พิมพ์หน้านี้ - [END] Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.43 จบแล้วจ้า (9/3/61)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 19:53:16

หัวข้อ: [END] Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.43 จบแล้วจ้า (9/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 19:53:16
 :heavenข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

***

แจ้งมาเพื่อทราบ

       สำหรับนิยายเรื่องนี้ทางกระผมได้ทำการเขียนจนจบแล้ว หากแต่เพียงต้องการมาประชาสัมพันธ์นอกเนื่องจากอีกสองเว็บที่ไม่ได้กล่าวมา ทั้งนี้หากนิยายถูกใจนักอ่าน รบกวนคอมเม้นติชมหรือวิจารณ์กันได้ตามสะดวกนะครับ ทุกคอมเม้นของทุกท่านมีความสำคัญในการพัฒนาทักษะของผมเป็นอย่างยิ่ง จึงเรียนมาให้ทราบโดยทั่วกันนะครับ ^^


Not to be unlocked

       เรื่องราวชีวิตนักเรียนมัธยมปลายวุ่น ๆ ของมิ้ลค์ ที่จะต้องไปพบเจอกับบุคคลนิสัยแปลก ๆ อย่างเฟิร์ส เพียงเพราะเขามีปมในใจว่ามิ้ลค์เคยพลั้งปากบอกชอบตนในอดีต แต่ไหนเจ้าเด็กตัวสูงขาวคนนั้นดันจำไม่ได้ซะแล้วล่ะ !!



" ท้ายที่สุดแล้ว...การที่คนคนหนึ่งไม่สมหวังเรื่องความรัก ประตูหัวใจที่เขายึดมั่นว่าจะมีใครสักคนเข้ามาอยู่

จะสามารถทำให้ประตูบานนั้นที่ปิดตายลง เปิดรับความรักครั้งใหม่ ที่จะเข้ามาถาโถมใส่เขาได้อีกครั้งหรือไม่.. "



คำเตือน !!!

       นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาประเภทชายรักชายและมีถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม ทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่แต่อย่างใด และเนื่องจากนักเขียนเป็นคนอ่อนภาษาพร้อมทั้งชอบเอ๋อไปในตัว ทำให้สามารถเกิดการแก้ไขคำผิดได้ทุกทีทุกเวลา หากนิยายเกิดการแจ้งเตือนจนนักอ่านรำคาญก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และแน่นอน !! ทางผมไม่ได้มีเจตนาจะปั้มนิยายแต่อย่างใด จึงแจ้งมาให้ทราบโดยทั่วกันครับ





Talk กันหน่อย..

     สวัสดีคร้าบบบ นัดเขียนชื่อข้าวนะครับ นิยายเรื่องนี้กว่าจะถือกำเนิดขึ้นมาได้ก็ใช้เวลาเกือบปีในการวางพล็อต และเมื่อต้นปี 2560 ก็ได้ถือกำเนิดนิยายเรื่อง NTBU ขึ้นมา จุดประสงค์จริง ๆ แค่อยากให้ทุกคนได้อ่านนิยายฟรี ๆ สนุก ๆ ทางผมเองก็ไม่ได้จะหักห้ามนักอ่านเงาทุกคนหรอกเนอะ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็รบกวนคอมเม้นท์ติชมหรือร่วมพูดคุยได้นะครับ ผมไม่ได้บังคับเน้อ แต่ถ้าเจอคำผิดตอนไหนก็สามารถแจ้งมาได้ตลอดน้า ผมอยากทำมันออกมาให้ดีที่สุด แล้วก็นิยายไม่มีอิมเมจเนอะ  จิ้นกันได้ตามสบาย ^^

สารบัญ
  EP.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787311#msg3787311)
  EP.2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787314#msg3787314)
  EP.3  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787315#msg3787315)
  EP.4  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787316#msg3787316)
  EP.5  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787318#msg3787318)
  EP.6  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787320#msg3787320)
  EP.7  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787321#msg3787321)
  EP.8  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787322#msg3787322)
  EP.9  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787323#msg3787323)
  EP.10  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787324#msg3787324)
  EP.11  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787325#msg3787325)
  EP.12  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787326#msg3787326)
  EP.13  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787327#msg3787327)
  EP.14  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787328#msg3787328)
  EP.15  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787329#msg3787329)
  EP.16  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787330#msg3787330)
  EP.17  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787332#msg3787332)
  EP.18  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787333#msg3787333)
  EP.19  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787334#msg3787334)
  EP.20  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787335#msg3787335)
  EP.21  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787337#msg3787337)
  EP.22  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787338#msg3787338)
  EP.23  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787340#msg3787340)
  EP.24  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787342#msg3787342)
  EP.25  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787345#msg3787345)
  EP.26  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787637#msg3787637)
  SEP.1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3787820#msg3787820)
  EP.27  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3788461#msg3788461)
  EP.28  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3788926#msg3788926)
  EP.29  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3789585#msg3789585)
  SEP.2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3790713#msg3790713)
  EP.30  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3791100#msg3791100)
  EP.31  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3791254#msg3791254)
  EP.32  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3791643#msg3791643)
  EP.33  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3792988#msg3792988)
  SEP.3  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3793639#msg3793639)
  EP.34  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3794768#msg3794768)
  EP.35  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3795773#msg3795773)
  SEP.4  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3795962#msg3795962)
  EP.36  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3797070#msg3797070)
NCEP.1 โพสที่นี่ไม่ได้นะจ๊ะ
  EP.37  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3797692#msg3797692)
  EP.38  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3798775#msg3798775)
  EP.39  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3799332#msg3799332)
  EP.40  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3799874#msg3799874)
  EP.41  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3800802#msg3800802)
  EP.42  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3801533#msg3801533)
  EP.43 END  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66161.msg3801920#msg3801920)


#NTBU

#nottobeunlocked


หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 19:56:54
Not to be unlocked : Episode 1 : เฟิร์ส



     บ่ายแก่ ๆ ของวันอาทิตย์ที่ใครหลาย ๆ คนน่าจะได้พักผ่อนกายไปในสถานที่ต่าง ๆ กับหมู่เพื่อนบ้าง คนรู้ใจบ้าง แต่วันแบบนี้ทั้งที ! ผมจึงเลือกคว้าโอกาสทองที่นานน๊านทีจะลอยมา โดยการพิสูจน์ตัวเองในครั้งนี้แหละ !!



     20 นาทีแล้วครับหลังจากที่ผมได้โชว์สกิลฝีไม้ลายมือการประกอบอาหาร โดยตนนั้นสั่งสมมานานตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยยังไม่ล้มสลาย (เวอร์โคตร) เพื่อจะลองออกมาหาประสบการณ์ในการทำอาหารดูบ้าง และนี่เป็นเวทีแรกเลยครับที่ผมได้มาอวดทักษะในด้านนี้ แต่นี่ก็ปาไปสามสิบนาทีกว่าแล้วนะ...เมื่อไหร่พิธีกรจะออกมาประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ในตัวผมสักที !! (เอ่อ...ผมก็ว่างั้นแหละครับ ที่นี่คือเวทีแรก ไม่ควรมั่นใจอะไรขนาดนั้น)



     งั้นผมขออธิบายธีมการแข่งขันของวันนี้เพื่อรอพิธีกรออกมาประกาศรางวัลคร่าว ๆ ก่อนแล้วกันนะครับ ก่อนการแข่งขันเจ็ดวัน ทางคณะกรรมการผู้ตัดสินจะให้โจทย์การทำอาหารในรอบนั้น ๆ ซึ่งวันนี้โจทย์ที่ผมได้รับคือเนื้อหมูส่วนใดก็ได้ เป็นโจทย์ที่ค่อนข้างเบสิกมาก ๆ สำหรับเวทีแรกเลยล่ะ ระหว่างรอวันแข่งขัน ทางผมก็ต้องสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหมูโดยการท่องไปในเว็บต่าง ๆ พร้อมกับลงมือฝึกซ้อมเพื่อไม่ให้สูตรผิดเพี้ยน จนกลายมาเป็นสเต๊กหมูซอสเกรวี่สูตรมิ้ลค์เสิร์ฟไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อ๋อเกือบลืมไป ! สเต๊กที่ดีควรเอาเนื้อสันนอกมาปรุงนะครับ (แฝงเกร็ดความรู้สักหน่อย หึหึ)



     ห้องสำหรับการแข่งขันที่นี่ดูใหญ่ผิดหูผิดตา เพราะว่าสถานที่แห่งนี้เกิดการแข่งขันทางด้านอาหารมานับไม่ถ้วน จึงไม่แปลกเล้ยยยจะมีคนใหญ่คนโตและสุดยอดเชฟฝีมือดี ๆ มารวมตัวพบปะกัน แถมได้เห็นเพื่อนต่างโรงเรียนที่เข้ามาแข่งขันเพื่อชิงชัยการจะได้เป็นอันดับหนึ่งของสายการแข่งขันครั้งนี้อีกด้วย



     ผมนั่งรอพิธีกรอย่างใจจดใจจ่อ เสื้อเชฟที่ใส่นั้นมีความหนาทำให้รู้สึกอึดอัดเวลาขยับตัวไปมา จนสัมผัสได้ถึงเหงื่อไคลที่ไหลซึมใต้ชุดหนา ๆ นี้แม้ห้องการแข่งขันจะมีความหนาวเย็นวนเวียนอยู่ก็ตาม ตอนนี้เหมือนผมจะนั่งรออย่างไร้จุดหมาย แต่ความอดทนก็สัมฤทธิ์ เมื่อลูกตาเหลือบไปเห็นชายร่างสูงในชุดสูทสีขาวสะอาดพร้อมไมโครโฟนไร้สายเดินมากลางเวที อืมมม ถ้าให้ผมเดาเล่น ๆ นะ เขาคงต้องมาขายเครื่องกรองน้ำให้กับผู้อาวุโสด้านหน้าแน่ ๆ เลย ฮ่า ๆ



     " เรียนท่านผู้มีเกียรติที่เคารพและขอสวัสดีผู้เข้าแข่งขันด้านอาหารรุ่นอายุไม่เกินสิบแปดปีทุกท่าน การแข่งขันรอบนี้เป็นการแข่งขันประเภทเดี่ยว ธีมการแข่งขันคือเนื้อหมูส่วนใดก็ได้ ตอนนี้คะแนนของทุกท่านได้อยู่ในมือของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมขอประกาศรางวัลชมเชยก่อนเป็นอันดับแรกครับ " จริง ๆ ที่มาวันนี้ผมก็หาประสบการณ์ไปก่อนน่ะครับ ยังไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะคว้าอันดับสูง ๆ มาสักเท่าไหร่ แต่ผมมองอันดับหนึ่งไว้ไม่ได้สูงไปหรอกเนอะว่ามั้ยครับ ฮ่า รางวัลชมเชยก็ถือเป็นใบเบิกทางสำหรับผมในเวทีครั้งต่อ ๆ แล้ว จะได้หรือไม่ได้ผมก็ไม่ซีเรียสหรอก



     " รางวัลชมเชยได้แก่ นางสาว กวินธิดา หมู่เรืองชื่อ ในเมนู หมู่จุ่มสมุนไพรครับ " โห ! แค่ชื่อเมนูก็เรียกน้ำลายผมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว มันต้องแซบมากแน่ ๆ หูยยย !! อยากโดน !!!!



     " ลำดับต่อไปครับ รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ นาย นราวิชณ์ สิงค์หไพรสาร ในเมนู หมูสับปะรดซอสหวาน ได้รับเงินรางวัลห้าร้อยบาทไปครับ " เข้าใจคิดแฮะ เพราะว่าตัวสับปะรดมีเอนไซม์ที่สามารถละลายโปรตีนในเนื้อหมูจนทำให้นุ่มน่ารับประทานสินะ อันนี้ต้องรีบจด



     " ลำดับถัดไป รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่หนึ่งได้แก่ นางสาว นวรรณ ชูใจปีติ ในเมนู สเต๊กหมูฮันนี่เลมอน ได้รับเงินรางวัลหนึ่งพันบาทครับ " ว้าว ! ทำสเต๊กหมูบวกด้วยน้ำผึ้งและเลมอน จานนี้ผมน่าจะ cover ไปด้วยกันได้ดีในระดับหนึ่งเลยนะครับ แต่ทำไมดูเธอออกจะไม่ cover ไปกับรางวัลที่เธอได้มาเลยวะ.. เฮ้ย ! มีการเหวี่ยงพิธีกรอีก ฮ่า ๆ อะไรของเขาวะ



     และรางวัลต่อไปเป็นใครกันครับ ที่สมควรจะได้มันไป



     " ลำดับสุดท้าย รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งได้แก่ นายกฤติเดช ไชยวัฒน์ ในเมนู สเต๊กหมูซอสเกรวี่ ได้รับเงินรางวัลสองพันบาทไปครับ ขอแสดงความยินดีกับอันดับหนึ่งด้วยครับ " เสียงปรบมือแสดงความยินดีแก่อันดับหนึ่งดังกึกก้องไปทั่วห้องการแข่งขัน แต่...ไอเมนูสิ้นคิดแบบนี้มันได้ที่หนึ่งได้ไงกันวะ ? จริง ๆ รางวัลชมเชยน่าจะได้ที่หนึ่งมากกว่าไอเมนูห่านี่ซะอีก ใครมันเป็นคนทำเมนูนี้วะ !?



     เสียงปรบมือแสดงความยินดีในห้องโถงเริ่มดังซาลงเรื่อย ๆ เป็นในตอนที่ผมยังนั่งครุ่นคิดว่าไอเจ้าของเมนูนี้เมื่อไหร่จะขึ้นไปเอาแผ่นป้ายแสดงตัวเลขใหญ่ ๆ จำนวนสี่หลักนั่นสักที และจิตใต้สำนึกผมก็เริ่มทำงานให้รู้สึกตัวขึ้นมาว่า.

.

     เฮ้ย !!!!!!!!!!!!!!!!!!! ป้าดดดดดดดดดดดดดด !!! นั่นมันชื่อกู !!! เมนูกู !!!! รางวัลกู !!!!!!!



     ผมกรี๊ดกร๊าดเป็นสาวแตกอยู่นานก่อนจะถีบตัวเองพุ่งออกไปรับรางวัลอย่างรวดเร็วราวกับวิ่งสี่คูณร้อยอะไรเทือกนั้น เฮ้อ ! คนบ้าอะไรลืมแม้กระทั่งชื่อตัวเอง จริง ๆ เล้ยผมเนี่ย ฮ่า ๆ



####



     ไอวันหยุดแบบนี้ทั้งทีผมก็คงจะไม่ปล่อยให้ผ่านไปง่าย ๆ หรอก เพราะยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องลากสังขารไปเรียนอยู่ดี แถมยังเจอกับอะไรอีกก็ไม่รู้ที่ทำให้ผมเบื่อตั้งมากมาย แต่ก็ยังดีครับที่มีพวกเพื่อนเชี่ยทั้งหลายรอให้ผมเอาฝ่ามือไปสัมผัสกับกบาลมันแรง ๆ แก้เซ็ง ฮ่า ๆ



     ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไปเป็นโทนม่วงอ่อน ๆ แล้วครับ เนื่องจากผลกระทบของการแข่งขัน ทำให้ผมต้องเลื่อนเวลานัดออกไปเกือบหัวค่ำ แถมคำนวณวันว่าง ๆ ในสัปดาห์นี้แล้ว ไม่เหลือเวลาให้ผมเที่ยวดี๊ด๊าในอาทิตย์นี้แล้วด้วย เป็นเพราะในทุกวันเสาร์ผมได้อุทิศตัวเองไปทำงานอยู่ร้านอาหารย่านพระโขนงเพื่อหาประสบการณ์และค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นเอง ในเมื่อเจ็ดวันที่เหลือสามารถพักได้แค่วันเดียวก็ต้องทำใจและปลงครับ..



     ผมมาก่อนเวลานัดประมาณสิบนาทีหน้าสยามเซนเตอร์เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกต้องมารอพร่ำเพรื่อ พลางก้มมองสารรูปตัวเองที่กลายร่างจากชุดเชฟเป็นเสื้อยืดสีเหลืองสด กางเกงยีนตัวเก่งและรองเท้าผ้าใบสีดำตัดขาว ดูไปดูมาทุกอย่างมัน mix and match หรือยังวะ ? หรือต้องควักชุดเชฟเหม็นควันไฟในกระเป๋าสีแดงแรด ๆ ข้างหลังออกมาใส่แทน ??



     " หวัดดีค่ะมิ้ลค์ " ผมสะดุ้งเฮือกใหญ่ให้กับต้นเสียงของหน้าใส ๆ ที่มาขโมยความสนใจไปเสียก่อน



     " ว่ะ...ว่าไงครับนัทตี้ " ผมกล่าวทักทายพลางโบกมือรับด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ก็กำลังกังวลกับสารรูปตัวเองอยู่เนี่ย..



     " เป็นอะไรคะมิ้ลค์ ทำไมดูไม่ร่าเริงเลยล่ะ ? " ผมตอบคำถามของเธอด้วยการกวาดสายตาจากเสื้อจรดปลายเท้าที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยทำให้รู้สึกมั่นใจสักเท่าไหร่



     " โธ่...มิ้ลค์แต่งชุดอะไรก็หล่อไปหมดแหละค่ะ ขาว ๆ หุ่นดีแบบเนี่ย บางทีถอดทุกอย่างออกยังดูดีเลยนะ ฮ่า ๆ " อ่าว !! อย่าท้าผมนะนัทตี้ หึหึ อย่างน้อยคำชมนี้ก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาได้เยอะเลยล่ะ ทุกครั้งเลยครับที่ผมมาเที่ยวกับนัทตี้จะประสบเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ่อยครั้ง และก็เป็นเธออีกนี่แหละที่จะไม่ลืมให้กำลังใจกลับมา หึหึ มีคนรู้ใจดีอะเนอะไม่อิจฉากัน



     " ไปกันเลยมั้ยคะมิ้ลค์ ? " คำเชิญชวนนั่นทำให้ผมนึกได้ว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนผู้หญิงตรงหน้านี้กำลังบ่นว่าอยากกินบิงซู วันนี้ผมก็เลยนัดเจ้าตัวมาเพื่อสนองตัณหา งั้นก็อย่าให้เสียเวลาเลยครับ !



     " เชิญครับนัทตี้ " ผมผายมือเชิญเธอในชุดเดรสขาวให้ก้าวคัทชูสีเนื้อนวลนำไปก่อน แล้วจึงค่อยสาวเท้าตัวเองให้ตามไปเดินเคียงข้างกับอีกฝ่าย



     ตอนนี้เรามาหยุดอยู่ในร้านบิงซูชื่อดังย่านสยามแล้วครับ เขาว่ากันว่าร้านนี้เป็น The best of bingsu เลยก็ว่าได้ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่จับจ่ายใช้สอยในละแวกนี้นั้นจะแวะมาฝากท้องค่อนข้างเยอะ หนำซ้ำบิงซูยังอร่อยถูกปาก ทำให้ร้านนี้ต้องมีการจัดระเบียบคิวไว้บริการ แต่เอ๊ะ !? วันหยุดสุดสัปดาห์ทั้งทีมันน่าจะมีคนเยอะผิดหูผิดตานี่หว่า แต่ทำไมวันนี้ดูบางตากว่าที่คิดไว้ซะอีก



     เราทั้งคู่ยืนมองโต๊ะว่างที่มันเยอะ ! อยู่นานเพื่อจะได้ไปหย่อนก้นนั่งสวาปามกับขนมสุดอร่อย ผมสะดุดตาเข้ากับโต๊ะแถบมุมร้านที่สามารถมองเห็นบรรยากาศด้านนอกได้ ผมจึงรีบจับจองที่นั่งนั้นอย่างไม่รอช้า



     เก้าอี้ข้างกระจกทั้งสองฝั่งถูกพวกเราจับจองไว้เป็นที่เรียบร้อย ไม่นานนักพี่บริกรสาวก็มารับออเดอร์และยื่นเมนูสุดอร่อยของทางร้านมาให้ได้เลือกสรร ผมให้ร่างสูง ๆ ตรงข้ามสั่งเมนูครับ เพราะว่าถ้าผมเลือกเองคงได้กินอาทิตย์หน้าแน่ ฮ่า ๆ



     " รับเป็นบิงซูเมลอนหนึ่งที่ค่ะ " พี่ผู้หญิงหน้าเด็กจดรายการอาหารพลางบอกให้เราทั้งสองรอสิ่งที่กำลังจะเสิร์ฟในอีกไม่ช้า เพื่อไม่ให้นัทตี้อึดอัดครับ ผมจึงเรียบเรียงคำถามจากสมองทั้งสองส่วนออกมา



     " นัทตี้มารอมิ้ลค์นานหรือยังครับ ? " ผมยิงคำถามนี้เพื่อเช็กว่าบางทีเธออาจจะมารอนานแล้วก็เป็นได้



     " อ๋อ นัทตี้พึ่งแลนดิ้งมาจาก BTS เลยค่ะ ฮ่า ๆ " แล้วไป นึกว่ามารอก่อนที่ผมจะมาซะอีก



     " แล้วแข่งวันนี้เป็นยังไงบ้างคะมิ้ลค์ ? " โห ! คำถามนี้ไม่ควรถามเลยนะ ถ้าเห็นความสง่าของผมที่ยืนรับรางวัลอยู่บนเวทีนัทตี้คงกรี้ดแตกแน่นอน แต่คำมโนเหล่านั้นน่ะหยุดไปก่อน !



     " แย่เลยล่ะนัทตี้ เฮ้อ.. " ผมบอกไปอย่างนั้นพลางแสดงสีหน้าผิดหวังสุดฤทธิ์ นี่ถ้าไม่ได้เป็นเชฟผมก็ว่าจะไปเป็นนักแสดงอยู่ ตีบทซะแตกได้ขนาดนี้ ฮ่า ๆ



     " โธ่...ไม่เป็นไรนะมิ้ลค์ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว มื้อนี้นัทตี้เลี้ยงเอง " นัทตี้บอกพลางเลื่อนมือเล็ก ๆ จากอีกฝั่งมาประกบเข้ากับฝ่ามือทั้งสองของผมอย่างแผ่วเบา เพื่อหวังว่าจะทำให้คนตรงหน้าเธอรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง



     " จริง ๆ รางวัลนี้มิ้ลค์ก็พอใจนะนัทตี้ แต่ว่า... "



     " จะรางวัลไหนก็ชั่งเถอะมิ้ลค์ มิ้ลค์ได้เต็มที่กับมันแล้วนะ มิ้ลค์ต้องภาคภูมิใจกับสิ่งที่มิ้ลค์ทำลงไปสิ " เจ้าของมือนุ่ม ๆ ที่บีบมือผมอยู่ชิงพูดก่อนจะบอกความจริงไป ดูเหมือนเจ้าของมือคู่นั้นคงอยากจะแบ่งความรู้สึกไม่ดีนี้ออกไป



     " แต่มิ้ลค์ได้ที่หนึ่ง "



     " .......... " ใบหน้าสวย ๆ เปลี่ยนจากบทนางเอกผู้แสนดีเป็นหน้าเหวอไปซะดื้อ ๆ



     " มิ้ลค์อะ ! คนบ้า !! แกล้งนัทตี้อีกแล้ว " ผมขำก๊ากกับวีรกรรมตัวเองที่ได้ก่อกับนางอันเป็นที่รัก ฮ่า ๆ เธอตีแขนผมไปหนึ่งที (หูยย เจ็บ) พลางกำชับบอกว่ายังไงมื้อนี้ผมก็ต้องเป็นคนเลี้ยงโทษฐานแกล้งดีนัก หึหึ จะเลี้ยงอีกเป็นสิบถ้วยพันถ้วยมิ้ลค์ก็จ่ายไหว



     หลังจากผมและนัทตี้ได้นำบิงซูเมลอนเข้าสู่กระเพาะและโม้เรื่องที่ไปแข่งมาเป็นอันเรียบร้อย ผมจึงทำหน้าที่สุภาพบุรุษเดินไปส่งเธอถึง BTS เนื่องจากตัวเลขนาฬิกาในจอไอโฟน 5s เครื่องดำของผมบอกว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีจะสามทุ่มแล้ว ผมมาส่งเธอแค่ประตูสอดบัตรพลางโบกมือลาและไม่ลืมกำชับนัทตี้ว่าให้รีบกลับบ้านซะ เพราะว่าเวลานี้ดึกมากแล้วสำหรับผู้หญิงที่ต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียว ผู้ชายอย่างเรา ๆ ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก



     ผมเดินกลับเข้าไปในตัวพารากอนอีกครั้งเพื่อไปยังจุดหมายว่าจะไปดูเครื่องครัวต่ออีกหน่อย แต่ก็ต้องมาสะดุดกับนัยน์ตาคู่คมคู่หนึ่งที่มองผ่านผมไปอย่างแปลก ๆ สายตาจากเพื่อนโรงเรียนชายล้วนต่างห้องที่ผมเองก็ไม่ค่อยสนิทนัก..



     เฟิร์ส



- Not to be unlocked -

หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 19:58:47
Not to be unlocked : Episode 2 : อีกแล้วเหรอ !!?



     เสียงกระดิ่งของนาฬิกาปลุกบนหัวนอน เริ่มสร้างความรำคาญให้ผมทุกวันธรรมดาก่อนเข็มสั้นจะชี้เลขหกประมาณครึ่งชั่วโมง เป็นเครื่องเตือนใจว่าเจ้านายของมันต้องเริ่มทำกิจวัตรประจำวันได้สักที ผมตื่นขึ้นมาในห้องส่วนตัวมืด ๆ แต่ก็มีแสงสว่างอ่อน ๆ จากระเบียงสาดส่องเข้ามาไม่ถนัดตา ใกล้ถึงเวลาต้องทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีเตรียมอาหารเช้าให้น้องชายแล้วครับ ก่อนที่ไอตัวแสบจะลงมาแล้วไม่มีอะไรกิน



     กว่าผมจะประกอบร่างเข้ากับชุดนักเรียนที่กางเกงน้ำเงินขาสั้นกว่าปกติ เข็มยาว ๆ ในหน้าปัดนาฬิกาก็เดินเลยเลขสิบสองมานิดนึงแล้ว ดังนั้นผมจึงรีบก้าวขาทั้งสองให้ไวไปยังครัวเพราะต้องทำหน้าที่แทนม๊า ก็แกเล่นไปทำงานอยู่หัวหินกับป๊าอยู่บ่อย ๆ เขาเลยไหว้วานให้ผมเป็นธุระหลาย ๆ อย่างแทนพวกท่าน นับว่าผมก็เป็นพ่อกับแม่คนที่สองให้เจ้าน้องชายตัวดีคนนี้เลยก็ว่าได้ ฮ่า ๆ



     เช้านี้เป็นเบรคฟาสต์ง่าย ๆ ครับ ประกอบด้วย ไข่ดาว ไส้กรอก เบคอน ผักต้ม นมจืด และขนมปังปิ้งอุ่น ๆ เรียกได้ว่าจานเดียวสารอาหารครบห้าหมู่เลยครับ ผมจัดเตรียมอาหารอยู่ได้ไม่นานนัก เสียงเหยียบบันไดจากอีกคนหนึ่งก็ลงมาให้เห็นร่างโปร่งส่วนสูงไล่เลี่ยกัน ปรากฏอยู่ด้านหลังพลางเดินเข้ามาสมทบด้านในครัว



     " พี่มิ้ลค์ครับ มีอะไรกินบ้าง " ผมหันไปคลี่ยิ้มให้กับหน้าเนียน ๆ ของน้องชายตัวขาว ก่อนจะชี้บอกตำแหน่งของสิ่งที่เขาได้ถามหาเมื่อครู่บนโต๊ะอาหาร



     " วันนี้กินง่าย ๆ ไปก่อนนะมิน พี่ไม่ค่อยมีเวลาทำของชอบเราสักทีน่ะ ไว้วันไหนขยัน ๆ เดี๋ยวพี่ทำให้เรากินนะ " ผมบอกไปอย่างนั้นเพราะว่าเวลาไม่กี่นาทีหลังจากการตื่นนอนคงทำของโปรดปรานเจ้ามินไม่ทันแน่ ๆ



     " ไม่มีปัญหาครับพี่มิ้ลค์ มินกินง่ายอยู่แล้ว " ร่างขาว ๆ ที่นั่งอยู่มุมโต๊ะพูดพลางปาดแยมสตอเบอร์รี่ที่วางคู่กับซอสอื่น ๆ ลงบนเนื้อขนมปังอย่างตั้งใจ ผมหันกลับไปยกจานอาหารที่มีผักสีสันน่ารับประทานของตนมานั่งประกบอีกฝั่งนึง



     " พี่มิ้ลค์ มินว่าปีหน้าจะไปลงสมัครประธานนักเรียนดีมั้ยอะ ? มินอยากช่วยเหลือโรงเรียนบ้าง " ยังไม่ทันทีผมจะยัดไส้กรอกเข้าปากตามใจนึก เด็กม.4อีกฝั่งโต๊ะก็ชวนผมคุยซะแล้ว คำพูดที่ออกมาจากปากมิน ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ได้รับตำแหน่งประธานนักเรียนคนล่าสุด และแม่งเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับผมด้วย



     " ก็ดีนะมิน ยังไงเราเองก็แบ่งเวลาส่วนตัวกับส่วนรวมได้ดีอยู่แล้ว ไหนเกรดเราก็ยังดีอีก ยังไงก็ผ่านเกณฑ์ทุกอย่างแบบฉลุยเลยล่ะ " แต่เพื่อนสนิทของผมคุณสมบัติแม่งตรงกันข้ามกับเจ้านี่แบบขาดลอย ทำไมมันได้เป็นซะงั้นวะ หรือไอตำแหน่งใหญ่โตแบบนี้ใคร ๆ ก็เป็นได้ ? ผมครุ่นคิดพลางยัดไส้กรอกชิ้นโตเข้าปาก



     เมื่อมินได้ยินประโยคยืดยาวของผม เจ้าตัวก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับได้กำลังใจดี ๆ ที่จะทำหน้าที่ตรงนั้นสำเร็จลุล่วง แต่ถ้ามินได้เป็นประธานนักเรียนจริง ๆ บอกเลยนะครับ จะต้องบริหารงานต่าง ๆ ของโรงเรียนได้เยี่ยมแน่ ๆ รวมไปถึงการบริหารนักเรียนทุกคน ทั้งชายแท้ชายเทียมแบบไม่แบ่งแยก เพราะยังไงจุดขายของหมอนี่ก็ไม่พ้นรูปลักษณ์หล่อเหลาเอาการขาวเนียนซะขนาดนั้น (ไม่ได้อวยน้องตัวเองเลยนะครับ) แถมหุ่นดีเหมือนพี่ของมันอีก ฮ่า ๆ ๆ (เสียงใครอ้วก !!) หนำซ้ำอัธยาศัยดีเลิศซะ ก็ไม่แปลกเลยครับที่จะได้ใจหลาย ๆ คนไป



     เวลาไหลไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รอใคร ทำให้อาหารที่ประจักษ์อยู่ตรงหน้าได้ทยอยเหลือชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว บวกกับความอิ่มที่ยัดอะไรต่อมิอะไรเข้าปาก เราทั้งคู่คงเพียงพอกับมื้อเช้าเท่านี้ล่ะ ผมบอกให้เจ้ามินไปเตรียมตัวใส่รองเท้าให้เรียบร้อย รอผมที่เก็บซากจานที่มีผักต้มนอนตายอยู่หลายศพ ดูเหมือนไอตัวดีคงไม่กินเพราะเหม็นเขียวล่ะมั้ง (ไม่ต้องมองจานผมเลย ผมกินไปหมดแล้ว หึหึ)



     หลังจากเคลียร์จานอาหารของเราทั้งคู่เสร็จ ผมก็เดินมาหยิบจาคอปที่นอนแอ้งแม้งตรงโซฟาเพราะตัวเองได้ปาเอาไว้ก่อนที่จะเข้าครัว พลางไล่ตามน้องทูนหัวที่ตอนนี้ออกไปรออยู่หน้าบ้านเสียแล้ว



     ในขณะที่มือผมกำลังวุ่นวายอยู่กับการล็อกรั้วหน้าบ้านอยู่นั้น เสียงของขาประจำก็เดินเข้ามาทักทาย ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ เพื่อนร่วมห้องที่จะมารอผมก่อนไปโรงเรียนทุกเช้า



     " มิ้ลค์ มิน หวัดดี " เป็นปอนด์นั่นเอง มันเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับผม แถมอาศัยอยู่อีกหมู่บ้านนึงใกล้ ๆ และก็จะแวะมารับผมกับมินทุกวันหน้าบ้านแบบนี้ด้วย เพื่ออะไรผมก็ยังไม่ทราบ



     " เออหวัดดี แหม กูรบกวนมึงจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย มึงมารอกูทุกเช้าแบบนี้กูเกรงใจแย่เลย " บางทีผมก็คิดนะว่าแม่งว่างไปปะวะ เดินมารับผมได้ทุกวี้ทุกวัน คิดอะไรอยู่ ?



     " ไม่เป็นไร กูเต็มใจ " ปอนด์ว่าพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดี !! แล้วแต่ละกัน จะได้มีเพื่อนไปโรงเรียนกันหลาย ๆ คน โดนทำโทษก็ไม่ต้องโดนคนเดียว ฮ่า ๆ



     " ขอบใจนะปอนค์ " ผมยิ้มขอบคุณพลางยักคิ้วให้ เอ่อ...แล้วทำไมกูทำแบบนั้นมึงต้องเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยวะ ? อะไรของมึงเนี่ย ฮ่า ๆ



     ตอนนี้เรามาอยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนในเวลาอันน่าพึงพอใจแล้วครับ รถประจำทางจากหน้าหมู่บ้านของผมวิ่งเส้นนี้ ทำให้เราทั้งสามต้องมาลงป้ายรถเมล์อีกฝั่งนึงของโรงเรียน มีอยู่ทางเดียวในการเข้าโรงเรียนได้คือทางม้าลาย แต่การที่จะข้ามทางสีดำสลับขาวนี้ก็ยากยิ่งกว่าสอบย่อยของอาจารย์บางคนซะอีก ฮ่า ๆ ถึงกระนั้นผมชินแล้วล่ะจึงไม่ใช่ปัญหาซะทีเดียว ผมรอให้รถชะลอตัวก่อนค่อยให้สัญญาณมือกับคนที่สัญจรไปมาในถนนเส้นนี้ว่า ขอข้ามไปหน่อยนะคร้าบ เมื่อเขาตกลงปลงใจและหยุดรถเพื่อเปิดทางให้ ผมก็จับมือสองคนข้างหลังข้ามตามมาด้วยความเป็นห่วง (แต่จริง ๆ สะพานลอยก็มีนะครับ แต่ห่างจากโรงเรียนไปอีกไกลโข ผมคิดว่าทางม้าลายนี่แหละง่ายดี)



     เมื่อเราผ่านฉากเสี่ยงตายกันมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวแสบก็ขอปลีกตัวเข้าประตูสองด้านหลังของโรงเรียนโดยให้เหตุผลกับพี่มันว่าจะไปหาเพื่อน นี่ !! เข้าประตูนี้แล้วเดินไปประตูสองก็ได้เหมือนกันนะมิน แต่ผมไม่ขัดศรัทธาน้องตัวเองหรอกครับ เลยปล่อยเจ้าตัวไปตามทางที่ทางนั้นเลือกและไม่ลืมเตือนว่าให้ตั้งใจเรียน อย่าเถลไถลไปไหน ถ้าจะไปไหนให้โทรมารายงานด้วย สิ้นคำสั่งมินก็พยักหน้าเป็นอันเข้าใจพลางโบกมือลาผมและแยกออกไป



     " มีพี่แบบมึงก็ดีเนอะ ถ้ากูมีพี่แบบนี้คงรักตายเลย " ปอนด์พูดในขณะที่สายตายังไม่ละจากมินที่เดินแยกออกไป



     " ไม่ได้หรอก แค่คนเดียวก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว ฮ่า ๆ " ผมพูดติดตลกพลางยกคัทชูสีดำก้าวเท้านำเข้าไปในประตู



     บางตำนานเคยกล่าวไว้ครับเกี่ยวกับประตูหนึ่งด้านหน้าโรงเรียน ก็คือว่าประตูนี้เนี่ยไม่ต่างอะไรกับประตูนรกเลยก็ว่าได้ เพราะว่าห้องปกครองของโรงเรียนเราได้ตั้งอยู่บริเวณนี้ครับ มิหนำซ้ำอาจารย์โหด ๆ อยู่กันเยอะ !! ไม่แปลกใจเลยที่นักเรียนแต่งตัวผิดระเบียบส่วนใหญ่จะไปเข้าประตูสองกันหมด ประตูสองน่ะน้อยมากที่จะมีอาจารย์ฝ่ายปกครองไปยืนต้อนรับนักเรียนที่แหกกฎทั้งหลายแหล่ แต่วันดีคืนดีก็อาจจะโดนแจ็กพอตแตกประตูสองได้เหมือนกัน ส่วนไอบทลงโทษโรงเรียนนี้แม่งหฤโหดมากกกกกกกกก (ก.ไก่ล้านตัว)



     ผมและปอนด์ผ่านเข้ามายังประตูนรกในตำนานได้ไม่กี่ก้าว ก็เห็นทีมประธานนักเรียนสุดเนี้ยบของเพื่อนสนิท ยืนต้อนรับและกล่าวทักทายนักเรียนตอนเช้าที่เข้ามาใหม่กันอย่างขะมักเขม้น นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในนโยบายทั้งหมดของท่านประธานที่ได้ร่างไว้สินะ หึหึ ผมกวาดสายนักเรียนที่เข้ามาทางประตูนี้ส่วนใหญ่จะถูกระเบียบเกือบร้อยเปอเซ็นต์ คงจะมีแค่ผมแหละมั้งที่กล้าสะเหล่อใส่กางเกงสั้นอยู่คนเดียว ฮ่า ๆ ดังนั้นครับอย่ารอช้า ผมจึงรีบก้าวขาไว ๆ เพื่อจะได้เข้าไปทักทายตอนเช้าแก่ท่านประธานคนเก่งสักหน่อย หึหึ



     " สวัสดีตอนเช้าครับคุณอาร์ม ไม่ใช่สิ คุณประธาน " หวังว่าเสียงกระแนะกระแหนจะทำให้คนที่มีศักดิ์สูงกว่ามีน้ำโหขึ้นมาได้บ้าง ฮ่า ๆ คนตรงหน้าหรี่ตามองผมพลางขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น พลางไล่ระดับสายตาเช็กเครื่องแต่งกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า



     " ผมรองทรงถูกระเบียบ เสื้อ ถุงเท้า รองเท้าถูกระเบียบ แต่กางเกงสั้นไปนะ ไม่กลัวน้องชายออกมารับลมเหรอครับ ? " ผมเห็นสีหน้านิ่ง ๆ และการแต่งตัวที่ถูกระเบียบโรงเรียนแบบเป๊ะเว่อร์ของมัน ก็รู้เลยทันทีว่าจริง ๆ แล้วไออาร์มเนี่ย ไม่ได้อยากใส่ให้ถูกระเบียบสักเท่าไหร่หรอกครับ แต่เพราะได้รับตำแหน่งเป็นถึงประธานนักเรียนก็ควรทำตัวให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ทุกคนบ้าง ฮ่า ๆ



     " อืมมม ก็ไม่กลัวหรอกนะครับ แต่ว่ามันมีคนแถวนี้เนี่ย ก็อยากแต่งแบบผมเหมือนกัน แต่มันทำไม่ด้ายยยย " ผมหัวเราะคิกคักพลางยิ้มแบบกวน ๆ จนเพื่อนสนิทคนนี้ต้องยื่นหน้าคม ๆ มาข้างหูเพื่อกระซิบอะไรบางอย่าง



     " อย่ามารู้ทันกูได้มั้ยครับคุณหัวหน้าห้อง ! ถ้ากูหาคนมาเป็นประธานนักเรียนแทนกูได้นะ กูจะใส่สั้นกว่ามึงอีก คอยดู !! "



     " คร้าบบ คุณประธาน หึหึ " ผมโบกมือลามันพลางรีบสับเท้าออกจากพื้นที่บริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้บอสใหญ่เปิดประตูห้องปกครองออกมาสวัสดีทักทายในตอนนี้ โชคยังดีที่ยังไม่มีใครออกมาครับ ไม่งั้นซี้แหงแก๋..



     ผมรีบมุ่งหน้าไปยังโรงอาหารอย่างรวดเร็ว เพื่อจะไปหากลุ่มเพื่อนที่เมื่อคืนแม่งร้องกันจะเป็นจะตาย เมื่อเห็นการบ้านภาษาอังกฤษยากยิ่งกว่าการตี LOL ของพวกมัน ก็คงไม่พ้นผมที่จะเอาสมุดการบ้านไปให้พวกมันลอก อาจารย์แกให้ขอบเขตการส่งว่าให้แค่ก่อนเข้าแถววันนี้ ดีนะครับผมรีบปั่นเสร็จไปตั้งแต่เมื่อคืน (เอ๊ะ ! ผมรีบมาจนลืมใครไปหรือเปล่า ?) ผมเห็นร่างสูง ๆ ของไอพวกเพื่อนเชี่ยที่นั่งหน้าตาคร่ำเครียดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็อดขำไม่ได้ ฮ่า ๆ และเป็นไอกั๊มพ์ครับที่ตาดี แหกปากลั่นโรงอาหารว่าสิ่งที่พวกมันหมายปองได้มาเยือนแล้ว สิ้นเสียงไอกั๊มพ์พวกแม่งก็วิ่ฝกรูเข้ามาหาเหมือนผมเป็น Faker ยังไงอย่างงั้น (คนเล่น LOL จะรู้ดีครับ) นี่ถ้าพวกแม่งมีพรมแดงคงปูให้ผมเดินชิลล์ ๆ ไปนั่งโต๊ะแล้วล่ะมั้งเนี่ย ฮ่า ๆ ผมเดินมาถึงก็หยิบสมุดอังกฤษเล่มสีเขียวจากจาคอปโยนลงกลางโต๊ะทันที เฮ้ย !! สมุดกูไม่ใช่อาหารปลานะ ! จะแย่งกันทำไม !? ไอห่ากั๊มพ์อย่าดึงเดี๋ยวสมุดกูขาด !!! แม่งตะลุมบอนสมุดผมกันใหญ่ เฮ้อ... จริง ๆ เลยไอพวกนี้ !!



     " เฮ้ยพวกมึง กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ลอกกันเสร็จแล้วเอาของกูไปส่งให้ด้วย " ผมบัญชาพวกเพื่อน ๆ ก่อนจะแยกตัวไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย สมุดผมจะเป็นอะไรมั้ยนะ ฮือออออ



     ผมเดินไปยังห้องน้ำบริเวณด้านหลังของโรงอาหาร เพื่อหวังจะทำธุระส่วนตัวให้เสร็จก่อนเข้าแถวสักหน่อย (เป็นบ่อยครับ ยืนสวดมนต์แล้วชอบปวดฉี่) แต่ก็ต้องมาพบกับความหงุดหงิดแต่เช้าอีกครั้งกับร่างโปร่งที่ชอบส่งสายตาแปลก ๆ สายตา...ที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับผมสักเท่าไหร่ ก่อนที่เราทั้งสองจะเดินสวนไปอย่างคนไม่รู้จักกัน



     ไอเฟิร์ส ! นี่มึงเอาอีกแล้วเหรอ !!?



- Not to be unlocked -

หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:01:10
Not to be unlocked : Episode 3 : บางทีก็คิดมากไปเอง..



     ผมกลับมานั่งโต๊ะด้วยสีหน้าบูดเบี้ยวแบบสุดขีด



     ก็สายตาของไอหน้าหล่อที่มองมาอย่างนั้น ทำให้เกิดคำถามในหัวมากมายว่าทำไมเฟิร์สถึงทำแบบนั้น หรือผมไปทำอะไรให้มันไม่พอใจวะ ? แต่ถ้าลองย้อนความคิดกลับไปก็ไม่ได้พึ่งเกิดสักหน่อยนี่หว่า แปลกมาก ๆ ครับเวลาเฟิร์สเดินผ่านไปผ่านมากับคนอื่นก็จะปั้นสีหน้าร่าเริงแจ่มใสทักทายกันอย่างเป็นมิตร แต่ทำไมกับผมที่เดินสวนกันแบบตากี้ ยังคงได้รับสายตาที่มองมาอย่างแปลก ๆ ไม่มีเปลี่ยน ผมต้องไปก่อเรื่องอะไรไว้กับไอหมอนั่นแน่ ๆ เลยว่ะ แต่ให้นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกหรอกครับว่าไปทำอะไรให้ ฮืออออ ไม่ชอบเลย !



     " ไอมิ้ลค์มึงเป็นอะไรวะ กูเห็นมึงลุกลี้ลุกลนตั้งแต่ตากี้ละ แถมไอหน้าแบบนั้นอีก ไปเจออะไรมาล่ะ ? " ซันมันคงสังเกตผมมาสักพักแล้วแหละ ถึงแม้การบ้านจะสำคัญกว่ารอยหยักบนหน้าผมก็เหอะ



     " ไม่มีอะไรหรอก ทำ ๆ ไปเหอะการบ้านมึงอะเดี๋ยวไม่เสร็จ " ผมบอกปัด ๆ พลางก้มหัวลงไปนอนฟุบกับจาคอปอย่างเซ็ง ๆ ปัญหาตัวเองก็อยากจัดการด้วยตัวเองเว้ย คงจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับใครไม่ได้ ไม่รู้แหละไอเฟิร์ส วันนี้มึงต้องเคลียร์กับกู !!



     พวกเพื่อน ๆ แม่งก็นั่งปั่นงานไปบ้าง ฟังเพลงไปบ้าง บางคนเสร็จแล้วก็นั่งคุยเรื่อง LOL ที่เมื่อคืนแพ้กันอย่างไร้ซึ่งชัยชนะ (สมน้ำหน้า ! ไม่มีกูล่ะสิ ฮ่า ๆ) หรือแซ็วไอปิงปองที่เล่นใหญ่ไปจีบสาวถึงสยาม ทุกอย่างวกวนเข้ามาในหูให้ผมได้ยินอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ผมก็ต้องลุกขึ้นมามองหาเจ้ากรรมที่เมื่อเช้ามันได้มากับผมด้วย เวรล่ะผมลืมไอปอนด์ไว้ตรงไหนวะ !?



     ในตอนที่ผมจะลุกไปตามหาอยู่นั้นเอง เจ้าตัวก็เดินเข้ามาให้เห็นอยู่ไกล ๆ ด้วยสีหน้านิ่ง ๆ และหูที่เสียบเอียโฟน ปอนด์มันก็เหมือนบุคคลลึกลับเหมือนกันครับ เวลาอยู่กับผมชีวิตมันจะดูสุขีชิบหาย แต่พอได้มารวมกันเป็นกลุ่มเป็นแก๊งแบบนี้ทีไร ต้องเปลี่ยนโหมดไปอยู่ในโลกส่วนตัวสูงปี๊ดทันที ผมล่ะไม่เข้าใจความคิดมันเลยจริง ๆ เฮ้อ ! เพื่อนผมนี่มีสมองปกติกันสักคนบ้างมั้ยล่ะเนี่ย แต่ตอนมันเดินมาไม่ได้มาแค่ตัวเพียงอย่างเดียวครับ มันมากับเพลง เพลงที่นักเรียนอย่างเรา ๆ รู้ดีว่าเมื่อทำนองแบบนี้ดังขึ้นเมื่อไหร่ ต้องเตรียมตัวไปทำอะไร และไอเพลง ๆ นี้ก็ทำให้นักเรียน ม. 5/11 ทุกคนรู้ตัวกันดีว่า เมื่อเพลงนี้ดังขึ้นพวกเราต้อง..



     ส่งการบ้าน !!!! ชิบหาย !!!!!!!!!!!!!!



####



     ผมเดินเข้าไปนั่งที่ประจำในห้องของตัวเองอย่างโคตรเหนื่อย ก็อะไรซะอีกล่ะครับ !! พอเพลงมาร์ชประจำโรงเรียนขึ้นมาทีไรนะ อาจารย์ฝ่ายปกครองกับสารวัตรนักเรียนแม่งก็ลงพื้นที่กันอย่างไว การบ้านของผมและเพื่อน ๆ ก็ต้องผลัดไปส่งหลังเข้าแถวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อการเข้าแถวสิ้นสุดลง ผมก็อาสาไปส่งการบ้านด้วยตัวเองโดยพลัน ความเร็วไม่ต้องพูดถึงครับ สับตีนแตกกันเลยทีเดียว นี่ยังดีนะครับอาจารย์เขายังพอมีเมตตาอยู่บ้างเลยรับเอาไว้ ลมอะไรพัดมาล่ะเนี่ย ทุกทีส่งเกินเวลาก็วีนแตกตลอด แปลก



     อ๋อ ! ส่วนไอคนที่ผมลืมไว้หน้าโรงเรียนมันชิ่งไปส่งก่อนใครเพื่อนโดยไม่เอ่ยออกมาสักแอะเดียว ทั้งเร็วและเลวขนาดนี้เดี๋ยวมันจะโดนไม่ใช่น้อย หึหึ



     เสียงโหวกเหวกโวยวายของเพื่อนในห้องก็ดังไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเวลาในการเรียน ผมขมวดคิ้วดูนาฬิกาในจอไอโฟนที่พึ่งหยิบจากกระเป๋ากางเกง แสดงให้เห็นเวลาว่าผ่านไปกว่าสิบห้านาทีแล้ว ได้เวลาพระเอกอย่างผมต้องทำหน้าที่หัวหน้าห้อง (หน้าที่เยอะจริง) ไปเรียนเชิญอาจารย์ภาษาไทยอย่างอาจารย์ดลญา ที่ประวัติการเข้าสายของแกคือศูนย์สนิทมาสอน ทำไมวันนี้ปาไปตั้งครึ่งของครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ปรากฏตัวอีกนะ หรือแกจะไม่มาสอน ? ใจนึงผมก็อยากจะเชิญอาจารย์มาสอนน่ะครับ จะได้ไม่ต้องปล่อยเวลาให้สูญเปล่าเพราะนี่ก็จะสอบมิดเทอมแล้วด้วย ขืนเรียนไม่ครบเนื้อหามีหวังได้กามั่วแหลกแจกคะแนนแน่ ๆ แต่อีกใจก็ไม่อยากไปตามหรอกครับ ก็คาบนี้แม่งตั้งสองชั่วโมง !! ถ้าอาจารย์ไม่มาห้องเราก็คงได้จัดปาร์ตี้ย่อม ๆ หรือไม่ก็ยกขบวนลงไปถล่มสนามบอล และอีกเหตุผลนึงที่ไม่อยากไปคือห้องพักอาจารย์อยู่โคตรไกล ! แต่เอาเหอะไป ตามหน่อยก็แล้วกัน ถ้าไม่เห็นว่าจะมีสอบในอนาคตอันใกล้ผมคงลงไปนอนกองกับพื้นโต๊ะแล้ว



     ผมดันโต๊ะออกห่างจากตัวพอสมควรเพื่อให้ตัวเองลอดออกไปง่าย ๆ (ฮือออ อยากนั่งต่อ) พลางเดินมุ่งหน้าไปยังตึกสิบสองห้องพักครูภาษาไทย ผมก้าวขาออกมายังไม่ทันได้ผ่านถึงประตู ความคิดที่เป็นตะกอนจากเมื่อเช้าก็ออกฤทธิ์ว่าจะต้องไปเจอกับคนคนนั้นที่ไหนสักแห่งอีกหรือไม่



     ' โป๊ก !!!!!!!!!! ' หัวของผมกระแทกเข้ากับใครบางคนอย่างรุนแรง มันแรงขนาดไหน ก็อีกคนลงไปนอนดิ้นกับพื้นอาคารอะครับ



     " โอ๊ยไอสัดมิ้ลค์ ! มึงเดินดูทางหน่อยดิวะ !! " อุบัติเหตุครั้งนี้เรียกสติผมให้กลับมาเต็มร้อยอีกครั้ง แต่เสียงแบบนี้มันคุ้น ๆ เว้ย ผมพยายามโฟกัสสายตาไปยังผู้บาดเจ็บว่าเขาเป็นใคร ซึ่งก็ตกใจกับคำตอบพอสมควรว่าแม่งเป็นเพื่อนสนิทของผมเอง ไออาร์ม !! ชิบหายล่ะกู



     " เชี่ยอาร์มกูขอโทษ " ผมรีบลดตัวเองลงไปเช็กอาการของประธานนักเรียนที่เหมือนจะพึ่งทำหน้ามาเสร็จหมาด ๆ พลางประคองมันเข้าไปยังด้านในห้องเรียน ไอเชี่ยเฟิร์ส ! มึงทำเพื่อนกูเจ็บ !! มึงจะแว็บเข้ามาในหัวกูทำไมเนี่ย !!? (อ๋อ ผมเดินไม่ดูทางเองนี่เอง แหะ ๆ) เพื่อนในห้องที่แหกปากเสียงดังก็กรูเข้ามาดูอาการด้วยความสงสัยว่าไปโดนอะไรมา



     เมื่อถึงที่ประจำของมันที่นั่งข้าง ๆ ผม ด้วยความสำนึกผิดจึงถามถึงอาการที่ผมประทุษร้ายไปเมื่อกี้ทันที " เชี่ย...เป็นอะไรปะวะ " พลางเช็กอาการของคุณประธานว่าเป็นอะไรมากมั้ย โอ้พระเจ้า ! แม่งเขียวเป็นลูกมะนาวเลย !!!



     " ไม่เป็นมั้งไอสัด !! " ฮือออ กูไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายมึงเลยนะ แม่งตะคอกใส่ผมซะเสียงดังก่อนจะร้องอวดโอยด้วยความเจ็บปวด สงสัยหัวผมคงจะแข็งจริง ๆ ว่ะ นี่ขนาดชนไปแรงซะขนาดนั้นยังไม่ค่อยรู้สึกอะไรเลย แต่ผมอยู่ตรงนี้นาน ๆ ไม่ได้นี่หว่า..



     " เฮ้ยพวกมึง ดูมันไปก่อนนะ เดี๋ยวกูมา " ก็ผมต้องไปตามอาจารย์น่ะสิ แต่ไอเราทำร้ายมันซะขนาดนั้นแล้วไปตามอาจารย์เนี่ย มันเหมือนหลบหนีหรือไม่รับผิดชอบมั้ยวะ ? ผมวิ่งเหยาะ ๆ ออกมาจากความวุ่นวายนั้นพลางได้ยินเสียงตามมาของผู้เคราะห์ร้าย " ไอห่ามิ้ลค์ ! มึงทำร้ายกูแล้วหนีเหรอ !!? โอ๊ยย " ไออาร์มกูขอโทษษษษษษ กูต้องไปตามอาจารย์มาสอน เชี่ย ! โคตรรู้สึกผิดเลยว่ะ เดี๋ยวกูถวายตัวรับใช้มึงทีหลังแล้วกันนะ ฮือออออ



####



     " ขอบคุณครับอาจารย์ " ผมรับก้อนความเย็นขนาดกำปั้นที่มีกระดาษทิชชูแผ่นหนาห่อหุ่มอยู่จากเคาน์เตอร์ห้องพยาบาล เฮ้อ.. ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อไออาร์มสักหน่อยครับ คาบนี้อาจารย์ดลญาแกติดโน๊ตไว้ที่โต๊ะว่าต้องพาเด็กม.ต้นไปแข่งวิชาการนอกโรงเรียนโน่น ให้อ่านหนังสือทบทวนบทเรียนอยู่ในห้องให้เรียบร้อย แต่คิดว่าห้องผมจะมีใครทำอย่างนั้นเหรอครับ ? ฮ่า ๆ ฉะนั้นสองคาบนี้ว่างคร้าบบบ~ (ส่วนสอบก็ตัวใครตัวมัน) ด้วยความที่ผมขายาวและก้าวไว ทำให้ตัวเองเดินมาถึงตึกสิบสี่ในเวลาไม่นาน เหลือเพียงข้ามทางเชื่อมไปตึกสิบห้าก็ถึงห้องของผมแล้วครับ ผมเดินผ่านหลาย ๆ ห้องของเพื่อนชั้นม.5 ด้วยกันพบว่า ยังมีการเรียนการสอนที่เครียดกันพอสมควรเพราะว่าจะสอบมิดเทอมกันแล้ว สังเกตได้จากสีหน้าของเหล่านักเรียนที่จดความรู้ต่าง ๆ จากอาจารย์กันอย่างขยันขันแข็ง (ห้องกูว่างโว้ยยย ฮ่า ๆ) จนต้องมาสะดุดตากับป้ายห้องม. 5/4 มันทำให้ผมฉุกคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าอีกครั้ง และเจ้าตัวก็เรียนอยู่ห้องนี้ไม่ผิดแน่ อีกไม่กี่ก้าวขาของผมต้องเดินผ่านห้องนี้ไป ทำไมอยู่ ๆ หน้าอกก็เริ่มสั่นแปลก ๆ คงจะเป็นอาการตื่นเต้นหรืออะไรสักอย่างหรือเปล่า



     ผมเดินผ่านมาได้ครึ่งนึงของประตูหน้าห้องและไม่ลืมมองลอดเข้าไป ผมดึงความสนใจของนักเรียนห้องนี้จากอาจารย์ที่สอนอยู่ได้ขณะหนึ่ง และก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีสายตาของคู่กรณีมองกลับมาหาด้วยเช่นกัน จนแล้วจนรอดแม่งก็มองผมอยู่ดีสินะ ผมผ่านประตูแรกมาได้แล้วแต่ก็นึกอยากจะลองใจอีกครั้ง ว่าแม่งคงไม่ได้ตั้งใจจะมองคนผ่านไปมาหน้าห้องเฉย ๆ หรอก เมื่อถึงประตูหลังผมก็ส่งสายตาไปยังตำแหน่งที่นั่งของมัน แต่ก็ไม่ได้รับสายตาคู่ใดกลับมา



     สงสัยบางทีผมก็คิดมากไปเอง..



     " อ้าวไออาร์ม ! เพื่อนไปไหนหมดอะ ? กูว่าจะมาบอกสักหน่อยว่าคาบนี้อาจารย์ไม่อยู่ " ผมถามมันที่นอนราบไปกับพื้นโต๊ะเรียน พลางยื่นก้อนน้ำแข็งที่ละลายไปบ้างแล้วให้ " อะ เอาไปประคบซะ "



     อาร์มลุกขึ้นมารับไว้ " ขอบใจ นึกว่าจะหนีกูไปซะละ ก็อาจารย์ดลญาเขาพาเด็กไปแข่งวิชาการน่ะ กูเป็นคนไปส่งทีมเขาขึ้นรถเองเมื่อเช้า กูบอกแม่งเสร็จก็เลยแห่กันลงไปเตะบอลกันหมดแล้ว " ในขณะที่ผมเช็กว่าในห้องยังมีไอปอนค์นั่งฟังเพลงอยู่โต๊ะใกล้ ๆ และพวกไอบีมนั่งเล่นไผ่ U-no กันอยู่หน้าห้อง ก็ต้องหันขวับไปหาคำตอบที่อาร์มให้อย่างขุ่นเคือง



     " อ้าวไอเวร ! รู้ว่าอาจารย์ไม่เข้าทำไมไม่บอกกูก่อน กูวิ่งไปตามแทบตายไอสัด " มาถึงจุดนี้ผมเริ่มนอย ๆ มันละ



     " มึงไม่ต้องมาพูดเลย มึงทำร้ายกูไอมิ้ลค์ " ทีนี้ผมขอยึดก้อนน้ำแข็งคืนแล้วปาใส่กบาลมันอีกรอบดีปะ ? ไอเพื่อนเวร กูไม่ได้ตั้งใจทำมั้ย



     " ไม่รู้อะ มึงไม่บอกกู กูงอนละ หึ ! " ผมเดินเข้าไปนั่งที่ประจำของตัวเองก่อนจะนอนฟุบลงไป ไม่รู้แหละ มึงต้องง้อกูไออาร์ม ! พลางรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระซิบข้างหูหลังจากนั้น



     " งอนเหมือนกันเว้ย หึ ! "



     ผมกับอาร์มเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ต้นแล้วครับ เรามีเรื่องที่หนักหนากว่านี้อีกมากมาย แต่เราสองคนก็ผ่านมาด้วยกันได้ แค่เรื่องงอนกันแค่นี้จิ๊บมาก ๆ ครับ ถ้าใครสักคนบอกงอนขึ้นมา อีกไม่นานก็คงกลับมาคุยกันเหมือนเดิม ทางนั้นก็คงคิดเหมือนกัน ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทนี่เนอะ ฮ่า ๆ



     แต่ตอนนี้ผมขอพักสายตาก่อนแล้วกันนะครับ..



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:01:44
Not to be unlocked : Episode 4 : หื้อ !!?



     ขณะนี้เวลาห้าโมงกว่าแล้วครับ ผมนั่งรอเจ้ามินเรียนคาบสุดท้ายน่าจะเสร็จประมาณห้าโมงกว่า ๆ วันนี้ผมว่าจะพามินไปนั่งชิลล์ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือแถว ๆ บ้านผมเนี่ยแหละ อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกอยากกินเป็นพิเศษ และร้านนี้ก็เป็นหนึ่งในสิบร้านโคตรอร่อยของผมด้วย ! แน่ล่ะครับเย็นนี้ไม่มีอะไรกินด้วย เลยชวนคุณน้องชายไปหม่ำสักหน่อยดีกว่า



     ผมหยิบไอโฟนในกระเป๋ากางเกงและหูฟังที่หมกตัวอยู่ในจาคอปออกมาเพื่อหวังจะทำลายความว่างสักหน่อย ปล่อยให้บรรดาศิลปินขับกล่อมเวลาว่างอันแสนเบื่อหน่ายนี้ แต่นึกดูดี ๆ ฟังเพลงอย่างเดียวมันดูห้วน ๆ ไปหาซื้ออะไรกระแทกปากเล่นด้วยท่าจะดี



     ผมลุกขึ้นจากโต๊ะหินอ่อนบริเวณข้างสนามฟุตบอลโดยวางกระเป๋าทิ้งไว้ พลางบิดตัวไล่ความขี้เกียจแล้วจึงก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังร้านขายของแถวประตูหนึ่ง ตอนเย็น ๆ แบบนี้ของกินแห่มาขายเยอะเลยครับ



     ผมเดินฮัมเพลงมาเรื่อย ๆ จนจับสังเกตถึงความผิดปกติภายในโรงเรียน เวลาแบบนี้ถึงจะเย็นมากแล้ว แต่ทำไมไม่มีเด็กนักเรียนหลงเหลืออยู่สักคน ? สนามบอลที่เด็กม.ต้นชอบมาเตะกันอย่างวุ่นวาย เสียงวงโยฯ ที่ซักซ้อมกันจะเป็นจะตายในห้องดนตรี เด็กนักเรียนที่เดินเข้าออกทางประตูหนึ่ง ทุกคนหายไปไหนกันหมด ?



     ผมเดินมาได้อีกระยะหนึ่งคำถามในหัวก็ถูกทำลายจนหมดสิ้นเมื่อมาหยุดอยู่หน้าห้องปกครอง ผมเห็นนักเรียนชายส่วนสูงพอ ๆ กันยืนหันหลังอยู่ ถึงจะเห็นแค่แผ่นหลังของเสื้อนักเรียน ผมก็รู้ในทันทีแบบไม่ต้องสงสัยว่าเขาคนนั้นคือใคร



     " เฟิร์ส " ปากผมไวเท่าความคิด ถึงจะขานชื่อไม่ดังมาก แต่อีกฝ่ายก็หันกลับมาให้ได้เห็นใบหน้าที่ขาวผุดผ่อง



     เฟิร์สที่ถูกเรียกหันกลับมามีทีท่าตกใจไม่น้อยกับคนที่พูดชื่อ คนที่ไม่เคยถูกมองว่าควรญาติดีด้วย แน่ล่ะครับ ถึงเวลาเราต้องมาจบเรื่องนี้กันสักที !



     ผมถอดหูฟังทั้งสองข้างพลางยัดทุกอย่างลงกระเป๋ากางเกงแล้วค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปหา จนสายตาของเราสบกันชั่วครู่ ถึงจะเป็นระยะห่างพอสมควร แต่ก็ได้เห็นนัยน์ตาคู่นั้นชัดเจน อีกฝ่ายที่ยังหลงเหลืออาการตกใจก็ได้แต่ก้าวเท้าหนีไปข้างหลัง



     ร่างโปร่งดูเหมือนจะคิดอะไรออก จึงเปลี่ยนจากการทำโง่ ๆ อย่างก้าวหนีเป็นเอี้ยวตัวและวิ่งทันที !



     " เดี๋ยวดิ !! " เฟิร์สที่พึ่งออกตัวไปไม่ได้มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย ที่ผมทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่วิ่งตามไปก็เท่านั้น



     เฟิร์สวิ่งมาเรื่อย ๆ ก่อนจะชะงักตัวแถว ๆ หน้าประตูบานใหญ่ ตามด้วยผมที่ไล่มาติด ๆ พลางหยุดอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย อาการเหนื่อยหอบจากการวิ่งเมื่อครู่เริ่มกำเริบจนผมเองถึงขั้นทรุดตัวลงไปอย่างหนัก โชคดีที่ยังพอมีสติ ผมจึงรีบชักมือขึ้นมาจับหัวเข่าเพื่อทรงตัวไม่ให้ล้มลงไป



     " หยุดสักทีนะมึง " ผมหายใจเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่ " กูมีอะไรจะถามมึงว่ะ " ผมเงยหน้ามองแผ่นหลังของเฟิร์สที่ดูท่าจะไม่หันมาคุยด้วยดี ๆ



     " ทำไมมึงต้องมองกูด้วยสายตาแบบนั้นด้วยวะ ? " ผมพูดประโยคที่จะคลายข้อสงสัยทุกอย่างออกมา



     " .......... "



     " เฟิร์ส ! "



     " .......... "



     " เฟิร์ส !!! "



     " .......... "



     ถึงจุดจุดนี้ผมรู้เลยครับว่าการกระทำของตัวเองมันศูนย์เปล่าแค่ไหนกับคนที่เย็นชาแบบนี้ ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าในใจลึก ๆ ของเฟิร์สเองคิดอะไรอยู่กันแน่ ถ้ามันไม่เป็นคนบอกผมเอง ผมก็ไม่สามารถปฏิบัติตัวได้เหมือนกัน แค่คำถามว่าเป็นอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้ แม่งตอบให้ผมไม่ได้วะ !? ตอนนี้เหมือนเลือดจะท่วมหน้าผมซะแล้ว



     " มึงจะหนีกูไปถึงไหนวะ !!! "



     " .......... "



     มีเพียงเสียงของสายลมเท่านั้นที่พัดผ่านมากระทบผิวหน้าเป็นคำตอบให้ผมได้ในตอนนี้ ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากคนที่เอาแต่หันหลังให้ ผมเริ่มจะหมดหวังกับผู้ชายคนนี้ซะแล้ว



     แต่ถ้าให้ผมปล่อยไปก็คงจะเสียดายแย่ ยังไงก็ได้มาคุยกันตัวต่อตัวแล้วหนิ..



     ต้องเอาให้ทุกอย่างจบวันนี้สิ !!!



     ผมตั้งสมาธิพลางสูดอากาศเข้าปอดไปอีกเฮือกใหญ่เพื่อไม่ให้อารมณ์อยู่เหนือกว่าทุกสิ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปจับไหล่คนตรงหน้าเพียงหวังให้เจ้าตัวหันกลับมาคุยด้วยกันดี ๆ ไม่ใช่เป็นทองไม่รู้ร้อนแบบนี้ ในขณะที่ฝ่ามือจะแตะไปถึงไหล่ เฟิร์สเองเหมือนเดาได้ว่าผมคิดจะทำต่อ จึงรีบเดินออกไปจากจุดเดิมอย่างไม่หันกลับมาแยแส



     เฟิร์สหนีผมไปอีกแล้ว ผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดตัวเองได้กระทำอะไรให้มันได้ชอกช้ำในใจหรือไม่ ผมไม่อยากให้ใครมาคิดแง่ลบกับผมแม้กะทั้งคนที่ไม่เคยสนิทอย่างเฟิร์สก็ตาม ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนได้อีกแล้วนอกจากมัน



     แต่นี่..



     ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว..



     สิ่งเดียวที่ผมได้จากเฟิร์สในตอนนี้คือควรปล่อยทุกอย่างทิ้งไป..



     ก่อนที่ผมจะตัดใจเดินออกมาจากตรงนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อหางตาได้เหลือบเห็นรถเก๋งสีดำเทาวิ่งมาด้วยความเร็ว และไม่ผิดแน่



     มันวิ่งตรงมายังเฟิร์ส



     ' เพ้งงง !! '



     " เฟิร์ส !!!!!!!!!!! "



     ผมจำได้เลยครับว่าตะโกนชื่อนั้นไปสุดเสียง



     ภาพตรงหน้าไม่ได้ปรากฏเด็กนักเรียนม.ปลายด้วยกันประสบอุบัติเหตุแต่อย่างใด แต่เป็นภาพผู้หญิงอายุราวห้าสิบปลาย ๆ ในชุดผ้าไหม กำลังสอนวิชาสังคมศาสตร์อยู่



     " กฤติเดช หมดคาบนี้แล้วตามชั้นไปที่ห้องพักครู ! "



####



     โอ๊ยยยยยยยยยยยย !!!



     รอบที่สี่สิบสองแล้วครับกับบทลงโทษคัดอัตลักษณ์ประจำโรงเรียน ผมนั่งวุ่นอยู่ในโรงอาหารตั้งแต่เลิกเรียนตอนบ่ายสองครึ่ง นี่ปาไปจะห้าโมงเย็นแล้วพึ่งได้แค่นี้เอง !! ถ้าถามว่าไปทำอะไรมาเหรอครับ หึ ! ก็เล่นละเมอในคาบอาจารย์พรทิพย์น่ะสิ เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับรองบอสห้องปกครอง !!! โดนเลยครับคัดลายมือร้อยจบ แล้วไออัตลักษย์โรงเรียนนี้แม่งก็ยาวชิบหายเลย จริง ๆ ผมโดนแค่ห้าสิบจบครับ แต่ไอกางเกงที่มันสั้นโด่เด่เนี่ย ก็เลยโดนอีกห้าสิบ (จะโดนยึดกางเกงตอนไปส่งมั้ยเนี่ย ?) แล้วอาจารย์ก็จะให้ส่งภายในวันนี้ด้วย แถมย้ำนักย้ำหนาว่าถ้าเธอไม่ส่งชั้น ชั้นก็จะไม่กลับบ้าน ส่งสามทุ่มชั้นก็จะรอ !! ถึงผมจะหนีอาจารย์ยังไง แกก็ต้องตามมาเล่นงานอยู่ดี แถมโดนหนักกว่าเก่าอีก บอกเลยครับอาจารย์โรงเรียนนี้ถึงไหนถึงกัน มือผมตอนนี้ใกล้หมดอายุขัยแล้วจริง ๆ



     แล้วไอบุคคลที่น่าโดนตบกบาลซ้ำแผลมันมากที่สุดก็คือไออาร์มครับ รู้ว่ากูหลับอยู่แท้ ๆ แทนที่จะปลุกตอนอาจารย์เข้ามาสอนจะได้นั่งเรียน แต่ดันไม่ปลุกอีก !!! ไอเพื่อนชั่ว ! แล้วมีการบอกผมอีกนะครับว่าเป็นการแก้แค้นตอนผมไปชนมัน แหม กูก็บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แถมยังเมตตาเอาน้ำแข็งมาให้มึงประคบอีก ไอสารเลวเอ๊ย ! นี่ยังไม่นับความขายขี้หน้าตอนตะโกนชื่อไอเฟิร์สซะดังลั่นห้องแล้วแม่งขำกันอีก นึกถึงหน้าไอเชี่ยอาร์มตอนหลุดโลกแล้วแม่งก็..



     โธ่...ทำไมชีวิตผมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย ฮืออออ



     โรงอาหารถึงจะเย็นมากแล้ว แต่ก็ยังมีของขายให้นักเรียนอยู่เยอะครับ และถ้าไม่มีของอร่อยให้ผมซื้อเนี่ย คงหมดแรงตายไปกับงานตรงหน้านี้แล้ว นี่ถ้าผมคัดจบเมื่อไหร่ว่าจะทำประกาศนียบัตรแจกบรรดาลุง ๆ ป้า ๆ ที่ยอมเหน็ดเหนื่อยขายขนมนมเนยให้กับผู้ชายตัวเล็ก ๆ อย่างผม ที่ไปเจอกับเหตุการณ์ห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ (ปาดน้ำตา) ส่วนผองเพื่อนมันแยกย้ายกลับไปตั้งนานแล้วครับ เห็นได้ยินมาว่าพ่อไอกั๊มพ์ซื้อเหล้าจากอิตาลีมา แม่งก็เลยยกขบวนไปลองกันตั้งแต่เลิกเรียน แถมเย้ยผมอีกด้วยนะว่ามึงคงไม่ได้ไปแดกแล้วแหละ ไอสัด !! ทำกับกูแบบนี้เดี๋ยวการบ้านงวดหน้าพวกมึงก็ทำกันเองก็แล้วกัน ข้อหาหมั่นไส้ ! หึหึ



     ผมหยิบมะม่วงที่จิ้มเกลือเข้าปากพลางเขียนอัตลักษณ์ประจำโรงเรียน ซึ่งก็ไม่ได้สนใจมาตั้งแต่เข้าเรียนอยู่แล้ว แต่ผมคัดไปประมาณยี่สิบกว่ารอบ ก็สามารถท่องได้ขึ้นใจโดยไม่ต้องดูเลยแหละ (เย้ เสร็จรอบที่สี่สิบสาม) และก็เหลือบไปเห็นจอไอโฟนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ถุงขนมปัง แจ้งเตือนข้อความในไลน์ของไอตัวแสบ



     ' มินถึงบ้านแล้วนะครับ ซื้อข้าวเย็นมาเผื่อพี่มิ้ลค์แล้วนะ ไม่ต้องซื้อมาล่ะ ' ผมยิ้มให้กับข้อความเหล่านั้นพลางตอบกลับด้วยสติกเกอร์หมี bac bac



     ' OK '



     ท่านผู้อ่านครับ ดูเหมือนน้ำเปล่าที่ผมดื่มเข้าไปเมื่อกี้เริ่มอยากจะขับออกมาแล้วล่ะ เอาเป็นว่าผมควรไปห้องน้ำดีกว่านะ



     ผมวางปากกาลงกลางสมุดที่ยังเริ่มคัดใหม่ได้ไม่ถึงไหนพร้อมกับทิ้งของทุกอย่างไว้ พลางลุกขึ้นหมายจะไปเข้าห้องน้ำห้องเดียวกันกับเมื่อเช้าเพราะว่าใกล้ที่สุด ไหนจะต้องรีบยิงกระต่ายแล้ว ต้องมาปั่นงานที่เยอะกว่าการบ้านนี้ต่ออีก วันนี้ผมบอกเลยอีเว้นท์เยอะสัด ๆ จะมาเสียเวลามากไม่ได้ !



     จังหวะเท้าที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งมานั้น ก็ทำให้ผมมาถึงห้องที่มีสัญลักษณ์ชายไร้หน้าแปะอยู่ พลางเข้าไปด้านในเพื่อหาโถยืน และ..



     อ่าาาาาาาาาาาาาาาาาห์..~



     มันเป็นความรู้สึกที่สวรรค์ชั่งสรรค์สร้างจริง ๆ ครับ เวลาเราอัดอั้นอะไรมานานแล้วมาปลดปล่อยเนี่ย ผมล่ะไม่รู้สรรหาคำใดมาเปรียบเปรยจริง ๆ (เอ่อ...ผมแค่มาฉิ่งฉ่องนะครับอย่าเข้าใจผิด) เมื่อเสร็จธุระผมก็รูดซิปขึ้นก่อนกดน้ำแล้วจึงเดินไปที่อ่างล้างมือ



     ผมเปิดก๊อกพลางนำมือทั้งสองข้างไปสัมผัสกับน้ำเย็น ๆ ที่ไหลลงมา ก่อนจะผสานกันให้ทั่วเพื่อล้างสิ่งสกปรกออก ต้องล้างนานหน่อยครับ ผมยังไม่รู้เลยว่าวันนี้ไปจับอะไรมาบ้าง ก่อนออกจากห้องน้ำผมจะเป็นคนล้างมือนานม๊ากกก จนบางทีไออาร์มที่เดินออกจากห้องน้ำไปแล้วต้องเดินกลับมาโบกหัวว่าเมื่อไหร่จะเสร็จสักที ฮ่า ๆ เมื่อชำระล้างมือสะอาดพร้อมใช้งานแล้ว ก็เช็กหน้าเช็กตาสักหน่อยครับว่าหล่อเหมือนเดิมหรือยัง ฮ่า ๆ



     ผมเงยหน้าขึ้นมามองกระจกที่ทางโรงเรียนทำไว้เป็นทรงยาวโดยไม่สนใจอะไร ก็ทำให้ได้เหลือบเห็นนักเรียนชายที่เข้ามาก่อนหน้านี้ ส่งสายตาแปลกผ่านมาจากอีกอ่างด้านในสุด เอ๊ะ !? พักนี้ทำไมมีแต่คนมองผมจังวะ ? รู้แล้วว่าหล่อ ไม่จำเป็นต้องมองขนาดนั้นก็ได้มั้ง มา ๆ เอากระดาษกับปากกามา เดี๋ยวพี่โดมจะเซ็นลายเซ็นให้นะจ๊ะ



     ในตอนที่ผมคิดอะไรขำ ๆ อยู่นั้นเอง ความคิดในหัวก็แจ้งเตือนถึงผู้ชายคนหนึ่ง ชายผู้ที่ชอบส่งแววตาแปลก ๆ แบบนี้มาให้ และคนที่อยู่ในห้องน้ำกับผมตอนนี้คงไม่ใช่ใช่มั้ย.. เพื่อความแน่ใจครับ ผมจึงค่อย ๆ เลื่อนลูกตาไปยังเป้าหมายทันที



     " .......... "



     ใช่ครับ ใช่จริง ๆ ไอเฟิร์สจริง ๆ ด้วย แม่งเข้ามาตอนไหนทำไมผมไม่เห็นรู้ตัวเลยวะ !? สงสัยแม่งคงจะมีวิชานินจาฮาโตริ แต่ก็ดี !! ยังไงซะตำแหน่งที่ผมยืนอยู่ก็ปิดทางออกไปโดยเรียบร้อย ยังไงก็หนีไม่ได้ ผมว่าเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจควรจะจบที่นี่ และวันนี้



     " หวัดดี " ผมกล่าวทักทายพอเป็นพิธี พลางคลี่ยิ้มเย็น ๆ ให้กับคนที่มองหน้านิ่ง ๆ อยู่



     " เออ หวัดดีมิ้ลค์...มีอะไรหรือเปล่า ? " แววตาสู้ดีของเฟิร์สยังส่งมาถึงผมตลอด



     " กูมีอะไรอยากจะถามมึงหน่อยว่ะ...ทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมามึงต้องมองกูแบบนั้นด้วย ? " ผมยิงคำถามออกไปโดยไม่ลังเล หวังว่าคงจะไม่มีใครมาขัดจังหวะเราสองคนนะ " กูได้ไปทำอะไรให้มึงไม่พอใจหรือเปล่า ? "



     เฟิร์สเม้มปากเข้าหากันแน่นก่อนจะพูดประโยคบางอย่างเสมือนดั่งดอกกุญแจ ที่สามารถไขข้อสงสัยทุกอย่างได้



     " มึงแอบชอบกูอยู่หรือเปล่า ? " ถึงตรงนี้คิ้วผมขมวดเข้าหากันแน่น ผมไม่เข้าใจว่าเฟิร์สกำลังหมายถึงอะไร



     " ก็...ไม่ได้ชอบหนิ " กูจะไปชอบมึงได้ยังไงในเมื่อแฟนกูก็มี แถมมึงกับกูก็เพศผู้เหมือนกันอีก



     " เหรอ...กูคิดว่ามึงชอบกูอะ " อ๋อออออ ตลอดเวลาที่มึงมองกูปานจะแดกหัวก็เพราะคิดว่ากูชอบมึงเองหรอกเหรอ..



     หื้อ !!!!?



     เฮ้ย !! ไอเชี่ย !!!!! ไม่ใช่แล้วโว้ยยยยย มึงไปเอาความคิดเลว ๆ แบบนี้มาจากไหน !!!?



     หน้าผมเหวออยู่พักใหญ่ก่อนจะสะบัดหัวเรียกสติคืนมา " เดี๋ยว ๆ ๆ กูไปชอบมึงตอนไหน !!!? "



     จมูกโด่งนั้นถอนหายใจพรืดยาว " อะไรวะ ลืมไปแล้วเหรอ ? มึงจำตอนที่โรงเรียนปฐมนิเทศม.4 ได้มั้ย ? แล้วเขาจับคู่ห้อง 4 กับห้อง 11 อะ จากนั้นส่งตัวแทนออกมาเล่นเกมหนึ่งคน ก็คือกูกับมึงไง "



     ผมเงียบพลางคิดตามมันว่า ใช่ครับ เราทั้งสองเป็นนักเรียนที่พึ่งขึ้นม.ปลาย จะมีการปฐนิเทศก็ไม่แปลกอะไร ตอนม.ต้นผมก็เคยเห็นมันอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ไหนทำให้เราได้คุยกันเลยสักครั้งเดียว แล้ว...ไอตอนปฐมนิเทศกูกับมึงไปทำอะไรกัน ? " แล้วไงวะ ? "



     " มึงก็จับฉลากเลือกเกม...เป็นเกมที่มองตากันไง ใครถอนสายตาออกก่อนคือแพ้ ส่วนไอคนที่แพ้ก็มึงไง " มันว่าพลางชี้นิ้วแสกหน้าผม



     ผมย้อนความคิดตามที่เฟิร์สพูดถึงจะลาง ๆ อยู่ในหัวก็เหอะ แต่ทำไมจำห่าอะไรเห็นได้เลยวะ ? แล้วไอเกมบ้านี่สามารถทำให้มันคิดว่าผมไปชอบได้เลยเหรอ ? โอ๊ยยย สมองกูโล่งไปหมดแล้วไอเฟิร์ส



     " แล้วทำไมมึงถึงคิดว่ากูชอบมึงล่ะ !? "



     " ก็ตอนนั้นมึงเป็นคนบอกเองนี่ว่ามึงเขิน "



     " ........... "



     ผมกะพริบตาถี่ " กูเนี่ยนะเขิน !!? " พลางชี้นิ้วมาที่หน้าตัวเองกำกับ



     " เออ มึงนั่นแหละ นี่มึงอย่าบอกนะว่าจำไม่ได้อะ ? " ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้าพรืดราวกับสิ่งที่มันเกริ่นมานั้นถูกต้อง



     ถ้าผมเขินจริง ๆ ตามมันที่เล่า คงจะเขินเพราะว่าการสบตากับใครเป็นเวลานานทำให้รู้สึกอึดอัดซะมากกว่า และอีกอย่างผมคงไม่รู้สึกชอบหรือประทับใจกับใครที่มองตากันแค่ชั่วครู่นึงหรอกจริงมั้ยครับ แล้วทั้งหมดทั้งมวลไอห่านี่ก็คือคิดไปเองแบบเละเทะ แบบนี้ก็ได้เหรอ ?



     " ฟังกูนะ กูจำไม่ได้หรอกว่ากูกับมึงไปเจออะไรกันมาบ้าง แต่กูไม่ได้ชอบมึง และก็จะไม่มีวันชอบด้วย จำไว้ !! "



     สรุปแล้วคำถามที่ผมอัดอั้นในใจมาตลอดว่าทำไมเฟิร์สถึงมองผมแบบนั้น ก็จบลงกับคำตอบที่แม่งไร้สาระแบบสุด ๆ เฮ้อ.. ค้างคาใจมาตั้งนานว่าทำไมถึงมองแล้วมึงมาตอบกูแบบนี้..



     เสียเวลาชีวิตกูมั้ยเนี่ยไอเฟิร์ส !!!!



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:02:22
Not to be unlocked : Episode 5 : ขอบคุณนะ :)



     " เออ เดี๋ยวไปช่วย " คำพูดของคนที่ผมเจอในห้องน้ำเมื่อประมาณห้านาทีที่แล้วพูดทิ้งทวนไว้ ก่อนที่เราทั้งคู่จะแยกกันตรงใต้ตึกสิบหก ใครเป็นคนพูดน่ะเหรอครับ ? มันนั่นแหละ..



     คือหลังจากเคลียร์เรื่องที่ค้างคาใจกันมานานนับพันปีเสร็จสิ้น ผมก็ขอตัวมาคัดบทลงโทษมหาโหดต่อในทันที (ซึ่งมันก็รู้ดีว่าคืออะไร) แต่เมื่อเฟิร์สได้ยินประโยคนั้นกลับมีน้ำใจครับ เลยขออาสามาช่วยผมอีกแรง เฟิร์สบอกว่าให้ไปรอก่อนเลยแล้วเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง เพราะว่าต้องไปเอากระเป๋าที่สวนวิจิตรหลังโรงเรียน แถมพูดอีกว่า ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วน่ะ มานั่งช่วยผมคัดดีกว่า ไอตอนแรกก็นึกว่าไอห่านี่จะหยิ่งผยองถือตัวชอบมองแต่หน้า (วิธีป้องกันตัวของมันคือการมองหน้าด้วยสายตาครับ ที่ชอบมองหน้าตอนเจอกันก็เพราะคิดว่าผมชอบมันนี่แหละ จึงต้องส่งสายตาอำมหิตดำมืดมาบ่อย ๆ ซึ่งปัญญาอ่อนเชี่ย ๆ) แต่พอจบปัญหากลับไปคนที่สามารถพึ่งพาได้ซะงั้น !



     ไม่นานนักเพื่อนคนใหม่ล่าสุดแกะกล่องของผมก็เข้ามาร่วมอีกฝั่งนึงของโต๊ะ



     " แล้วนี่ไปทำอะไรมาเนี่ยโดนคัดซะเยอะเลย " ปากอมชมพูของเฟิร์สถามพลางหยิบถุงปากกาสีน้ำตาลในกระเป๋าเป้ออกมา



     " ห้าสิบแรกโดนเรื่องกางเกงสั้น ห้าสิบหลังกูหลับตอนคาบอาจารย์พรทิพย์ แล้วกูละเมอตะโกนชื่อมึงซะดังลั่น ขายหน้าชิบหายเลยรู้ปะ " ผมพูดขณะมือทั้งสองข้างยังวุ่นวายกับสมุดตรงหน้า ฮือออ ภาพไอเชี่ยอาร์มลอยเข้ามาในหัวอีกแล้ว มึงอย่ามาขำในหัวกูเส้ !!



     " เฮ้ย ! ละเมอชื่อเราตอนหลับเนี่ยนะ !? แล้วบอกไม่ได้คิดอะไรไง ? " เฟิร์สขมวดคิ้วก่อนจะโน้มตัวนั่งลง



     " คิดห่าไร ก็มึงชอบมองกูแปลก ๆ อะ กูไม่ชอบนะเว้ย เห็นปะกูเก็บไปฝันเลยเนี่ย " ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันมั้ยแต่กูขอโวยหน่อยเหอะ



     " ฮ่า ๆ เออ ไม่มองแล้ว เราก็คิดว่ามิ้ลค์ชอบเราอะ เราเลยต้องป้องกันตัวไว้หน่อย " เฟิร์สทิ้งท้ายไว้ก่อนมือเรียว ๆ ของผมจะยื่นสมุดเปล่าให้ ยังไงผมก็ไม่เข้าใจการป้องกันตัวของแม่งอยู่ดี เฮ้อ..



     อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ควบคู่กับท้องฟ้าที่ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยสีม่วงเข้ม เด็กนักเรียนทั้งม.ต้นและม.ปลายในสนามบอลก็เริ่มหายไปบ้างบางส่วน บรรดาลุง ๆ ป้า ๆ ก็เริ่มเก็บร้านกันแล้ว เราสองคนต้องเร่งฝีมือเพิ่มขึ้นไม่เช่นนั้นอาจจะมืดค่ำไปมากกว่านี้ได้ และอีกอย่างเราสองคนนั่งปั่นงานกันมานานพอสมควร (ไม่สิต้องบอกว่าเฟิร์สแปปเดียว ผมอะโคตรนาน) ถ้าอยู่นานไปมากกว่านี้จะเป็นการรบกวนเฟิร์สไปกันใหญ่



     " ของมิ้ลค์กี่รอบแล้วล่ะ ? " เสียงของอีกคนถามโดยที่มือยังคัดยิก ๆ อยู่ ผมไม่ต้องเปิดไปนับตั้งแต่หน้าแรกหรอกครับว่าไอที่คัดอยู่เนี่ยมันรอบที่เท่าไหร่แล้ว



     " พึ่งเสร็จรอบที่สี่สิบแปดอะ แล้วมึงล่ะเท่าไหร่ ? " ผมตอบพลางสะบัดข้อมือไล่ความเมื่อยออกไป โอ๊ย...ข้อมือผมจะหักอยู่แล้ว ฮือออ



     " ห้าสิบแล้ว " คำตอบของเฟิร์สทำให้ผมถึงกับต้องหันขวับไปทันที และยืมสมุดที่มันคัดอยู่มาเปิดตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย..



     เข้ !! ไอเฟิร์สแม่งคัดไวกว่าผมเป็นหลายเท่าตัว แถมลายมือยังเหมือนกันเด๊ะอีกต่างหาก ! คัดครบทุกตัวอักษร หมดปัญหาเลยว่าลายมือจะไม่เหมือนกัน เฮ้ย !! มึงเป็นคนจริง ๆ เหรอวะเนี่ย !!? ผมนั่งมาตั้งแต่บ่ายสองยังไม่เร็วเท่ามันที่คัดไม่ถึงชั่วโมงเลย โชคดีนะที่เฟิร์สมาช่วยไม่งั้นตีสองก็ไม่เสร็จหรอก เฮ้ออออ โล่งอก



     ผมส่งสมุดเล่มฟ้าอ่อนคืนให้กับคนตรงหน้าพลางวางปากกาที่เหน็บไว้ระหว่างนิ้วลง เพราะรู้สึกว่าทำต่อไม่ไหวแล้ว ผมบอกว่าอีกไม่กี่รอบช่วยกูหน่อย เฟิร์สก็พยักหน้าหงึก ๆ กลับมาอย่างยินดี ถึงจะไม่ได้สนิทกันมาตั้งแต่แรก แต่เฟิร์สนี่เป็นคนที่พึ่งพาได้จริง ๆ ว่ะ มีพระคุณพอที่ผมจะโน้มตัวก้มลงกราบกันเลยทีเดียว ต่างจากไอพวกเพื่อนเชี่ยในห้องเยอะ พวกมึงควรมากราบด้วยเข้าใจมั้ย !



     ผมหยิบซองป๊อกกี๊สีชมพูขึ้นมาฉีกพลางหยิบเข้าปากและไม่ลืมที่จะตอบแทนบุญคุณคนตรงหน้า โดยการยื่นขนมแท่งยาว ๆ นี่ไปที่ปากของมัน เฟิร์สเบือนหน้าหนีเล็กน้อยเพื่อเช็กว่าผมจะหยิบอะไรใส่ปากมัน ก่อนที่ทางนั้นจะกัดกินเข้าไปอย่างว่าง่าย



     " แล้วนี่มึงไม่รีบกลับบ้านเหรอ ? " ผมถามทั้ง ๆ ที่ปากยังคาบขนมอยู่



     " ไม่อะ ช่วยมิ้ลค์ทำก่อน เดี๋ยวได้นอนเฝ้าโรงเรียนจนได้ " มันตอบเสียงครอกแครกเพราะว่ายังเคี้ยวตุ่ย ๆ



     " จริง ๆ กูคนเดียวก็ทำได้สบายอยู่แล้ว " ตบปากเดี๋ยวนี้เลยไอมิ้ลค์ ! มึงพึ่งขอความช่วยเหลืออีกไม่กี่รอบนี้เองนะ !!



     " อ๋อเหรอ หึหึ " เฮ้ย มึงขำอะไรของมึงวะ ? ที่กูพูดมานี่เรื่องจริงทั้งนั้น !!



     " เออ ! " ผมตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่ายังไงกูก็ไม่มีวันทำได้แน่ แต่ขอปากดีไว้ก่อน ฮ่า ๆ



     จะว่าไปเราสองคนก็สนิทกันไวเหมือนกัน ทั้งที่พึ่งรู้จักกันอย่างเป็นทางการได้ไม่ถึงชั่วโมงเอง แต่กลับคุยเล่นกันได้อย่างไม่ถือตัว หรือเพราะลึก ๆ เราสองคนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีแก่เพื่อนจนสามารถพูดคุยกันได้อย่างเป็นมิตร ถึงผมจะพูดหยาบคายบ้าง แต่สีหน้าที่แสดงของเฟิร์สก็ไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังด่วนสรุปไม่ได้ว่าเฟิร์สเองเป็นคนยังไง และผมควรจะวางตัวให้เหมาะสมแค่ไหน



     ถึงเฟิร์สจะอยู่คนละห้องกับผม แต่ที่แน่ ๆ มันเป็นเพื่อนของผมไปแล้วเรียบร้อยครับ :)



####



     ' เสร็จแล้ววางไว้ค่ะ พรุ่งนี้เช้าจะมาตรวจ ลงชื่อ อาจารย์พรทิพย์ '



     ผมกลอกลูกตาให้กับข้อความบนโพสต์อิทสีเขียวเหล่านั้นด้วยความเซ็งตงิด ๆ ไหนว่าจะรอไงครับอาจารย์ ? พูดแล้วทำไม่ได้นี่หว่า เห๊อะ ผมบ่นกับตัวเองในใจพลางหยิบไอโฟนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูแสดงเวลาเกือบสองทุ่ม จริง ๆ เสร็จกันตั้งแต่หกโมงครึ่งครับ แต่เห็นป้าสำราญร้านน้ำปั่นแกช่วยสามียกของขึ้นกระบะ ผมกับเฟิร์สที่จะเดินไปส่งงานห้องปกครองเห็นเข้าก็อดช่วยเหลือไม่ได้ เลยกูลีกูจอไปช่วยยกอีกแรง (งานคัดกับงานยกมันเหนื่อยคนละแบบ หึหึ) จวบจนเวลาเดินมาถึงขณะนี้ แต่ก็อย่างว่าครับ สรุปแล้วอาจารย์แกก็ไม่อยู่



     ผมปั้นหน้าเซ็งเดินออกมาจากห้องปกครองที่มีไฟสลัว ๆ เปิดอยู่ พลางกวักมือเรียกผู้มีอุปการคุณที่ยืนรออยู่ตรงขอบสนามบอลให้มาทางนี้ อีกฝ่ายที่ยืนเล่นมือถืออยู่เห็นผมก็เก็บอุปกรณ์สี่เหลี่ยมดำ ๆ ลงกระเป๋ากางเกงพลางวิ่งเหยาะ ๆ มุ่งตรงมาหา



     " เออ เรียบร้อยดีปะ ? " เฟิร์สพูดปนยิ้มเล็ก ๆ ก็อยากพูดว่าเรียบร้อยอยู่หรอกนะ แต่เซ็งโคตร ๆ



     " อาจารย์ไม่อยู่ว่ะ " ผมส่ายหัวพรืดพลางก้าวเท้าเดินนำไปที่ประตูโรงเรียนก่อนเจ้าตัวจะรีบย้ำเท้าตามมาใกล้ ๆ



     " หึหึ ว่าแล้ว อาจารย์ที่ไหนจะมาอยู่ถึงสองสามทุ่ม บ้าเปล่า " มันกลั้วขำออกมาอย่างสะใจ ก็อาจารย์เขาบอกเองนี่หว่าว่าจะรอ แล้วไหงเป็นงี้วะ ส่วนไอคำว่าบ้ากูจะถือว่าเป็นคำชมละกัน วันนี้กูติดหนี้ชีวิตมึง หึหึ



     " ยังไงวันนี้กูขอบใจมึงมากนะเว้ย ถ้าไม่ได้มึงมาช่วยกูคงแย่แน่เลย " ถ้าแม่งไม่มาช่วยผม สงสัยต้องหาหมอนมานอนโรงเรียนแหงแซะ



     " เล็กน้อยว่ะ ไม่เป็นไร " หน้าเนียน ๆ กล่าวนำก่อนจะหันมาฉีกยิ้มกว้าง ๆ จนเห็นเหล็กดัด รอยยิ้มนี้ผมสัมผัสได้ทันทีว่ามันมาจากใจของเฟิร์สจริง ๆ สีตอนนี้หน้าชั่งต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง



     " แล้วบ้านมึงอยู่ไหนวะ ? " ดึกดื่นขนาดนี้มึงจะกลับบ้านง่ายหรือเปล่าเนี่ย ? ใช้งานซะดึกเลยว่ะเรา



     " สุขุมวิทอะ " อืมมมม ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่หว่า งั้น..



     ผมหยุดเดินก่อนจะหันไปพูด " กู...ขอเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนมึงได้ปะ ? " ร่างโปร่งที่เดินนำไปได้ไม่กี่ก้าวหันกลับมาถามอย่างแปลกใจ



     " จริงดิ !? กินไหนอะ ? " โธ่...แค่เลี้ยงข้าวเอง กระเป๋าตังพี่ไม่ฉีกหรอกไอ้หนู และอีกอย่างตังพี่ก็ไม่เสียสักบาทด้วย หึหึ



     " บ้านกูอะ "



     " ห้ะ !!? "



####



     บรรยากาศในรถแท็กซี่ของเราทั้งสองเป็นไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงเพลงลูกทุ่งจากรายการวิทยุของพี่โชเฟอร์แท็กซี่ที่เปิดทิ้งไว้ ถึงจะเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ผมสนใจมีแค่ดวงไฟตามท้องถนนที่รถคันนี้แล่นผ่าน อากาศในนี้หนาวจับใจจนต้องชักมือทั้งสองข้างขึ้นมาลูบแขนที่ขนลุกชูชัน



     ผมคิดโน่นคิดนี่อยู่นานเครื่องยนต์สีเหลืองเขียวก็มาจอดเทียบหน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย ผมเห็นเฟิร์สทำท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์และรู้แน่ ๆ ว่ามันต้องแย่งจ่าย ผมเลยตัดหน้าชิงควักแบงก์สีแดง ๆ ไปให้เสียก่อน



     " ไม่เป็นไร กูจ่ายเอง " ไอห่านี่จะเป็นคนดีไปถึงไหนวะ วันนี้กูก็รบกวนมึงจะตายห่าอยู่ละยังจะมาแย่งจ่ายอีก เดี๋ยวปั้ด !! ผมรับเงินถอนที่มีแบงก์ยับ ๆ และเศษเหรียญเล็กน้อย พลางตะกายขาออกจากประตูโดยมีอีกคนนำไปก่อนแล้ว



     " หลังนี้เหรอ ? " เฟิร์สถามในขณะที่พาดกระเป๋าไว้ด้านหลังข้างนึง



     " ใช่แล้ว " ผมชะเง้อเข้าไปในตัวบ้านพลางเห็นไฟที่เปิดอยู่แค่ชั้นหนึ่ง สงสัยมินคงจะยังไม่ขึ้นไปนอนน่ะครับ



     " ปะ เข้าบ้านกัน เดี๋ยวทำอะไรให้กิน " ผมว่าพลางเอื้อมมือไปเปิดรั่วเหล็ก แต่ดันเหลือบไปเห็นสายตาเหยียดหยามของไอคนข้าง ๆ ซะก่อน ไอห่า มึงไม่เชื่อใจกูเรอะ ! ไม่รู้ซะแล้วว่ากูได้รางวัลอะไรมา หึหึ



     ผมถอดรองเท้าพลางเก็บเข้าตู้ไม้ยางพาราก็ได้เห็นน้องชายนั่งดูทีวี LED ขนาดยี่สิบสี่นิ้วอยู่บนโซฟา มินที่จ้องตาดูสารคดีสัตว์โลกอย่างตั้งใจอยู่ก็หันกลับมาทักทาย



     " อ้าวพี่มิ้ลค์ ! ข้าวเย็นอยู่บนโต๊ะน่ะ เอ่อ...หวัดดีครับ...พี่ ? " มินปั้นหน้าอึ้ง ๆ พลางยกมือพนมปลก ๆ มองไปด้านหลัง



     " เฟิร์สครับ " เฟิร์สรับไหว้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินตามไล่ ๆ กันมา



     " นอนได้แล้วนะมิน นี่ดึกแล้วนะ " ผมสั่งเสียมินก่อนจะเดินไปหาอะไรกินในครัว เพราะรู้สึกว่าขนมที่ยัดเมื่อตอนเย็นถูกย่อยไปซะหมดแล้ว



     " คร้าบบบ " มินตอบกลับมาด้วยเสียงลากยาว ๆ ต้องสั่งให้รีบไปนอนครับ เดี๋ยวเช้า ๆ จะไม่มีแรงไปเรียน ฮ่า ๆ



     ผมวางจาคอปไว้บนเก้าอี้ที่บนโต๊ะถูกวางด้วยถุงแกงปริศนา ดูลักษณะทางกายภาพแล้ว สีส้ม ๆ แบบนี้คงจะเป็นต้มยำมันกุ้งร้านโปรดผมแน่ ๆ โอ๊ยกำลังอยากกินอยู่พอดีเลย นี่ล่ะครับมีน้องรู้ใจ ฮ่า ๆ



     " อยากกินไรดีอะ ? " ผมถามไอหน้าหล่อที่พึ่งล้มตัวนั่งลงบนเก้าอี้ นี่ผมพูดเหมือนบ้านตัวเองเป็นร้านอาหารที่มีเมนูมากมายงั้นแหละ เอาเข้าจริง ๆ ของที่เหลือในตู้เย็นมันไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น



     " อะไรก็ได้อะหิวแล้ว " อะไรก็ได้เหรอ !? มึงรู้มั้ยไอคำว่าอะไรก็ได้ของมึงเนี่ยมันยากต่อการตัดสินใจแค่ไหน ! แดกข้าวคลุกน้ำปลามั้ยล่ะง่ายดี ?



     ผมมองหน้าเฟิร์สอย่างเซ็ง ๆ พลางถอนหายใจลากยาว ก่อนจะเอี้ยวตัวไปเปิดตู้เย็นว่ามีวัตถุดิบอะไรเหลือบ้าง และก็คิดได้ทันทีเมื่อเห็นสิ่งของที่กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด



     ผมหยิบสิ่งของที่ต้องการมาวางไว้บนเขียงและไม่ลืมล้างมือก่อนลงมือทำ (ทำอาหารต้องล้างมือให้สะอาดก่อนนะครับ) ผมหั่นโน่นหั่นนี่ก็มีเสียงแซ็วแว่วมาจากข้างหลัง



     " ไม่น่าเชื่อนะ คนอย่างมิ้ลค์จะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย นึกว่าจะใช้ใครเป็นอย่างเดียวซะอีก ฮ่า ๆ " อ่าว ไอนี่ปากอยู่ไม่สุข เดี๋ยวได้แดกมีดจนได้อะ อย่าแซ็วคนถือมีดสิโว้ย



     " ก็กูชอบทำอาหาร อร่อยแน่รับรอง โรงแรมหรู ๆ กับบ้านกูก็พอ ๆ กันอะ " ขายของครับ ช่วงนี้ต้องขายของหน่อย ฮ่า ๆ



     " เร็ว ๆ เหอะอย่าโม้เลย หิวแล้ว " คร้าบบบบบคุณเฟิร์ส เอาแต่ใจจริง ๆ เฮ้อ...



     ผมหยิบกระทะเทฟล่อนมาตั้งไฟปานกลางพลางเทน้ำมันเล็กน้อยก่อนที่จะใส่กระเทียม ผัดไปเรื่อย ๆ จนหอมแล้วค่อยใส่ไข่ เนื้อไก่ ลูกเกด เมล็ดข้าวโพด แครอท หัวหอม ผัดให้สุกแล้วค่อยตักข้าวที่มินหุงไว้มาใส่เพิ่ม (เดาออกหรือยังครับว่าเมนูอะไร) ผมเอาตะหลิวบี้ข้าวให้แตกพลางสะบัดกระทะขึ้น ทำสลับไปมาจนทุกอย่างออกมาดูโอเคจึงตักแบ่งใส่จานเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน (ขโมยไก่มันมาสามชิ้น ฮ่า ๆ) ตกแต่งด้วยแฮมและไข่ดาว วางช้อนซ้อมเคียงจานแล้วจึงเสิร์ฟในเมนู ข้าวผัดอเมริกันแบบง่ายยง่ายยยยยยยยย



     " อะเสร็จแล้ว " ผมถือไปวางด้านหน้าของเฟิร์สพลางหาถ้วยกระเบื้องมาเทถุงแกงที่เดาไว้แต่ก็เป็นต้มยำจริง ๆ



     " กินได้ใช่มั้ยเนี่ย ? " เอาอีกละ เริ่มกวนตีนกูอีกแล้ว เดี๋ยวมึงจะโดนไม่ใช่น้อย แต่ก็เอาเหอะ กูขี้เกียจกัดกับมึงแล้ว



     " ได้ดิ หึหึ หิวก็ลุยเลย แล้วถ้าหิวเมื่อไหร่ก็แวะมาบ้านกูได้เลยนะ กูยินดีต้อนรับ " ไอพวกเพื่อนทั้งหลายผมยังไม่ทำขนาดนี้เลยนะ นี่ผมตอบแทนมันอลังการเกินไปหรือเปล่า ? ชิบหาย พูดไปแล้วด้วยดิ



     " พูดเองนะ " มันขำหึหึออกมา ก่อนจะหยิบช้อนและซ้อมตักอาหารแสนวิเศษตรงหน้าเข้าปาก



     ผมไม่รู้นะไอหน้าอิ่มเอิบของเฟิร์สตอนนี้ มันมาจากอาหารแสนอร่อย หรือจากการที่กระเพาะบอกพ่อมันว่า " พ่อจ๋าหิวแล้วจ่ะ " กันแน่...



     ในจานของเราสองคนเหลือเพียงเม็ดข้าวไม่กี่เม็ดกับคราบน้ำมันตามขอบจาน เศษซากข่าตะไคร้ใบมะกรูดในถ้วยใบใหญ่ (ขนาดบอกว่าไม่อร่อยนะครับ แม่งกินหมดก่อนผมอีก) ผมหันไปมองนาฬิกาที่ติดอยู่ภายในห้องนั่งเล่นแสดงเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว ผมเห็นมันดึกค่อนข้างมาก เลยคิดว่าชวนคนใกล้ ๆ นอนที่บ้านดีกว่า ถ้าปล่อยให้กลับบ้านไปตอนนี้คงเป็นห่วงแย่



     " ดึกแล้วนะ วันนี้นอนบ้านกูก่อนเปล่า ? "



     เฟิร์สขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ " เสื้อเรายังไม่ได้ซักเลยว่ะ "



     " เดี๋ยวกูจัดการให้ " ถ้ามึงคิดจะนอนที่นี่ เสื้อใส่ก็ไม่ใช่ปัญหา



     " ตารางสอนเราก็ยังไม่ได้จัด "



     " เอาหนังสือกูไปก่อนก็ได้ " ผมก็ยังคงคะยั้นคะยอให้มันนอนที่นี่ให้ได้ แล้วก็คงไม่มาบังเอิญเรียนเหมือนกันพรุ่งนี้อีกใช่มั้ย บางทีผมหยิบหนังสือไปก็ใช่ว่าจะเอาขึ้นมาเรียนซะหน่อย ฮ่า ๆ



     เฟิร์สนั่งท่าคิดอยู่อีกพักนึงก่อนจะหยิบโทรศัพท์โทรหาใครสักคน



     " ฮัลโหลครับแม่ วันนี้ผมนอนบ้านเพื่อนนะครับ " เสียงแหลม ๆ ในโทรศัพท์พูดอะไรสักอย่างยืดยาว ผมได้ยินเพียงแค่คำพูด " ครับ ๆ " ของเฟิร์สที่ตอบกลับไป



     มือเรียว ๆ กดตัดสายก่อนจะพูดขึ้น



     " งั้น...วันนี้เรารบกวนบ้านมิ้ลค์หน่อยละกันนะ " เยี่ยม ! ถ้าวันนี้มันกลับไปก็คงเสียสตางค์ค่าแท็กซี่อีกหลายบาท รถเมล์ก็ใช่ว่าจะมาวิ่งอะไรป่านนี้สักหน่อย จริงมั้ยครับท่านผู้อ่าน



####



     ผมเปิดลูกบิดประตูห้องเดินเข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็เควี้ยงกระเป๋าแบน ๆ สีดำไว้บนโต๊ะเขียนงานอย่างที่เคยวาง (เกือบโดนจอคอมแล้วมั้ยล่ะ นี่ถ้าโดนมีร้องไห้อะ ฮ่า ๆ) เฟิร์สที่พึ่งเข้ามาก็กวาดสายตาทั่วห้องก่อนจะนำกระเป๋าเป้ของมันวางไว้ที่เดียวกันกับผม พลางเดินกลับไปนั่งปลายเตียง



     " โห...ห้องมิ้ลค์ก็ใหญ่ดีเหมือนกันนะ " นั่นสิ บางทีผมก็คิดนะ ไอห้องใหญ่แบบนี้ไม่น่าอยู่คนเดียวหรอก น่าจะอยู่กันเป็นสิบ ฮ่า ๆ แต่ตอนนั้นมีรายงานกลุ่มเพื่อนมานอนร่วมยี่สิบก็พอนะครับ



     " ไม่ต้องเกรงใจนะ ตามสบายเลย " ผมสั่งเสียก่อนจะหยิบไอโฟนในกระเป๋ากางเกงเพื่อเอาขึ้นมาชาร์จแบตเตอรี่ แต่ดันเห็นข้อความแจ้งเตือนของแฟนสาวที่ผมไม่ได้รับถึงสองสายเสียก่อน



     " ชิบหายแล้ว " ผมบ่นกับตัวเองเบา ๆ แต่อีกคนในห้องก็หันมาถามอย่างสนใจ



     " มีไรเปล่ามิ้ลค์ ? " เฟิร์สเลิกคิ้วสูงก่อนจะถาม



     " เปล่า ๆ ไม่มีไรอะ" ผมบอกปัด ๆ ไป เวรแล้ว ! ต้องไลน์ไปบอกนัทตี้ก่อนที่เธอจะงอนไปมากกว่านี้ สงสัยจะโทรมาตอนที่ผมทำกับข้าวให้เฟิร์สอยู่แน่เลย



     ' โทษทีนะครับนัทตี้ พอดีเพื่อนมาบ้านน่ะ มิ้ลค์ทำกับข้าวให้เพื่อนกินอยู่เลยไม่ได้รับสาย ' ผมพิมพ์ตอบกลับไปในไลน์อย่างนั้นและไม่ลืมส่งสติกเกอร์เศร้า ๆ ไม่ต้องรอให้เสียเวลาก็ได้เห็นข้อความ read แสดงขึ้นมาทันที



     ' อ๋อ โอเคค่ะ งั้นนัทตี้ไปนอนก่อนนะ ฝันดีค่ะ ' แปลกแฮะ ทำไมวันนี้นอนไวจัง ? ทุกทีผมกับนัทตี้จะคุยไลน์กันจนดึกดื่น คงเป็นเพราะเรียนหนักจนเพลียหรือเปล่านะ แต่ไม่เป็นไรครับ ถือเป็นเรื่องดีที่จะบริการไอร่างขาว ๆ ที่ตอนนี้นอนสลบไปกับเตียงเรียบร้อยแล้ว



     " เฮ้ย ๆ ไปอาบน้ำก่อน " มึงจะนอนทั้ง ๆ ชุดนักเรียนเลยรึไงห้ะ !?



     " นอนเล่นเฉย ๆ " เฟิร์สตอบกลับมาเสียงอู้อี้ อ๋อเหรอ...นึกว่าจะนอนจริง ๆ



     ผมขำหึหึให้กับมันเล็กน้อย ๆ ก่อนจะจัดการถอดชุดนักเรียนออกเพราะรู้สึกเกะกะ พลางสะบัดมือเท้ายืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงทักจากอีกคนมาก่อน ผมคงได้โน้มตัวลงไปวิดพื้นแล้ว..



     " โห...นี่มิ้ลค์หน้าอกใหญ่ ๆ กว่าผู้หญิงอีกนะเนี่ย " แน่ล่ะครับ ก่อนนอนผมจะออกกำลังกายแทบทุกคืน กินอาหารครบห้าหมู่ ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ถึงได้มีสรีระร่างกายสมบูรณ์ขนาดนี้ มันเป็นความภูมิใจเล็ก ๆ ของผมครับ หึหึ (เอาเข้าจริง ๆ ต้องฟิตหน่อยครับ ผมทำงานกับกระทะทุกวันเสาร์ เดี๋ยวไม่มีแรงสะบัด ฮ่า ๆ แต่อย่ากินข้าวเสร็จแล้วมาออกกำลังกายตามผมนะครับ ไม่ดี ๆ)



     ผมยิ้มหึหึให้ก่อนจะโน้มตัวลงราบกับพื้นในท่าพร้อม ผมนับตัวเลขในใจพลางดันตัวเองลงแล้วยกขึ้นสลับไปมา แต่ก็รู้สึกปวดแปลบ ๆ ที่ข้อมือ คงเป็นเพราะผลกระทบจากการคัดลายมือเป็นเวลานานถึงได้รู้สึกแบบนี้ เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ผมจึงหยุดการกระทำเหล่านั้นทันที ฮืออออ เจ็บข้อมือชิบหาย



     " เออมิ้ลค์ เราขอรหัส WIFI หน่อยดิ " เออว่ะ ลืมไปเลยว่าต้องให้มันไว้เล่นหนิ เอ ไอรหัสบ้านเรามันอะไรวะ...อ๋อ !!



     " M I K E A N D M I N " รู้สึกเขินแปลก ๆ กับรหัสนี้จริงวุ้ย



     จะว่าไปผมจะต้องทำกิจธุระให้ไอคุณชายที่นอนอยู่บนเตียงอีกอย่างด้วยนี่หว่า ว่าแต่อะไรนะอะไร..



     อ๋ออออออออ



     " เฟิร์ส "



     " หื้มม ? "



     " ถอดเสื้อมากูจะไปซักให้ " ใช่แล้ว ผมต้องซักเสื้อให้เจ้าตัวใส่ไปพรุ่งนี้ด้วย เกือบลืมซะสนิทเลยว่ะ เจ้าตัวที่นอนกดอะไรไม่รู้ยิก ๆ อยู่ในไอโฟนก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยดวงนัยน์ตาเบิกกว้าง



     " ม่ะ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูใส่ทั้งอย่างงี้ไปเนี่ยแหละ " หยี๋ ไอซกมก ! ไม่นึกเลยว่าคนแบบมึงจะมีนิสัยแบบนี้



     " ถอดมาเดี๋ยวกูไปซักให้ !! " ผมพูดกลับไปเสียงแข็ง แต่มันก็คงยังดื้อดึงอยู่ เสื้อไออาร์ม ไอซัน ผมยังเคยเอาไปซัก ตาก รีด ให้ใส่ไปเรียนแล้วเลย



     " เสื้อกู งั้น...เดี๋ยวไปซักเอง " เอ๊ะไอนี่มันเป็นคนยังไงเนี่ย ต้องให้กูลงไม้ลงมือใช่มั้ยหื้อ !?



     " จะถอดเองหรือให้กูถอดให้ ? " ถึงตอนนี้ผมกอดอกจ้องมันเขม่น วันนี้มึงเป็นแขกนะ กูต้องรับผิดชอบมึงสิ และเป็นเฟิร์สครับที่ต้องยอมสยบ



     เฟิร์สลังเลอยู่ขณะนึงก่อนจะบรรจงแกะกระดุมทีละเม็ดจากบนลงล่าง เผยให้เห็นแผ่นอกหนา ๆ สีขาวนวล (ว่าแต่นมคนอื่นใหญ่ มึงก็ใหญ่เหมือนกันแหละ) แล้วจึงค่อย ๆ แกะเข็มขัดที่รัดแน่นอยู่ตรงเอวออก พลางก้มตัวลงถอดกางเกงนักเรียนให้ได้เห็นบ๊อกเซอร์ลายทหารที่ใส่ซ้อนอยู่ ผมรับเสื้อกับกางเกงน้ำเงินที่มีกลิ่นเหงื่อไคลอับ ๆ ไว้พลางบอกว่าจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ไม่ต้องเกรงใจ ส่วนหนังสืออยู่บนโต๊ะโน่นจะเอาอะไรก็หยิบ ถ้าอาบน้ำเสร็จก็เอาเสื้อผ้าในตู้ ผมสั่งมันเป็นฉาก ๆ ก่อนจะลงจากชั้นสองไปจัดการเสื้อของเราทั้งสองคน..



     ประตูห้องถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง สัมผัสแรกที่ได้รับคืออุณหภูมิที่เย็นกว่าปกติกับเพื่อนใหม่ในชุดเสื้อยืดลายโจ๊กเกอร์กับบ๊อกเซอร์สีเทาอ่อน ๆ นอนเล่นมือถือกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง ผมมองนาฬิกาที่ยืนอยู่บนหัวเตียงแสดงให้เห็นเวลาว่าจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว แต่ตัวเองยังไม่ได้อาบน้ำอาบท่าเสียที ผมจึงไม่รีรอ เข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายแบบที่เฟิร์สแต่งตัวประหนึ่งพร้อมจะนอนแล้วบ้าง



     ผมออกจากประตูห้องน้ำในร่างที่เปลือยท่อนบนโดยมีผ้าขนหนูปิดด้านล่างไว้ แถมรู้สึกหนาวกว่าตอนเข้าห้องมาใหม่ ๆ เสียอีก ทำไมวันนี้มันหนาวแปลก ๆ แอร์ก็เปิดยี่สิบห้านี่หว่า ขาผมเดินไว ๆ กับตัวที่สั่นสะท้านไปยังตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่พลางเปิดออก พบว่าเหลือเพียงบ๊อกเซอร์โง่ ๆ ตัวนึงถูกแขวนใกล้ๆ กับกางเกงนักเรียนสีน้ำเงินที่ขาสั้นกว่าปกติอีกสองตัว ผมหันกลับไปมองตะกร้าผ้าใบใหญ่ข้าง ๆ ตู้ที่มีเสื้อผ้าใส่แล้วบรรจุไว้มากมายแล้วก็รู้สึกอยากด่าตัวเองตงิด ๆ เมื่อวานกูลืมซักผ้าของตัวเองไปได้ไงวะเนี่ย !!! ดีนะที่ตากี้ยังฉลาดพอที่เอาเสื้อนักเรียนไปซัก ห่าเอ๊ย !! ไอมิ้ลค์นะไอมิ้ลค์ เดฉะบุญที่วันนี้ยังเหลือกางเกงลายจุดให้ใส่อยู่



     ผมด่าตัวเองในใจแต่ก็หยิบกางเกงยืดสั้นนี้มาใส่ สงสัยคืนนี้ผมต้องนอนถอดเสื้อว่ะ และก็คงไม่มีวันที่จะเอาเสื้อใส่แล้วมาใส่ซ้ำด้วย การถอดเสื้อนอนไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องคิดให้ปวดสมองมากมายครับ แต่วันนี้มีแขกรับเชิญมานอนที่บ้านก็อยากจะแต่งตัวให้มิดชิดเป็นมารยาทสักหน่อย



     แต่ก็คงไม่ทันซะแล้ว..



     ผมเดินดุ่ม ๆ กับอาการสั่นเป็นเจ้าเข้าไปหน้าสวิตช์หมายจะปิดไฟ ผมเห็นว่ามันดึกมากแล้ว ไม่รู้จะรบกวนเวลานอนปกติของเฟิร์สหรือเปล่า ฉะนั้นแล้วนอนกันเลยดีกว่าครับ



     " ปิดไฟเลยนะ "



     " อ่าว ไม่ใส่เสื้อล่ะมิ้ลค์ ? หนาวจะแย่ " คนที่นอนอยู่บนเตียงขมวดคิ้วหันมาถามอย่างแปลกใจ



     " เสื้อกูหมดแล้ว คืนนี้ถอดเสื้อนอนแล้วกัน " ทำไงได้ล่ะก็กูลืมซัก แถมไอตัวสุดท้ายมึงใส่อยู่นั่นไง



     " อืมมม งั้นกูถอดเป็นเพื่อนจะได้เจ๊ากัน " แล้วมึงจะถอดทำไมล่ะนั่น.. อย่ามาทำตัวเป็นพระเอกได้ปะหมั่นไส้ หึหึ แต่ก็เอาที่สบายใจแล้วกัน เฟิร์สตะเกียดตะกายดึงเสื้อยืดสีน้ำเงินออกเผยให้เห็นร่างเปลือยท่อนบนเหมือนกัน



     ผมปิดไฟลงก่อนจะเดินไปล้มตัวนั่งข้าง ๆ เฟิร์สและที่จะไม่ลืมสวดมนต์ก่อนนอน พลางกางผ้านวมหนา ๆ ให้ทั่วเตียงเพราะรู้สึกวันนี้จะหนาวกว่าทุกวัน แล้วไออากาศแบบนี้การขาดผ้าห่มถือว่าอาจตายได้เหมือนกัน ฮ่า ๆ



     ผมหลับตาลงในความมืดเพื่อให้ตัวเองได้พักผ่อนและพร้อมที่จะได้ทำกิจกรรมในวันถัดไป แต่คงนอนหลับสบายไปแล้วครับ ถ้าไอคนข้าง ๆ ไม่ถามคำถามที่ไม่ควรจะถามออกมา



     " คืนนี้มึงจะไม่ทำอะไรกูใช่มั้ยมิ้ลค์ ? " ไอสัด มึงจะพูดทำไมเนี่ย !? ถ้ากูจะทำ กูทำไปตั้งนานแล้วมั้ย ! แล้วอีกอย่างกูไม่ได้ชอบไม้ป่าเดียวกันนะโว้ยยย



     " นอนได้แล้วไอสัด " ผมสั่งมันด้วยเสียงงัวเงียแบบสุด ๆ แล้วบรรยากาศของเราก็เต็มไปด้วยความเงียบอีกครั้ง..



     หนึ่งวันสั้น ๆ ที่ทำให้ผมรู้จักผู้ชายคนนี้นั้น เฟิร์สเองก็ไม่ได้เป็นคนที่ชอบส่งสายตาหาเรื่องตามความคิดผมเลยสักหน่อย ที่มันทำไปก็เพราะคงจะมีเหตุผลที่ผมเองก็ไม่สามารถอย่างถึงได้ พอได้มาเป็นเพื่อนกันจริง ๆ ความคิดในแง่ลบทั้งหลายที่เคยมีก็กลับกลายเป็นความคิดในแง่บวกได้อย่างไม่ต้องสงสัย และก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง



     หากวันใดเราได้สนิทกัน...มากกว่านี้



     เฮ้อ...วันนี้เหนื่อยจังเลยน้า :D



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:03:10
Not to be unlocked : Episode 6 : วิ่ง !!



     วันนี้ก็เป็นอีกวันนึงครับที่ผมรู้สึกว่าการนอนหลับเพียงแค่ห้าชั่วโมงนั้น ไม่สามารถทำให้สมองหรือสติปัญญาแล่นกว่าทุกวัน เมื่อเช้าต้องยอมรับเลยครับว่าวุ่นวายจริง ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อลงมาทำข้าวต้มทรงเครื่องที่เหมือนไอเฟิร์สจะชอบกว่าข้าวผัดเมื่อคืนเป็นพิเศษ สลับกับวิ่งไปปั่นผ้า ตากผ้า รีดชุดนักเรียนให้ของตัวเองและของมัน โคตรวุ่นวายเลย !! มีสิบมือยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทันมั้ย เฮ้อ.. ยังดีนะครับที่โกโก้ร้อนหวาน ๆ ตอนเช้ายังมีผลทำให้อาการเบลอจากการนอนดีขึ้นมาหน่อย..

 

     อากาศตอนเช้าในโรงเรียนวันนี้ก็ถือว่าไม่อบอ้าวจนเกินไป ซึ่งเหมาะแก่การทำกิจกรรมต่าง ๆ แบบว่าเตะบอลอะไรเทือกนั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ผมไม่ค่อยมาเตะตอนเช้านักหรอก พอเหงื่อออกเสื้อแม่งก็เหม็น แล้วก็ไปเดือดร้อนเพื่อนในห้องอีก ไว้ไปเตะตอนเย็นแล้วก็กลับบ้านเลยดีกว่า แถมสังขารตอนนี้ก็ใช่ว่าจะไปวิ่งไล่เตะไอลูกกลม ๆ ได้ซะที่ไหน ง่วงจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย..

 

     " งั้นเราแยกตรงนี้เลยนะมิ้ลค์ " เฟิร์สที่เดินทางมาโรงเรียนด้วยกัน พูดพลางโบกมือลาแล้วจึงเดินแยกออกไปตรงบริเวณใต้ตึกสิบสอง

 

     " เออ ไว้เจอกัน " ผมรับด้วยการโบกมือลากลับ เฟิร์สคงจะแยกตรงนี้ไปหากลุ่มเพื่อนนั่นแหละครับ บางทีอาจจะไปทำการบ้านด้วย เมื่อคืนก็ไม่ได้เช็กมันด้วยสิว่ามีการบ้านมั้ย

 

     " งั้นมินไปบ้างนะ " ตามสเต็ปของน้องคนนี้เขาอะครับ ฮ่า ๆ แต่วันนี้แปลกจริง ๆ ที่ยอมเข้าประตูหนึ่งมาด้วยกัน

 

     " ดูแลตัวเองด้วยล่ะ " แล้วไอตัวแสบก็วิ่งแจ้นไปอย่างไว กระปรี้กระเปร่าจริง ๆ นะ ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนล่ะเนี่ยน้องชายคนนี้ แต่จะว่าไปที่หน้าประตูไม่ชักจะเห็นคุณประธานมายืมก้ม ๆ เงย ๆ รับไหว้นักเรียนอย่างเมื่อวานเลยนี่หว่า แล้วมันไปไหนกัน ?



     ในขณะขาทั้งสองข้างก้าวเดินพลางคิดถึงเรื่องนี้อยู่นั้น เสียงของคนข้าง ๆ ก็ดังขึ้นอย่างสงสัย

 

     " แล้วทำไมเฟิร์สถึงมานอนบ้านมิ้ลค์ได้ล่ะ ? " ปอนด์ผู้เหลือรอดชีวิตเป็นคนสุดท้าย ถามขึ้นในตอนที่ขาของเราทั้งสองกำลังเดินไปยังโรงอาหาร

 

     " เมื่อวานมันมาช่วยกูคัดงานอะ กูก็เลยชวนมันไปเลี้ยงข้าวที่บ้าน แล้ว...เห็นมันดึกก็เลยชวนนอนที่บ้านซะเลย " ผมตอบกลับไปเรียบ ๆ

 

     " อ้าว ! แล้วทำไมไม่บอกเราล่ะจะได้ไปช่วย " ไม่ทันละครับคุณ กูช่วยทำกับเฟิร์สจนเสร็จไปแล้ว

 

     " ไม่ทันแล้ว ไว้งวดหน้าละกัน หึหึ " ไม่มีงวดหน้าแล้วครับ ผมจะไม่มีวันปวดมือซ้ำสองอีกรอบแน่ ๆ

 

     " ได้เลย ! " ปอนด์ว่าพลางหันมาคลี่ยิ้มให้ แหม ต้องเอาความคิดลบ ๆ ว่ามีแต่เพื่อนเป็นปลิงออกจากหัวบ้างแล้วแหละ ฮ่า ๆ

 

####

 

     ในที่สุดการเข้าแถวตอนเช้าของผมก็สิ้นสุดลงเสียที ! ท่านผู้อ่านรู้มั้ยว่าผมยืนสัปหงกมาหลายรอบแค่ไหน ง่วงก็ง่วง ! เหนื่อยก็เหนื่อย ! แล้วต้องมายืนฟังบนเวทีประกาศอะไรอีกก็ไม่รู้ เฮ้อ..

 

     ผมเดินเข้าที่ประจำตัวของตนในห้องเรียนอย่างเบลอไม่หาย เพราะรู้สึกวันนี้แม่งเหนื่อยจริง ๆ แต่คิดว่าสภาวะที่ไอพวกเพื่อน ๆ ทั้งหลาย แหกปากโวยวายเหมือนอยู่ในตลาดสดก่อนคลาสเริ่มแบบนี้ ลูกตาดวงกลม ๆ ของผมคงจะข่มลงนอนได้แหละ กูขอความสงบสักสิบนาทีก่อนเรียนให้หน่อยเหอะ กูไหว้ล่ะ !!

 

     แต่ถึงอย่างนั้นแล้วผมก็ไม่ได้ลงไปฟุบหลับอย่างโดยดี เพราะเสียงคนที่พึ่งเข้ามานั่งข้าง ๆ เอากระดาษสีขาวขนาด A4 ทุบลงโต๊ะซะเสียงดังลั่น

 

     " ไม่รู้แหละไอมิ้ลค์ งานนี้มึงต้องช่วยกู ! " อะไรใครช่วยใครนะกูฟังไม่ถนัด มึงอย่ามาเหมาเองมั่วซั่วได้มั้ยวะ ? แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ยโวยวายมาขอให้กูช่วยเหลือซะได้ ปกติมันก็ทำเองได้นะครับ

 

     " มีห่าอะไรอีกอะ ? " ผมขมวดคิ้วหันไปถามอย่างเคือง ๆ จะนอนก็ไม่ได้นอน หึ้ยยยย

 

     " อะ...เอาไปอ่าน " ผมรับกระดาษสีขาวมาจากมือมัน พลางหรี่ตาอ่านข้อความที่กำกับไว้ตัวเท่าฝาชาเขียวเห็นจะได้

 

     " งานกีฬาสีสานสัมพันธ์สามัคคีปีที่ X " งานกีฬาสีนี้ถูกจัดขึ้นภายในโรงเรียนผมครับ เป็นงานที่สร้างความวุ่นวายให้กับเด็กม.5 อย่างเรา ๆ ทุกปี เพราะหัวหน้างานหลักทั้งหมดจะเป็นของพวกเรา นี่ถึงเวลาต้องแบกรับกรรมแล้วเหรอเนี่ย.. แต่ก็ต้องหันไปมองคนที่พึ่งส่งกระดาษให้พลางเกาหัวแก๊ก ๆ ว่าไอกระดาษแผ่นนี้เกี่ยวข้องกับผมยังไง " แล้วมันทำไมวะ ? "

 

     " ก็เนี่ย...มันยังมีเวลาอีกหลายเดือน กูคิดว่ากูงานยุ่งแน่ ๆ กูเลยอยากหาคนมาช่วยจัดการชีวิตกูหน่อยอะ แบบว่าเลขาส่วนตัวอะไรงี้ " เลขาส่วนตัวห่าอะไร ? มึงคิดว่ากูว่างขนาดนั้นเลยรึไงห้ะ !? แก๊งประธานนักเรียนของมึงก็เยอะแยะไปขอความช่วยเหลือจากพวกนั้นสิ !

 

     " ไม่อะ ขอบาย " ผมโยนแผ่นกระดาษบาง ๆ คืนพลางก้มลงไปนอนฟุบเรียบกับโต๊ะไม้ เฮ้อ.. ได้นอนสักที

 

     แต่แม่งก็ยังไม่ละความพยายาม..

 

     " น้าาาา ไอมิ้ลค์ มึงเป็นคนเดียวที่รู้ใจกูที่สุดแล้วนะเว้ย " อาร์มพูดอ้อน ๆ พลางเกาะแขนเขย่าไปมา.. พูดอย่างกับกูเป็นเมียมึงงั้นแหละไอสันขวาน มึงคิดว่าทำงี้กูจะยอมใจอ่อนงั้นเรอะ ?

 

     " ดูก่อนละกัน " ผมบอกปัด ๆ ในท่าที่พร้อมจะนอนเต็มที มันที่ฟังคำนั้นก็ดีใจยกใหญ่ แต่คำว่าดูก่อนของกูเนี่ย เปอร์เซ็นต์ที่จะเบี้ยวมึงก็ค่อนข้างสูงเลยนะ หึหึ ๆ

 

     ในขณะที่ลูกตาของผมปิดลงในความวุ่นวายนั้นเรียบร้อยแล้ว เสียงของประธานนักเรียนก็ดังขึ้นมาข้าง ๆ ผมอีกครั้ง

 

     " ไอมิ้ลค์ ! มึงไปเอาเสื้อใครมาใส่ !? "

 

     " ก็เสื้อกูไง " มึงอย่าถามซอกแซกได้ปะวะ คนจะหลับจะนอน !!

 

     " เสื้อมึงรหัสหนึ่งสี่ศูนย์เจ็ดแปด แต่นี่หนึ่งสามหกแปดหก รหัสกูต่อกับมึงกูจำได้ มึงไปเอาเสื้อใครมาใส่ ? " โอ้โห...จำได้ขนาดนั้นเลย ? มันพูดขนาดนี้ผมถึงกับต้องลุกจากโต๊ะ มาเบิกตาดูตัวอักษรสีน้ำเงินที่ถูกปักบริเวณอกด้านขวาทันที

 

     อ่าว ผมใส่เสื้อสลับกับไอเฟิร์สแน่เลย..

 

     " อ๋อ...กูใส่เสื้อสลับกับไอเฟิร์สมั้ง เมื่อวานมันมานอนบ้านกู " อะไรวะ ? ผมว่าตอนรีดเสื้อก็โยนให้มันใส่ถูกตัวแล้วนี่หว่า สงสัยจะเบลอจนเอ๋อไปกันใหญ่แล้ว

 

     " เอ้า !? แล้วมันไปนอนบ้านมึงได้ไง ? ไปสนิทกันมาตอนไหน ? " อาร์มว่าพลางจ้องหน้าผมเขม่นเหมือนต้องการเค้นความจริง มองงี้แดกหัวกูเลยมั้ยล่ะไออาร์ม ?

 

     " เมื่อวานที่กูตะโกนชื่อมันจนโดนทำโทษอะ กูบังเอิญเจอมันในห้องน้ำก็เลยคุยกันด้วยนิดหน่อย แล้วมันก็มาช่วยกูจัดการจนดึกดื่น กูเลยชวนมันไปกินข้าวที่บ้าน เห็นว่ามันดึกแล้วก็จัดการให้นอนค้างซะเลย " ผมอธิบายเป็นฉาก ๆ หมดคำถามได้ยังอะกูจะได้นอนสักที ?

 

     " อ๋อเหรอ " พยักหน้าแบบนั้นคงเข้าใจแล้วใช่มั้ย ? งั้นผมนอนต่อละ

 

     " แล้วมึงได้แอบดูของมันปะวะ ? "

 

     ' ผัวะ !!!! ' ขอสักทีเหอะไอคำถามไม่สร้างสรรค์เนี่ย ประธานนักเรียนก็ประธานนักเรียนเหอะ ตบได้เหมือนกัน เฮ้อ..

 

     เสียเวลานอนกูจริง ๆ

 

####

 

     " นักเรียน...เคารพ "

 

     " ขอบคุณครับ " ผมกล่าวนำก่อนเสียงนักเรียนม. 5/11 จะพูดแสดงทำความเคารพต่อผู้มีศักดิ์เป็นถึงอาจารย์ ที่พึ่งสอนรายวิชาคณิตศาสตร์ในคาบก่อนพักกลางวันเสร็จ

 

     เฮ้อ.. เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยครับ พอหมดคาบนี้ทีไรจะต้องมีควิซตามมาทุกที แล้วอาจารย์โรงเรียนนี้เป็นอะไรกันชอบจ้องแต่จะให้ส่งงานวันที่สั่งตลอดเลย อาจารย์รู้มั้ยครับว่าสมองผมจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ฮืออ

 

     " กูให้เวลาอีกห้านาทีนะ กูจะไปส่งแล้ว " คืออาจารย์แกให้แบบฝึกหัดหลังควิซมาทำน่ะครับ พอเสร็จแล้วก็ให้หัวหน้า (ผม) เป็นธุระรวบรวมไปส่ง ผมล่ะขี้เกียจเดินไปจริง ๆ เลยครับเพราะว่าห้องพักครูแต่ละรายวิชานั้นไปรวมกระจุกอยู่ตึกสิบสองกันหมด คิดว่าผมอยากจะเดินไปมั้ยล่ะ ไกลก็ไกล

 

     ผมยืนกอดอกพลางลอบมองเพื่อน ๆ ในห้องที่ยังนั่งตีโจทย์กันหน้าสลอนอยู่ บางคนก็มาขอสมุดของคนที่ส่งแล้วไปลอก (คนข้าง ๆ เนี่ยแหละครับ เลวจริง ๆ) บางคนเสร็จแล้วก็หอบกระเป๋าเตรียมตัวไปกินข้าวกลางวันกัน ที่นับได้ตอนนี้ก็มีไออาร์มลอกอยู่ข้าง ๆ ซันกับเบ็นซ์สุ่มหัวลอกสมุดของกวาง ไอกั๊มพ์นั่งเกาหัวแกก ๆ อยู่หน้าไอแฟ้ม แล้วก็กลุ่มนักเรียนหน้าห้องสองสามคนเห็นจะได้

 

 

     " มีไรให้เราช่วยเปล่ามิ้ลค์ ? " เอ้า ! ลืมนับเจ้านี่ไปอีกคน ปอนด์เดินเข้ามาถามจากด้านข้างจนผมต้องหันไปคลี่ยิ้มให้กับใบหน้านั่น

 

     " ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปส่งเอง มึงไปกินข้าวเถอะปอนด์ " ผมตอบกลับไปด้วยเสียงสบาย ๆ ปอนด์พยักหน้าเป็นอันเข้าใจก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง หน้าที่ของกูก็ต้องทำด้วยตัวเองสิ แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะปอนด์ที่หวังดีมาช่วย หึหึ

 

     เวลาผ่านไปมากกว่าที่ผมกำหนด นานพอที่สามารถหลับอีกยกเห็นจะได้ (จะนอนอะไรหนักหนา) ผมมองไอกั๊มพ์ที่เดินงก ๆ เงิ้น ๆ มาส่งเป็นคนสุดท้ายด้วยสีหน้าเปื้อนความเซ็งแบบสุดขีด มันฉีกยิ้มเห็นฟันให้ผมทีนึงก่อนจะวางสมุดม่วง ๆ ลงบนกองชั้นบนสุดแล้วก็วิ่งพรวดออกไป

 

     ปากก็อยากด่าอะนะครับ แต่ก็ชั่งแม่งเหอะ..

 

     ผมส่ายหัวให้กับความหน่ายนี้ก่อนจะสอดนิ้วไปใต้สุดของกองสมุด พลางยกขึ้นเพื่อจะไปจุดหมายคือห้องพักครูคณิตศาสตร์

 

     เสียงรองเท้าหนังของผมดังเตาะแตะอยู่ภายในตัวอาคารสิบสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้ามองจากตรงนี้ไปยังโรงอาหารจะเห็นเด็กนักเรียนเข้าแถวซื้อข้าวกันอย่างเป็นระเบียบ รวมไปถึงนั่งรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วย พอผมได้เห็นภาพเหล่านั้นกระเพาะก็ร้องออกมาระงม ผมมองสมุดในอ้อมอกสลับกับป้ายแขวนที่แสดงหมวดคณิตศาสตร์อยู่หน้าห้องไม่ไกลจากตัวเองนัก ก็รีบสาวเท้าให้ไวกว่าปกติ

 

     ผมเปิดประตูโดยใช้หลังดันเข้าไป (เพราะมือไม่ว่าง) พลางกล่าวขออนุญาตอาจารย์ที่นั่งกันอยู่ในห้อง บางท่านก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับอาจารย์อีกท่านอย่างสนิทสนม บางท่านก็นั่งรับประทานอาหารกันอย่างออกรส (ไหนว่าห้ามเอาของกินขึ้นอาคารไงจารย์)

 

     ผมตรงดิ่งไปบริเวณหลังห้องทันที เพราะโต๊ะของอาจารย์เพ็ญนภาที่พึ่งมอบหมายงานเมื่อคาบก่อนได้ปักหลักอยู่ที่นี่ ผมอุ้มกองสมุดวางลงไว้บนโต๊ะพลางจัดให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะกราบลาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงเดินก้มหัวให้อาจารย์คนอื่นเพื่อแสดงความมีสัมมาคารวะออกประตูไป (เป็นเด็กดีก็งี้แหละครับ หึ ๆ)

 

     และแล้วผมก็ได้กินข้าวซะทีโว้ยยยยยยยยยยยย !!!

 

     ขาผมสับลงบันไดอย่างรวดเร็วพลางหยิบไอโฟน 5s ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็กเวลา อีกสามสิบนาทีครับก่อนคลาสคาบบ่ายจะเริ่ม ฮ่า ๆ ยังเหลืออีกถมเถไป

 

     ในตอนที่สายตาผมโฟกัสแต่ร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำตกป้าน้อยอยู่ไกล ๆ นั้นเอง ลูกตาก็เหลือบเห็นเพื่อนที่พึ่งไปนอนค้างบ้านผมเมื่อคืนนี้ซะก่อน จึงไม่ลืมโบกมือเพื่อทักทาย

 

     " เฟิร์ส !! " เพื่อนห้องสี่ที่ยืนอ่านประกาศของทางโรงเรียนใต้ตึกสิบสองอยู่ ก็สะดุ้งตัวโหยงและหันกลับมายิ้มทักทายให้ได้เห็นแบร็คเก็ตตามซี่ฟัน

 

     " อ้าว ว่าไงมิ้ลค์ ! " เออ ชวนมันไปกินข้าวดีกว่า พวกไออาร์มก็คงกินกันเสร็จแล้วมั้ง แถมแม่งต้องไปวุ่นธุระที่สภานักเรียนอีก

 

     ผมที่เดินลงมาจากข้างบนก็ตรงปรี่เข้ามาหาเฟิร์สทันทีทันใด แต่ก็ต้องเกิดคำถามในหัวว่าทำไมตาคม ๆ ถึงเบิกกว้างขนาดนั้น อ้าปากค้าง แถมชี้นิ้วไปด้านหลังผมอีก อะไรวะ !? ด้วยความสงสัยครับเลยเอี้ยวตัวหันไปดู

 

     แล้วจึงได้คำตอบครับว่าอะไร..

 

     " ไอมิ้ลค์ ! วิ่ง !!!! "

 

####

 

     แฮก ๆ แฮก ๆ ตอนนี้เราสองคนมาหลบในตัวห้องน้ำแถว ๆ โรงอาหารครับ (ห้องเดียวกับที่เจอเฟิร์สตอนนั้น) ถามว่าตากี้เกิดอะไรขึ้นน่ะเหรอครับ..

 

     ก็ตอนที่ผมจะเดินเข้าไปชวนไอหน้าหล่อไปกินข้าวกลางวันอยู่นั้นเอง เจ้าเฟิร์สอยู่ดี ๆ ก็ชี้ไปทางข้างหลังผม ด้วยความสงสัยว่ามันชี้ไปทำไมก็เลยหันไปดู ปรากฏว่าเป็นอาจารย์พรทิพย์ครับ ! อาจารย์แกเดินมุ่งตรงมาทางพวกเราอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะไม่รู้ว่าตอนนั้นตัวเองจะก่อวีรกรรมอะไรไว้ แต่ผมก็รู้ดีแน่ว่าถ้าขืนยืนอยู่ต่อคงได้รับโทษอีกกระทงใหญ่แหง ! เฟิร์สที่พอมีสติหลงเหลืออยู่บ้างก็ตะโกนสั่งผมซะดังลั่น ให้วิ่งหางจุกตูดมาด้วยกัน ด้วยความที่ไม่รู้จะหนีไปไหน เฟิร์สเลยตัดสินใจดึงแขนผมซะแรง ลากเข้ามาแอบในห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดแทน

 

     ถ้าโดนจับได้นี่จบเห่เลยนะมึง..

 

     " จะดีเหรอวะเข้ามาหลบในนี้ ? " ผมกระซิบถามทั้งที่หายใจหอบปนอาการตื่นเต้นจากบิ๊กบอสเมื่อครู่

 

     " เงียบ ๆ ไว้ก่อน " เฟิร์สว่าพลางยืนเท้าสะเอวคอตก สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

 

     ตอนนี้แผ่นหลังของผมได้แนบอิงกับบานประตูที่ล็อกอยู่ เพราะว่าห้องน้ำห้องนี้ใหญ่พอดีสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น แต่นี่เรายัดมาด้วยกันถึงสองคน ด้วยความร้อนปนอึดอัดผมเลยยกมือขึ้นมาโบกไปมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันเย็นขึ้นเล้ย แถมเมื่อยอีกต่างหาก

 

     " กฤเดช !! อยู่นี่หรือเปล่า !!!!? " โอ้โห !!!! ตามมาถึงนี่เลยเหรอ !? ผมที่โบกมืออยู่ก็สะดุ้งยกใหญ่จนไอคนข้างหน้าต้องรีบเอามือมาปิดปากซะแน่น พลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากของมันเป็นเชิงว่าให้เราทั้งสองเงียบ..

 

     ใบหน้าของเฟิร์สใกล้กับผมจนรู้สึกถึงไออุ่นจากจมูกโด่งนั่น นัยน์ตาคู่คมสบกับผมเป็นเวลานานจนอกด้านซ้ายเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ มิหนำซ้ำอาการแบบนี้ผมคุ้นเคยราวกับว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อน..

 

     " .......... "

 

     เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพัก เฟิร์สก็ถอนมือออกจากปากผมพลางถอนหายใจยืดยาว " ไปแล้วมั้ง "

 

     ปล่อยให้มันสบายใจอยู่คนเดียวไม่ได้ครับ ผมจึงไล่ถอนหายใจตาม ๆ กันมา " เฮ้อ...ดีแล้ว "

 

     ถึงจะโล่งใจแล้วว่าไม่มีใครมาตามล่าอีก แต่ท้องผมน่ะโล่งมาก ๆ แถมดังจนไอคนใกล้ ๆ ถึงกับหลุดขำออกมา

 

     " ฮ่า ๆ ยังไม่ได้กินข้าวอีกหรือไง ? จะขึ้นเรียนอยู่แล้วนะ " เฟิร์สถามผมยิ้ม ๆ

 

     " ยังไม่ได้กินอะ แล้วมึงกินยัง ? "

 

     " กินแล้ว แต่ไม่อิ่ม " หื้อ ? ตัวผอม ๆ แบบมึงนี้กินจุจริงวุ้ย

 

     " งั้นไปกินกับกูปะ ? " กูหิวจนจะแดกช้างได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย

 

     " ไปดิ " เฟิร์สพยักหน้าเป็นอันตกลง ก่อนที่ผมจะหันกลับไปเปิดประตูเพื่อออก แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดอาร์มที่ว่าเรื่องเสื้อนักเรียนของเราทั้งสองได้สลับกันก็เด้งแจ้งเตือนขึ้นมาในหัว

 

     " เดี๋ยวเฟิร์ส " ผมเรียกจนเจ้าของชื่อนั้นเลิกคิ้วขึ้นสูง

 

     " หื้อ ? "

 

     " มึงใส่เสื้อสลับกับกูอะ " เฟิร์สที่ได้ยินคำนั้นก็รีบดึงเสื้อตรงอกด้านขวาขึ้นมาดูทันที " เออว่ะจริงด้วย "

 

     เฟิร์สขำแห้ง ๆ ออกมาก่อนที่เราทั้งสองจะปลดกระดุมออกเพื่อแลกเสี้อของกันและกัน คงด้วยความที่ไซส์เสื้อมีขนาดเท่ากัน เลยทำให้ผมกับเฟิร์สไม่ได้เอ็ดใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่

 

     ผมยื่นเสื้อของอีกฝ่ายคืนพลางรับเสื้อที่เคล้ากลิ่นตัวหวาน ๆ กลับ ก่อนจะจัดการสวมใส่และติดกระดุมให้เรียบร้อยเหมือนอย่างเก่า

 

     " ไม่รังเกียจเสื้อกูใช่มั้ย ? " ผมถามในตอนที่ยัดเสื้อเข้าในกางเกงพอดิบพอดี

 

     " ไม่อะ มิ้ลค์นั่นแหละรังเกียจเสื้อเราหรือเปล่า ? " ทางนี้ก็คงจะตอบเหมือนกัน

 

     " ไม่อะ " ผมตอบเจือยิ้มเล็ก ๆ ไปให้ พลางเอื้อมมือปลดกรประตูและเดินนำออกไป แต่ก็ต้องเอามือมาบีบเสื้อที่หน้าอกทันทีเมื่อออกมาได้ไม่กี่ก้าว

 

     ผมไม่รู้เหมือนกันนะ...ว่าอาการที่ใจเต้นแรงแบบนั้น มันเกิดขึ้นมาจากคนตรงหน้า หรือคนที่ตะโกนขานชื่อผมซะเสียงดังลั่นกันแน่..

 

####

 

     " เอาเส้นเล็กครับป้า " เสียงของผมที่พึ่งมาจากการแสดงหนังอินเดียหนีตายตากี้ พูดสั่งก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าร้านป้าน้อยภายในโรงอาหาร เฮ้อ.. กว่าจะได้กินข้าว

 

     " ชามสุดท้ายพอดีเลยน้องมิ้ลค์ " ส่วนใหญ่ข้าวกลางวันของผมจะมาสั่งก๋วยเตี๋ยวร้านป้าน้อยอยู่ตลอด ๆ จนป้าแกจำชื่อผมได้แล้ว ฮ่า ๆ

 

     มือของผมยื่นไปรับชามก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ ที่มีเครื่องอยู่เยอะจากป้าแกมา (ชามของผมป้าชอบแถม หึหึ) พลางมองหาที่นั่งที่มันมีอยู่หนาตา ก็เล่นมากินตอนก่อนขึ้นเรียน นักเรียนเขาก็หายไปกันหมดแล้วสิ ผมเดินดุ่ม ๆ โดยมือยังถือชามร้อน ๆ ตรงแน่วไปยังโต๊ะฝั่งริมสุด เมื่อมาถึงโต๊ะผมก็จัดการเอาตะเกียบคีบเส้นนุ่ม ๆ ขึ้นพลางเอาปากรับไว้ ร้านนี้บอกเลยครับ ไม่ต้องปรุงให้เสียรสชาติ เพราะป้าแกมีสูตรดีจนผมถึงขนาดไปแอบขอมาลองทำที่บ้านเลย แต่ทำกี่ทีกี่ทีก็ไม่อร่อยเหมือนป้าแกสักรอบ ไม่รู้ว่าป้าเขาใส่ยาบ้าให้กินหรือเปล่า ฮ่า ๆ

 

     ผมเหล่มองร่างโปร่งที่เข้ามานั่งอีกฝั่งนึงของโต๊ะโดยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมา แล้วทำไมคุณมึงไม่ไปหาซื้อข้าวมาแดกล่ะครับ ในเมื่อก็บ่นหิวตากี้ ?

 

     " แล้วบอกหิวทำไมไม่ซื้อไรมากิน ? " ผมถามพลางเป่าน้ำซุปที่มีไอร้อน ๆ อยู่ก่อนจะซดเข้าปาก

 

     " หมดทุกร้าน " เฟิร์สปั้นหน้าเซ็งในท่ามือเท้าคาง งั้นไอที่ผมกินอยู่ก็ชามสุดท้ายของวันนี้แล้วอะดิ

 

     " เหรอ " ผมตอบกลับไปเสียงด้วยอึ้ง ๆ แต่ผมคงไม่ให้มันมานั่งดูผมกินอยู่เฉย ๆ หรอก

 

     " มา...กินด้วยกัน " ผมว่าพลางเลื่อนชามไปด้านหน้าเพื่อให้เราทั้งสองกินได้สะดวก เฟิร์สที่ดูเพื่อนห้องเจ็ดเตะบอลอยู่ในสนามก็หันมาเลิกคิ้วใส่ผมสูง

 

     " บ้าเปล่า...มิ้ลค์ยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ เรากินไปแล้วไม่เป็นไร " มันว่าพลางเอามือขึ้นมาโบกหมายจะปฏิเสธ แต่มึงคิดเหรอว่ากูจะยอมง่าย ๆ หึหึ

 

     ผมจัดการคีบเส้นลงบนช้อนพลางกดลงไปก้นชามเพื่อให้มีน้ำซุปชุ่ม ๆ อยู่ในช้อน ก่อนจะยื่นตรงไปที่ปากมัน " อ้าปาก "

 

     " ไม่เอาเดี๋ยวมิ้ลค์ไม่อิ่ม " มันพูดในตอนที่เบือนหน้าขาว ๆ ไปทางอื่น มึงนี่ดื้อจริง ๆ นะ

 

     " อ้าปาก !!! " คราวนี้ถ้ามึงไม่อ้ากูจะไปง้างปากมึงเอง !

 

     ไอเด็กดื้อมองหน้าผมด้วยความลังเลก่อนจะเอาปากอมชมพูนั้นมารับความหวังดีจากผมไป

 

     " ก็แค่นั้นแหละ "



####

 

     เป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่ดีและก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ดีครับ (งงล่ะสิ ผมก็งงเหมือนกัน) ไอที่ว่าดีเนี่ย เพราะว่านัทตี้แฟนสาวของผมได้ไลน์มาชวนไปเที่ยวตอนเย็นที่สยามด้วยแหละ ~~ จากที่แรงไม่ค่อยมีก็กลับมาปึ๋งปั๋งอีกครั้ง

 

     แต่จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้แนะนำนัทตี้อย่างเป็นทางการเลยนี่เนอะ

 

     นัทตี้เป็นแฟนผมเอง (อ่าว รู้แล้วเหรอ) เธอเรียนอยู่คอนแวนต์แถว ๆ สยามนี่แหละ เป็นเด็กสาวมัธยมปลายรุ่นราวคราวเดียวกับผม รูปร่างสะสวย หุ่นนางแบบ สูงพอ ๆ กับผมเลย ได้ยินมาจากปากเพื่อนในห้องน่ะครับว่ามีแต่คนอิจฉาคู่ผม เพราะเข้ากันอย่างกับกิ่งทองใบหยก ก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะไอบ้า อร๊ายย ~ เขินอะไรของผมเนี่ย..

 

     แต่ก็มีอีกคนครับที่ติดเป้งมากับผมถึงสยามด้วยนั่นก็คือไอเฟิร์ส ในตอนที่ผมกำลังออกจากโรงเรียนได้ไม่กี่ก้าว ลูกตาก็ดันไปเห็นเฟิร์สเดินอยู่คนเดียวเลยเข้าไปทักทาย (วันนี้เจอกันบ่อยจริง ๆ) ผมถามมันกำลังจะไปไหน มันก็ตอบมึน ๆ กลับมาว่าไปซื้อของให้แม่ที่สยาม ในเมื่อผมไปหาแฟนที่นั่นเหมือนกัน แถมไปทางเดียวกันอีก ผมเลยชวนทางนั้นไปด้วยกันซะเลย

 

     เราสองคนเดินจากหน้าโรงเรียนไปขึ้น BTS สถานีอโศกแล้วไปลงสถานีสยาม พลางข้ามสะพานมาฝั่งพารากอนตามที่นัทตี้ได้นัดผมเอาไว้ ส่วนไอคนข้าง ๆ ผมไม่รู้นะว่าจะไปสยามไหน เห็นบอกแค่สยามเฉย ๆ

 

     ถึงท้องฟ้าจะไม่เปลี่ยนเป็นสีม่วงมาก แต่ตอนเย็น ๆ แบบนี้ก็ได้เห็นผู้คนพลุกพล่านอยู่หนาตา มีทั้งนักเรียนชายหญิงเดินปะปนไปกับผู้ใหญ่ในชุดทำงาน จะมาเที่ยวตอนเย็นแล้วเจอคนเยอะแบบนี้ก็คงไม่แปลก เราทั้งสองเดินลัดเลาะผ่านน้ำพุมาได้สักระยะหนึ่ง ผมก็เห็นร่างสูงในชุดนักเรียนของแฟนสาวนั่งกดโทรศัพท์อยู่ไม่ใกล้ ทันใดนั้นผมก็วิ่งพรวดไปหาทันที

 

     " หวัดดีนัทตี้ " ผมทักทายพลางฉีกยิ้มเห็นฟันครบสามสิบสองซี่

 

     " อ้าว ! หวัดดีค่ะมิ้ลค์ แหม ไม่เจอกันตั้งสามวันคิดถึงนัทตี้มั้ย ? " แน่นอนสินัทตี้ !! เจอแต่ในโทรศัพท์ตอนวิดิโอคอลมันไม่สาแก่ใจหรอก ฮ่า ๆ

 

     " คิดถึงสิ " ผมทำเสียงแบ๊ว ๆ ตอบกลับ ฮ่า ๆ เออ เดี๋ยวแนะนำเพื่อนใหม่ให้แฟนรู้จักสักหน่อยดีกว่า

 

     " เฟิร์สนี่นัทตี้นะ...นัทตี้นี่เฟิร์ส เพื่อนมิ้ลค์เอง " ผมบอกพลางชี้ไปที่ใบหน้าของแต่ละคน

 

     สาวของผมกับเพื่อนร่วมทางจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่ต่างฝ่ายไม่ได้พูดคุยทำความรู้จักกันแต่อย่างใด และเป็นเสียงทุ้มของไอหน้าหล่อที่พูดขึ้นมาให้ผมได้ยิน

 

     " มิ้ลค์ กูไปก่อนนะ "

 

- Not to be unlocked –
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:04:08
Not to be unlocked : Episode 7 : ของกูแล้วมึงกินไม่ได้เหรอ ?



     วันหยุดอย่างวันเสาร์แบบนี้ทั้งที ท่านผู้อ่านหรือหลายคนคงจะยังนอนกันอยู่บนเตียงกันใช่มั้ยล่ะ หรือบางคนอาจจะออกไปเที่ยวกับหมู่เพื่อนเพื่อสังสรรค์เฮฮาตามแบบฉบับคนหนุ่มสาว แต่ไอวันว่าง ๆ แบบนี้ผมไม่ได้ทำแบบนั้นเลยน่ะสิ



     ในวันหยุดที่แม่งในอาทิตย์นึงจะมีแค่สองวันเนี่ย หนึ่งวันแรกก็หักออกไปได้เลย เพราะว่าวันเสาร์ผมได้สละเวลาอันมีค่า (มาก ๆ) มาทำงานอยู่ร้านอาหารแถว ๆ พระโขนง เป็นร้านอาหารจีนที่วันนึงมีคนหลั่งไหลเข้ามาฝากท้องกันเยอะพอสมควร หรือที่เพราะคนเข้าร้านมาเยอะแบบนี้อาจจะเป็นผมก็ได้ใครจะไปรู้ ฮ่า ๆ



     ผมทำงานที่นี่ได้ประมาณสี่ถึงห้าเดือนแล้วครับ ทำมาตั้งแต่ปิดเทอมโน่นเลย แต่พอเปิดเทอมเวลาว่างมันมีแค่เสาร์อาทิตย์จริง ๆ ก็เลยขอคุณขวัญ (เจ้าของร้าน) ทำแค่วันเสาร์อย่างเดียวพอ ซึ่งเหลือวันอาทิตย์ก็จัดการพักผ่อนตัวเองซะ เขาก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรครับ ถือเป็นเรื่องที่ดีเลยแหละ



     เมื่อก่อนมาทำงานที่นี่ผมได้เป็นตำแหน่งครัวทอดครับ เนื่องจากเราต้องเก็บประสบการณ์ในแต่ละอย่างของร้าน ซึ่งมีพี่ต๋อง (หัวหน้าเชฟ) คอยมาเทรนงานต่าง ๆ ให้ พอผมทอดจนคล่องมือก็ย้ายไปอยู่ตำแหน่งครัวผัด ก็คือว่าหากมีออเดอร์ไหนมา ป้าจิ๋ว (ครัวจัด) ก็จะนำวัตถุดิบใส่ถ้วยจัดมาให้ผมทำเมนูนั้น ๆ ต่อ (ชอบตำแหน่งนี้สุดแล้ว) ตามด้วยครัวต้มและอื่น ๆ อีกมากมาย ก็ทั้งร้านจริง ๆ นั่นแหละครับไม่เว้นแต่ล้างจาน จนมีความรู้ด้านต่าง ๆ ในร้านทั้งหมด พี่นาง (หัวหน้าเชฟอีกคน) เลยลากผมมาอยู่ตำแหน่งหน้างานซะงั้น (ที่ยืนของหัวหน้าเชฟ) ผมบอกเลยครับว่าไอตำแหน่งนี้แม่งโคตรวุ่นวายและชิบหายในเวลาเดียวกัน เป็นปกติอยู่แล้วที่วันเสาร์คนจะเยอะเพราะว่าเป็นวันหยุด จากที่เคยยืนผัดอาหารสบาย ๆ อยู่หน้าเตา พอย้ายมาอยู่ตรงนี้งานของผมก็ล้นมือ ! ไหนจะเคลียร์ออเดอร์ลูกค้า จัดจานให้น่ารับประทาน ตักข้าวใส่ถ้วย ตะโกนบอกหลังครัวว่าต้องการอะไรเพิ่ม และอีกสารพัด เอาเข้าจริง ๆ จะบอกว่าวุ่นวายก็ไม่ได้ด้วยสิเพราะแม่งโคตรของโคตรวุ่นวาย !! ไม่รู้จะจับผมมายืนอยู่ตรงนี้ทำไมในเมื่อผมอยู่ครัวผัดก็ดีอยู่แล้ว เข้าใจเลยครับว่าการเป็นหัวหน้าเชฟมันเหนื่อยแค่ไหน (งานมีเยอะกว่านั้นอีกครับ แต่เขาเห็นผมยังเด็กไป) แต่ก็ต้องยิ้มสู้ครับถอยไม่ได้ เคยถามเหตุผลนะครับว่าทำไมถึงจับมาอยู่ตรงนี้ บางคนก็บอกผมหัวไว เรียนรู้อะไรเร็ว อีกคนบอกผมมือไม้ยาว เวลาส่งอาหารไปให้ฝ่ายบริการจะได้สะดวก บางคนบอกหน้าตาผมดี คนจะได้เข้าร้านเยอะ ๆ เพราะลูกค้าสามารถเห็นหน้าเชฟได้ (อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะครับ หึหึ) ถ้าให้เลือกเชื่อก็คงเลือกข้อสุดท้ายนี่ล่ะ ฮ่า ๆ



     ผมเดินสะพายกระเป๋าสีแดงแจ๊ดเข้าร้านในชุดเสื้อยืดขาวล้วนกางเกงสแล็คสีดำปี๋ด้วยสภาพตื่นตัวเล็กน้อย พลางเช็กจีช๊อคสีดำที่ข้อมือแสดงเวลาเจ็ดโมงสี่สิบห้า (งานเข้าแปดโมงครับ ต้องมาเตรียมของ เลิกอีกทีก็ห้าโมงเย็นโน่น) บรรยากาศภายในร้านเป็นการตกแต่งแบบจีนร่วมสมัย ประดับประดาด้วยโคมไฟรูปดอกโบตั๋นเล็ก ๆ ตามเพดาน ที่โดดเด่นสุดคือรูปสีน้ำมันลายปลาคราฟอันเบ้อเร่อเท่อที่แปะอยู่ริมผนังนี่แหละ น่าจะเป็นจุดขายของร้านนี้



     ผมมุ่งหน้าไปยังหลังเคาน์เตอร์เพื่อที่จะตอกบัตรเข้างาน ก็ได้เห็นคุณขวัญเจ้าของร้านนั่งจดอะไรอยู่ข้าง ๆ ผู้ชายร่างโปร่งในชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีน ผมกล่าวทักทายคุณขวัญตามระเบียบก่อนจะเอาบัตรงานเข้าไปเสียบกับเครื่อง แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าเหมือนเคยได้ยินเสียงแบบนี้ที่ไหนมาก่อน



     " อ้าวมิ้ลค์ ! หวัดดี !! " ผมที่มือรอรับบัตรอยู่ก็หันไปทางต้นเสียง ปรากฏเป็นใบหน้าของเพื่อนที่รู้จักกันไม่ถึงอาทิตย์ มันคือคนที่ไปนอนบ้านผมเอง



     " เฮ้ยไอเฟิร์ส ! มาทำอะไรที่นี่เนี่ย !? " ผมตกใจกับคนที่เดินมาหาแบบสุดขีด ไม่นึกเลยว่าจะมาเจอไอห่านี่ในที่แบบนี้



     " อ๋อ...วันนี้ว่างอะเลยมาช่วยแม่ที่ร้าน " เฟิร์สบอกยิ้ม ๆ พลางกำมือชูนิ้วโป้งชี้ไปทางคุณขวัญ เดี๋ยวนะ ! ผมทำงานที่นี่มาก็นาน พึ่งรู้ว่าเจ้าของร้านมีลูกชายกับเขาด้วย แถมไม่นึกเลยว่าลูกชายของเขาคือไอหมอนี่



     " มิ้ลค์กับเฟิร์สเป็นเพื่อนกันเหรอจ๊ะ ? " เสียงแปลกใจของคนที่มีศักดิ์เป็นแม่ของเพื่อนดังตาม ๆ กันมาอย่างสงสัย ในตอนที่ปากผมจะเอ่ยว่าใช่ แต่ลูกชายของเขาก็แย่งตอบเสียงแจ้นไปเสียก่อน



     " ใช่ครับ " หน้าขาว ๆ หันกลับมาถามพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง " แล้ว...มิ้ลค์มาทำอะไรที่นี่อะ ? " ไอนี่ก็ถามแปลก ๆ กูมาวิ่งมาราธอนโว้ย หึหึ



     " มาทำงานดิ ไม่รู้เหรอว่ากูทำอยู่ที่นี่ ? "



     " จริงปะ !? พึ่งรู้นะเนี่ย หึหึ " ไม่รู้ก็รู้ไว้ซะด้วยเว้ย แล้วก็บอกแม่มึงเพิ่มค่าแรงให้ด้วย หึหึ ล้อเล่น ๆ



     " งั้นคนที่ชวนเฟิร์สไปนอนค้างที่บ้านก็มิ้ลค์เองล่ะสิ เห็นเจ้าเฟิร์สบอกว่าทำกับข้าวอร่อยด้วยนะ " หน้าเฟิร์สที่สดใสตั้งแต่แรกหันกลับไปปั้นหน้าเซ็งใส่หญิงที่มีอายุเยอะกว่า " แม่ ! " อ้าวววว สรุปที่บอกไม่อร่อยนี่มึงขี้โม้ใช่มั้ย หึหึ



     " ขอบคุณนะเฟิร์ส " ผมยิ้มเย้ย ๆ ให้กับท่าทางของมันที่ดูเหมือนจะไม่หันมาคุยกับผมดี ๆ แต่ก็ยอมจำนน



     " เออ ! โธ่...แม่จะพูดทำไมเนี่ย ! " เฟิร์สตอบผมเสียงแข็ง ๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคุยกับคนที่นั่งอยู่อย่างหมดอารมณ์ แล้วก็มีผมกับคุณขวัญครับที่ส่งเสียงหัวเราะคิกคักควบคู่กันไป บอกอร่อยต่อหน้าก็จบแล้ว ไม่เห็นต้องฝืนบอกไม่อร่อยเลยนี่หว่า กลัวเสียหน้ารึไงวะ ? หึหึ



     " งั้นกูขอตัวไปทำงานก่อนนะ เจอกัน " ผมพูดทิ้งท้ายพลางโบกมือลาก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้าน เพื่อจะแต่งองค์ทรงเครื่องในชุดเชฟให้พร้อมทำงานเสียที



####



     หลังจากที่ผมเหน็ดเหนื่อยกับงานมาแปดชั่วโมง (มีพักหนึ่งชั่วโมงก็เหมือนไม่ได้พัก) ผมกับเฟิร์สก็ได้มาอยู่หน้ากูร์เมต์มาร์เก็ตในตัวสยามกันสองหน่อ..



     คืองี้ครับ พอดีคุณขวัญเขาอยากจะตอบแทนที่ดูแลลูกชายเมื่อตอนมันไปนอนค้างบ้านผมโดยการจะเลี้ยงข้าว ถึงผมจะตอบกลับไปว่าเล็กน้อยไม่เป็นไร แต่คุณขวัญก็เถียงหัวชนฝาว่าจะเลี้ยงให้ได้ ! การเลี้ยงข้าวของคุณขวัญดูจะแตกต่างออกไปกว่าชาวบ้านนิดหน่อย เพราะว่าลูกชายของเขาดันไปโฆษณาซะเยอะเลยว่าผมทำกับข้าวอร่อย เธอเองก็พลอยอยากลองกินไปด้วย เดือดร้อนทั้งผมและมันที่จะต้องจำใจแวะไปซื้อข้าวของที่พารากอนก่อนกลับบ้าน (ของเฟิร์ส) โดยที่คุณขวัญบอกว่าอยากซื้ออะไรก็ซื้อ แล้วเอาบัตร ATM นี่ไปรูดเอา (อวดรวยโคตร) ถึงคุณขวัญเขาจะมีตำแหน่งเป็นเจ้าของร้านก็จริง แต่ทักษะการทำอาหารคือศูนย์สนิทครับ ส่วนไอคนทำอาหารเป็นข้าวเย็นน่ะเหรอ..



     ก็ผมไง..



     ตัดภาพมาที่ด้านหน้า ผมเดินดุ่ม ๆ ลากรถเข็นคันหนึ่งพลางเข็นเข้าไปในตัวมาร์เก็ต โดยมีผู้ชายส่วนสูงเท่ากันเดินข้าง ๆ สิ่งแรกที่ผมต้องเดินไปดูเลยคือโซนของสดครับ เพราะว่าต้องเดินดูแล้วคิดไปเรื่อย ๆ ว่าจะทำเมนูอะไรดี เมื่อตั้งเป้าหมายว่าจะไปไหนก็ต้องเข็นไปที่จุดหมายนั้นใช่มั้ยล่ะครับ แต่ท่านผู้อ่านกำลังคิดผิดแล้ว คนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เมื่อกี้เปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่หน้ารถเข็นแถมจูงไปยังโซนขนมเป็นที่แรกครับ ! ขนมไว้เดี๋ยวมึงค่อยมาซื้อก็ได้มั้ง แล้วแม่มึงไม่รีบแดกหรือไงห้ะ ? รีบซื้อรีบกลับสิวะ



     ในขณะที่ผมกำลังจะปริปากด่า ก็เห็นไอหน้าหล่อกวาดขนมบนชั้นวางมาอย่างละอันบ้าง สองอันบ้าง หยิบช็อกโกแลตเข้ามาใส่รถเข็นแล้วก็เอาไปวางไว้ที่เดิม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเอาลูกกวาดข้าง ๆ มาใส่แทน หลายใจจังวะ ! แถมแม่งยังหยิบมาเป็นกำ ๆ อีก มึงกะจะแดกคนเดียวให้อ้วนเลยรึไงเนี่ย (แต่แม่งก็ไม่อ้วนนะ)



     กว่าเราจะออกจากโซนนี้ได้บนรถเข็นก็เต็มไปด้วยขนมมากมาย ผมพึ่งเห็นป้ายด้านหน้านี่แหละครับว่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ไอเฟิร์สเลยบ้าจี้กวาดมาซะเรียบ เฮ้อ.. ผมเข็นรถต่อไปยังโซนถัดไปโดยไอคนข้างหน้ายังลากรถสบายใจเฉิบแล้วก็นึกหมั่นไส้แปลก ๆ เลยแกล้งชนตูดมันไปทีนึง หึหึ แต่ไหงมึงมีหน้ามาเมินกูวะ ! มึงเห็นกูมีตัวตนหรือเปล่าเนี่ย กูไม่ใช่คนใช้มึงนะครับ !



     ในที่สุดเราสองคนก็เลือกซื้อวัตถุดิบในการทำอาหารเรียบร้อย พลางเดินไปชำระเงินที่แคชเชียร์ ที่นี่บอกเลยครับว่าวัตถุดิบในการทำอาหารเกรดสูงสมกับราคาที่แพงจนกระเป๋าฉีกเลยทีเดียว ผมกุลีกุจอวางของต่าง ๆ ปล่อยให้พี่แคชเชียร์เขาจัดการต่อ ส่วนคนข้าง ๆ ก็ควักกระเป๋าเงินลายทหารจากกางเกงพลางหาบัตรเครดิตของแม่ที่ได้ให้ติดตัวมา



     เฟิร์สยื่นบัตรสีดำ ๆ ไปให้พี่พนักงานแคชเชียร์พลางเซ็นลายมือลงบนกระดาษใบเล็ก ๆ จากพี่เขา ส่วนผมก็รับถุงข้าวของมาอีกทีและไม่ลืมขอบิลที่ได้มาเช็ก แสดงเป็นเงินจำนวนเกือบเหยียบสี่หลัก !! ถ้าให้ผมเดาก็คงไม่ผิดหรอกว่ามันค่าอะไรบ้างถึงโดนขนาดนี้ !



     เราสองคนเดินหิ้วถุงออกจากกูร์เมร์มาเก็ตได้ระยะนึง ผมก็รู้สึกว่าอยากของหวานขึ้นมาซะดื้อ ๆ เลยพากันมุ่งหน้าไปร้าน Mr.shake เป็นร้านชาไข่มุกที่ผมกับนัทตี้จะแวะนั่งชิลล์เป็นประจำเลยครับเวลาเที่ยวมาแถวสยามเซนเตอร์ ราคาไม่สูงมากด้วยแถมอร่อยอีกต่างหาก เมื่อเห็นร้านอยู่ไม่ไกลผมเลยก้าวเท้าเดินเร็ว ๆ ไปสั่งเมนูที่กินอยู่ประจำทันที



     " สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ ? " เสียงต้อนรับของพนักงานดังขึ้นหลังจากที่ผมเดินเข้ามาหน้าร้านได้ไม่นาน



     " นมสดสตรอเบอร์รี่เพิ่มไข่มุกครับ " ไม่ต้องเลือกนานครับ มาทีไรกินแบบเดิมทุกที ฮ่า ๆ ผมที่สั่งไปแล้วหันกลับไปมองหน้าคนที่มาด้วยกันซึ่งขมวดคิ้วเลือกเมนูอยู่



     " เอาแบบนั้นอีกแก้วนึงครับ " เฮ้ย ! อย่ามากินตามดิวะ !



     " ขอโทษนะคะคุณลูกค้า พอดีสตรอเบอร์รี่นมสดได้แค่แก้วเดียวค่ะ รับเป็นเมนูอื่นได้มั้ยคะ ? " ฮ่า ๆ อดแดก



     " งั้น...ไม่เป็นไรครับ " หน้าขาว ๆ ว่ากลับไปพลางปั้นสีหน้าเป็นหงอยในทันที



     " แล้วไม่กินน้ำอื่นล่ะ ? ร้านเขามีเยอะแยะ " เมนูเขามีอีกเป็นล้านมึงก็เลือกไปสิ แต่กูชอบสตรอเบอร์รี่สุดแล้ว หึหึ



     " ไม่เอา กูชอบน้ำแบบมึง " เอ้า ! เสือกมาชอบแบบเดียวกันอีก เฮ้อ..



     ผมทุรักทุเรรับแก้วไข่มุกพลางจ่ายเงินให้พี่พนักงานไป ก่อนจะเดินออกมาจากร้าน เฟิร์สไม่ได้กินในสิ่งที่มันอยาก แต่ผมดันได้กิน ทำไมรู้สึกผิดแปลก ๆ แฮะ



     " อะ...กินด้วยกัน " ผมยื่นแก้วที่พึ่งดูดไปได้อึกนึงให้ไอคนที่หน้าหงอยข้าง ๆ



     เฟิร์สหันกลับมามองแก้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไป " ไม่อะ ของมิ้ลค์กินไปเหอะ "



     " ของกูแล้วมึงกินไม่ได้เหรอ ? " ผมว่าพลางกรอกสายตาเคือง ๆ ไปที่ใบหน้าเนียน เฟิร์สมองผมพลางถอนหายใจออกมา ก่อนจะหยิบแก้วสีชมพูในมือไปกินอย่างว่าง่าย มึงนี่แม่งจะเป็นคนดีเกินไปละไอสัด



     และแล้วเราสองคนก็เดินออกจากตัวสยามพารากอนเพื่อไปต่อคิวแท็กซี่บริเวณนั้น ท้องฟ้าตอนนี้มืดสนิทไปเรียบร้อยแล้วครับ เราทั้งคู่ยืนคุยเล่นกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ผมอยากจะรู้ว่าบ้านของมันอยู่ส่วนไหนของสุขุมวิท จึงถามไอคนที่ยืนมองอะไรอยู่ไม่รู้ไกล ๆ ด้วยความสงสัย " แล้วบ้านมึงอยู่ตรงไหนของสุขุมวิทอะ ? "



     " .......... "



     " เฟิร์ส ! "



     " .......... "



     " เฟิร์ส !!!! "



     " ห้ะ !! ห้ะ !! ห้ะ !! " กูเห็นมึงมองไปตรงโน้นตั้งนานแล้ว มึงมองใครวะ ? เจ้าหนีมาตามทวงตังเหรอ ฮ่า ๆ



     " มึงมองไปไหนเนี่ย กูถามว่าบ้านมึงอยู่ตรงไหน ? " ผมกลั้วขำออกมาให้กับท่าทางที่ดูลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ ของมัน



     " ด่ะ...เดี๋ยวขึ้นรถไปบอก "



     ไม่นานนักเราก็ได้แท็กซี่คันสีฟ้ามาจอดรับ เฟิร์สตะเกียดตะกายเข้าไปพร้อมกับถุงหิ้วหลายใบ ก่อนที่ผมจะเขยิบเข้าตาม ๆ กันไป



     ประตูถูกปิดลงตามด้วยเสียงของเพื่อนอีกคนที่บอกจุดหมายกับพี่โชเฟอร์ " สุขุมวิท X ครับ " แล้วเราก็ถึงเวลาที่จะอยู่กับตัวเองอย่างเงียบ ๆ



     แต่แล้วต่อมสงสัยผมก็ทำงานอีกครั้งในความคิด ว่าคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตากี้มันมองใครกันแน่

.



.



.





     " ถึงแล้วมิ้ลค์ " เสียงเรียกของเฟิร์สดังขึ้นพร้อมกันความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาเขย่าตรงบริเวณต้นแขน ผมเอามือลูบหน้าตัวเองเพื่อไล่ความสะลึมสะลือนี้ ก่อนจะรวบรวมถุงที่บรรจุสิ่งของต่าง ๆ ไว้ในมือเดียวและเปิดประตูแท็กซี่ออกไป โดยมีอีกคนเขยิบไล่เลี่ยกันมา



     " หลังนี้เหรอ ? " ผมถามพลางเอามือข้างที่ว่างขยี้ตาให้เห็นอะไรให้ชัดขึ้น ก่อนจะเห็นคนที่มาด้วยเล่นกองของทุกอย่างไว้กับพื้น



     " เออ หลังนี้แหละ " ปากบาง ๆ พูดในขณะที่มือทั้งสองข้างล่วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีน พลางหยิบสิ่งนั้นเสียบเข้ากับประตูรั้วไม้อัดทรงสูง ก่อนจะหันกลับมารวบรวมถุงสีขาวลายส้มที่กองไว้ตากี้ตามเข้าไป แล้วผมจะรออะไรอยู่ล่ะครับ



     เมื่อเข้ามาในบริเวณบ้านแล้ว พบว่าที่นี่มืดสนิทราวกับไม่มีใครอยู่ บวกกับอากาศเย็น ๆ ตอนกลางคืนแล้ว แม่งไม่ต่างอะไรกับบ้านผีสิงเลย ฮ่า ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นตัวบ้านขนาดใหญ่ที่มีถึงสองชั้น สระว่ายน้ำที่ประกายสาดส่องจากแสงจันทร์ให้ได้เห็น นี่ไม่มีใครอยู่บ้านเลยหรือไงวะ ? แต่ดูรวม ๆ แล้วก็ใหญ่ใช่เล่น



     เฟิร์สที่เดินนำไปก่อนเปิดประตูไม้บานใหญ่ออก พลางกองสิ่งของต่าง ๆ ไว้กับโต๊ะรับแขก แล้วก็วิ่งหายไปไม่รู้ ผมที่พึ่งเข้ามาวางของใกล้ ๆ กันก็ถึงบางอ้อ เมื่อได้เห็นแสงสว่างภายในตัวบ้านถูกเปิดขึ้นให้เป็นคำตอบ



     " โทษที...เราอยู่กับแม่สองคนอะ " เจ้าของบ้านเดินกลับมาพูดพลางยิ้มแห้ง ๆ ไม่เห็นเป็นไรเลย กูยังอยู่กับน้องแค่สองคน



     " แล้วคนอื่นอะ ? " ผมรู้ว่ามันเสียมารยาทครับ แต่ก็อยากรู้สารทุกข์สุกดิบของเพื่อนเหมือนกัน



     " พี่สาวกับพ่อเราไปทำงานอยู่ไต้หวันน่ะ นาน ๆ จะกลับมาที " อ๋อ แล้วไป...รู้แค่นี้ก็พอมั้ง



     " งั้นไปทำกับข้าวเลยดีมั้ย ? " เฟิร์สได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองนาฬิกาตั้งพื้น " พึ่งสองทุ่มเอง แม่เรากลับตั้งสี่ทุ่ม หาอะไรทำก่อนก็ได้ " จะว่าไปก็จริง รีบทำก่อนเดี๋ยวไม่อร่อย สักสามทุ่มค่อยบุกครัวดีกว่า



     ผมพยักหน้ารับก่อนจะล้มตัวนั่งบนโซฟาโดยไม่ได้รับอนุญาต พลางหยิบไอโฟนในเคสลายพิคาชู (นัทตี้ซื้อให้) มาเช็กอะไรฆ่าเวลา ผมเห็นข้อความแจ้งเตือนในไลน์ของน้องชายบอกว่าป๊ากับม๊าถึงบ้านแล้วก็อุ่นใจครับ เพราะว่าที่บ้านไม่มีคนอยู่ดูแลไอตัวแสบ ตามด้วยข้อความของแฟนสาวที่ทักมาบอกว่าทานข้าวอยู่กับครอบครัว งั้นก็ปล่อยให้นัทตี้ได้มีความสุขกับครอบครัวบ้างดีกว่าเนอะ :)



     แต่ก็ยังไม่ได้เข้าแอปพลิเคชันที่มีตัวเอฟนำหน้า สายตาก็เหลือบเห็นเจ้าของบ้านทยอยขนของเข้าไปในห้องครัวทีละหลาย ๆ ถุงก็อดคิดที่จะช่วยเหลือไม่ได้ แต่เหมือนจะเก้อว่ะ เพราะแม่งเล่นขนเข้าไปซะหมดแล้ว ผมเลยเดินดุ่ม ๆ ตามไปช่วยจัดการเก็บข้าวของเข้าตู้เย็นจนเสร็จสิ้น ผมยืนชื่นชมผลงานที่ยัดอะไรต่อมิอะไรเข้าไป พลางแว่วเสียงของคนที่อยู่ในครัวด้วยกัน ดึงความสนใจไปซะก่อน



     " ตามสบายเลยนะเว้ย ไม่ต้องเกรงใจ " ถึงมึงไม่บอกกูก็ทำไปแล้วล่ะ ฮ่า ๆ ตากี้แอบหยิบเอ็มแอนด์เอ็มมาฉีกกินไปตั้งสองอัน



     " แล้วมีอะไรให้กูช่วยอีกหรือเปล่า ? " แต่ดูจากกองถุงที่ปลิวว่อนในครัวแล้วไม่น่าจะมีแล้วมั้ง



     " เหลือแต่ทำให้กินนั่นแหละ ฮ่า ๆ " หน้าหล่อ ๆ กลั้วขำออกมาในตอนที่เดินไปเก็บถุงเปล่าตามพื้น อันนั้นกูก็ต้องทำอยู่แล้วปะวะ หึหึ " งั้นหาอะไรทำกัน " แล้วทำอะไรดีล่ะครับคุณเจ้าของบ้าน ผมขมวดคิ้วไปถามอย่างแปลกใจ



     " ทำอะไรดีล่ะ ? "



     " ไปเที่ยวกัน " อืมมมมม น่าสนใจ ไปสักเชียงใหม่ละกันใกล้ ๆ เดี๋ยว !!!! มึงว่าไงนะ !? มืดป่านนี้แล้วมึงจะไปไหนอีก ?



     " ดึกแล้วจะไปไหนอีก ? " เมื่อได้ยินประโยคนั้น หน้าผมเหวอก็คงจะไม่แปลก



     " เออน่า อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี " บ้านมึงใหญ่โตซะขนาดนั้นไม่มีอะไรทำก็บ้าแล้ว ! ถึงจะบ่นในใจ แต่แขนผมก็โดนลากมาอยู่ที่หน้าบ้านอีกครั้ง



     เฟิร์สบอกให้ผมรออยู่ตรงนี้ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งไหว ๆ ไปที่โรงรถ พลางจูงสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดออกมาปรากฏอยู่ตรงหน้าผม



     " ขึ้นมา " เฟิร์สพูดพลางเอาตัวขึ้นไปคร่อมกับเบาะหน้าและตบเบาะหลังปุ ๆ หมายจะให้ขึ้นไป แต่จะให้กูญาติดีกับจักรยานเหรอ ฮึ ! ฝันไปเถอะ !!



     " ไม่อะ " ผมส่ายหน้าปฏิเสธยิก เอาเข้าจริง ๆ ผมกลัวจักรยานมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ เพราะขับล้มบ่อยจนฝังใจแล้วเนี่ย อย่าไปบอกใครนะ..



     แต่ก็คงได้เข้าไปนั่งโซฟาสบาย ๆ เหมือนเดิมแล้ว ถ้าแม่งไม่ลงมาลากข้อมือผมให้ขึ้นไปนั่งซ้อนกัน



     " ไม่อาวววววว ปล่อยกู !! ปล่อยยยยย !!!! " ผมร้องลั่นพลางตีมือจะให้มันปล่อย แต่แรงแม่งเยอะชิบหายเลย ตัวก็เท่ากันนะเนี่ย !!



     " กูไม่พามึงไปตายหรอก !! " เฟิร์สพูดขู่เข็ญจนผมแน่นิ่งไป ก่อนที่ฝ่ามือของมันจะหยิบยื่นมือผมไปเกาะที่เอว " จับไว้ "



     " ขะ..ขับเบา ๆ นะ " เสียงผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยร้องสะอื่นเลยสักนิด ก็คนมันกลัวนี่หว่า



     " เออ ไม่พาไปตายหรอก " ถึงมึงจะย้ำอีกรอบ แต่ไอคำว่าตายเนี่ยอย่าพูดได้มั้ย ฮืออออ



     และแล้วเราสองคนก็ออกมาจากตัวบ้านของเฟิร์สเป็นที่เรียบร้อย ถึงเฟิร์สจะขับนิ่มก็จริง แต่ด้วยความกลัวจักรยานที่ฝั่งลึกมาเป็นเวลานาน ก็ทำให้แขนของผมล็อกเอวคนข้างหน้าโดยอัตโนมัติ ทำไงได้ก็ผมกลัวอะ ฮืออออออออออ เราทั้งคู่ขับฝ่าความมืดกันภายในซอยที่มีบ้านหลังโตตั้งเรียงรายอยู่รอบด้าน พลางสัมผัสถึงลมเย็น ๆ ที่เข้ากระทบผิวตามความเร็วของจักรยาน เฟิร์สที่เป็นคนขับพาผมมายังที่แห่งนึงในตัวหมู่บ้าน เป็นสวนสาธารนะที่มีทะเลสาบอยู่ใจกลาง ที่นี่ไม่มีใครอยู่ครับ มีเพียงเสาไฟที่ถูกเปิดเรียงทิ้งไว้



     มันพาไปจอดข้างทางก่อนที่ผมจะกระโดดลงไปจากไอรถเวรคันนี้ " ดิ้นอยู่นั่นแหละ " เอ้า ! ก็กูกลัวนี่หว่า จะให้กูนั่งอยู่เฉย ๆ รึไงห้ะ !?



     " ก็กูกลัว " เฮ้ย ! หลุดปาก ชิบหายแล้ว เฟิร์สระเบิดขำออกมาก่อนจะพูดขึ้น



     " อะไรวะ ? โตเป็นควายแล้วยังจะกลัวจักรยานอีก " อ่าว...ลามปามกูอีก ถึงใจจะสั่งให้ด่ากลับ แต่ปากเนี่ยมันยังสั่นระริกอยู่



     " ก็กู...กลัว " ผมไม่รู้จะเถียงยังไงกับคนตรงหน้า เลยได้แต่ตอบเสียงกับท่าทางสั่น ๆ นี้ไป



     " มึงไว้ใจกูเหอะน่า " เฟิร์สเดินเข้ามาตบบ่าผมทีนึงก่อนจะอมยิ้มให้ เป็นเพราะรอยยิ้มนั้นแหละครับ ที่ทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาอย่างประหลาด



     " แล้วนี่อะนะที่เที่ยวของมึง ? " แต่ดูไม่น่าจะใช่ที่เที่ยวสักเท่าไหร่ มืดขนาดนี้น่าจะเป็นที่ที่เขาพาคนมาข่มขืนกันมากกว่า หรือว่ามันจะพาผมมาข่มขืน !?



     " ใช่แล้ว ดูโน่นดิ " แขนยาว ๆ ชี้ไปที่กลางทะเลสาบ มีไฟระยิบระยับดวงสวยแปรอักษรเป็นชื่ออะไรสักอย่าง ถึงจะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไรมองเพลิน ๆ ก็สวยดีนะครับ



     แต่..



     " พากูมาดูแค่เนี่ย ? " ผมเลิกคิ้วถามกลับอย่างไม่เข้าใจ ๆ นอนเล่นอยู่บ้านมึงยังสบายกว่าตั้งเยอะ



     " เออ ก็มันสวยนี่หว่า " ครับ ไหน ๆ ก็มาแล้ว นั่งลงสักแปปนึงก็ได้ครับ ผมเดินมึน ๆ เข้าไปในบริเวณนั้นพลางมองหาม้านั่งแต่ก็ไม่เจอเลยว่ะ งั้นก็นอนแม่งบนหญ้านี่แหละ หึหึ ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายครับ ที่นั่งหรือที่นอนไม่ใช่ปัญหาเลย แล้วก็มีกัปตันจักรยาน (เขามีแต่กัปตันเรือเหรอ ?) เข้ามานั่งเคียงกันข้าง ๆ



     " เมื่อวานไปไหนอะ กูไม่เห็นมึงเลย ? " เมื่อวานพักเที่ยงว่าจะชวนเฟิร์สไปนั่งกินข้าวด้วยสักหน่อย แต่ไหงไม่เห็นเจอหน้ามันเลย



     " อ๋อ กูไปประชุมกับพวกประธานนักเรียนอะ "



     " เอ้า !? แล้วไปทำไมอะ ? " ผมเงยหน้าถามอย่างสงสัย คุณชายเขามีตำแหน่งอะไรกับใครเขาด้วยเหรอวะ ?



     " เมื่อวานคิงคองมันลาป่วยอะ กูเลยไปประชุมแทนมัน " คิงคองคือประธานสีแดงครับ แถมห้องเราทั้งคู่ได้อยู่สีเดียวกันด้วย แล้วก็เป็นฝ่ายทางนั้นครับชวนผมคุยเล่นบ้าง



     " แล้วน้องมินอยู่บ้านคนเดียวไม่เป็นไรเหรอ ? " เป็นห่วงเป็นใยน้องชาวบ้านเขาด้วยวุ้ย หึหึ



     " ป๊ากับม๊าพึ่งกลับมาบ้านน่ะ เห็นเหมือนซื้อของฝากมาเพียบเลย ไว้มึงไปบ้านกูแล้วมากินด้วยกันล่ะ " ผมพูดยิ้ม ๆ ให้กับหน้าหล่อ ๆ ที่ก้มมองลงมา



     " ได้ เดี๋ยวกูกินให้หมดเลย หึหึ " เฮ้ย ! เรื่องอื่นกูยอมได้ แต่เรื่องกินกูไม่ยอมนะเว้ย ผมคิดในใจพลางหัวเราะร่ากับเฟิร์สพร้อมกัน จนผมไม่รู้จะคุยอะไรด เลยแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า มีฝูงดาวดวงเล็กดวงน้อยที่กะพริบยิบยับราวกับมีโชว์ย่อม ๆ จากตรงนั้นให้เห็น และเป็นคนข้าง ๆ ครับที่ขโมยสิ่งสวยงามจากตรงหน้าผมไป



     " มึง...คบกับนัทตี้นานหรือยังวะ ? " เมื่อได้ยินแบบนั้นผมก็หลับตานึกตามมันว่า นานเท่าไหร่วะ ? หนึ่ง...สอง...สาม...สี่..



     " ครึ่งปีได้แล้วแหละ เนี่ยจะครบรอบอีกละ ยังไม่รู้จะเซอร์ไพรส์อะไรดี " ผมพูดติดตลกกลับไป แต่เหมือนจะไม่มีใครตลกกับผมด้วย



     เฟิร์สเงียบไปสักพักจนอดไม่ได้ที่จะลอบมองนัยน์ตานั่นผ่านความมืด แววตาคู่นั้นดูเหม่อลอยแปลก ๆ จนน่าสงสัย และเป็นเสียงแหบพร่าของทางนั้นที่เปล่งออกมาจากลำคอ



     " อื้ม "



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:04:49
Not to be unlocked : Episode 8 : ไม่เห็นต้องทำงี้เลย



     หลังจากที่เราทั้งสองไปเที่ยวในเวลาดึกดื่นก็กลับมาถึงบ้านเฟิร์สอีกครั้งตอนสามทุ่มเศษ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วครับที่ผมต้องโชว์สกิลทำอาหารให้คุณขวัญและลูกชายของเขาได้กินสักที ! แต่ก็นึกหมั่นไส้ลูกชายบ้านนี้แปลก ๆ เพราะขากลับแม่งปั่นจักรยานอย่างกับหนังเรื่องเดอะฟาส พาผมแหกปากร้องจนลั่นหมู่บ้าน ไม่รู้คนอาศัยละแวกนี้จะหยิบลูกซองตามมาเป่าหัวผมหรือเปล่าเนี่ย..



     ผมเตรียมวัตถุดิบจากตู้เย็นที่ก่อนหน้านี้ได้ยัดเข้าไป พลางสลับมองใบหน้าของไอเฟิร์สที่นั้งขำก๊ากอยู่โต๊ะกินข้าวด้านหลัง



     " ขำอะไรนักหนาห้ะ !? " ตั้งแต่กลับมาถึงแม่งยังไม่หยุดขำสักทีเลยครับท่านผู้อ่าน



     " เปล่า ๆ ไม่มีอะไร ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ " ไม่มีอะไรเหรอ ? มึงอย่าบอกนะที่ขับจักรยานแบบติดบูสเมื่อกี้มึงแกล้งกูอะ ?



     " มึงอย่าบอกนะตากี้มึงแกล้งกู ? " ผมว่าพลางเอามีดที่หันไก่อยู่ชี้ไปที่หน้าหล่อ ๆ ของมัน แต่เหมือนแม่งจะไม่หยุดดี ๆ ว่ะ



     " แค่ได้ยินเสียงมิ้ลค์ตะโกนออกไปดังซะขนาดนั้นก็นึกหน้าออกแล้วว่าจี้ขนาดไหน ฮ่า ๆ " สรุปแล้วมึงก็แกล้งสินะ ! แล้วบอกว่าเปล่าเปล่าเปล่านี่คืออะไร !? เดะพ่อเสียบข้างหลังทะลุถึงหัวใจซะนี่



     ผมถอนหายใจปลง ๆ ก่อนจะหันกลับมาตั้งใจหั่นบรรดาวัตถุดิบตรงหน้า แต่ก็ต้องสมาธิแตกอีกครั้งเมื่อคนที่พึ่งขำเสร็จเมื่อกี้ดันซักคำถามขึ้น



     " แล้วเฟสบุ๊คมิ้ลค์นี่อะไรเหรอ ? " โธ่นึกว่าจะถามอะไร หึหึ มีการมาขอเฟสดาราด้วยครับ จะให้ดีมั้ยนะ



     " มิ้ลค์อิอิซ่า55+ " ผมบอกชื่อนั้นจนต้องหลุดขำออกมา ฮ่า ๆ ก็ชื่อเฟสผมเป็นแบบนี้จริง ๆ ครับ แล้วไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวนะที่ตั้งชื่อเสี่ยวแบบนี้ ไออาร์ม ไอซัน ไอปิงปอง เพื่อนแก๊งผมแม่งตั้งชื่อนี้กันหมดแหละ เว้นเสียแต่ไอปอนด์



     " ชื่อเฟสโคตรลาวเลย " มันพูดก่อนแว่วเสียงขำลอย ๆ เขาเรียกแวกแนวโว้ย หึหึ



     ผมจัดการเตรียมเนื้อที่หั่นแล้วใส่จานพักไว้ พลางหาอุปกรณ์ในการทำอาหารออกมาเตรียมเช่นกัน ต้องบอกเลยครับว่าบ้านเฟิร์สมีของทุกอย่างพร้อมสำหรับทำอาหารหลายประเภทเลยทีเดียว ต้องแวะมาถล่มบ่อย ๆ ซะแล้วล่ะ หึหึ แต่ก็อย่างว่าอะครับ บ้านนี้ไม่มีใครทำเป็นเลยสักคน เหอะ ๆ เหมือนมีไว้ประดับอะไรงั้นมั้ง



     " โห...ทำไมคนไลค์รูปโพรไฟล์มิ้ลค์เป็นพันเลยล่ะ ? " อยู่แล้วล่ะครับคุณเฟิร์ส ก็บอกไปแล้วนี่เฟสดารา ไม่รู้เหรอ ? หึหึ ผมเห็นคนเขาแอดเพื่อนกันมาเยอะแยะก็กดรับปัด ๆ ไปน่ะครับ บางรายก็ชวนคุยโน่นนี่นั่น บางรายทักมาให้เป็นตัวแทนขายครีมก็มี



     " ไม่รู้ดิ ไลค์ให้ด้วย จะเอาไลค์ไปแลกข้าวกิน " แม่งเอาไลค์ไปแลกข้าวแดกได้ผมนี่เปรมปรีดิ์เลยนะ ฮ่า ๆ



     ผมเช็กวัตถุที่เตรียมอีกครั้งสลับดูคนที่นั่งปัดจอไอโฟนอย่างหน้าชื่นตาบาน พลางจัดแจงเอาครกหินขึ้นมาเตรียมจะโขลกพริกแกง แต่เหมือนจะดึงความสนใจจากคนด้านหลังมาได้ว่ะ เห็นมันมองผมตาละห้อยตอนเทเครื่องเทศลงไปพลางทำท่าจะตำ



     " มีไรให้กูช่วยปะ ? " นั่นไง กูว่าแล้วว่ามึงต้องอยาก เห็นมองตาไม่กะพริบเลยนะ หึหึ สงสัยเฟิร์สจะโขลกเก่ง ว่าแต่โขลกอะไรวะ ?



     " ทำเป็นเหรอ ? " ผมพูดลองเชิงไปงั้นแหละ แต่ไอหล่อก็พยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ



     " แค่ตำใคร ๆ ก็ทำได้ปะวะ " อ้าวปากดี !! โอเคครับไอสัด มานี่เลย !



     ผมกวักมือเรียกมันที่นั่งอยู่พลางส่งสากหินให้ แล้วยืนกอดอกดูอยู่ห่าง ๆ ว่าคนอวดดีแบบนี้จะทำได้ดีอย่างปากว่าหรือเปล่า หึหึ



     ผมมองดูเฟิร์สจากด้านข้างที่ลงมือโคกไปได้สักพัก แต่ก็คงไปไม่รอดจริง ๆ เมื่อได้ยินเสียงร้อง " โอ๊ย !!!! " นั่นไงล่ะ กูเดาไม่มีผิด มันแหกปากโอดครวญพลางเอามือปิดตาสนิท สภาพงี้พริกเข้าตาแน่ ๆ ลืมบอกแม่งด้วยสิให้ระวัง



     ด้วยความเป็นห่วงผสมกับซะใจ ฮ่า ๆ เลยเดินตรงปรี่ไปดูความเจ็บปวดของมัน พลางบอกให้เอาน้ำเปล่าจากก๊อกล้างออกซะ



     เมื่อมันล้างเสร็จแล้ว ผมก็ขอดูหน่อยละกันว่ายังระคายเคืองอยู่หรือไม่



     " ไหนดูดิ้ " ผมเลื้อนนิ้วแม่โป้งไปบนเปลือกตาบนของเฟิร์ส ก่อนจะเช็กถึงอาการเจ็บปวด " แสบอยู่ปะเนี่ย ? "



     " นิดหน่อยว่ะ แต่ยังร้อน ๆ อยู่ " เฟิร์สพูดต่อก่อนที่ผมจะประคองให้มันไปนั่งอย่างเก่า พลางหากระดาษชำระมาซับคราบน้ำเมื่อครู่



     " นั่งอยู่เฉย ๆ เลย " เป็นไงล่ะครับ โชว์พาวดีนักฮ่า ๆ ถึงแอบซะใจก็จริง แต่อดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกันว่ะ



     จนเวลาล่วงเลยมานานพอสมควร ผมก็จัดแจงตักของคาวที่ทำเสร็จแล้วมาใส่ถ้วยกระเบื้องใบสวยไปวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ จานของทอด พลางหันกลับมาหยิบโถข้าวที่ตักเตรียมไว้ด้วยเช่นกัน



     แทม แท แด๊ !! และผมขอเสนอเมนู แกงเขียวหวานไก่นุ่มกับทอดมันปลากราย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องยกเครดิตให้ม๊าผมเองเพราะเขาสอนให้ ฮ่า ๆ



     อาหารที่มีกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วห้องได้ถูกผมจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม ตอนนี้เหลือเพียงอย่างเดียวคือคุณขวัญที่ยังไม่เลิกงานให้กลับมาครับ แต่ไม่ต้องรอให้เสียเวลา นั่นไงเดินมาโน้นแล้ว พอดิบพอดีอะไรอย่างนี้



     " ว่าไงจ๊ะเด็ก ๆ ทำกันเสร็จแล้วเหรอ ? " หญิงในชุดโปโลสีดำกล่าวทักทายก่อนจะกวาดสายตาดูมื้อดึกที่ผมจัดเตรียมไว้ให้ " โห ! น่ากินทั้งนั้นเลย "



     " พึ่งทำเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ เลยครับคุณขวัญ เชิญนั่งเลยครับ " ผมพูดยิ้ม ๆ ก่อนวิ่งไปเลื่อนเก้าอี้ออก โดยให้คนที่พึ่งมาใหม่ได้นั่งร่วมโต๊ะอย่างสะดวก



     " แหมน้องมิ้ลค์ ไม่ต้องเรียกคุณขวัญก็ได้ มันดูห่างไกล เรียกตอนเวลางานก็พอ ตอนนี้อยู่บ้านเรียกแม่ก็ได้ลูก " คุณขวัญยิ้มบาง ๆ ก่อนจะล้มตัวนั่งบนเก้าอี้



     " ครับ " ใจดีจริง ๆ เลยนะเนี่ยคุณขวัญของผม



     " บ้านนี้มีลูกแค่สองคน " อยู่ดี ๆ คนที่ตาบอดข้าง ๆ ก็พูดออกมาอย่างหน้าตาย กวนตีนกูอีกแล้วนะไอเฟิร์ส



     " อย่าพูดอย่างนั้นสิ อ้าวน้องเฟิร์ส ! ไปโดนอะไรมาลูก !? " คุณขวัญหันไปถามลูกชายที่มือของมันยังเอากระดาษแปะไว้ตรงตาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง



     " ไอมิ้ลค์แกล้งครับ " เฟิร์สพูดพลางเบ้ปากชี้มาที่หน้าของผม มึงอย่าแถ !! ได้ข่าวว่าโง่ปล่อยให้พริกกระเด็นเข้าตาเองด้วย ฮ่า ๆ



     " เปล่านะครับ เฟิร์สเขามาช่วยผมทำกับข้าวนี่แหละ แต่ดันทำอีท่าไหนไม่รู้ พริกกระเด็นเข้าตาเฉย " ผมปฏิเสธแจก่อนจะแอบหลุดขำให้ไอเฟิร์สเห็น



     " ดูแลตัวเองหน่อยสิลูก มาเด็ก ๆ กินข้าวกันเถอะ " เมื่อได้ยินประโยคนั้นเข้าหู มือของผมก็หยิบโถข้าวขึ้นมา ตักแจกจ่ายให้แต่ละคนอย่างละเมียดละไม



     " ไหนแม่ขอชิมซิ " มือเล็ก ๆ ของหญิงอายุราวสามสิบปลาย ๆ หยิบช้อนกลางตักน้ำแกงในชามขึ้นมาราดบนข้าวสวยร้อน ๆ พลางกวาดเข้ามายังปากของเธอ



     " โหน้องมิลค์ ! อร่อยมากลูก !! " คุณขวัญยังคงตะลึงกับอาหารตรงหน้าอยู่ " รสมือหนักขนาดนี้ แม่ต้องชวนมาที่บ้านบ่อย ๆ แล้วล่ะ "



     " ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แหะ ๆ " มีแค่คุณขวัญนี่แหละครับชิงลงมือชิมฝีมือของผมไปแล้ว ส่วนคนข้าง ๆ ผมเนี่ยยังนั่งหน้าบูดอยู่เลย



     " ไม่กินเหรอ ? " ผมเลิกคิ้วถามไอหน้าหล่ออย่างสงสัย ปล่อยให้มันเย็นเดี๋ยวไม่อร่อยนะเว้ย



     " ไม่อะ กินไม่เป็น " ห้ะ ! กินไม่เป็น !? มันจะอะไรแค่ตักเข้าปากเคี้ยว ๆ แล้วก็กลืน ยากตรงไหนวะ !?



     " ลองดูก่อนสิน้องเฟิร์ส อร่อยนะ " นั่นสิ แม่มึงให้เครดิตกูมาซะขนาดนี้แล้วลองก่อนมั้ย ?



     แล้วด้วยความที่เฟิร์สยึกยักลีลาไม่กินสักที มือของผมก็ตักเขียวหวานจากชามไปใส่จานมันโดยอัตโนมัติ " อะ ลองดู "



     เฟิร์สวางกระดาษทิชชูที่แปะอยู่ตรงตาออก ก่อนจะตัดสินใจตักเนื้อข้าวที่คลุกเคล้ากับน้ำแกงบางส่วนขึ้นเข้าช่องปาก



     กระพุ้งแก้มของคนที่กินเข้าไปเมื่อครู่เคี้ยวตุ่ย ๆ พลางกลืนสู่ลำคอ แล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมากระดกดื่มตาม



     " ก็...อร่อยดี๊ " แล้วทำไมไอคำว่าอร่อยดี๊ของมึงเสียงมันสูงจังวะ ? นี่มันอร่อยหรือไม่อร่อยเนี่ย ?



     " เห็นมั้ยล่ะน้องเฟิร์ส นี่ถ้าน้องมิ้ลค์เป็นผู้หญิงนะ แม่จับแต่งเข้าบ้านไปแล้วล่ะ แพงแค่ไหนแม่ก็สู้ " เอ่อแม่ขวัญก็ยอผมเกินไปแล้วนะครับ ผมเขินตัวบิดเป็นเลขแปดแล้วเนี่ย ฮ่า ๆ แต่ทำไมมึงสำลักวะไอเฟิร์ส ? แม่มึงแค่พูดเล่น ๆ เองนะ ฮ่า ๆ



     ผมหลุดขำพลางยกเหยือกน้ำรินใส่แก้วให้ไอหน้าหล่อที่ยังไอคอกแคกอยู่ไม่หาย " แต่ผมมีแฟนแล้วนะครับ "



     " อ๋อเหรอ...ก็ไม่แปลกหรอกจ่ะที่มี น่ารักทั้งหน้าตาและนิสัยแบบนี้สาว ๆ ที่ไหนเขาก็ติดใจ " แล้วผมก็ยิ้มแก้เขิน แต่คิดไปเองหรือเปล่าว่าไอเฟิร์สมันแอบมองหน้าผม อะไรวะ ?



     ผมกับเฟิร์สฟังคุณขวัญคุยโวเรื่องโน้นเรื่องนี้จนกระทั่งอาหารที่อยู่ตรงหน้าหมดเกลี้ยง โดยไม่ได้คำนึกถึงเวลาที่ผ่านไปไวเหมือนโกหก คุณขวัญสั่งเสียให้ผมนอนค้างอยู่ที่นี่ซะ เพราะเป็นห่วงเรื่องการเดินทางกลับซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรมากนัก วันนี้ไอตัวแสบก็มีม๊ากับป๊าที่พึ่งกลับมาจากต่างจังหวัดค่อยดูแลอยู่จึงไม่เป็นห่วงเสียเท่าไหร่ ผมจัดการเก็บจานไปล้างโดยมีลูกชายบ้านนี้ช่วยอีกแรง เพียงแค่แปปเดียวเท่านั้น ผมก็ได้ขึ้นไปยังห้องของเฟิร์ส ที่ที่ผมยังไม่เคยขึ้นเอาเท้าไปแตะเลยสักครั้งเดียว..



####



     ประตูห้องน้ำภายในตัวห้องของเฟิร์สถูกเปิดออก โดยผมพึ่งที่อาบน้ำเสร็จหมาด ๆ ในชุดที่ลูกเจ้าของบ้านให้ยืมใส่..



     พอดีคุณเฟิร์สเขาไล่ให้ไปอาบน่ะครับ เห็นเจ้านั่นบอกเนื้อตัวผมเหม็นเลยทำตามมันอย่างเชื่อง ๆ ห้องน้ำบ้านเฟิร์สนี่มันสุด ๆ จริงว่ะ คงเป็นเพราะมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่กว่าตัวที่ให้ลงไปแหวกว่ายได้ล่ะมั้ง แต่ไม่รู้เล่นอีท่าไหนผมดันงีบหลับไปซะได้ ฮ่า ๆ ก็มันสบายนี่หว่า ทุกทีอยู่บ้านอาบน้ำแค่ฝักบัว (แต่มาบ้านเขาครั้งแรก ล่ออ่างอาบน้ำซะแล้วกู)



     ส่วนเจ้าของห้องเขาอาบก่อนผมไปสักพักใหญ่แล้วล่ะครับ ตอนนี้มันก็นอนเอาหลังอิงหัวเตียงพลางจิ้มโทรศัพท์ ห่มผ้าสบายใจเฉิบอยู่



     " อาบน้ำนานจริง ขัดจรวดอยู่รึไง ? " นั่นไง ผมว่าสนิมกับมันแล้วปากเริ่มอยู่ไม่สุขจริง ๆ อยู่เฉย ๆ ไม่แซ็วนี่มันจะตายหรือไงห้ะ ?



     " มึงอย่ามาไอเฟิร์ส หึหึ " ใครจะมาขัดจรวดบ้านคนอื่น บ้าเปล่า.. แต่ก็น่าลองนะ หึหึ (ล้อเล่นนน)



     ผมเดินเอาผ้าขนหนูที่ยีหัวเสร็จไปแขวนเข้ากับข้างกำแพง พลางสาวเท้าไปนั่งแหมะข้าง ๆ เฟิร์ส



     " ทำไรอะ ดูคลิปโป้เหรอ ? ดูมั้งดิ " ผมชะโงกหน้ามองจอไอโฟนของมัน แต่เหมือนจะไม่ใช่สิ่งที่แซ็วมันกลับว่ะ



     " คลิปโป๊ห่าไร คุยไลน์กลุ่มอยู่ เห็นมันวุ่น ๆ เรื่องกีฬาสีเนี่ย เหมือนวันจันทร์กูต้องไปประชุมอีกรอบ " เฟิร์สบ่นงุบงิบพลางใช้นิ้วโป้งกดลงจอไว ๆ เพื่อพิมพ์ข้อความ



     " อ้าวเหรอ " งั้นก็ชั่งเฟิร์สเถอะ ปล่อยให้มันได้คุยธุระต่อไป แต่ช่วงนี้ก็วุ่นจริง ๆ นั่นแหละครับ เห็นไออาร์มบ่น ๆ ให้ฟังอยู่เหมือนกัน



     ผมเอื้อมมือไปหยิบไอโฟนของตนที่ชาร์จแบตเตอรี่อยู่ใกล้ ๆ มาเปิดเช็กอะไรฆ่าเวลา ในไลน์นี่เงียบกริบสงสัยจะนอนกันหมดแล้ว ไม่วายเลยกดปุ่มโฮมเข้าเฟสบุ๊คตัวเอง เห็นสัญลักษณ์แจ้งเตือนเพื่อนใหม่แอดเข้ามาสี่ห้ารายก็กดรับปัด ๆ ไป แต่หนึ่งในนั้นมีคนที่นั่งข้าง ๆ ผมด้วย หึหึ พลางเหลือบเห็นรูปโพรไฟล์ของตนฟีดบนหน้าจอ แสดงจำนวนคนถูกใจแตะถึงหนึ่งพันสามร้อยกว่าเป็นที่เรียบร้อย เอ่อคุณผู้อ่านครับ ผมก็ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้มานั่งอัดคลิปขายครีมหรือยืนเต้นท่าเด้าเรียกไลค์สักหน่อย แต่ทำไมคนแห่มากดถูกใจรูปโพรไฟล์ผมเยอะจัง ? แปลกแฮะ หรือจะเป็นเพราะผมหล่อ ? ก็น่าจะใช่แหละ ฮ่าๆ



     " เฮ้อ.. " เฟิร์สที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถอนให้ใจหนักจนผมต้องหันไปเหลือบมอง



     " เขาว่าถอนหายใจมากตายไวนะเว้ย "



     " เออ ตาย ๆ ซะก็ดี " ไอห่า ! แล้วมึงจะแช่งตัวเองทำมะเขืออะไรเนี่ย



     " แล้วเป็นไรอะ ? " ผมเลิกคิ้วมองใบหน้าหล่อ ๆ ที่ตอนนี้ปั้นเป็นหน่ายซะแล้ว



     " แม่งคุยกันไม่รู้เรื่องซะที สงสัยวันจันทร์ต้องไปประชุมให้เคลียร์ ไม่งั้นงานไม่เดินแน่ " เฟิร์สบ่นต่ออีกหน่อยก่อนจะเลื่อนนิ้วกดปุ่มล็อกหน้าจอ



     ผมเอื้อมมือไปตบบ่ามันปุ ๆ " อย่าคิดมาก เอ้อ ! หาไรทำแก้เซ็งดิ จะได้ไม่ต้องเครียด " ผมก็เข้าใจแหละว่างานใหญ่ ๆ แบบนี้ไม่ได้ทำด้วยตัวคนเดียวสักหน่อย แถมคนอื่นก็ใช่ว่าจะมีความคิดเหมือนกับเราด้วย จริงมั้ยล่ะ ?



     " อืม ๆ แล้วจะทำไรดีล่ะ ? " นั่นควรจะเป็นคำถามของกูหรือเปล่า ? เพราะว่านี่ก็ห้องมึง กูจะไปรู้เหรอว่ามีอะไรให้ทำบ้าง



     " แล้วห้องมึงไม่มีอะไรทำแก้เซ็งเลยรึไง ? "



     " ไม่รู้ดิ...มีมั้ง " อ่าวไอสัด สรุปมีหรือไม่มีเนี่ย ป๊าดติโธ่



     แต่ผมคิดอะไรแผง ๆ ออกว่ะ หึหึ



     " งั้น.. " ในตอนนั้นโทรศัพท์ผมถูกวางลงอย่างไว้เก่า ฝ่ามือทั้งสองข้างเริ่มคืบคลานไปหาคนใกล้ ๆ อย่างเชื่องช้า เฟิร์สที่นั่งสีหน้าเป็นปกติแล้วก็สะดุ้งตัวโหยงเมื่อเห็นผมเข้าไปหาใกล้ ๆ ทีละนิด



     " มึงจะทำไรอะ !? " เป็นคำถามที่ดี หึหึ



     " ก็หาไรทำไง หึหึ " ผมพูดด้วยน้ำเสียงยั่วยวนพลางยิ้มเผล่ไปที่ใบหน้าตกใจของมัน



     " กูไม่เล่นนะเว้ย ! " เฟิร์สบอกกลับมาเสียงแข็ง ซึ่งไม่ได้ทำให้ผมหยุดการกระทำนั้นเลย



     " ก็มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะหาไรทำไง " ตอนนี้มือทั้งสองข้างผมอยู่ระหว่างลำตัวเฟิร์สเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมมองส่วนล่างของมันก่อนจะเลิกผ้านวมหนา ๆ ออก



     " พร้อมยัง ? " ใบหน้าของผมใกล้กับใบหน้าของเฟิร์สจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจ นัยน์ตาสีดำคู่นั้นเบิกกว้างก่อนจะปิดตัวลง



     ผมกะแค่จะไปกระซิบข้างหูมันว่าล้อเล่นอะครับ แต่เหมือนว่าสิ่งที่ผมคิดมันจะผิดทั้งหมด



'      ป้าบ !!!!! ' มือหนา ๆ ของเฟิร์สเหวี่ยงมาตบเข้ากับหน้าผมซะดังลั่นห้อง



     " โอ๊ยยยยย มึงจะตบทำไมเนี่ยกูแค่หยอกเล่นเฉย ๆ " ผมร้องโอดโอยเอามือปิดหน้าพลางดิ้นไปมา อู้ยยย เจ็บสลัด !



     " เล่นเชี่ยไรไม่รู้เรื่อง สมน้ำหน้า "



     " นี่มึงกล้าตบหน้ากูเหรอ !! เพื่อนกูยังไม่กล้าตบเลยนะเว้ย !!! " มีไม่กี่คนในห้องหรอกครับที่กล้าทำแบบนี้ ซึ่งมันก็รู้ดีกันหมดว่าจะเจออะไร



     " ก็นั่นเพื่อนในห้องมึง กูไม่ใช่ ถ้ามึงยังเล่นอะไรแบบนี้อีกกูตบหนักกว่านี้แน่ ! " นี่มันยังไม่หนักอีกเรอะ !? ดังขนาดคิดว่าคริติคอลแล้วด้วยซ้ำ



     " ไอเฟิร์ส มึง !! " ผมประกาศชื่อมันพลางชี้ไปที่หน้าขาว ๆ แต่แม่งตบครั้งเดียวเล่นซะเรี่ยวแรงผมไม่มีเอาคืนเลยว่ะ ฮือออ ฝ่ามือดูดวิญญาณรึไงวะ !



     " เดี๋ยวมิ้ลค์ มือไปโดนไรมาอะ ? " จู่ ๆ เฟิร์สก็ดึงแขนผมเข้าไปดูใกล้ ๆ



     ผมพยายามหรี่ตามองตามว่ามันกำลังหมายถึงอะไร " อ๋อ แผลนี่ตอนทำกับข้าวมั้ง นิดหน่อยเองไม่เป็นไรหรอก " แค่แผลตอนซอยตะไคร้แล้วบาดนิ้วเองครับ ถึงจะลึกเอาการแต่ก็ไม่ทำให้ผมต้องร้องแหกปากได้หรอก บางทีผมอยู่ที่ร้านเกล็ดปลากะพงบาดนิ้วยังเฉย ๆ เลย ซึ่งผมก็บีบเลือดให้มันไหลเล่น ๆ เพราะว่าซาดิสม์ หึหึ แต่ไอที่โดนตบตากี้ไม่นับนะเพราะมันเจ็บกว่า



     " นิดหน่อยห่าไร " มันว่าพลางลุกไปหยิบกล่องอะไรไม่รู้ตรงตู้ข้าง ๆ ทีวีมานั่งแหมะใกล้ ๆ อีกครั้ง " เอามือมา "



     เฟิร์สมันคงจะทำแผลให้แหละครับแต่ " ไม่ต้องทำหร.. "



     " เอามือมา !!! " ผมยังพูดไม่ทันจบ แม่งก็ขึ้นเสียงใส่ซะแล้ว ฮืออออ ตากี้มึงก็ตบหน้ากูทีนึงแล้วนี่ยังมาตะคอกใส่อีก มึงไม่เกรงใจบารมีของกูสักหน่อยเหรอวะเฟิร์ส !!



     แล้วแม่งก็ดึงแขนผมไปอย่างดื้อ ๆ ก่อนจะจัดแจงเอาสำลีจากในกล่องขึ้นมาหยอดเบตาดีนให้ก้อนสีขาว ๆ นั้นชุ่ม พลางทารอบนิ้ว



     " เจ็บก็บอกนะ " ผมรู้สึกแสบจี๊ด ๆ ที่นิ้ว แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรมากถึงต้องบอกให้มันหยุด



     " อืม แต่...ไม่เห็นต้องทำงี้เลย " เวลาผมได้แผลจากการทำอาหาร ผมก็ปล่อยให้หายเองตลอด ตอนนี้ก็มีแผลเป็นทั่วฝ่ามือและแขนเต็มไปหมด ฮ่า ๆ มันเป็นอะไรที่น่าภูมิใจของเหล่าเชฟจริง ๆ นะ



     " ไม่ทำได้ไง เดี๋ยวเชื้อโรคก็เข้าไปแดกมือมึงหรอก " เฟิร์สพูดพลางหยิบพลาสเตอร์จากในกล่องขึ้นมาแปะทับก้อนสำลี มึงพูดเหมือนเชื้อโรคเป็นก็อตซิลล่างั้นแหละ " อะ เสร็จแล้ว "



     " ขอบใจนะ " ผมพูดยิ้ม ๆ ให้กับเจ้าตัวที่นั่งเก็บของต่าง ๆ เข้ากล่องให้เหมือนอย่างเก่า



     " อืม ไม่เป็นไร " พอเสร็จกิจจากกล่อง เฟิร์สก็เปลี่ยนจุดสนใจมาเป็นใบหน้าผมแทน



     " แล้วหน้ามึงเป็นไงบ้างอะ โทษทีนะ กูไม่ตั้งใจ " เฟิร์สเอาฝ่ามือหนามาสัมผัสเข้ากับใบหน้าผม มันเป็นสัมผัสที่อ่อนนุ่มและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน ผู้ชายคนนี้กำลังเป็นห่วงผมอยู่จริง ๆ แต่เหมือนจะได้โอกาสเอาคืนแล้วล่ะครับ หึหึ



     " โอ๊ยยยยยยยย " มันหายตั้งนานแล้วล่ะ แต่อยากแกล้งมันต่ออีกสักหน่อย



     " ยังเจ็บเหรอวะ โทษที " หน้าของมันดูสำนึกผิดสุด ๆ ตลกดีว่ะครับ ฮ่า ๆ



     " โอ๊ยยยยยยย ล้อเล่น "



     ' ผลัวะ ' ไอเฟิร์ส !! มึงตบหน้ากูอีกแล้ว !!!!!!!!



     " ไปปิดไฟเลยกูจะนอนแล้ว " มันว่าพลางจัดหมอนให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะเอาศีรษะล้มทับแล้วหันไปอีกทาง หน็อยไอเฟิร์ส ! มึงตบกูแล้วหนีใช่มั้ย !?



     แต่ก็ต้องเดินไปปิดตามมันสั่งแต่โดยดี เมื่อสายตาพลันเห็นหน้าปัดนาฬิกาภายในห้องแสดงเวลาที่ล่วงเลยมานานพอสมควร ผมคงไม่ชวนคนที่หลับตาปี๋ขึ้นมาทะเลาะต่อด้วยแล้วล่ะ



     ถึงจะโดนตบอีกรอบ แต่ก็ขอบใจมึงมากนะเว้ย ไม่เคยมีใครทำแผลให้กูอย่างนี้มาก่อนเลยว่ะ :)



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:05:32
Not to be unlocked : Episode 9 : โชคดีนะ



     ผมลืมตาเบิกกว้างจากการหลับใหลท่ามกลางแสงอรุณยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาภายในตัวห้อง พลางรู้สึกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาพาดตรงบริเวณเอว ผมยกหลังนิ้วขึ้นมาขยี้ตาเพื่อไล่ความง่วงก่อนจะเพ่งไปที่แถว ๆ กลางลำตัว พบว่ามีแขนยาว ๆ ของคนที่นอนอยู่ด้วยกันพาดเอาไว้ มาแอบฉวยโอกาสกอดเขาตอนหลับนี่หว่าไอคุณชายบ้านนี้ หึหึ ผมพยายามเอาแขนข้างนั้นออกอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เจ้าตัวตื่น พลางลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจก่อนจะเหลือบเห็นนาฬิกาบนหัวเตียงแสดงเวลาหกโมงเกือบครึ่ง วันหยุดทั้งที ไม่ว่าผมจะนอนอยู่บ้านตัวเองหรือบ้านไออาร์มก็เหอะ ผมล่ะชอบตื่นขึ้นมาตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้ประจำ ไม่เคยจะได้สัมผัสการนอนตื่นสายแบบคนอื่นอย่างจริงจังกับเขาหรอก เฮ้อ..



     ' ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ '



     เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูจากนอกห้อง ผมก็เดินเก ๆ กัง ๆ มุ่งตรงไปบิดลูกบิดประตูออก ปรากฏเป็นร่างของหญิงวัยกลางคนในชุดทำงาน ยืนฉีกยิ้มอยู่คู่กับกระเป๋าถือใบสวย



     " สวัสดีตอนเช้าครับคุณขวัญ เอ๊ย แม่ขวัญ " ผมยิ้มแหย ๆ เพราะใบหน้าของคนที่พึ่งตื่นนอนควบคุมให้ขยับไปมาไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่



     " สวัสดีตอนเช้าจ่ะ นี่แม่มารบกวนเวลานอนของมิ้ลค์หรือเปล่าเนี่ย ? " ผมส่ายหน้าพรืด



     " อ๋อ ผมพึ่งตื่นเมื่อกี้เองครับ แม่ขวัญมีอะไรหรือเปล่า ? "



     " เดี๋ยวแม่ไปทำงานก่อนนะจ๊ะ ส่วนน้องมิ้ลค์อยู่นี่กับเฟิร์สก็ตามสบายเลยนะ ขาดตกบกพร่องตรงไหนให้เฟิร์สจัดการเลยนะลูก " หญิงตรงหน้าสั่งเสียจนผมต้องผงกหัวรับ



     " ครับ "



     " แหมดูสิ ยังหลับไม่ตื่นเลยเนี่ยลูกชายคนนี้ หัดตื่นเช้า ๆ มารับอากาศดี ๆ บ้างสิ " เธอพูดพลางชะโงกหัวเข้าไปดูเฟิร์สที่หลับเป็นตายอยู่บนเตียง ปล่อยมันเหอะครับแม่ เดี๋ยวผมดูแลมันเอง ฮ่า ๆ



     " งั้นแม่ขอตัวก่อนนะ อาหารเช้าก็รบกวนหนูมิ้ลค์จัดการให้เฟิร์สด้วยละกันนะจ๊ะ " คุณขวัญพูดยิ้ม ๆ ก่อนที่ผมจะเดินตามเธอมาส่งถึง BMW สีดำคันสวยข้างล่าง หึหึ เรื่องนี้ไว้ใจผมได้เลยครับแม่ขวัญ



     แต่ขอกลับห้องไปนอนต่อดีกว่า ยังไงผมก็เอาชนะความง่วงนี้ไม่ได้อยู่ดี ฮ่า ๆ ตื่นมาค่อยทำข้าวเช้าให้คุณหนูเขากินแล้วกัน



     เมื่อมาถึงห้อง ผมก็ตรงดิ่งเอาหัวไปล้มลงหมอนทันที พลางดึงผ้านวมหนา ๆ มาห่มให้เต็มตัว แต่คงได้นอนแล้วล่ะครับถ้าไม่มีแขนของคนที่นอนอยู่มาวาดลงที่เอวเหมือนอย่างเก่า นี่...ให้กูนอนสบาย ๆ มั้งได้มั้ย ?



     แม้ดวงตาจะไม่ได้เปิดดู มือของผมก็หยิบแขนยาว ๆ ข้างนั้นออก แต่แม่งก็ดันเอามาพาดไว้อย่างเก่าแบบเดิมทุกรอบ ทำไปทำมาจนคิดในใจว่าแม่งละเมอหรือแกล้งผมกันแน่ แต่เอาเหอะ นอนท่านี้แม่งเลยละกัน ขี้เกียจทะเลาะด้วยแล้ว !

.



.



.





     " เฮ้ย ! " เสียงตกใจของคนที่นอนด้วยกัน ทำให้ผมต้องกลับมาลืมตาขึ้นอีกครั้ง มีอะไรล่ะครับคุณชายเฟิร์ส ? เอะอะเสียงดังแต่เช้าเลย (ตอนนี้เช้าอยู่หรือเปล่าวะ ?)



     " ตื่นมาก็โวยเลยนะ มีไรอีกล่ะ ? " ผมหันไปมองหน้าหล่อ ๆ ที่ยังนั่งหน้าเหวออยู่ พลางหาวปากกว้าง ๆ ใส่มัน



     " นี่กูกอดมึงแทนหมอนข้างทั้งคืนเลยเหรอวะ !? " มันโวยวายอีกรอบก่อนจะกวาดสายตาหาสิ่งที่มันกระเด็นตกข้างเตียงไปตอนไหนไม่รู้ พลางนำขึ้นมาวางแหมะไว้



     " อยากกอดกูก็บอกตรง ๆ ก็ได้ เดี๋ยวให้กอดเลย หึหึ " ผมพูดพลางยักคิ้วกวน ๆ แน่นอนว่าการกวนตีนกลับคงไม่แปลกที่จะโดนตบกลับมา แม่งตบหัวผมอีกแล้ว ! ฮืออ



     " กอดห่าไร ถ้ามึงกวนตีนกูอีกได้ตายคาห้องกูแน่ " เฟิร์สว่าพลางชี้หน้าคาดโทษก่อนจะเลิกผ้าห่มออกเพื่อเดินไปทำธุระในห้องน้ำ แค่นึกถึงความเจ็บปวดที่เมื่อคืนได้รับก็ไม่อยากโดนมันประทุษร้ายอีกแล้ว ฮืออออ หน้าผมตอนนี้เป็นยังไงบ้าง หมดหล่อหรือยัง



     หลังจากที่ผมกับเฟิร์สได้จัดแจงทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จโดยที่น้ำยังไม่ได้อาบ (ผมไม่เคยเป็นงี้มาก่อนนะเอ้อ !) เราทั้งสองก็ก้าวเท้าลงบันไดมายังห้องครัวเพื่อหาอะไรมาแทนที่กระเพาะโล่ง ๆ นี่ ส่วนเช้านี้ยังนึกไม่ออกหรอกครับว่าจะทำอะไรทานดี



     " อยากกินอะไรล่ะ ? " ผมถามเฟิร์สที่นั่งหน้าตื่น ๆ ตรงโต๊ะด้านหลัง พลางเอามือควานหาข้าวของต่าง ๆ ในตู้เย็นเพื่อเช็กว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง



     " อะไรก็ได้ " มาอีกแล้วไอคำตอบแบบนี้ อยากจะเอาผักชีในตู้มาพันคอตายจริง ๆ



     " แล้วปกติวันหยุดมึงกินข้าวเช้ากับอะไรล่ะเวลาอยู่คนเดียว ? " ผมหันไปเลิกคิ้วถามเฟิร์สที่เปลี่ยนมานั่งเท้าคางมองไปที่ไหนสักแห่ง ข้าวเช้าของผมถ้าไม่ทำเองก็เดินไปสั่งแถว ๆ ปากซอยน่ะครับ ในหมู่บ้านผมไม่มีร้านอาหารตามสั่งหรอก ต้องเดินออกไปซื้อทุกที แล้วอย่าหวังว่าผมจะปั่นจักรยานไปซื้อ หึ จักรยานน่ะมันมีไว้ประดับบ้านเฉย ๆ



     " มาม่า " เฟิร์สตอบสั้น ๆ เพียงสองคำ เฮ้ย ! นี่ลูกคุณหนูเขารับประทานอาหารเช้าที่คนถังแตกตอนหวยออกเหรอเนี่ย !? กินมาก ๆ โรคไตต่อคิวเลยนะมึง !!



     " ทุกวัน ? "



     " อืม " เฮ้ย !! เอาจริงดิ !?



     ผมหลุดขำออกมา " แล้วแถวนี้ไม่มีอะไรกินเลยรึไง ? "



     " จะไปมีได้ไงล่ะ หมู่บ้านจัดสรรนะเว้ย ออกหน้าหมู่บ้านก็ถนนใหญ่ ไม่มีอะไรขายหรอก " แต่จะว่าไปก็จริงของมัน แต่การโซ้ยมาม่าทุกวันแบบนี้มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพนะโว้ย แต่หุ่นแม่งก็มีเนื้อมีหนังนะ หรือมาม่าที่เฟิร์สกินเข้าไปจะผสมเวย์โปรตีน ?



     " อืมมม " ผมอือออตามมันก่อนจะหันกลับมาตั้งใจหาของต่าง ๆ ในตู้เย็นต่อ แต่ถ้าปล่อยให้แม่งยัดมาม่าทุกวันก็ไม่ดีว่ะ



     " กูสอนทำอาหารมะ ? " ผมยื่นข้อเสนอให้กับเฟิร์สที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำสีหน้ายังไง



     " ไม่อะ ทำกับข้าวมันงานของผู้หญิง " เฮ้ย ! พูดระวังปากหน่อย เดี๋ยวนี้มันยุคผู้ชายหน้าเตาผู้หญิงหน้าโต๊ะเว้ย ! แน่นอนเมื่อได้ยินแบบนั้นผมหันไปหาเฟิร์สขวับ



     " มึงก็ทำได้ ! " หรือเป็นเพราะเมื่อคืนพริกกระเด็นเข้าตาความคิดเลยเปลี่ยน ไอพริกเม็ดนั้นต้องมีเชื้อโรคแดกสมองมึงไปแล้วแน่ ๆ



     " ไม่เอา " มันยืนกลางว่ายังไงก็จะไม่มีวันลงมือทำครัวเด็ดขาด แต่นึกหรอว่าผมจะยอมง่าย ๆ หึหึ



     " มาเหอะน่าาาา " แล้วผมก็เดินไปลากแขนเฟิร์สมาหน้าเคาน์เตอร์จัดอาหาร แล้วไหงมึงบอกว่าไม่เอา ๆ แต่ไม่ขัดขืนกูเลยสักนิดเลยวะ ? ทำทรงจริง ๆ



     " ให้กูทำแล้วบ้านไฟไหม้นะ " มึงก็เว่อร์ไป ! ตอนนี้มึงมีกูอยู่ข้าง ๆ โลกทั้งโลกก็ไม่มีอะไรต้องน่ากลัว



     " เดี๋ยวกูช่วย " ผมตอบพลางยักคิ้วอย่างมั่นใจให้ร่างสูงข้าง ๆ



     ผมกลับไปหน้าตู้เย็นอีกครั้งพลางคุ้ยหาวัตถุดิบขึ้นมาเตรียมไว้ ผมว่าจะทำข้าวต้มไก่ทรงเครื่องน่ะครับ เพราะว่าเนื้อไก่มันเหลือจากเมื่อคืนเป็นกิโลเห็นจะได้ แถมตอนนั้นเฟิร์สดูจะชอบอีก แล้วมันก็ทำง่าย ๆ ด้วย เหมาะแก่การฝึกมือให้เจ้านี่เป็นไหน ๆ



     ข้าวของวัตถุดิบต่าง ๆ นานาถูกผมหั่นตัดแต่งให้เหลือชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลางบอกคนข้าง ๆ ให้ดูไว้ว่าต้องทำยังไงกับของพวกนี้ ก่อนที่ผมจะเดินไปหยิบหม้อหูดำจากตู้เก็บภาชนะขึ้นมาใส่น้ำประมาณครึ่งนึงแล้วตั้งไฟ



     ผมอธิบายเกี่ยวกับขั้นตอนการทำโดยให้เฟิร์สเป็นคนจัดการเทใส่ (เทเบา ๆ สิโว้ย) แต่ดูเหมือนท่าทางมันจะกล้า ๆ กลัว ๆ เลยกำชับบอกไปว่าอย่าไปกลัว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือผีโว้ยไม่ใช่ทำกับข้าว ฮ่า ๆ (แต่นึกย้อนไปเมื่อคืนน่ากลัวกว่าอีก)



     " เอาไปคนให้ทั่ว ๆ " ผมบอกพลางส่งทัพพีไม้ไปให้เพื่อจะให้ทางนั้นเป็นคนจัดการผสมวัตถุดิบในหม้อให้เข้ากัน มันก้มมองของในมือผมก่อนจะเงยขึ้นมาพูด



     " มิ้ลค์คนได้มั้ยอะ เรา.. "



     " มึงนั่นแหละคน ! " มึงไม่คนแล้วมันจะสุกให้มึงแดกมั้ยล่ะห้ะ !? ผมบอกกลับไปเสียงแข็งก่อนที่จะมีมือข้างนั้นมารับทัพพีไว้ " ไม่ต้องกลัว "



     เฟิร์สดูเก ๆ กัง ๆ ก่อนจะตัดสินใจจุ่มทัพพีในมือลงไปคนตามคำสั่ง แต่ดูเหมือนไอหุ่นยนต์ข้าง ๆ มันจะไม่ทำตามคำสั่งของผมว่ะ เพราะแม่งเล่นคนแต่ด้านบน ! มึงก็คนให้มันทั่ว ๆ สิโว้ยยย แล้วมันจะสุกให้มึงแดกม้ายยย



     ด้วยความที่เห็นใจในความกลัวของมัน บวกกับความตลกที่ไอคนข้าง ๆ ทำอยู่ มือของผมก็เอื้อมไปประกบเข้ากับเจ้าของมือนั้น พลางกดลงไปให้ถึงก้นหม้อและคลุกเคล้าทุกอย่างไปมา



     " เสร็จแล้ว " ดูจากภาพรวมแล้วน่าจะพร้อมเสิร์ฟแล้วนะครับ ผมเดินไปหยิบถ้วยใบสวยมาพอดีกับเราทั่วคู่ พลางสั่งให้พ่อครัวฝึกหัดตักแบ่ง ถ้าแค่มึงตักใส่ถ้วยแล้วมึงกลัวนี่กูจะตบมึงจริง ๆ แล้วนะ หึหึ



     เฟิร์สทุลักทุเลตักใส่ถ้วยก่อนที่ผมจะเดินเอาอาหารทั้งสองไปวางไว้ที่โต๊ะด้านหลังแล้วจึงนั่งลง



     " ก็ใช้ได้นี่หว่า " ถึงจะเป็นครั้งแรกของมัน แต่ดูรวม ๆ แล้วก็ให้ห้าเต็มสิบ ไม่โหดไปใช่มั้ยครับ ? ฮ่า ๆ



     เฟิร์สเข้ามาสมทบนั่งลงอีกฝั่ง " เหรอ " มันพูดด้วยรอยยิ้มแห่งความปลื้มปีติ



     " โชคดีจังวันนี้มีคนทำกับข้าวให้กินด้วย หึหึ " ถึงผมจะช่วยมันทำไปประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องยกความดีความชอบให้เฟิร์สที่สามารถทำมันออกมาสำเร็จ



     " งั้นถ้าอยากให้เราทำเมื่อไหร่ก็โทรมาบอกได้นะ " เฟิร์สว่าพลางทำมือเป็นโทรศัพท์สั่นดิ๊ก ๆ อยู่ข้างหู ได้ทีนี่มึงเกทับกูเลยนะ !



     " อย่าโม้นักเลย กินได้แล้ว " เฟิร์สที่ได้ยินแบบนั้นก็ลงมือหยิบช้อน ตักอาหารที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเข้าปาก



     " อร่อยว่ะ ! " เฟิร์สพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนที่จะตักอีกคำ ทีกูทำบอกไม่อร่อย แต่พอมึงทำบอกอร่อยเฉย ทั้ง ๆ ที่สูตรตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่ได้ต่างกันเลย ไอคนตอแหล !



     " อร่อยก็กินเยอะ ๆ ล่ะ ยังมีอีกเพียบ " ผมว่าพลางตักข้าวต้มตรงหน้าเข้าปากด้วยเช่นกัน อื้มม ก็อร่อยเหมือนมันว่าจริง ๆ นั่นแหละ ใครสอนทำวะเก่งจริง ๆ หึหึ



     " แล้ว...นี่ไม่รีบกลับบ้านเหรอ ? " เฟิร์สถามพลางเลิกคิ้วสูง มันเป็นคำถามหรือเป็นประโยคนัย ๆ ไล่ให้กูกลับบ้านกันล่ะเนี่ย



     " ไล่กูเหรอ ? " ใช่สิ สอนวิชาให้แล้วก็ไล่เป็นหมูเป็นหมาเลย ชิ !



     " เฮ้ยเราเปล่าไล่ แค่ถามเฉย ๆ กลัวคนที่บ้านมิ้ลค์เขาจะเป็นห่วงไง " เฟิร์สอธิบายเป็นตุเป็นตะ แล้วไป กูนึกว่าจะไล่ซะอีก



     " ไม่อะ กลับไปก็ไปนอน แต่ขากลับว่าจะแวะซื้อขนมให้มินด้วย " เวลาว่างส่วนใหญ่ถ้าไม่ไปเที่ยวกับนัทตี้ก็นอนครับ และวันนี้นัทตี้ไลน์มาบอกผมเมื่อเช้าด้วยว่าจะไปเซอร์ไพรส์วันเกิดเพื่อน



     " งั้นถ้ามิ้ลค์ไม่รีบ...ไปเที่ยวกัน " ไอคำว่าไปเที่ยวของมึงนี่มันอันตรายแปลก ๆ ว่ะ



     " ที่ไหนล่ะ ? " แล้วถ้าพากูไปซ้อนจักรยานอีก กูจะถีบมึงจริง ๆ ด้วย



     เฟิร์สทำท่าคิดก่อนจะตอบ " อืมมมม สยามละกัน " สยามอีกแล้ว ? ทำไมไม่ไปที่อื่นบ้างวะ ? เมื่อวานก็ไปมาแล้วหนิ



     " เมื่อวานก็ไปมานะ ยังจะอยากไปอีกเหรอ ? " ผมพูดกลับพลางตักชิ้นไก่ในถ้วยเข้าปาก



     " ว่าจะไปเดินดูของสักหน่อยน่ะ ส่วนมิ้ลค์ก็ไปดูของให้น้องมินไง " อืมมม จะว่าไปขนมที่สยามมีแต่ของที่มินชอบทั้งนั้นเลย ข้อเสนอแบบนี้เอาเป็นว่าสนใจ งั้น...



     " จัดไป "



####



     เวลาผ่านไปสองชั่วโมงกว่า ผมกับเฟิร์สก็ได้นั่งแท็กซี่จากหน้าหมู่บ้านของมันมาลงเทียบบริเวณสยามพารากอน ผมเดินเข้าไปในห้างแห่งการค้าในชุดเสื้อยืดขาวกางเกงสแล็คตัวเมื่อวาน (ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ใส่ชุดซ้ำหรอกครับ ฮือออ) โดยการแต่งตัวของคนที่มาด้วยกันก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไหร่ (เดี๋ยวเขาก็คิดว่าเป็นแฟนกันหรอกมึง หึหึ)



     เราตกลงสถานที่ที่จะแวะซื้อของกันเรียบร้อยแล้วครับ จากตรงนี้ร้านที่ใกล้ที่สุดที่ผมจะทำธุระซื้อของให้ไอตัวแสบคือร้าน made in candy ข้าง ๆ กับร้าน after you ครับ ถึงป๊าและม๊าจะซื้อของฝากจากต่างจังหวัดมาก็จริง แต่ของฝากคงไม่พ้นหมูแผ่นหรือหมึกบดหรอก ซึ่งผมรู้ดีว่าซื้อมาก็เหลือทิ้งเปล่า ๆ ไม่ผมก็หยิบติดไม้ติดมือไปให้เพื่อนในห้องได้กินกัน



     ผมใช้เวลาเพียงไม่นานก็ได้ลูกกวาดหลากสีในขวดแก้วใบสวยจากร้าน made in candy พลางขึ้นไปชั้นสามที่ร้านคิโนะ ไอคนข้าง ๆ บอกมาน่ะครับว่าจะไปหาซื้อหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัย เอ่อ...แมร่งจะรีบซื้อไปไหนวะ ? อีกตั้งปีสองปีโน่น ถึงผมจะมาเที่ยวพารากอนอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยเอ็ดใจกับร้านคิโนะคุนิยะเลยว่ะ ซึ่งร้านเขาใหญ่มาก ๆ เลย เดินผ่านยังไงก็เห็น แต่ผมดันไม่เห็นว่ะ หรือสันดานแท้ ๆ ของผมจะถูกกำหนดมาว่าไม่ควรแตะต้องหนังสือกันแน่ ? เฟิร์สที่เดินนำมาถึงร้านนี้ก็ถ่อไปหาหนังสือที่มันต้องการ ส่วนผมก็เดินแยกไปหาหนังสือสูตรอาหารฆ่าเวลารอมันเช่นเดียวกัน



     " เสร็จแล้ว " เสียงที่คุ้นหูขโมยความสนใจจากเมนูทงคัทซึในหนังสืออาหารญี่ปุ่นตรงหน้า ผมหันไปพยักหน้ารับให้กับเฟิร์สพลางเลื่อนลูกตามาดูถุงกระดาษใบสวยที่มือมัน ก่อนจะนำหนังสือในมือลงไปวางไว้ชั้นวางเหมือนอย่างเก่า



     เราเดินเล่นในตัวพารากอนอีกนิดหน่อยจนจับสังเกตได้ว่า เหมือนมีสายตาจากคนที่สัญจรไปมามองพวกเราเป็นระยะ ๆ บางรายมองเราแล้วเคลิ้มก็มี (เอ่อ...ผมไม่ได้เป็นเมียมันนะครับ อย่าได้เข้าใจผิด) จนคิดว่าคงหาที่กบดานได้แล้วแหละ เลยชวนมันออกจากตัวพารากอนพลางตกลงเรื่องอาหารกลางวันกับเฟิร์สซะเลย ไม่นึกไม่ฝันว่าข้าวต้มเมื่อเช้าจะย่อยไวขนาดนี้



     ผมบอกเฟิร์สไปครับว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยว เจ้าหน้าหล่อเลยปริปากออกมาว่าต้องร้านนี้เลย ก๋วยเตี๋ยวเรือท่าสยามตรงสยามเซนเตอร์อีกฝั่ง ผมโอเคกับก๋วยเตี๋ยวครับ แต่ผมไม่โอเคกับการที่จะต้องเดินข้ามไปฝั่งโน้นเพราะแม่งโคตรไกล แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องท่อขึ้นมาถึงชั้นสี่เพื่อมานั่งกิน ! ผมบอกเลยว่าขาแทบลากกกกก



     " พามากินโคตรไกลเลย " ผมบ่นอุบอิบพลางสอดตัวเข้ามานั่งปุภายในร้าน



     " ก็เห็นบอกอยากกินเตี๋ยว เรารู้จักแค่ร้านนี้อะ " เฟิร์สว่าพลางเขยิบตัวเข้าไปนั่งอีกฝั่ง



     " เออ ๆ เอาเหอะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว " ผมพูดในตอนที่หยิบเมนูของร้านขึ้นมาดูว่ามีอะไรน่ากิน



     ร้านนี้ถือว่ามีของกินเยอะเลยทีเดียวครับ แต่ผมยังไม่เคยได้เครดิตจากร้านนี้เลยน่ะสิ ทุกทีผมไม่ค่อยจะได้มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวในห้างซะเท่าไหร่ เพราะเคยชินแต่กับการนั่งร้านข้างถนนซะมากกว่า เอาเป็นว่าสั่งแค่ก๋วยเตี๋ยวเป็นอันลองเชิงไปก่อน ถ้าอร่อยจะได้พาแฟนมานั่งกินบ้าง หึหึ



     " เอาเส้นเล็กหมูน้ำตกสองครับ " ผมหันไปบอกพี่บริกรชายที่พึ่งเข้ามารับออเดอร์เมื่อครู่ ที่สั่งสองถ้วยก็คนมันหิวน่ะครับ กว่าจะเดินมาถึงนี่ก็เผาผลาญแคลอรีในตัวไปหมดแล้ว ฮ่า ๆ



     " เอาเส้นหมี่เย็นตาโฟสองที่ครับ แล้วก็ เอ่อ...ปีกไก่ทอดละกันครับ " ไม่วายคนที่อยู่ฝั่งโน้นก็สั่งตาม ๆ กันมา



     " เครื่องดื่มขอเป็นน้ำเปล่าแล้วกันครับ " ผมที่ดูเมนูเครื่องดื่มอยู่นั้นก็หันไปบอกกับพี่บริกรยิ้ม ๆ น้ำที่ดีที่สุดคือน้ำเปล่าครับ ส่วนน้ำอัดลมหรืออื่น ๆ เอาไว้ตอนอยากแล้วกัน มันไม่ดีต่อสุขภาพ !! ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็กิน ฮ่า ๆ



     ผมนั่งฟังพี่บริกรทวนรายการอาหารอีกครั้งก่อนที่เขาจะเดินไปจัดแจงให้ สายตาพลันเห็นเม็ดเหงื่อของใบหน้าหล่อ ๆ เกาะอยู่หลายเม็ด จึงไม่ลืมดึงกระดาษชำระข้าง ๆ ยื่นไปให้



     " ร้อนอะไรขนาดนั้นวะ ? " คนที่เหงื่อน่าจะแตกเยอะกว่าควรจะเป็นผมนะ แต่ทำไมกลับตาลปัตรกันซะได้



     " ขอบใจ " เฟิร์สรับทิชชูพลางซับใบหน้าเนียน ๆ ของมัน



     " แล้ว...มึงไม่มีการบ้านมั้งเหรอ ? ทำไมแลดูว่าง ๆ จัง " ผมก็ไม่รู้จะชวนมันคุยอะไรดี ไม่อยากให้โต๊ะมันเงียบจนอึดอัด



     " เดี๋ยวค่อยกลับไปทำ ไม่รีบ " มันพูดพลางขำหึหึ แต่ทางนี้อยากจะโม้เหลือเกินว่าเสร็จหมดแล้วโว้ยย



     ผมพยักหน้ารับแต่ในหัวก็แจ้งเตือนถึงเรื่องที่เราเคยเคลียร์กันเสร็จสิ้น แต่ผมไม่ค่อยเก็ทเท่าไหร่ว่ะเลยถามออกไป



     " เออ...ถามไรหน่อยดิ ไอตอนที่มึงคิดว่ากูชอบมึงอะ มึงเล่าอีกรอบหน่อยว่าเกิดไรขึ้นบ้าง " เฟิร์สที่ได้ยินแบบนั้นก็นั่งทำท่าคิดก่อนจะพูดขึ้น



     " ก็...ตอนที่เราเล่นเกมมองตากัน พอเกมเริ่มเราก็มองตากัน แล้วมิ้ลค์ก็เดินย่อง ๆ มาพูดอะไรไม่รู้ใกล้ ๆ เราก็จำไม่ได้ พอเกมจบมิ้ลค์ก็วิ่งหายไปในห้องน้ำ เราก็ตามไปคิดว่ามิ้ลค์เป็นอะไร สุดท้ายมิ้ลค์บอกกลับมาเองว่าเขินแถมหน้าแดงอีกต่างหาก ถึงตอนนั้นเราก็คิดไว้แล้วแหละว่ามิ้ลค์ต้องชอบเรา " เฟิร์สเล่ายาวเหยียดเป็นหางว่าว ผมที่คิดตามก็เอาแต่นั่งขมวดคิ้วว่าไอเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ทำไมผมจำห่าอะไรไม่เห็นได้เลยวะ ถึงจะได้ข้อมูลมาเพิ่มว่าพูดอะไรออกไปสักอย่างก็เหอะ และก็ต้องหลุดขำความคิดของมันที่ว่าแค่มองตาก็ชอบกันแล้ว ฮ่า ๆ



     " แต่ก็มาคิดแบบนั้นไม่ได้แล้วแหละเพราะว่ามิ้ลค์.. " ถึงตอนนี้สายตาของผมก็เลื่อนไปมองหน้ามันอย่างสงสัย



     " เพราะอะไร ? " ท่าทางเฟิร์สดูอึกอักไม่น้อยราวกับเกือบหลุดความลับอะไรสักอย่าง



     " มิ้ลค์มีแฟนแล้วไง แถมรักกันอีก " เฟิร์สพูดยิ้ม ๆ แล้วไป...นึกว่าจะได้คำตอบอย่างอื่นซะอีก



     เพียงแค่ไม่นาน อาหารที่สั่งทั้งหมดก็มากองรวมอยู่ตรงหน้าให้เราได้จัดการกันจนเต็มคราบ..



     และแล้วเราทั้งสองก็เคลียร์อาหารตรงหน้าจนหมด (ร้านนี้ใช้ได้เลย !) พลางหยิบโทรศัพท์มาบวกลบคูณหารค่าเสียหายของทั้งคู่ แต่เฟิร์สแม่งสปอร์ตว่ะ เล่นจ่ายให้ผมซะหมดเลย ผมบีบบังคับยัดเงินส่วนของตัวเองใส่มือเฟิร์สแล้วนะ แต่แม่งบอกคิดซะว่าเป็นค่าตัวของเซฟที่มาทำอาหารมื้อดึกให้แม่กับมันกินก็แล้วกัน ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าตามมันอย่างมึน ๆ เอ่อ...แค่ทำกับข้าวให้กินเอง ไม่ได้หนักหนาอะไรเลยนี่หว่า แล้วทำไมกูต้องยอมมึงด้วยล่ะเนี่ย..



     เฟิร์สเดินมาส่งผมที่ BTS ครับเพราะว่าต้องนั่งไปลงสถานีเอกมัยแล้วต่อรถนั่งเข้าบ้าน ส่วนทางนั้นกลับยังไงเจ้าตัวไม่ได้บอกเหมือนกัน ผมเป็นฝ่ายร่ำลาเฟิร์สก่อนจะเดินเอาบัตรแข็งที่แลกมาเมื่อครู่ไปเสียบเข้ากับเครื่องสอดบัตร



     " มิ้ลค์ ! " ถึงเสียงเรียกของเฟิร์สจะไม่ดังมาก แต่ผมก็หันไปหาหน้าหล่อ ๆ ที่ยืนประกาศชื่ออยู่ด้านหลัง ผมเลิกคิ้วสูงอย่างไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเรียกทำไม เฟิร์สตะโกนพลางโบกลาก่อนจะคลี่ยิ้มให้ผมได้ชื่นชม



     " โชคดีนะ ! "



     เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยครับ ถึงผมจะไม่ได้มีเรื่องวิตกกังวลในหัวมาก่อน แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของใบหน้านั้นปรากฏ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหมายถึงอะไร มันทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ :D



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:06:09
Not to be unlocked : Episode 10 : 10 วินาที



     เช้าวันจันทร์ผมโผล่หัวไปโรงเรียนด้วยสภาพงัวเงียเหมือนเดิม (อยากรู้เหมือนกันว่ามาโรงเรียนวันไหนไม่ง่วงบ้าง) ตามด้วยน้องชายสุดที่รักและเพื่อนร่วมห้องบ้านใกล้เรือนเคียง เราสามคนเดินทอดน่องเหมือนวันนี้ไม่ได้รีบอะไรไปยังที่ประจำของพวกเรานั่นคือโรงอาหาร พลางกวาดสายตาหาเพื่อน ๆ ว่านั่งกันอยู่ตรงไหน ที่เห็นชัดเจนอยู่ตอนนี้คือท่านประธานคนเก่งของผมนั่งขมวดคิ้วเพ่งสายตาไปที่ Ipad เครื่องใหญ่ของมัน เพียงแค่ครู่เดียวเราทั้งสามหน่อก็ลงไปนั่งร่วมด้วยโดยไม่ต้องมีใครรับเชิญ



     " พี่มิ้ลค์ เดี๋ยวมินไปซื้อนมก่อนนะ มินฝากนี่ไว้หน่อย พี่ ๆ จะเอาไรด้วยมั้ยครับ ? " เสียงมินพูดขึ้นในตอนที่วางกระเป๋าเป้ลง พลางมองผมและปอนด์ว่าอยากจะกินอะไรมั้ยด้วยสายตา



     " ไม่อะ " ผมพูดยิ้ม ๆ ส่วนปอนด์ก็ส่ายหัวเหมือนจะไม่รับอะไรเช่นกัน มินพยักหน้าเป็นอันเข้าใจก่อนจะเดินควักเหรียญจากกระเป๋ากางเกงไปที่ร้านเครื่องดื่ม



     " ยังไม่มีใครมาอีกเหรอวะอาร์ม ? " ผมถามคนตรงหน้าที่เอาแต่ขมวดคิ้วจ้องเครื่องสี่เหลี่ยมของมันจนทางนั้นต้องเลิกหูฟังออกข้างหนึ่งเพื่อคุยด้วย



     " ยังไม่เห็นว่ะ สงสัยจะเข้าหลังแปดโมงมั้ง วันนี้ไม่มีการบ้านมันคงเข้ากันสาย ๆ แหละ " ถึงอาร์มจะพูดด้วย แต่สายตาของมันไม่ได้เงยขึ้นมาสบคนถามอย่างผมเลยว่ะ อดที่จะอยากรู้ไม่ได้เลยว่าคุณประธานของเรามันสนใจอะไรมากกว่าคนหล่อ ๆ อย่างผมกันล่ะเนี่ย ฮ่า ๆ



     " แล้วนี่เป็นห่าอะไรอีกอะ ? วันนี้หน้าโรงเรียนก็ไม่ได้ไปยืน " บางวันผมก็เห็นมันนะ แต่วันนี้ไม่เห็นหัว ปกติประธานนักเรียนเขาทำงานที่ห้องสภาฯ แต่มึงเล่นมานั่งอยู่ตรงนี้ มึงอู้ปะเนี่ย ?



     " วันนี้เวรสีม่วงไปยืนไม่ใช่กู เฮ้อ.. " มันถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้น " วันนี้มีประชุมคณะสีว่ะ แม่งยังตกลงกันไม่ได้สักที " พอได้ยินคำพูดกับหน้าแบบนี้ก็ชวนให้คิดถึงไอเฟิร์สจัง หน้าบล็อกเดียวกันเป๊ะ !



     " เรื่องไรวะ ? " ถึงจะพอรู้มาจากเฟิร์สนิดหน่อยว่าวันนี้จะมีประชุม แต่ก็อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมเหมือนกัน เรียกง่าย ๆ ครับว่าขอเสือกหน่อย ฮ่า ๆ



     " หลายเรื่องเลยว่ะ กูก็นั่งแคปไอที่มันทะเลาะกันในไลน์กลุ่มอยู่เนี่ย " สรุปแล้วก็ไม่ได้ห่าอะไรมาเพิ่ม จะถามทำไมวะเนี่ย..



     " เหรอ สู้ ๆ ละกันนะมึง " ผมเอื้อมไปตบบ่าให้กำลังใจมันเบา ๆ งานใหญ่ก็งี้แหละครับ ชอบไม่ลงร่องลงรอยกัน



     " ไอมิ้ลค์ เย็นนี้มึงไปกับกูด้วยเลย ! " อาร์มว่าพลางชี้นิ้วจ่อหน้าผมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เอ้า ! แล้วดึงกูเข้าไปเกี่ยวด้วยทำไม !?



     " เกี่ยวไรกับกูอะ !? " จะโวยวายใส่มันก็คงไม่แปลกใช่มั้ยครับ ? กูเป็นใครทำไมเอากูไปโยงเข้ากับเรื่องนี้ด้วยวะ



     " ขนาดกูเป็นประธานนักเรียนแม่งยังไม่ยอมเลยดูดิ อีกสีก็ตกลงอีกอย่างไม่มีปัญหา อีกสีแม่งก็ไม่พอใจจะเอาอีกอย่างให้ได้ ไปช่วยกูหน่อยนะมึงเก่งอะ " แล้วมึงเป็นถึงประธานนักเรียนทำไมไม่เด็ดขาดล่ะครับ !!



     เฮ้อ...ถึงอยากจะโวยว่ายังไงกูก็คงไม่ไปหรอก แต่เพราะเห็นหน้าของมึงตอนนี้เป็นหมาจนตรอกหรอกนะถึงช่วย



     " เออ ๆ แต่กูไม่รับปากนะว่าจะช่วยได้มากมั้ย " เห็นทีพระเอกอย่างผมต้องออกโล่งแล้วว่ะ หึหึ (ไม่มีศพต่อท้าย !)



     " ดีมาก ! ไปเป็นไม้กันหมา เอ๊ย ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย " มันหัวเราะแหะ ๆ แก้ตัวเป็นการใหญ่ เดี๋ยวกูหนีกลับบ้านแม่งเลยไอ้เวร " แล้วถ้ามึงช่วยกูนะเพื่อน กูจะแต่งตั้งมึงเป็นเลขาส่วนตัวให้เลย " เฮ้ย ๆ ไอเลขาส่วนตัวมึงเนี่ยกูไม่ได้อยากเป็นอยู่แล้ว มึงอย่ามาฉวยโอกาส !



     ยังไม่ทันที่ผมจะทักท้วงอะไร เสียงเริงร่าของคนที่ฝากกระเป๋าเมื่อครู่ก็เข้ามาแทรกระหว่างบทสนทนา



     " มินไปก่อนนะครับ หวัดดีครับ " มินพูดพลางยกมือขึ้นไหว้ปอนด์กับอาร์มปลก ๆ พลางเดินอ้อมมาหยิบกระเป๋าเป้ของเจ้าตัวข้างผม ๆ แล้วแยกออกไป



     " เดี๋ยวมิน !! " ผมเรียกผู้เป็นน้องที่พึ่งเดินไปไม่ได้กี่ก้าวให้หันมา พอดีนึกอะไรออกน่ะครับเลยเรียกมินให้กลับมา



     " ครับ ? "



     " นี่ไง เราอยากเป็นประธานนักเรียนไม่ใช่เหรอ พี่ฝากให้เอาเปล่า ? " ถึงตรงนี้หน้ามินดูงง ๆ ไม่ต่างอะไรจากคนตรงหน้าผมเท่าไหร่



     " ก็มึงบอกว่าอยากได้เลขาส่วนตัวใช่มั้ย ? นี่ไงน้องกู " ผมว่าพลางชี้ไปที่หน้าขาว ๆ ของมินเป็นตุเป็นตะก่อนจะหันกลับไปบอกน้องชาย " ส่วนเราก็อยากเป็นประธานนักเรียน พี่ก็ส่งเราให้ไปศึกษาก่อนจะได้รู้เนื้องานไง ดีปะ ? " มินที่ได้ยินแบบนั้นก็ตาลุกวาวเหมือนได้เลขเด็ด



     " ดีครับ !!! "



     " เอ่อ...คือ...กูอยากได้คนที่ไว้ใจได้ว่ะ โทษทีนะครับ น้อง.. " อาร์มพูดตะกุกตะกักกับผมก่อนจะหันไปขอโทษมิน ซึ่งคิดเหรอว่าน้องกูจะยอม หึหึ



     " ผมชื่อมินครับ ! เรียนอยู่ม. 4/1 !! " ไอน้องรักผมรีบแนะนำตัวเป็นการใหญ่ ไม่รู้เพราะรอยยิ้มที่ผมเองยังแอบชมว่าน่ารัก บวกกับสายตาอ้อนวอนของไอตัวแสบ มันทำให้คุณประธานของเราถึงขั้นต้องยอมง่าย ๆ เลยหรือเปล่า ฮ่า ๆ



     " จ่ะ พี่พอรู้จักเราจากมิ้ลค์มาบ้างแล้วล่ะ งั้น...เย็นนี้พี่รอน้องอยู่ห้องสภานักเรียนนะ " อาร์มพูดเสียงเนือย ๆ เหมือนไม่มั่นใจกับเจ้าน้องชายที่ตอนนี้ดีใจออกนอกหน้าไปแล้ว ส่วนผมก็พลอยดีใจตามไปด้วยที่เพื่อนสนิทอย่างอาร์มรับน้องผมไปดูแล รับรองเลยว่ามึงจะไม่ผิดหวังแน่นอน



     " เย้ !! ขอบคุณนะครับพี่อาร์ม ผมสัญญาจะตั้งใจทำงานนะครับ !! " มินยกมือขึ้นไหว้อาร์มในท่ากระโดดโลดเต้นก่อนจะวิ่งแจ้นหายไป มีเพียงใบหน้าอึ้ง ๆ ของท่านประธานนักเรียนที่มองมาเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง



     " น้องมึงนี่แรงดีเนอะ " อาร์มว่าพลางขำแห้ง ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองทางที่มินวิ่งไปแม้ร่างโปร่งจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น ฮ่า ๆ น้องกูมันก็เป็นอย่างนี้แหละ



     " เออน่า น้องกูไว้ใจได้ " ผมพูดยิ้ม ๆ พลางตบบ่ามันอีกรอบ อาร์มหันกลับมาพยักหน้าปลง ๆ ก่อนจะก้มไปจิ้ม Ipad เหมือนอย่างเก่า



     " แต่ถ้ากูรู้ว่ามึงใช้งานน้องกูเยี่ยงทาสเมื่อไหร่ กูเอามึงตายแน่ !! " ผมพูดเสียงแข็งพลางชี้หน้าคาดโทษ ก็พูดไปงั้นแหละครับเผื่อมันอยากจะทำขึ้นมาจริง ๆ ถึงอาร์มมันจะป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไปบ้าง แต่ก็เป็นอีกคนนึงที่ผมไว้ใจเลยนะ ฮ่า ๆ



####



     หลังจากห้องของพวกเราได้ทำการเข้าแล็บในรายวิชาภาษาอังกฤษของทิชเชอร์แอนนาก่อนคาบพักกลางวันเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายถิ่นฐานไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่โรงอาหารเหมือนเดิม แต่ที่รู้สึกไม่เหมือนเดิมคือวันนี้เพื่อนแม่งมาอยู่กันพร้อมหน้าเลยว่ะ บางครั้งบางคราวจะมีหายไปคนนึงบ้าง สองคนบ้าง เพราะมีธุระต้องไปทำเช่นคุณอาร์ม (อาทิตย์ที่แล้วผมนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว ฮือออออ) ทำให้โต๊ะของเราในโรงอาหารวันนี้ดูจะวุ่นวายเป็นพิเศษ สังเกตได้จากพี่ม.6 กับน้องม.4 รวมไปถึงเพื่อนห้องอื่น ๆ ที่ส่งสายตาอํามหิตดำมืดมายังกลุ่มเรา ผมที่เห็นถึงความผิดปกตินั้นก็ดีดนิ้วกลางวง ส่งสัญญาณให้ไอพวกนี้หยุดส่งเสียงดังและกินข้าวในจานของพวกมึงไปอย่างเงียบ ๆ เฮ้อ.. เบื่อจริง ๆ ไอพวกนี้



     แต่เป็นเวลาไม่นานที่พวกเราก่อความไม่สงบที่โรงอาหาร เพราะตอนนี้พวกเพื่อน ๆ พากันเดินตบตูดเล่นกันจนถึงห้องเรียนแล้ว (ไม่มีใครกล้าตบผมหรอกหึหึ) เมื่อถึงห้องไอเบ๊นซ์ก็วิ่งพรวดไปที่กระเป๋าจาคอปแบน ๆ ของมัน พลางหยิบถุงผ้าทรงสี่เหลี่ยมปริศนาขึ้นมาโชว์หรา ให้เพื่อนของมันได้ขมวดคิ้วงงกันเล่น ๆ ด้วยความเหลืออดผมเลยเดินไปโบกกะโหลกมันทีนึงแล้วบอกว่า " มึงอย่าลีลา มันคืออะไร ? " เป็นอันว่าได้คำตอบ เบ๊นซ์มันเห็นวันนี้เพื่อนอยู่กันพร้อมหน้า เลยชวนเล่นไพ่คิงด้วยกันซะเลย



     " วันนี้มึงมีประชุมไม่ใช่เหรออาร์ม ? ไม่เตรียมตัวไปประชุมหรือไง " เสียงซันถามขณะที่พวกเราจัดการเคลียร์โต๊ะออกด้านข้าง ให้เหลือไว้เพียงพื้นที่โล่ง ๆ สำหรับลงไปนั่งกองรวมกัน



     " กูสรุปท็อปปิคที่จะประชุมเย็นนี้เสร็จแล้ว ตอนนี้กูว่างจ้า..~~ " อาร์มตอบกลับด้วยเสียงร่า เมื่อเช้ามึงยังนั่งหมาหงอยเหมือนเจ้าของไม่ให้ข้าวแดกอยู่เลยนะสลัดผัก !



     อ๋อ ! สงสัยกันสินะครับว่าไพ่คิงคืออะไร คือเราจะเอาไพ่จากสำรับออกมาทั้งหมดสิบใบ ประกอบด้วยไพ่คิงหนึ่งใบ และตัวเลขหนึ่งถึงเลขเก้าอย่างละหนึ่งใบ คนไหนสามารถจับได้ไพ่คิงจากจำนวนทั้งหมดได้ ก็จะมีอภิสิทธิ์สั่งให้หมายเลขใดทำอะไรกับหมายเลขใดก็ได้ นึกถึงตอนที่ไอกั๊มพ์สั่งให้เบ๊นซ์ดูดคอคุณประธานแล้วก็สยิวขึ้นมาแปลก ๆ เลยว่ะ ส่วนผมก็โดนอะไรแปลก ๆ มาเยอะเหมือนกันครับ แต่ไม่บอกหรอกเสียภาพลักษณ์หมด ฮ่า ๆ เกมนี้ถ้าใจไม่ถึงจริง ๆ ผมแนะนำว่าอย่าเล่นเลย ซึ่งก็มีแล้วหนึ่งคนคือไอปอนด์ ผมแซ็วมันไปหลายรอบแล้วล่ะว่าป๊อดไม่กล้าเล่นอะสิ แต่เขาบอกกลับมาว่าปัญญาอ่อนใครจะไปเล่น (โอเค รู้เรื่อง) พวกเรามอบหน้าที่การเป็นเจ้ามือสับไพ่ให้ปิงปองมันครับ เพราะแม่งเซียนเรื่องนี้



     เมื่อปิงปองสับไผ่พลางกรีดให้พวกเราได้เลือกสุ่มกันง่าย ๆ แล้ว มือของผมก็พุ่งพรวดเป็นคนแรก ชิงมาอยู่ในมือได้หนึ่งใบ ผมค่อย ๆ แง้มดูด้านใต้ของไพ่ที่หยิบมาว่าเป็นเลขอะไร ไหนดูสิ้...เลขสี่ !!



     " ใครได้คิง ? " เสียงอาร์มแว่วถามหาผู้มีอำนาจสูงสุดว่าผู้นั้นคือใคร โทษทีว่ะแต่ตานี้กูไม่ได้เป็น



     " กูเอง " คนที่โชว์ไพ่แสดงถึงอำนาจสูงสุดคือไอกั๊มพ์ครับ ! เอาล่ะ ใครที่นั่งอยู่ตรงนี้จะโดนระเบิดลง !



     " กูสั่งให้หมายเลขเจ็ดตบหัวหมายเลข... " ประเดิมรอบแรกคือการตบหัวครับ ! แล้วคุณมึงจะยิ้มกริ่มตอนหยุดพูดทำห่าอะไรกูลุ้น !!



     " ห้า "



     " โหไอสาดดด !! " เจ้าของหมายเลขห้าคือเบ๊นซ์ครับ ฮ่า ๆ มันโวยวายพลางปาไพ่ลงกลางวงอย่างเซ็ง ๆ " ใครเจ็ดวะ ? "



     " กูเอง " ไออาร์มครับ มันกลั้วขำพลางหักนิ้วดังก๊อกแก๊กก่อนจะลงทัณฑ์ไอเบ็นซ์ซะลั่นห้อง ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ จบการประหารเราก็เก็บไพ่คืนให้ปิงปองสลับและหยิบกันมาคนละหนึ่งใบ



     ยังไม่ทันจะได้เปิดดูของตนว่าได้หมายเลขอะไร เสียงหัวเราะอย่างบ้าอำนาจของไอซันก็ขโมยความสนใจของคนทั้งวงไปเสียก่อน ถ้าให้ผมเดาแม่งต้องได้คิงชัว ๆ



     " ใครสาม !? " ซันพูดเอาซะจนผมสะดุ้งตัวโหยง เมื่อหมายเลขที่ปรากฏในมือคือหมายเลขที่มันกำลังเรียกหา



     " กูเอง " ผมบอกหน้าตายพลางยักคิ้วให้เหมือนรู้ใจว่าซันคงไม่แกล้งอะไรหรอก ทางนั้นก็คงคิดเหมือนกัน หึหึ



     " หึหึ กูขอสั่งให้มึงตบหัวหมายเลขสอง "



     " ใครสอง ? " ผมพูดพลางกวาดสายตารอบวงหาผู้โชคดีรายนั้นว่าคือใคร เอาล่ะ ได้ลงไม้ลงมือกับเขาสักที หึหึ



     เจ้าของหมายเลขที่ขานรับคือไออาร์มครับ ก๊ากกกกกก ความเจ็บปวดครั้งนี้ กูขอยัดความหมั่นไส้ที่มึงไม่ยอมปลุกกูตอนนั้นแล้วกัน ' ผลัวะ !!!!!! ' ดังขนาดไอปอนด์ที่นั่งฟังเพลงอยู่ประตูหลังห้องหันมามองอะครับ ฮ่า ๆ สะจายยย



     " โอ๊ยไอสัดมิ้ลค์ ! มึงโดนกูแน่ ! " มันร้องโอดครวญพลางเอาไพ่ที่พึ่งได้ตากี้คืนปิงปองให้ทำหน้าที่ต่อ แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มใหม่ เสียงเรียกของปอนด์ก็ทำให้ผมต้องหันไปหา



     " มิ้ลค์ ! มีคนมาหาอะ " ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็คิดตามว่าเวลาแบบนี้ใครจะมาหาวะ พลางลุกขึ้นสะบัดตูดนิดหน่อย (เห็นอาร์มทำท่าปิดจมูกด้วย เดี๋ยวกูหลังมือ) ก่อนจะลุกไปประตูหลัง



     เมื่อมาถึงด้านนอก คนที่ยืนฉีกยิ้มและอุ้มกองหนังสือก็ไม่ใช่ใครอื่น



     " อ้าวหวัดดีเฟิร์ส ! มีไรเปล่า ? " ผมทักมันยิ้ม ๆ เห็นมันยื่นกองหนังสือเล่มคุ้นหน้าคุ้นตามาให้



     " ก็เนี่ยอะเราเอามาคืน ตอนมิ้ลค์ไปบ้านเราก็ลืมคืนซะสนิทเลย โทษทีนะ " เฟิร์สกล่าวขอโทษเป็นการใหญ่ก่อนที่ผมจะรับปึกหนังสือมา คงเป็นตอนที่มันไปนอนค้างบ้านผมแล้วยืมหนังสือล่ะมั้ง



     " อ๋อไม่เป็นไร ขอบใจนะ " ผมพูดยิ้ม ๆ " แล้วนี่มีไรอีกเปล่า ? "



     " ไม่มีแล้ว " เฟิร์สส่ายหัวพรืดแต่ผมก็ยังซักต่อ



     " แล้วนี่ไปไหนต่อเปล่าเนี่ย ? "



     " อืมม ก็ไม่ได้ไปไหนนะ เราว่างน่ะ คงเดี๋ยวกลับห้องเลย " เฟิร์สพูดต่อเป็นอันเข้าใจ



     " เฮ้ยไอมิ้ลค์ ! ไว ๆ หน่อย กูจะจัดการมึง !!! " เสียงไออาร์มตะโกนเรียกชื่อผมจนต้องหันหลังกลับไปตะโกนตอบ " เออ ! รู้แล้ว !! " ฆ่าพี่มันไม่ง่ายนะน้อง ฮ่า ๆ



     " งั้นไปก่อนนะ " เฟิร์สโบกมือลาพลางก้าวเท้ากลับไป แต่ !!



     " เดี๋ยวก่อนเฟิร์ส !! " เจ้าของชื่อนั้นหันกลับมาเลิกคิ้วสูงเหมือนกำลังถามว่ามีอะไรอีก



     " หื้อ ? "



     หึหึ " ตากี้บอกว่างใช่ปะ ? มาเล่นกัน " ยังไม่ทันที่เฟิร์สจะบอกเล่นหรือไม่ แขนของมันก็ถูกผมลากเข้ามาในตัวห้องเป็นที่เรียบร้อย



     " เฮ้ย ! ไอเฟิร์สเล่นด้วย " ผมเอาหนังสือไปไว้ใต้โต๊ะก่อนจะลากเฟิร์สที่ยืนงงว่าพวกมึงทำห่าอะไรกันมานั่งลงใกล้ ๆ เดือดร้อนให้ปิงปองเพิ่มไพ่จากสำรับอีกหนึ่งใบ ผมอธิบายการเล่นให้เฟิร์สฟังพลางบังคับมันให้เล่น (รู้สึกตัวเองเผด็จการจัง) เห็นมันพยักหน้ามึน ๆ ไม่รู้ว่าเข้าใจหรือเปล่า แต่จะรออะไรกันอีกล่ะครับ ลุยยย



     ผมมองปิงปองที่สลับกองไพ่ซะละเอียดยิบกว่าทุกทีจนรู้สึกหวั่นใจชอบกล แต่ก็ต้องใจดีสู้เสือครับ เพราะวันนี้ยังไม่โดนทำอะไรแปลก ๆ เลย ผมหยิบมาหนึ่งใบเหมือนเดิม ครั้งนี้ได้เลขเก้า เลขสุดท้ายเลยว่ะ..



     " ใครคิง ? " ผมถามกลับไปเรียบ ๆ ทำไมรอบนี้มันดูหวิว ๆ จังวะ ! แค่มีคนมาเพิ่มเอง



     " กู " อาร์มตอบสั้น ๆ พลางส่งสายตาที่มีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยมว่าไอคนที่มันมองอยู่ตอนนี้ต้องโดนแน่ ๆ ถ้าไอห่านี่ได้เป็นคิง ทุกคนรู้ดีครับว่าจะโดนอะไร..



     " กูขอสั่งให้เลขหนึ่งตบหัวเลขเก้าแรง ๆ !! " ครั้งนี้ดูบทลงโทษจะเบากว่าทุกที แล้วผมก็โดนมันจริง ๆ นี่มึงมองทะลุไพ่ได้ด้วยเหรอวะว่ากูได้เลขอะไร ? แต่ถึงจะสั่งแบบนั้นใครจะกล้าทำกู หึหึ



" กูเก้าเองแหละ " ผมแสดงหมายเลขของผู้ถูกกระทำในมืออย่างสบายอกสบายใจให้ทุกคนได้ตราตรึง เหลือเพียงผู้กระทำเองแหละครับว่ามันคือใคร หึหึ



     " เราได้เลขหนึ่งเราก็ต้องตบหัวเลขเก้าเหรอ ? " ผมเหล่มองไอคนที่ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจกติกาว่าต้องจับต้นชนปลายยังไง จนอาร์มต้องออกปากเปิดทางให้



     " ช่ายยยยเฟิร์ส นายได้เลขหนึ่ง เพราะฉะนั้นนายต้องตบหัวมิ้ลค์ แต่.. " ผมหลุดขำให้กับไออาร์มที่อยู่ดี ๆ ก็หยุดพูดไป สิ่งที่มันพูดต่อน่ะผมรู้ดี ฮ่า ๆ ยังไงเฟิร์สมันก็ไม่กล้าตบหัวผ...



     ' ป้าบ !!!!!!!!!! '



     ยังไม่ทันที่จะตั้งตัว ฝ่ามือหนาของเฟิร์สก็มาสัมผัสเข้ากับหัวผมอย่างรุนแรง ถ้าใช้เครื่องวัดความดัง แม่งคงดังกว่าที่ผมตบไออาร์มอีก เพื่อน ๆ ตอนนี้นั่งหน้าเหวอกันหมด เหมือนถูกตั้งคำถามว่ามึงกล้าตบหัวไอมิ้ลค์ได้ยังไง ไอซันทำปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ถูกมือผมยกขึ้นมาห้ามปรามไว้



     " นับว่ามึงกล้ามากนะไอเฟิร์ส " ผมชี้หน้ามันที่ตอนนี้หลุดยิ้มกับการกระทำของมัน แถมแว่วเสียงหัวเราะเฮลั่นของเพื่อนทั้งวงอีก กูว่าตอนนี้เพื่อนแม่งคงไม่กลัวกูกันหมดแล้วมั้งสาดดดดดดดดด



     " เชี่ยเฟิร์สแม่งใจว่ะ กูสนิทกับไอมิ้ลค์ยังไม่กล้าตบเลย " เสียงใครไม่รู้แหละพูดขึ้น เพราะมันตีกับเสียงหัวเราะที่ยังดังไม่มีหยุด อย่าให้กูรู้นะว่ามึงเป็นใคร



     " ไว้หน้าบอสกูหน่อยก็ได้นะเฟิร์ส " แต่นี่เป็นเสียงไอซันแน่นอน เพราะมันจงรักภักดีกับผมจะตาย ใครทำร้ายหรือแกล้งผมจบไม่สวยกับไอนี่ทั้งนั้น



     " อย่าไปใส่ใจ ต่อ ๆ " ผมตัดบทพวกเชี่ยนี่จากไอเฟิร์สที่ไม่มีทีท่าว่าจะอวยมันจบ ถึงมึงจะมาเขย่าแขนขอโทษก็ไม่ทันแล้วโว้ย ฮึ !



     ผมปั้นหน้าเหวี่ยงจั่วมาจากมือปิงปองอีกหนึ่งใบโดยหวังจะเป็นคิง แต่เป็นเลขสอง !!! โว้ยยยยย ทำไมกูไม่ได้เป็นคิงบ้างวะ !!? กูจะวางนิวเคลียร์กลางวงแม่งเลยสัด กูหมั่นไส้แล้ว !!!



     " ใคร !!! " ผมถามเสียงแข็ง แล้วก็เป็นแม่งอีกแล้วที่ได้คิง โว้ยยยยยยยยยยยยย



     " กู...เอง " ไออาร์มลากเสียงกวน ๆ ปั่นประสาทผม เดี๋ยวกูพาลไม่ไปช่วยงานมึงตอนเย็นเลยนี่ไอสัด " ใครเลขสอง " ถึงตอนนี้ผมโยนไผ่ลงกลางวงเพราะตัวเองคือหมายเลขนั้น



     " ดี " อาร์มยิ้มยั่ว ๆ " กูขอให้มึงหอมแก้มหมายเลข...สี่ "



     " มึงเอาจริงเหรอวะอาร์ม !? " ได้ยินคำนั้นไอซันก็ออกตัวใหญ่ เฮ้ยแค่จุ๊บแก้มเอง กูไม่ท้อง ๆ อันนี้ยังถือว่าสบาย ๆ



     " เออ กูเอาจริง ใครเลขสี่ " มันยังคงเค้นหาเจ้ากรรมที่จะโดนผมกระทำชำเราต่อ ไม่ต้องห่วงครับ คนในวงนี้โดนหอมแก้มกันอยู่บ่อย ๆ เพราะไอเชี่ยนี่สั่งนี่แหละ



     เสียงเจ้าของหมายเลขสี่กระเส่าจนผมต้องหันไปมองด้านข้าง เจ้าของเสียงนั่นไม่ใช่ใครอื่น..



     " ระ...เราเอง "



     ไอเฟิร์ส..



     ในตอนที่ผมเอาหน้าพุ่งพรวดหมายจะฝั่งรอยจูบที่แก้มเนียน ๆ ของเฟิร์สให้มันจบ ๆ ไป แขนยาว ๆ ของใครไม่รู้ก็ฉุดคอเสื้อให้ผมต้องหยุด อ็อก ! กูหายใจไม่ออก ใครวะ !?



     " เดี๋ยว ! " ไอเชี่ยอาร์มเองครับ มึงจะมาขัดจังหวะเพื่อ ?



     " กูขอเปลี่ยนใหม่...เป็นจูบปาก " มีการเปลี่ยนด้วย !? เออได้ !! ผมได้ยินคำนั่นก็พุ่งไปที่ปากของเฟิร์สอีกรอบเพื่ออยากให้มันจบไว ๆ แต่แม่งก็มากระชากคอเสื้อผมอีกแล้ว โอ๊ย ! อะไรนักหนาวะ !!!



     " มึงใจเย็นดิมิ้ลค์ กูยังสั่งไม่เสร็จ กูขอสั่งให้มึงจูบค้างเอาไว้...สิบวิ " พ่องเหอะ จูบค้างไว้สิบวิ ถ้ากับแฟนกูกล้าแต่นี่มันเพื่อนกูนะเฮ้ย !!



     อาร์มเหมือนจะรู้ทันว่าผมจะพูดแก้ตัวอะไร " หรือมึงไม่กล้า ? " มันยักคิ้วกวน ๆ เหมือนท้าทาย แต่ไอการที่มึงท้าทายคนอย่างกูมันไม่ใช่เรื่องว่ะ



     " เฟิร์ส ! หันมา !! " ผมเอื้อมไปจับไหล่แกร่งทั้งสองข้างของคนข้าง ๆ พลางเหวี่ยงกลับมาให้ใบหน้าของเราทั้งคู่ได้ขนานกัน



     เอาวะ ! เป็นไงเป็นกัน !!



     " เดี๋ย.. " ยังไม่ทันที่คนตรงหน้าจะห้ามปราม ริมฝีปากของผมก็กดเข้าหาปากหยุ่น ๆ ของเฟิร์สโดยที่ทางนั้นไม่ทันตั้งตัว กลีบปากของคนที่จูบอยู่ดูตระหนกไม่น้อยที่ผมเป็นฝ่ายจู่โจม ผมข่มตาลงเพื่อให้มีสมาธิต่อสิ่งที่กำลังทำ แม้จะแว่วเสียงโห่ร้องรอบด้าน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราทั้งคู่ต้องหยุด ความสั่นเทาของผู้ชายคนนี้ที่เคยมีอยู่ค่อย ๆ ลบเลือนหายไปราวกับสามารถควบคุมทุกอย่างได้แล้ว



     เราจูบกันท่ามกลางหมู่เพื่อนอยู่นาน จนเฟิร์สเป็นฝ่ายถอนความหวานนี้ออกไป..



     " ครบแล้ว " เฟิร์สพูดเสียงแผ่วเบาในลำคอเรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ ภาพตรงหน้าที่เห็นคือเฟิร์สพยายามเบือนหน้าหนีไปทางอื่นซึ่งไม่ต่างจากผมในตอนนี้ ที่เอาแต่มองชายกางเกงสีน้ำเงินของตัวเอง



     ผมอธิบายความรู้สึกที่เป็นอยู่ไม่ได้เหมือนกัน..



     มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่.. ที่ผมเองก็ไม่เคยรู้สึกมาก่อน



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:07:49
Not to be unlocked : Episode 11 : หวานมั้ยล่ะ



     เมื่อได้ยินเสียงออดคาบสุดท้ายของวันหมดลง ผมกับอาร์มก็หยิบกระเป๋าวิ่งพรวดไปห้องประชุมตึกสิบสามในทันใด



     สำหรับการประชุมคณะสีครั้งนี้จริง ๆ อาร์มมันนัดไว้สี่โมงเย็นครับ แต่ที่ผมบอกมันให้มาตั้งแต่บ่ายสองเพราะจะต้องเตรียมตัวสำหรับการประชุมก่อน รวมไปถึงฟังรายละเอียดว่ามีประเด็นอะไรต้องถกขึ้นมาเถียงบ้างจากปากคุณประธานนักเรียนและเลขาสภาฯ (เพื่อนพีทนั่นเอง) จากที่ฟังสองคนนี้เล่า ๆ มายืดยาวพบว่ารบศึกครั้งนี้ไม่หมูเลยว่ะ



     จวบจนเวลาเหลือประมาณสิบนาทีก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น ผมจัดการให้เป็นเวลารีแลคของพวกเราสักหน่อยดีกว่า เพราะตอนนี้ผมคิดว่าเตรียมตัวกันมาเยอะพอสมควร เลยถือวิสาสะเดินตรงดิ่งไปที่เครื่องทำน้ำร้อนข้าง ๆ ชงกาแฟยามบ่ายดื่มซะเลย ฮ่า ๆ ถ้าโดนอาจารย์ด่าก็ขอโบ้ยไปยังคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะการประชุมก็แล้วกัน



     " ยังไงกูก็ตกใจมึงอยู่ดีว่ะที่กล้าไปจูบปากไอเฟิร์สแบบนั้น " เสียงไอ้อาร์มแว่วแปลกใจมาจากด้านหลังจนผมต้องส่ายหัวในความเบื่อหน่าย นี่กูนึกว่ามึงจะจบเรื่องห่านี่ได้แล้วนะ วันนี้ผมนับรวมกับเพื่อนในวงที่แม่งพูดเรื่องนี้ได้ราว ๆ แสนรอบเห็นจะได้แล้วล่ะ



     " อะไรวะ แค่ผู้ชายจูบปากกันเอง ไม่เห็นเป็นไรเลย " ผมพูดไปแบบนั้นเพราะว่ามันก็เรื่องปกติที่เพื่อนผู้ชายเขาทำกัน..



     หรือเปล่า ?



     " ไอควาย กูกับมึงสนิทกันจะตายห่า ยังไม่กล้าทำแบบนั้นเลย " ก็อย่างที่มันว่าน่ะครับ มากสุดผมอนุญาตให้มันแค่ตบหัว แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นมึงตาย !!



     " ก็มึงท้ากูเองอะ ช่วยไม่ได้ มึงก็รู้นี่กูเป็นคนยังไง " ผมพูดก่อนจะนำกาแฟแก้วที่ชงอยู่ยกขึ้นมาจิบ อื้ม หวานกำลังดี ว่าแต่ท่านผู้อ่านรับสักแก้วมั้ยครับ ?



     " แต่กูก็พึ่งมาสังเกตมึงช่วงนี้นะ มึงไปสนิทกับมันตั้งแต่เมื่อไหร่ ? แถมวันนั้นมันก็ลากแขนมึงเข้าห้องน้ำอีก กูเห็นนะเว้ย " อ้าว เห็นด้วยเหรอวะ ? คงไม่แปลกมั้งเพราะผมแหกปากซะลั่นโรงเรียน ฮ่า ๆ



     " ไม่มีอะไรหรอก เอากาแฟมั้ย ? "



     " กูถามว่าไปสนิทกันตอนไหน !? " เค้นกูจริง ๆ ไอห่าหนิ อุส่าโบ้ยให้ไปสนใจกาแฟแล้วนะ งั้นถ้าไม่สนใจกูชงให้เลยแล้วกัน



     ผมพูดในตอนฉีกซองกาแฟสีแดงลงในแก้ว " ก็...หลังจากที่มันช่วยงานกูจนเสร็จ กูก็ตอบแทนมันซึ่งเป็นเรื่องปกติ ส่วนไอวันนั้นน่ะกูเจอมันเลยเข้าไปทักทาย แล้วอยู่ดี ๆ แม่พรมาจากไหนไม่รู้เหมือนจะเข้ามาหากู แม่งเลยลากกูเข้าไปหลบในห้องน้ำ ไหนจะวันเสาร์อีก กูก็พึ่งรู้นะว่าเจ้าของร้านมีลูกชาย แล้วลูกชายของเขาก็เป็นแม่งอีก อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นวะ " ก่อนจะนำแก้วกาแฟที่ชงแล้วอีกใบไปเสิร์ฟผู้ทรงอำนาจแห่งการประชุมวันนี้ " เคลี๊ยร์ ? "



     " ไม่เคลียร์ไอสัด " อาร์มว่าพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ " หื้มมมม กลมกล่อมกำลังดีเลยว่ะมิ้ลค์ " มึงบอกไม่เคลียร์แล้วไหงไปสนใจกาแฟแทนแล้ววะ โว้ะ



     ผมกับอาร์มดื่มด่ำบรรยากาศสุดชิลล์ จนเข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาภายในตัวห้องเดินมาหยุดที่เลขสี่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าการประชุมจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า พีทที่หายตัวไปตั้งแต่อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ เสร็จก็กลับมาพร้อมกับเอกสารอีกหลายแผ่น



     ผมยิ้มรับพีทที่พึ่งเข้าห้องมาหมาด ๆ พลางลุกจากเก้าอี้และก้าวเท้าไปยืนข้าง ๆ อาร์มประหนึ่งบอดี้การ์ดส่วนตัว เพียงไม่ช้าประตูห้องก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นบรรดาผู้มีอำนาจสูงสุดของแต่ละสี เดินทยอยเข้ามานั่งเก้าอี้ด้วยสีหน้าปลง ๆ หนึ่งในนั้นมีเฟิร์สที่น่าจะมาเป็นตัวแทนประธานสีแดงอย่างคิงคองด้วย ผมที่เห็นมันก็ไม่ลืมทักทายโดยการยักคิ้วให้หนึ่งที แต่แม่งไม่มองหน้าผมกลับเลยว่ะ เกิดห่าอะไรขึ้นอีกล่ะนั่น ?



     ตอนนี้ที่นั่งสำหรับประธานสีได้ถูกทุกคนจับจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงเก้าอี้ตัวสุดท้ายของประธานสีม่วงเท่านั้น ผมรู้จักเขาดีครับ มันชื่อเจสสิก้า ประธานคณะสีม่วงพวงดีกรีหัวหน้าแก๊งนางฟ้าของโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ อาร์มมันแอบหลังไมล์มาครับว่าไอนี่แหละตัวปัญหา เตรียมตัวรับมือให้ดี



     ผมยกจีช็อคที่ข้อมือขึ้นมาดูเวลาทันที เมื่อร่างอวบอ้วนปรากฏตัวให้ผู้มีอำนาจคนอื่น ๆ ได้เห็น ขาป้อม ๆ เดินทอดน่องอย่างไม่เร่งรีบ มือข้างขวาโบกสะบัดพัดจีนขนนกสีสวยไปที่ตำแหน่งเก้าอี้ของตน กะเทยตัวอ้วนคนนั้นไม่ชายตามองสายตาใดที่จับจ้องอยู่ขณะนี้ เห็นแล้วอยากเตะตัดขาให้ล้มจริง ๆ สายไปตั้งห้านาที เฮ้อ.. แต่เอาเถอะ ในเมื่อมากันครบแล้ว ผมขอประกาศให้การประชุมเจ็ดเทพโจรสลัดเริ่มขึ้น ณ บัดนี้...นี้...นี้



     ตอนนี้ทุกคนเหมือนถูกแปะป้ายไว้ที่หน้าว่าผมเป็นใคร แล้วมึงมาทำอะไรที่นี่ ไม่ต้องตกใจกันครับเพื่อน ๆ " สวัสดี เราชื่อมิ้ลค์นะ ทุกคนคงเคยเห็นเราอยู่กับอาร์มบ่อย ๆ วันนี้เราจะมาเป็นผู้ช่วยของอาร์มในการตัดสินและฟังความเห็นของแต่ละฝ่าย ยังไงเราก็รบกวนด้วยล่ะ " ผมกล่าวทักทายยิ้ม ๆ ให้แก่บรรดาเพื่อนประธานสีพอเป็นพิธี ทุกคนที่ตีหน้ามึนในตอนแรกก็ถึงบ้างอ้อ พยักหน้ารับเป็นอันเข้าใจ เมื่อทักทายกันพอสมควร ผมก็ขอให้พีทเป็นธุระแจกเอกสารที่พึงนำมาจากห้องสภาฯ แก่ทุกคน และไม่ลืมหยิบมาเป็นของตัวเองหนึ่งแผ่น ก่อนจะพูดทบทวนรายการปัญหาที่ตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ให้กับทุกฝ่ายได้ฟัง



     ผมที่ทวนรายการปัญหาครบถ้วนย้อนกลับมาที่หัวข้อที่หนึ่งใหม่อีกครั้ง ประเด็นนี้ค่อนข้างมีปัญหาอยู่มากครับ มันคือประเด็นของงบประมาณที่ทางโรงเรียนมอบให้ ดูเหมือนประธานสีหลาย ๆ คนจะไม่พอใจถึงเงินเพียงแค่ห้าหมื่นบาทที่ทางโรงเรียนจัดสรรให้มาบริหารงานในส่วนต่าง ๆ ภายในสี ผมที่ยืนฟังความเห็นของแต่ละฝ่ายก็มีแง่คิดที่แตกต่างออกไป เลยเสนอให้ทุกคนเปลี่ยนมาใช้เป็นวัสดุเหลือใช้ จัดการฝ่ายพาเหรด ฝ่ายอาร์ท อื่น ๆ น่าจะดีต่องบประมาณที่ทางโรงเรียนออกให้ ซึ่งถ้าหากต้องการงบประมาณเพิ่มกว่านี้ ให้ทางคณะสีจัดทำสปอนเซอร์หรือเรี่ยไรเงินจากลูกสีมาบริหารจัดการจะดีกว่า เพราะถึงโวยวายไม่พอใจยังไงทางโรงเรียนก็ให้งบประมาณที่มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เป็นอันว่าประเด็นนี้ทุกคนเข้าใจและเห็นด้วยกับผมดี เว้นแต่ไอเจสสิก้าคนเดียวที่ดูขัดใจเวลาผมเถียงด้วยเหตุผลชนะ มันคงไม่ยกพวกแก๊งนางฟ้ามาอัดตูดผมใช่มั้ย ?



     ประเด็นถัดมาคือเวลาในการเข้าร่วมกิจกรรม ประเด็นนี้ไม่ได้ปวดหัวเหมือนประเด็นก่อน เพราะเด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าเรียนอยู่แล้ว รวมไปถึงไอพวกที่นั่งหน้าสลอนตรงนี้ด้วย !! แต่มึงจะสอบมิดเทอมแล้วกันแล้วนะเฮ้ย ! หัวข้อนี้ประธานนักเรียนคนเก่งของเราเป็นคนลงมืออธิบายด้วยตัวเอง ว่าจะยื่นเรื่องไปทางฝ่ายวิชาการโรงเรียนให้ โดยลดคาบเรียนละห้านาทีเพื่อให้ทุกชั้นปีได้มีส่วนร่วมกับกีฬาสี ส่วนผมคิดว่าไอการลดคาบเรียนมันไม่ได้เป็นประเด็นใหม่ที่น่าสนใจเท่าไหร่ในเมื่อก็ทำอยู่ทุกครั้ง ปีที่แล้วผมเป็นตัวแทนเดินพาเหรดครับ ที่เหนื่อยไม่ได้เหนื่อยเดินหรอก แต่ชุดแม่งนี่ดิ อย่างกับรถถัง ! จะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่แล้วเนี่ยหายใจก็ไม่ออก ฮ่า ๆ



     ถึงจะบ่นเรื่องขบวนพาเหรดไปหยก ๆ แต่ก็ถูกยกมาเป็นประเด็นต่อไปเหมือนกันครับ เพราะในแต่ละสีจะต้องจัดตั้งคอนเซ็ปต์ (ปีที่แล้วสีผมคอนเซ็ปต์โรบอทครับ ซึ่งผมก็งงว่าสีแดงมันเข้ากันได้ยังไง) รายละเอียดเรื่องนี้ถูกเลขาสภาฯ อย่างพีทระบุไว้เรียบแล้วว่าวันนี้ทุกสีจะต้องมาตกลงเรื่องคอนเซ็ปต์กัน มิหนำซ้ำอาร์มก็กำชับบอกในไลน์กลุ่มแล้วด้วย แรก ๆ มีปัญหากันนิดหน่อยครับ เพราะสีเหลืองกับสีส้มบังเอิญเลือกคอนเซ็ปต์อียิปต์เหมือนกัน แต่ทางสภาฯ อนุโลมให้สองสีนี้มาแจ้งคอนเซ็ปต์ภายในอาทิตย์หน้าใหม่ได้ ส่วนสีแดงไออาร์มออกปากเองครับว่าเอาคอนเซ็ปต์ปีศาจ โดยมันแอบไปคุยกับคิงคองกันสองคนตอนไหนไม่รู้ (แล้วถ้ามึงรู้กับคิงคองสองคนจะลากไอเฟิร์สมาเพื่อ ? ตั้งแต่มันเข้ามายังไม่เห็นพูดอะไรสักแอะ) แต่ต้องตกตะลึงกับสีม่วงของแม่เจสสิก้าที่เลือกคอนเซ็ปต์อย่างผีเสื้อ ผมไม่มีปัญหากับผีเสื้อครับ แต่ผู้ชายคนอื่นจะยอมกับคุณมึงมั้ยนี่ก็อีกเรื่องนึง



     ผมอธิบายต่อโดยมีอาร์มกับพีทช่วยขยายความจนครบทุกประเด็น และมีปัญหาตามมาทุกประเด็น !! พวกผมสามคนเหนื่อยสัด ๆ เพราะไอ้เจสซิก้าจะยิงคำถามที่ส่งผลประโยชน์ต่อสีของมันทุกหัวข้อ ! มีเพียงเฟิร์ส กวินประธานสีเหลือง ภูมิประธานสีส้ม เท็นประธานสีเขียว ที่ดูจะยอมอ่อนข้อให้ ทางผมไม่รู้จะตัดสินยังไง เลยได้แต่เสนอวิธีฟังเสียงส่วนมาก ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ออกมาอย่างเป็นเอกฉันท์ในภายหลัง อีเจสซิก้า !! ก็ต้องทำใจพ่ายแพ้ไป ช่วงแรกผมก็เรียกไม่มีคำหน้าชื่อหรอกครับ แต่หลัง ๆ มันกวนตีนหรืออะไรไม่ทราบ เรียกน้ำโหคนที่ประชุมอยู่ด้วยกันได้เกินครึ่ง โชคเข้าข้างมันที่ผมยังมีสติอยู่ ไม่งั้นกำปั้นได้ลอยไปซัดหน้าหงายแน่



     เมื่อทุกประเด็นถูกเรายกขึ้นมาตีแผ่ขยายความจนสมานฉันท์ ก็ถึงเวลาต้องยอมรับความจริงและมุ่งหน้าทำหน้าที่ของแต่ละสีต่อไป " ใครมีอะไรสงสัยมั้ย ? " ถึงสุดท้ายจะจบทุกประเด็น แต่หากใครมีข้อสงสัยผมจะได้จัดการเคลียร์ให้ เคลียร์นี่หมายถึงขยายความเพิ่มนะครับ ไม่ได้ลากไปต่อยนอกห้อง แล้วก็มีคนตั้งคำถามให้ผมตอบจริง ๆ ด้วย เจ้าเก่าเจ้าประจำของเรานั่นเอง เฮ้ออออ



     " นายมิ้ลค์ " ผมเลิกคิ้วปั้นหน้าแค่นรอยยิ้ม มองข้ามหัวเพื่อน ๆ ไปหาคนที่นั่งอยู่เก้าอี้ประธานสีม่วงอย่างสู้ดี ทุกครั้งที่แม่งถามจะเรียกอารมณ์อยากหาอะไรแข็ง ๆ ไปกระแทกหน้ามันทุกรอบ





     " นายนี่ก็เก่งดีเนอะ ทำให้พวกเราตัดสินใจกันได้เนี่ย " ผมน้อมรับคำชมนั้นทั้งหมด ซึ่งไม่รู้จริง ๆ แล้วเจ้าตัวจะปั่นหัวเล่นหรือหมายถึงอะไร



     " นั่นคำถามที่จะให้ตอบหรือเปล่า ? " ตอนนี้ผมได้แต่พร่ำบอกตัวเองว่ามึงใจเย็น ๆ ก่อนนะไอมิ้ลค์ !!



     " เปล๊า จริง ๆ เราแค่อยากรู้ว่า...ปากอมชมพูของนายเนี่ย...มันจะหวานเหมือนกับหน้าของนายหรือเปล่าน้า ? " เฮ้ย !! แล้วมึงจะมาสงสัยอะไรปากกับหน้ากูวะ !! แล้วไอปากหวานที่มึงว่านี่หมายถึงพูดเพราะหรืออะไร !? ผมยอมรับในตอนแรกว่าหน้าของตัวเองเหวอไปยกใหญ่เพราะไม่รู้ควรจะตอบยังไงดี แต่ผมแสดงสีหน้าแบบนั้นได้ไม่นานหรอกเพราะคำตอบนั้นน่ะ..



     มันมีคนรู้เหมือนกัน



     " เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าปากเราหวานมั้ย ถ้าอยากรู้...ก็ลองไปถาม.. " ลูกตาผมค่อย ๆ เหล่ไปหาคำตอบที่นั่งอยู่ช่วงสองเก้าอี้อย่างมีเลศนัย ทางนั้นเหมือนจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร ก็ส่งสายตาดุ ๆ มาให้ขวับ



     " อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานสิครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราขอตัวก่อนนะ " เฟิร์สที่นั่งเงียบตั้งแต่เริ่มประชุมลุกขึ้นมาพูดพลางมองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินผลักประตูออกไป เสียงหลุดขำของอาร์มที่น่าจะรู้อยู่เหมือนกัน นำให้ผมถึงกับหลุดขำร่วมด้วย



     ทำไมไม่ตอบก่อนล่ะว่าหวานมั้ย หึหึ



####



     เฮ้ออออออออออออออออออ



     โบราณว่าการถอนหายใจจะทำให้อายุสั้นลงสินะ แต่ผมตอนนี้คงไม่สนแล้วล่ะ เพราะว่าหมดเวรหมดกรรมกับอีเจสสิก้าสักที !! ถึงสงครามประสาทจะจบลง แต่ไอคำถามสัปดนแต่ละอย่างของแม่งยังสามารถวกมาเล่นงานสมองผมให้ปวดเล่น ๆ อีก เอาเข้าไปสิ ตอนนี้ผมหนีมานั่งทำใจในห้องสภานักเรียนแล้วครับ



     ผมถอนหายใจอีกยาวพรืดบนเก้าอี้ทำงานของประธานนักเรียน พลางมองหาสิ่งจรรโลงใจว่าบนโต๊ะทำงานของมันน่าจะมีอะไรทำมากกว่าเอกสารกองโตที่แม่งตั้งไว้อยู่หลายกอง คือคุณมึงจะดองไว้ไม่ทำเลยใช่ปะ ? มึงเป็นประธานนักเรียนภาษาแมวอะไรดองงานไว้เยอะขนาดนี้



     " ไหน ๆ มึงก็กลับมานี่ละ จัดการเอกสารทั้งหมดนั่นให้กูด้วยก็ดีนะ " เสียงอาร์มสั่งผมขณะนอนอยู่บนโซฟา สไลด์ฟรุ๊ตนินจาในไอแพตของมันอย่างสบายอกสบายใจ ไอเชี่ย ! นี่กูพึ่งบ่นไปยก ๆ เองนะสัด ! พีทคงเห็นหน้าผมตอนนี้มั้งครับเลยหันมายิ้มให้ปลง ๆ พิมพ์เอกสารต่อไปเถอะพีท



     " ไอสาดดด มึงก็มาทำของมึงเองดิ เมื่อกี้กูช่วยมึงไปตั้งเยอะ " ว่าแต่โต๊ะมึงไม่มีของเล่นจริง ๆ เหรอวะ แล้วในตู้เย็นมีไรกินบ้างมั้ย ?



     " แต่มึงแม่งก็เจ๋งจริงนั่นแหละที่กล้าสู้กับไอห่าเจสสิก้า มึงรู้มั้ยคนทั้งกลุ่มไลน์ลุมมันยังไม่ชนะเลย " พีทที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเป็นแนวร่วม



     " ใช่ พอเราได้ยินความคิดของมิ้ลค์แต่ละอย่างนะ เรายังอยากให้มิ้ลค์มาทำงานกับสภาฯ เลยเนี่ย " เอ่อพีท...เราไม่ชอบเอาหน้าว่ะ เราชอบเอาหลัง เฮ้ยไม่ใช่แล้ว !! หมายความว่าชอบเป็นเบื้องหลังสิถึงจะถูก



     " หึหึ ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง " แต่นมรสสตรอเบอร์รี่ในตู้เย็นนี่กินได้ใช่มั้ย ? ผมยกขวดนี่ให้อาร์มดูเป็นเชิงว่าจะกินนะ เห็นมันพยักหน้าอนุญาตแล้วก็เดินกลับไปนั้งเก้าอี้สุดหวงของท่านประธานอย่างเก่า



     " แต่เอาเข้าจริง ๆ ถ้ามึงไม่มาช่วย กูว่าแม่งเละเทะแน่ ๆ เลยว่ะวันนี้ " มึงเลิกยอได้แล้วไออาร์ม กูบ้ายอ !!



     " ถ้ารู้ว่ามิ้ลค์เก่งขนาดนี้ เราเอานายมาเป็นประธานนักเรียนแทนไอห่านั่นดีกว่า " ก๊ากกกกกกก ขนาดลูกน้องแม่งยังไม่เคารพเลยว่ะ มึงทำงานยังไงวะให้ลูกน้องคอมเพลนขนาดนี้



     " เป็นปะละกูขี้เกียจแล้ว " เดี๋ยวไอ้เลว ! ประธานนักเรียนนะไม่ใช้ยืมตัง มันให้กันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ !? ว่าแต่เพื่อนผมมันคืนตังกันครบหรือยังวะ ?



     " ไม่อะ มันเป็นเวรกรรมของมึง หึหึ จงชดใช้มันซะ ! " ผมประชดประชันก่อนจะกระดกขวดนมที่ถูกอนุมัติให้ดื่ม นี่คงเป็นรางวัลที่ไปลาสบอสอย่างเจสสิก้าสินะ ฮ่า ๆ แต่แม่งก็กล้าจริง ๆ นั่นแหละครับ มาถามว่าปากผมหวานมั้ย เหอะ.. ไม่รู้เวลาจริง ๆ



     และแล้วประตูห้องสภาฯ ก็ถูกเปิดออกให้คนในห้องหันไปมองอย่างสนใจ เป็นน้องผมเองครับ มินยิ้มพลางสวัสดีรุ่นพี่อย่างพีทเขิน ๆ ก่อนอาร์มจะวางไอแพตลุกขึ้นมาต้อนรับอย่างอบอุ่น



     " อ้าวน้องมิน ! นี่กูลืมน้องมึงไปเลยนะเนี่ย " อ้าววว ได้ข่าวมึงเป็นคนนัดเองนะ ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยหาเศษกระดาษแถวนั้นขยำปาใส่หัวมันไปหนึ่งดอก ก่อนจะบอกให้น้องชายไปนั่งรอตรงโซฟาที่ไออาร์มลุกขึ้นตากี้



     " มินก็นั่งรอไปก่อนนะ เดี๋ยวให้ไออาร์มมันสอนงานแล้วเราค่อยลงมือ " มินพยักหน้ารับอย่างเต็มใจ ส่วนคุณประธานก็เดินไปหยิบแฟ้มเอกสารมาวางตรงหน้าผมอีกสามเล่มเห็นจะได้ แล้วนั่นงานน้องกูหรือเปล่า ? กองเอกสารตรงหน้ากูมันยังไม่พออีกเหรอมึงถึงเอางานมาให้น้องกูเพิ่มเนี่ย !? นี่ได้เลขาส่วนตัวแล้วกะจะใช้ให้คุ้มเลยใช่ปะ ?



     " เฮ้ย ๆ กูให้น้องมาช่วยงาน ไม่ได้ให้มาเป็นทาส " ผมว่าพลางนำแฟ้มเอกสารที่มันพึ่งโยนมาเปิดดูด้านใน ไอสัด ! เอกสารอะไรวะเนี่ยเยอะชิบหาย !!



     " มันต้องศึกษางานก่อนเว้ยเพื่อน แล้วอีกอย่างน้องมึงคงไม่มีประสบการณ์มาก่อน เริ่มจากง่าย ๆ แล้วกัน " แล้วทำไมตอนมึงพูดต้องยิ้มกริ่มมีความสุขด้วยวะเฮ้ย !? หน้าตาตอนนี้มึงตอแหลมากไออาร์ม !!



     ผมหันไปมองหน้ามินที่ตอนนี้เดินเข้ามาดูใกล้ ๆ " ไหวเปล่าเนี่ยมิน ไอเชี่ยนี่มันจะฆ่าจะแกงมินเลยนะ " แต่ดูเหมือนที่ผมขู่แกมไปจะไม่ได้ทำให้น้องผมกลัวเลยแม้แต่น้อย



     " ไม่เป็นไรพี่มิ้ลค์ มินเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์อยู่แล้ว ก็ต้องเรียนรู้สิถึงจะถูก " รู้มั้ยว่าเอ็งซื่อเกินไปแล้วนะ มินพูดให้ผมยิ้ม ๆ โดยมีไอเลวนี่เป็นลูกคู่ " เห็นปะ น้องมึงยังรู้เลย มึงอะไปเตะบอลกับพวกไอซันไป ลุก ๆ กูจะสอนงานน้องแล้ว " ได้ทีขยี้ใหญ่เลยนะไอเลว อย่าให้กูรู้นะว่ามึงใช้งานน้องกูหนัก !



     ผมปั้นหน้าเหวี่ยงลุกไปหยิบจาคอปที่นอนอยู่ใกล้ ๆ พลางขยี้ศีรษะบาง ๆ ของมินอย่างเอ็นดู ก่อนจะโบกมือลาไออาร์มที่ตอนนี้สนใจแฟ้มเอกสารตรงหน้าแล้ว ต่อด้วยพีทที่พรมนิ้วพิมพ์เอกสารอีกมากมายอยู่หน้าคอมฯ



     ผมเดินไปที่สนามบอลตามอาร์มมันบอกว่าเพื่อนห้องเราเตะบอลอยู่ ที่วันนี้ผมลงสนามเพราะรู้สึกว่าไม่ได้เตะบอลตั้งนานแน่ะ มีแต่อะไรไม่รู้ดลใจให้ผมไม่ได้ไปเตะกะเขาสักที แต่วันนี้ไม่ได้มีแค่ห้องเราที่เตะครับ พวกห้องสี่ก็ลงสนามมาแจมกับห้องเราด้วย !! เห็นทีแมตนี้ได้เตะกันยาว ๆ เพราะห้องนั้นมีนักกีฬาฟุตบอลโรงเรียนถึงสองคน เรียกเหงื่อให้พวกผมอีกหลายถัง และถ้าสายตาผมมองไปไม่ผิด เห็นไอปอนด์ลงไปเล่นกับเขาด้วยว่ะเฮ้ย!! แล้วคนที่เลี้ยงลูกอยู่ก็คือไอเฟิร์สอีก !! เอาละเว้ยสนุกแน่วันนี้ !!



     ดังนั้นผมรีบโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะโรงอาหารพลางวิ่งเหยาะ ๆ ลงไปในสนาม " เฮ้ยกูเล่นด้วย !!!! " แหกปากซะดังจนเขามองกันทั้งสนามเลย ฮ่า ๆ



     ' บึก !!!!!!!!! '



     แล้วใครมันส่งลูกฟรีคิกมาโดนหน้ากูเต็ม ๆ เลยวะ โอ๊ยยยยยย มึนขนาดตะกุยมือหาที่เกาะอะครับ แต่ที่จับได้ตอนนี้มีแค่ลม



     " เฮ้ยมิ้ลค์เราขอโทษ " ผมที่ยังทุกรักทุเรทรงตัวอยู่ พยายามกะพริบตาถี่มองคนที่วิ่งเข้ามาหาว่ามันเป็นใคร ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นเมื่อพบคำตอบ



     " ไม่เป็นไรเฟิร์ส " ผมบอกกลับยิ้ม ๆ เมื่อสายตาปรับโฟกัสเห็นคนตรงหน้าชัดเจน เกมกีฬามันก็ต้องมีเจ็บมีช้ำเป็นธรรมดา อย่าไปถือสาเลยเพื่อน



     แต่เป็นเพราะอาการวิงเวียนที่หมุนติ้วอยู่ในหัว ทำให้พ่อพระอย่างผมก็ได้สลบคากองพื้นสนามไป..



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:08:19
Not to be unlocked : Episode 12 : ลูกเขยหรือลูกสะใภ้



     ผมค่อย ๆ ลืมตาจากความมืด สิ่งแรกที่เห็นมีเพียงหลอดไฟสว่างไสวจากเพดานที่สาดส่องไปทั่วห้อง แต่ถึงอย่างนั้นแสงที่ผมเห็นอยู่เต็มตาก็ถูกศีรษะของใครบางคนบดบังให้เหลือเพียงร่างมืด ๆ ที่มองไม่ถนัด



     ทั้งที่อยากรู้คำตอบว่าเขาคือใคร แต่ผมเหมือนถูกดวงตาสีนิลคู่นั้นสะกดให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการอยู่นิ่ง  ๆ ใบหน้าคมค่อย ๆ ลดลงมาหาอย่างช้า ๆ จนแทบจะสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกัน โครงหน้าและดวงตาคู่คุ้นทำให้แผ่นอกภายใต้ชุดนักเรียนของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกที่ฝั่งลึกอยู่ในหัวใจผุดขึ้นมาย้ำเตือนถึงเรื่องราวในอดีตว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน



     สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้มีเพียงแค่กลับเข้าสู่ภวังค์ และรอให้คนตรงหน้าประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากก็เท่านั้น



     " นี่แน่ะ เล่นอะไรห้ะ !? " เป็นเพราะความรู้เจ็บบริเวณศีรษะ ทำให้ผมตื่นจากความเคลิบเคลิ้มเมื่อครู่



     ผมกะพริบตาถี่ไล่ภาพมัว ๆ ที่มองไม่ชัดนี้ออกไป จนได้คำตอบว่าคนที่เอามือมาตบหัวผมเมื่อกี้คือไอเฟิร์สนี่เอง



     " ที่นี่ที่ไหนวะ ? " ผมถามโง่ ๆ เหมือนนางเอกในละครทั้ง ๆ ที่รู้ว่าห้องแบบนี้ก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี



     " ห้องพยาบาลไง " ผมลุกพรวดพราดจากเตียงขึ้นมาหมายจะนั่งในตอนที่เฟิร์สบอกคำตอบ แต่อาการที่ยังมึน ๆ อยู่ในหัวกลับสั่งให้ผมลงไปนอนกองกับหมอนเหมือนอย่างเก่า มึนหัวชิบเป๋งเลยว่ะ



     " อย่ารีบลุกดิมิ้ลค์ " เสียงพูดของอีกคนนำให้ผมต้องหันไปมองร่างที่คุ้นเคย กำลังเดินเข้ามาเช็กอาการใกล้ ๆ " เป็นไงมั้ง ? " แม้ปอนด์จะยิ้มแหย ๆ แต่ในน้ำเสียงก็เจือความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย



     " ยังปวด ๆ มึน ๆ อยู่เลยว่ะ " ผมตอบตามอาการไปที่เป็นเพราะความรู้สึกในหัวตอนนี้เหมือนมีใครกำลังจัดบิ๊กปาร์ตี้อยู่ แล้วถ้าจำไม่ผิด...ไอเฟิร์สน่าจะเป็นคนทำ



     " มิ้ลค์ เราขอโทษนะเว้ยคือเรา...ไม่ได้ตั้งใจน่ะ ก็เห็นมิ้ลค์ตะโก.. "



     " ไม่เป็นไร แต่ลูกเตะของมึงแม่งเจ๋งจริงว่ะ " ผมพูดแทรกพลางเอื้อมไปจับฝ่ามือของเฟิร์สที่ตอนนี้พนมมือปลก ๆ ขืนปล่อยให้แม่งพูดต่อคงรู้สึกผิดไปกันใหญ่ แต่ไม่รู้จะชมแรงเตะหรือความแม่นของมันดีที่เหนี่ยวไกลมาโดนหัวผมเต็ม ๆ ฮ่า ๆ เฟิร์สที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นอย่างอื่นนอกจากรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย



     " แต่ยังไงเราก็ทำมิ้ลค์เจ็บแล้วอะ เดี๋ยววันนี้เราพามิ้ลค์ไปส่งบ้านเองนะ " แล้วมึงจะไปส่งกูทำไมในเมื่อก็ไม่ได้แขนขาหักสักหน่อย



     " จะไปทำไมกูกลับเองได้ " สบาย ๆ ครับ นอนพักอีกสักแปปก็คงดีขึ้น



     " เดี๋ยวเราไปส่งเองก็ได้เฟิร์ส บ้านเราอยู่ใกล้ ๆ กันกับมิ้ลค์ " ปอนด์หันไปพูดกับเฟิร์ส แต่เหมือนจะไม่มีใครยอมใครว่ะ



     " ไม่เป็นไรปอนด์ เราทำมิ้ลค์เจ็บ เดี๋ยวเราไปส่งเอง "



     " ไม่เป็นไรเฟิร์ส เราไปส่งมิ้ลค์เองได้ " ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเป็นนางเอกที่โดนพระเอกทั้งสองลุมแย่งกันรับผิดชอบยังไงชอบกล



     " ไม่เป็นไรปอนด์ เราทำมิ้ลค์ เราต้องรับผิดชอบ "



     " ไม่เป็น.. "



     " โอ๊ยพอ !! ไปกันทั้งสองคนนั่นแหละ " ปล่อยให้มันสองตัวกัดกันต่อ มีหวังตีกันตายพอดี ทั้งสองฝ่ายที่ไม่ยอมกันหันมามองหน้าผมนิ่ง



     " แต่.. "



     " ไม่ต้องแต่แล้ว ! " หยุดเถียงกูเลยนะ เดี๋ยวกระโดดกัดหูขาด หึ้ยยย



     " เอางี้เฟิร์ส ข้าวเย็นมึงต้องกินเป็นเพื่อนกู ส่วนปอนด์...ไปนั่งกินกับกูด้วย เคปะ ? ข้อเสนอเรียบ ๆ ง่าย ๆ มึงทำกันไม่ได้ก็กลับบ้านไปนอน หึหึ



     " ได้ดิมิ้ลค์ ให้เราเลี้ยงยังได้เลย " โห ! มีคนเลี้ยงด้วยเว้ยย อิ่มแน่งานนี้



     " แล้วมึงล่ะ ? " ผมถามปอนด์ที่ตอนนี้ทำหน้าครุ่นคิด



     " เออ ๆ ไปก็ไป "



     นี่ถ้าผมไม่ตัดจบ แม่งคงหยิบไม้กวาดข้าง ๆ มายิงกันแล้วมั้งเนี่ย แต่เอ๊ะ !? ไม้กวาดเขาสามารถเอาไว้ยิงกันได้ด้วยเหรอ ?



####



     คนป่วยอย่างผมเดินออกมาจากห้องพยาบาลอย่างเหนื่อยอ่อน โดยมีพยาบาลส่วนตัวคือเฟิร์สที่คอยประคับประคอง และมีปอนด์คอยถามถึงอาการด้วยความเป็นห่วงอยู่ใกล้ ๆ ผมบอกมันสองตัวไปแล้วครับว่าเดินไหว ไม่ต้องแบกกูก็ได้ แต่เฟิร์สมันดื้อจริง ๆ ว่ะ เดินเข้ามาแบกผมหน้าตาเฉย ปอนด์ที่เหมือนจะโดนแย่งงานก็เปลี่ยนหน้าที่มาถามอาการของผมแทน ไอพวกนี้ก็บริการผมดีเหมือนกัน ไว้เดี๋ยวจะจ้างไปเป็นคนใช้ที่บ้านนะ ฮ่า ๆ



     เราทั้งสามมาถึงหน้าโรงเรียนโดยสวัสดิภาพในเวลาเกือบทุ่มนึงและปอนด์อาสาโบกแท็กซี่ให้ ไม่นานรถแท็กซี่คันสีขาวคาดแดงก็จอดให้ผู้บาดเจ็บกับพยาบาลจำเป็นได้ขึ้นไปโดยมีผมนั่งระหว่างกลางเฟิร์สและปอนด์ ก็ไม่รู้ทำไมต้องมานั่งเบียดกันด้วยในเมื่อข้างหน้าก็มีที่ให้พวกมึงนั่งอีกหนึ่ง ส่วนผมไม่นั่งหรอกครับ เดี๋ยวอาหารที่กินมาทั้งวันจะพุ่งลดกระจกหน้าพี่โชเฟอร์เขาน่ะสิ



     จวบจนพี่คนขับพามาจอดหน้าร้านอาหารร้านหนึ่งย่านเอกมัยตามที่ผมบอก ร้านนี้เป็นร้านที่ผมปักมุดความอร่อยไว้ว่าเป็นร้านอาหารอีสานที่รสชาติถึงเครื่องอย่าบอกใคร เราพากันเดินเข้าไปในร้านโดยเฟิร์สเปลี่ยนหน้าที่จากแบกมาเป็นแถมแทนบ้าง (พอแล้ว กูโอเค ไม่ต้องมายุ่งกับกูทั้งคู่เลย) พลางมองหาทำเลเหมาะ ๆ ว่านั่งตรงไหนดี ต้องเลือกดี ๆ หน่อยครับ เพราะร้านนี้ถ้าหากมากันตอนมืด ๆ ต้องนั่งโต๊ะที่ไม่มีอะไรบดบังเพื่อมองทัศนียภาพยามค่ำคืนควบคู่กับการกินอาหาร อรรถรสจะดีมว๊ากกก เมื่อตกลงเรื่องที่นั่งกันได้แล้ว ผมก็เดินนำไปพลางนั่งแหมะลงบนเก้าอี้โดยมีผู้ติดตามอีกสองคนนั่งอีกฝั่ง



     ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งพี่ผู้หญิงวัยกลางคนก็เดินมาทักทายพลางยื่นสมุดเมนูของทางร้านให้เราเลือก ผมชี้นิ้วไล่ตั้งแต่เมนูแรกและหยุดชื่อเมนูที่จะสั่ง " เอาคอหมูย่าง ตับหวาน ตำไทยไม่เผ็ด ปากเป็ดทอด ลาบหมู เดี๋ยวครับ! ขอเปลี่ยนเป็นน้ำตกหมูแทน ยำวุ้นเส้นครับ ไส้ย่าง ข้าวเหนียวหนึ่งกระติบใหญ่ ส่วนน้ำเอาโค้กครับ อ๋อ เอาซุบหน่อไม้กับต้มแซบกระดูกอ่อนเพิ่มด้วยครับ " เมื่อสั่งเป็นที่เรียบร้อยก็ปิดสมุดเมนูลง พลันเห็นไอสองตัวนั้นมองผมพลางอ้าปากค้างนี่มันหมายความว่ายังไง กูสั่งน้อยไปเหรอ ? ส่วนน้ำอัดลมวันนี้ผมขออนุโลมหนึ่งวันนะ หึหึ



     " เอาอะไรอีกก็สั่งเลยนะ " จริง ๆ ผมไม่ได้แวะมาร้านนี้นานแล้วแหละ เห็นทีต้องกินให้หนำใจสักหน่อย เอาเป็นว่ามื้อนี้เดี๋ยวผมเลี้ยงพวกมันก็แล้วกัน ฮ่า ๆ ถ้ารู้ว่ามากินร้านนี้น่าจะชวนไอตัวแสบมาแจมด้วย แต่ป่านนี้คงถึงบ้านแล้วมั้ง หวังว่าไอเพื่อนรักของผมคงไม่กระทําชําเราเจ้ามินหรอกนะ



     " ไม่อะ " ปอนด์กับเฟิร์สพูดเป็นเสียงเดียวกันนำให้ผมต้องหลุดขำหึหึให้กับท่าทีของทั้งคู่ อะไรของพวกมึงวะ ? ฮ่า ๆ



     " เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง สั่งเลย " ใจลึก ๆ ก็อยากสั่งเบียร์สดมาสักหนึ่งทาวเวอร์นะครับ แต่เกรงใจชื่อโรงเรียนที่มันแปะอยู่ตรงหน้าอกนี่สิ ฮือออออ ดิ้น ๆ ๆ ๆ แต่ถึงจะพูดแบบนั้นมันสองคนก็ไม่ได้สั่งเมนูอะไรเพิ่ม จนผมต้องหันไปบอกพี่เขาว่าพอแค่นี้ก่อน



     พี่พนักงานทวนรายการอาหารอีกครั้งก่อนที่ผมจะชูแขนขึ้นสูงพลางเอนหลังไปติดพนักพิง เพื่อไล่อาการเมื่อยล้าจากการนอนเมื่อเย็น



     " แล้ววันนี้ประชุมเป็นไงมั้งมิ้ลค์ ? " แปลกว่ะไอคนที่สะดุ้งไม่ใช่ผมแต่เป็นไอเฟิร์สแทน ผมที่บิดขี้เกียจอยู่ก็เอนกลับมาตอบ



     " ก็วุ่นวายเลยว่ะ ไอเจสสิก้าแม่งทำกูปวดหัวสัด ๆ " ผมบ่นพลางรับแก้วที่พี่เขารินน้ำอัดลมให้ นี่ไอเฟิร์ส มึงดูลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ จังวะ ฮ่า ๆ ว่าแล้วก็แซ็วมันสักหน่อยดีกว่า



     " แล้วสรุปไปบอกเจสสิก้าหรือยังว่ะ ? ว่า.. " เฟิร์สเหมือนรู้ว่าผมจะพูดอะไรต่อก็แทรกขึ้นมาดื้อ ๆ



     " มึงหยุดเลยนะไอมิ้ลค์ ! " มันกระแทกเสียงพลางชี้หน้าเอาเรื่อง เฮ้ยพูดคำหยาบแล้วว่ะ ฮ่า ๆ ตอนนี้ปอนด์เหมือนโดนแปะป้ายไว้ที่หน้าผากว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกมึงสองตัว



     " อะไรวะ ? " ปอนด์หันรีหันขวางไปเลิกคิ้วถามเฟิร์สและผมสูง ถ้ามึงไม่ให้พูด กูก็จะไม่พูด ฮ่า ๆ



     " ไม่มีอะไรหรอก " เฟิร์สพูดปัด ๆ ก่อนยกแก้วน้ำที่พี่เขาพึ่งเสิร์ฟมาดื่ม เห็นปอนด์ขมวดคิ้วยุ่งแล้วก็ขำแปลก ๆ ฮ่า ๆ



     ผมนั่งหยอกไอเฟิร์สสลับไปคุยกับปอนด์เรื่องการแสดงที่ต้องโชว์อาทิตย์หน้า พลางฮัมเพลงดนตรีสดที่ศิลปินขับกล่อมให้เข้ากับบรรยากาศยามค่ำคืน จนบรรดาอาหารที่ผมสั่งเริ่มทยอยมาเสิร์ฟบ้างแล้ว



     " นี่เลย " ผมตักตับหวานในจานยื่นไปให้คนตรงหน้า " ลองดูเฟิร์ส อร่อย " พลางเอาซ้อมจิ้มเข้าปากตัวเองบ้าง โอ้วววว ความสุกที่พอดีปนกับกลิ่นโชยของมะนาวและข้าวคั่วที่หอมฟุ้งไปทั่วโต๊ะ นี่ร้านนี้เขาทำยังไงเนี่ย ใส่กัญชาให้ผมแด๊กหรือเปล่า ทำไมมันอร่อยอย่างนี้ ฮ่า ๆ



     " อะ อันนี้ของมึง " ผมตักตำไทยใส่จานไอปอนด์ที่ตอนนี้นั่งหน้าหงอยอย่างไม่ทราบสาเหตุ " เป็นไร ? "



     " ป่ะ...เปล่า ๆ " ปอนด์พูดปัด ๆ ก่อนจะตักอาหารที่ผมพึ่งหยิบยื่นไปให้เข้าปาก สีหน้าของคนที่ได้กินตำไทยเปลี่ยนมาเป็นยิ้มระรื่นอย่างกับเสกมนต์ในทันที อร่อยล่ะสิคุณปอนด์ หึหึ



     ตอนนี้อาหารที่นำมาเสิร์ฟก็ทยอยพร่องลงไปเพราะผมเล่นกินไปบ้าง ตักใส่จานไอเฟิร์สบ้าง และไอปอนด์ที่เวลามันทำหน้าบูดอย่างไร้เหตุผลบ้าง (เอาใจยากจริง ๆ) จนอาหารทุกอย่างก็หมดลงอย่างรวดเร็วเหมือนมีอีแร้งหลายฝูงมาลุมกิน ผมเรียกพี่พนักงานพลางชี้นิ้วรอบโต๊ะเป็นเชิงให้คิดเงิน ค่าเสียหายที่ผมโดนไปนับว่ายังไม่ข้ามเส้นเดทไลน์ครับ พลางรับเงินถอนจากพี่เขาและไม่ลืมที่จะให้ทิปติดไม้ติดมือ พลันเห็นไอสองคนนั้นยื่นแบงก์สีเทา ๆ จ่อหน้าหมายจะเลี้ยง ซึ่งผมไม่รับไว้ครับ ก็กูตั้งใจไว้แล้วว่าจะเลี้ยงก็ต้องได้เลี้ยงโว้ย จะมัดถ่วงน้ำก็ไม่เอาอยู่ดี ฮ่า ๆ ผมยักไหล่ไม่สนใจสิ่งที่มันทำอยู่ก่อนจะลุกขึ้นเดินนำออกจากร้านไป



     ร้านที่ผมกินอยู่นั้น ถ้าบวกลบคูนหารระยะทางกลับบ้านก็ไม่ไกลมากครับ อีกอย่างถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่เดินกลับ เพราะระหว่างทางจะถึงหมู่บ้านของปอนด์ก่อน ก็จัดการส่งมันกลับเข้าบ้านซะเลย ผมพากันเดินหยอกล้อกันตามทางไปเรื่อย ๆ พลางแว่วเสียงปอนด์จิ๊จ๊ะเวลาแกล้งไอเฟิร์ส (เป็นตุ๊กแกหรือจิ้งจกล่ะกูให้เลือก ?) จนเราทั้งหมดมาหยุดอยู่หน้าหมู่บ้านของปอนด์เป็นที่เรียบร้อย ผมและเฟิร์สโบกมือลามันในความมืดเห็นปอนด์แค่นยิ้มให้ผมทีนึงก็อดที่จะถามไม่ได้ว่าเป็นอะไร สืบเนื่องแม่งทำตัวแปลก ๆ ตั้งแต่ตอนร่วมโต๊ะแล้ว ไหนจะตากี้อีก..



     " เป็นไรปะเนี่ย ? " ผมมองใบหน้าเนียน ๆ ด้วยความคิดหลากหลายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับมันอยู่คืออะไร



     " ไม่มีไรหรอก วันนี้กูเพลีย ๆ น่ะ ไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปหาตอนเช้าเหมือนเดิม " ปอนด์แค่นยิ้มให้ผมอีกทีก่อนที่จะปลีกตัวเดินเข้าหมู่บ้านไป เพื่อนผมเป็นแบบนี้แล้วไม่สบายใจเลยว่ะ ผมต้องไปทำอะไรกับมันไว้แน่ ๆ



     ผมหันกลับมาถอนหายใจใส่เฟิร์สที่ตอนนี้ทำหน้าสงสัยไม่ต่างกัน " กลับบ้านได้แล้วมึงอะ " เอาเป็นว่าส่งไอห่านี่กลับบ้านเลยดีกว่า ส่วนเรื่องของปอนด์เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจัดการเอง เพราะการคุยกับมันตัวต่อตัวน่าจะดีที่สุด แต่แล้วมึงจะตบหัวกูทำไมวะสัด !?



     " กลับห่าอะไร ให้ตายกูก็จะไปส่งมึงถึงบ้าน วันนี้กูก็ทำร้ายมึงแทนที่จะให้กูเลี้ยงตอบแทนก็ไม่เอา เดี๋ยวมึงโดนไอมิ้ลค์ " เฟิร์สยื่นคำขาดก่อนจะก้าวขาเดินนำไปริ้ว มึงเดินนำเหมือนรู้ทางเลยนะไอเฟิร์ส !!



     จนแล้วจนรอด เฟิร์สแม่งก็พาผมมาส่งถึงรั่วหน้าบ้านจริง ๆ กูก็ไม่เข้าใจมึงเหมือนกันว่าจะมาส่งถึงนี่เพื่ออะไร แต่เอาที่มันสบายใจแล้วกันครับ ! ผมโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกตัวมาเปิดประตูรั่วเข้าบ้าน



     แต่ถ้าไม่มีเสียงเรียกของใครบางคนก่อน เฟิร์สเองคงได้กลับบ้านไปแล้ว



     " อ้าวมิ้ลค์ ไม่เรียกเพื่อนเข้าบ้านก่อนล่ะ ? " ว่าแต่ม๊ายังไม่นอนอีกเหรอ พอดีอาทิตย์นี้ป๊ากับม๊าเขาหยุดอยู่บ้านกันน่ะครับ เฟิร์สที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงักพลางหันกลับมาไหว้ม๊าปลก ๆ



     " หวัดดีครับ "



     ม๊าผมยิ้มรับ " มา ๆ เข้าบ้านก่อนลูก ข้างนอกยุงเยอะ "



     อดกลับบ้านแล้วเป็นไงล่ะไอเฟิร์ส อยากมาส่งดีนัก ฮ่า ๆ



####



     สุดท้ายแล้วไอเฟิร์สที่จะเดินทางกลับบ้านก็โดนม๊าผมลากเข้าอยู่ข้างในเรียบร้อย ฮ่า ๆ ผมอธิบายม๊าไปแล้วว่าปล่อยให้มันรีบกลับบ้านกลับช่องไปเถอะดึกแล้ว แต่แกยังคงคะยั้นคะยอว่าอย่าพึ่งกลับเลย เข้ามานั่งเล่นในบ้านก่อน ส่วนคนที่โดนลากเข้ามาข้างในหน้าแม่งไม่ได้รีบเหมือนปากผมบอกเลยว่ะ งั้นก็ตามใจมึงแล้วกัน



     ตอนนี้ผมและเฟิร์สโดนลากมาอยู่ในครัวพลางรอม๊าแกตักขนมทับทิมกรอบที่ทำทิ้งไว้เมื่อเย็นให้พวกเรากิน



     " กินเยอะ ๆ เลยนะ ไม่พอไปตักใหม่ได้เลย " ม๊าว่าพลางนำถ้วยขนมวางตรงหน้าของเราก่อนจะโน้มตัวลงนั่งด้วยกัน โห !! น่ากินใช้ได้เลยครับม๊า



     " ขอบคุณครับ " เฟิร์สกล่าวขอบคุณด้วยท่าทีเกรงใจก่อนจะลังเลตักขนมเข้าปาก หน้าอึ้ง ๆ ของแม่งคงหมายถึงอร่อยนั่นแหละครับ



     " เพื่อนก็มาเที่ยวบ้านเราบ่อยนะ ทำไมม๊าไม่เคยเห็นคนนี้เลยล่ะ ? " จะว่าไปเฟิร์สยังไม่เคยเจอม๊าผมเลยหนิ ก็พึ่งจะพรวดพราดมาสนิทกันได้ไม่นานนี้เอง



     " อ๋อ มิ้ลค์พึ่งสนิทกับไอเฟิร์สมันน่ะครับ " ผมพูดพลางเอามือไปตบบ่ามันปุ ๆ " เนอะ ? " ก่อนจะหันกลับมากินอย่างเก่า



     " แฟนเหรอ ? " พรวดดดดดดดดด โอ้โหม๊า !! ทับทิมในปากมิ้ลค์นี่บินว้อนเลย ! ม๊าคิดได้ไงเนี่ย !!?



     ผมคว้าทิชชูมาเช็ดปาก " ไม่ช่ายยยย แฟนมิ้ลค์ไม่ใช่คนนี้ " แฟนมิ้ลค์ก็นัทตี้ไง โธ่...ลืมซะแล้วมั้ง



     " เหรอ หึหึ จะคบผู้ชายหรือผู้หญิงม๊าก็ไม่ว่าหรอกนะ ม๊าขอแค่อย่างเดียว เป็นคนดีให้ม๊ากับป๊าก็พอ แล้วก็อย่าไปทำให้ใครเสียใจด้วย เข้าใจมั้ย ? " ม๊าเคยบอกผมน่ะครับว่าตอนคลอดอยากได้ลูกสาวเพราะว๊อนลูกเขยเข้าบ้าน แต่ดันออกมาเป็นตัวผู้ทั้งคู่ฮ่า ๆ สงสัยจะได้ลูกสะใภ้แทน



     " แล้ว...หนูเฟิร์สสนใจมาเป็นลูกเขยบ้านนี้มั้ยจ๊ะ ? "



     ' พรวดดดดดดดดด ' นั่นไงกูว่าแล้ว ฮ่า ๆ ม๊าแกชอบเป็นงี้แหละครับ พอไม่ได้ลูกผู้หญิงก็เชียร์ให้ไปได้กับผู้ชายแทน ถ้าน้าอิ๋วมาอีกคนนรกแตกแน่ ๆ บ้านนี้เป็นอะไรกันจ้องแต่ให้ลูกตัวเองได้กับผู้ชาย !!



     " ฮ่า ๆ แม่ล้อเล่น แต่มิ้ลค์จะคบชายคบหญิงก็แล้วแต่มิ้ลค์เถอะ อย่าไปทำเขาเสียใจแล้วกัน " หลายครั้งแล้วครับที่ม๊าแกย้ำให้ฟังแบบนี้ ผมดีใจมาก ๆ ที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่เคยกีดกันความคิดของลูกตัวเอง ไม่เคยกีดกันเรื่องความรัก ไม่เคยกีดกันเรื่องความชอบ ทุก ๆ ทางที่ลูกเลือกจะมีป๊ากับม๊าคอยชี้นำไปในทางที่ถูกให้เสมอ ผมโชคดีมาก ๆ ครับที่ได้เกิดเป็นลูกของทั้งสองคน



     และผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วครับว่าจะไม่ทำให้นัทตี้เสียใจ



     " หนูเฟิร์สด้วยนะจ๊ะ " คนที่กินขนมอยู่ข้าง ๆ ได้ยินแบบนั้นก็ตอบเสียงแผ่ว ๆ



     " ครับ "



     " งั้นม๊าไปนอนก่อนนะ ว่าจะขึ้นไปจัดการป๊าแกหน่อย หึหึ " สิ้นคำม๊าเฟิร์สก็ยกมือไหว้อย่างเคารพ ก่อนจะปล่อยให้ม๊าของผมขึ้นไปยังชั้นสอง สงสัยป๊าผมจะหนีไปกินเหล้าเพื่อนบ้านข้าง ๆ อีกแล้วแน่นอน ฮ่า ๆ



     ส่วนไอหมอนี่ยังไงก็เข้ามาอยู่ในบ้านแล้วก็จัดการให้มันนอนค้างซะเลยดีกว่า คุณขวัญคงไม่ว่าอะไรหรอก " นอนบ้านกูเปล่า ? "



     " คงไม่ได้ว่ะ วันนี้ต้องไปเคลียร์เรื่องสีให้ไอคิงคองมันฟัง " เออว่ะวันนี้แม่งก็หยุด เฟิร์สมันบอกเมื่อตอนกินข้าวน่ะครับว่าเจ้าคิงคองมันโดนมอเตอร์ไซค์ปาดหน้า นอนอ้าปากพะงาบ ๆ อยู่โรงพยาบาลโน่น หายไว ๆ แล้วกันนะเพื่อน



     " โอเค งั้นเดี๋ยวกูไปส่งปากซอย " ผมพูดเองเออเองก่อนจะกินทับทิบกรอบคำสุดท้าย พลันเห็นสายตาดุ ๆ ของไอหน้าหล่อมองมา



     " ไม่ต้อง ! เดี๋ยวกูเดินไปเอง ยังมึน ๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ " ผมยักไหล่ไม่สนใจพลางเดินนำออกไปที่หน้าบ้านหมายจะไปส่ง เฟิร์สที่เห็นก็ถอนหายใจปลง ๆ พลางตักอีกคำเข้าปากก่อนจะลุกขึ้นตาม ๆ กันมา ไม่มีใครขัดขวางกูไว้ได้หรอกเว้ยไอเฟิร์ส หึหึ แล้วอีกอย่างกูหายมึนตั้งนานแล้วโว้ยยย



     ผมกับเฟิร์สเดินเตะฝุ่นภายในซอยมืด ๆ ที่เคยผ่านเข้ามา พลางแอบกวนตีนคนที่เดินด้วยเป็นระยะ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าได้รับฝ่ามือพิฆาตกลับมายังกบาล สงสัยผมคงกวนตีนมันหนักไปหน่อย แม่งเลยกวนตีนกลับมาบ้าง ได้ !! ในเมื่อมึงเปิดศึกกับกูก็อย่าคิดว่ามันจะจบสวย ๆ หึหึ



     " มึงจะเอากับกูใช่มั้ยไอเฟิร์ส !? " ว่าแล้วมือผมก็จัดการไปจิ้มที่เอวมันหมายจะจักจี้ แต่ไอห่านี่มันแข็งเป็นหินเลยว่ะ แถมหัวเราะหึหึใส่อีก



     " มึงทำไรอะมิ้ลค์ ? " กูก็พึ่งรู้คำตอบนี้แหละว่ากูทำอะไรอยู่ แต่เฮ้ย !! มึงอย่ามาจี้กูกลับดิสัด โอ๊ยยยย ฮ่า ๆ ๆ ปล่อยยย !!!!



     " ปล่อยกู !!!! " ผมดิ้นกระเสือกกระสนในอ้อมแขนมันที่ยังจักจี้อยู่ " ปล่อยยยยยยยยยย ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ " ตัวก็เท่ากันทำไมมึงแรงเยอะจังว่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ



     " ยอมแล้ว กูยอมแล้ว ฮ่า ๆ " ขืนถ้าไม่ยอมก็ตายในอ้อมอกมันพอดี เฟิร์สคลายวงแขนออกก่อนที่ผมจะจัดการลูบเอวถี่ ๆ เรียกขวัญเป็นการใหญ่ เฮ้ออออ นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว ไอเฟิร์สมันเป็นคนแรกเลยนะครับที่ผมยอมอ่อนข้อให้



     " จะจัดการพี่มันเร็วไปล้านปี หึหึ " เอ๋ คำนี้มันคุ้น ๆ เว้ย สิ้นรอยยิ้มผู้เหนือกว่าของเฟิร์สเราสองคนก็เดินต่อกันในซอยเปลี่ยวอย่างเงียบ ๆ ผมมองใบหน้าด้านข้างของเฟิร์สผ่านความมืดที่ตอนนี้ปั้นหน้าเป็นเริงร่า ผิดกับตอนประชุมเมื่อเย็นเลยว่ะที่เอาแต่หลบหน้าหลบตาไม่ยอมสบกัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนอดสงสัยไม่ได้ที่จะถามออกไป



     " ตอนประชุมมึงหลบหน้ากูทำไม ? " ผมเดินไปซอกคนข้าง ๆ เป็นเชิงจะให้มันตอบ เห็นมันเหล่มองหน้าผมแว็บนึงก่อนจะหันหนีไปทางอื่น



     " ไม่รู้ดิ " เอ้า ! มีไม่รู้ด้วย !? มึงอย่ามาทำให้กูสงสัยได้ปะวะ บอกกูมานะ !!



     " ไม่รู้ได้ไงในเมื่อกูก็มองไปหามึงตั้งหลายรอบ แต่มึงก็ไม่มองกูสักรอบเดียว มันหมายควายว่าไงห้ะ !? " ผมมองหน้าเฟิร์สอย่างจริงแต่ทางนั้นก็ยังไม่หันมามองผมอยู่ดี แถมยังตอบคำเดิมอีก



     " ไม่รู้ " โว้ยยยยยย มึงกวนตีนกูหรือเปล่าเนี่ย !!



     หรือจะเป็นตอนที่เล่นไพ่คิง !? ฮ่า ๆ ต้องใช่แน่ ๆ



     " หรือจะเป็นตอนกูจูบมึงน้าาา ปากกูหวานเปล่าวะเฟิร์ส ? " แต่ไอการโดนมึงตบหลายรอบก็ทำให้กูมีภูมิคุ้มกันว่ะ รอบนี้มึงไม่ได้แดกกูหรอก ฮ่า ๆ



     " กวนตีน " เฟิร์สขู่เขี้ยวใส่ผมทีนึงก่อนที่พวกเราจะเดินมาถึงถนนใหญ่ ผมจัดการโบกแท็กซี่ที่บึ่งมาหนึ่งคันพอดิบพอดีให้คนข้าง ๆ ได้ขึ้นไป



     " กลับดี ๆ ล่ะ " ผมพูดพลางเปิดประตูให้มันเข้าไปก่อนจะโบกมือลาผ่านประตูที่เฟิร์สปิดลง



     ผมมองตามหลังรถคันนั้นก่อนจะหันหลังกลับเดินเข้าไปในซอย แต่แล้วเสียงแจ้งเตือนจากไอโฟนในกระเป๋ากางเกงนำให้ผมหยิบขึ้นมาดูด้วยความอยากรู้ เป็นข้อความของคนที่ผมพึ่งส่งขึ้นแท็กซี่ไปตากี้เองครับ



     ' ฝันดีนะมิ้ลค์ '



     ทำไมช่วงนี้ผมอยู่กับเฟิร์สแล้วความสุขมันพรั่งพรูได้ขนาดนี้กันน้า..



     ' เออ ฝันดีเว้ยเฟิร์ส :) '



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:08:49
Not to be unlocked : Episode 13 : ก็ไม่ได้คิดอะไรหนิ



     " สายแล้วนะม๊าาาาาา " เสียงผมเร่งประกอบกับเอาด้ามช้อนเคาะโต๊ะเป็นจังหวะถี่ บอกม๊าที่กำลังง่วนทำอาหารเช้าให้กินอยู่ วันนี้ไม่ได้นั่งกันอยู่แค่สองคนครับ เพราะม๊าแกลากไอเจ้าปอนด์ที่ยืนรออยู่หน้าบ้านให้เข้ามากินข้าวเช้าด้วยกัน แล้วก็ไม่ต้องสงสัยกันครับว่าทำไมผมตื่นตอนเจ็ดโมงเกือบครึ่ง ก็อาทิตย์นี้ม๊ากลับมาอยู่บ้านนี่หว่า ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องรีบตื่นเหมือนทุกครั้ง ขอตื่นเลทกว่าปกติสักนิดสักหน่อยจะเป็นอะไรไป สุดท้ายเป็นไงล่ะ..



     ก็สายไง !!!



     " จ่ะ ๆ ๆ เสร็จแล้ว " ม๊ากุลีกุจอตักแกงจืดสาหร่ายใส่ถ้วยก่อนจะนำมาวางไว้กลางโต๊ะให้ลูกค้าที่นั่งหน้าสลอนได้กิน ถึงจะเป็นของอร่อยที่ผมชอบกิน แต่จะมานั่งเอ้อระเหยลอยชายก็ไม่ได้ว่ะ



     " เร็ว ๆ รีบกิน สายแล้ว " ผมตักชิ้นเต้าหู้ที่มีสาหร่ายเกาะติดมาด้วยจากชามพลางคลุกเคล้ากับข้าวสวยร้อน ๆ ก่อนจะตรงดิ่งเข้าปาก



     โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย ร้อนนนน !!!!!!!!! ลืมเป่าอีก !!



     ผมดิ้นพราก ๆ พลางรับกระดาษทิชชูจากมือปอนด์มาเช็ดขอบปาก " อย่ารีบดิมิ้ลค์ ค่อย ๆ กิน " ไม่รีบเดี๋ยวตายห่ากันพอดี นี่จะเจ็ดโมงสามสิบแล้วนะไอปอนด์ กูตายแน่ ! กูตายแน่ !! ฮืออออออ



     ผมรีบยัดข้าวเช้าอย่างไม่ลืมหูลืมตาโดยไม่ดูผู้ร่วมโต๊ะด้วยซ้ำว่าอิ่มหรือกินเสร็จแล้ว พลางยกแก้วน้ำดื่มอึกสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นตะโกนลาม๊าที่เดินยกตะกร้าผ้าเตรียมไปซัก



     " ไปก่อนนะครับม๊า ! "



####



     " แฮก ๆ แฮก ๆ เร็ว ๆ หน่อยดิปอนด์ !! มิน !! " ผมที่เดินกึ่งวิ่งอยู่หน้ารั่วโรงเรียนหันกลับไปบอกสองคนนั้นให้เร่งฝีเท้าด้วยอาการหอบแดก เป็นงี้ทุกรอบเลยครับเวลาป๊ากับม๊าอยู่บ้านทีไร จะต้องตื่นสายตลอดเพราะมีคนทำหน้าที่แทน ไม่ต้องรีบลุกขึ้นมาทำงานบ้านตั้งแต่ไก่โห่ เฮ้อออ จะว่าดีก็ดีแหละครับที่ม๊าทำแทนให้จะได้ไม่ต้องเหนื่อย แต่ในโชคดีมันก็มีความเลวร้ายปนอยู่เนี่ยสิ ดันไปตื่นสายแทนซะได้



     ผมที่ยังไม่หยุดฝีเท้าหันกลับไปมองคนที่เดินไว ๆ อยู่ด้านหลังอีกครั้ง โอ๊ยยยยย !! ช่วยเดินกันมาไว ๆ หน่อยได้มั้ยวะเดี๋ยวกูโดนทำโทษ ฮืออออ ถึงผมจะรีบ แต่จะให้วิ่งหนีรอดตายไปคนเดียวก็ใช่มิ้ลค์คนนี้ซะที่ไหน เมื่อเห็นประตูอยู่ไม่ไกลก็ยกจีช็อคที่รัดอยู่ข้อมือขึ้นมาดู เย้ ! ยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนแถวจะเริ่มครับ หวังว่าคงยังไม่มีใครมายืนต้อนรับผมตอนนี้หรอกนะ แถมขี้เกียจวิ่งไปหลบหนีที่ประตูสองแล้วด้วยแม่งโคตรไกล



     " หยุดก่อนกฤเดช " เอี๊ยดดดดด รถฟอร์มูล่าวันที่พึ่งดริฟท์เลี้ยวเข้าประตูถึงกับต้องเหยียบจนเบรกแตกเมื่อใครบางคนขานชื่อ เจ้าของคนที่ประกาศนามผมด้านหน้าประตูหนึ่งไม่ใช่ใครอื่น อาจารย์พรทิพย์ผู้เป็นปรปักษ์กับนักเรียนเลว ๆ อย่างผมคนนี้นี่เอง เรือหายแล้ว..



     " หวะ...หวัดดีครับอาจารย์พรทิพย์ " ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมพลางหัวแหะ ๆ เผื่อสถานการณ์เลวร้ายตรงนี้จะดีขึ้น แต่ไอการที่ทำแบบนั้นไม่ได้ทำให้หลุดเข้าไปในโรงเรียนง่าย ๆ เลย



     อาจารย์รับไหว้ด้วยการพยักหน้าห้วน ๆ พลางฟาดต้นขาของผมด้วยไม้เรียว เป็นนัยว่ากางเกงที่ใส่อยู่มันสั้นซะเหลือเกิน โคตรเจ็บ !!!!!! ก่อนจะชี้นิ้วให้ผมไปวิดพื้นกับนักเรียนที่กำลังทำอยู่อีกห้าสิบ ฮืออออ เจ็บจังเลย ขอวิดพื้นอย่างเดียวก็ไม่ได้นะจารย์



     ผมเบ้ปากขี้แยให้เช้าอันแสนเลวร้ายนี้กับตัวเองเงียบ ๆ ก่อนจะเดินหน้าบูดไปโน้มตัววิดพื้นตามคำสั่ง เฮ้อ.. ก็ยังดีวะที่ไม่โดนยึดกางเกงไปนุ่งผ้าแดงแทน



     " โดนเหมือนกันเหรอ ? " เสียงของนักเรียนคนข้าง ๆ คุ้นหูชิบหายจนต้องหันไปมองเจ้าของเสียงนั่น



     " อ้าวเฟิร์ส ! " แล้วไอหน้าหล่อที่มาส่งผมเมื่อวานมันมาทำอะไรตรงนี้วะ ? นี่มึงอย่าบอกนะว่าโดนทำโทษเหมือนกัน



     " เออ แล้วมึงโดนไรอะ ? " ผมถามในตอนก้มตัวลงหมายจะวิดพื้นไปพลาง เงยหน้าดูคนที่เดินทางมาโรงเรียนด้วยกันไปพลาง ทำไมสองคนนั้นมันไม่โดนกันวะ !? มินโบกมือให้ผมยิ้ม ๆ ตามด้วยปอนด์ที่ชี้นิ้วไปตรงโน้นเป็นเชิงว่าจะไปรออยู่แถวนั้น ๆ ผมที่วิดพื้นอยู่เห็นเข้าก็พงกหัวรับ



     " กางเกงสั้นน่ะ " โดนกฎหมายมาตราเดียวกันเป๊ะเลย มึงนี่มันเลวจริง ๆ เลยนะไอเฟิร์ส ฮ่า ๆ อ่าว...ผมด้วยเหรอ อิอิ



     " โดนเหมือนกันเลยว่ะ ฮ่า ๆ " ผมขำในท่าทีเหนื่อย ๆ ทั้งที่อาการหอบจากการวิ่งที่หน้าโรงเรียนยังไม่หายดี แต่ในเมื่อมีเพื่อนอยู่ตรงนี้ก็หาอะไรทำแก้เบื่อหน่อยดีกว่า หึหึ



     " เฟิร์ส " ผมหันไปมองคนที่วิดพื้นอยู่ข้าง ๆ ที่ตอนนี้เลิกคิ้วสูง " แข่งกัน ใครเสร็จก่อนชนะ " สิ้นคำนั้นผมก็จัดการก้มลงไปวิดพื้นอย่างว่องไวจนเฟิร์สที่ได้ยินเข้าหน้าถึงกับเหวอ ก่อนจะก้มลงไปวิดพื้นอย่างเร่งรีบตาม ๆ กันมา ฮ่า ๆ



     เมื่อครบจำนวนที่สั่ง ผมก็จัดการปาดเหงื่อเม็ดเป้งบนขมับก่อนจะหันไปขอบคุณบทลงโทษแก่อาจารย์ที่จะปลูกจิตสำนึกที่ดีในการแต่งตัวสำหรับครั้งต่อไป ไว้ผมคิดดูก่อนแล้วกันนะครับว่าจะปฏิบัติตามกฎที่ถูกต้องดีมั้ย ฮ่า ๆ (ใครด่าผมเลว !!) ผมที่จัดการตัวเองเสร็จแล้วก็เดินเลี่ยงระยะออกมารอเฟิร์สที่งก ๆ เงินไหว้อาจารย์ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาหาผมอย่างหอบ ๆ



     " จอกว่ะ " ผมขำหึหึให้กับชัยชนะที่พึ่งท้าทายไป แบบว่าเก่งอะครับวิดพื้นจนชิน



     " ไม่ต้องมาพูดเลย มิ้ลค์เล่นทีเผลออะ " แล้วมึงจะโบกหัวกูทำไม !? มึงนี่มันรุนแรงกับคนอ่อนแออย่างกูจริง ๆ



     ผมลูบหัวปอย ๆ พลางทำปากผองลมใส่มันอย่างเคือง ๆ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อที่บังเอิญหยิบมาด้วย " อะเฟิร์ส เอาไปเช็ดซะ " แล้วตากี้ทำไมกูไม่เช็ดหน้าตัวเองวะ ? จะเอามือปาดเหงื่อทำแมวอะไร



     " ขอบใจนะ " เฟิร์สรับผ้าในมือผมก่อนจะจัดการแปะเข้ากับหน้าชุ่ม ๆ " เอ๊ะ !? เฮ้ย !! " อะไร ? ใครมาว่างระเบิดแถวนี้หรือเปล่า ??



     " นี่มันผ้าเช็ดหน้ามิ้ลค์ " เออ นั่นผ้าเช็กหน้ากู แล้วทำไม ? ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจว่าไอคนที่โวยวายอยู่กำลังหมายถึงอะไร



     " ขอโทษทีว่ะ เราลืมตัว เดี๋ยวเรากลับไปซักให้นะ " เฟิร์สว่าพลางพับผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเหงือบ้างแล้วใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง แต่ไม่ไวไปกว่าผมที่คว้ามาเช็ดเข้ากับหน้าบ้าง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามึงจะเอาไปซักทำไม



     แล้วไหนมึงต้องทำตาโตด้วยวะ !?



     ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจอีกครั้งว่าแม่งกำลังอยากจะสื่อถึงอะไร พลางก้าวเท้าเดินซับเหงื่อบนใบหน้าของตัวเองไปยังโรงอาหารที่ปอนด์โบกมือรอรับอยู่ด้านใน



     " โอ๊ยยย เหนื่อยสาดดด " ไม่น่าปากเก่งไปท้ามันแข่งเลยว่ะ เอาซะเหนื่อยฟรี (นั่นสิ แล้วผมจะบ่นทำไมในเมื่อก็ท้ามันเอง) ผมวางจาคอปลงบนโต๊ะก่อนจะคลายกระดุมเม็ดบนสุด พลางถลกเสื้อออกนอกกางเกงมาสะบัดให้ลมมันตีเข้าไปข้างใน แล้วจึงบอกปอนด์และเฟิร์สที่พึ่งทิ้งตัวลงนั่ง " เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อนนะ "



     " กินของเราก็ได้นะมิ้ลค์ " ปอนด์ว่ายื่นขวดน้ำที่ยังไม่ได้แกะพลาสติกรอบฝาออก มันคงพึ่งไปซื้อมาสินะ แต่ผมคงไม่รับไว้ดีกว่าเพราะเกรงใจน่ะสิ กลัวว่ากลิ่นปากยามเช้าของตัวเองจะไปทำร้ายมัน ฮ่า ๆ แต่ผมแปรงฟันทุกเช้านะเออ !!



     " ไม่เป็นไรปอนด์ เดี๋ยวกูไปซื้อเอง " ผมพูดยิ้ม ๆ พลางตบบ่าเป็นเชิงขอบคุณในน้ำใจ ก่อนจะก้าวขาเดินไปน้ำเย็น ๆ ซื้อที่ร้าน ให้มันดื่มไปดีกว่าเนอะ อย่าไปรบกวนมันเลย



     ผมเดินกลับมาพร้อมขวดน้ำที่ดื่มแล้วหลายอึก พลางเหล่มองไอเฟิร์สที่ยังนั่งหอบไม่หาย ก่อนจะยื่นน้ำขวดเย็นเจี๊ยบที่ดื่มอยู่ให้ " กินปะเฟิร์ส ? " หอบแรงขนาดนั้นไม่ตายเหรอวะ ?



     " ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปซื้อเอง " เฟิร์สสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้น แต่มันคงได้ไปแล้วแหละครับ ถ้าผมไม่ยัดขวดที่เหลือน้ำอยู่เกินครึ่งใส่มือ



     " กินซะ " ไม่ต้องทำหน้างงไอสัด แล้วกูบอกให้กินก็กินสิวะ ! เฟิร์สที่ถือขวดน้ำด้วยสีหน้ามึน ๆ ก็อือออกระดกดื่มอย่างว่าง่าย เออ อย่างนั้นแหละ มันคงจะไม่เหม็นขี้ฟันผมใช่ปะ ?



     " อ่าาาาาห์ ขอบใจนะ " เฟิร์สว่าพลางส่งขวดเปล่า ๆ คืน แต่มึงจะคืนกูทำไมก็ไปทิ้งเส้ !!



     ผมกะพริบตามองไอขวดนั้นปริบ ๆ ก่อนจะรับมาไว้ในมือด้วยความที่ไม่รู้จะด่ามันยังไงดี ให้แดกแล้วยังให้กูไปทิ้งอีก จะสบายเกินไปแล้วนะ



     " พอดีการบ้านเรายังไม่เสร็จอะ งั้น...ขอตัวก่อนนะ " ผมเหล่มองร่างโปร่งของเฟิร์สที่หยิบกระเป๋าอยู่อย่างเคือง ๆ ก่อนทางนั้นจะเดินแยกออกไป นี่มึงแดกเสร็จแถมไม่ทิ้งขวดแล้วยังเสือกชิ่งกูอีกนะไอส้นตีน !!



     เฮ้อ...



     แต่เฮ้ยปอนด์ !!



     วันนี้มีการบ้านอะไรต้องส่งหรือเปล่าวะ !?



####



     พอตกเย็นแทนที่ผมจะได้หนีไปเที่ยวกับแฟนสองต่อสอง กลับกลายว่าจะต้องไปช่วยกันทำหน้าที่ของฝ่ายตัวเองในช่วงก่อนกีฬาสีจะเริ่มแทนว่ะ เจ้าฟางห้องสี่มันวิ่งหน้าตั้งจากไหนไม่รู้เมื่อคาบออกแบบว่าขอแรงฝ่ายอาร์ทของห้องสิบเอ็ดไปช่วยกันขนแผ่นไม้เย็นนี้กันหน่อย เพื่อจะได้เตรียมตัวสำหรับลงลวดลายตามคอนเซ็ปต์และนำไปติดตั้งบนสแตนด์ ฝ่ายอาร์ทอย่างผมตามด้วยผองเพื่อนพอหมดคาบเรียนแล้วก็พากันเดินไปช่วยตามสารของเจ้าฟางทันที ถึงวันนี้จะไม่ได้ไปเที่ยวกับนัทตี้ แต่ผมก็มีเซอร์ไพรส์ด้วยนะครับ แต่ยังไม่บอกตอนนี้หรอก อิอิ



     ฝ่ายอาร์ทห้องผมพากันเดินตบเท้ามุ่งตรงไปยังหน้าปกครองอย่างแข็งขัน ผมเห็นห้องสี่มันบอกว่าเดี๋ยวรถกระบะขนไม้จะมาจอดแถว ๆ สนามบอล ให้ทุกคนไปยืนรอรับได้เลย แต่เหมือนจะไม่ต้องรอให้เสียเวลาแล้วครับ เพราะพวกห้องสี่มันโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณ ช่วยให้คนขับเขาถอยหลังเข้ามาจอดง่าย ๆ อยู่ข้างสนาม พอเห็นรถจอดสนิทดี พวกเราชาวห้องสิบเอ็ดก็วิ่งถลาไปช่วยในทันใด



     " ยกกันเป็นคู่ ๆ นะ ไม้มันหนัก " เสียงมิคฝ่ายอาร์ทห้องสี่สั่งขณะปีนขึ้นไปเช็กจำนวนยอดไม้บนหลังกระบะ แต่แผ่นนึงแม่งใหญ่จริง ๆ นั่นแหละครับ ยกคนเดี๋ยวมีหวังแขนหักหมด



     " แล้วยกไปไหนวะ " กั๊มพ์ที่มาด้วยกันถามขึ้น เพราะไม่รู้ว่าห้องสี่ได้นัดหมายให้ไปช่วยกันทำที่ไหน



     " โน่นเลยเพื่อน ตรงไอเฟิร์สน่ะ มันยืนอยู่หลังสแตนด์ " มิคว่าพลางชี้ไกลสุดลูกหูลูกตาไปที่สแตนด์เชียร์สีแดงที่เฟิร์สกำลังโบกมือรอรับอยู่ เมื่อได้รับคำสั่งแล้วพวกผมก็ทำหน้าที่เป็นกรรมกร ช่วยกันแบกแผ่นไม้ขนาดใหญ่ไปกันเป็นคู่ ๆ ผมที่ยืนรออยู่ด้านหลังสุดก็กะสายตาดูเพื่อนละแวกนี้คร่าว ๆ พบว่าพวกที่ยืนอยู่ตรงนี้มันเป็นจำนวนคู่ที่ถูกต้อง ส่วนกูคือเศษเกิน งั้นผมก็ต้องยกไปคนเดียวน่ะสิ ?



     แล้วก็เป็นไปตามคาดไม่มีผิด " อ้าวมิ้ลค์ คู่ไปไหนล่ะ ? " ผมมองซ้ายมองขวาเผื่อจะมีคนหลุดมาช่วยสักคนแต่ก็ไม่มีว่ะ หรือจะเดินไปเคาะประตูห้องปกครองขอความช่วยเหลือดี ?



     " ไม่มีว่ะ แต่เราว่าเรายกไหว " มิคเลิกคิ้วสูงเหมือนไม่อยากจะเชื่อในคำพูด ผมพยักหน้าอีกทีเป็นเชิงว่ายังไงกูก็ไหวก่อนที่เจ้าตัวจะดันแผ่นไม้ออกมาให้ผมได้แบก ผมรับแผ่นไม้ที่ขนาดใหญ่กว่าตัวอย่างทุลักทุเลมาวางกองไว้กับพื้นเพราะแม่งหนักจริง ก็พอจะเดาได้แหละว่าไอคนที่ยืนอยู่หลังกระบะน่ะกำลังหัวเราะเยาะอยู่ในใจเป็นแน่ ซึ่งถ้าหันหลังไปขอความช่วยเหลือก็อย่าเรียกผมว่ามิ้ลค์เลย หึหึ



     ผมทอดสายตากะระยะทางพลางครุ่นคิดในใจ ถ้าหากหยุดพักสักประมาณสองสามรอบก็น่าจะถึงนะ ผมมองตามหลังเพื่อน ๆ ที่เดินเรียงรายช่วยกันแบกอย่างสามัคคีพลางสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เรียกกำลัง ก่อนจะยกไอแผ่นไม้นี้เข้ามาไว้ในอ้อมแขน แต่แล้วเสียงจากคนที่ขอไปทำธุระที่ห้องปกครองตั้งแต่เลิกคาบก็แสดงตนมาช่วยเหลือไว้อย่างทันท่วงที



     " โห่มิ้ลค์ อย่าฝืนดิ " เป็นปอนด์นั่นเองครับ " วาง ๆ ๆ " มันบอกให้ผมวางแผ่นไม้นี้ก่อนที่พวกเราจะจัดท่าให้เดินถือแผ่นไม้ได้สะดวก



     " ช่วยได้เยอะเลยว่ะปอนด์ " ถือว่าโชคยังเข้าข้างที่ส่งไอหมอนี่มาช่วยผม ฮ่า ๆ โล่งใจไปอีกเปราะใหญ่



     " สำหรับมิ้ลค์เราช่วยได้อยู่แล้ว " หึหึ ทำเป็นพูด



     " หึ ปากดี เร็ว ๆ ยังมีอีกหลายแผ่น " ปอนด์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความเต็มใจ



     " ได้เลย ! "



     และแล้วเราทั้งสองก็ยกมาถึงหลังสแตนด์ด้วยสภาพหอบอ่อน ๆ นี่ขนาดแบกด้วยกันสองคนแล้วนะครับ แต่ทำไมมันยังหนักอีกวะ ? ถ้าตากี้ผมยกมาคนเดียวมีหวังซี้กลางทางแหง เฟิร์สที่ยืนจดอะไรไม่รู้ยิก ๆ ในกระดาษก็หันมาให้ผมได้ยิ้มทักทาย " หวัดดีไอเฟิร์ส "



     " หวัดดีตอนเย็นมิ้ลค์ หวัดดีปอนด์ " เฟิร์สหันมายิ้มบาง ๆ ให้ก่อนจะหันกลับไปจดอะไรในมือต่อ ผมมองมือของมันที่จรดปลายปากกาลงบนกระดาษก็อดเสือกไม่ได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ " ทำไรวะ ? " ก่อนที่จะชะโงกไปดูตัวอักษรในกระดาษที่มันเขียนไว้



     " อ๋อ พอดีเราเป็นคนจัดการควบคุมฝ่ายอาร์ทน่ะ นี่กำลังเช็กของอยู่ว่าครบมั้ย " มึงได้เป็นฝ่ายนี้เหมือนกันเหรอวะ โอ้ว เจ๋งงงง



     " อ้าว ! อยู่ฝ่ายเดียวกันเลย มีไรให้ช่วยปะวะ ? " ผมเลิกคิ้วถามมันทั้งที่งานของตัวเองยังไม่ทันเสร็จดี ปอนด์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จ้องหน้าผมเขม่นเหมือนกำลังเร่งผมให้ไปยกต่อได้แล้ว เออน่าาา เดี๋ยวกูรีบไปขนต่ออออ ไม่ต้องมองกูเหมือนจะแดกก็ได้ เจอเพื่อนก็ทักหน่อยดิวะ (ผมไม่ได้จะหนีงานกรรมกรนะเออ ถึงจะอยากหน่อย ๆ ก็เหอะ ฮ่า ๆ)



     " ไม่ต้องหรอก มิ้ลค์ไปช่วยปอนด์โน่น " มันขำแห้ง ๆ ก่อนจะส่ายหัวเดินไปเช็กยอดจำนวนไม้ตรงอื่นต่อ ได้ยินดังนั้นเราก็ไปขนไม้กันมั้งดีกว่า ผมพยักหน้าให้ปอนด์ทีนึงเป็นเชิงให้ทำงานต่อก่อนจะเอี้ยวตัวกลับไป



     " มิ้ลค์ " เสียงนั้นดูจริงจังกว่าทุกทีจนอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองคนที่เรียก



     " หื้ม ? " ผมมองท่าทีของปอนด์ที่ตอนนี้ดูอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร



     คิ้วผมขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ เมื่อไอคนที่เรียกดันไม่พูดอะไร เอาแต่มองพื้นซีเมนส์ปล่อยให้บรรยากาศรอบด้านมีแต่ความเงียบ



     " มีไรเปล่าเนี่ย ? ถ้าไม่มีก็ไปขนของต่อ " และเป็นฝ่ายผมที่ทำลายความงันนั้น



     " มะ...มี...ก็... " ผมเหล่มองปากบาง ๆ ของมันที่อยู่ดี ๆ ก็หยุดพูดไป โว้ยยยยยย บอกกูสักทีสิวะว่ามีอะไร !!



     " แค่อยากถามน่ะว่า...คิดอะไรกับเฟิร์สหรือเปล่า ? เห็นช่วงนี้...สนิทกัน " อืมมม อาร์มมันก็คงสังเกตเหมือนปอนด์นั่นแหละนะ ไม่แปลกหรอกมั้งที่จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงจากเพื่อนห่าง ๆ ที่อยู่ดี ๆ ดันมาสนิทกันในเวลาสั้น ๆ แต่ไอความคิดที่ว่าผมจะคิดอะไรกับเฟิร์สมากกว่าเพื่อนน่ะย่อมไม่มีอยู่ดี



     " ก็ไม่ได้คิดอะไรหนิ ทำไมเหรอ ? "



     " เหรอ " ได้ยินดังนั้นผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าปอนด์กำลังหมายถึงอะไร พลันฉุกคิดถึงเรื่องที่ค้างคากับมันตั้งแต่เมื่อวานที่ว่าทำไมต้องทำตัวแปลก ๆ คือจริง ๆ ผมไม่ได้ไม่มีความรับผิดชอบที่จะถามไอปอนด์มันนะว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ผมหาช่วงเวลาที่เหมาะเจาะมาถามมันไม่ได้สักทีเลยว่ะ เมื่อเช้าที่นั่งอยู่ด้วยกันผมก็ว่าจะถามมันนั่นแหละ แต่ดันเข้าแถวซะก่อน ไหนจะตอนอยู่ในห้องอีก แม่งไม่มีจังหวะดี ๆ ที่จะปลีกตัวมาคุยกับปอนด์ตัวต่อตัวเลย ไหน ๆ ตอนนี้ก็ได้คุยกันแล้วก็อยากจะถามให้รู้เรื่อง



     " แล้วเมื่อวานเป็นอะไรหรือเปล่า ? กูเห็นมึงแปลก ๆ ไปนะ " ผมยกประเด็นที่เมื่อวานเราบอกลากันที่หน้าหมู่บ้านของมันขึ้นมาพูด ถึงจะบอกว่าเพลียหรือตายยังไงผมก็รู้อยู่ดีว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนคนนี้แน่ ๆ คนมันเคยอยู่ด้วยกันมาก่อน เปลี่ยนแปลงนิดหน่อยก็รู้สึกได้แล้ว



     " ห้ะ !? อ๋อ ! มะ...ไม่มีอะไรหรอก ป่ะ ขนของต่อ " เฮ้ย ! มันพูดเฉไฉผมว่ะท่านผู้อ่าน !! แถมยังมีหน้ามาดันหลังไม่ให้ผมกลับไปถามมันอีก



     เฮ้ยเดี๋ยว ! ให้กูถามก่อนไอเชี่ยปอนด์ ! อย่าดันกูเส้ !!!



     มันไม่มีอะไรจริง ๆ แน่แล้วเหรอวะ !?



     แต่ได้เห็นรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่ดังกังวานแบบที่เคยเห็น...คงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะมั้ง



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:09:22
Not to be unlocked : Episode 14 : จูบของคนรักกัน



     ช่วงเวลาเย็นก่อนพระอาทิตย์จะหามค่ำ ผมออกมายืนอยู่หน้ารั่วโรงเรียนในเวลาห้าโมงกว่า..



     นับว่าใช้พลังงานไปมหาศาลครับกับการช่วยกันขนแผ่นไม้ไปที่หลังสแตนด์เชียร์ของสีเรา ไอผมก็ดีใจนึกว่าทีแรกจะมีแค่แผ่นไม้ว่ะ ก็ลงไปนอนกองกับพื้นหญ้าเพื่อหวังจะพักเหนื่อยแม่งซะเลยเมื่อตอนแบกเสร็จ แต่มิคผู้ประสานงานกับฝ่ายยานพาหนะแม่งวิ่งแจ้นมาขอแรงให้พวกเราไปช่วยยกถังสีกันอีกหลายกระป๋องเพิ่ม !! ท่านผู้อ่านอย่าคิดไปเองนะว่าไอกระป๋องสีใบกระจิ๋งนึงเนี่ยมันไม่หนัก ตอนแรกผมก็คิดงั้นแหละแต่พอได้ยกจริง ๆ แม่งล่ะโคตรหนัก !!! ลองมาสังเกตฝ่ามือผมตอนนี้ดูสิว่าเริ่มมีตุ่มพุพองตามอุ้งมือแล้ว ฮืออออ หมดหล่อกันพอดี



     ผมยืนมองรถที่แล่นผ่านไปมาสลับกับเด็กนักเรียนที่สัญจรเดินทางกลับบ้าน ท่านผู้อ่านหลาย ๆ คนคงจะงงกันล่ะสิว่ามายืนทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปช่วยไอพวกนั้นออกแบบ ก็จำได้มั้ยล่ะครับว่าตอนที่แล้วผมจะเซอร์ไพรส์อะไร หึหึ อีกไม่นานหรอกครับเดี๋ยวพวกท่านก็จะรู้เองว่าคืออะไร !!



     มือว่าง ๆ ของผมหยิบไอโฟนในกระเป๋ากางเกงที่พึ่งเช็กเฟสบุ๊คเมื่อห้านาทีก่อนขึ้นมาดูเวลา อาโน...ผมจะเดินไปซื้อโตเกียวร้านลุงใกล้ ๆ รองท้องก่อนหรือจะเดินข้ามถนนไปซื้อบิ๊กไบค์ในเซเว่นมาขับรอดี เฮ้ย ! เอามากินสิ ! แฮ่ !!! อ่าว ไม่ตลกเหรอครับ ? โธ่...ผมก็แค่เล่นมุกตลกฆ่าเวลาน่ะเผื่อจะขำกันบ้าง แต่เอาเถอะ ไม่ขำก็ไม่ขำ ท้องผมร้องจ๊อก ๆ แล้วน่ะสิ หาซื้ออะไรแถวนี้กินรอก่อนแล้วกัน



     ผมที่กำลังจะก้าวเท้าเดินไปหาอะไรกระแทกปากใกล้ ๆ สายตาก็พลันเห็นร่างสูง ๆ ในชุดนักเรียนหญิงคอนแวนต์ที่คุ้นเคย เดินข้ามทางม้าลายอย่างระมัดระวังเพื่อมาฝั่งที่ผมกำลังยืนอยู่ สายตาของเด็กนักเรียนชายละแวกนี้จับจ้องกันเป็นสายตาเดียวเมื่อร่างของหญิงสาวกำลังเดินตรงดิ่งมาทางผม



     " รอนานมั้ยคะมิ้ลค์ ? " นี่ไงล่ะครับเซอร์ไพรส์ที่ผมบอก ฮ่า ๆ คืออย่างนี้ครับ เมื่อวานนัทตี้คอลไลน์มาหากะจะชวนผมไปเที่ยวสยามด้วยกันวันนี้นี่แหละ แต่ดันลืมไปว่าต้องช่วยกันลงแรงแบกของ รวมไปถึงลงลวดลายให้เป็นรูปเป็นร่างตามคอนเซ็ปต์ที่กำหนด ผมจึงขอโทษขอโพยนัทตี้โดยยกเหตุผลทั้งหมดไปให้ทางนั้นได้รับทราบ นัทตี้ก็เข้าใจผมดีครับ แถมวันนี้ยังจะมาช่วยอีกแรง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีโคตร ๆ เลยเพราะนัทตี้เองเธอเก่งออกแบบและวาดเขียนเอามาก ๆ น่าจะช่วยอะไรได้มากโข



     " ไม่นานหรอกครับนัทตี้ " ผมส่ายหัวตอบเธอยิ้ม ๆ สิบนาทีของการรอนัทตี้มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลยด้วยซ้ำ



     " เหรอคะ โอเค แต่นัทตี้อยากกินโตเกียวน่ะ เห็นคนเยอะสงสัยจะอร่อย ไปซื้อกัน " โอ้โห ! ใจเดียวกันเลยนัทตี้ ผมเล็งใส่หวานสิบ ไข่สิบ ไส้กรอกสิบมานานแล้ว ฮ่า ๆ ผมสาบานได้นะว่าไม่ได้หิวเลย !! ไม่ได้คิดจะไปหาอะไรกินก่อนด้วย (ใครด่าผมตอแหล !!)



     " มิ้ลค์ก็อยากกก ปะ ไปสั่งกัน " ว่าแล้วผมก็อาสาถือกระเป๋าจาคอปนักเรียนที่ห้อยพวงกุญแจน่ารัก ๆ และถุงผ้าลายที่เธอสกรีนเป็นรูปชายหญิงจับมือกัน ก่อนที่จะเดินนำเจ้าตัวไปยังร้านโตเกียว



     ผมยืนมองลุงแกที่กำลังร่อนแป้งลงบนเตาอย่างเร่งรีบ เพราะจำนวนของเด็กนักเรียนแถวนั้นและของผมกับนัทตี้ที่สั่งไป มันเพียงพอสำหรับคนหนึ่งตำบลเห็นจะได้ ฮ่า ๆ แต่ที่เราสองคนสั่งไปบานเบอะขนาดนั้นก็เพราะจะซื้อไปฝากแรงงานชายข้างในที่กำลังทำงานอยู่กันนั่นแหละครับ ขืนปล่อยให้พวกแม่งทำงานไม่มีอะไรตกถึงท้องก็ตายคาถังสีกันพอดี ฮ่า ๆ



     เวลาผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีตามที่ผมนับในใจเล่น ๆ ถุงขนมหลายใบก็มาอยู่ในกำมือของเราทั้งสองเรียบร้อย ผมเดินเตาะแตะคู่กับนัทตี้เข้าไปในบริเวณสนามบอล พลางมองตาขวางใส่นักเรียนชายที่เดินผ่านเพราะแม่งกำลังลอบมองคนที่กินขนมโตเกียวข้าง ๆ อย่างเอร็ดอร่อยอยู่ (เฮ้ย กูหวง !!) จนเดินมาถึงครึ่งสนามบอลก็เห็นคณะสีแดงอย่างห้องสี่และห้องสิบเอ็ด ช่วยกันต่อแผ่นไม้เป็นแผ่นเดียวอยู่ด้านหน้าของอัฒจันทร์ พร้อมทั้งร่างลวดลายเป็นรูปอะไรสักอย่างลงเนื้อไม้อย่างบรรจงแล้วก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ที่ทั้งสองห้องได้มาลงแรงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน



     " ไอสัดมิ้ลค์ ! มึงไปไหนมาโคตรนาน อ้าวเฮ้ย !! นั่นเจ๊หนิ !! " เป็นไออาร์มครับที่ตะโกนมาแต่ไกล ถึงผมจะไม่ค่อยพานัทตี้มาที่โรงเรียนบ่อยนัก แต่คนที่สนิทกับเธอรองจากผมก็ไอห่านี่แหละ เมื่อนัทตี้เห็นอาร์มที่โบกมือทักทายอยู่หราก็ตะโกนกลับไปด้วยเสียงกวน ๆ



     " หวัดดีไอน้องชาย " แล้วไปทักทายเขาแบบนั้นอายุนัทตี้มากกว่าไออาร์มตรงไหนวะ ฮ่า ๆ ไม่ต้องตกใจครับสองคนนี้เขาสนิทกันพอที่จะเล่นอะไรแบบนี้กันแล้ว



     " โหเจ๊ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ " พอเราเดินไปถึงอาร์ม เพื่อนสนิทของผมก็โดนนัทตี้เอาขนมโตเกียวยัดเข้าปากไปหนึ่งอัน ฮ่า ๆ " โอ๊ย ! ทำไมไม่เอาไส้ไข่ อาร์มไม่กินไส้หวาน " เอ้าไอห่า ! สรุปคือมึงโวยวายไม่ได้กินไส้ที่มึงชอบใช่ปะ ? คนที่ยัดขนมใส่ปากเพื่อนผมก็หัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ



     " ฮ่า ๆ ก็ไม่บอกเอง ช่วย ไม่ ด้ายยยย " ก่อนที่นัทตี้จะกวักมือเรียกเพื่อน ๆ แถวนั้นให้มากิน ผมเหล่มองไอคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเอง นั่งยอง ๆ ร่างภาพบนเนื้อไม้อย่างขะมักเขม้นก็อดที่จะคิดแกล้งแบบนัทตี้ไม่ได้ เลยแอบขโมยขนมในถุงมาหนึ่งชิ้นพลางเดินย่อง ๆ เข้าไปหา หึหึ



     " เฟิร์ส " เจ้าของชื่อนั้นได้ยินเข้าก็หันมาเลิกคิ้วสูง



     " ห้ะ ? " ผมมองปากเฟิร์สที่กำลังอ้าอยู่ก็จัดการยัดขนมที่ซ้อนไว้ด้านหลังตัวเข้าปากมันทันที ฮ่า ๆ " ไอห่ามิ้ลค์ !! " ฮ่า ๆ พักนี้ผมเป็นโรคจิตเหมือนกันว่ะ ชอบไปแกล้งไอหมอนี่ให้มีน้ำโห



     เฟิร์สลุกพรวดพลาดขึ้นมาล็อกตัวผมแน่นหมายจะจั๊กจี้ตามสูตรของมันที่รู้จุดอ่อน " จะเล่นกับกูใช่มั้ยห้ะ !? "



     " ปล่อยกู !!! ฮ่า ๆ " ว่าแล้วผมก็ดิ้นพราก ๆ ในอ้อมแขนของมัน แล้วทำไมไอห่านี่มันแรงควายจังวะ !!



     " กูไม่ปล่อยหรอก วันนี้แหละกูจะเอามึงให้ตา.. " แต่อยู่ดี ๆ ท่าทีของเฟิร์สดูสงบไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ วงแขนที่เคยรัดตัวผมกลับคลายออกอย่างง่ายดาย



     ไอคนที่แกล้งคืนตากี้พลาดท่า ผมก็เลยจัดการพลิกตัวเองกลับมาตั้งหลัก " กระจอก แรงมีแค่นี้รึไง ? หึหึ " ดวงตาของเฟิร์สตอนนี้เหม่อลอยไปไกลเหมือนในหัวของคนที่ผมมองอยู่กำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง



     " กูลืมไปน่ะว่าต้องไปช่วยงานทางนั้นด้วย เดี๋ยวกูไปก่อนนะ " ผมขมวดคิ้วอย่างสัย ดูแผ่นหลังของเฟิร์สที่กำลังเดินไปตรงบริเวณอื่นพลางสำเหนียกตัวเองได้ว่าก็ควรไปช่วยเหลืองานเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร เสียงของประธานนักเรียนก็ลั่นมาแว่ว ๆ



     " มาเลยนี่เลยไอมิ้ลค์ มาจัดการแฟนมึงเลยนะ กวนตีนกูใหญ่แล้ว " ผมหันไปขำไออาร์มที่ตอนนี้หน้าเปื้อนสีอยู่ ฮ่า ๆ แล้วใครมันมือบอนไปทำวะน่ะ ?



     " สวยมั้ยคะมิ้ลค์ ? นี่นัทตี้วาดเองเลยนะ ฮ่า ๆ " นัทตี้พูดพลางหลุดขำอยู่ด้านหลังผลงานศิลปะ เดี๋ยวนะ สนิทกันขนาดกล้าพอที่จะเอาสีมาวาดลงบนหน้าเลยเหรอ ? แล้วไออาร์มมันไม่ว่าเหรอน่ะ



     ผมก้าวเท้าเดินไปหาพวกนั้นพลางด่าไออาร์มที่ตอนนี้ทำหน้าปลงสนิท" สมน้ำหน้า แล้วนี่มึงมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้ทำงานสภาหรือไง ? " ไอห่านี่มันชอบอู้ครับ เป็นคนเหนือก็ไม่ใช่ อู้เก่งชิบหาย



     " ไม่อะ พอดีได้ลูกน้องคนใหม่มาว่ะ แม่งทำงานดีเชี่ย ๆ " ไอลูกน้องที่มึงว่านี่น้องกูใช่มั้ย ? ผมว่าพลางเอานิ้วชี้แสกหน้าเละ ๆ ของประธานจอมขี้เกียจ



     " ไอสัด นี่มึงใช่น้องกูตั้งแต่เริ่มงานเลยเหรอวะ !? เดี๋ยวมึงโดนกูตบหรอกไออาร์ม " คิดไว้แล้วไม่มีผิด ไม่น่าเอาพิมเสนไปแลกกับเศษเดนอย่างมึงเลยจริง ๆ



     " น้องมึงอะเก่งอย่างที่มึงว่าจริง ๆ นั่นแหละ ขนาดกูสอนไปนิดหน่อย ไฟแม่งมาจากไหนไม่รู้ เคลียร์กองงานบนโต๊ะกูไปสองกอง แม่งโคตรโหด ! " อะไรนะ !? จัดการกองเอกสารไปสองกอง !! นี่น้องกูเป็นคนจริง ๆ เปล่าเนี่ย !?



     " น้องมิ้ลค์นี่...ชื่อมินหรือเปล่าคะ ? " นัทตี้ที่ก้มตัวลงไปช่วยงานเพื่อนคนอื่นแถวนั้น ถามขณะเอาไม้บรรทัดทาบเพื่อวัดอะไรสักอย่างบนแผ่นไม้



     " ใช่ครับนัทตี้ " ผมบอกคนที่นั่งยอง ๆ อยู่แม้ว่าคนที่ถามจะไม่ได้หันมามอง บ้านของผมมีแต่คนชื่อม.ม้า มิ้ลค์ มิน ม๊า ป๊า เอ่อ...ไม่ใช่นี่หว่า



     " งั้นกูขอเอาตัวน้องมึงไปเลยแล้วกันนะมิ้ลค์ หึหึ " ไอเสียงหัวเราะของมึงมันไม่น่าไว้ใจเลยว่ะ แต่เอาเหอะ ฝากด้วยแล้วกัน



     เป็นเวลาพักใหญ่เลยครับที่ผมยืนดูนัทตี้ที่อาสาออกแบบโครงสร้างตัวการ์ตูนตัวนี้ให้ (พวกห้องสี่วาดไปรอบนึงแล้วครับ แต่ก็ลบทิ้งให้นัทตี้วาดใหม่) เธอบอกเองว่ามันคือรูปซาตานกำลังหัวเราะอยู่ แต่ดูไปดูมาก็รูปกุมารทองเห็น ๆ (จะโดนหักคอมั้ยเนี่ย) ผมยืนวิจารณ์พลางเถียงควบคู่กับไออาร์มอยู่ถ้ำนานว่ายังไงก็ไม่ใช่สิ่งที่นัทตี้คิด แต่ก็ต้องยุติทั้งหมดเมื่อทางนั้นยกเรื่องความสามารถทางศิลปะมาแอบอ้าง พวกไร้ความสามารถอย่างผมก็ต้องยืนมองตาปริบ ๆ อยู่เงียบ ๆ กันไป ใช่ซี้ เก่งวาดรูปหนิ หึ ! ส่วนเรื่องวาดเขียนอะไรแบบนี้ผมกับคุณประธานไม่ถนัดหรอกครับ รอเขาสั่งลงสียังพอถู ๆ ไถ ๆ ได้บ้าง



     " มิ้ลค์คะ " ผมที่ช่วยเพื่อนคนอื่นซัพพอร์ตเรื่องที่พอจะทำได้อยู่ ก็เปลี่ยนอากัปกิริยาหันไปหาเสียงใส ๆ ของแฟนสาว " พานัทตี้ไปเข้าห้องน้ำหน่อยสิ "



     " ไปสิครับ เฮ้ยอาร์ม กูฝากตรงนี้ก่อนนะ " ผมบอกนัทตี้ก่อนจะเอี้ยวตัวไปบอกคนที่นั่งยอง ๆ อยู่ด้านข้าง



     " เออไปเหอะ ไว้ใจตรงนี้ได้เลย " อาร์มพูดพลางชูนิ้วโป้งเป็นนัยว่าไม่ต้องเป็นห่วง



     ผมพยักหน้ารับมันก่อนจะกระจายบอกเพื่อนแถวนั้นว่าฝากงานที่เหลือด้วย พลางเดินนำนัทตี้ไปยังห้องน้ำอาจารย์ใต้ตึกสิบสอง



####



     เหตุผลเดียวเลยครับที่ผมพาเธอมายังห้องน้ำอาจารย์เพราะที่นี่สะอาดที่สุดแล้ว ท่านผู้อ่านบางคนคงจะไม่เคยเข้ามาเหยียบห้องน้ำโรงเรียนชายล้วนกันล่ะสิ หึหึ ผมบอกเลยว่าแม่งโสโครกว่าที่คิดมากกกกกกก ไอกระผมเองน่ะไม่มีปัญหากับห้องน้ำเกรดต่ำแบบนี้หรอก แต่จะให้แฟนตัวเองไปเห็นภาพอุจาดตาแบบนั้นเดี๋ยวจะเก็บไปฝันร้ายทุกคืนเสียเปล่า ๆ



     " งั้นเดี๋ยวมิ้ลค์รอตรงนี้นะครับ " ผมทำหน้าที่แฟนที่ดีบอกนัทตี้ว่าจะยืนรออยู่หน้าห้องน้ำโดยการยืนเฝ้าอย่างเป็นห่วง



     " ค่ะ " นัทตี้พูดพลางอมยิ้มก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป



     เวลาที่ผมยืนเล่นเกมในไอโฟนก็ปาเข้าไปห้านาทีกว่าแล้ว พลางคิดในใจว่าผู้หญิงก็เข้าห้องน้ำนานเหมือนกันเนอะ ไม่เหมือนผู้ชายเลยสักนิดที่ชักปืนออกมายิงกระต่ายนัดเดียวโป้งก็จบแล้ว ฮ่า ๆ ผมไม่ได้จินตนาการอุบาทว์ไปใช่ปะ ? แต่ถึงอย่างนั้นเสียงกังวานฟังไม่ถนัดของคนที่อยู่ข้างในก็แว่วลอยมาเข้าหู



     " มิ้ลค์คะ " ทำไมเรียกผมแล้วไม่เปิดประตูออกมาล่ะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า ?



     " มีอะไรหรือเปล่าครับนัทตี้ ? " ตอนนี้ผมหันไปยืนจ่ออยู่หน้าห้องน้ำที่เธอกำลังทำธุระอยู่ พลางมองบานประตูที่ค่อย ๆ แง้มออกมาทีละนิด



     " เข้ามานี่หน่อยสิ " ผมขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจพลางชะเง้อซ้ายขวา ดูว่ามีใครบังเอิญเดินผ่านมาแถวนี้หรือเปล่าก่อนจะตัดสินใจเข้าไป คงมีอะไรให้ช่วยนั่นแหละครับ



     " มีอะไรเหรอครับ ? " ผมถามอย่างยินดีที่จะช่วยแต่ร่างตรงหน้ากลับยิ้มยั่วยวนไม่พูดอะไร มือเรียว ๆ ของเธอเอื้อมไปปิดบานประตูลงพลางล็อกลูกบิดให้เสียงดังแก๊ก



     " มิ้ลค์...รักนัทตี้หรือเปล่าคะ ? " ประโยคคำถามของเธอดูไม่น่าพูดเอาซะเลย เพราะสิ่งที่ผมทำให้เธอทั้งหมดล้วนเป็นคำตอบ



     " รักสิครับ ทำไมล่ะ ? " ผมตอบพลางคิดในใจว่าที่ให้เข้าห้องน้ำมานี้ คงไม่ได้ให้มาตอบคำถามหรอกนะ แถมสถานการณ์ตอนนี้ช่างล่อแหลมเหลือเกิน



     " เหรอคะ " นัทตี้ยิ้มด้วยความรู้สึกพอใจเมื่อได้ยินคำตอบ ผมผงะเล็กน้อยเมื่อวงแขนของเธอค่อย ๆ พาดมาวนรอบลำคอ " งั้น...นัทตี้ขอพิสูจน์หน่อยสิ " ผมพอเดาเหตุการณ์ได้แล้วแหละว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้



     นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นเลื่อนเข้ามาพร้อมกับลมอ่อน ๆ จากปลายจมูกจนกระทบที่ริมฝีปากผมอย่างแผ่วเบา ทันทีที่ปากของเราสัมผัสถึงความหวานกัน วงแขนเรียว ๆ ที่เคยวาดพันรอบลำคอก็เปลี่ยนเป็นเลื่อนฝ่ามือทั้งสองจากใต้คาง พลางวางไว้บนใบหน้าเพื่อประคองรอยจูบ ลิ้นหยุ่น ๆ ของฝ่ายที่จู่โจมถือวิสาสะละลอดเข้ามาในโพรงปากให้เราทั้งคู่ได้เกี่ยวกระหวัด จนทำให้ผมรู้สึกเหมือนผู้หญิงคนนี้กำลังท้าทายอะไรบางอย่างในตัว ผมโต้ตอบด้วยปลายลิ้นที่ผสานความรู้สึกและไม่ยินยอมกลับไปหมายจะให้ความถือดีในตัวเธอพร่องลง แต่มันไม่ง่ายอย่างที่ตนคิด เพราะความเคลิบเคลิ้มที่เคยหลับใหลอยู่ในตัวกลับปะทุขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหวาน ๆ จากน้ำหอมของคนตรงหน้า มือเล็ก ๆ ลดต่ำลงผ่านลำคอ แผ่นอก จรดพาดผ่านเข้าไปในตัวเสื้อนักเรียนของผมซึ่งเรียกสัญชาตญาณดิบได้ดี จูบที่เคยอ่อนโยนและว่าง่าย กลับกลายมาเป็นดุดันและบ้าครั้งในเวลาภายหลัง ผมปล่อยให้ความรู้สึกควบคุมทุกอย่างตามอำเภอใจ ยิ่งปล่อยเวลาให้ผ่านไปมากขึ้นเท่าไหร่ พลังจูบของเราก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น



     ผมยกจูบของเราที่โลดแล้นอยู่เป็นเครื่องพิสูจน์ให้กับนัทตี้ว่า คนที่รักและพร้อมจะเสียสละทุกอย่างให้กับเธอคือใคร...



     ทั้งที่ลมหายใจภายใต้แผ่นอกยังหลงเหลืออีกมากมาย แต่สติอันน้อยนิดที่เจืออยู่ในอารมณ์ดิบนำให้ผมถอนโครงหน้าออกจากริมฝีปากบางนั่น



     " พอก่อนนะครับ มิ้ลค์ว่ามันดูไม่ดี " หากผมไม่หยุดตัวเองในตอนนี้ เกรงว่าร่างกายที่พอควบคุมได้จะไม่ยอมทำตามคำสั่ง



     ผมมองใบหน้าเนียน ๆ ที่พองลมเป็นเด็ก ๆ " ก็ได้ค่ะ " ก่อนที่ใบหน้านั้นจะเปลี่ยนมายิ้มหวาน " แค่นี้ก็เกินพอแล้ว แต่มิ้ลค์ก็จูบเก่งเหมือนกันน้า ขนาดนี่ครั้งแรกนะเนี่ย "



     ทั้งหมดที่เราทำกันอยู่...



     มันเป็นเรื่องปกติของคนรักที่เขาทำกันสินะครับ..



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:09:43
Not to be unlocked : Episode 15 : กูมีอะไรอยากจะบอกมึงว่ะ



     ถึงผมจะเคยโม้กับตัวเองในใจว่าถ้าหากได้จูบกับใครสักคน คนที่กล้าจูบมากที่สุดก็คงเป็นแฟนของตัวเอง พอถึงเวลาจริง ๆ ผมกับทำมันไปโดยที่ไม่ได้คำนึงผลเสียที่ตามมาเลยสักนิด สิ่งที่ผมคอยพร่ำบอกตัวเองซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ คือการให้เกียรติผู้หญิงโดยไม่ให้ใครคนไหนต้องมาเสียหาย แต่ผมพึ่งทำลายคติของตนเองไปจนหมดสิ้นเมื่ออยู่กับนัทตี้ในห้องน้ำกันสองต่อสอง นัทตี้เขาเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ทำไมผมถึงไม่หักห้ามตัวเองให้ความถูกต้องอยู่เหนือความใคร่ได้วะ !! ผมไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้ต้องถูกคนอื่นมองในแง่ลบแม้เรื่องนี้จะมีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ ในความคิดของคนเป็นแฟนกันถึงทำแบบนี้อาจเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับผมมันก็เร็วเกินไปอยู่ดี วุฒิภาวะของตัวเองยังเป็นเด็ก ๆ นักเรียนอยู่ด้วยซ้ำ ทำไมผมแม่งรีบชิงสุกก่อนห่ามได้ขนาดนี้ ผมแม่งเหี้ยที่จะเอาแต่ความสุขของตัวเอง ถ้าถามถึงคนเห็นที่แก่ตัวมากที่สุดตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นที่จะตอบว่าใคร..



     สิ่งที่ทำตอนนั้นผมยอมรับจริง ๆ ว่ามันเลวมหันต์ เลวจนไม่น่าให้อภัยจริง ๆ



     " อ้าว เก็บของ ๆ ค่อยมาทำต่อพรุ่งนี้ " นี่เป็นเสียงของคุณประธานคนเก่งของผมครับ ที่ป่าวประกาศสั่งนักเรียนบริเวณนั้น ถึงแม้อาร์มจะมีจุดประสงค์อื่น แต่คำพูดของมันก็ทำให้ผมหลุดพ้นจากความคิดของตัวเอง



     " เฮ้อ.. " ผมถอนหายใจกับตัวเองเงียบ ๆ ปล่อยให้เรื่องที่คิดอยู่เมื่อครู่หลุดพ้นไปจากปลายจมูก แต่ดันไปทำให้คนที่ลงสีอยู่ข้าง ๆ หันมามองอย่างแปลกใจ



     " มีอะไรหรือเปล่าคะมิ้ลค์? " เป็นบุคคลที่ทำให้สมองผมทำงานหนักอยู่ตอนนี้เอง ผมมองใบหน้าร่าเริงของนัทตี้ที่ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยยิ้มฝืน ๆ



     " ปละ...เปล่าครับ " ผมบอกปัด ๆ พลางหลบสายตาไปทางอื่น เพื่อไม่ให้นัยน์ตาคู่นั้นได้มองเห็นความจริง แต่เหมือนแฟนสาวของผมก็ยังตามตื๊อไม่เลิก



     " มิ้ลค์มีอะไรก็พูดสิคะ อย่าปล่อยให้ตัวเองคิดคนเดียวสิ เราเป็นแฟนกันนะ " คำพูดเธอที่พึ่งพ้นออกมามันทำให้หน้าอกของผมจุกแปลก ๆ เพราะไอคำว่าแฟนนี่แหละมันทำให้ผมล่วงเกินอะไรหลาย ๆ จากนัทตี้ไป



     " นัทตี้ว่า...ที่เราทำกันเมื่อกี้มัน...สมควรมั้ยอะครับ? " คำตอบของคำถามนี้ผมรู้ดีว่ามันควรจะไปในทิศทางไหน



     " โธ่มิ้ลค์...เรื่องนี้เองน่ะเหรอ ฮ่า ๆ แค่นี้เอง " แค่นี้เอง? ผมหันไปเลิกคิ้วอึ้ง ๆ กับคำพูดของเธอ " ทำไมมันถึงทำให้มิ้ลค์คิดมากเหรอคะ? "



     " คือมิ้ลค์...ไม่อยากให้คนอื่นมองนัทตี้ไม่ดีน่ะครับ มิ้ลค์เป็นผู้ชาย มิ้ลค์ไม่เสียหายเหมือนนัทตี้นะ " ไม่รู้ทำไมเธอถึงหลุดขำออกมาได้อีกในเมื่อสำหรับผมแล้วเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬาร



     " นี่แน่ะ คิดมาก " เธอว่าพลางดันศีรษะผมให้เอนไปอีกฝั่ง " นัทตี้ไม่เสียหายหรอกค่ะ แค่จูบเอง ถ้ามิ้ลค์รู้สึกผิดจริง ๆ ทางนี้คงรู้สึกมากกว่าเพราะนัทตี้เป็นคนเริ่มก่อน " ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบออกปากแก้ตัวแทนเธอเป็นการใหญ่ว่ามันไม่จริง แต่คงได้พูดอะไรสักอย่างแล้วถ้าเธอไม่พ้นคำพูดใดต่อ



     " ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแหละค่ะเพราะนัทตี้รู้ว่ามิ้ลค์จะพูดอะไร " เธอพูดพลางชี้หน้าคาดโทษ " นัทตี้เลือกมิ้ลค์แล้ว นัทตี้ไว้ใจมิ้ลค์แค่คนเดียว นัทตี้เชื่อค่ะว่ามิ้ลค์จะดูแลนัทตี้ได้แน่ ถึงได้ทำแบบนั้นไปไงคะ " เธอพูดก่อนจะโชว์รอยยิ้มที่สามารถลดความกังวลในจิตใจผม " ยังไงนัทตี้ก็ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้มิ้ลค์คิดมาก "



     ตอนนี้ภายในจิตใจของผมชั่งว่างเปล่าเหลือเกิน เสมือนอีกฝ่ายมายกภูเขาเอเวอร์เรสออกจากอก " ครับ ไม่เป็นไร " ถ้านัทตี้มั่นใจที่จะให้ผมดูแลไปตลอด ผมก็ยินดีที่จะทำให้ทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้



     " ให้เรื่องนี้มีแค่เราสองคนนะคะที่รู้ เราเก็บไว้เป็นกันและกันเนอะ? " ผมเห็นใบหน้าของนัทตี้ที่คลี่ยิ้มโชว์ฟันแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก จริง ๆ เลยผู้หญิงคนนี้ ทำไมถึงทำให้เรื่องปวดหัวในกบาลผมมันหายไปในชั่วพริบตาเดียวได้กันนะ



     " รู้อะไรเหรอเจ๊? " แล้วมึงมาเสือกเรื่องชาวบ้านเขาทำไมเนี่ยไอสัด !!? ขอสักทีเหอะไออาร์ม !! ' ผลัวะ !! '



     " โอ๊ย ! แล้วมึงจะมาตบกูทำไมเนี่ย !? เจ๊ดูมิ้ลค์มันตบอาร์มดิ " ยังจะมีหน้ามาถามอีกว่าตบเรื่องอะไร หึ แล้วมึงไปอ้อนแฟนกูเขาจะช่วยอะไรมึงได้มั้ย?



     " สมน้ำหน้า แบร่ " ใบหน้าสวย ๆ แลบลิ้นปลิ้นตาให้เพื่อนผมอย่างทะเล้น ก่อนที่แขนเรียว ๆ จะดึงผมให้ไปหยิบกระเป๋าของเราทั้งคู่ที่วางกองรวมไว้ด้านหน้าของสแตนด์เชียร์ " ไปค่ะมิ้ลค์ กลับบ้านกัน "



     " แล้วไม่ไปดูของทำโครงงานที่สยามแล้วเหรอครับนัทตี้? " นัทตี้บอกไว้ว่าจะไปดูของตกแต่งงานกลุ่มของเธอหลังจากเสร็จธุระที่นี่เมื่อตอนกลับจากห้องน้ำน่ะครับ แถมให้ผมไปช่วยเลือกซื้ออีกด้วย สงสัยจะลืมซะแล้วมั้ง



     " เออใช่ ! นัทตี้ลืมซะสนิทเลย แหะ ๆ " ผมกำมือเขกหัวเหม่ง ๆ ของนัทตี้อย่างเอ็นดูพลางโบกมือลาเพื่อน ๆ ละแวกนั้น ก่อนจะเดินควงแขนกันไปที่หน้าโรงเรียน



     ตลอดเวลาที่ผมคบกับนัทตี้มา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมถือดีไปตอบรับความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้โดยพลการ ถึงจะคบกันมาเป็นเวลาหกเดือนเศษ แต่ผมไม่คิดว่าสิ่งที่นัทตี้หยิบยื่นสัมผัสแห่งรักจะมาได้รวดเร็วขนาดนี้ ผมทำหน้าที่แฟนที่ดีคอยเอาใจใส่นัทตี้อย่างไม่เคยขาด สิ่งที่ผมอยากได้รับกลับคืนมาไม่ใช่การจูบหรืออะไรทั้งนั้น เพียงแค่นัทตี้พอใจกับสิ่งที่ผมทำ ผมก็ไม่ต้องการอะไรจากเธออีก



     หากวันใดผมแพ้ภัยตัวเองขึ้นมา ผมคงเป็นผู้ชายคนนึงที่เลวที่สุด ทุกอย่างมันจะเป็นตราบาปในใจผมตลอดกาล



####



     ครั้งที่ล้านแล้วได้มั้งครับที่ผมมาเยือนที่นี่ ท่านผู้อ่านไม่ต้องสงสัยกันหรอกว่าหลังเลิกเรียนของวัยรุ่นแต่ละคนพอหมดกิจกรรมจากโรงเรียนแล้วจะไปสุมหัวอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะไกลถึงเชียงใหม่หรือภูเก็ตก็ต้องถ่อมาถึงสยามให้ได้ฮ่า ๆ (อันนั้นก็เว่อร์ไป) ผมเดินอยู่แถว ๆ ทางลง BTS สยามโดยมีนัทตี้ควงแขนอยู่ ๆ ข้างในเวลาทุ่มเศษ แม้ว่าฟ้าจะมืดลงไปมาก แต่ความโกลาหลก็ยังเห็นอยู่ที่นี่เป็นเรื่องปกติ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา ผมจึงพานัทตี้ไปยังร้านเครื่องเขียนแถว ๆ ซอยสิบทันที ผมไม่อยากให้นัทตี้เขากลับบ้านดึกดื่นน่ะครับ ถึงแม้จะปลีกตัวมาเที่ยวตอนนี้แล้วก็เถอะ



     แต่ดูเหมือนระหว่างทางไปร้านที่นัทตี้ต้องทำธุระซื้อ มันมีของล่อตาล่อใจอยู่เต็มเปาเลยว่ะ นั่นไง ! ไม่ทันไรก็ลากแขนผมเข้าไปในร้านเสื้อผ้าผู้หญิงซะแล้ว เป็นร้านแบรนด์เสื้อผ้าเล็ก ๆ ของผู้หญิงเขาน่ะครับ ผมมองตามหลังนัทตี้ที่เดินไปหยิบชุดเดรสเว้าแขนสีดำขาวมาทาบเข้ากับตัว



     " สวยมั้ยคะมิ้ลค์? " ผมว่ายังไงคำถามนี้ก็ไม่น่าถามอยู่ดีในเมื่อแฟนผมใส่อะไรก็สวยไปหมด ฮ่า ๆ



     " สวยอยู่แล้วครับ " แต่เฮ้ย ! พอผมพูดจบนัทตี้เขาวิ่งไปให้พี่แคชเชียร์คิดเงินเลยว่ะ เดี๋ยวนะนัทตี้ ! ร้านเขามีเสื้อผ้าเยอะแยะไม่เลือกก่อนเหรอ? เหอะ ๆ จริง ๆ เลยผู้หญิงคนนี้



     ผมเดินออกมาจากร้านพร้อมถุงที่มีเสื้อของนัทตี้ในมือพลางเดินมองร้านที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้างควบคู่ไปด้วย (เห็นนัทตี้บ่นอย่างกินเค้กเนยสด แต่ผมไม่ให้กินอะครับมันอ้วน ฮ่า ๆ) จนมาถึงร้าน Lamune ร้านที่นัทตี้จะมาทำธุระให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที โอเคเราเข้าไปกันดีกว่า



     " โหหหห ! ของเยอะจัง !! " ก้าวแรกที่เปิดประตูเข้าไป นัทตี้ก็อึ้งตาเบิกกวางเมื่อเห็นบรรดาของในร้านที่มีอยู่ให้เราได้เลือกสรรอย่างมหาศาล ให้ตายสิ ทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้นะแฟนผมเนี่ย



     " นัทตี้อยากได้อะไรบ้างล่ะ เดี๋ยวมิ้ลค์ช่วยหานะ " เมื่อได้ยินดังนั้นมือเรียว ๆ ของนัทตี้ที่เคยเกาะแขนผมอยู่ก็ลดต่ำลงไปหยิบกระดาษใบเล็ก ๆ ในถุงกระเป๋าแฮนด์เมดของเธอ



     " เดี๋ยวช่วยกันหาก็ได้ค่ะ นัทตี้หาครึ่งบน มิ้ลค์หาครึ่งล่างนะ " ผมเหล่มองกระดาษสีขาวที่เห็นรอยฉีกตามขอบพลางเลื่อนสายตาไปยังครึ่งล่าง สีโปสเตอร์ กระดาษกาว กระดาษร้อยปอนด์ พู่กันเบอร์สิบสี่และยี่สิบเจ็ด โฟมทรงกลม เทปกาวหนังไก่ เอ่อ...งานกลุ่มอะไรของเขาวะ? ทำไมมันดูเข้ากันไม่ได้สักอย่าง แต่เอาเถอะ เดิน ๆ ไปหาให้นัทตี้หน่อยแล้วกัน



     ผมเดินไปหยิบตะกร้าใบเล็กที่ทางร้านมีไว้บริการมาเป็นของตนและไม่ลืมที่จะหยิบมาเผื่อนัทตี้พลางผจญภัยหาขุมทรัพท์ภายในร้านที่แม่งซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพราะไม่รู้ว่าของแต่ละอย่างมันแอบอยู่ตรงไหน (แล้วของที่นัทตี้เขาให้ผมไปหามันมีอะไรบ้างวะ) เราสองคนเดินวนสะเปะสะปะกันในร้านพลางบอกตำแหน่งรายชื่อสิ่งของที่บังเอิญเจอของกันและกัน ก่อนที่จะเดินแยกไปหยิบใส่ตะกร้า แต่ผมก็ลืมอีกแล้วว่ะว่าต้องหยิบอะไรมาบ้าง โว้ยยยยยย !!!! แล้วเสือกไปจำของนัทตี้ได้อีกนะ !!



     เวลาผ่านไปหลายนาทีครับกว่าเราจะมารวมกันที่แคชเชียร์ได้ นัทตี้หยิบกระเป๋าเงินของเธอมาจ่ายพี่ผู้หญิงที่พึ่งบอกจำนวนค่าเสียหายทั้งหมดไป ก่อนที่ผมจะแว่วเสียงท้องร้องจ๊อก ๆ อันน่าขนลุกของคนข้าง ๆ (เห็นนัทตี้แอบหลบหน้าไปทางอื่นด้วย ฮ่า ๆ เขินอยู่แน่ ๆ) พลางรับข้าวของจากพี่เขามาไว้ในมือตัวเองแทน



     " อยากกินอะไรดีล่ะนัทตี้? ท้องร้องซะดังเชียว ฮ่า ๆ " ผมหันไปถามคนที่เดินออกมาจากร้านด้วยกันว่ามื้อเย็นของพวกเราจะฝากท้องที่ไหนดี เหมือนเดิมนั่นแหละครับ ผมคงไม่เลือกเอง



     " อืมมม นัทตี้ให้มิ้ลค์เลือกดีกว่าค่ะ นัทตี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากกินอะไร แต่ที่แน่ ๆ นัทตี้หิวแล้ว แหะ ๆ " อ้าวเฮ้ย ! หิวแต่ไม่รู้จะกินอะไร เอ้อ ! แปลก งั้นถ้าไม่รู้จะกินร้านไหนไปร้านโปรดของผมก็แล้วกัน



     เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น ผมก็ก้าวขานำนัทตี้ไปยังร้านฮะจิบังราเมนที่ผมชอบพาไอคนเล็กที่บ้านมาแวะกินเวลาเที่ยวสยามกับเจ้ามินสองคน สิ่งที่ผมชอบรองจากก๋วยเตี๋ยวก็ราเมนเส้นนุ่ม ๆ นี่ล่ะ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันไปทำอีท่าไหนดันมาชอบอาหารที่เป็นเส้น ๆ ซะหนิ



     เราสองคนพากันเดินเข้าไปในร้านโดยมีพนักงานขานต้อนรับ พี่เขาเชิญผมกับนัทตี้เข้ามายังข้างในและนำเราไปยังโต๊ะก่อนที่จะยื่นสมุดให้เลือกเมนู



     " เอาทงโคะสึ โชยุ ราเมนหนึ่งที่ค่ะ " นัทตี้ที่พึ่งเปิดสมุดไม่กี่หน้าก็ตัดสินใจสั่งอาหารยอดฮิตของทางร้านได้เสียแล้ว แต่ของเขาอร่อยจริง ๆ นั่นแหละครับ ผมเอาแบบนัทตี้บ้างดีกว่า



     " เอาเป็นสองที่เลยครับ ส่วนน้ำขอเป็นชาเขียวเย็นสองแก้วครับ " ผมหันไปบอกพลางชูสองนิ้วเป็นท่าประกอบก่อนที่พี่เขาจะเดินไปจัดการอาหารให้ ว่าแล้วหญิงสาวตรงหน้าก็หาเรื่องคุย



     " มิ้ลค์รู้มั้ยคะ เพื่อนมิ้ลค์วันนี้น่ารักกันทุกคนเลยล่ะ นัทตี้ขออะไรก็ช่วยทุกอย่าง " ผมก็ไม่รู้ว่าพวกแม่งเห็นคนสวยแล้วงูโผล่มาที่หัวหรือเปล่า ฮ่า ๆ เห็นคนสวยเป็นไม่ได้ไอเด็กโรงเรียนนี้



     " ใช่มั้ยล่ะ ฮ่า ๆ ต้องขอบคุณแทนเพื่อนของมิ้ลค์ด้วยนะครับที่นัทตี้มาช่วยงานพวกเราตั้งเยอะ "



     " ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าต้องการความช่วยเหลืออีกก็บอกได้เลยนะ " เธอพูดพลางคลี่ยิ้มออกมาอย่างเต็มใจ นี่แหละน้าผมถึงหลงเธอหัวปักหัวปำ



     " แล้วมีใครแกล้งนัทตี้หรือเปล่าเนี่ย ไออาร์มใช่มั้ย? " ต้องเช็กหน่อยครับ ถ้ามีเดี๋ยวซูเปอร์แมนคนนี้จะไปจัดการ หึหึ



     " โอ๊ยยย ไม่มีหรอกค่ะ ฮ่า ๆ แต่มีคนนึงนะ " สรุปมีหรือไม่มีเนี่ยจะได้ไปจัดการให้ แล้วอีกคนที่ว่าเนี่ยมันไปทำอะไรให้?



     " ใครเหรอครับคนนั้นน่ะ? มิ้ลค์จะได้ไปจัดการหักคอมัน " โหดมั้ยครับหักคอ หึหึ



     " คนที่ชื่อเฟิร์สน่ะค่ะ " ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็มองหน้านัทตี้อย่างสนใจไปกว่าเดิม (ทั้ง ๆ ที่ก็สนใจ) นั่นเพื่อนสนิทคนใหม่แกะกล่องผมเลยนะครับ



     " เฟิร์สมันทำอะไรเหรอครับ? " ผมเลิกคิ้วถามก่อนที่จะรับแก้วเครื่องดื่มจากพี่บริกรไปให้นัทตี้และรับมาวางเป็นของตัวเอง ไอเฟิร์สมันจะแกล้งใครได้วะนอกจากผม ช่วงนี้ยิ่งชอบก่อสงครามกับผมอยู่เรื่อย ๆ ซะด้วย



     " อ๋อ เฟิร์สเขาไม่ได้ทำอะไรนัทตี้หรอกค่ะ นัทตี้เห็นเขาทำงานเก่งดีน่ะ เขาเป็นคนยังไงเหรอ? " เอ้า !! ก็นึกว่าไปก่อเรื่องอะไรไว้ ว่าแต่ไอเฟิร์สมันเป็นคนยังไงน่ะเหรอ อืมมมม



     " ไอเฟิร์สมันก็เป็นคนดีนะ ถึงจะสนิทกันได้ไม่นานมาก แต่สำหรับมิ้ลค์แล้วเฟิร์สเองก็เป็นคนที่พึ่งพาได้คนนึงเลยแหละ ถึงจะบ๋อง ๆ บางเรื่องก็เหอะ ฮ่า ๆ " เรื่องบ๋อง ๆ ที่ว่าก็กลัวในสิ่งที่มันไม่ควรกลัวไงครับท่านผู้อ่าน ส่วนผมน่ะกลัวในสิ่งที่ควรกลัวอยู่แล้ว !!



     " เหรอคะ " และแล้วบทสนทนาก็ถูกตัดไปเมื่อมีอาหารจานอร่อยของพี่บริกรมาเสิร์ฟ ยังไม่ทันที่ผมจะยัดหมูชาชูคำโตเข้าปาก เสียงใส ๆ ของผู้หญิงในชุดคอนแวนต์สถาบันเดียวกันกับคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ก็ดังขึ้นมาใกล้ ๆ



     " อ้าวยัยนัทตี้ ! " ผมลอบมองเรือนหน้าของนักเรียนสาวที่เดินตรงเข้ามาทักทายใกล้ ๆ ถึงผมจะโง่แค่ไหนก็พอจะเดาได้ว่าเธอเป็นเพื่อนของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง " มาซื้อของทำงานเหรอยะ? "



     " ใช่แล้วพิ้งค์ " นัทตี้หันกลับไปยืมโชว์ฟันหราก่อนจะหันมาแนะนำเพื่อนของเธอให้รู้จัก " มิ้ลค์นี่พิ้งค์นะคะ เพื่อนห้องเดียวกับนัทตี้เอง "



     " หวัดดีครับ " ดูเหมือนรอยยิ้มที่ผมส่งไปจะทำให้เธอเคลิ้มไปเยอะเลยว่ะ คนหล่อก็งี้แหละครับเป็นธรรมดา หึหึ



     " หวัดดีค่ะ แหมนัทตี้ เยอะนะเราอะ " ถึงตรงนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเพื่อนของเธอหมายถึงอะไร เห็นนัทตี้ส่งสายตาดุ ๆ ไปที่เพื่อนเธอก่อนจะพูดขึ้น



     " ไปได้แล้วย่ะ อย่าพึ่งมากวนคนเขากำลังสวีทกัน พวกมะปรางยืนรออยู่หน้าร้านนานแล้ว " เธอพูดพลางชี้นิ้วไปบริเวณหน้าร้านที่มีกลุ่มนักเรียนเครื่องแบบเดียวกันยืนโบกไม้โบกมืออยู่



     " จ่ะ ๆ เบื่อจริง ๆ คู่รักเนี่ย ทำไมไม่ส่งมาให้ชั้นบ้างน้า...งั้นไปก่อนนะ หวัดดีค่ะมิ้ลค์ " ผมพงกหัวรับก่อนที่จะมองตามแผ่นหลังร่างเล็ก ๆ นั้นไป ว่าแล้วคำถามก็ผุดขึ้นมาในหัว



     " อะไรเยอะเหรอครับนัทตี้? " ร่างที่มือเรียว ๆ ทั้งสองข้างถือตะเกือบและช้อนสั้นเตรียมจะรับประทานอาหารอยู่ดี ๆ ก็แน่นิ่งไป



     " นี่ไงเยอะ ฮ่า ๆ " นัทตี้พูดพลางยื่นช้อนที่มีไข่ต้มฟองเบ้อเร่อยัดเข้าปากผมซะเต็มคำเลยว่ะ โอ๊ยยยยยย ร้อนก็ร้อนยังมีหน้ามาขำอีก เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย !!



     " ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พวกนี้ชอบแซ็วกันน่ะ " เธอพูดพลางคีบเส้นราเมนเตรียมจะกิน " เอ้อ ! จะว่าไปวันอาทิตย์นี้มิ้ลค์ว่างหรือเปล่าคะ ? " วันอาทิตย์ของผมมันควรที่จะเป็นวันว่างอยู่แล้วในเมื่อแม่งพักได้แค่วันเดียวเอง !



     " ว่างสิครับ จะพาไปซนที่ไหนอีก ? " ผมมองใบหน้าเนียนที่ตอนนี้ยิ้มแฉ่ง



     " ตากี้เห็นเจ้าพวกนั้นพอดีเลยนึกขึ้นได้ว่าจะไปเที่ยวสวนน้ำด้วยกันน่ะค่ะ มิ้ลค์ไปด้วยกันมั้ย ? " สวนน้ำเหรอ !? หูยยยย อยากไป



     " ไปสิครับไป ! " ผมตื่นเต้นออกหน้าออกตาจนนัทตี้หลุดขำครืน ก็ผมไม่ได้ไปเที่ยวสวนน้ำตั้งแต่ม.ต้นแล้วน่ะ ก็อยากไปเหมือนกันนี่หว่า แถมตอนนี้หุ่นดีพร้อมจะไปอวดเรือนร่างแก่ประชาชีแล้วด้วย หึหึ



     " งั้นแปดโมงมาเจอที่หน้าโรงเรียนนัทตี้นะคะ เดี๋ยวจะไปรอที่นั่น หรือถ้ามิ้ลค์อยากชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะคะ ไปเยอะ ๆ สนุกดี " ผมพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ



     " ครับ ! " สวนน้ำเหรอ...อยากกระโดดลงไปเล่นน้ำจังเลยน้า แต่อย่าคิดอกุศลที่ผมจะไปดูคนอื่นใส่ชุดวาบหวิวนะโว้ย ผมไม่ใช่ไอพวกเพื่อนเลวในห้องสักหน่อย หึหึ



####



     " ส่งนัทตี้แค่นี้ก็ได้ค่ะ " หลังจากที่เราทั้งสองเดินเตร็ดเตร่อยู่ในตัวสยามสแควร์เป็นเวลานานก็ได้ฤกธิ์กลับบ้านกลับช่องเสียที ถึงวันนี้เวลาจะล่วงเลยมาถึงสามทุ่มกว่า แต่ผมไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องกลับบ้านของนัทตี้เท่าไหร่แล้วครับ เพราะวันนี้เธอบอกว่าเดี๋ยวจะมีคนที่บ้านมารับน่ะ ไม่ได้กลับบ้านคนเดียวแล้ว โล่งใจไปได้อีกเปราะใหญ่



     " งั้นเดี๋ยวมิ้ลค์ยืนรอเป็นเพื่อนนะครับ "



     เวลาผ่านกว่าสิบนาทีที่รถ Honda City คันสวยมาจอดเทียบฟุตบาทให้ผมได้เห็น ก่อนที่นัทตี้จะขึ้นไปทางนั้นก็ไม่ลืมกำชับว่าอย่าคิดมากเรื่องเมื่อเย็นอีก (คร้าบบบ ไม่คิดแล้ว) พลางรับข้าวของที่ผมอาสาถือให้ทั้งหมดคืน ผมโบกมือลานัทตี้ที่กำลังงก ๆ เงิ้น ๆ เปิดประตูขึ้นไปนั่งเบาะด้านหน้าข้างคนขับอย่างทุลักทุเล พลางยืนรอให้รถคันนั้นแล่นไปจนกว่าจะลิบตา ก่อนจะก้าวขาเดินทางกลับบ้านเหมือนกัน.. เฮ้ออออ ดึก ๆ อย่างนี้ผู้ชายก็อันตรายเหมือนกันนะครับ ยิ่งผมเนื้อตัวบอบบางอยู่ด้วย หึหึ



     " คนดี ๆ อย่างมึงไม่น่าโดนหลอกเลยเนอะ "



     " ไอเชี่.. " แล้วใครมันทะลึงเล่นพิเรนทร์เอามือมาปิดปากกูวะเนี่ย !!? เดี๋ยวพ่อซัดให้หงาย ผมเหล่มองเจ้ากรรมที่เอามือกุมปากอยู่พลางนึกในใจว่าไอคนที่ทำผมตกใจอยู่ตรงนี้มันวาปมาจากไหนวะ ?



     " ไอสัดเฟิร์ส ! เล่นเชี่ยไรเนี่ย มึงแหละหลอกกูไอเลว " เฮ้อ.. ขวัญเอ๊ยขวัญมาไอมิ้ลค์ " แล้วมาทำอะไรดึกดื่นไม่กลับบ้านห้ะ ? "



     " ทำธุระให้แม่เหมือนเดิมแหละ บังเอิญเห็นเด็กที่ไหนไม่รู้หน้าตาคุ้น ๆ กำลังส่งสาวคอนแวนต์โรงเรียน xxx เลยเดินแวะมาทักน่ะ " โอ้โห...นี่มึงบังเอิญเจอหรือเป็นสโต๊กเกอร์ไล่ตามกูมาวะ ? แถมรู้ชื่อโรงเรียนแฟนกูอีก



     " อ๋อเหรออออออ " ผมลากเสียงกวน ๆ ก่อนที่จะพากันเดินตามทางไปเรื่อย ๆ หมายจะใช้บริการรถไฟฟ้า BTS



     " แล้วไม่รีบกลับบ้านกลับช่องหรือไง ? ดึกแล้วนะ " ผมนี่ก็เป็นโรคอะไรชอบเห็นสามทุ่มเป็นตีสองไปได้ ฮ่า ๆ



     " ไม่อะ " เฟิร์สตอบผมเรียบ ๆ ก่อนที่เราทั้งคู่จะเข้าสู่พื้นที่ไร้บทสนทนา ปล่อยให้บรรดาเสียงเครื่องยนต์จากด้านข้างเท่านั้นที่ดังขึ้น ในหัวของผมตอนนี้ชั่งขาวโพลนไปหมดราวกับไม่รู้ว่าจะต้องชวนอีกฝ่ายคุยอะไร เพียงแค่เฟิร์สเดินข้าง ๆ ไม่ต้องให้ออกแรงกวนตีน ไม่ต้องชวนผมพูดคุยอะไร ทำไมคนคนนี้ถึงทำให้รอยยิ้มที่ฝังแน่นอยู่มุมปากของผมคลี่ออกมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องมีเหตุผลมาบงการ



     ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของเฟิร์สผ่านความมืดที่ตอนนี้เหมือนคนกำลังขบคิดอะไรไว้มากมายในหัว และเป็นทางนั้นครับที่ทำลายความเงียบลง



     " กูขอไปนอนบ้านมึงสิ กูมีอะไรอยากจะบอกมึงเยอะแยะเลยว่ะ "



     เรื่องที่มันจะมานอนค้างบ้านผมน่ะไม่ใช่ปัญหาหรอก



     แต่เรื่องที่มันจะบอกผมตั้งเยอะเเยะน่ะ



     อะไรกันนะ



     " อื้ม เอาสิ "



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:11:05
Not to be unlocked : Episode 16 : อย่าร้องเพลงตอนทำกับข้าว



     ตั้งแต่ขึ้นแท็กซี่กับไอคนที่วาปมาอยู่ข้างหลังผมเมื่อตอนที่แล้ว ก้นของผมแม่งนั่งไม่ติดเบาะเลยว่ะ หัวสมองแม่งจินตนาการไปเรื่อยเปื่อยตลอดทางเลยครับว่าไอเฟิร์ส คนที่พึ่งมาสนิทในช่วงนี้มีอะไรอยากจะบอกกับผมให้ประหลาดใจหรือเปล่า หรือแม่งคิดจะทำอะไรแผง ๆ ให้ผมปวดกะโหลกเล่นกันแน่ ? แต่ระดับเฟิร์สคนที่ช่วยเหลือคนอื่น (เช่นผมในตอนนั้น) คงไม่คิดจะทำแบบนั้นอยู่แล้วมั้ง เดี๋ยวนะ ! ช่วงนี้พารากราฟบุคคลที่กวนตีนสูงติดเพดานที่สุดคือแม่งคนนี้นี่หว่า !! บรึ๋ยยยยยยย ไว้ใจมึงไม่ได้จริง ๆ ไอเฟิร์ส (อ๋อ ตอนแรกว่าจะไปขึ้น BTS นั่นแหละครับ แต่มันมีไอเจ้านี่พวงมาด้วยเลยนั่งแท็กซี่กลับดีกว่า สะดวกดี)



     ผมนั่งฮัมเพลงลูกทุ่งที่พี่คนขับเขาเปิดทางวิทยุ FM ทิ้งไว้ (ไงล่ะ ร้องเพลงลูกทุ่งได้ หึหึ) สลับมองมิเตอร์ค่าบริการแท็กซี่ที่ตอนนี้เดินมาหยุดอยู่เลขหกนำหน้า พักนี้ผมอยู่กับเฟิร์สเวลาสมองว่าง ๆ แล้วชอบหาอะไรมาแหย่มันว่ะ กูเป็นอะไรของกูกันล่ะหว่า ? ว่าแล้วที่นั่งระหว่างกลางเบาะหลังที่เคยว่างเกือบครึ่งเมตร ก็ถูกตัวผมแทนที่ไว้เรียบร้อยจนคนข้าง ๆ หันมามองด้วยสายตานิ่ง ๆ ผ่านความมืดสลัว ๆ ก่อนจะหันกลับไปมองวิวทิวทัศน์นอกกระจกตามเดิม



     หึหึ ถือว่านี่เป็นขั้นตอนแรกในการกลั่นแกล้งมันครับ ไม่วายผมก็เขยิบก้นไปชิดกับไอเฟิร์สแบบแนบเนื้อจนเจ้าตัวหันมามองอีกรอบ พลางทอดสายตาไม่รู้ไม่ชี้ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะแว่วเสียงพ้นลมหายใจแผ่ว ๆ ถอนหายใจแบบนี้แสดงว่าผมกวนตีนสำเร็จว่ะ ฮ่า ๆ แต่คนอย่างผมคิดเหรอว่าจะทำแค่นี้ ! ผมวางแขนเรียว ๆ ไปที่หน้าตักของมันและเหมือนเดิม ทำเป็นมองโน่นมองนี่ไม่สนใจ เหลือบเห็นมันหยิบข้อมือผมเหวี่ยงกลับมาอย่างรุนแรง สัด ! เหวี่ยงขนาดนี้เปิดประตูรถแล้วปาออกไปข้างนอกเลยเห๊อะ แต่แล้วผมก็ไม่ยอม พลางเหวี่ยงกลับไปวางไว้ที่เดิมเหมือนเก่าก่อนจะหันมาหลุดยิ้มไม่ให้มันเห็น ฮ่า ๆ



     ในตอนที่ผมยังยิ้มไม่หุบ มือของที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ผลักหัวผมซะทิ่มจนหน้าเกือบไปติดเบาะข้างคนขับ แถมแม่งยังหัวเราะเยาะอีกต่างหาก ไอสาดดดดด



     " มึงแกล้งกูเหรอไอเฟิร์ส !? " ได้ทีผมโวยวายใหญ่ เห็นมันหัวเราะหึ ๆ อย่างซะใจ



     " มึงไม่ต้องมาพูดเลย มึงนั่นแหละกวนตีน " ก็ในรถมันเงียบนี่หว่า กูเลยหาบรรยากาศก่อความวุ่นวายแม่งซะเลย ฮ่า ๆ ผมแลบลิ้นใส่มันเป็นเด็ก ๆ ก่อนจะเขยิบก้นตัวเองไปนั่งที่เก่า..



     รอยยิ้มของเฟิร์สมันก็ทำให้ผมหลงได้เหมือนกันน้า..~



     ผมล้วงกระเป๋ากางเกงควักสตางค์ตามจำนวนเงินที่โชว์อยู่หราตาให้พี่คนขับเมื่อรถคันนี้จอดเทียบอยู่หน้าบ้านพลางเปิดประตูออกไป เห็นดวงไฟที่ชั้นหนึ่งในตัวบ้านถูกเปิดอยู่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าป๊ากับม๊าคงยังไม่นอน



     " หวัดดีครับป๊า ม๊า " ผมที่พึ่งเก็บรองเท้าคัทชูหัวแหลมเข้าชั้นวาง ยกมือพนมปลก ๆ โดยหนีบจาคอปไว้ใต้รักแร้ไหว้บุพการีที่นั่งอยู่โซฟาคู่กันดูข่าวรอบดึก สองคนนี้ไม่เคยนอนเร็วกันหรอกครับ ต้องดูข่าวสารบ้านเมืองก่อนทุกที รวมไปถึงลูกชายของเขาด้วย ฮ่า ๆ (แต่ไอลูกชายของเขาเนี่ยเล่นแต่เกม !)



     ป๊าผมรับไหว้คนที่พึ่งตามไล่ ๆ กันมา " อ้าว ! หนูเมื่อตอนนั้นหนิ " ว่าแล้วม๊าผมก็ทักทายบ้าง " หวัดดีจ่ะ ชื่ออะไรน้าเดี๋ยวก่อน.. "



     " เฟิร์สครับ " เฟิร์สตอบกลับให้คนที่นั่งครุ่นคิดอยู่ได้รู้ ม๊าที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะแก้เก้อ



     " อ๋อใช่ !! นี่คุณ น้องเฟิร์ส แฟนเจ้ามิ้ลค์มัน " ผมและเฟิร์สที่เดินผ่านหน้าเจ้าของบ้านทั้งสองหมายจะขึ้นไปห้องนอนถึงกับต้องหันมาถลึงตาโตให้กับคนที่พูดลอย ๆ เมื่อครู่พร้อมกัน



     " จริงเหรอมิ้ลค์ ! นี่แกคบผู้ชายตามที่แม่แกชอบแล้วเรอะ !? ตายแล้วลูกกู " ป๊าผมว่าพลางกุมขมับเป็นการใหญ่ เอาเข้าไป เชื่อม๊าแกอีกแล้วหราาา โว้ยยยยย นี่ก็อีกคน ชอบจริง ๆ เลยยุให้ลูกตัวเองได้กับผู้ชายเนี่ย



     " บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน !! " ได้ทีผมเหวี่ยงใส่พลางย้ำเท้าขึ้นบันไดด้วยความเซ็งตงิด แว่วเสียงหัวเราะหึ ๆ ตามหลังของผู้เป็นแม่ นี่ถ้าพูดกรอกหูมาก ๆ มิ้ลค์จะเอาผู้ชายเป็นผัวให้ดูแล้วนะ !!!



     ประตูไม้เนื้อดีถูกเปิดออกโดยเจ้าของห้องอย่างผม พลางเดินดิ่งไปเหวี่ยงกระเป๋าวางบนโต๊ะคอมตามเคย (รอบนี้ให้สิบคะแนนครับ เพราะว่าเหวี่ยงไม่โดนอะไร) ก่อนจะหยิบไอโฟนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาไลน์บอกนัทตี้ว่าถึงบ้านแล้ว



     " กินไรมายังล่ะคุณผัว ? " อยากให้มีผัวมากนักใช่มั้ยม๊า ได้ !! หึหึ ผมถามเฟิร์สในตอนที่ถอดถุงเท้าโยนไปใส่ตะกร้า พลันเห็นมันอ้าปากค้างเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด



     " ยะ...ยังไอสัด !! ผะ...ผัวพ่องดิ !! ไม่หิวโว้ยย " พ่อกูไม่มี มีแต่ป๊าเว้ย ด่าให้ถูกสิ ฮ่า ๆ เฟิร์สพูดตะกุกตะกักก่อนจะเดินไปนั่งที่ปลายเตียง แต่ตากี้มึงพูดว่าอะไรนะ !? ไม่หิว ? มึงเป็นคนแดกอะไรได้เยอะชิบหายเลยนะ ต่อให้มึงอมอะไรมาพูดกูก็ไม่เชื่อหรอก !



     แต่เห็นมันไม่ชอบที่ผมพูดผัว ๆ เมีย ๆ ได้ทีก็แกล้งมันใหญ่ " กินไรมั้ย ? เดี๋ยวภรรยาคนนี้จะลงไปทำอะไรให้กินนะคะ " หยี๋ ขนลุกเวลาพูดเหมือนกันเว้ย !!



     " .......... " ร่างโปร่งที่นั่งอยู่ตอบสนองผมด้วยสายตาที่ทอดมานิ่ง ๆ ราวกับขบคิดถึงบางเรื่อง ผมเห็นความหวั่นไหวอยู่ในดวงตาดำสองดวงนั้น แต่ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก



     " จะกินหรือไม่กิน !? " แล้วกูถามอะไรก็ตอบหน่อยเส้ ! คุณสามีมึงจะเมินกูใช่มั้ย !? ได้ !!! ว่าแล้วผมก็กระโดดไปตะครุบเหยื่อที่นั่งอยู่ให้ล้มไปนอนตัวยาวพลางล็อกแขนทั้งสองข้างของมันแน่น กวนตีนอย่างงี้ต้องเจอกันหน่อยแล้วแหละ !



     เฟิร์สยิ้มอย่างคนที่ถือไผ่เหนือกว่า " ไม่กิน แล้วนี่จะทำอะไร ปล้ำกู ? " เสียงของมันดูยียวนกวนบาทาผมยิ่งหนัก แต่ตากี้มึงคิดว่ากูจะปล้ำมึงใช่มั้ย !? ตอนแรกก็ไม่ได้คิดหรอกนะ แต่ตอนนี้.. หึหึ



     ยังไม่ทันที่ผมจะทำอะไรไอเฟิร์ส แม่งก็เรียกแรงมาจากไหนไม่รู้ พลิกตัวมันให้ขึ้นมาคร่อมพลางเปลี่ยนตำแหน่งของคนที่ล็อกแขนทั้งสองอยู่เป็นถูกล็อกแทน เป็นอันว่าตอนนี้ผู้ล่าอย่างผมกลายเป็นผู้ถูกล่าซะแล้ว นี่กูออกกำลังกายทุกวันไม่ได้ช่วยอะไรเลยใช่ปะ ?



     " อ้าว ๆ คุณภรรยา ไม่ล็อกแขนผมแบบเมื่อกี้แล้วเหรอครับ ? หึหึ " ล้อกูซะหน้าแตกอย่างเดียวไม่พอ เสือกขำให้กูเจ็บใจอีก ไอสาดดด ถึงแขนจะไม่มีสู้แล้ว แต่ปากผมยังมีว่ะ



     " ไอสัด ! กูไม่กลัวมึงหรอกเว้ยไอ้ผัว ! " รอยยิ้มของคนที่คร่อมผมอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนสีหน้าเป็นฉีกยิ้มอย่างเจ้าเลห์ ประหนึ่งคิดวางแผนอะไรชั่ว ๆ ไว้ ถ้าให้เดาเล่น ๆ นะ แม่งคงจะ..



     ไอเชี่ยเฟิร์ส !!!!!



     " ปล่อยกู ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ " มันจักจี้ผมอะท่านผู้อ่าน ฮ่า ๆ แม่งสันดานเสียมาก ๆ เอาจุดอ่อนคนอื่นมาเล่นงาน !!



     " เอ้า ! ก็บอกไม่กลัวไม่ใช่เหรอ ? หึหึ ขอเอาคืนตอนที่ยัดโตเกียวเข้าปากกูเมื่อเย็นด้วยแล้วกัน !! " มึงเลิกพูดได้แล้ว ปล่อยกู ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ



     " ยอมแล้วคร้าบบ มิ้ลค์ยอมแล้วคร้าบบบ ฮ่า ๆ ๆ จะให้มิ้ลค์ทำอะไรก็ได้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ " ผมยกมือขึ้นไหว้ปลก ๆ พลางปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ อย่าให้กูรู้จุดอ่อนมึงมั้งเถอะไอเฟิร์ส !



     " โธ่...นึกว่าจะแน่ " เฟิร์สหัวเราะหึหึพลางคลายมือจากเอวผมก่อนจะลุกขึ้นมานั่งข้างเตียง จู่ ๆ ผมก็นึกถึงเรื่องเมื่อตอนเจอเฟิร์สที่สยาม ผมรู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ถ่อสังขารมาขอค้างที่บ้านผมหนึ่งคืนเพราะอะไร แต่สิ่งเดียวที่ผมไม่รู้ภายใต้น้ำเสียงและท่าทางจริงจังที่ติดตาผมอยู่นั้น กำลังหมายถึงอะไร..



     คงต้องหยุดเวลาเล่นเอาไว้เท่านี้ก่อน



     " ไหนว่ามีไรจะบอกไง ? " ผมทวงถามในตอนที่นอนจัดเสื้อนักเรียนให้เข้าที่เข้าทาง ผมมโนไว้สารพัดเลยครับ ไม่รู้จะถูกบ้างมั้ย



     ผมมองแผ่นหลังของเฟิร์สที่ค่อย ๆ หันกลับมามองด้วยใบหน้านิ่งเฉย แววตาที่เคยมีความร่าเริงกลับวูบไหวในชั่วพริบตา ทิ้งให้บรรยากาศรอบด้านมีแต่เสียงแอร์ที่ผมเปิดทิ้งไว้ ทุกอย่างมันเงียบไปหมด เงียบซะจนหน้าอกของผมมันชั่งโหวงเหวงเหลือเกิน



     ปากบาง ๆ ของเฟิร์สขบเข้าหากันแน่นราวกับว่าไม่อยากให้คำพูดใดหลุดออกมาให้ผมรับรู้ แต่สุดท้ายแล้วเสียงอันแหบพร่าของเฟิร์สก็ปริออกมาให้ผมได้ยิน



     " ไว้กูพร้อมเมื่อไหร่...กูจะบอกมึงนะ ตอนนี้...กูยังไม่พร้อมเลยว่ะ " เสียงของคนที่พยายามกลั่นออกมาดูสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดจนผมต้องเอื้อมไปตบบ่าเฟิร์สปุ ๆ เรียกกำลังใจ พลางคลี่ยิ้มเป็นเชิงให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าทุกอย่างต้องผ่านไปได้แน่



     ไม่ว่าสิ่งที่เฟิร์สจะบอกผมเป็นเรื่องอะไร หากเฟิร์สยังไม่พร้อมที่จะพูดตอนนี้ ผมก็ยินดีที่จะรอฟังจากปากมัน



     เมื่อเฟิร์สพร้อม..



####



     เมื่อคืนหลังจากที่ผมลงไปทำกับข้าวรอบดึกให้เฟิร์สกิน ผมกับมันก็พากันเล่น FIFA17 ใน ps4 ยิงยาวกันจนตีสอง แม่งเจ็บใจชิบหายที่ Arsenal ทีมผมเสือกแพ้ Chelsea ของไอเฟิร์สไปเกือบโหลพอดี โคตรขายหน้า !! จะให้ผมยอมได้ยังไงล่ะตั้งเกือบโหล สุดท้ายแล้วการแหกตาเล่นเป็นเวลานานก็ไม่ทำให้สามารถชนะแม่งได้เลยพอไว้เท่านี้ก่อน (เออกูกาก ! ถ้ามึงเล่น Tekken กูไม่มียอมมึงแน่ !) พอหกโมงเช้าก็ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกเลยครับเพราะม๊าแกรีบขึ้นมาเคาะประตูให้ตื่น จะอะไรซะอีก ก็มื้อเช้าวันนี้เสร็จไวกว่าปกติน่ะสิ แถมข้าวปลาอาหารดูน่ากินผิดหูผิดตา ไม่รู้เป็นเพราะว่าแฟนในความคิดของม๊าผมมานอนค้างคืนด้วยหรือเปล่าเลยจัดซะชุดใหญ่ (แล้วแต่ละกันนะม๊า มิ้ลค์เบื่อที่จะแก้ข่าวแล้ว ฮึ !) ซึ่งคำนวณเวลานอนคร่าว ๆ ของเราทั้งคู่แล้วมีแค่สี่ชั่วโมงเอง เป็นเหตุให้ผมต้องเดินไปชงกาแฟดื่มแก้แฮงก์ก่อนไปโรงเรียนมิฉะนั้นอาจจะสลบคาพื้นโต๊ะเรียนได้ มื้อเช้าวันนี้มีผู้ร่วมรับประทานอาหารเพียงแค่ผม เฟิร์ส และก็มินครับ เมื่อคืนตอนที่เล่นเกมกันอย่างออกรสปอนด์มันคอลไลน์มาหาผมว่าพรุ่งนี้เช้าคงไมได้ไปรับเนื่องจากติดธุระ ผมก็อือ ๆ ออ ๆ ตอบรับมันอย่างไม่สนใจไปกว่าเบื้องหน้า เพราะไม่สามารถแยกสมาธิจากเกมและโทรศัพท์ที่เอาไหล่หนีบข้างหูได้ (ทำไมไม่ไลน์มาบอกวะ ? ไอนี่ก็แปลกคน) อ๋อ !! ม๊าแกบอกเมื่อคืนด้วยนะว่าเสียงดัง แอบทำอะไรกันหรือเปล่า ? เล่นเกมไงครับม๊า ! เล่นเกม !!



     ที่สำคัญไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากกระหม่อมบาง ๆ ของเราทั้งคู่ถึงหมอนอย่างที่ม๊าแซ็วแน่นอน ท่าทีของเฟิร์สหลังจากไฟในห้องดับลงดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดแปลกไปกว่าตอนที่มันอ้าปากเตรียมจะบอกอะไรผม หลังจากที่ผมหลับตาคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าไอเจ้าเฟิร์สมันจะบอกอะไร แววตาที่มันเคยจับจ้องผมอยู่ก็เลื่อนเข้ามาแทนที่ภาพมืด ๆ มันมีทั้งลังเลและหวาดหวั่นปนอยู่ในความทมิฬของดวงตาคู่กลม แน่นอน เฟิร์สไม่ได้มากวนตีนเหมือนที่ผมทำกับมันบ่อย ๆ แน่ อดคิดไปเองไม่ได้จริง ๆ ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เฟิร์สจะบอกผม มันจะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง..



     จวบจนเราเดินทางมาถึงโรงเรียน (วันนี้ไม่มีการลงโทษครับ เพราะมาโรงเรียนทันเวลาก่อนบอสออก หึหึ) ผมจัดการโบกไม้โบกมือลาเฟิร์สใต้ตึกสิบสองเช่นเคยพลางเดินไปที่ประจำนั่นคือโรงอาหาร แต่ยังไม่ทันจะได้หย่อนก้นนั่งลง คุณประธานก็วิ่งมาด้วยสีหน้าที่เหมือนโดนผีหลอก ผมเหล่มองพลางประคองมันที่เหนื่อยหอบให้นั่งลงก่อนที่จะตั้งใจฟังสิ่งที่มันพูด แต่เสียงชั่งเบาเหลือเกิ้นนนนนนนนน



     " โร...แฮก ๆ โรงเรียนเขาให้ขนฉากออก "



     " อะไรนะ !!!!? ต้องขนฉากออก ! " ผมฟังไม่ผิดหรอกครับ ตอนนี้หน้าของผมเปื้อนไปด้วยความอ่อนล้าแทนเมื่ออุทานออกไปแบบนั้น ไม่นะ...นี่กูต้องไปแบกไอแผ่นไม้ใหญ่ ๆ นั่นอีกแล้วเหรอ !!!



     " เออ แฮก ๆ เขาให้ขนออก ฝ่ายปกครองเขาร้องเรียนมายังสีแดงว่าให้ทำการขนย้ายฉากที่เมื่อวานเราเริ่มทำกัน เพื่อให้มีพื้นที่ที่สะดวกแก่การทำกิจกรรมอะไรของแม่งก็ไม่รู้ " อาร์มพูดปนบ่น ๆ อะไรวะ ? ทำงี้ได้ไง !?



     " เอ้า ! แล้วขนไปทำบนโรงยิมไม่ได้เหรอวะ !? " พื้นที่โรงเรียนมันมีตั้งมากมาย ทำไมโรงเรียนใจร้ายใจดำขนาดไม่ให้มาทำที่นี่วะ ? อาร์มที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้าพรืด



     " โรงยิมก็ไม่ได้ เขาจะเอาไว้จัดแข่งฟุตซอล " โว้ยยยยยยย แล้วที่นี้จะเอาไงต่อวะเนี่ย ฮืออออ เหนื่อยเรียนแล้วต้องมาเหนื่อยขนย้ายของอีกรอบเนี่ยนะ !! กล้ามเนื้อแขนที่เคยปวดจากการแบกของตั้งแต่เมื่อวานตอนนี้ดันปะทุขึ้นมาอีกรอบ แค่คิดว่าต้องแบกกลับไปแบกกลับมา แขนผมก็ปวดตุบตับไปหมดแล้วครับท่านผู้อ่าน..



####



     เย็นของวันนี้เราได้รับการอนุเคราะห์พื้นที่การทำงานนั่นก็คือบ้านของเจ้าเฟิร์สครับ ไม่ต้องสงสัยกันว่าทำไมถึงได้ง่ายขนาดนั้น คือเมื่อตอนพักกลางวันได้มีการประชุมด่วนของฝ่ายอาร์ทครับว่าจะทำไงต่อดีในเมื่อเป็นอย่างนี้ ในตอนแรกทุกคนดูกระวนกระวายไม่น้อยเมื่อได้ยินข่าวเรื่องต้องขนย้ายฉากออกจากบริเวณโรงเรียน เพราะบ้านของแต่ละคนไม่ได้มีขนาดใหญ่พอที่จะเอาแผ่นไม้ใหญ่ ๆ หลายแผ่นไปช่วยกันทำ แต่บุรุษรัตติกาลอย่างไอเฟิร์สแม่งแก้ไขสถานการณ์ได้โคตรแยบยล เพียงแค่ยกหูโทรหาคุณขวัญว่าขออนุญาตใช้พื้นที่หน้าบ้านเป็นลานกว้างไว้สำหรับลงแรงทำฉาก เพียงแค่ครู่เดียว ทางไปสู่สวรรค์ก็ถูกเปิดออกเมื่อคำอนุมัติของคุณขวัญประกาศให้ทุกคนได้รับทราบ ทันทีที่ทุกคนรู้ก็เฮลั่นกันให้วุ่นทั่วห้องสภาฯ ทำให้เฟิร์สต้องขอแรงฮะเก๋าฝ่ายเชียร์ยืมรถสิบล้อจากบริษัทพ่อของมันมาทำการขนย้ายไปยังบ้าน ทางนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ ทำให้การขนย้ายช่วงเย็นของเราเป็นไปในทิศทางบวกทั้งหมด



     ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นครับ ฝ่ายอาร์ทห้องสี่และห้องสิบเอ็ดหลังจากที่ขนของลงมาวางเรียงกันเสร็จก็ลงมือทำการระบายสงระบายสีกันต่ออย่างแข็งขัน แม้ผมจะโคตรเหนื่อยจากการขนของ แต่ก็อย่าไปน้อยหน้าคนอื่นเขาครับ เรามาจัดการในส่วนของผมบ้างดีกว่า ผมถือแปรงที่ชุ่มไปด้วยสีแดงชาดพลางทาลงบนเนื้อไม้ สลับมองไปยังเพื่อนคนอื่น ๆ ที่กำลังสุมหัวระบายสีกันเป็นกลุ่ม ๆ ตอนนี้ข้าง ๆ ผมมีปอนด์ กั๊มพ์ เบ้นซ์ อาร์ม แล้วก็ลูกเจ้าของบ้านครับที่ช่วยกันทำอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอเฟิร์สมันเด้งมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงในเมื่อตรงอื่น ๆ ก็แยกกันทำเป็นห้องสมบูรณ์ดี (โดนเพื่อนทิ้งมั้ง ฮ่า ๆ) แต่ผมสงสัยอะไรได้ไม่นานก็ต้องออกปากด่าไอเชี่ยอาร์มที่แม่งระบายสีออกนอกเส้นอีกแล้ว



     " ไอสาดดดด มึงเอาอีกแล้วนะ " แล้วไอห่านี่ทำไมมันชอบระบายออกนอกเส้นจังวะ !? ไม่ต้องสงสัยกันครับว่าทำไมแม่งมาอยู่ที่นี่ได้ อู้งานสภาฯ เหมือนเดิม



     " เอาอีกแล้วเชี่ยไร มันเป็นศิลปะ " อาร์มพูดพลางกรีดนิ้วทำท่าคล้ายศิลปินดังท่านหนึ่ง มึงไปก๊อบท่าของเขาไม่พอยังเอาคำพูดมาอีก นี่มันศิลเปอะชัด ๆ



     ' ผลัวะ ! ' ถึงผมคิดเล่น ๆ ว่าจะเดินไปตบหัวมันที่แถไปเรื่อย ไอซันก็เดินมาจากกลุ่มข้าง ๆ จัดการเบิร์ดกะโหลกให้เสร็จสรรพ



     " ศิลปะพ่อมึงดิ แล้วนี่โดดงานสภาอีกแล้วใช่มั้ย !? งานห่าอะไรไม่เคยทำจริงจังหรอกมึงอะ " โหไอซัน ! พูดถูกใจสัด ๆ ถูกใจขนาดผมต้องยกนิ้วโป้งให้ เห็นไออาร์มแก้ตัวใหญ่



     " ไอเชี่ย ก็กูอยากช่วยพวกมึงนี่หว่า งานตรงนี้มันหนักกว่าสภาตั้งเยอะ " ตอแหลมากไออาร์ม ตอแหลอย่างงี้ต้องโดนผมตบอีกสักดอก



     " โหไอมิ้ลค์ ไม่ต้องมาตบกูเลยนะ จะมืดแล้วเนี่ยไอสัด โน่นไปทำกับข้าวให้พวกกูแดกเลย งานเสร็จจะได้แดกกัน " ผมที่ง้างมือหมายจะตบก็ต้องหยุดชะงักเมื่อไออาร์มบอกให้ไปทำมือเย็นสำหรับแรงงานทุกคน ผมเก็บมือลงก่อนจะขออนุญาตยืมครัวเจ้าของบ้านไว้ทำอาหารสำหรับมื้อนี้



     " งั้น...กูขอไปจัดการก่อนนะ " คนที่ระบายสีอยู่ตรงข้ามได้ยินเข้าก็พงกหัวรับโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เพราะฉะนั้นหากทางสะดวกแล้ว เราไปเข้าครัวกันดีกว่าครับ หึหึ



     เมื่อเข้ามาถึงครัวสิ่งแรกที่ผมทำคือกวาดสายตาดูบรรดาครุภัณฑ์ที่แม่งมีอยู่อย่างครบถ้วน ผมล่ะชอบจริงจริ๊งเลยครัวบ้านไอเฟิร์สเนี่ยแม่งมีอุปกงอุปกรณ์ห่าอะไรพร้อมหมดทุกอย่าง ! เดี๋ยววันไหนตัวเองหน้าด้านย้ายมาอยู่บ้านนี้เลยดีกว่า หึหึ แต่จะมาชื่นชมสิ่งจรรโลงใจในนี้นานไม่ได้ ผมเดินตรงดิ่งไปเปิดตู้เย็นขนาดบิ๊กไซส์ของบ้านนี้พลางมองเฟรนช์ฟรายส์ นักเก็ต ปีกไก่ ไส้กรอก และก็อีกมากมายที่ถูกยัดอยู่เหมือนปลากระป๋อง พวกนี้ถือว่าวางแผนไว้รอบคอบครับที่แห่กันไปซื้อของที่ซูเปอร์มาเก็ตมาตุนสำหรับมือเย็น ทำนองว่าทำงานเสร็จก็ลงแขกแดกกันต่อเลย ฮ่า ๆ ด้วยปริมาณที่มากพอสมควร ผมก็คิดไว้แล้วแหละว่าต้องใช้เวลาในการประกอบอาหารอยู่เยอะเลย แต่ท่านผู้อ่านไม่ต้องเป็นห่วงครับเพราะผมคนเดียวก็เอาอยู่ หึหึ



     แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามคาด เมื่อร่างโปร่งของลูกชายเจ้าของบ้านเดินยิ้มแฉ่งเข้ามาขณะที่ผมฉีกปากถุงเจ้าอาหารขยะพวกนี้หมายจะเถใส่กะละมังรวมกันเพื่อสะดวกในการทอด (มันเยอะขนาดต้องเอามารวมกันในนี้จริง ๆ ครับ)



     " มีอะไรให้ช่วยปะ ? " เป็นคนดีนี่หว่าไอเฟิร์ส ฮ่า ๆ แต่จะให้มันช่วยอะไรดีล่ะในเมื่อสกิลการทำอาหารแม่งต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหลือเกิน



     " เอ่อ.. " ผมพูดพลางกวาดสายตารอบ ๆ ครัวหางานง่าย ๆ ให้มันทำ แต่...อย่าเลยว่ะ ให้มันอยู่เป็นเพื่อนผมก็ยังดี เดี๋ยวแม่งจะทำครัวเละเทะไปหมด " หาอะไรทำแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนกูก็ได้ "



     " ห้ะ !? " เออ มึงฟังไม่ผิดหรอก



     " เออ หาอะไรทำแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนกูไง " ผมย้ำให้มันฟังอีกรอบแต่แม่งก็ยังตีหน้ามึนอยู่ดี เฟิร์สเกาหัวแกก ๆ ก่อนที่จะเอี้ยวตัวเดินออกไปด้านนอก คงจะไปหาอะไรมาทำนั่นแหละครับ



     ผมจัดการหันโน่นแต่งนี่ให้มีรูปลักษณ์น่ารับประทานก่อนจะเห็นไอคนที่เดินงง ๆ ออกไปข้างนอกถือกีตาร์โปร่งเข้ามาด้วย ไอนี่น่ะเหรอที่จะทำให้มึงอยู่เป็นเพื่อนกู ?



     " เล่นเป็นรึไง ? " ผมถามลองเชิงไปงั้นแหละ แต่เฟิร์สก็ยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ



     " เป็นดิ ไม่งั้นจะเอามาเล่นทำไม " คร้าบ ๆ พ่อคุณคนเก่ง " เอาเพลงอะไรดีล่ะครับคุณภรรยา หึหึ " เดี๋ยว ๆ มึงกล้าเรียกไอคำห่านี่ตั้งแต่เมื่อไหร่



     " ภรรยาพ่องดิ เพลงอะไรก็ได้เดี๋ยวกูช่วยร้อง " เฮ้ย ! ผมร้องเพลงเพราะนะจะบอกให้ ไม่เชื่อเดี๋ยวไอเฟิร์สขึ้นคอร์ดเดี๋ยวผมร้องโชว์เลย หึหึ ร้องเพลงตอนทำกับข้าวก็เพลินไปอีกแบบนะ ใครมาบอกร้องเพลงตอนทำกับข้าวจะได้แฟนแก่นี่ผมเถียงขาดใจเลยล่ะ หึหึ



     " งั้น...เพลงนี้แล้วกัน " เฟิร์สที่เดินไปนั่งพาดเคาน์เตอร์จัดอาหารข้าง ๆ พูดก่อนจะยกกีตาร์เครื่องเก่งขึ้นมาวางบนตัก มันเกาสายกีตาร์เพื่อเช็กซาวด์นิดหน่อยพลางเริ่มดีดคอร์ดแรกของเพลงที่ทางนั้นมีไว้ในใจ ทันทีที่เสียงกีตาร์ท่อนแรกบรรเลงขึ้น ผมก็รู้ในทันทีว่าเพลงที่กำลังจะเริ่มต้นร้องน่ะคือเพลงอะไร ผมรอจังหวะให้เฟิร์สดีดถึงท่อนที่จะร้องนิดหน่อยแล้วจึงปล่อยให้ทุกอย่างลอยไปตามน้ำ..



     " มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง

แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา

     ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน



     ไม่มีทาง เรื่องเพ้อฝันความผูกพันอย่างง่ายดาย

รักแรกพบมีอยู่จริงในนิยาย

     หนังสือนิทาน เพลงรักแสนหวาน กับความฝัน "



     สิ่งที่ผมตกใจมากที่สุดคือเฟิร์สมันดีดถูกคีย์เป๊ะ ๆ ไอนี่ถือว่ามีกึ๋นด้านนี้เลยนะท่านผู้อ่าน แต่ก็ตกใจได้ไม่นานเพราะต้องทำหน้าที่ของตัวเองไปด้วย ร้องเพลงไปด้วย



     " แต่วันนึงฉันผ่านมาพบเธอตรงนั้น

ดวงใจ เป็นเดือดเป็นร้อนช่างทรมาน

     ราวกับโดนมนต์แม่มดสะกดพลัน

นาทีนั้น ฉันรักเธอทันใด "



     แต่พอถึงท่อนนี้เฟิร์สไม่ปล่อยให้ผมร้องคนเดียวครับ เราสองคนร้องผสานเสียงควบคู่กับทำนองดนตรีที่เฟิร์สถือครอง..



     " รักแรกพบแท้จริงเป็นอย่างไร

เพราะเธอใช่หรือไม่ เปิดใจใครที่ฉันเป็น

     จากวันนั้น หัวใจรู้สึกเอง ชัดเจนว่าทุกสิ่ง เกิดขึ้นจริงใช่ฝันไป

ได้พบจึงเข้าใจ มีอยู่จริง "



     เมื่อท่อนสุดท้ายของบทเพลงจบลง ผมถึงขนาดต้องวางมีดในมือลงเพื่อยกขึ้นมาปรบความฉกาจของไอหมอนี่ในทันทีเลยว่ะ ไม่รู้ว่าคนอื่นมองว่ามันเก่งมั้ย แต่สำหรับผมแม่งสุดยอดดดด



     " นี่มึงเอาเพลงนี้มาจีบกูปะเนี่ย ? " บางทีมันอาจจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทำเป็นเลือกไม่ถูกแล้วเอาเพลงนี้มาร้องก็ได้นะครับท่านผู้อ่าน หึหึ



     " จีบห่าอะไร ก็กูนึกไม่ออก แต่มึงร้องเพลงเพราะดีนะมิ้ลค์ " เห็นเปล่า ! ผมบอกแล้วว่าร้องเพราะ หึหึ แต่ชื่นชมกันได้ไม่นานผมก็สำเหนียกตัวเองว่าควรจะเร่งฝีมือในการทำได้แล้ว



     ผมแลซ้ายทีขวาทีหาของที่กำลังต้องการแต่แล้วมันอยู่ไหนวะ อ๋อ โน่นไง " เฟิร์สหยิบตะหลิวให้กูหน่อย ตรงนั้นอะ " ผมว่าพลางชี้ไปยังด้านหลังของมันที่มีตะหลิวแขวนอยู่ ก็มันบอกเองนี่ครับว่ามีไรให้ช่วยมั้ย สมใจมึงแล้วมั้ยล่ะ หึหึ



     " อืม ๆ " เฟิร์สหันไปหยิบสิ่งของที่ผมร้องขอพลางเดินเอามาให้โดยที่มืออีกข้างไม่ได้วางเครื่องดนตรีของมันลง มึงวางก่อนก็ได้ปะครับคุณเฟิร์ส ทำไมเรื่องแบบนี้ไม่ฉลาดเลยล่ะ



     ' แก๊งงง !! ' นั่งไงตะหลิวตกเลย มึงก็แทนที่จะวางกีตาร์ของมึงก่อนเนอะ ทำไมทำอะไรให้มันยุ่งยากจริง ๆ เดือดร้อนให้ผมต้องเดินไปก้มช่วยมันเก็บ



     แต่กว่าจะรู้สึกตัว ใบหน้าของผมก็โดนมนต์สะกดจากดวงตาคู่คมให้ไม่ขยับไปไหนเรียบร้อยแล้ว ริมฝีปากอมชมพูของคนตรงหน้าที่เคยสั่นระรึกด้วยความลังเลเริ่มเม้มเข้าหากันแน่นราวกับตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอะไรต่อ ไม่เพียงแค่นั้น โคลงหน้าที่เห็นไม่ถนัดค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาอย่างรีรอ จนเสียงหัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติเริ่มบรรเลงภายใต้แผ่นอกเป็นทำนองคุ้นเคย ความรู้สึกที่ก่อตัวในจิตใจเป็นสื่อนำทั้งความอยากรู้และอยากลอง บังคับให้ใบหน้าของผมค่อย ๆ เลื่อนตอบโต้จนปลายจมูกของเราสัมผัสกันผะแผ่ว..



     หากเสียงที่คุ้นเคยของเพื่อนคนหนึ่งไม่ดังขึ้นขัดจังหวะ ผมคงไม่จินตนาการถึงจูบหวาน ๆ ของเฟิร์สเมื่อวันนั้นอย่างแน่นอน..



     " ทั้งสองคน...มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า ? "





ขอขอบคุณ

เพลง รักแรกพบ - Tattoo Colour



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:11:34
Not to be unlocked : Episode 17 : มันไม่เหมือนกัน



     ถ้าถามว่าเมื่อก่อนผมคิดอะไรกับเฟิร์ส ก็คงตอบได้เต็มปากว่ายังไงก็ไม่คิดกับเพื่อนคนนี้มากกว่านั้นแน่นอน..



     แต่ทำไมช่วงนี้เวลาผมอยู่กับเฟิร์สดูจะผิดแปลกไปกว่าทุกที ผมอยากให้เฟิร์สหัวเราะโดยมีผมอยู่ข้าง ๆ ผมอยากแกล้งมันทุก ๆ ครั้งที่มีโอกาส ผมอยากได้รอยยิ้มจากเฟิร์สแม้รอยยิ้มนั้นจะมีไว้สำหรับใคร ๆ ผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องการอะไรหลาย ๆ อย่างจากมัน ช่วงระยะเวลาที่ผมได้รู้จักเฟิร์สกินเวลาไปแค่อาทิตย์กว่า ๆ วันเวลามีแค่นี้ แต่ทำให้ผมและเฟิร์สสนิทกันรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าที่ฟาดลงสู่พื้นดินในเวลาอันสั้น ทำไมเฟิร์สถึงได้มีอิทธิพลในชีวิตผมได้ขนาดนี้กันล่ะ น่าแปลกที่ไม่ว่าผมจะทำอะไรอยู่ที่ไหน หน้าของเฟิร์สเวลายิ้มแย้มจะวนเข้ามาในหัวให้ได้ชื่นชมอยู่สม่ำเสมอ กล้าพูดได้เต็มปากด้วยซ้ำว่าความสุขที่หาได้ยากน่ะ มันมีเฟิร์สรวมอยู่ในนั้นด้วย



     เฟิร์สสำหรับสายตาคนอื่นผมยังคงไม่รู้จักดีนัก แต่เฟิร์สในสายตาผมเป็นเพื่อนที่ล้ำค่าจนมิอาจสรรหาคำใดมาทดแทนความหมายได้ กิจกรรมตอนนี้ทำให้เพื่อนของเราทุกคนจำเป็นที่จะต้องมาช่วยเหลืองานซึ่งกันและกัน สิ่งนี้จะคอยบอกถึงลักษณะนิสัยของแต่ละคนว่าเป็นยังไง รวมไปถึงผู้ชายคนนี้ด้วย เวลาที่ใครต้องการความช่วยเหลือ คนแรกที่จะออกปากอาสาก็คือเฟิร์ส เวลาคิงคองไม่ได้มาประชุมไอเฟิร์สก็มาแทนตลอด ตอนที่ผมโดนอาจารย์พรทิพย์สั่งงานเท่าภูเขามันก็สละเวลามาช่วย แล้วไหนวันนั้นเราจะยังเครียร์ปัญหาที่บาดหมางกันมานานอีก พูดตรง ๆ ถ้าผมเป็นเฟิร์สในตอนนั้นคงจะมองหน้ากันแทบไม่ติดแล้ว ถึงปัญหามันจะลงตัวแล้วก็ตามที



     คำตอบของผมในตอนนี้ว่าคิดอะไรกับเฟิร์สยังคลุมเครืออยู่มาก ทุกครั้งที่ผมอยู่ใกล้เฟิร์สระยะเผาขนทีไรจะไม่เป็นตัวเองตลอด เมื่อตอนเย็นก็เอาอีกแล้ว ทำไมนัยน์ตาของผู้ชายคนนี้ที่จับจ้องมาเป็นแววตาที่น่าค้นหายิ่งนัก ความรู้สึกเก่า ๆ ที่เคยหลงเหลือในจิตใจพรั่งพรูออกมา ทำให้ใบหน้าของผมเลื่อนเข้าไปหาเฟิร์สอย่างไม่ลังเล เพื่อหวังจะกวาดชิมรสสัมผัสที่เราเคยได้แตะต้องกันโดยที่ไม่ต้องรอให้สิ่งใดอนุญาต แต่จูบครั้งนี้ของเราก็ไม่เกิดขึ้นเป็นเพราะเสียงทุ้มของปอนด์ที่เข้ามาตอนได้จังหวะพอดี ทำให้เราทั้งคู่ต้องหยุดการกระทำนั้นไป



     ผมยังไม่กล้าที่จะตอบว่าตอนนี้คิดยังไงกับเฟิร์ส แต่ถ้าให้ความรู้สึกตอบแทนคำพูดน่ะเหรอ ? ผมคิดว่ามันคงจะตอบว่า..



     " ไอมิ้ลค์ !! มึงเป็นอะไรวะ ? กูเห็นมึงมองไส้กรอกในมือตั้งนานแล้วเนี่ย ไม่แดกไง๊ ? " เสียงอาร์มแว่วดังมาจากใกล้ ๆ เรียกให้ผมหลุดจากความคิด ผมมองไส้กรอกในมือโดยมีซ้อมเสียบอยู่พลางเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่นั่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัยข้าง ๆ



     " อืม " ก่อนจะยัดอาหารแท่งยาว ๆ ที่ถูกหั่นเหลือชิ้นเล็กเข้าปาก นี่ผมเหม่อขนาดมันจับสังเกตได้เลยเหรอ ?



     " เออไอโจ๊ก ว่าแต่ไอบีปีนี้มันลงแข่งฟุตบอลสีเราปะวะ ? " ว่าแล้วคุณประธานก็หันไปถามเพื่อนห้องสี่ที่กำลังง่วนกับการกินอาหารฝีมือผม ตอนนี้พวกเราเลิกงานกันแล้วครับ เหลือแต่กินข้าวแล้วก็แยกย้ายกลับบ้านกัน (เอาเข้าจริง ๆ เหลือเก็บรายละเอียดฉากนิดหน่อยเท่านั้นแหละ ไว้วันหลังมาทาสีตรงอื่นต่อ)



     " โหคุณประธาน ! ไอเชี่ยบีมันลงอยู่แล้ว เอามันลงไปคนเดียวยังชนะเลย " มึงก็เว่อร์ไปนะคุณโจ๊ก พูดอย่างกับมันเป็นโรนัลโด้งั้นแหละ



     " ดี !! สีแดงของเราจะได้มีรางวัลไปข่มสีอื่นได้ ส่วนฝ่ายเชียร์ได้ข่าวว่าน้องม.ต้นสีเราแม่งไม่ดื้อซะด้วย สงสัยปีนี้เราจะกวาดรางวัลได้หลายถ้วยเลยว่ะ " มันว่าพลางหัวเราะหึหึก่อนจะตักซุปใส่ถ้วยมากระดกเอื๊อก ๆ ทำตัวทุเรศสมกับเป็นเพื่อนกูจริง ๆ



     " ว่าแต่นายเหอะมิ้ลค์ ปีนี้จะลงแข่งด้วยปะ ? เห็นมีแค่นายอะที่กล้างัดกับไอบี " เจ้าฟร้องห้องสี่พูดขณะเคี้ยวนักเก็ทตุ่ย ๆ มีคนมาขอความร่วมมือว่ะท่านผู้อ่าน



     " นี่เราเก่งขนาดนั้นเลย ? " เพื่อนห้องสี่ที่นั่งเรียงกันหน้าสลอนพงกหัวรับคำถามอย่างพร้อมเพรียงกัน " ถ้าพวกนายไว้ใจเราขนาดนั้นก็เอาสิ " ผมก็เตะบอลตามปกตินะ ดันไปสะดุดตาแมวมองซะได้ หึหึ



     " เอาเข้ !! ได้ตัวเต็งมาอีกคนแล้วว่ะ รวมไอบีกับไอเต๋าสามคน ชนะใส ๆ " เหมือนรายชื่อที่ถูกยกขึ้นมาอวยแต่ละคนดูฟังไม่เข้าหูไอคนที่นั่งแทะตีนไก่ข้าง ๆ ผมเลยสักนิด



     " ไอห่ามิ้ลค์นี่นะเก่ง ? ถุ้ย !! วิ่งหนีเจ๊พรให้ทันก่อนดีกว่า ฮ่า ๆ ๆ " ปากมึงนี่ก็อยู่ไม่สุข ๆ จริง ๆ ว่ะไออาร์ม เฮ้ออ..



     ' ผลัวะ ' ไม่ต้องถามว่าใครตบมันครับ ฝ่ามือปราบมารของผมเองนี่แหละ



     " โทษทีว่ะ กูวิ่งหนีทัน ก๊ากกกกกก " การตบครั้งนี้เรียกเสียงฮือฮาของเพื่อนละแวกนั้นได้ครืน " ว่าแต่มึงเหอะไออาร์ม เลิกกับน้องบิวตี้หรือยังวะ ? " ไหนก็กวนตีนกูแล้วก็ขอกวนตีนมึงกลับหน่อยแล้วกัน หึหึ เรื่องที่มันเลิกกับน้องบิวตี้โรงเรียนสหฯ ผมรู้ตั้งนานแล้วครับ แต่มันยังคงไม่รู้ว่าผมทราบเรื่องนี้มาก่อน



     " ไอเชี่ยมิ้ลค์ !!!! มึงรู้เรื่องนี้ได้ไง !!!!? " มันว่าพลางเอาตะเกียบชี้หน้าผมประหนึ่งเตรียมจะร่ายคาถาปิดปากแบบในแฮรี่พอตเตอร์ แต่คถาแบบนั้นในฮอกวอตส์เขามีสอนไว้เหรอวะ ? (ก็ผมไม่เคยดูแฮรี่นี่หว่า)



     " สายลับกูเยอะ อยากรู้ก็ง้างปากกูดิ หึหึ " แน่นอนพอผมข่มไปแบบนั้นก็ไม่มีใครกล้าหยามเลยสักราย



     " ฝากไว้ก่อนเหอะมึง " มันพูดก่อนจะยัดอะไรต่อมิอะไรเข้าปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่นึกเหรอว่าผมจะปล่อยไปง่าย ๆ



     " ไม่รับฝากไอสัด อาการเป็นไงไหนบอกหมอซิ ? " ได้ทีผมขยี้ใหญ่ ฮ่า ๆ ตอนนี้ทุกคนจับตามองคุณประธานสุดยิ่งใหญ่ที่ตอนนี้หดเหลือตัวเท่ามด



     " ไอเชี่ย !! อย่าเค้นกูดิโห่ ก็...กูไม่มีเวลาให้เขาอะ งานสภามันยุ่ง " ผมที่ชี้บอกไอกั๊มพ์ให้หยิบจานยำมาใกล้ ๆ ถึงกับต้องหันไปมองไออาร์มอย่างโคตรไม่เชื่อ



     " ยุ่งห่าไรไอสัด !! วัน ๆ ใช้แต่น้องกูทำงานให้ ไอสารเลวเอ๊ย " ผมชี้หน้าด่ามันทันทีก่อนจะคีบเส้นมาม่าขึ้นลิ้มลอง โอ้ววว ความเปรี้ยวที่ลงตัวนี้ ผมล่ะชอบจริง ๆ เลยว่ะ ฝีมือใครทำวะอร่อยจัง



     " เออใช่ ! วันนี้เราไปส่งเรื่องของบชมรมที่สภาฯ เห็นน้องม.4 คนนึงหน้าตาน่ารักนั่งทำงานอยู่โต๊ะประธานนักเรียน หน้าโคตรเครียดเลย นั่นน้องนายหรือเปล่ามิ้ลค์ ? เราเห็นแล้วโคตรสงสาร " ผมที่ได้ยินคิวเพื่อนเฟิร์สพูดเสร็จก็หันไปเปิดฮาคิราชันใส่ไออาร์มจนแม่งแทบหมดสติ



     " ไอ !! สัด !! อาร์ม !!!!!! " เพียงแค่สามคำของผมก็ทำให้ประธานนักเรียนสุดยิ่งใหญ่มาอยู่ใต้อานัดได้ในทันที ผมวางจานที่มีเศษอาหารกินแล้วลงพื้นก่อนจะบิดคอไปมาพลางหักนิ้วไม้นิ้วมือดังกึกกักหมายจะเล่นงานไอหมอนี่ นี่ถ้าคิวไม่บอก น้องกูคงโดนมึงหลอกแดกไปแล้วแน่ ๆ มึง !! ตาย !!



     " ฮืออออ มิ้ลค์ กูขอโทษ กูบอกว่ากูจะทำเองแต่น้องมึงเขาอยากทำแทนอาาาา กูจะปฏิเสธน้องเขายังไงล่ะ "



     " ตอแหล !!! " ปากผมไวเท่าความคิด กูอยู่กับมึงมาตั้งนาน ทำไมกูจะไม่รู้สันดานมึง ! อย่ามาแก้ตัวน้ำเน่า ๆ



     " ไม่เชื่อมึงก็ไปถามน้องมึงเองโน่นนนน กูไม่เกี๊ยววว " อาร์มว่าพลางยกมือพนมขึ้นเหนือหัว แต่มึงไม่ต้องไหว้ก็ได้มั้งเดี๋ยวอายุกูสั้น ผมลดมือที่หมายจะตบไออาร์มลงก่อนจะกวาดสายตาดูเพื่อนฝ่ายอาร์ทรอบ ๆ ที่ตอนนี้อึ้งบารมีในตัวผม เอ่อออ ผมว่าอย่าไปตบมันเลยดีกว่า เดี๋ยวเพื่อนคนอื่นจะพลอยกลัวกันไปหมด เหอ ๆ



     " ว่าแต่คาโบนาล่ามึงก็ทำเองเหรอมิ้ลค์ ? โคตรอร่อย " ผมหันไปหาเจ้าปิงปองที่ตอนนี้ขโมยความสนใจจากไออาร์ม เห็นมันสูดเส้นสปาเกตตีเคลือบด้วยน้ำสีขาวข้นคงจะอร่อยอย่างปากเจ้าตัวว่านั่นแหละ



     " ใช่แล้ววว กูช่วยกันทำกับเฟิร์สเลยนะ " ถึงมันจะไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย แต่ก็ประหยัดเวลาในการทำไปได้เยอะ เฟิร์สที่นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยก็คลี่ยิ้มบาง ๆ แสดงความปีติที่ผมยกความดีความชอบให้



     " กูว่าแล้วทำไมอร่อย " ปิงปองพูดก่อนจะจิ้มซ้อมลงไปในจาน " เออว่าแต่มึงเหอะมิ้ลค์ ช่วงนี้สนิทกับไอ้เฟิร์สจังวะ ? "



     " นั่นสิ ทำไมวะเฟิร์ส ? " เจ้าเจ๋งเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ เฟิร์สถามพลางศอกต้นแขนเจ้าของชื่อนั้น



     " ก็...ไม่รู้ดิ " ลูกเจ้าของบ้านตอบเรียบ ๆ ผมไม่ได้คิดไปเองหรอกว่ามันไม่ได้มองหน้าผมตั้งแต่ปะทะกับปอนด์ในครัวแล้ว



     " กูรู้ ๆ ตอนนั้นเจ๊พรเคยไล่ล่าพวกแม่งอะ มันหนีเข้าไปในห้องน้ำกันสองคน กูเลยลองแอบตามเข้าไป เห็นไอมิ้ลค์ร้องครางเสียงเสียวชิบหาย สงสัยแม่งไปได้กันในห้องน้ำแน่ " สิ้นคำว่าแน่ผมก็จัดการหลังมือใส่ปากไออาร์มซะหงายหลัง มึงพูดถูกแค่ครึ่งเดียวไอสัด !!



     " ไม่รู้ดิ กูคงบังเอิญมั้ง แต่กูไม่ได้คิดอะไรกับมันนะเว้ย ใช่มั้ยเฟิร์ส ? " ผมคลายข้อสงสัยให้กับทุกคนก่อนหันไปถามเจ้ากรรม เห็นมันยักคิ้วหลิ่วตาให้ทีนึงแต่ก็ไม่ได้มองหน้าผมอยู่ดี



     " แต่ตอนปฐมนิเทศมึงยังจะจูบมันอยู่เลยนะมิ้ลค์ " เอี๊ยดดดดดดดดดดด ถึงตรงนี้ผมหันไปมองหน้าเจ้าปิงปองอย่างโคตรของโคตรตกใจ



     " กูเนี่ยนะจะไปจูบมัน !!!!!? " ผมถามไปแบบนั้นก็ในเมื่อหัวผมแม่งจำห่าอะไรไม่ได้เลย



     " เอ้า ! นี่อย่าบอกว่ามึงลืมแล้ว ? ก็ตอนปฐมนิเทศมึงได้ไปเล่นเกมคู่กับไอเฟิร์สไง มึงมองกันไปกันมาแล้วมึงก็เดินไปหามันใกล้ ๆ แล้วก็บอกมันอีกนะว่าจะจับทำผัว พอมึงพูดจบก็ทำปากเตรียมจะจูบ " ผมนั่งเอ๋อคิดตามคำพูดของไอปิงปองที่พ้นออกมา สลับมองเพื่อนรอบด้านที่หยักหน้ากันอย่างสามัคคี



     " เฮ้ยเดี๋ยว ๆ กูจะจูบมันอย่างเดียวไม่พอแถมจะไปเอามันทำผัวอีกอะนะ !? " ผมพูดพลางชี้หน้าตัวเองเพราะไม่เชื่อในคำพูดของพวกแม่ง จริงอยู่ที่เฟิร์สเคยเล่าให้ผมฟังส่วนหนึ่ง แต่ตัวเองก็จำอะไรไม่ได้สักอย่าง ตอนนี้เหมือนจะได้ข้อมูลที่เพิ่มมากกว่าเก่าแล้วว่ะ



     " เออ มึงนั่นแหละพูดเอง ไม่เชื่อถามคนอื่นดูดิ เขาได้ยินกันทั้งนั้นแหละ " พวกเพื่อน ๆ ที่ได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้ารับกันซ้ำอีกรอบ แต่เฮ้ย !? ผมพูดอย่างนั้นจริง ๆ เหรอวะ ? ผมนั่งหลับตาพลางละรึกชาติในอดีตว่ามันเคยเกิดเรื่องแบบนี้จริง ๆ หรือเปล่า แล้วพบว่า..



     " อยากชนะเหรอ ? เดี๋ยวกูจะจับมึงทำผัวซะเลยเป็นไง ? " ไอเชี่ยยยยยยยย !! ผมพูดไปแบบนั้นจริง ๆ เฮ้ย !! ตอนนั้นมันยังไม่หล่อเท่าตอนนี้เลยนี่หว่า !! ทันทีที่ผมนึกออกก็ตบหน้าขาตัวเองดังป้าบ สงสัยตอนนั้นมันคงจะดัดฟันแล้วฟันยังไม่เข้าผมเลยจำไม่ได้มั้ง พอมาตอนนี้แม่งหล่อสัดหมา !! (ที่ว่าจำไม่ได้ตอนนั้นฟันแม่งยังเหยินอยู่แน่ ๆ)



     " ไอควาย ทำเป็นจะจับมันทำผัว สุดท้ายมึงก็แพ้เอง ว้ายยย "



     ' ป้าบ !!!! ' ติดคริติคอลครับดอกนี้ หึหึ โดนตบกลับถึงขนาดลงไปนอนกองกับพื้นอีกรอบ ปากมึงนี่มันหมาจริง ๆ เลยนะไออาร์มมี่



     นี่สินะ จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมกับเฟิร์สมองหน้ากันไม่ติด..



     " แต่ไอมิ้ลค์มันมีแฟนแล้วหนิ พวกมึงก็เห็นกันแล้วไงเมื่อวาน " ซันพูดเสริมให้จนผมแทบจะก้มลงกราบที่มึงทำให้กูดูดีในสายตาคนอื่น ขอบใจมากเว้ยเพื่อนรัก



     " แต่ตอนนั้นกูเห็นนัทตี้ควงอยู่กับผู้ชายคนอื่.. " ไอกั๊มพ์ที่พูดออกมาหน้าตาเฉยถูกไออาร์มที่นอนอยู่กระโจนมากุมปากไว้แน่น แต่เมื่อกี้มันพูดอะไรนะ ใครควงกับใคร



     " ตากี้มึงว่าไงนะ ? " ผมถามกั๊มพ์ที่ตอนนี้มองหน้าอาร์มอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนที่ผมจะเห็นคนที่กุมปากอยู่ทำปากขมุบขมิบเหมือนกำลังด่าไอคนที่หลุดปากเมื่อครู่



     " จะบอกหรือไม่บอก ? " ผมย้ำอีกรอบเรียกพลังกดดันรอบข้างจนไอกั๊มพ์ฝืนพลังนี้ไม่ไหว ถึงขนาดต้องดึงข้อมือเรียว ๆ ของอาร์มลง



     " เมื่อวันเสาร์ตอนเย็น กูไปดูหนังกับไอเชี่ยนี่แหละที่สยาม กูเห็นนัทตี้เขาควงผู้ชายเข้าร้าน zen อะ กูก็นึกว่ามึงแต่ไม่ใช่ " ตอนนี้มือของผมเริ่มเย็นเฉียบทั้ง ๆ ที่มันร้อนอบอ้าวชิบหาย



     อาร์มถอนหายใจพรูพุ่งก่อนจะพูดเสริม " วันนั้นกูเห็นจริง ๆ ดูยังไงก็ใช่เจ๊ "



     " พะ..พี่ชายเขาหรือเปล่า ? " ผมไม่รู้จะแก้ตัวให้นัทตี้ยังไงในเมื่อสมองตอนนี้มันกลวงไปหมด



     " พี่ชายเขาเดินซบไหล่กันเหรอวะ ? "



     " .......... " ผมยอมรับว่าตอนนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ใครก็ได้ชอบตบหน้าผมแรง ๆ แล้วบอกว่านี่คือความฝันทีสิ



     " มะ...ไม่มีอะไรหรอก พวกมึงอะคิดมาก " ผมพูดติดตลกแก้สถานการณ์ไปงั้นทั้งที่จริง ๆ แล้วมันเจ็บเหลือเกิน ถ้าคำพูดของอาร์มและกั๊มพ์เป็นเรื่องจริง สิ่งเดียวที่ผมยังการันตีว่านัทตี้มีแค่ผมคือจูบในวันนั้น



     กั๊มพ์และอาร์มไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงแค่ส่ายหัวให้กันอย่างปลง ๆ และทิ้งให้ผมกลับเข้าสู่ความคิดอีกครั้ง..



     แต่ในใจลึก ๆ ผมก็ยังคิดว่ายังไงซะ นัทตี้ก็เลือกผมแค่คนเดียว...แน่นอน



####



     " มึงทำได้แน่เหรอวะมิ้ลค์ ? " หลังจากที่เทศกาลเทกระจาดมื้อเย็นของชาวฝ่ายอาร์ทสำเร็จลุล่วงก็ถึงเวลากลับบ้านกลับช่องกันเสียที เพราะนี่ปาเข้าไปจะสี่ทุ่มแล้ว (แดกเสร็จแล้วแทนที่จะกลับบ้านเลย เปล่าครับ แม่งยกเครื่อง wii ห้องไอ้เฟิร์สมาเล่นต่อ) ผมมองอาร์มที่ถามถึงเรื่องงานเพราะพวกเรายังเครียร์กันไม่เสร็จ โดยมีเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งยืนเป็นฉากหลัง (กลับบ้านไปแล้วบางส่วนครับ)



     " สบายมาก เดี๋ยวกูรีบทำแล้วก็รีบกลับ " จริง ๆ มันเหลือแค่เก็บรายละเอียดแค่นั้นนั่นแหละครับไม่ได้มีอะไรมากมาย ถ้าอยู่ดึกจริง ๆ อาจจะนอนบ้านไอเจ้านี่แม่งซะเลย ยังไงไองานห่านี่ใครจะไปทำวันเดียวเสร็จ



     " เออ รีบทำรีบกลับ อย่าลืมงานแม่วนิดาด้วยล่ะสัด โคตรเยอะ " เออว่ะจริงด้วย !! อาจารย์แกสั่งงานให้สืบค้นข้อมูลตามหัวข้อที่ได้รับโดยที่แม่งไม่มีให้ก๊อบจากในเว็บครับ !! มีทางเดียวที่จะรอดก็คือห้องสมุด



     ผมพยักหน้าเป็นอันเข้าใจพลางโบกมือลาตามหลังขบวนทัพของเพื่อนให้เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ก่อนจะก้าวเท้าหันกลับไปหาคุณลูกเจ้าของบ้านที่รออยู่ด้านใน รีบทำรีบกลับดีกว่า แถมไอยุงบ้านนี้ก็เย๊อะเยอะ อย่าบินมาแดกเลือดคนหล่อได้ปะ ? หมดรูปกันพอดี !



     ผมเดินกลับเข้าไปยังบริเวณบ้านพลางมองรอบ ๆ ว่าคุณลูกเจ้าของบ้านหลังหรูนี้เขาไปสแตนด์บายอยู่ตรงไหน แต่ก็ไม่ได้มองรอบตัวถึงสามร้อยหกสิบองศาครับเพราะคุณเฟิร์สเขานั่งชมจันทร์อยู่ขอบสระน้ำตรงโน้น อารมณ์ดีจังวะ ว่าแล้วก็หาอะไรแกล้งมันหน่อยดีกว่า หึหึ (อย่าด่าว่าผมซาดิสม์สิ)



     " แหว่ !!!!!!! " ผมพูดเสียงดังลั่นพร้อมกับเขย่าหลังมันแรง ๆ โดยไม่ลืมที่จะป้องกันมันพลาดตกลงไปในน้ำ (หรือจะผลักมันตกไปเลยดีวะ ?) คนที่ถูกแกล้งตกใจจนเหวอก่อนจะหันมาตีหน้าแข้งผมดังป้าบ หูยยยยย เจ็บนะ !



     " เล่นเชี่ยไรเนี่ย !? ตกใจหมด !! " ผมหัวเราะหึหึก่อนจะจุ่มขาลงไปในน้ำพลางหย่อนก้นนั่งลงข้าง ๆ แต่ตากี้มันมองอะไรบนฟ้าวะ ซูเปอร์แมนบินมาแถวนี้เหรอ ?



     " มองไรอะเฟิร์ส ? " ผมชะเง้อมองไปบนนั้นบ้างแต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากเมฆก้อนดำ ๆ ที่ก่อตัวกันแน่นเหมือนฝนทำท่าจะตก



     " ไม่ได้มองอะ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย " ผมเหล่มองใบหน้าด้านข้างของเฟิร์สที่ดูเหมือนคนกำลังครุ่นคิดอะไรอย่างหนัก อย่างนี้ต้องรีแลคให้มันสักหน่อย หึหึ



     " เฟิร์ส ยืนขึ้น " ผมว่าพลางจูงแขนแน่น ๆ ของมันให้ยืนอยู่ขอบสระก่อนจะสาวเท้าไปยืนซ้อนแม่งอีกที



     " หื้ม ? " เฟิร์สเลิกคิ้วสูงเหมือนกำลังถามว่าผมจะทำอะไร ผมยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางอ้าแขนเตรียมทำอะไรบางอย่าง หึหึ



     ' ตู้มมมมมมมมมมมมม !!! ' ผมกอดลำตัวด้านหน้าของเฟิร์สที่หันมามองผมอย่างสงสัยก่อนจะโยนร่างตัวเองและคนที่กอดอยู่ลงไปยังก้นสระพร้อมกัน แค่ก ๆ เชี่ย สำลักน้ำ !



     ทันทีที่ผมแหวกขึ้นมาเหนือน้ำได้ ไอเฟิร์สแม่งก็ตบหัวผมซะโคตรดัง " ไอมิ้ลค์ !! มึงเล่นไรเนี่ย !!? " ฮ่า ๆ นี่แหละครับวิธีรีแลคของผม



     " ก็กูเห็นมึงเครียดอยู่นี่หว่า ก็เลยทำให้ลืม ๆ มันไปไง " ผมพูดก่อนจะเสยเส้นผมที่ชุ่มด้วยน้ำไปด้านข้าง " ไหน คิดอะไรอยู่บอกกูหน่อยดิ " เอ้า แล้วกูจะไปทำให้เขาลืมแต่เสือกไปถามซ้ำอะนะ อะไรของกูวะ ?



     ลูกหมาที่ตกน้ำมาด้วยกันมองหน้าผมแว็บหนึ่งก่อนจะหันไปมองสายน้ำที่กระเพื่อมไปมา เฟิร์สชั่งใจกับตัวเองพักหนึ่งครับก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น " คือ...เรื่องเมื่อเย็นกู...ขอโทษนะ " เรื่องเมื่อเย็น...อ๋อ



     " เรื่องนั้นอะนะ โอ๊ยย อย่าไปคิดมาก " เฟิร์สที่ได้ยินเข้าก็ตกใจในคำพูดของผมที่ดูไม่กังวลอะไรเลย



     " เฮ้ย ! เรื่องใหญ่นะเว้ย กูเกือบจูบมึงเลยนะ "



     " ก็กูไม่ได้คิดอะไรหนิ จะคิดมากไปทำไมวะ ? " ทำไมพอผมพูดประโยคนี้แล้วรู้สึกเหมือนกำลังโกหกตัวเองอยู่เลย



     " แต่กูซีเรียส "



     " แต่กูไม่ได้คิดอะไรไง "



     " เชี่ยมิ้ลค์ !! "



     " ทำไม ? เรียกกูทำไม ? " นักเลงเหรอ ? หึ กูก็นักเลงได้เหมือนกันว่ะ



     " แต่กู.. " พูดมากจริง ๆ เลยว่ะมึงเนี่ย ต้องให้เล่นไม้นี้ใช่มั้ย ? ผมไม่ปล่อยให้มันได้พูดอีกโดยการโน้มตัวไปปิดปากยุ่น ๆ ที่ทำท่าจะบ่นอะไรต่อด้วยริมฝีปากของตัวเอง



     ' หมวบ '



     คนที่โดนจูจุ๊บปากเมื่อครู่ถลึงตาเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อว่าผมกล้าทำในสิ่งที่คนเป็นเพื่อนเขาไม่ทำกัน ก็มันพูดมากเองหนิท่านผู้อ่าน ไม่รู้จะปิดปากมันยังไงก็เลยจุ๊บแม่งซะเลย ฮ่า ๆ แต่วิถีนักเลงของผมจุ๊บปากแล้วต้องหนีครับ อย่าปล่อยให้มันยืนด่า ฮ่า ๆ



     แล้วก็เป็นไปตามคาดเมื่อผมเดินแหวกน้ำขึ้นฝั่งหมายจะหนี เฟิร์สสบถใส่ผมมาเป็นล้านคำตามหลัง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรนอกซะจากหลุดยิ้มอย่างมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำไป



     จุ๊บปาก กับ จูบปาก มันไม่เหมือนกันนะ ท่านผู้อ่าน ฮ่า ๆ ๆ



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:12:02
Not to be unlocked : Episode 18 : ไม่ได้ดูหนังผี !!



     เมื่อคืนหลังจากที่ผมกระโดดลงไปเล่นน้ำกับเฟิร์สที่สระ เราสองคนก็มานั่งสั่นหงึก ๆ อยู่หน้าบ้านจนเสื้อนักเรียนแห้ง พอตัวแห้งสนิทดีปุ๊บก็พากันไปเก็บรายละเอียดของชิ้นงานที่เหลือจนเวลาล่วงเลยมาพอสมควรที่จะให้ BMW คันเก่งของแม่ไอเจ้านี่บึ่งเข้ามาจอด ผมทักทายคุณขวัญตามมารยาทเพื่อนลูกเจ้าของบ้านที่ดีก่อนแม่ของเจ้าเฟิร์สจะชวนเข้าไปกินอาหารมื้อดึกด้านใน เพราะแกเล่นหอบข้าวหอบของที่เหลือจากร้านมาซะเยอะแยะ (อย่าดูถูกของเหลือร้านนี้ครับ แม่งแพงกระเป๋าฉีก) มื้อดึกของเราแม่ลูกเป็นไปอย่างสนุกสนานครับ เมื่อลูกชายของเขาเล่าถึงวีรกรรมที่ผมเล่นไปกระโดดกอดลูกชายบ้านนี้พากันลงไปในสระ แถมเล่นสงครามน้ำอย่างกับวันนี้เป็นวันสงกรานต์อีกแน่ะ พอบอกเลิกแล้วจะขึ้นฝั่งแม่งยังจะตามมาลากแขนผมไม่ให้ขึ้นไป ลากอย่างเดียวไม่พอด้วยนะครับ เสือกจับหัวผมกดลงไปในน้ำอีก (สงสัยมันอยากจะฆ่าผม เลวจริง ๆ) แต่ที่ผมฟังเฟิร์สบ่น ๆ มายืดยาวแมร่งไม่ได้เล่าถึงเรื่องที่ผม..



     หึหึ



     ผมนั่งมองออกไปนอกบานหน้าต่างรถประจำทางที่พึ่งขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไหร่ สลับดูกระหมอมบาง ๆ ของผู้เป็นน้องที่ตอนนี้นอนอิงแอบอยู่บริเวณหัวไหล่ บรรยากาศวันนี้ถือว่าค่อนข้างสบายตัวครับ ไม่ร้อนอบอ้าวกว่าทุกที สบายขนาดที่ไอตัวแสบข้าง ๆ หลับปุ๋ยไปเลย ฮ่า ๆ แต่ทุกทีเจ้ามินมันไม่เคยหลับแบบนี้มาก่อนเลยนะครับท่านผู้อ่าน เวลามินอยู่บนรถเมล์ทีไรจะนั่งปั้นหน้าสู้ดีเหมือนพร้อมทำสงครามกับคณะอาจารย์ในทุก ๆ วัน แต่ไหงวันนี้สลบเหมือดเหมือนคนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงเลยล่ะ เป็นเพราะพักนี้ได้ถวายตัวไปให้ไอประธานจอมขี้เกียจหรือเปล่าวะ ? ช่วงนี้ข่าวคราวไอห่านี่แม่งไม่ดีซะด้วยสิ เอาเป็นว่าเดี๋ยวต้องไปจัดการแม่งซะหน่อยละ คิดแล้วเลือดก็ขึ้นหน้า หึ้ยยยยยย



     ผมชะเง้อมองกระจกบานใหญ่ด้านหน้ารถประจำทางเพื่อสังเกตลาดเลาว่าใกล้ถึงจุดมุ่งหมายที่เราจะลงกันหรือยัง อืมมม อีกป้ายเดียวก็จะถึงโรงเรียนแล้วครับ ผมสะกิดแขนเรียว ๆ ของมินให้ตื่นจากการหลับใหลพลางอมยิ้มออกมา เมื่อเจ้าตัวสะดุ้งตัวโหยงขณะที่นิ้วของผมไปแตะแขนถี่ ๆ ตลกไปอีกแบบเนอะน้องชายคนนี้



     ผมเดินจูงมือเด็กน้อยที่พึ่งตื่นข้ามถนนมาฝั่งหน้าโรงเรียนพลางเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงประตูบานใหญ่อันแสนคุ้นเคย ยังไม่ทันที่จะเลี้ยวเข้าได้เท่าไหร่ก็ต้องมาตกตะลึงให้กับทีมประธานนักเรียนที่ยืนอย่างกับตำรวจมาตรวจจับแอลกอฮอล์ เว่อร์ชิบหายเลยไอสัด ! แล้วไอเชี่ยนั่นใช่มั้ยน่ะตัวการ ? ผมมองตาขวางใส่ไอคุณประธานนักเรียนหัวถุยที่ยืนเก๊กหน้าขึมก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าไปหามันอย่างไม่รีรอ



     " ไอเชี่ยอาร์ม !! " ผมเรียกแม่งจากศักดิ์ประธานนักเรียนสุดยิ่งใหญ่ให้เหลือเป็นแมวตัวน้อยแสนเชื่อง แต่กูเรียกดังไปเปล่าวะคนหันมามองเป็นแถว..



     " อะ..ไอมิ้ลค์ !! หวัดดีเว้ย !! แหะ ๆ " แม่งคงรู้แหละครับว่าผมมาทำไม ขนาดทักทายยังพูดไม่เป็นคำ " ละ..แล้วไอปอนด์ไม่มาด้วยกันเหรอวะ ? " มึงไม่ต้องไปสนคนอื่น มึงมาเคลียร์กับกูเดี๋ยวนี้ !!!



     ในขณะที่ผมง้างมือเตรียมจะลงทัณฑ์ไอห่านี่ เสียงแหลม ๆ ของคนที่มาด้วยกันก็ดังขึ้นทักทายตัดหน้าผมไปซะไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย " หวัดดีครับพี่อาร์ม " ทักทายอย่างเดียวไม่พอ แถมหาวปากกว้างให้เขาอีกฟอดใหญ่



     " เนี่ยไอสัด ! มึงใช่มั้ยที่ทำให้น้องกูไม่ได้พักผ่อน !? " ได้ทีผมเอ็ดไออาร์มพลางชี้หน้าน้องชายของตัวเองประกอบ ไอสันดานเสีย !! แล้วพวกมึงมองอะไรกันนน !! เดี๋ยวกูพาลให้หมด !!!



     " อูย เปล่านะครับพี่มิ้ลค์ พี่อาร์มเขาไม่ได้สั่งอะไรมินเยอะเลย เมื่อคืนมินแค่หักโหมทั้งงานตัวเองและงานสภาเฉย ๆ ไม่มีอะไรหรอกครับ " เจ้าน้องชายแก้ตัวให้ใหญ่จนไอนี่ฮึกเหิมขึ้นมาทันที



     " เห็นเปล่า กูบอกแล้วว่ากูไม่ได้สั่งงานเยอะเลย มึงอะมั่ว ! " เสร็จคำว่ามั่วของแม่งผมก็ตบมันทันทีแต่แม่งดันวิ่งหลบไปเสียก่อน แหม ตอนแรกกลัวกูชิบหาย พอน้องกูออกตัวให้ก็เกทับซะแบนแต๊ดแต๋เลยนะ !



     " มึงก็หัดอยู่ช่วยน้องกูบ้างสิ ทำตัวให้สมกับตำแหน่งหน่อย "



     " เออ ๆ รู้แล้ว กูก็อยู่ช่วยตลอดนั่นแหละ " อาร์มตอบปัด ๆ เหมือนกับว่าตัวมันเองกำลังทำหน้าที่นั้นดีอยู่แล้ว ผมหยักหน้ารับคำมันพลางโบกมือลาคุณประธานนักเรียนให้ทางนั้นได้ทำหน้าที่ต่อ ก่อนจะแยกย้ายกับน้องชายตัวเองแถว ๆ โรงอาหาร



     ไออาร์ม ดูแลน้องกูดี ๆ หน่อยเถอะ กูเป็นห่วง..



####



     " เอาเหมือนเดิมครับป้าน้อย " เสียงผมสั่งอาหารแสนอร่อยกับหญิงอายุราวสี่สิบกว่า ๆ ที่จะคอยมาอุดหนุนอยู่ทุกวี้ทุกวัน ตอนนี้อยู่ช่วงพักกลางวันม.ปลายครับ ผมยืนปั้นหน้าระรื่นรอก๋วยเตี๋ยวในโรงอาหารที่มีแค่ร้านนี้ร้านเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมติดงอมแงม ก็อย่างว่าอะครับ ไม่รู้ว่าป้าแกใส่กัญชาแทนผักบุ้งหรือเปล่าถึงอร่อยได้ขนาดนี้ ฮ่า ๆ



     " ได้แล้วจ่ะ " ผมรับชามก๋วยเตี๋ยวเรือร้อน ๆ พลางยื่นสตางค์ครบจำนวนไปให้ป้าแก ก่อนจะเดินเลี่ยงความวุ่นวายออกมาสมทบกับเพื่อนที่นั่งรออยู่โต๊ะริมสุดข้างสนามฟุตบอล มีแค่ปิงปองกับซันเองครับที่มาแล้ว สงสัยคงจะซื้อข้าวกันอยู่



     " อะไรวะ กินได้ทุกวันเลยนะไอร้านป้าน้อยเนี่ย ไม่เบื่อไง๊ ? " ทันทีที่ชามอาหารโคตรอร่อยของผมแตะถึงพื้นโต๊ะ ไอซันที่นั่งกินผัดผักรวมมิตรกับพะโล้ก็ทักท้วงขึ้นมาทันที



     " โหเพื่อน ร้านนี้แม่งโคตรเด็ด ! มึงต้องไปลองดูไอซัน " ผมโอ้อวดร้านประจำของตัวเองซะโอเวอร์ ก็แม่งจะสรรหาคำไหนมาแทนที่คำว่า " อร่อย " ได้อีกอะครับ ผมว่าพลางหยิบช้อนกับตะเกียบที่ถือมาด้วยคนให้ส่วนผสมเข้ากันแม้จะไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเพิ่ม



     " เออ ๆ แล้วแต่มึงเหอะ แดกจนหน้าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวอยู่แล้วน่ะ " เฮ้ย ! จริงเหรอวะ ? ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบชักมือขึ้นมาจับที่แก้มเนียน ๆ ของตัวเองเผื่อจะเจอเส้นก๋วยเตี๋ยวที่หน้าบ้าง ฮ่า ๆ กวนตีนจนไอซันถอนหายใจแรงกว่าพัดลมดักแอร์หน้าทางเข้าห้างเสียอีก



     " นั่งด้วยนะ " อยู่ดี ๆ เสียงของบุคคลที่ไม่คุ้นเคยสำหรับทุกมื้อกลางวันก็ดังขึ้นพร้อมกับการวางจานอาหารลงข้าง ๆ ผมยังไม่ทันจะหันไปดูว่ามันเป็นใครก็กวนตีนใส่ซะแล้ว



     " ไม่ให้นั่ง " ผมพูดเรียบ ๆ กับชามก๋วยเตี๋ยวตัวเองก่อนจะหันไปมองเจ้าของจานพะแนงใกล้ ๆ ปรากฏเป็นเพื่อนชายที่พักนี้แวะไปบ้านมันบ่อย ๆ ไอเชี่ย ! แล้วมึงจะลุกไปไหน ?



     " เฮ้ยเดี๋ยวดิเฟิร์ส ! กูล้อเล่น " ผมคว้าข้อมือที่มันกำลังยกจานอาหารหมายจะไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นตามคำพูดลอย ๆ แต่ตากี้กูกวนตีนเฉย ๆ ปะวะ เฟิร์สมองผมด้วยหางตาก่อนจะคลี่ยิ้มอวดเหล็กดัดสีแสดพลางวางจานข้าวไว้จุดเดิม



     " เฮ้ย ๆ สองคนนี้ยังไงกันเนี่ย ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นนั่งด้วยกัน เกิดอะไรขึ้นวะกูตามข่าวไม่ทัน ? " ไอปิงปองพูดขณะเพ่งมองพวกเราอย่างหาความจริงว่าเรื่องของผมและเฟิร์สไปเป็นมายังไง แล้วจะให้กูตอบอะไรในเมื่อก็เป็นเพื่อนกันดีอยู่



     ผมเหล่มองหน้าคนถามก่อนจะมาสนใจของอร่อยตรงหน้า " ก็เปล่าหนิ นาน ๆ นั่งกินด้วยกันก็ไม่เห็นแปลก ใช่ม๊ะผัวขา " ผมว่าพลางศอกไอคนข้าง ๆ จนเจ้าตัวผวาในคำพูด



     " ผัวพ่อมึงดิ เลิกเรียกกูแบบนั้นได้แล้ว อายเพื่อนมึงบ้าง " ไอสองเลวที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่องแววตาเจ้าเลห์ในทันที



     " แปลก ๆ แล้วว่ะสองคนนี้ มึงไปโดนมันแทงประตูหลังเมื่อคืนเปล่าเนี่ยไอมิ้ลค์ !? " ไอสัดปิงปอง ! มึงพูดก็ใช้สมองทุกส่วนคิดหน่อยก็ได้มั้ง กูเนี่ยนะโดนแทง ? บางทีกูอาจจะไปแทงมันก็ได้ เฮ้ย ! ไม่ใช่แล้ว !!!



     " เฟิร์ส เพื่อนกูมีดีอะไรหรือเปล่าวะถึงได้มาสนใจ ? " ไม่วายซันก็ถามซ้ำ ผมเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวไปมองเจ้าของคำถามก่อนจะหันไปหาผู้ต้องสงสัย



     " กะ...ก็ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้สนิทกันเพราะงานแหละ " ผมพงกหัวรับเป็นลูกคู่ให้กับคำตอบของเฟิร์ส เพราะทุกอย่างล้วนเป็นความจริง



     " เหรอวะ..เออ พูดถึงงานเมื่อคืนไปถึงไหนแล้ว ? " ซันถามก่อนจะตักผัดผักของมันเข้าปาก



     " ก็หลังจากแยกกับพวกมึงกูก็ว่าจะไปทำงานต่อแหละ แต่เห็นไอเฟิร์สมันนั่งเล่นอยู่ขอบสระกูก็เลยแกล้งแม่ง เปียกทั้งคู่เลยเนี่ยเมื่อคืน " ผมเล่าไปพลางขำไปพลางที่นึกถึงหน้าไอเชี่ยนี่แม่งเหวอชิบหาย ฮ่า ๆ



     " แล้วไงต่อวะ " คราวนี้เป็นปิงปองที่ถามบ้าง แล้วไม่สนใจจานข้าวของพวกมึงกันแล้วเรอะ ?



     " พอลงไปในน้ำไอเฟิร์สแม่งก็ตบหัวกูเจ็บชิบหาย ตบไม่พอเสือกด่ากูอีก แล้วก็.. " เฟิร์สหันมาถลึงตาโตทันทีเหมือนรู้ว่าสิ่งที่ผมจะพูดหลังจากนั้นคืออะไร ผมหันไปมองตอบข้าง ๆ อย่างไม่ให้มีพิรุธเพราะว่ารู้สึกตัวเองก็พลั้งปากเหมือนกัน " แล้วก็ขึ้นสระไปทำงานต่อ " ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าแว่วเสียงถอนหายใจของเฟิร์สแผ่ว ๆ เกือบแล้วมั้ยล่ะเมิงงงงงงง



     " เออว่ะ ดี ๆ วันนี้จะได้ทำน้อยหน่อย " ซันหันมาพูดกับผมยิ้ม ๆ ก่อนจะยกแก้วโกโก้มาดูดด้วยความชื่นใจ



     " จริง ๆ วันนี้ไม่ต้องไปก็นะ งานมันก็ไม่ได้เหลือเยอะแยะอะไร พักสักวันก็ได้ " เพียงแค่ประโยคที่เฟิร์สพูดก็ทำให้ไอสองคนนี้ตาโตเป็นไข่ห่าน



     " จริงอ๋อวะ !? " แย่งกันพูดแบบนี้มึงจะไปเที่ยวกับสาวแน่ ๆ เลยไอพวกเวร ! เฟิร์สพยักหน้ารับก่อนจะก้มไปกินมื้อกลางวันของมันต่อ



     " อ้าวเฟิร์ส ! มานั่งทำไรตรงนี้เนี่ย !? " เพื่อนอีกหลายคนที่ไปซื้อข้าวกลางวันกลับมาพร้อมอาหารในมือ " นี่มึงอย่าบอกนะ มึงกับไอมิ้ลค์ได้กันแล้วอะ ? "



     นี่มันมานั่งกินข้าวกับกูก็คือกูต้องโดนมันแทงตูดใช่มั้ยไอพวกขวางโลก ? เฮ้อ..



####



     ตอนนี้ผมกลับมาที่ห้องประจำของตัวเองอย่างโดดเดี่ยวครับ คือตอนที่แล้วท่านผู้อ่านจำที่ไออาร์มมันเตือนผมว่าอย่าลืมทำการบ้านของอาจารย์วนิดาได้มั้ยล่ะ นั่นแหละครับเป็นชนวนให้เวลาในพักกลางวันที่เหลืออยู่พวกแม่งต้องรีบไปรวมกลุ่มกันสืบค้นเนื้อหาที่ห้องสมุด (ใช่ครับ ของผมเสร็จแล้วเหลือแต่ส่ง แอบไปทำมา อิอิ) ด้วยความที่ขี้เกียจรอพวกแม่งกว่าจะทำเสร็จ บวกกับเวลาว่างที่เหลืออยู่หลายนาที เลยแอบหนีขึ้นมางีบตากแอร์ข้างบนเงียบ ๆ คนเดียว ฮ่า ๆ มีผ้าห่มสักผืนคงจะดี



     ผมสอดตัวเองเข้าไปยังที่ประจำหลังห้องหมายจะฟุ้บหลับรอเวลาเรียนพลางบิดซ้ายบิดขวานิดหน่อย ก่อนจะพาใบหน้าของตัวเองไปลงจอดบนพื้นโต๊ะ



     งั้น...ราตรีสวัสดิ์นะครับท่านผู้อ่าน

.



.



.





     " ไอเชี่ยยยยยย !!!!!!!! แฮก ๆ " เยี่ยม !! พอเคลิ้มทีไรแม่งจะต้องมีคนมาขัดจังหวะกูตลอด !!! ผมเงยหน้าขึ้นมามองค้อนไอตัวปัญหาที่หลบอยู่หลังกำแพงหน้าห้องราวกับหนีตายมา



     " เสียงดังชิบหายไอสัด ! " ผมด่าไออาร์มที่แม่งหอบเฮือก ๆ ก่อนที่มันจะเปลี่ยนอากัปกิริยาเป็นยกนิ้วชี้บึ้นคั้นปากจู๋ ๆ



     " เงียบ ๆ ไอเชี่ยมิ้ลค์ กูหนีคนมา ! " อาร์มพูดเสียงแผ่ว ๆ เท่าที่จะทำได้



     ยังไม่ทันที่ผมจะปริปากถามแม่งว่าหนีใครมา โฉมหน้าของคำตอบก็แสดงให้เห็นเต็มตา เมื่อร่างโปร่งของน้องชายตัวเองมายืนประจันอยู่ประตูหลัง



     " อ้าวพี่มิ้ลค์ ! เห็นพี่อาร์มมั้ยอะ ? " มินเปิดประตูถามด้วยท่าทีหอบนิดหน่อย ก่อนที่ผมจะเหล่ตาไปยังสิ่งที่น้องชายถามหา ไออาร์มส่ายหน้ายิก ๆ ด้วยสายตาอ้อนวอนชิบหายจนอดไม่ได้ที่จะเห็นใจ งั้นเดี๋ยวมินไปค่อยถามมันแล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้น



     " อ๋อ ไม่เห็นอะ มีไรเปล่า ? " ผมถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เพื่อไม่ให้แผนแตก



     " เอ่อ...เปล่าครับ งั้นถ้าเจอพี่อาร์มฝากตามตัวหน่อยนะครับ พอดีมินตามหาอยู่ " สิ้นรอยยิ้มของมินทางนั้นก็ขอตัวไปตามหาไอเลวที่มันหลบอยู่ตรงโน้นต่อ



     " เฮ้อออ เกือบแล้วมั้ยล่ะ " อาร์มถอนหายใจยาวพรืดเหมือนกำลังบอกว่ารอดตายแล้ว " ขอบใจว่ะมิ้ลค์ "



     " ไปก่อเรื่องอะไรมาล่ะ น้องกูถึงได้มาตาม ? " ผมถามอาร์มในตอนที่ลำตัวของมันค่อย ๆ ไหลลงไปนอนกองกับพื้นห้อง



     " ก็กูแต่งตัวผิดระเบียบอะดิ แฮก ๆ วันนี้กูเป็นอาสาช่วยงานในห้องประชุมของอธิการฯ น้องมึงถึงได้ตามกูไปเปลี่ยนกางเกงนี่ไง " ผมฟังที่มันเล่าพลางเลื่อนสายตาไปยังท่อนล่าง ไอห่า ! กางเกงนักเรียนเมื่อเช้ามึงยังยาวเป็นสามส่วนอยู่เลย ทำไมตอนนี้มันเหลืออยู่ส่วนเดียวเองวะ !?



     " เอ้า ! แล้วทำไมมึงไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย ? เดี๋ยวก็โดนเข้าห้องปกครองหรอก " ผมหนีจนชินแล้วครับ ไม่มีใครมาแตะต้องตัวผมได้หรอก หึหึ (เว้นแต่หน้าโรงเรียน)



     " โห่...ก็กูขี้เกียจใส่อะ ไอห่า นึกว่าใส่กางเกงยีน จริง ๆ ใส่แบบนี้ไปช่วยงานอธิการฯ เขาก็ไม่ว่าหรอก เขาใจดี กูซี้กัน หึหึ " กางเกงยีนบ้านป้ามึงสีน้ำเงินเหรอ ? ว่าแล้วผมก็ดันตัวเองออกจากโต๊ะด้วยสีหน้าเหวี่ยง ๆ ก่อนจะเดินออกไปยังประตูหลังเพื่อชะเง้อมองซ้ายและขวา



     " ทำอะไรวะ ? " อยากรู้เหรอวะเพื่ออาร์ม ? หึหึ ขอดัดสันดานมึงหน่อยแล้วกัน



     " มิน !!!! ไออาร์มมันอยู่นี่ !!!! " ไม่รู้เหมือนกันครับว่ามินเดินไปถึงไหนแล้ว แต่เสียงเรียกที่ดังชิบหายของตัวเองก็หวังว่าจะทำให้น้องชายได้ยินนะ



     " ไอเชี่ยมิ้ลค์ !!!!!!! " ฮ่า ๆ ซะใจว่ะ ทีหลังก็อย่ามาทำลายบรรยากาศการนอนของกูล่ะไออาร์ม



     ว่าแต่น้องผมนี่อยู่สภาฯ แค่แปปเดียวก็ทำอะไรเป็นตั้งเยอะแน่ะ



####



     ท่ามกลางฝูงนักเรียนที่ขวักไขว่เดินทางกลับ ผมเดินทอดน่องอย่างเบื่อ ๆ ออกจากโรงเรียนเพราะเย็นวันนี้แม่งไม่มีอะไรให้ทำต่อเลยน่ะสิ นึกถึงเมื่อบ่ายแล้วก็เซ็งตงิด ๆ ก็คาบเจ๊วนิดานั่นแหละ ผมแม่งเป็นคนแรกที่เดินไปส่งงานเจ๊แกอย่างมั่นใจเลยนะว่ายังไงก็ถูกล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ผลที่ออกมาแม่งเชี่ยกว่าที่คิด เมื่อเจ๊แกประกาศลั่นห้องว่าของผมผิดและไปแก้ไขซะ ทำให้เพื่อนหลาย ๆ คนที่จ้องจะส่งตามหลังก็พากันหน้าเสียหมด เป็นเพราะหน่วยกล้าตายอย่างผมยังผิด นับประสาอะไรกับเพื่อนคนอื่น เฮ้ออออ คิดแล้วก็อยากหาอะไรทำแก้เซ็ง ฉากสแตนด์เชียร์เมื่อคืนก็ทำไปซะเยอะ วันนี้เลยไม่ได้ทำ เพื่อนแม่งก็พากันไปไหนไม่รู้เสือกไม่บอกผมอีก โอ๊ยเซ็งว่ะ ไม่มีอะไรทำเลย !!



     นัทตี้น่ะเหรอครับ ?



     ขะ...เขามีธุระน่ะครับ



     เขาบอกผมมาแค่นั้น



     .........



     โอ๊ยยยย ผมส่ายหัวกับตัวเองอย่างหน่าย ๆ เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะพาตัวเองไปยังจุดหมายสุดท้ายนั่นก็คือบ้าน เฮ้ออออ บ่ายสามกลับบ้านแม่งคือประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของผมเลยแหละ



     แต่ก็ต้องมาหยุดฝีเท้าเมื่อมือเรียว ๆ ของใครไม่รู้ทะลึ่งมาปิดเบ้าตาจากด้านหลัง ปิดอย่างเดียวไม่พอครับ มีกระซิบข้างหูด้วย



     " ทายสิใครเอ๋ย ? " พ่อมึงมั้งห่า ผมแกะมือตุ๊กแกที่แปะลูกตาผมแน่นก่อนจะหันกลับไปปั้นหน้าเหวี่ยงใส่คนที่ปิดหน้าเมื่อกี้



     " เชี่ยเฟิร์ส !! เล่นห่าไรเนี่ย !? " ถ้ากูเดินต่อรถชนตายขึ้นมามึงจะรับผิดชอบกูมั้ย ? (เว่อร์ไปเหรอ แหะ ๆ)



     " อะไรวะ เดี๋ยวนี้หวงตัวอ๋อ ? " ก็เปล๊าาาาาาา กูตกใจเฉย ๆ ถ้าเป็นคนอื่นกูด่ากราดไปแล้วแหละ



     " มีไรเปล่า ? " ผมถามก่อนจะหันกลับมาเดินต่อโดยที่เฟิร์สเดินข้าง ๆ



     " ก็...ตอนนี้มึงว่างปะ ? " เฟิร์สถามพลางเลิกคิ้วสูง มันมีอะไรมาแทนคำว่า " ว่าง " ได้อีกมั้ยวะ



     " ว่าง ทำไมอะ ? " หน้าของเฟิร์สเปลี่ยนไปยิ้มดีใจในบัดดล ทำไมวะ จะพากูไปข่มขืนเรอะ ?



     " ไหน ๆ วันนี้ก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน...ไปดูหนังปะ ? " เฮ้ย ! ดูหนังว่ะ ! ผมดีใจออกนอกหน้าประหนึ่งกิ้งก่าได้ทองหยอด (ก็มันน่ากินนี่หว่า)



     " ไป ๆ กูไป " ผมตอบกลับไปแบบแทบจะไม่ต้องคิดเลยล่ะ ดูเรื่องอะไรดีน้า..~



     " งั้น...ปะ "



     ตอนนี้ผมวาปมานั่งอยู่หน้าโรงหนังในตัวห้าง terminal ใกล้ ๆ โรงเรียนเป็นที่เรียบร้อย ผมนั่งอยู่โซฟาโดยมืออีกข้างถือป๊อปคอร์น ส่วนไอคนที่ชวนมาดูหนังถือแก้วเป๊ปซี่ไว้ทั้งสองมือ ผมฆ่าเวลารอหนังฉายโดยการแกล้งไอเฟิร์สด้วยการหยิบป๊อปคอร์นรสซีสในถังมาหนึ่งชิ้นพลางยื่นไปใส่ปากคนที่มือไม่ว่าง ทุกครั้งที่มันอ้าปากรับ ผมก็ชิงเอาเข้าปากตัวเองตลอด ฮ่า ๆ (สมน้ำหน้า อยากกระแดะถือแก้วเอง) แต่ผมก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดที่จะไม่ให้มันกินเลยนะครับท่านผู้อ่าน แล้วพี่สาวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ทำไมต้องหลุดกรี๊ดกับเพื่อนเขาเวลาผมป้อนไอเฟิร์สมันด้วยวะ ? โว้ะ ด้วยความที่ผมไม่ได้คิดอะไรมากมายก็ป้อนมันต่อเรื่อย ๆ อย่างไม่สนใจ



     จวบจนเวลาหนังใกล้จะฉาย ผมกับเฟิร์สก็พากันเดินฝ่าความมืดไปหาที่นั่งตามตัวอักษรที่กำกับไว้ในมือ แต่อืมมม แถว E มันอยู่ไหนวะ ผมลงบันไดชัน ๆ พลางหลี่ตาดูตัวอักษรที่มันแสดงอยู่ใต้เก้าอี้ทุกตัวซึ่งแม่งตัวเล็กเกิ้นนนนน (สะดุดพรมอีกต่างหาก เอาสิ) ด้วยความสมเพชเวทนาเกินจะทน ทำให้ไอคนที่เดินตามหลังถึงขั้นชี้บอกว่าที่นั่งสำหรับเราน่ะอยู่ไหน อ๋อ อยู่นั่นเอง แหะ ๆ



     ผมเอนตัวลงนั่งทันทีหลังจากที่เจอเป้าหมายและไม่ลืมที่จะแซ็วคนข้าง ๆ " มาดูหนังกับสาวบ่อยอะดิ รู้ดีนะมึง " ก่อนจะก้มหน้าไปดูดน้ำที่เฟิร์สเสียบไว้ตรงช่องวางแก้ว



     " บ่อยเชี่ยไร กูโสด " จ้า โสดก็โสด หึหึ หมั่นไส้จริง เอาป๊อปคอร์นยัดปากแม่งเลย นี่แน่ะ ฮ่า ๆ



     " เอาอีก กูชอบ " เอ้าไอห่าหนิ ชอบป๊อปคอร์นหรือชอบที่กูยัดใส่ปากมึงวะ โรคจิต แต่ผมโรคจิตกว่าว่ะเพราะไม่ทำตามคำสั่งแถมปั้นหน้าล่อตีนใส่อีก



     เฟิร์สทำปากขมุบขมิบด่าว่า " ไอสัด " โดยที่แม่งเซนเซอร์เองเสร็จสรรพ ก่อนที่ผมจะสะดุ้งตัวโหยงเมื่อโฆษณาหนังผีปรากฏอยู่หน้าจอขนาดใหญ่ ไอเชี่ยยยยยยยย !!!!!!!! กูไม่ได้ดูหนังผี แล้วมึงจะมาโฆษณาให้กูดูทำผีอะไรเนี่ย !!? ฮืออออออออออออ



     " อะไร กลัวเหรอ ? " ผมเงยหน้าขึ้นไปมองคนถามในตอนที่รู้ตัวว่าแอบไปซุกอยู่ตรงหัวไหล่ของมันเรียบร้อยแล้ว แต่ไอโฆษณาห่านี่แม่งไม่จบสักทีวะ โอ๊ยยยยย กูต้องซุกอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย กูกลัว ฮืออออออ



     " ไม่ต้องกลัวนะ " เฟิร์สคว้ามือผมไปจับจนสัมผัสได้ถึงไออุ่น ๆ ที่มือนั้นบีบกลับมาเบา ๆ " มีกูอยู่ทั้งคน "



     ผมมองฝ่ามือที่เราสอดผสานกันแน่นด้วยรอยยิ้มพลางคิดในใจ..



     แค่คำพูดแค่นั้น..



     แต่ทำไม..



     ผมคิดว่าเฟิร์สจะดูแลผมได้ล่ะ :)



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:12:30
Not to be unlocked : Episode 19 : เด็กฝึกงาน



     ในเช้าวันเสาร์อันแส๊นนนสงบสุขของใครหลาย ๆ คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนเตียงกันอยู่นั้น ผมนั่งรถไฟฟ้า BTS จากสถานีเอกมัยเพื่อที่จะไปลงสถานีพระโขนง เช้าวันนี้ผมก็คิดไว้แหละว่ายังไงผู้โดยสารไม่น่าเยอะเท่าวันปกติหรอกเพราะเป็นวันหยุด ใครเขาจะบ้าออกมาเที่ยวเวลานี้กัน แต่ทำไมนี่พึ่งเกือบเจ็ดโมงคนถึงได้แห่กันขึ้นอย่างกับเขาไม่คิดตังเลยวะ ! ผมเช็กสายตาโดยรวมมีฝรั่งมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ครับที่กล้ามาฟาดฟันกับคนไทยในตู้โดยสารนี้ โอ๊ยยยย จะไปไหนกันแต่เช้าล่ะคร้าบบ ตอนนี้ผมยืนเกาะเสาอยู่บริเวณประตูทางออกพลางหยิบไอโฟนในกระเป๋ากางเกงสแลคสีดำขึ้นมาเปลี่ยนเพลง เพราะรู้สึกตอนนี้เพลงเอื่อยเฉี่อยของวง Klear ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศวุ่นวายตอนนี้สักเท่าไหร่ ว่าแต่พี่สาวตาตี่ ๆ ที่นั่งข้างฝรั่งตรงเสาฝั่งโน้นจะมองผมทำไมล่ะครับ ? แนะ มีซุบซิบแล้วก็มองหน้าผมอีกนะ จะจีบผมเหรอ ? ผมมีผัวแล้วครับอย่าพึ่งจีบ เฮ้ย ! มีเมียโว้ยยย (ติดคำว่าผัวมาจากไหนอีกล่ะเนี่ย)



     เมื่อถึงหน้าร้านที่ต้องมาทำงานพิเศษทุก ๆ วันเสาร์ ผมก็เปิดประตูที่ทำจากกระจกบานเงาพลางเดินไปทำสิ่งแรกนั่นคือตอกบัตรเข้างาน (ผมไม่เคยสายนะเว้ย เรื่องทิปน่ะผมได้เต็ม ๆ) แต่เห็นคุณขวัญซะก่อนว่ะก็เลยทักทายเป็นมารยาทซะ



     " หวัดดีครับคุณขวัญ " เจ้าของร้านอาหารจีนชื่อดังที่เห็นผมทักทายยามเช้าก็พงกหัวรับอย่างเอ็นดู



     " สวัสดีจ่ะมิ้ลค์ ขยันจริงนะเรา " เล่นชมเอาผมต้องยิ้มแก้เขิน ฮ่า ๆ ก็คนมันขยันนี่เนอะ รีบเก็บประสบการณ์ไปใช้ในอนาคตเผื่อจะได้เป็นเชฟดัง ๆ ระดับมิชลินสตาร์บ้าง (หรือจะไปขายอาหารตามสั่งปากซอยดี ?)



     ในขณะที่ผมรอรับบัตรที่เด้งออกมาจากเครื่อง เสียงที่คุ้นหูโคตร ๆ ก็ดังมาใกล้ ๆ เรียกความสนใจผมไปทั้งหมด " แม่ กล่องเก๊กฮวยไว้ตรงไหนอะ ? " เฟิร์สในชุดพร้อมปฏิบัติการอาหารเดินออกมาจากครัวพร้อมกล่องสี่เหลี่ยม ๆ ใบใหญ่ เชี่ย แล้วไอเฟิร์สมันใส่ชุดเชฟได้ไงวะ ?



     " ในซอกโน้นเลยเฟิร์ส " คนที่ในมืออุ้มกล่องสีน้ำตาลเดินผ่านผมโดยยักคิ้วล่อ ๆ ให้อย่างกวนตีน ผมมองไล่ตามหลังมันที่เดินเอาเจ้าเก๊กฮวยในกล่องไปวางไว้ด้านในห้องเก็บของก็ยังอดอยากเสือกไม่ได้ว่าแม่งต้องการจะทำอะไรกันแน่



     ยังไม่ทันที่ผมจะถามมันด้วยตัวเอง คุณขวัญก็ให้คำตอบกับผมเสร็จสรรพ " พอดีเฟิร์สเขาจะมาช่วยงานที่ร้านน่ะ เห็นเขาบ่นว่าอยากทำงานในครัวบ้าง แม่เองเลยอยากให้เขาเรียนรู้ดู " ไอห่าเฟิร์สเนี่ยนะทำงานในครัว !! คุณขวัญคิดอย่างนี้ร้านมีหวังระเบิดได้เลยนะครับ !! โปรดไตร่ตรองใหม่อีกครั้งทีเถอะ



     " ยังไงแม่ก็ฝากมิ้ลค์ดูแลเจ้าเฟิร์สด้วยล่ะ ดุได้แม่ไม่ว่า ทุบได้แม่ไม่โกรธ " ผมหันไปเหล่ตาดูเจ้าลูกชายของเขาที่ตอนนี้ปั้นหน้ายิ้มระรื่นอยู่ข้าง ๆ



     " ฝากตัวด้วยนะ มิ้ลค์กี้ " มิ้ลค์กี้เชี่ยไรสัด ! เดี๋ยวมึงจะโดนไม่ใช่น้อย ว่าแต่คุณขวัญเขาบอกว่าดุได้งั้นเหรอ ?



     หึหึ..



     จวบจนผมได้แต่องค์ทรงเครื่องเข้ากับชุดเชฟเสร็จก็ถึงเวลาทำตามคำสั่งของคุณขวัญ พี่ต๋องแกบอกให้ผมไปเทรนงานต่าง ๆ ให้เจ้าเฟิร์ส เพราะหน้างานเดี๋ยวพี่เขาจะจัดการแทนให้ เริ่มจากงานครัวง่าย ๆ ก็คือตำแหน่งสจ๊วตครับ (อารมณ์เหมือนคนใช้ในครัว) เฟิร์สตอนแรกดูเก้ ๆ กัง ๆ กับการล้างจานนิดหน่อย ประมาณว่ามันคนละอารมณ์กับการล้างจานที่บ้าน (ที่บ้านล้างด้วยซันไลต์แล้วก็จบครับ แต่ที่ร้านต้องเอาเข้าเครื่องล้างจานด้วย แถมร้านนี้แม่งตู้โคตรใหญ่) พลางสอนมันด้วยว่าเวลาทำความสะอาดจานเสร็จแล้ว ให้เอามาใส่เครื่องนี้เพื่อฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ นาน ๆ ก่อนจะบอกอีกว่าใส่ตู้แล้วต้องกดปุ่มไหนอะไรต่อ ไอห่านั่นมันปุ่มปิดเครื่อง !!



     งานล้างจานของเฟิร์สถือว่าทำได้เกือบดีครับ แต่ตำแหน่งต่อไปอันนี้ไม่หมูแน่ นั่นคือการเตรียมของ ตอนนี้แค่เก้าโมงกว่าถือว่ายังมีเวลาเตรียมของก่อนร้านจะเปิดอีกถมเถ ผมจูงมือมันไปยังตู้เย็นเก็บของสดและผักพลางบอกว่าเวลาของที่มาส่งจากหลังร้านพอมาถึงที่นี่แล้วควรเก็บไว้ตรงไหน (พยักหน้านี่เข้าใจใช่มั้ย ?) ก่อนที่จะพาทั้งพ่อครัวฝึกหัดกับผักอีกหลายถุงไปยังสเตชั่นเตรียมอาหาร ผมสอนกระทั่งวิธีจับมีดจนไปถึงการหั่นขนาดของผักที่ทางร้านกำหนดไว้ว่าแต่ละชนิดนั้นควรมีความยาวสั้นแค่ไหน แต่เฟิร์สแม่งทำได้ดีเลยว่ะท่านผู่อ่าน ! นี่มึงไปเรียนสกิลนี้มาจากไหนวะ !? แล้วมึงหั่นหอมใหญ่ทำไมน้ำตาต้องไหลด้วยอะ ฮ่า ๆ กากเอ๊ยยยย



     แต่ก็ใช่ว่าเฟิร์สจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างให้หมดภายในวันนี้ พอถึงเวลาเปิดร้านความวุ่นวายเริ่มปกคลุมพื้นที่ ผมก็ต้องกลับมายืนจัดออเดอร์ลูกค้าด้วยความโกลาหลอยู่ตำแหน่งของตัวเองแทนพี่ต๋อง (เพราะแกหายไปไหนไม่รู้) แม้งานตรงหน้าจะเยอะกว่าที่คาดไว้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองเฟิร์สที่ยืนล้างจานอยู่ท้ายครัวด้วยความเป็นห่วง แต่ผมคงมองมันนานไปหน่อยจนป้าจิ๋วข้าง ๆ ยื่นมือมาสะกิดยิก ๆ ว่าให้ทำงานของตัวเองต่อได้แล้ว (ครับป้า)



     เวลาผ่านไปไว้เหมือนโกหก สี่ชั่วโมงที่เราเสียไปจากการทำงานช่วงเช้านี้ก็หมดลง ทีนี้ก็ถึงเวลาพักเบรกของพนักงานรอบเช้า ปล่อยให้คนที่เขาเข้างานรอบอื่นมาทำงานต่อจากเรา ช่วงพักคุณขวัญเขาอนุญาตให้เอาวัตถุดิบของทางร้านสามารถนำไปทำอาหารกินเป็นมื้อกลางวันได้ (นี่แหละครับถึงบอกว่าคุณขวัญใจดี) ตอนนี้ผมก็ได้กะเพราแซลมอนราดข้าวร้อน ๆ มาสองจานเรียบร้อย ที่ทำสำหรับสองคนก็จะเอาไปให้ไอเฟิร์สมันกินนั่นแหละ เห็นมันสู้งานจนเหนื่อย กินของอร่อยคงจะฟื้นพลังได้เยอะ



     " อะ กูทำเอง " ผมยื่นอาหารจานอร่อยให้เฟิร์สที่นั่งรออยู่โต๊ะหลังร้าน พลางมองสีหน้าของมันที่เปื้อนไปด้วยความเหนื่อยล้า



     " ขอบใจนะ " นี่ล่ะครับคนไม่เคยทำงาน สภาพเป็นงี้ทุกราย ฮ่า ๆ



     " เหนื่อยปะวะ ? " ผมถามมันที่ตอนนี้ยังคงลงเหลือเม็ดเหงือที่ผุดอยู่ตามใบหนัาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ตอนนี้มีแค่ผมกับเฟิร์สเท่านั้นครับที่พักเบรกกัน คนอื่นเขาชอบไปกินร้านอาหารอีกซอยข้าง ๆ สงสัยอร่อยกว่าข้าวฟรีที่ร้านมั้ง



     " โคตรรรรร แต่สนุกดีนะ " มีสนุกด้วยว่ะ นับว่าเหนือความคาดหมายครับที่แม่งตอบแบบนี้ แรก ๆ ผมมาทำงานก็เหนื่อยงี้แหละ พอนาน ๆ เข้าก็ชินไม้ชินมือ



     " แล้วนึกยังไงถึงมาทำงานในครัวล่ะ ช่วยแม่ดูบัญชีอยู่ข้างนอกไม่ง่ายกว่าเหรอ ? " อาทิตย์ที่แล้วมันยังนั่งทำงานกับคุณขวัญอยู่ดี ๆ เลยนี่หว่า ไหงมากระแดะทำงานนี้ในครัวซะแล้ว



     " ก็.. " เฟิร์สเลื่อนนัยน์ตาจากจานข้าวมามองหน้าผมนิ่งก่อนจะหลุดยิ้ม พลางกลับไปมองกะเพราของมันต่อ " ไม่รู้ดิ " ไอสัด ! มองกูอย่างกับเป็นคำตอบ !!



     " เอ้า ! " ไอเฟิร์ส ! มึงมีแผนชั่ว ๆ อะไรแน่ ๆ ยังไม่ทันที่ผมจะซักอะไรมันต่อ ไอหน้าหล่อก็เบนความสนใจเป็นของตรงหน้าแทนเสียแล้ว



     " ไหนขอชิมฝีมือเชฟมิ้ลค์หน่อยนะครับว่าอร่อยมั้ย " เฟิร์สตัดบทผมพลางหยิบช้อนที่วางอยู่ข้างจานมาตักมื้อกลางวันเข้าปาก ผมขมวดคิ้วมองมันที่เคี้ยวตุ่ย ๆ ลุ้นว่ามันจะตอบอะไร " ไม่เห็นอร่อยเลย ไหนขอลองอีกทีดิ๊ " แล้วแม่งก็ตักไปกินอีกรอบ " ก็ยังไม่อร่อยอะ ไหนขอลองอีกรอบ " โว้ยยยย รำคาญ !! ไม่อร่อยก็อย่าแดก !!!



     " ไม่อร่อยแล้วจะแดกทำไม ? เอามานี่กูแดกเอง ! " แล้วจานของไอเฟิร์สก็โดนผมแย่งมาไว้ข้างหน้า เอ้า !! ก็ไม่อร่อยไม่ใช่เหรอ ? จะแย่งกลับไปทำไมอะ ?



     " กูก็หยอกมึงเล่นไม่ได้ไง๊ ขี้น้อยใจนะเราอะ " อ๋อ...สรุปนี่กวนตีนใช่ปะ ? หึ้ยยยยย แต่ตากี้มึงว่ากูน้อยใจเหรอ ? เหอะ ใครเขาน้อยใจกันวะ



     " ข้าวจานนี้มึงก็ทำ...อร่อยดีนะ " เฟิร์สว่าพลางหันหน้าไปทางอื่น แล้วชมกูทำไมต้องเขินด้วยวะเฟิร์ส ฮ่า ๆ รู้มั้ยว่าคนฟังมันเขินยิ่งกว่าอีก



     " ขอบคุณนะ " แล้วผมก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางตักอาหารตรงหน้าเข้าปากแก้เขินไปพลาง กว่าจะชมกูได้นะเฟิร์ส รู้มั้ยว่ากูอยากฟังจากปากมึงมานานแค่ไหนอะ :)



     พอหมดช่วงพักก็ถึงคิวจะต้องสับเปลี่ยนหน้าที่กันบ้าง ตกบ่ายเป็นเรื่องปกติของร้านนี้อยู่แล้วครับที่คนจากทั่วสารทิศจะมาหมกตัวรวมกัน สังเกตได้จากหน้างานที่แต่ล่ะโต๊ะนั้นถูกจองเต็มไว้หมดแล้ว รวมไปถึงออเดอร์ของลูกค้าที่แปะอยู่เหนือหัวผมด้วย จากการกะสายตาคร่าว ๆ น่าอยู่ที่ประมาณห้าสิบเมนูเห็นจะได้ (ยังไม่ทำลายสถิติครับ สูงสุดอยู่ที่เจ็ดสิบนิด ๆ)



     แม้ว่างานตรงหน้าจะประเด็นประดังเข้ามาให้ผมปวดหัวกับการง่วนจัดคิวออกอาหาร แต่ก็ยังมีเวลาพอที่จะผ่อนแรงไปมองเฟิร์สตรงซิงค์ล้างจานอยู่บ้าง เวรล่ะครับท่านผู้อ่าน คนก็เยอะ งานก็แยะ เฟิร์สมันจะทำไหวมั้ยวะนั่น !?



     " มิ้ลค์ไปช่วยเฟิร์สก็ได้ เดี๋ยวตรงนี้พี่จัดการเอง " เป็นพี่นางครับที่เห็นถึงปัญหาตรงนี้จึงขออาสาให้ผมไปช่วยแก้สถานการณ์ให้คลี่คลาย ผมผงกหัวรับอย่างโคตรยินดีก่อนที่จะสาวเท้าไว ๆ ไปช่วยไอคนที่ปาดเหงื่อบนขมับและจานอีกหลายกอง



     " ไง ยังสนุกอีกมั้ยล่ะ ? " ผมพูดพลางขำหึหึก่อนที่จะหยิบสก๊อตไบร์ทใกล้ ๆ มาช่วยมันลงมือล้าง



     " หึ กูคนเดียวก็ไหว " น่านนนนนน ไอสกิลปากแบบนี้มันมีตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเหล่มองมันเหยียด ๆ แม้ในมือจะวุ่นอยู่กับจาน



     " ปากดีไอสัด " ถึงจะเป็นคำด่า แต่ก็เรียกรอยยิ้มแทนสีหน้าล้า ๆ ของเฟิร์สได้ดี



     " แล้วเลิกงานมึงไปไหนปะวะ ? " ไอชิบหาย งานเยอะแยะยังจะมาชวนคุยอีก



     " ก็ว่างแหละมั้ง " ผมพูดปัด ๆ เพราะจานที่พี่ฝ่ายบริการด้านนอกเขาเอามาให้เราล้างเพิ่มอีกแล้ว หลายกองแล้วว่ะต้องรีบเร่งมือ



     " งั้นไปเที่ยวกัน " เฟิร์สเอนตัวมาพูดข้างหูจนผมถึงขั้นหยุดไปมองหน้ามัน



     " ไอห่า ! เมื่อไม่กี่วันมึงก็ไปดูหนังกับกูไม่ใช่เหรอ ? " แต่ช็อกนานไม่ได้ครับต้องหันกลับไปล้างต่อ แต่โหหหหหหห เขายกมาเพิ่มอีกสี่กอง !!



     " เออน่าาาา ไปนะ " เฟิร์สพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะเรียงจานใบสวยในกระบะพลางสอดเข้าไปยังเครื่องล้าง



     ไอนิสัยพูดเองเออเองนี่มึงมีกับเขาด้วยเหรอ ?



     แต่ผมก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรนะ ฮ่า ๆ



####



     " ครับ เดี๋ยวผมรีบกลับนะ " เป็นประโยคสุดท้ายครับที่เฟิร์สพูดทิ้งทวนไว้กับคุณขวัญหลังจากทำงานเสร็จ



     ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้วครับหลังจากที่เราได้เดินออกมาจากความวุ่นวายในกิจการของแม่ไอห่านี่ ผมเดินคู่กับเฟิร์สไปยังฟุตบาทพลางโบกมือเรียกแท็กซี่ที่บังเอิ๊ญบังเอิญผ่านมาพอดี



     " ไปสยามครับ " ทันทีที่เข้ามาอยู่ในตัวรถ เฟิร์สก็บอกจุดหมายที่จะไปพลางหันมามองหน้าผมที่อ้าปากช่วยจมูกหายใจ ถึงจะเหมือนหมาแต่จมูกสองรูนี้แม่งสูดออกซิเจนเข้าปอดไม่พอจริง ๆ ว่ะครับท่านผู้อ่าน ขอเอาปากช่วยหายใจหน่อยแล้วกัน เหนื่อยชิบหายยย



     " เหนื่อยมั้ย ? " ถ้าเป็นเอพพิโสดอื่นรอยยิ้มของเฟิร์สน่าจะช่วยอะไรผมได้เยอะ แต่เอพพิโสดนี้แม่งไม่ได้ช่วยห่าไรอะไรเลย !



     " เหนื่อย ! " ผมพูดไปเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันชั่งกะปริดกะปรอยเหลือเกิน นั่นแหละครับแรงที่ผมเหลือ มันดังสุดแค่นี้จริง ๆ



     " กูไม่เห็นเหนื่อยเลย " หัวเราะเหรอ !? เจอฝ่ามืออรหันต์ของกูไปหน่อยเถอะ ! งานของมึงแค่จานอย่างเดียว ของกูแทบจะทั้งครัวโว้ยยย แล้วกูตบหัวมึงจะทำหน้าเหวี่ยงทำไมไม่ทราบ ?



     " ของกูเหนื่อยกว่าอีกไอห่า " ไม่รู้แหละ กูงอนแล้ว ผมว่าพลางกอดอกหันออกไปนอกหน้าต่างซึ่งก็ไม่ได้ทีเหตุผลที่ทำนักหรอก ทำเพื่ออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้อย่างเดียวว่ามีสิทธิ์



     " โอ๋อย่างอนนะเมียจ๋า เดี๋ยวผัวจะซื้อขนมให้ดีมั้ย ? " เฮ้ย ! มึงกล้าเล่นผัวเมียกับกูแล้วรึ ? แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูงอนวะ ?



     " ผัวหน้ามึงสิ " ผมไม่พูดเปล่า แถมตบกบาลมันไปอีกที



     " เอ้า !? ก็มึงชอบเล่นกับกูต่อหน้าคนอื่นไม่ใช่ไง ? ทีกูเล่นทำโกรธ " ทีนี้คนงอนไม่ใช่ผมแล้วครับ ไอห่านี่แม่งเล่นใหญ่กว่าผมอีก แล้วผู้ชายที่ไหนเขางอนกันวะกูไม่เคยเห็น



     " งอนก็งอนไปนะ กูไม่ง้อหรอก " ผมพูดพลางหลับตาปี๋หมายจะพักผ่อน ถึงสยามเมื่อไหร่ค่อยให้ไอห่านี่มันปลุก แต่แม่งดันมาเขย่าแขนอ้อนผมเฉย นี่มึงงอนเองหายเองก็เป็นเหรอ ? ไอ้บ้าเอ๊ย !



     " ง้อกูหน่อยดิ " แม่งเขย่าแรงจนผมต้องลืมตาโพลงขึ้นมาด่า



     " ง้อตีนอะดิสัด ! " นั่นแหละครับมันถึงปล่อยให้ผมพักผ่อนตามอัธยาศัย



     เรามาถึงสยามประมาณทุ่มเศษ เหตุเพราะเมื่อไหร่ที่ตะวันลับฟ้า การจราจรเส้นพระโขนงถึงพระรามหนึ่งแม่งติดโคตร ๆ ติดขนาดเต่าที่เดินช้า ๆ กว่าแท็กซี่สามารถแซงหน้าพวกเราไปประมาณเจ็ดรอบเห็นจะได้ เฟิร์สและผมไม่ปล่อยให้เวลาที่เหลือผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ พวกเรามุ่งหน้าเข้าไปยังสยามดิสฯ เพื่อหาร้านอร่อยกินรองท้องกันไปก่อน เดี๋ยวพอเดินเล่นแล้วท้องโล่งเมื่อไหร่ค่อยยัดช้างทั้งตัวเป็นมื้อดึกก็ไม่เสียหาย



     " เฟิร์สกูอยากกินติมมมม " เมื่อผมเดินผ่านร้านซอฟครีมเจ้าอร่อย ต่อมความอยากอาหารก็ทำงานทันทีแบบออโต้โหมด เฟิร์สขำให้กับความเป็นเด็กของผม ก่อนที่จะพาเดินไปซื้อสิ่งที่หมายปองไว้เหมือนพ่อลูก " ยืนรอกูอยู่ตรงนี้ละกัน " ได้เลยครับพ่องงงงงง



     " เอาซอฟครีมชาเขียวถั่วแดงสองโคนครับ " ลูกค้าโดยเฟิร์สพูดสั่งกับพี่พนักงานอย่างเป็นมิตรพลางยื่นเงินในกระเป๋าสตางค์ของมันด้วยแบงก์สีแดง ๆ สองใบ



     " เดี๋ยวลูกค้ารอรับสินค้าด้านนี้นะคะ " เฟิร์สรับเงินทอนจากพี่พนักงานแล้วยึงเดินไปยังจุดรอรับสินค้าที่เมื่อครู่ได้สั่งไป เย้ ๆ จะได้กินติมแล้ววว



     ผมที่ยืนรอมันอยู่ข้างหลังตาลุกวาวทันทีเมื่อซอฟครีมสีเขียวทรงสูงยื่นมาให้ " กูเลี้ยงเอง " โห !! มีเสี่ยมาเลี้ยงติมว่ะท่านผู้อ่าน ไอร้านนี้มันถูก ๆ ซะที่ไหน แต่ไม่สนใจครับ เจอของฟรีใคร ๆ ก็ชอบ หึหึ



     ผมอ้าปากเตรียมจะรับรสความอร่อยปลายสุดของโคน แต่ก็บังเอิญเห็นร่างสุดคุ้นเคยของหญิงคนหนึ่งที่เดินผ่านด้านหลังของเฟิร์สไป แม้จะเป็นระยะที่ห่างพอสมควร รวมกับมีคนตรงหน้ายืนบังสนิท ด้วยความคุ้นเคยในเรือนร่างของผู้หญิงที่เดินซบไหล่ผู้ชายคนนั้น ก็ทำให้รู้ในทันทีว่าคนที่ยิ้มมีความสุขนั่นน่ะ..



     คือนัทตี้



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:13:11
Not to be unlocked : Episode 20 : โกหก..



     เป็นเวลากว่าหลายนาทีแล้วครับที่ผมมองออกไปยังนอกหน้าต่างรถแท็กซี่ที่พึ่งโบกจากหน้าปากซอย เพื่อไปตามนัดของนัทตี้ที่รับปากไว้ เมื่อคืนหลังจากที่ผมเจอนัทตี้ที่สยามก็ขอปลีกตัวกับเฟิร์สกลับบ้านทันที เพราะไม่มีกะจิตกะใจจะทำอย่างอื่นแล้ว จะมีทางเลือกไหนได้อีกล่ะนอกจากกลับบ้านเอาหัวลงหมอนแล้วก็นอนให้ลืม ๆ มันไปซะ ยิ่งบอกให้ตัวเองลืมภาพในหัวมากเท่าไหร่ ภาพที่นัทตี้กำลังยิ้มมีความสุขกับผู้ชายคนนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวมากขึ้นเท่านั้น ผมพยายามหลอกตัวเองอยู่หลายครั้งว่าบางทีผู้ชายคนนั้นอาจจะเป็นพี่ชายที่แสนดีของเธอที่เคยเล่าให้ฟังก็ได้ แต่จิตใจด้านมืดของตัวเองก็คอยตอกย้ำว่าโลกสวย ๆ ที่ผมมองอยู่น่ะมันไม่ใช่



     แม้สภาพจิตใจตอนนี้จะย่ำแย่พอดู แต่ก็ขอทำหน้าที่ของตัวเองที่รับปากไว้ก่อนแล้วกัน



     ทันทีที่ผมลงจากแท็กซี่ที่มาหยุดอยู่หน้าป้อมยาม ก็ได้ยินเสียงเรียกแหลม ๆ จากในโรงเรียนนำให้หันไปมองหา อาร์ม ซัน เบ๊นซ์ และเพื่อนสาวของนัทตี้นั่งรออยู่ด้านในแล้วครับ เฮ้อ... ผมสูดหายใจกับตัวเองเพื่อเรียกกำลังก่อนจะตัดสินใจเข้าไปในนั้นแม้จะเป็นการตัดสินใจที่ยากพอดูก็ตาม



     " สายไอสัด " แล้วก็เป็นไออาร์มครับที่ปากหมาเหมือนเคย นี่กูพึ่งเดินเข้ามามึงก็ทักงี้เลยนะ



     " สายอะไรอาร์ม พวกเราอะมากันเร็วเกิน " เป็นนัทตี้ครับที่ขัดลาภปากหมา ๆ ของคุณประธาน



     " อะ ๆ งั้นคนก็ครบแล้ว ไปกันเลยมั้ยเจ๊ ? " อะไรวะ !? นี่ผมมาคนสุดท้ายเลยเรอะ เป็นไปได้ !!



     " งั้นทุกคน รถตู้จอดรออยู่ตรงโน้นนะ เอาของขึ้นไปเก็บได้เลย " นัทตี้ป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับทราบพลางชี้ไปยังรถตู้ที่จอดอยู่ตรงลานจอดรถ ก่อนที่จะปลีกตัวเดินมาหาผม " หวัดดีค่ะมิ้ลค์ "



     " คะ...ครับ...หวัดดี " แม้ว่าชุดไปเที่ยวของนัทตี้ที่ใส่อยู่จะน่ามอง แต่ภาพของเธอที่ควงแขนผู้ชายคนนั้นยังคงติดตาไม่ไปไหน



     " เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ไม่สบายเหรอ ? หน้าดูหมอง ๆ นะ " นัทตี้พูดพลางเอามือขึ้นมาอังหน้าผาก " ตัวก็ไม่ได้ร้อนหนิ "



     " ไม่มีอะไรหรอกครับ " ผมพูดปัด ๆ พลางเอาหลังมือที่เธอแปะหน้าผากออกก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย " มาครับ มิ้ลค์ช่วยถือกระเป๋า " ผมรับของจากมือผู้หญิงตรงหน้าพลางเดินไล่ตามเพื่อน ๆ โดยไม่รอเธอไปยังยานพาหนะที่จะลำเลียงพวกเราไปยังสถานที่พักผ่อนใจ



     ผมไม่รู้ทำไมถึงเลือกที่จะทำตัวงี่เง่าใส่นัทตี้ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยปรากฏเลยสักครั้งเดียว



     กระเป๋าใบละโลสองโลน่ะผมถือได้สบายอยู่แล้ว แต่ทำไมกระเป๋าใบนี้ถึงได้หนักอึ้งราวกับเรี่ยวแรงที่มีของผมมันหายไปกันแน่นะ..



####



     บรรยากาศบนรถหลังจากที่เดินทางออกนอกตัวโรงเรียนของนัทตี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานครับ เมื่อไอห่าสามตัวที่นั่งอยู่หลังสุดเล่นแหกปากร้องเพลงซะเสียงดังลั่นจนสาว ๆ ข้างหน้าหลายคนตบมือชอบใจ ผมก็ไม่รู้ว่าพวกเธอชอบกันไปได้ยังไงในเมื่อแม่งแหกปากกันน่ารำคาญจะตาย ตอนนี้เบาะหลังสุดสี่คนได้ถูกสามเกลอจองไว้หมดแล้ว (ว่างหนึ่งที่สำหรับวางกระเป๋า) ถัดมาเป็นนัทตี้นั่งคู่กับผม และด้านหน้าก็เป็นเพื่อนสาวทั้งสี่ของเธอ ถุงขนมหลาย ๆ ใบถูกส่งวนเวียนกันอยู่ในรถราวกับมีสายพานในร้านชาบูชิอะไรเทือกนั้น (ไอห่า เลย์ไม่เคยถึงมือกูหรอก เสร็จไอเชี่ยอาร์มตลอด) แม้มีอะไรหลาย ๆ อย่างน่าดึงดูดความสนใจ แต่ผมก็ไม่อาจละสายตาได้จากบานกระจกด้านข้าง



     " เป็นอะไรหรือเปล่าคะมิ้ลค์ ? นัทตี้สังเกตมาสักพักนึงแล้วนะ " สงสัยว่าสิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่นั้นจะซึมออกมายังใบหน้าด้วยเช่นกัน ผมตื่นตัวเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามของคนข้าง ๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ



     " ไม่มีอะไรหรอกครับนัทตี้ อย่าใส่ใจเลย " ก็ยังมีแค่หน้าต่างนั่นแหละครับที่ผมยังมองอยู่ แรงหันไปหาคนถามยังไม่มีเลย



     " ไม่ต้องไปสนใจมันหรอกเจ๊ ไอห่ามิ้ลค์เป็นไรไม่ค่อยบอกเพื่อนหรอก มันอวดเก่ง " ทีงี้แรงผมมาจากไหนไม่รู้ถึงได้รีบชักมือจากหน้าตักเอื้อมไปตบไอเชี่ยอาร์ม แล้วมึงจะหลบไปไหนล่ะสัด ! ให้กูตบก่อน !!



     " ไม่มีอะไรหรอกครับนัทตี้ คงเป็นเพราะเมื่อวานมิ้ลค์ทำงานมั้งครับ เลยดูเพลีย ๆ น่ะ " นี่เป็นข้ออ้างที่ผมคิดออกในเวลานี้ ผมพูดพลางพยายามมองไปยังใบหน้าของนัทตี้ที่ตอนนี้แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใย แต่ไม่รู้ว่าใบหน้าแบบนี้มันมีให้แค่เฉพาะผมคนเดียวหรือเปล่า



     " เหรอคะ งั้น...กินนี่ก็ได้ค่ะ นัทตี้ป้อนให้นะ " เธอพูดพลางยื่นอัลมอนด์เคลือบผิวสีน้ำตาลเตรียมจะเข้าปาก " ช็อกโกแลตทำให้คนอารมณ์ดีน้า " ผมชั่งใจกับตัวเองอยู่นานก่อนจะเหล่มองเจ้าก้อนกลม ๆ นี่



     " ขอบคุณนะครับ " และในที่สุดผมก็รับความหวังดีจากเธอมาแบบฝืน ๆ ถึงอารมณ์ดีขึ้นตามนัทตี้บอกก็จริง แต่ในหัวยังคงวนเวียนฉายภาพเมื่อวานซ้ำ ๆ ไปมาอย่างไม่รู้จบ คนที่เธอทำแบบนี้ด้วยมันมีแค่ผมจริง ๆ น่ะเหรอ..



     แต่แล้วผมก็หลุดยิ้มขึ้นมาดื้อ ๆ เมื่อไอเพื่อนเชี่ยที่เอาติดมาด้วยแม่งเล่นแซ็วผมกับนัทตี้ที่หวานแหววไม่แคร์สายใดซะยับเยิน (ยิ้มเสร็จแล้วต้องแจกตบครับ) แซ็วแค่ผมไม่พอครับ พวกห่านี่แม่งข้ามหัวเราสองคนไปแซ็วเพื่อนนัทตี้ที่นั่งเม้าท์มอยอยู่ข้างหน้าอีกต่างหาก ไอเชี่ย มึงรู้จักให้เกียรติผู้หญิงกันหน่อยได้ปะ ? มึงแซ็วจนหูพวกมึงดำแล้วเนี่ย ไอหน้าหม้อ !!



     แต่กว่าจะเข้าตัวเมืองหัวหินก็กินเวลาไปพอสมควร ถึงอย่างนั้นก็ต้องแวะปั๊มน้ำมันข้างทางเพื่อตุนข้าวตุนของไปนั่งกินเล่นบนรถ (ซื้อครีมกันแดดในเซเว่นไปทำปราสาททรายกันเรอะ !?) หลังจากออกปั๊มน้ำมันได้ไม่นานก็มุ่งหน้าไปยังสวนน้ำแบบเต็มกำลัง



     ทันทีที่มาถึงสวนน้ำ พวกเราทั้งหมดก็พากันแบกสัมภาระของตัวเองเข้าไปยังด้านใน ออยล์เพื่อนของนัทตี้ที่ทำความรู้จักกันบนรถอาสาไปทำธุระซื้อบัตรให้ เพราะพ่อของเธอได้กิ๊ฟวอชเชอร์ลดราคาเล่นสวนน้ำตั้งหลายเปอร์เซ็นต์ (นี่สินะถึงชวนมา) เมื่อผ่านด่านตรวจบัตรเสร็จสิ้นทุกคนก็ตกตะลึงในความใหญ่ของสถานที่ เพราะตอนนี้พวกเราถูกปกคลุมไปด้วยของเล่นขนาดมหึมารอบด้าน (ทำตัวเป็นเด็ก ๆ กันไปได้ อ๋อ ผมด่าตัวเองอยู่ ฮ่า ๆ) แต่ก่อนจะไปสนุกกับสไลเดอร์และล่องแก่งก็ไปหาที่นั่งกับเปลี่ยนชุดกันก่อนดีกว่า



     พวกเราตัดสินใจปักหลักอยู่ตรงแถว ๆ ศูนย์อาหารครับ เพราะหากเล่นน้ำเสร็จเมื่อไหร่ก็แวะมาหาอะไรกระแทกปากได้ทันที มิหนำซ้ำห้องน้ำยังอยู่ใกล้ ๆ ด้วย สะดวกสบายแบบไม่ต้องเดินว่อนหาให้วุ่น ตอนนี้ผมและเพื่อนฝั่งโรงเรียนชายล้วนพร้อมที่จะออกศึกกันแล้ว เหลือเพียงวีรสตรีทางฝั่งคอนแวนต์เท่านั้นครับที่ยังไม่ออกมาจากจุดเปลี่ยนชุด



     " จะดูอีกกี่ทีนมมึงก็ใหญ่จริง ๆ เลยนะไอมิ้ลค์ " ผมที่ใส่กางเกงว่ายน้ำสั้นจุดจู๋แต่มีเสื้อลายดอกคลุมด้านบนอยู่ โดนคุณเพื่อนรักแซ็วขณะที่นอนรอเพื่อนสาวอีกกลุ่มนึง ฝรั่งก็มีให้มึงมองเยอะแยะมั้ย จะมาสนใจหน้าอกกูเพื่อ ?



     " ใหญ่ไม่เท่าน้องบิวตี้หรอก ฮ่า ๆ " ซันกับเบ๊นซ์ที่นั่งรออยู่ด้วยกันระเบิดหัวเราะให้กับคำพูดประชดประชันของผม



     " ไอสาดดดดดดด " เขาเรียกว่าแซ็วมาแซ็วกลับไม่โกงร้อยเปอร์เซ็นต์ อิอิ



     " ว่าแต่มึงเป็นอะไรวะมิ้ลค์ ? กูไม่ได้เห็นมึงเป็นแบบนี้นานแล้วนะ " ในขณะที่ผมนอนขำให้กับคำด่าของคุณประธานฯ อยู่นั้นเอง ซันที่ควานหาของในกระเป๋าของมันก็ออกปากถามแบบไม่เกรงใจ



     " อ๋อ มะ...ไม่มีหรอก แหะ ๆ " มึงอย่ามองกูงั้นได้ปะอาร์ม เชื่อกูหน่อยสิกูพูดจริ๊งงงงง



     " กูคนนึงแหละที่ไม่เชื่อ กูอยู่กับมึงมาตั้งนาน ของแค่นี้ก็ดูออกแล้ว " สุดท้ายเพื่อนสนิทอย่างอาร์มก็มองเห็นถึงความจริงของผมซะทะลุปรุโปร่ง



     " กูด้วย เวลาแบบนี้มึงอย่าคิดเองคนเดียวดิ เราก็เพื่อนกันนะเว้ย " ไม่วายเบ๊นซ์ก็เสริมขึ้นมา



     " บอกมาเหอะมิ้ลค์ พวกกูจะได้ช่วยเหลือมึงได้ไง มึงไม่เห็นพวกกูเป็นเพื่อนแล้วเหรอ ? " แล้วก็เป็นซันอีกแล้วครับที่ไม่ว่าผมจะปากแข็งแค่ไหนพอได้ยินคำว่า ' เพื่อน ' เนี่ย ผมต้องยอมมันตลอด



     ผมถอนหายใจยาวพรืดก่อนจะพูดขึ้นเพราะยังไงก็หนีไม่ได้อีกแล้ว " เมื่อวานกูไปเที่ยวสยามกับไอเฟิร์ส แล้วกูเจอนัทตี้อยู่กับผู้ชายคนอื่น " ดีกรีความร่าเริงของผมเมื่อเข้ามาเห็นเครื่องเล่นต่าง ๆ นานา ลดฮวบฮาบอย่างเห็นได้ชัดเมื่อพูดประโยคนี้ออกไป



     " .......... " พวกมันสามคนได้ยินแบบนั้นก็อึ้งไม่ต่างอะไรจากเป็นใบ้ นึกถึงตอนที่อาร์มและกั๊มพ์พูดตอนนั้นยิ่งตอกย้ำจิตใจเข้าไปอีก



     " ละ...แล้ววันนี้มึงก็มาเที่ยวกับเขาอะนะ ? " เป็นอาร์มบ้างครับที่ออกแรงถาม



     " อืม " ผมตอบสั้น ๆ พลางผลุบหน้าลงต่ำ ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริง ๆ



     " แต่งตัวกันเสร็จแล้วเหรอหนุ่ม ๆ " ผมหันไปมองนัทตี้และกลุ่มเพื่อนของเธอที่แต่งตัวเข้ากับชุดวันพีชเรียบร้อย ไม่รู้สามคนนั้นกลืนน้ำลายพร้อมกันเพราะความเซ็กซี่หรือเรื่องราวที่ผมพ้นออกมาเมื่อครู่ " งั้นทุกคนพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย " เธอนำกระเป๋าลงไปวางไว้บนโต๊ะพลางเดินนำทัพไป ก่อนที่ผมจะตัดสินใจลุกขึ้นตามหลังเธอ พลันเห็นสามทหารเสือปั้นหน้าอึ้ง ๆ ไม่หายมองมายังผมราวกับไม่เข้าใจ



     ถึงกูอาจจะมองเห็นความจริงแล้วว่าไม่ได้มีแค่กูที่เป็นตัวเลือก



     แต่ตอนนี้กูยังไม่พร้อมจะเสียนัทตี้ไปว่ะ



     เพื่อน...ตอนนี้กูยังไหว



####



     หลังจากที่พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับพร้อมรบกันแล้วก็ถึงเวลาที่จะไปเปียกกันเสียที อย่างแรกที่พวกเราไปลองเป็นออร์เดิร์ฟกันก่อนก็คือสระน้ำสำหรับผู้ใหญ่ครับ ประมาณว่าเล่นน้ำให้ชุ่มปอดแล้วค่อยไปเล่นอย่างอื่น แต่เล่นกันได้ไม่ถึงไหนไออาร์มแม่งก็ร้องเป็นเด็ก ๆ บอกให้พาไปเล่นสระเด็กที่มีปืนฉีดน้ำ ไอห่า ! นั่นมันของเด็กมั้ย !? ถึงจะบ่นแบบนั้นก็จริงแต่ก็พามันไปเล่นแต่โดยดี (ปัญญาอ่อนชิบหาย ไอสัด ! มีฉีดไล่กูอีก) เสร็จทางฝ่ายคุณประธานแล้วฝ่ายผู้หญิงก็รีเควสให้ไปเล่นสไลเดอร์ที่มีความสูงประมาณตึกห้าชั้นตรงโน้น แต่ไอการที่จะมาท้าทายผมน่ะมันใช่เรื่องซะที่ไหน ! ก็เลยเดินตบเท้าตามคำท้าของเหล่าเด็กคอนแวนต์ขึ้นไปเล่นสไลเดอร์ ผมที่ขึ้นมาแล้วกับเจ้าซันมองลงไปยังข้างล่างแล้วก็รู้สึกโคตรเสียวไส้ !! (ไอตุ๊ดสองตัวนั้นรออยู่ข้างล่างครับ) ด้วยความที่เกี่ยงกันไปมาว่าใครจะลงก่อน ผมเลยตัดสินใจเสี่ยงตายเป็นคนแรกเลยแล้วกัน เมื่อลงมาตัวสัมผัสถึงพื้นน้ำนึกว่าจะได้แอ็คฯ ท่าสวย ๆ อวดสาว แต่น้ำเสือกกระเด็นเข้าปากซะก่อน ! แถมยังไม่ทันจะได้ตะกายขึ้นฝั่ง ไอเชี่ยซันแม่งก็ลงมาจากไหนไม่รู้ถีบหลังผมเข้าไปเต็ม ๆ (จะรีบลงตามมาเพื่อ !?) ท้ายที่สุดทางฝั่งโรงเรียนชายล้วนก็ขอสงบศึกไปเล่นเครื่องเล่นที่มันไม่หวาดเสียว แต่ทางคอนแวนต์เขาอยากไปเล่นอะไรที่มันท้าทายต่อว่ะ ด้วยความใจป๊อดของไอห่าอาร์มก็ทำให้เราทั้งหมดแยกย้ายไปเล่นเครื่องเล่นตามที่ใจต้องการ ถึงแม้ผมจะมีตะกอนความคิดจากเมื่อเช้าหลงเหลืออยู่บ้าง แต่การที่ได้มารีแลคกับเพื่อน ๆ ก็ทำให้ความคิดเหล่านี้พร่องลงไป ผมเดินไปส่งพวกนี้ที่สระน้ำวนก่อนจะขอตัวกลับไปยังที่นั่งของเรา เพราะรู้สึกอยากเอนหลังสักหน่อย ไอเชี่ยซันแม่งก็ถีบเข้ามาได้นะหลังผมเนี่ย ไม่ดูเล้ย



     ผมกลับมานั่งโต๊ะที่มีข้าวของมากมายกองอยู่พลางหยิบผ้าขนหนูมาเช็กรอบตัวให้แห้งสนิท ก่อนจะได้ยินเสียงแจ้งเตือนของไอโฟนในกระเป๋าดังขึ้นทันทีหลังจากที่นั่งลงไป อดสงสัยไม่ได้ว่าตอนนี้ใครแม่งทักมาวะ เอาเป็นว่าแวะหยิบขึ้นมาดูสักหน่อยดีกว่า



     ' ไง เที่ยวสนุกมั้ย ' เป็นเฟิร์สเองครับที่ทักมา แต่เฮ้ย !! ลืมชวนมันมาเที่ยวซะสนิทเลย !



     ' เฮ้ย !! กูลืมชวนมึงมาเที่ยวด้วยกันเลยว่ะ ' ฮืออออ บางทีการที่มันมาด้วยอาจทำให้ทริปครั้งนี้สนุกขึ้นก็เป็นได้



     ' หึ ถึงชวนก็ไม่ไปหรอก ' เฟิร์สส่งข้อความตามด้วยสติกเกอร์หน้าคนขำอย่างมีความสุข



     ' แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูมาที่นี่ ' นั่นสิ ของอย่างนี้คงไม่หลับตาแล้วเห็นหรอก หรือมันฝังชิปไว้ในตัวผมวะ ?



     ' ก็อาร์มมันเช็กอินในเฟสฯ ไง แถมแท็กมิ้ลค์อีก ' อย่างนี้นี่เอง แหม เร็วจริง ๆ เลยว่ะเพื่อนกู



     ' แล้วทำไมเมื่อวานรีบกลับจังล่ะ พึ่งไปถึงสยามแท้ ๆ ' ทันทีที่อ่านข้อความนี้จบ มือผมก็แข็งเป็นหินอย่างไม่รู้จะพิมพ์อะไรตอบกลับ



     ' ธุระ '



     ' เหรอ งั้นมิ้ลค์ก็เล่นให้สนุกล่ะ ไม่กวนแล้ว ' ผมมองเจ้าของสติกเกอร์รูปยิ้มมีความสุขที่ถูกส่งมาใหม่แล้วก็นึกอิจฉาไม่ได้



     เฟิร์ส...ตอนนี้กูควรทำยังไงดี



     ในขณะที่ผมเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าประกอบกับพ้นลมหายใจพรูอยู่นั้นเอง เสียงริงโทนประจำเครื่องโทรศัพท์ก็ดังแหกปากให้ผมควักขึ้นมาดูอีกรอบ กูพึ่งจะยัดลงไปในกระเป๋าเองนะ !! ว่าแต่เบอร์ใครวะไม่คุ้นเลย



     " ฮัลโหลครับ ? " ผมขมวดคิ้วรอปลายสายตอบกลับมา



     " ฮัลโหล มิ้ลค์เหรอคะ ? นี่เพื่อนนัทตี้เองนะ " อ๋อ...เพื่อนนัทตี้นี่เอง ว่าแต่มีธุระอะไรกับผมหว่า



     " ครับ มีอะไรหรือเปล่า ? "



     " คือนัทตี้เขาประจำเดือนมาฉุกเฉินน่ะค่ะ แล้วที่นี่ก็ไม่มีผ้าอนามัยขายด้วย มิ้ลค์พอที่จะ.. "



     " ตอนนี้อยู่ตรงไหนครับ !!!!? " ผมไม่รอให้เสียงแหลม ๆ พูดจบ เพราะตอนนี้รู้ดีว่าจะต้องทำอะไร



     " อยู่ห้องน้ำตรงสระคลื่นเทียมค่ะ เป็นไปได้ให้รี.. " สิ้นประโยคนั้นผมก็กดวางสายก่อนจะวิ่งพรวดไปหาสิ่งที่เธอต้องการ ถึงจะดูเขิน ๆ เวลาซื้อสิ่งนี้ให้แฟนไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาคิดเยอะแล้ว



####



     " เป็นไงบ้างครับ ? " ผมถามนัทตี้ที่เพื่อนของเธอพยุงเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพอิดโรย โคตรเซ็งเลยครับ ผมวิ่งทั่วที่นี่แล้วแทบจะไม่มีขาย แล้วเลือดมาไหลอะไรพร้อมกันล่ะเนี่ยทุกคนนนน เฮ้อ.. ให้แฟนผมเป็นคนเดียวก็ไม่ได้ (ตอนได้มาพี่คนขายเขามองหน้าผมแปลก ๆ ด้วยนะ)



     " ก็...โอเคแล้วค่ะ " เสียงนั่นดูรู้สึกผิดไปถนัด " ขอโทษนะคะที่ทำให้วุ่นวายกันไปใหญ่ "



     " มันเป็นเหตุสุดวิสัยครับ นัทตี้อย่าไปคิดมาก " ผมพูดยิ้ม ๆ โดยหวังให้เธอสบายใจขึ้นมาบ้าง



     " แต่ก็ขอบคุณมิ้ลค์มากนะที่ไปซื้อผ้าอนามัยให้นัทตี้ " แค่นี้เองจิ๊บจ๊อยมาก หึหึ



     " ไม่เป็นไรครับ " แฟนผมมีคนเดียวนะเว้ย จะให้ปล่อยไปได้ยังไงกันล่ะ



     " แล้วเอาไงต่อดีล่ะ ? " คราวนี้ออมสินเพื่อนของเธอที่คอยดูแลตั้งแต่เกิดเหตุหันไปถามบ้าง



     " ก็คงเล่นต่อไม่ได้แล้วแหละ " แฟนสาวของผมพูดด้วยสีหน้าเสียอกเสียดาย แต่จะให้นัทตี้รู้สึกผิดอย่างนี้ได้ไงกันล่ะ



     " ออมสินก็ไปเล่นต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมอยู่กับนัทตี้เอง " ไหน ๆ ก็มาแล้ว อย่าให้ทริปล้มดีกว่า แค่ผมไม่ได้เล่นก็ใช่ปัญหาซะที่ไหน อีกอย่างมาวันนี้ก็คุ้มแล้วด้วย



     " จะดีเหรอคะ ? " ไม่ต้องคิดมากหรอกครับนัทตี้



     " ดีสิครับ " ผมยิ้มรับด้วยความยินดีก่อนที่จะปล่อยให้เพื่อนของเธอไปสนุกกับการเล่นน้ำ พลางประคับประคองนัทตี้ไปยังโต๊ะของเรา



     ผมที่พานัทตี้มาถึงก็กูลีกูจอหาผ้าขนหนูมาคลุมร่างของเธอเพื่อไม่ให้รู้สึกหนาว ตามด้วยขนมนมเนยที่พอจะหาได้มาเทคแคร์อย่างไม่ขาดตอน



     " นัทตี้ต้องการอะไรเพิ่มบอกมิ้ลค์ได้เลยนะครับ " ผมจัดการให้เธอเสร็จสรรพก่อนจะโน้มตัวนั่งข้าง ๆ ร่างที่ถูกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่ ๆ



     " ค่ะ แต่ยังไงก็ขอบคุณเรื่องที่ช่วยนัทตี้ด้วยนะคะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้มิ้ลค์ไม่ได้ไปสนุกกับเพื่อน ๆ เลย " ผมส่ายหน้าพรืดเพราะเหนือสิ่งอื่นใดคือความห่วงใยคนตรงนี้มากกว่า



     " มิ้ลค์ยินดีครับ " ผมปล่อยให้บทสนทนาของเราหยุดลงแค่นี้เพราะอยู่ดี ๆ ความอึดอัดภายใต้จิตใจก็เริ่มก่อตัว อุส่าลืมเรื่องนี้ไปสนิทแล้วแท้ ๆ



     " เอ่อ... "



     " คะ ? " ผมใช้ความพยายามที่มีลอบมองเรือนหน้าสวยของนัทตี้ ผมแค่อยากจะฟังคำพูดจากปากเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน



     " เมื่อวาน...นัทตี้ไปไหนมาเหรอครับ ? " ไม่รู้ทำไมในหัวผมถึงได้ถามออกไปแม้จะได้คำตอบมาแล้วผ่านดวงตาคู่นี้ หากเป็นคำตอบที่ดี ผมคงสบายใจขึ้นมาได้มาก คิ้วสวย ๆ ของคนข้าง ๆ ขมวดเข้าหากันแน่นก่อนจะให้คำตอบกับผม



     " ก็ไปทำงานบ้านเพื่อนเมื่อเย็นไงคะ นัทตี้ก็บอกไปแล้วหนิ ฮ่า ๆ ขี้ลืมจังเลยน้าแฟนนัทตี้เนี่ย " เธอว่าพลางยื่นมาบีบจมูกก่อนจะส่ายไปมาอย่างเอ็นดู



     แล้วทำไม..



     น้ำในตามันเริ่มก่อตัวล่ะ..



     " คะ...ครับ " ผมลุกลี้ลุกลนเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อกับน้ำตาที่พร้อมจะไหลทุกเมื่อ " นัทตี้อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ยครับ ? เดี๋ยวมิ้ลค์ไปเล่นน้ำกับเพื่อนก่อนนะ " ที่ผมเลือกเดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่รอฟังคำตอบใด ไม่ได้หมายความว่าจะไปทำในสิ่งที่พูด หากแค่ไม่อยากให้เธอน้องมาเห็นความอ่อนแอในตัวเองที่กำลังจะเกิดขึ้น



     ตอนนี้คนที่ผมรักมากที่สุด



     กำลังโกหกผม



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:14:23
Not to be unlocked : Episode 21 : ตัวเลือก



     ช่วงตะวันลับฟ้าในวันหนึ่ง ที่เวลาใกล้จะถึงวันมหาวินาศสันตะโรของเหล่านักเรียนชั้นม.5 นั่นคือกีฬาสี ตลอดที่ผ่านมามีเรื่องให้ผมคิดตั้งมากมายเลยครับ นี่ขนาดอายุแค่สิบหกเข้าย่านสิบเจ็ดแท้ ๆ นะ ไม่ได้มีการมีงานเป็นหลักเป็นแหล่งแบบผู้ใหญ่คนอื่นเขา ทำไมเรื่องคิดมันถาโถมมาได้เยอะขนาดนี้กันล่ะหว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว โอ๊ยยยย



     ไหน ๆ ก็เกริ่นเรื่องกีฬาสีตั้งแต่ต้นแล้ว ก็ขอโอ้อวดวีรกรรมของผมที่ไปก่อมาดีกว่า ท่านผู้อ่านยังจำตอนที่ไอพวกห้องสี่ให้ผมไปลองคัดตัวนักกีฬาฟุตบอลประจำสีแดงกันได้มั้ยล่ะ ? หึหึ แค่โค้ชเขาให้ลองยิงลูกโทษกับเลี้ยงลูกโชว์แค่นั้น ตำแหน่งตัวจริงที่น้อง ๆ ม.4 หลาย ๆ คนจับตามองอยู่ก็ได้ถูกผมครอบครองไปเป็นที่เรียบร้อย โม้มาขนาดนี้แล้วเดี๋ยวผมจะอวดท่านผู้อ่านเป็นขวัญตาเองครับว่ากองหน้าทีมสีแดงน่ะ มันเป็นยังไง หึหึ



     วกกลับเข้ามาในเรื่องปวดหัวชิบหายกันอีกครั้งกับการเรียน แม่เจ้าโว้ยยย เมื่ออาทิตย์ก่อนได้มีการสอบกลางภาคกันเกิดขึ้นกับทุกระดับชั้นครับ แต่ที่พีคโดนใจเด็กม.5 ไปนั้นก็คือรายวิชาคณิตศาสตร์ที่อาจารย์เพ็ญนภาเป็นคนออกข้อสอบกับมือ ! ไอที่ตกใจกับการสอบเพราะแกเล่นไปเอาโจทย์จากหนังสือคณะบัญชีมาออกทั้งหมด !! พอสอบเสร็จปุ๊บผมกับเพื่อนอีกหลายคนก็สบถลั่นชั้นเรียนกันโคตรดัง ! ก็มันจริง ๆ มั้ยล่ะครับ นี่พวกผมแค่ม.5 กันเองนะ ไปเอาข้อสอบปีหนึ่งมาให้สอบทำแมวอะไร !? ถึงจะพูดว่าหวังดีว่าอยากให้ลองศึกษาดู แต่คะแนนที่ออกมามันเศษเลขทั้งนั้นเลยนะจารย์ !!



     ส่วนเรื่องฉากที่จะต้องนำไปติดตั้งบนสแตนด์ทีมฝ่ายอาร์ทอย่างพวกเราวางแผนกันมาดีครับ ถึงฝ่ายแม่สีจะให้เวลาในการจัดการถึงหนึ่งเดือน แต่ด้วยความที่ฮึกเหิมในหน้าที่อย่างบ้าคลั่ง ทำให้งานศิลปะที่จะต้องไปติดตั้งบนสแตนด์ให้สวยงามก็เสร็จภายในเวลาแค่สองอาทิตย์พอดิบพอดี ใช่ครับ ต้องยกความดีความชอบให้เจ้าเฟิร์สด้วยที่สละพื้นที่ส่วนตัวของบ้านมันมาให้พวกเราได้ดำเนินการจนลุล่วง



     พึ่งจะขอบคุณไอเจ้าเฟิร์สไปก็ขอเอามานิทราให้ท่านผู้อ่านฟังกันหน่อย พักนี้ความสัมพันธ์ของผมและเฟิร์สค่อนข้างที่จะสนิทกันไวขั้นที่เรียกได้ว่าผัวเมีย !! โอ้โห เมื่อก่อนคุณเฟิร์สเขาหลุดคำหยาบมาให้ผมได้ยินบ่อยที่ไหนล่ะ พักนี้แม่งเล่นด่าเอาซะผมหูแทบหนวก มิหนำซ้ำแม่งตามมากวนตีนหนักกว่าเมื่อก่อนอีก แต่ที่ผมว่าแปลกมันมีอยู่อย่างนึงคือเวลาเดินไปไหนกับเฟิร์สแม่งจะเอาแขนมาพาดคองคอประหนึ่งเป็นเจ้าของ (พวกเพื่อนแม่งก็แซ็วกันไปสิ) ส่วนทางผมก็ไม่ซีเรียสนะ ถือว่าช่วงนี้มันคือความสุขของผมไปอย่างเต็มรูปแบบเลย ฮ่า ๆ อ๋อ ! เรื่องที่น่ายินดีของเจ้านี่ไม่ได้หมดแค่นี้ครับ ท่านผู้อ่านยังจำเด็กล้างจานของร้านที่ผมไปทำงานทุกวันเสาร์ได้รึเปล่าเอ่ย ? ถูกต้องครับ เจ้าเฟิร์สมันได้เลื่อนตำแหน่งไปอยู่ครัวผัดแล้ว ฮ่า ๆ แต่กว่าจะมาอยู่ตำแหน่งนี้ได้ก็ล่อไปเกือบเดือน



     ส่วนเรื่องของนัทตี้เมื่อตอนไปเที่ยวสวนน้ำเหรอครับ ?



     ยอมรับเลยครับว่าตัวเองแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะเสียใจเมื่อได้ยินคำโกหกของคนที่รักมากที่สุด มันไม่ต่างจากมีมีดเป็นพันเล่มค่อย ๆ กรีดลงหัวใจเพื่อกลั่นความเจ็บปวดให้หลั่งริน ผมทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ ในวินาทีนั้นนอกจากปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ้นวันนั้นผมก็ทำตัวให้ปกติทุกอย่างเพื่อไม่ให้ความรู้สึกนี้ส่งไปยังอีกคน ทั้ง ๆ ที่ในใจก็อยากจะถามเธอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร แต่เสียงในใจอีกด้านหนึ่งกลับตะโกนสวนกลับมาว่า " ถ้าถามไปแบบนั้น เราก็คงไม่ไว้ใจในตัวเธอแล้วน่ะสิ " ท้ายที่สุดผมก็ต้องปล่อยให้ทุกอย่างลอยไปอย่างไร้ทิศทาง เรื่องนี้เข้าถึงหูเพื่อนของผมทุกคนแล้วครับหลังจากที่ไออาร์มมันประกาศไปทั่วห้อง หลายเสียงยืนยันกับผมว่าเลิกไปเถอะผู้หญิงแบบนี้ แต่การที่จะให้ผมตัดใจกับคนที่จะลงเอยทุกอย่างมันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ ผมเลือกแล้วครับไม่ว่าจะเสียใจขนาดไหน ผมก็จะรักษาผู้หญิงคนนี้ไปให้ตลอดรอดฝั่ง แม้ว่าเขาจะทำผมเสียใจเท่าไหนก็ตาม



     ตอนนี้ผมนอนโง่ ๆ อยู่บนเตียงปัดจอไอโฟนภายในห้องดูสูตรเมนูในอากู๋ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง อีกแค่ไม่ถึงสัปดาห์ก็ถึงวันครบรอบของผมกับนัทตี้ที่คบหาดูใจกันมาตลอดเจ็ดเดือนแล้วครับ ถึงเราจะผ่านสารทุกข์สุกดิบกันมาตั้งเยอะ แต่ก็ไม่มีวันลืมวันครบรอบของเราแน่นอน ผมว่าจะเซอร์ไพรส์เธอด้วยเค้กส้มสูตรทำเองน่ะครับ เพราะคิดว่าหากเราได้ทำสิ่งของที่สร้างขึ้นมาเองให้แฟนเนี่ย มันดูให้ความสำคัญและมีค่ากับคนที่เรารักมาก ๆ เลยนะ และอีกอย่างเค้กส้มนัทตี้เองก็ชอบเป็นพิเศษด้วย ถ้าได้ทำไปให้ลองชิมคงได้คะแนนหัวใจเต็ม ๆ



     ' ก๊อก ๆ '



     ผมหยุดชะงักหน้าจอให้แสดงสูตรเมนูไวท์เค้กพลางชะเง้อมองบานประตูที่มีคนเคาะจากด้านนอก



     " เข้ามาเลยมิน พี่ไม่ได้ล็อก " มินในชุดนักเรียนชายเสื้อหลุดลุ่ยเข้ามาพร้อมกับหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มแหย ๆ สี่ทุ่มยังไม่อาบน้ำอีกเหรอเนี่ยมิน ? เน่าหมดแล้วมั้ง เหมือนพี่มันไม่มีผิด ฮ่า ๆ



     " มีไรเปล่า ? เข้ามาซะดึกเชียว " ผมลุกจากที่นอนพลางมองมินที่ค่อย ๆ ปิดประตูลงก่อนจะก้าวเท้าเดินมาหยุดตรงหน้า



     " พี่มิ้ลค์ มินขอปรึกษาอะไรหน่อยสิครับ " เวลามินเขามีเรื่องเครียดหรืออะไรก็ตาม คนแรกที่จะมาปรึกษาด้วยคือผมครับ ไม่ได้อยากจะอวดหรอกนะว่าตอนอยู่ม.ต้นเคยมีคนมาขอคำปรึกษาเรื่องความรักผ่านเฟสบุ๊คเหมือนกัน หึหึ ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็จัดการล็อกหน้าจอไอโฟนให้ไปนอนคู่กับนาฬิกาปลุกตรงหัวเตียง ก่อนจะหยิบหมอนใบนุ่มมาวางไว้ที่หน้าตักพลางตบปุ ๆ เพื่อให้เจ้าน้องชายมานอน มินคลี่ยิ้มอย่างดีใจก่อนจะเอากระหมอมบาง ๆ มานอนแบะให้ยุบลง



     " ไหน มีอะไรจะมาปรึกษาพี่ ? " ผมว่าพลางลูบเส้นผมยาว ๆ ของมินที่ล้มตัวนอนตามคำบอก ก่อนจะก้มตัวลงไปจุ๊บเหม่งของเด็กคนนี้อย่างเอ็นดู



     " พี่มิ้ลค์ !! เลิกทำตัวเหมือนมินเป็นเด็กได้แล้ว ! มินโตแล้วนะไม่ต้องจูบก็ได้ !! " อะไรวะ ? พี่ชายแสดงความรักให้กับผู้เป็นน้องมันผิดด้วยเหรอ นี่ไม่ได้จุ๊บเหม่งไอเจ้ามินตั้งนานแล้วนะ แต่เอาเถอะ สงสัยจะโตเป็นวัยรุ่นแล้วคงหวงเนื้อหวงตัว ฮ่า ๆ



     " อะ ๆ ไม่ทำก็ไม่ทำ แล้วมีไรจะปรึกษาพี่ล่ะ ? " ผมถามเด็กที่นอนทำหน้าบึ้งตึงแต่ก็ยอมคลายให้ได้เห็นท่าทีร่าเริงอีกครั้ง



     " มินถามพี่มิ้ลค์ไปแล้วอย่าบอกป๊ากับม๊านะ " ผมพยักหน้าด้วยรอยยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น ไม่มีเรื่องที่มินมาปรึกษาแล้วผมไปฟ้องป๊ากับม๊าเลยสักครั้งเดียว และเรื่องทุกเรื่องที่มินมาปรึกษาผมก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายด้วยเลยสักครั้ง



     " พักนี้มินไปรู้สึกแปลก ๆ กับคนคนนึงเข้าน่ะครับ " รู้สึกแปลก ๆ กับคนคนนึงเหรอ !?



     " รู้สึกแปลก ๆ !? " ยิ่งทำให้ผมตื่นตัวขึ้นมาทันทีเพราะเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับมินเลย



     " ใช่ครับ มินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนี้มันมาได้ยังไงแล้วมาเมื่อไหร่ รู้ตัวเองอีกทีก็.. " ผมขมวดรอฟังคำตอบที่น้องทูนหัวได้เว้นช่วงไว้



     " ก็ ? "



     " ไม่พูดแล้ว !! " เอ้า !!? อะไรวะ ผมกะพริบตาปริบ ๆ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องชายตัวเองกำลังสื่อ



     " แล้วเราชอบความรู้สึกนี้ปะล่ะ ? " มินที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วคิดตามผมว่า



     " มินก็ไม่รู้ " พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังตีหน้ามึนอีกต่างหาก สงสัยจะไม่รู้จริง ๆ ว่ะ อาการแบบนี้เหมือนผมก็เคยเป็นกับใครไม่รู้เหมือนกันจำไม่ได้แล้ว



     " งั้นมินต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วล่ะว่าคิดยังไงกับมัน " ในเมื่อน้องชายมาขอคำปรึกษา พี่อย่างเราก็ควรที่จะให้คำแนะนำไป ผมมองใบหน้าของมินที่ยังทำหน้าตาไม่เข้าใจในคำพูด แต่ก็ยอมพยักหน้าเหมือนผมไปบังคับซะงั้น พูดมาขนาดนี้ต่อมเสือกของพี่ชายที่แสนดีก็ทำงานเลยว่ะ ฮ่า ๆ



     " แล้ว...ใครเหรอมิน พี่รู้ได้ปะ ? "



     " ไม่ได้ !!! " แล้วจะตะโกนทำไมล่ะโว้ย พี่ไม่ได้อยู่ปากซอย



     " สวยปะ ? "



     " ไม่บอก "



     " หรือคนในโรงเรียน "



     " มะ...ไม่ช่ายยย !!! " แล้วจะลนลานตอนตอบทำไมถ้ามันไม่ใช่อะ ฮ่า ๆ



     ฮ่า ๆ ใครกันน้าที่มาทำให้เจ้าน้องชายตัวดีถึงขั้นจัดการความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ล่ะเนี่ย



     แต่ถ้าเป็นคนในโรงเรียนที่มีแต่ผู้ชายกันล่ะ !!!!!



     โอ๊ยย ไม่มีทางหรอก ฮ่า ๆ



####



     ในยามบ่ายของอีกวันผมกำลังตบเท้ามุ่งหน้าไปยังตึกธุรการ เพื่อเอาเจ้าแฟ้มเล่มหนา ๆ ที่คุณเพื่อนตัวดีได้ลืมไว้หลังจากที่ล่ำลากันในคาบสุดท้าย จริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากจะหยิบติดไม้ติดมือมาคืนมันถึงห้องสภาฯ หรอกครับ แต่เห็นว่ากว่าจะถึงเวลาซ้อมฟุตบอลที่ได้คัดเป็นตัวจริงก็ตั้งห้าโมงเย็นโน่น ก่อนถึงเวลาซ้อมก็ไม่มีที่ไปด้วย แวะมาห้องสภาฯ ตากแอร์เย็น ๆ ให้ชุ่มปอดสักหน่อย



     เสียงเท้าผมเหยียบลงบนพื้นหินอ่อนภายในตัวอาคารดังเตาะแตะควบคู่กับปากที่ผิวออกมาเป็นทำนองเพลงไปยังห้องที่จะหมกตัวก่อนไปซ้อม แต่เอ๊ะ !? นั่นไอเฟิร์สนี่หว่า มันกำลังจะเปิดประตูเข้าไปครับ



     " ไง มาทำไรอะ ? " ผมถามมันที่พึ่งผลักประตูเข้าไปได้นิดหน่อย แต่ทางนั้นก็ถอยหลังกลับมาคุยด้วย



     " อ้าวมิ้ลค์ ! " หน้าหล่อ ๆ หันมาคลี่ยิ้มจนเห็นเหล็กดัด " มาส่งเอกสารกีฬาสีแทนคิงคองมันน่ะ " ผมมองกระดาษแผ่นสีขาว ๆ ที่เฟิร์สยกขึ้นมาพัดให้ปลิวไสว



     " อื้ม ๆ " แล้วผมกับคนที่จับประตูค้างอยู่ก็เข้าไปยังด้านในกัน เราทั้งสองโบกมือทักทายพีทเลขาสภาก่อนจะเหล่มองคุณประธานที่นั่งหัวโด่อยู่โต๊ะทำงานประจำตัวของมัน



     " ไอสัด ! ลืมอีกละนะของมึงเนี่ย " ผมโยนแฟ้มเจ้าปัญหาลงกลางโต๊ะทำงานจนแม่งสะดุ้งซะแรงเกิด ก่อนจะกวาดสายตาดูรอบ ๆ ว่าทำไมในห้องนี้อยู่กันแค่สี่คน " แล้วน้องกูยังไม่มาอีกเหรอ ? "



     " น้องมึงเลิกสี่โมงโน่น " เออว่ะ ทุกวันพุธน้องผมเลิกเย็นนี่หว่า นี่พึ่งจะสามโมงนิด ๆ เอง ผมที่ยกจีช็อกขึ้นมาดูก็เดินไปยังโซฟาเพื่อหวังจะหงีบหลับ พลันเห็นคนที่มาด้วยกันยื่นเอกสารในมือไปให้คุณอาร์ม



     " นี่นะอาร์ม เอกสารความเรียบร้อยของสีแดง " ประธานนักเรียนของผมรับมาขมวดคิ้วอ่านก่อนจะจัดการเดินไปให้เลขาฯ อย่างพีททำหน้าที่ต่อ



     " งั้นกูไปก่อนนะมิ้ลค์ " เฟิร์สว่าพลางยกมือขึ้นมาโบก แต่แม่งคงได้ไปแล้วถ้าไม่มีคนลากมานั่งตรงโซฟาด้วยกัน จะใครซะอีกล่ะ ฮ่า ๆ



     " จะรีบไปไหน มานั่งนี่ก่อน " และแล้วคนที่บอกลาเมื่อคู่ก็มาหยุดนั่งอย่างมึนงง แถมผมยังจัดการให้ไอห่านี่เป็นหมอนไว้นอนหนุนอีกต่างหาก ขาไอเฟิร์สแม่งขาวอย่างเดียวไม่พอ เสือกแน่นอีกด้วย ! หมั่นเขี้ยวจนผมอ้าปากเตรียมจะงับต้นขาให้เต็มคำ แต่แม่งเบรกหัวผมโดยการตบซะโยกเสียก่อน (เสือกรู้อีกว่ากูจะแดก) อาร์มที่เดินกลับมายังโต๊ะทำงานก็มองผมสองคนอย่างหาความจริงในทันที



     " สรุปพวกมึงสองตัวไม่ได้เป็นผัวเมียกันใช่มั้ย ? " อะไรวะอาร์ม เพื่อนกันเขาก็ทำงี้เยอะแยะไป กูก็บอกมึงไปเป็นล้านรอบแล้วนี่ว่าไม่ได้คิดอะไรกันสักหน่อย



     " ก็ดูเพื่อนนายดิอาร์ม แม่งเผด็จการชิบหาย " อื้อฮือ มึงไม่ต้องก้มมาพูดกอกหน้าก็ได้มั้ง กูเหม็นขี้ฟัน แล้วถ้ามึงไม่ชอบทำไมไม่ถีบหัวกูให้กระเด็นออกไปข้างนอกล่ะห้ะ !? จะปล่อยให้กูนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนตักมึงเพื่อ ?



     " เพื่อนเราแม่งก็เป็นงี้อยู่คนเดียวแหละ ทำใจเหอะจะคบมันอะ" ถึงตรงนี้ผมเริ่มงงแล้วว่าคบเป็นเพื่อนหรืออะไร ผมยักไหล่ไม่สนใจขณะที่นอนหนุนขาอ่อน ๆ ที่มีกางเกงที่น้ำเงินคั่นอยู่



     " ว้ายย เพื่อนไม่รัก " เออ ! ไม่รักก็ไม่รัก ผมเหล่มองคนที่ทำหน้ายียวนบนหัวอย่างเคือง ๆ ก่อนจะเบะปากในท่าทีกอดอกหันไปทางอื่น สู้แม่งไม่ได้ก็งอนใส่นี่แหละ หึ !



     " เออ ไหน ๆ มึงก็มานี่แล้ว กูขอปรึกษาอะไรหน่อยดิ " และแล้วคนที่เขียนอะไรอยู่บนโต๊ะทำงานของมันก็ตัดบทให้เราสองคนหันไปมองอย่างสนใจ



     " ว่ามาไอ้หนู " เห็นมันโชว์นิ้วกลางแสกหน้าผมที่พูดเหมือนมันเป็นเด็ก ๆ ฮ่า ๆ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องอะไรผมก็เป็นที่ปรึกษาของคุณประธานได้เหมือนกันครับ



     " คือพักนี้กูรู้สึกแปลก ๆ กับคนคนนึงว่ะ " ผมที่ฟังอาร์มพูดเสร็จก็เงยหน้าขึ้นไปมองเฟิร์สที่ส่งคิ้วขมวดกลับมา



     " ยังไงวะ ? " คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะวางปากกาในมือลงก่อนจะทำท่าครุ่นคิด



     " อืมมม...ไม่รู้ว่ะ อธิบายไม่ถูก " เอ้าไอสัด !? กูจะไปรู้มั้ยเนี่ยว่ามึงไปรู้สึกไงกับเขา



     " แล้วอาร์มชอบความรู้สึกนั้นมั้ยล่ะ ? " แล้วมึงจะถามมันไปเล่นผมกูไปทำไมวะไอเฟิร์ส !? ผมเหล่มองเจ้าของมือข้างนั้นแต่ก็ไม่ได้จะคว้าให้มันหยุด เพราะอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเพลินขึ้นมาแปลก ๆ ฮ่า ๆ



     " ก็ยังไม่รู้ดิ...มันพึ่งเกิดได้ไม่นานนี้เอง " ในเมื่อมึงตอบแบบนี้กูก็มีคำแนะนำให้มึงเช่นกัน



     " มึงก็ดูไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวความรู้สึกก็จะบอกให้ตัวมึงทำอะไรเองนั่นแหละ " อาร์มที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้วคิดตามแต่ก็พยักหน้าเข้าใจในภายหลัง



     " เออ ขอบใจนะ มันก็คลุมเครือจริง ๆ นั่นแหละ เหมือนมีเมฆดำ ๆ ลอยอยู่แต่ก็ไม่ยอมมีฝนตกสักที ว่าแต่.. " แล้วมันก็เว้นช่วงให้ภายในห้องมีเพียงเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดของพีทไกล ๆ



     อาร์มหันมาเหล่มองหน้าผมนิ่งราวกับกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะพูด" เรื่องเจ๊มึง...คิดดีแล้วแน่นะ ? " ไอคนที่ผมจับมันมาทำหมอนเลิกคิ้วไปหาเจ้าของคำถาม ก่อนที่จะก้มหน้ามามองผมราวกับอยากรู้เหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน



     " เออ...กูคิดดีแล้ว " แล้วมันก็ถอนหายใจออกมาพรูใหญ่ประหนึ่งความคิดของผมมันชั่งโง่เขลาเหลือเกิน



     ถึงจะกูมีความคิดที่โง่ก็จริงที่กล้าเอาความรู้สึกไปเสี่ยงกับผู้หญิงคนนี้



     แต่กูจะทำให้เขาเลือกกู



     และมีแค่กู



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:15:13
Not to be unlocked : Episode 22 : พ่อแม่ลูก



     ตอนนี้ผมกำลังเดินลงบันไดจากชั้นสองของบ้านตัวเองในเวลาเกือบเที่ยง วันนี้มันตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์น่ะครับก็เลยเล่นตื่นซะสายหน่อย โชคดีนะที่วันนี้เป็นวันหยุดเพราะเมื่อวานกว่าผมจะได้กลับบ้านก็เกือบสี่ทุ่ม จะอะไรซะอีกล่ะ กว่าจะซ้อมบอลกับคนในสีให้ได้ฟอร์มทีมนี่แม่งโคตรลำบาก แถมโค้ชแกก็เริ่มเล่นไม้แข็งกับพวกเราจนอ่วมไปทั้งเนื้อตัว เฮ้อ.. ต้องขอขอบคุณคนทำปฏิทินมาก ๆ เลยนะครับที่บังเอิญทำให้วันนี้เป็นวันหยุด ผมจะได้พักผ่อนอยู่บ้าน (วันนี้ไม่มีซ้อมบอลด้วย อิอิ)



     แต่ก็ใช่ว่าอยู่บ้านจะได้นอนกระดิกตีนอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรสักหน่อย อันดับแรกในการใช้ชีวิตอยู่บ้านของผมก็คือทำอาหารให้กับเจ้าน้องชายนั่นแหละ (ป๊ากับม๊าพึ่งกลับหัวหินเมื่อวันเสาร์) ผมเดินเกาหัวแกก ๆ เข้าไปยังครัวเพื่อหาดูว่าในตู้เย็นยังคงเหลืออะไรบ้างสำหรับมื้อเช้า แต่พบว่า..



     เชี่ยยยยยยย



     เหลือแต่ไข่ !!



     ผมอ้าปากค้างให้กับไข่ไก่ที่วางเรียงกันเป็นระเบียบตรงบานประตูตู้เย็น ส่วนชั้นวางอื่น ๆ ก็เป็นพื้นที่โล่ง ๆ ห่า !! แล้วกูลืมซื้อของเข้าบ้านได้ไงล่ะเนี่ย !? โว้ะ ! แทนที่กูจะได้นอนอยู่บ้านสบายใจเฉิบสงสัยวันนี้ได้ออกไปตลาดแหง ฮือออออ แสดงว่าเช้านี้ก็คงไม่พ้น ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ตุ๋นไปก่อนสินะ



     ในขณะที่ผมปั้นสีหน้าเบื่อโลกหยิบบรรดาพรรคพวกไข่ไก่ออกมาจากตู้เย็นเพื่อจะเตรียมมื้อเช้า ก็ดันมีเสียงของใครไม่รู้พูดขึ้นมาใกล้ ๆ



     " มีอะไรให้ผมช่วยเปล่าครับเชฟ ? " เฮ้ย !! มึงเข้ามาได้ไงวะ !? ผมทำหน้าเหวอมองคนที่ใส่ชุดเสื้อยืดขาว กางเกงยีนขาสั้น ยืนเท้าอยู่ขอบประตูครัว



     " ไอเชี่ยเฟิร์ส ! เข้ามาได้ไงเนี่ย !? " ยังจะมีหน้ามายิ้มอีก นี่กูโทรหนึ่งเก้าหนึ่งดีมะ ?



     " ก็เดินเข้ามาดิ " ไอสัด !! กูไม่ได้หมายถึงแบบนั้น



     " กูหมายถึงว่าเข้ามาในบ้านกูได้ยังไง ? " ผมถอนหายใจยาวก่อนจะหันกลับมาวางฟองไข่ที่ในมือถืออยู่หลายใบ หรือกูจะปาใส่หน้ามันดี ?



     " ก็เห็นน้องมินเขารดน้ำต้นไม้อยู่ กูก็เลยขอน้องเข้ามา " เป็นปกติอยู่แล้วครับที่มินจะตื่นเช้ามารดน้ำต้นไม้เป็นงานอดิเรก ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นเนอะ แต่มินมันใช่ประเด็นซะที่ไหนล่ะ



     " เหรอ...นี่ถ้าน้องกูไม่ยืนอยู่ตรงนั้นก็โดดเข้ามาแล้วสิ แจ้งตำรวจจับเลยดีปะ ? " ผมว่าจะทำไข่ดาวแล้วเสือกไปตอกรวมกันทำไมวะ ? โอ๊ยกูมึนล่ะ ทำไข่เจียวก็ได้ !!



     " โจรอะไรหล่อขนาดนี้ " เฟิร์สยื่นหน้ามาจากด้านหลังพร้อมกับแอคท่าที่คิดว่าเข้ากับคำพูดของมันมากที่สุด



     " ถุ้ย !! อ้วกจะแตก " แว่วเสียงมันหัวเราะหึหึชอบใจ " กินไรมายัง ? บ้านกูมีแค่ไข่เจียวนะ "



     " อืมม ยังอะ นี่ตื่นปุ๊บก็นั่งรถมาบ้านมึงเลย กูไม่มีที่ไปอะเห็นว่ามันหยุด " โหไอสารเลว บ้านกูไม่ใช่ศูนย์พักพิงนะโว้ย



     " เออ แดกไข่เจียวไปก่อนละกัน เดี๋ยวเที่ยง ๆ กูไปตลาด ของในตู้เย็นหมดเกลี้ยง " ผมบ่นอุบอิบพลางนำไข่ที่ตีกับซอสปรุงรสไปวางไว้หน้าเตาแก๊ส ก่อนจะเดินไปหยิบกระทะเทฟล่อนมาตั้งไฟ



     " ไป !! ด้วย !! " เออ ไม่ต้องบอกกูก็รู้ว่ามึงจะตามไป ผมพยักหน้าให้มันเนือย ๆ ก่อนจะเทน้ำมันใส่



     " อ่าห้ะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จกูไปอาบน้ำก่อนละกัน "



     " เดี๋ยวกูไปช่วยอาบ "



     " ไม่ต้องเสือก !!! " กูอาบเองได้ แขนกูไม่ได้ขาด



     " ไปช่วยถือไง " ถือ !? ถืออะไร !!?



     " ถือ ? " ผมหันไปขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจในคำพูดของไอคนที่กลั้วขำอยู่



     " ก็ถือ...หึหึ "



     แล้วไอหน้าที่มองเป้ากางเกงบ๊อกเซอร์กูแบบนั้นมันหมายความว่าเชี่ยอารายยย !!!!



####



     ในที่สุดผมกับเฟิร์สก็มาถึงตลาดสดแถว ๆ ย่านเอกมัยแถวบ้านแล้ว กว่าจะแต่งตัวออกมาจากบ้านได้มันไม่ได้มีแค่ทำข้าวเช้าน่ะสิ ลืมไปซะสนิทเลยว่าต้องสักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน สารพัดสารเพ นับได้ว่าเหนื่อยจากซ้อมบอลเมื่อวานแล้วต้องมาเหนื่อยกับงานบ้านอีก เฮ้อ.. ยังดีครับที่มีโจรหน้าหล่อที่ลักลอบเข้าบ้านให้กำลังใจถึงแม้มันจะออกปากช่วยเหลือด้วยก็เหอะ ผมจะให้เฟิร์สมาทำงานบ้านตัวเองได้ไงล่ะ ใช่เรื่องซะที่ไหน



     ตอนนี้ผมควักเศษกระดาษในกระเป๋ากางเกงที่ก่อนออกจากบ้านได้ลิสต์รายชื่อวัตถุดิบที่ต้องซื้อในวันนี้ สงสัยจะต้องอยู่ตลาดยาว ๆ แล้วแหละครับเพราะไม่ได้มีแค่ของเข้าบ้านเท่านั้นที่ผมต้องซื้อ รวมไปถึงวัตถุดิบสำหรับทำเค้กที่จะเตรียมไปเซอร์ไพรส์นัทตี้ด้วย นับว่าคิดถูกมาก ๆ ครับที่วันนี้ออกมาตลาดจะได้ซื้อที่เดียวเลย



     ผมดูรายชื่อข้าวของในมืออีกครั้งก่อนจะเหล่ไปถามคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้เหงื่อเริ่มไหลเป็นเม็ดเล็ก " แน่ใจนะจะมาช่วยถือน่ะ ? ของเยอะนะ "



     " จะปล่อยให้คุณเมียมาจ่ายตลาดคนเดียวได้ไง ผัวไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นนะ " ยังไม่ชินกันอีกเหรอครับที่ไอห่านี่อยู่ ๆ ก็พูดผัว ๆ เมีย ๆ แบบนี้ หึ มันกล้าเฉพาะต่อหน้าผมนั่นแหละ ต่อหน้าเพื่อนพูดแบบนี้ซะที่ไหน



     " ปากดี งั้นก็ตามมา "



     โซนแรกที่พวกเราต้องไปเลือกซื้อกันก่อนคือผักสดครับ ก็ไหน ๆ เดินเข้ามาในตลาดเจอโซนผักก่อนก็ซื้อเลยแล้วกัน ผมเดินมาหยุดหน้าร้านป้าแต๋วแล้วก็ทักทายเขาอย่างที่เคยทำ



     " หวัดดีครับป้าแต๋ว " ผมทักทายหญิงอายุค่อนสี่สิบด้วยรอยยิ้มไมตรี ผมรู้จักป้าแกตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ ม๊าชอบมาแวะซื้อผักร้านนี้อยู่บ่อย ๆ นี่ก็หลายปีเข้าไปละ ตอนนี้โคตรสนิทกันเลย



     " อ้าวน้องมิ้ลค์ ! เอาไรดีล่ะลูก ? ป้าช่วยนะ " ผมยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่มีรายชื่อของมากมายแก่แกพลางมองหน้าคนที่อ่านสิ่งที่ให้ไป



     " เขียนตัวเล็กจัง ป้ามองไม่ค่อยเห็นเลย " แล้วป้าแกก็หยิบแว่นมาใส่ " เอาแค่นี้เหรอลูก ? "



     " ครับ " ป้าแต๋วมองหน้าผมอีกรอบก่อนจะเหล่ไปหาคนที่มาด้วยกัน



     " แล้วนั่นใครน่ะ ? ไม่ได้มากับแม่เหรอจ๊ะ ? " ป้าแกพูดพลางหยิบผักกาดขาวที่ผมเขียนไว้ในกระดาษขึ้นมาชั่ง



     " อ๋อ นี่เพื่อนผมครับ " แล้วคนที่ยืนหน้างงงวยกับสถานการณ์นี้ก็ฉีกยิ้มมาให้ป้าแกแห้ง ๆ



     " เหรอ หล่อทั้งคู่เลยนะ อีกคนก็หล่อแบบหวาน ๆ อีกคนก็หล่อแบบเข้ม ๆ " ผมส่งยิ้มขอบคุณในคำพูดของป้าแต๋วที่ชมเราทั้งคู่ ถึงผมจะหน้าหวานแต่ก็มั่นใจว่าหล่อกว่ามันแน่นอน หึหึ



     " เป็นแฟนกันสินะ คบกันมานานยังล่ะ ? "



     " .......... " เราสองคนต่างหันหน้ามามองกันอย่างขอความเห็น ดูท่าเฟิร์สจะไม่ตระหนกกับคำพูดลอย ๆ ที่ชอบมากระทบผมกับมันแบบมั่วซั่วเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ผมคงต้องทำอะไรสักอย่างกับคำถามนี้ก่อนที่เขาจะคิดเองเออเองเหมือนม๊าผม



     " เอ่อ...ผมไม่ได้คบ.. "



     " เสร็จแล้วจ่ะ " ป้าแกตัดบทสนทนาด้วยการยื่นถุงพลาสติกที่มีผักหลายชนิดอยู่ โดยไม่ให้โอกาสผมแก้ตัวสิ่งที่แม่ค้าคนนี้ปามาใส่ พลางรับเงินทอนที่เมื่อคู่นั้นได้ให้ไปอย่างจำนน ป้าแต๋วยิ้มกริ่มส่งท้ายด้วยความรู้สึกห่าอะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ผมเนี่ยรู้สึกอยากจะพังแผงของป้าแกตงิด เฮ้อ ! ทำไมผมยังไม่ชินอีกก็ไม่รู้ !!



     แล้วผมก็พาเฟิร์สทัวร์ที่นี่จนเราได้ของมากมายมาอยู่ในมือ เราแวะหาอะไรเย็น ๆ กินกันก่อนเพราะการที่มาตลาดตอนกลางวันแสก ๆ เนี่ยแม่งร้อนจนไตแทบสุก โอ๊ยยยยย ตอนนี้เหลือเพียงแค่ธุระของผมที่ต้องไปร้านเบเกอรี่ตรงหัวมุมโน้นอย่างเดียว



     เมื่อเข้ามายังในร้าน สัมผัสของแอร์เย็นๆ ก็เข้ามากระแทกกับผิวพวกเราอย่างจัง ทำให้ความร้อนระอุที่มีอยู่ในตัวลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด



     ผมหยิบเศษกระดาษที่บางรายชื่อถูกขีดทิ้งเพราะซื้อมาแล้วขึ้นมาดู พลางหาสิ่งที่ต้องซื้อจากร้านนี้ว่ามีอะไรบ้างก่อนจะเดินไปหา



     " ทำเค้กเป็นด้วยเหรอ ? " เฟิร์สที่ยืนดูของอยู่ข้าง ๆ ถามขณะผมเลือกชนิดของแป้ง



     " ไม่เคยหรอก จะทำไปเซอร์ไพรส์วันครบรอบกับนัทตี้น่ะ " ผมหันไปบอกเจ้าของคำถามยิ้ม ๆ แต่ใบหน้านั่นหมองลงถนัด " เฮ้ย อย่าน้อยใจดิ เดี๋ยวทำให้กินด้วย " ผมไม่รู้ที่เฟิร์สทำหน้าแบบนั้นหมายถึงอะไร



     " บ้า...กูไม่ได้น้อยใจสักหน่อย " แล้วมันก็ดึงกระดาษในมือผมไป " มา กูช่วยเลือกนะ "



     ผมขมวดคิ้วมองตามหลังมันที่เดินไปเลือกอย่างอื่นด้วยความไม่เข้าใจว่าในหัวของเฟิร์สคิดอะไรอยู่ จนเราทั้งคู่เลือกของในร้านกันเสร็จสิ้น



####



     ผมที่รับเงินทอนจากพี่แท็กซี่มาแล้วเปิดประตูออกไปพลางหิ้วข้าวของที่พะรุงพะรังพร้อมกับคนที่อาสาไปช่วยถือ โอ้มายก๊อดดด ทำไมช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่เย็นจนน่าจะมีหิมะเสือกมีแดดร้อนเปรี้ยง ๆ ได้ขนาดนี้กันวะ ? คุณพี่โชเฟอร์นี่ก็อีกคน ชวนคุยเรื่องการเมืองอยู่นั่นแหละ ผมไม่รู้เรื่องด้วยหรอกนะคร้าบ แถมบอกให้เพิ่มแอร์แล้วนะ ยังนิ่งไม่ยอมเพิ่มให้อีก จะเป็นหมูอบกับไอเฟิร์สกันสองคนอยู่แล้ว..



     ผมควานหากุญแจบ้านในกระเป๋ากางเกงทั้ง ๆ ที่มือยังวุ่นอยู่กับถุงหลายใบแต่ก็ไม่เจอว่ะ ไอห่า !! แล้วกูเอาไปไว้ไหนวะคนยิ่งร้อน ๆ อยู่จะเข้าไปตากแอร์ ! แต่เอ๊ะ !? นั่นรถใครหว่า ผมจ้อง crv คันสวยที่จอดอยู่ในรั่วบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต พลางเหล่กรประตูแล้วพินิจเอาเองว่าคงไม่ได้ล็อกและเป็นไปตามนั้น ก่อนจะเปิดประตูเดินเข้าไป



     ถึงได้รู้ไงครับว่าเจ้าของรถคันนี้คือใคร เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กนอนอยู่ในรถเข็นข้าง ๆ โซฟา



     และความชิบหายมาเยือนเราแน่ ๆ ถ้าน้าแกเห็น..



     " อ้าวมิ้ลค์ !!! มาแล้วเหรอ..~ " มาแล้วววว น้าอิ๋วจอมอวยให้ผู้ชายได้กันเองในตำนาน !! ผมมีทัศนคติไม่ค่อยดีเกี่ยวกับน้าแกเรื่องที่ชอบจับคนอื่นมาทำผัวให้ผมมั่วซั่ว (เหมือนกับม๊าเป๊ะ ตอนนั้นน้าเห็นไอซันครับ เลยจับมันทำผัวให้ทันที) โอ๊วววไม่นะ สถานการณ์ตอนนี้ชั่งล่อแหลมเหลือเกินถ้าเจอกับ..



     " หวะ..หวัดดีครับ " เฟิร์สก้มหัวทักทายผู้มีศักดิ์เป็นถึงน้าของผมอย่างนอบน้อมทั้ง ๆ ที่มือยังถือของมากมาย ผมรู้ในทันทีเลยล่ะว่าไอรอยยิ้มที่ฉีกออกอย่างประหลาดของน้าอิ๋วกำลังหมายถึงอะไร..



     และผมก็อ่านใบหน้านั่นออกทั้งหมด " แฟนแกหล่อจังว่ะมิ้ลค์ โฮะ ๆ ไปหาจากไหนมาล่ะ ? "



     " มาทำไมไม่บอกก่อนอะน้าอิ๋ว " ผมปั้นหน้าปลงสนิทปัดบทสนทนากับน้องสาวของแม่ที่ตอนนี้ยังยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่หาย



     " ก็ชั้นโทรบอกแม่แกว่าจะมานี่แหละ ก็เลยซื้อข้าวของมาฝากตั้งเยอะ อยู่ในครัวน่ะ " อ้าวว แล้วนี่มิ้ลค์ก็ซื้อมาเยอะตั้งเยอะแยะ ไม่มีที่แช่ซะแล้วมั้ง



     " ว่าแต่.. " แล้วน้าแกก็เหล่ไปทางไอเฟิร์ส " คนนี้คบกันนานยัง ? " สรุปจะกัดไอเฟิร์สไม่ปล่อยเลยใช่มั้ย !?



     " มิ้ลค์ไม่ได้คบ.. "



     " อุแว้ !!!!! " แล้วเบบี๋ที่นอนอยู่ในรถเข็นก็ดึงความสนใจข้อแก้ตัวของผมไปจากน้าอิ๋วเสียก่อน โว้ยยยยยย สัด ! วันนี้กูต้องเป็นเมียไอห่านี่แบบไม่มีข้อกังขาใช่มั้ย !?



     ผมกรอกตาขึ้นเพดานด้วยความเซ็งตงิดทันที ก่อนจะเรียกให้ไอคนที่ยืนมึนกับสถานการณ์ตรงหน้าให้เอาข้าวของที่ซื้อมาไปเก็บในครัว พอเดินเข้ามาได้ไม่เท่าไหร่ก็พบว่ามีถุงอาหารอีกหลายใบถูกวางไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โอ้โห แล้วจะทำไงกับของที่ซื้อมาล่ะเนี่ย..



     เพียงชั่วครู่ที่ไม่รู้จะทำยังไงกับถุงยังชีพตรงหน้า คนที่เดินไปปลอบลูกตัวเองตากี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าเด็กน้อย " นี่ชั้นก็พึ่งมาถึงยังไม่ได้จัดของเลย แกเอาของที่พึ่งซื้อมาวางไว้ละกัน เดี๋ยวชั้นจัดการให้ " ผมอือ ๆ ออ ๆ พยักหน้ารับคำสั่งก่อนที่ทางนั้นจะมอบหน้าที่แม่จำเป็นมาให้ " อุ้มแทนด้วย นมมันอยู่ตรงโน้น "



     งั้นขอแนะนำเจ้าเด็กคนนี้เลยละกันครับ นี่คือลูกชายของน้าอิ๋วนั่นเองชื่ออั่งเปา น้าแกพึ่งไปคลอดมาเมื่อไม่กี่เดือนนี้ ร่างกายน้องดูแข็งแรงดี แต่นึกอยากจะแก้แค้นเจ้าเด็กนี่เหลือเกินที่แย่งซีนตากี้ไป หึ้ยยย



     ผมอุ้มอั่งเปามาที่โซฟาพลางบอกให้เฟิร์สหยิบขวดนมที่น้าอิ๋วแกชงไว้แล้วมาด้วยจากตะกร้าส่วนตัวของเจ้าเด็กนี่



     " ทำใจไว้เลยนะ มาเจอน้ากูตอนนี้อะ " ผมรับขวดนมที่เฟิร์สเปิดฟาให้ส่งเข้าปากเจ้าตัวแสบที่ตอนนี้มองผมตาเป็นวาว



     " น้าแกดูอารมณ์ดีหนิ ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร มึงคิดมากเปล่า ? " เนี่ยอะนะไม่มีภัย ? กูให้มึงคิดใหม่ไอเฟิร์ส



     " เขาจะจับมึงทำผัวให้กูอยู่แล้วเนี่ย " เฟิร์สหัวเราะหึหึอย่างคนไม่คิดมากก่อนที่หยิบกระดิ่งของเล่นที่น่าจะเป็นของอั่งเปามาสั่นให้เกิดเสียงกุ๊งกิ๊ง



     " มึงนี่ก็ทำได้ทุกอย่างเลยเนอะ ทำงานบ้านได้อย่างเดียวไม่พอ เลี้ยงเด็กได้อีกต่างหาก ดูดิไม่ร้องสักแอะ " แน่นอนว่ะ ใครได้เป็นแฟนกับกูนะโชคดีชิบหายพูดเลย หึหึ แล้วเอ็งจะตีหน้าอกพี่ทำไมล่ะอั่งเปา ? ซนจริง ๆ ตัวแค่นี้หัดใช้กำลังนะ



     " อืมม เราสองคนก็เหมือนพ่อกับแม่เลยเนอะ ส่วนที่มึงอุ้มอยู่ก็เป็นลูก " ผมขมวดคิ้วมองคนที่พูดเหมือนไม่คิดข้าง ๆ แล้วนี่มาอารมณ์ไหนอีกล่ะเนี่ยให้กูเป็นแม่แล้วมึงเป็นพ่อ



     " เดี๋ยวน้าอิ๋วก็จับมึงทำผัวให้กูจริง ๆ หรอก " เฟิร์สที่ได้ยินเข้าก็ยักไหล่ไม่สนใจก่อนจะสั่นกระดิ่งเล่นกับเจ้าอั่งเปาอีกครั้งราวกับเป็นพ่อที่แสนดี



     งั้นแม่อย่างผมก็อย่าไปน้อยหน้าคุณพ่อเขาเลยดีกว่าเนอะ :)



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:15:41
Not to be unlocked : Episode 23 : สิทธิ์ที่จะเลือก



     ในช่วงพักกลางวันอันแสนจะวุ่นวาย ผมนั่งฟังไอพวกแร็ปเปอร์ปัญญาอ่อนในห้องบ่นห่าอะไรกันก็ไม่รู้ ตากี้พึ่งไปกินข้าวที่โรงอาหารกันมาครับถึงได้หนีมากบดานตากแอร์อยู่บนห้อง เฮ้อ.. พูดถึงข้าวกลางวันแล้วก็เซ็งจริง ๆ วันนี้ป้าน้อยแกดันไม่ขายซะงั้น ทำให้ผมต้องจำใจไปซื้อข้าวราดแกงร้านลุงหมายแทน แต่ลุงเขาก็ไม่ได้ขายข้าวกะโหลกกะลานะครับ รสมือลุงก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว แต่ก็อย่างว่าล่ะมันไม่ใช่สไตล์ผมอะ ของผมมันต้องก๋วยเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยว !!



     ตอนนี้เหลือเวลาอีกราว ๆ สิบกว่านาทีครับก่อนคลาสคาบบ่ายจะเริ่ม ผมเหล่ตาดูเพื่อนสนิทโต๊ะข้าง ๆ ที่นำเอกสารอะไรก็ไม่รู้ออกจากกระเป๋า



     " เดี๋ยวกูจดงานมึงให้ละกันนะ " อาร์มมันต้องไปประชุมด่วนในคาบที่จะเริ่มเรียนเร็ว ๆ นี้น่ะครับ เรื่องขอคาบทางมันทำไว้แล้วเรียบร้อยแล้ว



     " เออ ขอบใจมากเพื่อน เดี๋ยวกูมาคาบภาษาไทย " คุณประธานว่าพลางตบบ่าผมเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะทิ้งสัมภาระไว้โดยไม่ได้ถือไป ผมมองตามหลังส่งมันที่เดินออกไปนอกห้องก่อนจะหันมาถอนหายใจปลง ๆ ให้กับไอพวกห่าละแวกนี้ที่แม่งยังคงแหกปากโวยวายอยู่ เป็นห่าอะไรชอบคุยกันเสียงดังจริง ๆ



     แล้วเพื่อนสนิทของผมที่เดินออกไปตากี้ก็ตะโกนเข้ามาในห้องซะลั่นตึก เรียกให้เราทั้งหมดหันไปสนใจ



     " ไอมิ้ลค์ !! ผัวมึงมา !!!!! " เป็นบุคคลที่ช่วงนี้ผมเรียกได้ว่าเป็นสามีในความคิดของใครหลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้ เฟิร์สเดินตรงดิ่งมาหาผมอย่างเห็นได้ชัดก่อนล้มลงนั่งข้าง ๆ



     " มีไร ? " ผมเลิกคิ้วมองมันอย่างเดาอารมณ์ไม่ออก แมร่งนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป สงสัยจะเป็นผี



     " ก็...ไม่มีหนิ อยากมาหาเฉย ๆ " สิ้นคำเฟิร์สวงมโหรีรอบด้านก็แหกปากกันให้ว่อน



     " ฮิ้ววววว อยากมาหาด้วยว่ะ เพื่อนกูมันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอวะเฟิร์ส ? " ผมที่นั่งมือเท้าคางอยู่มองไอเบ็นซ์ที่กำลังเห่าถาม ทีงี้หันมาเสือกกันแทบไม่ทันเลยนะ ไอพวกห่า !



     " ที่ห้องไม่มีอะไรทำน่ะ ก็เลยแวะมาหา "



     " ฮิ้วววววว " เอาอีกละไอพวกเชี่ย เดี๋ยวกูจะจ้างพวกมึงไปข่วยกันแห่ขันหมากในงานแต่งกู อวยกันดีเหลือเกิ้นนน



     " แวะมาหาใครวะ ? ไอมิ้ลค์แค่คนเดียว ? " เป็นปิงปองครับที่เอ่ยปากถามบ้าง แล้วท่าทียิ้มเขิน ๆ ของมึงนี่ก็คือมันเดาถูกสินะ สาดดดดดดด



     แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรมากกว่านี้ ร่างของหญิงผู้มีอิทธิพลกับการสอนคาบที่จะเริ่มขึ้นก็เดินเข้ามา ไม่ต้องรอให้ปากใครสั่ง นักเรียนห้องนี้ก็รีบกระจัดกระจายไปนั่งที่กันอย่างเป็นระเบียบ



     " นักเรียน...เคารพ "



     " สวัสดีครับ " สิ้นคำกล่าวทักทาย ผมก็เหล่ตาไปมองนาฬิกาที่ถูกติดไว้ตรงผนังห้อง เหลืออีกตั้งห้านาทีนี่หว่า ทำไมอาจารย์เข้าไวจัง ?



     " เรียนอังกฤษเหรอ ? " ใช่เฟิร์ส คาบนี้กูเรียนอังกฤษ



     เฮ้ย !! นี่มึงยังนั่งหน้าสลอนอยู่อีกเรอะ !?



     " แล้วไม่กลับห้องไปเรียนหรือไง !!? " ผมกระซิบถามเฟิร์สอย่างเบา ๆ แต่จริงจัง เพราะกลัวอาจารย์อมรินทร์จะได้ยินเข้า จารย์แกก็เป็นอะไรไม่รู้ คุยกันนิดเดียวก็หักคะแนนแล้ว



     " อ๋อ คาบนี้กูไม่มีเรียนน่ะ อาจารย์ลาป่วย เดี๋ยวคาบนี้นั่งเรียนด้วยแล้วกัน ฝากตัวด้วยนะ " ตากี้มึงก็บอกว่าไม่มีอะไรทำ แล้วมึงเสือกมาบอกอีกว่าคาบนี้ไม่มีเรียน นี่มึงตอแหลปะเนี่ย ? แต่เอาเถอะ ให้เฟิร์สเขาเป็นร่างจำแลงของคุณประธานไปก่อนละกัน อาจารย์คงจำหน้ามันไม่ได้หรอก



     และแล้วก็ถึงเวลาเข้าสู่บทเรียนของอาจารย์ คาบนี้เราเรียนกันเรื่องคำเชื่อมครับ เป็นการเรียนที่ดูจะชิลล์ ๆ นะ แต่อาจารย์เขาลงเนื้อหาค่อนข้างลึกเลยทีเดียว ถ้าสติหลุดเมื่อไหร่มีหวังไม่ได้ห่าอะไรเข้าหัวเป็นแน่ แต่ก็ยังดีครับที่ทุกคาบสอนอาจารย์เขาจะแจกคะแนนให้กับนักเรียนโดยการตอบคำถามในสิ่งที่เรียนไป ส่วนคำถามแต่ละอย่างเนี่ยแม่งยากชิบหาย แต่ถ้าตอบได้ก็คือมหาเทพเลยล่ะ



     " Who can answer this question ? " ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มร่ายสำเนียงที่ไปใช้ชีวิตอยู่อเมริกามาหลายปี ผมขมวดคิ้วดูโจทย์ที่เขาบรรจงเขียนบนกระดานไวท์บอร์ดพลางวิเคราะห์เผื่อจะฟลุ๊คตอบได้ แต่เขาก็ยังคงคอนเซ็ปต์ความแอ๊ดวานซ์ไว้ว่ะ ยังไงข้อนี้ระดับผมก็ยังยากอยู่ดี



     แต่ผิดกับคนที่นั่งเรียนอยู่ข้าง ๆ



     เฟิร์สยกมือด้วยความมั่นใจเหนือหัวก่อนจะลุกขึ้นให้เพื่อนในห้องได้ทอดสายตามอง ทุกคนดูจะเหวอไปหน่อยเพราะคนที่จะตอบคำถามน่ะมันไม่ได้เรียนอยู่ห้องนี้ ถ้าได้คะแนนขึ้นมามันคงไม่บอกอาจารย์หรอกนะว่าอยู่ห้องสี่



     " The teacher speaks so clearly that we understand everything " แล้วมันก็สวดคำตอบด้วยแอ็คเซ่นท์ที่โคตรจะโอเวอร์ หลาย ๆ คนที่ได้ยินก็ทำหน้าอึ้งปนหมั่นไส้มันครับที่ตอบได้ ส่วนคนที่ดูจะโคตรชอบใจเป็นพิเศษยืนอยู่หน้าห้องโน่น ก็เข้าใจประจบประแจงอาจารย์นะไอหัวหมอ !



     " Very good !! " พูดปากเปล่าไม่พอ ยังยกนิ้วขึ้นมาชูอีก ถึงจะแอบหมั่นไส้มันที่ตอบได้ แต่ก็ต้องยกมือขึ้นมาปรบที่โชว์เหนือให้ประจักษ์แกสายตาชาวห้องสิบเอ็ด นี่มึงเรียนห้องวิทย์-คณิตจริง ๆ เหรอ ?



     " นักเรียนเลขที่เท่าไหร่คะ ? " ถึงตรงนี้เฟิร์สอ้ำอึ้ง ๆ แทบจะทันทีเมื่ออาจารย์ถามถึงเลขที่ที่จะลงคะแนนพิศวาสให้ มันเหล่มามองหน้าผมแว็บนึงเท่าที่สังเกตก่อนจะหันไปตอบ



     " สามสิบสี่ครับ " เฮ้ย ! นั่นมันเลขที่กู !! ผมมองหน้าไอคนเก่งอย่างเหวอ ๆ ขณะมันนั่งลง พลันเห็นสายตาอาฆาตของเพื่อนคนอื่น ๆ ที่มองมา



     " กฤเดช เธอเยี่ยมมาก ขอเสียงปรบมือให้เพื่อนอีกรอบที่ตอบได้ด้วยค่ะ " แล้วคุณเพื่อนทั้งหลายก็กัดฟันปรบมือตามคำสั่งให้กับเจ้ามิ้ลค์ตัวปลอมกันอย่างขืนใจ



     ผมกระซิบถามมันทันที " รู้เลขที่กูได้ไง !? "



     " ไม่บอก " เอ้า !!! มึงไม่ต้องมาขำเลยนะ ! อย่ามากวนตีนกูดิ ยังไม่ทันจะเค้นคำตอบแม่งก็ถามผมตัดหน้า " แล้วกูเก่งมะ ? "



     " ไม่รู้ " ผมตอบพลางหันมามองหนังสือที่อาจารย์แกเริ่มสอนหัวข้อใหม่แล้ว



     " โห่...ชมกูหน่อยดิ " แล้วไม่ต้องมาเขย่าแขนอ้อนกูเลยนะ นั่งไง !! ขนาดคิดขำ ๆ ในใจแม่งก็ทำจริง ๆ



     " อะ ๆ เก่งก็เก่ง " ผมพูดปัด ๆ พลางเงยหน้าขึ้นไปจดคำศัพท์ที่อาจารย์เขียนเพิ่มบนกระดาน ก่อนที่เฟิร์สจะยื่นหน้ามากระซิบข้างหูแผ่ว ๆ



     " แข่งบอลเย็นนี้...เดี๋ยวกูไปเชียร์นะ "



     " เรียนได้แล้ว ! " ผมผลักหัวมันแก้เขินไปงั้นก่อนจะหันมาหลุดยิ้มกับตัวเองเงียบ ๆ



     มาเชียร์ให้ได้เลยนะเฟิร์ส กูจะทำให้ดีที่สุด :)



####



     ' ปี๊ด ปี๊ด ปี๊ดดดดดดดดด ' สิ้นเสียงนกหวีดเป่าหยุดเวลาการแข่งขันนัดรอบสี่ทีมสุดท้าย เสียงกระฮึมของความปีติชาวสีแดงก็ดังขึ้นโห่ร้องในทันที เย้ ! เท่านี้สีแดงของเราก็ได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับสีส้มแล้วครับ !! ผมวิ่งเหยาะ ๆ ไปรวมกับเพื่อนคนอื่น ๆ อย่างเหนื่อยชิบหาย เพราะตัวเองก็ทำผลงานไปดีพอสมควร (ก็ยิงเองไปตั้งสองลูก ฮ่า ๆ รวมกับคนในทีมก็สี่ประตูต่อหนึ่ง) พลางรับน้ำเย็นเจี๊ยบที่เฟิร์สยื่นมาให้



     " ไม่แบ่งคนอื่นเขายิงเลยรึไง ? " หน้าขาว ๆ พูดพลางกลั้วขำ โธ่...อยากจะชมก็บอกมาเถอะเฟิร์ส ปากแข็งจริง ๆ ฮ่า ๆ



     " เออ นี่ถ้าไม่หมดเวลาก่อนว่าจะเอาสักโหล แต่ก็ขอบใจมึงมากนะเว้ยที่มาเชียร์อะ " ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะครับว่ามันจะมาจริง ๆ ทั้งที่กว่าเฟิร์สจะเลิกเรียนก็แข่งเสร็จไปตั้งครึ่งแรกแล้ว (อ๋อ มันบอกในคาบอิ้งน่ะครับว่าเลิกเย็น ไม่ได้ไปเผือกมันเลยจริงจริ๊งง)



     " ก็สัญญาแล้วว่าจะมาหนิ " ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็กระดกน้ำแก้เขิน แล้วกูแดกน้ำอยู่ใครแม่งเอาแขนมาพาดคอกูวะสาด น้ำกระฉอกหมดแล้วเนี่ย ! ผมเหล่มองไอเชี่ยอาร์มที่ปั้นหน้าระรื่นอยู่ข้างคอก่อนทางนั้นจะพูดขึ้น



     " มึงนี่แม่งโคตรเก่ง แดกยาม้ามาปะวะ ? คนเชี่ยไรวิ่งไวชิบหาย " ไม่ได้แค่อาร์มเท่านั้นครับที่มาร่วมยินดี เพื่อน ๆ คนอื่นก็ด้วยเช่นกัน



     " เออจริง มึงเล่นขำ ๆ กับพวกกูยังไม่โหดขนาดนี้เลย " เป็นซันครับที่พูดเสริม ต้องขอบคุณความทุ่มเทในการซ้อมของกูอีกนั่นแหละที่ทำให้มาถึงจุดจุดนี้ได้ หึหึ



     " หรือจะเป็นเพราะไอเฟิร์สมาเชียร์วะเลยดีดขนาดนี้ " สิ้นเสียงปิงปองแม่งก็เฮรับกันให้วุ่น ไม่เกี่ยวปะละไอสาดดด พูดดีอย่างนี้ก็รับนิ้วกลางเป็นของขวัญไปเลยไอปอง !



     " ยินดีด้วยละกันมึง แมตช์หน้าเอาให้ได้ที่หนึ่งล่ะ ถ้าไม่ชนะไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้าอีก ! " คุณประธานว่าพลางชี้นิ้วมาที่หน้าผมอย่างเอาเรื่อง งั้นกูไม่ชนะดีกว่าเพราะกูไม่อยากเห็นเหมือนกัน ฮ่า ๆ



     " เออ ถ้ากูทำได้อะนะ " ผมยิ้มรับไอพวกห่านี่ที่กำลังคาดหวังจุดสูงสุด ก่อนคุณประธานจะนึกเรื่องที่ผมแอบคุยกับมันสองคนไว้



     " เอ้อ !! ห้าโมงแล้วนี่ เจ๊มึงหน้าจะมาแล้วนะมิ้ลค์ " เชี่ยจริงด้วย !! คือวันนี้ผมนัดกับนัทตี้ไว้น่ะครับว่าให้มาหาที่โรงเรียน เพราะจะเซอร์ไพรส์วันครบรอบของเรา



     " เออว่ะ !! งั้นกูรีบไปก่อนนะ ขอบใจพวกมึงมากนะที่มาเชียร์กู " ผมโบกมือลาเพื่อน ๆ ตรงนั้นอย่างเร่งรีบเพราะต้องไปเอาเค้กที่ฝากแช่ไว้ในห้องสภาฯ พวกนั้นเลิกคิ้วมองหน้าคุณประธานกันอย่างงง ๆ และเป็นอาร์มครับที่ส่งยิ้มเนือย ๆ มาให้



####



     ทันทีที่ได้ของสำหรับเซอร์ไพรส์มาอยู่ในมือ ผมก็วิ่งฝ่าฝูงชนออกมายังหน้าโรงเรียนแม้สภาพตอนนี้ยังคงสวมชุดแข่งขันอยู่ แล้วก็เป็นไปตามอาร์มพูดจริง ๆ เมื่อเห็นร่างสูงของหญิงสาวในชุดคอนแวนต์ยืนถือกระเป๋ารออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เธอยังไม่ทราบหรอกครับว่าผมนัดมาทำอะไร แต่เป็นเรื่องที่น่ายินดีแน่นอน !!



     " หวัดดีครับนัทตี้ " ผมที่วิ่งมาหาเหยาะ ๆ พูดทักทายให้เรือนหน้าสวยได้หันมา



     " อ้าวมิ้ลค์ ! หวัดดีค่ะ " ร่างเบื้องหน้าที่ได้ยินเข้าก็ฉีกยิ้มรับก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าข้างหลังผมถือถุงอะไร



     " แล้ว...นั่นอะไรคะ ? " นัทตี้ชะเง้อซ้ายทีขวาทีแต่ผมก็เบี่ยงตัวหลบตลอด สงสัยจะอยากรู้ว่าผมถืออะไรมา ฮ่า ๆ



     " ไม่บอกหรอก เดี๋ยวเข้าไปในโรงเรียนแล้วผมจะบอกนะ " คนที่คุยด้วยได้ยินคำนั้นก็ขมวดคิ้วแปลกใจในทันที ก็ยังไม่อยากให้รู้ก่อนนี่นาา



     " ค่ะ ๆ " แล้วทางนั้นก็พยักหน้าอือ ๆ ออ ๆ กลับมา เอาเป็นว่าผมรีบชวนเธอเข้าไปนั่งในโรงอาหารดีกว่า จะได้นั่งกินเค้กกันสองคนแล้วก็โม้ถึงเรื่องแข่งตากี้ด้วย หึหึ



     " งั้นเข้าไปข้างในกัน " ผมยกนิ้วโป้งขึ้นมาชี้เป็นเชิงจะให้เข้าไปยังด้านในโรงเรียนพลางหันหลังกลับไป อยู่ตรงนี้นานเดี๋ยวพวกเด็กโรงเรียนนี้จ้องจะแดกเอา หึหึ (ไม่ต้องห่วงครับ ข้างในโรงเรียนเซฟกว่าเห็น ๆ)



     แต่คงจะได้เข้าไปแล้วถ้าเสียงของแฟนสาวไม่เรียกให้หยุดฝีเท้าเสียก่อน



     " มิ้ลค์คะ " ผมเอี้ยวตัวมายิ้มรับน้ำเสียงเรียบ ๆ จากด้านหลังที่ขานชื่อไป " ตามมานี่หน่อยสิ นัทตี้มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ " ผมขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นมองตามแผ่นหลังของเธอที่เดินนำไปด้วยความเอ็ดใจว่าเกิดอะไรขึ้น แถมไม่รอฟังคำตอบใดจากผมอีก แต่ก็ตามไปอย่างโดยดี



     นัทตี้เขาจะคุยอะไรกับผมหว่า ?



     ผมเดินตามนัทตี้มายังซอยแห่งหนึ่งแถว ๆ โรงเรียน ที่นี่ไม่มีใครอยู่ มีเพียงผมและคนที่เกริ่นนำเมื่อครู่เท่านั้น ผมไม่รู้เธอพามาที่นี่ทำไม



     จนกระทั่งฝ่ายนั้นเป็นคนพูด



     " มิ้ลค์รู้หรือเปล่าคะว่านัทตี้พามาทำไมที่นี่ ? " ผมนิ่งเงียบพลางทวนความคิดตามเธอว่า แต่ก็ไม่พบคำตอบใดจึงส่ายหน้าให้กับเธอพรืด



     " ก็...ไม่รู้สิครับ " แต่ในหัวตอนนี้มีเพียงเรื่องยินดีที่จะมอบให้เธอเท่านั้น



     " เราเลิกกันเถอะมิ้ลค์ " เธอพูดออกมาอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าไตร่ตรองเรื่องนี้มาดีแล้ว ใบหน้าของเธอดูไม่วิตกกังวลกับคำพูดที่พ้นออกมาเลยแม้แต่น้อย



     " เลิก ? " นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคที่ต้องการความหมายจากคำพูดเธอเสียมากกว่า ผมไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าสักเท่าไหร่ เพราะเรื่องราวที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์ใดทำให้เราผิดใจถึงขนาดที่นัทตี้ต้องพูดแบบนี้ ผมขมวดคิ้วดูใบหน้าของนัทตี้อย่างต้องการขยายความก่อนที่ริมฝีปากบางนั่นจะพูดต่อ



     " ตอนนี้นัทตี้ยอมรับนะคะว่าคุยอยู่กับผู้ชายอีกคนนึงอยู่ เขาดีกับนัทตี้มาก ๆ " ในที่สุดเรื่องที่เคยคาใจกับผู้หญิงคนนี้ก็ถูกเปิดเผยด้วยปากของเธอเอง แม้สมองผมจะเคยสั่งให้ลืมไปแล้วก็ตาม ภาพที่นัทตี้เดินจูงมือกับผู้ชายคนนั้นแล่นเข้ามาในหัว เป็นเครื่องยืนยันอีกว่าคำพูดของผู้หญิงคนนี้ทั้งหมดเป็นความจริง



     " .......... " ผมนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด ในเมื่อนัทตี้มีผมที่สถานะเป็นถึงแฟน ทำไมถึงเลือกที่จะคุยกับคนอื่นอีก ? เส้นทางที่ผมเลือกเดินกับเธอมันไม่ควรมีใครมาร่วมด้วย



     " นัทตี้ทำกับมิ้ลค์แบบนี้ได้ยังไงอะ ? นัทตี้ไม่แคร์ความรู้สึกมิ้ลค์สักนิดเลยเหรอ ? " ความรู้สึกน้อยใจถูกกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดในวินาทีนั้น ร่างตรงหน้าได้ยินเข้าก็ถอนหายใจปลง ๆ ก่อนจะเล่ห์ยิ้มที่มุมปาก



     " นัทตี้ก็มีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีกว่าไม่ใช่เหรอคะ ? "



     " .......... " ถึงตรงผมจุกไปถึงคอหอย ผมเลือกที่จะเงียบอีกครั้งเพราะน้ำในตาเริ่มก่อตัวเป็นเม็ดใหญ่ สายตาที่เคยจับจ้องใบหน้าเนียนกลับวูบไหวในชั่วพริบตา



     " มิ้ลค์...มิ้ลค์ไม่ดีกับนัทตี้ยังไง ? ที่ผ่านมิ้ลค์ก็ทำดีให้นัทตี้ตลอด ทำไมนัทตี้ถึงเลือกเขา ? ทำไม...เขาดีกว่ามิ้ลค์ตรงไหนอะ " นัทตี้หยุดคำถามเหล่านั้นของผมที่อัดอั้นอยู่ในใจ ด้วยเรือนหน้าที่เข้ามากระชั้นชิดกับใบหู



     " เขาดีกว่ามิ้ลค์เยอะค่ะ "



     " .......... " ถึงจะเป็นคำพูดที่ส่งมาอย่างแผ่วเบา แต่กลับดังกึกก้องอยู่ในหัวผมอย่างยากที่จะหายไป เรื่องราวดี ๆ ที่ผมกระทำทุกอย่างเพื่อเธอ มันไม่เคยจะมีความหมายจริง ๆ น่ะเหรอ..



     เรี่ยวแรงของขาที่เคยรั้งให้ยืนอยู่เนิ่นนาน กลับกระแทกลงสู่พื้นอย่างง่ายดาย น้ำตาที่รวยรินลดใบหน้า ถูกฝ่ามือของเธอปาดออกอย่างไยดี



     " ไม่เอา ไม่ร้องสิคะ "



     " ผมขอ...ผมขอแก้ตัวได้มั้ยครับ ? " เสียงพูดปนสะอื้นและสายตาอ้อนวอนที่ใช้มองใบหน้าของเธอ มันพอจะมีโอกาสให้ความคิดเหล่านั้นแปรเปลี่ยนไปได้บ้างมั้ย สิ่งเดียวที่ผมประสงค์คือได้เธอคืนกลับมา เรือนหน้าของนัทตี้มองตอบผมด้วยรอยยิ้มแห่งความเอือมระอา



     " อย่าเลยดีกว่าค่ะ นัทตี้เลือกแล้ว ถึงมิ้ลค์จะยกชีวิตให้นัทตี้ ก็เทียบเขาที่มีทุกอย่างไม่ได้หรอก "



     " .......... "



     " งั้นนัทตี้ขอตัวก่อนนะคะ เขามารอรับตั้งแต่สี่โมงละ นี่ก็เลยมาตั้งชั่วโมงนึงแล้ว ไปก่อนนะคะ " แล้วเธอก็ปล่อยผมให้อยู่กับก้อนเค้กที่ไม่เคยคิด ไม่เคยฝัน ว่าจะเป็นของขวัญชิ้นสุดท้าย...ที่ไม่ได้ให้ในวันครบรอบ



     ในวันที่อ่อนแอ ผมเคยมีใครอยู่ข้าง ๆ



     แต่ตอนนี้..



     ผมเหลือใคร..



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:16:04
Not to be unlocked : Episode 24 : นิทานก่อนนอน



     สภาพกึ่งเมากึ่งสร่างภายใต้ห้องมืด ๆ ของผมในตอนนี้ เป็นเครื่องยืนยันอีกอย่างหนึ่งว่าตัวเองกำลังอยู่ในความรู้สึกแบบไหน..



     ทุกครั้งที่ผมทำอะไรหลาย ๆ อย่างให้กับนัทตี้ไป ผมไม่เคยย้อนกลับมาคิดว่าตัวเองจะเสียผลประโยชน์หรือไม่ สิ่งเดียวที่ประสงค์จากเธอก็คือความรัก ความรักที่เธอจะเลือกผมเพียงคนเดียว ตลอดเจ็ดเดือนเต็มที่คบหาดูใจกัน ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าเราสองคนไม่มีการทะเลาะกันถึงขนาดที่นัทตี้ต้องออกปากว่า ' เลิก ' ด้วยซ้ำ



     จนกระทั่งวันนี้..



     หลายครั้งที่ผมพยายามสะบัดหัวให้คำพูดเหล่านั้นหลุดออกไป แต่น้ำเสียงราบเรียบนั่นก็กลับมาวกวนในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า



     " ตอนนี้นัทตี้ยอมรับนะคะว่าคุยอยู่กับผู้ชายอีกคนนึงอยู่ เขาดีกับนัทตี้มาก ๆ "



     ยิ่งนึกถึงทีไรยิ่งมีความสุข รอยยิ้มของเธอที่ผมเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ชั่งน่าหลงใหลและน่าค้นหาจนอดที่จะอมยิ้มออกมาไม่ได้ ทั้งหมดมันเคยเป็นของผม แต่ตอนนี้มันไม่ใช่..



     " นัทตี้ก็มีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีกว่าไม่ใช่เหรอคะ ? "



     ในหัวผมตอนนี้ของผมมันเต็มไปด้วยคำถาม คำถามว่าทำไม...ทำไมตัวเองถึงทำสิ่งที่ดีกว่าไม่ได้เท่าผู้ชายคนนั้น ถ้าผมเป็นคนที่นัทตี้เลือก ผมคงไม่ต้องมานั่งจมปลักกับตัวเองอยู่แบบนี้ น้ำตาแห่งความสิ้นหวังหลั่งไหลออกมาอย่างพรั่งพรู ผมร้องไห้กับขวดเหล้าที่เหมือนจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายก่อนจะกระดกดื่มด้วยความเวทนา



     " เขาดีกว่ามิ้ลค์เยอะค่ะ "



     เพราะคำนี้ ๆ ที่อยู่ดี ๆ ก็ดังขึ้นมาในหัว ทำให้ผู้ชายที่ไม่เหลืออะไรแล้วในชีวิตอย่างผม ร้องโอดครวญออกมาด้วยน้ำตาอย่างไม่สนใจสิ่งใด



     สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นคำตอบ



     ผมไม่ใช่ตัวเลือกของนัทตี้



     ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดโทษเธอว่าไปมีผู้ชายคนอื่น



     แต่กลับโทษตัวเองที่ให้ความรักดี ๆ แก่เธอไม่ได้



     รอยจูบในวันนั้นไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าผมจะดูแลเธอให้ตลอดรอดฝั่งได้อีกต่อไป



     ในตอนเช้าผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาพที่เรียกว่าลำยองก็มิปาน เพราะตอนนี้เหลือเพียงบ๊อกเซอร์โง่ ๆ ที่ปกปิดร่างกายพร้อมกับขวดเหล้าที่กระดกเอา ๆ อย่างไม่ยั่งคิดจนหมดเกลี้ยง ผมค่อย ๆ ลุกจากปลอกหมอนที่ชุ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจจากคนที่ตัวเองรัก โดยหวังว่าผู้ชายคนนั้นจะดูแลนัทตี้และทำทุกสิ่งอย่างแทนคำว่ารักได้ดีกว่าผม แต่คงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้ผมต้องทรุดตัวลงไปนอนกองกับหมอนอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้ หึ ตัวเองตอนนี้แม่งน่าสมเพชชิบหาย ใครเอาผมเป็นแฟนแม่งไม่ต่างอะไรจากตกนรกแน่ ๆ สภาพอย่างมึงอะนะ ไม่ควรมีใครอยู่แล้วไอมิ้ลค์ !!



     ' ก๊อก ๆ '



     ในขณะที่นึกแค้นตัวเองอยู่นั้น เสียงเคาะประตูจากด้านนอกนำให้ผมหลุดจากความคิดพลางหันไปมอง



     " มินพี่ไม่ได้ล็อก เข้ามาเลย " ผมมองบานประตูที่ค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นบุพการีที่เข้ามาด้วยสีหน้าอึมครึม เวรของกรรม ป๊ามาทำอะไรวะ ? คนที่ผมคิดไปเองว่าเป็นน้องชายเดินเข้ามานั่งปลายเตียงโดยไม่พูดอะไร



     เป็นเวลานานเลยครับที่ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน ผมที่นอนอยู่นั้นก็ทบทวนกับตัวเองว่าไปทำสิ่งใดไว้หรือเปล่าจนป๊าแกต้องเข้ามาแบบนี้ ป๊าต้องเข้ามาคุยอะไรกับผมสักอย่างแน่ ๆ ผมใช้ความพยายามที่มีลุกขึ้นมานั่งพลาดหัวเตียงแม้จะปวดกบาลแบบโคตร ๆ ก็เหอะ



     " ป๊ามีไรจะคุยกับมิ้ลค์รึเปล่าครับ ? " ถ้าจะให้เดา แกคงจะมาจากหัวหินและมาเพื่อผมแน่นอน เสียงถอนหายใจของผู้เป็นพ่อถูกพ้นออกมาอย่างพรูใหญ่ราวกับต้องการระบายบางสิ่ง



     " เมื่อคืนแกเป็นอะไร ? " ป๊าพูดพลางหันมามองหน้าผมอย่างหาความจริง แม้จะเป็นเสียงเรียบ ๆ แต่ก็ทำผมกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่จะตอบ



     " มะ...ไม่ได้เป็นครับ " ผมตอบขณะเหล่ตาหลบไปทางอื่น ทั้ง ๆ ที่โกหก แต่หลักฐานที่ตัวเองดื่มเข้าไปอย่างไม่ยั่งคิดก็นอนอยู่กับพื้นใกล้ ๆ



     " เหรอ...งั้นที่มินได้ยินเสียงแกร้องไห้ก็ไม่ใช่ความจริงอะสิ ? " มินได้ยินผมร้องไห้ !? ผมอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ในทันทีเพราะความจริงบางอย่างถูกเปิดเผยเสียแล้ว



     " งั้นที่ป๊ารู้เรื่องนี้ก็.. "



     " อืม น้องแกโทรบอกชั้นเองแหละ พอชั้นรู้เรื่องนี้ก็รีบขับมาตั้งแต่หัวหิน " แล้วก็เป็นไปตามคาดจริง ๆ ป๊าพูดตัดบทผมซะไปไม่ถูกก่อนที่ทางนั้นจะถามขึ้นอีกรอบ



     " มีอะไรก็บอกมาเถอะมิ้ลค์ ชั้นกับแม่แกเลี้ยงแกมาให้ดูแลตัวเองได้ก็จริง แต่ก็ใช่ทุกปัญหาแกจะแก้ได้ทุกเรื่องนะ " อิริยาบถของผู้เป็นพ่อที่เคยนิ่งสงบ กลับจริงใจขึ้นมาทันตาเห็นรู้สึกได้



     " .......... " ผมเงียบเพราะไปต่อไม่ถูกจริง ๆ น้ำตาหนึ่งหยดเริ่มไหลลงสู่หน้าตัก



     ผมยกหลังมือขึ้นมาปาดออกหลังจากตัดสินใจได้แล้ว " ผม...เลิกกับแฟนแล้ว " น้ำเสียงสั่นคลอนเรียกให้คนที่ฟังอยู่เขยิบเข้ามาอย่างสนใจ



     " หนูนัทตี้ที่เคยเล่าให้ฟังน่ะเหรอ ? " ผมพยักหน้าตอบแทนคำพูด เพราะรู้สึกเรี่ยวแรงที่มีมันเริ่มหายไปอีกแล้ว



     " เฮ้อ...วัยรุ่นสมัยนี้ คบกันง่าย ๆ แปปเดียวเดี๋ยวก็เลิกกันแล้ว " ผมเงยหน้ามองป๊าที่บ่นกับตัวเองอุบอิบแต่ก็เลือกที่จะไม่แก้ตัวอะไร



     " .......... "



     ป๊าหันมาถามต่อ " ชั้นจะไม่ถามแกนะว่าเลิกกันได้ยังไง ชั้นเข้าใจความรู้สึกแกดี แต่ที่มาในวันนี้ชั้นมาเพราะเป็นห่วงแกรู้มั้ย ? " นี่ผมทำให้ทุกคนเป็นห่วง ? ผมผงะไปเล็กน้อยเพราะแทบจะไม่ได้สนใจสิ่งที่ป๊าพ้นออกมาเลย



     " ถ้ามินไม่โทรมาหา แกจะเป็นยังไงบ้างชั้นก็ไม่รู้ ม๊าแกก็กระวนกระวายกลัวว่าแกจะเป็นอะไร " ความเสียใจที่สูญเสียคนรักจากเมื่อคืน ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มประดา ผมยอมรับตอนนี้ว่าทำอะไรแทบไม่ถูก



     " อย่าเอาความรู้สึกไปผูกมัดกับใคร ถ้าวันนึงเราเสียเขาไป ความรู้สึกเหล่านั้นมันเอากลับมาไม่ได้ ที่ชั้นพูดแกเข้าใจใช่มั้ย ? " ผมพยักหน้าทั้งน้ำตาพลางคิดได้แล้วว่าสิ่งที่ควรจะทำตอนนี้และสำนึกคืออะไร



     " ผะ...ผมขอโทษ ฮึก ผมขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง " ฝ่ามือทั้งสองของผมพนมยกขึ้นกราบทั้งน้ำตา เพราะในหัวนั้นคิดแต่เรื่องของตัวเอง โดยไม่สนใจบุคคลข้างหลังที่คอยเป็นห่วงอยู่เสมอ ป๊าลุกจะปลายเตียงมานั่งลงใกล้ ๆ พลางแตะบ่าอย่างเบามือจนผมรู้สึกได้ว่าป๊าได้อภัยกับสิ่งที่ตนทำออกไปอย่างไม่ยั้งคิด แต่ยังไม่ทันที่ต่างฝ่ายจะพูดอะไร เสียงสะอื้นของอีกคนก็ดังขึ้นมาใกล้ ๆ



     " พี่มิ้ลค์ !! " แล้วมินในชุดนักเรียนก็วิ่งพรวดจากประตูเข้ามาโถมกอดผมด้วยน้ำตาที่เอ่อนองไม่หยุด เช่นเดียวกับผมที่กอดเจ้าน้องชายตัวดีกลับไปอย่างรู้สึกผิดไม่หาย



     " พี่ขอโทษนะมิน พี่ขอโทษ ! " มินผงกหัวรับในอ้อมกอดของผม พี่จะไม่ทำให้ป๊า ม๊า และน้องชายสุดที่รักอย่างเราต้องมาคอยเป็นห่วงอีกแล้ว



     " ผู้หญิงคนนั้นแกคงรักเขามากสินะ " ไม่มีคำพูดใดของผมที่ตอบกลับไป มีเพียงเสียงจากลำคอเท่านั้นที่ดังอย่างสั่นคลอน " ถ้าแกคบกับผู้หญิงไม่เวิร์ค ก็ไปคบผู้ชายตามที่ม๊าแกชอบสิ ป๊าไม่ว่าหรอก " แล้วคนที่เคยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังในตอนแรกก็ขำออกมาอย่างเบาอารมณ์



     " ป๊า !! " แม้น้ำตาจะไหลอยู่เต็มเบ้า แต่คำพูดติดตลกของผู้เป็นพ่อก็เรียกรอยยิ้มจากผมได้โดยไม่มีข้อกังขา เราสามคนเข้ามากอดกันอย่างอบอุ่นทั้งที่มีเสียงหัวเราะของป๊าและคราบน้ำตาของผู้เป็นลูกอย่างผม



     ขอบคุณนะครับป๊าที่เป็นคอยเป็นห่วงมิ้ลค์อยู่เสมอ ผมขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นทุกคนเป็นห่วงทั้ง ๆ ที่ไว้ใจว่าจะดูแลตัวเองได้



     ผมขอโทษจริง ๆ



####



     เสียงริงโทนประจำเครื่องไอโฟนดังขึ้นเรียกให้ผมตื่นจากภวังค์พลางควานหาอย่างไม่มีทิศทาง



     เมื่อเช้าผมขอป๊าลาหยุดน่ะครับ แบบว่าตอนนี้มันรับมาหลายความรู้สึกเกินน่ะ และการที่จะไปโรงเรียนด้วยสภาพแบบนี้ก็หาจะมีความสุขกับการเรียนไม่ เป็นว่าอาบน้ำจากเมื่อเช้าเสร็จก็ขอนอนพักต่อเลย (ป๊ากลับหัวหินไปแล้วน่ะครับ แต่แวะไปส่งเจ้ามินที่โรงเรียนก่อน)



     " ฮัลโหล " หลังจากคว้าไอโฟนบนหัวเตียงจนเจอ ผมก็กดรับสายทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่



     " ไงไอสัด !!!! ทำไมไม่มาโรงเรียน !!!!? ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยหยุด " มาถึงก็แหกปากทักทายกูซะดังลั่นเลยนะครับคุณอาร์ม ผมลืมตาขึ้นมาเหล่มองโทรศัพท์ของตัวเองอย่างเคือง ๆ



     " กูมีเรื่องนิดหน่อยว่ะ เลยไม่ได้ไป " ผมพูดพลางคิดหาข้ออ้าง แต่เหมือนปลายสายจะตกใจเข้ากับอะไรสักอย่าง



     " โห ! เสียงมึงโคตรแหบ เป็นไรวะ ? "



     " .......... "



     " มิ้ลค์ !! เป็นห่าไร !? " สงสัยผมชั่งใจอยู่นานว่าจะบอกเรื่องนี้กับอาร์มดีมั้ย มันเลยตะคอกซะเสียงดังลั่น แต่คงด้วยหางตาเห็นก้อนเค้กที่เมื่อวานหยิบกลับมาและนิ้วสัมผัสเข้ากับเคสโทรศัพท์ที่เขาคนนั้นซื้อให้จึงตัดสินใจพูด



     " กู...เลิกกับนัทตี้แล้ว " ยอมรับว่าที่พูดให้ปลายสายได้ยินนั้น แม่งโคตรเรียกความรู้สึกเจ็บที่ฝั่งอยู่ในอก จนต้องข่มตาลงเพื่อรินรับความรู้สึกนั้น



     " ฮะ...เฮ้ย มิ้ลค์กูขอโทษ กูไม่รู้ว่ามึง.. "



     " เออ ไม่เป็นไร กูโอเค " ผมรีบชิงตัดบทให้กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเพื่อนรัก เรื่องนี้อาร์มย้ำอยู่หลายครั้งแล้วด้วยซ้ำว่าให้คิดใหม่ แต่ผมก็ยังยืนยันว่าจะเลือกเดินในทางที่สักวันหนึ่งต้องสูญเสียนัทตี้ไป ก็ถูกแล้วหนิ ไม่มีใครผิดหรอกนอกจากตัวผมเอง



     " ให้กูไปหาเปล่า ? เดี๋ยวกูโดดคาบนี้เลย " เสียงคนที่ผมพูดด้วยรู้สึกผิดไปถนัด มึงไม่ต้องลงทุนขนาดนั้นก็ได้ไออาร์ม



     " ไม่ต้องหรอก ตอนนี้กูยังไหว แค่ก ๆ "



     " ไหวห่าอะไร ! ขนาดพูดยังไอเลยสัด ให้กูไปอยู่เป็นเพื่อนมึงมั้ยมิ้ลค์ ? คาบนี้กูก็อยากโดดด้วย " ผมเหล่ตามองไปยังนาฬิกาปลุกตรงหัวนอนแสดงเวลาบ่ายสามกว่า คาบนี้ถ้าผมไปโรงเรียนคงนั่งเกาหัวแกรก ๆ เรียนเศรษฐศาสตร์อยู่



     " ไม่ต้องมาเลยสัด เรียนเสร็จมึงต้องไปทำงานสภาต่อไม่ใช่รึไง ? " ผมพูดพลางเอ็ดมันไปอีกระลอกเพราะช่วงนี้งานมันก็ยุ่งเหมือนกัน อีกไม่กี่วันก็กีฬาสีแล้ว



     " เออ ๆ งั้นมีไรก็โทรหากูได้ตลอดนะ " ผมล่ะโชคดีจริง ๆ ที่มีเพื่อนอย่างอาร์มคอยเป็นห่วง ไม่น้อยไปกว่าครอบครัวตัวเองเลยถึงมันจะดูผิดมนุษย์มนาไปบ้างก็เถอะ



     " อืม ขอบใจมากนะเพื่อน แค่นี้นะ "



     " เดี๋ยวมิ้ลค์ ! " ในขณะที่ผมจะกดวางสายคุณอาร์ม เจ้าของเสียงที่เบรกผมจนต้องล็อกไอโฟนให้แนบชิดติดหูเหมือนอย่างเก่าก็ดังขึ้น



     " อะไรอีกอะ ? " ผมขมวดคิ้วรอทางนั้นตอบกลับมา รีบพูดแล้วก็รีบไปเรียนได้แล้วครับคุณประธาน



     " ตากี้ตอนเปลี่ยนคาบเรียน กูเห็นเฟิร์สมันรีบ ๆ อะ ทักแล้วก็ไม่คุยด้วย " เอ่อ...คือจะบอกกูแค่นี้อะนะ ?



     " จะบอกกูแค่นี้ ? "



     " เออ " คุณอาร์มครับ ไอเฟิร์สก็คงมีเรื่องต้องไปทำนั่นแหละ ก็อย่างว่า นี่ก็จะใกล้กีฬาสีแล้ว ใคร ๆ ก็ยุ่งกันทั้งนั้น



     " มันก็คงจะรีบไปทำงา.. " ในตอนที่ผมกำลังเดาว่าคนที่เพื่อนรักอย่างอาร์มเกริ่นถึงบุคคลหนึ่งในสายว่าต้องไปทำงานที่ไหนสักแห่ง เสียงบานประตูก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างปึ้งปั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมลุกขึ้นไปมอง



     " อาร์ม แค่นี้ก่อนนะ " ผมกดวางสายทั้ง ๆ ที่ดวงตาของเรายังคงสบกันอยู่ นัยน์ตาของทางนั้นฉายแววสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด



     " ไงเฟิร์ส "



     " มิ้ลค์ !!!!!! " ร่างโปร่งที่ยืนอยู่หน้าประตูพุ่งกระโจนเข้ามากอดผมด้วยแรงช้างสารจนแทบกลิ้งตกเตียง



     " ปะ...เป็นไร ? " ผมพูดพลางกลั้วขำกอดตอบร่างของเฟิร์สด้วยท่าทีเป็นห่วง



     " มิ้ลค์ กูขอโทษ ! กูขอโทษ !! " เดี๋ยว ๆ มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเพื่อนคนนี้กันล่ะเนี่ย ?



     " อะไรวะเฟิร์ส ? เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดี ๆ ดิ่ " ผมงัดเอาเจ้าหัวที่ติดหนึบกับแผ่นอกและไม่มีทีท่าว่าหลุดออกมาง่าย ๆ ไอห่า แล้ววันนี้จะคุยกันรู้เรื่องมั้ยเนี่ย ! แต่เอ๊ะ !? ทำไมหน้าอกผมมันเปียก ๆ



     " เฟิร์ส ! มึงร้องไห้เหรอ ? " ผมตกใจกับอาการของเฟิร์สที่เป็นอยู่มาก ๆ คำตอบที่ได้มามีเพียงเสียงสะอื้นจากคนที่กอดตัวผมแน่น



     " ร้องไห้ทำไม ? " แม้เสียงจะแหบจากการที่ร้องไห้มาตลอดทั้งคืน แต่ก็ใส่ความห่วงใยลงไปจนเฟิร์สสัมผัสได้



     " มิ้ลค์ กูขอโทษ กูผิดเองที่ปล่อยให้เรื่องมันบานปลายมาขนาดถึงนี้ กูผิดเองที่ปล่อยให้มึงมาเจอเรื่องเหี้ย ๆ กับตัว ถ้ากูรีบบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง มึงจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจแบบนี้ " เฟิร์สรู้เรื่องผมกับนัทตี้ได้ไง !? เมื่อวานหลังจากที่โดนบอกเลิกผมก็ท่อสังขารตัวเองมายังบ้านทันทีโดยไม่มีใครรู้สักราย



     " มึงรู้เรื่องนี้ได้ไง ? " เฟิร์สที่หน้ายังซุกแผ่นอกของผมยังคงไม่เงยขึ้นมาคุยด้วยดี ๆ



     " กูเจอน้องมินเมื่อเช้าเลยถามว่ามึงไปไหน น้องเขาตอบว่ามึงเลิกกับแฟนเลยไม่มาโรงเรียน วันนี้ทั้งวันกูไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนเลยรู้มั้ย กูอยากวิ่งมาหามึงเลยด้วยซ้ำ " เฟิร์สทุบแผ่นอกของผมด้วยความรู้สึกนึกแค้น แต่ด้วยเรื่องอันใดผมก็ยังมิทราบ " กูมันโง่เองที่ปล่อยให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ " ตอนนี้สมองผมแทบจะเออเร่อไปแล้วว่าทำไมเจ้าเพื่อนคนนี้ถึงนึกโทษตัวเอง



     " ใจเย็น ๆ มึงค่อย ๆ เล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น " กูตามมึงไม่ทันแล้วโว้ยยยย



     " ตอนที่กูกับมึงไปซื้อของที่สยามตอนนั้น กูเห็นนัทตี้อยู่กับผู้ชายคนอื่น แต่กูไม่กล้าบอกมึง กูอยากรอให้ตัวเองพร้อม แต่แล้วเพื่อนมึงดันบอกซะก่อน กูตกใจมากที่ไม่ได้มีแค่กูที่รู้ วันนั้นกูแทบจะทำอะไรไม่ถูก กูไม่อยากทำลายรอยยิ้มของมึงอะมิ้ลค์ " สิ้นคำพูดที่มีอยู่ในใจ เฟิร์สก็โห่ร้องออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บแค้น ผมไม่คิดโทษหรือน้อยใจตัวเฟิร์สเลยที่ไม่ยอมเอ่ยปากพูดออกมา ผมเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นของเจ้าตัวที่เลือกจะไม่พูด การที่เราต้องบอกความจริงเพื่อผลลัพธ์ที่แย่ มันลำบากใจแค่ไหนผมรู้ดี



     แต่ทำไมมันถึงไม่อยากทำลายของรอยยิ้มผม ?



     " แล้วทำไมมึงไม่อยากทำลายรอยยิ้มกูล่ะ ? " บุคคลที่อยู่ในอ้อมแขนนิ่งเงียบราวกับครุ่นคิดกับตัวเอง



     " กูไม่รู้ " เฟิร์สตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้จนผมต้องยกมือขึ้นมาลูบศีรษะมันปอย ๆ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร



     " ขอบใจนะที่เป็นห่วงกูอะ กูไม่เป็นไรแล้วแหละ " ผมรู้ตัวดีว่าคำพูดนี้มีไว้ทำให้เฟิร์สสบายใจขึ้นมาก็เท่านั้น



     " มิ้ลค์ " เสียงของเฟิร์สที่เรียกผมชั่งแสนสั่นคลอนจนอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง



     " ว่าไง ? "



     " กูกับนัทตี้เคยคบกัน "



     " .......... "



     ถึงตรงนี้ผมไม่ต่างอะไรกับโดนฟ้าผ่าทั้งร่าง



     " ละ...แล้วมึงจะมาบอกกูทำไม ? " ผมพูดติดตลกแก้สถานการณ์ไปงั้นทั้ง ๆ ที่สมองตอนนี้ขาวโพลนไปหมด แววตาผมที่มองศีรษะด้านบนของเฟิร์สเหม่อลอยไปไกล



     " กูรู้จักนิสัยของผู้หญิงคนนั้นทุกอย่าง แต่กูทำอะไรไม่ได้ กูขอโทษนะมิ้ลค์ ! กูขอโทษ !! " เสียงโห่ร้องของเฟิร์สที่ดังอยู่ในหู ย้ำเตือนว่าความรู้สึกของคนที่พูดอยู่เป็นแบบใด



     " อย่าโทษตัวเองเลยเฟิร์ส ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว " ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดหยุดความในใจของเฟิร์สได้



     " ทั้งที่กูกับเขาเป็นของกันแท้ ๆ เราเคยมีอะไรกันแท้ ๆ เขายังไปมีคนอื่น เหมือนที่มึงเป็นอยู่ตอนนี้ไงมิ้ลค์ ! กูไม่อยากให้มึงมานั่งเสียใจกับผู้หญิงพรรค์นี้ !! "



     " .......... " ทำไมตัวผมมันเบาหวิวได้ขนาดนี้กันนะ



     แล้วทำไมเฟิร์สถึงกล้ามาพูดความในใจให้ผมฟังทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นความลับกันน้า..



     ค่าของความรัก..



     ถ้าไม่ได้วัดจากความดีที่ทำให้กัน..



     แล้วมันวัดได้จากอะไรอีกเหรอครับ..



####



     กว่าเจ้าเฟิร์สจะยอมสงบผมก็นั่งปลอบมันมากว่าหลายชั่วโมง ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าความคิดแบบไหนในหัวเฟิร์สถึงขนาดต้องท่อตัวเองมาพูดความในใจให้ผมฟัง ตอนนี้ผมวัดค่าไม่ได้แล้วแหละว่าคนไหนเสียใจมากกว่ากัน เฮ้อ วันนี้ผมก็จัดการให้มันนอนค้างที่บ้านเลยครับ ขืนปล่อยกลับไปเดี๋ยวมันจะทำอะไรแผง ๆ หรือเปล่าก็มิทราบ



     ผมเหล่มองเฟิร์สที่ผ่านการชำระร่างกายมาแล้วภายในห้องมืด ๆ แต่มีแสงสลัว ๆ ของโคมไฟที่เปิดอยู่ หน้าแบบนี้ยังไม่เลิกคิดมากแหง ขนาดไล่ไปอาบน้ำให้สดชื่นแล้วนะ..



     " เฮ้ย เลิกคิดมากเรื่องกูได้แล้ว " แววตาเหม่อมองยังคงล่องลอยไม่เป็นทิศ



     " อืม " มึงตอบ ' อืม ' ก็ต้องเลิกคิดสิโว้ยยยย



     " นอนได้แล้ว อย่าคิดมาก "



     " อืม " แล้วมึงตอบเป็นอยู่คำเดียวรึงายยยย !!!? เอ้อ !! เอางี้ดีกว่า มันจะได้ลืม ๆ ไป



     " เดี๋ยวกูเล่านิทานก่อนนอนให้ฟังนะ มึงจะได้หลับฝันดี "



     " อืม " ว่าแล้วผมก็ลุกจากเตียงไปหยิบหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่เคยเก็บไว้ในตู้เก็บของออกมา เอ่อ...แล้วกูไปเก็บไว้ตรงไหนวะ ? อ๋อ...นี่ไง !!



     ทันทีที่ได้มาอยู่ในมือ ผมก็กลับไปยังเตียงที่มีอีกคนนอนอยู่ด้วยสีหน้าระรื่น " เอานะ "



     " อืม " สรุปก็คือตอบได้แค่คำนี้ใช่มั้ย !? แต่เอาเหอะ ผมนึกบ่นในใจพลางเปิดหนังสือไปที่หน้าแรกก่อนจะเริ่มต้นอ่าน..



     " ณ เมืองแห่งหนึ่งอันแสนไกลโพ้น มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่งที่มีรูปงามและฐานะมั่งคั่ง เธอปกครองเป็นราชินีอยู่เมืองนี้มานานแสนนาน กระทั่งวันหนึ่ง หญิงงามรูปนั้นได้ประกาศหาคู่ครองของตน ด้วยรูปร่างที่สวยงามดุจไข่มุก จึงมีเจ้าชายมากหน้าหลายตาจากต่างเมืองมาเพื่อเข้าเฝ้าพระองค์ เธอมุ่งมั่นกับความรักครั้งนี้มาก จึงเลือกเจ้าชายที่คิดว่าตัวเองนั้นจะร่วมใช้ชีวิตกับตนไปได้ตลอด " แค่เริ่มไม่กี่หน้าก็น้ำเน่าชิบหายเลยว่ะ นี่กูเก็บไว้ได้ยังไงกัน ? แต่ได้ผลแฮะ ไอเฟิร์สหลับปุ๋ยไปเลย ไม่ใช่ว่ารำคาญผมเรอะ !?



     " เพราะความรักที่มีแก่เจ้าชายองค์หนึ่ง ทรัพย์สินเงินตรามากมายที่มีก็ค่อย ๆ ยกไปให้แก่เจ้าชาย ในใจของเธอคิดเพียงแต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก วันหนึ่งเจ้าหญิงได้รู้ตัวว่าความมั่งคั่งที่เคยมีถูกเจ้าชายรูปนั้นถือครองจนหมดสิ้น แต่ด้วยความรักที่เธอมอบให้ จึงยิ่งมั่นใจในตัวเจ้าชายรูปนั้นว่าจะดูแลและปกป้องตนได้เป็นอย่างดี แต่หาจะใช่ความจริงทั้งหมด เมื่อเจ้าชายรูปนั้นรู้ความจริงเข้า จึงเนรเทศเจ้าหญิงให้ออกไปจากเมืองอย่างไม่ไยดี และหาราชินีองค์ใหม่ที่มั่งคังด้วยเงินตรามาครองราชย์แทน " ยิ่งอ่านตัวหนังสือที่ปรากฏมากเท่าไหร่ น้ำในตาก็ยิ่งเอ่อนองมากขึ้นเท่านั้น แม้น้ำตาจะไหลลงหน้าหนังสือ แต่ผมก็ยังจะพยายามทำหน้าที่ต่อ นิทานเรื่องนี้ชั่งเหมือนกับตัวเองเหลือเกิน



     " องค์หญิงผู้ไม่มีแม้แต่ผู้ใดแล้วในชีวิต นั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางป่าเพียงลำพัง เธอนั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เธอทำไปโดยไม่คำนึงถึงตัวเองแม้แต่น้อย นั่นคือผลพวงของกำไรที่ตอบแทนความรักของเธอจริง ๆ น่ะหรือ ? ทันใดนั้นพรานป่าผู้ล่าสัตว์ก็เดินมาเห็นสภาพโสมมขององค์หญิงเข้า ก็ชักชวนไปพักที่บ้านของตน เกรงว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่ออาจจะเจอกับสัตว์ร้ายได้ บ้านของเขาเก่าทรุดโทรม ที่นี่ไม่เคยมีความสบายที่เจ้าหญิงเคยสัมผัส แต่เนื่องด้วยโอกาสที่พรานป่าได้หยิบยื่นมาให้ เธอจึงช่วยเหลืองานต่าง ๆ นานา ของพรานป่าอย่างมิเคยปฏิเสธความยากลำบากที่เล่นงานเขาทั้งคู่ เธอและเขาต่างใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข และก่อเกิดเป็นความรัก ที่ไม่ต้องแลกเสียอะไรกัน.. " หน้าหนังสือค่อย ๆ ถูกปิดลงพร้อมกับดวงตาที่ทนรับความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว



     ชีวิตของผมไม่มีทางเรียบหรูเหมือนนิทานเรื่องนี้..



     เฟิร์ส...ตอนนี้กูไม่กล้ารักใครแล้วว่ะ



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:17:21
Not to be unlocked : Episode 25 : อย่าเคลิ้ม



     ในที่สุดเวลาก็พาพวกเราให้เดินมาถึงงานกีฬาสีสานสัมพันธ์สามัคคีปีที่ x กันเสียที ถึงแม้กระผมจะมีหน้าที่เป็นฝ่ายอาร์ทกับรอแข่งฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศตอนบ่ายสองก็จริง แต่ก็ต้องรีบเร่งตัวเองให้มาถึงโรงเรียนตอนฟ้ายังมืดสนิท เพื่อที่จะมาช่วยฝ่ายเชียร์จัดแจงความสวยงามอีกทีถึงมันจะร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็เถอะ ขนาดว่าตอนนี้เป็นเวลาตีห้าแต่งานของผมก็ล้นมือไม่น้อยเลยทีเดียว ไหนจะวิ่งไปยกขวดแพ็คน้ำที่ห้องสภา จัดพร็อบให้น้องม.1 ไว้สำหรับโชว์ และอีกสารพัด เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้ช่วยแค่ฝ่ายเชียร์หรอกครับ แม่งก็ช่วยทุกฝ่ายนั่นแหละ ! เรียกได้ว่าเป็นเช้าที่สดใสจริง ๆ (ประชด !!)



     จวบจนเวลาล่วงเลยมาถึงเจ็ดโมงเช้า ทางทุกคณะสีต้องมาชุลมุนวุ่นวายกันอีกระรอก เมื่อต้องนำคนที่มีหน้าที่เดินพาเหรดไปสแตนด์บายหน้าโรงเรียนก่อนเจ็ดโมงครึ่ง เพื่อให้ทันผู้อำนวยการมากล่าวเปิดงานตอนแปดโมง ขนาดว่าผมยืนช่วยงานอยู่หลังสแตนด์สีแดงยังสัมผัสถึงความโกลาหนของทุกสีได้ หน้าประตูโรงเรียนทั้งหนึ่งและสองตอนนี้ลำเลียงนักเรียนในร่างอวตาลคอนเซ็ปต์แต่ละสีกันอย่างเบียดเสียดจนแทบจะเดินออกไปข้างนอกไม่ได้ เอาเป็นว่าสู้ ๆ แล้วกันนะทุกคน มิ้ลค์สุดหล่อคนนี้จะเป็นกำลังใจให้ (หลังสแตนด์สีผมยังมีบางคนแต่งกันไม่เสร็จเล้ย)



     แต่สถานการณ์ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่นครับ เมื่อเห็นต้นขบวนของทีมสภานักเรียนและวงโยธวาทิตได้เดินฝ่าฝูงนักเรียนที่รอเชยชมความสวยงามของพาเหรดมายังบริเวณสนามฟุตบอล แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าคุณประธานนักเรียนที่เดินถือธงเทียบตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนอยู่หน้าสุดแม่งดูมีออร่าชิบหาย แต่นั่น ! น้องผมมันถือธงตามไอเชี่ยอาร์มต้อย ๆ ด้วย ! หล่อไม่แพ้พี่มันเลยว่ะ (ขายของครับขายของ) ตามมาติด ๆ กับสีส้มในคอนเซ็ปต์พืชผักสวนครัว ที่ว่าตีกับสีเหลืองคงจะเปลี่ยนมาเป็นอันนี้แหละ ทั้งขบวนพาเหรดของสีนี้เต็มไปด้วยพืชผักผลไม้โทนสีส้ม แต่พวกมึงก็กล้าคิดกล้าทำกันเนอะ !! ถัดมาเป็นสีเขียวในคอนเซ็ปต์ทหาร โอ้โห ! มีทั้งทหารบก เรือ อากาศ ไม่เว้นแต่รถถัง !! (เอ่อ...ไม่ใช่ของจริงครับ) สำหรับสีเขียวกับคอนเซ็ปต์ทหารมันเข้ากันได้ดีอยู่แล้ว ถ้าให้คะแนนเต็มสิบผมให้แปดเลยล่ะ หึหึ ต่อไปเป็นสีแดงของพวกเรา !! แค่เห็นคนที่เดินอยู่หน้าสุดอย่างน๊อตก็กินขาดแล้วครับ ไอ้น๊อตห้องสี่ที่สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น แต่คงรูปความเป็นปีศาจพร้อมจะลากเหยื่อไปลงทัณฑ์ได้ทุกเมื่อเนี่ย หุ่นแม่งดีเชี่ย ๆ ขนาดว่าผมออกกำลังกายทุกวันยังเอาหุ่นไปเทียบกับแม่งไม่ติดเลย นั่นไงพูดไม่ทันขาดคำ เมื่อต้นขบวนเดินผ่านชายเทียมกลุ่มหนึ่ง พวกนั้นก็ระเบิดเสียงกรี๊ดออกมาด้วยความกระหาย (ใครแม่งเป็นปีศาจกันแน่วะ ?) ถัดมาด้วยอีกหลาย ๆ สีแต่คงไม่สะดุดตาเท่ากับไอคุณเจสสีก้าอีกแล้ว เพราะแม่งเล่นไปยืนอยู่บนเสลี่ยงด้วยชุดผีเสื้อที่กลางปีกออกอย่างใหญ่โตมโหฬาร มีโปยจูบแจกชาวบ้านชาวช่องอีก เขาจะรับของมึงมั้ยน่ะ !!?



     สิ้นขบวนพาเหรดและการกล่าวเปิดงานของผู้อำนวยการก็อย่าได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่า เช้า ๆ แบบนี้เป็นการแข่งขันกีฬาพื้นบ้านครับ จริง ๆ พวกกีฬาพื้นบ้านแต่ละอย่างเขาให้พี่ม.6 เป็นคนลงแข่ง เพราะทางโรงเรียนไม่อยากให้เด็กที่กำลังจะเข้ารั่วไปใช้ชีวิตในมหาลัยต้องมาเจอภาระหน้าที่มากกว่าการอ่านหนังสือ การที่อาสามาช่วยน้อง ๆ ลงแข่งกีฬาพื้นบ้านจึงไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากนัก ผมและปิงปองที่อาสาลงแข่งกับพี่ ๆ ด้วยก็แท็กมือพี่หมูข้าง ๆ เรียกกำลังใจก่อนจะก้มตัวไปหยิบเชือกขึ้นมา ผมสูดหายใจเรียกกำลังรออาจารย์บุญงามเป่านกหวีดให้สัญญาณ และ..



     ' ปี๊ดดดดดดดดดด '



     เฮ้ย !!!



     ทำไมสีกูมันล้มกันระเนระนาดงี้วะ !?



     ผมนั่งกัดฟันกรอดมองสีม่วงที่ไอเจสสิก้าในชุดพาเหรดยืนดีอกดีใจกับเพื่อนตุ๊ดอย่างเคือง ๆ โธ่...นี่สีกูต้องมาแพ้ยอดชายอย่างพวกมึงเรอะ !? ฮือออออออ แรงคนหรือแรงควายว้าาาาาเนี่ยยยยย



     บรรยากาศตอนเช้าเต็มไปด้วยความสนุกสนานครับ มีหลากหลายกีฬาเลยที่ยกมาให้เราได้ชิงชัยกัน ทั้งวิ่งกระสอบ (อันนี้ไออาร์มมันลงแข่ง) เหยียบลูกโป่ง เก้าอี้ดนตรี ไม่เว้นแต่กินวิบาก !! แต่ฮีโร่อย่างผมไม่ได้มาวันนี้เพื่อฟุตบอลอย่างเดียวซะหน่อย กีฬาประเภทไหนที่ผมพอไปลงแบ่งได้ก็ช่วยเหลือสีอย่างเต็มที่



     จนกระทั่งมาถึงโปรแกรมสุดท้ายของกีฬาพื้นบ้านอย่างวิ่งสามขา เนื่องจากแต่ละฝ่ายที่มีหน้าที่เริ่มกระจายตัวไปปฏิบัติงานกันแล้วในของส่วนภาคบ่าย ทำให้ตัวแทนที่จะต้องลงไปแข่งนั้นเริ่มน้อยลง (นับจากหลังสแตนด์ที่ผมหมกตัวกันมีอยู่ไม่ถึงสิบ !) ขณะที่ผมกำลังชั่งใจว่าจะลงไปเป็นตัวแทนดีมั้ยเพราะไม่มีใครอาสาเลยก็มีคนมาสะกิดเข้ากับหัวไหล่



     " ลงกับกูนะ " เป็นหน้าของเฟิร์สที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนเพราะตั้งแต่เช้าก็พึ่งเจอมันนี่แหละ หึหึ ได้คู่ลงแล้วเว้ย ! ผมพยักหน้ารับเฟิร์สอย่างไม่ปฏิเสธพลางเดินเข้าไปยังสนามกันอย่างภาคภูมิ และเสือกเป็นคู่ตัวแทนแรกด้วยไงเพราะสีอื่นยังไม่ส่งตัวแทนมา (สะเหล่อชิบหาย) พลันได้ยินเสียงจากสแตนด์ว่าอะไรไม่รู้ผัว ๆ เมีย ๆ ด้วย ก็เลยแจกนิ้วกลางแม่งมั่วซั่วเลย หึหึ



     " เฮ้ออ จะไหวมั้ยน้าาา " ถือว่าเป็นคำสบประมาทเรียกพลังให้กับไอหมอนี่ครับ ฮ่า ๆ เฟิร์สที่ทำหน้าที่เอาข้อเท้าของเราทั้งคู่มัดติดกันก็พูดขึ้นมาลอย ๆ



     " สงสัยจะแพ้แหละ ลงกับมึงเนี่ย " เอ้า !? แล้วมึงจะชวนกูลงทำผีอะไรห้ะ !? แต่ไม่ทันจะได้อ้าปากด่า กรรมการก็คาบนกหวีดเตรียมเป่าซะแล้ว ผมเหล่ตามองสีข้าง ๆ ที่เริ่มทำท่าพร้อมวิ่งในไม่กี่อึดใจ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกับคู่ตัวเอง



     " สู้ ๆ นะมึง "



     " เออ " สายตามุ่งมั่นของเฟิร์สมองแค่เพียงเส้นชัยเท่านั้น ไม่หันมามองหน้าคนพูดอย่างผมเลย ถ้าอยากชนะก็คงต้องเชื่อใจกันงั้นสินะ



     ' ปี๊ดดดดดดดดดด '



     ทันทีที่เสียงเป่านกหวีดดังขึ้น ผมและเฟิร์สที่แขนทั้งสองข้างพาดคอกันอยู่ก็ออกตัวไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องออกปากพูดถึงแผนเราทั้งคู่ก็ทำมันลงไปอย่างรู้ใจกัน ขาทั้งสี่วิ่งเป็นจังหวะมั่นคงผสานเราให้เป็นหนึ่ง นำผู้เข้าแข่งขันคนอื่นไปอย่างขาดลอย จนกระทั่ง..



     " โอ๊ยยยยยย "



     คงด้วยเชือกตรงข้อขาที่ตรึงติดให้เราทั้งคู่ไม่สามารถแยกออกจากกัน ทำให้ผมล้มลงไปนอนทับร่างหนา ๆ นี่อย่างไม่ได้ตั้งใจ



     " .......... " ท่ามกลางการแข่งขันและเสียงเชียร์อันคับคั่ง สายตาของผมและเฟิร์สที่เคยกระหายในเส้นชัยกลับถูกสบเข้าหากันอย่างเนิ่นนาน



     แต่..



     " ไอเชี่ย !! อย่าพึ่งเคลิ้ม ! วิ่งก่อน !!! " เป็นผมนี่แหละที่ยังพอมีสติ ตะโกนอัดหน้าร่างที่นอนทับอยู่ให้ลุกขึ้นมาสับขาต่อ



     ไอเฟิร์ส ไอบ้าเอ๊ย  !! ฮ่า ๆ



####



     ครึ่งวันเช้าเรียกได้ว่าสนุกสนานกันเลยทีเดียวครับ ถึงกีฬาที่ได้ลงแข่งขันไปนั้นจะเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าผมได้บ้าง แต่บางครั้งสมองว่าง ๆ ก็พาฉุกคิดถึงเรื่องบางเรื่องจนทำให้เศร้าซึมไป และคงด้วยอาการที่แสดงออกมาอย่างเก็บไม่มิด ทำให้เพื่อน ๆ หลายคนก็พลอยเป็นห่วงกันไปใหญ่ กลัวว่าจะคิดฆ่าตัวตายหรือเปล่า (เอ่อ...พวกมึงก็นะ) ก็เดินเข้ามากวนตีนผมให้หงุดหงิดกว่าเดิม ถามไถ่ถึงอาการของแผลในใจที่ยังไม่แห้งสนิท รวมไปถึงให้กำลังใจว่าถึงมึงจะไม่มีใครแต่ก็ยังมีพวกกู แน่นอนผมไม่ได้จะเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงานให้ทุกอย่างมันแย่ลง แต่แค่เวลาสมองว่างทีไรชอบเอาเรื่องนี้มาคิดทุกที ส่วนคนที่ซึมไม่แพ้กันคงเป็นไอคนที่นั่งข้าง ๆ ผมตลอดทั้งวันนี่แหละ



     วันนี้ทั้งวันถึงเฟิร์สจะมีอาการไม่ต่างอะไรจากผมมาก แต่การปรนนิบัติอะไรที่ทำให้ผมสบายใจได้ ชายคนนี้จะทำอย่างไม่ละเว้น ขนาดหน้าห้องปกครองมีซุ้มสปอนเซอร์จากหลายๆ บริษัทมาแจก เฟิร์สก็เดินไปหยิบทั้งขนมและเครื่องดื่มมาเทคแคร์ผมไม่ขาด แววตาของมันดูเหม่อลอยอย่างปิดไม่มิด จนต้องกวนตีนเรียกรอยยิ้มให้คนที่นั่งดูกีฬาหลาย ๆ โปรแกรมกับผมได้เลิกกังวลเรื่องในหัวเสียที นับได้ว่าเราสองคนต้องมานั่งให้กำลังใจกันเองก็มิปาน ผมไม่อยากให้เฟิร์สเป็นแบบนี้เพราะมันไม่สนุกเอาซะเลย



     โปรแกรมต่อไปที่พวกเรานั่งดูการแข่งขันหลังจากเชียร์หลีดเดอร์และสแตนด์เชียร์จบก็คือทีเด็ดของวันนี้ การแข่งขันฟุตบอลนั่นเอง !! ใจลึก ๆ อยากจะเดินไปด่าคนจัดตารางการแข่งขันจริง ๆ เพราะเล่นมาจัดแข่งตอนบ่ายสอง ถูกต้อง ! แม่งร้อนชิบหาย !! ขนาดน้อง ๆ ที่นั่งอยู่บนสแตนด์มีกันสาดบดบังแสงอาทิตย์ยังเหงื่อผุดเต็มหน้าขนาดนั้น แล้วทีมเด็กม.ต้นอย่างน้อง ๆ กับทีมม.ปลายอย่างพวกผมที่ต้องลงไปเตะฟุตบอลท่ามกลางแสงพระอาทิตย์เนี่ย จะไม่กลายเป็นทีมฟุตบอลเผาเลยเรอะ ?



     และแล้วอันตัวผมก็ถูกวิญญาณเดวิด เบ็คแฮมเข้ามาสิงร่างในชุดนักบอล อืมมมมม แข่งรอบที่แล้วกลางหลังผมมันแปะหมายเลขสิบสองนี่หว่า แต่ไหงรอบนี้มันเป็นเลขหนึ่งซะได้ ? คนที่เดินถือมาให้คือปืนแก๊ปห้องสี่ที่ลงแข่งด้วยกันครับ ตอนเจ้านี่ยื่นมาแม่งมองหน้าไอเฟิร์สอย่างมีเลศนัยด้วย มันมีความหมายอะไรแอบแฝงหรือเปล่าวะ ? แต่ชั่งเถอะ ก่อนลงสนามจริงโค้ชของทีมเราก็วางแผนการรับมือให้เล็กน้อย พี่ม็อคค่าทีมเราบอกว่าให้ระวังเจ้าเปิ้ลทีมโน้นด้วย เพราะถึงมันจะไม่ใช่นักกีฬาโรงเรียน แต่ผลงานที่มันทำไว้โคตรจะเตะตาเหมือนกัน (แม่งยิงจากอีกฝั่งสนามเข้าโกล โคตรเมพ) พวกเราวอร์มร่างกายยืดเส้นยืดสายกันนิดหน่อยก่อนที่กรรมการจะเป่านกหวีดเรียกให้ลงสนาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้วิ่งไปกลางสนามแต่โดยดี เพราะมีคำพูดหนึ่งที่เรียกพลังดังลอดออกมาจากหน้าสแตนด์สีแดง



     " สู้ ๆ นะเว้ยมิ้ลค์ !!!!!! " คนตะโกนไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าซัน ปอนด์ อาร์ม และเพื่อนห้องอื่น ๆ และมีเฟิร์สโบกมือไหว ๆ อยู่ด้วย เออ กูจะทำให้เต็มที่เลยเว้ย ไว้ใจกูได้เลย !!



     ทั้งสีส้มและสีแดงที่เดินเข้ามายังสนามต่างเดินสวนกันเพื่อจับมืออย่างเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ สีเราที่จับมือทักทายก็ปั้นสีหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างไมตรีประหนึ่งมีหัวใจอันเป็นนักกีฬาอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกับสีส้มที่พึงปฏิบัติกับสีเราอย่างเป็นมิตร (แต่ไอห่านั้นมองผมเหมือนไปแย่งอะไรมันแดก !) เมื่อจับไม้จับมือเป็นที่เรียบร้อยก็เข้าสู่ตำแหน่งของตัวเองอย่างว่องไว ทันทีที่นกหวีดถูกเป่าเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน เสียงกรีดร้องของชายแท้และเทียมก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวทั่วสนาม การแข่งขันฟุตบอลรอบชิงชนะเลิศดูเหมือนผู้คนจะให้ความสนใจกันไม่น้อย นับได้จากสแตนด์เชียร์ที่เริ่มร้องเพลงเรียกกำลังให้กับเหล่านักกีฬา รวมไปถึงข้างสนามที่จ้องไอลูกกลม ๆ ที่พวกผมกำลังเตะกันอยู่อย่างตาเป็นมัน (ส่วนใหญ่จะเป็นชายเทียมทั้งนั้น ไม่รู้ว่ามองลูกบอลหรือมองพวกผม) และแน่นอนครับตัวแม่อย่างเจสสิก้าก็มาให้กำลังใจเชียร์เหมือนกัน แต่เอ๊ะ ? ไอที่มันถืออยู่ในมือนี่ชื่อกูนี่หว่า (เฮ้ย ! โดนสไลด์บอล) สีแดงของผมและคู่แข่งอย่างสีส้มก็ไม่ลดละกำลังที่จะบุกโจมตีกันเลย ยอมรับจริง ๆ ครับว่าไอเปิ้ลแม่งเล่นดี แก้เกมของเราที่ได้วางหมากกันไว้แบบโคตรที่จะแยบยล (แม่งใช้สายตาสื่อสารกับคนในทีม โหดสัด !) แต่ก็ใช่ว่าสีแดงจะไม่มีไม้เด็ดไม้ดวงไปรับมือ หึหึ ครึ่งแรกไม่มีวี่แววว่าทีมใดจะยิงเข้าประตูไปได้เลยสักลูก เพราะทั้งสีเราและเขามีกองหลังที่เรียกได้ว่าแน่น ๆ กันทั้งนั้น น้ำแดงหลายแก้วถูกหยิบยื่นให้แก่นักกีฬาเนื่องจากสภาพแต่ละคนชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ ผมและเพื่อนในทีมจิบน้ำกันอย่างเหน็ดเหนื่อยพลางฟังแผนประกอบของโค้ชที่เริ่มจับจุดตายของอีกทีมได้ ดังนั้นครึ่งหลังได้เริ่มมีการสับเปลี่ยนตัวนักกีฬาให้เพื่อนบีที่นั่งรออยู่นานได้ลงไปเฉิดฉายในสนาม (ผมกับแม่งคอมโบกันได้สุดยอด) และเป็นไปตามคาดครับเมื่อเจ้าบีลงมาในสนาม เสียงเชียร์ก็ดังสนั่นกว่าครึ่งแรกจนเราคึกคะนองไปตาม ๆ กัน ทีมผมในตอนนี้เดินเกมลุกได้อย่างเต็มพิกัด ซึ่งเทียบกับสีส้มแล้วต้องเปลี่ยนแนวมาตั้งรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หึหึ และด้วยการบุกที่จากหน้ามือเป็นหลังตีนของพวกเราก็ทำให้ได้แต้มไปหนึ่งคะแนนแบบง่ายชิบหาย (ไอเต๋ายิงครับ) เมื่อสีแดงของผมทำคะแนนได้ เสียงโห่ร้องของหลาย ๆ สีก็เฮรับได้ดังอีกคลืนใหญ่ (มึงเชียร์สีแดงกันอยู่สินะ หึหึ) พอเวลาผ่านไปเข้าหน่อยพี่บาสกัปตันทีมก็บอกให้ลดกำลังบุกและเปลี่ยนแผนมาเป็นป้องกันแทน เพราะอีกไม่กี่อึดใจเวลาการแข่งขันก็จะหมดลงแล้ว



     และเป็นไปตามคาด เสียงนกหวีดเป่าหยุดเวลาก็ดังเพื่อสั่งให้ทั้งสองสีหยุดการแข่งขัน



     เสียงเฮลั่นแสดงถึงความปีติดังไปทั่วโรงเรียนจากสกอบอร์ดที่แสดงคะแนนหนึ่งประตูต่อศูนย์ เชี่ย ! พวกเราทำได้ !! ทันทีที่จบเกมเพื่อน ๆ ที่ลุ้นอยู่หน้าสแตนด์ก็วิ่งกรูเข้ามาแสดงความยินดีให้แก่ทีมนักฟุตบอลกันยกใหญ่ แต่คนที่ดีใจเหมือนไปลงแข่งเองคงจะเป็นไอนี่ที่กระโดดมากอดผม ฮ่า ๆ ผมรับกอดเฟิร์สด้วยคราบน้ำตาแห่งความดีใจเพราะรับปากไว้แล้วก่อนลงแข่งกับมันลับ ๆ ว่าจะทำให้ดีที่สุดเลย



     " กูทำได้แล้วนะเฟิร์ส " ผมพูดน้ำเสียงสะอื้นเพราะค่อนข้างภูมิใจกับผลงานที่ทำร่วมกับทีม มันเป็นความภาคภูมิใจที่วันหนึ่งเราสามารถทำเรื่องใหญ่โตให้เป็นจริงได้



     " ฮึก...อือ " อ่าว แล้วคุณมึงจะร้องไห้ทำไมละเนี่ย เฮ้อออ ก็คงไม่พ้นผมอีกละมั้งที่ต้องชักมือขึ้นมาลูบหัวมันเพื่อปลอบโยน ขี้แงจังน้า



     ในสุดพวกเราก็เดินทางมาถึงช่วงประกาศผลรางวัล เริ่มแรกก็เป็นประกาศรางวัลของกีฬาช่วงเช้าน่ะครับ ซึ่งก็ไม่ได้น่าลุ้นเท่าไหร่เพราะอันดับต่าง ๆ ก็แสดงให้เห็นหลังจากแข่งขันเสร็จแล้ว (อ๋อ วิ่งสามขากับไอเฟิร์สแพ้ครับ มัวแต่เคลิ้ม ! บ้าจริง) ถัดมาเป็นของพาเหรดครับ อันนี้ก็ต้องยินดีกับสีม่วงของเจสสิก้าที่ได้รับรางวัลอันดับหนึ่งไปครอง (สีแดงได้ที่สี่ครับ ไม่เป็นไร) ถัดมาเป็นเชียร์หลีดเดอร์และสแตนด์เชียร์ อันนี้เสียงที่เฮรับรางวัลที่หนึ่งคือสีพวกเราเองครับ !! คราบน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มของผู้เป็นน้องและพี่ ๆ ฝ่ายเชียร์ก็เป็นภาพที่น่ายินดีเหมือนกัน เพราะทั้งสองอย่างนี้สีเราทุ่มกันอย่างสุดตัวจริง ๆ จวบจนรางวัลทุกอย่างไปอยู่ในมือของผู้กำชัย เราทั้งหมดต่างร้องเพลงสามัคคีชุมนุมและเพลงมาร์ชโรงเรียน ก่อนจะแยกย้ายกันไปถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ของแต่ละคน



     ผมจะจำเรื่องราวดี ๆ ในวันนี้ไปตลอดเลย :)



####



     " เดี๋ยวพวกมึง !! " ผมหันไปมองเจี๊ยบฝ่ายสวัสดิการที่วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในห้องเปลี่ยนชุดนักกีฬา ตากี้พึ่งได้เปลี่ยนจากชุดแข่งฟุตบอลเป็นสต๊าฟเองน่ะครับ ว่าจะไปช่วยตรงสแตนด์ขนของสักหน่อย ได้ข่าวว่ายังเหลืออีกเยอะ นี่ก็ปาไปทุ่มกว่าแล้ว (เฟิร์สมันก็อยู่ตรงนั้นแหละครับ เดี๋ยวค่อยไปหา หึหึ)



     " ว่าไงเจี๊ยบ ? " เป็นเจเจฝ่ายผสานงานครับที่หลวมตัวเข้ามานั่งกับเพื่อนทีมนักฟุตบอลที่ถามออกไป



     " ไอเชี่ยประธานมันบอกให้สีเราไปฉลองร้านเหล้าที่เคยไปตอนสองสามทุ่มอะ ไปด้วยนะพวกมึง " สิ้นประโยคเจี๊ยบก็วิ่งหายไปในทันที ทิ้งให้พวกเรามองหน้ากันอย่างมึนงงแต่ก็ผุดรอยยิ้มของพวกคอเหล้า



     ไหน ๆ ก็ฉลองทั้งที ไปเมาให้หัวทิ่มแล้วก็ลืม ๆ เรื่องในหัวซะหน่อยดีกว่า



- Not to be unlocked -

สำหรับวันนี้ผมขอโพสเพียงแค่ 25 ตอนก่อนนะครับ เกรงว่าจะเป็นการรบกวนนิยายเรื่องอื่น ๆ กลัวโพสปลิวด้วย ฮ่า ๆ
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 10-02-2018 20:18:01
ลงกฏของเล้าด้วยนะคะ   นิยายลงวันละตอนก็ได้จ้าาา
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 10-02-2018 20:33:28
ลงกฏของเล้าด้วยนะคะ   นิยายลงวันละตอนก็ได้จ้าาา

ลงเรียบร้อยแล้วครับ พอดีพึ่งมาใช่งานเว็บนี้กฎยังไม่แน่นสักเท่าไหร่ ขอบคุณที่มาแจ้งนะครับ
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 10-02-2018 20:42:30
ค่อยๆลงนะ ลงรวดเดียว คนอ่าน อ่านไม่ทัน  :impress2: ลงวันละตอนสองตอนก็ได้ค่ะ


****แจ้งนิดนึงนะ ที่เล้าเป็ด เรารณรงค์ให้ ใช้เรียก นักเขียนกับนักอ่าน นะคะ
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง (10/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 11-02-2018 08:18:30
Not to be unlocked : Episode 26 : หัวใจที่ปิดลง



     หลังได้รับสารจากสถานทูตจำแลงของคุณประธานนักเรียนคนเก่งเมื่อตอนทุ่มกว่า ผมก็เดินทางกลับบ้านโดยพลันเพื่อจะได้ไปเฉลิมฉลองกับเพื่อน ๆ สักหน่อย เพราะวันนี้เราค่อนข้างจะเต็มที่กับทุกอย่างและเป็นไปตามหมากที่วางไว้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่ขนาดระหว่างเดินทางกลับบ้านไอเชี่ยอาร์มแม่งโทรตามยิก ๆ บอกให้ผมรีบมาร้านเจ้าประจำแถวถนนพระอาทิตย์ได้แล้ว สัด ! ให้กูได้กลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนได้ปะ ? อีกตั้งชั่วโมงนึงกว่าจะถึงเวลานัด แม่งจะรีบไปไหน เมื่อมาถึงบ้านก็รีบอาบน้ำอาบท่าให้ชื่อใจสักหน่อยเพราะไหนวันนี้เป็นมิ้ลค์ลมเหงื่อมาทั้งวัน (เขามีแต่รมควันเหรอครับ ?) เป็นว่ามินเขาไม่ไปฉลองความสำเร็จกับพวกเราครับ โดยให้เหตุผลว่าไม่ค่อยคล้อยตามกับสุราเมรัยเสียเท่าไหร่ น้องผมก็เลยอาสาเฝ้าบ้านให้ เดี๋ยวถ้าพี่แวะตรงไหนจะซื้อขนมมาฝากนะน้องรัก แต่ถ้าเอ็งยังไม่นอนอะนะ ฮ่า ๆ



     แน่นอนครับผมมาทันเวลานัดแบบเป๊ะ ๆ หลังจากที่เกาะเสาบีทีเอสไปลงสถานีอนุสาวรีย์ฯ ต่อด้วยรถเมล์อีกสองสามสาย ก็พาผมมาถึงร้านเด็ดประจำคอเหล้า (ที่มาไกลเพราะร้านนี้ตำรวจไม่เข้า อิอิ) ตลอดการเดินทางจะมีคนมองผมก็คงไม่แปลกหรอก เล่นใส่ยืดขาวบางทับด้วยแจ็คเก็ตดำ ไม่บอกนึกว่าดารามาเอง (ใครอ้วกบอกมานะ !)



     " ไอเชี่ยมิ้ลค์...~~ " ไม่ต้องเดาเลยครับว่าเสียงลากยาวเป็นกำแพงเมืองจีนที่ดังมาจากในร้านทั้งทีผมยังไม่ได้เหยียบเข้าไปเนี่ยคือใคร เพื่อนคนสำคัญที่ก่อตั้งก๊กเหล้าของวันนี้ คุณอาร์มนี่เอง ผมเดินปั้นหน้าเหวี่ยงไปนั่งแหมะลงข้าง ๆ มันโดยที่เพื่อนหลาย ๆ คนทยอยมาจองโต๊ะกันแล้ว



     " แล้วมึงสั่งก่อนมันจะตายรึไงวะ ? " คือคุณอาร์มเขาไม่กล้าสั่งพวกเหล้ากับมิกเซอร์ทั้งหลายแหล่เองน่ะครับ คือเจ้าของร้านเขาปลาบปลื้มผมแบบถึงขั้นจะเอาไปชาบูเลยน่ะ มันกลัวว่าไปสั่งเองคงจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษมากมายเท่าผมล่ะมั้ง หึหึ



     " ไม่เอา มึงนั่นแหละเป็นคนสั่ง " ผมก็บอกมันในสายว่าเดี๋ยวน้องมิ้ลค์สุดที่รักของพี่มาแน่นอน ให้เดินไปสั่งรอเลย ไหงไอห่านี่มันไม่ฟังอะไรสักอย่าง ไม่แปลกหรอกครับว่าทำไมบนโต๊ะของเรามันถึงมีแค่กล่องทิชชูกับกระปุกไม้จิ้มฟัน



     " เออ ๆ " ผมถอนหายใจให้กับความคิดของแม่งก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งน้ำเมา เมื่อผมกดกระดิ่งเรียกก็เป็นเจ้าของร้านครับที่หันมายิ้มแบบโคตรพ่อโคตรแม่ดีใจ



     " น้องมิ้ลค์ !!! " พี่หลินเจ้าของร้านมองผมด้วยสายตาอึ้งทึ่งปนตกใจ นี่ถ้าไม่มีเคาน์เตอร์กลั้นคงกระโดดมาอมหัวผมแล้วมั้ง



     " หวัดดีครับพี่หลิน เอาเหมือนเดิมที่เคยสั่งนะ " พอพี่สาวคนนั้นได้ยินเข้าก็รีบพุ่งไปหยิบลังพร้อมกับขวดเหล้าและมิกเซอร์อีกหลายขวดมาประเคนในทันที



     " พี่หลิน ปกติเซตนึงมันเหล้าหนึ่งมิกเซอร์แปดน้ำแข็งหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ ? ไหนมีเหล้าสองมิกเซอร์สิบน้ำแข็งสองล่ะ ? " ผมที่รับของจากพี่เขาก็ประมวลผลไปตามปากว่า ผมกินร้านนี้บ่อยจนรู้เมนูหมดแล้วครับ อิอิ (ไปฟ้องป๊ากับม๊าเลย เขารู้แล้ว แบร่)



     " วันนี้แต่งตัวมาซะหล่อเลย พี่ให้เราพิเศษหน่อยแล้วกัน " มันก็เป็นงี้ตลอดนั่นแหละครับ เพียงแค่ต้องตีมึนไปอย่างนั้น ฮ่า ๆ จุดจุดนี้วิชามารใช้ให้คุ้ม " แล้วเอาแค่นี้เหรอจ๊ะสุดหล่อ ? "



     " เดี๋ยวผมสั่งเพิ่ม วันนี้อยู่ยาว ๆ " ผมยักคิ้วให้พี่เขาเป็นเชิงรู้กันก่อนจะเดินเอาเสบียงทั้งหลายไปเสิร์ฟไอห่านั่น เอ้อ ! แต่ลืมไปเลยว่ะ



     " พี่หลิน มิ้ลค์ขอแก้วช็อตหน่อยสิครับ ผมจะเอาไปกินเพรียว " จริง ๆ ในลังที่ถือมามันก็มีแก้วเปล่าอยู่หลายใบหรอกนะครับ แต่การกินเหล้ากับแก้วช็อตเพียว ๆ เนี่ยมันโคตรจะฟิน พี่สาวที่เช็กของอยู่ก็หันมาทำหน้าตะลึง



     " นี่ถ้าเมาพี่จับเราปล้ำเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องจ่ายค่าเหล้า " เฮ้ยจริงปะเนี่ย !? ถอดเสื้อเลยดีกว่า ล้อเล่นนน ฮ่า ๆ ผมรับของที่ต้องการก่อนจะเดินกลับมายังโต๊ะด้วยสีหน้าระรื่นเพราะของแถมในนี้แม่งโคตรของโคตรจะแรร์ เป็นวอดก้าก็จริงครับ แต่ในไทยไม่มีขายนะเออ มีร้านนี้ร้านเดียวที่ขาย ไม่รู้ลักลอบเอามาได้ไง



     " เหยดดดด เป็นไปตามคาด โห ! นี่อย่าบอกนะว่าแถมอะ !? " ผมพยักหน้ารับไออาร์มที่ชี้ไปยังขวดวอดก้า ๆ ข้างเรดเลเบิ้ล อาร์มแม่งยังตกใจกับขวดนี้ไม่หายถึงขั้นต้องยกขึ้นมาลูบ ๆ คลำ ๆ



     " เอามานี่ " ผมหยิบคอขวดที่คนข้าง ๆ กอดอยู่พลางเปิดมารินลงในแก้วช็อตก่อนจะกระดกแบบออนเดอะร็อก อื้อฮือออ ถึงไม่บาดคอแต่แรงอิ๊อ๋าย



     " นี่ไอสัด จะรีบเมาไปไหน ? วันนี้ไม่ตีห้าไม่กลับเว้ย " ผมเหล่มองไออาร์มที่กำลังคีบน้ำแข็งใส่แก้วพลางชงเหล้าอย่างเคือง ๆ ตีห้าพ่อมึงสิ



     " พรุ่งนี้จะไม่เรียนว่างั้น ? " โอ้โห พยักหน้าแบบไม่ต้องไตร่ตรองเลยทีเดียว ไอพวกเด็กเลวววว



     ท่ามกลางดนตรีสดที่พี่นักร้องกลางคืนเริ่มอวดเสียงสำเนียง ทำให้บรรยากาศการดื่มน้ำเมาในวงเหล้าแห่งนี้เป็นไปอย่างครื้นเครง ตอนนี้เพื่อน ๆ ที่ช่วยกันลงแรงทุกฝ่ายก็เริ่มเดินทางถึงแล้ว จากร้านที่ตอนแรกเหมือนจะไม่มีใครก็ทำให้หนาตาด้วยฝูง (นักเรียน) ชนอย่างชัดเจน ยิ่งคนเยอะผมก็ยิ่งคึก เล่นเดินไปหาคนโน้นทีคนนี้ที แถมเพื่อนแม่งก็ยัดเหล้ามาใส่อย่างไม่ขาดมือ หนำซ้ำยังเชียร์ให้ผมกระดกซะหมดแก้วอีก เฮ้ย ๆ เพื่อนกูบอกตีห้าก็ตีห้าสิวะ พวกมึงจะรีบมอมกูไปถึงไหน แต่ก็กล้าพูดนะว่าผมเนี่ยแข็งที่สุด หึหึ (คอครับคอ อย่าคิดไปไกล)



     และก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมมองออกไปยังทางเข้าของร้านที่ชายคนนึงเดินเข้ามา แม้จะมีรอยยิ้มเหงา ๆ จะเติมแต่งบนใบหน้า แต่รูปลักษณ์ด้วยเสื้อดำทมิฬคุมด้วยผ้ายีนกางเกงเดฟยาวนั่น ทำให้ผมเคลิ้มจนสติแทบหลุด



     " นั่งไหนอะ ? นั่งด้วยดิ " เฟิร์สหยุดอยู่ตรงหน้าเรียกให้ผมตื่นจากห้วงความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจสร้าง ผมลนนิดหน่อยแต่ก็ไม่รู้จะลนทำไม



     " น่ะ...โน่นอะ " ก่อนจะพาแก้วเหล้าในมือกับคนที่พึ่งมาใหม่เดินไปยังโต๊ะของผม แม้จะมีเพื่อนคนอื่นมานั่งตอกปากตอกคำด้วย แต่ก็มีที่ว่างพอให้เราทั้งคู่ได้นั่งติดกัน



     " เหยดเข้เฟิร์ส ! ลุคนี้มึงหล่อชิบหาย !! " เป็นเสียงทักของคิงคองประธานสีแดงที่นั่งคุยกับอาร์มอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อนสนิทของเฟิร์สมองดูด้วยความประหลาดใจเหมือนกับไม่เคยเห็นก่อนจะกุลีกุจอชงเหล้าด้วยแก้วใบใหม่



     " โหเฟิร์ส ! มึงแม่งหล่อจริง !! นี่แต่งตัวมาจีบเพื่อนกูเปล่าวะ ? " ปากหมา ๆ มีแค่คุณประธานนั่นแหละครับที่กล้าเห่า ผมที่แก้วคาปากอยู่ก็ได้แต่ลุ้นว่ามันจะตอบอะไร แล้วทำไมกูต้องลุ้น ?



     " เปล่า...นี่ก็แต่งตัวมาร้านเหล้าเป็นปกติไง " เฟิร์สพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แอบแฝงอะไรบางอย่าง พลางรับแก้วจากคนที่นั่งตรงข้ามอย่างคิงคอง



     " ปกติเชี่ยไร ! กูเป็นเพื่อนมึงมาตั้งนานไม่เคยเห็น " กูคนนึงแหละที่เห็นด้วยกับมึงคอง กูจะสรรหาคำไหนมาแทนคำว่า ' หล่อ ' ได้อีกวะ ?



     " เหรอ " แล้วคนที่วางแก้วโดยเหลือแต่น้ำแข็งก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ แล้วนี่เป็นห่าอะไรกัน !? เอะอะจะยกหมดแก้วกันอย่างเดียว



     ตอนนี้ผมประเมินค่าจากสายตารอบ ๆ ร้านแล้ว ถ้าไม่นับลูกค้าของพี่หลินคนอื่น ๆ เพื่อนหลายฝ่ายก็ปลักหลักอยู่ในร้านกันเกือบครบจำนวน พวกเราพูดคุยสังสรรค์เฮฮาถึงเรื่องกิจกรรมในวันนี้แม้จะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ด้วยเหล้าหลาย ๆ กลมควบคู่กับแก้มตรงหน้า ทำให้ลืมคำว่าไม่สนิทออกไปอย่างง่ายดาย เหมือนดั่งภาษิตที่ใครคนนึงกล่าวว่าเหล้าเข้าปากก็เป็นเพื่อนกันได้สินะ สงสัยท่าจะจริง (แล้วมึงเอารางวัลขนมปี๊บมาแดกด้วยเรอะ !?)



     " แล้วมึงอะมิ้ลค์ มึงโอเคกับเรื่องนัทตี้เหรอ ? " ผมผงะในทันทีที่อยู่ดี ๆ บรรยากาศรอบด้านที่เคยมีเสียงหัวเราะ ดนตรี แสงไฟ กลับถูกแทรกด้วยคำถามของประธานสีแดงอย่างคิงคอง



     " ก็...โอเคมึง " ผมตอบกลับแต่ไม่ได้เงยหน้าไปหา ผมรู้ดีที่เพื่อนถามนั้นล้วนเต็มไปด้วยความห่วงใย มิใช่ตอกย้ำ



     " กูขอโทษที่ถามนะ คือกูเป็นห่วงมึงจริง ๆ นะเว้ย " ผมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างฝืน แต่มันก็เต็มไปด้วยความยินดี



     " ถ้ากูไม่รีบบอกมึงตั้งแต่ทีแรก...มึงคงไม่เป็นแบบนี้ " จู่ ๆ คนที่นั่งข้างๆ ผมก็พลั้งปากออกมาอย่างพรวดพราด เรียกความสงสัยให้อาร์มและเพื่อนละแวกนั้น ผิดกับสีหน้าเพื่อนสนิทของเฟิร์สที่หมองลงราวกับเรื่องนี้ไม่ได้แค่มีเฟิร์สที่รู้



     " เรื่องที่นัทตี้กับเฟิร์สคบกันมันก็ตั้งแต่พวกเราอยู่ม.ต้น แม่งคบกันจนขึ้นม.4 กูคิดไว้แล้วแหละว่าไอเฟิร์สคงหยุดไว้แค่คนนี้ แต่แม่งไม่ใช่ว่ะ วันต่อมาเฟิร์สแม่งมานั่งร้องไห้กับกูบอกว่านัทตี้มีคนใหม่ แม่งแอบไปคบเด็กชายล้วนแถวฝั่งธนฯ ผู้หญิงไรเหี้ยชิบหาย มีแฟนอยู่แล้วยังจะไปมีคนอื่นอีก กูตกใจมากเลยนะเว้ยที่อยู่ดี ๆ มึงกับนัทตี้ไปคบกันทั้ง ๆ ที่ประวัติแม่งไม่ได้ดีเลย " ยิ่งปากของเพื่อนคนนี้พูดมากเท่าไหร่ ดูเหมือนยิ่งจะทำให้คนที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ รู้สึกปวดร้าวมากขึ้นเท่านั้น เฟิร์สคว้าไปหยิบขวดวอดก้าพลางเปิดออกก่อนจะกระดกดื่มจากปากขวด ไม่รู้ความรู้สึกไหนสั่งผมให้กระชากขวดที่มันจ่อปากให้หยุดถึงมันจะขัดขืนก็เหอะ



     " ถ้ากูรีบบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไง มึงคงไม่ต้องมาเสียใจอยู่แบบนี้ ฮืออ " เฟิร์สพูดออกมาทั้งน้ำตาจนผมต้องโถมตัวเข้ากอดเพื่อหวังจะเป็นกระดาษซับของเหลวนั่นให้ ผมส่ายหน้าเบา ๆ ในอ้อมกอดที่ลูบหัวเฟิร์สปอย ๆ ไปยังคิงคองเป็นเชิงว่าพอก่อน ทางนั้นก็พยักหน้าเข้าใจผมดี ถึงเราจะไม่สนิทกันแต่ก็ขอบคุณนายมากนะเพื่อนที่เป็นห่วง



     เรื่องของนัทตี้ผมไม่เคยคิดจะโทษเธอเลยที่ไปมีคนอื่น ความผิดทั้งหมดมันอยู่ที่ผม ผมทำให้เธอรักและหยุดที่ผมคนเดียวไม่ได้



     เฟิร์ส...มึงไม่ต้องมาเสียใจเพื่อกูนะ กูไม่อยากเห็นน้ำตาของมึงอีกแล้ว



     ยิ่งดึกดื่นความคึกคะนองของวัยรุ่นโรงเรียนนี้ก็ปะทุออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง กูล่ะเริ่มสงสัยแล้วว่าจริง ๆ ตอนนี้ที่มึน ๆ อยู่ในหัวเนี่ย มันมาจากเหล้าหรือควันบุหรี่ที่พวกมึงดูดวะไอชิบหาย (ไอซันเดี๋ยวมึงจะโดน) ตอนนี้ผมคงไม่เดินเพ่นพ่านไปโต๊ะโน้นโต๊ะนี้แล้วล่ะครับ คงต้องอยู่เป็นกระดาษซับน้ำตาให้เฟิร์สตรงนี้ไปก่อน ก็เลยทำได้แต่พูดคุยถึงผลงานที่วันนี้ไปฟาดฟันกับสีอื่นมา แม่งโหด ๆ จริงนั่นแหละครับที่สีเราแข่งบาสชนะสีเหลืองด้วยคะแนนสามสิบต่อสี่ แถมพวกแก๊งนักบาสยังโม้อีกนะว่าทำสามแต้มรวดติดกัน แหม กูล่ะอยากเห็นด้วยตาเนื้อของกูจริงจริ๊ง ยังไม่ทันจะฟังเรื่องขี้โม้โอ้อวดของพวกนี้ต่อก็แววเสียงแซ็วจากโต๊ะข้าง ๆ ปากแบบนี้เชี่ยปิงปองกับเบ๊นซ์แน่ ๆ ทำไมวะ !? แค่กูวิ่งสามขาแล้วล้มทับไอเฟิร์สกลางสนามเอง เดี๋ยวกูเช็กบิลพี่หลินเสร็จเดี๋ยวกูเช็กพวกมึงต่อไอพวกขี้เผือก !!



     " ฮัลโหลเทส ลูกค้าขึ้นมาร้องเพลงบนนี้ได้นะครับ เดี๋ยวผมไปเบรกแปปนึง " พี่นักร้องคนนึงที่ทำหน้าที่อยู่บนเวทีประกาศออกไมล์ ไม่รู้ว่าฤทธิ์น้ำเมาหรืออะไรทำให้ผมดีดตัวไปมองอย่างสนใจ แต่ก็ใช่จะลืมคนข้าง ๆ



     " อยู่คนเดียวได้เปล่า ? เดี๋ยวมา " เฟิร์สพยักหน้าเนือย ๆ ตอบเหมือนคนไม่มีแรง ผมบีบบ่ามันเป็นเชิงให้กำลังใจว่าอย่าคิดมาก ก่อนจะกระดกแก้วที่พึ่งเติมตากี้จนหมดพลางลุกไปหน้าเวที



     ทันทีที่ไมล์อยู่ในมือ เสียงของเพื่อนที่นั่งอยู่รอบด้านก็เฮรับกันอย่างระงม คงด้วยผมชอบร้องเพลงกับเพื่อน ๆ ในห้องล่ะมั้ง พวกนี้เลยกู่ร้องกันอย่างชอบอกชอบใจ บางคนบอกว่าเสียงแบบมึงไม่ไปลองสมัครมิวสิคอวอร์ดที่ทางชมรมดนตรีจัดขึ้นล่ะ ผมบอกกลับไปว่าไม่ได้สนใจเท่าอาหารน่ะก็เลยบ๊ายบายย



     ผมหยิบไอโฟนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาพลางเข้าอากู๋เพื่อหาคอร์ดเพลง กลัวว่าเพลงที่เลือกร้องพี่หางเครื่องนักดนตรีที่เขาไม่ได้ไปพักข้างหลังจะเล่นกันไม่เป็น



     ผมหันไปกระซิบถาม " เอาเพลงนี้ไหวกันมั้ยครับ ? " พี่เขาชะโงกหน้ามาดูของที่ผมยื่นไปก่อนจะพูดด้วยสีหน้าสบาย ๆ



     " สบายมากครับน้อง เพลงนี้พี่เล่นบ่อย " เป็นอันว่าเรารู้กัน พี่คนที่ชะโงกหน้ามาดูหันไปบอกเพื่อนของเขาว่าผมกำลังจะขับกล่อมด้วยบทเพลงอะไร



     ผมทดสอบไมล์นิดหน่อยก่อนจะเอาจ่อปาก " สวัสดีครับ เอ่อ.. " โอ๊ยยย มึงเลิกแหกปากได้แล้วไอเชี่ยอาร์ม !! เมาแล้วซ่านะมึง งั้นก่อนอื่นผมขอเกริ่นแรงบันดาลใจที่เลือกเพลงนี้แล้วกัน



     " ผมขอมอบเพลงนี้ให้กับคนคนหนึ่ง เขา...มีค่ามากกว่ารัก มีค่ามากกว่าสิ่งใด แล้ววันหนึ่ง...เขาก็เลือกที่จะเดินจากผมไป ผมขอเอาเพลงนี้เป็นคำอวยพร อวยพรให้เขากับคนนั้น...มีความสุข "



     ทำนองดนตรีดังขึ้นทันทีหลังจากที่ผมเก็บไอโฟนลงกระเป๋า ถึงสายตานับร้อยจะจับจ้องผมอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเลือกมองแค่เฟิร์สอย่างจุกข้างใน



     เฟิร์ส...มึงต้องเข้มแข็งนะ



     " ฉันมายินดีให้กับรักที่สดใส

ยินดีที่เธอได้พบเจอ

     คนที่ดี คนที่ควรคู่รักของเธอ

คนที่เข้ากันมากกว่าฉัน "



     " ฉันหวังจะยืนที่ตรงนั้นข้าง ๆ เธอ

ได้เดินร่วมทางกันเหมือนเดิม

     แต่ก็รู้ น่าเสียใจเมื่อมันสายเกิน

ไม่มีแล้วที่เคยรักกัน "



     " ในวันนี้ มีเพียงถ้อยคำส่งท้าย

ลาก่อนรักที่เคยงดงาม

     ไม่โกรธเคืองเธอเลย มีแค่คำยินดี

และคำอวยพรจากฉันให้เธอ "



     " ขอให้ความรักมีแต่ความสุขใจ

ไม่ว่าสิ่งไหนเข้ากันหมดทุกอย่าง

     ขอให้ความรัก เขาและเธอไม่มีจืดจาง

มีเขาเคียงข้างไม่มีความทุกข์ใด "



     " ขอให้ความรักดีกว่าที่ฝัน

ไม่มีเปลี่ยนผันรักกันหมดหัวใจ

     ขอให้เธอนั้นได้คู่เคียงกันตลอดไป

ถึงแม้ฉันยังไม่เปลี่ยนใจ

     และรักได้เพียงแต่เธออยู่เหมือนเดิม "



     " ซ่อนน้ำตาไว้ใต้รอยยิ้มที่ให้ไป

ไม่มีใครรู้ความเป็นจริง

     ว่าฉันฝืนเก็บเรื่องความรู้สึกทุกสิ่ง

กดมันไว้จนใจปวดร้าว "



     วิสัยทัศน์ที่เคยมองแค่เฟิร์สอยู่ชัดเจนนั้น กลับถูกน้ำใส ๆ จากดวงตาบดบังจนทุกอย่างเบลอไปหมด มันเป็นน้ำตาที่ถูกกลั่นออกมาจากเนื้อเพลงและความตั้งใจที่ผมจะอาลัยในความรักครั้งนี้



     " ขอให้ความรักดียิ่งกว่าที่ฝัน

ขอให้คนนั้นดีกว่าฉันทุกอย่าง

     ให้เขาคอยรัก คอยดูแล คอยอยู่เคียงข้าง

แบบที่ฉันเองไม่เคยทำให้เธอ "



     " ขอให้คาดหวังแล้วไม่ต้องผิดพลั้ง

ไม่เหมือนความหลังที่เธอเคยพบเจอ

     ขอให้คราวนี้ได้อย่างใจเธออยู่เสมอ

ถึงแม้ฉันยังมีแต่เธอ

     และรักได้เพียงแต่เธออยู่เหมือนเดิม "



     " ขอให้เธอนั้นได้คู่เคียงกันตลอดไป

ถึงแม้ฉันยังไม่เปลี่ยนใจ

     และรักได้เพียงแต่เธออยู่เหมือนเดิม "



     สิ้นทำนองสุดท้ายของบทเพลง ความรู้สึกที่ซึมซับผ่านน้ำเสียงก็ระเบิดออกมาผ่านดวงตา



     ผู้ชายอย่างผมก็คงทำสิ่งสุดท้ายได้แค่นี้



     โชคดีครับนัทตี้ :')



####



     หลังจากที่ร้องเพลงบนเวทีจบ ผมก็โดนไออาร์มกับไอซันลากกลับมายังโต๊ะ แถมยังกระดกเหล้าทั้งน้ำตาที่ไม่ต่างอะไรจากคนบ้าอีก เหล้าหลายแก้วถูกส่งมาหาผมแต่เหมือนเพื่อนแม่งไม่ทันใจ ผมเลยหยิบขวดเหล้ามาจ่อปากดื่มเอื๊อก ๆ ไม่มีใครหยุดผมได้เลยนอกจากสายตาอ้อนวอนของเฟิร์ส แววตามันดูเศร้าจนอดไม่ได้ที่จะต้องโถมตัวไปกอดอีกครั้ง ในหัวตอนนี้แม่งตีกันไปหมด ไม่รู้จะเอาเรื่องไหนมาคิดก่อนแล้ว คงด้วยสภาพล่อแล่ที่เมาแบบสุดขีด เจ้าภาพอย่างคุณประธานก็เลยจัดการไล่ผมให้กลับไปก่อน ปอนด์ที่มาร่วมงานด้วยก็ขออาสาไปส่งผมที่บ้าน แต่ไม่รู้ทำอีท่าไหนคนที่แบกผมเข้ามายังห้องนอนโดยที่มินเปิดประตูบ้านให้คือเจ้าเฟิร์สเสียเอง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันพากลับมาตอนไหนและเมื่อไหร่ ตอนนี้อะไร ๆ ก็เบลอไปหมด



     " โอ๊ย บาว ๆ หน่อยสิ" สิ่งที่ผมกำลังหนุนอยู่จากลักษณะนุ่ม ๆ แล้ว คงจะนอนอยู่บนเตียงแล้วสินะ



     " เบาห่าอะไร ตัวมึงหนักโคตร " แล้วมันก็บ่นอะไรอีกไม่รู้ยืดยาวว่าแดกทำไมเยอะแยะ ผมฟังไม่หมดหรอกก็เมาอยู่นี่หว่า งั้นวันนี้ก็นอนแล้วนะครับ ฝันดีนะก๊าบบท่านผู้อ่าน



     " อาบน้ำสักหน่อยเปล่า ? จะได้สบายตัวหน่อย " ผมไม่ได้ใส่ใจคนที่พูดใกล้ ๆ เท่าไหร่หรอก พลางได้ยินเสียงแอร์ด้วยสงสัยมันคงลุกไปเปิด



     " มิ้ลค์ อาบน้ำ " ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขหมายที่มึงเรียก กรุณาปลุกกูด้วยค่ะ ตู๊ดดด



     " ไอมิ้ลค์ ! " โอ๊ยยย จะอะไรนักหนาวะ !?



     " ไม่อาวจานอนแล้ว เดี๋ยวโพ่งเน้ไปเรียนฉาย " ผมบ่นอุบอิบกับมันเหมือนเป็นเด็กแววเสียงถอนหายใจแผ่ว ๆ คงจะหน่ายกับกูแล้วสินะ



     " โอ๊ยยยย " แล้วมึงจะทำอะไรกูอีกเนี่ย !? ผมลืมตาขึ้นแค่ครึ่งเดียวมองเฟิร์สที่กำลังถอดแจ็คเก็ตและเสื้อยืดบาง ๆ ออกจากตัว ให้เหลือแต่ร่างกายที่อวดโฉมสรีระ ตอนมันดึงเสื้อออกก็ไม่จับตัวผมไว้ด้วยนะ ศีรษะเลยกระแทกกับหัวเตียงดังปัก



     " เชี่ย ! กูขอโทษ " เพราะความเมาที่ควบคุมร่างกายไม่ได้อยู่นี้เอง ทำให้หัวผมไม่ได้รับความรู้สึกใด ๆ ทั้งนั้น



     ไม่รู้ภายใต้เปลือกตาที่ปิดแน่นอยู่นี้ คนที่พาผมมาส่งถึงบ้านกำลังทำอะไรอยู่ ห้องเงียบ ๆ ที่เคยมีผมกับมันพูดคุยกลับเงียบลงอย่างผิดสังเกต จนอดไม่ได้ที่ลืมตาขึ้นมา



     ใบหน้าของเฟิร์สที่อยู่ห่างเพียงแค่ลมหายใจกลับผงะในทันที กลิ่นตัวหวาน ๆ เคล้ากลิ่นบุหรี่ที่ติดเสื้อเริ่มเตะจมูกพร้อมกับไออุ่นจากสันดั้ง นัยน์ตาสีนิลที่ผมมองลึกลงไปมีความลังเลปนหวาดหวั่นอยู่ แม้พอจะเดาได้ว่าตัวเองกำลังจะโดนทำอะไร แต่ทำไมหัวใจกลับไม่ได้รู้สึกเต้นเร็วไปกว่าทุกที



     ไม่รู้ความคิดไหนในหัว สั่งฝ่ามือผมให้กระชากคอเสื้อใบหน้าที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ จนเราได้ริมรสความหวานหอมซึ่งกันและกัน



     ลิ้นของผมละล่วงเข้าไปในปากเฟิร์สได้ง่ายอย่างไม่ต้องร้องขอ ผมสัมผัสได้ถึงความหวั่นกลัวผ่านปลายลิ้น ไม่รู้ทำไม เฟิร์สที่เป็นฝ่ายรุกล้ำกลับตอบโต้ไม่เท่าตัวผมที่เกี่ยวกระหวัดอย่างรุ่มร้อน คนที่อยู่เหนือตัวพยายามหลีกหนีอยู่หลายครั้งแต่ก็ถูกฝ่ามือของผมที่ขยำคอเสื้ออยู่ดึงให้กลับมา ทีนี้เหมือนทางนั้นจะตัดสินใจอะไรได้ เลยโต้ตอบกลับด้วยลิ้นร้อนที่โลดแล่นอยู่ปากอย่างดีเดือด ยิ่งเอาลิ้นไปแตะตามซี่ฟันของเฟิร์สที่มีเหล็กติดอยู่ ก็ทำให้จูบครั้งนี้ของผมสนุกและเร่าร้อนขึ้นไปอีก ลมหายใจที่ไม่เคยดับศูนย์ เป็นตัวชี้วัดว่าเรายังอยู่อย่างนี้ได้อีกยาวนาน อารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในตัวไม่สามารถหยุดผมได้อีกต่อไป



     อยู่ดี ๆ บรรยากาศที่เราฟาดฟันด้วยริมฝีปากกันอยู่นั้น ก็ถูกมือแกร่งของเฟิร์สกดแผ่นอกผมให้ติดตรึงอยู่กับเตียง ผมมองเข้าไปยังนัยน์ตาคู่สวยด้วยคำถามว่าทำไม เฟิร์สที่หืดหอบมีท่าทีครุ่นคิดกับบางเรื่องจนแสดงออกผ่านม่านตา



     แล้วด้วยความรู้สึกไหนกันนะ ที่เรียกน้ำตาผมให้รวยรินบนใบหน้าและผุดความคิดบางอย่างออกมา เพื่อหวังจะให้คนคนนี้ได้รับรู้



     มันคือคำตอบสุดท้ายที่หลังจากนี้ผมจะทำ..



     ผมไม่อยากให้ใครต้องมาเจอคนเหี้ย ๆ แบบผมอีกแล้ว



     " เฟิร์ส...ฮึก กูไม่พร้อมจะรักใครแล้วว่ะ "



     คนที่ได้ยินก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่ต่างอะไรกับเป็นใบ้ ร่างโปร่งลุกขึ้นจากเตียงด้วยสายตาสั่นสะท้านราวกับเกิดแผ่นดิวไหว เฟิร์สแก้ไขสถานการณ์โดยคลี่ยิ้มออกมาด้วยท่าทางฝืนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมมองแผ่นหลังกว้าง ๆ ที่เดินออกประตูไปเหมือนกับร่างไร้วิญญาณก่อนประตูบานนั้นจะปิดลง



     ทุกอย่างมันหมายความว่าอะไร





ขอขอบคุณ

เพลง คำยินดี - KLEAR



- Not to be unlocked -

หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง - EP.26 (11/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 11-02-2018 17:28:45
Not to be unlocked : Special Episode 1 : ผมขอพูดอะไรหน่อยนะ



     " ฟังกูนะ กูจำไม่ได้หรอกว่ากูกับมึงไปเจออะไรกันมาบ้าง แต่กูไม่ได้ชอบมึง และก็จะไม่มีวันชอบด้วย จำไว้ !! "



     ทุกคนยังจำคำพูดของเพื่อนตัวสูงแถมผิวขาวเหมือนชื่อที่มันตั้ง ตอนผมบังเอิญเจอที่ห้องน้ำได้มั้ยล่ะครับ ? ผมไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยจริง ๆ ว่าไอคนขี้ทะเล้นอย่างมิ้ลค์จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้ง ๆ ตอนปฐมนิเทศคนที่จะจับผมทำผัวด้วยสายตายั่วยวนก็คือมัน ผมล่ะหน่ายกับแม่งจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวทั้งหมดมีอิทธิพลต่อจิตใจตัวเองมากมายซะขนาดนั้น แต่ไหนตอนผมซักประวัติ หน้าอึน ๆ ของมันเสือกตอบว่าจำอะไรไม่ได้เลยสักนิดว่าพูดอะไรออกไป เฮ้อ.. ผมไม่ดีใจหรอกนะครับที่อยู่ดี ๆ มีผู้ชายมาบอกจะจับทำผัวน่ะ อย่าหาว่าไร้สาระเลยครับก็ผมไม่โอเคอยู่แล้วถ้าได้แฟนเป็นตัวผู้เหมือนกัน



     แต่เพราะคำพูดนั้นทำให้ความคิดแปลก ๆ ที่ค่อยสั่งการผมให้ส่งสายตาอาฆาตไปยังมันก็สิ้นสุดลง พอเราทั้งคู่เคลียร์ปัญหาจบ มิ้ลค์ก็ขอตัวไปคัดงานต่อเพราะถูกทำโทษ มันบ่นให้ฟังว่าอาจารย์จะให้คัดอะไรเยอะแยะ น่าเบื่อก็น่าเบื่อ ถึงจะไว้ใจมิ้ลค์ได้ไม่มากเท่าไหร่ผมก็ออกปากช่วยเหลือมันทันที ขืนปล่อยให้มันบ่นต่อมีหวังผมคงหูชาแน่ พึ่งรู้เหมือนกันครับว่าเพื่อนที่รูปลักษณ์ค่อนข้างเพอร์เฟคอย่างมิ้ลค์จะเป็นคนขี้บ่นซะด้วย หึหึ



     ตลอดที่ผมช่วยมิ้ลค์คัดงาน มันบ่นตลอดเลยว่าปวดว่าเมื่อย แถมให้ช่วยคัดที่เหลืออีก ใจลึก ๆ ก็อยากจะตบหัวมันให้ทิ่มเหมือนกัน แม่งเหลืออีกไม่กี่รอบเองจะบ่นทำซากอะไร แต่จะให้อยู่ดี ๆ ไปตบเพื่อนใหม่อย่างมันก็ใช่เรื่อง คำหยาบไม่ต้องพูดถึงครับว่าผมจะพ้นออกไปเป็นปืนกล ผมตกใจมาก ๆ เลยนะที่อยู่ดี ๆ มิ้ลค์ก็เอาขนมมาป้อนถึงปาก ร้อยวันพันปีผมใช้ชีวิตอยู่โรงเรียนไม่เห็นต้องให้ไอคิงคองกับเพื่อนคนอื่น ๆ มาประเคนให้แบบนี้ แต่มิ้ลค์มันแปลกกว่าคนที่ผมเคยเจอมาทั้งนั้นเลยว่ะ ก็เลยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ กินตามมันไป เผื่อมันจะบ่นว่าผมไม่ตามใจอีก



     พอช่วยงานเสร็จ หน้าของมันก็ดี๊ด๊าขึ้นมาทันทีไม่ต่างอะไรจากดีดนิ้ว มิ้ลค์จะพาผมไปเลี้ยงข้าวแทนคำขอบคุณที่ช่วยเหลืองานจนลุล่วง แล้วไหนผมก็หิวด้วย เพื่อนใหม่ของผมเลยพาไปทานข้าวเย็นถึงจะดึกแล้วก็ตามที แต่ดันพาไปกินที่บ้านของมันแทนซะงั้น !? เจ้าของบ้านบอกจะลงมือทำอาหารให้กินด้วยตัวเองน่ะ มันทำให้ผมอึ้งอีกแล้ว ผมมองจานข้าวผัดอะไรก็ไม่รู้ตรงหน้าอย่างพินิจ มันบอกอร่อยครับ แต่ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ ซึ่งเพื่อนมันก็หวังดีกับเราน่ะครับ ก็สนองความต้องการของทางนั้นสักหน่อย..



     อร่อยครับ ! มันอร่อยมาก !!



     นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ผมเคยเจอว่าผู้ชายอย่างมิ้ลค์จะทำอาหารได้ พอกินเสร็จปุ๊บก็ถูกบีบบังคับให้ผมนอนค้างที่บ้านทันที ผมหาข้ออ้างไปเรื่อยแต่ก็ถูกต้อนจนไร้ทางหนี แค่มิ้ลค์ใจป้ำทำอาหารเลี้ยงผมก็เกรงใจจะตายอยู่แล้ว นี่ต้องมานอนใต้ชายคากับเพื่อนคนนี้อีกน่ะเหรอ ? สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้หน้าตาที่จริงจังของมัน เลยจำใจโทรบอกแม่ว่าวันนี้นอนบ้านเพื่อน ทางปลายสายก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ ทั้งยังบอกอีกว่าอย่าไปซนบ้านเขาล่ะอย่างที่เคยพูดบ่อย ๆ พอก้าวมายังห้องของนอนของเพื่อนใหม่ก็ต้องตะลึงในอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งขนาด เฟอร์นิเจอร์ ห่าเหวอะไรทั้งหลายแหล่ และถ้วยรางวัลนั้นก็คงจะเป็นตัวยืนยันว่าไอนี่ชอบทำอาหารสินะ มิ้ลค์บอกอีกว่าจะซักเสื้อและให้ยืมหนังสือด้วย แม่งจะทำผมตกใจไปถึงไหน นี่มึงสักผ้าเป็นด้วยเหรอ ? ปกติบ้านผมจะซักผ้าทีนึงก็ต้องส่งไปทำที่ร้าน จริง ๆ แม่เคยจ้างแม่บ้านเหมือนกันครับ แต่ก็ลากออกไปกันหมดไม่รู้เหตุอันใด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น มันยืนมองผมด้วยสายตาดุดันและเสียงแข็งจนต้องยอมถอดให้ ที่ผมไม่อยากให้เพราะเกรงใจมันน่ะนะ ทั้งเลี้ยงข้าว นอนค้างที่บ้านอีก จริง ๆ ผมใส่ซ้ำไปโรงเรียนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร หุ่นผมกับมิ้ลค์ก็ไม่ต่างกันมาก อารมณ์เหมือนพวกนักกีฬาทั่วไป เห็นมันวิดพื้นด้วยหนิ คงจะเป็นที่มาของกล้ามแขนและหน้าอกอันนูนเว้า ส่วนผมก็เตะบอลเล่นบาสแทบทุกวัน แต่เหมือนมิ้ลค์จะขาวกว่าผมเยอะ ผมยอมรับว่าค่อนข้างประหม่าเลยล่ะที่อยู่ ๆ ดีก็ถอดเสื้อแถมอยู่กันสองต่อสอง อาการแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครนอกจากผู้ชายคนนี้ คงเป็นเพราะเศษตะกอนในใจที่เคยมองว่ามันชอบล่ะมั้ง แต่ท่าทางของมิ้ลค์ไม่ได้กังวลเหมือนผมเลยว่ะ แล้วผมจะต้องกลัวมันไปทำไม จริงมั้ย ? :)



     ตลอดทั้งคืนผมย้อนความคิดไปสมัยม.ต้นกับหมอนี่ ตอนนั้นมิ้ลค์ยังตัวไม่สูงมาก พูดง่าย ๆ ว่าเตี้ยเลยแหละ ฮ่า ๆ เฉกเช่นผม ตอนนั้นเพื่อนในห้องมันชอบล้อผมว่าแก้วหน้าม้าน่ะ ก็ฟันแม่งโคตรเหยิน ผมเลยร้องไห้ไปหาแม่บอกว่าเพื่อนชอบล้อ จากนั้นเขาก็พาผมไปจัดฟัน แม่งโคตรปวดดด คุณหมอบอกว่าอยากหล่อก็ต้องอดทน พอขึ้นม.ปลายเราทั้งคู่ก็พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน มิ้ลค์สูงขึ้นมาก ผมก็หล่อขึ้นเยอะ หึหึ นึกแล้วก็ตลกเหมือนกันที่ก่อนจะคบกับนัทตี้ผมเคยทักเฟสบุ๊คไปขอคำปรึกษาเรื่องความรักกับมิ้ลค์ด้วยล่ะ ฮ่า ๆ เป็นบ้าอะไรอยู่ดี ๆ ก็โพสสเตตัสรับปรึกษาปัญหาหัวใจ ทำตัวอย่างกับรู้ดีตายแหละ แต่มันก็ให้คำปรึกษาจนผมได้คบกับนัทนี้จริง ๆ นะ พอหลังจากกิจกรรมวันปฐมนิเทศตอนขึ้นม.4 ใหม่ ๆ ผมก็อันเฟรนด์มันทันที เหอะ ก็คนมันกลัวเพศเดียวกันมาบอกชอบนี่หว่า



     ผมเคยถามมันนะว่าทำไมถึงชื่อมิ้ลค์ มันก็บอกไปถามม๊ากูเองสิ ก็เลยโดนผมโบกกบาลไปหนึ่งที มิ้ลค์ทำหน้าบึ้งเหมือนเด็ก ๆ ก่อนจะบอกว่าตอนม๊าคลอดตัวมันขาวจั๊วะเหมือนน้ำนม ม๊าก็เลยตั้งชื่อให้ว่ามิ้ลค์ ส่วนน้องมินเขาไม่ได้มีเหตุผลพิเศษอะไรนอกจากอยากให้ลูกคนที่สองมีชื่อม.ม้าเหมือนพี่ ก็เหมือนพี่สาวของผมที่ชื่อขึ้นต้นด้วยฟ.ฟันเหมือนกัน



     อ้อ ! ผมก็พึ่งรู้เหมือนกันว่ามิ้ลค์เป็นลูกจ้างร้านแม่ผมด้วย ผมอวดแม่ใหญ่เลยว่าคนที่เคยไปนอนค้างที่บ้านคือมิ้ลค์นี่แหละ มันทำอาหารอร่อยมาก อร่อยจนแม่ผมต้องอัญเชิญมาบำเรอถึงบ้าน หมั่นไส้มันจริง ๆ ที่เรียกคะแนนได้ดีกว่าลูกในไส้อีก หึ ! พอรู้จักมิ้ลค์ไปอีกระดับหนึ่งถึงทำให้รู้ว่าแม่งเป็นคนชอบยัดเหยียด ไม่ใช่พูดใส่ความ แต่แม่งชอบเอาโน่นเอานี่มายัดใส่ปากใส่มือ ถ้าไม่รับไว้แม่งก็จะบังคับจนกว่าจะได้ เอาแต่ใจชิบหาย ตอนทำแผลให้มันก็เหมือนกันครับโคตรดื้อเลย ผมทนไม่ไหวถึงขั้นต้องตะคอกให้มันสงบ ได้ข่าวว่าเพื่อนห้องมันกลัวกันเหรอ ? หึ มึงอย่าเหมากูรวมในนั้น วันต่อมาไม่มีใครอยู่บ้านมิ้ลค์ก็เลยสอนทำอาหารให้ ผมค่อนข้างกลัวเลยแหละเพราะชีวิตนี้ไม่เคยจับหม้อจับตะหลิวเลยสักครั้ง มันสอนค่อนข้างเข้าใจง่ายครับ แต่ด้วยความกลัวนี้เองก็ทำให้ผมป้ำ ๆ เป๋อ ๆ จนมิ้ลค์ต้องออกแรงช่วยเหลือ ข้าวต้มไก่วันนั้นมันอร่อยจนผมหุบยิ้มไม่อยู่เลย ไม่รู้ทำไม ทั้งที่แม่งนิสัยแบบนี้แต่ผมรู้สึกชอบมันจัง คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ทำได้ทุกอย่าง



     และแล้วความจริงบางอย่างก็ถูกเปิดเผย



     แฟนสาวที่มิ้ลค์พาผมไปรู้จักก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง



     ผู้หญิงที่เคยทรยศหัวใจผม



     ผมทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนัทตี้อีกครั้ง ทำได้เพียงแต่ขอตัวลามิ้ลค์ไปซะดื้อ ๆ เธอเคยทำผมเจ็บปวดเจียงตายเพราะครั้งหนึ่งนัทตี้เคยมาบอกจากปากเองว่าขอ ' เลิก ' เหตุผลของเธอมันไร้สาระสิ้นดี คิดว่าการไปเจอสิ่งที่ดีกว่าผมมันจะสามารถขอเลิกกันง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ ? ผมยื้อนัทตี้แทบทุกวิถีทางเพื่อจะได้เธอคืนมา ผมเป็นคนค่อนข้างขี้หึงไม่ค่อยแสดงออก แต่ครั้งนี้เหลืออด ผมถึงขนาดเดินเข้าไปกระชากข้อมือนัทตี้ในร้านอาหารที่ไอเด็กปีสองนั่นพามากิน ผมไม่แคร์สายตาไหนทั้งนั้นแหละก็นี่มันของผม คนรักของผม แต่แล้วจะไปสู้ได้ยังไงในเมื่อคนที่ถูกเลือกคือมัน ถึงเราจะมีข้อผูกมัดถึงขั้นมีอะไรกันแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไรกันล่ะถ้านัทตี้ไม่ได้เลือกผม



     นับตั้งแต่วันที่เลิกกันจนผมไปเจอกับนัทตี้ที่มิ้ลค์เป็นคนแนะนำก็ปีกว่าเห็นจะได้ ถึงเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เสือสาวตัวนี้ย่อมไม่เคยทิ้งลาย เธอเดินควงผู้ชายคนใหม่ต่อหน้าต่อตาผม แม่งโคตรรู้สึกแย่ โชคดีที่วันนั้นไปซื้อของแล้วกำลังจะกลับบ้านมิ้ลค์มันไม่เห็นเหมือนกัน คงได้มีเลือดตกยางออกกันแน่ ส่วนตอนค่ำที่ผมพามันไปที่ทะเลสาบก็ไม่ได้จะพาไปเที่ยวอะไรอย่างปากว่าหรอก แค่อยากจะรับรู้ว่าเพื่อนคนนี้คบกับนัทตี้นานแค่ไหนแล้ว ทำไมผู้หญิงแบบนั้นถึงยังกล้าทำอย่างนี้อยู่



     วันต่อมาหลังจากไปสยามกันเสร็จ ผมก็ไปส่งมันกลับบ้านถึง BTS ผมมองแผ่นหลังของมิ้ลค์ที่เดินเข้าไปก่อนจะถึงเครื่องสอดบัตร พลางคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้กำลังโดนหลอกเหมือนที่ตัวเองเคยถูกกระทำ ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากส่งกำลังใจไปให้



     " โชคดีนะ " ผมโบกมือลามันด้วยรอยยิ้มอย่างเต็มใจ มันก็อึ้ง ๆ นะ แต่ก็ยอมโบกมือลาผมเช่นกัน



     จนผมตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง สักวันหนึ่งผมจะบอกเรื่องนัทตี้ เพื่อไม่ให้มิ้ลค์ต้องมาเจอเรื่องความหลังฝังใจแบบผม ผมไม่อยากให้ประวัติต้องมาซ้ำรอยเพื่อนใหม่ของผม



     หลังเลิกเรียนวันนั้นพวกเรามีนัดทำฉากกันที่หน้าสแตนด์ หัวหน้าฝ่ายอาร์ทอย่างผมถึงจะวุ่น ๆ เรื่องเช็กของ แต่ก็ปลีกตัวมาช่วยเหลืองานทั้งของเพื่อนตัวเองและห้องสิบเอ็ดได้ แล้วผมก็ต้องมาอารมณ์แปรปรวนเมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ แม่งจะมาทำห่าอะไร !? ผมไม่สบอารมณ์ถึงขนาดต้องปล่อยไอมิ้ลค์ที่แกล้งอยู่ไปสมทบกับเพื่อนห้องตัวเองเพื่อสงบสติ พวกเพื่อน ๆ ก็เห็นเหมือนผมว่าใครมา เลยเป็นการปลอบใจผมเป็นการใหญ่ ผมยอมรับครับว่าเป็นสุภาพบุรุษ แต่อยากเขวี้ยงคำนี้ไปให้ไกล ๆ แล้วเดินไปต่อยปากแฟนไอมิ้ลค์จริง ๆ ตลอดการทำงานผมสังเกตได้ว่านัทตี้มองผมเป็นระยะ ๆ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่ากับมิ้ลค์ที่เดินกลับมาพร้อมกับแฟนมัน เพื่อนตัวขาวคนนั้นดูซึมไปอย่างประหลาด นี่มันทำอะไรกับเพื่อนของผม !? ผมกำหมัดจนเล็บแทบจิกเข้าเนื้อ ผมเกลียดตัวเองที่ทำห่าอะไรไม่ได้ ผมเกลียดนัทตี้ที่กำลังหลอกเพื่อนของผมอยู่ !



     เย็นในวันเดียวกันผมได้รับภารกิจให้ไปซื้อของเข้าร้านของแม่ที่สยาม ผมใจจดจ่อรอแต่วันรุ่งขึ้นเพื่อจะไปบอกมิ้ลค์ทันทีว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ผมทนไม่ไหวแล้วที่เห็นมิ้ลค์โดนมารยาร้อยเล่มเกวียนของนังผู้หญิงคนนั้น และแล้วเรื่องบังเอิญก็เกิดขึ้น ผมที่จะเดินทางกลับบ้านก็เห็นเด็กโรงเรียนเดียวกันหน้าตาคุ้นเคยกำลังส่งแฟนขึ้นรถ ผมรอให้มิ้ลค์ส่งนัทตี้ขึ้นรถก่อนจะเดินเข้าไปหามัน



     " กูขอไปนอนบ้านมึงสิ กูมีอะไรอยากจะบอกมึงเยอะแยะเลยว่ะ "



     มันก็ไม่ได้ว่าอะไรผมนะครับ ซึ่งเป็นการดีที่ผมจะบอกเรื่องราวทุกอย่างให้แก่มัน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ ผมแทบจะเปิดพจนานุกรมหาคำพูดที่สวยหรู่ที่สุด เพื่อไม่ให้เพื่อนคนนี้ต้องมาเสียน้ำตาเมื่อรู้ความจริง



     แต่แล้วผมก็ไม่สามารถบอกความจริงให้มันรับรู้ได้



     สิ่งเดียวที่ผมไม่อยากทำคือทำลายรอยยิ้มอันสดใสของมัน



     ทำไมผมถึงคิดแบบนั้น ?



     ที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้สึกพิเศษกว่าใครนอกผู้หญิงที่เรียกว่า ' แฟน ' ได้เลยสักครั้ง แต่ฟ้าต้องการจะทดสอบอะไรกับผมให้ไปรู้สึกดีกับผู้ชายด้วยกัน แถมเกิดขึ้นแค่กับเพื่อนที่ชื่อว่ามิ้ลค์อีก ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับมิ้ลค์อยู่หลายครั้งตั้งแต่เราจ้องตากันในห้องน้ำเพื่อหลบหนีอาจารย์พรทิพย์ เล่นไพ่คิงแล้วจูบกันตั้งสิบวินาที ห้องครัวที่ผมไปดีดกีตาร์ตอนมันทำข้าวเย็นให้เพื่อนกิน กลางสระน้ำที่ไอมิ้ลค์กวนตีนมาจูบปาก ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่มันเป็นความรู้สึกที่น่าหลงใหลและน่าค้นหา ผมพยายามหาคำตอบอยู่หลายครั้งว่าทำไมต้องเกิดแค่กับมิ้ลค์ด้วย



     แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนของมิ้ล์อย่างกั๊มพ์และอาร์มพลั้งปากพูดถึงเรื่องนัทตี้ที่ไปเดินกับผู้ชาย มันเป็นวันเดียวกันกับที่ผมเห็น ผมช็อกไม่ต่างอะไรจากมิ้ลค์ วินาทีนั้นผมแข็งเป็นหินทั้งตัวจนทำอะไรไม่ได้นอกจากดูสีหน้าเศร้าหมองของมันที่ค่อย ๆ ปรากฏ ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่านัทตี้ลั่นออกมาจากมิ้ลค์ มันทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอาการหึงหวงหรือเจ็บแค้นกันแน่ ครั้งนั้นที่ผมเห็นสเตตัสของอาร์มที่เช็กอินสวนน้ำจังหวัดหัวหินและแท็กไปยังบุคคลหนึ่ง ไม่ต้องเข้าไปดูก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงหน้าไหน ผมทักไลน์ไปหามิ้ลค์ด้วยความไร้เหตุผล แต่แล้วอารมณ์ต่าง ๆ ก็สงบลงเมื่อสัมผัสความรู้สึกผ่านตัวอักษรของมิ้ลค์ มันยังมีความสบายอกสบายใจอยู่ ถ้ามิ้ลค์ไม่ได้ร้อนรนอะไร ผมก็ไม่ควรทำอะไรนอกจากอยู่เฉย ๆ ทำไมคนที่แสนดีแบบมึงต้องไปยอมผู้หญิงไม่รู้จักพอแบบนั้นด้วย



     ที่ผมทำดีกับมิ้ลค์ จุดประสงค์หลักก็เพื่อจะบรรเทาความเจ็บปวดหากวันหนึ่งเรื่องราวต่าง ๆ ถูกเปิดเผย ความเจ็บปวดเหล่านั้นผมหวังว่ามันจะทุเลาลง แต่เส้นทางที่ผมวาดฝันไว้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ปากว่าน่ะสิ ทุกอย่างที่ผมทำให้มิ้ลค์กลับกลายเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ผมได้รับจากผู้ชายคนนี้ ผมตลกในความเปิ่นของมันที่เอาหน้ามาซุกตอนโฆษณาผีในโรงหนังเริ่มฉาย ที่ผมบอกแม่ว่าจะเข้าไปช่วยงานในครัวก็เพื่อจะลอบมองใบหน้าของมิ้ลค์ผ่านซิงค์ล้านจาน ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ มิ้ลค์ถึงได้ชวนไปเที่ยวสยามหลังเลิกงาน ผมรู้สึกดีนะที่มิ้ลค์นอนตักในห้องประธานนักเรียนอย่างไม่ถือตัว ตอนผมและมันช่วยกันเลี้ยงลูกของน้าอิ๋วที่ชื่ออั่งเปาก็ด้วย ทุกอย่างที่ได้รับจากมิ้ลค์มันทำให้ผมรู้จักความสุขโดยแท้จริง ผมไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยเพื่อจะได้มันมา



     ผมจำกัดความไม่ได้แล้วว่าเราเป็นอะไรกัน กว่าผมรู้จะตัวอีกทีความรู้สึกมันก็ไปไกลเกินกว่าคำว่า ' เพื่อน ' มากแล้ว



     จนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนผมทุกคืนก็เป็นจริง



     มิ้ลค์กับนัทตี้ต้องเลิกกัน



     ด้วยความสงสัยตอนเช้าว่าทำไมน้องมินถึงได้มาโรงเรียนคนเดียว ผมเลยเข้าไปทักทายตามปกติอีกทั้งถามว่ามิ้ลค์ไปไหน น้องเขาพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก



     " พี่มิ้ลค์เขา...เลิกกับแฟนน่ะครับ เลยไม่ได้มาโรงเรียน "



     เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ใจผมก็วาปไปหามิ้ลค์ในทันที ไม่ต้องออกปากถามว่าเลิกกันเพราะอะไรผมก็รู้ ถ้ากระโดดออกนอกรั่วโรงเรียนได้ผมก็ทำไปแล้ว ตลอดการเรียนผมไม่มีกะจิตกะใจกับหน้าหนังสือตรงหน้าเลย หัวใจมันคิดแต่จะไปขอโทษมิ้ลค์ ปลอบมิ้ลค์ กอดมิ้ลค์ หรือถ้ามิ้ลค์ต้องการอะไรผมจะหามาให้ แม้จะแลกด้วยอะไรผมก็ยอม!! การที่มิ้ลค์โดนผู้หญิงแบบนั้นบอกเลิก มันเจ็บปวดทรมานใจยิ่งกว่าผมไปบอกความจริงทั้งหมดให้มิ้ลค์รู้เสียอีก



     ผมกอดมิ้ลค์ด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บจากก้นบึ้งหัวใจ



     การที่มิ้ลค์รู้ความจริงผ่านการบอกเลิก ผมรู้ดีความเจ็บปวดมันมากมายมหาศาลแค่ไหน ผมอยากเอาความเจ็บปวดที่มิ้ลค์เป็นอยู่มาเป็นของตัวเอง แต่ก็รู้มันเป็นไปไม่ได้



     ผมแม่งโง่ที่ไม่ยอมบอกความจริงเพียงแค่กลัวว่าคนที่ให้ความรู้สึกพิเศษคนนี้จะเสียใจ



     ผมเกลียดตัวเองที่สุดที่เห็นแก่ตัว



     " แล้วทำไมมึงไม่อยากทำลายรอยยิ้มกูล่ะ ? "



     คำถามที่ได้รับผ่านอ้อมอกของมิ้ลค์ ผมตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่อยากทำลายมัน รอยยิ้มของมิ้ลค์มันเป็นอะไรที่หาได้ยาก มันเป็นอะไรที่ผมอธิบายไม่ถูก ผมอยากให้รอยยิ้มนี้มีเพื่อผม รอยยิ้มอ่อนโยนแบบนี้มีแค่มิ้ลค์คนเดียวเท่านั้นที่ผมเคยได้รับ



     ผมไม่รู้ทำไมถึงได้ให้ความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้นได้มากมายแก่มิ้ลค์จนค้นพบความจริงผ่านริมฝีปาก ถึงจะเป็นวิธีที่ไม่ควร แต่จังหวะที่มิ้ลค์เมาและไม่มีสตินี่แหละ คงจะพิสูจน์ว่าผมคิดอะไรกับมันกันแน่ ก่อนที่ผมจะโน้มตัวไปจุมพิต การที่หัวใจเต้นไม่คุ้นจังหวะนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกว่าผมรู้สึกยังไงกับผู้ชายคนนี้แล้ว แต่แค่นี้มันยืนยันอะไรไม่ได้หรอก อยู่ ๆ มิ้ลค์ก็ลืมตาเรียกให้ผมชะงัก ผมทำอะไรต่อไม่ถูกเลยได้แต่นึงเงียบ แค่หัวใจเต้นกับมิ้ลค์ในตอนนี้ผมก็รู้ตัวแล้วว่าคิดและรู้สึกอะไร ผมผละตัวออกจากคนที่นอนอยู่ก่อนจะถูกฝ่ามือข้างนั้นกระชากไปรับรสหวานจากปาก ผมค่อนข้างจะลังเลที่ตอบรับความรู้สึกของมิลค์ก็เลยได้แต่ปฏิเสธ แต่ลิ้นนั่นก็เชิญชวนอย่างเร่าร้อนจนร่างกายผมมันควบคุมไม่ได้ เลยต้องปล่อยใจให้มันทำตามต้องการ



     ผมรู้แล้วว่าคำตอบของคำถามนี้คืออะไร



     ผมชอบมิ้ลค์



     ผมอยากดูแลมัน ผมอยากปกป้องมันเพื่อไม่ให้เจอสิ่งเลวร้ายหลังจากนี้อีก



     วินาทีที่รู้คำตอบผมก็ผลักตัวมิ้ลค์ซะติดเตียง หากไม่หยุดตัวเองไว้ ผมคิดว่าอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่การจูบน่ะสิ ผมมีความสุขนะที่คำตอบเป็นแบบนี้ ผมอยากเก็บช่วงวินาทีแห่งความสุขนี้ไปให้นานที่สุด ใบหน้าของมิ้ลค์จู่ ๆ น้ำตาทั้งสองข้างก็หลั่งไหล่ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล พร้อมกับประโยคที่พลัดพรากคำตอบเมื่อครู่ของผมไปจนหมดสิ้น



     " เฟิร์ส...ฮึก กูรักใครไม่ได้แล้วว่ะ "



     ผมไม่คิดว่าอาการที่ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปมากมายจะทำให้คำพูดนี้หลุดออกมาจากปากง่าย ๆ ยิ่งน้ำตาที่ไหลออกมาพร้อมกับคำพูด มันเติมแต่งให้ประโยคสั้น ๆ นี้มีความจริงจังเป็นไหน ๆ และประโยคนี้เองก็ทำให้ผมลมแทบจับ ทั้ง ๆ ที่ได้คำตอบแล้วว่าคิดอะไรด้วย แล้วทำไมกันล่ะมิ้ลค์



     ทำไม..



     ผมเดินออกจากประตูของห้องด้วยสติที่แทบจะไม่หลงเหลือ ประตูห้องปิดลงพร้อมกับแผ่นหลังที่พิงติดลากถไลลงกับพื้นอย่างคนไม่มีแรง ที่มิ้ลค์พูดแบบนั้นออกมาคงปิดใจไม่กล้ายอมรับใคร เพราะกลัวจะต้องเจอคนแบบนัทตี้อีกสินะ



     หึ ทุเรศตัวเองสิ้นดี ทั้งที่เคยคิดว่ามันชอบ แต่กลับไปชอบซะเอง



     มันก็คงเป็นเวรกรรมของผมนั่นแหละที่เอาแต่ได้ ไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักต้องมาเสียน้ำตา



     หลังจากนี้ผมต้องทำเพื่อตัวมิ้ลค์เองบ้าง ผมต้องไถ่โทษกับกรรมที่ตัวเองก่อไว้



     ผมต้องตัดขาดจากคำว่ารัก เพื่อให้เหลือเพียงคำว่าเพื่อน



     ไม่สิ...เราต้องไม่เป็นอะไรกันทั้งนั้น



- Not to be unlocked -

หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง - SEP.1 (11/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 12-02-2018 19:33:45
Not to be unlocked : Episode 27 : อากาศ



     เช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบถ่อตัวเองไปถึงโรงเรียนให้ไว้ที่สุด เนื่องจากคุณซันแม่งโทรมาปลุกผมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างว่าให้รีบมาไว ๆ เพราะวันนี้กลุ่มเราต้องพรีเซนต์งานหน้าห้อง หนำซ้ำกลุ่มเรายังไม่ได้ทำห่าอะไรเลยด้วย !! ขืนมึงอู้หรือไม่มาโรงเรียนมีหวังยี่สิบคะแนนได้หายไปกลับอ้วกเมื่อคืนแน่ ๆ ผมมาถึงโรงเรียนตั้งแต่หกโมงยี่สิบครับ แต่ก็ไม่เห็นหัวหมาที่แม่งโทรมาเร่งเลย ไอเลววว เมื่อคืนกูก็เล่นกระดกเอากระดกเอา เช้ามาหัวปวดแบบโคตะระ ดีนะที่ตากี้ผมแวะเซเว่นซื้อกาแฟร้อนมาจิบ บรรเทาไปได้นิดหน่อย



     " ไงมึง " ในที่สุดเพื่อนร่วมแก๊งที่ไปปาตี้เมื่อคืนก็มากันแบบพร้อมหน้า โอ้โห ! ไอซัน ไอปิงปอง สภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน



     " เออ เมื่อคืนมึงกลับกันกี่โมงวะ ? " กาแฟที่อุ่นแล้วถูกผมซดเข้าไปอีกอึกใหญ่พลางรอเจ้าเพื่อนตัวดีตอบ อ่าห์..~ คล่องคอดีแท้



     " ตีสี่ " พรวดดด ตีสี่ !!! เชี่ย !! มึงได้นอนกันมั้งมั้ยว่ะเนี่ย !?



     " เข้ !! พวกมึงจะดีดกันไปไหนวะ !? " ผมยังเหวอกับคำตอบของไอขี้เมาปิงปองไม่หายเลยว่ะ อยากรู้จริงว่าเมื่อเช็กบิลไปเท่าไหร่ (ผมจำไม่ได้หรอกครับ แต่เงินในกระเป๋าตังหายไปจำนวนหนึ่ง)



     " ก็เหล้ามันเหลือกลมสุดท้าย ก็รีบ ๆ แดกมันให้หมด จะทิ้งก็เสียดาย " เอ่อ...คุณเพื่อนซันครับ ถ้าเหล้าที่ร้านเหลือ เอากลับบ้านพี่หลินเขาก็ไม่ตามมาแดกหัวมึงนะ โว้ะ !!



     " แล้วไออาร์มอะ ไม่มาด้วยกันเหรอ ? " ผมชะโงกซ้ายทีขวาทีก็ไม่เห็นมีใครนอกจากพวกเราในโรงอาหารสักราย จะมีก็บ้าละยังไม่เจ็ดโมงเลย



     " นอนตายอยู่ห้องสภาโน่น กูบอกให้มันไปนอนพักเองแหละ คาบสองกูให้มันออกไปพรีเซนต์ แม่งหาเสียงก่อนจะมาเป็นประธานนักเรียนได้ แค่นี้ไม่น่าจะยากสำหรับมัน " ซันมันร่ายยาวพร้อมกับหยิบกรรไกร คัตเตอร์ ไม้บรรทัด และอีกหลายอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะ



     " แล้วพวกมึงไหวกันเหรอวะ ? นอนกันแค่สองสามชั่วโมงเนี่ย " ผมรับฟิวเจอร์บอร์ดจากซันที่เหมือนจะยังแปะข้อมูลไม่เสร็จมาตรวจดู อืมมมม ตัดเนื้อหาให้เป็นรูปเล็ก ๆ แล้วตกแต่งนิดหน่อยน่าจะใช้ได้



     " ใครบอกกูนอน พอกูเช็กบิลเจ๊หลินเสร็จกว่าจะนั่งรถกลับบ้านก็ตีห้าครึ่งละ นี่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็มาโรงเรียนต่อเลย " โหหหห นี่แม่งจะพลังกันไปถึงไหน !! ขอบตาพวกมึงนี่เขาจะจับไปสวนสัตว์เชียงใหม่มั้ยวะ ? กูขอเรียกหลินปิงกับหลินซันละกัน ฮ่า ๆ ไม่วายปิงปองก็ขอบ่นอะไรสักหน่อย



     " เออ รถแม่งติดตั้งแต่ตีห้า จะรีบทำงานกันไปถึงไหน " อ้าวเชี่ยปอง คนเขาทำมาหาแดกก็ไปว่าเขาอีก มึงนี่ก็บ้า



     " แล้ว...เมื่อคืนใครมาส่งกูวะ ? กูจำห่าไรไม่ได้เลย " อยู่ดี ๆ ผมก็นึกย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อคืนที่ว่าใครเป็นอาสามาส่งถึงบ้าน ซันทำท่าคิดแต่คนข้าง ๆ แทรกตอบแทน



     " ก็ไอปอนด์ไง เห็นมันบอกว่าถ้ามึงกลับ มันก็กลับ " ปอนด์เนี่ยนะ ? ทำไมกูรู้สึกว่าคนที่มาส่งกูถึงห้องไม่ใช่มัน



     " แต่กูเห็นไอเฟิร์สลุกไปพร้อมมึงนะ " ซันที่ตัดกระดาษอยู่ก็ขยายความให้จนผมต้องกะพริบตาปริบ ๆ



     " เหรอ " แล้วสรุปผมต้องเลือกขอบคุณข้อ ก. ปอนด์ หรือ ข. เฟิร์สวะ โว้ะ งงไปหมดแล้ว งั้นผมกา ง. ละกันถูกทุกข้อ ฮ่า ๆ



     พวกผมสามคนเร่งตัดกระดาษข้อมูลและของตกแต่งให้สวยงามพลางแปะลงยังฟิวเจอร์บอร์ดแผ่นฟ้า ๆ นี่ สองคนนั้นดูง่วงนอนมากครับ ตัดกระดาษไปหัวแม่งก็โคลงเคลงไป เข้าใจดีเลยแหละคนไม่ได้นอนมันทรมานแค่ไหน (ขนาดนอนมาแล้วยังง่วงเลยเนี่ย) คาบสองกลุ่มผมต้องพรีเซนต์เรื่องระบบเซลล์กันน่ะครับ เหอ ๆ ลืมกันซะสนิทเลยว่าต้องพรีเซนต์หลังกีฬาสี ทำไมอาจารย์ไม่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาให้หยุดพักกันมั้งน้ออ เหนื่อยกีฬาสีเสร็จแล้วต้องมาเหนื่อยแดกเหล้า เหนื่อยแดกเหล้าแล้วต้องมาเหนื่อยพรีเซนต์ อุ๊ย อย่าไปบอกอาจารย์นะครับเดี๋ยวคะแนนจะบ๋อแบ๋



     " แว้กกกกกกกกก " โทนเสียงแสบแก้วหูแบบนี้มีแค่ไอห่าอาร์มเท่านั้นครับที่ทำได้ ตอนเช้ากูควรจะได้ยินเสียงไก่ขัน แต่ต้องมาฟังมึงขันเองเนี่ยนะคุณประธาน ?



     " เป็นห่าอะไรไอสัด ? " ผมมองหน้าไออาร์มเคือง ๆ แต่ไม่เหมือนสองคนนั้นที่มองด้วยความสงสัยว่ากูให้มึงไปนอนห้องสภาฯ ไหนมึงมาโผล่นี่ได้ คุณประธานเขาหยุดหอบแฮก ๆ อยู่หัวโต๊ะก่อนผมจะสังเกตถึงมือขาว ๆ ของใครบางคนที่มาคว้าแขนอาร์มไว้



     " จะไปไหนเหรอครับ...พี่อาร์ม ? " เป็นหน้าของมินครับที่ออกมาหลังคอนเวอร์เซชั่น เสียงโคตรดุเลยว่ะ



     " อ้าว ๆ มีไรกันอะ ? " ผมเองนี่แหละที่ถามออกไป มินถอนหายใจใส่คนที่ล็อกตัวอยู่ด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ



     " ก็เพื่อนพี่มิ้ลค์อะสิ มาแอบหลับในห้องสภาฯ ไม่ยอมเคลียร์เอกสาร บอกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าต้องจัดการให้เสร็จก่อนเที่ยง เดี๋ยวชมรมที่เขามาของบก็ได้ช้าอีก " คนบงการให้เจ้าอาร์มไปนอนพักถึงขั้นสะดุ้งตัวใหญ่ ฮ่า ๆ รู้ตัวนี่หว่า



     " อันนี้มินก็ทำได้ ไม่เห็นต้องให้พี่ทำเลยหนิ เมื่อคืนพี่ก็ไม่ได้นอน น้าาาาามิน พี่ขอนอนหน่อยนะ " ทีนี้ไออาร์มเป็นลูกแมวอ้อนน้องผมไปแล้ว ไหนขอดูหน่อยซิไอตัวแสบจะรับมือยังไง



     " ไม่ได้ครับ งานนี้พี่อาร์มต้องทำเอง ไหนบอกว่าให้มินช่วยแค่เอกสารกีฬาสีแล้วงานอื่น ๆ จะทำเองไง พี่อาร์มผิดคำพูด " เอาเว้ย ! น้องทูนหัวกูเอาเรื่องเหมือนกันว่ะ เพื่อนผมแม่งจ๋อยไปเลย



     " น้าครับน้องมินสุดที่รักของพี่อาร์ม ช่วยพี่อีกงานหน่อยนะ นะ ๆ ๆ ๆ " ผมไม่รู้เหมือนกันว่าแผนออดอ้อนกับน้องชายคนนี้ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นไง



     " ไม่ " สั้น ๆ ได้ใจความ " มินไปรอห้องสภานะครับ อีกห้านาทีไม่เจอตัวล่ะก็ เราจะได้เห็นดีกัน " นี่น้องกูเป็นเลขาฯ หรือพ่อไออาร์มวะ ? พอมินพูดจบก็หวัดดีลาพวกผมก่อนจะเดินจากไป อาร์มมันมองพวกเราอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ผมคงทำได้แค่โบกมือให้กำลังใจไปอย่างนั้น ฮ่า ๆ สู้ ๆ นะเว้ยเพื่อน งานเสร็จเดี๋ยวค่อยไปนอนนะเพื่อน แต่อีกใจนึงผมก็สงสารมันว่ะ



     พอคุณประธานขี้เมาถูกผู้คุมนักโทษตามตัวไปยังคุกนรก ปอนด์ กั๊มพ์ เบ๊นซ์ สมาชิกทุกคนในกลุ่มก็มารวมตัวกันอยู่ในโรงอาหารกันแบบพร้อมหน้า สื่อนำเสนอที่พวกเราทำในรูปแบบฟิวเจอบอร์ดตอนนี้ก็เสร็จอย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ซันกับปิงปองมันขอตัวไปซื้อข้าวเช้ากินก่อนน่ะครับ เห็นบ่น ๆ ว่าเริ่มหิวกันแล้ว สงสัยกับแกล้มเมื่อคืนถูกย่อยไปจนหมด ทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะเดินไปเหมือนคนไม่มีแรง เบ๊นซ์และกั๊มพ์เริ่มเห็นท่าไม่ดีเลยเดินตามสองคนนั้นไป เผื่อเกิดปรากฏการณ์ภาพตัดจะได้ช่วยเหลือทัน ทิ้งให้ผมเฝ้าของอยู่กับปอนด์สองคน



     " เมื่อคืน...ขอบคุณนะที่มาส่งกูอะ " คนตรงข้ามที่นั่งจัดรูปเล่มรายงานก็เงยหน้ามาขมวดคิ้ว



     " หื้อ ? เมื่อคืนกูไม่ได้ไปส่งมึง " คราวนี้ผมขมวดคิ้วกลับบ้าง



     " เอ้า ! ก็ไอปิงปองบอกว่ามึงมาส่ง " ปอนด์วางแผ่นกระดาษที่เย็บติดกันลงก่อนจะอวดรอยยิ้มบาง ๆ



     " เฟิร์สเขาเป็นคนส่งมิ้ลค์น่ะ " เอ๋...ทำไมในมายเมมโมรี่ของผมมันไม่ได้เซฟข้อมูลของไอเฟิร์สมาเป็นไฟล์เลยวะ



     " อ๋อ ยังไงก็ขอบคุณมึงมากนะที่คอยดูแลกู เมื่อคืนกูบ้า ๆ บอ ๆ น่ะ แหะ ๆ "



     " ไปขอบคุณเฟิร์สเถอะ " ปอนด์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะลุกขึ้น " เดี๋ยวกูไปหาไรกินบ้างนะ " ผมมองปอนด์ที่เดินไปกอดคอเพื่อนคนอื่น ๆ ที่หน้าร้านขายข้าวแกงก่อนจะเกิดคำถามในหัว



     เมื่อคืนเกิดไรขึ้นกับปอนด์หรือเปล่า ? ทำไมผมรู้สึกเหมือนมันพูดประชดประชันไงก็ไม่รู้



     ทีนี้ผมลุกขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ได้จะเดินไปซื้อข้าวมานั่งกินเหมือนไอพวกนั้นหรอก แบบว่ากาแฟที่เข้าไปซื้อในเซเว่นมันอยากจะขับถ่ายออกมาซะแล้วน่ะ เหอ ๆ เป็นว่าผมขอไปชิ้งฉ่องก่อนแล้วกันนะคร้าบบ



     ขณะนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้วครับตามจีช็อคที่ข้อมือบอก นักเรียนหัวเกรียน เอ๊ย ! รองทรง เอ๊ย ! เริ่มมาสิงสู่ตามโต๊ะว่าง ๆ รอบโรงเรียนกันจวนจะเต็มแล้ว วันนี้อากาศค่อนข้างชื้นเหมือนฝนพึ่งตกจนสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก ผมมองตามทางที่นักเรียนเดินสวนกันไปมาก่อนจะเหลือบเห็นป้ายสุขาชายอยู่ไม่ไกล แล้วถ้าสายตาผมมองไม่ผิด คนที่เดินออกมาจากห้องน้ำคือเฟิร์สนี่หว่า เดินเข้าไปทักทายมันซะหน่อยเนอะ



     " ไงเฟิร์ส " ผมที่เดินสวนเจ้าของชื่อนั้น พลางทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างไมตรี



     " .......... " ถึงเราจะไม่ได้หยุดทักทายกัน แต่การที่เฟิร์สมองผมด้วยสายตาแบบนั้น แถมไม่พูดไม่จาแบบนี้ มันหมายความว่าไง ? เอ๊ะ !? สายตาแบบนี้มันคุ้น ๆ เหมือนตอนที่เฟิร์สเข้าใจผมผิดว่าชอบมันเลยว่ะ



     เอ่อ...เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย ?



####



     ตลอดครึ่งวันเช้า ถ้าผมจะคิดถึงหน้าเฟิร์สที่มองมาด้วยสายตาไม่คุ้นแบบนั้นก็คงไม่แปลก มันลามเหมือนเป็นโรคติดต่อจนผมมองโจทย์ปัญหาที่อาจารย์ให้หาสมการบนกระดานไวท์บอร์ดเป็น " ไอเชี่ยเฟิร์สมันเป็นห่าอะไรของมันวะ ? " เลยล่ะ เฮ้ออ ช่วงพรีเซนต์คาบชีวะของกลุ่มผมก็เป็นไปอย่างไหลลื่นครับ ไอที่ว่าไหลลื่นเนี่ยคะแนนกูทั้งนั้น !! หึ จะให้ไม่โดนหักได้ไงก็คุณประธานของผมเนี่ย แม่งบ่นห่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนคนลืมหยิบสติมาจากบ้าน ดีนะครับที่เพื่อนคนอื่น ๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกัน เลยไม่ได้รับข้อสงสัยอะไรจากทางบ้านมาตอบให้ปวดหัว พวกมึงก็รู้ว่าแดกกันไม่ไหวก็แทนที่จะพอแล้วกลับไปนอนพักผ่อนซะ เห็นมั้ยล่ะ อาจารย์นาตยายังแซ็วว่าพวกเธอไปเมากัญชากันมาเหรอ ? เหอ ๆ



     นี่ก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่า ๆ ครับหลังจากที่พวกผมได้เลิกคาบอิ้งเสร็จ เพื่อน ๆ ต่างยื่นข้อเสนอเป็นสองพรรคพวกคือแดกข้าวกับไปนอน ซึ่งทางผมก็เทคะแนนเสียงให้ทีมที่ไปนอนครับ ก็เลยพาพวกผู้ประสบภัยง่วงทั้งหลายมายังศูนย์พักพิงห้องสภาฯ เอาเข้าจริง ๆ ห้องไอห่าอาร์มนี่แหละแอร์เย็นที่สุดในโรงเรียนแล้ว แถมโซฟานิ่มเหมือนตูดเจ้าของห้องอีกต่างหาก (ตูดมันนิ่มครับ) แต่ทำอีท่าไหนก็นอนไม่หลับ เพราะไอคนที่เดินสวนหน้าห้องน้ำเมื่อเช้านี่แหละ เข้ามาทำลายโสตประสาทของผมเวลาข่มตานอนน่ะเส้ !



     " แล้วหนีมานอนนี่ห้องสภาจะไม่วุ่นเหรอวะ ? " เสียงไอปิงปองงัวเงียถามคุณประธานที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่ง ขณะที่มันนอนราบอยู่กับพื้นห้องโดยมีตักไอซันเป็นหมอนรองหนุน



     " ไม่วุ่นหรอก เมื่อเช้ากูเคลียร์งานจนหมดแล้ว ใครด่ากูจะฆ่ามัน !! " น้องกูไปตามเมื่อเช้าก็คือจัดการซะหมดเพื่อสิ่งสิ่งเดียวคือนอนเหรอเพื่อน ? โหดสัดรัฐเซีย



     " แล้วนายไม่ว่าพวกเราใช่มั้ยพีท ? " ผมถามพีทที่นั่งเล่นดอทเอสองอยู่หน้าคอมอย่างเอาเป็นเอาตาย



     " ตามสบายเลยมิ้ลค์ ตั้งแต่น้องมินมาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวไออาร์ม งานเดินเอกสารมันพร่องลงไปเยอะเลย ต้องยกความดีความชอบให้น้องนายเลยนะ " เหยดดดด น้องผมมันเมพขนาดนั้นเลยเรอะ ! " ไอเชี่ย มึงจะฟาร์มไปถึงไหน !! bobo !! " เอ่อ...กูก็เคยเล่นดอทเอในวอคราฟอยู่อะนะ มันมีศัพท์โบโบห่าอะไรนี่ด้วยเหรอ ?



     " กูเริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้องของมึงเนี่ย จะเป็นแม่กูหรือเลขาส่วนตัวกูกันแน่ แม่กูแท้ ๆ ยังไม่ดุขนาดนี้เลยนะ โหดชิบหาย " อาร์มมันเงยหน้ามามองค้อนผมแว็บนึงก่อนจะก้มไปฟุบหลับต่อ



     " ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ? ได้ทั้งเลขาฯ ได้มั้งแม่ ฮ่า ๆ " มันหายใจฟึดฟัดเหมือนไม่พอใจที่ได้ยินคำนี้ แสดงว่าผมไม่ต้องเป็นห่วงเจ้ามินว่าจะโดนไออาร์มรังแกแล้วล่ะ เป็นห่วงไอห่านี่มากกว่า จะรอดเนื้อมือจากน้องชายตัวดีของผมไปได้มั้ย



     " เออมึง ไอเฟิร์สมันเป็นไรเปล่าวะ ? ทำไมวันนี้มันมองกูแปลก ๆ " ในที่สุดความอัดอั้นของผมก็หลุดออกมาผ่านเป็นคำพูด ปิงปองที่นอนตักไอซันที่พื้น ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามองผม อาร์มที่เหมือนจะเคลิ้มหลับไปแล้วก็หันมาเหมือนกัน ไม่เว้นแม้แต่พีท อะไรวะ ?



     " เมียอย่างมึงไม่รู้แล้วพวกกูจะไปรู้มั้ยล่ะ ห่าลาก ! " คนที่นั่งอยู่โต๊ะประธานนักเรียนเหวี่ยงใส่ผมด้วยคำพูดเหมือนถามอะไรไม่ใช่สมอง ก่อนจะหันหน้าไปนอนต่อ สมองกูตอนนี้ก็เอ๋อเหมือนกันแหละ



     " เฟิร์ส...เฟิร์สที่สูง ๆ หล่อ ๆ ห้องสี่แล้วก็เคยมาเป็นตัวแทนคิงคองใช่ปะ ? อ่าวเชี่ยบวกสักทีเส้ !! " เอ่อพีท...มึงจะสนใจเพื่อนกูหรือเกมกันแน่ล่ะนั่น พีทมันคงไม่รู้จักเฟิร์สน่ะครับ มันเรียนอยู่ศิลป์คำนวณบวกกับอยู่คณะสีเหลือง คงเจอหน้าเฟิร์สไม่บ่อยนัก



     " ใช่ เราว่ามันไม่ปกติว่ะ " แล้วผมก็ย้อนความคิดไปยังเมื่อคืน เอ...ทำไมมันมีแต่ภาพดำ ๆ อ๋อ กูเมาจนภาพตัดนี่เอง



     " เออ แต่ตากี้กูแวะไปซื้อนมโรงอาหาร เจอมันก็แลซึม ๆ นะ " ใช่มั้ยล่ะไอปิงปอง ไม่ได้มีแค่กูหรอกที่รู้สึก เรื่องนี้มันต้องเงื่อนงำ



     " ก็ที่เมื่อคืนมันไปส่งมึงหรือเปล่ามิ้ลค์ ? สงสัยจะแอบลักหลับจนมองหน้ามึงไม่ติด " เชี่ยซัน !! ปากเหรอน่ะ !?



     " บ้า ! มันไม่ใช่คนแบบนั้นซะหน่อย " เฟิร์สเนี่ยอะนะลักหลับผม หึ จะทำผมคนนี้มันยังเร็วไปแสนปี



     " แววตากับสีหน้ามันบอกอะไรมึงไม่ได้หรอกมิ้ลค์ อยากรู้อะไรก็ไปถาม " อาร์มมันพูดในอ้อมแขนที่จัดทรงเป็นหมอนสำหรับนอน อยากรู้อะไรให้ไปถามเหรอ อืมมม



     " แล้วกูต้องถามอะไรอะ ? "



     " เอ้า ! มึงอยากรู้อะไรก็ไปถามมันสิ "



     " เอ่อ...แล้วกูต้องไปถามอะไรมันวะ ? "



     " อยากรู้อะไรก็ไปถามมัน !! " ทีนี้มันเงยขึ้นมากัดฟันจนแทบร้าว



     " แล้วกู.. "



     " ไอเชี่ย ! เลิกถาม ! กูจะนอน !! รำคาญ !!! "



     ฮืออออ ไออาร์ม จะตวาดกูตะไม



####



     ด้วยเหตุนี้เองกระผมต้องแปลงร่างเป็นยมทูต เพื่อตามล่าหาวิญญาณร้ายคุณเฟิร์สซะทั่วโรงเรียน จริง ๆ ผมออกมาตามหาตั้งแต่ไออาร์มไล่เมื่อพักกลางวันแล้วล่ะครับ แต่พอออกมาจากห้องสภาก็เหลือเวลาพักอีกแค่สิบห้านาทีเอง ใครจะไปเดินรอบโรงเรียนหมดภายในเวลาแค่นั้น ก็เลยต้องยกเวลาตามหามาเป็นตอนเย็นแทน วันนี้คาบสุดท้ายมันเลิกบ่ายสามครับ หึหึ ผมจำตารางสอนคุณเฟิร์สเขาได้หมดแล้ว ส่วนห้องผมเลิกสี่โมงครึ่งครับ แต่จะโดดเรียนใครจะทำไม ? (อย่าไปฟ้องป๊านะ) พอเลิกคาบก่อนไปเรียนต่อก็วิ่งปู๊ดดแวะไปดูห้องสมุดก่อน ผมชะเง้อผ่านกระจกเข้าไปยังด้านในก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย ก่อนจะเดินไปยังสวนวิจิตรที่แม่งชอบแวะมาบ่อย ๆ แต่ก็เงียบกริ๊บ นี่ไอพวกเด็กม.ต้น ! โรงเรียนเขาเลิกแล้ว ไปยืนดูดข้างโรงเรียนก็ได้บุหรี่น่ะ เฮ้อออ ไม่วายผมก็วิ่งไปยังห้องของมัน (แล้วตากี้ทำไมกูไม่วิ่งไปตั้งแต่ทีแรก จะวิ่งขึ้นวิ่งลงทำไม ?) ปรากฏก็ไม่เจอใคร แต่ดันไปเจอเพื่อนของเฟิร์สที่เดินออกจากห้องพอดิบพอดี



     " ไงคอง " ผมทักทายมันด้วยคิ้วที่ยักขึ้นอย่างหล่อ ๆ มีแต่คนบอกว่าพักนี้มึงน่ารักขึ้นเยอะเลยนะมิ้ลค์ สัด ! กูหล่อโว้ย แล้วก็ไม่ใช่แค่พักนี้ด้วย กูน่ารัก เฮ้ย ! หล่อตั้งนานแล้ว !!



     " อ้าว ! หวัดดีมิ้ลค์ มาทำไร ? " คนตรงหน้าทักทายด้วยรอยยิ้ม ทำอะไรน่ะเหรอ ? หึ ก็เพื่อนตัวดีของมึงไงคิงคอง



     " เอ่อ...เฟิร์สมันอยู่ปะ ? " จะว่าไปเหมือนเมียตามหาผัวเลยว่ะ...แต่เพื่อนคนนี้เหมือนจะไม่ได้คิดอย่างนั้น



     " อ๋อ มันลงไปเตะบอลที่สนามโน่นอะ ไปเล่นด้วยกันปะ ? กูกำลังจะไปพอดี " เออว่ะ !! ลืมไปว่าที่สิงสถิตของไอเฟิร์สคือสนามบอล โอ๊ยยย ไอมิ้ลค์ ! ไอเอ๋อ !!



     " ไป ๆ แต่...กูขอไปก่อนนะ เจอกัน " แล้วผมก็วิ่งพรวดโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเจ้าเพื่อนแสนดี ที่ตัวเองกำลังถามหาถึงเจ้ากรรมนายเวรของผมว่ามันไปแอบซ่อนตรงไหนในแผนที่โลก



     ทันทีที่วิ่งมาถึงสนามบอล ผมก็หืดขึ้นคอเป็นอันดับแรก แฮก ๆ ไม่รู้จะวิ่งมาทำไม แค่อยากคุยกับเฟิร์สไว ๆ ล่ะมั้ง ผมมองเฟิร์สที่เตะบอลกับเพื่อนอย่างสนุกสนามขณะยืนอยู่ในโรงอาหาร อืมมมม แล้วไหนว่ามันไม่ปกติ ทำไมเตะบอลหน้าระรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ล่ะนั่น ? ผมวางจาคอปลงบนโต๊ะพลางเดินวนไปวนมาอยู่กับที่ในท่าครุ่นคิดว่าจะเริ่มบทสนทนายังไงกับมันดี



     ปิ้งป่อง !! มันเล่นบอลเหนื่อย ๆ ก็ต้องหิวน้ำ ! เอาเป็นว่าผมซื้อน้ำมาดักรอมันดีกว่า ทำไมผมคิดงี้อะเหรอ ? เราต้องหาแม่สื่อไง เหมือนเวลาจะจีบใครก็ต้องมีพ่อสื่อแม่สื่อ แต่ผมไม่ได้จะจีบเฟิร์สนะ ก็มันไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงนี่หว่า ยื่นน้ำให้มันแล้วค่อยถามว่าเหนื่อยมั้ย พอสถานการณ์ไปได้สวยแล้วค่อยวกเข้าเรื่องตัวเอง หึหึ



     " ป้าครับ เอาน้ำเปล่าขวดนึง " ผมรับขวดน้ำพลางยื่นเศษเหรียญครบจำนวนไปให้ก่อนจะวิ่งเหยาะ ๆ มานั่งขอบสนามด้วยความดีใจแปลก ๆ ตอนแรกก็ว่าจะนั่งรอมันจนกว่าจะเหนื่อยแล้วยื่นน้ำให้ดื่มน่ะครับ แต่เหมือนไม่ต้องรอแล้วแหละเพราะมันกำลังเดินมาทางนี้ !!



     ผมลุกขึ้นจากพื้นซีเมนต์ที่นั่งอยู่ทันทีหลังจากที่ร่างสูงนั่นปรี่ตรงเข้ามา เล่นบอลมาเหนื่อย ๆ แบบนี้ ถ้าเฟิร์สได้กินน้ำเย็น ๆ สักขวดคงจะชื่นใจไม่น้อย



     " อะเฟิร์ส น้ะ.. " ในตอนที่ยื่นขวดน้ำเย็นฉ่ำเพื่อหมายจะให้คนที่เดินมาได้ดื่ม ผมก็ถูกปฏิเสธด้วยฝีเท้าที่เดินผ่านไปอย่างไม่เหลียวแล ราวกับคนที่หวังดีตรงนี้เป็นอากาศ



     อากาศเหรอ..



     ผมในตอนนี้เป็นแค่อากาศสำหรับเฟิร์สงั้นเหรอ..



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง - EP.28 (13/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 13-02-2018 17:38:59
Not to be unlocked : Episode 28 : ความอึดอัด



     ท้องฟ้าที่เคยสดใสตั้งแต่บ่ายค่อย ๆ ถูกบดบังด้วยความมืดมิดจากแสงจันทร์ ไอเย็นฤดูหนาวช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนเริ่มพัดผ่านมาจนหัวใจของผมเริ่มโหว่งแปลก ๆ ผมพึ่งรู้ว่าความหวังดีที่มอบให้เฟิร์สในวันนี้ มันไม่มีค่าพอที่จะให้ผู้ชายคนนั้นได้เหลียวแล ทั้ง ๆ ที่ผมอยากรู้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ล้วนเกิดขึ้นมาจากอะไร แต่กลับได้คำตอบอันแสนคุ้นเคยด้วยสายตาเหมือนครั้งที่เฟิร์สเคยคิดว่าผมชอบมัน หากเป็นผมในอดีตคงเดินไปกระชากแขนไอคนงี่เง่าแบบนี้มาถามให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำไมผมในตอนนี้ถึงทำได้มากที่สุดเพียงแค่มองแผ่นหลังแกร่งนั่นเกินจากไปอย่างตัดพ้อ หรือจริง ๆ แล้วคนที่ไม่น่าจะคบเป็นเพื่อนมากที่สุดคือผม เฟิร์สตัดสินใจทั้งหมดแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ ? แม้ความจริงทั้งหมดผมยังไม่สามารถได้รับจากน้ำเสียงนุ่มลึกของมันก็ตาม



     " เป็นไรอะมิ้ลค์ ? ดูทำหน้าทำตาดิ " เป็นเสียงปอนด์ที่เรียกให้ผมหันไปมองขณะนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่มนึงแล้วครับ ที่ผมมานั่งจนมืดป่านนี้ก็เพราะมินเขาอยากไปกินร้านเนื้อย่างหลังจากเลิกงานสภาฯ น่ะ มินบอกให้ชวนเพื่อนพี่มิ้ลค์ไปเยอะ ๆ ด้วย



     " ก็...ไม่มีไรหรอก " แต่คนที่นั่งคู่กับผมใต้ตึกสิบสองจะไม่เชื่อคำโกหกเลยว่ะ



     " มึงมันตอแหลเก่งมิ้ลค์ กูอยู่กับมึงมาตั้งนานทำไมจะไม่รู้ " เสียงลมหายใจของผมถอนออกมาพรูใหญ่ ผมลังเลนะที่จะบอก เพราะทุกทีมีปัญหาอะไรก็เก็บไว้ในใจคนเดียวไม่บอกใคร



     " เรื่องเฟิร์สน่ะ " ปกติไม่ว่าผมจะนั่งเล่นรับลมตอนเย็น ๆ หรือรอน้องมินกลับบ้าน ผมจะเลือกนั่งที่โรงอาหารครัง แต่ที่ย้ายหนีมานั่งตรงนี้เหตุก็ไม่ใช่ใครอื่น ทำไมผมถึงไม่กล้าสู่หน้าเฟิร์สแล้วก็ไม่รู้



     " หึ งั้นที่มันขอไปส่งและมีเรื่องคุยกับมึงเมื่อวาน คือสาเหตุที่ทำให้เป็นหมาหงอยล่ะสิ ? " เสียงปอนด์เข้มขึ้นมานิดหน่อย แต่น้ำเสียงที่พูดประโยคนี้แบบไหนผมก็หันไปสนใจอยู่ดี



     " ห้ะ !? " หน้าไอคนข้าง ๆ อยู่ดี ๆ ก็เปื้อนไปด้วยคำถาม



     " อ่าว เมื่อวานมึงคุยไรกับเฟิร์สมันล่ะ ? " คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเป็นเงื่อนพิรอดพลางย้อนสารบบไปยังเมื่อคืน



     " เมื่อวานกูจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าใครไปส่งกู เฟิร์สมันคุยกับกูเหรอ ? " นั่นแหละครับสิ่งที่ผมนึกออก ปอนด์มันมองตาผมปริบ ๆ



     " แล้วกูจะไปรู้มั้ยเนี่ย...เมื่อวานกูกับมันแย่งจะไปส่งมึงที่บ้าน เฟิร์สมันบอกว่าเรามีเรื่องจะคุยกับมิ้ลค์น่ะ ขอเป็นคนไปส่งเองนะ " อ๋อ !!!! กูพอจะเดาได้แล้วล่ะ เมื่อคืนต้องกูทำอะไรกับเฟิร์สไว้แน่ ๆ มันถึงได้เป็นแบบนี้ !



     " เชี่ยยยยยย เมื่อคืนกูจำห่าอะไรไม่ได้ " ถึงตรงนี้ผมยกมือทั้งสองข้างมากุมขมับ ไม่ต้องบอกให้ผมพยายามนึกหรอกครับ ผมลองแล้ววววววว ไม่น่าแดกเยอะเลยกู เอาไงดีวะ !!



     " แล้ววันนี้มึงลองไปถามมันดูรึยัง ? "



     " คุยแล้ว แต่มันเมินกู " จู่ภาพต่าง ๆ นานา ที่ผมและเฟิร์สช่วยกันสร้างความสุขซึ่งกันและกันก็แล่นเข้ามาในหัว ผมเชยชมภาพเหล่านั้นด้วยความหนืดหัวใจ รอยยิ้มของเฟิร์ส รอยยิ้มนั่นมันเคยให้พลัง มันเคยให้กำลังใจ มันเคยให้อะไรหลาย ๆ อย่าง แต่วันนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นความนิ่งเฉย ผมอยากได้สิ่งเหล่านั้นกลับคืน ผมควรจะทำยังไงต่อดี



     " สงสัยมันไม่อยากได้กูเป็นเพื่อนแล้วมั้งปอนด์ "



     ในขณะที่ผมเหม่อลอยไปพร้อมกับเมฆครึ้มบนฟากฟ้า ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่สิ่งเหล่านั้นได้จางหายไป มืออุ่นของปอนด์ก็เข้ามากุมไว้ ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในฝ่ามือนี้



     " ถึงมึงจะไม่เหลือใครแล้ว แต่มึงยังเหลือกูนะมิ้ลค์ กูพร้อมจะอยู่ข้าง ๆ มึงเสมอนะ "



     ผมบีบฝ่ามือนั้นกลับด้วยแรงที่เหลือ ปอนด์เองก็บีบมือตอบสนองราวกับส่งพลังกายและใจ



     " ขอบคุณนะปอนด์ "



     บางทีผมก็ลืมไปว่าสิ่งดี ๆ อย่างปอนด์ มันอยู่ใกล้ตัวจนผมมองข้ามไป



####



     หลังจากได้ปอนด์มานั่งปลอบระยะหนึ่ง เด็กนักเรียนสามคนก็เดินตรงปรี่มาหาเราจากตึกสิบสาม น้องมินฉีกยิ้มทักทายผมและคนข้าง ๆ มาแต่ไกล เอ๊ะ !? ไออาร์มไปด้วยเหรอ ? เอ่อน้องคนนั้น...อ๋อน้องมาย ! น้องมายเขาเป็นเพื่อนเจ้ามินน่ะครับ เรียนอยู่ม. 4/1 ด้วยกัน ตัวขาว ๆ ตาไม่ตี๋มาก แถมสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบกว่าแน่ะ นี่จะสูงเกือบเท่ากูแล้วนะไอน้องรัก มายเขามานั่งเล่นอยู่ที่บ้านผมบ่อยเหมือนกัน บ่อยขนาดจนคิดว่าคืนนั้นที่เจ้ามินมาขอคำปรึกษาคือไอน้องมายนี่แหละ ฮ่าๆ



     " ใครเชิญคุณประธานของกูมาร่วมโต๊ะอาหารครับ ? " มันเดินมาหาหน้าก็หน้าเหวี่ยงอยู่แล้ว โดนผมแซ็วอีกหน้ายิ่งเหวี่ยงเข้าไปใหญ่



     " เรื่องของกู กูจะแดกอะไรที่ไหนก็เรื่องของกู " เอ...พักนี้มึงเริ่มจะเหิมเกริมกับกูไปรึเปล่าเพื่อน ?



     " พี่มิ้ลค์หวัดดีครับ " ผมรับไหว้น้องมายด้วยรอยยิ้มก่อนจะพากันเดินไปขึ้นแท็กซี่หน้าโรงเรียน



     ผมโบกแท็กซี่มาหนึ่งคันโดยอาสานั่งข้างหน้า ทางด้านเบาะหลังมีปอนด์ที่ได้เข้าไปก่อน ตามด้วยมิน อาร์ม และน้องมาย ผมบอกพี่โชเฟอร์ให้ไปยังสถานที่ที่เราจะไปพลางดึงเข็มขัดมาคาด (อย่าลืมคาดกันด้วยล่ะ) รถแล่นตัวออกไปแล้ว แต่เสียงในรถเนี่ยมันเงียบจนน่าสงสัย ผมเหล่ตามองไปยังกระจกที่กระทบหน้าเจ้าพวกด้านหลัง ไออาร์มยังนั่งหน้าเหวี่ยงอยู่ มินกับน้องมายเล่นโทรศัพท์แถมหัวเราะคิกคัก ปอนด์มองออกไปนอกกระจก



     " เป็นเชี่ยไรอาร์ม ขี้ไม่ออกเหรอ ? "



     " หงุดหงิด " หื้อ ? ว่าไงนะ



     " หงุดหงิด ? หงุดหงิดห่าไร ? "



     " ไม่รู้ หงุดหงิด " มันตอบห้วนและเร็วมาก โว้ะ ทำงานสภาฯ จนเป็นบ้าแล้วมึงเนี่ย



     เมื่อมาถึงร้านผมจัดการโชว์ป๋าจัดการค่าเสียหายแท็กซี่ทั้งหมด ไม่แปลกหรอกมั้งถ้ามาทองหล่อแล้วจะโดนเป็นร้อย ทั้งรถติด ทั้งไฟแดง มินเขาอยากกินร้านนี้ตั้งนานแล้วครับ เห็นบ่นอยากกินเนื้อย่างตั้งแต่เปิดเทอมโน่นน แต่ก็อย่างว่าครับ กิจกรรมห่าเหวอะไรแม่งประเดประดังมาแบบ non-stop จะไปมีเวลากินได้ยังไงกัน



     บรรยากาศในร้านไม่ได้ตกแต่งเรียบหรู่อะไรมาก เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ตกแต่งอะไรเลยด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ แต่ด้วยผนังโทนสีนวล ทำให้สบายตาไปอีกแบบ โชคดีที่คนไม่ค่อยเยอะมาก เลือกที่นั่งได้ตามสบาย ผมเลือกนั่งริมกระจกครับ พี่บริกรเขาเอาเก้าอี้มาเสริมให้เหมือนที่นั่งจะไม่พอ เป็นว่าผมนั่งหัวโต๊ะ มินและมายสอดตัวเข้าไปนั่งในสุดคนล่ะฝั่ง ส่วนเพื่อนของผมก็นั่งประกบเด็กสองคนนั้น หึหึ ให้มันนั่งใกล้ ๆ นี่แหละ พอกวนตีนผมจะได้ตบง่าย ๆ เอ่อ...แล้วเมื่อไหร่คุณประธานของผมจะแกะหน้ายับ ๆ ของมันซะทีวะ ? หรือต้องใส่รหัสผ่าน โว้ะ ปล่อยแม่ง



     " เอาเนื้อย่างราดซอส ชุดทะเลสด วากิว A5 เบคอน ไส้กรอก ชุดผัก บลา ๆ .. " ทันทีที่พี่บริกรยื่นสมุดเมนูให้ทุกคนที่นั่งอยู่ มินที่นั่งข้าง ๆ อาร์มก็ร่ายคาถาบอกพี่เขาจนจดแทบไม่ทัน ลูกไม้ตกไม่ไกลต้นเหมือนพี่มันจริงจริ๊ง สงสัยคืนนี้น้องกูเล่นจนกระเป๋าฉีกแน่ ๆ



     " มิน ๆ เอาปลาสวรรค์ปะ ? สั่งมากินด้วยกัน " น้องมายดูสมุดพลางยื่นหน้าไปเสนอคนตรงข้าม เออ สองคนนี้มันสนิทกันจนหน้าผิดสังเกตจริง ๆ ว่ะ



     " เอาสิ ๆ มายสั่งเลย " แล้วคนที่เสนอชื่ออาหารก็หันหน้าไปบอกพี่เขาให้จดเพิ่ม ไออาร์มกูเห็นมึงนะ มันหันหน้าหนีมินมาทำปากขมุบขมิบล้อเลียนน้องมาย



     " เป็นเชี่ยไรอาร์ม ? " มีแค่ผมกับปอนด์นั่นแหละที่สนใจกริยาสถุนของมัน สองคนนั้นยังคงพูดคุยกะหนุงกะหนิงไม่สนใจ



     " หึ หงุดหงิด !! " กูอยากเอาตะเกียบแทงปากมึงจริง ๆ ไอสันขวาน



     " มิ้ลค์ กินแซลมอนมั้ย ? กูสั่งให้ " ปอนด์ที่ก้มอ่านสมุดเงยหน้าขึ้นมาเสนอเมนูบ้าง



     " สั่งไปเหอะปอนด์ กูแดกได้หมดอะ " ผมยักคิ้วให้มันทีนึง เหมือนมันจะชอบนะ หึหึ



     " เอาแซลมอนสองครับ " พี่เขายิ้มเนือย ๆ ก่อนจะก้มไปจด



     " แดกตีนกูมั้ยล่ะ " คราวนี้คุณอาร์มมันพูดลอย ๆ เหมือนคุยกับสมุดเมนู หึ พาลแบบนี้กูขอสักหน่อยเถอะนะเพื่อนรัก



     ' ป้าบบ ! ' คิดถึ๊งคิดถึง ปากหมา ๆ ของมึงเนี่ย



     " มิ้ลค์กูเจ็บนะ มิน พี่มึงแกล้งกู " มีฟ้องน้องผมด้วยว่ะ ฮ่า ๆ น้องกูจะช่วยไรมึงได้



     " หงุดหงิด !! " ผมหลุดขำทันทีที่เจ้ามินมันล้อเลียนไออาร์มบ้าง ก่อนจะหันไปเลือกเมนูกับมายต่อ



     " โว้ยยยยยยยยยย " โอ๋ ไม่ร้องนะเพื่อน ฮ่า ๆ



     จวบจนของที่สั่งไปทั้งหมดค่อย ๆ ลอยมาจอดอยู่เบื้องหน้าจวนจะครบ เนื้อวากิวอันแสนร่ำลือว่าอร่อยสัดหมาที่ก่อนหน้านี้ผมได้ย่างไว้ถูกคีบเข้าปากเพื่อลิ้มรส โอ้วววว ความรู้สึกของเนื้อวัวร้อนผ่าวราวกับละลายในปาก ผสานเข้ากับน้ำจิ้มสูตรพิเศษของทางร้าน มันทำให้ผมแทบจะละลายไปกับอาหารในปากเลยว่ะ ร้านนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยจริง ๆ แต่ถึงอาหารจะอร่อยจนคุณหมึกแดงทั้งยืนยันนอนยันว่าแดกแล้วเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ไออาร์มก็ยังทำหน้าบึ้งตึงไม่สนใจอยู่ดี ปอนด์มันดูจะชอบซาบะที่น้องผมสั่งมานะเพราะเห็นกินใหญ่เลย ส่วนมินกับมายก็ตาลุกวาวเมื่อเห็นพี่บริกรเสิร์ฟเซตปลาดิบ



     " เต็มที่เลยนะ มื้อนี้เสี่ยมิ้ลค์เลี้ยงเอง " แต่การที่ผมพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้ไอเชี่ยอาร์มเปลี่ยนสีหน้าเป็นอย่างอื่นเลย กูควรจะทำยังไงกับไอเพื่อนคนนี้ดีเนี่ย



     " โห่พี่มิ้ลค์ ให้มินเลี้ยงบ้างก็ได้ ครั้งที่แล้วพี่มิ้ลค์ก็เลี้ยงนะ " อะไรมิน ก็รอบที่แล้วพี่สั่งเบียสดมาซดตั้งทาวเวอร์นึง พี่ก็ต้องรับผิดชอบ (ทั้งโต๊ะ) สิ ฮ่า ๆ



     " เดี๋ยวมายช่วยมินออกก็ได้นะครับพี่มิ้ลค์ " ไอน้องรักคนนี้ก็ป๋าไปอีก พี่ทำงานทุกอาทิตย์ ตังเหลือเฟือครับเด็ก ๆ



     " กูล่ะเบื่อพวกอวดรวยจริง ๆ " พออาร์มพูดจบผมก็คีบหอยเชลล์ยัดปากมันทันที แดกเข้าปายยยยย !!!



     " โอ๊ยย ร้อนน " สมน้ำหน้าไอควาย !! ของอร่อยมาให้แดกเสือกไม่แดก เดี๋ยวกูสั่งน้ำประปาให้แดกซะดีมั้ง !



     " อะนี่มิน อร่อยนะ เราลองละ " น้องมายคีบกุ้งแกะแล้วไปใส่จานเปล่าคนตรงข้าม มีแกะกุ้งให้กันด้วย ฮิ้ววววววว



     " เฮ้ยไม่เป็นไรมาย เดี๋ยวไม่อิ่มนะ " ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่มายก็ไม่ได้หยุดแกะเลย เป็นภาพที่ดีงามจริง ๆ ฮ่า ๆ



     " ไม่มีมือแดกเองเหรอ หรือเป็นง้อย ? " เดี๋ยว ๆ พาลกูคนเดียวไม่พอ เสือกลามเป็นขี้กลากไปหาคนข้าง ๆ มึงเฉย ตากี้มึงยังฟ้องมันอยู่เลยที่กูแกล้งอะ ไหนมึงแปรพักตร์เร็วขนาดนั้นวะไออาร์ม ?



     " ยุ่งน่าพี่อาร์ม มินจะทำอะไรกับใครก็เรื่องของมินปะ ? " ฉึก !! เอื้ออออออ ไออาร์ม มึงโดนน้องกูเล่นแล้ว " ขอบคุณนะมาย " แล้วเพื่อนเจ้ามินก็ได้รับรอยยิ้มอันแสนน่ารักของน้องผมไป เฮ้ยอาร์ม ! อย่าแยกเขี้ยวสิวะ !!



     " โว้ยยยยย หงุดหงิด ! หงุดหงิดแล้วต้องแดก !! " แล้วมันก็หยิบอาวุธต่าง ๆ ฟาดฟันอาหารตรงหน้าเข้าปาก เออ แดกสักทีเหอะ เล่นตัวอยู่ได้



     หึหึ ในเมื่อมินเขาจับคู่กับน้องมายแล้ว ผมก็จับคู่กับปอนด์หยอกไออาร์มมั้งดีกว่า



     " ปอนด์ " ผมเรียกจนมันเลิกคิ้วมามอง " ป้อนกูหน่อยดิ " ก่อนจะเหล่ไปมองปฏิกิริยาของคุณประธาน



     " เอาจริงดิ ! " แล้วมึงจะตกใจทำไมกูแกล้งไออาร์มเฉย ๆ ฮ่า ๆ ผมอ้าปากรอปอนด์ที่คีบวากิวอีกชิ้นก่อนจะรับด้วยปากแบบเต็มคำ



     " อื้อฮือออ อร่อยจางงง มีคนป้อนมันอร่อยอย่างนี้นี่เอง อ้าวอาร์ม ! ไม่มีคนป้อนเหรอ ? ว้าาาา เสียใจด้วยนะเพื่อน " ผมพูดพลางเอื้อมมือไปแตะบ่าแต่มันดันเบี่ยงหลบเสียก่อน



     " ไม่ต้องมายุ่งกับกู กูเบื่อพวกเป็นง้อย " ตู้มมมม !!!! ระเบิดลงทั้งโต๊ะ แต่กูไม่สน กูกวนตีนมึงสำเร็จ มิ้ลค์รับไปหนึ่งคะแนน ฮ่า ๆ " ทำงี้ผัวมึงไม่ว่ารึไง ? " อาร์มพูดต่อ



     " ผัว ? ผัวคนไหน ? " ผมเฉไฉพลางยกแก้วชาขึ้นมาดูด



     " ไอเฟิร์สไง เป็นไง ได้คุยกันรึยัง ? " อยู่ดี ๆ ผมก็เผลอกัดหลอด อาร์มมองหน้าผมอย่างเอาตายซึ่งต่างจากปอนด์ที่หันมาแค่ดวงตา



     " ยังอะ " กูจะแถต่อยังไงดีล่ะเนี่ย ชิบหายละ เดดแอร์อีก !!



     " แต่กูเปลี่ยนผัวละ " แล้วผมก็ดึงแขนไอปอนด์มาซบ " นี่ผัวใหม่กู รู้จักไว้ซะด้วย " หึหึ อาร์มมันเบ้ปากให้ผมทีนึงก่อนจะก้มไปกินต่อ



     พอพวกเราเริ่มกินอาหารกันอย่างจริงจัง ผมก็จับสังเกตอะไรได้บางอย่างเกี่ยวกับไออาร์ม เวลาที่มายหยิบโน่นหยิบนี่มาใส่จานมิน ไอห่านี่ก็จะออกตัวไม่พอใจทันที อีกทั้งพ้นคำว่า ' หงุดหงิด ' ออกมาเป็นแสนคำ จวนผมเอ็ดใจว่าไอปฏิกิริยาแบบนี้มันจะเรียกว่า ' หึง ' ได้รึเปล่า ลองย้อนกลับไปตอนที่ทั้งมินและอาร์มมาขอคำปรึกษา ช่วงเวลามันเกิดขึ้นในตอนที่สองคนนี้ทำงานสภาฯ ร่วมกัน แน่นอนอยู่แล้วความสัมพันธ์ในฐานะพี่น้องหรือคนร่วมงานย่อมดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่อาร์มและมินเนี่ยผมยังเดาไม่ออกเลยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันคืออะไร ทำไมเพื่อนผมแม่งถึงได้มีอาการที่ไม่ต่างอะไรจากหึงหวงมินเลยวะ ? ผมว่าตัดช้อยมายแล้วเปลี่ยนคำตอบเป็นไออาร์มแทนน่าจะดีกว่า ถ้าเป็นน้องมายจริงคงไม่พึ่งมาปรึกษาหรอก มายมันเป็นเพื่อนมินมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว เกิดรักกันชอบกันจริง ๆ คงประกาศให้โลกรู้แล้วล่ะว่าเป็นผัวเมียกัน อืมมมมม ยังไงก็ขอดูลาดเลาของทั้งสองคนนี้ไปก่อนละกันนะครับว่าจะเป็นยังไงต่อ ยังรีบที่จะด่วนสรุปไม่ได้ หึหึ ส่วนบิลค่าอาหารทั้งหมดที่ผมจัดการเนี่ย..



     สะ..สะ..สี่พัน



     ทั้งผม มิน ปอนด์ ยืนส่งอาร์มและมายที่บังเอิญกลับบ้านทางเดียวกัน ผมก็เลยจัดการให้ทั้งคู่นั่งแท็กซี่ไปด้วยกัน (มันจะตีกันมั้ยวะ ?) ตามด้วยพวกเราที่ขึ้นแท็กซี่คันหลังไปติด ๆ



     ผมปิดประตูด้านหน้าที่สอดตัวเข้าไปนั่งก่อนจะบอกพี่โชเฟอร์ว่าไปไหน ผมมองลอดกระจกออกไปด้านนอกแล้วก็อดยิ้มกับบรรยากาศเมื่อครู่ที่มีแต่ความสนุกสนานไม่ได้ มันสนุกจนไม่อยากจะลืมมันเลย แต่แล้วภาพแสงไฟข้างทางก็ถูกแทนด้วยใบหน้าของคนคนหนึ่งที่แทรกเข้ามาในความคิด มันทำให้ผมอึดอัดใจจนต้องปล่อยลมผ่านปลายจมูกออกมาเบา ๆ



- Not to be unlocked -



หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.28 แนบสารบัญแล้วจ้า (13/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 14-02-2018 18:55:10
Not to be unlocked : Episode 29 : ไม่ไหว

     มือเรียว ๆ ของผมบิดกรประตูไม้เนื้อดีก่อนจะใช้แรงผลักอันน้อยนิดดันไปด้านหน้า ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาอยู่ในห้องของตัวเองก็จัดการเดินเอาจาคอปไปวางข้างจอคอมพิวเตอร์ พลางล้มตัวลงนอนบนเตียงทั้งอย่างนั้นด้วยความอ่อนล้า ผมมองไปยังด้านข้างเห็นระเบียงที่ปิดอยู่ก็นึกอยากจะออกไปนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเหมือนคนมีความเครียดสะสม คิดไปคิดมารู้สึกขี้เกียจยังไงชอบกล ถึงจะบ่นกับตัวเองในใจแบบนั้นแต่ก็ยอมสั่งขาให้ลุกจากฟูกนิ่ม ๆ ไปเปิดประตูระเบียง ผมนั่งชันเข่าดูดวงดาวมากมายที่กระจัดกระจายอยู่เต็มท้องฟ้าด้วยความบันเทิงก่อนจะรู้สึกเหงาขึ้นมาใจ ฝ่ามือข้างขวาล้วงหยิบไอโฟนในกระเป๋าที่หุ้มด้วยเคสสีเหลืองขึ้นมาเชยชม ผมลูบสัมผัสแก้มสีแดง ๆ ของเจ้าพิคาชูที่ยิ้มให้เจ้าของมันอย่างหนืดในใจ นี่เป็นสีแรกและสิ่งเดียวที่นัทตี้ซื้อให้ผมครับ ถึงมันจะราคาไม่แพงมาก แต่มีคุณค่าทางจิตใจต่อผมมหาศาล ถึงสถานะของผมและเธอมิอาจเรียกเราว่าเป็นคนรักกันได้แล้ว แต่ข้าวของหรือรูปถ่ายที่ฉายตัวผมและผู้หญิงคนนั้นผมไม่เคยคิดที่จะลบออกจากอัลบั้มในโทรศัพท์หรือความทรงจำเลย ช่วงเวลาที่ผมไม่มีการบ้านหรือสมองโล่ง ๆ จากสิ่งใด ผมก็จะย้อนความคิดไปยังช่วงเวลาที่มีความสุขกับคนที่ตนรัก แม้ความจริงจะคอยย้ำเตือนทุกครั้งว่ายังไงผู้ชายแบบผมก็ไม่สามารถกลับไปอยู่จุดจุดนั้นได้อีก

     สายลมแห่งฤดูหนาวพัดผ่านมากระทบผิวเรียกให้ขนลุกชูชัน ลมเย็น ๆ นี้นำพาซึ่งความเหงามาอีกระรอก มันทำให้ผมนึกถึงหน้าชายคุ้นหน้าคุ้นตา เส้นทางที่เดินฝ่าความมืดของผมไม่สามารถเห็นแสงสว่าง นำมาซึ่งคำตอบว่าทำไมเฟิร์สถึงกระทำเช่นนั้น ถึงเคยพูดกับปอนด์อย่างไม่คิดว่าเฟิร์สคงไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมแล้ว แต่ลึก ๆ เองกลับหวาดกลัวหากเกิดขึ้นจริง ความอัดแน่นที่อยู่ในอกผลักน้ำในตาให้ไหลออกมา ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเพียงแค่วันเดียวเฟิร์สก็ทำให้ผมน้ำตาไหลได้แล้ว กลับกัน นัทตี้ในตอนนี้ทำให้ผมได้เพียงแค่รู้สึกเหงาในใจขึ้นมาก็เท่านั้นเอง

     หลายวันผ่านไปชีวิตของผมทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย ปอนด์ที่ไม่ค่อยมารอหน้าบ้านเดี๋ยวนี้ก็มาถี่ชนิดที่ผมคิดว่ามึงเป็นบ้าหรือเปล่า การเรียนก็ดูยากขึ้น วัดได้จากการสอบย่อยของคณะอาจารย์ที่แต่ละท่านเอาเนื้อหาส่วนลึกในการเรียนมาสอบ เห็นช่วงนี้ฝ่ายปกครองประกาศรับสมัครประธานนักเรียนรุ่นต่อไปด้วย ไม่รู้ว่าเจ้ามินให้ความสนใจเรื่องนี้เหมือนเมื่อก่อนมั้ย ก็อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ต้นน่ะครับว่ามีอะไรหลาย ๆ เปลี่ยนไป แต่มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่ยังมั่นคงอยู่ตลอด

     การกระทำอันเย็นยะเยือกของเฟิร์สที่ถูกส่งมายังผม สิ่งนี้ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากวันแรกที่ได้รับ จนผมคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว มันอัดอั้น สงสัย หวาดกลัว ความรู้สึกเหล่านี้เหมือนมันสั่งให้ผมอยู่เฉย ๆ เพื่อรับแรงกดดัน แทนที่จะเดินไปคุยกับเจ้าตัวให้รู้เรื่อง ช่วงนี้ถ้าผมจะอารมณ์แปรปรวนเหมือนผู้หญิงเป็นประจำเดือนก็คงไม่แปลก เรื่องของผมและเฟิร์สยังมีแค่ปอนด์กับอาร์มครับที่ยังสงสัย ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ตอนแรกจะไม่ค่อยสนใจก็เริ่มจับสังเกตเจ้าเฟิร์สได้กันแล้ว ครั้งหนึ่งผมเคยทักเจ้าคิงคองกับเพื่อนคนอื่น ๆ  ห้องสี่ที่มีเฟิร์สพ่วงมาด้วย ทุกคนต่างขานรับตามภาษาเพื่อนพ้อง เว้นเสียผู้ชายคนนี้ที่ยังคงยืนยันว่าจะทำให้เราทั้งคู่ห่างเหินในความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ นานวันเข้าผมก็รู้สึกต้องทำใจแล้วล่ะแม้ว่ามันจะไม่ได้ง่ายเลย

     เวลาที่ผ่านไปไวเหมือนโกหกก็พาผมมาหยุดในวันเสาร์ เฮ้อ.. เป็นอีกหลาย ๆ ครั้งครับที่ผมไม่ค่อยอยากจะมาทำงานซะเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะอยากนอนอยู่บ้านหรืองานมันหนักจนขี้เกียจหรอก แต่ลูกเจ้าของร้านเนี่ยสิ ผมลุ้นอยู่ร่ำไปตอนมาทำงานครับว่าอย่าได้เจอเฟิร์สเลย ยิ่งผมเห็นหน้ามัน ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น ผมอธิษฐานในอกว่าอย่าได้เจอกันเลยก่อนจะเปิดประตูเข้ามาในร้าน ผมหวัดดีพี่เพ็ญฝ่ายบริการที่กำลังถูพื้นอยู่พลางเดินหลบไม่ให้ขวางการทำงานของเขา ก่อนจะเดินไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อตอกบัตร

     " หวัดดีจ่ะมิ้ลค์ " ผมสะดุ้งจนบัตรหลุดออกจากมือพลางหันไปทางต้นเสียง เจ้าของร้านนี่เอง เฮ้อ.. โล่งอก อย่างน้อยคนที่เจอก็เป็นแม่มันล่ะวะ

     " สวัสครับแม่ขวัญ " ผมพนมมือไหว้คนที่เดินออกมาจากในครัวก่อนจะก้มเก็บบัตรที่พื้น

     " เป็นอะไรหื้อ ? นี่คนไม่ใช่ยักษ์นะจะตกใจทำไม " แล้วเจ้าของร้านก็หัวเราะในความเปิ่นของผม ถ้ารู้เป็นแม่ขวัญแต่แรกก็ไม่ตกใจหรอกครับ ผมขอถอนหายใจอีกรอบเถอะ เฮ้อออออ " ตามมานี่หน่อยสิ แม่ขอคุยอะไรด้วยหน่อย " หื้ม ? ขอคุยอะไรหน่อยเหรอ ? คุณขวัญไม่เคยขอผมคุยอะไรมาก่อนเลยนะ

     " เอ่อ...แล้วข้างในของมาส่งแล้วครับ ? " เดี๋ยวนี้ผมได้ทำหน้าที่เช็กของในสต๊อกก่อนเริ่มงานแล้ว ใกล้เรียกผมว่าหัวหน้าเชฟได้แบบเต็มตัวซะที

     " ไว้ก่อนก็ได้มิ้ลค์ แม่ขอคุยด้วยแปปเดียว "

     " อา...ครับ " ผมเดินตามคุณขวัญต้อย ๆ ไปนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ  โต๊ะทำงานประจำเจ้าของร้าน

     " เฮ้อ.. " คิ้วผมเลิกขึ้นติดเพดานสลับขมวดเข้าหากันยุ่งให้กับการเกริ่นประเด็นที่ทางนั้นจะยกขึ้นมา ถอนหายใจงี้มีหวังกูตายแน่ จะโดนไล่ออกปะวะ !?

     " จะไล่ผมออกเหรอครับ !? " เจ้าของโต๊ะทำงานตัวนี้ขมวดคิ้วก่อนจะหลุดขำ

     " จะบ้าเหรอมิ้ลค์ ใครเขาจะไล่เราออก ขยันแบบนี้แม่ให้อยู่ยันลูกบวชเลย " เอ่อ...ผมโสดแล้วครับ น่าจะมีลูกประมาณชาติหน้าตอนบ่าย ๆ

     " เข้าประเด็นเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวน้าแดงเขาจะไม่มีคนช่วยในครัว " น้าแดงอยู่แผนกยำครับ แต่หน้าที่ก่อนเริ่มงานก็คือเตรียมของกับเช็กของนี่แหละ กลัวว่าแกจะทำคนเดียวไม่ไหว เห็นบ่นว่าหลังไม่ดีด้วย

     " โอเค " คนตรงหน้าหลับตาสูดลมเข้าปอดไปหนึ่งเฮือกราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว " คือพักนี้น้องเฟิร์สเขาดูแปลก ๆ ไปน่ะ " เป็นเพราะชื่อ ๆ นี้นี่แหละทำให้ผมลนขึ้นมาซะดื้อ ๆ ถ้าแม่ขวัญสังเกตตรงหน้าตัก มือของผมบีบเข้าหากันแน่นไม่ต่างอะไรจากเอากาวมาติด

     " ยะ...ยังไงเหรอครับ ? " ผมพูดตะกุกตะกักแต่ทางนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

     " แม่สังเกตเฟิร์สเขามาหลายครั้งแล้วนะ ทุกทีเขาจะมาช่วยงานที่ร้านแต่พักนี้หายหน้าหายตาไปเลย แม่ไปถามเฟิร์สก็บอกไม่ได้เป็นอะไร " ทำไมกูพอจะเดาได้วะว่าต้นเหตุมันมาจากจากไหน..

     " มิ้ลค์พอจะรู้มั้ยจ๊ะว่าเฟิร์สเขาเป็.. "

     " มะ มะ ไม่ ไม่รู้ครับ !! " โว้ยยยย แล้วกูจะร้อนตัวทำมายยยยยย คุณขวัญจ้องผมด้วยผนังตาที่หรี่ลงเหมือนกับไม่เชื่อ

     " มีพิรุธนะ เราสองคนเป็นอะไรกันหรือเปล่า ? " ด้วยคำคำนี้เองทำให้สติคืนกลับมาเป็นร้อยอีกครั้ง

     " เอ่อ...คือผมอยู่โรงเรียนก็ไม่ค่อยได้เจอเฟิร์สมันนะครับ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเฟิร์สเป็นอะไร " จริง ๆ อยากจะบอกว่า อยู่โรงเรียนเจอเฟิร์สแม่งทุกวัน แล้วก็แน่ใจด้วยว่าเป็นอะไร และเพราะใคร !!

     " คือที่แม่มาถามเนี่ย แม่ก็สังเกตมิ้ลค์ซึม ๆ  ไปพร้อมกับเฟิร์สเลยนะ " อ่าว เวรแล้วไง นี่กูออกอาการตั้งแต่เมื่อไหร่ " เป็นไปได้มิ้ลค์ก็แวะลองไปถามเฟิร์สให้แม่ที่บ้านหน่อยนะจ๊ะ บางทีเฟิร์สเขาน่าจะฟังเพื่อนมากกว่าแม่ก็ได้ " ขนาดที่โรงเรียนมันยังมองหน้าผมไม่ติด แล้วให้ผมเล่นให้ไปถล่มถึงบ้าน มันต่างอะไรกับโยนตัวเองลงไปในบ่อจระเข้วะ ?

     " ครับ ไว้ผมว่าง ๆ จะลองแวะไปถามให้นะครับ "

     " เย็นนี้เลยก็ได้นะ บ้านแม่ยินดีต้อนรับมิ้ลค์เสมอ " คุณแม่ของเจ้าตัวปัญหายิ้มสวย ๆ ก่อนจะปล่อยให้ผมไปทำงานในครัว

     ผมไม่ไปแน่นอนครับ

####

     บ่ายวันหนึ่งในสัปดาห์เรียนใหม่ ผมได้รับรายงานจากสปายห้องสี่ว่าจะมีกิจกรรมกระชับมิตรในตอนเย็นเกิดขึ้น ถ้าให้ผมเดานะ แม่งคงคิดว่าห้องสี่กับห้องสิบเอ็ดยังไม่สนิทกันมั้ง เลยเขียนใบขอยืมสถานที่จัดกิจกรรมกันในโรงยิม เอ่อ...พวกมึงนี่ก็ว่างกันเนอะ ถ้าจะจัดกันจริง ๆ จัง ๆ ทำไมไม่เช่าสถานที่ข้างนอกแล้วหาเกมเล็ก ๆ น้อย ๆ เล่นกันวะ จะรบกวนสถานที่ในโรงเรียนทำไม ? เดี๋ยวห้องปกครองก็เอาเรื่องมึงตายจนได้หรอก โว้ะ

     แต่เอาเข้าจริง ๆ ถึงจะบ่นไปเป็นวันผมก็ไม่ได้ขัดข้องให้กิจกรรมของเราไม่ดำเนินไปหรอก ผมออกจะดีใจด้วยซ้ำที่หาเวลาเล็ก ๆ น้อยๆ  มาโปกฮาให้เราทั้งสองห้องสนิทกันมากขึ้น แต่ท่านผู้อ่านลองคิดดูสิครับหากผมต้องเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ผมต้องพบเจอกับใคร..

     ถูกต้องนะคร้าบบบบบ

     ไอเชี่ยเฟิร์ส !

     หนึ่งชั่วโมงก่อนกิจกรรมเริ่ม ชาวห้องสิบเอ็ดได้นัดรวมตัวกัน ณ โรงอาหาร ( ก็พวกผมชอบนั่งที่นี่อาาา ) บางคนมีธุระต้องรีบกลับบ้านก่อนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ส่วนห้องสี่มันยังไม่เลิกเรียนกันเลยครับ น่าจะสี่โมงกว่ามั้ง ผมนั่งเท้าคางอยู่ข้าง ๆ ปอนด์โดยมีเพื่อนฝูงใหญ่เตะบอลกันอยู่ในสนาม หึ ผมไม่เตะตอนบ่ายสามหรอก แดดแม่งร้อนโฮกกกก นั่งอยู่ในร่มดูดชาไข่มุกคู่กับผัวดีกว่า สบายกว่ากันเยอะ ฮ่า ๆ

     " ผัวขา มึงว่าแพนเค้กชาไทยอันนี้กับวอฟเฟิลนมสด อันไหนมันน่ากินกว่ากัน ? " ปอนด์มันทำหน้าเหยเกก่อนจะยื่นคอมาดูไอโฟนในมือผม ที่ถามเพราะจะลองเปลี่ยนตัวเองไปเป็นเชฟสายหวานดูบ้างน่ะครับ เผื่อจะรุ่ง หึหึ

     " แพนเค้ก แต่ไอห่า มึงเลิกเรียกกูแบบนั้นได้ปะ ? " อะไรวะ เพื่อนกันเรียกผัวคะผัวขาไม่เห็นต้องคิดมากเลย

     " ทำไม ? ไม่ชอบเหรอได้กูเป็นเมียอะ กูทำงานบ้านเก่งนะเว้ย มีกูคนเดียวงานบ้านมึงแทบไม่ต้องแตะเลยนะ " ไม่รู้มันน่าภูมิใจตรงไหนถึงหน้าด้านยกขึ้นมาพูด ฮ่า ๆ

     " เปล่า กูไม่ชินอะ " หื้มมมม พุดดิ้งเค้กก็น่าสนใจ ว่าแล้วผมก็กดเข้าไปในเมนูดังกล่าว

     " แล้วอยากให้กูเป็นอะไรอะมึงถึงจะชิน ? " แต่ชินนาม่อนโรลก็น่าสนใจเหมือนกันว่ะ โว้ะ ทำไมกูหลายใจจัง

     " กูอยากให้มึงเป็นผั.. "

     " โอ้โห !! ไอปอนด์ ! เครปเค้กก็น่าลอง ! " คนข้าง ๆ หน้าเหวอไปเลย แต่ตากี้มันพูดว่าอะไรหว่า " ตากี้มึงว่าไงนะ ? "

     " หื้อ ? อ๋อ...เปล่า ๆ เครปเค้กก็โอเคนะ กูก็ชอบ " งั้นเดียวริสเมนูหน้านี้ไว้ก่อน หึหึ ไว้วันอาทิตย์เราจะมาระเบิดครัวกัน !!

     ตอนนี้หน้าไอโฟนของผมเปลี่ยนไปเป็นของหวานชนิดอื่นแล้ว พลางโยกหัวไปซบไอปอนด์เพื่อถามว่าเมนูนี้ดีมั้ย น่ากินหรือเปล่า ไอห่านี่แม่งก็เสือกตอบน่ากินทุกอย่าง สัด ! ถ้ากูทำมาแล้วไม่แดกนะ กูจะยัดปากมึงจนต้องร้องขอชีวิตเลยไอปอนด์ ! ผมเอนตัวกลับให้นั่งเหมือนคนปกติก่อนจะมองซันกับปิงปองที่เดินไปซื้อน้ำมาบิดฝ่าขวดดื่มเอือก ๆ เหนื่อยกันล่ะสิพวกมึง บอกแล้วไปเตะสักสี่ห้าโมงโน่นจะได้ไม่ร้อน

     " มิ้ลค์ " เสียงปอนด์เรียกผมใกล้ ๆ

     " ว่าไง ? " ผมตอบกลับแต่ไม่ได้หันหน้าไปมอง

     " กู...ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ "

     " อื้ม ก็คุยสิ "

     " สวนวิจิตรได้มั้ย ? แค่เราสองคน " ผมหันไปขมวดคิ้วมองหน้ามันอย่างเดาไม่ออกว่าแม่งจะคุยเรื่องอะไร

     " อื้ม " สิ้นคำนั้นปอนด์ก็ลุกขึ้นนำหน้าผมไปซะแล้ว อืมม มีเรื่องจะคุยกับผมแค่สองคน จะคุยเรื่องที่ผมคิดไปเองช่วงนี้หรือเปล่า ? เดี๋ยวก็รู้เองแหละมั้ง ผมเกาหัวแกก ๆ ก่อนจะลุกตามไป

     ขาทั้งสองของผมมาหยุดอยู่ท่ามกลางพฤกษานานาพรรณตามสถานที่ที่ถูกนัดไว้ ใบไม้ที่เหี่ยวเฉาร่วงโรยตกสู่พื้นตามแรงลม ดอกไม้ยังคงเบ่งบานรับแสงอาทิตย์อันเจิดจ้า นักเรียนชายจำนวนหนึ่งนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อรับความรื่นรมย์ บรรยากาศเย็นสบายและเงียบสงบไม่ต่างอะไรจากหมอนี่

     " เงียบมาตั้งนานแล้วนะ " ผมเลิกคิ้วข้างนึงจ้องหน้าคุณปอนด์ที่เอาแต่ก้มหน้า

     " เอ่อ...คือ " สิ้นคำอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ปอนด์ก็ปล่อยให้สายลมมากระทบผิวหน้าของเราโดยไม่พูดอะไรต่อ

     " ว่าไง ? " ปอนด์ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้าให้ผมได้เชยชมดวงตาคู่นั้น

     " ที่กูขอคุยกับมึงที่นี่...มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับใคร แต่มันใหญ่มากสำหรับกู " ผมกะพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจแต่ก็เลือกจะฟังมันต่อ

     " กูรู้สึกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าที่จะบอกกับใคร...ระบายกับใคร...แม้กระทั่งมึง " ถึงตรงนี้ผมเริ่มจะจับต้นชนปลายได้แล้วล่ะที่ปอนด์อารัมภบทมาตากี้หมายถึงอะไร ผมคิดไม่ผิดจริง ๆ สินะ

     " .......... "

     " กูรู้นะถ้าบอกมึงตอนนี้เราอาจมองหน้ากันไม่ติด แต่กูตัดสินใจที่จะพูด "

     " .......... "

     " กูอึดอัด ขอให้กูได้พูดนะ "

     " มึงชอบกูสินะ " ไม่รู้ในหัวผมคิดอะไรอยู่ถึงได้ชิงตัดหน้าพูดออกไป

     " มิ้ลค์ " เสียงนั้นพูดชื่อผมแผ่ว ๆ ราวกับกระซิบ นัยน์ตานั่นวูบไหวมั่วซั่วไปหมด " มึงดูกูออกด้วยเหรอ ? "

     " อื้ม สักพักแล้วล่ะ "

     " กูรู้สึกดีกับมึง มึง...ทำดีกับกู มึงชอบช่วยเหลือกู...มึงทำให้กูมีความหวัง พอกูมีความหวัง...กูเลยต้องมีวันนี้ " เสียงพูดของปอนด์ดูกระท่อนกระแท่นมาก

     " .......... "

     " วันที่กูได้บอกรักมึง " ผมรีบคว้าคนข้างหน้าเข้ามากอดก่อนน้ำตาเจ้าตัวจะหลั่งไหลเพราะทนดูสภาพของเพื่อนคนนี้ไม่ได้เต็มที

     " กูไม่ได้ให้ความหวังอะไรมึงทั้งนั้นแหละ เพราะเราเป็นเพื่อนกันไง ทุกอย่างที่กูให้มึงไปมันอยู่ในขอบเขตของคำว่าเพื่อน กูไม่เคยคิดว่ามึงจะเป็นมากกว่านี้เลยจริง ๆ กูขอโทษนะที่ทำอะไรหลาย ๆ ให้มึงคิดเหมือนว่ามีหวัง " ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นในกายนี้

     " กูขอบคุณนะที่วันนี้มึงมาบอกรักกูอะ มึงกล้าหาญมากเลยรู้เปล่า ? "

     " .......... "

     " แต่เพื่อนที่แสนดีแบบมึงอะ อย่าได้เป็นอย่างอื่นเลยนะปอนด์ " ปอนด์กอดตอบผมด้วยแรงที่เหลือ

     ทุกอย่างที่ผมสัมผัสได้จากเพื่อนคนนี้นั้น ผมพอจะเดาได้ว่าเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนให้กัน ผมรับรู้ความรู้สึกของปอนด์ได้สักพักแล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ผมคิดกับปอนด์แค่เพื่อนไงถึงได้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ปอนด์อยู่ในขอบเขตของคำว่าเพื่อน เราเป็นอะไรที่มากกว่านั้นไม่ได้ เพื่อนที่แสนวิเศษอย่างปอนด์ผมจะไม่มีวันทำให้เป็นอย่างอื่นได้เด็ดขาด

     " มึงวางใจได้เลยนะเรื่องที่จะมองหน้ากันไม่ติดน่ะ กูไม่มีวันทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้กับเพื่อนตัวเองหรอก " ผมพูดก่อนจะถอนอ้อมกอดอันแสนอ่อนโยน ผมปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วบนใบหน้าของปอนด์อย่างเบามือ

     " เป็นเพื่อนกูต้องไม่ร้องนะ "

     " ฮืออออออออออ " ร่างกายของปอนด์โถมเข้ามากอดอีกครั้งราวกับขอสิ่งนี้เป็นสิ่งสุดท้าย

     " เพราะมึงแสนดีแบบนี้ไงมิ้ลค์ กูถึงได้รักมึง " ตามด้วยเสียงร้องที่ดังลั่นอย่างไม่สนใจใคร ผมยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของปอนด์ที่ยาวกว่าปกติปอย ๆ

     " ปะ ไปหาเพื่อน ๆ ของเรากัน "

     แสนดีเหรอ ? หึ ถ้ามึงได้รู้จักตัวตนเชี่ย ๆ ของกูจริง ๆ มึงอาจจะไม่พูดคำว่ารักเหมือนคนที่เคยให้ชีวิตกูแล้วก็ได้นะ...ปอนด์

####

     หลังได้รับความในใจจากปอนด์ที่อัดอั้นมาแสนนานจนวันนี้ก็ได้พูดออกมา กิจกรรมกระชับมิตรในโรงยิมของเราก็ใกล้จะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ตอนนี้มีเพียงห้องสิบเอ็ดเท่านั้นครับที่มานั่งรออยู่บนสแตนด์เชียร์ แต่เพียงไม่นานนักห้องสี่ก็เริ่มทยอยเดินเข้ามาสมทบข้างในกันแล้ว ความรู้สึกคุ้นเคยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเมื่อเห็นใบหน้าหนึ่งของคนในกลุ่มนั้นที่เดินเข้ามา เฟิร์สไม่มีสีหน้ายิ้มแย้มเลยแม้วันนี้ออกจะเป็นวันที่สนุกสนาน เฮ้อ..บางทีผมก็อิจฉาไอปอนด์มันนะที่กล้าหาญมาบอกชอบ มึงแบ่งความกล้าให้กูได้เดินเข้าไปถามเฟิร์สสักหน่อยได้มั้ยวะ

     " สวัสดีคร้าบทุกท่าน ขอต้อนรับเข้าสู่กิจกรรมกระชับมิตรของห้อง.. " คิงคองเดินออกมาคู่กับอาร์มจากตรงไหนไม่รู้ด้วยมือที่ถือโทรโข่งคนละอันอยู่หน้าสแตนด์

     " ไม่ต้องสุภาพก็ได้สัด ! เจ๊พรไม่อยู่ จะพูดห่าอะไรก็พูดไปเถอะ " เสียงแว่วตะโกนมาจากสแตนด์ใกล้ ๆ ห้องสี่นั่นแหละครับ พวกเรานั่งแบ่งห้องกันอย่างชัดเจน

     " ได้ไอสัด ! ที่กูนัดพวกมึงมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้เพื่อจะเฉลิมฉลองงานกีฬาสีที่ได้รับรางวัลอันใหญ่หลวง แล้วก็กระชับมิตรให้เราทั้งสองห้องสนิทกันมากขึ้นด้วย " คิงคองว่าต่อ แหม บทจะหยาบก็ขรุขระเต็มที่เลยนะเพื่อน

     " ฉลองขนมปี๊บกีฬาสีไม่พอรึไง ? " เป็นผมนี่แหละตะโกนแซ็วมันออกไปดังลั่น ฮ่า ๆ เรียกเสียงฮากันถ้วนหน้า

     " ยังไม่หมดนะสัด อยู่ห้องสภาโน่น ยกขึ้นมาแดกได้ " อาร์มยกของที่มันถือก่อนจะพูดผ่านให้เสียงดังลอดออกมา

     " ว่าแต่ฉลองอะไรของมึงวะไอคอง ? เหล้าไม่เห็นสักขวด " เพื่อนหน้าสแตนด์ห้องสี่พูดจนคนอื่นเห็นด้วยกันเป็นระนาว แดกเหล้ากันในโรงเรียนเนี่ยนะ ?

     " แดกตีนกูไปก่อน ไม่มีหรอกฉลองอะ กูพูดไปงั้นแหละ ถ้ามีปัญหาก็ลุกมา " เอ่อ...ตัวมึงใหญ่ก็พูดได้นี่คิงคอง พวกนั้นที่ได้รับคำท้าก็ลุกขึ้นไปจริง ๆ ครับ แต่สีหน้าไม่ได้จ้องจะหาเรื่องกันสักหน่อย ออกเป็นเพื่อนหยอกล้อกันมากกว่า

     " อะ ๆ เข้าประเด็นเดี๋ยวจะดึก เราจะกระชับมิตรกันเหมือนตอนปฐมนิเทศอย่างที่พี่เต้ยเคยจัดให้เรา จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ได้ทำร่วมกันทั้งสองห้อง อาทิเช่นเกม บลา ๆ " ผมแทบจะไม่ได้ฟังไออาร์มที่พูดฉอด ๆ ออกโทรโข่งเลยสักกะติ้ด เพราะอยู่ดี ๆ กะจิตกะใจลอยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ถึงจะลอยเคว้งคว้างแต่ก็รับรู้ถึงพลังอำนาจสีดำอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ ก็พอจะเดาได้แหละว่าใครเป็นคนปล่อยออกมา

     " อะมาเลยดีกว่า ตอนปฐมนิเทศใครที่มันเคยแพ้แล้วอยากแก้แค้นก็ลุกขึ้นมา !! " สิ้นคำคิงคอง ไอพวกห่านี่ก็ลุกฮือขึ้นมาราวกับได้ยินเพลงปลุกใจ มึงจะคึกกันไปไหน ?

     " เชี่ยต้อม ! มึงลุกมาเจอกูเลยสัด !! วันนั้นมึงฝากรอยแผลกูไว้ กูจะเอาคืน ! " ไอซันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ วิ่งพรวดลงไปข้างล่างพลางชี้หน้าคู่กรณี ทางนั้นก็ยิ้มรับอย่างผู้ที่ถือไผ่เหนือกว่า

     " แรงมึงสู้กูไม่ได้หรอกซันนี่ " แล้วมันสองตัวก็ไปลากโต๊ะมานั่งงัดข้อกัน

     หลายกิจกรรมผ่านไปอย่างสนุกสนานครับ มีทั้งเสียงหัวเราะ เหยาะเย้ย รวมไปถึงเสียงเชียร์ที่ดังได้อย่างไม่ต้องสนใจใครจากสแตนด์ ก็ทั้งโรงยืมมีแค่เราสองห้องเท่านั้นนี่เนอะ ถึงเพื่อนจะสนุกสนานกันมากแค่ไหน ใจผมก็ล่องลอยไปในอากาศอย่างคว้าเอาไว้ไม่ได้อยู่อย่างนั้น

     " เฮ้ย ๆ ใครอยากดูคู่เด็ดของวันนี้มั้งวะ ? "

     " อะไรวะอาร์ม ? " คิงคองพูดผ่านโทรโข่งมองหน้าอาร์มอย่างสงสัย ซึ่งไม่ต่างอะไรจากทุกคน

     " หึหึ คู่มองตาในตำนานไง "

     " อ๋ออออ ฮิ้วววววว " เสียงเพื่อนเฮรับกันให้ลั่น

     " ไอมิ้ลค์ ! " อาร์มตะโกนออกมาเสียงดังแต่ผมก็ยังไม่ได้ยิน

     " มิ้ลค์ ๆ " เป็นปอนด์ครับที่เอื้อมมือมาสะกิดจากด้านหลังเพื่อให้หันไปมอง มันชี้ไปยังข้างล่างที่ไออาร์มกวักมือยิก ๆ

     " อะไร ? " ผมขมวดคิ้วถามมันด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ

     " ลงมา เฮ้ยเฟิร์ส ! ลงมาด้วย " ไม่รู้ว่ามีใครเห็นผมหรือเปล่าว่าตาผมเบิกโคตรกว้างโคตร ๆ อะไร !! ให้กูไปทำอะไรกับไอเฟิร์ส !? มองตากันเหรอ !!!!!?

     " อ่าวเชี่ยมิ้ลค์เร็ว ๆ ดิ่ รีบลงมา ! เพื่อนรอเตะฟุตซอลกันอยู่ " ผมลุกลี้ลุกลนเหมือนเป็นคนบ้า ทางออกมันมืดแปดด้านไปหมด งานหยาบแล้วไงกู เพื่อนข้างหลังแม่งผลักผมจนต้องขอทางคนข้างหน้าให้หลบก่อนจะลงมาเหยียบพื้นโรงยิม คิงคองที่กวักมือเรียกไอเฟิร์สถี่ก็รู้สึกว่าจะไม่ทนแล้ว เลยปีนขึ้นไปล็อกแขนมันให้ลงมา เฟิร์สชักสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ก่อนจะมายืนใกล้ ๆ ตอนนี้เราทั้งสองได้มาประจันหน้ากันที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่สิ่งที่ผมมองอยู่คือรองเท้าหนังที่หุ่มตีนก็เท่านั้น

     ประหม่าชิบหาย

     " เอาล่ะครับ แมตช์หยุดโลกของสามีภรรยาคู่นี้ก็คัมแบ็คมาให้เราได้ดูกันอีกแล้ว ไม่รู้ทางฝั่งเจ้าสาวจะได้จับเจ้าบ่าวทำผัวเหมือนตอนนั้นอีกหรือไม่ เอาล่ะครับ เรามานับถอยหลังพร้อมกัน " สิ้นคำอาร์มก็ตามด้วยเสียงให้กำลังใจจากทั่วสารทิศ

     " สาม ! "

     เชี่ย ทำไมมันอึดอัดเหมือนจะระเบิดงี้วะ !!

     " สอง !! "

     แต่นี่ก็เป็นการดีของมึงไม่ใช่เหรอวะมิ้ลค์ ? ที่จะถามเรื่องทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น

     " หนึ่ง !!! "

     หน้าอกของตอนนี้ผมเต้นโคตรแรง แม่งแรงมาก ผมไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจจะเต้นถี่และแรงขนาดนี้มาก่อน เอาวะ ! เป็นไงเป็นกัน !!
     
     " มองตากันครับ !!! "

     " .......... "

     ทุกคนต่างเงียบรอลุ้นผลว่าจะออกมาเป็นยังไง ผมมองใบหน้าคนตรงหน้าด้วยร่างกายที่ฝืน นัยน์ตาของเฟิร์สที่ผมมองอยู่ไม่กลมใสเหมือนอย่างเคย มันแน่นิ่งเกินไป นิ่งจนผมรู้สึกปวดใจตุบ ๆ

     " เฟิร์ส " ผมเรียกจนเจ้าของชื่อนั้นแววตาวูบไหวไปนิดหน่อย ผมมั่นใจได้ว่ามีแค่เราสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน

     " ทำไมมึงต้องเมินกูด้วยล่ะ ? มึงรู้มั้ยว่ากูอึดอัดแค่ไหนที่มึงทำแบบนี้ กู...กูรับไม่ได้หรอกนะที่มึงทำแบบนี้อะ กูแทบจะตายแล้วนะเฟิร์ส มึงช่วยบอกได้มั้ยว่ากูไปทำอะไรให้มึงถึงได้เมินกู ได้โปรดเถอะเฟิร์ส...มึงช่วยบอก.. " ลูกตาสีนิลนั่นสั่นไหวไปตามคำพูดราวกับเกิดแผ่นดินไหวถล่ม เฟิร์สเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรอีกจนผมต้องหยุดพูดไป เสียงเฮดังลั่นให้กับชัยชนะของผม แต่มันกลับเงียบลงเมื่อชายคนนั้นหยิบกระเป๋าของตนวิ่งออกจากโรงยิมไป ปล่อยให้ผมลงไปนั่งกองกับพื้นด้วยตาที่เคลือบน้ำใส ๆ

     ผมคิดถูก..

     เฟิร์สไม่ต้องการให้ผมเป็นเพื่อนหลังจากนี้แล้วจริง ๆ




-   Not to be unlocked   -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.29 แนบสารบัญแล้วจ้า (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 16-02-2018 18:47:15
Not to be unlocked : Special Episode 2 : อดีตอันรางเลือน



     " ฮัลโหล อยู่ตรงไหนวะอาร์ม ? " เด็กชายร่างโปร่งหน้าหวานสนทนาผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ของเขาในท่าทีหืดหอบ มือหนึ่งกุมโทรศัพท์ไว้ข้างหู ขาทั้งสองเดินฝ่าผู้ปกครองที่หลั่งไหลมาส่งบุตรหลานเพื่อเข้ารับการปฐมนิเทศในปีการศึกษาใหม่



     " เขามารออยู่หอประชุมกันหมดแล้ว รีบขึ้นมาเลย " เสียงปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง



     " เออ เดี๋ยวกูรีบขึ้นไป " ว่าที่นักเรียนม.ปลายคนใหม่เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงที่ขาสั้นผิดปกติ ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปยังจุดหมายให้ทันเวลา



     รองเท้าหนังคู่สวยวิ่งผ่านทั้งผู้ปกครอง นักเรียนและคณะอาจารย์มาอย่างเร่งรีบ แต่ด้วยเสียงของใครคนหนึ่งที่เจ้าตัวเคารพ จึงทำให้ขาทั้งสองข้างหยุดชะงัก



     " เฮ้ยมิ้ลค์ ! มารายงานตัวก่อนเข้าไป " เป็นรุ่นพี่จากสภานักเรียนที่ทำหน้าที่รับรายงานตัวนักเรียนม.4 ทุกคนก่อนจะเข้ารับการปฐมนิเทศ



     " เหรอครับพี่แทน " เจ้าตัวสูงเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะรายงานตัวด้วยลมหายใจที่เข้าออกถี่ยิบราวกับต้องการออกซิเจนมาไหลเวียนในปอด



     " เก่งนี่หว่า ได้ต่อโรงเรียนเดิมด้วย ห้องไหนชื่ออะไรล่ะเรา ? " รุ่นพี่ถามพลางเปิดแฟ้มเอกสารที่บรรจุรายชื่อทั้งนักเรียนเก่าและใหม่ไว้มากมาย



     " กฤเดช ห้องสิบเอ็ด ศิลป์ภาษาครับ " มิ้ลค์พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ สิ่งที่เจ้าตัวต้องการคือสายวิทย์-คณิต มิใช่ภาษาแต่อย่างใด เพียงแต่คะแนนที่สะสมในช่วงม.ต้นนั้นไม่สามารถยื่นเข้าสายที่ตนต้องการได้ จริง ๆ ตัวมิ้ลค์เองสำหรับภาษาแล้วทำดีได้ไม่แพ้วิชาอื่นเลย บวกกับเพื่อนสนิทที่ได้มาเรียนแผนการเรียนเดียวกัน จึงทำให้มิ้ลค์ผ่อนคลายในการตัดสินใจได้มาก



     " เหยดดดด ไม่ธรรมดา " พี่แทนกล่าวชมก่อนเลื่อนปลายนิ้วหาชื่อของรุ่นน้อง " กฤเดช เลขที่สามสิบสี่ เซ็นชื่อตรงนี้ " ตัวแทนจากสภานักเรียนยื่นแฟ้มเอกสารไปยังด้านหน้าพลางชี้ระบุให้เจ้าของชื่อนั้นบรรจงลายเซ็นลงไป



     " ขอบคุณครับพี่แทน " มิ้ลค์วางปากกาแล้วจึงยกมือขึ้นพนมปก ๆ พี่ม.5 คนนี้อย่างเคารพ



     " รู้ใช่มั้ยว่ากว่าจะเข้าที่นี่ได้มันยากแค่ไหน ตั้งใจเรียนล่ะ " มิ้ลค์รับพรอันแสนประเสริฐของรุ่นพี่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะปลีกตัวเข้าไปด้านใน..



     เครื่องปรับอากาศที่หนาวเย็นพ้นอุณหภูมิต่ำแผ่ซ่านไปทั่วหอประชุม นักเรียนเก่าและใหม่นั่งปะปนกันอย่างเป็นระเบียบตามแผนการเรียนที่ตนสนใจ ที่นี่รองรับบุคลากร นักเรียน หรือคณะอาจารย์ด้วยเก้าอี้อันแสนสบาย แต่เนื่องด้วยต้องจัดกิจกรรมสันทนาการ จึงต้องจัดสถานที่ให้พื้นแข็ง ๆ เป็นที่นั่งแทนเบาะนิ่ม ๆ แก่นักเรียนไปก่อน



     คนตัวสูงขาวที่เข้ามาใหม่กวาดสายตารอบด้านเพื่อหาเพื่อนของเขา ผู้คนหลากหลายจับจ้องไปหามิ้ลค์ที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ แต่ก็ไม่ได้สนใจไปกว่าผู้อำนวยการที่พูดอยู่ด้านหน้า มิ้ลค์ก้มหัวเดินต้อย ๆ ไปยังด้านหลังของแถวก่อนจะพบเพื่อนตัวเองที่กวักมือเรียกยิก ๆ ให้ไปนั่งร่วมกัน



     " นั่งซะหลังเลยนะมึง " เพื่อนสนิทม.ต้นของมิ้ลค์ขยับก้นถอยหลังเพื่อให้เพื่อนของตัวเองได้นั่งข้างหน้า มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำอย่างนี้ก็คือเวลาคุยจะได้มีเพื่อนบังไว้นั่นเอง



     " ตอนแรกกูนั่งหน้าสุดเลยครับ แต่มึงมาช้าอะ กูเลยหนีมานั่งหลังดีกว่า " ที่แท้ก็ไม่มีเพื่อนนั่งด้วยนี่เอง มิ้ลค์บ่นในใจก่อนจะชะโงกหน้าไปมองคนที่พูดฉอด ๆ บนเวที



     " แม่งบ่นนานยังวะ ? " มิ้ลค์หันไปถามเพื่อนของเขาที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง



     " สิบกว่านาทีแล้ว แม่งจะพูดอะไรนักหนา " คู่ซี้ขำกันคิกคักจนอาจารย์บางท่านที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เริ่มมองกันแล้ว



     " นาย ๆ เงียบ ๆ กันหน่อยดิ อาจารย์มองแล้วเห็นเปล่า ? " คงด้วยเสียงที่รบกวนสมาธิ นักเรียนใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มจากโรงเรียนสหศึกษาที่อยู่นั่งอยู่ด้านของมิ้ลค์จึงหันหลังมากล่าวตักเตือน



     " เอ่อ...โทษทีนะ " อีกฝ่ายที่ตัวเล็กกว่าพยักหน้าโดยไม่ได้ถือสาอะไร



     " แล้วนายชื่ออะไรเหรอ ? " ไม่วายมิ้ลค์ก็ชวนคุยต่อราวกับเรื่องที่เพื่อนคนนั้นกล่าวเตือนไปไม่ได้พูดออกมาสักแอะเดียว



     " ปังปอนด์ " มึงไม่ได้รู้สึกกันเลยสินะไอสองคนนี้ เจ้าของชื่อนั้นพูดในใจก่อนจะหันมาเหล่ตา



     " ปังปอนด์ที่มีผมสามเส้นปะ ? " มิ้ลค์รู้ดีว่านี่เป็นการหยอกล้อ แต่เพื่อนร่วมห้องหน้าใหม่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเลย " โห่นาย...จะซีเรียสทำไม ? เราก็แค่.. "



     " นี่เธอ ! ให้เกียรติพิธีหน่อยนะ ถ้าอยากคุยไปคุยด้านนอก ! " เป็นเพราะอาจารย์อายุค่อนสี่สิบที่กล่าวตักเตือนอย่างจริงจัง เลยทำให้นักเรียนคนนี้สงบลงดั่งเสกมนต์ แต่ก็แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น



     " เราชื่อมิ้ลค์นะ "



     เป็นเวลากว่าหลายชั่วโมงที่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนได้กล่าวทักทาย แนะนำสถานที่ คติพจ รวมไปถึงให้โอวาทแก่นักเรียนมัธยมปลายทั้งหน้าเก่าและใหม่ นักเรียนบางคนให้ความสนใจเป็นอย่างดี ดูได้จากแผ่นหลังที่ตั้งตระหง่านจ้องไปยังโปรเจคเตอร์ขนาดมหึมาของท่านผู้อำนวยการ แต่มีด้านสว่างก็ย่อมมีด้านมืด นักเรียนบางคนเบื่อหน่ายจนต้องยืมแผ่นหลังของเพื่อนด้านหน้าเป็นหมอนจำเป็นไว้สำหรับหนุน อาจารย์ที่เข้าร่วมพิธีเห็นเข้าก็ได้แต่ส่ายหน้าปลง ๆ นี่ก็ได้เวลาพักเที่ยงแล้ว ท่านอาจารย์จึงทยอยปล่อยให้นักเรียนไปพักรับประทานอาหารกันที่โรงอาหาร โดยกำหนดเวลาให้มารวมกันที่นี่ในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า



     " โห่ กูล่ะนั่งฟังตอนเข้าม.1 ไม่พอ นี่กูต้องมาฟังตอนม.4 อีกอะนะ ? " เพื่อนสนิทเจ้าอาร์มบ่นขณะต่อแถวร้านขายก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ รอบด้านในโรงอาหารตอนนี้ที่นั่งสำหรับรับประทานอาหารถูกจับจองจวนจะครบหมดแล้ว



     " หึ ถ้าแม่งมีม.7 8 9 มึงก็ต้องฟังอีกนั่นแหละ " อาร์มพูดขณะนับเหรียญในมือพลางเขยิบแถวไปด้านหน้า พอเผลอเข้าหน่อยก็ถึงคิวของเด็กผู้ชายตัวขาวในการสั่งอาหารแล้ว



     " น้องมิ้ลค์ รับอะไรดีจ๊ะ ? " ป้าคนสนิทของขาประจำถามถึงเมนูมื้อกลางวัน



     " เอาเส้นเล็กน้ำตกเหมือนเดิมครับ " มิ้ลค์พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม



     " ม.ต้นก็แดก ม.ปลายก็แดก นี่ถ้ามึงเข้ามหาลัยก็จะขับรถมาแดกที่นี่ใช่มะ ? " ด้วยความที่มื้อกลางวันของเจ้าเพื่อนตัวดีเล่นรับประทานแต่ก๋วยเตี๋ยวจนสะกิดใจแปลก ๆ ปากที่ไวกว่าความคิดก็ถามออกมา



     " ถ้ามหาลัยพักกลางวันกูไม่มีข้าวแดกก็คงมาซื้อร้านป้าน้อยนี่แหละ " และแล้วก๋วยเตี๋ยวชามร้อน ๆ ที่เคล้าไปด้วยกลิ่นหอมก็ลอยมาอยู่ในมือขาประจำเป็นที่เรียบร้อย



     " ไปหาที่นั่งก่อนเลยมึง เดี๋ยวกูตามไป คนเยอะชิบหาย " ไม่ต้องบอกมิ้ลค์ก็รู้ดีว่าต้องทำอะไร คนไร้ซึ่งที่พักพิงเดินกวาดสายตาดูรอบด้าน โต๊ะที่เรียงรายกันเป็นแถวถูกนักเรียนหลายกลุ่มจับจอง โชคดีที่สะดุดตาเพื่อนใหม่ที่ทำความรู้กันด้านบนหอประชุมนั่งอยู่คนเดียวเข้า มิ้ลค์ไม่รอช้า จึงสาวเท้ายาว ๆ ของตัวเองไปนั่งลงด้วย



     " นั่งด้วยนะปังปอนด์ " เพื่อนใหม่จากโรงเรียนสหฯ หน้าเหวอในทันที ปากของเขายังไม่ทันจะอนุญาต ช้อนและซ้อมของคนที่เข้ามานั่งด้วยก็ตักอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อยไปแล้ว " หู้ว ! กินเหมือนกันเลย อร่อยปะ ? " ปอนด์ก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เพราะยังวางตัวกับเพื่อนใหม่คนนี้ไม่ค่อยได้



     " เอ่อ...อร่อย " เขาพูดพลางยิ้มบาง ๆ " นายชื่อ.. "



     " มิ้ลค์ไง เราบอกนายตั้งแต่ข้างบนแล้วทำไมไม่จำอะ เรางอนนะ " นั่นเป็นประโยคที่คนพูดไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าคนฟัง



     " โห่ ก็เรานั่งฟังผอ.พูดอยู่ โทษที " หน้าของปอนด์รู้สึกผิดไปถนัด



     " เออ ๆ ชั่งเหอะ ว่าแต่นายย้ายมาใหม่เหรอ ? เราไม่คุ้นหน้าเลยอะ " มิ้ลค์เป็นคนอัธยาศัยดี ไม่แปลกที่จะจำหน้าใครหลาย ๆ คนได้ แต่ผิดกับคนคนนี้



     " เรามาจากโรงเรียน xxx น่ะ " ว่าแล้วปอนด์ก็ยกสถาบันที่ตนเคยศึกษาสมัยม.ต้นขึ้นมาให้มิ้ลค์รับรู้



     " ตรงสุขุมวิทนี่เอง แล้วไมมาเรียนที่นี่อะ ? " แม้ในปากจะเคี้ยวตุ่ย ๆ แต่มิ้ลค์ก็ยังถามต่อ



     " อ๋อ มันใกล้บ้านดีน่ะ " มิ้ลค์รับคำตอบนั้นก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง



     " ยินดีที่ได้รู้จักนะ " มือข้างหนึ่งยื่นไปหาคนตรงหน้าเพื่อที่จะแสดงความไมตรีต่อกัน ปอนด์กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะทำสิ่งนั้นแต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยกมันขึ้นมา



     " อ๊ะ ! " อยู่ดี ๆ มิ้ลค์ก็สะดุดตากับอะไรบริเวณริมฝีปากของปอนด์เข้า ไม่ทันไรมือข้างที่จะยกไปจับก็ปาดสิ่งนั้นออก



     " เส้นก๋วยเตี๋ยวน่ะ " มิ้ลค์พูดด้วยท่าทียิ้ม ๆ อย่างไม่ถือตัวก่อนปัดมันออกจากมือ เพื่อนใหม่คนนี้ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้มันซื้อใจปอนด์ไปมากมายแค่ไหน



     " ขอบคุณนะ...มิ้ลค์ "



     หลังจากหนังท้องตึงหนังตาก็หายหย่อนแล้ว ช่วงภาคบ่ายของบรรยากาศปฐมนิเทศดูจะผ่อนคลายกว่าตอนเช้าเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นทีมประธานนักเรียนคนเก่งของรุ่นพี่ชั้นม.5 นำทัพขนขบวนความสนุกมาเสิร์ฟให้กับว่าที่นักเรียนม.ปลาย มีทั้งเกมสันทนาการและของรางวัลหลากหลายชนิด



     " เชี่ย ! แม่งโคตรเท่ ! มึงดูดิมิ้ลค์ " อาร์มสะกิดเพื่อนตัวขาวของเขายิก ๆ จนน่ารำคาญ



     " เออ กูเห็นแล้วมั้ยล่ะ วุ้ " มิ้ลค์ชักสีหน้าใส่ก่อนจะชะโงกซ้ายทีขวาทีเพราะคนที่นั่งข้างหน้าบังซะสนิท



     " ปอนด์ ๆ นายเห็นข้างหน้ามั้ยว่าเขาทำไรกัน ? " มิ้ลค์ว่าพลางสะกิดต่อไปเป็นทอด ๆ จากเพื่อนของเขา



     " เหมือนเขากำลังเตรียมอุปกรณ์ให้เราเล่นอะไรสักอย่างอะนะ เราก็เห็นไม่ค่อยชัด " แน่ล่ะสิ ก็ทั้งสามคนเล่นมานั่งท้ายแถวเหมือนเมื่อเช้าเปี๊ยบ อาร์มยังไม่ลดละความพยายามที่จะดึงความสนใจจากเพื่อนของเขา



     " มึงว่า หน้าอย่างกูจะเป็นประธานนักเรียนได้ปะวะ ? " เพื่อนด้านหน้าหันมามองด้วยสายตาเหยียด ๆ



     " ไร้สาระ เอาเวลาไปเรียนให้จบดีกว่าปะ ? " ถึงจะโดนด่าแต่ก็จริงของมัน อาร์มคิดในใจก่อนที่รุ่นพี่คนนึงจะกล่าวทักทาย



     " สวัสดีว่าที่นักเรียนม.ปลายของโรงเรียน xxx ทุกคนนนนน !! พี่ชื่อเอ็มนะครับ เป็นประธานนักเรียนในปีการศึกษานี้ แหม มีทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่เลย อันดับแรกเดี๋ยวรุ่นพี่จะจับน้อง ๆ แต่ละห้องให้ทำความรู้จักกันภายในสีก่อน เพื่ออะไร ? ในอนาคตอันใกล้นี้น้อง ๆ จะต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่ในการทำหน้าที่เป็นแม่สีที่ดี พาน้อง ๆ ของสีเราไปสู่ความสำเร็จจจจจจจ " พอพูดจบรุ่นพี่คนอื่น ๆ ในทีมก็ปรบมือให้แก่เจตจํานงของประธานนักเรียน แต่น้อง ๆ ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก



     " เมื่อเรารวมตัวทำกิจกรรมภายในสีกันเสร็จแล้ว พี่ ๆ ก็จะเรียกรวมตัวเพื่อทำกิจกรรมสันทนาการรวมกันทั้งสิบสองห้อง ทุกคนตามนี้นะครับ " เสร็จแล้วตัวแทนรุ่นพี่ก็จับน้อง ๆ ลุกไปตามสีของแต่ละห้องทันที



     " นี่อะนะประธานนักเรียนเท่ ๆ ของมึง ? ปัญญาอ่อนชิบหาย " ได้ทีมิ้ลค์ก็ถากถางเพื่อนของเขาขณะที่ลุกไปรวมตัวกับห้องอื่น



     " ถ้ากูได้เป็น กูไม่ติ๊งต๊องงี้หรอก " อาร์มพูดจบก็เดินตามมิ้ลค์ไปนั่งแถวของห้องม. 4/11 ที่ไปรวมตัวกับห้องห้องหนึ่งข้าง ๆ ทางออกหอประชุม มิ้ลค์และอาร์มดูตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้พบปะกับเพื่อนใหม่ทั้ง ๆ ที่ในห้องของตนก็ยังไม่รู้จักมากนัก ผิดกับปอนด์ที่ยังสีหน้านิ่งเฉยอยู่



     " เอาล่ะครับน้อง ๆ นั่งตามห้องได้เลยครับ ฝั่งนี้ห้องสี่ ฝั่งนี้ห้องสิบเอ็ด " รุ่นพี่หน้าตี๋คนหนึ่งพูดขณะจัดระเบียบให้ทั้งสองห้องก่อนจะแนะนำตัว



     " พี่ชื่อเต้ยนะครับ เป็นประธานรุ่นสีแดง น้องทั้งห้องสี่และสิบเอ็ดก็ได้อยู่สีแดงเหมือนกัน ฉะนั้นหน้าที่ของพี่ในวันนี้จะต้องทำให้น้อง ๆ รู้จักกันและละลายพฤติกรรมร่วมกัน โอเคมั้ย ? " ถึงจะไม่เข้าใจรายละเอียดมากมายแต่นักเรียนบางคนก็พยักหน้าหงึก ๆ



     " เอาล่ะ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลานะ พี่จะให้พวกเราเล่นเกมแข่งกัน โดยแบ่งเป็นสองทีม ทีมห้องสี่และห้องสิบเอ็ด " เมื่อพูดถึงเกมการแข่งขัน เลือดในตัวของลูกผู้ชายทุกคนที่ไหลเวียนอยู่ก็พลุ่งพล่านราวกับพร้อมรบ



     รุ่นพี่ประธานสีแดงและลูกทีมของเขาได้ขนอุปกรณ์ต่าง ๆ มาให้รุ่นน้องได้ร่วมเล่น จากที่เขินอายด้วยความไม่คุ้นเคยว่าเพื่อนหน้าใหม่เป็นยังไง ก็เล่นร่วมกันราวกับสนิทกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทุกคนห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แม้จะเสียพลังงานไปมาก แต่แลกด้วยคะแนนเพียงน้อยนิดพวกเขาก็ยอม



     " เอาล่ะครับน้อง ๆ เราเดินมาสู่เกมสุดท้ายกันแล้วเนอะ เกมนี้เราจะไม่เหมือนเกมก่อน ๆ พี่จะให้เราสุ่มเอง ใครจะอาสาออกมาเล่นบ้าง ? " รุ่นพี่มองหาตัวแทนของแต่ล่ะห้องว่าจะมีผู้กล้าคนใดออกมาชิงชัยในรอบสุดท้าย



     " ผมครับ " ตัวแทนจากห้องสิบเอ็ดตัวขาวจั๊วะได้ยกมืออย่างมั่นใจจนคนอื่น ๆ ปรบมือให้ในความกล้า



     " ผะ...ผมครับ " ทางด้านห้องสี่ก็ส่งตัวแทนออกมาเหมือนกัน เขาดูมีท่าทีเขิน ๆ ตามซี่ฟันมีเหล็กดันติดอยู่ เหมือนความสูงจะเยอะกว่าคู่แข่งนิดหน่อย ที่ต้องจำใจออกมาก็เพื่อนของเขาคะยั้นคะยอนั่นแหละ



     " เอาล่ะ ก่อนที่จะแข่งกัน แนะนำตัวให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกันหน่อย " พี่เต้ยจับไหล่คนตัวขาวกว่าเพื่อเลือกให้เริ่มพูดก่อน



     " หวัดดีครับ ผมชื่อมิ้ลค์ อยู่โรงเรียนนี้ตั้งแต่ม.ต้นแล้ว ขอฝากตัวด้วยนะครับ " เจ้าคนหน้าหวานพูดจบเสียงเชียร์จากห้องตัวเองก็ดังตามมา



     " เอ่อ...ชื่อเฟิร์สครับ อยู่ที่นี่ตั้งแต่ม .ต้น ฝากตัวเหมือนกันครับ " ทันทีที่พูดจบเสียงปรบมือของทุกคนก็ดังขึ้น ศัตรูอย่างมิ้ลค์เองก็ปรบมือให้เกียรติเหมือนกัน



     " เอาล่ะ จากเกมที่แล้วห้องสี่ได้คะแนนไปนะ พี่ขอให้สิทธิ์ห้องสิบเอ็ดเป็นคนจับฉลาก " ว่าแล้วกล่องกระดาษสีแปลกตาก็ถูกส่งไปให้ตัวแทนจากห้องสิบเอ็ดได้ล้วงลงไป เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น



     " เกม...จ้องตากัน !! กติกาง่าย ๆ ให้ทั้งคู่มองตากันไปเรื่อย ๆ ฝ่ายไหนเป็นคนหลบสายตาก่อน ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้แพ้ " ทั้งสองคนพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ แต่แล้วใครคนหนึ่งก็คิดว่าตนน่ะ ชนะเกมการแข่งขันรอบนี้อย่างแน่นอนแม้จะไม่รู้ผล ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันก่อนจะหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องมีรุ่นพี่สั่ง



     " สาม "



     " สอง "



     " หนึ่ง "



     " เริ่มได้ "



     ดวงตาอันใสแจ๋วของทั้งคู่เบิกโพลงขึ้นเพื่อรับแรงผสาน มิ้ลค์ดูมีท่าทีสบาย ๆ กับการเริ่มต้นส่วนเฟิร์สออกจะประหม่านิดหน่อย แม้แววตาของมิ้ลค์ถึงจะมีธุระอย่างอื่น แต่สมองอันชาญฉลาดกลับคิดแผนชั่วเอาไว้มากมาย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งความเกร็งได้เข้ามาเยือนของฝ่ายห้องสี่ แต่ด้วยความมุ่งมานะของเฟิร์ส ทุกอย่างจึงดำเนินต่อไปอย่างขรุขระ มิ้ลค์เห็นอาการเหล่าชัดเจน จึงลั่นวาจาอย่างไม่ยั้งคิดเพื่อให้อีกฝ่ายตระหนก



     " อยากชนะเหรอ ? เดี๋ยวกูจับมึงทำผัวซะเลยเป็นไง " ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องได้ด้วยกล มิ้ลค์ไม่พูดเปล่า ทั้งยังก้าวขาทั้งสองไปด้านหน้าและริมฝีปากที่ขมุบขมิบอย่างมีเลศนัย ศัตรูอย่างเฟิร์สได้ยินเข้าก็ตาเหลือกด้วยความตกใจ แต่ตัวมิ้ลค์หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ตนทำอยู่มันเสมือนดาบสองคม



     มิ้ลค์แทบไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาสีนิลคู่นั้นที่กำลังจับจ้องอยู่ มันส่งผ่านความรู้สึกหนึ่งที่ตัวเขาไม่เคยสัมผัส มันค่อย ๆ พูนขึ้นเหมือนเราคว่ำนาฬิกาทรายจนเอ่อล้นออกมา



     " ผู้ชนะคือ เฟิร์สจากห้องสี่ !! " ชัยชนะตกเป็นของห้องสี่อย่างไม่ต้องสงสัย มิ้ลค์ช็อกสนิทกับเหตุการณ์ที้เกิดขึ้น มันเหนือความคาดหมายกว่าที่เขาคิดไว้มาก ขาทั้งสองสั่งตัวเองให้เดินไปที่ใดที่หนึ่ง ทุกคนต่างสงสัยว่าคนตัวสูงคนนั้นจะไปไหน



     มิ้ลค์ตอบไม่ได้ว่าอะไรสั่งเขาให้เบือนหน้าหนีจากคู่แข่ง



     ผู้แพ้ค่อย ๆ เงยดูโฉมหน้าในกระจกห้องน้ำที่ใจลอยพามา เขาสบทกับตัวเองในใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันคือความรู้สึกอะไรกัน ? ทำไมมันปะทุออกมาได้มากมายขนาดนั้น ?



     " มิ้ลค์ " จู่ ๆ ผู้กำชัยก็เดินเข้ามาสมทบ ถึงมิ้ลค์จะไม่ได้หันไปมอง แต่ก็รู้ว่าเป็นใครด้วยน้ำเสียงทุ้ม ๆ ที่เคยเล็ดลอดผ่านรูหู



     " จะเย้ยเราเหรอที่แพ้น่ะ " มิ้ลค์พูดกับเพื่อนห้องสี่ที่เข้ามาดูอาการผ่านกระจกอันสะท้อนตัวเขา แม้ในหัวเจ้าเด็กตัวขาวกว่าจะมีเรื่องคิดไว้มากมายก็ตามที



     " เราเปล่านะ เราแค่เป็นห่วงนายเฉย ๆ เลยวิ่งมาดูน่ะ " ทุกอย่างที่มิ้ลค์คิดล้วนผิด " แล้วนายเป็นอะไรหรือเปล่า...มิ้ลค์ ? "



     " เมื่อกี้เราเขินน่ะ สงสัยเราจะชอบนายมั้ง " มิ้ลค์ตอบอย่างไม่ยั้งคิด เพราะตั้งแต่เข้ามาที่นี่ เขามัวแต่ตั้งคำถามในใจว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งใด ถึงคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกจะตอบเหมือนพูดลอย ๆ แต่มันส่งผลกระทบต่อจิตใจเฟิร์สไปเรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้แต่ก้าวถอยหลังเมื่อได้ยินคำตอบ เฟิร์สไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะมีผู้ชายมาบอกชอบเขา ด้วยความที่จนตรอกไม่รู้จะทำสิ่งใด ขาทั้งสองก็ได้แต่ก้าวหนี ทิ้งให้ไอบ้านั่นคุยกับตัวเองในกระจกต่อไป



     นับตั้งแต่นั้น เฟิร์สไม่เคยคิดจะญาติดีกับผู้ชายคนนี้อีกเลย



####



     เสียงพรมคีย์บอร์ดดังต๊อกแต๊กภายในห้องของเด็กชายตัวเล็กขณะฟ้ามืด เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกม Moba อย่างเมามันกับเหล่าสหาย



     " เชี่ยอาร์ม ไปกันเลนล่างหน่อย ป้อมจะแตกแล้ว ไอซ์มึงมาช่วยกู เอ็ดดี้ซื้อหวอดด้วย " เจ้าเตี้ยตัวขาวสั่งให้บรรดาเพื่อนของตนดำเนินตามแผนยุทธศาสตร์ที่สร้างขึ้นมาในความคิด



     " ไม่ทันแล้วมิ้ลค์ มึงไปแทนกูก่อน " เสียงแหลม ๆ ของอาร์มดังลอดจากลำโพง มิ้ลค์ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ที่เพื่อนขัดคำสั่ง



     " มึงนั่นแหละไปกัน !!!! นั่นไงกูว่าแล้ว !! " หน้าจอขนาดยี่สิบสี่นิ้วฉายอักขระประกาศความพ่ายแพ้ให้กับทีม " แม่ง เซ็งชิบหาย กูไปแดกข้าวละ " เจ้าหนูหน้าหวานปิดโปรแกรมที่เปิดขึ้นมาทั้งหมดด้วยความไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ก่อนจะเลื่อนเมาส์ไปเข้าเฟสบุ๊คของตัวเอง ไหนว่าจะไปกินข้าวยังไงล่ะ ?



     มิ้ลค์เลื่อนดูหน้าฟีดข่าวที่เด้งขึ้นมาอย่างเซ็งอารมณ์ไม่หาย เหตุก็เพราะเกมที่เล่นเมื่อครู่นั่นแหละ เขาจริงจังกว่าสอบกลางภาคที่ผ่านมาเสียอีก หน้าบึ้ง ๆ ยังคงสไลด์ลูกกลิ้งอย่างอารมณ์เสีย แต่ก็ต้องมาหยุดอ่านโพสต์ ๆ หนึ่งที่เพื่อนแปลกหน้าในเฟสบุ๊คได้แชร์เว็บชื่อดัง



     ' ทั้งชีวิตผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน จนวันหนึ่งผมไปรู้สึกรักกับคนคนนึงเข้า ผมควรทำอย่างไรดีครับ ? ' มิ้ลค์อ่านหัวข้อกระทู้ในใจก่อนจะกดเข้าไปอ่านเนื้อความ



     " หึ พี่ก็ลุกเขาไปเลยสิครับ จะต้องกลัวอะไรอีก อยากได้ก็ต้องลุย " มิ้ลค์เองรู้ตัวว่าตนเคยเป็นที่ปรึกษาของเพื่อนหลาย ๆ คน เขาจึงให้คำตอบกับเจ้าของกระทู้นั้นด้วยปากที่พูดออกมา และด้วยความคึกคะนอง จึงตั้งสเตตัสบางอย่างในเฟสบุ๊คทันที



     ' รับปรึกษาปัญหาหัวใจ ทัก ' เจ้าเด็กเตี้ยค่อนข้างจะจริงจังกับโพสต์ไร้สาระนี้ เขาทิ้งหน้าจอที่เปิดอยู่ก่อนจะสับขาไปห้องครัวด้านล่าง



     " ม๊า มีไรกินบ้าง ? " ในห้องครัวทั้งพ่อ แม่ และลูกชายคนเล็ก ต่างรับประทานอาหารกันอย่างออกรส แต่เจ้าเตี้ยก็ดึงความสนใจไปเสียก่อน



     " โน่นสุกี้ แม่ซื้อมาจากร้านเจ๊อร รีบไปแกะถุงแล้วมานั่งกินกับน้อง " เมื่อได้ยินคำนั้นมิ้ลค์ก็วิ่งไปหยิบถุงที่บรรจุอาหารมาแกะหนังยาง พลางเทใส่ชามก่อนจะหาช้อนซ้อม



     " มิ้ลค์ไปกินบนห้องนะ " เด็กเตี้ยไม่รอคำพูดของใคร ขาทั้งสองก็วิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องของตน แม้จะรีบ แต่เขาก็ระมัดระวังมื้อเย็นในมือ



     ในขณะที่คำแรกของอาหารมื้อนี้จะตรงเข้าสู่ปาก เพื่อนปริศนาโดยใช้นามภาษาอังกฤษคนนึงก็แด้งแจ้งเตือนมาทักทาย



     ' หวัดดี ' มิ้ลค์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจว่าคนคนนี้เป็นใคร มือที่เคยจับช้อนเปลี่ยนไปคลิกเมาส์เพื่อเช็กประวัติส่วนตัว เขาใช้นามว่า Napat Laosuklon โดยรูปส่วนตัวเป็นตัวการ์ตูนไม่คุ้นตา



     ' มีอะไรครับ ? ' มิ้ลค์แทบจะลืมไปเลยว่าโพสต์สเตตัสอะไรไปเมื่ออาหารอยู่ตรงหน้า



     ' ก็นายบอกว่ารับปรึกษาปัญหาหัวใจไม่ใช่เหรอ ? ' คนที่อย่างรู้เรื่องความรักก็ถึงบ้างอ้อในทันที ตอนนี้เขาไม่สนใจสุกี้เสียแล้ว



     ' เอาสิ เล่าให้เราฟังหน่อยว่าจะปรึกษาอะไร เราสัญญาว่าจะเก็บเรื่องของนายเป็นความลับสุดยอด ' มิ้ลค์ใจจดใจจ่อกับสัญลักษณ์ที่แปลความหมายว่าทางนั้นกำลังพิมพ์อยู่



     ' เมื่อเย็นเราไปเจอผู้หญิงคนนึง เขาสวยมาก ๆ เขาเรียนอยู่คอนแวนต์แถวสยาม ๆ เราเจอเขาทำหนังสือตกอยู่หน้าพารากอนเลยช่วยเขาเก็บ เขายิ้มขอบคุณเรา ไม่รู้ว่าเราปากไวไปหรือเปล่าเลยขอเฟสมา เขาให้แบบไม่ต้องคิดเลยอะ เราดีใจมาก ๆ ' มิ้ลค์พยักหน้าเข้าใจกับเนื้อหาที่ทางนั้นพิมพ์มา



     ' เขารับแอดเพื่อนเราแล้ว แต่เราไม่รู้จะเริ่มทักเขาไปยังไงดีน่ะ มีอะไรจะแนะนำเราบ้างมั้ย ? ' ทันทีที่จับใจความสำคัญได้ มิ้ลค์ก็พรมนิ้วให้คำตอบทันที



     ' ลองทักเขาไปก่อน นายไม่ต้องรีบร้อน ชวนเขาคุยจนรู้นิสัยใจคอ อย่าชวนเขาคุยจนรำคาญ ถ้านายอยากพัฒนาความสัมพันธ์ นายต้องเข้าใจหลาย ๆ อย่างในตัวเขา นายต้องใจเย็น อย่าวู่วาม ที่สำคัญนายต้องให้เกียรติเขา เข้าใจมั้ย ? ' เทียบกับคำแนะนำที่ได้ให้กับเจ้าของกระทู้นั้น มันชั่งแตกต่างอะไรราวฟ้ากับเหว



     ' ขอบคุณนะ ' มิ้ลค์ไม่รู้เลยว่าทางนั้นจะเข้าถึงแก่นสารที่ตนสื่อไปมั้ย แต่ที่มิ้ลค์อยากจะรู้น่ะ..



     ' นายชื่ออะไรเหรอ ? '



     ' เราขอไม่บอกนะ ^^ ' ถึงจะสะกิดอยู่ในอก แต่มิ้ลค์ก็ยอมเข้าใจดี



     และนี่คือจุดเริ่มต้นของความรัก ที่เฟิร์สได้มอบให้แก่นัทตี้



     แฟนเก่าของเขา



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง SEP.2 แนบสารบัญแล้วจ้า (14/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 17-02-2018 10:16:55
Not to be unlocked : Episode 30 : เกลียด



     สภาพของผมตอนนี้คือนั่งขัดตะหมาดกลุมขมับด้วยน้ำตาที่ไหลแหล่ไม่ไหลแหล่อยู่กลางโรงยิม โดยมีเพื่อนหลายคนรายล้อมอยู่รอบด้าน บ้างยังสงสัยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ บ้างเดินมาบีบไหลเพื่อให้กำลังใจเพราะรู้ว่าผมรู้สึกนึกคิดอะไร ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาไปมากน้อยแค่ไหน ข้างนอกฟ้าจะมืดจนสนิทไปแล้วหรือยัง รวมไปถึงจิตใจของคนที่เดินออกไปอย่างไม่แยแสเมื่อครู่ด้วย



     " มึงเป็นไรกับมันเปล่าวะ ? " ซันที่นั่งยอง ๆ โดยมือยังไม่ลดออกจากบ่าของผมพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง



     " กูไม่รู้ " นั่นเป็นคำตอบเดียวที่ผมสามารถอธิบายทุกอย่างได้ในตอนนี้ ผมรู้เท่านี้จริง ๆ



     " เอาไงดีวะพวกมึง จะคนโน้นถามคนนี้ถามก็บอกไม่รู้ " เสียงของใครไม่คุ้นหูพูดขึ้นมาใกล้ ๆ ถ้าให้เดาน่าจะเป็นเพื่อนห้องสี่



     " กูว่าแล้วว่าช่วงนี้ไอเฟิร์สมันเป็นอะไร ที่แท้ก็เป็นเพราะมึงเองน่ะเหรอมิ้ลค์ ? " นี่เป็นเสียงคิงคองเพื่อนของคนที่เดินออกไปอย่างแน่นอน



     " กูขอโทษนะคอง กูไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุที่ทำให้มันเป็นแบบนั้นคืออะไร กูไม่รู้จริง ๆ " ผมก้มหน้าก้มตาขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิด แว่วเสียงถอนหายใจแผ่ว ๆ



     " กูไม่ได้จะโทษมึงที่ไปทำมันเป็นแบบนี้ มึงใจเย็น ๆ ก่อนมิ้ลค์ " แรงบีบจากอีกมือหนึ่งค่อย ๆ ขยับเบา ๆ ตรงหัวไหล่ ผมไม่รู้จะต้องแก้ปมในใจระหว่างเฟิร์สยังไงแล้ว ป่าช้าที่ว่ามืดและน่ากลัว ยังเทียบไม่ติดกับจิตใจของเฟิร์สในตอนนี้เลย



     ในขณะที่ผมมืดแปดด้านหาทางออกของปัญหานี้ไม่เจออยู่นั้นเอง ประธานสีแดงอย่างคิงคองก็พูดออกมาราวกับว่าจะสามารถจัดการปัญหาใหญ่โตของผมให้เล็กลงเหมือนเม็ดทรายได้

     " เรื่องนี้เดี๋ยวกูช่วยเอง "



     " ยังไงวะ ? " คราวนี้เป็นเสียงอาร์มถามบ้าง มันคงสงสัยไม่ต่างอะไรจากผมเท่าไหร่นัก



     " บุกไปบ้านแม่งเลย " หื้อ ?



     ไม่นะ..



     และแล้วผมกับเพื่อนสนิทลูกเจ้าของบ้านหลังนี้ก็ได้มาอยู่หน้ารั่วขนาดใหญ่ ผมสาบานได้ครับว่าพูดให้แม่งฟังใจความว่า " กูไม่ไป " ออกมาเป็นล้านคำทั้งขัดขืนสุดฤทธิ์ แต่ด้วยแรงช้างสารของไอ่คิงคองที่ได้ฉุดกระชากลากถูบังคับผมให้ซ้อนนินจาสามร้อยที่แอบไปจอดหลังโรงเรียน เพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น ผมก็ได้มายืนทำใจอยู่ตรงนี้ซะแล้ว ฟ้าก็มืด แถมไม่รู้จะทำยังไงต่อดีด้วย



     " แล้ว...กูต้องอะไรอะ ? " สมองผมโล่งไปหมด ไม่รู้ว่าความเร็วของรถคันนี้ที่แม่งบิดมาอย่างเต็มสูบ ทำให้ความคิดต่าง ๆ กระเด็นหายไปตามแรงลมหรือเปล่า



     " ไม่รู้แหละ ถ้ามึงสองตัวยังไม่เคลียร์กัน กูจะฆ่าหมกศพทั้งคู่เลย " ไอคิงคองชี้หน้าผมโดยตัวของมันยังคร่อมพาหนะคันเก่งอยู่ งั้นมึงก็ฆ่ากูเลยสิ แม่งยังดีกว่าให้กูไปตายข้างในซะอีก



     " แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะอยู่ที่นี่ ? " เวลามีเรื่องอะไรมึงแน่ใจได้ไงว่ามันจะกลับบ้าน บางทีมันอาจจะแอบอยู่ในโรงเรียนก็ได้นะ



     " หึ เพื่อนคนนี้กูรู้จักนิสัยมันดี เวลามันมีเรื่องร้อนใจหรือทุกข์ใจอะไร สองสิ่งที่มันจะตามหาคือกูกับห้องของมันเอง " คิงคองยิ้มอย่างมั่นใจขณะพูด " เวลามันคิดมาก แม่งชอบอยู่คนเดียว "



     " กูไม่เข้าไปได้มั้ย ? " ทันทีที่พูดจบไอคิงคองก็วาดขาลงจากรถมาเตะขาตั้งพลางเดินตรงดิ่งไปที่ออดก่อนจะกดมัน



     " จัดการซะ เรื่องของมึงกับมัน กูจะรีบกลับไปโรงเรียนก่อนมันมีกิจกรรมต่อ โชคดีละกัน " ก่อนที่มันจะวิ่งพรวดกลับมายังรถแล้วขับแล่นออกไป



     " ไอเชี่ย !! อย่าพึ่งไป !!! " ผมวิ่งตามมันไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ายังไงก็ไม่ทันแล้ว แต่ก็ยังหวังเผื่อมันจะจอดรอ...แต่ก็ทำได้แค่หวังอะครับ คิงคองมันขับลับสายตาไปแล้ว ถึงตรงนี้ผมเดินวนรอบตัวเองเป็นพันรอบเลยแหละว่าจะเอาดี หนีตอนนี้เลยดีมั้ย ?



     ในขณะที่หัวสมองผุดความคิดว่าจะหนีปัญหาจากตรงนี้ ผู้หญิงรูปร่างไม่คุ้นตาก็เดินออกมาต้อนรับจากประตูรั้วเล็ก



     " มีอะไรหรือเปล่าคะ ? " เขาตัวสูงน่าจะพอ ๆ กับไหล่ผม หน้าตาค่อนข้างพิมพ์นิยมเลยล่ะ



     " เอ่อ...คือ...เอ่อ... " คิ้วของเขาที่ปาดเข้มกว่าปกติขมวดเข้าหาจนแทบจะรวมเป็นอันเดียว เชี่ย ! แค่ชื่อแม่งทำไมกูพูดไม่ออกวะ !



     " เฟิร์ส " ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ตื่นขึ้นมานิดหน่อย โอ๊ยย ! พูดออกมาได้สักที ! " เฟิร์สเขา...อยู่มั้ยครับ ? " เมื่อได้ยืนดังนั้นพี่คนสวยก็ทำหน้านึกอะไรบางอย่าง



     " เข้ามาข้างในก่อนสิ " พี่เขาไม่ตอบคำถาม ทั้งยังเปิดประตูต้อนรับคนแปลกหน้าอย่างผมอีก ผมลังเลอยู่นานพอดูจนพี่เขามองกลับมาอย่างสงสัย นั่นแหละครับผมถึงได้เข้าไป



     " เอ่อ...แล้วเฟิร์สเขาอยู่หรือเปล่าอะครับ ? " ผมถามคนที่เดินนำมาแทนที่จะพาเข้าไปในบ้าน แต่เดินมานั่งลงบนไม้สักยาวซะงั้น แล้วเขาจะพากูมาที่สวนทำไมวะ ? แถมไม่ตอบกูอีกว่าเฟิร์สอยู่มั้ย แล้วเขาเป็นใคร ? แล้วทำไมกูต้องเกร็ง ?



     " พี่ชื่อฟิล์มนะ พี่เป็นพี่สาวของเจ้าเฟิร์สมัน " อ๋อ พี่สาวคนที่เฟิร์สเคยพูดถึงคือคนนี้นี่เอง นี่กลับมาจากฮ่องกงรึเปล่า " เจ้าเฟิร์สพี่เห็นมันวิ่งรีบ ๆ ขึ้นไปข้างบนน่ะ "



     ในที่สุดผมก็คอนเฟิร์มได้แล้วว่ามันอยู่ที่นี่ " ครับ ผมขอขึ้นไปหามันได้มั้ยครับ ? " ไม่ได้อยากจะขึ้นไปหามันเท่าไหร่หรอก ถ้าเรื่องไม่มาถึงขั้นนี้แล้วน่ะ



     " นั่งก่อนสิ " ในตอนที่ผมกำลังจะหันหลังไปหาคู่กรณี เสียงใส ๆ ที่เคยได้ยินก็แข็งขึ้นมานิดหน่อย ชิบหายล่ะ ถ้าได้นั่งกูว่ายาวแน่ ๆ



     " เอ่อ.. " ถึงเป็นรอยยิ้มที่น่าจะหมายถึงอย่างอื่น แต่ทำไมมันถึงได้กดดันงี้วะ เออ กูนั่งก็ได้วะ



     " เราชื่อมิ้ลค์ใช่มั้ย ? " ผมพยักหน้าตอบเนือย ๆ จะคุยอะไรก็รีบคุยเถอะคร้าบพี่ฟิล์ม



     " พี่รู้จักเราผ่านแม่พี่มาอีกทีน่ะ แม่พี่บอกว่าเรากับเฟิร์สสนิทกันมาก ทำงานก็ทำด้วยกัน ได้ข่าวว่ามาทำกับข้าวให้แม่พี่กินด้วยหนิ ขอบคุณแทนแม่พี่ด้วยนะ " ผมยิ้มรับ เขาต้องการอะไรจะสื่ออะไรวะ ?



     " นั่นก็นานแล้วครับ ไว้ผมมีโอกาสจะทำให้ทานนะครับ " พี่ฟิล์มเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ที่บดบังเราอยู่ ใบไม้ตามกิ่งโบกพัดปลิวไสวไปตามแรงลม ช่วยให้ผมผ่อนคลายขึ้นมาได้นิดหน่อย



" บ้านหลังนี้มีแค่เฟิร์สกับแม่พี่เท่านั้นแหละที่อยู่กัน พี่กับพ่อพี่ต้องไปดูงานอยู่ที่ฮ่องกง นาน ๆ จะกลับมาที "



     " .......... " ผมเงียบตั้งใจฟัง



     " ช่วงนี้เฟิร์สมันแปลก ๆ น่ะ แม่ของพี่โทรมารายงานสักพักแล้ว พี่เลยรีบบินกลับมาดู "

     " .......... "

     " พี่ขอเดาจากการที่เฟิร์สรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องกับที่เรามาหาเจ้าน้องตัวดีของพี่ เราไปทำอะไรให้เฟิร์สมันเป็นแบบนี้ใช่มั้ย ? " แม้จะเป็นเสียงเรียบ ๆ แต่ก็น่ากลัวชิบหายในเวลาเดียวกัน แล้วผมจะปิดอะไรได้อีกในเมื่อสิ่งที่เขาพูดออกมามันเป็นความจริง



     " ครับ " พี่เขาหันมามองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม



     " พี่ฝากที่เหลือด้วยนะ พี่รู้ว่าเราทำได้ "



     " ครับ "



     " เฟิร์สมันไม่ค่อยล็อกประตูน่ะ เปิดเข้าไปได้เลยนะ "



     จะไหวมั้ยล่ะเนี่ย ..

####



     หลังได้กำลังใจจากพี่สาวแสนสวยของไอตัวปัญหาแล้ว เส้นทางไปสู่แสงสว่างที่พี่ฟิล์มชี้ให้เดินไปก็ถูกเปิดออก ไม่รู้ว่าพอเดินไปถึงปลายทางเจ้ากรรมนายเวรของผมจะถีบส่งกลับมาหรือเปล่า ผมมองฝ่ามือที่กุมลูกบิดไว้แน่นอย่างคิดแล้วคิดอีกว่าจะเปิดดีมั้ย นี่ขนาดอยู่แค่หน้าห้องทำไมแรงกดกันที่ได้รับจากคนข้างในถึงมหาศาลได้ขนาดนี้กัน เฮ้อ...จากนี้คงมีแค่ผมคนเดียวสินะที่ต้องทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน



     ผมสูดลมเข้าปอดเรียกกำลังอีกครั้งก่อนจะบิดเจ้าลูกกรนี่พลางดันเขาไป และเป็นไปตามคำพูดของพี่ฟิล์ม



     ประตูไม่ได้ล็อก



     " พี่ฟิล์ม เฟิร์สบอกแล้วไงว่ามีไรให้เคาะประ.. " ใบหน้าอันหล่อเหล่าที่อวดเหล็กดัดอยู่ตามซี่ฟันถึงขั้นช็อกสนิทเมื่อทางนั้นได้ทอดสายตาจากปลายเตียงมายังผม เฟิร์สค่อย ๆ หันกลับไปทิศทางที่เคยหันมาจากระเบียง ก่อนที่ผมจะเดินอย่างเชื่องช้าไปนั่งด้านข้างของมันอย่างไม่รู้จะพูดอะไร



     " .......... " มันอึดอัดมาก มันอึดอัดมากยิ่งกว่าจะหาอะไรมาเปรียบเทียบ ผมต้องเริ่มพูดยังไง ต้องเริ่มเกริ่นยังไง ให้เฟิร์สในตอนนี้ได้หันหน้ามาคุยได้อย่างไม่ต้องหลีกหนีผมอีก



     เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ความอัดอั้นที่อยู่ในอกเริ่มขยายตัวไปตามกาลจนร่างกายผมทนไม่ไหว



     " เฟิร์ส...มึง " ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ความรู้หยวบ ๆ ของเตียงก็เด้งขึ้นมา ผมมองคนข้าง ๆ ที่ลุกขึ้นไปหยิบอะไรสักอย่างในกระเป๋าของมันอย่างจนปัญญาจริง ๆ เพราะไม่รู้จะหาหนทางไหนแล้วที่จะให้เฟิร์สได้พูดคุยกับผมแบบโดยดี



     ในขณะที่ผมจนตรอกให้กับการกระทำอันไร้ซึ่งความหมายของตนอยู่นั้นเอง จมูกที่รับออกอากาศอยู่ก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างเข้า ผมรู้ได้ในทันทีเลยล่ะว่ากลิ่นเหม็นนิโคตินแบบนี้น่ะใครเป็นตัวการ



     ผมสาวเท้ามาหาเจ้าตัวที่ยืนพ้นควันอยู่ริมระเบียงทันที " เฮ้ย ! " แม่งก็ยังไม่หันมาหาผมอยู่ดี



     " บุหรี่มันไม่ดีนะเว้ย ! จะดูดทำไมวะ !? " เคยได้ยินว่าการดูดบุหรี่สรรพคุณทางยาจะลดอาการเครียดได้ แต่เด็กมัธยมอย่างมึงจะต้องคิดอะไรเยอะแยะขนาดนั้นด้วยเหรอ ? คนข้างหน้าที่เอาซอกเท้าราวระเบียงอยู่ก็พูดขึ้นโดยไม่ได้หันมามอง



     " แล้วมึงเสือกอะไรอะ ? "



     " .......... " เฟิร์สพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เยือกเย็น ริมฝีปากสีชมพูสดยังคงพ้นควันออกอย่างไม่สนใจใคร เฟิร์สที่ผมรู้จักไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมคำพูดของมันชั่งดูห่างเหินเหมือนเราไม่สนิทกันเลยล่ะ



     มันจุกและเจ็บในเวลาเดียวกัน..



     แต่มีเหรอผมจะยอม !



     มือผมคว้าก้านอันเล็ก ๆ ที่ได้สอดอยู่ระหว่างนิ้วของเฟิร์สมาทำลายโดยการเหยียบให้ไฟส่วนปลายมอดไป



     " กูไม่อยากให้มึงสูบ ของแบบนี้มันไม่ดีนะ " ดวงตาของเฟิร์สเกรี้ยวกราดขึ้นมาในทันใด



     " ชีวิตกูจะทำอะไร จะดีจะร้ายก็ชีวิตกูปะ !? มึงเป็นใครมีสิทธิ์มาทำแบบนี้อะ !!? "



     " .......... "



     ทำไมคำพูดของแม่งถึงทำให้ผมเจ็บแล้วเจ็บอีก ใบมีดที่ค่อย ๆ ย้ำกรีดหัวใจยังมิอาจจะไม่เจ็บเท่า



     ผมนิ่งเงียบอย่างพูดไม่ออก ได้แต่ดูเฟิร์สจุดบุหรี่ตัวใหม่และพ้นมันออกมา



     " พอเหอะนะได้โปรด " คำวิงวอนของผมไม่มีผลอะไรกับผู้ชายคนนี้เลย



     จนผมตัดสินใจที่จะสิ่งนี้ ผมตอบไม่ได้ว่าความรู้สึกไหนถึงสั่งให้ทำ



     ขาผมก้าวตรงไปหาคนข้างหน้าพลางยื่นแขนทั้งสองไปจับไหล่แกร่งของเฟิร์ส ก่อนจะเหวี่ยงกลับมาให้ปลายลิ้นนี้ได้เล็ดลอดเข้าไปในโพรงปาก ลิ้นร้อนของเฟิร์สกระตุกราวกับตกใจ ผมรับรสขม ๆ ของนิโครตินที่เจือความหวานของริมฝีปากได้ รสชาติอันแสนโอชะนี้ มันทำให้ผมหยุดเกี่ยวกระหวัดแทบไม่ได้เลย ถึงเจ้าของลิ้นจะตระหนกในการกระทำของผม แต่ก็ยอมหยอกล้อจนกว่าจะพอใจ



     ผมถอนริมฝีปากออก " ทุกครั้งที่มึงอยากดูดบุหรี่...มึงจูบปากกูจนกว่าจะหายอยากได้เลยนะเฟิร์ส " เพียงแค่เฟิร์สเป็นเพื่อนของผม เพียงแค่เฟิร์สอยู่ข้าง ๆ ผม จะต้องแลกด้วยอะไรผมก็ยอม " กูเป็นห่วงมึงนะ...เพื่อน "

     แววตาลุกเป็นไฟของคนตรงหน้าที่ถูกริมฝีปากของผมดูดซับมาจนหมด จู่ ๆ ก็เบิกโพลงขึ้นราวกับได้สติ



     " เพื่อนกัน...เขาทำกันอย่างนี้เหรอ ? " เฟิร์สถามด้วยสีหน้าเอาเรื่องและจริงจัง แต่ไม่เท่าผมในตอนนี้



     " เฟิร์ส บอกกูทีเถอะนะ คืนนั้นกูทำอะไรให้มึงเหรอ ? มึงถึงได้เป็นแบบนี้อะ มึงช่วย.. " ร่างโปร่งตรงหน้าเดินหนีผมเข้าไปข้างใน แต่มันหนีได้แค่ปลายเตียงเท่านั้น ฝ่ามือของผมก็วิ่งไปคว้าแขนไว้



     " มึงบอกกูหน่อยเถอะ กูอึดอัดมากเลยรู้มั้ย ได้โปรด มึงช่วยบอกกูทีเถอะนะ กู...กูจะตายแล้วรู้มั้ย !? " ผมนิ่งรอฟังคำตอบโดยที่มือข้างนั้นยังไม่ปล่อย



     " กูชอบมึงไงมิ้ลค์ "



     " .......... "



     อะ...อะไรนะ



     เฟิร์สชอบผม ?



     " มะ...มึงชอบ...กู " ตอนนี้ฝ่ามือผมเย็นเฉียบไปถึงหัวไหล่ เฟิร์สหันกลับมามองหน้าผมนิ่งก่อนจะพูดขึ้น



     " ใช่ กูชอบมึง กูรู้ตัวตั้งแต่จูบมึงในคืนนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่กูจะรักมึง มึงเป็นคนพูดเองว่ารักใครไม่ได้อีก วันนั้นกูแทบบ้า "



     " .......... "

     " กูรู้ดีว่าที่มึงปิดใจไม่ยอมรับใครเพราะนัทตี้ เพื่อที่กูจะได้ไม่ต้องมารู้สึกกับมึงอีก กูเลยต้องหลบหน้ามึงไง "

     " .......... "

     " จนถึงตอนนี้กูก็ยังรู้สึกกับมึงไม่ต่างจากวันนั้น ยิ่งกูหนีมากแค่ไหน กูก็ยิ่งคิดถึงมึง กูทรมานใจทุกวันทุกคืนจนแทบจะข่มตานอนไม่หลับ "

     " .......... "

     " กูหึงมึงมากนะที่ไอเชี่ยปอนด์จับมือมึงแต่กูทำได้แค่มอง กูอิจฉามันมาก "

     " ......... "

     " ยิ่งมึงจูบกูตากี้ยิ่งเหมือนให้ความหวัง ถ้ามึงไม่คิดเหมือนกัน ก็อย่าให้ความหวังกูเลยมิ้ลค์ "

     " .......... " ความในใจของเฟิร์สถูกพ้นออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกอย่างเข้าหูผมไม่หลุดลอยออกไปไหน ผมอยากอธิบายสิ่งที่สติในตอนนี้จะสามารถทำได้



     " ที่ปอนด์มันจับมือก็เพราะกูไประบายเรื่องของมึงให้มันฟัง มันไม่ใช่อย่างที่มึงคิดนะ "

     " หึ " มันเปล่งเสียงในลำคอราวกับไม่เชื่อ



     " ที่กูจูบมึงตากี้ กูไม่อยากให้เพื่อนต้องมาทำร้ายตัวเองไง "



     " หึ "



     " ที่มึงพูดว่าปิดกูปิดใจนั้นก็ถูก แต่มันก็ถูกเพียงครึ่งเดียว " ถึงตรงนี้เฟิร์สขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจ " กูไม่ได้ปิดใจที่นัทตี้มีคนอื่นนอกจากกู แต่กูปิดใจไม่กล้ารักใครเพราะตัวกูเอง กูไม่ต้องการให้ใครมาเจอคนเหี้ย ๆ แบบกูอีก วันนั้นกูอาจไม่มีสติ แต่กูคิดว่าสิ่งที่พูดออกไปคืนนั้นมันมาจากความคิดของกูจริง ๆ "



     " มึงอย่ามาทำตัวเป็นพระเอกได้ปะ ? น้ำเน่า ! " เฟิร์สกระแทกเสียงใส่



     " เชี่ยเฟิร์ส ! " เป็นครั้งแรกที่เฟิร์สแม่งทำให้ผมรู้สึกว่ามันงี่เง่า



     " อะไร ? " เฟิร์สพูดพลางขำหึหึอย่างกับได้ใจ แม่งเอ๊ย เลือดขึ้นหน้ากูแล้วนะ ! ต้องให้กูใช้กำลังใช่มั้ย !?



     คราวนี้ผมผลักร่างสูง ๆ ลงเตียงก่อนจะตรึงแขนทั้งสองไม่ให้หลุดไปไหน ผมต้องการจะอธิบายทุกอย่างให้มันเข้าใจเท่านั้น ผมมองใบหน้านั่นด้วยท่าทีหืดหอบ เฟิร์สไม่ได้เกรงกลัวในสิ่งที่ผมทำอยู่เลย แต่แล้วร่างกายที่เคยอยู่ด้านบนกลับถูกสลับให้ผมไปอยู่ด้านล่างเสียเอง แขนทั้งสองข้างของเฟิร์สกำชับข้อมือผมแน่น รอยยิ้มที่ค่อย ๆ ฉีกออกอย่างกับราชสีห์ตะครุบเหยื่อก็เริ่มปรากฏ



     " จะทำอะไร ? "



     " ปล่อยกู !!! " ผมขัดขืนสุดแรงแต่ก็ยากที่จะหลุดออก แววตาและสีหน้าของเฟิร์สยิ้มอย่างมีเลศนัย



     " ถ้ากูไม่ปล่อยแล้วมันจะทำไมเหรอ ? " เสียงมันยั่วยวนจนผมแทบจะไม่ไหวในอารมณ์ ยังไม่ทันจะด่ามันด้วยความโมโห ริมฝีปากของมันก็พล่ามต่อ " เอ...หรือกูจะปล้ำมึงตรงนี้ดีน้า ? "



     " มึงไม่กล้าหรอกไอเฟิร์ส !! " ผมยิ้มอย่างมั่นใจแม้จะขัดขืนอยู่



     " อย่าท้ากูนะมิ้ลค์ ตอนนี้มึงก็รู้แล้วนี่ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง "



     " ก็ลองดู อย่าหาว่ากูไม่เตือน " สิ้นคำท้าริมฝีปากอมชมพูนั่นก็พุ่งมายังลำคอของผมเพื่อพรมจูบเนื้อหนังภายใต้เสื้อนักเรียน ผมขัดขืนมันสุดชีวิตเท่าที่จะทำได้ ใบหน้าของคนที่แรงเยอะกว่าเริ่มชอนไชตามซอกคออย่างดีเดือด แรงผมถึงจะเหลือไม่ค่อยมากแล้ว แต่สุดท้ายก็สามารถผลักแม่งออกจากด้านบนของร่างกายได้สำเร็จ



     " ไอเหี้ย !!! " ผมสบถด่ามันเสียงดังลั่นก่อนจะวิ่งออกจากห้องมาทั้งน้ำตา



     ไอเฟิร์ส !! กูเกลียดมึง !!!



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.30 แนบสารบัญแล้วจ้า (17/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 17-02-2018 17:17:27
Not to be unlocked : Episode 31 : มาทำไม ?



     ผมเดินเข้าห้องของตัวเองด้วยสภาพเหมือนเป็นบ้า สิ่งแรงที่กระทำแทนจะเอาข้าวของไปเก็บคือทุบกับเตียงอย่างบ้าคลั่ง



     ' ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง '



     " แฮก ๆ แฮก ๆ "



     โว้ยยยยยยยยยยยย ไอเชี่ยเฟิร์ส !!



     แม่ง...แม่ง...ข่มขืนผมมมม !!



     ผมสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วอ่าา ฮือออออ



     แต่..



     มันก็รู้สึกดีนะ



     เฮ้ยเดี๋ยว ! กูต้องแค้นมันสิ !!!



     โว้ยยยยยยยย ทุบ ! ทุบ ! ทุบ ! ทุบ ! ผมกระหน่ำทุบเตียงเหมือนกับตำพริกแกงอยู่ก็มิปาน



     แต่อันนี้มันไม่ได้สำคัญเท่ากับรู้ความจริงจากปากมันซะหน่อย ผมมันโง่ที่ไม่สามารถจับต้องความจริงจากตัวเฟิร์สได้ การกระทำทุกอย่างของมันหมายความว่ายังไง ทำไมผมถึงสัมผัสผ่านความจริงไม่ได้เลยเท่ากับตัวปอนด์ ผมเข้าใจหัวอกคนที่แอบชอบดีว่าข้างในมันซับซ้อนและปั่นป่วนแค่ไหน แต่ที่แปลกอยู่ในอกตอนเฟิร์สบอกชอบผม ทำไมถึงได้รู้สึกโล่งใจและเผลอยิ้มออกมาทั้ง ๆ ที่รู้สึกแค้นจนเกลียดไอเฟิร์สแบบนี้ได้กันนะ



     อย่างนี้มันหมายความว่าไง ?



     ณ ตอนนี้ผมก็ยังตอบไม่ได้อยู่ดีว่าความรู้สึกทั้งหมดมันคืออะไร มันเป็นความรู้สึกที่อยากให้เฟิร์สอยู่ข้าง ๆ ไม่ใช่เป็นมันที่เอาแต่หลบหน้าหลบตา แต่ผมก็กลัวว่าถ้าหากได้รับรักจากเฟิร์สมาแล้ว เหตุการณ์ซ้ำรอยในอดีตจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมแทบไม่เชื่อเลยว่าผู้ชายคนนั้นจะกล้าพูดว่ารักกับผมได้เต็มปาก สายตามันหนักแน่นราวกับจริงจังในคำพูด ผมไม่อยากให้เฟิร์สต้องมาเจอคนไม่เอาไหนแบบผม เฟิร์สต้องไปได้ดีแน่ ๆ ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ผม ผมรับรักเฟิร์สไม่ได้ ที่เสียงหัวใจบอกว่าเกลียดมัน ไม่ใช่เกลียดที่เฟิร์สล่วงเกินเนื้อหนังมังสาของผม แต่เป็นเพราะอยากจะตอบโต้อะไรบางอย่างแก่มันมากกว่า ถึงผมจะรับรักเฟิร์สไม่ได้ แต่ผมก็อยากให้ผู้ชายคนนั้นอยู่เคียงข้างตลอดไป



     มันคงไม่เห็นแก่ตัวเกินไปใช่มั้ย ?



     ว่าแล้วก็สะกิดใจกับคำพูดของเฟิร์สไม่หาย เรื่องที่มันพูดสุ่มสี่สุ่มห้าว่าหัวใจของผมได้ปิดลงเมื่อนัทตี้ไปมีคนอื่นที่ดีกว่า ผมไม่เข้าใจว่าการแสวงหาความรักที่ดีกว่า เราจะเรียกสิ่งสิ่งนั้นว่ารักได้จริง ๆ น่ะหรือ ? หากมัวแต่หาสิ่งที่ดีกว่าไปเรื่อย ๆ แล้วเมื่อไหร่จะพบกับความสุข ? เมื่อไหร่จะจับต้องความรักได้เสียที ?



     คิดแล้วก็หน้าปวดหัว..



     ผมตื่นขึ้นในเช้าที่ฟ้ายังมืดอยู่ หึ เอาจริง ๆ อย่าเรียกว่าเช้าเลยดีกว่า ก็นี่พึ่งตีสี่เอง (แต่ตีสี่ก็เช้านะ) ง่าย ๆ สั้น ๆ ครับ ผมนอนไม่หลับ จะไปนอนหลับได้ยังไงในเมื่อจิตใจแม่งว้าวุ่นตลอดทั้งคืน จะข่มตาหลับหรือพลิกตัวไปมาก็ไม่ยอมภาพตัดในหัวให้สักที ด้วยความที่หงุดหงิดกับระบบร่างกายก็เลยดีดตัวเองจากเตียงลงไปข้างล่างเสียเลย



     ซึ่งถือเป็นการดีเหมือนกันครับเพราะไม่กี่วันก่อน ผมได้แวะไปที่ตลาดแถวบ้านเพื่อจัดการซื้อข้าวของมาตุนซะเต็มตู้เย็น อาหารเช้าในวันนี้ก็ขอรังสรรค์เมนูจานโปรดของเจ้ามิน (บอกไปตั้งแต่ตอนอีพีสอง แต่พึ่งมาทำตอนอีพีสามสิบเอ็ด พี่ชายที่แสนดีแบบนี้หาไม่มีอีกแล้ว หึหึ) ทุกอย่างดูไม่วุ่นวายเท่าไหร่ และแล้วอาหารจานอร่อยของผมก็เสร็จภายในเวลาตีห้าเกือบครึ่ง เอ่อ...แล้วกูรีบเกินไปหรือเปล่าวะ ? ชั่งเถอะ เอาเวลาที่เหลือนั่งซดกาแฟสักแก้วก็ดีเหมือนกัน



     จวบจนผมอาบน้ำและรวมเป็นหนึ่งเข้ากับชุดนักเรียนนั่นแหละครับเจ้ามินถึงได้ลงมา น้องชายตัวดีเข้ามาทักทายผมด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับเจ้าตัวก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ ผมเดินไปเสิร์ฟอาหารจานโปรดให้กับลูกค้าเช้านี้ด้วยอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงาม แม้จะทำเสร็จไปตั้งนานแล้ว แต่อาหารจานนี้ก็ยังคงคงามร้อนน่ารับประทานอยู่เสมอ



     " โห...ในที่สุดมินก็ได้กินฝีมือพี่มิ้ลค์สักที " มินพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่าบวกกับท่าทีดีใจ อยากรู้เหรอครับว่ามันคืออะไร หึหึ ที่ผมต้องมีเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการทำก็คือโจ๊กหมูไข่ลวกนั่นเอง มินชอบที่ผมทำม๊ากกก



     " กินเยอะ ๆ ล่ะ พี่ทำไว้เต็มหม้อเลย " ท่านผู้อ่านก็มานั่งกินด้วยกันได้นะครับ มันเยอะจริง ๆ เยอะขนาดเลี้ยงคนทั้งซอยได้เลยล่ะ ฮ่า ๆ



     ผมยืนมองมินตักคำแล้วคำเล่าเข้าปาก สีหน้าของน้องชายในวันนี้จะร่าเริงเป็นพิเศษเลยว่ะ คงเป็นเพราะมือเช้าที่คนหล่ออย่างผมได้ทำให้รับประทานแหง หึหึ ผมเก็บโน่นเก็บนี่มาทำความสะอาดพลางถอดผ้ากันเปื้อนไปแขวนไว้ ก่อนจะเดินไปนั่งคู่กับเจ้าน้องตัวดีที่ชามโจ๊กตอนนี้พร่องไปครึ่งนึงแล้ว



     " เออพี่มิ้ลค์ มินมีข่าวดีจะบอกล่ะ " คิ้วผมเลิกขึ้นอย่างสนใจทันที น้องชายคนนี้จะมาบอกข่าวดีอะไรกับพี่ชายของมันวะ ?



     " อะไรล่ะ ? ไปจีบสาวที่ไหนติดหรือเปล่า " เหมือนสิ่งที่ผมเดาจะผิดว่ะ ดูได้จากสีหน้าเซ็ง ๆ จากคนตรงข้าม



     " มั่วแล้ว " ผมหัวเราะหึหึก่อนจะตักโจ๊กที่พึ่งนำจากหม้อขึ้นมากินบ้าง " มินลงสมัครประธานนักเรียนแล้วนะ "



     " จริงเหรอ !? " ถึงจะเป็นรีแอคชั่นที่ไม่ได้เว่อร์วังอะไร แต่ผมก็ตกใจจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่มินคาดหวังไว้จะทำให้มันเป็นจริงได้



     " ใช่ครับ เราจะมีการเลือกตั้งประธานนักเรียนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พี่มิ้ลค์ต้องมาใช้สิทธิ์ด้วยล่ะ เข้าใจมั้ย ? " เฮ้ย! มีการบอกให้ผมไม่นอนหลับทับสิทธิ์ซะด้วย ทุกทีผมไปเลือกตั้งก็ทำบัตรเสียนะ สงสัยปีนี้คงจะวางมือไปก่อน หึหึ (ใครว่าผมเลว !!?)



     " ได้เลย เดี๋ยวพี่เลือกเราแน่นอน " มินยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจ



     " นายกันต์ธีร์ ไชยวัฒน์ ผู้สมัครประธานนักเรียนหมายเลขหนึ่ง ขอฝากตัวพี่ชายสุดหล่อด้วยนะคร้าบบบ " สงสัยประเด็นหลักที่ชวนคุยก็คือหาเสียงจากผมนี่ล่ะ หัวหมอจริง ๆ ไอน้องชายคนนี้



     " จ้าาาาาา " ผมขำหึหึก่อนจะนึกถึงเพื่อนตัวเอง ไออาร์มมันก็ทำงี้แหละครับ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะว่าจะได้เป็นประธานนักเรียนสมใจหวังได้จริง ๆ



     " พี่มิ้ลค์ " มินมองหน้าผมก่อนจะก้มลงไปจ้องไข่ลวกในชาม



     " ว่าไง ? " ผมถามก่อนจะตักหมูสับขึ้น



     " เมื่อวานพี่มิ้ลค์กับพี่เฟิร์ส...เป็นอะไรกันหรือเปล่าครับ ? " ช้อนบรรจุอาหารที่หมายจะเอาเข้าปากก็ได้หยุกชะงัก ผมลดมันลงไปไว้ในชาม



     " ก็...ไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย ไปเอามาจากไหนล่ะว่าพี่กับมันเป็นอะไรกัน ? " ผมทำทุกอย่างให้เป็นปกติที่สุด แม้มันจะยาก แต่ผมทำได้ครับ



     " เมื่อคืนมินคุยกับพี่อาร์ม เขาถามว่าพี่มิ้ลค์กับเฟิร์สดีกันหรือยัง มินไม่กล้าถามพี่มิ้ลค์ตรง ๆ มินกลัว " น้องชายของผมสลดไปถนัด งานหยาบแล้วไง



     " เอ่อ.. " ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวน้องชายตัวเองอย่างเอ็นดู " ไม่มีอะไรหรอกมิน พี่กับมันแค่ผิดใจกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง " มินมองผมอย่างระแวง แต่ก็ยอมผ่อนคลายลงเมื่อเห็นรอยยิ้มของผม



     " รีบ ๆ ดีกันนะครับ มินเป็นห่วงพี่ทั้งสองคน "



     " ได้เลย "



     มินคงไม่เห็นนิ้วผมไขว้กันหรอกเนอะ



     พี่ยังรับปากเราไม่ได้หรอกว่าจะดีกับมันได้ตอนไหน..



####



     เมื่อเช้าการเดินทางถนนเส้นอโศกจะดูราบรื่นชนิดที่ว่าหัวแตกเลยทีเดียว อากาศปลอดโปร่งอย่างแจ่มใส บรรดานักเรียนขวักไขว่เข้ามาเรียนกันอย่างแข็งขัน (ไม่นับผม) อะไร ๆ ดูจะราบรื่นไปหมดนั่นแหละครับ จวบจนได้มาปะทะกับอาจารย์พรทิพย์จ้าวนักคุมกฎแห่งโรงเรียนชายล้วน ได้มายืนประจันหน้าอยู่บริเวณประตูหนึ่ง ด้วยสมองอันชาญฉลาดของผม ก็เลยต้องเลี่ยงการปะทะกับเขาโดยการวิ่งพรวดจากป้ายรถเมล์อีกฝั่งนึงไปเข้าประตูสองแทน หึหึ ไม่ได้กินผมหรอกอาจารย์ (มินขอเข้าประตูหนึ่งเพราะจะไปห้องสภาฯ) แน่นอนครับ ร้อยละเก้าสิบที่ฝ่าประตูนี้จะเป็นเด็กสันดานเสียกันทั้งนั้น (อันนี้รวมผมได้)



     โต๊ะหมู่ประจำแก๊งของเราตอนนี้ดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษนัก เราต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโหลดไอเกม ROV กันแทบจะครบทุกคนเพราะเห็นเขาบอกว่ามีเกมโมบ้าในโทรศัพท์แล้ว ทุกคนดูมีอารมณ์ร่วมกับเจ้าเกมนี้กันดีนะ ก็มีฝีมือใน LOL กันมาบ้างแล้ว ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษนอกจากปอนด์



     เรื่องราวของปอนด์ที่ได้มาสารภาพรักกับผมพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แถมผมจะหักอกมันดังเป๊าะเสียด้วย ถ้าเป็นผมเอาเข้าจริง ๆ ก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าตัวเองจะเป็นยังไงในวันต่อ ๆ ไป ผิดกับปอนด์ริบรับเลยครับที่ยังมีสีหน้าแจ่มใสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภายใต้รอยยิ้มนั่นมันต้องเข้มแข็งขนาดไหนกันถึงได้ไม่เผยความเศร้าออกมา คงด้วยที่ผมสังเกตหน้าปอนด์นานไปหน่อยมันก็เลยตบหัวแถมถามว่าจะมองมันทำไมนานสองนาน ที่กูมองมึงเพราะเป็นห่วงไง ใช่ครับ ผมมาโรงเรียนเมื่อเช้ากันแค่สองคนกับมิน ปอนด์คงตัดใจจากผมได้แล้วแหละ



     ตอนนี้ถ้าหากถามผมว่ากำลังจะเดินไปไหนคนเดียวท่ามกลางแสงแดดอันแสบผิว ทำไมพักกลางวันแบบนี้ไม่เอาเวลาไปกินข้าวหรือพักเบรกล่ะ ? หึ ผมคงได้ไปกินแล้วแหละครับถ้าห้องปกครองไม่ส่งสารวัตรนักเรียนมาตามตัวให้ไปพบ สภาพกางเกงกูตอนนี้พร้อมรบกับบิ๊กบอสมากนักแล เฮ้อ...บ่นไปเต๊อะ ยังไงผมก็หนีไม่รอดอยู่ดี



     ประตูบานคุ้นเคยที่เมื่อก่อนผมเข้าออกบ่อย ๆ ถูกเปิดออกต้อนรับผู้ต้องหาคดีอย่างผม (ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าผิดอะไร) สิ่งแรกที่เห็นไม่ใช่อาจารย์พรทิพร์ แต่คือชายที่มีอำนาจสูงสุดของห้องสี่ คิงคองนี่เอง



     " มีไรอะครับจารย์ ? รีบคุยนะผมหิวข้าว " ใคร ๆ ก็บอกผมว่าเป็นเด็กดีมีมารยาท แต่ขอเว้นบุคลากรในห้องห่านี่สักหน่อยแล้วกัน



     " กางเกงสั้น " อาจารย์มองลงมายังต้นขาขาว ๆ ของผม น่าถามเหมือนกันนะว่าเนียนสวยมั้ย หึหึ



     " เรียกผมมาเพราะกางเกงสั้น ? "



     " เปล่า ชั้นแค่บอกเธอเฉย ๆ ว่ามันสั้น คุยเรื่องนี้เสร็จแล้วเดี๋ยวชั้นวกมาเรื่องกางเกงเธอ เชิญนั่ง " คิงคองขำคิก ๆ ก่อนที่ผมจะเดินไปนั่งข้าง ๆ มัน



     ไอห่านี่เอนตัวมากระซิบข้างหู " โดนเหมือนกูเป๊ะ " ผมพยักหน้าเอือม ๆ ให้กับคำพูดของมัน สไตล์อาจารย์แกนั่นแหละเพื่อน



     " กระซิบอะไรกัน !? " สะดุ้งเลยครับ สะดุ้งขนาดคิงคองกลับมานั่งหลังตรงได้อะ ฮ่า ๆ



     " อะ เข้าเรื่องเลยนะเสียเวลาชั้น ชั้นต้องไปจัดการเด็กที่ทะเลาะวิวาทอีก คือเมื่อวานชั้นได้รับเอกสารจากฝ่ายสถานที่มาแล้ว ชั้นไม่มีปัญหาหรอกที่พวกเธอจะจัดกิจกรรมกระชับมิตรกันน่ะ " ผมพยักหน้าให้กับเนื้อความ ส่วนคนข้าง ๆ เหมือนกำลังจะหาเมนไอเดียในประโยคนี้อยู่



     " แต่เมื่อวานภารโรงเขาจะไปเก็บกวาดที่โรงยิม ปรากฏว่ามีอุปกรณ์กีฬาและขยะมากมายเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณ เธอรู้มั้ยว่าโรงยิมตอนนี้จัดการเรียนการสอนไม่ได้จนส่งผลกระทบคาบเรียนของชั้นอื่น ๆ กันหมด ไหนพวกเธอบอกชั้นมาซิว่าจะรับผิดชอบเรื่องพวกนี้ยังไง ? " ของเกลื่อนกลาดทั่วโรงยิม ? เมื่อวานกูไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นี้นะ ผมเหล่มองไอคนริเริ่มก่อตั้งกิจกรรมนี้อย่างเอาเรื่อง คิงคองยิ้มแหยอย่างไม่มีข้อแก้ตัว



     " ถ้าไม่มีอะไรจะพูด เย็นวันนี้ชั้นจะให้เธอสองคนรับผิดชอบโรงยิมทั้งหมด โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น "



     " ห้ะ !! โรงยิมทั้งหมด !? "



     " ชั้นจะไม่อธิบายอะไรต่อ หัวหน้าอย่างพวกเธอสองคนต้องรับผิดชอบ ตามนั้นล่ะ " ผมอ้าปากค้างมองอาจารย์แกที่ลุกไปอย่างจำนน เชี่ย ! แล้วกูเกี่ยวไรด้วยวะเนี่ย !!!?



     ไอเชี่ยคอง !!!



     ผมลากไอตัวการออกมาหน้าห้องปกครอง " หมายความว่าไงสัด ? กูไม่อยู่พวกมึงทำอะไรกัน ? แล้วทำไมกูต้องมารับผิดชอบแทนพวกมึงด้วย ? แล้วทำไมกูต้องมาเก็บกวาดให้พวกมึง ? แล้วทำไม.. "



     " พอแล้ววววว กูสำนึกไม่ทันแล้ววววว อย่าด่ากูเลยนะเพื่อน เมื่อวานแอคซิเดนจริง ๆ มันก็เลยออกมาเป็นงี้ " คิงคองยกมือขึ้นกราบเหนือหัวตัดบทผมแม้จะกำเสื้อมันแน่นอยู่ กูไม่รู้หรอกนะว่ามันสุขวิสัยด้วยเหตุอันใด แต่เรื่องนี้หัวหน้าอย่างกูย่อมไม่เกี่ยว



     " แล้วจะรับผิดชอบยังไง ? กูบอกไว้เลยนะว่ากูไม่ช่วย "



     " โห่มิ้ลค์ ช่วยกูทีเหอะนะ " เมื่อวานกูเห็นมึงเดินมากับไออาร์มใช่มั้ย ?



     " เชี่ยอาร์มไง แกนนำเหมือนกันไม่ใช่รึไง " พอกันเลยมึงสองตัวเนี่ย ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่ได้ทำให้มึงเป็นคนดีกันเลยนะ



     " มันไม่ว่าง มันต้องไปปฐมนิเทศประธานนักเรียนรุ่นต่อไป "



     " ไม่รู้แหละ กูไปละ " แล้วผมก็เดินจากมันทั้งอย่างนั้น



     แต่คงได้ไปกินข้าวกับเพื่อนคนอื่นแล้ว ถ้าแม่งไม่วิ่งมาตัดหน้าเสียก่อน



     " เรื่องมึงกับไอเฟิร์สเมื่อวานไปถึงไหนแล้ว !? " พรึ้บ !!! หน้าไอเฟิร์สตอนมันไซร้คอผมแล่นเข้ามาในหัวทันที



     " เชี่ย !!! มึงไปถามมันเองโน่น !!! " เอ้า !! แล้วกูจะไปให้มันไปถามทำไม เดี๋ยวแม่งก็ปากโป้งบอกว่ากูไปข่มขืนไอมิ้ลค์มันน่ะ กูนี่ก็บ้า !!



     " กูถามมันแล้ว แต่แม่งไม่บอก " เชี่ยนี่คงจับว่าผมลอกแลกได้ แม่งเลยจ้องผมเขม่น " กูบอกแล้วไงถ้ามึงสองตัวยังไม่ดีกัน กูจะเอามึงตายทั้งคู่ " แล้วไหนมิ้ลค์ผู้เหนือกว่าตอนนี้กลายเป็นต่ำเตี้ยเรี่ยดินได้ภายในไม่ถึงนาทีกันวะ



     " เอ่อ...เอา...เอาเป็นว่าเย็นนี้เดี๋ยวกูไปช่วยแล้วกัน " ผมเหล่มองหน้ามันอย่างไม่รู้จะแถยังไงก่อนจะเดินหนีไปจากตรงนั้น



     ที่ผมพูดแบบไม่คิดออกไป เพราะแค่อยากจะเปลี่ยนเรื่องก็เท่านั้นเอง



####



     พอหมดคาบเรียน ไอโฟนในกระเป๋ากางเกงก็เปลี่ยนที่อยู่ของมันมาแนบชิดติดหูผมทันที ไม่ต้องถามว่าผมไปเอาเบอร์ไอห่าคิงคองมาจากไหน หึ เอามาจากไอคุณประธานนี่แหละ อยากจับหัวแม่งทุบลงโต๊ะเรียนด้วยกันจริง ๆ



     ผมยืนถือสายรอมันขณะที่เพื่อนหลาย ๆ คนเริ่มทยอยออกจากห้อง บ้างก็โบกลาผมทั้ง ๆ มือยังมีธุระกับโทรศัพท์ บ้างก็นัดผมให้ไปเจอกันที่สนามบอล เพียงแค่ไม่นานปลายสายก็กดรับให้เราได้สื่อสารกัน



     " ฮัลโหล ใครอะครับ ? " เสียงมันดูเป็นทางการมาก คงด้วยเบอร์ไม่คุ้นล่ะสิ



     " กูเองครับ คนที่เข้าห้องปกครองกับมึงเมื่อเที่ยง "



     " อ๋อออออออออ " มันคงจะอยู่ในห้องเรียนเหมือนกัน ฟังได้จากเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่แทรกเข้ามา



     " กูเลิกเรียนแล้ว กูไปรอมึงโรงยิมเลยนะ "



     " ได้เลยเพื่อน กูเลิกแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวกูตามไป "



     " อืม " ในขณะที่ผมจะกดวางสายอยู่นั้นเอง เจ้าของเสียงแหลม ๆ ในไอโฟนก็ดังลั่นขึ้นมาให้ผมหยุดฟังอีกครั้ง



     " เฮ้ยมิ้ลค์ !! มึงไปคนเดียวนะ ไม่ต้องชวนใครไป หึหึ " สิ้นคำนั้นผมก็มุ่งหน้าไปยังโรงยิมด้วยตัวคนเดียว ถึงจะสงสัยก็เถอะว่าทำไมแม่งบอกว่าไม่ต้องชวนคนไปช่วย ดูท่าทางนั้นจะนัดคนไว้แล้วล่ะมั้ง



     และก็ต้องมาเข่าทรุดอยู่กลางโรงยิม..



     โอ้โหหหหหหหหหห



     ไอเชี่ยยยยยยยยยยย



     ท่านผู้อ่านลองจินตนาการเทศกาลวันลอยกระทงที่ขยะเกลื่อนแม่น้ำแล้วเขาโกยขึ้นมากองรวมบนฝั่งดูสิครับ แต่นี่แม่งไม่ได้มีขยะอย่างเดียว มีอุปกรณ์กีฬาที่แม่งยังกระจัดกระจายอยู่รอบด้านอีก แม่เจ้า ! กูยังไม่เริ่มทำแล้วไหงมันเหนื่อยขนาดนี้แล้วกันวะ !!



     ผมเดินเอากระเป๋าไปวางอาณาเขตปลอดขยะแต่เหมือนจะหายากชิบหาย เฮ้อ...ไว้บนสแตนด์แล้วกัน พลางมองอุปกรณ์ทำความสะอาดที่แถวนั้นน่าจะมีแต่มองเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ฮืออออ อยากจะร้องไห้ ทำไมชีวิตกูต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย



     ในขณะที่นึกท้อใจกับงานเท่าภูเขาแต่ตัวเองเล็กพอ ๆ กับมดอยู่นั้นเอง เสียงฝีเท้าของอีกคนก็เหยียบพื้นโรงยิมดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เรียกผมให้หันไปมองอย่างดีใจว่าตัวเองไม่ต้องมาเผชิญปัญหาตรงหน้าคนเดียวแล้ว



     เท่าที่ผมเห็น...ผมมั่นใจได้เลยว่าตัวเองสายตาไม่ได้สั้นอย่างแน่นอน ร่างโปร่งสูงที่กำลังเดินเข้ามาที่นี่มันไม่ใช่บุคคลที่ผมนัดเอาไว้ แต่เป็น..



     เฟิร์ส



- Not to be unlocked -












หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.31 แนบสารบัญแล้วจ้า (17/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 18-02-2018 09:06:13
Not to be unlocked : Episode 32 : พึ่งรู้ใจตัวเอง



     บรรยากาศที่ผมเคยโฟกัสแค่กองขยะกับอุปกรณ์กีฬาที่กระจัดกระจายอยู่มากมาย กลับต้องมาเป็นสนใจไอคนหล่อที่เดินเข้ามาทำหน้านิ่ง ๆ ใส่ ถึงผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยังไง แต่แรงกดดันที่ทางนั้นปล่อยออกมาก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเศษถุงพลาสติกกับขวดน้ำที่ผมเก็บใส่ถุงดำในมือเลย (พึ่งไปขอป้าภารโรงเขามา) ในหัวพลันเสือกคิดถึงเรื่องเมื่อวานอีก โอ๊ยยยยย ไม่มีสมาธิแล้ว !



     เวลาผ่านไปหลายนาทีขยะบางส่วนก็ถูกผมเก็บไปบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลืออีกหลายส่วนที่จะต้องเก็บกวาด ผมสะบัดหัวเอาไอเรื่องบัดสีบัดเถลิงออกจากสมองอยู่หลายครั้ง เป็นผลบ้างไม่เป็นผลบ้างก็ยังเพียรพยายาม แม้จะไม่ค่อยเหนื่อยกับการเก็บขยะใต้สแตนด์สักเท่าไหร่ แต่เริ่มชักจะคันมือตงิด ๆ เหมือนอยากจะต่อยปากคนซะแล้วสิ ก็ไอห่านั่นที่แม่งยืนอยู่กลางโรงยิมยังไม่เลิกมองผมซะทีน่ะสิ เอาเป็นว่าผมนับหนึ่งถึงร้อยไปพลาง เก็บขยะไปพลางดีกว่า จะได้ใจเย็นขึ้นบ้าง



     หนึ่ง..



     สอง..



     สาม..



     สิบ..



     ห้าสิบ..



     หนึ่งล้าน..



     โว้ยยยย กูไม่ไหวแล้วนะ !!!



     ผมขว้างทุกอย่างในมือลงพื้นก่อนจะปรี่ตรงไปกระชากคอเสื้อของไอหล่อนั่นด้วยร่างกายหอบ ๆ



     " มึงจะเอายังไงกับกูห้ะไอเหี้ย !!!? " สมาธิในการนับเลขของกูหายไปอยู่กับมึงหมดแล้วไอเวร ! หน้านิ่ง ๆ ของเฟิร์สค่อย ๆ ฉีกยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ



     " ไหนว่าปิดใจไม่รักใคร แต่ข้างในมึงก็ว้าวุ่นเพราะกูไม่น้อยเลยหนิ มันหมายความว่าไงวะมิ้ลค์ ? " แม่งไม่พูดเปล่า แถมเชยคางผมขึ้นอีก เชี่ย !! ผมเถียงไม่ออก มันเหมือนเป็นความจริงที่ผมหนีไม่ได้เลยว่ะ กูจะแพ้เพราะแบบนี้ไม่ได้นะ !



     " วะ...ว้าวุ่นเชี่ยไร !! " ผมสะบัดมือมันออก " กูไม่เก็บมึงมาให้ลกสมองหรอก ฮึ ! " หน้าของผมเบือนหนี มันคือเรื่องจริง เชื่อผมสิ เชื่อผม !! มันคือความจริง ฮือออ



     " มิ้ลค์ครับ " คนตรงหน้าอยู่ดี ๆ ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ผมหันขวับมาถลึงตาใส่มันทันที เป็นไปไม่ได้ แม่งพูดภาษาดอกไม้ เชี่ย ! แล้วทำไมกูต้องระทวยด้วย !!



     " อะไร !? " นาทีนี้ต้องเหวี่ยงครับ ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว ผมอยากเหนือมัน ! ผมอยากชนะมัน ! ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าเฟิร์สใจเย็นกับผมกว่าเมื่อวานเสียอีก



     " มิ้ลค์รู้ใช่มั้ยว่าเฟิร์สคิดยังไงกับมิ้ลค์อะ ? " สายตาผมลนลานให้กับประโยคนั้น



     " ระ...รู้ " ใจผมเต้นตึกตักยากที่จะควบคุม



     " รู้ว่าอะไรครับ ? " สัด ! เมื่อวานมึงก็บอกกูมาแล้วปะวะ !? ยังจะถามซ้ำทำไมอีก !!?



     ตอนนี้แก้มผมเริ่มอุ่น ๆ ค่อนไปทางร้อน " ก็รู้ว่ามึง..ชอบกูไง มึงก็บอกกูเมื่อวานแล้วไง ยังถามทำไมอีก ? "



     " แล้วมิ้ลค์จะไม่คิดเหมือนกันกับเฟิร์สเลยเหรอ ? " มึงไม่ต้องมาตัดพ้อเล่นบทพระเอกเลยไอสาดดดดดด



     " กูไม่คิดอะไรกับมึงทั้งนั้นอะ ! " เหวี่ยงอีกแล้ว ผมเหวี่ยงอีกแล้ว ทางนั้นก็ยังใจเย็นอยู่



     " เฟิร์สดูมิ้ลค์ออกนะ ว่ามิ้ลค์คิดอะไร "



     " หึ มึงเก่งขนาดรู้ว่ากูคิดอะไรกันมึงเลยไง๊ " ขนาดกูเองยังไม่รู้เลยว่าคิดอะไรกับมึงเลย เพียงแค่กูไม่อยากให้มึงไปไหนทั้งนั้น



     " งั้น...เดี๋ยวเฟิร์สจะบอกให้นะว่ามิ้ลค์คิดอะไร " คนข้างหน้าก้าวมาหาผมอย่างเนิบ ๆ รอยยิ้มอันแสนเล่ห์กลเริ่มค่อย ๆ ฉีกออก " ถ้ามิ้ลค์ใจเต้น แสดงว่า.. " ใบหน้ามันเริ่มขยับเข้ามาใกล้จนเห็นชัดเจน ผมมองนัยน์ตาสีนิลที่ใสแจ๋วสลับกับริมฝีปากที่ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ทำไมแม่งไม่เอามาประกบกับปากผมสักที ?



     ผมถอนออกจากโครงหน้านั่นเล็กน้อย " ไม่เห็นเต้นเลย มึงมั่วแล้วเฟิร์ส " ผมโกหก ผมตอแหล !! หน้าอกมันเต้นไวยิ่งกว่าเพลงในเกมออดิชั่นจังหวะร้อยเก้าสิบซะอีก ! รอยยิ้มนั่นยังคงปรากฏอยู่



     " งั้นแบบนี้ล่ะ " ทีนี้ริมฝีปากสีชมพูเคลือบใสเลื่อนโครงหน้ามาให้เราได้ประกบจูบตามใจผมหวัง เปลือกตาผมค่อย ๆ ปิดเพื่อรับรสหวานที่แผ่ซ่านไปทั่วปาก ผมคุ้นเคยกับลิ้นนี้ที่ชอบหยอกล้อให้ใจรู้สึกสนุกอยู่ตลอดเวลา แบร็คเก็ตเป็นอุปกรณ์ในการดัดฟันของเฟิร์สก็จริง แต่มันเหมือนมีของเล่นสนุก ๆ ให้ผมทำควบคู่กับจูบอันร้อนแรง ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่น ๆ ละลอดเข้ามาภายใต้เสื้ออันชื้นเหงื่อ ทันทีที่รู้ว่าฝ่ามือของเฟิร์สละลูบจากเอวไปอยู่ด้านหลัง การเลียนแบบจึงเริ่มขึ้น ใต้ชุดนักเรียนของหมอนี่ที่ผมสัมผัสตามสัญชาตญาณดิบ มีทั้งความมันของผิวกาย และมัดกล้ามที่แน่นของแผ่นหลังจนน่าฝังคมเขี้ยว



     เสียดายจังที่ปากของผมยังมีธุระอย่างอื่นอยู่..



     " รู้หรือยังว่ามึงคิดอะไรกับกูมิ้ลค์ " เฟิร์สถอนใบหน้านั้นออกให้ผมได้ลืมตาเชยชม



     " ไม่รู้ " ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าหัวใจที่เต้นแรงได้กับเฟิร์สแค่คนเดียวแบบนี้มันหมายถึงอะไร..



     " มึงคิดเหมือนกันกับกูไง " ถึงตรงนี้สายตาของผมหันไปทางอื่นโดยอัตโนมัติ นี่กูเขินมันเหรอวะ !?



     " กู...กูไม่ได้คิดอะไรกับมึงทั้งนั้นแหละ " อยากเถียงอะครับ อยากพูดอะไรสักอย่าง มันจะได้รู้ไงว่าผมยังสู้อยู่



     " เบื่อจริงเลย ๆ พวกไม่รู้ใจตัวเองเนี่ย " เฟิร์สขำหึหึในลำคอ " กูจะให้โอกาสสุดท้าย มึงต้องตอบให้ถูกนะมิ้ลค์ " ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งหลักอะไร ริมฝีปากของแม่งก็จ่อมาที่ปากผมอีกครั้ง



     เฟิร์ส ปอดกูจะหมดลมแล้ว..



     แต่ก็ดีแล้วนะครับที่มันทำให้ผมรู้ว่า..



     ผมเองก็คิดเหมือนกันกับมัน :)



####



     กว่าโรงทิ้งขยะจะกลับเป็นโรงยิมเหมือนเดิมก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม ผมบอกเลยครับว่าแม่งหนักหนาสาหัสมากกว่าไปเตะบอลวันกีฬาสีเสียอีก แอร์ก็ไม่เปิดให้ เหอะ ตอนนี้เสื้อนักเรียนของผมกับเฟิร์สนี่ไม่ต่างอะไรกับไปเดินแถวสีลมช่วงสงกรานต์เลยล่ะ ทันทีที่เราสองคนเคลียร์โรงยิมกันเสร็จ ลุง ๆ ป้า ๆ ภารโรงเขาก็มาช่วยปิดประตูให้ แถมมาขอโทษขอโพยเราสองคนตอนช่วยกันปิดประตูโรงยิมใหญ่เลยน่ะครับว่าเป็นคำสั่งของห้องปกครอง โดยห้ามยื่นมือเข้ามาช่วยเด็กนักเรียนที่ทำความสะอาดในวันนี้เด็ดขาด เราสองคนไม่นึกโทษโกรธใครเลย ลุงกับป้าเขาคงลำบากใจที่ไม่ได้มาช่วยทำกันน่ะครับ ส่วนห้องปกครองที่มาลงโทษก็เพราะเราไม่รับผิดชอบกันเองเสียมากกว่า ความผิดมันอยู่ที่เราทั้งสองห้องเองครับไม่ใช่ใครอื่นเลย



     ขณะนี้เวลาสองทุ่มนิด ๆ แล้วครับ ผมกับเฟิร์สเดินฝ่าความมืดที่โรงเรียนเขายังจะพอมีเมตตาเปิดไฟสลัว ๆ ตามทางให้ ผมเดินนำไอคนข้างหลังไปประตูหนึ่งโดยไม่หันไปแลเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากให้มันรู้ครับว่าเขินอยู่ (อ๋อ ตอนจูบไม่มีคนเห็นครับ ทั้งโรงยิมมีแค่ผมกับเฟิร์ส ถ้าแม่งคิดจะข่มขืนและฆ่าผมในนั้นก็คงไม่มีข่าวหลุดออกไปอย่างแน่นอน)



     " จะรีบไปไหนอะ ? รอกูด้วยสิ " แหม ตอนอยู่ข้างบนมึงยังพูดครับอยู่เลยนะไอชิบหาย ไอคุณชายเฟิร์สแสนดีมันตายไปตอนไหนล่ะ ?



     " กูรีบ กูหิว " ไม่หิวหรอกครับ แต่ไม่รู้จะแถต่อยังไงดีแล้วเนี่ย ทำไมเกิดมาผิวขาวเวลาเขินหน้าต้องแดงด้วยวะ !



     มันสาวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ " งั้นเดี๋ยวพาไปเลี้ยงร้านสเต๊กตรงนี้ดีปะ ? ไม่แพงแถมอร่อยด้วย " ผมอยู่กับมันมาก็นาน ไม่เคยรู้สึกไม่อยากมองหน้ามันมาก่อนเลยว่ะ



     " อืม จะกินไรก็กิน " ผมไม่รู้เลยว่ามันทำหน้าแบบไหน ได้แต่แอบยิ้มอยู่คนเดียว มันคงไม่เห็นหรอกใช่มั้ย ?



     " พูดกับคนอื่นอะ ต้องมองหน้าเขาเวลาพูดด้วยนะรู้เปล่า ? " ถ้าเป็นคนอื่นมาสอนอย่างนี้ ผมจับมันมาทำลูกชิ้นรมควันแน่ ๆ



     " อืม "



     " มึงพูดอืม มึงก็ต้องหันมามองด้วยสิ " โว้ะ เซ้าซี้กูจริง ๆ



     " เออ " จุดจุดนี้หน้าขาว ๆ ของผมแดงก่ำไปทั่วแล้ว ผมค่อย ๆ หันหน้าไปมองเฟิร์ส ใบหน้านั่นยิ้มรับอย่างใจดี นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้เห็น



     " น่ารักที่สุด " แล้วมันก็ยกแขนขึ้นมาหยิกแก้มผม เฮ้ย ! มึงกล้ามากนะไอเฟิร์ส ลามปามกูใหญ่แล้วนะ !



     " อย่ามายุ่งกับหน้ากู " ผมปัดมือมันออกก่อนจะสาวเท้าหนีไว ๆ นี่ทำไมกูต้องมาเขินกับการกระทำโง่ ๆ ของแม่งด้วยเนี่ย ฮือออออ



     " จะรีบไปไหนล่ะ เขินเหรอ ? " เขินหน้ามึง..



     ' ปี๊ดดดดดดด ' เฟิร์สวิ่งมาคว้าตัวผมให้หลบรถจากด้านข้าง ผมกะพริบตาปริบ ๆ ดูกระจกที่ค่อย ๆ เลื่อนลงมาของใครบางคน มืด ๆ แบบนี้ยังมีรถวิ่งในโรงเรียนอีกเรอะ



     " นี่ มันอันตรายนะ ดูทางบ้างสิ " เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่



     " ขอโทษครับ " ผมยกมือขึ้นขอโทษเขาก่อนที่ฟิล์มกระจกดำนั่นจะปิดลง



     " จะเขินก็ดูทางบ้างสิ " เฟิร์สขำหึหึปล่อยผมจากวงแขนก่อนจะคืนจาคอปที่ล่วงลงพื้นมาให้



     มึงก็อย่าทำกูเขินสิ..



     ป้ายรถเมล์เวลาสองทุ่มถึงจะมืดไปบ้าง แต่ก็อุ่นใจแบบไม่ต้องกลัวโดนปล้นเพราะมีคนยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อย่างว่านั่นแหละ อยู่กับไอห่านี่มาเป็นพันปี ไม่นึกฝันว่าวันหนึ่งผมจะเป็นต่อแม่งซะได้ ไม่รู้อาการที่ผมยืนบิดไปบิดมากับเอาแต่มองเท้าตัวเองแบบนี้เฟิร์สมันจะเห็นรึเปล่า และก็คงเหม่อเกินไปหน่อยล่ะมั้ง ทำให้มันเขย่าแขนกว่าผมจะหลุดจากความคิดให้วิ่งตามมันไปขึ้นรถเมล์ได้ก็นานพอดู



     พอขึ้นมาเฟิร์สก็พาผมไปทางฝั่งที่สามารถนั่งได้เป็นคู่ ดึก ๆ แบบนี้คนน้อยจนนับได้เลยครับ เฟิร์สให้ผมเป็นคนเข้าไปก่อนที่เจ้าตัวจะเขยิบตาม ๆ กันมา เมื่อรถแล่นออกไป ลมที่ลอดผ่านหน้าต่างก็ตีหน้าผมเรียกความเย็นสบายได้ดี



     " ร้านสเต๊กตรงไหนอะ ? " ผมถามแต่ไม่ได้มองหน้ามันหรอกครับ แค่พูดยังหวั่นใจเลยเนี่ย..



     " อโศก XX ไง ไม่เคยไปเหรอ ? " ผมคิดตามมันว่า กูนักกินตัวจริงทำไมไม่เคยได้ยินเลยวะ ?



     " นึกไม่ออก ไม่เคยไปมั้ง " กระเป๋ารถเมล์เดินมาพร้อมกันเสียงแต๊ก ๆ ผมล้วงกระเป๋ากางเกงหาเศษเหรียญให้ครบจำนวนพอดีสำหรับเราสองคน แต่ไอห่านี่ดันขี้เสือกยื่นแบงก์ยี่สิบตัดหน้าไปเสียก่อน นี่แหละครับผมถึงได้กล้ามองหน้ามันสักที



     " กวนตีน " มันทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนจะเก็บตังทอนใส่กระเป๋าเสื้อ แค่ค่ารถเมล์เก้าบาทสองคนกูออกได้เว้ย ผมถอนหายใจใส่แม่งพลางหันหน้าไปรับลมที่หน้าต่างต่อ



     เอ๊ะ !?



     ความรู้สึกอุ่น ๆ ของมือใครอีกคนเรียกให้ผมก้มไปดู..



     เฟิร์สแม่งจับมือผม !!



     " ทำไรเนี่ย !!? " กูรู้อยู่แล้วแหละว่ามึงทำอะไร แต่มึงไม่ให้กูตั้งหลักเลยรึงายยย !!? อ๊ากกกกกกกก ผมหันขวับไปที่หน้าต่างอย่างไวกลัวแม่งจะเห็นสีหน้าว่าเขินอยู่ หัวเกือบแดกขอบหน้าต่างแล้วมั้ยล่ะมึง



     " จับมือไง ไม่ได้เหรอ ? " ไอได้มันก็ได้ แต่มึงเล่นไม่ให้กูตั้งหลักเนี่ย มันแปลก ๆ ปะวะ " แล้ว...ได้รึเปล่า ? "



     " ได้ " ผมตอบเสียงแผ่ว โอ๊ยยย แก้มกูจะปริแล้ว !!!



     " อะไรนะ ? " แล้วหูมึงบอดกะทันหันเรอะ !?



     " กูบอกว่าได้ไง ! " พออนุญาตแม่งก็เอนหัวมาหนุนไหล่ผมเสร็จสรรพ



     เออ เอาเลยไอเฟิร์ส ทำกูเขินเข้าไป



     พอถึงป้ายรถเมล์ปริศนาตามที่คนข้าง ๆ บอกผมก็สะกิดให้มันตื่น แต่เฟิร์สคงนอนได้แปปเดียวล่ะมั้ง เพราะถ้านับจากหน้าโรงเรียนมานี่ก็แค่ห้าหกป้ายเอง ผมเก ๆ กัง ๆ เดินไปกดกริ่งรอให้รถจอดสนิทดีก่อนจะตามเจ้าเฟิร์สลงไป เราสองคนเดินต่อไปอีกนิดหน่อย (โดยมือยังไม่ปล่อย) ก็ถึงร้านสเต๊กตามมันว่า เป็นร้านติดถนนที่มีโต๊ะตั้งเรียงรายข้างฟุตบาทครัง ลูกค้าส่วนมากเป็นพนักงานออฟฟิศกับนักศึกษา งั้นขอรบกวนเจ้าของร้านให้เด็กนักเรียนสองคนได้ฝากท้องมื้อดึกด้วยนะคร้าบ



     " รับอะไรดีคะ ? " ทันทีที่หย่อนก้นลงนั่ง พี่พนักงานตัวเล็กก็เดินมารับออเดอร์พวกเราทันที ผมพลิกหน้าเมนูค่อนข้างไวนิดหน่อยเกรงว่าพี่เขาจะรอนาน



     " เอาเป็นสเต๊กหมูพริกไทยดำ สปาเกตตีซอสแดง ขนมปังกระเทียม ฮอทดอกลมควัน แล้วก็เป๊ปซี่ครับ " พี่พนักงานสาวจดยิก ๆ ตามด้วยทางนั้นที่เงยหน้าสั่งบ้าง



     " เอาสเต๊กหมูพริกไทยดำแบบนั้นอีกที่ครับ " น่าประหลาดใจที่แม่งกินแค่นี้



     " รอรับอาหารสักครู่นะคะ " แล้วพี่เขาก็รับสมุดเมนูคืนก่อนจะเดินจากไป แล้วพี่พนักงานออฟฟิศโต๊ะข้าง ๆ จะมองพวกผมอีกนานมั้ยครับ ? ผมไม่ได้มากับแฟนนะ !



     " กินน้อยจัง " ผมเหล่ตามองไอหน้าหล่อที่ยิ้มอยู่อีกฝั่งโต๊ะ



     " เรื่องกินไม่ใช่ปัญหาหรอก วันนี้กูคุ้มแล้ว " คุ้ม ? คุ้มเชี่ยไร !? พูดเหมือนไปแย่งของลดราคาได้งั้นแหละ



     " หึ " พอผมพูดจบบรรยากาศรอบโต๊ะก็เงียบในทันที เฮ้ยยยยย อย่าเงียบสิ ผมเหล่มองมันอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สลับกับบรรยากาศรอบด้าน พอไม่มีใครพูดแล้วอึดอัดชิบเป๋ง



     " มิ้ลค์.. " เฟิร์สเป็นคนทำลายความเงียบจนผมต้องหันไปมอง " รู้ตัวรึเปล่าว่ามึงแม่ง...น่ารัก " ไอสาดดดดดด ร้อยวันพันปีไม่เคยเอ่ยชมกู อยู่ดี ๆ มึงก็พูดออกมาอะนะ !



     " กู...กูหล่อเว้ย " น่าโมโห แม่งมีแต่คนบอกว่าผมน่ารัก ให้ตายสิ !!



     " มึงอะน่ารัก ไม่งั้นกูจะเขินเหรอมิ้ลค์ " ห้ะ ! มึงเนี่ยนะเขิน ? แต่เห็นมันหันไปยิ้มทางอื่นคงไม่ได้พูดเล่นล่ะมั้ง



     " อืม ขอบใจ " ผมรีบรับแก้วน้ำแข็งกับขวดเป๊ปซี่ที่พี่เขานำมาเสิร์ฟ ก่อนจะเทมันแล้วยกขึ้นมาดูดอย่างไวเพื่อแก้เขิน มึงไม่รู้สินะว่ากูบอกท่านผู้อ่านไปว่าเขินกี่หมื่นรอบแล้ว



     " มิ้ลค์ " จู่ ๆ เฟิร์สก็เรียกชื่อผมอีกรอบ " กูขอโทษเมื่อคืนนะเว้ยที่ล่วงเกินมึงไปอะ กูไม่ได้ตั้งใจ "



     มันคงเป็นปรากฏการณ์รีเฟคในร่างกายผมล่ะมั้ง เลยเลือกที่จะพูดแบบนั้นบ้าง " กูก็...ขอโทษที่พูดแรง ๆ กับมึง อย่าคิดมากเลยนะ กูไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน " ผมมองหน้าเฟิร์สด้วยท่าทีสำนึกผิด



     " กูไม่ถือษามึงหรอกมิ้ลค์ แล้วมึงจะยกโทษให้กูได้มั้ย ? " ไม่น่าถาม



     " ได้ดิ " แค่เป็นมึงจะอะไรกูก็ยกโทษให้ได้เสมอแหละ เฟิร์สยิ้มแล้ว ผมได้เห็นมันยิ้มอีกแล้ว !



     " น่ารักที่สุด " อย่ามาบีบแก้มกู !!! เห็นมั้ยว่าพี่เขามองอยู่ไอห่า !!



     ผมขว้างมือมันกลับไป " แล้ววันนี้ใครส่งมึงมา ? " คนที่นั่งอีกฝั่งโต๊ะขมวดคิ้วคิดตามก่อนจะหลุดขำ



     " คิงคองไง มันเรียกกูให้ไปโรงยิม แถมบอกให้ไปคนเดียวด้วย " กูว่าแล้วไอคิงคอง !! ไอชั่ว ! ผมด่ามันในใจพลางรับจานสเต๊กหอมกรุ่นมาวางตรงหน้า โหน่ากินน !! ไหนขอลองเจ้าเนื้อหมูพริกไทยดำนี่หน่อย



     " กินเยอะ ๆ นะ มื้อนี้กูเลี้ยงเอง " หื้อ ? ผมวางมีดกับซ้อมในมือทันที



     " ถ้ามึงเลี้ยงกูไม่แดก " ผมมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง อย่ามานิสัยป๋ากับกูนะไอเฟิร์ส



     " โอ๋เอ๋ งั้นจ่ายใครจ่ายมันเคปะ ? " หน้าผมค่อย ๆ ฉีกยิ้ม



     " ดีมาก " หึหึ แล้วผมก็กลับมาสนใจเนื้อสเต๊กตรงหน้า โห...เพียงแค่ผมเอาใบมีดสัมผัสกับตัวเนื้อก็สามารถฉีกขาดโดยไม่ต้องออกแรงหั่น ไม่น่าเชื่อนะครับว่าร้านระดับนี้จะสามารถทำได้ ตอนนี้ผมค่อนข้างสนใจเทคเจอร์ของเนื้อหมูที่คลุกเคล้าอยู่ในปากแล้วสิ มันนุ่มมาก !



     " มิ้ลค์ " ผมเคี้ยวตุ่ย ๆ มองเฟิร์ส " กูรักมึงได้ใช่มั้ย ? " ผมกลืนสิ่งที่เคี้ยวอยู่จนหมดสิ้น ผมไม่อาจละสายตาจากทางนั้นได้



     " ได้ แต่.. " เฟิร์สจ้องผมราวกับรอคำตอบโดยไม่คลาดสายตา ผมไม่ค่อยมั่นใจกับตัวเองเท่าไหร่เลยหากได้รับรักจากเฟิร์ส



     " จะรักคนเหี้ย ๆ แบบกู คิดดีแล้วใช่มั้ย ? " เฟิร์สถอนหายใจด้วยสีหน้าเซ็งสนิท



     " อย่ามาไร้สาระ " เฟิร์สไม่พูดเปล่า แถมเอาเนื้อในจานแม่งมายัดปากผมอีก ทำไมมึงไม่ซีเรียสเหมือนกูวะไอห่า !!



     " เฮ้ย ! กูจริงจังนะ " สายตาดุ ๆ ส่องแววมายังผมทันที



     " ไอคนเหี้ย ๆ มันคือคนที่ทิ้งมึงไปต่างหาก อย่าเอาคนดี ๆ แบบมึงไปเหมารวมได้ปะ ? แม่ง พูดแล้วก็หงุดหงิด "



     อยากจะเถียงอะนะครับ แต่ดันเผลอยิ้มไปซะก่อน :)



     หลังจากที่อิ่มแปล้กันไปแล้ว เฟิร์สก็เสือกในหน้าที่จัดการค่าอาหารมื้อนี้ทั้งหมด ผมจัดการโบกหัวในความตอแหลของมันทันทีครับแต่แม่งดันหลบได้ เฮ้อ...เรายืนหยอกล้อกันอยู่นานจนได้แท็กซี่มาคันหนึ่ง เฟิร์สบอกว่าขอเป็นคนไปส่งผมถึงบ้าน ผมก็เลยสวนกลับไปว่าจะไปส่งทำไมบ้านก็คนละทาง มันไม่พูดอะไรครับ ลากผมเข้าไปนั่งด้วยกันหน้าตาเฉย อยากจะด่าแม่งจริง ๆ



     " วันนี้อิ่มทั้งกาย อิ่มทั้งใจเลยเนอะ ว่าปะ ? " ท่านผมอ่านครับ ท่านเคยนั่งแท็กซี่แล้วหารเงินกับเพื่อนไปที่ไหนสักแห่งกันมั้ยเอ่ย ? เบาะหลังมันจะนั่งได้ประมาณสี่คนถ้าเบียดกันใช่ม๊า แต่ในรถคันเนี่ยเบาะหลังมันนั่งกันแค่สองคน แต่ไอเชี่ยนี่เสือกมานั่งเบียดกับผมเป็นปาท่องโก๋ แถมเหลือพื้นที่ไว้อีกมากมาย อีกครึ่งเบาะจะเก็บไปแข่งไตรกีฬารึไง ?



     " แล้วจะมาเบียดทำไม ? ที่มีตั้งเยอะแยะ " มันมองผมเหมือนถามอะไรโง่ ๆ



     " หนาว " สั้น ๆ ได้ใจความ โว้ะ อยากจะด่ามันมากกว่านี้นะ ถ้ามันไม่พูดต่อ " ง่วงมั้ย ? "



     " ก็นิดหน่อย " เหนื่อยมาทั้งวันอะนะ ไม่สิ ต้องบอกว่าเหนื่อยมาทั้งเย็น



     " นอนมั้ย ? "



     " เดี๋ยวไปนอนที่บ้าน "



     " นอนพิงไหล่กู เดี๋ยวถึงบ้านกูปลุก " ผมส่ายหน้าทันที



     " ไม่เอา " สิ้นคำว่าเอาแม่งวาดแขนมาคล้องคอผมพลางนำฝ่ามือเอนศีรษะให้ไปอิงไหล่มัน



     " นอนซะ เดี๋ยวปลุก " เจ้าเล่ห์นักนะมึง จะเนียนกอดกูล่ะสิไม่ว่า เอาเถอะ มีหมอนให้หนุนด้วย



     " งั้น...ปลุกด้วยนะ "



     " อื้ม "



     ทุกอย่างล้วนเป็นความจริงจากปากเฟิร์ส นอกจากที่ผมจะอิ่มกายด้วยอาหารมื้อดึกแล้ว ยังอิ่มใจที่วันนี้ผมได้รู้ใจตัวเองว่าคิดยังไงกับเฟิร์ส ผมจะจดจำเรื่องราวในวันนี้ไปให้นานที่สุดเลย



     หรือจริง ๆ แล้ว ประตูบานนี้ที่ผมปิดตายไม่รับรักใคร..



     จะมีเฟิร์สเข้ามาอยู่ตั้งนานแล้วกันนะ..



- Not to be unlocked -


หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.32 แนบสารบัญแล้วจ้า (18/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-02-2018 17:28:49
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.32 แนบสารบัญแล้วจ้า (18/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 20-02-2018 17:16:17
Not to be unlocked : Episode 33 : เมื่อไม่มีใครอยู่



     หลังจากที่เฟิร์สได้นั่งแท็กซี่มาส่งผมถึงบ้าน เราสองคนก็โบกมือลาผ่านกระจกที่ไอหน้าหล่อนั่นเลื่อนลง ทันทีที่ผมยืนส่งมันจนลิบตาไปแล้ว ขายาว ๆ ก็สับขึ้นชั้นสองอย่างไวจนมินที่นั่งดูแก๊งการ์ตูนอยู่ถึงกับงงในการกระทำของพี่มัน ก็จะอะไรล่ะแม่งเขินชิบหาย ! พอถึงห้องผมก็กระโจนขึ้นเตียงเอาหน้าซุกหมอน หยิบตุ๊กตาหมีมาทุบ ๆ กลิ้งไปกลิ้งมารอบห้องเหมือนเป็นคนบ้าเข้าไปทุกที อ๊ากกกกกกก



     วันต่อมาพอผมลืมตาขึ้นดูโลกอันแสนวุ่นวายนี้ ใบหน้าของไอเฟิร์สก็ลอยเข้ามาให้ผมมโนขึ้นอีกระลอก (ไปกันใหญ่แล้วกู) พลางเดินไปทำธุระส่วนตัวก่อนไปโรงเรียนอย่างเบลอ ๆ คงด้วยความที่เหม่อเพลินไปหน่อย เลยหยิบแชมพูสระผมมาเป็นยาสีฟันแทน ดีนะว่าไม่ได้เอาเข้าปาก ไม่งั้นฟันผมคงไม่ต้องชี้ฟูแตกปลายแน่ ๆ



     ตลอดช่วงเช้าของวันนี้ที่โรงเรียนผมจะไม่ได้เจอหน้าเจ้าเฟิร์สเลย ทั้ง ๆ ที่อยากเจอแทบใจจะขาด แต่ลองเปิดโหมดสแกนไปบริเวณรอบตัวที่นั่งแช่อยู่ในโรงอาหารแล้ว ไม่พบบุคคลที่ทำให้ผมนึกถึงเลยว่ะ และคงด้วยพิษร้ายของคุณชายเฟิร์ส เล่นซะผมยังไม่สามารถออกจากห่วงแห่งความสุขจนเผลอยิ้มออกมา เพื่อนรักอย่างไอซันและปิงปองก็เลยตบหน้าเบา ๆ เรียกผมให้มีสติ แม่งขัดความสุขกูจริง ๆ



     จวบจนมาถึงพักกลางวันนั่นแหละครับถึงได้กลับมาเป็นบ้าระยะสุดท้ายอีกครั้ง เมื่อคุณชายเฟิร์สและมือที่ถือจานข้าวเดินตรงปรี่มาทางนี้อย่างเห็นได้ชัด เรียกความสนใจจากผมมากกว่าชามก๋วยเตี๋ยวร้านป้าน้อยที่พึ่งตักกินไปได้คำสองคำเสียอีก แล้วกูจะลนทำไม ? กูจะลนทำมายยยย



     " นั่งด้วยนะ " ผมอนุญาตมันโดยการพยักหน้าไว ๆ อย่างคิดอะไรไม่ทัน ตอนนี้หน้าผมร้อนมากไม่ต่างอะไรจากจุดเดือดของน้ำ



     " เฮ้ย ! เป็นไปได้ไงวะ !? " อาร์มที่นั่งแทะตีนไก่ทอดอยู่ถลึงตาเบิกกว้างพร้อมกับอุทานออกมา ซัน ปอนด์ ปิงปอง เบ๊นซ์ ตกใจไม่แพ้กันที่เฟิร์สอยู่ดี ๆ ก็มานั่งกินข้าวกับเรา แถมนั่งข้าง ๆ ผมด้วย



     " เดี๋ยว ๆ ไอมิ้ลค์ มึงไปทำอะไรกับไอเฟิร์สมันวะ ? ไหนมันได้มานั่งกินข้าวคู่กับมึงหน้าตาเฉยแบบนี้ " ซันที่นั่งอยู่ตรงข้ามขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย ใครไม่สงสัยก็แปลกล่ะ เมื่อหลายวันก่อนยังทำสงครามประสาทกันอยู่เลย ทำไมวันนี้มานั่งแดกข้าวด้วยกันซะได้



     ในตอนที่ปากผมจะอ้าตอบ บุคคลขี้เสือกในตำนานก็วางจานข้าวลงกับพื้นโต๊ะพร้อมแทรกขึ้นมาทันที



     " ทำอารายน้าาา อยู่ในโรงยิมกันสองต่อสอง ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครรู้ " คิงคองมันสอดตัวเข้ามานั่งข้าง ๆ ไอซันพลางพูดล้อเลียน ผมคว้าแก้วที่ดูดน้ำจนหมดก่อนจะหยิบก้อนน้ำแข็งมาปาใส่มันด้วยความแค้น



     " ไอเลว !! แผนมึงชั่วช้าเลวทรามมากนะ !! " คิงคองกุมท้องขำยิก ๆ ส่วนเจ้าเฟิร์สก็เอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไร



     " มึงอธิบายกูมาเดี๋ยวนี้เลยนะไอคิงคอง สองคนนี้มันไปทำอะไรกันมา ? เมื่อวันสองวันแม่งยังจะตีกันอยู่เลย " ขี้เสือกอีกคนแล้วนะไออาร์มมี่



     " ก็เมื่อวานกูโดนทำโทษเรื่องเคลียร์โรงยิมที่พวกมึงไปก่อกันนี่แหละ ตอนแรกก็ว่าจะไปช่วยไอมิ้ลค์มัน แต่บังเอิ๊ญบังเอิญไปเห็นหน้าไอเฟิร์สเข้าก็เลยส่งมันไปแทน เห็นมันทะเลาะกันไม่ยอมดีกันสักที " ตามด้วยเสียงหังเราะหึหึอันหน้าหยิบรองเท้าหนังมาฟาดปาก



     " แล้วมึงรู้เปล่าวะว่ามันทำอะไรกัน ? ทำไมมันดีกันง่ายจัง " อาร์มรู้ดีแหละครับว่าถ้าถามผมตรง ๆ ยังไงคำตอบก็ไม่ได้อยู่ดี แล้วใครมาจุดไฟบนแก้มกูล่ะเนี่ย !! ม่ายยยยย



     " มันก็.. " คิงคองพูดก่อนจะหยุดไป นี่อย่าบอกนะว่ามึงเห็นอะ !! เชี่ยยยยย !!!



     " ก็ ? " เสียงพวกห่านี่ลุ้นไม่แพ้กัน



     " มันก็.. "



     " ก็ "



     " โว้ยยยย ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ มันก็มาปรับความเข้าใจกับกูแค่นั้น " ผมหอบแฮก ๆ ตัดบทความขี้เสือกของทุกคนไป



     " ตามนั้นแหละ กูไม่รู้หรอกว่ามันทำอะไรกัน เมื่อเย็นกูไปหาแฟนที่สยามไม่ได้ส่งคนมาดู " โอ๊ยยยย โล่งอก แล้วมึงจะทำให้กูลุ้นเพื่อ !



     " งั้นมึงสองคนก็ดีกันแล้วอะดิ ! " มึงจะตื่นเต้นทำไมล่ะนั่น อ่าว แล้วจะลุกไปไหนล่ะนั่น ? ผมขมวดคิ้วดูไออาร์มที่ยกมือป้องปาก



     " โห่...โห่...โห่..โห่.....โหย...... "



     " ฮิ้ววววววววว " แล้วมึงจะแห่ขันมากกันทำมายยยยยยยย เกรงใจคนอื่นเขาจะแดกข้าวบ้างสิโว้ย ตอนนี้อาหารกลางวันของพวกแม่งไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกันแล้ว ทุกคนต่างลุกฮือขึ้นมารำกันหมด เว้นแต่ผม เฟิร์ส และปอนด์นั่งอยู่กับที่ไม่ลุกไปไหน



     ไอห่านี่ก็นั่งเงียบไม่หือไม่อือกับเขาเลยนะ ช่วยแก้ตัวอะไรบ้างสิไอเฟิร์ส !



####



     ตลอดครึ่งวันผมจะโดนพวกห่านี่แทะโลมก็คงไม่แปลก ก็ไหนดาราชายอย่างเฟิร์สจะขอกลับมาคืนดีดาราสาวอย่างผม (เอ๊ะ ?) ทำให้แวดวงบังเทิงรอบตัวมีแต่เสียงล้อเลียนกันถ้วนหน้า ไอผมมันก็พอมีสมองอยู่บ้าง เลยขู่แกมว่าถ้าพวกมึงยังไม่หยุดกัน กูจะขีดชื่อที่พวกมึงเช็กทุกวี้ทุกวันออกให้หมดเสมือนว่าขาดเรียน แล้วพอกูไปส่งห้องปกครองปุ๊บ คะแนนความประพฤติของพวกมึงก็จะหายวับไปกับตา หากยังไม่เลิกปากหมาก็เตรียมตัวขาดเรียนกันได้เลยพวกมึง ! นี่แหละครับอำนาจของหัวหน้าห้อง หึหึ



     เย็นวันนี้ผมก็ไม่ได้รีบไปไหนหรอกเลยแวะมาห้องสมุดสักหน่อย ไม่อยากจะอวดสถานที่แห่งนี้หรอกนะว่ามีตำราอาหารอยู่ด้วย ไม่คิดไม่ฝันนะครับว่าจะมีของแบบนี้อยู่ในโรงเรียน นึกว่าจะมีแต่หนังสือสอบ O-net ซะอีก ตอนนี้ผมนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางเด็กนักเรียนที่กระจัดกระจายอยู่รอบตัว ปลีกวีเวกแบบนี้สมองก็โล่งดีเหมือนกัน



     ท่านผู้อ่านรู้มั้ยว่าการที่เรารับประทานโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรตหนึ่งกรัมเนี่ย ร่างกายจะได้รับแคลอรีเท่าไหร่ ติ๊กต๊อกติ๊กต๊อก เฉลย ๆ โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตหนึ่งกรัมจะได้รับสี่แคลอรี ส่วนไขมันหนึ่งกรัมก็จะได้รับเก้าแคลอรี !! นี่ไงล่ะสาเหตุของพุงท่านผู้อ่านบางคน ฮ่า ๆ ในหนังสือยังบอกอีกว่าหากเรารับประทานอะไรเสร็จแล้วก็อย่ารีบลงไปนอนทันที เพราะระบบย่อยอาหารจะทำงานหนัก ทำให้เกิดกรดไหล่ย้อนหรือไม่ก็จุกได้ อันนี้ผมขอไม่ฟังที่หนังสือเขาแนะนำละกัน เพราะผมชอบกินเสร็จแล้วไปนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียง ฮ่า ๆ เอ๊ะเดี๋ยวท่านผู้อ่าน ! รอสักครู่นะครับ



     " ฮัลโหล " ผมหยิบไอโฟนที่สั่นครืนอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ หนังสือเล่มอื่นขึ้นมารับ ผมค่อนข้างพูดเสียงเบานิดหน่อยเพราะอยู่ในห้องสมุด เกรงใจคนอื่นเขา



     " อยู่ไหนมิ้ลค์ เลิกเรียนยัง ? " เฟิร์สพูดด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว จะโทรมาถามทำไมหว่า ?



     " ห้องสมุด นั่งดูหนังสืออาหารอยู่ มีไร ? " ผมรอทางนั้นตอบกลับด้วยการเปิดหนังสือหน้าต่อไป



     " ไปหาได้มั้ย ? " พอมันพูดจบเสียงวงมโหรีอันน่ารำคาญก็ดังลอดตาม ๆ กันมา นี่พวกมึงยังไม่เลิกล้อกูกับไอเฟิร์สอีกเหรอ ?



     " มาสิ "



     " งั้น...อีกห้านาทีเจอกัน " เสียงสัญญาณดับลงก่อนที่ผมจะกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์พลางวางลงกับพื้นโต๊ะ..



     อ๊ากกกกกกกกกกกกก โว้ยยยย



     เมื่อไหร่กูจะชิน ? เมื่อไหร่กูจะหายเขินมัน ? ฮือออออออออ



     ไม่รู้ว่าผมเอาหนังสือบังหน้าตัวเองไปนานเท่าไหร่ ร่างโปร่งแสนคุ้นเคยนี้ถึงได้มายืนอยู่ใกล้ ๆ เฟิร์สนั่งลงด้านข้างผมก่อนจะนำกระเป๋าที่สะพายอยู่พาดไว้กับเก้าอี้



     " หวัดดี " สายตาผมเหล่ไปมองมันแว็บเดียวก่อนจะหันกลับมาที่หนังสือบนมือ เฟิร์สยิ้มให้ผมด้วย !



     " อืม " มึงท่องไว้มิ้ลค์ มึงต้องวางมาด ! มึงต้องไม่หลุด ! คนนี้คือเฟิร์สไง เพื่อนมึงน่ะเพื่อนมึง !! แล้วไหนกูสนใจมึงมากกว่าหนังสือแล้ววะไอเฟิร์ส



     " ทำไรอยู่อะ ? " คนข้าง ๆ พูดพลางชะโงกหน้ามาดู เข้าห้องสมุดมาซักผ้ามั้งไอบ้า !



     " อ่านหนังสือ " ตอนนี้ไอคนที่ทำให้ผมเกือบจะเป็นบ้าอยู่นั้น ทำสีหน้าอย่างไรก็คงไม่ทราบ



     " หนังสืออะไรอะ ? " เอ๊ะ ! ตอนกูคุยกับมึงในสายก็บอกไปแล้วหนิ เป็นอัลไซเมอร์รึไง !



     " หนังสืออาหาร " ผมตอบแบบนั้นเรียบ ๆ พลางเปิดหน้าต่อไป



     ผมเปิดไปเรื่อย ๆ อย่างคนใจลอย จนรู้สึกว่าคำถามต่าง ๆ นานาของเฟิร์สได้หายไปกับความเงียบของสถานที่ ผมค่อย ๆ เหล่ตามองคนข้าง ๆ อีกรอบ..



     " มองไร ? " มันยักคิ้วให้ผมทีนึง



     " มองมึงนั่นแหละ " โอ๊ยยยย ผมกลั้นยิ้มสุดความสามารถ อ๊ากกก จะตายแล้ว



     " เลิกทำอะไรหวาน ๆ ใส่กูได้ปะ ? เลี่ยน มีอะไรก็ทำไปสิ "



     " ก็นี่ไงทำอยู่ "



     " ทำอะไร ? " ผมคว้ำหนังสือพลางขมวดคิ้วมองมัน



     " จีบ " แว้กกกกกกกกก คราวนี้ยิ้มผมหลุดเรียบร้อย โอ้ไม่นะไม่นะไม่นะ !



     " กูหมายความว่า ไม่มีอะไรทำเหรอ ? การบ้านอะไรเงี้ย " อยากเอาหนังสือมาปิดหน้าจริง ๆ เลย สติอันแรงกล้าของกูมันหายไปไหนหมดแล้ว !?



     " วันนี้ไม่มีอะ ก็เลยมาจีบ " ผมหยิบหนังสือมาตีแขนมันเบา ๆ



     " งั้นวันไหนมึงมีการบ้านก็จะไม่จีบกูเหรอ ? " เดี๋ยว ๆ แล้วไหนกูเรียกร้องสิทธิมนุษยชนซะแล้วล่ะ



     " บ้า ก็จีบทุกวันนั่นแหละ " ดีมากกกก กูชอบที่ตัวเองเขิน เดี๋ยว ๆ



     " ไม่เคยมีใครจีบกูมาก่อนเลยนะ อืมมม แต่คิดว่าคงไม่ง่ายหรอก " ปกติผมเป็นฝ่ายรุกไปจีบซะเองนะ ยังไม่เคยเป็นฝ่ายถูกจีบสักครั้งเดียวเลยว่ะ



     เฟิร์สหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ใกล้ ๆ ขึ้นมาป้องหน้าเราสองคน ก่อนจะฝั่งริมฝีปากบนแก้มผมหนึ่งครั้ง



     " กระจอก "



     ผมหน้าเหวอมองมันที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปบริเวณชั้นวางหนังสือ พลางรีบชักมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองด้วยความตกใจ



     มันหอมแก้มผมในที่สาธารณะ !! ผมจะฟ้องตำรวจ !!!



####



     ช่วงนี้ทั่วโรงเรียนของผมจะมีกระดาษหลากสีแปะไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ มากมายโดยกำกับรูปเด็กม.4 คุ้นหน้าคุ้นตาไว้ เนื่องจากใกล้จะถึงวันเลือกตั้งประธานนักเรียนและประธานสีคนใหม่แล้ว ในทุก ๆ เช้าหน้าเสาธง อาจารย์ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรจะให้เด็กนักเรียนหัวใจผู้นำได้ออกมาเสนอถึงนโยบายพัฒนาโรงเรียน บางคนออกมานำเสนอได้ตลกเรียกเสียงฮากันทั่วหน้า บางคนออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ผู้ที่ออกมาเฉิดฉายแสดงความมุ่งมั่นอยู่เต็มเปี่ยมก็คงจะไม่พ้นน้องของผม (ซึ่งหล่อเหมือนพี่มัน) พักกลางวันทั้งม.ต้นและม.ปลายก็จะได้ยินเด็ก ๆ สปิริตดี ออกมาเสนอนโยบายต่าง ๆ อย่างไม่ขาดสาย แน่นอนครับพี่ชายที่แสนดีอย่างผมก็ขอไปร่วมขบวนกับมินด้วย ผมคงไม่ได้บังคับรุ่นน้องหรอกเนอะแค่ถ้าพวกมึงไม่เลือกเบอร์หนึ่ง พวกมึงตายแค่นั้นเอง หึหึ



     จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันเลือกตั้งจริง ผมพาน้องตัวเองมาโรงเรียนตั้งแต่เข้าตรู่เพื่อพบประธานนักเรียนคนปัจจุบันที่ห้องสภาฯ โดยพลัน มินตื่นเต้นกับวันนี้มาก พี่ชายอย่างผมก็เลยได้แต่ปลอบใจว่าถ้าไม่ได้เป็นยังไงเราก็ช่วยเหลือโรงเรียนทางอื่นได้ อาร์มถึงจะไม่ได้ลงสมัคร แต่สีหน้าก็กังวลไม่แพ้ว่าที่ประธานคนใหม่เลยสักนิด เป็นว่าสองคนนี้นั่งหน้าดำคล้ำเครียดกันทั้งคู่ น้องผมจะซีเรียสไม่ใช่อะไรที่ต้องสงสัยหรอก แต่ไอห่านี่จะอินด้วยทำไมก็ยังไม่เข้าใจ



     เพลงมาร์ชโรงเรียนดังแผดลั่นไปทั่วสารทิศ เรียกให้นักเรียนทุกคนมาเข้าแถวตามสายชั้น ผมตบบ่าให้กำลังใจน้องตัวเองปุ ๆ ว่าทำให้เต็มที่กับการหาเสียงครั้งสุดท้ายบนเวที ก่อนจะวิ่งออกมาจากห้องสภาฯ โดยให้อาร์มฝากที่เหลือด้วย ผมรอให้พวกไอบีม ไอกวาง ไอกั๊มพ์ตั้งเข้าแถวด้านหน้าก่อนแล้วจึงค่อยเดินไปสมทบทีหลัง แบบว่าไม่อยากเข้าแถวด้านหน้าอะครับ อยู่หลัง ๆ ดีกว่า เดี๋ยวอาจารย์จะตกใจในความหล่อของผมเอา หึหึ (เปล่าหรอกครับ ผมไม่อยากเด่นเพราะกางเกงมันสั้นพอดู)



     " ไงมึง แฮก ๆ " ซันวิ่งคู่กับปิงปองมาทักทายผมด้วยท่าทีเหนื่อยหอบพลางต่อแถวจากด้านหลังผม



     " ดีมากไอเพื่อนรัก ขอให้มาวันนี้ไว ๆ ก็มาจริง ๆ เป็นงานแบบนี้เดี๋ยวกูถวายตัวให้ " ผมพูดพลางหัวเราะหึหึ ที่ให้มันมาก่อนแปดโมงก็เพราะเราจะเลือกตั้งหลังจากเข้าแถวนี่แหละครับ ประเดี๋ยวสองตัวนี้จะมาไม่ทันเลือกน้องผม แม่งชอบอู้กันอยู่



     " ตีนเหอะ โน่น ไปถวายตูดให้ผัวมึงโน่น มองจนจะแดกหัวมึงอยู่แล้วน่ะ " ซันเบ้ปากชี้ไปยังแถวแถวหนึ่งตรงโน้น เฟิร์สโบกมือทักทายผมอยู่รำไรโดยมีไอห่าคิงคองยิ้มยียวนข้าง ๆ อยากปาระเบิดใส่หัวแม่งจริง ๆ



     บรรยากาศเข้าแถวตอนนี้ดูจะอบอ้าวไปหน่อย เพราะนักเรียนมากหน้าหลายตาต่างมากระจุกอยู่ที่หน้าเสาธง พอเสร็จสิ้นพิธีสวดมนต์ อาจารย์ก็ออกมากล่าวทักทายก่อนจะเบิกตัวผู้เข้าสมัครประธานนักเรียนและประธานสีให้ออกมาทวนนโยบายอีกครั้ง มินออกมาพูดคนแรกครับ เพราะเป็นผู้สมัครหมายเลขหนึ่ง นโยบายของมินผมฟังจนชินหูแล้วล่ะเพราะเจ้าตัวได้เคาะประตูห้องเข้ามาถามเป็นการส่วนตัวเลยนะเอ้อ ! บางนโยบายที่มินพูดอยู่ก็ร่างโดยผมเอง (เก่งมั้ยล่ะ หึหึ) พอผมฟังทุกคนจนครบแล้วดูเหมือนนโยบายของน้องตัวเองเนี่ยดูจะแตกฉานมากกว่าใครอยู่หลายขุม หึหึ มีหวังว่าที่ประธานนักเรียนคนต่อไปคงเป็นน้องกูแน่ ๆ



     เสร็จสิ้นจากเข้าแถวตอนเช้าแล้วก็ถึงเวลาทำหน้าที่ของประชาชนที่ดีกันเสียที เพื่อไม่ให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างวุ่นวาย ทางอาจารย์ได้แยกนักเรียนออกไปเลือกตั้งตามสีของตน ผมเดินตามเพื่อนต้อย ๆ ไปยังใต้ตึกสิบห้าเพราะสีแดงของเราตั้งคูหาอยู่ที่นั่น ผมนั่งเล่น ROV กับเพื่อนก็จบไปหลายเกมกว่าจะได้ลุกเข้าไปเลือกบ้าง ถ้าท่านผู้อ่านได้มาอยู่แถว ๆ นี้คงจะได้ยินไอประธานสีแดงมันเดินไปหยิบโทรโข่ง (ตัวเดียวกันที่เอาไปทำกิจกรรมกระชับมิตร) มาป่าวประกาศทั่วตรงนี้เลยครับว่าประธานนักเรียนให้เลือกเบอร์หนึ่ง ! ทันทีที่ได้ยินเข้านิ้วโป้งของผมก็ชูขึ้นเหนือหัวแสดงถึงความกล้าหาญในตัวไอคิงคองมัน มึงนี่แม่งคนจริงนี่หว่า ฮ่า ๆ ดีนะว่าแถวนี้ไม่มีอาจารย์อยู่ ไม่งั้นเขาเอามึงตาย ไอซื้อสิทธิ์ขายเสียง !



     " แล้วประธานสีกูต้องเลือกเบอร์ไหนวะ ? " ผมถามเพื่อนคนอื่น ๆ ขณะแถวเริ่มทยอยเข้าโซนเลือกตั้ง



     " ไอคองบอกว่าเลือก ๆ ไปเหอะ น้องสองคนนี้มันอยู่ห้องเดียวกัน มันช่วยงานกันอยู่แล้ว " ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจในสิ่งที่ปิงปองอธิบาย งั้นกูทำบัตรเสียดีมะ ? (อย่าด่าผมเลวสิ !)



     ขณะนี้หัวแถวห้องของผมได้ทยอยเข้าไปในโซนคูหาบ้างบางส่วนแล้ว ผมก็เขยิบตามเพื่อนด้านหน้าไปอีกนิดจนได้เห็นว่าคนที่รับลงทะเบียนอยู่นั่นน่ะ



     เป็นคนที่กำลังจีบผมอยู่นี่หว่า



     " ชื่อไรครับ ? " มันมองหน้าถามผมอย่างกวน ๆ จะเล่นไม้นี้กับกูเหรอไอเฟิร์ส ?



     " ไม่บอก อยากรู้ไปถามแม่กูเอง "



     " อย่ากวนตีน เพื่อนคนอื่นเขารออยู่ " ได้ข่าวว่ากวนตีนกูก่อนด้วยไงไอเลว แล้วที่ไม่รู้ชื่อกูเนี่ยตอแหลใช่มั้ย ?



     " กฤเดช ไชยวัฒน์ เลขที่สามสิบสี่ " เฟิร์สหัวเราะอย่างซะใจก่อนจะเปิดหน้ากระดาษค่อนข้างไว พลางเลื่อนดูรายชื่อจากด้านบน



     " เซ็นตรงนี้ " ผมหายใจฟึดฟัดอย่างเคือง ๆ หยิบปากกาพลางก้มลงไปเขียนช่องว่าง ๆ หลังชื่อ เมื่อตอนหน้าเสาธงยังเห็นมันยืนในแถวอยู่เลยนี่หว่า แล้วไมอยู่ดี ๆ วาปมานั่งโต๊ะลงทะเบียนซะได้ล่ะ ?



     " ช่วยไอคองมันเหรอ ? " ผมถามขณะบรรจงเขียน



     " อื้ม คนมันไม่พอน่ะ เลยแวะมาช่วยมัน " เป็นคนดีเหมือนเดิมเลยนะมึงเนี่ย



     " ไปช่วยคนเลว ๆ แบบนี้ ระวังมันได้ใจล่ะ " เฟิร์สขำอย่างกลั้นไม่ได้ มันคงรู้แหละว่าผมบาดหมางกับไอบ้านั่นแค่ไหน



     " เออ "



     " เอ่อ...ด้านโต๊ะลงทะเบียนครับ อย่าพึ่งจู๋จี๋กันครับ แถวข้างหลังเขารีบ เดี๋ยวเลือกตั้งเสร็จค่อยมาจีบกันเนาะ " ผมทุบปากกาลงกับโต๊ะก่อนจะจะยกนิ้วกลางให้ไอคิงคองที่ยืนยิ้มแฉ่งโดยปากยังจ่อโทรโข่งอยู่



     กูบอกแล้วว่ามันเลว



####



     ช่วงพักเบรกของวันนี้หากโรงอาหารอันแสนโกลาหนจะเว้นว่างเหมือนป่าช้าก็คงเป็นเรื่องปกติ ถึงผมจะเปยซะโอเวอร์ แต่ผู้คนต่างหลั่งไหลไปที่กระดานประกาศคะแนนเสียงแถว ๆ ห้องปกครองกันหมดแล้ว ผมยืนอยู่ตรงนั้นเช่นกันครับ แบบว่าอยากจะมาลุ้นคะแนนเสียงว่าใครจะได้ครองตำแหน่งประธานนักเรียนรุ่นต่อไป ทุกครั้งที่ตัวแทนจากสภานักเรียนประกาศหมายเลขของผู้สมัคร เสียงเชียร์ของเหล่านักเรียนก็ดังไล่ ๆ กันมา เห็นไออาร์มบอกว่าหลังจากที่เลือกตั้งเสร็จสิ้นตั้งแต่เช้าทางสภาฯ ก็เริ่มนับคะแนนเลย นี่คงจะเหลืออีกไม่มากแล้วล่ะมั้ง



     " เบอร์หนึ่ง !!! "



     " เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ !!! "



     " เบอร์หนึ่ง !!! "



     " เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ !!! "



     " เบอร์สาม !! "



     " เฮฮฮฮฮ ! " ออกจะแผ่วไปหน่อยนะหมายเลขนี้



     " เบอร์ !! อ่าว บัตรเสีย !! "



     " .......... "



     เงียบกริบ



     " เบอร์สอง !! "



     " เฮฮฮฮฮฮฮฮ !!!!!! " เดี๋ยว ๆ ไอเอก ! นี่ผมพึ่งเห็นนะว่าแม่งเอากลองกีฬาสีมาตีเชียร์ด้วย แม่พรจะไม่จับมึงไปแดกในห้องปกครองรึไง ?



     ในขณะที่ผมกำลังมองเพื่อนม.ต้นของตัวเองกำลังทุบกลองด้วยไม้อย่างบ้าคลั่งอยู่นั้นเอง วงแขนของใครไม่รู้ก็มาพาดเข้ากับบ่า แถมมีผลไม้สีเขียว ๆ จ่อมายังปากอีกด้วย



     " อะ " ผมถอยหน้ามองเฟิร์สที่ยื่นมะม่วงมาให้ แม่งเห็นผมได้ไง ? ไม่ได้มากับใครสักหน่อย พวกไอปองก็กินข้าวอยู่โรงอาหาร



     " อะไรเนี่ย ? " ผมไม่ได้ถามสิ่งที่มันยื่นมาคืออะไร แต่ถามสิ่งที่มันกำลังทำอยู่เนี่ยคืออะไร



     " มะม่วงเปรี้ยวไง ชอบกินไม่ใช่เหรอ ? " แล้วจะซื้อมาให้ทำไมกันล่ะนั่น ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลย เอาเถอะ ผมอ้าปากรับมะม่วงของโปรดพลางเคี้ยวตุ่ย ๆ อูยยยย เข็ดฟัน แต่เดี๋ยวนะ เมื่อเช้าไอห่านี่ได้เลือกน้องผมรึเปล่า ?



     " นี่เมื่อเช้ามึงเลือกน้องกูรึเปล่าเนี่ย ? " ผมถามพลางจิ้มมะม่วงใส่ปากมันบ้าง



     " เลือกสิ พอเสร็จจากช่วยงานก็เข้าไปเลือกเลย โน่นไงน้องมินยืนอยู่กับอาร์ม " ผมชะเง้อมองไปตามปลายนิ้ว มองไม่ค่อยเห็นเลยว่ะ อ๋อ อยู่นั่นเอง " อาร์มมันจีบน้องมินอยู่รึเปล่าน้าาา เหมือนคู่พี่มันเลยอะ "



     ผมซอกท้องมันทันที " จีบหน้ามึงสิ น้องมันขวัญเสีย อาร์มก็เลยปลอบ " ลักษณะที่อาร์มโอบไหล่มินตลอดที่เสียงเฮดังขึ้นคงเป็นเช่นนั้น แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรต่อ ตัวแทนจากสภาก็ยกคะแนนเสียงใบสุดท้ายขึ้นเหนือหัวพลางกางมันออก ห่า ! ตอนนี้มินนำอยู่เปล่าวะ !? มัวแต่มองอย่างอื่น !!



     " คะแนนเสียงใบสุดท้าย ได้แก่.. " โว้ยยยยย ผมจะมองปากที่มันกำลังอ้าบอกคะแนนเสียงใบสุดท้าย หรือตัวเลขที่โชว์หราอยู่บนบอร์ดดีวะ !!



     " ได้แก่...เบอร์หนึ่ง !! "



     " เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ !!!!!!!!!!! "



     เดี๋ยว !!!!!!!! พวกมึงเฮอะไรกัน !!? เฮ้ย ! อย่าเอามือบังหน้ากูเส้ !!



     " มองไม่เห็นเหรอ ? " ผมพยักหน้าให้กับคำถามของเฟิร์สที่เหมือนมันจะดูออก มึงดีใจอะไรกันวะให้กูดูด้วย !! " ขี่หลังเปล่า ? "



     " เอา " ผมพูดแบบไม่คิดพลางเดินไปที่หลังของมันก่อนจะใช้แรงกระโดดขึ้นไป เฟิร์สใช้แขนรับน้ำหนักที่ก้นผมทิ้งตัวลงพลางแอ่นตัวขึ้น



     ถึงได้รู้ไงว่าคะแนนที่นำโด่งอยู่ตอนนี้น่ะ..



     น้องผมเอง !!!!



     " เย้ !!!!!!!!!!!!!!!!! " ผมตะโกนไปสุดเสียงพลางเขย่าคอคนที่ขี่อยู่ด้วยความดีใจ



     " น้องกูได้เป็นประธานนักเรียนแล้ว !!!! น้องกูได้เป็นประธานนักเรียนแล้ว !!!!!! "



     " เออรู้แล้.. ออค มิ้ลค์ กูจะ...กูจะตายแล้ว "



####



     " มึง ๆ นั่นแฟ้มใครวะ ? " ผมถามกวางที่อยู่ใกล้ ๆ เจ้าแฟ้มสีเข้ม ๆ หน้าตาแม่งคุ้น ๆ เหมือนที่เพื่อนผมชอบลืมไว้ไม่มีผิด ตอนนี้คาบสุดท้ายแล้วครับ ผมกำลังจะกลับบ้าน



     " อ๋อ ของไออาร์มมันน่ะ เมื่อคาบก่อนมันขึ้นมาเอาของแล้วไม่ได้หยิบไป เดี๋ยวกูกำลังจะไปคืนมัน " วันนี้อาร์มมันไม่ได้ขึ้นมาบนห้องเลยครับ ถ้ามันขึ้นมาตากี้คงเป็นเวลาเดียวกับที่ผมไปห้องน้ำ



     " เออมึง ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปคืนมันเอง " กวางทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างแต่ก็ยอมยื่นแฟ้มนั้นมา ถือเป็นการดีที่เอาไปคืนครับ พอเอาแฟ้มไปคืนเสร็จก็ร่วมยินดีกับมินต่อเลย สองคนนี้น่าจะอยู่ด้วยกันแหละ ผมเก็บของใส่จาคอปทั้งหมดพลางรับแฟ้มเล่มหนา ๆ นี่มาอยู่ในมือก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องสภานักเรียน..



     ผมเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีพลางโบกมือทักทายเพื่อนต่างห้องก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าประตูที่ด้านบนกำกับไว้ว่าสภานักเรียน ตื่นเต้นจังที่จะได้ร่วมยินดีกับน้องตัวเอง มินได้ทำความฝันเป็นจริงแล้วสินะ



     ผมผลักประตูเข้าไปด้วยอารมณ์ดีสุดขีด แต่แล้วก็มาตกใจให้กับบางสิ่งแบบสุดขีดเช่นกัน



     ' ปั้ก ! ' แฟ้มในมือผมล่วงหลุดมืออย่างกับตัวเองไม่มีแรงถือ ผมแทบไม่เชื่อในสายตาตัวเอง



     ใบหน้าของอาร์มอยู่ใกล้มินที่กำลังนั่งอยู่โต๊ะประธานนักเรียนเพียงแค่ไม่กี่เซน คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวผมทันที



     ทำอะไรกันน่ะ..



####



     ตอนนี้เก้าอี้ตำแหน่งประธานนักเรียนสุดยิ่งใหญ่ ถูกตัวขัดลาภอย่างผมยึดครองไว้เป็นที่เรียบร้อย ผมนั่งไขว่ห้างพลางฝนเล็บไม่ได้มองสองคนนั้นที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ ผมพอจะเดาได้แล้วล่ะว่าสองคนนี้เป็นมากันยังไง นับว่ากล้ามากนะที่แอบทำแบบนี้ตอนไม่มีใครอยู่



     " เอ่อ.. " ในที่สุดความเงียบที่ปกคลุมห้องสภาฯ ก็ถูกเจ้าน้องชายตัวดีของผมทำลายทิ้ง " คือพี่มิ้ลค์ พี่อาร์มเขาจะก้มหยิบปากกาใต้พื้นน่ะครับ ที่พี่มิ้ลค์เห็นไม่มีอะไรจริง ๆ นะ " ปากกามันหล่นอยู่ที่พื้นหรือในปากแกห้ะมิน ? จะปกป้องมันหาอะไรที่สร้างสรรค์มาอธิบายหน่อย



     " ไม่ใช่นะมิ้ลค์ ที่กูกำลังทำตากี้...กูกำลังหาแฟ้ม " แถได้ตอแหลมาก สรุปจะหยิบปากกาหรือหาแฟ้มผมให้เวลาสองคนนี้ไปคิดก่อนดีมะ ?



     " มันไม่มีอะไรจริง ๆ นะพี่มิ้ลค์ ! " คนตัวขาวที่นั่งอยู่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและย้ำอีกครั้ง อาร์มมีสีหน้าไม่ค่อยสู่ดีเท่าไหร่แต่ก็ยอมพูดบางอย่าง



     " มิ้ลค์คือกู...ขอโท.. " ผมขี้เกียจฟังมันพูดต่อละ จากสายตาที่เคยมองแต่เล็บบนปลายนิ้วก็เลื่อนไปหาสองคนนั้นอย่างว่องไวจนอาร์มและมินถึงกับสะดุ้งตัวโหยง ผมลุกจากเก้าอี้ไปก้มกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูคุณประธานพลางตบบ่ามันสองทีก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น



     ห้ะ ? ผมไม่ได้โกรธที่สองคนนี้กำลังจะจูบกันซะหน่อย ตากี้ที่ไปกระซิบข้างหูไออาร์มแค่จะฝากฝังอะไรบางอย่างกับเพื่อนสนิทคนนี้แค่นั้นเอง หึหึ



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.33 แนบสารบัญแล้วจ้า (20/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 21-02-2018 18:51:23
Not to be unlocked : Special Episode 3 : สู่ความสำเร็จ



     ท่ามกลางฝูงชนที่รายล้อมมบอร์ดขนาดใหญ่ อันแสดงถึงผลคะแนนที่ผู้ลงสมัครประธานนักเรียนและประธานสี ได้ลงแรงประกาศหาเสียงกันอย่างยุติธรรม ทั้งนำรูปตัวเองไปอยู่ในกระดาษเพื่อให้คนในโรงเรียนได้ทำความรู้จัก ทั้งเดินป่าวประกาศนโยบายที่แต่ละคนได้ร่างเอาไว้ในคาบพักระดับม.ต้นและม.ปลาย บัดนี้ก็ได้ทราบถึงผู้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งเหล่านั้นแล้ว

     " เชี่ย.. " นักเรียนชายตัวสูงขาวกว่าใครเพื่อนคนหนึ่งที่ยืนคู่กับประธานนักเรียนคนปัจจุบัน ได้สบถกับตัวเองเงียบ ๆ ด้วยความตกใจ โดยคนพี่ดูจะดีใจออกหน้าออกตากว่าคนน้องเสียอีก

     " มิน ! เราได้เป็นประธานแล้ว !! " คนผิวคล้ำกว่าเขย่าแขนว่าที่ประธานนักเรียนคนใหม่ด้วยความดีใจก่อนจะโถมเข้าไปกอดทั้งตัว

     " มิน...ได้เป็นแล้ว มินทำได้แล้วพี่อาร์ม ! " สติที่หายไปเมื่อครู่ค่อย ๆ ลอยกลับมาหาเจ้าของ เด็กม.4 คนนั้นก้มหน้าลงมองรุ่นพี่อย่างยากที่จะเชื่อพลางกอดตอบวงแขนนั่น

     " ขอบคุณนะครับพี่อาร์ม ขอบคุณทุกอย่างเลย มินไม่นึกว่าวันนี้จะเป็นจริงได้ " แม้มินจะเคยดุด่าว่าร้ายประธานนักเรียนรุ่นปัจจุบันเพราะนิสัยไม่รอบครอบ แต่วันนี้สิ่งที่เขาพูดออกมาล้วนมาจากใจจริง ถึงอาร์มจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควรตามความคิดของผู้เป็นน้อง แต่ผู้ชายคนนี้ก็ให้อะไรหลาย ๆ กับเขามาไม่น้อยเลย

     " อย่าร้องสิ " มินผงะไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตอนไหนถึงได้มีคราบน้ำตาปรากฏให้คนที่เขาเคารพนั้นปาดออก

     เอาอีกแล้วไอความรู้สึกนี้ มินบ่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในอก เลขาส่วนตัวของท่านประธานนักเรียนอธิบายไม่ได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งกับอาร์มจนรู้สึกรบกวนจิตใจแบบนี้มันคืออะไร ในวันหนึ่งเขาจึงเดินไปเคาะประตูห้องของพี่ชายเพื่อปรึกษา

     " ปะ ยกของกลับห้องสภาฯ กันเถอะ " มินไม่ได้ยินสิ่งที่อาร์มพูด เพราะยังติดอยู่กับวังวนแห่งความคิด มันคืออะไร ? ทำไมเราจึงให้คำตอบนี้ไม่ได้สักที

     มันใช่ความรู้สึกรักหรือหวั่นไหวหรือเปล่านะ ?

     " มิน ! " แววตากลมใสเบิกโพลงขึ้นราวกับถูกเรียกให้สติตื่น

     " ครับ ? "

     " ไปขนของ " อาร์มเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจพลางยิ้มให้กับการกระทำของคนน้อง ก่อนจะก้าวเท้าเดินนำไปหาสมาชิกสภาฯ คนอื่น ๆ

     " รอด้วยสิพี่อาร์ม ! "

     แน่นอนหากช่วงบ่ายหลังจากที่พักกลางวันของนักเรียนระดับม.ปลายหมดลง ก็ถึงเวลาที่จะต้องไปขวักไขว่นั่งเรียนหาความรู้เข้าสมองกันต่อ แต่ผิดกับนักเรียนกลุ่มหนึ่งในห้องสภานักเรียนที่จับคู่กับกล่องผลคะแนนเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความแม่นยำและแน่นอนแกผู้ลงสมัครทุกคน ทางทีมงานสภาฯ ก็ได้มีการนับคะแนนใหม่กันอีกรอบ

     " กล่องนี้บัตรเสียหกสิบเอ็ดครับพี่อาร์ม " ว่าที่ประธานนักเรียนคนใหม่นับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่ด้านในมีสัญลักษณ์แปลก ๆ อันบรรจงเขียนด้วยปากกา หันไปบอกผลตรวจคะแนนกับคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะตำแหน่งสูงสุด

     " โห...ทำไมกล่องนั้นคนทำบัตรเสียเยอะจังวะ ? " อาร์มไล่ดูจำนวนตัวเลขของกล่องอื่น ๆ ที่จดไปแล้วพลางเกาหัวยิก ๆ อย่างนึกแค้นในใจ

     " เอาน่ามึง ปกติอยู่แล้วปะวะที่มีบัตรเสียอะ " เลขานุการอย่างพีทพูดอย่างปลงสนิทกับสิ่งที่อาร์มบ่นอยู่

     " แล้วน้องมินไม่ไปเรียนจะไม่เป็นไรแน่เหรอครับ ? " รองประธานสภาฯ ที่นาน ๆ ทีจะเข้ามาปฏิบัติงานถามขณะนั่งนับกระดาษในกล่องอีกใบ

     " ไม่เป็นไรครับพี่เอ็ก ว่าแต่พี่เถอะ ไม่ไปเป็นโค้ชช่วยเขาซ้อมบาสที่โรงยิมเหรอครับ ? โรงเรียนจะส่งไปแข่งแล้วหนิ " ผู้ชายตัวสูงคนนี้ไม่ได้มีตำแหน่งถึงกัปตันของกลุ่มนักกีฬาเท่านั้น เขายังมีหน้าที่เป็นประธานชมรมดนตรี รองประธานสภาฯ และอื่น ๆ อีก หนำซ้ำผลการเรียนดีเลิศ ความประพฤติเด่นดัง นับได้ว่าเป็นเพอร์เฟคแมนเลยทีเดียว

     " อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับน้องมิน เดี๋ยวพี่ค่อยไปดูตอนเย็นทีเดียว พี่ไม่ค่อยได้เข้าสภาฯ บ่อย ๆ ไงวันนี้พี่ขอเต็มที่กับพวกเราแล้วกัน " เอ็กพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่หารู้ไม่ว่าการพูดคุยสนิทสนมแบบนั้นมีใครบางคนหึงอยู่

     " จริง ๆ มึงไปเรียนก็ไม่มีปัญหาหรอกนะเอ็ก พวกกูทำกันเองได้ " อาร์มพูดเชิงสอดเสียดแต่ทางรองประธานจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่

     " ไม่เป็นไรหรอกคุณประธาน เดี๋ยวเราช่วยจนเย็นเลย นี่ยังเหลืออีกตั้งหลายกล่อง ไม่ต้องเป็นห่วง " อาร์มพยักหน้าเอือม ๆ กลับ เขาไม่ได้เป็นห่วงว่าการเรียนของเพื่อนคนนี้จะขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิด แต่เป็นห่วงเจ้าน้องชายตัวขาวที่ทางนั้นชวนคุยอะไรได้มากกว่าตน

     เวลาของการนับผลคะแนนเป็นไปอย่างยาวนาน มันนานพอที่ทำให้กินเวลาจนเกือบจะถึงคาบสุดท้าย ตอนนี้ภายในห้องสี่เหลี่ยม ๆ อันเย็นสบายของทีมสภานักเรียนก็ได้ผลคะแนนอันเป็นที่แน่ชัดอย่างตอนเที่ยงไม่มีผิดพลาดประการใด รุ่นพี่ม.5 อย่างเอ็ก อาร์ม และพีทที่เหลือจนถึงบัดนี้ ก็มีธุระไปทำอย่างอื่นต่อเหมือนกัน ซึ่งทีมงานสภาฯ บางส่วนกลับบ้านกันไปแล้ว

     " อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย ? เดี๋ยวพี่รีบมา " เมื่อไม่นานอาร์มได้พบว่ามีประธานสีรุ่นต่อไปบางคนยังไม่ได้ลงนามยืนยัน เพื่อที่ทางสภาฯ จะต้องไปยื่นเรื่องกับฝ่ายปกครองและฝ่ายธุรการ ดังนั้นประธานนักเรียนจึงมีความจำเป็นจะต้องไปตามตัวรุ่นน้องเพื่อมากำกับลายเซ็น เพราะตอนนี้แฟ้มเอกสารมันสมบูรณ์เพียงพอที่จะยื่นแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น

     " ได้ครับ พี่อาร์มรีบไปตามให้คนอื่นเซ็นเถอะ เดี๋ยวมินเช็กแฟ้มนี้อยู่ที่นี่ให้ เผื่อใครยังไม่ได้เซ็น " ตรงหน้าของมินที่นั่งอยู่คือโต๊ะในอนาคตของเขาโดยมีแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งวางอยู่ แฟ้มนี้ถูกว่าที่ประธานนักเรียนและว่าที่ประธานสีเซ็นกำกับไว้ครบถ้วน เขาต้องการจะตรวจสอบมันอีกครั้ง หากเกิดข้อผิดพลาดประการใดมินจะได้แก้ไขทัน

     " ให้เราไปตามเองดีมั้ยอาร์ม ? นายก็ช่วยงานน้องอยู่ที่นี่ " ถึงเอ็กจะมีธุระอย่างอื่นต่อ แต่ก็สามารถผ่อนผันเพื่อเลี่ยงมาช่วยงานของเพื่อนตนเองได้

     " ไม่เป็นไร มึงไปดูเด็กซ้อมกีฬาเถอะ ปะพีท " ประธานนักเรียนเดินออกไปนอกห้องสถาฯ คู่กับเลขานุการของเขา ทิ้งให้รองประธานอย่างเอ็กอยู่กับเด็กตัวขาวม.4 คนนั้นกันสองต่อสอง

     " สู้ ๆ ล่ะ พี่เป็นกำลังใจให้ " เอ็กขยี้หัวมินอย่างอ่อนโยน หารู้ไม่ว่าการกระทำนี้มีบางคนที่เดินออกไปแล้วบังเอิญเห็นพอดี เอ็กไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นนอกจากให้กำลังใจน้องชายหน้าตาน่ารักคนนี้

     " ครับพี่เอ็ก พี่เอ็กงานเยอะเหมือนกันก็สู้ ๆ ล่ะ " ต่างคนต่างยิ้มให้กันก่อนที่จะมีบางคนเดินกลับมาเรียกด้วยความขุ่นเคือง

     " ไปได้แล้วมั้ง ? " อาร์มยืนกอดอกอยู่หน้าห้องสภาฯ จ้องเขม่นมายังทั้งสองคน เอ็กเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองก่อนที่จะโบกมือลาคนที่นั่งอยู่โต๊ะประธานนักเรียน..

     ห้องอันเงียบสงัดอันมีแต่เสียงเปิดกระดาษของคนที่เหลืออยู่ จู่ ๆ ก็มีบางอย่างรบกวนจิตใจของเขาอีกครั้ง มินไม่ได้มีกะจิตกะใจในการเช็กรายชื่อตรงหน้าเสียแล้ว แต่ไปตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้แทน นักเรียนผิวขาวกว่าคนปกติกลัวว่าภาระและการความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นี้เขาจะทำได้ไม่ดีพอ ในใจของมินว้าวุ่นไปหมดทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้น

     พี่อาร์ม...พี่อาร์มอยู่ไหน

     ความกดดันทวีคูณไปเรื่อย ๆ จากสิ่งที่มินได้สร้างขึ้นในจิตใจ เขาตะโกนดังลั่นจากข้างในเพื่อหาที่พึ่งสุดท้ายในวินาทีนั้น แต่มันเป็นผลซะที่ไหน เขายกแขนข้างหนึ่งขึ้นมากุมด้วยความเครียด มินไม่รู้เลยถ้าหลังจากนี้ไม่มีอาร์มแล้ว ตำแหน่งงานอันยิ่งใหญ่นี้ของเขาจะดำเนินไปเช่นไร

     ในตอนที่ไร้ซึ่งหนทางแห่งแสงสว่างที่มินสร้างขึ้นในจินตนาการอยู่ คนที่เขาต้องการตัวมากที่สุดก็เปิดประตูขึ้น เรียกให้ความกดดันต่าง ๆ ทุเลาลงไปได้มาก

     " พี่อาร์ม " คนที่มินขานชื่ออยู่เดินเข้ามาคนเดียวโดยไม่ได้สงสัยเลยว่าเลขาสภาฯ หายไปไหนหลังจากนี้ อาร์มขมวดคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเดินมาใกล้ ๆ

     " ไมทำหน้างั้นอะ ? " มินถอนหายใจออกมาพรูใหญ่พลางพูดอะไรบางอย่างในใจ

     อยากกอดพี่อาร์มจัง..

     " มินเครียดเรื่องประธานนักเรียนอะครับ กลัวทำไม่ได้ " คิ้วอาร์มที่ขมวดอยู่กลับคลายออกมาเป็นรอยยิ้มอันแสนเอ็นดู

     " ปฐมนิเทศก็เข้าไปแล้วหนิ ยังไงคนที่ลงสมัครกับเราก็ต้องมาช่วยอยู่ดีแหละ " น่าแปลกที่กฎของโรงเรียนนี้ให้ปฐมนิเทศก่อนจะได้รับตำแหน่ง อาร์มไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พูดอยู่มันไม่เพียงพอสำหรับน้องคนนี้

     " ยังไงมินก็กลัวอยู่ดี " มินพูดจบก็ต้องมาจมปลักกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง

     " แล้วจะเอายังไงล่ะ ? " อาร์มถามก่อนจะเดินไปหยิบอะไรบางอย่างจากชั้นวางเอกสาร

     " มินอยากให้พี่อาร์มอยู่ด้วย " มินไม่ทราบว่าสิ่งที่ขอมากเกินไปมั้ย แต่คนที่ถูกขอกลับไม่ได้คิดต่อยอดอะไรทั้งนั้น

     " พี่ก็อยู่กับเราไปตลอดนั่นแหละ " มินหลุดยิ้มอย่างดีใจโดยอาร์มที่หันหลังอยู่ก็มิอาจจะเห็นได้

     " เอ้อ ! พี่พึ่งเห็นในแฟ้มนะว่าเรายังไม่ได้เซ็นชื่อเลย " มินครุ่นคิดอย่างแปลกใจก่อนจะเปิดแฟ้มตรงหน้า

     " ก็เซ็นแล้วหนิ " คนพูดยกแฟ้มที่ถืออยู่ขึ้นมาให้อาร์มได้ดู

     " อ๋อไม่ใช่อันนี้ แฟ้มที่พี่ถือไปน่ะ " ทันทีที่เขาพูดจบก็นึกอะไรบางอย่างได้ อาร์มหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาต่อสายถึงใครบางคน

     " ฮัลโหลกวาง แฟ้มกูลืมไว้ข้างบนใช่ปะ ? เออ ๆ กูฝากหยิบมาให้กูที่ห้องสภาหน่อยดิ โห่...นะ โอเค ขอบใจมาก " มินมองอาร์มอย่างปลง ๆ ที่เขาเป็นคนขี้ลืม

     " นี่ถ้าพี่มีแฟนจะลืมอย่างงี้ปะ ? " มินถามขณะควงปากกาที่พร้อมจะเซ็นชื่อหลังจากทราบว่าตัวเองพลาดในบางสิ่ง แต่ทางนั้นดันลืมไว้ที่ไหนสักแห่งเสียก่อน

     " จะไปลืมได้ไง แฟนทั้งคนเลยนะเว้ย " อาร์มรู้สึกว่าคำพูดนี้สะกิดใจเขาอยู่ไม่น้อย แต่ประธานนักเรียนคนนี้สนใจได้เพียงแค่ครู่เดียวก็หาสิ่งที่ตนยกขึ้นมาเถียงได้ เมื่ออะไรบางอย่างที่มินควงอยู่ได้ตกลงสู่พื้น

     " เราก็ซุ่มซ่ามเหมือนกันแหละ " ต่างฝ่ายหัวเราะในสิ่งที่ถูกครหาอย่างไม่เคืองโกรธ ก่อนบรรยากาศในห้องจะเงียบอีกครั้งอย่างไม่มีใครพูด

     " .......... " แล้วทำไมต้องเงียบด้วยวะพี่อาร์ม ? มินสังสัยจนอยากจะถามผ่านริมฝีปากนี้

     " มิน " คนที่ถูกเรียกตื่นตัวขึ้นมานิดหน่อย

     " ครับ ? " มินมองอาร์มที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ ๆ

     " พี่ยินดีกับเราด้วยล่ะที่ได้เป็นประธานนักเรียน " บ้าจริงพี่อาร์มหนิ ทำไมอยู่ดี ๆ ต้องมาพูดอย่างนี้ด้วย อาร์มดูไม่ออกว่ามินกำลังเขินอยู่

     " งั้นพี่ยกตำแหน่งนี้ให้เราผ่าน.. " อาร์มจะไม่ถามว่าสิ่งที่ตนกำลังทำหลังจากมันเร็วเกินไปมั้ย เพียงแค่อยากจะทำตามใจในสิ่งที่เขาต้องการก็เท่านั้น อาร์มยื่นฝ่ามืออันเรียวยาวไปยังคนที่นั่งอยู่ ผู้เป็นน้องเบิกตาโพลงอย่างตกใจว่าสิ่งที่พี่อาร์มทำอยู่คืออะไร มันทำให้เสียงเต้นของหัวใจมินสั่นระรัว ด้วยความที่อยากรู้และอยากลองของมิน จึงทำให้มิอาจหลุดพ้นจากสายตาอันแสนเลห์กลของพี่ชายคนนี้ได้ อาร์มคลี่ยิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะเลื่อนวงหน้าไปใกล้กว่าเมื่อครู่

     ถ้าไม่มีเสียงแฟ้มตกของคนที่เข้ามาใหม่ การถ่ายโอนอำนาจผ่านริมฝีปากนี้คงได้เกิดขึ้นไปแล้ว..

     เบื้องหน้าของทั้งสองคือพี่ชายแสนใจดีกับเพื่อนอันแสนจะสนิท แต่เหมือนเวลานี้จะเป็นบุคคลที่น่ากลัวที่สุด อาร์มและมินได้แต่คุกเข่าตามคำสั่งของทางนั้นอย่างจำนน พลางมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะแก้ตัวคนที่เห็นตากี้ยังไงดี

     เวลาผ่านไปนานเท่าไหนแล้วไม่รู้ มิ้ลค์ยังคงสนใจแค่เล็บบนปลายนิ้วของเขาราวกับลับให้คม แถมพร้อมจะขย้ำน้องชายและเพื่อนของเขาตลอดเวลา ในหัวของมินพลันคิดอะไรบางอย่างออก ถ้าจะมีใครพูดอะไรสักอย่าง ก็น่าจะเป็นคนที่เขารักมากที่สุดสิ !

     " เอ่อ " มินรับรับรู้ทันทีว่ามิ้ลค์กำลังฟังอยู่ถึงจะสนใจอย่างอื่นก็เถอะ " คือพี่มิ้ลค์ พี่อาร์มเขาจะก้มหยิบปากกาใต้พื้นน่ะครับ ที่พี่มิ้ลค์เห็นไม่มีอะไรจริง ๆ นะ " เหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้วก่อนที่ทั้งคู่จะจูบกันก็จริง แต่มินหาข้อแก้ตัวอะไรที่มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ส่วนคนที่ฟังอยู่ก็นิ่งไม่พูดอะไร

     " ไม่ใช่นะมิ้ลค์ ที่กูกำลังทำตากี้...กูกำลังหาแฟ้ม " คราวนี้เป็นอาร์มที่นึกจะแก้ไขสถานการณ์บ้าง แต่เพื่อนสนิทของเขาก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเดิม แถมปล่อยออร่าดำ ๆ มามากกว่าเก่าจนสองคนนี้เริ่มตัวจะสั่นกันแล้ว

     " มันไม่มีอะไรจริง ๆ นะพี่มิ้ลค์ ! " มินเน้นย้ำอีกครั้งถึงรู้ว่ามันไม่เป็นผลแก่พี่ชายของเขา แต่ขอทำอะไรมากกว่าการอยู่เฉย ๆ ดีกว่า ส่วนอาร์มที่หน้าซีดไปแล้วก็นึกถึงคำพูดบางอย่างที่แก้ไขสถานการณ์ออก

     " มิ้ลค์ กูขอโท.. " ทั้งสองสะดุ้งตัวแทบลอยเมื่อสายตาดุ ๆ ของคนที่เหนือกว่าตอนนี้ได้เลื่อนลงมามอง เหงื่ออาร์มเริ่มไหล่เมื่อมิ้ลค์ได้สาวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ แม้ห้องจะเย็นวาบก็ตามที

     กูต้องโดนต่อยแน่ ๆ เลย มิ้ลค์ กูขอโทษษษษ

     " หลังจากนี้กูฝากมินไว้กับมึงด้วยล่ะ " มิ้ลค์กระซิบข้างหูพลางตบบ่าเพื่อนสนิทคนนี้ราวกับว่าหาคนดูแลทั้งกายใจน้องของตนได้แล้ว ก่อนจะเดินจากออกห้องไปอย่างไร้ขอสงสัย

     อาร์มลุกขึ้นหันไปมองแผ่นหลังของมิ้ลค์ที่เดินออกไปเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก แม้มินจะสงสัยว่าพี่ของเขาได้กระซิบบอกอะไร แต่ก็ไม่ได้ซักถามกับอาร์มต่อ

     เออ น้องมึงอะ เดี๋ยวกูจะดูแลให้เอง !

     อาร์มสัญญากับเพื่อนของเขาในใจ

####

     " อะ ร้อน ๆ เลยนะ " เสียงของบุคคลที่เขาเคารพรักยกอาหารจานอร่อยมาให้เด็กหนุ่มผิวขาวทั้งสอง ภายในห้องครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

     " ม๊าทำแกงส้มเป็นด้วยเหรอ !? " เหมือนคนพี่จะไม่ได้สนใจแค่ข้าวเช้าที่เสิร์ฟเป็นแกงส้มเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงความฉกาจในฝีมือของแม่ตัวเองที่ทำเมนูนี้ได้

     " ได้สิมิ้ลค์ ง่ายจะตาย อร่อยด้วยนะจะบอกให้ " สีหน้าอิ่มเอิ่มของมิ้ลค์ที่ได้ลองซดคำแรก คนที่โอ้อวดสรรพคุณเมื่อกี้ไม่ได้พูดเล่น ๆ เลย " รีบกินซะนะมิน เดี๋ยวไปรายงานตัวเข้าเรียนไม่ทัน " ถึงม๊าจะเดินขึ้นไปปลุกลูกชายคนเล็กซะเช้ากว่าปกติ แต่ท่านก็ยังคงรักษาเวลาไว้ เพื่อให้การไปรายงานตัวเข้าโรงเรียนเดียวกันกับพี่ชายของเขานั้นทันเวลา

     " ครับ " มินในชุดนักเรียนถูกระเบียบร้อยเปอร์เซ็นต์ตอบรับแม่ของเขาก่อนจะลงมือรับประทานอาหารบ้าง

     " ดีเหมือนกันเนอะที่น้องแกสอบเข้าที่นี่ได้ จะได้ฝากแกดูแลน้องไปด้วยเลย " ระดับชั้นม.ต้นของมินนั้นก็ได้อยู่โรงเรียนชายล้วนเช่นกัน แต่ไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกันกับมิ้ลค์ตั้งแต่แรก

     " ครับป๊า แล้วไม่ให้พี่ไปด้วยจะไหวแน่นะ ? " มิ้ลค์ตอบคำถามของป๊าก่อนจะหันไปมาถามผู้เป็นน้อง มินพยักหน้าอย่างมั่นใจ

     " ครับ เรื่องแค่นี้มินทำได้ "

     ตลอดบนรถที่มินได้นั่งอยู่เบาะหลังโดยมีป๊าเป็นคนขับและม๊าเป็นตุ๊กตาข้าง ๆ เด็กคนนี้ดูจะตื่นเต้นกับการรายงานตัวระดับม.ปลายไม่น้อย มือของเขาถือเอกสารสำคัญไว้มากมาย ไม่ต้องเป็นห่วงว่ามินจะลืมอะไร เพราะเจ้าตัวตรวจเอกสารครั้งแล้วครั้งเล่าตามนิสัยรอบคอบกับทุกสิ่ง

     จนกระทั่ง CRV คันสวยได้เข้ามาจอดภายในตัวโรงเรียน มินแปลกตากับสถานที่แห่งนี้มาก ผิดกับป๊าและม๊าที่เคยมาอยู่บ่อย ๆ ทีมนักเรียนกลุ่มหนึ่งกล่าวสวัสดีผู้ปกครองที่หลั่งไหลมาส่งบุตรหลาน พลางนำทางให้นักเรียนหน้าใหม่ได้ขึ้นไปรายงานตัวที่หอประชุม

     " รบกวนคุณพ่อและคุณแม่น้องรออยู่ด้านล่างก่อนนะครับ " นักเรียนจากสภาฯ คนหนึ่งที่หน้าอกติดคำว่า ' สต๊าฟ ' อยู่หรา บอกป๊าและม๊าของมินที่เดินมาด้วยกัน

     " รออยู่แถว ๆ นี้ก็ได้ครับป๊า เดี๋ยวมินมาแปปเดียว ดูแลม๊าด้วยล่ะ " สิ้นคำลามินก็เดินตามพี่คนนั้นไป..

     หอประชุมอันไม่คุ้นตานี้ บรรจุนักเรียนเก่าและใหม่อยู่อย่างเนืองแน่น นักเรียนคนไหนที่มาช้าก็อาจจะล่วงเลยเวลาทำการไปสักหน่อย นักเรียนคนไหนมาเร็ว การรายงานตัวในเช้าวันนี้คงใช้เวลาไม่นาน

     " คนต่อไปค่ะ " หลังจากที่มินนั่งรออย่างใจจดใจจ่ออยู่นานก็ได้ลุกไปตามคำสั่งของท่านอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาค่อนข้างดุดัน ซึ่งผิดกับน้ำเสียงที่ราบเรียบ " ชื่ออะไรคะ ? "

     " สวัสดีครับ ผมนายกันต์ธีร์ ไชยวัฒน์ มาจากโรงเรียน XXX ครับ " มินสวัสดีอาจารย์ท่านนี้อย่างนอบน้อม



     " ขอตรวจเอกสารหน่อยนะ "

     " ครับ " มินยื่นเอกสารที่ตนตรวจสอบไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบรอบให้ หน้าดุ ๆ ของอาจารย์เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันทีหลังจากได้ตรวจเสร็จ

     " เอกสารครบนะ เดี๋ยวนักเรียนเดินไปตรวจสุขภาพชั้นสองเลยจ่ะ " อาจารย์คนนั้นรับเอกสารทั้งหมดไว้ก่อนจะปล่อยตัวมินไปดำเนินการขั้นตอนต่อไป

     " ครับ "

     มินเดินออกมาจากหอประชุมด้วยความภาคภูมิเล็ก ๆ ว่าผ่านด่านแรกไปอย่างง่ายดาย เห็นทีว่าคงไม่มีปัญหาใด ๆ อีก แต่ไม่ทันไรก็พบอุปสรรคเข้าจนได้ ด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ทำให้มินพาตัวเองไปยังที่ที่ตนไม่รู้จักเข้าจนได้

     " เอ่อ...น้องครับ " มินหันตัวกลับมาตามต้นเสียงนั่น ปรากฏเป็นผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง " มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าเอ่ย ? " นักเรียนตัวขาวมองหน้าผู้หวังดีสลับกับตัวอักษรที่โชว์หราถึงตำแหน่งบางอย่างใต้ปกเสื้อ หน้าเหมือนเพื่อนพี่มิ้ลค์ที่เคยมาบ้านเลยแฮะ

     " ผมต้องไปตรวจสุขภาพอะครับ แต่ผมไม่รู้ทาง " มินขำแห้ง ๆ อย่างคนจนตรอกแต่ทางพี่เขาก็เข้าใจดี

     " เดี๋ยวพี่พาไปส่งนะ "

     " ครับ "

     จวบจนพี่ชายปริศนาได้เดินมาเป็นธุระให้มินสำเร็จ บางคำพูดของคนเป็นน้องก็พูดออกมาจากใจจริง

     " ขอบคุณพี่ชายมาก ๆ นะครับที่เดินมาส่งผม " คนพี่ส่ายหน้าอย่างยินดี

     " ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของพี่ " มินพงกหัวรับอีกรอบก่อนที่ทางนั้นจะเดินจากไป แต่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว พี่เขาก็หันมาพูดอะไรบางอย่าง

     " ยินดีต้อนรับสู่รั่วโรงเรียนนี้นะครับ " มินยิ้มให้กับคำพูดเหล่านั้นก่อนจะเดินเข้าห้องพยาบาลไป..

     ประธานนักเรียนเหรอ..

     โคตรเท่ !

- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง SEP.2 แนบสารบัญแล้วจ้า (21/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 23-02-2018 17:15:16
Not to be unlocked : Episode 34 : ขอกอดหน่อยนะ



     ใช่มั้ยล่ะ !! ผมว่าแล้วไอคนที่มินมาขอคำปรึกษาวันนั้นคืออาร์มจริง ๆ !!! ห้ะ ? ผมตื่นเต้นเกินไปเหรอ ? โอเค ๆ เอาใหม่ บอกแล้วว่าไออาร์มต้องมาปรึกษาเรื่องมินชัวร์ ๆ !!! เอ้า !? ยังตื่นเต้นอยู่อีก ! เออ ๆ ชั่งแม่งละกันครับท่านผู้อ่าน แต่ก็ตามที่เรียนไว้ข้างต้นนั่นแหละว่าผมค่อนข้างตกใจมาก ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเย็น ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเด็กดีอย่างมินจะกล้านิ่งดูดายให้ไอประธานสันดานเสียแบบนั้นมาจูบปากได้ คิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกเสียดายว่ะที่ผมแม่งสะเหล่อดันไปเปิดประตูขัดลาภเสียก่อน รู้งี้นะแอบแง้มประตูอัดคลิปไว้แบล็กเมล์ดีกว่า เผื่อวันไหนอยากกดขี่ข่มเหงไออาร์มค่อยเอาคลิปนี้ไปประจาน หึหึ



     ที่บ้านจะว่ามั้ยเรื่องที่มีแฟนน่ะเหรอครับ ? หมดห่วงไปได้เลยเพราะป๊าและม๊าไม่เคยห้ามเรื่องนี้ การคบหาดูใจกับใครคนหนึ่งท่านทั้งสองเน้นย้ำให้ฟังอยู่ตลอดว่าควรให้เกียรติคู่ของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ถึงเขาจะไม่ค่อยแสดงออกว่าคิดเห็นกับเราอย่างไร แต่ท่านก็ยังเป็นห่วงเราอยู่ห่าง ๆ เสมอ เขาเลี้ยงพวกเราด้วยความเข้าใจ มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันได้เหมือนเพื่อน ตอนนี้สถานะของมินและอาร์มมันดำเนินไปถึงไหนผมก็ไม่อาจทราบได้ ยังไงซะผมก็ขอทำหน้าที่ดูแลมินเหมือนเป็นป๊าและม๊าคนที่สองไปก่อนแล้วกัน หากมันชัดเจนมากกว่านี้แล้ว เส้นทางที่สองคนนี้เลือกเดินจะถูกเปิดออกอย่างไม่มีใครขวางเป็นแน่ ถึงจะเป็นเพศผู้เหมือนกันก็ตาม



     ด้วยเหตุนี้เองพี่ชายแสนที่ดีก็ขอแกล้งน้องชายสักหน่อยก็แล้วกัน หึหึ ตอนนี้เป็นเวลาที่มินยังไม่กลับถึงบ้านครับ คงมีธุระอยู่ที่โรงเรียนโน่น ดังนั้นผมเลยรีบกลับบ้านมาตั้งแต่หลังจากที่เจอทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เอาเป็นว่าผมจะจัดการน้องชายคนนี้ยังไงเดี๋ยวรอดูได้เลย



     ผมตอนนี้สภาพของผมเหลือเพียงชุดนักเรียนที่ถอดถุงเท้าออกแล้วโดยนั่งพิงอยู่โซฟาชั้นล่าง มีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นครับที่มินจะเดินผ่านไปชั้นสอง หึหึ ผมนั่งดักรอเจ้าน้องชายพลางถือรีโมทหาช่องดูในทีวีไปเรื่อย อืมมมม แก๊งการ์ตูนที่มินชอบดูมันเลขอะไรวะ ? ปกติผมไม่ค่อยดูการ์ตูนเท่าไหร่หรอก ถ้าให้ชอบจริง ๆ คงมีแค่โปเกมอนอย่างเดียวล่ะมั้งที่ดู



     เฟิร์สเหรอครับ ? ก่อนกลับมันก็แวะโทรมาถามผมนะว่าอยู่ไหน ผมไล่มันกลับบ้านไปแล้วแหละ เห็นบอกมีรายงานส่งพรุ่งนี้ผมเลยให้ไปรีบทำ แม่งจะมาอยู่กับผมน่ะสิ เฮ้อ..



     ในที่สุดเสียงวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็บึ่งมาจอดหน้าบ้าน ผมลุกพรวดพราดวิ่งไปชะเง้อด้านนอกผ่านผ้าม่านนี้ มินกำลังจ่ายตังอยู่ครับ ! ผมกระโดดขึ้นโซฟาโดยพลันก่อนจะดึงหน้าตัวเองให้ตึงราวกับอาฆาตมาดร้ายน้องตัวเอง เอาล่ะ ได้เวลาถ่ายหนังกันแล้ว หึหึ



     ผมหน้านิ่งมองไปที่ทีวีอย่างรอคอยให้เจ้าตัวแสบเดินเข้ามา หางตาเห็นเหลือบ ๆ ว่ามินกำลังถอดรองเท้าอยู่ก่อนจะก้มหน้าเดินผ่านผมไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น งั้นกระผมก็..



     แอคชั่น !!



     " จะรีบไปไหน ? " น้ำเสียงราบเรียบแต่แสนเย็นชาของผม เรียกให้ฝีเท้าของมินหยุดชะงัก



     " พะ...พี่มิ้ลค์ มีอะไรหรือเปล่าครับ ? " มินที่เดินผ่านไปแล้วค่อย ๆ หันมามองผมด้วยสีหน้ายำเกรง พี่น่ะไม่มีหรอก แต่จะตอแหลให้มันมีก็ใช่เรื่องยากที่ไหน ผมหยิบรีโมทข้าง ๆ ตัวมาปิดก่อนจะวางลง



     " พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ " ประธานนักเรียนคนใหม่ตรงหน้าทำสายตาลอกแลกก่อนจะค่อย ๆ เดินมานั่งข้างผมโดยกระเป๋ายังพาดบาดอยู่ ก๊ากกกกกก ขำว่ะ



     " มีอะไรเหรอครับ ? " มินพูดด้วยท่าทีเกร็ง ๆ อย่าพึ่งหลุดขำนะไอมิ้ลค์ เดี๋ยวความแตกล่ะเป็นเรื่อง



     " นานหรือยัง ? " มินขมวดคิ้วมองใบหน้าตอบผม



     " อะไรครับนาน ? " เฉไฉซะด้วย วันนี้ผมต้องคลายทุกอย่างออกมาจากปากมินให้หมด หึหึ



     " เรากับอาร์มน่ะ นานหรือยัง ? " ผมสร้างความกดดันให้มินโดยการจ้องหน้านิ่ง ๆ ควบคู่กับคำพูด



     " เรายังไม่เคยทำแบบนี้กันเลยนะครับ " เดี๋ยว ๆ กูกำลังจะถามว่าคบกันนานหรือยังทำไมได้คำตอบอย่างอื่นล่ะ ? ชั่งเถอะ ยังไงก็ข้อมูล



     " คบกับมันแล้วใช่มั้ย ? " มินส่ายหน้าถี่



     " ไม่เคยพูด พี่มิ้ลค์มั่วล่ะ " เฮ้ย ! กูจะต้องไม่ให้มันย้อนแยงได้สิ !!



     " แล้วเมื่อเย็นคืออะไร ? " ผมถามโทนเสียงต่ำ



     " .......... " เงียบกริบ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มินผลุบหน้าลงต่ำอย่างไม่มีคำตอบใด ขอดูหน่อยเถอะว่าจะแก้ตัวยังไง ฮ่า ๆ



     " ก็...ก็ไม่มีอะไร " แกกำลังจะโดนมันจูบอะนะไม่มีอะไร !!!?



     " ไม่มีอะไรแล้วจะจูบกันทำไม ? "



     " .......... " เงียบอีกแล้ว เงียบอย่างงี้พี่ก็ไม่รู้นะเส้ ! เห็นทีผมต้องลดดีกรีตัวร้ายลงแล้วว่ะ



     " พูดมาเถอะพี่ไม่ว่าเราหรอก "



     " .......... " สรุปจะไม่พูดใช่มั้ย ? งั้นถามอย่างอื่นแทน



     " คนที่เราเคยมาปรึกษาคืออาร์มใช่มั้ย ? " มินพยักหน้ายอมรับอย่างยากลำบาก



     " แล้วรู้สึกแบบนี้นานหรือยัง ? " สายตาของมินกล้าที่จะมองผมแล้ว แต่แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น



     " หลังทำงานกับพี่อาร์มได้สักพักล่ะมั้งครับ " โห...นานพอดูเลยนี่หว่า



     " แล้วรู้หรือยังว่าคิดอะไรกับเขา ? " มินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบคำถามของผมโดยการส่ายหัวไปมา



     " ไม่รู้ " ลูกบ้านนี้เป็นอะไรกันทำไมถึงไม่รู้ใจตัวเองกันสักคนเลยวะ ? เดี๋ยว ! ตบปากตัวเองเลยนะไอมิ้ลค์ ! มึงจะบ่นให้เข้าตัวทำไมเนี่ย !!



     " อะ ๆ ไม่รู้ก็ไม่รู้ งั้นมินก็ไปหาคำตอบกับอาร์มแล้วกันนะว่าความรู้สึกที่เรามีให้มันคืออะไร พี่ไม่ว่าเราหรอกนะถ้าสมมุติได้คบกันขึ้นมาจริง ๆ ที่สำคัญ เราต้องดูแลตัวเองให้เป็น เข้าใจมั้ย ? " มินมองหน้าผมอย่างอึ้ง ๆ



     " พี่มิ้ลค์ไม่ได้โกรธมินเหรอ ? " ชิบหาย นี่กูเลิกเล่นบทตัวร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ ? กูว่าจะแค่ลดเองนะ เอาเถอะ ผู้กำกับสั่งคัทเลยครับ



     " ไม่หรอก " ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวมินอย่างเอ็นดู ในที่สุดหน้าอันไร้สีสันของน้องชายคนนี้ก็ถูกแต่งเติมด้วยรอยยิ้มเสียที



     " มินรักพี่มิ้ลค์ที่สุดเลย " ตัวแสบข้าง ๆ อ้าวงแขนมากอดผมทั้งตัว อารมณ์ดีแล้วสินะ หึหึ



     " ไปอาบน้ำแต่งตัวปะ แล้วเดี๋ยวพี่ทำของอร่อย ๆ ให้กิน " ผมขยี้หัวมินเป็นครั้งสุดท้ายพลางปล่อยให้ทางนั้นได้ขึ้นไปทำธุระส่วนตัว



     ในที่สุดก็รู้สักทีว่าคนในใจของมินคือใคร หึหึ



     เอ๊ะ !?



     ทันทีที่มินเดินหายไปแล้ว เสียงริงโทนประจำเครื่องโทรศัพท์ของผมก็แหกปากเสียงดัง ผมหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงโดยอ่านชื่อบุคคลที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอ นี่มึงมาแอบดูอยู่หน้าบ้านหรือเปล่าเนี่ย ทำไมเหมือนมึงรู้เวลาว่ากูว่างตอนไหนเลยวะ ?



     " การบ้านเสร็จแล้วรึไงถึงได้โทรมา ? "



     " ยัง แต่คิดถึงเลยโทรมา " ทำเสียงออดอ้อนก็เป็นนะไอเฟิร์ส ! พอเลิกตีกับกูก็เอาใหญ่เลยนะ



     " ไปทำการบ้านให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาคุย " ผมพูดขณะลุกขึ้นหมายจะไปเข้าครัว



     " ไม่เอาอะ จะคุยก่อน พรุ่งนี้รีบมาแต่เช้าด้วย " พรุ่งนี้ ? พรุ่งนี้วันอะไร ? แล้ววันนี้วันอะไร ? ทำไมกูต้องรีบไปแต่เช้าพรุ่งนี้ด้วย ?



     " ทำไมอะ ? " นี่ผมเรียนจนลืมคืนลืมตะวันเลยเหรอ ?



     " ไม่มาทำงานที่ร้านรึไง ? " ห้ะ !? นี่วันศุกร์แล้วเรอะ !



     " อ๋อ โอเค งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้ " ผมว่าพลางเปิดตู้เย็นเพื่อหาวัตถุดิบสำหรับมื้อนี้



     " แล้วทำอะไรอยู่ ? "



     " ทำกับข้าว ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยเลยนะ ไปทำการบ้านก่อน แล้วจะคุยค่อยโทรมา " ผมกำชับไอเฟิร์สอีกรอบ



     " ไม่อาว จะคุยก่อน " นี่มึงเป็นเด็กม.5 หรือเด็กปัญหาอ่อนกันแน่วะไอเฟิร์ส ? พูดไม่รู้เรื่องรึไง



     " ถ้าการบ้านไม่เสร็จกูจะไม่รับสายมึง โอเคเนอะ ? " เย็นนี้ทำผัดกะเพราดีกว่า เอ...หรือผัดผักบุ้งไฟแดงดี



     " ใจร้าย " นี่คือวิธีดัดสันดานเด็กนิสัยไม่ดีครับ หึหึ " งั้นเดี๋ยวกูรีบมานะ ถือโทรศัพท์รอไว้ได้เลย "



     " เออ แค่นี้นะ " ผมกดตัดสายก่อนจะนำโทรศัพท์ยัดเข้ากางเกงเหมือนอย่างเก่า



     จริง ๆ เล๊ยไอเฟิร์สเนี่ย



####



     เช้าวันรุ่งขึ้นผมเดินทางไปทำงานด้วยรถราที่ราบรื่นถนัดตา คงเป็นเพราะวันหยุดเด็กนักเรียนส่วนใหญ่เลยใช้เวลาว่างอันมีค่านี้นอนอยู่บ้านกันหมด บน BTS ถึงจะมีผู้คนเบียดเสียดกันมากจนแทบหายใจไม่ออก แต่ผมก็ไม่ได้ร้อนรนเสียเท่าไหร่เพราะเป็นเรื่องปกติจนชินไปแล้ว เมื่อคืนกว่าเฟิร์สจะไปนอนได้ก็เที่ยงคืนกว่าครับ แม่งมีหน้ามาบอกให้ถือโทรศัพท์รอไว้เลย แต่เสือกโทรกลับมาตอนสามทุ่ม ! หึ มันคงคิดสินะว่ารายงานของอาจารย์พรทิพย์จะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากแล้วใช้เวลาทำแค่แปปเดียว มึงอย่าเข้าใจผิด มันยากเหมือนแดกกล้วยที่ขึ้นในป่าหิมพานต์ต่างหากล่ะ !!



     พอมาถึงร้าน บุคคลที่เสนอหน้ามาต้อนรับตั้งแต่ผมเปิดประตูคือไอเฟิร์ส มันมองผมด้วยรอยยิ้มตั้งเดินเข้าร้านจรดไปถึงตอกบัตร ไอนี่อาการชักจะหนักขึ้นไปทุกที เดี๋ยวกูพาไปส่งศรีทันยาดีมะ ?



     " มองบ้าอะไรนักหนา งานการไม่มีทำรึไง ? " ผมขมวดคิ้วอย่างขัดใจก่อนจะรับบัตรที่เด้งขึ้นจากเครื่องมาเสียบไว้ข้าง ๆ เหมือนอย่างเก่า



     " ก็มองแฟ...มองมึงนั่นแหละ ใครจะทำไม ? " อะไรแฟร์ ๆ นะ ? จะไปงานเกษตรแฟร์เหรอ ? น่าไปเหมือนกันนะ สาว ๆ แจ่มทั้งนั้น หึหึ



     " อยากทำไรก็ทำ แล้วแม่มึงอะ ? " ทุกเช้าที่ประจำของเขาคือตรงที่มันนั่ง ณ ตอนนี้นี่แหละ แต่ตอนนี้ตัวอยู่ไหนกันล่ะหว่า เฟิร์สอยู่ร้านแต่คุณขวัญไม่อยู่มันน่าแปลก



     " ชั่งแม่กูเหอะ " เฟิร์สเดินจากโต๊ะทำงานของแม่มันมาดันหลังผม " ไปทำงานของเรากันเถอะ " เอ...มึงอารมณ์ดีผิดมนุษย์หรือเปล่าวะเฟิร์ส ไปแดกอะไรมาล่ะเนี่ย ?



     เอาเถอะ ดีกว่ามันหน้าบึ้งมองผมแล้วกัน



     ช่วงเช้าการทำงานก็เป็นไปอย่างเรียบง่ายครับ ส่วนมากก็จะเป็นงานง่าย ๆ อย่างเด็ดผัก หั่นผัก หั่นเนื้อ ยกของที่เขามาส่งหลังร้านเข้าตู้ พึ่งทราบจากน้าแดงนี่แหละว่าคุณขวัญไปรับวัตถุดิบที่สะพานปลาก็เลยแวะมาส่งลูกชายของเขาก่อน แล้วก็ต้องมาตกใจนิดหน่อยว่าจะมีคนงานมาเพิ่มด้วยคนนึงซึ่งผมก็ไม่รู้จักหรอก (เฟิร์สบอกว่าแม่จ้างมาเพิ่ม) จนได้เห็นเขาเดินเก ๆ กัง ๆ เข้ามาพร้อมกับคุณขวัญตอนเก้าโมงกว่า น้องเขาแนะนำตัวว่าชื่อเมย์ เป็นผู้หญิงอายุราว ๆ สิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ (ผมกับเฟิร์สแก่กว่าปีนึง) และก็เป็นผมที่ได้รับหน้าที่เทรนงานต่าง ๆ ให้เมย์และเฟิร์ส ที่ต้องย้ำไอห่านี่อีกรอบเพราะแม่งไม่ได้มาทำงานตั้งเกือบเดือน วิชงวิชาห่าเหวอะไรเฟิร์สมันลืมไปหมดแล้ว น้องเมย์เขาตั้งใจฟังมากกกก ผิดกับไอเฟิร์สที่แม่งกวนตีนขณะผมสอนทุกครั้ง สุดท้ายแล้วเวลาในการสอนก็มีไม่มากพอที่จะให้สองคนนี้นำไปใช้จริงขณะร้านเปิด เป็นว่าพี่ต๋องเลยจับไปยืนคู่กันตรงอ่างล้างจานแทน สมน้ำหน้า !



     ตกบ่ายพอได้พักหายใจหายคอกับมื้อกลางวันก็ต้องกลับไปวุ่นกับงานข้างในต่อ พระเจ้า ! นี่เป็นเคสแรกของวันเลยครับที่ผมขอยกให้เป็นทอล์กออฟเดอะทาว คือมีลูกค้าโต๊ะหนึ่งเขาสั่งกะพงทอดน้ำปลาขอกรอบ ๆ แต่ไม่ไหม้ โอเคกูเก็ท ก็เลยตะโกนบอกพี่แหลมประจำครัวทอดไปอย่างนี้ ผมจัดจานออเดอร์อื่นรออยู่ครู่หนึ่งปลากะพงอันแสนน่ารับประทานที่อยู่ในขอบเขตของคำว่า ' กรอบ ' แต่ ' ไม่ไหม้ ' ก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า ผมเช็กทุกอณูขุมขนของเนื้อปลาแล้วว่ากรอบแต่ไม่ไหม้จริง ๆ เลยจัดจานให้พี่ก้อยฝ่ายบริการไปเสิร์ฟ ผมหายใจเข้าออกได้อีกนิดหน่อยปลากะพงตัวนั้นก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าผมอีกรอบ แถมโดนคอมเพลนกลับมาว่า ' ไหม้ ' อีกด้วย ผมกะพริบตาปริบ ๆ มองตรงที่พี่ก้อยชี้ไปยังหางปลาเพราะลูกค้าเห็นว่ามันไหม้ แต่ไหนวะไหม้ !!!? ด้วยความหัวร้อนครับ ผมเลยเดินไปจัดการเมนูนี้ด้วยตัวเองจนได้ตามที่ลูกค้าสั่งเป๊ะ ๆ ทั้งยังฝากพี่ก้อยไปอีกว่าถ้าเขาคอมเพลนอีกให้กลับมาบอกด้วย ปรากฏว่าลูกค้าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าใด ๆ แล้วครับ ทั้งที่ปลาตัวที่เสิร์ฟก่อนหน้านี้กับตัวล่าสุดคือตัวเดียวกัน แค่พลิกจากอีกด้านนึงเสิร์ฟก็เท่านั้นเอง..



     ถ้าวันหนึ่งท่านผู้อ่านได้มีโอกาสทำงานร้านอาหารแล้ว ทุกท่านต้องใจเย็น ๆ กับลูกค้านะครับ อย่าหัวร้อนเหมือนผม



     หลังจากที่โบกมือบ๊ายบายภาระงานอันใหญ่หลวงของวันเสาร์ไปเป็นอันมบูรณ์แล้ว ก็ถึงเวลากลับบ้านกลับช่องเสียที แต่คิดเหรอว่าเมื่อผมอยู่กับเฟิร์สแล้วจะเป็นแบบนั้น ! เหอะ



     " เหนื่อยมั้ย ? " เป็นคำถามครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เฟิร์สถามในวันนี้ ทำงานมันก็ต้องเหนื่อยสิ ตอนนี้เบาะหลังของแท็กซี่ได้มีผมนั่งอยู่ข้าง ๆ คนที่ชวนไปสยามเป็นที่เรียบร้อย



     " เหนื่อย " ผมพูดขณะมองรถที่ติดกันยาวเหยียดเป็นหางว่าวจากด้านข้าง กูบอกเลยนะเฟิร์สว่านี่ไม่ใช่นิยายที่จะเห็นหน้าพระเอกหรือนางเอกแล้ว งานที่ทำมาทั้งวันมันจะหายไปในพริบตา หึ แล้วระหว่างผมกับเฟิร์สใครได้เป็นพระเอก ? เบาะนิ่ม ๆ ยวบลงไปราวกับมีคนเขยิบมา



     " นอนมั้ย ? กูเป็นหมอนให้ " เฟิร์สวาดแขนมาวางบนบ่าผมทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ขอเลยสักแอะ มันคงไม่ได้กลิ่นอาหารที่ติดเสื้อผมหรอกมั้ง



     " งั้นขอหนุนหน่อยละกัน " ผมกระเถิบตัวเองไปใกล้ ๆ เพื่อวางศีรษะให้พอดีกับไหล่เฟิร์ส พี่แท็กซี่เขาหันมาเหล่เราแว็บนึงครับ แต่คงไม่ได้ติดขัดอะไร



     " แล้วชวนมาสยามคิดไว้แล้วเหรอว่าจะไปไหน ? " หน้าของเฟิร์สที่ผมเห็นจากด้านล่างมองลงมาอย่างใช้ความคิด



     " อืมม ไม่รู้ดิ แค่มีมึงอยู่ข้าง ๆ เดี๋ยวก็มีอะไรทำเองแหละ " พูดเหมือนกูทำได้ทุกอย่างเลยนะไอเฟิร์ส



     " จะหวังอะไรกับกูเฟิร์ส กูมันน่าเบื่อจะตาย " ผมมองลอดออกหน้าต่างอย่างหาที่จับจุดไม่ได้ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดดูถูกตัวเองเฟิร์สจะทำหน้ายังไง



     " มึงไม่ใช่แค่ความหวังของกูอย่างเดียวนะมิ้ลค์ มึงเป็นทั้งความสุข มึงเป็นทั้งรอยยิ้ม มึงเป็นอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตกู ตั้งแต่มีมึงเข้ามาในชีวิต กูได้รู้จักสีสันที่หลากหลายเลยจริง ๆ ว่ะ " หื้มมมม ถ้าผมเป็นพี่โชเฟอร์แล้วโดนคำพูดแบบนี้เข้า คงเปิดประตูรถไปอ้วกไม่ทันแน่ ๆ



     " ปากดี กูยังไม่มั่นใจตัวเองเลยว่าจะทำให้มึงรักได้มากกว่านี้หรือเปล่า " นี่เป็นสิ่งที่ผมยังคอยกังวลอยู่ในใจ ถ้าผมเป็นคนดีมากกว่านี้ อดีตอันเลวร้ายที่ติดตรึงอยู่ในใจคงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่



     " ที่กูกล้ามาสารภาพรักกับมึงก็เพราะมึงเป็นมึงนี่แหละ ไม่ต้องพยายามอะไรให้กูรักมึงมากกว่านี้หรอก " เฟิร์สพูดพลางเอามือข้างที่พาดอยู่ขึ้นมาลูบหัวผมเล่นประกอบ



     เฟิร์สจะเห็นมั้ยน้าว่าผมแอบยิ้มอยู่ :)



     เสียงรินโทนไม่คุ้นหูดังขึ้นจากคนข้าง ๆ ผมลุกจากอ้อมแขนของเฟิร์สเพื่อให้ทางนั้นได้รับโทรศัพท์สะดวก



     " ครับแม่ จะไปสยามครับ มากับมิ้ลค์ " แล้วมันก็หันมามองหน้าผมด้วยรอยยิ้มเหมือนกับดีใจอะไรสักอย่าง " เอาสิครับ ! " ก่อนจะยื่นไอโฟนมาให้ " แม่จะคุยด้วย " ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าคุณขวัญจะมาขอคุยอะไรตอนนี้ แล้วทำไมลูกของเขาถึงต้องดีใจด้วย



     ผมรับโทรศัพท์เครื่องนั้นมาแนบหู " มีอะไรหรือเปล่าครับแม่ขวัญ ? "



     " น้องมิ้ลค์ คืนนี้น้องมิ้ลค์ว่างหรือเปล่าจ๊ะ ? "



     " ทำไมเหรอครับ ? " ถามเผื่อไว้ก่อนน่ะครับ เพราะก็มีหน้าที่ต้องดูแลน้องเหมือนกัน



     " พอดีแม่จะชวนมากินข้าวที่บ้านน่ะจ่ะ คงรบกวนให้มิ้ลค์ทำอาหารอร่อย ๆ ให้แม่ทานอีกนั่นแหละ มิ้ลค์พอจะมาได้หรือเปล่าลูก ? " ผมเหล่ดูไอหน้าหล่อข้าง ๆ ที่ตอนนี้พงกหัวถี่ให้คำตอบแทนแล้ว



     " เอ่อ...ครับ "



     " งั้นเราก็ซื้อของมาจากสยามเลยนะ เราอยากกินอะไรเพิ่มก็เอาตังที่เฟิร์สซื้อละกัน เดี๋ยวแม่ไปเคลียร์กับเฟิร์สเอง " เบื่อจริ๊งงงงงคนรวยเนี่ย



     " ครับ " ผมมองค้อนไอห่านั่นที่กำลังยิ้มเผล่อยู่ด้วยความหมั่นไส้



     " แล้วเจอกันจ่ะ " คุณขวัญอำลาผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสัญญาณตัดสายจะดับลง



     " เป็นไงบ้าง ? " ผมคืนอุปกรณ์สี่เหลี่ยมแก่เจ้าของก่อนจะเสตามองออกไปด้านนอก



     " อืม "



     " เย้ !! " แล้วมันก็ตะโกนลั่นรถอย่างดีใจ แหกปากอย่างเดียวไม่พอครับ แถมอ้าแขนมากอดผมอีก โอ๊ยย มันน่าดีใจตรงไหนเนี่ยแค่ไปทำกับข้าวบ้านมึงเอง



     โว้ะ



####
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.34 แนบสารบัญแล้วจ้า (23/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 23-02-2018 17:18:22
EP.34 (ต่อ)

     หลังจากไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่พารากอนอยู่สองสามชั่วโมง ก็ถึงเวลากลับมาทำมื้อดึกให้คุณขวัญและลูกชายของเขาเสียที แต่ก่อนจะเดินเข้าครัวผมมีอะไรจะมาฟ้องท่านผู้อ่านด้วย ฮืออออ เมื่อตอนอยู่ร้าน Pablo เฟิร์สมันดุว่าผมนั่งไม่หวงเนื้อหวงตัวเลย ประมาณว่านั่งอ่อยชาวบ้านเขาไปทั่ว (ทั้ง ๆ ที่ก็นั่งแหกขาอยู่แบบนี้ประจำ) เราสองคนเถียงกันอยู่พักใหญ่เลยกว่าผมจะยอมหยุด ก็ผมไม่ผิดนี่หว่า แม่ง ส่วนน้องมินที่ไม่มีใครดูแลอยู่บ้านผมจัดการโทรเรียกไออาร์มไปประจำการเป็นที่เรียบร้อยครับ ในตอนแรกมันจะชวนผมไปกินเหล้าที่ร้านพี่หลินสองคนนั่นแหละ แต่พอรู้ว่ามินอยู่บ้านคนเดียว ประกอบกับคำพูดหว่านล้อมของผมว่า " มีอะไรจะไปคุยกับมินมั้ย ? " เท่านั้นแหละ ผมก็หมดห่วงเรื่องคนดูแลน้องตัวเองทันที



     กลับมายังห้องครัวบ้านคุณชายเฟิร์สอีกครั้ง บนโต๊ะอาหารตอนนี้เต็มไปด้วยข้าวของมากมายที่ไปเหมามาจากกูเมมาร์เก็ตในตัวพารากอน มีทั้งวัตถุดิบในการทำอาหาร ขนม นม เนย และอีกต่าง ๆ อีกมากมาย นี่ถ้าเกิดน้องน้ำที่เคยมาตอนปีห้าสี่ท่วมแถวนี้ก็คงจะอยู่รอดได้อีกหลายเดือนด้วยขนมของไอหมอนี่



     " งั้นมึงเอาขนมใส่ตู้เย็นเลยนะ ส่วนกับข้าวเดี๋ยวกูจัดการเอง " เฟิร์สพยักหน้ารับคำสั่งของผมโดยการคุ้ยหาสิ่งที่แม่งกวาดซื้อมาในถุงไปวางไว้ในตู้เย็น วัตถุดิบอันไหนที่พี่แคชเชียร์เขาใส่รวมกับถุงขนม เฟิร์สก็จะแยกออกมาให้



     มื้อนี้ผมขอรังสรรค์เป็นเมนูง่าย ๆ อย่างแกงจืดตำลึง (รีเควสโดยไอคนที่เก็บขนมอยู่) ผัดฉ่าทะเลเดือด แล้วก็ยำสามกรอบ (อันสุดท้ายผมอยากกิน) ผมแกะโน่นแกะนี่มาล้างพลางย่อส่วนให้พืชผักสัตว์ป่านี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เก็บของเหมือนบ้านตัวเองเพื่อหยิบกระทะกับหม้อมาเตรียมไว้ บ้านเพื่อนก็เหมือนบ้านเรานั่นแหละครับ ทำอะไรเอาคำว่าเกรงใจไปไว้ไกล ๆ ฮ่า ๆ



     " มีอะไรให้ช่วยเปล่า ? " เสียงถามของเฟิร์สดังมาจากหน้าตู้เย็น ทำอย่างกับมึงจะช่วยอะไรกูได้ หึหึ



     " ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพริกกระเด็นเข้าตา " มันรู้ครับว่าผมเอาเรื่องตอนที่ตำพริกแกงแล้วกระเด็นเข้าตามาล้อ มันเลยลุกขึ้นมายืนชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง



     " เดี๋ยวเจ็บหรอก " หึหึ น้ำหน้าอย่างมึงอะนะจะทำมิ้ลค์ผู้นี้เจ็บ ? ฝันไปเถอะ



     " มาดิ กูอยากเจ็บ กูอยากทรมานเหมือนพริกเข้าตา " สิ้นคำว่าตาผมก็วิ่งหนีมันที่พุ่งมาหาอย่างรวดเร็วไปทั่วครัว ฮ่า ๆ เราวิ่งวนรอบโต๊ะอาหารอยู่หลายรอบจนเฟิร์สคว้าตัวผมไว้



     " อยากทรมานใช่มั้ย ? หึหึ " มึงหัวเราะได้ชั่วร้ายมาก เฮ้ยไอเฟิร์สอย่าจี้ !! ฮ่าๆ ๆ อย่า !!! ก๊ากกกกกกกก ม่ายยยยยยย



     ในขณะที่ผมแดดิ้นอยู่ในอ้อมอกของไอนี่อยู่นั้น เสียงบุพการีคนของที่ทรมานผมอยู่ก็ดังขึ้นใกล้ ๆ



     " อ้าวเด็ก ๆ เล่นอะไรกัน ? " คุณขวัญยิ้มทักพวกเราก่อนจะนั่งลงพร้อมกระเป๋าใบสวย " กับข้าวเสร็จรึยังจ๊ะ ? วันนี้แม่รีบมาเพื่อมิ้ลค์เลยนะ " ผมจัดเสื้อที่เฟิร์สปล่อยตัวมาแล้วก่อนจะมองหน้ามันอย่างเคือง ๆ



     " ยังไม่เสร็จเลยครับ แม่ขวัญดูเฟิร์สสิ มันแกล้งผมอะ " หึหึ ได้ทีต้องฟ้องโว้ย ดูเหมือนว่าทางมันได้ทีก็ฟ้องเหมือนกัน



     " มันนั่นแหละล้อเฟิร์ส แม่อย่าไปฟังมัน " ฟ้องกันไปฟ้องกันมาจนกรรมการอย่างคุณขวัญต้องพูดอะไรบ้าง



     " เอาเถอะ ๆ ใครผิดแม่ไม่รู้แหละ แต่ตอนนี้แม่หิวแล้ว " เออวะ ! ลืมไปเลยว่าต้องทำอะไร



     " โอเคครับ เดี๋ยวมิ้ลค์เร่งมือให้นะครับ " คุณขวัญยิ้มรับคำพูดผมทันทีหลังจากที่เฟิร์สเดินไปหย่นก้นนั่งข้าง ๆ แม่ของมัน



     " จ้า "



     ตลอดการทำอาหารของผมจะมีสองคนนั้นชวนคุยอยู่ตลอด ยอมรับนะว่าค่อนข้างเกร็งเลยล่ะที่มีคนมาจ้องเวลาทำ ถึงจะมีประสบการณ์ในร้านอาหารมานานโข ผมเรียกเสียงท้องร้องของสองแม่ลูกโดยการโชยกลิ่นหอมของเครื่องเทศผัดฉ่าอันแสนเผ็ดร้อน ไม่นานนักอาหารทุกอย่างที่จัดแต่งจนสวยงามและน่ากินก็ลำเลียงไปวางบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย



     " น่าทานมากกกก " คุณขวัญดูจะออกนอกหน้าเป็นพิเศษ รวมไปถึงเฟิร์สด้วยที่จ้องหมูบะช่อในชามต้มจืดอย่างไม่กะพริบตา



     " แม่ครับ เฟิร์สว่าจ้างมิ้ลค์มาเป็นแม่บ้านเหอะ จะได้มีของอร่อยกินทุกวัน " หึหึ จะมาจ้างกูเป็นคนใช้เหรอ ?



     " ค่าตัวผมแพงนะบอกให้ " ผมพูดในตอนที่ตักข้าวแจกจ่ายแก่ทุกคน



     " เฟิร์สไปหยิบเช็คบนห้องให้แม่ทีสิ " ผมกับเฟิร์สหันขวับไปหาคุณขวัญทันที แม่เจ้า ! เอาจริงดิ !? " ล้อเล่นจ่ะ ฮ่า ๆ " เกือบแล้วมั้ยล่ะไอมิ้ลค์ เกือบได้เป็นคนใช้บ้านนี้แล้ว



     " ว่าแต่ทำไมสองคนนี้มาดีกันแล้วล่ะ ? แม่ได้ข่าวมาจากพี่ฟิล์มนะว่าเราทะเลาะกัน " สายตาของผมผสานเข้ากับเฟิร์สทันทีหลังจากได้ยินคำพูดนั้น แต่แค่เพียงครู่เดียวเราสองคนก็หัวเราะร่า " อะไรกันอะจ๊ะ ? " คิ้วคุณขวัญเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ



     " ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ แค่เราสองคนเข้าใจอะไรผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง " ผมพูดพลางวางโถข้าวลงกับโต๊ะก่อนจะนั่งลง



     " ใช่ครับแม่ ไอมิ้ลค์มันบ้าไง เฟิร์สก็เลยเข้าใจผิด " อ่าวไอสัด ! มาด่ากูบ้าได้ไงอะ !?



     " มึงอะบ้า " ไม่กินแล้วข้าวอะ ขอด่าหน่อยเถอะ ! ตอนนี้คุณขวัญทำหน้างงหนักกว่าเก่าอีก



     " มึงแหละมิ้ลค์ ! "



     " มึงแหละเฟิร์ส ! "



     " มึงนั่นแหละ "



     " มึง.. "



     " พอ พอ พอจ่ะ ไม่ทะเลาะกันก็ดีแล้วล่ะ มา ๆ กินข้าว " เราสองคนมองคุณขวัญที่เริ่มตักอาหารก่อนจะหันมาหัวเราะให้กันอีกรอบ ฮ่า ๆ งั้นเราก็มาเริ่มทานกันบ้างดีกว่า



     " แม่ครับ เฟิร์สมีไรจะบอกด้วยล่ะ " อยู่ ๆ เฟิร์สก็เรียกความสนใจจากผู้เป็นแม่ซึ่งทางผมก็เผือกไม่แพ้กัน



     " อะไรล่ะ ? " คุณขวัญพูดพลางตักหอยนิวซีแลนด์ในจานผัดฉ่าเข้าปาก



     " เฟิร์สมีคนที่ชอบแล้วนะ "



     แล้วทำไมพอประโยคนี้ลอยเข้าหู ใจผมมันก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มล่ะ..



     " เหรอ เขาเป็นคนยังไงล่ะเราถึงได้ไปชอบ ? " ผมนิ่งเงียบมองแต่เม็ดข้าวในจาน ช้อนในมือทำไมมันหนักอึ้งอย่างนี้



     " เขาเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี แถมพูดไม่ตรงกับใจอีกต่างหาก ขี้บ่นแต่ก็ขี้สงสาร เก่งเกินเด็กนักเรียน งานบ้านก็ทำได้ อาหารก็ทำเป็น " ผมลอบมองคุณขวัญที่อวดรอยยิ้มราวกับยินดีที่เฟิร์สได้พบเจอคนที่ใช่



     " แล้วเขาเป็นใครล่ะ บอกแม่ได้มั้ย ? " เฟิร์สยิ้มกลับไปยังแม่ของมัน ก่อนจะหันมาทำแบบเดียวกันกับผม



     " ไว้เดี๋ยวเขาพร้อม เฟิร์สจะพามาแนะนำให้แม่รู้จักนะครับ "



     เฟิร์สหมายถึงผมเหรอ !!?



     " ว้าาาาา แย่จัง นิสัยคล้ายมิ้ลค์เลยนะ แล้วเรารู้จักคนนั้นรึเปล่าจ๊ะ ? " ผมเงยหน้ามองคุณขวัญก่อนจะยิ้มอย่างหุบไม่อยู่



     " ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ "



####



     หลังจากที่รับประทานอาหารมือเย็น (ในตอนสามทุ่ม) แม่ขวัญแสนใจดีก็จัดการให้ผมค้างที่บ้านอีกตามเคย โชคดีเหมือนกันครับที่จัดการให้ไออาร์มมันไปดูแลน้องผมที่บ้าน ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไร คนที่ช่วยเหลือก็ขอยกให้มันแล้วกัน (แล้วถ้าเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นโดยมันล่ะ ?) ตอนนี้ผมก็อาบน้ำเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้เปิดประตูออกไปหรอก ก็มัวแต่ยืนยิ้มอยู่หน้ากระจกคนเดียวพลางนึกถึงคำพูดของเฟิร์สที่ได้พูดกับคุณขวัญ



     " เขาเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี แถมพูดไม่ตรงกับใจอีกต่างหาก ขี้บ่นแต่ก็ขี้สงสาร เก่งเกินเด็กนักเรียน งานบ้านก็ทำได้ อาหารก็ทำเป็น "



     กูเนี่ยนะขี้บ่น...ไม่จริงหรอก



     " ทำอะไรอยู่นานจัง ? " ทันทีที่ผมเดินออกมาจากประตูโดยมีบ๊อกเซอร์ของเฟิร์สปกปิดร่างกายแค่ส่วนล่าง คนที่นอนเล่น 3DS อยู่บนเตียงก็เงยหน้าขึ้นมาถาม



     " ตากี้กูเจอคุณมาริโอ้ออกมาจากท่อน่ะก็เลยนั่งคุยกัน สงสัยจะมาช่วยเจ้าหญิงแถวนี้ " ผมเดินมากวนตีนมันข้าง ๆ เตียงขณะเอาผ้าขนหนูยีผมทั้ง ๆ เช็ดมาแล้วจากห้องน้ำ ดีเหมือนกันเนอะใส่ชุดของบ้านนี้จะได้ไม่ต้องซักเอง หึหึ



     " กวนตีน " คำด่าของเฟิร์สแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกของเตียงที่ยวบมาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกก็สงสัยแหละว่าเฟิร์สจะทำอะไร จนรู้ว่ามันคลานมายิ้มใกล้ ๆ



     " ตัวหอมจัง " ได้ข่าวว่ามึงก็อาบน้ำแล้วด้วยก็ดมตัวเองไปสิ ! ผมบ่นกับมันในใจพลางยีหัวตัวเองต่อ " ขอกอดหน่อยดิ "



     " ไม่ " ที่แท้ก็จะเนียนมาขอกอดนี่เอง



     " ขอจูบก็ได้ " กอดกูไม่ให้แล้วจะไปหวังจูบแทนอะนะ เห๊อะ ไม่มีทาง !



     " ไม่ "



     " ไหนบอกว่ากูอยากดูดบุหรี่เมื่อไหร่แล้วให้จูบไง " มึงไม่ต้องเอาบุหรี่มาอ้างเลยไอเวร ! ไม่เป็นไร ผมสามารถแก้ไขสถานการณ์ให้มันไปสนใจอย่างอื่นได้



     ผมลุกเอาผ้าขนหนูไปพึงกับราวแขวนก่อนจะเดินมาหยิบกระเป๋าตังและหาบางอย่างมาโยนลงบนเตียง



     " ทำอย่างอื่นกันดีกว่า " เฟิร์สมองซองทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กกว่าฝ่ามือที่ห่อหุ่มวัสดุบางอย่างรูปทรงกลมไว้ด้านใน ก่อนจะเงยหน้ามามองผมอย่างอึ้ง ๆ



     " มิ้ลค์ กูเอาจริงนะ " ทุกอย่างที่ผมทำล้วนกวนตีนมันทั้งสิ้น อย่าคิดหื่นไกลกันครับท่านผู้อ่าน ฮ่า ๆ



     ผมเดินไปตบหน้าเฟิร์สเรียกสติเบา ๆ สองสามที " เลิกเพ้อเจ้อแล้วนอน " พลางเก็บซองเล็ก ๆ นี่เข้ากระเป๋าสตางค์ไว้อย่างเก่าก่อนจะเดินไปปิดไฟ ผมพกสิ่งนี้ติดตัวไปตลอดนั่นแหละครับ เผื่อไปพบเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันยังไง มีเจ้านี่ติดตัวไว้ก็อุ่นใจไปได้อีกหลายเปราะ



     " นอนสิ ! " แล้วมึงจะนั่งอึ้งอีกนานมั้ย ? ฮ่า ๆ กูไม่สนใจละนะ นอนดีกว่า ผมทิ้งตัวลงเตียงพลางกวาดผ้านวมหนา ๆ นี่มาห่มทั้งตัว อ่าวลืมใส่เสื้อ ! แต่ชั่งเหอะ หัวถึงหมอนแล้วขี้เกียจลุก



     ผมแอบขำในความกวนตีนของตัวเองพลางรู้สึกเหมือนเฟิร์สจะทิ้งน้ำหนักลงหมอนแล้วเหมือนกัน ฮ่า ๆ อยากเห็นหน้ามันว่ะ ผมพลิกตัวไปดูผลงานบนใบหน้าของเฟิร์สจากที่อึ้งเมื่อกี้กลายเป็นเหวอไปแล้ว ฮ่า ๆ



     อะ ๆ จุ๊บปากก่อนนอนสักทีก็ได้



     ' หมวบ '



     " ราตรีสวัสดิ์ " ผมกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายในคืนนี้ก่อนจะพลิกตัวกลับมาเป็นอย่างเก่า หนาวเว้ย นอนไม่ใส่เสื้อเนี่ย



     " ขอกอดนะ " แว่วเสียงเฟิร์สดังมาจากใกล้ ๆ อะ ๆ อยากกอดก็จะให้ ไม่อยากแกล้งแล้ว



     " อื้ม " ไม่รู้ว่ามันได้ยินหรือเปล่าเพราะผมพูดค่อนข้างเบา จนได้รู้คำตอบนี่แหละเมื่อแขนข้างนั้นพาดมาก่อนที่ผมจะเขยิบตัวไปให้มันกอดง่าย ๆ



     ไม่ค่อยชินเหมือนกันแฮะมีคนกอดตอนนอน แต่ก็อุ่นดีเหมือนกัน :)



     " อย่าบีบนมสิเชี่ยเฟิร์ส !! "



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.34 แนบสารบัญแล้วจ้า (23/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 25-02-2018 10:15:28
Not to be unlocked : Episode 35 : วันหนึ่งที่เราได้รักกัน



     ผมรู้สึกตัวว่าตื่นแล้วแม้กระทั่งเปลือกตาคู่นี้ยังคงหลับอยู่ โดยร่างกายปกคลุมไปด้วยผ้านวมหนา ๆ เมื่อคืนหลับสบายมาก ๆ ครับถึงจะหนาวไปหน่อย แต่ยังดีที่มีแขนข้างนี้กอดอยู่ตลอดเวลา อ้าว ! ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาตรวจสอบบริเวณเอวที่รู้สึกว่าทั้งคืนเคยมีคนเอามาวางพาดไว้แต่ตอนนี้ไม่อยู่ มือผมสัมผัสผ่านไปเรื่อยแม้ดวงตาจะปิดตั้งแต่ผ้านวมที่ห่ม หมอนข้าง จนไปถึงตำแหน่งที่อีกคนน่าจะนอนอยู่ แต่แล้วก็ไม่พบสิ่งใด ผมงัวเงียลุกขึ้นมานั่งขัดตะหมาดพลางลืมตาขึ้นดูบนเตียงแม้จะยากก็เถอะจึงได้พบว่า..



     เฟิร์สหายไปไหน ?



     ภายในห้องนี้ที่ผมกวาดสายตาอยู่รอบด้านไม่มีใครอยู่นอกจากตัวเอง ประตูห้องน้ำปิดสนิทราวกับไม่มีใครใช้ เช่นเดียวกับระเบียงอันมีเพียงแสงอุทัยเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา แล้วมันไปไหนวะ ? ผมเดินไม่เป็นทิศเป็นทางไปยังตู้พลางหยิบเสื้อยืดสีแดงพาดขาวออกมาใส่ก่อนจะหรี่ตาดูนาฬิกาปลุกว่ากี่โมงแล้ว เจ็ดโมงครึ่งกับเฟิร์สที่หายไป ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย



     ผมเดินลงมาข้างล่างโดยที่มือยังขยี้ตาไล่ความง่วงไม่หายมองหาเฟิร์ส พลางหยุดอยู่หน้าทางขึ้นบันไดก่อนจะคิดว่าไปทางไหนต่อดี ห้องรับแขก ห้องทำงานคุณขวัญ ห้องน้ำ สวนหย่อมด้านนอก โว้ะ บ้านแม่งจะใหญ่ไปไหน ? งั้นกูดูแม่งให้ครบเลยแล้วกัน ถ้าอยู่ดี ๆ ผมล้มลงไปนอนกองกับพื้นก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะผมง่วงมากกกกกกก (หน้าก็ยังไม่ได้ล้าง)



     ผมเดินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่แพลนไว้ในหัวจนครบแล้วก็ยังไม่พบบุคคลที่ตามหาเลย จวบจนนึกถึงสถานที่สุดท้ายที่ยังไม่ได้ไปคือห้องครัว มันอาจจะหิวแล้วเข้าไปหาอะไรกินก็ได้ ผมเดินแกว่งมือเหมือนซอมบี้ไปยังที่นั่นจนได้พบร่างของเฟิร์สหันหลังให้อยู่หน้าเตา ทางนั้นคงได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาของผมเลยเอี้ยวตัวกลับมาทักทาย



     " ตื่นแล้วเหรอ ? " เฟิร์สทักทายด้วยรอยยิ้มเรียกความสดชื่นให้ผมได้นิดหน่อย รู้สึกว่าเหนื่อยจัง ขอเดินไปพักตรงเก้าอี้หน่อยแล้วกัน



     " ตื่นแล้วววว มึงทำรายอยู่ ? " ผมไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตอนไหนถึงได้เอาหน้าไปแนบกับพื้นโต๊ะอย่างกับมันเป็นหมอน เฟิร์สหัวเราะให้ผมแผ่ว ๆ



     " ทำอาหารเช้าน่ะ อยากลองทำให้มึงกินดูเผื่อจะ.. โอ๊ย ! " ผมดีดตัวขึ้นมาดูเหตุการณ์ตรงหน้าทันที ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อร่างกายเดินไปยกแขนของเฟิร์สขึ้นมาดู รอยจ้ำแดง ๆ กับคราบน้ำมันเม็ดเล็กปรากฏไปทั่วหลังมือและข้อแขน วินาทีนี้ปากผมไว้กว่าความคิดเสียอีก



     " เดี๋ยวกูทำเอง !! " ผมลากเฟิร์สออกมาจากจุดที่ไข่ดาวใบนั้นกำลังพ้นน้ำมันออกมารอบทิศราวกับภูเขาไฟระเบิด แต่แล้วคนที่ผมจับมืออยู่ก็หยุดการกระทำไว้ด้วยรอยยิ้มอันแสนสบาย



     " จะเสร็จแล้ว มึงไปนั่งรอเถอะ " จะให้กูทนดูสภาพมึงโดนน้ำมันกระเด็นเม็ดแล้วเม็ดเล่าได้ยังไงกันวะ !



     " ไม่เอา ! ให้กูทำเองเถอะนะเฟิร์ส กูทนเห็นมึงเจ็บไม่ได้ " รอยยิ้มที่แต่งเติมบนหน้าของเฟิร์สเมื่อครู่ยังคงไม่จางหายไปไหน



     " ให้กูได้พยายามเพื่อมึงก่อนนะมิ้ลค์ " ผมนิ่งเงียบอย่างพูดอะไรไม่ออก ทำไมต้องพยายามเพื่อกูล่ะ ? แค่ทำอาหารเช้ากูทำได้ มึงไม่เห็นต้องมาเจ็บตัวเพื่อกูเลยนะเฟิร์ส



     ไม่ทันไรผู้ชายคนนี้ก็พาผมมานั่งเก้าอี้เหมือนอย่างเก่า ผมมองคนที่ทอดไข่ดาวอยู่ด้วยความเป็นห่วงเพราะเฟิร์สเองทักษะในการทำอาหารค่อนข้างต่ำมาก ถึงจะทำงานอยู่ในร้านแม่ของมันก็ตามที น้ำมันเม็ดเล็กที่กระโดดจู่โจมเฟิร์สอย่างไร้ปรานีทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจกับตัวเอง ทำไมผมถึงปล่อยให้เฟิร์สต้องมาเจอเรื่องพรรค์นั้น !! หน้าที่ทำอาหารเช้ามันควรจะเป็นผมไม่ใช่เหรอ !!? แม่ง ! แม่ง !! แม่ง !!!



     " เสร็จแล้ว " เฟิร์สนำจานที่มีไข่ดาวสีค่อนดำมาวางตรงหน้าสองจาน ก่อนจะนั่งลงข้างๆ มาส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง " กูพยายามทำให้มันไม่ไหม้ตามที่มึงเคยสอนแล้วนะ แต่มันก็เป็นเงี้ย " เฟิร์สยังดูสบาย ๆ ผิดกับผมที่กังวลกับมือข้างนั้น



     ผมยกมือของเฟิร์สขึ้นมาดูอีกรอบ รอยช้ำรอบหลังมือผุดความแดงขึ้นมามากกว่าเก่าจนน่ากลัว คิ้วบนใบหน้าของใกล้ ๆ เลิกขึ้นราวกับตั้งคำถาม สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงตอนนี้คือกล่องยา ผมเคยเห็นมันอยู่บนห้องของเฟิร์ส ขาของผมลุกขึ้นทันทีอย่างไม่สนใจสิ่งใด แต่เหมือนเจ้าของแขนข้างนี้จะเดาได้ว่าในหัวผมคิดอะไรอยู่



     " กินก่อน เดี๋ยวยาค่อยทาก็ได้ " เฟิร์สดึงมือของผมกลับให้ลงไปนั่งเหมือนอย่างเก่าพลางหยิบมีดในจานขึ้นมาหั่นส่วนเนื้อของไข่และนำมันขึ้นมาป้อน " อร่อยนะ อ้า "



     ทำไมมันบีบหัวใจอย่างนี้



     " อ้าว ร้องไห้ทำไม ? " เฟิร์สวางมีดและซ้อมในมือลงทันทีพลางเอื้อมไปหยิบทิชชู่มาซับที่แก้มของผม ผมอธิบายไม่ได้ว่าน้ำในตาทำไมถึงไหล่ออกมา ความประทับใจที่เฟิร์สทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ หรือความเจ็บใจที่ตัวเองปล่อยให้เฟิร์สต้องมาเจ็บตัวแบบนี้



     มันมีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนในเวลาเดียวกัน



     " มึง...ฮึก มึงไม่ต้องทำเพื่อกูขนาดนี้ก็ได้นะเฟิร์ส กูเห็นมึงเจ็บแล้วก็เจ็บยิ่งกว่าอีก ฮึก รู้มั้ย ? " เฟิร์สคลี่ยิ้มให้ผมก่อนจะวางทิชชู่ในมือ



     " ที่กูทำให้มึงทั้งหมด ก็เพราะกูรักมึงไง " มันหัวเราะร่าอย่างไม่คิดอะไร " ใครว่ากูเจ็บตัว แผลแค่นี้เอง " ผมไม่ไหวแล้ว ผมไม่ไหวกับตัวเองแล้ว



     ผมโถมตัวเข้าไปกอดเฟิร์สอย่างไม่รีรอ ความรู้สึกปั่นป่วนจากข้างในสั่งให้ผมแหกปากร้องออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง จนเฟิร์สต้องหัวเราะอย่างเอ็นดู แขนของคนที่กอดอยู่ยกขึ้นมาลูบหัวปอย ๆ ราวกับผมเป็นเด็กน้อย



     " อย่าขี้แงดิ กูทำตัวไม่ถูกนะ "



     ไม่ต้องทำอะไรให้กูทั้งนั้นแหละ แค่อยู่ข้าง ๆ กูตลอดไปแล้วก็พอ



####



     หลังจากที่ทาแผลและแอบแวะลงไปเล่นน้ำในสระบ้านของเฟิร์ส ผมก็กลับถึงบ้านตัวเองในเวลาบ่ายโมงกว่า ๆ ไม่ต้องห่วงเลยนะครับท่านผู้อ่านว่าผิวของผมจะคล้ำแดดเพราะตากเป็นเวลานาน หึหึ ต่อให้ผมถูกพระอาทิตย์แผดเผาทั้งเป็น ยังไงผิวขาว ๆ ของผมก็ไม่มีวันดำอย่างแน่นอน (แต่น่าจะไหม้แทน) ตอนกลับเฟิร์สมันขี่จักรยานพาผมมาส่งถึงปากซอยหน้าหมู่บ้าน ผมบอกแล้วว่าจะเดินถึงจะไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่แม่งก็ยังคะยั้นคะยอให้ซ้อนมันจนได้ ดีนะว่าคนในหมู่บ้านตอนกลางวันแสก ๆ ไม่ได้เยอะมากก ผมเลยบริสุทธิ์ใจที่จะกอดมันจากข้างหลังจนถึงหน้าหมู่บ้านโดยสวัสดิภาพ



     ขากลับผมแวะซื้อข้าวกลางวันกับขนมมากมายไปฝากน้องมินที่ตลาดแถวบ้านด้วย ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาอะไรตกถึงท้องบ้างหรือยัง ไอเฟิร์สก็มีความคิดแบบเดียวกับผมนี่แหละว่าให้ซื้ออะไรไปฝากน้อง ตอนแรกมันก็จะตามออกมากับผมเหมือนกันครับโดยอ้างว่าจะไปช่วยเลือกขนม แต่มึงหยุดเลยไอเวร ! เพราะจริง ๆ มันจะมาอยู่กับผมครับไม่ใช่เลือกของฝาก จะรักกูแค่ไหนก็ไม่เห็นต้องติดเป้งตลอดเวลาก็ได้ หึหึ



     ผมจ่ายค่ามอเตอร์ไซต์ที่นั่งมาจากตลาดพลางใช้กุญแจเปิดรั่วที่ล็อกอยู่ก่อนจะเดินเข้าไป อ่าว ! ผมหยุดมองคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อแจ็คเก็ต กางเกงยีน นั่งก้มหน้าก้มตาใส่รองเท้าผ้าใบอย่างคิดไม่ออกว่าเขาเป็นใคร ทำไมมันหล่อแปลก ๆ ทางนั้นค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมจนได้รู้ว่ามันคือ..



     " ไออาร์ม !! " แสดงว่าตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมให้มันมาอยู่ดูแลมินตอนนี้ก็พึ่งกลับอะดิ !



     " หวัดดีมึง " มันพยักหน้าทักทายผมก่อนจะก้มไปมัดเชือกรองเท้าของมันอย่างเก่า



     " กินอะไรก่อนปะมึง กูซื้อมาเต็มเลย " ผมเดินไปใกล้มันกว่าเก่าพลางยกถุงที่เต็มไปด้วยของกินมากมาย อาร์มยิ้มให้ผมเจื่อน ๆ ก่อนจะลุกขึ้น



     " ไม่อะ กูจะกลับแล้ว " เฮ้ย ! มึงจะรีบกลับได้ไง ไม่ได้ !! มึงไม่กินไม่เป็นไรแต่มึงต้องรายงานผลของเมื่อคืนก่อน ผมวิ่งไปสลัดรองเท้าให้กระเด็นออกจากตีนพลางนำสัมภาระเข้าไปเก็บไว้ในครัว แล้วจึงรีบออกมาหาคนที่ยืนดูอยู่



     " มานี่ ๆ " ผมพาอาร์มมายังม้าหินตรงสวนพลางนั่งลง คนที่เดินตามมาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะนั่งลงบ้าง



     " อะไรมึง ? กูจะรีบกลับไปทำการบ้าน "



     " เมื่อคืนเป็นไงมั้ง ? " มันมองหน้าผมตาปริบ ๆ อาร์มคงไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม้ร้ายกับมินหรอกเนอะ



     " ก็ดี " ก็ดีห่าอะไรล่ะ !!! มึงช่วยอธิบายอะไรมากกว่านี้หน่อยเส้ !



     " โห่...มึงอธิบายมาหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง " แต่มันก็ดูเหนื่อย ๆ เบลอ ๆ นะ หรือว่ามันเผด็จศึกน้องผมแล้ว ! " หรือมึง !? "



     " เชี่ย !!! มึงอย่าคิดว่ากูเป็นคนแบบนั้น ถึงกูจะเคยคบกับสาวมาเยอะแยะ แต่กูก็ไม่เคยทำอะไรอย่างว่าเลยนะ " โล่งอกกก นึกว่ามินจะเสียเอกราชให้ไอห่านี่ไปซะแล้ว ผมขยับตัวเข้าไปหามันอย่างสนใจมากกว่าเก่า



     " เออ ๆ แล้วไงต่อ "



     " กูก็ปรับความเข้าใจกับมินนิดหน่อย กูรู้ใจตัวเองนะเว้ยว่าคิดอะไรกับมันอะ แต่น้องมึงแม่งปากแข็งชิบหาย ไม่พูดสักทีว่ารู้สึกอะไรทั้ง ๆ ที่กูก็ดูออก " อืมมมม อันนี้เข้าใจเพราะมินก็เคยมาพูดกับผมเมื่อไม่กี่วันก่อน



     " ก็คุยด้วยกันจนดึกเลย สรุปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่ามินคิดอะไร กูหมั่นไส้เลยนอนห้องเดียวกับแม่งเลยจนกว่าจะได้คำตอบ สุดท้ายน้องมึงแม่งก็ไม่พูด ตอนนี้มันก็ยังไม่ตื่น กูเลยว่าจะกลับบ้านก่อน " ผมพยักหน้าตามมันว่า แต่ผมก็ยังอยากรู้นะว่าทำไมมันถึงเลือกมิน น้องชายสุดที่รักของผม



     " แล้วมึงชอบน้องกูเพราะอะไรอะ กูถามได้มั้ย ? " อาร์มรอบมองสายตาของผมก่อนจะหันไปยิ้มทางอื่น



     " กูชอบที่มันใส่ใจกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร บางทีก็จุกจิกกับจนน่ารำคาญ ถึงมันจะใจดีกับใครแค่ไหน แต่คนที่เอาแต่ใจก็มีแค่กู " รอยยิ้มของอาร์มที่โชว์หราอยู่นี้มันคงเป็นเครื่องหมายความสุขอย่างแท้จริงสินะ " ถึงกูจะยังไม่ได้คำตอบว่ามินคิดอะไรกับกู แต่กูขอสัญญากับมึงนะว่าหลังจากนี้ถ้ากูได้คำตอบอะไรที่มันชัดเจนกว่านี้แล้ว กูจะดูแลน้องมึงเอง " ได้ยินคำนั้นผมก็ยื่นมือไปตบบ่ามันให้กำลังใจ



     " เออ สู้ ๆ นะมึง หลังจากนี้กูฝากมินไว้กับมึงด้วยล่ะ แล้วเอาคำตอบของมินมาฝากกูด้วย " พอผมพูดจบสายตาพลันเห็นผ้าม่านของห้องมินมันขยับลงอย่างรวดเร็วเหมือนเจ้าตัวกำลังแอบดูอยู่ ฮ่า ๆ ตื่นแล้วสินะ



     " งั้นกูกลับละ โชคดีมึง " ผมตบบ่าอาร์มอีกทีก่อนที่มันจะลุกขึ้น แต่ไหนมันถีบตัวเองกลับมานั่งต่อ " แล้วทำไมมึงไปนอนบ้านไอเฟิร์สวะ !? " อ้าว ไอคนที่รีบกลับบ้านตากี้มันหายไปไหนแล้ว !



     " แม่มันเรียกตัวกูไปทำกับข้าวที่บ้านให้กิน " ผมตอบไปตามความจริง แต่สายตาแม่งจ้องอย่างกับไม่เชื่อเลย



     " เจ็บมั้ยมึง โดนสอยตูดครั้งแรก " ผมยกมือโบกกบาลมันทันที แต่แม่งดันลุกหนีไปเสียก่อน



     " ฮ่า ๆ ไปแล้วมึง เจอกัน คู่มึงก็รีบ ๆ เป็นแฟนกันล่ะ " แฟนพ่อง ผมยกนิ้วกลางให้มันก่อนจะเดินตามไปล็อกประตูให้พลางร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย



     " กลับดี ๆ มึง "



     หมดห่วงแล้วครับถ้าผมจะฝากน้องชายสุดที่รักไวกับเพื่อนสนิทคนนี้ ถึงมันจะเป็นคนไม่เอาไหนบ้างในบางเรื่อง แต่ถ้ามันให้คำมั่นสัญญากับใครแบบนี้แล้ว สัญญานั้นจะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเป็นร้อยเท่าพันเท่า ดีใจแทนมินจริง ๆ ที่ได้เจอคนแบบอาร์ม



     ผมเอี้ยวตัวกลับไปด้วยความปลื้มในใจพลางผงะเข้ากับร่างของน้องชาย ที่ยืนกอดอกพิงขอบประตูจ้องมาด้วยสายตาอาฆาต พระเจ้า...ทำไมปล่อยรังสีอํามหิตรุนแรงขนาดนั้นกันล่ะ..



     " พี่อาร์มฟ้องอะไรพี่มิ้ลค์ ? " ทันทีที่ผมเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ด่านตำรวจของสารวัตรมินก็โบกมือขอตรวจแอลกอฮอล์ผมแทบจะทันใด



     " ก็ไม่มีอะไรหนิ " มินที่ได้ยินแบบนั้นก็ร้องโห่ด้วยความไม่พอใจ



     " ไม่ต้องเลย พี่อาร์มต้องฟ้องอะไรแน่ ๆ " เจ้าเด็กตัวขาวเดินมาขวางผมตรงหน้าด้วยสายตาขุ่นเคือง ฮ่า ๆ ไม่เคยเห็นมินมาดนี้มาก่อนเลยว่ะ สงสัยอยู่กับไออาร์มมากจนสมองเพี้ยน



     " อาร์มมันบอกว่า เจอคนปากแข็งไม่ยอมรับความจริงก็เท่านั้นเอง " ผมเดินเลี่ยงน้องชายที่ยังตีหน้ามึนกับคำพูด ก่อนที่เสียงจากด้านหลังจะแว้ดตามมา



     " มินไม่ได้ปากแข็งสักหน่อย ! มานี่เลยนะพี่มิ้ลค์ ! มาเคลียร์กับมินให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลยนะ !! " ฮ่า ๆ ตลกจัง



     " มินไม่ได้ปากแข็งหรอก มินแค่ไม่รู้ใจตัวเอง ข้าวเที่ยงอยู่ในครัวนะ พี่ซื้อมาให้แล้ว " เป็นประโยคสุดท้ายที่ผมทิ้งทวนให้เจ้าน้องชายตัวดีก่อนจะเดินขึ้นห้องไป อ่าาาาาาาห์ อาบน้ำแต่งตัวสักหน่อยดีกว่า เหม็นไปทั้งตัวแล้วเนี่ย ~



####
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.34 แนบสารบัญแล้วจ้า (23/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 25-02-2018 10:16:20
เมื่อเช้าทางโรงเรียนของเราได้มีพิธีการมอบตำแหน่งประธานนักเรียนและประธานสีกันเกิดขึ้นครับ ในวันนี้ผมก็ได้มาเป็นสักขีพยานกับมินด้วยเช่นกันที่ได้รับตำแหน่งอย่างเต็มตัว ในตอนพิธีเริ่มนั้นก็ได้มีการเดินสวนสนามของเหล่าประธานนักเรียนและประธานสีรุ่นก่อนเป็นแถวเรียงรายสวยงามไปยังเวที ควบคู่กับจังหวะดนตรีของวงโยธวาทิตที่บรรเลงเพลงมาร์ช ยิ่งทำให้พิธีมีมนต์ขลังเข้าไปใหญ่ อาร์มโบกสะบัดธงที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนราวกับทำหน้าที่สุดท้าย ก่อนจะยื่นธงนั้นให้มินได้โบกพัดดุจสานต่อหน้าที่และภาระอันยิ่งใหญ่ พี่ชายอย่างผมเห็นแล้วก็อดที่จะปลื้มปริ่มจนน้ำตาแทบไหล่เลยล่ะ คิงคองก็ทำหน้าที่นี้เช่นกันกับน้องต๊ะประธานสีรุ่นต่อไป รวมไปถึงไอเจสสิก้าที่มอบธงให้แก่เด็กในเครือแก๊งนางฟ้าของมันเช่นกัน กูว่าปีหน้าได้มีคอนเซ็ปต์แปลก ๆ อีกแน่เลยว่ะ



     เสียงออดคาบก่อนพักกลางวันดังขึ้น อาจารย์ยลดาที่สอนวิชาชีวะก็สั่งการบ้านให้พวกเราไปทำแบบฝึกหัดท้ายบทแทบจะทันที แต่ดูเหมือนพวกห่านี่จะสนใจคำพูดของอาจารย์เพียงแค่แปปเดียวเท่านั้นก็วิ่งกรูหายไปในทันใด ทิ้งให้ผมนั่งเป็นหมาสงสัยอยู่กับไอปอนด์ที่นั่งใกล้ ๆ ไม่ถึงสองโต๊ะ เอ่อ...มึงจะรีบไปไหนกัน ? ข้าวกลางวันมึงจะนั่งรถไปกินที่สยาม แล้วกลัวกลับมาไม่ทันเรียนคาบต่อไปรึไง



     ผมขมวดคิ้วหมุนกับไอพวกนี้อย่างสงสัยไม่หาย พลางเก็บกล่องดินสอและหนังสือเข้ากระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นไปหาอะไรกระแทกปาก และคงได้ไปกินข้าวแล้วถ้าปอนด์ไม่ยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ มาให้ตัดหน้า



     " อะไรอะ ? " ผมพลิกซ้ายพลิกขวาอย่างพินิจว่ามันคืออะไรก่อนจะมองหน้าคนที่ยื่นมา



     " กูก็ไม่รู้อะ เห็นไอซันมันบอกว่ายื่นให้ไอมิ้ลค์ด้วย " ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ปอนด์อธิบาย " งั้นกูไปทำการบ้านที่ห้องสมุดก่อนนะ เจอกัน "



     " แล้วไม่กินข้าวเหรอ ? " ผมถามปอนด์ในตอนที่ทางนั่นสอดเก้าอี้เข้าไปยังโต๊ะ มันหยิบถุงปริศนาขึ้นจากกระเป๋าเป้มาโชว์อวด



     " มีขนมปัง ไปก่อนนะ " ผมพยักหน้ารับมันอีกทีก่อนจะปล่อยให้ปอนด์เดินจากไป



     กระดาษอะไรวะ ?



     ผมเดินลงจากตึกเรียนค่อนข้างไวนิดหน่อยมายังโรงอาหารเพื่อที่จะหาอะไรกิน พลางมองหาฝูงเพื่อน ๆ ที่ตอนอยู่บนห้องมันบินว้อนหายไปเหมือนผึ้งแตกรัง เอ้า !! แล้วแม่งหายไปไหนไม่บอกกูกันสักคำเลยวะ ? ผมเกาหัวแกก ๆ อยู่ในโรงอาหารที่มีเด็กม.ปลายเดินไปมาอยู่รอบตัว หรือที่แม่งหายตัวไปกันจนหมดจะเป็นเพราะกระดาษแผ่นนี้ ?



     ผมคลี่กระดาษที่ปอนด์ยื่นมาซึ่งแม่งผับอยู่หลายทบออกให้ได้เห็นตัวอักษร ที่บอกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง..



     " กระถางดอกไม้ดาดฟ้าชั้นเจ็ดตึกสิบห้า " แม่มึง ! ใครเขาจะเดินขึ้นไป !! ผมขยำไอกระดาษห่านี่ลงพื้นทันทีก่อนจะเดินหาร้านข้าวต่อ แม่ง กูแดกคนเดียวก็ได้วะ เล่นบ้าไรกันเนี่ย ! โอ๊ยยย แล้ววันนี้ทำไมโรงอาหารโต๊ะต้องเต็มด้วยวะ !! สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะเดินไปตามคำบอกของกระดาษแผ่นนั้นที่ได้บรรจงเขียนเอาไว้..



     " แฮก ๆ " แล้วตึกห่านี่ทำไมต้องไม่มีลิฟต์อยู่ตึกเดียวด้วยวะ !? ทันทีที่ผมเดินมาถึงดาดฟ้าตามคำบอกก็รีบสูดอากาศจากโลกนี้เข้าปอดอย่างไว เพราะรู้สึกเหมือนมันระเหยหายไปกับการขึ้นบันไดจนหมด แล้วยังไม่ทันจะเดินไปต่อเข่าก็ทรุดโดยอัตโนมัติ เมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือกระถางต้นไม้นับร้อยยืนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ เชี่ยยยยย นี่มึงกำลังจะบอกว่าให้กูเดินเช็กทุกกระถางกลางแดดที่แผดเผาร่างกายเนี่ยนะ !? โอ้มายก๊อดดดด เจอพวกมึงเมื่อไหร่กูจะฆ่าไม่เว้นสักศพเลยไอชิบหาย !



     ผมเดินตาขวางดูกระถางต้นไม้ที่มีแต่เศษดินและต้นกล้าที่ตายแล้วพลางปาดเหงื่อบนขมับ คือห้องเกษตรจะเอากระถางต้นไม้ที่ไม่ใช้หรือตายแล้วมาวางเรียงกันที่นี่เสมือนเป็นหลุมศพน่ะครับ ตอนม.ต้นผมเคยทำรายงานเรื่องดอกกล้วยไม้ ปรากฏว่าปลูกไปปลูกมามันก็ตาย อาจารย์เลยบอกว่าให้เอาต้นที่ผมปลูกมาวางรวมกันที่นี่ แต่นั่นมันใช่ประเด็นเหรอ ?



     ผมหยิบกระดาษที่ลักษณะคล้ายกับตอนที่ปอนด์ยื่นมาให้ในกระถาง ที่อยู่ไกลกับทางขึ้นประมาณสิบห้าเมตรเห็นจะได้ขึ้นมาคลี่อ่าน..



     ต้นดาวเรืองสวนวิจิตร



     โว้ยยยยยยยยยยยย กูอยากแปลงร่างเป็นอสุรกายแล้วไปฆ่าพวกมึงทุกคนนนนน !!!!!!



     ผมร้องโวยวายเหมือนโดนผีเข้าบนดาดฟ้าที่ไม่มีใครอยู่อย่างเสียงดัง แต่ถึงกระนั้นผมก็เดินไปตามคำบอกอยู่ดี..



     ห่าราก



     ตากี้ก่อนจะมาถึงสวนวิจิตร ผมแอบเดินไปโรงอาหารเพื่อซื้อนมไวตามิ้ลค์มาดื่มเฮือก ๆ เป็นจำนวนหนึ่งขวด แม่งเหนื่อยชิบหาย ให้กูเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วต่อด้วยสวนวิจิตเนี่ย จิตใจพวกมึงทำด้วยอะไรกันถึงได้ให้กูไปฟันฝ่ากับห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ โว้ะ ผมเดินเข้าไปยังสวนวิจิตรพลางทิ้งขวดที่ถือติดมือใส่ถังขยะ อืมมมม ดอกดาวเรืองอยู่ไหนล่ะเนี่ย.. ผมเดินไปอีกนิดหน่อยพลางชะเง้อมองรอบตัวเองเห็นแต่ต้นหูกระจง ดอกเฟื่องฟ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย แล้วดาวเรืองมันอยู่ไหน ? ผมเดินวนอยู่ในนั้นประมาณสามรอบเศษก็นึกท้อขึ้นมาซะดื้อ ๆ เพราะไอดอก ! ดาวเรืองที่ทางโรงเรียนปลูกไว้มันผุดอยู่ตรงส่วนไหนของสวนวะ !! แต่แล้วความพยายามก็เป็นผลเมื่อหางตาเห็นดอกไม้หน้าตาคลับคล้ายคลับคลาอยู่ตรงบริเวณหนึ่ง มันเป็นซอกของเด็กเลวไว้สูบบุหรี่น่ะครับ แน่จริงมึงก็ดูดหน้าห้องปกครองสิ ว่าแล้วผมก็เดินฝ่าฝูงควันนิโครตินที่ลอยฟุ้งจนเหม็นจมูกเข้าไปหา นั่นไงดอกดาวเรือง !!



     ผมเดินไปคว้ากระดาษใบเล็ก ๆ ข้างลำต้นนั้นขึ้นมาอ่านโดยไม่แยแสไอพวกเด็กม.4 ที่นั่งดูดบุหรี่อยู่ ผมเดินออกจากตรงนั้นอย่างกับพวกมันเป็นธาตุอากาศมาคลี่กระดาษดูเนื้อความด้านใน แต่แล้วเสียงหมาก็หอนมาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่จากด้านหลัง



     " เฮ้ยพวกมึง มีรุ่นพี่หน้าหวานเดินหลงทางมาแถวนี้ว่ะ หน้าหวานกว่าเมียไอนอฟมันอีก กูจีบพี่.. " เสียงขอส่วนบุญของไอเด็กเปรตคนนั้นหยุดทันทีเมื่อสายตาของผมหันไปมองดุจเปลวไฟที่ลุกโชน พวกแม่งมองหน้ากันอย่างจนปัญญาแต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เลยเดินออกมาจากตรงนั้นเพื่อดูข้อความด้านในต่อ



     ที่โล่งชั้นหนึ่งระหว่างตึกสิบสี่และสิบห้า



     กูให้โอกาสพวกมึงครั้งเป็นสุดท้ายแล้วนะไอพวกดอก !!!



     ผมจากสวนวิจิตรมาตามคำบอกด้วยความไวแสง ถ้าพวกมึงยังไม่แสดงตัวกันอีก กูจะเดินไปหยิบลูกซองมาเป่าหัวพวกมึงทีละคนจริง ๆ (ไม่มีหรอกครับ พูดเว่อร์ไปงั้นแหละ) แต่แล้วความขุ่นเคืองก็หายไปเมื่อผมเดินมาหยุดอยู่ระหว่างตึกทั้งสอง รอบด้านผมไม่มีใครอยู่ทั้ง ๆ ที่ควรจะมีนักเรียนมานั่งเล่นหรือหยอกล้อกัน ผมพิจารณาถึงความผิดสังเกตนี้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปดูด้านบน ทั้งสองตึกซ้ายขวาค่อย ๆ มีหัวคนชะโงกผุดออกมาเหมือนดอกเห็ด แน่นอนครับเพื่อนผมทุกคนอยู่หนึ่งในจำนวนนั้น



     ในตอนที่ปากผมจะตะโกนด่าพวกมันด้วยความโมโห ใครคนหนึ่งก็เดินมาหาผมจากซอกตึกอย่างเห็นได้ชัด มือซ้ายถือดอกไม้สีขาวช่อสวย มือขวาจับไมโครโฟนไว้แน่น ความรู้สึกโกรธที่เคยมีอยู่ในหัวได้ลอยหายไปตามสายลม เมื่อผมรู้ว่าชายคนนั้นซึ่งตลอดทั้งวันพึ่งได้เจอน่ะ..



     " เฟิร์ส " ตอนนี้สมองผมว่างเปล่าเหมือนถูกดูดไปจนหมด ผมเดาไม่ได้เลยว่าชายคนนี้ในหัวของเขาคิดจะทำอะไร สายตาของผมจับจ้องไปยังมือของคนตรงหน้าที่ยกไมโครโฟนขึ้นจ่อปากอย่างใจระทึก



     " เมื่อก่อน...กูกล้าพูดเลยนะว่าคนที่เกลียดมากที่สุดคือมึง แต่พอได้รู้ความจริงบางอย่างว่ามึงไม่ได้เป็นแบบที่กูคิด ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป " เฟิร์สพูดออกไมล์อย่างไม่สนใจเสียงที่ดันลั่นไปทั่วทั้งสองตึก " รู้ตัวหรือเปล่ามิ้ลค์ว่าหลังจากที่มึงเข้ามาในชีวิตกู ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ? "



     " .......... " ผมนิ่งเงียบอย่างใจจดใจจ่อกับสิ่งที่เฟิร์สจะพูดหลังจากนี้



     " มิ้ลค์ มึงรู้ตัวใช่มั้ยว่ากูคิดยังไงกับมึง ? " ผมพยักหน้ารับคำถามนั้นอย่างตื่นเต้นในอก เดาไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าเฟิร์สจะมาสารภาพเรื่องนี้กับผมทำไม



     " อื้ม "



     " ที่กูมาวันนี้ กูอยากจะขออะไรมึงสักอย่าง...จะได้มั้ย ? " ถ้าเป็นมึงอยากจะขออะไรกูก็ให้ได้ทั้งนั้น



     " อะไรล่ะ ? "



     " ไม่ต้องปิดแล้วนะหัวใจดวงนั้น เดี๋ยวหัวใจที่ถูกทำร้ายของมึง...กูจะดูแลมันเอง " จนตอนนี้เฟิร์สก็ยังคงคิดว่าหัวใจของผมได้ปิดลงไปเพราะนัทตี้อยู่สินะ แต่พอได้ยินคำพูดอันเปรียบเสมือนประโยคหลักที่เฟิร์สเวิ่นเว้อมาถึงตรงนี้แล้ว ข้างในมันรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก



     " ประวัติหัวใจของกู...มันไม่ค่อยจะดีหรอกนะ มึงแน่ใจแล้วเหรอที่จะทำแบบนั้น ? " ที่ผมถามแบบนี้ไปก็ที่ต้องปิดหัวใจ มันก็เพราะตัวเองทั้งนั้น ถึงจะไม่มั่นใจตัวเองยังไง แต่เฟิร์สก็พยักหน้ารับอย่างไม่มีเงื่อนไข



     " เพียงแค่มึงส่งมันมา กูจะดูแลมันเอง " ตอนไหนกันนะที่ผมเผลอหลุดยิ้มออกมา



     " กูขอคบกับมึงได้แล้วใช่มั้ยมิ้ลค์ ? " ยังจะต้องถามอีกเหรอวะ ? กูหน้าแดงไปหมดแล้วเนี่ย..



     " อืม " ในวินาทีนั้นเฟิร์สโน้มตัวเข้ามากอดผมท่ามกลางเสียงกู่ร้องอันแสดงความยินดีแก่เราทั่วสารทิศ ผมกอดตอบร่างโปร่งของเฟิร์สด้วยความรู้สึกหลากหลาย มันมีทั้งความสุขที่วันหนึ่งมีคนยอมรับข้อเสียของตัวผมได้ ปลาบปลื้มที่เฟิร์สกล้าพูดว่ารักผม ตื้นตันในวันนี้ที่เฟิร์สทำให้มันเกิดขึ้น มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างปะปนกันมั่วไปหมด



     " จูบกัน !! จูบกัน !! " เราสองคนหันขึ้นไปมองไอพวกเพื่อนเวรที่แหกปากเชียร์อยู่ข้างบนด้วยความหน่ายใจ จูบห่าอะไร ไม่ใช่งานแต่งนะโว้ยย



     " สักหน่อยมั้ย ? " ผมหันไปถลึงตาเบิกกว้างให้กับคำพูดของแม่งที่เหมือนถามเป็นเรื่องปกติ คนที่กอดอยู่เคลื่อนวงหน้ามาใกล้แต่ไม่ไวกว่าเสียงของใครไม่รู้



     " นี่พวกเธอ !! เอาไมล์ห้องประชาสัมพันธ์มาเล่นอะไรกัน !!!!? " แล้วผมก็หันไปทางต้นเสียงจึงพบว่า.. เชี่ย ! แม่พร !!!



     " ทุกคน ! ตลาดแตก !! โกยยยยยย !!!!!! " เสียงแหกปากของไอคิงคองสั่งจากด้านบนให้นักเรียนละแวกนั้นกระจัดกระจายเหมือนมดแตกรัง เฉกเช่นพวกเราที่จับมือวิ่งหนีตายกันไปสองคน ฮ่า ๆ



     ผมก็พึ่งรู้มาไม่นานนี้เหมือนกันว่าหัวใจที่ปิดอยู่ของตัวเอง มันได้มีเฟิร์สเข้ามาอยู่ตั้งนานแล้ว :)



     ฉันที่เคยโดนทำร้ายมา

ใจเหมือนไม่มีคุณค่าใด

     เป็นของที่ไม่น่าสนใจ

โดนเหวี่ยงทิ้งไป



     รักษาเท่าไรก็เหมือนเดิม

ไร้แม้กำลังจะหายใจ

     เป็นสิ่งของไม่มีชีวิต

ข้างในบุบสลาย จนเกินจะคิดเยียวยา

     จนเมื่อฉันได้มาเจอกับเธอ



     คนอย่างฉันถูกโยนทิ้งขว้าง

กลับมีเธอรับเอามาใส่ใจดูแล

     หยิบใจฉันขึ้นมาจากพื้น

ช่วยชีวิตให้ยืนได้เหมือนเดิม

     ขอบคุณที่เธอยอมรักกัน



     รับได้ทุกเรื่องที่ฉันเป็น

รับไม่ว่าเป็นมาเช่นไร

     จากสิ่งของไม่มีความหมาย

ข้างในเกิดเป็นใจดวงหนึ่งที่รักเพียงเธอ

     ฉันก็รู้ว่าโชคดีแค่ไหน



     คนอย่างฉันถูกโยนทิ้งขว้าง

กลับมีเธอรับเอามาใส่ใจดูแล

     หยิบใจฉันขึ้นมาจากพื้น

ช่วยชีวิตให้ยืนได้เหมือนเดิม

     ขอบคุณที่เธอยอมรักกัน



     คนอย่างฉันถูกโยนทิ้งขว้าง

กลับมีเธอรับเอามาใส่ใจดูแล

     หยิบใจฉันขึ้นมาจากพื้น

ช่วยชีวิตให้ยืนได้เหมือนเดิม

     ขอบคุณที่เธอยอมรักกัน



     คนอย่างฉันถูกโยนทิ้งขว้าง

กลับมีเธอรับเอามาใส่ใจดูแล

     จากสิ่งของที่ไม่มีค่าอะไร

ได้มาเป็นคนเดียวในใจของเธอ

     ฉันจะมีชีวิตต่อจากนี้ เพื่อรักเธอ





ขอขอบคุณ

เพลง สิ่งของ - KLEAR



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.35 แนบสารบัญแล้วจ้า (25/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 25-02-2018 18:08:40
Not to be unlocked : Special Episode 4 : ความสุขในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น



     " เดี๋ยวนักเรียนทำแบบฝึกหัดท้ายบทยี่สิบข้อมาส่งอาจารย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยนะคะ " หลังจากเสียงออดส่งสัญญาณหมดคาบเรียนสุดท้ายของนักเรียนม. 5/11 ก่อนพักกลางวันจะเริ่มขึ้น อาจารย์ประจำรายวิชาชีววิทยาก็สั่งการบ้านท้ายบทโดยพลัน นักเรียนบางคนจดการบ้านด้วยความตั้งใจในคำสั่ง แต่ส่วนหนึ่งกลับวิ่งกรูหายออกไปด้านนอกกันหมด เพื่อที่จะทำตามแผนของเพื่อนพันธมิตรของทางฝั่งห้องม. 5/4



     " ปอนด์ ๆ กูฝากนี่ไว้ให้มิ้ลค์หน่อยดิ พอมันเดินมาก็ส่งให้เลยนะ " ซันที่นั่งข้าง ๆ ปอนด์สะกิดเจ้าตัวก่อนจะไหว้วานเขาให้ส่งสิ่งนี้ไปยังเพื่อนตัวขาว



     " อื้ม ๆ " ปอนด์รับแผ่นกระดาษชิ้นเล็ก ๆ นั้นไว้อย่างไม่สงสัยอะไรเพิ่มเติมพลางเก็บหนังสือที่ได้จดการบ้านไว้ไปยังกระเป๋าเป้ประจำกาย จริง ๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เพื่อนวิ่งหายไปกันจนหมดต้นสายปลายเหตุเป็นเพราะอะไร



     " งั้นเดี๋ยวเจอกัน " ซันตบบ่าปอนด์เป็นเชิงขอบคุณแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังที่ไหนสักแห่ง ทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำเพียงกับหน้าอันมึนงงของมิ้ลค์ที่สงสัยว่าเพื่อนจะรีบไปไหนกัน จากนั้นไม่นาน กระดาษที่ถูกพับไว้หลายทบในมือของปอนด์ก็ยื่นตรงไปให้เป้าหมาย เมื่อเพื่อนผู้ชายตัวสูงขาวกำลังจะเดินผ่าน



     " อะไรอะ ? " มิ้ลค์รับกระดาษแผ่นนั้นมาพลิกซ้ายทีขวาทีอย่างไม่ไว้ใจกับสิ่งที่ได้รับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนตาตี๋ของเขา



     " กูก็ไม่รู้อะ เห็นไอซันมันบอกว่ายื่นให้ไอมิ้ลค์ด้วย " ปอนด์พูดไปตามความจริง เขาไม่รู้เลยว่าเนื้อหาด้านในและแผนที่พวกเพื่อนกำลังจะทำอยู่คืออะไร " งั้นกูไปทำการบ้านที่ห้องสมุดก่อนนะ เจอกัน " ปอนด์พูดขณะลุกพลางยกกระเป๋าที่พาดอยู่กับเก้าอี้ขึ้นมาสะพาย



     " แล้วไม่กินข้าวเหรอ ? " ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนจนติดเป็นนิสัยของมิ้ลค์ เขาจึงออกปากถามหาถึงมื้อกลางวัน ปอนด์ที่สอดเก้าอี้อยู่ก็หันมาเปิดกระเป๋าของตนเพื่อหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาให้มิ้ลค์ดู



     " มีขนมปัง ไปก่อนนะ " เพื่อนหน้าหวานพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนเขาจะปล่อยให้เพื่อนคนนั้นไปทำสิ่งที่ทิ้งทวนไว้ตามต้องการ



     ห้องแต่ละชั้นที่เคยมีผู้คนนั่งเรียนกันอย่างขยันขันแข็ง ก็ค่อย ๆ ทยอยเดินลงมาเพื่อฝากท้องกับร้านค้า แต่ผิดกับพี่ม.ปลายคนหนึ่งที่เดินสวนทางนักเรียนหลายคนไปยังห้องสมุด เป้าหมายของเขาคือการฟาดฟันกับโจทย์ชีววิทยา ที่อาจารย์ยลดาได้เป็นคนฝากฟังให้ไปทบทวนก่อนจะนำมาส่งในวันรุ่งขึ้น



     ปอนด์เปิดประตูกระจกเข้าไปด้านในห้องสมุดพลางใช้ตัวขาว ๆ รับสัมผัสความเย็น ก่อนจะสวัสดีอาจารย์ท่านหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ เขาเดินผ่านนักเรียนบางกลุ่มที่มีใจรักการอ่านมานั่งปลีกวิเวกบริเวณสืบค้นข้อมูล เวลาปอนด์ต้องการหาแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ เขามักก็จะเลือกมานั่งห้องสมุดของโรงเรียนเพียงลำพัง



     หนังสือแบบฝึกหัดวิชาชีววิทยาได้ถูกนำขึ้นมาวางบนโต๊ะคู่กับถุงผ้าที่บรรจุอุปกรณ์ขีดเขียน ปอนด์เป็นคนชอบสร้างอรรถรสในการทำงานต่าง ๆ โดยเปิดเพลงอันไพเราะจากโทรศัพท์ แน่นอน ปอนด์ก็หยิบหูฟังและไอโฟนคู่ใจของเขาขึ้นมาเช่นกัน



     เพลงสากลในยุคเก้าศูนย์ดังกึกก้องภายในหูของปอนด์ควบคู่กับการทำงาน เขาไม่ค่อยเก่งวิชาชีวะก็จริง แต่หนังสือที่พึ่งไปหยิบมาเมื่อครู่ก็ทำให้การบ้านนั้นเสร็จไปแล้วอยู่หลายข้อ ปอนด์วางปากกาลงกลางหนังสือแบบฝึกหัดก่อนจะหมุนคอตัวเองเพื่อไล่ความเมื่อยล้า เขากำลังจะก้มไปบรรจงเขียนต่อให้เสร็จ แต่ไม่ทันไรข้อความแจ้งเตือนเผยแพร่ภาพสดในไอโฟนก็ดึงความสนใจแก่นักเรียนคนนี้ไปเสียหมด



     ปอนด์หยิบมือถือที่เขาวางไว้ใกล้ ๆ ตัวขึ้นมาดูด้วยความเอ็ดใจ ก่อนจะใช้นิ้วกดข้อความแจ้งเตือนนั้นให้พาไปยังหน้าจอของเพื่อนในเฟสบุ๊ค ภาพที่เห็นฉายไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเป็นบริเวณโล่งกว้าง ปอนด์รู้ในทันทีว่านั่นคือที่ไหน แต่คนที่เจ้าของโทรศัพท์เครื่องนั้นกำลังซูมไปยังผู้ชายคนหนึ่ง เขายังไม่แน่ใจนัก กระทั่งได้ยินเสียงพูดคุยที่แทรกเข้ามา



     " เฟิร์สมันจะมาขอมิ้ลค์คบจริง ๆ เหรอวะ !? " มือของปอนด์เย็นเฉียบในทันทีหลังจากได้ยินประโยคสนทนาที่มีเคล้าแห่งความตกใจ มันเย็นยิ่งกว่าอุณหภูมิยี่สิบห้าองศาภายในห้องสมุดเสียอีก ปอนด์พอจะเดาได้แล้วว่าผู้ชายตัวขาวที่ยืนอยู่บริเวณโล่งกว้างนั้นคือใคร



     " เออดิ แม่งใจชิบหาย มาขอคบกันกลางวันแสก ๆ พวกห้องสิบเอ็ดแม่งก็มาช่วยทำตามแผนของไอเฟิร์สกันหมด " ปอนด์ไม่รอให้บุคคลในโทรศัพท์ได้พูดคุยกันจบ เขารีบดีดตัวเองลุกไปยังสถานที่นั้นอย่างไม่คิดชีวิตโดยทันที



     เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาที ปอนด์ก็พาตัวเองจากห้องสมุดมายังเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาทอดสายตาไปด้านหลังของมิ้ลค์ที่มีใครอีกคนเดินเข้ามา ดอกลิลลี่สีขาวพัดไปตามแรงลมในมือของผู้ชายคนนั้น บุคคลที่มิ้ลค์เคยมาระบายความในใจกับตนยกไมโครโฟนขึ้นมาพูดอะไรบางอย่าง จนทำให้ปอนด์เริ่มใจไม่ดีเสียแล้ว



     " เมื่อก่อน...กูกล้าพูดเลยนะว่าคนที่เกลียดมากที่สุดคือมึง แต่พอได้รู้ความจริงบางอย่างว่ามึงไม่ได้เป็นแบบที่กูคิด ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป " คำพูดนี้ดังไปทั่วตึกทั้งสองฝั่ง นักเรียนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ได้ยินทุกคำพูดชัดเจนกันหมด รวมไปถึงคนมาใหม่อย่างปอนด์ด้วย



     " รู้ตัวหรือเปล่ามิ้ลค์ว่าหลังจากที่มึงเข้ามาในชีวิตกู ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมากแค่ไหน " ปอนด์ไม่รู้เลยว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของทั้งสองเป็นมายังไง เขาไม่ได้ยินคำตอบอะไรทั้งนั้นจากมิ้ลค์ เว้นแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่เริ่มใกล้หยุดเต้นเข้าไปทุกที



     " มิ้ลค์ มึงรู้ตัวใช่มั้ยว่ากูคิดยังไงกับมึง ? " ภาพตรงหน้าของปอนด์คือศีรษะของมิ้ลค์พงกรับ ตอนนี้ขาของปอนด์มันไร้เรี่ยวแรงจนคว้าเสาต้นข้าง ๆ เพื่อพยุงไว้



     " ที่กูมาวันนี้ กูอยากจะขออะไรมึงสักอย่าง...จะได้มั้ย ? "



     " ........... " ปอนด์นิ่งเงียบอย่างฝืนที่จะทนทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถฟังคำตอบของคนที่ตนรักได้ แม้น้ำตาจะเริ่มก่อตัวพร้อมกับเรี่ยวแรงของขาที่หายไปจนโคลงเคลงแทบยืนไม่อยู่ เขาก็ยืนยันที่จะฟังต่อจนวินาทีสุดท้าย



     " ไม่ต้องปิดแล้วนะหัวใจดวงนั้น เดี๋ยวหัวใจที่ถูกทำร้ายของมึง...กูจะดูแลมันเอง " ยิ่งปอนด์เห็นว่ามิ้ลค์กำลังให้คำตอบอันไร้เสียงแก่เฟิร์ส ยิ่งเหมือนทำให้น้ำในตาที่จุกอยู่เต็มเบ้าเริ่มหลากไว้กว่าปกติ



     " เพียงแค่มึงส่งมันมา กูจะดูแลมันเอง " สิ่งที่ปอนด์เห็นหลังจากประโยคนี้จบลง คือรอยยิ้มของมิ้ลค์ที่แสดงความยินดี อันเปิดรับเฟิร์สเข้ามาอยู่ในดวงใจ ปอนด์ยอมรับว่ามันสวยงามอย่างไร้ที่ติ แต่ไม่ทันไรประโยคใหม่ของคนที่มาสารภาพก็ประเดประดังเข้าหูปอนด์อีกระลอก



     " กูขอคบกับมึงได้แล้วใช่มั้ยมิ้ลค์ ? "



     ถึงตรงนี้ปอนด์ไม่สามารถที่จะควบคุมน้ำตาให้หยุดไหลได้แล้ว เมื่อคำตอบสุดท้ายของมิ้ลค์คือการพยักหน้ารับอย่างยินยอม เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีของนักเรียนแถวนั้น ดังพร้อมกับเสียงโหยหวนของปอนด์ที่ยากจะเก็บไว้ข้างใน เขาสั่งตัวเองให้หนีจากเหตุการณ์ตรงนั้น พลางฉุกคิดถึงเรื่องราวของตนกับคนที่แอบรัก



     เขานึกถึงภาพตัวเองและมิ้ลค์ครั้งที่ตนไปสารภาพ ถึงมันจะจบไม่สวยเท่าไหร่ แต่เขาก็ยอมรับมันได้อย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ แต่เบื้องหน้านี้ที่เขาเห็นไปเมื่อครู่คือคนที่ตนรักได้ถูกสารภาพแบบเดียวกัน มันคล้ายกับตนแท้ ๆ ถึงเป็นเช่นนั้นปอนด์ก็ไม่สามารถฝืนใจตัวเองให้ยอมรับได้เลย



     " ฮือออออ ฮึก ฮือออออออ "



     เขาตั้งคำถามกับตัวเองในใจอยู่หมื่นล้านครั้งว่าทำไมถึงไม่ได้รับโอกาสดี ๆ แบบนี้บ้าง ปอนด์คอยปลอบกับตัวเองว่ายังไงการเห็นคนที่ตนรักไปมีความสุขกับคนอื่นก็ย่อมควรจะร่วมยินดีด้วย มิใช่มานั่งร้องไห้เสียใจอยู่แบบนี้ ทำไมกันล่ะ ? ทำไมจิตใจของเราในตอนนี้ถึงยังไม่สงบเสียที



     " อ้าวเฮ้ยปอนด์ ! มาร้องไห้ไรตรงนี้ !? " เสียงเพื่อนร่วมห้องของคนที่ร้องไห้อยู่ดังมาจากใกล้ ๆ จนเขารู้สึกตัวว่าที่แห่งนี้คือสวนวิจิตร ปอนด์ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนไหนถึงมายังสถานที่แห่งนี้ กระทั่งได้พบกับซัน



     " ฮือออออ ฮึก " ปอนด์เงยหน้ามองซันอย่างอ้อนว้อนสุดชีวิต เขาประสงค์อย่างเดียวก็คือไม่อยากให้วันนี้เกิดขึ้น ปอนด์มองอย่างร้องขอว่าให้มันเป็นความฝันจะได้มั้ย แต่ซันมิอาจอ่านดวงตาคู่นั้นได้



     " ใจเย็น ๆ มึงเป็นไร ? " ซันถามออกไปด้วยความเป็นห่วงแม้จะยังมีธุระกับบุหรี่ในมือ หลังจากซันปฏิบัติตามแผนของเพื่อนที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ เขาก็ได้มานั่งพ้นควันรอผลลัพธ์ผ่านมือถืออย่างสบายใจ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ อย่างเช่นตรงหน้านี้ด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ความคิดไหนของปอนด์ถึงสั่งให้มือของเขาคว้าไปหยิบเจ้าแท่งที่ปล่อยควันเหม็น ๆ นั่นมา



     " เฮ้ย ! มันไม่ดีนะรู้เปล่า เอาคืนมา ! " ซันโถมตัวเข้าไปแย่งปอนด์ที่เกือบจะนำสิ่งนั้นเข้าปากมาได้สำเร็จ



     " มึงเอามานี่ !! กูอยากทำร้ายตัวเอง ฮือออ " ซันถอนหายใจให้กับความคิดแปลก ๆ ของปอนด์ก่อนจะโยนบุหรี่ในมือลงพื้นเพื่อดับให้มอด



     " ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้อะ !!? เอาบุหรี่มาให้กู !! เอามา !!!! ฮืออออ " ปอนด์ตะกุยหาตามกระเป๋ากางเกงของซัน แต่คิดเหรอว่าจะเป็นอย่างนั้นง่าย ๆ



     " มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย !!!? " ซันผลักแขนปลาหมึกออกอย่างพัลวันซึ่งปอนด์ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะยอมเลย



     " ทำไมมึงต้องใจร้ายกูด้วย !!? ทำไมมึงต้องใจร้ายเหมือนไอมิ้ลค์ด้วย !!!? ฮืออออออ " ปอนด์ร้องคร่ำครวญออกมาด้วยน้ำตาที่ไหลไม่หยุด ซันที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็สะกิดใจในคำพูด ที่เพื่อนคนนี้ลั่นออกมา เพราะเรื่องเฟิร์สขอมิ้ลค์คบหรือเปล่า ?



     " ปอนด์ มึงสงบสติอารมณ์ก่อนนะ ค่อย ๆ นั่ง " ซันว่าพลางอุ้มร่างของปอนด์ที่ติดหนึบกับตนให้ค่อย ๆ นั่งลง เขารู้สึกผิดจากข้างในที่ใช้ให้ปอนด์ทำสิ่งนั้นกับมิ้ลค์ราวกับเป็นนกต่อ



     " มันเกิดอะไรขึ้น ? " ซันถามพลางบีบมือเบา ๆ แม้พอจะเดาคำตอบได้ ดูเหมือนปอนด์จะสงบสติอารมณ์ได้แล้วในบางส่วน



     " กูเห็นเฟิร์สไปขอคบมิ้ลค์เมื่อกี้ กูน่าจะร่วมยินดีกับมัน แต่ทำไมมันเจ็บข้างในอย่างนี้กันวะซัน ? กูรับไม่ได้ ฮือออออ กูรักมันอะซัน กูต้องมีความสุขกับคนที่ตัวเองรักไม่ใช่เหรอ ? ทำไมกูเสียใจล่ะ ฮืออออออออออ " ใบหน้าบิดเบี้ยวของปอนด์ที่ซันเห็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดเข้าไปกันใหญ่



     " กู...กูขอโทษนะที่ฝากกระดาษใบนั้นไปให้มิ้ลค์อะ กูไม่รู้จริง ๆ ว่ามึงคิดอะไรกันมัน " นั่นเป็นคำขอโทษที่ปอนด์ไม่ถือษาอะไร



     " มึงไม่ผิดหรอกซัน มันผิดที่กู ผิดที่กูไปรู้สึกกับมันมากกว่าเพื่อน ผิดที่กูใจง่ายไปชอบคนที่ทำดีให้ " ฝ่ามือที่ซันจับต้องปอนด์อยู่ค้างเติ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้จะช่วยแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี



     " กูช่วยอะไรมึงได้มั้ยปอนด์ ? " นัยน์ตาที่ท่วมหยาดน้ำหลายสาย ใช้ความพยายามที่มีมองตอบไปยังใบหน้าของซันด้วยรอยยิ้ม



     " ขอบคุณนะซันที่ช่วยเหลือ แต่ตอนนี้กูไม่รู้แล้วจริง ๆ ว่าต้องทำยังไงต่อ " ถึงปอนด์จะไม่ร้องขอความช่วยเหลืออะไรก็ตาม แต่เพื่อนคนนี้อย่างซันก็ยินดีที่จะช่วยเหลือทุกอย่าง เพียงแค่ปอนด์ขอ



     " ถ้ามีอะไรให้กูช่วยได้ บอกมาเลยนะ " ซันว่าพลางยกมืออีกข้างขึ้นมากุมฝ่ามือของปอนด์ไว้ คนที่นั่งข้างคู่กับซันก็พยายามฝืนยิ้มออกมาอย่างยินดี



     " อื้ม "



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง SEP.4 แนบสารบัญแล้วจ้า (25/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 27-02-2018 18:32:06
Not to be unlocked : Episode 36 : คืนนี้ฉันไม่เหงา



     หลังจากโจรใต้กว่าครึ่งโรงเรียนได้ก่อจารชนบริเวณตึกสิบสี่และตึกสิบห้า เพื่อนกลุ่มหนึ่งจากห้องสี่ได้ก็มากระจุกรวมกันที่ห้องของผมโดยมิได้นัดหมาย จะอะไรซะอีกล่ะครับ ก็พวกแม่งวิ่งหนีตายจากแม่พรแล้วไม่มีที่ไปกบดานน่ะสิ เอาเถอะ ยังไงก็ขอเนรมิตให้ห้องนี้เป็นหลุมหลบภัยไปก่อนแล้วกัน ผมบอกเลยนะว่ากว่าจะวิ่งเฮโลคู่กับไอเฟิร์ส ฝ่านักเรียนที่หนีตายกันเหมือนซอบบี้บุกมาห้องของตัวเองได้เนี่ย แม่งวุ่นวายชิบหาย



     " ไม่ต้องปิดแล้วนะหัวใจดวงนั้น เดี๋ยวหัวใจที่ถูกทำร้ายของมึงกูจะดูแลมันเอง ถุ้ย !!! คิดว่าอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์กันสองคนรึไงสาด " โหยไอคิงคอง ! เข้ามาในห้องได้ไม่เท่าไหร่ก็ปากหมาเห่ากูสองคนเลยนะ



     " เพียงแค่มึงส่งมันมา กูจะดูแลมันเอง เชี่ย น้ำเน่าชิบหาย " คราวนี้ไออาร์มก็แปลงร่างเป็นไอเฟิร์สเล่นบทรักกับไอคิงคองบ้าง อยากจะเดินไปเตะอยู่หรอกนะ ถ้าไม่ติดว่าเฟิร์สกอดผมซะแน่นจากตักของมันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วไอห่านี่เป็นบ้าไรต้องมาขอคบท่ามกลางผู้คนด้วยผมไม่เข้าใจเลย กูหน้าบางนะเฮ้ย !



     " อย่าล้อกูดิ กูเขินนะ " ผมเอี้ยวตัวไปจ้องหน้ามันเขม่นทันทีหลังจากได้ยินเสียงแว่ว ๆ ผ่านกกหู นี่อะนะที่บ้านมึงเรียกว่าเขิน ? ยิ้มอย่างกับถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่ถึงพูดแบบนั้นคิดเหรอว่ามารพจญอย่างพวกแม่งจะหยุดกัน



     " ดอกลิลลี่สีขาว ตัวแทนแห่งความรักอันบริสุทธิ์ ไปซื้อมาจากไหนละจ๊ะพ่อหนุ่ม ? กริ้ว ๆ " คิงคองยื่นมือมาเกาคางไอเฟิร์สเล่นเหมือนหมาจนเจ้าตัวถึงขนาดปัดออกเป็นแมลงวัน พูดแล้วก็อยากเอาลิลลี่ในมือไปฟาดปากมันเหมือนกันนะ แต่ติดว่าช่อนี้มันสวยจริง ๆ เกรงว่าถ้าเอาไปเป็นอาวุธ ดอกลิลลี่ของผมจะติดเสนียดเลว ๆ ของไอคิงคองน่ะสิ หึหึ



     " ยุ่งน่า กูจะซื้อที่ไหนก็เรื่องของกูปะ ใช่มั้ยที่รัก ? " เฟิร์สด่าเพื่อนสนิทของมันก่อนจะใช้คางแหลม ๆ มาวางบนไหล่ของผมอย่างขอความเห็น ไอสัด ! กอดกูแน่นเกินไปแล้วนะ !!



     " ฮิ้วววววววววววว " ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าเสียงใครเป็นเสียงใครก็แม่งเล่นแหกปากพร้อมกันซะดังลั่น เลิกล้อเลียนกูได้แล้ว ฮืออออออ



     " ที่รักแม่มึงสิ ! พวกมึงเลิกล้อกูได้แล้ว กูอายยย " ผมหันรีหันขว้างไปทางอื่น แม่ง หน้าร้อนไปหมดแล้วเนี่ย ซึ่งการห้ามก็นึกว่าจะหยุด กลับเป็นยุซะงั้น



     " ในที่สุดเพื่อนเราก็มีผัวกับเขาสักที เฮ้ย ! วันนี้ฉลองร้านพี่หลินกันนนน " นี่คุณประธาน เพลา ๆ ลงหน่อยก็ได้นะไอดีกรีขี้เหล้าของมึงเนี่ย



     " ไปปปปปปปปป !!! " โอ้โห...ไม่ว่าจะเทศกาลไหน ๆ พวกมึงก็ฉลองด้วยเหล้ากันได้เนอะ เยี่ยมไปเลย ! วันไหนแต่งงานกับไอเฟิร์สเมื่อไหร่กูจะเหมาทั้งโรงงานให้เลยไอชิบหาย แต่เดี๋ยวนะ ! นี่ผมคิดไปถึงแต่งงานแล้วเหรอ ?



     " ว่าแต่ไอเฟิร์ส ที่มึงบอกว่าเคยเกลียดเพื่อนกูหมายความว่าไงวะ ? " รอบนี้เป็นปิงปองที่อยากเผือกเรื่องของเราบ้าง เอ...คิดไปคิดมาไอปัญหาการมองตาแล้วเกลียดกันอันไร้สาระของเฟิร์สเนี่ย ผมยังไม่เคยบอกใครเลยนี่หว่า



     " ก็...ตอนปฐมนิเทศที่กูกับมิ้ลค์มองตากันแล้วมันแพ้อะ กูเดินตามมันไปก็จะถามมันนี่แหละว่าเป็นอะไร แล้วมันก็บอกว่าชอบกู วันนั้นกูเลยเกลียดแม่งไปเลย แต่ก็ไม่นึกเนอะว่าวันนึงเราจะได้รักกันขึ้นมาจริง ๆ "



     " ฮิ้ววววววววววววววววว " ไอเชี่ย !! ผมดิ้นขลุกขลักหมายจะชักมือไปตบคนที่กอดอยู่ แต่แม่งยอมผมซะที่ไหน ส่วนพวกมึงเสียงดีกันแบบนี้ เดี๋ยวกูจะจ้างไปแห่ขันหมากกันแน่คอยดู !



     " มึง กูว่าเราลงไปกินข้าวเหอะ แซ็วมันจนพุนไปหมดละ กว่าจะช่วยจัดสถานที่เสร็จกูหิวชิบหาย " คิงคองถามไปยังเพื่อนของมันข้าง ๆ ดูเหมือนคนที่จะเห็นด้วยเป็นฝั่งไออาร์มเช่นกัน



     " เออไปเหอะ ปล่อยให้แม่งสองตัวเอากันในห้องนี่แหละ เฮ้ยพวกมึง ! แดกข้าว " ปากแบบมึงมันน่าโดนตีนกูนะเชี่ยอาร์ม คอยดูเถอะ เดี๋ยวน้องกูมึงจะไม่ได้ !!



     ในขณะที่เพื่อนทางฝั่งห้องคิงคองและอาร์มกำลังทยอยออกไปด้านนอก ซันมันก็เดินเข้ามาปิดทางโดยพยุงใครบางคน



     ปอนด์ !?



     " เฮ้ย ! มันเป็นไรอะ !!? " ผมกระโจนจากตักของเฟิร์สพุ่งทะยานไปหาปอนด์ที่คราบน้ำตายังอาบแก้มอยู่ พวกคิงคองและอาร์มที่เดินออกไปแล้ว กลับมาพร้อมคำถามบนใบหน้าซึ่งไม่ต่างอะไรกันเท่าไหร่ คนที่ซันพยุงอยู่มองฝ่ามือของผมที่ยกมือมันขึ้นมากุม ก่อนจะเงยหน้ามองด้วยสายตาวิงวอน แต่แล้วมันจะขออะไรผมกันล่ะ ?



     " มิ้ลค์ กู.. "



     " กูว่ามึงปล่อยมือมันเหอะมิ้ลค์ มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก " เสียงจริงจังของซันมาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่และแววตาอันฉายแววขุ่นเคืองพูดตัดบทปอนด์ไปเสียดื้อ ๆ ซันไม่เคยพูดแบบนี้กับผมมาก่อน บางทีมันอาจจะมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้ ซึ่งตัวเองก็ควรทำตาม ผมปล่อยมือข้างนั้นลงก่อนที่ซันจะพาตัวปอนด์ไปนั่งลงกับเก้าอี้อย่างอ่อนล้า ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ปริปากถามอะไรทั้งนั้นก่อนที่เฟิร์สจะเดินพาผมตามเพื่อนคนอื่น ๆ ออกไป



     หรือบางทีปอนด์จะอยู่ในเหตุการณ์ของผมและเฟิร์สเมื่อไม่นานมานี้ด้วย ?



####



     ตลอดทั้งวันจนถึงตอนเลิกเรียนผมก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับปอนด์ ทุกครั้งที่ผมหันไปมองมันด้วยความเป็นห่วงก็จะโดนสายตาดุ ๆ ของซันหักห้ามไว้ สายตาของเพื่อนคนนี้น่ากลัวและเย็นชาในเวลาเดียวกัน จนผมไม่กล้าที่จะเดินไปถามสิ่งที่เกิดขึ้นจากปอนด์เลย ปกติซันมันเป็นคนที่พรรคดีกับผมนะ ใครทำอะไรให้ผมไม่พอใจมันก็จะออกตัวปกป้องผมตลอด จนบางครั้งก็คิดว่ามึงเป็นเพื่อนหรือทาสกันแน่ จนถึงตอนนี้ซันมันก็ยังคงติดเป้งกับปอนด์ไม่หายทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน ถึงวันนี้ผมจะหาคำตอบไม่ได้ แต่ยังไงซะผมก็ต้องเดินไปถามปอนด์ให้รู้แล้วรู้รอดอยู่ดี



     " ยืนมองป้าเขาอยู่ตั้งนานแล้ว เอาน้ำอะไร ? " เฟิร์สชนไหล่ใส่ผมเรียกสติให้คืนกลับมา ผมมองตอบคนด้านข้างอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ



     " เอา...เอาสตรอเบอร์รี่โยเกิร์ตปั่นครับป้า " ป้าสำราญเขายิ้มให้ผมอย่างใจดี ก่อนจะเทโกโก้ที่แกชงในแก้วอยู่ลงในเครื่องปั่น



     " ยังคิดเรื่องปอนด์อยู่อีกเหรอ ? " สงสัยเฟิร์สคงสังเกตสีหน้าของผมเลยถามออกมา ผมพยักหน้าขึ้นลงเหมือนคนอ่อนแรงอย่างเป็นห่วงปอนด์ไม่หาย เกรงว่าต้นเหตุที่มันเป็นแบบนี้จะเป็นผมตามที่คาดเอาไว้



     " เอาน่า เดี๋ยวมีโอกาสมึงค่อยไปถามก็ได้ กูก็สงสัยเหมือนกันแหละว่ามันเป็นอะไร " เฟิร์สยกมือขึ้นมาตบบ่าผมเบา ๆ ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง



     " อื้ม " สิ้นคำผม ป้าสำราญแกก็ยื่นแก้วโกโก้ปั่นมายังเฟิร์สถึงสองจำนวน ผมตาค้างมองเฟิร์สที่หน้าดี๊ด๊ารับแก้วสีน้ำตาลมาอยู่ในมืออย่างโคตรอึ้ง



     " แดกห่าไรตั้งสองแก้ว !? " เฟิร์สหันมาเหล่ตอบผมก่อนจะยื่นแบงก์สีแดง ๆ ให้ป้าเขา



     " อร่อย " กูรู้แล้วว่าน้ำร้านป้าสำราญเขาฮอตในหมู่โรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ แต่คุณมึงจำเป็นขนาดไหนที่ต้องแดกถึงสองแก้ว ? ผมถอนหายใจในความยัดห่าของมันก่อนจะถามบางอย่าง



     " ที่บอกให้กูรอมึงจนเลิกเรียน...มีอะไรให้รับใช้ครับคุณเฟิร์ส ? " คือตอนบ่ายสามซึ่งเป็นเวลาผมเลิกเรียน ไอห่านี่ก็โทรศัพท์มาอย่างไวโดยการบอกให้รอมันด้วย มันไม่ได้บอกเหตุผลนะว่าจะไปไหน จนตอนห้าโมงเฟิร์สก็เดินมารับผมที่สนามบอลแล้วก็แวะซื้อน้ำปั่นในโรงอาหารต่อนี่แหละ



     " อ๋อ จะชวนไปกินข้าวที่บ้านน่ะ วันนี้แม่กูกลับไว กูจะชวนมึงไปเลือกของกินที่ตลาดด้วย " ผมก็เกือบคล้อยตามมันนะ ถ้าแม่งไม่เปลี่ยนสีหน้าเป็นหื่นขณะดูดโกโก้ในมือถึงสองแก้วพร้อมกัน นี่มึงจะทำอะไรกูฉลองวันขอคบปะเนี่ย ?



     " แค่นี้อะนะ ? " เฟิร์สพยักหน้าตอบเพราะปากของมันมีธุระกับของกินในมือ ก่อนที่ผมจะรับสตรอเบอร์รี่ปั่นมาอยู่ในมือคู่กับช่อลิลลี่สีขาวนวล



     หลังจากที่ได้น้ำปั่นมาอยู่ในมือคนละแก้ว (คนข้าง ๆ สอง) เราก็มุ่งไปยังตลาดแถวบ้านของเฟิร์ส ซึ่งมันโอ้อวดไว้ว่าที่นี่ของกินเยอะมากกก ก็ไม่รู้จริงหรือเปล่าจนได้ก้าวขาลงจากรถเมล์มายังคำบอกเล่า ทำให้รู้ว่าคำพูดของเฟิร์สนั้นถูก ละแวกนี้เต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศและเด็กนักศึกษา ควบคู่กับพ่อค้าแม่ค้าที่วางแผงขายของเรียงกันเป็นระเบียบจนลิบตา คงด้วยอยู่ใจกลางหลาย ๆ บริษัทและมหาลัยล่ะมั้ง ผู้คนเลยแวะมาหาซื้ออะไรกินก่อนจะกลับบ้านหรือหอพักกันที่นี่



     แน่นอนครับหลังจากที่ผมรับปากขอคบไอเฟิร์สไปเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตัวก็แผลงฤทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของทันที..



     " ปล่อยก็ได้นะมืออะ กูโตแล้วไม่หลงหรอก " ผมเหล่ไปยังมือข้างซ้ายที่ไอเฟิร์สยังกุมอยู่ขณะเดินเข้าตัวตลาด หน้ากูไม่ได้หนาพอจะแบกรับสายตาของแม่ค้าและคนแถวนี้ได้นะโว้ย



     " ก็กูหวง " มันพูดพลางใช้สายตาเป็นเครื่องหมายจราจรชี้ไปยังร้านแม่ค้าข้าง ๆ เขาไม่ได้มองเพราะจ้องจะแดกกู ที่เขามองเพราะมึงจับมือกูนี่แหละไอชิบหาย !



     ตากี้ก่อนเข้ามาในตัวตลาด เฟิร์สมันจูงผมไปซื้อขนมลูกชุบมาสองกล่องซึ่งแม่งเป็นของหวานเหมือนน้ำปั่นร้านป้าสำราญอีกแล้ว (กูขอแช่งให้มึงเป็นเบาหวานตาย) พอผมกับเฟิร์สเบียดเสียดผู้คนที่เยอะเหมือนเดินอยู่ในถนนข้าวสารช่วงสงการณ์เข้ามายังตัวตลาด จึงได้พบว่าของกินข้างในนี้เยอะกว่าข้างนอกเสียอีก มีทั้งกุ้งเผา ต้มเลือดหมู เล้งแซ่บ หมูกรอบ (ทั้งหมดที่กล่าวมาเฟิร์สใช้เงินฟาดมาทั้งหมด) นี่ผมเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าดังแถวเยาวราชแอบมาเปิดตรงนี้ด้วยก็อยากจะแวะไปลิ้มลองเหมือนกัน แต่ติดตรงคำพูดของเฟิร์สที่ว่าคุณขวัญจะกลับบ้านเร็วก็ต้องทำใจไปโดยปริยาย จวบจนได้ของกินเยอะจนเกินจะถือนั่นแหละครับถึงได้เดินออกจากตลาดมาโบกแท็กซี่แถวนี้



     พอได้แท็กซี่มาหนึ่งคันหลังจากที่ต่อแถวกับคนข้างหน้ามานานแสนนาน (จนนิ้วเป็นห้อเลือดเพราะถือของ) ผมกับเฟิร์สก็โยนทุกอย่างลงเบาะ ก่อนจะสูดอากาศเข้าปอดด้วยความเหนื่อยชนิดที่ว่าหลอด SP ในการใช้สกิลของเราแทบจะล่อแล่เต็มที



     " ได้ข่าวว่าให้ซื้อของกิน ไหนได้ขนมมาเยอะกว่าวะไอเฟิร์ส ? " มันหัวเราะหึหึ ๆ ไม่สนใจคำกล่าวว่าของผม แถมหยิบขนมโป้งเหน่งขึ้นมากินหน้าตาเฉยอีก เดี๋ยวเหม็นพี่แท็กซี่เขามั้ยล่ะ !



     " อ็อันออ่อย อินอั้ย ? " เคี้ยวให้หมดก่อนค่อยพูดก็ได้ไอห่า มันยื่นขนมในมือมาให้แต่ผมส่ายหน้าไม่รับ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงเพื่อต่อสายหามิน



     ผมถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง เสียงเริงร่าของน้องชายตัวดีก็ดังแทรกเสียงสัญญาณ



     " ครับพี่มิ้ลค์ ? " เฟิร์สถามผมด้วยปากอันไร้เสียงว่าโทรหาใคร ผมเลยตอบไปแบบขยับแค่ปากว่า " มิน "



     " วันนี้พี่คงจะกลับดึก ๆ นะ พี่แวะบ้านเพื่อนน่ะ แล้วหาอะไรกินหรือยัง ? " ไม่รู้ว่าไอเฟิร์สจะแสดงสีหน้าไม่พอใจในคำพูดนี้ทำแมวอะไร



     " กินมากับพี่อาร์มแล้วครับ สบายใจได้ " กินกับไออาร์มงี้ก็แสดงว่าสองคนนี้ไปได้สวยแล้วอะดิ หึหึ



     ในตอนที่ปากผมกำลังจะอ้าแซ็วอยู่นั้นเอง เสียงแสบ ๆ ของเจ้าน้องทูนหัวก็แทรกตัดหน้าเสียก่อน



     " พี่มิ้ลค์แวะไปบ้านพี่เฟิร์สใช่ม๊า มินรู้นะ หึหึ " อ้าว !! แล้วกุมารตัวไหนแอบไปบอกวะเนี่ย ?



     " ไออาร์มบอกใช่มั้ย ? ไม่ต้องมาแซ็วพี่เลยนะ เดี๋ยวจะโดน " ปลายสายหัวเราะหึหึราวกับล้อเลียน



     " วันนี้พี่เฟิร์สก็เจ๋งเหมือนกันน้า กล้ามาขอคบพี่ชายของมินต่อหน้าคนอื่นด้วย " ผมมั่นใจว่ามินคุยกับผมนะ แต่ไหนไอคนข้าง ๆ มันเสือกได้ยินด้วย



     " เอาวิธีนี้ไปใช้ก็ได้นะมิน พี่ไม่จดลิขสิทธิ์ หึหึ " ผมมองตาขวางไอเฟิร์สที่ยื่นคอยีราฟผ่านถุงของกิน ก่อนจะหดกลับไปยิ้มระรื่นอยู่ในกระดอง



     " หึหึ งั้นผมฝากพี่มิ้ลค์ด้วยนะพี่เฟิร์ส คืนนี้พี่มิ้ลค์เข้าเรือนหอครั้งแรก ไม่ต้องส่งกลับบ้านนะ มินดูแลตัวเองได้ ไปแล้วครับ บายย " เฮ้ยมิน !! นี่เอ็งแซ็วพี่ตัวเองแล้วชิ่งตัดสายเหรอ มันจะมากเกินไปแล้วนะ !! หึ้ยยยยย ผมหายใจฟึดฟัดก่อนจะเก็บไอโฟนเข้ากระเป๋ากางเกงพลางแว่วเสียงแซ็วจากคนข้าง ๆ



     " ในเมื่อน้องมินไฟเขียวให้พี่มิ้ลค์สุดหล่อมาแล้ว สงสัยคืนนี้คงไม่ต้องนอนแล้วล่ะ หึหึ " โหยยยยยย ผมไม่เคยเห็นหน้าไอ้เฟิร์สหื่นขนาดนี้มาก่อนเลย ! นี้จะทบต้นทบดอกจากคืนนั้นที่กูแกล้งมึงใช่มั้ย !?



     " คืนนี้มึงแตะต้องตัวกู มึงตาย !! " ผมสั่งเสียมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเสตาออกไปมองรถด้านนอกอย่างขัดใจ



     หึ้ยยยยยย



####



     หลังจากเราไปกวาดซื้ออาหารเย็นที่ตลาดแถวบ้านเฟิร์สมาได้หลายถุง ผมก็เดินทางมาถึงบ้านของมันในเวลาสองทุ่มกว่า ในตอนแรกอันตัวผมก็คิดว่าคุณขวัญจะมายืนรออยู่หน้าประตูเพื่อต้อนรับเราในการรับประทานอาหารมื้อนี้ แต่ด้วยความกะทันหันที่แม่ของเฟิร์สได้ยกหูโทรกลับมาว่าให้กินกันไปก่อนเลยไม่ต้องรอ ในใจรู้สึกเสียดายครับ เพราะอยู่ดี ๆ คนงานฝ่ายบริการที่ร้านเกิดท้องเสียพร้อมกันถึงสามคน ทำให้คุณขวัญมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลร้านเป็นฝ่ายบริการแทนจนห้าทุ่ม และดีไม่ดีอาจจะดึกกว่านั้น



     ตอนนี้เราสองคนย้ายถิ่นฐานจากครัวมาอยู่ห้องของลูกชายเจ้าของบ้านเป็นที่เรียบร้อย ผมและเจ้านี่ยังไม่ได้รับประทานของที่ซื้อมากันเลย เพราะเฟิร์สบอกว่าอยากกินพร้อมหน้าพร้อมตากันกับแม่ ส่วนผมคิดว่าวันนี้ยังไงก็คงจะค้างที่นี่นั่นแหละ เพราะมีความตั้งใจแบบเดียวกันกับมัน ผมเข้าใจความรู้สึกมันนะที่คาดหวังอะไรไว้แล้วแต่สถานการณ์บีบคั้นให้ต้องเลือกอีกทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



     เราสองคนนั่งพิงหัวเตียงอย่างคนไม่มีอะไรทำ ผมลอบมองใบหน้าของเฟิร์สที่สไลด์ไอโฟนข้าง ๆ อย่างสงสารจับใจ ยังดีหน่อยที่ท้องไส้ของมันกินขนมคาวหวานจุกจิกมาบ้างแล้ว จะได้ไม่ต้องมากังวลโรคกระเพราะถามหาอีก



     " มองไร ? " แล้วนี่มึงเห็นว่ากูมองมึงได้ไงในเมื่อลูกตาก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์ หรือมันจะเป็นทศกัณฐ์ ?



     " เปล่า กูแค่เป็นห่วงมึงน่ะ กลัวมึงจะเสียใจที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมแม่ " เฟิร์สหันมาเลิกคิ้วขึ้นข้างนึงก่อนจะวางโทรศัพท์ลง



     " กูไม่ซีเรียสหรอกมิ้ลค์ กูชินแล้วที่แม่กูเป็นแบบนี้ ก็อย่างว่าแหละ แม่เขาเป็นคนขยัน ลูกน้องต่างพารักเขากันหมดเพราะเขารักทุกคนเหมือนลูก หน้าที่ที่เขาสละมาช่วยได้ เขาก็จะทำทุกอย่าง " ทุกอย่างที่เฟิร์สพูดมาล้วนเป็นความจริง คุณขวัญเป็นคนที่รักลูกน้องของเขามาก ถึงลูกน้องมีปัญหาเล็กน้อยเหมือนฝุ่นจนใหญ่ไปถึงจักรวาล คุณขวัญก็จะออกปากช่วยเหลืออย่างไม่ติดขัด ผมคนนึงแหละครับที่ศรัทธาในตัวเขาเหมือนกัน



     เฟิร์สคานเข้ามาใกล้ ๆ " แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ก็มีแฟนอยู่ข้าง ๆ แล้วด้วย กูไม่เหงาหรอก หึหึ "



     " พึ่งคบกันวันแรกจะเรียกแฟนแล้วรึไง ? " คนข้าง ๆ คลานมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะใช้ศีรษะลงมาวางบนตักของผม



     " ที่เรียกแบบนี้เพราะอยากมีสถานะกับมึงไง กลัวมึงจะอึดอัด พอมึงอึดอัดเดี๋ยวมึงก็ตาย " ผมขอแก้ข่าวก่อนนะ ถึงเฟิร์สจะเรียกผมในสถานะไหนผมก็ไม่อึดอัดทั้งนั้นแหละ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีวันนี้สักหน่อย แต่เห็นมันเรียกว่าแฟนก็แอบดีใจเหมือนกันนะ หึหึ



     " แล้วไอความคิดมาขอคบกูต่อหน้าคนอื่นนี่ มึงคิดเองเหรอ ? " กระหม่อมบาง ๆ ของเฟิร์สส่ายไปมาบนตัก



     " เพื่อนมันเชียร์ กูเลยเอาด้วย " โหยยยยยยย นี่ถ้าเพื่อนสั่งให้โดดหน้าผาก็คงไม่คิดเยอะงั้นสิ ?



     " เลวจริง ๆ " ผมด่ามันพลางลูบเส้นบนหนังศีรษะยาว ๆ ตามฉบับเด็กม.ปลายของเจ้าตัวเล่น



     " เพื่อนกูเหรอ ? "



     " มึงนั่นแหละ ! " ผมหัวเราะร่าให้กับความบ้าบิ่นของมัน ก่อนที่เฟิร์สจะลุกขึ้นมากอดผมทั้งตัว



     " มึงไม่ต้องดูแลคนอื่นแล้วนะ ถึงเวลาให้คนอื่นดูแลสักที " คนอื่นที่ว่าไม่ได้หมายถึงมึงใช่ปะ ? ฮ่า ๆ แต่ทำไมมันคิดตื้น ๆ แบบนี้กันล่ะเนี่ย



     " จะเป็นแฟนกันก็ต้องดูแลซึ่งกันและกันสิ เข้าใจมั้ย ? " ความคิดของแม่งนี่ก็แปลก จะเสียสละอยู่ฝ่ายเดียวหรือไง ? แต่ผมจะว่ามันก็ไม่ได้ว่ะเพราะเมื่อก่อนตัวเองก็เป็นแบบนี้ เฟิร์สนิ่งเงียบไปครู่นึ่งแต่ก็ยอมพงักหัวเข้าใจในอ้อมกอดของผม



     " แล้วเลิกดูดบุหรี่ยัง ? "



     " ก็ไม่ได้ติดหรอก แต่ถ้ามึงไม่ให้ดูดกูก็จะเอาไปทิ้ง " เสียงเฟิร์สอู้อี้ตอบ



     " ดีมาก ทำอย่างนี้กูจะได้รักมึงนาน ๆ " อยู่ดี ๆ ไอเด็กขี้อ้อนนี่ก็ดีดตัวขึ้นมาจ้องเขม่น



     " แค่นี้มันยังไม่เรียกว่ารักหรอก " แล้วทำไมอยู่ ๆ หน้ามึงก็หื่นขึ้นมาได้วะไอเฟิร์ส !



     " แล้วต้องทำยังไง ? " คำตอบของมันคือการยื่นฝ่ามืออันเรียวมาวางไว้บนกระดุมเม็ดใต้ปกเสื้อนักเรียนของผม



     " ทำแบบนี้ไง หึหึ " ถึงเฟิร์สจะกลายร่างเป็นจอมหื่นไปแล้ว แต่ทางผมก็ยังใจเย็นไม่ตื่นตระหนกเพราะความคิดในหัวตอนนี้คือถูกต้องที่สุด



     " ทำแบบนี้มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ? ถ้ารักกูจริง ของแค่นี้ก็ต้องรอได้สิ " แววตาของเฟิร์สที่เคยกระหายในความใคร่ ค่อย ๆ จางเป็นใสแจ๋วเหมือนอย่างเก่า มันติดกระดุมเสื้อของผมบริเวณนั้นให้เรียบร้อยก่อนจะผละตัวออกไป



     " ได้เลย เพื่อมึงกูรอได้เสมอ " เฟิร์สยิ้มรับพลางยักคิ้วขึ้นอย่างมั่นใจ " งั้นกูไปอาบน้ำละ "



     เฟิร์สลุกจากเตียงไปแต่ไม่ไวกว่าผมที่คว้าข้อมือแกร่งนั่น คนที่ผมตรึงมืออยู่หันมาเลิกคิ้วสูงราวกับมีคำถาม



     " คือ.. " แล้วไอความคิดแบบนี้มันแว็บเข้ามาในหัวได้ยังไงกันล่ะหว่า ถ้าจะให้พูดออกไปเองมันก็ทะแม่ง ๆ เว้ย



     " อะไรเหรอ ? " เฟิร์สเปลี่ยนกริยาจากยืนเป็นนั่งข้างเตียงมองตอบดวงตาของผมที่ฉายแววไม่มั่นใจ



     " กูให้สิ่งที่มึงขอเมื่อกี้ได้นะ แต่.. " คนข้าง ๆ เบิกตาขึ้นราวกับตกใจและแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดออกมา



     " แต่กูทำไม่เป็นนะ "



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.36 แนบสารบัญแล้วจ้า (27/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 28-02-2018 19:19:09
Not to be unlocked : Episode 37 : ทางของอดีต



     ผมตื่นขึ้นมาภายในห้องของเฟิร์ส โดยมีตัวแปรต้นเป็นนาฬิกาปลุกร้องแหกปากเสียงดังจนน่ารำคาญ ผมเอื้อมเอามือหมายจะไปปิดบริเวณชั้นวางหัวเตียงแต่แขนดันไม่ถึง เลยขยับตัวอีกนิดหน่อยจึงพบว่า



     โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย !!!



     ตาผมเหลือกขึ้นฝ้าเพดานทันที เพราะความเจ็บปวดจากด้านหลังและสะโพกแล่นริ้วมาตามกล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่าง เชี่ยยย ทำไมมันเจ็บงี้วะ ! ศึกใหญ่เมื่อคืนของผมและเฟิร์สยังไม่เห็นเจ็บปวดขนาดนี้เลย ผมใช้ความพยายามที่มีเลิกผ้าห่มและวงแขนของคนข้าง ๆ ออกแม้จะปวดระบมตามความเคลื่อนไหว แค่ลุกมานั่งเฉย ๆ ยังปวดตุบตับเลยอะครับท่านผู้อ่าน แล้ววันนี้จะไปโรงเรียนไหวมั้ยล่ะเนี่ย ฮืออออ รู้สึกว่าหลับไม่เต็มอิ่มด้วย



     เสียงนาฬิกาปลุกหยุดร้องหลังจากที่ผมเอื้อมไปปิดพลางก้มลงมองรอยจ้ำแดง ๆ ตรงหน้าอก โหยยยยยย ไอเฟิร์ส ! นี่มึงกระทำชำเราโดยทิ้งหลักฐานไว้บนร่างกายกูอะนะ !? เมื่อคืน เอ่อ...จะพูดอ้อม ๆ เหตุการณ์ทั้งหมดยังไงดีกันล่ะหว่า เอาเป็นว่าหลังจากบ้านบางระจันของผมถูกพม่าอย่างไอเฟิร์สบุกทลายเมืองจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ มันก็พาผมลงไปหาอะไรกินที่ซื้อมาตอนเย็นตามคำสั่งเสียของคุณขวัญ ก่อนจะขึ้นมาสอนการบ้านจนเสร็จและโน้มตัวลงนอนอย่างเป็นทางการ คุณขวัญที่ยกสายมาบอกในตอนแรกว่าจะไปนอนคอนโดและไม่สามารถร่วมรับประทานอาหารเย็นกับเราได้ ก็โทรกลับมาเปลี่ยนแผนการเป็นกลับบ้านครับ แต่ในเวลาตีสามกว่า (ทุ่มเทกับงานมาก) ถึงกระนั้นผมและเฟิร์สคงรอทานข้าวเวลานั้นด้วยไม่ไหวหรอก ก็เลยหลับกันตั้งแต่ตีหนึ่งด้วยความเหนื่อยชนิดที่ว่า เกิดมายังไม่เคยอยากพักร่างเหมือนวันนี้มาก่อน



     กลับมายังข้างเตียงที่ผมเปลือยกายท่อนบนอีกครั้ง ฮืออออออ เมื่อคืนก็ให้ไอเฟิร์สปั๊มคอซะแดงแปร๊ดโดยไม่คำนึงว่าพรุ่งนี้กูต้องไปไหนเลย ผมจะรับมือโดยไม่ให้เพื่อนรู้ว่าโดนอะไรมายังไงดีกันล่ะนั่น ! ไหนจะอาการปวดและเมื่อยตามร่างกายอีก ผมหันไปเหล่ไอตัวการที่ยังหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว หึ เมื่อคืนแม่งก็ชนะผมไปถึงสามต่อหนึ่ง เดี๋ยวมีเกมหน้าเมื่อไหร่ผมไม่แพ้มันแน่ สัญญาเลย



     " หกโมงแล้วไอหื่น ! " ผมเขย่าหน้าอกแน่น ๆ ของมันที่เหลือแต่ท่อนล่างปิดไว้ด้วยบ๊อกเซอร์ด้วยความแรงแปดริกเตอร์ เฟิร์สหรี่เปลือกตาขึ้นมามองก่อนจะอ้าวงแขนรวบตัวผมไว้



     " ปลุกมาต่อเหรอที่รัก หึหึ เมื่อคืนขาดตอนมาก ๆ เลยนะ " ต่อหน้ามึงสิ ในหัวมึงนี่คิดแต่เรื่องแบบนี้ใช่มั้ยไอเลว !?



     " ต่อบ้านป้ามึงสิ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว จะไปเรียนมั้ย ? " ผมไม่ขัดขืนอะไรมันมากเพราะยิ่งขยับตัวก็ยิ่งปวด เฟิร์สปล่อยวงแขนที่รัดตัวออกก่อนจะลุกขึ้นมานั่งส่งสายตากรุ้มกริ่ม



     " เมื่อคืนมึงเร้าใจกูมากเลยนะที่รัก เต็บสิบเอาไปแปดล้านเลย " โว้ยยยย ถึงตรงนี้หน้าผมร้อนผ่าวอย่างสุดจะเขิน ทำไมผมต้องมาลอกแลกไอเฟิร์สด้วยทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนมันมีอะไรมากกว่าการแทะโลมแบบตอนนี้ซะอีก แถมคนที่ชวนน่ะก็ไม่ใช่ใครอื่น โอ๊ยยย ไอหน้าไม่อาย !!



     " พูดมาก ไปอาบน้ำ " ผมลุกขึ้นจากเตียงพร้อมอาการปวดเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ แต่เท้าก็ถึงพื้นห้องได้แค่ข้างเดียวเท่านั้น เฟิร์สก็รั้งผมด้วยมือไว้



     " คอมึงแดงขนาดนี้เลยเหรอ ? " ก็เออดิ แม่ง...ไปโรงเรียนดีมั้ยเนี่ย จะตอแหลว่าโดนมดกัดก็กลัวไม่เนียน ถ้าอ้างว่าโดนมดกัดเหมือนคุณหมอฉีดยาให้ตอนเด็ก ๆ ก็คงจะเป็นมดทั้งรังรุมกัดผมมากกว่า



     " เออ ก็มึงมันซาดิสม์อะ แม่ง...ดูดอยู่ได้ " ผมด่าเฟิร์สได้แค่แปปเดียวมันก็ลุกขึ้นพรวดจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้าคุ้ยหาอะไรบางอย่าง มันหยิบไม้ที่แขวนชุดนักเรียนแบบครบเซ็ท ชุดวอร์มสีน้ำเงินโยนมาไว้บนเตียง มีเพียงผ้าพันคอสีแดงแปร๊ดเท่านั้นที่ลอยมาแปะหน้าผม



     " มึงใส่เสื้อพวกนี้ปิดไปก่อนละกัน เดี๋ยวตอนเย็นกูพาไปซื้อตัวใหม่ให้ " ผมดึงผ้าผืนยาว ๆ นี่ออกจากหน้าโดยไม่ขัดคำสั่งของเฟิร์สแต่อย่างใด



     งั้นตอแหลว่าป่วยไปก่อนแล้วกันเนอะ..



     หลังจากที่ผมรวมชุดเข้ากับร่างโดยมีเฟิร์สช่วยแต่งให้ซะหล่อ ผมก็เดินทางมาโรงเรียนอย่างใจชื้น เพราะชุดวอร์มและผ้าพันคอของเฟิร์สปิดหลักฐานที่เผยบนกายตัวเองได้ถึงเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์ ผมเดินผ่านหลายสายตาในโรงเรียนที่มองมาอย่างแปลก ๆ เหมือนถามว่ามึงอยู่ท่ามกลางหิมะในกรุงโซลหรือเปล่า ? แต่ก็สนใจได้ไม่นานจนเฟิร์สพาผมมาส่งยังโต๊ะในโรงอาหารที่วันนี้ดูเหมือนเพื่อนจะอยู่กันเกือบครบแก๊ง แล้วมึงจะมาขยันห่าอะไรกันวันนี้ ? กูไม่อยากตอแหลเลยว่าเมื่อคืนไปโดนอะไรมา



     " เชี่ยมิ้ลค์ ! วันนี้ไม่มีงานภาษาเกาหลี มึงจะแต่งคอสเพลย์มาทำไม ? " กูรู้ว่ามันไม่มีโว้ยไอปิงปอง แต่ที่ใส่เพราะกูจะปิดบังหลักฐานเฉย ๆ หรอก อ้อ กูต้องสวมบทบาทเป็นคนป่วยสินะ ว่าแต่คอสเพลย์ที่เกาหลีได้ด้วยเหรอ ?



     " กูไม่ค่อยสบายอะ เมื่อวานตากฝน แค่ก ๆ " ผมว่าตัวเองก็ตอแหลเนียนนะ แต่ทำไมมันมองหน้ากันไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่เลย



     " เมื่อวานกูกำลังจะพามิ้ลค์กลับบ้าน อยู่ดี ๆ ฝนก็ตกน่ะ เปลือกกันทั้งคู่เลย " ไออาร์มจ้องมายังผมเขม่นแม้เฟิร์สจะออกปากตอแหลช่วยอีกแรง



     " เปลือกฝนหรือเปลือกอะไร ? " ชิบหายแล้วไง ผมอ้ำอึงไปแปปนึงก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก



     " อะ การบ้านเจ๊ดล รีบทำซะไอสัด อย่าถามมาก " พอผมโยนการบ้านลงกลางวง ไอพวกห่านี่ก็หมดข้อสงสัยไปโดยปริยาย เออพวกนี้ บทจะเล่นงานง่ายก็ง่ายชิบหายเลยเนอะ



     " งั้นเค้าไปรวมตัวกับเพื่อนก่อนนะที่รัก เฮ้ยฝากที่รักกูด้วย ! ถ้ามันบ่นปวดหัวตัวร้อนจะตายให้ได้ก็โทรบอกกูด้วยล่ะ เดี๋ยวรับมันไปห้องพยาบาลเอง " ผมหันไปสบตาไอเฟิร์สโดยพูดแบบไม่มีเสียงว่าขอบคุณ เพราะแม่งก็ตอแหลเป็นงานดีเหมือนกัน แต่พวกมึงจะพร้อมใจกันเบะปากหมั่นไส้กูกันทำไม !?



     " ปล่อยมันตายอยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูเอาศพไปคืนมึงเอง " สิ้นคำอาร์มเฟิร์สก็หัวเราะหึหึพลางโบกมือลาผมและเพื่อนทั้งกลุ่ม ก่อนจะเดินแยกออกไป หวังว่าไอพวกห่านี่คงไม่คึกอยากจะถอดชุดผมออกหรอกนะ เสื้อนักเรียนก็ไม่ใช่ชุดกู ผมขี้เกียจตอบคำถามพวกแม่งงงง



     " เอ้า ! แล้วไมมึงไม่นั่งอะ ? เดี๋ยวก็หน้ามืดเป็นลมหรอก กูไม่รับผิดชอบแทนผัวมึงนะ " ห้ะ ? ผมมองหน้าไอปิงปองขณะที่มันเขียนงานอย่างเร่งรีบ เชี่ยล่ะ ผมยังนั่งไม่ได้ตอนนี้ว่ะเพราะมันปวดบั้นท้ายมากกกกก เมื่อเช้าขึ้นรถเมล์โชคดีหน่อยที่คนเยอะเลยไม่ได้นั่ง



     " กูไม่นั่งไม่ได้เหรอ ? " ทีนี้ไออาร์ม ไอปิงปอง ไอเบ๊นซ์หันมามองผมเหมือนด่าว่าบ้า ผมลอกแลกมองตอบพวกมันก่อนจะสอดตัวเข้าไปยังเก้าอี้ยาวและนั่งลง..



     โอ้โหหหหหหหหหหหหหหหหหหห



     ไอเชี่ยยยยยยยยยยยยยย



     ด่าอะไรได้หยาบคายมากกว่านี้มั้ย !!!!!?



     ผมกัดฟันกรอดเพราะความเจ็บจากเมื่อคืนมันลุกลามไปทั่วพื้นที่ร่างกายแบบพลุ่งพล่าน อ๊ากกกกกกก กูเจ็บ !! กูปวด !! ฮืออออออออ ไม่รู้สีหน้าของผมแสดงออกมาเป็นยังไงไอเบ้นซ์เลยถามอย่างตกใจ



     " เชี่ยมิ้ลค์ ! มึงไข้ขึ้นปะเนี่ย ? ทำไมหน้าแดงจังวะ !? " มันทำท่าลุกลี้ลุกลนเหมือนกับทำอะไรไม่ถูกจนเพื่อนคนอื่น ๆ คล้อยตาม



     " มิ้ลค์ มึงไปห้องพยาบาลเปล่า !? " ว่าแล้วไอปองปิงก็ถามบ้าง มึงไม่ต้องเป็นห่วงกู อยู่เฉย ๆ กันนั่นแหละ แฮก ๆ



     " หรือมึงอยากอ้วก ? " กูไม่ได้อยากอ้วกไออาร์ม กูแค่เจ็บ ! ทุกคนหันมามองอย่างลุ้นที่ผมจะตอบอะไร ผมหายใจเข้าออกให้ความเจ็บที่แล่นอยู่ทุเลาลงก่อนจะพูดขึ้น



     " กู...ไม่เป็นไร " มันเป็นโทนเสียงปกติและผมใส่ความปกติให้ได้มากที่สุด ดูเหมือนสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อครู่จะผ่อนลงไปบ้างแล้ว



     " เฮ้อออออ " พวกแม่งถอนหายใจโล่งอกก่อนจะก้มหน้าไปปั่นงานของแต่ละคนต่อ เออดี เลิกเสือกเรื่องของกูสักทีเถอะ กูไม่อยากแถต่อแล้วคิดไรไม่ออก ฮืออออออออ



     ในขณะที่ผมตั้งสมาธิหายใจเข้ายุบหนอพองหนอให้ควาบเจ็บปวดส่วนท้ายหายไปนั้น ซันกับปอนด์ในตอนแรกที่ไม่เห็นวี่แววก็ปรากฏร่างทั้งคู่ในฐานะคนมาใหม่ ผมรู้ครับว่าซันกำลังพยายามหาที่นั่งให้ไกลที่สุด เพื่อเลี่ยงปอนด์ไม่ให้อยู่ใกล้ตัวผม แต่สุดท้ายแล้วที่นั่งว่าง ๆ ถูกเพื่อนคนอื่น ๆ จับจองไปจดหมด มีเพียงแค่เบื้องหน้าผมก็เท่านั้น



     สมองของผมสั่งการให้ผลิตคำถามเตรียมไว้ ซึ่งเป็นในตอนที่ซันและปอนด์วางกระเป๋าพลางนั่งลงอย่างจำนน คนตรงหน้าพยายามส่งสายตามายังผมราวกับไม่เกรงกลัว ผิดกับปอนด์ที่เอาแต่มองออกไปด้านข้าง ส่วนไอพวกห่านี่ที่นั่งปั่นงานเจ๊ดลอยู่ก็หันมามองคนละแว็บ ก่อนจะก้มไปเขียนต่ออย่างไม่สนใจ



     " ปอนด์ " ผมเรียกชื่อคนที่เอาแต่มองสนามบอลให้ทางนั้นรู้สึกตัว แต่เหมือนการกระทำนี้จะไม่ค่อยพอใจสำหรับซันเท่าไหร่นัก และคนที่ขานรับไม่ใช่ปอนด์ด้วย



     " ทำไม ? "



     " มึงชื่อปอนด์เหรอ ? " สถานการณ์อยู่ดี ๆ ก็ตึงเครียดขึ้นมาซะดื้อ ๆ ทำให้เพื่อรอบข้างเริ่มหันมามองกันใหญ่



     " .......... " คราวนี้ซันเงียบอย่างไม่พูดอะไร ซึ่งเป็นการดีเพราะผมจะเคลียร์กับทางปอนด์ต่อ



     " ปอนด์ เมื่อวานมึงเป็นอะไร ? " และก็เป็นไปตามคาดเมื่อคำตอบไม่ได้ตอบโดยปอนด์อีกแล้ว



     " ก็บอกว่ามันไม่ได้เป็นอะไรไง ! มึงอย่าถามมากได้ปะ !? " เสียงซันแข็งขึ้นและจริงจังน่ากลัว ก็อย่างว่านั่นแหละครับ ซันมันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และผมก็ไม่เคยเป็นแบบนี้ด้วย



     " มึงอย่าเสือกได้ปะ ? กูถามเพื่อนกู "



     " อ่าวไอสัด ! " ผมกับซันลุกขึ้นเหมือนคนกำลังจะมีเรื่องจนไอปิงปอง อาร์ม เบ้นซ์ไม่สนใจงานตรงหน้าเสียแล้ว เราสองคนมองหน้ากันอย่างชั่งใจ แต่แล้วก็มีเสียงอันเรียบเฉยของใครบางคนทำให้ผมและซันสงบสติอารมณ์



     " กูไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ มิ้ลค์ อย่าทะเลาะกันเลยนะ นั่งลงเถอะ " ปอนด์พยายามหันมาแค่นยิ้มให้ ผมรู้ในทันทีว่ามันฝืนและมีเคล้าแห่งความโกหก ปอนด์กำลังจะทำให้ผมสบายใจก็เท่านั้น แต่ไม่ทันไรคนที่มองผมอยู่ก็เบิกตากว้างราวกับเห็นอะไรเข้าก่อนจะหันหนีไป ซันมีทีท่าว่าสงบแล้วก็โน้มตัวนั่งลง เช่นเดียวกับผมที่อยากจะเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาสักหน่อย เพราะตากี้อารมณ์ก็ชั่ววูบเหมือนกัน



     ผมไม่สนิทใจในทีเดียวหรอกว่าปอนด์ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ



####



     ปกติเวลาผมจะเดินไปไหนหรือมาพักกลางวันแบบนี้ก็จะตกเป็นเป้าสายตาด้วยความหล่อแบบนี้อยู่ตลอด ๆ หึหึ ผมรู้ตัวนะว่าตัวเองนี่ก็เป็นสเปคเหล่าเก้งกว้างบ่างชะนีด้วยรูปลักษณ์ขาวผุดผ่องราวกับเป็นผงซักฟอกโอโม้ทาทับด้วยสีขาวอีกทีเหมือนกัน แต่เอ...ทำไมในพักกลางวันอันแสนอบอ้าวด้วยชุดแต่งกายปกปิดหลักฐานอยู่นี้นั้นคนถึงได้มองมาชนิดที่ว่า กูขอตีหัวมึงให้สลบแล้วลักหลับเอาไปเป็นเมียจะได้มั้ย ? โห่ท่านผู้อ่านก็ดูดิ ไม่ว่าจะเป็นชายธรรมดาหรือชายเทียมที่นั่งกินข้าวและต่อแถวตามร้านต่าง ๆ ก็จะมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ กันทั้งนั้น หรือทุกคนจะยอมรับว่าผมเป็นซุปตาร์แล้วจริง ๆ เดี๋ยวพี่มิ้ลค์คนนี้จะเดินไปแจกลายเซ็นให้กับทุกคนเองนะ หึหึ



     ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นนั่นแหละครับว่านี่อยู่ในคาบพักกลางวัน วันนี้ผมจะดูหงุดหงิดไปนิดหน่อย ย้ำ นิดหน่อยจริง ๆ เพราะก๋วยเตี๋ยวร้ายป้าน้อยดันปิด !!! บวกกับชุดวอร์มที่ตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงน้ำลื่น ๆ ที่มันไหล่อยู่ตามตัว แม้จะแวกซิปให้ลมได้โชยเข้าไปนิดหน่อย แล้วไหนจะความเจ็บที่ยังคงปะทุเบา ๆ จากด้านหลังและสะโพกอีก ให้ผมถอดเสื้อวอร์มออกก็คงไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นเขารู้หมดว่าไปเล่นซีนตบจูบกับใครมา แม่งเป็นอะไรที่โคตรทรมารรรรร ผมเดินคอพับอย่างขัดใจตามไออาร์มต้อย ๆ ที่แม่งเลี้ยวไปต่อแถวร้านข้าวแกง เฮ้ออออ เอาวะ กินข้าวราดแกงสักวันคงจะมิใช่ปัญหาอะไรดอก ร้านลุงพีผมก็ว่าเขาทำอร่อยดีนะ แต่ติดที่ว่าหางแถวของร้านนี้แม่งไกลไปถึงขั้วโลกเหนือ (คนเยอะมากกก แถมเปิดอยู่ไม่กี่ร้านเอง)



     ในขณะที่ผมหน้าบึ้งมองไออาร์มอย่างเซ็งในอารมณ์อยู่นั้น เสียงแว้ดอันน่ารำคาญและคุ้นหูก็แทรกเข้ามาถึงโสตประสาทชั้นในสุด ถึงขั้นผมต้องหันไปมองค้อนไอกะเทยควายร่างเกือบเป็นยักษ์ตนนั้น



     " อร๊ายยยยย วันนี้ผัวกูใส่เสื้อแขนยาวมาด้วย คิดถึงจังเลยค่ะ " แล้วอีเจสซิก้ามันก็รวบตัวผมเข้าไปกอดก่อนจะโน้มศีรษะมาอิงไหล่ เหอ ๆ มึงจะเอาผู้ชายหล่อ ๆ มามโนเป็นผัวทุกคนแบบนี้ไม่ได้นะอีเจส



     " เป็นบ้าอะไรวันนี้ห้ะ ? ทุกทีไม่เคยมาสีเพื่อนกูอย่างนี้ " เป็นไออาร์มครับที่ออกปากต่อสู้กับมัน อีเจสซิก้าโงหัวขึ้นมามองก่อนจะตีหน้าเศร้าดุจเป็นนางเอกในละคร



     " มึงไม่รู้หรอกว่าใจกูแทบจะสลาย พ่อของลูกกูโดนผู้ชายมาขอคบกลางโรงเรียน กูรับไม่ได้จริง ๆ " บางทีสาเหตุที่คนเขามองหน้าผมกันแปลก ๆ อาจจะเป็นไปตามประโยคนี้ของอีเจสซิก้าก็ได้นะ



     " ชักช้าไงก็เลยโดนผัวมันคาบไปแดก ฮ่า ๆ อีควาย " ดูเหมือนคนที่เกาะผมอยู่คงจะไม่พอใจคำพูดของไออาร์มแหละ เพราะตอนนี้มันคลุ้มคลั่งขึ้นมาเสียดื้อ ๆ



     " คบได้ก็เลิกได้ ! กูจะรอผัวคนนี้ที่ท่าน้ำทุกวัน พี่มากของกูจะต้องกลับมาเข้าใจมั้ยคะ ? " ผมพยักหน้าเอือม ๆ ให้กับบทรัชดาลัยเธียเตอร์ของมันก่อนจะขยับแถวขึ้นไปข้างหน้า



     บางทีการที่ผมเป็นสเปคของอีพวกนี้ก็ลำบากใจเหมือนกัน เหอ ๆ



     หลังจากที่อีเจสสิก้าได้ฝังรอยจูบบนแก้มของผมโดยพลการ (ถ้าไอเฟิร์สเห็นมันเอามึงตายแน่) ผมก็ทำหน้าที่เป็นหมาเดินตามเจ้าของอย่างไออาร์มต้อย ๆ อีกครั้งไปยังที่ที่มินนั่งคู่กับน้องมาย ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศมั้งครับที่ได้มานั่งกับน้องกับนุ่งบ้าง แต่เอาเข้าจริง ๆ ยังไม่อยากไปนั่งรวมกับไอปิงปองเสียเท่าไหร่หรอก เพราะอยากหลีกเลี่ยงการปะทะกับไอซันน่ะสิ ยิงช่วงนี้อารมณ์มันแปรปรวนแปลก ๆ อยู่ ยังไงมื้อนี้ก็มาสิงสถิตอยู่กับน้องตัวเองไปก่อนแล้วกัน



     เด็กม.4 สองคนนั้นยิ้มทักทายก่อนที่ผมและอาร์มจะวางจานข้าวลงกับพื้นโต๊ะ เจ้าน้องตัวแสบของผมนี่มันคิดจะไม่ไปนั่งสุ่มหัวกินข้าวกับคนอื่นเลยเหรอวะนอกจากน้องมาย ? ฮ่า ๆ แปลกดีแฮะ ผมหยิบช้อนขึ้นหมายจะตักยำไก่กรอบในจานเข้าปาก น้องมายก็หาเรื่องชวนผมคุยซะแล้ว



     " สวยดีนะครับพี่มิ้ลค์ ผ้าพันคอสีแดงกับเสื้อวอร์มสีน้ำเงิน ไปซื้อมาจากไหนเหรอครับ ? พอดีผมชอบแต่งตัวแนว ๆ นี้เหมือนกัน " จริง ๆ พี่ก็ไม่ได้อยากจะแต่งมาเท่าไหร่หรอกนะ ถ้าไม่ติดว่าต้องปกปิดอะไรบางอย่างไว้ เหอ ๆ ผมจะอ้าตอบแต่ไอน้องตัวแสบก็ปากไว้กว่าพี่มันอีกแล้ว



     " ไม่ได้ไปซื้อที่ไหนมาหรอก ก็ของพี่เฟิร์สที่เราดูคลิปขอคบกับพี่มิ้ลค์นั่นแหละ หวานซะไม่มีเลยเนอะพี่ชาย " โหยยมิน !! พักนี้แกเล่นงานพี่ตัวเองซะพุนเลยนะ อาร์มมันคงชอบใจที่มินแซ็วแหละครับ ถึงได้หัวเราะหึหึอยู่ข้าง ๆ



     " นี่ ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะมิน อย่าให้พี่รู้นะว่าเรากับอาร์มไปมีซัมติงกันที่ไหน " ดูเหมือนที่ผมพูดลอย ๆ ออกมาจะไม่มีผลกับสีหน้าของมินและอาร์มแต่อย่างใด เพราะหน้าเจ้าตัวทั้งคู่นิ่งอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น หึ ปิดบังได้ก็ปิดไป



     " มิน เราไม่กินตับอะ มินชอบกินนี่เนอะ มินกินให้เราหน่อยสิ " มาทางด้านรุ่นน้องทั้งสองคนบ้าง มายตักสิ่งที่ว่าไปใส่จานของมินเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ ก็เป็นเรื่องปกตินี่หว่าที่เพื่อนจะกินของที่ไม่ชอบแทนกัน แต่เหมือนจะไม่ปกติแล้วว่ะ เพราะผมเริ่มจับแรงสั่นสะเทือนจากคนข้าง ๆ ได้



     " มิ้ลค์ มา ๆ กูป้อนนะ นี่ไข่ตุ๋นไงของชอบมึงไม่ใช่เหรอ ? อ้าาาาา " แล้วไออาร์มมันก็ยัดไข่ตุ๋นเข้ามาในปากผมเต็มคำ เดี๋ยวมิน ! นี่พี่เอ็งไง !! แกจะทำหน้าไม่พอใจทำไมวะ !? ไม่ต้องหึงพี่ตัวเองเลยนะโว้ยย แล้วมึงจะประชดน้องกูทำไมไออาร์มมมมมม



     " มายเรากินแครอทไม่ถนัดอะ ช่วยเรากินหน่อยนะ อ้าาา " แล้วมินก็ตักแครอทสีส้มเข้าไปในปากมายบ้างโดยที่ไม่ได้ถามเล้ยว่าเขาจะกินมั้ย ตอนนี้คุณประธานคนเก่าและคนใหม่ก็ประกาศสงครามประชดประชันกันขึ้นอย่างมิได้นัดหมาย ชิบหายล่ะไงกู ไออาร์มก็ยัดข้าวเข้าปากผมเพื่อให้มินหึงเล่น ๆ มินก็ยัดข้าวเข้าปากมายเพื่อให้อาร์มหึงไม่ต่างกัน ต่างฝ่ายไม่มีใครยอมกันเลย



     " อะมิ้ลค์ คำสุดท้ายแล้วนะ สู้ ๆ อ้ามมมม " ในตอนที่ช้อนในมือของอาร์มกำลังจะยื่นมาเข้าโพรงปากผม มินก็ลุกพรวดพลาดขึ้นจากโต๊ะก่อนจะเนรเทศตัวเองไปกับจานเปล่าในมือ อาร์มคงรู้สึกตัวแล้วล่ะว่ามันเองก็ทำเกินลิมิต ก่อนลุกจากเก้าอี้ยาวเดินตามมินไป



     บางทีความรักมันก็สามารถนำพาเราให้ไปสู่เรื่องเข้าใจผิดกันได้สินะ..



####



     มาอีกแล้วสินะไอที่แห่งนี้..



     ผมบ่นขณะที่ก้าวขาออกมายังชานชาลาคู่กับหวานใจ ก่อนจะเบียดเสียดฝูงชนลงไปยังด้านล่าง ไม่ต้องถามเลยครับว่าไอเฟิร์สจะพาผมมาที่นี่ทำไม ก็แหม สามีของผมเขาอยากจะพาภรรยามาเลือกเสื้อผ้าน่ะสิ เห็นว่ารอยพิษแดง ๆ ที่คอกว่าจะหายก็อีกหลายวัน เย็นวันนี้มันก็เลยจะพามาซื้อซึ่งผมก็ทักท่วงไปแล้วว่าไม่ต้อง บ้านกูก็มีเยอะแยะ แต่แม่งไม่สนใจผมเลยสักแอะอะครับ จูงมือผมหน้า ๆ ด้านมาขึ้น BTS สบายใจเฉิบ



     มันเดินพาผมลัดเลาะมายังซอยต่าง ๆ ที่เสื้อผ้าแถวนี้จะขายเยอะกว่าโซนอื่นหน่อย แต่แปลกนะครับที่ทุกทีมันจะจับมือผมพาเดินไปโน่นไปนี่ วันนี้คิดอะไรอยู่หว่า ทำไมถึงทำแค่เอาแขนมาพาดคอเฉย ๆ อืมมม ถ้าคนอื่นมองเราทั้งคู่ก็คงคิดว่าเป็นคู่เพื่อนที่รักกันดี แต่ขอโทษนะครับพี่ ๆ ทั้งหลาย ผมรักมันมากกว่าที่พี่คิดกันเสียอีก หึหึ



     ทันทีที่มาถึงปากทางซอยหก เฟิร์สก็จูงผม (กูอุส่าโล่งใจว่ามึงจะไม่จับมือแล้วนะ) เข้าไปร้านโน้น ทะลุออกร้านนี้ เหมือนเขาเจาะทางไว้เชื่อมต่อกัน เฟิร์สมันก็เป็นคนหัวแฟชั่นเหมือนกันครับ เพราะดูเสื้อผ้าแต่ละตัวที่มันหยิบขึ้นมาทาบบนร่างของผมแล้วล้วนมีสไตล์ทั้งนั้น ผิดกับผมชิบหายเลยว่ะ ที่ในตู้มีเสื้อผ้าอะไรก็สามารถหยิบมาใส่อย่างไม่สนใจว่ามันจะเข้ากันมั้ย เฟิร์สมันหยิบเสื้อฮู้ดเอย เสื้อแขนยาวเอย เข้ามาทาบกับตัวผมก่อนจะทำหน้าพิจารณา



     " ไง จะสิบร้านแล้วนะ ยังเลือกไม่ได้อีกเหรอ ? " ถ้าจำไม่ผิดมันพาผมมาร้านนี้เป็นร้านที่ เอ่อ...ท่าไหร่แล้ววะ ? เอาเถอะ เกือบสิบนั่นแหละ แม่ง เรื่องมากชิบหาย



     " ไม่ได้ที่รัก แฟนกูจะต้องน่ารักกว่าใครเพื่อน " นี่ไอสัด จะเรียกกูว่าแฟนก็เบา ๆ หน่อยก็ได้ เจ้าของร้านตากี้เขาหันมามองตอนมันพูดว่าแฟนแถมทำตาโตอีกต่างหาก สงสัยคงช็อกน่ะครับที่ผู้ชายกับผู้ชายเรียกสรรพนามว่าแฟนด้วยกัน ไม่วายมันก็ถามต่อ



     " แล้วที่รักเป็นคนชอบสีไหนอะครับ ? "



     " สีแดงไง " ผมว่าผมเคยบอกมันแล้วนะ แต่สงสัยคงลืม และมันเองก็ชอบสีนี้เหมือนกัน



     " งั้นเอาตัวนี้ดีมั้ย ? " มันหยิบชุดกันหนาวแขนยาวสีดำสลับขาวที่เนื้อผ้าค่อนข้างหนาเข้ามาทาบกับตัวผมอีกครั้ง ชุดวอร์มสีน้ำเงินกับผ้าพันคอสีแดงนี้ที่เฟิร์สให้ใส่ผมว่าก็เหมาะกับตัวเองดีนะ ไม่เห็นจะต้องซื้ออะไรเพิ่มให้เปลืองสตางค์เลย



     " เฟิร์ส ตัวที่กูใส่อยู่ของมึงก็สวยดีอยู่แล้ว จะซื้อทำไมอีก ? เปลืองตัง " มันทำหน้าไม่สนใจก่อนจะหยิบเสื้อในมือไปแขวนไว้อย่างเก่า อ้าวเฮ้ย ! แล้วมึงจะวิ่งไปไหน !? ผมขมวดคิ้วมองตามหลังมันที่เดินเข้าไปลึกกว่าเก่า



     " ที่รัก " แว่วเสียงมันเรียกพลางกวักมือยิก ๆ ตอนนี้เจ้าของร้านเขามองผมด้วยสายตาที่เยิ้มแบบสุด ๆ แล้วครับ เหอ ๆ แฟนผมมันก็งี้แหละ อย่าไปสนใจมันมาก ผมเดินมาใกล้มัน ๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม



     " อะไร ? " มันชูเสื้อสองตัวสีแดงขึ้นมาโชว์อวดหรา ผมมองกลางลำตัวที่มีอักษรสีขาวเขียนว่า F&M ก่อนจะขมวดคิ้วคิด มันคงจะเป็นชื่อแบรนด์ของทางร้านหรืออะไรหรือเปล่าหว่า ?



     " ดูดิ ๆ มันเป็นชื่อกูกับมึงไงที่รัก เสื้อสองตัวนี้มันคงจะเป็นพรหมลิขิตของเราแน่ ๆ เลย พี่ครับเอาสองตัวนี้ " แล้วมันก็เดินไปจ่ายตังแบบหน้าตาเฉย ว่าแต่มึงไปเรียนสกิลมโนมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย คิดเองเออเองก็เป็นเนอะ เฮ้อ จริง ๆ เลยไอเฟิร์สเอ๊ยยยยย



     หลังจากเสร็จสิ้นการช็อปปิ้งเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ขออนุญาตใช้สิทธิ์ในฐานะแฟน หึหึ เรียกร้องว่าอยากไปหาอะไรกินให้เย็น ๆ กระเพาะสักหน่อย แล้วแม่งก็เหมือนมันเป็นพี่ดาเอ็นโดรฟินเลยว่ะ เพราะไม่ต้องขอแม่งก็จะยอมให้ จูงมือผม (อีกแล้ว) มายังร้านบิงซูคุ้นหน้าตุ้นตา เฟิร์สยิ้มให้ผมก่อนจะพาเข้าไปในร้าน มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าที่เจ้านี่พาผมมากินร้านนี้ แถมเลือกนั่งที่ที่ผมเคยนั่งกับคนนั้นข้างหน้าต่าง ไหนจะเมนูอันแสนอร่อยที่มันสั่ง ณ ตอนนี้อีก



     " เอาบิงซูเมล่อนหนึ่งที่ครับ " เฟิร์สยิ้มบอกกับพี่พนักงาน ก่อนจะหันมาจ้องเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่



     " ที่รัก " มันเอามือมาโบกหน้าไปมาแต่ผมก็ไม่หลุดจากภวังค์ความคิด แม้จะมีเสียงวุ่นวายจากคนในร้านร่วมด้วย



     " มิ้ลค์ " คราวนี้เสียงขานชื่อของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งโต๊ะก็ดังขึ้นเรียกให้ผมตื่น ผมค่อย ๆ เงยหน้าไปคลี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนใจ



     " เป็นไร ? " มันยื่นแขนทั้งสองมากุมมือผมไว้ ชั่งเหมือนในอดีตตอนนั้นไม่มีผิด



     " ถ้ากูพูดมึงจะโกรธกูมั้ย ? " เฟิร์สส่ายหน้าทันที แถมยิ้มออกมาอย่างสบาย ๆ ผมควรจะพูดเรื่องรักเก่า ๆ ให้คนรักใหม่ ๆ อย่างเฟิร์สดีมั้ย..



     " เจอสาวแล้วถูกใจมากกว่ากูเหรอ ? " เชี่ย ! ผมปัดแขนมันออกอย่างขัดใจแต่เฟิร์สก็หัวเราะร่าราวกับกวนตีนสำเร็จ



     " คือ.. " เฟิร์สจ้องอย่างไม่ละสายตาเมื่อน้ำเสียงของผมจริงจังขึ้น " ตอนที่กูเคยคบกับนัทตี้ " พอผมพูดถึงประโยคและชื่อนี้เล็ดลอดออกมาจากปาก แววตาของเฟิร์สก็เปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาทันที



     " กูเคยพานัทตี้มากินร้านนี้ นั่งโต๊ะนี้ และสั่งเมนูนี้ " เอาเข้าจริง ๆ ผมว่าตัวเองไม่ควรเอ่ยปากถึงชื่อผู้หญิงคนนี้เลยด้วยซ้ำ มันจะทำให้บรรยากาศที่เคยมีแต่รอยยิ้มหายไปจนหมด ผมไม่กล้ามองหน้าเฟิร์สอีกแล้ว มันนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมเอาแต่มองฝ่ามือของเราที่ผสานกัน



     " มึงคงอึดอัดใช่มั้ยที่กูพามารื้อฟื้นอดีตน่ะ กู...ขอโทษนะ " มือข้างที่กุมอยู่ของเฟิร์สบีบกลับมาเบา ๆ จนผมกล้าสบดวงตาใสแจ๋วของมันที่หวนคืนกลับมาอีกครั้ง



     " ไม่เป็นไร อดีตก็คืออดีต ยังไงปัจจุบันมันก็ทำให้กูเรียกว่ารักได้มากกว่าครั้งไหน ๆ อยู่แล้ว " ได้เห็นซะทีนะรอยยิ้มของมึงเนี่ย แต่ทำไมต้องทำหน้าหื่นตามมาด้วยวะ ?



     " งั้นคืนนี้จัดกันอีกรอบเนอะ ? " นั่นไงกูว่าแล้ว ผมโยนมือที่มันกุมอยู่ออกอย่างหน่ายใจ



     " ไอ้ขี้หื่น ! "



     เฮ้ออออ อย่างน้อย ๆ ปัจจุบันในตอนนี้ก็สามารถแทนที่อดีตร้าย ๆ ในใจผมได้ล่ะนะ



     ขอล่ะนัทตี้...อย่าได้เข้ามาในชีวิตผมอีกเลย



     #เฟิร์สมิ้ลค์



- Not to be unlocked -

หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.37 แนบสารบัญแล้วจ้า (28/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-03-2018 04:25:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.37 แนบสารบัญแล้วจ้า (28/2/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 02-03-2018 16:49:40
Not to be unlocked : Episode 38 : ไม่รู้จักพอ


     และแล้วชีวิตผมก็เดินวนมาถึงนิทรรศการประจำปีของโรงเรียนชายล้วนสักที เย้ ๆ ที่ผมดีใจออกนอกหน้าเป็นพิเศษเพราะทางโรงเรียนเขาเชิญชวนให้บุคลากรและนักเรียนที่น่ารัก ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมอันมีความคล้ายคลึงกับคอนเซ็ปต์งานวัด ซึ่งผมก็ได้คุยกับเฟิร์สไว้แล้วครับว่าเราทั้งคู่จะเช่าแผงขายลูกชิ้นปิ้งกัน หึหึ ถ้าเกิดขายของได้กำไรมากกว่าค่าแผงสี่สิบบาทก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าขายไม่ออกก็ตัวใครตัวมัน ฮ่า ๆ


     แน่นอนครับเวลาโรงเรียนมีกิจกรรมใหญ่ ๆ แบบนี้ อาจารย์ก็จะเมตตาธรรมให้เข้าเรียนหรือไม่ก็ได้ (ส่วนผมกับเฟิร์สไม่เข้าครับ ไฟนอลก็ปล่อยแม่ง หึหึ) เท่าที่ผมรู้โปรแกรมคร่าว ๆ ของวันนี้มาจากไออาร์ม ช่วงเช้าจะเป็นเปิดแผงขายของ ทั้งของกิน แฮนเมด ตลอดไปจนเย็น มีเกมให้เล่นฟีลเดียวกับงานวัด (ปาลูกโป่ง ยิงตุ๊กตาทำนองนี้) รวมไปถึงมีผลิตภันฑ์จากสปอนเซอร์ไว้บริการนักเรียนฟรี ๆ อีกเพียบ ก่อนที่วันนี้จะเกิดขึ้นผมกับเฟิร์สก็ได้มีการวางแผนเกี่ยวกับการขายเป็นที่เรียยร้อย เมื่อวานผมกับมันได้ลงทุนกันคนละห้าร้อยบาท เพื่อที่จะไปซื้อลูกชิ้นหลากหลายชนิดจากตลาดและเสียบเข้ากับไม้ด้วยตัวเอง พอเช้าเข้าหน่อยคุณขวัญก็เป็นธุระนำลูกชิ้นที่นอนเบียบเสียดกันอยู่เต็มกล่องและสารพัดเครื่องมือมาส่งถึงโรงเรียน หึหึ แม่เขยมีรถก็สบายไป (แม่ผมก็มีรถโว้ย แต่โดนตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว ฮืออออ)


     หลังจากที่คุณขวัญนำอุปกรณ์ทำมาหากินมาให้ เผื่อวันไหนต้องตกระกําลําบากสองผัวเมียคู่เราจะได้หาเงินเป็น ผมและมันก็เดินขึ้นไปยังโรงยิมเพื่อนำของทั้งหมดไปกองไว้ที่แผง เช้า ๆ แบบนี้ออกจากวุ่นไปเสียหน่อย เพราะก็มีนักเรียนมากหน้าหลายตาเลยครับที่มีเป้าหมายในการค้าขายและขนของขึ้นมาไว้เหมือนกัน กว่าแผงลอยของผมและสามีอันเป็นที่รัก (ไม่ต้องหมั่นไส้เลย หึหึ) จะจัดแจงความเรียบร้อยเสร็จก็กินเวลาไปสิบโมงกว่า เจ้าเฟิร์สแบ่งหน้าที่ไว้แล้วครับว่ามันจะเป็นคนขายเอง ส่วนผมให้ยืนปิ้งไป มันแอบบอกด้วยนะว่าที่ให้ไปยืนปิ้งเพราะกลัวว่าจะมีใครฉุดมึงไปน่ะสิ ไอบ้า ! มึงก็คิดได้เนอะ


     " อะ ลองดูดิ่ว่าอร่อยมั้ย " ผมยื่นลูกชิ้นเอ็นหมูที่ทดลองปิ้งอไปให้พนักงานขายหน้าร้านอย่างเฟิร์ส มันงับเข้าปากก่อนจะเคี้ยวหนุบหนับ


     " อื้ม ลูกชิ้นร้านนี้อร่อยว่ะ " ทีนี้มันก็ลองกินแบบราดน้ำจิ้มที่ผมทำเองกับมือดูบ้าง " โหหหห !!! พอกินกับน้ำจิ้มแม่งอร่อยกว่าอีก เมียใครวะเก่งโคตร ๆ " มึงก็พูดเว่อร์ไป ที่น้ำจิ้มอร่อยเพราะผมโทรไปถามสูตรที่ม๊านี่แหละ


     " เมียหน้ามึงสิ ถ้าอร่อยก็วิ่งไปบอกอาจารย์คำดาวว่าพร้อมขายแล้ว อ้อ แล้ววิ่งไปบอกไออาร์มด้วยนะว่าให้มันโปรโมทร้านให้หน่อย " คือต้องไปแจ้งอาจารย์คำดาวก่อนน่ะครับว่าพร้อมขายแล้ว เพราะเขาทำหน้าที่เกี่ยวกับแผงขาย พอเสร็จสิ้นการขายก็ไปแจ้งอีกที ส่วนอาร์มมันทำหน้าที่เป็นพิธีกรภาพสนามครับ วันนี้ทั้งวันมันก็เดินเพ่นพ่านพูดกอกไมโครโฟนอยู่แถวนี้แหละ ยังไงเสียก็ให้แม่งโปรโมทร้านผมซะเลย


     " ครับที่รัก เดี๋ยวผัวมานะ รอนี่อย่าไปไหน ถ้ากูกลับมามึงไม่อยู่ มึงตาย !! " ขู่กรรโชกแบบนี้คิดว่ากูจะไปไหนห้ะ ? ขืนกูไม่เฝ้าร้านของหายจะทำยังไง แต่ไหนขอดูหน่อยซิว่าจะทำอะไรกู หึหึ


     " ตายเลยเหรอ ? เอาสิ กูให้ทีนึง " ผมพองลมในปากพลางยกนิ้วจิ้มแก้ม หมายจะให้มันเอาหมัดมาซัด แต่เหมือนแผนจะผิดไปนิดหน่อยเพราะแม่งเล่นหอมแก้มซะดังฟอดแทน !!


     " ไอเชี่ยเฟิร์ส !! " แล้วมันก็หัวเราะร่าพลางรูดลูกชิ้นจากไม้เสียบเข้าปากจนหมดก่อนจะวิ่งแจ้นหายไป ดีนะที่แผงตรงข้ามเขาก็ยังวุ่นไม่มีเวลาหันมามอง ไม่งั้นอายจนแทรกแผ่นดินหนีแน่เลยกู ฮืออออออ


     พอเสร็จสิ้นจากการเตรียมพร้อมในการขายแล้ว สามี เฮ้ย ! ผัว เฮ้ย ! ไอเฟิร์ส เฮ้ย ! ถูกแล้ว !! ก็วิ่งกลับมาด้วยท่าทีเหนื่อยหอบขณะที่ผมนั่งสไลด์โทรศัพท์รอเพลิน ๆ ผมยกขวดน้ำจากกระติกให้มันดื่มเอือก ๆ แต่แม่งดันบอกอยากกินนมแทน ตอนแรกผมก็งง ๆ แหละว่าจะมาอยากกินนมอะไรตอนนี้จึงได้รู้จากสายตากรุ้มกริ่มของเฟิร์ส ก็เลยนำขวดน้ำมาฟาดแต่แม่งดันหลบได้เสียก่อน (นมที่ว่าคือผมไง มิ้ลค์=นม) พอผมเปิดศึกอยากจะทำให้ผู้ถือหุ้นบาดเจ็บสักหน่อย ไออาร์มก็เดินมาจากไหนไม่รู้ เข้ามาสัมภาษณ์พ่อค้าแซบร้านเราในทันที ดูเหมือนผมกับเฟิร์สจะตั้งแผงเร็วกว่าชาวบ้านเขาด้วยมั้ง ก็เลยได้รับกรรมสิทธิ์ในการโปรโมทร้านกับพิธีกรภาคสนามอย่างไออาร์มและ..


     ไอคิงคองด้วยเหรอ !!!?


     " แหม คุณคิงคองครับ ตอนนี้เรามาอยู่หน้าร้านขายอะไรกันครับโผมม " ไออาร์มมันพูดฉอด ๆ ใส่ไมล์อยู่หน้าร้านคู่กับคิงคอง โดยมีกล้องจากฝ่ายโสตฯ แพนมายังเราตลอด ถามมาได้ไอห่าว่าขายอะไร ถ้าลูกชิ้นมันเป็นงูคงฉกมึงสองตัวตายห่าไปแล้ว


     " ตอนนี้เราก็มาอยู่กับร้านขายลูกชิ้นคู่ผัวเมียที่เรียกได้ว่าข้าวใหม่ปลามันเลยครับคุณอาร์ม แต่ไม่รู้ลูกชิ้นร้านนี้จะหวานหรือเปล่า เพราะพ่อค้ากับแม่ค้าร้านนี้เขาร้าาากกันเหลือเกิน " นี่ถ้ามึงไม่หยุดแทะโลม กูจะหยิบมีดปลอกแตงกวาไปเสียบหลังมึงแทนนะไอคิงคอง หึ้ยยย โปรโมทร้านอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องโปรโมทชีวิตรักของกู ตอนนี้ฝูงชนทั้งหลายก็เริ่มทยอยมามุงร้านผมกันแล้ว หลังจากเสียงอันน่ารำคาญของสองคนนี้ดังประกาศไปทั่วโรงยิม


     " เอาล่ะ เรามาคุยกับพ่อค้ากันบ้างดีกว่า ขอเชิญทั้งคู่เลยคร้าบบบ " แล้วเฟิร์สมันก็จูงผมออกไปหน้าร้านหลังจากที่อาร์มอัญเชิญเราไป ไม่อยากมายืนเท่าไหร่เลยว่ะ ประหม่ากล้องชิบหายยย


     " แหมคุณเฟิร์สครับ ช่วงเตรียมตัวนี่วุ่นวายมั้ยครับ ? " อาร์มมันยื่นไมล์ไปจ่อปากให้เฟิร์สพูด คนข้าง ๆ มองหน้าอย่างขอความเห็น คงจะเขินพูดไม่ถูกเหมือนกัน


     " ก็...วุ่นวายนิดหน่อยครับช่วงตอนเตรียมร้าน แต่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเพราะมี.. " แล้วมันก็ใช้ตาหวาน ๆ มองมายังผมแทนคำตอบที่หายไป ไอห่า ! มันใช่เวลามาสวิฟวี๊ดวิ้วมั้ยเนี่ย !!


     " แหมมมมมมมมมมมมมม หวานได้อี๊กกกก " นั่นไงไอพวกเวร กูว่าแล้วมึงต้องแซ็ว !


     " ไปไหนก็ไปเลยนะไอสัด รำคาญ !! " ที่ผมชี้หน้าด่ากราดไปไม่ใช่อารมณ์เสียแต่อย่างใดหรอก เพียงอยากจะระบายอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ว่าข้างในมันเป็นอะไร คงจะเป็นความเขินที่โดนแทะโลมจนทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าสาธารณชนล่ะมั้ง คุณสามตัวหน้าร้านหัวเราะกันคิกคักหลังจากที่ผมเดินปลีกเข้ามาในร้าน


     " ทำใจหน่อยนะครับคุณเฟิร์ส เอาใจแฟนเขาหน่อยละกัน ช่วงนี้เป็นเมนส์อารมณ์อาจจะเข้า ๆ ออก ๆ " ยังอีกนะไอคิงคอง ถ้ามึงไม่หยุดมีดตรงหน้ากูได้ลอยไปปักหัวแน่


     " งี้แหละครับคุณคิงคอง เขาว่ากันว่าความรักจะทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง " โหยยยยยย ผมหยิบมีดขึ้นมาโดยพลันแต่เฟิร์สแม่งไวกว่า คว้าแขนผมไว้ก่อนที่พวกนั้นจะวิ่งหายไปกันอย่างจ้าละหวั่น


     " ใจเย็นดิที่รัก เขามาช่วยโปรโมทร้านยังจะทำร้ายเขาอีก " มึงคิดเหรอว่าจุดประสงค์ของพวกมันจะเป็นตามที่พูดไอเฟิร์ส ?


     " มึงก็อีกคน ไปให้ท้ายมันมาก เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย " เฟิร์สยิ้มออกมาเหมือนเดาใจผมออกก่อนจะยึดมีดในมือผมลงไปวางไว้บนเขียงอย่างเก่า


     หลังจากคู่หูคู่นรกสองตัวนั้นที่ผมยังไม่ทันจะเอามีดไปปักหัวทำหน้าที่โปรโมทร้านให้ ลูกค้าในคราบชุดนักเรียนและอาจารย์บางท่านก็ทยอยต่อแถวเข้ามาเลือกลูกชิ้นไว้รองท้องกันอย่างเนืองแน่น เห็นว่ามีเวทีคอนเสิร์ตของชมรมดนตรีไว้ให้เด็กได้โยกย้ายส่ายสโพกด้วย เข้ากับธีมงานวัดแต้ ๆ เลยว่ะ ผมยืนกลับลูกชิ้นอยู่ข้าง ๆ เจ้าเฟิร์สก็สังเกตเห็นว่าเอ็นหมูกับไส้กรอกไก่จะเป็นที่จับตามองของเหล่านักเรียนแบบสุด ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อในตู้กระจกที่เราใช้เก็บลูกชิ้น จำนวนไม้ของเอ็นหมูและไส้กรอกไก่เริ่มพองลงไปเยอะ จนเฟิร์สต้องเดินไปหยิบจากกล่องโฟมด้านหลังมาเติม อืมมม ถ้าจำไม่ผิดลูกชิ้นเอ็นหมูผมทำไว้ทั้งหมดหนึ่งร้อยไม้ แล้วเมื่อเช้าเฟิร์สมันยัดใส่ลงไปในตู้ยี่สิบไม้ โอ้ ! ยังเหลืออีกเยอะโข ขายได้สบาย ๆ


     พอแผงของเราดำเนินการขายมาถึงสิบเอ็ดโมงซึ่งเป็นคาบพักกลางวันของนักเรียนม.ต้น ลูกค้าก็เฮโลมาหนักกว่าเก่า ตอนนี้ลูกชิ้นสำรองที่เก็บไว้ในกล่องโฟมเริ่มเหลือจำนวนไม่มากแล้ว ไอผมก็ดีใจอยู่หรอกว่าลูกค้าแห่มาสนใจเลือกซื้อลูกชิ้นกัน แต่คุณมึงจำเป็นมั้ยว่าหางแถวจะต้องเกยไปถึงต้นซอย !!!! ตอนนี้ไม่รู้แล้วครับว่าลูกค้าคนไหนผมกับเฟิร์สจะรู้จักกันหรือเปล่า เพราะเหนือสิ่งอื่นใดที่สำคัญมากกว่าชีวิตคือการกลับลูกชิ้นไม่ให้ไหม้ และทอนเงินแก่ลูกค้าให้ครบจำนวน


     จวบจนเที่ยงเป๊ะนั่นแหละครับลูกค้าถึงได้บางตา ผมหอบแฮก ๆ นั่งอยู่เก้าอี้พลางหาอุปกรณ์เสริมที่มีขนาดใหญ่แฮนเมดมันให้เป็นพัดก่อนจะโบกไปมาให้ลมตีหน้า ไม่ไหวแล้วครับร้อนมาก ! ส่วนเฟิร์สก็นำเฉาก๊วยนมสดมาประเคนผมถึงปาก เพราะตากี้มันอาสาวิ่งไปซื้อมาให้ อ่าาาาห์ สดชื่นมากกกกก น้ำเปล่าเย็น ๆ ตอนนี้ก็เอาไม่อยู่ครับ แม่งเหนื่อยโคตร ๆ


     " หวัดดีจ่ะสามี " ผมเหล่ไปทางต้นเสียงที่แม่งบีบโทนให้แสบถึงแก้วหู อีเจสซิก้ากับเหล่าผองเพื่อนนี่เอง ที่มายืนเสนอหน้าตรงนี้สงสัยคงถึงคาบพักม.ปลายแล้วสินะ


     " เฮ้ย ๆ นั่นเมียเรา มั่วแบบนี้เดี๋ยวอยู่ยากหรอกนะเจสซิก้า " เฟิร์สมันหัวเราะหึหึอย่างคนไม่คิดอะไรก่อนจะเปิดตู้ลูกชิ้นให้เลือก " เอาไรดีจ๊ะคนสวย ? "


     " เอาเมียเธอได้เปล่าล่ะเฟิร์ส ? มันข๊าววววววขาวจนน่ากิน " ผมยืนกะพริบตาปริบ ๆ ให้ไอกะเทยควายหน้าร้านแทะโลมอย่างเจริญอารมณ์ เอาที่มึงสบายใจเลยละกันอีเจส !


     " ไม่ได้หรอก คนนี้เราหวง มา ๆ อยากกินไร เดี๋ยวเราแถมให้เป็นพิเศษ " ทำไมลูกค้าคนอื่นไม่เห็นแถมเหมือนอีห่าเจสซิก้าเลยล่ะนั่น มึงนี่มันสองมาตรฐานจริง ๆ ว่าแต่ของขายออกไปเยอะขนาดนี้ยังจะมีของแถมเหลืออยู่อีกเหรอ ? ผมไม่หวงเรื่องของแถมหรอกครับ เพราะใจดีเหมือนหน้าตา อิอิ (เสียงใครอ้วก !)


     " เอาเป็นมิ้ลค์แถมแกได้ปะ ? หล่อไม่แพ้มันเลยนะ " เยี่ยม หันไปบริโภคไอเฟิร์สบ้างก็ดี หึหึ


     " ไม่ได้หรอก เมียเราหวงเรายิ่งกว่าเราหวงมันอีก " แหม มึงรู้ได้ไง ขี้มโนนะมึงเนี่ย !


     " เอาไปเหอะกูให้ " พอผมพูดจบเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรแตกจากหน้าไอเฟิร์สเลยว่ะ ฮ่า ๆ มันเอี้ยวตัวมาฉีกยิ้มให้แบบเลว ๆ ก่อนจะหันไปสนใจอีเจสซิก้าที่เลือกลูกชิ้นกับเพื่อนแก๊งมันต่อ


     " นี่...ถึงเราจะได้คิวลูกชิ้นไวกว่าชาวบ้านเขา แต่คิวที่เราต่อจากนายนี่อีกนานมั้ยอะนายเฟิร์ส ? แฟนเธองานดีมากเลยนะ " เจสซิก้าพูดขณะยื่นลูกชิ้นในตู้ให้เฟิร์สและส่งต่อมายังผม ผมทำเป็นไม่สนใจรอฟังคนขายว่ามันจะตอบอะไร ก่อนจะวางลูกชิ้นลงบนตะแกรงย่าง


     " คงจะยากหน่อยนะเจสซิก้า เพราะว่าเราเป็นของกั.. "


     " ไอเฟิร์ส " ผมเบรกเอื้อดดดดดประโยคที่ไอบ้านั่นพูดออกมาด้วยเสียงราบเรียบแต่แฝงอะไรไว้มากมาย ผมเหล่ดูปฏิกิริยาของเฟิร์สที่มองกลับมาเหมือนทางนั้นจะรู้ตัวแล้วว่าผมหยุดมันเพราะอะไร ส่วนกะเทยควายที่เลือกลูกชิ้นกันอยู่ก็ทำได้แค่มองหน้ากันอย่างสงสัย


     " เพราะว่าเราเป็นของมิ้ลค์คนเดียว " ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ไอห่านี่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกี่ยวเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ บนเตียงของเราเลย ไอห่าราก นี่มึงบอกใครเขามั้งเนี่ยว่ากูเสียเอกราชให้ไปแล้วน่ะ


     " โหยยยยยยย เลี่ยนค่าาาาา หวานได้อีก กูเชื่อแล้วแหละว่าน้ำจิ้มร้านนี้น้ำตาลมันเยอะ ! " น้ำจิ้มร้านกูโนน้ำตาลเว้ย แต่แฟนกูเทคารมคมคายเพิ่มลงไปเยอะหน่อยมันเลยหวาน หึหึ


     " อะ ได้แล้ว " หลังจากที่ปิ้งลูกชิ้นจำนวนมากกว่าสิบไม้และมีเฟิร์สคอยชวนคุยกับแก๊งกะเทยหน้าร้านอยู่นั้น (แดกห่าอะไรเยอะแยะ) ผมก็จัดการนำใส่ถุงคู่กับผักเคียงพลางยื่นไปให้ลูกค้า VIP และรับแบงก์สีแดง ๆ มาทอนเงิน


     " เดี๋ยวจ่ะ " เจสซิก้าชะงักด้วยคำพูดก่อนที่ผมจะเงยหน้าขึ้นไปมองมัน


     " อะไรจ๊ะอีดอก ? " เห็นมันแจกดอกอยู่หน้าร้านกับเพื่อนมันจนกลายเป็นทุ่งทานตะวันแล้วน่ะครับ ยังไงขอด่ามันคืนสักหน่อยเผื่อดอกไม้แถวนี้จะลดลงบ้าง หึหึ


     " ไม่ต้องทอนหรอกจ่ะมิ้ลค์ แต่เราขออย่างอื่นแทนเงินทอนได้ปะ ? " ผมหันไปเหล่ไอเฟิร์สอย่างขอความเห็น เพราะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีนี่จะเล่นไม้ไหนอีก แม่งยิ่งลีลาเยอะไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่ด้วย


     " จะเอาอะไร ? "


     " หอมแก้ม "


     " ห้ะ ? "


     ' จุ๊บ '


     เชี่ย !!!!!!!


     ผมหน้าเหวอมองอีแก๊งกะเทยที่วิ่งกรูหายไปเหมือนตั้งวงไผ่แล้วตำรวจลง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมหวิวขึ้นมาในใจ ผมค่อย ๆ หันไปมองเฟิร์สข้าง ๆ ที่ตอนนี้สายตาของมันเกรี้ยวกราดขึ้นมาในบัดดล


     " มึงมานี่เลยไอขี้อ่อย ! " แล้วมันก็ลากผมไปหลังร้านเพื่อจะทำอะไรบางอย่าง ไม่นะ มึงจะทำอะไรกู !!?


     " กูไม่ได้อนุญาตให้มันหอมแก้มกูเลยนะไอเฟิร์ส มึงต้องไปจัดการมันเส้ จะลากกูมาทำไม อย่าทำอะไรกูนะ ! ม่ายยยยยยยยย "


####


     หลังจากที่ผมโดนตัดสินโทษโดยเพชฌฆาตขี้มโนอย่างไอเฟิร์สเป็นอันเรียบร้อย สภาพเสื้อผ้าของผมในตอนนี้ก็หลุดลุ่ยออกมานอกกางเกงอย่างไม่มีชิ้นดี ผมคงจะบรรยายว่าแฟนตัวเองทำอะไรมิดีมิร้ายหลังร้านไม่ได้หรอกครับ เพราะมันค่อนข้างจะ เอ่อ...ไม่พูดดีกว่า รู้แค่ว่าหลังจากที่ผมปิดร้านลูกชิ้นปิ้งและเดินเล่นภายในงาน ไอห่านี่ก็ไม่มีทีท่าจะปล่อยวงแขนออกจากคอผมเลย อันตัวผมจะเดินแลซ้ายแลขวาเพื่อหาร้านขนมอร่อย ๆ หรือของที่ระลึก ก็จะโดนคุณสามีหมุนคอด้วยมือให้หันกลับมามองหน้าแม่งอยู่อย่างเก่า ไอบ้า ! นับวันมึงนี่ขี้หึงจนเป็นประสาทแล้วนะ ถึงจะพูดอย่างนั้นมันก็พอมีเมตตานักโทษอย่างผมบ้างเมื่อมีขนมหวาน ๆ ล่อตาล่อใจจากบางร้าน (พึ่งรู้ว่ามินขายข้าวไข่เจียวกับอาร์มด้วย ไม่ทะเลาะกันแล้วเหรอ ?) เฟิร์สมันก็จะวิ่งพรวดเข้าไปหาเหมือนหมาอยากได้กระดูกโดยไม่แยแสผมทันที หึ ทีงี้ล่ะปล่อยกู เดี๋ยวพ่อเอาตะเกียบที่ซื้อซูชิร้านไอเบิร์ดแทงหลังซะหนิ ไอเห็นของกินดีกว่าแฟน !


     พอได้ของกินเข้าหน่อยแม่งก็ลากผมมาตรงสแตนด์ที่มีเพลงจากชมรมดนตรีและพี่ ๆ ศิษย์เก่าเข้ามาเล่น เพื่อสร้างบรรยากาศให้งานของเรามีความสนุกสนานมากขึ้น ปีนี้ดีเข้าหน่อยครับที่เขาตั้งเวทีหันหน้าเข้าสแตนด์ ทำให้หมดห่วงเรื่องคนข้างหลังจะมองไม่เห็น ถ้าอยากจะโยกย้ายก็เชิญข้างล่างเลยจ่ะ มีพื้นที่กว้าง ๆ สำหรับการประลองฝีเท้าอยู่ตรงนั้น ผมหนวดกระตุกมองไอเฟิร์สที่กำลังจูงมือไม่ขาดก่อนจะพาปีนขึ้นไปบนสแตนด์ โอ๊ยยยยย มึงจะพากูมาตรงคนเยอะทำมายย ถึงจะบ่นอุบอิบในใจอย่างนั้น เฟิร์สก็พาผมเบียดเสียดผู้คนและสามารถโชว์อภินิหารขึ้นไปแทรกหาที่นั่งให้พอสำหรับเราสองคนได้ หึ พอผมโน้มตัวลงนั่งและขยับร่างกายเข้าหน่อย แม่งก็หันมามองค้อนเหมือนไปฆ่าคนที่มันรักมา (อวยว่าฆ่าตัวเองได้มั้ย หึหึ) กูไม่ได้จะคิดหนีนะเว้ย ให้กูขยับสักนิดสักหน่อยบ้างเส้ พลันเห็นคู่กรณีอย่างซันนั่งอยู่สแตนด์ชั้นเดียวกันใกล้ ๆ นี่ด้วย เฮ้ย ! มันนั่งอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจด้วยว่ะ เข้าทางผมชิบหาย อยากจะเดินไปเคลียร์เรื่องที่ผมบาดหมางกับมันให้รู้แล้วรู้รอดจัง แต่ติดไอตัวที่เกาะแกะอยู่ข้าง ๆ นี่สิ


     " เฟิร์ส " โว้ยยยย มึงไม่ต้องเหล่สายตาอาฆาตมาดร้ายใส่กูได้ม้ายยยย งานนี้กูไม่ผิดก็บอกไปแล้ว อีเจสซิก้ามันหอมแก้มกูเองงง กูไม่ได้ไฟเขียวอนุญาตมันเล้ยยย คนข้าง ๆ หันกลับไปดูพี่น๊อตร้องเพลงบนเวทีต่อพลางอมตังเมในมืออย่างไม่สนใจ หรือมันจะไม่ได้ยินผมเพราะเสียงเพลงดังกลบวะ ? แล้วถ้าไม่ได้ยินมันจะเหล่ใส่ผมทำไมกันล่ะหว่า


     " เฟิร์ส ! " คราวนี้พี่แกไม่หันเลยครับ นี่กำลังจะบอกว่างอนกูอยู่ใช่ปะ ? โอ๊ยไอปัญญาอ่อน ! เอาไงดีว่ะเนี่ย...อ๋อออออ ต้องเล่นไม้นี้ใช่มั้ย ?


     " ที่รัก " พรึ้บ !!!! ผมเรียกด้วยเสียงเบาและคิดไว้แล้วล่ะว่าแม่งคงไม่ได้ยิน แต่ทำไมมึงหันมาอย่างไวจนคอแหบหลุด แถมทำตาโตอีกต่างหากวะ ?


     " เรียกเค้าไมอ๋อ ? " โธ่ไอห่า ! บทจะยากก็ง้อยากชิบหาย บทจะง่ายแค่พูดคำนี้ก็หายเลยอะนะไอเวร


     " กูเห็นซันมันนั่งอยู่คนเดียวตรงโน้นอะ กูขอไปเคลียร์อะไรกับมันหน่อยได้มั้ย ? " ผมพูดพลางชี้ประกอบไปยังสแตนด์ชั้นเดียวกันที่ซันนั่งอยู่และมีที่ว่างข้าง ๆ มัน เฟิร์สทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้ดึงหน้าให้ตึงเปรี๊ยะแบบตากี้แล้ว


     " เอาสิ รีบไปรีบมานะ เค้าเป็นห่วง " อย่างน้อยผมก็ขอเก็บข้อมูลไว้หน่อยละกันว่าถ้าไอห่านี่งอนเมื่อไหร่ เพียงแค่ผมพูดว่า ' ที่รัก ' ปัญหาที่ผมก่อหรือไม่ได้ก่อแล้วมันมโนงอนขึ้นมา ก็จะหายแว็บไปเองในพริบตาเดียว หึหึ


     ผมเดินผ่านหน้าสุดที่รักขี้มโนโดยที่มือยังถือลูกชิ้นปิ้งร้านตัวเอง (มันเหลือเลยย่างกินเองครับ) พลางขอทางคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านมาโน้มตัวนั่งลงข้าง ๆ ซัน ก่อนจะหยิบเจ้าลูกกลม ๆ เสียบไม้จากถุงพลางยื่นให้มัน ซันมองตอบอย่างไม่เชื่อในสายตาว่าผมจะมาแบบเป็นมิตร และก็ยอมที่จะรับความหวังดีจากผมไป ถ้าจะให้เดานะ มันคงคิดว่าไอห่ามิ้ลค์มึงจะมาไม้ไหนอีก เพราะครั้งล่าสุดพึ่งจะปะทะเจ้าเพื่อนซี้คนนี้ไปเอง


     " ปอนด์อยู่ไหนล่ะ ? " ผมมองข้ามศีรษะหลาย ๆ คนลงไปยังเวทีพลางใช้ปากรูดลูกชิ้นจากมือกินไปพลาง ๆ


     " มันซื้อของกินอยู่น่ะ เดี๋ยวก็มา " ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ เพราะซันกลับมาเป็นซันคนเก่าแล้ว หากผมจะช่วยคุยเรื่องปอนด์ก็คงสบายใจเรื่องมีปากเสียงไปได้เลย


     " เหรอ " บนเวทีที่ผมเห็นคือเด็กม.4 กำลังปรับสายกีตาร์กับเพื่อนในวงเพื่อเตรียมจะเล่นต่อจากวงรุ่นพี่ แต่สมองผมตอนนี้กลับเลื่อนลอยไปไกลอย่างไม่รู้ว่าจะชวนคนข้าง ๆ คุยอะไรต่อ


     เวลาผ่านไปจนลูกชิ้นที่เสียบไม้ในมือของเราทั้งคู่หมดลง ผมจึงตัดสินใจที่จะถามกับมันแบบไม่อ้อมค้อม แม้มีเสียงเล็ดลอดของตำแหน่งโซโล่บนเวทีดังแทรกมาก็ตาม


     " ปอนด์มันเป็นอะไรวะ ? ทำไมมึงถึงปกป้องมันได้ขนาดนั้น " ซันถอนหายใจพรูออกมาซึ่งทางผมเองก็เดาไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะพูดอะไร ถึงรู้ว่าทางนั้นใจเย็นลงบ้างแล้ว


     " มันไม่เป็นอะไรหรอกมิ้ลค์ " รอยยิ้มของซันที่โชว์หราอยู่นี้นั้น ผมรับรู้ว่ามันเป็นละครตบตา ซันกำลังปิดบังความจริงบางอย่างจากผม


     " มึงจำตอนกูปิดบังเรื่องนัทตี้ที่สวนน้ำได้เปล่า มึงเคยพูดว่าไม่เห็นกูเป็นเพื่อนแล้วใช่มั้ย ? จนกูต้องพูดความจริงออกมา กูขอเรียกร้องสิทธิ์ในการเป็นเพื่อนจากมึง ให้มึงพูดความจริงออกมาบ้างได้มั้ยวะ ? " แววตาเคลือบใสลอกแลกหลังจากได้ฟังประโยคของผมก่อนจะนิ่งหยุดไป ซันเม้มปากเข้าหากันแน่นราวกับไม่อยากให้เรื่องนี้ผุดออกมา คงตัดสินใจยากสินะที่จะพูดความจริง มันต้องเป็นเรื่องสำคัญที่มีผมเกี่ยวข้องแน่ ๆ เพื่อนคนนี้ถึงได้เก็บงันความลับเอาไว้


     " ปอนด์มันเห็นว่าเฟิร์สขอมึงคบวันนั้นน่ะ มันร้องไห้หนักมาก กูก็พึ่งรู้นี่แหละว่ามันแอบชอบมึง แม่งโคตรเสียสติเลย โชคดีที่กูบังเอิญมาเจอมันแถวสวนวิจิตร กูแค้นตัวเองชิบหายเลยว่ะที่ใช้แม่งเป็นนกต่อให้มันส่งกระดาษแผ่นนั้นกับมึง ปอนด์มันคงเจ็บมาก ๆ ที่เห็นมึงกับเฟิร์สได้รักกัน กูอยากรับผิดชอบอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ะ " สิ่งที่ผมคาดเดาในวันนั้นกับความจริงจากปากซันในวันนี้เป็นเรื่องเดียวกันอย่างถูกต้องที่สุด ทุกคำพูดของซันที่กล่าวมาผมรับรู้อยู่ในหัวไม่ทะลุออกไปไหน ซันเป็นอีกคนนึงที่ผมนับถือเรื่องแคร์ความรู้สึกคนอื่น แม้มันจะดูเป็นคนเลว ๆ ในสายตาบางคนก็ตาม


     " กูขอโทษนะที่ทำให้ปอนด์มันหัวเราะไม่ได้มากกว่านี้ มึงเข้าใจกูใช่มั้ยว่ามันคือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับกู กูไม่อยากให้มันเป็นอื่น " ซันนิ่งเงียบราวกับจดจำทุกคำพูดของผม แต่ในหัวผมตอนนี้กลับขาวโพลนไปหมด มันเป็นเพราะอะไร ทำไมผมถึงคิดเรื่องที่จะฉุดความรู้สึกเก่า ๆ ของปอนด์ให้หวนคืนกลับมาไม่ได้ ผมคิดอะไรไม่ออกสักอย่างนอกจากสองคำนี้


     " กูขอโทษ กูขอโทษจริง ๆ กูช่วยเหลืออะไรปอนด์ไม่ได้เลย " แม้ใจลึก ๆ อยากจะช่วยเหลือ แต่มันกลับด้านชาไปหมด ผมรู้ว่าการไปจับต้องตัวปอนด์มาก ๆ ยิ่งเหมือนไปให้ความหวังแม้ตัวเองจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ตาม คนข้าง ๆ ที่เงียบอยู่นานตอนนี้ก็ตอบโต้ผมบ้าง


     " กูก็ขอโทษมึงเหมือนกันนะที่ตะคอกใส่ ตอนนั้น กูทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ กูอยากรับผิดชอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนไม่คิดหน้าคิดหลัง " บ่าแกร่งของซันถูกผมตบเบา ๆ เพราะทางผมไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไปคิดหลับหลังเหมือนกัน


     " ไม่เป็นไรเว้ย ยังไงก็เพื่อนกัน " แต่ผมสนใจซันได้เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น เพราะสาวตาพลันเห็นร่างของปอนด์และมือที่ถืออะไรมากมายจับจ้องมายังเราอย่างหวั่น ๆ ผมคงต้องหมดธุระกับซันเพียงเท่านี้


     " กูไปก่อนนะเว้ย " ผมตบบ่าซันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลาด้วยรอยยิ้ม เพราะเราปรับความเข้าใจจนทุกอย่างล้วนออกมาดีแล้ว


     กูขอโทษนะเว้ยซันที่คิดช่วยอะไรมึงไม่ได้เลยจริง ๆ


####


     หลังจากที่ผมกับเฟิร์สพากันเดินวนในงานวัดกันอีกรอบ และพบว่าของกินในแผงต่าง ๆ นั้นหมดลงแล้ว เราสองคนก็เดินออกมานอกโรงเรียนเพื่อที่จะไปยังเซเว่นอีกฝั่ง แหม ก็คนมันหิวอะครับท่านผู้อ่าน อยากจะหาอะไรมากินระหว่างดูดนตรีสักหน่อย เห็นเขาประกาศว่าจะมียันสองทุ่มเลยแน่ะ สุดยอดดดด เอาเป็นว่าตุนของกินจนถึงช่วงเวลานั้นเลยดีกว่า พองานจบคุณขวัญก็บึ่งรถมารับเราและสัมภาระต่าง ๆ แล้วก็มุ่งหน้ากลับบ้าน อ่าาาาาาห์ วันนี้แม่งเป็นวันอะไรที่พิเศษขนาดนี้กันน้า..~~ กำไรจากการขายก็ได้มาเต็ม ๆ


     แต่ไม่ทันไรผมก็หาเรื่องเอ็ดไอเฟิร์สได้อีกแล้วเพราะว่ามันแวะไปซื้อของหวานระหว่างทางจนได้


     " พอเหอะไอห่า แดกแต่อะไรแบบนี้ เดี๋ยวเบาหวานก็ขึ้นตาหรอก " แม่งจูงผมพาไปซื้อขนมทองหยอดหน้าโรงเรียนคิดดูดิ น้ำตาลในเส้นเลือดมึงกี่มิลลิกรัมแล้วเนี่ย ?


     " โห่ที่รัก ชีวิตเค้ามันขาดความหวานน่ะ เค้าขอเติมหน่อยไม่ได้เหรอ ? " ทำไมกูสะกิดใจกับไอประโยคห่านี่แปลก ๆ


     " อ๋อ กูทำให้ชีวิตมึงหวานไม่ได้ใช่มั้ย ? ด้ายยยย " หึ ได้ทีกูของงอนบ้างแล้วกัน ผมสลัดแขนมันออกหมายจะเดินไปอีกฝั่งเพื่อเข้าร้านหมายเลขเจ็ด แต่เดินหนีไปได้ไม่เท่าไหร่มือก็ต้องมาเย็นเฉียบค่อนแข็งเป็นหินเพราะบุคคลเบื้องหน้าในตอนนี้ สมองผมขาวโพลนจนโล่งเตียนราวกับถูกดูดออกไปจนหมด ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเธอจะกลับมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าแบบนี้อีกครั้ง


     " มิ้ลค์คะ " สีหน้าของนัทนี้ในคราบชุดนักเรียนแสดงถึงความดีใจหลังจากที่ไม่ได้พบกับผมเนิ่นนาน ผมจะทำยังไงในสถานการณ์กับคนที่เคยมอบชีวิตและทุกอย่างให้ แต่เขากลับทิ้งไปอย่างไม่มีเยื่อใยแบบนี้ดี


     ในตอนที่หญิงสาวตรงหน้ากำลังมุ่งหน้าหวังจะโถมกอดผมอย่างเห็นได้ชัด ฝีเท้าเล็ก ๆ ก็หยุดลงเมื่อผมรู้สึกถึงใครบางคนกำลังโอบคอจากด้านหลัง


     " ทำเขาเสียใจยังจะมีหน้ากลับมาอีกเหรอ ? " เฟิร์สถามด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น แต่นัทตี้เขาฟังคำถามนั้นที่ไหน


     " มิ้ลค์ ที่ผ่านมานัทตี้รู้ตัวเองแล้วว่าทำผิดอะไรไว้ นัทตี้ทิ้งคนสำคัญของนัทตี้ไป มิ้ลค์รู้มั้ยว่ามิ้ลค์ดีกับนัทตี้ขนาดไหน ? นัทตี้รู้แล้วว่ามิ้ลค์ดีที่สุด มิ้ลค์...มิ้ลค์กลับมาหานัทตี้เถอะนะ " ถึงคราบน้ำตาจะอาบแก้มทั้งสองของผู้หญิงคนนั้น แต่ริมฝีปากก็ยังอวดรอยยิ้มสวยสู้ไม่หวั่น ผมบอกเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ ผมไม่ได้เตรียมตัวและคาดฝันมาก่อนว่าเธอจะกลับมา


     " ไปเหอะมิ้ลค์ " เฟิร์สพาผมเอี้ยวตัวกลับไปอย่างไร้ความปรานีและเห็นใจ ผมเดินหันหลังกลับมาได้สองสามก้าวเสียงจากด้านหลังก็ดังตามมา


     " มิ้ลค์ ! ได้โปรดกลับมาเถอะ มิ้ลค์คือคนสำคัญสำหรับนัทตี้ ! มิ้ลค์คือคนที่ดีที่สุดของนัทตี้ !!! " เสียงคำวิงวอนอันแผดลั่นจากด้านหลังทำให้ฝีเท้าของเฟิร์สหยุดลง คนที่คล้องคอผมเดินไปหาหญิงสาวตรงนั้นก่อนจะก้มไปกระซิบอะไรบางอย่าง พลางหันกลับมาแสยะยิ้มด้วยความซะใจอย่างหาที่สุดไม่ได้


     " ผู้หญิงไม่รู้จักพอแบบเธอนะนัทตี้ มันไม่มีค่าพอที่จะได้รักผู้ชายดี ๆ แบบมิ้ลค์หรอก...ไปซะ " นี่ล่ะครับ สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นควรได้รับจากผม


     เฟิร์ส


- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.38 แนบสารบัญแล้วจ้า (2/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 03-03-2018 18:30:59
Not to be unlocked : Episode 39 : คนนี้แหละลูกเขย


     หลังจากที่เฟิร์สเป็นคนพาผมออกจากสถานการณ์บีบคั้นหัวใจจนร่างกายไม่สามารถบังคับให้ง่ายกว่าทุกที ผมก็กลับมานั่งเงียบขรึมภายในโรงเรียนใต้ตึกสิบสองด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปเหมือนคนละคน เอาเข้าจริง ๆ ถ้าเฟิร์สไม่ได้ยืนอยู่กับผมตรงนั้นที่เบื้องหน้าคืออดีตอันเลวร้ายอย่างนัทตี้ คำถามของเธอที่ว่าผมคือบุคคลดีที่สุดและควรค่าแก่การกลับไปนั้น ผมอาจจะตอบตกลงหรือคล้อยตามด้วยน้ำตาที่นัทตี้ชอบเรียกร้องอยู่บ่อย ๆ เป็นแน่ อะไรก็เกิดขึ้นได้จริง ๆ ถ้าตรงนั้นมีเพียงผมที่ยืนหยัดอยู่ตัวคนเดียว ผมพึงคิดเสมอมาว่าตั้งแต่คบกับเฟิร์ส ไม่ว่ายังไงก็ตามผมจะไม่มีวันหวนคืนกลับไปเป็นคนรักของนัทตี้อีกครั้ง นัทตี้เลือกทิ้งผมและเดินจากไปอย่างไร้ปรานี ผมได้รับคำบอกเลิกอันแสนเจ็บปวด และตัดสินใจเดินเคียงข้างเฟิร์สหลังจากนั้น เมื่อเราตัดสินใจที่จะแยกทางกันแล้ว ก็ควรยอมรับมันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมและนัทตี้ไม่สามารถกลับไปมีกันและกันได้อีก ตั้งแต่เฟิร์สพาผมกลับมาสีหน้าหล่อ ๆ ของมันก็เปลี่ยนไปราวกับสำเร็จความแค้น ผมพยายามล้วงคอให้มันพูดความจริงว่าตากี้ไปกระซิบอะไรกับนัทตี้มา แต่เฟิร์สบอกไม่ต้องรู้หรอก มันเป็นเรื่องของเราสองคนที่จบไปแล้วก็เท่านั้นเอง แถมยังพูดอีกว่าเรื่องราวที่เจอนัทตี้ในวันนี้ก็ลืม ๆ ไปซะเถอะ ไม่ต้องเก็บไปคิดมากให้รกสมองหรอก ผมก็อยากจะทำแบบนั้นแหละนะ แต่ของแบบนี้มันง่ายซะที่ไหน


     เอาเป็นว่าตามมีตามเกิดก็แล้วกัน..


     เช้าในวันเสาร์ผมรีบดีดตัวเองขึ้นมาให้ไวกว่าปกติเพราะมีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องทำ เดี๋ยวครับท่านผู้อ่าน ! วันนี้ทางกระผมเนี่ยไม่ได้จะตื่นไปทำงานที่ร้านหรอกนะ ที่ผมรีบตื่นขี้นมาเพื่ออาบน้ำแต่งตัวก็เพราะวันนี้นั้นมีแข่งทำอาหารที่เมืองทองธานีน่ะสิ !! คืองี้ครับ นับถอยหลังจากวันนี้ไปหนึ่งเดือนเศษ ผมได้มีโอกาสไปท่องยังแฟนเพจอาหารในเฟสบุ๊คแห่งหนึ่ง ทางนั้นเขาเปิดรับสมัครนักเรียนหรือนักศึกษาที่มีใจรักด้านการทำอาหาร เข้าแข่งขันในรายการ The best chef of teen ซึ่งรายการนี้บอกเลยว่าเป็นรายการที่ใหญ่กว่าที่ผมไปแข่งมาเป็นไหน ๆ มาก ! ก่อนผมจะลงสมัครก็ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับธีมที่เขากำหนด ถึงได้รู้ว่ามันต่างกับสนามแข่งก่อน ๆ ลิบลับ คะแนนที่ได้รับก็จะแตกต่างกันออกไป อาทิเช่นประเภทในการแข่ง (อาหารไทย ยุโรป เอเชีย ผมลงสมัครประเภทอาหารไทยไปครับ เพราะแม่มีสูตรดี อิอิ) ความสวยงาม ความคิดสร้างสรรค์ การดึงรสสัมผัสของวัตถุดิบ บลา ๆ โอ๊ยยยย ถ้าจะให้ผมอธิบายข้อกำหนดทั้งหมดก็คงพรุ่งนี้เสร็จ เอาเป็นว่าผมเก็บตัวอยู่คนเดียวในการฝึกซ้อมมาค่อนเดือนเลยนะเออ สปอนซงสปอนเซอร์อะไรไม่มีหรอกครับ เข้าเนื้อล้วน ๆ


     อ๋อ คงจะสงสัยกันล่ะสิว่าไม่ไปทำงานเหรอเพราะเป็นวันเสาร์ เรื่องนี้ผมทูนไปหาคุณขวัญให้รับทราบเรียบร้อยครับสำหรับขอลาหยุดเพื่อที่จะไปแข่งขัน แน่นอนพอเรื่องถึงหูคนในร้านปุ๊บ กำลังใจของใครหลาย ๆ คนก็มากองทับผมจนแบนแต๊ดแต๋ เฟิร์สก็เป็นหนึ่งในกำลังใจและขาดไม่ได้เลยที่ออกปากสัญญาเองว่าจะไปเชียร์ถึงขอบสนาม หึหึ งานนี้ผมบุกเดี่ยวครับไม่มีเทรนเนอร์เหมือนคนอื่นคอยพร่ำสอนและบอกเทคนิค ยังไงมีคนที่สามารถเรียกได้แล้วว่าแฟนไปด้วย กำลังใจในการแข่งย่อมมหาศาลกว่าชาวบ้านเขาเยอะ หึหึ


     ขณะนี้เวลาเจ็ดโมงเกือบครึ่งและรถที่ติดอยู่ถนนเส้นไหนไม่รู้ก่อนจะไปถึงเมืองทองธานี โชคดีหน่อยครับที่ผมรีบออกมาโบกแท็กซี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน เพราะเผื่อเวลาเรียบร้อยแล้วสำหรับเรื่องนี้ ไม่ว่ารถจะติดถึงพม่าหรือขั้วโลกเหนือก็สามารถไปทันเวลาแข่งตอนบ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วงเรื่องข้าวเช้าเลยครับ เพราะในกล่องวัตถุดิบข้าง ๆ ตัวที่ถือติดมาสำหรับการแข่งนั้นผมได้เตรียมแซนด์วิชเป็นอาหารรองท้องไว้แล้ว ผมกินไม่ค่อยลงเท่าไหร่หรอกเพราะตื่นเต้นมากกกก อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่านี่เป็นรายการใหญ่ ! สนามแข่งครั้งนี้ไม่เรียบหรูเหมือนครั้งไหน ๆ แน่นอน


     ขณะที่ผมใจจดใจจ่อกับการแข่งขันในวันนี้ รวมไปถึงรู้สึกวิงเวียนศีรษะจากการตื่นเช้านิดหน่อย เพราะเมื่อคืนก็ฝึกซ้อมหนักเอาการจนมีเวลานอนเพียงแค่สองชั่วโมง หน้าจอไอโฟนในมือก็โชว์รายชื่อถึงบุคคลที่เป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ของผม โทรเข้ามาเพื่อเรียกให้รับสาย


     " ไง ถึงไหนแล้ว ? " ผมฟังเฟิร์สพูดขณะชะเง้อมองค่ามิตเตอร์ประกอบ แดกเงินในกระเป๋ากูไปสามหลักแล้ว..


     " อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ว่ะ ไม่คุ้นทางเลย แต่รถอย่างติด มึงล่ะอยู่ไหนแล้ว ? " นอกหน้าต่างของผมตอนนี้ไกลจากเส้นเอกมัยบ้านตัวเองมากกก มันอยู่ตรงไหนของแผนที่โลกแล้วก็ไม่รู้


     " กูกำลังจะอาบน้ำ ว่าจะแต่งตัวหล่อ ๆ เพื่อมึงเลยน้า เดี๋ยวไปจุ๊บให้กำลังใจถึงที่เลย " หึ ไม่ต้องได้รอยประทับจากริมฝีปากนิ่ม ๆ ของมึง กำลังใจที่มาเชียร์มันก็มากพอแล้วเฟิร์สเอ๊ยย


     " เออ แล้วเจอกัน " ผมกดวางสาย ปล่อยให้เฟิร์สได้ไปทำธุระส่วนตัวของมันก่อนจะสบตาปิ้ง ๆ กับคนขับผ่านกระจก งั้นตอนนี้ผมคงทำได้แค่นั่งรออย่างใจเย็นให้พี่โชว์เฟอร์เขาขับเคลื่อนรถสีเขียวเหลืองคันนี้ไปให้ถึงจุดหมายสินะ..


     หลังจากคาดการณ์เวลาถึงที่หมายว่าน่าจะประมาณเที่ยงนิด ๆ เพราะรถติดสลัด แต่ไหนพอรถขยับผ่านถนนเส้นนั้นที่แออัดไปด้วยยานพาหนะ แม่งดันมาถึงหน้าเมืองทองฯ ตอนเก้าโมงได้วะ !! ผมยืนอึ้ง ๆ อยู่หน้าทางเข้าประตูไหนก็ไม่รู้เพราะก็ไม่เคยมาที่นี่เหมือนกัน พลางเดินแบกสัมภาระในมือและหลังต้อย ๆ ไปยังด้านใน กำหนดการเขาให้ไปลงทะเบียนที่ฮอลล์หนึ่งครับ แล้วจากประตูบานเลื่อนและมีเจ้าหน้าที่ตรวจกระเป๋าตรงนี้มันไปทางไหนกันล่ะนั่น ? ผมขมวดคิ้วตลอดทางที่มันกว้างงงงงงอย่างไม่รู้ว่าต้องเดินไปไหน พลันหางตาเห็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวที่ในมือถือกล่องคล้าย ๆ กัน แถมมีลักษณะเหมือนจะมาเข้าร่วมแข่งขันเช่นกันอีก เธอเดินเลี้ยวขวาเข้าประตูด้านหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ผมสะกดรอยตาม โป๊ะเชะ ! ผมขอเดาว่าทางที่เธอเดินเข้าไปคือสนามแข่งที่ผมจะเอารางวัลกลับบ้านแน่นอน มัวรออะไรอยู่อีกล่ะครับ วิ่งตามไปเลย !!


     และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะหน้าทางเข้ามีชื่อรายการของการแข่งขันแปะอยู่ตัวเบ้อเร่อคู่กับโต๊ะลงทะเบียน ผมค่อนข้างตื่นตาตื่นใจและตื่นเต้นสุด ๆ เมื่อบริเวณรอบตัวนั้นมีคนใส่ชุดเชฟเดินกันแบบพลุกพล่าน บวกด้วยสเตชั่นการแข่งขันที่มีคนลงแข่งไปบ้างแล้ว หน้าตาแต่ละคนเอาจริงเอาจังกับการบรรจงทำอาหารของตัวเองมาก ๆ ดูจากลักษนะทางกายภาพของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนรอบนี้แล้ว อายุและประสบการณ์ไม่ใช่น้อย ๆ เลย มีหวังถ้าผมหลุดเข้าไปแข่งกับพวกเขาแม่งแพ้จนขายขี้หน้าแหง ผมที่ต่อแถวถือกล่องยกขึ้นแล้วก็วางลงวนวูบอยู่อย่างนั้นเมื่อแถวลงทะเบียนขยับก็เริ่มหน้ามืดแปลก ๆ สงสัยจะเป็นไมเกรนตามม๊าแล้วมั้งที่ก้มหน้าบ่อย ๆ แล้วเหมือนจะวูบ ถ้าผมเป็นลมล้มทับไปก็ฝากท่านผู้อ่านแบกกลับบ้านด้วยนะครับ ฮ่า ๆ แต่เป็นอย่างนี้ได้ไม่นานผมก็ได้รับการลงทะเบียนเข้าแข่งขันเป็นที่เรียบร้อย


     สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ผมเข้าใจดีว่ามันเป็นรายการใหญ่ ซึ่งแน่นอน ต้องเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าหัวกะทิ อย่างไรก็ดี หากผมจะได้รับรางวัลหรือไม่ก็ตาม เวทีแห่งนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในการหล่อหลอมตัวเองให้มีทักษะในด้านทำอาหารอีกเยอะโข เอาจริง ๆ ผมก็พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋าอยู่หรอกนะ เพราะเพียรหมั่นฝึกซ้อมและได้กำลังใจดี ๆ จากคนที่รัก ไม่ว่าจะป๊า ม๊า มิน และรวมไปถึงเฟิร์ส เออว่ะ ! ผมต้องโทรไปบอกมันว่ามาถึงแล้วนี่หว่า !! ไม่ทันไรผมก็ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงหลังจากที่พี่สต๊าฟภายในงานพาตัวมายังโซนรองรับผู้เข้าแข่งขัน


     ผมไม่ต้องเอาหัวไหล่หนีบโทรศัพท์รอสายนานขณะเปิดกระเป๋าและกล่องเพื่อเช็กของเลยครับ เพราะเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเฟิร์สก็รับสาย


     " ฮัลโหลลล อยู่ไหนแล้ววว " เสียงออกจะดูตอแหลนิดหน่อยครับ เพราะคึกอะไรก็มิทราบ สงสัยจะตื่นสนาม ฮ่า ๆ


     " มิ้ลค์ " เฟิร์สขานชื่อสั้น ๆ ขณะที่ผมกวาดสายตาและคุ้ยหาของที่สำคัญ


     " ว่าไง ? " กระดาษสูตร วัตถุดิบ มีด ของตกแต่ง เยี่ยม !! ชุดเชฟก็ไม่ได้ลืม


     " ตากี้ก่อนที่กูจะโบกแท็กซี่ไปหามึง แม่กูโทรมาอะ คือ.. " เสียงนั้นขาดหายไปจนต่อมเสือกผมทำงานโดยพลัน


     " คือ ? " ผมถามขณะยกเสื้อเชฟขึ้นมาดม โห ! ซักซะหอมเลยว่ะ น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อนี้เขาดีจริง ๆ แวะไปซูเปอร์มาเก็ตครั้งหน้าต้องเหมามาให้หมด


     " แม่กูบอกว่าคนทำงานในครัวที่ร้านไม่พอเพราะวันนี้มีคนมาขอลาเพิ่ม...เลยจะขอให้กูไปทำงานแทนมึง "


     " .......... " มันเหมือน...เหมือนยืนอยู่ที่โล่ง ๆ ขณะฝนตกแล้วฟ้าผ่าลงมาดังเปรี้ยงอย่างไม่ได้ตั้งตัว


     " กูขอโทษนะมิ้ลค์ กูอยากไปเชียร์มึงจริง ๆ กูอยากไปให้กำลังใจมึง แต่.. "


     " ไม่เป็นไร มึงอยู่ช่วยแม่ไปนั่นแหละ กูเข้าใจ " ผมเข้าใจดีว่าถ้าคนที่ร้านไม่พอน่ะ ระบบงานภายในร้านมันจะเสียหมด เป็นสิ่งที่ถูกแล้วที่เฟิร์สจะเสียสละตัวเองเพื่อไปทำหน้าที่ตรงนั้น ผมพูดตัดบทคนในสายด้วยความรู้สึกที่เข้าใจ แต่ทำไมอยู่ดี ๆ แรงที่มีในกายนี้มันหายไปไหนหมดกันล่ะ.. เสียงที่พูดดูเหมือนจะแผ่วลงด้วย


     " กูสัญญานะมิ้ลค์ ถ้างานเสร็จเมื่อไหร่กูจะไปหามึงทันทีเลย รอกูนะมิ้ลค์ "


     " อื้ม " เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังตัดไป พร้อมกับกำลังใจที่ตอนนี้เริ่มระเหยหายไปในพริบตา


     หลังจากที่ได้คำตอบว่าเฟิร์สไม่สามารถมาหาผมได้ เนื่องจากเหตุฉุกละหุกว่าพนักงานในครัวอีกคนขอลาหยุด ใจของผมในตอนนี้ก็เคว้งคว้างไปโดยปริยายจริง ๆ ผมนั่งขัดตะหมาดเอนหลังพิงกำแพงพลางมองขึ้นไปด้านบนเหมือนคนไร้วิญญาณ พร้อมกับบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเฟิร์สมาให้กำลังใจไม่ได้ แม้จะเห็นผู้เข้าแข่งขันในรายการเดียวกันนั่งอ่านสูตรหรือเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ อยู่ ก็ไม่สามารถทำให้ผมกระตือรือร้นเหมือนแบบนั้นได้เลย ทำไมกันนะ...แค่รู้ว่าเฟิร์สมาไม่ได้ ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ไปแล้ว


     มันเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ผมยังเหลือกตามองแต่ด้านบน จนพี่สต๊าฟเขามาตามตัวให้ไปเข้าสนาม ผมอือ ๆ ออ ๆ ตามเขาไปอย่างนั้นทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้ทบทวนก่อนเข้าสนามจริงเลยสักนิด ผมไม่เคยเป็นคนไร้ความรับผิดชอบต่อตัวเองแบบนี้ ที่พอสูญเสียอะไรสักอย่างไปแล้ว ทุกอย่างที่เคยตั้งใจและคาดหวังสูงสุดจะเททิ้งได้อย่างคนขี้แพ้ ทำไมครั้งนี้ผมเป็นแบบนั้นไปแล้วล่ะ เฮ้อ...เอาวะ ถึงจะกระอักกระอ่วนมวนท้องแค่ไหนก็ขอทำหน้าที่ตรงนี้ให้เสร็จไปก่อนแล้วกัน


     พอเข้ามาถึงโซนแข่งขันดูเหมือนหลาย ๆ คนนั้นจะมีทีท่าว่าจะตื่นสนามเป็นที่สุด ผิดกับผมที่ยังยืนใจเลื่อนลอยอย่างยากที่จะดึงกลับ ไอแรงฮึดสู้ที่ก่อนเข้าสนามแบบเมื่อเช้ามันหายไปไหน.. เสียงนกหวีดเป่าดังเป็นสัญญาณให้เริ่มการแข่งขัน ผมในมาดชุดเชฟที่แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยก็ยกวัตถุดิบต่าง ๆ ขึ้นมาจากกล่องก่อนจะจัดเตรียม เวลาในการทำมีสองชั่วโมงมั้งครับ ถ้าได้ยินไม่ผิดตอนที่พี่สต๊าฟเขามาแจ้งแก่ผู้เข้าแข่งขัน ผมไม่ได้ฟังซะทีเดียวหรอกเพราะมีอารมณ์ที่ไหน ผมยังคงใจลอยหั่นเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ แม้จะมีกรรมการกิตติมศักดิ์เดินมามองบ้าง พอถึงกระบวนการทอดหรือผัดตามสูตรของผมที่เตรียมมา คุณกรรมการก็แวะเดินมาอีกครั้งเพื่อมาตั้งคำถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมก็ตอบเขาคำบ้าง สองคำบ้าง ไม่รู้พูดแบบนี้เขาเรียกว่ามีมารยาทหรือเปล่า แม่ง.. ไม่อยากแข่งแล้วว่ะ แต่ถ้าเฟิร์สมาเห็นผมในสภาพพวกขี้แพ้ที่รอแต่กำลังใจมันคงผิดหวังในตัวไม่น้อยแน่


     จวบจนเวลาที่เขาประกาศว่าเหลือสามสิบนาทีสุดท้ายนั่นแหละครับผมถึงเดินนำเมนูไปส่งแก่คณะกรรมการ พวกเขาทั้งหมดดูจะสนใจพะแนงไก่กรอบ ปลานิลทอดสมุนไพร ผัดยอดมะระ ข้าวอบธัญพืชในหนึ่งจาน ที่ผมนำเสนอและจัดเป็นสไตล์โมเดิร์นดี แต่ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่แล้วล่ะกับการแข่งวันนี้ ไหนจะอาการมึนศีรษะตั้งแต่เมื่อเช้าอีก ก่อนจะเดินไปรอโซน ๆ หนึ่งที่เขาให้ผู้เข้าแข่งขันไปนั่งพักและรอฟังประกาศผล โทรศัพท์ไอโฟนถูกหยิบขึ้นจากกระเป๋ากางเกงอย่างใจคาดหวังว่าจะมีเบอร์ใครสักคนโทรมา พึ่งบ่ายสองโมงครึ่งเองเหรอเนี่ย.. เป็นไปไม่ได้เลยที่เฟิร์สจะมาหาผมในตอนนี้


     เวลาผ่านไปอีกนิดหน่อยจนผมรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้ามืดกว่าเดิม ผมตบหน้าตัวเองเบา ๆ เรียกสติเกรงว่าจะลงไปนอนกองกับพื้น วันนี้เป็นการแข่งขันที่ผมตั้งใจที่สุด แต่ไหนกลับไม่หวังอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ผมเป็นคนเหลวแหลกอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ไม่ทันไรเก้าอี้รอบด้านที่ผมนั่งอยู่ก็เต็มไปด้วยผู้เข้าแข่งขันอย่างไม่รู้ตัว คงอีกไม่นานหรอกครับที่เขาจะประกาศรางวัล ผมนั่งรออยู่อย่างนั้นแม้จะอยากสลบเข้าไปในทุกที


     ผมปรือตาอย่างสุดความสามารถ มองบุคคลท่านหนึ่งที่ขึ้นไปบนเวทีด้านหน้า เขาพูดอะไรไม่รู้ผมฟังไม่ถนัดและมีผู้เข้าแข่งขันขึ้นไปรับบอร์ดแผ่นใหญ่ ๆ อันมีหมายเลขเงินรางวัลและผลอันดับประทับไว้ ผมไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย เพราะสติที่เคยมัดกันแน่นราวกับเชือกเส้นยาวตอนนี้มันจะขาดอยู่รำไร ผมทนฟังทุกอย่างอยู่เนิ่นนานจนคิดว่าตัวเองคงจะไม่ได้รับรางวัลอะไรแล้วแหละ จึงตัดสินใจไปยังที่รองรับนักกีฬาและนำสัมภาระทุกอย่างของตัวเองกลับ


     ผมไม่หวังอะไรอีกแล้วจากการแข่งขันครั้งนี้


     ผมแบกเจ้ากล่องในมือและเป้ด้านหลังออกไปนอกฮอลล์อย่างไม่คิดจะเดินกลับ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมอยากทำมากที่สุดกว่ารับรางวัลก็คือล้มตึงไปทั้งอย่างนี้ แต่ไม่ทันไรบุคคลตรงหน้าที่แสดงตัวตนถึงกำลังใจเป็นล้นพ้นของผมก็ปรากฏ เฟิร์สแต่งตัวหล่อจริง ๆ อย่างที่โม้เมื่อเช้าในความคิด มือมันถือดอกไม้ช่อสวยหลากสีคงจะเอาไว้ให้กำลังใจผมน่ะสิ ตอนนี้กูไม่ต้องการอะไรอีกแล้วเฟิร์สนอกจากกอดมึง


     ผมเดินเหมือนคนหมดแรงเข้าไปหามันเพื่อหวังจะวาดวงแขนเข้าไปโอบกอด เรียกกำลังใจให้ฟื้นขึ้นมาเต็มร้อยอีกครั้ง แต่ผมก็พรากรอยยิ้มที่เฟิร์สโชว์หราอยู่ด้วยเปลือกตาที่ปิดลงเป็นภาพมืดสนิท ก่อนที่จะรู้ตัวเองว่าหมดสติไป


####


     ผมรู้สึกตัวอีกทีในตอนที่ดวงตาคู่นี้เบิกขึ้นภายในห้องอันแสนคุ้นตา ผมค่อย ๆ ผลักตัวเองขึ้นมานั่งเอาหลังพิงหัวเตียงแม้จะรู้สึกว่าโลกหมุนติ้ว ๆ อย่างยากที่จะหยุด การกระทำนี้เกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีคนข้าง ๆ ที่วาปมาจากไหนไม่รู้ ประคับประคองตัวผมให้เอนนั่งจนสำเร็จ


     " เฟิร์ส " ผมปรือตามองพลางขานชื่อในลำคอแผ่ว ๆ พึ่งฟื้นขึ้นมาอย่างนี้ เรี่ยวแรงมันไม่ค่อยจะมีเลย


     " ไง ตะลึงในความหล่อของกูจนเป็นลมไปเลยเหรอ ? " ผมรู้ว่ามันกวนตีนโดยหวังจะให้ผมหมั่นไส้เล่น ๆ แต่จิตใต้สำนึกอันรู้ผิดชอบชั่วดีก็เข้ามาเล่นงานความคิดที่ผมจะเอามือไปฟาดหัวมันจนได้


     " เฟิร์ส กู.. " ผมอยากจะขอโทษมันตอนนี้เหมือนกันที่ตัวเองงี่เง่า เพียงเพราะแค่ไม่ได้รับกำลังใจและคาดหวังไว้สูงว่ามันจะมาเชียร์ จนทำให้ความมุ่งมั่นที่มีมาเกือบเดือนกว่าพังทลายจนพินาศย่อยยับ ผมแม่งแยกแยะอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ


     " ว่าไงที่รัก ? " เฟิร์สคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางนำฝ่ามือมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ผมพูดไม่ออกจริง ๆ แค่สองคำง่าย ๆ อย่าง ' ขอโทษ ' แม้จะสำนึกผิดและยากที่จะให้อภัย


     " กู...อยากอาบน้ำ " ผมคิดคำแถปิดบังความจริงที่ตอนแรกตั้งใจจะบอกได้แค่นี้แหละครับ เจ้าของมือที่วางอยู่บนหัวผมเลิกคิ้วขึ้น


     " ไปสิ กูอาบด้วย " เฟิร์สทำตามคำขอทันทีพลางประคองร่างกายผมไปยังห้องน้ำอย่างทุรักทุเร ก่อนจะช่วยถอดทุกอย่างบนตัวที่เคล้ากลิ่นอาหารออก จริงอยู่ที่เราเคยอาบน้ำด้วยกันมาแล้วทั้งหมดหนึ่งครั้ง แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้ว่ะที่ถอดทุกอย่างออกให้ล่อนจ้อนอีกรอบต่อหน้ามัน งั้นขอสงวนสิทธิ์เหลือไว้แค่บ๊อกเซอร์หน่อยแล้วกัน ส่วนเจ้าเฟิร์สเห็นผมทำมันก็บ้าจี้ใส่ตามบ้าง


     สายน้ำจากฝักบัวค่อย ๆ ตกมากระทบศีรษะและผิวขาว ๆ ของผมกับเฟิร์สดังเปาะแปะ จนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้มากหลังจากที่สลบไสลเป็นเวลานาน ผมหยิบแชมพูกลิ่นอัญชันมาเทใส่มือก่อนจะปิดวาล์วให้น้ำหยุดไหล พลางยีเข้ากับหัวของเฟิร์สให้เกิดฟองอย่างที่เคยทำ ผมมองสายตาของคนตรงหน้าที่ฉายแววไม่สบายใจสลับกับฟองสีฟ้าบนหัวมัน


     " วันนี้แข่งเป็นไงบ้าง ? " ฝ่ามือที่เคยบรรจงชโลมสระหยุดลงเมื่อประโยคนั้นถามออกมา คำพูดของเฟิร์สตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างเต็มประดาเข้าไปอีก ยังไงผมก็ไม่สามารถหลีกหนีความจริงเพื่อเลี่ยงบอกเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป ผมทำใจให้สงบขณะเปิดวาล์วน้ำและหยิบฝักบัวขึ้นมาลดหัวเฟิร์สเพื่อล้างฟองให้ออกจนหมดก่อนจะวางไว้ที่เก่า มันลูบน้ำบนหน้าออกพลางลืมตามาสบผม


     " กู...มีไรจะบอกมึง " เวลาแค่ล้างน้ำบนหัวหมอนี่มันทำให้ผมเตรียมใจยังไม่ได้เท่าไหร่เลยว่ะ


     " ว่าไง ? " ผมหนีสายตาคู่นั้นอย่างยากที่จะมองตอบโดยการผลุบหน้าลงต่ำแล้วจึงพูดออกมาเสียงแผ่ว ๆ


     " กูขอโทษนะที่วันนี้ทำไม่เต็มที่ กูทิ้งทุกอย่างลงด้วยมือของตัวเองเพียงแค่รู้ว่ามึงไม่มา กูมันงี่เง่าที่หวังจะให้มึงมาเป็นกำลังใจจนลืมไปว่าตัวเองต้องทำอะไร ทำไมเดี๋ยวนี้กูขาดมึงไม่ได้แล้วก็ไม่รู้ กูขอโทษนะที่เอารางวัลมาฝากมึงไม่ได้ กูขอโทษ " ก้อนน้ำตาที่ไหลวนอยู่ในต่อมตอนนี้เริ่มทำหน้าที่ของมันแล้ว เฟิร์สเชยคางผมให้เราสบตากันก่อนจะพูดขึ้น


     " ไม่เป็นไรมิ้ลค์ กูเข้าใจดีว่ากำลังใจถ้ามันขาดหายไปผลลัพธ์ออกมาจะเป็นยังไง กูก็เป็นแบบมึงนั่นแหละเพราะไม่มีมึงอยู่ที่ร้าน กูก็ทำอะไรไม่เป็นเหมือนกัน " น้ำใสในตาเริ่มเกาะตัวเป็นเม็ดใหญ่เมื่อเฟิร์สยกฝ่ามือของมันขึ้น เผยให้เห็นบาดแผลเหมือนมีอะไรบาด


     " กูขออะไรสักอย่างจะได้มั้ยมิ้ลค์ ? " เฟิร์สขโมยความสนใจจากมือข้างนั้นของผมทั้งหมดโดยการขออะไรสักอย่าง


     " อะไร ? " เสียงผมสั่นขณะจ้องมองใบหน้าของมัน ไม่ว่าอะไรถ้าเป็นเฟิร์สขอผมก็ให้ได้ทุกอย่าง


     " ยกโทษให้กูทีนะที่วันนี้ไม่ได้ไปเชียร์มึง กูอยากไปหามึงใจจะขาดแต่กูทำไม่ได้ ต่อไปนี้กูจะไม่ปล่อยให้มึงไปไหนคนเดียวโดยที่ไม่มีกูอีกแล้ว กูสัญญาว่าจะดูแลมึง กูจะรักมึง กูจะไม่ทำให้มึงรู้สึกแย่ ๆ กับกูแบบนี้อีก กูขอโทษนะมิ้ลค์ " ผมเข้าใจทุกอย่างดีตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าทำไมมันถึงมาเชียร์ไม่ได้ จริง ๆ เฟิร์สไม่จำเป็นเลยที่จะต้องออกปากขอโทษ เพราะคนที่คู่ควรพูดคำนี้และสำนึกผิดมันจะเป็นใครหน้าไหนได้อีกล่ะนอกจากผม ผมคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างเข้าใจก่อนจะเดินเข้าไปโอบกอดร่างของเฟิร์สด้วยน้ำตาที่ไหลซึม


     เวลานี้มันเหมือนเราสองคนได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกที่ไม่ดีของกันและกันมาอยู่ในตัว


     เราสองคนขาดกันไม่ได้เลยจริง ๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอด บางทีผมควรที่จะเรียนรู้การอยู่คนเดียวโดยไม่มีเฟิร์สให้ได้


####

หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.38 แนบสารบัญแล้วจ้า (2/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: rsmrypngpth ที่ 03-03-2018 18:36:35
เข้ามาเพราะชื่อเรื่องอะค่ะ รู้สึกว่ามันแปลกๆ unlocked คือปลดล๊อค ถ้าบอกเป็นแนวปฎิเสธแบบนี้คือ แปลว่าอย่าปลดล๊อคไม่ใช่หรอคะ ลองดูชื่อเรื่องอีกทีนะคะ
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.39 แนบสารบัญแล้วจ้า (3/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 03-03-2018 18:41:05
หลังจากที่ผมกับเฟิร์สเล่นบทดราม่าน้ำตาไหลในห้องน้ำและแต่งตัวเข้ากับชุดนอนเป็นที่เรียบร้อย เฟิร์สมันก็จูงผมลงมายังห้องครังด้านล่างเพราะเราทั้งคู่เริ่มหิวขึ้นมาซะแล้ว อาการวิงเวียนศีรษะก็บรรเทาลงหลังจากที่ผมได้อาบน้ำเย็น ๆ ผมที่เดินเข้ามายังครัวถึงขั้นผงะเมื่อเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เอ่อ...คุณบุพการีท่านนี้เขากลับมาจากหัวหินตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมจะกลับบ้านทั้งทีไม่โทรบอกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ก่อนเลยล่ะ..


     " อ่าวมิ้ลค์ ตื่นแล้วเหรอ ? " ม๊าที่สวมแว่นตาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่โต๊ะอาหารหันมาทักผมที่เก ๆ กัง ๆ เดินเข้าไปสอดตัวเข้ากับเก้าอี้พร้อมกับคนข้างหลัง โอ้ !! ลงมาก็มีของกินประเคนถึงปากเลย ยอดแม่ดีเด่นจริง ๆ เลยม๊าคนนี้


     " กลับบ้านมาทำไมไม่เห็นบอกกันมั้งเลย แล้วป๊าไปไหนล่ะ ? " ที่ถามแบบนี้เพราะหน้าทีวีที่ป๊าชอบนั่งโซฟาดูข่าวนั้นไม่พบผู้ใดอยู่ ความเป็นไปได้ที่จะแอบหนีไปกินเหล้ากับคนข้างบ้านก็มีสูง


     " ป๊าแกพาเจ้ามินไปซื้อของข้างนอกน่ะ ดึก ๆ ล่ะมั้งคงกลับ แล้วนี่เป็นไง ดีขึ้นมั้ย ? " ดีขึ้นมั้ย ? นี่อย่าบอกนะว่ารู้ที่มิ้ลค์เป็นลมตอนไปแข่งด้วยน่ะ เมื่อเช้าม๊าผมยังไม่ได้กลับมาบ้านนะครับ สงสัยจะมาตอนบ่าย ๆ กับป๊า


     " ก็ดีครับ แต่ม๊ารู้ได้ไงว่ามิ้ลค์เป็นลม ? " ม๊าผมลุกไปหยิบจานเปล่าสามใบก่อนจะนำมาวางด้านหน้าผม เฟิร์ส และของเขา แสดงว่าม๊าผมนี่คงรอกินข้าวพร้อมกันตั้งนานแล้วสิเนี่ย



     " รู้สิ ก็ลูกเขยคนนี้แบกแกจากแท็กซี่มานี่ไง ถ้าไม่ได้หนูเฟิร์สแกจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ " มึงไม่ต้องมาทำหน้าเหมือนได้รางวัลเลยนะไอสัด เดี๋ยวทุบฟันให้เข้าไปข้างในแบบไม่ต้องดัดเลยหนิ


     " นิดหน่อยน่ะครับ ลูกสะใภ้แม่คนนี้มันยิ่งบอบบางทางอารมณ์อยู่ หึหึ ไปแข่งทั้งทีไม่เอาอะไรมาฝากเล้ยย " ผมว่าตอนนี้กำหมัดแล้วทุบปากมันเลยดีกว่า หึ้ยยยย ไม่ต้องเอาความรู้สึกกูมาล้อเลยนะ !


     " เรื่องแข่งได้รางวัลหรือไม่ม๊าไม่ว่าอะไรหรอก คิดว่าเอาประสบการณ์เนอะ แต่หนูเฟิร์สเถอะ เข้าใจเล่นมุกผัว ๆ เมีย ๆ กับม๊าด้วยเหรอเนี่ย อย่างนี้จะได้เข้าขากับม๊าง่าย ๆ หน่อย " ไม่รู้ทำไมถึงตรงนี้ผมกับเฟิร์สหมุนคอไปมองเหมือนนัดกันไว้ ตั้งแต่ผมได้ทำความรู้จักเฟิร์สครั้งที่เคยเคลียร์ปัญหาเรื่องสบตาปิ้ง ๆ ก็ผ่านมาแล้วหลายเดือน ส่วนตอนที่มันขอผมคบเป็นแฟนอย่างเป็นทางการก็ไม่กี่อาทิตย์ อืมมม ผมว่าเวลาเท่านี้มันก็ทำให้เรารู้จักนิสัยใจคอกันมากแล้วนะ จะออกตัวให้ม๊ารู้ถึงสถานะของมันกับผมก็ไม่น่าเสียหายอะไร


     " ม๊าครับ มิ้ลค์พาคนมารู้จัก " คนตรงหน้าที่ศักดิ์เป็นถึงแม่ของผมมองเจ้าเฟิร์ส ซึ่งไอห่านี่ก็มีทีท่าสงสัยคำพูดนี้ไม่ต่างกัน


     " ใครอะลูก ? "


     " นี่ครับเฟิร์ส ลูกเขยแม่เอง " ผมว่าพลางชี้ไปยังคนข้าง ๆ


     " .......... " อ่าว เดทแอร์เฉย หน้าม๊าผมเหวอไปในพริบตาเดียวก่อนที่ทัพพีในมือของเขาจะแลนดิ้งลงสู่พื้นโต๊ะดังปั้ง !


     " มะ...ม๊าที่เคยพูดว่าเฟิร์สเป็นลูกเขยแค่หยอกเราเล่นเฉย ๆ น่ะ อย่ามาอำม๊ากลับสิ " ม๊าผมหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเดินไปเปลี่ยนทัพพีตักข้าวอันใหม่


     " ม๊าครับ มิ้ลค์พูดจริง "


     " .......... " เอาอีกแล้ว เดทแอร์อีกแล้ว ใครก็ได้ช่วยพูดอะไรหน่อยเต๊อะ ! ไอห่าเฟิร์สก็อย่าเอาแต่เงียบสิโว้ยยย ม๊าผมเดินกลับมาละเมียดละไมตักข้าวท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบจนครบจานของทุกคน ผมลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าม๊าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรที่ลูกชายของเขาประกาศศักดาให้โลกรู้แล้วว่าจะมีแฟนเป็นตัวผู้เหมือนกัน


     ม๊าผมนั่งลงด้วยท่าทีนิ่งเฉยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ " เฟิร์ส ม๊าจะบอกอะไรเราให้นะ " ดูเหมือนคนข้าง ๆ ก็ลุ้นในคำตอบที่ผมอาจหาญพูดออกมาเช่นกัน


     " ครับ " แม่ง กลืนน้ำลายฝืดคอชิบหาย ไม่เคยลุ้นห่าอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย ! เดี๋ยวอายุสิบแปดแล้วซื้อหวยจะลองเทียบดูว่าลุ้นเหมือนแบบนี้มั้ย


     " ค่าสินสอดบ้านนี้แพงนะ "


     " .......... " ค่าสินสอดบ้านนี้แพงนะ..


     เฮ้ย !!!!!!!!!!!!!!!!


     พูดแบบนี้ม๊าผมก็อนุญาตแล้วอะดิ !!!! แว้กกกกกกกกกกกกกกกกกก


     " ค่ะ...ค่าสินสอด เฮ้ยไม่ใช่ !! มะ...ม๊าไม่ว่าผมเหรอครับ !? ม๊าไม่ห้ามผมให้คบกับมิ้ลค์เหรอครับ !!? ม๊าพูดจริง ๆ เหรอครับ !!!? " ผมตะลึงในคำอนุญาตของม๊าที่ตอนนี้เขากระอิ่มยิ้มออกมา


     " จะห้ามทำไมล่ะ ลูกบ้านนี้จะเป็นยังไงม๊าไม่สนใจหรอก ขอแค่ให้เขาเป็นคนดีอย่างเดียวก็พอ " เราสองคนฟังที่ม๊าพูดก่อนจะกอดกันกลมด้วยความดีใจอย่างบอกไม่ถูก เฮ้อออออ ตบหน้าผมทีเถอะแล้วบอกว่าไม่ได้ฝันไป ว่าแล้วม๊าก็พูดต่อ


     " เราสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่ หลาย ๆ คนอาจจะมองความรักของเราแปลก ๆ ไปสักหน่อย ถึงสังคมจะเปิดรับเรื่องรักร่วมเพศแล้วก็จริง แต่ยังมีอีกหลาย ๆ คนนะที่ยังปิดกั้นเรื่องนี้อยู่ เราไม่รู้หรอกว่าเขาคิดยังไงกับความรักแบบนี้ ม๊าเชื่อนะว่าถ้าเราสองคนยังเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลายให้แก่สังคมและไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เราก็จะสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีและทำให้สังคมเข้าใจความรักของเรามากขึ้นด้วยนะ " โหยยยยยยย คมแบบนี้มิ้ลค์ขอยืมไปหั่นผักหน่อยได้มั้ยเนี่ย ม๊าใครก็ไม่รู้ รักที่สู๊ดดดดดดดด


     " ขอบคุณนะครับม๊า ที่ให้โอกาสเฟิร์สได้คบกับมิ้ลค์ เฟิร์สสัญญาเลยนะว่าจะไม่ให้ใครหน้าไหนพรากเราไปจากกัน " ไอนี่ก็เว่อร์ซะไม่มี เดี๋ยวพอถึงเวลาจริง ๆ กูจะดูนะว่ามึงทำได้มั้ยไอสันขวาน


     " จ่ะ ค่ามัดจำลูกชายม๊าก็สามแสนนะ สินสอดอีกห้าแสน แต่งอีกสักล้านหน่อย ๆ ไหวมั้ยจ๊ะ ? " ผมรู้อยู่แล้วแหละว่าม๊าแกหยอกเล่น ใครเขาจะเรียกเก็บเงินค่าลูกสะใภ้ร่วมสองล้าน


     " สบายครับ เดี๋ยวผมพามิ้ลค์หนี " โหยยยยยย กูว่าอนาคตมีหวังได้ไปขายข้าวแกงปากซอยแน่เลยว่ะ


     " จ่ะ ฮ่า ๆ ว่าแต่เถอะ เราสองคนคบกันอย่างนี้...มีอะไรกันรึยังจ๊ะ ? "


     " .......... " เราสองคนหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายอีกครั้ง ก่อนจะกลืนน้ำลายอีกคนละเอือก


     ชิบหายแล้วไงกู..


     หลายวันผ่านไปดูเหมือนชีวิตรักของผมและเฟิร์สจะผ่านไปด้วยความปกติสุข อาจจะมีกวนตีนกันบ้าง หยอกล้อกันบ้าง ซึ่งทั้งหมดเราทำกันในฐานะแฟน (และมันก็จะโดนผมสวนกับด้วยตบทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยโดนสักครั้ง) ผมเชื่อแล้วล่ะว่าฟ้าหลังฝนมันย่อมสว่างจ้าจนแสบตาจริง ๆ แต่มันคงจะสว่างกับแค่คนอื่นล่ะมั้ง เพราะตอนนี้ฝนมันกำลังตกแค่บนหัวของผม เหตุเพราะเย็นวันหนึ่งผมบังเอิญไปเจอเฟิร์สยืนคุยกับผู้หญิงแปลกหน้าในชุดนักเรียนโทนแดงสู้แดดอย่างสนิทสนมอยู่หน้าโรงเรียน ผมมองด้วยท่าทีขุ่นเคืองเล็กน้อยก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะหันมาสบตาและแยกตัวออกไปเพื่อให้ผมได้เข้าไปหา


     ไอเฟิร์สมันคุยกับผู้หญิงที่ไหน ?


- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้มั้ย ? หัวใจของมึง EP.39 แนบสารบัญแล้วจ้า (3/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 04-03-2018 18:11:41
Not to be unlocked : Episode 40 : เด็กขี้แง


     ในหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง ผมกำลังเดินทางไปยังตึกสิบสองเพราะได้รับข่าวสารจากชมรมคหกรรม ว่าจะมีการจัดค่ายเชฟของมหาวิทยาลัยหนึ่งเกิดขึ้น จุดประสงค์หลัก ๆ ของโครงการครั้งนี้ที่ผมได้รับจากใบปลิว คือทางนั้นเขาจะฝึกประสบการณ์และเรียนรู้หลักการสอนของผู้ที่สนใจ ที่อยากจะศึกษาต่อในภาคปริญญาตรีทางด้านอาหาร ให้เข้ามารับการอบรมจากทางมหาวิทยาลัยโดยตรงทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ หึหึ มีเหรอกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ผมจะพลาด ! แล้วก็บังเอิ๊ญเอิญเป็นมหาวิทยาลัยที่ผมชี้เป้าไว้แล้วว่าอยากเรียนต่อตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบอาหารด้วย งานนี้ผมทุ่มสุดตัวเลยล่ะ !


     แต่ครั้งนี้ผมคงไม่กล้าหาญชาญชัยไปคนเดียวเหมือนกับครั้งที่เคยแข่งคุ๊กกิ้งแล้วแหละครับ เพราะคุณแฟนอย่างเฟิร์สพอได้ทราบข่าวว่าผมจะไปเข้าร่วมค่ายครั้งนี้ ทำให้ระบบปฏิบัติการหุ่นยนต์คุ้มกันนิรภัย ประกันภัย (อันนี้ไม่ใช่) ของมันทำงานอัตโนมัติ โดยติดตามผมไปด้วยทันที ถือว่าดีด้วยแหละครับถึงเฟิร์สจะไม่ได้ให้ความสนใจแบบผม เพราะมันเคยบอกว่าอยากจะเรียนบริหารธุรกิจ (แต่อยู่สายวิทย์-คณิต ??) แต่อย่างน้อยการที่มีเจ้านี่ไปเป็นเพื่อนก็อุ่นใจได้อีกหลายเปราะเช่นกัน ผมเดินผ่านห้องเกษตรมาเรื่อย ๆ คู่กับเฟิร์สจนมาถึงหน้าห้องที่โชว์ว่า ' คหกรรม ' อยู่หรา เอาล่ะ เข้าไปพบอาจารย์เพื่อขอลงชื่อเข้าร่วมค่ายดีกว่า


     เมื่อผมเดินนำโดยเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามาเป็นคนแรก ก็ได้พบกับเด็กม.4 หน้าตาคุ้น ๆ กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องคนเดียว แถมพูดต้อนรับออกมาแบบไม่มองหน้าผมอีกต่างหาก


     " มาลงชื่อเข้าค่ายเหรอครับ ? เชิญเล.. พี่มิ้ลค์ !!!!!!! " เด็กนั่นพูดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาที่เบิกกว้างราวกับเจอดาราขวัญใจ ผมกะพริบตาปริบ ๆ มองไอเด็กตัวขาวที่กระโจนมากอดผมจากโต๊ะตรงโน้นภายในทีเดียวซึ่งระยะทางน่าจะเกือบสี่เมตรเห็นจะได้


     " น้ำอุ่น เลิกกอดกูก่อน ปล่อยยยยยย " ไอเด็กนี่มันเอาหน้าซุกอกผมประหนึ่งเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่แสนกอด แต่มึงหารู้ไม่ว่าหมีตัวนี้มันมีเจ้าของ และเจ้าของก็ไม่ได้อยู่ไกลจากตัวกูเลย


     " หูยยยยยย อุ่นไม่ปล่อยพี่มิ้ลค์หรอก ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบปี โคตรคิดถึงพี่มิ้ลค์เล้ยยยยย " ขออธิบายประวัติโดยย่อของเจ้าน้ำอุ่นโดยสังเขปก่อนนะครับ น้ำอุ่นเป็นรุ่นน้องหน้าตาดีที่ผมรู้จักคนหนึ่ง ซึ่งมันตัดสินใจเรียนต่อโรงเรียนนี้โดยเข้าศึกษาในสายวิทย์-คณิต ด้วยความที่มันเก่งเกินคนและอยากลองไปสอบชิงทุนขำ ๆ ที่อเมริกาดู น้ำอุ่นก็เลยไปสอบและติดท็อปไฟว์จนได้ไปเรียนต่อซะงั้น มันก็เลยดรอปโรงเรียนนี้เพื่อไปศึกษาต่อที่โน่น ผมก็นึกว่ามันจะไปแล้วไปลับไม่กลับมานั่นแหละ แต่ไหนกลับอยู่ที่นี่ และตรงนี้..


     " อะแฮ่ม ! " เสียงเหมือนมีอะไรติดคอจากคนด้านหลังเรียกให้เจ้าเด็กนี่โงหัวขึ้นมาส่งสายตาเคือง ๆ ที่เฟิร์สขัดจังหวะ แต่มันก็สนใจเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น


     " นี่พี่มิ้ลค์มาลงชื่อเข้าค่ายกับชมรมด้วยเหรอครับ ? " ผมพยักหน้าตามมันพูดเพราะที่ถ่อสังขารมาถึงนี่กับเฟิร์สก็ไม่ใช่เรื่องไหนอื่น


     " อืม สองคนน่ะ มีกูกับนี่ " ผมพูดพลางชี้ไปยังเฟิร์สประกอบ " ว่าแต่จะเลิกกอดได้ยัง ? กูอึดอัด " น้ำอุ่นได้ยินดังนั้นมันก็ทำตามแต่โดยดี


     " แหมพี่มิ้ลค์ ไม่เจอกันตั้งนานยังดุเหมือนเดิมเลยนะ ผมล่ะชอบจริง ๆ คนดิบ ๆ เถื่อน ๆ แบบพี่เนี่ย " มึงชอบคนดิบ ๆ เถื่อน ๆ แบบกูแล้วถามคนข้างหลังที่มันปล่อยพลังดาร์คโคตรตอนนี้อยู่หรือยังห้ะไอน้ำอุ่น !? ผมไม่ต้องหันไปดูเลยว่าเฟิร์สทำสีหน้าอย่างไรเพราะพอจะเดาออกเหมือนกัน


     " ว่าแต่คนข้างหลังพี่นี่เป็นใครกันน่ะครับ เพื่อนเหรอ ? ทำไมเขาดูมีไม่พอใจที่อุ่นทำแบบนี้เลย " ยังไม่ทันผมจะตอบน้ำอุ่น เสียงอันแข็งกระด้างจากคนข้างหลังก็แผดดังออกมาอย่างไม่เกรงใจ


     " กูผัวมัน " ผมเอี้ยวตัวหันไปมองเฟิร์สซึ่งมันกำลังส่งสายตานิ่ง ๆ มายังคนตรงหน้าผม ผมรู้สึกว่าสองคนนี้กำลังต้านพลังกันอยู่ด้วยสายตา


     " อ๋อ...เหรอ หึ " น้ำอุ่นแสยะยิ้มก่อนจะเดินนำไปยังโต๊ะที่มันเคยกระโจนมา ตามด้วยผมและหน้าอันแน่นิ่งของเฟิร์ส


     " อันนี้เดี๋ยวพี่มิ้ลค์เอาไปกรอกนะครับ แล้วเอามาส่งผมไม่เกินวันศุกร์ ผมจะยื่นเรื่องต่อไปให้อาจารย์ หึหึ กลับมาได้ไม่กี่วันก็ได้เป็นประธานชมรมคหกรรมซะละ ผมเก่งปะละพี่มิ้ลค์ ? " อ้อ เหมือนผมจะลืมบอกท่านผู้อ่านไปอย่างนึง สิ่งที่น้ำอุ่นและผมมีเหมือนกัน และคิดว่าชีวิตนี้จะทุ่มให้แบบเต็มร้อยก็คือการทำอาหารครับ เห็นว่าที่มันไปสอบชิงทุนก็เกี่ยวกับอาหารนี่แหละ และผมยอมรับด้วยว่าน้ำอุ่นเก่งด้านนี้ในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน


     " เออ เก่ง " ผมรับกระดาษที่ด้านบนกำกับชื่อค่ายเอาไว้มาสองแผ่น ก่อนที่ประธานชมรมคหกรรมจะชวนผมคุยต่อ


     " ว่าแต่พี่มิ้ลค์ได้ไปลงแข่งอะไรทีน ๆ ที่เมืองทองไม่กี่วันที่แล้วปะครับ ? " โอ้โห คำถามแจ็คพอต มึงไม่รู้หรอกไอน้ำอุ่นว่ากูได้อะไรกลับมา !


     " แพ้ " ฮ่า ๆ หงายเงิบไปเลยสิ ดูเหมือนคำตอบนี้จะไม่ค่อยทำให้เจ้าน้ำอุ่นพอใจสักเท่าไหร่


     " โห่พี่มิ้ลค์ คนเก่งของอุ่นทำไมไม่เอารางวัลที่หนึ่งมาฝากล่ะ ? ถ้าให้อุ่นเป็นลูกมือพี่มิ้ลค์นะ มีหวังกวาดทุกรางวัลที่มีไปแล้ว " หึ ปากดีจริง ๆ นะไอนี่ แต่ผมว่าสิ่งที่มันพูดออกมาแม้จะฟังดูขี้โม้ แต่ความเป็นไปได้ก็เยอะอยู่พอสมควร


     " อย่าอวดเลยน้ำอุ่น กูแค่มีปัญหาวันนั้นนิดหน่อยเฉย ๆ หรอก งั้นไม่มีอะไรกูขอตัวก่อนนะ " เอาเป็นว่ารีบ ๆ พาเฟิร์สกลับก่อนดีกว่าครับ เพราะยิ่งอยู่ตรงนี้นาน ๆ พลังงานด้านลบของมันยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ


     " พี่มิ้ลค์ " ในตอนที่ผมกำลังจะก้าวขาออกนอกห้องและมีเฟิร์สเดินตามออกมา น้ำอุ่นที่ยังประจำการอยู่ด้านในก็ขานชื่อผม เรียกให้หันไปมอง


     " มีไร ? "


     " อืมมมม ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาส...เรามาดวลอาหารกันอีกสักรอบนะครับ ผมคิดถึงปากหวาน ๆ ของพี่ในวันนั้นจัง แบบว่า...อยากจูบอีกรอบ " ผมรู้ในทันทีเลยว่าไอเด็กแสบนี่ตั้งใจจะปั่นประสาทให้เฟิร์สโกรธ และเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อคนที่เดินตามออกมาหันไปมองค้อนปานจะเข่นฆ่า


     " ตอนที่กูแพ้มึงครั้งที่แล้วเขาไม่ได้เรียกจูบปาก เขาเรียกว่าจุ๊บปาก อีกอย่างมึงจะจูบหรือจุ๊บกูอีกกี่พันทีกูก็หันไปชอบมึงไม่ได้หรอกว่ะ เสียใจด้วยนะไออุ่น " น้ำอุ่นได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาเหนือ ๆ


     " พี่พูดแบบนี้แสดงว่าก็ดวลได้อะดิ งั้นครั้งหน้าพี่ไม่รอดแน่ เตรียมตัวไว้เลย "


     " หึ ถ้ามึงทำได้อะนะ " ผมว่าพลางเดินออกประตูมาพร้อมกับเฟิร์สที่ตอนนี้ดูเหมือนหัวของมันจะร้อนจนไหม้ซะแล้ว เอาเป็นว่าผมขอตัวไปดับไฟบนหัวของไอห่านี่ก่อนแล้วกันนะคร้าบ..


     ครั้งหนึ่งในอดีต ผมเคยท้าแข่งอาหารกับน้ำอุ่นจนแพ้ เด็กนั่นเลยขอจูบปาก เอ๊ย ! จุ๊บปากเป็นของรางวัล แต่ก็อย่างว่านั่นแหละครับ ผมไม่สามารถเปลี่ยนใจไปรักใครนอกจากเฟิร์สได้อีก หึหึ


####


     หลังจากที่เพลิงไฟป่าอันเร่าร้อนได้แผดเผาไปทั่วทั้งหัวไอเฟิร์ส เพราะมันได้รับรู้ถึงเรื่องราวในอดีตของผมว่าน้ำอุ่นเคยเอาปากมาจูจุ๊บ ลูกเขยคนใหม่ของบ้านผมก็ถึงขั้นอาละวาดประหนึ่งแม่งเป็นก๊อตซิล่าตัวบักเอ้ก ไล่ทำลายล้างตึกราวบ้านช่องจนพินาศย่อยยับ ส่วนอุลตร้าแมนอย่างผมบอกเลยว่าไม่สามารถปกป้องเมืองเอาไว้ได้ เพราะพี่แกดันเหวี่ยงผมซะปลิวหายไปในพริบตาว่าปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นทำแบบนั้นได้ยังไง ผมบอกมันไปแล้วครับว่าก็ไม่ได้คิดอะไรด้วยเล้ยยยแม้น้ำอุ่นจะขอจุ๊บปากหรือทำอะไรมากกว่านั้น (ว่าแต่อะไรมากกว่านั้นแล้วมันคืออะไร ?) แต่ที่อธิบายมาจนละเอียดยิบแฟนผมมันฟังที่ไหนกันล่ะ ตอนนี้เดินงอนตุ๊บป่องกลับบ้านไปซะแล้ว เอาล่ะครับท่านผู้อ่าน พึ่งจะคบกันได้ไม่เท่าไหร่คุณสามีผมก็แผลงฤทธิ์ออกมาจนได้


     ด้วยเหตุนี้เองตัวการในความผิดอย่างผมก็ต้องทำหน้าที่ไปตามง้อแฟน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เคยทำ เอ...จะว่าไปก็ขอเม้าท์มอยเรื่องน้ำอุ่นสักหน่อยดีกว่า ผมบอกเลยนะครับถึงมันจะปั่นหัวเฟิร์สให้เสียเล่น ๆ เพื่อความสนุกหรือจุดประสงค์อื่นสักแค่ไหน เด็กนั่นก็ไม่มีวันเข้ามาอยู่แทนที่คนข้างในหัวใจของผมได้อย่างแน่นอน น้ำอุ่นเป็นคนเก่งจริง ๆ อย่างที่ผมเคยอวยไว้นั่นแหละ แต่ติดตรงที่ว่ามันเป็นคนที่อยากได้อะไร ไม่ว่าจะถูกหรือผิดศีลธรรม เด็กนั่นก็จะทำอย่างไม่สนใจใครเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา และนี่ก็เป็นตัวอย่างแรกที่น้ำอุ่นทำให้ทุก ๆ ท่านดู เหอะ ๆ


     ผมเดินเข้ามายังหมู่บ้านของเฟิร์สที่ไม่กี่วินาทีก่อนได้ลงมาจากรถเมล์สายหนึ่ง พลางทักทายลุงยามของหมู่บ้านที่เฟิร์สเคยพามารู้จัก ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในอย่างไม่เร่งรีบ คงใช้เวลาเดินสักพักนึงน่ะครับ เพราะหมู่จัดสรรแห่งนี้มันค่อนข้างอภิมหาใหญ่โตมาก ๆ ต้องรวยจริง ๆ ล่ะมั้งถึงซื้อได้ (บ้านเฟิร์สก็ร่วมยี่สิบล้านนะเออ !) จนเดินมาถึงสวนสาธารณะจึงคิดขำ ๆ ว่าเฟิร์สจะแอบมาหมกตัวอยู่ที่นี่มั้ยน้า เพราะเวลาที่มันมีเรื่องให้ต้องคิด เฟิร์สชอบหาสถานที่สงบ ๆ เพื่อไตร่ตรองตัวเองคนเดียวเงียบ ๆ อย่างที่คิงคองเคยบอกมา ผมเดินไปพลางชะโงกหัวเข้าไปพลางดูสมาชิกหมู่บ้านที่บังเอิญเจอเป็นคู่นักเรียนชายหญิงกำลังนั่งจู๋จี๋กันอยู่ แหม ก็ธรรมดาแหละครับ จะมานั่งสวีทกันสองต่อสองในที่ไม่มีคนแบบนี้ ได้บรรยากาศไปอี๊กกกกก ฮ่า ๆ เอ๊ะ ? แต่ลักษณะสองคนนั้นทำไมมันคุ้น ๆ


     ผมเดินลัดเลาะเข้าไปในพื้นหญ้าทันทีหลังจากเห็นเด็กนักเรียนสองคนนั้นกำลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ด้านหลังของผู้ชายผมไม่ต้องอธิบายรูปลักษณ์เลยเพราะแม่งคือไอเฟิร์สไม่มีผิด แต่ผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ ในชุดนักเรียนโทนสีแดงคนนั้นถ้าจำไม่ผิด เธอเคยถ่อมาถึงหน้าโรงเรียนของผมเพื่อพบเจอเฟิร์สหนิ ทันทีที่ไขคำตอบว่าสองคนนั้นเป็นใคร ความรู้สึกโหวงเหวงในใจก็ปรากฏขึ้นมาทันที


     ผมยืนมองข้างหลังของสองนั้นราวกับกำลังหายตัวอยู่ สีหน้าของเฟิร์สที่หันข้างไปคุยกับผู้หญิงข้าง ๆ ชั่งมีความสุขอย่างไม่ต้องเติมแต่งใด ๆ เช่นเดียวกับเธอที่ยื่นแขนไปทุบตบตีไหล่เฟิร์สอย่างไม่ถือตัวราวกับมีความสัมพันธ์ในระดับหนึ่งที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้ ฟันผมคบเข้าหากันแน่นจนแทบแตกละเอียด เพราะรู้สึกตัวว่าทนดูสภาพตรงหน้าไม่ไหว ฝ่ามือที่เคยแบออกอย่างผ่อนคลายตอนนี้ก็จิกเข้าหากันจนเล็บแทบจะทะลุถึงเนื้อหนัง ตัวผมสั่นสะท้านจนเครื่องมือวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถวัดและอ่านค่าแรงสะเทือนได้


     ผมกล้ำกลืนฝืนทนดูสองคนนั้นกำลังสร้างความสุขแก่กันอยู่เนิ่นนานอย่างที่เขาทั้งคู่ไม่รู้ตัว พลางถามตัวเองว่ากำลังโกรธใครอยู่ เฟิร์สที่เคยสัญญากับผมว่าจะดูแลและรักผมตลอดไป หรือผู้หญิงคนนั้นที่เป็นใครไม่รู้ที่อยู่ดี ๆ ก็เข้ามาแทรกตรงกลางรักระหว่างเรา และถ้าเฟิร์สตัดสินใจเลือกเขาจริง ๆ แล้ว ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปแตะต้องหรือเรียกร้องอะไรได้อีก แม้ผมจะมอบพันธสัญญาให้แก่เฟิร์สในคืนนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนก็ตาม


     ในขณะที่ทบทวนเรื่องราวต่างของเฟิร์สที่เคยพูดเอาไว้กับตัวเอง ใบหน้าของผู้ชายที่เคยมองแต่คนข้าง ๆ ด้วยความสุขตอนนี้ก็เอี้ยวตัวกลับมามองผมด้วยท่าทีตกใจ ซึ่งมันเป็นในตอนที่ผมกำลังเดินออกจากตรงนั้นและจะไม่มีวันรอฟังแก้ตัวจากเฟิร์สอีก ผมนี่แม่งก็โง่เนอะ ปล่อยให้ตัวเองทนอยู่ในสภาพเจ็บปวดแบบนี้ได้


     " เดี๋ยวมิ้ลค์ ! หยุดก่อน !! " เฟิร์สวิ่งมารั้งแขนไว้ แต่ผมกลับสะบัดอย่างรุนแรงเพื่อให้พ้นกับพันธนาการนั่น


     " อย่ามายุ่งกับกู ! กูจะมาง้อมึงเรื่องน้ำอุ่นแท้ ๆ แต่มึงกลับมาทำกับกูแบบนี้อะนะ !? มึงจะไปไหนก็ไปเลย !! " ผมเหวี่ยงด้วยคำพูดใส่เฟิร์สอย่างรุนแรงก่อนจะเดินจ้ำ ๆ ออกไป ไม่มีอะไรเจ็บปวดหัวใจได้เท่าครั้งนี้อีกแล้ว ทำไมชีวิตผมต้องมาเจอกับคนที่เอาตัวเองมารองรับความรักอยู่ร่ำไปด้วยวะ !!!?


     " มึงฟังกูก่อนสิมิ้ลค์ ! " คราวนี้เฟิร์สฉุดแขนผมสำเร็จและยากที่ผมจะต้านทาน


     " กูไม่ฟัง !! ภาพตรงหน้ามันก็ฟ้องกูอยู่แล้วหนิ หึ สัญญาว่าจะดูแลกูเหรอ !? สัญญาว่าจะรักกูเหรอ !!? แต่มึงทำกับกูแบบนี้อะนะ !!!? "


     " เอ่อ...คือ " อยู่ดี ๆ หญิงนามปริศนาที่เคยนั่งอยู่กับเฟิร์สก็เดินมาเอ่ยปากแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมเลื่อนลูกตาไปมองเธออย่างเคืองโกรธก่อนที่เฟิร์สจะพูดขึ้น


     " เดียร์ ให้เราจัดการเองเถอะ มิ้ลค์มันกำลังเข้าใจผิด " คนที่ทำผมเจ็บใจอยู่ตอนนี้ตัดบทหญิงนามนั้นลง มันเป็นในตอนที่ผมฉวยโอกาสสะบัดฝ่ามือออกแต่ก็ไม่เป็นผล


     " เฟิร์ส ให้นาเดียร์พูดเถอะนะ แล้วก็ปล่อยมิ้ลค์ด้วย " คนที่ตรึงข้อมือผมมองผู้หญิงใกล้ ๆ ด้วยใบหน้าครุ่นคิดก่อนจะปล่อยตามคำขอ เฟิร์สไม่รั้งผมไว้แล้ว แต่ตัวเองไม่มีอารมณ์จะไปมองหน้ารอฟังคำแก้ตัวของผู้หญิงคนนี้สักเท่าไหร่ เลยได้แต่ยืนเสตามองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ


     " มิ้ลค์ เราชื่อนาเดียร์นะคะ เราเป็นเพื่อนบ้านของเฟิร์สมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ที่ช่วงนี้เรามาหาเฟิร์สถึงโรงเรียนบ่อย ๆ ก็เพราะมิ้ลค์นั่นแหละค่ะ " เพราะผม ? ทำไมเหตุผลที่เธอติดตามเฟิร์สถึงเป็นผมล่ะ ?


     " เพราะเรา ? แล้วเราไปเกี่ยวอะไร ? " ถึงตรงนี้นี่เองผมถึงกล้าไปสบตาผู้หญิงที่ชื่อนาเดียร์ หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้จะจีบเฟิร์ส แต่เป็นผม !?


     " เราตามมาจากคลิปวิดิโอที่เฟิร์สขอมิ้ลค์คบนั่นแหละค่ะ เธอเป็นเคะที่โคตรแรร์มากเลยนะ ทั้งขาว สูง หน้าหวาน ไม่เตี้ยผอมบางเหมือนเคะปกติอีก พูดแล้วก็อยากกรี๊ด อร๊ายยยยย " คอผมหมุนไปหาเฟิร์สอัตโนมัติด้วยสีหน้ามึนงง เคะคืออารายว้าา แล้วเธอก็พูดต่อ


     " อ๋อ เราเป็นสาววายน่ะ เราเป็นประชากรที่จ้องให้ผู้ชายได้กันเอง เราไม่ได้มีเจตนาจะแย่งเฟิร์สไปจากเธอเลยนะ เราแค่อยากเห็นหน้าเธอเป็นบุญตาก็เท่านั้นเองล่ะจ่ะ " สาววาย เคะ อยากเห็นผู้ชายได้กันเอง แล้วก็อยากเห็นหน้ากู อะไรวะเนี่ย !!!!!?


     " ตากี้ที่มึงเห็นกูกับเดียร์นั่งด้วยกันก็เพราะกูปรึกษาเรื่องไอเด็กน้ำอุ่นเมื่อเย็นนั่นแหละ มันไม่มีอะไรเหมือนที่มึงคิดหรอกนะมิ้ลค์ " โอ้ไม่นะ ทุกอย่างผมล้วนคิดไปเองเหรอ !!? โอ๊ยย ผมหมดแรงจนเข่าทรุดไปในพริบตา


     " ขอโทษนะมิ้ลค์ที่ทำให้เข้าใจผิดน่ะ เราไม่ได้จะทำในสิ่งที่เธอคิดเลยนะ " เอาแล้วไงไอมิ้ลค์ ตากี้มึงเล่นบทนางเอกวีนแตกได้โหดสัดรัฐเซียมาก จากนี้มึงจะเอาไงต่อล่ะ ฮืออออออ กูขอแทรกแผ่นดินหนีไปตอนนี้เลยได้ม้ายยยย


     " เดียร์ เธอมีธุระกับเพื่อนต่อไม่ใช่เหรอ ? ที่เหลือเดี๋ยวเราจัดการเอง มีแฟนแปรปรวนทางอารมณ์ก็งี้แหละ หึหึ " ผมไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้นแล้วตอนนี้เพราะอายชิบหายยยย " ยังไงเรื่องที่ปรึกษาตากี้ก็ขอบคุณมากนะ ช่วยได้เยอะเลย "


     " จ่ะ งั้นเดี๋ยวเราขอตัวเลยนะ รักกันนาน ๆ ด้วยล่ะ เราเป็นแฟนคลับอยู่นะ ฮ่า ๆ บ้ายบาย " แล้วฝีเท้าใกล้ ๆ ที่ผมเห็นของเธอจากหางตาก็เดินจากไป ก่อนเฟิร์สจะย่อเข่าลงมานั่งยอง ๆ ด้วยเล่ห์ยิ้ม


     " ไงไอง่องแง่ง เล่นใหญ่เชียวนะมึง หึหึ " ถึงหน้าจะแตกจนกลายเป็นผุยผงยังไง แต่ก็สบายใจแบบโคตร ๆ เลยว่ะที่เฟิร์สไม่ได้เป็นแบบที่ผมคิดจริง ๆ


     " ฮือออออ เฟิร์สสส กูนึกว่ามึงจะทิ้งกูซะแล้ว " ถึงตรงนี้ผมปล่อยโฮออกมาพลางกระโดดไปกอดคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เฟิร์สหัวเราะอย่างสบาย ๆ ให้กับความคิดของผมที่มโนไปต่าง ๆ นานา


     " กูไม่ทิ้งมึงไปมีใครที่ไหนหรอก คราวหน้าคราวหลังเห็นกูอยู่กับใครที่ไหนก็ถามก่อน เข้าใจเปล่า ? " ผมพยักหน้าในอ้อมอกของมันที่น้ำตายังไหลไม่หยุด


     " กูนึกว่ามึงเห็นกูง่ายเกินไปเลยเบื่อ จนแอบไปมีคนอื่น ฮึก กูกลัวมากเลยนะที่ทำให้ตัวเองเป็นทางเลือกสุดท้ายให้มึงไม่ได้ ฮือออ" ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะสิ่งที่เคยให้เฟิร์สในครั้งก่อนกลัวว่ามันจะได้ไปง่าย ๆ และทิ้งไปง่าย ๆ เช่นกัน


     " โธ่ไอขี้แย มึงรู้มั้ยว่าคนที่กูคบมาทั้งหมด มึงเนี่ยแหละรับมือยากที่สุด แล้วอย่าได้คิดอีกนะว่ากูได้ใครแล้วจะทิ้งไปง่าย ๆ ยิ่งเป็นมึงด้วยแล้วอย่าได้คิดเลย กูจะรักษามึงเป็นอย่างดี ใครมาแตะเนื้อต้องตัวมึงเมื่อไหร่กูยิงทิ้งแน่ โดยเฉพาะไอน้ำอุ่น " เฮ้อออ สบายใจแล้วที่ได้ยินคำพูดจากเฟิร์สแบบนี้


     " กูไม่ได้คิดอะไรกับน้ำอุ่นจริง ๆ นะ "


     " อื้ม รู้แล้วไอเด็กน้อย " เฟิร์สลูบหัวผมประกอบ


     " จะไม่ทิ้งกูไปไหนนะ ? " ผมกระอ้อมกระแอ้มถามเสริมความมั่นใจในตัวมัน แม้คำตอบจะทราบดีอยู่แล้ว


     " เออ ไม่ทิ้งแน่นอน "


     " มึงจะรักกูคนเดียวใช่มั้ย ? "


     " กูจะไม่ให้ใครมารักมึงนอกจากกูเลย "


     บางทีผมก็ด่าใครว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโตไม่ได้หรอก ถ้ายังงอแงกับเฟิร์สอยู่แบบนี้ :')


- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.40 แนบสารบัญแล้วจ้า (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 06-03-2018 17:37:59
Not to be unlocked : Episode 41 : วุ่นวายที่ค่ายเชฟ Day 1


     ในที่สุดชีวิตช่วงบั้นปลายก่อนจะสอบไฟนอลของผมก็เดินทางมาถึงวันค่ายเชฟแบบฉับไวเหมือนโดนหลอกสักที ก่อนผมจะเดินทางมาถึงเช้าวันเสาร์แบบนี้ได้ ในวันปกติที่แสนสงบสุขพักหลัง ๆ นี้ก็เริ่มจะมีไอเด็กน้ำอุ่นเข้ามาราวีชีวิตอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเดินมึนเข้ามาร่วมโต๊ะกินข้าวกับผมหน้าตาเฉย วิ่งแทด ๆ เข้ามาเตะบอลด้วยกัน รวมไปถึงสะเออะเดินมาแทรกกลางระหว่างผมและเฟิร์สที่กำลังกลับบ้านแทบทุกวัน ! ครั้นตอนรู้จักกันใหม่ ๆ น้ำอุ่นไม่เคยเป็นแบบนี้นะครับ แต่ทำไมช่วงพักหลังแม่งน่ารำคาญขั้นอยากจะยกขาขึ้นมาถีบแล้วเนี่ย เฮ้อออออ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่แปลกว่ะที่เฟิร์สไม่มีปฏิกิริยาหึงหวง หรือว่าปล่อยพลังงานด้านลบรอบตัวออกมาเมื่อเด็กนั่นจ้องจะแดกผม ถ้าให้สันนิษฐานความเป็นไปได้เกี่ยวกับมัน เฟิร์สคงจะเอาเรื่องเกี่ยวกับผมไปปรึกษาเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างนาเดียร์จนได้คำแนะนำดี ๆ มาพึงปฏิบัติเป็นแน่ และหลาย ๆ วันที่น้ำอุ่นเข้ามาวอแวผม เฟิร์สก็จะทำเป็นไม่สนใจราวกับเด็กม.4 ขี้คนเสือกคนนั้นเป็นฝุ่นผง จนสามารถเมินไปในที่สุด ไม่น่าเชื่อนะครับว่าคนขี้หึงแบบมันจะทำอะไรยาก ๆ อย่างนี้เป็นด้วย หึหึ เหนือความคาดหมายจริง ๆ


     หลังจากคุณขวัญบึง BMW มารับผมถึงหน้าบ้านและมีเฟิร์สพ่วงมาด้วย เพื่อจะพาเราไปส่งถึงมหาวิทยาลัยที่จัดค่ายเชฟ ตอนนี้ผมก็มาถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมยกสองมือขึ้นกราบกรานคุณขวัญในความกรุณาที่มารับมาส่ง แถมอนุญาตให้หยุดงานอย่างไม่ยากเย็น ก่อนผมจะก้าวขาลงไปพร้อม ๆ กับลูกชายของเขา เราสองคนยืนโบกมือบ้ายบายคุณขวัญที่แล่นรถออกไป แล้วจึงพากันเดินผ่านประตูรั้วเข้ามายังข้างในกันอย่างหน้าชื่นตาบาน ^^


     สำหรับค่ายนี้อย่างที่เคยบ่น ๆ ให้ฟังครับว่าเป็นค่ายเชฟที่จะฝึกทักษะทางด้านการทำอาหาร ฝึกอบรมการเรียนการสอนภาคปริญญาตรี เพื่อให้เป็นแนวทางในการศึกษาต่อของบุคคลที่สนใจจะศึกษาที่นี่ อ้อ ! สำหรับค่ายนี้ระยะเวลาทั้งสิ้นจำนวนสองวันครับ มีเซอร์วิสที่พักเป็นโรงแรมของทางมหาวิทยาลัย (ได้ข่าวว่าหรูโคตร) และอุปกรณ์ในการเรียนการสอนอีกมากมาย อย่างงี้สิถึงเรียกว่าคุ้มกับค่าเสียหายที่โดนไป ฮ่า ๆ เสียตังทั้งทีก็อยากได้อะไรคุ้ม ๆ อะเนอะ เราสองคนที่เดินชมนกชมไม้ข้างทางโดยมีกระเป๋าเป้คนละใบเกาะอยู่ด้านหลัง กำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่พี่ค่ายเขานัดกันครับ อืมมมม จะว่าไปตึกการเรียนการสอนของเขาใหญ่พอสมควรเลยน้าา เห็นว่ามหาวิทยาลัยนี้เด่นเรื่องอาหารซะด้วย ถ้าผมจบจากที่นี่ไปคงได้เป็นเชฟระดับโลกแน่ ๆ เลย หึหึ


     " พี่มิ้ลลลลลลลลค์ ! น้ำอุ่นอยู่นี่ !! " หลังจากที่ผมและเฟิร์สกำลังมั่วเส้นทางเดินเรือภายในตัวมหาวิทยาลัยไปยังสถานที่ที่พี่ค่ายเขานัด เสียงอันคุ้นเคยและน่ารำคาญก็ขานชื่อผมดังลั่นมาจากบริเวณตึกด้านซ้ายมือ เป็นน้ำอุ่นครับที่เขย่งตัวโบกมือดึ๋ง ๆ อยู่ สงสัยพี่เขาจะนัดตึกนั้นหรือเปล่านะ ? แต่สิ่งที่ผมกำลังจะเดินไปถามน้ำอุ่นน่ะไม่ใช่คำถามนี้หรอก


     " แล้วมึงมาโผล่อยู่นี่ได้ไงวะ ? " ผมไม่คิดไม่ฝันหรอกว่าเด็กนั่นจะมาสนใจกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยนี้จัดขึ้นกับเขาเช่นกัน หึ ก็ได้ไปโกอินเตอร์ถึงอเมริกาแล้วนี่หว่า กิจกรรมเสริมความรู้แบบนี้คงจะเทียบไม่ติด


     " อุ่นก็ว่าจะไม่มาหรอก ค่ายเชฟนี้มันก็ไม่ได้สอนอะไรอุ่นมากเท่าไหร่ แต่เห็นว่าพี่มิ้ลค์มาก็กลัวว่าใครจะมาทำร้าย อุ่นเลยลงชื่อมาปกป้องพี่มิ้ลค์ไง " เหอะ คนปกป้องกูก็ยืนจ้องมึงอยู่ข้างหลังนี่ไงไอน้ำอุ่น จะพูดอะไรไว้หน้าแฟนกูหน่อยมั้ย ?


     " เอาเหอะ ว่าแต่เขาลงทะเบียนค่ายกันข้างในปะวะ ? " ที่ผมถามแบบนั้นเพราะได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังทำกิจกรรมอยู่ข้างในเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ๆ


     " ใช่ครับ นี่อุ่นก็เข้าไปทะเบียนมาแล้ว เขามีป้ายชื่อแจกด้วยนะ ดูสิ ๆ พี่มิ้ลค์ " น้ำอุ่นมันหยิบป้ายชื่อสีแดงแปร๊ดที่ห้อยคอขึ้นมาอวดผม ดูมึงตื่นเต้นดีกับป้ายกิ๊กก๊อกอันนี้ดีเนอะ


     " เออ งั้นพากูไปลงทะเบียนหน่อยสิ " ได้ยินดังนั้นน้ำอุ่นมันก็คึกขึ้นมาทันใด


     " คร้าบบบบบ " ว่าแล้วเด็กตัวขาวส่วนสูงเทียบไหล่ผมก็เดินนำเข้าไปยังด้านใน ปล่อยให้ผมได้มีจังหวะสบตากับเฟิร์สปิ้ง ๆ


     ยังดีครับที่เฟิร์สยิ้มสบาย ๆ อยู่..


     ผมเดินตามเสียงฝีเท้าของน้ำอุ่นที่นำลิ่วไปไกล ทั้งเลี้ยวซ้าย ขึ้นบันได เดินตรง เลี้ยวขวา โอ๊ยยยย มึนทางโว้ยยย จนมาถึงบริเวณโล่งกว้างแห่งนึง ละแวกนี้เต็มไปด้วยพี่สต๊าฟในชุดโปโล อันมีตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยกำกับอยู่บริเวณอก อีกทั้งผู้คนมากหน้าหลายตาที่อายุน่าจะราว ๆ เดียวกับผมนั่งเข้าแถวกันอย่างมีระเบียบ ทุกคนทำหน้ายิ้มแย้มแจ๋มใสรับพี่พิธีกรที่สันทนาการอยู่ด้านหน้า ตื่นเต้นดีนะครับที่ได้มาเจอเพื่อน ๆ ต่างโรงเรียนเยอะแยะแบบนี้ เปิดประสบการณ์ใหม่แบบสุด ๆ ไปเลยล่ะ !


     " น้องมาใหม่เชิญด้านนี้เลยคร้าบบ " เสียงเรียกของพี่สต๊าฟผู้ชายท่านหนึ่งที่นั่งคู่กับพี่ผู้หญิงโต๊ะลงทะเบียน เรียกให้ผมและเฟิร์สเดินเข้าไปหา " ชื่ออะไรกันคะ ? " เขายิ้มกันสองคนแบบมีเลศนัยอย่างนี้นี่หมายความว่ายังไงฟร้ะ ?


     " คนหล่อ ๆ นี่กฤเดช ไชยวัตรครับ " ไอน้ำอุ่นมาจากไหนไม่รู้เดินเข้ามาตอบแทนผม ไอห่า ! เขาถามกูมั้ยล่ะ !? แล้วกูเห็นคนที่มีป้ายชื่อไปนั่งสันทนาการกับพี่ ๆ เขา แต่ไหนคุณมึงกลับมาเดินตามกูเป็นหมาเลยล่ะ ?


     " แล้วน้องสุดหล่อคนนั้นล่ะคะ ? " พี่ผู้หญิงตัวเล็กคนนี้เขาดูจะสนใจเฟิร์สด้วย เอาเป็นว่าผมขอแสดงความเป็นเจ้าของหน่อยแล้วกัน


     " คนนี้นภัตร เหล่าสุขล้นครับ " พี่สต๊าฟชายหญิงหันมาเลิกคิ้วให้กัน ก่อนจะควานหาอะไรบางอย่างในกล่องข้างตัว


     " น้องมิ้ลค์และน้องเฟิร์สจากโรงเรียน xxx เนาะ " พี่ผู้หญิงส่งป้ายชื่อมาให้ผมที่พื้นหลังเป็นสีแดง ส่วนของเฟิร์สน่ะสีเขียว " เดี๋ยวคล้องป้ายชื่อแล้วไปนั่งตามสีเลยนะคะ ทางค่ายจะสันทนาการเราก่อน แล้วเดี๋ยวพี่ ๆ จะพาไปที่พักนะ " อ๋ออออ อย่างนี้นี่เอง ที่สีของแต่ละคนไม่เหมือนกันคงอารมณ์จะประมาณว่ามีกีฬาสีขนาดย่อม ๆ สินะ


     " ขอบคุณครับพี่สาว " พี่ผู้หญิงเขายิ้มเคลิบเคลิ้มก่อนที่ผมจะลากตัวเฟิร์สเพื่อปลีกมาคุยกันสองคน แต่หางตาดันเห็นเห่าฉลามที่ว่ายตามติดตัวมาด้วยเสียก่อน


     " ไม่ต้องตามมาเลยน้ำอุ่น ไปนั่งรอโน้น " ไอเด็กนี่ก็จะตามผมตลอดเวลาเลยรึไง ? นี่แฟนกูนะ ไม่คิดว่าที่มึงทำอยู่มันจะล่วงเกินเลยรึงายยยยยย


     ผมลากเฟิร์สมายังด้านนอกในขณะที่พี่สันฯ กำลังเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กทุกคน แต่เดี๋ยวผมไปร่วมกิจกรรมนะครับ ขอคุยธุระกับแฟนแป๊ปปป


     " เอา ใส่ซะ " ผมคล้องป้ายชื่อให้คนตรงหน้าก่อนจะใส่ให้กับตัวเอง


     " มีไรอะ ไม่ไปต่อแถวเหรอ ? " เฟิร์สขมวดคิ้วอย่างคนสงสัย เออน่า กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย


     " นี่ กูพอจะเดาได้แล้วล่ะว่าเราต้องแยกไปทำกิจกรรม คงไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดนะ " เฟิร์สพยักหน้ารับอย่างไม่สงสัยอะไรเพิ่มเติม ปกติมันต้องอาละวาดแล้วนี่หว่า


     " อื้ม "


     " แล้วป้ายชื่อที่กูได้เนี่ยมันสีเดียวกันกับน้ำอุ่น มึงไม่ต้องห่วงนะว่ากูจะโดนไอเด็กนั่นมันเล่นงาน วางใจไว้ได้เลย กูดูแลตัวเองได้ " นี่คงเป็นคำปฏิญาณของอดีตลูกเสือสามัญอย่างผมที่จะทำให้เฟิร์สสบายใจได้ล่ะนะ


     " กูไว้ใจมึงตั้งแต่ตามมาง้อเรื่องน้ำอุ่นแล้ว กูรู้ใจลึก ๆ ของมึงว่าเลือกใคร มึงไม่ต้องสัญญาอะไรกับกูทั้งนั้นแหละ " ได้ยินแบบนี้ผมก็อุ่นใจไปได้เยอะเลย ไม่รู้สองวันนี้ผมจะได้อยู่กับเฟิร์สกี่ชั่วโมง กี่นาที กี่วินาที


     " แล้วถ้ากูโดนมันจูบล่ะ ? " แต่ไหน ๆ มึงก็ไม่กังวลอะไรกูมากแล้ว ขอลองใจสักหน่อยแล้วกัน ฮ่า ๆ


     " คืนนี้กูจะจัดการมึงไม่ให้หลับถึงเช้าเลยคอยดู " โหยยยยยยยยยย ผมก็เชื่อสนิทใจว่ามันจะละทางโลกปล่อยให้ดูแลตัวเองได้ซะแล้ว บรึ๋ยยยยย นึกถึงขนาดลูกชายของไอเฟิร์สแล้วก็จุกท้องน้อยขึ้นมาแปลก ๆ ยอมแล้วคร้าบบบบคุณผัว..


     พอผมเดินเข้ามายังโซนที่พี่ค่ายกำลังสันทนาการอยู่ สายตานับร้อยก็จ้องมายังเราเขม่น ผมมองหน้าเฟิร์สอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อก่อนจะเดินเลี่ยง ๆ ไปเข้าแถวตามที่พี่โต๊ะลงทะเบียนบอก


     แต่คงได้ไปต่อแถวนั่งแล้วล่ะ ถ้าไม่มีเสียงเด็กเวรจากด้านหน้าที่พี่ค่ายเขาสันฯ อยู่เรียกให้หยุด


     " พี่มิ้ลค์ ! มานี่เลย !! " ผมกลืนน้ำลายฝืดคอหันหลังไปมองน้ำอุ่นที่กวักมือยิก ๆ ด้วยความเคือง เช่นเดียวกับพี่ผู้ชายที่กระดิกมือถี่ไม่แพ้กัน อยากเดินไปโบกหัวไอน้ำอุ่นเดี๋ยวนี้เลยว่ะท่านผู้อ่าน


     " ค่ะ...ครับ " ขาทั้งสองที่หมายจะไปเสียบท้ายแถวของสีแดงตอนนี้ต้องเดินไปหาพี่เขาอย่างจำนน อยู่ดี ๆ พี่สันฯ คนนั้นก็แหกปากออกมา


     " น้องชื่ออะไร !? น้องชื่ออะไร !? " ตอนนี้ไม่ว่าจะพี่ค่ายหรือลูกค่ายทุกคนต่างก็ปรบมือและร้องออกมาเป็นจังหวะจนผมและเฟิร์สงงไปตาม ๆ กัน ผมหยิบป้ายชื่อที่ห้อยโตงเตงอยู่บนคอนี้ขึ้นมาให้ทุกคนได้ประจักษ์


     " มิ้ลค์ครับ "


     " โหยยยยยยยยยยย " เสียงกู่ร้องไม่พอใจของพี่ ๆ ขาหมายความว่าอารายยย จะเอายังไงก็บอกผมเส้


     พี่เขาเดินมากระซิบผมและเฟิร์สใกล้ ๆ " เราสองคนต้องบอกว่า ผมชื่อมิ้ลค์ ผมชื่อมิ้ลค์ ชอบทำท่าอย่างงี้ ๆ " เดี๋ยว !!! ต้องอวดลีลาท่าทางอุบาทว์แบบพี่ด้วยเหรอ !!? ม่ายยยยยยยย


     " เอาจริงเหรอพี่ !? " โอ้ไม่นะ ผมไม่สามารถเต้นแร้งเต้นกาได้เลยถ้าน้ำเมายังไม่ออกฤทธิ์


     " เอาจริงดิ น้องน้ำอุ่นเขายังทำได้เลย " พอฟังพี่เขาพูดจบผมก็หันหน้าไปมองน้ำอุ่นแบบอึ้ง ๆ มึงไม่ต้องมาทำหน้าเหนืออวดกูเลยไอเด็กเวร


     " ครับ " พี่คนที่ชี้ทางธรรมแก่ผมตากี้เดินจากไปก่อนจะแหกปากร้องเพลงออกมาอย่างเก่า


     " น้องชื่ออะไร !? น้องชื่ออะไร !? " อันนี้กูต้องบอกชื่อตัวเองใช่มั้ย ?


     " ผมชื่อมิ้ลค์ ผมชื่อมิ้ลค์ " ส่วนอันต่อไปกูต้องเต้นสินะ


     " ชอบทำท่าอย่างงี้ ๆ "


     " อร๊ายยยยยยย กูเอาคนนี้ !! " ทุกคนต่างหัวเราะครืนเมื่อพี่กะเทยตัวอ้วนด้านหลังคนหนึ่ง ตะโกนออกมาตอนที่ผมโยกเอวไปด้านหน้าและหลังประหนึ่งกำลังทำอะไรมิดีมิร้ายกับอากาศ


     " น้องชื่ออะไร !? น้องชื่ออะไร !? " คราวนี้เป็นทีของเฟิร์สบ้าง ไหนขอดูหน่อยเถอะว่ามึงจะรังสรรค์ออกมาเป็นท่าไหน


     " ผมชื่อเฟิร์ส ผมชื่อเฟิร์ส ชอบทำท่าอย่างงี้ ๆ "


     " ฮิ้วววววววววว " ในขณะที่ทุกคนหัวเราะชอบใจแต่คงมีผมนี่แหละดันอ้าปากค้างแทน เพราะท่าของมันเหมือนกับตัวเองเดี๊ยะ แต่แม่งเพิ่มรายละเอียดโดยการซอยหน้าหลังแบบรัว ๆ ไม่มียั้ง ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นคิดยังไงกัน แต่ไอการที่เฟิร์สซอยเอวรัว ๆ อย่างไม่อายใครแบบนี้ แม่งปลุกความรู้สึกเจ็บจากด้านหลังตัวเองขึ้นมาแปลก ๆ ว่ะ


     น่ากลัว..


####


     หลังจากที่ลูกค่ายอย่างเรา ๆ แยกตัวกับพี่ฝ่ายสันทนาการและได้รับชุดเชฟแบบพร้อมเข้าไปทำลายข้าวของภายในครัวกันแล้ว ผมกับเฟิร์สและเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ได้ทำความรู้จักกันตั้งแต่ต้น ก็เดินทางไปยังโรงแรมของทางมหาวิทยาลัยที่มีไว้สำหรับบริการพวกเราทันที ทางค่ายเขากำหนดไว้ครับว่าห้องนึงสามารถนอนได้แค่สองคนเท่านั้น ทำให้ต้องโบกมือบ้ายบายน้ำอุ่นที่เถียงหัวชนฝาว่าจะนอนกับผมให้ได้ เหอะ ๆ นับวันไอเด็กนี่ชอบลามปามผมเข้าไปใหญ่แล้วนะ พอผมและเฟิร์สแบกสัมภาระมาถึงห้องพักก็ต้องมาตกตะลึงในความหรูหรา ที่เขาจัดองค์ประกอบของเฟอร์นิเจอร์ไว้ครบครันดุจเป็นโรงแรมห้าดาวยังไงอย่างงั้น ทีวีสี่สิบแปดนิ้ว โซฟายาว เตียงสปริงคิงไซส์ อ่างอาบน้ำขนาดมหึมา โอ้วววววว เยอะโคตรรร ผมว่าไม่เข้าแล้วดีกว่าค่ายเชฟน่ะ ขอนอนพักผ่อนที่นี่ยาวเลยแล้วกัน ฮ่า ๆ


     พอจัดข้าวของส่วนตัวเสร็จสิ้น ผมก็ทำตามคำสั่งของพี่ค่ายทันทีว่าให้เราไปยังห้องอาหารด้านล่าง เพราะทางโรงแรมได้จัดเตรียมมื้อเช้าไว้บริการ ผมและเฟิร์สลงลิฟต์มาจากชั้นห้าเพื่อจะหาอะไรกินรองท้องสักหน่อย แต่ก็ต้องมาสะดุดตากับไอคนที่คิดว่ามันจะน่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองแล้วล่ะ ยืนเสนอหน้าต้อนรับอยู่ไม่ไกล น้ำอุ่นยิ้มแป้นก่อนจะวิ่งมาลากแขนผมต่อหน้าต่อตาเฟิร์สเข้าไปเลือกอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ เหอ ๆ เฟิร์สมันคงจะไม่คิดอะไรมากแล้วมั้ง พอมาถึงห้องอาหารทุกอย่างที่เขารังสรรค์ให้ล้วนเป็นอะไรที่คัดกรองจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพจริง ๆ ทั้งสลัดบาร์ โซนของหวาน โซนอาหารเช้า โอ้วมายก๊อตตตต ผมรักโรงแรมนี้ไปสุดขั้วหัวใจแล้วว่ะ นับว่าค่ายที่ผมมาครั้งนี้เขาดูแลพวกเราดี (เกินไป) มากครับ สมกับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปจริง ๆ


     หลังจากท้องผมอิ่มแปล้โดยมีน้ำอุ่นป้อนโน่นป้อนนี่มาใส่ปากและมีเฟิร์สนั่งจ้องอยู่ใกล้ ๆ ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทางพี่เขาก็จัดการเรียกพวกเราให้รวมกันอยู่แบบคณะสีอีกครั้งในเวลาสิบโมงกว่า พี่โต้ง (นักเรียนเชฟคนหนึ่ง) เขาอธิบายว่าต่อจากนี้จะเป็นการเรียนการสอนในคลาสอาหารยุโรป พี่โต้งพาพวกเราทั้งสี่สีมายังห้องสาธิตขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าห้องจะเป็นสเตชั่นสำหรับการสอน และผมก็คงหนีไม่พ้นเจ้าน้ำอุ่นไปนั่งตรงอื่นนั่นแหละครับ เลยได้แต่ทำใจฟังที่พี่เขาพร่ำอธิบายอยู่ด้านหน้าโดยมีเพื่อนชายคนใหม่หน้าตาดีอย่างลุค เป็นผู้ร่วมชะตากรรมในครั้งนี้ด้วย


     จนในที่สุดสี่สิบนาทีสำหรับคาบทฤษฎีการทำอาหารยุโรปของผมก็จบลง คราวนี้ก็ถึงเวลาจริง ๆ ที่ต้องไปปฏิบัติกันแล้ว พี่โต้งเขาให้ทุกคนจัดทีมย่อยภายในสีทีมละสามคน (เอาลุคและน้ำอุ่นนี่แหละ) พอได้สมาชิกครบแล้วก็เดินออกมารับกระดาษเมนูด้านหน้าและวิ่งไปยังสเตชั่นสำหรับทำอาหาร โดยตั้งอยู่ห้องข้าง ๆ


     ทีมผมได้ทำกราแตงครับ น้ำอุ่นมันบอกเมนูนี้ไม่ได้ยากเลยเพราะตั้งแต่บินไปอยู่เมืองนอกเมนูนี้ถือว่าคลาสสิคที่สุด แถมมันยังเถียงอีกนะว่าในสูตรไม่อร่อยเท่ามันทำด้วย แหมไอเด็กปากดี ! ด้วยความเหม็นขี้ฟันและอยากเห็นสกิลที่น้ำอุ่นไปร่ำเรียนมา เราสามคนก็ถึงเวลาอวดฝีไม้ลายมือในการทำอาหารซะที ! ลุคเป็นคนอาสาเดินไปหยิบวัตถุดิบที่พี่ค่ายจัดเตรียมให้ครับ น้ำอุ่นเป็นคนตรวจเช็กอุปกรณ์ ส่วนผมซัพพอร์ตโดยการยืนดูอยู่เฉย ๆ เหอะ มันทำได้แค่นี้จริง ๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ ว่าคนที่ไม่เคยเห็นทักษะในการทำอาหารอย่างลุค และน้ำอุ่นที่ไม่เคยเห็นมาตั้งนานนม ฝีมือของสองคนนั้นจะเทียบกับคนที่เรียนทางด้านอาหารมานับหลายปี พอสองคนนั้นเสร็จกิจจากหน้าที่หลักก็นำข้าวของทุกอย่างมาหั่นตัดแต่งก่อนจะลงมือทำในส่วนต่อไป เราสามคน (ผมพึ่งมีหน้าที่โดยการบริหารส่วนต่าง ๆ ก็ตอนนี้นี่แหละ) โคเวอร์งานกันดีมาก จนพี่ค่ายที่คอยเดินช่วยให้คำแนะนำแก่นักเรียนต้องมายืนดูในการผสานงานอันดีเยี่ยมอย่างมิอาจจะละสายตา เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่จากที่พี่เขากำหนดว่าหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้กราแตงของทีมผมก็พร้อมเสิร์ฟให้พี่เขาได้ลองชิมเป็นที่เรียบร้อย..


     ผลปรากฏออกมาว่าพี่เขาค่อนข้างชื่นชอบในอาหารของเราที่สามารถทำเสร็จได้ภายในไม่กี่นาทีนี้ครับ ! ความอร่อย ความคิดสร้างสรรค์ในการจัดจาน พี่ ๆ บอกว่าไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาชมเราแล้วจริง ๆ ฟีดแบคตอบกลับมาดีก็ใจชื้นแล้วแหละ ที่สมาชิกทีมมีสกิลในการทำอาหารเกินความคาดหมายไปไกลมาก และสิ่งที่เหนือความคาดหมายมันก็เกิดขึ้นกับผมอีกครั้งเมื่อน้ำอุ่นมัน..


     กระโดดมาหอมแก้มให้รางวัลผมสำหรับหัวหน้างานในการสั่งการความราบรื่นในทีม..


     เฮ้อ...กูล่ะเซ็งกับมึงจริง ๆ


     หลังจากเสร็จสิ้นคลาสยุโรปพี่ ๆ ค่ายก็พาพวกเรากลับมายังห้องอาหารในโรงแรมอีกครั้งเพื่อรับประทานมื้อกลางวัน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโต๊ะข้าง ๆ หรือคนที่กำลังทานอาหารมื้อนี้อยู่จะมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ เหอ ๆ ก็ไอที่เขามองกันก็เพราะรู้ข่าวว่าเจ้าน้ำอุ่นเนี่ยมันหอมแก้มผมโชว์ในที่สาธารณะ แถมได้ยินอีกนะว่ามีการสร้างแฮ็กแทค #น้ำอุ่นมิ้ลค์ และจับผมจิ้นอีกต่างหาก ผมไม่ได้ตกใจว่าทำไมน้ำอุ่นมันถึงกล้ากระโดดมาหอมแก้มนะ แต่ตกใจที่ว่าทำไมข่าวมันแพร่กระจายไปไวกว่า C-virus ใน Residen Evil ซะอีก แรก ๆ ก็ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าไอเฟิร์สหรอกพอทราบข่าวว่าเป็นอย่างนั้น แต่พอเห็นมันยิ้มออกมาสบาย ๆ อย่างคนไม่คิดอะไรก็โล่งใจไปได้ทีเดียว เฮ้อออ ผมเดาไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าตบะไอเฟิร์สมันจะแตกตอนไหน


     พอเสร็จธุระจากโรงแรมพี่ ๆ ก็พาเราคัมแบ็คมายังห้องสาธิตอีกครั้ง รอบบ่ายวันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากครับ คือจะเป็นกิจกรรมแข่งขันการทำอาหารตามฉลากวัตถุดิบที่จับได้ ผมว่ามันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนะ แต่ทำไมทุกคนกลับลุกฮือขึ้นมาสนใจซะได้ !? คงมีแค่ไม่กี่คนละมั้งที่ไม่สนใจกิจกรรมนี้เท่าไหร่แบบผม แถมในหัวตัวเองดันฉุกคิดถึงการแข่งครั้งก่อนให้เจ็บปวดหัวใจเล่น ๆ อีก เฮ้ออออออ บางทีผมก็อยากย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขอดีตอันเลวร้ายเหมือนในหนังบ้างจัง


     " ก็อย่างที่พี่แจ้งไปนะครับว่าจะแข่งแบบเป็นทีมก็ได้ หรือเป็นเดียวก็ได้ รอบนี้สิ่งที่พี่คาดหวังจากพวกเราก็คือวัดระดับทักษะในด้านการทำอาหาร เราจะลงแข่งหรือไม่ก็ได้ พี่ไม่บังคับ " อืมมมม พอได้ยินพี่เขาพูดทวนแบบนี้ก็ไม่คิดจะลงแข่งแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้วด้วยสิ เอาเป็นว่าผมยืนชมคนอื่น ๆ หรือไม่ก็ฟุบหลับสักงีบอยู่ตรงนี้ดีกว่า ว่าแต่เงินทองที่ทางมหาวิทยาลัยออกค่าวัตถุดิบให้ต้องเยอะขนาดไหนถึงใจป้ำจัดกิจกรรมนี้ได้น่ะ ?


     " พี่มิ้ลค์ ไปแข่งกันเถอะ ! " น้ำอุ่นที่นั่งข้าง ๆ ผมอยู่ดี ๆ ก็เขย่าอ้อนผมซะแรงจนต้องหันไปมอง ผมเคยบอกใช่มั้ยล่ะว่าถ้ามีโอกาสได้แข่งกับน้ำอุ่นอีกสักครั้งก็คงจะชนะ มั้ง.. แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ว่ะ


     " ไม่อะ ตามสบาย ลุคนายไปแข่งแทนเราก็ได้นะ " ผมปัดเจ้าน้ำอุ่นก่อนจะมอบมงกุฎให้ลุคทำหน้าที่นี้ต่อไป แต่เหมือนเพื่อนใหม่คนนี้จะส่ายหัวไม่สนใจเช่นกัน


     " จะเอางี้เหรอ ? ได้เลยพี่มิ้ลค์ " น้ำอุ่นว่าพลางทุบโต๊ะอย่างขัดใจก่อนจะยกตัวเองขึ้นเดินไปยังสีอื่น ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอกครับว่าน้ำอุ่นคิดจะทำอะไรก็เลยได้แต่ชวนลุคคุยไปพลาง ๆ และมองด้านหน้าห้องว่ามีผู้สนใจคนไหนกำลังร่วมกิจกรรมนี้บ้าง แต่คงได้นอนฟุบหลับตามใจหวังแล้วล่ะถ้าไม่มีใครมาสะกิดเรียก


     " มิ้ลค์ " ผมหันข้างไปมองชายรูปร่างโปร่งอันแสนคุ้นเคยที่เดินมาตอนไหนอยู่ใกล้ตัวเองประมาณห้าเซนติเมตร กะพริบตา ? เฟิร์สมีอะไรกับผมถึงได้ถ่อมาถึงนี่


     " ว่าไง ? " ผมขมวดคิ้วพลางหมุ่นตัวเองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไปมองเฟิร์ส


     " น้ำอุ่นมันมาท้าแข่งทำอาหารกับกูว่ะ กูรับปากไปแล้ว ข้อแม้คือตัวมึง " ถึงตรงนี้ผมกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนสมองจะประมวลผลในคำพูดของมัน


     " เอ้า ! แล้วไปรับปากมันทำมายยย !? มึงทำเป็นหรือไงห้ะ !!? " โว้ยยยยยย ไอบ้าเฟิร์ส !! น้ำอุ่นมันระดับเทพ มึงระดับห่าอะไรก็ไม่รู้ ไม่เจียมตัวเล้ยยยยย


     " ก็กูไม่อยากเสียมึงไปนี่หว่า แล้วใครบอกมึงว่ากูจะลงแข่งเอง หึหึ " เห็นมันยิ้มอย่างมีเล่ห์กลอย่างนี้ก็พอเดาได้แล้วล่ะว่าใครเป็นคนลงแข่งแทนมัน


     ก็ผมนี่ไงล่ะ..


     แทนที่จะได้หลับปุ๋ยอย่างสบายใจก็ต้องกลับกลายมาใส่ชุดเชฟเพื่อลงแข่งอย่างฝืนใจแทน โว้ยยยยยยยย ไอบ้าเฟิร์ส ! อยู่ดีไม่ว่าดีก็ไปรับปากสารท้ารบจากน้ำอุ่น ผมก็เลยต้องทำใจเดินไปหยิบฉลากที่เด็กนั่นให้เกียรติเป็นคนจับ ผมหน้าเหวี่ยงยื่นกระดาษวัตถุดิบให้พี่เขาว่าข้างในคืออะไรก่อนจะยืนฟังที่พี่โต้งประกาศ ผมค่อนข้างตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะวัตถุดิบหลักนี้คือเนื้อไก่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบส่วนหนึ่งของเมนูที่เคยไปแข่งครั้งล่าสุดด้วย


     เฟิร์สมันคงมั่นใจผมมั้งครับ ว่าจะสามารถชนะน้ำอุ่นได้เลยรับปากมา แต่แม่งคงไม่ได้รู้ประวัติไอห่านี่เลยสินะว่าทักษะของมันเอาเข้าจริง ๆ เยอะกว่าผมอยู่หลายเท่า ถ้าแพ้มีหวังต้องไปบำเรอไอน้ำอุ่นแหงแซะ


     ผมและน้ำอุ่นเดินเข้าห้องปฏิบัติการอาหารโดยมีคนอื่น ๆ กำลังขะมักเขม้นทำเมนูกันอย่างไม่ยอมแพ้ พี่ราฟและพี่จ๋าพาผมมายังสเตชั่นที่ว่างพลางกำหนดเวลาให้จำนวนสองชั่วโมงในการทำ ผมพยักหน้าเข้าใจในคำสั่งก่อนที่พี่เขาจะประกาศเริ่มการแข่งขัน พอเสียงนกหวีดดังแผดลั่นได้ไม่เท่าไหร่ น้ำอุ่นมันก็พุ่งพรวดไปหยิบวัตถุดิบโดยพลัน เฮ้อออ เอาเถอะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว อวดฝีมือของตัวเองที่พร่ำฝึกซ้อมมาหลายเดือนให้เด็กอมมือมันดูสักหน่อยดีกว่า


     จากที่ผมเคยเป็นคนเหมือนต้องการจะหลับพักผ่อน ก็คึกคะนองขึ้นมาราวกับกระดกเอ็มร้อยไปห้าขวดติด เครื่องยนต์ในกายนี้มันทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจริง ๆ ไม่รู้เป็นเพราะจะได้แก้ตัวเมนูอาหารที่เคยพลั้งพลาดในอดีต หรือการมีเฟิร์สที่ยืนดูผ่านกระจกใสนั่นกันแน่ ไม่ว่าจะเหตุผลใดที่ทำให้ผมมีกำลังในการทำอาหาร ผมขอเต็มที่กับการแข่งขันครั้งนี้โดยมีผู้ท้าชิงเป็นถึงนักเรียนเชฟเมืองนอกอย่างน้ำอุ่นเลยแล้วกัน !


     เวลาผ่านไปหลายนาทีหลังจากที่ผมยกวัตถุดิบที่ต้องการจากสโตร์และนำกลับมายังสเตชั่น ผมประดิดประดอยชิ้นเนื้อและผักให้เข้ากับที่เคยซักซ้อมไว้พลางลอบมองสเตชั่นใกล้ ๆ ดูเหมือนน้ำอุ่นจะช้ากว่าผมนิดหน่อยเพราะคงไม่ได้เตรียมตัวมาล่ะสิว่าจะทำเมนูอะไร ผมตั้งขีดจำกัดของแต่ละขั้นตอนไว้แล้วครับว่าควรทำกี่นาที และเป็นไปตามคาดที่วางแผนไว้ทั้งหมด ทุกอย่างมันออกมาดีเยี่ยม ดีกว่าครั้งที่ผมไปแข่งล่าสุดเป็นไหน ๆ


     ผมสูดหายใจเข้าเฮือกสุดท้ายก่อนจะยกพะแนงไก่กรอบ ยำสามสหาย ผัดผักรวมมิตร ข้าวผัดธัญพืช ที่จัดเสิร์ฟในจานเดียวแบบสไตล์โมเดิร์น แม้เมนูจะไม่เหมือนกับที่เคยไปแข่งมาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมก็ยังคงคอนเซ็ปต์ในการเสิร์ฟแบบนี้อยู่เหมือนเดิม พี่ ๆ เขาต่างมองอาหารในจานด้วยสายตาระยิบระยับก่อนจะใช้ซ้อมตักลงไปอย่างยากที่จะอดใจไหว ไม่ต้องรอให้ผมอธิบายในการรับประทานเลยพี่ ๆ ก็สามารถกินอาหารของผมได้อย่างไม่ติดขัด ว่าแล้วอาหารจานอร่อยของน้ำอุ่นก็ตามผมมาติด ๆ จานของน้องชายคนนี้ทำผมตะลึงไม่แพ้กับหน้าของพี่เขาเลย เป็นการเสิร์ฟสเต๊กเนื้อแบบเมนคอร์สที่โทนสีของผักและองค์ประกอบอื่น ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว ว่าแล้วพี่เขาก็เริ่มบรรเลงในการชิมบ้าง ถึงตรงนี้ผมว่าใจเริ่มหวิว ๆ แล้วว่ะ


     " เอาล่ะ พี่จะประกาศผลแล้วนะว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ไม่ว่าใครจะชนะ เราทั้งคู่คือสุดยอดของวันนี้จริง ๆ " พี่คนหนึ่งนามปริศนาร่างอวบที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการพูดขึ้นจนผมต้องยิ้มรับอย่างใจสู้เสือ เช่นเดียวกับน้ำอุ่นที่ยักไหล่ขึ้นลงอย่างสบาย ๆ


     " ผู้ที่ชนะก็คือ.. " ผมกลืนน้ำลายเอือกหนึ่งรอฟังประกาศที่พี่เขากำลังจะเลื่อนจานของผู้ชนะมายังด้านหน้า


     " ผู้ที่ชนะก็คือ...จานนี้ครับ !! " จานของผมถูกเลื่อนมายังด้านหน้า ยังไม่ทันมีผมจะเหวอในคำตัดสิน พี่เขาก็พูดแทรกขึ้นมาซะแล้ว " โหน้อง !! ทำอาหารอร่อยแถมจัดจานสวยขนาดนี้ ทำไมไม่ไปลงแข่งล่ะ ? " ผมแค่นยิ้มน้อมรับคำชมของพี่เขา


     " จานที่พี่กินเข้าไปคือจานที่ผมเคยไปแข่งแล้วแพ้มาครับ บางเมนูผมอะแด๊ปมันขึ้นมาใหม่เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ " พี่ผู้ชายมองมายังผมอย่างอึ้ง ๆ ราวกับไม่เชื่อในหูที่ได้ยิน ผมน้อมรับคำตัดสินที่เป็นเอกฉันท์ของพี่เขา เว้นเสียแต่เจ้าเด็กนี่


     " โหพี่มิ้ลค์ !! ขี้โกงง เอาจานที่ไปแข่งมาแข่งกับอุ่นได้ยังไง ขี้โกงงงง !! " เอ้า ก็มึงไม่บอกเองนี่หว่าว่าห้ามเอาจานนี้มาแข่งได้ อีกอย่างกูก็ไม่ได้เอาเมนูที่เคยไปแข่งมาทำวันนี้ทั้งหมดซะหน่อย แล้วมึงก็เคยล้อกูไม่ใช่เหรอว่าไปแข่งแพ้เพราะไม่มีมึง ไงล่ะ งานนี้กูชนะได้เพราะตัวกูเอง หึหึ


     " ผลมันออกมาแล้วน้ำอุ่น ยอมรับซะเถอะ " ผมว่าพลางยกมือไหว้พี่เขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อไปหาใครบางคน


     " อุ่นแค่อ่อนให้เฉย ๆ มาแข่งกับอุ่นใหม่เลยนะ ! พี่มิ้ลค์จะไปไหน !? พี่มิ้ลค์ !!! " เฮ้อออ อย่างน้อยการแข่งขันครั้งนี้ก็สามารถกู้หน้าผมที่แตกละเอียดในอดีต ให้หวนคืนความรู้สึกดี ๆ กลับมาได้ล่ะนะ


     ผมเดินออกมาจากห้องปฏิบัติการอาหารพลางแท็กมือเฟิร์สที่ยืนรอรับด้านหน้าอย่างหล่อ ๆ ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังห้องสาธิต


     แฟนใครก็ไม่รู้เนอะ หน้าตาดีแถมยังทำอาหารอร่อยอีก ฮ่า ๆ


####
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.40 แนบสารบัญแล้วจ้า (4/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 06-03-2018 17:39:43
EP.41 ต่อ
     หลังจากที่กลับมาถึงห้องพักภายในโรงแรมสุดหรู สิ่งแรกที่ผมทำนั่นก็คือโยนตัวเองลงบนเตียงด้วยความเมื่อยล้าแบบโคตร ๆ


     " อ่าาาาาาาห์ " มีความสุขจังเลย แข่งก็ชนะ อาหารเย็นก็อร่อยย


     " แหมที่รัก กลับมาก็นอนเลยเหรอ อาบน้ำสักหน่อยเปล่า ? " เสียงเฟิร์สพูดแว่ว ๆ อยู่ปลายเตียง ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงใครบางคนกำลังนั่งลงให้ที่นอนนิ่ม ๆ นี้ยุบลงไป


     " ไม่อะ แต่กูเก่งปะละ ชนะน้ำอุ่นได้ ขอรางวัลหน่อยดิ " เฟิร์สคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนจะโน้มตัวมาฝังรอยจูบบนหน้าผากผมดังฟอด จูบเฟิร์สมันก็เหมือนอะไรบางอย่างที่ทำให้แรงของผมกลับคืนมาเต็มร้อยอีกครั้ง


     " แฟนของเฟิร์สเก่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว " เอาเข้าจริง ๆ ถ้าได้โจทย์อันอื่นผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันนะว่าผลออกมาจะเป็นยังไง ฮ่า ๆ ว่าแล้วก็หาเรื่องงอนมันสักหน่อยดีกว่า


     " ใครแฟนมึง วันนี้ปล่อยให้กูอยู่คนเดียวทั้งวัน เฮ้ออออ แถมยังปล่อยให้น้ำอุ่นมาหอมแก้.. " ผมตาเหลือกทันทีหลังจากที่พลั้งปากพูดประโยคอันตรายนั้นออกมา จริงอยู่ว่าเฟิร์สไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้เท่าไหร่นักพอได้ทราบข่าว แต่การขุดกระทู้เด็ดพันทิบในตอนนี้ก็เหมือนแส่หาเรื่องให้ตัวเองถูกลงโทษ ชิบหายแล้ว บอกไปแล้วด้วยดิว่าจะดูแลตัวเอง..


     " .......... " สายตาอ่อนโยนที่เคยเคล้าความอบอุ่น ตอนนี้ค่อย ๆ วาวโรจน์เป็นปีศาจในคืนที่ผมเคยโดนมันประทุษร้ายอีกครั้ง


     " กะ...กูไปอาบน้ำก่อนนะ แหะ ๆ "ผมดีดตัวเองขึ้นจากเตียงทันทีเพื่อจะหลบหนี แต่ไอแขนข้างนั้นแม่งไวกว่าผมอีก !!!!


     " คืนนี้มึงไม่ต้องนอนนะไอมิ้ลค์ !!!!!! "


     ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.41 แนบสารบัญแล้วจ้า (6/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 08-03-2018 16:45:12
Not to be unlocked : Episode 42 : วุ่นวายที่ค่ายเชฟ Day 2



     เช้าวันที่สองของค่ายเชฟ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนหลับไปแล้วประมาณหนึ่งชาติเศษ ถึงจะคิดว่าตัวเองหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ไปแล้วก็จริง แต่ใช่ว่าเมื่อคืนจะไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับผมสักหน่อย ผมบิดขี้เกียจซะตัวเป็นโปเต้ก่อนจะมุดออกจากผ้าห่มมาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงทั้ง ๆ ที่มือของเฟิร์สยังพาดอยู่ หึ ไอนี่แหละครับตัวการที่ทำให้ผมปวดตุบ ๆ แถว ๆ บั้นท้ายลามมายังสันกระดูกจรดคอ พอผมไฟเขียวอนุญาตเฟิร์สให้กระทำชำเราทีไรก็เหมือนเอาตัวเองไปออกรบกับทหารนับร้อยทุกทีเลยว่ะ ผมมองใบหน้าของคนข้าง ๆ ที่หลับตาพริ้มในห่วงแห่งการพักผ่อนพลางถอนหายใจออกมาแผ่ว ๆ เฮ้อ...ถึงมันจะแสบสันไม่เหมือนใคร ๆ แต่ผมก็ยังรักเฟิร์สอย่างไม่สามารถเอาใครมาแทนที่ได้เลย ผู้ชายคนนี้ถ้าเปรียบเหมือนอาหารก็คงมีครบทุกรสชาติจริง ๆ ว่าแล้วก็ขอจุ๊บเหม่งของมันให้รางวัลสักหน่อยดีกว่า



     " อือออ " ร่างโปร่งที่ถูกคลุมด้วยผ้านวมขนาดใหญ่ครางออกมาเบา ๆ แม้เปลือกตาคู่นั้นจะปิดสนิท หวังว่าผมคงไม่ได้จะทำมันตื่นหรอกเนอะ งั้นปล่อยให้เฟิร์สได้นอนต่ออีกสักพักแล้วกัน เพราะกว่าพี่เขาจะนัดลงไปทำกิจกรรมก็อีกตั้งสองชั่วโมงหลังจากนี้ตามที่ดูนาฬิกา



     ในขณะที่ผมลุกขึ้นเพื่อหมายจะเปิดประตูบานเลื่อนเพื่อไปสูดอากาศยามเช้าอันแสนสดใส แขนปลาหมึกติดหนึบก็รวบตัวผมจากข้างหลังให้เด้งกลับไปนอนคลุกเตียงเหมือนอย่างเก่า



     " จะไปหนายยย นอนก่อนสิที่ร้ากกก " ผมหันไปดูไอขี้เซาที่พูดออกมาแม้ดวงตาคู่นั้นจะปิดอยู่ เหอะ เมื่อคืนมึงเผาผลาญแคลอรีกับกูไปซะเยอะ ตอนนี้แรงลืมตายังไม่มีเลยใช่ม๊า ?



     " มึงก็นอนต่อไปสิ กูอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย อยู่ในนี้แม่งหนาว " แอร์โรงแรมนี้หนาวจริง ๆ นั่นแหละครับ ขนาดว่าเปิดแค่ยี่สิบห้าองศาเองนะ หรือเป็นเพราะผมถอดเสื้อนอนตลอดทั้งคืน ?



     " ไม่เอา เค้าจะอยู่กับที่ร้าก อย่าทิ้งเค้าไปไหนนะ " มึงไม่ต้องมาทำเสียงแอ๊บแบ๊วเรียกคะแนนสงสารจากท่านผู้อ่านเลยนะ อะ ๆ กูไม่ลุกไปไหนก็ได้ ผมเหล่ตามองมันที่เปลี่ยนมายิ้มเผล่ก่อนจะพยักหน้าเอือม ๆ



     " งั้นถ้าไม่ไปไหนแล้ว...ต่อจากเมื่อคืนเลยดีกว่า " ไม่ทันที่จะได้คัดค้านอะไร เฟิร์สมันก็เหวี่ยงตัวผมให้ติดตรึงอยู่กับเตียงก่อนจะคลานมาขึ้นคร่อม เฮ้ย ๆ เมื่อคืนก็หลายรอบมึงยังไม่พออีกรึไง !?



     " หยุดเลยนะ ให้มันน้อย ๆ หน่อย " ถึงแขนทั้งสองจะโดนเฟิร์สล็อกไว้ซะแน่น แต่ผมก็ไม่ได้จะขัดขืนแต่อย่างใด ผมคิดว่าคำพูดเท่านี้ก็สามารถกำราบความคิดแผง ๆ ของคนที่เลียริมฝีปากตัวเองอยู่ลงได้



     " อะไรอะที่รัก ซ่อมของเมื่อคืนไงที่ตัวเองทำเสีย ดีมั้ย ? " อยากรู้เหรอครับว่าเมื่อคืนผมทำอะไรเสีย ? ม่ายยย ! ผมไม่บอกท่านผู้อ่านอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ !!! เพราะมันค่อนข้างยี่สิบบวกบวกบวก



     " เอาจริง ? " ผมย้ำถามมันอีกครั้ง ถ้าลองไตร่ตรองเวลาและความรับผิดชอบต่อหน้าที่แล้ว การที่ผมจะจุ๊กกรู๊กันกับเฟิร์สตอนนี้มันก็ได้อยู่หรอก แต่บอกตรง ๆ ว่าแผลสดจากเมื่อคืนผมยังไม่หายดีเท่าไหร่เลยว่ะ



     " พี่เฟิร์สคนจริงสุขุมวิทไม่พูดเล่นหรอกนะจ๊ะ หึหึ " แล้วคนที่คร่อมผมอยู่ก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋าตังพลางแหวกออกเพื่อหาอาวุทคู่กาย ผมมองเฟิร์สที่แหวกของในมือแล้วแหวกในมือเล่าอย่างเตรียมใจว่าหลังจากนี้จะโดนอะไรบ้าง



     แต่เมื่อไหร่แม่งจะลงมือสักที..



     " ว่าไง เปลี่ยนใจแล้วเหรอ ? "



     " ไม่มี " มันพูดขณะคว่ำกระเป๋าตังลงพลางเขย่า " ฮือออออ หมด " หมด ? อ๋อไอห่า ! ก็เมื่อคืนมึงล่อไปตั้งสี่อันจะให้ไม่หมดได้ไง !! ว่าแล้วปากผมก็ไวกว่าความคิด



     " ก็ไม่ต้องใช้ไง เปลี่ยนบรรยากาศ " จริง ๆ จะใช้หรือไม่ใช้ก็เหมือนกันแหละมั้ง..



     " ไม่ได้ !!!! " เฟิร์สกระแทกเสียงใส่ผมก่อนจะเอื้อมเอากระเป๋าตังไปวางไว้อย่างเก่า " สงสัยจะอดแล้วว่ะ " เฮ้ออออออออ โล่งอก อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องโดนกระสุนปืนใหญ่ยิงเข้ามาทางข้างหลังอีกรอบแล้ว



     " หึหึ อยากใช้หมดเองดีนัก สมน้ำหน้า " เดี๋ยว ! แล้วมึงจะแยกเขี้ยวใส่กูทำแมวอะไร !!?



     " ไอมิ้ลค์ ! มึง !!! " เฟิร์สประกาศชื่อผมพลางอ้าปากส่วมบทบาทเป็นจระเข้แล้วงับเข้ากับบ่าผมซะเต็มคำ โอ๊ยยยยย ไอห่านี่ซาดิสม์แท้ !!



     ในตอนที่ไกรทองอย่างผมกำลังฟาดฟันกับชาละวันบนเตียงอยู่นั้นเอง เสียงเคาะประตูจากด้านนอกที่เปรียบเสมือนเสียงระฆังเวลาชกมวยก็ดังขึ้นจนทำให้เราทั้งคู่หยุดตีกัน เฟิร์สขมวดคิ้วมองหน้าผมเหมือนถามว่าใครและทำท่าจะไปเปิด แต่ไม่ไวกว่าตัวเองที่ลุกพรวดพราดนำลิ่วไปเสียแล้ว อ่าวชิบหายล่ะ ลืมใส่เสื้อ



     ผมเปิดประตูออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจจะส่องตาแมวเลยสักนิด ก่อนจะพบกับไอตัวการแห่งความวุ่นวายในชีวิต



     ไอน้ำอุ่น..



     " สวัสดียามเช้าคร้าบพี่มิ้.. " เสียงสดใสอันแสนร่าเริงของเจ้าเด็กในชุดลําลองแสนสบายที่มีป้ายชื่อแขวนคออยู่ค่อย ๆ ลดระดับลงจนแผ่ว เมื่อสายตาของน้ำอุ่นจ้องมายังเรือนร่างของผมสลับกับคนข้างหลังที่ยืนอวดโฉมแค่กางเกงบ๊อกเซอร์โง่ ๆ เหมือนกัน



     " พี่มิ้ลค์ทำอะไรอยู่อะครับ ? อุ่นจะเรียกไปกินข้าว " น้ำอุ่นมันมองลอกแลกเหมือนในหัวมโนไปไกลแล้วว่าสภาพชีเปลือยของพวกพี่ทั้งสองคนกำลังทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายกันอยู่หรือเปล่า ทำไมมึงไม่มโนไปว่ากูพึ่งตื่นนอนด้วยสภาพนี้บ้างวะ โว้ะ แต่ยังไงก็คงเข้าทางผมแล้วล่ะ หึหึ



     " อ๋อ ก็...กูกินยาก่อนนอนแล้วอะ กำลังจะกินยาก่อนอาหาร ใช่มั้ยที่รัก ? " ผมเอี้ยวตัวไปถามคนข้างหลังที่แสยะยิ้มอย่างซะใจก่อนจะหันมามองน้ำอุ่นอีกครั้ง



     " ง่ะ...งั้นน้ำอุ่นไปรอข้างล่างนะครับ ดะ...ดูแลตัวเองด้วย อุ่นเป็นห่วง " น้ำอุ่นพูดตะกุกตะกักอย่างคนคิดมากก่อนจะเดินจากไป ซึ่งผิดกับเฟิร์สที่แม่งตะโกนตามหลังอย่างชัดเจนและแน่วแน่



     " นี่แฟนกูไม่ต้องมาเป็นห่วง เข้าใจมั้ยไอเด็กบ้า !! " ผมยิ้มส่ายหัวให้กับความหวงก้างของแฟนตัวเองพลางปิดประตูลงเพื่อไปทำธุระส่วนตัวต่อ



     จะเล่นงานคนของเจ้าเฟิร์สน่ะ มันไม่ง่ายหรอกนะน้ำอุ่น



####



     หลังจากที่ทั้งผมและเฟิร์สได้ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังห้องอาหารชั้นหนึ่งโดยทันที กำหนดการของวันนี้ที่พี่ค่ายแจ้งให้ทราบคร่าว ๆ จากเมื่อวานคือเขาจะนัดรวมตัวกันที่เดิม (ลานกว้าง ๆ ในตึกที่ลงทะเบียนวันแรก) เพื่อสันทนาการ ก่อนจะเข้าไปปฏิบัติการอาหารในคลาสเบเกอรี่ (อันนี้เฟิร์สสนใจเป็นพิเศษ) แต่ก่อนจะไปถึงสิบโมงเนี่ย เวลามันเหลือก็หลายนาทีอยู่ ผมเลยพากระเพาะว่าง ๆ ของตัวเองลงมาหาอะไรกินเพื่อรอเวลาเสียเลย



     พอออกจากลิฟต์ที่มีเพื่อนชาวค่ายลงมาด้วยก็หันมามองหน้าเฟิร์สอย่างรู้ใจ หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่บังเอิญเห็นน้ำอุ่นมันยืนทำหน้าซีดอยู่ปากทางเข้าห้องอาหารเหมือนไปเจอผีตัวเป็น ๆ มาน่ะสิ สงสัยผีตัวนั้นคงจะหล่อไม่ใช่น้อย (แล้วกูจะด่าตัวเองทำไม ?) เอาเป็นว่าผมเริ่มจะดักทางสันดานของเด็กนั่นได้บางส่วนแล้วล่ะ ยังไงขอเริ่มแผนการโดยไม่บอกกล่าวไอเฟิร์สล่วงหน้าเลยแล้วกัน เจ้าตัวก็คงไม่ขัดข้องอะไรมั้ง



     ผมคว้าฝ่ามือของคนที่เดินด้วยมากุมไว้ทันทีโดยไม่สนใจสายตารอบข้างว่าใครจะมอง เฟิร์สตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้จะขัดขืนผมอันใด



     " ไงน้ำอุ่น ยืนรออะไรอะ ? ไปกินข้าวกัน " ผมเดินเข้าไปทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่งไม่รู้หรอกว่าผมมีแผนอะไร รวมไปถึงไอเฟิร์สด้วย



     น้ำอุ่นเลื่อนระดับสายตาลงต่ำมองมือที่ผมจับกับเฟิร์สไว้แน่นอย่างยากที่จะปล่อย ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมาสบกับผมอีกครั้ง



     " พี่มิ้ลค์.. " เสียงมันขานชื่อผมเบ๊าเบาเหมือนคนใจลอย ฮ่า ๆ อยากขำว่ะ แต่ต้องอุบไว้



     " ว่าไง ? " ผมขานตอบพลางคิดในใจว่าไอน้ำอุ่นคนเดิมที่ชอบระรานตัวเองและเฟิร์สมันหายหรือตายไปแล้วจริง ๆ เหรอวะ ? ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะครับว่าแค่น้ำอุ่นเห็นผมถอดเสื้อกับเฟิร์สเมื่อเช้า บวกกับตอแหลว่าจะมีอะไรกันก่อนรับประทานอาหาร มันสามารถทำให้ไอเด็กนิสัยถ่อย ๆ แบบนี้กลายเป็นเด็กเชื่อง ๆ ได้ด้วย ขี้มโนใช้ได้เลยว่ะน้ำอุ่น ฮ่า ๆ เดี๋ยวหายาสลายมโนให้แปป



     " ไม่มีอะไรครับ เข้าไปกินข้าวกันเถอะ " สิ้นประโยคนั้นคนที่เคยยืนรออยู่ก็เดินนำผมเข้าไป เฟิร์สเลิกคิ้วขึ้นเหมือนต้องการถามว่ามีแผนอะไร ผมได้แต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ไปอย่างนั้นแหละครับ ไม่บอกอะไรมันหรอก



     พอย้ายมาอยู่ในห้องอาหารผมก็ต้องมาขำก๊ากกับวีรกรรมของตัวเองที่ทำกับน้ำอุ่นและเฟิร์สอีกครั้ง คือตอนที่ผมเดินไปตักบุฟเฟ่ต์เช้ามารับประทานก็สังเกตถึงความผิดปกติของน้ำอุ่นได้จริง ๆ ว่ามันแลเอ๋อ ๆ เบลอ ๆ จิตตก ใจลอย เหมือนกับว่าไม่มีวิญญาณอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วจริง ๆ ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะสงสารมันหรอก เพราะกว่าจะรู้ว่ามันแพ้ทางผมถึงขั้นเป็นบ้าแบบนี้ได้เนี่ย น้ำอุ่นก็ทำผมปวดหัวและวุ่นวายไม่แพ้กัน ในเวลาต่อมาเจ้าเด็กนั่นก็กลับมานั่งแหมะกับผมตามด้วยเฟิร์สที่ถือจานอาหาร ทันทีที่ทั้งสองอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ผมก็ปฏิบัติการตามแผนอีกครั้งโดยการขอกินไส้กรอกชีสจากจานไอเฟิร์สและวานให้มันป้อน วินาทีนั้นน้ำอุ่นหันมามองแว็บนึงครับ แต่ไม่ได้นานมาก เฟิร์สมันก็อือ ๆ ออ ๆ ตามผมว่า ก่อนจะนำซ้อมในมือทิ่มลงไปในเนื้อไส้กรอกพลางยืนตรงมาที่ปาก ผมอ้ารับอยางเต็มคำแต่ไม่ได้กัดออกหรอก ถึงตอนนี้แหละครับน้ำอุ่นมันหันขวับมามองผมด้วยสายตาที่เบิกกว้างจนแทบขาดสติ จะไม่ให้ช็อกอีกรอบได้ไงล่ะเพราะผมเล่นรูดเข้ารูดออกประหนึ่งว่าใส่กรอกนี้เป็น.. (จงเติมคำในช่องว่าง) รวมไปถึงคาบชีสสีขาวข้นที่เลอะปากผมอีก ในที่สุดน้ำอุ่นมันเลยยกธงขาวอกแตกตายและเดินจากเราไปอย่างเงียบ ๆ ฮ่า ๆ ขำโคตรรรร



     ตอนนี้ผมกับเฟิร์สอิ่มแปล้กับมื้อเช้าแล้วครับ และกำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่พี่เขานัด พลางเช็กยูนิฟอร์มทั้งเครื่องแต่งกายและป้ายชื่อสำหรับการเข้ารับสันทนาการ อืมมม ของตัวเองก็ครบ ของเจ้าเฟิร์สก็ครบ เอาล่ะ ไม่ต้องกังวลจะโดนทำโทษอะไรแล้ว



     " นี่ไอตัวแสบ เมื่อตอนอยู่ห้องอาหารมึงคิดจะทำอะไรห้ะ ? มึงรู้มั้ยกูมีอารมณ์เลยเนี่ย " ผมขำหึหึให้กับเฟิร์สที่บ่นอุบอิบอยู่ข้าง ๆ กูไม่ได้จะเล่นฉากเอ็กซ์ในที่สาธารณะซะหน่อยโว้ย



     " ไม่มีอะไรหรอก กูแค่จับสังเกตวิธีจะให้น้ำอุ่นเลิกมาวุ่นวายกับกูได้แล้ว " เอาล่ะครับ ตอนนี้ต่อมเสือกของไอเฟิร์สได้ทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



     " ยังไงอะ ? "



     " แค่ทำเหมือนกูเป็นของมึง มึงเป็นของกู แค่นี้น้ำอุ่นมันก็จะอกแตกตายเหมือนโดนพระอภัยมณีเป่าปี่ใส่แล้ว " คนที่เดินอยู่ด้วยกันหันมาขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ



     " แบบที่มึงอมใส่กรอกแล้วชีสเลอะปากอะนะ ? อี๋ ทำไปได้ไง " โหยยยยยยยยยยยย ผมง้างมือมาฟาดแขนไอเฟิร์สทันทีแต่แม่งดันเบี่ยงหลบได้ซะก่อน มึงไม่ต้องมาหัวเราะเยาะกูเลยนะไอเลว



     " แม่ง งอนแล้ว ! " ผมเดินก้าวขาหนีไว ๆ โดยไม่หันไปแยแสไอเฟิร์ส ไม่รู้แหละ มึงต้องตามมาง้อกูด้วย



     แล้วแทนที่ผมจะได้หนีไอเฟิร์สเพื่อมาพบกับพื้นที่แห่งความสงบสุข แต่ก็ต้องมาพบกับความวินาศสันตะโรในรูปแบบใหม่



     รุ่นพี่ฝ่ายสันฯ ควักมือเรียกผมแบบนี้แสดงว่า...ให้กูออกไปเต้นอีกแล้วใช่มั้ยครับ !!!!



     " อ้าวน้องคนที่มาช้าสองคน เชิญมารับบทลงโทษด้านนี้เลยคร้าบบบ " นั่นไงกูว่าแล้ว !!!!!!



     " ฮิ้ววววววววว " ผมมองซ้ายมองขวาอย่างสับสนเพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานัด แต่ทำไมทุกคนดันมาเข้าแถวอย่างพร้อมหน้ากันได้ฟร๊ะ !! (เห็นน้ำอุ่นตรงท้ายแถวสีแดงด้วย) พี่นัดสิบโมงไม่ใช่หรา ! แต่นี่พึ่งเก้าโมงครึ่งเองนะ ฮืออออออ มันยุติธรรมจริง ๆ น่ะหรือออ มันยุติธรรมจริง ๆ หรือไรรร



     แล้วก็อย่างว่าครับ ผมและเฟิร์สคงไม่มีทางรอดแล้ว ก็เลยได้แต่เดินคอตกมายังเวทีประหาร



     " เอาเพลงฮิปโปนะ ฮิปโปพร้อม !! " เดี๋ยวววววววว ! อะไรคือฮิปโปอะพี่ !!?



     " พร้อม !!!! " แล้วการที่ตะโกนพร้อมกับคนนับร้อยคือมึงเข้าใจกับเขาด้วยเหรอวะไอเฟิร์ส !? แล้วจะไม่สอบถามหรือคัดค้านความผิดของตัวเองที่ก่อด้วยใช่มั้ย !?



     " สาม !! สี่ !! " เดี๋ยวครับพี่ ! เพลงอะไรผมไม่เคยได้ยิน ม่ายยยย



     " ฮิป...ฮิป...ฮิป...ฮิปโป โอ้โหตัวมันใหญ่ มันเดินอุ้ยอ้าย มันเดินอุ้ยอ้าย ลัลลั้ลลาลัลลั่นลัลลา ลัลลั้ลลาลัลลั่นลัลลา " ผมกะพริบตาปริบ ๆ ย่างคนจนตรอกเพราะไม่รู้ไอเพลงห่านี่ต้องเต้นยังไง แล้วไหงไอเฟิร์สมันเต้นได้ ?



     " โห่น้อง ทำไมไม่เต้นอะ ? " พี่สันเจ้าเก่าเจ้าประจำเดินมาถามผมอย่างเซ็ง ๆ ผมจะไปเต้นได้ไงล่ะก็เคยเต้นซะที่ไหน ถ้าเพลงที่มันมีงูออกมาก็พอได้อยู่หรอก



     " ผมเต้นไม่เป็นอะครับ "



     " เอ้า ! เต้นไม่เป็นก็ไม่บอก เดี๋ยวพี่ให้ราชินีฮิปโปมาสอน อีสาลี่ ! มาสอนน้อง ! " พี่สต๊าฟผู้ชายคนนี้กวักมือเรียกพี่กะเทยตัวใหญ่ที่เคยลั่นวาจาว่าผมเป็นของเขาในวันวาน นางเดินแหวกแถวของชาวค่ายที่นั่งอยู่นับร้อยราวกับเป็นเวทีแคทวอล์คมาด้านหน้า เอาล่ะ กูจะโดนอะไรมั้งล่ะเนี่ย..



     " เต้นตามพี่เขานะ ฮิปโป้พร้อม ! สาม !! สี่ !! " แล้วพี่เขาเอามือไขว้หลังเหมือนเป็นหลีดฯ แบบนี้ ผมต้องทำตามด้วยมั้ยคร้าบ ฮือออ



     " ฮิป...ฮิป...ฮิป...ฮิปโป โอ้โหตัวมันใหญ่ มันเดินอุ้ยอ้าย มันเดินอุ้ยอ้าย ลัลลั้ลลาลัลลั่นลัลลา ลัลลั้ลลาลัลลั่นลัลลา " ถึงเอวผมจะโยกไม่แรงเท่าพี่คนที่ชื่อสาลี่กับไอเฟิร์ส แต่คิดว่าตัวเองก็พอจะถู ๆ ไถ ๆ ให้กับบทลงโทษที่ผมยังไม่รู้เลยว่าผิดอะไรได้แหละนะ



     " โอเค ขอเสียงปรบมือให้สองคนนี้ด้วยนะคร้าบ " ผมรีบพงกหัวรับอย่างขอบคุณแต่คราวหลังพวกพี่ไม่ต้อง ก่อนจะรีบวิ่งไปนั่งเข้าแถวตามสีของตัวเอง เอาล่ะ ถึงเวลาต้องแยกกับเฟิร์สแล้วสินะ



####
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.41 แนบสารบัญแล้วจ้า (6/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 08-03-2018 16:45:57
EP.41 ต่อ

     หลังจากที่ผมแยกกับเฟิร์สเพื่อไปเข้าร่วมขบวนการห้าสี (อ่าว สี่เองเหรอ) และสันทนาการกับท่อนเพลงอันอุบาทว์จิต ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเข้าไปปฏิบัติการอาหารกันเสียที ในห้องสาธิต ชาวค่ายก็ได้มาพบปะกับพี่โต้งที่เข้ามาทำหน้าที่บรีฟงานอีกครั้ง อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้นตอนครับว่าเช้าวันนี้จะเป็นการทำอาหารในคลาสของเบเกอรี่ ผมบอกตรง ๆ เลยนะว่าการทำของหวานเนี่ยไม่ใช่สไตล์ตัวเองเท่าไหร่หรอกถึงจะเคยทำเค้กให้ใครคนนั้น (อย่าไปพูดถึงเขาดีกว่าเนอะ) แต่พอฟัง ๆ ที่พี่โต้งเขาสอนทุกขั้นตอนประกอบกับการทำชูครีมให้ดูอยู่หน้าห้องเนี่ย เฮ้ย! มันไม่ได้ยากแฮะ แถมกลิ่นวานิลลายังหอมกรุ่นไปทั่วห้องจนผมอยากจะเดินไปหยิบมาใส่ปากซะให้รู้แล้วรู้รอด ดังนั้นครับก็อย่ารอช้า เดินไปรับกระดาษสูตรด้านหน้าเพื่อมาทำส่งกับพี่กรรมการกันบ้างดีกว่า



     ผมกับลุคลุกขึ้นพร้อมกันเพื่อหมายจะไปรับสูตรด้านหน้า แต่ดูเหมือนตอนนี้วิญญาณปากดีที่ชอบโม้เรื่องทำอาหารของเจ้าเด็กนี่จะยังไม่บินกลับมาเข้าร่างเลยว่ะ



     " น้ำอุ่น " ผมเอื้อมมือไปสะกิดไหล่มันเบา ๆ คนที่นั่งอยู่ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าของผมแต่อย่างใด



     " อุ่น ไปเอาสูตรเร็ว เดี๋ยวไปจองสเตชั่นไม่ทันนะ " ผมลองเปลี่ยนเป็นเขย่าไหล่ความแรงแปดริกเตอร์ ปัดมือผ่าน ๆ ที่ใบหน้า แม่งก็ยังนิ่งเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเดิม นี่อย่าบอกนะว่ากำลังมโนถึงกูกับเฟิร์สกำลังป้าบ ๆ กันอยู่น่ะ ! เฮ้ย ๆ



     " นี่ เมื่อเช้ากูไม่ได้มีอะไรกับไอเฟิร์สมันทั้งนั้นแหละ กูหยอกมึงเล่นเฉย ๆ พอใจยัง ? " ขวับ !!! น้ำอุ่นมันดีดตัวขึ้นมาจ้องผมเหมือนตูดโดนจี้ไฟด้วยสายตาโคตรของโคตรเคือง



     " พี่มิ้ลค์ !! รู้มั้ยว่าอุ่นเป็นห่วงพี่มิ้ลค์ขนาดไหน อุ่นกินไม่เข้าคายไม่ออกตั้งสี่ชั่วโมงเลยนะ โธ่...อุ่นก็นึกว่าพี่มิ้ลค์จะเสียเอกราชให้ใครไปซะแล้ว " เหอ ๆ นี่มึงคิดว่ากูคบกับไอเฟิร์สแล้วมันจะไม่ลามไปถึงขั้นนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ ? ยิ่งเป็นบุคคลที่ชื่อว่าเฟิร์สแล้ว กูบอกเลย ยาก !!



     " เออเอาเหอะ กูเห็นมึงน่ารำคาญก็เลยหยอกนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไปทำหน้าที่ของเรากันได้แล้ว " ผมว่าพลางเดินตามลุคที่ทางนั้นเมื่อกี้กะพริบตาปิ้ง ๆ ให้ ก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะออกไปรับสูตร เอาล่ะ ตอนนี้ผมคงไม่มีข้อแม้ตอแหลอะไรไปแกล้งไอน้ำอุ่นอีกแล้ว เตรียมตัวพบกับน้ำอุ่นเวอร์ชันเก่าได้เลยกู..



     เมื่อมาถึงครัวที่พวกเราแต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมทำข้าวของเขาเสียหายเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการแบ่งงานให้ลุคและน้ำอุ่นอย่างเสร็จสรรพ ลุคเป็นธุระเดินไปเตรียมวัตถุดิบให้ น้ำอุ่นเตรียมอุปกรณ์ ส่วนผมยืนเฉย ๆ (อีกแล้ว) แต่ลอยหน้าลอยตาได้ตอนนี้เท่านั้นแหละเพราะเราจะมาทำในขั้นตอนถัดไปกันแล้ว โดยผมสั่งให้ลุคทำตัวไส้ด้านใน น้ำอุ่นทำคุกกี้เนยที่ใช้แปะด้านบน ส่วนตัวผมเองก็ขอทำอะไรยาก ๆ หน่อยอย่างตัวชูครีม ผมเทส่วนผสมทุกอย่างตามสูตรของขนมลงในอ่าง พลางลอบมองงานที่ลุคตีวีปปิ้งครีมและน้ำอุ่นพิมพ์ลวดลายลงบนแป้งเนย ครั้งนี้ก็เช่นกันครับที่ทุกคนต่างรู้หน้าที่และปฏิบัติงานได้อย่างไม่ขัดข้องอะไร เวลาผมจบจากการเรียนแล้วไปทำงานในอนาคตจะเจอคนที่ทำงานดีแบบนี้มั้งมั้ยน้า แต่อย่าพึ่งรำพึงรำพันไปมากครับ เพราะตอนนี้ตัวชูครีมที่ผมใช้เครื่องตีแป้งและนำมาบีบลงในถาดนั้นพร้อมสำหรับอบแล้ว ส่วนน้ำอุ่นก็นำเจ้าคุกกี้กลม ๆ มาแปะลงบนชูครีมที่ผมบีบ เอาล่ะ เอาไปอบกันเล้ย !!



     จากสูตรใช้เวลาประมาณสิบถึงสิบสองนาทีครับกว่าเจ้าตัวชูครีมจะสุกและฟู ฉะนั้นตอนนี้เราทั้งสามว่างแล้วครับ ก็เลยย่อง ๆ นำนิ้วจิ้มลงไปในตัวไส้ที่ลุคตีเอาไว้มาลองชิมดู พระเจ้า !! อยากจะกรีดร้องออกมาเป็นภาษาอิสราเอล ความนุ่มของตัวไส้ ความหอมของวานิลลา โอ้โหมันชั่งลงตัวอะไรขนาดนี้ !! เห็นทีผมต้องตักแบ่งใส่ถุงกลับบ้านไปกินเล่นสักหน่อย หึหึ ไม่ทันไรน้ำอุ่นก็ก่อความวุ่นวายแก่ผมอีกครั้งโดยการออดอ้อนให้ป้อนมันมั้งทั้ง ๆ ที่มือแม่งก็มี ลุคเขาดูแล้วหัวเราะอย่างคนไม่คิดอะไรครับ ผมก็เลยตักเจ้าเนื้อครีมแสนอร่อยมาปาดหน้าน้ำอุ่นให้เละแทนซะเลย ว่ะฮ่า ๆ



     จวบจนเราก่อสงความชูครีมกันพักหนึ่งนั่นแหละครับสิ่งที่อบอยู่เมื่อสิบนาทีก่อนก็โชยกลิ่นไปทั่วครัว ผมจัดการใส่ถุงมือกันความร้อนแล้วจึงเปิดตู้อบให้ไอควันได้ระบายออก พลางหยิบถาดที่รองขนมอันฟูฟ่องนี้มาวางไว้บนสเตชั่นเพื่อปล่อยให้เจ้าชูครีมได้สัมผัสกับอากาศครู่นึง แล้วจึงใช้ปลายแหลมของที่บีบครีมเจาะและแทรกเนื้อไส้แสนอร่อยเข้าไป ผมและลุคยืนช่วยกันบีบไส้อยู่ไม่นานน้ำอุ่นก็ถือจานสำหรับเสิร์ฟมาให้เพื่อจัดเตรียม



     " เสร็จแล้วครับพี่โค้ก " หลังจากที่ผมนำชูครีมที่อบเสร็จแล้วจากเตามาจัดเสิร์ฟลงจาน ผมก็จัดการเดินนำมาประเคนให้พี่โค้กถึงที่ส่ง พอดีไปทำความรู้จักกับรุ่นพี่คนนี้มาน่ะครับว่าเขาชื่อเสียงเรียงนามอะไร ผมก็พึ่งรู้มานี่แหละว่าเขาเป็นสายแข่งระดับท็อปของมหาวิทยาลัยนี้ด้วย เมื่อวานชมผมซะใหญ่จนตัวลอยขึ้นอากาศไปเลย ฮ่า ๆ



     " โอ้ เสร็จกลุ่มแรกอีกแล้ว ไหนพี่ขอชิมซิ " พี่โค้กหยิบช้อนที่ปักอยู่ตรงกระเป๋าหัวไหล่ออกมาพลางบีบตัวชูครีมให้ไส้ไหล่ทะลัก " ไส้เยิ้มดีมาก ลองชิมกันมารึยัง ? " เราทั้งสามพงกหัวรับพร้อมกันเพราะครีมที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในอ่างผสมนั้น ส่วนใหญ่จะหายไปอยู่ในท้องกันหมด ก็มันอร่อยนี่หว่า



     " งั้นพี่ขอชิมบ้างนะ " ว่าแล้วพี่โค้กก็เริ่มตักเนื้อครีมเข้าปาก " โอเค เนื้อครีมนุ่ม หอม อร่อยเหมือนสูตรเป๊ะ ๆ กลุ่มเราผ่าน " เย้ !! ในที่สุดการเข้าครัวในวันนี้ก็เสร็จไปอย่างสมบูรณ์



     " ขอบคุณคร้าบ " พวกเรายกมือขึ้นพนมก่อนจะก้มลงกราบในความกรุณา พลางยกจานกลับไปยังถิ่นฐานที่จากมา ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทำความสะอาดสเตชั่นอย่างเดียวสินะ พี่โค้กตะโกนตามมาแว่ว ๆ ว่าเจ้าชูครีมประมาณยี่สิบลูกของกลุ่มเราสามารถนำกลับไปกินที่บ้านต่อได้โดยการแพ็คให้เรียบร้อย ไม่ต้องบอกผมก็ทำแน่ครับพี่ หึหึ



     พอเสร็จสิ้นจากการปฏิบัติการอาหารครั้งสุดท้ายของค่าย เราทั้งสามก็จัดการย้ายตัวเองมายังห้องสาธิตเพื่อรับประทานของว่างรอกลุ่มอื่น ๆ แม้ผมจะวิ่งเอาชูครีมเข้าเส้นชัยไปให้พี่โค้กชิมเป็นกลุ่มแรก แต่ไม่นานนักก็มีอีกหลาย ๆ คนเดินกลับมายังห้องสาธิตด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มอันแสดงถึงความสุขและเสร็จสิ้นไม่ต่างอะไรจากกลุ่มเรา แต่ที่ผมกล่าวมานั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแบบนี้กันทั้งหมด



     ใช่แล้ว สีหน้าของเฟิร์สที่เดินมาตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเลย..



     " น้ำอุ่น กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย " เฟิร์สเดินตรงปรี่จากหน้าห้องเพื่อเข้ามาเชิญชวนน้ำอุ่นที่รับประทานของเบรกอยู่ เด็กนี่ทำท่าทางยียวนกวนประสาทก่อนจะตอบกลับ



     " แล้วทำไมผมต้องไปคุยกับพี่ด้วยล่ะ สำคัญขนาดไหน ? " น้ำอุ่นพูดแบบนี้ก็หมายความว่ามันกลับมาเป็นเด็กปากดีคนเดิมแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ผมคิดว่าเฟิร์สคงรู้สึกได้เหมือนผม ว่ามันไม่ได้เป็นน้ำอุ่นในแบบที่เคยเป็นอย่างเมื่อเช้านี้แล้ว



     " กูไปที่รอล็อกเกอร์แล้วกันนะ " สิ้นคำนั้นเฟิร์สก็มองมายังผมด้วยสายตานิ่งเฉยก่อนจะเดินจากไป ผมสัมผัสผ่านดวงตาคู่นั้นไม่ได้เลยว่าเฟิร์สกำลังคิดอะไรอยู่ น้ำอุ่นปล่อยลมผ่านปลายจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามหลังเจ้าเฟิร์สต้อย ๆ ทิ้งให้ผมนั่งมองแผ่นหลังที่ออกไปจากห้องของสองคนนั้น



     ยังไงก็ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทีละกัน..



####



     หลังจากที่ผ่านพ้นคาบเรียนสุดท้ายของค่ายเชฟ พี่ ๆ เขาก็นัดแนะให้จัดข้าวของส่วนตัวที่ห้องพักให้เรียบร้อยและมาเจอกันที่เดิมก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อกลับมาถึงโรงแรมคือง้างปากไอเฟิร์สว่ามันไปคุยอะไรกับน้ำอุ่นมา คำตอบที่ได้คืออะไรรู้มั้ยครับ ? คือการแลบลิ้นใส่หน้าผมอย่างกวนส้นตีน สัด ! วันนี้กูงอนมึงไปรอบนึงยังไม่ได้มาง้อเลยนะ นี่มึงต้องการข้อหาอีกหนึ่งกระทงใช่มั้ย !? ด้ายยยยย ! พอผมประกาศลั่นว่าจะงอนอย่างจริงจังแล้วนะ ทางนั้นก็ยังคงหัวเราะหึหึกลับมาอย่างไม่สนใจ จะเอาอย่างงี้กับกูใช่มั้ยเฟิร์ส ! วันนี้กูกลับบ้านคนเดียวก็ได้ ชิ ! เป็นซะอย่างนั้นผมก็เลยสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องพักมาเพียงลำพัง



     จวบจนมาถึงสถานที่ที่พี่เขานัดเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย ชาวค่ายบางคนมาถึงแล้วก็นั่งเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบรอคนอื่น ๆ ที่ยังง่วนกับการเก็บของอยู่ที่ห้องพัก ผมใช้เวลาที่เหลือนั้นพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกับเพื่อนคนอื่น ๆ อย่างเป็นมิตรเพื่อฆ่าเวลาจนชาวค่ายเริ่มหนาตา ด้วยเหตุนี้เอง พี่ค่ายเลยเดินมาล้อมวงพวกเราเพื่อจะแสดงความรักที่มีแก่ชาวค่ายเป็นครั้งสุดท้ายโดยการกล่าวขอบคุณ รวมไปถึงเพลงบูม ที่เปล่งออกมาดังกึกก้องจนผมขนลุกไปทั้งตัว รุ่นพี่และรุ่นน้องต่างยกมือขึ้นพนมไหว้ในความกรุณาที่มีแก่กันด้วยความรู้สึกขอบคุณยิ่ง บ้างเห็นคราบน้ำตา บ้างเห็นรอยยิ้ม ชั่งเป็นภาพที่ดีและน่าจดจำอะไรอย่างนี้



     " ไงมิ้ลค์ " ผมหันไปทางต้นเสียงหลังจากที่พี่ค่ายเขาอนุญาตให้ทุกคนกลับบ้านได้แล้ว เป็นพี่โค้กครับที่เดินมาทักทาย



     " พี่โค้ก สองวันนี้มิ้ลค์ขอบคุณพี่มาก ๆ นะครับสำหรับบทเรียน ถ้าผมทำให้พี่ไม่พอใจยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ " ได้ยินดังนั้นพี่เขาก็ยกมือขึ้นมาปัดเป็นพัลวัน



     " เฮ้ย ๆ พี่ไม่ได้มาติเราสักหน่อย มิ้ลค์อะโคตรสุดยอดเลยรู้เปล่า ถ้าไงมิ้ลค์สนใจสาขานี้ตอนเรียนจบก็มาต่อที่นี่ได้นะ พี่รอเรามาเป็นรุ่นน้องอยู่ " ได้ยินดังนั้นผมก็ปลาบปลื้มจริง ๆ เลยที่มีคนเห็นความสามารถของตัวเองได้มากมายขนาดนี้



     " ครับ ผมต่อที่นี่แน่ พี่รอผมได้เลย "



     " ฮ่า ๆ แล้วพี่จะรอนะ เดี๋ยวไงพี่ลาเราตรงนี้แหละ ขอบใจมากสำหรับค่ายนี้ " พี่โค้กตบบ่าผมปุ ๆ เป็นเชิงขอบคุณจากใจจริง ก่อนที่ผมจะยกมือไหว้เขาด้วยความเคารพ อีกหนึ่งปีครึ่งเจอกันแน่ครับพี่โค้ก :)



     " มิ้ลค์ " คราวนี้คนที่ต่อคิวเรียกชื่อผมไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นบุคคลที่วันนี้ผมงอนมันไปแล้วทั้งหมดสองรอบด้วยกัน ชิ



     " ไร " ผมตอบกลับไอเฟิร์สไปแบบห้วน ๆ หึ ก็งอนอยู่นี่หว่า จะให้ไปพูดดีด้วยได้ไงล่ะครับท่านผู้อ่าน



     " มานี่เร็ว เดี๋ยวไม่ทัน ! "



     " กูไม่.. " เหวออออออ ผมกำลังจะบอกว่า " กูไม่ไป " แต่ไอห่านี่ดันลากแขนซะแรง ไม่ปล่อยให้ผมได้พูดคำใดออกมา แล้วมึงจะพากูไปหนายยยย ปล่อยดูเดี๋ยวนี้ นี่กูงอนมึงอยู่นะ !!



     เฟิร์สพาผมมายังสถานที่แปลกตาภายในตัวมหาวิทยาลัยโดยที่มือมันยังไม่ปล่อยจากข้อแขน ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้ต้นสูงและม้านั่งสำหรับนักศึกษา ดูร่มรื่นเหมาะแก่การเขียนหนังสือและพักผ่อน แต่ตอนนี้มันใช่เรื่องมาชื่นชมมหาวิทยาลัยเขาซะที่ไหน



     " ปล่อยกูสักทีเส้ !! " เห๊อะ ต้องให้กูใช้แรงสะบัดใช่มั้ยมึงถึงยอมปล่อยแขนกูเนี่ย หึ้ยยยยยย



     " มิ้ลค์ เอานะ " เอานะ ? มึงกำลังจะทำอะไร ? ทำไมต้องพูดเหมือนให้กูเตรียมใจ ? ผมเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อเฟิร์สย่างก้าวเข้ามาประกบจูบกับผมแบบเต็มปาก ผมไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรหรอกเพราะริมฝีปากนี้ล้วนคุ้นชินกับตัวเองมาเป็นไหน ๆ ความรู้สึกงอนหรือคำถามใด ๆ ในหัวว่าเฟิร์สคิดจะทำอะไรก็จางหายไปตามแรงเกี่ยวกระหวัดของลิ้นร้อนนั่นจนหมด อย่าจูบกูแรงนักสิ..



     " พี่เฟิร์สเรียกน้ำอุ่นมามีอะไรอี.. " เสียงบ่นอันคุ้นเคยของน้องม.4 ดังมาจากไกล ๆ ก่อนจะมาหยุดลงใกล้ ๆ ทำให้ผมแทบจะผลักตัวออกจากเฟิร์ส แต่คงทำได้แล้วล่ะ ถ้าคนที่จูบอยู่ไม่รั้งโครงหน้าเอาไว้



     " พี่เฟิร์ส...พี่มิ้ลค์... " ถ้าให้ผมเดาสีหน้าของน้ำอุ่นที่มาเจอผมและเฟิร์สกำลังพลอดรักกันอยู่ตอนนี้ คงจะช็อกสนิทก็ไม่ผิดจากความจริงเท่าไหร่นัก



     " ......... " เสียงพูดของน้ำอุ่นที่หายไป เปลี่ยนเป็นสายลมที่พัดมากระทบผิวหน้า เฟิร์สผละตัวออกก่อนที่ผมจะรีบแลซ้ายแลขวาว่าคนที่เดินมาตากี้มันหายไปไหนแล้ว



     " ขอโทษทีว่ะที่ต้องใช้วิธีนี้ " ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าการที่เฟิร์สจูบแล้วน้ำอุ่นเดินมาเห็นเข้ามันเกี่ยวกันอย่างไร



     " ยังไง ? " เฟิร์สคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบศีรษะผมอย่างที่มันชอบทำ



     " กูแค่อยากให้ไอเด็กนั่นมันรู้ว่ามึงมีเจ้าของแล้วก็เท่านั้นแหละ " ถึงตรงนี้ผมรีบอ้าปากถามโดยพลัน



     " ก็เลยจูบโชว์มันอะนะ ? "



     " อืม "



     เหอะ



- Not to be unlocked -
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.42 แนบสารบัญแล้วจ้า (8/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 09-03-2018 18:10:27
Not to be unlocked : Episode 43 : รักของเรา [END]


     ในที่สุดชีวิตอันแสนธรรมของเด็กนักเรียนชั้นม.5 อย่างผมก็เดินทางมาถึงจุดจบแบบแฮปปี้ซะที...มั้ง


     ฮ่า ๆ จริง ๆ มันก็ดีเกือบหมดนั่นแหละครับ แต่บางอย่างก็ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมันสักท่าไหร่ เฮ้อ...~ จะให้ผมพูดจริง ๆ เหรอครับ ? ถ้าให้เอาเรื่องที่แม่งเลวทรามและเกิดขึ้นในเทอมสองของม.5 นี้ก็คงหนีไม่พ้นสอบไฟนอลนั่นแหละ โห !!! ผมจะพูดว่ามรสุมไฟนอลไม่ได้แล้วล่ะเพราะแม่งน่าจะเป็นภัยพิบัติไฟนอลซะมากกว่า ก็ท่านผู้อ่านดูแต่ละวิชาที่คณะอาจารย์ทุกท่านออกข้อสอบมาให้ผมทำสิ โอ๊ยยยจะเป็นลม มีการใจดีบอกให้เอาหนังสือเข้าไปในห้องสอบได้ด้วยนะครับ แต่ที่อาจารย์ออกแต่ละข้อน่ะ ในหนังสือมันมีที่ไหนกัน !!!!

     เจ้าน้ำอุ่นเหรอครับ อืมมมมม ผมว่าในเทอมนี้มีอะไรเปลี่ยนไปก็คงจะเป็นเจ้านี่ด้วยนั่นแหละ นับตั้งแต่เด็กนั่นกลับมาจากอเมริกาและค่ายเชฟมันก็เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน ไม่ว่าผมจะเจอน้ำอุ่นที่ไหนและเดินเข้าไปทักทาย เด็กม.4 คนนี้ก็จะทำเหมือนไม่อยากเข้าใกล้เสมือนผมเป็นขี้ในสายตายังไงอย่างงั้น (สงสัยคงช็อกหนักมาก) ตรงส่วนนี้ผมไม่ได้เข้าไปคุยเพื่อปรับความเข้าใจเหมือนคนอื่นที่เคยมีปัญหาด้วยหรอก เพราะว่าเมื่อไม่มีน้ำอุ่นเข้ามาพัวพันกับตัวเองแล้ว ก็ทำให้ไม่ต้องมานั่งรู้สึกกังวลใจว่าเฟิร์สจะคิดอะไรไปอีกมากมายหรือเปล่า ถึงแฟนผมจะกำราบซะอยู่หมัดแล้วก็เถอะ

     ส่วนคนอื่น ๆ รอบข้างผมก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากครับ ตั้งแต่ปรับความเข้าใจกับซัน ความสัมพันธ์พักหลังของผมและเพื่อนคนนี้ที่เกือบจะแตกหัก ก็พุ่งทำลายสถิติในความสนิทแซงหน้าใครต่อใครหลาย ๆ คนไป (เพราะแม่งหนีไปมีเมียกันหมด) ซันกับปอนด์ช่วงนี้ดูจะสนิทกันมากกก เห็นว่าแอบไปเที่ยวสวนสนุกกันสองคนด้วย ! (แม่งไปไม่ชวนเลย ฮึ !) ส่วนเพื่อนยุคดึกดำบรรพ์อย่างปอนด์นั้นก็ไม่ได้มีทีท่าผิดสังเกตจนผมแปลกใจสักเท่าไหร่แล้ว หลายครั้งที่ผมมีโอกาสได้เข้าไปทักทายหรือถามไถ่งานต่าง ๆ ที่ต้องส่งแก่อาจารย์ ปอนด์ก็จะฉีกยิ้มรับจนผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ผมไม่ต้องตั้งคำถามใด ๆ อีกเลยล่ะ เพราะเพียงแค่รอยยิ้มนั้นก็สามารถทำให้รับรู้ได้แล้วว่าปอนด์เข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของผม เฮ้อ...หมดห่วงแล้วสินะ

     แต่ให้ผมพูดว่าหมดห่วงทุกเรื่องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงจะผิดบ้างบางส่วน เพราะคู่รักไร้สถานะของอาร์มและมินยังคงทำให้ผมคิดเล็กคิดน้อยอยู่ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็เจ้ามินเนี่ยมันยังปากแข็งไม่เลิกน่ะสิ ! แข็งขนาดว่าผมง้างซะแหกแล้วนะว่าคิดอะไรกับอาร์ม น้องตัวเองก็มุ่งมานะพูดแต่ว่า " ก็ไม่ได้คิดหนิครับ " เหอะ ด้วยความเป็นห่วงผสมเสือกเล็กน้อย ผมก็เลยทักไลน์ไปถามไออาร์มอาทิตย์ละสามหนเพื่อหาข้อเท็จจริง แล้วคำตอบที่ได้ก็ยังคงมาในรูปแบบเดิม..

     " มันยังไม่บอกกูสักทีเลยว่ะเพื่อนว่าคิดอะไร "

     ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาการกระทำของทั้งคู่แม่งเรียกว่าแฟนแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็อาร์มก็ได้คำตอบแบบนี้กลับมา ผมล่ะโคตรสงสารเพื่อนตัวเองเลยยยยย

     ตอนนี้สองข้างทางของผมนั้นเต็มไปด้วยหุบเขาอันสูงชัน หึหึ แบบว่าปิดเทอมแล้วอะครับ ก็อยากจะมาพักผ่อนหลังจากที่เรียนและทำงานพิเศษจนเหนื่อยบ้าง ไม่ได้จะไปไหนไกลหรอกครับ ที่ทำงานของป๊าและม๊าผมนั่นแหละ มาครั้งนี้ไม่ได้มากันแค่สี่คนพ่อแม่ลูกหรอกนะ ยังมีผมและเฟิร์สที่นั่งอยู่เบาะกลาง และอาร์มมินอยู่เบาะหลัง (นั่ง Honda Mobilio ครับ ป๊าพึ่งถอยมาเอ๊ง) ส่วนคนขับกับตุ๊กตาหน้ารถก็ไม่ใช่ใครอื่น

     " ไปถึงโน่นน้องเฟิร์สกับน้องอาร์มจะไปหาอะไรทานกันก่อนมั้ยล่ะจ๊ะ ? เดี๋ยวม๊ากับป๊าเลี้ยงเอง " เหอะ เดี๋ยวนี้ม๊าเอาใจไอสองคนนี้หนักเกินไปแล้วนะ นี่มิ้ลค์กับมินลูกในไส้แท้ ๆ ลืมไปกันหมดแล้วเหรอ ?

     " ไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลยม๊า โต ๆ แล้วหัดหากินกันเองบ้าง " ผมพูดพลางเหล่ไปดูคนที่นั่งกุมมือตัวเองอยู่ ยิ้มเลว ๆ แบบนี้มันหมายความว่าไงห้ะไอเฟิร์ส ? จะแดกกูเป็นข้าวกลางวันรึไง

     " แหม ต้องดูแลกันสักหน่อยสิ ได้ลูกเขยมาตั้งสองคน หุหุ " มิ้ลค์ยอมรับนะว่าเฟิร์สจะมาเป็นลูกเขย แต่คู่ที่นั่งกินขนมจู๋จี๋เบาะหลังน่ะจะได้แพ็คกระเป๋าเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้รึเปล่าเถอะ

     " นี่ ชั้นถามแกทั้งสองคนนะเจ้ามิ้ลค์เจ้ามิน แกคิดจะคบกับผู้ชายจริง ๆ เหรอ ? ไม่ให้ชั้นได้อุ้มลูกอุ้มหลานบ้างเลยรึไงกัน " ยังไม่ทันผมจะแย้งอะไร ม๊าก็ยื่นมือไปตีแขนป๊าดังแป๊ะ

     " นี่คุณ ลูกจะรักใครชอบใครเราไม่เคยห้ามไม่ใช่เหรอ ? เราก็เคยคุยกันแล้วนี่เรื่องนี้ " ใช่ครับ บุพการีทั้งสองท่านคุยเรื่องนี้วกไปวนมาประมาณสองแสนรอบเห็นจะได้ เหอ ๆ

     " ก็รู้...แต่ผมก็อยากอุ้มหลานบ้าง ถ้ารักกันแบบมิ้ลค์คู่เดียวก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่ดันมารักคู่ไอเจ้ามินด้วยน่ะสิ โอ๊ยยยย ผมใจจะขาดแล้วนะคุณ ! " ฮ่า ๆ ถ้ามิ้ลค์เป็นผู้ชายที่ท้องได้สัญญาเลยจะเอาหลานมาฝากแน่ แต่ตอนนี้ให้ได้แค่ลูกชายที่แสนดีไปก่อนเนอะ

     " ว่าแต่เซอร์ไพรส์ที่ม๊าว่านี่อะไรเหรอครับ ? เห็นบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วเนี่ย " เข้าเกริ่นบอกจะพูดอะไรสักอย่างก่อนจะมาหัวหินแล้วน่ะครับ ทั้งสองคนหน้ารถหันมามองกันแว็บนึงพลางยิ้มออกมา เขาจะเอาผมไปคืนสู่ป่าละเมาะปะวะ ?

     " ถึงโน่นก่อนไม่ได้เหรอ ? " ผมส่ายหน้าไปมาทันที ต่อรองมิ้ลค์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะม๊า

     " ก็ได้ ๆ อืมมมม ม๊าแค่...ประมูลโรงแรมของอาประวิทย์ได้แล้วแค่นั้นแหละ " อ๋อ ก็แค่ประมูลโรงแรมห้าดาวที่อยู่ติดชายหาดแถมพร้อมลงไปเล่นทะเลได้ทุกเมื่อก็เท่านั้นเอง..

     เดี๋ยว !!!!!!!

     " ม่ะ...ม๊า พูดจริงเหรอ !!!!? " เรื่องจริงเหรอวะเนี่ย...เชี่ยยยยยยย !!!!!!

     " โกหกมั้ง ชื่อเจ้าของคนต่อไปก็กนต์ธน ไชยวัฒน์ ชื่อใครล่ะ ? " โอ้โห นั่นมันชื่อป๊าซะด้วย !! ปกติทั้งคู่เขาได้เป็นแค่หุ้นส่วนโรงแรมนี้เองนะครับ นี่อาจหาญไปเป็นเจ้าของโรงแรมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ !?

     " ไปประมูลมาเท่าไหร่ !? " ม๊าผมยิ้มผ่านกระจกแบบเหนือ ๆ กูว่าต้องไปประมูลมาไม่ต่ำกว่า..

     " เก้าหลัก " นั่นไงล่ะ !!!!!! ผมอ้าปากค้างในจำนวนเงินที่รับรู้ แต่ดูเหมือนว่าคงจะมีแค่ผมมั้งที่ตะลึงเพราะคนข้าง ๆ ยังตีหน้ามึนอยู่

     " งั้นชาตินี้มิ้ลค์ก็เกาะป๊ากินได้แล้วอะดิ เย้ ! "

     " เฮ้ย ๆ ใครเอาหลานมาให้ชั้นอุ้มได้ถึงค่อยมาเซ็นชื่อเจ้าของคนต่อไปโว้ย ฮ่า ๆ " ป๊าผมพูดขณะเลี้ยวหักศอกโค้งด้านหน้า

     " งั้นก็ปล่อยโรงแรมให้ร้างไปเลยเพราะมินจะเกาะพี่อาร์มกิน " โอ้โหไอน้องรัก เจตจำนงแห่งโคโนฮะของเอ็งชั่งแน่วแน่ยิ่งนัก กูล่ะยอมใจเลยจริง ๆ ว่าแต่ทำไมไออาร์มตั้งแต่ขึ้นรถมายังไม่เห็นแม่งพูดอะไรเลยสักแอะเดียว ?

     " งั้นมิ้ลค์ก็เกาะเฟิร์สกินนี่แหละ ตามนั้นนะป๊า ฮ่า ๆ " คนที่นั่งข้าง ๆ คนขับขำออกมาคิก ๆ อย่างถูกใจ

     " ไอพวกลูกบ้า !!!! " ฮ่า ๆ ทำไงได้ล่ะก็ท้องให้ไม่ได้สักหน่อย

     ก่อนจะไปฐานที่ตั้งอำเภอหัวหินป๊า ป๊าผมก็พาพวกเราแวะมารับประทานอาหารเช้าแถวไหนไม่รู้ไม่คุ้นสักนิด เพราะตั้งแต่ออกรถมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องใครสักคน พอหนังท้องตึงเข้าหน่อยป๊าผมก็มุ่งหน้าเต็มสปีดมาถึงจุดหมายภายในไม่กี่นาที โรงแรมแห่งนี้ผมมาเที่ยวในทุก ๆ ปีครับ จะมากี่ครั้ง ๆ ก็ชวนให้นึกถึงอดีตอันน่าจดจำอยู่เสมอ แต่เดี๋ยวผมพาเดินออกไปดูแถว ๆ ชายหาดนะครับ ขอยกสัมภาระต่าง ๆ ตามป๊าเข้าไปข้างในก่อน ฮ่า ๆ

     " อาประวิทย์สวัสดีครับ " หลังจากที่ได้แบกกระเป๋าใบเป้งจากรถเข้ามาภายในตัวโรงแรม ผมกับมินก็ทำการยกมือไหว้เจ้าของโรงแรม (คนเก่า) อย่างฉับไว บุคคลที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามอย่างเฟิร์สและอาร์มก็แสดงความเคารพด้วย

     " โอ้หวัดดี ๆ แหมมิ้ลค์ ไม่ได้เจอกันเกือบปีหล่อขึ้นเยอะเลยนะเรา " อย่างที่บอกน่ะครับว่าอาประวิทย์เขาเป็นเจ้าของที่นี่มานานมาก แต่เดิมเขาเป็นเพื่อนกับป๊าผมสมัยยังเรียน อยู่ดี ๆ ทั้งคู่นึกสนุกครับก็เลยคุยกันว่าจะเปิดโรงแรม ส่วนม๊าผมมีความรู้เรื่องการบริการอยู่แล้วป๊าเลยไหว้วานขอแรงให้มาช่วย สรุปงานของทั้งคู่ก็เลยมาลงเอยที่นี่นั่นเอง อาเขารับไหว้ก่อนจะเดินมาแตะบ่าผมอย่างเอ็นดูและหันไปคุยกับป๊า " จะเอาวีไอพีสองห้องใช่มั้ย ? "

     " สามห้องสิ อะไรวะ ? สองห้องเก็บไว้ให้ลูกชั้นนอน นี่เจ้าของใหม่นะโว้ย อยากนอนวีไอพีบ้าง นอนแต่ห้องรูหนู คันไปหมดแล้วว่ะ ฮ่า ๆ " ถ้าผมจำไม่ผิด เวลาป๊ามาทำงานที่นี่เขาจะมีห้องประจำไว้นอนกะม๊านี่หว่า ถ้ารีเควสว่าสามห้องแบบนี้แสดงว่าเปลี่ยนเจ้าของแล้วจริง ๆ

     " แหม ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ อะ ๆ ไปเช็กอินก่อน " ป๊า ม๊า และอาประวิทย์เดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ พลางบอกให้พวกเราไปนั่งรออยู่ในล็อบบี้เสียก่อน พอโน้มตัวนั่งโซฟาได้เข้าหน่อยเจ้าน้องชายตัวดีมันก็ออดอ้อนไออาร์มอวดจนน่าหมั่นไส้

     " นี่พี่อาร์ม เลิกแข็งเป็นหินได้รึยังเนี่ย ? มินก็บอกแล้วว่าป๊ากับม๊าเขาไม่กัดหรอก " มินพูดขณะจิ้มท้องคนข้าง ๆ เล่นเหมือนมันเป็นขี้ในอาราเล่ เดี๋ยวนะ...นี่เอ็งกำลังจะบอกว่าป๊ากับม๊าเป็นหมาเหรอ ? แต่ไออาร์มมันนิ่งแบบนี้ตั้งแต่อยู่บนรถแล้วจริง ๆ นะครับ

     " พี่...วางตัวต่อหน้าพ่อกับแม่เราไม่ถูกว่ะ " ผมเลิกคิ้วมองคู่พี่น้องที่ตกเป็นเป้าสายก่อนจะหันมามองเฟิร์สข้าง ๆ ทำหน้าเหนือแบบนี้มึงกำลังหมายความว่าอยู่กับป๊าและม๊ากูจนจะกลายเป็นเพื่อนแล้วใช่มั้ยไอเฟิร์ส ?

     " เฮ้อ " มินถอนหายใจออกมาพรูพลางยื่นถุงขนมที่แวะซื้อมาจากเซเว่นให้ " อะ เอานี่ไป "

     " เอ่อ...คือจะให้พี่ป้อนใช่มั้ยครับ ? " เด็กตัวขาวพยักหน้าให้กับภาษาดอกไม้ที่อาร์มพูดจนเฟิร์สต้องหันมามองตาละห้อย จะอ้อนกูมั้งล่ะสิ

     " ที่รัก เค้าอยากกินบ้างอะ ป้อนเค้าบ้างจิ " นั่นไงล่ะ ทำไมให้เลขเด็ดชาวบ้านชาวช่องไปไม่เห็นถูกงี้บ้างวะ

     " มีมือก็หยิบแดกเองสิ ฮ่า ๆ โอ๊ยย !! " ฮือออออออ ท่านผู้อ่าน มันโบกหัวผม !!!!

     " ฮ่า ๆ ไอควายย กวนตีนผัวมึงแบบนี้ก็สมควรโดน " สาดดดดดดดดดด กูจะตบมึงบ้างไออาร์ม ! ไอเฟิร์สอย่าห้ามกู !!

     ในตอนที่เฟิร์สฉุดกระชากลากหางไม่ปล่อยให้ผมได้ขย้ำไออาร์มอยู่นั้นเอง ป๊าและม๊าที่หายไปตั้งแต่เมื่อครู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับกุญแจห้องถึงสองพวง

     " วีไอพีจองให้พวกแกได้แค่สองห้องเองน่ะ ต้องเก็บไว้ให้ลูกค้า เดี๋ยวชั้นกับม๊าแกคงไปนอนที่เก่านั่นแหละนะ " เวรของกรรม ผมมาทั้งทีได้นอนที่สบายกว่าป๊าและม๊าแล้วรู้สึกผิดเลยว่ะ

     " แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ไม่เป็นอะไรเหรอครับ ? " เฟิร์สถามกลับไปด้วยความเกรงใจ แต่สองคนนั้นกลับยักไหล่สบาย ๆ

     " ไม่เป็นไรหรอกจ่ะหนูเฟิร์ส ม๊ากับป๊าจะได้ไม่ต้องขนของไปขนของมา พวกเรามาเที่ยวกันก็นอนให้สบายเถอะนะ " นักท่องเที่ยวทั้งสี่หันกลับมามองหน้ากันอย่างลำบากใจ แต่ก็ยินยอมพยักหน้ารับคำสั่งนั้นมาแต่โดยดี

     " งั้นก็ขึ้นไปเก็บของก่อน พักผ่อนกันให้เรียบร้อย เย็น ๆ ค่อยลงมาเล่นน้ำ เล่นตอนนี้เดี๋ยวเป็นมะเร็งผิวหนังกันหมด ม๊าไม่รับผิดชอบนะ " พวกเราทั้งหมดพยักหน้ารับซ้ำกันอีกครั้ง

     " ครับ "

     " แยกย้ายเลยนะจ๊ะ ม๊ากับป๊าไปทำงานต่อละ มีอะไรฉุกเฉินมิ้ลค์กับมินโทรเข้าเบอร์ม๊าเลยนะ "

     ลำบากใจเหมือนกันแฮะ..

     หลังจากผัวเมียคู่ผมโบกมือลาคู่น้องเขยให้แยกย้ายเข้าห้องไปทำธุระส่วนตัว ทางนี้ก็จัดการนำสัมภาระจากกระเป๋าเข้าตู้เสื้อผ้าให้เรียบร้อยพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง อืมมมมมมม สมคำร่ำลือที่เขาเรียกว่าห้องวีไอพีจริง ๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่สิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน พอจัดข้าวของเสร็จเฟิร์สก็เดินไปหยิบรีโมทแอร์เพื่อกระจายความเย็นให้ทั่วห้องหนำซ้ำยังหยิบรีโมทผ้าม่านมากดปิด ตอนแรกก็งง ๆ แหละครับว่าจะฆ่าผมหมกห้องหรือเปล่าจนได้ยินมันพูดว่า " นอนก่อนแล้วกัน เย็น ๆ ค่อยลงไปเล่นน้ำ " ผมก็เลยรับคำสั่งของเฟิร์สมาอย่างว่าง่าย พลางทิ้งตัวเองลงไปบนเตียงนุ่ม ๆ ที่มีเอฟเฟคดีดให้ลอยขึ้นดึ๋งดั๋ง เฟิร์สมันก็เชื่อฟังม๊าผมดีเหมือนกันนี่หว่า จริง ๆ ผมว่าจะแอบลงไปเล่นน้ำที่สระพลาง ๆ ก่อนนั่นแหละครับแล้วค่อยจัดน้ำทะเลให้สมใจ แต่ในเมื่อคุณผัวเขาต้องการอย่างนี้ก็คงขัดข้องอะไรไม่ได้

     จวบจนเวลาผ่านไปถึงสี่โมงเย็นครับเฟิร์สถึงได้ปลุกผมให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมงัวเงียลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่ตู้ก่อนจะควานหากางเกงว่ายน้ำ แต่ไอเฟิร์สดันกวักมือเรียกให้เดินไปหาเสียก่อน พลางโยนเสื้อลายดอกสีส้มและกางเกงว่ายน้ำขายาวถึงหัวเข่า และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมขัดคำสั่งผู้พันท่านนี้ไม่ได้ เพราะขืนอยากจะใส่สั้น ๆ ตามใจนึก มีหวังตัวผมได้สั่นไปถึงเช้าแหง ๆ

     พอเสร็จสิ้นจากการแต่งตัวให้เข้ากับสถานที่เฟิร์สก็เดินพาผมลงมายังชายหาด ผมสูดอากาศจากลมทะเลเข้าปอดไปเฮือกใหญ่เพื่อรับความสดชื่น อ่าาาาห์ ช่วงบ่ายสี่โมงแบบนี้แหละครับเหมาะแก่การเล่นน้ำที่สู๊ดดดดดด หึหึ แต่ผมยืนมองเส้นขนานท้องฟ้าและน้ำทะเลอยู่ได้ไม่นาน เฟิร์สก็จูงมือไปสมทบกับอาร์มและมินที่เล่นบอลยางอยู่ แหม สองคนนี้ลงมาเล่นก่อนไม่มีการชวนเลยนะ ชิ

     " พี่อาร์ม มินอยากขี่หลังเหมือนพี่มิ้ลค์บ้าง " ในตอนที่ผมเปลี่ยนกิจกรรมจากลิงชิงบอลมาเป็นขี่หลังเฟิร์ส เจ้าน้องชายขี้อ้อนที่ลอยตัวอยู่เหนือน้ำก็ร้องขอสิ่งที่อยากได้บ้าง

     " มาสิ " อาร์มไม่ได้ติดขัดอะไรพลางย่อเข่าตัวเองให้มินได้กระโดดขึ้นไป

     " เย้ พี่อาร์มตามใจมินแล้วน่ารักที่สุด " พอมินได้ขี่หลังอาร์มเข้าหน่อยก็ยิ้มแป้นเหมือนได้อยู่บนหลังช้างจริง ๆ มึงจับดี ๆ นะเดี๋ยวน้องกูตกลงไปโดนฉลามแดก

     " น้องมึงนี่ติ๊งต๊องเนอะ " ไอเฟิร์สมันหันมาพูดเบา ๆ ข้างหูที่ผมใช้ไหล่มันเกยคาง อ่าวเฮ้ย ! นี่มึงด่าน้องกูเหรอ !?

     " ติ๊งต๊องเหมือนมึงแหละฟาย " เหวออ ไอเฟิร์ส ! แค่ก ๆ ไอเชี่ยยยยยยยยย มึงจะปล่อยกูตกน้ำอย่างนี้ไม่ได้นะ !! ฮืออออ แค่ก ๆ ทำไมพักนี้ผมโดนมันทำร้ายร่างกายตลอดเลย !

     " ฮ่า ๆ พี่อาร์มอย่าทำแบบนี้กับมินนะ มินโกรธ ๆ จริงด้วย " ผมสำลักน้ำพลางมองหน้าคู่กรณีอย่างขุ่นเคือง ๆ แม่ง กวนตีนทีไรผมโดนงี้ตลอดเลย มึงไม่ต้องมาแตะไอเฟิร์ส !!

     " พี่ไม่ทำเรางี้หรอก ผัวเมียคู่นั้นเขาชอบใช้ความรุนแรง ตบแล้วจูบ ตบแล้วจูบ ฮ่า ๆ " เออ คู่กูอะชอบใช้ความรุนแรงแล้วมีปัญหาอะไรมิทราบห้ะไออาร์ม ?

     " พี่อาร์ม พามินขี่ไปตรงโน้นหน่อย มินอยากก่อปราสาททราย " ลูกลิงบนหลังช้างชี้ไปยังชายฝั่งซึ่งเป็นในตอนที่เฟิร์สกำลังลอดแขนผ่านขาและลำคอผม นี่มึงกำลังจะทำอะไรน่ะ !? กูเดินไปเองได้ ไม่ต้องอุ้มเหมือนพระเอกในหนังเลยนะไอสัด !!

     " ไปกันเล้ยยยไอลูกหมา " สิ้นคำนั้นอาร์มที่มีมินเกาะหลังก็เดินแหวกน้ำไปขึ้นฝั่งอย่างช้า ๆ เช่นเดียวกับเฟิร์สที่ก้มหน้ามามองผมขณะก้าว สุดท้ายแม่งก็อุ้มผมจริง ๆ เฮ้อ..

     " ขอโทษนะครับที่รัก เจ็บมั้ย ? " หึ ปากผมไวกว่าความคิด

     " ไม่เจ็บ แต่สำลัก มันน่าให้อภัยมั้ย ? "

     " โอ๋ เค้าแค่หยอกตัวเองเล่นเหมือนที่ตัวเองหยอกเค้าไง สองมาตรฐานนี่หว่า " เอ้าท่านผู้อ่าน สิทธิ์คนเป็นเมียมันต้องเยอะกว่าผัวถูกปะ ฮ่า ๆ แล้วผัวก็ต้องกลัวเมียด้วย

     " ไม่ ยังไงกูก็ไม่ให้อภัย " ไม่ว่าแม่งจะพูดคำไหนผมก็ไม่มีทางให้อภัยมันแน่ เพราะการเล่นตัวของผมนั้นชั่งยิ่งใหญ่นัก หึหึ

     " ต้องให้กูตบจูบจริง ๆ ใช่มั้ยห้ะ ? ได้ ! คืนนี้จะจัดให้หนัก ๆ เลย "

     " ไม่ต้องมายุ่ง !!! " ขอเล่นตัวไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ก่อนก็แล้วกัน..

     พอมาถึงฝั่งผมก็ขอตัวขึ้นไปนอนพักที่เก้าอี้นอนสักหน่อยเพราะรู้สึกมึน ๆ หัว ปล่อยให้สามคนนั้นได้ก่อปราสาททรายไปตามจินตนาการ แต่เพียงไม่นานนักสายตาของผมก็เห็นร่างโปร่งของเพื่อนสนิทเดินแยกออกจากสองคนนั้นเพื่อตรงปรี่มาหา อาร์มยิ้มให้ผมบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวนั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ

     " ไงมึง เดินมาอย่างงี้มีเรื่องจะคุยกับกูชัวร์ " จากลักษณะสีหน้าและท่าทางครุ่นคิดของเพื่อนคนนี้คงเป็นไปอย่างอื่นไม่ได้

     " ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกมึง กูแค่อยากจะบอกอะไรสักอย่าง " โอ้ ! จะเป็นอะไรกันนะที่ออกมาจากปากของมัน

     " จะบอกอะไรกูก็ขอแบบชื่นใจหน่อยนะ หึหึ " ลองเชิงไปงั้นแหละครับ ยังไงก็คิดว่าเป็นข่าวดีแน่นอน อาร์มผลุบหน้าลงต่ำก่อนจะช้อนตามอง

     " มินมันให้กูเป็นแฟนได้แล้วนะ " ป้าดดดดดดดดดดดดด ถึงตอนนี้ผมดีดตัวขึ้นมาอย่างไม่สนใจอาการมินศีรษะที่เป็นอยู่

     " เรื่องจริง !!!? "

     " เออ มินมันบอกกูเมื่อบ่ายนี้เอง กูดีใจชิบหายเลยว่ะมิ้ลค์ แต่.. " ผมเลิกคิ้วให้มันที่อยู่ดี ๆ ก็เว้นช่วงไป

     " แต่...มันไม่ให้มาบอกมึง " เอ้า ! ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ?

     " ทำไมวะ มันเขินกูเหรอ ? "

     " กูก็ไม่รู้เหตุผลของมินเหมือนกัน แต่การที่แอบมาบอกมึงเนี่ยกูคิดดีแล้วว่ามันสมควร กูไม่ได้มองมึงเป็นแค่เพื่อนที่กูรัก แต่กูมองมึงเหมือนเป็นคนที่ดูแลทั้งกูและมินอยู่ห่าง ๆ แถมกูเคยสัญญากับมึงแล้วไงว่าจะเอาข่าวดีเรื่องนี้มาบอก " แหมผู้ชายคนนี้ รักษาสัญญาดีจริง ๆ ว่ะ หึหึ

     " เออ กูดีใจด้วยนะเว้ยที่มันกล้าบอกมึงตรง ๆ หลังจากที่ปากแข็งมานาน ยังไงหลังจากนี้.. "

     " เออ กูดูแลน้องมึงได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดหลายรอบ " อาร์มพูดคำนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังแย่งบทสนทนาของผมไปทั้งหมด ผมไม่มีคำไหนพูดออกมาได้อีกแล้วนอกจากมินโชคดีมาก ๆ ที่ได้เจอคนแบบอาร์ม

     " ขอบคุณมึงมากนะเว้ย ขอบคุณมึงจริง ๆ " ผมเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนสนิทอย่างอาร์มเป็นเชิงขอบคุณยิ่ง ก่อนที่เราจะหันไปมองมินและเฟิร์สที่วิ่งเล่นอยู่บนหาดทราย

     ผมพูดอะไรไม่ออกแล้วจริง ๆ มันตื้นตันหัวใจดวงนี้ไปหมด

####
หัวข้อ: Re: Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.42 แนบสารบัญแล้วจ้า (8/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: LKPOW ที่ 09-03-2018 18:11:37
EP.43 ต่อ
     " ขอบคุณนะครับพี่โม " หลังจากที่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังอยู่สองสามที ผมก็เดินไปรับรถเข็นที่เต็มไปด้วยอาหารมื้อเย็นสำหรับดินเนอร์ใต้แสงเทียนมาไว้ในห้อง ซึ่งมันเป็นไปตามคำขอของไอคนที่นั่งรออยู่ตรงระเบียง

     " ทานข้าวเย็นกันที่ห้องเหรอเนี่ย ว่าแล้วเชียวคุณแม่ของน้องมิ้ลค์ถึงได้บ่น ๆ ว่าเมื่อเย็นไม่ลงไปทานอาหารด้วยกัน " พี่พนักงานโรงแรมท่านนี้ผมสนิทกับเขาในระดับนึงครับ ตอนเด็ก ๆ ชอบมาป่วนเขาให้ปวดหัวเล่นอยู่บ่อย ๆ ฮ่า ๆ

     " นิดหน่อยครับพี่โม พอดีหวานใจเขาต้องการน่ะครับ " พี่พนักงานในชุดโรงแรมเบิกตาขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ผมโฆษณาถึงแฟนซะดิบดี

     " ว้าาาาา น้องมิ้ลค์มีแฟนซะละ อย่างงี้พี่ก็ต้องต่อคิวแล้วล่ะสิเนี่ย " ฮ่า ๆ สงสัยไม่ต้องต่อคิวแล้วล่ะครับ เพราะไอห่านี่แม่งคงอยู่ยาวกว่าใครเพื่อนแน่ ๆ

     " ฮ่า ๆ ยังไงมิ้ลค์ขอตัวก่อนนะครับ แฟนผมคงหิวแล้วล่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ "

     " จ้า ทานเสร็จแล้วเข็นออกมาไว้หน้าห้องได้เลยนะ เดี๋ยวเช้าพี่เข็นกลับไปเอง ตอนนี้ก็เข็นไปที่ระเบียงดี ๆ ล่ะ ปิดไฟซะมืดเลย " ก็อย่างที่บอกน่ะครับมือนี้ผมทานข้าวใต้แสงเทียนกัน จะปิดไฟหมดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

     " คร้าบบบบบ " ผมตอบรับก่อนที่พี่เขาจะเป็นธุระปิดประตูให้ เอาล่ะไอตัวแสบ ! มึงจะมาง้ออะไรกูมิทราบก็ขอดูหน่อยเถอะ !

     ผมเข็นรถที่บรรจุอาหารไว้ไปยังระเบียงอย่างระมัดระวังตามคำตักเตือนของพี่โม แล้วจึงเปิดฝาครอบออกให้กลิ่นของสเต๊กชิ้นหนาทั้งสองจานได้พรั่งพรูความหอมคลุกเคล้าไปกับกลิ่นไอทะเล ผมยกมันขึ้นไปวางไว้ด้านหน้าของคนที่นั่งอยู่และของตัวเองภายใต้เชิงเทียนที่สาดส่องแสงไฟดวงสวย

     " อะ จะขอโทษหรือง้ออะไรก็รีบ ๆ ทำ " ผมพูดก่อนจะโน้มตัวลงนั่ง ก็ไม่ได้อยากจะแกล้งทำเป็นโกรธหรืออะไรมันหรอกนะ แต่การเล่นตัวไม่ยอมหายงอนสักทีแบบนี้เนี่ย ก็เหมือนวัดคุณค่าความสำคัญดี ๆ ของตนเหมือนกันนะ หึหึ มีอะไรอีกหลายอย่างเลยครับที่เฟิร์สแกล้งหนักกว่านี้และผมสมควรที่จะโกรธ

     " มิ้ลค์ " เสียงขานชื่อของเฟิร์สดังออกมาเบา ๆ แต่กลับดังกึกก้องในใจผมชั่วขณะ เวลาเฟิร์สพูดชื่อผมด้วยโทนเสียงนุ่มและลึกแบบนี้ทีไรก็ชวนขนลุกอยู่เสมอ

     " ว่าไง ? " ผมพูดพลางมองเข้าไปยังนัยน์ตาคู่นั้นที่เปล่งประกายแม้ความมืดจากท้องฟ้าจะบดบังความชัดเจนนี้ก็ตาม

     " ชีวิตที่ไร้สาระของกูที่ผ่านมา...กูไม่เคยที่จะให้ความสำคัญกับตัวเองสักเท่าไหร่ "

     " .......... " ผมจดจ่อกับดวงตาคู่นั้นและลมปากที่เฟิร์สพูดออกมาว่ากำลังหมายถึงอะไะ เพราะน้ำเสียงของมันเจือความจริงจังยิ่งกว่าเก่า

     " จนชีวิตกูเดินทางมาเจอมึง...คนที่กูเคยเกลียด...คนที่กูเคยไม่ชอบ กูย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องนี้ทีไร...กูล่ะโคตรสมเพชตัวเองทุกครั้ง "

     " .......... "

     " ตอนนี้กูเข้าใจแล้วว่าชีวิตของกูมันมีความหมายมากมายขนาดไหน...ตั้งแต่มึงเดินเข้ามา "

     " .......... "

     " มิ้ลค์...หลังจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่ากูจะทำมึงเสียน้ำตาหรือไม่...ทั้งตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ "

     " .......... "

     " มึงอย่าทิ้งกูไปไหนเลยนะ กูบอกตรง ๆ ว่าถ้าไม่มีมึง...กูจินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าชีวิตหลังจากนั้นมันจะเป็นยังไง "

     " .......... "

     " ไม่ว่าอุปสรรคข้างหน้ามันจะยากลำบากแค่ไหน ขอให้เราจับมือและเดินฝ่าไปด้วยกันนะมิ้ลค์ " ความรู้สึกที่สบายใจแบบนี้มันคืออะไรกันล่ะเนี่ย...นี่เฟิร์สมาง้อผมหรือจะระบายความในใจอะไรกันแน่นะ

     " น้ำเน่านะมึงอะ วุ้ แดก ๆ " ผมตัดบทมันไปทั้งอย่างนั้นเพราะถ้าขืนฟังต่อมีหวังยิ้มแก้มปริกว่านี้แหง

     " มิ้ลค์ " โอ๊ยยยยย จะเรียกกูทำไมนักหนา

     " ว่าไง ? "

     " ช่วยบอกคำนี้ให้กูได้ยินสักหน่อย...จะได้มั้ย ? " ยังจะมาอยากได้ยินอะไรจากกูอีก

     " อะไรล่ะ ? "

     " ช่วยบอกรักกูทีนะ " ผมนิ่งเงียบเหมือนคนคิดอะไรในหัว แต่จริง ๆ แล้วสมองกลับว่างเปล่าไปหมด ผมกลั่นคำพูดที่บริสุทธิ์นั้นตามความรู้สึก ให้ไหล่ผ่านริมฝีปากด้วยรอยยิ้มอันบางเบา

     " มิ้ลค์รักเฟิร์ส...มิ้ลค์จะรักเฟิร์สแค่คนเดียว ไม่ว่าทางข้างหน้าจะเราจะต้องเจออะไรกันอีก...มิ้ลค์จะรักเฟิร์สอย่างอยากที่จะเอาใครมาเทียบเทียม " ถึงตอนนี้คนตรงหน้าที่เคยบ่นว่าหิวคงจะไม่สนใจอะไรแล้ว นอกจากลุกขึ้นมาดึงผมเข้าไปกอดแบบไม่สนใจว่ากระดูกจะหักหรือเปล่า ผมคิดว่าเพียงแค่พูดเหล่านี้ คำถามทุกอย่างที่เคยข้องใจในตัวเฟิร์สคงจะได้คำตอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

     " ขอบคุณ...ขอบคุณครับมิ้ลค์ " เสียงเฟิร์สกล่าวขอบคุณกระเส่าคล้ายเหมือนคนใกล้จะร้องไห้ ผมปล่อยให้ผู้ชายคนนี้กอดแบบแนบชิดตามที่ใจมันต้องการพลางทวนเรื่องราวไปยังเมื่อก่อน..

     เมื่อก่อนมุมมองความรักของผมก็คงเหมือนใครหลาย ๆ คน ที่ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้ได้ความรักนั้นหวนคืนกลับมาเป็นผลกำไร อยากจะรักษา อยากจะดูแล อยากจะหวงแหน เพื่อให้ความรักของเรานั้นคงอยู่ไปชั่วตราบนาน ครั้งหนึ่งที่เคยรักนัทตี้ ผมแทบไม่ได้หันมาสนใจตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าจะเสียอะไรไปบ้าง ผลสุดท้ายของความคิดเหล่านั้นก็กลับกลายมาเป็นผมที่ต้องปิดประตูหัวใจไม่กล้ารักใครอีก จนแล้วจนรอดชะตาก็ส่งบททดสอบรักครั้งใหม่มาเป็นผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด ณ ตอนนี้ ผมเปิดใจรับเฟิร์สเข้ามาอยู่ข้างในโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเราได้ผ่านเรื่องราวอะไรกันมาบ้าง ผมและมันต่างมีบาดแผลในหัวใจที่เหมือนกัน แต่สิ่งอื่นใดที่เฟิร์สมีไม่เหมือนก็คือผู้ชายคนนี้กล้าที่จะสารภาพอย่างแน่วแน่ว่าจะรักใคร มันเป็นเพียงไม่กี่คนที่ผมนับถือเรื่องความรู้สึก และมันเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารักในรูปแบบใหม่ โดยที่ไม่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเสียสละไปตลอด คำพูดของเฟิร์สที่ร้องขอผมเมื่อครู่ว่าไม่ให้จากไปไหน ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่มันหรอกที่คิดคนเดียว ถ้าวันใดวันหนึ่งเฟิร์สไม่ได้อยู่เขียงข้างผม ที่พึ่งสุดท้ายของหัวใจดวงนี้คงไม่สามารถรับใครเข้ามาอยู่แทนที่ได้อีกแล้ว

     " เลิกกอดกูได้ยัง ? รีบกินข้าวแล้วก็รีบไปอาบน้ำ "

     " ไม่กินแล้วได้มั้ยอะข้าว " เอ้า ! แล้วมึงบ่น ๆ ว่าหิวไม่ใช่หรือไง ?

     " แล้วจะกินอะไร ? " เฟิร์สโงหัวขึ้นมาฉีกยิ้มอย่างโคตรหื่นตามที่มันชอบทำ

     " กินมึงแทนแล้วกัน หึหึ " ยังไม่ทันที่ผมจะตอบรับอะไร เฟิร์สแม่งก็จัดการสอดแขนเข้าใต้รักแร้พลางแบกผมขึ้นบ่าไปยังเตียงทันที

     เฮ้อ...หื่นแบบนี้คงมีแค่แฟนผมคนเดียวนั่นแหละครับ ฮ่า ๆ

     ท้ายที่สุดแล้ว ผมขออวยพรให้ความรักของเรา...นั้นมีแต่เราตลอดไป :)




- จบบริบูรณ์ -

- Not to be unlocked -

หัวข้อ: Re: [END] Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.43 จบแล้วจ้า (9/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-04-2020 00:09:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.43 จบแล้วจ้า (9/3/61)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 15-03-2024 18:56:10
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)