พิมพ์หน้านี้ - (เรื่องสั้น) ฤดูใบไม้ร่วง Chapter 3 & End (02-14-18)
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: eiky ที่ 06-02-2018 16:09:57
-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*********************************
สวัสดีครับ โอ้ยยย เขิน ไม่เข้าเล้ามานานมากๆๆๆ เลยเขียนเรื่องสั้นมาให้ลองอ่านดูนะครับ
ปล.เนื้อหาในเรื่องเป็นเรื่องแต่งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่อคน สถานที่ ล้วนเกิดขึ้นจากจินตนาการของผมเองทั้งนั้น ต้องขออภัยหากว่าเนื้อหาไปสอดคล้องหรือเกี่ยวข้องกับผู้ใด ทั้งนี้เจตนาของผู้เขียนเพื่อร้อยเรียงเรื่องราวให้เพื่อนๆได้อ่านกันเท่านั้น
**********************************************
-
ฤดูใบไม้ร่วง
Chapter 1
[/b]
ความล้มเหลวของคนเราวัดจากอะไร และสิ่งที่เรียกว่าประสบผลสำเร็จในชีวิต เขานับกันจากตรงไหน หากว่าความล้มเหลวของชีวิต มันคือการที่เราก้าวไปไม่ถึงสิ่งนั้น ไม่สามารถทำสิ่งที่คาดหวัง หรือฝันเอาไว้ให้สำเร็จได้ เขาเรียกว่าความล้มเหลว นั่นคงจะเป็นคำที่เหมาะสมกับผมเป็นที่สุด และหากว่าความสำเร็จมันวัดการจากสิ่งที่ทำ ว่าเราทำมันได้มากแค่ไหน ถึงเป้าหมายหรือไม่ สำหรับผมแล้ว ผมไม่เคยสัมผัสกับสิ่งนั้นเลย ตอนนี้อายุก็เกือบจะ ๓๕ แล้ว ไม่มีอะไร เงินเก็บ? สิ่งของที่คิดว่าควรจะมี บ้าน? รถ? ไม่มีอะไรเลย แม้แต่คนพิเศษที่เขาเรียกๆกัน ผมก็ไม่มี เคยมี แต่นานจนจำว่าคำว่ารักเลือนลางจนจำไม่ได้ มันรู้สึกยังไงกันนะ ผมปวดร้าวใจทุกครั้งเวลากลับบ้านแล้วมีคนถามว่า เมื่อไหร่จะแต่งงาน แฟนไปไหน คำตอบของผมก็เหมือนกับการแก้ตัวไปวันๆ “ตัวเองยังเอาไม่รอด ไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากด้วย” นั่นสินะ มันเป็นความจริง จริงเสียจนผมเองต้องบ่ายหน้าหาทางไปในตอนนี้ ความมั่นคงในชีวิต ความมั่นคงในบั้นปลาย ผมมองไม่เห็นเลยจริงๆ
“นี่แกจะกลับบ้านนอกจริงๆเหรอเว” เพื่อนที่ทำงานถาม ผมรู้สึกห่อเหี่ยวมากๆในสัปดาห์นี้ ไม่ได้ลาออก ไม่ได้อยากจะออก แต่บริษัทของผมที่เคยทำมานาน เงินเดือนขึ้นให้ปีละไม่กี่ร้อย ผมเคยประณามเรื่องนี้ตลอดว่า นี่มันทำให้ผมไม่มีเงินเก็บ ทำให้ผมลอยละล่องไปวันๆไม่มีจุดหมาย เงินเดือนที่พอๆดีกับค่าครองชีพในแต่ละเดือน และตอนนี้มันกำลังทำให้ผมลำบาก คือบริษัทของผมถูกเทคโอเวอร์จากบริษัทอื่น และเขาก็ต้องคัดพนักงานที่เศษๆเหลือๆออก ผมคาดหวังว่ามันจะไม่ใช่ผม แต่ผมก็ได้รับซองจากฝ่ายบุคคลเหมือนกับเพื่อนๆคนอื่นๆ ผมผิดหวัง ผมเศร้าใจ ผมคิดอะไรไม่ออก นี่น่ะหรือที่เขาเรียกว่าคนเวลามันหมดทางไป มันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ผมคิดไม่ออก ผมมืดไปหลายด้าน
“อืม คิดว่างั้นล่ะแก กลับไปตายรังดีกว่า” ผมพูดประชดชีวิต แต่เพื่อนเหมือนว่ามันจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย ตอนนี้ในห้องนี้มีแต่เสียงถอนหายใจของเพื่อนๆพนักงาน เราไม่มองหน้ากัน แต่เรามองที่หน้าตัวเอง บางคนจ้องกระดาษสีขาวใบนั้นแล้วครุ่นคิด บางคนก็มองออกไปให้ไกลเท่าที่จะไกลได้ แต่ห้องแคบๆในตึกที่เช่าเขาอยู่มันจะมองออกไปไกลสักเพียงไหนกันเชียว ส่วนผมมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ผมจ้องมันอยู่นานแล้ว เวบไม่ได้เปิด ไม่รู้ว่าในโลกอินเตอร์เน็ทมันจะมีเวบอะไรที่ดึงความสนใจหรือเบี่ยงเบนความร้าวระทมใจของผมไปได้ เพื่อนๆผมชวนกันไปหางานใหม่ แต่ผมท้อแท้มากในตอนนี้ ที่คิดขึ้นมาได้คือการตั้งหลัก ผมเลือกที่จะพักก่อน ไว้ให้แข็งแรงทางอารมณ์แล้วค่อยสู้ต่อ
“ติดต่อกันไว้นะแก ยังไงเผื่อมีงานจะได้เรียกแก ไลน์ก็เปิดด้วยล่ะ” เพื่อนของผมบอกตอนเราจะแยกย้ายกลับ ในใจอยากจะโต้แย้งเพื่อนจัง ว่าถ้าหากว่ากลับไปอยู่บ้านนอกจริง คงไม่ได้เปิดใช้ไลน์ เพราะค่ารายเดือนคงไม่มีปัญญาจะจ่ายถ้าหากว่ายังไม่ได้งาน ชนบทแบบนั้นมันจะมีงานอะไรให้ผมทำ เว้นเสียจากว่า สวน ไร่ นา เลือกเอาสิ ผมคอตก
“เมล์ละกันแก” น้ำเสียงของผมมันคงพยายามจะสื่อความสลดหดหู่ต่อชะตากรรม เพราะเพื่อนผมมันเงียบไปแล้วพยักหน้า เราสวมกอดกัน ผมตบบ่าเพื่อนเบาๆ เราจากลากันโดยไม่มีการเลี้ยงอำลา นี่ถ้าหากว่าไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เราคงจะนั่งกินเหล้าอยู่ที่ร้านประจำแถวเลียบทางด่วนรามอินทราเป็นแน่ แต่ด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง เราต่างแยกย้ายกันไป คนละทิศละทาง ผมเรียนจบสื่อสารมวลชนจากมหาวิทยาลัยที่แปรสถานะมาจากสถาบันราชภัฏ อย่าให้เอ่ยนามเลยครับ ผมรู้สึกเกรงใจเขา จบมานานแล้ว ทำงานมานานแล้ว แต่นี่ล่ะคือบั้นปลายของชีวิตในเมืองกรุง ผมเบนหน้ากลับบ้าน เพื่อนผมว่าผมเหมือนกันว่าทำไมไม่หางานใหม่ ผมทำแบบนั้นก็ได้นะ แต่มันสะสมมานาน มลพิษเมืองกรุงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เอาเป็นว่าผมไม่ขออ้างถึง ผมอยู่ไม่ได้เอง หลายปีที่อยู่เมืองหลวงมานี่ผมไม่มีอะไรติดตัวกลับไปสักอย่าง ประเด็นหลักคือผมเหนื่อยใจ ผมขอถอยหลังกลับไปตั้งหลักที่บ้าน อีกอย่าง ผมตัวคนเดียว อายุคนเราก็ไม่ใช่ว่ามันจะลดลงทุกๆวัน มันมีแต่เพิ่มขึ้นในแต่ละวินาที หน้าแก่ไม่ต้องเอ่ยถึง นั่นมันก็หมายถึงสุขภาพร่างกายของเราด้วย ผมกลัวว่าผมจะมาตายที่นี่คนเดียว
“จั่งได๋เธอ สิเมือบ้านยามได๋ ฟ้าวๆเด้อ อยู่บ้านเพิ่นมีหมอลำ ออกพรรษาน่ะ ฉันจะได้ไปจองหน้าฮ้านถ่า” พอกลับถึงห้องผมก็นอนล้มตัวแผ่ลงบนเตียง ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้น พอดีกับเพื่อนที่อยู่บ้านนอกโทรเข้ามา
“ยังไม่รู้เลยมึง กูเครียดๆอยู่เนี่ย”
“แหมนะ อย่ามาทำเป็นเว้าไทยใส่ ห่ามึง สิเครียดหยัง แค่ตกงานหนึ่งแหม่ะ” คงจะพอรู้ใช่ไหมครับ ว่าผมเป็นคนภาคอีสาน ใช่ อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
“กูคองตาตกงาน (เพิ่งจะ) บ่ให้เครียดได้จั่งได๋ อย่าสิมาซวนเว้าทั่วทีปหลาย (พูดมั่วซั่ว)หนหวย (หงุดหงิด)อยู่เด้”
“เออๆ นั่นล่ะ มึงสิไปคึดหยังหลาย ฟ้าวเก็บของกลับมาบ้านเฮาโลด เอื้อยสิพาเที่ยว” ผมวางสายจากเพื่อน แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพื่อนคนนี้เรารู้จักกันมาตั้งแต่เรียนอนุบาลแล้วครับ อยู่คนละหมู่บ้าน แต่ก็หมู่บ้านละแวกเดียวกัน เราสนิทกันมาก ถือว่ามากทีเดียวไม่ว่าเรื่องอะไรผมก็จะปรึกษาเพื่อนคนนี้เสมอ แต่ปีที่เขามีชุมนุมเผาบ้านเผาเมืองกัน มันตกงาน มันเลยกลับบ้านอย่างถาวร ตอนแรกก็โทรมาระบายกับผมทุกวันว่าอยู่ไม่ได้อย่างงั้นอย่างงี้ แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่าเป็นตัวแม่แถวนั้น คือเพื่อนผมคนนี้เป็นเกย์ที่ไม่ปิดบัง ส่วนผมก็ไม่ใช่ว่าปิดบังนะครับ เพียงแต่ผมเป็นคนปกติไม่ได้วี้ดว้ายอะไร บุคลิกผมจึงดูนิ่งๆ อาจจะดูหยิ่งๆเสียด้วยซ้ำถ้าคนไม่เคยรู้จักกัน ผมทิ้งตัวลงที่เตียง ผมกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง คงไม่เจอกันอีกแล้วนะ ห้องที่รัก อืม มันเป็นความรู้สึกที่จะบอกยังไงดี มันหวิวๆ ใจหาย เศร้าไหม ก็มีนะ แต่มันไม่เชิง มันตื้อๆหนักๆอยู่ที่หน้า
“ลาก่อน” ผมเก็บของเสร็จตอนสี่โมงกว่า กำลังจะปิดประตูห้อง แต่ก็อดไม่ได้ ผมร้าวไปทั้งใจ มือสั่นไปหมด ผมนั่งลงร้องไห้มันตรงหน้าห้องนั่นล่ะ ดีนะไม่มีคนผ่านมา ไม่งั้นคงคิดว่าอีนี่มันมาดราม่าอะไรหน้าห้อง ไม่ใช่ว่าขอหวยไม่ได้แล้วโวยวายนะ ผมลากกระเป๋าที่มีสมบัติอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นเดินลงไปเคลียร์กับทางตึก
“พี่เวไปจริงๆเหรอคะ คิดถึงแย่เลย” น้องที่เฝ้าอยู่ที่หอพูด ผมก็พยักหน้ายิ้มแห้งๆ เพราะปกติจะคุยเล่นกันตลอด
“น่าเสียดายจัง ตึกนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ คนดีๆออกกันหมด ทีอีผัวเมียชั้นสาม ตบตีกันทุกวัน อยู่ทนอยู่นานจัง” น้องมันบ่น ผมเลยยิ้มออกมาได้
“คนดีผีไม่คุ้มไงดาว ขอบใจนะ ไว้มีโอกาสคงได้เจอกัน” ผมยิ้มให้ โชคดีที่ยังมีเงินประกันค่าห้องเหลือ ห้องผมไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ทางตึกจึงไมได้หักค่าใช้จ่ายอะไร ก็ในห้องไม่มีอะไรเลย อยู่มานานเท่าไหร่ก็เท่าเดิม อนาถนัก
“ขึ่นรถละเบาะเธอ สิมาฮอดจักโมง เอื้อยสิออกไปฮับ” เพื่อนผมมันโทรมาตอนสองทุ่ม ผมซื้อตั๋วแล้วกำลังเดินเตร่ ทำซึ้งมองเมืองกรุงในยามค่ำคืน เอาหน่อยเถอะ คงอีกนานกว่าเราจะได้กลับมาเจอกัน มองไปก็ทำประหนึ่งว่าตัวเองกำเล่นมิวสิควีดีโออยู่ เป็นเอามาก
“แปดโมงพุ่นล่ะ” ผมตอบมันไปอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ได้ดีใจเลยที่จะได้กลับบ้าน ไม่ได้รู้สึกโล่งใจ มันคือความรู้สึกที่เหมือนว่าเรากำลังแบกทุกข์ก้อนใหญ่กลับบ้าน พ่อแม่ผมรู้เรื่องแล้วครับ นั่นล่ะคือใจความหลัก พ่อผมให้แม่ตามผมกลับนานแล้ว จะให้ไปทำงานในสาธารณะสุขของอำเภอ เพราะพ่อเป็นหัวหน้าอสม.อยู่ที่นั่น ทำเกี่ยวกับประกันสังคมของชาวบ้านประมาณนี้ล่ะครับ ผมไม่ได้รู้มากนัก
“เออๆ อย่าลืมเด้อล่ะของฝากเอื้อยน่ะหญิง”
“ปอบ ห่วงแท้ดอกของฝากน่ะ เออๆ บ่ลืมดอก” ผมได้ยินเสียงมันก็พลอยอารมณ์ดีไปด้วย มันเป็นคนตลก คุยกับใครไม่มีใครไม่ชอบ
“บ่ได้เด้อค่า พอดีเลยเธอ มื้อฮือ (มะรืน)บ้านท่าแฮดเพิ่นมีหมอลำ เอื้อยสิพาไปสวย”
“โอ้ย สิไหวบ่บู้ (ไหวหรือเปล่าไม่รู้) เมื่อยรถ อยากสินอน”
“ซ่ำนี้ล่ะ (เท่านี้นะ) สิเว้าหลายควมหลาย (พูดมากความ) เอื้อยสิไปส่อน (ไปสวิงหาปลา)” ภาษาพื้นบ้านทนๆเอาหน่อยนะครับ ผมอมยิ้มที่ได้สนทนากับเพื่อนรัก เอาวะ ยังไงๆที่บ้านก็ไม่อดตายหรอก พอเขาประกาศว่ารถคันที่ผมซื้อตั๋วได้เวลาแล้วให้คนขึ้นรถ ผมก็หันหลังกลับมามองภาพที่ผู้คนเดินขวักไขว่กัน ไม่รู้ว่าใครเป็นใครที่หมอชิต ไปไหนกันนะ มีใครที่รู้สึกเหมือนผมอยู่หรือเปล่านะในตอนนี้ ลาก่อนนะกรุงเทพฯ เมืองที่ผมรักและคงได้มีโอกาสมาเยี่ยมอีกนะ ผมตัดใจแล้วเดินขึ้นไปบนรถ มีรถสายตรงนะครับว่าไป กรุงเทพฯ-เขมราฐ ก็อำเภอติดแม่น้ำโขงนี่ครับ พอได้ที่นั่งตรงกลางของรถผมก็วางของแล้วมองออกนอกกระจก เสียบสายฟังโทรศัพท์เข้าหู เอ่อ รู้สึกจะมีแต่เพลงรักเศร้าๆ ผมเม้มปากหนักเข้าไปใหญ่ อารมณ์คุเต็มที่ น้ำตาไหลอาบแก้ม รีบเอามือปาดออกเพราะเหมือนมีคนขึ้นมานั่งข้างๆผมแล้ว กลิ่นสาบๆ แต่ผมไม่ทันได้หันไปมองหรอกครับ ทำใจอยู่ ภาพที่เห็นนับจากนี้ คงอีกนานที่จะได้กลับมามองอีก ขอเก็บไว้ในความทรงจำ ขอเก็บไว้นานเท่านาน
“อ้ายๆ ที่นั่งผมเด้นั่น” จิ๊ อะไรวะ คนเขากำลังอิน
“ติ๊ (เหรอ)” ผมหันกลับมามองเจ้าของเสียงตาขวาง ทหารนั่นเองครับ เขาทำหน้าเหวอๆคงเพราะผมตาขวางใส่
“ขอโทษอ้าย อ้ายนั่งนั่นล่ะซั่นน่ะ ผมนั่งนี่กะได้” อ้าว พูดง่ายดีนี่ ผมหันหน้ากลับทันที บิ้วอารมณ์ต่อ ผมเล่นมิวสิคไม่รู้กี่เพลงต่อกี่เพลงจนเหนื่อย รถเคลื่อนตัวเชื่องช้าออกจากเมืองฟ้ามหานคร ผมจ้องมองอยู่ไม่ละสายตา เอียงคอแบบนั้นจนเหนื่อย
“หาหยังอ้าย” ผมเหนื่อยก็เริ่มหิวน้ำครับ ปกติเขาจะมาแจกนี่ ทำไมงวดนี้ไม่มาแจก ไม่ได้ล่ะต้องโวยหน่อยแล้ว
“เขาบ่แจกน้ำติ๊” ผมถามทหารแต่ไม่ได้มอง
“แจกๆ อ่ะนี่ของอ้าย ผมเก็บไว้ให้” ผมหันขวับไปทันที
“นั่น สิหรอยติ๊ (แอบ ขโมย)” ผมทำเสียงแข็งใส่มันครับ
“ฮ่วย ผมกะเห็นอ้ายฮ้องไห่อยู่เด้ ไผสิหรอย ซ่ำน้ำซื่อๆ เว้าไปหลายอ้าย” มันทำท่าฟึดฟัดครับ
“ซั่นติ๊” ผมยิ้มเขินๆ บอกขอโทษมันไปครับแล้วก็รับน้ำมาจิบพอเป็นพิธี มันกอดอกเอาหลังพิงพนักจ้องผมแบบว่าเหยียดหยามมากครับ
“ผมเป็นทหารเด้ออ้าย บ่ลักของไผเด้อ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” เอ่อ มันคงโกรธจริงครับ
“เออ ขอโทษ เว้าหยอก (พูดเล่น) ไปซั่นล่ะ เคียดคือหลาย ทหารเคียดไวปานนี้ติ๊ ขอโทษๆ” มันเชิดหน้าใส่ผม เอ้า ไอ้นี่ เออ ช่างแกสิ ผมไม่สนใจมันครับหันออกไปมองหน้ากระจกรถ นี่ถ้าหากว่าผมกลับไปอยู่บ้าน ผมจะทำอะไรก่อนเป็นอย่างแรกดีนะ พักเหรอ พักกี่วันดีค่อยไปกับพ่อ
“อ้ายเมือ (กลับ) บ้านไปหยัง” เอ่อ ขัดจังหวะอีกล่ะ
“อยากเมือซื่อๆนี่ล่ะ มีบ้านเด้เนาะ กะเมือบ้านตั้ว” ผมยักไหล่ใส่มันครับ
“ตาคันแข่ว( หมั่นไส้) เนาะ ผู้เฒ่าอีหยัง”
“บ๊ะ ไผเฒ่า เว้าดีๆเด้อบักหล่า” ผมถลึงตาใส่มันครับ มันกลับหัวเราะออกมาเบาๆ อ้าวไอ้นี่ วอนๆ
“ไผบู๊ อ้ายอยู่บ้านได๋ ผมเมือไปงานเฮ็ดบุญหาแม่ใหย่ (ยาย)” ใครถามแกเนี่ย ผมแอบเบะปากใส่ไม่ให้มันเห็น
“บ้านท่ายาง โตเด้ อยู่บ้านได๋” ผมเลยถามมันกลับครับ ก็ดีเหมือนกันจะได้มีเพื่อนคุยระหว่างทาง ถึงแม้มันท่าทางจะกวนๆหน่อยก็ตามเถอะ อีกอย่างเหม็นสาบเถอะ ไม่ได้กระแดะนะ
“ฮ่วย ผมอยู่บ้านท่าแฮด งานมีหมอลำเด้ล่ะอ้าย มาเบิ่งเด้อ” เอ่อ ผมทำหน้าตกใจครับ คนบ้านละแวกเดียวกัน ตายล่ะ นี่ผมเผลอออกสาวให้มันรู้หรือเปล่านะ ไม่ได้ๆ เผื่อมันแอบไปนินทาผม บ้านนอกน่ะ ใครโดนนินทาแป๊บเดียว ลามไวยังกะไฟลามทุ่ง
“บ่ไปดอก บ่มัก เมือไปพักผ่อนเด้ล่ะ” ผมชูคอเชิดๆใส่มัน
“บู้ย คือหลายๆ เบิ่งทรง(ดูท่าทาง)กะฮู้ว่ามักคั่ก เต้นหน้าฮ้านน่ะ” ว้าย เอ่อ ไม่ใช่ออกสาวใส่มันหรอกครับ ผมทำตาใส่มัน หนอยแน่ไอ้นี่ ว่าจะคุยด้วยดีๆ กวนโมโหอีกล่ะ
“เบิ่งทรงหยัง อย่ามาทำคือฮู้จักดีหลาย คนเรียบร้อยเด้นี่ เบิ่งๆ” ผมยักคิ้วใส่มันครับ แล้วทำหน้าเข้าไปใกล้ๆมัน คือผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันนะ ว่าทำไปเพื่อสิ่งใด มันกลั้นหัวเราะ
“ไปบ่ล่ะ ผมไปฮับกะได้ อยู่บ้านมีมอไซค์อยู่ เดี๋ยวไปแก่(ลาก ใช้เรียกเวลาหนุ่มไปรับสาวที่กร้านโลกๆมาทำมิดีมิร้าย) มา” “ฮ่วย เว้าเป็นตาซังหลาย เกิดเมื่อวานนี่เด้ นี่เฒ่าแล้วเด้ สิมาลามเด้อ” ผมขึ้นครับ คือเราพูดกันไม่ดังมากหรอกครับ คนที่นั่งข้างๆเขาจะตื่นมาด่าเอา ผมกดทุกคำทำเสียงต่ำ
“นั่นๆ คือว่าบ่เฒ่า บู้ยเบิ่งแน่ล่ะ” สวัสดีกรุงเทพฯ ลาก่อน เอาผ้าห่มขึ้นคลุมหน้า สู้ไม่ไหวครับ สภาพจิตใจของผมอ่อนล้ามาก ไม่มีปัญญาจะมาต่อกรกับคนพรรค์นี้หรอกนะ มันสนุก แต่ผมกำลังเหมือนจะเสียเปรียบ
“หนีๆ เว้าหยอกกะบ่ได้เนาะคนเฮา เคียดไวปานเด็กน้อยผู้สาวหลาย” เอ่อ จะไม่ยุ่งด้วยแล้วนะ ไอ้นี่
“โอ้ย” นี่แน่ เหยียบเท้ามันครับ มันใส่รองเท้าทหารก็ตามที ผมก็เน้นๆบี้ๆลงไป มันจะยกเท้าออก ผมกดขามันไว้ครับ เอาสิมึง ปากดีนัก
“บู้ย โพดเนาะ ผมเจ็บเด้” สม ก็ทำให้เจ็บ เราแย่งกันทำร้ายกันอยู่แต่ไม่ดิ้นแรงมากนัก เพราะเบาะด้านหน้าเขาเอนมาเต็มพิกัด ป้านี่ก็จะรีบนอนไปไหนเนี่ย มันจับมือผมกดไว้ ผมไม่ยอมดันสู้
“อ๊ะ” เอ่อ คือหน้าเราใกล้กันมากครับ หน้าผมอยู่ต่ำกว่ามัน แย่งกันท่าไหนไม่รู้ จมูกมันชนแก้มผม ผมหยุดกึกเลยทันที ผมรีบถอยกลับมาที่นั่งตัวเอง มันหัวเราะครับ
“พุ่นๆ เขินๆ” มันยังล้อผมอยู่ครับ สูดหายใจเข้า ยุบ เอ้ย พองๆ สูดหายใจออก ยุบ
“ม่วนติ๊ (สนุกเหรอ)” ผมทนไม่ไหวครับ หันไปหามันเพียง ๓๕ องศา
“หนาวเนาะอ้าย ผมกอดแน่” ว้าย เอ่อ หลุดอีกแล้ว คือทำหน้าประมาณว้ายนะครับ ไม่ได้ออกเสียง อยากจะออกสาวใส่มันเหมือนกันล่ะครับ กวนบาทาดีนัก
“กุย (สาป) คือสิตาย แม่นอาบบ่ล่ะน้ำน่ะ แหวะ” ผมทำท่ารังเกียจมันเต็มพิกัด เบะปากถอยร่นเอาตัวไปเบียดกับกระจกรถ แสดงออกให้รู้เลยว่ารังเกียจมัน
“บ่ได้อาบล่ะ ฟ้าวมา ย้านบ่ทันรถ หัวตาฝึกแล้วแหม่ะ(เพิ่งจะฝึกเสร็จ) อ้าย” มันพูดไม่อาย ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ไม่มีหิริโอตัปปะ ไม่ละอายต่อบาป เกี่ยวไหมเนี่ย นั่นล่ะครับ ประมาณนั้นล่ะ
“ปานนี้กะกล้ามานั่งนำหมู่เนาะ บ่ย้านเขาขี้เดียจ (รังเกียจ) ติ๊” ผมเบะปากย่นจมูกใส่มันเต็มที่
“หวืย บ่เหม็นปานได๋ดอกอ้ายกะดาย” มันอายครับ ฮ่าๆ สม อายเป็นด้วยเหรอ ไอ้หน้าดำหน้าทน
“นอนแหม่ะ มาเบิ่งหยัง เห็นว่าเขาเหม็นคือมาใกล้แท้น้อ พุ่นๆ เขินๆ” เอ่อ ผมเขินตอนไหน เอาเป็นว่าจบการสนทนากับไอ้นี่แค่นี้ ผมเหนื่อยพอแล้ว ผมเลยเอาผ้าห่มขึ้นคลุมหน้า มันก็เงียบเสียงไปครับ ผมนอนไปได้นานเท่าไหร่ไม่รู้ครับ แต่ตื่นขึ้นมาเพราะมีคนมาเขย่าตัว
“อ้ายๆ ฮอดโคราชแล้ว บ่ลงติ๊” มันเรียกผมอยู่ รำคาญจังไอ้นี่ คนจะหลับจะนอน
“อือ” ผมทำหน้าแบบว่ากูรำคาญมึงนะ แต่ก็นะปวดฉี่ขึ้นมาพอดี ผมเลยยอมเดินตามมันลงไปที่พักรถ พอเข้าห้องน้ำเสร็จก็ออกมายืนบิดตัวอยู่แถวนั้น
“บ่กินเข่าติ๊อ้าย” อ้าว มันยังไม่ไปไหนไกลครับ มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆผม นี่ไม่มีส่วนบุญจะให้หรอกนะ ไปขอที่อื่นไป๊
“บ่อยาก” ผมบอก มันเบะปากใส่ผมแล้วเดินไป เออไปซะทีคนจะยืนทำอารมณ์ ตอนนี้เที่ยงคืนกว่าแล้วครับ ถ้าอยู่ที่กรุงเทพฯป่านนี้ผมคงจะยังไม่นอน คงไม่ดูซีรี่ย์เกาหลีหรือไม่ก็แซ็ทกับผู้ชาย สิ่งที่เคยทำเหล่านั้น มันกลายเป็นความทรงจำไปแล้ว ต่อจากนี้ผมคงต้องนอนเร็ว ด้วยที่บ้านพอค่ำก็เงียบเสียงแล้ว ใครนอนเกินสองทุ่มนี่ถือว่านอนดึกมากแล้ว ไม่ที่แสงสีอะไรให้เจริญหูเจริญตา มีแต่ความเงียบกับเสียงลมหวีดหวิว ถามตัวเองจริงๆ จะกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้หรือ ได้จริงหรือ ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อผมเกิดและโตมาจากที่นั่น ความสบายจากที่อยู่กรุงเทพฯมันเป็นเพียงความสบายฉาบฉวยไม่ใช่หรือ แล้วยังไง มีอะไรติดกลับบ้านคราวนี้บ้าง นอกจากความล้มเหลวและชอกช้ำ
“อ่ะอ้าย กินบ่ลูกซิ้น” ไอ้นี่มันทำลายภวังค์ของผมอีกแล้วครับ ผมหันกลับไปมองมันด้วยความไม่พอใจ คนทั้งรถทัวร์ก็เยอะแยะไม่มีคนจะไปวอแวแล้วเหรอวะ กูรำคาญ ผมด่ามันแบบนี้ทางสายตา ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“อ้ายซื่อหยัง ผมนุเด้อ” มันแนะนำตัวครับ ผมทำเป็นไม่สนใจ
“ฮ่วย คนถามคือบ่บอกล่ะ อ่ง (หยิ่ง) เนาะคนเฮา” มันว่าผมครับ
“อ่งหยัง ซื่อเว จิ๊” ทำท่ารำคาญเต็มที่
“เวหยัง เวหาติ๊ ซื่อม่วนเนาะ”
“เว้าเป็นเนาะ อยู่เงียบๆเป็นบ่ เว้าแจ๊ะๆอยู่ หนวกหูเด้นี่” ผมใส่อารมณ์กับมันเต็มที่ครับ มันแทนที่จะเกรงผมบ้าง หัวเราะเฉยเลย
“คนเนาะ บ่เว้าเขาสิว่าปากกืก(ใบ้)เด้ล่ะ คนเว้านำซาดเพิ่นเฮ็ดคือ (สำคัญตนผิด) เนาะเพิ่น” มันยังไม่ยอมหยุดครับ หนอยแน่ ผมเริ่มมีโมโห
****** โอ้ยยย ไม่ได้เข้านาน มันเกินตัวอักษร 5555
-
“ไผเฮ็ดคือ บ่อยากเว้านำ เข่าใจบ่ บักอันนี่” มันยังคงหัวเราะครับ
“อ้าย เฮามาตกลงกันดีๆได้บ่ ผมอยากคุยด้วยสันติ” โอ้ววว ผมผิดครับท่าน ดูมันพูดหน้าตาเฉย ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงให้มันรู้ว่าผมไม่พอใจมันมากแค่ไหน
“ป้าด” ผมจุกครับ พูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินหนีขึ้นรถไป มันตามขึ้นมาครับ โอ้ย ขอย้ายที่นั่งดีไหมเนี่ย แต่ขึ้นไปบนรถเห็นเบาะอื่นๆเขามาเหมือนเป็นแฟนกัน? เอ่อ จบเถอะ ปวดร้าวเหลือจะประมาณ
“อ้ายเมือไปยาม(เยี่ยม)บ้านติ๊ครับ” มันถามครับ ผมไม่ได้อยากคุยกับมันเท่าไหร่นักหรอกนะ ดูคุยกับผมปากก็เคี้ยวลูกชิ้นอยู่หมุบหมับๆ มารยาทมันไม่มีเลยจริงๆ ผมพยักหน้า ขี้เกียจจะฟังมันผมเลยเอาผ้าห่มขึ้นคลุมหน้า
“อ้ายอย่าลืมไปงานบ้านผมเด้อ มีเบอร์บ่ ขอแน่ เดี๋ยวผมสิมาฮับ (รับ) กะได้” มันยังคงพล่ามครับ ผมพลิกตัวหันหลังให้มัน เอาหน้าแนบกระจกรถทัวร์ดีกว่าหันมาเจอคนอย่างมัน
“อ้ายๆ โทรศัพท์ผมเป็นหยังบู้นี่ เบิ่งให้แน่” โอ้ยย อยากจะกรี๊ดให้มันลั่นรถทัวร์ มันทำยังไงรู้ไหมครับ มันดึงผ้าห่มออกจากหน้าผม แล้วเอาโทรศัพท์มันยื่นมาจ่อต่อหน้า ผมกัดฟันกรอดๆ
“จิ๊ จักแม่นหยัง (อะไรก็ไม่รู้)” ผมบ่นออกมา เอ่อ มันใช้ไอโฟนห้าเอสครับ ผมใช้โซนี่เอ็กพีเรีย แซด ธรรมดา
“บ่จักนำดอก บ่เคยใซ้ เป็นทหารอีหยังคือใซ้โทรศัพท์ไฮโซแท้” ผมแอบกัดมัน
“ผมเก็บเงินซื้อเอาล่ะเนาะ เก็บตั้งแต่ฝึกทหารใหม่ จนพฤศจิกะสิปลดแล้ว คองตาซื้อดอก” ผมไม่ได้อิจฉาอะไรหรอกครับ โทรศัพท์แพงๆ ค่าบริการรายเดือนอีก เพื่ออะไร ในเมื่อผมจะต้องกลับไปอยู่ที่บ้านนอกอยู่ดี ไปห้าเอสให้ใครดูไม่ทราบ และมันคงไม่ได้ทำให้ผมดูดีขึ้นมาหรอกนะ ถือโทรศัพท์ซะแพงแต่ตกงาน กลับไปพึ่งใบบุญของพ่อแม่
“ไสของอ้ายน่ะ ผมเบิ่งแน่รุ่นได๋” นั่น มามุขนี้อีกแล้วครับ
“ขี้คร้านจก” ผมบอกมัน
“จกให้แน่ ผมอยากเบิ่ง”
“โอ้ย ผีบ้าติ๊ สิมาอยากเบิ่งหยัง บ่แพงคือของโตดอก สินอนเด้นี่” ผมกัดฟันด่ามันเพราะรถทัวร์ออกตัวมาได้สักพักแล้วครับ
“หวืย แพง(หวง)เนาะ เบิ่งซื่อๆกะบ่ได้ คนทางเดียวกันหยังคือสิมาอ่งแท้ดอก น้องนุ่งขอเบอร์กะบ่ให้ ย้าน(กลัว) ผมจีบอ้ายติ๊ ผมบ่มักดอก กะเทยน่ะ” จุก
“แล้วไผขอให้โตมาวอแวคุยนำนี่แหม่ะ บ่มักกะบ่ต้องมายุ่ง เป็นกะเทยกะบ่ได้ขี่บ่าเจ้าเป็นเด้ล่ะ พ่อแม่ข่อยยังบ่เคยว่า แล้วหมาโตได๋สิมีสิทธิ์ว่า” โกรธครับ โมโหมาก อยากจะต่อยหน้ามันด้วยซ้ำ มันทำหน้าอึ้งๆ
“บู้ยๆ ขึ่นๆแหม่ะ เว้าหยอก(พูดเล่น)กะบ่ได้เนาะเพิ่น”
“เว้าหยอก? หมู่ติ๊ ฮู้จักข่อยติ๊” ผมใส่ไม่ยั้งครับ หนอยแน่ ไอ้นี่เล่นด้วยแล้วลามนะ
“โอ้ย อ้ายกะดายเนาะ ผมขอโทษ เนาะๆ ผมเว้าหยอกซื่อๆดอก บ่ได้สิให้อ้ายเคียดเด้ ผมขอโทษ” มันยกมือขึ้นไหว้ผมครับ ผมก็ตกใจ ไม่คิดว่ามันจะไหว้ ตอนแรกว่าจะอ้าปากด่าออกไปอีก แต่ก็กลืนมันลงคอไป
“บ่แม่นหยังดอก ผมดีใจ ที่ได้พ้อคนบ้านใกล้ๆกัน อ้ายกะเบิ่งทรง (ท่าทาง) คือสิบ่แม่นคนบ่ดีซั่นดอก ผมเลยอยากฮู้จัก อ้ายอยู่ไสครับ ในกรุงเทพฯ” มันทำเสียงอ่อนทุ้มเชียว แหมนะ ไม่เจอด่านี่คงไม่ทำเสียงแบบนี้
“บ่กลับมาอีกแล้วล่ะ” ผมตอบมัน
“อ้าว เป็นหยังล่ะ บ่ได้กลับไปยามบ้านติ๊” มันทำเสียงตกใจ มันจ้องหน้าผมอยู่ครับ ส่วนผมไม่อยากมองหน้ามัน มองไปนอกหน้าต่างรถ เพราะถ้ามองผมอดไม่ได้ที่จะแหวใส่มันอีก
“เขาไล่ออก บ่มีทางไป กลับไปตั้งหลัก ไปเฮ็ดนา พอใจบ่” ผมหันกลับมาถลึงตาใส่มัน
“คือว่าจั่งซั่น กลับบ้านเฮากะดีเนาะอ้าย ผมปลดแล้ว ผมกะสิกลับมาลองสอบนายสิบอยู่บ้าน ผมกะเบื่อกรุงเทพฯคือกัน” มันผ่อนลมหายใจออกมาครับ มันหันหน้ากลับไป ผมเลยแอบมองดูมันว่ามันจะพูดจริงแค่ไหน
“อยู่ไส กะบ่คืออยู่บ้านเฮาดอกอ้าย ผมเป็นทหารมาสิสองปี บ่มีหยังเลย ได้โทรศัพท์เครื่องนี้ล่ะมาเครื่องเดียว นอกนั้นบ่มีหยัง” มันรำพึงออกมาครับ
“บ่มีลูกมีเมียคือเขาติ๊ เห็นทหารมีลูกมีเมียสู่คน (ทหารมีลูกมีเมียทุกคน)” ผมจะถามมันเพื่อ?
“ผู่สาวกะมีอยู่แล้วเนาะ คนผู้หล่อปานนี้ แต่บ่ทันคึดเรื่องเอามาเป็นเมียดอกอ้าย เจ้าของกะยังเลี้ยงรอดแน่บ่รอดแน่อยู่ บ่อยากให้เขามาลำบากนำดอก อีกอย่าง เขาบ่แม่นคนทางเฮา จ้างกะบ่มาอยู่ดอก บ้านป่าบ้านนอกคือบ้านเฮา”
“อืม” ไม่รู้จะถามอะไรต่อ ผมเบือนหน้าออกไปที่เดิม ท้องฟ้าขมุกขมัวเหลือเกิน เหมือนความรู้สึกของผมในตอนนี้ บอกตามตรงผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลยที่จะได้กลับบ้าน มันหน่วงๆยังไงไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับ แต่เหมือนมันกลับไม่เต็มตัว อีกส่วนหนึ่งมันยังคงตกค้างอยู่ที่กรุงเทพฯ
“เขามามักผมกะย้อนว่าผมหล่อนี่ล่ะอ้าย ไปไสนำกันคือสิบ่รอดดอก ผมบ่มีเงิน ผมกะอยากอายคือกัน ไปกับผู่สาวแต่ให้เขาออกเงิน ให้ผมจ่ายผมกะบ่ไหวดอก” มันยังคงพูดอยู่ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจฟังสักเท่าไหร่
“คั่กน้อ เพิ่นผู้จบผู้หล่อ” ผมแซวมันครับ
“อ้ายว่าบ่แม่นติ๊” มันโน้มหน้ามาใกล้ๆผมแล้วยักคิ้ว นี่ถ้าเป็นอารมณ์ปกติ ผมอาจจะนึกดีใจชอบมันขึ้นมาก็ได้ แต่นี่ไม่ใช่ ไม่มีอารมณ์จะมามองผู้ชาย และอีกอย่าง ผมไม่รู้สึกว่าจะชอบมัน แค่เพื่อนที่เจอกันบนรถโดยสาร พอถึงปลายทางที่หมาย ต่างก็คงต้องแยกย้ายกันไปตามแต่จุดหมายของแต่ละคน ส่วนผม จุดหมายคือที่บ้าน แต่หลังจากนั้นแล้วผมไม่รู้
“หล่อแล้วติ๊ นี่เต็มที่แล้วแม่นบ่” ผมยักคิ้วตอบครับ อยากให้มันรู้ว่าที่มันชมตัวเองว่ามันหล่ออย่างนั้นอย่างนี้น่ะ มันเป็นแค่มายา ผมเจอหล่อกว่านี้มานักต่อนักแล้ว แล้วยังไง? หล่อแล้วเป็นไง ไม่ใช่ว่าจะไม่คิดนอกใจ ไม่ใช่ว่ามันจะจงรักภักดีเสมอไป โอ้ย วกเข้ามาหาตัวเองจนได้
“บ๊ะ คั่กแล้วเด้นี่ เสี่ยว(เพื่อน)ผมอยู่บ้านหล่อกว่าผมอีก ผมแนะนำให้เอาบ่อ้าย”
“อยากคุยต่อบ่” ผมสวนขึ้นกลางปล้อง มันสะอึกครับ
“อยากล่ะเนาะ แม่นหยังอีกน้อบัดตานี้(คราวนี้)”
“คันอยากคุยต่อ อย่าสิเว้าทั่วทีป บ่มัก บ่ได้กระสันสั่นอยากได้พ่อซาย บ่ได้หา บ่เคยคึด อยากคุยกะคุยแนวดีๆ” ผมพูดนิ่งๆจ้องเข้าไปในตามัน มันแอบยิ้มครับ หนอย กูซีเรียสนะเว้ย
“ซีเรียสเนาะเจ้าน่ะ สรุปว่าผมหล่อ เอออ้าย ยืมโทรศัพท์แน่ะ แบตผมเหมิด” นั่น มาแบบนี้อีกแล้วครับ มันยกโทรศัพท์ของมันให้ผมดู
“บ่ได้เติมเงินมา” ผมน่ะหรือจะยอมง่ายๆ หึหึ เด็กเมื่อวานซืน
“สิยิงเบอร์หาหมู่ซื่อๆดอกอ้าย บ่ได้ใช้เงิน” มันก็ไม่ยอมครับ
“อย่าสิยิงเข่าเบอร์เจ้าของเด้อล่ะ มุขตื้นๆ” ผมแสยะยิ้ม
“บู้ย คั่กเนาะเพิ่น ผมขอเทื่อเดียวท่อนล่ะอ้าย บ่ให้ผมกะบ่ตื้อดอก ผมมีธุระจำเป็นอีหลีดอก กะซั่น(ถ้างั้น) ผมกะบ่ยืมให้ละอายใจดอก” มันทำเสียงซีเรียสครับ เอ่อ มาไม้ไหนเนี่ย ผมเลยตัดใจยื่นโทรศัพท์ให้มัน ที่จริงของผมเป็นรายเดือนล่ะครับ ไม่ได้เติมเงินหรอก มันกดโทรศัพท์ผมอยู่สักพักก็เอาแนบหู
“ดำเบาะ นอนแล้วติ๊ มื้ออื่นเซ้าโตมาฮับเฮาแน่เด้อ อยู่อำเภอ เออๆ เอามาๆ ซ่ำนี้ล่ะ ยืมโทรศัพท์เพิ่น” เอ่อ ไหนบอกจะยิง ไอ้นี่ ผมทำตาเขียวใส่มัน
“คือบ่คุยโดนๆโลด ยืมเพิ่นน่ะ” ผมกัดมันครับ มันยิ้มแหยๆ
“บ่ดอกอ้าย เกรงใจ ขอบคุณครับ” มันชวนผมคุยนั่นนี่อยู่สักพัก ผมก็ดึงผ้าห่มรถทัวร์ที่กลิ่นแปลกๆ ไม่รู้เคยซักบ้างหรือเปล่าขึ้นคลุมหน้าตัวเอง แต่ก็ยังดีที่ผมจะต้องเปิดหน้ามาฟังมันจ้อ ผมหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ครับ นอนบนรถมันไม่ได้สบายนักหรอก หลับๆตื่นๆแต่ตอนตื่นรู้สึกตัวก็มึนๆไม่ค่อยรู้เรื่องว่าถึงไหนบ้างแล้ว
“เข้าอำนาจฯแล้วเด้อ้าย” เช้าล่ะครับ แสงแดดยามเช้ามันแยงตาผม ผ้าห่มหลุดไปกองอยู่ที่พื้น ส่วนหน้าผมซุกอยู่ที่แขนของมัน มือก็กอดแขนมันไว้ เอ่อ
“เฮ้ย” ผมสะดุ้งครับ เพราะมันยิ้มเยาะเย้ยผมอยู่ ผมรีบเบียดหน้าต่างกระจก อายจังเลย
“บ่ต้องอายดอกอ้าย อ้ายกอดผมเหมิดคืนเอาโลด ผมเลยนอนบ่หลับซ่ำ รับผิดชอบเด้อนี่” มันยังคงแซวผมอยู่ครับ พอดีมีโทรศัพท์เข้ามา เพื่อนสาวแน่ๆ
“อ้วนเหรอ เข้าอำนาจแล้ว โตมาฮอดแล้วติ๊ ถ่า(รอ) คราวเดียวเด้อ” ผมรีบพูดไปแก้เขิน
“แม่นคนนั่งข้างบักนุที่เป็นทหารแม่นบ่ครับ ผมขอเว้านำมันแน่” หือ นุไหน
“นุไส บ่มีดอก โทรผิดแล้วล่ะท้าว” ผมรีบตอบไป อายจนมึน เอ๋อจนงง
“ฮ่วยๆ คือว่าจั่งซั่น ผมนี่เด้ล่ะ” ไอ้นั่นมันรีบพูดครับ ผมเลยหันไปมองหน้ามัน อ้อ มันนี่เอง อ้าวแล้วมันเอาเบอร์ผมไปแจกใครตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย อ๊ะ หรือว่าเมื่อคืน ไหวไหมเนี่ย เวหา
“เออ เข่าอำนาจแล้วล่ะ อีกบ่เกินซั่วโมง เออ เพิ่นเอ๋อนอน เข่าไปหาอีแม่แล้วติ๊ เออๆ พ้อกันเสี่ยว” มันคุยเสร็จก็ยื่นโทรศัพท์คืนผม ผมยังคงหน้างออยู่ แต่ก็รีบคว้าโทรศัพท์คืนมา มันอมยิ้มครับ
“อ้ายอายุซาว (ยี่สิบ) ท่อได๋ ซาวแปดได้บ่” เอ่อ ยิ้มหน้าบาน
“แม่น” เลวไปไหมผม อิอิ มันแสดงแววตาที่จริงจังมากครับ นี่ผมดูแลเป็นคนอายุยี่สิบปลายๆเองเหรอ อยากจะกรี๊ด ดีใจอ่ะ
“เออ ยิ้มแน่แหม่ะ คนเป็นตาเบิ่งอยู่กะคือมาเฮ็ดหน้างออยู่คือแมงละงำ” (แมลงน้ำชนิดหนึ่งมีเหมือนมือคอยปิดหน้าอยู่ตลอดเวลา) แท้ดอก” ยิ้มอ่ะ อิอิ มันจะว่าอะไรก็ช่างมัน มันตาถึงนะเนี่ย ผมพยายามยิ้มให้น้อยหน่อยเพราะเดี๋ยวตีนกาขึ้นมามันจะรู้ความจริง
“ป่ะอ้าย ฮอดบ้านล่ะ มาเด้อขวนเอ้ย มาเด้ออ้ายเวเมือบ้านเฮา” มันลุกก่อนผมครับ ที่มันพูดคือการเรียกขวัญของคนอีสาน เวลาไปไร่ไปนาหรือไปที่ต่างถิ่น คนแก่กว่าจะเป็นคนเรียกขวัญเด็กกว่าเวลาจะกลับครับ แต่เอ๊ะ
“มาเด้อขวนเอ้ย บักหล่านุสิเมือบ้านเด้ทีนี้ อย่าสิมาติดอยู่เทิงรถทัวร์เด้อ” ผมไม่ยอมครับ มันส่ายหน้าแต่ก็หัวเราะ
“ใบได๋ของอ้าย” มันถามผม เพราะมันกำลังจะดึงกระเป๋าลงจากช่องวางกระเป๋าเหนือหัวเรา
“เป้สีน้ำเงิน” ผมบอกมัน มันหน้าที่ของทหารนี่นะ ผมขอบใจมันแล้วก็เดินลงรถไปก่อนมัน เพราะใต้รถมีกระเป๋าเดินทางอีกใบ สมบัติผมก็มีอยู่เท่านี้ล่ะครับ
“ศรีๆ” เอ่อ อีอ้วนครับ เรียกแหกปากเรียกกูมาแต่ไกล อายบ้างอะไรบ้างเถอะ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ใครรู้ว่ามึงกับกูเป็นตุ๊ด อีนี่
“ค่อยๆแน่ห่ามึง ฮ้องดังหลาย” ผมทำปากขมุบขมิบด่ามัน แต่เหมือนว่ามันจะไม่สนใจ
“ว้าย จบ (สวย) ขึ่นเด้นี่เนาะ หน้าขาวแท้ ไสล่ะกระเป๋าเธอน่ะ” ออกสาวมาแบบจัดเต็มมาก แต่มันก็ไม่ได้แต่งหญิงหรือทำเหมือนกะเทยที่เห็นในยูทูปนะครับ มันอวบระยะสุดท้าย มีหนวดมีเครา แต่ท่าทางนางจะหวานพราวไปด้วยเสน่ห์และจริตที่มากกว่าผู้หญิงเสียอีก
“แน่นอนล่ะเนาะ คนเขากะผู้จบมาแต่ได๋ (สวยมานานแล้ว สวยมาแต่เกิด ประมาณนี้)”
“หวืย พุ่นล่ะเพิ่น คันย่อง(ชม)แน่ เลียปากปานหมา” มันด่าผมครับ
“อีนี่ นั่น ใบสีแดงดำนั่น ลากออกมา แล้วเอารถหยังล่ะมาฮับน่ะ สิเอาเมือเหมิดบ่” ผมชะเง้อไปด้านหลังตรงที่มันออกมา
“อ้ายโตเอารถกระบะมา เพิ่นมาตลาดนำ ถ่าเพิ่นอยู่รถจักคราว” อ้าว พี่ชายผมก็มาครับ
“อ้ายๆ เมือจั่งได๋ล่ะครับ” ไอ้นั่นมันเข้ามาทักครับ
“ว้าย ผู้ชาย” เอ่อ น้อยๆหน่อยจ๊ะเธอ ผมอายจนหน้าแดง คนที่ลงรถไม่ได้มีแต่ผมกับไอ้ทหารนี่นะครับ เขามองกันใหญ่ ผมรู้สึกหน้าลีบหดเล็กลงเท่าฝ่ามือได้
“สวัสดีครับผู้สาว มาฮับอ้ายเพิ่นนี่บ่ครับ”
“จ้า มาฮับนางนี่ล่ะ บู้ย อยู่บ้านได๋ล่ะอ้ายน่ะ นางอยู่บ้านท่าของเด้อจ้า เฮือนอยู่เลาะท่งหลังคาแดงๆ” เอ่อ แรดไปป่ะอีอ้วน สายตาท่าทางนี่แบบว่าอ่อยเต็มพลัง
“ผมอยู่บ้านท่าแฮดครับ เคยไปอยู่ดอก บ้านอ้ายเพิ่นเด้ล่ะ หลังคาสีหยัง” นั่น วกมาหาผมจนได้
“บ่มีหลังคาดอกเฮือนมันน่ะ บ่เป็นตาไปยามจักเม็ด เฮือนนางจั่งเป็นตาไปเด้ล่ะจ้า” อีปอบ ผมทนไม่ไหวครับ
“สิจีบกันโดนบ่ เฮาอยากกินกาแฟ ไปร้านโกก่อนเด้อ” ผมทำตาถลึงใส่อีเพื่อนสาวครับ แหมๆ เห็นผู้ชายหน่อยของในมือมันทิ้งหมดเลย
“ผมกะอยากกินกาแฟคือกัน ป่ะเอื้อยไปคุยกันอยู่ฮ้านโก” เอ่อ ตามมาเพื่อ
“เดี๋ยวเด้อ หมู่ผมฮอดไสบู้นี่ อ้ายๆ ผมยืมโทรศัพท์อีกแน่” โอ้ย ไม่พ้นกูสิ ผมทำหน้าเหวี่ยงๆใส่ แต่ก็ยอมยื่นโทรศัพท์ให้มัน
“ว้าย ศรี คือเฮ็ดแนวนี้ บ่งามเด้ เฮ็ดหยังบ่สมหน้าสมตาเนาะ ให้โทรศัพท์พ่อซายได้จั่งได๋ ใจง่าย มักมากในกาม” อีอ้วนมันลากผมไปไกลๆไอ้นั่นล่ะครับ ไม่กลัวมันถือโทรศัพท์กูวิ่งหนีไปเลยว่างั้น มันจีบปากจีบคอด่าผม
“แบตมันเหมิดเด้เนาะ บ่ได้ยั่ว บ่ได้อ่อย โตนั่นล่ะอ่อย หวืย เห็นโตผู่(ตัวผู้)แน่ หมู่พวกนี่ลืมเนาะ”
“ว้าย ศรี มันก็มีบ้าง หายากแท้เด้ล่ะ เพิ่นคือหล่อแท้ล่ะ เป็นตาแซ่บบ” เอ่อ มันทำปากสั่นๆตอนมันพูดว่าแซ่บเหมือนปอบเลยนะครับ ผมอดไม่ได้หัวเราะออกมา อีบ้า
“โพดเนาะ” ผมหัวเราะจนน้ำตาไหล คือเป็นเสียงหัวเราะแรกของเดือน ของปีเลยก็ว่าได้ เพราะเพื่อนคนนี้
****************
ชอบไม่ชอบก็ติชมกันได้นะครับ ภาษาอ่านยากนิดนึงนะครับ เพราะเป็นภาษาถิ่นแดนริมโขง 5555
ปล. ยังไม่จบนะครับ เดี๋ยวลงให้อ่านต่อ
-
กรี๊ดดด คุณ eiky คิดถึงมาก ๆ ค่ะ เห็นชื่อแล้วรีบพุ่งเข้ามาทันที ขอตัวไปอ่านก่อนนะคะ ^____^
-
:katai5: ตามติด ติดตาม
คิดถึงคุณอิ๊ก :กอด1:
-
คิดถึงจังค่ะ
ดีใจ แม้มาเป็นเรื่องสั้น ก็ยังดี 55555
-
#ปัก ขอเวลาทำงานก่อนจร้าาาา
-
:-[ :-[ :o8: :o8:
มีคนยังจำผมได้ด้วย อิอิ
ขอบคุณนะคร้าบบบ
-
ติดตามครับ
-
Chapter 2
[/size]
“เฮ้ยดำๆ” เสียงไอ้นั่นมันร้องเรียกเพื่อนมันล่ะครับ ผมไม่ได้หันไปมอง เดินไปที่ร้านโกขายกาแฟหน้า บขส
“กินกาแฟก่อนเสี่ยว นี่อ้ายอยู่บ้านท่าของ” มันแนะนำให้รู้จักกับอีอ้วนครับ
“ว้าย ดำ ฮู้จักกันแล้ว เป็นเสี่ยวกันติ๊” อีอ้วนทำเสียงสูงท่าทางดีใจ บิดตัวประหนึ่งว่าเอวนางบางมาก ไอ้คนชื่อดำตัวสูงใหญ่กว่าไอ้ทหารอีกครับ ท่าทางล่ำสันทีเดียว
“นี่อ้ายเว” จะมาแนะนำทำไมวะ ไอ้ดำมันแค่พยักหน้าครับ ผมก็แค่พยักหน้า แต่กับอีอ้วนมันยกมือไหว้ ผมคงดูไม่น่าเคารพนับถือมั้ง
“ฟ้าวเมือๆ เฮาสิลงไปฮุด (ไถดะ) นาอยู่เด้ สวยๆ (สายๆ) จั่งไปสิซ่อยงาน” ไอ้คนชื่อดำบอกออกมา
“เออน่า คราวเดียวท่อนล่ะ คองตา (เพิ่งจะ)มาฮอดหนึ่งแหม่ะ ให้เซาเมื่อยซะก่อนแน่ห่ามึง นั่งๆ กินกาแฟซะก่อน เฮาสิไปซ่อยไถดอกน่า” ไอ้ทหารมันตบบ่าเพื่อนตัวสูงดำสมชื่อของมันครับ
“ศรีๆ ดำเนี่ย เป็นที่หมายปองของนังก.ทั่วตำบล บ่มีผู่สาว โสด ดู๋(ขยัน)คั่ก แต่ทุกข์อยู่ เฮากะอยากสิกินเพิ่นมาโดนแล้ว อิอิ มักเขาอ่ะเธอ” เอ่อ อีอ้วนมันเข้ามากระแซะผมครับ เกินไปแล้วอีนาง
“กินกาแฟนำกันก่อนติ๊ล่ะดำ อีแม่เป็นจั่งได๋ล่ะ ซำบายดีบ่จ้า” อีอ้วนมันจีบปากจีบคอ ทำตาเล็กตาน้อยถาม
“ดีอยู่” มันตอบห้วนๆครับ สีหน้านี่ไม่เอาใครเลย ผมนึกหมั่นไส้มันขึ้นมา แต่ก็ไม่สนใจยกแก้วกาแฟร้อนขึ้นซด
“พรวด โอ้ย โก ฮ้อนแท้” เอ่อ คือไม่ทันดูพรวดออกมา อายสิ
“เอ้า กะสั่งกาแฟฮ้อนเนาะ เป่าก่อนติ๊ล่ะหล่า มันกะลวกปากซั่นตั้ว” เอ่อ โกแกได้ยินครับ เพื่อนสาว ไอ้ทหารรวมถึงไอ้ดำ หัวเราะเยาะผม เบะปากอีกต่างหาก
“จั่กไผฟ้าวเนาะ ว่าแม่นบักดำเสี่ยวผม อ้ายกะฟ้าวติ๊” ไอ้ทหารมันแซวครับ
“ฟ้าวล่ะเนาะ มาฮอดบ้านแล้ว บ่อยากมาเลาะอยู่โดน เสียเวลา” ผมตอบมัน
“ว่าแต่มาจั่งได๋ล่ะผู่สาว” มันไม่สนใจผมครับ หันไปหาอีอ้วน
“เพิ่นเอารถกระบะมาฮับ เมือนำกันบ่ล่ะผู่บ่าว อิอิ” อีนี่ก็นะ ประหนึ่งว่าโดนผู้ชายจีบอยู่ บิดซะตัวจะเป็นเกลียวอยู่แล้ว ผมล่ะหน่าย อายก็อายแต่ก็ต้องทำหน้าเชิ่ดๆไว้
“บ่เป็นหยังดอก หมู่เอารถมาฮับ”
“มึงสิเมือนำเพิ่นกะได้เด้อบักนุ รถกูมันฮ้างๆ ซั่นกูเมือก่อนเด้อ” ไอ้นั่นมันเหมือนไม่พอใจครับ มันลุกขึ้นทันที
“เอ้าๆ บักห่านี่ เออๆ อ้ายๆ ผมไปก่อนเด้อครับ มื้อแลงสิเลาะไปเล่นนำเด้อ” มันร้องบอกผมครับ ผมก็ไม่สนใจ
“เคียดซ่ำผู้บ่าว” อีอ้วนมันพูดออกมา สายตาละห้อย
“เคียดหยัง” ผมถามไปงั้นล่ะครับ
“เคียดตั้ว บ่น่าเว้าเลยเฮา เพิ่นทุกข์เด้ล่ะเฮือนเพิ่น เฮียนกะจบ ม.๖ บ่เฮียนต่อ ออกมาเฮ็ดนาซ่อยแม่ เพิ่นยังแม่อยู่ผู้เดียว บ่สุงสิงกับไผ ไปแต่นา” ผมพยักหน้า ก็ไม่เห็นจะมีผมด้อยอะไรเลยนี่ จะน้อยใจอะไรวะ
“บ่แม่นเพิ่นย้านเธอเหรอ เฮ็ดหน้าคือสิกินเขานี่แหม่ะ ตาย้าน” ผมเหน็บมันแล้วหัวเราะ
“ว้าย เว้าโพด (พูดเกินไป) หลายศรี เอื้อยออกจะสวย พ่อซายทั้งตำบลยกให้เป็นโอท็อปเด้ล่ะ”
“แรดแม่นบ่”
“ว้าย สวยค่า อย่ามาหาว่าเอื้อยแรดนะ เอื้อยน่ะ กุลสตรีไทยยังอาย สวย มีฝีมือ มีมารยาท งามอย่างไทย น้ำใจงาม มีเฮือนสามน้ำสี่ ปริ่มค่ะ” เอ่อ
“สวัสดีค่ะ หญิงพี่ ป่ะเมือ อย่าเพ้อหลาย งามคั่กเนาะเพิ่น บ่ขึ้นประกวดนางงามนพมาศซะให้มันแล้ว”
“ขึ้นแล้วเด้ล่ะ แต่พวกกรรมกะโหลกกะลามันบ่เห็นความงามของเอื้อย” เรื่องจริงเถอะ
“ป่ะๆ เมือ เว้าโดนหลายหิวเข่า(หิวข้าว) ของฝากฮอดบ้านก่อนเด้อจั่งเอา” ผมตัดบทครับ นางคุยตลอดทาง จ้ออยู่ไม่ขาดปาก กลิ่นของท้องทุ่งรวงทองที่เพิ่งจะผ่านเข้าฤดูเก็บเกี่ยว แต่สมัยนี้เขานิยมเอารถเกี่ยวเอา บางคนนาเสร็จไปแล้วเหมือนที่บ้านผม มันเป็นกลิ่นที่ตอนสมัยเด็กผมชื่นชอบ ลมหนาวพัดมาแล้ว แสงแดดร้อนในตอนกลางวัน แต่อุ่นในตอนเย็น พระอาทิตย์ที่ลับฟ้าจะเป็นตอนที่สวยที่สุด แต่ก็มีระยะเวลาสั้นที่สุด ความทรงจำในวัยเด็กหวนคืนมา พอถึงบ้านพ่อแม่ผมก็ดีใจที่ผมกลับบ้านเสียได้ ห้องผมตอนนี้ทำเป็นห้องพระไปแล้ว คิดดูว่านานแค่ไหนที่ผมไม่ได้กลับไปเหยียบบ้าน กลับก็แค่ช่วงเทศกาลไม่กี่วัน นอนชั้นล่างไม่ได้ขึ้นไปข้างบน อีอ้วนมันกลับบ้านแล้ว เพราะที่บ้านมันเหมือนจะติดงานทำพาขวัญให้เขาอยู่ มันมีฝีมืออย่างที่มันคุยล่ะครับ งานฝีมือพวกเย็บปักถักร้อยนี่ ไม่น้อยหน้าใคร แต่ผมสิ ผมมีอะไร ผมไม่มีอะไรเลย ไม่มีความสามารถ ไม่มีฝีมือ ไม่มีใคร เฮ้อ
“ไปกินเข่าก่อนติ๊ล่ะลูก แม่แกงผักอีฮุม(มะรุม)ไว้ จั่งมานอน” แม่ผมขึ้นมาตาม
“วันจันทร์จั่งไปหม่องเฮ็ดงานพ่อ บอกหัวหน้าสาธารณสุขไว้แล้ว เตรียมมาบ่ล่ะเอกสารน่ะ” พ่อผมถามตอนกินข้าว
“อย่าฟ้าวหลายพ่อ เซาเมื่อยก่อนแน่ะ บ่ทันอยากคึดเรื่องงาน” ผมบ่ายเบี่ยงไปก่อนครับ
“ฮ่วย ซ้าสิทันเขาติ๊ ฝากไว้ตั้งโดนแล้ว บ่ไปจักเทื่อ คนอยากเฮ็ดกะหลายคือหยัง เพิ่นอยากเห็นหน้าเห็นตาซื่อๆดอก” พ่อผมยืนยัน ผมก็เลยพยักหน้า อืมๆ ไปก็ไป
“ปีนี้ได้เข่าหลายบ่ล่ะพี่นาง” พอกินข้าวเสร็จผมก็ถามพี่สะใภ้ ที่กำลังนั่งให้นมหลานสาวคนเดียวในวงศ์ ส่วนหลานคนโตมันไปโรงเรียนแล้วครับ อยู่ ป.๑
“เติบ(เยอะ)อยู่เด้ล่ะปีนี้ พ่อเพิ่นดำเอาบ่หว่านคือปีก่อน”
“นาหลายกะด้อ(คำวิเศษณ์ บอกปริมาณว่าเยอะ)คือดำเหมิด” ผมเหมือนไม่เชื่อ นาผมเกือบ ๕๐ไร่ คือรวมๆกันนะครับ
“จ้างเขานำ บ่ฟ้าวล่ะเนาะ ไปฟ้าวนำเขามันกะจั่งซั่นล่ะ”
“อืม ปีหน้ากะสิข่อยติ๊ซั่นน่ะ ดำนา” ผมรำพึงออกมา ไม่ได้กลัวหรอกนะครับ ตอนเด็กๆก็เคยทำ แต่น้อยล่ะ เพราะพ่อแม่ไม่ค่อยให้ทำ อยากให้เรียนให้สูงๆ จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อกับแม่ แต่มาจนถึงตอนนี้ เวลานี้ ทำไมอยากให้ลูกเรียนสูงๆแล้วทิ้งความเป็นชาวไร่ชาวนา เรียนจบสูงแล้วยังไง ไม่ต้องไปรับจ้างเขา? จบสูงแล้วเป็นนายเขา? ไม่ต้องไปปากกัดตีนถีบในสังคมใหญ่เหรอ เรียนจบมาอย่างผมแล้วก็ต้องตกงาน ตอนนี้ผมอยู่ตรงนี้เหมือนคนไม่มีทางไป พ่อแม่ผมเสียอีก ทำนาพอมีเงินใช้หนี้ หมดหนี้ก็เก็บเงิน อย่างน้อยๆก็มีข้าวในยุ้งกิน ไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรในสังคมใหญ่มาก มาคิดๆดูแล้ว อาชีพชาวนานี่ยั่งยืนกว่าอาชีพที่ผมเพิ่งโดนตะเพิดออกจากงานมาเสียอีก
“เว้าคือเนาะ ปานเพิ่นเฮ็ดเป็น” พี่สะใภ้ผมหัวเราะ
“ไปนอนท่งบ่ล่ะ แม่สิเอางัว(วัว)ออกไปล่าม” ผมก็พยักหน้าครับ เตรียมหมอนไปเพราะเสื่อที่นามีอยู่แล้ว ผมขี้เกียจอาบน้ำ ชุดก็ไม่เปลี่ยนไปทั้งอย่างนั้นล่ะครับ อากาศที่ทุ่งนาสบายมาก เวิ้งของภาพที่หลงเหลือจากการเก็บเกี่ยวไกลสุดลูกหูลูกตา ลมแห้งแล้งแต่เย็นยะเยือกของฤดูหนาวพัดผ่าน ผมเลยหาที่นอนหลับไปได้โดยไม่ยากเย็นเลย จนสายแม่ก็มาปลุกให้กินข้าว
“เฮ็ดสวนอยู่ติ๊แม่” ผมถามเพราะไปมองเนินดินที่บ่อขุดปลายนา เห็นเป็นเขียวๆอยู่ อีกอย่างที่นาแปลงที่อยู่ใกล้ๆบ่อนั้นพี่ชายไถและเหมือนปลูกอะไรไว้ด้วย
“เฮ็ด ลองลงเข่าโพดเบิ่ง คูสา(เนินดินที่ขุดออกมาจากบ่อ)นั่นกะสวนผัก แลงๆจั่งไปหด(รด)” พอกินข้าวเสร็จผมก็เดินวนเวียนอยู่แถวนั้นครับ แม่ออกไปดายหญ้าเตรียมไว้ให้วัวในตอนเย็น พอตะวันคล้อยหน่อยผมก็เลยเดินไปดูที่คูบ่อ แม่ลงต้นหอมไว้สองแปลง ผักกะหล่ำดอก ผักสลัด ผักชี ขึ้นงามมากครับ ผมเลยไปตักน้ำในบ่อมารด กว่าจะเสร็จเล่นเอาลิ้นห้อยเลย
“มื้อแลงอยากกินแป๊ะซะบ่ซั่น เก็บผักไปนำติ๊” แม่ผมร้องมาบอก เออดีเหมือนกันไม่ได้กินนานแล้ว
“ผักนี่ใส่ยาอยู่เบาะแม่” ผมร้องถาม เพราะต้นมันเขียว ใบใหญ่ไม่มีรอยหนอนชอนไชเลยครับ
“บ่มียา ปลูกกินเองสิไปใส่เฮ็ดหยัง” อ้าว แปลว่าถ้าปลูกขายใส่ยาว่างั้น ซวยไปนะท่านผู้ไม่ปลูก อิอิ ผมมีความสุขกับการเก็บผักสดๆในสวนมาก เก็บมาได้แค่พอกินก็เดินไปหาแม่ที่กระท่อม แม่บอกจะกลับแล้ว ต้องต้อนวัวสองตัวกลับเข้าบ้าน ผมก็เลยเดินตาม วัวผมตั้งท้องทั้งสองตัวครับ อากาศยามเย็นมันสวยดีนะ ผมชอบบ้านนอกก็ตอนนี้ล่ะ เสียงวัวควายที่เขาต้อนกันกลับคอก มันมีเสน่ห์ของมัน ลมหนาวพัดแรงขึ้น นั่นหมายความว่าเราต้องเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ผมช่วยแม่จับเชือกวัวตัวหนึ่ง เราถึงบ้านในไม่ช้าครับ หลานชายผมมันกลับจากโรงเรียนแล้วมันก็วิ่งมารับ ตอนเย็นผมก็เป็นคนลงมือเตรียมทำแป๊ะซะ มีพี่สะใภ้ช่วยอีกแรง ส่วนแม่ก็วุ่นอยู่กับวัวและสัตว์เลี้ยงในบ้าน มีหมาตัวหนึ่ง เป็ดเลี้ยงไว้ที่นอกบ้าน เป็นที่ป่ายางเป็นสวนนั่นล่ะครับ ไก่อีกไม่รู้กี่ตัว เสียงเอะอะไม่ว่าจากคนหรือจากสัตว์อึงมี่อยู่ เออนะ
“กินแลงแล้วบ่จ้า” อีอ้วนมาพอดีครับ
“บ่ๆ มาซ่อยเฮ็ดแป๊ะซะแน่เธอ พุ่น ไปฆ่าปลาให้แนะ” ผมใช้มันทันทีครับ คือมันสนิทกับครอบครัวผมมากล่ะ เข้าออกเหมือนบ้านมันเอง
“ว้าย ซ่างว่าแท้ เรื่องบาปๆนี่โยนมาทางเอื้อยดีเนาะ อีนี่แหม่ะ” พี่สะใภ้ผมหัวเราะครับ ผมก็อดขำไม่ได้
“เออน่า คนสวยเฮ็ดหยังกะบ่ผิดดอก” ผมบอกมันครับ
“โพดเนาะ สิให้แขกเหรื่ออย่างอีฉันนี่ติ๊ฆ่าปลา ว้าย ใจดำอำมหิต ไสล่ะมีดน่ะพี่นาง” เออนะ ดูมันครับ มันจัดการปลาได้อย่างมืออาชีพมาก แหมๆทำเป็นบ่นให้ผม ฝีมือทำกับข้าวมันนี่ไม่น้อยหน้าใครนะครับ จะน้อยหน้าอยู่ก็แต่ผม อิอิ
“กินเข่าแล้ว เอื้อยพาไปเลาะบ่ศรี” มันมากระซิบบอกผมครับ
“ไปเลาะไสล่ะ หนาวกะด้อ” ผมทำท่าให้มันรู้ว่ามันหนาวจริงๆ นี่ทำกับข้าวเสร็จก็จะรีบไปอาบน้ำแล้วครับ
“ไปทางบ้านท่าแฮดพุ่นล่ะเนาะ ไปหาผู่บ่าว อิอิ”
“หวืย ซาดเพิ่นเนาะ ไผล่ะ บักทหารนั่นติ๊ หรือบักดำ”
“ไผกะเอา หล่อกะด้อเธอ บ่สนติ๊ เธอเลือกมาเลยคนหนึ่ง เอื้อยสิยอมเสียสละให้ ย้อนว่าเธอเด้นี่ แม่นผู้อื่นเอื้อยบ่ยอมเด้ สิเอาทั้งสอง” ดูมันครับ
“จ๊ะ แม่คนสวย หนาวเด้ล่ะเธอ บ่อยากสะบั้นตายวะ”
“อีนี่แหม่ะ เสื้อกันหนาวกะมี ผ้าห่มกะมี ตุ้ม(ห่ม)ไปติ๊ล่ะ บ่ฮู้ดอก สิพาไป” เอ่อ สรุปมาบังคับไม่ใช่เหรอ ผมทำเป็นหูทวนลมครับ เพราะเดี๋ยวมันคงลืม ผมก็จะแถๆไปอาบน้ำแล้วก็ทำท่าหาวนอน อิอิ
“อีพ่อ มื้อแลงสิพาเพิ่นนี่ไปหาหมู่อยู่บ้านท่าแฮดเด้อ มันบ่กลับมาบ้านโดนหมู่เขาอยากพ้อ” เอ่อ มันขอพ่อผมตอนกินข้าวเลยครับ
“หมู่ไสล่ะ คือบ่ได้ยินข่าวว่ามีหมู่อยู่ทางบ้านท่าแฮดจักเทื่อ” คุณพ่อสงสัยครับ เอาล่ะสิ ผมก้มหน้าลงทันที
“กะหมู่สมัยเฮียนเด้ล่ะพ่อ เพิ่นนี่กะห่างหมู่ไปโดน หมู่ทางบ้านท่าแฮดเพิ่นกะอยู่บ้านบ่ได้ไปเฮ็ดงานกรุงเทพฯ เลยนัดพ้อกัน ซั่นเด้ล่ะ” ดูมันครับ มันแถไปหน้าเนียนๆเลย ผมทำตาโตใส่มัน แต่มันลอยหน้าลอยตา
“สิไปอีหลีติ๊ หนาวคั่ก” ผมยังลังเลอยู่ครับ แต่อีอ้วนมันขึ้นไปประจำที่บนรถเครื่องของมันแล้ว
“ไปล่ะเนาะ ฟ้าวๆแน่ เสื้อกะใส่ให้มันหนาๆแน่ สิมาจ่ม (บ่น) ว่าหนาวอีกดอก” มันว่าผม ผมก็ทำหน้างอๆ
“เดี๋ยวๆ ไปเอาผ้าห่มก่อน” ผมวิ่งกลับเข้าบ้านไปครับ
“โพดหลายศรี ป้าด ไปเลาะเด้ บ่ได้ให้ไปนอน พะโล (เกินไป) เนาะ” สนใจที่ไหนล่ะ หนาวขึ้นมาผมไม่มานั่งขากรรไกรกระทบกันกึกๆหรอกนะ ผมกลับมาพร้อมผ้าห่มผืนเล็ก ห่อตัวเรียบแล้วแล้วก็ขึ้นไปซ้อนท้ายมัน
“โอ้ยเนาะ ซาดเพิ่น เขาสิบ่ว่าแม่นซุมนี้พากันมาหยังบ่” มันบ่นครับ
“บ่สนใจดอก หนาวปานนี้ ไผสิทนไหว เธอบ่หนาวติ๊ โอ๊ะลืมไป เพิ่นคีง(ร่าง)หนาเนาะ”
“ว้าย หยาบคาย แบบเอื้อยเขาเอิ้น อวบค่ะคุณ บ่แม่นอ้วน”
“อวบระยะสุดท้ายติ๊ ฟ้าวไปแน่ สิไปทางได๋ล่ะ อย่าไปไกลเด้อ เฮาเพลียๆอยู่ อยากสินอนแต่เว็น”
“ไปทางบ้านท่าแฮดพุ่นล่ะ คึดฮอดผู่บ่าว” ท่าทางมันระริกระรี้มากครับ จะดีเหรอที่ถ่อไปหาผู้ชายถึงบ้านเขาเนี่ย คือผมเคยไปเลาะกับมันนะ แต่ไปเฉพาะตอนกลางวัน กลางคืนนี่ไม่เคยเลยเถอะ ไม่อยากให้คนมองไม่ดี ไม่รู้สิ เออวะ ยังไงก็ลองไปกับมันดู
“ทางซาดมืดเนาะ ย้าน (กลัว)” ผมเบียดเข้าหามันครับ เอาผ้าห่มคลุมกระชับมือ
“มาๆ เอื้อยสิลำให้ฟัง โอ๋ละนอ ลีลาวดีน้อหมอยไหม้ (หะมอยนั่นล่ะครับ) เฮ้ดจั่งได๋สิได้เห็นหน้าพี่ อี๊ๆๆ” ดูมันสัปดนแค่ไหน
“อีบ้า ฮ่าๆๆ” ผมอดไมได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง ทางไปบ้านท่าแฮดนั้นเป็นทุ่งนา มีป่าละเมาะที่มืด น่ากลัวมากครับ พอมันลำขึ้นมา ผมก็ไม่กลัวอะไรเลย ช่างคิดเนอะ
“เอ้า กะลีลาวดีว่าสิดังไฟ (ก่อไฟ) เผลอเด้ค่ะ ไฟเลยลาม อิอิ” มันหัวเราะ มีอีกหลายเรื่องที่มันเล่า และผมก็หัวเราะแบบเอาเป็นเอาตาย จนเหนื่อยน้ำตาเล็ด ไม่นานนักก็เห็นแสงไฟจากหมู่บ้านเป้าหมาย
“จอดนี่ล่ะ ไสโทรศัพท์เธอน่ะ” อ้าว มันจอดตรงทางเข้าหมู่บ้านครับ เป็นศาลาเปลี่ยวและมืดมากขอบอก
“ปิดเครื่องไว้อยู่ สิโทรหาไผ” ผมสงสัยครับ ผมไม่มีเพื่อนบ้านนี้ มันเองอาจจะมีเพราะมันอยู่ที่บ้าน
“เออน่า เปิดติ๊เนาะ” มันเร่งครับ ผมเลยรีบเปิดเครื่อง ปิดตอนมาถึงนั่นล่ะชาร์จแบตเอาไว้ พอจะออกมาเลยวิ่งเข้าไปหยิบมายังไม่ได้เปิดเครื่อง
“ไผโทรเข้าคือหลายสายแท้” พอเปิดเครื่องมาหน้าจอก็เด้ง
“ไส เบอร์ไผบู้ บ่ฮู้ดอก” ผมเองคิดในใจ ว่าที่กรุงเทพฯโทรมาหรือเปล่า น่าจะเพื่อน แต่เพื่อนก็ต้องมีเบอร์ผมสิ ผมไม่ได้ไปสมัครงานที่ไหนไว้ก่อนมา ไม่น่าจะเป็นเรียกสัมภาษณ์งาน หรือพวกทวงหนี้บัตรเครดิต เออ น่าจะใช่
“ลองโทรเบิ่งติ๊ล่ะเธอ มางงสงสัยอยู่นี่สิฮู้อยู่ติ๊” อ่านะ ว่ากูซะงั้น มันยื่นโทรศัพท์คืนมาครับ
“บ่ๆ บ่โทร เขาอยากเว้านำ เขาสิโทรมาเองดอก เธอสิโทรหาไผกะฟ้าวๆแน่ หนาวแล้วเด้” มันหนาวจริงๆนะครับ อากาศทั้งเย็น ไหนจะมีลมพัดอยู่เรื่อยๆอีก คือมากมายเลยล่ะ นี่ขนาดผมใส่เสื้อผ้าหนาแล้วนะ มีผ้าห่มอีก แต่อีอ้วนมันเริ่มมีเหงื่อผุดที่หน้าผาก
“มานี่ เอื้อยโทรเอง” อ้าว มันกดโทรออกเลยครับ
“ฮ่วย ว่าแม่นจมน้ำแล้ว โทรหาเหมิดมื้อหนึ่งแหม่ะเพิ่น” เสียงมันดังลอดออกมาล่ะครับ
“แม่นไผล่ะจ้าเนี่ย” เอ่อ เสียงนี่ผมนึกว่าผู้หญิง ดัดจริตซะจนผมขนลุก
“อ้าว บ่แม่นเบอร์อ้ายเวบ่ครับ” เสียงแบบอึ้งๆ
“แม่นจ้า นี่หมู่เพิ่น ซื่อ ออมจ้า” ผมหมั่นไส้อีอ้วนมากครับ ไม่แปลกใจเลยถ้าหากจะมีคนมาเจอมันด้วยเสียงของมัน เพราะมันบีบเสียงทั้งเล็กและหวาน ผู้หญิงยังอายครับท่าน นี่ถ้าหลับตาผมยังจำไมได้เลยนะว่ามันพูด
“อ้อ เพิ่นบ่อยู่บ่ครับ อยากเว้านำเพิ่น”
“ว่าแต่ไผล่ะจ้า เว้าอยู่นี่แหม่ะ” เออ มันฉลาดครับ
“ผมซื่อนุครับ”
“ว้าย อ้ายนุ ข่อยเอง ออมเด้จ้า ผู้พ้อกันมื้อเซ้านี่เด้ จำกันบ่ได้แล้วติ๊ โอ้ย ข่อยเสียใจแฮง” เอ่อ มันแหกปากขึ้น ผมจนสะดุ้ง
“อ้าว เจ้านั่นติ๊ ว่าแม่นผู่สาวทางได๋ คือมาเสียงหวานแท้”
“อุ้ย แนวอื่นกะหวานเด้ล่ะจ้า อิอิ” ปลวก ดูมันครับ ผมล่ะอายแทน
“ไสล่ะอ้ายเวน่ะ ผมเว้านำเพิ่นแน่” มันทำตาเหลือกใส่ผมครับ อ้าวนะ ก็โทรศัพท์กูป่ะได้ข่าว เขาจะคุยกับเจ้าของโทรศัพท์มันก็ถูกแล้วนี่ มันค้อนให้ผมด้วยเอ้า
“ครับ” ผมรับสายมันครับ
“บู้ย หาโตยากน้อเจ้าน่ะ อยู่ไสล่ะนี่” จะคุยดีไหมเนี่ย มาทำเสียงสูงใส่ผม ดังซะจนเอาโทรศัพท์ออกแทบไม่ทัน
“อยู่นี่ล่ะ แม่นหยังล่ะ มีหยังเหรอ” ผมกวนมันเล่นครับ
“พุ่นแล่ว ว่าสิซวนมาเบิ่งหมอลำซิ่งซั่นดอก มื้ออื่นจั่งมีหมอลำหมู่ มาอยู่บ่ ผมสิไปฮับ”
“บ่ๆ หนาวคือสิตาย บ่เป็นตาเบิ่งดอกหมอลำซิ่งน่ะ บ่มัก” ผมตัดบทครับ
“ว้าย เบิ่งๆ มาฮับเอาออมแน่จ้า เนี่ยถ่าอยู่ทางเข้าบ้าน หม่องศาลานี่แหม่ะ ตาย้าน ตาย่าน” เอ่อ มันแทรกหน้าเข้ามาครับ อีนี่ ตบซะทีดีไหมเนี่ย ได้ยินเสียงผู้ชายหน่อยต่อมคันมันทำงานว่างั้น
“เอ้า ซั่นติ๊ ขี้ตั๋ว (ขี้โกหก) เนาะเจ้าน่ะ เดี๋ยวๆสิจัดการ”
“ตั๋วหยัง กะบ่ได้อยากเบิ่งเด้ล่ะ มานำหมู่ซื่อๆ” ผมแก้ตัวไปครับ ก็จริงนี่ผมมากับอีอ้วนเฉยๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรพิเศษ
“ถ่าอยู่นั่นล่ะ เอารถหยังล่ะมา”
“อ่ะคุยแน่ คร้านเว้า” ผมยื่นโทรศัพท์ให้อีอ้วนครับ มันรีบรับไปคุยเสียงอ่อนเสียงหวานทันที มีแบบว่าเดินออกไปห่างๆผมด้วยนะ เออ เอาเข้าไป ไม่นานมากครับ ก็มีเสียงรถเครื่องดังมาจากในหมู่บ้าน ไอ้นั่นมันมากับไอ้ดำครับ
“บ่หนาวติ๊ผู้บ่าว คือบ่ใส่เสื้อหนาว” อีอ้วนมันปรี่เข้าไปหา ไอ้นุมันใส่แค่กางเกงบอลแต่ใส่เสื้อกันหนาว ส่วนไอ้คนชื่อดำมันใส่ชุดบอลมาเลยครับ ไม่หนาวกันหรือไง
“ฮ่าๆ โอ้ย หนาวคั่กบ่เจ้าน่ะ โพดเนาะ” มันไม่ได้สนใจอีอ้วนเลยครับ มันหัวเราะผมเสียงดังมาก ไอ้ดำมันก็ขำๆไม่ออกอาการมากเหมือนไอ้นุ
“ฮ่วย คนหนาวแหม่ะ เรื่องของข่อยเด้ล่ะ” ผมเคืองครับ แหมนะ แค่เอาผ้าห่มมาด้วยนี่มันแปลกมากนักเหรอวะ
“ไปๆ เข้าไปในบ้าน แต่อยู่เฮือนเพิ่นวุ่นวายเด้ล่ะ ไปกินเฮือนโตบ่ดำ” มันหันไปถามไอ้ดำที่ยืนเหมือนว่ากลัวอีอ้วนอยู่ข้างๆรถ
“อีแม่เพิ่นนอนเด้ล่ะ มื้ออื่นเพิ่นสิลุกมาซ่อยงานแม่ป้าแต่เดิก(ดึก) ไปเถียงนาเฮากะได้” เอ่อ ไปกระท่อมปลายนา ไปเพื่อ คิดอะไรไม่ดีหรือเปล่าสองคนนี้
“อีหยัง มาเลาะบ้านเด้อนี่ บ่ได้มาเลาะท่ง บ่ไปนำดอก” ผมดอดขึ้นครับ
“ว้ายศรี ไปจ้าไป เธอบ่ไปกะถ่าเอื้อยอยู่นี่ติ๊ล่ะ” อีเพื่อนทรยศ โอ้ย อยากจะกรี๊ด มันเห็นดีเห็นงามกับผู้ชายแบบว่าทิ้งผมหน้าตาเฉย เจ็บปวดที่สุดก็ตอนนี้ล่ะ ผมพูดไม่ออก อึ้งอยู่
“หรือเจ้าอยากเบิ่งหมอลำซิ่ง กะเพิ่นว่าบ่อยากเบิ่งแหม่ะเนาะ ฮ่วย คือเอาใจยากแท้ล่ะ” ไอ้นุมันบ่นให้ผมครับ ผมหน้าหงิก
“ซั่นเฮากะสิเมือ โตอยู่นี่ล่ะ” ผมงอนครับ เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อน จำไว้เลย
“อ่ะกุญแจน่ะ แต่เธอขับดีๆเด้อล่ะ หม่องดอนนาทวนน่ะ มื้อวานคองตา(เพิ่งจะ) มีคนพ้อเด้ล่ะเธอ ผมยาวๆซะ อาว(อา) ไก่เพิ่นกะมาบ้านนี้ล่ะ ขับอยู่ดีๆรถล่ะว่าหนักตึ้งโลด หันกลับไปเบิ่งล่ะบ่มีหยัง พอขับไปกะแห่งหนักขึ้นๆ พอเพิ่นเหลียวเบิ่งกระจก ล่ะมีแม่ยิง (ผู้หญิง) ผมยาวลากขี้ดินอยู่” เอ่อ ผมเบียดเข้าไปใกล้ๆมันครับ
“บ่ต้องมาเว้าให้ย้านดอก บ่เซื่อ” ผมยังยืนกราน
“เอ๋า กะเมือติ๊ล่ะเนาะ” อีนี่ ผมมองไปทางดอนที่เราเพิ่งจะผ่านมา เงาทะมึนๆนั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“เอาจั่งได๋ล่ะเพิ่น” ไอ้นุมันเร่งครับ
“โอ้ย ตาซังเนาะ ฮ่วย บ่น่ามานำเลย” ผมหันไปแหวใส่อีอ้วนที่บิดเอวอยู่ข้างๆไอ้นุ น่าโผเข้าไปตบมาก อีเพื่อนสาวทรพี
“ซั่นเจ้าขับเอารถข่อยติ๊ล่ะ ข่อยสิไปนำเพิ่นนี่” อีอ้วนครับ เวลามันคันนี่น่าเกลียดเนอะ ผมยืนเคืองอยู่ไม่หาย มันดันยัดเยียดให้ผมไปกับไอ้นุ แล้วตัวมันเองจะซ้อนไปกับไอ้ดำ เออนะ เริ่มมีอารมณ์ก็ตอนนี้ครับ
“อีอ้วน คือเฮ็ดแนวนี้” ผมเสียงแข็งครับ มันหลับหูหลับตาเหมือนส่งสัญญาณอะไรให้ แต่ผมไม่ได้สนใจแล้ว อะไรวะ จะอยากได้ผู้ชายจนหน้ามืดแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ
“บ่ได้ดอก ให้เพิ่นนำก้นไปนั่นล่ะ อย่าสิเว้ายากหลาย” ไอ้ดำมันโพล่งขึ้นครับ ท่าทางคงจะรำคาญอยู่ไม่น้อย
“เป็นหยังล่ะผู้บ่าว ข่อยซ้อนไปนำเจ้านี่ล่ะเนาะ”
“บ่ๆ บ่อยากแก่(ลาก)ซ้างวะ” เอ่อ มันพูดหน้าตาเฉยครับ ไอ้นุหน้าเหวอๆแต่ก็ขำอยู่ในที ส่วนอีอ้วนหน้างอ
“เห็นบ่ เขาเห็นโตเป็นซ้างเป็นม้า อยากไปอีหลีติ๊อ้วน” ผมกระพือไฟครับ มันหงอยลงอย่างเห้นได้ชัด
“ฮ่วยดำ คือเว้าแนวนั้น” ไอ้นุมันเห็นผมหน้าตึงๆครับ
“เว้าควมจริงแหม่ะ บ่มักปานได๋เด้อกะเทยนี้น่ะ”
“กะบ่มักปานได๋คือกันล่ะ ผู้ซายปากบ่ดีนี่น่ะ เป็นกะเทยกะบ่ได้สร้างความลำบากให้ไผเด้ล่ะ เฮาบอกโตแล้วแม่นบ่ ว่าบ่ให้มาๆ เป็นจั่งได๋ เขาหยันเอาบัดตานี้ (คราวนี้)” ผมเบะปากใส่ไอ้ดำ แต่ก็หันไปว่าอีอ้วน มันทำหน้าแบบว่านางเอกมากครับ แทนที่ผมจะสงสารมัน แต่น่าตบมากกว่า
“ฮ่วย ตีปากเอาซะน้อ” มันทำท่าจะโผเข้ามาครับ ป้าดติโธ่ ผมไม่กลัวหรอกนะจะบอก มันทำท่าแบบนั้นผมก็ตั้งท่าเข้าหามันเหมือนกัน
“เซาๆ ฮ่วย มึงกะเซาดำ อย่าสิเว้าแนวนั้น เป็นหมู่เป็นพวกกัน อย่าสิมาเหยียดมาหยันกันจั่งซี้ มันบ่ดี ไปๆ มาผู่สาว เจ้ามาขับเอารถเจ้านี่ล่ะ” ไอ้นุมันหย่าศึกครับ ผมกัดฟันกรอดแล้ว อีอ้วนมันก็ตกใจ คงไม่คิดว่าผมจะทำท่าแบบนั้นใส่คนที่ตัวใหญ่กว่า มันก็เข้ามาดึงผมไว้ล่ะครับ
“ใจฮ้อนเนาะศรี เธอฮู้บ่” มันว่าผมตอนที่เราขับตามไอ้สองตัวนั่นไปครับ ใจผมนะชวนมันกลับบ้านแล้วแต่มันก็บอกลองดูก่อน ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ใจฮ้อนหยัง มันว่าโตนั่นน่ะ บ่ได้ยินเหรอ” ผมเดือดอีกครั้ง
“โอ้ย ซ่ำนั่นหนึ่ง บ่เคียดดอก เฮาถืกว่าจนซินแล้ว เฮาบ่ถือดอก คันมามัวเคียดอยู่นี่ ยามได๋สิมีผัวนำเขาเนาะ” เอ่อ ดูความคิดมันครับ
“คือว่าแนวนั้น ผัวน่ะ บ่มีกะบ่ตายดอก แต่ให้เขามาว่าแบบบ่มีศักดิ์ศรี แนวนี้มันบ่แม่นเด้ออ้วน พวกเฮาสิเป็นหยังกะบ่ได้หนักหัวไผ แค่บ่สร้างควมลำบากให้ผู้อื่นกะพอแล้ว โตบ่มีศักดิ์ศรีเหรอ แต่ก่อนคือบ่แม่นแนวนี้” ผมของขึ้นครับ อะไรมันจะอยากได้ผู้ชายจนลืมเกียรติของตัวไปได้มากขนาดนี้
“มีค่า เธอกะสิเว้าไปหลาย คันผู้อื่นเว้าเฮาสิตีปากเอาพุ่นแล่ว แต่นี่ดำมันเว้า ย้อนว่าหยัง ย้อนว่ามันเป็นพ่อซายเด้ล่ะศรี เฮากะเฮ็ดบ่ถืกที่เข้าไปแสดงท่าทางแบบนั้นใส่มัน พ่อซายร้อยทั้งร้อย บ่มีไผมักกะเทยดอก มันเว้าน่ะถืกแล้ว เฮาไปเฮ็ดใส่มันแนวนั้นเองแหม่ะ”
“บ่มักกะบ่ควรว่าแนวนี้เด้ล่ะ แล้วนี่โตยังสิไปนำพวกมันอีก มันพาไปตีเอาสิเฮ็ดจั่งได๋” ผมกังวลครับ ไม่รู้จะตามพวกมันไปทำไม
“โอ้ย เธอกะดายเนาะ ดำน่ะ เฮาเบิ่งมันมาโดนแล้ว เฮาฮู้จักดี ทั้งนังก. นังข.อยากได้มันเหมิดนั่นล่ะ ดู๋ (ขยัน) นิสัยดี บ่เกเร บ่ฮู้ล่ะ ซ่ำนี้เอื้อยบ่ยอมแพ้ดอก บ่ได้มันกะได้ไอ้นุกะเอา หล่อคือกัน เป็นตานิสัยดีคือกัน อิอิ เซาเว้าๆ อย่าสิปาก (อย่าพูดมาก) เอื้อยสิพาไปออกเฮือน อิอิ” อีบ้า ดูมันครับ ไม่ได้เจ็บปวดกับสิ่งที่ไอ้นั่นมันว่าเอาเลย มีหน้าจะแบกร่างอวบๆอ้วนๆตามเขาไปอีก ผมไม่รู้จะค้านยังไง เพราะมันบิดคันเร่งตามเขาไปติดๆ เสียงรถก็ดัง ผมตะโกนจนแสบคอก็ไม่มีผล ผมไม่พอใจครับ บอกได้เลย ใครหน้าไหนมันก็ไม่มีสิทธิ์มาว่าแบบนี้ เป็นกะเทยเป็นเกย์แล้วยังไง ไม่ใช่เกย์กะเทยเหมือนกันหมดทุกคน มีผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เห็นแก่ผู้ชายแล้วลืมศักดิ์ศรีของตัวเอง โอ้ย อยากจะตบเพื่อนจัง
To be Continued.......
-
Chapter 3
“ว้าย บรรยากาศคือเป็นตาเสียโตแท้” ดูมันครับ ยังคงลั่นล้าปรี่เข้าไปในกระท่อมปลายนา มีต้นไม้ใหญ่ มันมืดไม่รู้ว่าต้นอะไร ผมยังยืนอยู่ที่เดิม บรรยากาศน่ากลัวเถอะ ไม่เห็นจะรู้สึกเหมือนมันเลย ผมยืนดูท่าทีอยู่ เผื่อว่าไอ้สองตัวนี่มันคิดไม่ซื่อขึ้นมาจะได้มีทางหนีทีไล่ได้ทัน
“ผู้สาว เจ้าน่ะถ่าอยู่นี่เด้อ ข่อยสิไปเอาเหล้ากับแนวกินมาจากบ้าน” ไอ้นุมันบอกครับ
“ว้าย เจ้าสองคนสิไปจั่งได๋ บ่เอา เจ้าไปกับข่อย ให้ดำกับหมู่ข่อยถ่าอยู่นี่” อีอ้วนมันบอกครับ ผมสะดุ้งเลย
“อีหยัง บ่อยู่เด้อ บ้าติ๊” ผมโวยวาย
“ถ่าอยู่นี่ล่ะศรี อย่าสิเว้ายาก (ดื้อ)” มันว่าผมครับแล้วจูงมือไอ้นุไปที่รถของไอ้นุ ผมยืนนิ่ง
“กุญแจรถเด้เธอ เอามาแหม่ะ บัดลังเทื่อ (บางที) เฮาสิได้เมือก่อน เผื่อมีหยังเกิดขึ้น” ผมพูด
“หวืย สิลักเมือจั่งได๋ สิทิ่มเอื้อยติ๊ ถ่าอยู่นี่ล่ะ ดำ อย่าสิเฮ็ดหยังหมู่เอื้อยเด้อล่ะ อิอิ” อีอ้วนมันแซวครับ แต่ไอ้ดำมันทำยังไงรู้ไหม มันครากเสลดแล้วถุย ผมโกรธมากครับ สองคนนั่นก็อึ้งแต่ก็รีบไป อ้าว
“อยากตีปากกะเทยเด้” พออยู่กันสองคน มันพูดขึ้นลอยๆครับ ผมพยายามนิ่งไว้ แต่ก็คันปากเหลือเกิน
“อุ๊ย เสียงหมาอยู่ไสมาเห่านี่แหม่ะ คือเลยเดือนเก้ามาโดนแล้ว” ผมก็ไม่ยอมครับ
“เว้าหยัง อยากปากแตกติ๊” มันปรี่เข้ามาหาผม ผมก็ยืนจังก้ารอ
“เป็นหยังล่ะ บ่ได้ว่าให้เจ้าเด้ล่ะ เดือดฮ้อนเหรอ”
“เว้าแนวนี้ หมายควมว่าจั่งได๋” มันจ้องหน้าผมเขม็ง
“แล้วเจ้าเว้าแนวนั้น หมายควมว่าจั่งได๋” ผมย้อนมันครับ จ้องมาก็จ้องกลับ เอาสิ เจ็บก็เจ็บ ต่อยปากคนตัวโตกว่าหน่อยจะเป็นไร
“คือเว้านั่นล่ะ ซังกะเทย พวกหิวพ่อซาย บ่มีหน้าเวียก ตกแลงมาแล่นหาแต่แนวม่วน” ดูเหมือนไอ้นี่มันจะมีปมในใจ ท่าทางเหมือนผมด่าแม่มันอย่างนั้นล่ะ
“เว้าให้มันดีๆเด้อ ที่มากับหมู่นี่บ่ได้มาหาพ่อซาย แล้วกะบ่ได้แรดร่าน อย่าสิมาดูถูกกัน” ผมตะเบ็งเสียงแข่งมันครับ มันเข้ามาประชิดตัวผม มือก็ง้างหมัดก็กำ ผมก็ถอยที่ไหน ที่จริง มานี่อีอ้วนมันก็พามาหาผู้ชายนั่นล่ะครับ เห็นไหมล่ะ เสียหมาเลย จะด่ามันก็ไม่เต็มปาก
“อย่าสิมาเว้าคือ ค่ำมืดสิพากันแล่นมาหยัง คันบ่แม่นมาหา..ค...(คำหยาบ)”
“บักอันนี่แหม่ะ คนมันบ่คือกันเด้ ปากหมา” ผลักอกมันทันทีครับ มันก็ผลักคืนเหมือนว่ามันไวกว่าผม ตัวผมเล็กกว่ามันเซปลิวไปด้านหลังล้มลงเลย มันโถมเข้ามา ขึ้นคร่อมผม มันง้างหมัด เอ่อ ตกใจ ผมเอามือขึ้นกุมหน้า ต่อยตรงไหนก็ต่อยไปเถอะ เว้นหน้าให้กูหน่อย เดี๋ยวโดนสอบ
“ถุย โตซ่ำหมานี่ เว้าคือ” มันไม่ต่อยครับ
“บักอันนี่ หน้าหมา” ผมโวยครับ ผงกตัวขึ้นมาพยายามจะดันมันออก ต่อยมัน แต่มันเอามือหนาๆสากของมันกำข้อมือไว้
“โอ้ย จับแฮงหลาย กูเจ็บ บักหน้ามา บักหน้าดำ ใจดำอีก” ผมแหกปาก
“ปากดีแม่นบ่ บ่ตีปากเอากะบุญหัวแล้วเด้ ด่ากูบ่มึง” มันปล่อยมือแล้วจะต่อยผม ผมก็หลบ แต่จะหลบไปไหนล่ะ ผมเลยเอาหน้าโผเข้าหาตัวมัน อย่างน้อยมันต่อยก็คงไม่เจ็บมาก มันดันหัวผมออกแรงๆ จนผมรู้สึกแสบ ไอ้นี่มันจะเกินไปแล้ว
“โอ้ยย” ผมกัดท้องมันครับ เพราะมือถูกมันรวบไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว นี่ข้อมือผมเล็กขนาดนี้เชียวเหรอ อีกมือของมันก็ผลักไสผมอยู่ ผมไม่มีทางอื่นนอกจากปาก กัดท้องมันเลยครับ มันเหวี่ยงตัวผมออกจากตัวมันแรงๆ ตัวผมกระเด็นออกไปกลิ้งอยู่กับท้องนาที่มีแต่ตอฟาง ผมพยายามพยุงตัวลุกเพื่อที่จะหนี
“ตายมึงตาย” มันกัดฟันกรอดเข้ามา ผมคลานอยู่ แต่ก็รู้สึกจุกแปลบเข้าที่กลางหลัง มันกระทืบผมลงดิน
“เก่งหลายแม่นบ่มึง” มันขึ้นมาคร่อมไว้เหมือนเดิมมิหนำต่อยเข้าที่กกหูผม วิ้งๆเลย เจ็บจนน้ำตาไหล ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเจอใครต่อย ไม่เคยเสียท่ามากขนาดนี้ มันดูจะลุโทสะกระชากคอเสื้อผมแรงๆจนหายใจไม่ออก แล้วมันก็ทุ่มหัวผมลงไปใส่พื้นนาที่แข็งๆ ตายกูตาย ผมเหมือนสติหลุด คือตั้งแต่เกิดมาไม่เคยตีกันกับใคร ด่ากันน่ะบ่อยแต่ลงไม้ลงมือไม่เคยเลย
“โอ้ยย เซา เซา คันซังกู กะอย่ามายุ่ง มึงสิมาตีกูเฮ็ดหยัง” ผมร้องออกมา เอามือกุมหัวไว้ ตัวสั่นเลย ผมก็กลัวนะเว้ยเฮ้ย มันนิ่งอยู่ครับ
“ปากดีหลาย สม” มันยังไม่ลงจากหลังผม เห็นกูเป็นควายให้มึงขี่ว่างั้น ผมร้องไห้อ่ะ น่าอายจริงๆ
“นิสัยบ่ดี บ่มักเป็นหยังมาตีเขา นิสัยเสีย บ่มักกะบ่ต้องมาเว้านำติ๊ล่ะ บักอันนี่แหม่ะ บักหมา กูกะเจ็บเป็นเด้ล่ะ ผู้ซ่ำช้างนี่” ผมร้องไห้ฟูมฟายออกมา สะอื้นจนตัวสั่น ลืมแก่ไปเลยทีเดียว แต่เหมือนผมรู้สึกว่าตัวมันกระเพื่อม มันหัวเราะครับ ไอ้ทุเรศ กูเจ็บจะตายมีหน้ามาหัวเราะ ผมจะพลิกตัวขึ้นมามันก็ยอมให้ผมพลิกตัว
“นิสัยบ่ดี มาหัวขวน (หัวเราะ) บักหน้าหมา บักหน้าดำ บักใจดำ” ผมโกรธมากครับ แต่ก็เจ็บกกหูมากๆ
“ฮ่าๆ ดีแต่ปาก สมเป็นจั่งได๋ล่ะ” มันหัวเราะไม่หยุดครับ ผมยิ่งสะอื้น นี่น่ะหรือเขาเรียกว่าพวกเสวยสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ผมผงกตัวขึ้น
“เฮ้ย” นี่แน่ ผมต่อยหน้ามันไปจนหน้ามันหัน มันโผเข้าง้างหมัดกลับมา ผมเม้มปากรอ จ้องหน้ามัน
“เอาติ๊ เอาโลด มึงมาว่ากูก่อนเด้ล่ะ เป็นหยังบัดยามถืกเขาว่าคืนคือเคียด มีหัวใจแต่เจ้าของผู้เดียวนั่นติ๊ คนอื่นเป็นหมาติ๊” ผมกัดฟันพูด มันหยุดนิ่งอยู่กัดฟันจนกรามมันโปน
“ว้าย เฮ็ดหยังกัน” เสียงรถเครื่องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ครับ คงมัวแต่ด่าทอกัน อีกอย่างหูผมอื้อไม่ค่อยได้ยินเถอะ เสียงอีอ้วนมาหย่าศึกไว้ ไอ้นุมันก็รีบวิ่งเข้ามาดึงตัวไอ้ดำออกจากตัวผม
“มีหยังศรี เฮ็ดหยังกัน” อีอ้วนคงตกใจ
“เฮาสิเมือ พาเฮาเมือ เฮาบ่อยู่แล้ว คนนิสัยเสีย” ผมกัดฟันไม่ให้สะอื้น
“โตเฮ็ดหยังหมู่เฮาดำ คือเฮ็ดแนวนี้” อีอ้วนมันเดินปรี่เข้าหาครับ
“มึงเฮ็ดหยังดำ คือเฮ็ดกับเพิ่นแนวนั้น” ไอ้นุมันก็เสียงเขียวครับ
“ฮ่วย ตีปากซื่อๆนี่แล้ว ปากดีหลาย เป็นได๋ เอาอีกบ่” มันลอยหน้าลอยตาท้อทายผมครับ หนอยแน่
“ว้าย ศรี” ผมถอดรองเท้าแตะปาเข้าไปครับ โดนบ่ามัน มันจะวิ่งเข้ามาหาผมอีก
“เฮ้ย เซาๆ อย่าสิมาตีกัน อีหยังวะ” ไอ้นุมันกอดไอ้ดำไว้ครับ
“คือเป็นแนวนี้น้อ พามาเป็นหมู่กัน คือสิมาฆ่ามาแกงกัน เซาๆศรี เธอกะดาย” อ้าว ด่ากูซะงั้นอีอ้วน ก็เห็นๆอยู่ว่ามันว่าผม อะไรเนี่ย
“เซาๆ ดำ โตกะอย่าสิใจฮ้อนหลาย เพิ่นบ่ได้ตั้งใจดอก”
“ตั้งใจ กูตั้งใจ บักหน้าหมา นิสัยเสีย โตดำบ่พอ ใจดำอีก” ผมตะโกนไป
“ว้ายศรี เซาปาก อย่าสิปาก เธอนี่อีหยัง เสียเรื่องเหมิด” อีอ้วนมันรีบมากอดผมไว้ครับ
“เสียเรื่องหยัง เห็นบ่ เฮาบ่อยากมาๆ เธอกะให้มาๆ เป็นจั่งได๋ เขาดูถูกเอาน่ะ เจ็บแสบบ่ บ่ได้อยากมาจักเม็ด” ผมแหกปากด่ามัน
“เอาจั่งซี้ครับ ผมขอโทษแทนหมู่เด้ออ้าย มันบ่ได้ตั้งใจดอก เซาเคียดให้กันสา มาๆ มานั่ง”
To be Continued...
-
Chapter 4
“เออแม่น ข่อยกะขอโทษแทนหมู่นำเด้อดำ เพิ่นคองตามาจาก (เพิ่งจะมา) กรุงเทพฯ เพิ่นบ่ฮู้เรื่องดอก” อ้าว อีนี่มาจากกรุงเทพฯแล้วยังไงวะ ทำไมจะไม่รู้ว่ามันดูถูกกูนี่น่ะ
“บอกหมู่เจ้า อย่าสิมาปากบ่ดีอีก บ่ซั่นข่อยบ่ไว้หน้าคือกัน” ไอ้ดำมันกร่างครับ
“มีมือแต่เพิ่นนั่นติ๊ มาโลด ตายเป็นตายวะ” ผมก็ไม่ยอมครับ
“หวืย ซาดเนาะ เอา ไป ตีกันโลดซั่นน่ะ” อ้าว อีอ้วน อีบ้า มันดันผมให้ออกไปหาไอ้ดำครับ ผมจะทำยังไงดีล่ะ ยืนเอ๋ออยู่ ไอ้นุมันก็ปล่อยไอ้ดำมา เอ่อ ไอ้นั่นมันก็กัดฟันกำหมัด
“อย่าเข่ามาเด้อ ตีเอาเด้” เอ่อกู มือก็ควานหาไม้แถวนั้น มีที่ไหน มีแต่ตอฟาง ไม่เป็นไร ตอฟางก็น่าจะพอฟาดมันให้แสบๆ พอผมดึงตอฟางขึ้นมาเท่านั้นล่ะครับ ไอ้ดำมันกลั้นหัวเราะ ไอ้นุปล่อยออกมาเลย อีอ้วนก็เหมือนกัน
“บู้ยย เป็นตาเจ็บเนาะอ้าย” ไอ้นุครับ มันหัวเราะเยาะผม ผมโกรธมากอยากเข้าไปฟาดหน้ามัน
“มาๆอ้าย อย่าฟ้าวตีมัน เดี๋ยวกินเข่ากินปลาก่อนจั่งตี ผมสิมัดมือมันไว้ให้ตีคั่กๆ ฮ่าๆ ยอมเพิ่นแน่มึงกะดายบักดำ” ไอ้นุมันเหมือนล้อเลียนผมเลย ผมกัดปากตัวเอง ไม่รู้จะด่าว่าอะไรดี
“เฮ็ดคือเนาะ กูสิฮาก” ไอ้ดำครับ ไอ้นี่ ทนไม่ไหวแล้ว ผมปรี่เข้าหากะจะฟาดตอฟางเข้าหน้ามัน แต่มันหลบครับตัวผมเลยเซด้วยจะโถมเข้าให้เต็มแรง แต่ถูกดึงกลับแรงๆ มันจับมือผมไพล่หลังไว้
“อีอ้วน เห็นบ่ โตเห็นบ่ มันเฮ็ดเฮา ซ่อยเฮาแน่” ผมร้องหาตัวช่วยครับ
“ค่อยๆแน่ดำ อย่าสิจับเพิ่นแฮงหลาย ศรี เธอกะสิไปฟาดเขาเฮ็ดหยังล่ะ” อ้าว มันหาว่าผมเริ่มครับ
“โตกะเบิ่งมันว่าเฮาแน่ โอ้ย จับกูแฮงหลายบักอันนี่” ผมพยายามจะหันกลับมา แต่มันบีบมือผมแรงขึ้น
“คั่กเนาะเพิ่น พอปานกันนั่นล่ะ ตีกันโลดซั่นน่ะ มาผู้สาวเฮามาล่วงหน้าไปก่อน ไสล่ะน้ำแข็งน่ะ” เอ่อ ไอ้นุครับ สนใจกูบ้างเถอะ ขอร้อง
“สะดีดสะดิ้งแนวนี้ อยากแม่นบ่” ไอ้ดำมันก้มลงกระซิบที่ข้างหูผมครับ หนอย เหยียบหน้ากูดีกว่าไหม
“ปึ้ก โอ้ยย” นี่แน่ ผมดีดหัวขึ้นตีหน้ามันครับ มันกุมหน้านั่งลง ผมรีบวิ่งไปหาพวกนั้น
“เอ้าๆ เฮ็ดหยังกัน”
“ซ่อยแน่ๆ” ผมรีบไปหลบหลังอีอ้วนครับ
“โอ้ย ตายมึงตายคั่กๆ” มันวิ่งมาแล้วครับ จมูกมันมีเลือดไหลออกมาด้วย สม
“เลือดออก เซาๆ บอกให้เซา” อีอ้วนมันร้องครับ ผมก็ตกใจ ไอ้นุมันยืนขึ้นขวาง ชุลมุนกันอยู่พอสมควร ไอ้นั่นมันเหมือนสติแตก จะเข้าอัดผมให้ได้ แต่ไอ้นุมันก็ดึงไว้มีอีอ้วนอีกราย ผมยืนหลบอยู่หลังเสาของกระท่อม
“กูสิให้เพิ่นขอโทษมึง พอใจบ่ เซาได้แล้วบักห่านี่” ไอ้นุมันบอกครับ เฮ้ย มาให้กูขอโทษเพื่อ ไม่มีทาง
“แม่น สิให้เพิ่นเฮ็ดแผลให้นำ เซาๆดำ จั่งได๋เพิ่นกะบ่ได้ตั้งใจดอก” อีอ้วนอีกคน ใครจะทำแผลให้มัน
“ไส เว้ามาเบิ่งดู๊” ไอ้ดำมันร้องมาทางผม ผมทำหน้าเหรอหรา
“เว้าหยัง บักหน้าหมา” ผมพูดออกไป
“ว้าย ศรี เซาๆ โตคือเว้าแนวนี้ ขอโทษเพิ่น เรื่องมันจั่งจบ โตอย่าสิมาถือโตแถวนี้ มันบ่มีประโยชน์ดอก” อีอ้วนมันตวาดผมครับ ผมก็ตกใจ เป็นครั้งแรกเลยนะที่มันตวาดผม ผมหน้าเสีย เม้มปาก
“เออ ขอโทษ” ผมยอมครับ
“เว้าบ่ม่วน บ่เอา” เอ่อ ผมเงยหน้าขึ้นทันที อีอ้วนมันถลึงตาใส่ผม ไอ้นุมันแอบอมยิ้ม หนอยแน่ โอ้ย เออๆ จะได้จบๆ ผมไม่อยากจะมีเรื่องกับมันเท่าไหร่หรอกนะ
“ขอโทษเด้อจ้า อ้ายดำ หน้าหมา” ผมพูดล้อเลียนมันครับ ไอ้นั่นมันกำหมัด จะโถมเข้ามาอีก อีอ้วนกันไว้ ไอ้นุดึงไว้
“พอๆสู มานั่งกินเหล้านี่แหม่ะ โสกันบ่มีแนวดี” ไอ้นุมันพูด
“มารับผิดชอบเด้อศรี ไสล่ะผ้าเซ็ดหน้าน่ะ เอามาเซ็ดเลือดให้เพิ่น บวมคั่กๆ” อีอ้วนครับ
“ฮ่วย มันกะตีกกหูเฮาเด้ล่ะ คือบ่ให้มันขอโทษเฮานำ” ผมเริ่มน้อยใจครับ
“แล้วที่มานี่ ย้อนไผ บ่แม่นโตอยากให้เฮามาเหรอ คันพามาแล้ว ให้เขาหยันแนวนี้ เฮาบ่มาดีกั่ว เฮากะคนเด้” ผมน้อยใจมากๆ น้ำตาปริ่มออกมาอีก ผมไม่อยู่ให้พวกนี้หัวเราะเยาะเอาหรอก ผมเดินหนีไปเลยครับ เดินไปทางรถ
“โอ้ยเนาะ ไปเคลียร์กันเองเด้อดำ คร้านเว้าแล้วล่ะ สีตีสิฆ่ากะเฮ็ดเอาโลด มาๆอ้ายนุ กินเหล้าเฮา” ผมได้ยินแว่วๆ เสียใจมากๆอ่ะ เพื่อนนะเพื่อน ไม่เห็นหัวผมเลย พามาแบบนี้ มไต้องพามาดีกว่านะ
“เดี๋ยว” ผมเดินไปที่รถ ไม่เห็นมีกุญแจผมเลยเดินเรื่อยๆครับ ไอ้นั่นมันวิ่งตามมา จะอะไรกับกูอีก
“อีหยัง สิเฮ็ดหยังอีก เอาเลย ตีเลย” ผมร้องออกมาไม่ได้หันมามองหน้ามัน เดินต่อครับ ใครจะหยุด
“เออ ขอโทษๆ เซาย่างจักบาดแน่น่ะ” มันร้องมาครับ ผมยังไม่หยุด ขอโทษเป็นด้วยเหรอไอ้ดำ
“เซาย่าง ฮ่วย บอกบ่ฟังสิฆ่าเอาเด้” มันขู่มาครับ ผมหยุดกึกลง มันรีบมาดักหน้าผมไว้
“มานี่กะน่ะเจ้าน่ะ” มันลากแขนผมไปอีกทางครับ มีขอนไม้ตรงนั้น เฮ้ย ไม่ใช่มันจะฟาดผมด้วยขอนไม้นะ ผมสะบัดมืออก แต่มันไม่ยอมปล่อย
“ฮ่วย บ่พาไปฆ่าดอกน่า สิดื้อหลาย”
“สิพาไปไส” ผมร้องออกมาเสียงเริ่มสั่น
“มาเว้ากันกะน่ะ” มันบอกครับ ผมเลยยอมให้มันลากไป มันให้ผมนั่งบนขอนไม้ ผมมองก่อนกลัวงูเหมือนกันนะ
“เจ้าเซาว่าข่อยได้บ่” มันขอร้องครับ คิดไปเองล่ะว่ามันขอร้อง
“ข่อยกะสิเซาว่าเข้าคือกัน แค่มื้อนี้ เห็นแก่บักนุกับเอื้อยหมู่เจ้า ซังข่อยเจ้าจั่งซัง แค่มื้อนี้ท่อนั้นล่ะ” ผมเงียบครับ อ้าปากจะพูดแล้วล่ะ แต่ก็ยั้งไว้ก่อน
“แล้วเจ้าเด้ เซาว่าข่อยได้บ่ ฮู้อยู่ดอกว่าซัง แต่กะคือกัน แค่ให้มันผ่านมื้อนี้ไป อีกอย่าง ข่อยบ่ได้เป็นคือเจ้าว่า คนทุกคนบ่คือกัน อย่าสิด่าเหมารวม” ผมพูดบ้างครับ มันหันหน้ามามองหน้าผม ผมก็จ้องหน้ามัน แววตามันเหมือนด่าผมอยู่ เช่นกันล่ะ อ่านออกก็อ่าน อ่านไม่ออกก็ให้รู้ว่ากูน่ะด่ามึงอยู่ ไอ้ดำ
“เลือดไหลบ่เซา” พอมองไปมองมาก็นึกสงสารครับ เลือดไหลออกจากรูจมูกมัน มันเอามือปาดออกแต่ก็ยังไหลอยู่ ผมสมเพชมันมากกว่าสงสารเถอะ
“มานี่” ผมล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา ยื่นไปให้มัน มันนิ่งครับ อ้าว
“เอาติ๊ล่ะ” ผมยัดเยียดให้มันเช็ดเลือดเอง แต่มันนิ่ง
“บ่เป็นหยังดอก ซ่ำนี้บ่ตายดอก” หนอยแน่ อวดดีอีก
“จิ๊” ผมจับหน้ามันไว้ครับ มันขืนไว้แต่ผมก็ถลึงตาใส่มัน เอาผ้าซับเลือดเบาๆ
“เห็นแก่เพื่อนมนุษย์” ผมบอกมัน เพราะจะไม่ต้องมาขอบอกขอบใจอะไรกัน ให้มันจบๆไป มันยอมแต่โดยดี
“เงยหน้าขึ้นแน่ มันจั่งสิเซา” ผมบอกมัน มันนิ่งอยู่ ไอ้นี่มันบื้อหรือยังไงกันนะ ผมเลยจับคางมันเงยขึ้น มันเหมือนจะไม่ยอมครับ แต่ก็ยอม ฮ่าๆ คางมันมีแต่หนวดแข็งๆ พอหน้ามันสะท้อนแสงจันทร์ ผมก็แอบมอง มันหล่อนะครับ เออว่ะ ผมเพิ่งจะมอง แต่ช่างมันเถอะ คนเขาหล่อ คงจะถือตัว ถึงว่ามันเลยดูถูกผม เฮอะ สนใจที่ไหน
“เอา อัดไว้ เดี๋ยวกะสิเซาไหล นอนลงติ๊” ผมบอกมันครับ
“มานอนหยังนำขอน” มันแย้ง
“เอ้า นอนลงตอเฟืองติ๊ซั่นน่ะ” ผมย้อนคืน อ้าว มันทำจริงครับ ผมเลยนั่งโดดเดี่ยวอยู่บนขอน
“ไสล่ะ กกหูเจ้าน่ะ เจ็บบ่” มันเอ่ยถาม
“เจ็บ ลองเบิ่งบ่ล่ะ” ผมนึกขึ้นมาก็ปวดแปลบขึ้นมา
“กินยาแก้ปวดกันไว้เด้อ โซเด้ กกหูเด้นั่น” มันเหมือนจะหวังดี แหมนะ หวังดีแต่ต่อยเข้าจุดยุทธศาสตร์กูเลยเนี่ยนะ ไอ้นี่ท่าจะบ้า ผมเชิดหน้าอยู่ มันก็นิ่ง สายตาผมเหลือบไปเห็นขามันครับ มีรอยแผลเหวอะหวะ เฮ้ย
“เอ้า นี่ไปถืกหยัง ข่อยเฮ็ดเหรอ” ผมตกใจครับ เพราะมันมีเลือดไหลซึมออกมา
“แม่น” ห๊ะ นี่ผมทำรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ
“ตายๆ เจ็บบ่” ผมนั่งลงข้างๆขามันครับ แสงจันทร์ที่สาดมาก็เห็นพอรางๆ ขาข้างซ้ายมันเป็นแผลยาว ใหญ่ มีเลือดซึมออกมาด้วย ปากแผลกว้างอยู่
“ไปล้างแผลก่อน” ผมบอกมันครับ แต่มันไม่สนใจ ผมเลยคิดว่าต้องหาอะไรมาพันแผลไว้ก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวฝุ่นมันเข้าแน่นอน เพราะลมพัดกระพือมาแต่ละที ฝุ่นก็คลุ้งมาด้วย อ่ะยอมเพื่อมนุษย์โลก
“เอ้า เฮ็ดหยัง” มันผงกหัวขึ้นมาครับ เพราะผมล้วงเข้าไปในเสื้อชั้นในสุด ไม่ใช่ยกทรงแน่นอนไม่ต้องทำหน้าตาตื่นขนาดนั้น เสื้อกล้ามตัวเก่งเถอะ ใส่จนบางและติดมากเสื้อตัวนี้ แต่มันเก่าแล้วเปลี่ยนเสียทีก็ดี ผมดึงแรงๆทีหนึ่ง แขนมันที่เก่าอยู่แล้วก็หลุดไม่ยาก ดึงอีกที แขนอีกข้างก็หลุด
“บ่พันไว้เดี๋ยวฝุ่นมันเข่า บ่เป็นหยังดอก” ผมพูดครับ มันทำหน้าอึ้งๆ
“บ่ต้องคึดว่านี่มันเป็นบุญคุณ บ่ต้องใส่ใจ ข่อยเฮ็ดย้อนว่าทนเห็นคนเจ็บต่อหน้าบ่ได้ดอก อย่าสิปาก” ผมพูดดักมันไว้ครับ มันมองหน้าผมแปลกๆ ผมค่อยๆเอาปลายด้านหนึ่งที่แบ่งออกมาจากเสื้อกล้ามซับเลือด แล้วก็เอาที่เหลือพันแผลให้มัน ท่าทางจะเจ็บอยู่ไม่น้อย
“เลือดเซาล่ะยัง ข่อยหิวแล้ว” ผมถามมัน เพราะมันนอนนิ่งอยู่นาน
“อือ เซาแล้วล่ะ” มันลุกขึ้นนั่ง ผมเลยลุกบ้าง
“เจ้า” มันเหมือนจะพูดอะไรครับ
“อีหยังอีก ไวๆแน่ ข่อยบ่เกี่ย (ให้ขี่หลัง) เด้อ ย่างเอง” ผมแซวมันครับ มันก็หัวเราะ ผมเดินนำหน้ามันกลับไปที่กระท่อม เอ่อ สองคนนั่นเหมือนกำลังเข้าพระเข้านางกันเลยครับ อีอ้วนนี่แบบว่านั่งประชิดติดใกล้ อ้อ ที่มันไม่สนใจผมก็เพราะแบบนี้นี่เอง อีเพื่อนทรยศ
“คั่กเนาะ” ผมประชดมัน
“ว้ายศรี มาๆ อ่ะนี่ยกๆ” มันยื่นแก้วเหล้าให้ ผมเบะปากเพราะปกติไม่ค่อยดื่ม แต่เอาหน่อยเถอะ หนาวด้วย เซ็งด้วยหลายอย่างรวมกัน ผมเลยรับแก้วจากมันมาแล้วกระดกเข้าปาก
“ป้าด อย่าฟ้าวๆ มีหลายขวดอยู่ดอก สิฟ้าวคือหลายอ้าย” ไอ้นุมันแซวครับ ผมไม่สนใจ เออผ้าห่มผมยังกองอยู่ที่กลางทุ่งเพราะตอนที่ต่อสู้กับไอ้ดำนั่น มันหลุดออกจากตัวล่ะครับ ผมเลยเดินลงไปเอามาคลุมตัวไว้เหมือนเดิม ไอ้ดำมันมานั่งลงข้างๆผมครับ
“เอ้า ขาไปถืก (โดน) หยังมาล่ะดำ” อีอ้วนมันตาดีครับ ร้องขึ้นเสียงสูงเชียว
“ไถนามื้อเซ้านี่ล่ะ ตอไม้” มันตอบเหมือนว่ามันมองมาทางผม ผมก็นึกเคืองอยู่ในใจ หนอยแน่ อุตส่าห์สละเสื้อตัวโปรด ที่แท้ก็หลอกเรา แต่ผมไม่สนใจยกแก้วเหล้าต่อ มันเริ่มร้อนๆแล้วเถอะ อ่า ไม่ได้ดื่มเหล้านานมันอร่อยตรงไหนเนี่ยบอกที ขมแปร่งๆ แต่ก็ยกเอาๆ
“อ้อ พันขาไว้แนวนั้นล่ะดีแล้ว เลือดเซาไหลแล้วติ๊” ดูเป็นห่วงกันจังนะ ผมหยิบนั่นหยิบนี่กินต่อ
“เอาๆดำ ยกๆ” ไอ้นุเหมือนมันเริ่มกึ่มแล้วครับ หน้าแดงแล้ว ส่วนอีอ้วนมันก็ประมาณเดียวกัน ไอ้ดำ ผมไม่ได้หันไปมอง มันนั่งติดผมพอสมควร ตอนนี้รู้สึกอึดอัดยังไงไม่รู้ เพราะ
“เป็นได๋ล่ะ เซาตีกันแล้วติ๊ เห็นบ่บอกแล้ว บ่แม่นตีกันพอตายได้กันซะเด้อล่ะ สู” มันหัวเราะเสียงดังครับ
“ว้าย ย้านแม่นแนวนั่นอยู่เด้อล่ะ ตีกันๆแนวนี้ล่ะ ฮักกันปานสิกลืน” อีอ้วนมันยื่นหน้ามาล้อผมครับ
“กลืนติ๊เธอน่ะ กลืนลงติ๊ ดำ” ผมก็ไม่วาย
“ดำแล้วเป็นหยัง ดำแต่มีดีเด้อล่ะครับ” มันไม่ยอมครับ ผมเลยหันไปเริ่มกึ่มเหล้าเหมือนกัน
“ดีหยังจ๊ะ คือเหลียวบ่เห็น” ผมยักคิ้วให้มันครับ มันกัดฟัน
“นั่นๆ อย่าเด้อๆ ตีเอาเด้ล่ะ” ผมยกแก้วเหล้าขึ้น หากมันทำร้ายผม ผมจะสาดใส่หน้ามันเลย
“ฮ่าๆ โอ้ย อ้ายนี่เป็นตาอยากหัว (ตลก) เนาะ หว่างฮั่นกะฮ้าว (ดึง) เอาตอเฟืองมาสิตีเขา บัดตานี้สิเอาแก้วเหล้านั่นติ๊อ้าย ฟาดมันน่ะ บักดำมันผู้ใหญ่ผู้โต มันคือสิเจ็บแฮงเนาะ” ไอ้นุครับ คือแก้วมันเป็นพลาสติกล่ะครับ พูดจบก็หัวเราะกันครืน เสียงดังมากก็อีอ้วนกับไอ้นุ ส่วนไอ้ดำมันหัวเราะหึหึ ผมอาย
“เว้าหลาย คนจวนโตเนาะ จับหยังได้กะเอาเหมิดนั่นล่ะ ฮ่วย” ผมแถไปครับ แล้วยกเหล้าขึ้นกระดกแก้เขิน
“ผู้บ่าว ข่อยอยากเต้นหน้าฮ้านหมอลำซิ่งเด้ พาไปแน่ะ” อ้าวอีอ้วน เอาอีกแล้วครับ
“สิไปไสเธอ อยู่นี่ล่ะ บ่ต้องไปดอก” ผมรีบขัดมันไว้เพราะท่าทางมันจะไปแล้วครับ ลุกขึ้นแล้วดึงแขนไอ้นุแล้ว
“เธออยู่นี่ล่ะ ดำกะบ่ไปแม่นบ่ อยู่เป็นหมู่เพินนี่ล่ะ อย่าสิเฮ็ดหยังกันเด้อล่ะ อิอิ” อ้าวๆ แปลว่าอะไร ทำไมปล่อยผมกับไอ้ดำอยู่ด้วยกันแบบนี้วะเนี่ย คนยิ่งไม่ถูกคอกันอยู่ ไม่ใช่จะมาทะเลาะกันอีกนะ คราวนี้อาจะมีฆ่ากันตาย
“ป่ะอ้ายนุ”
“อีอ้วน โพดหลาย ถิ่มกูดีแท้ๆน้อ” ผมด่ามันครับ แต่มันสนใจที่ไหนลากแขนกันไปโน่นแล้ว ผมทำท่าจะลุกขึ้นไปห้าม แต่ไอ้ดำมันดึงแขนผมไว้ครับ
“อยู่นี่ล่ะ สิแล่นไปหยัง” เอ่อ มันเหมือนดุผมครับ ผมเลยนิ่งๆ แล้วนั่งลง ไม่ได้กลัวหรอกครับ แต่ก็นะ แหม
“กะจักสิให้อยู่หยังเนาะ มานำกัน มักมาถิ่มกันแนวนี้ล่ะ ซังหลาย” ผมบ่นออกมา
“เอ้า เจ้ากะบ่อยากไปเบิ่งเองบ่แม่นติ๊ อยากไปกะไป ข่อยสินอน” มันเหมือนไล่ครับ
“ไปจั่งได๋ล่ะ” ผมหน้าบึ้ง แหมนะ ไล่กูไปแล้วจะให้ไปยังไง รถอีอ้วนมันก็เอากุญแจไป รถอีกคันมันก็พากันไปโน่นแล้ว
“ซั่นกะอยู่นี่ล่ะ ย้านข่อยเฮ็ดหยังเดี๋ยวนี่”
“ไผย้าน บ่เคยย้าน เจ้านั่นล่ะ ระวังโตไว้ดีๆโลด ตีเอาเด้” ผมยักคิ้วใส่มันครับ มันไม่กลัวเลยเถอะ มันกลับหัวเราะ อ้าวไอ้นี่ วอนซะแล้ว ผมได้แต่จิ๊ปากแต่ก็ไม่อยากจะทำร้ายมัน เห็นอยู่ว่ามันเจ็บ ผมไม่อยากเอาเปรียบ อิอิ
“เป็นตาย้านเนาะเจ้าน่ะ หนาวๆ” มันเริ่มขดตัวครับ ไม่หนาวก็บ้าแล้ว ใส่ชุดบอลมา มันท่าจะบ้าพลัง ผมแสยะยิ้ม
“ฝีงไฟบ่” มันถามครับ
“มันสิบ่ไหม้เฟืองเหรอ” ผมก็หนาวครับ ขนาดมีผ้าห่มนะเนี่ย มันไม่ตอบครับแต่ลุกจากที่แล้วเดินไปข้างๆแคร่ มันเอาจอบเดินลงไปกลางทุ่ง มันถากๆซังข้าวออกเป็นบริเวณกว้าง
“เอ้า จะยืนเบิ่งนั่นติ๊ มาซ่อยเอาเฟืองไปถิ่มเทิง (เหนือ) ลมแน่ะ” มันสั่งผมครับ อ้าวซวยกูว่างั้น จิ๊ ผมยอมทำตามมันบอกครับ ช่วยมันอยู่พักหนึ่งก็เห็นว่ามันถากซังข้าวออกเป็นบริเวณกว้าง มันทำอย่างคล่องแคล่ว ส่วนผมสิหยิบจับเก้ๆกังๆยังไงไม่รู้ แต่ก็เอาน่าคนไม่ได้ทำแบบนี้นานนี่นา ผมไม่ผิด มันเดินไปไหนไม่รู้ครับ ผมก็ยืนรอ มันกลับมาพร้อมด้วยท่อนไม้หลายท่อน มันเอามาสุมรวมกันอยู่ตรงกลาง แต่มันยังไม่จุดไฟนะ มันเดินไปที่กระท่อมหยิบถังน้ำมา
“เจ้าปูสาด (เสื่อต้นกก) เทิงลมไว้แน่” มันสั่งผมอีกแล้วครับ เออก็ทำบ้างเถอะผมน่ะว่าไหม ผมก็เลยขึ้นไปบนกระท่อมเอาเสื่อมา รวมถึงพวกเหล้าและถังน้ำแข็ง ของกินอีก ผมมาปูเสื่อไว้เหนือลม มันตักน้ำมาสาดไว้ใต้ลมจนเปียกไปทั่วเป็นบริเวณกว้าง อืม มันรอบคอบดีเหมือนกันนะ ผมนั่งมองมันทำอยู่อย่างนั้นจนมันกลับมาจุดไฟ
“เจ้าเฮ็ดเป็นเนาะ” ผมชมมันนะเนี่ย
“ฮ่วย ลูกซาวนาแหม่ะ ซ่ำนี้หนึ่ง นาข่อยกะเฮ็ดกับอีแม่สองคนเด้ล่ะ บ่ได้ใซ้เครื่องทุ่นแฮง” มันพูดท่าทางภูมิใจ
“อีหลีติ๊ นาจักไร่” ผมถามเพราะสมัยทุกวันนี้ ไม่มีหรอกครับที่เขาจะทำนาแบบโบราณ มีเครื่องยนต์ช่วยหมดแล้ว ขนาดปักดำเขายังมีรถดำนาช่วยเลย เกี่ยวข้าวนี่ไม่ต้องพูดถึง มีรถเกี่ยวให้เสร็จสรรพ
“บ่หลายดอก ๗๐ ไร่” “ห๊ะ ป้าด มูล(สมบัติ) หลายเนาะ” ผมอึ้งครับ ที่อึ้งเพราะนาผม ๕๐ ไร่น่ะ ยังทำเองไม่ไหว ขนาดมีพี่ชายยืนแรงไว้ ต้องจ้างคนมาช่วยปักดำ แต่นี่มันนาเยอะกว่าผม ทำกันสองคนแม่ลูก ไม่ใช้เครื่องทุ่นแรงอีก ไม่อึ้งจะยังไงไหวล่ะครับ
“กะมีอยู่ซ่ำนี้ล่ะ ข่อยเฮ็ดนาบ่ฟ้าวดอก ได้ซ่ำได๋กะซ่ำนั้น” มันเสียงนิ่งลงครับ ผมก็เงียบเสียงลงฟังมัน
“แต่ก่อนอีพ่ออยู่นำ เฮ็ดนาบ่โดน” มันเงียบเหมือนจะสะเทือนใจ
“เก่งแล้วล่ะ อีแม่เพิ่นเฒ่าแล้วยัง” เอ่อกู ถามเพื่อ??
“ปีนี้กะ ๗๒ เจ้าว่าเฒ่าบ่ล่ะ” ผมสะอึกครับ แม่ผมเพิ่งจะครบ ๕๙ ปีนี้เอง พ่อผม ๖๒ เอ่อ
“ข่อยขอโทษ ข่อยบ่ได้ตั้งใจ เพิ่นเฒ่าแล้ว คือให้เพิ่นเฮ็ดงานหนักอยู่ล่ะ” เอ่อ ถามแบบนี้อีกแล้ว เพื่อ???
“ข่อยบ่อยากให้เพิ่นเฮ็ดดอก เพิ่นบอกว่าสิเฮ็ดจนฮอดมื้อตาย” มันถอนหายใจยาว ผมสะท้อนใจมากครับ ก้มหน้าลงนิ่ง นี่ขนาดแม่มันอายุปูนนี้แล้ว กรำงานหนัก รู้ไหมว่าการทำนามันหนักแค่ไหน ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ หลังสู้ฟ้าไม่ว่าจะร้อนหรือฝนหรือหนาว ก็ต้องก้มสู้อยู่แบบนั้น ไหนจะงานบ้านจิปาถะอีก แล้วผมล่ะ ผมทำงานในห้องแอร์อย่างดี แดดไม่เจอ ลมไม่ต้อง ข้าวก็ซื้อกิน หมดบ้างไม่หมดบ้าง ผมรู้สึกท้อแค่เขาให้ออกจากงาน อืม
“สู้เด้อเจ้า” ผมครางออกมา สะท้อนใจจนเหมือนจะมีน้ำตามาคลอตา
“เป็นหยังล่ะ ซึ้งเหรอ” มันหันมามองหน้าผมที่พยายามก้มอยู่
“อืม เจ้าฮู้บ่ ข่อยเพิ่งจะถืกเขาไล่ออกจากงาน แค่นี้ข่อยกะท้อแล้ว เลยกลับมาตั้งหลักอยู่บ้าน แต่พอได้ยินว่าแม่เจ้าเว้าแนวนั้น ฮึก” เอ่อ ดราม่าเพื่อ ผมตื้นตันมากครับ
“เอ้าๆ คือสิฮ้องไห่น้อบัดตานี้”
“อ่ะ กินๆ” ผมกระพริบตาถี่แล้วยกแก้วเหล้าให้มัน
“เจ้ากะคือบ่หาผู่สาวมาเป็นแฮงซ่อยอีแม่ล่ะ” ผมถามมันด้วยความบริสุทธิ์ใจครับ มันก็ใช่ว่าจะหน้าตาขี้เหร่ หล่อเลยล่ะ ร่างกายก็บึกบึน มีเหรอว่าจะไม่มีใครสน
“ไผเขาสิอยากมาเฮ็ดนา คบกับไผกะมีแต่ให้ข่อยขายนา ฆ่าให้ตายข่อยกะบ่ขายมูลอีพ่ออีแม่ดอก ถึงข่อยสิเฮ็ดนาจนเฒ่าตายบ่มีไผเอา ข่อยกะสิเฮ็ดไปจั่งซี้ล่ะ” มันพูดน้ำเสียงหนักแน่น
“ผู่สาวบ่มีไผอยากลำบากดอก เจ้ากะคือกัน เบิ่งทรงแล้ว” มันเปรยมาทางผม ดูถูกกูอีกแล้ว กำลังซึ้งเชียว
“เป็นหยัง ข่อยมันทรงคือคนบ่เอาถ่านเหรอ แม่นคือเจ้าว่านั่นล่ะ ข่อยตกงาน บ่มีทางไป กลับมาเพิ่งพ่อแม่ สิเฮ็ดนาคือกันนี่ล่ะ เป็นหยัง ข่อยกะลูกซาวนาคือกัน” ผมกร้าวเสียงขึ้น ปวดใจจังเวลามีคนพูดแบบนี้ น้ำตาผมเอ่อ มันคงตกใจเหมือนจะพูดอะไรออกมา
“ข่อยขอโทษ บ่ได้หมายควมว่าแนวนั้นเด้ เจ้าอย่าเข่าใจผิด” มันรีบแก้ตัวครับ ผมไม่ว่ามันหรอก แค่สะเทือนใจ มันเป็นเรื่องจริง คนเรามักจะยอมรับเรื่องจริงไม่ค่อยได้ แม้ว่าจะพยายามทำใจยอมรับแล้วก็ตามที พอได้ยินได้ฟังเข้าหูเต็มๆแบบนี้ มันก็สะท้อนเสียดใจดีนักแล
“บ่เป็นหยังดอก ข่อยกะทรงแนวนั้นอีหลีล่ะ ฮ่าๆ” หัวเราะประชดชีวิตเลยครับ มันไม่มีอะไรดี คิดดูนะ ผมไม่ได้ดูถูกไอ้ดำนะครับ แต่ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว มันจบแค่ ม.๖ มีอาชีพคือทำนา แต่ผมจบปริญญาตรี มีอาชีพคือพนักงานบริษัทที่ตอนแรกคิดว่าจะมั่นคง แต่เอาไปเอามา ผมโดนเขี่ยออกจากงาน ส่วนไอ้ดำ แม้มันจะใช้แรงเหน็ดเหนื่อย ดูอาชีพของมันดูจะมั่นคงกว่าผมหลายต่อหลายเท่านัก
“บัดลังเทื่อ (บางที) ข่อยกะอยากเฮียนหนังสืออีกอยู่คือกัน บ่อยากโง่ถืกเขาต้ม” มันเปลี่ยนเรื่องครับ ผมก็เข้าใจมันล่ะ มันเริ่มจะเครียดแล้วบรรยากาศผมเองก็ไม่ชอบ
“เฮียนวิชาชีพติ๊ล่ะ บ่แม่นเทคนิคอยู่อำเภอสิมีนอกเวลาอยู่ติ๊” ผมแนะนำทั้งที่ไมได้รู้เรื่องอะไรเลย
“แต่กะบ่อยากถิ่มอีแม่ไว้ผู้เดียว” จิ๊ มันนี่ดราม่าได้ใจจริงๆ อุตส่าห์ดึงออกมาจากเรื่องนั้น ผมเองที่ดราม่า เออ ยอมรับ แต่ก็นะ ไม่ใช่ว่าผมจะอยากดราม่าซะเมื่อไหร่ พอผมพยายามดึงมันออกมามันก็วกเข้าไปใหม่
“อ่ะๆ ยกๆ เว้าเป็นหลาย” ผมยื่นแก้วเหล้าให้มันครับ มันก็รับเอาไปกระดก หน้ามันเริ่มแดงทั้งที่ดำจนมองไม่ออกว่าแดงมันเป็นยังไง แต่ก็รู้ล่ะมันไม่ได้ดำปี๋ขนาดนั้น มันคงดำเพราะกร้านแดดล่ะ
“เจ้าบ่หนาวติ๊” ผมถามมันครับ เพราะท่าทางมันคงหนาว มันกอดเข่าตัวเอง แม้จะอยู่ต่อหน้ากองไฟ แต่ลมก็ไม่ใช่ว่าหยุดพัด ปกติยิ่งดึกมันจะนิ่งแล้วมีน้ำค้างลงมาแทน แต่วันนี้ไม่ใช่เลยครับ ลมกระพือเสียงหวีดหวิว
“หนาวอยู่ แต่อยู่หน้ากองไฟอยู่ บ่เป็นหยัง” ผมพยักหน้าตามมันครับ แต่เห็นแล้วเวทนาเถอะ มันสั่นเห็นได้ชัด ผมมีทั้งผ้าห่มเสื้อผ้าก็หนา
“คันบ่รังเกียจ มาซ่น (มุด) ผ้าห่มนำข่อยกะได้ อ่ะมันยาวอยู่ คนล่ะส้น (ด้าน)” ผมก็กระดากใจอยู่ที่ชวน เพราะมันอาจจะคิดว่าผมอ่อยมัน อยากจะกินมัน หรืออะไรก็ตามแต่ที่มันเป็นเรื่องสัปดน ซึ่งความจริงผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมบอกไปว่าสมเพชมัน สงสารมัน ก็แค่นั้นครับ
“บ่เป็นหยัง เจ้าห่มโลด ข่อยคีงใหญ่อยู่” มันยังยืนกรานครับ ผมก็พยักหน้า เออ เก่งก็ทนเอาละกัน ไฟกองต่อหน้ามันก็ลุกอยู่แต่เราอยู่เหนือลม ไอร้อนมันก็ไม่ได้แผ่มาเต็มรังสีมันเท่าไหร่นักหรอก เพราะลมมันพัดไปทางทิศใต้ลมหมด น้ำที่มันราดไว้ที่พื้นท้องนาเริ่มจะแห้ง เรานั่งกินเหล้ารอสองคนนั่นกลับมา แต่นานมาก มันชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ถามผมเรื่องกรุงเทพฯบ้าง ผมก็ถามมันเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง ผมหัวเราะ มันเองก็หัวเราะ จนเราเหมือนจะหมดเรื่องคุย อีกอย่างผมก็ง่วงนอนแล้วครับ อยากจะกลับบ้านไปนอนมุดผ้าห่มนวมที่บ้านมากๆ
“หนาวคั่กเนาะ” ผมถามมันครับ มันไม่ตอบแต่สั่นปากกระทบกันดังกึกๆอยู่
“ไหวบ่ล่ะเจ้า สั่นแท้ล่ะ” มันกอดตัวเองแน่นเลยครับ มันยังไม่ตอบ จนผมทนไม่ได้
“เจ้าสิรังเกียจข่อยกะบ่ว่าดอก แต่เจ้าสิมาเฮ็ดให้เจ้าหนาวแนวนี้บ่ได้ เดี๋ยวสิบ่สบาย เจ้าบ่ตาหลูโตน(สงสาร) อีแม่ติ๊ คันเจ้าโซมาน่ะ” ผมลุกไปใกล้ๆมันครับ แล้วเอาผ้าห่มกางออกห่มตัวมันไว้ มันเอียงหน้ามามองผม ผมไม่สนใจมันจะว่าอะไรก็ช่างมันเถอะ เผื่อมันมาตายเอาตอนนี้ คงไม่ดีแน่ๆ ผมเลยนั่งลงข้างๆมัน
“ป้าด ปานนั้นว่าบ่หนาวๆ โตเย็นว่าแม่นน้ำแข็ง” คือมือผมไปโดนขามันล่ะครับ ก็มันเล่นใส่ชุดบอลเต็มยศ มือผมอังไฟมาพอโดนตัวมันเหมือนว่ามันคลาย
“ผ้ามันน้อยโพดเนาะ เจ้าเอาไปห่มก่อนกะได้ซั่นน่ะ ข่อยไปฝีงไฟเอา” ผมจะสละผ้าห่มให้มันครับ แต่มันจับแขนผมไว้ ตกใจเลยเถอะ มือเย็นนึกว่าผี หรือว่ามันตายแล้ว ห๊ะ
“นั่งนี่ล่ะ ข่อยกอดเจ้าได้บ่” หึ๊อ อะไรนะ ผมหน้าเหวอไปครับ
“กอดซื่อๆบ่ได้คึดหยัง ข่อยหนาว” มันปากสั่น เออๆ ก็ได้วะ ผมเลยโผเป็นคนกอดมันเอง แต่มันไม่ถนัดยังไงไม่รู้ครับ คือมันนั่งกอดเข่า คิดภาพออกใช่ไหม ผมก็นั่งหันหน้าเข้าหามัน เออนั่นล่ะ ประมาณนั้น
“เจ้ามานั่งนี่ได้บ่” ห๊ะ มันเปิดผ้าห่มออกครับ แล้วมันก็ถ่างขาออก
“บ้าติ๊ สิให้ไปนั่งหว่างขา” ผมดีดตัวออกมาประมาณไม่ถึงคืบ ฮ่าๆ แบบนี้เขาเรียกดีดตัวหรือเปล่าไม่รู้
“ข่อยบ่เฮ็ดหยังดอกน่า ข่อยหนาวอีหลี” มันทำสายตาอ้อนวอนครับ มือมันยังไม่ปล่อยจากแขนผมเลย เออ ยอมก็ได้วะ เห็นแก่เพื่อนมนุษย์นะเนี่ย ผมยอมค่อยๆคลานเข้าไปหามันครับ มันสั่นจนไม่รู้ว่าแกล้งทำหรือว่าหนาวจริง มันให้ผมหันหลัง พอแค่ผมหันหลังแค่นั้นล่ะครับ มันโผเข้ากอดผม ตกใจสิวะ ตัวผมแข็งทื่ออยู่ ไม่ใช่ไม่เคยมือผู้ชาย แต่เข้าใจผมใช่ไหม ผมกับมันไม่ได้มีจิตปฏิพัทธ์กันแต่แรก เจอหน้ากันก็กัดกัน ไม่ถูกกัน แม้จะคุยกันแล้วในไม่กี่ชั่วโมงที่เพิ่งจะผ่านมา แต่มันก็ไวไปไหมที่ให้ผมกับมันนั่งกอดกันแบบนี้ คิดไปไกลถึงไหนแล้วไม่รู้ แต่รู้ว่าตอนนี้มันดันตัวเบียดตัวมันเข้าหาผมประหนึ่งว่าผมคือก้อนไฟอันอบอุ่นสำหรับมัน
“เฮ้ย” ผมเสียว เอ้ย ผมตกใจครับ มันเล่นเอาผ้าห่มขึ้นคลุมหัวมันแล้วเอาหน้าซุกลงซอกคอของผม เอ่อ เห็นใจกูบ้างเถอะพ่อคุณดำ มันกอดผมแน่นมากครับ ผมก็ตัวแข็งเช่นเดิม เป็นไปได้อยากจะหยุดหายใจมันตอนนี้เลยซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย มันกอดผมอยู่นานมาก คือว่าหน้าผมน่ะ อังกับไฟเต็มๆ แม้จะอยู่เหนือลมแต่เราก็นั่งไม่ห่างจากกองไฟมากนัก ย่างสดกูว่างั้น ผมพยายามก้มหน้า บิดหน้า เบือนหน้าหนี แต่ก็แค่นั้น พอสักพักลมก็เริ่มนิ่งครับ เออค่อยสบายขึ้นมาหน่อย ไอ้ดำ
To Be Continued....
-
Chapter END
มันก็กอดผมแต่พอหลวมๆ ง่วงจัด ง่วงมากตาปรือ กินเหล้าไปด้วย อืม อุ่นสบายดีจัง
“อือ” ทำไมรู้สึกอุ่นสบายจัง อ้อ ไอ้ดำมันนอนกอดผมนี่ อืมเข้าใจล่ะ แต่เอ๊ะ ทำไมแสบๆตา ใครมาเปิดไฟ ผมค่อยๆหรี่ตาขึ้น อ้าว สว่างแล้วเหรอเนี่ย ผมขยับตัว อ้าวไอ้ดำก็ยังนอนอยู่นี่อยู่เลย ทำไมแขนมันยาวจังวะ ไอ้นี่แอบจับก้นกูเหรอมึง ผมล้วงมือไปด้านหลังจะจับมือมันออกจากก้น
“เอ่อ” ตกใจครับ ปล่อยมือทันที อย่าให้สาธยายเลยว่าอะไร ผมรีบถอยออกมาจากผ้าห่ม เอ้อ เย็นมาก พื้นที่โดยรอบคือทุ่งนาครับ และเปียกปอนไปด้วยน้ำค้าง กองไฟมอดไปนานแล้ว ไอ้ดำมันคงรู้สึกตัวที่ผมขยับ มันเลยลืมตาขึ้นมันยันแค่แขนขึ้นมองหน้าผม
“เซ้าแล้วติ๊ ตายล่ะ ต้องไปไถนา” มันลนลานรีบลุกขึ้นครับ ผมก็ไม่ว่าอะไร
“เออ เมื่อคืน ขอบคุณเด้อ ที่ให้ข่อยกอด” มันบอกก่อนจะวิ่งไปครับ ผมอายก็เป็นนะเว้ย นั่งหน้าแดงอยู่
“บู้ย มาเบิ่งแน่ล่ะ นางเอกละคร แสดงเก่งแท้ๆ” เสียงอีอ้วนครับ มันแซวผมทันทีที่ไอ้ดำวิ่งไป ผมหันขวับ อ้าวมีไอ้นุนั่งอยู่บนแคร่กับมันด้วย นี่แปลว่าพวกมันเห็นที่ไอ้ดำมันนอนกอดผมสิ
“อีหยัง ว่าไผ” ไม่รู้จะว่าอะไรดีครับ แถก่อนเถอะ
“อย่าๆ พ้อกันใหม่ๆล่ะทำทรงสิฆ่ากัน บัดได๋แท้ (ที่แท้) เพิ่นอยากฆ่าของ (เอากัน) กันตั้วนี่”
“อีอ้วน เว้าโพดไปหลาย ไผอยากฆ่าของ” ผมแหวไปใส่มันครับ
“พุ่นแล่วๆ เบิ่งแน่ล่ะ คนบ่ยอมรับเจ้าของ”
“ข่อยเสียใจหลายเด้นี่อ้าย ฮู้บ่ ข่อยว่าสิจีบ บักดำคาบไปแดกซ่ำ โอ้ย บ่น่าเลยกู มัวแต่แก่เจ้านั่นล่ะไปเบิ่งหมอลำ” ไอ้นุมันครวญครับ
“ว้าย จั่งได๋คือเว้าแนวนี้ล่ะอ้าย ได้ข่อยแล้วน่ะ” เอ่อ ผมตาลุกวาว ร้ายกาจมากเลยอีอ้วน ว่าแล้วเชียว
“นั่น บัดได๋แท้เพิ่นตั้ว ได้กัน มาว่าผู้อื่น คั่กแท้ๆ อีอ้วน” ผมได้ทีครับ
“ได้หยัง อย่าไปเซื่ออ้าย บ่แม่นๆ” ไอ้นุมันรีบโบกไม้โบกมือครับ
“คือเว้าแนวนี้เฒ่า ได้ข่อยแล้วสิทิ่มสิป๋าคือดอกไม้ฮิมทางแนวนี้ติ๊ เห็นข่อยเป็นอีหยัง” อ้าวๆ อีอ้วนมันดราม่าครับ
“โอ้ย ปวดใจหลายแท้เด้ เขาล่อสี่ (เอา คำหยาบคาย) แล้วทิ่มนี่แหม่ะ เกิดมาเป็นออมนภานี่มันคือทุกข์ยากฮ้ายปากก่ำกินมันหมก เฟียคือเครือกะทกรกฟกใจหลายแท้ โอ่อ้ายเอ๋ย” เอ่อ ออม นภา?? กล้าเนอะ แล้วนี่ดราม่าหรือหมอลำวะ ทำท่าทำทาง ทำเสียงด้วย ผมหัวเราะออกมา แต่ไอ้นุมันโดนอีอ้วนดึงหน้าดึงหลังอยู่ จะขำก็ขำไม่ออก แต่หน้ามันดูไม่เป็นทุกข์เลยนะครับ
“ไปเมือๆ ป่านนี้อีพ่อเพิ่นบ่แม่นถือฆ้อนถ่าอยู่หน้าเฮือนแล้วติ๊ อีอ้วน” ผมร้องไปเตือนสติมันครับ พ่อแม่ผมน่ะคุยได้เถอะ พ่อแม่มันน่ะสิ ไม่อยากจะบอก โดนแน่ๆมึง
“ซั่นไปก่อนเด้อเฒ่า มื้อแลงพ้อกันเนาะ สิเอาให้เด็ดกว่ามื้อคืนนี้อีก จุ้บๆ” เออ รู้แล้วว่าได้เสียเป็นเมียผัวกันแล้ว แหมๆ ทำท่าทางซะ ผมก็บอกไอ้นุล่ะครับ ไม่รับปากมันด้วยว่าคืนนี้จะมาไหม เพราะเหนื่อยมาก คือคืนนี้มีหมอลำคณะใหญ่ จำชื่อไม่ได้แล้วครับ เดี๋ยวค่อยบอก
“เธอกะคั่กเนาะ บู้ยตั๋วเอื้อยเด้นี่ ว่าบ่มักๆ เบิ่งกอดเขาแน่ล่ะ” อีอ้วนมันพูดขึ้นตอนที่เราบ่ายหน้ากลับบ้านล่ะครับ
“ไผกอด มันหนาวดอกจั่งให้กอด บ่ได้กอดเขาเด้ล่ะ” ผมแถไป รู้สึกร้อนที่หน้าผ่าวๆ
“อย่าๆ ตอนกลับมาจากเบิ่งหมอลำน่ะ เธอนั่นเด้ล่ะกอดเขา ดำมันกะกอดของมันปกติ เธอนั่นล่ะกอดคั่ก กอดแน่น กอดคือผัวนี่” เอ่อ มันเน้นคำว่าผัวครับ แล้วหันหน้ากลับมาด้วยนะ
“โอ้ย เว้าไปหลาย บ่แม่นดอก เร็วๆแนะ อีพ่อสิด่า” ผมแถไปครับ มันว่าอะไรอีกไม่รู้ ผมทำเป็นหูทวนลม พอไปถึงบ้าน อีอ้วนมันปล่อยผมลงหน้าซอยเข้าบ้านครับ เพราะมันก็กลัวว่าพ่อผมจะด่ามันเหมือนกัน ผมสิ แบกหน้าบางๆไปรับคนเดียว แน่นอนครับ พ่อแม่ผมด่ายับ มิหนำซ้ำไปถึงก็ไปร้องอยากจะกินข้าวอีก ซวยไปหลายยก เออนะ คุ้มไหมเนี่ย
“บ่น่าเลยกู” ผมบ่นครับ ก่อนจะขึ้นมาที่ห้อง นอนต่ออีกสักหน่อย ไหนๆก็โดนบ่นไปแล้ว
“ไปนอนอยู่นาพุ่น มานอนหยังอยู่นี่” แม่ผมขึ้นมาจิกครับ
“อยากนอน เดี๋ยวตื่นสิลงไปดอก เจ้าไปก่อนโลด” ผมทำท่าให้เพลียประหนึ่งว่าจะสิ้นลมเข้าไว้ คุณแม่ก็บ่นไปถึงดาวเสาร์ตามเรื่องตามราว บอกโตแล้วไม่ใช่เด็กๆ จะไปไหนมาไหนไม่ใช่ไปลืมวันลืมคืน ตัวเองมีหน้าที่การงาน ทำอะไรให้มันเหมาะสมหน้ากับตาหน่อย เอ่อ ประมาณนี้ครับ ยาวกว่านี้แต่ผมเวียนหัวรับไม่ไหว ผมนอนคลุมโปงอากาศก็หนาวๆ เลยนอนได้อีกสักพัก เลยลงไปที่ทุ่งเพราะหิวข้าว กินข้าวเสร็จก็นอนต่ออีกหน่อย พอเย็นก็ไปรดน้ำผักให้แม่ วันนี้อยากกินแกงดอกกะหล่ำจัง อยากกินมานานแล้ว กะหล่ำที่สวนก็กำลังงาม ผมต้อนวัวกลับบ้านช่วยแม่มีหลานชายมาช่วยอีกแรง พอถึงบ้านผมก็อ้อนให้พี่สะใภ้จัดการกับปลาให้ ผมไม่ทำเองครับ ฮ่าๆ ยืมมือคนอื่นเสมอ แต่ผมจัดการอย่างอื่นหมดเลยนะ ไม่ได้เอาเปรียบ พอทำเสร็จก็กินข้าวกันล่ะครับ ชีวิตตามชนบทไม่มีอะไรมาก นั่งล้อมวงกัน พ่อแม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ หลานสองคน แล้วก็ผม มีไอ้ด่างอีกตัวนั่งเฝ้าอยู่ห่างๆ ครอบครัวผมเจี้ยวจ้าวหน่อยเพราะมีเด็ก แต่ก็มีสีสันดี กินข้าวยังไม่ทันอิ่มเลยครับ อีอ้วนมันก็มาจอดรถเครื่องหน้าบ้าน
“มาพ้อภาเข่า (สำรับ) พอดีตั้วนี่” เป็นปกติของมันครับ
“มาแหม่ะอ้วน กินเข่ามายัง” แม่ผมร้องถามครับ
“กินมาแล้วจ้าแม่” ทำเสียงอ่อนเสียงหวาน แหมนะ
“สิมาซวนกันไปไสอีกล่ะ ไปแล้วบ่ฮู้จักทางมาเฮือนเลยเนาะ” พ่อผมว่ามันครับ
“โอ้ยเนาะ พ่อกะดาย มื้อวานพ้อหมู่ฮักหมู่แพงสมัยเฮียน แห่งคุยแห่งม่วน สิป๋าหนีมากะบ่คือเนาะ เทิงมันหนาวนำ ย้านพากันหนาวตาย” มันแถไปได้ครับ พ่อผมไม่ว่าอะไรมันต่อ มันก็รอจนผมกินข้าวเสร็จ ผมก็กินแบบช้าๆเนิบๆ
“เธอ อาบน้ำยังเนี่ย ฟ้าวๆแน่ะ เขาสิโอ่แล้วเด้ หมอลำน่ะ” ที่แท้ก็มาอ้อนผมไปดูหมอลำนี่เอง
“บ่ๆ ขี้คร้านแฮงเธอ บ่ต้องไปดอก เฮาเมื่อย” ผมปัดไปเลย
“ซ่างว่าแท้ล่ะ บ่ไปหาผู้บ่าวดำบ่ อิอิ”
“ไผผู้บ่าว เว้าไปทั่วทีปหลาย บ่ไป โตอยากไป ไปผู้เดียวโลด”
“หวืย ซาดเนาะ เป็นหยังล่ะ คือเว้ากันไว้แล้วศรี สิมาเปลี่ยนใจแนวนี้ เอื้อยกะเสียหายเด้ล่ะ”
“จักสิเสียหายหยังเนาะ เมื่อยสิตายแล้วเนี่ย ซั่นให้เฮางีบจักคราวก่อนได้บ่ล่ะ เขาบ่ทันลำดอก ตอนนี้กะมีแต่ฮ้องเพลง บ่มัก” ผมแถไปครับ มันทำท่าคิด
“เออๆ เว้ายากเนาะ อย่ามาตั๋วกันเด้อ เคียดคั่กๆ” มันขู่ครับ มันบอกมันจะย้อนกลับมาอีก โอ้ย อะไรก็ไม่รู้ ผมต้องรีบนอน หลับแล้วก็จบป่ะ อิอิ ผมรีบไปอาบน้ำ เอ่อ ขอบอกว่าเหมือนอาบน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาหิมาลัย เย็นจนปวด ทรมานมากๆ อาบเสร็จผมสั่นเกือบตาย ผมนอนเล่นไปมาจนไม่รู้กี่โมงครับ ยังไม่ทันหลับเลย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“หือ ไผนี่” ผมกรอกเสียงไปตามสาย เบอร์มันไม่คุ้นเถอะ
“เจ้าเฮ็ดหยัง” เอ่อ ไอ้ดำครับ ผมอึ้งอยู่
“นอน มีหยังล่ะดำ” ผมสงสัยครับ รู้ว่ามันได้เบอร์ผมมายังไง ไม่แปลกใจหรอก แต่งงว่ามันโทรหาผมทำไมดึกดื่น
“บ่มาเบิ่งหมอลำติ๊” มายังไงวะเนี่ย
“บ่ ขี้คร้าน หนาวกะด้อ”
“เอ้า บ่ไปจั่งได๋ ข่อยมาฮับอยู่หน้าบ้านนี่แหม่ะ” เฮอะ อย่ามาโกหก ถ้ามาจอดหน้าบ้านมีหรือไอ้ด่างมันจะไม่เห่า ผมหัวเราะใส่หน้ามันครับ
“ติ๊ ถ่าโลด อย่าสิมาหาตั๋ว บ่แม่นเด็กน้อยเด้อนี่ บ้านข่อยมีหมาเด้ล่ะ บ่ว่าไผมันเห่าเหมิด” ผมเบะปาก เบื่อจริงๆคนพวกนี้ แหมๆคิดว่ากูโง่มากว่างั้น
“แฮ่ๆๆ” เอ่อ เสียงเหมือนหมามันร้องเวลาดีใจน่ะครับ ผมสะดุ้งเลย
“ได้ยินบ่ ซื่อด่างเบาะโต ฮู้เนาะ” ห๊ะ อย่าบอกนะว่าไอ้ด่าง ผมรีบออกมาจกาห้องทันทีครับ โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่าง ต้นลำไยหน้าบ้านก็ใบหนาเหลือเกิน มองไม่เห็น ผมเลยลงมาข้างล่าง
“บักด่าง” ผมร้องออกไปเสียงหลง แหม กระดิกหางมาเชียว ไอ้นี่มันทำอะไรกับหมาผมเนี่ย ปกติไม่ว่าใครมันก็เห่าครับ อีอ้วนมันยังเห่าเลย เตะสักทีดีไหมเนี่ย
“ป่ะ หนาว” มันยักคิ้วให้ผมครับ วันนี้มันแต่งตัวรัดกุม ใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อกันหนาวตัวหนา มีหมวกไหมพรมด้วยนะ นึกว่าจะไปเกี่ยวข้าว ฮ่าๆ
“ไผล่ะสิไปนำเจ้าน่ะ บ่ไปดอก หนาว ข่อยอยากนอน” ผมบอกมันครับ
“ฮ่วย บ่ไปจั่งได๋ ข่อยมาฮับเจ้าเด้นี่ ขาเมือสิให้ข่อยเมือจั่งได๋ผู้เดียว ย้านเป็นคือกันเด้ล่ะ” ถ้าผมหูไม่ฝาด เหมือนมันอ้อนผมเลยอ่ะ เอ่อ ใจเต้นแรงเพื่อ
“ไผล่ะบอกให้มาน่ะ บ่ได้ขอเด้” ผมยังเล่นตัวอยู่
“เอื้อยอ้วนบอกให้ข่อยมาฮับเจ้า เพิ่นว่าเจ้าสิบ่ไปคันข่อยบ่มาฮับเอา” อีอ้วน!! อีเพื่อนทรยศ หนอยแน่ ดูมันนะครับ นี่จะหาสามีให้กูให้ได้ใช่ไหมเนี่ย
“ไวแน่ะ อย่าเล่นโตคือหลาย ปานว่าผู้งามกะด้อ” เอ่อ ว่าจะไปด้วยแล้วนะ ปากสุนัขแบบนี้
“ไปโลด สิมาถ่าคนขี้ฮ้ายเฮ็ดหยังล่ะ” เหมือนผมงอนไหม ไม่นะ พูดตามที่มันว่ามา ว่ามายังไงผมก็ตอบมันไปแบบนั้นล่ะ มันหัวเราะครับ แหมไอ้นี่กระโดดเตะสักทีดีไหม
“เล่นโตคือหลาย มีคนมาฮับฮอดหม่องปานนี้เนาะ เจ้ากะดาย มาๆ ข่อยสิฟ้าวไปเบิ่งหมอลำ”
“ฮ่วย ขาบ่ได้ผูกติดกันเด้ล่ะ สิไปกะไปโลด อย่าสิมาซวน ข่อยบอกแล้ว ว่าบ่ไป” ผมยืนยันเสียงหนักแน่นครับ
“บ่ไปกะตามใจ แต่เจ้ากะบ่คึดฮอดหมู่แน่ติ๊ เอื้อยอ้วนเพิ่นอุตส่าห์ให้ข่อยมาฮับ บัดยามเพิ่นกลับมาผู้เดียว เพิ่นสิมาจั่งได๋ ได้ข่าวว่าผู้บ่าวทางบ้านฮิมโขงกะมาเด้อ นักเลงคั่กแท้ๆ บ่ย้านเขาตีหมู่เจ้าบ่ คนเฮา ดีแต่หน้าเนาะ ใจดำคั่ก ปานนั้นล่ะว่าแต่ผู้อื่นดำ” ป้าดติโธ่ บักอันนี่ มันหยามกันเกินไปแล้วครับ
“อย่าฟ้าวไปไสเด้อ เจ็บโตแท้” ผมวิ่งกลับเข้าไปในบ้านครับ หนอยแน่ ผมไม่ชอบให้ใครมาดูถูกโดยเฉพาะเรื่องน้ำใจ ผมไม่เคยทอดทิ้งใคร อย่ามากล่าวหาโดยที่มันไม่ได้รู้จักผมแม้แต่น้อย ผมไม่ได้วิ่งมาเอาอาวุธหรอกครับ แหมนะ มาใส่เสื้อผ้าให้มันหนาๆขึ้นกว่าเดิม มีหมวกไหมพรม ผ้าห่มผืนเดิม อิอิ
“ยิ้มหยัง อย่าสิมาเบิ่งแนวนั้นเด้อ สิไปหรือบ่ไป” แหมนะ มันอมยิ้มครับ ไอ้นี่มันกวนจริงๆ ผมปีนขึ้นซ้อนท้ายมัน พอนั่งได้ที่มันก็ออกตัวไปครับ พอขับมาได้หน่อยมันก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังมาก
“โอ้ยเนาะ คนเฮา ข่อยคองตา (พึ่งจะ) เคยพ้อคนคือเจ้า ฮ่าๆ งึดหลาย” เอ้าไอ้นี่ อะไรของมัน กราบสิถ้าไม่เคยเจอ
“อีหยัง หัวขวนหยัง ฮ่วย คนมานำแล้วเฮ็ดแนวนี้แม่นบ่ บักหมานี่” ผมตะคอกใส่หูมันครับ
“ฮ่าๆ ไผหมา เจ้านั่นติ๊หมา”
“เจ้านั่นล่ะ ปากหมา โตดำ ใจดำ”
“นั่นๆ จอดฆ่าคนทิ่มแถวนี้ซะน้อ”
“ฆ่าโลด บ่ย้านดอก ไผล่ะสิฆ่าไผก่อน” ผมบีบคอมันครับ เออนะกู ทำไปได้ มันขับรถอยู่นะได้ข่าว พอผมบีบคอมันมันก็ขับรถเซไปเซมา ผมเลยรีบปล่อยมือ
“เฮ้ย ขับไวหลาย” มันออกตัวแบบว่าจะหงายหลังครับ ผมรีบจับเอวมันไว้พอจับมันก็เบรค โอ้ย อะไรวะเนี่ย ไม่น่าเลยกูหลงกลมันจนได้
“พุ่นแล่ว กอดข่อยแน่นคักน้อ” มันหันมาแซวครับ ผมเลยรีบปล่อยมือ อยากกอดมากว่างั้น แหมนะ
“เอ้า เว้าหยอกกะบ่ได้ กอดโลดบ่หวงดอก” อ้าวไอ้นี่ ยังไง ใครอยากกอดเหรอ
“เซาเว้าแน่ะ บ่เมื่อยปากแน่บ่” ผมไม่อยากจะพูดกับมันให้มากความครับ ถอยออกมาเกือบจะสุดเบาะรถอยู่แล้ว เอามือเกาะด้านหลังไว้แน่น มันก็ผิวปากของมันไปอย่างอารมณ์ดี
“เออ ดงนี้น่ะ ที่เอื้อยเพิ่นเว้าให้เจ้าฟังมื้อวานน่ะ บ่ได้ตั๋วเด้” อยู่ดีๆมันก็พูดขึ้นมาครับ ตอนจะถึงดงระหว่างบ้านผมกับบ้านมัน มันเป็นเหมือนเนินเล็กๆแต่ก็กว้างอยู่พอสมควร คนเขาเรียกว่าดอน มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ตอนกลางวันก็ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปคนเดียว ส่วนมากชาวบ้านไปหากบเขียด หรือหาเห็ดก็จะไปเป็นหมู่คณะ พอมันพูดขึ้นผมก็เย็นวาบๆที่หลัง ไอ้นี่มันไม่รู้เวลาพูดเอาเสียจริงๆ
“อย่าเว้าหลาย บ่อยากฮู้ดอก” ผมพูดเสียงเบา
“ข่อยกะเคยพ้อ ตอนลงนานั่นแหม่ะ มื้อนั่นฝนตกริน (ฝนตกปรอยๆ) ข่อยมายืมไถนำอาวอยู่บ้านเจ้านั่นล่ะ มาหว่างสองทุ่มหนึ่งแหม่ะ นี่ล่ะๆ หว่างนี้ล่ะ มีผู้ยิงใส่ซุดขาวยืนตากฝนอยู่ ข่อยเลยจอดรถถาม บัดลังเทื่อเพิ่นสิไปบ้านเจ้านำ”
“โอ้ย เซาเว้าแน่ะ” ผมแหกปากขึ้นครับ จากที่นั่งอยู่สุดเบาะ ผมกระเถิบเข้ามาจนประชิดตัวมัน มันไม่สนใจเหมือนหัวเราะด้วยนะ
“เอ้าย้านติ๊ เบิ่งทรงคือเก่งแท้ สิมาย้านหยังซ่ำผี” เอ่อ มันแกล้งผมครับ แต่ก็นะ ลมก็พัด บรรยากาศก็แสนจะวังเวง
“นั่นล่ะ พอค่อยชะลอรถพวมแต่สิจอด เพิ่นล่ะเงยหน้าขึ้น หวืย”
“โอ้ย บักอันนี่แหม่ะ เซาเว้าแน่ คนแห่งย้านอยู่” ผมร้องขึ้นเอาหน้าซุกไว้ที่หลังมัน เอาผ้าห่มขึ้นคลุม แต่ก็เสียวๆขาที่หย่อนลงไปเหยียบที่พักเท้า มันหัวเราะเสียงดังครับ
“เอ้า นั่นๆ เพิ่นยืนอยู่นั่น” กรี๊ดดด ผมยกขาขึ้นทันทีกอดเอวมันแน่น
“ฮ่วย อย่าดิ้นแฮงหลาย รถสิล้มเจ้านี่กะดาย” ผมตกใจมากถึงมากที่สุด กอดมันแน่นเหมือนจะร้องไห้ด้วยล่ะ ไม่ใช่แอบฉี่ราดแล้วเหรอเนี่ย โอ้ยนะ
“ฮ่าๆ โอ้ยเนาะ ย้านอีหยังปานนี้เดี๋ยวนี่” มันยังหัวเราะอยู่ครับ ผ่านมาถึงไหนแล้วไม่รู้ คือมันระแวงหลังมากๆ เสียวหลังเสียวขา อย่าให้บรรยายความรู้สึกเลยครับ มันน่ากลัวจริงๆนะ
“สิเข้าบ้านแล้ว เซากอดข่อยได้ยัง คนสิส่า (นินทา)” ผมไม่สนใจครับ
“เซาเว้าเด้อ” ผมพูดเสียงสั่น มันก็หัวเราะหึหึ
“เออๆ บ่เว้าแล้ว เจ้าบ่เห็นบ่ คนมาเบิ่งหมอลำหลายกะด้อ ไสสิมีผี” ผมได้ยินเสียงรถเครื่องวิ่งตามกันมาล่ะครับ ทีแบบนี้ล่ะตามมาดีนัก ทีเมื่อตะกี๊ไม่เห็นมีสักคัน ผมเอาผ้าห่มที่คลุมหัวอยู่ออก กำลังจะเข้าหมู่บ้านครับ เสียงเครื่องดนตรีดังกระหึ่ม ไม่ต้องนอนกันเลยทีเดียว ผู้คนมากหน้าหลายตา จากต่างหมู่บ้าน อำเภอใกล้เคียงทีได้ยินข่าวต่างก็แห่กันมาดูหมอลำ ยิ่งเข้าไปในหมู่บ้านก็ยิ่งคึกคักครับ ผมไม่กอดมันแล้วและถอยออกมานั่งที่เดิมคือห่างจากมัน แต่ทำไมคนมองเยอะจังวะ
“เห็นบ่ แทนที่สิเอาผ้าห่มมาคือเพิ่น เป็นตาอุ่นน้อ” ชาวบ้านแซวผมครับ เอ่อ อายนิดหน่อย อิอิ หมอลำคณะรัตนะ อะไรนี่ล่ะครับผมไม่ได้สนใจ ที่ผมมานี่ก็เพราะอะไรน่าจะรู้ อยากจะนอนจะตาย อากาศดีๆแบบนี้ ห่มผ้าหนาๆ โอ้ย อารมณ์เสีย ไอ้ดำมันขับรถพาผมไปที่วัดเลยครับ
“อีอ้วน” พอเจอหน้าอีอ้วนยืนทำท่าประหนึ่งว่าตัวเองเป็นนางงามประจำหมู่บ้าน ทักทายคนนั้นคนนี้อยู่ ผมก็แหกปากออกไป อยากจะปรี่เข้าไปตบมันให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย อีเพื่อนทรยศ หลอกลวง หลอกผมให้มากับไอ้นี่ทั้งที่รู้ว่าไม่ถูกกัน ตบมันเลยดีไหมเนี่ย
“ว้ายศรี มาๆ ถ่าโดนแล้ว คือพากันไปโดนแท้ล่ะดำ แม่นพาหมู่เอื้อยแวะไสอยู่บ่นี่ ว้าย อีหยังติดหัว” มันจู่โจมผมก่อนครับ ทำท่ามาหยิบอะไรออกจากหัว ผมก็บ้าจี้
“เบิ่งแน่ล่ะ มีตอเฟืองนำ ศรี เธอคือเฮ็ดแนวนี้” เอ่อ สายตาคนบริเวณนั้นมองมาที่ผม
“อีบ้า ลมมันปลิวมาเด้ล่ะ” ผมก็นะ ทั้งที่ในมือมันไม่มีอะไร แต่ผมก็ทำท่าปัดหัวออก
“หวืยๆ ไปๆ ไปนั่งพุ่น” มันดึงผมไปนั่งที่เสื่อที่ปูไว้ล่ะครับ ไอ้นุมันนั่งอยู่ก่อนแล้ว นี่มันเป็นเจ้าภาพยังไงเนี่ย มานั่งสบายใจเฉิบอยู่แบบนี้
“กินหยังอยู่บ่อ้าย เข้าไปในบ้านก่อนบ่” มันหันมาถามครับ
“บ่ คือมานั่งอยู่นี่ล่ะ เพิ่นบ่ใซ้หยังเหรอ” ผมถามมันแล้วนั่งลงข้างๆมันครับ
“บ่ๆ คนหลายกะด้อ อยากเบิ่งคือกันแหม่ะหมอลำ” สายตาของมันยังคงมองไปที่หน้าเวทีหมอลำ คณะรัตนะสินอินตาไทยราษฏร์ ประมาณนี้ล่ะครับ ผมมองไม่ค่อยเห็น เวทีใหญ่มากเครื่องดนตรีเสียงก็กระหึ่ม คนนี่อย่าให้บอกครับ ไม่มีแม้ที่จะนั่ง ผมก็มองตามมันไปยังหน้าเวที อีอ้วนก็ลงมานั่งข้างๆผม
“ผู้บ่าวหล้ายหลายศรี เอื้อยคัน” นั่น มันมากระซิบข้างๆหู
“อีนี่ แล้วบักนุนี่เด้ คือว่าได้แล้ว”
“โอ้ย ผู้นี่กะผัว พวกนั้นกะผู้บ่าวเนาะ” ผมขยับปากไม่ออกเสียง ด่ามันครับ แหม ไอ้นุมันเอาก็บุญโขแล้ว ยังมีหน้าจะมาแรดอีก อีอ้วนมันท่าอิดออดแต่ก็ชายหูชายตา แต่ไม่มีใครสนใจมันหรอกครับ และผมก็รู้ว่ามันก็แค่พูด พอหมอลำเขาร้องเพลงมันก็สนใจอยู่แต่หน้าเวที ผมดูตอนแรกก็เพลินดีนะ แต่เอาไปเอามาก็ชักจะง่วง คือเสียงเพลงมันดังมาก แต่พอนานๆไปมันดังสม่ำเสมอผมก็รู้สึกง่วง
“เอ้า อยากนอนติ๊ อีหยัง หมอลำบ่ทันลำอยู่ เจ้านี่แหม่ะ” ไอ้นุมันหันมาเจอครับ
“อยากนอนแหม่ะ” ผมบอกเพราะตอนนี้มันก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้วเถอะ
“เอ้า บักดำ บักห่านี่ ลักนอนคือกันเบาะ” ไอ้ดำนั่งหลับครับ ถึงว่านิ่งเชียว
“ไปๆ พาเพิ่นนี่ไปนอน” ไอ้นุมันบอกครับ ไปนอนไหน? เออ ดีเหมือนกัน ผมง่วงตาจะปิดอยู่แล้ว
“พาไปนอนดีๆเด้อล่ะดำ อย่าสิเฮ็ดหยังหมู่เฮาเด้อ” อีอ้วนนี่ ต้องตบมันสักทีครับ ผมเลยเอามือผลักหน้ามัน แล้วมันก็ทำท่าดัดจริตอ้อนไอ้นุ แหมนะ
“ป่ะ” ไอ้มันมันชวนครับ ผมเลยหอบผ้าห่มตามมันไป จะว่าไปผมนี่ใจง่ายเนอะ เขาชวนไปนอนก็ไป
“ไปไสล่ะ อย่าบอกเด้อไปนอนเถียงนานั่นน่ะ” ผมถามมันครับ
“บ่ล่ะเนาะ ไปเฮือนข่อย” มันบอกครับ อ้อ เฮ้ย จะดีเหรอ
“บ่พาไปฆ่าดอกน่า อีแม่กะอยู่เพิ่นบ่ได้มาเบิ่งหมอลำ เพิ่นสิออกมาเดิกๆ (ดึก) หมอลำเขาลำต่อกลอนพุ่น เพิ่นนอนก่อน” อ้อ ค่อยโล่งใจ ผมนั่งซ้อนท้ายมันออกมาทางนอกหมู่บ้านครับ บ้านมันอยู่เหมือนติดทุ่งเลยนะ ทางเดียวกับกระท่อมที่ไปมาเมื่อคืน ต้นไม้ใหญ่ขึ้นครึ้มไปหมด พอมันจอดรถหน้าบ้านมัน ผมก็ก้าวลงมายืนมองไปรอบๆ แสงจันทร์สาดทำให้เห็นค่อนข้างชัด บ้านมันเป็นบ้านยกใต้ถุนสูง ใต้ถุนนั้นเหมือนจะมีคอกวัวหรืออะไรมองไม่ถนัด มีบันใดขึ้นไปชั้นบน เออ บ้านแบบนี้หายากแล้วนะ เพราะมีครัวอยู่นอกชาน ผมจำได้เพราะบ้านยายหลังเก่าก็เป็นแบบนี้ เวลาหุงหาอาหารก็จะทำกันบนบ้าน มีตุ่มน้ำใบเขื่องๆตั้งอยู่ ส่วนบริเวณบ้านเหมือนมีต้นกล้วยขึ้นเป็นดงอยู่ทางหลังบ้าน
“บ้านคนทุกข์เด้อ สินอนได้บ่” มันถามครับ ในน้ำเสียงนั้นปนอยู่ด้วยความน้อยใจยังไงพิกล
“ไผทุกข์เจ้าหรือข่อย” ผมย้อนถามมันครับ
“ข่อยล่ะเนาะ เฮือนเจ้าหลังใหญ่คือหยัง เบิ่งเฮือนข่อยแน่ะ”
“หลังน้อยหลังใหญ่กะเฮือนคือกันนั่นล่ะ บ่สำคัญดอก เฮือนน้อยแต่อบอุ่นกะเป็นตาอยู่กั่วเฮือนใหญ่เด้ล่ะ อย่าสิมาซวนเว้าแนวนี้ คันรังเกียจข่อยบ่ซ้อนท้ายเจ้ามาปานนี้ดอก” ผมรำคาญครับ ผมเข้าใจมันนะ แต่ก็ไม่อยากได้ยิน ง่วง
“ต้นหยังนี่ เป็นตานั่งเนาะ” ผมเดินไปดูใต้ต้นไม้ใหญ่ครึ้มหน้าบ้าน มีแคร่วางอยู่ด้วย
“ต้นกะยอม (พยอม)” “อ้าวเหรอ เบิ่งบ่ออกเนาะ ยามนี้บ่แม่นติ๊มันมีดอกน่ะ” ผมแหงนหน้าขึ้นมอง เอ่อ ก็นั่นไม่ใช่เหรอดอกมันน่ะ ปกติมันจะส่งกลิ่นหอมมากนี่นา
“เจ้าบ่ได้กลิ่นมันติ๊” มันถามน้ำเสียงหยันๆครับ
“โอ๊ะ ข่อยคือสิเป็นหวัดนี่ล่ะ พอแม่นล่ะ บ่ได้กลิ่นหยังเลย” ผมหัวเราะแหะๆครับ มันนั่งลงที่แคร่ ส่วนผมก็นั่งตาม มีหมอนด้วยนะ
“เจ้าบ่หนาวติ๊” ผมถามมันครับ เหมือนว่าลมจะนิ่งแล้ว แต่กลับเป็นความชื้นเย็นของหมอกที่กำลังโปรยปรายลงมา
“เจ้าหนาวบ่ ข่อยสิไปเอาผ้าห่มมาให้” อ้าวนะ ถามมันแต่มันเหมือนประชด แต่ไม่นะ เสียงมันปกติดี
“ข่อยถามเจ้านั่นแหม่ะ ข่อยมีแล้ว ผ้าห่มน่ะ” ผมทำเสียงแข็งๆใส่มัน
“บ่ปานได๋ ข่อยซำบายเรื่องแค่นี้” มันยักไหล่ครับ แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆผม เออนะ
“ไสว่าเจ้าซังพวกเกย์ พวกกะเทย คือกล้าซวนข่อยมาเฮือน” ผมก็นะ ถามบ้าๆออกไป มันถอนหายใจ
“บ่สู่คนดอก เว้นเจ้า” เอ่อ ผมรู้สึกเขินครับ หัวใจเต้นตุบตับโดยไม่บอกล่วงหน้า
“เป็นหยังล่ะ” อยากรู้หูผึ่งครับ
“ข่อยว่าเจ้าบ่คือปานได๋แหม่ะ ทรงคนเอ๋อๆ บ่เป็นตาย้านคือกะเทยนำหมู่นี้ (แถวนี้) คือสิบ่มีพิษปานได๋” สาบานว่าชม? ผมหันขวับ
“ด่าแม่นบ่” ผมถลึงตาใส่มันครับ มันหัวเราะ
“เอ้า คนย่องคือมาว่าด่า คันข่อยซังเจ้า ข่อยบ่ให้ถืกโตข่อยดอก” อือฮื้อ พ่อคนรูปหล่อ ผมแทบอยากจะอ๊วกใส่มันครับ ลอยหน้าลอยตาพูด ใครวะอยากจะถูกตัว มันเป็นเหตุบังเอิญหรอก
“จักล่ะเนาะ มื้อคืนคือด่าข่อยแท้ดอก” ผมนึกย้อนไปเหตุการณ์เมื่อคืน ที่มันต่อยกกหูผม ยังบวมอยู่เลยเนี่ย
“คันแข่ว (หมั่นไส้)” “บ๊ะ สิมาคันแข่วหยังข่อย เจ้ามาว่าข่อยก่อนเด้อ ซั่นข่อยกะบ่ยุ่งนำดอก” มันยิ้มครับ แววตามันสะท้อนแสงจันทร์สวยดีนะ ผมก็เลยหัวเราะเบาๆ
“เจ้าอยากนอนบ่” เราเงียบมองนั่นมองนี่ไปสักครู่ครับ มันก็เอ่ยขึ้น
“อือ ตาสิปิดแล้วนี่”
“ขึ่นไปนอนเทิงเฮือนบ่” จะดีเหรอ?
“บ่เป็นหยังดอก กวนแม่เจ้าซื่อๆ นอนนี่กะได้” ผมเกรงใจครับ บ้านเขานี่ไม่อยากละลาบละล้วง
“เพิ่นบ่ว่าดอก บักนุมันกะมานอนดู๋ ยามมันเมาเหล้า แห่งเสียงดังตั้ว”
“บ่ๆ นอนนี่ล่ะ เอามาติ๊ล่ะหมอนน่ะ” คือหมอนมันมีอยู่ใบเดียวครับ มันนอนอยู่ ชวนกูนอนๆ แต่นอนทับหมอนอยู่คนเดียว ยังไงเนี่ย
“นอนแขนข่อยติ๊ล่ะ” เอ่อ จีบกูอยู่ป่ะเนี่ย เอ๊ะยังไง แต่ไม่มีทาง มันไม่ชอบผมอยู่แล้ว มันต้องมีแผนอะไรแน่ๆ ไม่ได้ๆ ผมจะเชื่อคนง่ายๆไม่ได้
“แม่นไผล่ะนั่น ดำบ่” เสียงร้องถามมาจากบนบ้านครับ ผมกำลังจะอ้าปากว่ามัน ผมก็เลยหันไปตามเสียง ไฟบนบ้านเปิดสว่างทำให้เห็นบริเวณบ้านชัดเจนขึ้น บ้านมันมีนอกชาน มองขึ้นไปเห็นฝาบ้านเป็นไม้ไผ่สานขัดกัน น่าจะแม่มันครับกำลังโผล่หน้าออกมาดู
To Be Continued......
-
“เจ้าสิไปฟังลำติ๊แม่ เขาพวมลำ” มันลุกขึ้นนั่งครับ
“เออ นี่ล่ะ ว่าสิออกไปเบิ่งจักบาด (ดูสักหน่อย) ว่ามันเป็นตาฟังบ่ ไผล่ะนั่น บักนุ มึงคือบ่อยู่บ้านซ่อยงานเพิ่นล่ะ” คงเป็นผมสินะ เอ่อ ผมหันไปมองมันครับ
“บ่แม่น หมู่มาตาทางบ้านท่ายาง เพิ่นมาเบิ่งหมอลำ บ่ม่วนเลยว่าสิพากันมานอน” มันเดินไปหาแม่มันที่กำลังจะลงบันไดมา ผมก็เลยต้องเดินตามไป
“หวัดดีครับ” ผมยกมือไหว้ แม่ของมันก็รับไหว้แล้วมองพิจารณาดูหน้าผม
“หน้าคือคุ้นๆ แม่นพี่น้องทางพ่อคำสอนแม่นบ่หล่า” เอ่อ พ่อผมเองครับ
“แม่นครับ ลูกพ่อคำสอน” ผมตอบครับ ยังงงอยู่
“ฮ่วย ซั่นกะพี่น้องกันตั๊ว แม่เคยไปนอนเฮือนพ่อคำสอนอยู่ ตอนน้ำของ (น้ำโขง) ขึ้น ทางบ้านท่าแฮดปีนั้นน้ำท่วมหลาย เลยไปเพิ่งทางบ้านท่ายาง บ่ได้ไปยาม(เยี่ยม)โดนล่ะเนาะ จนพ่อบักหำตายหนีจาก” อ้อ มีความเป็นมาครับ แต่งงจัง หน้าตาผมไม่เหมือนพ่อนะ มีแต่คนบอกเหมือนแม่ แต่แม่มันกลับบอกมาถูก
“แหะๆ” ไม่รู้จะว่าอะไรดีครับ เขิน
“เป็นจั่งได๋ล่ะ พ่อคำสอน คือว่าได้เป็นหัวหน้าอสม.ติ๊หล่า”
“แม่นครับ เพิ่นกะซำบายดีอยู่แม่ แล้วแม่สิไปฟังลำจั่งได๋ครับ” คือเรียกแม่ไม่ได้ตีสนิทนะครับ คนทางนี้ถ้าหากว่ามาบ้านเขา ไม่ได้เป็นเพื่อนก็ช่าง มักจะแทนตัวเองว่าลูก เรียกคนที่แก่คราวแม่ว่าแม่ไปเลย ถือว่าให้เกียรติเขาครับ
“แม่สิย่างไปนี่ล่ะลูก ไปๆ พากันไปนอน”
“คือบ่ให้เพิ่นนี่ไปส่งล่ะแม่ ไกลเติบอยู่เด้” ผมเป็นห่วงครับ คือบ้านไอ้ดำมันออกมาติดทุ่ง ไกลพอสมควรจากวัดมาบ้านมัน เดินไปคงนานอยู่
“บ่เป็นหยังดอก แม่บ่มักนั่งมอตะไซ เป็นตาย้าน แม่ว่าสิย่างไปหายายทองมา เฮือนหลังนั้นล่ะ เพิ่นกะสิไปคือกัน” ผมหันมองตามปลายนิ้วแม่ที่ชี้ไปครับ อ้อ บ้านหลังนั้นน่ะเอง คุยกันอยู่สักพักแม่ไอ้ดำก็ไปฟังหมอลำ แกหอบเอาเสื่อไปด้วยพร้อมกับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหนาๆ ท่าทางแกจะใจดีมากครับ
“ป่ะ ไปนอน ข่อยอยากนอนแล้ว” ห๊ะ ชวนผมไปนอนเนี่ยนะ ไอ้บ้า คิดอะไรป่ะเนี่ย
“ฮ่วย แม่นคึดหยังนี่ คือเฮ็ดหน้าแนวนั้น” มันทำท่าทางตกใจครับ ผมทำหน้าตาตื่นตรงไหน แค่ตกใจเอง
“บ่ เจ้าไปนอนโลด ข่อยสินั่งเล่นอยู่ใต้ฮ่มไม้นี่ล่ะ” คือว่า มันไม่ดีหรอกนะครับ อะไรกันเพิ่งจะรู้จักกัน มาชวนไปเข้าหอ เอ้ย ชวนไปนอนซะแล้ว ผมก็มีศักดิ์ศรีนะเว้ยเฮ้ย ไม่ง่ายนะ
“ตามใจซั่น ข่อยไปนอนก่อนเด้อ เออ ฮ่มกะยอมนั่นน่ะ มีของอยู่เด้อล่ะ สิว่าข่อยบ่บอก” อ้าว ไอ้นี่ ผมมองไปที่ต้นพะยอมทันทีครับ เงาของต้นพะยอมที่สูงใหญ่ กิ่งก้านโน้มลงด้วยดอกที่สะพรั่งอยู่ มันลู่ลมเคลื่อนไหวไปมา อีกอย่างด้านหลังต้นของมัน มืดมากครับ เอ่อ จะดีเหรอ
“ฮ่วย อย่าสิมาหาตั๋ว ข่อยบ่ย้านดอก” ผมรู้ว่ามันหลอกครับ คนอย่างผมเนี่ยนะจะกลัว
“บ่ได้ตั๋ว ลองเบิ่งติ๊ล่ะ ไปเด้อ โซคดี” มันหัวเราะครับ แล้วเดินขึ้นบ้านไปเลย อ้าว ไอ้นี่นิสัยไม่ดี
“โอ้ย ถ่าแน่” เอ่อ ใครจะอยู่วะครับ บรรยากาศแบบนี้ไม่ควรอย่างยิ่ง ไปอยู่บนบ้านดีกว่า ไปนอนตรงนอกชานก็ได้
“พุ่นแล่วเพิ่น เก่งคั่ก จั่งได๋ๆ” มันล้อเลียนผมครับ ผมพยายามไม่ต่อล้อต่อเถียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองเถียงไปก็เสียเชิงมันเปล่าๆ สู้เงียบๆดีกว่า อิอิ เสียฟอร์มแล้วนี่นะ
“นั่นหม่องนอนข่อย อีแม่เพิ่นนอนในเฮือน” บอกเพื่อ แต่ประเด็นคือผมมองตามมันนี่สิครับ มีมุ้งที่ยังไม่กางอยู่ติดฝาบ้านตรงนอกชานด้านโน้นครับ ที่นอนมันพับเก็บเรียบร้อยดีนะ มีแสงสาดไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก บ้านมันกว้างขวาง วางของเป็นระเบียบดีครับ เสาบ้านเป็นไม้ขึ้นเงาวับ พื้นก็เป็นแผ่นไม้ใหญ่ๆ มีช่องระหว่างแผ่นไม้ที่ไม่ชิดกันดีด้วย เฮ้ย จะดีเหรอ ผมคิดไปถึงอะไรที่อยู่ใต้ถุนบ้านครับ เผื่อมันแหย่อะไรขึ้นมา คิดแล้วก็เสียวสันหลัง
“เป็นหยังคือสั่นขน (ตัวสั่น)แนวนั้น ระวังเด้อ ผีแหย่ดากเด้” ดูมันครับ เหมือนมันรู้ว่าผมกลัว
“ฮ่วย เว้าทั่วทีปหลาย คนแห่งย้านอยู่”
“เอ้า หว่างฮั่นคือว่าบ่ย้าน พุ่นแล่วเพิ่น” เออ กูกลัว จิ๊
“เจ้าสินอนไส นอนนี่หรือไปนอนบ่อนนอน (ที่นอน) ข่อย” อ่า ไอ้บ้า ดูมันชวนครับ ผมใจเต้นแรงทันที
“คือสิบ่ดอกเนาะ บ่อนนอนคนทุกข์ เดี๋ยวข่อยสิไปเอาสาด(เสื่อ)มาปูให้” มันทำหน้าเจื่อนๆลงครับ อ้าวนะ อารมณ์ไหนวะ ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยเงียบ
“มีน้ำกินบ่” ผมถามไปแบบนั้นล่ะครับ ทั้งที่เห็นตุ่มกินน้ำมีกระบวยตักน้ำคัดฝาไว้ตรงชานเรือน
“น้ำเย็นบ่มีเด้อ เดี๋ยวข่อยลงไปห่าย (กรอก) ใส่ขวดมาให้” เอ่อ มันเหมือนตึงๆไปจริงๆละครับ
“ลงไปเฮ็ดหยัง นั่นเด้โอ่งน้ำบ่แม่นบ่” ผมเริ่มหงุดหงิด นี่มันเห็นผมเป็นคุณหนูขนาดนั้นเลย
“กินเป็นติ๊” “ฮ่วย อย่าเว้าแนวนั้น กินเป็นเหมิดนั่นล่ะ ข่อยกะบ่แม่นผู้รากมากดีมาแต่ไส อย่าสิเฮ็ดแนวนั้น ข่อยบ่มัก” ผมบอกไปเลยครับ มันพยักหน้าเหมือนว่ามันแอบยิ้ม ผมเลยเดินไปที่ตุ่มน้ำเองครับ กระบวยตักน้ำทำด้วยกะลามะพร้าวขัดจนขึ้นเงา และฉลุลายด้วยเหล็กเผาไฟนะน่าจะ แต่ลายมันสวยดีครับ ด้ามจับก็ทำเป็นรูปเหมือนพญานาค และขอบอกว่าน้ำในตุ่มเย็นมากๆครับ น้ำฝนเย็นๆตอนดึกๆมันบาดใจดีเหลือเกิน
“อ่ะ แต่หม่องนี้ลมมันเข้าเด้ เจ้าสิหนาวบ่” มันปูเสื่อเสร็จ แต่ก็หันมาถามผมครับ
“บ่เป็นหยังดอก นอนพอเซ้า” ผมบอกมัน มันก็พยักหน้า
“ซั่นข่อยนั่งคุยเป็นหมู่” มันนั่งลงข้างๆเสื่อที่มันปูครับ มีหมอนใบกับผ้าห่ม ผมเลยไปนั่งลงในเสื่อ นั่งใกล้ๆมัน ผมเองที่ใจสั่น จะให้คุยอะไรล่ะ จะมาอยากคุยอะไรตอนนี้ รู้ไหมเนี่ยว่าไหวหวั่นไอ้นี่
“เอ้า คือบ่นอนล่ะ” ผมนั่งหันหน้าออกไปทางนอกชานครับ ดูมัน ยังมีหน้ามาถาม เขิน เข้าใจป่ะ ตอนแรกๆไม่รู้สึกอะไรนะเวลาอยู่กับมันสองคน แต่ตอนนี้ทำไมหัวใจผมเต้นรุนแรงมากๆครับ ผมพยายามไม่คิดอะไร บอกตัวเองว่ามันไม่ชอบกะเทย เกย์ ตุ๊ด อะไรก็ตามแต่ที่ผิดปกติจากผู้หญิงกับผู้ชาย มันไม่มีทางมาชอบผม เอ่อ คิดเข้าข้างตัวเองไปไหมเนี่ย
“สิให้นอนจั่งได๋เนาะ เจ้ามานั่งเบิ่งแนวนี้ ข่อยกะบ่เคยแหม่ะ” ผมตอบออกไปโดยที่ไม่หันไปมองหน้ามันครับ มันหัวเราะ เออนะ แล้วทำไมผมต้องมาเป็นฝ่ายเขิน แล้วมันจะต้องเป็นฝ่ายที่หัวเราะเหมือนว่ามันถือไพ่เหนือกว่า ผมหันหน้าไปกะว่าจะจ้องหน้ามันกลับ แต่มันกลับล้มตัวลงนอนเอาข้อศอกแนบไปกับพื้น เอามือตั้งฉากท้าวหัวของมัน
“เอ่าซั่น (ถ้างั้น) ข่อยนอนเป็นหมู่ นอนคุยกัน” มันมองผมยิ้มๆ
“คือว่าอยากนอน สิมานอนคุยหยัง ไปนอนโลด ข่อยกะอยากนอน” ผมพยายามจะไล่มันไปครับ คือให้คิดอยู่คนเดียวตรงนี้ดีกว่า มีมันมานอนข้างๆแล้วให้ผมคิด คือมันเตลิดน่ะครับ เข้าใจผมใช่ไหม
“ฮ่วย เฮือนข่อยเด้ล่ะ สินอนไสกะได้ตั๊ว” มันทำหน้ากวนๆครับ
“โพดเนาะ เออ อยากนอนกะนอนโลด ข่อยสินอน” ผมนอนลงแล้วรีบเอาผ้าห่มมาคลุมตัวครับ คุมโปงไปเลย มันไม่พูดอะไร แต่เหมือนมันลุกขึ้น ไม่นานนักไฟก็ดับพรึ่บลง ผมเลยรีบเอาหน้าห่มออกจากหน้า
“ระวังเด้อ ห่ามีคนมาดึงขา ย้านสิแม่นอีพ่อเด้อ บ่ต้องย้านดอก เพิ่นมักหยอก” โอ้ย ดูมันครับ ผมสะดุ้งขดตัวทันที นอนอยู่กลางบ้านแบบนี้เนี่ยนะ เอ่อ จะดีเหรอ
“โอ้ย จักเว้าหยัง อีพ่อเอ้ย ลูกมาขอนอนซื่อๆ (นอนเฉยๆ) เด้อ อย่าสิตื่นสิท้วง (อย่าตกใจ) ให้คุ้มครองรักษาลูกเด้อ” ผมยกมือขึ้นไหว้ลมไหว้อากาศ มันหัวเราะเสียงดัง
“เออ เพิ่นฮู้แล้วล่ะ นั่นล่ะแห่งสิไปเอิ้นเพิ่นมาหา”
“ฮ่วย บักอันนี่แหม่ะ คนแห่งย้านอยู่” ผมว่ามันครับ เอาหลังติดฝาบ้าน หันหน้าออกไปนอกชาน ขดตัว น่าสมเพชตัวเองจริงๆ มันทำอะไรไม่รู้กุกกักอยู่ แล้วก็เงียบไปครับ ผมใจเต้นตึกตัก จากที่หนาวๆเหมือนว่าจะร้อนขึ้นมา ใจเต้นเพราะกลัว ระแวงครับ เสียงลมหวีดหวิว มีเสียงอะไรไม่รู้เหมือนขูดฝาบ้านอยู่ เอ่อ จะดีเหรอ
“แฮ่” “โอ้ย” เกือบกรี๊ดครับ ผมดิ้นแรงมาก โผขึ้นลุกดีดตัวหมอนผ้าห่มไปไม่เป็นทิศ
“ฮ่าๆ โอ้ย ซาดย้านคือเนาะ” ไอ้นี่ เตะมันสักทีดีไหมครับ ไม่ไหวนะ เผื่อผมเป็นโรคหัวใจขึ้นมาทำยังไง มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นกันนะแบบนี้
“เอ่า ข่อยนอนเป็นหมู่” มันไปลากเสื่อกับเครื่องนอนมันมาครับ
“ซ่างเฮ็ดแนวนี้เนาะ ฮ่วย ห่าข่อยหัวใจวายตายไปสิเฮ็ดจั่งได๋” ผมยังว่ามันอยู่ครับ
“บ่ตายดอกน่า หยอกเล่นซื่อๆดอก หัวใจวายมาสิปั๊มหัวใจให้ดอก” ยังมีหน้ามาพูดเล่นอยู่อีก ยันให้ตกจากบ้านไปเลยดีไหม อย่านะ อย่ามาท้าทาย
“นอนๆ ฮ่าๆ มืดๆก็เห็นตาขาวเจ้าว่ะ” ป้าด ดูมันครับ ผมเหวี่ยงมือไปทันที กะจะอัดเข้ากกหูมันสักหน่อย มันเหมือนรู้ครับ มันหลบแล้วจับมือผมไว้
“นั่นๆ จอบแต่สิตีเนาะเจ้า” มันเหมือนจะหมั่นเขี้ยวครับ ผมก็พยายามสะบัดมือออก แต่มันไม่ยอมปล่อย
“เออๆ นอนๆ สินอนกะนอน อย่ามานอนใกล้ข่อยหลายเด้อ ยามข่อยหลับมักถีบเด้” ผมขู่มันครับ
“ติ๊ ข่อยยามหลับกะมักกอด ระวังเด้อ” เอ่อ มันจีบผมอยู่ใช่ไหมครับ เขินอ่ะ (หันหน้าเข้าหาฝาบ้าน กัดผ้าห่ม) ใจเต้นแรงและรัวมากๆขอบอก
“อย่าสิมาหาเว้า” ผมตอบมันไป พยายามบังคับเสียงไม่ให้มันสั่นจนมันสังเกตได้ แต่ก็นะ
“หนาวติ๊ คือเสียงสั่นๆ” มีหน้ามาถามอีก บ้าเหรอ มันไม่ได้ชอบผมหรอก มันคงแกล้งผม หนอยแน่ ไอ้หน้าดำ ต้องการอะไรกันแน่ อย่าๆ อย่ามาคิดว่าคนอย่าเวลาจะใจง่าย ฝันไปเถอะ
“อือ หนาว เซาเว้าแน่ะ ข่อยสินอน” ผมตัดปัญหาครับ
“มาๆ ข่อยกอด สิได้อุ่น” เอ่อ มันไม่พูดเฉยๆนะครับ มันโผเข้ามากอดผมเลย
“ฮ่วย สิกอดเฮ็ดหยัง เจ้าเฮ็ดแนวนี้เฮ็ดหยัง คือว่าบ่มักกะเทย” ผมแหวเสียงใส่มันครับ มันนิ่งไป ภายใต้ความเงียบนั้น ไม่กี่อึดใจมันก็ถอยไป เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
“ฮ่วย บ่มักอีหลีนั่นล่ะ เล่นนำซื่อๆดอก” มันเสียงแข็งขึ้นมาทันทีครับ
“ข่อยบ่แม่นของเล่น” เสียงของผมเบาจนแทบจะลอดไรฟันออกไป แต่ผมเชื่อว่ามันก็ได้ยิน มันลุกขึ้นลากที่นอนกลับไปที่เดิมของมันครับ ใจผมเต้นแรงกว่าเดิม ใจหาย ทำไมต้องพูดแบบนั้นเด้วยนะ ผมนี่ท่าจะบ้า อะไรวะ แทนที่จะได้กอดมัน เฮ้ย คิดอะไร ไม่สิ มันไม่ชอบผมตั้งแต่แรก มันคงคิดแค่อยากจะลองเล่น เอาเถอะ ผมเข้าใจความรู้สึกมัน และกรุณาเถอะภาวนาให้มันเข้าใจความรู้สึกของผมด้วย ผมไม่เหมือนทุกคนที่มันเคยรู้จักมา ผมนอนคิดอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ครับ เสียงลมพัดกิ่งไม้ครูดฝาบ้านดังอยู่เรื่อยๆ เสียงหมอลำก็แว่วมา ใจยังคงเต้นแรงอยู่ สมองก็คิดวกไปเวียนมา เสียงมันหายใจแรงๆอยู่ไม่ไกลนัก ผมไม่น่ามาเลย ผมไม่น่าพาใจตัวเอง พาร่างกายตัวเองมาไกลถึงเพียงนี้เลย ที่ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงนั้นแปลว่าอะไร มันแค่อยากลองของแปลกว่างั้น หรือผมที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่คิดไปเองอย่างที่เพื่อนผมเคยบอก ทำไมรู้สึกเจ็บปวดจังเลย นี่ผมรู้สึกอะไรกับมันกันแน่ ผมชอบมันเหรอ ไม่จริง เอ๊ะ แต่ผมชอบแอบมองหน้ามันนะ มันเป็นผู้ชายที่ผมรู้สึกใจเต้นแรงด้วย มันหล่อผมยอมรับแม้มันจะดำไปหน่อย แต่ผมชอบมัน เหรอ? ไม่มั้ง แล้วทำไมนอนใจสั่นทำตัวแข็งทื่ออยู่แบบนี้ ผมคิดไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้สึกตัวก็ได้ยินเหมือนคนเดินขึ้นบ้านมา เสียงไก่ขันรอบบริเวณบ้าน น่าจะแม่มันกลับมาแล้วครับ เหมือนกำลังจะนึ่งข้าว ผมเลยลุกออกไป
“ม่วนบ่แม่” ผมส่งเสียงถามไปเบาๆ
“เอ้า นอนบ่หลับติ๊ลูก คือตื่นแต่เดิก(ดึก)แท้” ท่าทางแม่ตกใจผมอยู่เหมือนกัน เอ๊ะ ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ
“มันหนาวครับ” ผมตอบไปแล้วไปนั่งลงใกล้ๆแก
“ถ่าคราวเดียวเด้อ แม่ดังไฟนึ่งเข่าก่อน สิลงไปสุมไฟให้ฝีง” น้ำเสียงของแม่เหมือนเสียงของแม่ผมเลยครับ เสียงของผู้ใหญ่ที่ดูอบอุ่นในยามที่เหน็บหนาวแบบนี้
“หมอลำคือยังลำอยู่ล่ะแม่ คือมาแล้ว” ผมวกกลับไปเรื่องหมอลำ
“ลำสู่มื้อนี้บ่คือสมัยเก่าดอกลูก ลำอีหยังบู๊ บ่ม่วน นางเอกลำไคแน่ (ดีหน่อย) แต่พระเอก เสียงปานเป็ดเทศ” แกพูดแล้วก็หัวเราะ ผมก็เลยหัวเราะไปด้วย
“เดี๋ยวผมนึ่งเข่าให้แม่ ผมเฮ็ดเป็น” ผมอาสาครับ อยากทำอยู่เหมือนกัน
“บ่ต้องดอกลุก มือสิดำ”
“บ่เป็นหยังครับ อยู่บ้านผมกะตื่นขึ้นนึ่งสู่มื้อ” เอ่อ ไม่ได้โกหกนะ เขาเรียกแถ มีบ้างล่ะครับ ก็แหมนะ เรื่องพวกนี้ผมทำเป็นตั้งแต่เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องสอน อีกอย่างเห็นผู้ใหญ่หยิบจับต่อหน้าจะนั่งดูก็คงไม่ควร ผมอ้อนแกอยู่นานก็เลยยอม ผมก็เลยจัดการนึ่งข้าวให้แก แล้วก็ลงไปข้างล่างครับ ฟ้าเริ่มจะเปิดมาทางทิศตะวันออกแล้ว เริ่มเห็นอะไรลางๆ แม่ก่อกองไฟให้แล้วแกก็เอาข้าวเหนียวที่เหลือจากการนึ่งไปหว่านให้ไก่ เสียงไก่เสียงนกดังระงมบริเวณ ผมนั่งมองด้วยความสุขใจ มันบอกว่ามันยากจนคือทุกข์นั่นล่ะครับ ภาษาอีสานคือยากจน ลำบากมาก แต่ผมไม่เห็นว่าจะลำบากตรงไหนเลย หรือว่ามันลำบาก เออนั่นสิ ไม่รู้ล่ะ เท่าที่เห็นผมเห็นแต่ความอบอุ่น ผมเดินไปช่วยแม่หว่านข้าวในกะติ๊บให้ไก่ มีไก่เยอะเหมือนกันครับ แม่ปั้นข้าวเหนียวมาสองปั้นแล้วแกก็เอาจี่กับถ่าน
To Be Continued.....
-
“อ่ะ แฮ่ม” อ้าว ไอ้ดำครับ มันนั่งอยู่ตรงบันไดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“กินเข่าจี่บ่ลูก” แม่มันร้องไปถามครับ
“กิน หมอลำบ่ม่วนติ๊แม่ คือมาไวแท้” มันเดินลงมาครับ ผมหลบหน้ามัน
“บ่ๆ จั่งซั่นล่ะ เป็นหยังคือให้หมู่นอนอยู่นอกชานผู้เดียว คือบ่ให้เข้าไปนอนในบ่อนนำกัน หนาวกะด้อ” แม่มันตำหนิมันเรื่องปล่อยให้ผมนอนอยู่นอกชานคนเดียวครับ
“เอ้า เพิ่นบ่ไปเด้ ย้านหยังบู๊” มันทำเสียงหยันๆ ผมก้มหน้าลงดูข้าวที่จี่อยู่บนถ่าน
“กินเข่ากินน้ำนำแม่ก่อนเด้อลูก จั่งเมือ แม่สิให้บักดำมันไปส่งดอก” ผมยิ้มแห้งๆให้แม่ครับ ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี ผมรู้สึกไม่อยากมองหน้ามันเลย
“ถ่าเบิ่งหมู่ก่อนครับ หมอลำเซาคือสิมาฮับ บ่เป็นหยังดอก” ผมบอกไป
“สิฟ้าวไปไสล่ะ แม่สิแกงปลาสู่กิน สิฝากบักขามหวานไปให้พ่อคำสอนนำ” เอาล่ะสิ ผมทำหน้ากระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก
“เพิ่นบ่กินกะซ่างแล่วแม่ ดีตั๊วบ่เปลือง” มันพูดครับ ผมเม้มปาก
“บักอันนี่ เปลืองหยัง ไปๆ ไปหายามมอง(ตาข่ายดักปลา)” แม่ไล่มันไปแล้วครับ มันก็ทำท่าหัวเสียเดินออกไปทางหลังบ้าน สม โดนแม่ดุ ผมแอบอมยิ้มแต่ก็ร้าวในใจแปลบแปลกๆ พอข้าวจี่เสร็จผมก็เอามานั่งบิกินที่แคร่
“เอ้า มันลืมเอาข่องไปนำ” แม่ร้องโวยวายออกมาจากใต้ถุนบ้านครับ ตะข้องใบใหญ่ที่แม่ถือออกมา แสดงว่าไอ้ดำมันลืมเอาไปด้วย
“เพิ่นไปยามมองไสล่ะแม่ ผมเอาไปให้กะได้” ผมอาสาอีกแล้วครับ คือมันต้องเป็นอย่างนี้ป่ะ ก็แม่มองมาทางผม
“ห้วยอยู่นานี่ล่ะลูก บ่ไกลดอก ย่าง(เดิน)ไปทางหลังบ้านคราวเดียวกะฮอด” ผมเดินไปรับตะข้องมาครับ แล้วก็เอาข้าวจี่อีกก้อนห่อใบตองแห้งติดไปด้วย เผื่อว่ามันหิว ฟ้าเริ่มสางแล้วครับ หลังบ้านมีต้นกล้วยกับต้นไม้อีกหลายอย่าง ผมไม่ทันได้สังเกต มีคูกันน้ำผมเดินขึ้นคูไปก็เห็นเป็นทุ่งนาแล้วก็ลำห้วย อากาศดีมากๆแม้จะหนาวไปหน่อยก็เถอะ เออ หนาวๆแบบนี้ไอ้ดำมันลงน้ำได้ยังไง ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงห้วยเห็นหัวไอ้ดำผลุบๆโผล่อยู่เหนือน้ำ พอมันเห็นผมมันก็ลอยขึ้นมาบนฝั่ง มันจ้องผมด้วยสายตาแปลกๆ ผมเมินไปเสียทางอื่น
“เอามาให้ติ๊” ถามได้เนอะ
“อือ กินเข่าจี่บ่ กำลังฮ้อนๆ” ผมถามตามารยาทครับ มันเดินขึ้นจากน้ำ มันไม่ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงใน เอ่อ จากที่หนาวๆอยู่ผมเหมือนความร้อนจะเกิน รีบก้มหน้าลงทันที มันหุ่นแบบว่าไม่มีไขมันเลยครับ อ้าวๆ ไหนบอกไม่มอง แหมก็นะ เห็นแว้บเดียวก็พอรู้ล่ะ ผิวมันดำแดงถึงกร้านแดด ตัวมันใหญ่นะแต่ไม่มีไขมันเลย มันมานั่งยองๆต่อหน้าผม เอ่อ
“เบิ่งหยังเดี๋ยวนี้ คือก้มแท้” มันถามครับ ผมนี่คอหักแทบจะติดพื้นอยู่แล้วเถอะ
“เบิ่งดิน” ผมเขินครับ เขินจริงๆให้ตายเถอะ เสียงลมหายใจมันพ่นออกมาต่อหน้า มันชัดเจนมากๆ ตัวของมันที่พ่นไอน้ำออกมาจนผมรู้สึกได้
“หนาวคั่ก” มันสั่นครับ ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ไม่ได้เอาผ้าห่มมาด้วย
“เอาเสื้อบ่ ข่อยใส่มาหลายซั้น” ผมใส่เยอะจริงล่ะครับ
“บ่เป็นหยัง เดี๋ยวสิฟ้าวลงไปยามมอง แล้วสิฟ้าวขึ้น เย็นปานน้ำแข็ง” ขากรรไกรมันกระทบกันกึกๆ น่าสงสารจัง ผมเงยหน้าขึ้นมามองมัน มันยิ้มให้ผมครับ ก้มลงอีกโดยเร็ว อายอ่ะ
“เดี๋ยวจั่งมากิน” มันยื่นข้าวจี่คืนให้ผมครับ แล้วมันก็ถือตะข้องแหวกน้ำลงไปเหมือนเดิม ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังที่กำลังจมหายไปในน้ำที่นิ่งสนิท ตอนนี้ไม่มีลมนะครับ แผ่นน้ำนั้นนิ่งเหมือนแผ่นกระจก มีไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมาด้วยล่ะ พอไอ้ดำมันแหวกลงไปม่านน้ำก็กระจายออกเป็นลูกๆ ผมยืนรอมันอยู่พักใหญ่มันก็ขึ้นมา มันรีบวิ่งไปเอาผ้าขาวม้าพันเอว ปากมันเป็นสีม่วงแล้วครับ ผมเลยรีบถอดเสื้อกันหนาวชั้นแรกออก
“สิกระด้าง (หนาวจนสั่น) ตายซะดอกเจ้า” ผมยื่นเสื้อให้มันครับ แต่มันสั่นอยู่ มันก้มลงแล้วถอดกางเกงในต่อหน้าผม เอ่อ ไม่เคยอ่ะ คนที่สั่นกลายเป็นผมแทน
“โอยๆ หนาวกั่วมื้อวานตั๊วนี่” มันเงยขึ้นผมเลยเอาเสื้อคลุมบ่าให้มันครับ
“เฮ็ดคือเมียมาเฝ้าผัวเนาะเจ้าน่ะ” สะอึกครับ อาย เขิน ใจเต้น เดินไม่ได้ หันหน้าหนีอย่างเดียว ผมไม่คิดว่ามันจะพูดแบบนี้ และผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะพูดจริงๆ ตั้งรับไม่ทัน
“เว้าหยอกดอก คนคือข่อย จ้างให้เจ้ากะบ่เหลียวเบิ่งดอก” มันเห็นผมอึ้งอ้าปากค้างแบบนั้น มันเลยพูดต่อครับ ยิ่งพูดต่อผมยิ่งเหมือนโดนสาปให้เป็นหิน มันล้อเล่นๆ ไม่เชื่อ ไม่จริง เกิดอะไรขึ้น หรือว่านี่ผมยังนอนฝันอยู่แน่ๆ ตื่นๆได้แล้วๆ
“คือเว้าแนวนั้น อย่ามาเว้าเล่นเด้อ” ผมเสียงสั่นมาก จ้องหน้ามันแววตาของมันใสจนผมต้องหลุบตาตัวเองลง
“แม่นตั๊ว ข่อยมันทุกข์” ผมเอาข้าวจี่ในมือยัดเข้าปากมันเลยครับ ผมไม่อยากได้ยิน ผมสั่น ผมกลัว ความรู้สึกทุกอย่างมันมารวมกันในตอนนี้ ผมเหมือนจะหนาวกว่ามันเสียด้วยซ้ำ มันงับข้าวจี่ไว้ แต่สายตามันยังมองมาที่ผม ผมเองก็มองหน้ามัน สายตามันดูอ่อนโยน อบอุ่นเสียจนผมรู้สึกคลายความหนาว ไม่จริง มันคือภาพลวงตา
“เซาเว้าแนวนี้ คันเจ้าบ่ได้คึด ข่อยคึด” เอ่อ เวหาครับ พูดอะไรออกไปรู้ตัวป่ะเนี่ย พอพูดเสร็จเหมือนผมจะอายตัวเอง เอ่อ กระโดดลงน้ำดีไหม มันยิ้มทั้งที่ปากมันยังงับอยู่ด้วยข้าวจี่
“ข่อยไปถ่าอยู่เฮือนเด้อ” ผมเขินมากๆครับ วิ่งเลย เสียงมันหัวเราะตามหลังมา
“เอ้า คือแล่น(วิ่ง) ล่ะลูก ไล่หนาวติ๊” แม่เห็นก็ร้องทักมา ผมพยักหน้าหงึกๆท่าเดียว อีอ้วนมันทำอะไรอยู่นะ ป่านนี้แล้ว ตะวันก็ขึ้นแล้วทำไมมันไม่มารับผมเสียที พ่อกับแม่คงท้าวสะเอวรอด่าอยู่แน่ๆ มาไวไว ไม่อยากจะอยู่แล้ว
“ไสล่ะปลาน่ะลูก มีหยังแน่” ไอ้ดำมันเดินยิ้มตามมาครับ
“มีปลาดุก ปิ้งเนาะ กับแกงปลาค่อขังไว้นั่นน่ะ” ผมไม่รับรู้อะไรแล้วครับ นั่งอยู่บนแคร่หันหลังให้ ไอ้ดำมันเดินมาใกล้ๆ แล้วโน้มคอลง
“เสื้อเจ้าหอมเนาะ” สะอึก อาย ก้ม แล้วมันก็เดินไปครับ มันแกล้งผมชัวร์ๆ ทำใจๆ ผมสูดลมหายใจเข้าปอด
“ผมปิ้งให้กะได้แม่” ผมอาสาอีกแล้วครับ ดี แกล้งใช่ไหม ผมก็จะทำตัวเนียนๆหน้ามึนๆเข้าไว้
“เดี๋ยวแม่สิไปคัว (ชำแหละ) ปลาเทิงเฮือนเด้อ มาๆลูก มาเฮ็ดเทิงเฮือน” แม่ชวนครับ ผมก็เลยต้องเดินตามขึ้นไปบนบ้าน ไอ้ดำมันกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ท่าทางมันไม่หนาวนานเท่าไหร่ เพราะตอนนั้มนใส่เสื้อยืดธรรมดากับโสร่ง แปลกตาดี ผมเห็นแต่พ่อผมใส่ครับ
“แม่ เจ้าบ่อยากได้ลูกใภ้ติ๊” มันพูดขึ้นครับ มันนั่งอยู่อยู่บนพื้นบ้านหย่อนเท้าลงมาทางครัว คือพื้นบ้านยกขึ้นอีกระดับ แต่พื้นครัวทำต่ำกว่าพื้นบ้านนะครับ
“อยากได้อยู่ มักไผล่ะ คือบ่เห็นเห็นไปเล่นสาวได๋” แม่มันถามกลับ ผมหนาวๆร้อนๆ เอ๊ะ เกี่ยวอะไรกับกูวะเนี่ย เขาคุยกันสองแม่ลูก อย่าไปยุ่งเรื่องของครอบครัวเขาดีกว่า
“ถามไปซั่นล่ะ หามีผู้มามักซั่นดอก” มันมองมาทางผม ไม่ได้คิดไปเองนะครับ มันมองมาจริงๆ ผมก้มหน้าลงเอาปลาดุกใส่ชามเอาเกลือโรย
“ไผกะเอา คันนิสัยดี ฮู้จักเฮ็ดอยากเฮ็ดกิน แต่อย่าสิเอาพวกแต่งแต่หน้าทาปาก บ่ลงเฮือนเด้อ แนวนั้นแม่บ่ไหว” แม่หัวเราะครับ
“หรือสิเอาเมียพ่อซายบ่แม่ มันจั่งบ่ได้แต่งหน้าทาปาก” สะอึก ตอนนี้หัวผมแทบจะจุ่มลงไปในชามใส่ปลา แม่เงียบเสียงไปเลยครับ โอ้ย ไอ้นี่ พูดอะไรวะ แม่ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ ผมรู้สึกเหมือนว่ากำลังโดนย่างไฟทั้งเป็น ร้อนผ่าวไปทั่วตัว
“จั่งได๋กะซ่าง คันมึงเห็นว่าดีแล้ว แม่กะอยู่อีกบ่โดนดอก” ความปวดร้าว ความละอาย ความเกรงกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างมันมาอยู่ในความรู้สึกของผม เขาไม่ได้พูดถึงผม แต่ทำไมผมถึงคิดไปได้ไกลถึงขนาดนี้ ผมอาย ผมสั่น ใจเต้นแรง ความรู้สึกมันไม่ได้ต่างอะไรกันมากนัก แต่มันมากขึ้น มากจนหูอื้อ
“แต่เขาคือสิบ่มักข่อยดอกแม่ เฮ็ดจั่งได๋เนาะ พวกเฮาทุกข์” พอเถอะ ผมไม่ไหวแล้ว
“ฮ่วย ลูก คือใส่เกลือหลายคั่กแท้ บ่ได้เฮ็ดปลาแดกเด้” แม่ร้องทักมา ผมสะดุ้ง เฮ้ย เกลือขาวโพลนเต็มชาม โอ้ย ไหวป่ะเนี่ยกู ปลาต้องเอาไปล้างใหม่ครับ ผมอดทนมากเช้านี้ ผ่านไปจนสาย ตะวันโด่ง อีอ้วนถึงมา หน้าตาดูอิ่มมาก ไม่อยากจะด่ามัน แต่ผมคงเหมือนคนไม่ได้นอน แม่ฝากมะขามหวานกับปลาช่อนแดดเดียวไปให้พ่อด้วย
“เป็นหยังศรี คือมิดแท้ ว้าย อย่าบอกเด้อ ว่าศรีเสียสาวให้ไอ้ดำแล้ว” ดูเอาครับ แหกปากขึ้นระหว่างทาง ดีนะที่เป็นกลางทุ่ง
“อีบ้า บ่แม่น จิ๊” ผมไม่รู้จะบอกมันยังไงดีครับ ผมคิดว่าผมคิดไปเอง มันเร็วเกินไป มันไม่ใช่หรอก
“มีหยังศรี” เสียงมันสุขุมขึ้นจนผิดกัน ผมถอนหายใจออกมาแล้วเล่าให้มันฟังแค่เพียงคร่าวๆครับ เพราะมันฉลาดไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่าง อีกทั้งเราคบกันมาตั้งแต่เด็ก ผมคิดอะไรอยู่แค่ดูมันก็รู้แล้ว
“ว้าย เธอสิมีผัวแล้ว โอ้ยน้อ ฟ้าเอ๋ยฟ้า คือมากลั่นมาแกล้งนางแตงอ่อน ให้นอนเศร้าเหงาเปลี่ยวแท้เด้น้อ จอบส่อง(แอบมอง)เขาจนแมวเป้าลักเอาไปกิน” มันหันมาทางผมครับ อีบ้า จากเครียดๆอยู่ผมหัวเราะออกมา มันลำนะครับ ทำท่าเหมือนคนกำลังจะขาดใจ
“บ่แม่นดอก มันแกล้งซื่อๆ เธอกะได้ยิน ว่ามันบอกว่ามันซังกะเทยคือพวกเฮา” ผมระบายลมหายใจออกมา
“โอ้ย บ่แม่นดอก มันซังคนคือเอื้อยนี่ แต่ศรีน่ะ มันคือสิบ่เคยพ้อ ว้าย เดี๋ยวเอื้อยสิเฮ็ดพาขวญ (บายศรี)ให้ ผู้จบ(สวย)เนาะ หัวตามาหนึ่ง(เพิ่งจะมา)กะมีผัวแล้ว โอ้ย เอื้อยล่ะเลาะจนดากด้าน กะบ่มีจักคน” มันบ่นครับ ว่าไปนะ ผมยังไม่ปักใจเชื่อครับ แต่ก็ไม่รู้จะค้านไปทำไม ผมเหนื่อยมาก พอไปถึงบ้าน คุณพ่อกับคุณแม่ก็กำลังจะขึ้นกัณฑ์เทศน์ แต่ผมเอ่ยนามแม่ของไอ้ดำขึ้นมา เรื่องก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่
“เอ้า เพิ่นยังอยู่ติ๊ ผู้หนีจาก(ตาย) นั่นผัวเพิ่นเด้เนาะ โอ้ย กะบ่ได้สืบข่าวเนาะ ตาผัด(ตั้งแต่) น้ำท่วมหลายปีแล้ว เป็นจั่งได๋ เพิ่นซำบายดีบ่” พ่อผมถามครับ ผมก็เล่าให้ฟัง แม่ผมก็รู้จัก บอกว่าแม่ของไอ้ดำนิสัยดี เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ ตอนน้ำท่วมคราวนั้นมาอยู่กันเกือบเดือน พายเรือไปเก็บผักด้วยกัน พ่อผมกับพ่อไอ้ดำก็ไปหาปลาด้วยกัน เหมือนพี่ชายกับน้องชาย ส่วนแม่ก็นับถือแม่ของไอ้ดำเป็นพี่ เพราะอายุค่อนข้างห่างกัน แม่ผมรีบไปในครัว
“เพิ่นมีเข่าเหนียวดำกินบ่ลูก ไสล่ะปลาส้มน่ะจ่อย(สรรพนามเรียกพี่สะใภ้)” เอ่อ เห่อไปไหม แม่ผมเตรียมของเหมือนจะเอาไปให้แม่ของไอ้ดำเลยครับ
“เอามาหยังล่ะแม่” ผมแกล้งถามครับ
“เอ้า ซ่างถามเนาะ กะเอาไปให้เพิ่นเด้”
“ไผล่ะสิไปน่ะ บ่ไปเด้อ เมื่อย” ผมไอยากไปครับ ยังอายไม่หายเลย
“ฮ่วย มื้อใหม่จั่งไป แม่สิไปอำเภอกับพ่อมึงนี่”
“ไปหยังล่ะ” “ไปให้หมอตรวจสุขภาพ” อ้อ ผมพยักหน้า พอคุยอยู่สักพักผมก็ไปอาบน้ำครับ กะว่าจะนอน อีอ้วนมันกลับไปแล้ว พ่อกับแม่ออกไปอำเภอ ส่วนพี่สะใภ้ก็เลี้ยงลูก พี่ชายไปรับจ้างไถนา ส่วนผมนอนสิครับ ตื่นมาก็เกือบเย็นแล้ว ลงไปทำกับข้าวช่วยแม่ กินข้าวเสร็จก็ทุ่มกว่าๆได้ครับ
“เฮ็ดหยังอยู่” ไอ้ดำครับ มันโทรเข้ามา
“กินเข่าแล้วหว่างฮั่น มีหยัง” เอ่อ เสียงห้วนไปไหมกู
“โทรหาบ่ได้ติ๊” มันตัดพ้อครับ
“เอ่อ ได้ๆ มีหยังจ้า” อ้าว ไปล้อเลียนมันอีก ผมนี่ท่าจะบ้า แต่ขอบอกว่าใจเต้นแรงมากๆครับ
“คึดฮอด” สะอึก เล่นไม่ออก นิ่งไปห้านาที
“เป็นหยัง คือมิดแท้ ข่อยเว้าบ่ถืกใจติ๊” มันถามครับ จะให้ผมตอบว่ายังไงล่ะ
“เออดำ อีแม่เพิ่นมีแนวสิฝากให้อีแม่ทางพุ่น ว่างๆกะเข้ามาเอาเด้อ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยครับ
“พุ่นแล่วเพิ่น เออๆ ซ่ำนี่ล่ะ บ่กวนแล้ว” มีงอนครับ
“เอ้า สิไปไสล่ะ” ผมก็รีบพูดกลัวมันวางสายจริงๆ
“ไปหาผู่สาว” จุก ผมเหมือนโดนมันถีบหน้า ใจมันร้าวขึ้นมาแปลบๆทันที
“ซ่ำนี้ล่ะเนาะ” มันวางสายไปแล้วครับ ผมสิ เหมือนคนโดนต่อยที่หน้าอกแรงๆ ทำไมถึงได้รู้สึกมากมายขนาดนี้กับคำพูดของมัน ผมชอบมันแล้วเหรอ ไม่ใช่หรอก คงเป็นเพราะผมไม่มีใครมานานแล้ว พอมาเจอไอ้ดำ มันทำท่าทีเหมือนจะเล่นๆ ผมก็คิดเอา มโนเอาไปไกลถึงโน่น สุดท้าย ผมกำลังหายใจขัด มันหน่วงๆที่ใจ นี่ผมกำลังเป็นอะไร ผมรู้สึกอะไรกับมันเหรอ ผมพยายามนอนแต่ก็นอนไม่หลับครับ ผมเลยลงมาข้างล่าง ไอ้ด่างมันก็มาคลอเคลีย ลมก็แรง หนาวก็หนาว แทนที่จะนอนห่มผ้า แต่ไอ้ด่างมันก็วิ่งออกไปหน้าบ้านล่ะครับ เพราะมีเสียงรถเครื่องดังแว่วมา พอแสงไฟหน้ารถสาดมามันก็ออกไปรับกระดิกหางเลย อ้าว ใครมา
“เอ้า” ดีใจ เอ้ย ใจเต้นครับ ไอ้ดำ มันจอดรถดับเครื่องแล้วมองมาที่ผม มือมันก็จับตัวไอ้ด่างอยู่
“มื้ออื่นมาเอากะได้ตั๊ว หนาวกะด้อ มาจั่งได๋” ผมเดินออกไปหามันครับ
“มาหาเจ้านี่ล่ะ” ผมอยากจะยิ้มออกมาให้เต็มปาก ผมไม่รู้จะทำยังไงดี มันพูดจริงใช่ไหม ไม่รู้ล่ะ ช่างมันเถอะ ถ้าหากว่าผมจะหลอกตัวเองแล้ววันข้างหน้าผมจะเจ็บ ผมขอหลอกตัวเองก็แล้วกัน ไหนๆมันก็ดีกว่ามาคิดเองเออเองแบบนี้
“คึดฮอดข่อยติ๊” เอ่อ ได้ข่าวว่าสับสนอยู่นะเวหา
“แม่น” หน้าหงายไปเลยครับ ผมยืนบิดไปมาความรู้สึกแรกรุ่นมันเป็นแบบนี้นี่เอง
“บ่หนาวติ๊ เสื้อกันหนาวกะบ่เอามา” ไอ้นี่มันแปลกครับ มาเหมือนเมื่อวันก่อนเลย
“ฟ้าวมา บ่ได้เตรียม”
“ฟ้าวนำหยัง เดี๋ยวกะหนาวตายดอก”
“บ่ตายดอก ใจยังอุ่นอยู่” ตาของมันแวววาวมาก ใจผมสั่นเทิ้มไปหมดแล้ว
“บู้ย ผบทบ คือเว้าเก่งแท้ ปานนั้นล่ะว่าบ่มีผู้สาวเนาะ” ผมแซวมันครับ
“อีหยัง ผบทบ” มันทำหน้างงใส่
“ผู้บ่าวไทบ้านเด้” มันยิ้มครับ
“กะบ่เคยคือกันล่ะ แต่มันเป็นธรรมชาติ เฮ็ดนำใจท่อนล่ะ” โอ้ย มาเป็นสามีกูเลยมา จะได้จบๆ พูดซะขนลุก จากที่หนาวๆอยู่เมื่อครู่ ร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกแล้วครับ
“อย่าสิมาเว้าแนวนี้ ข่อยบ่มัก” ผมพูดออกมาครับ เออนะ อารมณ์ผมนี่ก็นะ แต่ผมคิดว่า ให้มันจบลงตรงนี้ดีกว่าครับ ผมมองไม่เห็นวันข้างหน้า มันคือผู้ชายแท้คนหนึ่ง ที่มีภาระหน้าที่ ผมก็เป็นเกย์คนหนึ่งซึ่งก็มีภาระหน้าที่ หนทางมันขีดขนานกันไป มันไม่บรรจบกันแน่นอนไม่ว่าจะยังไง มันไม่ใช่นิยายวายนะ มันคือผู้ชาย และผมก็คือผู้ชายที่ชอบผู้ชาย โอ้ย นั่นล่ะครับ มันไม่ได้หรอก มันสะอึกไปครับ
“ขะ ขอโทษ” มันตะลึงครับ ผมเองก็ตะลึงในคำพูดของตัวเอง อยากจะตบหน้าตัวเองเหลือเกิน
“เจ้าสิเอาจั่งได๋ว่ามาโลด อย่ามาตั๋วข่อยเล่น เจ้าฮู้บ่ว่าข่อยคึดไปไกลแล้ว คันเจ้าบ่มักกะอย่าสิมาหยอกเล่น ตาหลูโตนข่อยแน่” ผมโพล่งออกไป มันคือความรู้สึกจริงๆที่ผุดขึ้นมาในตอนนี้
“ไผตั๋ว ข่อยบ่ได้ตั๋ว” มันพูดตะกุกตะกัก
“แล้วเจ้าสิเอาจั่งได๋ ว่ามาโลด คันสิมาทำทรงเว้าให้ข่อยมักแล้วเอาข่อยไปหยัน อย่าเลย แค่นี้ข่อยกะฮู้สึกแล้ว” ผมเหมือนจะร้องไห้ ไม่ได้อยากพูด อยากจะหลอกตัวเองไปสักหน่อยก่อน แต่ว่ามันไม่ได้ครับ ตอนนี้เหมือนว่าผมคุมคำพูดตัวเองไมได้เลย
“กะข่อยมาขอเป็นแฟนเจ้าอยู่นี่เด้” สะอึกเป็นครั้งที่สอง ผมอ้าปากค้าง มันก็เงียบไป มันไม่มองหน้าผมครับ เหมือนมันก็ชั่งใจตัวเองอยู่เหมือนกัน เห็นไหม
“เจ้าซังกะเทยบ่แม่นติ๊ แล้วนี่ เจ้าเฮ็ดแนวนี้เฮ็ดหยัง” ผมเสียงต่ำเพราะกลัวข้างบนตื่นบรรทม ซวยแน่ๆ
“แม่น แต่กับเจ้า ข่อยฮู้สึกดี” เข้าใจผมใช่ไหมครับ และเข้าใจมันใช่ไหมครับ ชีวิตมันซับซ้อนนะว่าไหม ความเป็นไปได้มันไม่มีหรอกครับ ผมเข้าใจ ผมอายุเท่าไหร่แล้ว มันเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ อารมณ์มันรุนแรงกว่าผมมากนัก นับวันผิวหนังผมก็มีแต่จะเหี่ยวลงๆ หูรูดก็คงจะไม่ค่อยเหมือนตอนรุ่นๆ เออ มันคือเรื่องจริงนะว่าป่ะล่ะ เขามีอนาคตแม้ตัวมันเองจะบอกว่ามันทุกข์หรือจน แต่ผมมองเห็นอนาคตของมันสดใสเหลือเกิน ผมสิ ลูกเมียก็อย่าฝันว่าจะมี โอ้ยขำตัวเอง แล้วถ้าหากว่าผมชอบมันจริงๆ คือตอนนี้ก็ชอบแล้วล่ะ ไม่งั้นผมไม่มาคร่ำครวญอะไรขนาดนี้หรอก จับกินซะให้มันจบๆไปนานแล้ว แล้ววันข้างหน้า เผื่อว่ามันโตขึ้นกว่านี้ มันเป็นเรื่องปกติของเพศชายไหมที่วันนึงมันต้องคิดอยากมีครอบครัว และคนหน้าตาอย่างมันผมบอกได้เลย ถ้าหากมันมีอนาคตขึ้นมา ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกที่จะเดินหนีมัน มีแต่จะเอาพานใส่ตัวเองมาถวายมัน แล้ววันนั้นผมจะทนได้เหรอ ถ้าหากว่าผมรักมัน แล้วมองไปมันกอดอยู่กับลูกเมียมัน แล้วย้อนมาถามตัวเอง ผมต้องการอะไรจากมันล่ะ ในเมื่อก็รู้อยู่แก่ใจเรื่องที่บอกมาแล้ว นั่นสิ ผมต้องการอะไรจากมัน
“ข่อยกอดแน่” อืม เอาแบบนี้ล่ะครับ มันจะยังไงก็ช่างแม่น้ำโขงเถอะ แต่ตอนนี้ผมกอดมัน ผมชอบมัน อ่ะ บอกตรงๆ เจอกันแค่ไม่กี่วันก็จะกอดล่ะ ไม่สนใจอะไรแล้ว วันข้างหน้าจะมองหน้ากันไม่ติดก็ไม่สนแล้ว ก็แล้วถ้าวันนี้ผมกับมันบอกเดินคนละทาง พรุ่งนี้ผมจะมองหน้ามันติดเหรอ สู้วันนี้ผมรู้สึกแบบนี้กับมัน พรุ่งนี้ผมก็ยังคงจะรู้สึกแบบนี้กับมัน แม้ว่าอาจจะมีวันมะรืน วันมะร่วงที่มันอาจจะเปลี่ยน หรือว่าผมอาจจะไป แต่เอาเถอะน่า คิดอะไรเยอะ แค่นี้ชีวิตก็มีอะไรให้เครียดมาเยอะแล้ว คิดอะไรมากมาย บอกง่ายๆ ผมรู้สึกว่าหัวใจพองโต และคงไม่บ่อยที่มันจะพองได้มากขนาดนี้ ก็ให้มันพองหน่อยเถอะครับ อีกอย่าง ผมก็นะ ปูนนี้แล้ว หาแบบนี้ได้ง่ายเหรอ เอาไว้ก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเนอะ ว่าป่ะ....
*********************** E-N-D*********************
หวังว่าจะมีความสุขในการอ่านนะครับ ต้องขออภัยที่ภาษาอาจจะเข้าใจยากสักหน่อยเพราะเป็นภาษาถิ่น แต่คิดว่ามันก็คงท้าทายคุณผู้อ่านด้วยเหมือนกัน
ขอให้มีความสุขครับ.....
อิ๊กกี้
-
:L2: :L2: :L2: