บทที่ 4
รู้จักตะวันน้อยไปซะแล้ว!
“ สรุปเกิดอะไรขึ้น ” เมฆกวาดตาถามพวกเราอย่างเอาเรื่อง ส่วนพวกเราก็แยกออกเป็นสองฝั่งเรียบร้อย เตรียมให้ศาลไต่สวน
“ ก็เป้จะกินข้าว เห็นว่ามันไม่มีโต๊ะว่างแล้วก็เห็นยัยคนนี้นั่งอยู่คนเดียว เลยจะมาขอแชร์โต๊ะด้วย แต่อยู่ดีๆไอ้บ้านี่ก็เอาน้ำเข้ามาสาดเป้ หาว่าเป้หาเรื่องพวกมัน เนอะปอย เจน ”
“ ใช่ๆ พวกเราแค่มาขอดีๆเอง ”
“ จริงคะ ”
ยัยปูเปรี้ยวปูเป้อะไรเนี่ยร่ายยาวเป็นวรรคเป็นเวร มโนอะไรของเธอ พวกผมเนี่ยนะไปหาเรื่องก่อน ละยัยบีหนึ่งบีสองที่ไม่มีบทมาตั้งนานอยู่ดีๆก็เจ๋อขึ้นมาเชียว เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ
“ มึงทำอย่างนั้นหรอตะวัน? ” เมฆหันมาถามผมอย่างเอาเรื่อง
“ กูไม่ได้ไปหาเรื่องพวกนี้ก่อน ยัยพวกนี้ต่างหากที่อยู่ดีๆก็เข้ามาหาเรื่องจิ้ป ”
“ แล้วมึงสาดน้ำให้เป้จริงไหม? ”
“ ก็…. ก็จริง ”
“ แล้วมึงไปสาดใส่เขาทำไม? ตอบ !! ” เมฆตะคอกใส่ผม อะไรกันวะอยู่ดีๆก็กลายเป็นคนผิดเฉย
“ นี่นาย ก็ยัยนี่มันเข้ามามีปากเสียงกับทางฉันก่อนนะ แถมยังปัดของพวกฉันหล่นจากโต๊ะ เนี่ยหรอพูดดีๆ ” พัดชาถียงขึ้นมาหลังจากผมถูกกล่าวหาว่าเป็นคนผิด
“ ใช่ แล้วเราก็เห็นนะว่าพวกนั้นจะตบตะวัน ” เชนช่วยผมอีกคน
ฮือออ ซึ้งใจจังอย่างน้อยก็ไม่โดดเดี่ยวท่ามกลางฝูงไฮยีน่า
“ พวกแกเป็นเพื่อนกันก็ช่วยกันพูดได้สิ หลักฐานมันก็เห็นอยู่คาตาว่าเสื้อฉันเลอะ ”
“ งั้นเปิดกล้องวงจรปิดดูไหม? ” จิ้ปพูดขึ้นมาบ้าง ยัยนี่ก็เงียบไปนานเหมือนกัน รอบทพูดอยู่สินะ = =
“ แล้วพวกแกจะรับผิดชอบยังไงกับเสื้อฉันที่เลอะ ” พอพูดถึงกล้องปุ๊ป ยัยปูเป้ก็เบี่ยงประเด็นเร็วเชียว
แต่แล้วในขณะที่เหตุการณ์กำลังคุกรุ่นก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา
“ เอ่อออออ… เราเห็นนะว่าพวกนี้มาหาเรื่องก่อน อยู่ดีๆก็มาไล่คนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็ปัดของบนโต๊ะตกพื้น ” อยู่ดีๆก็มีคนเข้ามาเพิ่มครับ ตัวละครใหม่โผล่มาช่วยแล้ว
“ นี่แกเป็นใคร เป็นพวกมันหรอ อย่าสะเออะ! ” ยัยปูเป้เมื่อเห็นว่าคนเริ่มเยอะขึ้นก็เริ่มขึ้นเสียงอีกครั้ง
“ เราไม่ได้เกี่ยวอะไรหรอก พอดีเรานั่งอยู่โต๊ะข้างหลังแล้วเห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่แรก ก็พวกเธอผิดจริงๆนี่นา ”
“ ปูเป้ มีไรจะแก้ตัวไหม? ” เมฆเริ่มหันไปถามปูเป้มั่ง อย่างน้อยศาลเราไม่ลำเอียง
“ เมฆ! เมฆเชื่อพวกมันหรอ ”
“ ถ้าผิดก็ขอโทษพวกเขาซะ ”
“ แต่เป้เสียหายนะ! เสื้อเป้ก็เลอะหมด เมฆยังจะให้เป้ขอโทษอีกหรอ ”
“ แต่เป้ก็เริ่มก่อนใช่ไหมละ ขอโทษพวกเขาไปซะเรื่องจะได้จบ คนมองหมดแล้วนะ ” ตอนนี้ไทยมุงเยอะตามที่เมฆบอกจริงๆครับ
“ เป้ไม่ขอโทษ ถ้าเมฆอยากขอโทษก็ทำไปคนเดียวเถอะ ” พูดจบปูเป้ก็เดินออกจากโรงอาหารไปเลยโดยมียัยบีหนึ่งบีสองตามไปติดๆ
“ เราต้องขอโทษแทนเป้ด้วยนะที่ไปหาเรื่องพวกนายก่อน ”
“ กูก็ขอโทษที่ใจร้อนไปหน่อย กูไม่ได้ตั้งใจ ” ผมขอโทษบ้าง อย่างน้อยผมก็มีส่วนผิดจริงๆ
“ อืม ไว้ค่อยคุยกัน ” พูดเสร็จเมฆก็เดินตามปูเป้ไปเลย ตอนนี้ผมเดาไม่ถูกจริงๆว่าเมฆโมโหไหม
เดี๋ยวค่อยคุยตอนกลับห้องละกัน
“ ไปซะที อย่าให้เจอครั้งหน้านะ แม่จะตบให้เข็ดเลย ”
“ เอาน่าพัดชา ขอบคุณนะตะวัน ถ้าตะวันไม่ทำ เราอาจจะเป็นฝ่ายไปตบยัยนั่นก่อนก็ได้ ” จิ้ปนี่เห็นเหมือนจะใส แต่จริงๆแล้วคงเอาเรื่องน่าดู
“ ไม่เป็นไรหรอก พอดีเราเคยมีปัญหากับยัยนี่นิดหน่อย ถือว่าได้แก้แค้น อ่อขอบคุณนะเชนที่ช่วย แล้วก็ขอบคุณนะ เอ่อ…”
“ เราชื่อใบหม่อน อยู่นิเทศนะ เรียกหม่อนเฉยๆก็ได้ ” คนที่เข้ามาช่วยผมแนะนำตัวอย่างร่าเริง ดูเป็นคนอารมณ์ดีจัง แถมหน้าตาดีเลยทีเดียว
“ ยินดีที่ได้รู้จักนะหม่อน เราชื่อตะวัน นี่จิ้ปกับพัดชา พวกเราอยู่บริหาร ส่วนนี่เชนอยู่คณะเดียวกับหม่อน ”
“ จริงๆ ไม่ได้ชื่อพัดชาหรอก ชื่อพงษ์ต่างหาก ”
ผั๊วะ ! สิ้นเสียงจากจิ้ป ก็โดนฝ่ามือพิฆาตจากพัดชาทันที
“โอ้ยยยย ! ”
“ นี่แหนะ! ฉันบอกแกกีครั้งแล้วว่าชื่อพงษ์ฉันฝังมันไปกับสนามบอลแล้ว! ”
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า โปรดอย่าเรียกชื่อเก่าของพัดชา ถ้าไม่อยากเจ็บตัว =_=
“ ฮ่าๆๆๆๆ พวกนายนี่ตลกจัง ยินดีที่ได้รู้จักนะตะวัน พัดชา จิ้ป แล้วก็…เชน ”
เอ…ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่าสายตาตอนที่หม่อนมองเชนมันมีอะไรแปลกๆ ดูยิ้มกรุ้มกริ่มยังไงก็ไม่รู้
“ สวัสดีหม่อน เจอกันอีกแล้วนะ ” เชนมองหน้าหม่อนด้วยสายตาที่ผมก็บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร สองคนนี้เขารู้จักกันอยู่แล้วหรอเนี่ย
“ งั้นเราไปก่อนนะ เจอกันครั้งหน้าก็อย่าลืมทักกันมั่งละ ”
“ บ๊ายบายหม่อน / บ๊ายบายค่าหม่อน ”
“ งั้นเดี๋ยวเราไปแล้วเหมือนกัน อย่าไปมีเรื่องกับใครอีกนะตะวัน เราเป็นห่วง ” เชนบอกลามั่ง แต่เชนก็ยังเป็นเชน ยังคงหยอดเหมือนเดิมเสมอ
หลังจากจบเรื่องวุ่นวายต่างๆพวกเราก็รีบกินข้าวแล้วขึ้นไปเรียนต่อ ส่วนคาบบ่ายผมหลับทั้งคาบเลยครับ เพราะว่ายังเป็นวันแรกอยู่เลยหลับได้ อาจารย์ยังไม่สอนอะไรมากมาย พอตอนเย็นพี่ๆเขาก็เรียกให้ไปลองซ้อมลีด ด้วยความที่มีพื้นฐานอยู่แล้วจึงไม่ยากสำหรับผมเท่าไหร่ แถมพี่ๆก็ใจดี หาน้ำหาขนมมาให้กิน ชวนคุย แนะนำเรื่องเรียนต่างๆ อย่างน้อยก็ไม่ได้แย่อย่างที่ผมคิดไว้ตอนแรก
กว่าพี่เขาจะปล่อยก็ปาไปสองทุ่มแล้วครับ
“ ตะวันไปกินข้าวกับพวกพี่ๆเขาไหม ”
“ เดี๋ยวเรากลับหอก่อนเลยดีกว่า พัดชากับจิ้ปไปเถอะ ”
“ งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับหอพร้อมกันเลยดีกว่า พี่ๆคะ พวกหนูไปก่อนนะคะ สวัสดีค่า ”
“ อ้าวไม่ไปด้วยกันหรอจ๊ะน้องๆ ”
“ ไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ พัดชากับจิ้ปไปกับพี่ๆเขาก็ได้นะ เราง่วงอะอยากกลับไปนอน ”
“ เอางั้นหรอ…งั้นโอเคเจอกันพรุ่งนี้นะตะวัน ”
“ กลับดีๆละตะวัน ถึงห้องละก็ทักมาในกรุ๊ปนะ ”
“ โอเค บายจิ้ป พัดชา พี่ๆครับสวัสดีค้าบบบบ ”
จริงๆผมก็หิวอยู่หรอก แต่มันเหนื่อยมากกว่า อยากกลับไปอาบน้ำนอนมากกว่า
“ ตะวัน! เจอกันอีกแล้วนะ ” นั่นมันเชนกับหม่อนนี่นา
“ อ้าวเชน หม่อน ไปไหนกันมาทำไมกลับซะดึกเลย ”
“ พอดีพวกเราซ้อมลีดมาอะ แล้วตะวันละทำไมถึงกลับดึกจัง ”
“ เห้ย!นี่เป็นลีดเหมือนกันหรอ เราก็ซ้อมลีดมาเหมือนกัน ”
“ ยังไม่ได้เป็นหรอก ยังไม่ได้คัดเลย ” นี่ขนาดยังไม่คัดแต่ทั้งหม่อนและเชนเหงื่อท่วมมาเชียว
“ นี่ตะวันเป็นลีดอีกแล้วหรอ ถ้าพวกเราคัดติดก็ได้มาแข่งกันนะสิ เราไม่อยากแข่งกับตะวันเลย ” เชนที่แม้จะเหงื่อท่วมดูเหนื่อยขนาดนี้ แต่ก็ยังคงยิ้มให้ผม
“ ตะวันกับเชนนี่ดูสนิทกันจังเลยนะ ^^ ”
“ อ่อ พอดี..”
“ ใช่ สนิทกันมากเลยแหละ ” เชนเดินมากอดคอผม อะไรของไอ้หมอนี่อีกเนี่ย จะเล่นอะไรอีก
“ อย่างนี้นี่เอง เอ่อ..พอดีเราลืมของอะ งั้นเดี๋ยวเราไปเอาของก่อนนะ ”
“ ให้เราไปเป็นเพื่อนไหมหม่อน ” ดึกขนาดนี้ อันตรายแย่
“ ไม่เป็นไรเราไปก่อนนะ ” แล้วหม่อนก็รีบเดินไปเลย สงสัยจะของสำคัญมาก
แต่ที่ผมสงสัยคือเชนดูไม่ได้สนใจหม่อนเลย ไม่ทักไม่ลาอะไรทั้งนั้น ปกติหมอนี่ไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา
“ เชนไม่ไปเป็นเพื่อนหม่อนหรอ อันตรายนะดึกๆ ”
“ ไม่ไปหรอก เราเป็นห่วงตะวันมากกว่า ยิ่งบอบบางอยู่ เกิดโดนฉุดมาจะทำไง ”
“ แต่.... ”
ผมยังไม่ทันพูดจบ เชนก็ล็อคคอผมเดินไปเรื่อยๆ อะไรของเขากันนะ แต่หม่อนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“ กินข้าวกับเป็นเพื่อนเราหน่อยสิตะวัน ”
“ ก็ได้ แล้วเชนอยากกินอะไรละ ”
“ อะไรก็ได้ เอาที่ตะวันอยากกินเลย ”
“ งั้นกินอาหารญี่ปุ่นกัน เราอยากกินแซลมอน ”
“ ได้สิครับ เดี๋ยวมื้อนี้เชนเลี้ยงเอง ” อ้าว อย่างนี้ก็ลาภปากสิครับ
“ ได้เลยยยย เตรียมล้มละลายเลยเชน! ”
“ กินเยอะแค่ไหน เชนก็เลี้ยงตะวันไหวละกัน ฮ่าๆ ”
แล้วเราก็ไปร้านอาหารญี่ปุ่นแถวๆหอ พอได้เมนูปุ๊ป ผมก็สั่งเต็มที่เลย ไหนๆก็มือเจ้ามือเลี้ยงแล้วหนิ แถมเป็นของโปรดด้วย ไม่มีเกรงใจละครับงานนี้
สักพักของที่สั่งก็มาเต็มโต๊ะครับ เห็นแล้วน้ำลายไหล เมื่อกินแซลมอนไปคำแรกน้ำตาผมเหมือนจะไหล มันปริ่มไปด้วยความสุข
“ ฮือ อร่อยจัง TT ” เหมือนน้องม่อนจะละลายไปในปากของผม
“ ตะวันนี่เวลากินดูมีความสุขจังเลยนะ ” ตั้งแต่ของกินมาถึงเชนก็ยังไม่กินเลยสักคำ เอาแต่นั่งเท้าคางดูผมกิน
“ ก็ของชอบเรานี่นา เชนไม่กินหรอ กินสิๆ ”
“ แค่เราเห็นตะวันมีความสุขเราก็อิ่มแล้วแหละ ”
“ แหวะ ! เลี่ยน กินไปเลย ” หมอนี่นี่เลี่ยนเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
“ งั้นป้อนเราหน่อยสิ เราเหนื่อยอะ นะน้า ” เชนงอแงเหมือนเด็กๆเลยครับ
“ มาน้งมานะอะไร ไม่เอาอะ กินเองเลยไม่ใช่เด็กๆซะหน่อย ”
“ งั้นเราขอป้อนตะวันได้ไหม อะอ้ามมมม ” เชนคีบซูชิมาจ่อแถวปากผม
“ อะอ้ำสิตะวัน นะค้าบ เชนเมื่อยมือแล้วนะ ”
จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ก็เลยทำตามใจเจ้ามือเขาหน่อย
“ โอ้ยยยยยยย ! เชนแอบป้ายวาซาบิไว้หรอ ซี๊ดดดดดด ” แง้ ไอ้หมอนี่มันแอบป้ายวาซาบิมาซะเยอะเลย จี๊ดยันสมองเลย TT
“ ฮ่าๆๆๆๆ โอ๋ๆเราล้อเล่น อะๆน้ำๆๆๆ ”
“ เล่นบ้าไรเนี่ย! ปวดหัวเลย ” น้ำตาผมไหลเลยครับ มันจี๊ดจริงๆ
“ ฮะๆ อะงั้นกินอีกคำหนึ่ง ไข่หวานเผื่อจะช่วยได้ ”
“ ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวแกล้งเราอีก ”
“ ไม่แกล้งละครับ อีกคำนึงนะ นะๆๆๆ ”
สุดท้าย ผมก็ต้องกิน แม้จะกล้าๆกลัวๆก็ตามว่าจะโดนแกล้งอีก
“ เป็นไงตะวัน ไข่เชนหวานไหม : ) ”
“ บ้า พูดอะไร ทะลึ่ง ! ”
“ เอ้า เชนแค่ถามเฉยๆ ว่าไข่หวานร้านเนี้ย หวานไหม คิดลึกนะเราอะ ”
ผมได้แต่ก้มหน้างุดๆ เคี้ยวไม่พูดอะไร รู้สึกหน้าร้อนๆยังไงก็ไม่รู้
“ ตะวันนี่เขินแล้วน่ารักจังเนอะ หน้าแดงเชียว ” เชนยังคงแซวผมไม่เลิก
“ อะไร ใครเขิน ไม่มี้ รีบๆกินเลย ”
“ คร้าบบบ : ) ”
จากนั้นผมก็โดนแกล้งเป็นพักๆ วันนี้เชนดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่ไม่ใช่เรื่องสำหรับผมเลย คราวหน้าจะไม่หลวมตัวกับของฟรีง่ายๆแล้ว - -
จนเมื่อกินเสร็จ พวกเราก็กลับหอกัน ร้านนี้ดีจังสั่งไปตั้งเยอะ แต่ราคาออกมาไม่แพงเลย สงสัยจะได้มาใช้บริการบ่อยๆซะแล้ว
“ งั้นเราไปก่อนนะ ตะวันก็ขึ้นห้องดีๆละ ”
“ อ้าว ไม่กลับห้องหรอเชน ”
“ เรานัดเพื่อนทำงานกลุ่มไว้อะ พอดีอาจารย์สั่งงานมา ”
“ อ้าว งั้นทำไมไม่แยกกันตั้งแต่ร้านซูชิอะจะได้ไม่เสียเวลา ”
“ ก็เราเป็นห่วงตะวันนิ เลยอยากมาส่ง ” เชนยิ้มเหมือนเคย เห้อหมอนี่จะคนดีไปไหนเนี่ย
“ คราวหลังไม่ต้องก็ได้ เรากลับเองได้ จิ๋วแต่แจ๋วนะเว้ย ”
“ เอาน่า งั้นเราไปละนะ ฝันดีล่วงหน้าครับ ”
“ บายย แต๊งกิ้วนะเชน ” ผมก็โบกมือลา ส่วนเชนก็ไปทำงานของเขาต่อ
โอ้ย อิ่มจังจะอ้วก
พอผมเปิดประตูเข้าห้องไป ก็พบว่าเมฆยืนอยู่ที่โต๊ะของผม ในมือของเมฆมีพวงกุญแจรูปยิ้มของผมอยู่
เมื่อมันหันมาเห็นผมเข้าห้องมา มันก็วางลงไว้ที่เดิมแล้วไปนั่งที่ปลายเตียง “ กลับมาแล้วหรอ กลับซะดึกเชียวนะมึง ”
“ พอดีกูซ้อมลีดเสร็จแล้วไปกินข้าวมาอะ ”
“ ไปกับใคร? ” หมอนี่กอดอกถามผม
“ ก็กับเพื่อนกูดิ ทำไมวะ ”
“ ไอ้ที่ชื่อเชนอะหรอ ”
“ เออ มึงรู้ได้ไงเนี่ย ? ”
“ ก็…. กูก็แค่เดา ” เอ แปลกๆแหะ ดูลุกลี้ลุกลน “ มึงไปสาดน้ำใส่เป้ทำไม ?”
อยู่ดีๆมันก็เปลี่ยนเรื่องครับ
“ ก็กูบอกไปแล้ว ว่ายัยนั่นมันเข้ามาหาเรื่องพวกกูก่อน พวกกูไม่ได้เริ่มก่อนสักหน่อย ”
“ แต่ที่มึงทำมันก็แรงไปป่าววะ ”
“ ก็เมื่อวานก็ปูเป้ปูเปรี้ยวอะไรของมึงเนี่ย ที่เดินชนกูแล้วก็ไม่ขอโทษ นิสัยเสียจะตาย โดนแค่นี้ไม่แรงหรอกกูว่า ”
“ แค่ชนเอง เขาเป็นผู้หญิงนะเว้ย กูว่าที่มึงทำมันเกินไป! ” เมฆเริ่มขึ้นเสียงใส่ผม อะไรกัน อยู่ดีๆกลับมาก็ชวนทะเลาะเลย แถมยังทะเลาะด้วยเรื่องของยัยไฮยีน่านั่นอีก ผมชักจะไม่ไหวละนะ
“ ผู้หญิงแล้วไง แล้วมึงคิดว่าที่ยัยนั่นทำมันถูกหรอ? กับการทำตัวสูงส่ง เอาแต่ใจแบบนั้น กูบอกไว้เลยนะ ถ้าใครมาทำกู กูก็เอาคืนหมดแหละ กูไม่สนหรอกจะผู้ชายผู้หญิง! ” ผมเถียงอย่างหมดความอดทนแล้วครับ ก็ผมไม่ได้เริ่มก่อนจริงๆ ทำไมต้องเข้าข้างอะไรขนาดนั้น
“ อ่อ ใครมาทำมึงมึงก็จะเอาคืนสินะ ” เมฆลุกจากเตียงเดินเข้ามาหาผม
“ มึงจะทำอะไรอะ ” หมอนี่จะต่อยผมป่าววะ
“ กูก็อยากรู้ไง ว่ามึงจะเอาคืนยังไง ” พูดเสร็จมันก็ผลักผมไปที่เตียง จนผม ไปนอนอยู่บนเตียง
“ เห้ย ทำอะไรของมึงวะ! ” ผมพยายามลุก แต่เมฆก็ผลักผมให้นอนเหมือนเดิม
“ กูก็อยากรู้ไง ถ้ากูทำอะไรมึง มึงจะเอาคืนกูยังไง ” แล้วมันก็ถอดเสื้อของมันออก เดี๋ยว! มันจะทำอะไรของมันเนี่ย
“ มึงจะทำอะไรของมึง อย่านะเว้ยเมฆ ” ผมเริ่มกลัวแล้วนะครับ จะโดนข่มขืนไหมเนี่ย
แต่เมฆไม่หยุดแค่การถอดเสื้อ มันเริ่มถอดเข็มขัดแล้ว โอ้ย ผมยังไม่พร้อมที่จะโดนข่มขืนตอนนี้นะ พึ่งกินอิ่มมาด้วย เกิดมีอะไรเล็ดลอดออกมาผมจะทำยังไง
“ หึ เป็นอะไรของมึง? หลับตาทำไม กูก็แค่อยากรู้ถ้ากูผลักมึงมึงจะทำอะไรกู แล้วนี่กูก็จะไปอาบน้ำ ”
อ้าว ตกใจหมดนึกว่าจะทำอะไรซะอีก
“ ยังไงละ ไม่เอาคืนหรอ? งั้นกูไปอาบน้ำละ ไอ้อ่อนเอ้ย ” แล้วมันก็กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำ
มาหยามกันแบบนี้ผมยอมไม่ได้! ผมหันไปเห็นหน้าสืออยู่หัวเตียงพอดีเลยปาใส่แม่งเลย
โป๊กก!
“ โอ้ยยยยย ไอ้เชี่ยตะวัน มึงปาหนังสือใส่หัวกูทำไมเนี่ย ”
ไม่คิดแหะว่าผมจะแม่นขนาดนี้ “ สมน้ำหน้า รู้ฤทธิ์กูน้อยไปละ ”
ก่อนที่จะโดนไรไปมากกว่านี้ผมก็รีบวิ่งออกจากห้องไปก่อน เกิดมันมาต่อยผมจริงๆจะทำไงละครับ
แต่จะว่าไปเมฆนี่ก็ซิกแพคแน่นเหมือนกันแหะ -.,-
ปล. ใครที่อ่านแล้วก็คอมเม้นท์กันได้นะครับ จะได้เป็นกำลังให้แก่คนเขียนคนนี้ อิอิ
บทที่ 5
ฉัน เธอ เขา เราสามคน
หลังจากที่ผมวิ่งหนีออกมานอกห้อง ผมก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ ก็วนๆอยู่แถวหน้าหอนั่นแหละ ยังไม่กล้าเข้าห้องไปตอนนี้ จนผ่านไปสักพักผมก็ตัดสินใจเข้าห้อง เพราะทนต่อยุงกัดไม่ได้จริงๆ -.-
เมื่อเปิดประตูเข้าห้องไปสิ่งที่ผมหวังไว้คือเมฆจะหลับไปแล้ว แต่จริงๆแล้วไม่เลยครับ นั่งกอดอกทำหน้ามุ่ยรออยู่บนเตียง
เอาวะ จะเกิดอะไรก็เกิด !
“ เข้าห้องมาได้ละหรอ? ” เมฆถามเสียงเย็น เย็นกว่านี้จะมีอีกไหม
“ …….. ” แต่ผมเลือกที่จะไม่เถียงด้วยหรอก ผมเลยเดินไปหยิบผ้าขนหนู หวังจะเข้าไปอาบน้ำเลย
“ เดี๋ยว..มาเคลียร์กันก่อน ” ไม่พูดเปล่าครับ เมฆเดินมาดึงข้อมือผมไม่ให้เข้าห้องน้ำ แต่ไม่ได้แรงอะไรมากมาย
“ กูอยากอาบน้ำก่อน อาบเสร็จค่อยคุยได้ไหม ”
“ ไม่ได้ คุยตอนนี้แหละ กว่าจะอาบเสร็จกูคงได้หลับก่อนพอดี ”
“ ถ้าเป็นเรื่องปูเป้อะไรนั่น กูขอโทษละกัน ” ไม่ใช่ว่าผมยอมนะครับ แต่ผมไม่อยากเถียงด้วยแล้ว
“ จริงๆกูก็รู้แหละว่าเป้อาจจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ” เสียงเมฆเริ่มอ่อนลงแล้วครับ ไม่เหมือนตอนแรก
“ อ้าว! ถ้าอย่างนั้นมึงจะมาหงุดหงิด ขึ้นเสียงใส่กูทำไม ถ้ารู้ว่าเขาผิดจริง ”
“ ที่กูขึ้นเสียงอะ ไม่ใช่เพราะเรื่องเป้หรอก แต่เพราะว่า…เอ่อ ”
“ เพราะอะไร? ” อะไรของเขากันนะ จะพูดก็ไม่พูด อึกๆอักๆอยู่ได้
“ เออช่างเหอะ กูไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเสียงใส่มึงเอาเป็นว่ากูขอโทษละกัน ”
“ อืม แต่ปล่อยมือก่อนได้ไหม เจ็บข้อมือหมดแล้วเนี่ย ” จริงๆผมไม่ได้เจ็บหรอกครับ แต่จับไว้แบบนี้มันรู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้
“ ปูเป้นี่แฟนมึงหรอ? เห็นดูเป็นเดือดเป็นร้อนแทนจัง ” เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มไม่ตึงเหมือนตอนแรกแล้วผมเลยถามมั่ง
“ จะพูดยังไงดีละ พอดีความสัมพันธ์ของกูกับเป้มันซับซ้อนนิดหน่อย แล้วมึงกับไอ้เชนอะไรนั่นหละ ไหนว่าเป็นเพื่อนกัน แต่เห็นมาส่งถึงหน้าหอ กระหนุงกระหนิงกันอย่างกับแฟน ”
“ กูก็แค่ไปกินข้าวด้วยกันมา แล้วมันก็แค่มาส่ง เพื่อนกันจะมาส่งกันไม่ได้เลยรึไง ” แปลกๆละไอ้หมอนี่ ถามอย่างกะเป็นสามีที่คอยหึงภรรยาอยู่นั่นแหละ เอ๊ะ หรือจริงๆแล้วเมฆหึงผมกันนะ อิอิ
“ ก็แล้วไป! กูก็แค่ไม่ถูกชะตากับไอ้เชนอะไรนั่นเฉยๆเคยบอกไปแล้วไง ก็ดีแล้วแหละที่มึงไม่ใช่แฟนมัน กูไม่อยากให้เพื่อนร่วมห้องกูเป็นแฟนกับคนที่กูเหม็นขี้หน้าด้วยเท่านั้นเอง ”
อะไรวะ เหตุผลไร้สาระจัง ไม่ชอบใครก็อย่าพาลไปที่คนอื่นสิ เอ๊ะมีอีกเรื่องที่ผมต้องถามมันนิ
“ เมฆ แล้วเมื่อกี้มึงหยิบพวงกุญแจกูมาดูทำไม มีอะไรรึเปล่า ”
“ เปล่านิ ก็แค่ดูเฉยๆ ทำไมแค่นี้หวงหรอ ต่อไปกูจะได้ไม่ยุ่งกับของของมึง ”
“ เมฆ…กูถามมึงจริงๆนะ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจริงๆหรอ? ” ครั้งนี้ผมจ้องตากับมันหวังได้คำตอบให้ชัดๆไปเลย
เมฆมองตาผมกลับครับ แล้วก็นิ่งไปพักนึงกว่าจะตอบ “ ไม่นิ กูไม่เคยรู้จักมึงมาก่อน ”
“ งั้นหรอ….งั้นกูไปอาบน้ำดีกว่า ” แล้วผมก็เดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่ได้คุยอะไรกับมันอีก
จริงๆแล้วผมแอบหวังนะว่ามันจะตอบว่าเคย พอได้ยินแบบนี้รู้สึกเสียใจยังไงก็ไม่รู้ ทั้งที่ชื่อกับนามสกุลก็ใช่แท้ๆ หรือว่าเขาไม่เคยที่จะจำผมเหมือนที่ผมจำเขาและคิดถึงเขามาโดยตลอด ..
“ ทำไมวันนี้อาบน้ำไวจัง ”
“ กูแค่เหนื่อยอะ อยากรีบนอน ” ตอนนี้ผมรู้สึกไม่อยากมองหน้าเมฆเลย ผมกลัวน้ำตาผมจะไหลออกมา ผมอึดอัดที่ทำไมเขาถึงจำผมไม่ได้
“ เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้นละ เล่าให้กูฟังได้นะ ”
“ เปล่า ไม่มีอะไรจริงๆ กูนอนก่อนนะ ”
“ อืมโอเคๆงั้นนอนเถอะ ฝันดี ”
“ ฝันดี ” พอกันที ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ผมไม่อยากจะคิดอะไรให้เหนื่อยแล้ว
แล้วในขณะที่ผมกำลังเคลิ้มๆจะหลับ ผมรู้สึกได้ว่าคนที่นอนข้างๆผมในตอนแรกมันเหมือนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“ ตะวันหลับยัง ” เมฆถามผมเสียงเบาครับ เบาจนไม่ต่างอะไรจากเสียงกระซิบแต่ก็ยังพอที่จะได้ยินอยู่
“ ….. ”
“ หลับแล้วหรอ ”
มันมือมาปัดๆแถวหน้าผมจนผมรู้สึกได้ เหมือนมันจะเช็คว่าผมหลับหรือยัง
“ เมฆขอโทษนะตะวัน ” มันพูดเสียงเบาเหมือนเดิม แล้วก็ดึงผ้าห่มมาห่มให้ผม
มันคงคิดว่าผมหลับสนิทแล้วสินะ แต่จริงๆแล้วผมได้ยินสิ่งที่มันพูดชัดเจนเลย
มันขอโทษผมเรื่องอะไรกันนะ…….
เช้าวันต่อมา
จริงๆก็ไม่เช้าหรอกครับ มันก็จะเที่ยงแล้วแหละ แต่เพราะวันนี้ผมมีเรียนบ่าย ก็เลยตื่นสายได้ แถมที่ตื่นก็เพราะว่าพัดชาโทรมาปลุกด้วย ไม่งั้นก็คงหลับยาวๆ
ส่วนเมฆ น่าจะมีเรียนคาบเช้า เพราะตื่นมาก็ไม่เห็นทั้งตัวคนทั้งกระเป๋าแล้ว ผมจึงสามารถอาบน้ำได้อย่างไม่กังวลว่าจะเกิดเหตุแบบเมื่อวานอีก
“ มาแล้วหรอตะวัน ฉันนึกว่าแกจะไม่ตื่นมาเรียนวันนี้ซะละ ” พอมาถึงมหาลัยปุ๊ปพัดชาก็ว่าปั๊ป
“ ก็พอดีลืมตั้งนาฬิกาปลุกอะ แล้วเมื่อวานไปกินอะไรกับพวกพี่เขามาละ ”
“ โหย ไปกินส้มตำมา พวกพี่เขาเลี้ยงซะพวกฉันพุงกางเลย เสียดายตะวันน่าจะไปด้วย ” จิ้ปพูดกับผมแต่ไม่มองหน้าผมเลยครับ เนื่องจากคุณผู้หญิงเขากำลังเติมหน้าอย่างขะมักเขม้น
“ ใช่ๆ แกน่าจะไป เนี่ยพวกพี่ๆลีดปี 3 กับ ปี4 ก็ไปด้วย แต่ละคนหล่อๆทั้งนั้นฉันจะละลาย ” พัดชาเข้าโหมดสาวน้อยเพ้อฝันแล้วครับ ตาดูเป็นประกายเมื่อนึกถึงผู้ชายเชียว
“ เออละนี่ฉันไปสืบมาแล้วนะ พวกชะนีที่พวกเรามีเรื่องด้วยเมื่อวานนี้ ” อยู่ดีๆพัดชาก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว
“ เอ้าชา แกไปสืบมาตอนไหนอะ ฉันก็อยู่กับแกเกือบตลอด ” จิ้ปที่ยังคงเติมคิ้วถามขึ้นมาด้วยพลังของความอยากรู้อยากเห็น ( สอด )
“ เอ้า ฉันก็มีแก๊งค์ตุ๊ดของฉันในแต่ละคณะคอยส่งข่าวสารให้กันนะยะ ” คุณเธอทำหน้าดุจนางพญา ดูภาคภูมิใจกับแหล่งข่าวสารเสียเหลือเกิน
“ แล้วสืบได้อะไรมาบ้างละพัดชา ” มัวแต่อวดอยู่ได้ ผมอยากรู้แล้วเนี่ย
“ ยัยนั่นชื่อปูเป้ อยู่คณะศิลปกรรม มาจากเชียงใหม่ เพื่อนฉันบอกมานะว่ายัยเนี่ย เป็นลูกผู้มีอิทธิพล นางเลยทำตัวกร่างไม่กลัวใคร ตอนที่อยู่เชียงใหม่ก็มีเรื่องกับชาวบ้านเขาไปทั่ว เห็นสายข่าวบอกมาว่าเวลายัยนี่มีเรื่องกับใคร พ่อนางก็ส่งคนมาจัดการตลอด จนไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งกับนางเท่าไหร่ ”
“ จริงดิ! แล้วอย่างนี้พวกเราจะเป็นอะไรไหมเนี่ย โอ้ยฉันจะทำยังไงดีเนี่ย ” ยัยจิ้ปที่แต่งหน้าเสร็จแล้วเริ่มร้อนรน
“ ฉันก็ไม่รู้สิแก อาจจะยังไม่มีอะไรก็ได้ ” พัดชาเองก็ดูกังวลไม่แพ้กัน
“ เอาน่าพวกแก เรื่องมันยังไม่เกิด อย่าพึ่งกังวลเลย ” ผมพยายามที่จะปลอบเพื่อนๆ จริงๆแล้วผมไม่ได้กลัวหรอก บ้านผมก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักคนใหญ่คนโต ลองมาทำอะไรดูสิต้องมางัดกันหน่อยละ
“ แต่ฉันว่าพวกเราระวังตัวกันไว้หน่อยละกัน พวกผู้หญิงเวลาแค้นอะไร แค้นฝังลึกจะตาย ” จิ้ปบอก แต่สีหน้าก็ยังคงกังวลอยู่
“ นั่นสิ ถ้ามาซึ่งๆหน้าฉันไม่กลัวหรอก ฉันกลัวจะโดนลอบกัดมากกว่า ก็ยัยพวกนั้นเหมือนหมาบ้าจะตาย ” พัดชาที่แม้จะกังวลเหมือนกัน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มากเท่าที่ควร ดูจากการที่ยังว่าพวกนั้นได้
“ อ่อแล้วก็คนที่ชื่อเมฆอะที่เข้ามาช่วยยัยพวกนั้น ฉันก็สืบมาเหมือนกันนะ นายนั่นอะมาจากโรงเรียนเดียวกับยัยปูเป้ เห็นว่าน่าจะเป็นแฟนกัน เพราะเขาบอกกันมาว่า ตอนอยู่ที่โรงเรียนก็ตัวติดกันจะตายไป ”
“ หรอ… ” แล้วตอนผมถามเมื่อวานทำไมมันไม่พูดมาเลยวะ ว่าเป็นแฟนกัน
“ แล้วแกรู้จักกับตานั้นได้ไงอะตะวัน ” พัดชาหันมาถามผมอย่างสงสัย
“ เออนั่นสิ เมื่อวานว่าจะถามแกละก็ลืม ” ยัยจิ้ปก็เสริมทัพกับเขาด้วย เรื่องชาวบ้านนี่ไม่มีใครเกินเลยนะ
“ อ๋อ พอดีเมฆเป็นเมทเราเอง เออนี่พัดชา จิ้ป เรามีเรื่องจะปรึกษาอะ ”
“ เรื่องอะไรไหนว่ามาสิ ”
“ คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ …. ”
แล้วผมก็เล่าเรื่องของผมกับเมฆให้ทั้งคู่ฟัง รวมถึงเรื่องต่างๆและคำพูดแปลกๆจากเมฆ ที่ผมตั้งข้อสังเกต ไหนจะพฤติกรรมของมันแล้วก็เรื่องที่มันจำผมไม่ได้
“ แล้วแกแน่ในหรอตะวัน ว่าใช่เมฆเดียวกันจริงๆ ” หลังจากที่ฟังจบพัดชาก็ถามผมขึ้นมา
“ แน่ซะยิ่งกว่าแน่อีก ฉันไม่มีทางลืมชื่อจริงก็เพื่อนที่ฉันลอกการบ้านบ่อยๆหรอก ”
“ แล้วทำไมแกไม่พูดตรงๆไปเลยละ เวลามันนานมาแล้ว ตั้งแต่ประถมนี่ แล้วแกก็ไม่ได้คุยกันอีก ไม่แน่อาจจะลืมจริงๆก็ได้ ”
จริงๆแล้ว ที่พัดชาพูดขึ้นมาก็อาจจะจริง แต่ลึกๆแล้วผมกลัวครับ เพราะผมตั้งความหวังมาตลอดว่าจะได้กลับมาเจอกับเพื่อนคนเดิมของผม ผมแค่กลัวการผิดหวัง ถ้าผมเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง แล้วเขายังคงปฏิเสธอยู่ว่าไม่ใช่ ผมไม่อยากเสียใจครับ
“ เราไม่กล้านะสิ ”
“ หรือเมฆจะสูญเสียความทรงจำวะแก เหมือนในละครไง ”
“ โอ้ย อีจิ้ป เพ้อเจ้อ แต่ฉันว่าเรื่องนี้มีกลิ่นแปลกๆ ฉันจะช่วยแกหาความจริงเองตะวัน ” เมื่อเห็นผมทำหน้าเศร้า พัดชาก็ยื่นมือมากุมมือผมอย่างให้กำลังใจ
“ ฉันก็จะช่วยอีกแรงนะ ไม่ต้องห่วงนะตะวันเราต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสรุปแล้ว นายเมฆไม่รู้จักหรือแกล้งไม่รู้จักตะวันกันแน่ ” จิ้ปยื่นมือมาแตะไหล่ผมอีกคน
ทั้งที่พึ่งรู้จักกัน แต่ทำไมพวกเขาดูเป็นห่วงเรื่องของผมแบบนี้นะ ดีจังที่ได้เจอเพื่อนดีๆ
“ ขอบคุณมากนะพวกแก ” ผมยิ้มให้ทั้งคู่ครับ
แล้วพวกเราก็ขึ้นไปเรียนกัน
คาบเรียนวันนี้แม้จะเป็นคาบแรกของวิชานี้ แต่อาจารย์ก็สอนแบบไม่แคร์ขิงข่าใดๆทั้งสิ้น แถมผมก็หลับไม่ได้ด้วยเพราะเป็นวิชาคณิตที่ผมไม่ถนัดเอาซะเลย ตอนม.ปลายก็เรียนสายศิลป์ภาษามา ยิ่งทำให้ผมต้องตั้งใจเรียนมากกว่าเพื่อนๆ ส่วยพัดชากับจิ้ป พวกนี้ดูจะชิลเป็นพิเศษ เพราะเรียนสายวิทย์-คณิตกันมา จึงฟังบ้างเล่นโทรศัพท์บ้าง แหม ผมนี่อิจฉาจริงๆเลย
กว่าจะหมดคาบ แม้จะแค่สองชั่วโมง แต่สำหรับผมเหมือนเรียนเป็นวัน ทรมานจริงๆ เย็นนี้พวกเราก็มีต้องไปซ้อมลีดครับ แต่ก่อนไปซ้อมก็แวะไปเลือกชมรมกันก่อน เพราะมหาลัยบังคับให้ทุกคนต้องมีชมรมอยู่อย่างน้อยหนึ่งชมรม
“ แล้วนี่พวกเราจะอยู่ชมรมอะไรกันดี ” จิ้ปถามขึ้นมา เพราะว่าชมรมมีให้เลือกเยอะมาก
“ ฉันอยู่ชมรมไหนก็ได้ ขอแค่ได้เจอผู้ชายเยอะๆก็พอ ” พัดชารีเควสสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างชัดเจน
“ งั้นชมรมฟุตบอลไหมละนังชา แกเคยเป็นนักบอลมาก่อนนิ ”
“ นิอีจิ้ป ! แกเลิกกัดฉันได้มะ ฉันออกจะเป็นสาวน้อยผู้บอบบาง ”
“ ค่า บอบบาง บางมากแม่ตัวเล็ก แม่เอว 21 ใส่รองเท้าเบอร์ 4 ”
“ ถูก! ตะวันอยากเข้าชมรมไหนไหม มีดูไว้บ้างหรือเปล่า? ”
“ เราว่าจะเข้าชมรมค่ายอาสา พวกแกจะอยู่ด้วยไหม ถ้าไม่ก็เลือกที่แกอยากอยู่ก็ได้นะ ”
จริงๆผมก็ดูรายละเอียดชมรมต่างๆจากเว็บของมหาลัยมาแล้วแหละครับ ที่อยากอยู่ชมรมนี้เพราะว่าอย่างน้อยก็ได้ทำประโยชน์แก่คนอื่นจริงๆ
“ ค่ายอาสาหรอ อืม..ก็น่าสนใจนะ ฉันเอาด้วย แกละจิ้ป จะอยู่ด้วยกันหรือบินเดี่ยว ”
“ แหม จะให้ทิ้งเพื่อนได้ไงกันจ๊ะ เอาสิ ฉันอยู่ด้วย ”
เป็นอันว่าพวกเราสามคนตกลงที่จะอยู่ชมรมค่ายอาสา
“ สวัสดีค่ะน้องๆ จะเข้าชมรมค่ายอาสาใช่ไหมคะ มาลงชื่อได้เลยนะคะ ” พี่ผู้หญิงที่ประจำโต๊ะของชมรมค่ายอาสาส่งเสียงเรียกพวกผมเมื่อเดินไปทางโต๊ะของชมรม
“ ไงมึง เข้าชมรมอะไร ” ตอนที่ผมจะเดินเข้าไปลงชื่อ ก็บังเอิญเจอกับเมฆเข้า
“ อ้าวเมฆ กูจะเข้าชมรมค่ายอาสาอะ มึงละ ”
“ กูจะเข้าชมรมหนังสั้นอะ คิดยังไงจะอยู่ชมรมนี้ อ่อนแออย่างมึง จะไหวหรอค่ายอาสาเนี่ย ” เมฆสบประมาทผม
“ กูไหวก็แล้วกัน แล้วนี่มึงลงชื่อเรียบร้อยแล้วหรอ ? ”
“ ยังอะ กำลังจะไปลง.. ”
“ สวัสดีคร้าบ ตะวัน เจอตะวันอีกแล้ว คิดถึงจังเลย > < ”
ในขณะที่ผมยืนคุยกับเมฆอยู่ เชนก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เข้ามากอดคอผม
“ อ้าวเชน สวัสดี แล้วมันกอดคอเราทำไมเนี่ย หนัก! ปล่อยเลยนะ ”
“ ไม่เอาหรอก ก็เราคิดถึงตะวันนี่นา ” แม้ผมจะบ่นว่าหนักแต่เหมือนหมอนี่ก็ไม่คิดจะปล่อยผม
“ สวัสดีนะ พัดชา จิ้ป แล้วก็….คุณเมฆ : ) ” เชนหันไปทักเพื่อนๆของผมกับเมฆ หมอนี่จำชื่อทุกคนได้หมดเลยแหะ
“ สวัสดีจ้าเชน / ดี ” พวกนี้ก็ตอบกลับ แม้ฝั่งหนึ่งจะทักกลับอย่างร่าเริง แต่อีกคนกลับดูอารมณ์ไม่ดีแถมยังจ้องตากับเชนเหมือนเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน
“ แล้ว นี่เชนจะเข้าชมรมอะไรหรอ ” ผมพูดขึ้นมาก่อนที่เชนกับเมฆจะฟัดกันซะก่อน
“ เรากำลังดูอยู่ แล้วตะวันละจะเข้าชมรมไหนหรอ ”
“ เราจะเข้าค่ายอาสา เชนปล่อยคอเราก่อน เราหนักจริงๆนะ ” จริงๆหนักก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมรู้สึกแปลกๆมากกว่า
“ ไม่เอา เชนไม่หนักซะหน่อย : ) ” หมอนี่ก็ยังคงดื้อไม่ปล่อยคอผม
“ มึงแมลงอะไรเกาะหลังมึงอะ เหมือนแมลงสาบเลย ” เมฆพูดขึ้นพร้อมชี้ไปแถวหลังผม
“ อ๊ากกกกก ไหนๆ ไหนแมลงสาบ ” ผมร้องขึ้นและกระโดดหยองๆอย่างตกใจ ก็ผมไม่ชอบพวกแมลงนี่นา
“ มานี่ เดี๋ยวกูปัดออกให้ ” แล้วเมฆก็ดึงตัวผมออกมาจากเชน อ่อ เรียกว่ากระชากดีกว่า พร้อมกับปัดๆหลังผมให้
“ อะ ไปแล้ว มันไม่ได้เกาะหลังมึงแล้ว ”
“ เอ่อ ขอบคุณนะมึง ” ผมหันไปบอกกับเมฆ “ แล้วนี่สรุปเชนตัดสินใจได้ยัง ”
“ เราตัดสินใจแล้ว เราจะอยู่ค่ายอาสากันตะวันเนี่ยแหละ ” เชนตอบผมแต่ตอนนี้หน้าเชนไม่ยิ้มแล้ว กลับดูหงุดหงิดซะมากกว่า
“ งั้น ไปลงชื่อพร้อมเราเลยไหม เดี๋ยวเราต้องไปซ้อมลีดต่ออีก ปะ ไปกันพัดชา จิ้ป ” ผมเรียกเพื่อนๆผมให้ไปพร้อมกันจะได้เสร็จสักที “ งั้นเดี๋ยวเจอกันนะเมฆ ”
“ เดี๋ยว ! ” เมฆเรียกผมก่อนที่ผมจะเดินไป
“ หืม ? ”
“ กูอยู่ด้วย ชมรมค่ายอาสาเนี่ย ”
“ อ้าว ไหนตอนแรกบอกจะอยู่หนังสั้น ” อะไรของมันอีกเนี่ย โลเลจริงๆเลย
“ กูเปลี่ยนใจแล้ว ไปสิ รีบไปลงชื่อกัน จะได้เสร็จๆ ” แล้วเมฆก็กอดคอลากผมไปที่โต๊ะเผื่อลงชื่อ ส่วนคนอื่นๆก็เดินตามมาพร้อมมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ต่างกัน
สรุปการตัดสินใจอยู่ชมรมนี้มันจะสร้างเรื่องวุ่นวายให้ผมไหมเนี่ย !
- TBC -
ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่อ่านเรื่องนี้กัน ยังไงใครมีความคิดเห็นยังไงก็คอมเม้นท์ได้นะครับ อย่างน้อยมันก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้ผมทำสิ่งนี้ต่อ ฝากติดตามกันด้วยนะคร้าบ ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป >< :bye2: