่ร้อยกับปัญหาเรื่องนี้ เมื่อไหร่มันจะจบความงี่เง่าซะที อยากเจอก็ทำตัวปกติเหมือนเดิมไม่ได้แล้วเหรอ ทำไมต้องใช้ความเจ้าเล่ห์กับเพื่อนแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน

“ทอย มึงไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะเว้ย เรียกร้องความสนใจแบบนี่มันไม่สนุก ถ้าเกิดเอย์จิเอาเรื่องขึ้นมาจะทำยังไง?” ผมขมวดคิ้วมองมันพลางถอนหายใจ รู้ดีว่าไม่สามารถห้ามความรู้สึกของใครได้แต่นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลเอามากๆ สงสารคนที่ไม่รู้เรื่องแล้วต้องมารับกรรม อีกอย่างคือเสียเวลา

ไม่ใช่ว่าทอยไม่สำคัญแต่ถ้ายังทำตัวแบบนี้ผมก็เหนื่อยใจเพราะหาทางออกไม่ได้ มันเคยสนใจความรู้สึกคนอื่นบ้างไหมเอาแต่มองตัวเอง อยากให้ตัวเองมีความสุขอยู่ฝ่ายเดียว แบบนี้จะเรียกว่าความรักได้จริงๆ เหรอ

“กู... ตัดใจจากมึงไม่ได้จริงๆ” ทั้งน้ำเสียงและริมฝีปากของไอ้ทอยสั่นมากจนแทบฟังไม่รู้เรื่องแต่มันกลับสื่อความรู้สึกเจ็บปวดออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนผมเผลอสะดุดลมหายใจ สองมือกำหมัดแน่นเพื่อกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในอก ความหวังที่อยากได้เพื่อนกลับมามันไม่มีแล้วจริงๆ เหรอ

ไอ้ทอยยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงเงียบๆ บนแก้มโดยไร้เสียงสะอื้น ไหล่หนาสั่นกึกเพราะแรงอารมณ์ภายใน ถ้ามันใจร้อนกว่านี้อีกสักนิดเชื่อว่าเราทั้งคู่คงไม่มีโอกาสยืนจ้องอีกคนแบบนี้ อยากเป็นพ่อมดในเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ชะมัด จะได้เสกคาถาลบความทรงจำซะ

ผมจนปัญญาหาทางออกสำหรับเรื่องนี้แล้วจริงๆ ไม่ว่าจะงัดเหตุผลร้อยแปดออกมาเจรจากี่ครั้งผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อนไม่สามารถบังคับกันได้ก็เข้าใจดี แต่จะให้รับมันไว้ทั้งที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกก็เป็นสิ่งที่เลวไม่ใช่หรือ

“กูขอโทษทอย ขอโทษที่ยอมรับความรู้สึกของมึงไม่ได้ เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอวะ?” ผมเม้มปากแน่นแล้วมองเพื่อนสนิทตรงหน้าด้วยแววตาอ้อนวอน กลับมาเป็นอย่างเดิมคงยากเกินไปสินะ

ไอ้ทอยตอบรับกันด้วยการสะอื้นแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับไหล่กันก่อนออกแรงบีบจนรู้สึกเจ็บแปลบ ผมอยากสะบัดตัวออกแต่ต้องจำใจทนต่อไป เคลียร์ให้จบๆ วันนี้เถอะ พอกันทีกับความรักที่ไม่มีวันเป็นจริง

“ยากนะ ฮึก เหมือนที่มึงเป็นพี่น้องกับเขาไม่ได้ยังไงล่ะ” ไอ้ทอยซบหน้าลงกับลาดไหล่แล้วปล่อยความรู้สึกทุกอย่างไหลผ่านม่านน้ำตามากมาย ผมได้แต่ยืนนิ่งมองตรงไปด้านหน้าอย่างเลื่อนลอย ตอนนี้หัวสมองว่างเปล่า จิตใจด้านมืดร้องบอกว่าถ้าทนไม่ไหวก็แค่ตัดความสัมพันธ์แล้วจบๆ จะได้กลับบ้านไปนอนสักที แต่จิตใจด้านสว่างยังคงบอกว่านั่นเพื่อนสนิทนะ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก โอย ปวดหัว!

มันพูดถูกแต่ผมไม่เคยเรียกร้องอะไรจากพี่ยูเลยสักครั้งเพราะในเวลานั้นรู้ดีว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหนในชีวิตเขา มีความสำคัญแบบไหนและเว้นระยะห่างอย่างพอดีมาตลอด

“จะให้กูทำยังไง มึงถึงจะเลิกคิดทำอะไรตื้นๆ สักที” ผมบอกอย่างอ่อนแรงพลางยกมือขึ้นดันไหล่ของไอ้ทอยออกห่างเพื่อสบตาค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในนั้น มันยกยิ้มบางทั้งที่ริมฝีปากสั่น ขยับเข้ามาแนบชิดกว่าเก่าจนต้องก้าวถอยหลังหนี

“คบกับกู” พูดง่ายแต่ทำโคตรยากเลยว่ะเพื่อน

“ได้แค่ตัวหัวใจไม่เอาน่ะเหรอ?” ผมยิ้มแล้วจิ้มนิ้วลงที่หน้าอกของไอ้ทอยพลางเบนสายตาไปทางพี่ยูเพื่อในมันตระหนักว่าหัวใจของปัณณ์อยู่ที่ใคร

“ปัณณ์... มึงมันเหี้ย” ไอ้ทับปัดมือทิ้งแล้วกระชากคอเสื้อของผมจนใบหน้าเราห่างกันแค่คืบเดียว ปลายหางตาเห็นพี่ยูขยับตัวอย่างร้อนรนทำท่าจะผลักประตูเข้ามาแยกเราออกจากกันแต่โดนเอย์จิห้ามไว้ ยังไม่ครบกำหนดเวลาสิบนาทีเลย อย่าเพิ่งนะครับ อดทนอีกแค่แป๊ปเดียวทุกอย่างก็จบแล้ว

“กูยอมรับ” จะว่าผมยังไงก็เอาเถอะ เวลานี้น้อมรับได้ทุกคำกล่าวหาแล้วจริงๆ

“กูไม่อยากยอมแพ้พี่ยู...” มือที่กำคอเสื้อคลายออกแต่เลื่อนมาขยำตรงอกจนรู้สึกว่าปลายเล็บจิกเข้าที่เนื้อ ผมกัดฟันอดทน หลับตาลงเพื่อรวบรวมความกล้าพ่นประโยคสุดท้ายที่ว่ามันสามารถจบทุกอย่างลงได้

“ยังไงมึงก็ไม่มีวันชนะ... อื้อ!” ผมเบิกตาโตเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนของเพื่อนสนิทประกบลงมาแนบชิดพี้อมกับออกแรงบดขยี้จนรู้สึกเจ็บไปตามแนวฟัน ด้วยความตกใจเลยเผลอปล่อยหมัดเข้าที่แก้มคว้าของไอ้ทอยอย่างจังจนมันล้มไปกองกับพื้น ของเหลวสีแดงค่อยๆ ไหลลงมา ไม่มีเสียงร้องโวยวายหรือแม้แต่คำกนด่าเพราะเวลานี้มีแต่แววตาสิ้นหวัง เสียใจ ทุกข์ทรมานเท่านั้น



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 11 : ซาซิมิ P.2 -07/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 07-05-2018 09:53:41
“ปัณณ์!” เสียงผลักประตูพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกชื่อดังขึ้นก่อนที่จะถูกพี่ยูรวบตัวไปกอดไว้แน่น ผมซบหน้าลงกับอกแกร่งโดยไม่ปริปากพูดอะไรแล้วมองคนบนพื้นด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ต้องทำอะไรต่อไป ส่วนเอย์จินั้นได้แต่ยืนนิ่งคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น จากกระเป๋าตังค์ใบเดียวกลายเป็นความรัก

ทอยยกมือขึ้นเช็ดเลือดตรงมุมปากก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล มันก้าวตรงมาทางนี้ทำให้เอย์จิรีบขยับตัวขวางทางไว้ กางแขนออกจนสุดทั้งสองข้างปกป้องผมและพี่ยูจากการรุกราน

“กลับกันเถอะครับ” ผมเอ่ยบอกพี่ยูก่อนจะผละตัวออกมา เหลือบสายตามองไอ้ทอยเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินนำทุกคนออกจากออฟฟิศ ทิ้งทุกอย่างทุกความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนสนิทไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน ถ้ามันพร้อมกลับไปเป็นแบบเดิมเมื่อไหร่ก็ยินดีต้อนรับเสมอ

ระหว่างทางเดินกลับไปที่ลานจอดรถมีแต่เสียงฝีเท้าของเราสามคนสลับกันไป พี่ยูอยู่ทางด้านขวาคอยสอดประสานฝ่ามือให้ความอบอุ่น ส่วนเอย์จิอยู่ทางด้านซ้ายเอาแต่ขมวดคิ้วพึมพำอะไรอยู่คนเดียวเป็นภาษาญี่ปุ่น ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าร่างกายอยากพักผ่อนปล่อยวางให้หัวใจสงบลงสักที

สารถีประจำค่ำคืนนี้ยังเป็นคนเดิม เปลี่ยนตุ๊กตาหน้ารถเป็นเอย์จิซึ่งในตอนแรกเขาตั้งใจจะเรียกรถแท็กซี่กลับบ้านเองแต่ดันเกิดเรื่องซะก่อน ผมย้ายมานั่งด้านหลังโดยอ้างว่าอยากนอนยาวๆ ทั้งที่ความจริงแล้วแค่หลับตาปิดกั้นคำถามทุกอย่างจากทุกคน ไม่พร้อมจะตอบอะไรเลย

“ปัณณ์... ตกลงมันคืออะไรวะ เรางงไปหมดแล้ว” พอรถเคลื่อนตัวออกสู่ถนนไม่ถึงห้านาทีก็ได้ยินเสียงเอย์จิเอ่ยถาม ผมหรี่ตามองผ่านความมืดแล้วได้แต่ถอนหายใจก่อนจะหยิบหมอนอิงอีกใบขึ้นมาปิดหน้า อุตส่าห์แกล้งหลับยังไม่รอดอีก ฉลาดเกินไปแล้วเหอะ

“ค่อยถามพรุ่งนี้มันจะตายหรือไงเอย์จิ” เสียงทุ้มของพี่ยูเอ่ยขัดได้ถูกจังหวะ จากที่ลองประเมินดูแล้วเขาน่าจะหงุดหงิดที่ผมโดยขโมยจูบอยู่ไม่น้อยเพราะสังเกตได้ตั้งแต่อยู่ในสนามบินว่าเอาแต่จ้องปากกันไม่หยุด ถ้าเอาผ้ามาถูๆ เช็ดๆ ได้คงทำไปแล้ว

“อ้าว ก็ผมไม่เข้าใจนี่ ทำไมปัณณ์โดนไอ้บ้านั่นจูบอะ ไหนบอกว่าเป็นเพื่อนไง”

ผมรู้สึกจุกกับคำว่าเพื่อนจนไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ ได้แต่ปล่อยให้มันไหลลงเงียบๆ แล้วใช่หมอนอิงซับ พรุ่งนี้ค่อยเอาลงจากรถไปซักให้นะพี่ยู

“เงียบๆ เถอะน่า ถ้ายังพูดไร้สาระเดี๋ยวพี่จะถีบแกลงจากรถ” พี่ยูสายโหดจริงๆ เลย แต่ก็น่ารักนะ

“หึ นี่น้องนะ เดี๋ยวจะฟ้องโอกาซัง!” รายนี้ก็ติดแม่จังเลย

“คนข้างหลังก็ว่าที่แฟน จะทำไม?” โห เจอประโยคนี้เข้าไปน้ำตาแห้งเลยว่ะ แต่เหนื่อยตรงที่ต้องกัดปากกลั้นยิ้มแทน ขนาดผมหลับยังจะหยอดเนอะคนเรา ไหนปากบอกว่าจีบไม่เป็นไง นี่มันสกิลระดับสูงแล้ว

“เอ้อ ให้มันได้แบบนี้สิครับพี่ชาย เดี๋ยวผมก็กลับมาจีบปัณณ์แข่งซะเลยนี่” เอย์จิไม่ยอมแพ้ถึงขนาดออกปากไปแบบนั้น ผมหายใจติดขัดภาวนาให้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น อย่ามาเสน่ห์แรงตอนใกล้จะสมหวังเลยเดี๋ยวก็พลาดแดกแห้วกันหมด

“มึงควรหุบปากแล้วนอนไปครับ”

โอเคจบ ผมจะได้นอนหลับบนรถจริงๆ สักที

เสียงปลุกจากเอย์จิทำให้ผมต้องปรือตาแล้วลุกขึ้นนั่งโงนเงนอยู่ครู่ใหญ่กว่าสติจะครบถ้วนก่อนลากสังขารเปลี้ยๆ ลงจากรถเพื่อเข้าบ้าน ส่วนพี่ยูช่วยแบกกระเป๋าเดินทางของน้องชายตามมาด้านหลัง สรุปว่าคืนนี้เพิ่มสมาชิกขึ้นมาอีกหนึ่งคน เออ แล้วเจ้าตัวแสบงอแงถึงพวกเราบ้างหรือเปล่านะ ขนมก็ยังไม่ได้ซื้อให้เลย เห็นทีพรุ่งนี้ต้องแวะร้านเบเกอรี่

ผมเหวี่ยงกระเป๋าเป้ลงบนโซฟาแล้วทิ้งตัวตาม หลับตาลงเพื่อบรรเทาความอ่อนล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวัน ได้ยินเสียงสองพี่น้องคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบรัวๆ ยิ่งทำให้รูสึกง่วงจนไม่อยากอาบน้ำ ขนาดข้าวมื้อเย็นยังไม่อยากกินเลย ตอนนี้เอาอูนิมาตั้งตรงหน้าก็เมิน

เสียงคุยกันเรื่องงานเงียบลงแล้วแต่รับรู้ถึงแรงยวบของโซฟาด้านข้าง ผมปรือตามองก็พบกับเอย์จิที่จ้องกันอยู่ สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย

“ปัณณ์ คืนนี้เรานอนด้วยนะ” ผิดคาดไปหน่อยที่เอย์จิไม่ถามถึงเรื่องในสนามบิน ผมขยับตัวจัดท่านั่งให้เป็นปกติก่อนพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบาง เขาคงไม่อยากนอนกับพี่ชายเท่าไหร่มั้ง รายนั้นตื่นง่ายมากแค่จะลุกไปเข้าห้องน้ำยังเกรงใจ

“ได้สิ”

“ไม่ได้” เสียงปฏิเสธดังมาจากทางด้านหลังก่อนที่ไหล่ของผมจะรู้สึกอุ่นวาบเพราะมีมือหนาทาบทับลงมาทั้งสองฝั่ง เงยหน้าขึ้นมองก็พบกับพี่ยูที่ตอนนี้กำลังทำตาขวางใส่น้องชาย อาการแบบนี้เรียกว่าหวงใช่ไหมนะ โธ่ น่ารักเกินไปแล้ว

“อะไรเนี่ย เจ้าของห้องอนุญาตแล้ว” เอย์จิกอดอกแน่นพลางเบะปากลงเป็นเส้นโค้ง ไม่ใช่เพราะอยากร้องไห้แต่เป็นความหมั่นไส้ส่วนตัวมากกว่า ก็เขาถึงขนาดเสียสละยอมถอยเพื่อให้พี่ชายตัวเองจีบผมนี่นา คนดีศรีสังคมจริงๆ เลย

“พี่เป็นเจ้าของบ้าน ถ้าเรื่องมากก็ออกไปนอนข้างนอก” คนโตกว่าใช้สิทธิ์ที่ตัวเองมีอย่างเต็มที่จนผมเกือบหลุดหัวเราะกับนิสัยเด็กของเขา แม้กระทั่งน้องตัวเองก็ไม่เว้นเนอะ

“ไอ้คนขี้หวง!” นี่ก็ด่าไม่เกรงใจเลยว่าน้ำลายมันกระเด็นใส่หน้าผมเนี่ย โหย รู้แบบนี้ยอมหนีไปอาบน้ำตั้งแต่เข้าบ้านมาจะดีกว่า

“หึ เออ ยอมรับ” พี่ยูไม่ปฏิเสธแถมเปลี่ยนจากจับไหล่เป็นกอดรอบคอของผมแทนที่มากกว่านั้นคือเกยคางบนหัวด้วย จะให้รู้สึกอะไรนอกจากนั่งเกร็งเพราะเขินล่ะวะ อย่าถามเลยว่าเรื่องของไอ้ทอยยังอยู่ในหัวไหม มันกระจายไปตั้งแต่อยู่บนรถแล้ว ก็คุณพ่อลูกติดเขาเล่นหยอดไม่สนเวลาเลยนี่

เอย์จิทำท่าฮึดฮัดแล้วสะบัดบ๊อบหนีพี่ยู ปากนี่ยู่จนจะถึงปลายจมูกอยู่แล้ว คนขี้งอนกับคนขี้แกล้งอยู่ด้วยกันก็มีแต่ความบรรลัย แต่ผมซึ่งเป็นคนกลางก็ยังคงต้องรับหน้าที่เคลียร์ปัญหาเหมือนเดิม เฮ้อ ไม่ฟินแล้วปวดหัวชะมัด

“พี่ยูจะให้เอย์จินอนที่ไหนครับ?” ผมถามในขณะที่ขยับตัวเป็นเชิงให้เขาคลายกอดลงหน่อย ตอนนี้อยากมองหน้ากันมากกว่า

“โซฟา” เขาตอบก่อนจะผละตัวออกไปเพราะเอย์จิแทบกระโดดงับหัว นี่ถ้าไม่ติดว่ามีโซฟากั้นอยู่คงฟัดกันเละไปแล้ว

“ยุงกัด!” เอย์จิตะโกนเสียงดังจนผมต้องเอามือดันหน้าออกไปไกลๆ แสบหูหมดแล้วเนี่ย ข้างบ้านจะปาขวดใส่หรือเปล่า ชักเสียวสันหลัง

“นอนห้องพี่ก็ได้นี่ครับ” ผมเสนอความคิดเห็นแล้วขยับตัวหันข้างไปพูดกับเขาให้เป็นเรื่องเป็นราว พี่ยูส่ายหัวทันควันก่อนจะเบ้ปากใส่เอย์จิที่ตอนนี้ยังกอดอกอยู่เหมือนเดิม

“ไม่เอา มันนอนดิ้น เดี๋ยวตื่นมาเท้าจะอยู่บนหัว”

“งั้นผมนอนโซฟาเอง เอย์จิเข้าไปนอนในห้อง”

“ปัณณ์มานอนกับพี่ ให้เอย์จินอนอีกห้อง ตามนี้” พี่ยูเสนอด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตากลับแวววับจนผมรู้สึกหวั่นใจ สาบานว่าเขาไม่ได้คิดอกุศลแค่อยากให้นอนด้วยเฉยๆ น่ะ

“โอ๊ย หมั่นไส้ พ่อค้าค้ากำไรเกินควรสุดๆ” เอย์จิบุ้ยปากใส่พวกเราก่อนเอ่ยแซวซึ่งทำให้ผมแก้มร้อนจนต้องลุกหนีไปอีกทาง ไปอาบน้ำดีกว่าเผื่อร่างกายจะเย็นลงบ้าง

ผมออกมาจากห้องน้ำในชุดกางเกงนอนขายาวกับเสื้อยืดสีขาว ผ้าขนหนูผืนเล็กแปะลงบนหัวก่อนออกแรงขยี้เพื่อซับน้ำ ตอนนี้ห้องนั่งเล่นว่างเปล่าคาดว่าคนอื่นๆ คงเข้านอนกันหมดแล้ว สรุปวันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นกันสินะ เอาเถอะ ตื่นเช้าค่อยจัดเต็มแล้วกัน

เสียงเคาะประตูเป็นการให้สัญญาณว่าผมกำลังจะเข้าไปด้านใน ยืนรอการตอบรับจากอีกฝ่ายแต่ทุกอย่างก็เงียบกริบเลยตัดสินใจเปิดเข้าไปแล้วสอดส่ายสายตาหาพี่ยู พบว่าเขานอนแผ่อยู่ที่เตียงฝั่งซ้ายมีเพียงแค่กางเกงวอร์มติดตัวชิ้นเดียว นี่ปัณณ์ต้องข่มอารมณ์แค่ไหนวะ ปูฟูกบนพื้นยังดีกว่าอีก

เจ้าของห้องเข้าสู่ห่วงนิทราเรียบร้อยแล้วเนื่องจากลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอดี ผมถือวิสาสะนั่งลงข้างเตียงพลางมองใบหน้ายามหลับของพี่ยู ขนตาเรียงเป็นแพสวย สันจมูกโด่ง ริมฝีปากรูปกระจับ สันกรามที่ชัดเจน รวมกันแล้วทำให้เขาดูดีไม่มีที่ติจนหนุ่มสาวแทบทุกเพศทุกวัยให้ความสนใจ

เมื่อก่อนที่ผมเห็นเขาใกล้ชิดกับลูกค้ามากเกินพอดีจะรู้สึกหงุดหงิดจนอยากกระชากตัวออกมาจากตรงนั้นทั้งที่ความเป็นจริงทำได้แค่ฮึดฮัดมองดูสถานการณ์เงียบๆ แต่ในปัจจุบันนี้คงได้สิทธิ์หึงหวงมาครองแล้ว ถ้าอย่างนั้นขออนุญาตทำอะไรบางอย่างหน่อยคงไม่ว่ากันเนอะ

“ผมขอลบรอยจูบหน่อยนะครับพี่ยู” จบประโยคนั้นริมฝีปากของผมก็เคลื่อนเข้าไปประกบตรงตำแหน่งเดียวกันอย่างแผ่วเบาแต่ทว่าเนิ่นนานจนพอใจโดยไม่รุกล้ำไปมากกว่านี้ ปล่อยความรู้สึกหดหู่ เสียใจให้ไหลไปกับอากาศก่อนจะผละตัวออกมาคลี่ยิ้มบาง

เอาล่ะ ผมควรเข้านอนได้สักที พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาเตรียมอาหารเช้าสำหรับทุกคน

แสงแดดยามเช้าพร้อมกับเสียงนกในสวนร้องปลุกในผมลุกขึ้นนั่งด้วยความงัวเงีย ป่ายมือไปด้านข้างก็พบเพียงความว่างเปล่าก็พอจะเดาได้ว่าพี่ยูคงออกหนีไปออกกำลังกายแล้วหลังจากที่ร้างรามานาน ครั้นอยากล้มตัวลงนอนกลับโดนเสียงท้องร้องฉุดรั้งไว้ เอาวะ ล้างหน้าแปรงฟันแล้วเริ่มทำอาหารกันดีกว่า

ผมจัดการธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยแล้วหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงมาเช็คดูว่ามีใครติดต่อมาหรือเปล่าก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูห้อง มือเรียวเอื้อมไปจับลูกบิดแล้วเปิดมันออก

“เหี้ย!” ผมตะโกนด้วยความตกใจเมื่อเจอสิ่งมีชีวิตยืนอยู่ตรงหน้า หัวใจเต้นรัวเร็วราวกับเพิ่งไปวิ่งมาราธอน เกือบขว้างโทรศัพท์ใส่แล้วไหมล่ะเอย์จิ!

“ไหนเหี้ย นี่เราเอง!” คนโดนด่ารีบโวยวายกลับด้วยสีหน้าแตกตื่นไม่แพ้กัน ผมเบ้ปากก่อนจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ ถ้าเป็นเวลากลางคืนแล้วต้องมาเจอเหตุการณ์นี้คงง้างเท้าถีบเอย์จิกระเด็นไปแล้ว

“มายืนทำอะไรหน้าห้องเนี่ย?” ผมหย่อนโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงแล้วมองหน้าอีกคนเพื่อเค้นคำตอบ เอนตัวพิงกรอบประตูไว้เพราะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมานิดหน่อยเนื่องจากเมื่อคืนนอนดึกเอาแต่กังวลเรื่องขโมยจูบพี่ยู กลัวว่าเขาจะรู้ตัวน่ะ

“คือเรา...” จากคนโวยวายกลายเป็นคนอ้ำอึ้งอย่างสมบูรณ์แบบแถมหลบสายตากันอีก แบบนี้มันมีพิรุธ หรือจะมาประกาศตัวแย่งพี่ยูจีบผมจริงๆ วะ ไม่อยากให้เกิดสงครามภายในครอบครัวเลย

“ว่า?”

“ไปคุยกันที่โซฟานะ” เอย์จิพูดจบก็สะบัดก้นเดินไปนั่งที่โซฟาเฉยเลย ไอ้ผมที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัวก่อนจะขยับตัวออกจากห้องแล้วปิดประตูเพื่อทำตามที่อีกคนต้องการ

“มีอะไร?” เมื่อก้นสัมผัสกับโซฟาก็เอ่ยปากถามทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลาเตรียมอาหารเช้า กลัวพี่ยูจะกลับมาซะก่อน เอาง่ายๆ คือเป็นห่วงเรื่องปากท้องของเขานั่นล่ะ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องออกไปลุยงานกันต่อแล้ว

เอย์จิเหลือบมองผมครู่หนึ่งก่อนหันกลับไปเพื่อเม้มปากเข้าหากัน มือไม้ดูเกะกะเพราะเขาจับตรงนั้นทีตรงนี้ทีเหมือนทำอะไรไม่ถูก ถ้าให้เดาเรื่องที่กำลังจะพูดต้องเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนแน่ๆ

“คือ... เมื่อคืนเรานอนไม่หลับ”

“หืม ทำไม?”

“คิดมากทั้งคืนเลยว่ะ” คนอย่างเอย์จิเนี่ยนะคิดมาก โคตรเซอร์ไพร์สเลย เห็นปกติทำตัวสบายๆ ตลอด อย่างเรื่องที่ผมชอบพี่ยูเนี่ย ชิวสุด ไม่มีท่าทีตกใจด้วยซ้ำ

“เรื่องเรากับทอยน่ะเหรอ?” จะว่าเดาก็ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะเมื่อคืนได้ยินเสียงเอย์จิพึมพำเรื่องนี้อยู่ในห้องนอน

“อื้ม” เขาพยักหน้ารับแล้วพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ตามด้วยการยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้า ดูยังไงก็คิดว่าเอย์จิกังวลเรื่องนี้มากกว่าผมซะอีก โธ่ พ่อคนดี

“ไม่เป็นอะไรหรอกน่า เราคิดว่ามันคงจบแล้วล่ะ ถ้าเป็นเพื่อนกันไม่ได้จริงๆ ก็ช่างเถอะ” ไม่ใช่ว่าผมไม่แคร์ แต่เพราะว่าแคร์มากเลยทำอะไรไม่ได้ต่างหาก สู้ทำใจแล้วปล่อยวางซะดีกว่า ถ้าหาวันหนึ่งที่ไอ้ทอยเห็นคำว่ามิตรภาพสำคัญก็คงกลับมาเอง

“ไม่ใช่... เราอยากขอเบอร์โทรอะ”

เดี๋ยวสิ เอย์จิพูดเรื่องอะไรวะ แล้วทำไมต้องหน้าแดง!

“ห๊ะ?” ผมนี่ร้องเสียงหลงพร้อมขมวดคิ้วเลยเถอะ มึนหนักกว่าตอนที่โดนไอ้ทอยจูบอีก

“เราสนใจทอย” เสียงอ้อมแอ้มที่ตอบกลับมาทำให้ผมรู้สึกหน้าตึงขึ้นมา ไม่ได้หวงเพื่อนแต่ไม่เข้าใจว่าเอย์จิประทับใจอะไรในตัวไอ้ทอย ก็เมื่อคืนเขาเถียงกันจะเป็นจะตายไม่ใช่เหรอ หรือคนญี่ปุ่นซาดิสม์...

“หมายความว่ายังไง?” อันนี้ไม่ได้แกล้งโง่แต่อยากยืนยันอีกครั้งว่าเอย์จิไม่ได้พูดอะไรผิด

“เราจะจีบทอย แต่อย่าบอกพี่ยูนะ” เอย์จิพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแถมมีแววตามุ่งมั่นจนผมไม่กล้าถามเหตุผลอื่นใด เอาเป็นว่าเขาชอบไอ้ทอยก็พอแล้ว

“แน่ใจแล้วเหรอเอย์จิ?”

“เออน่า เชื่อมือเราว่าปัณณ์จะได้เพื่อนสนิทคืนมาแถมตำแหน่งน้องเขยอีกด้วย!” พูดจบก็ฉีกยิ้มให้ผมจนหน้าบาน เกือบหลุดหัวเราะอยู่แล้วเชียว กล้าประกาศตัวว่าจะเอาไอ้ทอยมาเป็นเชียว แต่ก็ดีที่มีจุดหมาย ไม่เหมือนคู่ของเราที่ไม่รู้เลยว่าใครจะรุกหรือรับ ถ้าว่ากันตามลักษณะทางกายภาพของร่างกายแล้วนั้นพี่ยูได้เปรียบแน่นอน

“โอเค เราเอาใจช่วย” ผมเอื้อมมือไปตบบ่าเอย์จิให้กำลังใจแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมาดูเบอร์โทรติดต่อของไอ้ทอย หลังจากนี้ก็ได้แต่หวังว่าความรู้สึกและหัวใจของทุกคนจะอยู่ในสภาพที่ดี มีความสุข

ผมเตรียมมื้อเช้าไว้สำหรับสามคนก่อนปลีกตัวไปอาบน้ำ กลับออกมาก็เห็นพี่ยูนั่งอยู่ปลายเตียงในสภาพพร้อมไปทำงานแล้ว เขาจะทำทุกอย่างไว้กินไปแล้ว

“ปัณณ์”

“ครับพี่” ผมขานรับในขณะที่กำลังเช็ดหัวให้แห้ง ไม่อยากใช่ไดร์เพราะมันเสียงดังรบกวนคนอื่นในบ้าน

“วันนี้จะพักผ่อนอยู่บ้านก็ได้นะ” พี่ยูลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งยิ้มละมุนมาให้กัน ผมอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดหัวเราะ หยุดมือพลางก้าวขายาวๆ เข้าไปหาอีกคน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวไปทำงานด้วยกันนี่ล่ะ ผมชิวๆ น่า” บอกเขาจบก็ทำท่าจะเดินออกจากห้องเพื่อไปจัดการมื้อเช้าซึ่งเป็นแซนวิซแฮมชีสกับนมจืดแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อโดนมืออุ่นๆ รั้งไหล่ไว้

“เสียใจมากไหม?” คำถามที่มาพร้อมอ้อมกอดอุ่นจากทางด้านหลังนั้นช่างมีอานุภาพชวนให้ใจเต้นแรงและส่งผลไปจนถึงพวงแก้มสีระเรื่อ ผมเม้มปากกลั้นยิ้มพลางส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ เสียใจก็ไม่ได้ช่วยให้เรื่องมันดีขึ้นมา สู้ปล่อยวางแล้วเดินหน้ากันดีกว่า

“ก็... ชินชาไปแล้วล่ะครับ”

“กอดพี่ไหม? เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น” ถามทั้งที่เขาก็กอดผมอยู่เนี่ยนะ บ้าจริง ใครกันแน่ที่เป็นคนเสียใจจนเบลอขนาดนี้

“ไม่เอาครับ แค่นี้พี่ก็แต๊ะอั๋งผมไปเยอะแล้ว”

“โห รู้ทันแบบนี้พี่ก็แย่สิครับ” ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก สำนึกสิครับไม่ใช่เอาคางมาถูไถบนไหล่ให้ยิ่งรู้สึกเขินมากขึ้น แม่ง ถ้ารู้ว่าพี่ยูเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ผมจะไม่ให้เข้าใกล้ในระยะห้าเมตรเลย!

“ผมไม่หลงกลพี่ง่ายๆ หรอกครับ” ปากบอกแบบนั้นแต่ไอ้ที่ยืนนิ่งเป็นเสาให้เขากอดคืออะไรวะปัณณ์ ทำไมย้อนแย้งขนาดนี้หืม แต่ก็เอาเถอะ มีความสุขกับสิ่งไหนก็ทำต่อไป เฮ้อ อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าคนวัยทองอีกมั้งกู เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

“ห่อเหี่ยวจัง เฮ้อ” พี่ยูผละออกไปแล้วแกล้งทำหน้าเศร้า ผมที่หันไปเห็นพอดีถึงกับรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตะหงิดๆ เสแสร้งจริง!

“บ่นอะไรครับ รีบไปกันเถอะ จะสายแล้ว” ผมจบบทสนทนาของเราไว้แค่นั้นเพราะหัวใจดวงนี้ไม่มีความสามารถพอจะต้านทานความเจ้าเล่ห์เพทุบายของพี่ยูได้เลย ขืนยังคุยกันต่ออีกสองสามประโยคบางที่ปากอาจประกบปากก็เป็นได้

ผมเชื่อว่าอีกไม่นานกำแพงของตัวเองต้องพังไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน ก็พี่ยูเล่นใช้รถเครนมารื้อถอนรากถอนโคนขนาดนี้ ไอ้คนขี้โกง!




-------------------------------------------


ปัณณ์ลูกกกก ไปขโมยจูบพี่ยูมันทำไม ฮื้อ
เอย์จิเขาจะรุกทอยแล้วหนา -..-

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 11 : ซาซิมิ P.2 -07/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-05-2018 17:50:39
อยากรู้ว่าเอย์จิจะจีบทอยแบบไหนเนี่ย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 11 : ซาซิมิ P.2 -07/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: skykick ที่ 07-05-2018 17:58:58



 :katai2-1: :katai2-1:




หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 11 : ซาซิมิ P.2 -07/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-05-2018 09:36:50
พี่ยูนี่หยอดได้หยอดดี เปลียนมาขายทองหยอดตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ 555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 11 : ซาซิมิ P.2 -07/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 10-05-2018 15:58:06
เอย์จิจะจีบทอย แอร๊ยยยย  :-[
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 12 : ไข่ม้วน P.2 -11/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 11-05-2018 16:52:40
จานที่ 12 : ไข่ม้วน
Yuuki’ s Part



ปัณณ์คงลืมไปว่าผมรู้สึกตัวง่ายแม้แต่เสียงโทรศัพท์สั่นยังตื่น แล้วไม่คิดว่าการมีอะไรนุ่มๆ มาแตะบนริมฝีปากนั้นรู้สึกยังไงบ้าง... ก็แทบหยุดหายใจน่ะสิ พยายามบังคับอารมณ์แทบตายเพื่อไม่ให้จูบตอบเขาน่ะ เกร็งทรมานยิ่งกว่าโดนผีอำอีก

เพิ่งตะหนักว่าจูบกับผู้ชายก็ไม่ได้แย่แถมยังรู้สึกดีอีกต่างหาก เอ... แต่ต้องบอกว่าจูบกับคนที่ชอบถึงจะถูกสินะ สมองยังจำได้ทั้งสัมผัสและกลิ่นพีชอ่อนๆ ของลิปมันจากเขา ปัณณ์ทำให้ผมนอนไม่หลับจนถึงเช้า

เมื่อแสงตะวันแรกของวันโผล่พ้นขอบฟ้าผมรีบลุกจากที่นอนแล้วจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังกาย ก่อนจะออกจากห้องก็หันไปมองตัวต้นเหตุที่ยังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข สนุกนักหรือไงที่ทำให้คนอื่นรู้สึกปั่นป่วนแบบนี้

ผมวิ่งไปตามถนนคอนกรีตพลางคิดถึงเรื่องของปัณณ์กับทอย ต่างคนต่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน เข้าใจว่าความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อนแถมยังไม่สามารถบังคับกันได้ ตอนนั้นคนที่ได้แต่เฝ้ามองเหตุการณ์ต้องพยายามระงับอารมณ์โมโหที่น้องโดนจูบ กดความอยากรู้อยากเห็นไว้ข้างในเพื่อรออีกฝ่ายพร้อมจะพูดเอง เชื่อว่าการอดทนได้ผลที่ดีเสมอ

กลับมาถึงบ้านก็เจอเอย์จินอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาเล่นโทรศัพท์ด้วยใบหน้าบึ้งตึง ผมเดินเข้าไปหาก่อนจะเอื้อมมือไปเขกหัวมัน ใครสั่งใครสอนให้ทำแบบนี้ เดี๋ยวก็สายตาเสียพอดี อยากใส่แว่นหรือยังไง

“เคาะหัวทำไมเนี่ย?” เอย์จิลดโทรศัพท์ลงแล้วเหลือกตามองผมที่ยื่นค้ำหัวกันอยู่ ท่าทางฮึดฮัดทำให้รู้สึกหมั่นไส้จนเอื้อมมือตรงไปเคาะหัวน้องอีกครั้ง สะใจว่ะ

“ถ้าจะเล่นโทรศัพท์ก็ลุกขึ้นนั่งดีๆ”

“ขี้บ่นยิ่งกว่าพ่ออีก” คนโดนดุบุ้ยปากใส่แต่ก็ยอมลุกขึ้นนั่งดีๆ โทรศัพท์ในมือถูกยกขึ้นมาดูอีกครั้งก่อนได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือก ตกลงมีอะไรกับเครื่องสี่เหลี่ยมนั่นนักหนา ทำหน้าอยากกับอกหักหรือโดนคู่นอนคนปัจจุบันทิ้ง

“ไม่เถียงสักเรื่องได้ไหม? ที่เตือนเพราะเป็นห่วง” ผมเอื้อมมือไปยีหัวน้องจนยุ่งเหยิง เจ้าตัวค้อนขวับแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องยอมให้สัมผัสแต่โดยดี เอย์เลิกสนใจกันพลางเบนสายตากลับสู่หน้าจอแชทที่ยังนิ่งเงียบไร้การตอบกลับ ไม่เคยคิดว่าจะมีวันเห็นมันทำหน้าเศร้าขนาดนี้มาก่อน

“รู้แล้วครับๆ นี่ไปวิ่งมาเหรอ?” ถามทั้งที่สายตาไม่ยอมละจากโทรศัพท์ ผมผละมือออกก่อนจะเดิมอ้อมไปทิ้งตัวนั่งลงข้างเอย์จิ ไม่ได้ตอบคำถามในทันทีเพราะความรู้สึกที่ถูกขโมยจูบย้อนกลับมาเล่นงานอีกครั้ง ความคิดมากมายตีรวนตั้งแต่เมื่อคืน ตกลงว่าตอนนี้จีบปัณณ์ติดหรือยังวะ

คงเพราะว่าปล่อยให้ความเงียบครอบงำอยู่นานเอย์จิเลยหันมาขมวดคิ้วใส่เป็นเชิงถามย้ำ ผมพยักหน้ารับก่อนหลุบสายตาลงมองพื้น ตอนนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งโตเป็นหนุ่มไม่ประสีประสาเรื่องความรัก ไม่มั่นใจว่าทุกอย่างที่ทำลงไปกับปัณณ์นั้นได้ผลบ้างหรือเปล่า อยากถามแต่ลึกๆ ก็กลัวคำตอบ ถึงจะมีเรื่องจูบเข้ามาให้เข้าข้างตัวเองบ้างก็เถอะ

“อืม”

“อ่าฮะ ถ้าพี่จะอาบน้ำก็ใช้ห้องด้านนอกนะ” น้องตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางห้องน้ำด้านนอก ผมมองตามพลางขมวดคิ้วอย่างงุนงง ทำไมต้องข้างนอก ข้างในสวมตันหรือยังไง

“ทำไม?” ผมถามพลางลุกขึ้นบิดตัวเพื่อไล่ความเมื่อยล้า ไม่ได้ออกแรงวิ่งซะนานคืนนี้คงนอนตายแน่ๆ โธ่ ไม่น่าตื่นเต้นเรื่องที่ปัณณ์ขโมยจูบเลย ทำตัวอย่างกับเด็กหนุ่มเพิ่งมีความรักไปได้ไอ้ยูกิ มึงจะสี่สิบอยู่แล้ว!

“ปัณณ์อาบน้ำอยู่อะ” คำตอบนั้นทำให้ผมชะงักกึก สมองพาลคิดไปถึงอะไรต่อมิอะไรใต้ร่มผ้า มันจะขาวและเนียนแค่ไหนกันวะ แก่แล้วไม่น่าฟุ้งซ่านขนาดนี้เลยให้ตาย

“อ๋อ โอเค”

สุดท้ายผมก็หอบเสื้อผ้าออกมาอาบน้ำด้านนอกจนได้แต่พอเสร็จก็กลับไปนั่งบนเตียงเพื่อรออีกคน ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้แต่ก็อยากเห็นหน้า อยากคุย อยากเห็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ฝืนแบบเมื่อคืน เอาง่ายๆ คือเป็นห่วงความรู้สึกของเขาหลังจากโดนเพื่อนหักหลังนี่ล่ะ ไม่รู้ใจพังไปเท่าไหร่แล้ว

ปัณณ์เปิดตูห้องน้ำออกมาในสภาพที่มีผ้าขนหนูวางอยู่บนหัว เขาดูตกใจที่เห็นผมนั่งอยู่ตรงนี้แต่ก็ส่งรอยยิ้มบางๆ มาให้กัน ทุกอย่างเหมือนปกติแต่มันไม่ใช่ บรรยากาศรอบตัวเขาอึมครึมมาก

“ปัณณ์”

“ครับพี่”

“วันนี้จะพักผ่อนอยู่บ้านก็ได้นะ” ในที่สุดผมก็ยั้งปากตัวเองให้พูดเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ คงเพราะสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า ปัณณ์พยายามซ่อนทุกอย่างไว้ภายใต้ท่าทางร่าเริงและรอยยิ้ม อยากให้ระบายหรือร้องไห้มากกว่า

ปัณณ์เลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะคลี่ยิ้มตามแบบฉบับของเขาแล้วบอกว่าเรื่องนี้ชิวๆ ทำงานได้สบาย ผมพยักหน้ารับไม่เซ้าซี้ให้มากความ ถ้าปิดบังความรู้สึกกันแล้วตาแดงขนาดนี้ เขาไม่พูดก็จะถามเอง

“เสียใจมากไหม?” หลังจบประโยคก็เกิดเดตแอร์ครู่หนึ่งแต่ไม่นานเกินรอปัณณ์ก็ตอบกลับมาด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ว่าชินไปซะแล้ว ผมเลยเข้าไปกอดจากด้านหลังเพื่อต้องการปลอบประโลม พูดหยอกล้อให้เขาหัวเราะ ไม่ได้ตั้งใจจะแต๊ะอั๋งหรอกเชื่อกันหน่อยสิ

วันนี้ก็เป็นเหมือนปกติที่ลูกค้าจะแน่นในช่วงเวลาเที่ยงและยังคงมีการแอบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปมากหน่อยก็กล้องถ่ายรูป ผมชินกับเหตุการณ์แบบนี้แต่ดูเหมือนกับปัณณ์จะไม่ชอบสังเกตได้จากน้ำเสียงและใบหน้าที่เปลี่ยนทันทีเมื่อพวกเธอทำแบบนั้น ช่วยไม่ได้นะ ร้านเราขายอาหารไม่ได้ขายเด็กเสิร์ฟสักหน่อย เริ่มรู้สึกหวงขึ้นมาแล้วสิ

ผมมองภาพปัณณ์หน้าบึ้งกำลังรับออเดอร์อาหารอยู่มุมหนึ่งของร้าน ลูกค้าสาวสวยวัยมหา’ลัยร่วมห้าคนถามนั่นถามนี่ไปเรื่อย ชื่อ ไลน์ เบอร์โทร หนักสุดคงเป็นมีแฟนหรือยัง อยากตะโกนตอบแทนเหลือเกินว่ายืนหัวโด่อยู่หลังเค้าน์เตอร์นี่ (ขอโมเมหน่อย) แต่ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วทำไข่ม้วนต่อ

ในขณะที่ผมเทไข่ลงในกระทะทรงสี่เหลี่ยมเป็นครั้งที่ห้านั้นเคียวก็เดินมาส่งออเดอร์ที่หน้าเค้าน์เตอร์ ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้แต่เขาก็ยังยืนที่เดิมเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด (ดีหน่อยที่วันนี้ริวไม่ได้มาที่ร้านเพราะยังติดลมเล่นกับน้องเรนลูกของเคียว)

“มีอะไร?” ผมถามก่อนจะละสายตากลับไปม้วนไข่ในกระทะแล้วเทส่วนที่เหลือลงไปอีกรอบ เคียวได้โอกาสเลยกระโดนขึ้นนั่งบนเก้าอี้บาร์พลางเท้าแขนมองกัน อยากบอกมันว่าทำแบบนี้ชวนขนลุกฉิบหาย

“ไม่หวงปัณณ์บ้างเหรอไง เดี๋ยวนี้สาวๆ ถ่ายรูปน้องไปลงทวิตเตอร์เยอะเลยนะ แท็กเด็กเสิร์ฟหล่อบอกต่อด้วยอะไรนั่นน่ะ” เคียวพูดอะไรยาวยืดที่จับใจความได้แค่ว่าไม่หวงปัณณ์เหรอ มาชวนคุยตอนทำอาหารเดี๋ยวก็ไหม้พอดี ผมไม่ตอบกลับในทันทีแต่จัดการตักไข่ม้วนแท่งยาววางลงบนเขียงแล้วหันออกเป็นชิ้นๆ ตกแต่งจานจนสวยงามก่อนจะยกวางไว้บนเค้าน์เตอร์ เพื่อส่งให้อีกคนยกไปเสิร์ฟ

“นี่คุยด้วยอยู่นะยูกิ” เคียวย้ำอีกครั้งทำให้ผมต้องละมือจากกระดาษจดออเดอร์แผ่นปัจจุบันแล้วจ้องหน้ามันพลางขมวดคิ้ว ตกลงว่าจะไม่เอาไข่ม้วนไปเสิร์ฟให้ลูกค้าใช่ไหม แล้วปัณณ์น่ะทำไมยืนอยู่ที่เดิมนานจังวะ

“กูได้ยินแล้ว แต่ตอนนี้มึงควรยกจานนี่ไปเสิร์ฟลูกค้าสักที” ผมเลื่อนจานไปตรงหน้าเคียวแล้วพยักพเยิดหน้าไปทางโต๊ะของลูกค้า เคียวถอนหายใจใส่แล้วกระโดดลงจากเก้าอี้ ท่าทางเหมือนเด็กถูกขัดใจไม่มีผิด สงสัยติดนิสัยน้องเรนมาแน่ๆ

“จีบน้องแต่ดันยืนมองน้องโดนจีบ สงสัยจะได้กินแห้ว” เคียวพึมพำกับตัวเองแต่ผมดันหูดีได้ยินเลยยื่นมือไปผลักหัวคนปากเสีย มันแทบจะเหวี่ยงจานไข่ม้วนใส่ มึงช่วยสำนึกหน่อยว่ากูมีศักดิ์เป็นพี่

“จะให้กูเข้าไปลากคอเสื้อปัณณ์ออกมาหรือไง” ผมบอกเสียงเรียบก่อนจะมองไปทางปัณณ์ที่ตอนนี้หน้าหงิกลงกว่าเดิมสักสองเท่าแต่ลูกค้าดันไม่รู้ยังเพราะพวกเธอยังคงประวิงเวลาเพื่อยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปอยู่ คนอย่างยูกิทำอะไรไม่ได้นอกจากลอบถอนหายใจ ขืนทำตามที่พูดร้านคงโดนด่าลงโซเชี่ยลแน่นอน

“แสดงท่าทีหวงบ้างก็ได้” เคียวเหล่มองเหมือนไม่เชื่อว่าผมกำลังจีบปัณณ์อยู่จริงๆ ก็เข้าใจที่ระแวงเพราะตั้งแต่เล็กจนโตก็ชวนกันดูสาวสวยอยู่ตลอด แต่เวลาเปลี่ยนใจคนก็เปลี่ยนได้ อีกอย่างคือมันออกอาการห่วงน้องมากจนน่าหมั่นไส้ ตกลงว่าอยู่ข้างใครกันแน่วะ มึงเป็นญาติใคร!

“ที่กูนิ่งไม่ได้แปลว่ากูไม่สนใจหรือเปล่า มึงนี่มันวุ่นวายจริงๆ” ผมบ่นก่อนจะละสายตากลับมาอ่านออเดอร์ที่ต้องทำอีกครั้ง มัวแต่คุยกับมันเสียเวลาไปมากแล้ว เผลอๆ ลูกค้าจะกินหัวเอา แล้วดูเมนูสิ โอโคโนมิยากิ เวรเอ๊ย ต้องวิ่งเข้าครัวอีก อดสอดส่องดูแลปัณณ์เลยไง

“เมื่อไหร่หมาคาบไปแดกกูจะหัวเราะให้” ไอ้นี่ยังไม่จบ ขนาดยกจานไข่ม้วนเดินไปตั้งหลายก้าวยังหันมาเยาะเย้ยกันได้อีก เดี๋ยวไล่ออกจากงานแม่งเลย

กว่าจะถึงเวลาปิดร้านผมก็แทบคลานออกจากครัว วันนี้สาหัสจริงๆ เพราะคนเยอะกว่าทุกวันทั้งที่ฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายส่งผลให้ตอนนี้ต้องมานั่งรอมันหยุดตกเพราะไม่มีร่ม บรรยากาศเหมาะแก่การนอนบนเตียงนุ่มๆ ห่มผ้าหนาๆ กอดใครสักคนเพิ่มความอบอุ่น แค่คิดก็ฟินจนเผลอเหลือบมองปัณณ์ เขาซบหน้าลงกับท่อนแขนแล้วฮัมเพลงงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว ดูมีความสุขต่างจากเมื่อเช้าลิบลับ

“พี่ยูครับ” เสียงเรียกที่มาพร้อมกับใบหน้าของปัณณ์ที่สลับหันมาด้านนี้ทำให้ผมต้องรีบเบนสายตาหนีทำเป็นสนใจสายฝนด้านนอกร้าน หัวใจเต้นรัวเร็วกลัวว่าเขาจะรู้ตัวว่าโดนแอบมองมานาน

“ครับ” ผมตอบรับทั้งที่ยังคงจ้องตรงไปด้านหน้าตาแทบไม่กระพริบ พยายามปรับจังหวะการหายใจให้เป็นปกติ ต้องสงบนิ่งให้มากกว่านี้เดี๋ยวปัณณ์จะหาว่ารีบร้อนรวบหัวรวบหางเขาเกินไป แค่หยอดเขาทุกเวลาที่มีโอกาสก็โดนดุตลอด

“ถ้าให้เลือกระหว่างทะเลกับภูเขา ชอบที่ไหนมากกว่ากันครับ?”

“.....” ผมส่ายหน้า ทำให้ปัณณ์ขมวดคิ้วยุ่ง ที่จริงแล้วคำตอบคือทะเล แต่ตอนนี้อยากหาเรื่องหยอดเขามากกว่า

“พี่ชอบเรามากกว่า”

“พี่ยู...” ปัณณ์ครางเสียงเบาก่อนที่ใบหน้าจะค่อยๆ กลายเป็นสีแดง เขาเม้มปากแน่นไม่ยอมมองกันเหมือนเมื่อครู่ ผมคิดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าน่ารักเต็มหัวไปหมด ถ้าจับฟัดได้คงทำไปแล้ว

“จะชวนไปเที่ยวเหรอครับ?” เห็นปัณณ์แทบเอาหน้ามุดโต๊ะผมก็เลยชวนคุยทำนองอื่นเพราะไม่อยากโดนหาว่าหยอดไม่รู้จักเวล่ำเวลา แต่ถ้ายอมตามใจตัวเองคงหาวิธีทำให้เขาเขินหนักกว่านี่แน่ ชอบแก้มแดงๆ นั่น ชอบแววตาสั่นไหวที่มองมา

“อะ อะไรครับ แค่ถามเฉยๆ” ปัณณ์ตอบเสียงตะกุกตะกักก่อนจะเฉไฉทำเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตั้งทิ้งไว้โดยไม่สนใจด้วยซ้ำ เวลาเขินแล้วกลบเกลื่อนน่าแกล้งชะมัด

“อ้าวเหรอ? นึกว่าอยากไปเดทนอกสถานที่กับพี่” ผมยิ้มกริ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้หวังจะให้เขามุดหน้าหายไปกับโต๊ะแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือดวงตาดุๆ และฝ่ามืออุ่นเอื้อมมาดันหน้าผาก นี่ถ้าอายุไล่กันคงโดนตบหัวไปแล้ว

“พี่ควรเป็นฝ่ายชวนผมปะ?” โดนเลยครับ โธ่ อยากเป็นคนโดนจีบบ้างได้ปะ

“นั่นสินะ ก็พี่มันเป็นคนจีบนี่เนอะ” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเบนหน้าหนีไปอีกทางแล้วแอบยิ้มให้กับความน่ารักของเขา ทำหน้าดุแต่แก้มแดงขนาดนั้นให้คิดว่ายังไงดีล่ะ

“ใช่ครับ พี่จีบผม” น้องย้ำเสียงดุ ขยับตัวยุกยิกอยู่ข้างๆ กัน

“งั้นถ้าพี่ชวนไปเที่ยวก็จะตกลงใช่ไหม?” ผมหันกลับไปถามดูน้องจะตกใจมากแต่สุดท้ายก็ควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว ปัณณ์ไหวไหล่ก่อนยกมือขึ้นเท้าคางมองเหม่อไร้จุดหมาย ปล่อยให้คนแก่ลุ้นคำตอบนานแบบนี้น่าตีจริงๆ เลย

“ไม่รู้สิครับ รอให้ถึงเวลานั้นผมถึงจะตอบ” ปัณณ์คลี่ยิ้มไม่มีท่าทีว่าจะหันมาสนใจคนแก่คอตกข้างๆ เลยสักนิด แต่ผมมั่นใจว่าความรู้สึกระหว่างเรากำลังพัฒนาอย่างแน่นอน ยืนยันได้จากจูบเมื่อคืนถึงแม้ว่ามันเป็นแค่การล้างรอยก็เท่านั้น

“ว้า ไม่เห็นหนทางจะจีบติดเลย แย่จัง” ผมแกล้งบ่นไปอย่างนั้นล่ะ เพื่อเด็กน้อยจะยอมใจอ่อนเร็วๆ นี้

“บ่นเป็นคนแก่ไปได้” อ้าว หันมาแยกเขี้ยวใส่ซะอย่างนั้น แต่ก็น่ารักจนผมเผลอเอื้อมมือไปหยิกแก้ม ปัณณ์สะดุ้งปัดป่ายการสัมผัสยกใหญ่ โธ่ เขินสินะ

“ก็แก่แล้วนี่ครับ จะสี่สิบอยู่แล้ว” อันนี้ไม่ได้น้อยใจแต่พูดเรื่องจริง อีกสามปีเท่านั้นก็เข้าหลักสี่แล้ว เฮ้อ ก็ได้แต่ภาวนาว่าปัณณ์คงไม่ไปถูกใจใครที่ไหนก่อนที่ผมจะจีบเขาติด

“ครับๆ เอ้อ ผมลืมบอกว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นจะขอเลิกงานก่อนสักสองชั่วโมง”

“ทำไมครับ?” ผมถามสวนกลับอย่างรวดเร็วพลางขมวดคิ้วมองเขา ปัณณ์ไม่เคยขอลางาน ไม่เคยไปไหนคนเดียวเลยตั้งแต่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน แปลก...

“เพื่อนสมัยเรียนมหา’ลัยนัดเจอครับ”

“ที่ไหน?”

“ร้านเหล้าแถวๆ ห้าง xxx ครับ”

“ทอยไปด้วยหรือเปล่า?” ผมไม่ได้หวงปัณณ์ แต่ที่ถามเพราะกลัวว่าเขาจะอึดอัดเวลาต้องเจอหน้ากับทอย เรื่องมันจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่และยังเป็นแผลสด

ปัณณ์หันมาคลี่ยิ้มบางก่อนจะส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ แววตายังคงเจือไปด้วยความเสียใจซึ่งผมก็ทำได้แค่เอื้อมมือไปแตะไหล่โดยไม่พูดอะไรออกไป สถานการณ์แบบนี้การอยู่ข้างๆ อาจดีกว่าการออกความคิดเห็นเพราะเราไม่ได้รู้จักทอยมากพอ

“ไม่ครับ มันมีไฟล์ทบินคืนนี้”

“ให้พี่ไปส่งไหม? ถ้าขากลับเมาก็ไม่ต้องขับรถ” ผมเสนอด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ว่าน้องเป็นคนดื่มหนักจนเมาเละเทะ จำได้ว่าตอนจัดงานแต่งทอยต้องเป็นคนลากเขาไปนอน พอคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกหวงขึ้นมาซะเฉยๆ เฮ้อ เป็นผู้ใหญ่หน่อยสิวะยูกิ

“ไม่รบกวนดีกว่าครับ เดี๋ยวให้เพื่อนมารับที่นี่ ขากลับก็ให้มันไปส่ง” ปัณณ์บอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้วเดินไปเกาะกระจกร้านเพื่อสังเกตว่าฝนหยุดตกหรือยัง ท่าทางแบบนั้นคงอยากกลับบ้านแน่นอนแต่ผมยังคุยกับเขาไม่จบเลย

“ให้พี่ทำคะแนนบ้างสิครับ” ผมเดินเข้าไปหาพร้อมกับพูดประโยคขอร้องนั้น ลอบมองปฏิกิริยาของปัณณ์อยู่ด้านหลังเงียบๆ เห็นน้องชะงักไปในใจก็ลุ้นสารพัดว่าจะได้คำตอบแบบไหนกลับมา รับหรือปฏิเสธ

“แต่มันจะเสียงาน” ปัณณ์ตอบกลับเสียงเขาทำให้ผมต้องขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิมเพื่อสังเกตสีหน้าเขาผ่านภาพสะท้อนในกระจก ปากบางที่เม้มเข้าหากันแน่นกับมือที่ขยำชายเสื้อไว้บอกอะไรได้หลายๆ อย่างจนทำให้หัวใจเต้นแรง น้องเขินอีกแล้วว่ะ

“แค่วันเดียวไม่เป็นไรหรอกน่า” คราวนี้ผมไม่ปล่อยให้ความหนาวของสายฝนทำร้ายตัวเองได้โดยการถือวิสาสะกางแขนแล้วโอบรอบลำตัวอีกคนเอาไว้ ได้ยินเสียงสูดลมหายใจแรงๆ ร่างกายกระตุกเกร็งแต่ไม่มีการปัดป้อง ขอบคุณที่ให้กอดครับคนดี

“ตะ ตามใจครับ” โอย น่ารักฉิบหายเลยเด็กๆ เนี่ย

ปัณณ์รับอาสาขับรถกลับบ้านให้เนื่องจากผมหาวไปหลายรอบแถมยังตาปรือคล้ายคนจะหลับ ระหว่างทางได้ยินเสียงฮัมเพลงเบาๆ มันช่างหวานและสื่อความหมายของการแอบรักได้อย่างชัดเจนจนเผลอคิดว่าเขาแอบรู้สึกแบบนั้นกับใครบ้างหรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกันมาไม่เคยได้ยินว่าน้องมีแฟนแบบจริงจังเลยสักคน มีแต่คู่นอนผ่านมาก็ผ่านไป

ความคิดวนเวียนอยู่ในสมองมากมายแต่สุดท้ายก็แพ้ความเหนื่อยล้าซึ่งลากผมเข้าสู่ห้วงนิทรา มารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็ตอนที่รถเข้าจอดในรั้วบ้านเรียบร้อย ลืมตาขึ้นก็เจอกับปัณณ์ที่โน้มตัวลงมาช่วยปลดเข็มขัดนิรภัยให้ในระยะประชิดจนได้กลิ่นน้ำหอมแนวฟรุตตี้ อยากปั้นๆ เขาแล้วกลืนลงท้องชะมัด

ผมแกล้งขยับตัวจนปลายจมูกแตะเข้ากับแก้มใสตรงหน้าพลางลอบสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด คนโดนแต๊ะอั๋งถึงกับสะดุ้งแล้วผละตัวออกอย่างรวดเร็ว สีหน้าแสดงความตกใจ มือไม้ดูเกะกะไม่รู้จะเอาวางไว้ตรงไหน ถ้าให้เปรียบเทียบคงเหมือนกระต่ายตื่นตูม น่ารักน่าแกล้ง

“ตะ ตื่นแล้วเหรอครับ?” ปัณณ์ละล่ำละลักถามแทบไม่เป็นภาษาก่อนจะใช้มือคลำๆ ปลดล็อคประตูรถเพื่อหนีจาเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ผมกลับคว้ามือของเขามากุมไว้แล้ววางลงที่ตำแหน่งหัวใจ ใช้สายตาหวานเยิ้มสบมอง

“ครับ พี่ตื่นแล้ว” ผมขยับหน้าเข้าไปใกล้เพื่อตอบคำถามนามด้วยส่งรอยยิ้มหวานๆ เป็นการปิดท้ายประโยค ปัณณ์หลบสายตาก่อนพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมแต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายเลยแยกเขี้ยวขู่กันซะอย่างนั้น โธ่ๆ เด็กน้อย ไหนล่ะพ่อเพลย์บอยรักสนุก โดนจีบแค่นี้กลายเป็นคนขี้เขินไปเลย น่าจับฟัดแรงๆ สักที

“จะจับอีกนานไหมครับ? ผมจะลงแล้ว” บุ้ยปากใส่กันแล้วกระชากมือออกอีกครั้งแต่ผมออกแรงรั้งเขาเข้าหาตัวจนในที่สุดเราก็อยู่ในท่ากอดกัน ถึงจะไม่แนบแน่นและรู้สึกเจ็บจากการกระแทกไปบ้างแต่ก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายที่อุ่นจนอยากคลอเคลียทั้งคืน ถ้าเป็นแฟนกันเมื่อไหร่จะกอดไม่ยอมปล่อยเลยคอยดู

“พี่ยู!” ปัณณ์ตะโกนอัดหูจนผมต้องเบ้หน้าแต่อย่าหวังว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ยิ่งทำแบบนี้ก็ยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดมากขึ้น คนอะไรเขินแล้วน่าขย้ำเป็นบ้า

“ชู่ว ~ ไม่เสียงดังสิครับคนดี” ผมยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากอีกคนแล้วขยับเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจอย่างชัดเจน ปัณณ์เบิกตาโตก่อนผงะถอยหลังจนหัวโขกกับกระจกหน้าต่างด้านหลัง ครั้นจะเข้าไปช่วยบรรเทาความเจ็บก็โดนน้องแยกเขี้ยวใส่ โธ่ อุตส่าห์หวังดี ถ้าจุ๊บกระหม่อมคงหายไวแน่ๆ

“พี่นั่นล่ะ ทำบ้าอะไรอยู่ครับ?” เขาถามเสียงดุพลางขมวดคิ้วยุ่งก่อนยกมือข้างหนึ่งลูบหลังศีรษะที่โขกเมื่อครู่ ผมไหวไหล่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วขยับนั่งตัวตรงเนื่องจากรู้สึกปวดหลัง อาการบ่งบอกความแก่ฉิบหาย

“ก็แค่อยากกอดปัณณ์” ผมพึมพำแต่กลับมองน้องด้วยสายตากรุ้มกริ่ม จริงๆ จะบอกว่าอยากจูบแต่กลัวโดนถีบ ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกันเดี๋ยวกระต่ายตกใจ

“มันใช่เวลาเหรอครับ ผมง่วงแล้ว” ดูสิ ขนาดเวลาทำหน้าบึ้งยังดูดีเลย นี่ผมกำลังหลงน้องแบบหัวปักหัวปำใช่ไหม แต่มั่นใจว่าไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบแน่นอน

“ถ้างั้นเวลาอื่นพี่ก็กอดได้ใช่ไหม?” ผมไม่ได้ถามแต่ปากเพราะใช้ร่างกายเข้าแนบชิดกับเขาอีกครั้งจนโดนกำปั้นหนักๆ ทุบลงบนไหล่ ยอมรับว่าเจ็บแต่ไม่อยากปล่อย ก็น้องเล่นตัวหอมกลิ่นพีชขนาดนี้ (ปกติผมไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมแนวฟรุตตี้หรอก มันรู้สึกแสบจมูก แต่พออยู่บนตัวปัณณ์คือโคตรฟิน)

“นี่! ยังพูดไม่ทันขาดคำเลย ปล่อยครับ ไม่งั้นผมกัดไหล่พี่จริงๆ ด้วย” ปัณณ์ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดแต่ผมไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แถมออกแรงกระชับมากยิ่งขึ้น โอย นุ่มนิ่ม ชอบมาก

“เป็นหมาเหรอ?” ผมกระซิบถามข้างหูเลยได้ยินเสียงขู่กลับมา หมาจริงๆ ด้วยนั่นล่ะ

“ใช่ ดุด้วย” ปัณณ์ยอมรับก่อนจะกัดลงมาบนไหล่กันจริงๆ แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บเพราะเขาออกแรงน้อย ไอ้การกระทำแบบนี้ขอโมเมว่าอยากทำสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของได้หรือเปล่านะ คนแก่ก็มีสิทธิ์จินตนาการ

“พี่ชอบครับ อยากเลี้ยงหมาขึ้นมาแล้วสิ”

“พอเถอะครับ ผมจะตายแล้ว” เสียงของปัณณ์แผ่วจนผมตกใจรีบผละตัวออกแล้วเปลี่ยนเป็นจับไหล่เขาไว้เพื่อดูอาการ

“เฮ้ย พี่กอดแรงไปเหรอ? ขอโทษครับ” ผมมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็ไม่เห็นว่ามีตรงไหนน่าจะเจ็บ แค่แก้มแดง... หรือว่าปัณณ์เขิน

“ไม่ใช่... พี่ทำให้ผมใจเต้นแรงเกินไปแล้วต่างหาก” จบประโยคแผ่วๆ นั่นเขาก็หนีลงจากรถไปทันทีปล่อยให้ผมนิ่งค้างเพราะกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ได้ยิน ถ้าหากใจเต้นแรงเพราะคำพูดพวกนั้นก็แสดงว่า...

“ปัณณ์... ปัณณ์หวั่นไหวกับพี่แล้วใช่ไหม?!” ผมตะโกนถามพลางรีบเปิดประตูลงจากรถจนเกือบสะดุดขาล้มหน้าคะมำ ความดีใจตีตื้นขึ้นในอก รอยยิ้มบนใบหน้าคลี่ออกกว้างราวกับคนบ้า อีกนิดเดียวคงจะได้ครอบครองความรู้สึกและร่างกายของปัณณ์อย่างสมบูรณ์

ผมวิ่งตามน้องเข้าไปในบ้านแล้วเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยกำลังหยุดคุยกับใครอีกคน น้ำเสียงที่ได้ยินเคร่งเครียดกว่าปกติ ยิ่งใกล้ยิ่งเห็นถึงความผิดปกติบนใบหน้าเอย์จิ

“เฮ้ย เอย์จิทำไมหน้าตาเป็นแบบนั้น?” ผมรีบปรี่เข้าไปจับน้องชายสำรวจทั่วร่างกายนอกร่มผ้า ใบหน้าของเขามีรอยเขียวช้ำ มุมปากแตก นี่ไปถ่ายแบบหรือไปฟัดกับหมา อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดไม่เห็นเห็นมันในสภาพนี้เลย

“มีเรื่องนิดหน่อยอะ แต่เคลียร์ไปแล้ว ไม่ต้องห่วงครับ” เอย์จิยิ้มแหย่ก่อนจะเดินไปหย่อนก้นลงบนโซฟา ได้ยินเสียงซี๊ดปากเมื่อมือเรียวแตะเข้าที่แผลเลือดซิบ



ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 12 : ไข่ม้วน P.2 -11/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 11-05-2018 16:53:05
“กับคนในสตูดิโอน่ะเหรอ?” ผมขยับเข้าไปนั่งยองๆ ตรงหน้าเอย์จิแล้วเลื่อนมือจับปลายคางเพื่อดูรอยแผลอีกครั้ง ส่วนปัณณ์คงหายไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผล

“เปล่าครับ” น้องส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหลุบตาลงมองตักคล้ายคนทำความผิด ผมเม้มปากแน่นพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอตวาด เป็นห่วงมันจะแย่ เวลาปกติพูดมากพอตอนนี้กลับกลัวดอกพิกุลจะร่วง น่าตีจริงๆ

“แล้วใครเป็นคนทำ? บอกพี่มา” ผมคาดคั้นเอย์จิด้วยเสียงขรึมแต่สัมผัสที่แตะลงมาบนไหล่ทำให้ต้องหันไปมองด้านหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้ ปัณณ์จะมาขัดจังหวะตอนนี้ไม่ได้นะ โธ่เอ๊ย

“เอ่อ ผมหิวอะ พี่ยูไปทำอะไรให้ผมกินหน่อยได้ไหม? รู้สึกปวดๆ ท้องด้วย” ปัณณ์เอ่ยขอด้วยน้ำเสียงและสายตาอ้อนๆ ทำให้เกิดความลังเลระหว่างคาดคั้นคำตอบกับทำอาหารเอาใจว่าที่แฟน อย่างไหนดีกว่ากันวะ

“แต่ว่า...”

“นะครับ เดี๋ยวเรื่องเอย์จิผมจัดการเอง” โอ้โห เสียงสองก็มาจนหัวใจผมอ่อนระทวยไปหมด เอาวะ ทำอาหารเอาใจว่าที่แฟนเสร็จค่อยเรียกน้องชายคุยอีกครั้งคงไม่เป็นไร อีกอย่างปัณณ์คงช่วยเคลียร์ปัญหาเบื้องต้นได้ล่ะมั้งก็เล่นพูดขนาดนั้นแล้ว

“เอางั้นก็ได้ครับ” สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ลูกอ้อนของเด็กจนได้ เฮ้อ แย่เลยว่ะ

สรุปว่าเรื่องของเอย์จินั้นทำให้ผมถึงกับต้องนั่งกุมขมับในเช้าวันถัดมาเพราะได้ยินเสียงเขาทะเลาะกับใครบางคนผ่านทางโทรศัพท์ มันไปจูบทอย... ไอ้น้องบ้าคิดยังไงไปจีบเพื่อนปัณณ์ด้วยวิธีแบบนั้น ไม่ใช่อีกฝ่ายจะชอบนะ จะโดนเกลียดเข้าให้น่ะสิ

“คิดว่าทำแบบนั้นจะจีบเขาติดหรือไง?” ผมลากน้องชายมานั่งปรับทัศนคติในสวนก่อนออกไปทำงานโดยมีปัณณ์ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างๆ เดี๋ยวจะโดนลงโทษเรื่องทำอะไรไม่ปรึกษา พอถามก็ตอบว่ากลัวพี่ยูด่า เฮ้อ คิดได้ยังไง โตๆ กันแล้ว เรื่องความรักไม่มีใครห้ามหรอกน่า

“ผมไม่เคยจีบใครเหมือนๆ กับพี่นั่นล่ะ ห้ามด่าสิ” เอย์จิเถียงแถมยังทำหน้าบึ้งใส่กันอีก ผมได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเขกหัวน้องชายสุดที่รัก ทำไมชอบยอกย้อนแบบนี้ ไม่เห็นน่ารักเหมือนปัณณ์เลย

“เถียงตลอด ช่วยฟังพี่บ้างครับคุณน้องชาย” มองน้องอย่างเอือมๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนัก ถ้าวันนี้หยุดร้านสักวันจะได้ไหมนะ เริ่มขี้เกียจเพราะอยากใช้เวลาวอแวปัณณ์ก่อนที่เขาจะออกไปปาร์ตี้กับเพื่อนจัง

“ก็มันจริงนี่” น้องชายตัวดีทำปากยื่นปากยาวบ่นเสียงงุ้งงิ้งจนปัณณ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่บีบไหล่ปราม ผมเข้าใจว่าคนเรามีวิธีจีบแตกต่างกันไป รุกแรง รุกเบา หรือค่อยๆ ขยับความสัมพันธ์

“เออ แต่พี่ก็ไม่เคยจู่โจมใครแบบนั้น”

“เหรอครับ?” ไม่ใช่เอย์จิแต่เป็นปัณณ์ที่ถามแถมยังเหล่ตามองผมอย่างไม่ไว้ใจ อย่ากล่าวหากันสิ ยูกิคนนี้ไม่เคยจู่โจมจูบเขาแบบนั้นนะ มีแต่อีกฝ่ายนั่นล่ะ... ยังจำความหนุ่มหยุ่นได้ชัดเจนอยู่เลย

“พี่เคยจูบปัณณ์ไหมล่ะครับ มีแต่...” ผมฉุกคิดขึ้นได้ว่าไม่ควรเอ่ยประโยคต่อไปเลยหยุดไว้แค่นั้น แต่สายตาอยากรู้อยากเห็นของเอย์จิก็ทำให้คันปากใช่เล่น ส่วนคู่กรณีถึงกับหน้าซีดเชียว หึหึ

“อะ อะไรครับ?” ปัณณ์กรอกตามองซ้ายขวาก่อนถามกลับเสียงสั่น สีหน้าเหมือนอยากร้องไห้อยู่รอมร่อ จะแกล้งต่อก็กลัวโดนโกรธเลยส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธและคลี่ยิ้มปิดท้าย

“เปล่าๆ”

“นี่ ถ้าไม่คุยผมจะไปทำงานแล้วนะ” เอย์จิพูดทะลุกลางปล้องแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปกระตุกแขนให้นั่งลงที่เดิม จะรีบหนีไปไหน คุยกันยังไม่รู้เรื่องสักนิด แล้วสภาพแบบนี้ทำงานได้เหรอ หน้าตาเยินเชียว จากรอยเขียวก็กลายเป็นม่วง

“สภาพแบบนี้จะไปทำอะไรได้”

“เข้าไปดูงานในโรงแรมไง” ตอบเสียงสะบัดก่อนจะเบ้ปากใส่กัน ผมละมือออกจากเขาแล้วพยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจ เดี๋ยวคุยเสร็จอยากไปทางไหนก็ไป ไม่ห้ามหรอก

“อืม พี่ไม่ได้จะว่าอะไร แต่ขอให้แกปรับเปลี่ยนวิธีจีบเขาหน่อย อย่ารุกแรงเกินความจำเป็น เดี๋ยวโดนต่อยมาอีกไม่คุ้ม” สรุปง่ายๆ คือผมเป็นห่วงน้องก็แค่นั้นแต่ไม่อยากพูดตรงๆ ให้ได้ใจ

“บางทีการเสี่ยงมันอาจจะได้ผลที่คุ้มค่านะ” ที่เอย์จิพูดก็ถูก ผมไม่เถียงแต่ถ้าผลที่ออกมาตรงกันข้ามล่ะ ไม่ต้องมานั่งเจ็บตัวและเสียใจไปพร้อมๆ กันหรอกเหรอ ขึ้นชื่อว่าความรักยังไงก็ต้องมีข้อดีข้อเสียอยู่วันยันค่ำนั่นล่ะ

“เอาเถอะ พี่แค่เป็นห่วงไม่อยากให้แกเจ็บตัว”

“ครับ ผมจะระวังและใจเย็นมากกว่านี้”

“กัมบัตเตะ!” ผมกับปัณณ์พูดพร้อมกันจนเอย์จิเอาแต่หัวเราะและแซวว่าช่างเหมาะสมเหลือเกิน

วันนี้ลูกค้าก็ยังแน่นเหมือนเคยแต่ก็พอรับมือไหวไม่ได้จุกจิกวุ่นวายแบบเมื่อวาน คงอาจเป็นเพราะปัณณ์เลือกเพลงอกหักเจ็บจี๊ดมาร้องช่วงพักเที่ยงทุกคนเลยคิดว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีซึ่งผมก็พอใจให้เป็นแบบนั้น จะได้ไม่ต้องมายืนตีหน้ายักษ์หึงหวงกันอยู่

ผ่านช่วงเวลาแห่งการทำงานเข้าสู่การปิดร้านก่อนเวลาสองชั่วโมง ตอนแรกที่บอกกับเคียวนั้นโดนแซวแทบจะมุดแผ่นดินหนี หาว่าผมเอาใจว่าที่แฟนเหลือเกิน ทั้งรักทั้งหลง ต่อไปคงต้องเข้าสมาคมเกียมัวแน่ๆ โธ่ นั่นมันเรียกว่าดูถูกไม่ใช่หรือไง คนอย่างยูกิไม่มีทางซะหรอก ต้องเป็นพ่อบ้านใจกล้าสิ หึหึ

ปัณณ์ขอกลับไปอาบน้ำที่บ้านซึ่งผมก็ไม่ขัดอะไรแต่พอเห็นเสื้อผ้าและการแต่งตัวของเขาก็อยากให้เสียๆ ซะอย่างนั้น ใครใช่ให้ใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวปลดกระดุมสองเม็ด กางเกงแบบสกินนี่ขาดเกือบทั้งขา เซ็ตทรงผมเปิดเหม่ง ประโคมต่างหูเท่ๆ ใส่ทุกรูหูที่เจาะทิ้งไว้ ดูแบดบอยและมีเสน่ห์จนไม่อยากให้ใครพบเจอ

แต่ผมจะห้ามอะไรได้ในเมื่อคนทุกคนต้องการพื้นที่ส่วนตัวทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเข้าใกล้จนไม่มีอากาศหายใจ ขยับตัวหน่อยก็ระแวง พูดกับใครหน่อยก็หึงหวง ชอบให้พอดี รักแบบถูกวิธีจะทำให้ความสัมพันธ์ของเรายั่งยืนมากกว่า

“พี่ให้เวลาถึงห้าทุ่ม” ผมบอกคนที่นั่งข้างกันในเวลานี้ขณะที่รถเคลื่อนไปตามเส้นทางมุ่งสู่ร้านเหล้าหรูใจกลางเมือง ปัณณ์หันขวับมามองกันก่อนขมวดคิ้วยุ่ง เบ้ปากใส่เหมือนเด็กโดนขัดใจ

“โห ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ ร้านปิดตั้งตีสอง” ปัณณ์บ่นเสียงกระเง้ากระงอด ใช้สายตาจ้องเขม็งคล้ายอยากพุ่งเข้ามางับหัวผมให้ขาด แต่ใครจะสนใจเล่า นี่ยอมให้ไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว อย่าให้ถึงขนาดต้องไปนั่งเฝ้าเลย คนมันหวงเข้าใจบ้าง ยิ่งเป็นพวก Sex Appeal สูงอีก น่ากังวลจริงๆ

“แค่นั้นก็พอแล้วครับ”

“พรุ่งนี้วันหยุดนะ” เสียงอ้อนเชียว ผมรู้ว่าวันหยุด แต่ขอให้ทำกิจกรรมอื่นร่วมกันบ้างสิ ไม่ใช่นอนแฮงค์อยู่บ้าน

“อย่าดื้อสิครับ” ผมดุเขาแต่เสียงอ่อนมากแถมด้วยการเอื้อมมือไปจับมือน้องบีบเบาๆ เป็นเชิงขอร้อง

“พี่ยู...” คราวนี้ปัณณ์เรียกชื่อผมด้วยเสียงสั่นๆ เหมือนอยากเถียงแต่ไม่กล้า ก็ผมกำลังอ้อนเขาอยู่นี่

“ถ้าไม่ยอมกลับห้าทุ่ม พี่จะอุ้มลูกไปตามที่ร้าน”

“เฮ้ย อย่าทำแบบนั้นสิ” น้องตกใจมากถึงขนาดนั่งไม่ติดเบาะ ดวงตารีกรอกไปมา มือไม้ปัดป่ายมั่วซั่ว ท่าทางแบบนี้อยากดึงเข้ามากอดแล้วหอมแก้มสักฟอดสองฟอด มันเขี้ยว

“ทำไมครับ อายเหรอ?” แกล้งหยอกเขาไปในขณะที่หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าร้านเหล้า แอบถอนหายใจเพราะไม่คิดว่าจะถึงที่หมายเร็วขนาดนี้ เฮ้อ ต้องแยกกันแล้วเหรอวะ

“ไม่ใช่เว้ย... จะเขินมากกว่า”

“หึหึ งั้นห้าทุ่มพี่ไปรับนะ” ใครจะว่าผมหวงของเป็นเด็กก็เอาเถอะ เพิ่งมีความรักจริงๆ กับเขาครั้งแรกตอนอายุจะสี่สิบก็ต้องกลัวหมาตัวอื่นคาบไปแดกเป็นธรรมดา

“ครับ ไอ้คนชอบเผด็จการ!”

หึหึ หน้าตาตอนโกรธนี่อยากดึงมาจูบให้ปากเจ่อชะมัด น่ารักจริงๆ น้องปัณณ์ของพี่ยู




--------------------------------------------

พี่ยูนี่น่าหยิกจริงๆ เลย ปากบอกว่าจีบไม่เป็นแล้วที่ทำอยู่เขาเรียกขายขนมครกสินะ
หยอดได้หยอดดี หมั่นไส้จริงๆ หึหึ

1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 12 : ไข่ม้วน P.2 -11/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-05-2018 18:15:02
พี่ยูรุกแรงเกินไปแล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 12 : ไข่ม้วน P.2 -11/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Toon_TK ที่ 12-05-2018 01:20:01
น่ารักกกกก
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 12 : ไข่ม้วน P.2 -11/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-05-2018 04:35:49
พี่ยูรุกแรงนะ หยอดนู่น แตะนี่ตลอด เดี๋ยวโอบ เดี๋ยวกอด :hao7:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 12 : ไข่ม้วน P.2 -11/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Kkfu ที่ 13-05-2018 14:17:35
 :katai2-1: :o8: พอรู้ตัวว่าชอบน้องพี่เขาก็รุกแบบรถไฟความเร็วสูงขนาดนี้เลยหรอ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก P.2 -14/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-05-2018 09:05:29
จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก



คนบ้าที่ไหนเขาแสดงความหวงด้วยการบังคับให้ยอมกลับบ้านตอนห้าทุ่มแถมขู่ว่าจะกระเตงลูกมาตามที่ร้านเหล้า สาบานเถอะว่าพี่ยูอายุใกล้เลขสี่แล้ว โธ่ ทำตัวอย่างกับเด็กหวงของ แต่ไม่มีอะไรแย่กว่าผมที่นั่งกลั้นยิ้มมาเป็นชั่วโมงจนเพื่อนหาว่าประสาทแดกนี่ล่ะ เสียภาพพจน์เพลย์บอยหมด เฮ้อ

“เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำหน้ากรุ้มกริ่มสักทีวะปัณณ์ เห็นแล้วขนลุก” ไอ้ป้อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสดงความรังเกียจก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาผลักหัวกันจนเหล้าในแก้วที่ผมถืออยู่กระเฉาะเลอะกางเกง มึงวอนแดกตีนแล้วไหมล่ะ ตัวนี้ราคาเกือบหมื่นที่สำคัญอยู่ที่คนเปย์ให้ต่างหาก...

“เสือกอะไรกับหนังหน้ากูครับ แดกๆ ไป” ผมวางแก้วลงแล้วโบกมือปัดป่ายตรงหน้าเป็นเชิงไล่มันก่อนที่จะเอื้อมหยิบทิชชู่มาซับเหล้าออกจากกางเกงโดยมีไอ้จิงช่วยอีกแรง ถือว่ามันคือเพื่อนที่โคตรประเสริฐ เรียนเก่ง หน้าตาพอไปวัดไปวา แต่ที่สำคัญเลยคือได้ผัวหล่อ... ส่วนไอ้ป้อนเป็นคนไร้เมียเพราะเพิ่งโดนทิ้ง แผลสดมากและนี่คือสาเหตุที่ทุกคนมานั่งกระดกแอลกอฮอล์อยู่ตรงนี้

“มีแฟนหรือยัง?” อยู่ๆ มันก็ถามขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบไปชั่วอึดใจ ดูท่าทางจะลากผมกับไอ้จิงเข้าโหมดดราม่าแล้วสินะ เหนื่อยใจกับคำว่าอกหัก ไม่รู้จะปลอบมันยังไงดี

“ถามกู?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อยืนยัน ไอ้ป้อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างแรงก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด ยิ่งดึกเหล้ายิ่งเข้ม โซดาที่สั่งมานั่นเทๆ ดื่มบ้างเหอะ เสียดายของ

“ก็มีมึงคนเดียวนั่นล่ะพ่อเพลย์บอย ไอ้จิงมันได้ผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว ถ้าแม่งท้องได้คงมีลูกตั้งทีมฟุตบอลไปแล้ว” ไอ้ป้อนบ่นยืดยาวก่อนยกนิ้วชี้หน้าคู่กรณีที่ตอนนี้ปัดป่ายมือไปในอากาศเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่หลักฐานคือแก้มแดงๆ ของไอ้จิง ผมดีใจกับเพื่อนที่มีคนรักดีๆ ค่อยอยู่เคียงข้างถึงแม้ว่าพี่เขาจะขี้หึงไปหน่อยก็เถอะ เผลอๆ ตอนนี้อาจมานั่งเฝ้ามันตรงไหนสักแห่งของร้านก็ได้ หึหึ

“ไอ้เชี่ยป้อน มึงเมาแล้วปากหมา” ไอ้จิงถึงขนาดยืดตัวจากโต๊ะอีกฝั่งมาเพื่อผลักหัวไอ้ป้อนจนซบลงมาบนไหล่ของผมและไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปนั่งตรงแบบเดิม เมาแล้วเรื้อนไม่มีใครเกิน สงสัยต้องขอพี่ยูให้ช่วยไปส่งมันที่บ้านแล้วล่ะ

“อย่าพูดมาก มีหน้าที่ชงเหล้าก็ชงไป กูจะคุยกับน้องปัณณ์สุดที่ร๊าก” น้ำเสียงของไอ้ป้อนมาถึงขั้นที่บรรลัยกู่ไม่กลับ ทั้งยานทั้งฟังไม่รู้เรื่อง สาวโต๊ะข้างๆ ที่ทำท่าจะเข้ามาขอเบอร์มันถึงกับชะงักกึก สงสัยไม่ชอบผู้ชายเมาแล้วพร่ำเพร้อซึ่งเพื่อนผมอาการหนักสุดๆ

“เรียกซะกูขนลุก” ผมเบ้ปากใส่ก่อนเหลือบตามองมนุษย์เพื่อนที่เริ่มใช้หัวถูไถกับไหล่ ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันทำตามใจ ขออย่างเดียวอย่าอ้วกใส่ก็พอ

“อย่าเฉไฉฮะ บอกพี่ป้อนคนนี้มาเร็วๆ ว่ามึงมีเมียหรือยัง?” มันจิ้มนิ้วที่อกตัวเองก่อนจะเปลี่ยนมาจิ้มผมตรงตำแหน่งเดียวกัน เสียงอ้อแอ้ของคนเมาทำให้สาวโต๊ะข้างๆ หลุดหัวเราะออกมาพลางซุบซิบกันเบาๆ ถ้าให้เดาคงคิดว่าไอ้ป้อนหมดสภาพคนหล่อล่ะมั้ง

“ไม่มี” ผมตอบก่อนปัดมือเพื่อนทิ้งแล้วเอื้อมมือไปรับแก้วเหล้าจากไอ้จิง ขยันชงเหลือเกินพ่อคุณ มึงจะมอมพวกกูในขณะที่ตัวเองแดกแต่โค้กไม่ได้นะเว้ย กลัวผัวถึงขนาดไม่กล้าแตะแอลกอฮอล์ น่ารักจริงๆ

“อย่ามาตอแหล ไอ้ที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มนี่ไม่ใช่ว่าคิดถึงเขาหรอกเหรอ?” สาบานว่าไอ้ป้อนเมา ทำไมมันช่างสังเกตขนาดนั้นวะ แล้วมือที่ยกขึ้นหยิกแก้มกันจนเจ็บนี่คืออะไร คนอื่นเขานึกว่าเป็นคู่เกย์หมดแล้ว ส่วนไอ้จิงไม่ช่วยกันทำมาหากินเลยเพราะชงเหล้าเสร็จก็นั่งกดโทรศัพท์สบายใจเชียว

“ทำตัวแสนรู้” ผมใช้มือดันหัวไอ้ป้อนออกเพราะเริ่มรู้สึกปวดไหล่ อีกอย่างคือยังไม่อยากเป็นข่าวกับมันให้พี่ยูแหกอก รายนั้นเห็นทำตัวเงียบๆ แต่ความขี้หึงน่าจะไม่เป็นรองใครสังเกตได้จากการกำหนดเวลากลับบ้าน

“ด่ากูว่าหมาเลยยังดูจริงใจมากกว่า เอิ๊ก” หลับหูหลับตาด่ากันแถมยังเรอเอิ๊กใส่จนกลัวว่ามันจะอ้วกกลางร้าน ไอ้จิงถึงกับคว้าแก้วเหล้าหนีมือเพื่อนด้วยท่าทีหวาดกลัว แล้วมึงจะเทเพิ่มให้กูทำไม โอย สติครับคุณ!

“สัด หยุดแดกได้แล้ว เดี๋ยวอ้วก” ไอ้จิงตะโกนแข่งกับดนตรีจังหวะหนักๆ ที่กำลังเล่นเพลงไว้ใจของวงเคลียร์ ผมถึงกับสะดุดลมหายใจแล้วหันมองไอ้ป้อนโดยอัตโนมัติ มันจะทันฟังหรือเปล่า จะร้องไห้น้ำตาแตกไหม แต่พอเห็นสภาพโยกซ้ายทีขวาทีของเพื่อนก็รู้ว่าสติแตกนานแล้ว อาการคงไม่หนักไปกว่านี้แน่นอน

“นั่งเงียบๆ ไอ้จิง เดี๋ยวกูก็โทรเรียกให้ผัวมึงมารับซะหรอก” เสียงหัวเราะฮิฮิตบท้ายฟังดูโรคจิตยังไงชอบกล ไอ้คนพูดเอาหัวปักกับตักของผมก่อนจะเก็บแข้งขาขึ้นนอนยาวบนโซฟา ทำตัวอย่างกับแดกเหล้าอยู่ที่บ้านไม่อายคนบ้างหรือไง ทาวด้านไอ้จิงนี่ยกขวดอัดลมเตรียมปาแสดหน้าเพื่อนเรียบร้อยแล้ว โว้ว อารมณ์ร้อนจังวะ

“เออ ก็ดี กูจะได้กลับไปนอนให้พี่มันกก!” คำพูดคำจาไม่เหมาะกับแว่นสายตาที่มันกำลังใส่อยู่เลยว่ะ เดี๋ยวนี้ฮาร์ดคอร์แถมหน้าด้านขึ้นเยอะ เอะอะยอมรับ เอะอะอยากโดนกก นี่สินะข้อดีของคนมีแฟน หวานไม่แคร์สื่อ (ผมกำลังหลงประเด็นอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ช่างมันเถอะ รู้สึกมึนๆ เหมือนจะเหมาตามไอ้ป้อนไปอีกคนแล้ว)

“แรด!” ไอ้ป้อนผงกหัวขึ้นด่าทั้งที่ตายังปิดสนิททั้งสองข้าง ผมที่เป็นหมอนชั่วคราวก็ทำได้แค่ใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากมัน หมั่นไส้ปากหมาๆ ที่ชอบหาเรื่องเพื่อนเวลาเมา พอสร่างก็เสือกความจำเสื่อมอีก ไม่รู้เหรอว่าเป็นแบบนี้โคตรวอนโดนตีนเลย

“หยุดหาเรื่องคนอื่นสักทีเหอะไอ้ขี้เมา” ผมเคาะข้อนิ้วลงไปหลายๆ ครั้งจนไอ้ป้อนส่งเสียงจิ๊ะจ๊ะก่อนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ ดวงตาคมปรือขึ้นจ้องเขม็งที่ปลายคาง ถ้ามันลำบากในการมองหน้าขนาดนั้นก็หลับเถอะ กูขอร้อง สภาพทุเรศมากจริงๆ

“มึงตอบคำถามกูมาสิ” แหนะ ข้อต่อรองอะไรของมึงอีก ปัญหาเยอะ คู่กรณีเยอะจริงๆ

“คำถามไหน?”

“ทั้งหมด” เมาแล้วยังจะจำได้อีกเหรอว่าถามอะไรผมไปบ้าง เชื่อมึงเลยจริงๆ ป้อน

“กูลืมไปแล้ว” ผมตอบปัดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วตรงหน้าแต่กลับโดนรั้งไว้ด้วยเสียงก่นด่า

“ปัณณ์ มึงมันเลว!” ไอ้ป้อนกระเด้งตัวลุกขึ้นแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นฟ้า ผมตกใจที่โดนด่าแต่ก็หลุดขำก๊ากที่เพื่อนเมาเละถึงขนาดนี้ กูไม่บินขึ้นไปอยู่เหนือหัวมึงหรอก ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนนะเว้ย

“อ้าว ด่ากูทำไมเนี่ย?”

“ที่ไม่ยอมบอกเพราะหนีกูไปมีผัวใช่ไหม?!” เดี๋ยว ผัวบ้าบออะไร คนหันมามองทั้งร้านแล้วไอ้เพื่อนเชี่ย! ที่หนักสุดคือไอ้จิงพ่นน้ำอัดลมจนกระเด็นใส่หน้าเลย แม่ง สกปรก

“ห๊ะ มะ มึงพูดเรื่องอะไรเนี่ย?” ปากถามไอ้ป้อนแต่มือควานหากระดาษทิชชู่เอามาเช็ดหน้าโดยมีไอ้จิงช่วยอีกแรง นี่ถ้าพี่เขานั่งเฝ้ามันอยู่จริงๆ เชื่อว่าอีกไม่นานได้มีดราม่ารักสามเส้าเกิดขึ้นแน่ คือกูไม่ได้อยากแย่งเมียใครแต่เขามาเอง ไม่ได้ขอร้องเลย เชื่อสิ!

“อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะ... อึก มีผู้ชายหล่อๆ มาส่งมึงนี่” โอย มึงอย่าเพิ่งอ้วก เอามือปิดปากไว้ถูกแล้ว แต่ผมเนี่ยสิจะทำตามมันเพื่ออะไร ตกใจที่เพื่อนเห็นพี่ยูปะวะ... ต้องใช่แน่ๆ โอย ฉิบหาย

“แล้วไงวะ กูอาจจะเป็นผัวเขาก็ได้ปะ?” ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเรื่องของเขาแต่เฉไฉเปลี่ยนประเด็นมากกว่า ใครผัวใครเมียไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ยังไม่ได้คบกัน คนเมาเหมือนจะเริ่มคล้อยตามเพราะมันเอาแต่พยักหน้าก่อนเข้ามาซบไหล่กันอีกครั้ง ท่าทางเหมือนลูกหมาเหงานั้นทำให้อดยกมือขึ้นลูบหัวไม่ได้ ไอ้ป้อนคงเจ็บหนักกว่าที่เห็นภายนอก แฟนนอกใจเป็นอะไรที่แย่สุดๆ ยิ่งกว่าหมดรักกันอีก

“นั่นสิน้า เอิ๊ก แล้วกูควรสนใจผู้ชายแบบพวกมึงด้วยปะ?” มันยิ้มเผล่แล้วผงกหัวมองหน้าผมสลับกับไอ้จิง ถ้าดูเผินๆ คงคิดว่าไอ้ป้อนปกติดี พูดเล่นได้ หากลองสังเกตแววตาสักหน่อยจะรู้ว่าในนั้นสะท้อนความเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด

“ใจเย็นๆ ไอ้ป้อน มึงอกหักจนเพี้ยนหรือไง?” ไอ้จิงพูดทีเล่นทีจริงไม่ได้ตั้งใจตอกย้ำแต่อีกฝ่ายกลับชะงักนิ่ง น้ำตาเริ่มก่อตัวก่อนจะไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ผมเห็นสภาพแบบนั้นเลยรีบคว้ากระดาษทิชชู่มาซับหน้าให้เพราะไม่อยากให้มันดูโสโครกไปมากกว่านี้

“กู... ฮึก” โอเค ในที่สุดไอ้ป้อนก็ยอมร้องไห้สักทีเพราะตั้งแต่โดนบอกเลิกเมื่อวานมันยังอดทนอดกลั้นทำตัวร่าเริงมาตลอด ได้ระบายออกมาอะไรๆ คงดีกว่านี้

“ฉิบหาย กูพูดอะไรผิดเนี่ยปัณณ์?” ไอ้จิงร้องเสียงหลงก่อนจะหันมามองกันด้วยดวงตาเป็นกังวล มือเรียวเอื้อมมาแตะแขนไอ้ป้อนเบาๆ เหมือนกำลังปลอบในขณะที่คนเมาโถมตัวเข้ากอดผมแบบเต็มรัก

“มึงไปจี้จุดมันน่ะสิ” ผมคลี่ยิ้มบางส่งให้ไอ้จิง ยกมือขึ้นลูบหัวไอ้ป้อนช้าๆ เพื่อให้มันรู้สึกอุ่นใจและร้องไห้ระบายความอัดอั้นไปเรื่อยๆ สงสารแต่ก็พูดอะไรไม่ได้กลัวว่าจะทำร้ายเพื่อนมากกว่าเดิม

“กูหนีกลับบ้านได้ปะ? ปลอบไม่เป็น” ไอ้นี่... เอะอะก็จะกลับบ้านอย่างเดียว พี่เขาลีลาเด็ดนักหรือไง

“หยุดเลย ทำมันร้องก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าหนีไปนอนให้ผัวกก” ผมตั้งใจแซวส่วนไอ้เรื่องดุน่ะแค่แกล้งเฉยๆ อยากรู้ว่ามันจะปลอบเพื่อนยังไงหรือปล่อยให้ร้องจนหลับ

“มึงอย่าแซว กูพูดเล่นเว้ย” ครับเพื่อน ตกลงว่าจะไม่ปลอบไอ้ป้อนสินะ ที่ผมนึกอยากแซวเพราะมีจังหวะหนึ่งที่ผมหันหาพนักงานเสิร์ฟเพื่อต้องการขอทิชชู่เพิ่มแต่ดันเห็นหน้าคล้ายๆ แฟนไอ้จิงนั่งอยู่โต๊ะถัดออกไปประมาณสิบก้าว ตกลงพี่เขามานั่งเฝ้ามันจริงดิ ตอนแรกก็แค่พูดเล่น... ส่วนพี่ยูคงงุ้งงิ้งอยู่กับลูกชายมั้งตอนนี้

“หึหึ เหรอครับคุณจิง ~ ไอ้ที่นั่งตาขวางอยู่ตรงโน้นน่ะ ผัวมึงไม่ใช่หรือไง?” ผมพยักพเยิดหน้าไปทางเป้าหมาย พี่เขาเหมือนจะรู้ตัวเลยหันหน้าไปทางอื่นพลางดึงหมวกแก็ปลงปิดครึ่งหน้า แต่เชื่อสิว่าคนที่นอนด้วยกันอยู่ด้วยกันทุกวันต้องจำได้ ยืนยันได้จาตาโตๆ จนแทบเท่าไข่ห่านของไอ้จิง

“ฉิบหาย พี่มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” มันหันมาป้องปากกระซิบถามผมในขณะที่พี่เขามองตรงมาทางนี้พอดี ดูสายตานั่นสิ แทบจะเดินมากระชากคอเสื้ออยู่แล้ว โอย อยากตะโกนบอกเหลือเกินว่าปัณไม่เคยพิศวาสไอ้จิงเลย แค่เห็นก็รู้สึกคันไปทั้งตัวแล้วครับ

“มึงนัดพี่เขากี่โมงล่ะ?” ดันหัวไอ้จิงออกไปไกลๆ แล้วขยับเบียดคนเมาเพื่อให้พี่เขารู้ว่าผมไม่ได้เป็นชู้กับเมียเขา ถ้าไม่กลัวว่าเพื่อนจะโดนลงโทษจนลุกไม่ขึ้นคงแกล้งไปแล้ว แหย่พวกขี้หึงสนุกดี

“สี่ทุ่มครึ่ง” ไอ้จิงตอบเสียงอ้อมแอ้มก่อนยกแก้วเหล้าของไอ้ป้อนขึ้นจิบอย่างลืมตัว ผมกำลังจะเอ่ยห้ามแต่ไม่ทันเพราะมันพ่นน้ำออกมาจากปาก โอ้โห กรรมเวรอะไรของกูที่ต้องมาเจอแบบนี้เนี่ย เลอะเทอะฉิบหาย

ไอ้ป้อนส่งเสียงอ้อแอ้พึมพำไม่เป็นภาษาอยู่ข้างๆ มือไม้สอดเข้ามารวบเอวผมกอดไว้แน่น ไม่สนใจว่าตัวเองจะได้รับน้ำมนต์จากปากเพื่อนไปเท่าไหร่ ไอ้จิงก้มหัวขอโทษหลายครั้งพร้อมส่งผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อมาให้แต่พอเห็นลายบนนั้นก็แทบกลั้นขำไม่อยู่ ใครจะไปกล้าใช้ครับ รูปพี่เขาเต็มผืนเลย แม่ง...

“หนักกว่ากูอีก” ผมเอ่ยแซวมันเรื่องเวลาแล้วผลักผ้ากลับไปให้ ไอ้จิงขมวดคิ้วคล้ายกับงงแต่พอก้มมองของในมือก็พยักหน้าเข้าใจ ไอ้ท่าทางแบบนี่คงไม่ได้เตรียมของเองแน่ๆ พี่เขาจะดูแลเอาใจใส่มันมากไปแล้ว น่าอิจฉาชะมัด

“โดนจำกัดเวลาเหมือนกันเหรอ?” ไอ้จิงไม่ได้โกรธที่ถูกแซวแต่มันดันมองผมด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้จนต้องร้องห้าม ดีหน่อยที่เข้าใจง่าย ถ้าไม่อย่างนั้นกูคงโดนต่อยแน่นอน ก็พี่เขาทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาแล้ว

“เออ แต่ห้าทุ่ม”

“เขาหวงเราท่องไว้ แล้วจะมีความสุขกับการโดนจำกัดเวลาเที่ยว” มันคลี่ยิ้มกว้างพร้อมยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้ ส่วนผมพยักหน้ารับคำเพราะเห็นด้วย ถ้าเขาไม่รักไม่หวงจะออกคำสั่งให้เปลืองน้ำลายทำไมจริงไหมล่ะ พอคิดได้แบบนี้ก็อยากกลับบ้านเร็วๆ แล้วสิ ขอเลียนแบบไอ้จริงว่ากลับไปนอนให้พี่ยูกกได้ไหม ก็รายนั้นชอบแอบเข้ามากอดกลางดึก อย่าคิดว่าไม่รู้นะ สงสัยติดใจกลิ่นน้ำหอมพีชแน่ๆ หึ

“เออ ก็ไม่ได้แย่หรอกน่า”

“คนนี้จริงจังใช่ไหมปัณณ์?” ไอ้จิงมองสบตาผม ใบหน้าเคร่งขรึมจนดูตลกแต่ก็เข้าใจความคิดมันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาปัณณ์ไม่เคยยอมให้ใครมาบงการชีวิตได้ขนาดนี้ แล้วไอ้ที่คุมเวลากลับบ้านน่ะอย่าหวังว่าจะทำได้ ถ้าคนนั้นไม่พิเศษจริงๆ

“อืม ก็รอมานานแล้ว” ผมพยักหน้าก่อนตอบคำถามมันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าไม่จริงจังกับพี่ยูคงแย่แล้ว แอบรักเขามาเป็นสิบๆ ปี จะสมหวังอยู่รอมร่อไม่ยอมเปลี่ยนใจหรอก

“ขอให้มีความสุขกับเขามากๆ นะเว้ย” ฟังแล้วนึกว่าอวยพรงานแต่ง...

“เออ มึงก็ด้วยไอ้จิง” ผมจะทำอะไรได้นอกจากเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนแล้วอวยพรกลับไป อยากให้ทุกคนมีความสุขกับความรักแม้กระทั่งตัวไอ้ทอยเอง หวังว่าเอย์จิจะทำสำเร็จนะ

ไอ้ป้อนที่เงียบไปนานขยับตัวยุกยิก มันผลักออกไปก่อนจะส่งเสียงง้องแง้งไม่เป็นภาษาเพื่อเรียกร้องความสนใจและมันก็สำเร็จเพราะผมกับไอ้จิงยอมหันไปดูสภาพคนเมาอย่างหมา ตอนแรกที่เจอหน้ากันอย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสารตอนนี้เหมือนหลุดออกมาจากศรีธัญญามากกว่า หัวยุ่งเหยิงโคตรๆ

“พวกมึงมันเลว ปล่อยให้กูร้องไห้แล้วนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงสองคนเนี่ยนะ ฮือ งอนแล้ว!” ทรงตัวนั่งหลังตรงได้ก็เอ่ยปากด่ากัน พอจบก็ทำท่ากอดอกเชิดหน้าบึนปากขึ้นจนแทบติดจมูก ผมพยายามทั้งกัดฟันเม้มปากเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเมื่อเจอคำพูดของไอ้จิง

“น่ารำคาญ!” จบเสียงอีกคนก็มีเสียงร้องโหยหวนของอีกคนดังตามมาไม่ขาดสาย ทั้งอายทั้งเขินจนต้องลากมันออกจากร้านเหล้าแล้วให้ไอ้จิงจัดการค่าเสียหาย ขืนอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้เดาไม่ออกเลยว่าขวดแก้วจะลอยมากระทบหัวเมื่อไหร่ เฮ้อ

รอไม่นานพี่ยูก็ขับรถเข้าเทียบหน้าร้าน ผมสอดตัวนั่งประจำที่แล้วคลี่ยิ้มมึนๆ ให้ ก่อนหน้านี้แบกไอ้ป้อนไปส่งให้พี่ปีซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานพ่วงด้วยตำแหน่งรูมเมท เขาอาสามารับถึงที่ ถ้ามองไม่ผิดคนนี้คงดามใจมันได้แน่นอนถ้ายอมเปลี่ยนรสนิยมมาชอบผู้ชายน่ะนะ

“ดื่มไปเยอะหรือเปล่า?” พี่ยูถามขึ้นในระหว่างที่เขาเลี้ยวออกจากร้านเหล้า ผมซึ่งกำลังมองวิวข้างทางเพลินๆ ได้แต่ส่ายหัวดิก จะเอาเวลาที่ไหนจับแก้วล่ะ ต้องดูแลคนเมาอย่างไอ้ป้อนเกือบตลอดเวลา เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้เองว่าทำไมไอ้จิงถึงเลือกนั่งซะไกล แม่ง แผนสูง

“พอจะยกแก้วไอ้ป้อนก็ถามนั่นถามนี่ขัดจังหวะตลอด ผมเสียดายเงินมากอะ ดื่มไปแค่สามแก้วเองมั้ง” ผมบ่นไม่จริงจังนัก ถือซะว่าได้เจอเพื่อนเก่าไปนั่งเป็นที่ระบายให้มัน อัพเดตชีวิตของแต่ละคน

“คราวหน้าพี่จะพาไปเอง เดี๋ยวเลี้ยง”

“เลี้ยงเหล้าผมอะนะ? ปกติไม่ชอบให้ดื่มนี่” ผมหรี่ตามองคนข้างๆ ด้วยความสงสัย ปกติพี่ยูไม่ค่อยชอบให้ดื่มแอลกอฮอล์เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ ส่วนบุหรี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ห้ามสูบเด็ดขาด แล้วอยู่ๆ จะเลี้ยงเหล้าคืออะไร มีแผนใช่ไหม

“ถ้าปัณณ์ต้องการพี่ก็ไม่ขัดครับ” พี่ยูยิ้มกริ่มจนผมรู้สึกใจคอไม่ดี

“เอาใจจังเลยเนอะ” แกล้งแซวเขาไปทั้งที่ตัวเองแทบนั่งไม่ติดเบาะเพราะพี่ยูแอบเคลื่อนมือมาจับต้นขาตรงรอยขาดของกางเกงแบบพอดิบพอดี ทำไมเดี๋ยวนี้ชอบหลอกแต๊ะอั๋งกันอยู่เรื่อยเลย

“ก็อยากได้ใจปัณณ์นี่ครับ” คำตอบของเขาทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิกแขนอีกคนทันที ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งพอพี่ยูออกแรงบีบต้นขาตัวก็ยิ่งเกร็ง อยากทำตัวเป็นคนบ้าไม่รับรู้ โอย เขินเว้ย พูดมาได้ไม่อายปาก ไหนว่าจีบไม่เป็นไง!

“ไม่ใช่ว่าอยากมอมเหล้าผมเหรอ?” แต่คนอย่างปัณณ์ไม่ยอมแพ้เพราะถามสวนกลับด้วยประโยครู้ทัน ดีหน่อยที่พี่ยูใช้สมาธิขับรถเลยไม่ทันสังเกตว่าผมแทบซุกหน้าเข้ากับคอนโซลรถอยู่แล้ว ไอ้อาการเขินตัวจะแตกเพิ่งเข่าใจวันนี้นี่เอง

“อันนั้นก็คือผลพลอยได้ไม่ใช่เหรอ?” ตอบได้หน้าด้านมากแต่ผมดันใจเต้นแรงแทนที่จะโกรธ สมองพาลคิดไปไกลว่าหลังจากเมาแล้วเราทำอะไรกันต่อ...

“จะค้ากำไรเกินควรแล้วนะครับพี่ยู” เสียงอ่อยได้อีก น่าหงุดหงิดที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เลย พออยู่กับเขาทีไรความเข้มแข็งดูเจนโลกก็เหลือแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เอ็นดู แบบนี้เขาเรียกแพ้ทางหรือเปล่า

“ไม่เถียงสักคำเลยครับ” เขายอมรับง่ายๆ ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะผละมือออกไปจากขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนผมได้แต่สูดหายใจแรงๆ สงบอารมณ์ให้เป็นปกติซบหน้าลงกับคอนโซลเพื่อปิดบังอาการเขินอายของตัวเองจากดวงตาคม

ระหว่างทางที่เราต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยมีเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุยามดึกเปิดคลอ ผมแอบเหลือบมองพี่ยูเป็นระยะ มีหลายครั้งที่แอบกังวลว่าสิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ทุกวันนี้จะเป็นเพียงแค่ความอยากรู้อยากลองหรือเปล่า ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วปัณณ์ต้องทำยังไงกับความรู้สึกที่เพิ่มพูนขึ้น รักใครว่ามีแต่สุขเพราะมันมาคู่กับความทุกข์เสมอ

“ปัณณ์ครับ” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็ดึงผมกลับมาสู่โลกปัจจุบันกลางสี่แยกไฟแดง พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน กลิ่นมิ้นท์จางๆ คงมาจากลูกอมที่เขากินอยู่

“ครับ?” ผมค่อยๆ เบนตัวไปทางซ้ายเพื่อเพิ่มระยะห่างให้กับตัวเอง ตอนนี้หัวใจเต้นแรงจนน่าเป็นห่วง ถ้าพี่ยูคิดจะทำอะไรเกินเลยคงหนีไม่พ้นแน่นอน

“ตอนนี้รู้สึกยังไงกับพี่?” สีหน้าของเขาเครียดขึงดูจริงจังจนผมประหม่า คำตอบสำหรับเรื่องนี้มันก็มีอยู่แล้วแต่ขอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อน

“อยากได้คำตอบแบบไหนครับ?” ผมถามลองเชิงเผื่อว่าพี่ยูจะแค่หยอกกันเล่น แต่พอเห็นแววตาสั่นไหวของเขานั้นก็เข้าใจได้ทันที่ว่าจริงจัง ทำยังไงดี ควรบอกไปตรงๆ ไหมว่าแอบรักมานานแค่ไหน

“เอาความจริง” เขาย้ำอีกครั้งก่อนจะผละออกไปเมื่อสัญญาณไฟจารจรเปลี่ยนสี ผมทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คิดทบทวนทุกสิ่งว่าถึงเวลาขยับความสัมพันธ์ของเราแล้วหรือยังเพราะค่อนข้างกังวลในความรู้สึกของพี่ยูที่บอกว่าชอบ เข้ามาจีบ และทำท่าจริงจัง

“ผม...”

Rrrrr

ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงริงโทนที่จำได้ว่าเป็นของพี่ยูก็ดังขัดจังหวะ ผมถอนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอาเป็นว่าขอเก็บความในใจต่ออีกหน่อยเพื่อรอดูท่าทีของเขา บางคนบอกว่ารักไม่ต้องการเวลา แต่สำหรับคนที่ใช้เวลารักมานานหลายปีมันสำคัญจริงๆ

“จิ๊ รับโทรศัพท์ให้พี่หน่อยสิครับ” พี่ยูส่งเสียงไม่พอใจแต่ก็ยอมปล่อยวางเรื่องของเราก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ใกล้กระปุกเกียร์ ผมเลิกคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ เอาความเป็นส่วนตัวใส่ในมือคนอื่นจะดีเหรอ

“หือ จะดีเหรอครับ? คุณป้าโทรมานะ” ผมยอมรับว่าเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของพี่ยูเลยเผลอมองหน้าจอสี่เหลี่ยมที่โชว์รายชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นนั่น

“ดีสิครับ พี่ขับรถอยู่รับสายไม่สะดวก” เขายืนยันเสียงหนักแน่นทำให้ผมที่ลังเลต้องพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ แค่คุยโทรศัพท์กับคุณป้าแทนคงไม่เป็นอะไรหรอกเนอะ

“สวัสดีครับคุณป้า” ผมกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป ทางคุณป้าดูจะตกใจเล็กน้อยเพราะหายเงียบไปชั่วอึดใจ คงคิดอยู่ล่ะมั้งว่าเป็นใคร ดึกดื่นป่านนี้พี่ยูคงไม่หนีเที่ยวที่อื่นหรอก ลูกรออยู่ที่บ้านทั้งคน

‘ปัณณ์เหรอจ๊ะ?’

“ครับ พี่ยูกำลังขับรถ” ผมเอ่ยบอกสาเหตุที่ต้องถือวิสาสะรับสายแทนซึ่งปลายสายก็หัวเราะตอบกลับมาเบาๆ คงไม่ซีเรียสเรื่องนี้

‘งั้นป้าคุยกับปัณณ์ก็ได้ค่ะ’

“ครับ”

‘คือป้าจะชวนพวกหนูๆ ไปอัมพวากันอาทิตย์หน้า มียูกิ เอย์จิ ริว แล้วก็ปัณณ์ด้วยค่ะ’ เสียงหวานๆ นุ่มๆ ของคุณป้าช่างเหมาะแก่การโน้มน้าวให้เราคล้อยตามแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ผมกลับรู้สึกแปลกกับสรรพนามที่เธอใช่เรียกพวกเรา มันดูน่ารักน่าเอ็นดูเกินไปหรือเปล่า ถ้าใช้กับริวคนเดียวคงไม่เป็นไรหรอก

แต่เดี๋ยวก่อน... ทำไมอยู่ๆ ก็มีชื่อผมรวมอยู่ในทริปนี้ด้วยล่ะ ก็เกริ่นมาเหมือนจะไปเที่ยวเป็นครอบครัวไม่ใช่เหรอ

“เอ่อ ผมด้วยเหรอ?” ผมถามย้ำก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างชี้เข้าหาตัวเองอย่างเคยชิน ทางด้านพี่ยูคงอยากรู้เรื่องที่เราคุยกันเลยหันมาเลิกคิ้วใส่ จ้างให้ก็ไม่บอกหรอก ยังมึนๆ งงๆ อยู่เลย

‘ใช่แล้ว ก็ปัณณ์เป็นคนในครอบครัวนี่คะ’ คำตอบของคุณป้าทำให้หัวใจของผมกระตุก ความรู้สึกอุ่นวาบที่เกิดขึ้นข้างในมันช่างรู้สึกดีเหลือเกิน จากที่เคยคิดว่าเหลือเพียงตัวคนเดียวในโลก ตอนนี้มีบุคคลให้พึ่งพิงจิตใจเพิ่มแล้ว รักครอบครัวนี้จัง

“อ่า... ครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้ามองเห็นไฟข้างทางกลายเป็นแฉกๆ ไปหมด บ้าจริง พี่ยูหันมาตอนนี้ทำไมเล่า หลบแทบไม่ทันแหนะ

‘เอาเป็นว่าป้าบังคับพวกหนูเลยแล้วกัน อาทิตย์หน้าเจอกันที่บ้านใหญ่นะคะ’

“ดะ เดี๋ยวสิครับคุณป้า” ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เมื่อสัญญาณตัดไปแล้ว ตกลงว่าเธอแค่โทรมาบอกให้เตรียมตัวไปเที่ยวใช่ไหม ไม่ได้เอ่ยปากชวนอย่างที่เข้าใจ โธ่... คนบ้านนี้ความคิดซับซ้อนจริงๆ ตามไม่ทัน

“มีอะไรเหรอ?” พี่ยูถามขึ้นทันทีที่ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม เขาหยุดเคาะนิ้วตามจังหวะเพลงหรือทำแม้กระทั่งชะลอความเร็วของรถลงเพื่อรอฟังคำตอบ เขาไม่คิดว่าปัณณ์จะประหม่าบ้างหรือไงวะ

“คุณป้ามัดมือชกพาพวกเราไปอัมพวา” จะบอกว่าชวนคงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ

“อ๋อ อาทิตย์หน้าใช่ไหม?” พี่ยูร้องถามเสียงใสก่อนจะเริ่มเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยเหมือนเดิม ดูท่าทางอารมณ์ดีกว่าเก่าเป็นสิบเท่า คำตอบของคำถามที่ค้างไว้คงไม่ต้องการแล้ว แต่แทนที่เขาจะแปลกใจกลับเป็นผมต้องขมวดคิ้ว รู้ล่วงหน้าเหรอหรือยังไง

“ทำไมพี่ยูรู้เรื่องแล้วล่ะ?” ก็คุณป้าเพิ่งโทรมาชวนหรือเปล่าวะ

“จริงๆ โอกาซังเขาจะโทรมาบังคับปัณณ์นั่นล่ะ กลัวจะโดนปฏิเสธไง” พี่ยูบอกเสียงอ่อยเหมือนถูกจับได้ว่าทำความผิดบวกกับรอยยิ้มแหยๆ ทำให้ผมรู้ทันทีว่าครอบครัวเขาวางแผนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงเจ้าตัวไม่ขับรถก็คงส่งโทรศัพท์ให้รับแทนอยู่ดี ร้ายนัก ทั้งแม่ น้องชาย และพี่ชายเลย ส่วนคุณลุงละไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะวันๆ ทำแต่งานอย่างเดียว ระดับผู้บริหารก็งี้ล่ะ

“โธ่ แบบนั้นไม่ต้องโทรมาก็ได้ครับ” ผมร้องเสียงอ่อยแต่ก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้ที่ทุกคนให้ความสำคัญกับตัวเองมากขนาดนี้ ถ้าเจอหน้าคุณป้าจะกอดให้แน่นจนพี่ยูอิจฉาเลยคอยดู แต่เอย์จิคงไม่สนใจเรื่องแบบนี้ เพราะเขาโฟกัสไอ้ทอยมากกว่า ล่าสุดก็โทรมาปรึกษาว่ารายนั้นชอบกินอะไร มีวิธีเช็คตารางบินหรือเปล่า จริงจังยิ่งกว่าตอบสอบเข้าเรียนป.โทอีกมั้ง

“ไปเดทด้วยกันเนอะ” หน้าระรื่นแถมส่งยิ้มทำลายล้างมาให้กันอีก มันใช่เวลาที่จะหยอดให้ผมใจเต้นแรงหรือไง นี่อ่อนยิ่งกว่าขี้ผึ้งรนไฟแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ถ้าขาดสติมีปากแตกแน่นอน... อยากพุ่งเข้าไปจูบให้รู้แล้วรู้รอด คนบ้าอะไรชวนเดทได้แบบไม่ทันตั้งตัวเลย!

“อะไรครับ ไปเที่ยวกันยกบ้านจะเรียกว่าเดทได้ยังไง?” ผมไม่ยอมเขินอายเป็นเด็กสาวเพิ่งมีความรักครั้งแรงหรอก ช่วงเวลาไฟมืดๆ ที่มองไม่เห็นสีแก้มแบบนี้ต้องไฟท์ให้ถึงที่สุด

“โอกาซังรับปากว่าจะช่วยดูริวให้ ส่วนเราสองคนก็เดทกันไงครับ” ยัง ยังไม่รู้ตัวอีกว่าคำพูดของตัวเองมันน่าตีขนาดไหน ไปเที่ยวกับครอบครัวจะมีเวลาส่วนตัวได้ยังไง เพ้อเจ้อขั้นสุดแล้ว

“หมายความว่ายังไงเนี่ย ผมไม่เข้าใจ”

“เขารู้เรื่องที่พี่จีบปัณณ์แล้ว” เดี๋ยวสิ พี่ยูพูดเรื่องอะไรวะ สมองผมตื้อไปชั่วขณะ ลมหายใจติดขัดจนน่ารำคาญ คือ... ที่บ้านรู้แล้วว่าเรากำลังคุยกันในเชิงชู้สาวอะนะ ผู้ชายกับผู้ชายทั้งคู่ เฮ้ย ไม่ใช่ว่าคุณป้าจะพาผมไปฆ่าโยนทิ้งทะเลใช่ไหม โอย เครียดๆๆ





ต่อหน้า 3 น้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก P.2 -14/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 14-05-2018 09:05:59
“ห๊ะ... ละ แล้ว เป็นยังไงบ้าง?” ผมถามเสียงตะกุกตะกักก่อนจะเอื้อมมือสั่นๆ ไปแตะแขนของพี่ยูเพื่อช่วยลดอาการกลัวแต่มันไม่ได้ช่วยเลยสักนิดเพราะเขายังคงนิ่งเงียบ ทำหน้าขรึม ไม่หือไม่อือ ไม่หันมามองหน้า สถานการณ์โคตรกดดัน แถมเพลงที่เล่นก็สื่อความหมายอกหักรักคุด

ผ่านไปเกือบนาทีที่เขาเงียบและขับรถไปเรื่อยๆ จนมาจอดอยู่หน้ารั้วบ้าน ความจริงคือผมต้องลงไปเปิดประตูแต่กลับนั่งเฉยพลางออกแรงบีบแขนพี่ยูเพื่อเป็นการกระตุ้นให้พูดอะไรสักอย่างเสียที ตอนนี้น้ำตาเอ่อล้นจนแทบไหลอยู่แล้ว...

เขาหันมาสบตาแล้วดึงมือผมไปกุมไว้บนอกตรงตำแหน่งหัวใจ ใบหน้าหล่อขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนจะปลายจมูกจะลากผ่านผิวแก้มเพื่อตอบคำถามข้างหู

“ไฟเขียวครับ” เอ๊ะ หมายความว่า...

“ครอบครัวพี่ไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้ว พวกท่านก็รู้จักปัณณ์ดีด้วยเลยไม่มีปัญหา” ผมเผลอบีบมือเข้าหากันแน่นเมื่อได้ฟังคำตอบก่อนที่มุมปากจะขยับเป็นรอยยิ้มแห่งความดีใจและในจังหวะที่พี่ยูผละตัวออกนั้นทำให้คนขี้เขินต้องรีบวางหน้าผากลงบนไหล่เพื่อซ่อนแก้มแดงๆ ให้รอดพ้นสายตาของหมาป่าที่จ้องเขมือบเหยื่อตลอดเวลา ถ้าเขาเห็นอาจล้วงรู้ความลับก็ได้

“พี่ยู... ผมเกือบช็อคตาย” เอ่ยเสียงแผ่วก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเองโดยอีกคนรวบกอดไว้ทั้งตัวซะแล้ว ความอบอุ่นกายรวมถึงหัวใจมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมอบให้ผมได้ มันช่วยเติมเต็มชีวิตที่เว้าแหว่งจนสมบูรณ์ ไม่มีอะไรจำกัดความได้ดีกว่าคำว่า ‘รัก’ อีกแล้ว

“รู้แบบนี้ก็รีบรักพี่นะครับ อยากมีแฟนจะแย่แล้ว” ไอ้คำขอเป็นแฟนกลายๆ ของเขามันดูไม่จริงจังเลยแต่ผมดันหุบยิ้มไม่ได้ แก้มร้อนอย่างกับมีใครเอาไฟมารน หัวใจก็เต้นแรงจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมาด้านนอก ตอนนี้อยากสาปส่งพี่ยูมากเรื่องที่บอกว่าจีบใครไม่เป็นโกหกทั้งเพ เพราะที่ทำอยู่นี่เข้าขั้นมืออาชีพแล้ว ปัณณ์อยากหนีไปเขินนอกโลกเว้ย ไม่เอาแล้ว ฮือ

“ผมจะถือว่าไม่ได้ยินที่พี่พูดแล้วกันครับ” ปากบอกแบบนั้นแต่ผมยังไม่กล้าขยับตัวออกจากไหล่ของเขาเลยเหอะ เพราะจำได้ว่าหลอดไฟหน้าบ้านโคตรสว่างสามารถส่องเข้ามาในรถจนเห็นสีแก้มแดงๆ ได้แน่นอน ถือซะว่าให้กำไรชีวิตกับพี่ยูไปก่อนแล้วกัน ซึ่งที่จริงแล้วตัวเราเองก็ได้ด้วย

“ทำไมใจร้ายแบบนี้” เสียงตัดพ้อดังขึ้นเหนือหัวก่อนที่ไหล่ของผมจะถูกดันออกห่าง ในขณะที่จะก้มหน้าลงนั้นกลับโดนมืออุ่นเชยปลายคางขึ้นให้สบตากัน ครั้นอยากหนีก็ทำได้แค่มองจมูกเขาแทน วิธีบังคับเอาคำตอบของพี่ยูมันอันตรายต่อหัวใจมากจริงๆ

“เปล่านี่ครับ ก็แค่... อยากให้เราศึกษากันในความรู้สึกแบบใหม่ให้มากกว่านี้” จริงๆ ผมจะบอกรักเขาตอนนี้ก็ได้เพียงแต่ว่าความรู้สึกอยากแกล้งมันเกิดขึ้นในสมอง รวมทั้งช่วงเวลาที่เหมาะสมยังดำเนินมาไม่ถึงเท่านั้นเอง ไอ้ความกังวลน่ะหมดไปแล้วตั้งแต่รู้ว่าพี่ยูเอาเรื่องนี้ไปบอกกับที่บ้าน รั้งเขามาจูบปากเลยดีไหม คนบ้าอะไรน่ารักชะมัด

“ก็จริงของปัณณ์ พี่ขอโทษที่รีบร้อนเกินไป” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวกันเบาๆ ผมหลับตาลงเพื่อเรียกความกล้าแล้วพุ่งตัวเข้าไปกอดพี่ยูไว้แน่น

“ไม่เป็นไรครับ เราค่อยเป็นค่อยไปกันก็ได้ ผมไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว” ก็หัวใจของผมอยู่ที่พี่มาตั้งนานแล้วนี่ครับ ไม่ว่าจะวางแผนหนีสักกี่ครั้งแต่สุดท้ายก็หอบเอาร่างกายกลับมาหาอยู่ดี

คนเราไม่มีหัวใจก็ตายน่ะสิ จริงไหม?

“โอเคครับ ปัณณ์โตเป็นผู้ใหญ่กว่าพี่อีกนะเนี่ย” พี่ยูพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วกระชับกอดกันแน่นมากกว่าเก่า ตอนนี้เหมือนผมจมเข้าไปอยู่ในอกเขาเลยถึงแม้จะปวดเอวเพราะนั่งผิดท่าแต่ความอุ่นก็ช่วยทำให้ลืมความเจ็บได้ชั่วขณะ อืม... หอมกลิ่นตัวพี่ยูจัง นับวันยิ่งดูโรคจิตไปใหญ่แล้ว เฮ้อ

“อย่าแซวสิครับ ผมก็แค่เด็กขี้กลัวนั่นล่ะ” ผมโขกหน้าผากลงกับไหล่ของเขาเพื่อกลบเกลื่อนความเขินที่มีมากขึ้นกว่าเดิม นานๆ จะถูกชมว่าโตเป็นผู้ใหญ่กับเขาสักที รู้สึกภูมิใจจัง

“น่ารักจริงๆ เลย”

“ผมอยู่เฉยๆ นะเว้ย” ผมโวยวายเพราะไม่เข้าใจว่าจะชมเพื่ออะไรทั้งที่ก็นั่งให้เขากอดอยู่เฉยๆ ปะวะ แล้วไอ้ที่เคาะหน้าผากกับไหล่ก็ไม่ได้เข้าใกล้กับคำว่าน่ารักเลย พี่ยูประสาทกลับหรือแกล้งหยอดกันอีกเนี่ย เตรียมใจไม่ทันแล้ว

“อะไรที่ปัณณ์ทำหรือเป็นก็น่ารักหมดนั่นล่ะครับ” คำหวานหูที่ตามมาด้วยจุมพิตกลางศีรษะนั้นทำให้ผมขยำเสื้อด้านหลังของพี่ยูไว้แน่น มันรู้สึกเขินจนไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว ถ้าอ้าปากกัดไหล่เขาจะรู้สึกเบาบางลงหรือเปล่า แย่แแล้วจริงๆ นั่นล่ะ

กว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมผมคงเก๊กจนตะคริวกินไปทั้งตัวแน่ๆ เลย การยับยั้งชั่งใจในสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบมันยากมากจริงๆ ถ้าเขาไม่โต้ตอบกลับมันก็สงบเงียบดีอยู่หรอก แต่ปัจจุบันทั้งรุกทั้งหยอด จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

“พี่ยู... ผมจะเป็นเบาหวานตายอยู่แล้ว” เสียงอ่อยจนอยากตบปากตัวเองสักทีสองที ไอ้เรื่องที่จะซ่อนแก้มแดงๆ นี่ทิ้งไปได้เลย ป่านนี้เขาคงจับอาการผมได้ทะลุหมดแล้ว โธ่ ผู้ชายคูลๆ ที่ผ่านคู่นอนมานับสิบดันตกม้าตายเพราะพ่อหม้ายลูกติดเนี่ยนะ โคตรไม่แฟร์เลย

“อย่าเพิ่งตายครับ เดี๋ยวพี่เป็นหม้าย”

กล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง

“ตอนนี้ก็เป็นอยู่ไม่ใช่เหรอ?” ผมผละตัวออกมาเพื่อสบตาแล้วตกย้ำความเป็นจริงให้เขาตะหนัก พี่ยูถึงกับสำลักลมหายใจจนไอโขลก ดูช่างน่าสงสารแต่อดขำไม่ได้จริงๆ

“โธ่ แค่กๆ เถียงไม่ได้เลย” พี่ยูไอจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด ด้วยความที่นึกสงสารผมเลยเอื้อมมือไปลูบหลังให้เขาก่อนจะได้ยินเสียงเคาะกระจกรถ

ก๊อกๆ

ผมสะดุ้งเฮือกก่อนจะรีบผลักตัวออกจากพี่ยูเพื่อมองหาต้นตอของเสียง ดวงตารีเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นเอย์จิยืนพิงประตูรั้วที่เปิดเรียบร้อยแล้ว หน้าตาเขาฉายแววล้อเลียนแบบไม่ปิดบังซะด้วย คราวนี้ไอ้ปัณณ์โดนล้อเป็นอาทิตย์แน่นอน ขอลาพักร้อนได้ไหมเนี่ย ใจบางเกินจะรับไหวจริงๆ

พี่ยูชักสีหน้าไม่พอใจใส่น้องชายก่อนจะกดปุ่มลดกระจกลงเพื่อคุยกับเอย์จิ ผมเอนตัวพิงพนักหนักๆ เผื่อว่าบางทีตัวเองจะจมหายไปในเบาะได้ อยากหนีจากสถานการณ์นี้ต้องทำยังไง หายตัวเหรอ โอย กูไม่ใช่แฮรี่พอตเตอร์นะ

“มีอะไร?” ยังจะมีหน้าไปถามเขาอีกเหรอ ก็รู้ทั้งรู้ว่าเราเสียเวลากอด เอ๊ย คุยกันอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เปลืองน้ำมันรถจะตาย

“จะกอดกันจนเช้าเลยไหมครับ? ผมยืนดูมานานแล้วเนี่ย” เอย์ถามเสียงทะเล้นก่อนจะเดินเข้ามาเท้าแขนลงกับกรอบหน้าต่าง เขามองผมด้วยสายตาล้อเลียนแล้วถือวิสาสะหยิกแก้มกันเบาๆ ทำให้คนขี้หวงอย่างพี่ยูถึงกับต้องกระชากแขนอีกข้างเพื่อให้เกิดระยะห่าง ตอนนี้ระบมไปทั้งตัวแล้วครับ...

“เรื่องของพี่กับปัณณ์ แกไม่เกี่ยว” ทำหน้าดุใส่น้องไปอีก แต่อย่าคิดว่าคนอย่างเอย์จิจะกลัวเพราะเขายังยืดตัวเข้ามาด้านในเพื่อใช้มือไล้แก้มผม ไม่อยากโดนแย่งเว้ย มันดูเหมือนผู้หญิงยังไงก็ไม่รู้

“อ้อ ใช่สิ เรามันก็แค่น้อง จะไปสู้อะไรกับว่าที่เมียในอนาคตได้” การกระทำสวนทางกับคำพูดมาก แต่เป้าหมายมรอย่างเดียวคือยั่วโมโหพี่ยู เมียบ้าอะไร ผมไม่เคยเป็นเถอะ!

“เอย์จิ!” เสียงผมตะโกนเรียกชื่อเขาด้วยความโมโหนิดๆ อายหน่อยๆ ที่โดนจำกัดความว่าเป็นเมียในอนาคตของพี่ยู คนที่เคยรุกชาวบ้านมาตลอดชีวิตอยู่ๆ ให้กลายเป็นฝ่ายรับก็ลำบากใจเป็นธรรมดา กลัวเจ็บ กลัวสารพัดไปทุกอย่าง

“ไม่ต้องเขินหรอกน่าปัณณ์ เราอยากให้เตรียมตัวไว้เลย พี่ยูรุกแน่นอน” สีหน้าและแววตาของเอย์จิเต็มไปด้วยความจริงจัง มือที่ไล้แก้มเมื่อครู่ผละออกแล้วเพราะโดนพี่ยูแยกเขี้ยวขู่ ผมได้แต่อึกอักมองคนข้างๆ สลับกัน ตอนนี้สมองตื้อมาก คิดอะไรไม่ออกเลย จะให้ถอยความรู้สึกก็คงทำไม่ได้แล้ว

ไอ้ที่แอบรักเขามาตลอดไม่เคยสนใจเรื่องโพสิชั่นเลยนี่หว่า พอฝันใกล้เป็นจริงทำไมอุปสรรคมันเยอะขนาดนี้เนี่ย

“ระ เรา...” พูดไม่ออกจริงๆ

“ปัณณ์ครับ ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่” พี่ยูเลื่อนมือมาจับประสานกันช้าๆ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างนั้นค่อยประคองใบหน้าผมให้หันไปสบตา ภาพสะท้อนที่เห็นมีแต่ตัวเองกับความจริงจังของเขาเท่านั้น โอเค ควรตั้งสติแล้วปรับอารมณ์ให้เข้าที่ซะ

“พี่ยู ผมไม่เคยเป็นรับ...” ผมบอกด้วยน้ำเสียงสั่น พยายามแล้วที่จะลดความตื่นกลัวแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ไม่เคยเตรียมใจกับเรื่องนี้เลย แต่มันคือธรรมชาติของมนุษย์โลกที่ต้องมีเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้องในความรัก ไม่ง่ายเลยจริงๆ สำหรับคนสองคนที่เป็นผู้ชาย

“ปัณณ์ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนั้นครับ พี่ไม่แคร์เรื่องเซ็กซ์หรอก ใครรุกใครรับก็ได้ ความรู้สึกระหว่างเราต่างหากที่สำคัญ” คำปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและรอยยิ้มบางตรงหน้าทำให้ผมเผลอพยักหน้ารับเห็นด้วย หัวใจที่เคยเต้นแรงเพราะความหวาดกลัวเริ่มสงบลงจนเป็นจังหวะปกติ รู้สึกดีกับความคิดของพี่ยูจริงๆ

“หูย ฟังดูเป็นพ่อพระ” แต่มาเสียเรื่องเพราะเอย์จิแซวนี่ล่ะ แม่ง ผมเลยระแวงความเจ้าเล่ห์ของพี่ยูขึ้นมาอีกครั้งโดยการขยับตัวหนีมืออุ่นๆ นั่นจนไหล่ชิดติดประตูรถ คนต้นเรื่องหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างสนุกสนานก่อนจะก้มลงหอมแก้มกันแล้ววิ่งหนีเข้าบ้านไปเลย

อะ ไอ้เวรเอย์จิ หาเรื่องตายแล้วไหมล่ะ!

“มึงต้องตาย!” พี่ยูตะโกนลั่นรถจนผมต้องรีบตะครุบปากเขาเพราะเวลานี้บ้านข้างๆ คงเข้านอนไปแล้ว เกิดเขาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายแล้วตื่นขึ้นมาปาหัวพวกเราจะเป็นเรื่องใหญ่โต

“โหย แค่นี้ทำดุ คืนนี้ผมจะยึดริว” เอย์จิยังกล้าเดินกลับมาแซวพี่ยูแถมแลบลิ้นใส่เหมือนเด็กๆ ผมที่เป็นคนกลางก็ทำได้แค่มองทั้งคู่ด้วยความปลง โตเป็นควายยังหาเรื่องแกล้งกันได้ไม่เว้นวัน แต่ก็ให้ความรู้สึกสนิทรักใคร่กลมเกลียวดีนะ

“เชิญตามสบายครับคุณน้องชาย ไป ชิวๆ” พี่ยูไล่น้องอย่างกับหมาแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขบขัน ตอนแรกผมนึกว่าจะโกรธเรื่องเอย์จิขโมยหอมแก้มนานกว่านี้ซะอีก แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว สมกับอายุและวุฒิภาวะของเขาดี

“พี่ยู...” ผมเรียกเพราะจะบอกให้เขาขับรถเข้าบ้านสักที ตอนนี้ง่วงจนรู้สึกแสบตาแล้ว จะงอแงไม่อาบน้ำก็ไม่ได้เพราะคืนนี้ก็ยังต้องนอนกับพี่ยูเหมือนเดิม

“ปัณณ์ไม่ต้องคิดมากเนอะ” พี่ยูหันมาคลี่ยิ้มพลางขยับมือมาลูบหัวกันเบาๆ สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู แต่ตอนนี้เรากำลังพูดคนละเรื่องนะ... รอให้ผมพูดจบก่อนได้ไหมเนี่ย

“ผม...” อยู่ๆ ผมก็ชะงักกึกเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นในสมอง หาอะไรเล่นสนุกๆ กันดีกว่า

“ครับ?” ขานรับซะเพราะเชียว เดี๋ยวมีช็อคแน่นอนคอยดู

“ผมจะรุก!” ผมหลับตาตะโกนบอกคนข้างกายอย่างหนักแน่นก่อนจะได้ยินเสียงไอโขลกตามมาติดๆ

โธ่ พี่ยูผู้น่าสงสารของปัณณ์ ไหนว่าใครรุกใครรับก็ได้ไง โกหกชัดๆ เลยอาการแบบนี้เนี่ย! ขอให้สำลักอากาศจนตายไปเลย!

ก็ได้แต่ภาวนาให้ผมไม่ใช่หนึ่งในบุคคลที่เป็นฝ่าย ‘ลุกขึ้นมารับ’ หรอกนะ





-----------------------------------------------


ความคืบหน้าของพี่ยูและน้องปัณณ์
มันก็จะน่าอิจฉาหน่อยๆ เนอะ 55555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก P.2 -14/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-05-2018 09:30:04
ครอบครัวโอเคแล้ว คบกันเล้ยย :hao7:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก P.2 -14/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-05-2018 13:46:57
พี่ยูคงไม่ยอมเป็นรับง่ายๆหรอกนะน้องปัณณ์ 5555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก P.2 -14/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: minkey ที่ 14-05-2018 15:06:34
ลองรับดูก่อนไหมน้องปัณณ์  :hao3:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 14 : ทงคัตสึ P.3 -17/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-05-2018 08:35:12
จานที่ 14 : ทงคัตสึ



อีกสามวันจะไปอัมพวาแต่ทุกคนกลับโยนให้ผมจัดโปรแกรมเที่ยวอย่างหน้าตาเฉยทั้งที่ไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีในทริปนี้ ใครอยากไปตรงไหนก็ช่วยออกความคิดเห็นบ้างสิวะ แล้วดูพี่ยูสิ เอาแต่เล่นมวยปล้ำกับริวจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ส่วนเอย์จิก็เดินวนรอบห้องเหมือนหนูติดจั่น ต่อสายหาไอ้ทอยซ้ำๆ เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมรับโทรศัพท์ มันจะมีอะไรวุ่นวายเท่าตอนนี้อีกไหม ปวดหัวเว้ย

ผมเท้าแขนลงกับโต๊ะญี่ปุ่นแล้วคลิกเม้าส์เลือกหัวข้อเที่ยวอัมพวาในกูเกิ้ลไปเรื่อย ส่วนมากก็แนะนำคล้ายๆ กัน มีตลาดน้ำ อาสนวิหารแม่พระบังเกิด ศูนย์อนุลักษณ์แมวไทย วัดบางกุ้ง ตลาดร่มหุบ อุทยานร.2 ประมาณนี้ เอาตามตรงเราสามารถตระเวนเที่ยวครบทุกที่ได้แต่ยังไม่รู้รายละเอียดเลยว่าไปกี่วันกี่คืน แล้วไอ้สมาชิกครอบครัวทั้งหลายช่วยหยุดทำเรื่องปวดหัวแล้วสนใจกันหน่อยได้ไหมเนี่ย ที่เรียกมารวมตัวกันก็เพราะอยากให้ออกความคิดเห็น ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่!

“พี่ยูครับ” ผมตะโกนแข่งกับเสียงหัวเราะของพ่อลูกที่ตอนนี้กำลังเล่นเครื่องบินลอยไปลอยมาอยู่บนที่นอน นั่งรอแล้วรอเล่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกัน ขนาดเรียกซ้ำไปอีกสองครั้งก็เฉย โอเค หันไปเรียกเอย์จิแทนก็ได้วะ

“เอย์... ขอบคุณครับ เฮ้อ” ผมสบถคำประชดประชันด้วยเสียงฉุนๆ เพราะเอย์จิเปิดประตูกระจกออกไปยืนรับอากาศยามค่ำพอดี สรุปว่าไม่มีใครสนใจทริปอัมพวาเลยใช่ไหม โทรไปหาคุณป้าเพื่อยกเลิกซะเลยดีกว่าปะ เริ่มหงุดหงิดแล้วนะ

ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ออกมาก่อนจะเหยียดแขนยาวไปตามโต๊ะแล้วซบหน้าลง ดวงตากรอกขึ้นด้านบนพร้อมกับเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่าย ไม่หันไปทางพี่ยูให้อารมณ์เสียกว่าเดิมหรอก วันนี้ก็ทำงานตัวเป็นเกลียวเหนื่อยจนอยากหลับๆ ซะตรงนี้ ถ้าไม่ติดเรื่องทริปเที่ยวกับจัดกระเป๋าเดินทางน่ะนะ

“ปัณณ์ครับ” น้ำเสียงหวานๆ ของพี่ยูทำให้ผมเบนหน้าไปหาอย่างคาดหวัง เขาคงเลิกเล่นกับลูกแล้วลงมาช่วยกันเลือกสถานที่เที่ยวแน่ๆ แต่มือที่ชี้ไปตรงพื้นข้างตัวคืออะไร

“ช่วยเก็บพี่หมีให้ริวหน่อยครับ” ริวอะไรล่ะ ผมเห็นหลานนอนนิ่งหลับปุ๋ยไปแล้ว!

“.....” ผมนี่กัดฟันกรอดอย่างโมโหก่อนจะหยิบตุ๊กตาหมีที่นอนอยู่ไม่ไกลขว้างใส่หน้าพี่ยู แม่นตรงเป้าหมายจนอีกคนถึงกับส่งเสียงร้องประหลาดและบ่นพึมพำอยู่คนเดียว สมน้ำหน้า คนเขาจะพูดด้วยแต่ไม่สนใจเอง หึ

“โกรธอะไรพี่ครับเนี่ย?” คนโดนกระทำคลานต้วมเตี้ยมมาถึงปลายเตียง ใบหน้าดูมึนๆ งงๆ จนผมได้แต่เบ้ปากใส่พลางขยับตัวหนีมือที่กำลังจะเอื้อมมาจับไหล่กัน ตอนนี้ขอปรับอารมณ์ก่อนเถอะ หงุดหงิดขั้นกว่าแล้ว ก็ใครใช้ให้เอย์จิชวนไอ้ทอยไปเที่ยวด้วย มันไม่ได้ความจำเสื่อมนะเว้ย ที่เดี๋ยวเดียวก็ลืมว่ากำลังอกหักจากใคร

“สนใจผมได้แล้วเหรอไง?” ยืดตัวขึ้นแล้วหันไปมองเขาตาขวางก่อนกระแทกเม้าส์ลงกับโต๊ะ พี่ยูสะดุ้งพอๆ กับเอย์จิที่เดินกลับเข้ามาในห้องแล้วผงะไป แม่ง ทั้งคู่เลย สำนึกหรือยังว่าลืมอะไร ถ้าตรงหน้าผมคือโบว์ชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแบบกระดาษคงขยำทิ้งไปแล้ว

“นี่น้อยใจเหรอครับ?” พี่ยูเอ่ยถามพลางขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินมานั่งลงข้างกัน ผมผละหนีห่างออกมาเกือบสามฟุตแล้วลากโต๊ะญี่ปุ่นติดมาด้วยเพราะกลัวว่าจะเผลอทุบเขาเข้าให้ หมั่นไส้มาก หลงตัวเองที่หนึ่ง คิดว่าสำคัญนักหรือไง ไม่มีใครน้อยใจทั้งนั้นล่ะ!

“ใช่ก็บ้าแล้ว!” ทำไมผมต้องใส่อารมณ์จนน้ำลายกระเซ็นแบบนี้แถมยังกำหมัดแน่นพร้อมต่อย รู้สึกปวดแปลบๆ ในอกด้านซ้ายด้วย ไม่จริงน่า คำถามของพี่ยูแทงใจดำอย่างนั้นเหรอ

“อ้าวเหรอ? สงสัยพี่เข้าใจผิดไปเอง” เขาทำหน้าหงอยแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนก้าวขาเดินหนีจนผมต้องรีบคว้าข้อมือเพื่อรั้งไว้ ทำแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนเอย์จินั้นหายไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว สงสัยหลบไปทำใจแน่ๆ เพราะคนอย่างไอ้ทอยไม่กล้าเจอหน้ากันหรอก ก็แผลใหญ่เท่าฝ่ามือแต่ตอนนี้ตกสะเก็ดแค่ปลายนิ้วก้อยเองมั้ง

“จะไปไหนครับ?” ผมถามเสียงขุ่นพร้อมจ้องเขม็ง พี่ยูเลิกคิ้วทำหน้าเหวอๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ริวซึ่งหลับสนิทอยู่บนเตียง ยุ่งวุ่นวายอะไรกับลูกอีกล่ะ

“ก็... กลับไปอ่านนิทานให้ลูกฟังไงครับ” พี่ยูตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูยังไงก็โคตรตอแหล ถ้าอยากแกล้งผมช่วยหาวิธีที่ดีกว่านี้หน่อยได้ไหม ไม่ใช่จงใจแบบชัดๆ จนน่าโมโห ใครมันอ่านนิทานให้ลูกฟังหลังหลับไปแล้วกัน

“ริวหลับไปแล้ว” ผมกัดฟัดกรอดบอกเขาเสียงรอดไรฟันพร้อมกับออกแรงบีบข้อมือแน่นจนพี่ยูเบ้ปากแต่ก็ไม่ได้สะบัดทิ้ง ดวงตาคมมองกันอย่างอ้อนๆ เกือบจะใจอ่อนแล้วแต่ความโมโหเอาชนะได้ หึ

“อ้าว... ลืมไปเลยเนอะ” ยังมีหน้ามายิ้มกว้างให้อีกเหรอ ถ้าไม่ติดว่าพี่ยูอายุมากกว่าเป็นสิบปีจะลุกขึ้นเตะๆๆๆ จนเดี้ยงเลย หึ

“กวนตีน!” ตะโกนด่าเขาเสียงดังอย่างลืมตัวเลยต้องรีบลุกขึ้นไปดูริวบนเตียงว่าตื่นหรือเปล่า แต่โชคดีที่เด็กน้อยยังคงหายใจเข้าสม่ำเสมอ แก้มกลมๆ บุ๋มลงเพราะกำลังคลี่ยิ้ม สงสัยกำลังฝันหวานอยู่ น่าอิจฉาเนอะ

“เปลี่ยนเป็นกวนใจแทนได้ไหมครับ?” พี่ยูที่เดินตามเข้ามาประชิดตัวเอ่ยเสียงทะเล้น ลมหายใจอุ่นๆ รดอยู่ตรงท้ายทอยทำให้ผมต้องขยับตัวหนีจนติดหัวเตียง เขาเลยยกแขนขึ้นดันกำแพงข้างหนึ่งเพื่อกักขังกันไว้ในอ้อมกอด ใกล้เกินไปแล้ว เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!

“อัมพวาเนี่ยไม่ต้องไปแล้วนะ” ผมตัดสินใจผลักอกพี่ยูด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนเซถอยหลังเกือบล้มก้นกระแทกพื้น พอหนีออกมาได้ก็ยืนหายใจหอบมองเขาด้วยสายตาดุดัน

“เฮ้ยๆ ได้ไงครับ พี่อุตส่าห์วางแพลนไว้อย่างดิบดี” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนผมต้องถลึงตาใส่แล้วชี้หน้าให้เขาหยุดอยู่ตรงนั้น ยอมรับว่าโมโหมากที่โดนปั่นหัว ถ้าสติแตกขึ้นมาอาจจะอาละวาดบ้านแตก สนุกมากหรือไงวะ ทั้งพี่ทั้งน้องเลย

“ปล่อยให้ผมจัดการทุกอย่างคนเดียวแล้วยังมีหน้าจะพูดแบบนี้อีกเหรอครับ?” ยั้งปากไม่ทันแล้ว ดูเหมือนพี่ยูจะตกใจมากเพราะสีหน้าแสดงออกชัดเจน ผมลอบถอนหายใจพลางยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อปรับอารมณ์ให้เย็นลง การถูกเมินมันแย่มากไม่รู้กันหรือไง ทิ้งทุกอย่างให้ตัดสินใจคนเดียวทั้งที่ควรช่วยกันคิดมันถูกแล้วเหรอ

ผมเชื่อว่าเขาได้ยินตอนโดนเรียกชื่อแต่ทำเมินกันเพื่อแกล้ง ทริปไปเที่ยวก็ของเขา ถ้าเลือกอยู่คนเดียวแล้วสุดท้ายไม่มีใครถูกใจจะรู้สึกยังไงวะ นั่นคนทั้งครอบครัวเลยนะ

“พี่แค่อยากให้ปัณณ์เป็นคนเลือกว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ก็แค่นั้นเอง” พี่ยูบอกเสียงอ่อย สีหน้าดูแย่มากจนผมเผลอใจกระตุก แต่ด้วยแรงอารมณ์ที่ยังโมโหไม่หายเลยทำให้หลุดปากออกไปอีกครั้ง ถึงมันจะเบาแต่เชื่อว่าอีกคนได้ยินชัดเจนแน่นอน

“ผมไม่ได้อยากไป”

“ปัณณ์...” พี่ยูเรียกชื่อกันเสียงแผ่ว ดวงตาคมฉายแววเสียใจอย่างเห็นได้ชัด ผมอึกอักส่วนขาก็ก้าวไปหาคนตรงหน้า อยากขอโทษ อยากกอด แต่เขากลับยกมือขึ้นห้ามก่อนจะคลี่ยิ้มบางส่งมาให้ ทำไมล่ะ โกรธที่พูดแบบนั้นเหรอ ก็พี่แกล้งปัณณ์ก่อนไม่ใช่หรือไง

“ผม...”

“พี่ขอโทษ ปัณณ์ไม่ต้องจัดการอะไรแล้วครับ ไปนอนเถอะ” เขาพูดจบก็จัดการตรงไปปิดโน้ตบุ๊คและพับโต๊ะญี่ปุ่นเก็บเข้าที่ ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกวูบโหวงในใจ ถ้ามีเหตุผลและควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านี้อะไรๆ คงไม่แย่ใช่ไหม ปัณณ์งี่เง่าเอง...

“พี่ยู...” ผมกำลังจะเอื้อมมือไปแตะไหล่พี่ยูแต่ต้องชะงักเมื่อโดนอีกคนเอี้ยวตัวหลบ หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อการโดนเมินครั้งนี้หนักกว่าที่ผ่านมา เขาแค่เสียใจไม่ได้โกรธ ต้องหาวิธีง้อสินะ

“นอนเถอะครับ พี่ง่วงแล้ว”

สุดท้ายผมก็ทำได้แค่พยักหน้ารับแล้วคลานขึ้นเตียงไปนอนตรงกลางที่เดิม สวิตซ์ถูกปิดลงทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดและได้ยินเพียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจนฟูกยวบตัวลง เมื่อสายตาปรับการมองเห็นได้สิ่งแรกที่ทำคือหันไปมองพี่ยู เขานอนตะแคงหันหลังให้กันเป็นการแสดงออกที่ชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยคำพูด งานหนักแล้วปัณณ์เอ๊ย

นอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดมากเรื่องของเขาไม่หยุด ต้องทำยังไงถึงจะคุยกันได้ดีเหมือนเดิม ปกติแล้วพี่ยูชอบแอบเนียนมากอดกันไว้ แต่คราวนี้ฝ่ายที่อยากทำแบบนั้นกลับเป็นผมเอง ชั่งใจอยู่ไม่นานก็เอื้อมมือไปพาดช่วงเอวสอบเบาๆ แต่ต้องชะงักกึกเมื่อริวกลิ้งมาชนหลัง โอย ใจหายใจคว่ำหมดแล้ว

ผมลอบถอนหายใจดึงมือกลับแล้วพลิกตัวไปอีกด้านเพื่อจัดท่านอนให้ริวซะใหม่ และในจังหวะนั้นเองที่ได้ยินเสียงพี่ยูลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบอะไรบางอย่างที่ปลายเตียงก่อนจะเดินออกไปข้างนอก ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นโน้ตบุ๊ค เวลานี้มันเกือบตีสองแล้วไม่ใช่หรือไง

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียงเพื่อตามไปดูว่าพี่ยูทำอะไร ขายาวๆชะงักอยู่หน้าประตู นับหนึ่งถึงสิบเพื่อเรียกความกล้าก่อนจะเอื้อมมือจับลูกบิดแง้มมันออกช้าๆ จนแสงสว่างจากภายนอกลอดเข้ามา จากตรงนี้มองเห็นแผ่นหลังกว้างของเขาได้อย่างชัดเจนแต่นั่นทำให้ยากต่อการเดาว่ากำลังทำอะไร

โจรก็ไม่เคยเป็น จอมยุทธ์ในหนังจีนก็ไม่ใช่แต่ผมต้องมาเดินย่องเบาเพื่อเข้าไปใกล้พอที่จะเห็นว่าพี่ยูกำลังทำอะไรกับโน้ตบุ๊ค แอบดูหนังโป๊หรือสะสางงานที่ค้างอยู่กันแน่ ถ้าคิดแง่ลบหน่อยเขาคงกำลังคุยกับใครสักคน เพียงเท่านี้หัวใจก็รู้สึกปวดแปลบแล้ว... แต่เมื่อครู่เกือบสะดุดลูกบอลของริว โอย จะบ้า ใครเอามาทิ้งไว้ตรงนี้เนี่ย

อีกแค่เพียงก้าวเดียวเท่านั้นที่ผมจะเข้าประชิดตัวพี่ยูได้แล้ว แต่สายตาดันชะงักเมื่อเห็นบางอย่างในจอสี่เหลี่ยมนั่น จำได้ว่ามันคือหน้าเว็บไซต์กูเกิ้ล ส่วนคำค้นหายิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดในใจ เขากำลังจัดทริปเที่ยวเอง

ผมเม้มปากแน่นเมื่อรู้สึกถึงก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในอก ดวงตารื้นไปด้วยน้ำสีใส ภาพตรงหน้าบ่งบอกได้ดีว่าพี่ยูกำลังทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้ไปเที่ยวด้วยกันถึงแม้ว่าจะโดนพูดจาทำร้ายจิตใจ ต้องยอมอ่อนข้อให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างปัณณ์ขนาดนี่เลยเหรอครับ...

“พี่ยู...” ผมเอ่ยเรียกคนตรงหน้าเสียงสั่นก่อนจะพุ่งเข้าไปกอดรอบคอเอาไว้แน่น ซบซุกใบหน้าลงบนลาดไหล่กว้างแล้วปล่อยหยดน้ำตาให้ไหลเงียบๆ อยากขอโทษแต่ปากดันไม่ขยับ

พี่ยูสะดุ้งแต่ก็นิ่งไปโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ไม่ปัดป้องไม่ผลักไสจนผมรู้สึกโหวงในอก อย่าเงียบแบบนี้ จะด่าจะว่าแรงๆ ก็ได้ ผม... ไม่เอาแบบนี้ ไม่ชอบ

“พี่ครับ...” ผมเรียกอีกฝ่ายเสียงสั่นพลางกระชับกอดมากยิ่งขึ้นแต่ไม่ถึงขนาดทำให้เขาหายใจลำบาก พี่ยูไม่หือไม่อือทำเหมือนตัวเองอยู่คนเดียว มือหนายังคงคลิกเม้าส์ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ปัณณ์กลายเป็นอากาศธาตุสำหรับพี่ไปแล้วเหรอ

“.....”

“โกรธผมเหรอ?” ผมรวบรวมความกล้าถามเขาออกไปทั้งที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ แต่อยากฟังเหตุผลที่พี่ยูทำตัวเย็นชาแบบนี้ต่างหาก เสียใจมากจนเลิกชอบกันแล้วเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นปัณณ์ต้องทำยังไง ต้องขอโทษแบบไหนเราถึงจะกลับมารู้สึกเหมือนเดิม

“เปล่าครับ” คำตอบช่างขัดแย้งกับการกระทำเหลือเกิน ถ้าพี่โกรธก็บอกว่าโกรธเถอะ เป็นแบบนี้ผมเจ็บจนไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว จะงอแงโวยวายเหมือนเด็กก็ไม่ได้ ร้องไห้ฟูมฟายก็คงไม่สนใจ

“แต่พี่เมินผม ไม่สนใจ ไม่กอด...” คำสุดท้ายแผ่วลงเพราะผมเอาแต่ซุกหน้าเข้ากับไหล่กว้างเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น นี่ขนาดร้องไห้จนเสื้อกล้ามเขาเปียกยังไม่มีทีท่าว่าจะละสายตาจากจอโน้ตบุ๊คมาสนใจกันเลย หรือต้องให้สารภาพรักถึงจะยอมปลดความเย็นชาทิ้ง

“พี่แค่รู้สึกแย่”

“ผมขอโทษ ขอโทษที่พูดไม่ดี” ผมรีบเอ่ยคำขอโทษเสียงสั่นก่อนจะผละออกจากไหล่กว้างเพื่อลอบมองปฏิกิริยาของเขา พี่ยูส่ายหัวดิกเป็นการปฏิเสธแล้วทาบทับมือลงมาบนแก้ม ความอุ่นที่แผ่ซ่านทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นจนก้องอยู่ในหู

“ไม่ใช่ครับ แต่พี่รู้สึกผิดที่แกล้งปัณณ์มากไป” เสียงเขาเจือไปด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ ทั้งใบหน้าและดวงตาที่หันมามองกันตอนนี่เต็มไปด้วยความเศร้า ผมขยับตัวหนีเพราะไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนขี้แยที่กลัวเขาไม่รัก

“ฮึก ผมงี่เง่าเอง พี่อยากเอาใจผมไม่ใช่เหรอ?” ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาลวกๆ ภาพตรงหน้าเบลอจนไม่รู้เลยว่าพี่ยูกระโดดข้ามโซฟามาตั้งแต่ตอนไหน ตั้งสติได้อีกทีเมื่อโดนเขาดึงเขาไปปะทะกับอกแล้วรวบกอดไว้ทั้งตัว อุณหภูมิร่างกายอุ่นๆ ที่สัมผัสกันทำให้หัวใจคลายความหนักอึ้งลงแต่ไม่ได้ช่วยให้หยุดร้องไห้เลย

“แต่ปัณณ์ไม่ชอบ” มือหนายกขึ้นลูบหัวกันช้าๆ แขนข้างที่เหลือก็กระชับกอดกันมากขึ้นเหมือนเป็นการไถ่โทษกลายๆ ซึ่งผมไม่ปฏิเสธที่จะรับสัมผัสนี้อย่างเต็มใจ

“ผมแค่... รู้สึกแย่ที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนรับผิดชอบทริปขึ้นมาแถมไม่มีใครช่วยวางแผน” คำสารภาพเหมือนเด็กน้อยหลุดออกมาจากปากด้วยเสียงเบาแทบกระซิบ ผมซุกใบหน้าเข้ากับอกแกร่งก่อนจะถูไถเบาๆ เพื่ออ้อนแต่เขาคงไม่รู้เพราะเอาแต่ลูบหัวกันอยู่นั่น

“ขอโทษนะครับ พี่เข้าใจแล้ว”

“อื้อ พี่ยูครับ...” ผมพยักหน้ารับก่อนจะผละออกมาเรียกชื่อเขา ใช้สายตาหวานๆ มองจ้องริมฝีปากหยัก ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้จนลมหายใจประสานกัน อีกแค่คืบเดียวเท่านั้น

“คะ...” พี่ยูเปล่งเสียงตอบรับได้แค่นั้นก็ถูกปิดปากจนเกิดเสียงดัง...

จุ๊บ

เป็นผมเองที่เคลื่อนตัวเข้าไปจุมพิตบนริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะผละออกมามองหน้ากันอีกครั้ง พี่ยูแสดงสีหน้าอึ้ง ร่างกายกระตุกเกร็ง ดวงตาคมเบิกกว้าง ที่ร้ายแรงสุดคือเขากลั้นหายใจด้วย... ทุกอย่างเหมือนถูกสต๊าฟไว้จริงๆ ช็อคไปแล้วหรือเปล่านะ

“.....”

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำให้ครับ” ผมคลี่ยิ้มหวานให้ทั้งที่ในใจอยากมุดหนีแทบตาย คราวนี้จุ๊บเขาทั้งที่มีสติครบถ้วนทั้งคู่แถมต่อหน้าต่อตาอีกด้วย โอย นี่ปัณณ์ไปเอาความกล้ามาจากไหนเยอะแยะหืม งงตัวเองสุดๆ

“ปะ ปัณณ์...” เสียงเอ่ยเรียกชื่อขาดห้วง สีหน้าของพี่ยูเปลี่ยนเป็นเครียดขึงจนผมแอบใจเสีย หรือว่าทำเกินไปแล้วเขาไม่ชอบ แย่แน่ๆ อุตส่าห์คิดว่าวิธีการง้อแบบนี้ได้ผลดีที่สุดแล้วนะ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” ผมบอกเสียงอ่อยก่อนจะก้มหน้าลงมองปลายเท้า รู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดมหันต์มากกว่าตอนโวยวายเรื่องทริปเที่ยวอีก ก็คนมันเผลอเริ่มก่อนไปแล้วให้ทำยังไง พี่ยูนั่นล่ะผิด ใครใช้ให้ทำหน้าหมาหงอยจนรู้สึกน่าสงสารกันล่ะ

“พี่ตกใจ... เมื่อกี้มันเหมือนความฝัน” เขาพูดเพ้อๆ โดยที่ดวงตามองตรงไปด้านหน้าแบบไร้จุดโฟกัส เหมือนคนเพิ่งตื่นยังหาสติตัวเองไม่เจอ ผมไม่ตอบอะไรแต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้าอีกครั้ง

จุ๊บ

แตะจูบที่ปลายคางสากอย่างแผ่วเบา ผละตัวออกมาก็เห็นพี่ยูเม้มปากแน่น ดวงตาคมย้ายจุดมองมาทางนี้ก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นมาเพื่อแตะลงบนแก้มของผม มันทั้งสั่นและเย็น

“ใกล้เคียงความจริงหรือยังครับ?” ผมเอ่ยถามเสียงทะเล้นทั้งที่แก้มร้อนเห่อไปหมด ถือว่าเป็นการเอาคืนพี่ยูบ้างแล้วกัน คนอะไรเป็นเชฟทำอาหารญี่ปุ่นดีๆ ไม่ชอบดันมาขายขนมครกหยอดได้หยอดดี

“มัน...” พี่ยูยังคงพูดอะไรไม่ออก ในขณะที่มือหนาก็ลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของผมช้าๆ อย่างพิจารณา เหมือนเขากำลังชั่งใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและภาพตรงหน้าใช่ของจริงหรือเปล่า

“งั้น... ผมขอทำให้ชัดเจนมากขึ้น พี่จะได้ไม่ต้องคิดมากเนอะ” จบคำพูดผมก็ถือวิสาสะโอบแขนเข้ากับรอบคอของพี่ยู ออกแรงโน้มศีรษะเขาลงมาใกล้จนริมฝีปากของเราแตะกัน ทุกอย่างในโลกราวกับหยุดนิ่ง ดวงตาปิดสนิทเพื่อรับรู้การสัมผัสให้มากยิ่งขึ้น

มันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น... เพราะผมเป็นฝ่ายบดริมฝีปากลงไปแนบชิด ละเลียดชิบ ไล่เลียไปตามรอยแยก ขบเม้ม ดูดดึงจนเกิดเสียงหยาบโลน ความรู้สึกตอนนี้เหมือนได้ติดปีกโบยบินบนท้องฟ้ากว้าง ดีจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้

ทั้งหมดที่ผมทำเหมือนการกระตุ้นพี่ยูให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง เขาเริ่มตอบรับ รุกเร้า สอดแทรกลิ้นร้อนเข้ามาเก็บเกี่ยวความหวานในโพรงปาก อ้อมกอดคลายออกแต่แทนที่ด้วยมืออุ่นซึ่งเริ่มลูบไล้ไปตามเอวสอบ ถ้ามากกว่านี้เราคงจบกันบนโซฟาแน่ๆ

“อื้อ!” ผมส่งเสียงประท้วงก่อนใช้มือทุบเข้าที่ไหล่ของเขาเป็นสัญญาณเตือน พี่ยูชะงักกึกแล้วรีบผละตัวออก เราทั้งสองคนหน้าแดงยิ่งกว่าลูกมะเขือเทศ ครั้นจะสบตากันตรงๆ ก็ดูลำบากแถมยังขัดเขินมาก สุดท้ายเลยกลายเป็นต่างคนต่างหันหลังใส่กัน โอย จูบกับคนมาเป็นสิบ ไหงต้องมาตายเพราะจูบกับเขาด้วยว่ะ

“เรา...” พี่ยูเป็นฝ่ายทำลายความเงียบหลังจากที่ผมยืนแตะปากตัวเองร่วมนาที ก็สัมผัสตอนจูบยังติดค้างอยู่เลยนี่นา

“.....”

“จูบกันขนาดนี้แล้ว พี่อยากรู้ว่า...” แล้วเขาก็เงียบไปเหมือนให้ผมมีส่วนร่วมในการโต้ตอบซึ่งมันขัดใจคนอยากรู้มาก

“ครับ?” แม่ง สุดท้ายก็ตกเป็นเหยื่อของเขาจนได้

“เป็นแฟนกันได้หรือยัง?” มันคือคำขอเป็นแฟนที่ง่ายและคนฟังไม่ทันตั้งตัว ผมไม่ซีเรียสวิธีการเนื่องจากความรู้สึกสำคัญกว่า แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เพราะคนที่จะเป็นฝ่ายขอต้องเป็น...

“รีบเหรอ?” ผมนี่ล่ะ ก็บอกแล้วว่าจะเป็นฝ่ายรุกไงเล่า จำไม่ได้หรือไง

“ก็เปล่าครับ แต่ไม่อยากรอ” แต่พี่ยูคงลืมไปแล้วเพราะเป็นเขาเองที่รุกเอาๆ จนผมเกือบเป๋ตอบรับ ก็น้ำเสียงที่ใช้มันน่าสงสารจับใจ เจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกินจริงๆ ถ้าเจ้าชู้หน่อยคงมีเมียเป็นโขยงแน่

“แต่ผมอยากให้พี่รออีกนิด”

“ขอถามเหตุผลได้ไหม?”

“ได้ครับ แต่ผมไม่ตอบ” ไม่ได้ตั้งใจจะกวนแต่เพราะสิ่งที่ผมอยากทำนั้นก็แค่สร้างเหตุการณ์ให้เขาจำวันแรกที่เราตอบตกลงเป็นแฟนกันได้อย่างแม่นยำและตราตรึง (คนส่วนใหญ่มักลืมเหตุการณ์ในวันนั้น)

“โธ่ ทำไมปากแข็ง อยากโดนจูบอีกรอบเหรอ?” ถึงปากจะว่าผมแบบนั้นแต่เขากลับเดินมากอดกันจากด้านหลังประสานมือไว้บนหน้าท้อง วางคายเกยกับไหล่ มันคงดูโรแมนติกมากในสายตาคนอื่น

“มากอดผมทำไมเนี่ย แล้วใครปากแข็งครับออกจะนุ่ม ไม่งั้นพี่คงไม่จูบจนเจ่อขนาดนี้หรอก” ผมตั้งใจจะพูดให้เขาเขินแต่เป็นตัวเองที่ดันแก้มร้อนวูบ พี่ยูสะดุดลมหายใจไม่โต้ตอบ เขาค่อยๆ คลายอ้อมแขนออกพลางพึมพำเสียงเบา

“พี่อยาก...” มองกันด้วยสายตาหวานเชื่อมคืออะไร

“อะ อะไรครับ?”

“อยากเข้าห้องน้ำครับ ปวดฉี่มาก” แล้วพี่ยูก็ปิดท้ายประโยคด้วยการยิ้มเผล่ก่อนจะยกมือขึ้นจับกลางเป้า ผมที่เผลอมองตามเลยต้องรีบเบนหน้าหนีกลบเกลื่อนความลามกของตัวเองด้วยการออกปากไล่เขา

“รีบไปเลย!” โอย กลั้นยิ้ม กลั้นเขินจนปวดแก้มไปหมดแล้ว

ผมเดินไปปิดโน้ตบุ๊คแล้วยกมันขึ้นกอดแนบอกเพื่อเอากลับเข้าห้อง จังหวะที่กำลังจะก้าวขาออกนั้นหูดันแว่วได้ยินเสียงลอยมาจากห้องน้ำ ยิ่งขยับตัวใกล้มากขึ้นทุกสิ่งก็ยิ่งชัดเจนจนอยากเอาหัวโขกกำแพงให้ตายๆ ซะ โอ๊ย!

เข้าห้องน้ำเพราะปวดฉี่บ้าอะไรถึงมีเสียงประหลาดๆ รอดออกมาเนี่ย แถมที่พีคสุดคงเป็นการเรียกชื่อผมนี่ล่ะ รู้จักกันมาก็นานเกือบค่อนชีวิตทำไมเพิ่งมารู้วันนี้ว่าพี่ยูคือไอ้โคตรหื่น ฮือ แก้มร้อนไปหมดแล้ว!

กว่าจะได้นอนเป็นเรื่องเป็นราวก็เกือบสว่าง พอผ่านไปประมาณสองชั่วโมงริวก็ตื่น ผมงัวเงียลุกขึ้นในขณะที่พี่ยูหายไปจากเตียงแล้ว ไม่ไปทำอาหารก็คงหนีไปออกกำลังกายเหมือนเดิม รู้สึกว่าช่วงนี้เขาฟิตหนักกว่าปกติ สงสัยอยากเรื่องซิกแพคแน่นๆ กลับมาให้สาวกรี๊ด หึ เสน่ห์แรงมากหรือไง หมั่นไส้

ผมจัดแจงอุ้มริวขึ้นแนบอกก่อนหาวออกมาพร้อมๆ กันทั้งคู่ ความง่วงไม่เคยปรานีใครแต่เราจำเป็นต้องตื่นเพื่อทำกิจวัตรประจำวันต่อไป วันนี้มีแพลนเดินห้าง กินข้าว ซื้อของเข้าบ้าน จัดกระเป๋าเดินทาง และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่พอจะทำได้

“น้าปัณณ์ ~” เสียงงัวเงียของหลานทำให้ผมดึงตัวเองกลับสู่เหตุการณ์ปัจจุบันก่อนเริ่มก้าวขาตรงไปยังห้องน้ำ เด็กน้อยซุกซบใบหน้าลงบนลาดไหล่คงง่วงล่ะมั้ง อยากให้นอนต่ออยู่หรอกแต่เดี๋ยวจะไม่ทันออกไปข้างนอก

“ครับริว”

“อยากกินติมๆ” เจ้าเด็กน้อยถูไถหัวกลมๆ ไปตามลาดไหล่ของผมอย่างออดอ้อนจนอดไม่ได้ที่จะขยับมือไปดึงแก้มนุ่ม โดนพ่อปฏิเสธเลยมาหาแนวร่วมเป็นน้าปัณณ์สินะ เจ้าเล่ห์จริงๆ เลย

“เดี๋ยวน้าจะขอป๊าให้เนอะ”

“ต้องอ้อนๆ ป๊าจะยอม” ริวบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในขณะที่ผมลำลักอากาศจนไอโขลก หมายความว่ายังไงไอ้ที่ต้องไปอ้อนป๊าเนี่ย คนอยากกินไอติมเป็นใครกันแน่เล่า

ผมวางริวลงบนเค้าน์เตอร์อ่างล้างหน้าแล้วมองด้วยความเอ็นดู ดวงตากลมโตฉายแววออดอ้อนแถมมือเล็กๆ ก็เอื้อมมาขยำชายเสื้อกันจนแน่น ท่าทางคงอยากกินไอติมจริงๆ แต่เจ้าตัวแสบยังไม่หายป่วยนี่นา ถึงให้น้าปัณณ์อ้อน ป๊าก็คงไม่ยอมหรอก พี่ยูจะลากไปทำอย่างอื่นมากกว่าน่ะสิ

พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็แก้มร้อนทันที บ้าเอ๊ย ใครอนุญาตให้เขาเรียกชื่อผมตอนช่วยตัวเองกันล่ะ โคตรลามกเลย!

“ริวอ้อนป๊าเองแล้วกัน” ผมบอกปัดก่อนจะจัดแจงถอดเสื้อผ้าของริวออกเพื่ออาบน้ำโดยไม่สนใจเสียงง้องแง้งของหลาน เจ้าตัวขยับหนีคลานไปอยู่ตรงมุมสุดของเค้าน์เตอร์เบะปากเตรียมร้องไห้เมื่อโดนขัดใจ

ผมลอบถอนหายใจก่อนเอื้อมมือไปลูบแก้มหลานเบาๆ แต่เด็กน้อยกลับขดตัวเพื่อหนีแล้วส่งเสียงสะอื้นมาเป็นระยะ ทำให้คนเป็นน้าหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ไม่เอาแบบนี้สิครับเจ้าตัวแสบ น้าปัณณ์แย่แน่ๆ เลย ใครสั่งใครสอนให้บีบน้ำตาเวลาโดนขัดใจเนี่ย อาเอย์จืใช่ไหม โอย

“ไม่เอา น้าปัณณ์อ้อนๆ ป๊านะ ฮึก ~” ริวเงยหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมามองกันก่อนจะเอ่ยคำขอร้องด้วยเสียงขาดห้วงเพราะยังไม่เลิกสะอื้น ผมอึกอักไม่รับคำในทันทีแต่ดึงตัวหลานเข้ามากอดปลอบเป็นอย่างแรก ขืนพี่ยูกลับมาเห็นสภาพนี้เดี๋ยวจะโดยซักยาวอีก ขี้เกียจตอบคำถามไปหน้าร้อนไป มันไม่คูล

ริวนิ่งไปแค่ครู่เดียวก็ดิ้นขลุกขลักพลางส่งเสียงงอแงดังขึ้นอีกครั้งเพราะยังไม่ได้คำตอบจากผม สาบานเถอะว่าเขาเป็นเด็กสามขวบ แต่ความเจ้าเล่ห์นี่เทียบเท่าคนพ่อกับอาเลยมั้ง นิสัยมันถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้เด่นชัดขนาดนี้เชียวหรือ จะเหมือนกันมากไปแล้ว

“อะ โอเคๆ ริวเลิกร้องไห้นะครับ” สุดท้ายผมก็แพ้น้ำตาเด็กจนได้ พอเห็นรอยยิ้มสดใสของริวก็ตระหนักได้ว่าพลาดเข้าแล้ว นี่ต้องเป็นแผนการจากคนพ่อแน่ๆ ร้ายนักนะ อยากให้ปัณณ์อ้อนก็บอกดีๆ สิ จะทำให้อ่อนระทวยไปทั้งตัวเลย หึ

หลังจากปราบเจ้าตัวแสบให้สงบลงได้ผมก็จัดการอาบน้ำพร้อมๆ กับหลานไปเลยเพื่อไม่ให้เสียเวลา แต่แทนที่ทุกอย่างจะราบรื่นเหมือนทุกครั้งกลับเกิดปัญหาใหญ่ซะได้ อยู่ๆ ริวก็งอแงอยากให้พ่อเข้ามาในห้องน้ำด้วยตอนนี้ เดี๋ยวนี้ หนูอยากให้น้าตายคาที่ใช่ไหมหื้ม

ณ เวลานี้มันทำได้ที่ไหนกันเล่า ก็เมื่อคืนพี่ยูเพิ่งช่วยตัวเองโดยการเรียกชื่อกันซะดังลั่น แล้วถ้าวันนี้อยู่ๆ ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวไปเรียกเขาเข้ามาอาบน้ำด้วยกันไม่เท่ากับว่าเชิญชวนเหรอ... นั่นหายนะชัดๆ เลยนะ คงได้ข้ามขั้นจากแฟนไปเป็นผัวเมียเลย เก๋ดีไหมล่ะ แค่คิดก็เครียดแล้ว

ถ้าผมมีเปอร์เซ็นต์ว่าจะกดพี่ยูได้แน่ๆ คงไม่ต้องลังเลขนาดนี้ รวบหัวรวบหางให้จบไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้วเว้ย แต่นี่อะไร แค่ขนาดร่างกายก็แพ้ยับเยินแล้ว จะทำยังไงดีวะ!

“จะเอาป๊า ~ ฮือ” ริวสะอื้นส่งเสียงเรียกหาพ่อไม่หยุดหย่อนจนผมเริ่มใจเสีย พอเข้าไปปลอบก็โดนหลานผลักออกมา สุดท้ายเลยทำได้แค่รีบล้างฟองสบู่ออกจากตัวหยิบผ้าขนหนูมานุ่งแล้ววิ่งออกจากห้องน้ำเพื่อตรงไปหาโทรศัพท์ ต้องเรียกพี่ยูกลับมาเดี๋ยวนี้





ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 14 : ทงคัตสึ P.3 -17/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 17-05-2018 08:35:59
ผมชะงักกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงที่กำลังเปิดประตูเข้ามา ขายาวรีบหมุนกลับทางเดิมเพราะไม่อยากให้พี่ยูเห็นตัวเองในสภาพนี้ มันล่อแหลมเกินไป แต่คงไม่ทันแล้ว เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาคือสิ่งยืนยันชั้นดี

“ฟองยังติดคออยู่เลย รีบออกมาทำไมครับ?” พี่ยูเข้ามาประชิดตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ผมดันชะงักอยู่ตรงหน้าห้องน้ำเมื่อโดนมือหนาแตะลงบนต้นคอเพื่อปาดคราบฟองสบู่ออก ถ้ามันหยุดแค่นั้นคงดีไม่ใช่ลูบไล้จนมาถึงช่วงเอวแบบนี้ นี่เขาหาโอกาสแต๊ะอั๋งกันตลอดเวลาเลยหรือไง!

ผมปัดป่ายมือปลาหมึกออกจากร่างกายแล้วหันไปถลึงตาใส่ พี่ยูเลิกคิ้วมองกันเหมือนไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด น่าหมั่นไส้จนอยากถีบกระเด็นแต่ต้องข่มอารมณ์ไว้เพราะตอนนี้เรื่องริวสำคัญกว่า

“ริวเรียกหาพี่ครับ เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดเลย” ผมพยักพเยิดหน้าไปทางด้านในห้องน้ำ เสียงสะอื้นของริวเบาลงมากแล้ว

“อ้าว ปัณณ์ทำอะไรลูกครับ?” พี่ยูถามด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เจอริวนั่งปาดน้ำตาอยู่ในอ่างก็หลุดขำ ผมไม่เข้าใจว่าตลกตรงไหน

แล้วไอ้สรรพนามที่ใช้เรียกริวกับผมน่ะ... มันให้ความรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล ฟังแล้วเหมือนตัวเองไปเป็นแม่ของหลาน โอย ฟุ้งซ่านชะมัด

“ก็... อาบน้ำให้ไง” ผมตอบเสียงแผ่วก่อนจะเดินไปหาหลาน นั่งยองๆ ลงข้างอ่าง ลูบหัวลูบหางเจ้าเด็กงอแงเพื่อปลอบ พอเห็นหน้าพ่อทำไมไม่โผเข้ากอดให้สมที่เสียน้ำตาไปวะ แปลก...

“สระผมด้วยหรือเปล่า?” หืม...

“ครับ” ผมตอบรับ ก็เมื่อครู่พยายามใช้ฝักบัวราดหัวให้ริว แต่อีกฝ่ายก็วิ่งหลบไปมาหัวเราะคิกคักจนนานเข้ากลายเป็นร้องไห้เรียกหาพ่อ คืออะไรก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คนไม่เคยมีลูกนะเว้ย อีกอย่างแล้วถ้าเป็นปกติพี่ยูก็อาบน้ำให้เอง มีไม่กี่ครั้งที่เขาจะฝากหน้าที่แบบนี้

“อ้อ ริวกลัวน่ะ ต้องเป็นพี่ทำให้คนเดียว” อ้าว ไม่บอกปีหน้าเลยล่ะครับ ให้ริวเกลียดน้าก่อนเลยไหมล่ะ แล้วพี่ยูจะยิ้มเพื่ออะไร นี่มันเรื่องเครียดระดับชาตินะ

“ผมไม่รู้... ขอโทษ” แต่ผมก็ยังเป็นผมที่ยอมรับผิดในสิ่งที่กระทำลงไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ถามรายละเอียดและวิธีการให้ชัดเจนก่อนรับปากใคร ถือซะว่าเป็นบทเรียนใหม่ในการเลี้ยงลูก เอ๊ย เลี้ยงหลานแล้วกัน

“ไม่เป็นไรน่า คนไม่รู้ไม่ผิดหรอก” พี่ยูเอื้อมมือมาตบไหล่กันก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าออกเพื่อลงอ่างอาบน้ำกับลูกชาย ผมเบนหน้าหนีหุ่นล่ำๆ ของเขา หัวใจเต้นโครมครามเพราะรู้สึกเขินและอาย เสียงครางกระเส่าของเขายังติดตรึงอยู่ในโสตประสาท พอหันหลังเตรียมออกไปด้านนอกก็โดนรั้งไว้ คือโลกต้องการอะไรจากคนอย่างปัณณ์ครับ

“ปัณณ์ยังอาบน้ำไม่เสร็จนี่ครับ จะรีบไปไหน?”

“ผมไปอาบข้างนอกก็ได้ครับ”

“น้าปัณณ์ อาบด้วยกัน ~” ได้ข่าวว่าเมื่อครู่ใครผลักน้าปัณณ์อย่างกับหมูกับหมาครับ ตอนนี้ยิ้มหน้าระรื่นแถมกางแขนตอนรับอย่างดี พ่อหนุ่มน้อยคนเจ้าเล่ห์ คืนนี้จะลงโทษให้เข็ดเลย

“ไม่ดีกว่าครับ” ผมปฏิเสธคนลูกแต่จงใจให้คนพ่อได้ยิน ซึ่งมันประสบความสำเร็จเพราะพี่ยูถึงกับขมวดคิ้วแน่น แล้วขยับมาเกาะขอบอ่างมองกันด้วยสายตาสงสัย

“รังเกียจพี่กับลูกเหรอ?” คำถามเชิงตัดพ้อนั้นฟังแล้วน่าสงสาร แต่ผมเบนหน้าหนีเพราะไม่อยากใจอ่อนให้พวกเขาอีกแล้ว พี่จะไม่รู้สึกเขินบ้างหรือไงกับสิ่งที่ทำเอาไว้เมื่อคืนน่ะ แถมตอนนั้นเปิดประตูห้องน้ำมาเจอหน้ากันยังทำเฉยได้อีก โธ่

“ไม่ใช่แบบนั้น” ผมตอบเสียงแผ่ว ก้มลงมองพื้น เลื่อนมือกระชับผ้าขนหนูเพราะรู้สึกว่ามันเริ่มหลวมเกินไป

“งั้นก็ลงมานี่ครับ” พี่ยูว่าเสียงดุแล้วใช้มือตีน้ำจนกระเพื่อม ดีหน่อยที่ฟองปิดบังร่างกายส่วนนั้นไว้ ไม่อย่างนั่นผมคงตาค้างแน่นอน

“ไม่เอาครับ”

“ทำไมครับ?” ทำไมต้องเสียงแข็งวะ

“เมื่อคืน...” ผมเกริ่นได้แค่นั้นแล้วงับปากลงเมื่อความร้อนของร่างกายกำลังพุ่งสูงขึ้น หัวใจเริ่มเต้นผิดจังหวะ มือสั่นกึกอย่างควบคุมไม่ได้ ถ้าช็อคตายตรงนี้ใครจะรับผิดชอบวะ

“ครับ?” พี่ยูทำหน้าบ๊องแบ๊วเหมือนคนสร่างเมาที่ไม่สามารถจดจำเรื่องเมื่อคืนได้ น่าหมั่นไส้จนรู้สึกหัวร้อน จากที่รู้สึกอายกลายเป็นว่าหลุดปากพูดไปจนหมด

“พี่ทำอะไรไว้ที่นี่ล่ะ ใครมันจะไปกล้าแก้ผ้าอาบน้ำด้วย!” ตะโกนใส่เขาเสร็จก็รีบวิ่งออกมาจากตรงนั้น มีขังหวะหนึ่งที่เท้าลื่นจนเกือบล้มหน้าคะมำ ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงโดยไม่สนว่าตัวเปียก ยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ เผื่อว่ามันจะลดอาการกระสับกระส่ายลงได้บ้าง อยากจะบ้าตายจริงๆ เลย ไปเตือนความจำให้พี่ยูทำไมเนี่ย โอย ไอ้ปัณณ์โง่

หลังจากผ่านเหตุการณ์ชวนกระอักกระอ่วนใจมาจนถึงกำหนดวันไปเที่ยวอัมพวา ผมลากกระเป๋าเดินทางลายกัปตันอเมริกาและอุ้มริวด้วยแขนอีกข้างขึ้นรถ ส่วนที่เหลือสองพี่น้องรับอาสาทำเอง

สรุปว่าคืนนั้นพี่ยูจำได้ทุกอย่างว่าทำอะไรลงไป เขายอมรับตามตรงว่าช่วยตัวเองจินตนาการเป็นผมมาได้ระยะหนึ่งแล้วจากที่ไม่คิดว่าจะสามารถมีอารมณ์กับเพศเดียวกัน สารภาพมาแบบนี้ต้องรู้สึกยังไงวะนอกจากนั่งเม้มปากอยู่เงียบๆ รับฟังทุกอย่างจดลงในสมอง จิตใต้สำนึกร้องบอกว่าไปเที่ยวครั้งนี้อาจ ‘ยับ’ จนไม่เหลือชิ้นดี

ระยะทางจากกรุงเทพถึงสมุทรสงครามถือว่าไม่ไกลมากแต่สำหรับผมเหมือนนานแรมปีเพราะโดนบังคับให้นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ คอยป้อนน้ำป้อนขนมให้คนขับอย่างพี่ยูโดยมีหน่วยสนับสนุนการแซวอยู่สองคนด้านหลัง คุณป้ากับเอย์จิแอบเสพยาหรือเปล่าทำไมวันนี้คึกจัง

“โอกาซังครับ วันนี้ส้มหว๊านหวานเนอะ” เสียงที่หนึ่งมาแล้ว

“นั่นสิน้า เมื่อวานแม่ค้าบอกว่ามันเปรี้ยวอยู่เลย กลายเป็นหวานซะได้” อันนี้เสียงที่สอง ไม่รู้พวกเขาจะแซวยันถึงโฮมสเตย์เลยหรือเปล่า

“เวลาเปลี่ยนคน เอ้ย รสชาติก็เปลี่ยนไงครับ” เอย์จิหัวเราะคิกคักตบท้ายประโยค นั่นทำให้ผมถึงกับยัดขนมใส่ปากพี่ยูไปทั้งอัน เขินไม่รู้จะเขินยังไง ขอหมอนอิงมากอดก็แล้ว หยิกแขนตัวเองก็แล้ว โอย แพ้!

“เลิกแซวกันเถอะครับ ปัณณ์หน้าแดงหมดแล้ว” คำพูดแสดงความห่วงใยแต่หน้าตายิ้มแย้มคืออะไรวะ ผมหน้าแดงแล้วยุ่งอะไรด้วย เหมือนอยากช่วยนะแต่กลับเพิ่มช่องทางการแซวให้เพิ่มมากขึ้น โอก จิกหมอนจะขาดอยู่แล้ว

“พี่ยู!” ผมตะโกนลั่นรถก่อนจะเอื้อมมือไปทุบต้นแขนเต็มแรง หมั่นไส้มาก ขนาดตอนที่เขาร้องเพราะเจ็บยังน่าโมโหเลย

“ชู่ว เดี๋ยวลูกตื่นนะ” แล้วจะเอานิ้วมาแตะปากคนอื่นทำไมเนี่ย งับแม่งเลย หึ!

ไม่นานนักเราก็ถึงที่หมายเป็นโฮมสเตย์ริมน้ำบรรยากาศดี ผมรับหน้าที่ลากกระเป๋าใบน้อยและอุ้มริวอย่างเคยโดยมีคุณป้าทำหน้าที่เช็คอินและสองคนช่วยกันขนสัมภาระลงจากรถ ตอนรับกุญแจมาได้แต่ขมวดคิ้วยุ่ง ทำไมมีจองแค่สองห้องแล้วจะแบ่งกันนอนยังไง

“เดี๋ยวริวกับเอย์จินอนห้องแม่นะ” คุณป้าหันมาพูดกับเจ้าตัวแสบและเอย์จิ ทุกคนพยักหน้ารับอย่างแข่งขัน ไม่มีใครค้านหรืองอแง ผมลองประมวลผลคราวๆ ถึงกับเบิกตาโต เดี๋ยวสิ นี่หมายความว่าต้องนอนกับ... ใครเป็นคนวางแผน! พอเหลือบสายตาไปมองพี่ยูก็พบแต่ไปหน้ายิ้มที่ปราศจากความเจ้าเล่ห์ เนียนเกินไปแล้ว

“คุณป้าครับ คือว่า...”

“ปัณณ์นอนกับยูกิจ้า” เธอย้ำเสียงสดใสก่อนจะสอดแขนมาแย่งริวไปอุ้มไว้ซะเอง ผมอึกอักอยากขอร้องแต่ทุกคนกลับหยิบสัมภาระของตัวเองพร้อมแยกย้าย เฮ้ย เดี๋ยวสิ ทำไมต้องทำกันแบบนี้ด้วย

“อะ...” พออ้าปากจะรั้งก็โดนพี่ยูจับข้อมือแล้วกระตุกยิกๆ เป็นสัญญาณว่าพร้อมจะขึ้นห้องแล้ว สายตาที่มองก็กรุ้มกริ่มจนเสียวสันหลังวาบ ไม่เอาได้ไหม ขอเปิดห้องจ่ายเงินเองก็ได้

“แยกย้าย แล้วเจอกันตอนสิบเอ็ดโมงน้า” เป็นอันจบเรื่องเมื่อคุณป้าสรุปแบบนั้น ผมทำได้แค่ถอนหายใจแล้วปล่อยให้พี่ยูลากขึ้น ‘ห้องของเรา’

ทริปนี้ไม่ผมก็พี่ยูต้องมีสักคนที่เละไม่เป็นท่าแน่ๆ หึ!




------------------------------------------

แม่(ว่าที่)แฟนเป็นใจขนาดนี้ น้องปัณณ์จะเป็นผู้รอดชีวิตหรือเปล่าหนอ 5555
ตอนต่อไปต้องมาดูกันว่าปัณณ์จะทำอะไรกับพี่ยูคนเจ้าเล่ห์ได้บ้าง

ปล. เราลืมบอกไปว่าตอนนี้เดินทางกันมาเกินครึ่งเรื่องแล้วน้า
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ♥
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 14 : ทงคัตสึ P.3 -17/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-05-2018 13:48:00
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 14 : ทงคัตสึ P.3 -17/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-05-2018 17:28:50
เป็นใจใส่พานถวายกันทั้งบ้านเลย5555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 15 : แคลิฟอร์เนียโรล P.3 -24/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-05-2018 16:59:22
จานที่ 15 : แคลิฟอร์เนียโรล



วันแรกของทริปอัมพวาจบลงด้วยการที่คุณป้าหิ้วปลาทูแม่กลองกลับมาทำเมี่ยงกินที่โฮมสเตย์ แม่ค้าบอกว่าของแท้ต้องหน้างอคอหักเท่านั้น พวกเราเลยขำกันใหญ่ ครั้นพี่ยูชวนไปกินข้าวที่ร้านอาหารทุกคนปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันเพราะอยากกินฝีมือผม... แค่ทำน้ำจิ้มซีฟู้ดกับย่างปลาจะไปยากอะไร

ที่ตลาดน้ำอัมพวามีตุ๊กตาปลาทูขนาดต่างๆ ขายด้วยซึ่งริวกลัวจนร้องไห้จนต้องรีบเดินผ่าน แต่ผมชอบมากเลยทำได้แค่มองตาละห้อยเพราะมีเงินก็ซื้อไม่ได้ ในตอนนั้นพี่ยูขอตัวแยกออกไปแล้วกลับมาพร้อมสิ่งนั้น เขาเปย์มันให้ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘เอาไว้ไล่ลูกไปนอนอีกห้อง จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองคน’ โอ้โห เป็นพ่อที่เลวมาก!

แต่ผมก็ขอบคุณเขาที่ตามใจและเอาใจกันขนาดนี้ อยากกระโดดกอดด้วยซ้ำแต่ติดว่าโดนผู้ร่วมทริปแซวจนยับเยินเลยทำได้แค่แยกย้ายขึ้นรถนั่งกอดตุ๊กตาปลาทูในขณะที่ริวแหกปากต่อว่าพ่อไม่หยุด

พี่ยูถึงกับง้อลูกด้วยการสัญญาว่าจะพาไปเที่ยวสวนสนุก ยอมให้กินไอติม เท่านั้นก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เงียบสนิทแถมคลี่ยิ้มกว้างให้อีก โธ่ เด็กหนอเด็ก หลอกง่ายจริงๆ

วัตถุดิบในการทำน้ำจิ้มซีฟู้ดถูกเตรียมโดยพี่ยู ปกติแล้วคนส่วนใหญ่ชอบใช้พริกสีเขียวแต่ผมว่ามันจืดชืดไปหน่อยเลยใช้สีแดงเข้าแจมด้วย โยนพริก กระเทียม รากผักชีลงในถุงซิปล็อคแล้วใช้ขวดน้ำทุบให้หยาบๆ ตักใส่ถ้วย เพิ่มน้ำปลา น้ำตาล น้ำเปล่า และบีบมะนาวเข้าไปผสมเป็นอันจบขั้นตอน ส่วนปลาทูคุณป้ากับเอจิย์เป็นคนจัดการ

ผมใช้ปลายนิ้วก้อยแตะน้ำจิ้มขึ้นมาเพื่อชิมรสชาติแต่ต้องเบิกตาโตเพราะพี่ยูโฉบหน้าลงมาแล้วใช้ลิ้นชื้นเลีย หัวใจจะวายแล้ว... ทำอะไรของเขาเนี่ย ไม่เกรงใจสายตาอีกสองคู่หรือยังไง นู่น หัวเราะคิกคักกันใหญ่ ดีหน่อยที่ริวยังหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา ไม่อย่างนั้นคงต้องนั่งอธิบายว่าพ่อทำอะไรกับน้าปัณณ์ทั้งคืน

“ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย?” ผมชักมือกลับอย่างรวดเร็วพลางถอยหลังจนติดกับเค้าน์เตอร์ หัวใจเต้นระรัว รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิร่างกายโดยเฉพาะที่แก้มเพิ่มสูงขึ้น พี่ยูเงยหน้าก่อนจะคลี่ยิ้มหวาน ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้แล้วใช้แขนทั้งสองข้างกักขังกันไว้ในอ้อมกอด

“อยากชิม...” เขากระซิบด้วยเสียงผะแผ่วชิดใบหู เพิ่มแรงกอดรัดจนร่างกายของเราแนบชิดกันมากขึ้นจนใบหน้าของผมแนบไปกับอกกว้างทำให้ได้ยินเสียงหัวใจอย่างชัดเจน เต้นแรงไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย แบบนี้ใครจะไปทนเฉยไหว เขินฉิบหายแต่ต้องพยายามกัดปากกลั้นยิ้มเพราะยังเคลียร์ปัญหาไม่จบ

“แน่ใจเหรอว่าอยากชิมน้ำจิ้ม?” ผมถามเสียงดุก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างดันตัวออกมาเพื่อมองตากัน พี่ยูผิวปากหวือพร้อมกับส่ายหน้า ถ้านี่เป็นการปฏิเสธแล้วความหมายของประโยคเมื่อครู่คืออะไร

“ใครบอกครับ?”

“ก็พี่...” ผมอึกอักไปต่อไม่ถูกเพราะจริงอย่างที่โดนถาม แต่ถ้าไม่อยากชิมน้ำจิ้มจะมาเลียนิ้วกันทำไมวะ พอคิดได้แบบนั้นก็ถลึงตากดดันให้พี่ยูคายความจริงออกมา เขาคงรับรู้ได้เลยพยักหน้าตอบรับ โน้มตัวเข้ามาใกล้จนหน้าผากของเราชนกัน ช่วงเอวโดนกระชับมากยิ่งขึ้น กระดูกจะป่นแล้วครับ โอย

“อยากชิมปัณณ์ต่างหาก” พี่ยูคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่มปิดท้ายประโยคก่อนจะผละตัวออกไปให้พอมีระยะห่าง ในขณะที่ผมแขนขาอ่อนแรงแทบทรงตัวไม่อยู่ หัวใจเต้นแรง ตาเบิกกว้าง ปากอ้าค้าง ยอมรับว่าช็อกจนตั้งตัวไม่ถูก

สาบานเลยว่าผมไม่เคยนึกเกลียดพี่ยูเลยสักครั้ง แต่ปัจจุบันนี้แทบจะสาปแช่งวันละหลายเวลา ก็เขาเล่นใจร้ายหยอดกันไม่พอยังหื่นใส่อีก นี่มันเกินความคาดหมายไปเยอะมาก พอเลื่อนสถานะขึ้นมาอีกหน่อยก็ได้เห็นการปฏิบัติตัวที่ต่างออกไป ควรดีใจหรือเสียใจดีที่มีคนคอยจ้องอยากขย้ำขนาดนี้

“ปล่อยผมเลยครับ อย่าทำตัวหื่นกามแถวนี้” ผมสะบัดตัวหนีแต่ยิ่งทำให้กรงขังตัวเองแคบลง ใบหน้าหล่อโน้มลงมาจนปลายจมูกของเราแตะกัน ใกล้จนได้ยินเสียงเต้นตุบๆ ของหัวใจ

“ถ้าทำในบ้านพักของเราก็ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เหมือนมีเสียงหวอร้องเตือนว่าคืนนี้อันตรายแน่ๆ ผมเลยได้แต่อึกอักกรอกตาไปมาด้วยความกังวลและรู้สึกขัดเขิน ส่วนพี่ยูคงถูกใจที่ทำให้คนอื่นปั่นป่วนได้จึงหัวเราะออกมาเบาๆ น่าทุบให้อกเดาะเลยไหม หมั่นไส้ว่ะ

ตอนแรกที่ได้กุญแจจากเค้าน์เตอร์เช็คอินมาผมนึกว่าคุณป้าจองเป็นแบบห้องพัก แต่ที่ไหนได้กลับเป็นบ้านหลังโตสองหลัง... ชัดเจนมาก นี่มันจงใจถวายกันใส่พานให้พี่ยูนี่นา ใชาสิ ก็ปัณณ์มันตัวคนเดียวไม่มีพักพวกเหมือนใครนี่ หึ จะงอนใครก็ไม่ได้ โธ่เว้ย

“ที่ไหนก็ไม่ได้ครับ” ผมกัดฟันกรอดมองคนตรงหน้าอย่างเอาเรื่องในขณะที่พี่ยูยอมถอยออกไปยืนห่างกัน ความรู้สึกโล่งใจปะทะเข้ามาจนเผลอถอนหายใจแรง กูจะรอดพ้นเงื้อมมือมจุราชอย่างเขาไปได้สักกี่ชั่วโมงกันวะ ขนาดน้องชายกับแม่ยืนอยู่ไม่ไกลยังกล้าทำขนาดนี้เลย น่ากลัวจริงๆ

“โธ่ พี่ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งนะครับ เรื่องแบบนี้ธรรมดาจะตาย” ข้ออ้างของคนอื่นมาพร้อมน้ำเสียงหงอยๆ กับสายตา อ้อนๆ ที่ผมให้ผมเบ้ปากแทบทันที มันฟังขึ้นที่ไหนกันวะ ยังไงก็มีแต่ความหื่นอยู่ดี ไม่ยกถ้วยน้ำจิ้มสาดใส่หน้าด้วยความหมั่นไส้ก็บุญแล้วเหอะ

“แล้วไงครับ ผมก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ไม่เห็นจะทำตัวหื่นเรี่ยราดแบบนี้เลย” ผมกรอกตามองคู่กรณีก่อนเคลื่อนตัวหนีจากระยะแขนของพี่ยูที่ทำท่าจะคว้าเอวกันอีกครั้ง เผลอทีไรเขาก็เขามาประชิดตัวกันตลอด แตะนั่น จับนี่ จนบางทีก็อยากยอมๆ ให้แม่งลูบไล้ทั้งตัว แค่คิดก็ขนลุกแล้ว นี่กูก็สัปดนไม่ต่างกันใช่ไหม เฮ้อ

พี่ยูส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวแรงๆ ท่าทางบ่งบอกว่าเขาหาเรื่องมาเถียงต่อไม่ได้ ผมอาศัยจังหวะนั้นรีบคว้าถ้วยน้ำจิ้มไว้ในมือแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาออกจากส่วนครัว ไอ้คนที่ยืนย่างปลาทูอยู่ด้านนอกก็ตะโกนเข้ามาแบบไม่เกรงใจหลานซึ่งหลับอยู่บนโซฟาเลย

“จะสวีทกันอีกนานไหมครับ? น้ำจิ้มหวานหมดแล้ว” หวานบ้าอะไรวะเอย์จิ เพื่อนกำลังจะเสียตัวไม่รู้หรือยังไง แล้วนี่พี่มันจะยิ้มหาพระแสงอะไรวะ ชอบเหรอโดนคนอื่นแซวเนี่ย สงสัยคืนนี้จะมีคนได้นอนเล่นกับยุงนอกบ้านแล้วล่ะ หึ

“หลีกไปครับ โดนแซวแล้ว” ผมโบกมือไล่พี่ยูที่ยืนขวางทางออก แต่เขากลับส่ายหัวหวืดพลางยกแขนขึ้นกอดอก มองตรงมาด้วยสายตาพราวระยับคล้ายกำลังสนุกสนาน

“ยังไม่ชินอีกเหรอ?” เรื่องแบบนี้มันสมควรชินหรือยังไง

“พี่ไม่อายบ้างเหรอไง?” ผมถามเสียงฉุน มองเขาตาขวาง ถ้าแกล้งอีกนิดเดียวรับรองว่าถ้วยน้ำจิ้มบินแน่ๆ มือไม้ยิ่งอ่อนง่ายๆ อยู่ด้วยช่วงนี้

“พี่ไม่อายที่จะแสดงความรักกับปัณณ์นี่ครับ” หืม แสดงอะไรนะ เหมือนหูจะฟาดเลยว่ะ นี่กูเมากลิ่นควันถ่านเหรอไง

“อะไรนะ?” ผมถามย้ำอีกครั้งพร้อมขมวดคิ้วยุ่งแล้วมองพี่ยูด้วยสายตาสงสัย เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนที่รอยยิ้มหวานจะปรากฎบนใบหน้า ระยะห่างหดสั้นลงเรื่อยจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่รดอยู่ข้างใบหู ถ้าผลักเขาออกไปตอนนี้คงไม่ได้คำตอบในสิ่งที่คาใจแน่นอน เอาวะ กัดฟันทนฟังเสียงตุบๆ ไปก่อนแล้วกัน

“พี่รักปัณณ์ครับ” คำพูดของพี่ยูสามารถหยุดลมหายใจของผมได้เกือบครึ่งนาที หัวใจเต้นแรงมากจนต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าอกพวงแก้มร้อนวูบวาบเหมือนมีใครเอาไฟมารนใกล้ๆ ร่างกายเกร็งตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แม้แต่ลูกกะตายังไม่กล้ากรอกไปไหน กลัวว่าถ้าเผลอทำอะไรผิดทุกอย่างจะกลายเป็นแค่ความฝัน

“พี่...” ผมพึมพำเรียกคนตรงหน้าเสียงเบาเมื่อสามารถรวบรวมสติกลับมาได้มากกว่าครึ่ง รอยยิ้มลพมุนและดวงตาสื่อความหมายของพี่ยูบ่งบอกว่าทุกอย่างเมื่อครู่เกิดขึ้นจริง เจอการสารภาพรักในระยะประชิดแบบนี้เหมือนจะตายให้ได้เลยว่ะ เขินจนไม่กล้าขยับตัวยิ่งกว่าเจอผีซะอีก โอย

“ปะ เรายกน้ำจิ้มไปหาปลาทูกันดีกว่าเนอะ” แต่พี่ยูกลับทำให้ผมถึงกับตะลึง อยู่ๆ เขาก็ดึงถ้วนน้ำจิ้มซีฟู้ดไปถือเอาไว้แล้วกันหลังหนีเตรียมก้าวไปหาคุณป้ากับเอย์จิ คืออะไรยังไงวะ เมื่อครู่บอกรักอยู่ดีๆ ทำไมเปลี่ยนเรื่องคุยเร็วขนาดนี้ งงฉิบหาย

“เดี๋ยวสิ” ผมทำใจกล้าเอื้อมมือไปคว้าไหล่หนาไว้ พี่ยูชะงักเท้าแต่ไม่ยอมหันกลับมาสบตา ท่าทางของเขาแปลกไปจนรู้สึกกังวลถ้าไม่ติดว่าเห็นใบหูแดงๆ นั่นล่ะก็จะโวยวายใส่อยู่แล้วเชียว ที่แท้ก็เขินเป็นเหมือนกันนี่หว่า โอย คนอายใกล้สี่สิบทำตัวเหมือนเด็กสิบสี่เลย จะน่ารักไปไหนหืม

“ครับ?”

“รักผม... จริงๆ เหรอ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักแล้วผละมือออกจากไหล่หนา จริงอยู่ว่าดีใจกับคำบอกรักแต่ลึกๆ ก็กลัวว่าความหมายของมันจะไม่ตรงกับที่หวังไว้ ยอมรับว่าคิดมากก็เพราะรู้สึกมาก

ผมได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าแรงมากก่อนที่ใบหน้าหล่อจะหันมามองกันด้วยรอยยิ้ม ถ้วยน้ำจิ้มในมือสั่นเล็กน้อยเมื่อเขาขยับก้าวเข้ามาใกล้ แล้วกูจะถอยหลังทำไมเนี่ย งงตัวเอง

“พี่รู้ว่าปัณณ์ทำใจเชื่อได้ยาก แต่พี่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ครับ” เขายืนยันเสียงหนักแน่นในขณะที่ยื่นมือข้างที่ว่างมาสัมผัสข้างแก้มก่อนจะเกลี่ยเบาๆ ผมสะดุ้งแต่ก็ไม่ได้ปัดป้องแต่ก้มหน้าหลบสายตาสั่นไหวนั่น เผลอพูดทำร้ายจิตใจพี่ยูไปบ้างหรือเปล่าวะ

“.....” ผมเม้มปากแน่นปล่อยให้อีกคนทำตามใจชอบโดยไม่หือไม่อือเพราะคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง ยังมึนงงและสงสัยว่าความฝันในวันวานกลายเป็นจริงแล้วใช่ไหม สำเร็จแล้วสินะ นี่คือผลตอบแทนที่อกทนมาเป็นสิบๆ ปีใช่ไหม

“พี่พร้อมให้ปัณณ์พิสูจน์ทุกอย่างไม่ต้องห่วง แต่ตอนนี้ไปกินมื้อเย็นกันก่อนดีกว่านะครับ” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินไปหาคนที่รออยู่ ผมคลี่ยิ้มเป็นการตอบรับประโยคเหล่านั้น คงไม่ต้องพิสูจน์ให้เสียเวลาแล้วล่ะ เพราะขืนช้ากว่านี้ รั้งรอ กังวล คิดมาก ทุกสิ่งอาจจะหายวับไปกับตา โดนพี่ยูรุกมาก็เยอะแล้ว ต่อจากนี้ปัณณ์จะขอเป็นฝ่ายโต้ตอบกลับแบบหนักหน่วงบ้างแล้วกัน รอรับมือได้เลย

ไหนบอกว่าจะโต้ตอบเขากลับหนักๆ วะ ทำไมถึงได้มานั่งกอดตุ๊กตาปลาทูแล้วขดตัวอยู่ริมเตียงเดี่ยวขนาดคิงไซส์แบบนี้ ก็ดูอีกคนที่ลืมเอาผ้าขนหนูเข้าไปในห้องน้ำแต่ดันเดินโทงๆ ออกมาหยิบเองหน้าตาเฉย พี่มันคิดหรือไงว่าเอามือปิดไข่แล้วจะไม่โป๊ นี่จงใจแกล้งกันใช่ไหม! ฮึ่ย เดี๋ยวหายางมาดีดเลยแม่ง

“ทุเรศ!” ผมตะโกนด่าพี่มันเสียงดังแล้วรีบมุดหัวเข้ากับตุ๊กตาปลาทูในอ้อมกอด คือไม่ได้เขินแต่สมองมันพาลคิดเรื่องสัปดนจนแก้มร้อนไปหมด กลัวว่าจะโดนจับได้แล้วถูกล้อไม่จบไม่สิ้นเลยต้องทำแบบนี้

“หืม อยู่ๆ ก็ด่าพี่แบบนั้นหมายความว่ายังไงครับ?” คำถามนั่นดังอยู่ไกลๆ คาดว่าเขาคงกำลังนุ่งผ้าขนหนูแต่สิ่งที่พบเมื่อผมเงยหน้าขึ้นคือภาพของพี่ยูที่ยืนอยู่ตรงปลายเตียงในสภาพที่เลวร้ายกว่าเก่าคือปล่อยมืออกจากของสงวนปล่อยมันห้อยต่องแต่งสู้สายตาคนอื่น กูจะบ้า!

ผมทำอะไรไม่ถูกเลยหยิบหมอนข้างๆ ปาใส่พี่ยู แต่เหมือนจะพลาดเป้าเพราะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำซึ่งดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงลมอุ่นๆ ที่เป่ารดศีรษะ ไม่ว่าจะหลบหลีกวิธีไหนสุดท้ายก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบตลอด เวรเอ๊ย

“เขินเหรอครับน้องปัณณ์?” น้ำเสียงหวานมาพร้อมกับสรรพนามเรียกชื่อที่เปลี่ยนไปทำให้ผมออกแรงกอดรัดปลาทูมากขึ้น คราวนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขินเพราะเสือกคิดว่าตัวเองกับพี่ยูกำลังเข้าสู่ช่วงเล่นกีฬาบนเตียงด้วยกัน ยิ่งตอนที่รู้สึกว่าที่นอนด้านข้างยวบลงก็แทบจะฉีกของในมือออกเป็นชิ้นๆ อย่าเข้ามาใกล้ในสภาพเปลือยล่อนจ่อนแบบนั้นสิ ถ้าเผลอหน้ามืดปล้ำเอาจะทำยังไง ปัณณ์ไม่ใช่ก้อนหินนะเว้ย อย่าอ่อย!

“เขินบ้าอะไรวะ พี่ไม่อายหรือไงเดินโทงเทงอยู่ได้” ผมถามด้วยเสียงอู้อี้เพราะยังไม่กล้าเงยหน้าเผชิญความจริง แค่หางตาเหลือบเห็นขาอ่อนของเขาก็ทำให้หัวใจเต้นแรงเข้าขั้นโคม่า ถ้าไม่ได้รักไม่ได้ชอบคงกระโดดคร่อมแล้วจัดการพาขึ้นสวรรค์ไปแล้ว แต่เพราะว่าแคร์ความรู้สึกเลยทำได้แค่บ่น

“มีเหมือนๆ กันทำไมต้องอายครับ?” โอ้โห ถามเหมือนกับตัวเองมีตาเหมือนกับผมอย่างนั้นล่ะถึงจะมองตรงๆ ได้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจ นั่นของสงวนนะเว้ย ให้ตายเถอะ ถ้าริวรู้ว่าพ่อตัวเองหน้าด้านแบบนี้คงเสียใจแย่

“ถ้าผมทำบ้างพี่จะรู้สึกยังไงวะ?” ผมตะเบ็งเสียงถามก่อนจะทำให้กล้าตวัดสายตามองเขาดุๆ ดีหน่อยที่ผ้าขนหนูผืนนั้นถูกนำมาคลุมช่วงล่างไว้เรียบร้อยแล้ว เฮ้อ โล่งอก นึกว่าต้องคุยกันทั้งๆ ที่มังกรจ้องหน้าซะแล้ว

“ขึ้นครับ” พี่ยูตอบเสียงแหบพลันส่งสายตาวาบวับมาให้ ผมซึ่งไม่เข้าใจความหมายทำได้แค่เพียงขมวดคิ้วและเอียงคอ อะไรขึ้นวะ

“ไม่เข้าใจ”

“ของขึ้นแน่ๆ ครับ” พี่ยูยกยิ้มมุมปากก่อนจะโยกตัวหลบเมื่อผมทำท่าจะขว้างปลาทูในมือใส่ แก้มร้อน หูร้อนไปหมดเลยแม่งเอ๊ย ไม่น่าถามกลับเลยจริงๆ พลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยกู

“ไอ้หื่น ไปแต่งตัวเลยไป!” นั่นคือสิ่งที่ผมทำได้ก่อนจะลงไปนอนดิ้นบนเตียง ดึงผ้าห่มคลุมหัวแล้วร้องอัดระบายความอัดอั้นกับตุ๊กตาปลาทู ระวังตัวไว้เถอะพี่ยู ถ้าเสียตัวขึ้นมาอย่าร้องไห้แล้วกัน!

“ปัณณ์รู้ตัวไหมครับว่าเวลาเขินโคตรน่ารักเลย” เสียงตะโกนดังมาไกลๆ ทำให้ผมชะงักกึกก่อนที่จะตวัดผ้าห่มออกแล้วหลับหูหลับตาด่าคนขี้แกล้งอีกครั้ง โธ่เว้ย ไม่น่าหลงรักคนแบบนี้เลย

“หุบปากไปเลย!”

หลังจากยกธงขาวสงบศึกกันผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นท่องโซเชี่ยลไปเรื่อยแต่พอเห็นเอย์จิอัพสเตตัสในเฟซบุ๊คพลันมือไม้ก็อ่อนยวบเพราะรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่เขาได้รับ ‘คนผิดที่ผิดเวลายังดีกว่าคนที่ไม่ใช่’ โคตรจุก

ผมตัดสินใจกดเข้าโปรแกรมแชทเพื่อทักไปถามไถ่อาการของเอย์จิแต่ต้องชะงักมือเพราะโดนพี่ยูสะกิดไหล่ยิกๆ ก่อนจะส่งโทรศัพท์ของตัวเองมาตรงหน้า สิ่งที่เห็นคือคลิปวีดีโอหนัง GV ของญี่ปุ่นกำลังเล้าโลมกันอย่างออกรสชาติ เสียงครางอืออาส่งผลให้แก้มร้อนวูบจนต้องเบนหน้าหนี นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย ปรับอารมณ์ไม่ทันเว้ย

“อะ ไอ้พี่ยู มาดูหนังโป๊อะไรตอนนี้วะ?” ผมเอ่ยปากถามเสียงตะกุกตะกักไม่ยอมมองคู่สนทนาที่ตอนนี้ปิดคลิปบ้านั่นไปแล้ว ถ้าขืนยังเปิดไว้ไม่ใครสักคนต้องตะบะแตกแน่ๆ

“ศึกษาไว้ไงครับ ตอนออกศึกจริงๆ จะได้คล่องแคล่ว” ตอบพลางส่งเสียงหัวเราะตบท้ายเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ผมถึงกับหนีบขาแน่น มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าพี่ยูไม่ขยับมาหายใจนดต้นคอกะนขนาดนี้

“พี่แม่ง... ลามก” ผมด่าก่อนจะใช้มือผลักหัวพี่ยูออกไปห่าๆ โดยไม่สนใจเรื่องอายุ สถานการณ์แบบนี้มันสุ่มเสี่ยงพากันขึ้นสวรรค์ฉิบหาย ภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงยังติดตรึงอยู่ในสมอง Full HD จนน่ากลัว แต่ที่แย่กว่านั้นคืออยากให้เขาลองทำเหมือนในคลิป โอย ไอ้ฉิบหาย กูควรเขาวัดนั่งสมาธิ!

“หรือปัณณ์จะเป็นคนสอนพี่?” พี่ยูยังไม่หยุดขยี้ประเด็กนี้ ซึ่งนั่นทำให้ผมคว้าตุ๊กตาปลาทูมากระหน่ำฟาดเขาไม่ยั้งมือ คนโดนกระทำหลบซ้ายหลบขวาอย่างชำนาญจนน่าโมโห แม่งๆๆๆ หมั่นไส้ ถีบสักทีดีไหม

“จ้างล้านนึงก็ไม่สอน” ผมบอกเสียงรอดไรฟันก่อนดึงปลาทูเข้ามากอดแนบอกมองพี่ยูด้วยสายตาขุ่นเคือง นุ่นในตุ๊กตาแทบทะลักแต่เขายังฉีกยิ้มอยู่ได้ บ้าไปแล้วหรือไงกัน เมื่อครู่ก็โดนฟาดแสกหน้าจังๆ หึ สมควรที่ปากดี

“งั้นดูหนังโป๊ดีแล้วเนอะ” ยัง ยังไม่หยุดอีก ดีหน่อยที่ผมนึกถึงเอย์จิขึ้นมาพอดีเลยไม่ได้ถีบพี่ยูอย่างที่ใจนึก ไม่อย่างนั้นคนแก่คงลงไปนอนร้องโอดโอยบนพื้นแล้ว ถือว่าโชคดีไป

“จะทำอะไรก็เชิญเถอะครับ ผมจะออกไปข้างนอก” ผมลุกพรวดขึ้นจากเตียงจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ส่วนพี่ยูถลาตัวเข้ามาคว้าข้อมือกันซะแน่น ตกใจจนเกือบยกขาถีบ

“เฮ้ย จะไปไหนครับ? นี่มันดึกมากแล้ว” เขาดูตกใจปนกังวลที่อยู่ๆ ผมก็ทำท่าเหมือนจะหนี คงนึกว่าตัวเองโดนโกรธล่ะมั้ง

“จะไปหาเอย์จิ” ผมบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย

“ไปหามันทำไม?” น้ำเสียงที่ถามดุอยู่พอตัวคล้ายคนกำลังหึงแต่ถ้าสังเกตแววตาจะรับรู้ได้ว่าพี่ยูแค่เป็นห่วงเพราะเวลานี้ควรเข้านอนมากกว่าชวนใครคุยเล่น

“ผมคิดว่าเขากำลังแย่”

“เรื่องทอยสินะ” พี่ยูคลี่ยิ้มบางพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ เขาคงอยากช่วยน้องชายแต่ไม่รู้ต้องเริ่มที่ตรงไหนเพราะตัวเองก็ไม่ได้เก่งกาจเรื่องความรักแถมยังไม่รู้จักนิสัยไอ้ทอยอีกด้วย

“อื้อ” ผมครางรับก่อนจะถอนหายใจออกมา ถ้าคุยกับเอย์จิแล้วทุกอย่างผ่านไปด้วยดีคงไม่มีปัญหาแต่ถ้าความเข้มแข็งมีไม่มากพอก็น่าจะแย่พอตัว

“โอเคครับ ไปหาเอย์จิเถอะ แต่พี่ขออย่างนึงได้ไหม?” เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วยืนประจันหน้ากับผม มือหนายกขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้าง ดวงตาคมมองตรงมาอย่างสื่อความหมาย ทั้งกังวล เป็นห่วง และสงสาร

“ครับ?”

“ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงช่วยบังคับให้เอย์จิพักผ่อนด้วยนะ พี่เป็นห่วง” พี่ยูก็ยังคงเป็นบุคคลที่ให้ความเป็นห่วงน้องชายเหมือนเดิม ถึงเขาจะแสดงออกไม่อ่อนโยนกับเอย์จิ แต่ความจริงก็รักกันมาก ซึ่งผมชอบความสัมพันธ์ของเขาทั้งคู่นะ มีระยะห่าง ให้อีกคนได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างอิสระ ไม่ก้าวก่ายโดยไม่จำเป็น

“ผม... จะพยายามครับ” ไม่รู้หรอกว่าจะทำอะไรได้มากแค่ไหน แต่ที่ตอบรับไปเพราะไม่อยากให้พี่ยูต้องเป็นกังวลไปอีกคน ทุกวันนี้แค่งานที่ร้านอาหารพ่วงโรงแรม เลี้ยงลูกอีกก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว

ผมออกมาจากบ้านพักเพื่อตรงไปสวนดอกไม้เล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ เอย์จิส่งไลน์มาบอกว่าอยู่ที่นั่นกำลังมองดวงจันทร์จนปวดคอไปหมด ความหมายของเขาคงเป็นเงยหน้ากลั้นน้ำตาอยู่ล่ะมั้ง มีอย่างที่ไหนคนไม่รักธรรมชาติจะยอมนั่งตากน้ำค้างตอนกลางคืนแบบนั้น

ย่างก้าวเริ่มเร่งรีบขึ้นเมื่อเสียงร้องครวญครางของท้องฟ้าบ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนอาจจะตก สายตาผมปะทะเข้ากับแผ่นหลังที่คุ้นเคยกลางสวนดอกไม้ เอย์จิกำลังทำอย่างที่ได้บอกไว้ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือเขากำลังยกมือขึ้นเหมือนอยากคว้าดวงจันทร์ ทำไมยิ่งมองยิ่งรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก เจ็บมากไหม...



ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 15 : แคลิฟอร์เนียโรล P.3 -24/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 24-05-2018 16:59:50
“ซึกิกะคิเรเดสุเนะ” (พระจันทร์สวยดีนะ) เอย์จิพูดขึ้นโดยไม่หันมองกัน เขาคงรับรู้ถึงการมาของผมจากเสียงฝีเท้าซึ่งมันถือเป็นเรื่องดีที่เราไม่ต้องเริ่มบทสนทนาก่อนในสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนี้

ผมก้าวไปยืนข้างเอย์จิพลางรอบสังเกตปฏิกิริยาของเขา หยอดน้ำที่รื่นอยู่ตรงขอบตากระทบแสงจนเห็นได้ชัด ถ้าหากว่าเจ้าตัวปฏิเสธคงเป็นเรื่องตลกสิ้นดี แต่เขาไม่ได้มีทีท่าเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะยังคงมองดวงจันทร์ไม่ละไปไหน

“ฝนกำลังจะตก กลับบ้านพักกันเถอะ” ผมเอ่ยปากชวนทั้งที่ตัวเองก็เผลอเงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟ้า มันไม่ได้สวยอย่างที่อีกคนบอกเพราะครึ่งหนึ่งโดนเมฆสีดำปกคลุม สภาพจิตใจของเอย์จิคงไม่ดีมากนัก แต่ไอ้ทอยทำอะไรให้ล่ะ

“ตกก็ดีสิ คิดถึงตอนเด็กๆ ที่ได้เล่นน้ำฝน” เอย์จิเอียงใบหน้ามามองกันทำให้น้ำตาที่รื่นอยู่กลิ้งลงบนแก้ม เขารีบยกมือขึ้นปากมันแล้วคลี่ยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทางแบบนั้นคงไม่อยากให้ถามซึ่งผมเข้าใจดี ไม่มีใครอยากคิดถึงความรักที่ล้มเหลวหรอก

“เดี๋ยวจะไม่สบาย” ผมเตือนเขาแต่ก็ยอมยืนอยู่ข้างๆ ไม่รีบร้อนทั้งที่เสียงฟ้าร้องโครมครามและฝนกำลังตกปรอยๆ เอย์จิไม่ตอบรับอะไร เขาเพียงแค่ถอนหายใจแล้วเอนหัวซบไหล่กัน ท่าทางแบบนี้ถ้าใครผ่านมาเห็นคงคิดว่าเรากำลังพลอดรักอยู่แน่ๆ

“ปัณณ์...” เวลาผ่านไปแค่ครู่หนึ่งเสียงสั่นๆ เอย์จิก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ฝนเทกระหน่ำลงมา ผมรีบคว้าข้อมือขาววิ่งเข้าไปหลบฝนหน้าบ้านพักของใครสักคน จังหวะที่กำลังควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงกลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหู ถ้าไม่ติดว่าอยู่ด้วยกันสองคนจะนึกว่าผีหลอก

“ทำไมขี้แยจัง?” ผมถามเสียงอ่อนแล้วส่งผ้าเช็ดหน้าให้เขาเพราะเตรียมมาโดยเฉพาะ เอย์จิส่ายหัวก่อนจะเข้ามาสวมกอดและซบหน้าลงกับลาดไหล่แทน ตกลงว่าเสื้อคงซับน้ำตาได้มากกว่าสินะ

“พยายามแล้ว แต่มันกลั้นไม่ไหวจริงๆ อึก”

“ให้ยืมไหล่ซับน้ำตาแล้วกัน” ผมพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงแล้วยกมือขึ้นลูบหัวอีกคนเพื่อเป็นการปลอบใจ แรงกระชับกอดจากเอย์จิเพิ่มขึ้นก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะคลุมเครือ ช่างไม่สดใสเอาซะเลย

“พระเอกมาก” เอย์จิเคาะหน้าผากลงบนไหล่ซ้ำๆ หลายรอบในขณะที่ผมได้แต่ลอบถอนหายใจแล้วมองสายฝนที่ตกลงมาอย่างหงุดหงิด อากาศช่างเป็นใจให้คนอกหักร้องไห้ซะจริงๆ

“แน่นอนอยู่แล้ว” ผมไม่ใช่พระเอกละครหรอกแค่เป็นเพื่อนที่เข้าใจคนอกหักก็แค่นั้นเอง

พวกเราปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยไม่มีการพูดคุยเกือบหนึ่งชั่วโมงและยังไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตกจนคนรออย่างพี่ยูเดือดร้อนเลยส่งไลน์มาหากัน ถามว่าอยู่ที่ไหน ให้เอาร่มไปรับหรือเปล่า แต่ผมตอบปฏิเสธไปเพราะเอย์จิเอาแต่นั่งกอดเข่ามองพื้น เป็นสถานการณ์ที่อึดอัดยิ่งกว่าตอนที่ต้องอยู่ใกล้พี่ยูซะอีก

ผมตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้เอย์จิแล้วนั่งลงข้างๆ เอื้อมมือไปวางตรงหัวเข่าเป็นการเปิดโอกาสให้อีกคนเอนตัวพิงไหล่ ดูเหมือนว่าคืนนี้โลกจะเอียงบ่อยเนอะ

“อยากเล่าอะไรไหม?” ผมถามพลางก้มลงมองคนที่แทบจะเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดซึ่งตอนนี้โดนโอบไหล่เอาไว้

“ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน”

“ไอ้ทอยทำอะไร?” ผมถามตรงประเด็นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติทั้งที่ในใจกำลังเดือด ไม่เข้าใจว่าคนอย่างไอ้ทอยสามารถทำร้ายคนร่าเริงสดใสด้วยวิธีไหนถึงได้พังยับเยินแบบนี้ เอย์จิชะงักกึกก่อนจะส่งเสียงหัวเราะในลำคออกมาราวกับสมเพสตัวเอง

“ก็แค่... ส่งรูปมา” น้ำเสียงขาดห้วงแทนกด้วยเสียงสะอื้น หยดน้ำตามากมายไหลลงบนแก้มเป็นสายจนผมทนมองไม่ได้เลยต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าซับให้อย่างทะนุถนอม

“รูป?” ถ้าแค่รูปถ่ายปกติทั่วไปคงไม่ทำให้เอย์จิเป็นแบบนี้แน่นอน

“อื้อ นอนกกกับ... ผู้หญิง” เอย์จิตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะที่ฟังดูเจ็บปวด เขายกมือขึ้นขยำอกเสื้อจนขึ้นข้อขาว ปากสั่น ตัวสั่น น่าสงสารจนผมอยากจะกลับกรุงเทพฯ ไปคุยกับไอ้ทอยให้รู้เรื่อง มีวิธีอีกมายมายในการไล่คนๆ หนึ่งออกจากชีวิต แล้วทำไม...

“ทำไมถึง...” ผมพูดไม่ออกจริงๆ ทำได้ดีที่สุดก็แค่ดึงเอย์จิเข้ามากอดไว้

“คงอยากให้เราตัดใจล่ะมั้ง” เสียงพูดกลั้วหัวเราะปนสะอื้นของเขายิ่งทำให้บรรยากาศรอบข้างดูหดหู่มากยิ่งขึ้น ผมกัดฟันกรอดนึกแช่งชักหักกระดูกอดีตเพื่อนสนิทอย่างหนัก ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกล้าทำอะไรแบบนี้

“แต่แบบนั้นก็เหี้ยเกินไป”

“เราว่าจะถอย...” เอย์จิผละตัวออกไปก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงบิดแล้วบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยขบ รอยยิ้มบางบนใบหน้าสวยนั่นบ่งบอกว่าสิ่งที่พูดเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง ถอยตั้งแต่เพิ่งเริ่มไม่ใช่นิสัยของเขาเลยว่ะ แปลกมากแต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีของไอ้ทอยทำร้ายจิตใจกันเกินไป เป็นผมคงต่อยสวนมันสักที

“แน่ใจแล้วเหรอ?” ผมลุกขึ้นตามอีกคนแล้วพบว่าขาทั้งสองข้างโดนเหน็บชากินจนรู้สึกคันยุบยิบไปหมด แต่ด้วยความที่คนข้างๆ อยู่ในโหมดอกหักเลยไม่ได้งอแงออกไป

“พยายามไปก็เท่านั้น ทอยบอกเราว่าไม่ได้เป็นเกย์ ไม่มีทางชอบผู้ชายคนอื่นนอกจากปัณณ์แน่นอน”

“เอย์จิ...” พอมีชื่อผมเข้ามาเกี่ยวข้องก็พาลทำให้รู้สึกใจกระตุก ถึงจะไม่ได้เป็นคนผิดแต่ก็กลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไอ้ทอยปฏิเสธเอย์จิอยู่ดี ความรักแม่งเข้าใจยากว่ะ

“ชิวๆ น่า เราสบายดี เดี๋ยวไปหาคนดามใจได้ไม่ต้องห่วง” เอย์จิคลี่ยิ้มทั้งที่มือยังปาดน้ำตาบนใบหน้า ผมพยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไรต่อแล้วยื่นมือไปบีบไหล่อีกคนเพื่อให้กำลังใจ ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้วพอดีกับที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินตรงมาทางนี้ เดาไม่ยากว่าคงเป็นพี่ยู

“อื้ม ถ้ามีอะไรก็คุยกับเราได้ พร้อมรับฟัง” ความเป็นคนดีมันเข้าสิงน่ะนะ แต่เห็นเพื่อนยิ้มได้ก็รู้สึกดีแล้วล่ะ จากที่อยากโทรไปด่าไอ้ทอยกลับรู้สึกว่าคนเราก็มีเหตุผลของการกระทำต่างกัน ต้องยอมรับและเข้าใจเขาล่ะนะ

“เราชักอยากจะแย่งปัณณ์มาจากพี่ยูแล้วสิ” เอย์จิขยับเข้ามาใกล้จนผมเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนจะทำหน้ายักษ์ใส่เมื่อสังเกตได้ว่าพี่ยูที่ยืนอยู่ไม่ไกลกำลังกัดฟันกรอด ดีแค่ไหนที่เขาไม่พรวดพราดเข้ามาแยกเราทั้งสองคนออกจากกัน

“อย่าเลยน่า ให้เราสมหวังสักทีเถอะ” ผมถือวิสาสะเอื้อมมือไปดีดหน้าผากเอย์จิด้วยความมันเขี้ยว เขาหัวเราะเสียงใสก่อนจะทำหน้าล้อเลียนกัน

“แหม... หมั่นไส้จังครับ แล้วเมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันสักทีล่ะ พี่ยูมาบ่นกับเราจนหูชาแล้ว”

“คนแก่นี่ใจร้อนเนอะ” ผมเบนสายตาหนีไปทางอื่นเพราะรู้สึกว่าอยู่ๆ อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นผิดปกติ เพิ่งรู้ว่าพี่ยูก็มีนิสัยเด็กงอแงเพราะไม่ได้ดั่งใจสักที ก็เรื่องความรักน่ะมันต้องรอเวลาที่เหมาะสม

“ต้องเข้าใจพี่ยูนะปัณณ์ เขาแก่แล้วน้ำยาก็มีน้อยกลัวแพ้หนุ่มๆ เป็นธรรมดา” รอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเอย์จิทำให้ผมถึงกับใจเต้นแรง ตอนแรกก็ว่าจะไม่คิดลึกเรื่องน้ำจาอะไรนั่น โธ่เว้ย ทำไมถึงได้ลามกไม่แพ้พี่ยูเลยวะ

“ดึงเข้าเรื่องใต้สะดือตลอด”

“ปัณณ์คิดลึกไปเองหรอก เรายังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ” ยังมีหน้ามาทำไม่รู้ไม่ชี้อีก เจ้าเล่ห์เหมือนคนพี่ไม่มีผิด

“หึ โอเคๆ กลับเข้าที่พักเหอะ ง่วงแล้ว” ผมโบกมือไล่เอย์จิด้วยใบหน้าเหยเกก่อนจะเดินตรงไปหาพี่ยูที่ยืนรออยู่ไม่ไกล รายนั้นฉีกยิ้มหวานต้อนรับต่างกับเมื่อครู่ลิบลับ

“ออกมาทำไมครับเนี่ย?” ผมถามเมื่อเดินไปถึงตัวเขา มองสำรวจสภาพที่หัวกระเซิงไม่เป็นทรง เดาว่าคงลุกจากที่นอนต่อด้วยส่งไลน์แล้วนั่งรอจนฝนหยุดตกแล้วเดินออกมาแน่ๆ อยากหัวเราะใส่แต่ทำได้แค่ส่งยิ้มเพราะดวงตาคมคู่นั้นมีแต่ความเป็นห่วงเต็มไปหมด

“ดึกแล้วเลยออกมาตาม”

“หืม นอนไม่หลับเหรอครับ?” ผมแสร้งถามในขณะที่ก้าวขานำอีกคนกลับเข้าบ้านพักหลังถัดไป พี่ยูขยับตามมาติดๆ ก่อนจะถือวิสาสะวางแขนลงบนลาดไหล่

“ก็... ทำนองนั้นล่ะ เป็นห่วงมัน” เป็นห่วงน้องแต่กอดผมไว้นี่คืออะไรครับ เนียนเหรอ เดี๋ยวตีแขนหักเลยนี่ แต่เอาเถอะ ทำแบบนี้ก็อุ่นดี ใครหาว่าใจง่ายก็ให้โทษฝนฟ้าอากาศแล้วกันเนอะ

“ไม่มีอะไรแล้วล่ะครับ เอย์จิเก่งจะตาย” เชื่อว่าไม่นานเขาคงกลับมาร่าเริงเป็นเอย์จิคนขี้เล่นได้เหมือนเดิมล่ะนะ

“นั่นสิเนอะ”




----------------------------------------------

คนแก่เนี่ยใจร้อนอยากได้เขาเป้นแฟนซะจริงๆ
ส่วนปัณณ์ก็ใจเย็นเพราะรอเวลาเหมาะสมอะไรบางอย่างอยู่

เอย์จิน่ะ แค่ไม่ถอยออกมาทำใจเท่านั้นล่ะ เสียใจไม่นานหรอก
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 15 : แคลิฟอร์เนียโรล P.3 -24/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-05-2018 22:45:15
ยอมใจในความหื่นของพี่ยูจริงๆ รุกหนักมากเลย
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 15 : แคลิฟอร์เนียโรล P.3 -24/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-05-2018 00:27:35
เอย์จิผู้น่าสงสาร :hao5:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 16 : โซบะเย็น P.3 -30/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-05-2018 08:49:55
จานที่ 16 : โซบะเย็น



ทริปเที่ยวอัมพวาวันที่สองของพวกเราเริ่มขึ้นในเวลาเกือบสิบโมงเพราะเอย์จิดันตื่นสาย สภาพของเขาไม่ค่อยต่างจากซอมบี้เท่าไหร่ ใต้ตาคล้ำแถมยังบวมอีกต่างหากคงเป็นสาเหตุมาจากการร้องไห้เมื่อคืน ส่วนผมมีอาการง่วงงุนเล็กน้อยในขณะที่พี่ยูร่าเริงพร้อมออกเดินทาง หึ อยากจะหาอะไรมาฟาดหัวนัก เล่นมากอดกัน หายใจรดซอกคอจนข่มตาหลับไม่ลง...

วันนี้มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งคือเอย์จิทำตัวติดผมเหมือนเป็นฝาแฝดโดยการลากกันไปนั่งกับริวด้านหลังแล้วให้คุณป้าเป็นตุ๊กตาหน้ารถแทน พี่ยูมองตาขวางแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก็สมกับที่เขาเป็นผู้ใหญ่เก็บอารมณ์ได้ดี

ภายในรถมีเพลง Baby Shark กำลังเล่นโดนการร้องขอจากริวซึ่งนั่งโยกหัวตามจังหวะอยู่บนคาร์ซีท ปากเล็กๆ ฮึมฮัมฟังไม่เป็นภาษา ใบหน้ากลมยิ้มแย้มอย่างมีความสุข เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดมันเขี้ยวไม่ได้เลยก้มลงฟัดแก้มเจ้าตัวแสบจนได้ยินเสียงประท้วงอ้อแอ้ในลำคอ

“หอมแก้มลูกจนพ่ออิจฉาแล้วครับ” คนขับรถจำเป็นเอ่ยเย้าคลอไปด้วยเสียงหัวเราะขบขันของคนเป็นแม่ ผมชะงักกึกรีบถอยออกห่างริวด้วยใบหน้าแดงก่ำ มาอิจฉาลูกอะไรตอนนี้ ไม่อายคนอื่นบ้าง หยอดไม่ดูเวล่ำเวลาเลย ยิ่งสายตาของเราสบกันก็เหมือนร่างกายจะละลาย

“พี่ยู!” ตะโกนเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินจนริวสะดุ้งเฮือก แต่ดีหน่อยที่หลานไม่ร้องเพราเอย์จิเอาขนมล่อพอดี ช่างเป็นคุณอาที่ชาญฉลาดเหลือเกิน

“หมั่นไส้คนจีบกันอะ” เสียงบ่นพึมพำของเอย์จิดังพอที่จะทำให้พวกเราได้ยินกันทั้งรถเพราะเป็นช่วงเพลงจบพอดี ผมแทบจะพุ่งเข้าไปบีบคอคนพูดแต่ต้องชะงักเมื่อพี่ยูตวัดสายตามองผ่านกระจก ฉิบหาย โดนด่าแน่ๆ

“นั่งเงียบๆ ก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้นะ” พี่ยูเบนเป้าหมายไปทางน้องชายตัวเองทำให้ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะตอนแรกนึกว่าเสียงดังเกินไปตนทำให้เขาเสียสมาธิขับรถ เฮ้อ รอดๆ

“นี่น้องนะ ต่อหน้าโอกาซังด้วย!” เอย์จิทำหน้าบึ้งเหมือนเด็กตัวเล็กๆ พร้อมกับกอดอกแล้วสบตาพี่ชายผ่านกระจก ดูก็รู้ว่าแกล้งงอนให้เขาง้อ

“อย่าทะเลาะกันสิคะ เดี๋ยวริวก็ตกใจหรอก” คนห้ามทัพกลายเป็นคุณป้าที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ในขณะที่พูดก็ยังคงยิ้มแย้มไม่มีแววดุเลย อยู่ๆ ผมก็คิดถึงแม่กับพ่อขึ้นมาแล้วสิ เฮ้อ

“อาขอโทษที่เสียงดังนะครับ” เอย์จิเอ่ยเสียงแผ่วแล้วก้มลงจุ๊บแก้มกลมนั่นดังฟอด ผมแอบอมยิ้มกับความน่ารักของทั้งสองคนแล้วสลัดเรื่องน่าเศร้าของตัวเองทิ้ง ถึงแม้ว่าจะสูญเสียครอบครัวแต่ก็ได้รับความอบอุ่นจากทุกคนในที่นี้ อ่า... อย่าเพิ่งร้องไห้ตอนนี้สิวะ เดี๋ยวหมดสนุกกันพอดี

“เลี้ยงหนม ไถ่โทษ ~” ริวกอดอกทำท่าทางขึงขังคล้ายกับว่าโกรธเอย์จิอย่างจริงจังแต่ทุกคนรู้ดีว่าเจ้าเด็กคนนี้เพียงแค่อยากกินขนมเท่านั้น แผนสูงยิ่งกว่าคนเป็นพ่ออีกมั้ง โตขึ้นมาคงร้ายน่าดู

“แหนะ ใครสอนให้เจ้าเล่ห์แบบนี้ครับ?” เอย์จิหรี่ตามองหลานอย่างสงสัยในขณะที่ทุกคนก็ทำท่าทีสนใจรอฟังคำตอบ ริวฉีกยิ้มกว้างก่อนที่นิ้วป้อมจะชี้ไปที่คนถาม ไหงดันหวยออกล่ะ ผมแทบหัวเราะแต่ต้องกลั้นไว้

“อาจิ ~” เสียงสดใสจนผมอยากจะอัดไปตั้งริงโทนโทรศัพท์ให้เอย์จิ

“โธ่... เสียหายหมด” คนถามถึงกับคอตกแถมยังทำเสียงงอแงใส่หลานจนฟังไม่เป็นภาษาทำให้ผมที่อยู่ใกล้และได้ยินถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ เอย์จิตวัดดวงตาดุๆ มองกัน แต่อย่าหวังว่าใครจะกลัว ก็มันดูเหมือนลูกแมวขี้หงุดหงิดนี่น่า ยังไงๆ ก็น่ารัก

“เราว่าเอย์จินั่งเงียบๆ ดีกว่าเยอะ” ผมบอกเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะขยับตัวจนชิดประตู เชื่อว่าเอย์จิคงเอาคืนอย่างเจ็บแซบแน่นอน เพราะดูจากสีหน้าท่าทางคงเอาเรื่องอยู่

“ปัณณ์... เดี๋ยวเราก็จับจูบซะหรอก” นั่น... จะมากไปปะเนี่ย คนเต็มรถเลยนะเว้ย

กึก

พี่ยูเหยียบเบรกจนพวกเราแทบหัวทิ่ม ส่วนริวเห็นเป็นเรื่องสนุกเพราะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่คนเดียว คุณป้าหันไปดุ ส่วนผมกำลังจะอ้าปากถามว่าทำไมเหยียบเบรกขนาดนั้นแต่ก็โดนสวนขึ้นมาซะก่อน

“อยากตายก่อนแก่เหรอ?” เสียงเย็นเอ่ยถามลอยๆ แต่ผมเข้าใจดีว่าคงเจาะจงเป็นเอย์จิอย่างแน่นอนเพราะเมื่อครู่เขาขู่จะจูบ

“ไรอะ? แค่นี้ถึงกับขู่ฆ่าน้องเลยเหรอ ใจร้าย ฮือ” เอย์จิส่งเสียงงอแงก่อนจะเนียนเอื้อมมือมากอดทั้งผมทั้งริวไว้ในจังหวะที่พี่ยูเริ่มออกรถอีกครั้งหนึ่ง นี่ถ้าเขาเห็นผ่านกระจกมองหลังอีกครั้งคงไม่ต้องไปเที่ยวโรงพยาบาลยกคันใช่ไหม ก็เพิ่งรู้ไม่นานนี่เองว่า ‘โคตรขี้หวง’ เป็นยังไง

“ไม่แกล้งพี่เขาสิลูก ดูๆ หึงจนหน้าดำหน้าแดงหมดแล้ว” คุณป้าเอ่ยแซวก่อนจะหันมามองพวกเราซึ่งกับลังยื้อยุดฉุดกระชาก ผมชะงักกึกเมื่อได้ยินคำว่าหึง ส่วนเอย์จิถึงกับถอนหายใจพรืด นี่มันเบื่อกูหรือพี่ชายตัวเองเนี่ย ไม่กล้าถามเลย

“โธ่ อย่าเอาเรื่องจริงมาพูดสิครับ เดี๋ยวปัณณ์หาว่าผมงี่เง่าแล้วไม่ยอมคบกันพอดี” พี่ยูว่าเสียงอ่อยก่อนจะเหลือบสายตาอ้อนๆ มองกันผ่านกระจก ผมเบนหน้าหนีแสร้งทำว่ากำลังดูวิวข้างทาง ก็สวยดีแต่กลับไม่ได้ช่วยให้จิตใจสงบเลย อยู่ๆ เขาก็พูดเรื่องขอคบขึ้นมาเลยทำให้ความทรงจำในวันนั้นหวนกลับมา แก้มร้อนแปลกๆ ว่ะ

“อ้าวเหรอ? งั้นขอให้ได้คบกันเร็วๆ นะคะ?”

โธ่ คุณป้าจะเชียร์อะไรคุณลูกชายขนาดนั้นครับ เห็นใจผมบ้างเถอะครับ ไม่มีพรรคพวกเลยเนี่ย

สถานที่เที่ยวแห่งแรกของวันนี้คืออาสนวิหารแม่พระบังเกิด เป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่อายุนับร้อยปี ด้านในประดับตกแต่งอย่างวิจิตร ไม่ว่าจะเป็นกระจกสี รูปปั้น ธรรมาสน์เทศน์ อ่างล้างบาป เชิงเทียน และรูปแกะสลักบรรยายเกร็ดประวัติในพระคัมภีร์คริสตศาสนาล้วนแล้วแต่สวยงามทั้งนั้น

ผมอาสาดูแลริวในขณะที่คุณป้าและเอย์จิถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ส่วนพี่ยูก็เดินตามกันไม่ห่างไปไหนเหมือนกลัวว่าพวกเราจะหนี ก็ตลกดี... เพิ่งรู้ว่าเขาก็มีมุมกลัวอะไรแบบนี้ด้วย โธ่ กลายเป็นเด็กน้อยเลย

“ปัณณ์ครับ” พี่ยูส่งเสียงเรียกก่อนจะหยุดเดินทำให้ผมต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ มีอะไรหรือเปล่านะ

“หือ?”

“ถ่ายรูปกันไหมครับ?” เขาแกว่งโทรศัพท์ในมือไปมาเหมือนเชิญชวนในขณะที่ผมขมวดคิ้ว อยู่ๆ ก็อยากถ่ายรูปขึ้นมาทั้งที่ไม่เคยมาก่อน หมายความว่ายังไงเนี่ย

“หา คึกอะไรเนี่ย?”

“ก็... รู้จักกันมาตั้งนานไม่เคยถ่ายรูปด้วยกันเลย”

“งั้นเรียกคนอื่นมาถ่ายด้วยสิครับ” ผมมองหาคนอื่นไปทั่วบริเวณแล้วพบว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ กำลังจะอ้าปากเรียกอยู่แล้วเชียวแต่กลับโดนพี่ยูห้ามไว้ ใช้วิธีธรรมดาก็ไม่ได้เนอะต้องเอานิ้วมาแตะปากด้วยหรือไง สงสารหัวใจกันบ้างเถอะ เต้นแรงจนปวดไปหมดแล้ว

“ไม่เอาครับ” ปฏิเสธเสียงขุ่นแถมยังทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจอีก ต้องการอะไรกันแน่เนี่ย ผมเอาใจคนแก่ไม่ถูกเลยว่ะ ดูสิ ขนาดริวยังมองหน้าพ่องงๆ เลย

“อ้าว...”

“แค่สามคนก็พอ” หืม อะไรคือพูดแล้วหน้าแดงเถือกล่ะครับพี่ยู แต่ผมก็มาเข้าใจเอาตอนที่ริวส่งเสียงเรียกป๊านั่นล่ะ สามคนนี่หมายถึง...

“ทำอย่างกับถ่ายรูปพ่อแม่ลูก” ผมพึมพำเสียงเขาเพราะรู้สึกแก้มร้อนขึ้นมาดื้อๆ ถ้าเป็นไปตามนั้นจริงๆ ถือว่าพี่ยูจีบหนักมาก

“อยากให้เป็นแบบนั้นอยู่เหมือนกันครับ แต่ปัณณ์ไม่ยอมรับรักพี่สักที” ดวงตาคู่สวยของเขาเหลือบมองกันนานเกือบนาที มันสื่อความหมายหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นความห่วงหา ความชอบ ความรักจนผมทำได้แค่เม้มปากกลั้นยิ้มไว้

“พูดมากจังครับ จะถ่ายก็ถ่าย” ผมเฉไฉหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาเปิดกล้องแทน ริวคลี่ยิ้มทันทีเมื่อเห็นหน้าตัวเองสะท้อนอยู่อีกด้าน แต่พี่ยูกลับไม่ยอมเข้าเฟรมแถมยังเอ่ยแซวให้แก้มร้อนเล่นๆ

“เขินก็บอกว่าเขินสิ” ใครที่ไหนมันจะยอมบอกเล่า เดี๋ยวก็ได้ใจกันพอดี

“ถ้าไม่รีบถ่ายผมจะพาริวไปหาไอติมกินแล้วนะครับ” ผมก็ทำได้แค่ขู่ก็เท่านั้นล่ะเพราะสุกท้ายก็ใจอ่อนให้พี่ยูตอดเล็กตอดน้อยอยู่นานกว่าจะได้ถ่ายรูปดีๆ

ออกจากอาสนวิหารแม่พระบังเกิดก็ตรงไปยังวัดบางกุ้งต่อด้วยแวะถ่ายรูปที่สะพานแขวน ณ จุดนี้สองพี่น้องแทบฆ่ากันตายเพราะเอย์จิวิ่งเข้ามากอดกันซะแน่นแถมยังซุกหน้าลงบนลาดไหล่อีกด้วย คนขี้หึงเกือบทิ้งโทรศัพท์ในมือเลยทีเดียว ถ้าไม่ได้คุณป้าห้ามไว้คงเละเทะ จะหวงอะไรขนาดนั้นครับ

พี่ยูลงโทษน้องด้วยการบังคับให้ขับรถ ตอนนี้เรากำลังมุ่งตรงไปที่ตลาดน้ำอีกครั้งเพื่อซื้อของฝากกลับไปให้คุณลุงคงไม่พ้นปลาทูหน้างอคอหักกับขนมเปี๊ยะเจ้าเด็ดแห่งอัมพวา ส่วนผมเองก็มีแผนนั่งเรือชมหิ่งห้อยในช่วงค่ำ อยากรู้ว่าจะสวยอย่างที่เขาร่ำลือกันไหม (แนะนำให้ไปช่วงเดือนพ.ค. - ต.ค. จะมีโอกาสเห็นหิ่งห้อยเยอะ)

ริวย้ายไปเกาะติดคนเป็นพ่อกับย่าชวนดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเป็นภาพที่น่ารักจนอดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปเมื่อพอใจก็เบนกล้องไปหาคนด้านข้างแทนแต่ผมต้องชะงักกึก ทำไมเอย์จิทำหน้าแบบนั้น ตั้งแต่ตอนไหนที่เราทุกคนมองข้ามความรู้สึกของเขา

“เอย์จิ” ผมลดโทรศัพท์ลงแล้วเอ่ยปากเรียกคนข้างตัว แต่ปฏิกิริยาตอบรับเท่ากับความเงียบ เขายังคงเดินต่อไปอย่างเลื่อนลอยจนน่าเป็นห่วง ขนาดจะชนแผงขายของยังไม่รู้ตัว

“ลองกินไอติมกระท้อนพริกเกลือกันไหม? เขาบอกว่าอร่อยดีนะ” ผมเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีกเล็กน้อยจนเอย์จิรับรู้แล้วหันมาเลิกคิ้วใส่กัน ทำนองถามว่าเมื่อครู่พูดอะไร

“หือ ว่าอะไรนะปัณณ์?”

“เราถามว่าลองกินไอติมกระท้อนพริกเกลือร้านข้างหน้าดูไหม น่าอร่อยดี” ผมพูดอีกครั้งพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ร้านขายไอติมที่อยู่ถัดไปไม่ไกล เอย์จิยังคงดูเบลอๆ แต่ก็ยอมพยักหน้ารับก่อนที่รอยยิ้มบางจะปรากฏบนใบหน้า มันให้ความรู้สึกว่างเปล่ายังไงชอบกล คงเป็นผลพวงจากเรื่องของไอ้ทอย...

“ซื้อฝากคุณป้ากับพี่ยูด้วยดีไหม?” ผมลองขอความคิดเห็นจากเขาแต่คำตอบที่ได้คือการพยักหน้ารับทั้งที่ปกติต้องงอแงไม่ยอมซื้อของฝากพี่ยูถึงจะถูก ถึงแม้ลึกๆ อยากปลอบให้ตรงประเด็นแต่ดูจากอาการแล้วเงียบไว้ดีกว่า

“งั้นเอย์จิไปนั่งรอตรงนั้นก่อนก็ได้ เดี๋ยวเรามา”

ผมสั่งไอติมแค่สองกรวยเพราะอีกสองคนหายไปจากสายตาแล้ว คงชวนกันไปซื้อของฝากให้คุณลุงล่ะมั้ง ในระหว่างนั้นความกังวลใจก็ทำให้ต้องลอบมองเอย์จิอยู่บ่อยๆ เขาเหม่อลอย ท่าทางดูเซื่องซึม ไม่มีชีวิตชีวา นี่แค่เพิ่งเริ่มชอบไม่ใช่หรือไง ทำไมอาการแย่แบบนี้วะ ถ้าโทรไปถามไอ้ทอยจะเป็นยังไง

“ไอสกรีมได้แล้วครับ ทั้งหมด...” ผมละสายตาจากเอย์จิแล้วจ่ายเงินให้กับคนขายก่อนจะรับไอติมมาถือไว้ หน้าตาดูดี รสชาติคงไม่ต่างจากกระท้อนคลุกพริกเกลือแน่นอน แค่ได้กลิ่นก็น้ำลายแตกแล้ว

“เอ้า ไอติมได้แล้ว” ผมยื่นไอติมให้เอย์จิ เขาสะดุ้งก่อนจะรับมันไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย ริมฝีปากบางอ้างับของกินแต่ดวงตากลับมองไปทางอื่น

“กินเลอะแล้วนั่น จะเหม่อไปไหน?” ผมแกล้งดุพลางควานหากระดาษทิชชู่ในกระเป๋าเสื้อแล้วเอื้อมไปซับที่มุมปากให้อย่างแผ่วเบา เอย์ผงกหัวเป็นการขอบคุณก่อนจะเริ่มกินไอติมต่อเงียบๆ รสชาติมันก็อร่อยสมคำร่ำลืออยู่หรอกแต่เจอสถานการณ์แบบนี้แทบกระเดือกไม่ลงเลย

“เราจะไปไหนกันต่อเหรอ?” คนที่จัดการไอติมเรียบร้อยหันมาถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมส่ายหัวเป็นการตอบ ขี้เกียจเดินแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงเวลานั่งเรือชมหิ่งห้อย ขอนั่งรอตรงนี้ดีกว่า

“หิวไหม?” ผมถามกลับ

“หึ กินไอติมไปแล้วไง” มันไม่ใช่คำตอบของเอย์จิคนเดิมเลย แค่ไอติมมันจะไปอิ่มอะไร

“ยิ้มหน่อยสิ” ผมพูดขึ้นลอยๆ แต่สายตากลับเจาะจงอยู่ที่ใบหน้าของเขา เอย์จิขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อ ก็นะ สติคงลอยออกไปนอกอวกาศแล้วมั้ง

“หืม? เราไม่ใช่คนบ้านะ จะให้ยิ้มตลอดเวลาได้ยังไง” เอย์จิหัวเราะตบท้ายประโยคแล้วยื่นมือมาดึงแก้มกันอย่างหยอกล้อ ผมไม่ปัดป้องเหมือนอย่างเคยปล่อยให้เขาทำตามใจ พลางคิดว่าเพราะสาเหตุอะไรถึงทำให้ไอ้ทอยปฏิเสธด้วยวิธีร้ายแรงแบบนั้นนะ...

“เราขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?” ผมรวบจับมือเรียวเอาไว้แล้วจ้องหน้าเอย์จิด้วยสาตาจริงจัง เขาชะงักกึก เม้มปากเข้าหากันแน่น ไม่ตอบอะไรกลับมานานนับนาที แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้ารับ

“ถ้าเราตอบได้” แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

“ตอนนี้รู้สึกยังไง?” ผมค่อยๆ ออกแรงลูบหลังมือของเอย์จิเบาๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียด เขาไหวไหล่ก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น

“ก็... ไม่อยากทำอะไรเลยน่ะ อึนๆ เบลอๆ อธิบายไม่ถูก”

“ไหวไหม?” ผมวางฝ่ามือลงบนลาดไหล่กว้างก่อนจะออกแรงบีบเบาๆ เอย์จิถอนหายใจแต่พยักหน้ารับคำ

“เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” นั่นสินะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

“อื้ม ไปนั่งเรือดูหิ่งห้อยด้วยกันไหม?” ผมเอ่ยปากชวนเอย์จิทั้งที่ตั้งใจว่าจะไปกับพี่ยูแค่สองคน มันเป็นเซอร์ไพร์สเล็กๆ น้อยๆ อยากทำให้เพื่อเป็นการตอบแทนทุกความรู้สึกที่ได้รับมา

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวก็เสียแผนกันพอดี” เอย์จิบุ้ยปากใส่กันแต่ให้หลังก็คลี่ยิ้มอยู่ดี แต่ผมกลับไม่สบายใจที่ตัวเองกำลังจะมีความสุขแต่อีกคนยังเป็นทุกข์

“เรื่องนั้นเอาไว้วันหลังก็ได้” จริงๆ ไอ้การไปนั่งเรือดูหิ่งห้อยมันก็สำคัญอยู่หรอก แต่ดูสภาพเอย์จิแล้ว...

“วันนี้ล่ะ ถือซะว่าเป็นของขวัญครบรอบสามสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ของพี่ยู” ใช่ วันนี้เป็นวันเกิดพี่ยูที่เราจงใจไม่เอ่ยถึงเพื่อทำเซอร์ไพร์สเขาในตอนค่ำ อดทนกันมาทั้งวันจะให้เสียแผนไม่ได้สินะ เอาวะ ยังไงคุณป้ากับริวคงไม่ปล่อยเอย์จิให้เฉาตายหรอก

“โอเค”

หลังจากกลับไปส่งทุกคนที่โฮมสเตย์เรียบร้อยผมก็อาสาขับรถพาพี่ยูออกมาข้างนอกโดยไม่บอกจุดหมายปลายทาง ความรู้สึกตอนนี้แทบบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ ทั้งตื่นเต้น ขัดเขิน ลุ้นระทึก โอย มันตีกันยุ่งเหยิงจนอยากตะโกนใส่หน้าใครสักคน ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมจากคนข้างๆ ด้วยแล้วยิ่งพาให้สติกระเจิง ทำไมต้องรู้สึกอยากกอดแล้วเอาหน้าซุกอกเขาตอนนี้ด้วยวะ

“จะพาพี่ไปปล้ำเหรอเรา ถามอะไรก็ไม่ตอบ” พี่ยูพูดขึ้นลอยๆ ทำให้ผมที่กำลังฮัมเพลงรักถึงกับสำลักอากาศจนไอโขลก ถามบ้าอะไรวะเนี่ย ใครที่ไหนเขาจะลำบากลากออกมาปล้ำข้างนอกเล่า บ้านพักตัวเองก็มีไม่ได้อยู่รวมกับชาวคณะสักหน่อย คิดได้ไง!

“ทำไมคนแก่ขี้สงสัยจังครับ” ว่าพลางเหลือบมองคนด้านข้างว่าตอนนี้กำลังแสดงสีหน้ายังไงอยู่ แต่กลับต้องล้มเลิกความคิดเพราะพี่ยูเอาหน้าแนบกระจกเพื่อมองวิวยามค่ำคืนด้านนอก ความแตกต่างระหว่างเมืองหลวงกับต่างจังหวัด สงบแบบนี้นี่เอง

“ก็อยู่ๆ โดนลากออกมาไม่ทันตั้งตัวนี่ครับ”

“นั่งฟังเพลงสบายๆ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วครับ” พี่ยูพยักหน้ารับก่อนขยับตัวกลับมาที่เดิมแล้วกดเปลี่ยนเพลง เมื่อครู่มาแนวอกหักคงหดหู่เกินไปล่ะมั้ง

“แล้วเอย์จิเป็นยัไงบ้าง?” เขาถามถึงเรื่องน้องชายด้วยน้ำเสียงห่วงใย ถ้าหากว่าผมสามารถหันไปมองได้คงเจอกับสายตาอ่อนโยนปนสงสาร

“ก็... อาการอกหักนั่นล่ะครับ แต่เดี๋ยวก็ผ่านไป” ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน

“ขอบคุณนะ” อยู่ๆ พี่ยูก็เอ่ยคำขอบคุณขึ้นมาทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย คือยังไง ได้ข่าวว่าวันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

“หืม เรื่องอะไรครับ?” ผมถามกลับพลางตบไฟเลี้ยวเขาสู่ท่าเรือนำเที่ยวชมหิ่งห้อย อีกนิดเดียวก็จะถึงที่หมายแล้ว อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรง ใกล้แล้วสินะ...

“รับฟังเอย์จิและคอยอยู่เป็นเพื่อน” พี่ยูเฉลยสาเหตุด้วยรอยยิ้มก่อนที่มืออุ่นจะวางทาบลงมาบนแก้มของผม มันให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกจนเผลอเอนซบ เป็นพ่อที่ดีแถมยังเป็น (ว่าที่) แฟนที่ดีอีกด้วย

ผมยังถือว่าตัวเองโชคดีกว่าใครในเรื่องของความรัก แม้ว่ามันจะยาวนานมาเป็นสิบปีแต่ก็ไม่เคยโดนปฏิเสธและในสุดท้ายก็ยังสมหวังอีกต่างหาก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็เรา... เป็นครอบครัวเดียวกัน” พูดคำนี้แล้วรู้สึกขัดเขินจนต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ทำไมเหมือนคู่สามีภรรยาที่แต่งงานแล้ววะ โอย ช่างแม่งเหอะ

“แล้วเมื่อไหร่เราจะเป็นแฟนกันสักทีครับ” แต่การตอบกลับของพี่ยูทำให้มือไม้ผมอ่อนจนเกือบพารถเข้าข้างทาง หัวใจเต้นแรงมาก ปากสั่นกึกๆ ทั้งที่อากาศก็ไม่ได้หนาวเกินไป นี่คือความเขินอายล้วนๆ ใช่ไหม อย่าหยอดกันนักสิครับ

“พี่ต้องถามผมก่อนว่ารู้สึกยังไงหรือเปล่า? ข้ามขั้นสุดๆ อะ” พยายามตวัดเสียงให้ดูเป็นคนหงุดหงิดแต่พี่ยูกลับส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา แถมยังคลี่ยิ้มจนน่าหมั่นไส้ กลัวกันบ้างก็ได้ปะ ทำไมชอบแหย่ชอบหยิกให้เขินจนตัวจะบิดอยู่เรื่อย ฮึ่ย!

“ไม่อยากชักช้านี่ครับ กลัวอกหัก” หยอดอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมอดทนที่จะไม่ตอบกลับเพราะถึงที่หมายแล้ว ภารกิจอันยิ่งใหญ่รอคอยอยู่ พ่อแม่ พี่ป่าน เอาใจช่วยปัณณ์ให้ทำสำเร็จด้วยนะครับ

ผมเดินนำพี่ยูไปที่ท่าเรือโดยไม่บอกอะไรแถมยังจัดการช่วยใส่เสื้อชูชีพให้อย่างเรียบร้อย พอก้าวขาลงเรือความตื่นเต้นก็ปรากฏในดวงตาคู่สวย บรรยากาศโคตรโรแมนติกเหมาะแก่การ... สารภาพรัก

“เซอร์ไพร์สวันเกิดพี่เหรอ?” คำถามตรงไปตรงมาทำให้ผมหลุดหัวเราะพรืดทั้งที่เมื่อครู่ยังดื่มด่ำบรรยากาศท้องฟ้าไร้ดวงจันทร์แต่มีดาวอยู่เลย โธ่ ไม่รู้ทันสักเรื่องได้ไหมล่ะครับ อุตส่าห์ปิดปากเงียบยังจับได้อีก แต่แผนสองเชื่อว่ายังคงเป็นความลับอย่างแน่นอน

“ทำนองนั้น” ผมตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บรูปหิ่งห้อยที่ค่อยๆ โผล่มาจากต้นลำพู ถือว่าโชคดีที่ได้เห็นเพราะในรีวิวบางคนบอกว่าคลองมืดตลอดทาง เสียเที่ยวชะมัด

“ขอบคุณมากนะครับ เห็นเงียบๆ นึกว่าลืมไปซะแล้ว” พี่ยูคลี่ยิ้มละมุนพร้อมทั้งโน้มตัวเข้ามาใกล้จนเรือโคลง เดือดร้อนคนพายต้องทรงตัวอีก ถ้าตกน้ำจะทำยังไงเล่า อากาศเย็นด้วยนะ

“พี่ก็ไม่เห็นท้วงอะไรนี่ครับ” ผมเอนตัวเพื่อให้มีระยะห่างสำหรับการหายใจมากขึ้น ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจด้วยการหลับตาลงแล้วท่องยุบหนอพองพอไปเรื่อย ถ้าเมื่อครู่เรือไม่โคลงเคลงจะเกิดอะไรขึ้นวะ จูบเหรอ... ก็มันใกล้จนสัมผัสลมหายใจได้แล้วนี่นา

“โตแล้ว วันเกิดก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าวันอื่นหรอก ปีที่ผ่านๆ มาก็ยังไปร้านทำงานตามปกติ” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่มีความเคลือบแคลงในสายตาที่มองตรงมา ผมเข้าใจดีว่ายิ่งคนเราอายุมากขึ้นวันเกิดก็ดูไม่สำคัญด้วยเพราะภาระหน้าที่หรือเหตุผลอะไรหลายๆ อย่าง อาจจะมีคำอวยพรเล็กน้อยจากคนสนิท เท่านั้นก็คงเพียงพอแล้ว

“แล้วตอนอยู่กับพี่ป่านล่ะครับ จัดงานวันเกิดบ้างไหม?” ผมถามเพราะไม่เคยรู้ว่าความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นยังไง ถึงจะบอกว่ารักกันเหมือนเพื่อนแต่ในฐานะสามีภรรยาก็คงมีอะไรแตกต่างบ้างล่ะมั้ง

“รายนั้นจำวันเกิดพี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ” พี่ยูเบ้ปากเมื่อนึกถึงพี่ป่าน เอาจริงๆ รายนั้นจำวันเกิดใครไม่ได้จริงๆ นั่นล่ะนอกจากพ่อแม่ ขนาดผมที่เป็นน้องยังไม่เคยได้ของขวัญจากเธอสักชิ้นนอกจากคำอวยพรย้อนหลังซึ่งผ่านไปเกือบอาทิตย์

“นั่นสิเนอะ” ผมหัวเราะประสานเสียงให้กับความโก๊ะของพี่สาว ป่านนี้จะสุขสบายอยู่บนฟ้าหรือเปล่านะ แต่อยากจะบอกให้เธอรับรู้ว่าทางนี้มีความสุขดี

ผมปล่อยให้ความเงียบแทรกซึมผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขไปช้าๆ ดื่มด่ำกับแสงหิ่งห้อยและลอบมองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่ได้แต่แอบรักมาอย่างยาวนาน ถ้าใครมาถามว่าทำไมถึงได้ปักใจกับพี่ยูนักคงตอบไม่ได้ ความรู้สึกน่ะละเอียดอ่อนจนหาความหมายหรือเหตุผลไม่ได้หรอก

“จะว่าไป... ไม่มีของขวัญให้พี่หน่อยเหรอ?” อยู่ๆ เขาก็ยื่นมือมาตรงหน้าเพื่อขอของขวัญ ผมตะลึงงันเพราะตั้งใจไว้ว่าถ้าพี่ยูถามจะดำเนินแผนขั้นที่สองต่อทันที ถ้าบอกว่ายังไม่พร้อมได้ไหมล่ะ แต่ว่าอีกเดี๋ยวก็หมดเวลาชมหิ่งห้อยแล้ว เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

“อยากได้อะไรเป็นของขวัญล่ะครับ?”

“อืม... มันต้องแล้วแต่คนให้สิ”

“วันนี้ผมตามใจพี่ยูไง ไหนว่ามาสิอยากได้อะไร?” ผมทำเป็นใจกล้าถามกลับไปทั้งที่พอจะเดาคำตอบของเขาได้ มีอยู่เรื่องเดียวในตอนนี้ที่เด่นชัดที่สุดและพี่ยูก็เพียรพยายามของมาตลอด...

“ถ้าพี่ตอบว่า... อยากได้ปัณณ์เป็นแฟนล่ะครับ จะว่ายังไง?” ทำไมต้องถามด้วยเสียงกระซิบให้รู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจด้วยวะ กลัวคนพายเรือได้ยินเหรอ แม่ง ทีตอนจะจูบยังไม่เกรงใจใครเลย

“จริงจังไหม?” แต่ผมก็ถามกลับเสียงเบาไม่แพ้กัน อากาศก็เย็นนะแต่ทำไมหน้ามันร้อนๆ ก็ไม่รู้

“ที่สุดเลยครับ” น้ำเสียงหนักแน่นมาพร้อมกับฝ่ามืออุ่นที่ทาบทับลงมาบนตำแหน่งเดียวกัน ความอ่อนโยน ความรักถูกถ่ายทอดผ่านการสัมผัส รู้สึกดีไปถึงหัวใจ

“อื้อ ก็ตั้งใจไว้อยู่แล้วล่ะ” ผมพึมพำเสียงเบาเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นเรือ ไม่กล้าสบตา ไม่กล้ามองหน้า เกือบแล้วที่จะกลั้นหายใจแต่กลัวตายซะก่อน

“หมายความว่า...” พี่ยูดูจะยังไม่เข้าใจสิที่ผมต้องการสื่อ ใบหน้าหล่อยามนี้ฉายแววฉงนแต่ดูน่ารักน่าชัง อยากดึงเข้ามาบดจูบให้ปากเจ่อแต่ทำได้แค่พูดสิ่งที่ตั้งใจ

“ผมชอบพี่ยูครับ เป็นแฟนกันนะ” สารภาพออกไปแล้ว สิ่งที่ผมเก็บไว้มาตลอดสิบปีที่ผ่านมา ความรู้สึกโล่งใจเกิดขึ้นในทันที ฝันกำลังจะกลายเป็นจริงเพียงแค่อีกฝ่ายตอบรับกลับมา

รัก รักมาก อยากให้รู้ว่ารักมาตลอดและจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ

“ไอ้เด็กขี้โกง...” พี่ยูกระตุกผมเขาไปกอดในขณะที่เรือเทียบฝั่งแล้ว กลัวเหลือเกินว่าคนพายจะตกน้ำแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากซุกหน้ากับอกแกร่งหายใจนำกลิ่นหอมเข้าสู่ปอด ชอบจัง

“ด่าผมทำไมเนี่ย?” ผมถามกลับเสียงอู้อี้

“พี่ไม่เคยคิดว่าจะได้ของขวัญชิ้นใหญ่ในวันเกิดนี่ครับ ตั้งตัวไม่ทันเลย” ทำไมต้องเสียงสั่นด้วยเล่า มันทำให้ผมจะร้องไห้ไม่รู้หรือไง

“แล้วจะรับหรือเปล่า?”

“รับสิครับ อยากได้จะแย่แล้ว” คำพูดกำกวมจนพาลให้รู้สึกหน้าร้อน แต่เอาเถอะ เป็นแฟนกันแล้วคนแก่คงไม่งอแงอีกเนอะ

“อื้อ... ดูแลดีๆ นะครับ”

“ด้วยชีวิตเลย”

ผมอายคนทั้งท่าเรือเลยเว้ย โอ๊ย จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เขาตบมือแสดงความยินดีกับพวกเราด้วย ฮือ ไม่น่าเลยไอ้ปัณณ์!




ต่อด้านล่างนะ

หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 16 : โซบะเย็น P.3 -30/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 30-05-2018 08:50:32
ขากลับได้พี่ยูกลับมาทำหน้าที่คนขับรถเหมือนเดิมโดยที่ผมเอามือปิดหน้าไปตลอดทาง ทั้งเขินทั้งอายเมื่อภารกิจสำเร็จแล้วเงยหน้ามาเจอกับสายตานักท่องเที่ยวและคนพายเรือ แม่ง ก็ไม่ได้นึกว่าจะมีคนสนใจพวกเราขนาดนั้น ต้องกลายเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ในโซเชี่ยลแน่ๆ โว๊ย

เราถึงโฮมสเตย์ในเวลาเกือบสี่ทุ่ม รีบกระโดดลงจากรถแล้วจำอ้าวไปที่บ้านพักของเอย์จิแต่พบว่าพวกเขาดับไฟนอนกันหมดแล้ว คืนนี้ผมจะรอดไหมวะ เป็นแฟนกันวันแรกแต่เจอสายตาหื่นกามเลยก็ระแวงเหมือนกัน

สุดท้ายผมก็ไปไหนไม่รอดต้องทิ้งตัวลงนอนข้างพี่ยูเหมือนเมื่อคืนแต่ดีหน่อยที่ยังมีตุ๊กตาปลาทูคั่นตรงกลาง รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาสิบเปอร์เซ็นต์

“ปัณณ์...” เกลียดการเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชะมัด ยิ่งปิดไฟประสาทสัมผัสยิ่งเด่นชัด แตะอะไรนิดอะไรหน่อยก็รู้สึก แล้วพี่มันจะเอานิ้วเท้าเขี่ยขากันอีกนานไหม ขนลุก!

“ผมจะนอน” ผมสะบัดขาผับๆ แล้วขดตัวหลบอยู่หลังปลาทู ถ้ายังล้ำเส้นมาโดนดีแน่

“นี่...” พี่ยูใช้มือสะกิดแขนผมเลยขยับออกห่างจนชืดริมเตียง อีกนิดเดียวจะลงไปนอนข้างล่างแล้วเว้ย พี่ยูเกิดมาแขนยาวเพื่ออะไร!

“ถ้าสะกิดอีกทีผมถีบจริงด้วย” ผมบอกเสียงขู่พลางยกเท้ากลางอากาศให้พี่ยูเห็นว่าทำจริง

“โธ่ ทำไมใจร้ายกับคนแก่แบบนี้ครับ?” ยังมีหน้ามาโอดครวญเรียกร้องความสนใจทั้งที่ตัวเองเหยียบเบรกหักพวงมาลัยจอดข้างทางแล้วขยี้จูบผมไม่เลี้ยงอะนะ ใจร้ายตรงไหน!

“ผมไปใจร้ายใส่พี่ตอนไหนครับ? ได้ข่าวว่าคนโดนกระทำก็คือผม” ทั้งจูบ ทั้งสะกิด ไหนจะเขี่ยขากันอีก โว๊ย ผมก็คนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูน ไม่อยากเสียตัวตั้งแต่วันแรกที่คบกันเว้ย มันดูง่ายเกินไป! ที่จริงแล้วลึกๆ คือกลัวเจ็บ

“ก็ปัณณ์เอาแต่กอดปลาทู” เสียงสี่ห้าหกเหรอไง ไม่เห็นจะน่ารัก!

“มันเกี่ยวอะไรกัน?” ปลาทูมันทำอะไรให้วะ

“อิจฉา” เดี๋ยว...

“ห๊ะ?”

“พี่อยากให้ปัณณ์กอดบ้างนี่ครับ” สาบานว่าพี่ยูแก่แล้ว ทำไมถึงยังอ้อนเป็นเด็กๆ อยู่ล่ะ ไม่ใช่ไม่ชอบแต่กลัวว่าจะเผลอใจให้เขาทำมากกว่ากอด

“ละ เลียนแบบริวหรือไง โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะครับ งอแงเป็นเด็กไปได้”

“ขาดความอบอุ่นครับ” พ่อเด็กน้อย

“ผ้าห่มก็มี” กระตุกผ้าห่มโชว์ซะเลย

“ไม่พอ” แหนะ

“พี่ยู... หยุดเจ้าเล่ห์สักห้านาทีไม่ได้หรือไงครับ?” ผมถามไปตรงๆ เพราะรู้ว่าเขาแกล้งกันอยู่ ทำไมกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์แสวงหากำไรจากแฟนอยู่เรื่อยเลย

โอย ไม่จริง ทำไมต้องมาเขินคำว่า ‘แฟน’ ด้วยวะ

“ก็ปัณณ์ไม่หลงกลสักที” ยังมีหน้ามองกันด้วยสายตาตัดพ้ออีกเหรอ แต่ไม่ยอมหลงกลแน่ๆ

“ผมอายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะเว้ย ไม่ใช่เด็ก”

“ไม่กอดพี่จริงเหรอครับ?” ทำไมต้องอ้อนวะ

“ไม่” ตอบเสียงหนักแน่น

“ปลาทูมันดีกว่าพี่ตรงไหน?” นี่มันเด็กแล้ว งอแงจังวะ

“ทุกตรง” ผมโผล่หน้าออกจากหัวปลาทูว่าเขาไปตรงๆ

“โธ่ แฟนครับ ~” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้พร้อมเรียกกันด้วยคำที่ผมถึงกับสะดุดลมหายใจ โอย จะวิ่งไปเคาะประตูบ้านอีกหลังตอนนี้ได้ไหมเนี่ย

“นอนครับ ถ้ายังพูดอีกผมหนีจริงๆ ด้วย” ผมกัดฟันพูดทั้งที่ปากมันเอาแต่จะคลี่ยิ้มอย่างเดียว ไม่น่าเชื่อคำว่าแฟนจะมีอิทธิพลขนาดนี้ หัวใจเต้นแรงมากเลย หวังว่าพี่ยูคงไม่ได้ยินหรอกนะ

เป็นอันว่าเรื่องจบตรงนี้ ผมได้นอนสบายในขณะที่พี่ยูหันหลังใส่ อะไรวะ อยู่ๆ ก็โดนงอนเรื่องกอดปลาทูซะเฉยๆ เอาวะ พรุ่งนี้ค่อยตื่นมาง้อโดยการขยี้จูบให้ปากเจ่ออีกสักทีสองทีแล้วกัน


-------------------------------------------

เอ้า ไปเข้าหอกัน? 55555555 เขาเป็นแฟนกันแล้วนะเออ
น้องปัณณ์ไม่ได้เล่นตัว แค่อยากหาโอกาศเหมาะๆ ยกตัวเองให้เป็นของขวัญเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 16 : โซบะเย็น P.3 -30/05/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-05-2018 10:59:34
โอ้ยยย  อิจจ้า บอกเลยว่าอิจ 555 :m25:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 17 : สลัดมันฝรั่ง P.3 -06/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 06-06-2018 08:59:04
จานที่ 17 : สลัดมันฝรั่ง



หลังจากเลื่อนสถานะความสัมพันธ์สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือย้ายข้าวของส่วนตัวเข้าห้องนอนใหญ่โดยพี่ยูบอกว่าจะยกห้องนอนให้กับริว ตอนแรกค้านหัวชนฝาเพราะรู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างของคนเจ้าเล่ห์ แต่สุดท้ายก็แพ้ราบคาบเมื่อคุณป้าช่วยพูดอีกแรง ทำไมคนบ้านนี้ถึงได้สามัคคีกันนัก ขนาดเอย์จิยังไม่ห้ามเลย

ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าที่ผมได้รับมอบหมายหน้าที่ใหม่ในการไปส่งริวที่โรงเรียนเพราะเป็นช่วงเปิดเทอมแล้ว เด็กน้อยร้องไห้โยเยไม่ยอมลุกจากที่นอนต้องหลอกช่อกันแทบตายว่าช่วงบ่ายจะรับไปกินขนม ส่วนพี่ยูก็ให้พักผ่อนเต็มที่เนื่องจากต้องเข้าประชุมสรุปผลประกอบการโรงแรมประจำเดือนนี้

“น้าปัณณ์ หาว ~” เจ้าตัวแสบเอ่ยเรียกชื่อกันในขณะที่ผมกำลังทอดไข่ดาวอยู่ในครัว ไอ้เสียงหาวตบท้ายนั้นช่างน่าเอ็นดูจนอดหัวเราะไม่ได้ จะไหวไหมครับวันนี้ หรือต้องตรงดิ่งไปรับที่โรงเรียนตั้งแต่ตอนเที่ยง

“ครับริว รอก่อนนะ ไข่ยังไม่สุกเลย” ผมตอบกลับไปก่อนใช้ตะหลิวพลิกไข่ดาวในกระทะแล้วยืนรอจนมันสุกทั่วใบ ระหว่างนั้นก็แอบมองริวที่นั่งรออยู่บนโซฟาด้วยความเอ็นดู เอ๊ะ ทำไมเอย์จิถึงตื่นไว ออกจากห้องมาทั้งหัวฟูๆ สภาพดูไม่สมกับเป็นนายแบบเลย

“อาจิ ~ อย่าทับ ริวหนัก” เจ้าตัวแสบบ่นงุ้งงิ้งเมื่อหัวทุยๆ ของเอย์จิเอนลงบนตัก มือเล็กทั้งทุบทั้งตีแต่คนเป็นอากลับนิ่งเฉยแถมหลับตาพริ้มเหมือนสบายเต็มที่ ตื่นมาก็แกล้งหลานเลยเนอะคนเรา

“เอย์จิ อย่าแกล้งหลานสิ” ผมตะโกนเสียงดุกึ่งเล่นกึ่งจริงก่อนจะหันไปตักไข่ดาวใส่จานแล้วต่อด้วยการปิ้งขนมปังเพื่อทาแยมส้มที่หลาน

“เราไม่แกล้งหลานก็ได้ แต่จะแกล้งปัณณ์แทน” เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนแทบประชิดตัว ผมหันขวับไปถลึงตาใส่คนขี้แกล้งแต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นใครอีกคนอยู่ด้านหลังเอย์จิ ทำไมวันนี้ขยันตื่นเช้ากันจังวะ

“ถอยออกมาเลย อย่าเข้าใกล้ปัณณ์ให้มันมากนัก” เสียงทุ้มตืดแหบเพราะเพิ่งตื่นนอนนั่นฟังดูโคตรเซ็กซี่แต่การกระทำที่ดึงคอเสื้อด้านหลังของเอย์จิแล้วดึงตัวออกห่างจากผมนั้นดูดิบเถื่อนดีจริงๆ คนอะไรขี้หวงแม้แต่น้องตัวเองยังไม่เว้น โธ่ นี่ถ้าคู่นอนเก่ากลับมาทักทายกันคงโดยปิดกั้นการติดต่อทุกช่องทางแน่นอน

“คนแก่ขี้หวง!” เอย์จิโวยวายก่อนจะฟาดมือใส่พี่ชายไม่ยั้ง จากที่ดึงคอเสื้อกลายเป็นว่าถูกรวบกอดไว้แนบอก สุดท้ายก็ยอมแพ้แรงพี่ยูแล้วยอมอยู่นิ่งๆ

“แฟนพี่ พี่จะหวงก็ไม่แปลกหรือเปล่าวะ?” พี่ยูก้มลงถามคนในอ้อมกอดก่อนที่มือใหญ่จะยกขึ้นขยี้หัวขนน้องจนมันยุ่งเหยิงกว่าเดิม ผมมองภาพนั้นแล้วหลุดยิ้มออกมา ก็น่ารักดี พาลให้คิดถึงพี่ป่านเลยว่ะ

“หึ แต่ก่อนปัณณ์จะไปไหนกับใครไม่เห็นสนใจ” เอย์จิผละตัวออกแล้วกอดอกจ้องหน้าคนพี่เขม็งแถมด้วยการเดินมาอยู่ข้างกันในขณะที่ผมกำลังหยิบขนมปังออกจากเครื่องปิ้ง จะเบียดจนสิงเข้ามาในตัวเลยไหมเนี่ย

“สนใจสิ แต่ตอนนั้นเป็นแค่พี่น้องกันนี่” พี่ยูตอบกลับเหมือนทั้งห้องครัวมีกันแค่สองคนส่วนผมเป็นอากาศธาตุที่ไม่รับรู้เรื่องราว บางทีเกรงใจคนฟังบ้างก็ได้ หัวใจปั่นป่วนไปหมดแล้วเนี่ย ริวก็ไม่ได้ช่วยกันเลย เอาแต่ดูการ์ตูนสบายใจเฉิบ

“เอ้อ ใช่สิ ตอนนี้คบกันแล้วนี่ ถ้าผมจีบปัณณ์พี่ไม่มีทางสมหวังหรอก” เอ้า... เอาเข้าไป ผมหนีไปทาแยมขนมปังแล้วยกไปกินกับริวที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า ยังไม่อยากเป็นคนกลางระหว่างศึกชิงนายหรอกนะ

“ทำไมวันนี้แกพาลคนอื่นไปเรื่อยหืม?” แต่คำถามนั้นทำให้ผมหยุดชะงักเท้า อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้เอย์จิตื่นเข้าทั้งที่ไม่มีงานแถมยังแกล้งคนนั้นทีคนนี้ทีเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ

“ก็มันเบื่อๆ อะ เดี๋ยวว่าจะออกไปส่งริวกับปัณณ์ด้วย” หืม ทำไมอยู่ๆ ก็มีกะจิตกะใจไปส่งหลานวะ ปกติเอาแต่นอนอุตุ แปลก... แต่ช่างมันเถอะ คงเบื่อจะอยู่บ้านคนเดียวล่ะมั้ง

“งั้นก็รีบไปอาบน้ำสิ นี่หกโมงกว่าแล้ว” พี่ยูโบกมือไล่ เอย์จิพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งไปทางห้องน้ำแต่ไม่วายตะโกนดังลั่นบ้าน

“ระหว่างผมอาบน้ำห้ามทำอะไรปัณณ์นะ!”

“เรื่องของพี่!” ทำไมพี่โต้ตอบเอย์จิแบบนั้นเล่า เฮ้อ ผมควรใส่เครื่องป้องกันเวลาอยู่กับเขาสองคนหรือเปล่าเนี่ย เสี่ยงต่อการโดนล่อลวงไปปล้ำจริงๆ เลย

“ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ เลยนะครับ” ผมเอ่ยแซวคนที่ปิดปากหาวอยู่ด้านหลังแล้วเริ่มทาแยมบนขนมปังอีกคู่ซึ่งเป็นของตัวเอง

“สีสันของชีวิตน่ะ พอให้กระชุ่มกระชวย” เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้หูก่อนที่แก้มจะร้อนวูบขึ้นมาเพราะโดนปลายจมูกโด่งสัมผัส โอย เกือบคำมีดปาดเนยตกใส่เท้าแล้วไหมล่ะ เล่นอะไรของเขาเนี่ย เผลอไม่ได้เลยเว้ย

“อะ แค่พูดก็ได้มั้งครับ หอมแก้มผมทำไมเนี่ย?” ผมบ่นไม่จริงจังนักก่อนจะหยิบจานอาหารเช้าแล้วหันไปเผชิญหน้ากับคนเจ้าเล่ห์ แต่คงคิดผิดในเมื่อใบหน้าหล่อๆ โน้มเข้ามาใกล้จนเห็นแพขนตายาวได้ชัดเจน ถ้าห้ามใจไม่อยู่แล้วประกบจูบซะดีไหม ริวก็ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว หึ อ่อยจริงอ่อยจังก็พี่ยูนี่ล่ะ

“วิธีนี้ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นไง มีแรงทนนั่งประชุมทั้งวันเลย” ไม่พูดเปล่ายังจะเอาจมูกมาดุนดันซอกคออีก ผมก็ผู้ชายเหมือนกันนะเว้ย โอย แต่ต้องท่องไว้ว่าหน้าที่เลี้ยงหลานสำคัญกว่า ผลักหัวแม่ง

“เลิกหยอดได้แล้วมั้งครับ” ผมขยับตัวออกจากรัศมีของพี่ยูแล้วรีบยกจานอาหารเช้าไปให้ริวที่นั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่บนโซฟาเนื่องจากดูการ์ตูน

“ทำไมครับ ปัณณ์เขินเหรอ?” พี่ยูยังคงไม่ปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ตามมาหลอกหลอนแถมนั่งเบียดลงข้างๆ กัน จะขยับหนีก็ติดที่ริวซึ่งเริ่มหยิบขนมปังใส่ปาก ไม่อายลูกบ้างหรือไงวะ ทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้

“หน้าร้อนจะไหม้แล้วล่ะครับ” ผมกัดฟันพูดแล้วหันไปแยกเขียวใส่คนที่นั่งอยู่บนพนักวางแขน ใบหน้าหล่อคลี่ยิ้มหวานแถมด้วยการวางมือลงบนแก้มออกแรงบีบเบาๆ คล้ายมันเขี้ยว

“หึหึ ถ้าไม่ติดว่าปัณณ์ต้องไปส่งลูกนะ พี่ไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก” เสียงกระซิบแหบพร่าข้างหูทำให้ผมผละตัวออกแล้วเอนไปทางริวก่อนหันไปจ้องดวงตาคมที่มีความเจ้าเล่ห์ฉายชัดอยู่ในนั้น

“หืม จะทำอะไรผมเหรอ?” แสร้งทำใจดีสู้เสือทั้งที่ข้างในรู้สึกหวั่นๆ เฮ้ย จะโน้มตัวเข้ามาทำไมเนี่ย ใกล้ไปแล้ว!

“อืม... ทำอะไรดีนะ?” แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ผละออกไปทำหน้าครุ่นคิด ท่าทางน่าหมั่นไส้จนผมได้แต่ลอบเบ้ปากใส่ ถ้าไม่มีริวนั่งอยู่ตรงนี้คงแน่แน่ๆ เห็นสวรรค์อยู่รำไรเลยล่ะ

“น้าปัณณ์ นมช็อกกะแลต ~” เสียงเล็กๆ ทำให้ผมรีบหันไปอีกทาง ริวมองตาปริบๆ ปากเลอะแยมส้มจนต้องหยิบกระดาษทิชชู่เช็ดให้ เลิกสนใจพี่ยูดีกว่า หึ

“เดี๋ยวน้าไปเอามาให้ครับ ริวนั่งกับป๊าไปก่อนเนอะ” แล้วผมก็ทิ้งสองพ่อลูกเอาไว้ก่อนปลีกตัวไปสงบจิตสงบใจ ถ้าเมื่อครู่ริวไม่ขัดจังหวะคงมีการจูบเกิดขึ้น พี่ยูนะพี่ยู เจ้าเล่ห์จริงๆ เลย!

เอย์จิอาสาเป็นคนขับรถนั่นทำให้ริวรีบพุ่งมานั่งกับผมโดยปล่อยคาร์ซีทว่างเปล่า เสียงเพลงที่เปิดคลอในเช้านี้เป็นแนวสากลเบาๆ ให้ความรู้สึกอยากไหลไปกับเบาะเนื่องจากตื่นเช้ากว่าปกติเลยยังมีความง่วงอยู่นิดหน่อย แถมเมื่อคืนยังโดนพี่ยูแกล้ง เอาตุ๊กตาปลาทูฟาดใส่จนนุ่นแทบทะลักและกว่าจะได้นอนจริงๆ ก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม เพลียโคตร

“น้าปัณณ์” เจ้าตัวแสบบนตักเอ่ยเรียกชื่อกันพร้อมกับเงยหน้ามองด้วยสายตาสั่นไหวคล้ายมีความกังวลบางอย่างแฝงอยู่ ถ้าให้เดาคงไม่พ้นเรื่องไปโรงเรียนวันแรกของชีวิต สถานที่ใหม่ ผู้คนใหม่ๆ

“ครับ?” ผมตอบรับก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอ็นดูก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวทุยเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลมแล้วกดจูบลงบนหน้าผากมน

“โรงเรียนฉาหนุกเปล่า?” ภาษาไทยไม่ค่อยชัดดังขึ้นทำให้ผมยิ่งรู้สึกมันเขี้ยวเลยจับหลานหอมแก้มซะฟอดใหญ่แล้วตอบคำถามกลับไป

“อืม... สนุกสิครับ มีเพื่อนๆ เยอะแยะเลยน้า” ผมคลี่ยิ้มละมุนส่งให้หลานตัวน้อยก่อนจะโน้มตัวลงแตะจมูกกับอีกคน ไม่รู้ว่าเข้าใจความหมายคำว่า ‘เพื่อน’ มากแค่ไหน

“มีเพื่อนๆ เหรอ?” ริวเอียงคอทำหน้าครุ่นคิด คงจะรู้จักคำว่าเพื่อนอยู่ล่ะมั้ง ถ้าหลานถามว่ามันคืออะไรคงตอบได้ประมาณว่า ‘เหมือนเรนไง’ เออว่ะ ไปโรงเรียนก็ต้องเจอลูกของพี่เคียวนี่นา เจ้าตัวแสบคงไม่ร้องไห้โยเยกลับบ้ายหรอกมั้ง

“ใช่แล้วครับ”

“แต่ไม่มีป๊ากับน้าปัณณ์อ่า” เหมือนเรื่องจะจบแต่กลับไม่จบเพราะเจ้าตัวแสบคงคิดได้ว่าถ้าตัวเองไปโรงเรียนก็จะไม่ได้เจอคนในครอบครัว ผมกำลังจะปลอบหลานแต่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเอย์จิเบะปาก โธ่ คนแก่ขี้น้อยใจที่หลานไม่ยอมพูดถึงสินะ ต้องง้อด้วยการเลี้ยงไอติมด้วยปะ เฮ้อ

“ตอนเย็นก็ได้เจอกันครับ” ผมละความสนใจจากสารถีแล้วคุยกับริวต่อ หลานมีสีหน้าดีขึ้นก่อนที่จะขยับตัวมากอดคอกันไว้ซะแน่น

“งืม ไอติม ~” โธ่ นี่น้าปัณณ์ครับไม่ใช่ไอติมช็อกกะแลตของหนู

“พอเป็นของกินนี่จำแม่นเนอะ” ผมแซวหลานแล้วจับฟัดแก้มซ้ายขวาด้วยความมันเขี้ยว เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังลั่นรถจนทำให้เอย์จิพลอยหลุดขำไปด้วย ผ่านมาเป็นเดือนแล้วสินะ ที่ไม่ได้เห็นเขามีความสุขแบบนี้ ยอมรับว่าเรื่องของทอยหนักหนาจริงๆ ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบว่ามันทำแบบนั้นทำไม

“รักน้าปัณณ์ที่สู้ดเลย” บอกรักจบก็ตรงเข้ามาจุ๊บปากกันก่อนจะคลี่ยิ้มหวานใส่ ผมอดหัวเราะไม่ได้กับความเจ้าเล่ห์ที่ถอดแบบพี่ยูมาเป๊ะๆ ถ้าริวโตขึ้นแล้วเจ้าชู้นี่คงไม่ต้องสงสัยเลย

“แล้วอาจิล่ะ รักไหมครับ?” คนเป็นอาไม่ยอมแพ้เลยยืนหน้าเข้ามาถามหลานบ้างในขณะที่รถติดไฟแดงสุดท้ายก่อนเลี้ยวเข้าโรงเรียน ริวเอียงคอทำหน้าครุ่นคิด ปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนเอย์จิเริ่มเบะปาก เฮ้ย อย่างอแงตอนนี้นะ

“รักเหมือนกาน ฮิฮิ” เจ้าตัวแสบกระโดดจุ๊บแก้มเอย์จิเป็นการยืนยันคำพูด จากที่เคยหน้าบึ้งกับยิ้มซะกว้าง นี่ล่ะน้าที่เขาบอกว่าผู้ใหญ่ใจน้อย

ผมอุ้มริวลงจากรถในขณะที่ปล่อยให้เอย์จิไปหาที่จอด ครูสาวคนสวยรีบตรงเข้ามาหาพวกเราแล้วเอ่ยสวัสดีอย่างเป็นมิตร แต่ดวงตากลมของเธอกลับกรอกไปมาเหมือนกำลังรอคอยใครอยู่

“เอ่อ คุณครูมองหาใครอยู่หรือเปล่าครับ?” ผมเอ่ยถามเพราะหวังดีว่าตัวเองอาจจะช่วยเธอได้บ้าง

“ห๊ะ อ๋อ วันนี้คุณพ่อน้องริวไม่มาเหรอคะ?” เธอหันกลับมายิ้มหวานให้ผมแต่คำถามมันช่างชวนให้รู้สึกตะหงิดๆ ในใจชอบกล ทำไมต้องมองหาพี่ยูด้วยวะ หรือโรงเรียนมีกฎให้พ่อกับแม่มาส่งเท่านั้น

“ครับ วันนี้เขาติดงานเลยมาส่งไม่ได้” ผมตอบไปตามความจริงซึ่งเจ้าตัวแสบที่อยู่ในอ้อมแขนก็พยักหน้าเป็นการยืนยันให้กับครูสาวคนสวย พริบตาเธอเผลอทำหน้าเสียดายแต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้อย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกธรรมดาแล้วล่ะ

“อ๋อค่ะ น้องริวมาหาคุณครูเร็ว” เธออ้าแขนเพื่อรอรับริวไปสู่อ้อมกอดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เจ้าตัวแสบยังคงนิ่งและมองหน้าผมเหมือนขออนุญาต

“อยู่กับคุณครูนะครับ เดี๋ยวตอนเย็นน้ามารับเนอะ” ผมบอกหลานก่อนจะก้มลงหอมแล้วส่งต่อให้กับเธอ เจ้าตัวแสบโบกมือหยอยๆ ใบหน้ายิ้มแย้มดูมีความสุขดี

ผมรีบเดินไปหาเอย์จิที่จอดรถรออยู่หน้าโรงเรียน ในหัวก็คิดย้อนถึงเรื่องเมื่อครู่ ทำไมเธอต้องถามหาพี่ยูในเมื่อแจ้งชัดเจนแล้วว่าน้าจะเป็นคนดูแลไปรับไปส่งแทนผู้ปกครองตัวจริง ก็ไม่ได้อยากมองโลกในแง่ร้าย แต่มันทะแม่งๆ หรือคุณครูคิดไม่ซื่อกับพ่อริววะ โอย ปวดหัว

“ทำไมหน้ายุ่งขนาดนั้นวะปัณณ์?” พอขึ้นรถมาได้คำถามแรกจากปากสารถีก็ทำให้ผมยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า เพราะอะไรวะ ทำไมคิดหาเหตุผลที่ดีกว่านั้นไม่เจอ คุณครูจะจีบผู้ปกครองเหรอ บ้าน่า

“ก็เมื่อกี้... คุณครูที่มารับริวเขาถามถึงพี่ยูน่ะ มันแปลกๆ ปะวะ?” ผมถามหาความคิดเห็นจากคนที่เริ่มเคลื่อนตัวรถออกสู่ถนนใหญ่

“คนที่ชื่อใบเฟิร์นอะไรนั่นปะ?” เอย์จิถามสวนกลับมาแบบนั้นทำให้ผมต้องเค้นสมองว่าป้ายชื่อที่ติดอยู่บนอกของเธอคืออะไร จำได้รางๆ ว่ามีคำว่าใบ... คงจะใช่มั้ง

“อืม เหมือนจะใช่มั้ง” ผมตอบกลับไปแล้วพิงหลังกับเบาะปล่อยหัวสมองให้โล่ง

“ยัยนั่นชอบพี่ยู ตั้งแต่พาริวไปดูโรงเรียนวันแรกแล้วล่ะ” คำตอบของเอย์จิทำให้ผมผงะตัวออกจากเบาะแล้วหันขวับไปมองหน้า ก็ว่ามันทำไมทะแม่งๆ เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ น่ะเหรอ

“เฮ้ย จริงดิ...”

“อืม ปัณณ์ไปรับไปส่งหลานน่ะดีแล้ว พี่ยูจะได้ไม่ต้องเจอกับเธอ” จากน้ำเสียงของเอย์จิแล้วเขาก็คงไม่ค่อยพอใจในตัวคุณคูรคนนี้เหมือนกัน แต่ดูจากท่าทางแสดงออกขนาดนั้นคงไม่สมควรจริงๆ นั่นล่ะ

“หืม ทำไมเอย์จิพูดเหมือนเธอเป็นตัวอันตรายวะ?” ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วพลางคิดสะระตะไปเรื่อย มีเหตุอะไรให้เอย์จิผู้มองโลกในแงดีทำหน้ายี้ใส่วะ

“ก็นิดหน่อย ยัยนี่ขี้ตื๊อจะตาย เคยเอาเบอร์โทรศัพท์พี่ยูไปค้นหาไลน์ด้วย พอสำเร็จก็แกล้งบอกว่าส่งแชทผิดคนงั้นงี้ แต่ก็ทักไปทุกวันๆ” เอย์จิทำเสียงจิ๊จ๊ะปิดท้าย สีหน้าบ่งบอกว่าไม่ชอบเธออย่างชัดเจน ไอ้การดูโรงเรียนก็เพิ่งไม่นานมานี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าทุกวันนี้คุณครูนั่นก็ยังตื๊อพี่ยูใช่ไหม... ควรรู้สึกยังไงวะ ทำไมหวั่นๆ ชอบกล

“พี่ยู... ยอมคุยด้วยเหรอ?” ผมถามเสียงเบาเพราะในใจก็กลัวว่าถ้าพี่ยูเขว่ขึ้นมาจะทำยังไง เธอคนนั้นก็ดูสวยดูน่ารักดีแถมยังเป็นผู้หญิง...

“ช่วงแรกๆ ก็ตอบบ้าง แต่ช่วงหลังๆ พี่ยูบ่นรำคาญ เราก็เลยจัดการบล็อกไปแล้ว” เอย์จิยักคิ้วจึกๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาตบบ่ากัน ผมพยักหน้ารับแต่อดคิดถึงริวไม่ได้ ถ้าหลานเป็นอะไรขึ้นมาเขาจะติดต่อผู้ปกครองยังไง

“แต่ถ้าเขามีเรื่องด่วนเกี่ยวกับริวล่ะ?” ผมดูเป็นคนดีเนอะ แต่ถามว่าจะให้ปลดบล็อกไลน์ไหม ก็ไม่...

“ด่วนมากก็โทรสิ จะไปยากอะไร” เออ นั่นสิเนอะ

เอย์จิไม่ได้ตรงกลับบ้านในทันทีเพราะเจ้าตัวบ่นว่าหิวเลยแวะกินข้าวที่ร้านข้างทาง ข้าวต้มหมูใส่ไข่โรยขิงกับผักชีถูกเสิร์ฟตรงหน้าพร้อมด้วยโถเครื่องปรุง ตอนแรกผมปฏิเสธเพราะซัดขนมปังมาแล้วแต่สุดท้ายก็ทนแรงยั่วยุไม่ไหวเลยต้องจัดอีกถ้วย เอาให้อิ่มถึงเที่ยงกันไปเลย

“จะไปที่ไหนต่อปะ?” เอย์จิเอ่ยถามในขณะที่เขาตักพริกป่นใส่ถ้วยเพียงปลายช้อน ส่วนผมไม่ได้ปรุงอะไรนอกจากใส่น้ำปลาเพิ่มรสชาติ

“อืม... ก็ว่าจะไปซื้อของเข้าบ้านสักหน่อยน่ะ” ผมตอบก่อนจะตักข้าวต้มขึ้นมาเป่า หมูเด้งก้อนโต ไส้อ่อนที่ลวกจนนุ่ม ตับหมูสดๆ สวรรค์จริงๆ แอบตีไข่แดงให้แตกแล้วคนผสม อืม... โคตรอร่อย

“ทำตัวเหมือนภรรยาที่ดีเลยเนอะ”

“อย่าแซวดิ เป็นแค่แฟนก็พอแล้ว” ผมบ่นงุ้งงิ้งหลังจากที่เกือบสำลักตาย รู้สึกแก้มร้อนกว่าข้าวต้มในถ้วยซะอีก ทำไมใครๆ ก็ยัดเยียดตำแหน่งภรรยาให้จังวะ

“ถามจริงเถอะ ใครรุกใครรับเนี่ย?” เอย์จิยังคงถามต่อด้วยใบหน้าระรื่น ผมได้แต่อึกอักแล้วเอื้อมมือไปผลักหัวอีกคน จะให้ตอบว่าอะไรในเมื่อยังไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น ถ้าเป็นแค่คู่นอนคงเสร็จกันไปตั้งแต่วันแรกๆ ที่อ่อยแล้วมั้ง... แต่นี่คนรักเลยนะเว้ย มันขัดเขินชอบกล อยากเริ่มแต่ก็ไม่กล้า

“ถึงเวลานั้นก็รู้เองล่ะน่า” ผมตอบปัดๆ พลางก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มโดยที่ไม่เป่า ร้อนก็ช่างมันถ้าทำให้เอย์จิเลิกเซ้าซี้สักที แต่เหมือนความผิดพลาดหล่นทับหัวเมื่ออีกคนยังคงถามอยู่นั่น

“ทำใจได้เหรอถ้าต้องเป็นฝ่ายรับ?” เอย์จิทำหน้าขึงขังแล้วมองตรงมาด้วยแววตาเป็นห่วง เขารู้ดีว่าทั้งชีวิตนี่ผมไม่เคยรับให้ใคร อยู่ๆ จะให้เปลี่ยนคงยาก

“จริงๆ ก็แอบกลัวนะ แต่เราเชื่อว่าพี่ยูจะอ่อนโยนเมื่อถึงเวลานั้น” ผมตอบพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก สิ่งที่คิดไว้ตั้งแต่ก่อนจะตกลงคบกัน ไม่ว่าใครอยู่ฝ่ายไหนเชื่อว่าอีกคนต้องทะนุถนอมและอ่อนโยนอย่างแน่นอน

“มองโลกในแง่ดีจังเนอะ” เอย์จิเอ่ยแซวก่อนจะกลับไปลงมือกินข้าวโดยไม่แสดงสีหน้าล้อเลียนเหมือนปกติ ท่าทางแปลกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแต่ผมก็ยังไม่ได้ถามไถ่เพราะยังไม่มีโอกาสเหมาะ

“ติดนิสัยมาจากเอย์จิไง” ผมยังตามน้ำต่อไป ก่อนจะตักไส้อ่อนใส่ถ้วยเขา เห็นบ่นว่าพ่อค้าให้น้อยกินไม่สะใจ

“นั่นสิเนอะ...” เอย์จิคลี่ยิ้มบางเมื่อพูดจบ ผงกหัวขอบคุณผมเรื่องไส้หมูก่อนจะลงมือกินต่อไม่พูดไม่จา พอลอบสังเกตก็เห็นว่าเขาชอบเหลือบมองโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ มีอะไรเกิดขึ้นในนั้นหรือเปล่านะ

“ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า?”

“ก็นิดหน่อย ตอนนี้ดีขึ้นแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง”

เขาว่ายังไงก็อย่างนั้นล่ะ

ผมทนดูหนังผีที่ไม่ชอบมาร่วมสองชั่วโมงเพราะอยากเอาใจเอย์จิ นั่งกลั้นหายใจแทบทั้งเรื่อง สะดุ้งจนเก้าอี้โยก ป๊อปคอร์นเกือบหลุดมือก็หลายรอบ ครั้นจะยกมือปิดตาก็กลัวโดนล้อ คาดว่าคืนนี้อ้อมกอดของพี่ยูคงเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด

ดีหน่อยที่วันนี้เป็นวันธรรมดาในซุปเปอร์มาร์เก็ตคนเลยไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ เดินซื้อของได้สบายๆ โดยไม่ต้องเขียดเสียดหรือแย่งชิง ผมเข็นรถเข้าแผนกครีมอาบน้ำเป็นอย่างแรกเพราะจำได้ว่ามันใกล้จะหมดแล้ว หยิบกลิ่นพีชที่ตัวเองชอบมาสองขวดแล้วหยิบกลิ่นเมนทอลให้พี่ยู ของริวก็ต้องสูตรอ่อนโยนบาธแอนด์บอร์ดี้ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่เพียรสังเกตจนจำได้ ตอนนี้ได้ใช้ประโยชน์แล้ว

“นี่ไง ทำหน้าที่ภรรยาอีกแล้ว” อยู่ๆ เอย์จิที่เดินหายไปหยิบโฟมล้างหน้าก็เอ่ยแซวกัน ผมไม่เข้าใจเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม อะไรคือทำหน้าที่ภรรยาอีกแล้ววะ แค่ซื้อครีมอาบน้ำ แปลกตรงไหน

“ก็นี่ไง รู้ด้วยว่าพี่ยูกับริวใช้ครีมอาบน้ำยี่ห้อไหน กลิ่นไหนด้วย” เขาชี้มือไปที่ขวดครีมอาบน้ำแล้วมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าคนช่างสังเกตจะดูเหมือนภรรยา ตรรกะบ้าอะไรเนี่ย โอย แล้วจะเสือกแก้มร้อนทำไม

“ก็ใช้ห้องน้ำเดียวกันนี่” ผมบอกก่อนจะเข็นรถหนีไปทางอื่น จำได้ว่ารายการของหมดยังมีพวกยาสีฟัน แชมพู กระดาษทิชชู่อีก ถ้าซื้อไม่ครบแย่แน่ๆ

“นี่... ไอ้ครีมอาบน้ำกลิ่นพีชนั่นของปัณณ์เหรอ?” คนที่เดินตามหลังมาเลิกแซวแต่เปลี่ยนเป็นถามถึงของในรถเข็นแทน ผมพยักหน้ารับแบบไม่อายที่มีรสติยมคล้ายผู้หญิงเพราะตัวเองชอบทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกที่มีกลิ่นพีช

“อ่าฮะ ของเราเอง มันหอมดี” ผมตอบกลับไปโดยมือก็คว้าหยิบยาสีฟันแบบน้ำที่อยากลองใช้มาอ่านวิธีการ จะว่าไปก็เหมือนน้ำยาบ้วนปากแค่มีฟองเพิ่มเท่านั้นเอง

“อืม... กลิ่นน่ากินมาก” เอย์จิหยิบขวดครีมอาบน้ำออกไปเปิดดมแล้วพึมพำอยู่คนเดียว ผมที่ได้ยินพอดีเลยพยักหน้าหงึกหงักรับคำ เนี่ยกว่าจะได้มันมาครองอีกครั้งก็หลายเดือนแล้วเพราะของหมดไวมาก... สงสัยสาวๆ คงฮิตใช้กัน

“ใช่ไหมล่ะ? ดมแล้วรู้สึกสดชื่น” ผมหลับตาพริ้มเมื่อคิดถึงกลิ่นหอมหวานของพีช มันให้ความรู้สึกสดชื่น ละมุนละไมไม่ฉุนเกินไปจนทำให้คนรอบข้างอึดอัด

“อืม... เราว่าปัณณ์ระวังตัวหน่อยก็ดีนะ” เอย์จิวางของในมือลงที่เดิมแล้วมองหน้ากันด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์ ผมขมวดคิ้วพลางร้องเสียงหลง อะไรของเขาวะ

“ห๊ะ?”

“พี่ยูจะเขมือบเข้าสักวัน” ทิ้งระเบิดไว้แล้วก็เดินหนีไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบๆ แก้มร้อนระอุ มือไม้อ่อนจนทำขวดยาสีฟันแบบน้ำตก

“.....” แม่ง เลิกซื้อของแล้วกลับบ้านเหอะถ้าจะโจมตีกันขนาดนี้!

หลังจากขนของที่ซื้อมาขึ้นรถเรียบร้อยก็ตรงกลับบ้านทันทีเนื่องจากต้องเตรียมตัวไปรับริวในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า ในระหว่างนั้นพี่ยูโทรมาบอกว่าเลิกประชุมแล้ว ผมอมยิ้มกับการกระทำที่ดูใส่ใจแบบนี้ รายงานตลอดไม่ว่าจะทำอะไร ไปไหน อยู่กับใครโดยไม่ต้องบังคับ อันที่จริงไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้เพราะรู้ว่าคนเรามักมีพื้นที่ส่วนตัวกันอยู่แล้วไม่มากก็น้อย

ผมกับเอย์จิช่วยกันเตรียมมื้อเที่ยงเป็นเมนูข้าวหมูทอดทงคัตสึกินคู่กับสลัดมันฝรั่ง ใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบหนึ่งชั่วโมงแต่ทันเวลาที่พี่ยูกลับถึงบ้านพอดี บรรยากาศตอนนี้มันเหมือนมีควันสีชมพูจางๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ ก็ใครใช้ให้น้องชายตัวแสบของแฟนถีบส่งออกมารับพี่ชายล่ะวะ โอย เหมือนภรรยากับสามีจริงๆ นั่นล่ะ

“กลับมาแล้วครับ” ยิ่งคำพูดของพี่ยูเมื่อเห็นหน้ากันยิ่งทำให้ผมวางตัวไม่ถูก แก้วน้ำที่โดนยัดเยียดให้ถือมาต้อนรับก็สั่นกึกๆ ด้วยความประหม่า บ้าเอ๊ย หยุดคิดเป็นตุเป็นตะก่อนได้ไหมเล่า!

“คะ ครับ เหนื่อยไหม?” ผมถามเสียงสั่นก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้ พี่ยูส่ายหน้าแล้วรับไปดื่มอย่างเป็นธรรมชาติ เฮ้อ โล่งอกที่ไม่ได้แซวเหมือนตอนอยู่กับเอย์จิ

“ชิวๆ ครับ แค่นั่งฟัง ผลประกอบการก็ดี หายห่วง”

“อ๋อครับ แล้วพี่ยูกินข้าวหรือยัง?” ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ในใจลุ้นคำตอบแทบตาย

“อืม... กินมาแล้วล่ะครับ” พี่ยูคลี่ยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวกันอย่างเอ็นดู แต่ผมกลับรู้สึกอยากร้องไห้ แล้วหมูทอดล่ะ... อุตส่าห์ทำไว้ให้เชียวนะ

“เหรอครับ?” ผมก้มหน้าลงมองปลายเท้าตัวเอง ความน้อยใจก่อตัวขึ้นทีละนิด แต่พี่ยูไม่ผิดหรอก ก็ทางนี้ไม่ได้บอกเขาไว้ก่อนว่าจะทำอาหารเที่ยงนี่หว่า เฮ้อ ไอ้ปัณณ์เอ๊ย โง่จริงๆ เลยมึงเนี่ย

“ทำหน้าหงอยเชียว เป็นอะไรหรือเปล่า?” พี่ยูชะงักมือที่ลูบหัวกันอยู่แล้วเลื่อนลงมาประคองใบหน้าให้สบตา ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้

“พอดีว่าทำหมูทอดทงคัตสึกับสลัดมันฝรั่งไว้น่ะครับ”

“อ้าว ขอโทษครับ” พี่ยูดูตกใจมาก เขารีบเอ่ยขอโทษทันทีจนผมได้แต่โบกมือปฏิเสธพัลวัน

“เฮ้ย ขอโทษทำไมครับ ผมผิดเองที่ไม่ได้ถามพี่ก่อน”

“โธ่ คนดีของพี่” พูดแค่นั้นผมก็หน้าร้อนจะแย่ แล้วเขากางแขนทำไมเนี่ย

“จะทำอะไรครับ?” ผมหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ส่วนพี่ยูทำเพียงเลิกคิ้วขึ้น

“กอดปลอบไง” หืม... แบบนี้ก็ได้เหรอวะ เจ้าเล่ห์ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ

“ไม่เอาครับ พี่ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวต้องไปรับริวอีก” ผมปฏิเสธเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินไปดันแผ่นหลังกว้างให้ตรงไปทางห้องนอนแต่เจ้าตัวกลับขืนตัวไว้แล้วพลิกตัวกลับมาสบตากัน ทำไมต้องใกล้ขนาดนี้ด้วยวะ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจเอย์จิคงจูบไปแล้ว

“เดี๋ยวสิ แล้วมื้อเที่ยงล่ะ” ยังจะห่วงมื้อเที่ยงอีกเนอะคนเรา แต่ผมก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปไม่สูญเปล่า

“ก็... เดี๋ยวผมกับเอย์จิจัดการเอง” ไม่ทิ้งหรอกน่าเพราะเสียดายของเหมือนกัน

“ได้ไงล่ะครับ ปัณณ์อุตส่าห์ทำไว้ให้” พี่ยูทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆ จนผมเผลอหัวเราะ คงกลัวคนทำเสียงใจละมั้งที่ตัวเองไม่ได้กิน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวมื้อเย็นผมทำให้ใหม่ก็ได้ หมูทอดเก็บไว้มันไม่อร่อย” นี่เป็นเหตุผลที่ผมบอกว่าจะจัดการอาหารทั้งหมดกับเอย์จิเอง ขืนเก็บไว้ให้เขากินหมูทอดก็ไม่กรอบกันพอดี สู้ทำใหม่ยังภูมิใจมากกว่า

“สัญญาแล้วนะ” ดูความน่ารักของเขาเถอะครับ ชูนิ้วก้อยให้ผมเกี่ยวด้วยแหนะ ทำตัวแอ๊บเด็กไปได้เนอะ

“ครับผม” แต่ผมก็ยอมเกี่ยวก้อยสัญญาล่ะนะ

ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งหกโมงเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว กว่าจะฝ่าการจราจรติดขัดมาได้ก็แทบร้องไห้ พอริวเห็นหน้าผมกับพี่ยูที่ไปรับก็กระโดดเข้ามากอดทันทีโดยมีเรนยืนโบกมือหยอยๆ อยู่ด้านหลัง เจ้าตัวแสบเก่งมากที่ไม่งอแง แต่กลับบ่นงุ้งงิ้งเรื่องคุณครูใบเฟิร์นเพราะเธอถามหาป๊าไม่หยุดหย่อน คืออยากขำก็อยาก หึงก็หึง ไม่รู้จะอะไรยังไงก่อนดี สับสนตัวเองจัง

“ป๊าห้ามไปรับนะ” เจ้าตัวแสบที่นั่งอยู่บนตักผมเอ่ยเสียงดุแล้วหันไปมองคนเป็นพ่อเขม็ง ท่าทางไม่พอใจรางกับโกรธใครมานั่นทำให้ผมต้องกลั้นหัวเราะ สงสัยริวจะหวงพ่อแทนน้าแล้วล่ะ

“อ้าว แล้วริวจะกลับบ้านยังไงครับ?” พี่ยูเหลือบตามองลูกพลางขมวดคิ้วยุ่งเพราะไม่เข้าใจความหมายในการห้าม

“กลับกับน้าปัณณ์” เจ้าตัวแสบกอดอกแน่นพร้อมกับคำหน้าบูดบึ้งใส่พี่ยู ความเด็กขี้หวงนี่มันน่ารักจนผมอดไม่ได้ที่จะแอบบีบแก้ม

“แต่ป๊าก็อยากไปรับริวกับน้าปัณณ์นี่ครับ” เสียงอ้อนลูกของพี่ยูนั้นฟังดูน่ารักน่าหยิกแต่ก็มีความตลกปนอยู่ด้วย ก็นานๆ ครั้งจะได้ยินนี่นา




ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 17 : สลัดมันฝรั่ง P.3 -06/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 06-06-2018 09:01:04
“ไม่ได้! เดี๋ยวคูใบเฟิร์นแย่งป๊า” เจ้าตัวแสบตีหน้ายักษ์แล้วดิ้นอยู่บนตักของผมคงไม่พอใจครูคนสวยจริงๆ เธอทำอะไรกับเด็กล่ะนั่น ไม่กลัวถูกไล่ออกบ้างหรือไงนะ

“หา?” แต่พี่ยูกลับร้องเสียงหลง ทำหน้างงๆ ไม่เข้าใจคำพูดของลูก แต่ผมนี่เบะปากแล้ว หึ จะจำคนที่อ่อยตัวเองไม่ได้เลยหรือไง

“ทำไมพูดแบบนั้นครับริว?” ผมที่ได้สติก่อนเลยถามหลานเสียงเรียบก่อนจะส่ายนิ้วตรงหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่ควรพูดแบบนั้น ริวเบะปากแล้วซบหัวลงบนอกแล้วถูไถเบาๆ คล้ายต้องการอ้อน

“ก็คูบอกว่าป๊าหล่อ อยากเป็นแฟน” ผมนี่เบิกตาโตแล้วหันมองพี่ยูเขม็ง ทำไมเธอกล้าพูดแบบนั้นต่อหน้าลูกชายเขาได้วะ ทาวนี่ไปอ่อยอะไรไว้หรือเปล่าเนี่ย ชักตะหงิดๆ แล้วนะ

“โห... แล้วริวไม่ยกป๊าใครครูเหรอครับ?” ยังจะมีหน้ามาถามลูกแบบนั้นอีก แล้วอะไรคือการที่เหลือบตามองผมด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มแบบนั้น อยากตายก่อนแก่สินะ หึ

“ไม่! ริวหวง น้าปัณณ์ก็หวงป๊า” ดะ เดี๋ยวก่อนครับริว จะมัดมือชกแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย น้าเปล่า!

“อู้ว จริงเหรอครับน้าปัณณ์” ครั้นจะปฏิเสธก็ไม่ทันพี่ยูที่ออกปากถามด้วยใบหน้าระรื่น แล้วทำไมรถต้องตืดไฟแดงพอดีด้วยเนี่ย โธ่เว้ย

“หะ หวงที่ไหนล่ะครับ เชื่อริวไปได้” ผมตอบกลับเสียงตะกุกตะกักพลางเสมองไปทางอื่นเพราะทนสายตาของพี่ยูไม่ไหว ลึกๆ ในใจก็รู้สึกหวงเขาจริงแต่ไม่อยากให้รู้หรอก เดี๋ยวก็ยกมาพูดแหย่กันอีก เขินตายพอดี

“แต่เด็กไม่เคยโกหกนะครับ” จะย้ำทำไมเนี่ย!

“พี่ยู...” ผมหันไปเรียกชื่อเขาเสียงดุ แต่เกือบแพ้เพราะเจอสายตาหวานๆ ที่ส่งมา คาดว่าคงต้องไปหาหมอแล้วล่ะ หัวใจเต้นแรงผิดปกติจนน่ากลัวขนาดนี้

“ไม่ดุสิครับ” อย่าอ้อนผมด้วยน้ำเสียงที่ใช้กับริวสิ ไม่อยากแพ้ราบคาบ

“เสน่ห์แรงนักนะครับ ระวังตัวไว้เถอะ” ผมบ่นพึมพำก่อนแสร้งมองออกไปนอกรถ ตอนนี้สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว อีกไม่นานคงถึงบ้าน

“พี่ไม่คิดจะนอกใจแฟนหรอกครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกกันทำให้ผมต้องรีบหันขวับไปห้ามเพราะกลัวว่าริวจะได้ยิน เผลอเอื้อมมือไปปิดปากพี่ยูด้วยว่ะ ทำไมมันนุ่มน่าจูบขนาดนี้

“ชู่ว เดี๋ยวริวได้ยิน”

“ไม่หรอกครับ เจ้าตัวแสบหลับไปแล้ว” พี่ยูจับมือผมไว้แล้วพยักพเยิดหน้าให้ดูเจ้าตัวแสบที่หลับคอพับคออ่อนไปแล้ว ก็ว่าทำไมเงียบแปลกๆ

“อ้าว เมื่อกี้ยังคุยกันอยู่เลย”

“สงสัยจะเพลียล่ะมั้งที่ไปโรงเรียนวันแรก” พี่ยูออกความเห็นซึ่งมันก็คงจริงตามนั้น แต่ไม่ต้องเนียนจับมือผมไปตลอดทางจนถึงบ้านก็ได้มั้ง แล้วจะยิ้มทำไมล่ะเนี่ย

ผมเข้าครัวทำอาหารมื้อเย็นอีกครั้งโดยเปลี่ยนลูกมือเป็นพี่ยูแทนเนื่องจากว่าเอย์จิออกไปเที่ยวกับเพื่อน คงเป็นผับหรูสักแห่งใกล้ๆ บ้านล่ะมั้งเห็นไลน์มาบอกกันว่ากลับไม่เกินเที่ยงคืน

เมนูมื้อนี้มีหมูทอดทงคัตสึทำใหม่ของพี่ยูส่วนของริวเป็นปลาแซลมอนย่างซีอิ๊วแล้วเพิ่มโซบะเย็นของผมไปอีกหนึ่งอย่าง ถ้าทำกุ้งเทมปุระด้วยจะเยอะไปไหมนะ แต่อยากกิน... งั้นจัดไปแล้วกัน

“ปัณณ์ครับ” ผู้ช่วยคนสำคัญที่กำลังช่วยเตรียมเนื้อแซลมอนเอ่ยเรียกชื่อกัน ผมชะงักมือที่กำลังพลิกหมูทอดในกระทะแล้วหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ครับ?”

“พี่ไม่ได้คิดอะไรกับครูใบเฟิร์นนะ บล็อกไลน์แล้วด้วย” หืม อยู่ๆ ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะผมแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้ามากไปอย่างนั้นเหรอ

“แต่เบอร์โทรศัพท์ก็ยังมีนี่ครับ” ก็ว่าจะไม่อะไรแล้ว แต่มันคิดได้พอดีเรื่องโทรศัพท์เนี่ย ไลน์ไม่ได้ก็ใช่ว่าจีบไม่ได้นี่หว่า

“เธอไม่กล้าโทรหรอก” พี่ยูคลี่ยิ้มบางก่อนจะก้มหน้าก้มตาหยิบแซลมอนไปนาบกับกระทะเป็นการย่างแบบง่ายๆ

“ทำไมถึงมั่นใจจังครับ” ผมถามกลับแล้วหันกลับไปสนใจหมูทอดในกระทะต่อ เกือบไหม้เลย เฮ้อ ตักใส่จานดีกว่า

“เพราะเธอเคยโดนพี่ดุน่ะสิ มีอย่างที่ไหนเอาเรื่องริวมาอ้างแล้วโทรมาหาตอนจะสี่ทุ่ม” เคยมีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนล่ะ

“ก็เธอชอบพี่ยูนี่ครับเลยพยายามหาเรื่องคุยเป็นธรรมดา” ผมสันนิษฐานตามทั่วไป เหลือบมองปฏิกิริยาของพี่ยูไปด้วย ไม่หือไม่อือแต่กลับยิ้มกริ่ม อะไรวะ

“แต่พี่ชอบปัณณ์นี่ครับ แล้วก็อยากชวนคุยไปทั้งชีวิตเลย”

“แม่ง...” ผมว่าอาหารมื้อนี้คงติดรสหวานจนกินไม่ได้เลยล่ะ ฮึ่ย!




-----------------------------------------


พี่ยูนีีมันพี่ยูจริงๆ เลย ทำปัณณ์หลงจนหัวปักหัวปำแล้ว ร้ายกาจ!
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 17 : สลัดมันฝรั่ง P.3 -06/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-06-2018 01:21:15
งานอิเรกพี่ยูคือทำสวนอ้อยแน่ๆ555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 17 : สลัดมันฝรั่ง P.3 -06/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: singalone ที่ 08-06-2018 13:58:28
โดนหยอดขนาดนี้ ไม่รอดแน่ๆ 5555555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 17 : สลัดมันฝรั่ง P.3 -06/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-06-2018 20:25:31
ไม่มีที่ว่างให้คุณคูนะค๊าา อิอิ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 18 : เกี๊ยวซ่า P.3 -19/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-06-2018 20:16:28
จานที่ 18 : เกี๊ยวซ่า



อยู่ๆ ผมก็ได้รับคำสั่งจากพี่ยูให้เก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยความที่เพิ่งตื่นนอนเลยทำตามโดยไม่มีข้อสงสัยจนเมื่อต้องหยิบชั้นในของเขาก็ได้สติขึ้นมา นี่พวกเรากำลังจะไปไหนกันแถมยังสองต่อสองอีกด้วย แปลกเกินไปแล้ว

“พี่ยูครับ” ผมวางของในมือลงแล้วเอ่ยเรียกคนที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำพอดี เขานุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวปกปิดท่อนล่างแล้วเปลือยช่วงบนโชว์ซิกแพคแน่นๆ ตอนแรกก็ทำใจไม่คิดอกุศลได้แล้วแต่ทำไมรู้สึกคัดจมูกเหมือนกำเดากำลังจะไหล

“ครับ?” เขาตอบรับพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถามก่อนจะพาร่างกายเปียกๆ ขยับเข้ามาใกล้กัน ผมรีบผละหนีจนชิดขอบเตียง สอดส่ายสายตามองพี่ยูอย่างระแวดระวัง สถานการณ์ตอนนี้ล่อแหลมเกินไปแล้ว ไอ้เรื่องที่จะถามก็เกือบลืม โอย สติ!

“เอ่อ พี่ให้ผมจัดกระเป๋าเดินทางทำไมครับ เราจะไปไหนกันเหรอ?” ผมขยับขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วมองหน้าพี่ยูสลับกับกระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่ มีชั้นในสีขาวสะอาดวางกองไว้ด้านข้าง ตอนหยิบมาก็ยังเบลอๆ ไม่ได้มีอาการขัดเขินอะไร แต่พอเจ้าของมันยิ้มกริ่มเท่านั้นล่ะ เหมือนมีภูเขาไฟอยู่บนหน้าเลยว่ะ ร้อนได้อีก

“ฮันนีมูนครับ”ตอบพร้อมกับโน้มตัวมาคร่อมกันเอาไว้ ทำให้กลิ่นสบู่อ่อนๆ โชยมาปะทะจมูกจนผมต้องเบนหน้าหนีจากยอดอกที่เกือบจะทิ่มตาอยู่แล้ว ถ้าในหัวไม่คิดเรื่องสัปดนคงอ้าปากกัดให้ขาด แม่ง อ่อยกันอยู่ได้แถมยังได้ผลอีกด้วย

แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่พี่ยูบอกว่าเราจะไปไหนกันนะ?

“ฮันนีมูนบ้าอะไรครับ แค่ตกลงเป็นแฟนไม่ใช่แต่งงาน” ผมท้วงเสียงดังก่อนจะเบ้ปากใส่คนขี้ตู่ที่ผละตัวออกไปยืนขำซะจนหน้าแดง ตลกมากเลยหรือไงที่ทำให้คนอื่นเขินเนี่ย สนุกใช่ไหม ฝากไว้ก่อนเถอะ

“ดุนะเราเนี่ย” ยังไม่หยุดแกล้งกันอีก

“ผมไม่ใช่หมา” ผมบุ้ยปากใส่พี่ยูแล้วขยับข้ามไปอีกฟากของเตียง ตอนนี้อยู่ห่างจากเขาได้เท่าไหร่ยิ่งดีเพราะไม่รู้ว่าไอ้ผ้าขนหนูผืนจิ๋วจะหลุดลงมาเมื่อไหร่ ขยับทีก็คลายปมที

“โอ๋ๆ เสียงแข็งเชียวครับ พี่แค่จะพาไปญี่ปุ่นวันมะรืน” พี่ยูคลี่ยิ้มหวานตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนชวนกันไปห้สงแถวบ้านแต่ผมกลับเบิกตาโตมองอีกคนอย่างไม่เชื่อ อยู่ๆ ก็จะได้ไปญี่ปุ่นกันสองต่อสองเนี่ยนะ มันเรื่องบ้าอะไร ริวล่ะ ร้านอาหารล่ะ?

“ห๊ะ ไปทำไมครับ?” เอียงคอถามด้วยความสงสัย

“ไปเที่ยวครับ สองต่อสอง จะเรียกว่าเดทก็ได้นะ” พี่ยูคลี่ยิ้มหวานแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูอีกผืนเพื่อเช็ดผม ปล่อยให้คนฟังได้แต่ยืนกัดปากแน่น อยู่ๆ ก็เขินขึ้นมาซะอย่างนั้น โธ่ แบบนี้แพ้ราบคาบเลยสินะ

“ทำไมเดทซะไกลเลยครับ” ผมถามกลับเสียงอ้อมแอ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้พี่ยู เขาชะงักมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากัน ตรงนี้แอร์ลงพอดีเลยว่ะ โคตรหนาว กระโดดกอดเขาได้ไหมเนี่ย

“เผื่อเปลี่ยนบรรยากาศแล้วปัณณ์อยากกุ๊กกิ๊กกับพี่ไง” โน้มตัวลงมาใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ ปะทะเข้าที่แก้ม สายตาคมฉายแวววิบวับจนรับรู้ได้ถึงความอันตรายจนผมต้องผงะถอยหลัง เกือบเหยียบผ้าเช็ดเท้าลื่นล้มตายแล้วไหมล่ะ

“ในหัวมีแต่เรื่องลามกเหรอครับ?” ผมหรี่ตามองอีกคนแล้วหันหลังเพื่อเดินกลับไปหาเตียง ตั้งใจว่าจะจัดกระเป๋าต่อให้เสร็จเพราะเดี๋ยวก็ต้องไปส่งริวที่โรงเรียนเหมือนทุกวัน

“โธ่ พี่ดูเป็นคนเลวขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสียงบ่นงุ้งงิ้งอยู่ใต้ผ้าขนหนูทำให้ผมลอบเบะปากได้อย่างสะดวก คนอย่างพี่ยูไม่เลวหรอก แค่นิสัยที่ปกปิดไว้มันค่อยๆ ออกลายเท่านั้นเอง หึ ตอนเป็นพี่น้องก็ดูเป็นคนธรรมะธรรมโมอยู่หรอก แต่เป็นแฟนนี่... หื่นแทบไม่เลือกเวลาเลยมั้ง

“ยิ่งกว่านั้นอีกครับ” ผมแกล้งแหย่ไปแบบนั้นแล้วเลิกสนใจคนที่แทบจะเหวี่ยงผ้าขนหนูทิ้ง ปลายสายตาเห็นว่าเขาทำสีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนจะร้องไห้

“เสียใจจัง” น้ำเสียงตอแหลได้อีกครับ เฮ้อ นี่เขาเรียกมารยาผู้ชายหรือเปล่า

“มัวแต่เล่นอยู่ รีบแต่งตัวแล้วไปทำอาหารเช้าครับ เดี๋ยวลูก... เอ่อ ริวจะสาย” ผมไม่ได้ตั้งใจจะเรียกริวว่าลูกแต่มันติดมาจากฟังพี่ยูบ่อยๆ แม่ง ปากพาซวยตั้งแต่เช้า ไม่รู้ว่าเขาโกรธหรือเปล่า ก็เป็นแค่น้าอยู่ๆ สถาปนาตัวเองไปเทียบเท่าได้ยังไง พอเหลือบสายตามองก็เห็นว่าอีกคนยิ้มอยู่

“ชอบนะ”

“หา?” ผมอุทานเสียงหลงพร้อมกับเบิกตาโตด้วยความสับสน ไม่เข้าใจว่ามาบอกชอบทำไมเวลานี้ มือที่กำลังจะหยิบชั้นในใส่กระเป๋าชะงักกึกรอฟังคำอธิบายจากพี่ยู

“ชอบให้ปัณณ์เรียกริวว่าลูก” พี่ยูขยิบตาให้กันก่อนจะหันหลังเพื่อเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่โดยปล่อยให้ผมได้แต่มองแผ่นหลังนั่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ควรดีใจหรือเปล่าวะ

“คือ... มันออกจะแปลกๆ” ผมพึมพำแล้วก้มหน้าก้มตาจัดกระเป๋าต่อหยิบผิดหยิบถูกบ้างเพราะสติไม่อยู่กับตัว เกือบเอาหมอนใส่ไปด้วยแล้วไหมล่ะ โอย ใจเย็นๆ ไอ้ปัณณ์

“พี่อยากให้ปัณณ์ทำหน้าที่แม่นะ แต่ไม่ได้เป็นตัวแทนป่าน ห้ามคิดแบบนั้น” พี่ยูหันกลับมาสบตากันนิ่งด้วยสภาพที่มีเสื้อยืดสีเข้มสวมใส่เรียบร้อย ผมอึกอักเพราะไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป ตอบรับ ปฏิเสธหรือยังไง มันสมควรแล้วเหรอที่ผู้ชายจะได้หน้าที่แม่ไป ความรู้สึกริวอีกล่ะ

“เรื่องนั้น...”

“เอาไปคิดดูเนอะ ถ้าได้คำตอบเมื่อไหร่ก็บอกพี่” พี่ยูก็ยังคงเป็นพี่ยูคนดีเหมือนเดิม ไม่คาดคั้น ให้เวลาในการคิดทบทวนเสมอ เฮ้อ เอาเป็นว่าผมจะลองศึกษาวิธีการเป็นแม่แล้วกัน

ห้องนั่งเล่นในตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะคิดคักจากหลานชายตัวแสบ เดาว่าคงโดนคนพ่อไม่ก็อาหยอกล้ออยู่แน่ๆ ส่วนผมกำลังจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วออกไปสมทบด้านนอก สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเปิดประตูคือสภาพหมอนอิงกระจัดกระจาย ทิชชู่เช็ดปากเกลื่อนเต็มพื้น เอย์จินอยหงายอยู่บนโซฟาโดยมีริวนั่งขย่มท้อง นี่มันอะไรกัน!

“ทำอะไรกัน?” ผมถามเสียงเย็นแล้วก้าวเท้าไปยืนอยู่หลังโซฟา คนที่ชะงักกึกคือเอย์ที่สบตากันพอดี เขาทำหน้าขอโทษขอโพยและพยายามบอกให้ริวหยุดเล่นแต่ดูเหมือนไม่ได้ผลเพราะเจ้าตัวแสบน่าจะติดลม

“ริวครับ น้าปัณณ์ทำหน้ายักษ์อยู่ด้านหลัง” เอย์จิสะกิดบอกหลานด้วยสีหน้าสำนึกผิดเมื่อกวาดตามองบริเวณรอบตัว ผมพยักพเยิดให้เขาลุกขึ้นทำความสะอาดในขณะที่ริวชะงักแล้วหันมามองด้วยดวงตาไร้เดียงสาแถมรอยยิ้มสดใสรับเช้าวันใหม่ จะดุยังไงดีล่ะวะ

“ริวช่วยอาเอย์จิเก็บของที่หล่นอยู่บนพื้นได้ไหมครับ?” ผมเปลี่ยนจากการดุเป็นถามเพื่อกระตุ้นให้หลานคิดตามว่าควรทำยังไง ริวนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับแล้วลงจากตัวเอย์จิไปยืนอยู่บนพื้นแต่ดูเหมือนจะมีเรื่องข้องใจเพราะเขาขมวดคิ้ว

“ทำไมผมต้องเก็บอ่า?” ถึงจะพยักหน้าตกลงแต่ความสงสัยในฉบับเด็กๆ ยังคงอยู่ ผมถึงกับมองหน้าเอย์จิอย่างขอตัวช่วยเพราะชีวิตนี้ไม่เคยออกปากสอนใครจริงจัง ยิ่งเป็นหลานตัวเล็กจะทำยังไงให้เขาเข้าใจ ต้องวิ่งไปถามพี่ยูในครัวหรือเปล่าวะ

“ก็... ริวทำของตกก็ต้องเก็บใช่ไหมครับ? บ้านจะได้สะอาดไง”

“อื้อ อาจิเก็บของกัน หิวๆ แล้ว ~” เจ้าตัวแสบคลี่ยิ้มให้ผมก่อนหันไปสะกิดคนเป็นอาให้ช่วยเก็บของที่ตกบนพื้น ทั้งสองช่วยกันอย่างดีโดยไม่บ่นสักคำ กระดาษทิชชู่ลงถังขยะ หมอนอิงกลับมาอยู่บนโซฟาเรียบร้อย ผมที่ยืนมองอยู่เงียบๆ ก็ได้แต่ยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินผ่านเข้าไปในครัวเพื่อช่วยพี่ยูเตรียมมื้อเช้า

หลังจากที่ส่งริวแล้วพี่ยูก็พาผมไปที่ร้านอาหารเพื่อทำงานหลักตามปกติ วันนี้เรามีเมนูแนะนำเป็นเกี๊ยวซ่าราดชีสซอสสไปซี่เลยทำให้ร้านแน่นขนัดกว่าปกติ กลุ่มลูกค้าก็ยังคงเป็นสาวๆ แทบทุกวัยซะส่วนใหญ่ บ้างก็มากินอาหารจริง บ้างก็มาส่งเชฟคนหล่อเป็นอย่างนี้ประจำจนเริ่มชิน จะหึงหวงไปก็เปล่าประโยชน์ ใช้วิธีปลงซะดีกว่า

อย่างเช่นตอนนี้มีสาวหน้าตาน่ารักกับเพื่อนอีกสองคนนั่งอยู่หน้าเค้าน์เตอร์บาร์กั้นกระจกใสที่พี่ยูกำลังยืนทำข้าวปั้นตรงนั้น เธอกระซิบกระซาบกับเพื่อนเสียงดังพอตัวว่าอยากได้ไลน์ของเชฟคนหล่อซึ่งผมที่เดินผ่านถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันที อยากบอกเหลือเกินว่าเขามีแฟนแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ ต้องอดทนทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเท่านั้น นี่ล่ะที่เขาบอกว่าลูกค้าคือพระเจ้าและเป็นคนจ่ายเงินเดือนเราที่แท้จริง

ผมกลั้นใจเดินผ่านเค้าน์เตอร์บาร์และทำเป็นไม่สนใจคำพูดของพวกเธอเพื่อตรงไปเสิร์ฟน้ำที่โต๊ะริมบานกระจกที่อยู่ในมุมปลีกวิเวก ชายหนุ่มหน้าตาดีที่มาพร้อมกับกระดานวาดรูป เดาว่าคงเรียนสถาปัตย์ไม่ก็พวกที่เกี่ยวกับการออกแบบ เขาชอบมานั่งกินข้าวแล้วทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อรอใครอีกคนเข้ามาสมทบ จะถือว่าเป็นลูกค้าประจำก็คงได้มั้ง

“น้ำครับ” ผมเอ่ยขึ้นเมื่อทำการวางแก้วคาปูชิโนเฟรปเป้ลงบนโต๊ะ เด็กหนุ่มชะงักมือที่กำลังวาดรูปแล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กันเป็นการขอบคุณ ถ้าเป็นแต่ก่อนคงได้เต๊าะเพื่อเอาไปเป็นคู่นอนแล้วล่ะ คนอะไรสายตาแพรวพราวเหลือเกิน

“วันนี้พี่ทำเองหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มถามขึ้นแล้วใช้ดินสอในมือชี้ไปที่แก้วน้ำของตัวเองแล้วมองหน้ากันเพื่อรอคอยคำตอบ ส่วนผมที่รู้ทันว่ากำลังจะโดนเต๊าะเลยคลี่ยิ้มหวานก่อนส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธ แค่สวิตซ์เปิดเครื่องทำกาแฟอยู่ตรงไหนยังไม่รู้เลย จะให้ทำคงไม่ไหว

“พี่อีกคนทำให้เหมือนเดิมครับ” แล้วพยักพเยิดหน้าไปทางพี่เคียวที่กำลังรับออเดอร์อยู่โต๊ะถัดไป รายนั้นสาวๆ ก็รุมไม่น้อยเหมือนกัน นี่ถ้าพี่สะใภ้รู้เข้าคงโดนสวดยับแน่

“โธ่ ผมอยากชิมฝีมือพี่บ้างนี่นา ต้องอร่อยมากแน่ๆ เลย” เด็กหนุ่มส่งสายตาอ้อนมาให้จนผมหลุดหัวเราะออกมา อ่อยเก่งจริงๆ เลยน้า แต่ก็น่ารักดี ถือว่าเป็นสีสันชีวิตแล้วกัน

“ถ้าพี่ทำให้ขึ้นมาจริงๆ แล้วไม่อร่อย เราจะว่ายังไงครับ?” ถามหยั่งเชิงทั้งที่รู้ว่าต่อไปต้องโดนมุกจีบแน่ๆ เจ้าเด็กคนนี้มันร้ายพอตัวผมดูออก แต่ไม่เป็นพิษเป็นภัยเพราะอีกคนที่ชอบมาสมทบทีหลังเหมือนจะคุมน้องอยู่ ประมาณเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อทั้งคู่แต่ไม่กล้าจีบกันทำนองนั้น

“ไม่ว่าพี่จะทำมาหวานเจี๊ยบหรือขมปี๋ แต่ใจผมมันบอกว่าอร่อยก็คืออร่อย” ปากหวานไม่พอยังส่งยิ้มหวานละลายใจคนฟังมาให้อีก ผมยอมรับว่าอึ้งไปเหมือนกันกับมุกจีบแบบนี้ จะว่ามันเสี่ยวก็ใช่แต่ดูน่ารักมากกว่า ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นลูกค้าคงลากไปฟัดให้น่วมแล้ว อ่อยแรงจริงๆ เลย

“หืม... เต๊าะเก่งนะเรา พี่ขอตัวไปทำงานต่อก่อนดีกว่าเนอะ” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วโบกมือลาเจ้าเด็กขี้อ่อย ก่อนจะไปก็เห็นสีหน้าหงอยๆ ที่แกล้งทำ สังเกตได้ง่ายจากแววตาที่ฉายแววทะเล้นกับมือที่ยกดินสอเคาะกับกระดานวาดรูปเป็นจังหวะ ก๊อกๆ

“รีบมาเสิร์ฟอาหารของผมเร็วๆ นะครับ” แหนะ จะมาไม้ไหนอีกครับพ่อคนขี้เต๊าะ

“ก็ตามคิว” ส่วนผมก็ทำตัวใสซื่อไม่เข้าใจสิ่งที่น้องกำลังจะสื่อ

“คิดถึง” เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ ประกอบคำพูดพร้อมด้วยส่งสายตาน้องหมาอ้อนเจ้านายมาให้ ส่วนผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทำเพียงแค่ยิ้มแล้วหันหลังเดินออกมาเท่านั้น ขืนต่อความยาวสาวความยืดเดี๋ยวพี่ยูได้พุ่งเข้ามาตบกบาลแยกทั้งคู่แน่ๆ ก็เขาเห็นแล้วนี่ หึหึ ถือว่าหายกันเรื่องหึงหวงเนอะ

ผมถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินไปนั่งพักในส่วนครัวเมื่อลูกค้าซาลงในช่วงบ่ายสองโมง ขณะนั้นพี่ยูกำลังทำมื้อเที่ยงสำหรับเราสามคนอย่างคล่องแคล่วมองดูแล้วเพลินตาดี แผ่นหลังกว้างน่าซบ ท้ายทอยทุยๆ น่าจูบ เอวสอบก็น่าวาดแขนโอบ สรุปว่าอะไรก็ดีไปซะหมดจนเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในฝันที่ได้ผู้ชายคนนี้เป็นแฟน

กลิ่นหอมของอาหารลอยปะทะเข้ากับจมูกทำให้ผมได้สติว่าอีกคนกำลังตักยากิโซบะใส่จาน สีสันดูน่ากินจนเรียกให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานอย่างหนัก พี่ยูเหลือบสายตามองกันเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็เงียบแล้วเดินเอากระทะไปวางในซิงค์ล้างจาน รู้สึกบรรยากาศมาคุชอบกล ขอออกไปตามพี่เคียวมากินมื้อเที่ยงดีกว่า แต่ครั้นจะลุกขึ้นกลับโดนมืออุ่นๆ รั้งเอาไว้

“ปัณณ์ เมื่อกี้น่ะ...” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะเงียบไปแต่มือยังไม่ผละออกจากหัวไหล่ที่รั้งกันไว้เมื่อครู่ สภาพตอนนี้คล้ายพระนางในละครหลังข่าวหรือเปล่านะ

“ครับ?” ผมหันไปมองแล้วขานรับสั้นๆ พี่ยูหลับตาลงก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกำลังเตรียมพร้อมกับอะไรบางอย่างซึ่งถ้าให้เดาคงเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น อดทนมาจนถึงตอนนี้ได้ถือว่าเก่งมาก สมแล้วที่เป็นผู้ใหญ่แยกงานกับความเป็นส่วนตัวออกจากกันได้

“ไม่ได้คิดอะไรกับไอ้เด็กคนนั้นใช่ไหม?” น้ำเสียงสั่นจนจับความรู้สึกได้ว่าเขากำลังกลัว ผมไม่เสียใจที่ทำให้เกิดเรื่องนี้แต่ดีใจมากกว่าที่เห็นพี่ยูให้ความสำคัญกับความรักของเราถึงแม้จะมีการระแวงเกิดขึ้นก็ตาม มันก็แค่เล็กน้อยไม่ได้มากจนรู้สึกกดดันอะไร ดีซะอีกที่ได้เห็นมุมขี้หึงขี้หวงบ้าง

“ก็... คิดครับ” ผมไม่ได้แกล้งตอบแต่เป็นการบอกสิ่งที่คิดอยู่ในหัวจริงๆ ใครจะสามารถมองข้ามเด็กหน้าตาดีที่ตั้งใจเต๊าะกันเพื่อสร้างสีสันในชีวิต ไม่ได้จริงจังถึงขนาดว่าถ้ามึงไม่รับรัก กูจะทำร้ายตัวเอง

“ปัณณ์” พี่ยูใช้น้ำเสียงเย็นสัมผัสได้ถึงความโมโหและหงุดหงิด ดวงตาคมฉายแววเกรี้ยวกราดที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาถลกหลังกันหากผมบอกว่าสนใจเด็กคนนั้นเหมือนที่สนใจตัวเขา โธ่ แค่ชอบไม่ได้แปลว่าต้องเชิงชู้สาวหรือเปล่า ขี้หึงนะเราเนี่ย

“อย่าเพิ่งดุสิ น้องเขาแค่น่ารักดี ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นซะหน่อย” ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยื่นมือไปดึงแก้มเพื่อให้หน้าบึ้งๆ ของพี่ยูคลายออกสักที ไม่เห็นต้องเครียดขนาดนั้นเลย โธ่

“ก็แล้วไปครับ แต่เด็กนั้นจีบปัณณ์” พี่ยูกอบกุมมือของผมไว้แล้วเอาแก้มแนบลงมาก่อนจะถูไถเบาๆ อย่างออดอ้อน ถ้าพูดถึงเรื่องอายุแล้วคงดูไม่เหมาะสมแต่ทำไมกลับรู้สึกว่าน่ารักดี

“เปล่าหรอกครับ น้องก็แค่อ้อนๆ โปรยเสน่ห์ตามนิสัยเจ้าชู้ ความจริงแล้วมีคนคุม” ผมบอกในสิ่งที่คิดไว้แล้วคลี่ยิ้มหวานๆ ให้คนขี้กลัว หลังจากนั้นก็ผละมือออกเพื่อเตรียมตัวไปเรียกพี่เคียวเข้ามากินมื้อเที่ยง มัวแต่คุยไม่รู้ว่าอาหารเย็นหมดหรือยัง

“หมายความว่ายังไง?” แต่พี่ยูกลับยังไม่หมดข้อสงสัย หัวคิ้วขมวดอีกครั้งจนผมต้องยื่นมือไปคลึงมันให้คลายออกเบาๆ แล้วตอบกลับไป

“ก็... ผู้ชายอีกคนที่ตามมาทีหลังไงครับ”

“อย่างนั้นเหรอ? อืม ช่างมันเถอะ กินมื้อเที่ยงกันดีกว่าเนอะ” แล้วเรื่องนั้นก็ถูกปัดตกไปเมื่อพี่ยูดึงมือผมไปจูบแล้วชวนกินข้าวอย่างหน้าตาเฉย แม่ง... คิดว่าคนโดนกระทำไม่เคยหรือยังไงวะ ร้ายจริงๆ เลย แฟนใครเนี่ย

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกเพราะตอนนี้ผมกับพี่ยูอยู่ที่สนามบินเพื่อเตรียมขึ้นเครื่องมุ่งสู่สนามบินนาริตะแล้ว กระเป๋าเดินทางใบเขื่องสำหรับเที่ยวหนึ่งอาทิตย์กำลังถูกลากเข้าเกทผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ มองไปรอบๆ ก็คิดถึงวันวานที่เคยเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่อง ถามว่าอยากกลับมาทำไหมก็คงมีความรู้สึกอยู่นิดหน่อยแต่ปัจจุบันก็ดีไม่แพ้กัน

“ตื่นเต้นไหมครับ?” พี่ยูที่เดินอยู่ข้างกันถามขึ้นลอยๆ ดีหน่อยที่ผมเข้าใจว่าเขาคุยด้วยเลยทำให้หาคำตอบได้ทันที

“แค่ไปญี่ปุ่นทำไมต้องตื่นเต้นครับ?” ไม่ได้ตอบแต่ถามกลับไปเพราะไม่เข้าใจว่าประเทศญี่ปุ่นมันน่าตื่นเต้นยังไง บางทียังคิดว่าที่นั่นเป็นบ้านหลังที่สองอยู่เลย บินไปกลับบ่อยเหลือเกิน เที่ยวจนแทบครบทุกที่แล้วมั้ง

“ก็ได้ไปกับพี่แค่สองคนไงครับ” พี่ยูมองหน้ากันและยิ้มกริ่มก่อนจะปล่อยให้ผมยืนคว้างอยู่กลางทางเพราะเขาเดินเข้าร้านค้าเพื่อไปซื้อน้ำกับลูกอมซะแล้ว แม่ง คนบ้าอะไรทิ้งระเบิดลูกใหญ่แล้วหนีแบบนี้ เขินนะเว้ย จากที่ไม่ตื่นเต้นในตอนแรก ตอนนี้กลับควบคุมจังหวะหัวใจไม่ได้เลย ฮื่อ!

ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วในการออกเดินทาง แอร์โฮสเตสของสายการบินกำลังสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะยังจำได้ขึ้นใจ ส่วนทางพี่ยูกำลังหยิบนิตยสารท่องเที่ยวในกระเป๋าหน้าที่นั่งขึ้นมาพลิกอ่านไปเรื่อย อีกไม่นานก็ต้องเข้านอนกันแล้ว ใครจะมานั่งแหกขี้ตาเล่นอะไรตอนเที่ยงคืนล่ะ

“ทริปหน้าไปไหนกันดีครับ?” พี่ยูถามขึ้นทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากหนังสือ ผมเหลือบมองก็เห็นว่าเป็นหน้าแนะนำประเทศนิวซีแลนด์เมืองของแกะ แกะ แล้วก็แกะมีอากาศบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยธรรมชาติซึ่งนั่นก็เป็นเมืองในฝันที่อยากไปสัมผัสสักครั้งถ้ามีโอกาส

“ที่ถามเนี่ย จะพาผมไปเหรอ?” ผมละสายตาจากหนังสือแล้วมองใบหน้าด้านข้างของพี่ยูอย่างพิจารณาโดยไม่สนว่าเขาจะคิดยังไงกับคำถาม เป็นคุณพ่อลูกหนึ่งที่หล่อมากแถมเสน่ห์แรงตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่ม ขนาดตอนนี้สาวๆ ที่นั่งอยู่อีกฝั่งยังจ้องตาเป็นมัน หึ จับแลกที่ซะดีไหมนะ

“ใช่ครับ อยากไป... ที่ไหนล่ะ?” พี่ยูชะงักกลางประโยคเมื่อเงยหน้าขึ้นจากหนังสือแล้วพบว่าผมกำลังจ้องอยู่ด้วยสายตาสื่อความหมาย ก็แค่อยากให้รู้ไม่ว่าเวลาไหนก็รัก ห่วง และหวงเสมอแต่ทำไมต้องเบิกตาโตใส่กันขนาดนั้นด้วยวะ ตกใจ เขิน หรือไม่ชอบเนี่ย

“นิวซีแลนด์ครับ อยากไป” ผมตอบแล้วจ้องหน้าเขาก่อนจะถือวิสาสะแอบสอดคล้องแขนกันเอาไว้เพื่อเนียนบอกสาวๆ อีกฝั่งหนึ่งว่าให้เลิกมองและเลิกกระซิบกระซาบว่าอยากสานสัมพันธ์กับผู้ชายคนนี้ พี่ยูเลิกคิ้วขึ้นเหมือนสงสัยแต่ก็ไม่ถามอะไรออกมาถือเป็นเรื่องดี ไม่อย่างนั้นคงเขินจนแทบอยากมุดดินหนีที่แสดงอาการหึงหวงออกมาชัดเจน

“ไว้ทริปหน้าเราไปกันสามคนเนอะ” จบประโยคด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะเก็บหนังสือลงในกระเป๋าหน้าที่นั่ง

“พ่อแม่ลูกสินะครับ” ผมกระซิบเบาๆ ข้างหูก่อนจะผละตัวออกมาเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้แอร์โฮสเตสเอาไปเม้าท์สักเท่าไหร่ ก็รู้จักกันหมดทุกคนนี่หว่า เขินเป็นธรรมดาล่ะน่า แต่พี่ยูช็อกไปแล้วมั้งนั่น โธ่ๆ พ่อคนรักครอบครัว

“ปัณณ์...” เขาเรียกชื่อผมเสียงสั่น แววตาที่มองมาเต็มไปด้วยความดีใจ เชื่อว่าถ้าตอนนี้อยู่กันสองคนคงพุ่งเข้ามาจูบกันแล้วแน่ๆ

“ผมจะลองเป็นแม่ให้ริวดูครับ พี่ช่วยกันด้วยนะ” ผมคลี่ยิ้มหวานอย่างจริงใจแถมยังชักชวนให้ช่วยดูแล ‘ลูก’ ด้วยกัน ตอนนี้เครื่องปรับอากาศบนเครื่องที่ว่าหนาวยังแพ้ความอบอุ่นในหัวใจ

“ไม่มีปัญหาครับที่รัก”

แม่งเอ๊ย ใครใช้ให้เรียกที่รักด้วยเสียงกระเส่าแบบนั้นวะ ทริปญี่ปุ่นนี่มีจุดประสงค์ไปเที่ยวจริงๆ หรือล่อลวงให้เสียตัวกันแน่... ไม่อยากคิดต่อเลย!

หลังจากที่คุยกันเรื่อยเปื่อยมานานเป็นชั่วโมงก็ถึงเวลาแนะนำกัปตัน ผู้ช่วยและลูกเรือทั้งหมดในเครื่องบินลำนี้ ในตอนแรกก็กะว่าจะนอนเพราะไม่มีอะไรทำแต่อยู่ๆ ก็เกิดความอยากรู้เลยรอฟัง ส่วนพี่ยูนั่งดูหนังไปเรียบร้อยแล้ว

“สวัสดีครับท่านผู้โดยสารทุกท่าน ผมกัปตันทิวา...” คำแนะนำตัวดังมาตามลำโพงในตัวเครื่องบินยาวยืดจนจบถึงลูกเรือคนสุดท้าย ผมสตั้นไปตั้งแต่ชื่อกัปตันเพราะเขาคือไอ้ทอยที่ไม่ได้พูดคุยกันแรมเดือน อยู่ๆ จะเจอมันก็เจอขึ้นมา ส่วนลึกก็อยากรู้ว่ามันสบายดีไหม ทำใจได้หรือยังแต่ไม่กล้าถามไถ่ ไม่กล้าติดต่อ แถมยังมีเรื่องของเอย์จิอีก แม่ง... เอาไงดี

“ปัณณ์ครับ” เสียงทุ้มของพี่ยูดึงผมออกจากความคิด ใบหน้าคมคายหันมามองกันอย่างเป็นห่วง เขาคงจำได้ว่า ‘กัปตันทิวา’ คือใคร

“ผมว่าบางทีเราควรรอเจอกัปตันทิวาหลังจากลงเครื่องที่นาริตะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าพูดออกไปแบบนั้นทั้งๆ ที่ไม่มั่นใจเลยว่าไอ้ทอยจะยอมเจอหน้ากันหรือเปล่า แต่ผมคิดถึงมัน อยากคุย อยากปรับความเข้าใจ อยากให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมสักที และสุดท้ายคืออยากขอโทษที่พูดจาทำร้ายจิตใจทำร้ายร่างกาย

พี่ยูหลับตาลงก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกำลังข่มความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ ผมเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วอยากขอโทษและล้มเลิกความคิดนั่นซะแต่ในตอนที่กำลังจะอ้าปากอีกฝ่ายกลับสวนขึ้นมาก่อน



ต่อด้านล่างน้า

หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 18 : เกี๊ยวซ่า P.3 -19/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 19-06-2018 20:17:20
“พี่ให้เวลาคุยครึ่งชั่วโมงนะครับ พอไหม?” พี่ยูใจดีและเข้าใจความรู้สึกของผมเสมอ

“ครับ ขอบคุณนะ”

เราฆ่าเวลาเดินทางด้วยการนอน ตื่นอีกครั้งก็ได้ยินเสียงประกาศว่ากัปตันกำลังลดระดับบินเพื่อลงจอดที่สนามบินนาริตะแล้ว ผมขยับตัวเพื่อคลายความเมื่อขบของร่างกายแต่ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงอะไรหนักๆ บนไหล่ เหลือบสายตามองก็เจอหัวทุยของคนที่มาด้วยกันพลันรอยยิ้มมุมปากก็ปรากฏขึ้น ถ้ามีใครถ่ายรูปตอนนี้คงดูหวานจนเลี่ยน

ผมไม่กล้าขยับตัวต่อเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนการนอนของพี่ยูเลยได้แต่ก้มมองเขาด้วยความรักใคร่ ตอนนี้แอร์โฮสเตสเริ่มทำหน้าที่เดินสำรวจความเรียบร้อยภายในเครื่องบินและเก็บขยะจากผู้โดยสารจนเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าเราก่อนจะส่งกระดาษใบเล็กมาให้ ยอมรับมางงแต่ก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม

เมื่อคลี่กระดาษออกก็พบข้อความที่ต้องทำให้ขมวดคิ้วแน่น อ่านซ้ำอีกรอบเพื่อความมั่นใจ มันผิดคาดมากที่อยู่ๆ ไอ้ทอยเป็นฝ่ายนัดเจอกันก่อนแบบนี้ คงมีเรื่องอยากคุยและปรับความเข้าใจอย่างแน่นอน ก็ดีเหมือนกันที่ผมไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะโดนหนีหน้าหรือเปล่า

“อือ” เสียงครางของคนที่พิงไหล่กันอยู่ดังขึ้นทำให้ผมรีบเก็บกระดาษใบนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อเพราะไม่อยากให้พี่ยูคิดมาก แค่เขายอมให้คนที่จูบแฟนตัวเองคุยด้วยก็ดีเกินพอแล้ว

พี่ยูผละตัวออกไปแล้วอ้าปากหาวหวอดโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง แต่มันก็ยังคงดูดีในแบบฉบับคนหล่อ เขาบิดตัวซ้ายทีขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยขบแล้วหันมาปรือตาใส่กัน คงยังง่วงอยู่แต่ได้ยินเสียงประกาศจากสายการบินเลยจำใจต้องตื่น

   “ใกล้ถึงแล้วสินะ” พี่ยูถามเสียงเครือแล้วคว้าขวดน้ำไปดื่มแก้กระหาย ผมพยักหน้ารับก่อนจะมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เห็นปุยเมฆสีขาวทีไรก็อยากยื่นมือออกไปจับทุกที ดูแล้วมันให้ความรู้สึกนุ่มละมุนเหมือนสายไหม

   ตอนนี้ผู้โดยสารกำลังทยอยลงจากเครื่องบินแล้วเดินไปตามงวงช้างที่เข้ามาต่อไปยังตัวอาคาร ผมกับพี่ยูไม่รีบร้อยเพราะขี้เกียจไปเบียดเสียดกับชาวบ้าน นั่งรอจนเป็นคู่สุดท้ายก็ตามทุกคนไปเอากระเป๋าเดินทาง ระหว่างนั้นเราพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยเรื่องทริปที่จะไปเที่ยวหลังถึงบ้านในญี่ปุ่น เรื่องมื้อเช้าที่อยากกินจนกระทั่งถึงที่หมาย

   “บอกทอยแล้วเหรอครับว่าอยากคุยด้วย” พี่ยูถามขณะที่กำลังยืนรอกระเป๋าของตัวเองจากสายพาน ผมละสายตาจากโทรศัพท์ในมือแล้วพยักหน้ารับไป ที่จริงไอ้ทอยนัดสถานที่ผ่านกระดาษใบนั้นเรียบร้อยแล้วไม่จำเป็นต้องบอกซ้ำหรอก

   “ถ้ามีอะไรไม่ดีก็โทรเรียกพี่แล้วกันครับ” พี่ยูคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะขยับตัวไปหยิบกระเป๋าที่เป็นของผมให้แล้วยืนรออีกใบโดยไม่หันกลับมาสนใจกันอีก ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ดูนิ่งจนน่ากลัวขนาดนี้ อยากถามให้แน่ใจแต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวคำตอบว่าจะเกลียดไอ้ทอย ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องทำยังไงล่ะ

   ผมยืนมองแผ่นหลังของพี่ยูด้วยความกังวลใจจนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขาลากกระเป๋าทั้งสองใบมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วพยักพเยิดให้ออกเดินต่อไปเพื่อรอเจอกับไอ้ทอยที่คงใกล้จะมาถึงแถวนี้แล้ว สถานการณ์ระหว่างเราดูเหมือนปกติแต่มันกลับมีบางอย่างแอบแฝงคล้ายมีรังสีแห่งความไม่สบายใจโอบล้อมอยู่แต่ไม่มีใครเปิดปากพูดออกมา มันน่าอึดอัดจนแทบขาดอากาศหายใจ

   “พี่ยูครับ” ผมเรียกเขาพร้อมกับเอื้อมมือไปจับต้นแขนแกร่งเอาไว้ พี่ยูชะงักการเดินแล้วหันมามองกันด้วยสายตาสงสัยแต่ก็ไม่ได้ออกปากถามตามปกติ ทำไมมันเงียบเหมือนป่าช้าแบบนี้วะ ยังไม่ทันได้ไปเที่ยวจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย

   “ถ้าพี่ไม่สบายใจผมไม่คุยกับไอ้ทอยก็ได้นะ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วออกแรงบีบต้นแขนพี่ยูเบาๆ จากนั้นก็มองดวงตาคมด้วยความเป็นห่วง เขาส่ายหน้าก่อนจะเอื้อมมือมาแตะแก้มกัน คลี่ยิ้มบางแล้วมองไปรอบๆ อาคารสนามบินเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่างและมันคงไม่พ้นไอ้ทอย

   “พี่ยอมรับว่าไม่สบายใจ แต่ถ้าปัณณ์อยากคุยก็จะไม่ห้าม”

   “พี่ยูเชื่อใจผมใช่ไหมครับ?” ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะควบคุมไม่ได้ รู้สึกอยากร้องไห้ทุกครั้งที่ทำให้พี่ยูไม่สบายใจแบบนี้ หรืออาจจะหาคำจำกัดความง่ายๆ ว่ารักเขามากแคร์เขามากนั่นเอง

   “เชื่อสิ ไม่งั้นพี่จะให้เวลาเราตั้งสามสิบนาทีทำไมกัน” พี่ยูคลี่ยิ้มแล้วแอบบีบแก้มกันเบาๆ ก่อนจะผละมือออกไปจับกระเป๋าเดินทางเหมือนเดิม ผมมองหน้าเขานิ่งครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าเข้าใจ นั่นสินะ ถ้าไม่ไว้ใจคงไม่ปล่อยให้คุยนานขนาดนั้นหรอก

   “อื้อ เข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบคุยกับทอยแล้วกลับมาหาพี่นะ”

   “ครับผม นั่นทอยหรือเปล่า? เดินมาทางนี้แล้ว” พี่ยูชี้นิ้วไปตรงทางออกที่เราเพิ่งเดินผ่านมาซึ่งตอนนี้มีบุคคลในเครื่องแบบเดินเรียงกันมาหลายคนแต่ไอ้ทอยก็เป็นจุดวางสายตาที่ดีที่สุดเสมอ มันโดดเด่นดูมีออร่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหนก็ตาม ผมพยักหน้ารับคำของแฟนแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับความจริงบทใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หวังว่าทุกอย่างคงผ่านไปได้ด้วยดี



------------------------------------

ตอนหน้าจะได้เคลียร์ทุกเรื่องที่ค้างคาระหว่างปัณณ์กับทอยจริงๆ สักที
รวมถึงเรื่องของเอย์จิกับทอยด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 18 : เกี๊ยวซ่า P.3 -19/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 20-06-2018 00:33:35
จะรออ่านนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 18 : เกี๊ยวซ่า P.3 -19/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 21-06-2018 08:32:26
น่าจะหมดดราม่าแล้วเนอะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 18 : เกี๊ยวซ่า P.3 -19/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 24-06-2018 08:30:28
5555 พี่ยูเหมือนหลุดบ่วงออกมา
ทำตัวเหมือนคนเก็บกดแล้วถูกปล่อย
ตอดตลอด หยอดตลอด จนหลุมท่วมตัวแล้ว

ปัณณ์ก็เตรียมพร้อมตลอด ทำตัวเข้มไปงั้น 5555
ใจไปล่วงหน้าแล้ว กายก็พร้อมจะตามไปมาก

เอย์จินี่ยังไง ทำไมซึมได้ขนาดนั้น
ทอยยังลืมไม่ได้ ก็ต้องให้เวลาบ้างนะ
แล้วที่จะคุยกัน จะจบด้วยดีไหม หรือทอยยังจะฝืน
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 19 : ไก่คาราเกะ P.3 -29/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 29-06-2018 11:06:04
จานที่ 19 : ไก่คาราเกะ



ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวเราคือร้านกาแฟในสนามบินที่ผู้คนพลุกพล่านไม่น้อย เสียงพูดคุยหลายภาษาเป็นแบ็คกราวน์ทำให้ผมรู้สึกรำคาญแต่ก็ไม่มากเกินกว่าความอดทนเพื่อคุยกับคนตรงหน้า เขาดูไม่เปลี่ยนไปจากเดิมยังคงดูดีแต่แววตากลับฉายแววเศร้าจนอดรู้สึกแย่ไม่ได้

“สั่งอะไรกินก่อนไหม?” ไอ้ทอยเอ่ยถามขณะที่หยิบเมนูไปดู ผมส่ายหน้าเพราะเวลาที่พี่ยูให้มาแค่ครึ่งชั่วโมง อีกอย่างก็ไม่อยากปล่อยเขารอนาน

“กูอิ่มแล้ว มึงจะกินก็สั่ง” ผมบอกก่อนจะขยับพิงพนักเก้าอี้ปล่อยให้อีกคนสั่งกาแฟกับขนมอีกชิ้นเป็นมื้อเช้า ทางด้านพี่ยูก็คงหาที่นั่งรออยู่ไม่ไกล

“สบายดีไหม?” คำถามจากไอ้ทอยทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจแล้วพยักหน้ารับแทนคำตอบก่อนจะปลายสายตามองใบหน้าที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน

“มึงล่ะ?” ผมถามกลับพร้อมขยับตัวเล็กน้อยเพราะเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาที่มองตรงมาทางนี้ มันสื่อความหมายอะไรไม่สามารถคาดเดาได้เลย

“ก็... เรื่อยๆ ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่” มันคลี่ยิ้มบางก่อนจะทำเป็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตา ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดรวบรวมความกล้าในการถามไถ่ถึงสาเหตุ หวังว่าไอ้ทอยจะตอบตามความจริง ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เคลียร์ความรู้สึกที่ค้างคาอย่างแน่นอน

“เพราะกูหรือเปล่า?” ผมถามแล้วมองบรรยากาศโดยรอบเพราะไม่อยากจดจ่อจนเกิดเป็นความกดดัน ความคิดเริ่มฟุ้งซ่านเมื่อพี่ยูที่เคยอยู่ในสายตาหายไป เขาโกรธหรือเปล่าวะ แต่คงไม่หรอกในเมื่อออกปากอนุญาตให้คุยโดยไม่เข้ามายุ่งเอง

“ไม่ๆ ไม่ใช่เพราะมึง เรื่องนั้นลืมไปแล้วล่ะ” มันปฏิเสธรัวพร้อมกับโบกมือเป็นการปฏิเสธ ดวงตาคมที่จ้องมาเต็มไปด้วยความจริงใจไม่หลุกหลิก ผมพยักหน้ารับและรู้ว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อนของเรากำลังจะวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่คงต้องใช้เวลาปรับตัวเล็กน้อย

“แล้ว?” ผมถามต่อเมื่อคนตรงหน้าเงียบไปเกือบนาที มันเหลือบมองกันก่อนจะยกแก้วกาแฟที่เพิ่งมาเสิร์ฟขึ้นจิบแทะเล็มแซนวิชต่ออีกนิดก่อนตอบคำถามที่เหนือความคาดหมายจนสมองแทบประมวลผลไม่ทัน

“มึง... จะหาว่ากูนิสัยเหี้ยยังไงก็ได้ แต่ช่วยบอกหน่อยว่าเอย์จิหายไปไหน?” ดวงตาคมที่จ้องมองมาทำให้รู้ว่ามันจริงจังเรื่องเอย์จิมากแค่ไหน มือไอ้ทอยที่พยายามบีบแก้วกาแฟไว้นั้นสั่นกึกๆ จนสังเกตได้ว่าร้อนรนอยากได้คำตอบแต่ผมทำได้แค่อ้าปากพะงาบๆ เพราะกำลังช็อก ก็ไหนทำเป็นว่าไม่สนใจเขาไง ตอนนี้มาถามถึงคืออะไร งงในงง

“กูไม่เข้าใจ...”

“กูชอบเอย์จิว่ะ”

“แล้วทำไมมึง...” ผมพูดได้แค่นั้นก็เม้มปากแน่นเพราะคิดถึงตอนเอย์จิเสียใจแล้วรู้สึกเจ็บแปลบ แต่ไอ้ทอยคงมีอาการไม่ต่างกันเพราะดวงตาคมนั้นสั่นไหว ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามันมีน้ำตาคลอหน่วย

บรรยากาศรอบตัวของเรายังคงขับเคลื่อนไปตามเวลา ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินสวนกันนับสิบ บางคนยิ้มทักทาย บางคนก็เฉยเมยเพื่อเร่งรีบไปสู่จุดหมายซึ่งต่างจากผมที่นั่งเหม่อมองไอ้ทอยแต่ก็ไม่ได้โฟกัสสายตาเพราะกำลังคิดถึงคนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร ป่านนี้จะทำอะไรหรือลืมเรื่องใครคนหนึ่งหรือยัง

“ตอนนั้นกูคิดว่ารักมึงมากจนไม่สามารถตัดใจได้ก็เลยทำทุกวิถีทางให้เอย์จิถอย แต่พอเขาออกไปจากชีวิตจริงๆ เหมือนกูเป็นคนโง่เลยว่ะ” น้ำเสียงของไอ้ทอยสั่นมากแต่มันก็กลบเกลื่อนด้วยการยัดแซนวิชใส่ปากคำโตแล้วดื่มกาแฟตามอึกใหญ่จนไหลเยิ้มตรงขอบปาก ผมทนเห็นสภาพนั้นไม่ได้เลยหยิบทิชชู่ส่งให้โดยไม่ปริปากพูดอะไรเพราะลึกๆ แล้วก็รู้ดีว่าเพื่อนมีเหตุผลที่ทำร้ายเอย์จิ แต่มันไม่เหมาะสมเหมือนๆ กับที่ตัวเองก็เคยกระทำมาหนหนึ่ง

“.....” ผมเงียบแล้วมองไอ้ทอยรับทิชชู่ไปเช็ดปากลวกๆ แก้มกร้านยังขยับขึ้นลงเพราะอาหารในปาก สภาพตอนนี้หมดราศีของกัปตันคนหล่ออย่างสิ้นเชิง เหลือแต่ไอ้ทอยที่เป็นหมาอกหักนั่งปรับทุกข์กับเพื่อน สงสารก็สงสารแต่ไม่รู้จะทำยังไงในเมื่อตอนนี้เอย์บอกว่าพอแล้ว ไม่อยากพยายามอะไรอีก

“มึงโกรธใช่ไหมปัณณ์ กูขอโทษทุกเรื่องที่เคยทำลงไป ขอโทษจริงๆ จะเกลียดก็ไม่ว่า แต่ช่วยบอกทีว่าเอย์จิหายไปไหน?” ไอ้ทอยทิ้งศักดิ์ศรีหรือแม้แต่มาดของผู้ชายแบดบอยทิ้งไปจนหมดก่อนจะเอื้อมมือมาเขย่าแขนกันด้วยดวงตาอ้อนวอน สีหน้าของมันบ่งบอกว่าสภาพจิตใจตอนนี้ดิ่งจนยากที่จะทำให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ตลอดเวลาที่เอย์จิตัดการติดต่อไปนั้นต่างคนต่างทรมานแค่ไหนกันนะ เจ็บเหมือนที่ผมเคยผ่านมาก่อนหรือเปล่า

“ทอย กูขอโทษที่เคยทำแย่ๆ กับมึง กูไม่เคยโกรธไม่เคยเกลียด แต่เรื่องของเอย์จิ...” ผมเม้มปากลงในประโยคสุดท้ายเพราะรู้ดีกว่าฝั่งเอย์จิเสียใจกับการกระทำของไอ้ทอยไม่น้อย ทุกวันนี้เห็นร่าเริงแต่ถ้าลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่าแววตาที่เคยสดใสมันเปลี่ยนไป ถึงปากจะบอกว่าพอแต่ลึกๆ คงมีความหวัง

“ปัณณ์... กูขอร้อง” ไอ้ทอยปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาตามแก้มอย่างไม่อายบรรดาผู้โดยสารที่เดินขวักไขว่ในสนามบินหรือแม้กระทั่งพนักงานร้านกาแฟที่เก็บจานชามอยู่ข้างโต๊ะ สภาพกัปตันผู้หล่อเหลาเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วหายวับไปกับตาจริงๆ จนผมต้องเอื้อมมือไปลูบหัวมันเป็นการปลอบโยน

“เอย์จิเหนื่อยที่จะพยายามเรื่องของมึงแล้ว” ผมบอกมันเสียงอ่อนแล้วมองด้วยสายตาเป็นห่วง อยากช่วยแต่ก็ไม่อยากสะกิดแผลเป็นของเอย์จิ รายนั้นมีคนเข้ามาจีบเยอะแยะแต่ไม่เคยคบใครสักคน ที่เห็นมาจริงจังกับไอ้ทอยก็โคตรประหลาด ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเพิ่งเกิดแต่ความรู้สึกก็ไม่อาจใช้เวลาเป็นเครื่องตัดสินได้ว่ามีมากหรือน้อย

“ช่วยกูที... ติดต่อเอย์จิให้หน่อยนะ” คำขอร้องเบาหวิวทำให้หัวใจของผมกระตุก ตอนนี้ความคิดในหัวกำลังตีกันยุ่งเหยิงแคร์ความรู้สึกเพื่อนก็ใช่ เอย์จิก็ด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดคือพี่ยู เขาจะยอมปล่อยคนที่ทำร้ายน้องชายตัวเองให้กลับเข้ามาวนเวียนในชีวิตอีกอย่างนั้นเหรอ มันยากที่จะยอมรับเลยใช่ไหมล่ะ

“ทอย กู...” ผมอึกอักไม่กล้าสบมองดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน ผละมือออกจากศีรษะคนตรงหน้าอย่างอ่อนแรง ตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคงเป็นโต๊ะสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้า แม่ง สถานการณ์แบบนี้คนส่วนใหญ่เขาแก้ยังไงวะ ลุกขึ้นลากกระเป๋าเดินหนีไปเลยได้ไหม แต่ถ้าทำแบบนั้นชาตินี้คงไม่ได้เพื่อนสนิทกลับมาแล้วล่ะ ดีไม่ดีมันอาจจะแช่งให้เลิกกับพี่ยูเร็วๆ ด้วยซ้ำ โอย ปวดหัว!

“จะคุยกับเอย์จิทำไมอีก?” เสียงทุ้มต่ำของคนที่คิดว่าหายไปห้องน้ำกลับดังขึ้นข้างหูและนั่นทำให้ผมเลิกสนใจโต๊ะไม้กิ๊กก๊อกของร้านกาแฟทันที พอเงยหน้าขึ้นก็เจอเข้ากับพี่ยูที่มีใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกแต่บรรยากาศรอบตัวช่างทะมึนจนสัมผัสได้ น่ากลัวยิ่งกว่าพายุเข้าประเทศญี่ปุ่นอีก คราวนี้ไอ้กัปตันทิวาจะเหลือแต่ชื่อหรือเปล่าวะ ฉิบหาย

“พี่ยู...” ผมครางเสียงเบาแล้วเอื้อมมือไปจับแขนพี่ยูเอาไว้เพื่อเตือนให้ใจเย็นๆ และดูเหมือนมันจะได้ผลเมื่อเขาเหลือบมองกันแล้วพยักหน้ารับ เฮ้อ โล่งไปหน่อย ดีนะ ที่ไม่ใช่วัยรุ่นเลือดร้อนแต่เป็นชายฉกรรจ์ที่อายุเกือบสี่สิบปี มีเหตุผลและความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว

“พี่ยู ผม...” ไอ้ทอยตกใจจนเกือบเผลอปัดแก้วกาแฟหก มันละล่ำละลักเรียกคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ด้วยเสียงสั่นเทา ดวงตาคมหลุบลงโฟกัสไปยังแจกันดอกไม้ประดับโต๊ะ จ้องขนาดนั้นจะให้งอกรากเลยหรือยังไงวะ

“มารู้ตัวตอนนี้มันไม่สายเกินไปหน่อยหรือไง” พี่ยูพูดต่อก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างกันเมื่อลูกค้าคนอื่นภายในร้านมองมาทางนี้ด้วยความสนใจ ไม่ว่าคนชาติไหนๆ ก็ชอบเผือกร้อนด้วยกันทั้งนั้น แม่ง ฟังออกกันหรือยังไง! ไม่ต้องเอียงหูฟังเว้ย

“ผมขอโทษที่ทำเรื่องแย่ๆ กับเขา” ถึงเสียงไอ้ทอยจะแผ่วแต่รับรู้ได้ถึงความจริงจังเมื่อมันกล้าเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับพี่ยู ตอนนี้ผมอยากลุกออกไปสั่งน่ำเปล่าสักขวดเพื่อดับความกระหายและความกังวลในจิตใจ ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นวะ

“ไม่ต้องมาบอกพี่ นั่นมันเรื่องของทอยกับเอย์จิ” นั่นปะไร พี่ยูโหมดโหดที่ผมไม่เคยปรารถนาอยากเจอที่สุดกลับปรากฏต่อหน้าไอ้ทอยทั้งสีหน้าแววตาและน้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่พอใจมาก ถึงดูเหมือนว่าเขาไม่รักน้องแต่ความจริงแล้วทั้งรักทั้งหวง เอย์จิเข้มแข็งก็จริงแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่รู้สึกเจ็บ

“.....” ไอ้ทอยเงียบไม่โต้ตอบอะไร มันก้มหน้าลงต่ำพลางเม้มปากจนเป็นเส้นตรงและขาวซีด มือข้างที่ยังถือทิชชู่ค้างอยู่กำเข้าหากันแน่นจนสั่นกึกๆ ไม่ใช่เพราะกำลังโมโหแต่คือความกลัว กลัวว่าจะไม่ได้เจอเอย์จิอีก

“พี่ยูครับ ไม่ได้เกลียดเอย์จิใช่ไหม?” ผมกระซิบถามด้วยเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วเหลือบมองไอ้ทอยว่ามันได้ยินหรือเปล่า ไม่อยากให้กระทบกระเทือนจิตใจมากกว่านี้แต่ก็อยากรู้ความคิดของพี่ยูเพื่อเอามาประเมินแนวทางเรื่องของเอย์จิว่ามีโอกาสมากแค่ไหนที่จะได้พูดคุยเคลียร์ปัญหานี้อีกครั้งหนึ่ง บางทีก็อยากเขกหัวไอ้ทอยแรงๆ ที่ชอบทำอะไรไม่ไตร่ตรองให้ดีซะก่อน

“ไม่เกลียดครับ แต่ก็ไม่ได้ชอบ” คำตอบของพี่ยูตรงไปตรงมาซึ่งผมก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจได้ ใครมันจะชอบคนที่เคยพุ่งเข้ามาจูบแฟนตัวเองต่อหน้าต่อตาแถมยังทำให้น้องชายเจ็บอีก งานยากแล้วมึงไอ้ทอยเพื่อนรัก

“ผม...” มันก็จะฉิบหายหน่อยๆ ที่ผมคิดว่าไอ้ทอยไม่ได้ยินสิ่งที่เรากระซิบกระซาบกันสองคน... แม่ง กูขอโทษนะเพื่อน ไม่ได้อยากทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมเลย

“ถ้าพี่บอกว่าเอย์จิมีแฟนแล้วทอยยังอยากจะคุยกับมันหรือเปล่า” พี่ยูถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เนื้อความกลับทำให้ทั้งผมและไอ้ทอยเบิกตาโตด้วยความตกใจ นั่นเรื่องจริงเหรอที่เอย์จิมีแฟนแล้วหรือแค่อยากลองใจว่าอีกคนจะมีปฏิกิริยายังไง เดาไม่ถูกเลยจริงๆ

“อึก... คะ คุยครับ แค่ได้ขอโทษเอย์จิก็ยังดี” ไอ้ทอยฝืนยิ้มทั้งที่น้ำตามันไหลอาบแก้มอีกครั้ง ผมกัดฟันแน่นเพราะไม่สามารถขัดขวางพี่ยูได้เพราะเขาคงคิดมาดีแล้วก่อนจะถามออกไปแบบนั้น ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลคืออะไรแต่มันคงทำให้ตัดสินใจเรื่องบางอย่างได้ง่ายขึ้น

“อืม เดี๋ยวพี่พูดให้ เอย์จิพร้อมเมื่อไหร่คงเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาเอง”

หลังจากนั้นผมก็โดนพี่ยูลากออกมาโดยที่ยังไม่ได้บอกลาไอ้ทอยแบบงงๆ คือตกลงว่ายังไงอะไรวะ มันยังไม่เคลียร์ไม่ใช่เหรอ สงสัยไปก็เท่านั้นเมื่อตอนนี้รถที่บ้านของเขามาจอดเทียบให้ขึ้นแล้ว โอย สับสนเว้ย แล้วตกลงว่าต้องพักกับคุณลุงเหรอ ให้ตายสิ!

“พี่ยูครับ” ผมเอ่ยเรียกเมื่อเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่เราทั้งสองต่างนั่งเงียบกันมาตลอดทาง ดูวิวก็แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดโรมมิ่งเล่นโซเชี่ยลก็แล้วแต่มันก็ไม่ได้คลายความอยากรู้เรื่องไอ้ทอยลงเลย ตกลงว่าเรื่องมันจบแบบไหนเนี่ย

“หืม?” เขาครางรับทั้งที่ยังหันหน้าไปอีกด้าน แผ่นหลังกว้างพิงเข้ากับเบาะ แขนทั้งสองข้างกอดอกไว้หลวมๆ ท่าทางเหมือนคนเตรียมหลับพักผ่อนแต่ไม่ได้หลับตาก็แค่นั้น

“พี่จะช่วยไอ้ทอยใช่ไหมครับ?” ผมถามต่อแล้วลอบมองปฏิกิริยาตอบกลับด้วยหัวเต้นเต้นรัว พี่ยูทำเพียงแค่คลี่ยิ้มก่อนจะหลับตาลงปิดกั้นทุกสิ่งไว้เบื้องหลังความมืด เข้าใจว่ามันยากที่ปล่อยให้คนๆ หนึ่งซึ่งเคยทำร้ายเอย์จิกลับมามีบทบาท แต่เขาก็คือเขาคนที่แคร์น้องชายไม่แพ้กัน

“พี่ถือว่าเป็นการดึงเอย์จิให้กลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ทำร้ายตัวเองเพื่อเคลียร์เรื่องคาใจมากกว่า”

เหตุผลเหมาะกับพี่ยูดี ให้น้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองซึ่งผมก็เห็นด้วย

“ถ้าเอย์ยอมกลับไปคุยกับไอ้ทอยล่ะครับ?” อันนี้ผมถามเผื่อในอนาคตถ้าพี่ยูกีดกันทีหลังนี่โคตรแย่เลยนะ แต่ดูเหมือนพี่ยูจะไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะเขาลืมตาขึ้นมาและคลี่ยิ้มบาง

“ก็... คงปล่อยให้พวกเขาศึกษากันไปตามที่ต้องการนั่นล่ะ ต่างคนต่างก็อยู่ในวัยที่ตัดสินใจเองได้แล้ว”

“สรุปง่ายๆ คือรับได้ใช่ไหม?” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจจะได้เที่ยวอย่างโล่งอกไม่ต้องกังวลเรื่องเพื่อนกับน้องชายแฟนไปตลอดทั้งทริป

“ประมาณนั้น ถึงพี่จะชอบหรือไม่ชอบหน้าทอย แต่ถ้าเป็นความสุขของเอย์จิก็คงต้องยอมรับเพราะเลี่ยงไม่ได้” พี่ยูขยับตัวเล็กน้อยแล้วหันมาสบตากันเหมือนขอความคิดเห็น ผมพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยแล้วโผเข้ากอดเขาแน่นเพื่อขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่าง

“นั่นสินะ... ผมขอบคุณพี่ยูที่ไม่กีดกัน”

“พี่ขอเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหมครับ?” ดวงตาคมที่มองมาเป็นประกายวิบวับจนผมเผลอขยับตัวหนีชิดกระจกรถฝั่งตัวเอง สิ่งที่ไม่อยากคิดกลับผุดวาบขึ้นในสมองซะเฉยๆ ไอ้ที่ยอมเปย์ตลอดทั้งทริปคือการหลอกมาฟันหรือเปล่าวะ...

“จะ จะเอาอะไร?” ผมถามเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับยกมือขึ้นกอดตัวเองอย่างหวงแหน พี่ยูโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนจนหัวใจเริ่มเต้นโครมคราม จะผลักเขาออกก็โดนรั้งข้อมือไว้ คือไม่แคร์ความรู้สึกกันก็ช่วยเกรงใจคนขับรถบ้างเหอะ ตาถลนแล้วมั้งนั่น โอย

“อืม... ยังไม่บอกตอนนี้แล้วกันครับ” เขาผละออกไปเมื่อเห็นผมหายใจติดขัดก่อนจะคลี่ยิ้มหวานชวนให้หวั่นใจยิ่งกว่าเดิม

“งั้นผมก็ไม่รับปากว่าจะให้”

“ฉลาดนะเนี่ย” พี่ยูบอกเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวจนยุ่งเหยิง ซึ่งผมก็ทำได้แค่ปล่อยไปตามความต้องการของเขา ไม่ได้รู้สึกโมโหแต่อบอุ่นใจมากดว่าที่ถูกเอ็นดูแบบนี้

“ก็เพราะอยู่กับคนเจ้าเล่ห์อย่างพี่ไงครับ” ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งก่อนเนียนซบหน้าลงบนตักของพี่ยู หลับตาลงเพื่อพักสมองและร่างกายที่อ่อนล้าเพราะอีกไม่นานการผจญภัยครั้งใหม่จะเริ่มขึ้นแล้ว ยูกิแอนด์ปัณณ์อินเจแปน

ตอนนี้รถที่เรานั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้ารั้วสีขาวสูงท่วมหัวที่ครั้งหนึ่งผมเคยมาเหยียบเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่พี่ป่านเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ จำได้ว่าตัวแบบบ้านเป็นสไตล์ญี่ปุ่นสมัยเก่าขนาดแท้แต่ปรับเปลี่ยนวัสดุจากไม้กลับกระดาษให้มีความคงทนมากขึ้นด้วยปูนซีเมนต์ พื้นบ้านจะยกตัวสูงเหนือพื้นดินเล็กน้อย มีการแบ่งสัดส่วนพื้นที่ภายในเป็นแบบเปิดโล่งไว้สำหรับรับแขก แยกกับส่วนห้องนอน มีชานบ้านให้นั่งเล่น

บริเวณรอบโดยรอบจัดเป็นสวนไตล์มาชิยะซึ่งจะถูกซ่อนอยู่ภายในลานกลางบ้านคล้ายๆ สวนลับในหนังจีน เลื่อนบานประตูห้องนอนออกมาก็จะเจอ มันเป็นมุมโปรดของผมกับพี่ป่านในตอนนั้นเลยล่ะ

“ตอนนี้เข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อนแล้วตอนเย็นพี่จะพาไปเดินเล่นแถวชินจูกุ” หลังจากลงจากรถมายืนบนพื้นได้สำเร็จพี่ยูก็เดินมาหยุดอยู่ข้างกันด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมมองตัวบ้านด้วยความรู้สึกคิดถึงก่อนที่เขาจะยกแขนขึ้นพาดบ่าแล้วออกแรงดันเป็นสัญญาณให้ก้าวเดินเข้าสู่ด้านใน

เราผ่านสวนหินด้านหน้าแล้วหยุดนั่งถอดรองเท้าที่ชานบ้าน ตั้งแต่เดินมาจากลานจอดรถก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเราทั้งที่คุณลุงน่าจะอยู่เพราะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ แปลก... หรือเดินทางไปที่อื่นแล้ว

“ครับ แล้วคุณลุง...” ผมเปรยออกไปแค่นั้นก่อนจะต้องเบิกตาค้างเมื่อพี่ยูตอบกลับมาอย่างรู้ทัน

“ไปออสเตรเลีย” พี่ยูตอบเสียงใสก่อนเข้ามากระชับอ้อมแขนแน่นจนหลังของผมเกยอยู่กับหน้าอกของเขาทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่และสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากร่างกายอีกคน มันรู้สึกดีเพราะอากาศหลังฝนตกช่างหนาวเหลือเกิน แต่...

“ห๊ะ...” ผมร้องเสียงหลงเพราะเหมือนโดนหลอกให้มาเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อขยับความสัมพันธ์ของเราเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่าเหมือนที่เอย์จิเคยแซว โอย อุตส่าห์ไม่คิดมากแล้วนะเว้ย มือไม้อ่อนเปลี้ยจนทำรองเท้าหลุดมือเลยเหอะ

“ในบ้านก็มีแค่เราสองคนนี่ล่ะครับ ทำอะไรก็สะดวก” พี่ยูก้มลงมากระซิบคำท้ายประโยคข้างใบหู ความร้อนจากลมหายใจทำให้ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวจนต้องหดคอหนีก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำถูกอกถูกใจที่สามารถแกลังกันให้ขวัญกระเจิงได้ เดี๋ยวเถอะ!

“พี่ยู!” ผมผละตัวออกจากอ้อมแขนแกร่งแล้วเงยหน้าแยกเขี้ยวขู่เจ้าของบ้านแง่งๆ พร้อมตั้งการ์ดเตรียมต่อยถ้าหากว่าพี่ยูขยับเข้ามาใกล้แม้แต่ก้าวเดียว

“ครับๆ เรียกเสียงดังเชียว” พี่ยูพูดเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะเป็นคนเลื่อนประตูบ้านให้เปิดออก กลิ่นหอมอโรม่ากระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณเนื่องจากที่นี่ชอบใช้เครื่องทำไอน้ำอยู่บ่อยๆ มันให้ความรู้สึกสดชื่นแต่ตอนนี้ไม่สามารถปล่อยตัวปล่อยใจได้เพราะสายตาของคนตรงหน้าที่มองมามีเลศนัยแปลกๆ

“คิดอะไรอยู่เนี่ย?” ผมถามเสียงฉุนก่อนดันตัวลุกขึ้นเพื่อเดินตามอีกคนเข้าไปในบ้าน ลอบสูดหายใจรับกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ เข้าเต็มปอด อ่า... ธรรมชาติสรรสร้าง โคตรชอบ ถ้าให้หมกอยู่ในบ้านทั้งอาทิตย์ก็ไม่มีปัญหานะ

“เปล๊า” พี่ยูไหวไหล่แล้วเดินนำผมเข้าบ้าน ใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้เต็มไปด้วยความร่าเริงจนคนตามได้แต่ส่ายหน้าทำใจ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดสินะ ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ความต้องการคงไม่ต่างเท่าไหร่

ห้องนอนของพี่ยูจะอยู่ทางปีกขวาของบ้านแบ่งแยกโซนกับคุณลุงและคุณป้าโดยมีห้องนั่งเล่นกั้นกลางเป็นโถงโล่งประดับด้วยรูปภาพต้นซากุระผืนใหญ่ มีโต๊ะไม้เนื้อดีสำหรับรับแขก ด้านข้างกำแพงมีชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่อัดแน่นไปด้วยตำราต่างๆ มากมายซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นแทบทั้งหมด ผมเคยหยิบมาเปิดอ่านอยู่หลายครั้งแต่ก็ต้องยอมแพ้เพราะมันเป็นระดับสูงเกินเอื้อม คันจิที่ไม่เคยพบเห็นทำให้สมองมึนงงได้ง่ายๆ

ผมชะงักเท้าอยู่ตรงหน้าประตูบานเลื่อนที่มีชื่อภาษาญี่ปุ่นเป็นอักษรคันจิว่า ‘ยูกิ’ แปลว่าความกล้าหาญ มือเรียวเผลอยกขึ้นรูปรอยสักข้างกกหูที่เป็นรูปเกล็ดหิมะซึ่งเป็นคำพ้องเสียงกันกับชื่อของเขา ความตั้งใจในตอนนั้นคืออยากบันทึกสิ่งที่รักไว้บนร่างกายแต่ก็ไม่อยากให้เจ้าตัวจับได้เลยเลือกวิธีการแบบนั้น

จนถึงตอนนี้พี่ยูก็ยังไม่รู้เลยว่ารอยสักนี้หมายถึงตัวเขาเอง โธ่ คนแก่ผู้น่าสงสาร

“ผมขอนอนห้องพักแขก” ผมเอ่ยปากบอกคนที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงด้วยน้ำเสียงเรียบจนลุกกระโจนเข้ามาหากันแบบไม่ทันตั้งตัวก่อนคว้าข้อมือแล้วลากให้เข้าไปด้านในพร้อมปิดประตูลงกลอน ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาทีไม่ทันได้ขัดขืนหรือปฏิเสธ โธ่เว๊ย เมื่อไหร่ปัณณ์จะไล่ตามความคิดคนในครอบครัวนี้ทันสักที

“ยังไม่ได้ทำความสะอาดครับ” พี่ยูดันตัวผมให้นั่งลงบนเตียงแล้วจัดการเท้าแขนคร่อมกันเอาไว้ไม่ให้หนี ความใกล้ชิดทำให้ลมหายใจเริ่มติดขัด กลิ่นมิ้นท์อ่อนๆ จากปากเขาเกือบทำให้เผลอยืนหน้าเข้าไปประกบจูบ แม่ง สติ สติ!

“ผมทำเองก็ได้” น้ำเสียงจริงจังถูกส่งออกไปพร้อมด้วยออกแรงผลักหน้าอกแกร่งให้ถอยห่าง อยู่ใกล้กันบนเตียงแบบนี้มันเริ่มหวั่นใจจนบอกไม่ถูก ถ้าผมเป็นฝ่ายเริ่มทำอะไรๆ ก่อนคงโดนล้อยันแก่แน่นอน อายตายเลย

“รังเกียจที่จะนอนกับพี่เหรอ?” คนที่ผละออกไปนั่งข้างกันส่งเสียงถามกระเง้ากระบอกเหมือนลูกชายตอนงอแงไม่มีผิด ดวงตาคมที่มองมาสั่นไหวจนผมเบนหน้าหนีไปทางอื่น กลัวว่าถ้าจ้องกันนานๆ เดี๋ยวใจอ่อนอีก

“เปล่า แต่ไม่น่าไว้ใจ” ผมบอกเสียงแผ่วก่อนจะเม้มปากเข้าหากันเมื่อโดนมืออุ่นสัมผัสลงบนมือ เขาออกแรงกระชับแล้วบีบเบาๆ จนต้องหันไปมองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉับพลันด้านนอกบ้านนั่นฝนก็เทลงมาอย่างหนัก เชื่อเถอะว่าวันนี้คงได้นอนพักผ่อนจนถึงรุ่งเช้าแน่นอน เดินเล่นชินจุกุอะไรนั่นอย่าหวังเลย

“ถ้าปัณณ์ไม่สมยอมมีหรือพี่จะกล้า” พี่ยูไม่พูดเปล่ายังจับมือของผมยกขึ้นไปจรดแนบกับรอมฝีปากจนรู้สึกว่าเลือดไหลเวียนสูบฉีดขึ้นบนใบหน้า โอย สุดท้ายก็ต้องมาแพ้ลูกอ้อนหวานๆ แบบนี้น่ะเหรอ เฮ้อ

“ขอให้เป็นอย่างที่พูดเถอะ” และแล้วผมก็ติดกับของเสือเจ้าเล่ห์อย่างพี่ยูจนได้ เอาวะ ถ้าปล้ำมาก็ปล้ำกลับ ไม่มีอะไรยากสักหน่อยเนอะ!

หลังจากที่ช่วยกันรื้อเสื้อผ้าออกมาแขวนเก็บไว้ในตู้จนเรียบร้อยแล้ว พี่ยูก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงสีขาวสะอาดพร้อมกับกระตุกผ้าห่มขึ้นคลุมถึงออกก่อนบอกราตรีสวัสดิ์ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาแค่เที่ยงตรง ผมปล่อยให้เขาพักผ่อนส่วนตัวเองก็เลื่อนบานประตูหลังห้องเพื่อออกไปนั่งชมสวนกลางบ้านปล่อยอารมณ์ไปกับธรรมชาติตามแบบฉบับคนญี่ปุ่นสมัยก่อน ถ้าได้ใส่ชุดยูกาตะคงเข้าคอนเซ็ปมากกว่านี้

ผมเอนหลังพิงกรอบประตูแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่ดูแจ้งเตือนมากมายที่ถูกส่งเข้ามาเมื่อหลายนาทีที่แล้ว ส่วนใหญ่มาจากเอย์จิซะส่วยใหญ่คงส่งข้อความมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเช่นเคยหรือไม่ก็แซวนั่นนี่ตามประสาคนขี้แกล้ง

Eiji : ถึงญี่ปุ่นยัง?
Eiji : หรือว่านอนกกกับพี่ยูไปซะแล้ว

กกบ้ากกบออะไรเล่า นอนแผ่เต็มเตียงคนเดียวเป็นปลาดาวอยู่นู่น เอย์จิโคตรเพ้อเจ้อเลยว่ะ แต่ผมจะหน้าร้อยเพื่ออะไรล่ะเนี่ย โอย บ้าบอ

Eiji : โห ไรเนี่ย? ไม่ตอบเราเลย สงสัยโดนจัดหนักแน่ๆ

ผมขมวดคิ้วยุ่งก่อนตวัดสายตามองคนบนเตียงที่ตอนนี้ขยับพลิกตัวหามุมสบายแล้วหันกลับมาจ้องจอโทรศัพท์เขม็ง จัดหนักบ้าอะไรเล่า ไม่มีเหอะ!

Eiji : ขยันปั๊มน้องให้ริวกันเหรอ? คิกคิก

แน่ะ! แค่ไม่ได้ตอบไลน์สองสามชั่วโมงหลังลงจากเครื่องบินเอย์จิก็มโนใหญ่โตได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ ต้องรีบเคลียร์ความเข้าใจผิดนี้แล้ว ถ้าเขาเอาไปถามพี่ยูคงมองหน้ากันไม่ติดแน่

Pann : พี่ยูนอนตายอยู่บนเตียงโน่น เลิกเพ้อเจ้อสักทีเหอะน่า!
Pann : *สติ๊กเกอร์หมีโกรธ*

ผมส่งข้อความเสร็จก็วางโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างตัวก่อนทอดสายตามองท้องฟ้าหลังฝนที่ยังคงครึ้มพร้อมที่จะสาดเทลงมาอีกระลอก พอเลื่อนสายตาลงมองเบื้องหน้าก็พบน้ำเจิ่งนองในสวนเคลือบก้อนหินกลมกลิ้งสีขางสะอาดจนแวววาวจนอยากเหยียบย่ำลงไปเล่น กิ่งก้านของต้นซากุระแผ่ปกคลุมหลังคาบ้านส่วนหนึ่งเกิดเป็นร่มเงา ถ้ามาที่นี่ตอนเดินเมษาฯ คงได้เห็นดอกสีชมพูบานสะพรั่ง คิดแล้วก็เสียดายจัง

ครืด

เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้ผมละสายตาจากธรรมชาติตรงหน้าแล้วหยิบมันขึ้นมาดู เป็นข้อความที่มาจากไอ้ทอยซึ่งไม่ได้ส่งหากันมานานหลายเดือน มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อเพื่อนสนิทคนเดิมกลับมาซะที

Toy : กูกลับมาเป็นเพื่อนกับมึงเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?

ผมอ่านข้อความของไอ้ทอยจบก็ลอบถอนหายใจก่อนคลี่ยิ้มออกมาแล้วพยักหน้ารับทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมองไม่เห็นก็ตาม ไม่ว่าเพื่อนจะทำผิดอะไรแค่ไหน สุดท้ายก็ให้อภัยได้อยู่ดีล่ะน่า

Pann : ก็เป็นเพื่อนกันมาตลอดเหอะ ไปเลิกกันตอนไหนวะ?

ผมไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ของเราจะเปลี่ยนไปเลยสักครั้งเดียว มันก็แค่มีการไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นเท่านั้น

Toy : เออว่ะ จริงของมึง
Pann : เรื่องเอย์จิรอหน่อยแล้วกัน

ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากรื้อฟื้นความรู้สึกแย่ๆ ขึ้นมา แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันดีสำหรับไอ้ทอย

Toy : เออ กูรอได้ มึงไปพักเหอะ เดี๋ยวพี่ยูเห็นว่าคุยกันจะหึงอีก 555555

โอ้โห พอกูญาติดีเข้าหน่อยก็แซะกันเลยเนอะ ไอ้เพื่อนประเสริฐ อย่าให้ถึงทีผมบ้างแล้วกัน หึ!

Pann : ขี้แซวว่ะ!

ถึงข้อความที่ส่งไปจะดูเกรี้ยวกราดแต่หลังจอนั้นก็คลี่ยิ้มบางอย่างสบายใจ โล่งใจ และอุ่นใจที่สามารถเคลียร์ปัญหาหนักสมองให้จบลงได้สักที ต่อไปคงเต็มที่กับความสัมพันธ์ระหว่างพี่ยูแล้วล่ะ ฮึบ ปัณณ์น่ะ... รักคุณยูกิที่สุดเลย!

ความรู้สึกง่วงคืบคลานเข้ามาท่ามกลางอากาศเย็นระหว่างฝนตกลงมาอีกครั้ง ผมปิดเปลือกตาลงก่อนขยับพิงกรอบประตูให้มั่นคงเพื่องีบครู่หนึ่ง พอรู้สึกตัวอีกทีก็ตกอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของพี่ยูที่เข้ามากอดจากด้านหลังทั้งที่ยังนั่งอยู่ตรงชานบ้าน โธ่ แต๊ะอั๋งได้ตลอดเวลาจริงๆ เลยคนเรา

“อื้อ” ผมครางออกมาเบาๆ เมื่อโดนคนที่อยู่ด้านหลังประทับรอยจูบลงมาบนแก้ม ไรหนวดแข็งขูดไล่ลงมาจนถึงซอกคอทำให้รู้สึกจั๊กจี้เลยผละตัวหนีแล้วแยกเขี้ยวขู่

“ไปโกนหนวดเลย” ผมบอกเสียงฉุนแล้วพยายามแกะมือปลาหมึกของพี่ยูออกจากเอวแต่ยิ่งพยายามเขาก็ยิ่งรัดแน่นจนรู้สึกเหมือนกระดูกจะหัก โว๊ย นี่พูดภาษาคนอยู่นะครับ

“หอมนิดหอมหน่อยทำเป็นรังเกียจ” พูดจบก็ฝังจมูกลงมาซ้ำๆ อีกหลายรอบจนผมต้องหดคอหนี

“หนวดทิ่มมันเจ็บไง”

“โกนให้หน่อยสิครับแฟน” พี่ยูออดอ้อนชิดริมใบหูด้วยน้ำเสียงหวานๆ ยิ่งคำเรียกตรงท้ายประโยคเป็นแบบนั้นหัวใจแข็งๆ ก็ละชายกลายเป็นน้ำได้อย่างง่ายดาย แต่ขอเล่นตัวหน่อยเหอะ เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยโกนหนวดให้ใครนี่หว่า

“ไม่เอา ถ้ามีดบาดเดี๋ยวพี่จะเจ็บ”

“พี่เชื่อใจปัณณ์ครับ” อย่ามองกันด้วยสายตาจริงจังแบบนั้นสิ

“ไม่พูดแบบนี้ดิ” ผมบ่นเสียงเบาแล้วเบนสายตาหนีเพราะไม่อาจสู้พี่ยูได้ ใจอ่อนรอบที่ร้อยแล้วมั้งเนี่ย เกลียดตัวเองจริงๆ เลย

“งั้น... พี่รักปัณณ์ครับ”


“.....”

ตายอย่างไม่ต้องสืบหาสาเหตุเลยครับ อ๊าก!





------------------------------------------------

เรื่องทอยเคลียร์กันอย่างสวยงามแล้วน้า
ต่อไปน้องปัณณ์จะรักพี่ยูหนักๆ เลย (หืม?)
ส่วนเรื่องทอยกับเอย์จิต้องลุ้นกันสักหน่อยว่าจะยังไงบ้าง หึหึ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 19 : ไก่คาราเกะ P.3 -29/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-06-2018 22:08:30
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 19 : ไก่คาราเกะ P.3 -29/06/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-06-2018 00:03:22
 :m25:ตายๆๆๆช็อตนี้ตายจริงๆ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 20 : ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น P.3 -15/07/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-07-2018 14:14:27
จานที่ 20 : ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น




เช้าวันนี้ดูพี่ยูแปลกๆ เพราะตั้งแต่ตื่นมาเขาก็เอาแต่มุดหัวอยู่ในตู้เสื้อผ้ามาร่วมชั่วโมง ถามว่าหาอะไรก็ไม่ยอมตอบแถมยังไล่ให้ผมไปเตรียมมื้อเช้าแบบง่ายๆ แซนวิชแฮมกับเอ้กเบเนดิกต์พร้อมด้วยเอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลชอตและอเมริกาโน่ถูกจัดใส่ถาดไม้สวยงามก่อนจะยกออกมาจากครัวตรงไปยังบริเวณห้องนั่งเล่นเพราะอยากชมสวนระหว่างกิน

ตอนสายๆ ของวันผมตั้งใจว่าจะหัดเรียนชงชาแบบญี่ปุ่นโดยให้พี่ยูสอน เขาบอกว่าตอนเด็กๆ เคยฝึกอยู่เป็นปีจนชำนาญ เกือบขอพ่อแม่เปิดร้านขายอยู่แล้วเชียวแต่โดนเอ็ดซะก่อนเพราะพวกท่านนึกว่าประชด ชีวิตของเขาไม่เคยเครียดนอกจากเรื่องพี่ป่านประสบอุบัติเหตุ

ผมนั่งรอพี่ยูพลางหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมาเล่นฆ่าเวลา วันนี้ไม่มีแจ้งเตือนไลน์จากเพื่อนสนิทหรือเอย์จิเหมือนพวกเขาหายสาปสูญไปตามกาลเวลา อยู่ที่นี่ถ้าไม่มีเทคโนโลยีก็คล้ายย้อนกลับไปสมัยก่อนด้วยกลิ่นไอของบ้านและเสื่อทาทามิที่อยู่ใต้ฟูกนุ่มๆ

จากที่ตะลอนเที่ยวญี่ปุ่นในสามวันที่ผ่านมาพบว่าที่นี่กลายเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของการมาพักผ่อนหย่อนใจจากคนทั่วโลก ทั้งวัฒนธรรม อาหาร ความเป็นอยู่ เทคโนโลยี ระเบียบ ภาษา การแต่งกาย ทุกอย่างล้วนดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อนก็จะมีเทศกาลทานาบะตะ เทศกาลดอกไม้ไฟและอื่นๆ ให้ดื่มด่ำเต็มที่

“ปัณณ์” เสียงทุ้มของคนที่รออยู่ดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากภวังค์แล้วหันไปยิ้มให้เขาแบบเต็มแก้ม ในอ้อมแขนของพี่ยูมีชุดยูกาตะสีสันสดใส อย่าบอกนะว่าที่ไปมุดหัวในตู้เพื่อหาสิ่งนี้ บ้าน่า จะเอามาทำอะไรเนี่ย

“เอาชุดยูกาตะออกมาทำไมครับ?” ผมถามแล้วมองชุดสีฟ้าสดใสสลับกับใบหน้าของพี่ยูที่เริ่มประดับด้วยรอยยิ้มหวานๆ ขายาวก้าวเข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ตรงหน้ากัน

“ไปเที่ยวงานทานาบาตะกันครับ” ชุดถูกส่งมาให้ผมพร้อมรอยยิ้มเชิญชวนจนตาพร่า แต่ด้วยความที่ในชีวิตนี้ไม่เคยใส่ชุดประจำชาติไหนเดินเที่ยวงานกลางเมืองขนาดนั้นเลยรู้สึกแปลกๆ ไม่กล้าว่ะ กลัวไม่เข้าที่เข้าทางยังไงชอบกล

“ให้ผมใส่... ชุดนี้อะเหรอ?” ผมถามย้ำแล้วชี้กองผ้าสีฟ้าที่บัดนี้ถูกตั้งไว้บนโต๊ะข้างมื้อเช้า พี่ยูพยักหน้าหงึกหงักแล้วยกเอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลชอตขึ้นจิบ ป่านนี้คงเบิร์นจนขมแล้วมั้งนั่น... กลับมาเรื่องชุดก่อนเว้ยปัณณ์

“อืม พี่ก็ใส่เหมือนกัน” ท่าทางของพี่ยูสบายๆ เหมือนชวนผมใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกไปเดินเที่ยวห้าง แถมยังกินมื้อเช้าอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่รอกัน โธ่ คนกำลังอึ้งไง ไปไม่ถูกเลยเนี่ย แล้วไอ้ที่บอกเหมือนกันคือลักษณะชุดหรือสี โอย ธีมคู่รักปะเนี่ย อายตายเลย!

“เอ่อ ไม่ต้องเต็มยศขนาดนี้ก็ได้มั้งครับ” ผมพยายามเลี่ยงแต่พี่ยูกลับคะยั้นคะยอให้ยอมใส่ชุดด้วยการขยับเข้ามาใกล้แล้วขโมยหอมแก้มแบบหน้าซื่อตาใส เอาจริงๆ มันระทวยตั้งแต่น้ำเสียงอ้อนนั่นแล้วล่ะ ไม่แพ้สักวันจะตายเหรอไงปัณณ์

“นานๆ จะมาตรงเทศกาลสักครั้ง ลองใส่ดูเถอะครับ”

“แต่มัน...” ผมอึกอักพลางหลบสายตาอ้อนวอนนั่นแล้วแกล้งทำเป็นคว้ากาแฟขึ้นมาจิบทั้งที่ยังไม่ได้เป่า โห โคตรร้อนอะแต่ต้องเก็บอาการ

“มีแฟนเป็นคนญี่ปุ่นเชียวนะครับ ไม่อยากเรียนรู้วัฒนธรรมบ้างเหรอ?”

โอเค ผมโบกธงขาวยอมแพ้แต่โดนดีเลยครับ

“โอเคๆ ยอมแพ้ครับ แต่ผมมัดโอบิไม่เป็นนะ” นี่ก็เป็นอีกปัญหาของผมคือไม่เคยใส่ยูกาตะเลย แม้แต่ชุดไทยเองก็ไม่เคย... เป็นเด็กที่โตมากับเสื้อยืดกางเกงยีนส์อย่างแท้จริง

“เรื่องนั้นพี่ช่วยเองครับ” พี่ยูยิ้มกริ่มก่อนขยับออกไปนั่งกินมื้อเช้าแบบมีความสุข แต่ผมรู้สึกว่าเมื่อถึงเวลานั้นต้องมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ช่วยแต่งตัวเชียวนะ แล้วอีกอย่างคือถ้าจำไม่ผิดชุดยูกาตะไม่ใส่ชั้นในนี่ ตายแน่ๆ กูเนี่ย!

หลังจากมื้อเช้าผ่านไปแล้วผมก็นั่งเอกเขนกอยู่ตรงชานบ้านเพื่อดื่มด่ำกับสวนสไตล์มาชิยะไม่เลิกตั้งแต่วันแรกที่มาถึง แอบเซลฟี่ไปหลายรอบบางทีติดพี่ยูกำลังเปลือยท่อนบนเลยต้องลบออกเพราะจะเอาไปอัพลงไอจี ใครว่าหวงแฟนก็ต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้

ในตอนนี้พี่ยูกำลังคุยงานกับทางเลขาฯ ของคุณป้าอยู่ตรงโต๊ะรับแขกกลางบ้าน ดูท่าทางคงมีลูกค้ารายใหญ่เข้ามาจองห้องพักแล้วต้องการสิทธิพิเศษ จริงๆ ก็อยากช่วยแต่ไม่ถนัดทางนี้เลยขอนั่งให้กำลังใจอยู่ห่างๆ จะว่าไปใช้เวลานี้เตรียมอุปกรณ์ชงชาดีกว่ามั้ง เดี๋ยวช่วงบ่ายก็ต้องออกไปงานทานาบาตะแล้ว

ผมดันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดตัวเพื่อไล่ความเมื่อยขบก่อนจะเดินผ่านหลังพี่ยูเพื่อไปค้นอุปกรณ์ชงชาตามคำบอกเล่าว่าอยู่ในครัว คงต้องใช้เวลาหาสักพักเพราะเก็บไว้นานจนลืม

“จะไปไหนครับ?” พี่ยูผละโทรศัพท์ออกแล้วหันมาถามกันด้วยความอยากรู้ ผมชี้นิ้วไปในครัวเป็นการตอบรับ

“ขอน้ำเปล่าเย็นๆ สักแก้วได้ไหม?”

“ครับ เดี๋ยวเอามาให้เนอะ” ผมพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้ ก็ตั้งใจว่าจะเอาน้ำเปล่ามาเสิร์ฟเขาอยู่แล้วเพราะเห็นคุยงานยาวเกือบครึ่งชั่วโมงยังไม่ยอมวางสาย ลึกๆ ก็แอบคิดว่าคุณเลขาฯ โทรมาจีบพี่ยูหรือเปล่าวะ ทะแม่งชอบกล

“ขอบคุณครับแฟน” พี่ยูเอ่ยขอบคุณก่อนหันกลับไปสนใจคนในสายเหมือนเดิม ถ้าฟังไม่ผิดจะได้ยินเสียงกรี๊ดจากปลายสายดังมาอย่างควบคุมไม่อยู่จนผมแก้มร้อนวาบ ตกลงไม่ได้โทรมาจีบแต่เป็นแฟนคลับคู่เราอยู่สินะ โอย เขินเฉยเลยแม่ง

ส่งน้ำเปล่าเย็นๆ ให้คนบ้างานเสร็จผมก็พาตัวเองเข้าครัวอีกครั้งเพื่อหาอุปกรณ์ที่อยู่บนตู้บิวท์อินน์เหนือศีรษะ เปิดประตูปุ๊บก็เจอเข้ากับชะเซนที่ใช้สำหรับคนผงชาให้เข้ากัน ถัดไปด้านข้างเป็นชะวังหรือถ้วยสำหรับใส่น้ำชา และมีชะคุฉะหรือช้อนไม้ไผ่อยู่ในนั้น ส่วนชะคะมะ (กาใส่น้ำร้อน) และนัทสึเมะ (โถใส่ชา) อยู่บนเค้าน์เตอร์ด้านล่าง

ผมหยิบทุกอย่างที่ต้องการวางในถาดไม้แล้วยกไปตั้งเตรียมไว้ไม่ไกลจากที่พี่ยูนั่ง เขาเหลือบมองกันเล็กน้อยพลางส่งยิ้มให้แล้วขยับปากขอเวลาอีกสิบนาทีเพื่อเคลียร์งานเอกสารบนหน้าจอโน้ตบุ๊ค ถ้ารู้ว่ามาเที่ยวยังจะมีงานตามมาด้วยคงให้ปิดทุกช่องทางการติดต่อ ปลีกวิเวกอยู่กันแค่สองคนก็พอ

“งานด่วนเหรอ?” ผมนั่งลงข้างๆ เขาแล้วเอ่ยปากถามทั้งที่ก็พอได้ยินมาบ้างว่าทางฝั่งนู้นโทรมาปรึกษาเรื่องอะไร ขอสิทธิพิเศษที่คล้ายกับว่าให้พักฟรีกินฟรีนี่... โคตรเอาเปรียบคนทำธุรกิจเลยว่ะ แต่ทำไงได้เมื่อลูกค้าวีไอพีโคตรๆ

“นิดหน่อยครับ เบื่อหรือเปล่า?” พี่ยูเบนสายตาจากจอสี่เหลี่ยมมามองกันด้วยความเป็นห่วง ผมส่ายหน้าก่อนส่งรอยยิ้มหวานไปให้ เขาอุตส่าห์สละเวลาอันมีค่าข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อพาเที่ยวขนาดนี้จะรู้สึกเบื่อได้ยังไงกัน แค่นอยด์นิดหน่อยที่งานยังตามมาหลอกหลอน

“ไม่ครับ แต่ช่วยดูให้หน่อยว่าผมเตรียมของครบหรือยัง?” ผมขยับถาดอุปกรณ์ไปให้พี่ยูตรวจความถูกต้อง ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันใดเหมือนกำลังใช้ความคิด หยิบนั่นจับนี่ไปเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงอืออาในลำคอ

“อ่า... ขาดชะคิงกับฮิชะคุครับ” ชะคิงคือผ้าที่ทำจากป่านใช้เช็ดทำความสะอาดรอบถ้วยชา ส่วนฮิชะคุถ้าจำไม่ผิดจะเป็นที่ตักน้ำสำหรับชงชา

“อ้อ โอเคครับ พี่ทำงานต่อเถอะ ผมรอได้” แล้วผมก็ให้กำลังใจเข้าด้วยการขยับเข้าไปหอมแก้มก่อนจะผละออกมาหยิบของที่ขาดด้วยหัวใจเต้นรัว โอย หน้าด้านเกินไปแล้งไอ้ปัณณ์เอ๊ย เรียนชงชาคงไม่ต้องแล้วมั้ง

ครบสิบนาทีตามที่พี่ยูขอเอาไว้เขาก็เดินมาสะกิดไหล่ผมที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงชานบ้านให้เข้าไปเตรียมตัว เราทิ้งตัวลงบนฟูกในท่านั่งทับส้นเท้าโดยมีโต๊ะตัวเตี้ยคั่นอยู่ตรงกลาง เขาเริ่มอธิบายวิธีใช้อุปกรณ์ต่างๆ และสอนวิธีทำคร่าวๆ ก่อนจะให้ลงมือทำ

“จำได้ใช่ไหมครับว่าต้องทำอะไรก่อน?” พี่ยูถามพลางจ้องเขม็ง ผมพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบเพราะบันทึกข้อมูลทุกอย่างลงในสมองจนจำได้ขึ้นใจ แค่ชงชามันจะไปยากอะไร

“ถ้าพลาดพี่จะทำโทษนะ” คนสอนหรี่ตามองพลางยิ้มเจ้าเล่ห์จนผมเริ่มหวั่นใจ ไอ้ความจำดีๆ เริ่มติดขัด มัน... ต้องเริ่มทำอะไรก่อนวะ ฉิบหาย ก็ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะโดนทำโทษนี่ โอย เกลียดพี่ยู!

“เฮ้ย... อนุโลมบ้างสิครับ ผมเพิ่งเคยทำครั้งแรกนะ” ผมเริ่มโวยวายตอนที่เขาส่งโถชามาตรงหน้า ขณะยื่นมือไปรับก็สังเกตได้ว่ามันสั่นกึกๆ จนโดนอีกฝ่ายหัวเราะ ถ้าจะจ้องจับผิดกันขนาดนี้ก็พุ่งเข้ามาทำโทษเลยเหอะ

“ถ้ามั่นใจว่าทำได้ก็ไม่ต้องกลัวนี่ครับ” มีเกทับ ถ้าไม่เกรงใจว่าพี่ยูแก่กว่าจะถีบให้กระเด็นออกไปนอกบ้านเลย แม่ง!

“คนเราตื่นเต้นเดี๋ยวมันก็ลืม” ผมบ่นงุ้งงิ้งก่อนจะเริ่มคิดทบทวนถึงขั้นตอนการชงชาที่ได้รับฟังไปคร่าวๆ เมื่อครู่ โอย ลืมแล้ว!

“ลืมก็ลงโทษไงครับ” ย้ำจังเนอะ แล้วจะยิ้มกริ่มเพื่ออะไร ไม่ชงแล้วได้ไหมชาเนี่ย

“จะ จะลงโทษยังไง?” แต่ปากก็ไวจนหลุดถาม ดวงตาที่มองเขานั้นเริ่มมีแววระวังตัว แย่แน่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วนั้น พี่ยูก็เป็นคนหื่นพอสมควรนะเว้ย

“ผิดหนึ่งขั้นตอนจูบหนึ่งครั้ง”

กู-ว่า-แล้ว!

“พี่ยู!” ผมตะโกนร้องด้วยความตกใจก่อนจะลุกขึ้นเพื่อหนีแต่พี่ยูคว้าต้นแขนไว้แล้วพูดด้วยเสียงเนิบนาบที่ฟังแล้วหัวใจกลับร้อนรุ่ม โอย พลาด!

“หึหึ เริ่มเถอะครับ เดี๋ยวหมดเวลานะ”

จากการที่โดนข่มขู่ก็กลายเป็นว่าระแวงทำผิดๆ ถูกๆ โดยจูบไปก็หลายครั้งเกือบจบลงบนเสื่อทาทามิในตอนกลางวันแสกๆ แต่ดีหน่อยที่เสียงโทรศัพท์ของพี่ยูดังขึ้นเป็นสายจากน้องชายสุดที่รัก เอย์จิโวยวายยกใหญ่ว่าทำไมปล่อยให้ไอ้ทอยติดต่อเขาได้ ว่านู่นด่านี่จนโดนตะคอกว่า ‘แล้วมึงยังชอบเขาอยู่ไหมล่ะ?’ เออ จบ ไร้ซึ่งการเถียงกลับ

ช่วงเที่ยงคุณเชฟยูโชว์ฝีมือทำอาหารสไตล์อิตาลีขัดกับบรรยากาศตัวบ้านแต่รสชาติกลับกลมกลืนและลงตัวอย่างเหลือเชื่อ ผมกินจนเกลี้ยงแถมบนว่าไม่อิ่มจนโดนอีกคนเสนอ ‘ไส้กรอก’ คือ... คิดเหรอว่าไม่รู้ความหมายแฝง เดี๋ยวเฉือนให้เป็ดเลยนี่ หื่นนักหนา

“ไปไกลๆ เลย จะหื่นอะไรนักหนาครับ?” ผมผลักหน้าพี่ยูออกไปห่างๆ เมื่อเขาขยับเข้ามาเสนอขาย ‘ไส้กรอก’ ส่วนตัวให้กันด้วยใบหน้าระรื่นพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ สรุปได้ว่าแค่แกล้งกันเล่นใช่ไหมชอบทำให้เสียวไส้ทุกทีเลย

“ก็อยู่ใกล้แฟนมันต้องมีบ้างสิครับ” คำตอบที่ได้กลับมานั้นทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น สงสัยมานานแล้วว่าเสือผู้หญิงอย่างเขาจะเปลี่ยนความรู้สึกทางเพศได้เหรอ อันนี้จริงจังเพราะในอนาคตมันคงเกี่ยวโยงกับความสัมพันธ์ของเรา

“ผมถามหน่อยเหอะ พี่ยูมีอารมณ์กับผู้ชายได้จริงๆ เหรอ?”

“ลองพิสูจน์ดูไหมล่ะครับ?” พี่ยูพูดน้ำเสียงเนิบนาบแต่ดวงตากลับเป็นประกายวิบวับจนผมทำตัวไม่ถูก อันที่จริงลึกๆ มันก็อยากรู้ว่าเขาเปลี่ยนได้จริงไหม อืม ไม่เสี่ยงดีกว่าว่ะ ยังไม่พร้อมเสียตัว!

“ผม... ไปเปลี่ยนชุดดีกว่า” แล้วผมก็วิ่งหนีเขาไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในห้องน้ำ เฮ้อ ดูท่าทางแล้วทริปเที่ยวครั้งนี้คงมีคนเสียเลือดเสียเนื้อเพราะความอยากรู้แน่นอน

วันนี้พี่ยูก็ยังอาสาขับรถเองเพราะมันสะดวกกว่าเวลาคิดอยากจะไปไหนหรือเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ผมเหลือบมองคนข้างตัวก่อนก้มมองสภาพตัวเองด้วยความขัดเขิน ไม่คุ้นชินกับชุดยูกาตะเลยสักนิดอีกอย่างคือรู้สึกโล่งชอบกล

“พี่ยู...” ผมเรียกคนข้างๆ เสียงเบาเมื่อการจราจรเริ่มติดขัดเพราะใกล้ถึงสถานที่จัดงานทานาบาตะเข้าไปทุกที ไอ้ความมั่นหน้ามั่นใจในการใส่ชุดที่ไม่มีอยู่แล้วทำให้อยากวิ่งลงไปถอดทิ้งเหลือเกิน มันดูอินเกินไปหรือเปล่าวะ

“ครับ?” เสียงขานรับมาพร้อมกับการเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ดวงตาคมมองไล่ตั้งแต่ใบหน้าของผมไปจนถึงช่วงขาก่อนที่รอยยิ้มเล็กๆ จะผุดตรงมุมปาก คืออะไรยังไงวะ คนยิ่งประหม่าอยู่ด้วย เดี๋ยวเตะเลยนี่!

“เปลี่ยนชุดได้ปะ มันไม่ชินเลยพี่ยู” ผมตามเสียงอ้อมแอ้มแล้วดึงสาบชุดด้านบนด้วยความไม่มั่นใจ ยอมรับว่าสวยแถมส่องกระจกดูก็โอเค แต่เวลายืนข้างๆ พี่ยูมันเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายรับน้อยๆ ทั้งหุ่นและสีเสื้อผ้า โอย แม่ง ถึงจะรับรู้ได้ลึกๆ ว่าอะไรคืออะไรแต่ก็เสียเซลฟ์ไง เคยรุกชาวบ้านมาตลอดงี้ ฮือ ร้องไห้ได้ไหมล่ะ

“เปลี่ยนทำไมครับ เสียเวลาออก”

“ไม่นานครับ ถ้าพี่อนุญาตให้เปลี่ยน” ถอดในรถก็ได้เหอะถ้าพี่ยูไม่คิดอกุศลล่ะนะ แต่คำตอบที่ได้กลับมามันทำให้มือไม้อ่อนนี่สิ เวรเอ๊ย

“พี่ไม่อนุญาตครับ แบบนี้ก็น่ารักดีแล้ว” เขามองผมด้วยดวงตาแวววาวพร้อมรอยยิ้มหวานอีกครั้ง แต่ก่อนเคยหงุดหงิดกับคำชมว่าน่ารักจนต้องด่าใครๆ กลับแต่เมื่อคนพูดเป็นพี่ยูมันก็รื่นหูขึ้นมาซะอย่างนั้น แถมรู้สึกเขินจนแก้มร้อน

“พี่...” เสียงอ่อยอย่างกับคนกำลังจะหมดแรง โอ๊ย เกลียดตัวเอง

“เลี้ยวข้างหน้าก็ถึงที่จอดรถแล้วครับ เดี๋ยวเดินไปสักนิดก็เข้างานได้เลย” พี่ยูชวนคุยเรื่องอื่นแล้วชี้ที่ทางในการจอดรถให้ผมดูเหมือนก่อนหน้านั้นไม่เคยพูดอะไรให้คนอื่นชวนเคย มันเป็นธรรมชาติจนบรรยากาศรอบตัวดูผ่อนคลาย ก็เป็นซะอย่างนี้ไม่รักก็แย่แล้ว

เวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว บริเวณภายในงานเลยมีการเปิดไฟประดับให้แสงสว่างแก่ผู้เยี่ยมชม ร้านค้าสองข้างทางมีทั้งอาหารพื้นเมืองและสมัยใหม่รวมถึงแผงเล่นเกม สินค้างานฝีมือต่างๆ ไปตลอดสาย ผมตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นเป็นครั้งแรกเพราะมาญี่ปุ่นทีไรก็ไม่เคยเที่ยวเทศกาลแบบนี้สักที

“ไปเขียนกระดาษขอพรกันครับ” พี่ยูดึงผมกลับสู่ด้านหน้างานที่วุ่นวาย ใกล้ๆ กับที่เรายืนอยู่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งประดับด้วยกระดาษหลากสีห้อยอยู่เต็มต้น น่าถ่ายรูปเก็บไปฝากริวแต่ทำไมมือมันรู้สึกอุ่นๆ วะ หืม...

“ครับ แต่ว่า... ไม่ต้องจับมือก็ได้มั้ง” ผมก้มลงมองมือตัวเองด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน ถามว่าชอบไหมที่พี่ยูทำอย่างนี้ ก็คงตอบได้ว่าโคตรชอบแต่นี่มันที่สาธารณะกลางเมืองญี่ปุ่นคงไม่ดีเท่าไหร่มั้ง แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็โดนมองจนจะพรุนไปทั้งตัวแล้วเนี่ย

“ไม่มีใครว่าอะไรหรอกครับ พี่อยากทำตัวให้เหมือนแฟนจริงๆ บ้างก็เท่านั้นเอง” เขาบอกพร้อมกระชับมือของเราทั้งคู่ให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคมมองตรงมาเหมือนจะขอความคิดเห็นซึ่งผมก็ทำได้แค่เบนหน้าหนีเพราะเขิน ตอนนี้ขอทำตัวเป็นแฟนกันจริงๆ สักทีเถอะ ที่ผ่านมาก็มีแต่คนทักว่าเป็นพี่น้องกันก็ปวดใจจะแย่ บางทีเดินห้างมีสาวเข้ามาขอเบอร์โทร ขอไลน์ ทำได้ดีที่สุดแค่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลทั้งที่หวงกันมาก

“ตะ ตามใจ” ไม่พูดหรอกว่าอยากให้จับมือเดินเที่ยวงานน่ะ อายจะตาย!

ผมโดนยัดเยียดกระดาษแผ่นยาวสีชมพูสดใสใส่มือทั้งที่อยากถามหาความหมายของสีอื่นๆ จากคนดูแลแต่พี่ยูไม่ยอมเพราะจะให้ขอพรเรื่องความรักลูกเดียว แถมยังให้เหตุผลอีกว่ากลัวสักวันหนึ่งหัวใจของเราจะไม่ตรงกันอีกเลยอยากให้มีอะไรบางอย่างเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ความคิดของเขาเหมือนเด็กๆ แต่ก็ยอมรับว่าทำให้ยิ้มได้ไม่ยาก ก็มันน่ารัก... แม่ง อย่าด่าเลยว่าเห่อแฟนเดี๋ยวแก้ตัวไม่ทัน

หลังจากเดินเที่ยวงานด้วยความตื่นเต้นบวกกับความแฟนในการจับมือแล้วนั้นทำให้โดนชาวบ้านมองด้วยสายตาที่แตกต่างกันไปแต่พวกเราเลือกที่จะเมินและสนใจความสุขของตัวเองเป็นหลัก แวะซื้อขนมบ้าง อาหารบ้าง ของฝากกระจุกกระจิกบ้าง จนสุดท้ายก็มานั่งเล่นอยู่ริมแม่น้ำใกล้สถานที่จุดพลุ

ผมจิ้มดังโงะเข้าปากคำแล้วคำเล่าในขณะที่พี่ยูเอาแต่คุยโทรศัพท์กับใครบางคนที่เป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยมที่ญี่ปุ่นเป็นผู้ชาย มันก็ดูปกติดีถ้าไม่ติดว่าเขาคนนั้นชอบเพื่อนตัวเอง เฮ้อ เมื่อไหร่จะวางสักทีเนี่ย

ถาดยากิโซบะที่ปล่อยเย็นชืดอยู่ตรงหน้าทำให้ผมเกิดความคิดดีๆ เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาแล้วคีบเส้นยาวยืดจ่อปากพี่ยู เขาผงะถอยแล้วสายหน้าพรืดพลางชี้ไปที่โทรศัพท์เป็นทำนองว่าคุยอยู่ แต่ด้วยความที่ไม่ยอมแพ้และเริ่มหงุดหงิดคนในสายเพราะเริ่มส่งเสียงออดอ้อนแปลกๆ คล้ายกำลังนั่งดื่มอยู่ตรงไหนสักที่ใกล้ๆ ใครมันจะปล่อยแฟนตัวเองไปให้เสือล่ะ ยัดเข้าปากแม่ง!

“อือ!” พี่ยูส่งเสียงครางเมื่อยากิโซบะถูกยัดเข้าปากไปจนได้ สีหน้าเขาดูไม่พอใจแต่ก็ยอมเคี้ยวหงับๆ อยู่ดี ส่วนผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเลื่อนตะเกียบคู่เดิมมาเลียแล้วคีบเส้นยาวๆ ใส่ปากบ้าง อืม... อร่อยกว่าคุยกับไอ้คิตะอะไรนั่นอีก หึ!

“แสบนักนะ” ได้ยินเสียงพึมพำภาษาไทยเบาๆ จากพี่ยูผมเลยเหลือบตามองเขาแล้วทำเป็นไม่สนใจพลางเปลี่ยนไปจิ้มดังโงะขึ้นมากินต่อ แต่เพราะท่าทางกวนตีนหรืออะไรสีกอย่างเลยทำให้คนที่กำลังคุยโทรศัพท์ถึงกับพาดแขนหนักๆ ลงบนไหล่แล้วกระชับรั้งกันเข้าสู่อ้อมแขน กอดไว้แน่นราวกับว่ากลัวจะหาย

“จะมากอดทำไมครับ ก็คุยกับเพื่อนไปสิ” ผมบ่นแล้วพยายามผละตัวออกแต่อีกฝ่ายไม่ยอมแถมยังปล่อยโทรศัพท์วางทิ้งไว้บนตักแล้วรวบกอดกันทั้งตัว โอย ถึงตรงนี้จะมืดแต่ก็ไม่ควรมาทำอะไรแบบนี้หรือเปล่า อายคนเว้ย!

“รู้ว่าหวง” พี่ยูแม่งมีพรายกระซิบหรือไง จะรู้ไปหมดทุกเรื่องแบบนี้ไม่ได้ปะวะ ผมอุตส่าห์คีพลุคเป็นผู้ใหญ่มีเหตุผล ไม่งอแงกับเรื่องเล็กน้อยแบบนั้น

“สำคัญตัวผิดไปหรือเปล่าครับ?” ผมตีมึนแล้วถามกลับด้วยเสียงเรียบแล้วหยุดขัดขืนอ้อมกอดอุ่นๆ นั่น ยอมนั่งนิ่งให้พี่ยูได้ทำตามใจเพื่อไม่แสดงพิรุธไปมากกว่าเก่า

“พูดจาแบบนี้แถมหึงให้ด้วยอีกข้อ” พี่ยูขยับเข้ามาเอาแก้มแนบจนผมเผลอสะดุ้งเบิกตาโตตกใจทั้งคำพูดและการกระทำ มันจะรู้มากเกินไปแล้ว แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ โอย อยากกลับบ้านเว้ย แยกห้องนอนด้วย!

“พี่ยู!” ผมผละตัวออกจากอ้อมกอดแล้วหันไปถลึงตาใส่ ตอนนี้รู้สึกเหมือนแก้มและหูร้อนไปหมด ทั้งอายทั้งโมโหที่ถูกจับไต๋ได้ เถียงก็ไม่ออกได้แต่กำชุดยูกาตะแน่น

“ก็แค่คนที่เคยชอบพี่ ไม่มีความสำคัญมากไปกว่าปัณณ์หรอกครับ” น้ำเสียงแผ่วแต่มั่นคงดังออกมาจากริมฝีปากหยักที่กำลังขยับยิ้มบาง ทุกคำที่ได้ยินสามารถเชื่อได้อย่างไม่มีข้อกังขาแต่ผมกลับปฏิเสธมันแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก็ถ้าพี่คิตะไม่สำคัญจะคุยด้วยทำไมตั้งนาน แถมไม่สนใจกันอีกต่างหาก พอเรียกทีก็เลิกคิ้วทีขมวดคิ้วทีจนไม่แน่ใจว่าใครเป็นแฟนใครกันแน่ แม่ง น้อยใจอะ

“แน่ใจเหรอครับ? คุยกันมาเกือบชั่วโมงแล้วนี่” ไหนๆ พี่ยูก็รู้แล้วผมก็จะไม่ปิดบัง ถามจบก็เริ่มออกเดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำ พยายามดื่มด่ำบรรยากาศสดชื่นยามค่ำคืน มองฟ้ามองต้นหญ้าเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเรื่องพ

“อืม ก็ต้องเคลียร์กับคิตะให้รู้เรื่องสิครับ ในเมื่อเขาชวนพี่ไป ‘นอน’ ด้วยกัน” พี่ยูเน้นหนักตรงคำว่านอนจนผมต้องหันไปตีหน้ายักษ์ใส่เขาที่เดินตามกันมา นี่ขนาดไปอยู่ไทยตั้งหลายปียังฮอตกับเพื่อนเก่าเหรอ จะมากไปแล้วปะวะ

“นอนกับผมดีกว่าอีก” ผมกัดฟันกรอดแล้วพูดด้วยเสียงคลุมเครือจนแทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะพิสูจน์ได้จากหัวคิ้วของพี่ยูที่ขมวดเข้าหากันแน่นแล้วเอียงคอมองด้วยความสงสัย แม่ง ไม่น่าพูดออกไปเลย กลัวว่าเวอร์จิ้นประตูหลังจะไม่พ้นคืนนี้

“ปัณณ์ว่าอะไรนะครับ?”

“พี่ยูนอนกับผมดีกว่า!” เออ แล้วผมจะตะโกนอีดหน้าเขาทำไมเนี่ย ดูสิ พี่ยูขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเลยเหอะ ผมรุกแรงไปใช่ไหม ขอโทษ...

“หมายความว่า...”

“คืนนี้มาลองขยับความสัมพันธ์กันเถอะ” ไอ้ปัณณ์เป็นเด็กใจแตก!

ตั้งแต่หลุดพูดประโยคนั้นออกไปพวกเราก็เงียบใส่กันแม้กระทั่งตอนที่พลุดังปึงปังกระจายตัวอยู่บนท้องฟ้า มีเหลือบสายตามองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสู่อาการเดิมเหมือนต่างคนต่างทำตัวไม่ถูก จนขึ้นรถขับออกมาจากงาน ถึงบ้านก็แล้ว... อึดอัดว่ะ

“พี่...” พอผมเอ่ยทำลายความเงียบระหว่างที่เรานั่งข้างๆ กันบนเตียงในชุดยูกาตะตัวเดิม อีกฝ่ายก็ถามสวนขึ้นมาในจังหวะเดียวกันเหมือนรู้ว่าบทสนทนาต่อไปจะเป็นยังไง โธ่ แบบนี้ก็อึดอัดไม่หายน่ะสิ มันไม่เคลียร์ไง

“พรุ่งนี้เราไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์กันไหม?” เขาเอ่ยชวนทั้งที่สายตามองตรงไปยังสวนกลางบ้านเหมือนมันน่าสนใจนักหนา มืดก็มืดมันจะไปสวยได้ยังไงเล่า ทำแบบนี้มีพิรุธไม่รู้หรือไง

“เอ่อ... ชวนอย่างกับผมเป็นริวเลย” ผมหัวเราะแห้งก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงเพื่อลอบมองแผ่นหลังกว่าแสนอบอุ่นนั่น เดาได้ว่าพี่ยูคงคิดไม่ตกกับเรื่องขยับความสัมพันธ์เพราะก่อนหน้านี้เราเหยียบคำว่าเซ็กซ์ในจมอยู่ใต้เท้าเพื่อรอเวลาแห่งความพร้อม

“เผื่ออยากไปเที่ยวแบบเด็กๆ ไง”

“ผมไม่เด็กแล้วนะครับ” ผมผุดลุกขึ้นแล้วใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของพี่ยูให้หันมาสบตากัน เขาระบายยิ้มก่อนถามกลับด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ขยับแนบชิดจนปลายจมูกของเราแตะเพียงแผ่วเบา แต่แค่นี้ก็พาลให้หัวใจเต้นตุบๆ ได้ไม่ยากเลย

“งั้นเหรอ?” พี่ยูถามก่อนจะผละออกไปเหมือนพยายามบังคับอารมณ์ตัวเองให้ดูปกติทั้งที่จริงแล้วดวงตาของเขามีแววกังวลแฝงกับความอยาก... ก็อย่างว่านั่นล่ะ

“พิสูจน์ไหมล่ะครับ?” ผมตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเพราะพี่ยูคงไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่าการกอดจูบถ้าไม่ได้รับอนุญาตอย่างจริงจัง นี่ล่ะที่ใครหลายๆ คนบอกไว้ว่าความรักมักมาพร้อมความกลัว ถ้าเผลอทำอะไรไม่ถูกใจอีกฝ่ายก็ระแวงกับระดับความรู้สึกที่อาจลดลงได้

“จะทำอะไร?” เขาตวัดสายตามองผมก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาใกล้จนแทบจะบังคับให้นอนราบไปกับเตียง

“ก็...” เออ ผมพูดไม่ออกเลยแต่แต่กระพริบตาปริบๆ แล้วเม้มปากแน่น โอย เขินสัด หน้าจะไหม้แล้ว

“เรื่องนั้น... จะทำจริงๆ เหรอ?” แต่ไอ้คนที่จู่โจมน่ะสิ กลับเอ่ยปากถามกันตรงๆ จนผมตั้งตัวไม่ถูก

“ครับ?”

“ขยับความสัมพันธ์น่ะ”

“อ๋อ ถ้าผมพูดว่าล้อเล่นพี่จะ...” ผมลองเชิง แต่คงผิดจังหวะไปหน่อยเมื่อดวงตาคมฉายแววหงุดหงิดแถมเขายังขยับเข้ามาเบียดจนลำตัวแนบชิด อ่า ตายไม่ตายล่ะงานนี้

“พี่ไม่รอแล้วได้ไหมครับ?” น้ำเสียงกระเส่าจนจับความรู้สึกได้ว่าคืนนี้ผมไม่รอดแน่ๆ แต่ยังนับถือใจพี่ยูนะที่ยังมีการร้องขอทั้งที่พร้อมขย้ำเหยื่อทุกเวลาแบบนี้

“.....” ผมเลือกเงียบแล้วตอบในใจว่า ‘ก็ไม่ต้องรอสิครับ จะทำอะไรก็ทำ อ่อยแล้ว’ แต่มันกระดากปากไง เก็บไว้น่ะดีแล้ว

“จะด่าจะว่าพี่หื่นยังไงก็ได้ ทนไม่ไหวแล้วครับ” เขาพูดจบก็ผลักให้ผมนอนราบลงบนเตียงแล้วตามมาคร่อมกันไว้จนระยะห่างระหว่างเราเหลือแค่ความหนาของนิ้วที่สามารถผ่านได้ ด้วยความที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็เลยใช้มือทั้งสองข้างดันหน้าอกอีกฝ่ายแล้วละล่ำละลักถามไม่เป็นภาษา ไอ้ความตั้งใจจะรุกเขาตอนนี้เท่ากับศูนย์

“เดี๋ยวสิ ทำไมอยู่ๆ ก็คึกขึ้นมาล่ะครับ?” ผมถามด้วยความสงสัยเพราะปกติก็เห็นพี่ยูหื่นแต่ไม่เคยลงมือทำจริงจังขนาดนี้มาก่อน ถึงจะรู้สึก ‘อยาก’ มากก็จัดการตัวเองได้ไม่เคยงอแง แต่ครั้งนี้ทำไมล่ะ... เพราะความหึงหวงที่เผลอแสดงออกไปหรือเปล่า ไม่สิ บ้าน่า

ผมโดนพี่ยูจ้องนานนับนาทีโดยไม่ได้สัมผัสกันเลยสักนิดแต่ลมหายใจกลับแรงขึ้นๆ ทวีคูณบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เพิ่มพูนขึ้นเหมือนฟองเบียร์สีขาวนุ่มกำลังไหลทะลักล้นแก้ว ดวงตาคมเริ่มขยับมองจากใบหน้าไล่ลงไปเรื่อยตามร่างกายอย่างละเอียดละออ ถ้าบอกว่าเริ่มเขินจะแปลกไหม สำรวจแบบนี้ก็แย่สิ

“พี่ขอสารภาพแบบลูกผู้ชายเลยแล้วกันว่า... ตั้งแต่เห็นปัณณ์ใส่ชุดยูกาตะก็มีอารมณ์ซะเฉยๆ รู้สึกว่าเร้าใจตอนจินตนาการว่าได้ถอดมันออก”

ไอ้เชี่ย... พี่ยูโรคจิต ก็ว่าทำไมคะยั้นคะยอให้ผมใส่ชุดนี้นัก แต่จะโกรธก็ไม่ได้ในเมื่อเขารู้สึกกับเราคนเดียวไม่ได้หื่นในคนใส่ยูกาตะไปทั่ว แม่ง ควรพูดอะไรต่อดีโอย แก้มร้อนมาก!

“อ่า... งะ งั้นก็ลองดูสิครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่ยูเปลี่ยนรสนิยมทางเพศได้จริงๆ ไหม?” ก็ถือซะว่าได้พิสูจน์ความกังวลใจของตัวเองไปด้วย ต่อจากนี้ความรักระหว่างเราต้องสดใสจนใครๆ อิจฉา ยกตัวอย่างเช่นไอ้ทอยกับเอย์จิเป็นไง ป่านนี้คงตีกันตายไปแล้วมั้ง

“ถ้าลุกไม่ไหวโทษพี่ไม่ได้นะครับ”
“ใครกันแน่ครับ หึ!” อย่าสบประมาทคนอย่างปัณณ์นะพี่ยู ใครดีใครได้ ผมเริ่มก่อนต้องได้รุกสิวะ ฮึบ!

ผมได้รุกจริงๆ นั่นล่ะ... ลุกขึ้นนั่งชันเข่าให้พี่ยูคนหื่นกามเปลื้องเสื้อผ้าอย่างช้าๆ แง้มทีละนิดละหน่อยให้หัวใจเต้นโครมครามเพราะมัวแต่ลุ้นว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะโป๊ ยิ่งพอเห็นสายตาซุกซนที่มองมาแล้วก็พาลเขินจนเนื้อตัวแดงไปหมด เปลี่ยนใจตอนนี้ได้ไหม ไม่เอาแล้วได้ไหม กลัวเนี่ย กลัว!

“ขาว” เอ่ยชมเมื่อตาเห็น

“เนียน” เอ่ยชมเมื่อได้สัมผัส

“นุ่ม” เอ่ยชมเมื่อได้บีบเค้น

“อร่อย” เอ่ยชมเมื่อลิ้นร้อนตวัดชิมผิวเนื้อและริมฝีปากประทับดูดดุนไปตามทุกส่วนของร่างกาย

“อะ อา...”

“น่ารัก” เอ่ยชมเมื่อยามที่ได้ยินเสียงร้องไม่เป็นภาษาซึ่งเกิดมาจากการเล้าโลมให้เสียวซ่านจนแทบขาดใจ




ต่อด้านล่างน้า
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 20 : ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น P.3 -15/07/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 15-07-2018 14:14:56
เขาจะรู้ตัวไหมว่ากำลังทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับทุกอย่างที่ถูกปรนเปรออย่างไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ร่างกายขยับไปตามความต้องการของพี่ยูไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาเพื่อเปิดทางสัมผัสให้มากยิ่งขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนปลายเท้าและมือจิกเกร็งลงบนที่นอนเพื่อระบายความเสียว ผมเพิ่งตระหนักในตอนนี้เองว่าฝ่ายรับรู้สึกดีแค่ไหน ชักจะติดใจแล้วสิ...

“ผ่อนคลายนะครับปัณณ์” พี่ยูโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูเมื่อกำลังจะผ่านด้านการเล้าโลมไปสู่ขั้นถัดไปที่ผมรู้ดีว่ามันคือการเตรียมความพร้อมให้กับการตอบรับอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของเขาเข้ามาในตัว

ผมพยักหน้ารับแล้วพยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกทำสมาธิให้ผ่อนคลายไม่กังวัลหรือกลัวกับความเจ็บที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่มันยากเพราะสมองกลับคิดถึงเรื่องเก่าๆ ยามขึ้นเตียงกับคู่นอน บางคนบนว่าเจ็บจนจะขาดใจ บางคนเลือดออก บางคนคับแน่นจนไม่สามารถสอดใส่ได้แม้จะมีการเตรียมความพร้อมหรือใช้สารหล่อลื่นมากแค่ไหน แล้วไอ้คนที่รุกมาตลอดชีวิตคงทำใจลำบาก

“ถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้พี่หยุดก่อนก็ได้นะครับ” คำถามที่หลุดออกจากปากพี่ยูทำให้ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ กลัวว่าเขาจะผิดหวังทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นฝ่ายคะยั้นคะยอขอขยับความสัมพันธ์ ดวงตาคมฉายแววเป็นห่วงแต่ยังแฝงราคะไว้จนแน่น ถ้าตอบตกลงไปจริงๆ หลังจากนี้เรื่อฃบนเตียงคงยากขึ้น

ผมก็เป็นผู้ชายที่มีเรื่องเซ็กซ์เข้ามาผัวพันกับชีวิตอยู่ตลอดเวลา จะทำเป็นไม่เข้าใจอารมณ์คนที่เป็นแฟนก็คงดูใจร้ายเกินไป เขาอยากไม่ใช่เรื่องผิด ฉะนั้นจึงไม่ควรล้มเลิกคืนนี้ทั้งที่ก็รู้สึกไม่ต่างกัน

“ไม่ครับ ผมขอเวลาอีกนิดไม่เกินห้านาที”

“ครับ พี่รอได้ ให้ช่วยไหม?”

“อื้อ จูบหน่อย... นะครับ” ผมอ้อนขอด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและผลของมันคือใบหน้าหล่อเหลาที่โน้มต่ำลงมาจนจรดริมฝีปากลงที่ตำแหน่งเดียวกัน ความอุ่นร้อนท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เสียงดูดดุน ความเปียกชื้น ลิ้นที่เกี่ยวตวัดกันไปมาแบบไม่มีใครยอมใครทำให้ทุกอย่างผ่อนคลายลง มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อนิ้วเรียวเริ่มขยับเข้าออกในช่องทางด้านหลัง มันช่างนุ่มนวลแต่ก็อึดอัดไปพร้อมกัน

ผมไม่เคยนึกว่าตัวเองจะมีจุดกระสันตรงช่องทางด้านหลังเหมือนคู่นอนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตเพราะมีความสุขหฤหรรษ์กับความเป็นชายอันน่าภาคภูมิใจมาตลอดยี่สิบเจ็ดปี แต่คืนนี้ทุกอย่างที่เคยเชื่อกลับตาลปัตรเมื่อความเป็นพี่ยูเริ่มชำแรกเข้ามาในสนามรบ ความรู้สึกเจ็บ จุกพุ่งทะยานเข้ากระแทกใส่กันไม่ยั้ง เสียงร้องครวญครางถูกระงับด้วยการปรนเปรอตรงยอดอกทั้งดูดทั้งเลียจนสามารถเบี่ยงเบนความสนใจ

‘มิดด้าม’ คำพูดเชิงลามกที่เคยได้ยินมานัดต่อนัดกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองด้วยความพยายามของพี่ยู ความเจ็บเริ่มเปลี่ยนเป็นชาชินจนเมื่อความเป็นชายเริ่มขยับเข้าออกภายในช่องทางอุ่นร้อนก็ถูกแทนที่ด้วยอาการ ‘เสียวกระสัน’ จนร่างกายบิดเร่าเพราะถูกกระแทกย้ำลงที่จุดอ่อนไหว ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีความปรานีใดๆ ครั้นจะให้หยุดก็คงทำใจไม่ได้ ก็มันติดรสสัมผัสนี้ไปแล้ว

“อ่า บะ เบาหน่อย” ผมร้องบอกคนด้านบนด้วยน้ำเสียงขาดห้วง น้ำตาหยาดใสไหลรดลงข้างแก้มเพราะความเสียวซ่านที่ได้รับติดกันไว้เว้นระยะให้หายใจ จะตายอยู่แล้ว ช้าลงหน่อยก็เร้าใจไม่แพ้กันหรอกน่า

“เบาแค่ไหนครับ?” พี่ยูลดความเร็วลงจนผมแทบไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวทางด้านหลัง ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มอ่อนโยนยามทอดสายตามองกัน อ่า... เขินฉิบหาย

“ระ เร็วขึ้นหน่อย อย่าแกล้งสิครับ” ผมรู้ว่าเขาแกล้งแต่ก็ต้องขอร้องอ้อนวอนไปตามประสาคนโดนกระทำเนื่องจากไม่ใช่ผู้คุมเกมในครั้งนี้ พี่ยูตอบรับด้วยการขยับสะโพกเร็วขึ้นอีกหนึ่งจังหวะซึ่งเป็นที่น่าพอใจจนอยากได้อีก นี่สินะที่ใครๆ เขาบอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่โลภมากเท่าไหร่ไม่รู้จักพ

“อ๊ะ อืม ระ แรงอีกได้ไหม? จะเสร็จละ แล้ว” เสียงกระท่อนกระแท่นเอ่ยขออีกครั้งเมื่อความอึดอัดตรงส่วนความเป็นชายมีมากขึ้นจนแทบระเบิดออกมา พี่ยูที่ขยับตัวอย่างหนักหน่วงพยักหน้ารับก่อนกระแทกลงมาไม่ยั้ง ความเสียวแล่นริ้วไปทุกส่วนของร่างกายทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งและนั่นทำให้พี่ยูถึงกับครางไม่เป็นภาษา บุกจู่โจมเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า หนักขึ้น แรงขึ้นจนสุดท้ายทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวโพลน

ผมนอนหมดสภาพหลังจากผ่านสนามรบมาถึงสองรอบ คนที่ได้กำไรอย่างพี่ยูกลับยิ้มหน้าบานจนแก้มจะแตก น่าหมั่นไส้แต่ก็โกรธไม่ลงในเมื่อเป็นฝ่ายสมยอมและเริ่มก่อนซะเอง ความรู้สึกขัดเขินยังคงเจือจางเมื่อเราเผลอสบตากันได้ขณะที่กำลังทำความสะอาดร่างกายด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ

“อ้าขาออกหน่อยครับ พี่เช็ดไม่ถนัด” น้ำเสียงกึ่งสั่งกึ่งร้องขอดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังจะหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ขาทั้งสองข้างขยับเข้าหากันอย่างอัตโนมัติ ใครที่ไหนจะบ้าอ้าขาให้เขาดูตอนนี้ล่ะวะ แต่ลืมตัวไปว่าระบมอยู่ โอย เจ็บ!

“อะ...” เจ็บจนร้องไม่ออกแต่น้ำตาไหลเป็นทางจนเดือดร้อนให้พี่ยูรีบคว้าทิชชู่มาซับให้ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบหน้าผากเป็นการปลอบประโลม

“ขอโทษครับ พี่ไม่น่ารุนแรงเลย” ทำเสียงเป็นหมาหงอยขนาดนี้ใครจะไปด่าลงวะ

“ไม่ใช่ความผิดพี่สักหน่อย มานอนเถอะครับ ผมง่วงแล้ว” ผมเอื้อมมือไปแตะท่อนแขนแกร่งแล้วใช้สายตามองไปที่ว่างข้างตัว ลงมานอนสักทีเถอะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว อยากกอด...

“แต่พี่ยังเช็ดตัวให้ปัณณ์...”

“ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้ค่อยอาบน้ำ” ผมว่าก่อนจะรั้งแขนเขาแทนการขอร้องแล้วขยับเข้าไปกอดเมื่อพี่ยูทิ้งตัวลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว

“งั้น... ฝันดีนะครับปัณณ์” จบคำพูดนั้นผมก็ได้รับสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้มไล่ขึ้นมาจนถึงหน้าผาก อืม อุ่นจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้จัง ชอบทุกอย่างที่เป็นพี่ยู ไม่สิ รักเลยล่ะ

“อื้อ เหมือนกันครับ” โคตรมีความสุขเลย



-------------------------------------------------

จุดพลุกันหน่อยยย ความรักของพี่ยูกับน้องปัณณ์ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว ฮึ้ยยย
ต่อไปก็ลุ้นคู่ทอยกับเอย์จิกันหน่อยเนอะ อีกแค่ 4 ตอนจะจบเรื่องแล้ว ฮึบๆ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 20 : ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น P.3 -15/07/61-
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-07-2018 19:42:46
ว๊ายยยยยยยยย !!!
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 20 : ไข่ตุ๋นญี่ปุ่น P.3 -15/07/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-07-2018 16:55:49
ปิดซอยตั้งโต๊ะจีนฉลอง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 21 : ข้าวราดไข่ดิบ P.4 -23/07/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 23-07-2018 15:38:57
จานที่ 21 : ข้าวราดไข่ดิบ



คุณเคยได้ยินคำว่าความสุขบนความเจ็บปวดหรือเปล่า? ตอนนี้ผมกำลังเผชิญมันด้วยตัวเองเมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่หลังจากผ่านภารกิจบนเตียงอันหนักหน่วงเมื่อคืนนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมฝ่ายรับถึงได้มีอาการเหมือนจะตายทุกครั้งที่มีอะไรกัน ซึ้งจนน้ำตาไหลปวดร้าวสะโพกไปหมด

ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือนอนตะแคงมองประตูห้องนอนที่เชื่อมกับตัวบ้านว่าเมื่อไหร่มันจะถูกเปิดโดยคนหื่นกามสักที รอมาเกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่มีวี่แววของพี่ยูเลยสักนิด ฟันแล้วทิ้งหรือไงวะถึงได้หายหัวไปนานขนาดนี้ ปวดฉี่ อยากอาบน้ำ หิวข้าว เฮ้อ ทำอะไรได้บ้างเนี่ย พยายามลุกก็ไม่ไหว เกลียดความอ่อนแอนี่จริงๆ เลย

ในขณะที่คิดว่าจะข่มตานอนอีกครั้งประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกโดยคนที่ผมเฝ้าทวงถามตลอดว่าหายไปไหน พี่ยูมาพร้อมกับถาดไม้และกลิ่นหอมฉุยของอาหารมื้อเช้าซึ่งเดาได้ว่าเป็นข้าวต้ม ความหงุดหงิดจางหายไปทันทีเมื่อได้รับรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งให้ อยากโกรธอยู่หรอกที่โดนทำรุนแรงแต่เจอแบบนี้ใจอ่อนยวบเลยว่ะ

“ลุกขึ้นไหวไหม?” พี่ยูถามหลังจากที่วางถาดไม้ลงบนโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียง เขามองมาด้วยสายตาเป็นห่วงจนรู้สึกอุ่นในใจ ไอ้บรรยากาศหวานแหววนี่เหมือนจะทำให้ขาดอากาศหายใจยังไงไม่รู้ ตอนนี้ในสมองก็เอาแต่ขุดความทรงจำเมื่อคืนชัดเป็นฉากๆ โอย เมื่อครู่โดนถามว่าอะไรนะ ลืมไปเลย

“พี่ยูถามว่า... อะไรนะครับ?” เสียงที่เปล่งออกไปกระท่อนกระแท่นเพราะรู้สึกคอแห้ง เมื่อคืนมันหนักหน่วงจริงๆ นั่นล่ะ บ้าเอ๊ย เมื่อไหร่จะหยุดคิดเรื่องนั้นสักที ไอ้ความเสเพลก่อนหน้านี้ไม่ช่วยให้ความเขินอายลดลงเลยหรือยังไง ตอนเป็นคนกระทำไม่เห็นรู้สึกแบบนี้เลยวะ

“พี่ถามว่าเราลุกขึ้นไหวหรือเปล่า ต้องช่วยไหม?” พี่ยูทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กันก่อนโน้มตัวลงมาประสานสายตาให้ผมต้องเบนหน้าหนี ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวจนกลัวว่าอีกคนจะได้ยิน โธ่ ถามไกลๆ ก็ได้มั้ง แล้วเสื้อน่ะไม่มีใส่หรือยังไงถึงได้เปลือยอกโชว์ขนาดนี้ ยิ่งเห็นรอยจ้ำแดงๆ ตามตัวเขาความอายก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น เมื่อคืนต่างคนต่างร้อนแรงไม่แพ้กันเลย

“มัน... เจ็บครับ” ผมเอ่ยตอบเสียงแผ่วก่อนจะหดคอลงเพื่อให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งจมหายไปในผ้าห่ม เหลือบมองพี่ยูก็เจอเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ดวงตาคมไล่มองกันตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกำลังประเมินสภาพการณ์

“พี่ขอโทษที่รุนแรงเกินไปหน่อย” พี่ยูก้มหัวขอโทษผมหลายครั้งจนต้องเอื้อมมือไปจับบ่าแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

“ผมเข้าใจครับ” ผมคลี่ยิ้มบางให้ก่อนจะรั้งท้ายทอยอีกคนเข้ามากดจูบเพียงแผ่วเบาก่อนจะผละออก เขินฉิบหายแต่ก็ไม่อยากให้เขาดึงดราม่า ต่างคนต่างมีความสุขร่วมกันนี่นา

“เข้าใจว่ายังไง?” คำถามของพี่ยูมันช่างธรรมดาแต่ผมกับแก้มร้อนอย่างควบคุมไม่ได้ ก็คำตอบมัน...

“ก็... พี่ไม่ได้มีเซ็กซ์มานานแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“อ่า ตามนั้นครับ ก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ไหว” พี่ยูตอบเสียงแผ่วพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ สังเกตได้ว่าแก้มขาวเริ่มซับสีเลือดจนผมนึกมันเขี้ยว เวลาเขาเขินน่ารักเป็นบ้าเลย

“ครับ ช่วยพยุงผมหน่อยได้ไหม?” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องเพราะอีกเดี๋ยวคงเกิดอาการกระอักกระอ่วนต่อกันแน่ เขินกันไปเขินกันมาวันนี้คงไม่ต้องทำอะไรพอดี อีกอย่างคือตอนนี้หิวมาก อยากแปรงฟัน ล้างหน้าและกินข้าวเหลือเกิน

“ได้ครับ ค่อยๆ ขยับตัวนะ”

หลังจากที่โดนพี่ยูอุ้มไปห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จตอนนี้ก็ได้เวลากินสักที จากข้าวต้มร้อนๆ กลายเป็นเย็นแต่ยังพอถูไถ ผมคว้าแก้วน้ำมาดื่มเป็นอันดับแรกในขณะที่อีกคนตักอาหารรอเพื่อป้อน ครั้นจะเอื้อมไปหยิบช้อนก็โดนมองด้วยสายตาดุๆ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือก

“กินเยอะๆ นะครับ” ข้าวต้มคำแรกถูกป้อนใส่ปากพร้อมด้วยประโยคนี้หลุดรอดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ผมขมวดคิ้วยุ่งพลางเคี้ยวตุ้ยๆ ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกแล้วพี่ยูเป็นพ่อเลยวะ สถานะเรามันคือแฟนไม่ใช่เหรอ...

“ผมไม่ใช่ริวนะพี่ยู กินข้าวเองได้ครับ” ปากก็ว่าเขาไปทั้งที่ใจลิงโลดจะตาย นานๆ ทีโดนดูแลแบบนี้ก็มีความสุขดี

“พี่อยากดูแลนี่ครับ” พี่ยูพูดเสียงอ่อยในขณะที่มือก็ยังคอยตักข้าวต้มป้อนกันไม่ขาดสาย ผมมองหน้าเหมือนหมาหงอยนั่นก่อนจะหลุดหัวเราะ ทำไมต้องงอแงด้วย อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ คิดว่าตัวเองน่ารักหรือไง หึหึ สู้ริวไม่ได้หรอก

“โธ่ ผมไม่ได้เจ็บมือหรือแขนสักหน่อย” ผมยืดแขนออกไปพลางแบมือพลิกหน้าหลังให้เขาดูว่าสามารถใช้งานได้ตามปกติ ไอ้ที่สาหัสน่ะมันเป็นก้นมากกว่าเพราะขนาดนั่งบนเตียงนุ่มๆ ยังรู้สึกไม่สบายตัวเลย เมื่อไหร่จะหายวะเนี่ย อีกสามวันต้องบินกลับไทยแล้วด้วย

“แต่พี่รู้สึกปวดๆ แขนนะครับ” พี่ยูทำหน้าเบ้ก่อนจะวางช้อนในมือลง ผมรีบถลาเข้าไปสำรวจช่วงแขนของเขาด้วยความตกใจจนลืมเจ็บ

“เฮ้ย ไปโดนอะไรมา?” ถามกลับน้ำเสียงตื่นพร้อมกับลงมือจับพลิกแขนแกร่งเพื่อดูร่องรอยความเจ็บปวดแต่กลับไม่พบอะไรนอกจากใบหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มของพี่ยู นี่สรุปว่าโดนแกล้งใช่ไหม โอย รู้สึกสะโพกจะแหลก

“เมื่อคืนยันเตียงมากไปหน่อยน่ะ”

“ไอ้...!” ด่าไม่ออกเลยไง อ๊าก!

หลังจากมื้อเช้าจบลงผมก็โดนสั่งให้กินยาแก้อักเสบตามด้วยการทายาตรงช่องทาง ตบตีกับพี่ยูอยู่พักใหญ่เพราะอายเกินกว่าจะอ้าขาให้เขาดูแลแต่ทำเองมันก็ลำบาก สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฮ้อ ครั้งต่อไปคงเว้นระยะไปอีกนานเลย

ก่อนที่จะข่มตานอนพักผ่อนร่างกายนั้นพี่ยูก็ขอตัวออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้อวัตถุดิบทำอาหารอีกสองมื้อที่เหลือในวันนี้ ผมตอบรับด้วยความมึนเบลอแต่ก็ไม่ลืมที่จะฝากซื้อเยลลี่รสพีช โคล่ากลิ่นพีช และลูกพีชสดเพราะอยากกิน ไอ้อาการคลั่งไคล้ผลไม้สีชมพูรูปหัวใจกลับมาอีกแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวน้อยยังไงชอบกลว่ะ

ครืด

เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นเพราะมีบางแอพฯ กำลังแจ้งเตือนทำให้ผมขมวดคิ้วยุ่ง กำลังเคลิ้มหลับอยู่แล้วเชียวอย่าให้รู้ว่าเป็นใครจะด่าให้ยับเลย ขอนอนสักชั่วโมงสองชั่วโมงเถอะ ร่างกายใกล้พังเต็มทนแล้ว แค่อยากออกไปเดินเล่นทำเอ็มวีในสวนยังไม่สามารถทำได้เลย อ่อนแอเกินไปแล้วไอ้ปัณณ์เอ๊ย

Rrrrr

คราวนี้มาเป็นเสียงริงโทนแต่ผมเลือกที่จะเอาหมอนอีกใบขึ้นมาปิดหู ข่มตาหลับทำเป็นไม่สนใจแต่ไม่นานนักก็ทนไม่ได้เพราะไอ้บ้านั่นโทรเข้าไม่หยุดหย่อน แม่งเอ๊ย ด่าให้ลืมชื่อตัวเองไปเลย!

“ฮัลโหล!” ผมคว้าโทรศัพท์มากดรับด้วยอารมณ์หงุดหงิดเลยกรอกเสียงที่ดังกว่าปกติ ไม่ได้ดูเบอร์ว่าเป็นใคร ถ้าเกิดเป็นคุณป้าขึ้นมาจะได้แก้ไขสถานการณ์ถูก ขืนด่ากราดไปเลยคงแย่

‘โมชิ โมชิ’ เสียงตอบรับจากปลายสายทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น คนญี่ปุ่นที่ไหนโทรผิดมาหรือเปล่าวะ หรือเป็นญาติๆ ของพี่ยู โอย จะนอนไม่เข้าใจหรือยังไง

“ดาเระ?” เขาญี่ปุ่นมาผมก็ญี่ปุ่นกลับโดยถามว่าเป็นใคร ระหว่างรอคำตอบก็เปิดเปลือกตาขึ้นมองเพดานเพราะคิดว่าคงมีเรื่องคุยกันอีกยาวแน่นอน ก็เสียงปลายสายมันคุ้นๆ แต่ไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่หรือเปล่า

‘มีความญี่ปุ่น จำเราไม่ได้เหรอปัณณ์?’ แซวชนิดที่ว่าผมหน้าเห่อร้อนเพราะเข้าใจความหมายแฝงของคนปลายสายได้เป็นอย่างดี จะบอกว่ามีความเป็นแฟนคนญี่ปุ่นก็พูดมา เอาให้หงายหลังคือเมียคนญี่ปุ่นไปเลย แม่ง แค่คิดก็เขินเองแล้วไง

“กดรับเลยไงไม่ได้ดูเบอร์” ผมถูแก้มเพื่อลดความเขินก่อนจะเลื่อนลงไปกระชับผ้าห่มให้ปิดลำคอ พี่ยูเปิดแอร์ทิ้งไว้หนาวมาก จะลุกไปปรับก็เกินกว่าร่างกายจะรับไหว อันที่จริงก็สามารถเดินเข้าห้องน้ำได้แล้วแต่เพราะไม่อยากเจ็บก็เลยเลี่ยงดีกว่า

‘อ๋อ เสียงอู้อี้เหมือนเพิ่งตื่นนอนเลย’ เอย์จิว่าเสียงระรื่นเหมือนลองเชิงเผื่อว่าผมจะหลุดพูดอะไรบ้าง หึ ยากน่า เรื่องแบบนี้ต้องเก็บไว้แค่สองคนก็พอ

“หึ กำลังจะนอนต่างหาก มีอะไรปะ?” ถ้าไม่เข้าเรื่องผมจะวางสายไปนอนแล้วจริงๆ ด้วย เดี๋ยวพี่ยูกลับมาจะโดนสวดยาว ไม่อยากฟัง

‘ก็... ปัณณ์ออกมาเปิดประตูบ้านให้หน่อยดิ’ เมื่อครู่ผมหูฝาดหรือเอย์จิเมา?

“ห๊ะ? เราอยู่ญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ไทย จะเปิดยังไง?” ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงง อยากจะหัวเราะอยู่หรอกแต่มันรู้สึกแปลก ทำไมน้ำเสียงของเอย์จิมันฟังแล้วให้เศร้ายังไงชอบกล

‘เราหมายถึงบ้านที่ญี่ปุ่นเนี่ย ตอนนี้ยืนรออยู่ข้างหน้า’

“อะไรนะ เอย์จิมาที่นี่เหรอ?” ผมผุดลุกขึ้นโดยลืมว่าตัวเองเจ็บ พอรู้อีกทีก็ระบมไปหมดจนต้องกัดปากกลั้นเสียงเอาไว้เพราะกลัวว่าเอย์จิจะล้อเลียน โอย นี่มันเรื่องบ้าอะไร ไม่ใช่ว่าหนีไอ้ทอยมาหรอกนะ

‘อื้อ’ คำตอบสั้นๆ ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจทำให้ผมยกมือขึ้นนวดขมับโดยอัตโนมัติ ที่เดาๆ ไว้คงเป็นจริง เนื่องจากช่วงนี้ไอ้ทอยดูนอยด์เป็นพิเศษแต่ไม่ยอมเล่ารายละเอียดช่วยเอย์จิก็เอาแต่ส่งรูปริวมาให้ดูเหมือนหลีกเลี่ยงการคุยเรื่องอื่นๆ

“ทำไมไม่บอกล่วงหน้าเนี่ย” ผมแกล้งถามในขณะที่พยายามขยับตัวลุกจากที่นอน ความเจ็บปวดร้าวไปทั้งสะโพกยังอยู่แต่ว่าทุเลาลงนิดหน่อยตั้งแต่กินยา แต่จะให้พรวดพราดเดินก็ใช่เรื่อง โอย ถ้ามันทรมานขนาดนี้ครั้งหน้าขอเป็นฝ่ายรุกบ้างแล้วกัน แฟร์ๆ ไง

‘ก็บินมากะทันทัน มีเรื่องนิดหน่อย’ ปลายประโยคแผ่วจนผมเผลอขมวดคิ้วเพราะฟังไม่ค่อยถนัด ครั้นจะถามซ้ำก็กลัวว่าเอย์จิอาจไม่สบายใจ เอาเถอะ เขาบอกให้เราเปิดประตูก็ทำแค่นั้นพอ ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

“งั้นรอเดี๋ยวจะไปเปิดประตูให้”

ผมวางสายแล้วค่อยๆ ลากสังขารไปที่ประตูบ้านซึ่งอยู่ห่างจากห้องนอนหลายเมตร ในตอนนี้ความเจ็บมีอิทธิพลน้อยกว่าเรื่องของเอย์จิอยู่มากโข จากที่คิดไว้ว่าไอ้ทอยจะง้อเขาได้แต่ทำไมเรื่องราวกลับเป็นแบบนี้ โธ่ คิดจนสมองบวมก็คงไม่ได้คำตอบ

“ทำไมเปิดช้าจัง” คำทักทายแรกเมื่อประตูบ้านใหญ่ถูกเลื่อนออก สภาพนายแบบดูแน่กว่าที่จินตนาการไว้เยอะ ขอบตาคล้ำ รอยยิ้มไม่มีความสุข ร่างกายผอมบาง เห็นแล้วอยากจับมาตีก้นให้เข็ดที่ไม่ยอมดูแลตัวเองขนาดนี้ แต่ผมเป็นเพื่อนแถมไม่ได้สนิทอะไรมากมายคงทำอะไรมากไม่ได้ ก็หวังพึ่งพี่ยูล่ะนะ

เอย์จิมองสำรวจกันตั้งแต่หัวจรดเท้าแถมขยับเข้ามาใกล้จับนั่นจับนี่เหมือนต้องการสำรวจความสึกหลอ ผมผละตัวหนีได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องนิ่วหน้าเพราะการเสียดสีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำตารื้นจนต้องยกมือขึ้นปาดลวกๆ ในขณะที่ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นเพื่อกลั้นเสียงร้อง ฮึบ อดทนสิวะ

“ง่วงไง” ผมตอบกลับไปพลางลอบถอนหายใจ หวังว่าเอย์จิจะไม่ตาดีนะ ขี้เกียจตอบคำถามอะไรมากมาย มันเขินไง

“ใช่เหรอ? ท่าเดินแปลกๆ นะ” คำภาวนาของผมคงดังไม่พอที่พระเจ้าจะได้ยินสินะ อืม...

“ไม่ต้องมาจับผิดเลย” ผมหันไปถลึงตาใส่เอย์จิแล้วพบว่าเขากำลังยืนกอดอกยิ้มกริ่มอยู่ไม่ไกล ดวงตาสวยฉายแววล้อเลียนอย่างไม่ปิดบัง เออ เจ้าเล่ห์ทั้งพี่ทั้งน้องเลยว่ะ ยอมแพ้

“หึหึ พี่สะใภ้ ~” เสียงทะเล้นเอ่ยล้อก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดมายืนตรงหน้าของผมแล้วเอื้อมมือมาหยิกแก้มกันเล่น ไอ้คนที่ปฏิเสธไม่ได้ก็เขินไปสิ ปัดป่าย หลบหลีกเป็นพัลวัน เฮ้อ แทบเอาหน้ามุดหายไปใต้เสื่อทาทามิแล้ว

“เงียบน่า ห้ามแซวอะไรด้วย”

“ครับๆ หน้าแดงเป็นมะเขือเทศแล้ว” ยัง ยังไม่หยุดล้อเลียนอีกคนเรา!

“เอย์จิ...” ผมเรียกเขาเสียงดุทั้งที่ตัวเองเขินจะแย่ ส่วนเอย์จิหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ ให้มันได้ตลอดรอดฝั่งนะ

หลังจากที่ต้อนรับผู้มาเยือนเป็นที่เรียบร้อยผมก็ได้ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนกลับคืนมา นอนมันยันบ่ายจนเลยไปช่วงเย็น ใครปลุกใครเรียกกินข้าวกินยากก็ไม่รู้สึกตัวจนพี่ยูเกือบจะอุ้มไปส่งโรงพยาบาลแต่ดีที่เอย์จิห้ามไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงอายหมอเพราะสาเหตุของความเพลียแน่นอน เผลอๆ โดนเตือนว่าอย่าหักโหมแถมอีก หน้าไหม้ไปสิถ้าเจอแบบนั้น

ผมตื่นมาก็ได้กลิ่นอาหารหอมตลบอบอวลไปทั้งบ้าน แวบแรกคิดว่าคนที่ลงมือทำคงไม่พ้นพี่ยูแต่ผิดคาดเมื่อเห็นแผ่นหลังบางกำลังง่วนอยู่หน้าเตา ผีบ้าที่ไหนเข้าสิงเอย์จิวะเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเข้าครัวสักที

“เอย์จิ” ผมส่งเสียงเรียกเมื่อเดินไปหยุดอยู่หน้าเค้าน์เตอร์ครัวแบบสมัยใหม่ เอย์จิสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มให้กันเหมือนสิ่งที่ทำอยู่ปกติ

“หิวหรือยัง? รอก่อนเนอะ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะได้กินอาหารฝีมือเราแล้ว” เอย์จิหันกลับไปทำอาหารที่พอเดาได้ว่าเป็นพวกสปาเก็ตตี้ ผมลอบมองท่าทางของเขาจากทางด้านหลังแล้วได้แต่ถอนหายใจ เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา ยิ้มออกมาทั้งที่ไม่มีความสุขใครๆ ก็ดูออกไม่ยาก

“อื้ม แล้วนี่คึกอะไรถึงได้ลุกมาทำอาหาร?” ผมก็แค่อยากวนคุยให้บรรยากาศรอบตัวไม่หนักหน่วงเกินไป เอย์จิไม่ตอบในทันทีเหมือนกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ต้องพูด

“ก็... ทบทวนการทำอาหารไง กลัวลืม” แบบนี้ก็มีด้วยเหรอวะคนเรา ปกติงอแงให้พี่ยูทำตลอดไม่ใช่หรือไง

“ไม่ใช่ว่าหลีกเลี่ยงความฟุ้งซ่านเหรอ?” ผมพูดในสิ่งที่คิดด้วยน้ำเสียงปกติแต่มันสามารถทำให้เอย์จิถึงกับชะงักการกระทำ แต่เพียงไม่นานเขาก็จัดการปิดเตาก่อนตักสปาเก็ตตี้ใส่จานอย่างราบรื่น

“ปัณณ์พูดเรื่องอะไรวะ เราไม่เห็นจะเข้าใจเลย” เอย์จิพูดพร้อมกับที่จานอาหารวางลงด้านหน้าของผม กลิ่นหอมของมันช่างยั่วยวนให้น้ำย่อยทำงานจนสลัดความอยากรู้ไปจนสิ้น แต่ลึกๆ แล้วเป็นห่วงเขานะ บางทีแกล้งโง่บ้างคงดีกว่านี้

“เอาเถอะ แล้วนี่พี่ยูไปไหนล่ะ?” ผมมองหาผู้ร่วมอาศัยอีกคนที่ช่วงนี้มักชอบหายตัวไปหลบมุมอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้คิดว่าเขามีความลับอะไรแต่ขึ้นชื่อว่ามาเที่ยวควรปล่อยวางเรื่องงานบ้าง ใครหาว่าคนอย่างปัณณ์เห็นแก่ตัวก็เอาเถอะ ถ้ารู้ว่าปัญหาจากเลขาฯ นั่นเป็นเรื่องที่ระดับผู้จัดการสามารถตัดสินใจเองได้ไม่ต้องถึงมือระดับผู้บริหารเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจความคิดนี้

“นู่น ชานบ้าน เห็นว่ามีงานด่วนอีกแล้ว”

ทายผิดซะเมื่อไหร่ล่ะ งาน งาน งาน มีแต่คนที่โรงแรมโทรมาหา ไม่เห็นว่าร้านอาหารจะมีปัญหาอะไรเลย หึ

“หนีมาไกลขนาดนี้ก็ยังตามจิกกันเนอะ” ผมบ่นพึมพำก่อนจะมองไปยังชานบ้านที่เห็นแผ่นหลังกว้างไวๆ คุยโทรศัพท์แล้วเดินไปด้วยนี่มีอะไรเครียดหรือเปล่านะ

“หึงเหรอ?” หืม ทำไมอยู่ๆ เอย์จิก็ถามแบบนี้วะ ผมดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ บ้าน่า

“อะไร?” ผมถามกลับโดยไม่สบตาเพราะเริ่มรู้สึกว่าในอกมันกรุ่นๆ ด้วยอารมณ์อย่างที่เอย์จิว่าจริงๆ แม่ง ใครที่ไหนมันจะไม่หึงบ้างวะ โทรมาจิกอย่างกับพี่ยูเป็นผัวตัวเองเนี่ย ไม่รู้ว่าแกล้งเป็นแฟนคลับคู่เราเพื่อบังหน้าเพราะอยากคุยกับเจ้านายตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้มองคนแค่ภายนอกไม่ได้หรอก

“ก็แม่เลขาฯ สาวสวยไง” เอย์จิหรี่ตามองผมอย่างจับผิดจนต้องขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปหยิบน้ำในตู้เย็น

“พูดมากจริง” ผมบ่นไม่จริงจังมากนัก แต่อดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตามองพี่ยูอีกครั้ง นี่คุยงานกับเลขาฯ มานานเท่าไหร่แล้ววะ แอบหักซิมทิ้งได้ไหมเนี่ย พาลเว้ยพาล!

“คิก แทงใจดำสิน้า” ไอ้นี่ก็ไม่เลิกแหย่สักที เดี๋ยวเอาขวดน้ำตีกบาลแยกเลยนี่ จะไม่เกรงใจว่าเป็นน้องพี่ยูแล้วนะเว้ย

“กินๆ เข้าไปเลย!”

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มที่ผมหยิบหมอนรองนั่งง่อยๆ ออกมาไว้ตรงชานบ้านเพื่อใช้บรรเทาอาการปวดช่วงล่าง มองฟ้ามองดาวดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนโดยมีเอย์จิอยู่เป็นเพื่อนส่วนพี่ยูขอตัวไปอาบน้ำและเช็คบัญชีร้านอาหารที่พี่เคียวส่งมาให้เมื่อช่วงเย็น งานเข้าของแท้จนล้นมือ ครั้นจะช่วยก็โดนสั่งห้ามเพราะยังถือว่าเป็นคนป่วย อืม เถียงไม่ได้ก็ทำตามไปดีกว่า

“ชอบที่นี่ไหม?” อยู่ๆ เอย์จิก็เอ่ยถามขึ้นมาจนผมที่กำลังชี้นิ้วนับดาวถึงกับชะงักกึกแล้วหันมอง

“หือ ก็ชอบนะ ถามทำไม?” ผมถามกลับเพราะไม่แน่ใจว่าอีกคนอยากรู้อะไรกันแน่

“ก็เผื่อพี่ยูจะย้ายมาอยู่ที่นี่ไง” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะถือวิสาสะทิ้งหัวลงบนลาดไหล่ของผม ถ้าหากพี่ยูมาเห็นฉากนี้คงได้มีไล่เตะกันทั่วบ้านแน่ๆ คิดแล้วก็ขำดี

“อืม นั่นสินะ” ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่คนที่ไร้ซึ่งภาระใดๆ คงตัดสินใจไม่ยาก ก็ทั้งชีวิตนี้เหลือแค่ครอบครัวนี้เท่านั้นที่คอยดูแลกันเสมอมา

“ถ้าเป็นแบบนั้นปัณณ์จะยอมหรือเปล่า?”

“ถ้าพี่ยูออกปากชวนจะอยู่ที่ไหนก็ไปทั้งนั้นล่ะ” ไม่ได้ตอบเอาใจใคร แต่มันคือความจริงที่ผมคิดว่ามันดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าวันไหนโดนทิ้งก็คงต้องยอมรับชะตากรรม

“หูย รักมากสินะ” ไม่แซวสักเรื่องจะตายไหมเนี่ย เฮ้อ

“พูดแต่เรื่องของเรา เอย์จิล่ะ สบายใจขึ้นหรือยัง?” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกว่าตัวเองจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อีกอย่างคือบรรยากาศอึมครึมรอบตัวเอย์จิเบาบางลงแล้วคงยอมพูดอะไรบ้าง

“หืม?” ยังเฉไฉ แต่ไม่เป็นไรผมมีความสามารถพอในการคาดคั้น

“มีเรื่องที่ไทยไม่ใช่เหรอ?”

“นั่นสินะ อืม... ก็อึดอัดน้อยลงแล้วล่ะ” คงปฏิเสธไม่ได้เลยยอมเผยความรู้สึกของตัวเองออกมา ผมไม่เห็นใบหน้าของเอย์จิเพราะเขายังซบอยู่บนไหล่ แต่จากน้ำเสียงนั้นฟังแล้วรู้สึกเศร้า... เหรอวะ พอดีโฟกัสเรื่องปวดสะโพกมากกว่า จะทิ้งน้ำหนักตัวลงมาทำไมเยอะๆ เนี่ย กระทบกระเทือนถึงด้านล่างนะ

“เกี่ยวกับทอยเหรอ?” ผมพยายามถามต่อ ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดเหมือนกันแต่ความมั่นใจเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์นะ

“โห มีตาทิพย์หรือเปล่าเนี่ย? ใช่ เกี่ยวกับทอยแต่เขาไม่ใช่สาเหตุหรอก” เอย์จิผละตัวออกไปแล้วมองหน้าผมอย่างล้อเลียนก่อนที่นิ้วเรียวจะถูกส่งมาดึงแก้มกัน ทำไมชอบเล่นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย เจ็บนะเว้ย

แต่ไอ้ที่เขาบอกว่าเกี่ยวกับทอยแต่ไม่ใช่สาเหตุนี่มันยังไงวะ หรือเรื่องนี้มีมือที่สามวะ

“อยากระบายไหม?” ผมถามพลางเลื่อนสายตาไปมองสวยด้านหน้าแทนเพื่อลดความกดดันให้น้อยลง ไม่ได้อยากเสือกแต่เป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนทั้งสองคนจริงๆ กว่าจะผ่านอุปสรรคแต่ละอย่างไปได้มันยากลำบากแค่ไหนก็รู้ดีอยู่

“อื้ม ก็... มีปัญหากับเจ้านายนิดหน่อย”

หืม ใหญ่โตขนาดนั้นเชียวเหรอวะ ไม่ธรรมดาแล้ว

“เจ้าของโมเดลลิ่งที่เอย์จิทำงานน่ะเหรอ?” ผมขยับตัวพิงกรอบประตูก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองคู่สนทนาเมื่อเรื่องมันจริงจังมากกว่าที่คาดคิดไว้ มีปัญหากระทบงานเลยเหรอ

เอย์จิส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะคลี่ยิ้มบางแล้วทิ้งหัวลงบนลาดไหล่กันอีกครั้งหนึ่ง

“ลูกชายเขาน่ะ”

เดาว่าคงเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เพราะเคยได้ยินข่าวว่าลูกชายเจ้าของโมเดลลิ่งนั่นก็เป็นเกย์เหมือนกับเอย์จิ

“อ๋อ... แล้วทอย?” ผมพุ่งเป้าไปที่เพื่อนสนิทเพราะกลัวมันจะไปก่อเรื่องให้เอย์จิลำบากแล้วพาลผิดใจกันอีกรอบ คราวนี้คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วแม้แต่พี่ยูก็เถอะ

“อ่า ก็วันนั้นไปถ่ายงานที่ภูเก็ต ทอยไม่รู้ตามไปได้ยังไง จังหวะนั้นไอ้ลูกเจ้านายก็กำลังนัวเนียกับเรา... เออ ก็สนุกๆ อะ พอจะเดาออกปะว่าเกิดอะไรขึ้น?” เอย์จิผละตัวออกอีกครั้งแล้วเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดปัญหาด้วยรอยยิ้มแห้ง ก็นะ... สนุกไปเรื่อยเพื่อประชดความรักเฮงซวยแน่นอน ปกติไม่เคยทำตัวแบบนี้นี่

“เละ” ผมตอบพลางทำหน้าเหยเก คนอย่างไอ้ทอยมันพุ่งชนคนที่ยุ่งย่ามกับของรักของหวงได้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังเลยล่ะ

“อืม ประมาณนั้น ต่อยเขาแล้วตะโกนบอกรักเราด้วย”

โอ้โห อยากจะด่าและชมเพื่อนในเวลาเดียวกันเลยว่ะ ทำได้ดีแต่ก็กร่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเกินไป

“เรื่องใหญ่สินะ”

“ก็... เขินมากกว่ารู้สึกโกรธล่ะนะ”

หืม ไหงเป็นงั้นเล่า ควรห่วงเรื่องงานไม่ใช่เหรอ?

“ห๊ะ หนีมาที่นี่เพราะเขินไอ้ทอย?”

“เออ ไม่ได้ถูกไล่ออกหรอก ลูกเจ้านายก็โดนอบรมไปเพราะทำเรื่องไม่เหมาะสม ก็หน้าหาดอะเนอะ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังไง”

จ้า พูดไม่ออกเลย เอาเถอะ ไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรกก็ดีแล้ว

“อ๋อ เด็กน้อยเหรอ?”

“อื้อ เพิ่งเรียนปีหนึ่งอะ”

“กินเด็กนะเรา” ผมเอ่ยแซว ในขณะที่เอย์จิก็ไหวไหล่เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป

“ก็เด็กมันน่ากินนี่นา” แหนะ ขยิบตาตบท้ายนี่ทำให้ขนลุกได้เลยนะ

บทสนทนาหยุดลงเมื่อผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปมากกว่ารอยยิ้ม ต่างคนต่างมองนั่นนี่ไปเรื่อยและตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ตกลงว่าเอย์จิกับไอ้ทอยญาติดีกันแล้วใช่ไหมนะ สงสัยว่ะ

“ยังโกรธทอยอยู่หรือเปล่า?” ผมถามขึ้นลอยๆ แอบเหลือบมองปฏิกิริยาคนด้านข้างเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเอย์จิจะยิ้มนะ เป็นยิ้มที่ละมุนทีเดียว

“คำตอบเราโคตรใจง่ายเลย ไม่โกรธตั้งแต่ทอยโทรมาง้อครั้งแรกแล้ว แต่แกล้งตีมึนเพราะอยากดูพฤติกรรมต่อว่าจริงใจหรือเปล่า” หลังจากตอบสิ่งที่คาใจให้ผมจนหมดเปลือกเจ้าตัวก็เอนหลังลงบนพื้นนอนแผ่ดูดาวด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม ดวงตาทอประกายแห่งความสุขแต่ก็ยังมีนิดหน่อยที่เผลอฉายแววกังวล

“ดีแล้วล่ะ ค่อยเป็นค่อยไปไม่ต้องรีบ” ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวทุยนั่นเล่นเบาๆ เอย์จิบุ้ยปากใส่ก่อนจะบ่นออกมา ทางท่าน่ารักจนอยากอัดคลิปไปฝากไอ้ทอยเลยล่ะ

“อื้อ ถ้าทอยรีบก็ให้มันไปหาคนอื่นเลย”

“จะยอมให้เป็นแบบนั้นจริงเหรอไง?” ผมแกล้งถามแล้วพยายามกลั้นรอยยิ้มไว้ เชื่อสิว่าต้องโวยวายแน่ๆ หึหึ

“บ้าสิ ประชดเว้ย!”

นั่นไง เอย์จิก็คือเอย์จิล่ะน้า ไอ้ทอยไม่มีวันแห้วแน่นอน



----------------------------------------------------

ทุกคู่เคลียร์ปัญหาแล้วเนอะ อีก 3 ตอนก็จะจบแล้ว ~

หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 21 : ข้าวราดไข่ดิบ P.4 -23/07/61-
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-07-2018 21:39:35
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 21 : ข้าวราดไข่ดิบ P.4 -23/07/61-
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-07-2018 14:20:58
เอย์จิ กินเด็กหราาา 555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ จานที่ 22 : คาคุนิ P.4 -01/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 01-08-2018 13:36:06
จานที่ 22 : คาคุนิ



หลังจากที่เติมพลังในทริปญี่ปุ่นจนอิ่มหนำทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติคือการทำงานและส่งหลานไปโรงเรียน เช้านี้ผมมีหน้าที่เตรียมอาหารง่ายๆ สำหรับสี่คนทานโดยได้ลูกมือเป็นนายแบบหน้าหล่อที่ยังมีอาการงัวเงียจะหลับกลางอากาศอยู่ทุกเมื่อ ถ้ามันลำบากขนาดนี้ก็เดินกลับห้องเถอะ เห็นแล้วสงสารชะมัด

“ไปนอนต่อเหอะ” ผมออกปากไล่เอย์จิให้กลับไปนอนเพราะตอนนี้เจ้าตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะอาหารไปแล้ว เห็นสภาพก็เพลียแทน กลางคืนนี่ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์งุ้งงิ้งยันตีสองตีสามทำอย่างกับมีปั๊บปี้เลิฟ อายุจะสามสิบกันแล้วช่วยดูแลสุขภาพกันหน่อย ขี้เกียจพาไปหาหมอเนี่ย

“อยากช่วย” เสียงยานคางดังขึ้นทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกในขณะที่มือก็ยังคงตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูเพื่อนำไปทำไข่เจียวซูเฟล่ เอย์จิจะช่วยให้ยุ่งยากกว่าเดิมน่ะสิ เฮ้อ

“ไปนอนรอดีกว่า เราทำคนเดียวได้” ผมยืนยันคำเดิมก่อนจะละมือออกจากชามไข่ขาวแล้วเดินไปตบบ่าเอย์จิเพื่อให้เขาย้ายก้นซะที แต่สิ่งที่ได้รับความเงียบพอลองเงี่ยหูฟังใกล้ๆ ก็ได้ยินเสียงกรน อืม... เผลอนิดเดียวหลับไปซะแล้ว เอาว่ะ ทำอาหารต่อดีกว่า

ผมเทไข่ขาวฟูลงในชามไข่แดงที่ตีผสมกับเกลือเรียบร้อยแล้ว ค่อยๆ ใช้ไม้พายตะล่อมส่วนผสมทั้งสองให้เข้ากันก่อนจะย้ายมันใส่ถ้วยเซรามิกที่มีเบคอนรองอยู่ตรงก้น หลังจากนั้นก็นำเข้าเตาอบประมาณ 8-10 นาที ระหว่างรอก็หยิบไส้กรอกออกมาทอดเพิ่มปริมาณอาหารสำหรับผู้ใหญ่สามคน เตรียมนมอุ่นๆ และน้ำผลไม้เป็นอันเสร็จพิธี

ผมเหลือบมองซากศพของเอย์จิอีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปสะกิดแขนเพื่อปลุก หน้าตางัวเงียบวกกับเสียงครางอือนั้นทำให้หลุดหัวเราะได้ง่ายๆ สภาพไม่เหมือนนายแบบในหน้านิตยสารที่วางแผงเมื่อหลายวันก่อนเลย ต่างกันลิบลับ

“ลุกไปล้างหน้าล้างตาหรือจะอาบน้ำเลยก็ได้”

“อื้อ” เอย์จิพยักหน้าหงึกหงักจนผมสยายไปทั่วเหมือนสิงโตแต่ก็ไม่ยอมลุกขึ้นสักที ดวงตาคมยังปิดสนิทเหมือนคนไม่ยอมตื่น เฮ้อ วันนี้จะทำงานไหวไหมเนี่ย ลาก็คงไม่ได้เพราะต้องไปเดินแบบเปิดตัวเสื้อผ้าแบรนด์ใหม่ของเพื่อน

“เอ้า ลุกสักทีเดี๋ยวไปทำงานสาย แล้วนี่ขับรถเองหรือเปล่าวันนี้?” ปกติแล้วเอย์จิไม่ค่อยขับรถเองในเมืองไทยเท่าไหร่เพราะชอบหลงทางตลอด ส่วนมากไม่ผมก็พี่ยูจะผลัดกันไปส่งเขาที่สตูฯ หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้จัดการหรือลูกค้ารับช่วงต่อ

“หึ เดี๋ยวมีคนมารับ” เอย์จิตอบด้วยน้ำเสียงรายเรียบก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อบิดขี้เกียจ หน้าท้องขาวเริ่มมีกล้ามเนื้อโผล่พ้นชายเสื้อที่ยกสูงขึ้น ขอบกางเกงในยี่ห้อ Diesel ปรากฏสู่สายตากันเต็มๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงพุ่งใส่เขาไปแล้ว แต่ตอนนี้น่ะเหรอ... สมองมันสั่งให้คิดถึงพี่ยูตลอดน่ะสิ Calvin Klein หมิ่นเหม่อยู่ตรงช่วงสะโพก โอย ฟุ้งซ่าน!

“พี่ผู้จัดการน่ะเหรอ?”

“โน” อ้าว

“งั้นเพื่อน?”

“ไม่ใช่อะ” หืม?

“แล้วใครวะ?” เออ คิดไม่ออกแล้วเนี่ยว่าใครจะมารับเอย์จิไปส่ง หรือว่าไอ้ทอย? อันนี้ผมไม่กล้าถามสักเท่าไหร่

“เดี๋ยวปัณณ์ก็รู้เองล่ะน่า” พูดจบก็เดินฮัมเพลงออกไปจากครัว ปล่อยให้ผมยืนคิดไม่ตกอยู่คนเดียว

ผมละเรื่องของเอย์จิเอาไว้แล้วลงมือจัดโต๊ะอาหารเช้าก่อนจะเดินไปยังห้องนอนเพื่อดูว่าสองพ่อลูกพร้อมจะกินข้าวหรือยัง ตอนนี้เกือบจะเจ็ดโมงแล้วถ้าช้ากว่านี้คงสายโด่ ในจังหวะที่กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากลอดออกมาด้านนอก เดาว่าพี่ยูคงแกล้งอะไรริวอีก ปล่อยให้อยู่กันสองคนที่ไรเป็นแบบนี้ทุกที

“สองพ่อลูกพร้อมกินข้าวกันหรือยังครับ?” ผมโผล่แค่ส่วนหัวเข้าไปในห้องแล้วร้องถามสองคนที่กำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ท่อนบนเปลือยเปล่าของพี่ยูเต็มไปด้วยแป้งเด็กเลอะลามไปจนถึงกางเกงยีนส์ ส่วนริวมีแค่เสื้อนักเรียนกับชั้นในติดตัว พวกเขาชะงักก่อนจะหันมาฉีกยิ้มหวานทั้งพ่อทั้งลูกเมื่อรู้ตัวว่าทำผิด

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสอดตัวเข้าไปด้านในแล้วจัดการอุ้มเจ้าตัวแสบขึ้นแนบอกเพื่อวางลงบนเตียงแล้วส่งสายตาคาดโทษให้คนแก่ที่ไม่รู้จักดุริวบ้างปล่อยให้วิ่งเล่นตามใจชอบ ช่วงนี้รู้สึกตัวเองสวมวิญญาณเป็นคุณแม่จำเป็นบ่อยเหลือเกิน อีกอย่างคือเหมือนมีลูกชายสองคน

“ทำไมไม่แต่งตัวให้เรียบร้อยครับ?” ผมเอ่ยถามเจ้าตัวแสบที่กระโดดดึ๋งๆ อยู่บนเตียงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ครั้นจะบังคับให้อยู่นิ่งก็ไม่ยอม ไงล่ะ ดื้อเพราะพ่อตามใจเนี่ย

“ริวอยากเล่น” คำตอบใสซื่อทำให้ผมถอนหายใจเฮือกพลางขมวดคิ้วมองหน้าหลานอย่างจริงจัง ริวชะงักกึกเมื่อรับรู้ถึงสายตาไม่เป็นมิตร บางเล็กๆ เบะลงเหมือนจะร้องไห้ ก็ดื้อนักต้องโดนดุทั้งพ่อทั้งลูก

“ไม่ใช่เวลาเล่นครับ ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียน” ผมว่าก่อนจะลงมือติดกระดุมเสื้อนักเรียนจนเรียบร้อยแล้วคว้ากางเกงตัวจิ๋วมาใส่ให้ สำรวจการแต่งตัวของหลานตั้งแต่หัวจรดเท้าเสร็จก็หันไปทางคนแก่ที่ยืนยิ้มแหย่และเกาหัวแกรกๆ อยู่ไม่ไกล

“ริวออกไปกินมื้อเช้ากับอาจินะครับ เดี๋ยวน้าขอคุยกับป๊าหน่อย” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวหลานด้วยความเอ็นดูก่อนจะแอบตีก้นให้เดินออกจากห้อง แต่ดูเหมือนวันนี้เจ้าตัวแสบจะดื้อกว่าปกติเพราะริวยังยืนจ้องหน้าตาแป๋ว อยากได้อะไรอีกล่ะนี่

“งื้อ ม๊าปัณณ์ไม่งอนป๊าน้า” เจ้าตัวแสบเข้ามากอดขาแล้วทำเสียงออดอ้อนพร้อมกับช้อนตัวตากลมมองกัน ผมชะงักไปตั้งแต่ตอนนี้ได้ยินหลานใช้คำเรียกแปลกๆ

“เดี๋ยวๆ ริวเรียกน้าว่าอะไรนะ?” ผมนั่งยองๆ เพื่อให้ตัวสูงเท่ากับเจ้าตัวแสบ หลานเอียงคอมองก่อนจะคลี่ยิ้มหวานออกเสียงเรียกอีกครั้งอย่างชัดเจน

“ม๊าปัณณ์ ~” เฮ้ย เรียกแบบนี้ไม่ได้นะ

“ใครสอน?” ผมกดเสียงต่ำถามริวแต่สายตากลับเหล่มองผู้ใหญ่ที่แอบย่องไปนั่งบนเตียงด้านหลัง จะมีใครสอนลูกพูดแบบนี้ได้ถ้าไม่ใช่พี่ยู

“ป๊า!” ริวตอบเสียงดังฟังชัดแถมยังชี้นิ้วไปที่พ่อบังเกิดเกล้า พี่ยูผลุบเข้าใต้ผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว หึ แต่อย่าหวังว่าจะหนีพ้นนะ ยังไงก็โดยอมรมแน่นอน

“หึ ออกไปกินข้าวได้แล้ว” ผมก้มลงหอมเหม่งหลานหนึ่งทีเป็นรางวัลที่บอกว่าใครสอนเรียกแบบนั้น

“ฮับ ~” เสียงเล็กตอบเจื้อยแจ้วก่อนจะวิ่งออกไปจากห้อง ได้ยินพี่ยูขยับตัวออกจากผ้าห่มก็รีบหันมองทันที ขายาวชะงักกึกหันมาคลี่ยิ้มหวานฉ่ำแต่มันไม่ได้ลดอารมณ์คุกรุ่นในอกผมได้เลย เฮ้อ ต้องมาออกปากเตือนคนโตกว่ามันรู้สึกไม่ดีเลยไง

“พี่ยูจะไปไหนครับ?” ผมเดินเข้าไปใกล้พลางเอื้อมมือจับแขนแกร่งให้หยุดอยู่กับที่เพราะเขาเอาแต่จะหนีท่าเดียว ดวงตาคมไม่ยอมสบกันเลยสักครั้งเหมือนเด็กรู้ตัวว่าทำความผิด หึหึ เดี๋ยวโดนไม่ใช่น้อยนะคนแก่ เล่นอะไรถึงได้สอนลูกแบบนั้นเนี่ย

“ไปกินข้าวกับลูกครับ”

“แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอ?” ผมแกล้งมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ใส่แค่กางเกงยีนส์จะไปกินข้าวแล้วเหรอ ไอ้คราบแป้งก็ไม่คิดปัดทิ้งเลยเนอะ มีพิรุธเกินไปแล้ว

“คือ...”

“ทำไมสอนริวแบบนั้นครับ?” ผมไม่เว้นจังหวะให้พี่ยูแก้ตัวเลยถามสวนกลับไปแบบตรงๆ

“พี่แค่อยากให้ริวเรียกปัณณ์แบบนั้น น่ารักดี” เสียงอ่อยๆ เอ่ยตอบกันจนผมได้แต่ถอนหายใจแล้วดันไหล่ให้พี่ยูนั่งลงบนเตียง ส่วนตัวเองก็ทิ้งตัวลงบนพื้นเงยหน้าขึ้นมองเขา

“ไม่คิดว่าริวจะสับสนเหรอครับ ผมเป็นผู้ชายนะ เรียกม๊าได้ที่ไหนกัน?” ผมถามด้วยน้ำเสียงปกติเพราะเข้าใจว่าพี่ยูกำลังคิดอะไร แต่การที่เด็กอายุแค่สามขวบต้องรับรู้เรื่องแบบนี้มันก็ไม่สมควรหรือเปล่า หลานยังไม่เข้าใจคำว่าแฟนหรือความรักรูปแบบอื่นๆ นอกจากครอบครัวเลยสักนิด

“พี่คิดน้อยไปหน่อย ขอโทษครับ” พี่ยูเอ่ยคำขอโทษก่อนจะโน้มตัวลงมากอดพลางซบหน้าลงบนลาดไหล่ กลิ่นสบู่อ่อนๆ จากร่างกายกำยำทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแต่คงามกังวลเรื่องริวยังไม่จางหาย กลัวหลานจะโดนใครๆ ล้อที่มีแม่เป็นผู้ชาย โธ่ ถ้าไม่เผลอเรียกนอกบ้านมันก็ดีอยู่หรอก ออกจะเขินด้วยซ้ำ

“ผมเข้าใจว่าพี่ยูอยากให้ริวรู้ความสัมพันธ์ของเรา แต่หลานยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องนี้ แล้วถ้าเขาเอาไปบอกคนอื่นจะเป็นยังไงครับ กลายเป็นตัวตลกสำหรับเพื่อนหรือเปล่า?” ผมพูดสิ่งที่คิดอย่างใจเย็นพลางลูบหลังคนแก่เพื่อปลอบโยนความรู้สึกของเขา นานนับนาทีที่เราไม่ได้ผละออกจากกันแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเขาขยับลงมานั่งบนพื้นแล้วออกแรงกระชับกอดจนแน่น

“อืม... พี่นี่ไม่โตเลยเนอะ” อยู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะฝืดๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่แรงกอดรัดรอบเอวคลายออก ผมใช้สองมือประคองหน้าพี่ยูให้มองสบตากันก่อนจะเคลื่อนเข้าหาเพื่อประทับริมฝีปากลงไปตำแหน่งเดียวกันอย่างแผ่วเบา ถึงเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเป็นเด็กในบ้างเรื่องก็ไม่มีปัญหาเพราะคนเราไม่มีใครเฟอร์เฟ็คไปทุกอย่างหรอก

“แต่ผมก็รักพี่ที่เป็นแบบนี้นะครับ คราวหน้าจะทำอะไรก็คิดเยอะๆ หน่อย” ผมเอ่ยเตือนหลังที่ผละออกมามองหน้ากัน พี่ยูพยักหน้ารับก่อนที่จะเปลี่ยนสายตาเศร้าสร้อยเป็นระยิบระยับ อะไรของเขาวะ รู้สึกเสียวสันหลังยังไงไม่รู้

ผมปัดป่ายมือที่ยังโอบรอบเอวไว้หลวมๆ นั้นออกจาตัวก่อนขยับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วส่งสายตาระแวดระวังไปให้พี่ยูที่ตอนนี้ยืนเลียปากแผล็บอยู่ไม่ไกล ไอ้ท่าทางหื่นกระหายนี่มันยังไงวะ นี่มันกลางวันแสกๆ มีภารกิจต้องทำอีกเยอะนะ โอย

“พูดแบบนี้อยากโดนจับฟัดเหรอ?” ใครจะไปอยาก!

“ปัดแป้งออกจากตัวแล้วใส่เสื้อก่อนดีไหมครับ? สายโด่แล้วนะ” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะปล่อยให้พี่ยูได้จัดการตัวเองให้เรียบร้อยส่วนตัวเองก็เดินผิวปากอย่างมีความสุขที่สามารถเอาคืนคนหื่นกามได้ สะใจดี

ในจังหวะที่ผมกำลังจะเดินตรงไปยังห้องครัวกลับได้ยินเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นหลายครั้งจนต้องเบนความสนใจไปที่ประตูบ้าน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นเพราะคิดไม่ออกเลยว่าใครจะมาหากันตั้งแต่เช้า อยากตะโกนถามเอย์จิแต่ก็กลัวรบกวนเวลาอาหาร สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าตัวเองควรไปดูอย่าปล่อยให้แขกต้องรอ

ผมก้าวขายาวๆ ไปที่ประตูแล้วเปิดมันออก ภาพตรงหน้ารั้วทำให้ชะงักเล็กน้อยเพราะไม่เคยคิดว่าไอ้ทอยจะมาอยู่ตรงนี้ในเวลานี้ทั้งที่ไม่มีตารางบิน หัวคิ้วที่เคยขมวดแน่นนั้นเพิ่มเลเวลขึ้นอีกจนรู้สึกได้ถึงรอยย่นตรงหน้าผาก หรือคนที่เอย์จิหมายถึงคือมัน ความสัมพันธ์คืบหน้าขนาดนี้เชียวเหรอ ภายในเวลาแค่สองสามอาทิตย์เนี่ยนะ

“มึงมาทำอะไรที่นี่?” คำถามแรกของผมเมื่อเจอเพื่อนไม่มีการห่วงใยถึงสุขภาพเลยสักนิดทั้งที่มันเพิ่งส่งไลน์มาบอกเมื่อคืนว่าเจ็บคอและหวัดกำลังจะแดกแต่โดยรวมที่สังเกตภายนอกแล้วก็ดูสดใสดีนี่หว่า โกหกกันหรือเปล่า ไอ้บ้านี่ชอบแกล้งให้คนอื่นเป็นห่วงซะด้วย คนโรคจิต

“ไม่ได้มาหาคนมีผัวหรอกน่า” มันตอบหน้าระรื่นก่อนจะพยักพเยิดให้ผมเปิดประตูรั้วแต่เรื่องอะไรที่ต้องทำตามในเมื่อยังไม่ได้คำตอบที่พอใจแถมยังโดนกวนตีนอีก ปล่อยให้ยืนตากแดดอยู่ด้านนอกนั่นล่ะดีแล้ว สมน้ำหน้าแม่ง

“สัด ไม่ตอบก็ไม่ต้องเข้าบ้าน” ผมเค้นเสียงรอดไรฟันก่อนจะเอนหลังพิงกรอบประตูบ้านทำหน้าตากวนตีนใส่คนที่ยืนแยกเขี้ยวอยู่หน้าบ้าน มันส่งนิ้วกลางให้ทีหนึ่ง บ่นพึมพำอีกยาวเหยียดจนเจ้าของบ้านตัวจริงอย่างพี่ยูเดินออกมา คราวนี้ล่ะ ดูสิว่าจะตอบคำถามยังไง

“สวัสดีครับพี่ยู” ไอ้ทอยกลับมาสงบเสงี่ยมทันควันแถมยังยกมือไหว้พี่ยูอย่างกับจะลงประกวดมารยาทไทย ทีกับผมนี่กวนตีนจนอยากต่อยปากให้แตก คนอะไรตีสองหน้าเก่งนัก หึ ระวังตัวไว้เถอะ

“อืม มาทำอะไรแต่เช้า?”

คำถามเหมือนกันเป๊ะ ดูสิว่ามันจะตอบยังไง แหนะ เหลือบตามองกูเพื่อ?

“อ่า พอดีว่ามารับเอย์จิไปส่งที่สตูฯ น่ะครับ” มันตอบพลางคลี่ยิ้มบาง ดูท่าทางจริงใจและอ่อนน้อมกับพี่ยูจนน่าหมั่นไส้ เพราะกำลังจีบน้องเขาอยู่ใช่ไหมถึงได้ทำตัวเป็นเด็กดีขนาดนี้ แต่ผมยอมรับเลยว่าไอ้ทอยเก่งจริงที่สามารถเคลียร์ปัญหากับคู่นอนนับสิบคนได้ในเวลาไม่นานทั้งที่ปกติแล้วมันเป็นคนไม่เด็ดขาดเอาซะเลย ก็คงคิดจริงจังกับเอย์จิถึงขั้นที่ว่าถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงน่าจะขอแต่งงานไปเลย

พี่ยูพยักหน้ารับรู้แต่ก็ไม่ได้อำนวยความสะดวกให้ผู้มาเยือน เขาเอื้อมมือมาจับท่อนแขนกันแบบเนียนๆ แล้วกระตุกเพื่อเป็นสัญญาณให้เดินเข้าบ้านพร้อมกัน ผมที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยทำตามอย่างไม่มีข้อกังขา ตกลงเขายอมรับไอ้ทอยหรือไม่ยอมรับกันแน่ ทำไมรู้สึกเหมือนเพื่อนกำลังโดนแกล้งทดสอบความอดทนวะ

“คือ... จะให้ไอ้ทอยยืนรออยู่ตรงนั้นเหรอครับ?” ผมออกปากถามเมื่อเราเดินใกล้จะถึงโต๊ะอาหารพลางลอบมองแผ่นหลังกว้างที่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เขาไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับกระชับมือที่จับแขนกันให้แน่นขึ้น ตอนนี้ให้เดาอะไรก็คงยากว่ะ พี่ยูคิดอะไรกันแน่หรือยังหึงเรื่องเก่าๆ อยู่

สุดท้ายผมก็โดนบังคับให้นั่งกินอาหารเช้าไปเงียบๆ ด้วยสายตาคมดุ อยากจะถามก็ถูกเบรกด้วยการโดนป้อนไส้กรอกใส่ปาก โธ่ ก็ไหนว่าไม่หวงเอย์จิไง การกระทำนี่ยิ่งกว่าพ่อหวงลูกสาวอีกนะ ไอ้ทอยคงเจอก้างชิ้นใหญ่แล้วล่ะ

“พี่ยู” เสียงเอย์จิดังขึ้นเมื่อทุกคนวางอาวุธในมือลงแล้ว พี่ยูหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามในขณะที่มือก็คว้าแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ ผมกับริวเหมือนผู้ชมเหตุการณ์อยู่ไกลๆ ทั้งที่ควรย้ายก้นออกจากโต๊ะแล้วไปโรงเรียนกันได้แล้ว ก็คนมันอยากรู้นี่หว่า ก็ไอ้บ้าข้างนอกก็เพื่อน ตรงหน้าก็น้องชายของแฟน ความสัมพันธ์ช่างซับซ้อนเหลือเกิน

“ทอยอยู่หน้าบ้านใช่ปะ?” คนถามลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจัดเสื้อเชิ้ตสีหวานให้เข้าที่ก่อนจะเลยไปที่กางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีขาวสะอาด การแต่งตัวของเอย์จิถือว่าขัดหูขัดตามากเพราะมันดูไม่เหมาะสมกับการไปทำงานแล้วยิ่งไอ้ทอยเป็นประเภทหื่นกามไม่แพ้พี่ยูอีก ไว้ใจได้ที่ไหนกัน

“รู้อยู่แล้วจะถามทำไม?” พี่ยูถามกลับด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ฝ่ายเอย์จิเริ่มแสดงสีหน้าไม่ชอบใจทั้งยังกอดอกมองหน้าอีกคนด้วยสายตาจริงจัง คนสังเกตการณ์อย่างผมแสร้งดื่มนมในแก้วจนมันหกเลอะกางเกง โธ่เว้ย ทำไมต้องมาซุ่มซ่ามตอนนี่เนี่ย

“ไม่ชวนเขาเข้ามาล่ะ” เสียงเริ่มแข็ง

“ถ้าแค่นั้นรอไม่ได้ก็กลับไปซะ” ฝั่งนี้ก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน วางแก้วลงบนโต๊ะดังปึงจนริวถึงกับสะดุ้ง พวกเราควรปลีกตัวออกไปโรงเรียนกันหรือเปล่านะ แต่พอเหลือบมองนาฬิกาแล้วเวลายังเหลือถมเถไป เผือกอีกสักนิดเถอะ พอดีรู้สึกสงสารไอ้ทอยที่ยืนตากแดดอยู่ด้านนอก

“นี่พี่กำลังหวงผมใช่ไหม?”

“คิดไปเองหรือเปล่า?”

“ถ้าไม่หวงพี่จะแกล้งทอยทำไมกัน?” ผมเห็นด้วยกับคำถามของเอย์จินะ ถ้าพี่ยูไม่หวงน้องก็ไม่จำเป็นต้องกีดกันขนาดนี้เลย

“เอาคืนที่มันทำแกเสียใจไง” พี่ยูตอบหน้าตายก่อนใช้สายตาดุๆ มองเอย์จิกลับ น้ำเสียงไม่ได้จริงจังแต่ก็ไม่มีแววล้อเล่น เขาคงกำลังพยายามเข้าใจในความรู้สึกของน้องเช่นกันซึ่งผมก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องของคนในครอบครัวนั้น มากที่สุดคงทำได้แค่ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายคุยกันดีๆ ไม่ใช่อารมณ์ล่ะมั้ง

“เพิ่งรู้ว่าพี่ยูเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเขาด้วย” เอย์จิหรี่ตามองอย่างจับผิดก่อนใช้มือทั้งสองข้างเท้ากับโต๊ะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้พี่ยูเรื่อยๆ จนอีกฝ่ายต้องลุกขึ้นยืนเต็มความสูงบ้าง คราวนี้เขาจะต่อยกันหรือเปล่าวะ ผมได้แต่หวั่นๆ คว้าตัวริวมานั่งบนตักแล้วกอดไว้

“หึ ถ้าพี่ไม่รักแกก็คงไม่ทำขนาดนี้หรอกเพราะมันดูเหมือนเด็กก้าวร้าว” พี่ยูหันหลังให้ทุกคนหลังจากพูดประโยคนั้นจบ ผมกับเอย์จิมีความอึ้งเมื่อได้ฟังคำบอกรักที่นานๆ ครั้งจะหลุดออกจากปากเขา ขนาดริวยังล้อเลียนด้วยการย้ำคำนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างร่าเริงจนต้องเอื้อมมือไปห้าม ถ้าป๊าโมโหขึ้นมาเดี๋ยวจะโดนไล่ทั้งน้าทั้งหลานนะลูก

“โธ่ ไม่เห็นต้องเอาคืนทอยแบบนั้นเลย” คนโดนบอกรักอมยิ้มจนแก้มแทบแตกโดยที่ไม่ถือโทษโกรธพี่ชายบังเกิดเกล้า สองแขนเรียวสอดรอบเอวสอบก่อนกระชับไว้แน่นจากด้านหลัง อืม... ผมน่าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปแล้วส่งให้คุณป้าดูนะ ลูกชายสองคนกำลังงอนง้อกันน่ารักดี แต่คิดแล้วนั่งอยู่เงียบๆ ดีกว่า ไม่อยากโดนข้อหาแอบถ่าย

“แกมันขี้ใจอ่อนไงเอย์จิ เขาพูดหวานหน่อยก็ยอมทุกอย่างแล้ว”

“เฮ้ย ไม่ใช่แบบนั้น” เอย์จิยกมือขึ้นโบกเป็นพัลวัน สีหน้าเลิ่กลั่กเหมือนคนถูกจับได้ว่าทำผิด ผมขมวดคิ้วแน่นเพราะท่าทางเขาคล้ายๆ กับว่าเข้าใจความหมายพี่ยูผิดปะวะ คำว่า ‘ยอม’ ของแต่ละคนขอบเขตไม่เท่ากัน

“แกนึกว่าพี่ไม่รู้เรื่องเหรอ?” พี่ยูหันกลับมาจ้องคู่กรณีตาเขม็ง คราวนี้ผมรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มร้อนระอุแปลกๆ จนต้องแสร้งสะกิดริวให้ช่วยกันเก็บจานไปล้างที่ซิงค์ หลานเชื่อฟังดีแถมไม่ส่งเสียงขัดจังหวะป๊ากับอาของตัวเองด้วย

“หืม เรื่องอะไร?”

“แกกับทอยเกือบจะได้กันบนนี้” พี่ยูตบโต๊ะ ผมสะดุ้งเฮือกไม่แพ้ริวที่เริ่มเบะปาก

“ห๊ะ?” ฉิบหาย ผมหลุดอุทานไปได้ยังไงกันวะ แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวสักเท่าไหร่ โอย หัวใจจะวาย แต่ไอ้ประโยคเมื่อครู่มันหมายถึงบนโต๊ะอาหารนั่นใช่ไหม โอย ไอ้ทอยกับเอย์จิเกินไปแล้วจริงๆ อายผีบ้านผีเรือนบ้างเหอะ

“พะ พี่ยูรู้ได้ยังไง?” เอย์จิละล่ำละลักถามแทบฟังไม่รู้เรื่อง ผมที่พยายามเอี้ยวคอกลับไปมองก็เห็นเพียงแค่แผ่นหลังเขามันช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน ทิ้งจานแล้ววิ่งไปเผือกตรงๆ ได้ไหม

แต่ไอ้ทอยกับเอย์จิทำแบบนั้นกันจริงๆ เหรอ?

“แกคิดว่าอยู่กันสองคนหรือไงถึงได้มานัวเนียกันในที่แบบนี้น่ะ” จากคำพูดของพี่ยูเหมือนมีบุคคลที่สามเข้ามาเห็นเหตุการณ์ซึ่งผมเดาว่าน่าจะเป็นคุณป้าเพราะไม่มีใครถือกุญแจบ้านนอกเหนือจากนี้อีกแล้ว แบบนั้นก็โคตรซวยเลยไม่ใช่เหรอวะ

“ก็...”

“แกอย่าลืมว่าริวเป็นเด็ก เห็นอะไรก็เล่าไปซะหมดทุกอย่าง ทำอะไรก็ควรระวังตัวไว้ด้วย แล้วจนกว่าจะตกลงคบกับทอยก็ห้ามเลยเถิดอีก เข้าใจไหม?” พี่ยูไม่ได้ใส่อารมณ์ในการพูดตักเตือนคนเป็นน้องเลยสักนิดแต่พยายามใช้เหตุผลมากกว่า ทั้งหมดนั่นผมรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงและความรักของพี่ชายคนหนึ่ง ไม่ว่าเราจะเป็นเพศไหนก็ควรรักษาระยะห้ามทำอะไรเกินเลยกับคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์คนรักแบบนั้น ส่วนที่เสเพลมาก่อนหน้านี้ให้ถือเป็นอดีตไป

“งั้นผมไปขอทอยคบกันวันนี้เลยดีกว่า” เสียงทะเล้นพร้อมรอยยิ้มกวนๆ ของเอย์จิทำให้พี่ยูถึงทำอะไรสักอย่างหล่นลงพื้น คาดว่าน่าจะเป็นกล่องนมมั้ง ส่วนผมนี่เกือบทำจานหลุดมือ โอย อย่าไวไฟกันนักเลย หัวใจคนเป็นพี่และเพื่อนจะวายเอาเว้ย

“เอย์จิ!” เสียงตวาดดุๆ จากพี่ยูดังขึ้นพร้อมกับร่างกายสูงใหญ่ย่างสามขุมเข้าหาน้องชาย เอย์จิรีบก้มตัวลงกอดพี่ชายไว้แน่นแล้วพูดด้วยเสียงกระเง้ากระงอด ผมที่ยังคงง่วนกับการล้างจานหลุดหัวเราะเสียงเบาจนริวเอียงคอมองด้วยความสงสัย เรื่องของผู้ใหญ่ครับเด็กยังไม่ควรรับรู้

“โธ่ ผมล้อเล่นน่าพี่ยู เอาเป็นว่ารับทราบความห่วงใยแล้วครับ จะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” เอย์จิผละตัวออกมาทำท่าตะเบ๊ะเหมือนทหารเพื่อเป็นการรับทราบ ก็ดูน่ารักดีแต่สำหรับพี่ยูคงอยากถีบมากกว่ามั้ง เอ้า ผมล้างจานเสร็จสักที อุ้มริวไปขึ้นรถดีกว่าเพราะเดี๋ยวจะสาย

“อืม ดีแล้ว รีบไปทำงานซะ”

“ครับๆ คุณพ่อ ~” เอย์จิทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะยืดตัวหอมแก้มพี่ชายแล้วรีบวิ่งออกจากบ้านโดยเร็ว ไอ้ผมที่กำลังย่องออกจากครัวพร้อมหลานรู้สึกเสียวสันหลังวาบยังไงไม่รู้เมื่อพี่ยูหันมาสบตา เวรกรรมจากการเผือกเรื่องคนอื่นตามมาเร็วจัง

“แล้วสองน้าหลานนี่ยังไม่ไปโรงเรียนกันอีกเหรอครับ หรือรอให้ป๊าหอมเหม่งคนละทีหืม?” พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่าลงบนหัว ผมรีบเดินหนีแต่ก็โดนแขนแกร่งกั้นทางออกไว้จนหมด ตอนนี้หัวใจคงอยู่ที่ตาตุ่มแล้วแต่ริวกลับเห็นเป็นเรื่องสนุกเพราะยิ้มร่าเชียว โอย ไม่ดีเลยลูก น้าจะโดนขย้ำเนี่ย

“ริวเลยครับ ผมไม่เกี่ยว” ผมส่งหลานให้พี่ยูแต่อีกคนไม่ยอมรับในขณะที่ท่อนแขนแกร่งสอดมารัดรอบเอวสอบไว้แน่นจนริวที่อยู่ตรงกลางแทบแบนจมอกคนเป็นพ่อ แต่สีหน้าเจ้าตัวแสบก็มีความสุขดีคงคิดว่าผู้ใหญ่สองคนชวนเล่นทั้งที่มันไม่ใช่ นี่มันสถานการณ์ชวนอึดอัดเลยนะ กำลังจะโดนลวนลามเนี่ย ต่อหน้าเด็กด้วย ไม่ได้นะ ห้าม!

“ไหนๆ ก็หอมริวแล้วเผื่อแผ่คุณน้าด้วยเลยไง” อย่ามาทำสายตาวิบวับต่อหน้าลูกสิวะ เพิ่งพูดเรื่องความไม่เหมาะสมอยู่เมื่อเช้านี่เอง โอย พี่ยู!

“ฮื่อ! ทำไมพี่เป็นคนแบบนี้วะ” ผมกัดฟันกรอดพลางเอื้อมมือไปฟาดต้นแขนพี่ยูลับหลังริว เขาทำเพียงแค่คลี่ยิ้มทะเล้นโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดเลยสักนิด กวนประสาทกันเกินไปหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวให้ไปส่งริวแทนเลย เบื่อๆ ยัยครูคนสวยนั่นอยู่ด้วยเพราะเธอชอบชะเง้อคอมองหาคุณพ่อคนหล่อของนักเรียนตลอดเวลา

“แบบไหนครับ?” พี่ยูถามกลับด้วยใบหน้าใสซื่อจนอยากจะถีบให้กระเด็นแต่ก็ทำได้แค่จ้องตากลับอย่างไม่ยอมกัน

“ฉวยโอกาส”

“แหม... ก็นิดๆ หน่อยๆ มีแฟนทั้งที” ตีปากแตกได้ไหมเนี่ย ไม่คิดถึงริวกับผมที่ยืนฟังอยู่หรือไง แช้วจมูกน่ะเอาออกไปห่างๆ สิวะ

“มันเกี่ยวอะไรกับความเจ้าเล่ห์ไม่ทราบ?” คราวนี้ผมไม่เกรงใจเพราะสละมือข้างหนึ่งที่อุ้มริวไปผลักหน้าผากอีกคนให้ขยับออกห่างแต่เหมือนกับว่าการกระทำทั้งวันไปกระตุ้นต่อมขี้แกล้งของพี่ยู โอย อยากตี!

“หรือจะให้พี่ไปหอมคนอื่นก็ได้นะ”

ผมหน้าตึงขึ้นมาทันที ความคิดในหัวตอนนี้คือไม่ไปส่งหลานให้แล้วเว้ย หงุดหงิดพ่อมันเนี่ย จะกวนประสาทอะไรนักหนา!

“อยากเป็นไอ้ด้วนก็ลองดูครับคุณแฟน” ผมแสยะยิ้มก่อนจะยัดเยียดริวให้กับพี่ยูแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างหน้าตาเฉย วันนี้ขอรับหน้าที่เปิดร้านนัทสึแทนแล้วกัน หึ

การทำงานในร้านอาหารยังคงมีสีสันไม่เคยเปลี่ยนเนื่องจากบรรดาสาวๆ ไม่คลายความนิยมในตัวพี่ยูลงเลย ซึ่งผมก็ทำได้แค่ทำใจและพยายามไม่หึงหวงจนเกินความพอดี อย่างเช่นตอนนี้ที่เชฟใหญ่โดนบรรดาลูกค้ารุมล้อมขอช่องทางการติดต่อส่วนตัว บางคนถึงขั้นร้องขออยากเป็นแม่ของริว โธ่ วันนั้นยังเห็นแอบด่าเด็กอยู่เลย

“เช็ดจนโต๊ะสีลอกแล้วมั้งปัณณ์?” พี่เคียวที่กำลังยกถาดอาหารไปเสิร์ฟเอ่ยล้อเลียนผมที่กำลังขัดถูโต๊ะตัวหนึ่งมานานนับห้านาทีเพราะมัวแต่มองพี่ยู ก็มันทำใจได้แต่ก็ไม่กล้าปล่อยในคาดสายตากลัวเขาเผลอไผลโอนอ่อนไปกับคำพูดหวานๆ ของสาวสวยพวกนั้น แต่ละคนยังอยู่ในวัยมหา’ลัยอยู่เลย เดี๋ยวนี้นิยมวัตถุโบราณกันเหรอ นี่ต้องเอาเก็บไว้ที่บ้านหรือเปล่านะ

“ไม่แซวดิ” ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งก่อนจะละมือออกจากโต๊ะตัวเดิมเพื่อหันหลังไปจัดการกับเศษซากจานที่อยู่ด้านหลังต่อ ได้ยินเสียงพี่เคียวหัวเราะเบาๆ ก็รู้สึกว่าแก้มร้อนที่เผลอแสดงความหึงหวงให้คนอื่นเห็น เฮ้อ เอาเป็นว่าไม่วีนแต่ก็โอเคแล้ว จะว่าไปช่วงนี้ลูกค้าไม่เยอะก็เลยมีช่วงเวลาพักเบรกยาวนานหน่อยแต่ว่ายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงนี่สิ

“ก็ไม่อยากแซวหรอกแต่เห็นปัณณ์ถลึงตาแล้วกลัวมันจะหลุดออกมาข้างนอกอะ” คนที่กลับมาพร้อมถาดเปล่าโน้มตัวลงกระซิบข้างหูแล้วตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะคิกคักจนผมแยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ  ถ้าเขาไม่พูดก็คงไม่รู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหรอก ลองให้แฟนตัวเองถูกห้อมล้อมแบบนั้นดูบ้างสิยังจะล้อเล่นได้อีกไหม

“เดี๋ยวเถอะพี่เคียว”

“อูย หนีไปเตรียมอาหารเที่ยงดีกว่า” แล้วก็ปลีกตัวไปด้วยความเร็วสูงพร้อมถาดคู่ใจของเขาในขณะที่พี่ยูก็ยังไม่ออกจากวงล้อมผู้หญิงพวกนั้นสักที เฮ้อ ช่างมันเถอะ ถ้าเราไว้ใจพี่ยูซะอย่างคงไม่มีอะไรให้กังวลหรอก เพราะฉนั้นตามพี่เคียวไปเตรียมอาหารเที่ยงดีกว่า

“รอด้วย!”




----------------------------------------------

พี่ยูก็คือพี่ยูที่หวงน้องชายมากกว่าใครแถมยังชอบหากำไรจากแฟนอีกด้วย
ตอนหน้า... จบแล้วนะ ต้องจุดพลุหรือร้องไห้ดี 55555
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Ch0cmint ที่ 03-08-2018 08:45:58
บทส่งท้าย : ติดใจ



เช้าวันนี้แม้ว่าจะเปิดแอร์ด้วยอุณหภูมิต่ำแค่ไหนแต่กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิดเพราะด้านหลังมีร่างกายกำยำคอยโอบกอดให้อบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ผมคลี่ยิ้มทั้งๆ ที่ตายังปิดสนิท หัวใจเต้นแรงทั้งๆ ที่อีกคนไม่ได้ทำอะไรเกิน มันเป็นความรู้สึกดีที่ไม่สามารถบอกเล่าออกมาเป็นคำพูดได้ ถ้าทุกช่วงเวลาดำเนินไปอย่างนี้ได้เรื่อยๆ คงวิเศษมาก

ผมค่อยๆ ยกแขนแกร่งที่วางพาดอยู่บนเอวสอบออกช้าๆ เพื่อพลิกตัวเขาหาอกอุ่นลอบสูดดมกลิ่นที่คุ้นเคยเข้าปอดแล้วหลับตาพริ้มนึกถึงเรื่องราวระหว่างเราที่ผ่านมาตั้งแต่รู้จักกันจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะมีเสียใจ ผิดหวังและท้อแท้บ้างแต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาก็คุ้มค่าสำหรับการรอคอย ความสุขที่ได้มาจากความรักซึ่งกันและกันช่างหอมหวานเหลือเกิน

จุ๊บ

เสียงปากสัมผัสกับซอกคอทำให้ผมต้องดึงตัวเองออกจากความคิดก่อนจะช้อนตามองใบหน้าคมของพี่ยูที่บัดนี้กำลังแย้มยิ้มเต็มแก้ม มือหนาที่วางพาดอยู่แถวสะโพกเปลี่ยนมาลูบไล้ตรงรอยสักรูปเกล็ดหิมะตรงหลังใบหูสร้างความวาบหวิวจนต้องผละหนี

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงคลุมเครือเพราะตอนนี้คอแห้งแถมยังกังวลเรื่องกลิ่นผากในยามเช้าแต่ดูเหมือนพี่ยูไม่ได้สนใจเรื่องนี้เพราะเขาขยับเขามาจุ๊บกันหน้าตาเฉย ถ้ารู้ว่าจะโดนลวนลามตั้งแต่ตอนตื่นคงไม่ยอมให้ริวแยกไปนอนกับเอย์จิหรอก ไม่น่าหลงกลคนเจ้าเล่ห์เลย

“ตั้งแต่โดนยกแขนออกนั่นล่ะครับ” พี่ยูคลี่ยิ้มบางก่อนซุกหน้าลงบนซอกคอผมอีกครั้ง ได้ยินเสียงสูดลมหายใจถึงกับขนลุกชัน เขาก็น่าจะรู้ว่าตอนเช้าผู้ชายมีอาการแบบไหน ตอนนี้มันเริ่มตึงๆ แล้วสิ

“หยุดลวนลามกันก่อนครับ” ผมผลักใบหน้าหล่อเหลาให้ถอยออกไปห่างๆ แต่มันกลับไม่เป็นผลเพราะมือปลาหมึกยังคงโอบรอบเอวแถมยังเพิ่มแรงกระชับกอดจนอะไรๆ ที่อยู่ใต้ผ้าห่มเสียดสีกัน เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบเช้าอยากขอร้องว่าให้เวลาพักบ้างเถอะ อย่าฟิตมากมายน่า

“ขอฟัดนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เหรอ?” ทำไมต้องใช้น้ำเสียงและสายตาออดอ้อนแบบนั้นด้วยครับ ไม่คิดว่าคนมองจะละลายกลายเป็นของเหลวบ้างหรือไง แต่ผมยอมใจอ่อนไม่ได้เพราะสภาพตัวเองในตอนนี้ใกล้เคียงกับซากศพเข้าไปทุกทีแถมระบมจนไม่กล้าขยับไปไหน

“เมื่อคืนยังไม่พออีกหรือไง ผมจะตายคาเตียงอยู่แล้ว” ผมถามเสียงฉุนก่อนจะใช้มือบีบจมูกคนหื่นไม่แรงมากนักเพื่อเอาคืนแต่ดูเหมือนว่าพี่ยูชอบใจกับสิ่งที่ได้ยินเลยหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

“ก็ปัณณ์อยากน่ารักทำไมล่ะครับ?” พูดจบก็กดจมูกลงบนแก้มผมหนึ่งครั้งก่อนจะดึงรั้งเอวสอบให้แนบชิดยิ่งกว่าเก่า อะไรๆ ที่เริ่มเสียดสีกันอีกครั้งถึงขนาดปวดหนึบ เดี๋ยวต้องจัดการมันด้วยตัวเองซะแล้วล่ะขืนร้องขออีกคนคงไม่ต้องเดินเหินไปไหนแล้ววันนี้

“ผมไปน่ารักตอนไหนวะพี่ยู อย่ามาโมเม” กำหมัดทุบลงบนอกดังปึกด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะขยับตัวหนีทนความเจ็บตรงช่วงสะโพก โอย ทำไมลำบากแบบนี้วะ

“โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้ครับ” พี่ยูคงทนเห็นผมกัดปากจนหน้าซีดไม่ได้เลยยอมยกธงขาวก่อนจะลุกขึ้นนั่งจัดแจงท่านอนให้กัน ถือว่ายังมีความดีเหลืออยู่ให้อภัยก็ได้

“อือ ผมยังง่วงอยู่เลย” ผมพูดพร้อมกับที่เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง หลังจากนั้นก็โดนมืออุ่นทาบทับลงบนหัวพลางออกแรงลูบเบาๆ คล้ายกล่อมให้หลับ อืม สบายดีจัง

“งั้นนอนต่อก็ได้ครับ แต่พี่จะลุกไปดูลูกสักหน่อย”

“จะกลับเข้ามาอีกไหม?” ผมรีบลืมตาขึ้นเพราะกลัวว่าเขาจะเดินออกไปโดยไม่ได้ตอบคำถามกันก่อน พี่ยูทำเพียงแค่เลิกคิ้วเหมือนกำลังแปลกใจแต่สุดท้ายก็คลี่ยิ้มบางพร้อมส่งมืออุ่นๆ มาลูบหัวกันอีกครั้ง

“ปัณณ์อยากให้กลับมาหรือเปล่า?” คำถามโคตรแย่เลย แล้วผมจะกช้าบอกตรงๆ หรือไงว่าอยากให้กลับมาน่ะ แบบนั้นพี่ยูก็ได้ใจไปกันใหญ่ หึ

“ถ้าไม่กลับก็เพิ่มแอร์ให้ผมด้วย มันหนาว” ผมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัวหลังจากพูดจบเพื่อหลีกหนีการได้เห็นพี่ยูแสดงสีหน้า เชื่อว่าคนฉลาดอย่างเขาคงแปลความหมายประโยคเมื่อครู่ได้เป็นอย่างดีเลยมีเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นก่อนที่จะรู้สึกถึงแรงสั่นของเตียง เฮ้อ ทำไมเดี๋ยวนี้ต้องรู้สึกว่าตัวเองติดแฟนด้วยเนี่ย ไม่ไหวเลยไอ้ปัณณ์!

“อือ” ในระหว่างที่กำลังเคลิ้มจะหลับอีกครั้งกลับรับรู้ได้ถึงแรงยวบบนเตียงแล้วตามมาด้วยสัมผัสอุ่นที่โอบล้อมรอบตัวจากทางด้านหลัง จากนั้นความนุ่มหยุ่นตรงหลังใบหูก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าคนที่หายไปทำหน้าที่พ่อได้กลับมาทำหน้าที่... สามีต่อแล้ว โอย กระดากปากแต่มันก็คือความจริงที่ไม่สามารถลบล้างได้

“กลับมาแล้วครับ” เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบข้างหูในขณะที่ผมพยักหน้ารับและพยายามลืมตามองเขา แต่มันทำได้ยากเหลือเกินเหมือนมีอะไรหนักๆ มาทับไว้ เอาเป็นว่าคุยทั้งแบบนี่ก็แล้วกัน ง่วงฉิบหาย

“ริวเป็นไงบ้างครับ?” ถามไปตามเรื่องตามราวเพราะรู้อยู่แล้วว่าเอย์จิจัดการเรื่องหลานได้อยู่หมัด

“ก็ดีครับ กวนเอย์จิกับทอยเหมือนเดิม” คำตอบเหมือนกับไม่จริงจังแต่ผมสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่เจือความสะใจอยู่ในนั้น แม้ว่าสุดท้ายพี่ยูจะต้องยอมรับสิ่งที่เอย์จิทำนั่นคือการตกลงคบกับไอ้ทอยในอีกสามเดือนถัดมาหลังจากวันนั้นแต่การกลั่นแกล้งแย่งชิงเวลาจากคู่รักก็มีเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เป็นคนแก่ที่แสบใช่เล่นเลย

“แผนการของคนหวงน้องหรือเปล่าเนี่ย?” ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะพลิกตัวช้าๆ เข้าสู่อกอุ่น ชอบนอนซุกเขามากกว่า สบายใจดี

“อะไรครับ? พี่ไม่เห็นเข้าใจเลย” คนแก่แกล้งมึนมันน่าตีนักแต่ผมไม่มีแรงนี่สิ มากสุดตอนนี้ก็สามารถผละออกมาจากอกเพื่อมองหน้าเขาได้สำเร็จแล้ว รู้สึกหายง่วงไปนิดหน่อยที่ได้แหย่พี่ยูเล่น

“ก็ที่ให้เอย์จิเลี้ยงริวทุกครั้งที่ทอยมาหาไง” ผมขยับมือที่กอดตอบพี่ยูขึ้นมสดึงแก้มแทนด้วยความมันเขี้ยว คนอะไรโกหกหน้าตายจริงๆ ปากบอกไม่หวงน้องแต่การกระทำมันชัดเจนมาก ขนาดคนเป็นพ่อเป็นแม่ยังรู้สึกชิวกว่านี้ โธ่ พี่มีน้องชายไม่ใช่น้องสาวนะเว้ย ยังไงก็ไม่ท้องหรอกน่า ถุงยางก็มีให้ใส่

“มันบังเอิญไง” ดูคนเราเถอะ แถจนสีข้างถลอกแล้วมั้งเนี่ย

“ไม่ต้องมาโกหกเลยครับ ผมรู้ทัน” เลื่อนมือไปดีดจมูกเข้าให้ทีหนึ่งเพื่อความสะใจก่อนจะได้รับหน้าตามู่ทู่จากพี่ยู ตลกว่ะแต่หัวเราะมากๆ มันจะสะเทือนไปถึงสะโพกเลยล่ะ

“โธ่ แย่เลย แบบนี้ก็นอกใจ ’เมีย’ ไม่ได้แล้วสิ” สีหน้ายิ้มแย้มไม่ได้เข้ากับคำพูดเลย พี่ยูกำลังกวนประสาทกะนอยู่แน่ๆ แถมยังเรียกผมด้วยคำว่าเมียอีก มันควรใช้ไหมเล่า ไม่ใช่ไม่ชอบแต่มันรู้สึกเขินแปลกๆ

“เคยคิดแบบนั้นด้วยเหรอ?” ผมแกล้งถามกลับเสียงแข็งพร้อมทำหน้าตาดุดันใส่ ดูเหมือนพี่ยูจะเลิกล้อเล่นเพราะเขารีบยกมือขึ้นลูบแก้มกันทันที หึ ชอบแหย่กันดีนักนะ

“โห ไม่ทำหน้าเครียดครับ พี่แค่ล้อเล่น”

“ให้มันจริงเถอะครับ” ผมส่งสายตาคาดโทษก่อนจะดึงนิ้วพี่ยูมากัดเพื่อลงโทษ ดีหน่อยที่เขาไม่ได้แสดงความหื่นกามออกมา ไม่อย่างนั้นคงโดนกดจมเตียงแน่ๆ

“จริงแท้แน่นอน... เอ้อ พี่มีเรื่องจะถาม”

หืม ผมควรจะหลับตาลงแล้วแกล้งกรนหรือเปล่า เกริ่นนำแบบนี้รู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ

“ครับ?”

“คือเรื่องรอยสักของปัณณ์...” พี่ยูมีท่าทางอึกอักเล็กน้อยเหมือนกำลังตัดสินใจว่าควรถามออกมาหรือเปล่าซึ่งผมก็เฉยๆ นะ เพราะสามารถตอบเรื่องเกี่ยวกับรอยสักที่ด้านหลังใบหูได้โดยไม่ต้องปิดบังอะไรแล้วในตอนนี้ ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความลับแต่เป็นความรักต่างหาก โอย ทำไมเสี่ยวจัง

“.....” ผมเงียบเพื่อรอฟังคำถาม

“มันเกิดขึ้นเพราะพี่หรือเปล่า?”

ผมนับถือความใจกล้าของพี่ยูว่ะ ตรงประเด็นกว่านี้คงไม่มีแล้ว ไอ้ท่าทางอึกอักถือซะว่าเป็นภาพหลอกลวงไปซะ

“แล้วพี่คิดว่ายังไงครับ?” ผมถามกลับพลางมองสบดวงตาคู่คมนั้นที่มีแววไม่มั่นใจสักเท่าไหร่

“ยูกิที่แปลว่าหิมะเป็นคำพ้องเสียงกับชื่อของพี่” เขาพูดแค่นั้นผมก็ยิ้มก่อนพยักหน้ารับโดยดุษฎี มันเป็นคำพ้องเสียงที่ความหมายต่างกันลิบลับ ความกล้าหาญกับหิมะ...

“ครับ... รอยสักตรงนี้มันเกิดขึ้นเพราะพี่ เพราะผมรักพี่ยู” ผมจับมือพี่ยูให้สัมผัสตรงรอยสักที่เขาเพิ่งแตะมันด้วยริมฝีปากไปเมื่อครู่ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนจะคลายออกแล้ววนลูปอยู่แบบนั้น

“ตั้งแต่... เมื่อไหร่?” เป็นคำถามที่ผมอยากตอบที่สุดในโลกเลย

“ถ้าบอกว่าตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันพี่จะเชื่อผมไหม?” ผมมองลึกลงไปในดวงตาคู่สวยเพื่อค้นหาความรู้สึกของการล่วงรู้ความลับที่ถูกปิดมาเป็นระยะเวลายาวนาน ผลลัพธ์ที่ได้น่าตกใจอยู่นิดหน่อยตรงที่พี่ยูเหมือนจะช็อกไปเลย ริมปีปากหยักเดี๋ยวหุบเดี๋ยวอ้าอยู่หลายครั้ง

“มันนาน... ขนาดนั้นเลยเหรอ?” พี่ยูถามกลับด้วยเสียงสั่นๆ พร้อมกับรอบดวงตาเริ่มมีหยาดน้ำสีใสคลอหน่วย โธ่ อย่าร้องไห้สิคนดีของปัณณ์

“ครับ ผมก็ไม่คิดว่าจะรักใครได้นานขนาดนั้นเหมือนกัน” ผมคลี่ยิ้มบางก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสใบหน้าคนที่ตัวเองรักมานานเหลือเกิน ความฝันได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว

“ที่ผ่านมาปัณณ์คงเจ็บมากใช่ไหม? พี่ขอโทษที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” และแล้วน้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลลงมาจนได้ทั้งที่เรื่องทั้งหมดนั้นพี่ยูไม่ได้ทำผิดเลยสักนิด ผมส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยแก้มเบาๆ

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ผิดนะ ตอนนี้ผมไม่เจ็บแล้วแถมมีความสุขดีด้วย”ผมคลี่ยิ้มหวานให้ก่อนจะขยับเข้าไปบรรจงจูบริมฝีปากหยักเพียงแผ่วเบาโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ มันเหมือนเป็นการยืนยันว่าตอนนี้มีความสุขดีจริงๆ โปรดจงเชื่อเถอะ

“ของคุณนะครับ ขอบคุณที่รักพี่มากขนาดนี้” เขาเอ่ยขอบคุณก่อนจะรั้งตัวผมเข้าไปกอดแน่นแต่ไม่ได้รู้สึกอึดอัด กลับกันคืออบอุ่นไปทั้งร่างกายและหัวใจ

“ผมก็ต้องขอบคุณเหมือนกันที่พี่ตอบรับความรู้สึกของผม” ถ้าพี่ไม่รับมันทุกวันนี้ผมคงเป็นไอ้บ้าที่ยังแอบรักคนๆ หนึ่งไม่เปลี่ยนแปลง

“พี่รักปัณณ์” คำบอกรักที่หวานที่สุดในโลกมาจากคนที่รักที่สุดในโลกมันดีแบบนี้นี่เอง ดีจนน้ำตาไหลเลย

“ปัณณ์ก็รักพี่ยูกิครับ” ไม่ว่าจะนานแค่ไหนคนที่อยู่ในหัวใจของผมก็คงมีแค่พี่คนเดียว 勇気 (Yuuki)

ความรักของคนเรามักจะมีครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม จืด ตามอารมณ์และเวลาที่บ่มเพาะความรู้สึกระหว่างกันก็เหมือนกับอาหารจานหนึ่ง นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า ‘รักรสกลมกล่อม’ ยังไงล่ะ





-----------------------------------------


ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนสุดท้าย มันเป็นนิยายเรื่องแรกที่เราเขียนเกี่ยวกับวัยทำงาน
มีทุกอารมณ์ปะปนกันไปแต่สุดท้ายก็แฮปปี้เอ็นดิ้งเนอะ 5555555
ถ้ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนก็ขอโทษด้วยน้า นิยายเรื่องหน้าจะปรับปรุงให้ดีกว่านี้
(เรื่องคำผิดมีแน่นอนเพราะเราไม่ค่อยมีเวลาเช็คก่อนลงอีกรอบเลย T^T)

สุดท้ายนี้ขอฝากติดตามนิยายเรื่อง 'Follower Man ผู้ชายคนนี้อยากเป็นของคุณ' ด้วยน้า รับรองว่าฟีลกู๊ดแน่นอน
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 03-08-2018 23:00:22
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่แต่งขึ้นมาให้อ่านนะคะประทับใจทุกตอนเหมือนเติบโตตามความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาเรื่อยๆจนมาถึงตอนสุดท้ายสนุกมากเลยค่ะและอบอุ่นมากเช่นกันอ่านแล้วเพลินเลนมีความแฟมิลี่มากเราชอบเด็กมากมาเจอหนูริวก็เอ็นดูมากน่ารักกกกกมีความขี้อ้อนและขี้แงโอ๊ยยยยยยอีป้าคนนี้เอ็นดูแรง  จะรอติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Firstzaza ที่ 05-08-2018 20:57:46
สนุกมากค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-08-2018 22:22:28
สนุกมากจริงๆชอบๆๆ จะมีตอนพิเศษไหม?
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: nitty23 ที่ 13-08-2018 07:56:41
ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้ที่เขียนออกมาให้อ่านนะคะ อ่านแล้วประทับใจค่ะ พี่ยูมีทั้งความเป็นผู้ใหญ่และเป็นเด็กในเวลาเดียวกัน น้องปัณณ์ก็รักมั่นคงรอมานานจากการแอบรักข้างเดียวจากที่อยากอยู่ห่างๆเพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บสุดท้ายก็ยอมแพ้ใจตัวเองและก็มีความสุขทั้งคู่ที่ยอมรับใจตังเอง คู่รองก็เจ็บหน่วงนิดๆ แต่สุดท้ายก็สมหวัง หนูริวผู้น่ารักช่างอ้อนช่างพูดจนน้าปัณณ์รักน้าปัณณ์หลง (รวมทั้งคนอ่านด้วย :mew1:) สุดท้ายรอติดตามผลงานต่อไปนะคะ  :L2:  :bye2:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 13-08-2018 14:48:45
 :pig4:รู้สึกดี สนุกมากกกกค่ะ :mew3:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: colorofthewind21 ที่ 14-08-2018 23:42:20
รักเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 15-08-2018 01:59:28
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: punpunn ที่ 16-08-2018 08:05:05
ขอบคุณที่เขียนนิยายสนุกๆแบบนี้นะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 17-08-2018 13:38:20
THANK YOU  :mew1:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-08-2018 16:53:22
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: PUN ที่ 23-08-2018 22:44:46
ละมุนน

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: meyj4ever ที่ 05-09-2018 21:43:08
ดีงามมาก~ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 08-09-2018 22:33:20
น่ารัก กันจังเลย
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 09-09-2018 09:05:40
น่ารักดีนะ
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 20-09-2018 07:32:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ♦♦ Delicious Cafe รักรสกลมกล่อม ♦♦ บทส่งท้าย P.4 -03/08/61
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:45:52
 :pig4: