พิมพ์หน้านี้ - Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 30 : เริ่มรู้จักความหมาย ของคืนวัน.. ]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: TofuChan ที่ 04-02-2018 22:10:12

หัวข้อ: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 30 : เริ่มรู้จักความหมาย ของคืนวัน.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 04-02-2018 22:10:12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*******************************************

       

Love of 1999

       
>>>   มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก  <<<

นิยายแนว Coming [ out ] of Age

สองมือที่กุมกัน  ก้าวผ่านวันสิ้นโลก

บนกลิ่นไอยุค 90

ซึ่งอุดมไปด้วยความฝัน

ณ ฉากหลังของแม่น้ำสองสีแสนโรแมนติก



                       
                       by Tofu Chan



หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 04-02-2018 22:13:24
Jingle :    ยิ่งเจอ.. ยิ่งสั่น.. ยิ่งเจอ.. ยิ่งสั่น.. ยิ่งเจอ.. ยิ่งสั่น.. ก็ยังสู้ตาย


“ตื่นยังวะไอ้ดอย นอนกินบ้านกินเมืองนะมึงเนี่ย”

“หืมมมมมมม ตื่นแล้ววว”  เสียงงัวเงียคลานมายกหูโทรศัพท์ที่หัวเตียง

“ไอ้ตอแหล หน้าคงทิ่มอยู่บนแป้นหมุนโทรศัพท์แล้วไหมวะ”

“มีอะไรวะ ไอ้อาร์ม กูง่วง”

“มึงจะไปวิทยาลัยเอง หรือให้พวกกูไปรับ”

“แล้วนี่มึงจะไปยังล่ะ”

“กูอาบน้ำอยู่เนี่ย”

“ห้องน้ำบ้านมึงมีโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไหร่ สายบ้านพ่อง มึงยาวขนาดนั้น”ปลายสายทางนี้ ยังคงครึ่งหลับครึ่งตื่น

“กูใช้ โนเกีย 3210 ของไอ้โอ๊คโทรเว้ย  ป้ายแดงหรูเชี่ย ไร้เสา แถมมีเกมงูด้วยมึง”

“โอ๊ยยยย เสี่ยโอ๊ค ถอยให้กูบ้าง กูอิจฉา”

“ไอ้อาร์ม มือถือกูเปื้อนยาสระผมไหมแล้วมึง” เสียงปลายสายอีกเสียงที่ทุ้มกว่าแทรกเข้ามา พร้อมคว้าโทรศัพท์ไปพูดแทน   “แล้วนี่มึงจะลุกจากเตียงได้เมื่อไหร่ ไอ้ดอย”

“โอ๊ค มารับกูที แต่กูนอนต่อเดี๋ยวนะ”

“ไม่ต้องนอนแล้ว ลุกไปกินข้าว เดี๋ยวกูไปรับ กูอาบน้ำจะเสร็จแล้ว”

“นี่พวกมึงอาบน้ำด้วยกันเหรอ”

“กูเป็นแฝด จะอายเชี่ยอะไรกัน  แถมของไอ้อาร์ม ก็ไม่มีอะไรให้มอง  มองแทบไม่เห็น” ก่อนจะมีเสียงแทรก “ไอ้สัส”

“อ้าว ฝาแฝดอันมันไม่เท่ากันเหรอวะ”

“ของกูเจ๋งกว่า”  แล้วมีเสียงแทรกมาอีกเป็นครั้งที่สอง “ไอ้สัสโอ๊ค”

“กูอยากได้มือถือบ้าง เม็มได้ตั้ง สองร้อยห้าสิบชื่อ”

“เม็มได้เยอะ แต่กูกับมึง มีเพื่อนรวมกันถึงสิบคนเปล่าวะ ก็ขอแม่มึงดิ”

“ไม่กล้าว่ะ เก็บค่าหอผู้เช่าเดือนนี้ ก็จ่ายนั่นนี่ไปจะหมดอยู่แล้ว”

“ลับหลังแม่มึงนี่ ทำซ่าส์ ไปแดรกข้าวได้แล้ว”

“อืม อีกแป๊บเหอะนะ ให้กูนอนอีกแป๊บ นะๆๆๆๆๆ เพื่อนรัก”










Track 1 :   ไม่อยากต่อคิวหัวใจกับเธอ.. ไม่รู้จะได้เบอร์อะไร..

“วันนี้มหาดไทย เขาเปลี่ยนชื่อ เขตสาธร เป็น สาทร ว่ะ ไอ้ดอย”  ชายวัยกลางคนหุ่นล่ำเตี้ยนั่งไขว่ห้างมองหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่าน  เอ่ยบอกหนุ่มน้อยผู้ซึ่งกำลังนั่งร่วมโต๊ะม้าหินอ่อน

“แล้วเขาเปลี่ยนให้มันยุ่งยากกันทำไมล่ะน้าแจ้” วัยรุ่นชายเปลือยอกเผยผิวไหม้คล้ำจัด  สวมกางเกงฟุตบอลสีน้ำเงินเข้ม เอ่ยถามกลับด้วยความสงสัย

“รัฐเขาว่า ธอ ธง มันไม่มีความหมาย”

“.....”

“แต่ สาทร ทอ ทหารน่ะ มันแปลว่า เอื้อเฟื้อ เอาใจใส่”  แจ้ น้าชายคนล่ำอธิบาย พลางเหลือบมองไปยังหลานชายที่กำลังเคี้ยวปาท่องโก๋อย่างเมามัน คู่กับ ชาร้อนสีส้มสด

“ทำไม คุณตาไม่ตั้งชื่อน้าว่า สาทร ล่ะ ก็น้าผมคนนี้ ช่างเอื้อเฟื้อ และ เอาใจใส่..  ไม่เชื่อ ถามเจ๊นกน้อย ข้างบ้านนี่ม๊ะ ว่าน้าแจ้น่ะ เฟี้ยวเงาะขนาดไหน ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”  ดอย พูดยั่วแม้จะยังมีปาท่องโก๋อยู่ในปาก

“ไอ้หลานซังกะบ๊วยนี่ เดี๋ยวปั๊ด เบิร์ดกะโหลกร้าวเลย  ข้าจะฟ้องแม่เอ็งว่า ใครนะ แอบไปงานวันไหลที่พระประแดงมา ให้กะเทยล้วงไข่เล่นแล้วไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง”  ผู้เป็นน้าสวนกลับ

“แป่วววว  โอเค..ซึ้ง ยอมก็ได้  โหว  ก็ไอ้แฝดนรก มันจะไปให้ได้เลยสิน้า ผมเองก็อยากไปเที่ยวบ้างดิ ว่าแต่ เขาไม่เรียกวันไหลนะครับ วันไหล มันที่ชลบุรี ส่วนพระประแดงเขาก็เรียก สงกรานต์ เหมือนบ้านเรานี่แหล่ะ คริ คริ”

“สามหนุ่มหล่อไปเดินเล่นน้ำ สาวแถวนั้นไม่กรี้ดกันลั่นเหรอวะ”

“ไม่โดนตีนเจ้าถิ่นก็บุญแล้วน้า มีแต่ทหารเรือ กับ เด็กโรงงาน”

“เออ.. ไม่ถูกรุมกระทืบกลับมาก็ดีแล้ว  เล่นน้ำที่เมืองกาญจน์ทั้งวันยังไม่สาแก่ใจ ดอดไปนั่น แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนซ่อมเหรอ”

“เดี๋ยวไปครับ วันสุดท้ายแล้ว  ค่อยเอางานไปส่งอาจารย์ตอนเปิดเทอมไปเลย”  ดอยพูดด้วยอารมณ์เซ็งทุกครั้งเมื่อต้องนึกถึงวิชาภาษาอังกฤษอาชีพช่างยนต์ ที่ตัวเองไม่เอาถ่าน ก่อนจะก้มหน้าซัดปาท่องโก๋ สามคู่จนหมดจาน แล้วขอตัวเดินเข้าตึกขึ้นไปอาบน้ำ



อาคารพาณิชย์สามชั้นครึ่งขนาดสองคูหาที่ ยอดดอย อาศัยอยู่นี้ มีแม่ของเขาเป็นเจ้าของ ทำเป็นหอพักไว้ หากเดินผ่านชั้นลอยก็จะมีโต๊ะรับแขกให้นักศึกษาไว้อ่านหนังสือ โดยชั้นสองมีสี่ห้องเช่า และชั้นสามเป็นห้องใหญ่สองห้อง ห้องน้ำในตัว ส่วนดอยพักอยู่ชั้นล่างสุดที่ทำไว้แยกออกมา

ด้านหน้าของอาคารสองคูหานี้ กั้นเป็นห้องกระจกใสล้อมกรอบอลูมิเนียมสีเงิน ให้คนมาลงทุนเช่าทำร้านอินเทอร์เน็ต  มีซอกเล็กระหว่างตึกกับกำแพงข้างร้านให้รถมอเตอร์ไซค์ผ่านไปจอดรถที่สวนด้านหลัง ห้องนอนของดอยอยู่ใกล้ที่จอดรถ เขาใช้เวลานั่งมองสวน สูบบุหรี่ซึ่งแม่ก็พร่ำบ่นให้เลิกทุกครั้งที่เจอหน้า  และอ่านหนังสือแต่งรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งตนเองชอบ 

เขาไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไรกับหอพักมากนัก เพราะน้องชายของแม่ คือ ไก่แจ้  เป็นผู้ดูแลหอพักทั้งหมด  ดอยแค่พูดคุยตกลงทำสัญญากับผู้เช่า แล้วค่อยส่งธนาณัติให้แม่   แต่ส่วนใหญ่แม่จะให้เขาเอาค่าเช่าเก็บไว้ใช้จ่าย แบ่งเป็นเงินเดือนน้าแจ้ เหลือเท่าไหร่ก็ฝากธนาคาร 


“เชี่ยยย  ไอ้ดอย นานจังวะ โตกอยู่ในห้องน้ำหรือไง” หนุ่มหน้าคมผิวขาว ไว้จอนผมปัดหน้าผาก ผู้เพิ่งมาเยือน ตะโกนถามที่หน้าห้องนอนของยอดดอย ด้วยท่าทียียวน เขาสวมเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ดำ เอนไหล่พิงข้างประตู เงี่ยหูฟังเจ้าของห้อง

“เฮ้ย ไอ้ดอย มึงเอาน้อง เวิ่นปีเสีย ของกูเข้าห้องน้ำไป โซเดมาคอม ด้วยเหรอ ไอ้เวร อย่ารุนแรงนะโว้ยย สงสารน้อง” หนุ่มที่หน้าเหมือนกันราวกับแกะ แต่งตัวคล้ายกัน แต่เสื้อเป็นสีเทา หูขวาใส่ต่างหูสีเงินสองวง โผล่ตามมายืนหน้าห้องของดอย ด้วยท่าทีที่กวนประสาทไม่แพ้กัน

“กูเผลอหลับ ไอ้พวกเวร  แสบผิวชิบผาย แม่งพากูตากแดดตระเวนเที่ยวสงกรานต์ ราวกับไปกฐินเก้าวัด”  ยอดดอยบ่นหลังจากเปิดประตูห้อง รับการมาเยือนของสองแฝดเพื่อนซี้  ดอยใส่ชุดไปรเวท เสื้อขาว กางเกงยีนส์สีฟ้าฟอก มีรอยขาดจากการจงใจกรีดให้เท่  สามหนุ่มแต่งตัวตามสบายเนื่องจากอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน แค่แวะไปช่วยงานอาจารย์เจ้าของวิชาสุดหิน ที่เรียกใช้งานพวกเขาอยู่เป็นนิจ แต่ถือเป็นการซ่อมคะแนนวิชาไปในตัว

“กูก็แค่อยากให้สาวแถวภาคตะวันออกได้ยลหน้าหล่อๆ แบบเด็กฮาร์ดของมึง ไปเร็วอาจารย์จะให้เอารถทดลองไปฝากทำสีที่อู่ด้วย เดี๋ยวกลับมาเตะบอลไม่ทัน” หนุ่มหล่อที่เจาะหูขวาสองรู ดึงแขนดอยเป็นการเร่ง

“เออไปดิ กูก็ต้องพาผู้เช่ารายใหม่ดูทางไปวิทยาลัยเขาด้วย เห็นว่าจะย้ายเข้าเย็นนี้ เศรษฐีที่ไหนไม่รู้ โทรมาฝากฝังลูกชายตัวเองใหญ่เลยว่ะ  ห้องวีไอพีกูเลยนะเว้ย” ดอยกล่าว ก่อนจะปิดล็อคห้อง แล้วเดินตามสองฝาแฝดผ่านซอกกว้างราว 1 เมตร ซึ่งเป็นทางวิ่งมอเตอร์ไซค์ ที่เขาเรียกกันว่า ช่องแคบยิบรอนต้า ขนานผนังร้านอินเทอร์เน็ต ไปสู่ถนน มีรถมอเตอร์ไซค์ สองคัน จอดคู่กันอยู่ เป็น คาวาซากิ KRR-150 รุ่นพิเศษ ที่เพิ่งเข้าเมืองไทย โดย โอ๊ค แฝดผู้พี่ ขี่มอเตอร์ไซค์คันสีดำออกนำไปก่อน  ส่วน ดอย ก็ขึ้นซ้อนท้าย คันสีเขียว ที่มี อาร์ม แฝดน้องเป็นสารถี ขี่ตามออกมา



เข้าสู่ช่วงบ่ายของวันนั้น ถนนเลียบริมแม่น้ำที่ยังหลับใหลเพราะเป็นย่านเกสต์เฮ้าส์ และบาร์เหล้า ก็เริ่มมีคนสัญจรมากขึ้น รถเข็นร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวแกง ร้านส้มตำ ทยอยเข็นมาตั้งร้านเรียงกันจากหน้าสำนักงานตำรวจท่องเที่ยว ยาวมาจนถึงหน้าหอพักนาตยา  เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว จึงทำให้ชาวต่างชาติจะเยอะเป็นพิเศษ มักนิยมสะพายเป้มาเที่ยวพักกันในช่วงวันธรรมดาเพื่อหนีความวุ่นวาย  แต่ก็จะมีคนไทยมาในวันหยุดสลับกันไป ถนนเลียบริมแควใหญ่ใจกลางเมืองแห่งนี้จึงไม่เคยร้างผู้คน  บ้างก็เรียกกันว่าเป็น ลิตเติ้ลข้าวสาร เพราะมีบาร์ขนาดเล็กเรียงราย ขายเหล้าดริ้งค์ราคาประหยัดเหมาะสมกับกำลังทรัพย์นักท่องเที่ยว 

รถตู้โตโยต้าไฮเอชหลังคาสูงคันใหม่เอี่ยมสีฟ้าเทา จอดเทียบหน้าหอพัก  หนุ่มน้อยผิวขาวใสหน้าตาจิ้มลิ้ม เดินลงมาจากรถในชุดกางเกงขาสั้นสีดำกับเสื้อสีเหลืองสดตัดกับผิวแสนขาวเด่น ดูน่ารักจนผู้หญิงฝั่งตรงข้ามกลุ่มใหญ่ที่กำลังตั้งวงนั่งกินส้มตำหน้าบาร์เพราะยังไม่ถึงเวลาเปิดบริการ ถึงกับผิวปากแซวกันด้วยความหมั่นเขี้ยว   หนุ่มน้อยเขินอาย รีบพาร่างผอมบางเดินผ่านเข้าไปยังร้านอินเทอร์เน็ต เพื่อติดต่อห้องพักซึ่งพ่อของเขาได้ทำการเช่าไว้ให้แล้ว

“สวัสดีครับ ใช่น้าแจ้หรือเปล่าครับ  ผมที่จะย้ายเข้ามาอยู่ห้องชั้นสามน่ะครับ ทำสัญญาไว้ในชื่อของพ่อผมครับ  ชื่อคุณธรรมเสถียร” หนุ่มหน้าใส ตากลม  ยกมือไหว้ผู้ดูแลหออย่างอ่อนน้อม ชวนน่าเอ็นดู

“อ้าว นี่ใช่น้องปุยไหม มาซะไวเชียว น้าเพิ่งไปตรวจน้ำ ตรวจไฟให้เมื่อสักพักนี่เอง  ทำความสะอาดห้องไว้ให้แล้ว โอ้วโหว หล่อขาวขนาดนี้  เป็นเด็กปั้นสังกัด พจน์ อานนท์ หรือเปล่าเนี่ย” แจ้แซว พร้อมเดินไปช่วยหยิบกระเป๋าใบใหญ่ที่วางไว้หน้าร้าน แต่ก็มีคนขับรถตู้กับเด็กรถอีกคน มาช่วยกันหิ้วขนของให้  แจ้จึงปลีกตัวไปเตรียมกุญแจมาให้กับหนุ่มน้อยผู้มาใหม่ 

“ขอบคุณครับ งั้นผมทยอยขนของเข้าห้องเลยนะครับ”  ปุย ส่งยิ้ม ก่อนจะหันกลับไปช่วยคนขับรถยกของเข้าหอพัก



กว่าจะจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทางก็พลบค่ำ หนุ่มร่างบางเดินลงมาหาของกินด้วยความหิว  ก็เพราะตามคำแนะนำของน้าแจ้ ร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ติดกับหอพักจึงเป็นทางเลือกอันดับหนึ่ง ร้านนกน้อย เป็นห้องแถวคูหาเดียวแต่แลดูสะอาดแต่งไฟไว้สวยงาม มีหนุ่มใหญ่ใส่เสื้อแขนกุดสีม่วง รูปร่างอวบ ยืนรับรายการอาหาร  กับแม่ครัวคอยผัดกับข้าวอยู่หลังร้านเสียงเคาะกระทะดังต่อเนื่องอย่างกับคนตีระนาด แสดงถึงความวุ่นวายไม่น้อย ลูกค้าสาวมานั่งรอหลายคน  ส่วนใหญ่สั่งใส่ถุงกลับไปทานที่บาร์  โดยเฉพาะเมนูยำและผัดเผ็ดที่ขึ้นชื่อ

“อุ้ย หล่อเริ่ด อลังการดาวล้านดวงมากค่ะ คุณน้องขา สั่งอะไรดีคะ นั่งทานที่นี่ไหม เดี๋ยวเจ๊ลัดคิวให้  อ้าว ลุก ๆ  ใครนมโตกว่ากู ลุกไป ให้น้องสุดหล่อนั่งที” เจ้าของร้าน จีบปากจีบคอ ออกอาการสนใจปุยอย่างเห็นได้ชัด  ถึงกับตะเพิดสาวบาร์ที่นั่งเกะกะโต๊ะให้ลุกไป  สาวบาร์บ่นอุบอิบหมั่นไส้ผู้เป็นเจ้าของ  แต่ก็หลบทางให้หนุ่มน้อยน่ารักที่เข้ามาใหม่ แถวพร้อมใจส่งสายตายั่วยวนโดยอัตโนมัติราวกับซ้อมกันมา

เขาจึงสั่งข้าวราดปลาหมึกทอดกระเทียม กับ แกงจืดอีกหนึ่งชาม โดยมี เจ๊นกน้อยแวะเวียนมาแทะโลมเป็นระยะ  เมื่อทานเสร็จก็กลับหอพัก  นับเป็นอาหารราคาถูกรสอร่อยที่เขาตั้งใจจะไปทานให้บ่อย แม้นึกเขินเวลาสาวในร้านแซวบ้าง แต่ก็ชินมาสักพักแล้ว ตั้งแต่เขาถอดเหล็กจัดฟัน และขัดผิวด้วยมะขามเปียก ก็พบว่า ตัวเองดูดีขึ้นในแบบที่น่าพอใจ



“อีกสักพักใหญ่ น้าจะให้หลานชาย ก็วัยเดียวกับน้องปุยนี่แหล่ะนะ พาไปตระเวนดูว่ามีร้านค้าร้านอาหารที่ไหนใกล้แถวนี้บ้าง  เห็นคุณพ่อน้องบอกว่าไม่ได้เอารถเครื่องมาใช้ เดี๋ยวมันก็คงจะกลับช่วงค่ำนะ พอดีไปเตะบอลกับไอ้อาร์ม เพื่อนเด็กแนวของมัน มาถึงเดี๋ยวน้าจะรีบให้ไปเรียกนะ”  น้าแจ้แถลงยาว ด้วยความเอาใจใส่ ทันทีที่เห็นปุยเดินกลับมาเข้าหอ  จนปุยสัมผัสได้ถึงความหวังดี และนึกขำกับสำเนียงเหน่อของน้าแจ้ที่ทำให้อารมณ์ผู้ฟังดีขึ้นมา

“ครับ ขอบคุณครับน้า เดี๋ยวอีกวันสองวัน พ่อคงส่งเฟสสันของผมมาให้ใช้ขี่น่ะครับ แต่รู้จักพื้นที่ไว้บ้างก็ดีเลย เดี๋ยวผมขอเช่าเครื่องคอมเพื่อเล่นเน็ตสักชั่วโมง แล้วผมจะรอในห้องแล้วกันนะครับ ว่าจะจัดของให้เข้าที่เข้าทางสักหน่อย” ปุยยิ้มหวาน ก่อนจะนั่งใช้อินเตอร์เน็ตที่ร้านอยู่นานพอดู  แล้วก็กลับห้องพักชั้นบนไป 

โดยทั้งตึกห้องพักมีนักศึกษาอาศัยเต็มทุกห้อง พ่อของปุยเมฆติดต่อให้เขามาพักที่นี่ เพราะว่าขี่จักรยานไปยังสถานศึกษาได้โดยไม่ไกลนัก และถนนสไตล์ลิตเติ้ลข้าวสารทางผ่านไปวิทยาลัยไม่มีรถใหญ่วิ่ง แถมเคลื่อนที่ได้ช้า แลดูปลอดภัยในความคิดของผู้เป็นพ่อ   แม้ค่าเช่าห้อง3A ที่เป็นห้องใหญ่สุดราคาค่อนข้างแพงกว่าหออื่นในระแวก แต่พ่อของปุยไม่คิดลังเลในทันทีที่เลขาส่วนตัวแจ้งมาว่ามีห้องว่าง  จึงรีบจัดการโอนเงินและโทรศัพท์ประสานกับยอดดอย ซึ่งเขาคิดว่าเป็นเด็กที่อัธยาศัยดีอยู่ไม่น้อย 


หลายชั่วโมงผ่านไป หันไปดูเวลาก็เริ่มดึกแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาเคาะประตูห้อง ใจนึงก็อยากจะยกหูเอานิ้วแหย่รูแป้นโทรศัพท์ทรงแบนกลมที่หัวเตียง ซึ่งบนนั้นมีโปสเตอร์ อลิเซีย ซิลเวอร์สโตน แปะไว้  ปุยเมฆอยากจะหมุนเบอร์ไปยังร้านอินเตอร์เน็ตข้างล่าง ให้น้าแจ้วานบอกหลานชายตัวดีเสียที ว่าไม่ต้องมาแล้ว เขาอยากนอนจะแย่     

ปุยเดินออกมาที่ระเบียงท้ายห้อง  มองลงไปชั้นสอง  เห็นหญิงสาวกลุ่มนึงเพิ่งเดินจากห้องด้วยกางเกงขาสั้น ถือตะกร้าผ้าคนละตะกร้า เดาว่าน่าจะเอาผ้าไปส่งซัก  พลางเหลือบไปที่สวนขนาดเล็กท้ายหอชั้นล่าง  มีต้นทองกวาวสูงใหญ่ น่าจะให้ร่มเงาได้ดีตรงโคนต้นในช่วงเวลากลางวัน  เขาเห็นชายหนุ่มวัยเดียวกันกับเขาจากระยะไกล เดินออกมาสูบบุหรี่ที่สวน นั่งที่แคร่ใต้ต้นไม้ เมื่อสูบไปได้สักพักก็เอนตัวลงนอนอย่างสบายอารมณ์ 

“นายก็คงจะเหมือนเรา พวกคนขี้เหงาสินะ” ปุยพรึมพรำในใจ    อยู่ต่างบ้านต่างเมือง จะเดินไปทางไหน ก็มีแต่บาร์เหล้า ฝรั่งรายล้อม แถมยังมาโดนใครบางคนเบี้ยวนัดอีก  รอไปก็ไม่รู้จะมาหรือเปล่า ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาดีกว่า วันนี้คงถอยดีกว่า ก่อนจะหันกลับเข้าห้องนอนไป..


......................................................…………………………………………………………………………………
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 04-02-2018 23:28:07
Track 2 :       มันถูกหน้าอกข้างซ้าย... เข้าตรงหัวใจพอดี


“ซาล๊ะเปา  ซาลาปาววว ขนมจีบร้อนร้อนมาแล้วคร้าบบ ”  โทรโข่งของรถขายของ หวีดกังวานจากท้ายหอพักนาตยา เสียงผ่านสวนมายังห้องนอนของยอดดอย  จนทำให้เจ้าของห้องที่กำลังสลึมสลือ บิดขี้เกียจไปมาบนเตียงขนาด 5 ฟุต ตามลำตัวมีรอยลอกของผิวหนังที่ไหม้คล้ำ ผลจากการเล่นน้ำเมื่อเทศกาลที่ผ่านมา 
ดอยนอนใส่กางเกงฟุตบอลผ้าร่มขาสั้นสีขาว เปลือยท่อนบนเผยให้เห็นรูปร่างที่ไร้ไขมัน เพราะมันถูกแทนไปด้วยกล้ามเนื้อของชายหนุ่ม ซึ่งได้มาจากการเล่นกีฬาเป็นนิจ
เขาพยายามดึงตัวเองจากเตียงที่แสนสบาย  เตรียมใช้ชีวิตวันหยุดภาคเรียนที่เหลือน้อยให้เต็มที่  ตู้เย็นสีแดงตรงหน้าห้องน้ำ มีโปสเตอร์ภาพ เคิร์ก โคเบน แปะไว้เหนือตู้ ถูกเปิดเอาน้ำเย็นมาดื่ม ก่อนดอยจะทำธุระส่วนตัวจนเสร็จไป

“ต้องถอนมั๊ยวะ ไอ้หลานสุดหล่อ” น้าแจ้ออกปากแซวตั้งแต่เห็นยอดดอย เดินผ่านผนังกระจกใสอย่างงัวเงีย หลานตัวดีเดินอ้อมจากด้านข้างของร้านอินเทอร์เน็ต มาเข้าที่ประตูด้านหน้าฝั่งติดถนน  แจ้หัวเราะออกมาอย่างสะใจ แล้วก็ก้มหน้าเย็บปลอกหมอนที่มีรอยขาดหวิ่นอยู่

“ส.บ.ม.ย.ห. น่ะน้า ระดับไอ้ดอย กึ๊บเบียร์สักนิด เห็นนมน้องอิ๋วชั้น 2 ซะหน่อย หูยย เดี๋ยวมีตาสว่าง” อาร์ม เพื่อนตัวแสบ ที่กำลังนั่งเล่นเกมคอมพิวเตอร์ อยู่ในร้าน ตะโกนยั่ว

“ช้าไปแล้วมั๊ง ดูในมือนู่น ลูกพี่มึงแดก คลอสเตอร์ แต่หัววัน.. มึงไหวไหมวะ ไอ้ดอย กูบอกให้พอ มึงก็นะรั้นเหลือเกิน แดกเสร็จก็อ๊วกอย่างกับหมา” โอ๊คที่นั่งอยู่โต๊ะคอมพิวเตอร์เครื่องติดกับของอาร์ม เสริมด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งสอน

“คนล้มอย่าข้ามกันดิวะ กูท้องว่างด้วย ปกติกูแดกกี่กลม ก็ไหว พวกมึงก็รู้” ดอยหอบสังขารสูงใหญ่ แต่สุดโทรมเดินผ่านหลังโอ๊ค เขาบีบไหล่โอ๊คแผ่วเบาเป็นเชิงทักทาย แล้วเลยมานั่งที่โต๊ะคอมอีกเครื่องที่ว่างอยู่ถัดจากโต๊ะของอาร์ม 

“ไอ้โอ๊ค มึงเล่นไม่ดี อย่าโทษจอย ดิวะ” อาร์มมองจอเกม แต่เหลือบไปมองดอย แสดงให้เห็นว่าเป็นคำพูดจิกกัด

“นี่แหน่ะ ขอกูเบิร์ดกะโหลกซักที” พูดเสร็จดอย ก็เอามือโบกหัวอาร์มอย่างแรง “จอยพ่องมึงดิ อย่ามาแหลม”

“อุ้ยๆ เอาแล้วสิ” น้าแจ้ แซวบ้าง เมื่อเห็นอาร์มถูกดอยตบหัวจนผมที่เซ็ทมาอย่างดียุ่งเหยิง

ก่อนทุกคนจะตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมชนิดต่างคนต่างไม่สนใจกัน  โดยมีลูกค้าวัยรุ่นทยอยเข้ามาเต็มร้าน  น้าแจ้รับออเดอร์ ข้าวราดไปส่งให้เจ๊นกน้อยเพื่อปรุง น้าแจ้ก็ขายน้ำอัดลมและน้ำเปล่าแก่เด็กคอเกมควบคู่กันไปด้วย

ร้านคอมพิวเตอร์ ติดสติ๊กเกอร์ไว้ด้านบนสุด สีเขียวขอบสีขาว เบียร์อินเทอร์เน็ทคาเฟ่ เป็นห้องกระจก มีสติ๊กเกอร์ สีแดงติดเลข เน็ต 50 บาท เกม 40 บาท 3ชม/100 บาท ตัวใหญ่ ขนาด 2 ฟุต และถัดไปเป็นอักษรตัวเล็ก ขนาด 6 นิ้ว ต่อเป็นแนวดิ่งกันมาเป็นแถวสีแดง
-รับพิมพ์งาน 
-รับเข้าเล่ม 
-รับถ่ายเอกสาร
-รับแฟกซ์
-รับส่งอีเมล์   
 
โดยร้านมีเครื่องคอมพิวเตอร์ 18 เครื่อง แบ่งเป็น 3 แถว  ถ้ามองจากหน้าร้านเข้ามาแถวแรก ชิดริมผนังฝั่งทึบด้านซ้ายของร้าน 5 เครื่อง  ยาวจากหน้าร้าน ไปจนถึง โต๊ะคนคุมร้าน ซึ่งตอนนี้ครองโดยน้าแจ้ผู้กำลังนั่งเย็บปลอกหมอนจนใกล้เสร็จ 
ถัดมาตรงกลางร้าน เป็นแถวคู่หันหน้าชนกัน แถวละ 5 เครื่อง  โดยก๊วนของดอย ยึดที่นั่งแถว 2 เป็นประจำเมื่อมีโอกาส เพราะมันจะทำให้ มองเห็นผนังโปร่งด้านขวา ที่มักมีนักศึกษาสาวอาชีวะ สาวพาณิชย์ แวะเวียนมาเยี่ยมเพื่อนที่หอกันได้อย่างสบายตา
ผิดกับแถว 3 ที่อยู่ตรงข้ามกัน ซึ่งจะต้องทนเห็นหน้ายียวนของพวกเขา
ท้ายสุดเป็นเวิ้งชิดริมผนังกระจกโปร่ง จะมีโต๊ะอิสระ อีก 3 โต๊ะ  แต่งไว้เป็นคอร์เนอร์แยกอิสระต่อกัน สำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งร่วมกับใคร แต่ 3 โต๊ะนี้ เบียร์อินเทอร์เน็ทคาเฟ่ จะคิดราคา ชั่วโมงละ 80 บาท แพงกว่า 3 แถวกลางร้าน  กระนั้นก็ยังมีคนแวะเวียนมาใช้บริการกันเต็มเสมอ โดยเฉพาะชาวต่างชาติผู้หญิง

“เฮ้ย นั่นเด็กหอคนใหม่เหรอ ขาวอย่างเหี้ยเลย แดกบรีสต่างน้ำหรือไงวะ” อาร์มพูดเสียงดังพอที่จะทำ แถว 2 โต๊ะคอมทั้งหมดเงยหน้าไปมองที่ผนังโปร่ง  โดยมี ปุยเมฆ เดินใส่เสื้อสีตองอ่อน อุ้มหนังสือสองเล่มไว้ที่แขน เดินจากบันไดตึก ลัดผนังกระจกใส อ้อมข้างร้านมาเข้าประตูด้านหน้า  โดยมี โอ๊ค อาร์ม และ ดอย นั่งมองไม่ละสายตา

“น้องปุย เป็นยังไง หลับสบายดีไหม เมื่อเช้ามืดเห็นไปไหนมาล่ะ คนหล่อ เดินคนเดียว ระวังสาวๆ แถวนี้ฉุดเอานะ สาวบาร์แถวนี้ เมาแล้วดุมาก หื่นด้วย” น้าแจ้ เตือนสติอย่างอารมณ์ดี  พลางพับปลอกหมอนที่เย็บซ่อมรอยขาดเสร็จ แล้วใส่ในถุงกระดาษ เขียนด้วยปากกาเมจิคสีดำว่า ห้อง 2D 

“ไปใส่บาตรที่หัวถนนมาครับ เดินไปไม่ไกล ผมกลับมานอนต่อ เพิ่งจะตื่นเลยครับ” ปุยตอบด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู ก่อนจะมองหาคอมพิวเตอร์ที่ว่าง แต่ถูกจับจองไว้จนเต็ม ยกเว้นโต๊ะเดี่ยวริมผนังโปร่ง  จึงเอ่ยถามน้าแจ้ต่อ “ผมจะใช้อินเทอร์เน็ตสักหน่อย ตรงโต๊ะริมกำแพงนั้นว่างไหมครับ”

“ได้เลยๆๆ เดี๋ยวให้ไอ้เจ้าดอยไปต่อให้ พอดีปิดเครื่องไว้เพิ่งสแกนไวรัสเสร็จ  อ้าวไอ้ดอย เมื่อวานเบี้ยวนัดน้อง ไปชำระความซะ” แจ้หันไปพูดด้วยน้ำเสียงแกมดุกับดอยที่ยังมองผู้มาใหม่ซึ่งกำลังเดินไปที่โต๊ะเดี่ยว  ดอยลุกตามไปยังโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลอ่อน เขาเดินเข้าไปจากด้านหลังโน้มตัวคร่อมไหล่ขวาของปุยเล็กน้อย  เอามือเลื่อนเม้าส์ขยับ เพื่อต่อ อินเทอร์เน็ตให้กับผู้มาใหม่



“ตี้ดดดดดดดดดด  ตื่ออออออออออออออออออ  แว่งงง  แว่งงงง ซื่ออออออออออ”  เสียงดังออกมาจากลำโพงขนาดเล็ก ที่อยู่ข้างจอคอมพิวเตอร์  ไม่มีเสียงสนทนาอันใดเกิดขึ้นในระหว่างที่รอสัญญาณเชื่อมต่อ  จนเสียงลำโพงเหมือนจะดังก้องกว่าความเป็นจริงสักสิบเท่าในความรู้สึกของดอย

“เครื่องนี้โมเด็มแยกเหรอครับ”  ปุยเมฆที่ไม่ขยับสายตาจากจอตรงหน้า เอ่ยถามชายหนุ่มที่ยังคงโน้มตัวจากด้านหลังคร่อมเขาอยู่ ยอดดอยที่ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้าอ่อน เปิดกระดุมสองเม็ดบนจนเกือบเห็นกล้ามท้อง ด้วยตำแหน่งที่ยืนก้มอยู่ในตอนนี้ มันใกล้ปุยเสียจน กลิ่นแป้งเย็นที่ทาลำตัวไว้ ส่งความหอมอ่อนไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าจอคอมจนตัวเกร็งไปหมด   

“ใช่ครับน้อง คือ สายแลนมันเสีย ไอ้เจ้าของร้านคนเก่าไม่ยอมซ่อม เลยเอาโมเด็มพี่มายืมใช้ แต่ว่า ไม่ช้านะครับ 56K รับรองได้ว่าเร็วไม่ติดขัด สบายบรื๋อ สะดือโบ๋”  ดอยหยุดพูดทันที ที่คิดว่าการสนทนาอาจไปต่อไม่ได้ด้วยมุกฝืดของเขา

ปุยหันหน้าไปมองดอย เขาต้องตัวเอี้ยวหลบมาทางซ้ายเล็กน้อย เพราะเกรงว่า ปลายจมูกอาจจะชนกันได้ เพราะบัดนี้ ลมหายใจของชายที่ยืนเหนือไหล่ขวา แทบจะรมจนต้นคอของปุยจนร้อนฉ่า  “ผมว่า เราน่าจะวัยเดียวกัน เรียกปุย ก็ได้ครับ” 

“ครับ..   เอ่อ.. ขอโทษนะครับ เมื่อคืนไม่ได้ไปตามนัด พอดีว่า...”  ดอยหยุดพูดเหมือนบทสนทนาจะไปต่อไม่ได้อีกครั้ง

“เมาปริ้น! เมาอย่างกะหมา”  อาร์มตะโกนแซวด้วยเสียงอันดังลั่นร้าน จนคนทั้งแถวที่ 2 หัวเราะกันใหญ่

ก่อนดอยจะพยุงตัวกลับมายืนตรง และชี้หน้ามายังอาร์ม ทำปากหมุบหมิบ จับใจความได้ว่า “มึงอย่าแหลม”

“จร้า พ่อยอดขมองอิ่ม ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” อาร์มหัวเราะถูกใจ หันขวาไปมอง โอ๊ค ที่ไม่มีปฏิกิริยาอะไรกับมุกเมื่อสักครู่ ตาของโอ๊คยังจับไปที่ผู้มาใหม่   “ไอ้โอ๊ค มึงช่วยกูเร็ว แม่ง เอาบราซิลมาแข่งกับอิตาลีกู  เอาเบเบโต้ มาย้ำแค้นกูหรือยังไง สัส”   เมื่ออาร์มพูดจบ โอ๊ค ถึงก้มหน้าเล่นเกม ช่วยกันต่อไป    ดอยเดินกลับมานั่งที่โต๊ะแล้วก็เล่นโปรแกรม Pirch98  แต่สายตายังคงเหลือบไปมองหนุ่มน้อยในเสื้อสีเขียวตองอ่อนบ่อยครั้ง  ยิ่งตอนนี้ แสงแดดอ่อน ย้อนจากทางริมผนังโปร่งผ่านกระจกใสเข้ามาในร้าน ผิวของปุย ยิ่งดูขาว.. สีผมดำโดนแดดกลายเป็นสีน้ำตาลแกมแดง ปากนิดจมูกหน่อย  บรรยากาศในแถวที่ 2 เงียบสนิท มีเพียงอาร์มที่ยังร่าเริงเป็นระยะ


เวลาผ่านไปอีกร่วมชั่วโมง มีเด็กนักเรียนหลายคนเดินไปสั่งข้าว โดยมีน้าแจ้ของเด็กๆ ขันอาสาเอาออเดอร์ไปส่ง ทุกคนยังคงมุ่งมั่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เล่นเกมอย่างไม่ลดราวาศอก ราวกับว่า ต่อให้ฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะทลาย สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของทุกคนในเวลานี้ เป็นสิ่งที่ละสายตาไม่ได้เสียอย่างนั้น ใครบางคนที่แถว 2 ก็เช่นกัน

“อู้ยยยยยย ขอโทษนะเด็กๆที่ช้า ร้านเจ๊คนเยอะมากกกก นี่เจ๊แถมข้าวมาให้พูนจานเลยจร้า  กินเสร็จก็วางไว้ที่โต๊ะสีส้มที่ต้นเสานั่นเลยนะ เดี๋ยวเจ๊ค่อยมาเก็บ ว่าแต่  มีใครสมัครล้างจานไหมนะ เดี๋ยวเจ๊ให้เล่นเกมฟรี สามวันเจ็ดวันเลยจร้า” เจ๊นกน้อยส่งเสียงแจ๋นเริงร่าตั้งแต่ย่างเข้าประตูมา  ประตูเลื่อนที่เปิดทิ้งไว้ กระทบกับถาดอาหารดังปัง ก็ว่าเป็นการเปิดตัวที่เรียกความสนใจอยู่แล้ว แต่ยิ่งมาเจอลีลาการแซวผู้ชายสไตล์เจ๊นกน้อย เสียงฮาทั้งร้านจึงเกิดขึ้นทุกครั้ง  โดยมี น้าแจ้ยืนยิ้มหัวเราะมองอยู่ไม่ไกล

“อร้ายยยยยยยยยย  พระเจ้าจอร์จ มันยอดมากกกก  น้องขาวจั๊วะ ก็มาเล่นเน็ตร้านนี้เหมือนกันเหรอจ๊ะ อู้ยยย ทานอะไรไหม เดี๋ยวเจ๊เอามาส่ง” เจ๊นกน้อย ยืนกระหมิดกระม้วน กอดถาดรองอาหารไว้กับหน้าอก ทำท่าทีเอียงอายจนเด็กวัยรุ่นในร้านผิวปากแซว 

“ยังไม่หิวเลยครับพี่ ซื้อกลับมากินเมื่อเช้าแล้วครับ  กะว่ากลับจากเดินหาร้านเช่าการ์ตูนเสร็จผมจะแวะไปนะครับ คิดถึงปลาหมึกทอดกระเทียม อร่อยมากเลยครับ” ปุยส่งยิ้มตาหยีชวนระทวยใจ จนเจ๊นกน้อยเขินอายยืนบิดเป็นเกลียวสว่าน 

“หูยยยย อายุเท่าไหร่แล้ว ทำมายืนเขินอาย นึกว่ามัน คิกขุ อะโนเนะ นักหรือไง”  น้าแจ้เดินมาแซว  พร้อมชูหน้าตายียวน

“รมย์เสีย” เจ๊นกน้อยสะบัดก้นหันกลับแบบงอนเล็กน้อย ก่อนจะหันมาบอกกับปุย “แล้วเจ๊จะหมักปลาหมึกรอนะจ๊ะน้องขาวจั๊วะของเจ๊” นกน้อยพูดจบ ก็เอามือหยิกแก้มปุยอย่างเอ็นดู แล้วเดินกลับร้านไป ทิ้งเสียงหัวเราะชอบใจของวัยรุ่นชายในร้านอินเทอร์เน็ตไว้เบื้องหลัง 


ปุยเรียกน้าแจ้ให้เก็บเงินค่าอินเทอร์เน็ต และ ค่าแฟนต้าน้ำองุ่นที่เพิ่งดื่มหมดขวด โดยมีดอยและอาร์ม เหลือบไปมองเป็นระยะ  ปุยขอฝากหนังสือ คำทำนายของนอสตร้าดามุส เล่มหนาไว้ที่น้าแจ้ แล้วเตรียมเดินออกจากร้านไป  โอ๊คก็ลุกขึ้นยืน เดินไปหาชายหนุ่มหุ่นบางที่ประตู

“จะไปร้านเช่าการ์ตูนใช่ป๊ะ  เดี๋ยวเราพาไป” โอ๊คพูดกับปุยด้วยน้ำเสียงนุ่ม เขาก้มหน้ามองพื้นห้องไม่สู้สายตาปุย แต่ยังดูเท่ในสายตาสาวบาร์ในระแวกถนนเวิ้งนี้ ที่อยากจะขย้ำโอ๊คให้แหลกคาปาก

“จริงดิ ขอบคุณคร้าบ” ปุยยิ้มให้กลับ ตาหยีของปุยตอนยิ้ม มันคงพิฆาตอีกฝั่งให้พังทลายไปราวกับประตูที่พรุนของลิเวอร์พูลเมื่อซีซั่นก่อน   ปุยเดินนำออกไปทางหน้าร้านก่อนโดยมีโอ๊คเดินตามไป แฝดผู้พี่หันกลับมาหาน้องที่ยังนั่งอยู่

“ฝากจ่ายให้กูก่อนนะอาร์ม เดี๋ยวกูมา...  ดอย วันนี้กูไม่ไปเตะบอลนะ” โอ๊คพูดจบ ก็รีบตามไปสมทบชายเสื้อสีตอง





“อ้าว จะไปไหนกันล่ะจ๊ะสองหนุ่ม” เจ๊นกน้อยตะโกนจากในร้าน เมื่อเห็นโอ๊คกับปุยได้มาขยับมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดอยู่ตรงหน้าร้านของตน

“อ่อ ผมจะพาเขาไปดูร้านเช่าการ์ตูนหน่อย ผมกะจะไปพอดี ฝากซื้ออะไรเปล่าเจ๊” โอ๊คล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยทีท่าขวยเขิน

“ไม่ฝากหรอก แต่เมื่อไหร่ เจ๊จะมีโอกาสได้นั่งรถเครื่องสุดจ๊าบ คันสีดำนี่บ้างล่ะจ๊ะ เล็งมานานแล้วนะ” เจ๊นกน้อยทิ้งลูกค้าในร้านมายืนคุยกับโอ๊ค โดยไม่สนใจสาวบาร์ที่นั่งรออยู่แน่นร้าน เพราะทุกคนเป็นลูกค้าประจำและเข้าใจจริตนาง

“โหว แล้วแม่ย่านางรถผมจะกระเจิงไหมเนี่ย ได้ข่าวว่า เจ๊นี่แรงกว่าเจ้าป่าเจ้าเขาอีกนะ” โอ๊คเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อแซว ยักคิ้วโปรยเสน่ห์หล่อไปยังเจ๊นกน้อย ที่กำลังทำท่าแกล้งงอน

“ว้ายยย ทำไมอีเด็กเปรตพวกนี้มันปากคอเราะร้าย  นี่แหน่ะ นี่แหน่ะ” เจ้นกน้อยพูดเสร็จก็ทำยกกำปั้นสองมือ มาทุบที่ไหล่ของโอ๊คเบาๆ ราวกับเป็นเด็กสาววัยสิบสี่กำลังถูกแฟนคนแรกจีบ 

“แหม.. ล้อเล่นนนนน  เดี๋ยววันไหนเจ๊ว่าง ผมจะพาควบน้องแบทแมน ไปซื้อผักวนรอบตลาดเลยนะครับ” โอ๊คพูดจบ ก็หันกลับไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันเท่ ที่จอดรออยู่

“หูยยย น่ารัก  เจออย่างนี้  ไม่รัก.. ก็บ้า ละนะ คิ คิ”  เจ๊นกน้อยทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับเข้าร้านไปทำงาน ท่ามกลางสาวบาร์ที่ทำปากมุบมิบนินทาด้วยความหมั่นไส้




“เกาะให้แน่นนะ เครื่องเราแรง.. แรงมากเลยอ่ะ” โอ๊คหันไปพูดกับคนซ้อนที่ดูแล้วน่าจะไม่ค่อยได้นั่งมอเตอร์ไซค์คันใหญ่เท่าไหร่ เนื่องจากปุยมีท่าทีเงอะงะเป็นอย่างมาก มือไม้ก็วางไม่ถูกด้วยความลังเล

“ก็ไปอย่าเร็วสิโอ๊ค  เราไม่เคยอะไรแบบนี้อ่ะ” ปุยที่นั่งคร่อมท้าย เอื้อมตัวไปบอกกับโอ๊คจากด้านหลัง คางของปุยแทบจะเกยไหล่โอ๊ค

“เราจะเบามือกับเธอแล้วกันนะ...  บอกให้เกาะให้แน่นไง” โอ๊คเอื้อมมือไปคว้ามือของปุยมาโอบที่เอวของตัวเอง

“ปลอดภัยแน่นะเนี่ย”

“ไม่เกาะให้แน่น เดี๋ยวก็ได้นอนยิ้มอยู่ข้างฟุตบาทซะก่อนถึงร้านนะ” ก่อนโอ๊คจะพุ่งรถออกไปอย่างช้ากว่ามาตรฐานตนเอง  ห่างออกไปสองช่วงตึก มียอดดอย ที่ขันอาสาลุงแจ้ ขอเป็นผู้หอบถุงขยะสีดำที่ยังไม่เต็มดีมาทิ้งข้างร้านเจ๊น้อย ยืนดูคนทั้งคู่ขี่รถแล่นออกไป





“ใช่คนนี้ไหม ที่พ่อเขาฝากให้น้องดอยดูแล”  นกน้อยเดินออกมาที่หน้าร้านอีกครั้งเมื่อเห็นยอดดอยยืนมองตามรถมอเตอร์ไซค์ที่แล่นออกไป

“ใช่ครับพี่น้อย”

“แล้วทำไมปล่อยให้เขาทำคะแนนอย่างนั้นล่ะ”

“คะนงคะแนนอะไรพี่น้อย อย่ามั่ว” ดอยหันไปมองนกน้อยแบบคนถูกจับพิรุษได้จนใบหน้าเหวอ

“เอาหน่า  เอาเป็นว่า ที่หลังอย่าเชื่องช้าอีก เดี๋ยวจะหาว่าเจ๊ไม่เตือน”

“ผมก็แค่ออกมาทิ้งขยะ”

“ขยะ ถ้าทิ้งแล้วมันต้องโล่งสิ ทำไมถึงได้หน้าบูดอย่างนั้นล่ะ”

“ก็มันไม่สนุกนะ ทิ้งขยะเนี่ย”

“ได้ข่าวว่าขันอาสามาดูให้เห็นกับตา  เอ๊ย ขันอาสามาทิ้งเองไม่ใช่เหรอ”

“ใครคาบข่าวมาบอกล่ะ”

“นั่นไง” นกน้อยชี้ไปยัง อาร์มกับน้าแจ้ที่เกาะผนังกระจกแอบดูอยู่

“แสบกันจริงๆ เลย พวกนี้” แล้วยอดดอยก็ดูจะอารมร์ดีขึ้นบ้างจนถึงกับหัวเราะออกมา


หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 05-02-2018 00:07:15
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ track 3 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 05-02-2018 10:10:56
Track 3 :             ฉันรู้สึก.. ราวกับเคลิ้มไป...

โคมไฟใหญ่ 4 ดวงสีขาวส่องพื้นกำลังถูกแมลงรุมล่อไฟนับพันตัวบินวนเวียนไปมา ใต้ไฟเป็นสนามฟุตบอล โดยมีวัยรุ่นหนุ่มสองคนเดินลัดเลาะข้างสนามเพื่อไปยังตลิ่งริมแม่น้ำที่อยู่ถัดออกไป 
แม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้ว แต่อาร์ม กับ ดอย ก็ยังหิ้วเบียร์คนละถุงใหญ่ ติดมือมาด้วย  พวกเขาซื้อมาจากร้านของหน้าโรงเรียนมัธยม ที่พวกเขาเป็นศิษย์เก่า และขอมาใช้สนามแห่งนี้เล่นฟุตบอลอยู่เสมอ ร้านของทิดเอิ้น ยังมีทีวีจอใหญ่ และโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าเวิ้งร้าน ให้ลูกค้านั่งเชียร์ฟุตบอลในคืนวันเสาร์อาทิตย์ด้วย   เฉกเช่นวันนี้ ที่อาร์ม กับ ดอย ก็มาสิงตัวอยู่ที่ร้านร่วมสองชั่วโมง ตั้งแต่เล่นฟุตบอลกับเพื่อนฝูงเสร็จ 

“แม่ง ไอ้เหี้ยโอ๊คเสือกพลาดช็อตเด็ด เรดเนปป์ทำประตูโครตสวยเลยอ่ะ  เผากุหลาบไฟไป 3-1 นี่เสือกไม่อยู่ดู มัวแต่พาเด็กเที่ยว” อาร์มบ่นด้วยความหงุดหงิด พลางถือถุงเบียร์เดินนำหน้าดอยไปยังท่าน้ำ แล้วนั่งกับพื้นหญ้า

“ปืนใหญ่กดโบโร่ไป 6-1 เด็ดสะมอเร่ เลยกู” ดอยอารมณ์เสีย ยื่นแก้วเบียร์ที่รินไว้แล้วป้อนใส่ปากอาร์มที่มือไม่ว่างเพราะกำลังถอดรองเท้าสตั๊ดและถุงเท้า อาร์มอ้าปากรับฟองนุ่มจากเบียร์เข้าปากด้วยการป้อนจากดอย



บริเวณชั้น 2 ของหอพักนาตยา ไก่แจ้เอาถุงกระดาษสีน้ำตาล ไปแขวนไว้ที่ลูกบิดประตูหน้าห้อง 2D โดยเขาเคาะประตูสองทีเป็นการเรียกให้เจ้าของห้องออกมาเปิดรับของ ก่อนจะหันหลังออกมา เจ้าของห้องในชุดนอนยาวสีขาวสะบัดผมยาวสลวยดำขลับ แล้วหยิบถุงหน้าห้องมาถือไว้แก้ดูของภายใน แล้วเดินกลับเข้าห้องไป


เรือหางยางแล่นในลำน้ำอย่างเชื่องช้า ในเวลาที่ทุกอย่างเงียบสนิท ไฟในสนามฟุตบอลที่อยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเมตรดับลง มีเพียงเสียงระฆังจากวัดที่อยู่เชิงสะพานเบื้องหน้า ตีดังทุกชั่วโมงเพื่อบอกเวลา  สองหนุ่มนั่งชันเข่ามองตรงไป แม่น้ำแควใหญ่แทบไม่ค่อยไหลยามค่ำคืน เพราะเขื่อนต้นทางไม่ปล่อยน้ำตอนดึก มีสาวแก่สองคนใส่ผ้าถุงยืนที่ตลิ่งฝั่งตรงข้ามตักน้ำแม่น้ำอาบ พวกเขาเห็นภาพนี้เป็นประจำจนชินตา

“วันนี้กูอยู่ไม่ดึกนะ เมื่อคืนแทบคลาน กูไปนอนที่สวน ตื่นมาอีกที เกือบตีสี่ ยุงเยอะชิบหาย” ดอยพูดไปก็เกิดนึกคันตามร่างกายขึ้นมา วางแก้วเบียร์แล้วเกาไปที่แขนขา 

“พรุ่งนี้กูก็ว่าจะอยู่ดูแมนยูที่บ้านว่ะ ไม่ได้ไปไหน มึงไปดูบ้านกูไหมล่ะ” อาร์มเอ่ยถาม 

“ไม่อ่ะ ตั้งแต่มีถ่ายช่อง 9 กูก็ขี้เกียจจะออกแล้ว ถ้าคู่ไหนถ่ายทอดผ่านยูบีซี กูก็จะขอไปดูบ้านมึงก็แล้วกัน ไอ้เศรษฐี”

“แม่กูติดเคเบิ้ลไว้ให้พี่กูเว้ย กูแม่งขออะไรไม่เคยได้ แต่ถ้าอ้างไอ้โอ๊ค แทบมีประเคน ไอ้โอ๊คนี่ก็อีกคน แม่งอยู่ต่อหน้าแม่ทำเป็นหน่อมแน้ม เด็กดีเหี้ยเหี้ย ลับหลังแม่นี่ เถื่อนกว่ากูอีก” อาร์มพูดไปหัวเราะไป

“แต่มึงก็ยังดีนะ ไอ้เหี้ยโอ๊คแม่งรักมึงมากมาย กูล่ะอิจฉาคนมีพี่น้อง”

“กูยกพี่กูให้ไหมวะ เอาม๊ะ”  อาร์มถามแบบไม่รอคำตอบแต่หัวเราะร่วน

“พ่อแม่กูคงกุ้มใจตายห่า ชุมชนบ้านกูคงพินาศวอดวาย แถวนั้นยิ่งเรียกกูว่าเป็นเด็กกากแห่งหมู่บ้านหินแหลม”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เออวะ พวกเราแม่ง มีดีอะไรกันบ้างวะ กูก็อยากจะรู้ นี่ถ้าบ้านกูไม่รวย กูคงต้องไปขอข้าววัดกิน” อาร์มยกแก้ว
ทั้งคู่ ชนเบียร์กันต่อ ก่อนจะเหลือบไปเห็นครึ่งขวดสุดท้าย พยักหน้าใส่กันเป็นสัญญาณว่า หมดขวดนี้ ก็คงต้องจรลีกลับบ้านกันแล้ว  อาร์มรินเบียร์ครึ่งขวดสุดท้ายนี่ ให้ดอย กับใส่แก้วตัวเองอย่างละเท่ากัน




ในร้านอินเทอร์เน็ต ที่ลูกค้ายังไม่พร่อง นกน้อยเอาข้าวราดมาเสิร์ฟลูกค้าในร้าน เหลือบไปเห็นแจ้ที่กำลังทำบัญชีรายรับรายจ่ายหอพัก จึงถือเอาน้ำกระเจี๊ยบเย็นที่เตรียมมา วางไว้ให้ที่โต๊ะ

“ขอบใจครับ คนสวย”

“พี่ก็อย่าอยู่ดึกล่ะ เดี๋ยวหนูกลับแล้ว ที่ร้านของจะหมดแล้ว”

“อ้าวเหรอ เมื่อค่ำยังเห็นผัดปลาหมึกหอยฉุยมาแต่ไกลเชียว”

“สงสัยจะหมึกกระเทียมของน้องปุยล่ะคะ เด็กอะไรตัดนิดเดียว กินเก่งเชียว”

“ก็เขาชมฝีมือแม่ยอดหญิง ว่าอร่อยขนาดนั้น”

“ชมกันเองอยู่นั่น หนูเขินนะ”

“แล้วนี่จะเก็บร้านแล้วเหรอ ว่าจะไปนั่งจิบเบียร์ที่ร้านสักหน่อย”

“ก็เดี๋ยวเก็บร้านเสร็จก็ไปสิพี่ อีกพักหนูก็ปิดร้านแล้วล่ะ”





“มึงว่า ไอ้โอ๊ค มันแปลกๆ เปล่าวะ นี่ไม่มาเล่นบอลกับกูสองวันแล้ว เมื่อวานตอนบ่ายก็แม่ง ไม่เสือกรอพวกเรา” ดอยเอ่ยถามอาร์ม แล้วก็รอฟังคำตอบ ขณะเดินจากริมตลิ่งแม่น้ำ ลัดสนามฟุตบอล เพื่อกลับไปยังลานจอดรถหน้าโรงเรียนใกล้ป้อมยาม

“เออ กูก็ว่ามันเงียบๆ เหมือนมีเรื่องในใจ  พอกลับบ้าน กูกับมันก็ต่างคนต่างเข้าห้องตัวเอง คุยกันก็ดีปกตินะ แต่เหมือนมันจะเก็บตัว อ่านแต่หนังสือ ดูหนังฝรั่งเรื่องเดิมๆวนไปมา  สงสัยยังเสียใจเรื่องน้องเต้าหู้ล่ะมั๊ง  ไม่เป็นตัวเอง ไม่เหมือนเคย” อาร์มแสดงความเห็น

“คือ อย่างเต้าหู้นี่ ก็ไม่ใช่ว่ามันจะเสียใจอะไรมากมายนี่หว่า แถมยังเป็นฝ่ายห่างน้องเขาออกมาก่อน แต่อย่างวันนี้... เอ่อ.. ไปกับคนแปลกหน้า  กูรู้ว่า มันมีน้ำใจกับทุกคน แต่คนแปลกหน้า อยู่ดีๆ มันก็เสนอหน้าไปช่วยเขา มันผิดวิสัยเปล่าวะ”

“จะว่าแปลกหน้า ก็ไม่แปลกนะเว้ย กับน้องตัวขาวๆ  นั่นเมื่อวานก็เจอกันแล้ว ตอนพวกเราไปเรียนซ่อมอ่ะ  โอ๊คมันขี้เกียจรอพวกเรา มันก็เลยกลับมาเล่นเกม พอตอนมึงเอารถอาจารย์ไปทำสี กูกลับมาเอาชุดบอลที่ฝากไว้กับมัน ก็เห็นไอ้โอ๊คนั่งคุยกับน้องขาวโอโม่แล้ว”  อาร์มเล่าเหตุการณ์ก่อนไปเตะฟุตบอลวานนี้ให้ดอยฟัง

“มิน่า กูก็ว่า มันไม่ใช่คนที่จะเข้าไปคุยนั่นนี่กับใครก่อน มันขรึมจะตายชัก” ดอยเสริม

“แต่กูแปลกที่พอมันจะมีอัธยาศัยขึ้นมา ทำไมไป ถึกถึง โป๊ะ พ่าม พ่าม กับน้องขาวว่อกนั่นวะ กูรู้ว่าน้องเขาก็ดูน่ารักมากนะเว้ย แต่แม่งยังไงก็ผู้ชายเปล่าว่ะ กูยังช็อคเหมือนกัน” 

“หรือมันนึกว่า ปุยเป็นทอม แบบเรื่อง จ้าวฮะ อะไรยังงี้”

“ทอมพ่อง แม่งดูหล่อกว่ากูอีก นี่ถ้าม๊ากูรู้นะ ว่าลูกชายสุดที่รักเอาหนุ่มหน้าหวานกว่า เจ มณฑล ซ้อนท้ายไป มีหวังว่า กูนี่ได้เขยิบเป็นขึ้นเป็นลูกรักอันดับหนึ่งของตระกูล ตรีโอฬารวงศ์ เลยล่ะ”  อาร์มเล่าจินตนาการอันแสนซนของตนเอง

“ไม่มีอะไรมั๊ง กูว่าอย่าไปคิดมาก ผู้ชายกับผู้ชาย มันเป็นไปไม่ได้หรอก คิดมากน่ะมึง  แล้วเลิกเรียกเขาว่าน้อง เขาบอกว่ารุ่นเดียวกัน” ดอยเสริม

ทั้งคู่เดินมาถึงรถก็ขอตัวแยกกันกลับ  อาร์มควบโรบิน  มอเตอร์ไซค์สุดรักสุดหวงสีเขียว ส่วนยอดดอย ก็ขี่ Nova Dash 125 สีแดงดำคันโปรดแล่นกลับบ้านไป




ยอดดอย พาตัวเองผ่านเวิ้งโค้งหัวถนนลิตเติ้ลข้าวสาร ที่แสนคึกคักสุดขีดในคืนวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันโครตเหงาที่สุดของสัปดาห์ ฝรั่งนั่งอ้อล้อหญิงสาวนุ่งสั้นกำลังนั่งรายล้อม ด้วยอัตรส่วน 4 เต้า ต่อ 1 ฝรั่ง 
รถขี่มาหยุดที่หางแถวซึ่งมีเบื้องท้ายรถเก๋ง Honday City Type-Z ป้ายแดงตรงหน้า ท่าทางคนขับจะขี้โมโห พยายามบีบแตรไล่รถเก็บขยะที่ไม่ยอมเคลื่อนตัวสักที ถนนสองเลนจึงคล้ายจะเป็นอัมพาตชั่วขณะ   

เขาเหลือบไปเห็นหนุ่มคนนึงในตู้โทรศัพท์สาธารณะทางด้านซ้าย ที่ความขาวของผิวผ่องทะลุแผงกระจกของตู้จนเห็นได้ด้วยตาเปล่า  เขาจึงเทียบรถไปหา เป็นเวลาเดียวกับที่ ปุยวางหูโทรศัพท์แล้ว

“จะกลับยังครับ ไปด้วยกันสิ” ดอยเอ่ยปากถาม ขณะที่ให้สองขาเหยียดยืนในท่าคร่อมพยุงรถมอเตอร์ไซค์ไว้

“เมามาหรือเปล่าครับ พาผมไปถึงที่หมายไหมอ่ะ” ปุยแซวพร้อมส่งรอยยิ้มหยีให้  ไอ้ตาหยีทรงนี้แหล่ะ ที่วันนี้เขาได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่า ทำเอาไอ้โอ๊คขาโหดนิ่งสงบจนแทบไปไม่เป็น  และมันกำลังทิ่มแทงเขาจนใจเต้นตูมตาม

“ขึ้นมาเลย สัญญาครับ” ดอยยกนิ้วสามนิ้วแบบลูกเสือ ขึ้นมาให้สัญลักษณ์






รถแล่นอย่างช้า แต่เวลาก็ยังคงหมุนไป พวกเขาแวะร้านปาริชาตของชำ ที่อยู่ระหว่างทาง เพราะมีเครื่องใช้ซึ่งนึกได้ว่าขาดอยู่ ดอยรอที่รถประมาณห้านาที  จนปุยซื้อของเสร็จแล้วกลับมา  ดอยเอาขาตั้งขึ้น เตรียมขยับรถออก

“รูปหล่อคันนี้ มีชื่อหรือเปล่าครับ” ปุยถาม  แต่พอเห็นดอยยืนอึ้ง เขาก็เลยชี้ไปที่รถมอเตอร์ไซค์สีดำตัดแดงของดอย 
“ก็ของโอ๊ค ยังชื่อ แบทแมน เลย”

“อ๋อ เอ่อ..  ไอ้หมอนี่ ชื่อ หน้ากากทักซิโด้”

“ห๋า”

“จริงๆ”

“งั้นก็ขอให้ คุณหน้ากากทักซิโด้ ช่วยพาผมไปส่งทีนะครับ” ปุยเอามือตีที่แฮนด์รถ คล้ายคนตบไหล่ทักทายกัน จนดอยรู้สึกเอ็นดูในมุมน่ารักของหนุ่มผิวขาวละมุนตรงหน้า

“คุณก็แปลงเป็นเซเลอร์มูนดิ  ไอ้ทักซิโด้มันชอบคนสวย”

“ไอ้บ้า..   เราเกิดวันศุกร์”

“จะเป็นวีนัส ซะงั้น”

“ไม่เป็นอะไรทั้งนั้นอ่ะ เป็นคนง่วงนอน อยากกลับบ้านแล้วครับ”  ก่อนปุย จะเดินไปท้ายรถ ควบขาขึ้นซ้อนบนเบาะ

“เกาะให้แน่นล่ะ”  ดอยสตาร์ทรถ เตรียมตัวออก

“ทำไมวันนี้ มีแต่คนจ้องจะให้ผมกอดอ่ะ”

“เจ้าของแบทแมนของบอกให้กอดเหมือนกันสินะ”

“ดีจัง แก๊งนี้มีแต่คนเป็นห่วงผม กลัวผมตกรถสินะ”

“ก็นุ่งสั้นขนาดนี้ ทิ้งไว้กลางดงฝรั่ง รับรองได้เลย ตัวแทนแห่งดวงจันทร์ ก็ช่วยไม่ได้แล้วนะ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า.. ทะลึ่ง  ไปได้แล้ว”  ปุยเอื้อมมือไปเกาะชายเสื้อฟุตบอลอย่างหลวมๆ  เขารู้สึกได้ถึงมือที่สัมผัสกับบั้นเอวของคนข้างหน้า มันแข็งแน่นอย่างกับที่นอนใยมะพร้าว  ลมเอื่อยตีใบหน้าขาวเนียนแผ่วเบา  อย่างน้อยคืนนี้ ปุยก็มีเรื่องให้อมยิ้มอย่างไม่คาดหวัง ทั้งที่เมื่อสักครู่ ปุยคิดไปว่า จะต้องกลับหอพักด้วยใจที่หดหู่ หลังวางสายปลายทางไป



หน้ากากทักซิโด้ วิ่งช้าผ่านเข้าช่องข้างกำแพงหอพัก ไปจอดท้ายสวน ทั้งคู่เดินจากลานจอดที่มีรถมอเตอร์ไซค์เรียงรายขนาบสวน มาจนถึงหน้าห้องดอย ซึ่งก็มีบันไดทางขึ้นจากตรงนี้ ไปยังชั้นสอง และชั้นสามได้อีกทาง  ที่ชั้นสอง  หน้าประตูป้ายอักษร ห้อง2D มีสายตาที่มองลงมายังหน้าห้องของดอย ก่อนเจ้าของสายตานั้น จะหันกลับเข้าห้องนอนไปพร้อมกับชุดนอนสีขาวที่พลิ้วไสว


“คืนนี้นอนในห้องดีกว่านะ บนแคร่ ยุงมันเยอะ”  ปุยขำเบาๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไป 

“อ้าว เห็นด้วยเหรอ อายจัง”

“ผมก็นึกว่ายามของหอพัก ยังคิดในใจว่า ต้องเมาแน่เลย ราตรีสวัสดิ์นะครับ”

“ไว้เจอกันครับ”  ดอยรู้สึกเขินและกลับเข้าห้องนอนของตน  เขาถอดเสื้อและกางเกงฟุตบอล รวมถึงชั้นใน โยนไปในตะกร้าสีขาวที่อยู่ข้างๆ  โต๊ะซึ่งมีหนังสือเล่าหนาที่วางไว้  ถอดรหัสปริศนานอสตร้าดามุส แล้วดอยก็พาร่างเปลือยเปล่าเดินตรงไปยังห้องน้ำ



น้ำจากฝักบัว ไหลรินสู่เส้นผมที่เปียก แล้วร่วงผ่านใบหน้า ลำคอ ไปยัง
แผ่นอกที่แน่นด้วยมัดกล้าม น้ำยังคงผ่าน รอนท้อง สะโพก สู่ลำขาจนถึงปลายเท้า
ดอยหายใจแรงเป็นช่วงช่วง.. 
เขาพยายามสะบัดกลิ่นหอมอ่อนคล้ายดอกไม้อะไรสักอย่างที่ติดอยู่ปลายจมูกออกไปให้สิ้นซาก
แต่ก็ทำได้ยากเมื่อในเลือดเนื้อยังมีฤทธิ์แอลกอฮอล์หลงเหลืออยู่มาก

เขาเอื้อมมือซ้ายไปยันที่กำแพงตรงหน้า เปิดน้ำเร่งแรงขึ้น จนมวลน้ำจำนวนมากสาดจากฝักบัวลงบนใบหน้า
เขาหายใจลึกและแรงขึ้น เร็วขึ้นและถี่ขึ้น  มือขวาของเขาถูไล้ตามร่างกาย ก่อนจะหายใจเฮือกใหญ่จะถูกพ่นออกมา   
..ทำไมต้องเธอ ..ไม่เข้าใจ
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 3 ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 05-02-2018 14:51:29
นุ้งดอย   :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 4 : Feat. ยอดดอย ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 05-02-2018 17:38:27
Track 4 :      เมื่อไหร่ที่เผลอ.. ยังนึกว่าเธอ อยู่ในฝัน

[ Feat. ยอดดอย ]

อันนี้ คือเสียงในหัวของผมใช่ไหม ต้องขออภัยที่ดูคล้ายจะเบลอ คือใจคอผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมงง..
ชีวิตเด็กบ้านนอก อยากจะมาเที่ยวซ่า ฮานาก้า ในเมือง แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันมากนัก
ผมเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครที่ไม่ใช่เพื่อน ยกเว้นไอ้แฝดคู่เกลอที่เรียน ปวส.ช่างยนต์ด้วยกัน
พวกมันนิสัยดีนะ ผมว่า..  แต่ใครจะรู้ ก็ผมไม่มีเพื่อนอื่นเท่าไหร่  พวกที่เล่นฟุตบอลด้วย ก็แยกย้ายกันเมื่อจบเกม

จะว่าไป คนที่เข้ากับคนอื่นง่ายที่สุด คงเป็นไอ้อาร์ม
ความกวนตีนของมัน สร้างความประทับใจคนรอบข้างไม่น้อย
ไม่เหมือนไอ้โอ๊ค ที่เงียบกว่าผมอีก แต่มันแม่ง หล่อได้น่าโมโห  เป็นแฝดกับไอ้อาร์ม แต่เสือกดูเท่ ดูดีจนน่าอิจฉา
ไอ้อาร์มมันก็หล่อนะ แต่มันดูเด็กกว่า สาว ๆ ชอบบอกว่ามันน่ารัก สันดานกวนส้นตีนทำให้คนลืมความหล่อของมันไป 
แม้มันเหมือนกันอย่างกับแกะ มีผมนี่แหล่ะแยกมันออกได้แค่ฟังเสียง คนอื่นต้องใช้เวลาสักพักถึงรู้ว่า ใครโอ๊ค ใครอาร์ม 

เราเรียนด้วยกันตั้งแต่ ปวช. พอวิทยาลัย จะมี ปวส.ช่างยนต์เปิด เราก็ดีใจ และไม่คิดจะไปสอบเข้าที่ไหนกันอีก
เราสบายใจที่นี่ อาจารย์ช่วยเหลือเราดี ที่สำคัญ ผมขี้เกียจเริ่มต้นอะไรใหม่ ส่วนพวกไอ้แฝดก็คงรีบจบมาเอาวุฒิ  เดี๋ยวมันก็ต้องไปทำงานกับพ่อมัน ที่ใหญ่โตคับฟ้าในจังหวัดกาญจนบุรีอยู่แล้ว ไหนจะรับเหมา มีหุ้นโครงการบ้านจัดสรร แถมเป็นตัวแทนจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ และดีลเลอร์แบรนด์รถยนต์ยี่ห้อดังที่ใหญ่กว่าใครในเขต  ไม่รวมโครงการที่จะขยายไปสุพรรณบุรี ราชบุรี

แค่พวกมันไม่เรียนสายสามัญนี่ก็ขัดใจ ก๊อดฟาเธอร์ของมันมากพออยู่แล้ว  คือใครก็อยากเข้าหาพวกมันนะ แต่ผมคือคนที่พวกมันเลือกที่จะเข้ามาหา มันก็มีแค่ผม เราไปกันสามคน สามเกลอ น้าแจ้บอกว่า เรามีกันสามคน เลข 3 น่ะดีแล้ว  เขาเรียกพวกเราว่า แก๊งฉมวกแทงเหี้ย  คือ มีสามง่าม ไว้พิทักษ์ตนเอง  เออ.. ที่สุดของแจ้ ช่างคิดนะน้า

เมื่อ 19 ปีก่อน ตอน เด็กชาย สุปรีชา วงศ์ธนาธัช ถือกำเนิดขึ้น เป็นช่วงที่ พ่อกับแม่ผมมีอันจะกินแล้ว  พ่อผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน ที่บ้านหินแหลม อำเภอทองผาภูมิ ไกลหน่อยจากที่นี่  แต่ก็เป็นอำเภอที่คนในตัวเมืองกาญจน์ ไปซื้อหาจับจองที่ดินแถวนั้นกันมากมาย เพราะที่เที่ยวธรรมชาติเยอะ  ส่วนแม่ผม เป็นกำนัน..  ใช่ครับ  แม่ผม ใหญ่กว่าพ่อ

แม่ผมเป็นคนเด็ดขาดมากในทุกเรื่อง แม่เคยเป็นผู้หญิงที่อยู่กับบ้านทำครัวดูแลลูก 
จนกระทั่งพ่อมาเป็นผู้ใหญ่บ้านและเริ่มมีเมียน้อย.. 
แม่ผมก็เลยหาหนังสือหนังหามาอ่านและสอบเทียบโอนจนแกเรียนนอกเวลาจบ 
แล้วไปสมัครผู้ใหญ่บ้านแข่งกับพ่อ แถมชนะด้วย จนแม่ไปถึงกำนัน พ่อจึงมีโอกาสเป็นผู้ใหญ่บ้านอีกครั้ง
พ่อผมตอนนี้หงออย่างกับแมวเชื่องเลย แต่ทั้งแม่กับพ่อผมใจดี จะดุบ้างตอนเห็นผลการเรียนของผม  ถึงขั้นด่าบ้างก็ช่วงที่ผมเล่นพนันแทงบอลสมัยมาเรียนในเมืองใหม่ๆ   แต่ผมก็เลิกจนหมดสิ้น อันนี้ต้องยกความดีให้พวกไอ้แฝด โดยเฉพาะไอ้โอ๊ค มันกล่อมผมอยู่หมัดด้วยวิธีเถื่อนๆของมัน  ไอ้เพื่อนแสบ

ผมก็ส่งจดหมายแนบแสตมป์ไปให้แม่บ่อย แม่ผมชอบเก็บแสตมป์มาก โดยเฉพาะเวลามีลวดลายใหม่ที่เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง ท่านเก็บไว้อย่างดี และเอามานั่งดูบ่อยครั้ง เวลาผมจะขอตังแม่เพิ่มเพื่อแต่งรถเครื่องคันโปรด ผมก็จะส่งแสตมป์ไปก่อน แล้วค่อยโทรไปหาด้วยแผนชั่วร้าย  ถ้าเป็นพ่อรับสาย ผมก็จะถามทุกข์สุข ถ้าแม่รับสาย ผมก็ตรงเข้าประเด็น แม่ผมนี่ก็มักจะรู้ทัน แต่แกก็ให้ผมเสมอ รายได้แม่ดีครับ แม่เป็นนายหน้าขายที่ในอำเภอด้วย เราอยู่กับอย่างไม่ขัดสน ไม่เดือดร้อน มีเงินก้อนใหญ่จากการว่าจ้างปรับถมที่ดินหลายครั้ง

ชีวิตผมก็ดูเรียบง่าย จนกระทั่งแม่มาซื้อตึกในเมือง แล้วตกแต่งเป็นหอพัก คล้ายกับว่าจะหาอะไรให้ผมทำระหว่างเรียนเพื่อไม่ให้หนีเที่ยวไปไหน  โดยให้น้าแจ้ น้องชายแท้ๆของแม่มาช่วยดูผม แม่ไม่เคยมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตผมมากนัก ยิ่งพ่อแทบไม่เคยได้โทรหากัน ผมกับน้าแจ้ชอบนั่งคุยกัน มองฝรั่งปั่นจักรยาน หรือเดินผ่านไปมา  หอเราอยู่ระหว่าง ทางไปสะพานข้ามแม่น้ำแคว มันเลยทำให้นักท่องเที่ยวผ่านหอเราเยอะมาก

หลังจากที่ผมได้รับโทรศัพท์จากชายสูงอายุท่านหนึ่ง พูดจาดี ฟังดูก็รู้ว่าคงหล่อแบบ นิรุตต์ ศิริจรรยา ก็ไม่ปาน ท่านบอกว่า ลูกชายของท่าน ยังเด็กกว่าที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ เลยอยากจะให้ลูกชายมาอยู่ในหอพักที่สัญจรไม่ไกลจากวิทยาลัย  ท่านพอใจรูปของห้องพัก จาก E-mail ที่ผม attach file ส่งไปให้มาก ท่านให้เลขาโอนยอดเงินเข้าบัญชีแม่ผมเพื่อจองห้องพักในทันที และฝากให้ผมดูแลลูกของท่านด้วย ผมก็รับปากดิบดี   
ห้องพัก 3A เนี่ย แม่ผมตั้งราคาไว้แพงเกินหน้าเกินตาหออื่น หรูราวกับห้องสวีทโรงแรมมณเฑียรด้วยซ้ำ เพราะว่า ท่านเอาไม้จากสังขละบุรีมากรุแต่งห้อง แล้วก็ตีทะลุ  ทำห้องน้ำใหม่ ทำฝ้าฝังไฟ ฟูกยางพารานี่ก็นอนสบายโครต มีอ่างอาบน้ำ ผมเคยขอย้ายขึ้นไปอยู่ แต่แม่ไม่ให้ แม่บอกว่า เดี๋ยวผมทำห้องแม่เละ  โถ่วว แม่ในไส้ของผม

กระนั้นยังไม่ทันไร ผมก็ผิดสัญญากับท่านนิรุตต์ เอ่อ  ท่านไม่ได้ชื่อนิรุตต์ แต่ผมเดาว่า ท่านคงเป็นท่านชายจากที่ไหนสักแห่ง เพราะท่านพูดจาได้เพราะกว่าพนักงานเพจเจอร์ ที่กด *162* แล้วโทรออก เสียอีก  ดูจากใบโอนเงินที่ท่านแนบไฟล์มาในอีเมล์ ท่านชื่อ ธรรมเสถียร โรจน์อนันต์ทรัพย์  อู้วหูววว   แค่ชื่อมีความหรูโก้กว่าชื่อพ่อผมเป็นร้อยเท่า   

เดี๋ยวๆๆ  กลับมาก่อน ชอบนอกเรื่องอีกแร๊ะ    คือ ผมก็ผิดสัญญากับท่านที่จะดูแลลูกท่าน ตั้งแต่คืนแรกที่น้าแจ้ไปนัดว่า ให้ผมพาลูกเขาไปดูถนนหนทางไปวิทยาลัย แนะนำร้านอาหารรวมถึงร้านขายของที่จำเป็นตามประสาลูกคุณหนู
ตอนแรก ผมก็เคลียร์ทุกอย่าง ว่าจะพาเขาไปตระเวนดูนั่นนี่  แต่ไอ้เหี้ยอาร์มนี่สิ เอ่อ.. ขออภัยที่หยาบคายครับ   มันส่งแก้ว สเปย์ รอยัล มาให้ผม ด้วยศักดิ์ศรีแห่งสีม่วงของขวดเหล้า  เกียรติยศของเหล้านอกต้องคงอยู่ต่อไป ผมรับมาดื่ม จากแก้ว สู่ขวด แล้วพอมีกลุ่มนักบอลอีกกลุ่มมาสมทบ ไอ้อาร์มก็โชว์ความเป็นเสี่ย สั่งโซดามาเลี้ยงอีก จากขวดเลยเป็นลัง

ผมอยากจะไปเคาะประตูห้องเขา แต่คงนอนไปแล้ว ผมเดินอย่างรู้สึกผิดไปที่สวน ควักบุหรี่ที่พยายามจะเลิกมาสูบ แล้วก็หลับไปบนแคร่ใต้ต้นทองกวาวของแม่  ผมพยายามจะเป็นคนที่มีสาระขึ้น รับผิดชอบขึ้น ผมงงกับชีวิตมาสักพักว่าผมจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อ  โดยเฉพาะถ้าเรียนจบ ปวส.แล้ว จะกลับบ้านนอก หรือจะทำอะไร ผมงง ผมเครียด และแน่นอนว่า ผมมี สเปย์ รอยัล

แต่พอตื่นเช้าขึ้นมา ก็งงหัวชิปเป๋ง ไอ้โอ๊คพาผมไปอ๊วกหน้าประตูร้านเจ๊ฟ้า [ ผมคงไม่ไปกินเหล้าร้านเจ๊สักพักนะครับ ] ไอ้อาร์มต้องกลับไปเอารถ โตโยต้า Tiger D4D คันใหม่ป้ายแดงของคนงานพ่อมัน มาขนหน้ากากทักซิโด้ โดยมีผมที่นอนแผ่หราหลังรถ ยังไม่วายอ๊วกใส่รถป้ายแดงของคนงานมันไปอีกรอบ เพื่อนรัก.. อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา โบราณท่านว่า

และแล้วก็มีเธอ.. เดินเข้ามา  น้องนางเสื้อเขียวตองบนโต๊ะคอม
แสงอ่อนยังเสือกส่องเข้าให้ จนดูคล้ายแม่เทพธิดาโสภาอะไรขนาดนั้น 
ผมต้องขยี้ตาและเตือนสติตนเองว่า นั่นมันผู้ชายนะเว้ย  ผมไม่มีประวัติด่างพร้อยอะไรเรื่องไปชอบผู้ชายเลย แถมขยันแพ้นมโฟร์โมสต์ของสาวญี่ปุ่น เวลาไปนั่งตามบาร์กับไอ้อาร์มด้วยซ้ำ 

ตอนไปยืนต่อโมเด็มให้เด็กเผือก ผมได้กลิ่นหอมตรงซอกคอของเขา จนต้องเผลอสูดเข้าไป เฮ้ย.. มันจะใช่เหรอนี่   
พอหันไปมองต้นคอขาวเนียน ก็เผลอเหลือบใช้สายตาโลมเลาะไปตามลำคอด้านหน้าจนไปถึงคอเสื้อ
ก่อนไอ้เหี้ยอาร์มจะตะโกนแซวมาซะก่อน

ผมกลับมานั่ง พยายามจิ้มนิ้วลงบนคีย์บอร์ด แต่ผมเขียนข้อความแชทบน pirch แบบไม่รู้เรื่อง ผมละสายตาจากเขาไม่ได้

ปุยเหรอ...  ผู้ชายอะไรชื่อปุยกันวะ..  มันควรเป็นชื่อผู้หญิงนะผมว่า 
แล้วก็พบเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด คือไอ้โอ๊คแม่งเซียนสุดขีด แค่เขาบอกอยากจะไปเช่าหนังสือการ์ตูน มันก็ขันอาสา ทิ้งเพื่อนทิ้งฝูงไปกับเด็กหน่อมแน้มได้ไงวะ ไอ้วิปริตผิดเพศ เรื่องนี้กูจะไปฟ้องพ่อมึง ท่านประธานเฉลิมชาติ แห่งอณาจักรกาญจนบุรีเรียลเอสเตรท   

แต่ก็ต้องนับถือมันว่ะ..  มันยังคงดูเท่ แม้จะยืนเอาส้นตีนเขี่ยพื้นด้วยความเขินอาย   เฮ้ย... ผมไปยกย่องมันได้ไง  สิ่งที่มันทำอยู่มันผิด  เพื่อนผมคงหลงผิดเหมือนตอนที่ผมติดแทงพนันบอลนั่นแหล่ะ ผมคงต้องช่วยดึงมันออกจากด้านมืดสินะ   
จาก ฝ่ายอธรรมเสื้อสีตองอ่อน...

ผมแม่ง ไม่มีสมาธิจะเตะฟุตบอลเลย เตะผิดเตะถูกจนใครก็หาว่าเมื่อคืนผมไปตีหม้อที่ไหนมาจนขาสั่น
โหวว ชีวิตนี้ หลังจากขึ้นครูที่ซ่องสะพานขาวกับไอ้อาร์ม ก็ไม่เคยไปเตร็ดเตร่มั่วซั่วนะครับ แม้จะมีคนเข้ามาไม่ขาด
โดยเฉพาะแม่ห้อง 2D นี่ตัวดีเลย  ไม่อยากจะคุยว่า ผมก็พอจะมีฝีมือพอตัว  แต่ที่ขาสั่นพั่บๆ นี่ น่าจะเพราะยังไม่สร่างเหล้าจากเมื่อคืนครับผมแค่มีคำถามในหัวว่า ตอนนี้ไอ้โอ๊คอยู่ไหน หายหัวไปเลยมึง ร้านเช่าการ์ตูนพ่อมึงเปิดโต้รุ้งหรือไง

3 ประตูอันดีงามของหงส์แดงค่ำคืนนี้ ก็ไม่ทำให้ผมดึงสติกลับมาได้  ไอ้อาร์มเพื่อนรักคงจะสังเกตได้ เลยชวนกึ้บสักแก้วเบียร์มีไว้ให้พัก ถ้าจัดหนักต้องสเปย์ รอยัล   เอาๆๆๆ  มันน่าจะเป็นวิธีไล่มารออกจากหัว  มารผิวขาวจั๊วะ


ผมดีใจชิบหาย ตอนเจอเขาอยู่ที่ตู้โทรศัพท์ ผมไม่รีรอที่จะขันอาสารับปุยกลับหอกัน 
ใจนึงก็อยากพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตู้มต้ามในใจเมื่อตอนกลางวันมันคืออะไร  มันอาจเหมือนเวลานักโทษในคุกที่มีแต่ผู้ชายอยู่ด้วยกัน  เหมือนโรงเรียนชายล้วน  หรือเหมือนคนที่ติดเกาะสองคนไม่มีคนอื่น มันเลยเป็นความซุกซนของหัวใจไปชั่วคราว.. 

ผมน่าจะได้คำตอบบนทางกลับหอแต่แล้ว กลิ่นอ่อนจากคนที่นั่งซ้อนด้านหลังก็ลอยโชยจมูกมาอีกครั้ง  เขาโน้มตัวโอบเอวผมตอนเจ้าหน้ากากทักซิโด้ต้องผ่านลูกระนาดถนน ผมหย่อนรถอย่างช้าๆ  ปุยเกาะผมแน่นคล้ายกับกลัวหล่นจากถนนไป  มันคือมารยาของฝ่ายอธรรมอีกสินะ  อาวุธของนายมีเท่าไหร่ ลองปล่อยมาให้หมดซิ  ผมสู้ไหว ผมสู้ได้...  เอามือมาแตะหน้าขาผมทำไม.. เฮ้ย...  มันเรียนอวิชานี้จากสำนักไหนกันวะ  จนผมเองนี่แหล่ะ ต้องขอพักครึ่งเวลาแวะร้านของชำก่อนจะถึงหอพักเพียงร้อยเมตร

ผมต้องควักบุหรี่มาอัดไปอีกมวน พระเจ้าคงไม่อยากให้ผมขาดนิโคติน พอยืนดูเขาเลือกของในร้านของชำ  เวลามันคงเดินผ่านไปอย่างช้าแหล่ะ ปุยเพลิดเพลินกับการหยิบแชมพู หยิบสบู่มาดมก่อนใส่ตะกร้า  นี่กำลังสต็อคขีปนาวุธร้ายสินะ ผมคิดในใจ   ทำไมเขาช่างดูล่องลอยบนแผงผักที่ตั้งอยู่หน้าร้าน  เหมือนมีละอองฝ้าสีขาวล้อมตัวเขาเป็นฉากอยู่ตลอดเวลา ที่พ่อแม่เขาตั้งชื่อว่า ปุยเมฆ  มันมีเหตุผลมาจากความสามารถนี้สินะ เจ้าปีศาจสีขาว.. 


ผมส่งเขาที่ห้อง ตัวผมยิ้มไม่หุบเลยหลังจากนั้น..   
ผมสะบัดหน้ากลางน้ำฝักบัวที่ไหลแรง เพื่อให้ตื่นจากสติซึ่งไม่ควรไปไกลกว่านี้.. 
กลิ่นนั้นยังไม่จางไป กลับยิ่งรุนแรงในความรู้สึก  ฤทธิ์เบียร์มันคงวิ่งเข้าร่างกายผมจนร้อนรุ่ม  แขนขาผมอุ่นร้อน

ผมเอามือซ้ายยันกำแพงเพื่อให้ทิ้งน้ำหนักตัวไปข้างหน้า  ผมเอามือขวา กวักน้ำจากฝักบัวชโลมทั่วร่างกายเพื่อให้ผิวที่แสบร้อนได้เย็นลง  ลมหายใจผมหอบถี่ ผมรู้ตัว...
ภาพริมฝีปากของใครบางคนเด่นชัดในสมองที่สติเลือนราง 
มือขวาที่กำลังชโลมร่างกายตัวเองเปลี่ยนมาลูบไล้จากแผ่นอกลงสู่เบื้องล่าง...
ผมหายใจเร็วรัว ในหัวผมมึนตื้อ ก่อนผมจะถอนหายใจยาวออกมาลูกใหญ่...   
ฝ่ายธรรมะ ไม่ชนะอธรรม ณ ใต้ฝักบัวนี้...  แกร่งมาจากไหน.. ก็แพ้ใจตัวเอง... 

หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 4 : Feat. ยอดดอย ]
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 05-02-2018 18:04:32
แพ้แบบนี้ แพ้ไปเลย  :-[ :-[ แพ้ทุกตอนเลยก้อดีย์
ปุยนี่จริงๆ ก็คือ ยังไม่เคยชอบ ช-ช ชั่ยเป่า
ขอพี่โอ๊คเยอะๆ  :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 4 : Feat. ยอดดอย ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 05-02-2018 19:54:18
 :o8: :ling1: :z1: :katai5: :pighaun:

ขออีกสักสองตอนสิคะ
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 05-02-2018 21:58:04
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

รู้สึกสตั๊น 8 วินาที กับความน้องเขียวตอง ชิมิ  :hao6: :really2: :z2:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 4 : Feat. ยอดดอย ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 06-02-2018 19:42:00
Track 5 :           เธอรู้อยู่บ้างไหม.. ว่าอยากเจอเธอทุกวัน

“ปู้นนนนนนนนน ปู้นนนนนนนนนนนนนนนนน”  เสียงหวูดรถไฟดังมาแต่ไกล  เพื่อเตรียมจอดเทียบชานชาลาซึ่งเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ เสียงจอแจแซ่ซ้อง ยกกล้องกันขึ้นมาถ่ายรูป ขบวนรถไฟหัวรถจักรสีเหลืองเก่า เขียน อักษรตัวโต #257 วิ่งช้าลงและจอดเทียบที่จุดจอด  ชานชาลาไม่มีที่บังร่ม แต่เต็มไปด้วยต้นไม้

มีหัวรถจักรรถไฟเก่า 2 หัว สีเขียว กับ สีดำ มาจอดเทียบทิ้งไว้ให้ได้ถ่ายรูปเป็นฉากหลัง แต่ถูกบดบังด้วยร่มรถเข็นของแม่ค้าแผงลอยที่ล้อมรอบชานชาลาเต็มไปหมด  ขนเข็นที่มีชาวต่างชาติมารุมมากที่สุด น่าจะเป็นรถเข็นผลไม้ โดยเฉพาะมะม่วงสุกที่ถึงฤดูกาลของมันพอดี   กับซุ้มลูกชิ้นปลาทอด ที่แลดูจะได้รับความนิยมไม่แพ้กัน  รถไฟจอดเทียบอยู่ประมาณ สิบห้านาที  ก็แล่นออกไปในเวลา 10.55 น. ท่ามกลางแดดที่แรง แต่มีลมพัดเอื่อยมาตลอดเวลา


ปุยเมฆ ใส่เสื้อยืดสีขาวกับชุดเอี๊ยมสียีนส์ฟอก และรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์ส ออล สตาร์ เป็นชุดสบายๆ แต่ก็ดึงดูดให้ผู้คนจับจ้อง ปุยคล้องกล้องถ่ายรูปไว้ที่คอ ในมือก็ถือสมุดโน้ตรูปโดเรม่อน ที่กำลังถูกผู้เป็นเจ้าของใช้จดบันทึกอย่างขะมักเขม้นบริเวณหน้าป้ายบอกประวัติของสถานที่ซึ่งสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี..  สะพานข้ามแม่น้ำแคว

   
ภาค ปวส.วิทยาลัยที่ปุยย้ายมา เพิ่งเปิดแผนกสาขาการโรงแรมในปีที่แล้ว สร้างความน่าสนใจแก่คุณธรรมเสถียรอยู่ไม่น้อย ด้วยภาระหน้าที่การงานของผู้เป็นพ่อที่ต้องย้ายมาประจำ UNHCR ที่ชายแดนบ้องตี้ พรมแดนรอยต่อระหว่าง กาญจนบุรี – สหภาพพม่า ก็เลยทำให้ปุยถูกโน้มน้าวตามมายังจังหวัดที่ขึ้นชื่อว่า ร้อนที่สุดในประเทศไทย 

ณ ตอนนี้ผู้คนยังคงสัญจรมากมายจนเข้าข่ายแออัดบริเวณชานชาลา ทำให้ปุยต้องรีบหาที่ร่มเพื่อหลบแดด มีลานโคนต้นจามจุรีอยู่เวิ้งตรงหน้า ไม่มีผู้จับจอง ที่นั่งปูนหล่อล้อมโคนต้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมพื่อให้นักท่องเที่ยวนั่งเล่น  ปุยจึงเดินไปยังใต้ร่มเพื่อพักเหนื่อย   




“แม่ง กูบอกแล้วว่าอย่าไปรับปากใครมั่วซั่ว ไอ้เหี้ยดอยมึงแม่งหาเรื่อง แดดก็ร้อนชิบหาย ยังจะให้กูมาถือน้ำแข็งอีก แล้วแม่งกระติกใหญ่เจ๊นกน้อย ใหญ่เท่าอุกกาบาตใน อาร์มาเก็ดดอนเลยมึง” อาร์มบ่นเป็นหมีกินผึ้ง  แม้จะแต่งตัวในชุดขาสั้นดูสบาย แต่เสื้อยืดเขาก็เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ 

“เออน่า สงสารเจ๊แก ตัวคนเดียว แถมลูกค้าก็เต็มร้านเลย” ดอยที่กำลังช่วยถือหูกระติกอีกฝั่งก็ทำสีหน้าบอกบุญไม่รับเช่นกัน แต่ดูดอยไม่เหนื่อยมากนัก อาจเพราะว่าไม่ใช่คนขี้ร้อนเท่าอาร์ม ประกอบกับนุ่งกางเกงยีนส์ขาสั้น แล้วเสื้อยืดสีเทาตัวบางที่พิมพ์ France 98 ก็ไม่ได้ชุ่มเหงื่อเหมือนของอาร์ม

“เฮ้ย นั่นไอ้ขาวจั๊วะนี่หว่า” อาร์มหยุดเดินแล้วชี้ไปที่ใต้ร่มจามจุรีข้างหัวรถจักรสีเขียว ที่จอดไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป   

“เออว่ะ เดี๋ยวกูไปถามก่อน เผื่อจะกลับรถมึง” ดอยรีบปล่อยหูกระติกน้ำแข็งแสนหนัก แล้ววิ่งไปหาหนุ่มน้อยในชุดเอี้ยมยีนส์ที่นั่งจดบันทึกอยู่ใต้ร่มไม้  ปล่อยให้อาร์มยืนเซ็งอยู่หน้าร้านส้นมตำ  เจ๊นิดอาหารเหนือ  ที่มาขอแบ่งซื้อน้ำแข็งไปกินเหล้ากันประจำ   




“มาทำอะไรตรงนี้ครับ” ดอยที่ยืนมองปุยที่นั่งก้มหน้าจดบันทึก เอ่ยถาม

“อ้าว ดอย.. คุณไปไหนมา..   ผมมาเก็บข้อมูล พฤติกรรมนักท่องเที่ยวไว้ เห็นมันมีวิชานี้ด้วย” ปุยเงยหน้ามองส่งยิ้ม

“ห๋า ยังไม่เปิดเทอมเลย ขยันเว่อร์  แล้วนี่จะกลับยัง ไอ้อาร์มเอารถยนต์มา กลับด้วยกันไหม” ดอยถามแบบรอคำตอบ   

“ยังอ่ะครับ เพิ่งมาถึงได้ชั่วโมงเดียวเอง  เดี๋ยวว่าจะเดินข้ามสะพานไปฝั่งนู้น อีกนานกว่าจะกลับนะ”

“ให้พาไปไหมครับ  มีพิพิธภัณฑ์ใกล้ๆ ด้วย แอร์ฉ่ำเลย ไม่ร้อนเหมือนตรงนี้” 

“ว่างเหรอ  เกรงใจอ่ะ”

“ก็อยากพาไป เต็มใจนะ  ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน” ดอยส่งยิ้มกลับ  เขาหวังว่า ยิ้มเขาคงพิฆาตอีกฝั่งได้สักครึ่งหนึ่งที่คู่ต่อสู้ขยันส่งมา  เขาไม่เจอปุยหลายวัน ไม่รู้ว่าปุยหายไปไหน แต่ถามน้าแจ้ ก็เห็นว่าปุยเข้ากรุงเทพไปทำธุระร่วมอาทิตย์นึง แม้วิทยาลัยของทั้งคู่ จะอยู่ห่างกันไม่ถึง ห้ากิโลเมตร แต่ยอดดอยรู้สึกว่า มันไกลเหลือเกิน


ที่ข้างรถ โตโยต้า Camry CE คันใหม่เอี่ยม สีเขียวมุก  ดอยกับปุย ช่วยกับแบกหูกระติกน้ำแข็งส่งขึ้นเบาะหลังแล้วเอาเบาะหน้าซ้ายเอนนอนจนสุดเพื่อยันกระติกไว้ไม่ให้ล้ม ข้างกระติกมีกองหนังสือคิดแบบนักพยาการณ์โลก วางอยู่ใกล้
โดยมีอาร์มที่บ่นอุบ ว่าโดนเพื่อนทิ้ง สตาร์ทรถและขับออกไป   

แล้วทั้งคู่ก็เลือกที่จะเดินเข้าพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อน เพราะอากาศข้างนอกร้อนมาก ซึ่งพิพิธภัณฑ์ที่สร้างใหม่นี้ อยู่ติดกับหัวสะพานข้ามแม่น้ำแควเลย  ทั้งคู่กะว่า เดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ให้หายร้อน แล้วค่อยออกมาเดินเล่นที่สะพาน แล้วก็กลับที่พัก


พิพิธภัณฑ์เพิ่งเปิดได้ 3 ปี แต่รวมด้วยของสะสมทั้งชีวิตของผู้เป็นเจ้าของ  ที่บอกว่าทั้งชีวิต เนื่องจากมันมีการรวบรวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ผ่านของสะสมที่เลอค่ามาก
ปุยเมฆดูจะตื่นตาและสนใจมากเป็นพิเศษ เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้  มีศาสตราวุธ ซากรถจักรไอน้ำของจริง ลูกระเบิด ดาบ ตลอดจน กะโหลกและโครงกระดูกที่ถูกสันนิษฐานว่า เป็นของทหารเชลย ที่โดนชาวญี่ปุ่นจับมาขังไว้  ระหว่างทาง จะมีรูปถ่าย ประวัติ เรื่องเล่า ผ่านอักษรหลายภาษาให้ผู้คนได้ยล
ในราคาค่าเข้าเยี่ยมชม 20 บาท  ปุยสัญญากับตัวเองว่า ต้องกลับมาให้บ่อย เขายกกล้องถ่ายรูป เก็บภาพจนฟิล์มหมดม้วน และต้องขึ้นโรลใหม่อยู่สองรอบ  ดอยนึกขำที่เห็นอาการตื่นเต้นของปุยออกนอกหน้า และรู้สึกภูมิใจในวิญญาณความเป็นมัคคุเทศน์ที่ดีของตนเอง 


“กุญแจประตูเมืองจันทบุรี-ตราด พ.ศ.2310 ของพระเจ้าตาก  โหว ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ” ดอยร้องถามปุย ทั้งที่เขาไม่เคยสนใจในอะไรพวกนี้เลย แถมที่นี่ เขาก็พาญาติจากต่างอำเภอมาเที่ยวหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่เขาจะไปนั่งดื่มชานมไข่มุกรอที่ด้านหน้าอาคาร

“มันคงเป็นของที่เจ้าของสถานที่ คิดว่ามีคุณค่าทางจิตใจ เลยทยอยซื้อสะสมครับ ชิ้นนี้น่าจะเป็นชิ้นเอกชิ้นหนึ่งเลย พอกับโครงกระดูกเชลย และ รถลากโบราณ”

“แล้วเราจะรู้เหรอครับ ว่าอันไหนของจริง หรือคิดกันไปเอง”

“เขาก็มีวิธีพิสูจน์ วิธีค้นหาความจริง.. และที่หลอกไม่ได้ ก็คือความรู้สึก”

ดอยยืนมองปุยจากด้านข้าง ผู้ที่ยังคงยืนอ่านบทความที่เขียนเล่าเรื่องของตู้เสบียงรถไฟโบราณ  เขาก็เดินห่างๆ ปล่อยให้ปุยใช้เวลาเท่าที่เขาต้องการ..




เผลออีกที ชายหนุ่มทั้งคู่ ก็ใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์ร่วม 2 ชั่วโมง  ทั้งคู่เลยชักชวนกันออกมาเพื่อเดินเล่นบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่บัดนี้ นักท่องเที่ยวเหลือน้อยแล้ว พวกเขาแวะร้านของชำที่อยู่ติดกัน ซื้อน้ำเก๊กฮวยที่แช่พร้อมแก้วใสเย็นจัดอยู่ในตู้สแตนเลส ดอยจ่ายเงินแม่ค้า และส่งให้ปุยหนึ่งแก้ว  ทั้งคู่ยกมาดื่มอย่างกระหาย แล้วก็คืนแก้วแก่แม่ค้า

ปุยมีเหงื่อซึมที่หน้าผาก และข้างแก้ม ดอยเอ่ยซื้อทิชชู่ซองจากแม่ค้าหวังเอาใจคนมาด้วย แต่แม่ค้าบอกว่า เหลือแต่แบบม้วน เขาจึงหยิบเหรียญ 5 บาท ส่งให้ แล้วรับม้วนทิชชู่ที่ถูกส่งมา

“ปวดอึเหรอ”

“เฮ้ย ไม่ใช่”  ยอดดอยแก้พลาสติกที่ห่อม้วนทิชชู่ไว้ แล้วคลี่ม้วน ดึงกระดาษยาวออกมาประมาณหนึ่งช่วงแขน พับแล้วยื่นไปซับหน้าผากหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงข้าม ทำเอาอีกฝ่ายต้องยืนนิ่งๆ ให้ดอยซับไปจนถึงแก้มและซอกคอ

“อืมม  ขอบคุณ”

“ดูหน้าไม่ค่อยดีเลย โดยแดดมาหรือเปล่า”

“อยู่ในพิพิธภัณฑ์เมื่อกี้ วิงเวียนนิดหน่อย เหมือนหายใจไม่ออกด้วยล่ะ แต่ไม่เป็นอะไรหรอก ไปกันเหอะ”

“หิวไหม กินอะไรก่อนเปล่าครับ” ดอยถามเพื่อนร่วมเดินด้วยความเป็นห่วง แต่ปุยส่ายหน้า ดอยจึงพาปุยข้ามสะพานเหล็กเพื่อไปยังอีกฝั่ง

ซึ่งทั้งคู่กำลังเริ่มเดินบนรางรถไฟคนละรางจากหัวสะพานไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างไป 340 เมตร รางทอดคู่ขนาดกันไปจนสุดลูกตา  ปุยกำลังพยายามทรงตัวอยู่บนรางทางด้านซ้าย ขณะที่ดอยเดินบนรางขวาอย่างชำนาญ ดอยหันไปมองคนที่เดินตกรางแล้ว ตกรางอีกอย่างอารมณ์ดี  จนปุยตัดสินใจมาเดินบนแผ่นไม้หมอน ที่อยู่ตรงกลางระหว่างรางแทน


เหล็กจากมาลายู เรียงร้อยเป็นเหล็กกล้ายิงดุมน็อตขนาดใหญ่ ราวสะพานตรงกลางเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู 2 กรอบ และมีราวสะพานทรงครึ่งวงรีประกบข้างอีกฝั่งละ 3 โค้ง พ่นสีดำสนิท ไม่มีร่องรอยว่าเคยถูกระเบิดทำลายมาแล้วครั้งหนึ่ง 
ตอม่อสะพานเป็นปูนหล่อขนาดใหญ่มาก วิวแม่น้ำแควใหญ่ที่กำลังเดินข้าม มีความงดงามและสร้างความบันเทิงใจเป็นอย่างยิ่ง  ปุยหยุดถ่ายรูปเป็นระยะด้วยรอยยิ้มที่หรรษาฟ้องว่าผู้มาเยือนครั้งแรกแสนประทับใจ 
ในขณะที่ดอยก็เดินคู่กันไปแต่พยายามทรงตัวบนรางไม่ให้ตกลงมาและไม่มองลงไปที่แม่น้ำข้างล่าง     


สุดปลายสะพาน จะมีร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย มีขนมทองโย๊ะอันเป็นขนมท้องถิ่นของพม่าวางขาย  มีโหลใส่น้ำใบบัวบก น้ำกระเจี๊ยบ และน้ำโอเลี้ยง ที่พร่องไปจนเกือบถึงก้นโหล 
ทั้งคู่เดินชมร้านต่างๆสักพัก มีปุยที่ซื้อสายถักข้อมือมาสองเส้น   ส่วนดอยก็ไม่ได้คิดซื้ออะไรเพราะเขาเห็นจนชินตา ก่อนทั้งคู่จะตัดสินใจ เดินข้ามกลับไปยังชานชาลา  ดอยวางทิชชู่ที่เหลือคาม้วนไว้ที่ราวสะพาน เผื่อใครจำเป็นจะหยิบใช้


“ปู้นนนนนนนนนนนน ปู้นนนนนนนนนนนนนน” ขบวนรถไฟสีเหลือง แล่นกลับจากน้ำตกไทรโยคน้อย ผ่านเวิ้งแม่ค้าขายของที่ระลึกที่ทั้งคู่เพิ่งจากมา หมายจะเทียบท่าที่ชานชาลา 14.42 น. ตรงเวลาก่อนย้อนกลับไปสถานทีบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เป็นประจำทุกวี่วัน ทุกคนที่อยู่บนสะพาน จึงวิ่งเข้าหลบที่เฉลียงข้างราวสะพาน

ยอดรวบเอวของปุยมาอยู่ในอ้อมแขน เพื่อไม่ให้ตัวของปุยหลุดไปในวิถีสัญจรของรถไฟ เขามองหน้าหนุ่มน้อยที่แก้มแดงสุกจากแดดเมื่อกลางวัน พระอาทิตย์ที่ใกล้จะลาลับคล้อยต่ำลงมา พวกเขามองหน้ากันอยู่อย่างนั้นคล้ายต้องมนต์ จนสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เมื่อเสียงหวูดรถไฟพ่นดังเตือนเป็นครั้งสุดท้าย
ม้วนทิชชู่ถูกแรงลมปะทะลอยตามลมไป กระดาษถูกคลี่เป็นสายเส้นล่องลอยไปสู่ท้องน้ำ

ทั้งคู่ยืนข้างกัน หันหลังให้วิวแม่น้ำ มองรถไฟที่กำลังแล่นผ่านจากซ้ายไปทางขวา มีเลข #258 พิมพ์ข้างหัวขบวนสีเหลือง เหล่าฝรั่งผมทอง คนญี่ปุ่น คนจีน เต็มโบกี้ที่เหลือ ต่างโบกมือทักทายผู้คนที่ยืนหลบอยู่จุดพักข้างราง


“ไปหาอะไรกินในเมืองกันไหม เดี๋ยววันนี้ผมเลี้ยง” ดอยเอ่ยถามปุยที่แก้มแดงเรื่อเพราะฤทธิ์แดด

“เดี๋ยวผมเลี้ยงเองดีกว่า อุตส่าห์พาเดินเที่ยว แต่ว่าอยากทานอะไรที่มันเป็นของท้องถิ่นอ่ะ แบบชาวบ้านเจ้าถิ่นทำอะไรแบบนั้นน่ะครับ” ปุยเสนอ

“เอาสิ เดี๋ยวแวะเอารถที่หอ แล้วไปกัน จะอาบน้ำก่อนไหมอ่ะ หน้าโดนแดด แก้มนี่แดงเลยคุณ” ดอยถือวิสาสะเอานิ้วเขี่ยแก้มของปุยเบาๆ

“ดำเลยใช่ป่าว” ปุยทำทำแก้มป่องปากจู๋ใส่ดอยเรียกร้องความสงสาร  อีกฝ่ายหัวเราะอย่างเอ็นดูก่อนพากันเดินกลับหอพักซึ่งอยู่ห่างจากสะพานเพียงสองกิโลเมตรเศษ ทั้งคู่ก็ถามไถ่ถึงประวัติกันและกัน รวมถึงแผนกที่เรียนอย่างสนใจ เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงหอพัก  ซึ่งมีอาร์มและโอ๊คนั่งเล่นเกมอยู่ที่แถวสองที่ประจำ   
โอ๊คเหลือบมองผู้มาเยือนทั้งคู่ แล้วก้มลงไปเล่นเกมต่อ มีอาร์มที่ยังบ่นเรื่องข้อแขนจะหักจากการยกกระติกน้ำแข็งของเจ๊นกน้อยเพียงลำพัง 
ดอยและปุยขอตัวแยกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อจะไปกินข้าวในตลาดที่ห่างจากหอพักประมาณสี่กิโลเมตร  ยอดดอยเอ่ยปากถามเพื่อนแฝด เผื่อพวกเขาอยากจะไปหาอะไรกินกันด้วย  อาร์มรีบตอบตกลงส่วนโอ๊คก็ไม่พูดอะไรจนปุยเป็นฝ่ายเอ่ยชวน โอ๊คก็ตอบตกลงในทันทีที่ปุยเอื้อนเอ่ย



ที่ตลาดสด ท่ารถบริการสาธารณะ ช่วงเย็นมีร้านค้ามาตั้งมากมายจับจองพื้นที่กันอยู่เต็มริมฟุตบาท โดยเทศบาลท้องถิ่นกั้นเป็นล็อคไว้ให้ขายอาหาร  จนกลายเป็นตลาดโต้รุ่งซึ่งขายกันถึงดึกดื่นคร่อมจนถึงเช้ามืด ช่วงฟ้าใกล้สาง จะมีรถทัวร์ปรับอากาศเข้ากรุงเทพ เที่ยวแรกตอน ตีสี่ครึ่ง รถเข็นไม้หลายคันก็จะมาตั้งขายเครื่องดื่มร้อน ปาท่องโก๋ โจ๊ก ข้าวต้ม ข้าวเลือดหมู ตลอดจนข้าวราดแกงที่มีคนมาซื้อใส่บาตร ผลัดกันเป็นกะ

ถนัดฟาสต์ฟู้ด ป้ายตัวใหญ่เขียนไว้ที่ด้านหน้า เป็นร้านห้องปรับอากาศหน้ากว้างสามคูหา ตรงข้ามมีห้างสรรพสินค้าท้องถิ่นที่บัดนี้ ยังมีคนเดินเข้าออกอยู่มากมาย มีร้านไก่ทอด KFC ที่เพิ่งมาเปิด ได้รับความสนใจจากผู้คนล้นหลาม

“เห็นร้านแต่งแบบสมัยใหม่ ห้องแอร์อย่างนี้ แต่แม่ครัวเป็นคนเก่าแก่ของตลาด เมนูนี่ใช้ปลาแม่น้ำให้เลือกเยอะเลย” ดอยบอกกับปุย ก่อนจะส่งเมนูให้คนที่นั่งอยู่ด้านข้าง โดยฝั่งตรงข้าม มีอาร์มนั่งอยู่ ถัดไปตรงข้ามปุยเป็นโอ๊คที่ก้มหน้าใช้เวลากับการเลือกเมนูอาหาร

“แหม พอบอกจะเลี้ยง นี่นิ่งเงียบเชียวนะปุย ไม่แพงหรอกร้านนี้ เดี๋ยวเราขอส่วนลดให้ 5%” อาร์มพูดแซวด้วยน้ำเสียงอารมณ์  อาร์มเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศระหว่างเพื่อนใหม่ไหลลื่น นับเป็นความสามารถเฉพาะของแฝดน้อง

“กินเลย ตามสบาย บอกว่าเลี้ยงก็เลี้ยงสิ พอดีเราแค่เครียดๆ เรื่องการเดินทาง คือ พ่อไม่ยอมเอารถจักรยานของเรามาให้ซะที จะขอไปซื้อใหม่ ตังเก็บเราก็มี พ่อก็ไม่ยอม เมืองกาญจน์นี่ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เวลาไม่มีรถนี่ลำบากมากเลย”  ปุยร่ายยาว ยังคงเอาส้อมนั่งเขี่ยจานเปล่าที่รอกับข้าวซึ่งยังไม่มาเสิร์ฟ

“ไม่ต้องเลี้ยงหรอก สัญญาว่าจะเลี้ยงกับไอ้ดอย ก็ไปเลี้ยงกันสองคน นี่พวกเรามากินด้วย ถ้าไม่ให้พวกเราเลี้ยง ก็แชร์กัน หารเท่ากัน”  โอ๊คแทรกด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม ตายังคงมองเพจเจอร์ที่เพิ่งสั่นไปเมื่อสักครู่

“ก็อยากเลี้ยงโอ๊คด้วยอ่ะ” ปุยพูดพร้อมส่งยิ้มให้คู่สนทนาที่นั่งตรงข้าม  “อุตส่าห์พาเราไปร้านพี่ต๋อง โหย การ์ตูนเยอะที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิตเลย แถมมีเทปคาสเซ็ทให้เช่าอีกด้วย นี่เร่งเอาจักรยานมา ก็เพราะอยากไปที่ร้านพี่ต๋องด้วยแหล่ะ เดี๋ยวเปิดเทอมคงไม่ได้อ่านบ่อยแล้ว” 

“เราก็ไปทุกวัน เดี๋ยวไปพร้อมเราก็ได้ จะยืม จะคืนเรื่องไหน ก็บอกเราได้ เราเอามาให้” โอ๊คยังคงใช้น้ำเสียงโมโนโทนโต้ตอบปุย สายตาจ้องนิ่งจนคนฟังต้องหลบสายตาเอง

“โหยยย คอการ์ตูนด้วยกันนี่เองเว้ย  ไอ้โอ๊คนี่นะ ลองมันได้หยิบจับการ์ตูน ไม่ต้องเป็นอันไปไหน มันจะไม่อ่านก็ตอนอยู่ต่อหน้าพ่อแม่แค่นั้นแหล่ะ ไอ้ขี้ประจบ ถุย”  อาร์มเล่าให้ปุยฟังเป็นฉากๆ

“กูไม่อยากให้พ่อแม่คิดว่ากูไม่สนใจเรียนเว้ย  เดี๋ยวเขาจะกุ้ม มีมึงเป็นสายบู๊ ให้กูบุ๋นบ้างก็ยังดีวะ”เขาบอกน้องชายตัวแสบ

“แต่มึงแม่ง เรียนเก่งสัส เป็นแฝดกูได้ไงวะ หมอแม่งลืมสมองกูส่วนนึงไว้กับสายสะดือ”

“มึงเอาเวลาที่ดูหนังโป๊มาอ่านหนังสือ มึงก็เก่งเองแหล่ะ หัวมึงดีจะตาย”

“สัส ต่อหน้าเพื่อนใหม่นี่มึงชอบเผากูนะ”

“แล้วทำไมไม่ใช้มอเตอร์ไซค์ล่ะปุย” อาร์มถาม

“เราขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็นอ่ะ พ่อไม่เคยให้หยิบจับเลย จักรยานก็พี่เลี้ยงเราแอบสอนให้ แต่เราขับรถยนต์ได้นะ”

“หืมมมมมมม พ่อคุณหนู ปุยเมฆหรือ พจมาน พินิจนันทร์ แห่งบ้านทรายทองกันวะ” อาร์มจอมกวนประสาทถาม

ปุยหัวเราะกับบทสนทนาคู่แฝด ที่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก
เขาคิดว่า อาร์มเป็นคนตลกมาก มีพลังงานแห่งความสดใสแจกจ่ายไปยังคนรอบข้างได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ 
ในขณะที่โอ๊คก็ตลก แต่จะมีฟอร์มมากกว่า และคุยเฉพาะกับคนสนิทเท่านั้น   
ส่วนคนที่นั่งข้างเขา นั่งเงียบได้แต่เพียรมองปุยสลับกับคู่แฝด โดยมือยังคงยกเบียร์ขึ้นจิบ และคอยเอาซ้อมจิ้มปลาคังลวก จุ่มน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวใส่ปากเขาอยู่เป็นระยะ




“ผมว่า คุณกินแต่ปลาจนหน้าคุณจะเหมือนปลาคังแล้วอ่ะ  ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ปุยขำกับพฤติกรรมของหนุ่มเจ้าปัญหา

“ทำไม คุยกับโอ๊ค ใช้คำว่า เรา-เธอ ล่ะ  คุยกับผม ทำไมถึงใช้ คุณกับผม ล่ะ” ดอยถาม บรรยากาศที่โต๊ะก็เงียบขึ้นมา

“......”

“อยากรู้”

“อ้าว  ก็มันเป็นไปเอง อยากให้ใช้คำว่า เรา-เธอ เหรอ” ปุยถามกลับ พร้อมหันไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย

“อยากให้เรียก เราเหมือนเวลาที่คุยกับไอ้โอ๊ค”

“อ่อ...  ก็ได้  ตลกดีจัง  อ้าว กินเหอะดอย เดี๋ยว ~เรา~จะสั่งของหวานแล้ว” ปุยคว้าเมนูมาเปิด แต่คงจับอาการของโอ๊คที่อยู่ตรงข้ามว่ามีอาการอย่างไรกับคำพูดของดอยเมื่อสักครู่
เขาเห็นโอ๊คเอามือท้าวคางมองไปทางดอยแล้วก็ยิ้ม  ส่วนดอยก็ยิ้มกลับพร้อมยักคิ้วใส่ให้โอ๊คสองที    ปุยจึงตัดสินใจไม่สนใจ สั่งของหวานคือ ไอศกรีมราดซุปข้าวโพด มานั่งกิน โดยมีอาร์มเอาช้อนเอื้อมมาตักมากินบ้างอย่างกับคนสนิทกัน  จนปุยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา



บนเตียงใหญ่หกฟุต ผ้าปูที่นอนสีขาว จอทีวีเปิดฉายซีรีส์ Friends ฉบับรีรันผ่านสถานีเคเบิ้ล แต่ก็เปิดทิ้งไว้อย่างนั้นไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาโดยไม่ได้สนใจเนื้อหาในรายการ  ปุยเมฆในชุดนอนสีเทาลายทางขาว นอนคว่ำชันข้อศอกอยู่บนเตียง เอาบันทึกที่จดไว้มาอ่าน ห้องเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไว้ทนแทนความร้อนที่แผดเผาผิวเขาในช่วงกลางวันได้ 
ปุยหยิบเพจเจอร์ที่สั่นจนรับรู้ถึงแรงสะเทือนมาอ่าน ก่อนจะระเบิดรอยยิ้มออกมาจนเปื้อนใบหน้า 

ใครกันนะทำแบบนี้ ไม่อายพนักงานรับสายเพจเจอร์  กันบ้างหรืออย่างไร 
ผู้ชายที่ไหน นึกพิเรณส่งข้อความหาผู้ชายด้วยกันว่า ..คิดถึงเธอ


 
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 5 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 07-02-2018 00:31:23
 :hao3: :hao3:  คือ พี่ดอย หรือ พี่โอ๊คกันแน่เนี่ย

 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 5 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 07-02-2018 15:48:28
Track 6 :  ได้พบความอ่อนไหว.. สดใสเกินกว่าเคยได้เจอ

[ Feat. ปุยเมฆ ]

ผมเกิดมากับโลกที่มีแต่คำถามในหัว... 
ฟังดูคล้ายผมจะเป็นคนซับซ้อนใช่ไหมครับ  ไม่เลย ผมถูกคาดเดาได้ง่าย
คนรอบตัวต่างหากที่มีหลากมิติจนผมปรับตัวเข้าหาไม่เคยได้เลย จึงชอบที่จะอยู่คนเดียวเพื่อความสบายใจ
นิติพันธ์ โรจน์อนันต์ทรัพย์ คือชื่อที่หลวงพ่อวัดใกล้บ้านตั้งให้ผม
ท่านยังจัดโปร buy 1 get 1 free แถมชื่อเล่นให้ผมอีกชื่อ คือ ปุยเมฆ  ไม่แน่ใจว่าท่านเห็นนิมิตอะไรก็ไม่ทราบ แต่ดูคุณแม่ผมจะถูกใจและเรียกผมว่าปุยเมฆตั้งแต่นั้นมา  แต่พอนานวันเข้า ทำไมมันหดเหลือแค่ ปุย ก็ไม่ทราบได้  ซึ่งแน่นอนว่า คุณพ่อของผมท่านไม่ถูกใจแน่ ท่านพยายามจะเรียกผมว่า เมฆ  แต่แล้วก็ไม่สามารถต้านทานพลังศรัทธาประชาชน ที่พร้อมใจกันเรียกผมว่าปุย ก็ต้องเลยตามเลย  กระนั้นเวลาพ่อพาผมไปงานเลี้ยงตามกระทรวงต่างประเทศกับท่าน ท่านจะแนะนำเพื่อนพ้องเขาว่า ผมชื่อ เมฆ  ผมก็ไม่สนใจเท่าไหร่ ผมเป็นคนไม่ค่อยสนใจอะไรเลยเอาเข้าจริง


ชีวิตที่ย้ายไปย้ายมาตามกิจธุระของคุณพ่อ ทำให้แม่ อลิษา สุดที่รักของผมมีภูมิต้านทานด้านการย้ายบ้านพอสมควร ผมสังเกตได้จากของสะสมบางอย่าง แม่ษาไม่คิดแกะออกมาจากกล่องใหญ่ด้วยซ้ำ ผมเดาว่าท่านกลัวจะรื้อไปมาหลายรอบ
เราสองคนแม่ลูกจึงอยู่กันสองคนเสียส่วนใหญ่  เราตื่นเต้นมากในช่วงที่คุณพ่อกลับบ้านในวันหยุดยาว คุณแม่จะเตรียมอาหารจานโปรด ส่วนผมจะเป็นทั้งลูกมือ และดูแลเครื่องดื่ม ให้คุณพ่อรับรู้ว่า  เรารอพ่ออยู่อย่างใจจดใจจ่อแค่ไหน จนกระทั่งแม่อลิษา จากไปเมื่อปีที่แล้ว..   ความรู้สึกนั่นเหรอครับ  ก็เหมือนฟ้ามันถล่ม แผ่นดินมันทลาย หัวใจมันสลาย.. แต่จะทำอย่างไรได้  พระท่านว่า คนเรามันหลีกหนี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ไปไม่ได้  แต่ระหว่าง เจ็บ กับ ตาย.. มันควรมีคำว่า เศร้า เพิ่มเข้ามาในตาลปัตรของพระภิกษุที่กำลังนั่งสวดอภิธรรมให้แก่ญาติของผู้ที่หลับอยู่ในโลงตรงนั้นด้วย



ผมใช้เวลาหนึ่งปี อยู่กับตัวเอง ดูคุณพ่อจะเป็นห่วงผมมาก ให้ญาติแวะเวียนมาอยู่เป็นเพื่อนกันตลอด คงต้องพึ่งความพยายามในตอนเช้าเตือนสติตัวเองว่า ผมยังมีลมหายใจ แต่ก็พยายามจะดีขึ้นเพื่อให้พ่อไม่ต้องห่วง จึงคิดลาออกจากมหาวิทยาลัย มาอยู่กาญจนบุรีกับท่าน  จากเด็กสายสามัญ มาทางสายอาชีพ เอาเข้าจริงมันก็ต้องทำใจอยู่  แต่มันเป็นทางออกเพื่ออนาคตที่ลองบวกลบคูณหารแล้ว ไม่ว่าสมการไหน ก็ฟังดูลงตัวในที่สุด  กาญจนบุรีมันก็ไม่น่าจะเลวร้ายนัก รู้แต่ว่าร้อนที่สุดในประเทศ ซึ่งความงดงามที่ใครก็กล่าวขานมันน่าจะชดเชยกันได้บ้างอยู่  ผมหลงรักสะพานมอญ และอยากไปน้ำตกหลายแห่งที่เคยเห็นในแผ่นพับ  ช่วงที่ไม่มีแม่ษาแล้ว สำนักงานการท่องเที่ยวที่อยู่ติดกับบ้านผม เป็นสถานที่สถิตย์ของผมเลย เจ้าหน้าที่ก็น่ารัก ให้ผมนั่งเล่น นอนเล่นที่ห้องรับรองแบบไม่ปริปาก



ตอนที่รถตู้ของพ่อจอดเทียบหอพักนาตยา มันดูน่าอยู่โดยแท้ พ่อผมคงเลือกอยู่นานกว่าจะได้หอนี้ ผมเดินลงมาจากรถตู้ ก็ได้ยินเสียงแซวมาจากผู้หญิงที่อยู่บาร์ตรงข้าม ซึ่งก็ชินประมาณนึง เพราะผมก็มีคนพยายามเข้าหาอยู่ไม่น้อย  แต่ความสนใจเรื่องพวกนี้ไม่ได้อยู่ในหัวมากนัก ผมมีหน้าที่ทำความฝันของทุกคนให้ลงตัว รวมถึงอนาคตของผมเองด้วย ผมตั้งใจและผมคิดว่าเป้าหมายของผมชัดเจนพอที่จะไม่ออกนอกลู่นอกทางต่อให้ที่ผ่านมาจะมีคนเข้าหามากแค่ไหน  ผมไม่ได้คิดว่าผมหน้าตาดีอะไร แต่ใครก็ชอบพูดว่าผมประเมินตัวเองต่ำไป 


น้าแจ้น่ารักมาก ดูเป็นมิตรและคอยช่วยเหลือทุกสิ่งอย่าง จนผมมาที่ห้องนอนซึ่งน่าจะเป็นที่พำนักของผมไปอีกอย่างน้อย 2 ปี เหมือนตกหลุมรัก ผมรู้สึกอย่างนั้น เพราะห้องมีความน่าอยู่และได้ตกแต่งไว้อย่างน่ารัก ถ้าแม่ษายังอยู่ แม่ต้องชอบที่นี่ มันมีความอบอุ่นและโอ่อ่าอยู่ในที   ผมพยายามจะสลัดความรู้สึกที่จมกับความทุกข์ให้ออกไป และเริ่มต้นใหม่กับเรื่องที่จะเข้ามา จะตั้งใจเรียนและเก็บเกี่ยววิชาความรู้ในสาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด เพื่อสานฝันต่อไป

มีคนมาเคาะประตูห้อง ผมจึงเปิดประตูไปพบชายหนุ่มหน้าตาดีมากคนนึง ถือผ้าเช็ดตัวสีขาวสองผืนที่หอมฟุ้งและพับไว้เรียบร้อยส่งยื่นมา เขาบอกว่า น้าแจ้ฝากมาให้..  เขาชื่อโอ๊ค


ตอนแรกผมจะเรียกเขาพี่ เพราะเขาดูเป็นผู้ใหญ่และสุขุม  ผู้ชายคนนี้ดูหล่อเท่จนน่าอิจฉา ผมอยากหล่อแบบนี้บ้าง เขาพูดจาห้วนสั้นแต่สุภาพ เอารีโมทเครื่องปรับอากาศมาสอนวิธีการตั้งอุณหภูมิ แล้วแนะนำช่องเคเบิ้ลทีวีให้ ผมแปลกใจที่คนต่างจังหวัดคนนี้ รู้จักช่องรายการละครต่างประเทศเยอะพอกับผมเลย พอสักพักเขาขอตัวกลับลงไป ผมก็ได้แต่คิดว่าผมอยากให้เขาอยู่ต่อเป็นเพื่อนให้นานกว่านี้  น่าจะเพราะผมเหงา...

ผมลงจากตึกไปทานข้าวร้านเจ๊นกน้อยตามคำแนะนำจากน้าแจ้ ที่บรรยายถึงร้านเจ๊นกน้อยซะผมอยากจะสั่งให้ทุกเมนูเลย ผมเหลือบไปเห็น โอ๊คนั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ในร้าน  กะว่า กลับจากทานข้าว เขายังจะอยู่ตรงนี้ไหมนะ อยากทำความรู้จักเขามากขึ้นจังเลย ผมอยากมีเพื่อนในช่วงเวลาแบบนี้   แล้วเขาก็ยังอยู่ตรงนั้นจริงด้วย  พอน้าแจ้บอกให้ผมรอหลานเขามารับไปดูถนนหนทางคืนนี้ ผมเห็นยังพอมีเวลา ก็เลยเลือกที่จะไปนั่งเล่นคอมข้างโอ๊ค เพื่อจะได้พูดคุย  ผมแปลกใจที่เขาใช้ ICQ แชทแล้ว ทั้งที่มันเพิ่งเริ่มมี ในกรุงเทพบางคนยังใช้ Pirch 98 อยู่เลย   เราคุยกันหลายเรื่องจนแทบไม่ได้สนใจคอมพิวเตอร์ตรงหน้า  เขาช่างเป็นคนที่ฟังดูใจดีและให้ความรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่  ผมสัมผัสได้ถึงความจริงใจแม้จะเป็นมิตรใหม่ที่เพิ่งพบเจอ  โอ๊คเอาเบอร์โทรศัพท์มือถือให้ผม และเบอร์เพจเจอร์ เผื่อติดต่อ โทรศัพท์เขารุ่นแพงไม่ใช่เล่น ผมเองก็มีโทรศัพท์มือถือ แต่ผมปิดเครื่องไม่อยากรับสายจากใคร ยกเว้นพ่อที่มีเบอร์เพจเจอร์ของผม ผมจะติดต่อกลับถ้าพ่อเพจมา 



ช่วงที่รอหลานน้าแจ้ในห้อง โอ๊คแวะขึ้นมาอีกครั้ง เอาวีดีโอหนังฝรั่งมาให้สามม้วน เป็นหนังซาวด์แทร็คที่ผมไม่เคยดู เขาบอกว่าเป็นหนังฝั่งอังกฤษ ผมสนใจมากเพราะว่าผมดูแต่วีดีโอหนังฝรั่งฝั่งฮอลลิวู้ดจนเอียน โดยเฉพาะถ้าได้เห็นแจ็คกับโรสยืนกันที่หัวเรืออีกรอบ ผมสาบานว่าผมคงจะผลักโรสตกเรือไปเองเลย   โอ๊คบอกว่า ตอนดึกเขาจะแวะเอาสมุดโน้ตที่ผมต้องใช้มาให้ และเขาก็ไม่มา...

สายวันรุ่งขึ้น ผมลงมาใช้คอมพิวเตอร์หลังจากหลับไปพักใหญ่ เนื่องจากตื่นมาใส่บาตรเช้า  ผมเห็นโอ๊คนั่งอยู่ที่ร้านเน็ตด้วย แต่เอ๊ะ ทำไมมีโอ๊คสองคน ก็เลยเลี่ยงไปนั่งโต๊ะที่อยู่ริมผนังโปร่ง ไม่ได้ทักทายโอ๊คเพราะยังงงกับคนหน้าเหมือน เกรงว่าถ้าเข้าไปทักผิดก็จะดูไม่ดี  ช่วงเวลาสองนาทีบนโต๊ะคอม ผมก็เริ่มแยกได้ว่า คนไหนโอ๊ค และอีกคนน่าจะเป็นฝาแฝดของเขา  เขายังคงดูขรึมกว่าใครอยู่ดีแม้เมื่อเทียบกับคนหน้าเหมือนอีกคน ซึ่งพูดเป็นต่อยหอย ผีคงเจาะปากมาให้ 



แล้วผู้ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา..  คนที่น้าแจ้บอกว่าเป็นหลาน  เขาดูดีในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน คนบ้าอะไร หล่อกว่าพี่เรย์ แม็คโดนัลด์ ซะอีก คมเค้ม สูงใหญ่ ผมกระพริบตามองให้ชัด กระนั้นเขาก็ทำหน้านิ่งจนผมไม่กล้าคุยด้วย  ผมนั่งรอเขาต่อโมเด็มเครื่องให้  เขาใส่รหัส Doi6969  ผมล่ะแอบขำในใจ  คนอะไรในหัวคงจะมีแต่เรื่องแบบนั้นสินะ   ผมได้ยินเสียงหัวใจเขาเต้น พอเขาก้มเข้ามาใกล้ ก็มีกลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ ผสมส้ม หรือมะนาวกันนะ.. ผมมีคำถาม   ผมเคยได้กลิ่นนี้ ใช่แล้ว มันคือ CK ONE ที่เชยไปหลายปีแสงแล้ว  แต่ทำไมมันหอมดีเวลาอยู่กับผู้ชายที่กำลังยืนคร่อมผมล่ะเนี่ย
ว่าแต่..  เขาก็ไม่ยอมไปเสียที จะมายืนส่งกลิ่นหอมค้างคาแบบนี้ไม่ดีแน่   ตัวผมเริ่มร้อนฉ่า หูผมคงแดงมากเพราะมันอุ่นร้อน  จากลมหายใจของดอยที่ขยันพ่นมาโดนต้นคอผมจัง จนได้อาร์มตะโกนเบรก ความอึดอัดที่มีกลับสู่ภาวะปกติ

ยอดดอย เหรอ..  ไม่ได้เกิดบนที่ราบสินะ ท่าทางเก้ๆกังๆ น้ำเสียงเหน่อเล็กน้อย แต่ก็เหน่อน้อยกว่าน้าแจ้ หน้าเขาไม่ได้เหมือนคนไทยซะทีเดียว ตาชั้นเดียวแต่เรียวโต ตาดำเขากลมใหญ่มองได้ด้วยตาเปล่าแม้จะนั่งห่างจากตรงนี้ ขนตาเขายาวกว่าของผมอีกนะ  แล้วไอ้ขนตามแขนเมื่อกี้ คนหรืออุรังอุตังกันนะ  ตอนนี้ เขากำลังนั่งมองผมจากโต๊ะคอมแถว 2 ที่กลุ่มเขายึดครองไว้ราวกับเป็นป้อมปราการ   โอ๊คก็มองมาเป็นระยะ แต่ดูจากสีหน้า ผมก็แปลความหมายอารมณ์สายตาของโอ๊คไม่ออก 
ผิดกับยอดดอย ที่ราวกับเขาแอบมองมาจนผมสังเกตได้  ผู้ชายอะไรจะมานั่งมองผู้ชายด้วยกัน  ผมแต่งตัวผิดแปลกอะไรหรือเปล่า  หรือคนเมืองกาญจน์เกลียดสีเขียว เอาเข้าจริงมันเรียกสี นีออนกรีน นะ ผมซื้อจากร้าน GAP ที่มาบุญครอง  หรือนอกผนังโปร่งมันมีอะไรหรือเปล่า ผมหันไปมอง ก็ไม่มีอะไรผิดแปลก  ผมเลยเดาว่า พวกเขามองผมกันนั่นแหล่ะ   
สถานการณ์เข้าขั้นบรรยากาศมาคุ  จนผมต้องลุกหนี  แต่แล้ว เกียบัน ผู้พิทักษ์ก็เดินเข้ามา ชวนผมไปร้านเช่าการ์ตูน  ระหว่างที่ผมซ้อนท้ายแบทแมนสุดเท่ของโอ๊คไปนั้น ผมแอบเห็นยอดดอยยืนดูอยู่ เขาคงไม่พอใจ ที่ผมเอาเพื่อนของเขาออกมาด้วยหรือเปล่านะ 



ที่ร้านหนังสือ ผมทึ่งกับโอ๊คมาก เขาพามาเจอร้านในฝันแบบที่ผมเคยอยากจะมีของตัวเอง  เขารู้ได้อย่างไรว่าหนังสือที่ผมโปรดและโหยหา จะเจอได้ตามชั้นของร้านเช่าหนังสือสองคูหานี้ มันอัดแน่นไปด้วยการ์ตูนซึ่งผมโปรดปราน  โอ๊คหยิบแต่ละเล่มมาแนะนำได้น่าสนใจ  คนในร้านดูรู้จักกับเขาดีทุกคน  เด็กช่างกลที่ดูกวนประสาท เดินผ่านโอ๊คยังต้องนิ่งเงียบ เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันเหรอ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่ากองหนังสือมหาสมบัติตรงหน้า  การ์ตูนเล่มละ 1 บาทต่อวัน ผมเอาไป 18 เล่ม กะจะอ่านให้หมดในคืนนี้เลย พรุ่งนี้ค่อยนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาคืน ก่อนจะเข้าไปทำธุระที่กรุงเทพอีกเป็นอาทิตย์ โอ๊คให้เวลาผมเดินเลือกโดยไม่ได้มารบเร้า หรือเร่งรีบผม  ผมแอบมองเขายืนเลือกหนังสือนิยายแนวสืบสวนที่ชั้นหนังสือถัดไป  เขาที่ใครก็ต้องเหลียวมองในความสมาร์ท นี่คนหรือ คีอานู รีฟส์ แห่งสยามประเทศ



ตอนดึกของวันนั้น หลังจากที่ผมแยกจากโอ๊คแล้ว ก็ไปทานข้าวร้านเจ๊นกน้อยจนเสร็จ ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะขณะโทรหาพ่อเพื่อทวงจักรยาน ผมเจอดอยหันมาทัก และชวนกลับด้วย  ผมดีใจที่เขามีทีท่าที่เป็นมิตร และดูกันเองเวลาอยู่ด้วยกันสองคน เขาท้าให้ผมเกาะเขาให้แน่น ผมก็เลยกอดเขาไปทีนึงตอนรถมอเตอร์ไซค์ตกจากลูกระนาดถนน  ดูเขาเงียบและเกร็งไปเลย ผมกลัวโดนเขาต่อย เลยไม่ได้แสดงทีท่าอะไรอีก แหม.. หยอกนิดหน่อย โมโหกันเสียแล้ว


ผมเลือกของใช้ที่ขาดอย่างเขิน เอาเข้าจริงมาซื้อวันอื่นก็ได้ แต่ดอยดึงดันจะจอดรถและให้ผมแวะซื้อของใช้จำเป็น ผมก็เดินเลือกเท่าที่นึกออก แต่เขาก็ยังส่งสายตามอง ผมจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็น  จนในที่สุดก็แพ้ต่อความเมื่อยล้า จึงจ่ายเงินและเตรียมตัวกลับ   วันนี้เองผมได้รู้จักกับ หน้ากากทักซิโด้ มันคันไม่ใหญ่เท่ากับ แบทแมน ของโอ๊ค แต่มันก็เท่ดีนะ นั่งสบาย และดูปลอดภัยดี ผมไม่ได้กอดเขาเพราะกลัวเขาว่า แต่เพราะเขาเองที่เบรกกะทันหันผมจึงต้องรวบฝ่ามือไปยึดที่บั้นเอวเขา  บรรยากาศมาคุก็เกิดขึ้นอีกครั้ง  เราเดินคุยกันจากลานจอดรถจนมาถึงหน้าห้องนอนดอย ผมแยกตัวขึ้นห้อง รู้ได้ว่าตัวเองก็ยิ้มไม่หยุด และเขินอายที่ได้อ่านข้อความจากเพจเจอร์   เมืองนี้ ผู้คนเขาน่ารักดีเหมือนกันนะ  ไม่แปลกใจ ที่แม่ผมมาซื้อที่ดินที่นี่ เพราะเสน่ห์ของแม่น้ำ หรือเพราะมนต์ของผู้คน..  เข้าใจแล้ว  ผมเพิ่งเข้าใจ..
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 6 : Feat.ปุยเมฆ ]
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 07-02-2018 20:37:31
 :hao5:  ไม่ดราม่าใช่ไหมนุ้งปุย  พี่โอ๊คมันร้าย พี่ดอยต้องทำคะแนนนะ  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 6 : Feat.ปุยเมฆ ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 08-02-2018 00:07:20
:hao5:  ไม่ดราม่าใช่ไหมนุ้งปุย  พี่โอ๊คมันร้าย พี่ดอยต้องทำคะแนนนะ  :laugh: :laugh:

คิดว่า พี่โอ๊คนี่ตัวสับขาหลอก
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 6 : Feat.ปุยเมฆ ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 08-02-2018 14:14:44
 :hao5:  สงสารปุยจุง
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 7 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 08-02-2018 17:09:38
Track 7 :     กลัวเธอจะไหวหวั่น.. เพราะเขาเข้ามามากไป


หัวถนนริมแม่น้ำแคว เวิ้งที่คึกคักสุดขีดในคืนวันหนึ่ง ร้านพิซซ่าเตาถ่าน พอลล่าบาร์ ซึ่งเปิดไฟสีเหลืองอร่าม ทุกโต๊ะถูกจับจองไปด้วยชาวต่างชาติ นั่งเดี่ยวบ้าง นั่งคู่บ้าง นั่งเป็นกลุ่มบ้าง มีพิซซ่าบางกรอบ หลากหลายหน้าพร้อมชีสเยิ้มวางอยู่ทุกโต๊ะในสภาพพร่องไปหลายชิ้น  โต๊ะกลางริมฟุตบาทถนนมีคนเอเชียกลุ่มเดียวที่เป็นลูกค้าในร้าน


“เป็นไงบ้าง เปิดเทอมแล้วได้เพื่อนใหม่เยอะล่ะสิ หายหน้าหายตาไปเลยนะปุย” อาร์มที่กำลังเคี้ยวพิซซ่าชีสเยิ้มเข้าปากอย่างมูมมามเอ่ยถามปุย

“เรียนไม่หนักเลยอาร์ม แต่อธิการชอบใช้เราอ่ะ ขาดเรียนบ่อยมาก ให้เราเอากระเช้าไปให้ที่นั่นที่นี่ แถมยังต้องไปประชุมกับท่านหลายครั้งด้วย กลัวไม่มีเวลาอ่านหนังสือจัง” ปุยบ่น

“แหม ลูกรักคนใหม่ก็อย่างนี้แหล่ะ ท่านชมให้ป๊าเราฟังเรื่อยว่า เด็กใหม่บุคลิกดี จะเอาไว้ประชาสัมพันธ์วิทยาลัย ยกระดับวิทยาลัยให้ดูหรูหรา ไฮโซ รับรองได้ว่าอาจารย์ทุกคนให้ A ถ้าอธิการไฟเขียวขนาดนี้” อาร์มตื่นเต้นแทนปุย เมื่อพูดถึงเกรด

“เราจะไม่ได้เรียนน่ะสิ เราอยากได้ความรู้อ่ะ”

“เธอคือ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์เหรอนี่” โอ๊คที่นั่งอยู่ติดกับปุยหันไปถาม พลางยกพิซซ่าขึ้นมากิน มีซ้อสเปื้อนที่มุมปาก

“ไอ้บ้า เราแค่ไม่อยากต้องทำความรู้จักคนมากมายจนบ่อยขนาดนี้” ปุยตอบ พลางเอาหัวแม่มือเอื้อมไปเช็ดมุมปากให้โอ๊ค
ผู้ถูกกระทำมีอาการขวยเขินอย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายอาร์มที่นั่งตรงข้ามโอ๊คจ้องตาเหมือนจะตกใจจนตาค้าง

“แล้วไปดูที่ดินของแม่ที่ซื้อไว้หรือยัง ว่าอยู่ซอยไหน อย่าเที่ยวปั่นจักรยานออกมาเพ่นพ่านตอนดึกนะ บางซอยคนงานพม่าเยอะ ต้องระวังไว้ด้วยนะ” โอ๊คเตือน

“คร้าบบบบ พี่ชาย”




แล้วนักดนตรีที่นั่งดีดกีตาร์โปร่งเล่นเพลง Truly Madly Deeply อยู่ในบาร์ฝั่งตรงข้าม เสียงคงลอยดังมากล่อมผู้คนในร้านพิซซ่าอย่างทั่วถึง ผู้คนต่างสนุกสนาน ผิดกับ ยอดดอย ที่สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด แต่ยังคงยกแก้วเบียร์ซดดื่มแบบไม่สนใจใคร   เวลาผ่านไปได้สักพัก ถาดไม้ที่เคยมีพิซซ่าว่างเปล่า เหลือแต่เศษมะเขือเทศ และหอมใหญ่ที่ร่วงหล่น

สาวน้อยคนหนึ่ง ผิวขาวผ่องจนเกือบซีด คิ้วเข้มโก่ง ผมแสกกลางเหยียดตรงประบ่า พาร่างสูงผอมในชุดเสื้อแขนกุดสีชมพู กางเกงยีนส์ขาสั้นตรงเดินจากภายในร้านออกมายังโต๊ะของลูกค้าคนไทย ผ่านโต๊ะฝรั่งที่เหลียวมองมาเป็นตาเดียว

“นี่ป้าพอลล่าทำพิซซ่าอร่อยขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย แทบไม่ต้องล้างถาดกันเลยใช่ไหมคะ” สาวน้อยผู้มาใหม่ นั่งลงบนตอไม้ตรงหัวโต๊ะที่ประยุกต์เป็นเก้าอี้สไตล์คาวบอย 

“นี่ถ้าป้าของหนูเปิดร้านเร็วกว่านี้ น้องมะนาวคงไม่ได้เห็นกล้ามท้องของพวกพี่เวลาน้องไปนั่งเชียร์ไอ้ดอยข้างสนามฟุตบอลแน่ๆเลยล่ะจ๊ะคนสวย”  อาร์มใช้น้ำเสียงกรุ้มกริ่มตอบกลับ

“อร่อยมาก ฝากชมป้าด้วย รับรองลูกค้าตรึม เดี๋ยวเลี้ยงพนักงานที่บริษัทพ่อ พี่จะให้โทรมาจองก่อนนะ” โอ๊คเสริม

“แหม ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะพี่โอ๊ค ป้าแกแค่หาอะไรทำแก้เหงาตั้งแต่ลุงโทนี่ตาย นาวก็เพิ่งเห็นแกอารมณ์ดีขึ้นก็ตอนมาทำร้านนี่แหล่ะค่ะ นาวก็แวะมาช่วยจนกว่าแกจะหาคนเพิ่มได้ แล้วนี่ใครคะ ผู้ที่สามารถแทรกตัวมาอยู่ในแก๊งนี้ได้เนี่ย” สาวน้อยหน้าสวยพูดพลางเหลือบหน้ามามองชายหนุ่มแปลกหน้าที่เธอเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกด้วยรอยยิ้มที่สดใส

“สวัสดีครับ ผมปุยเมฆครับ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่หอพักของดอยครับ”

“อ้อ 3A ในตำนาน ห้องดีเนอะ น่าอยู่มากเลย ตู้เสื้อผ้าใหญ่เหลือเชื่อ แม่พี่ดอยนี่รู้ใจผู้หญิงมากเลยเนอะ  แล้วนี่ทำไมกินมูมมามยังกับเด็ก ” มะนาวแสดงความเห็น พลางเอามือไปปัดเศษพริกไทย ที่ติดอยู่บริเวณหน้าอกเสื้อของดอย ซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างๆ  โดยมีดอยที่ยังคงยกแก้วเบียร์ขึ้นซดแต่ไม่ได้พูดจาอะไร

“ใช่ครับ ห้องนอนสบายมาก กว้างมากด้วย หน้าต่างหลังเห็นวิวภูเขา หน้าต่างหน้าเห็นสะพานสุดใจ กับ สะพานข้ามแม่น้ำแคว ยืนดูแม่น้ำเพลินเลย พอตกดึก มายืนมองสวนก็จะเห็นหมู่ดาว” ปุยบรรยายในขณะที่อาร์มหลับตาพริ้มจินตนาการตาม

“อื้อหือ.. พูดซะน่าซื้อเก็บเลยนะห้องนี้ ไอ้ดอย มึงขายไหมวะ เดี๋ยวกูจองเลย” โอ๊คยิ้มอย่างอารมณ์ดีในขณะที่ยังคงกดเล่นเกมบอยที่เขาแย่งอาร์มมาเล่นได้สักครู่ตั้งแต่มะนาวเดินมานั่ง

“ถามแม่กูนู่น”

“เอาจริงนะโว้ย นี่ถ้าเปลี่ยนเป็นรายวัน หอพักมึงนี่จะเป็นโรงแรมสุดจ๊าบ วิวดีชิปหาย”  โอ๊คแสดงความเห็น

“อืม ก็คงงั้น” 

“เป็นไรวะไอ้ดอย เห็นใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาเป็นเดือน หรือมึงยังช็อคกับประตูกู้ชีพของ เชอริงแฮม เมื่อเดือนที่แล้วเหรอครับเพื่อน” อาร์มเสียงแปร๋มแต่เจือด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันมายังผู้ฟัง

“สัส..  ไม่ใช่โว๊ย  แต่แม่ง ไอ้เชี่ยแมนยูมาปล้นแชมป์บาเยิร์นกูได้ไงวะ พูดแล้วอารมณ์เสียไม่หาย”

“คนชนะ มันก็คือ คนชนะเว้ย ไม่ว่าจะในเวลา หรือจะช่วงทดเวลาบาดเจ็บ” โอ๊คเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
มะนาวกับปุยเมฆมองหน้ากัน เหมือนกับว่าพวกเขาอ่อนต่อโลกเรื่องฟุตบอล จึงรีบตัดบท

“แล้วนี่ เมฆมาเรียนสาขาอะไรที่นี่ล่ะ ขาวใสอย่างนี้ถ้าเพื่อนที่วิทยาลัยครูของนาวเห็นนะ รับร้องกรีดร้องกันยกชั้น”

“เรียกมันว่าปุยเหอะ  เมฆนี่เป็นอะไรที่ไม่ใช่เลย ขาโจ๋รับไม่ได้” อาร์มสอดขึ้นมา

“พี่อาร์มก็  ผู้ชายชื่อเมฆก็ฟังดูดีจะตาย เรียกปุยมันฟังดูหวานน่ะ แต่หน้าเมฆก็หวานดีจังเลย น่าอิจฉา”

“เรียกปุยก็ดีแล้ว ดูเข้ากับตัวเขาดี” โอ๊คแสดงความเห็นบ้าง   มะนาวก็ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรตอบ สีหน้าก็นิ่งไป
คืนนี้เป็นคืนของการเรียนรู้เพื่อนใหม่  เป็นการสังสรรค์ของคนที่ไม่ค่อยได้เจอกันตั้งแต่เปิดเทอมใหม่ ต่างคนต่างยุ่งและมีภาระของตัวเอง จนกระทั่งมะนาวโทรชวนสามเกลอมาทานร้านอาหารกึ่งบาร์เปิดใหม่ซึ่งอยู่ใจกลาง ลิตเติ้ลข้าวสาร ห่างจากหอพักนาตยาเพียงเดินถึง

โอ๊ค กับ ปุย มักมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าเสมอ ยามที่อาร์มส่งมุกตลกหรือแสดงความเห็นต่ออะไรสักอย่าง ยอดดอยที่ดูผ่อนคลายขึ้นตั้งแต่มะนาวปรากฏตัวจนคนรอบข้างสังเกตได้  เมื่อใกล้ถึงเวลาปิดร้าน มะนาวก็ขอตัวไปช่วยป้าของตนจัดการเรื่องบัญชี ในขณะที่โอ๊คและอาร์มก็พาปุยขึ้นรถมาส่งที่หอพัก  โดยมีดอยยังคงนั่งลำพังที่โต๊ะไม่ได้ขันอาสามาด้วย




บนรถของอาร์ม  มีโอ๊คนั่งอยู่ด้านหน้าซ้าย ปุยซึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง เลื่อนตัวมานั่งตรงกลางเบาะแล้วโน้มตัวมาเอาข้อศอกท้าวไว้ที่เบาะหน้า

“มะนาวเขาน่ารักดีเนอะ เป็นแฟนกับดอยเหรอ”   แม้ไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากเบาะหน้า แต่ปุยก็รู้คำตอบอยู่ในที
รถของอาร์มมาจอดที่หน้าหอ และเตรียมยูเทิร์นกลับ ก่อนจะมาจอดเทียบที่ฟุตบาทหน้าพอพักอีกครั้ง  มีโอ๊คกับปุย ที่ยืนอยู่ริมถนนหน้าร้อนอินเทอร์เน็ต ที่บัดนี้มีลูกค้าอยู่ไม่มากแล้ว
 
“อุปกรณ์การเรียนมีขาดอะไรไหม วิชาภาษาอังกฤษพอได้นะ”

“ได้สิ ได้ศัพท์ใหม่เยอะมาก ผลพวงจากการดูเคเบิ้ลทุกวันเลย แต่เดือนหน้ามีวิชาความปลอดภัยในการท่องเที่ยว ต้องเขียนรายงาน”

“ลงพื้นที่ด้วยเหรอ”

“ใช่ ไปพื้นที่สถานท่องเที่ยวที่อาจมีอันตราย แล้วเขียนเป็นรายงาน วิธีปฏิบัติการป้องกันอุบัติเหตุแก่คณะท่องเที่ยว อะไรแบบนั้นเลย”

“เพิ่งเปิดเทอมแท้ๆ โหดแฮะ แล้วเลือกสถานที่หรือยังล่ะ”

“เพื่อนที่สาขาต่างคนต่างไปนะ เพราะยังไม่สนิทกันมาก แต่กลุ่มของเราว่าจะไปเป็นกลุ่ม ได้ช่วยกัน”

“แล้วมีใครมาจีบยังเนี่ย”

“ยัง.. บ้าเหรอเขามาเรียนกันนะ เพิ่งเปิดเทอมใครจะหาแฟนเลย”

“หึ”

“ทามมายยยยยย   หวงเราเหรอ กลัวต้องอยู่กับอาร์มสองคนใช่มั๊ย”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า  รำคาญมันจะแย่อยู่แล้ว..  อืม ไปนอนได้แล้ว เปลี่ยนโหมดความชื้นแอร์มาเป็น dry ด้วยนะ ฝนตกบ่อย อากาศมันชื้น เดี๋ยวตื่นมาแสบจมูก”

“คร้าบบบคุณพ่อ”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็นมารับไปดู สตาร์ วอร์ส กัน จะออกจากโรงแล้ว เราชวนอาร์มกับดอยไปด้วยนะ”

“ฝากชวนมะนาวไปด้วยสิ”

แล้วอาร์มก็บีบแตร Bosch เสียงสุดนุ่มจากรถแคมรี่คันเก่ง เป็นการเรียกโอ๊คให้ขึ้นรถ เพราะเขาต้องไปรับ ดอยและมะนาวไปส่งบ้านที่บ้านต่อ   โอ๊คหันมายกฝ่ามือมาบ๊ายบาย ปุยก็เข้าไปในร้านอินเตอร์เน็ต ใช้คอมพิวเตอร์แชทไอซีคิวอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะเดินขึ้นห้องพักไป



ที่สวนท้ายหอ มีดอยนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวโปรดของเขา ซึ่งมีพนักพิงสูงเกือบถึงไหล่  ใกล้กับแคร่ที่เขานอนเมาเป็นประจำ เขาเพิ่งใช้โทรศัพท์ในห้อง หมุนไปยังโอโปเรเตอร์ ดอกจัน หนึ่งหกสอง ดอกจัน ตามด้วยเบอร์ของปุย กดสี่เหลี่ยมแล้วโทรออก  พร้อมฝากข้อความว่า  “คืนนี้ ไม่ลงมานั่งเล่นคุยกันในสวนเหรอ / ยอดดอย”   แล้วเขาก็นั่งรออยู่ใต้ต้นทองกวาวนั้น นั่งรออยู่จนดึกดื่น 



น้าแจ้ที่กำลังเดินไล่ปิดไฟตามระเบียง เหลือบมองลงมาเห็นหลานตัวเองนั่งอยู่ในสวน เขาก็เดาได้ว่า ห้อง 3A คงไม่ได้มาร่วมวงสนทนาอย่างออกรสเฉกเช่นทุกวัน เหมือนเช่นในช่วงเกือบสองเดือนที่ผ่านมา ที่น้าแจ้คอยเอาน้ำท่า พร้อมขนมแวะมาให้หลานตัวเองกับสหายใหม่อยู่เสมอ มาคอยจุดยากันยุง และ หาตะเกียงไฟมาวางให้ แจ้ถูกใจที่หลานตัวเองได้มีรอยยิ้มบ้าง ได้คุยกับคนอื่นที่นอกเหนือจากน้าคนนี้  นอกเหนือจากเพื่อนแฝดที่สนิทกันมา  แจ้อยากให้พี่สาวของเขามาเห็นชีวิตชีวาที่กลับคืนมาบนใบหน้าของหลานชายคนโปรด... 


บนห้องนอน 3A ปุยยังคงเปิดไฟที่โคมหัวเตียง มีพจนานุกรม ฉบับ ส.เศรษฐบุตร วางคู่กับชีทเรียน ปากกาที่ไม่ได้สวมปลอก  และเพจเจอร์ที่ทับสมุดบันทึกไว้  ปุยในชุดนอนบางสีขาว กอดหมอนข้างแต่ตายังไม่หลับ  เขาลืมตาอยู่อย่างนั้นนานสองนาน อาจเพราะมีเรื่องให้คิด  หรือการเข้ามาของใครคนหนึ่ง 
ยิ่งได้เห็นเขาคุยกัน ยิ่งได้รู้ว่าเขาชอบที่มีกันและกันเป็นคู่สนทนา  ความเป็นตัวของตัวเองของบางคนแจ่มชัดขึ้นเมื่อมีใครอีกคนอยู่ด้วย เพียงแต่ไม่ใช่เขา...   ปุยเอื้อมมือไปปิดโคมไฟที่หัวเตียง  ดึงผ้าห่มหนาลายเซ้นต์เซย่ากอดไว้ แต่ไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปปรับโหมดเครื่องปรับอากาศตามที่ใครคนนึงบอกไว้.. 
ปุยข่มตาหลับ และพยายามจะผ่านคืนนี้ไปให้ได้ด้วยร่างกายที่เหนื่อยก่อน กับหัวใจที่ระแวง..


หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 7 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 08-02-2018 19:55:34

สั้นจุง   แต่น่ารักดีค่ะ
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 7 ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 08-02-2018 23:46:25
ตอนนี้ สั้นนะคะ แต่ มะนาว นี่ไม่น่ากับพี่ดอย เพราะถ้าเขาจะรักกัน น่าจะรักกันไปนานแล้ว    :katai1:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 7 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 09-02-2018 09:02:43
ตอนนี้ สั้นนะคะ แต่ มะนาว นี่ไม่น่ากับพี่ดอย เพราะถ้าเขาจะรักกัน น่าจะรักกันไปนานแล้ว    :katai1:

นี่ก็ว่าไม่ใช่ น่าจะแอบรักพี่โอ๊คนะมะนาวเนี่ย
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 8 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 09-02-2018 16:57:39
Track 8 : หากเธอเป็นเธอคนเดิม ..ได้นาน


ใต้ต้นจามจุรีใหญ่สูง 20 เมตรที่แผ่หลาอยู่กลางลานกว้างในเขตค่ายทหาร ห่างจากตลาดเมืองกาญจน์ 8 กิโลเมตร  มีรถฮอนด้า แอคคอร์ด วีหก ใหม่เอี่ยมจนผิวรถมันเลื่อม จดเทียบอยู่ที่นอกร่มเงาของกิ่งก้านต้นจามจุรี ซึ่งกินพื้นที่มหาศาลร่วมไร่ครึ่ง  คล้ายจานบินขนาดมหึมาวางอยู่บนลำต้นอ้วน 10 คนโอบ  กลุ่มหนุ่มสาวในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้น สีสันสดใส ราวกับเป็นการเซ็ทฉากถ่ายแบบนิตยสารก็ไม่ปาน


“หืม พี่โอ๊คน่าจะมาด้วยกันนะเนี่ย นาวไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับพี่โอ๊คนานมากแล้ว ตั้งแต่พี่โอ๊คยังตัดผมทรงลานบินอยู่เลย”

“แหม ถ่ายกับพี่ก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ แฝดร่วมไข่กันซะขนาดนี้ มาๆๆ ไอ้ดอย มึงถ่ายรูปคู่กูกับน้องมะนาวหน่อยสิวะ ห้ารูปนะ เผื่อฟิล์มเสีย”

“เชี่ย ทำเป็นตู้สติ๊กเกอร์ไปได้ ค่าล้างรูปมึงออกตังค์นะ กูถ่ายให้อย่างเดียว”

“เออๆๆ เดี๋ยวเสี่ยอัดแจก ขนาดโปสการ์ด 4x6 ให้คนละชุดเลยมา  ให้น้องปุยด้วยนะจ๊ะ อยากถ่ายพี่อาร์มจะแย่อยู่แล้วสิ เดี๋ยวนะ ให้คิวน้องมะนาวก่อน”

“เอาเลยอาร์ม ฮ่า ฮ่า ฮ่า  เรารอได้”  ปุยขำ แล้วเดินไปยืนข้างดอย ซึ่งอยู่ห่างจากนายแบบนางแบบที่กำลังโพสต์ท่าอย่างสนุกสนาน โดยมีดอยผู้กำลังถ่ายรูปเพื่อนด้วยท่าทีที่ชำนาญ 

“โอ๊ค ไปไหนเหรอวันนี้” ปุยถามตากล้อง ที่เขาไม่ได้พูดคุยกันมาพักใหญ่ หลังจากกลับจากร้านพิซซ่าในคืนนั้น

“ไม่รู้เหรอ ปุยคุยกับโอ๊คทุกวันยังไม่รู้  เราจะไปรู้ได้ยังไง” ดอยหงายกล้องปรับรูรับแสง แต่ไม่หันไปมองคู่สนทนา

“ก็ไม่ได้คุยกันบ่อยอะไรขนาดนั้นซะหน่อย เราไม่ค่อยเปิดมือถือด้วยซ้ำตั้งแต่ตกน้ำ แบตเตอรี่ก็ไม่ดีเลย ไว้ค่อยขอพ่อซื้อใหม่ รอปีหน้า อยากได้ โนเกีย 8850 สวยยยยย” ปุยพยายามเรียกร้องความสนใจจากด้วยด้วยน้ำเสียงแจ้ว

“อืม”

“ดอย”

“ว่า”

“ดอยครับ”

“....”

“ยอดดอยครับ”

ดอยหยุดถ่ายรูปปล่อยกล้องที่ยังมีสายคล้องคอเขาอยู่ แล้วหันไปเผชิญหน้าผู้ที่เรียกชื่อเขาไม่หยุด  “อะไรเหรอ”

“โกรธอะไรเราเปล่า... แล้วก็หายไปไหนเป็นอาทิตย์เลยอ่ะ  เราไปที่สวนไม่เคยเจอเลย เห็นไฟห้องปิดไม่กล้าเรียก”

“แล้วทำไมไม่โทรเข้ามาที่ห้องล่ะ”

“ก็ไม่กล้าโทร กลัวว่ายุ่ง หรือไปไหน”

“ไปไหนล่ะ”

“ก็ไปขลุกตามร้านพิซซ่า หรืออะไรประมาณนั้นน่ะ”

ดอยเกือบจะเผยยิ้มเมื่อได้ยิน แต่ยังคงทำหน้าดุไม่สนใจอะไร “ก็ไปบ้าง เวลาเครียด อยู่กับมะนาวสนุกดี เฮฮาไม่คิดอะไรมาก”

“ชวนเราไปด้วยก็ได้ เดี๋ยวเราเลี้ยงเบียร์เอาป๊ะ  เลี้ยงไก่ทอดที่ดอยชอบด้วย 2 น่องเลย นะๆๆ”

“ทำเป็นรู้เนอะ ว่าเราชอบอะไร”

“ก็ไม่ยาก.. ดูอาการก็พอรู้ ว่าชอบอะไร”  ดอยพูดจบ ก็ชวนดอยให้ถ่ายรูปตัวเองบ้าง




ห่างออกไป หน้าศาลเจ้าแม่จามจุรี  อาร์มกับมะนาวที่เพิ่งเสร็จจากการหยอดเงินในตู้รับบริจาค ก็เดินถือธูปเทียนมาไหว้ที่หน้าศาล เมื่อไหว้เสร็จจึงเดินไปหา ดอยกับปุย ที่บัดนี้ยืนรออยู่ที่รถ อาร์มกับมะนาวเดินเคียงคู่กันไปยังรถสีดำนั้น

“พี่อาร์ม ขอพรอะไรเหรอคะ”

“ขอให้โลกนี้สงบสุข”

“เอาจริงๆสิพี่ก็”

“ถ้าบอกมันจะสมหวังไหมล่ะ”

“นั่นมันอธิฐานกับดาวตก หรือตอนเป่าเทียนเค้กวันเกิด เขาถึงจะห้ามพูด แต่ขอพรนี่บอกกันได้”

“พี่อยากให้ทุกคนรอบตัวพี่มีความสุข”

“อ้าว แล้วทุกวันนี้พวกเขาไม่มีความสุขเหรอคะพี่”

“พี่ไม่รู้.. พี่ไม่รู้อะไรทั้งนั้น  คนรอบตัวพี่เป็นคนไม่ชอบแสดงออกว่ะ ไม่แสดงออกเชี่ยอะไรกันเลย มะนาวก็เห็น”  อาร์มหัวเราะในคำพูดของตัวเอง

“เขาอาจจะยังไม่รู้ ว่าความสุขของเขาคืออะไร.. เราไปขอให้เขา ก็ไม่ได้ประโยชน์หรอกนะ นาวว่า”

“พูดจามีหลักการ อธิษฐานบ่อยสิเนี่ย ขอหวยใช่ม๊ะ”

“เหออออ  นาวไม่ใช่พี่ดอยนะ บ้าหวย  นาวขอเรื่องเรียน เรื่องงาน  แล้วพี่ล่ะ ขออะไรให้ตัวเอง”

“พี่ได้เพื่อตัวเองมาเยอะแล้ว..  พี่ขอให้ใครคนนึง” 




“เสร็จแล้วแล้วเหรอ ขวัญกับเรียม เนี่ย ไหว้จนธูปหมดดอกเลยมั๊ง สาบานกันถึงชั้นฟ้านู่น” ดอยพูดกวนประสาทอาร์ม

“กูไม่ได้ขี่ควายแบบขวัญโว้ย ขี่ไม่เป็น ป๊ะ ขึ้นแอคคอร์ดไอ้โอ๊คดีกว่า”  อาร์มเปิดประตูขึ้นรถไป

“แล้วรถอาร์มไปไหนล่ะ” ปุยถามเมื่อขึ้นมานั่งที่เบาะหลังคู่กับดอยแล้ว พลางสำรวจในรถของโอ๊คอีกรอบ ทั้งที่ขามา เขาก็เพิ่งพินิจรอบรถอย่างสนใจ จนดอยหันมามองเขม่น  ปุยดูทึ่งกับคาสเซ็ทของโอ๊ค ที่มีแต่เพลงสากลที่เขาชอบ ความเป็นสีดำ แต่แสนสะอาดของรถ แทบไม่มีของตกแต่งอะไรนอกเหนือจากลายไม้สีโอ๊คสุดเท่  ยิ่งในฝากระโปรงหลังรถที่เขาเพิ่งเปิดเอาเป้ไปวาง  มีแต่กล่องรองเท้ากีฬาเรียงเป็นระเบียบ ผ้าขนหนูขนาดเล็กสีเทาดำ ขวดน้ำแร่ไว้ดื่ม กระติกน้ำสีดำทรงสี่เหลี่ยม และหนังสือ  Judgement Day  ที่วางทับกองหนังสือซึ่งจัดเรียงไว้เรียบร้อยจนน่าทึ่ง 

“เอาไปเปลี่ยนยางน่ะสิ วันก่อนที่พวกเราไปดู สตาร์วอส์ กัน ตอนกลับจากโรงหนังน่าจะไปเหยียบตะปูเข้า พ่อกลัวมันอันตรายเลยให้เราเอาไปทิ้งไว้ที่ร้านยาง”

“แล้วเอาจริงๆ นี่พี่โอ๊คไปไหนล่ะคะเนี่ย เบี้ยวนัดมะนาวบ่อยนะพักนี้ ฝากตำหนิด้วย เดี๋ยวนาวจะเพจไปว่า เมื่อตอนขามานี่ที่บอกว่ายังไม่ตื่น นี่อ้างใช่มั๊ย พี่โอ๊คไม่ตื่นสายแน่นอน ไม่ใช่อย่างพี่อาร์ม”

“โอ๊ย เกรงใจเจ้าหน้าที่ *162*  หน่อย เสียงน้องดุ สงสารพนักงาน.. โอ๊คมันไปทำธุระให้พ่อ มันเริ่มเข้าไปช่วยงานหลายอย่างแล้ว ไหนจะเตรียมตัวเรื่องปีหน้าอีก..”  แล้วอาร์มก็หยุดพูดไป ไม่เพียงแต่มะนาวที่เหมือนจะรอฟัง แต่ ที่เบาะหลัง ก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น  แต่เมื่ออาร์มไม่พูดอะไร ก็ไม่มีใครเซ้าซี้ เพราะเดี๋ยวคืนนี้ ก็มีนัดทานข้าวกันที่ร้านเจ๊นกน้อย คิดว่า โอ๊คไม่น่าจะเบี้ยวนัดเป็นครั้งที่สองของวันหยุด



อาร์มส่งดอยและปุยที่หน้าหอพัก แล้วแล่นรถออกไปเพื่อไปส่งมะนาวที่บ้าน ซึ่งอยู่ในตลาดสด ปุยเดินนำหน้าดอยเข้าร้านอินเทอร์เน็ตไป เอ่ยทักทายน้าแจ้ ที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แล้วก็เดินทะลุร้านไปยังสวน ดอยที่สนทนากับน้าแจ้อยู่สักพัก ก็เดินตามมา เห็นปุยนั่งอยู่ที่แคร่ใต้ร่มไม้ จึงเดินตามไปนั่งสมบท ดอยนั่งลงบนแคร่ขนาดใหญ่ ที่ทำจากไม้ไผ่ ปุยขยับให้ดอยขึ้นมานั่งคู่กันได้ถนัด

“เพิ่งกลับจากต้นจามจุรี นี่มานั่งดูต้นไม้อีกแร๊ะ จะชื่นชมต้นไม้ทั้งวันเลยหรือไง หรือว่าอยากเป็นนางไม้ล่ะ”

“พูดกันดีๆบ้างสิครับ”

“ก็เห็นนั่งมองอยู่นาน สวนหลังหอนี่ก็มานั่งออกบ่อย”

“มาทีไรก็ค่ำแล้ว ใครไม่รู้กว่าจะเล่นฟุตบอลเสร็จก็เย็นนี่นา.. มานั่งใต้ต้นไม้ตอนบ่ายแบบนี้ ยิ่งชอบใหญ่ เพิ่งรู้ว่า ร่มเงาของมันบังแดดได้ดีขนาดนี้”

“ทองกวาว..  ต้นนี้ เรียกทองกวาว  แม่เจอที่ข้างทาง ลงไปขอซื้อ แล้วเอารถสิบล้อขนมาเลย”

“โหยย แม่จ๊าบมากอ่ะ แต่รสนิยมแม่ของดอยดีมาก แค่ที่ห้องนอน ก็ฟ้องแล้ว”

“แม่บอกว่า ที่แคบ แต่ต้องการร่มเงา ก็คงต้องเลือกให้เหมาะ อะไรที่ชอนไรรากไปยังกำแพงก็ไม่ดี อะไรที่ใบร่วงโรย ก็เป็นภาระ ตอนที่แม่เห็นทองกวาวต้นนี้ แม่บอกว่า ใช่เลย รูปทรงมันสวยกว่าต้นแถวบ้าน แม่ควักตังจ่าย แล้วให้คนมาขุด นี่นั่นแหล่ะแม่เราล่ะ กำนันคนจริงแห่งยุคมิลเลนเนียม  ไว้จะพาไปเจอนะ”

“แม่จะชอบเราไหม เราโก๊ะมากกก กอ ไก่ หลายตัว”

“ชอบดิ แม่เราให้เสรีภาพ เราชอบเพื่อนคนไหน แม่ก็ชอบ”

“ดอย..”

“ครับ”

“ดอยว่า ที่เราคุยๆกันแบบนี้อ่ะ..  มันปกติไหม”

“ยังไง”

“.....” 

“ปุยหมายถึงอะไร ยังไงอ่ะ”

“... คือ  หมายถึง วิธีที่เราคุยกันน่ะ มันเหมือนคนอื่นคุยไหม”  ปุยเริ่มเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจมาแรมเดือน

“ดอยก็ไม่รู้... มันยากว่ะ  นี่บางทีก็ตั้งคำถามเหมือนกัน แต่กับคนอื่น เราก็มีคุยแบบนี้นะ  มะนาวเราก็เคยคุยแบบนี้ตอนเจอใหม่ๆ  กับคนในหอนี้ ก็เคยคุยแบบนี้แหล่ะ”

“คือ.. อันนั้น พวกเขาเป็นผู้หญิงอ่ะ”

“ก็นั่นแหล่ะ ที่ทำให้คิดมากอยู่นี่ไง  ไม่เคยว่ะ แบบ เรามันก็มีคำถามในหัวนะ แต่อย่างนึงคือ  เราว่า เราชอบคุยกับปุยนะ”

“เป็นไปได้ไหมว่า เราก็แค่ ชอบคุยกัน เจอคนคุยเรื่องเดียวกันแล้วมันสนุกอะไรประมาณนั้น” ปุยถามกลับ

“เอาจริงๆนะ  เราไม่ค่อยคุยเรื่องเดียวกันเท่าไหร่หรอก  เรื่องที่ปุยคุยกับโอ๊ค เราฟังแทบไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ และแน่นอนว่า เวลาเราคุยกับอาร์ม ปุยก็เอ๋อป๊ะ”

“ก็จริง  แต่ก็น่าจะเพราะเราสบายใจที่คุยกับดอยมั๊ง”

“ไม่.. ดอยสบายใจที่คุยกับโอ๊ค  กับเรา มันน่าจะความรู้สึกล้วนๆ”

“เฮ้ยย  อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ  พวกเรายังเด็ก พวกเราต้องเรียน อย่าไปคิดอะไรมากเลย”  ดอยทำตากลมใสซื่อเข้าใส่

“อย่ามาทำไขสือ  แล้วเวลาอยู่ในห้องนอน อยู่คนเดียวตอนดึก คิดถึงเราบ้างมั๊ยละ  เป็นเหมือนที่เราเป็นมั๊ย”

“........”

“นั่นแหล่ะ สิ่งที่พวกเราไม่ควรทำ และคนรอบข้างจะเสียใจ โดยเฉพาะพ่อกับแม่”

“งั้นเรา.. มาห่างกันดีไหมอ่ะ”

“ไม่รู้ดิ.. ไม่อยากห่างว่ะ  อยากใช้ชีวิตแบบทั่วไปนะ แต่อยากรู้ว่ามันผิดพลาดอะไรยังไง  นี่ทำของใส่เราป๊ะ”

“ไอ้บ้า ฮ่าๆๆ คนนะ ไม่ใช่พ่อมด” ปุยเจื่อนยิ้มขณะตอบ เขาหน้านิ่งไปสักพักตั้งแต่รอฟังว่าดอยอยากห่างเขาไหม
พระอาทิตย์ที่ตกดินไปพร้อมกับคำถามมากมายที่คนทั้งคู่แลกเปลี่ยนกัน จนมีเด็กหาสาวน้อยสามคน เดินลงมาพร้อมหนังสือกองใหญ่ เพื่อนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนในสวน ดอยจึงละจากบทสนทนา และเอากล่องยากันยุงไปวางที่ใต้โต๊ะให้ หญิงสาวเหล่านั้นขอบคุณและยิ้มหวานให้ดอย ปุยจึงขอตัวขึ้นตึกไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมไปร้านเจ๊นกน้อยตามนัด  โดยดอยก็เดินเปิดไฟในสวนตามจุดต่าง ๆ ก่อนจะเข้าห้องไปอาบน้ำเช่นกัน




วันนี้ร้านเจ๊นกน้อยไม่มีลูกค้าเลย เพราะหน้าร้านเขียนป้ายว่า “ปิดร้านหนึ่งวัน เจ้าของร้านคนสวยลาคลอด”  สร้างความขำขันให้สาวบาร์ที่เดินผ่านไปมาผู้เป็นลูกค้าประจำกันอยู่เสมอ  ภายในร้านโต๊ะเก้าอี้เก็บชิดกำแพงจนกลางร้านว่างเปล่า มีเพียงโต๊ะพับสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ มีผ้าปูโต๊ะลูกไม้สีน้ำตาลปูทับอยู่ และอาหารทะเล ยำน่องไก่ทอด ข้าวผัดไข่ใส่จานเปลจนพูนโรยด้วยเนื้อปูและผักชี  หม้อไฟขนาดใหญ่ที่มีต้มยำซึ่งใต้ฐานมีแอลกอฮอล์ก้อนรอการจุดไฟ  ถังโซดา น้ำแข็ง เหล้าสเปย์รอยัลหกขวด และจานชามวางเรียงรอบโต๊ะรอคอยแขกผู้มาเยือน

“โอ้โหววววว พอมีหนุ่มๆมากินนี่ น้องนก ใส่เต็มทั้งเสื้อผ้า ทั้งอาหารเลยนะครับ” ชายสูงอายุหน้าตาดี หน้าผากกว้างถึงกว้างมาก ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ กำลังแกะกุ้งอย่างบรรจงเพื่อเตรียมเข้าปากเอ่ยแซว

“แหม พี่แจ้ก็ นานทีหนุ่มๆพวกนี้จะมีเวลาให้ ช่วงปิดเทอม หนูก็ใช้พวกเขาจัง เดี๋ยวให้ไปซื้อนั่นซื้อนี่ไม่มีบ่น โดยเฉพาะเจ้าอาร์มนี่ มันบ่นไปยังงั้น แต่ในใจก็ห่วงคนตัวเปล่าเล่าเปลือยอย่างเจ๊ใช่ม๊า”

“คร้าบบบบ เจ๊นกน้อยสุดสวย วันนี้ผมเลยเอาคืน รับรองไม่เกรงใจล่ะนะ  แล้วนี่ปิดร้านกับเขาเป็นเนอะ เห็นงกขนาดนี้” อาร์มที่กำลังแกะปูเข้าปากอย่างเมามันถามกลับ พลางตักหอยแมลงภู่ในหม้อต้มยำใส่ถ้วยแบ่ง แล้วส่งให้มะนาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม  โดยมีดอย กับปุย นั่งถัดออกไปจากมะนาว  แล้วมีโอ๊ค นั่งอยูข้างเขาตรงข้ามกับดอย 

“หูยย ก็ถือโอกาสปิดด้วยเลยไง เหนื่อยมาก ปิดครั้งสุดท้ายก็ตอน เริงมายา อวสานนั่นแหล่ะ ป้าเอี้ยงก็บ่นจริง ว่านี่คือครัวนรก ใช้งานเยี่ยงทาส” นกน้อยจีบปากจีบคอนินทาแม่ครัวตัวเอง

“แต่ร้านพี่นกน้อยอร่อยจริงๆนะครับ ถูกด้วย นี่ถ้าใกล้บ้านนาว นาวคงเดินมากินทุกวันเลย”

“จร้าแม่คนสวย ยิ่งโตยิ่งสวยเนี่ย” นกน้อยพูดพลางสาละวนกับการเดินรอบโต๊ะดูแลของไม่ให้ขาดเหลือ “เสียอย่างเดียว มาสุงสิงกับพวกแก๊งฉมวกแทงเหี้ยพวกนี้”

“แก๊งอะไรนะครับ” ปุยแทรก ด้วยความงง มือยังคงเอาช้อนส้อมพยายามหั่นหมูแดดเดียวที่แข็ง แต่เขาพบว่ามันอร่อยล้ำ

“ก็น้าแจ้อ่ะสิ เรียกเราสามคนแบบนี้ ฉมวกมีสามง่ามไง เหมือนที่เรามีกันสามคนมานาน” โอ๊คเสริม เขาไม่ได้กินอะไรนัก แค่ยกแก้วเหล้าส่งเข้าปากไม่ขาดสาย

“แล้วตอนนี้ ก็มีคุณความดีขาวใสโผล่เข้ามาคานอำนาจ ความเหี้ยเลยล่มสลาย” อาร์มแสดงความเห็นจนทุกคนหัวเราะ

“อย่างนี้ น้าต้องเปลี่ยนให้เป็นสี่กุมารอะไรสักอย่างดีไหมวะ” น้าแจถามอาร์ม

“อย่าลืมมะนาวสิคะ เป็นห้าไม่ได้เหรอ” มะนาวเม้มริมฝีปากทำหน้างอนน้าแจ้ เมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนร่วม

“ห้า คือประตูรวม ที่แมนยู ยิงลิเวอร์พูล ในฤดูกาลที่แล้วหรือเปล่าวะไอ้ดอย” อาร์มทำหน้าเยาะเย้ยใส่คนที่นั่งเยื้องกัน

“แค่สี่เว้ย มึงอย่าเกรียน  ห้า คือจำนวนครั้งที่หงส์ชนะนอกบ้านปีนี้เฟ้ย”

“ห้า คือประตูที่เชลซี เพิ่งยิงวิมเบอดันไป” โอ๊คยักคิ้วบ้าง แสดงความเห็น พร้อมยกแก้วเหล้ามากระดกเข้าปาก

“ได้ข่าวว่า เพิ่งโดนทีมชาติไทยถล่มไปสี่ประตู มึงอย่าทำเนียนไม่เอ่ยถึง  ห้า คือ ห้าหมื่นขั้นต่ำ ที่คนเข้าชมใน Old Trafford เว้ย” อาร์มไม่ยอมแพ้โอ๊ค ยังคงอวดความเจ๋งของทีมตัวเอง

“ห้า คืออายุที่เจ๊เสียตัวครั้งแรก” นกน้อยแทรกขึ้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งโต๊ะ




ค่ำคืนคงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของคนคุ้นเคย  มีน้าแจ้ที่ลุกเดินกลับไปตรวจตราที่หอพักบ้างอยู่สองสามครั้ง  แต่ยังคงใจจดจ่อกับเหล้าและอาหารตรงหน้า   มะนาวที่มองนาฬิกาเป็นระยะฟ้องว่าได้เวลากลับบ้าน โอ๊คที่เริ่มตักข้าวผัดใส่จานทานตอนที่ทุกคนไม่ได้ทานแล้ว  ดอยกับปุยที่นั่งติดกันแต่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่  คงมีอาร์มที่ปล่อยมุกให้คนอื่นให้หัวเราะอย่างต่อเนื่อง  ก่อนน้าแจ้จะเป็นคนเริ่มขอตัวกลับไปที่หอพักอีกครั้ง 

“เดี๋ยวเด็กที่ร้านเน็ตกลับหมด จะมาช่วยเก็บล้างนะจ๊ะ น้องนกจ๋า”

“อ้าวยังมีเด็กมาเล่นช่วงเปิดเทอมอีกเหรอ ดึกขนาดนี้ ระวังโดนตำรวจจับนะพี่” นกน้อยถามด้วยความเป็นห่วง

“ก็เหลือน้องนักเรียนคนหล่อๆ ตัวผอมๆ ใส่แว่นหนาๆ ที่มาทุกวันน่ะ นี่ไม่เห็นใส่ชุดนักเรียนตั้งแต่เปิดเทอม น่าจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วมั๊ง โอ๊ยให้นั่งไปเหอะ ยิ่งอยู่ดึก ยิ่งทิปเยอะ”

“น้องเด็กแนวคนนี้ ทิปน้าแจ้ทีเป็นร้อย เป็นร้อยครับเจ๊นกน้อย” อาร์มฟ้องด้วยสีหน้าทะเล้นสุดขีด

“หูยย มีอย่างนี้ด้วย” นกน้อยเอามือทาบอก อุทานในใจ

“ก็น้องโอเล่ คนที่ชอบสั่งพะแนงกุ้งไม่เผ็ดเกือบทุกวันนั่นไงล่ะ กับปลาจาระเม็ดนึ่งบ๊วยน่ะ เป็นกับข้าวด้วยนะ ไม่เคยสั่งราดข้าวเลยสักครั้ง สั่งเป็นกับข้าวตลอด เมดทูออเดอร์” แจ้สาธยาย

“ห๋า หนูนึกว่ากินกันเป็นหมู่คณะนะนั่น นึกออกแล้ว เจ้าเด็กขาวๆ ที่แว่นหนาๆ นั่งแถวโต๊ะแถวสาม เออ.. มากี่ทีก็เห็นตลอด ยังคิดว่า แม่ไม่ตามกลับบ้างหรือไง”

“เอาน่า อย่ามาวิเคราะห์ให้เสียกำลังใจช่องทางทำกินของฉันเลย น้องตี๋แว่นนี่มือวางอันดับหนึ่งลูกค้าสุดที่รักของฉัน ใครก็ห้ามยุ่ง”

“ค่ะ ไปดูแลเลย ไม่ต้องมาล้างแล้วจานน่ะ จะปิดร้านดูข่าวจี้เครื่องบินที่ญี่ปุ่น นี่ไอ้โยชิ ที่หัวถนนแจ้นกลับประเทศไปเลย เห็นว่าแม่เขาอยู่ในเครื่องด้วย”

“มาสิ ยังไงก็มา เดี๋ยวมาดูด้วยกันนะ อยากรู้ว่าเขาจี้กันยังไง” น้าแจ้ที่เมาได้ที่ หยอกนกน้อย จนคนที่เหลือรู้สึกเป็นส่วนเกินแล้วขอตัวกลับบ้านกัน




อาร์มขับแคมรี่คันเก่งไปส่งมะนาวที่ล่ำลากัน  โดยมีโอ๊คกับปุยเดินนำไปที่สวนข้างห้องของดอย  ดอยเดินตามอยู่ห่างๆ  ทั้งสามคนมานั่งขัดตะหมาดล้อมวงกันบนแคร่

“สอบเก็บคะแนนเป็นไงบ้าง ทำได้มั๊ย” โอ๊คที่ก้มหน้า เอานิ้วเขี่ยหัวตะปูที่โผล่ทะลุซี่ไม้ลวกบนแคร่ ถามปุย

“ก็ทำได้ เรียนไม่ยากเลย แต่กิจกรรมเยอะ ของโอ๊คกับดอยล่ะ นี่เตรียมฝึกงานกันแล้วนี่”

“ยังหรอก อีกนาน แต่เตรียมยื่นไว้หลายที่แล้ว เรื่องมากที่สุดคือไอ้อาร์ม นี่ต้องหาที่ทำงานที่เป็นห้องแอร์ให้มัน” โอ๊คบอกด้วยสีหน้าสุดเซ็ง ก่อนจะหันไปถามดอย “แล้วมึงจะไปฝึกงานบริษัทพ่อกูไหม ผิดพลาดยังไงยังมีคนช่วยดูไม่น่าหนักอะไร แค่ตรวจใบประเมินก็ออกเกรดได้อยู่แล้ว เดี๋ยวกูบอกเขาให้”

“ก็ดี ฝากหน่อยเพื่อน แล้วมึงจะไปฝึกไกลถึงกรุงเทพทำไมวะ บริษัทพ่อมึงก็เลือกได้เยอะแยะจะทำแขนงไหน”

“อยากลองอะไรใหม่ๆบ้าง งานตัวถังและพ่นสียานยนต์ ของบริษัทพ่อกูก็แบบเดิมๆเปล่าวะ ถ้าไปในที่ซึ่งเทคโนโลยีมันดี มันเหนือชั้นกว่า อย่างน้อยกูก็ได้อะไรกลับมา”

“มึงสองคนนี่ช่างเหมือนกันอย่างกับแกะ” ดอยมองสองคนที่อยู่ตรงหน้า พูดจบก็คว้าแก้วเหล้าที่หยิบติดมือจากร้านเจ๊นกน้อยมาเข้าปาก โดยตั้งใจว่า หมดแก้วนี้คือพอก่อน

“เราไม่จริงจังขนาดโอ๊ค  เราแค่ให้ทุกคนพอใจ ให้พ่อไม่ต้องห่วงกับเรา แล้วก็แม่น่าจะชอบกับสิ่งที่เราเรียน”  ปุยแจกแจง

“ก็ยังดีที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร  เราไม่เคยจะรู้ใจตัวเองในสักเรื่อง” ดอยพูดขึ้นบ้าง

“มึงรู้..  แต่มึงแค่ต้องใช้เวลาอีกหน่อย มึงไม่โง่หรอก มึงแค่สับสน.. กูเป็นกำลังใจให้” โอ๊คมองมาที่ดอย พร้อมรอยยิ้มจาง
ทั้งสามยังคุยสัมเพเหระอีกสักพัก ก่อนโอ๊คจะเอ่ยขอตัวกลับ

“แล้วนี่ตกลงปุยจะไปทำรายงาน วิชาท่องเที่ยวทางทะเลที่ไหนล่ะเนี่ย” โอ๊คที่เอามือล้วงกระเป๋าในเสื้อสเวเตอร์สีน้ำเงินถามปุยที่ยืนอยู่กับเขาพร้อมดอย  ใกล้กลับแคร่ที่พวกเขาเพิ่งลุกจากมา

“อาจารย์บอกว่า เมืองกาญจน์ไม่มีทะเล จะใช้จำลองที่ ชายหาดหนองบัวแทน จำลองแม่น้ำเป็นทะเลนั่นแหล่ะ แต่เดี๋ยววิชาพฤติกรรมนักท่องเที่ยว น่าจะไปน้ำตกเอราวัณต้นเดือนหน้า”

“แล้วไปยังไงล่ะ เพื่อนมีรถเหรอ” โอ๊คถามกลับ

“เหมารถสองแถวไป ส่วนพวกผู้หญิงนั่งรถอาจารย์ไป พวกเราผู้ชายก็เหมาสองแถวไป แพงมากเลยไปกลับ 1700 แหน่ะ แต่ก็หารกันไม่เท่าไหร่...  ไปด้วยกันไหม..  ดอย.. โอ๊ค” ปุยรอดูปฏิกิริยาที่คู่สนทนาทั้งคู่หันหน้ามองกันเหมือนรอทีท่า

“เดี๋ยวเราเอารถตามไปเองก็ได้ ปุยไปกับเพื่อนจะได้ปรึกษาเรื่องงานกัน แล้วขากลับจะกลับกับเรา หรือจะกลับกับเพื่อนก็แล้วแต่  ไอ้ดอยมึงก็ไปกับกูสิ ไม่ได้ไปนานแล้ว เอราวัณ เดี๋ยวให้ไอ้อาร์มชวนมะนาวไปด้วยมั๊ย”

“เดี๋ยวกูดูก่อนแล้วกันนะ ห่วงน้าแจ้ วันนี้ร้านก็โดนตำรวจเล่น แม่งเข้ามาจับเรื่องที่มีคนเอาเพลงลิขสิทธิ์มาลงในคอม นี่ถ้ารู้ว่า กูไรท์ซีดีเพลงขายเด็กนักเรียนด้วยน่าจะโดนเป็นหมื่น” ดอยส่ายหัวแสดงออกถึงความเซ็ง

“เออ  ไงก็ส่งข่าวกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอก เดี๋ยวให้ลองให้พ่อเคลียร์ให้” โอ๊คเสนอ

“ไม่เป็นไร กลับไปนอนเหอะ พรุ่งนี้มึงต้องไปงานเลี้ยงตระกูลมึงนี่ ไปแล้วปุย ไปแล้วโอ๊ค บ๊ายบาย” ดอยโบกมือลาเพื่อน เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องของเขา โดยมีโอ๊คกับปุย โบกมือตอบรับ




กลางดึก เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่หัวเตียงของยอดดอย เขาเอื้อมไปรับขณะที่ยังอ่านการ์ตูนอยู่

“ฮัลโหล”

“.......”

“ฮัลโหล ดอย อีส สปีคกิ้งงง”

“เราเอง..”

“....”

“เราเอง..ปุย”

“ฟังเสียงลมหายใจก็รู้แล้ว”

“เว่อร์”

“จริงๆ”

“วันนี้เหมือนเรายังคุยกันไม่ชัดเจนอ่ะ มันยังค้างๆ คาๆ ใต้ต้นทองกวาวนั่น”

“ใช้ภาษากวีกับเราเหรอ ไม่ได้ผล”

“ไปเอราวัณด้วยกันนะ นะๆๆๆๆๆ”

“อยากให้เราไปจริงอ่ะ”

“อื้มมมมม  ถึงได้ชวนนี่ไง อุตส่าห์ชาร์จโทรศัพท์จนเต็ม แต่แป๊บเดียวไฟหน้าจอกระพริบโลว์แบตอีกแล้วอ่ะ”

“ให้เสี่ยโอ๊คซื้อให้ใหม่สิ”

“อ๊ะ ให้โอ๊คซื้อให้ทำไม ตังค์เราก็มี.. ไม่ใช่สิ  ตังค์พ่อเราก็มี”

“เผื่อเขาจะแลกกับสายข้อมือเส้นนั้นไง..  เส้นเหมือนที่ปุยใส่อยู่ ...เส้นที่ซื้อจากปลายสะพานข้ามแม่น้ำแควนั่น”

“......”

“จุกเลยเหรอ”

“บ้า.. แค่ว่า ทำไมชอบคิดมาก แถมบ่นยาวยังกะบทกลอน”

“ก็พยายามไม่คิด  เหมือนที่คุยเมื่อกลางวันนั่นแหล่ะ  ยิ่งคิดยิ่งผิด”

“นี่ตกลงว่า.. ชอบเราใช่ไหมอ่ะ”

“เฮ้ยยย !!  ทำไมขมวดปมเร็วแบบนั้น สั้นกว่าอายุของ ทามาก๊อตจิ อีก”

“ก็แค่อยากรู้...  ว่าคิดยังไงอ่ะ”

“ยังตอบไม่ได้หรอก แต่ว่า รู้สึกดี  ซึ่งมันไม่ดี”

“........”

“หมายถึง ถ้ารู้สึกดี มันจะไม่ดี ก็อย่างที่บอก ถ้าเป็นผู้หญิงมันคงง่ายน่ะ  ชีวิตเราทำไมไม่มีอะไรชัดเจนสักอย่างวะ”

“มีความหล่อที่ชัดเจน ฮ่ะๆๆ”

“จริงป่าววว.. เขินว่ะ  ว่าแต่  เรากับโอ๊ค ใครหล่อกว่ากัน”

“ทำไมไม่รวมอาร์มด้วยล่ะ”

“คนละลีกกันเลย ไอ้อาร์มมันแนวคุณชายคิกขุอ่ะโน่วเนะ อยากเทียบกับไอ้โอ๊ค  สายถักข้อมือนี่คือกรรมการเลือกแล้วใช่ม๊ะ”

“โหยยยย พูดไม่รู้เรื่องเลยอ่ะคนเมาเนี่ย  โอ๊คดีกับเรา เรารู้สึกดีด้วยมาก  ถ้าให้เลือกใครสักคนบนโลกใบนี้ เป็นพี่ชาย เป็นเพื่อนสนิทได้  โอ๊คนี่คือตัวเลือกแรกเลย”

“.............”

“ คุยกับโอ๊คได้สนิทใจ เวลาอยากทำอะไร เราอยากให้มีโอ๊ค ไปซะทุกเรื่อง”

“...................................................................................”

“แต่กับดอย ไม่เหมือนกัน”

“กับเรามันยังไง”

“เราอยากให้มีดอย ไปซะทุกวัน”

หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 4 : Feat. ยอดดอย ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 09-02-2018 19:18:12
แพ้แบบนี้ แพ้ไปเลย  :-[ :-[ แพ้ทุกตอนเลยก้อดีย์
ปุยนี่จริงๆ ก็คือ ยังไม่เคยชอบ ช-ช ชั่ยเป่า
ขอพี่โอ๊คเยอะๆ  :hao3: :hao3: :hao3:

เป็นความพ่ายแพ้ที่ฉวยยยยยงาม  555+ 

 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 8 ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 09-02-2018 22:34:12
ปุยเปิดไพ่แล้วว่าเป็น พี่ดอย อิ อิ    :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 9 : Feat. เจ๊นกน้อย “เจ๊าะไข่แดง” ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 10-02-2018 11:24:24

Track  9  : เกิดมาเป็นชาย.. ถ้ามัวอายกัน.. อีกกี่วันจะได้ เจ๊าะไข่แดง !

[ Feat.  เจ๊นกน้อย ]

อร๊ายยยยยย  ตอนนี้อิชั้นได้เป็นนางเอกชิมิคะ เพียงดาวน้ำตาจะไหลเลยค่ะขอบอก 
นี่ทิ้งร้านไว้เบื้องหลังมานั่งให้คิวสัมภาษณ์ที่นี่ที่เดียวเลยนะคะ  ปลื้มปริ่ม

อะไรยะหล่อน!! ยำปูม้า ?!! มาสั่งอะไรกันตอนนี้ เดี๋ยวแม่ตบเช็ดเม็ด ไม่เห็นรึ ว่าเขากำลังสัมภาษณ์ว่าที่นางเอกดาวรุ่งดวงใหม่ ขนาด กบ สุวนันท์ หรือจะ หมิว ลลิตา ยังไม่กล้ามาแหย๋ม  เออ.. อย่าเพิ่งไป จะสั่งอะไรก็เขียนรายการแล้วเสียบไว้ที่เคาท์เตอร์นั่นแหล่ะ เดี๋ยวกูไปยำให้ อีกสิบนาที !! 

อุ๊ย ขออภัยที่หยาบคายค่ะ

นกน่ะ ชื่อที่พ่ออิชั้นตั้งให้ แต่ฟังดู มันเหมือนจะต้องบินกลับบ้านคนเดียวยังไงไม่รู้สิคะ ชั้นก็เลยเติมคำว่าน้อยลงไปให้ฟังดูบอบบางเลอค่า เลิศสะแมนแตนไปเลยใช่มั๊ยคะ  ชีวิตชั้นคล้ายจะเป็นคนเฮฮาปาจิงโกะ มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆเลยล่ะคะ เพียงแต่ มันก็เพิ่งจะเข้าที่เข้าทางมาได้ไม่นาน



สี่ปีก่อน อิชั้นที่ไม่มีใครรับเข้าทำงานเพราะรูปพรรณที่เห็นมาแต่ไกลก็รู้ว่าเป็นกะเทย ไปที่ไหนใครก็ไม่เอา ต่อให้ชั้นไม่ได้ใช้ Shu Uemura มาโบ๊ะหน้าทาปาก คนก็มองรู้ว่าชั้นเป็นกะเทยอยู่ดี ฉันเคยเก๊กแมนไปสมัครงานตามที่ต่างๆ พอคนรู้ ก็ให้ชั้นออกในที่สุด ชั้นก็ตั้งใจว่า จะเขียนคิ้วทาปากไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่นี่แหล่ะ  ย้ายจากหัวหินถิ่นมีหอยมายังกาญจนบุรีที่แห้งแล้งกันดานขนาดนี้ กะว่าจะมาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่นี่ เห็นเขาว่าบาร์ผับขยันเปิดใหม่รองรับเมืองที่กำลังเติบโต

แต่แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด  ทุกบาร์ จะมีน้องชะนีนุ่งสั้นมาประจำบาร์ละห้าหกคนขั้นต่ำ ชั้นที่อายุมากแล้ว แถมเป็นกะเทย จะเอาอะไรกับการมานั่งรับแขกที่ไม่ได้มีรสนิยมแปลกมากเท่าเหมือนตอนที่อยู่หัวหิน 


แต่แล้วชั้นก็ได้รับความอนุเคราะห์จาก คุณนาตยา ผู้ซึ่งกำลังปลูกหอพักในทำเลสุดเริ่ดสะแมนเตน ไฉไลระบือไกลไปในคุ้งน้ำแคว เจ้าหล่อนเป็นคนใจถึง เด็ดขาดกว่าผู้ชาย ดิชั้นรับรู้ได้ทันทีที่เดินเข้าไปสมัครขอทำงานเป็นแม่ครัว นางบอกว่า ที่หอพักอาจไม่ต้องการแม่ครัว เพราะไม่ได้ขายอาหาร แต่ให้มาช่วยทำความสะอาดและดูแลหอพักไปก่อนจนกว่าจะหางานได้ ดิชั้นรู้สึกตื้นตันจนจุกอยู่ที่ปทุมถันคู่สวยของอิชั้นอย่างนั้นเลยเชียว 


การทำงานที่ไม่ใช่การรับแขก มันก็ยากกว่าที่คิด ไหนจะผู้ปกครองของนักเรียนที่มองชั้นด้วยหางตา ไหนจะพวกช่างที่มาซ่อมแซมต่อเติมคอยแซวบ้าง แอบด่าบ้าง คือชั้นไม่ค่อยได้รับการปฏิบัติที่ดีเท่าไหร่ แต่คุณนาตเธอก็ดีกับชั้นมาก ผ่านไปสองปีกว่า จนเก็บเงินได้ก้อนนึง ก้อนเล็กๆ แต่มาจากอาชีพสุจริตที่ชั้นไม่เคยคิดว่าจะมีได้ นอกจากเงินเดือนที่คุณนาตให้ แม้ไม่ได้เยอะ แต่เธอเปิดโอกาสให้ชั้นรับซักรีด ใช้ครัวทำข้าวขาย เอาผลไม้สดมาวางหน้าหอเพื่อขายคนผ่านไปมาได้ซื้อหา 

จนกระทั่งร้านส้มตำเจ๊นิดที่ติดกับหอพักย้ายออกไป คือไม่อยากจะเม้าท์ค่ะ นางได้ผัวนิโกรที่มาเทียวไล้เทียวขื่อ แล้วคง สะมานาแฮฟกันไปจนติดใจ ก็ขึ้นป้ายเซ้งร้าน  ชั้นเลยบอกคุณนาตว่าชั้นจะขอลาออกมาทำ แต่จะอยู่ช่วยจนคุณนาตหาคนมาแทนได้ เธอเต็มใจแถมให้ยืมเงินที่ขาด  ดิชั้นที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า หิ้วกระเป๋าเข้าไปเปิดร้านอาหารได้เพราะการช่วยเหลือจากเธอ จนบัดนี้ก็ผ่อนใช้คุณนาตอย่างสม่ำเสมอจนใกล้จะหมดหนี้ ชาตินี้ชั้นคงจะหาใครที่ดีกับกะเทยตาดำดำ หน้าโหดกว่า ดุ๊ก ภาณุเดช อย่างคุณนาตแบบนี้ไม่ได้อีกเป็นแน่
..แล้ว ผู้ชายสองคนที่เดินเข้ามาในชีวิต



ไก่แจ้ พี่ชายหัวเถิกที่แสนดีของอิชั้น แม้แกจะเป็นคนปากหมาถึงขีดสุด แต่แกก็ช่วยเหลือดิชั้นทุกอย่าง
ตอนเห็นหน้าครั้งแรก ก็รู้ทันทีแกเป็นน้องชายแท้ๆของคุณนาต ก็เพราะดวงหน้าคมคาย จมูกโด่งเป็นสัน และคิ้วที่หนาเข้ม
พี่แจ้เล่าให้ฟังว่า พ่อของเขาเป็นคนมอญ อยู่ที่สังขละบุรี ตระกูลของบ้าน เรืองพัฒนาวรรณ รุ่งเรืองเฟื่องฟู ยิ่งลูกสาวคือคุณนาตยามาเป็นกำนันก็ยิ่งเป็นหน้าเป็นตา

ยกเว้นแต่พี่แจ้นี่แหล่ะ ที่กินเหล้าเมายาไม่ทำงาน พี่สาวผู้แสนดีเลยให้มาคุมหอพักและส่งเงินให้ใช้อยู่เสมอ  แต่พี่แจ้ก็ดีขึ้นเรื่อยนะ เปลี่ยนตัวเองมาเป็นคนที่ขยันทำงาน แถมยังมีรายได้พิเศษจากการเอารถมอเตอร์ไซค์ และจักรยาน มาให้ฝรั่งเช่ารายวัน แล้วพอผู้เช่าร้านอินเทอร์เน็ต ทนพิษตำรวจมากวนไม่ไหว แกก็ขอเซ้งเครื่องต่อทันที

ชั้นก็มีรายได้มากขึ้นจากการขายข้าวให้ลูกค้าในร้านเน็ต ผู้ชายคนนี้จึงทำให้โลกของชั้น สั่นไหวในบางครั้งเลยค่ะ เดี๋ยวทศพี่แจ้เอาไว้ในใจก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟัง ว่าอีตาเนี่ย เมาแล้วไม่เบาหรอกค่ะ คริ คริ เขินชะมัด



อีกคนที่น่ารักไม่แพ้กัน คือ น้องยอดดอย ลูกชายหัวแหวนของคุณนาตยา ที่แม้น้องจะมีมาดดุดันแนวเด็กช่างทั่วไป แต่ก็ใจดีเป็นที่สุด ตอนที่น้องย้ายมาเรียนในเมืองเมื่อไม่นานมานี้ ก่อน อีตา เจมส์ เรืองศักดิ์ ชั่บ ชั่บ ชั่บ เครื่องบินตกไปแป๊บนึง 
ดอยพาก๊วนเพื่อนฝาแฝดที่หน้าตาโหดไม่แพ้กันมานั่งกินข้าวที่ร้าน ก็สัมผัสได้ว่า แก๊งฉมวกแทงเหี้ยกลุ่มนี้ แท้จริงมันก็แค่เรียกร้องความสนใจตามประสาวัยรุ่น แต่ละคนมีดีต่างกันไป ก็คงเหมือนกระจู๋ผู้ชายที่รอวันหัวเปิด 
อุ๊ย แค่เทียบให้เห็นภาพน่ะคะ ! 

น้องดอยมีน้ำใจ แวะเวียนมาช่วยเหลือเสมอ ถ้ามีนักเลงเมามาทำเจ๋อ ก็จะถูกน้องโอ๊ค น้องอาร์ม จัดการซะไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว ดุกว่า เต๋า สมชาย ก็พวกมันนี่แหล่ะค่ะ รู้สึกเหมือนเป็นดอกไม้ท่ามกลางหมู่ภมรเลยล่ะขอบอก



แต่เอ๊ะ พักนี้ รู้สึกน้องดอยจะเปลี่ยนไป.. ก็..   
เออ!! อีเห็ดสด ! กูรู้แล้ววว ขออีกห้านาที อีด_ก !! แดกยาดองรอไปก่อน กูแถมให้คนละเป๊กเลยไปตักกัน  แต่คนละเป๊กนะ ตักเกินกูจะบิดให้จิ๋มช้ำหนองเลยคอยดู !!   

อุ๊ย ขออภัยค่ะ อีพวกสาวบาร์มันคงหิว  คือป้าเอี้ยงแม่ครัวแม้จะทำกับข้าวได้เลิศเลอ แต่ถ้ายำ ต้องฝีมืออิชั้น เจ้าของร้านแซ่บอย่างไร ยำก็ออกมาแซ่บแบบนั้นเลยค่ะ ขอบอกกกกกก


คือน้องดอยเนี่ย  ดูแปลกมาได้สามสี่เดือนแล้วค่ะ จากเด็กกวนบาทาแต่หล่อชิบหายวายป่วง ก็ดูซึมๆ เหมือนมีเรื่องในใจ พอกับอีตาโอ๊ค ที่โครตพ่อโครตแม่หล่อ ก็แลดูมึนพอกัน แวะเวียนมาบ๊อยบ่อยจนผิดแปลกวิสัย  มีแต่ไอ้เจ้าอาร์มคนกวนตีนได้โล่ห์ แม้จะหล่อใสน่ารักแค่ไหน แต่ความปากคอเราะร้ายของมันนี่บางครั้งอิชั้นอยากจะร้องกรี้ด 

แต่อาร์มก็มีคุณความดีให้สรรเสริญอยู่บ้าง เด็กน้อยสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ที่ถึงจุดอับชื้นครึ้มแฉะเหมือนหอยแมงภู่ ให้กลายเป็นหายเครียดขึ้นมาซะงั้น  จนมาอาทิตย์หลังนี่แหล่ะ อาร์มก็ดูเงียบลง เอ๊ะ กลุ่มนี้มันโดนพลังแห่งสหัสวรรษใหม่ที่กำลังจะมาถึง ดูดกลืนไปหรือยังไง



แล้วท้ายที่สุด ดิชั้นก็ได้คำตอบ...  ในวันที่ดิชั้นปิดร้านปาร์ตี้กัน คำตอบทุกอย่างมันอยู่ตรงหน้าแล้ว 
การกลับมาของน้องมะนาวแสนสวยที่ชั้นคุ้นเคยกันดี 
แล้วก็พ่อเทพบุตรที่สวรรค์ส่งลงมาอย่างน้องปุยเมฆผู้หล่อใสสไตล์โกโบริเวอร์ชั่น โอ วรุฒ 

แต่ไม่รวมนัง ห้อง 2D คอยดูนะ หล่อนจะไม่ได้ตายดีเหมือนชื่อห้อง คอยดูสิ !!  รมย์เสีย ไปยำปูม้า ให้นังพวกนั้นก่อนดีกว่า  แล้วอารมณ์ดีเมื่อไหร่ จะมาเล่าเรื่องพี่ไก่แจ้ของชั้นให้ฟัง  อีตาเนี่ยนะ ก็เหมือนพ่อ สามหนุ่มแก๊งฉมวกนี่แหล่ะ  ปากดี ปากกล้ากันไปอย่างนั้น แต่พอเอาเข้าจริงก็ ป๊อด นั่งห่างเป็นวา โอ๊ยยังขาสั่น 

นี่ท้ายที่สุด คงต้องเป็นอีเจ๊นกน้อยนี่แหล่ะ ต้องลงมือเอง  คนพวกนี้ อ่อนต่อโลกค่ะ ถ้ามามัวนั่งมองกันแบบนี้ ก็ต้องขอติติงสักหน่อย ไม่ได้เจี๊ยะกันหรอกนะชาตินี้ อยากได้ก็ต้องบุก อยากพิชิตก็ต้องลุย ไม่อยากให้เขาห่าง ก็ต้องกระแซะเข้าไปสิ งี่เง่ากันจริง รมย์บ่จอย !!
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 9 : Feat. เจ๊นกน้อย “เจ๊าะไข่แดง” ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 10-02-2018 13:24:37

 :z1: :z1: :z1: :z1: :z1:
อีเจ๊ ทำให้เขาสมรักกันให้ได้นะคะ

2D นี่น่าจะสวยใช่ม๊ะ แต่ทำไม น้าแจ้ต้องเย็บปลอกหมอนให้ล่ะ

 :heaven :heaven :heaven :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 9 : Feat. เจ๊นกน้อย “เจ๊าะไข่แดง” ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 11-02-2018 01:24:44
อีเจ๊ หล่อนทำไมเริ่ด ปรายยัย ห้องสองดีให้จงได้

 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 9 : Feat. เจ๊นกน้อย “เจ๊าะไข่แดง” ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 11-02-2018 21:46:30
อีเจ๊ หล่อนทำไมเริ่ด ปรายยัย ห้องสองดีให้จงได้

 :laugh: :laugh:

กลัวพลิกล็อค ว่า 2d นี่ไม่ใช่กับพี่ดอย น่ะสิ
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 9 : Feat. เจ๊นกน้อย “เจ๊าะไข่แดง” ]
เริ่มหัวข้อโดย: anterosz ที่ 12-02-2018 00:30:53
ชอบๆ อ่านแล้วนึกถึงปี 99 เลย
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 10 : You’re the one : น้ำตกเอราวัณ ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 12-02-2018 17:57:41
Track 10 :  If there’s somebody.. calling me on.. She’s the one..

Camry CE สี Woodland Green Pearl แล่นด้วยความเร็วปานกลาง ผ่านข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นตะแบกที่กำลังออกดอกสีขาวในช่วงเดือนนี้   สลับกับต้นอินทนิลน้ำเรียงรายในด้านซ้ายมือ ขณะที่ขวามือเป็นหน้าผาหินที่ถูกระเบิดทำถนนแต่ก็ดูสวยงามขนานกันไป 

“ป่านนี้พวกปุยไม่ขึ้นไปถึงชั้นบนแล้วรึไงวะ แม่งมึงอ่ะตื่นสายไอ้ดอย” อาร์มที่รับหน้าที่เป็นคนขับรถบ่นอุบ

“พี่อาร์มขับช้าหน่อยสิคะ ขับเร็วไปแล้วค่ะ พวกปุยกับเพื่อนเขาต้องบันทึกสัมภาษณ์นักท่องเที่ยวไประหว่างทาง ดีไม่ดี ยังไม่ถึงชั้นสองเลยมั๊ง” มะนาวที่นั่งอยู่คู่กันด้านหน้า เอามือไปแตะมือของอาร์มที่เพิ่งเปลี่ยนจาก เกียร์ D มาเป็น 2 เนื่องจากกำลังถึงเนินขึ้นเขา เป็นเชิงเตือนให้ระวัง

“กูนอนตั้งเกือบตีห้า ไอ้สัส เราก็ไปเล่นน้ำตกของเราดิวะ ใครจะเดินขึ้นไปถึงชั้น 7 เหนื่อยตายห่า เดี๋ยวดักรอตอนปุยลงมาก็ได้” ยอดดอยมีท่าทางอิดโรย พลางกังวลถึงคนที่ป่านนี้ คงอิดโรยเพราะนอนน้อยไม่แพ้กันแต่ต้องตื่นเช้าไปกับสาขาเรียน

“ดอย มีแค่กูกับมึงเนอะที่เคยไปถึงชั้น7น่ะ ส่วนไอ้อาร์มแม่งกากว่ะ” โอ๊คที่นั่งชิดริมหน้าต่างหลังขวาพูดเสริม แต่ยังคงเอนนอนพิงหลังคล้ายคนหมดแรง สวมแว่นตากันแดดเลนส์สีดำ Oakley กรอบ Straight Jacket ใหม่เอี่ยม จนดอยที่นั่งข้าง หันมาทำปากเบะ หมั่นไส้ในความเท่เป็นระยะ

“เออ เหนื่อยสัส กูว่ากูจะไม่ขึ้นแล้ว รอแม่งชั้น 4 พอ” ดอยพูดไปหาวไป

“มะนาวก็ไม่เคยขึ้นไปถึงเลยอ่ะพี่ดอย อยากไป”

“ขึ้นไม่ไหวหรอกมะนาว ยิ่งใส่สั้นขนาดนี้ ระวังเหอะกิ่งไม้จะเกี่ยวเป็นรอย เดี๋ยวขาไม่สวยนะจ๊ะ” อาร์มยิ้มให้ตาหยี

“ไม่ขึ้นก็ได้ นั่งกินส้มตำรอที่ชั้นสองนั่นแหล่ะ”

“หน้าออกจะหมวย ห่างส้มตำเป็นไม่ได้เลยนะ”

“ไอ้พี่อาร์มบ้า ก็ส้มตำกินแล้วไม่อ้วนนี่ ไม่เป็นผู้หญิงไม่รู้หรอก ว่าเรื่องกินมันลำบากแค่ไหน”

“โอ๋ๆๆๆ  เดี๋ยวซื้อให้สองจานนะ”

“ปูหนึ่ง ปลาร้าหนึ่ง”

“เห็นแก่กินจังน้องเรา ฮ่าๆๆ” โอ๊คเสริมแต่กลั้นหัวเราะไม่อยู่

“เหอะ ก็ห้ามปากไอ้พี่อาร์มได้ซะที่ไหนล่ะ มันชอบว่าหนูน่ะพี่โอ๊ค จัดการมันให้หน่อย”

โอ๊คเอามือบ้องกะโหลกอาร์มที่นั่งขับรถอยู่ข้างหน้าเป็นเชิงหยอก จนอาร์มต้องเอามือซ้ายขึ้นมาลูบหัว มีมะนาวกับดอยหัวเราะชอบใจ  รถยังคงแล่นต่อไปอีกสักครู่ก็เข้าสู่ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ  ซึ่งห่างจากตัวเมืองกาญจน์เพียง 1 ชั่วโมง



ที่ลานจอดรถขนาดใหญ่ แม้แคมรี่สีเขียวมุกจะมาจอดเทียบก่อนสิบเอ็ดโมง แต่รถบัส รถตู้จำนวนมากก็จอดเรียงรายเต็มไปหมดแล้ว มีรถยนต์ส่วนตัวเยอะเช่นกัน แต่ที่ลานตาคงเป็นรถปิ๊กอัพซึ่งมีสัมพาระเช่นกระเป๋าเสื้อผ้า เสื่อ กระติกน้ำแข็ง ลังโซดา วางอยู่ท้ายรถ  บางคันก็มีคนนอนเฝ้าข้าวของ 

ดอยกับอาร์ม อยู่ในชุดเสื้อกล้ามขาสั้น แต่ไม่สั้นเท่ากางเกงของมะนาว กระนั้นสาวสวยขาวก็ยังมีเสื้อยืดตัวโคร่งคลุมร่าง จึงดูไม่ถึงกับเย้ายวนเกินงาม  ส่วนโอ๊คใส่เสื้อยืดสีเทา กางเกงยีนส์สีฟอก โดยเปลี่ยนรองเท้าผ้าใบคู่เท่เก็บไว้ที่รถ แล้วใส่รองเท้าแตะฟองน้ำเหมือนทุกคนแทน



“หูยยยย แค่ชั้นหนึ่งก็คนเยอะมากเลยว่ะ” อาร์มบอกทุกคน เมื่อเริ่มเห็นคนจำนวนมากที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่เรียงรายข้างน้ำตก ผ่านป้ายชั้น 1 ไหลคืนรัง ซึ่งเป็นแอ่งน้ำขนาดเล็ก มีน้ำตกไหลแรง บ่งบอกร่องรอยว่าเป็นฤดูกาลน้ำหลากของมัน 

ทุกคนเดินตามต่อจนมาถึงชั้น 2 วังมัจฉา ผู้คนจำนวนมากกำลังเล่นน้ำตกที่เวิ้งนี้ แม้น้ำตกชั้นนี้ ผลัดกันดำผุดดำว่าย แต่เนื่องจากแอ่งน้ำมีขนาดใหญ่ จึงไม่ถึงกับแออัดนัก  เสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่โดนปลาตอด เสียงสาวรุ่นกรี้ดกราดตอนโดนน้ำสาด ดึงสายตาทุกคนหันไปมองยิ้มน้อยยิ้มใหญ่   ที่ปลายทางเดินของน้ำตกชั้นสอง มีทหารตรวจกั้นไม่ให้นำอาหาร ขึ้นไป ยกเว้นน้ำดื่มคนละขวด พร้อมคำแนะนำให้ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทางก่อนจะกลับลงมา


มะนาวผู้เริ่มมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจแรงเหงื่อชุ่มยืนพักที่ป้ายน้ำตกชั้น 3 ผาน้ำตก  มีอาร์มเดินมาสมทบสารรูปเหงื่อโซกไม่แพ้กัน  ดอยกับโอ๊คที่เดินคุยคู่กัน ตามมาห่างๆ

“ชั้นนี้ ยังคนเยอะอยู่เลยว่ะ ขึ้นกันไปอีกสักชั้นมั๊ย” อาร์มถามทุกคน ทุกคนก็มีทีท่าเห็นด้วยแม้กระทั่งมะนาว ที่ใบหน้าแสดงท่าทีอ่อนล้าเต็มที่

“คือชั้น 7 นี่อีกไกลไหมคะพี่ดอย”

“ปกติ จากชั้น 1 ถึงชั้น 7 ประมาณ กิโลครึ่งครับ”

“มันก็ฟังดูไม่ไกลนี่หว่า ทำไมกูขาแทบลากแล้วเนี่ย” อาร์มบ่นอุบ

“มันวัดจากระยะทางเดิน แต่การเดินขึ้นเขามันกินแรง เดินช้าลง และเหนื่อยมากขึ้น” โอ๊คที่มีผ้าขนหนูขนาดเล็กสีน้ำเงินพาดอยู่บนบ่าซ้าย ตอบข้อสงสัยอาร์ม แล้วทั้งหมดจะเดินขึ้นกับต่อไป ทางเดินเป็นดินที่มีรอยย่ำจนดินเรียบ มีหินกลมฝังอยู่บ้างประปา นักท่องเที่ยวที่เดินขึ้นไปพร้อมกันระหว่างทาง บ้างก็ไม่สวมรองเท้า เพราะทางเดินไม่มีของแหลมอันใด ขณะนี้ เริ่มมีคนเดินสวนกลับลงมาบ้างแล้ว ส่วนใหญ่เป็น ผู้ปกครองอุ้มเด็กเล็กลงมา และผู้สูงอายุ



ลานน้ำตกชั้น 4 อกนางผีเสื้อ ซึ่งมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีความสวยงาม ก้อนหินกลมมนเรียงรายกันคล้ายหน้าอกหญิงสาว มีฉากหลังเป็นป่าสวยงาม คนในแอ่งน้ำมีไม่มาก น้ำใสเขียว  อาร์มจึงชวนมะนาวแวะเล่นที่ชั้นนี้ ในขณะที่ดอยกับโอ๊คลังเลที่จะลงเล่นด้วย เพราะกว่าจะขึ้นมาถึงชั้น 4 นี้ได้ ก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมง จนปวดขาไปตามกัน

“ไอ้โอ๊ค มึงจะอยู่เล่นชั้นนี้ด้วยกันมั๊ยล่ะ” ดอยถาม

“ไม่อ่ะ นี่มีคนเดินลงมา เห็นใส่เสื้อคณะปุยด้วย น่าจะเริ่มเสร็จกันแล้ว กูว่าจะลองเดินขึ้นไปหา”

“งั้นกูไปด้วย  ไอ้อาร์ม กูจะขึ้นไปข้างบนนะเว้ย มึงจะไปไหม หรือจะรอที่นี่”

“นาวไปด้วยพี่ดอย” มะนาวพูดเสร็จเตรียมจะลุกขึ้นจากน้ำ

“ชั้นข้างบน อีกประมาณสองชั่วโมงเลยนะนาว กว่าจะถึงน่ะ” อาร์มรีบเตือน

“ห๋า ไกลขนาดนั้นเลยเหรอค่ะ” พูดเสร็จมะนาวก็ทรุดนั่งลงในน้ำตกต่อทันที

“พวกมึงรีบไปกันเลย เดี๋ยวกูกับมะนาวเล่นตรงนี้สักพัก จะไปนั่งให้ปลาตอดที่ชั้นสองแล้วกัน กลับลงม่าก่อนบ่ายสี่นะเว้ย เดี๋ยวประตูปิด”




“กูได้ที่ฝึกงานแล้วนะ ได้ทำทั้งเชื่อมโลหะแผ่น และ พ่นสีในแผนกด้วย อยู่ในโรงซ่อมของสนามบินเลย ของ BOF Aviator” โอ๊คหันไปพูดกับดอยระหว่างเดินขึ้นน้ำตกไปตามทางด้วยกัน

“เฮ้ยจริงดิ  ดีว่ะ นี่เลขาของพ่อมึงก็โทรมานัดวันเข้าฝึกที่โชว์รูมของพ่อมึงด้วย กูขอบใจมึงนะ อะไรๆก็ต้องให้มึงจัดการให้ตลอด ขอบใจเว้ย” ดอยเอื้อมแขนไปโอบไหล่เพื่อนที่เดินอยู่คู่กัน

“ไม่เห็นจะยุ่งยาก เดี๋ยวถ้ามีคนให้มึงได้ดูแล มึงก็คงจะทำนั่นทำนี่ได้ด้วยตัวเองละมั๊ง อย่าคิดมากเลยว่ะ”

“มึงนี่แสนดีเนอะ ใครจะโชคดีได้มึงเป็นผัววะ สงสัยจะหลงแย่”

“มันไม่ใช่เรื่องของโชคหรอก.. มันต้องเป็นเรื่องของใจ  เฮ้ยอย่ามาชวนคุยเรื่องหนักเชี่ยอะไรตอนนี้ กูเริ่มจะหอบแล้ว”

“แหม กูก็เห็นเดินลอยหน้าหล่อๆ ทำเป็นไม่สะท้าน ที่แท้ก็เก๊กชิปหาย” ดอยขำใส่เพื่อนที่เขาแสนคุ้นเคย

ระหว่างทางมีราวสะพานทำจากไม้ลวกเป็นระยะในจุดที่เสี่ยงตกจากทางเดิน นับว่าเป็นความปลอดภัยที่ไม่เสียภูมิทัศน์ธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย  ที่แอ่งน้ำตกชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง ซึ่งได้เดินผ่านมาเมื่อสักครู่ เห็นวัยรุ่นกลุ่มใหญ่เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน มีหน้าผาขนาดเล็กวัดใจ วัยรุ่นชายกระโดดจากผาเล็กนั้นลงมาที่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ส่วนวัยรุ่นสาวปรบมือชอบใจ  อยู่เบื้องล่าง แล้วเขาสองคนก็มาถึงน้ำตกชั้น 6 ดงพฤกษา 




“โอ๊ค!!  ดอย!! ทางนี้” ปุยที่บัดนี้เล่นน้ำกับเพื่อนอยู่ในแอ่งน้ำตก ยืนโผล่ขึ้นมา เสื้อยืดสีขาวที่โดนน้ำเปียกจนผ้าแนบลำตัว เผยให้เห็นเนื้อใน ซึ่งขาวโพลนได้ชัดเจน จนดอยกับโอ๊คยืนอ้าปากค้าง

“ไอ้ปุย ใครอ่ะเพื่อนเหรอ หล่อทั้งคู่เลย มาเป็นแพ็คเกจเชียว อ้ายยยย” เสียงผู้ชายห้าวทุ้มแต่กรี้ดได้แหลมสูงลอยมา มีผู้ชายตุ้งติ้งอีกสามคนมาสมทบ และหญิงสาวอีกคนเอาฝ่าไขว้มือปิดหน้าอกใต้เสื้อยืดสีดำที่เปียกชุ่มเดินตามขึ้นมา 

“เพื่อนหล่อๆๆๆ จองๆๆ จองสองคนเลย” ผู้หญิงหนึ่งเดียวพูดด้วยเสียงตื่นเต้น ก่อนที่ปุยจะเข้ามาร่วมหัวเราะไปด้วย

“นี่เพื่อนเราเอง คนนี้ชื่อดอย ส่วนคนนี้ชื่อโอ๊ค   โหยย นี่มากันเร็วนะ เพิ่งเสร็จแบบสำรวจ 50 ชุด อยากจะบ้าตาย”

“แล้วนี่จะกลับกับเพื่อนหรือเปล่า หรือกลับรถไอ้อาร์มมัน” โอ๊คถาม    ปุยจึงหันไปถามเพื่อนร่วมสาขา ที่บัดนี้ ยังคงรุมล้อมดอย กับ โอ๊คแถมใช้สายตาโลมเล้าตั้งแต่หัวจรดเท้าจนสองหนุ่มแสดงอาการเขินชัดเจน แม้เพื่อนทุกคนก็ยินดีที่จะให้ปุยแยกตัวออกมา เพราะปุยได้ช่วยงานกลุ่มอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะที่แบบสอบถามนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปุยสามารถสื่อสารจนรู้เรื่องทำให้งานสำเร็จ  แต่เหล่าเพื่อนก็ยังไม่อยากทิ้งสองหนุ่มหล่อผู้มาใหม่ไป จึงยังคงยืนพูดคุยเฮฮากันที่ข้างน้ำตก
ปุยชวนให้โอ๊คกับดอยเดินลงน้ำพร้อมๆกันกับเขา   

โอ๊คถอดเสื้อยืดออก เผยให้เห็นรูปร่างที่สมส่วน มีมัดกล้ามพอประมาณตามประสาวัยหนุ่มตอนต้น รอยสักรูปเครื่องหมายสันติภาพอยู่ที่หัวไหล่ซ้าย เขาเดินลงน้ำตกพร้อมกางเกงยีนส์สีฟอกตัวที่ใส่มา จนเพื่อนของปุยที่ยืนกันริมตลิ่งผิวปากแซวด้วยความชื่นชม หนึ่งในนั้นแทบเป็นลมทั้งยืน
ดอยเหมือนจะไม่ยอมแพ้ ถอดเสื้อกล้ามโยนไปทับเสื้อของโอ๊คที่พับวางบนก้อนหินเปล่า แล้วเดินลงน้ำไปเช่นกัน เพื่อนของปุยกรี้ดกันอีกรอบด้วยความริษยาปุย จนปุยต้องชี้หน้าขึ้นมาปรามให้หยุดกรีดร้องเสียงดัง 



“เพื่อนมีแต่ตุ๊ดเนอะ” ดอยที่เหลือแต่คอที่โผล่พ้นน้ำในแอ่งตื้น ลอยตัวมาใกล้ปุย

“ก็การท่องเที่ยว การโรงแรม มันก็มีแต่แบบนี้ป๊ะ ผู้หญิงก็มี ผู้ชายก็มี อย่างเรานี่ง่ะ”

“ผู้ชายอย่างปุยนี่นะ เหอะๆ..”

“ผู้ชายอย่างเราทำไม พูดดิ๊” ปุยยืนขึ้นเหมือนจะเอาเรื่อง แต่ท่าท่างไม่ได้จริงจังอะไรนัก เป็นเชิงล้อเล่นมากกว่า

“นั่งลงเร็ว คนเห็นนมหมดแล้ว”

“ไอ้บ้า มาดูนมผู้ชายด้วยกันทำไมล่ะ” ปุยเถียงแต่ก็รีบนั่งลงอย่างเร็วด้วยความอาย จนตัวจมน้ำไปเหลือแต่หัวกับคอ
โอ๊คที่ขึ้นจากน้ำ ไปนั่งที่โขดหิน มองทางน้ำตกที่ไหลลงมาอยู่สักพัก ก็มีดอย กับปุย เดินมาสมทบ




“จะลงไปข้างล่างยังวะโอ๊ค เดี๋ยวอาร์มกับมะนาวจะรอ” ดอยที่เดินโชว์กล้ามเนื้อสวยงามบนผิวเข้ม แขนและไหล่ของดอยจะล่ำกว่ากล้ามเนื้อของโอ๊คเล็กน้อย ในขณะที่โอ๊คจะผอมและสูงกว่า

“มึงกับปุย เดินลงไปรอก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูขอขึ้นไปชั้น 7 ก่อน” โอ๊คที่สูบบุหรี่ไปหนึ่งตัวเมื่อสักครู่ ลุกขึ้นยืน แสงอาทิตย์ที่อยู่เบื้องหลัง ทำให้ปุยเห็นหน้าเขาไม่ชัดนัก เป็นเงาดำมืดย้อนแสงลงมา แต่ยังคงมีดวงตาที่เขาเห็นอยู่

“เราไปด้วยสิโอ๊ค   ดอยล่ะ ไปด้วยกันไหม”

“ไป  ไปกันสามคนนี่แหล่ะ” ดอยบอกกับปุย แต่หน้ามองไปที่คนที่ยืนบนโขดหินสูง แล้วเก็บของลุกขึ้นเดินเกาะกลุ่มกันไป



ภูผาเอราวัณ น้ำตกชั้นที่ 7 แทบไม่มีคนเหลืออยู่แล้ว มีวัยรุ่นอีกกลุ่มนึงที่ยังคงนั่งถ่ายรูปอยู่บน ก้อนหินเรียงรายสามก้อนใหญ่บริเวณหน้าแอ่งน้ำตก ที่หลายคนจินตนาการว่า เป็นหัวช้างสามเศียรโบราณเตรียมออกศึก
เพื่อนสามคนนั่งอยู่ที่ริมตลิ่ง มองตามสายน้ำตกที่ไหลลงมาจากหน้าผา ถือเป็นต้นกำเนิดน้ำตกทั้ง 7 ชั้นนี้  โดยปราศจากคำพูดใดกันมาพักนึง จนปุยต้องเป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อน
“สวยเนอะ..  ยิ่งสูง ยิ่งรู้สึกว่ามันสวย”

“มันยากด้วยล่ะ กว่าที่จะขึ้นมาถึง มันเลยยิ่งน่าชื่นชมเข้าไปอีก” ดอยแสดงความเห็นในมุมของเขา

“ก็คงอย่างนั้น แม่เราเคยขึ้นมาถึงชั้นนี้นะ เรามีรูปอยู่”

“จริงดิ แม่จ๊าบดีว่ะ นี่เราเพิ่งขึ้นมาถึงเป็นครั้งที่สองนะ ครั้งแรกมากับไอ้โอ๊ค ส่วนไอ้อาร์มไม่ต้องพูดถึง นอนให้ปลาตอดไข่อยู่ข้างล่างตลอด” ดอยนึกถึงความหลังเหลือบไปมองโอ๊คที่นั่งอยู่ถัดจากปุย  โอ๊คไม่ได้พูดอะไรตอบแต่ก็ยิ้มจางบนใบหน้า ตายังคงมองที่ตาน้ำบนผานั้นไม่ละสายตา ตัวสั่นเพราะความเย็นของละอองน้ำตกที่มากระทบผิวสีเข้มเนียน

“โอ๊ค” ปุยเอ่ยเรียกคนที่นั่งข้าง

“ครับ”

“ด้วยน้ำตกเป็นพยาน..”

“......”
 
“โอ๊คชอบเราอยู่ใช่ไหมอ่ะ”

“เฮ้ย!!” ดอยอุทานด้วยความตกใจ จนปุยหันมามอง  แต่โอ๊คยังคงไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“ไอ้ดอยมันอยากได้คำตอบ หรือปุยอยากรู้” ผู้พูดไม่ได้หันหน้ากลับมามองผู้ถาม เพราะเขายังคงสนใจที่ลำน้ำ เหมือนกับมีความคิดมากมายล่องลอยในหัว

“ดอยก็ยังไม่ตอบเราเหมือนกัน.. เราก็อยากรู้ด้วย เราไม่ชอบให้อะไรมันค้างคาอ่ะ เรานอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว”

“ต้องตอบแบบไหน ถึงจะให้ทุกอย่างคงอยู่อย่างนี้ล่ะ”

“เอาแบบจริงใจ ไอ้โอ๊ค” ยอดดอยเสนอ เขาเอาขาขึ้นจากน้ำเปลี่ยนเป็นมานั่งขัดสมาธิ แล้วหันตัวเข้าหาอีกสองคน
โอ๊คหลับตาไปประมาณห้าวินาที แต่มันยาวนานสำหรับปุยและดอย ก่อนจะลืมตาขึ้นและหันมา

“มึงตอบใจตัวเองได้แล้วหรือยังล่ะดอย.. ถ้ายัง กูก็ไม่ขอตอบ ถ้ามึงชัดเจนมึงค่อยมาเอาคำตอบจากกู”

“....”

“ส่วนปุย ปุยจะคิดว่าเราคิดยังไง เอาที่ปุยสบายใจได้เลย เรารู้ว่าเวลานี้ มันเป็นเวลาของการตามความฝัน อย่าให้เรื่องหยุมหยิมมาหยุดฝันของปุยเลย”   ก่อนทั้งหมดจะนิ่งเงียบกันไป จนปุยเป็นผู้เสนอให้เดินกลับกัน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ ทยอยประกาศโทรโข่ง เหลือเวลาเล่นน้ำอีกเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง ให้ทุกคนลงไปถึงชั้นสองก่อนจะกั้นไม่ให้คนขึ้นมาอีก



ทั้งสามคนเดินลงจนมาถึงชั้น 5 บริเวณแท่นหินอกนางผีเสื้อที่สวยงาม  อยู่ดีๆ ปุยเมฆก็ละจากเพื่อนทั้งสอง เดินไปที่แท่นผาเล็ก ที่มีวัยรุ่นกระโดดจากแท่นหินลงไปยังแอ่งน้ำเบื้องล่างอยู่เป็นนิจ แม้ความสูงจากข้างบนลงไป จะเป็นภาพชวนหวาดเสียว และทำให้ปุยลังเล แต่เขาก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำอะไรที่บ้าบิ่นและปลดปล่อยใจที่อึมครึมมาตั้งแต่ปีก่อน  พลางกวักมือเรียกดอยและโอ๊คให้เดินมาหาเพื่อกระโดดด้วยกัน

โอ๊คอยู่ด้านซ้าย ปุยยืนตรงกลาง มีดอยยืนด้านขวา ยืนเหนือเวิ้งน้ำเบื้องล่างที่ใสเขียว น้ำจากโขดหินไหลผ่านซอกเท้าแรงเชี่ยวจนรู้สึกได้  มีเจ้าหน้าที่เดินทยอยไล่ให้คนเดินลง ยังเป่านกหวีดเรียกให้ทั้งสามหนุ่มรีบขึ้นจากน้ำตกเพื่อไปสมทบกันที่ชั้นสองตามเวลาที่กำหนด

“กระโดดกับเราพร้อมกันนะ ดอย.. โอ๊ค...  หนึ่ง.. สอง..”

สิ้นเสียงคำว่าสาม  โอ๊คคว้ามือของปุย กระโดดคู่กันจากโขดหินผา ลงไปยังเวิ้งน้ำเบื้องล่างที่ลึกและเชี่ยวกราด โดยยังมีแค่ยอดดอยยืนอยู่เบื้องบนคนเดียว

“ลงมาสิดอย โดดลงมาเลย” ปุยที่บัดนี้โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำแล้ว ตะโกนเรียก พลางตีขาในน้ำเพื่อพยุงตัวให้ลอยเหนือผิวน้ำ โดยมีโอ๊คที่ลอยไปเกาะโขดหินริมน้ำตก แล้วปีนขึ้นไปนั่งเปลือยท่อนบน หันไปมองดอยที่อยู่บนหน้าผา

“มึงทำได้ ไอ้ดอย” โอ๊คส่งยิ้มไปที่เพื่อนรัก   ก่อนจะมีเสียงน้ำกระเพื่อมตูมใหญ่ตามมา






“มะนาวรอนานมาก พวกพี่ทำอะไรกันอยู่คะ มาเลยๆๆ ส้มตำหมดไปสามจานแล้ว พี่อาร์มซัดไก่ไปหกน่องคนเดียว”

“ก็มันอาหย่อย อิ อิ   แต่กูอิ่มชิปเป๋งเลยไอ้ดอย มึงไปซื้ออีโนรสมะนาวมาให้กูเลย เอิ๊กกกก”

“อี๋ น่าเกลี่ยด พี่อาร์มเนี่ย เรอได้สยิวกิ้วมาก”

สามคนที่เพิ่งมาใหม่ มานั่งสมทบที่โต๊ะม้าหินอ่อน ซึ่งขณะนี้ถูกจับจองเต็ม มีเหล้า และไก่ย่างวางไว้แทบทุกโต๊ะ มีวัยรุ่นกำลังเดินไปชำระกายที่ห้องอาบน้ำด้านข้างร้านอาหาร  เด็กน้อยนอนหลับเพราะความเหนื่อยล้าจากการเล่นน้ำบนหลังรถกระบะที่จอดเรียงราย  มีคนขับรถบัสที่เพิ่งตื่นเตรียมเช็ดกระจกหน้ารถบัส  โดยนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศทยอยขึ้นรถตู้ และรถโดยสารที่ตัวเองอาศัยมา

“อาร์ม เมื่อกี้เพื่อนรักมึงกระโดดหน้าผาชั้น 5 ว่ะ”

“เฮ้ยยย เชี่ยย  กูพลาดของเด็ด โหว เสียดายยิ่งกว่าไปจองตั๋วแบบเบิร์ดเบิร์ดโชว์ไม่ทัน”  อาร์มตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยิน

“หน้าผาเตี้ยจะตาย ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น” ปุยที่หยิบไก่ย่างน่องใหญ่มาแทะ เล่าให้ฟังบ้าง

“สูงน่ะไม่เท่าไหร่ พี่ดอยนะ  กลัวน้ำลึกถึงขั้นวิกฤต” มะนาวรีบชิงพูดบ้าง

“จริงดิ อ้าวเราไม่รู้ เฮ้ยย ขอโทษ” ปุยทำหน้าตารู้สึกผิด พร้อมส่งน่องไก่ที่เพิ่งกัดให้ดอยแทะบ้าง  โดยอีกฝั่งลังเลแป๊บก็เอื้อมหน้าไปแทะน่องนั้นจากมือปุย  ทั้งโต๊ะก็นิ่งเงียบไป ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินอาหารต่อ  โอ๊คสั่งปลานิลตัวโตย่างเกลือมาเพิ่ม และขอขันอาสาเลี้ยง โดยมีดอยขอออกค่าเหล้า  ปุยขอบคุณทุกคนที่มารับ ขอออกค่าน้ำมันขากลับ  อาร์มหัวเราะชอบใจที่เขาไม่ต้องออกเงินอะไร จนลุกขึ้นยืนปรบมือ





“เสื้อปุยน่ะ โป๊มากเลยนะเมื่อกี้ ผู้ชายที่โต๊ะข้างๆ มองกันใหญ่เลย” มะนาวหันมาพูดกับปุย ที่นั่งเบาะหลังตรงกลาง ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเป็นเสื้อสเวเตอร์แขนยาวสีฟ้าอ่อน  แต่โอ๊ค กับ ดอย ยังนั่งถอดเสื้อโชว์มัดกล้ามที่เบาะหลัง โอ๊คหลับไปแล้วแต่ยังคงสวมแว่นตาดำแม้ไม่มีแดดแล้ว 

“ไม่ใช่แล้วมั๊งมะนาว ผู้ชายเขามองมะนาวกันนั่นแหล่ะ นุ่งสั้นขนาดนี้ เห็นคนที่สักเต็มตัวป๊ะ น้ำลายแทบจะไหลกระเด็นมาโดนหัวอาร์ม เขามองตามมะนาวตอนลุกไปซื้อไอติมกิน อย่างกะจะกินเลือดกินเนื้อน่ะ” ปุยล้อเลียนมะนาวบ้าง

“ไม่ต้องเถียงกันนั่นแหล่ะ ผู้ชายเขาก็แพ้ความขาวของทั้งคู่นั่นแหล่ะ ไม่ต้องเถียงกันนะ เอาเป็นว่าเสมอกัน” อาร์มเถียง

“ไอ้อาร์มบ้า เราเป็นผู้ชายนะ ผู้ชายเขามองมะนาว ไม่ได้มองเราซะหน่อย”  ปุยกลบเกลื่อนเสียหัวเราะด้วยความอาย ก่อนจะกลับมาพิงที่เบาะหลัง 

“พี่ดอย เขาไม่ทานของต่อจากใครนะ” มะนาวหันไปยิ้มให้ปุยก่อนจะหันกลับมาแล้วเอนตัวลงนอน คล้ายจะขอตัวงีบเล็กน้อย อาร์มที่นอนเต็มอิ่มระหว่างรอเพื่อน  จึงขับรถด้วยความกระปรี้กระเปร่า เขาเอื้อมมือไปเปิดเพลงอัลบั้มใหม่ของ BoyZone คลอเบาๆ เพื่อให้เพื่อนฝูงได้พักผ่อนระหว่างเดินทางกลับ
“No matter what they tell us... No matter what they do...
No matter what they teach us... What we believe is true”


“ทีหลังถ้ากลัว อย่าทำนะ” ปุยยังรู้สึกผิด ที่รบเร้าให้ดอยซึ่งกลัวน้ำลึกกระโดดจากหน้าผาสู่เวิ้งน้ำเขียวเข้มนั้น เอ่ยขอโทษอีกเป็นครั้งที่ร้อย พร้อมวางมือมาลูบที่แขนของยอดดอยคล้ายจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายไม่ถือสา 

“แล้วก็ถ้าไม่ชอบอะไรที่เราทำ ปฏิเสธเราบ้างก็ได้นะ”  ปุยใช้น้ำเสียงออดอ้อนขอการอภัยครั้งแล้วครั้งเล่า

ดอยดึงแขนตัวเองออกจากฝ่ามือของปุย ก่อนเปลี่ยนเป็นเอามือขวาของเขากุมมือซ้ายของปุยแล้วจับมันไว้อย่างนั้นจนตลอดทางกลับ  “ยอมให้คนเดียวเลย ยอมให้ทุกอย่างเลย..”

หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 10 : You’re the one : น้ำตกเอราวัณ ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 12-02-2018 23:45:57
มะนาวกับพี่อาร์ม ลงตัว !!
ตาม ปุย กับ พี่ดอย มาติดๆ
แต่พี่โอ๊คนี่ให้ลงเอยกับใครดีหว่า
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 11 : คนนี้สิมาแรง.. สายตาคงไม่หลอก ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 14-02-2018 01:42:34
Track 11 :   คนนี้สิมาแรง... สายตาคงไม่หลอก..

“ปุย แกพูดมาเดี๋ยวนี้ โอ๊ค กับ ดอย ของฉันเนี่ย มีเมียกันหรือยัง เกิดราศีอะไร อย่างฉันพอจะมีสิทธิไหม” กะเทยหัวโปก เขียนคิ้วโก่งหนาชื่อ โหน่ง เป็นคนเอ่ยถาม ในขณะที่เพื่อนในกลุ่มปุยสุมหัวสนใจกัน เมื่อโหน่งได้เปิดประเด็นบนโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นมะขามที่อยู่ในรั้ววิทยาลัย

“พวกแกต้องเรียกเขาพี่ เขาแก่กว่าพวกแกปีนึง” ปุยที่กำลังก้มหน้าเขียนสรุปบทสัมภาษณ์ที่รวมได้จากการไปออกหน่วยที่น้ำตกเอราวัณ ชี้แจงให้เพื่อนฟัง

“แล้วทำไมแกไม่เรียกเขาพี่ล่ะ” จอย ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มถามกลับ

“ก็อายุเท่ากันอ่ะ เอาจริงๆนะ พวกแกต้องเรียกชั้นว่าพี่ด้วย  นี่ชั้นหยวนๆให้ เห็นเรียนรุ่นเดียวกัน”

“จร้า” เพื่อนทั้งโต๊ะประสานเสียง

“แล้วนี่ ใครผัวหล่อนยะ” กอล์ฟ หนุ่มผอมบางร่างอ้อนแอ้นมีสิวเต็มหน้า ถามด้วยความสนใจ

“เฮ้ยยยยยยย  พี่น้องกันเว่ย ชั้นเป็นผู้ชาย ชั้นจะมีผัวได้ยังไง ไอ้พวกบ้า”  ปุยวางปากกา ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“อย่ามาแสดง ฉันเห็นเขาเยื้อแย่งมึงในน้ำตกขนาดนั้น เจ้าป่าเจ้าเขาไม่ปล่อยน้ำป่าท่วมใส่มึงก็ดีตายห่า บัดสี บัดเถลิง”

“พวกแกอย่ากดดันชั้นสิ ยิ่งเครียดเรื่องนี้อยู่ คืออยู่โรงเรียนเก่าชั้นก็มีแต่แฟนผู้หญิงอ่ะ”

“ห๋า” เสียงประสานดังขึ้นพร้อมกันทั้งโต๊ะอีกครั้ง จนโต๊ะเด็กช่างยนต์ที่อยู่ห่างออกไปต้องหันมามอง

“เออ.. ก็เคยมีแฟนอยู่สองสามคนแหล่ะ หน้าตาชั้นก็ไม่ได้ขี้ริ้วนี่ แบบที่ผู้ชายฮอตทั่วไปเขามีกันไง”

“แล้วแกทำอะไรกัน โซเดมาคอมกันม๊ะ มีอารมณ์เหรอ” จอยถามด้วยความสนใจ 

“ก็อ่านหนังสือ ไปห้องสมุด ไปเดินเปิดท้ายขายของ เป็นตัวแทนโรงเรียนถือพาน เป็นหลีดเดอร์กีฬาสี อะไรแบบนี้”

“เฮ้อออออ  เพื่อนกู” โหน่ง ตุ๊ดร่างบึ้กนั่งท้าวคาง ถอนลมหายใจเซ็ง “ฉันเห็นแกแว่บแรก ก็ว่าดูหล่อดี ก็มีความแอบอยากลองเด้อแกอยู่นะ แต่สักพัก ประกายความสวยแกแผ่ออกมาจนฉันยอมแพ้”

“สวยกะเตี่ยมึงสิอีโหน่ง ประเด็นคือ ชั้นก็เป็นเด็กเรียนมาตลอด คงไม่คิดอะไรพวกนี้หรอก นั่งย้อนคิดดูที่ผ่านมาก็ไร้สาระ เสียเวลาจะตาย ต้องมานั่งเอาใจใคร มันน่ารำคาญอ่ะ เรียนๆให้มันจบๆ โตแล้วค่อยมีแฟนน่ะ”

“แล้วที่สองหนุ่มเขามารุมเอาใจแกขนาดนี้ คือชอบใช่ไหมถามจริง” กอล์ฟถามบ้าง

“..........”

“เอางี้” จอยตัดบท   “ใครมีลุ้นมากกว่ากัน?”





ที่ร้านอินเทอร์เน็ต ใต้หอพักนาตยา มีรถเมอร์ซิเดส E320 ทะเบียนสีฟ้าอมน้ำเงิน สี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบยาว ตัวเลขเป็นสีขาว จอดอยู่หน้าหอ ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงสาย ถนนแห่งนี้ยังคงหลับใหล รถผ่านไปมาไม่มากนัก

“ไม่ทราบว่า ท่านจะรอเจอน้องปุยด้วยเลยไหมครับ ผมเอากุญแจห้องสำรองมาให้ได้ครรับ”  แจ้หิ้วถุงพะรุงพะรังและของใช้ ซึ่งเพิ่งช่วยขนลงมาจากท้ายรถเก๋งซีดานมาวางบนโต๊ะทำงานซึ่งอยู่ในสุดหลังคอมพิวเตอร์แถวที่หนึ่ง

“ไม่ดีกว่าครับคุณแจ้ เดี๋ยวผมต้องรีบไปธุระที่ชายแดนต่อ ไม่รู้ว่า ลูกปุยน่าจะมีเรียนหรือเปล่า เพราะโทรหาก็ปิดมือถือ ส่งเพจไปทีไร กว่าจะตอบกลับแต่ละทีแทบหมดวัน” ชายรูปร่างสูงใหญ่ ที่แม้เข้าสู่วัยเกษียณแต่ยังคงดูมาดดี หลังตรง ผมสีดอกเลาแซมสีดำ และดูหนุ่มกว่าอายุมาก  พูดกับผู้ดูแลหอพัก

“ถ้าอย่างไร โทรมาที่ร้านก็ได้ครับ ผมจะโอนสายไปที่ห้องให้ พอดีปกติห้องชั้น 3 ไม่ได้เดินสายโทรศัพท์ขึ้นไปไว้ แต่บ่ายนี้ผมว่าจะไปต่อไว้ให้ เผื่อน้องปุยจะเอาไว้ใช้ เห็นแกคุยกับหลานผมบ่อยแทบทุกคืนเลย เกรงจะเปลืองค่าโทรศัพท์กันทั้งคู่”

“อ้าว หลานคนที่รับจองห้องตอนผมโทรมาน่ะเหรอ ผมนึกว่าเขาพักอยู่ที่นี่ซะอีก ดันเผลอไปฝากฝังดูแล ก็นึกว่าอยู่ที่นี่”

“เขาก็พักอยู่ที่นี่ครับ”

“แต่โทรคุยกัน ? ฮ่าๆๆ เด็กสมัยนี้แปลกดีนะ  เอาล่ะ ผมไปล่ะ เดี๋ยวเอาไว้จะมารับปุยไปดูที่ดินที่แม่เขาซื้อไว้ จากหอนี้ไปจริงๆ ก็เดินถึง  อยู่ในซอยก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำแควนี่เอง แต่ที่มันรกร้าง กลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะฉกเอา เดี๋ยวผมจ้างคนมาไถ แล้วจะพาเขาไปดูซะหน่อย”

“ครับ เดี๋ยวน้องกลับมาผมจะเอาของฝากให้แกนะครับ  ส่วนของผมก็ขอบพระคุณท่านมากครับ หืม นานทีจะได้ดื่มเหล้านอกยี่ห้อดี เกรงใจชะมัด”

“ไม่ต้องเกรงใจ ฝากดูแลลูกผมด้วย ผมไม่มีเวลาให้เขามากนัก  คงต้องพึ่งพาคุณแจ้หน่อย  ผมไปละนะ”

“ครับ สวัสดีครับท่าน เดินทางดีๆนะครับ” 

“เออ.. หลานคุณแจ้น่ะ ชื่ออะไรนะ..”  คุณธรรมเสถียรหันกลับมาถามผู้ดูแลหอพักที่เดินตามออกมาส่งขึ้นรถ

“ดอยครับ..  หลานผมชื่อ ยอดดอย” 





“ปรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”  ชายหนุ่มที่ดูแก่กว่าคนอื่นในสนามหญ้าของวิทยาลัย เป่านกหวีดเดินมาที่ดอย พร้อมชี้ไปที่สร้อยเงินบนหน้าอกล่ำ สั่งให้ถอดสร้อยออก เนื่องจากอาจจะทำอันตรายให้คู่แข่งขันได้

“โหยยย อันนิดเดียวพี่เอ้” ดอยที่ยืนเปลือยท่อนบน บ่นใส่รุ่นพี่ซึ่งรับหน้าที่เป็นกรรมการฟุตบอลของเกมนี้

“เล็กแต่แหลมอย่างเชี่ย เดี๋ยวมึงเอาไปแทงเด็กเกษตรถึงตาย ไปเลยไปถอด ไอ้สัส”

“ใครจะแทงเด็กเกษตร มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นเพ่ เด็กช่างยนต์เรามีเกียรตินะพี่เอ้” อาร์มที่เดินเปลือยท่อนบนมาเช่นกัน เข้ามาใหม่บอกกรรมการ พร้อมท่าทางยียวน เอามีคล้องไหล่ดอยสมบท

“ผู้หญิงพ่อง มึงไปเล่นคอนทร้าให้น็อคได้ก่อน ค่อยมาแหยมกับดูไอ้สัสอาร์ม ฮ่าๆๆ” ทีมฝั่งตรงข้ามที่ใส่เสื้อกันทั้งทีม ส่งสัญญาณเยาะเย้ยใส่

“ปรี้ดดดดดดดดดดดด  ไปๆๆ ไอ้ดอย มึงไปถอดก่อนเลย” กรรมการผู้รู้สึกแสนเซ็งที่รุ่นน้องสองสาขานี้ ต่างด่ากันได้ด่ากันดีทุกวี่วัน แต่เอาเข้าจริงเขาก็รู้ว่า เป็นการแซวกันเล่น กระนั้นวัยรุ่นยุคนี้ ถ้าไม่มีกันไฟแต่ต้นลม หากกระทบกระทั่งขึ้นมา  อาจนำไปสู่การยกพวกตีกันเหมือนอย่างที่ พวกเด็กนรกกลุ่มนี้ทำประจำเวลาไปเตะฟุตบอลแข่งกับวิทยาลัยอื่น




“เชี่ยยยยยยยย พี่ดอยของแกหุ่นบาดใจ เริ่มสะแมนแตน น่ากินเป็นที่สุด อยากให้พี่ดอยตกถึงท้อง” โหน่งที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เตี้ยข้างสนาม หันไปพูดกับปุย

“เออ ทำไมทีมเขาต้องถอดเสื้อกันด้วยล่ะ” ปุยถามด้วยความอยากรู้

“นี่แกไม่เคยเตะบอลกับเขาเลยใช่ไหม อีเด็กเรียน ฉันเป็นผู้หญิงยังรู้” จอยตกใจกับความเดียงสาทางการกีฬาของปุย

“ชั้นตีแต่เทนนิสอ่ะ”

“จร้า” แก๊งเด็กการท่องเที่ยวประสานคำด้วยน้ำเสียงแกมหมั่นไส้

“ปกติเขาจะมีเสื้อทีม ให้เห็นเป็นคนละสี จะได้ไม่ส่งลูกผิดไง แต่นี่ ชุดนักศึกษากันหมด ก็เลยใช้ถอดเสื้อเอา” จอยเล่าเป็นฉาก ๆ ตามประสาผู้มีแฟนเป็นนักฟุตบอลตัวหลักทีมวิทยาลัย

“แล้วนี่ พี่ดอยมาเดินมาทำไมล่ะนี่ บอลเขาจะเริ่มอยู่แล้ว ขอให้ตรงมาทางนี้เหอะ อู้ยย มีขนต่อเนื่องยาวจากสะดือลงไปถึงขอบกางเกง” กอล์ฟเอามือทาบที่อก ลมหายใจกระเพื่อมด้วยความตื่นเต้น

“มาหาพี่โอ๊คหรือเปล่า อีตานี่ก็นั่งหน้าบอกบุญไม่รับ  ตอนแรกนี่ ความหล่อพุ่งกระจายกว่าใคร ฉันนี่หลงเลย แต่พอเห็นพี่แกปลีกวิเวก ไม่เคยยิ้ม หุ้นพี่โอ๊คนี่ ร่วงตกยิ่งกว่าดัชนีนิเคอิช่วงบ่ายวันศุกร์อีกแก” โหน่งพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

 “พวกแกอย่าว่าโอ๊ค เขานิสัยดีมากกกกก กอไก่ แสนตัว”

“เขาดียังไง” กอล์ฟถามแบบใคร่รู้

“ที่สุดอ่ะ”





ดอยที่เหลือบมาเห็นพวกปุย นั่งดูอยู่ที่สนาม ก็เดินไปที่อัฒจันทร์ซึ่งมีโอ๊คนั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนช่างยนต์
“แม่งไอ้พี่เอ้ พอให้เป็นกรรมการแล้วโครตซ่าเลย กฎเยอะชิบหาย” ดอยพูดเสร็จก็คว้าเสื้อที่พับวางอยู่ข้างโอ๊ค ถือแล้วเดินมาที่อัฒจันทร์ติดกัน ที่มีเด็กแก๊งเด็กการท่องเที่ยวนั่งอยู่

“อีเห็ดสด พี่ดอยมาแล้ว” กอล์ฟบอกให้ทุกคนได้สติ ก่อนจะนั่งตัวแข็งตรง

“สวัสดีค่ะ พี่ดอยยยยยยย” ทุกคนประสานเสียงกันเป็นครั้งที่ล้านของวัน

“สวัสดีครับ โหยย มาเชียร์เด็กเกษตรเหรอ น้อยใจนะเนี่ย” ดอยค่อยบรรจงถอดสร้อยคอเป็นโลหะสีเงิน มีห้อยจี้เป็นหลอดแก้วหุ้มโลหะ เหมือนมีชิ้นผ้าสีแดงอยู่ข้างใน

“มาเชียผัวอีนี่ค่ะ” กอล์ฟตอบ พลางชี้นิ้วมาที่ จอย ซึ่งนั่งทำหน้าเหวอ เหมือนไม่รู้อีโหน่อีเหน่

“สกัดดาวรุ่งเชียวนะอีด_ก” จอยพึมพรำพอให้ได้ยิน

“ฮ่าๆๆๆๆ”  ดอยหัวเราะ พร้อมส่งสร้อยที่วางบนเสื้อสีขาวแถบไหล่สีแดง สีกรีนยี่ห้อเบียร์คลาสเบิร์ก ส่งให้กับปุย ที่นั่งมองหน้าเขาตั้งแต่เดินมา  “เดี๋ยวเย็นนี้กลับด้วยกันนะ ไปช่วยเลือกกางเกงใหม่กับเราหน่อยสิ มันขาด” ดอยพูดเสร็จ ก็แอ่นเป้าที่มีรอยขาดตรงหว่างโคนขากางเกงสีดำขาสั้นให้ทุกคนดู

“กรี้ดดดดดดดดดดดดดดด อร้ายยยยยยยยยยยยย กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดด” การประสานเสียงครั้งนี้มันดังจนทำให้ฝ่ายที่เผลอทำอะไรเปิ่นๆ อย่างดอยอายและรีบวิ่งเปลือยท่อนบน กลับเข้าสนามไปเตะบอลต่อ

“ผัวแกนี่ขี้อ่อย อีสัส ท่าแอ่นนี่เดิร์นมาก อกอีแป้นแล่นลึกเข้าตึกแขก หัวใจกูจะวาย” โหน่งเอนตัวเอามือจับหน้าอก เอาหัวพิงหัวเข่าของจอยที่นั่งอยู่ชั้นถัดไป

“เป็นอะไรที่ กิ๊บเก๋ยูเรก้า มาก ชวนเมียไปซื้อกางเกงเป้าขาด แถมมีการฝากข้าวของ ไม่เกรงใจชะนีที่นั่งอัฒจันทร์นู้นบ้างเลย  อร้ายย ชั้นอิจฉา” กอล์ฟทำท่าเช็ดน้ำลายที่ริมฝีปาก

“พวกแกก็พูดไป ผัวเมียบ้าอะไร ฉันกับเขาแค่อยู่หอเดียวกัน คุยกันทุกวัน ไปเที่ยวด้วยกัน เขาไม่ได้ขอฉันเป็นแฟนด้วยสักหน่อย”

“ถ้าขอแกจะเป็นไหมล่ะ” กอล์ฟถาม ทำตาลุกวาว คล้ายพร้อมจะสู่รู้ได้ทุกวินาที

“โอ้ยย แค่นี้ฉันกับเขาก็สับสนจะแย่แล้ว เอาเรื่องเรียนก่อนดีกว่า เขาก็มีเรื่องให้ทำอีกเยอะ  คนกำลังตั้งต้นชีวิตใหม่ กับ อีกคนที่กำลังจะหาทางไปของชีวิต เป็นอย่างนี้น่ะดีแล้ว”

“ดียังไง บอกชั้นหน่อย” จอยที่ตีหน้าขรึมใส่ ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น จนทุกคนเงียบเพื่อฟัง

ปุยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็เป็นกำลังใจให้กัน ปรึกษากัน อยู่เป็นเพื่อนกันตอนดึก คุยโทรศัพท์บ้าง นั่งคุยที่สวนกันบ้าง เขากุ้มเรื่องอะไร ฉันเครียดเรื่องไหน ก็ได้เขามาแบ่งปัน”

“ฟังดูเหมือนความรักในฝันของชั้นเด๊ะ แล้วไอ้พี่หน้าหล่อสัสอีกคนที่นั่งเก๊กเท่อยู่อัฒจันทร์ถัดไปล่ะ” จอยที่ยังทำหน้านิ่งโฟกัสสายตาไปในสนามฟุตบอลกล่าว เกล่าถึงโอ๊ค ที่รีบหันหน้ากลับไปอีกทาง เมื่อเห็นกลุ่มของปุยมองไปทางเขา

“ฉันมีความสุขนะ โอ๊คเป็นคนอบอุ่นมาก ชีวิตที่ฉันอยู่คนเดียวมาทั้งชีวิต มีโอ๊คมาคอยดูแล นี่ชอบเขามากนะเว้ย เราคุยกันทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ด้วยความเห็นที่ไม่เคยแลกเปลี่ยนกับใครได้ ชอบอะไรเหมือนกัน ชอบเรื่องเดียวกัน ผิดกับดอย  ไม่ได้ชอบอะไรเหมือนกันเท่าไหร่ แต่เวลาเขาเล่าอะไรฉันโครตสนใจ  เวลาฉันเล่าอะไร เขาก็นั่งทำหน้าหล่อส่งตาแป๋วมาคล้ายอยากจะฟังมันไปทั้งคืนจนฉันเขินบางทีเลยอ่ะ”

“สรุปคือ ชีวิตแกดีขึ้นเพราะมีคนหล่อมารายล้อม แล้วก็เครียดเพราะความหล่อของพวกอีพี่มันทำให้แกวิตกจริต” โหน่งสรุปได้น่าฟัง จนทุกคนที่เหลือพยักหน้า

“ผู้ชายกับผู้ชายรักกันมันผิดไหมวะ” ปุยพรำออกมาแผ่วเบา ก่อนจะนึกได้ “เฮ้ยย ไม่ได้ตั้งใจจะทำลายกำลังใจพวกแก ไม่เหมือนกันนะ พวกแกมันมนุษย์นางฟ้า กินผู้ชายเป็นอาหาร อันนี้ฉันรู้  แค่อยากรู้ว่า อีกหน่อยมันจะเป็นยังไง พ่อฉัน กับบ้านเขาจะว่ายังไงว่ะ”

“แกจะแคร์เชี่ยยอะไร โลกจะแตกอยู่วันสองวันนี่แล้ว” จอยชี้ขึ้นฟ้า ให้เห็นนกสีดำที่บินว่อนเป็นวงคล้ายพายุ  เห็นต้นไม้ที่สั่นไหวจนใบไม้ทยอยร่วงเต็มลาน  ลมที่กรรโชกแรง แมลงที่บินรุมไฟสปอร์ตไลท์สนาม

“ใช้ชีวิตวันต่อวันเหอะ อยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่รู้จักสี่ไม่รู้จักแปด แล้วนี่ก็ไม่ได้ฆ่าใครตาย ฮัลโหวว  นี่มันเรื่องของฮอร์โมนล้วนๆๆ หาผัวให้ได้ก่อนเดือนสิบสอง แกจะได้ไม่ออกมาเห่าหอนตอนพระจันทร์ขึ้น”  โหน่งยักคิ้วใส่ปุย ก่อนจะทิ้งท้าย..  “ให้สันชาตญานมันบอกเอง”





ห้าโมงเย็น ฝนพรำที่ถนนแม่น้ำแคว แต่ภายในร้าน เบียร์อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ กลับร้อนระอุผิด มีรถตำรวจเปิดไซเรนค้างแต่ไม่เปิดเสียงหน้าร้าน  ชายสี่คนเดินตรวจคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง พร้อมนำแผ่น ฟล็อปปี้ ดิสก์ A ของกลาง รวมถึง CD-ROM มาตรวจ มีการถ่ายรูปบันทึกเป็นหลักฐาน

ลูกค้าวัยรุ่นที่บัดนี้ เกิดอาการกลัวจนตัวสั่น ต่างทยอยเดินออก มีไก่แจ้ ผู้ดูแลร้านกำลังเสวนากับตำรวจ
คงมีแค่วัยรุ่นหนุ่มหน้าตี๋ ใส่แว่นตาอันโต นั่งใช้คอมพิวเตอร์ สองเครื่อง ที่เขาเปิดเกม Play Station Tekken หนึ่งเครื่องเปิดทิ้งไว้ กับอีกเครื่องที่เปิดโปรแกรม Microsoft98 รุ่นล่าสุดซึ่งกำลังรันข้อมูลอยู่

“ผมไม่ทราบจริงๆครับว่า มีวัยรุ่นเอาเพลงมาลงที่เครื่อง คือผมไม่สามารถตรวจได้ทุกเครื่องตลอดเวลาจริงๆครับ” แจ้ที่กำลังทำหน้าจ๋อยสุดขีด ยืนบอกตำรวจด้วยอาการหน่ายใจ

“ทำไม่ได้ก็ต้องปิดร้านไป สมบัติทางปัญญาทุกชิ้น มันต้องได้รับการปกป้อง แล้วนี่ใบอนุญาตอยู่ไหน” ชายที่หนุ่มสูงใหญ่อายุสี่สิบกลาง ใส่เสื้อยืดรัดรูป กางเกงสีกากี รองเท้าหนังมันวาว มีปืนพกอยู่ที่เอว พูดกับแจ้ทั้งพร้อมแคะฟันไปด้วย

“คือตั้งแต่ผมเซ้งเครื่องต่อจากเจ้าของคนเดิม ผมก็กำลังไปทำเรื่องขอจดทะเบียนการค้าใหม่ เห็นเขาบอกว่าจะได้ประมาณสิ้นปีน่ะครับ งานเอกสารเขาเยอะ” แจ้ที่บัดนี้หัวคิ้วขมวดแทบจะชนกันก้มหน้าหมดความหวัง ราวกับเจ๊กหมดทุนแถวบ่อนตามย่านสำเพ็ง ก่อนที่ โอ๊คผู้เข้ามาสมทบใหม่ เดินเข้ามาตบบ่า


“พอจะเคลียร์อย่างไรได้บ้างครับ พอดีเรื่องใบอนุญาต ของเดิมยังไม่หมดอายุนะครับ ตอนนี้ใบใหม่ที่ขอเป็นชื่อน้าแจ้ก็ดำเนินเรื่องอยู่” โอ๊คบอกกับชายกางเกงกากีด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่ยังคงมีทีท่าที่แข็งกร้าวไม่ได้เกรงกลัว

“แล้วเรื่องโหลดเพลงคนอื่นเขามาใช้ฟรีนี่มันยังไง”

“น้าแจ้เขาไม่ได้เอาไว้จำหน่ายนี่ครับ เด็กวัยรุ่นเข้าออกทั้งวัน คงจะโหลดเพลงไว้ โดยที่ทางเราไม่รู้”

“ผิดก็คือผิด จะเคลียร์หรือไม่เคลียร์”

“พวกเราต้องทำยังไงครับ”

“สี่หมื่น”

“ห๋า”

“หรือจะไปโรงพัก”  สิ้นเสียงชายคนดุ บรรยากาศในร้านก็เงียบไปพักใหญ่  ชายอีกสามคนยังคงถ่ายรูปตามเครื่องต่างๆ พร้อมกับ จะเข้าขอตรวจเครื่องอีก 2 เครื่องของหนุ่มหน้าตี๋แว่นโต ที่ยังคงนั่งใช้กดคีย์บอร์ดอย่างไม่ลดละ แต่เห็นหันหน้าไปมอง กลุ่มน้าแจ้เป็นระยะ 
ซึ่งตอนนี้ กลุ่มนี้ประกอบได้ด้วยน้าแจ้ ที่กำลังหมดอาลัยตายอยาก  และนกน้อย ที่ทิ้งร้านรีบมาสมทบด้วยความเป็นห่วง  นักศึกษาบางคนที่กลับมาถึงหอพักแล้ว กับลูกค้าวัยรุ่นที่ยังยืนรอให้ตำรวจไปเพื่อจะกลับไปเล่นเกมต่อเนื่องจากจ่ายค่าชั่วโมงไว้แล้ว 

โอ๊คที่กำลังอาสา จะให้น้าแจ้ยืมเงินสี่หมื่น เพื่อให้เคลียร์ผู้มากรรโชกทั้งสี่ แล้วโอ๊ค ก็เดินกลับมาที่ชายทั้งสี่ แล้วก็ขอต่อรอง

“พี่โอ๊ค ไม่ต้อง”  เสียงดังมาจากคอมพิวเตอร์แถวที่สาม

“มึงยุ่งอะไรด้วยไอ้หน้าตี๋” ชายเสียงดุเดินทำหน้ายักษ์ตรงมาที่เครื่องคอมพิวเตอร์แถวที่สาม มีโอ๊คเดินมาเอาตัวกั้น 

“ไม่เป็นไร น้องโอเล่ ทำงานต่อไปเถิด เดี๋ยวพี่จัดการเอง  ทางเราผิดเองไม่ดูแลเครื่องให้ดี” โอ๊คเอามือตบบ่า หนุ่มตี๋ที่นั่งอยู่ พร้อมหันหน้าไปคุยกับชายทั้งสี่ ที่ยืนประดังหน้าเข้ามาราวกับเปาบุ้นจิ้นและองค์รักษ์พิทักษ์ประตูศาล

น้าแจ้กับเจ๊นกน้อยที่ยืนเกาะแขนโอ๊คคนละข้าง มีทีท่าหวั่นใจกับชายทั้งสี่ที่ยืนหน้ายักษ์อย่างเห็นได้ชัด ต่างกับโอ๊คที่แม้จะลังเลทางความคิด แต่ก็ไม่แสดงให้เห็นถึงความวิตกอันใด

“ผมขอลดสักหน่อยได้ไหมครับ นี่ก็โดนเป็นครั้งที่ห้าแล้ว ผมกลัวน้าแจ้แกจะอยู่ไม่ได้ ค่าชั่วโมงก็ลดลงทุกปี มันไม่ได้กำไรอะไรขนาดนั้นเลยนะครับเปิดร้านอินเทอร์เน็ตเนี่ย” โอ๊คยืนเผชิญหน้า แม้ไม่ได้ลดราความเก๋า แต่ก็มีน้ำเสียงที่น่าสงสาร

ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ หันหน้าล้อมวงกันหารือ ก่อนจะพยายามกรรโชกโอ๊คต่อไปโดยอ้างบทลงโทษและสิ่งที่จะตามมาหากพวกเขาเอาเรื่องเอาความ โดยเฉพาะลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์วินโดว์ที่ผิดกฎหมาย ไม่ได้ใช้โปรแกรมแท้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

“สามหมื่น”

ระหว่างที่กำลังเจรจาต่อรอง โอเล่ที่กำลังนั่งอยู่ ก็หยิบโทรศัพท์มือถือหนึ่งในสามเครื่องของเขาที่วางตรงหน้า เปิดฝาพับ แล้วยกหูขึ้นมาโทรออก ท่ามกลางการเจรจากึ่งเถียงที่มีความดุเดือดอยู่ไม่น้อย 

“เตี่ย  ผมมีเรื่องรบกวนหน่อย  ...ผมรำคาญไอ้ลูกหมาสี่ตัวนี่จัง”
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 9 : Feat. เจ๊นกน้อย “เจ๊าะไข่แดง” ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 14-02-2018 16:25:54
ชอบๆ อ่านแล้วนึกถึงปี 99 เลย

นี่ไปตามเปิดเพลงในยูทูป เพราะนึกชื่อเพลงไม่ออกค่ะ
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 12 : ก่อนความฝันอันแสนหวาน ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 16-02-2018 13:13:49
Track 12 :    ก่อนดอกไม้จะผลิบาน.. ก่อนความฝันอันแสนหวาน..

“ดอยชอบสีอะไรอ่ะ อันนี้ก็สวย  อันนี้ก็ดีนะ” ปุยหยิบกางเกงฟุตบอลสีกรมท่า กับ สีดำคาดแถบขาว ที่กองอยู่ในชั้นลดราคา 50% ประจำปี ห้างพัฒนากาญจน์  โดยมีดอยยืนขำความลังเลของคนที่กำลังเลือกของให้เขา

“อะไรก็ได้ ลดราคาเอาทั้งนั้นแหล่ะ เดี๋ยวขาดก็ต้องซื้อใหม่”

“ทีหลังขาด อย่าเที่ยวไปแอ่นโชว์ให้ใครดูแบบนั้นอีกล่ะ นี่พวกไอ้โหน่งกับไอ้กอล์ฟคงเก็บไปฝันหวานแล้วมั๊ง”

“ฮ่าๆๆ  ก็มันชิน เมื่อกี้ยังเอาให้ไอ้อาร์มดูเลย ตอนบอกว่าจะมาห้าง มาซื้อตัวใหม่”

“ไม่ได้ ห้ามไม่ให้ทำอีกรู้เปล่า มันไม่เหมาะสม”

“คร้าบบบบ”




ระหว่างทางลงบันไดห้างสรรพสินค้าประจำจังหวัด ดอยกับปุยที่ถือถุงพลาสติกสกรีนโลโก้ห้าง และขนมญี่ปุ่นที่อดใจซื้อ ติดมือไว้ทานในห้องไม่ไหว  เมื่อลงบันไดเลื่อนมาถึงชั้นล่าง ก็มีของลดราคาวางเรียงราย รวมถึงรองเท้ากีฬาที่วางไว้เป็นสินค้าไฮไลท์กลางฟลอร์ห้าง มีคนรุมหยิบจับและทดลองใส่เต็มไปหมดแม้จะเป็นค่ำวันทำงาน ทำเอาปุยกับดอยรีบชวนกันไปซื้อหา  ปุยหยิบรองเท้าลำลองสีขาวคาดเชือกดำมาดูอย่างชื่นชม ดอยก็เดินดูรองเท้ากีฬาฟุตบอลที่สนใจ


“นี่ใช่เพื่อนโอ๊คไหมเนี่ย” ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวสุภาพ กางเกงยีนส์สีดำ เดินมาทักดอยที่กำลังเลือกหารองเท้าซึ่งมีปุยยืนถัดไป

“ใช่ อ้าว หวัดดี ถ้าจำไม่ผิดชื่อกลอง ใช่มั๊ย” 

“ใช่ ผมมือกลอง แล้วนี่ โอ๊คไม่ได้มาด้วยเหรอ คุณยอดดอย”

“เรียกผม ดอยเถอะ อืม มันติดร้านเน็ตมากเลยตอนนี้ อยู่ที่หอผมนั่นแหล่ะ อยู่บ่อยกว่าผมอีก”

“เห็นโอ๊คเคยเล่าเหมือนกัน ว่าชอบไปนั่งเล่นคอมที่หอเพื่อน อ๋อ แสดงว่าหมายถึงหอของดอยนี่เอง  ที่ห้องเขาก็มีคอม แถมสเปคนี่เจ๋งมาก แพนเที่ยมรุ่นล่าสุด ดันไปใช้คอมนอกบ้านเนอะ”
“มันก็คงจะเบื่อแหล่ะ เลยตามไอ้อาร์มมาเล่นเกมเพลย์ ถือโอกาสตามมานั่งคุยกับผมเกือบทุกวัน  แล้วนี่กลองต้องมาเดินคุมห้างเองเหรอครับช่วงนี้”

“ไม่หรอกครับ พอดีกำลังจะเปลี่ยนการตกแต่งใหม่หมด เลยเอาของบางตัวมาลดราคา เพราะน่าจะปิดตกแต่งประมาณเดือนกว่าเลย”

“โหวว เสียรายได้แย่ แต่ก็ดีเนอะ เพราะว่ามันจะดูทันสมัยขึ้นแน่เลย ผมมาอุดหนุนประจำ”

“แอบเห็นอยู่  ขอบคุณครับ แล้วได้อะไรยัง เดี๋ยวบอกพนักงานดูส่วนลดให้นะ”

“ไม่ต้องๆๆ ของซื้อของขาย ทำงานตามสบายเลย เดี๋ยวจะเดินเลือก นี่พาเพื่อนใหม่มาช่วยเลือกของ”  ดอยส่งยิ้มก่อน จะขอตัวเดินกลับมาเลือกรองเท้าที่เขาสนใจต่อ โดยมีลูกชายเจ้าของห้าง ยืนมองตามมา




“เพื่อนโอ๊คคนเมื่อกี้นี่หล่อมากเลยเนอะ อย่างกับคุณชาย”

“อืม รวยมากด้วย ที่บ้านกำลังทำโรงแรมใหญ่เบ้อเร่อตรงริมแม่น้ำแคว แถมไปทำที่ สุพรรณ กับ นครปฐมด้วย”

“หูยยย ได้ที่ฝึกงานแล้ว ให้โอ๊คฝากให้ดีกว่า”

“อยากไปเป็นลูกน้องไอ้กลองเหรอ” ดอยน้ำเสียงขึงขัง มือก็ยังคงเขี่ยอาหารที่อยู่ตรงหน้าด้วยปลายส้อม

“หอยทอดร้านนี้อร่อยมากเลยอ่ะดอย อร่อยมากกกก กร๊อบกรอบ”  ปุยที่กำลังเคี้ยวอาหารแก้มบวมตุ่ย รีบเปลี่ยนเรื่องคุย

“เรื่องสรรหาที่กิน ยกให้เรา” ดอยเริ่มมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า

“แล้วนี่ ต้องซื้อไปฝากโอ๊คกับอาร์มไหมอ่ะ”

“ไม่ต้องหรอก มันไม่ชอบอะไรมันๆอ่ะ เราต้องแอบมากินคนเดียวเรื่อยเลย มันเกลียดแม่ค้าด้วย ไม่ค่อยยิ้ม”

“ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องแอบแล้ว.. เดี๋ยวเรามากินเป็นเพื่อนนะ”

“ครับ”

“ว่าแต่แม้ค้าจะยิ้มได้ยังไง ดูเขาทอดดิ คนรอเป็นสิบ ควันโขมงขนาดนั้น  เป็นเรานะ เราก็คงต้องทำหน้าบึ้งเหมือนกันแหล่ะ”  ปุยก้มหน้าจัดการอาหารเลิศรสตรงหน้า โดยท้องถนน รถยนต์ ที่ยังวิ่งขวักไขว่แม้เป็นช่วงค่ำแล้ว แต่ท่ารถประจำจังหวัดยังคงเต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอย ร้านอาหาร รวมถึงผู้คนที่เพิ่งเดินทางจากอำเภอต่างๆ มาถึง ก็แวะเวียนหาอะไรรองท้องกันใหญ่  รถบัสเที่ยวบ๊วยของแต่ละสาย ทยอยจอดเทียบท่า บ่งบอกว่าการเดินทางวันนี้ควรสิ้นสุดลง




“พี่ดอยยยยยยยย  พี่ดอยยยยยยยย” เสียงทุ้มดังจาก ก๊วนมอเตอร์ไซค์ทรงแปลกเสียงท่อไปเสียงแผดดังนับสิบคัน เมื่อคันที่ขี่มานำหน้าสุดเบรกเอี้ยด คันอื่นก็เบรกตาม ก๊วนรถหักหัวรถกลับมายังสองชายหนุ่มที่เดินเลือกผลไม้ในตลาดโต้รุ่ง 

“อ้าว ไอ้กล้า มีไร”  ดอยที่กำลังช่วยปุยเลือกแอ็ปเปิ้ลที่แผงผลไม้ รีบเอามือซ้ายที่กำลังโอบเอวปุย หลบสายตาผู้มาเยือน

“พี่ ผมมีของอยากให้สั่งเยอะมาก เมื่อไหร่พี่จะซื้อมือถือเนี่ย ติดต่อตัวได้ยากโครตๆๆ ไม่ใจเลยเฮีย” เด็กชายวัยมัธยมตอนปลาย พูดด้วยน้ำเสียงกวนบาทาได้ใจ

“มึงก็จดรายการแล้วไปฝากไว้ที่หอกูสิวะ ราคากูดูให้พิเศษอยู่แล้ว อย่ามาตีแบ๊ว”

“คนอย่างต้นกล้าราคาไม่ใช่ปัญหาเลยพี่ แต่ผมเลือกเองไม่ถูกใจ ก็อยากให้พี่ช่วยดูด้วย นี่ ไอ้เชี่ยพวกนี้แม่ง แต่งรถตามผม พี่ก็ไม่ห้ามมันเลย กะขายอย่างเดียวเลยใช่ไหม พี่แม่งโลภว่ะ เอาเจ๋งๆให้ผมดิ แล้วไม่ต้องแต่งให้ใครมาเหมือนผมสิ” กล้าพูดด้วยอารมณ์มีน้ำโห แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร เป็นการพูดเชิงกวนประสาทเสียมากกว่า

“อ้าว กูจะรู้มั๊ย นึกว่ามึงต้องเหมือนกันเป็นก๊วน อย่างกับแกะดอลลี่ เออ เดี๋ยวกูช่วยดูให้ อยากแต่งโทนไหนก็เขียนๆมา แต่ช่วงนี้กูอยู่ค่ำๆ ไปแล้วน่ะ มึงก็ไปได้ตลอด เดี๋ยวปิดเทอมเล็ก เดือนหน้าก็ว่างเป็นเดือน”

“ให้มันจริงเหอะ ไปที่ไรพี่แม่งไม่อยู่ ออกมาเดทตลอด  แต่โหว แม่คนขาวใส น่ารักแบบนี้นี่เอง เข้าใจพี่เลยว่ะ”

“สัส มึงรีบไปป่ะ”

“เครๆๆ  ไว้แวะไปเพ่”   แล้วก๊วนมอเตอร์ไซค์ท่อดังโครมครามก็บึ้นรถออกไป เรียกความสนใจผู้คนทั้งตลาด

“ใครคือ แม่คนขาวใสอ่ะ” ปุยทำตาใสแจ๋วถามดอย

“ไม่มีอะไร ไปเหอะเดี๋ยวดึก”

“ดอยแต่งรถเก่งนี่ มีลูกค้าเป็นเด็กแนวตามผลงานเลยเหรอ นี่โอ๊ค กับอาร์มก็ชมให้ฟัง ว่าไม่เคยไว้ใจใครแต่งรถให้เลย มิน่า แบทแมน กับ โรบิน ถึงได้หล่อขนาดนั้น”

“มันก็ตามงบประมาณนะ ในเมืองไทยไม่ค่อยมีอะไหล่ขาย  เราก็เปิดสั่งของทางอีเมล์เอา คอยไปเก็บโบชัวร์ เวลามีงานมอเตอร์โชว์ช่วงเดือนเมษา แล้วก็จดที่อยู่ กับอีเมล์ ส่งเป็นจดหมายบ้าง อีเมล์บ้าง ให้เขาส่งแคทตาล็อคมาให้เลือก สะดวกดีนะ มาทีไรก็หมดทุกชิ้น ยิ่งของแต่งสีเจ็บๆ นี่วัยรุ่นชอบกันจริง”

“ไหนบอกอ่อนภาษาไง”

“ซื้อกับคนไต้หวัน ไม่ต้องใช้ภาษาเลย มาไทยจนพูดไทยได้แล้ว  ไต้หวันจะเป็นศูนย์ผลิต เพราะส่งญี่ปุ่น พวกคนญี่ปุ่นเลือกไต้หวันเป็นที่ผลิตอะไหล่ทั้งรถยนต์และรถเครื่อง เพราะว่าต้นทุนมันถูก เราเอามาขายที่เมืองไทย พอคนลือๆ กัน มีลูกค้าเชียงใหม่ ภูเก็ต โคราช อะไรพวกนี้ด้วยนะ แต่เราไม่มีตังสำรองของ ส่วนใหญ่ใครอยากได้อะไร เราก็ให้มัดจำก่อน บางล็อต เจอภาษีแล้วหลีกไม่ได้ ถึงกับมีอ๊วกเลยบางที”

“ดูแฮ็ปปี้กว่าเรียนอีกนะเนี่ย”

“ห๋า จริงดิ ฮ่ะๆๆๆ”   

“ไว้เรามีรถ เราจะเอามาให้ดอยแต่งให้นะ  คิดเราถูกๆล่ะ”

“ไม่คิดตังได้ป๊ะ”

“เห้ยย ไม่ดีหรอก ของต้องซื้อมา แต่คิดถูกๆ ก็พอนะๆๆๆ”

“ก็ให้เราแต่งให้ฟรี แล้วใช้ด้วยกัน ดีม๊ะ”

“เพื่อนกันเขาไม่ทำอย่างนั้น.. ไหนบอกเอง ว่าเป็นเพื่อนกันไง” ปุยทวงถาม

“เพื่อนใช้รถร่วมกันไม่ได้เหรอ ไม่เห็นแปลก คิดมากนะเราอ่ะ  โอ๊คมันยังใช้คันเดียวกับอาร์มได้เลย”

“เพราะนั่นเขาเป็นพี่น้องกันเหอะ” 





ถนนแม่น้ำแควที่ยิ่งคึกคักเมื่อตะวันลาลับไป เสียงดนตรีเล่นสดดังจากหัวโค้ง ยาวมาจนถึงเวิ้งกลางถนน โดยมีร้านอาหารผับ บาร์ ร้านเหล้า ต่างเปิดไฟแข่งกันสว่างไสว  มีร้านหมูกระทะล้านเวลา ที่เนืองแน่งไปด้วยผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีมอเตอร์ไซค์จอดเรียงราย โต๊ะลูกค้ากางร่มคันใหญ่สไตล์ล้านนาสีแดงไว้ที่ทุกโต๊ะ มีควันขโมงลอยล่องจากเตาไฟ เสียงหัวเราะครื้นเครงครุกรุ่นไปพร้อมกับควันไฟ

“ไอ้น้องโอเล่ นี่เจ๋งว่ะ กริ้งเดียว ไอ้พวกนั้นกระจุยเลย” อาร์มคีบหมูกระทะที่ย่างจนสุก ใส่ชามของมะนาว ก่อนจะเลยไปใส่ให้เจ๊นกน้อยที่นั่งข้างๆด้วยอีกชิ้นเป็นการแก้เขินที่ทุกสายตาบนโต๊ะจ้องมองมา

“แต่แหม น้องจะช่วยไปได้สักเท่าไหร่กันเชียววะเนี่ย  คิดแล้วก็ท้อ ตั้งแต่เซ้งร้านต่อจากน้องเบียร์มา นี่ก็โดนไปสี่ห้าครั้งแล้ว” แจ้ ผู้ที่กำลังนั่งทำหน้าเซ็ง คีบหมูกระทะเข้าปาก แกล้มด้วยเบียร์แก้วโต

“เอาน่าพี่ เดี๋ยวก็มีหนทาง หนูฟังก็ไม่เข้าใจหรอกว่า เราไม่ได้เอาไปขาย ทำไมมันถึงผิดลิขสิทธิ์ แต่ทำแบบนี้ใครจะทำกินได้ล่ะ ระวังกันไม่ไหวหรอก” นกน้อยแสดงความเห็นบ้าง พร้อมเอื้อมมือไปหยิบแก้วเบียร์ของแจ้ที่เหลือแต่น้ำแข็ง มารินเบียร์คืนให้จนเต็ม

“ไอ้เราก็สู้รบปรบมือกับตำรวจไม่ไหว ไหนจะตำรวจเก๊อีก โอยย สงสัยจะหาคนเซ้ง ไม่ก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น  แต่ละคนตัวใหญ่หน้าตานี่อย่างกับตัวโกงในละครของพิศาล” แจ้หยิบแก้วเบียร์ที่เพิ่งถูกส่งมาวาง กระดกเข้าปากอีกครั้ง

“นี่ถ้า เห็นเครื่องพี่ดอยที่ไรท์แผ่นเพลงขาย นี่น่าจะโดนอีกเป็นแสนเลยนะคะ” มะนาวถามบ้าง

“เออ ไอ้ดอยแม่ง กูบอกแล้วมึงอย่างกให้มาก เดี๋ยวจะไม่คุ้มกันว่ะ” อาร์มเตือน

“อืม กูก็ว่าจะไม่ทำแล้ว แต่ไอ้พวกเด็กๆมันขอร้องมา เดี๋ยวนี้แทบไม่มีใครใช้ ฟรอปปี้เอ กันแล้ว ร้านเรามีเครื่องไรท์ มันก็มาขอร้อง” ดอยโอดครวญ

“ถึงอย่างไร มันก็มีเรื่องให้เล่นได้ตลอดแหล่ะ ไหนจะโปรแกรมปลอม ไหนจะอายุเด็ก ไหนจะเปิดเกินเวลา เบื่อโว้ย เซ็ง นี่เกือบเดือดร้อนน้องโอ๊คแล้วนะเนี่ย ดีนะที่น้องโอเล่อยู่พอดี” แจ้เสริม

“นี่พี่โอ๊คไปส่งน้องโอเล่ที่บ้านเหรอคะ” มะนาวถามอาร์ม

“ช่ายย พาน้องเขาไปเลี้ยงสเต็กด้วย  น้องอุตส่าห์เอาลูกน้องเตี่ยเขามาจัดการ” อาร์มยังคงเคี้ยวหมูย่างแก้มตุ่ย  มือก็ปิ้งย่างหมูต่อ พลางเอาชิ้นที่สุกแล้วมาส่งใส่จานของมะนาว

“เตี่ยของโอเล่นี่เขาใหญ่มากเลยเหรอ แล้วทำไมไม่ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้านล่ะ หรือว่าขี้เหงาแบบพวกเรานะ” ปุยหันไปถามยอดดอย ที่นั่งดื่มเบียร์แต่ไม่ค่อยแตะอาหารซักเท่าไหร่

“ไม่เคยถามนะ แต่เห็นสนิทกับโอ๊คอยู่นะ เหมือนกับว่า น้องเขาดร็อปเรียน แล้วอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้ เลยต้องออกมาใช้คอมพิวเตอร์ข้างนอก ที่มีคนดูแล รู้แต่ว่ามีพลทหารแวะเอาข้าวเอาน้ำมาส่งตลอด คือที่นั่งเขาต้องติดถนนด้วย และต้องเป็นแถวสาม ใช้ทีละสองเครื่อง โทรมาให้น้าแจ้จองให้ตลอด” ดอยแจง แล้วก็เอาส้อมจิ้มหมูย่างในจานของปุยมากินบ้าง

“หูยยย ไฮโซ โอเว่อร์ ละเมอฝันเปียก แต่ว่าน้องเขาน่ารักดีนะ นึกว่าเด็กมอปลายเสียอีก แก้มแด๊งแดง แถมยังกินเก่งมาก” เจ๊นกน้อยบรรยายตามภาพของโอเล่ที่เขาจดจำได้ “แต่โอ๊คตอนต่อกรกับไอ้พวกนั้น โหย อย่างเท่อ่ะ”

“พี่โอ๊คนะ เท่ตั้งแต่เด็กจนโตเลยล่ะคะพี่นกน้อย” มะนาวบอกนกน้อยด้วยรอยยิ้ม พร้อมพลางรำลึกถึงอดีตที่แสนหวาน โดยมีอาร์มที่ก้มหน้าใช้ตะเกียบเขี่ยอาหารตรงหน้า แล้วก็ยกแก้วเบียร์ดื่มด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ




“สรุปยอดแผ่นดินไหว ที่ประเทศตุรกี ยอดผู้เสียชีวิตสรุปมีประมาณ 17,000 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก กว่า 40,000 คน ขณะนี้นานาชาติ ต่างยื่นมือให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์และอาหาร” เสียงโทรทัศน์ที่อยู่เหนือเคาทเตอร์บัญชีดังลอยมา จนบทสนทนาในร้านเงียบลงทันใด ก่อนจะตามด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ซอแซขึ้น

“ทำไมเสียชีวิตกันเยอะขนาดนี้ล่ะคะ ทำไมโลกมันมีอะไรน่ากลัวขึ้นทุกวัน นี่โลกจะแตกจริงๆแล้วใช่ไหม” เจ๊นกน้อยเอามือทาบอก คล้ายกำลังพรึมพรำสวดมนต์ในใจ

“7.4 ลิเตอร์ นี่แรงมากเลยนะครับ ตึกรามบ้านช่องรับไม่ไหว นี่ถ้าเมืองกาญจน์ไหวบ้าง เขื่อนแตกแน่นอน” อาร์มเสริม

“พี่อาร์มอย่าพูดอะไรแบบนั้น มะนาวกลัว”

“พักนี้ นกบิวว่อนแปลกๆ นะ มีมดแมลงโผล่ขึ้นมาจากพื้นเต็มไปหมด” แจ้เอ่ยลอยๆ ออกมา

“ไม่รวมที่เขาว่า คอมพิวเตอร์จะพังทั้งโลกกับปรากฏการณ์ วายทูเค ด้วยนะครับ” ปุยรีบเสริมอย่างกุลีกุจอ

“ผู้คนก็วุ่นวายกันไปหมดทั้งโลก อารมณ์ก็ร้อน นี่คนงานพม่าในบริษัทพ่อของผมเหมือนกำลังก่อการเคลื่อนไหวเงียบๆ  มีตามข่าวลือที่มากับอีเมล์ ผมอ่านแล้วยิ่งกลัว  ไหนจะโลกมุสลิมกับชาวคริสต์ก็หมางใจกัน คนก็คอยยั่วยุเพื่อหวังให้ตัวเองเป็นใหญ่ภายหลัง” อาร์มเล่าให้ทุกคนที่โต๊ะฟัง  “เขาว่ากันว่าถ้าขี้ครอกครองเมืองเมื่อไหร่วันนั้นเลยครับโลกถึงการดับสูญ”

“อุ๊ยต๊าย นี่เหรอเมืองพุทธ โอ๊ย หัวใจจะวาย” นกน้อยกำมือแน่นจนไก่แจ้ต้องเอื้อมเอามือมาลูบต้นแขนเบาๆ

“มันจะถึงขั้นน้ำท่วมโลก แผ่นดินไหว หรือ อุกาบาตรหล่นบนโลกอะไรแบบหนังฝรั่งไหมคะพี่อาร์ม” มะนาวถามด้วยความใคร่รู้ สีหน้าวิตก

“คงเป็นเวอร์ชั่นท่านมุ้ยไปก่อนน่ะครับ ตามงบประมาณ” อาร์มบอก พยายามเรียกเสียงหัวเราะจากคนทั้งโต๊ะ แต่เหมือนคราวนี้จะไม่ได้ผลเท่าไหร่

“ถ้ากลัวกันมาก ก็ไปหลบที่บ้านผมสิ อยู่เหนือเขื่อน ผู้คนข้างบนไม่เคยกลัวเรื่องเขื่อนแตกเลย” ดอยที่เริ่มทยอยเป็นฝ่ายย่างหมูกระทะบ้าง หลังจากที่ทุกคนรามือไปแล้ว

“บ้านดอยอยู่สูงจากเขื่อนเลยเหรอ”ปุยถามด้วยความสนใจ แต่สีหน้าก็ยังตระหนกจากสิ่งที่ได้ยิน

“บ้านแม่เราไม่สูงกว่านะ อยู่ตรงทางน้ำผ่าน แต่บ้านคุณตานี่สูงเลย แต่เขื่อนที่เขาลือว่าจะแตก มันฝั่งท่ากระดาน ที่ทับรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์  ของทางบ้านเรามันเขื่อนไม่ทับรอยเลื่อน ถึงสันเขื่อนจะแตกเพราะแผ่นดินไหว มันก็ไม่ใช่จะเทน้ำทั้งหมดลงมาในเมืองหรอก” ดอยอธิบายตามความรู้ที่แม่เขาพร่ำบอก

“ทำเก่งนะมึงอ่ะ กูเห็นซื้อห่วงยางไว้ในห้องนอนด้วยได้ข่าว” อาร์มตะโกนแซว คราวนี้ได้ผล เสียงหัวเราะดังขึ้นทั้งโต๊ะ

“ก็นอสตร้าดามุสแม่ง ไม่เคยผิดเลยนี่หว่า มันอาจไม่ใช่เขื่อนแตก แต่อาจมีอะไรมากระทบโลก หรือพุ่งชนโลกนะกูว่า”

“เอาเป็นว่า เจ๊จะไปเป็นสะใภ้บ้านน้องดอยตั้งแต่เดือนธันวาละนะ เจ๊จะปิดร้านหนีตายไปอยู่ข้างบนเลย เอาสิ” เจ๊นกน้อยยืนกราน

“เจ๊จะไปเป็น ลูกสะใภ้ หรือ น้องสะใภ้ของบ้านนั้นล่ะครับ” อาร์มขัดคอ ก่อนเสียงหวีดแซวจะดังลั่นโต๊ะเพราะผู้ถูกแซวมีอาการหน้าแดงเขิน

“การที่มะนาวกลับมาอยู่บ้าน แล้วมีน้องปุยเข้ามา มันก็ทำให้ได้ออกมากินข้าวกันนอกบ้านบ่อยดีนะ น้าชอบ” แจ้ที่เอามือป้องปากแก้ว เมื่อนกน้อยจะเอื้อมมารินเบียร์เพิ่มให้

“ใช่เลย เจ๊เห็นด้วย จะมีก็แต่น้องโอ๊คนะที่หายไป ไม่มาคลุกคลีตีโมงเหมือนแต่ก่อน”




ระหว่างทางกลับเข้าห้อง หลังจากที่ทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว ยอดดอยเอ่ยปากถามปุยเมฆ ให้อยู่กับตนที่สวนหลังหอเป็นเพื่อนกันอีกสักพัก เพราะเขายังไม่อยากกลับเข้าห้องคนเดียว ปุยเมฆก็ไม่ได้ขัดอะไร เพราะเขาก็ไม่อยากรีบกลับเข้าห้องเช่นกัน ทั้งคู่จึงพากันไปนั่งเล่นใต้ต้นทองกวาว

“เดือนหน้า น่าจะเริ่มเรียนหนักแล้วเนอะ” ดอยที่นอนเอนตัวอยู่บนแคร่ เบี่ยงตัวเอาศีรษะมาหนุนที่ตักของปุย ซึ่งนั่งห้อยหาบนแคร่ไม้เดียวกัน ลมพัดเย็นเอื่อย มีแมลงรุ่มล่อไฟที่อยู่เหนือกำแพงข้างสวน

“ใช่ ต้องเริ่มออกหน่วย เก็บข้อมูล ต้องเรียนการขายตั๋วโดยสารด้วย นี่ปีหน้า เห็นว่าเขาจะแยกสาขาการโรงแรมออกจากการท่องเที่ยวไปเป็นอีกแผนกนึงเลย อยากเรียนทั้งสองอันเลยอ่ะ น่าเสียดาย”

“จบแล้วจะอยู่ที่เมืองกาญจน์ไหม หรืออยากไปอยู่ที่ไหน”

“ถ้ามันน่าอยู่แบบนี้ ก็อยากอยู่ต่อไป..” ปุยเอามือเสยผมหนุ่มคนที่นอนหนุนหน้าตักของตัวเองอยู่อย่างแผ่วเบา

“ปุยครับ”

“หืม”

“เราว่า เราชอบปุยว่ะ”

“....”

“ชอบแบบ ชู้สาวอ่ะ”

“....”

“เงียบทำไมครับ”

“กว่าจะรู้ตัว นานเนอะ”

“ก็รู้นานแล้ว แต่มันทำอะไรไม่ถูกน่ะสิ มันถูกมันควรไหม คนรอบข้างจะว่ายังไง” ดอยเอามือจับข้อมือของปุยที่เสยผมเขาก่อนจะเอี้ยวตัวลุกขึ้นมานั่งเผชิญหน้า

“แล้วถ้ามันไม่จบอย่างที่พวกเราคิดล่ะ มันคุ้มไหมดอย ถ้าเราจะทำอะไรแบบนี้ต่อไป”

“เราก็คงจะเสียใจมาก”

“หรือพวกเราไม่ควรเริ่ม ไม่ควรสานต่ออะไรให้มากไปกว่านี้ล่ะดอย”

“ไม่ได้แล้ว.. มันเริ่มไปแล้ว มันคงหยุดไม่ได้ ปุยเปลี่ยนความรู้สึกของเราไปแล้ว”

“ถ้าไม่เจอกันแต่แรก มันก็จะดีสินะ

“ไม่เลย.. ไม่ดี  เพราะเมื่อก่อน เราไม่เคยมีความสุขแบบนี้เลย”
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 13 : Go,Go,Go ! Ale,Ale,Ale ! ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 20-02-2018 20:53:48
Track 13 :     Go,Go,Go ! Ale,Ale,Ale !

ใต้มะขามคู่ใหญ่ ริมถนนหลวง พื้นที่ถูกปูด้วยกระเบื้องตัวหนอนสีน้ำตาล มีโต๊ะม้าหินอ่อนตั้งเรียงราย ล้อมด้วยกำแพงรั้วทำจากไม้ซึ่งใช้ไม้กระถางแขวนประดับไว้  ลูกค้านั่งล้นเต็มทุกโต๊ะ ไม่รวมลูกค้าที่กำลังยืนรอหน้าเตาผัด ร้านผัดไทยโยธา  มีพัดลมตัวใหญ่ ส่ายไปมาบนลานโล่ง 

ดอย กับ ปุย ที่นั่งตัวเกร็งต่อชายสูงอายุตัวสูงใหญ่ด้านหน้า  เด็กเสิร์ฟยกจานผัดไทยมาให้ โดย ดอยแนะนำให้ปุย ลองผัดไทยวุ้นเส้นกุ้งสดชื่อดัง และตัวเขาเองทานผัดไทยไร้เส้น  ก่อนจะส่งจานผัดไทยกุ้งสดเส้นเล็กเมนูเด็ดไปยัง ธรรมเสถียร โรจน์อนันต์ทรัพย์ พ่อของปุย

“พ่อลองทานดู ผัดไทยที่นี่ขึ้นชื่อมากครับ ส้มมะขามกับน้ำปรุงเขาถึงขั้นมีคนมาขอซื้อสูตรกันเลยล่ะครับ” ดอยโฆษณาร้านดังที่เขามักพาแม่ของตัวเองมาทานเสมอ เวลาที่แม่ขึ้นมาเยี่ยมในอำเภอเมือง

“อืม ขอบใจ น่าทานเชียว..  แล้วนี่ ตกลงคือ คบกันหรืออะไรยังไง”

ปุยที่กำลังเคี้ยววุ้นเส้นอยู่ในปากแทบสำลัก ก่อนจะหยิบแก้วสังกะสีที่เทน้ำอัดลมไว้มาดื่ม

“พ่อ เพื่อนกัน ลูกเป็นผู้ชาย ถ้ามีแฟนก็เป็นผู้หญิงสิ นี่จะเรียน ไม่ได้มาหาแฟน” ปุยหันไปดอยที่นั่งอยู่ด้านข้าง ราวกับว่าจะให้สนับสนุนสิ่งที่พูด ก่อนหันหน้าไปยังพ่อที่อยู่ตรงข้าม แล้วพูดต่อ “ที่พามานี่ ก็เพราะพ่ออยากเจอหรอก”

“พ่อไม่ได้ถามลูก พ่อถามฝั่งผู้ชาย ว่าเขาจะกล้าทำกล้ารับไหม”

“ลูกก็ผู้ชาย !!”

“เออๆ  ผู้ชายก็ผู้ชาย  อ้าวว่าไงล่ะ พ่อตัวดี นี่มาจริงๆจังๆ หรือแค่เล่นๆกัน ไหนว่ามาซิ” ธรรมเสถียรวางช้อนส้อมตรงจานที่อยู่เบื้องหน้า รอชายหนุ่มผิวเข้มข้างหน้าที่นั่งเงียบ จะเอ่ยปากพูดบ้าง

“ผม.. เอ่อ.. ผม” ดอยที่มีทีท่าลังเลและหวาดหวั่นอยู่ในที มองหน้าผู้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า  มีเหงื่อซึมที่หน้าผากเล็กน้อย

“ถ้าไม่สามารถให้คำตอบได้ ก็ไม่ควรทำอะไรที่มันเกินเลย เป็นเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อนเรียน เพื่อนเล่นกันไป”

“พ่อมีคำแนะนำอย่างไรดีครับ” ดอยนั่งหลังตรง จ้องตาคนที่อยู่ตรงหน้า

“เป็นคำถามที่น่าสนใจแฮะ คือ วัยอย่างพวกเธอ แน่นอนว่า บางทีมันก็มีบ้างที่หัวใจ อาจดูเต้นแรงกว่าที่ควรจะเป็น มันก็ตามวัยแหล่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อะไรที่เราคิดว่ามันใช่ มันอาจไม่ใช่ เมื่อเวลาผ่านไป”

“ที่ผมอยากได้คำแนะนำ ไม่ใช่ในส่วนของความรู้สึกหรอกครับคุณพ่อ สิ่งเดียวที่ผมไม่มั่นใจ คือชีวิตหลังจากนี้ เพราะมันเป็นทางแยกที่ใหญ่เหลือเกินครับ”

“มันอาจไม่มีทางแยกแต่แรกหรอก มันเป็นเรื่องของทางที่ลิขิตมา ว่าเราต้องเดินไปทางนี้  ต่อให้มีทางเลือก มาให้เลี้ยวซ้าย หรือขวา เราก็เลือกในสิ่งที่เราถวิลจะเดินอยู่แล้ว พ่อคิดแบบนั้น”

“ถ้าอย่างนั้น ผม..”

“ช้าก่อน หนุ่มน้อย.. พ่อแค่บอกว่า ต่อให้เรามั่นใจในทางของเรา แต่ทางนั้น มันอาจมีบ่อหลุม มีสัตว์ร้าย ข้างทางก็ไม่ได้อาจเต็มไปด้วยดอกไม้แบบในนิยายหรอกนะ มันคือพงป่า ดงหญ้า และก็มีโจรซุกซุ่มอยู่ไม่น้อย แค่อยากให้พวกลูกๆรู้ว่า ปลายทางมันไกลลิบตาเชียวล่ะ”

“พ่อจะยอมให้ลูกพ่อเดินไปกับผมด้วยไหมครับ ถ้าทางมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่พ่อว่า” ดอยถามชายตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วหันไปมองปุยที่อยู่ด้านข้าง ที่บัดนี้ ก้มหน้าเขี่ยจานอาหารที่เย็นชืด

“ปุย ลูกไปเอา กระเป๋าเงินบนรถให้พ่อที” ธรรมเสถียรส่งกุญแจรถให้ลูกชาย ก่อนปุยจนเอื้อมไปหยิบกุญแจจากมือผู้เป็นพ่อ แล้วเดินออกนอกร้านอาหารไป ธรรมเสถียรมองหน้ายอดดอย แล้วก็พูดคุยกันอีกสักพัก ก่อนปุยจะเดินกลับมาที่โต๊ะ เมื่อนั่งทานกันสักพัก  ธรรมเสถียรก็ไปลูกชายและเพื่อนชายคนสนิทกับหอพัก โดยที่ไม่ได้คุยเรื่องก่อนหน้านี้อีกเลย




“Looks like we made it.. Look how far we’ve come,my baby”  เสียงหวานของ Shania Twain ลอยมาจากลำโพงหูฟังเล็กของยอดดอย  ที่บัดนี้ถอดเสื้อกางเกงเหลือเพียงชั้นในสีเทา เอนนอนอยู่บนเตียง มีเครื่องเล่นซาวน์อะเบ้าท์ AIWA วางบนหน้าท้องที่แบนเรียบไร้ไขมัน เขาหายใจกระเพื่อมเป็นระยะขึ้นลง

“กริ๊งงงงงงงงงงง  กริ๊งงงงงงงงงงงงง  กริ๊งงงงงงงงงงงงงง” โทรศัพท์ที่หัวเตียงนอน ดังขึ้น ดอยพลิกตัวขึ้นมายกหูรับ

“ครับ  อ้าวแม่..  อ่อ ไม่ได้กลับครับ กลับปิดเทอมใหญ่เลย ต้องฝึกงาน..  ใช่..  อ่อ.. ไม่ค่อยได้สูบแล้ววว   คร้าบบบ   ทราบครับ   โห่วว เหลือวันละมวนแล้ว เดี๋ยวกำลังเลิกนะครับ  อืม.. ใช่ๆๆ   พ่อเป็นไงบ้าง...  อ่อ..  ฮ่าๆๆๆ    น่าจะไปครับ คืนนี้ มีบอล  อ๋อไม่ไกล ไม่ได้ขี่รถ ว่าจะเดินไป บาร์ของเพื่อนโอ๊ค   อู้ยย ไม่เมาหรอก พรุ่งนี้ต้องพาคนเช่าห้องวีไอพีของแม่ไปวัด อืม.. ใช่ๆๆๆ  ก็ดีนะ  อืมครับ เขาชอบ   ครับๆ   ใช่ๆ  อ่อ...  ดอยได้ที่ฝึกแล้ว บริษัทพ่อโอ๊ค   อืม ครับ ได้ๆๆ  ตังเหรอ ใช้หมดแล้ว ฮ่าๆๆ   พอดีสั่งของมาแต่งรถให้ลูกค้า..  ก็  ภาษีหนักมาก  ครับ.. ครับ.. ครับ...   แม่ก็อย่าทำงานหนักนะ เดี๋ยวดอยแวะไปหา  ยังไม่มี ฮ่าๆๆ  เดี๋ยวมีก็พาไปเองแหล่ะ ครับ รักแม่นะ สวัสดีครับ”
แล้วเขาก็ล้มตัวลงนอนต่อ ก่อนคว้าปกเทปเขียนอักษร Come on Over มาอ่านเนื้อเพลง แล้วฮัมเบาๆ ก่อนจะเผลอหลับไปในเตียงที่อุ่นนุ่ม



หน้าลานกว้างของสปอร์ตบาร์ขนาดใหญ่ใจกลางเมืองซึ่งเนืองแน่นด้วยลูกค้าตั้งแต่ช่วงค่ำ ป้ายนีออนขนาดใหญ่ Complex Bar พร้อมโคมลำแสงไฟท่อนส่องฟ้า ปลายท่อนไฟเวลาส่องสัมผัสกับวัตถุจะปรากฏเป็นรูปโลโก้ค้างคาว 
ลูกค้าทุกโต๊ะใส่เสื้อกีฬาสีแดง บ้างก็มีสวมผ้าพันคอ หมวกไหมพรม เสียงเอะอะโวยวายแต่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
มีป้ายไวนิลสีดำ อักษรสีแดงตัวใหญ่ “Complex แจกสเปรย์รอยัลฟรี  วันแดงเดือด 99” 

โต๊ะหน้าสุด ตรงกลางเยื้องลานน้ำพุจำลอง อาร์ม และ โอ๊ค อยู่ในเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีมะนาว กับยอดดอย ใส่เสื้อกีฬาทีมลิเวอร์พูล นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกัน และปุยที่อยู่ในเสื้อสีเหลืองสด นั่งเด่นอยู่คนเดียวท่ามกลางคนทั้งร้านที่แตกต่าง

“มะนาวอ่ะ จะมาในชุดทีม ก็ไม่บอกเรา เราจะได้ไปหาใส่บ้าง” ปุยโอดครวญที่สายตาโต๊ะอื่นมักจับมามองที่เสื้อเขา

“นาวเพิ่งเปลี่ยนเมื่อก่อนเดินเข้าร้านเองล่ะปุย เดินมาเห็นคนใส่สีแดงกับพรึ่บเลย เลยเดินไปยืมเสื้อพี่ดอย ฮ่าๆๆ”

“กลับไปเปลี่ยนมั่งดีกว่า นี่บอลจะเริ่มยังล่ะ” ปุยหันไปถามดอยที่กำลังเคี้ยวหมูแส้ อาหารจาดเด็ดของที่ร้านแก้มตุ่ย

“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก สีนี้เข้ากับปุยดีออก” โอ๊คนี่นั่งมองทีท่าสุดกังวลของปุยอยู่นาน แสดงความเห็น

“ใช่ ใส่แล้วขาวมากเลย” ดอยพูดแทรก

“นาวว่า ที่เขามองน่ะ ไม่ได้มองเสื้อหรอก เขามองปุยกันนั่นแหล่ะ” มะนาวแซวปุยที่กำลังนั่งเขินเมื่อได้ยิน

“ก็โดนมองทั้งคู่นั่นแหล่ะ ไม่ต้องเถียงกัน  นี่จะเตะปากไอ้หัวล้านอยู่เนี่ย ทำมามองมะนาวน้ำลายเยิ้ม  นี่ถ้าผีแพ้นะ กูเล่นแน่แม่งหื่นแต่หัววัน” อาร์มที่กำลังมีน้ำโห ประกาศกร้าว

“อ๊ะ มองได้ก็เอาไปไม่ได้ ไม่สนหรอก” มะนาวเสริม

“แต่บางทีเราก็ต้องดูว่า อะไรที่มันไม่ปลอดภัย ก็เพลาๆลงบ้าง” โอ๊คยังคงวางมาดขรึม ปรามมะนาว

“ค่ะพี่”




“A little bit of Monica in my life.. A little bit of Erica by my side.. A little bit of Rita is all i need..”
เสียงเพลง Mambo No.5! ของ Lou Bega บรรเลงดังลั่น บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เหมือนฮอร์โมนชายหนุ่มที่ฉีดพล่าน

ทันทีที่ เจมี่ เรดแนพพ์ เดินนำทีมลงสนาม ดอยดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเมื่อทีมโปรดของตัวเองมีแนวโน้มน่าจะเป็นผู้กำชัย  เยื้องกันเป็นโอ๊ค ที่อ่านข้อความในเพจเจอร์ และมือถือสลับกันไป  อาร์มกับมะนาว ที่อร่อยกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า และปุย ที่ยังคงหลบสายตาคนที่โต๊ะข้างๆ ที่มองมาไม่หยุด

“กูดุโหงวเฮ้ง ฟาวเลอร์ ยังไง หงส์ก็วินว่ะไอ้อาร์ม” ดอยข่ม

“แต่โอเว่นมึง หน้าหมองเป็นคลองแสนแสบ เดี๋ยวมึงได้มีหนาวไอ้ดอย นั่งสำรองอีกต่างหาก ฮ่าๆ”

“ผู้ตัดสินชื่อ บาร์บี้ ตลกดีเนอะ ชื่อเหมือนผู้หญิง” ปุยเมฆล้อเลียนกรรมการที่ถูกขานนาม

“แหม ปุย นี่ชื่อแมนมากเลยเนอะ” โอ๊คหยอกคืน เผยอรอยยิ้มแสนหล่อเข้าใส่

“เราอยากชื่อเมฆ แม่อ่ะดิ เรียกปุยอยู่ได้”

“ก็ยังดีกว่า บาร์บี้นะ นาวว่า นี่ใครถามชื่อจริง นาวยังไม่อยากบอกเลยว่าชื่อสมศรี โบราณมากกกก” 

“เฮ้ยยย เชดดดด มึงดูฟอร์มไรอั้น กิ๊ก ซะก่อนไอ้อาร์ม ไอ้โอ๊ค  มึงได้เลี้ยงมื้อนี้แน่” ดอยหึกเหิม

“ชิชะ ไอ้ดอย เดี๋ยวมึงจะพูดไม่ออก เฟอร์กี้ จะหักปีกหงส์คาแอนฟิลด์มึงเลยคอยดู” อาร์มสวนกลับ

“เบ็คแฮม หล่อเนอะ” ปุยชมนักกีฬา ที่อยู่ในเสื้อสีแดง เบอร์ 7 ที่กล้องจับภาพไปหาบ่อยครั้ง

“งั้นๆ แหล่ะ ชิส์” ดอยแสยะปากตอบ “อ้าวเฮ้ย ไอ้ คาราเกอร์ สัส เชี่ยยย แม่ง โหม่งเข้าประตูตัวเองทำไม โอ๊ยย” ดอย โอดครวญเอามือกุมหัวทำที่ปวดขมับ ในขณะที่ โอ๊ค กับ อาร์ม กระโดดตัวลอย กอดกัน พร้อมเสียงเชียร์เฮลั่นอีกประมาณครึ่งนึงของคนในร้าน ที่ส่งเสียงดีใจกันถ้วนหน้า ในขณะที่อีกครึ่งร้านทำหน้าเซ็ง ทั้งที่การเล่นเกมเพิ่งผ่านไปเพียงสามนาที


บรรยากาศยังคงตึงเครียดในร้าน กองเชียร์ทั้งสองฝั่งลุ้นกับการแข่งขันที่สุดระทึก
ยิ่งเมื่อนาทีที่ 18 แอนดี้ โคล โหม่งลูกให้แมนยู นำหนีไปเป็น 2-0 

ตอนนี้ ดอย และ โอ๊ค อาร์ม ที่ไม่มีแม้แต่บทสนทนา แค่พึมพรำบ้างลอยๆ กับตัวเอง 
ส่วนมะนาวที่แม้ไม่ใช่คอบอล แต่ก็อดตื่นเต้นไปด้วย ซึ่งมะนาวให้ใจแก่ทีมลิเวอร์พูลที่กำลังมีพยายามตีเสมอ
ตามประสาคนชอบเชียร์ผู้ที่ตกเป็นรอง 

ในขณะที่ปุยเอง ยังไม่ค่อยเข้าใจกับรูปแบบเกมที่เรียกว่าฟุตบอลซึ่งตัวเองเลี่ยงมาตลอดชีวิต เขาจึงรับหน้าที่คอยเติมเบียร์ให้เพื่อนในโต๊ะทุกคน ปุยพยายามยกมือ เพื่อเรียกให้เด็กเสิร์ฟเอาน้ำแข็งมาให้ แต่เหมือนบัดนี้ ทั้งร้านถูกมนต์สะกดของฟุตบอลคู่หยุดโลกที่ไม่มีแม้แต่ใครจะสนใจกันเอง แม้กระทั่งคนบนโต๊ะเดียวกัน 

“เฮ !!!” เสียงเฮดังขึ้น โดยเฉพาะที่ออกจากปากดอย ยิ่งดังลั่นกว่าคนอื่นอีกครึ่งร้าน ที่นั่งซึมมาได้ 5 นาที เมื่อ แซมมี่ ฮูเปีย หม่งลูกบอลเข้าตะข่าย ทำให้ลิเวอร์พูล ตีตื้นขึ้นมา เป็น 2-1 บรรยากาศกลับมาคึกคักถึงขีดสุด จนคนที่นั่งลุ้นผลบอล ลุกๆ นั่งๆ อย่างใจจดจ่อทุกครั้งที่ลูกบอลเปลี่ยนข้างไปอยู่ในเท้าของอีกฝ่าย

เมื่อไม่มีใครสนใจ ปุยจึงตัดสินใจ ถือถังน้ำแข็งยกขึ้น เพื่อพยายามเรียกร้องความสนใจจากบริกร

“ผมจัดการให้ครับ” ชายหนุ่มผู้เดินมาใหม่ คว้าถังน้ำแข็งจากมือปุย ก่อนส่งไปให้เด็กเสิร์ฟที่รีบเข้ามาช่วยถือทันที

“อ้าว คุณมือกลอง” ปุยทัก เมื่อชายหนุ่มลูกชายเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งเจอเมื่อวันก่อน เดินเข้ามาหา

“รู้ชื่อผมด้วย”

“อ้อ ก็ถามจาก ดอยเอา” ปุยมีอาการเขินเล็กน้อย พร้อมชี้นิ้วไปทางดอยที่ยังคงเชียร์ฟุตบอลอยู่อย่างใจจ่อ มีเพียงโอ๊คที่เหลือบมาเห็นพวกเขา และพยักหน้าทักมือกลอง โดยอีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ

“แอบถามถึงผมด้วย ปลื้มนะเนี่ย”

“เอ้ยยย เปล่าๆๆ ไม่ใช่อย่างนั้น” ปุยมีสีหน้าเขินสุดขีด รีบแก้ตัว

“ผมล้อเล่น เดี๋ยวจัดการให้นะ พอดีเด็กเสิร์ฟคงลุ้นทีมตัวเองกันจนไม่ดูลูกค้าเลย”

“อ้าว คุณมือกลอง เป็นเจ้าของร้านนี้เหรอครับ”

“ใช่ครับ เรียกกลองก็ได้ นี่ชื่อปุยใช่ไหม”

“อ้าว รู้ชื่อผมเหมือนกันเหรอ” ปุยแซวกลับ

“ก็แอบถามไอ้โอ๊คมาเหมือนกัน” มือกลองส่งยิ้มแบบเจ้าเล่ห์มาให้คู่สนทนา จนอีกฝั่งเขินอาย “แลดู ปุยไม่สนุกเลย ไปนั่งเป็นเพื่อนผมที่โต๊ะไหมครับ ผมนั่งอยู่คนเดียว”

“ได้ๆๆ ที่โต๊ะไม่มีใครสนใจผมเลย ฮ่าๆๆ”  แล้วปุยก็เดินตามมือกลองไปที่โต๊ะในร้าน ซึ่งมีจำนวนโต๊ะเพียงไม่กี่โต๊ะ เมื่อเทียบกับลานกว้างหน้าร้าน ตามสไตล์สปอร์ตบาร์ ที่เน้นลานด้านหน้าล้อมจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ เพื่ออรรถรสในการรับชมกีฬา คล้ายสนามกีฬาจริง   โดยมีโอ๊คที่มองตามทั้งคู่มาเป็นระยะ

“นักเรียนปีหนึ่ง ปวส.สาชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม อายุเท่าผมกับโอ๊ค เพราะดร็อปมาหนึ่งปี คุณพ่อทำงานในสถานทูต คุณแม่เป็นคนที่นี่ แล้วก็หน้าตาดีอย่างนี้มานานแล้ว อันนี้ที่ผมสืบมา ได้แค่นี้ มีอะไรเสริมไหมครับ” มือกลอง เอนตัวลงบนโซฟาสีน้ำตาลตัวหรู มีโต๊ะหวายสังเคราะห์ตรงกลาง ฝั่งตรงข้ามเป็นปุย ในเสื้อสีเหลืองที่ไม่เข้ากับบรรยากาศด้านนอกเลย กำลังสนุกกับการขย่มโซฟาแสนนุ่ม

“ก็เป็นคนง่าย ๆ สบายๆ รีบๆจบ อยากทำงานแล้ว โหว โซฟาตัวนี้ดีชะมัด”

“แล้วสนิทกับโอ๊คได้ยังไงล่ะครับ”

“เค้าบอกว่า เขาสนิทกับผมเหรอ”

“อ้าว อันนี้ไม่รู้สินะครับ”

“เค้าก็สนิท แล้วเขาก็ห่าง แล้วเขาก็มาสนิท แล้วเขาก็ห่าง”

“ฮ่าๆๆๆๆๆ  นั่นแหล่ะ นายต้นสาย ตัวจริง”

“สนิทกันมากไหม” ปุยถามกลับบ้าง

“เขาไม่เคยพูดถึงผมใช่ไหมล่ะ”

“เคยเล่าว่า พ่อแม่สนิทกัน แต่ไม่ได้คุยอะไรมาก เอ๊ะ นี่ ผมไม่ได้ถามอะไรถึงกลองนะ !!” ปุยรีบแก้ตัวพัลวัน

“ครับๆ ผมล้อเล่น  แต่ผมลองถามถึงปุย โอ๊คไม่ยอมเล่ามาก โอ๊คมันหวงล่ะมั๊ง”

“เขาจะหวงผมทำไม ก็เพื่อนกันเฉยๆ”

“ดูเขาจะชอบปุยอยู่นะ ผมดูก็รู้ เขาคิดอะไรผมรู้หมดแหล่ะ”

“นี่ก็แสดงว่าสนิทกันมากเลยสินะ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร คนเมืองนี้ ทำไมมันพิสดารกันอย่างนี้ก็ไม่รู้”

“อ้าว  ทำไมพาลอย่างนั้นล่ะครับ”

“ก็ตั้งแต่ย้ายมานะ อะไรก็ไม่รู้ วุ่นวายไปหมด บางวันทำเอาเครียดจนนอนไม่หลับ เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ”

“แปลว่า คนเมืองนี้ มีเสน่ห์สินะครับ”

“คนเมืองนี้ ขี้ตู่ตะหาก เชอะ” ปุยไม่ยอมแพ้

“อ้าว ซวยเลย  ยอมก็ได้ครับ ฮ่าๆๆ”  มือกลอง เอี้ยวตัวจากพนักพิง เอื้อมมือมาส่งแก้วที่เด็กเสิร์ฟเพิ่งมาวางไว้ ส่งให้ปุย เป็นน้ำสีเหลืองมีฟอง มะนาวฝานลอยอยู่ด้านบนผิวน้ำ ปากขอบแก้วมีเกลือป่นเกาะโดยรอบ

“พรุ่งนี้ผมต้องตื่นเช้าน่ะครับ” ปุยมีทีท่าจะปฏิเสธเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายส่งให้

“แก้วนี้ไม่มีแอลกอฮอล์ครับ แหม ผมก็แอบทำการบ้านมานะ โอ๊คมันย้ำ ไม่ให้ปุยดื่มเหล้า” มือกลองยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายยกขึ้นดื่ม และดูพอใจกับรสของมัน “เป็นเครื่องดื่มม็อคเทลที่เป็นสูตรของเราโดยเฉพาะครับ เห็นใส่เสื้อสีเหลือง เลยนึกขึ้นได้ว่า น่าจะเหมาะที่สุดเลย ชื่อของมันคือ Sex with the owner ” 



“เฮ้ยยยยยยย ไอ้ดอยยยย โอ้คคคคค  อาร์มมมมม  บายดีป่าววะ” ชายหนุ่มผอมบางตัวเตี้ย ตาขวาเข ฟันหน้าบนเหยินออกมาจนสังเกตได้ เดินเซมาที่โต๊ะ ในช่วงเวลาพักครึ่งแรก

“อ้าว ไอ้มด ไหวไหมมึงเนี่ย เมาอะไรขนาดนี้วะ” โอ๊คถาม เมื่อสังเกตเห็นสารรูปของผู้มาเยือน

“กูหวายยยย  กูหวายยยยย โอ๊ะ นี่น้องมะนาวคนสวยยยยย  ยิ่งโตยิ่งสวยยยยยยยยยย” มดดำ ยังคงยืนพูดแบบคนสติไม่ครบครัน ยิ่งได้ใจ เมื่อเห็นสาวที่ถูกแซวมีอาการกลัว

“เออ แล้วนี่มึงมากับใคร เขาไม่ตามหามึงกันให้ควั่กแล้วเหรอวะ กลับโต๊ะไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวกูแวะไปทักทาย” อาร์มตัดบท

“เฮ้ยยย มันหายหัวกันไปไหนหมดตั้งแต่ ไอ้คาราเกอร์โหม่งเข้าประตูตัวเองอีกรอบ แม่งงงงงเอ้ยยย มีหวังทำแฮตทริกประตูตัวเองแหง ได้สาสสสสสสส  กูขอนั่งด้วยนะโว้ยยยยยยย เดี๋ยวเพื่อนกูก็มา รบกวนหน่อยยยยยยย” 

“เออๆ  แต่แม่งเมาเหลือเกินมึง ถ้าปากยังหมาเหมือนเดิมนี่กูมีเตะนะ” ดอยหันไปบอกคนที่ถือวิสาสะมานั่งข้าง เขาเพิ่งสังเกตว่า ปุยหายไปนาน ไม่น่าจะไปเข้าห้องน้ำหรือโทรศัพท์  จนโอ๊คที่เห็นทีท่ากังวลของดอย จึงบอกไปว่า ปุยอยู่กับมือกลองที่โต๊ะในร้าน  มะนาวจึงขันอาสาเดินไปเรียกให้ ปุย กับ มือกลอง จึงตามกลับมาสมทบ






“เห้ยยยยยยยยยย กูม่ายยกลับแล้วเว้ยยยยย  โต๊ะนี้มีแต่คนสวยยยย  สวยยยยยย ขาววววว ขาวววววว ตั้งสองงงงคน”

“กูว่ามึงน่าจะกลับบ้านได้แล้วนะ แม่งอะไรจะเมาหยำเปขนาดนี้วะ เดี๋ยวจะไปโดนส้นตีนใครเข้า” โอ๊คเตือนมดดำ

“นั่นดิ เอาม๊ะ เดี๋ยวกูไปส่ง บ้านมึงแค่นี้เอง” อาร์มขันอาสา

“ไม่เอาวววววว ไม่เอาววววว กูไม่อยากกลับบ้านนนน เขาไม่ชอบขี้หน้ากูววววววว ไม่มีใครชอบกูววววววว  ใช่ไหมวะ ไอ้ดอย  คนอย่างพวกเรา ไม่มีใครเอาวววววว  ไม่มีใครเห็นว่าดี  กูหล่ะแม่งน้อยจายยยยยย”

“คนอย่างพวกเรา” ปุยรีบถามมดดำ ที่เขาไม่คุ้นหน้า และยังไม่ได้เอ่ยสวัสดีกันด้วยซ้ำ  “คนอย่างพวกเราคืออะไรอ่ะ”

“ก็แหมมมม แม่คนขาวสวยย  ก็ไอ้เด็กสถานพินิจ อย่างเราใครจะมาสุงสิงงงงงง” มดดำสะอึกคล้ายจะอาเจียน ในขณะที่ทุกคนบนโต๊ะสัมผัสได้ถึงความอึดอัดตั้งแต่มดดำมาเยือน

“มึงเมาแล้วก็รีบกลับเหอะป๊ะ ไอ้อาร์ม ไปส่งไอ้มดมันทีวะ” โอ๊คระงับความตึงเครียด ด้วยทางออกที่ทุกคนดูจะพอใจ

“เฮ้ยยยยยย อารายยยวะ กูม่ายยยยกลับ ไอ้ดอย มึงช่วยกูด้วยยย เรามันหัวอกเดียวกานนนนนน  เรามันเด็กเหลือขอ เรามันพวกไม่มีอนาคตตตตต” มดดำสะอึกอีกยกใหญ่ แล้วอาเจียนออกมากลางวง ทำให้แตกตื่นกันไปหมด มือกลองที่นั่งดูอยู่นาน สั่งให้ลูกน้องมาจัดการ และช่วยกันพามดดำไปนอนที่โซฟาหน้าครัวหลังร้าน




“You are my fire... The one desire... Believe when i say.. that I want it that way..” เสียงเบสนุ่มทุ้มลึกจากตู้ลำโพงJBL ทรงสี่เหลี่ยมฝาปิดผ้าสีเทา ลอยล่องมา ในขณะที่จอโปรเจ็คเตอร์ขนาดยักษ์ ฉายการแข่งขันฟุตบอลครึ่งหลัง ที่กำลังเริ่มขึ้นอีกในไม่ช้า
บรรยากาศที่โต๊ะหน้ากลางยังคงอึมครึมไม่คึกคักเหมือนโต๊ะอื่น ที่ตอนนี้อึกทึกจนถึงขีดสุด ด้วยความหวังในชัยชนะของทั้งสองทีมคู่แข่งขัน ปุยเป็นคนเดียวในโต๊ะ ที่ทำตัวปกติที่สุด อย่างน้อย ก็ในความคิดของปุย  มือกลองให้เด็กเสิร์ฟ เปลี่ยนผ้าปูโต๊ะ และจานชุดใหม่ให้ทุกคน เอาเครื่องดื่มชุดใหม่มาลงที่โต๊ะเพิ่มให้ แล้วก็เดินมานั่งข้างโอ๊ค ที่เคยเป็นที่ของอาร์ม แต่ตอนนี้ อาร์มเขยิบไปนั่งโซฟาเดียวกับมะนาว

“ขอโทษด้วยนะโอ๊ค พอดีไอ้มดมันคงจะเมามาก มันเพิ่งโดนปฏิเสธงานจากบริษัทญาติมันเองแหล่ะ เดี๋ยวมื้อนี้กลองไม่คิดเงิน กินกันตามสบายนะ”

“เฮ้ย ไม่เอา ไอ้มดดำมันก็เพื่อนเรา เฮ้ยๆๆ ไม่คิดมากดิ”

“กลัวเข็ด แล้วไม่มาอีกน่ะสิ พรรคนี้ก็หายไปเลย แต่ก็พอจะเข้าใจนะ” มือกลองหันหน้าไปทางปุยที่กำลังนั่งเงียบไม่พูดอะไรมาพักใหญ่ ตั้งแต่มดดำเอ่ยคำว่า คนอย่างพวกเรา ออกไป 

“ไม่เกี่ยวสักหน่อย โอ๊คยุ่งๆด้วยล่ะ ตอนนี้ ช่วยพ่อเรื่องแปลนบ้านโครงการที่จะปลูกใหม่ แล้วเริ่มเข้าไปเรียนรู้ระบบงานขาย กับ การก่อสร้าง”

“แล้วไม่ไปช่วยเรื่องโชว์รูมรถเหรอ”

“กะจะให้ไอ้อาร์มมันดู มันน่าจะทำได้ดี เราปรับของเราได้”

“อย่าปรับมาทำโรงแรมแล้วกัน กลองกลัว”

“โหววว ใครจะกล้ามีคุณมือกลองเป็นคู่แข่งล่ะเนี่ย ขอหนีไปทำจัดสรรดีกว่า เราไม่มี เซอร์วิสมายด์บนใบหน้า ต้องอย่างกลองน่ะ ถูกแล้ว  แต่อย่ายุพ่อมาทำจัดสรรนะ มีเคือง”

“ก็ทำร่วมกันได้ อาจมีทำร่วมกันในยุคของพวกเราเนอะ”

“อืมมม ต้องรอดู พูดเหมือนจะทำรอดนะ ถ้าโอ๊คเก่งแบบกลองคงจะดี”

“อย่ามาทำไขสือ พ่อกลองนะ ชมโอ๊คตลอด เอะอะ ก็ให้เอาอย่างลูกบ้านโรจน์ทรัพย์อนันต์ นีถ้าชมแต่ลูกบ้านอื่น กลองคงมีน้อยใจล่ะ นี่ดีนะเป็นลูกบ้านนี้”

“แหมมม มือกลอง พ่อนายอาจจะหมายถึงให้เอาอย่างคนน้องแบบเราก็ได้นะครับ” อาร์มขัดจังหวะคู่สนทนา

“ก็ไม่อิจฉาทั้งคู่นั่นแหล่ะ แหม เห็นหน้ากันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าทำอะไรแล้วสำเร็จ ก็ดีใจไปด้วยกันเลย ” มือกลองหัวเราะชอบใจ ก่อนจะหันไปทางคนที่อยู่ข้าง ๆ  “แต่ตอนนี้ เราว่าโอ๊คงานหนักนะ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็เหอะ” มือกลองก็เอามือไปวางที่หน้าขาโอ๊ค โน้มตัวไปกระซิบ

“โอ๊คเกิดมาเพื่อผิดหวังว่ะกลอง” โอ๊คส่งยิ้มคล้ายแซวหัวใจตัวเอง

“พระเจ้าจะส่งสิ่งที่ใช่มาให้ในที่สุด คิดอย่างนี้แล้วกัน”

“อืม.. อยากมองโลกได้อย่างกลองบ้างเนอะ” 




นาทีที่ 68  เมื่อแพทริค แบเกอร์ ส่งลูกเข้าประตูไปตุงตะข่าย สาวกทีมหงส์ก็เกรียวกราวอยู่ที่โต๊ะซึ่งกระจายอยู่ทั้งร้าน เป็นเกมที่บีบหัวใจ ตื่นเต้นมากกว่าเกมไหนๆ สำหรับชาววันแดงเดือด   แล้วกองทัพชาวแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็นั่งกันไม่ติด เมื่อผู้เล่นหนึ่งคน โดนไล่ออกจากสนามเพราะใบแดง ทำให้เกมมีความตื่นตามากยิ่งขึ้นไป และทีมผู้ตามมีโอกาสหลายครั้งจะทำประตูเพื่อตีเสมอ

“โอเว่น โอเว่น โอเว่นกู โอ้ยยยยยย ไอ้เชี่ยยย เบียดเสาออกไปแล้ววววว” ดอย โอดครวญ เมื่อนักเตะตัวโปรดที่เพิ่งถูกเปลี่ยนตัวเข้ามา เกือบทำประตูตีเสมอได้

“หัวใจกูจะวายแล้วเว้ยไอ้ดอย แม่งมันสัสเลยเกมนี้” อาร์มที่ดูตื่นเต้นไม่แพ้กันหันไปตอบ

“มะนาวดูรู้เรื่องไหมอ่ะ” ปุยที่นั่งเงียบไปนาน ถามกับมะนาวที่แลดูจะเริ่มอินกับเกมบ้าง เพราะอาร์มขยันอธิบายให้ฟัง ว่าอะไรคือล้ำหน้า อะไรคือฟาวล์ หรือ นักเตะตัวไหนเก่งอย่างไร แต่อาร์มพยายามโน้มน้าวให้มะนาวเชียร์ทีมของตนเอง แม้ว่ามะนาวจะใส่เสื้อทีมลิเวอร์พูลอยู่ก็ตาม

“ก็พอรู้นะ พี่อาร์มนี่อธิบายเป็นฉากๆ อย่างกับหลุดเข้าไปอยู่ข้างสนามเลย ปุยไม่สนุกเหรอ”

“ก็สนุกบรรยากาศนะ ทุกคนดูฮึกเหิมยังไงก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ตอนบอลโลก ปุยก็พยายามเชียร์ทีมอิตาลีนะ ดูไม่เป็นเท่าไหร่  แต่เพิ่งเคยเห็นกองเชียร์มารวมตัวอะไรกันแบบนี้เลย”

“ก็เลยนั่งมองหน้านักเตะเหรอ เชียร์อิตาลีเนี่ย” ดอยหันไปถามปุย ซึ่งเป็นประโยคสนทนาแรกตั้งแต่ มดดำทิ้งระเบิดไว้

“ก็เขาเล่นสนุกดี อิตาลีน่ะ”

“อิตาลีเนี่ยนะ อุดกองหลังทั้งแผง สนุกยังไงฮะ มีดีแค่หล่อกันทั้งทีมแหล่ะวะ” ดอยคาดคั้นจะเอาคำตอบจากปุยให้ได้

“หืยยย อย่ามาใส่ร้าย เราก็ดูทีมอื่นด้วย  ไม่พูดด้วยดีกว่า จ้องจะหาเรื่องตลอดเลย” ปุยทำหน้างอน

“แล้วนี่ มีอะไรจะถามเราไหมอ่ะ ถามได้นะ เราบอกหมดได้” ดอยที่ยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ไม่ได้มองหน้ามาปุย แต่ก็คาดเดาได้ว่า รอฟังคำตอบจากคู่สนทนาอย่างใจจดจ่อ

“ถ้าอยากบอก คงเล่าแต่แรกแล้วใช่ไหม.. ไว้อยากเล่า ค่อยเล่า ไม่อยากเล่า ก็ไม่ต้องเล่า”

“อืม  ขอบคุณนะ” ดอยเอื้อมมือไปหยิกแก้มปุยเป็นเชิงหยอก แล้วหันไปดูจอโปรเจ็คเตอร์ ด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นไปจนจบเกม




กรรมการเปล่านกหวีดหมดเวลา เสียงโห่ร้องจากผู้คนในร้านและหน้าร้านดังลั่น
ทุกคนบนโต๊ะดูสนุกกันมาก ทั้งฝ่ายดอยที่แม้อารมณ์เสียเล็กน้อยที่ ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายแพ้ แต่เขาก็รับรู้ว่ามันเป็นการแข่งขันที่สนุกที่สุด สูสีและทำได้สมศักดิ์ศรีชื่อสโมสรกันทั้งคู่  ส่วนอาร์มไม่ต้องพูดถึง ได้เกทับเยาะเย้ยดอยไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีมะนาวกับปุยหัวเราะที่ทั้งคู่เถียงกันเรื่องความเก่งเก๋าของทีมตัวเอง ทั้งหมดกินกันอีกสักพัก ก็เรียกเช็คบิลแม้ทางมือกลองจะตามมาบอกว่าขอเลี้ยง แต่โอ๊คก็ไม่ยอม แย่งควักเงินจ่ายเด็กเสิร์ฟพร้อมทิปไป   

“โอ๋ๆๆ อย่าซึมนะ น้ำใจนักกีฬาน่ะมีหน่อยไอ้ดอย”อาร์มยังไม่เลิกเบ่งทับดอย

“เดี๋ยวกูจะแช่งให้ทีมมึงถึงขาลง ไอ้อาร์ม”

“ไม่มีวันนั้นหรอกโว้ยย หู้วว ชนะโว้ยยย” อาร์มคว้าแขนมะนาว ชวนไปซื้อลูกชิ้นย่างรถเข็นที่จอดหน้าร้าน ทิ้งให้ดอยยืนกับปุยไว้เบื้องหลัง

“โอ๋ๆๆ อย่าร้องไห้นะ เดี๋ยวพาไปกินบะหมี่หมูแดงของโปรดปลอบใจ” ปุยกระซิบ

“เสียใจอ่ะ เสียใจ” ดอยยกมือสองข้าง มากำเป็นกำปั้นขยี้ตา ล้อเลียนท่าร้องไห้หวังให้ปุยสงสาร




“การตีเสมอ เป็นเรื่องยากเนอะ ไม่ว่าจะเกมไหน” มือกลองที่ตามมาส่งโอ๊คที่รถ หันไปบอกเจ้าของคาวาซากิสีดำ ผู้ซึ่งยืนมองปุย กับ ดอย อยู่จากลานจอดรถ

“แถมงานนี้ ผู้แพ้ไม่มีของปลอบใจด้วยสินะ” โอ๊คเอากำปั้นคู่ขึ้นมาขยี้ตาบ้าง เพื่อล้อเลียนแบบท่าของดอย หัวเราะเบาๆให้มือกลอง ก่อนจะคว้ารถมอเตอร์ไซค์ถอยออกมาจากที่จอด

“แล้วนี่ มากันคนละคันเหรอ”

“ใช่ อาร์มเอารถยนต์มา ต้องไปส่งทุกคนก่อน โอ๊คเอารถมาเอง พอดีพรุ่งนี้มีอะไรอีกหลายอย่างต้องทำน่ะ”

“ไว้โอ๊คแวะมารับกลองไปเที่ยวบ้างสิ อยากนั่งแบทแมนบ้าง”

“คุณหนูผู้สูงศักดิ์ จะมานั่งอะไรกับกับคาวาซากิถูกๆ เนอะแบทแมนลูกพ่อ” โอ๊คเอามือลูบถังน้ำมันรถมอเตอร์โซค์ที่คร่อมอยู่อย่างทะนุถนอม เป็นการส่งสานส์ให้ผู้ฟัง ว่าเขากับรถคันเก่ง เจียมตัวแค่ไหน

“อยากนั่งมานานแล้วคันนี้ ถ้าเจ้าของเขาจะยินยอมนะ”



“Un, dos ,tres! Ole,Ole,Ole! Un,Deux,Trois! Ale,Ale,Ale! 
Tonight’s the night we’re gonna celebrate The cup of life ! Ale , Ale , Ale !!”  เสียงเพลงดังลอยขึ้นไปบนหมู่ดาว ปิดค่ำคืนที่แสนขมอมหวานของใครบางคน
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 13 : Go,Go,Go ! Ale,Ale,Ale ! ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 21-02-2018 00:37:35
โกว โกว โกว
อาเล่ อาเล่ อาเล่
แล้วสะโพกอันพริ้วไหวของ ริกกี้ ก็ลอยเข้ามาในหัว 

 :ruready
 :-[ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 14 : โลกทั้งใบให้เธอคนเดียว Feat.มะนาว ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 23-02-2018 01:46:48

Track 14 : ต่างคนต่างพูดไม่ออก.. ได้แต่มองตาเท่านั้น.. 

[ Feat. มะนาว ]

สวัสดีค่ะ เห็นเพลงหลักของมะนาวเป็นเพลงเศร้าแล้วถึงกับตกใจกันเลยเหรอคะ
บุคลิกอย่างมะนาวมันควรเป็น กะโปโล แบบนิโคล เทริโอ้ ใช่ไหมคะ
ความพยายามทำตัวเองให้สดใส คือสิ่งเดียวที่จะมัดใจทุกคนไว้รวมกัน  ทุกคนในที่นี้ คือ 4 ใน 5 ที่เติมไม่เคยเต็ม

ตั้งแต่เล็กจนโต มะนาวก็ขลุกอยู่กับกลุ่มพี่โอ๊ค พี่อาร์ม เราเติบใหญ่มาด้วยกัน ตามประสาคนใกล้ชิด เด็กสาวบ้านใกล้ กับ ชายหนุ่มทั้งสอง และอีกหนึ่งสาวน้อยวัยเดียวกันกับมะนาว

พวกเราทั้งสี่คน มีแค่กันและกัน แม้ตอนไปโรงเรียนก็มีแต่คนอยากเข้าหา เพราะพ่อแม่ของพวกเรารวยล้นเหลือ มีหน้าตาในสังคม ท่านบันดาลสิ่งที่อยากได้ แต่มันก็ไม่จริงตามที่พวกอื่นคิดไปซะทีเดียว


มะนาวโตมากับความรักของคุณพ่อและคุณแม่ที่เอาใจใส่ จนกระทั่งพวกท่านเสียไป มะนาวก็ย้ายมาอยู่กับป้าที่ได้สามีชาวต่างชาติ ลุงเขยเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงดังจากออสเตรเลีย ที่คัฟเวอร์แล้ว คัฟเวอร์อีก เป็นรายได้ที่เข้ามาทุกครั้งที่เพลงถูกกลับนำมาทำใหม่   มะนาวก็ได้ความรักจากคุณป้าเช่นกัน ก่อนที่ป้าจะมีลูกของเขาเองในที่สุด


นาวก็เริ่มขลุกตัวเองกับกลุ่มพี่โอ๊ค ที่ล้วนเป็นคนใจดี มีไมตรีที่หยิบยื่นให้น้องสาวคนนี้   

ต้นสาย   :  พี่ชายแสนงดงามทั้งกายและใจ หัวใจที่ยิ่งใหญ่และเป็นผู้ให้อยู่เสมอ
กลางชล  :  พี่ชายที่ทำให้มะนาวมีรอยยิ้มในช่วงเวลาที่แย่ และคอยเช็ดน้ำตาในวันที่ท้อแท้
ปลายน้ำ :  เพื่อนรักที่สุดในชีวิต อ่อนโยนถอดแบบจากพี่ชายฝาแฝดของพวกเธอ

ตระกูลตรีโอฬารวงศ์ ทั้งพ่อและแม่ของอุ๋มอิ๋ม เพื่อนรักของมะนาว ใจดีกับมะนาวมาก รักมะนาวดุจลูกสาวอีกคน
ท่านเมตตา ท่านให้ความรัก มะนาวจึงเข้าออกบ้านอุ๋มอิ๋มเป็นนิจ เราช่วยเหลือกัน ฝากผีฝากไข้กันเฉกที่พี่น้องในไส้ทำกัน
อิ๋มมีนาว นาวก็มีอิ๋ม ตัวติดกันอย่างกับตะเกียบญี่ปุ่น  ครั้งหนึ่ง อุ๋มอิ๋มต้องไปทัศนศึกษาที่ต่างจังหวัด มะนาวนอนร้องไห้ที่ไม่ได้เจออิ๋มหลายวัน  อุ๋มอิ๋มเองก็บ่นคิดถึงมะนาวเช่นกัน
แล้วระหว่างนั้น ก็มีพี่ยอดดอยผู้ใจดีเป็นที่สุด เข้ามาเพิ่มในกลุ่มของพวกเรา จนกลายเป็นห้าคน 
พี่ดอยมีความทะเล้นน่ารัก ชอบแหย่มะนาว เราแกล้งกันไปมาอยู่เสมอ 

ถ้าสามหนุ่มเตะฟุตบอล สองสาวก็จะเล่นกระโดดยาง
ถ้าสามหนุ่มเล่นลูกข่าง  สองสาวก็จะเล่นตุ๊กตากระดาษ 
พวกเราอยู่ข้างกันไป มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตมะนาว


เหมือนฟ้าฟาดลงกลางใจ ในวันเสาร์หนึ่งที่อุ๋มอิ๋มชวนมะนาว แอบหนีเรียนพิเศษไปเดินห้างสรรพสินค้า
ระหว่างห้องน้ำชั้น 3 แสนเปลี่ยวเพราะแผนกเฟอร์นิเจอร์ซึ่งเพิ่งถูกยุบไปจนเกือบเหมือนชั้นร้าง
แต่เพราะห้องน้ำน่าจะว่าง เราจึงตัดสินใจขึ้นไปที่ชั้น 3 นั้น

เมื่อทำธุระเสร็จก็ตั้งใจจะกลับลงมาซื้อของขวัญให้พวกพี่โอ๊คในวันปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา  แต่แล้วเราสองคนก็ถูกดึงเข้าห้องน้ำติดกันด้วยนักเรียนช่างกลกลุ่มหนึ่ง ความทรงจำของมะนาวก็ดับวูบไปหลังจากนั้น 

แน่นอนว่า คนรอบข้างอยากให้เราตื่นจากฝันที่เลวร้ายและก้าวเดินไปต่อ แต่ไม่ใช่อุ๋มอิ๋ม เพื่อนแสนเรียบร้อยที่โตมากับกรอบแห่งความรักความเอาใจใส่  และแน่นอนว่า มันเป็นหลุมดำในใจของผู้หญิงที่เพิ่งขึ้นมอปลายอย่างพวกเรา


มะนาวพยายามทำตัวให้เริงร่า ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กับอุ๋มอิ๋ม เธอไม่แกร่งพอที่จะทำอย่างนั้น  แม้พ่อกับแม่ของอิ๋มจะตามตัวคนก่อเหตุและสามารถจับขึ้นศาลเยาวชนได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อิ๋มดีขึ้น ความอับอายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวระดับจังหวัด แน่นอนว่าพวกเขาเลือกที่จะปิดข่าวให้เงียบ และมีคนลอยนวลจำนวนหนึ่ง 
หน้าที่ในการจัดการด้วยศาลเตี้ย จึงเป็นหน้าที่ของ พี่โอ๊ค พี่อาร์ม พี่ดอย แต่แล้วเรื่องมันก็ยิ่งเลวร้ายขึ้นไป

อุ๋มอิ๋มไม่ดีขึ้นค่ะ  เพื่อนรักของมะนาวตรอมใจและกินยาเกินขนาด จากไปในที่สุดเพียงแค่ไม่กี่เดือนหลังจากเกิดเรื่อง
มันทำให้บ้าน ตรีโอฬารวงศ์ อาดูรถึงขีดสุด บรรยากาศไม่ดีขึ้นเลย 
ประกอบกับการที่พี่ดอยต้องไปอยู่ในสถานพินิจถึงเกือบครึ่งปี 
มะนาวใช้เวลาที่อุ๋มอิ๋มไม่อยู่แล้ว แวะเวียนไปหาไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนผู้จากไป พวกท่านจะสวมกอดและร้องไห้เมื่อเห็นมะนาวอยู่เสมอ ความเมตตาที่ท่านมอบให้มะนาวไม่เคยจางไป เฉกเช่นความคิดถึงที่มะนาวมีให้อิ๋มที่คงชัดเจนอยู่ในจิตใจทุกเมื่อเชื่อวัน   


พี่โอ๊ค เป็นผู้ที่คอยกระตุ้นให้ทุกคนก้าวต่อไป แม้ว่าตัวเขาเองจะหดหู่ที่สุดเมื่อพี่ดอยต้องเข้าสถานพินิจ เขาให้คุณพ่อขับรถไปเยี่ยมพี่ดอยที่สถานกักกันราชบุรีแทบทุกครั้งที่มีเวลาว่าง  พี่โอ๊คเป็นรักแรกของมะนาว และจะเป็นรักที่บริสุทธิ์ตลอดไปอยู่อย่างนั้น แม้มะนาวจะไม่ได้รักในรูปแบบเดียวกันตอบกลับมา ถึงเป็นแบบนี้ มันก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว

พี่อาร์มคนดีที่แสนร่าเริงของทุกคน ช่วงแรกหลังอิ๋มจากไปพี่อาร์มแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะกลับมาได้เร็วกว่าใคร  ความห่วงใยคนอื่นที่มีอยู่เปี่ยมล้นมอบให้คนรอบข้างสม่ำเสมอจากชายคนนี้  พลังบวกจากหัวใจอันดีงามของพี่อาร์มจรรโลงให้คนรอบข้างมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างเข้มแข็งขึ้นทุกวัน

พี่ดอย ที่ออกมาจากสถานพินิจคล้อยหลังคนอื่น ขลุกกับการอ่านหนังสือมากขึ้น อธิการผู้ใจดีก็ให้พี่ดอย ได้สอบย้อนหลังกลับมาเรียนจบพร้อมกันกับสองฝาแฝดเพื่อนรัก  พี่ดอยเงียบลงจากเดิม ไม่ใช่คนร่าเริงอย่างที่เคยเป็น แต่ยังคงเป็นพี่ยอดดอยที่หวังดีกับน้องสาวคนนี้ และเป็นคนที่มะนาวรู้สึกอบอุ่นที่จะอยู่ด้วย มะนาวรักพี่ดอยมาก และสวดมนต์ทุกวันให้เขามีชีวิตที่ดี


พี่ทั้งสามคน ไม่ยอมไปจากตัวเมืองอันแสนขุ่นมัว เขาเลือกที่จะอยู่ในที่เมืองกาญจน์  ลึกแล้วมะนาวรู้ว่า เขาห่วงใยและไม่อยากทิ้งน้องสาวคนนี้ให้อยู่ลำพัง  พี่โอ๊คได้ทุนไปเรียนต่อเมืองหลวง แต่ก็ไม่ไป  พี่อาร์มเคยอยากไปเรียนที่อังกฤษ  ก็เลือกที่จะไม่ไป  และพี่ดอย ที่ยอมทนอยู่ในเมืองที่ผู้คนตราหน้าเขาว่า เป็นเด็กจากสถานพินิจทั้งที่ไม่ใช่ความผิดเขา  เขาเลือกที่จะอยู่คู่เคียงกับมะนาว เด็กสาวที่ไม่ใช่น้องในไส้คนนี้


และน้องสาวคนนี้ ขอทำสิ่งที่ทดแทนพวกพี่บ้าง  มะนาวเลือกที่จะเป็นผู้จากไปเอง เพื่อให้พี่ทั้งหลาย ได้เดินตามความฝันของตนเองแบบไม่มีห่วง   มะนาวย้ายไปเรียนนาฏศิลป์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วเปลี่ยนบุคลิกของตัวเองใหม่ เมื่อเป็นเด็กเรียบร้อย ก็ไม่ได้รับความยุติธรรมจากสรวงสวรรค์ มะนาวก็ขอลองเป็นเด็กที่ดูแก่แดดแก่ลม เลือกที่จะนุ่งสั้น ให้เหมือนเด็กที่ผ่านโลกมาโชกโชน ใครจะตราหน้า หรือจะว่าร้ายให้หลัง มะนาวก็ไม่เคยสนใจค่ะ ถ้าเราจะเสียหายไปแล้ว เราควรเติบโตจากมันได้  มะนาวคิดเช่นนั้น  เพื่อให้ทุกคนได้หมดห่วงและไปต่อ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จะตอบแทนพี่ทั้งสามด้วยหัวใจ


เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ทุกคนคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่นจากฝันร้ายคราวนั้น มะนาวก็กลับมาช่วยป้าที่เพิ่งเสียลูกและสามีไปจากอุบัติเหตุ มะนาวดีใจที่จะได้อยู่รวมกับพวกพี่ชายที่แสนรัก  แต่คราวนี้เราไม่ได้มีกันแค่ 4 คนเหมือนเคย เพราะปุยเมฆ ได้เข้ามาจนเป็นเลข 5  จำนวนซึ่งพวกเราคุ้นเคยดี


แต่เดิม มะนาวก็รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง ตั้งแต่แรกเห็นที่ร้านพิซซ่า  คนอะไรดูดีไปทั้งตัว แถมยังดูเป็นคนน่ารัก เป็นเพื่อนที่ดี 
แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น เขาดูจะได้หัวใจพี่โอ๊ค รักแรกของมะนาวไปแล้วสิ
แค่นั้นยังไม่พอ พี่ดอย พี่ชายที่มะนาวหวงแหน ก็ดูมีความสุขขึ้นกว่าเดิมทั้งที่ เขาหม่นหมองมาพักใหญ่   ใครนะจะเป็นผู้สมหวัง แล้วใครนะจะเป็นผู้ที่แบกความทุกข์ไว้บนบ่า  บางทีการเข้ามาของปุย ก็มีทั้งข้อดี แต่ก็อาจจะทำให้อีกคนหัวใจสลาย มะนาวเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ อยู่เคียงข้างอีกคนที่ไม่สมดังใจ


วันที่เจ๊นกน้อยเลี้ยงอาหารทะเล มะนาวสัมผัสได้ว่า พี่โอ๊คน่าจะแพ้แล้วในเกมนี้ค่ะ มะนาวแอบเห็นมือของคู่นั้นกุมกันที่ใต้โต๊ะ  แม้พี่ดอยจะยังดูมึนงงกับความสัมพันธ์ของเขาเอง แต่รอยยิ้มที่มะนาวไม่ได้เห็นบนใบหน้าเขามานาน มันบ่งบอกแล้วว่า สักวันเร็วๆ นี้ เขาจะรู้ใจตัวเองในที่สุด  มะนาวคงต้องเตรียมใจปลอบพี่โอ๊คเป็นแน่แท้


มะนาวรู้ค่ะ ว่าพี่อาร์มน่าจะมีใจให้มะนาวอยู่  ก็พี่อาร์มไม่ใช่คนที่อ่านยากอะไรขนาดนั้น  แต่จะให้มะนาวคิดกับพี่อาร์มไปเป็นอื่น มันคงจะยากเหมือนกัน เพราะทุกครั้งที่มองหน้าพี่อาร์ม ความไม่สมหวังจากพี่โอ๊ค มันก็ประทับอยู่บนใบหน้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะ คอยตอกย้ำอยู่ว่า ความผิดหวังมันอยู่ใกล้แค่ไหน

แต่พี่อาร์มก็ยังคงเป็นพี่อาร์ม ที่ทำให้มะนาวยิ้มได้เสมอ ผู้หญิงจมทุกข์ ก็มีความสุขได้ด้วยผู้ชายที่ให้ความสดใส แต่มันจะเปลี่ยนหัวใจของมะนาวได้ไหม อันนี้ ก็ต้องขอดูกันต่อไป พี่อาร์มที่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์แบบที่ผู้หญิงทั้งจังหวัดใฝ่หา ใครก็อยากจะมาเป็นสะใภ้บ้านนี้ ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง มีเพียงความเศร้าเป็นฉากหลัง ที่พวกเราเท่านั้นจะมองเห็นมันได้ 
พี่อาร์มที่เข้มแข็งที่สุดในคนทั้งหมด ใช้หัวใจอันยิ่งใหญ่ของเขา แบกรับมันไว้ แล้วแสดงออกมาในทางที่ต่าง  เขาให้ความรักกับทุกคนเป็นสองเท่า เฉกเช่นที่ให้กับมะนาว ราวกับว่าโลกทั้งใบของเขา มีแค่มะนาวคนเดียว


ท้องฟ้าที่อึมครึม เหมือนที่เขาบอกว่า วันสิ้นโลกมันใกล้เข้ามา มะนาวก็ขอพรพระทุกวี่วัน ให้พวกเราผ่านช่วงนั้นกันไปให้ได้  ขอให้พี่ชายทั้งสามสมหวังกับสิ่งที่ตั้งใจ ให้คุณพ่อคุณแม่ของพวกเขากลับมาเยียวยาใจได้ดังหวัง

..และของให้อุ๋มอิ๋มที่อยู่บนท้องฟ้า รับรู้ด้วยว่า มะนาวคนนี้ยังคิดถึงเพื่อนรักอยู่เสมอ แม้เธอเลือกที่จะจากโลกนี้ไป แต่หัวใจฉันจะไม่ลืมเธอเลย  รักนะ.. รักตลอดไป..


หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 14 : โลกทั้งใบให้เธอคนเดียว Feat.มะนาว ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 24-02-2018 12:40:36
หน่วงจุง  T_T  แต่เริ่มเข้าใจมะนาว
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 15 : หากเธอมีใจก็บอกกันสักหน่อย.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 24-02-2018 22:38:28

Track 15 : หากเธอมีใจก็บอกกันสักหน่อย.. อย่าให้ฉันคอย คอยเธออย่างนี้เลย..

หน้าหอพักของวันที่อากาศเย็นสบาย ทหารร่างกำยำสองคน กำลังยกป้าย “เบียรอินเทอร์เน็ตคาเฟ่” ออก
แล้วเอาป้ายใหม่ “Rendez Vous by OLE”  ภายในร้านเก้าอี้นวมสีดำเย็บตะเข็บแดง พิมพ์โลโก้ LazyMan

กำลังมีเจ้าหน้าที่แต่งตัวภูมิฐานจากบริษัทซอฟท์แวร์เอกชน ลงโปรแกรม Microsoft 98 ลิขสิทธิ์แท้ใหม่หมดทั้งร้าน
แบ่งโซนด้วยเครื่องเกม Play Station ไว้ริมผนังซ้าย พร้อมแผ่นลิขสิทธิ์

ตู้แช่จากบริษัทโคล่าดัง สีน้ำเงิน และสีแดง อย่างละหนึ่งตู้ กระดานเมนูไฟวิ่งรายการอาหาร จากร้านเจ๊นกน้อย
พร้อมระบุราคาบนป้ายไฟ  แอร์ตัวใหญ่ใหม่เอี่ยมพร้อมคอมเพรสเซอร์แขวนอย่างดี 


ลุงแจ้ที่ใส่เสื้อโปโลสีฟ้า พิมพ์โลโก้ รองเดซ์วู บาย โอเล่ สีขาว ในฐานะผู้จัดการ โดยหน้าร้าน มีมอเตอร์ไซค์ และ จักรยานใหม่เอี่ยม จอดเรียงริมฟุตบาตร พร้อมป้าย For Rent      แม้ว่าร้านอินเทอร์เน็ตอยู่ในระหว่างการปรับปรุงและพร้อมเปิดใหม่ในเร็วๆนี้ แต่ก็มีผู้คนที่ผ่านไปมาสนใจ โดยเฉพาะชาวต่างชาติแวะเวียนมาถามโดยตลอดเพราะนึกว่าเปิดบริการแล้ว 


ที่สวนหลังหอ ปุยที่เอาโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่า ออกมาโทรออกหาคุณพ่อซึ่งไม่สามารถติดต่อได้ตั้งแต่ช่วงสาย
ปุยรู้สึกห่วงเป็นอย่างมากเมื่อข่าวโทรทัศน์ประกาศเหตุการณ์ กลุ่มนักศึกษาพม่า จำนวน 12 คนบุกเข้าไปในสถานทูตพม่าประจำประเทศไทย ที่ถนนสาทร และ จับเจ้าหน้าที่รวมถึงประชาชนเป็นตัวประกัน ยิ่งภาพโทรทัศน์ฉายให้เห็นอาวุธปืนจำนวนมาก ตลอดจนระเบิดที่หน่วยข่าวกรองแจ้งออกมา ทำให้ปุยรู้สึกใจหล่นไปอยู่กับพื้นเพราะติดต่อพ่อไม่ได้

“ตอนนี้ชุมสายมันคงพันกัน อย่าห่วงไปเลยนะ ถ้าพ่อพอจะโทรกลับได้ เขาคงรีบโทรกลับมาแจ้งปุย คงมีเรื่องวุ่นวายให้ทำเยอะมาก” ดอยปลอบปุยที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ใกล้ๆกับเขา

“เรากังวลมาก พ่อไม่เคยไม่รับสาย ใครๆก็บอกว่ามีระเบิด พ่อเราจะเป็นอะไรไหม” ปุยระเบิดน้ำตาออกมาอย่างไม่อาย โดยมีโอ๊ค และ อาร์ม ที่นั่งสมทบบนม้าหินอ่อนใกล้ๆ อย่างห่วงๆ

“ไอ้แฝดลิ้นดำที่เขาลือกันแน่ๆเลย มันกบดานอยู่ที่ราชบุรีน่ะ แม่งมากร่างในบ้านในเมืองเรา” อาร์มสบถด้วยความโมโห

“ไม่น่าห่วงหรอกปุย เป็นการเจรจาทางการเมือง ฝั่งนั้นคงรู้ ถ้ามีอะไรขึ้นมา ทุกอย่างไม่สำเร็จแน่ และภาพลักษณ์ของออง ซาน ซูจี จะไม่ดีขึ้นมาในทันที  อย่างไรเขาคงไม่กล้าทำให้ผู้นำทางจิตวิญญาณเขาเสียชื่อ น่าจะเป็นการขู่ และหาทางออกด้วยการหนีอย่างปลอดภัย เพราะไม่ได้ทำอะไรรุนแรง เชื่อเรา” โอ๊คที่เดินจากม้าหินอ่อนมาตบไหล่ปุยเบาๆ  ปุยเอามือจับมือโอ๊คที่อยู่บนบ่าเป็นเชิงตอบรับ และจับมันไว้อย่างนั้น

“กูว่า ที่โรงงานลำไยระเบิดเมื่อเดือนก่อนนี่แม่ง สงสัยแก๊งนี้แน่เลยว่ะ” อาร์มยังคงหงุดหงิดกับผู้ก่อการร้าย

“เฮ้ยย ไม่เกี่ยวหรอก ถ้าใช่เขาต้องแสดงความรับผิดชอบเผื่อหวังผลการขู่ ไม่เกี่ยวหรอก” โอ๊คทำตาขยิบไม่ให้อาร์มพูดอะไร ที่จะทำให้ปุยไม่สบายใจไปมากกว่านี้

“เราให้แม่โทรหาญาติที่อยู่แถวสาทร เขาอยู่ไม่ไกลสถานทูตด้วย เขาใช้ภาษาเดียวกัน กะเหรี่ยงจะสื่อสารกันเอง รอนิดนึง อาจจะมีข่าวอะไรที่ทำให้สบายใจขึ้น กินอะไรไหม เราสั่งเจ๊นกน้อยให้ไหม” ดอยเอื้อมมือไปกุมมืออุ่นของปุย ที่เพิ่งเช็ดน้ำตาเสร็จ

“ไม่อ่ะ เรากินอะไรไม่ลงเลย เราเหลือพ่อคนเดียวแล้วดอย  เราไม่มีใครแล้ว  โอ๊คเรากลัว” ปุยหันไปบอกความรู้สึกกลัวในใจแก่ผู้ที่มาคอยปลอบ  “แค่แม่ไม่อยู่แล้ว เราก็ใจสลาย เราจะเสียพ่อไปไม่ได้”

“ใจเย็นนะ ไม่มีอะไรหรอก พ่อต้องปลอดภัย” โอ๊คที่ดูกังวลกับอาการของปุยอยู่ไม่น้อย กล่อมให้ปุยใจเย็นลง






“พี่ปุยเขาโอเคไหมครับพี่โอ๊ค” ชายหนุ่มแว่นหนาตัวผอมบาง หวีผมเรียบร้อยในเสื้อเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์ฟอก ขับกับผิวขาวซีดให้ดูยิ่งขาวขึ้นไป  เอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟเย็นมาดื่ม ขณะนั่งอยู่ในร้านคอมพิวเตอร์ที่กำลังตกแต่งใกล้เสร็จเต็มที

“เขาดีขึ้น นี่น่าจะหลับไปแล้ว เขาเพิ่งเสียแม่ไป เลยคงกลัวมากเป็นพิเศษ”

“ผมรู้ว่าความกลัวเป็นยังไง ต้องให้เวลาพี่เขาอีกนานเลย”

“เราเข้มแข็งมากนะโอเล่ พี่ดีใจที่เห็นเราอยู่ได้ด้วยตัวเอง แล้วก็ทำงานเก่งขนาดนี้ พี่ล่ะดูโง่ไปเลย”

“ผมก็มีดีแค่เก่งเรื่องคอม ผมไม่ฉลาดในการเข้าสังคม ถ้าพี่ไม่แวะเวียนมาคุยกับผม ผมก็แทบไม่ได้คุยกับใครเลย ขอบคุณนะครับ”

“ฮ่าๆๆ นั่นสิ วันๆไม่เห็นคุยกับใครเลย แล้วนี่ นึกอย่างไรถึงมาเซ้งร้านเน็ตเนี่ย จะสนทนากับลูกค้ารู้เรื่องเหรอ”

“ถึงต้องจ้างน้าแจ้ไงครับ ให้ดูแลแทนผม แล้วผมก็จะมีที่ประจำไปตลอด ด้วยสเปคเครื่องแรงๆ และได้วิวทำงานที่โปรดปราณ ทำเลตรงนี้ ผมจะรู้ว่า ชาวต่างชาติซื้ออะไร ชาติไหนมาเมืองเรา” 

“อารมณ์ศิลปินโดยแท้นะ  ตัวแค่นี้ ทำเงินได้ขนาดนี้ พี่ยกย่องเรานะ โอเล่  เก่งมาก รูปหล่อ พ่อรวยมากอีกต่างหาก อีกหน่อยเป็นหนุ่มเต็มตัวสาวหลงแย่”

“.........”

“เฮ้ยยย แซวเล่น ยังเด็ก อย่าเพิ่งคิดเรื่องความรักเลย มันไม่ได้ทำให้เราสุขไปซะทุกครั้งหรอก”

“ระดับพี่โอ๊คมีผิดหวังด้วยเหรอครับ”

“พี่นี่แหล่ะ เจ้าพ่อแห่งความผิดหวัง”

“ถ้าไม่ออกจากปากพี่ ใครจะไปเชื่อเนอะ สมบูรณ์แบบขนาดนี้”

“เฮ้ย จริงดิ คิดอย่างนั้นจริงเหรอ”

“ครับ พี่คือที่สุดแล้ว พี่คือความใฝ่ฝันของคนเหงา”







“ปุยๆๆ ตื่นๆๆ มีความเคลื่อนไหวแล้ว” ดอยปลุกปุยที่นอนเพลียหลับไปด้วยอาการตาบวมเพราะร้องไห้

“หืมมมม เหรอ  มีใครเป็นอะไรไหม” ปุยดึงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างงัวเงีย

“ผู้ก่อการร้าย ขอคอปเตอร์บินไปส่งที่ชายแดน”

“ห๋า  แล้วทางเรายอมเหรอ แล้วคนอื่นๆล่ะ ตัวประกันล่ะ แล้วถ้ามันยิงทิ้งล่ะ” ปุยถามรัวด้วยอาการวิตกสุดขีด

“ไม่น่าจะต้องกลัวนะปุย เสธ.หนั่นไปสั่งการเอง มีพลซุ่มรอบอาคารเลย มีตัวประกันทยอยหนีออกมาได้ด้วย”

“เฮ้ย! นั่นแหล่ะอันตราย ถ้าตัวประกันหนี ตัวประกันที่เหลือโดนแน่ โอ้ยย ทำไม ดอย พ่อเราจะเป็นอะไรไหม”

“เรายังไม่รู้ว่าพ่อปุยอยู่ในนั้นหรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ ทางญาติแม่บอกว่า มีกองกำลังกะเหรี่ยงแอบแฝงตัวแสร้งเป็นประชาชนอยู่ เขากระซิบมาว่า จะหนีไปพรมแดนตรงสวนผึ้งแล้วออกไปเลย”

“ทางไทยยอมไหม”

“ยอม แต่ว่าจะให้ปล่อยตัวประกันให้หมด แล้ว หม่อมสุขุมพันธุ์ ขอเป็นตัวประกันแทนนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปด้วย”

“ทำไมโลกนี้มันช่างวุ่นวายเหลือเกิน นี่โลกมันกำลังจะแตกแล้วใช่ไหม ทำไมมีแต่เรื่อง มีแต่สัญญาณแปลกๆ”

“ไม่มีอะไรหรอก ใจเย็นๆนะ ปุยก็อาบน้ำก่อน เราจะไปคอยฟังข่าว และพยายามติดต่อกับพ่อปุยอีกที ทางสถานทูตเขาเปิดให้ติดต่อผ่านสถานทูตแล้ว น่าจะได้ข้อมูลมากขึ้น ปุยอย่าเพิ่งตื่นตูมไป มันคงไม่ได้อะไรขึ้นมา ใจเย็นๆนะครับ”

“ครับ รีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเรานะ เราไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรแล้ว”

“แล้วดอยจะรีบกลับมานะ..”






หน้าร้านเจ๊นกน้อย หยุดรับแขกไปตั้งแต่หัวค่ำ เพราะแม่ค้าติดละครอย่างหนัก อีกทั้งทำอาหารรอให้ดอยผู้ที่เหมาของกินชุดใหญ่ไว้เลี้ยงเพื่อนฝูงในคืนวันเสาร์ นกน้อยเตรียมของเสร็จตั้งแต่หัวค่ำ แต่งองค์ทรงเครื่องนั่งรอ โดยมีแจ้ มานั่งดื่มเหล้าแกล้มอาหารทะเลไปพลางๆ เพราะพวกหลานยังเตะฟุตบอลกันไม่เลิก

“แล้วนี้จะเปิดร้านกันเมื่อไหร่ล่ะพี่ แต่งซะสวยเชียว เห็นเมนูหนูไปอยู่บนจอไฟวิ่งแล้วก็เขิน”

“อีกสามสี่วันล่ะ ต่อไปนี้ก็แว่บมาบ่อยไม่ได้ล่ะช่วงกลางวันเดี๋ยวเจ้านายใหม่เขาจะว่าเอา”

“น้องโอเล่นี่ใจถึงนะ เขาไปรวยจากไหนแล้วติดใจอะไรร้านเน็ตของพี่นะ” นกน้อยตักปลาคังลวก ใส่จานคนตรงหน้า

“เห็นว่า น้องเขาทำพวกซอฟท์แวร์ กำลังพัฒนาเว็บ มีคนจ้างเป็นมูลค่ามหาศาลเชียว เตี่ยเขาเป็นอดีตผู้ว่าทางเหนือเชียว”

“นั่นสิ เอาข้าวไปส่งไม่เคยละสายตาจากคอมพิวเตอร์และกองหนังสือเลย แถมใช้ทีละสองเครื่องอีกต่างหาก”

“เขาทำโปรแกรมเกมด้วย เห็นว่าเรียนมา คอมที่บ้านใหญ่อย่างกับหนังกลางแปลง” แจ้คุยโตแทนเจ้านายคนใหม่

“หูยยยยย” นกน้อยตกใจเอามือทาบหน้าอก

“เขาเพิ่งย้ายออกจากบ้านอาม๊านะ  เตี่ยเขาก็ห่วงๆ ไม่อยากให้อยู่คนเดียว อีกทั้ง เห็นว่าร้านเราดีตรงที่สังเกตได้หมดว่า ชาติอะไรเดินผ่าน ซื้ออะไร มาใช้คอมเข้าโปรแกรมอะไร นี่แอบติดกล้องวงจรปิดทั่วร้าน เพื่อดูว่า ฝรั่งใช้เว็บอะไร หรือใช้เน็ตเพื่ออะไร ไม่รู้ผิดกฎหมายไหม แต่ น้องน่าจะได้ประโยชน์เยอะ เลยเซ้งทันทีที่ฉันเกริ่นจะขึ้นป้ายน่ะ”

“แล้วนี่น้องปุยเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นร้องไห้ตามบวมตั้งแต่เที่ยง ป่านนี้คงดีขึ้นแล้วมั๊ง”

“ก็พอรู้ว่าพ่อปลอดภัย ก็หัวเราะออก นี่เดี๋ยวพ่อเขาจะแวะมาหาน้องปุยในวันสองวันนี่แหล่ะ นี่คงอยู่กับดอยตั้งแต่บ่าย”

“พี่ว่า มันเป็นขบวนการไหม หนูเห็นข่าวแนวนี้ทุกวันเลย มันน่ากลัวเหมือนกันนะเนี่ย”  นกน้อยรินโซดาใส่เกล้าเหล้าของแจ้ที่ดูเหมือนจะชงแก่เกินไป

“มันเป็นปีที่อะไรก็เปลี่ยนแปลง แต่เรื่องการยึดสถานทูตนี่ช่วงหลังฮิตนะ โบราณเขาว่า นักบวช นักการทูต ในทางสงครามของคนมีอารยะ เขาจะไม่ทำกัน แบบนี้ไม่ดีเลย มันสร้างความโกรธแค้นได้ง่าย เหมือนจงใจ”

“แหม เก่งจังเลยพี่เนี่ย รู้เรื่องเหตุบ้านการเมืองด้วย หนูนี่ดูแต่ประกวดนางงาม เรื่องหนังละครนี่ขอให้บอก แค่หนังสือพิมพ์เขียนอักษรย่อมา หนูล่ะร่ายยาวได้เลยว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร”

“จ๊ะ แม่คนเก่ง แล้วนี่ลูกค้าเยอะอย่างนี้ทุกวันเหนื่อยไหม ฉันคงไม่ได้มาช่วยบ่อยนะ เพราะว่าน้องโอเล่แกใจดีลงรถเช่าให้อีก ให้เป็นรายได้ของฉันด้วย เออ ใจดีไม่แพ้พี่สาวฉันเลยนะเนี่ย”

“หนูหวังว่า มันจะสิ้นสุดอะไรที่แย่ๆ แล้วก็มีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาเนอะ”






“แล้วนี่มึงไม่รีบกลับไปเฝ้าเมียมึงหรือไง ไอ้ดอย” อาร์มโอบไหล่เพื่อนที่ยังเหงื่อโซกจากการเล่นฟุตบอล

“เมียพ่อง  กูไม่รู้เว้ย พอติดต่อพ่อเขาได้ กูก็หมาหัวเน่าเลย นี่เห็นคุยกับเป็นชั่วโมงเลยออกมาเตะบอลกับมึงได้เนี่ย”

“ไปกันเหอะ เขาจะปิดไฟสนามแล้ว” โอ๊คหันกลับมาบอกสองเกลอที่กำลังเดินโอบไหล่ตามกันมา

“ไอ้โอ๊คมึงแม่งไปฟิตมาจากไหนวะ ซัดทีห้าลูก ไอ้ซุ่ม” ดอยคาดคั้น

“ก็นานๆเล่นที เอาให้คุ้ม เดี๋ยวกูก็จะไม่ได้เล่นกับพวกมึงบ่อยแล้ว”

“พูดเหมือนจะไปตาย ไอ้สัส” ดอยคว้าหัวโอ๊คมาขยี้เบาๆจนผมยุ่ง ฝ่ายถูกกระทำรีบเซ็ทผมที่เสียทรงกลับมาคืนรูป พร้อมทำหน้าเคืองใส่

“กูไม่ตายง่ายๆหรอก ตราบเท่าที่ยังไม่ได้เห็นลิเวอร์พูลของมึงตกชั้น”

แล้วทั้งสามก็เดินลัดขอบสนามฟุตบอลไปยังลานจอดรถ เพื่อควบมอเตอร์ไซค์คันเก่งขี่ตามกันไปที่หอ





ที่ร้านของเจ๊นกน้อย
“เอาจริงๆ บอกมาตรงๆ ถูกเท่าไหร่ บนล่างเต็งโต๊ด ถูกเท่าไหร่ สารภาพมาเดี๋ยวนี้”  นกน้อยคาดคั้นดอย มือก็แกะเนื้อปูสด ออกจากกล้ามอวบ แล้วส่งสู่จานของแจ้ ที่ตอนนี้เมาเหล้าระดับนึงแล้ว สังเกตได้จากเสียงหัวเราะที่มักดังลั่นถ้าได้ที่

“เต็ง 200 โต๊ด 50 ตัดสองตัวบนอีก 50 บาท” ดอยยิ้มตาหยี หยิบกุ้งเข้าปาก

“สัส แสนกว่าบาท ใครเข้าฝันบอกเลขมึง เชี่ยยย ซื้อเกมบอยเครื่องใหม่ให้กูเลย ไอ้โอ๊คแย่งเล่นจนโทรมแร๊ะ” อาร์มเสนอ

“คุณตา”

“ตามึงยังไม่ตาย ได้ข่าว”

“สัส เดี๋ยวกูจะลองให้ตาเข้าฝันมึง”

“กูมีเต่าหลวงปู่หลิว ไม่กลัว”

“นั่นก็พ่อกูไหม” แจ้หันมาทำหน้าจะเอาเรื่องอาร์ม แต่เป็นเชิงหยอกล้อมากกว่า

“อุ้ย ขอโทษคร้าบบบบบ”  อาร์มยกมือท่วมหัวไหว้ขอโทษแจ้ ทำเอาทุกคนหัวเราะสนุกสนาน

“พ่อก็แบบนี้ แกชอบแวะมาแม้เราไม่ได้ร้องขอ” แจ้เล่าให้ทุกคนบนโต๊ะฟัง

“ตามึงสบายดีนะ” โอ๊คหันไปถามดอยที่นั่งข้างๆ ในมือโอ๊คเป็นน้ำเปล่าแก้วนึง ไม่เย็นไม่ใส่น้ำแข็ง เขากระแอมเป็นระยะ

“สบายดี วันก่อนยังบ่นผ่านแม่กูเลยว่าไม่แวะไปหาท่านบ้าง นี่ก็ว่าจะไปตอนปีใหม่”

“เมื่อเย็นไปลุ้นหวยใช่ไหม ไอ้เราก็เห็นว่าหายไปเป็นชั่วโมง ยังอุตส่าห์ดีใจนึกว่าไปช่วยกันฟังข่าวตามหาพ่อเรา ที่แท้แอบไปฟังหวย” ปุยทำหน้าคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้จากดอย ที่บัดนี้ยิ้มหน้าแหยะๆ

“พี่ดอยนะปุย อย่าแปลกใจถ้าอยู่ดีๆ เขาจะหายไปทุกวันที่ 1 กับ วันที่ 16 คือบ่ายสามนี่ สแตนบายแล้ว” มะนาวเสริมความ ก่อนจะหันไปตักกุ้งที่อาร์มขยันเลือกตัวอวบแกะส่งมาให้

“เลิกแทงบอล ก็มาบ้าหวยต่อ เพื่อนกู” โอ๊คบ่น

“โหววว ก็เล่นนิดหน่อยเองป่าววะ ให้เวลากูปรับตัวบ้าง คุณพ่อ”

“เออ เดี๋ยวงวดหน้ามึงก็จะติดใจยิ่งแทงหนักเข้าไปใหญ่ อย่าให้กูรู้นะ กูจะฟ้องแม่มึง” โอ๊คชี้หน้าสั่งสอนเพื่อนรัก

“แม่กูไม่ว่าหรอก กูซื้อลังโคมให้กระปุกนึงรอไว้แล้ว ซื้อแบล็คไปให้พ่ออีกครึ่งโหล รับรองหูกูโล่ง ไม่โดนด่าแน่”

“ถ้าหลานรักไม่มาเซ่นน้าสักสองขวด น้าจะเผาหลานรักให้แม่หลานฟังเอง” แจ้สวนกลับ พร้อมยกแก้วขึ้นชนกับแก้วอาร์มแบบสะใจในความเป็นต่อ

“เออ ใครก็รุมผม เห็นผมรวยหน่อยเหยียบย่ำกันจริง ทีตอนเสียแม่ง หายย”  ทั้งโต๊ะก็ระเบิดขำกับทีท่าของยอดดอย

กระนั้นมั้นก็เป็นค่ำคืนที่สนุกสนานอีกวันหนึ่ง  โดยเฉพาะปุย ที่บัดนี้ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ แลดูผ่อนคลายจากบรรยากาศเมื่อตอนบ่ายอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อบ่ายมันช่างโกลาหลวุ่นวาย ทำให้ใครบางคนซมซานขึ้นเตียงหลับไปในอ้อมกอดของยอดดอย


หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 15 : หากเธอมีใจก็บอกกันสักหน่อย.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 25-02-2018 01:42:55
พระเอกบ้าหวย ฮ่าๆๆ :m20:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 15 : หากเธอมีใจก็บอกกันสักหน่อย.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 25-02-2018 22:41:14
พระเอกบ้าหวย ฮ่าๆๆ :m20:

อันนี้ฮาเหมือนกันค่ะ  :really2:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 16 : อยู่อยู่ก็มีเรื่องเธอรบกวนหัวใจ .. ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 28-02-2018 23:09:25
Track 16 : อยู่อยู่ก็มีเรื่องเธอ.. รบกวนหัวใจ 

ณ ลานอาคารอเนกประสงค์ วิทยาลัยอาชีวะศึกษาการอาชีพ
กลุ่มนักศึกษา นักเรียน ทยอยเดินออกมาจากตึกเรียน เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน หรือไปสังสรรค์กันต่อ
มีร้านเบเกอรี่ที่เป็นของวิทยาลัยอยู่ด้านหน้าติดกับป้อมยาม มอเตอร์ไซค์และจักรยาน จอดเรียงรายบริเวณริมฟุตบาทยาวคู่กันไปจนสุดรั้วรอบกำแพงด้านข้างของวิทยาลัย

“ไอ้ปุย พักนี้แกไม่ค่อยจะไปเฮฮาปาร์ตี้กับพวกชั้นเลยนะยะ” โหน่งทำหน้างอนใส่ปุยที่พักนี้มักใช้เวลาอยู่กับดอยและเพื่อน

“โหวแก ชั้นก็ไม่ใช่จะไปไหน วันๆ ก็อ่านหนังสืออยู่ในห้อง เดี๋ยวกลับดึกพ่อก็โทรมาว่า นี่ต้องไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษด้วย แล้วช่วงวันหยุด พวกอาร์ม ก็ชวนเที่ยวกันจัง”

“พูดเหมือนแกไม่เต็มใจเลยเนอะยะ นี่หายไปทั้งปิดเทอม โทรไปก็ไม่ค่อยจะรับ ฉันขูดบัตรโทรศัพท์จนเล็บสึกหมดแล้ว”
 จอย สาวคนเดียวในกลุ่มเดินเข้ามาสมทบ

“คือ เดี๋ยวพวกเขาก็ไปฝึกงานกันหมดแล้ว ทีนี้ฉันก็จะได้ใช้เวลากับเพื่อนรักอย่างพวกแกแล้วล่ะ”

“ย่ะ ผัวทิ้งแล้วเพื่อนจะกลับมาสำคัญเนอะ” กอล์ฟที่ปกติเป็นคนเงียบกว่าคนอื่นยังอดที่จะแซวปุยไม่ได้

“ผัวบ้าอะไร พวกแกนี่ ฉันก็เพื่อนกับพวกเขานี่แหล่ะ แต่ก็ยอมรับว่าสนิทกัน”

“จร้า” สามคนที่เหลือประสานเสียง  แล้วก็เดินกันมาจนถึงหน้าประตู

ทั้งกลุ่มต้องชะงัก เพราะเห็นสาวน้อยนักศึกษารุมดูชี้ไปทางริมถนนใหญ่หน้าวิทยาลัย  มีมอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีดำสุดเท่ กับผู้ชายที่ดูเท่กว่าในกางเกงยีนส์สีดำและเสื้อแจ็คเก็ตยีนส์แขนกุดสีดำ เผยให้เห็นมัดกล้ามตรงเนื้อหัวไหล่ล่ำ สีผิวขาวแต่มีความแดงจากแดดเผาอ่อนๆ  ภายใต้หมวกกันน็อคสีดำสนิทใบใหญ่




“เชี่ยยยยยยยยยยยยย”โหน่งยืนตะลึงเมื่อเห็นว่า หนุ่มมอเตอร์ไซค์เป้าทุกสายตาหันมาทางกลุ่มเขา แล้วทันใดนั้น เขาก็คว้าหมวกกันน็อคถอดออก เผยเห็นใบหน้าหล่อมีรอยยิ้มเล็กน้อย ผมที่ปัดหน้าปริ่มขนตาบน  เขาหันมาทักทุกคนที่กลุ่มของโหน่งด้วยสายตาที่เป็นมิตรกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ

“อร้ายยยย พี่โอ๊ค” จอยเป็นคนแรกที่อุทานออกมาด้วยเสียงอันดัง ก่อนทุกคนจะรีบเร่งฝีก้าวไปหาโอ๊คกับแบทแมน  โดยไม่แคร์สายตาผู้หญิงทุกคนที่ยืนชื่นชมความหล่อของโอ๊คแถวริมถนน





“ลมอะไรหอบมาคะพี่โอ๊ค”กอล์ฟทำตาหวานเข้าใส่ มือหอบกระเป๋าจาคอปมากอดด้วยทีท่าขวนเขย

“มาแวะรับปุยครับ” โอ๊คที่ส่งยิ้มแบบผ่อนคลายให้ทุกคน แม้เขาจะดูเกร็งและเขินที่สายตาผู้หญิงจำนวนมากกำลังจ้องเขาไม่ว่าจะหน้ารั้ววิทยาลัย หรือในร้านเบเกอรี่ที่บัดนี้ บางคนแทบจะเกาะกระจกร้านส่องออกมาจนเห็นได้ชัด

“ว้า ก็พอที่นั่งเดียวสิอย่างนี้” โหน่งเอามือลูบเบาะหลังแบทแมนด้วยความเสียดาย

“นี่จะพาเพื่อนหนูไปไหนล่ะคะ” จอยถามโอ๊ค แต่แฝงด้วยสายตาล้อเลียนส่งมายังปุยที่ยังยืนเขิน

“ก็จะแวะไปหอก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรกินกันน่ะ” ปุยตอบ แต่แก้มสุกแดงเป็นลูกตำลึง

“อุ้ย  กินกันด้วยเหรอคะ  ปกติเห็นพี่ดอยมารอรับเป็นบางวัน แต่วันนี้เป็นพี่โอ๊ค โอ๊ยย ทำไมเพื่อนฉันไม่ชัดเจนอย่างนี้นะ” โหน่งแซวแรงจนปุยมองค้อนกลับมา
“นั่นสิเนอะ แบบนี้เขาเรียกว่า เผื่อเลือกหรือเปล่าครับ” โอ๊คแหย่ปุยผ่านโหน่ง

“พูดอีกก็ถูกอีกค่ะพี่โอ๊ค เปลี่ยนมารับส่งโหน่ง รับรอง จะไม่มีเหตุการณ์วันทองสองใจเด็ดขาด โหน่งนี่รักเดียวใจเดียว พาเสียวได้ทั้งคืน คริ คริ คริ” โหน่งเอามือป้องปากหัวเราะด้วยจริตอ้อนแอ้น

“อีเพื่อนชั่ว”ปุยทำตาดุใส่  ก่อนจะหันไปควบท้ายมอเตอร์ไซค์ขึ้นไปคร่อมด้านหลัง




“จับแน่นๆนะแก เดี๋ยวตกลงมาเสียโฉมไม่รู้ด้วย” จอยยื่นหน้าไปแซวเพื่อนรัก

“นั่นสิ เกาะให้แน่นสิครับ เชื่อเพื่อนบ้างอะไรบ้างนะคนดี” โอ๊คผู้ได้ทีเอี้ยวตัวหมุนคอไปด้านหลังเพื่อบอกปุย แล้วหัน
กลับมาหยิบหมวกกันน็อคสวม เขาเปิดแผ่นปิดกันลมที่หมวกกันน็อคขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคู่สวย กับสันจมูกโด่งคม ผิวขาวตัดกับหมวกกันน็อคดำอย่างชัดเจน  “ไปนะครับสาวๆ ไว้มีโอกาส จะพาทั้งกลุ่มไปทานไอติมกันนะ”

“ขอแบบแท่งนะพี่ คริ คริ คริ  บายๆค่ะพี่โอ๊ค ขับรถดีๆ” โหน่งโบกมือบ๊าย ๆ ส่งโอ๊คที่ค่อยๆ แล่นรถออกไป โดยมีปุยที่ซ้อนท้ายหันหน้ามาแลบลิ้นใส่เพื่อนรักด้วยความแค้น




“แก ไม่น่าเชื่อว่า ไอ้พี่โอ๊คจะคุยกับพวกเราเป็นมิตรขนาดนี้ ปกติไม่เคยเห็นคุยกับใคร” จอยแสดงความเห็น

“แฝดพี่คนดังแห่งตระกูลตรีโอฬารวงศ์ หนุ่มเซเล็ปผู้มีดอกพิกุลอุดอยู่ที่ปาก  คุยกับกู เฮ้ยยย ช่างดีงามราวกับฝัน หยิกกูทีสิ หยิกกูที” โหน่งยังไม่ตื่นจากภวังค์

“ทำไมเขาช่างหล่อได้ขนาดนี้ อีปุยผู้โชคดี มีแต่คนหล่อรายล้อม” กอล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังเคลิ้มไม่หาย

“พี่โอ๊คก็เด็ด พี่ดอยก็เผ็ด ปุยเอ้ย ชั้นกุ้มแทนแกจริงๆเลย” จอยถอนหายใจเมื่อเห็นแผ่นหลังเพื่อนจางหายไปจนลับสายตา





“ขอบคุณที่ทำตัวน่ารักกับเพื่อนเรานะโอ๊ค” ปุยที่เดินเลือกซีดีเพลงสากลอยู่ในร้านวอลลุ่ม ซึ่งมีทั้งเทป และ ซีดีวางเรียงรายเป็นระเบียบ มีการจัดอันดับเทป และ ซีดีขายดีประจำเดือน สร้างความน่าสนใจ มีเด็กวัยรุ่นยืนเลือกซื้อหาประปราย แต่ก็ไม่อาจซ่อนพิรุธได้ว่า ทุกคนล้วนหันมามองโอ๊ค สลับกับปุยอยู่เป็นนิจ

“เราก็ไม่เคยคิดร้ายกับใครนี่ เราเป็นคนแบบนี้เอง ขอโทษเพื่อนๆแทนเราด้วยนะ ถ้าที่ผ่านมาเราทำหน้าไม่เป็นมิตรน่ะ”

“ไม่สักหน่อย ทุกคนให้อภัยตั้งแต่เผยยิ้มหล่อๆส่งไปให้แล้ว ยังแผ่ไปยังพวกผู้หญิงแถวริมรั้วอีกนะ ทั้งรั้วเลย น่าตีนัก”

“ผู้หญิงหรือยอดกระถิน อะไรจะเยอะเต็มรั้วขนาดนั้น ฮ่าๆๆ  แต่มองกันจัง เขินชิปเป๋ง”

“ก็ใครใช้ให้หล่อล่ะ”

“ความหล่อมันใช้ประโยชน์ไม่ได้ทุกเรื่องหรอก จริงไหม” โอ๊คที่กำลังหยิบซีดีของ จัสติน ทิมเบอร์เลค มาพลิกดูปกหลัง หันกลับมาหาปุย แล้วส่งซีดีให้ “เอาไหม ซื้อให้”

“เอาไว้ให้ดูต่างหน้าตอนคิดถึงเหรอ สงสัยต้องเหมาทั้งร้านล่ะมั๊ง ต้องคิดถึงจนซีดีสึกแน่อ่ะ”

“พูดแล้วไม่ทำ อย่าพูดดีกว่า”

“ไม่เชื่อเราเหรอ”

“เชื่อก็ได้ เราก็คงคิดถึงปุยมากเหมือนกันนะ ไอ้ดอยอยู่นี่ คงทำคะแนนนำห่างเลยล่ะสิ”

“กัดอีกแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาแข่งกันไหมอ่ะ โอ๊คก็คือโอ๊ค แม้แต่ดอยจะมาเทียบก็ไม่ได้หรอก”

“และดอยก็คือดอย โอ๊คก็ไปเทียบไม่ได้เช่นกัน ใช่ไหมล่ะ” โอ๊คส่ายหัวขณะก้มหน้าดูซีดีต่อไป แต่หันมาส่งยิ้มให้ปุย เพื่อแสดงว่า เขาไม่ได้คิดอะไรมาก คล้ายกับบอกผ่านหน้ามุมข้างของเขาไปในอากาศ ส่งสาสน์ไปยังปุยว่า เขาไม่เป็นไร




ในคฤหาสน์หลังใหญ่ ในโครงการวิชุดาพาเลส ที่เวิ้งทานอาหารขนาดมโหฬาร ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์หลุยส์ แต่มีกลิ่นไอของความเย็นชืดในอากาศ ชายสูงอายุรูปร่างผอม กับ สตรีสูงวัยผมสีดอกเลานั่งอยู่ข้างกันที่โต๊ะทานอาหาร โดยมี หนุ่มสาวอีกคู่ นั่งคนละฝั่ง

“แล้ววันนี้ไม่ออกไปกับพวกเจ้าโอ๊คเหรอ ถึงได้มากินข้าวกับป๊าได้”

“โอ๊คมีนัดครับ ผมก็อยากพักบ้างน่ะป๊ะป๋า กินเหล้าทุกวัน เดี๋ยวจะอยู่ไม่ถึงแก่ ใครจะดูแลกิจการให้ล่ะคร้าบบ”

“ดูพูดเข้า พูดแต่ละเรื่องสรรหาอะไรที่ไม่มงคลทั้งนั้น ลูกคนนี้นี่  เอ่อ นี่มะนาว ม๊าให้แม่ครัวทำพะแนงกุ้งที่มะนาวชอบด้วยนะ ทานเยอะๆสิลูก ขอบใจสำหรับแหนมเนืองนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ม๊าจะลองชิม น่าตาน่าทานเชียว”

“ค่ะ หนูเห็นน่าทานเลยตั้งใจซื้อมาฝาก แต่พี่อาร์มคาดคั้นให้เอามาให้เอง หนูก็กลัวป๊ากับม๊าจะยุ่งกันอยู่ เกรงใจ”

“มาเถอะ มาหากันให้บ่อยนะ ป๊าก็คิดถึงหนู มาทุกวันก็ได้ นี่ม๊าเขาก็บ่นถึงอยู่บ่อย”

“ค่ะ หนูย้ายกลับมาคราวนี้ น่าจะได้แวะมาบ่อยขึ้น พี่อาร์มแวะไปรับที่วิทยาลัยครูบ่อยจนเพื่อนหนูบ่นกันหมดแล้ว”

“อ้าว ไอ้เราก็อยากเจอ ก็หายไปเป็นปี กลับก็ค่ำ นุ่งก็สั้น ก็คนมันห่วงน่ะ”

“นาวฝึกยูโดมา จะลองม๊ะ” มะนาวยักคิ้วใส่อาร์มท้าทาย โดยมี พ่อกับแม่ของอาร์มนั่งมองอมยิ้ม

“นี่โอ๊คไปแล้วคงจะเหงา ถึงปกติไม่ค่อยอยู่กินข้าวกับม๊าเลยก็เหอะ ม๊าไม่อยากให้ไปไกลเลย แต่ก็ห้ามไม่ได้หรอกลูกคนนี้ เขาจะทำอะไร ก็ไม่เคยว่าตามหลังได้ เขาเลือกของเขา แล้วมันก็ดีกับเขา แต่ม๊าก็อยากให้อยู่ที่นี่มากกว่า”

“โหว แป๊บเดียวเองน่ะม๊า พูดอย่างกะไอ้โอ๊คจะไปตาย”

“พี่อาร์ม ไม่พูดอะไรแบบนี้สิ” มะนาวปราม

“แล้วนี่ ที่ว่าจะมาช่วยงานป๊า จะเริ่มเมื่อไหร่ล่ะ ต้องมีวินัยให้ได้อย่างพี่แกนะโว้ย” ผู้เป็นพ่อย้ำจริงจัง

“ครับ ผมจะแสดงฝีมือให้ป๊ากับม๊าเห็น”





“ไม่ไปด้วยกันจริงเหรอน้าแจ้ วันนี้ปิดร้านเร็ว ก็ไปด้วยกันหน่อยไหมครับ” ดอยถามน้าแจ้ที่กำลังไล่ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทีละเครื่อง หลังจากกวาดถูร้านจนเรียบร้อยแล้ว

“ไม่หรอก เดี๋ยวจะไปช่วยแม่นกน้อย เก็บร้านสักหน่อย วันนี้ ละครอวสาน เจ้าหล่อนจะลุ้นว่า ดร.วิกานดา จะแฮ็ปปี้เอนดิ้งหรือเปล่า อย่างกับเป็นนางเอกซะเองแหน่ะ”

“เดี๋ยวผมมีฟ้อง”

“กูก็จะฟ้องแม่มึง ว่าพักนี้มึงทำอะไรที่สวน”

“อ๊ะ นี่หลานนะ นี่หลาน”  ดอยสะบัดหัวก่อนแล้วเตรียมเดินออกหน้าร้านเพื่อไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ แต่เหมือนจะลังเลตอนไปถึงประตู เขาหันกลับมาหาน้าแจ้อีกครั้ง  “แล้วน้า โอเคกับมันไหม.. หมายถึง น้าไม่ว่าอะไรผมเหรอ”

“น้ารักเอง น้ารู้แค่นี้  ที่เหลือ เองต้องคิดด้วยตัวเองเว้ย..  ดอย.. โลกจะแตกอยู่รอมร่อ อะไรมีความสุข ก็ทำไป”

“ขอบคุณครับ ผมก็รักน้านะ”







“อร้ายยยยยยยยยยยยยย เลือดสาวฉีดพล่าน” โหน่งที่กำลังเต้นโยกอย่างเมามันตะโกนร้องด้วยเสียงอันดังแข่งกับดนตรีที่กึกก้อง ในสถานหรู The Raft ที่ภายในเป็นดิสโก้เธค ยกพื้นสูง เล่นระดับรายรอบฟลอร์ขนาดใหญ่
ผู้คนอัดแน่นเต็มแม้จะยังไม่ถึงห้าทุ่มดี ทุกโต๊ะมีขวดเหล้าที่พร่องกันไป 
โหน่งยกแก้วเหล้าขึ้นมาชนแก้วเพื่อนร่วมโต๊ะ อย่างจอยกับแฟนนักฟุตบอล รวมถึงกอล์ฟ และยังมีเพื่อนจากวิทยาลัยอีกสองคนที่ขอตามแฟนของจอยมา ยืนเบียดกันจนโต๊ะกลมเล็กวางแก้วแทบไม่พอ ไม่มีใครในดิสโก้เธคนั่งกันเท่าไหร่ ทุกคนยืนแล้วเต้น แม้ไม่เต้น ก็ขยับตัวไปมาเข้ากับจังหวะเพลงที่เร่าร้อน

ถัดไป เป็นโต๊ะของปุย มีดอย และโอ๊ค ร่วมโต๊ะอยู่ เขาเพียงสามคนเท่านั้นในพื้นที่หน้าเวที ที่นั่ง ไม่ได้ลุกขึ้นเต้นตาม

“โอ๊คต้องกลับมาบ่อยๆนะ เราคิดถึง” ปุยที่นั่งตรงข้ามกับโอ๊ค ติดริมเวที ส่งเสียงออดอ้อนแม้จะถูกกลบไปด้วยเสียงเบสสุดดังจนต้องคอยตะโกนเวลาคุยอยู่บ่อยครั้ง โดยมีดอยนั่งอยู่ติดกับปุย

“พวกกูจะแวะไปหาให้บ่อย” ดอยที่ยังมีเหล้าอยู่ในมือ บอกกับเพื่อนรักด้วยสีหน้าอาลัย

“พวกมึงนี่ ทำอย่างกับจะไม่ได้เห็นกูอีก เป็นอะไรกันมากเปล่าวะ ฮ่าๆๆ  เออ ไปเที่ยวก็ไปนอนคอนโดกู ใกล้ที่ฝึกงานรับรองเดี๋ยวพาเที่ยวถึงเช้า”

“แล้วที่กรุงเทพ เขาจะตรวจบัตรประชาชนไหมวะ ไม่ปล่อยเหมือนที่เมืองกาญจน์หรอกนะเว้ย”

“ก็ไม่ต้องเข้าเธคสิวะ ไปนั่งผับเบาๆ ดูสาวญี่ปุ่นนมโตแบบที่มึงชอบไง  อุ๊บ!!” โอ๊คเอามือปิดปากตัวเองทำทีท่ากวนใส่ดอย

“สัส กูยกให้มึงหนึ่งวันแล้วกัน”  ดอยชี้หน้า แต่ก็ยังหัวเราะ

“คนเราก็หื่นจนเลื่องชื่อเลยเนอะ ไม่ต้องให้อาร์ม หรือโอ๊คเผาหรอก เราดูก็รู้”  ปุยส่งหางตาเข้าใส่ดอย

“ก็แหม เมื่อก่อนตัวเปล่าเล่าเปลือย ก็สนุกกับพวกไอ้แฝดนรกนี่สิครับ ตอนนี้หยุดแล้ววววว วอ แหวนหลายตัว” ดอยส่งตาหยีให้ผู้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หวังเปลี่ยนให้หางตาที่มองมา ดูเป็นมิตรขึ้น

“นี่ตกลง เป็นแฟนกันแล้วสิ” โอ๊คถามด้วยรอยยิ้ม แม้มันจะดูเฝื่อน แต่ก็เป็นยิ้มที่หล่ออยู่ดี 

“......................”

“อ้าว ไม่ตอบ ทำไม กลัวมีคนเสียใจเหรอ”

“มึงก็รู้ว่ากูแคร์มึงมากไอ้โอ๊ค”

“กูรู้หน่า”

“กูเห็นมึงโอเค ก็ดีแล้ว กูก็ใช้เวลาอยู่นานนะเว้ย เรื่องนี้ แม่งไม่คุ้นเลยว่ะ ไอ้เด็กเผือกนี่ทำกูเสียศูนย์ไปหมด”  ดอยหันไปหาปุยทำตาค้อนใส่บ้าง

“ความผิดเราใช่ม๊ะ ถอนตัวยังทันนะ” ปุยทำหน้าเด๋อด๋าใส่ดอย

“ไม่ทันแล้วครับ หลงไปแล้วคงถอนตัวไม่ขึ้น” ดอยยื่นนิ้วชี้ไปเขี่ยปลายจมูกเล็กๆของปุย  โดยมีโอ๊คที่นั่งอยู่ตรงข้ามยังคงมองอยู่  โอ๊คยังคงยิ้มอย่างผ่อนคลาย พร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะคว้าแก้วเหล้าเข้าปากกระดกจนหมด




“อีพี่โอ๊ค กับอีพี่ดอย แม่งหล่อเชี่ยๆ อีปุยว่าหล่อยังกลายเป็นดูสวยในหมู่ภมรเลยแกดู” กอล์ฟหันไปบอกจอยที่กำลังแดนซ์ลืมโลก ส่วนโหน่งไม่ต้องพูดถึง เต้นเอาเป็นเอาตายจนคนรอบฟลอร์ต้องตบมือให้

“นี่ฉันเห็นคนเดินไปขอเบอร์พี่โอ๊คเยอะมากเลยเนอะ นี่ถ้าพี่ดอยไม่นั่งเกยอยู่กับเพื่อนพวกเรา ก็คงต้องโดนขอเยอะเหมือนกัน  อีชะนีพวกนี้มันต้องต่างถิ่นแน่เลย มันถึงไม่รู้กิตติศัพท์สองหนุ่มหล่อนี่ เดี๋ยวฟันแล้วทิ้งไม่แยแสขึ้นมา น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า” จอยแสดงความเห็น

“แต่แกมั่นใจในเพื่อนเราใช่ไหมว่าเอาอยู่”

“มั่นใจว่า เอา~กัน~อยู่ คริ คริ”

“อีจอย อีลามก”





“ขอชนหน่อยได้ไหมครับ” แก้วหนึ่งใบถูกยื่นมาแทรกกลางวงเหล้า

“อ้าวกลอง”ปุยยิ้มร่าทักทายผู้มาเยือนที่ยืนข้างโอ๊ค “อย่าบอกนะว่า ดิสโก้เธคนี่ ก็เป็นของที่บ้านกลองอ่ะ”

“อุ้ย ไม่ใช่ ผมไม่ได้สายกลางคืนขนาดนั้น” มือกลองตะโกนปฏิเสธ “แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้ารู้ว่าเพื่อนๆชอบที่นี่ อาจจะตามาเทคกิจการไปเลย”

“รวยจนน่าอิจฉาอ่ะ” ดอยโอดครวญ

“นี่ขอนั่งด้วยได้ไหมล่ะ พอดีเพื่อนมาจัดวันเกิด นั่งกับอยู่ตรงนู้นนน ไกลเวทีล่ะ อยากมาดูวงสด กำลังจะขึ้นเล่นแล้ว”

“เอาดิ นี่ก็เพิ่งมากัน มากันแค่สามคนนี่แหล่ะ นั่งเลย” แล้วโอ๊คก็หยิบแก้วจากมือของมือกลองมาส่งให้พนักงานชงเหล้า

“ชอบฟังดนตรีสดเหรอกลอง คือมันหนวกหนูมากเลยตรงหน้าเวที ต้องตะโกนคุยกัน” ปุยเอื้อมหน้ามาสนทนากับมือกลองที่นั่งเยื้องกัน แม้ตอนนี้ดนตรีเบาลงมาก เนื่องจากกำลังเซ็ทเสียงหน้าเวทีเตรียมถึงคิววงดนตรีที่สอง ในค่ำคืน ขึ้นเล่นแสดง

“ฮัลโหลวววว ชื่อมือกลอง คงไม่ได้มาเพราะชอบเล่นตบแผละหรอกนะ” โอ๊คบอกกับปุยเพื่อให้คลายสงสัย

“เหรอ คุณพ่อคุณแม่ต้องชอบดนตรีแน่ๆเลยสิเนี่ย ถึงขั้นต้องชื่อมือกลองน่ะ” ปุยผู้ถามดูตื่นเต้นออกนอกหน้า

“พ่อของมือกลองเป็นนักดนตรีมาจากฟิลิปปินส์” โอ๊คขยายความ ก่อนจะส่งแก้วที่เติมใหม่จากเด็กเสิร์ฟส่งให้ทุกคน

“แต่ผมไม่มีพรสวรรค์หรอก ผมไม่เหมือนโอ๊คเพื่อนคุณ ขานี้ สุดยอด” ผู้พูดหันไปหาคนข้างๆที่เอาแต่นั่งดื่มเหล้า

“จริงดิ เฮ้ยย ไม่รู้เลย เราอยากฟังโอ๊คเล่นบ้าง ปกติเล่นอะไรล่ะ”

“เล่นได้หมด สำหรับนายต้นสาย” มือกลองคุยโวแทนโอ๊ค ที่เอาแต่นั่งเขินปุย

“อุ้ย ดีจัง ดอยล่ะเล่นบ้างไหม”

“ขลุ่ย ไอ้ดอยเป่าขลุ่ยได้เซียนสุดๆ ไม่พูดถึงซอด้วงนะ ตัวแทนโรงเรียนเลย” โอ๊คเริ่มบทสนทนากับคนอื่นบ้าง

“ห๋า โอ้ยย กลุ่มนี้เจ๋งกันจัง ไว้สอนเราบ้าง เราเล่นเป็นแต่เปียโนไม่กี่เพลง เวลาเจ้าหน้าที่สถานทูตมาเยี่ยมบ้าน พ่อก็ให้เล่นโชว์  เลดี้แอนด์เจนเทอเมน มายซัน มร.เมฆ วิว โชว์ยูฮีสทาเลนท์” ปุยทำท่าผายมือประกอบจนทุกคนหัวเราะ

“ถ้ารู้ว่าดนตรีสากลมันเท่ คงเข้าชมรมกับไอ้โอ๊คไอ้อาร์มไปแล้ว นี่ดันไปอยู่ดนตรีไทย โหวว มีแต่เด็กเรียนล่ะ”

“กูว่าน่ารักดีออก มึงนุ่งจุงกะเบนขึ้นกล้องมาก กูมีถ่ายรูปเก็บไว้อยู่ เดี๋ยวจะเอาไปให้ปุยดู”

“กูบอกแล้วว่า กูให้มึงวันนี้วันเดียว วันอื่นกูฆ่า”

“วันนี้วันพิเศษอะไรเหรอครับ” มือกลองตัดบทสนทนาคู่เกลอ

“อ้าว โอ๊คไม่ได้บอกเหรอ โอ๊คจะฝึกงานที่ กรุงเทพ แล้วอาจจะอยู่ทำงานโปรเจคส์คอนโดของพ่อต่อเลย” ปุยสาธยาย แต่พอเห็นมือกลองเงียบไป ก็หยุดพูด โอ๊คก็ไม่ได้มีบทสนทนาตอบเช่นกัน ปุยเลยหันไปคุยกับดอยแก้เกี้ยว เรื่องสัมเพเหระ รอวงดนตรีที่บัดนี้กำลังจะแสดงแล้ว






ดนตรีวงวาซาบิ  ใส่อารมณ์ระเบิดความมันจนทำให้คนในเธคลุกขึ้นกระโดดตาม อาจเพราะแอลกอฮอล์เริ่มซึมเข้าเลือด หรือเพราะเสียงเบสที่ขับกล่อมจนเมาในความรู้สึก ซึ่งบัดนี้ สติของคนตั้งแต่ประตูทางเข้าจนถึงภายในเธค กรุ่นไปด้วยอารมณ์คนองสุดขีด ก่อนดนตรีจะแผ่วเสียงไปบอกเล่าว่า ใกล้เวลาเลิกวงแล้ว

“ไหนๆ วันนี้มีอดีตนักร้องนำของวงเราตั้งแต่สมัยยังเป็นวุ้น ไม่มีใครรู้จักมานั่งอยู่ตรงนี้ งั้นก็ขอเชิญ คุณต้นสายขึ้นมาขับกล่อมให้เราสักเพลงสองเพลงดีไหม” นักร้องนำผมยาวพูดจบ คนดูก็กรี้ดกร้าดโห่ร้องที่จะได้ของแถม  และยิ่งกรี้ดหนักเข้าไปอีก ที่นักร้องนำ เอื้อมมือไปดึงหนุ่มหล่อผู้นั่งอยู่หน้าเวทีให้ปีนขึ้นสเตจไปร่วมแจม 

โอ๊คภายใต้ไฟสปอร์ตไลท์ที่สาดแสงมา มันช่างดูงดงามราวกับเป็นศิลปินที่ผ่านการเจียระไนมาแล้ว ใบหน้าเขาดูโดดเด่นบนจอโปรเจ็คเตอร์ที่กล้องวีดีโอหลังบูทดีเจจับมา แม้มีอาการเขินอยู่บ้าง แต่เมื่อได้หันไปทักทายกับนักดนตรีในวง ก็ดูโอ๊คจะผ่อนคลายขึ้นมา

“วันนี้ไม่ได้แต่งตัวหล่อมาร่วมเย้วกับพวกไอ้เคน ผมก็ขอเป็นเพลงช้าแล้วกันนะครับ” หนุ่มที่นั่งเก้าบนอี้กลมเดี่ยวหน้าเวที พูดออกไมโครโฟนขณะที่กำลังปรับสายกีตาร์ไปด้วย  มีเสียงโห่เล็กน้อย เมื่อสิ้นประโยคว่าจะเป็นเพลงช้า

“ก็แหม ผมมันเพิ่งอกหัก จะร้องเพลงรักคงไม่ไหว แต่สัญญาว่า สักวันจะมาร้องเพลงรักให้ฟัง เอิ่มมม ถ้ายังมีคนจ้างวงไอ้พวกเหี้ยนี่มาเล่นที่นี่อยู่นะครับ” โอ๊คหัวเราะไปพร้อมคนดูที่กรี้ดระเบิดเมื่อวงดนตรีวงโปรดถูกแซวหนัก

เสียงกีตาร์ลอยโหยหวน มาคู่กับเสียงฮัมเพลงตอนขึ้นต้น จากบรรยากาศที่จอแจ กลับกลายเป็นเงียบสนิทกันไปทั้งฮอลล์ คล้ายโลกจะหยุดหมุน คล้ายทุกคนลืมจะหายใจ...

“ไม่บอกก็รู้ว่าเธอ... ไม่มีฉันเหลือ อีกแล้ว ...ในใจ”  เสียงกรี้ดถล่มสาดไปหน้าเวที กลบเพลงไม่อาจเปลี่ยนใจ ที่นักร้องกำลังร้อง  สาวน้อยสาวใหญ่หวีดตะโกนร้องเชียร์อ ก่อนจะพร้อมใจกันเงียบลงอีกครั้ง
“แต่มันก็สายไปแล้วใช่ไหม...” โอ๊คเอื้อนออกมาอย่างโหยหวน

“ฉันคงไม่อาจทำให้เธอเปลี่ยนใจ.. ฉันคงไม่อาจทำให้เธอกลับมารักฉัน..” ทุกคนในดิสโก้เธคร้องประสานกับโอ๊คไปเองโดยไม่รู้ตัว  ไม่เว้นแม้แต่นักเที่ยวสูงอายุ ที่แม้ไม่รู้จักเพลงดี แต่ก็ยกมือเคลื่อนไหวตามจังหวะตามไปจนจบเพลง เสียงกรีดร้องดังตามมา “เอาอีก ๆๆๆๆ” กระหึ่มจนคล้ายเพดานจะพังลงมาตามแรงเสียงเรียกร้องนั้น





ที่ร้านข้าวต้ม อ้อมตีนไก่น้ำแดง มีสโลแกนบนป้ายไวนิลแขวนไว้ “มาเมืองกาญจน์ต้องแวะลองตีน”  ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยวัยรุ่นจำนวนมาก กับผู้ใหญ่นักเที่ยว เดินจากอีกฝั่งถนนของดิสโก้เธคที่ทยอยปิดไฟอาคารหมดแล้ว ข้ามมายังร้านข้าวต้มอันเลื่องชื่อ เป็นการสังสรรค์กันก่อนกลับบ้าน คล้ายจะเป็นธรรมเนียมของนักเที่ยวไม่ว่าจะจังหวัดไหน หรือมุมใดในประเทศ   
โอ๊คที่พูดคุยกับเพื่อนนักดนตรียังไม่เสร็จจะข้ามฝั่งตามมาทีหลัง จึงมี ปุยและดอย นำทีมแก๊งสามช่า โหน่ง จอย กอล์ฟ มานั่งทานข้าวต้มด้วย และมือกลอง หนุ่มรูปหล่อที่ขอตามมาสมทบ

“พี่โอ๊ค ทำไมซ่อนความเผ็ดร้อนไว้ขนาดนี้ล่ะปุย แกชั้นสาบานได้ว่า อีชะนีข้างโต๊ะชั้นปลดกระดุมเม็ดบน เอาเต้าเข้าสี เวลาพี่โอ๊คเดินผ่านไปห้องน้ำ” โหน่งฟ้องปุยด้วยความโมโห

“ยังไม่รวมตอนที่ยัดเบอร์โทรใส่มือพี่โอ๊ค แต่พี่โอ๊คแกล้งลืมไว้ที่โต๊ะ นางยังตามกันเอาไปยัดให้อีกรอบ เขาไม่เล่นด้วยแล้วยังตื้อ นังพวกนี้” จอยพูดเสร็จก็ตักน้ำต้มตีนไก่เข้าปาก แล้วก็ควานหาเลือดไก่ในหม้อมากิน ซึ่งหม้อของกลุ่มจอย แยกอาหารคนละชุด กับของกลุ่มปุย แต่ร่วมโต๊ะยาวเดียวกัน

“ไม่ยอมนะ เราหวงเพื่อนเรา หวงที่สุดเลยคนนี้  แต่ว่า โอ๊คเก่งจัง อยู่บนเวทีเหมือนคนละคนเลยเนอะ ไม่ขรึมเหมือนอยู่ข้างล่าง เขาเป็นอย่างนี้ตลอดเหรอดอย” ปุยหันไปถามดอยที่นั่งซดต้มตีนไก่อย่างเมามัน

“โอ๊คมันเก่งของมันอยู่แล้ว ด้วยความที่มันไม่ค่อยคุย สร้างบทสนทนากับใครก็ไม่เป็น มันเลยชอบเล่นเบสมากกว่า แต่วงก็จะชอบบังคับให้มันร้อง เสียงมันดีขนาดนั้น” ดอยเล่าถึงความเป็นมา

“ดีสุดยอดเลยหล่ะพี่ดอย โหยย คนอะไรทั้งเก่งทั้งหล่อ  นี่ถ้ามีพี่ดอย พี่อาร์ม ไปยืนข้างบนเวที น่ากลัวคนจะเต็มร้านทุกวันเลย น้องจะตามมาดูทุกวันเลยนะ” กอล์ฟที่ปกติเงียบไม่ค่อยคุย แต่ก็พูดแจ้วตลอดทั้งคืนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

“นายต้นสาย เขาติสต์แตกตัวจริงเลยล่ะครับ” มือกลองเล่าให้ทุกคนบนโต๊ะฟังบ้าง ซึ่งมือกลองที่ยืนดูโอ๊คบนเวทีด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข แต่ก็ตัดสลับมาเศร้าเป็นระยะเมื่อมานึกถึงความหมายของเพลงที่โอ๊คร้อง 





บนเตียงสีเทาอุ่นนุ่มของยอดดอย มีปุยผู้นั่งอยู่ปลายเตียงฟังดอยเป่าขลุ่ยให้ฟัง เป็นทำนองเพลงจีน เย้ยยุทธจักร เขาไม่ใช้แรงลมเป่ามาก เพราะกลัวเสียงจะดังไปรบกวนชาวหอพักชั้นสอง เนื่องจากเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว  ปุยซึ่งหลับตาฟังจนเคลิ้ม แต่เมื่อลืมตาขึ้น ก็เห็นดอยที่ขยับมานั่งใกล้กำลังยื่นหน้าเข้ามาจนเกือบชิด เผยอริมฝีปากเล็กน้อย  ปุยรีบเอานิ้วชี้มาแตะปรามไว้ตรงริมฝีปากที่ได้รูปนั้น

“ไม่ได้เหรอ ห้ามใจไม่ได้แล้วนะครับ” ดอยเอื้อมหัวแม่มือขวาไปสัมผัสริมฝีปากของปุยบ้าง เขาใช้หัวแม่มือนั้น เกลี่ยริมฝีปากของคนตัวขาวอย่างแผ่วเบา

“ได้ครับ แต่ขอให้มันพิเศษได้ไหม มันจะเป็น.. เอิ่ม..  จูบแรกของปุย  เราไม่เคยจูบใคร..”  ปุยหันหน้าหนีเอียงอาย

“พิเศษยังไงดีล่ะครับ”

“อยากให้จดจำไปได้นาน”

“งั้นก็...  ใต้ต้นไม้ของแม่”





ประตูจากชั้น 2 ห้อง D ถูกเปิดอยู่  มีคนยืนหน้าห้อง เรือนผมสลายดำขลับปลิวตามแรงลมอ่อน แม้ระเบียงจะมืด ไฟในห้องจะสลัว แต่จากจุดที่ยืนมองลงมา ดวงตาคู่นั้นยังเห็นได้แจ่มชัด  ว่าที่ใต้ต้นทองกวาว ชายหนุ่มสองคน กำลังจุมพิตอย่างแผ่วเบา กินระยะเวลานานจนลมที่พัดผ่านหยุดนิ่งไป 

เขาแลกจูบกันอยู่อย่างนั้น ท่ามกลางเสียงจั๊กจั่นที่ร้องไป ใบไม้ที่สั่นไหว และลมเย็นที่พัดมาอีกระลอก   ยอดดอย เอามือเชิดคางของปุยเมฆขึ้น เขาก้มไปจุมพิตที่ปากสีแดงนั่น ก่อนคว้าคนตรงหน้าเข้ามาสวมกอด  เขายืนตรงนั้นกันอีกสักพัก แล้วก็จูงมือกันกลับเข้ามา ปุยส่งยอดดอยเข้าห้อง แล้วเดินขึ้นบันไดเพื่อกลับห้องของตัวเองที่ชั้น 3 ระหว่างที่ผ่านชั้น 2 เขามองไปเห็นบานประตูหน้าห้อง D ที่เพิ่งปิดลงไปอย่างแผ่วเบา


ปุยเมฆยังคงทอดตัวอยู่บนเตียงสีขาวที่ฟูพอง เขาเกลือกตัวไปมาจนถึงหกโมงเช้าจนชุดนอนสีขาวยับไปทั้งตัว  มือกุมริมฝีปากเป็นระยะ มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นแม้ว่าจะอยู่ในห้องเพียงลำพัง
เขาหันไปมองนาฬิกาแล้วถอนหายใจ  เจ้าของห้องเอื้อมมือไปคว้ากระปุกยา เปิดฝาและส่งยาเข้าปาก ก่อนจะข่มตาเพื่อพยายามผ่านอาการนอนไม่หลับไปให้ได้  มันเป็นค่ำคืนที่ครบรสของเขาอีกหนึ่งคืนเช่นกัน..

หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 16 : อยู่อยู่ก็มีเรื่องเธอรบกวนหัวใจ .. ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 01-03-2018 01:30:59
เขาจูจุ๊บกันแย้ววววว

 :katai5: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 16 : อยู่อยู่ก็มีเรื่องเธอรบกวนหัวใจ .. ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 01-03-2018 18:09:23
จูบนี้คือดี แกรนด์มาก   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 16 : อยู่อยู่ก็มีเรื่องเธอรบกวนหัวใจ .. ]
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 03-03-2018 02:09:45
จะมีเพลง โด่เอ๊ย แล้วบอกให้แม่มาขอ มั๊ยนะ
 :-[
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 16 : อยู่อยู่ก็มีเรื่องเธอรบกวนหัวใจ .. ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 03-03-2018 12:14:38
จะมีเพลง โด่เอ๊ย แล้วบอกให้แม่มาขอ มั๊ยนะ
 :-[

ใช่ๆๆๆ  ควรมีบาซู
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 17 : มองทางนั้นไม่มี.. มองทางนี้ไม่เจอ.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 05-03-2018 01:05:48
Track 17 :     มองทางนั้นไม่มี.. มองทางนี้ไม่เจอ.. มองทางไหนถึงเจอ..

ยามเย็นของวันเสาร์ ภายในคฤหาสน์หรูหรา มีปีกโซนที่แยกออกมาจากเวิ้งบ้านหลัก แต่อยู่ในอาณาเขตรั้วเดียวกัน ซึ่งโอบกินพื้นที่ 7 ไร่กว่า
Home Theatre Zone เป็นสิ่งก่อสร้างทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ ภายในตกแต่งวัสดุสมัยใหม่ เน้นสีดำขาว ทำเป็น มินิเธียเตอร์ขนาดบรรจุคน 20 ที่นั่ง เป็นสองแถว แถวละสิบที่นั่ง แม้ไม่ใช่ในเชิงพาณิชย์ แต่ความหรูหราที่ตกแต่งไว้ ทำให้ผู้มาเยือนสัมผัสได้ถึงความโอ่อ่า

“มือกลองน่าจะชอบค้างคาวเนอะ เห็นตุ๊กตา กับ โมเดลมีแต่รูปค้างคาวเต็มไปหมดเลย เท่จัง” ปุยรู้สึกทึ่งกับโรงหนังขนาดย่อมที่มือกลองผู้เป็นเจ้าของ เชิญเขาและเพื่อนมาที่บ้าน

“ก็เพิ่งจะหลงใหลมันมาได้ สามสี่ปีนี่แหล่ะ ทยอยเก็บสะสมครับ” เจ้าของบ้านตอบ เขากดปุ่มสวิทช์ที่ห้องควบคุมเพื่อปรับแสงสี และผ้าม่านซึ่งเลื่อนเปิดจออย่างอัตโนมัติ  ตรงที่นั่งแถวบนสุดมีมะนาวกับอาร์มนั่งอยู่ เว้นที่นั่งว่างตรงกลาง แล้วถัดมามีดอยซึ่งติดกันก็ที่ว่างของปุย
ปุยในตอนนี้เดินไปทั่วมินิเธียเตอร์ เขาสนใจอุปกรณ์ฉายโดยมีมือกลองสาธิตวิธีเซ็ทเครื่องเสียงอยู่   
ที่นั่งแถวล่างมีโอ๊คนั่งอยู่ตรงกลางเพียงลำพัง มือกำลังเคี้ยวข้าวโพดคั่วและโคล่า

“ทำไมได้ฟิล์มมาเร็วจัง เพิ่งออกโรงไปเมื่อกรกฎา นี่เองไม่ใช่เหรอ หนังซูมหรือเปล่าวะ” อาร์มที่เตรียมไก่ทอดแบรนด์ดังใส่ถังกระดาษเข้ามากิน ส่วนมะนาวก็ต้องส่ายหน้ากับความเลอะเทอะที่อาร์มก่อ จนต้องคอยช่วยเช็ดและบ่นอยู่ตลอด 

“มันออกมาเป็น Super VCD แล้ว ทำระบบเสียง SDDS แล้วเดี๋ยวคงออกมาเป็น วีดีโอ  นี่กลองเขาเล่นจาก SVCD ไม่ใช่จากฟิล์ม” โอ๊คตอบโดยไม่หันขึ้นไปมอง 

“กูไม่ชอบหนังรักว่ะ มันแบบน่าเบื่อ กูคงหลับ นี่ต้องพกเกมบอยของไอ้อาร์มมาเล่นด้วย” ดอยผู้ยังคงก้มหน้าเล่นเกมไม่สนใจ บรรยากาศ หรือ หนังที่กำลังจะฉายในไม่ช้าเลยแม้แต่น้อย

“โหว เสียน้ำใจเลยคุณดอย  ผมอยากให้วิจารณ์ระบบเสียงกันหน่อย อุตส่าห์มีเพื่อนเป็นเด็กช่างทั้งที  เดี๋ยวเวลามี แขกมาเยี่ยมบ้าน จะได้ไม่อับอายเขาครับ” เจ้าของบ้านทำปากเบะน้อยใจ แต่ดูน่ารักมากกว่าที่จะดูเหมือนโกรธจริง

“บ้านใหญ่โตอย่างกับวังขนาดนี้ ถ้าแขกบ่นบอกผม เดี๋ยวจัดให้” ดอยยักคิ้วใส่ ยกกำปั้นขึ้นมาโชว์ ก่อนจะหันกลับไปเล่นเกมบอยต่อ ซึ่งตอนนี้ ปุยเดินกลับลงมานั่งที่โซฟาข้างยอดดอย 



“เอาเบียร์ไหม มีคลอสเตอร์ที่ชอบด้วยนะ” มือกลองหย่อนตัวลงมานั่งข้างโอ๊ค ถามคนที่ยังเคี้ยวข้าวโพดคั่วอย่างอร่อย

“ยังหัววันอยู่เลย ไม่เอาดีกว่า แต่ข้าวโพดคั่วนี่อร่อยชะมัด ยี่ห้ออะไรเหรอ”

“ซื้อจากเทสโก้แล้วเอามาเวฟ จำยี่ห้อไม่ได้ ไว้ซื้อมาเผื่อนะ”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็ไม่ได้อยู่กินแล้ว”

“จะไปยาวเลยจริงๆเหรอ”

“อืม”

“เซ็งจัง เพิ่งจะมีโอกาสได้สนิทกัน ก็จะไม่อยู่ซะแล้ว”

“นี่สนิทกันแล้วเหรอ เหมือนที่ปุยเล่าเลย คนบางคนชอบขี้ตู่ว่ะ”

“......”

“เฮ้ย พูดเล่น” โอ๊ควางถังข้าวโพด แล้วเอามือไปวางบนแขนมือกลองที่ทำหน้าจ๋อยไปเลย

“......”

“นอกจากไอ้ดอย กับไอ้อาร์ม เคยเห็นโอ๊คไปไหนกับใครสองคนไหมล่ะ”

“ไม่เคยหรอก  ก็ตัวติดกันขนาดนั้น”

“ก็ไม่เคยคิดไปไหนกับใครที่ไม่สนิท ขนาดวงวาซาบิ ซ้อมเสร็จก็แยกย้ายกันกลับ เราไม่ไปไหนกับใครที่เราไม่คิดคุ้นเคย เช่นไปใส่บาตรด้วยกันหลังวันแดงเดือดอะไรยังงี้” โอ๊คคว้าน้ำมะนาวโซดากระป๋อง จากมือของมือกลองมายกดื่ม

“อืม”

“อย่างกินกระป๋องเดี๋ยวกันนี่ ไม่สนิทก็เคยคิดทำ มันเหมือนโดนขโมยจูบเลย” ก่อนที่โอ๊คจะส่งคืนให้มือกลองแล้วเอนหลังลงไปยังที่นั่ง เพื่อเตรียมดูหนังต่อ

“ถ้าคิดว่าสนิทแล้ว  พอแวะไปหาที่ กทม. บ้างได้ไหมล่ะ”


“ก็กะจะชวนอยู่แล้วล่ะ แต่กลัวคุณชายจะนอนคอนโดเล็กๆ แคบๆ ไม่ได้น่ะสิครับ”






ที่เบาะแถวหลัง มีความเคลื่อนไหวลับ ๆ

“พี่อาร์มว่า พี่อาร์มเห็นอะไรไหม” มะนาวกระซิบแผ่วเบา

“เห็นดิ ตำตาขนาดนี้” อาร์มกระซิบกลับ

“พี่ชายของพี่ดูรวนๆ นะคะพักนี้”

“เออ.. จนพี่เริ่มจะรวนตามแล้วเนี่ย”

“ฝาแฝดก็ต้องเหมือนกันจริงไหมค่ะ”

“เริ่มต้นอาจเหมือน แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนไปตลอด”

“ก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย มะนาวเห็นว่า แค่รู้ว่าอะไรดีกับตัวเองก็พอแล้ว”

“ถ้างั้นแฝดน้องชนะขาดครับเรื่องนี้  เรื่องความเด็ดขาด ไอ้แฝดพี่มันไม่เคยได้เรื่องเลย”






“มันชื่อเรื่องอะไรนะ ทำไมตัวอย่างหนัง มีแต่พระเอกเดินไปมา ไม่เห็นมีอะไรเลย” ดอยกระซิบถามปุยที่อยู่ข้างๆ

“รักบานฉ่ำที่น็อตติ้งฮิลล์”

“โหวว นั่นชื่อเหรอ ฟังดูเวิ่นเว้อ”

“สนุกจะตาย เราดูไปรอบนึงแล้วตอนเปิดตัวเมื่อเดือน พฤษภา นี่ตั้งใจมาดูพากษ์ไทยครั้งแรก”

“ทำไมต้องบานฉ่ำล่ะ จบแฮ็ปปี้เหรอ”

“เปล่า ทุกเรื่องที่ จูเลีย โรเบิร์ต เล่น จะมีคำว่าบานฉ่ำเวลาตั้งชื่อไทยเป็นสัญลักษณ์”

“ยังกับหนังของเฉินหลง”

“ยังไงอ่ะ”

“ก็ทุกเรื่องจะมีคำว่า ฟัด หรือของ พี่หลิวเต๋อหัว จะแบบ ผู้หญิงข้า ลูกสาวเจ้าพ่อข้า หัวใจข้า คือฟังแล้วรู้เลย พี่หลิวมา”

“ฮ่าๆๆ จริงสิ ไม่เคยดูหนังจีน ไว้เช่ามาให้เราดูหน่อยสิ”

“มันโครตๆ เลยขอบอก”







“Without saying a word you can light up the dark” เพลงประกอบลอยมา ในฉากที่พระเอกใช้เวลากับตัวเอง

“เพลงนี่เลี่ยนมาก แต่โครตดังเลย กูนี่ร้องตามได้แต่ตั้งแต่กลางปีมาแล้ว” อาร์มที่ดูจะอินกับหนังน้อยที่สุด โพร่งออกมา

“ชอบเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ ของ ทีน่า อารีน่า มากกว่า” ปุยพูดขึ้น

“อ้าวมันมีเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้อีกเหรอปุย เราว่าเพราะมาก เรารู้จักแต่เพลงนี้ แต่ไม่รู้จักหนัง” มะนาวหันมาถามบ้าง

“ใช่ มีหลากหลายเวอร์ชั่นมาก่อนนี้ แต่อันนี้น่ะดังสุด น่าจะยุคต้นเก้าศูนย์เลยมั๊ง” ปุยหันไปตอบมะนาว

“1988”  เสียงลอยมาจากที่นั่งด้านหน้า ก่อนโอ๊คจะเอี้ยวตัวหันมาทางปุย “จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งอย่าง คือ 1988”



สองชั่วโมง สี่นาที ผ่านไป

“ไอ้ดอย มึงร้องไห้” อาร์มตะโกนบอกทุกคน ตอนที่ห้องสว่างขึ้น เมื่อมือกลองกดรีโมทเปิดไฟในห้องชมภาพยนตร์

“เชี่ยยยย ดอย มึงอ่อนไหวโครต” โอ๊คที่ยืนขึ้นแล้ว หันกลับมาที่เบาะหลัง โอ๊คหัวเราะรู้สึกแปลกใจกับเพื่อนตัวเองที่นั่งมี
รอยน้ำตาซึม และดวงตาแดงเรื่อ โอ๊คหันไปเห็นปุยที่นั่งเอามือกุมปากกลั้นหัวเราะ

“พี่ดอยยยยย  ตายแล้ว พี่มีอารมณ์ศิลปินนะเนี่ย มะนาวรู้สึกทึ่ง”

“นี่แปลว่า ระบบจอกับระบบเสียงของมินิเธียเตอร์บ้านผมใช่ได้ใช่ไหมครับ”

“ไอ้ดอย มึงอยากเปิดร้านหนังสือเหมือนพระเอกไหมเดี๋ยวป๋าอาร์มจัดให้ ฮ่าๆๆ”

“โอ้ยยยยย !!  กูจะไปห้องน้ำ ปวดฉี่”  ดอยลุกจากไปทิ้งให้ทุกคนหัวเราะตามไล่หลังมา







ที่ร้าน รองเดซ์วู อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ชาวต่างชาติเต็มร้านไปหมด เกือบทุกโต๊ะมีเครื่องดื่มและของว่างวางข้างจอ ชาวญี่ปุ่นตรงโต๊ะริมกระจกใสสั่งกับข้าวมาเต็มโต๊ะขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ไปด้วย  แต่ไม่เท่าคนฮอลแลนด์ในโต๊ะถัดไป ที่มีทั้งเบียร์ขวดเปล่าครึ่งโหล กับขวดที่เจ็ดซึ่งพร่องไปครึ่ง พร้อมปอเปี๊ยะทอดกับหมูมะนาวปลายจวักนกน้อยผู้บรรจงปรุงสุดฝีมือ

โอเล่ที่วันนี้ไม่ได้ทำงาน แต่ปล่อยให้เครื่องรันโปรแกรมด้วยตัวเอง มีกองกระดาษจดโน้ตเต็มโต๊ะ ไม่รวมกองหนังสือที่แทบสูงกว่าหน้าจอวางอยู่ 

“เดี๋ยวปลายเดือนผมอาจจะต้องลางานสักวันสองวันนะครับ น้องโอเล่” น้าแจ้เอ่ยปากบอกกับเจ้านายตัวน้อย

“ได้สิครับน้า บอกผมล่วงหน้าอีกทีตอนใกล้ๆแล้วกัน ผมจะได้ให้ลูกน้องพ่อมาช่วยดู เผื่อผมต้องไปสัมมนา หรือ พ่อให้ไปประชุมเป็นเพื่อน ช่วงนี้งานค่อนข้างเยอะครับน้า”

“ขอบคุณครับ แล้วนี่จะทานอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวผมให้นกน้อยทำข้าวผัดปูมาให้ไหมครับ เห็นไม่ได้ทานอะไรเลย”

“ได้สักจานก็ดีครับน้า ขอบคุณครับ”





“แม่คุณปุยเสียยังไง ผมถามได้ไหม” มือกลองที่กำลังเช็ดจานและช้อนส้อมด้วยกระดาษทิชชู่ ถามปุยที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก่อนที่มือกลองจะส่งจานซึ่งถูกเช็ดแล้วมาวางเบื้องหน้าโอ๊คผู้นั่งถัดไปแล้วก็เป็นมะนาว โดยมีดอยนั่งติดกับปุย และอาร์มนั่งตรงข้ามกับมะนาว 
พวกเขานั่งทานข้าวกลางแม่น้ำแม่กลอง เป็นร้านอาหารที่จัดเป็นแพลอยไว้กลางตลิ่งขนาดใหญ่
ลมพัดแรงและเย็น ประดับไฟไว้สวยงาม มีป้ายเขียน ครัวท่าล้อ กับป้ายสปอนเซอร์เบียร์ ที่สีตัดกับบรรยากาศธรรมชาติ

“มะเร็งตับ”ผู้ตอบ กำลังสนใจต้มยำกุ้งมะพร้าวอ่อน เมนูน่าทานตรงหน้าที่เพิ่งถูกเสิร์ฟ ปุยเอาทัพพีเขี่ยวหัวกุ้งพลิกดู

“เสียใจด้วยนะครับ” มือกลองรู้สึกผิดที่เอ่ยถาม แต่ทุกคนที่เหลือไม่เคยกล้าถามกลับอยากรู้ โดยเฉพาะดอย จึงทำให้ดอยสนใจเป็นพิเศษ พอๆกับโอ๊ค

“มันรักษาไม่ได้เลยใช่ไหม ในทางปฏิบัติ” อาร์มตัดบรรยายกาศที่กลัวจะเครียดเกิน

“ถ้าเป็นตำแหน่งอื่น เจอเร็วพอได้ แต่ตับเนี่ย เห็นคุณหมอท่านบอกว่า ลุกลามเร็ว ชิ้นส่วนตับถ้าถูกมะเร็งกินจะไม่สามารถ ใช้งานได้ตามปกติ ทำให้เสียชีวิตได้ง่ายกว่า แต่ถ้าตรวจเจอเร็วก็พอมีทาง เราถึงได้ทะเลาะกับพ่อจนทุกวันนี้ไง”

“ยังไงเหรอ” ดอยวางช้อนส้อม และทอดมันกุ้งตรงหน้า หันมารอคำตอบปุย

“ตอนมีอาการเริ่มต้น พ่อก็ไม่ว่างพาไปหาหมออ่ะ คือแม่เราจะเดินเหินก็ลำบาก เราขับรถไม่เป็น เคยอยากจะหัดพ่อก็ไม่ยอม พอเกิดเรื่องก็ทำมาเป็นห่วงเรา แม่คือคนที่ต้องการคนอยู่ด้วยไม่ใช่เรา”

“มันจะเป็นกรรมพันธุ์ไหมคะปุย มะเร็งเนี่ย มะนาวเคยได้ยินว่า มันมีส่วนเหมือนกัน”

“ใช่ครับมะนาว ตาเราก็เป็นโรคนี้ คือคนประเทศนี้เป็นกันเยอะ”

“หืม ประเทศนี้ ?? ” โอ๊คเอะใจ

“คือ.. ตาเราเป็นคนญี่ปุ่นน่ะ”

“มิน่า ปุยถึงขาวน่ารักขนาดนี้ เรายังว่า ผิวแบบนี้มันผิวคนทางตะวันออกไกล” มะนาวเอามือเอื้อมมาลูบที่แขนปุย

“หูยยยย หนุ่มกะเหรี่ยงสอยคนงามแดนปลาดิบ เว้ย” อาร์มเอาข้อศอกสะกิดดอย มีโอ๊คที่ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร

“กะเหรี่ยง ?” มือกลองถามบ้าง

“ไอ้ดอย ตามันเป็นคนกะเหรี่ยง ศิษย์หลวงพ่ออุตตมะ” โอ๊คตอบให้ความกระจ่าง

“มิน่า คุณยอดดอยถึงมีดวงตาสีนี้ หล่อดีนะครับ ผมอยากได้จมูกแบบนี้บ้าง น่าอิจฉา” มือกลองเอามือมาจับจมูกตัวเอง

“หล่อกว่าเราป๊ะ” โอ๊คตักยำก้านคะน้ากรอบส่งใส่จานมือกลอง ซึ่งเพราะตรงหน้าของมือกลองมีแต่หม้อต้มยำตั้งบังกับข้าวทุกอย่าง

“คนละแบบสิ”

“แค่ถามว่าหล่อกว่าหรือเปล่า”

“เอาเลยคุณกลอง  ไม่ต้องเกรงใจผม” ดอยหัวเราะ

“ก็ยังไม่เคยเห็นใครหล่อกว่านี้” ก่อนมือกลองจะก้มหน้าที่แดงก่ำ ทานอาหารโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกพักใหญ่






หน้าทะเลสาปแห่งรันตี เวิ้งน้ำใสแต่ลึกจนมองไม่เห็นพื้น สายน้ำไหลช้า คนในหมู่บ้านกะเหรี่ยงหลับใหล ผู้เฒ่าสูงใหญ่ยืนเปลือยท่อนบน พันผ้าสีเทาเข้มที่บั้นเอว ยืนถือไม้เท้ามองจากตลิ่งลงมาที่แม่น้ำ ดวงตาที่ดุดัน หลับพริ้มลง ลมที่เคยพัดเอื่อย หมุนตีแรงจนใบไม้ส่ายไหว ฝูงปลาว่ายทวนทิศทางอย่างไม่เป็นระเบียบ นกร้องบินวนอยู่เหนือทะเลสาป ดวงจันทร์ถูกเมฆบดบังไปครึ่งหนึ่ง 

ผู้เฒ่าลืมตาขึ้น ยื่นปลายไม้เท้าไปแตะที่ผิวแม่น้ำ ปลาน้อยใหญ่กระโดดลอยตัว แล้วว่ายหนีแตกตื่นไป ฟ้าคำรามจนมีเสียงเด็กร้องไห้ดังขึ้นมาจากกระท่อมที่อยู่ริมตลิ่ง ผู้เฒ่าตื่นจากภวังค์แล้วเดินกลับกระท่อมไป





“พี่โอ๊คไม่ค่อยแวะมาเลยนะครับพักนี้ ไม่ชอบร้านที่ผมแต่งใหม่เหรอ” หนุ่มขาวตัวผอมในแว่นหนา ถามหนุ่มหล่อที่ช่วยเขาเก็บกองหนังสือให้เป็นระเบียบ ซึ่งบัดนี้ในร้านคอมพิวเตอร์ไม่มีลูกค้าหลงเหลือแล้ว  คงมีแค่คอมพิวเตอร์สองเครื่องที่เปิด

“พี่ต้องเตรียมตัวเรื่องไปฝึกงาน แล้วก็ขนของอีกเยอะเลยว่ะ”

“พี่โอ๊คคงไม่ได้ไปแค่ฝึกงานใช่ไหมครับ”

“น่าจะอยู่นานนะ  เราน่ะ ดูแลตัวเองดีๆ แล้วก็ดีกับเตี่ยให้มากๆล่ะ”

“ผมไปอยู่กับพี่ที่กรุงเทพได้ไหม”

“เฮ้ย ขนาดนั้นเลย”

“ผมไม่รบกวน เดี๋ยวผมซื้อห้องใหม่ติดกัน”

“ทำไมพักนี้รอบกายพี่มีแต่เศรษฐีวะ ฮ่าๆๆ”

“ก็มีแค่ผม กับไอ้รวยขาวหล่อลูกเจ้าของโรงแรม”

“เขาชื่อมือกลอง เรียกเขาดีๆหน่อยสิครับ”

“ขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“โอเล่อยู่ได้ พี่รู้ เราน่ะเก่งและพร้อมจะโตเป็นหนุ่มแล้ว” โอ๊คเอามือตบหลังโอเล่เพื่อเป็นการบอกลา ก่อนจะออกจากร้านไป ทิ้งไว้ให้หนุ่มน้อยที่นั่งมองจอคอมพิวเตอร์ว่างเปล่า 

เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่หนึ่งดับไปขึ้นสกรีนเซฟเวอร์เป็นรูปหัวใจสีดำบนพื้นสีแดง และอักษรสีดำ L.O.V.E  ก่อนอีกเครื่องถัดไปจะดับลง แล้วขึ้นเป็นสกรีนเซฟเวอร์สีขาวอักษรดำ O.A.K.

หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 17 : มองทางนั้นไม่มี.. มองทางนี้ไม่เจอ.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 05-03-2018 06:55:52
พี่ดอยผู้อ่อนไหว โถ๋ๆๆๆ :impress2:
แต่นิดนึงเพื่อน. เราดู น็อตติ้งฮิล ไม่คิดว่ามีฉากให้ต้องร้องไห้เลย มันเหมือนหนังเล่าเรื่อง. สงสัยเป็นแบบอาร์มนะ คือ ชอบน็อตติ้ง แต่คงไม่ถึงกับร้องไห้
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 18: ทิ้งความเคยผูกพัน.. มันทำร้ายกันรู้ไหม.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 06-03-2018 02:45:08

Track 18 :    ทิ้งความเคยผูกพัน.. มันทำร้ายกันรู้ไหม..

ที่ถนนลูกรังซอยหนึ่งใกล้สะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่ดินขนาดสองงานเศษ ถูกไถจนเตียน มีกอไม้ที่มีร่องรอยของการเผาจนเป็นตะโกดำเมี่ยมขี้เถ้าฟุ้ง หนุ่มใหญ่ที่ยืนกับลูกชายกำลังชี้แนวเขตของที่ดิน โดยมีชายในชุดนักเรียนช่างยืนดูอยู่ห่างๆ

“หัวที่น่ะติดซอยนี้ ท้ายที่ติดอีกซอยนึง ระหว่างทางเชื่อมเป็นถนนเล็กติดที่ด้วย เท่ากับเราได้ที่ดินติดทางสามด้าน”

“อย่างนี้รถก็เลี้ยวเข้าออกได้สะดวกเลยสิครับพ่อ”

“ใช่ แต่มันก็ยังไกลจุดสัญจร คงอีกนานกว่าจะเจริญใกล้สถานที่ท่องเที่ยวก็จริง แต่คนเดินมายังไม่ค่อยถึงร้านค้า หรือว่าร้านอาหารจึงไม่มีเลย ถ้าทำหอพัก คงจะลำบาก

“ก็เดี๋ยวปุยเรียนจบ กว่าจะฝึกงาน กว่าจะลองงาน เดี๋ยวก็อาจถึงเวลาก็ได้นะพ่อ”

“คือ พ่ออยากให้ปุย ลองหาทางเลือกเผื่อหลายๆ อย่าง ไม่จำเป็นต้องเสียดายที่ดินหรอก ถ้าถึงเวลา ธุรกิจโรงแรม หรือ ที่พักมันไม่เวิร์ค ที่ดินแปลงนี้เราก็ขายได้”

“ไม่ !! มันเป็นที่ของแม่ พ่อจะขายไม่ได้” ปุยที่อยู่ดีๆ ก็เป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมา ตวาดใส่พ่อ จนผู้ฟังถึงกับตกใจ

“พ่อยังไม่ได้บอกว่าจะขาย แค่บอกว่า ถึงวันหนึ่ง หาก..”

“ไม่ ปุยบอกว่าไม่ ก็คือไม่ !! พ่อไม่มีสิทธิอะไร มันเป็นที่ดินของแม่”

“ลูกนี่ พูดไม่รู้เรื่อง พ่อไม่อยากจะให้ลูกไปคาดหวังกับสิ่งที่ยังไม่เกิด ความฝันของแม่ ลูกไม่จำเป็นต้องเอามาเป็นภาระตัวเองถ้าไม่ชอบ อย่าเพิ่งเข้าใจพ่อผิดสิ”

“ดอย กลับหอกันเหอะ เดินไปก็ได้ ใกล้ๆ แค่นี้เอง” ปุยสะบัดหลังใส่คู่สนทนา แล้วเดินไปยังดอยที่ยืนทำหน้าเหวออยู่ที่รถยนต์เมอร์ซิเดสสีดำ

“ปุย อย่าทำอย่างนี้” ดอยเขย่าแขนของปุยที่บัดนี้มายืนตรงหน้า

“เราขี้เกียจจะพูดแล้ว เถียงกันไม่จบไม่สิ้น”

“ก็คุยกันดีๆ มีเหตุผลหน่อย ฟังคุณพ่อบ้าง เรื่องมันยังมาไม่ถึง ต่างฝ่ายก็ต่างเก็บไปคิดก่อนได้”

“ไม่ มันเป็นที่ของแม่ ไม่ทำโรงแรมเราไม่ว่า แต่อย่ามาขายที่ของแม่” ปุยร้องไห้ไปด้วยขณะเถียงกับยอดดอย จนดอยโอบปุยมากอดไว้ครู่หนึ่ง ก็ละจากปุยเดินมาหาธรรมเสถียร ที่ยืนมองคอตกเพราะลูกชายตัวเองไม่เคยคิดฟังเหตุผลสักที

“คุณพ่อครับผมว่า” ดอยเอ่ย แต่โดนอีกฝ่ายดักคำพูดด้วยคำถาม

“เธอกับลูกของฉัน เป็นอะไรกัน”

“....”

“จนบัดนี้ เธอยังให้คำตอบฉันไม่ได้ใช่ไหม”

“ผมให้ได้ครับ ผมรู้คำตอบมาพักใหญ่ แต่ผมยังไม่อยากจะให้เรื่องนี้ มาถูกขยายในช่วงที่มีความวุ่นวาย ผมพร้อมจะตอบให้คุณพ่อแล้ว แค่ไม่ใช่ตอนที่มีเรื่องอื่นมากระทบใจ”

“ฉันเข้าใจที่เธอพูด”

“เดี๋ยวถ้าปุยอารมณ์เย็น ผมก็จะช่วยพูดให้ เผื่อเขาจะเข้าใจในสิ่งที่พ่อจะสื่อ แต่วันนี้ ตอนนี้ ผมขอพาเขากลับไปสงบอารมณ์ก่อน ถ้าอย่างไร ผมจะโทรบอก หรือส่งอีเมล์ไปเล่าความคืบหน้าครับ”

“ขอบใจ.. ฝากดูแลลูกฉันด้วย”  ธรรมเสถียรเดินขึ้นรถไปโดยไม่ได้หันกลับมามองลูกชายอีกเลย เขานึกตลกตัวเองที่ตัวเขาแม้จะเจรจาพาทีกับคนนานาชาติมานับต่อนับ แต่ไม่สามารถสื่อสารใจความกับลูกชายตัวเองได้  แต่ขณะที่เด็กอีกคน เป็นใครมาจากไหน ยังมีวาทศิลป์ทางการทูตดีกว่าเขาด้วยซ้ำ

เขาขับรถออกไปโดยมองกระจกส่องหลัง เห็นชายหนุ่มสองคนโอบกอดกัน คนหนึ่งร้องไห้ทางแก้มไว้ที่บ่าของอีกคน ในขณะที่อีกคน เอามือลูบศีรษะปลอบประโลม




ที่ถนนเพชรบุรี รถราที่ติดยาวจนหางแถวมาจรดสี่แยกปทุมวัน ห้างสรรพสินค้าที่ขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง แน่นไปด้วยผู้คนเพราะเป็นวันหยุด ที่ชั้นสองของห้าง มีร้านคอมพิวเตอร์ทั้งซื้อขาย และซ่อมเรียงราย ร้านซึ่งอยู่หน้าบันไดเลื่อนขาขึ้น เป็นร้านที่เตะตะเพราะมีขนาดใหญ่กว่าใคร แถมกั้นเป็นห้องกระจกหรูหรา ภายในมีลูกค้าแน่นร้าน พนักงานชายหกคนก็วิ่งวุ่นกับการรับออเดอร์ และรับซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์

“พี่โอ๊คหิวไหมครับ ไปรอผมที่ร้านไก่ทอดหน้าห้างก็ได้นะครับ แอร์เย็นกว่าตรงนี้”

“เดี๋ยวรอกินพร้อมโอเล่เลยแล้วกัน พี่ยังไม่หิวเท่าไหร่ ว่าแต่ทำไมร้านนี้คนเยอะจัง”

“เขาซ่อมแมคบุ้คโดยเฉพาะครับ อะไหล่หิ้วเข้ามา ที่อื่นยังไม่มีอะไหล่ของรุ่นนี้ เพราะรุ่นนี้เพิ่งวางขายได้ไม่กี่เดือน”

“แล้วทำไมมันพังเร็วจังล่ะ”

“เปล่าครับผมมาอัพแรมให้เป็น 64GB”

“สีส้มแป๊ดเชียว รุ่นอะไรเนี่ย... อ่อ..  iBOOK G3 Clamshell” โอ๊คอ่านจากใบรับซ่อมที่เจ้าหน้าที่ส่งให้โอเล่เมื่อสักพัก

“ต้นปีหน้าถึงจะออกสีดำครับ เดี๋ยวค่อยซื้ออีกเครื่อง สเปคสูงด้วย แรม 64 จากโรงงานเลย เล่นเกมมันโครต”

“เฮ้ย จริงดิ ไว้เล่นบ้าง”

“เครื่องนี้ก็เล่นได้ มันกระตุกหน่อยบางช่วง แต่โดยรวมดีเชียว”

“ถือไปไหนโครตอายเลย เหมือนกระเป๋าสตรีสูงอายุ”

“....”

“เฮ้ย ล้อเล่นนนนนนนน”

“เดี๋ยวผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวรอพนักงานเอา เอ็กเทอนัล ฮาร์ดดิสก์ มาส่งก็ไปกันได้เลยครับ”

“อะเคร”







“เฮ้ยมะนาว วันนี้แฟนมารับเร็วเชียว นู่น มานู่นแล้ว แคมรี่ป้ายแดงคันหรู คู่คุณหนูอย่างหนูมะนาว”

“นังเดียร์ แฟนเฟินอะไร พี่อาร์มกับฉันเพื่อนกันแต่เด็กเปล่าวะ”

“มารับที่นี่เกือบทุกวัน แหม วิทยาลัยครูมันไม่ได้ใกล้วิทยาลัยช่างของเขาเลยนะยะ”

“อ๊ะ เพื่อนกันก็เป็นห่วงกัน พ่อแม่เขารักฉันอย่างกับลูกสาว”

“เออค่ะ ไม่ใช่แฟน ก็ไม่ใช่ ระวังเหอะ สาวทั่วเมืองกาญจน์อยากจะคาบจะตาย ลูกชายตระกูล ตรีโอฬารวงศ์ อีตาคนพี่ผู้หล่อเหลา กับแฝดน้องแสนน่ารักมาดกวน นี่ถ้าใครเหลือ ขอมาสักคนเหอะ เพี้ยง”

“นังเดียร์ อีบ้า พี่อาร์มเขาไม่ได้ชอบตุ๊ด นังนี่ ไปดีกว่า”

“เหลือพี่โอ๊คให้ฉันก็ยังดี คนบ้านนี้ทำไมมันทั้งรวยทั้งหล่อกันอย่างนี้นะ  พี่อาร์ม สวัสดีค่ะ อุ๊ย ถืออะไรมาฝากน้องเดียร์”

“แหม ก็เห็นโดนัทน่ากิน เลยนึกถึงน้องเดียร์ อุตส่าห์คอยดูแลมะนาวให้พี่”

“อ๊ายยย  กำลังอยากทาน ว่าแต่ เห็นของหวานแล้วนึกถึงน้องเดียร์เลยเหรอคะ อีมะนาว หล่อนน่ะถูกลืม เตรียมตัวเลย”

“พี่อาร์มเขาเห็นว่า ขนมอะไรมีรู หรอกย่ะ เลยนึกถึงแก นังเดียร์” มะนาวหยอกเพื่อนรักที่กำลังทำหน้าฝันหวาน

“ชิส์ นังชะนี เดี๋ยวบิดให้เนื้อเขียวเลย ไปๆ ไปได้แล้ว ชั้นจะไปเด้อผู้ชาย”

“เด้อ ?” อาร์มถามแบบอยากรู้มาก

“อ่อ ก็ไปสร้างสัมพันธไมตรีกับชายแปลกหน้าน่ะค่ะพี่อาร์ม ไปดีกว่า ไว้เจอกันค่ะ สวัสดีค่ะ” แล้วเดียร์ ก็เดินส่ายก้นจากไป

“นังคนนี้นี่” มะนาวส่ายหัว เมื่อเห็นเพื่อนสาวในร่างชาย ยกมือมาบ๊ายบาย โดยไม่หันหลังกลับมา

“เขาน่ารักดีออก มีเขาอยู่พี่ล่ะสบายใจเวลามะนาวกลับดึก ไปเหอะ ม๊าพี่จะให้มะนาวไปช่วยเลือกของขวัญให้ป๊าหน่อย








“โป๊ไหมครับ โป๊ไหม” ชายหนุ่มยื่นซีดีที่ปกเป็นภาพปริ้นท์สีรูปสาวญี่ปุ่นเปลือยอก ให้โอเล่ดู ที่หน้าห้องน้ำ

“ไม่อ่ะพี่” โอเล่ส่ายหน้าตกใจ แม้เขาเจอประจำตอนเดินออกจากห้องน้ำที่ห้างนี้ทุกที

“ผู้ชายก็มีนะครับ ไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่นแบบไม่เซนเซอร์” หนุ่มนักขายเปลี่ยนมาโชว์ซีดีเป็นรูปผู้ชายมีกล้าม เขียนปกว่า Lukas Stories และ อีกปกเป็นชายชาวเอเชียใส่ชุดนักฟุตบอล ยื่นให้โอเล่ดู

“ไม่ดีกว่าครับ ขอบคุณครับ” โอเล่เดินเร่งฝีเท้ามา เขาไม่อยากให้โอ๊ครอนาน ในใจรู้สึกปลื้มมาก ที่โอ๊ครับปากเข้ากรุงเทพมาเป็นเพื่อนเขา แม้ว่าพ่อของเขาจะให้นายทหารเตรียมรถตู้มารับส่งแล้วก็ตาม แต่เขายืนกรานจะขอมากับโอ๊คที่เข้ากรุงเทพเหมือนกัน โดยมีกำหนดค้างคอนโดแถวย่านเพลินจิต

โอเล่รู้สึกใจหาย ที่โอ๊คจะเข้ามาฝึกงานในกรุงเทพ แถมโอ๊คบอกทุกคนว่าอาจจะอยู่ศึกษาโครงการคอนโดของเพื่อนพ่อจนกว่าจะถึงวันรับประกาศนียบัตร ปวส. แล้วก็อาจกลับมาทำงานที่กรุงเทพยาวเลย 

เมื่อคิดแบบนี้ เขาก็อยากจะให้เวลากับโอ๊คให้มากขึ้น แม้ว่าวันๆ เขาจะไม่ได้พูดคุยกับโอ๊คมากขนาดนั้น แต่ข้อความในเพจเจอร์ หรือที่ส่งผ่านมือถือ อีเมล์ โอ๊คไม่เคยละเลยจะตอบมา ไม่ว่าดึกแค่ไหน  โอ๊คเป็นคนเดียวที่โอเล่คุยด้วยได้ เขารู้สึกหวงแหนโอ๊คถ้าจะมีใครมาเอาตัวโอ๊คออกห่าง  เขายอมได้ถ้าคนนั้นเป็น ยอดดอยเพื่อนซี๊พี่โอ๊ค  หรือจะเป็นกลางชลคนแฝดน้อง แต่ไม่ใช่กับ มือกลอง ลูกเจ้าของห้าง เจ้าของโรงแรม เจ้าของอะไรต่อมิอะไรอีกมาก

โอเล่ต้องมาหยุดที่หน้ากำแพงกระจก ร้านอิเมจินคอมพิวเตอร์ ที่เขาเอาคอมพิวเตอร์มาทำ เมื่อเห็นโอ๊คกำลังเปิดดูรูปในแฟ้มบนโน๊ตบุ้ค เขายืนมองเห็นหนุ่มหล่อคนนั้นเปิดรูปสไลด์ดูไปมาอย่างสนใจ ก่อนจะรีบปิดแฟ้ม แล้วกลับมาเปิดหน้าเกมเหมือนเดิมเมื่อเหลือบมาเห็นเขายืนดูอยู่  โอเล่จึงเดินเข้าไปในร้านเพื่อสมทบ




ฟ้าครึ้มบอกเวลาอาทิตย์เริ่มจะลับตา มีผู้คนสัญจรเข้ามามากมายในอาณาเขตวัด มีศาลานวดไทยที่เพิ่งสร้างเสร็จ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยและคนชราที่ยังมีรอยเจิมด้วยอักษรสีขาว ห่างจากศาลามา มีผู้ชายผู้หญิงผลัดผ้าเป็นผ้าถุงบ้าง กางเกงขาสั้นบ้าง บางคนก็ตัวเปียกเดินออกมา บางคนก็กำลังเดินเข้าไปในฉากที่กั้นไว้ เขียนด้วยป้ายกระดานว่า บ่อน้ำร้อนวังขนาย

“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีน้ำแร่พุร้อนที่อำเภอท่าม่วงนี่เนอะ ใกล้ตลาด ริมทางหลวงอย่างนี้” ชายสูงวัยในรูปร่างกำยำคล้ายหนุ่ม ผมสีดำแซมเทา เปลื้องเสื้อนั่งอยู่ในบ่อน้ำเล็กที่เป็นหลุมสแตนเลสเรียงราย มีชายหนุ่มผิวสีเข้มหน้าตาคมสันอยู่ในบ่อข้างๆ ใกล้พอที่จะสนทนากันได้อย่างไม่ยากเย็น มีควันร้อนลอยพุ่งขึ้นจากอ่าง ซึ่งตอนนี้ ทั้ง 57 อ่าง ไม่ว่าจะเป็นบ่อแช่ทั้งตัว และบ่อแช่เฉพาะเท้า อ่างไฟเบอร์ หรือจะเป็นอ่างกระเบื้อง ถูกจับจองเต็มไปหมด

“หลวงพ่อท่านนิมิตครับ ว่ามีคนชุดขาวมาเข้าฝัน ให้ขุดบ่อหน้าวัด จะทำให้วัดเจริญขึ้นมา ผมกับน้าแจ้ยังมาดูตอนที่เขาเริ่มขุดบ่อเมื่อสามปีก่อนอยู่เลย คนแถวนี้ตื่นเต้นกันมาก”

“ขนาดนั้นเชียวเหรอ แล้วนี่ดอย มาบ่อยไหม คนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”

“ไม่กี่ครั้งครับคุณพ่อ ที่นี่เพิ่งสร้างเสร็จปีนี้เลย เมื่อปีที่แล้วเขายังทำประชาพิจารณ์กันอยู่เลยว่า บ่อน้ำไม่ควรอยู่หน้าวัด มันผิดฮวงจุ้ย ชาวบ้านก็คัดค้านบ้าง แต่พอลองเอาตัวอย่างน้ำไปให้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เช็คดู โอ้โห คุณประโยชน์เยอะ ชาวบ้านเริ่มเห็นดีด้วย”

“อืม ของบางอย่าง การพิสูจน์เท่านั้น มันจะชนะใจได้ แล้วนี่ ชวนฉันมา แต่ไม่ชวนไอ้เจ้าคนขี้งอนมาด้วย มีอะไรจะพูด”

“ผมอยากเรียนรู้ปุยผ่านคุณพ่อครับ”

“อยากรู้อะไรล่ะ”

“ก่อนอื่น ผมต้องบอกก่อนครับว่า ผมไม่คิดจะชักนำปุย ไปในทางที่ผิด  แต่บังเอิญมันเกิดขึ้นแล้ว ผมใช้เวลาครึ่งปีมานี้ทบทวน แล้วก็รอดูความสัมพันธ์ของเรา ตอนนี้ผมมั่นใจครับ ว่า..”

“ช้าก่อน พ่อหนุ่มน้อย ฟังพ่อก่อนนะ”

“ครับ”

“ปุยเคยทานยากล่อมประสาทจนเข้าขั้นเสพติดเมื่อปีที่แล้วตอนแม่เสีย”

“....”

“เธอว่า ถ้ามีอะไรมากระทบใจเขา เขาจะกลับไปสู่วงจรนั้นไหม ลองบอกฉันหน่อย บอกแบบที่ผู้เป็นพ่อได้อุ่นใจ เอาให้อุ่นกว่าน้ำในบ่อนี้นะ เฮ้ออออ มันช่างสบายเหลือเกิน ไม่แพ้บ่อน้ำแร่ธรรมชาติที่หินดาด อำเภอทองผาภูมิเลยนะเนี่ย  มีแต่คนอิจฉาจังหวัดกาญจนบุรี มันช่างมีแต่อะไรที่เต็มไปด้วยความพิเศษ”

“ยกเว้นคุณพ่อ ที่เหมือนไม่ค่อยอยากอยู่ที่นี่”

“งานของพ่อ มันต้องย้ายไปเรื่อย แต่มันก็ไม่ควรจะต้องทำให้ปุยมาลำบากไปด้วย แล้วตอนนี้เขาก็โตพอที่จะดูแลตัวเอง”

“พ่อไม่สามารถปักหลักที่นี่ได้เลยเหรอครับ”

“จริงๆมันก็ได้นะ เพราะพรมแดนที่กำลังเปิด มีเรื่องราวมากมายที่ต้องจัดการ แต่ความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของปุยอยู่ที่นี่ ฉันไม่อยากจะจมอยู่กับมันแล้ว มันเจ็บปวดเกินไป”




ที่บนคอนโดชั้นที่ 8 เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์ โลว์ไรซ์ที่หาได้ยากในบริเวณนี้ ตกแต่งไว้หรูหรา ขนาดห้องแม้ไม่ใหญ่มาก แต่มีสาธารณูปโภคพร้อม โอ๊คกับโอเล่ ที่ว่ายน้ำในสระเสร็จก็ขึ้นมาที่ห้อง แก้ห่ออาหารซึ่งซื้อจากข้างนอกมา ประกอบกับพิซซ่าจากพนักงานที่มาส่งเมื่อสักครู่ อิ่มจนทำเอาโอ๊คตาปรือเตรียมตัวอยากจะเข้านอนเต็มที่  ในขณะที่โอเล่ดูจะพูดน้อยลงตั้งแต่บ่าย แต่ยังคงดีใจและยิ้มไม่หุบเมื่อโอ๊คชวนให้นอนค้างด้วยกันที่คอนโด

“โอเล่ชอบพี่เหรอครับ” โอ๊คโพร่งออกในขณะที่อีกฝ่ายก้มหน้าไม่พูดอะไร  “พี่ไม่ได้ตั้งใจเปิดคอมพิวเตอร์ของโอเล่นะแต่พี่เห็นปกอัลบั้มเขียนว่า batman พี่ก็เลยถือวิสาสะเปิดดู ทำไม มีแต่รูปพี่ล่ะ ไปเอามาจากไหน”

“ผมขอโทษครับ”

“เฮ้ย ขอโทษทำไม พี่ไม่ได้ว่า”

“ผมกลัวพี่จะหาว่าผมไม่ปกติ ผมไม่ได้แอบถ่าย ผมก็ถ่ายธรรมดาต่อหน้าพี่นี่แหล่ะ”

“ทำไมพี่ไม่รู้”

“เพราะพี่ไม่เคยมองมาทางผมเลยสักครั้งครับ พี่โอ๊ค”






บนรถเมอร์ซิเดสสีดำ ระหว่างทางกลับจากอำเภอท่าม่วงมายังอำเภอเมืองกาญจน์ ซึ่งกินระยะเวลาแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น ธรรมเสถียรเอื้อมมือไปปรับลดวอลลุ่มแอร์  เนื่องจากคนที่นั่งข้างๆ กำลังกอดอกด้วยความหนาวเย็น

“ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิว่า อนาคตอยากทำอะไร”

“คงกลับไปเป็นผู้ใหญ่บ้านครับ พ่ออยากให้เป็นผู้ใหญ่บ้านต่อจากพ่อ”

“หมายถึงว่า ดอยน่ะ อยากเป็นอะไร”

“ผมอยากเปิดร้านแต่งรถมอเตอร์ไซค์ครับ”

“มันทำเงินเหรอ”

“จากที่ทำอยู่ มันก็ดีไม่น้อยครับ แต่ตอนนี้ผมไม่มีทุนขนาดนั้น แฮ่ะๆๆ”

“แล้วถ้าอีกหน่อยพวกโชว์รูมเขาเอาของมาขายเองล่ะ เขาจะถูกกว่าเราไหม กิจการเราจะอยู่รอดเหรอ”

“เขาก็จะขายไม่ออกแบบที่โชว์รูมในญี่ปุ่นครับ ผมตามข่าวอยู่ ค่าจัดการเขาสู้ร้านเล็กไม่ได้ครับ”

“ของเราจะดียังไง เล่าให้พ่อฟังหน่อยสิ”

“สไตล์ รสนิยม และสเปคที่เหมาะสม ผมดูเองครับ แต่ก็ไม่ทิ้งการเรียนรู้เทรนด์ใหม่ ถ้าสักวันมันจะเริ่มเบา หรือไม่ดี ป่านนั้น เราคงมีช่องทางอะไรอีกมากให้เล่น ให้ได้ทำเงิน มอเตอร์ไซค์ไม่เคยตายจากใจวัยรุ่นครับ”

“แล้วมันทำให้ดอยมีความสุขไหม”

“อาจทำให้ผมมี แต่อาจไม่ทำให้พ่อกับแม่มีเท่าไหร่ครับ ยังไม่เคยได้คุยกันเรื่องนี้ จริงๆ ผมยังไม่เคยบอกใครเลย”

“ขอบใจนะ ที่เล่าให้พ่อฟังเป็นคนแรก ขอบใจ”






บนเตียงขนาดใหญ่ ผ้าปูเตียงสีน้ำเงินเข้ม มีโลโก้ค้างคาวจากขบวนการซุปเปอร์ฮีโร่บนผ้าห่มนวมคลุมร่างของชายสองคนซึ่งนอนหันหลังเข้าหากัน บนหัวเตียงมีรูป เจมส์ ดีน และ โรเบิร์ต เดอ นีโร สีขาวดำตกแต่งไว้ 

“มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ โอเล่” โอ๊คที่เงียบไปตั้งแต่โอเล่สารภาพรัก เป็นคนเอ่ยปากถามก่อน แต่เขายังคงหันหลังให้อยู่

“ตั้งแต่ที่พี่ช่วยผมจากแก๊งเด็กช่างขูดรีดเงิน พี่อยู่ในใจผมตั้งแต่วันนั้น” เสียงแผ่วเบาตอบจากอีกฝั่ง

“บางทีอาจแค่มองพี่เป็นฮีโร่ อะไรแบบนี้หรือเปล่า ทึ่งในความเท่ประมาณนั้น”

“ผมก็เคยถามตัวเองแบบนั้น จนกระทั่งผมรู้ตัวอีกที ผมก็มานั่งที่ร้านคอมทุกวัน นั่งมองพี่จากแถวที่สาม แม้คนจากแถวสองที่หันหน้าชนกันไม่เคยจะมองมา” โอเล่ที่บัดนี้หันตัวกลับมา ลุกขึ้นนั่ง มองไปที่แผ่นหลังของโอ๊คในชุดนอนสีฟ้าอ่อน

“พี่คงกำลังวุ่นวายกับหัวใจตัวเองครับ พี่ขอโทษนะ”

“ผมไม่เคยว่าพี่ เรื่องที่พี่เจอมันก็หนักอยู่แล้ว อกหักถึงสองครั้ง มันคงทำให้พี่ไม่มีเวลามองใคร”

“นี่รู้ลึก รู้จริงเลยนะเนี่ย” โอ๊คที่หัวเราะในลำคอ ลุกขึ้นนั่งบ้าง หันลำตัวเข้าหาโอเล่

“ผมรู้แม้กระทั่งว่า พี่เลือกที่จะมาอยู่กรุงเทพเพราะอะไร พี่เหงาแค่ไหนเวลาที่คนรอบข้างมีความสุข ก็อย่างที่บอก ผมมองพี่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มองอยู่อย่างนั้นตลอดมา”

“เฮ้ย พี่ขอโทษ พี่ไม่เคยรู้มาก่อน พี่คงอยู่กับตัวเองมากไป เลยไม่ได้สนใจคนอื่น”

“แต่พี่ก็กลับรับรู้ความรู้สึกของนายมือกลอง”

“.......”

“นั่นแหล่ะที่ผมจะทนไม่ได้”






รีสอร์ตขนาดใหญ่ที่หนังสือแนะนำการท่องเที่ยวต่างชาติให้คะแนนถึง 4 ดาว ติดแม่น้ำแควใหญ่อันเงียบสงบ
ห้อง M20 ที่รองรับแขกวีไอพีมานับต่อนับ ไม่ว่าจะเป็นคนดังหรือคนในตระกูลระดับสูงจากยุโรป เอาเป็นว่า ใครก็ตามที่มาเยือนกาญจนบุรีแล้วหาโรงแรมที่คู่ควรไม่ได้  M20 คือทางเลือกแรกเสมอ 

ธรรมเสถียร นอนเอนตัวลงบนเตียง เขาเปลือยเปล่ามีเพียงกางเกงชั้นในสีขาว กับถุงเท้าขาวที่สวมไว้มาครึ่งหน้าแข้ง รูปร่างของชายวัยกลางคนยังดูกระชับแน่นไม่แตกต่างจากคนวัยหนุ่ม  กระเป๋าเดินทางที่ไม่มีรอยรื้อวางไว้ที่ข้างทีวีสี มีชุดสูทแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าที่เปิดฝาตู้ค้างไว้  เสียงแอร์เงียบแต่เย็นเฉียบลอยมา 

เขาเปิดกระเป๋าสตางค์ หยิบรูปออกมาดูอยู่อย่างนั้นได้พักใหญ่แล้ว  รูปของหญิงสาวผิวขาวจัด ผมหน้าม้าดวงตากลมโตสวย กับเด็กชายผิวขาวตัวผอมที่กำลังยืนอิงกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รูปเริ่มเหลืองเก่าจากร่องรอยการหยิบเข้าออก  เขาเอามืออีกข้างที่ว่างลูบไล้ผิวรูปอย่างแผ่วเบา จากใบหน้าสาวผมหน้าม้าผู้เป็นภรรยาซึ่งได้ลาโลกนี้ไปแล้ว เขาไล้นิ้วมาเกลี่ยใบหน้าของเด็กในรูปอย่างเอ็นดู ลูกชายที่กำลังปั้นปึงใส่เขา   เขาดับไฟที่หัวเตียง แล้วคล้อยหลับไป..
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 18: ทิ้งความเคยผูกพัน.. มันทำร้ายกันรู้ไหม.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 07-03-2018 01:37:37
พี่ดอยขี้แยชะมัด ก๊ากก
ว่าแต่ พี่โอ๊คจะเลือกใคร  :z2:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 19: ล้างใจ Feat.อาร์ม ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 08-03-2018 01:09:02

Track 19 : เห็นเธอซึมบ่อยๆ ฉันก็เลยกร่อยๆ จะปล่อยเธอไว้ได้ยังไง...

[ อาร์ม ]

วันนี้ นายกลางชล คนเก่งจะได้มาเป็นพระเอกกันบ้างนะครับ
แหม ให้ผมเป็นพระรองอยู่นาน ขอสักตอนนะเถิดท่านผู้อ่าน
เห็นผมเฮฮา ร่าเริง แต่ผมนี่ตัวทำชีวิตชาวบ้านชิปหายวายป่วง ยิ่งกว่าเจ้าชายปารีสแห่งกรุงทรอยซะอีกครับ
ตัวผมน่ะ ก็ไม่เคยคิดจะหาเรื่องใคร แต่ทำไมใครก็ชอบหาเรื่องผมจัง 


ชีวิตที่มีกันสามคนพี่น้อง ก็สนุกดี โอ๊คที่ผมไม่เคยเรียกมันต่อหน้าว่าพี่ กับ อุ๋มอิ๋ม ที่ติดผมแจ ก็ไอ้โอ๊คหน้าแม่งโครตดุ
บทอารมณ์มันจะติสต์แตก ก็ไม่คุยไม่พูด อุ๋มอิ๋มจึงขลุกอยู่แต่กับผม แล้วจนวันที่มีไอ้ดอยเพื่อนรักของผมเข้ามา กับ น้องมะนาวคนสวยข้างบ้านที่แวะเวียนมาสม่ำเสมอ พวกเราก็เหมือนจะเป็นทีมที่สมบูรณ์ เป็น 5 ยอดมนุษย์ไฟฟ้า เป็นขบวนการเรนเจอร์  แต่ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน

ผมเสียใจแทบคลั่งในวันที่อิ๋มจากไป ผมแค้นและอยากจะฆ่ามันให้ตายทุกคน ผมคว้าปืนของลุงยามไปตะเวณหมายเก็บมันทีละคน แต่ผมก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น ถ้าไอ้ดอยกับโอ๊คไม่ช่วยผมออกมาจากวงล้อมฝ่าตีน ผมก็อาจจะตายไปแล้ว และจากวันนั้น ไอ้ดอยก็ต้องมาซวยเพราะผมไปด้วย ออกรับแทน จนมันต้องกลายเป็นคนผิดในข้อหาทำร้ายร่างกายและพกอาวุธปืน  โชคดี ที่พ่อผมเคลียร์ได้ 

พอมันออกจากสถานพินิจ ผมก็ปฏิญาณว่า ผมจะต้องดูแลมันจนวันตาย เพื่อนตายมันหาไม่ได้ง่าย โอ๊คยังบอกว่า ถ้าดอยชอบผู้หญิงคนเดียวกับพวกเรา ก็ต้องยกให้มัน ลูกผู้ชายมีบุญคุณที่ติดค้างรอวันทดแทนซึ่งผู้หญิง อาจจะไม่เข้าใจ

ดอยแม่งหล่อ คม ตามันสีอ่อน หน้ามันกวนส้นตีนแต่หล่อโครต  ก็คุณตามันเป็นกะเหรี่ยงหล่อเหลา แต่ไม่เตี้ยล่ำเหมือนคนอื่นในชนเผ่า ตัวใหญ่เบ้อเร่อ   มันคงได้ตามันมาเยอะอยู่ คล้ำแต่มาดแมนแฮนซั่ม ไอ้ดอยมันเป็นคนดีโครต แบบที่ผมกับโอ๊คต้องซูฮก คิดดูว่า วินาทีที่ผมกับแฝดพี่เดินเข้าโรงเรียนไหน คนก็มารุมเอาใจเพราะบ้านเรารวย ไอ้ดอยมันยังคงกวนตีนใส่ในแบบที่ทุกคนไม่กล้าทำ มันแสดงน้ำใจด้วยการกระทำไม่ใช่คำพูด มันเป็นคนจริงและก็ไม่เก็บเรื่องเล็กเรื่องน้อยมาใส่หัว กล้าได้กล้าเสีย แต่ก็กลัวคุณตาของมันขี้หดตดหายเหมือนกัน 

พอรู้ว่าไอ้ดอยไม่ได้สนใจมะนาวเท่ากับปุย ผมล่ะดีใจโครต ใส่เกียร์เดินหน้าเต็มพิกัด  มันมีพรสวรรค์ในการแต่งรถ คนโง่ภาษาอย่างมันยังสามารถติดต่อสั่งของ  ไปธนาคารโอนตังกับเมืองนอกเมืองนา สรรหาอุปกรณ์ประดับยนต์มาแต่งมอเตอร์ไซค์ขายได้ ผมไว้ใจมันคนเดียว จึงเอาโรบิน คาวาซากิเขียวในตำนานให้มันดูแล

มะนาวก็อีกคน โตมาด้วยกันแต่ไม่เคยเห็นผมในสายตา ในวันที่ทุกคนเสียใจเรื่องอุ๋มอิ๋ม ผมเสียใจเป็นสองเท่าเพราะไอ้พวกกากเดนเหล่านั้นมันทำกับมะนาวด้วย ผมอยากจะตัดหำมันทิ้งให้หมดทุกคนแล้วไปเสียบประจานที่หน้าจวนผู้ว่า  แต่มะนาวเข้มแข็งมาก ถ้าน้องสาวผมเข้มแข็งได้เท่าเธอ ครอบครัวเราคงไม่หม่นหมองแบบนี้ 

มะนาวซ่อนความกลัวในใจไว้ได้ดี แม้ผมแอบเห็นเธอตัวสั่นในคืนวันแดงเดือด  ในตอนเจอไอ้ขี้เมาอย่าง มดดำ หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการ  น้องมะนาวเก็บอาการได้ดีมาก ไม่เกรี้ยวกราดแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งเพราะไอ้มดดำมันก็แค่คนที่ยืนดูไม่ได้ร่วมทำร้ายด้วย แถมยังให้ความร่วมมือกับตำรวจในการบอกข้อมูลในช่วงทำแผน จนตามล่าได้ครบทุกคน แถมสังคมก็ลงโทษมันสาสมประมาณนึงแล้ว   

มะนาวคือผู้หญิงในฝันของผม หลังจากเธอรู้ว่า โอ๊คไม่มีใจให้ เธอก็ไม่ได้คิดคบหาใคร กับไอ้ดอยก็ไม่ชัดเจน จนปุยผ่านเข้ามา ผมล่ะโครตดีใจเลยที่มีปุย มึงอย่าเพิ่งออกจากกลุ่มไปไหนนะปุย กูขอ  ไอ้ดอยที่แมนเต็มตัวหันมาคั่วไอ้หนุ่มตัวขาวติดกันเป็นตังเม ทางไปสู่หัวใจของมะนาวของผมก็โปร่งโล่งเหมือนห้างพาต้าชั้นสวนสัตว์


มะนาวมีแต่คนจีบ ก็สวยขาวอึ๋มซะขนาดนี้ แถมยังใส่สั้นจู๋จนหูผมแข็ง แต่เพื่อนผู้หญิงรอบข้างมักอิจฉา คอยขุดเรื่องอดีตของเธอไปพูดนั่นนี่ จนผู้ชายหลายคนไม่กล้ามายุ่ง มะนาวคงรู้ดีครับ ผมไม่เคยเห็นเธอรุกหาใคร เธอเจียมตัวกับชะตาชีวิตของเธอ  พอมี น้องเดียร์ตุ๊ดน้อยหอยสังข์มาเป็นเพื่อน ผมล่ะโครตรักมันเลย มันดูแลมะนาวแทนในช่วงที่ผมไม่อยู่ได้ดีมาก ผมจะเลี้ยงดูมันเสมือนเมียน้อยคนนึงเลย จัดเพื่อนเจ้าบ่าวให้ด้วยเอาสิ



โอ๊ค พี่ชายที่แสนดี เอาจริงนะผมอยู่ใต้เงามันมาตลอด เราเป็นฝาแฝดที่หน้าเหมือนอย่างกับแกะ แต่พี่แกเสน่ห์แพรวพราว สาวกรี้ดกว่าผม คนว่าผมดูเด็ก ก็เลยจะถูกชมไปทางน่ารักซะมากกว่า  นมของม๊าเต้าขวา คงแย่งสารอาหารเต้าซ้ายไป ผมถึงได้หัวทื่อพอกับไอ้ดอย เรียนอะไรก็ตกมั่ง ขอลอกโอ๊คมั่ง ทั้งห้องนี่ผมชนะไอ้ดอยคนเดียว

พอเรียนสายสามัญไม่ไหว จะไปสายช่าง ป๊าก็เป็นห่วง แต่ผมก็ไม่อยากฝืนตัวเองแถมชอบงานสายช่างมากกว่า ที่จะไปทนเรียนอะไรซึ่งไม่ชอบ โอ๊คก็มาเรียนตามเพราะรู้ว่าถ้ามีเขา ป๊าก็จะไม่ห่วงผม ทั้งที่มันได้ทุนเรียนดี เรียนต่ออะไรอีกมาก แต่ความเป็นพี่ชายของมันชัดเจน จนบางทีผมก็เคยตัว รู้ว่ามีมันอยู่ข้างหลังตลอด ผมก็ง่าย ๆ สบาย ๆ ไปเรื่อยเปื่อย 

ขนาดพ่อแม่จะให้ผมเริ่มออกมาช่วยงาน  พี่ชายฝาแฝดของผมก็แย่งไปทำเองแล้วให้ผมโฟกัสกับการเรียน โอ๊คมันทำทุกอย่างเหนื่อยเป็นสองเท่าเพื่อให้ผมได้เที่ยวเตร่เตะฟุตบอล แล้วเงินเดือนที่ป๊าให้ มันก็มาแบ่งผมอีก พี่ผมประเสริฐไหมครับ

ถามว่าผมอิจฉาพี่ชายผมไหม แม้เขาจะเป็นส่วนหนึ่งของผม ก็ต้องพูดแบบใจจริงว่า ไม่มีใครอยากอยู่ใต้เงา แบทแมน ไปตลอดหรอกครับ  โรบิน มันไม่เท่ มันไม่ใช่พระเอก สาวคงไม่กรี้ดโรบินกัน เขาหันไปมองแต่แบทแมน  แต่คุณงามความดีของพี่ชายผม มันทำให้ผมอิจฉาไม่ได้นาน เอาเข้าจริง โอ๊คเหมือนเทวดาประจำตัวผมด้วยซ้ำ   แล้วตอนนี้ ผมก็จะต้องทำบางสิ่งบางอย่างให้พี่มั่ง     

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมเหนือกว่าโอ๊ค คือผมเผชิญกับปัญหาซึ่งหน้าได้ ไม่แอบทนทุกข์ ไม่หนี ไม่หลีกเลี่ยงแบบที่โอ๊คทำมาทั้งชีวิต นายอาร์มคนนี้ เป็นคนคิดแบบเหตุและผล ไม่ใช้ใจในการนำพามากนัก ผมชอบวิทยาศาสตร์แม้จะเกือบติดเอฟวิชานี้



โลกจะแตกแล้ว จะทำอะไรก็รีบทำกันเหอะครับ ผมล่ะโคตรกลัวชะมัด ก็ยังไม่ทันได้ถลุงสมบัติป๊ากับม๊าเลย  ครั้งเมื่อตั้งแต่เสียอุ๋มอิ๋มไป ป๊าล่ะลุยลงทุนแบบไม่กลัวเสี่ยงเจ๊ง แต่ดันรุ่งเรืองไปซะทุกอย่าง เหมือนสวรรค์ปลอบหัวใจช้ำของม๊ากับป๊าด้วยความสำเร็จทางการเงิน 

พอผมฟังไอ้เด็กโอเล่ เล่าให้โอ๊คฟังเรื่อง หนอนเมลิสซ่า ที่แพร่ระบาดในอีเมล์ตั้งแต่ต้นปี ผมมีทฤษฎีว่า โลกจะพินาศก็เพราะคนประสงค์ร้ายแน่นอน ไม่ใช่เพราะสิ่งมหัศจรรย์อะไรพิลึกพิลั่นหรอก คิดดูสิครับทุกท่าน แผ่นดินไหวที่ตุรกี ตายกันไปเท่าไหร่ มหาอำนาจมันต้องลองอาวุธกันใต้แผ่นพิภพเป็นแน่ ผมเชื่อแบบนั้น มันหย่อนความขัดแข้งไปในความเชื่อ ศาสนา แล้วย่ำยีให้คนโกรธแค้นกัน แข่งกันไปนอกโลก ไหนจะความลับในนาซ่า

ผมอ่านหนังสือแต่ละเล่มแล้วผมจะบ้าตาย โอเล่มันยังบอกอีกว่า มีการสอดแนมผ่านโปรแกรม MSN ที่กำลังฮิต แล้วไอ้เลขฐาน 2 ฐาน 4 อะไรนี่อีก คอมพิวเตอร์ทั่วโลกจะพินาศ เครื่องบินจะตก ดาวเทียมจะพัง คนจะแฮ็กข้อมูลมาโจรกรรม ผมว่า ใครมีอะไรต้องสะสาง รีบทำกันนะครับ นี่ลือกันให้ทั่วในอีเมล์ ว่าปลายปีนี้จะก่อวินาศกรรมกันแถวทะเลดำ แล้วจะสร้างระเบิดลูกใหญ่มาถล่มทะเล เฮ้ย หัวใจมึงทำด้วยอะไรกันวะ

คนรอบข้างผมดูหวาดหวั่นกันไปหมด โดยเฉพาะน้าแจ้กับเจ๊นกน้อยนี่ แอบไปขวัญผวากันตอนดึกอยู่หลายหน มีแค่ไอ้โอ๊คที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องวันพิพากษานี่เท่าไหร่ ความจริงคนเราถ้าสนใจเรื่องตัวเองและคนรอบข้างให้มากขึ้นกว่าเรื่องการเมือง ที่นับวัน ผมเริ่มรู้สึกว่า มันไกลตัวมนุษย์ปุถุชนเข้าไปทุกที 

เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมสรุปให้อย่างง่ายเลยนะครับ กับคนรอบข้างตัวของผมทั้งหมด ว่าทุกอย่างจะจบลงเป็น เรื่องเศร้า หรือแฮ็ปปี้เอนดิ้ง


ไอ้ดอย เพื่อนเกลอ  มึงต้องพาเมียมึงไปหาคุณตาที่ดุอย่างกับเสือให้ได้ ผ่านพ่อมึง ผ่านแม่มึง แล้วก็ด่านตามึงเป็นปราการหินสุด ถ้าทุกอย่างลงตัว ชีวิตมึงจะสวยหรู  ป๊าม๊ากูปลื้มมึงมากกับสิ่งที่มึงทำให้พวกกูสองพี่น้อง มึงอยากจะเปิดร้านขายห่าเหว อะไร รับรองเขาดันมึงสุดตัว กูก็จะเอาสมบัติกูนี่แหล่ะช่วยเหลือมึงจนวันตาย  แต่ปัญหาเรื่องหัวใจ มึงต้องพึ่งตัวเองนะเพื่อนรัก  กูจะอยู่ข้างมึงเสมอ เหมือนสเปรย์รอยัล เคียงข้างโซดา  แต่กูชมมึงเลย กล้าพาว่าที่พ่อตาไปแช่น้ำแร่คุยปัญหาชีวิต มุกนี้กูยืมไปใช้ได้ไหมวะ เจ๋งโครต


โอ๊คพี่สุดที่รัก มึงก็อีกตัว ขอหยาบคายหน่อยเหอะ น้องตกใจเหมือนกันที่ทำไมอยู่ดีๆ พี่ก็เปลี่ยนแนว เลิกฟันสาว มีแต่ผู้ชายรุมล้อม เอาเป็นว่า พี่เป็นอะไรผมก็รัก ไปใช้ชีวิตซะ ไปเรียนต่อหรือจะไปเที่ยวรอบโลกมึงก็ไปเหอะ กูจะหาเงินเลี้ยงมึงเองนะคุณพี่บังเกิดเกล้า ทำเพื่อคนอื่นมามาก ไปทำอะไรให้ตัวเองบ้าง เดี๋ยวบุญมันจะท่วมตัวไม่ทันได้ใช้  แต่ตอนนี้ น้องมีเทใจเชียร์ให้ไอ้มือกลองว่ะ รวยชนรวย กิจการเราจะรุ่ง แถมพ่อแม่เขาก็ปลื้มมึง ป๊าม๊ามึงก็ปลื้มเขา  แต่ไอ้เด็กโอเล่นี่ก็น่าสน เด็กอะไรวะ โครตเก่ง เก่งเหมือนมึงเลยนั่นแหล่ะไอ้โอ๊ค เลือกให้ดี น้องคนนี้เอาใจช่วย  อย่าช้าเหมือนตอนจีบปุย ดูไอ้ดอยคาบไปแดก เจ็บไหมล่ะหัวใจ


มะนาวคนสวยของพี่ มีปัญหานึงที่แก้ไม่ตก และถ้าสักวันหนึ่ง มะนาวรู้เข้า มะนาวจะยังยอมให้พี่เดินหน้าจีบไหม เราสองคนเข้ากันได้ดี มีแต่คนอิจฉา แม้ว่าน้องไม่ได้รักพี่เลยแต่เริ่มต้น แต่ตอนนี้พี่รู้ได้ว่าน้องเริ่มมีใจ ใต้ต้นจามจุรียักษ์น้องอธิฐานอะไรทำไมหันมามองที่พี่  หรือตอนไปน้ำตกเอราวัณน้องก็ไม่ร้องตามไปหาไอ้ดอย หาไอ้โอ๊คแบบทุกที เลือกที่จะอยู่กับพี่อาร์มคนนี้ไม่แสดงท่าทีเบื่อ  ไหนจะลองจับมือในโรงหนังน้องก็ไม่บ่น พี่แอบเห็นนะ ว่าในไดอารี่มีเขียนชื่อพี่อยู่เต็มไปหมด  หนูเดียร์เพื่อนสาวที่พี่ส่งส่วยให้ช่วยเชียร์ก็แอบส่งข่าวว่าน้องพูดแต่ถึงพี่ เอาล่ะงานนี้พี่ต้องเร่งความเร็ว เดินหน้าท้าชน ขออย่างเดียว แม่ห้อง 2D อย่าเพิ่งเผยตัวออกมา มิเช่นนั้นพี่อาจจะแห้ว 


มะนาว.. พี่ไม่เคยรังเกียจอดีตของมะนาวเลย อะไรที่ผ่านไปแล้ว ก็ผ่านไปเถิดนะ อย่าเกิดมาคิดและจมกับมัน ลบความทรงจำที่เลวร้ายไปให้หมด แล้วมาเริ่มต้นใหม่กับพี่ เราจะก้าวข้ามผ่านมันไปไม่ได้ถ้ายังเอามันมาย้ำตัวเอง  ดอกไม้สีสวย มันเฉาได้ แต่ความงามยังตราใจผู้คนที่เห็น กลิ่นของมันยังติดอยู่ เหมือนความงามของมะนาว ความผุดผ่องบริสุทธิ์ของเด็กสาวที่พี่คุ้นเคยมาทั้งชีวิต ไม่มีเดรัจฉานตนใดจะพรากความทรงจำแสนหวานของพี่ได้ มะนาวนั่นแหล่ะ ต้องเป็นฝ่ายล้างใจโทรมช้ำ แล้วมาเริ่มกันใหม่นะ.. พี่จะรอ


หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 19: ล้างใจ Feat.อาร์ม ]
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 08-03-2018 12:54:30
พี่อาร์ม คนจริง 1999
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 19: ล้างใจ Feat.อาร์ม ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 08-03-2018 23:14:21
คนแบบอาร์มหายากนะ คนอื่นอาจมองว่าเป็นตัวประกอบ แต่เอาเข้าจริง ทำให้ทุกสิ่งลงตัว ก็ด้วยความตั้งใจ
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 20: ใจที่ฉันให้เธอ.. เธอก็แค่รับไป.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 09-03-2018 16:43:40

Track 20 : ใจที่ฉันให้เธอ เธอก็แค่รับไป เธอไม่ต้องมอบสิ่งไหน กลับคืนมาให้ฉัน..

“ปุย แม่ตุ๋นต้มมะระเห็ดหอมของโปรดลูกไว้เต็มหม้อเลย  รีบลงมากินสิลูก”

“ครับแม่ เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จผมจะรีบลงไปครับ”

สองแม่ลูกซึ่งสนทนากันอย่างสนุกสนานในความทรงจำสีขาวดำที่ค่อยเลือนไป นั่นเป็นมื้อสุดท้ายของหนุ่มน้อยคนหนึ่งจะรำลึกถึง โต๊ะทานข้าวไม้สีน้ำตาล กับวันคืนที่ไม่มีแม่อีกเลย   ภาพเหล่านี้คอยหวนกลับมาหาปุยเมฆยามฝัน เขาไม่ได้สะดุ้งตื่นแบบในละครหลังข่าวยามในภวังค์อันหดหู่วนเวียนเข้ามา  แต่มันก็ทำเอาเขาน้ำตาซึมอยู่ไม่น้อย  ปุยคว้ากระปุกสีขาวตรงหัวนอน เทยาออกมาหนึ่งเม็ด แล้วกลืนกินลงไป พยายามที่จะข่มตานอน เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เขาก็หลับไป





“ทำไมต้องไปซื้อคอนโดเตี้ยๆแพงล่ะ โอ๊คกลัวความสูงเหรอ” ชายหนุ่มหน้าตาดีผิวพรรณสะอาด ใส่เสื้อโปโลสีขาว นั่งทานไอศกรีมร้าน ติ๊กไอศกรีม ที่แต่งเป็นร้านกระจกใสติดสติ๊กเกอร์สีสัน และเพ้นท์รูปการ์ตูนเต็มไปหมด

“เปล่า ป๊าไปซื้อไว้เพราะว่าจะให้ไปเรียนรู้ระบบการจัดการ ส่วนกลาง แปลนจอดรถ หลายๆอย่างน่ะ” หนุ่มหน้าหล่อคมถามอีกคนที่กำลังตัดแพนเค้กแผ่นอวบฟู ราดด้วยน้ำผึ้ง และมีกล้วยที่ฝานเป็นแผ่นบางโปะอยู่เต็มหน้า 

“แล้วทำไมไม่ซื้ออันสูงๆล่ะ ปลูกแล้วสวยดีจะตาย เรายังอยากให้โรงแรมพ่อเราทำสูงๆเลย”

“ไม่ได้ เมืองกาญจน์เรามีผังเมือง ห้ามสูงเกินกำหนด เพราะเราเป็นเขตเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวนะกลอง ต้องเป็นโลว์ไรส์”

“เหรอ เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย พอพ่อให้ไปบริหารโรงแรม ก็ได้แต่ทำงาน ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย”

“คอนโดสไตล์ โลว์ไรส์ปลูกยาก ถ้าตกแต่งได้ไม่ดีจะเหมือนกับอพารท์เม้นท์หรือพวกแฟลตไปเลย ที่จอดรถมักจะไม่ได้อยู่ใต้อาคารด้วย ผังมันวางยากกว่า ป๊าก็จะดูว่า ที่ดินแปลงไหนในมือบ้านเราพอจะทำได้ ถ้าไม่ได้ก็จับแปลงใหม่”

“แล้วนี่ที่ต้องไปอยู่นานๆ คือ ไปปลูกที่กรุงเทพก่อนเหรอ” มือกลองใช้ช้อนยาวกวาดไอศกรีมที่ก้นแก้วจนเกลี้ยงเข้าปาก

“เปล่าๆ ไม่ใช่ พอดีเพื่อนป๊าเขากำลังปลูกที่ศาลาแดง ป๊าบ่นอยากเรียนรู้งาน โอ๊คเลยขั้นอาสาไปเอง อยู่นี่ก็ไม่มีอะไรทำ”

“ไม่ได้หนีอะไรเนอะ”

“ทำเป็นรู้ดี”

“โอ๊ค”

“หึมมม”

“โอ๊ค รู้เปล่าว่า ตอนเด็กเวลาเราต้องตามพ่อไปประชุมสโมสรโรตารี่ แล้วถ้าบ้านโอ๊คไม่ไปอ่ะ เราก็ไม่รู้จะคุยกับใคร”

“เหมือนกันเลย เวลาเราต้องตามป๊าไป เราก็ไม่รู้จะคุยกับใครเหมือนกัน ต้องมองหามือกลองก่อนเลย”

“ไม่เหมือนอาร์มเนอะ คุยกับผู้ใหญ่คล่องเชียว”

“มันกะล่อน อันนี้ต้องยอมมัน ใครก็พากันพูด ว่าแฝดน้องน่ารัก เป็นเด็กดี”

“แล้วแฝดพี่ล่ะ”

“เขานินทากับว่ายังไงล่ะ เล่ามาสิ ยิ่งพวกลูกท่านหลานเธอที่นั่งเชิดกันโต๊ะเดียวกับกลองน่ะ”

“แฝดพี่ชอบไปยืนทำเก๊กหล่อหลบอยู่หลังถาดบุฟเฟต์”

“ไม่ได้เก๊ก มันหล่อเองเว้ย”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“หรือจะเถียง”

“ไม่เถียงหรอก.. ไม่มีใครคิดจะเถียงกับใครเรื่องความหล่อของแฝดพี่เลย”






ช่วงบ่ายแก่ ๆ ของอากาศที่เริ่มเย็น มีรถไก่ย่างเข็นผ่านหน้าร้านอาหารเจ๊นกน้อย ซึ่งเจ้าของร้านวิ่งออกไปเรียกรถเข็นให้หยุดพร้อมซื้อหาของทานเล่นมาเติมที่โต๊ะสังสรรค์  มีแจ้ที่กำลังเริ่มซัดเบียร์แก้วโต  กับโอเล่ในแว่นหนา ที่ตักกับข้าวฝีมือนกน้อยทานด้วยความอร่อยอย่างออกหน้าออกตา

“เจ้านี่ตูดไก่อร่อยมากเลยน้องโอเล่ เจ๊คอนเฟิร์ม อ่ะแบ่งให้สองไม้พอ เดี๋ยวจะติดใจลืมเนื้อไปเลย”

“ผมไม่เคยทานเลยครับ มันแหยะๆ” หนุ่มน้อยตัวบาง ขยับแว่นหนาพิจารณาไม้เสียบไก่ที่ถืออยู่ในมือ

“คุณโอเล่ ลองแล้วจะติดใจ น้าแจ้คนนี้ท้าเลย ตูดไก่นี่มันทั้งมัน ทั้งนุ่มลิ้น ถึงกินมากจะอ้วนก็เหอะ ลองดูสิครับ”

โอเล่ที่ทนเสียงทันทานไม่ไหว ลองส่งตูดไก่ชิ้นแรกในชีวิตเข้าปาก เขาหลับตาปี๋เคี้ยวอยู่พัก ก็ต้องลืมตาโตก่อนจะดึงขนไก่ ออกจากปากพร้อมกระดูกแกนชิ้นเล็ก

“เจ๊ว่าแล้ว ติดใจตูดเข้าอีกรายแล้วสินะ คริ คริ”








ในห้องนอนของชั้น 3 ห้อง A มีชายหนุ่มสองคนนอนอยู่บนเตียง ปุยเมฆนอนหงายหน้านุนหมอน มียอดดอยนอนตะแคงเอามือท้าวหนุนศีรษะอยู่ข้างๆ มืออีกข้างของดอยไต่อยู่บนเนินอกที่ขาวเนียนของปุย

“คนญี่ปุ่นเขาต้องนมโตๆ ไม่ใช่เหรอ”

“ไอ้คนบ้า หื่นชะมัด” ปุยรีบเอามือทั้งสองข้างกุมที่หน้าอก ป้องกันการโดนนิ้วไต่ไปมาจนเขาจั๊กจี้

“อ้าว เห็นแต่ละคน นมนี่อย่างตู้ม”

“คนกะเหรี่ยงเขาก็ไม่ใส่กางเกงในกันไม่ใช่เหรอ นี่แหน่ะ” ปุยทำทีใช้มือไปคว้ายอดน้อยแบบทีเล่นทีจริง แต่ปลายนิ้วดันไปสัมผัสกับบางอย่างเข้าโดยไม่ตั้งใจ จนปุยเงียบและหน้าแดงไป

“ไง.. เจอกะเหรี่ยงน้อยเข้าให้ สาวยุ่นเป็นใบ้ไปเลยเหรอ”

“ไอ้บ้า ไอ้คนทะลึ่ง กะเหรี่ยงผีทะเล” ปุยรีบหันพลิกตัวหนีหน้า ไปอีกทาง ทำเอายอดดอยหัวเราะ และเอื้อมแขนมาโอบกอดจากด้านหลังของปุยเมฆ  เขาหอมลงตรงต้นคอที่ขาวเนียน ใต้ไรผมที่เพิ่งไถตัด ยอดดอยเอาคางที่มีตอเคราซึ่งเพิ่งจะโกนเมื่อสองวันก่อน ถูตรงหลังคอนั้นอย่างแผ่วเบา วนไปมา จนปุยขนลุก

“หันหลังให้นี่คือยอมแล้วใช่ไหม”

“ทำไมในหัวมีแต่เรื่องพวกนี้ล่ะ”

“ไม่รู้สิ ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย นะครับ นะ.. นะ..”

“ไม่”

“นะ.. นะ..”  ดอยยังคงเอาปลายคางของเขา ควงถูจากท้ายทอยแล้วมาสู่ซอกคอของปุย เขายกคางขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นก้มลงมาจูบที่ซอกคอ เขาฝังจมูกลงไปสูดกลิ่มหอมจากหนุ่มน้อยในอ้อมกอด  ก่อนที่ปุยจะพลิกตัวมาเผชิญหน้า ลมหายใจที่รดใส่กันมันอุ่นร้อนจนแทบดึงสติของทั้งคู่ไม่อยู่

“ไว้ขอให้พร้อมกว่านี้นะครับ..”

“อย่านานนะ สงสารกะเหรี่ยงน้อย” ดอยเอื้อมไปหอมที่หน้าผากของปุย แล้วกอดปุยไว้อย่างนั้น จนปุยหลับไปทั้งรอยยิ้ม





โต๊ะอีกตัวถูกยกมาวางต่อกัน เมื่อมีผู้มาเยือนเพิ่ม นกน้อยหยิบจานและช้อนส้อมให้กับ อาร์มและมะนาว ที่เพิ่งเดินทางมาถึง เห็นกับข้าวมาวางเพิ่ม มะนาวก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นกับความน่ากินของมัน

“ตั้งแต่มีหนูมะนาวกับหนูปุยเนี่ย พวกเราได้นั่งนาน นั่งพูดคุยกับบ่อยดีนะ” แจ้เอ่ยปากเป็นคนแรก พร้อมยกแก้วเบียร์ชนกับอาร์ม ที่ดูมีท่าทีเขิน

“มานั่งกินกันให้บ่อยเลยนะ เจ๊เหงา กับข้าวนี่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย ของในครัวใครจะกินอะไรบอก เจ๊ยินดี”

“มะนาวชอบฝีมือพี่นกน้อยมากเลยค่ะ ยำนี่เครื่องถึงมาก นี่ถ้าลูกค้าไม่แน่นร้านแทบทุกวัน คงต้องแวะมารบกวนบ่อย”

“เจ๊ก็คิดตังบ้าง ผมจะได้ไม่ต้องเกรงใจ เอาแบบที่ไอ้ดอยเลี้ยงตอนถูกหวยอย่างนั้นก็ได้ พวกผมซื้อของสดให้เจ๊ทำให้ แล้วก็มานั่งกินด้วยกัน” อาร์มเสนอ

“เออ เป็นความคิดที่ดี น้าเห็นด้วย” แจ้ชนแก้วกับอาร์มอีกครั้ง ยิ้มมีเลศนัยระหว่างสองหนุ่ม ทำเอามะนาวหยิกที่แขนอาร์ม

“แล้วนี่ ร้านคอมกำไรดีไหมคะโอเล่” มะนาวถามหนุ่มที่ไม่ค่อยพูด แต่ก็ดูคล้ายอยากมีส่วนร่วมในบทสนทนาเป็นระยะ เพียงแต่หาจังหวะไม่ได้  มะนาวจึงพยายามชวนคุยแทนทุกคน

“ก็ดีนะครับ แต่ผมไม่ได้หวังกำไรอะไรอยู่แล้ว แค่เซ้งไว้เป็นโต๊ะทำงาน”

“น้องเขามานั่งเฝ้าพี่ชายของพี่ใช่ไหมล่ะ” อาร์มแหย่

“......”

“เฮ้ยยย อย่าซีเรียส ใครก็ดูรู้น่า เอาใจช่วยนะ พี่ล่ะชอบคนทำกิน”

“แต่ผมว่า เฮียอาร์มคงเชียร์ผิดคนแล้วล่ะครับ” โอเล่ก้มหน้าไปที่จานที่ตอนนี้ว่างเปล่า มือใช้ส้อมเขี่ยเศษเปลือกกุ้งออก

“เรียกเฮียเลยว่ะ กลัวเพี้ยนชิบหาย อ้าว เฮียก็เฮีย คือ เฮียไม่รู้หรอกว่า โอ๊คมันจะไปทางไหน เอาเป็นว่า โอเล่มากินมาเที่ยวกับพวกเฮียได้ โดยไม่ต้องลังเล มาสนิทกับเฮีย กับมะนาว ติดสอยห้อยตาม เดี๋ยวถ้าโอ๊คมันจะชอบทางไหน มันก็คงจะแสดงให้เห็นเองแหล่ะ ของแบบนี้ มันต้องมีความหวังสิวะ”

“ผมนึกว่าเฮียอาร์มจะอยู่ฝั่งพี่มือกลอง”

“ห๋า น้องมือกลองคุณหนูแห่งตระกูล สุวรรณปุระ อ่ะนะ  เจ๊ตกข่าว หรือนี่ พี่แจ้ทำไมไม่บอกหนู ให้ความลับมันตายไปกับหัวเถิกล้านนั่นเลยไป”

“โถว อย่างอนตะลุบตุ๊บป่องไปสิ อะไรที่ยังไม่ชัดเจน เราก็ไม่ควรเอามาพูด” แจ้แก้ตัวให้นกน้อยฟัง

“น้า ป่านนี้แล้ว เอาเป็นว่า มุมแดงมือกลอง กับมุมน้ำเงินโอเล่ งานนี้ มีลุ้น นายอาร์มคนนี้ เอาความหล่อเป็นประกัน”








“เชื่อเรื่องวันสิ้นโลกไหมอ่ะ” ปุยที่ลืมตาขึ้นได้สักพัก ยังสลึมสลืออยู่ในอ้อมกอดของผู้ถูกถาม

“มันก็ส่งสัญญาณแปลกๆนะ นี่ว่าถามคุณตา ว่าจริงไหม คุณตาก็บอกว่าให้สนใจการเรียนแทน” ยอดดอยเอากุมหน้าผาก

“ตานี่ปากร้ายเนอะ แล้วท่านใจดีไหม อาร์มเล่าว่า ท่านเป็นผู้นำจิตวิญญาณของคนทางนั้นเลยเหรอ”

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น คือ พม่า จะมี มอญกลุ่มนึง  กะเหรี่ยงก็กลุ่มนึง แถวบ้านตา เป็นกะเหรี่ยงเผ่าโพล่ ตาก็เหมือนเป็นออง ซาน ซูจี แห่งเผ่าเขตนี่แหล่ะ คุณตาดูอนาคตได้ด้วย ชาวบ้านเรียกท่านว่า ท่านเป็นบุตรแห่งสายน้ำรันตี”

“อ้าว อย่างนี้ ที่สะพานมอญ ก็เป็นคนมอญ ไม่ใช่คนกะเหรี่ยงน่ะสิ เรายังนึกว่า ทั้งหมดคือพม่า”

“ทั้งหมดอยู่ในพม่า แต่ มอญเอง กับ กะเหรี่ยงก็แย่งพรมแดนกันมาตลอด พม่าก็ผลักเราออก คนไทยน่ะดีนะ ต้อนรับชนเผ่าคุณตา ทุกคนเลยอพยบมาพรมแดนไทย ใต้พระบรมโพธิสมภาร ทุกอย่างดูปลอดภัย ผู้คนกินได้ นอนหลับ ไทยเหมือนที่พักพิง แต่ด้วยการเมือง มันก็ยังต้องรบกันไปอีกสักพักล่ะ”

“หลวงพ่ออุตตมะ ที่คุณตาเป็นลูกศิษย์ นี่ท่านดังมากเลยเหรอ”

“ที่สุดรูปนึงเลยล่ะปุย  ท่านเป็นคนมอญ แต่โอบอ้อมคนกะเหรี่ยงมาอยู่ด้วยกัน ที่สังขละบุรี เราจะไม่ได้ยินคนมอญและคนกะเหรี่ยงทะเลาะกัน ตราบเท่าที่เราเป็นศิษย์หลวงพ่ออุตตมะด้วยกัน”

“ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว”

“89”

“เล่นไปกี่งวดล่ะ”

“ทุกงวด เฮ้ยย ไม่ใช่ นี่ปุยทำไมมองดอยเสียหมด”  ดอยฟัดที่ซอกคอปุยเป็นการแก้เกี้ยว

“ไว้พาเราไปไหว้ท่านบ้างนะ เราอยากเจอ  อยากเจอคุณตาด้วย ท่านดุมากไหม ได้ข่าวว่าหลานรักเลยนี่เราน่ะ”

“คุณตารักเรามาก ท่านไม่ดุ แต่ลูกคุณตากลัวท่านกันทุกคน โดยเฉพาะน้าแจ้ โดนด่าประจำ แต่กับเรา ท่านดีมาก”

“ท่านเดาอนาคตพวกเราได้ด้วยไหม”

“ดีไม่ดี  ท่านมองเห็นมันไปแล้วด้วยซ้ำ”








“ดนตรี นั้นคือชีวิต จังหวะคอยลิขิตให้ชีวิตก้าวไป.. แสงสีที่สวยสดใส นั้นเป็นจิตใจที่สดใสเสรี” นกน้อยเอาขวดพริกไทยกระป๋องใหญ่ มาเลียนแบบไมโครโฟน พร้อมเต้นเข้าจังหวัดตู้คาราโอเกะหยอดเหรียญซึ่งวางซ่อนสายตาตำรวจที่หมั่นตรวจลิขสิทธิ์เพลง ดังจากท้ายร้านมา  ที่โต๊ะหน้าร้าน บัดนี้มี โอ๊ค และ ปุย กับ ดอย ตามมาสมทบ

“แหม ตั้งแต่จะย้ายถิ่นฐาน รู้สึกว่าจะมีคนเลี้ยงส่งทุกวันเลยนะคุณโอ๊ค   ไอ้อาร์มมึงดูหัวบันไดบ้านมึงด้วย อย่าให้เปียก”

“แฉะเลยว่ะไอ้ดอย กูนี่งงเลย หัวบันไดบ้าน หรือน้ำตกเอราวัณ” อาร์มซึ่งประสานกับดอย แท็กทีมกันแซวโอ๊ค ที่ไม่ได้แสดงทีท่าสะท้านเสียงแซวจากเพื่อนตามประสาคนมาดนิ่ง มีโอเล่ที่นั่งหน้าเฉยอยู่ตรงข้าง กับน้าแจ้ที่บัดนี้เมาได้ที่

“แล้วนี่ ไปฝึกงานตั้งเดือนหน้า จะรีบย้ายของไปไหนล่ะ” ปุยที่มีรอยผื่นแดงที่ซอกคอ พยายามเอาคอเสื้อปิดบังสายตาโอ๊ค

“บริษัทมันใหญ่ พีเรียดฝึกงานสั้น ขอเขาไปก่อนจะไปร่วมกับแผนกเคาะตัวถังก่อน แต่พอเดือนหน้าก็ฝึกเรื่องสีจริง”

“ขยันโครต ที่กูคือหาวิธีไหนที่จะอู้งานให้ได้มากที่สุด ยิ่งบริษัทป๊ากูเองด้วย เดี๋ยวพาไอ้ดอยเข้าไปเล่นเกมห้องผู้จัดการ” อาร์มเสนอทางเลือกเชิงสร้างสรรค์

“ไม่เอาอ่ะ กูอยากเรียนรู้จริงว่ะงานนี้ ถ้าบริษัทไอ้โอ๊คขอรับกู ก็อยากไปกับมันหรอกนะ แต่นี่เขาคัดจากเกรดเฉลี่ย ได้ฝึกบริษัทป๊ามึง กูยิ่งต้องขยัน” ดอยยืนกราน








ร้านหวานเย็น มะลิซ้อน ที่หัวมุมทำเลดีของตลาดโต้รุ่ง มะนาวกำลังจัดการบัวลอยไข่หวานตรงหน้า ในขณะที่อาร์มที่เพิ่งซัดข้าวต้มสามเหลี่ยมน้ำวุ้นจนหมดถ้วยไป ก็สั่งเฉาก๊วยลูกจาก มาทานเพิ่ม

“มะนาวชอบนั่งทานกันที่ร้านพี่นกน้อยจังพี่อาร์ม เหมือนเป็นครอบครัวใหญ่ สนุกดีเนอะ”

“ชอบก็ไปกันบ่อยๆสิ อยากมาเมื่อไหร่ ก็เพจมาบอก พี่จะรีบโทรกลับเลย”

“พี่อาร์มนี่เหมือนสารถีประจำตัวมะนาวเลยเนอะ”  มะนาวตักไข่หวานที่เธออยากทานเพียงครึ่งเดียวส่งเข้าปากอาร์ม

“พี่อยากเป็นมากกว่านั้น ถ้ามะนาวไม่โกหกตัวเอง มะนาวก็รู้”

“ขอบคุณที่ดีกับมะนาวนะพี่อาร์ม ขอมะนาวเรียนให้จบก่อน ยังไงคงไม่ใช่คนอื่นไปหรอกค่ะ” เจ้าตัวเขินอาย และก้มลงเขี่ยบัวลอยจนแป้งติดกันเป็นก้อน

“พี่ไม่ได้รู้สึกว่าต้องรอนะ ถ้าพี่ไม่ใช่คนนั้นของมะนาว พี่ก็ไม่ดื้อดึง แต่พี่อยากจะดูแลมะนาวไปอย่างนี้ ในฐานะพี่ชาย และก็ผู้ชายคนหนึ่ง”

“มะนาวมีคำตอบในใจตั้งนานแล้วล่ะคะ”



หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 20: ใจที่ฉันให้เธอ.. เธอก็แค่รับไป.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 10-03-2018 14:57:58
โอเล่ สู้ สู้น้าาาา
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 21: ลอยกระทง ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 12-03-2018 01:30:34
Track 21 :   ปล่อยให้ไหลไป.. ให้ลอยลงสู่ทะเลให้หายไป..ให้มันอย่าคืนย้อนมา

“ยกโคมเลยพี่ เอาเป็นซีนอน 14000K  ท่อชุบดำแบบมีขอบโครเมี่ยมตรงปลายท่อด้วย”

“มึงอยากไดโปรเจคเตอร์ซีนอน หรือ เอาแค่แหวนซีซีเอฟแอลล่ะ ชุบชั้นเดียวหรือสองชั้น”

“โก๊ดอยก็เลือกให้ผมดิ งั้นโก๊จะกินกำไรผมทำซากอะไร”

“ปั๊ดเดี๋ยวเหอะไอ้กล้า เดี๋ยวกูเตะให้ มึงก็ต้องช่วยดูสิวะ ว่าอยากได้แบบไหน เดี๋ยวส่งมาไม่ถูกใจกูไม่ให้คืนนะ”

“ผมเคยคืนของเฮียด้วยเหรอ”

“เดี๋ยวเรียกเฮียเดี๋ยวเรียกโก๊ มึงเอาให้แน่”

“เรียกเฮียดอย น่ารักกว่า เฮียดอยกับซ้อปุย อะไรอย่างนี้”

“เออ เข้าท่า เฮ้ย มาแล้วหยุดก่อนเลยมึง”  ดอยที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับลูกค้าขาโจ๋  กล้า วัยรุ่นหนุ่มที่ขยันสั่งของมาแต่งรถมอเตอร์ไซค์ที่มีเป็นสิบคัน จนดอยเองต้องเกรงใจ คิดราคาพิเศษให้อยู่ตลอด   ดอยเบรกกล้าที่กำลังแซวเขากับปุย ซึ่งตอนนี้ ปุยเดินเข้าร้านคอมใต้หอมาถึงที่หน้าประตูแล้ว

“นินทาอะไรเรา” ผู้มาใหม่ทำให้ดุใส่

“เปล่าจ้า ไอ้กล้ากำลังคุยเรื่องของแต่งรถ”

“ใช่ครับซ้อ เอ้ยยย พี่ปุย นี่ผมกำลังให้เฮียดอย สั่งของล็อตใหญ่”

“อ้าว แล้วที่เพิ่งสั่งมาเมื่อตอนถูกหวยตั้งเยอะล่ะ”

“โหว นั่นขายหมดไปตั้งนานแล้วครับพี่ปุย จนเสียหวยไปอีกสามรอบแล้ว” กล้ารีบแถลงแทน

“มึงนี่น่าจะโดนตีนนะ เดี๋ยวกูไม่จ่ายค่าหวยป๊ะป๋ามึงแล้วไอ้กล้า ทีตอนถูกกันเยอะ ป๊ะป๋ามึงก็จะเฉลี่ย แต่พอกูเสียไม่เห็นเฉลี่ยให้ซะที แม่ง” ดอยทำหาเอาเรื่องกล้า ลูกเจ้าของโต๊ะหวยที่ใหญ่อันดับต้นของจังหวัด

“โถ่ เฮียดอย บ้านผมนี่ จ่ายเยอะกว่าใคร แถมทั้งลด ทั้งแถม ไปดูหวยบ้านตาช้างแดง ปีนึงเฉลี่ยกี่ครั้ง ไปเล่นเกมต่อดีกว่า เอาตามนี้พี่ แล้วก็ แฮนด์แต่งของเพื่อนๆผมด้วย เอาสีจ๊าบๆนะเฮีย”

“เออ เดี๋ยวมาแล้วกูโทรไปบอก พอดีกูจะไปส่งปุยที่วิทยาลัย แต่กระเป๋าหนังข้างรถของพ่อมึงนี่เอาจริงเหรอวะ แก่ชิบหาย สั่งหลายอันด้วยกูไม่รับคืนนะ”

“สั่งมาเลยเฮีย เดี๋ยวผมขอมัดจำป๊ะป๋ามาเพิ่มให้ก็ได้ เขาจะแขวนฮาร์เลย์เขา ที่เหลือก็ของเพื่อนก๊วนไท้เก๊กเขาน่ะ ขับฮาร์เลย์ไปเล่นไท้เก๊ก บางทีก็ควรสงสารภาพลักษณ์รถบ้างนะ”

“เออ มาแล้วกูโทรบอก แล้วคืนนี้ไปลอยกระทงที่ไหนล่ะมึง ไม่เข้าเรียน ดอดมาเล่นเกมเนี่ย” ดอยถามกล้าที่ควรจะอยู่ในโรงเรียนในเพราะเป็นวันจันทร์

“ก็เย็นนี้ผมต้องไปประกวดหนุ่มน้อยนพมาศห่าอะไรก็ไม่รู้ ครูจะจับตัดผมด้วย เซ็งชิบหาย นี่ให้ผมออกมาซอยผม แล้วเอาห่วงที่หูออก แล้วเปลี่ยนบ๊อกเซอร์ออกใส่กางเกงใน ไม่งั้นมันจะเห็นขอบตอนใส่จุงกะเบน ไม่ใจเลย โห่ว”

“หน้าอย่างมึงเนี่ยนะ จะเป็นหนุ่มน้อยนพมาศ กูล่ะสงสารนางนพมาศน้อย ที่จะเดินแห่รอบเมืองคู่ชะมัด ไอ้จิ้งเหลนผี ไปแหล่ะ” แล้วดอยกับปุยก็เดินออกจากร้านไป  ปล่อยให้กล้าเล่นเกมที่ร้านอยู่กับชาวต่างชาติเต็มร้าน โดยมีน้าแจ้คอยเดินเสิร์ฟน้ำ แล้วก็โอเล่ที่นั่งทำงานไป






ชายหนุ่มฉกรรจ์ 7 คน เปลื้องเสื้อจะเป็นกล้ามเนื้อที่เป็นมัดล่ำ แต่ละคนมีรอยแผลเป็นและรอยทาแป้งขาวตามตัว ทุกคนกำลังกลุกุจอปักคบไฟก้าน ไว้ตามริมตลิ่งแม่น้ำ มีโดมไฟที่ร้อยจากหวายแขวนอยู่เชิงสะพานรันตี มีรอยต่อแคร่ใหม่เอี่ยมยื่นออกไปที่กลางน้ำ ริมตลิ่งมีสาวชาวบ้านใส่ชุดผ้าทอมือลวดลายพื้นบ้าน นั่งทำกระทงใบตองอยู่ตามแคร่พักผ่อนริมน้ำ

บทสนทนาภาษากะเหรี่ยงพันตูกันด้วยความสนุกสนาน สาวน้อยหลายคนดูตื่นเต้นกับยามค่ำคืน มองไปที่ตลิ่งที่น้ำเอ่อล้นสูงที่สุดในรอบปี จนเกือบแตะพื้นดินขอบหญ้า เด็กน้อยถือทองโย๊ะเคี้ยวกินอย่างอร่อยลิ้น ผู้เฒ่านั่งสูบย่าเส้น บ้างก็เคี้ยวหมากจนปากแดง  ชาวบ้านเอาผักมาตากแห้งเพื่อเตรียมผัดทำกับข้าวในงานประจำปีคืนนี้ เหล้าที่หมักฝังในพื้นดิน ก็ถูกขุดกันขึ้นมาเปิดฝา เพื่อให้ลมกับน้ำกล่อมกันอย่างเข้าที่ทันเวลา 18.15 น  ตามความเชื่อของคนในท้องถิ่น ที่ให้เริ่มลอยกระทงกันได้

แม้จะเป็นคืนวันจันทร์อันว้าวุ่นของคนทั่วไป แต่ชนเผ่าก็ไม่ได้ยี่หระในวันจันทร์อันเร่งรีบของใคร เอาเข้าจริง จะวันจันทร์หรือวันไหน มันก็แทบไม่ต่างกัน จะมีแค่คืนวันศุกร์ กับ วันเสาร์ ที่พวกเขามักจะต้องแต่งตัวพื้นเมืองไปเดินโชว์บนสะพานมอญที่อยู่ถัดไป บ้างก็ใส่เสื้อผ้ากะเหรี่ยงอันเป็นจุดขาย ไปเดินในเมือง ก็จะสร้างยอดขายได้มากขึ้นในช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมากัน แต่ในวันธรรมดาแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็แทบไม่ต่างไปจากวิถีชนของบรรพบุรุษเผ่า






“เธอๆ แว่นหนาๆ ไปไหนแล้วล่ะ” กล้าหันไปถามชายหนุ่มตัวบางที่นั่งอยู่ข้างๆ

“วันนี้ขี้เกียจใส่ ใส่คอนแท็คเลนส์แทน”

“มองคอม แล้วไม่ปวดตาเหรอ ตั้งสองจอ เมื่อยกระบอกตาแย่เลย”

“มันก็เรื่องของฉันป๊ะ” โอเล่ที่ปลายนิ้วยังคงวางบนแป้นคีย์บอร์ดหันไปตอบคนที่นั่งข้างอย่างไม่สบอารมณ์

“พูดกับลูกค้าวีไอพีอย่างนี้ได้ไง เรายกพวกมาใช้เน็ตร้านเธอเป็นหมื่นแล้วมั๊ง พูดกับพี่กล้าดีๆหน่อยสิครับ”

“อดนมยังเหอะไอ้น้อง ฉันเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอ ดูก็รู้ ไปเตรียมเอ็นทรานซ์เหอะ ฉันจะทำงาน”

“เราอายุเท่ากันนะ เท่าที่แอบสืบมา”

“ก็ถ้าประกวดหนุ่มน้อยนพมาศ ก็เพิ่งจะมอปลายเองไม่ใช่เหรอ”

“อั้นแหน่ะ มีคนแอบฟัง”

“คุยกันซะดังขนาดนั้น ใครก็ได้ยินสิวะ”

“เราเรียนซ้ำไปปีนึง ตอนย้ายกลับมาเมืองกาญจน์ จริงๆก็ต้องปีหนึ่งเท่าเธอนั่นแหล่ะ แค่เธอไม่ได้เรียนต่อ อุ๊บ”

“....” ไม่มีเสียงตอบจากโอเล่ มีเพียงปากสีชมพูสดที่พึมพรำคล้ายคนบ่น เหมือนรำคาญคู่สนทนา

“ขอโทษๆๆๆ ไม่ได้ตั้งใจ   คืนนี้ไปลอยกระทงกับใคร พี่โอ๊คป๊ะ”

“ใครเล่าอะไรให้ฟังเนี่ย”

“ไม่มี แต่ใครดูก็รู้ โถ่ว เฝ้ามาเป็นปี ตาไม่บอดนะครับ ได้ข่าวว่า พี่โอ๊คเริ่มใจอ่อนแล้วสิ”

“ถ้าไม่พูดบ้างก็ได้นะ จะดูหล่อขึ้นกว่านี้”

“แต่ก็ยังหล่ออยู่ใช่ม๊า น้องๆ พี่โอ๊คเลยใช่ม๊ะ”

“ฝันไปเหอะ”

“ใส่แว่นแบบเดิมดีกว่า น่ารักจะตาย”





หน้าร้าน นกน้อยโภชนา เจ๊นกน้อยที่วันนี้ งดขายอาหารตามสั่ง แต่ทำเป็นข้าวแกง ข้าวไข่เจียว และ ลูกชิ้นทอด วางโต๊ะที่ทำกระทงใบตองเรียงรายไว้จำหน่าย

“หูยยย ทำไมมันสวยไม่แพ้แม่ค้าเลยล่ะจ๊ะเนี่ย” แจ้ที่เพิ่งเดินมาถึงยืนดู นกน้อยที่กำลังนั่งหน้าร้านทำกระทงเพิ่ม

“ก็แหม ร้านอื่นเขาใช้กระทงกระดาษสวยงาม หนูเลยมาแนวอนุรักษ์ธรรมชาติดีกว่า เดินตามรอยพ่อหลวง ใช้วัสดุกระทง ที่ทำจากธรรมชาติ ย่อยสลายได้เอง” นกน้อยเอาไม่กลัดเสียบใบตองที่ม้วนพับเป็นกลีบสามเหลี่ยมวางเรียงราย

“ดีแล้ว ฉันล่ะอิจฉาคนที่จะเก็บพระประทีปได้ในวันพรุ่งนี้ นี่ถ้าฉันอยู่ใกล้ๆ แม่น้ำเจ้าพระยา ฉันจะไปลอยคอในน้ำเฝ้าเลย”
 
“แหม.. ขนาดนั้นเลย แล้วคืนนี้ พี่จะไปลอยกระทงที่ไหนล่ะ”

“แก่จนป่านนี้แล้ว จะไปไหน ก็ลอยกันแถวนี้แหล่ะ ก็ต้องอยู่ที่ว่า คนแถวนี้เขาว่างกันกี่โมง”

“คนแถวนี้ นี่คือยัยห้อง 2D หรือเปล่าจ๊ะพี่”

“อย่ามาหาเรื่องกันสิ แหม.. วันเพ็ญเดือนสิบสอง เรามาใจเย็นๆ คิดแต่สิ่งดีๆ กันนะ”

“ให้มันจริงเหอะ อย่าให้หนูรู้นะ ว่าเดินเข้าออกกันเป็นว่าเล่น ทั้งน้า ทั้งหลาน”







“รู้สึกว่า  รถจักรยานแกจะเป็นหม้ายนะยะอีปุย ไม่เห็นหยิบจับมานานแล้ว มีแต่คนผลัดกันมารับมาส่ง ” โหน่งเหน็บเพื่อนที่ลงจากการซ้อนมอเตอร์ไซค์ของดอย เดินมายังโรงอาหารที่มี โหน่ง จอย และ กอล์ฟ นั่งรออยู่

“ก็ต้องแวะกินข้าวก่อนค่อยมา โรงอาหารมีแต่ของเผ็ดๆอ่ะ”

“แล้วนี่พี่เขาไม่ต้องไปวิทยาลัยเขาหรือไง ถึงได้ต้องเทียวรับ เทียวส่งแกเนี่ย ฉันรู้ว่า สองวิทยาลัยมันไม่ไกลกัน แต่เขาก็ต้องมีชีวิตของเขาป๊ะ แกจะมาใช้มารยาหลอกล่อให้เขามารับมาส่งทุกวันเลยหรือไง ฉันอิจฉา !” โหน่งทำหน้าเค้นเอาความจริง

“เขาไม่เรียนแล้ว เตรียมฝึกงานแล้วเว้ย ชั้นก็ไม่ได้ขอให้มาส่งสักหน่อย แค่บอกว่า โอ๊คจะมาส่ง เขาก็รีบแย่งมาส่ง แค่นั้น”

“สวยได้อีก เพื่อนชั้น” จอยหัวเราะกลั้วขำ

“ชั้นหล่อ ไม่ใช่สวย พูดแบบนี้อีก งอนแล้วนะ”

“จ้า พ่อรูปหล่อ มีแต่คนหล่อโครตมารุมจีบ” กอล์ฟแทรกบ้าง

“แล้วพ่อแกว่าไงบ้างล่ะนี่” โหน่งถามปุยด้วยความเป็นห่วง

“ไม่รู้ว่ะ เขาไปคุยกันเองกับดอย ไม่ให้ชั้นไปมีส่วนร่วม ดอยเขาชวนพ่อชั้นไปอาบน้ำแร่ คุยกันเรื่องนี้สองคน”

“ห๋า อีพี่ดอย ล้ำมาก ชวนพ่อตาไปอาบน้ำแร่” กอล์ฟเอามือทาบหน้าอดตกใจด้วยความทึ่ง

“ถ้าเป็นอย่างพวกชั้น ออกสาวแตกแหกค่ายขนาดนี้ พ่อแม่ก็พอจะเดาออก แต่แกนี่ ถ้าตัดเอาเรื่องความสวยเกินชายออกไป ก็ดูไม่ออกว่าจะมีการไปตกล่องปล่องชิ้นกับผู้ชายด้วยกัน พ่อแกก็น่าจะกุ้มใจอยู่” โหน่งนึกถึงเหตุผล

“ชั้นก็ยังไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเลยว่ะ เผลอแป๊บเดียว ก็ตกปากรับคำเป็นแฟนกันไปแล้ว”

“เล่าช่วงเวลานั้นให้ฟังหน่อยสิ โรแมนติกไหมยะ” จอยสนใจจริงจัง

“ไม่เลย ไม่ได้ขอเป็นแฟนกันอะไร คือ จูบกันเฉยๆ”

“อีใจง่าย” กอล์ฟอุทานด้วยความตกใจ

“เฮ้ยย ก็เขาบอกรู้สึกดีกับเรา เราก็รู้สึกดีกับเขา เหมือนจะมากกว่าชอบ แต่รักหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้ รู้อีกทีก็จูบกันแล้ว”

“จูบกันที่ไหน” จอยยิงคำถามใส่ไม่ยั้ง

“ใต้ต้นไม้ของแม่เขา.. ใต้ต้นทองกวาว”












“ฮืออออ  ฮือออออ  ชะนีทิ้งให้ชั้นต้องลอยกระทงแต่เดียวดาย” เดียร์ รำพึงกับตัวเองตอนยืนส่งมะนาวขึ้นรถอาร์มไป

“ทำท่าซะเว่อร์ ก็บอกให้ไปลอยด้วยกันนังนี่” มะนาวที่กำลังจะก้าวขึ้นรถหันกลับมายืนเท้าเอวบ่น

“ใช่ ไปด้วยกันไหมเดียร์ ไปหลายคนสนุกจะตาย” อาร์มในชุดเสื้อช็อปช่างกล ยืนที่ฝั่งประตูคนขับ ตะโกนลอยมา

“ก็อยากไปนะคะ แต่เพื่อนเดียร์มันอยากจะไปลอยกับพี่แค่สองคน น้องเดียร์ถูกทอดทิ้ง ฮือๆๆ”

“นังเดียร์ !” มะนาวตาลุกโต ต่อว่าต่อขานเพื่อนสาว พอหันไปเห็นอาร์มก็ทำตาตื่นยิ้มหราเข้าให้

“แหม ล้อเล่นก็ได้ ไปดีว่า สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะพี่อาร์ม คืนนี้ เขาว่า วันลอยกระทงเป็นวันเสียตัวแห่งชาติ เดียร์ต้องไปรักษาสถิติให้ประเทศนะค่ะ”

“ก็เลยจะไป เด้อ ผู้ชาย ใช่ไหม ฮ่าๆๆๆ” 

“ว้ายยยยยยย  ไปดีกว่า โชคดี สำลีแปะหัวนะนังชะนี” แล้วเดียร์ก็เดินจากไป มะนาวกับอาร์มจึงขึ้นรถขับออกจากวิทยาลัย
 
“ว๊า อุตส่าห์ดีใจเรื่องที่เดียร์บอก นึกว่าจะพูดจริงซะอีก”

“เพื่อนของมะนาวคนนี้ แม้จะวี๊ดว๊าดกระตู้ฮู้  แต่ไม่เคยเลยสักครั้ง ที่จะโกหกใคร”








ในบ้าน “ตรีโอฬารวงศ์” หลังหรูหรา ริมสระว่ายน้ำ ที่ชายหญิงสูงวัย กำลังลอยกระทงในสระว่ายน้ำ มีสุนัขพันธุ์ชาเป่ย นั่งหน้ายู่ตัวย่นสีเทาเข้าอยู่ข้างสระ

“อ้าว ลอยซะหัววันเลยล่ะม๊า”  อาร์มที่เพิ่งมาถึง ทักผู้เป็นแม่ ซึ่งเพิ่งรับไหว้มะนาว

“ก็ป๊าเราน่ะสิ จะชวนไปดินเนอร์ที่บ้านเพื่อนในหุบเขาที่ไทรโยคนู่น ในไร่ไม่มีแม่น้ำ เลยจะลอยก่อน แม่อุตส่าห์นั่งทำกระทงซะสวย ไม่ได้อวดใครเลย  แล้วพรุ่งนี้เช้าอย่าลืมให้ คนงานเอากระทงแม่ขึ้นจากสระไปลอยที่แม่น้ำให้ด้วยนะ”

“ได้ครับ แล้วนี่ โอ๊คไปไหนแล้ว”

“ก็เห็นว่าไปลอยกระทง ยังนึกว่าไปกับพวกดอยซะอีก” ผู้เป็นพ่อเดินเข้ามาเสริม พร้อมรับไหว้มะนาว

“นี่พวกพี่ดอยก็รอพี่อาร์มไปรับนี่แหล่ะค่ะ ยังนึกว่า พี่โอ๊คจะไปพร้อมกัน”

“สงสัยม๊าจะได้ลูกสะใภ้เร็วๆนี้มั๊ง” อาร์มหัวเราะร่า

“อะไรนะ” พ่อทำหน้าตกใจแต่ก็หัวเราะตาม

“พี่อาร์มนี่ก็ ว่าไป ยังเลือกอยู่มั๊งคะ”

“อกอีแป้นจะแตก สองคนเลยเหรอ” ผู้เป็นแม่ทำตาลุกวาว

“ไว้ถามเจ้าตัวเองแล้วกันล่ะม๊า ผมไปอาบน้ำก่อน มะนาวรอตรงนี้เนอะ”

“ค่ะ เดี๋ยวมะนาวนั่งคุยกับม๊า ตรงนี้แหล่ะ พี่อาร์มอย่าลืมเอาผ้าพันคอไปเผื่อพี่ดอยด้วย อากาศน่าจะเย็น”



[ TBC ]  ต่อด้านล่างจ้า





หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 21: ลอยกระทง ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 12-03-2018 01:31:59
[ ต่อ ]

ถนนสองแคว เลียบริมแม่น้ำ เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสองสาย คือแม่น้ำแควใหญ่ ที่มาจากทางศรีสวัสดิ์ และ แม่น้ำแควน้อย ที่มาจากสังขละบุรี เป็นมหาธารา มารวมกันเป็นแม่น้ำแม่กลองเพื่อไหลไปยังจังหวัดอื่น ก่อนลงสู่ทะเลไป จุดบริเวณนี้ เห็นแม่น้ำสองสายตัดกันต่างสีอย่างชัดเจน  แควใหญ่แกมเขียวคล้ำ แควน้อยแกมแดงน้ำตาล 

ที่ถนนสองแควนี้เองที่เทศบาลเมือง ใช้จัดงานประเพณีในทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นปีใหม่ สงกรานต์ ตักบาตรในวันมงคล หรือวันลอยกระทงอย่างวันนี้ แม้ปีนี้จะตรงกับวันจันทร์ แต่ผู้คนก็ยังทยอยออกมาร่วมงานประเพณี ภายใต้ดวงจันทร์กลมโต น้ำที่นองอยู่เต็มตลิ่งปูน สองข้างทางมีข้าวของจากร้านค้าวางขาย มีโคมลอยจำหน่าย มีกระทงวางเรียงรายให้เลือกหา วัยรุ่นแต่งกายเต็มยศมาเดินงาน มีวงดนตรี และการแสดงพื้นบ้านจากคณะของโรงเรียนในเมืองผลัดกันขึ้นมา

“เอาล่ะสิ” อาร์มกระซิบใส่หูดอยที่เดินอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นโอ๊คเดินมาแต่ไกล  โดยมีมะนาวกับปุย กำลังเลือกหากระทง

“กูนึกว่า จะมากับมือกลองซะอีก” ดอยกระซิบคืน

“เออ พลิกล็อคว่ะ โลเลชิบหาย จนบัดนี้ยังไม่ชัดเจน ใครว่าฝาแฝดต้องเหมือนกันวะ กูนี่เข้าไม่ถึงพี่กูเลยว่ะ”

“อย่าว่าแต่มัน กูนี่ยังงงกับตัวกูเอง เหลือมึงคนเดียวแล้วที่ยังไม่ถูกมนต์ดำ มึงเป็นความหวังเดียวของกลุ่มเรานะเว้ย”

“เชี่ยยย พูดซะกูกดดัน นี่ถ้าวันนึงกูชอบผู้ชายกับเขาบ้างนี่กูคงโดนประนาม เอาตัวฝังทรายโดนก้อนหิ้นเขวี้ยงใส่ใช่ไหมวะ”

“เอาเป็นว่า กูกับโอ๊คนี่เสียหมาไปแล้ว มึงเป็นความหวังเดียวของกลุ่มเลยเว้ย”

“ขอบใจนะ ไอ้สัส”






“และผู้เข้ารอบ ห้าคนสุดท้าย ของนายนพมาศน้อย 1999 ได้แก่....” พิธีกรบนเวทีกลาง ประกาศผลคนเข้ารอบเพื่อ ซึ่งจะผ่านการตอบคำถามก่อนจะตัดสิน เป็นการคั่นเวลาที่จะประกาศ นางนพมาศ กาญจนบุรี 1999 ที่เป็นรางวัลใหญ่ของงาน โดยด้านหน้าเวที เป็นลานเบียร์ และมีซุ้มอาหารจำหน่ายผ่านคูปองหลากหลาย มีญาติผู้เข้าประกวดนั่งกันอยู่เต็มไปหมด ที่โต๊ะเกือบจะติดหน้าเวที มีวัยรุ่นหนุ่มสาวกำลังนั่งรายล้อมโต๊ะ มีอาหารวางอยู่เต็มไปหมด

“นี่เดินไปเดินมายังไม่ได้ลอยกระทงเลย เมากันซะแล้วเนี่ย” ปุยเอ็ดดอยที่หน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์

“พี่อาร์มก็พอกันเลย ห่างเหล้าเบียร์เป็นไม่ได้ นี่กว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ตับคงแข็งซะก่อนนะ มะนาวว่า”

“คนงานบ้านพี่กินตั้งแต่หนุ่มจนมันแก่หงำเหงือกยังสบายๆเลยมะนาว” อาร์มเถียงแต่ใช้น้ำเสียงโทนนุ่ม ขอความเห็นใจ

“แม่เรา ไม่ดื่มนะ แต่ก็เป็นมะเร็งตับ” ปุยเล่าให้ฟัง “มันเกาะกินเร็วมากเลยตับเนี่ย ไม่ทันได้สนุกกับชีวิตเท่าไหร่เลย”

ดอยกับอาร์มที่ดูจะทิ้งเวลาการแตะแก้วเบียร์ตรงหน้าไปอึดใจใหญ่หลังเรื่องเล่าของปุย จนโอ๊คเป็นคนเริ่มคว้าเบียร์เข้าปากก่อนใคร ค่อยทำให้คนที่เหลือเริ่มหยิบแก้วมาดื่มตาม

“เฮ้ย ไอ้ห่ากล้า แม่งติดท็อปห้าด้วยเว้ย” ดอยส่งน้ำเสียงดีใจเชียร์ลูกค้าวีไอพีของตนเองบนเวที

“จะว่าไปมันก็หล่อนะเว้ย ดูโตกว่าเด็กมอปลายทั่วไป ตัวแม่งล่ำเชียว บนเวทีนี่กูว่ามันหล่อสุดแล้ว” อาร์มเสริม

“เขาเรียนซ้ำน่ะพี่อาร์ม จริงๆ ก็อายุเท่าผมแหล่ะ” โอเล่ที่พูดน้อย เล่าถึงข้อมูลที่ตนก็เพิ่งจะได้ทราบมาวันนี้

“อ๋ออย่างนี้นี่เอง มันถึงได้เป็นหัวโจกแก๊งรถซิ่งทั่วเมือง แต่เด็กมันฉลาดดีนะ จริงๆ ก็เป็นเด็กดีอยู่ แต่แม่งกวนส้นตีน” ดอยส่ายหัวเพราะนึกถึงวีรกรรมของกล้า “เอาเข้าจริง รู้สึกถูกชะตาเพราะความกวนตีนของมันนี่แหล่ะ”

“ไม่ใช่เพราะป๊าป๋าเขาเป็นเจ้ามือหวยเหรอคะพี่ดอย มะนาวเห็นพี่ดอยเองก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของบ้านน้องเค้าเลยนะ”

“อ้าว เล่นพวกเดียวกันทำมายยยย” ดอยโอด “ป๊ะป๋าน้องเขาใจดี พี่เคยแวะเอาค่าหวยไปจ่าย หูยเห็นเป็นตึกแถวแต่ภายใน ตกแต่งอย่างหรูอ่ะ สาบานได้ว่ามีคนคอยยืนข้างหลังสองคนตลอดเวลา อย่างกับมือปืน”

“ป๊ะป๋าเขา ก็ใหญ่โต พอกับเตี่ยของของโอเล่นี่แหล่ะ แต่จะสายสีเทากว่า เตี่ยโอเล่นี่น่าจะบารมีสายทหารเยอะ”โอ๊คเล่า

“เห้ย อำนาจ ชน บารมี  นี่ถ้ามีลูกด้วยกัน โตมาเป็นมาเฟีย” อาร์มเบรกตัวเองก่อนจะนึกได้ว่า โอเล่คงจะเขิน

“ไหนพี่อาร์มบอกจะอยู่ฝ่ายน้ำเงิน ทำไมไปทิ้งขว้างน้องให้คนอื่นอย่างนี้ล่ะ” มะนาวอดที่จะหันหน้าไปแซวโอเล่ไม่ได้







“ทำกันไม่ทันเลยนะเนี่ย แม่ค้าสวยก็อย่างนี้แหล่ะนะ” แจ้ที่ยืนดูนกน้อยซึ่งยังคงนั่งทำกระทงเพิ่มอย่างไม่หยุดหย่อน
โต๊ะที่วางอยู่หน้าร้านอาหาร นกน้อยโภชนา ปูด้วยผ้าสีแดงสด จุดเทียนขาวไว้ มีกระทงสวยวางเรียงราย แม้พร่องไปเยอะมากแล้ว แต่โต๊ะที่มีแสงเทียนไสว ช่างดูโดดเด่นกว่า จุดขายกระทงเวิ้งอื่น จนใครเดินผ่านต้องเหลียวมอง

“น่าจะเพราะเขารณรงค์ให้ใช้วัสดุธรรมชาติด้วยล่ะพี่ปีนี้ กระทงหนูเลยเข้าฝัก โดนใจ ดูสิคนเดินผ่านก็ซื้อกันตลอด”

“สวย ทันสมัย แหม.. นี่ถ้าไปนั่งขายที่ถนนสองแควท่าน้ำ คงจะขายดีมากเลยนะ”

“หนูชอบตรงนี้มากกว่าพี่ วัยรุ่นมันน้อย เป็นชาวต่างชาติอย่างนี้แหล่ะดีแล้ว เอ่อ.. พี่ลอยกระทงแล้วหรือยังล่ะ”

“ก็รออยู่นี่แหล่ะ เดี๋ยวขายหมดก็แวะไปลอยกันสิ ที่น่าน้ำวัดญวนก็ได้ ใกล้ๆนี้เอง”

“จ๊ะ สักห้าทุ่ม หนูก็จะเก็บแล้ว เล็บแทบฉีก เดี๋ยวหนูเดินไปเรียกในร้านนะ” 







“มือกลองไปไหนล่ะวันนี้ กูนึกว่า มึงจะไปลอยกับมือกลอง” ดอยที่เอามือคล้องคอโอ๊ค มีอาการเมากรึ่มแต่ยังมีสติดี ถามเพื่อนรัก “คือ กูก็แค่แอบดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วงๆ นะเพื่อน”

“จะรีบกันกูออกจากแฟนมึงมากกว่ามั๊ง ไอ้ดอย”

“โหว เสียน้ำใจเลยว่ะ คิดอะไรอย่างนั้น กูน่ะ อยากให้มึงมีความสุขเว้ย” ดอยหัวเราะในความรู้ทันของโอ๊ค

“กลองเขามีจัดงานที่โรงแรมแหล่ะ น่าจะเสร็จดึกเลย กูก็ไม่ได้เรียกชวนเขามา น่าจะยุ่งอยู่ว่ะ”

“มึงไม่คิดจะถามเขาเลยเหรอ หรือเพราะมึงมีน้องโอเล่มาลอยด้วยอยู่แล้ว”

“เฮ้ย พักนี้โอเล่ก็ติดสอยห้อยตามพวกเราทั้งกลุ่มป๊ะ เขาเซ้งร้านคอมของแม่มึงนะ ฮัลโหลววว”

“อันนั้นกูก็รู้ แต่แค่กูไม่รู้ใจมึง”

“เป็นเพื่อนภาษาห่าอะไร”

“ก็เป็นเพื่อนที่รู้ใจมึงกว่าใครก็แล้วกัน แต่คนอย่างมึงน่ะ ขนาดกูว่าสนิท กูยังสัมผัสได้ไม่ถึงครึ่งของใจมึง มึงน่ะต้องผ่อนปรนให้คนอื่นบ้างว่ะโอ๊ค  สงสารคนที่จะมาเป็นแฟนมึง  ได้คนหล่อไป แต่ใจเป็นหิน กูว่ามันก็น่าสงสารเขานะ”

“เออ พ่อคนอบอุ่น เดี๋ยวกูถีบตกน้ำ”

“เอาจริงๆ มึงน่ะ เปิดโอกาสให้ใครมั่งสิ เสียของ เสียดายหัวใจสีชมพูสดดวงนี้ กับหน้าหล่อๆของมึง”

“มึงก็ยกปุยให้กู จบม๊ะ”

“ตีน”

“เหอะ แล้วก็บอกว่ารักเพื่อน”







ที่ริมตลิ่งปูน ถนนแม่น้ำแคว ตรงจุดมหาธาราแม่น้ำสองสี เทศบาลจัดท่าแพมาเทียบกับตลิ่ง ให้คนได้เดินลงไปที่แพ แล้วลอยกระทงได้โดยง่าย ซึ่งระดับน้ำสูงจนปริ่มขอบแพ  มีตะเกียงไฟพร้อมที่กั้นลม เพื่อให้คนที่มาลอยกระทงได้จุดเทียนไฟได้ตามประสงค์ เวลานี้เริ่มดึกแล้ว ผู้คนเริ่มทยอยกลับจนบางตา ยังมีวัยรุ่น และคู่รักหนุ่มสาวมาขอขมาพระแม่คงคา

ดอยนำทีมของตน ซื้อโคมลอยมา ทุกคนล้อมจับรอบโคม ดอยจุดไฟที่เชื้อเพลิงโคม จนโคมพองป่องเต็มพิกัด ทุกคนที่หลับตาพริ้มอธิษฐานอยู่นาน ลืมตาขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน โอ๊คที่ลืมตาเป็นคนสุดท้าย หันไปมองรอบๆ เห็นเพื่อนที่รอคอยสัญญาณว่าพร้อม จึงพยักหน้าเห็นพ้องและปล่อยมือ..  โคมสีขาว ดวงไฟลุกโชนอยู่ภายใน ลอยล่องไปสู่ท้องฟ้า พร้อมกับโคมของคนอื่นอีกมากมาย คล้ายดวงดาวระยิบ กับท้องฟ้าที่มืดสนิทแม้เป็นวันเพ็ญเดือนสิบสอง

“ก่อนอธิษฐาน ถอนไรผมมาใส่สักเส้นสิครับ มะนาว” อาร์มที่ตอนนี้ ยืนอยู่กับมะนาวสองคนตรงมุมแพด้านซ้ายสุด มะนาวเอื้อมหัวให้อาร์มเด็ดไรผมออกมาแล้วใส่กระทงไว้

“พี่อาร์มไม่เอาเล็บ หรือผมใส่ลงไปเหรอคะ”

“ความทุกข์ของพี่ไม่มีครับ พี่มีแต่ความสุข กระทงของเราจะลอยเอาความเศร้าและเรื่องเลวร้ายของมะนาวเท่านั้นไปกับแม่น้ำ  ขอให้พระแม่คงคงทรงรับมันไป ต่อไปนี้ มะนาวจะมีแต่ความสุขนะ พี่สัญญาต่อหน้ากระทง ว่าพี่จะทำให้มะนาวมีแต่รอยยิ้ม...  ไม่เอาครับ คนเก่ง ไม่ร้องไห้สิ.”  อาร์มเอาชายเสื้อแขนเสื้อของเขา เช็ดน้ำตาของมะนาว ก่อนจะควักเงินให้เด็กคนหนึ่งที่ลอยคออยู่ในแม่น้ำ เพื่อรอหาเหรียญในกระทง อาร์มส่งเงินหนึ่งร้อยบาท เพื่อให้เอากระทงลอยไปไว้ที่กลางลำน้ำ เป็นการตอกย้ำว่า ความเศร้าของมะนาว ถูกดันออกไปจนไกลสุดตลิ่งกว่ากระทงของใคร



ถัดไปที่กลางแพ ปุยกำลังอธิฐาน พร้อมกับดอยที่ใช้กระทงเดียวกัน นั่งยองกับพื้นทั้งคู่ เพื่อจะส่งกระทงให้ลอยน้ำไป

“ปุยครับ กระทงนี้ จะนำพาความทุกข์ที่ผ่านมาของปุยไปด้วย ดอยให้สัญญากับพ่อของปุยไว้ ว่าจะทำให้ปุยดีขึ้นจากอดีตที่ผ่านมา เราจะผ่านมันไปด้วยกันนะครับ”

“แม่คงอยากเจอดอย ถ้ายังอยู่”

“งั้นเราฝากใจที่คิดถึงแม่ ไปให้พระแม่คงคาช่วยดูแลกันเนอะ  ที่สายน้ำนี้ คุณตาของดอย ท่านดูแลได้ทุกคน ปุยจงหมดห่วงนะ..” ดอยพูดจบ ก็บรรจงจุมพิตลงที่หน้าผากของปุยหนึ่งที โดยไม่สนว่าจะมีคนนับสิบยืนมองอยู่ เขาเอื้อมมือไปโอบไหล่ของปุยมาแนบกับวงแขน แล้วส่งกระทงลงน้ำไป

“ผมจะเข้มแข็งขึ้น พระแม่คงคาจงเป็นพยาน.. เพื่อแม่ เพื่อทุกคน”  ก่อนที่ปุยจะพิงหัวไปที่ไหล่ของคนข้างกาย โดยไม่ใส่ใจกับสายตาหลายต่อหลายคู่ที่จับจ้องเช่นเดียวกัน






ที่ปลายหัวแพทางขวา โอ๊คที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่ง เสื้อยืดสีเทามีรอยน้ำกระเด็นขึ้นมาโดนจากเด็กเก็บเศษสตางค์ที่กระโดดน้ำเล่นกัน  เขายืนรอโอเล่ที่กำลังยืนอุ้มกระทงอธิฐาน  กระทงของโอเล่อันใหญ่ ทำจากใบตองและดอกดาวเรือง ซ้อนเป็นชั้นอันใหญ่กว่าใครในระแวก เขาอุ้มมันอธิษฐาน มีคราบน้ำตาไหลออกมาจากตาที่ใส่คอนแท็คเลนส์อยู่ โอ๊คเอานิ้วมือเช็ดคราบน้ำตาเบาๆ แล้วเดินโอบประคองโอเล่มายังริมตลิ่ง

“พระแม่คงคา คงจะรับภาระหนักนะครับวันนี้ แต่ท่านคงมีที่ว่าง ให้กระทงของอีกคน ที่จะส่งผ่านความทุกข์ทั้งหมดฝากท่านไป ขอให้ท่านรับเคราะห์ และความโศกา ของเด็กคนนี้ทิ้งลงแม่น้ำไป เพื่อให้เขาได้เป็นคนใหม่ในเร็ววัน”

“พี่โอ๊คไม่อธิษฐานหน่อยเหรอครับ”

“กระทงนี้ เป็นของโอเล่คนเดียวเลยครับ ความทุกข์ของพี่ พี่ขอสะสางด้วยตัวของพี่เอง” โอ๊คคว้าแบงค์ร้อยหนึ่งใบ ใส่ไปในกระทงของโอเล่ “ฝากขอขมาพระแม่คงคาด้วยนะครับ คนที่บ้านผมใช้น้ำเปลืองเหลือเกิน ขอพระแม่โปรดอภัย”  ก่อนโอ๊คจะส่งแบงค์ยี่สิบให้เด็กเก็บสตางค์ เพื่อไม่ให้มาแย่งเงินในกระทงของโอเล่  แล้วโอเล่ ก็ส่งกระทงลงแม่น้ำไป 

กระทงลอยไปทางขวาใกล้กับตลิ่ง ก่อนจะไปกระแทกกับกระทงที่ทำจากดอกกล้วยไม้สีม่วงเป็นพุ่มสวย สองกระทงเกี่ยวติดกันหมุนตามน้ำไปมา  โอเล่หันไปมองกระทงของตนเอง ก่อนจะเหลือบไปเห็นเจ้าของอีกกระทง เป็นชายหนุ่มหล่อในชุดไทยจุงกะเบนซึ่งหันกลับมามองเช่นกัน  โอเล่หันหน้าหนี เมื่อเห็นเจ้าของตำแหน่งนายนพมาศน้อยคนล่าสุด แห่งปี 1999 ส่งยิ้มมาให้  เขารีบดึงโอ๊คกลับมาสมทบกับคนอื่นที่ลอยกระทงกันเสร็จแล้วมายืนรวมกันตรงทางขึ้นตลิ่งปูน





“อ้าว เด็กๆกลับกันมาเร็วจัง นึกว่างานนี้จะมีโต้รุ่ง” แจ้หัวเราะร่า เพราะได้จิบเบียร์ไปหลายกระป๋องแล้ว ระหว่างรอนกน้อยที่เพิ่งเก็บร้านจนเสร็จ

“พรุ่งนี้มีเรียนกันเกือบทุกคนเลยค่ะน้า วันอังคาร เลยไม่อยากจะไปสายกัน มะนาวก็ว่าจะกลับแล้วล่ะค่ะ”

“แล้วนี่ขายดีไหมเจ๊นกน้อย กระทงที่ถนนสองแควขายดีมาก แต่ร้านก็เยอะ บางร้านเหลือเต็มเลย” อาร์มที่ดูอารมณ์ดี ถาม

“เกลี้ยงจ้า เหลือแค่ 2 กระทง ที่ตั้งใจจะเก็บไว้บรรจงเรียงอย่างสวยสุดฝีมือ” นกน้อยพูดพลางเอามือจัดกลีบกระทงให้เข้าที่เข้าทาง พร้อมกับยื่นกระทงที่จัดเสร็จให้แจ้ถือ “กระทงนี้ เจ๊ลอยกับพี่แจ้ มันใหญ่ก็เลยลอยร่วมกันน่ะ อย่าแซวนะเขิน”

“ใครจะกล้าแซวเจ๊คนสวยของผมล่ะครับ ว่าแต่อีกอันล่ะของใคร” ดอยถามน้าแจ้

“ก็คนที่นั่งรอในร้านเน็ต มาได้พักนึงแล้วล่ะ สงสัยคืนนี้ น้องโอ๊คต้องลอยเบิ้ลกับน้าอีกรอบแล้วล่ะ”

มือกลองในชุดเสื้อเชิ้ตขาวปลดกระดุมคอ เดินออกมาจากร้านเน็ต  ตรงเข้ามาหยิบกระทงของตัวเองที่ซื้อเจ๊นกน้อยไว้  มะนาวหันไปยิ้มกับปุย ก่อนจะขอตัวกลับก่อน โดยมีอาร์มไปส่ง  ดอยกับปุยขอเดินกลับห้อง  โอเล่ส่งยิ้มเฝื่อนให้โอ๊ค แต่ก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยที่ให้โอ๊คไปลอยกระทงกับคนอื่น  แม้เขาจะต้องหลับตาข่มอารมณ์ที่เห็นหลังของคนสี่คนเดินลาลับไป แต่ลึกแล้วเขาก็เป็นสุขอยู่บ้าง ที่เห็นรอยยิ้มจางบนใบหน้าของโอ๊ค ยิ้มแสนหล่อของคนที่เขามองตามอยู่เสมอ



ที่ริมตลิ่งท่าน้ำวัดญวน บนถนนแม่น้ำแคว ที่ใกล้กับหอพักเพียงเดินถึง แม้ตลิ่งจะไม่สวยเหมือนของถนนสองแคว แต่ผู้คนวัยทำงาน และคนหาเช้ากินค่ำยังคงแวะเวียนมาลอยกระทงที่เวิ้งนี้ มีของขายอยู่บ้างบางตา มีการประดับไฟไว้ประมาณหนึ่ง มีหนังกลางแปลงฉายภาพยนตร์อนิเมชั่น มู่หลาน ซึ่งหนังเพิ่งเริ่มขึ้น มีเสียงเด็กรบเร้าจะดู มีเสียงผู้ปกครองที่เห็นว่าดึกแล้วจึงต้องปรามไว้ คนขายไข่นกกระทายืนหาว  ข้างรถเข็นสายไหมหยอดเหรียญที่ตู้ว่างเปล่า

“โอ๊คเลยต้องมาลอยสองครั้งเป็นเพื่อนกลองเลยสินะ”

“เปล่าสักหน่อย เมื่อกี้ไม่ได้ลอย.. ไปเป็นเพื่อนเฉยๆ”

“โอ๊คอธิษฐานก่อนสิ” มือกลองส่งกระทงใบตองอันสวยให้โอ๊ค คนรับกระทงมามองกระทงอยู่อึดใจ ก่อนยกขึ้นมาที่ระดับหน้าอก แล้วอธิษฐาน โอ๊คลืมตาและมองตาคนตรงหน้า ก่อนจะหลับตาไปพักใหญ่ เขาลืมตาอีกครั้ง ส่งรอยยิ้มให้มือกลองพร้อมยื่นกระทงให้  มือกลองเอากระทงไปอธิษฐาน ก่อนทั้งคู่จะส่งกระทงลงแม่น้ำแควใหญ่ไป เขาเชื่อว่ามันจะลอยไปสมทบกับจุดแม่น้ำสองสีของอีกถนนหนึ่ง แต่แม้ว่ามันจะล่องลอยไปไม่ถึงจุดหมายตามตั้งใจ มันก็คงไม่ทำให้พวกเขานึกเสียใจ  เพราะว่าเขาได้ทิ้งทุกอย่างที่ค้างคาใจ ลอยไปกับสายน้ำแห่งค่ำคืนนี้จนหมดสิ้นแล้ว.. 




หลังจากที่ล่ำลา เจ๊นกน้อยกับน้าแจ้ ที่ขอแยกตัวไปเดินเล่นริมตลิ่งและหาซื้อของกินกลับบ้าน  โอ๊คกับมือกลองเดินกลับผ่านจอหนังกลางแปลง ที่ยังคงมีผู้คนนั่งดูบนพื้นหญ้าอยู่ไม่น้อย

“ Why is my reflection Someone i don’t know ?.. Somehow i cannot hind.. Who i am.. Though i’ve tried... When will my reflection show Who I am indside ?... When will my reflection show.. Who I am.. Inside..” เสียงเพลงลอยมาจากหนังกลางแปลง  โอ๊คคว้าแขนให้มือกลองหยุดเดิน

“แป๊บนึงสิ ตอนโปรดเลยอ่ะ ฉากพ่อกับมู่หลาน”

“ฉากดอกไม้ในตำนาน.. ชอบฉากนี้เหมือนกัน.. เอิ่ม.. พรุ่งนี้ไม่ได้เรียนเช้าใช่ไหม.. อยู่ดูกันไหมล่ะ”

“ได้เหรอ เอาสิ”  แล้วโอ๊คก็ยื่นเงินสิบบาท เป็นค่าเช่าเสื่อน้ำมัน ปูที่ตรงกลางลานหญ้า เป็นที่นั่งวีไอพีที่เวิ้งนี้ป้าเจ้าของเสื่อน้ำมันให้เช่าได้จองโควต้าไว้ เป็นที่นั่งที่ดีที่สุดของค่ำคืน

“ขอบคุณที่มาหานะ” โอ๊คเอามือตบที่เสื่อน้ำมัน เป็นการเรียกให้มือกลองกระเถิบมานั่งชิดเขา

“ต้องรวมความกล้าอยู่นาน กว่าจะบากหน้ามาหาเนี่ย เสี่ยงหน้าแตกมากเลยรู้ไหม”

“คนขี้ป๊อดอย่างเรา นี่ต้องเจอคนจริงแบบนี้สินะ”

“โอ๊ค..”

“ครับ”

“ถ้ามันจบตอนนี้ มันจะเป็นคืนวันลอยกระทงที่เราฝันไว้เลย”

“นางเอกเลิกงานดึก มาชวนพระเอกลอยตอนเที่ยงคืนอะไรอย่างงี้เหรอ”

“โรแมนติกหน่อยสิครับ”

“ที่ฝันไว้ คือจะให้จบแค่นี้ใช่ไหม”

“คนเจียมตัว ก็กล้าที่จะฝันได้แค่นี้แหล่ะ”

“ป๊อดเหมือนกันแหล่ะวะ”

“ก็....” แล้วปากของมือกลองก็ไม่สามารถจะเอื้อนเอ่ยอะไรอีกต่อไปได้ แม้เป็นเพียงเวลาอึดใจอันแสนสั้น แต่ลมหายใจที่แผ่วเบามาพร้อมกับริมฝีปากที่แผ่วบางเป็นรอยจุมพิตจากชายที่ชื่อโอ๊ค มอบให้เขา มันทำเอามือกลองแทบหยุดหายใจ..
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 22 : เธอกินผู้ชายเป็นอาหาร.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 12-03-2018 22:24:00
Track 22 :  เธอกินผู้ชายเป็นอาหาร.. และอันตธานไปในยามราตรี..

ถนนแม่น้ำแคว ยามสายจนแดดจะคร่อมศีรษะ เส้นทางที่เงียบเหงา บาร์ผับที่ปิดประตู คราบโซดา เหล้าเบียร์ที่หกเลอะพื้นปูนยังไม่ทันจะแห้งดี มีเสียงดุริยางค์ดังก้องมาแต่ไกล สาวบาร์น้อยใหญ่ที่นอนเฝ้าร้านแง้มประตูหน้าต่างออกมาดู ผู้คน ที่มีอาชีพค้าขายตามปกติ ก็ออกมายืนริมฟุตบาต รอขบวนรถแห่ที่ประดับด้วยผ้าจับจีบอย่างสวยงาม

คันตรงกลางเป็นรถบุพชาติ มีการตกแต่งดอกไม้ไว้ บนรถมีเก้าอี้สองตัว หนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งอยู่ ฝ่ายหญิงโบกมือสะบัดทักทายผู้คนที่ยืนดูอยู่ริมถนน มีสายสะพายคาดลำตัว เขียนว่า นางนพมาศน้อย ถัดไปเป็นชายหนุ่มที่คาดสายแบบเดียวกันเขียน นายนพมาศน้อย ทำหน้าบอกบุญไม่รับโบกมือตามคำสั่งผู้เป็นครู ซึ่งดูแลกองอำนวยการและกำลังเดินคุมขบวนพาเหรดไป

“เฮ้ยมาแล้ว ไอ้กล้า ไอ้รูปหล่อของกู มึงแม่งอย่างหล่อ ยิ้มเว้ย ยิ้ม โบกมือเว้ย โบกมือ” ดอยตะโกนเมื่อขบวนพาเหรดผ่านหน้าหอพัก โดยมีน้าแจ้ และเจ๊นกน้อยมายืนรอดูด้วยท่าทีตื่นเต้น  มีเพียงโอเล่ ที่โดนเจ๊นกน้อยลากออกมายืนทำหน้าบึ้งตึง แต่ก็เหลือบมองไปที่หนุ่มเจ้าของรางวัล นายนพมาศน้อย ประจำปี 2542 ซึ่งเพิ่งได้ตำแหน่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผู้มีทีท่าสุดยียวนกวนประสาท และคนจะทำตาล้อเลียนโอเล่อยู่เสมอ ไม่เว้นแม่แต่ตอนที่กำลังนั่งตัวแข้งทื่ออยู่ในชุดประหลาดตาบนขบวนบุพชาติ เขายังคงหันมาทำหน้าล้อเล่นกับโอเล่จนครูคนเดิมต้องเตือนให้ทักทายผู้คนให้ทั่ว

“โอ๊ย น้องกล้าสุดหล่อ ไว้แต่งชุดนี้มาที่ร้านนะ เจ๊จะเลี้ยงตีนไก่ของโปรดหนูเลยจ้า” นกน้อยตะโกนสุดเสียง อวดสาวบาร์ทั้งหลายที่ทำปากเบะใส่ด้วยความหมั่นไส้  แม้กล้าจะยิ้มแหยะๆตอบกลับก็ตาม 

“นี่ เกรงใจ นางนพมาศ กับ หนุ่มนพมาศ รุ่นใหญ่ ที่หลังขบวนด้วยนะ เดี๋ยวเขาจะหมั่นไส้เอา” แจ้หันไปเตือนนกน้อย กับหลานที่ตะโกนเชียร์กล้าไม่หยุดด้วยเสียงแปดหลอด

“แหม รุ่นใหญ่เขาเดินสายมานับต่อนับ เจนเวทีกันซะขนาดนั้น หนูจะเชียร์รุ่นเล็กบ้าง จะไปผิดอะไรล่ะพี่ก็”

“จ๊ะ ๆๆ  เดี๋ยวใครแอบเอาหนูมาปล่อยในร้านตอน อย. มาตรวจ จะสมน้ำหน้าให้เลยคอยดู”

“ใจร้าย”


ในวิทยาลัยการอาชีพ ปุยที่เข้ามาวิทยาลัยในวันหยุด เพื่อมารับข้อมูลจากอาจารย์ที่ปรึกษา สำหรับเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแสดงทัศนะ หัวข้อ วัยรุ่นกับการพกถุงมีชัย เพื่อวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งได้รับเลือกจากคณะเหล่า คณาจารย์ที่ลงมติให้เจ้าประจำ อย่างปุยไปออกงาน ด้วยบุคลิกภาพ รูปลักษณ์ ความนอบน้อมในการพูด ตลอดจนความฉลาดในด้านวิชาการ จนเหล่าอาจารย์มักจะวางใจ นายนิติพันธ์ โรจน์อนันต์ทรัพย์ อย่างสม่ำเสมอ

ซึ่งปุยเมฆก็จะได้คะแนนพิเศษ และจิตพิสัยเต็มจากอาจารย์ทุกท่าน โดยเป็นคำข้องจากอธิการบดี แม้แต่ครูที่ดุที่สุดอย่างอาจารย์ละออ หรือ ใจหินด้านคะแนนที่สุด อย่างอาจารย์บุษกร ก็ไม่คิดจะกล้าขัดท่านอธิการบดีแม้แต่น้อย

“อ้าวทำไมเสร็จเร็วจังล่ะ ไม่ต้องรีบนะ รอได้” ดอยที่ขันอาสามาส่งปุยที่วิทยาลัย แม้ปกติวันหยุดมักจะใช้เวลาในการเล่นเกมอยู่เป็นนิจ แต่ครึ่งปีมานี้ วันหยุดสิ่งที่เขาติดยิ่งกว่าเกม ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้า

“เสร็จแล้ว ก็ไม่มีอะไรมาก แบบเดิมๆที่ไปกันอยู่ เดี๋ยวบางหัวข้อปรึกษาโอ๊คเล็กน้อย ก็ค่อยคิดคำคมๆไว้ใช้เพิ่ม”

“อยากเป็นที่ปรึกษาให้ได้อย่างโอ๊คบ้างจัง”

“เดี๋ยวโอ๊คไม่อยู่ ก็ต้องช่วยเราแหล่ะ”

“ไม่เก่งเหมือนไอ้โอ๊คน่ะสิ จะช่วยอะไรได้”

”เริ่มจากหัวข้อนี้ก่อนเลย พกถุงมีชัยเนี่ย น่าจะถนัด พวกหื่น น่าจะชำนาญกว่าโอ๊ค”

“อย่าประมาทไอ้โอ๊คคนดีของเธอนะ จะหาว่ายอดดอยคนนี้ไม่เตือน”

“ขายเพื่อนอ่ะ นิสัย”




“ผ่านมาทางนี้เมื่อไร ให้เธอเข้ามาทักทายบ้าง.. อาจยังมีที่ตรงกลาง ให้เธอเข้ามาพักใจ.. อย่าทำห่างเหิน หมางเมินกันจน เหมือนคนไม่มีเยื่อใย..”  เพลงเปิดลอยมาจากเสียงตามสายในห้างสรรพสินค้าอันดับหนึ่งของจังหวัด มีผู้คนมาจับจ่ายซื้อของแม้เป็นช่วงกลางสัปดาห์

บนชั้นสอง มีแผนกเครื่องกีฬา หนุ่มหล่อรูปร่างสูงโปร่ง ใส่เสื้อฟุตบอลสีขาวมีปก คาดลายดำแดง มีอักษร SHARP VIEWCAM ใต้ยี่ห้อเสื้อ UMBRO และตราทีมฟุตบอล  คู่กับกางเกงยีนส์สีฟอกตัวเก่ง กับแว่นตาดำอันโปรด กำลังเลือกหารองเท้ากีฬาที่ประยุกต์ใส่เป็นลำลองได้ 

“อ้าว ลูกโอ๊คใช่ไหม” ชายสูงอายุสำเนียงไม่บ่งบอกว่าไม่ใช่เชื้อชาติไทยแท้ ทักโอ๊คที่กำลังเลือกรองเท้า

“คุณพ่อสวัสดีครับ ต้องมาดูตรวจห้างเองเลยเหรอครับ แสดงว่า มือกลองเบี้ยวงานล่ะสิครับเนี่ย” โอ๊คที่แม้จะดูคล้ายหนุ่มห้าว แต่ยามที่คุยกับผู้ใหญ่ เขาช่างมีความสุภาพนอบน้อม จนฝั่งพ่อของมือกลองรู้สึกเอ็นดู

“เปล่าเลย พ่อให้เขาพักบ้าง ทำงานทุกวัน ไหนจะที่ไปเปิดร้านเหล้าอีก พ่อล่ะอยากให้เขากลับไปเรียนที่ฟิลิปปินส์ ก็ไม่ยอมไป นี่ต้องบังคับให้พักบ้าง..  แต่ก็นอนอยู่ข้างบนนี่แหล่ะ ชั้นที่.. เอ่อ..”

“ชั้นที่สาม”

“อืม..  นี่พ่อก็สั่งเปลี่ยนใหม่หมดนะ ไม่ให้มันรกร้าง ตกแต่งใหม่หมด มีกล้องวงจรปิด มียามเดินตรวจตรา พ่อ..  พ่อ..”

“พ่อครับ เรื่องอะไรที่แล้วไปแล้ว ก็แล้วกันไปนะครับ ไม่ใช่เป็นความผิดของห้างหรอกครับ  ผมและป๊ะป๋าเข้าใจดี”

“แต่ถ้าพ่อปิดตายมันไปซะเลยแต่แรก..”

“ป๋ากับม๊า ฝากความคิดถึงมายังคุณพ่อเสมอนะครับ แต่ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอคุณพ่อเลย”

“พ่อดีใจที่แวะมานะ  ขึ้นไปหามือกลองหน่อยสิ เขาไม่ค่อยจะเข้าสังคมเท่าไหร่ นี่ถ้าไม่ได้พรรคพวกที่เรียนด้วยกันมาชวนเปิดร้านเหล้า วันๆคงแทบไม่ค่อยออกไปไหน ยิ่งพอเห็นว่า โอ๊คจะไปอยู่กรุงเทพพักใหญ่ นี่ดูซึมไปเลย”

“ครับเดี๋ยวผมเสร็จธุระแล้วจะแวะไปครับ”

“ไว้แวะมากินข้าวกันนะ” แล้วชายสูงวัยก็เดินไปตบไหล่ ปล่อยให้โอ๊คเลือกของตามลำพัง แต่ก็ส่งสัญญาณพนักงานขาย เป็นเชิงบอกว่า ไม่ให้คิดเงิน ตามประสาเจ้าของห้าง ที่มักรับรองลูกค้าวีไอพีด้วยการให้สินค้าฟรี เพื่อนเป็นสานสัมพันธ์ แต่กับหนุ่มน้อยคนนี้ ผู้เป็นเจ้าของห้างไม่ได้แค่อยากเอาใจ  แต่ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกผิดที่ห้างของเขาเป็นต้นเหตุให้เกิดโศรกนาฏกรรมแก่ครอบครัวที่เคยชิดเชื้อ  แล้วก็รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดูโอ๊คเป็นพิเศษ 

พ่อของมือกลองไม่คุ้นกับระบบยุติธรรมในเมืองไทย เพราะที่ฟิลิปปินส์ มีวิถีและขบวนการที่ต่างกันออกไป ในขณะที่ทุกคนกำลังโศกา แต่โอ๊คได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ และประสานงานกับเจ้าหน้าที่ ตลอดจนเป็นตัวแทนพ่อกับแม่ในการติดต่อกับตำรวจ

มร.โทนี่ จึงรู้สึกว่า เขาติดค้างครอบครัวนี้ เขาหาโอกาสดี ที่จะปรับปรุงชั้นสามใหม่หมด  ไม่ให้เปลี่ยวร้าง  เฟอร์นิเจอร์ที่ปิดแผนกไปนาน ถูกขนของเอามาเลหลังขายถูกจนหมดเกลี้ยง  ตู้เกมและเครื่องเล่นที่เป็นแหล่งซ่องสุมวัยรุ่น ถูกเอาไปบริจาคให้สภากาชาดจังหวัดไว้ออกรางวัล  แต่เขาก็รู้สึกอดสูทุกครั้ง ที่ต้องแวะมาเยี่ยมมือกลอง ลูกชายที่ยืนกรานขอย้ายมานอนที่ชั้นสามของห้าง มร.โทนี่ จึงตกแต่งชั้นสามให้กลายเป็นศูนย์รวมอุปกรณ์ไอที ศูนย์อาหาร และห้องนอนที่ตกแต่งไว้อย่างดีของลูกชาย ตามความประสงค์ของมือกลอง



ในร้าน รองเดวูซ์ อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ แน่นไปด้วยชาวต่างชาติมาใช้บริการอินเทอร์เน็ต ไม่แพ้เกสต์เฮ้าส์ โรงแรมในระแวกที่ต่างก็ถูกจับจองเต็มเช่นกัน เนื่องจากเข้าสู่ สัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว เทศกาลใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรี โดยในงานจะมีมหกรรมสินค้ามาขาย มีการแสดงไลท์แอนด์ซาวด์ จำลองประวัติศาสตร์สงครามโลกโดยใช้สะพานข้ามแม่น้ำแควเป็นฉากจริง แล้วก็มีเครื่องเด็กเล่นแบบงานวัด มีลานเต้นรำ ลานเบียร์สด ตลอดจนการแสดง และงานประกวด จากเหล่าหน่วยงานในท้องถิ่นแต่ละอำเภอ โรงเรียน วิทยาลัย และสถาบันศึกษาทุกหน่วยเหล่า

“นี่น้าเอาจริงเหรอครับ นึกยังไงไปประกวดเนี่ย ไปบ้าจี้ตามเจ๊นกน้อย” ดอยที่อดสงสัยไม่ได้ เอ่ยถามผู้เป็นน้า

“ก็เทศบาลเขาขอความร่วมมือมา แล้วเขาก็เห็นว่าข้าคุณสมบัติครบถ้วน”

“คุณสมบัติก็คืออะไรครับน้า”

“ก็แน่นอน ต้องหล่อว่ะหลาน แล้วก็ไม่ถึงกับสูงนัก ตัวล่ำ แล้วก็...”

“หัวล้าน !” อาร์มตะโกนจากโต๊ะคอมพิวเตอร์มาแทรกบทสนทนา

“เพื่อนหลาน กูก็เตะได้นะ” แจ้ถลึงตาใส่

“โห่ว น้า ก็ประกวด ขุนช้างแห่งทางสายมรณะ ชื่อแม่ง ก็บอกแล้วว่า หัวล้านๆ แล้วก็ดู ผีๆ”

“กูย้ำว่า เพื่อนหลาน กูก็เตะได้นะ”

“แหม ล้อเล่นนน ในบรรดาคนวัยดึกในตลาด น้านี่เหมาะจะเป็นขุนช้างสุดแล้ว หล่อก็หล่อ คุณสมบัติก็ครบ” อาร์มแก้

“คุณสมบัติก็คืออะไรครับเพื่อน” ดอยถามซ้ำประโยคเดิม แต่กับอาร์ม ไม่ใช่กับน้าแจ้

“เตี้ย ล่ำ หัวล้านว่ะ” อาร์มระเบิดเสียงหัวเราะ ทำเอาคนไทยในร้านหัวเราะตามไปด้วย มีเพียงชาวต่างชาติที่ฟังไม่ออก

“เดี๋ยวถ้ากูได้รางวัลขึ้นมา มึงอย่ามาแตะ Suzuki Sprint รุ่นใหม่ ของกูกันล่ะ”

“โหย อย่างเท่อ่ะน้า ออกปีนี้ จะได้สติ๊กเกอร์รุ่นฉลองยอดขายรวมซูซูกิ 40 ล้านคันทั่วโลก เฮ้ย เดี๋ยวผมแต่งให้ น้าเอารางวัลมาให้ได้” ดอยเกิดอยากจะเป็นหลานรักขึ้นมา

“อ้าว ทำไมทิ้งกูเป็นศัตรูล่ะไอ้ดอย ไอ้สาสส”  อาร์มรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง หันกลับไปเล่นเกมต่อ

“แล้วขุนช้าง นี่มันเป็นตัวร้ายไม่ใช่เหรอครับน้าแจ้” โอเล่ที่นั่งฟังแล้วสงสัย จึงถามบ้าง

“ขุนช้างน่ะน้องโอเล่ ว่ากันว่า เป็นเพื่อนเล่นขุนแผนแต่ยังเด็ก แล้วก็หลงรักนางพิม แต่โดนขุนแผนแย่งความรักไป”

“อ้าว แล้วทำไมขุนแผนถึงได้เป็นพระเอกล่ะน้า” อาร์มที่ฟังแล้วยังงง ก็ถามขึ้นมาบ้าง

“คือ ขุนช้างเนี่ย รักนางพิมมาก ก็เลยทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้นางพิมมาเป็นเมีย แต่มันไม่ถูกขั้นตอนนัก”

“ทำรุนแรงเหรอครับ” ดอยเริ่มสนใจบ้าง

“จะว่าไป เวลาขุนแผนตอบโต้ รุนแรงกว่านะ ถึงขั้นฆ่ากัน เลือดตกยางออก”

“อ้าว แล้วทำไม ขุนแผนเป็นพระเอก แล้วขุนช้างเป็นตัวร้ายล่ะครับ” โอเล่เร่งเอาคำตอบ

“คือ..”

“หรือว่า ขุนช้างเจ้าชู้ ไม่รักนางพิม” อาร์มแสดงความเห็น

“ไม่ๆๆ ขุนช้างรักนางพิมคนเดียว ต่อให้นางพิมไปมีขุนแผน ก็ยังรักนางพิม แม้นางพิมไม่รัก คิดแค่เป็นเพื่อน”

“เห็นว่าขุนแผนก็มีเมียหลายคน เจ้าชู้” โอเล่เสริม

“อ้าวเฮ้ย” ดอยอุทานก่อนจะถามต่อ  “แล้วสรุปยังไงล่ะครับน้า”

“ก็เรื่องไปถึง พระพันวษา ซึ่งให้นางพิมเลือกว่าจะอยู่กับใคร นางพิมเลือกไม่ได้ ก็เลยถูกประหาร”

“โห่ว ทำไมมันแซดเอนดิ้งล่ะน้า” อาร์มผิดหวังกับเรื่องเล่าปรัมปรา

“แม้นางพิมจะเลือกไม่ได้ เพราะรักขุนแผน แต่ก็สงสารความดีของขุนช้าง จึงเลือกความตายให้ตนเองไป โดนตราหน้าว่าเป็นนางวันทองสองใจ แต่ขุนช้างเศร้ามาก ออกบวชและไม่สึกอีกเลย ส่วนขุนแผน ก็มีเมียใหม่ต่อไป”

“ผมไม่เห็นเหตุผลที่ขุนแผนได้เป็นพระเอกเลยครับน้าแจ้” โอเล่แสดงความเห็นด้วยน้ำเสียงเซ็ง

“คือ คนโบราณ เรื่องรักมันเรื่องรองว่ะ คุณงามความดีที่ทำให้บ้านเมืองต่างหาก มาก่อนเสมอ ขุนแผนแม้จะมีนิสัยเจ้าชู้ประตูดิน แต่ก็เก่งกาจในการรบ ช่วงบวชเป็นเณรที่วัดส้มใหญ่ในกาญจนบุรีบ้านพ่อเขา  ขุนแผนมีอาคมเก่งกล้าสามารถ และสามารถเอาชัยชนะเหนือศัตรูบ้านเมืองมาตลอด จนได้ฉายาขุนแผนแสนสะท้าน ส่วนเรื่องความรัก มันแล้วแต่คนมอง”

“คนโบราณถึงได้มีเมียกันเยอะเนอะน้า มันเป็นแบบนี้นี่เอง” อาร์มเหมือนดวงตาเห็นสัจจะธรรมเอ่ย

“คนเมืองกาญจน์ ก็บอกว่า ขุนแผน เป็นเรื่องของเมืองกาญจน์  คนสุพรรณ เขาก็ว่า ขุนแผนเป็นเรื่องของจังหวัดเขา ประวัติศาสตร์มันยาวนานจนสืบกันยาก แต่เราที่ดูอยู่ห่างๆ ก็เอาแก่นของมันมาใช้ก็แล้วกัน อะไรที่ดี ก็เก็บไว้ อะไรที่มันไม่ดี ไม่ทันยุคสมัย ก็ตัดออกไป” แจ้สั่งสอนหลานและเพื่อนพ้อง

“เหมือนที่เราควรเอาความเด็ดเดี่ยวของขุนแผน กับความรักใครได้มากเท่าขุนช้างมาเรียนรู้เนอะครับน้า” โอเล่สรุป

“หรือ หล่อให้ได้เท่าขุนแผน แล้วหัวล้านได้เท่าน้าแจ้ เอ๊ย รักเดียวได้อย่างขุนช้าง” อาร์มหยอก

“เดี๋ยวมึงได้โดนขุนช้างกระทืบ เอาให้ศิลาจารึกได้กล่าวถึงเลยดีไหม”



ปลายบันไดเลื่อนขาขึ้นของห้าง ส่งโอ๊คที่หิ้วถุงใส่กล่องรองเท้ากีฬาพาตัวขึ้นมายังชั้นสามของห้าง นานแล้วที่คนในสมาชิกครอบครัว “ตรีโอฬารวงศ์” ได้ขึ้นมาสถานที่แห่งนี้ ถ้าไม่รวมช่วงที่ทำแผนคดี ก็น่าจะเป็น ปลายน้ำ..  อุ๋มอิ๋ม น้องสาวของเขานั่นเอง  แต่บัดนี้ ชั้นที่เคยปล่อยให้เป็นชั้นร้าง ได้รับการตกแต่งใหม่อย่างดี ใช้โทนสีขาวสว่าง มีร้านหนังสือและมุมให้อ่านหนังสือซึ่งเรียกเด็กนักเรียนได้เยอะพอสมควร มีโรงภาพยนตร์สองโรง แม้ขนาดไม่ใหญ่เท่าห้างในกรุงเทพ แต่ด้วยราคาขายตั๋วเพียง 60 บาท แถมโปรแกรมหนังมักถูกใจคนท้องถิ่น ก็ทำให้คนดูแน่นโรงอยู่เสมอ

ถัดไปเป็นเวิ้งสินค้าไอทีมีเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งจำหน่ายและรับซ่อมเรียงราย และเวิ้งไกลนั้น  มีแผนกศูนย์อาหาร ที่มีร้านอาหารแบ่งเป็นล็อคเรียงรายอยู่ไม่น้อย ยกเว้นส่วนของเครื่องดื่มที่แยกออกมา ถ้าเขาจำไม่ผิด รายได้ของส่วนเครื่องดื่มเป็นโควตาของลูกเจ้าของห้าง ก็คือเจ้าของห้องนอนวีไอพีที่อยู่ไกลสุดตรงนั้น ตรงที่เคยเป็นห้องน้ำเดิม  เขาตรงไปเคาะประตู จนสักพักมีเสียงบอกให้คอยแล้วเดินมาเปิด  คนเปิดประตูแม้มีสภาพงัวเงียแต่ก็แต่งตัวในชุดทำงานไว้แล้ว มีรอยยับเล็กน้อย จนโอ๊คอนุมานได้ว่า เขาคงลงไปทำงานได้สักพัก จนพ่อไล่ให้ขึ้นมานอนงีบ เสื้อเลยยับยู่ยี่ผิดวิสัยคนแต่งตัวเนี้ยบอย่างมือกลอง

“เข้าไปได้ไหมครับ” โอ๊คถามมือกลองที่ทำหน้าตกใจเมื่อเห็นเขา

“นี่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม”

“อยากให้โอ๊คลอกหยิกแก้มดูไหมล่ะ จะเอาให้ร้องจ๊ากเลย”

“จะทำร้ายกันไปถึงไหน แล้วนี่ก็เงียบหายไปตั้งแต่วันลอยกระทง”

“กรรม.. ก็เห็นไม่พูดไม่จาตั้งแต่ดูหนังกลางแปลงจบ”

“มันก็มีเรื่องให้คิดหรือเปล่าล่ะครับ ไม่เหมือนบางคน กลับไปคงนอนหลับปุ๋ยเลยสิ พวกที่ทำแบบนั้นกับใครก็ได้”

“โอ๊คไปทำอะไรกลองเหรอครับ”

“ยังจะมาพูดอีก”

“จะเชิญเข้าห้องไหมล่ะ หรือจะให้เผลอทำไอ้ที่ว่ากับใครก็ได้ตรงนี้เลยดีไหม”



ที่หน้าประตูบ้านสองชั้นในหมู่บ้านจัดสรรที่ค่อนข้างแออัด แต่บ้านมีสภาพค่อนข้างดูดีกว่าหลังอื่นเพราะทาสีขาวใหม่ทั้งหลัง ตัดกับหลังคาลอนกระเบื้องสีแดงใหม่เอี่ยม รถคัมรี่สีเขียวเข้มจอดอยู่หน้าบ้าน มะนาวนั่งรออยู่บนรถด้านหน้าซ้าย  โดยมีอาร์มช่วยหิ้วของเดินไปส่งเดียร์ซึ่งเพิ่งกล่าวลากับมะนาวเพื่อกลับเข้าบ้าน

“พี่อาร์มๆๆ มานี่เร็ว” อาร์มที่วางของที่ม้าหินหน้าบ้านเสร็จ ก็เดินมาหาเดียร์ที่มีอาการลับๆล่อๆ

“ว่าไงจ๊ะคนสวย”

“พี่ พักนี้มีเพื่อนต่างสาขา ชื่ออร่าม มาจีบแฟนพี่นะ”

“ห๋า ไอ้ตี๋ท้วมๆ ที่ชอบขับเบนซ์ไปรับไปส่งสาวๆ อ่ะนะ”

“อ้าวพี่รู้จักเหรอ”

“พ่อมัน ก็เพื่อนพ่อพี่นี่แหล่ะ มันก็รู้จักมะนาวอยู่ก่อนแล้ว”

“นั่นแหล่ะพี่ มันทั้งส่งข้อความเข้าเพจ มาชวนกินข้าวบ้าง ฝันดีบ้าง แถวยังซื้อชานมไข่มุกมาฝากมะนาวทุกคาบบ่าย”

“แล้วมะนาวก็รับอ่ะนะ ใส่ยาอะไรให้กินหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวเหอะ”

“พี่อย่าไปบอกล่ะว่าเดียร์บอก แต่มะนาวไม่มีทีท่าว่าชอบนะ เหมือนกับขำๆ เขายังเอาข้อความให้เดียร์ดู ว่าไม่มีอะไร”

“อืม ขอบใจมากน้องเดียร์ ฝากดูด้วยนะ”

“ค่ะพี่ รีบไปเหอะ เดี๋ยวมะนาวจะสงสัย”






ระหว่างรอมือกลองส่งอีเมล์ให้แผนกคงคลังสินค้า โอ๊คที่นั่งอยู่ในห้องซึ่งตกแต่งไว้อย่างดี ไม่เสียชื่อลูกจ้างของโรงแรมใหญ่อันดับต้นของจังหวัด เขามองไปรอบๆ มีสัญลักษณ์และตุ๊กตาค้างคาวอยู่หลายจุด ซึ่งเขาแอบสังเกตมาตั้งแต่ที่สปอร์ตบาร์ และมินิเธียเตอร์ที่บ้านมือกลองแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม กระทั่ง ตุ๊กตาแบทแมนสีเทา ผ้าคลุมกับหน้ากากสำดำสนิท ตัวใหญ่ประมาณสองฟุต ที่วางตรงโซฟาที่เขานั่ง เขาเผลอใจที่จะหยิบมาดูไม่ได้ เขาจับมันทำท่าบินแบบที่คุ้นเคย โดยมีมือกลองที่กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แอบมองมาตลอด

“นี่มันเหมือนกับตัวที่เราเคยเอาไปจับรางวัล ตอนที่สโมสรโรตารี่จัดงานปีใหม่เลยเนอะ” โอ๊คยังคงจับแบทแมนมาทำท่าเหาะอย่างอารมณ์ดี

“ไม่เหมือน แต่มันคือตัวนั้นเลย”

“ห๋า จริงดิ ยังเก็บไว้อีกเหรอ หลายปีแล้วนะ”

“สิ้นเดือนหน้า ก็ครบ สี่ปี” มือกลองจ้องตาโอ๊ค ที่เงียบไป เขาจึงตัดบรรยากาศด้วยการส่งรีโมททีวีให้โอ๊ค

“เดี๋ยวถ้าโอ๊คไปอยู่กรุงเทพแล้ว กลองก็ออกไปเจอเพื่อนฝูงบ้างล่ะ มีแต่คนอยากคบหา ทำแต่งาน ดูหดหู่ชะมัด”

“เหมือนใครก็ไม่รู้เนอะ”

“นี่ถ้าอยู่ด้วยกัน สงสัยโลกนี้คงจะมีแค่เราสองนะ แบบคู่อินดี้อะไรอย่างนี้”

“.....”

“ใจเย็น ไม่ได้พูดให้คิด”

“ก็เป็นซะอย่างนี้ทุกที”




[ TBC ]


หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 22 : เธอกินผู้ชายเป็นอาหาร.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 12-03-2018 22:41:37
[ ต่อ ]

ท่าน้ำหนองบัว เป็นตลิ่งดินแห้ง ทอดแนวยาว อยู่ในตำบลหนองบัว อำเภอเมือง ของจังหวัดกาญจนบุรี ลำน้ำจากแม่น้ำแควใหญ่ ไหลแรงมาจากเขื่อนเก็บน้ำท่าทุ่งนา ที่กัก และปล่อยเป็นเวลา น้ำจึงมีความใสและเหมาะกับการเล่นน้ำพักผ่อน แม้จะเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว แต่ด้วยตัวจังหวัดที่กลางวันร้อนจัดไม่ว่าจะฤดูอะไร พอคล้อยบ่ายแก่ ผู้คนก็มักแวะเวียนมาเล่นน้ำที่แห่งนี้ประจำ เนื่องจากลำน้ำมีความตื้นไม่อันตราย แถมยังมีความเชี่ยวของน้ำสูง วัยรุ่นนี้ยมเช่าห่วงยาง ให้แรงน้ำพัดจากหัวสะพาน ลอยคล้ายล่องแก่งไปสู่โค้งน้ำ โดยตลิ่งข้าง ถูกจับจอง ปูเสื่อ มีแม่ค้า มาจอดรถกระบะขายเครื่องดื่ม และส้มตำ ตลอดจำอาหารประเภทกับแกล้มไว้บริการ

“แม่งนี่ขนาดหน้าหนาว คนยังตรึม” อาร์มที่กำลังซัดต้มตีนไก่เป็นชามที่สอง พูดไปเคี้ยวไป

“เมืองกาญจน์เรา มีแต่ฤดูร้อน กับร้อนชิบหายว่ะ ไม่เคยเจอว่าหนาวเกินห้าวันสักที” ดอยตอบ

“แล้วแถวบ้านดอย ที่ทองผาภูมิหนาวไหม” ปุยที่กำลังแกะกุ้ง แล้วส่งเนื้อใส่จานดอยถามบ้าง

“บ้านเราหนาวกว่าบ้านคุณตา  คือทองผาภูมิ เช้ากับค่ำหนาวมาก  แต่ที่สังขละแดดมันจะแรงกว่า แต่อากาศดีกว่าในเมือง นี่อยากไปใช่ม๊ะ ถามทุกวันเลย”

“ฮั่นแน่ ปุยอยากไปตีสนิทผู้ใหญ่ล่ะสิ” โอ๊คยิ้มหน้าตาย ทำเอาปุยไม่รู้ว่าแซวด้วยรอยยิ้มแบบจริงใจหรือเปล่า

“คุณตาพี่ดอยดุเหรอคะ เห็นพี่อาร์มบอก” มะนาวตักต้มตีนไก่น้ำแดง เติมใส่ถ้วยแบ่งให้อาร์ม

“ไม่ดุนะ แกเคยบอกว่า จะมีคนหน้าเหมือนกันมาเป็นเพื่อนตายของพี่ ถ้าพี่จากบ้านจากเมืองมา ก็มาเจอไอ้แฝดนรกคู่นี้ บอกว่า พี่จะมาเริ่มต้นในเมือง ให้ทิ้งทุกอย่างที่นั่นให้เป็นอดีต ก็งงอยู่”

“เขานั่งทางในเหรอคะ”

“คุณตามีญาณสัมผัส ภาษากะเหรี่ยงเรียกอะไรไม่รู้ แม่เคยบอกว่า แค่ตาจุ่มเท้าลงในน้ำ เขาก็รับรู้ความเป็นไปของคนที่เขาอยากรู้ได้ เขาเลยให้พี่อยู่ใกล้แม่น้ำไว้ แต่ว่าแม่น้ำแควน้อยของคุณตา กับ แม่น้ำแควใหญ่ที่พี่อยู่ มันก็คนละเส้น แต่มันไปเชื่อมกันที่จุดน้ำสองสี บางทีเวลาพี่คิดถึงคุณตา ก็จะไปนั่งเล่นที่แม่น้ำสองสี”

“โอ๊คเคยไปเจอคุณตายัง” ปุยถาม “แล้วอาร์มล่ะ”

“โอ๊ย โอ๊คนี่ แทบจะหลานรักเลย ส่วนเรานะปุย ท่านบอกว่า เราจะนำความเดือดร้อนมาให้หลานเขา พูดแล้วก็ทำตาดุๆใส่ ขนนี่ลุกซู่เลย” 

“ขึ้นไปหากันบ่อยเลยเหรอคะ ช่วงที่มะนาวไปเรียนที่อื่น”

“พี่ไปบ่อย ไปทีไรก็โดนด่าตลอด แต่โอ๊คไปครั้งเดียว คุณตาไอ้ดอยก็ให้ลูกประคำมาเส้นนึง โอ๊คมันไว้ที่หัวเตียง เอาเป็นว่า พี่แอบดู มันสื่อสารกับคุณตาได้ด้วยว่ะ ผ่านลูกประคำ” อาร์มเล่าได้น่าสนใจจนคนทั้งโต๊ะมองไปที่โอ๊ค

“เฮ้ย มึงนี่เอง นินทากูให้คุณตาฟัง” ดอยจะเอาเรื่องโอ๊ค แต่เป็นการพูดเชิงล้อเล่นเสียมากกว่า

“ตามึงเพียรถามกูเรื่องมึงในภวังค์ตลอด”

“ในฝันเหรอคะ” มะนาวใคร่รู้

“ไม่ใช่ฝันนะ ท่านจะมาพี่เฉพาะช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือตอนที่พี่เศร้าสุดขีด”





ใกล้เวลาค่ำ ผู้คนที่ตลิ่งเริ่มซา เหลือเพียงวัยรุ่นและนักศึกษาวิทยาลัยครูที่อยู่ใกล้หาดน้ำจืด มะนาวกับปุยช่วยกันเก็บของที่กินกันจนแทบเกลี้ยงทุกอย่างใส่ถุงพลาสติกเพื่อเตรียมนำไปทิ้งถังขยะที่อยู่หน้าห้องน้ำสาธารณะของเทศบาลสร้างไว้อย่างสะอาดเพื่อบริการประชาชน  อาร์มเอาห่วงยางที่เช่าไปคืนร้าน พร้อมจ่ายเงินค่าอาหาร  โอ๊คกับดอยที่ยังคงแช่น้ำใกล้หัวสะพานก็เตรียมลอยคอมายังจุดที่นั่งของกลุ่มเขา เพื่อเตรียมขึ้น

“คุณตาคุยอะไรกับมึงบ้าง”

“ก็เรื่องทั่วไป เรื่องมึง เรื่องกู”

“ถามถึงเรื่องเมียมึงไหมล่ะไอ้โอ๊ค”

“ถามแต่เรื่องเมียมึง ซึ่งกูเล่าหมดไม่มีกั๊ก”

“กวนตีนแล้วเพื่อน”

“กูก็ไม่รู้ ทุกครั้งมันเหมือนเกือบจะตื่น บ้างก็เหมือนจะฝัน แต่ในฝัน มันมีการพูดคุย แต่คล้ายกูจะฟังท่านพูดมากกว่า”

“ท่านพูดอะไรเยอะสุด”

“ก็บอกนั่น บอกนี่กู”

“บอกอะไรล่ะ”

“บอกว่า กูไม่มีอะไรที่ต้องติดค้างหลานท่าน”





“โอ้วเหล้าจ๋า หันมา หันมา ยิ้มโหน่ยยยยยซิ ยิ้มซิ ยิ้มซิ ที่ร๊ากกกก ยิ้มนานหน่านนนน” ชายหนุ่มเดินเมามาจากตลิ่งน้ำ เพื่อที่จะกลับขึ้นรถกระบะ ซึ่งจอดอยู่ใกล้กับรถคัมรี่สีเขียวของอาร์ม  “อ้าวเห้อ ไอ้ดอยเกลอร๊ากกกกกกก

“ไอ้มด เจอทีไรสภาพเหมือนหมาทุกทีเว้ยเฮ้ย” ดอยประคองมดดำ ที่มีอาการเซ “แล้วนี่มึงขับรถกลับไหวเหรอ”

“เพื่อนกูขับมา มันยังเล่นน้ำกันอยู่เว้ยยยยย นี่มันให้กู มานอนรอที่โร้ดดดดดดด” มดดำสะอึก

“นี่จะอ้วกแบบเมื่อวันแดงเดือดอีกไหมอ่ะ” ปุยกระซิบมะนาว ที่มีอาการยืนเกร็งตั้งแต่เห็นมดดำเดินเข้ามา

“เมาใส่รถเรา มีกระทืบแน่เลยปุย” อาร์มกำหมัดชูให้ปุยดู “ป๊ะ มะนาว ไปนั่งรอบนรถก่อน”

“น้องมะนาวคนสวยยยยยยย  ยังไม่หายโกรธพี่อีกเหรอจ๊ะ โถวๆๆๆ ไอ้แห้งนี่มันดูแลน้องไม่ได้หรอก ต้องพี่นี่” มดดำเบ่งกล้ามโชว์ให้มะนาวดู ด้วยทีท่าที่เมามาย  “พี่นี่ จะปกป้องน้องเอง น้องมะนาวคนสวยยยยยย”

โอ๊คต้องเอามือโอบเอวกั้นอาร์มที่พร้อมจะพุ่งไปมีเรื่องกับมดดำได้ทุกเมื่อ ดอยที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงพยายามดันให้มดดำ เดินกลับไปนอนรอในรถกระบะแทน 

“แถมพี่ ก็รักเดียวจายยยยเดียว ด้วยนะ พี่ไม่ได้แอบนอกใจไปขึ้นห้อง 2D แบบใครสองคนแถวนี้หร๊อกกกกก” มดดำทิ้งระเบิดลูกใหญ่ ลูกสุดท้ายก่อนล้มตัวลงไปในเบาะของรถกระบะ ก่อนดอยจะหมุนเปิดหน้าต่างรถ แล้วจับมดดำเอนเบาะแล้วปิดประตูให้ ก่อนทั้งหมดจะขึ้นรถกลับบ้านไปด้วยบรรยากาศที่อึมครึม  ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยจากปากของมะนาวและปุยเมฆตลอดทางกลับบ้าน






“ต้องซ้อมตอบคำถามไหมพี่” นกน้อยที่กำลังย้อมผมที่เหลือน้อยให้กับแจ้ ที่นั่งเปลือยท่อนบน นุ่งผ้าขาวม้าตัวเดียว มีผ้าขนหนูเก่า รองที่บ่าเพื่อกันน้ำยาย้อมผมกระเด็นใส่ผิว

“ไม่น่ามีอะไรนะ ถ้าคำถามของขุนช้าง มันก็น่าจะ คิดอย่างไรกับคำว่ารักเดียวใจเดียว อะไรแบบนี้แหล่ะ”

“หืม เก่งจริงๆเลยพี่เนี่ย  ตอนหนูขึ้นประกวดธิดาจำแลงปีนู้นก็ตื่นเต้นตรงตอบคำถามนี่แหล่ะ เลยได้แค่รองหนึ่ง”

“ตอนนี้ ไปประกวดก็ยังได้เลยนะ ยังสาวยังสวย รับรองสายสะพายต้องเป็นของน้องนก”

“พี่นี่ก็ คริ คริ”  นกน้อยเอาข้อศอกที่ยังไม่เปื้อนยาย้อมผม ไปกระแทกแก้เขินที่หลังเปล่าเปลือยของแจ้ มือยังคงสวมถุงมือพลาสติกที่บัดนี้เลอะสีน้ำตาลแกมดำ  นกน้อยต้องหุบยิ้มและทีท่าเขินอายลง เมื่อมีร่างอรชนอ้อนแอ้นเดินจากหอลงมาที่ร้านคอมพิวเตอร์ ที่ทั้งสองกำลังนั่งปฏิบัติภารกิจ ปิดผมขาว ให้กับแจ้อยู่

“พี่แจ้คะ แมว เอาเทปมาคืน ขอบคุณนะคะ แล้วก็นี่ซื้อคุกกี้ที่พี่ชอบมาฝาก ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์เย็บปลอกหมอนให้แมว  อ้าวพี่น้อย มายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ทันเห็น สวัสดีค่ะ” ผู้พูดวางถุงคุ้กกี้จากน่านฟ้าเบเกอรี่อันโด่งดังวางไว้ที่ข้างโต๊ะคอม แล้วก็เยื้องย่างออกไป ผมดำขลับที่ปลิวสลายเมื่อต้องลม เผยให้เห็นผิวขาวเนียว ตัวบางเล็กสูง แขนขาดูยาวในชุดสายเดี่ยวสีดำ ผู้มาเยือนยืนรอรถยนต์วอลโล่สีทองมารับขึ้นรถที่หน้าร้าน แล้วก็ลาลับไป 

ไม่มีเสียงสนทนาหลังจากนั้น ยกเว้นเสียงร้องเจ็บตอนที่นกน้อยรูดหวีสางผมที่กำลังย้อมแรงไปจนแจ้รู้สึกแสบหนังศีรษะ จนเมื่อย้อมเสร็จ นกน้อยก็ขอตัวเดินกลับบ้าน ทิ้งแจ้ที่หมักย้อมผมจนได้ที่ ได้เวลาต้องไปล้างยาย้อมออก   เป็นจังหวะเดียวกับที่ ปุยเดินบึ้งตึงกลับเข้าหอพัก โดยมีดอยเดินตามง้อ โอ๊คที่เพิ่งลงจากรถ มีความเป็นห่วงทั้ง อาร์มที่นั่งตัวเกร็งขับรถไปส่งมะนาวที่ไม่พูดไม่จา  อีกทั้งปุยก็เกินงอนดอยขึ้นห้องไป  เจ๊นกน้อยที่เดินจะกลับบ้านมาเห็นโอ๊คที่ยืนทำหน้าเซ็ง

“รู้เรื่องแล้วเหรอ” นกน้อยถามหนุ่มหล่อที่ยืนตรงหน้า  โอ๊คพยักหน้าตอบเชิงรับ แต่ไม่ได้เล่าอะไรมาก นกน้อยส่ายหัว สงสารชะตากรรมของอาร์มกับดอย  แต่ก็อดโมโหตัวต้นเรื่องไม่ได้  “อีนังแมว”
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 22 : เธอกินผู้ชายเป็นอาหาร.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 13-03-2018 10:29:50
ยิ่งอ่านยิ่งอินค่ะ รักพี่ดอย  :hao7: รอคอยพี่โอ๊ค  :-[
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 23 : You’re not welcome anymore! ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 13-03-2018 22:53:35
Track 23 : Just turn around now.. ‘Cause you’re not welcome anymore!!”

หน้าร้าน นกน้อยโภชนา อุปกรณ์ภาชนะอาหารถูกจับมาล้างทำความสะอาดแพ็คใส่กล่องพลาสติกใส โดยมีรถกระบะที่อาร์มขอยืมของคนงานมา เพื่อช่วยบรรทุกอุปกรณ์การเปิดร้านสัญจร ทั้งนี้นกน้อยได้จองบูธไว้ 12 วัน เพื่อออกร้านในสัปดาห์งานสะพานข้ามแม่น้ำแคว โดยปีนี้ นกน้อยขนทีมอันประกอบไปด้วย มะนาว และ ปุยเมฆ ซึ่งดูตื่นเต้นกับการไปช่วยออกร้าน ขนมจีนน้ำยารสเลิศ  สมทบด้วยโอเล่ที่ขันอาสาขอไปดูพฤฒิกรรมผู้บริโภค

ทีแรก โอเล่ ขอเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเช่าบูธทั้งหมด แต่นกน้อยไม่ยอม เพราะเกรงใจ โอเล่จึงได้แต่ออกไอเดีย และช่วยดูเมนู รวมถึงการตั้งราคา ทำป้ายไวนิล  มะนาวกับปุย ที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่การเรียนเข้าสู่ความผ่อนคลายในปลายปีมากขึ้น จึงอยากมีส่วนร่วมกับการออกร้านของนกน้อย อีกทั้ง มะนาวกับปุย ที่ตอนนี้มักจะคุยกันถูกคอและสนิทกันมาก โดยเฉพาะตั้งแต่กลับจากท่าน้ำหนองบัวที่เจอกับมดดำ ซึ่งเล่าเหตุการณ์ในอดีตบางอย่างของ ดอย และ อาร์ม จนทำให้มะนาวกับปุยกลายเป็นคู่หู โดยมีโอเล่ ที่เริ่มกล้าคุยกับมะนาว และ ปุยมากขึ้น มาคอยอยู่ใกล้ๆ และให้ลูกน้องพ่อเอารถตู้คันหรู มารับมาส่งไม่ว่าโอเล่และเพื่อนอยากจะไปที่ไหน

ที่สวนหลังหอพัก ดอยที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเก็บคะแนน วิชาเครื่องปรับอากาศรถยนต์ ที่ม้านั่ง โดยมีโอ๊คนั่งติว อยู่ใกล้ๆ ส่วนอาร์มก็อ่านหนังสือเตรียมซ่อม วิชานิวเมติกส์ และไฮดรอลิกส์ ที่ตัวเองได้คะแนนน้อยกว่าเกณฑ์

“น้ำยาแอร์ถ้าผ่านคอมเพรสเซอร์เข้าตู้แอร์ในรถจะมีสภาพเป็นก๊าซ ไม่ใช่ของเหลว” โอ๊คอธิบาย

“อ้าวแล้วที่มันหยดลงที่พื้นเป็นน้ำนั่นอะไรล่ะ”ดอยซัก

“มันคือน้ำทิ้งที่มากับท่อระบายน้ำ แต่ไม่ใช่น้ำยาแอร์ ถ้ามันรั่วมันจะมีสภาพเป็นก๊าซ มีกลิ่นฉุนและแสบตาจนรู้สึกได้”

“งั้นก็น้ำยามันก็ไม่ใช่น้ำยาน่ะสิ”

“มันก็ยังเป็นน้ำยาอยู่ดี แค่สถานะเปลี่ยนไป”

“แม่ง ไม่ใช่แค่ชีวิตคนเนอะ ที่ยุ่งยากชิบหาย” ดอยโอดโอย

“มันถึงต้องมีช่าง มีอาชีพเฉพาะทางไง  ไม่ดีหรอกเหรอ” โอ๊คแก้ต่างให้

“อืม เพื่อนกูนี่แม่ง มองโลกในแง่โครตดีเลย”

“ไม่ใช่ว่ากูมองโลกในแง่ดี แต่มันคงไม่มีอะไรเชี่ยไปกว่านี้แล้วแหล่ะ ชีวิตกูเนี่ย”

“มึงก็นะ ชอบทับถมตัวเองจัง แล้วนี่เป็นไง ตั้งแต่ลอยกระทงเบิ้ลสองรอบ ก็เห็นมึงนั่งยิ้มคนเดียวทั้งวันเลยนะเว้ย”

“ไอ้ดอยมึงต้องเห็นตอนมันเดินขึ้นห้องนอน แม่งเดินมองแต่ข้อความในเพจเจอร์ จนชนเสาบ้านดังตู้ม กูนี่ต้องแก้ต่างให้ม๊าฟังว่ามันนอนน้อยไป” อาร์มแฉแฝดผู้พี่ให้เพื่อนฟัง

“เฮ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอวะ ไอ้โอ๊ค มึงนี่เป็นเอามาก” ดอยคว้าไหล่โอ๊คมาโอบกอด “ดูดีใจที่มึงยิ้มได้นะ ถึงท้ายที่สุด ใครมันจะใช่ หรือไม่ใช่ คนนั้นก็ตาม กูแค่ชอบที่มีดูมีความสุขกับปัจจุบัน”

“อืม ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงในช่วงที่ผ่านมา กูเป๋ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” โอ๊คหันไปมองดอยที่ยังสวมกอดเขาอยู่

“เอาเป็นว่าไอ้อาร์มกับกู ต้องนินทามึงทุกทีที่พวกกูอยู่กันสองคนน่ะ”

“เออ ขอบคุณที่เสือกได้ทุกเรื่องนะ ฮ่าๆๆๆ” โอ๊คหันไปมองน้องฝาแฝดแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา  “ว่าแต่นี่ มะนาวกับปุยหายโกรธพวกมึงกันหรือยังเนี่ย”

“กูว่า คงยาวล่ะงานนี้ มึงว่า กูกับไอ้ดอยควรเล่าความจริงไหมวะ” อาร์มถามแฝดผู้พี่

“ถ้าเล่า ก็เหมือนแก้ตัว” โอ๊คบอกต่อ “มันควรออกมาจากปากของคนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย”

“มึงก็เล่าให้มะนาวฟังทีสิ” อาร์มวิงวอน

“กูพี่มึงป๊ะ อันนี้เขาเรียกเข้าข้าง” ก่อนโอ๊คจะหันไปมองดอย “ส่วนปุยน่ะ กูเคลียร์ให้ได้”


ที่ลานกว้างริมถนนใหญ่ทางหลวงสาย 323 ซึ่งวันธรรมดาจะเป็นที่ดินว่างเปล่าของสนามกีฬา แต่ในช่วงเวลานี้ของทุกปี จะถูกเนรมิตให้เป็นงานประจำปีขนาดใหญ่ เนืองแน่นไปด้วยสินค้าที่มาออกร้าน มีบูธสอยดาวของกาชาดเป็นศูนย์กลางของงานบริเวณสามแยกใหญ่ในงาน ทางเชื่อมจาก บริเวณงาน Light & Sound แสง สี เสียง ของสะพานข้ามแม่น้ำแควจนมาถึงบูธกาชาด จะเป็นร้านขายเสื้อผ้า และสินค้าราคาโรงงาน  และทางจากบูธกาชาดยาวไปจนถึงถนนใหญ่ จะเป็นโซนเปิดท้ายขายของ  ส่วนแยกสุดท้าย เป็นแยกที่ยาวที่สุดไปจนถึงสนามกีฬาเป็น บูธอาหาร บูธแสดงโชว์รถยนต์ ลานเบียร์ งานคอนเสิร์ต ตลอดจนสถานที่แสดงสินค้าพื้นเมืองและหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนที่เรียงรายมาประชาสัมพันธ์องค์กรตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์ มาสคอต พรีเซนเตอร์ชายหญิง

วันก่อนเริ่มงาน 1 วัน ร้านค้าก็จะต่างมาประกอบบูธเข้าที่ ด้วยความชำนาญเพราะมักเป็นร้านค้าเดินสายออกงานทั่วภาคกลางอยู่แล้ว จะมีก็แต่ ร้านเด็กเส้น by เจ๊นกน้อย ที่ขลุกขลักจากการตกแต่งร้านเป็นครั้งแรก แถมยังมีลูกมือเพียงปุยและมะนาว ที่หยิบจับอะไรก็ดูไม่ค่อยชำนาญ    นกน้อยได้ทำเลดี เพราะจับฉลากได้บูธที่อยู่ถัดจากกาชาดมานิดเดียว คาดว่าน่าจะมีคนสัญจรค่อนข้างมาก อีกทั้งพื้นที่บริเวณนี้ มีการปูพื้นด้วยตาข่ายพลาสติก ทำให้ไม่มีฝุ่นฟุ้งเหมือนบริเวณอื่น 

“นี่ใช่บูธของคุณนกน้อย คล้อยบินมาเดียวดาย หรือเปล่าครับ” พนักงานที่สวมชุดหมีสีเทาเข้ม ขับบรรทุกขนาดเล็ก มีบูธสำเร็จรูปสภาพดี ขนอยู่เต็มหลังรถ ถามกับเจ้าของบูธที่ออกอาการงง 

“คือ มันไม่ใช่นามสกุลของฉันหรอกค่ะ แต่ดิฉันชื่อนกน้อยค่ะ”

“อ้าว พี่กลอง เล่นผมแล้วสิ  คืองี้ครับ พอดี คุณมือกลอง ให้เอาบูธออกร้านมาให้คุณนกน้อยดูว่า มีอันไหนที่จะหยิบยืมหรือเหมาะสม ก็เลือกได้เลยครับ คุณมือกลองเห็นว่า เผื่อจะช่วยให้ร้านดูสวยงามขึ้น”

“ห๋า จริงเหรอคะ อุ๊ย น้องกลองของเจ๊ ช่างใจดีอะไรอย่างนี้ เกรงใจจัง ก็ไหนๆ เอามาแล้ว เอาลงทั้งหมดนี่แหล่ะคะ เอาทั้งหมดเลยค่ะ”  แล้วนกน้อยก็กุลีกุจอหาน้ำท่ามาให้พนักงานสี่คนที่ช่วยยกของจัดจนเสร็จได้นั่งพักเหนื่อย ซึ่งตอนนี้ บูธขนมจีนของนกน้อยดูโดดเด่นและสะอาดตา แถมได้บูธที่ดูโมเดิร์นจนน่ามอง   ซึ่งร้านขนมจีนตอนนี้ ดูสวยงามจรทำเอานกน้อยยิ้มไม่หุบ แต่รอยยิ้มก็ต้องหยุดชะงักเมื่อโอเล่และนายทหารอีก 6 คนเพิ่งมาถึง

“ก็คงไม่มีอะให้ช่วยแล้ว อย่างนั้นก็กลับกันได้แล้ว พวกนายฝากบอกเตี่ยด้วย ว่าห้างสรรพสินค้าอันดับหนึ่งของจังหวัด เขาส่งคนมาช่วยแล้ว แต่ก็ขอบใจมาก” โอเล่ที่หันไปมองรอยสกรีนชื่อห้าง หลังชุดหมีของพนักงานที่นั่งดื่มน้ำท่าอยู่จึงได้คำตอบว่า เขาพาลูกน้องเตี่ยมาช่วยช้ากว่าใครคนหนึ่ง

“แหม น้องโอเล่ ไหนๆ ลูกน้องเตี่ยอุตส่าห์มีน้ำใจ เรียกพวกเขามาแวะทานของว่าง มาดื่มน้ำดื่มท่าก่อน นะๆๆ” นกน้อยใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นโอเล่พยักหน้าเป็นเชิงให้ นายทหารได้อยู่ต่อ นกน้อยจึงตักขนมจีนที่ตั้งใจจะมาแบ่งให้บูธข้างๆ ได้ลองชิมตามประสาคนชอบผูกมิตรสัมพันธ์ มาให้พนักงานทั้งจากห้างของมือกลอง และนายทหารที่อุตส่าห์มาช่วยงานตามคำสั่งของเตี่ยน้องโอเล่  และก็ถือโอกาสฟังคำติชมเมนูหลักที่จะเตรียมมาขายในวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็ได้รับคำตอบแสดงบนหน้าผิวจานที่ว่างเปล่าแทบจะไม่เหลือแม้แต่คราบน้ำยากะทิ


ในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ใต้หอพักนาตยา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แจ้ที่กำลังลองชุดม่อฮ่อมสีน้ำเงินหน้ากระจกวิ่งมารับสาย

“ฮัลโหล ไก่แจ้อีสสปีคกิ้ง”

“ทะเล้นพอกันเลย น้ากับหลาน”

“อ้าวพี่ ทำไมวันนี้โทรเข้าเครื่องข้างล่าง ไอ้ดอยมันไม่รับเหรอ”

“ฉันจะโทรหาน้องชายฉันบ้างไม่ได้เหรอ”

“แหมร้อยวันพันปีถามหาแต่ลูกชาย น้องนุ่งมันจะไปสำคัญอะไร เชอะ”

“เดี๋ยวจะให้พ่อส่งกระแสจิตไปด่า ดีไหม”

“อย่านะพี่ มากับลมหนาวทีไร ขนลุกทุกที”

“แล้วนี่ เห็นเจ้าดอยบอกว่า จะไปประกวดชายงามอะไรกับเขา”

“มันก็พูดไป เทศบาลเขามาขอร้อง อยากจะให้ไปประกวดขุนช้าง สนุกๆกัน”

“โล่งอก นึกว่าอยากจะเป็นชายงามเอาตอนวัยนี้ เป็นเจ๊ดันให้ไม่ไหวหรอกนะ”

“เดี๋ยวฉันได้รางวัลมาจะหนาว ผัวพี่จะได้หุบปากซะทีว่าฉันทำอะไรก็ไม่สำเร็จ”

“แกก็จะไปอะไรมากมาย ฉันเป็นเมียฉันยังเลิกสนใจมันมานานแล้วเลย เฮ้อ.. ว่าแต่ เรื่องเจ้าดอยไปถึงไหน”

“ก็ดี แต่กำลังงอนกันเล็กน้อย คือ ผู้ชายเมื่อก่อนมันไม่มีแฟน มันก็ซุกซนกันบ้างล่ะน่า นี่อีกฝ่ายเขาจับได้ กำลังง้อกันอยู่”

“เฮ้อ.. น้าหลานคู่นี้ พอกันเลย คิดถูกไหมเนี่ย จับไปอยู่ด้วยกันแบบนั้น”




ปุยเมฆในชุดเสื้อแจ็คเก็ตสีฟ้าอ่อนกันลม AIIZ ตัวใหม่เอี่ยม กับกางเกงสามส่วนสีขาว และรองเท้า Converse All Star สีขาวคู่เก่ง ลงจากหอพักชั้นสาม เพื่อเตรียมตัวไปนัดกับคนสำคัญสองคน พ่อและโอ๊ค  ระหว่างทางปุยผ่านชั้นสองและเหลือบไปทางระเบียงไกลมุมตรงข้าม เห็นเงาของคนผมยาวสลวยยืนแปรงผมอยู่ที่ระเบียง ส่งสายตาและรอยยิ้มมาให้ ปุยไม่ได้ยิ้มตอบแต่ก็ไม่ได้ทำให้บึ้งตึงใส่ เขาแค่เดินลงบันไดต่อไปมายังหน้าร้านอินเทอร์เน็ตที่มีโอ๊คนั่งรออยู่ 
สักพักมีรถยนต์มาจอดหน้าร้านเพื่อรับหนุ่มน้อยสองคนขึ้นรถไป โดยปุยเมฆนั่งเบาะหน้าซ้ายคู่กับคนขับผู้เป็นพ่อ และโอ๊คนั่งที่ท้ายเบาะหลัง แล้วรถก็ออกแล่นไป มีจุดหมายที่กระเทียมเรสเตอรอง สาขาของร้านอาหารดังที่เพิ่งมาเปิดริมแม่น้ำแม่กลอง ห่างจากหอพักไม่มากนัก  ซึ่งธรรมเสถียรผู้เป็นพ่อ เอ่ยชวนโอ๊คมาทานเพื่อตอบแทนที่ช่วยดูแลลูกชายเป็นอย่างดี เมื่อทราบจากลูกชายว่า โอ๊คกำลังจะย้ายไปฝึกงานและอาจทำงานที่กรุงเทพเป็นระยะเวลานาน เขาจึงอยากพบปะ และรู้จักเพื่อนสนิทของลูกชายไว้ เพราะเรารู้จักเพียงยอดดอยเพียงคนเดียว

“ไวน์สักแก้วไหมลูกโอ๊ค” ว่าแล้วธรรมเสถียรก็เอ่ยปากขอให้บริกรรินไวน์แดงราคาแพงที่เขาเพิ่งได้เป็นของขวัญจากท่านทูต ให้รินใส่แก้วแล้วเสิร์ฟให้โอ๊ค

“ทำไมลูกไม่ได้ดื่ม” ปุยที่ท่าทางอยากลิ้มรสไวน์บ้างเมื่อทราบว่าเป็นยี่ห้อแพงเอ่ยถาม

“มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ปุยยังไม่ถึงวัย” พ่อตอบ

“โอ๊คก็อายุเท่าลูก”

“แต่เขารู้จักขอบเขตว่าเท่าไหร่คือพอ อันนี้คือจากที่พ่อได้ยินมา แน่นอนว่า นั่นคือความเป็นผู้ใหญ่ในความคิดของพ่อ”

“เชอะ”

“ปีนี้น่าจะเป็นปีที่วุ่นวายของสถานฑูตทุกแห่งเลยนะครับ ตั้งแต่ต้นปีมีแต่เรื่องการเมืองที่วุ่นวาย ทูตเฉพาะสถานฑูตเหมียนหม่า ที่น่าจะยังไม่หายตกใจจากหลายเหตุการณ์ที่เกิด” โอ๊คตัดบทเพื่อให้ปุยไม่งอแงต่อหน้าพ่อ

“อืม แต่เราก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเหตุนั้น เราเพิ่งได้รู้สิ่งที่คนจำนวนนึงอยากให้เป็น เรามองข้ามมาตลอด”

“แล้วคุณพ่อว่า จะมีผลต่อการชักนำทางความคิดของแรงงานต่างด้าวในเขตชายแดนไหมครับ”

“เป็นคำถามที่น่าสนใจ พ่อคิดว่า ตอนนี้ พวกเขามีเป้าหมายร่วมที่ไม่ยอมบอกเราแน่นอน  ไหนโอ๊คลองอ่านใจพวกเขาที”

“ผมว่า คนพม่าสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อสิบปีก่อน ที่เข้ามาแล้วก็อยู่เป็นแรงงานทาศ  เขาเริ่มซื้อโทรศัพท์มือถือ แล้วก็เริ่มมีการ รวมกลุ่มกันยามค่ำคืน ผมว่าทุกอย่างรอสัญญาณจากผู้นำทางจิตวิญญาณอย่างท่านอองซานซูจี”

“พ่อก็ว่าอย่างนั้น ตอนนี้มีความเคลื่อนไหวในจังหวัดสมุทรสาคร ระนอง แล้วก็ราชบุรี แต่เขาก็เคลื่อนไหวกันโดยสงบนะ”

“คนงานในบริษัทของป๋าผม มีการมองหาช่องทางในการกลับประเทศมากขึ้นครับโดยเฉพาะผู้หญิง แต่ผู้ชายไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะเขาค่อนข้างพอในใจค่าแรง แต่ทางบ้านผมคงจะทยอยเพิ่มสัดส่วนแรงงานไทยให้มากขึ้น แม้ว่าจะเลือกงานเหลือเกินนะครับ หยิบจับอะไรนี่อู้งานมาก ไม่เหมือนแรงงานพม่า ค่อนข้างขยันมากกว่า”

“โอ๊ยยยย คุยอะไรกันไม่รู้เรื่อง คุยเรื่องไปเที่ยวสังขละกันดีกว่า พ่อจะไปกับลูกไหม นี่ว่าจะไปกันหลายคนสนุกดี”

“เฮ้อ ลูกคนนี้นี่  แล้วนี่นึกยังไงอยู่ดีๆก็โทรมาหาพ่อล่ะ โมโหเรื่องที่ดินของแม่อยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ก็โอ๊คบอกว่า ลูกมองเรื่องนี้ไม่ลึกพอ นี่ก็เอาใจโอ๊ค เพราะจะย้ายไปอยู่เมืองหลวงหรอกนะ” ปุยหันไปค้อนโอ๊ค

“นี่โอ๊คกับดอย คงสนิทกันมากสินะ ดูคล้ายกันหลายอย่างเลย” พ่อถาม

“ไม่เห็นจะเหมือนเลย อีตานั่นน่ะ ซื่อบื้อแล้วก็วันๆคิดแต่เรื่องลามก” ปุยที่ยังคงงอนไม่เลิก ใส่อารมณ์โกรธลงไปด้วย

“พ่อว่าเขาเหมือนกันมาก ดูใจเย็น ใจดี ชอบช่วยเหลือคนรอบข้าง แล้วที่สำคัญ ดูแล้วทั้งคู่น่าจะห่วงลูกพ่อมากเลย จริงไหมล่ะ โอ๊ค”

“เอ่อ.. ผมก็ช่วยดูแล เพราะว่าปุยเขาตัวคนเดียวน่ะครับ แล้วบังเอิญก็.. ถูกชะตากันด้วย”

“ถูกใจกันตั้งแต่เห็นกันครั้งแรกสินะ” พ่อยิ้ม

“จริงๆ เคยเจอกันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งครับ”

“ห๋า เมื่อไหร่” ปุยดูตกใจกับสิ่งที่ได้ยินไม่แพ้ผู้เป็นพ่อที่รอฟังเรื่องเล่า

“เมื่อปี 1988  เราเคยเจอกันครั้งหนึ่ง ที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว”

“เราเคยเจอกันตอนนั้นเหรอ”

“ปุยคงจำไม่ได้ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่ช่วยปุยดึงขาที่ติดออกมาจากร่องไม้หมอน”

“เออ.. พ่อจำได้”

“ปุยก็จำได้  นั่นโอ๊คเหรอ”

“เราก็ไม่มั่นใจว่าเป็นปุย จนใช้เวลาด้วยกัน ผิวขาวใส กับตากลมคู่นี้ จนพักนึง เราก็นึกออก”

“เฮ้ย ไม่น่าเชื่อเลย” ปุยยังคงรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

“พ่อยังจำได้ว่า เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารัก กำลังมานั่งอยู่ตรงเชิงสะพานนั้นพอดี พ่อตกใจมากเพราะตอนขาของปุยติดที่ร่องไม้หมอน ได้ยินเสียงหวูดรถไฟดังมาแต่ไกล ใจนี่หล่นวูบไปถึงตาตุ่ม ฮีโร่น้อยคนนั้น คือหนุ่มหล่อคนนี้อย่างนั้นเหรอ”

“โอ๊ค โหยยย โอ๊คคือเทวดาประจำตัวของเรานี่เอง”





ที่บูธของนกน้อย ที่บัดนี้ได้เอาผ้าขาวมาขึงกันคนเข้าเนื่องจากเป็นเป็นเวลายามค่ำ ร้านอื่นก็เช่นกันที่พักผ่อนเอาแรงเนื่องจากพรุ่งนี้จะเป็นงานเปิดเทศกาลวันแรก คนอื่นจึงทยอยแยกย้ายกันกลับบ้าน หรือเข้าที่พัก ส่วนร้านค้าที่มาจากต่างจังหวัด ก็อาศัยนอนในบูธกันเลย มีห้องน้ำที่เป็นรถสุขา และห้องน้ำสำเร็จรูปที่ใช้เฉพาะกิจ เก็บค่าเข้าครั้งละ 2 บาท อยู่ทุกจุดของพื้นที่จัดงาน  นกน้อยเดินตรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะควบมอเตอร์ไซค์คันเก่งกลับก่อน เพราะโอเล่ชวนมะนาวกลับพร้อมกันด้วยรถตู้ของเตี่ย ซึ่งมีพลทหารคอยขับให้ 

รถตู้ก็ออกตามเส้นทางสัญจรแคบๆ ที่ทำไว้เป็นทางเท้า เนื่องจากมีเต็นท์ร้านค้าล้อมเต็มไปจนสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเต็นท์ได้ครอบคลุมพื้นที่ข้างถนนยาวหลายร้อยเมตรจนคล้ายกับตัวหนอนขนาดยักษ์ถ้ามองจากบนฟ้าลงมา

“ยังโกรธพี่อาร์มอยู่ในไหม” โอเล่หันไปถามมะนาว

“ก็ไม่ถึงกับโกรธหรอก แต่ผิดหวัง”

“มันน่าจะเป็นเรื่องของสรีระ ฮอร์โมน อะไรหลายอย่าง ถ้าอธิบายทางวิทยาศาตร์ต้องเข้าใจพวกผู้ชายเขา”

“แล้วทำไมพี่โอ๊คไม่เป็นล่ะ”

“พี่โอ๊คเขาอินดี้กว่าใคร ใจเขามั่นคง จะเปลี่ยนหรือโลเลไม่ง่ายนัก ไม่ใช่ว่าเขาดีกว่าพี่อาร์ม หรือพี่ดอย แต่เขาเป็นของเขาอย่างนั้น แม้แต่คุณแมว จะไปใกล้ชิดคงไม่กล้า ก็ต้องกระเจิงออกมา” โอเล่อธิบายยาว เพื่อให้มะนาวสบายใจขึ้น

“ถึงได้เทิดทูนพี่โอ๊คมากเลยใช่ไหมเราน่ะ”

“มะนาวก็เหมือนกันแหล่ะ เมื่อก่อนก็เคยชอบพี่โอ๊คนี่นา”

“ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ ไม่มีผู้หญิงคนไหนลืมรักแรกของตนหรอกนะ”

“แล้วทำไมถึงมาเชียร์ให้เราลุยเรื่องพี่โอ๊คล่ะ”

“เรื่องของเรากับพี่โอ๊ค ความเป็นไปได้คือ ศูนย์ เลยนะ แล้วเราก็ไม่หึงหรอกถ้าพี่โอ๊คจะไปเป็นแฟนโอเล่ หรือมือกลอง”

“เก่งนะ ทำใจได้”

“ก็ไม่หรอก ถ้าพี่โอ๊คจีบผู้หญิง หรือเป็นแต่งงานกับใคร คงโมโหมากว่าทำไมไม่ใช่เรา แต่ถ้าชอบผู้ชายเราไม่ว่าหรอก ก็น่ารักดีออก เห็นผู้ชายชอบกันหนุงหนิงกัน น่ารักดี”

“มีด้วยเหรอ ผู้หญิงอะไร ชอบดูผู้ชายลงเอยกันเอง ประหลาด”




ที่สวนหลังหอ ที่มีแมลงรุมไฟสนามอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง บริเวณที่โอ๊คกับปุยนั่งจึงปิดไฟ เพื่อไม่ให้แมลงมารบกวน โอ๊คหันไปมองห้องของดอยที่เปิดไฟทิ้งไว้ แสดงว่าเจ้าตัวยังไม่หลับ แต่คงไม่กล้าออกมาทักทายปุยที่น่าจะยังโกรธมากอยู่

“พ่อเราดูจะชอบโอ๊คมากเลยล่ะ”

“เราเข้าทางผู้ใหญ่เก่ง”

“นี่ก็ชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย”

“ไว้ถ้าไม่พูดเล่นขึ้นมาจะหนาว เราน่ะเห็นอย่างนี้ เวลาเดินหน้านี่ ใครก็เอาไม่อยู่นะ”

“เชื่อๆ ไม่งั้น มือกลองกับน้องโอเล่จะตามติดขนาดนี้เลยเหรอ ขนาดเราว่าหวงเพื่อนยังเห็นใจพวกเขาแทนเลย”

“อ้าวทำไมไปอยู่ข้างคนอื่นซะล่ะ”

“อยากให้โอ๊คมีความสุข”

“เราก็อยากให้ดอย กับปุย มีความสุข”

“นี่จะมาพูดเพื่อช่วยเพื่อนใช่ไหมอ่ะ”

“ถ้าจะมีใครสักคนอยากให้ปุยโสด ก็น่าจะเป็นเรานี่แหล่ะ เราจะไปช่วยทำไม”

“หยอดเก่งนะพักนี้”

“ก็ต้องเรียนรู้บ้าง เดี๋ยวจะแห้วไปทั้งชีวิต”

“เราว่า เราจะไม่เดินหน้าต่อแล้ว เรารับไม่ได้”

ยอดดอยที่นัดแนะกับโอ๊คแอบเปิดช่องลมหน้าต่างห้องน้ำที่อยู่ใกล้สวน ให้เสียงในบทสนทนาได้ลอยเข้ามาในห้องเพื่อแอบฟัง โดยโอ๊คพยายามช่วยจัดมุมให้ได้อยู่ใกล้ห้องนอนของดอยที่สุด แต่พอดอยได้ยินสิ่งที่ปุยเอ่ย ก็ใจหล่นวูบ เขาเองก็รู้สึกผิดในเรื่องของเขากับแมว  รวมไปถึงเห็นใจกับสิ่งที่อาร์มกำลังเผชิญเช่นกัน แต่เบื้องลึกเขาเชื่อว่า โอ๊คจะช่วยเขาได้





“มะนาวฟังพี่ก่อนได้เปล่าครับ” อาร์มที่ดักรออยู่หน้าประตูบ้านของมะนาวเสียงอ่อย เมื่อเห็นมะนาวเดินลงจากรถตู้ของโอเล่แล้วเตรียมจะเข้าบ้านเลยโดยไม่หันมาทักทาย

“ไม่มีอารมณ์ค่ะพี่อาร์ม ไว้ค่อยคุยกัน”

“พี่สัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก สาบานเลยก็ได้” อาร์มยกมือขึ้นมาชูสามนิ้วแบบลูกเสือ

“อย่าเลยค่ะ สาบานไปก็ตายเปล่า ไหนว่าชอบมะนาวมาโดยตลอด แต่ก็มีผู้หญิงคนอื่น”

“คือ.. แมวไม่ใช่ผู้หญิง”

“อะไรนะ !’

“พี่อยากอธิบายนี่ไง”

“โอ๊ย ไม่ฟังแล้ว กลับบ้านเถอะพี่อาร์ม ไว้มะนาวอารมณ์ดีค่อยคุยกัน ก่อนมะนาวจะเดินหุนหันเข้าบ้านไป แน่นอนว่า มะนาวนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงนอนไม่หลับ เธอเพิ่งรับรู้ว่า อาร์มมีผลต่อจิตใจเธอมากขนาดไหน ทำไมคนที่เธอวิ่งหนี แฝดน้องที่เธอไม่เคยสนใจที่จะรักกันฉันชู้สาว ถึงได้ทำให้เธอปั่นป่วนมากมาย
มะนาวพยายามข่มตาหลับ เพราะพรุ่งนี้ยังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก ไหนจะต้องไปวิทยาลัยเพื่อจัดการรายงานให้เรียบร้อยก่อนวันหยุดยาว ไหนจะต้องไปช่วยเจ๊นกน้อยที่เธอรู้สึกผูกพันและถูกชะตามากที่บูธในงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควที่จะเปิดวันแรกในวันพรุ่งนี้




“แมวเป็นเด็กสถานพินิจ อยู่กับดอย และมดดำมาจนสนิทกัน พอหกเดือน ดอยก็ย้ายกลับออกมาเพราะพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด ส่วนมดดำที่ชดใช้กรรมตามออกมาพร้อมกับแมว ที่ต้องโทษคดีขายบริการ ก็พ้นโทษพอดี” โอ๊คเล่า

“ยังไม่เจอวลีที่เรารู้สึกใจเย็นลงเลย”

“ใจเย็นสิปุย นี่ไง เราจะเล่าต่อ  แล้วพอแมวที่สมัยนั้นยังไม่แต่งตัวเป็นผู้หญิง ไม่มีงานเลย ไม่มีใครรับเข้าทำงาน ก็กลับมาเจอดอยเข้าอีกครั้ง  ดอยก็เลยให้ที่พักแล้วก็กลับมาสนิทกัน ซึ่งมารู้ตอนหลัง ว่าแมวแอบชอบดอยอยู่นานแล้ว”

“ก็เลยเข้าออกห้องกันตลอดแบบที่มดดำเล่า”

“มดดำมันก็ไม่รู้อะไร ผู้หญิงห้องข้างๆ ก็เอาไปลือกัน คือจริงอยู่สมัยที่อยู่สถานพินิจ ก็มีความบ้าระห่ำตามประสาวัยรุ่น ในนั้นมันมีการแบ่งพรรคพวก มีการแสดงความเก๋าของตนเพื่อให้รอดพ้นจากการถูกรังแก ไหนจะเรื่องการทำตัวให้อยู่รอด ไอ้ดอยมันได้เป็นใหญ่ในนั้น ซึ่งก็ปกป้องแมวให้รอดพ้นจากอันตรายได้

“ซาบซึ้งดีจัง”

“แต่แล้ว แมวที่เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงจนสวยขนาดนี้ ก็ดันมีไอ้อาร์มที่เมามาก ไปติดบ่วงความสวย”

“อาร์มนี่ก็คน ไหนว่าชอบมะนาวมากนักหนา ชอบมาแต่เด็ก แต่ก็ยังนอกใจได้”

“อาร์มไม่ได้นอกใจ.. อาร์มแค่นอกกาย”

“ดูพูดเข้า โอ๊คนี่เข้าข้างน้องนี่นา”

“เราไม่ได้จะมาบอกว่าน้องเราไม่ผิด แต่ว่า ความเมา ความคะนอง แล้วเวลาไอ้ดอยกับไอ้อาร์มมันอยู่ด้วยกันมันก็ซ่ามาก ปุยก็คงจะเห็นพวกมันเวลาเมา นี่ดีขึ้นแต่ก่อนแล้ว สมัยก่อนยิ่งกว่านี้มาก แน่นอน มันมีบางอย่างเกิดขึ้น แต่เชื่อเราเหอะ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก เรารู้ดี” โอ๊คร่ายยาว เพื่อหวังว่า ปุยจะใจเย็นลง

“โอ๊คไม่รู้ใช่ไหม ว่าทุกวันนี้ ดอยยังส่งตังให้แมวใช้”

“....”

“นี่ล่าสุดเราเปิดดู มีการโอนเงินเข้าบัญชี หลักร้อยบ้าง หลักพันบ้าง เราเห็นรอยดินสอที่ถูกลบไป เอามาส่องไฟ มันเขียวว่า แมว อย่านึกว่าเราไม่รู้นะ จะส่งเงินให้กันทำไม ถ้าไม่ได้มีอะไรกันแล้ว”

“....” 

“เราว่า โอ๊คก็เข้าข้างเพื่อนมากไปนะบางที”

ที่ระเบียงหน้าประตูห้อง 2D มีเงาของคนผมยาวเดินกลับเข้าห้องไป ถูกปิดลงอย่างช้า แมวเดินกลับไปนอนลงบนเตียง น้ำตาไหล ร้องไห้สะอื้นออกมา แมวเหลือบไปดูรูปของเธอและดอยถ่ายคู่กันซึ่งตอนนั้นเธอยังไว้ผมทรงรองทรงสั้นเต่อ ถัดจากรูปนั้น มีรูปของเธอใส่ชุดราตรีสีเหลืองอ่อน พร้อมสายสะพานสีน้ำเงินเขียน “ธิดาจำแลง ๒๕๓๙” ยืนคู่กับอีกคนที่ใส่ชุดสีฟ้าพร้อมสายสะพาย “รองอันดับ ๑ ธิดาจำแลง ๒๕๓๙” แมวเช็ดน้ำตาแล้วพยายามข่มตานอนลงบนเตียงนุ่มนั้น




“สวัสดีครับท่านพ่อแม่พี่น้อง ผมนายไพศาล ลับบัวงาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี ขอชี้แจงเรื่องการจำหน่ายบัตรในงานสัปดาห์งานสะพานข้ามแม่น้ำแควที่เริ่มขึ้นนี้เป็นวันแรก...”  เสียงจากเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นดังขึ้น ปลุกให้ยอดดอยที่เปิดทีวีค้างคืนไว้ตื่นขึ้น  เขาลุกขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวทำธุระและไปวิทยาลัยในการเคลียร์รายงานที่ค้างก่อนจะเข้าสู่ฤดูกาลฝึกงาน แล้วตอนบ่ายก็มีนัดรับของที่ไปรษณีย์เพื่อเอามาตกแต่งรถให้ลูกค้า ตอนเย็นก็ตั้งใจจะไปช่วยเจ๊นกน้อยในการออกร้านเป็นวันแรก ซึ่งน่าจะวุ่นวายพอดู   เขาทำธุระเสร็จเปิดประตูออกมา เห็นปุยที่เดินลงจากบันไดมา เขารีบจะเอ่ยทักแต่ปุยก็หันหนีไปเสียก่อน   “วันพิพากษามาก่อนคำทำนายแล้วเว้ยไอ้ดอย”  เขาพรำกับตัวเอง



“ไหวนะน้องปุยของเจ๊ สู้ๆนะ” นกน้อยตะโกนให้กำลังใจ เมื่อเห็นสภาพอิดโรยของปุยเมฆ ซึ่งฟ้องว่าอดนอนมาแน่นอน ปุยขี่รถจักยานพร้อมสะพายเป้ที่เต็มไปด้วยหนังสือไว้ที่หลัง กำลังบังคับแฮนด์เมื่อผ่านร้านของนกน้อย

“ผมอยู่ได้ครับ ก่อนหน้านี้ ผมก็อยู่ของผมคนเดียวได้  และต่อไปนี้ ผมจะอยู่ได้ด้วยตัวเอง”

หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 23 : You’re not welcome anymore! ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 14-03-2018 21:41:54
ปุยอย่าเพิ่งถอดใจเซ่
แอบเชียร์ น้องกล้า ให้ดับซ่าโอเล่
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 24 : งานประกวดขุนช้าง ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 15-03-2018 02:46:32

Track 24 :  ในยามห่างไกล หัวใจคงห่วงหา.. ห่วงเธอทุกวันและทุกคืน

คืนวันเสาร์หน้าบูธของกาชาด พ่อแม่จูงลูกน้อยมาสอยดาวแน่นลานกว้าง มีทหารยืนรอบถุงทราบที่ก่อขึ้นมาเป็นบ่อน้ำ ในบ่อลอยตลับสอยดาวสีสันหลากหลาย พี่ทหารคอยอำนวยความสะดวกยืนสวิงสอยดาวให้แก่ผู้ที่เข้าร่วมเล่นเกม เมื่อสอยกันเสร็จก็จะไปแลกของรางวัล พิธีกรบนเวทีตะโกนเชื้อเชิญคนที่ผ่านไปมาดังลั่น เสียงลอยจนมาถึงบูธขนมจีนที่คนแน่นขนัดของนกน้อย แม้จะขายได้ร่วมอาทิตย์นึงแล้ว แต่ผู้คนยังไม่ลดลงเลย 

โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าในงานด้วยกัน ที่แวะเวียนมาทานพร้อมชมในรสเลิศไม่ขาดปาก  นกน้อยที่เพิ่มปริมาณให้ถ้าเห็นเป็นพ่อค้าแม่ขายด้วยกัน แม้ว่าค่าเช่าที่จะแพงมาก แต่ด้วยปริมาณคนที่มาทานมากขนาดนี้ ทำให้คนขายยิ้มแก้มปริ แถมยังแบ่งกำไรเป็นค่าแรงแก่ ปุยเมฆ และ มะนาว ที่ขยันขันแข็งช่วยเหลือเป็นอย่างดี มีก็แต่โอเล่ที่ไม่ยอมเอาเงิน แถมยังออกค่าที่ให้ก่อนอีกต่างหาก

“เดี๋ยวน้าแจ้ขึ้นประกวดกี่โมงครับเนี่ย” โอเล่ถามนกน้อยที่มองนาฬิกาไม่หยุดจนสังเกตุเห็นได้ชัด 

“ก็น่าจะสักสามทุ่มน่ะค่ะน้องโอเล่ เพราะว่า ประกาศผลประกวดขุนช้างเสร็จ ก็ต้องมีประกวดขุนแผนต่อเลย”

“พี่นกน้อยก็ไปได้แล้ว ตรงนี้เดี๋ยวผมดูให้เอง พวกลูกน้องเตี่ยผมนี่ไว้ใจได้ เรื่องเงินทองไม่ต้องกลัว”

“หูย เจ๊ไม่คิดเรื่องเงินทองเลยค่ะน้องโอเล่  แค่ที่น้องโอเล่ช่วยเหลือนี่ก็ดีใจมากแล้ว แค่เกรงใจ อุตส่าห์มาเหนื่อย จะเลี้ยงเหล้าก็ไม่ดื่ม แล้วจะให้ทิ้งร้านให้น้องโอเล่อยู่ได้ยังไง นี่เดี๋ยวน้ำยาหมดหม้อนี้ก็ว่าจะปิดร้านกัน แล้วไปเชียร์พี่แจ้ด้วยกันทั้งหมดนี่แหล่ะ”

“พี่นกน้อยกับมะนาวไปก่อนได้เลย เดี๋ยวผมช่วยโอเล่อีกสักพักจะตามไปดู” ปุยคะยั้นคะยอนกน้อยให้รีบไปยังเวทีประกวด เพราะกลัวน้าแจ้จะใจเสียถ้าไม่เห็นคนไปเชียร์  มะนาวจึงถอดผ้ากันเปื้อนแล้วรีบชวนนกน้อยไปเชียร์น้าแจ้กัน




“ทางนี้จ้า” อาร์มกับดอยที่จองโต๊ะหน้าลานเบียร์เกือบติดขอบเวทีประกวดตั้งแต่หัวค่ำ ชูมือไหวเรียกมะนาวกับเจ๊นกน้อย ให้มาสมทบที่โต๊ะ แม้มะนาวจะทำหน้าบูดเมื่อเห็นอาร์ม แต่ก็ตามเจ๊นกน้อยมานั่งร่วมโต๊ะด้วยความยินยอม

“กำลังจะเริ่มแล้วครับ แล้วปุยล่ะ” ดอยถามเจ๊นกน้อยซึ่งดูตื่นเต้นและคอยชะเง้อไปยังเวทีมองหาไก่แจ้

“เดี๋ยวน้องปุยกับโอเล่ตามมาอีกสักพัก พอดีร้านยุ่งมาก แต่ของใกล้หมดแล้ว ขายดีมากเลยวันนี้”

“ดื่มอะไรกันดีครับ วันนี้ งดขายเบียร์นะ พอดีพรุ่งนี้มีงานวันพ่อ” อาร์มถามนกน้อยแต่สายตาโฟกัสไปยังมะนาว

“อะไรก็ได้จ๊ะ ไม่อยากดื่มแอลกอฮอล์เหมือนกัน พรุ่งนี้จะตื่นไปใส่บาตรให้พ่อหลวง” นกน้อยยังคงไม่ละสายตาจากเวที

“ตื่นเต้นกับวันพรุ่งนี้เหมือนกันนะคะ พ่อหลวง 5 รอบ เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ มะนาวอยากไป ราชดำเนินจัง”

“ไปไหม พี่พาไปพรุ่งนี้” อาร์มที่รอจังหวะอยู่แล้วรีบเสนอ

“ไม่ค่ะ มะนาวจะอยู่ช่วยพี่นกน้อย”

“ไปกับอาร์มก็ได้ นี่ลูกน้องของเตี่ยโอเล่มาช่วยเจ๊ สบายจะตาย ตอนจบงานก็ว่า จะพาน้องทหารไปเลี้ยงหน่อย”

“หนูอยากอยู่ที่นี่ค่ะ มีจุดเทียนชัยที่สะพาน น่าจะยิ่งใหญ่  เราอยู่ที่ไหน ก็ร่วมฉลองให้พ่อหลวงได้นะคะ”

“ใช่เลย เจ๊ว่าทั่วประเทศไทย จะสว่างไสวจากแรงเทียนในวันพรุ่งนี้”





“ปุยโอเคหรือเปล่า มีอะไรระบายออกมาได้นะ” โอเล่ลองถามปุยดู ที่แม้เขาจะเริ่มสนิทกับปุยเมฆมากขึ้นแล้ว จากการที่มาใช้เวลาร่วมกันในช่วงที่ผ่านมา เขาพบว่า ปุยเป็นคนน่าคบหา และเป็นเพื่อนที่ดีมาก แต่เขาก็ยังไม่สนิทถึงขึ้นจะถามเรื่องส่วนตัวเลย

“ไม่นะ เราไม่โอเค ถ้าโอเล่หมายถึงเรื่องนายดอย”

“อภัยไม่ได้เลยเหรอ”

“ไม่”

“เราว่า มันก็พลาดกันได้นะ ดูเจ๊แมวสิ สวยขนาดนั้น สวยกว่าผู้หญิงอีก ผู้ชายทุกคนเห็นก็เคลิ้มแหล่ะ”

“ทำไม โอ๊คไม่เป็นล่ะ”

“....”

“นายชอบคนถูกแล้ว โอเล่  โอ๊คมั่นคง และไม่เคยเลยที่จะทำให้เราผิดหวัง”

“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก”

“หมายความว่ายังไง”

“คือ เราเห็นพี่ดอยมาพร้อมกับเห็นพี่โอ๊ค  เขาก็เหมือนกันนะ เห็นเล่นๆ เรื่อยๆ ไปกับคนนั้นคนนี้ แต่ถ้ามีใคร เขาก็หยุดนะ ไม่มีวอกแวกหรอก เรื่องที่เกิด มันอยู่ในช่วงที่เขาไม่มีใคร อันนี้ เราก็คิดว่า พี่ดอยไม่ผิดหรอก แล้วเราก็ไม่รู้ความจริงทั้งหมด เท่าที่พอรู้ เขาสนิทกันมาตั้งแต่อยู่ในสถานพินิจแล้ว”

“เราว่า เราไม่อยากเอาเรื่องพวกนี้มาอยู่ในหัวแล้วล่ะโอเล่ เราจะมุ่งไปที่การเรียน เราอยากรีบจบ อยากทำงานแล้ว”

“อืม สู้สู้นะ”

“นายก็เหมือนกัน.. พักนี้ ดูจะมีคนมาตามติดนะ พ่อหนุ่มนพมาศน้อยอะไรนั่น”

“แหวะ ไม่เอาอ่ะ มันกวนโอ๊ยจะตาย  เราชอบพี่โอ๊ค ก็คือพี่โอ๊ค”

“แล้วโอ๊คมีแนวโน้มชอบโอเล่ไหมอ่ะ ถามจากมุมของคนนอกอย่างเรา”

“ปุยไม่ใช่คนนอกหรอก ปุยได้ใจพี่โอ๊คไป  เราสิคนนอก”

“ไม่เอาสิ อย่าท้อ โอ๊คอาจเคยชอบเรา แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้ชอบแล้วแหล่ะ เราสัมผัสได้เลย”

“ใจเขาคงไปอยู่กับ ลูกเจ้าของห้างแล้วแหล่ะ”

“ท้อไหม”

“ไม่นะ ถึงไม่สมหวัง  เราก็จะรักเขาไปอย่างนี้  คนอย่างเรามันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ”






“นี่พี่โอ๊คหายไปไหนคะ มะนาวส่งเพจไปบอกตั้งแต่เมื่อคืนก็ไม่ตอบ”

“เห็นว่ามาช่วยมือกลอง พอดี ห้างเขาเป็นสปอนเซอร์ประกวด เทพีสันติภาพวันพรุ่งนี้ ป่านนี้ก็คงจะจัดคิวกันอยู่” ดอยบอก

“เห็นทีพี่เธอคงจะติดบ่วงน้องมือกลองเข้าให้แล้วนะอาร์ม” เจ๊นกน้อยเสริม

“ใครก็ได้เจ๊ ผมน่ะอยากให้มันยิ้มได้อย่างนี้ไปนานๆ ผมเชียร์หมดแหล่ะ จะโอเล่ จะมือกลอง หรือจะปุย”

“อ้าว ทำไมมึงหน้าหมาอย่างนี้ล่ะ ไอ้อาร์ม” ดอยที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินถามอาร์ม

“ก็กูอยากให้พี่กูมีความสุข ส่วนมึงน่ะ สถานการณ์ไม่ดี เดี๋ยวค่อยลุ้นเอาทีหลังว่ะ”

“กูว่า มึงก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากูหรอกนะตอนนี้” ดอยมองอาร์มพร้อมส่งหางตาไปยังมะนาวที่ยังนั่งหน้าบึ้งตึงอยู่ถัดไป







“โอ๊ค หิวไหม กินอะไรก่อนเปล่าครับ”

“ยังไม่อยากกินอ่ะกลอง เดี๋ยวพุงป่อง ดูสิ เอาชุดอะไรมาให้ใส่เนี่ย”

“ก็ concept งานมันเป็นอย่างนี้น่ะ ฮ่าๆๆ”

“ไม่ต้องหัวเราะเลย  ไม่ทำได้ไหม”

“โอ๋ๆๆ  ไม่หัวเราะแล้ว ขอร้องนะ ช่วยเราหน่อย ห้างเราจะเสียแชมป์ไม่ได้ ปีนี้งานยากด้วย คู่แข่งนี่มาจากสุพรรณเลย ศักดิ์ศรีต้องอยู่ที่บ้านเรา จะให้ไปอยู่ในเมืองอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะสุพรรณ 





“หมายเลข 9 นาย จักรกฤษณ์ คชมาลา”  พิธีกรประกาศ พร้อมเสียงปรบมือเกรียวกราว ชายร่างท้วมพุงใหญ่ หน้าตาคม ผิวสีเข้ม เดินออกมาพร้อมกับแรงเชียร์จากโต๊ะหน้าเวที  เขายืนในชุดม่อห้อมพร้อมผ้าขาวม้าคาดเอว มีป้ายโฟมเขียนที่หลังเวทีว่า “ขุนช้างแดนทอง ๒๕๔๒” กับพิธีกรคู่ชายหญิงซึ่งยืนหลังโพเดียม

“น้าแจ้แม่ง มีลุ้นว่ะ กูว่าหล่อสุดแล้ว” อาร์มตบมือเชียร์น้ำเสียงตื่นเต้น

“ตระกูลกู หล่อยกครัวเว้ย” ดอยอวดโชว์

“พี่ดอยน่าจะขึ้นประกวดขุนแผนด้วยไปเลยนะคะ เผื่อฟลุคคว้ารางวัลน้าหลาน” มะนาวยุพี่ชายคนโปรด

“ไม่เอาอ่ะ แค่นี้ก็แทบเคลียร์ปัญหาไม่จบ เดี๋ยวรอดูน้าแจ้เหอะ ประกวดเสร็จ หัวบันไดบ้านจะไม่แห้งเอา อุ๊บ”

“เจ๊ไม่แคร์หรอกจ้า คนจะไป จะอยู่ ก็ใจเขา เราทำดีของเรา แต่ถ้าไปแล้ว ไปเลยนะ อย่ากลับมา คุกเข่าคลานมา ก็ไม่เอา” นกน้อยเหมือนจะฝากดอยไปบอกน้าชายตัวเอง

“แหม น้าเขาหลงเจ๊จะตาย คนบ้านผมนี่ รักเดียวใจเดียวนะเจ๊” ดอยรีบแก้เก้อ

“อย่ามา.. ไอ้ตอนเดินเข้าห้องอีแมว ไอ้คนน้ามันก็เข้าบ่อยพอ ๆ กับหลานนั่นแหล่ะ อุ๊บ” นกน้อยเอามือปิดปากล้อเลียน ก่อนที่บรรยากาศทั้งโต๊ะจะเงียบไปหมด แล้วหันไปดูบนเวทีแทน




“หมายเลขสุดท้าย  หมายเลข 10 นายบันเทิง ท่าพะเนียดกุญชร” พิธีกรแนะนำผู้เข้าประกวดคนสุดท้ายพร้อมเสียงปรบมือที่ดังไม่ยิ่งหย่อนจากคนก่อนหน้า

“โอ้โห คนนี่แม่ง สูสีน้าแจ้ว่ะ ว่าไหมไอ้ดอย”

“เออ.. งานหินละว่ะน้ากู  ไอ้อาร์ม เตรียมไปซื้อดอกไม้เพิ่มดิวะ ได้รางวัลขวัญใจมาตุนไว้ก็ยังดี”

“เดี๋ยวคงต้องรอตอนแสดงความสามารถพิเศษ แต่ติดสามคนสุดท้ายแน่นอน มะนาวว่า”

“น่าจะเบอร์ 4 เบอร์ 10 แล้ว ก็พี่แจ้”  นกน้อยทิ้งทวนด้วยมาดนิ่ง ตามประสากูรูเจนเวที

“เบอร์ 10 นี่ก็เคยมากินข้าวร้านเจ๊บ่อยๆ นะผมเห็น” อาร์มเหมือนจะเริ่มจำผู้เข้าประกวดคนสุดท้ายได้ เอ่ยถาม

“พี่บิลลี่ เป็นลูกค้าร้านเจ๊เอง มีเชื้อบ้านแขก ทางท่ามะกา ปกติก็หล่ออยู่แล้ว มาแต่งตัวแบบนี้ โอ้โห หล่อชะมัด”

“อ้าว ทำไมย้ายทีมซะอย่างนี้ล่ะเจ๊  ไม่เชียร์น้าผมแล้วเหรอ”

“ก็เขาลูกค้า ก็คงต้องให้ดอกไม้บ้าง สักดอกสองดอก ไม่งั้นจะน่าเกลียด”

“อย่างนี้น้าแจ้ก็งอนแย่น่ะสิคะ”




พลทหารหกนาย กำลังทยอยเก็บหม้อและของใช้เข้าที่ เอาผ้าใบมาคลุมปิด แขวนป้ายว่า “หมดแล้วค่ะ แม่ค้าจะรีบไปเชียร์สามี เป็นว่าที่ขุนช้าง 1999”  โดยมีปุยเมฆ กับ โอเล่ กำลังเอาเงินใส่ซองพลาสติก แล้วยัดใส่ถังไม้ทรงกลม มีกุญแจล็อค วางบนตู้ข้างนางกวัก  โดยมีทหารลูกน้องเตี่ยขันอาสาเฝ้าให้ ปุยขอตัวล่วงหน้าไปเชียร์น้าแจ้ โดยโอเล่ยังคงส่งข้อความ และตรวจงานเอกสารที่หอบมาทำที่ร้านด้วย โอเล่ให้พลทหารไปหาข้าวปลาอาหารกินก่อน ที่จะกลับมาเฝ้าร้าน

“โหย ยังไม่ไปเชียร์ลุงแจ้อีกเหรอดาร์ลิ่ง” ผู้มาใหม่เดินมาดกวนเข้ามาหาโอเล่ที่นั่งเพียงลำพัง ตรงหลังตู้วางของ

“ใครดาร์ลิ่งนาย”

“ว่าที่ดาร์ลิ่ง”

“อย่ามาทำตีซี้ได้ป๊ะ ไอ้กล้า”

“หูย ขึ้นไอ้ แสดงมีน้ำโห”

“แล้วมาทำไมบ่อยๆ กลับไปกินนมแล้วนอนได้แล้ว”

“อยากกินนมจากเต้าบ้าง อะไรบ้าง”

“ก็ของแม่คนที่นุ่งสั้นจู๋ซ้อนรถเครื่องผ่านไปเมื่อวันก่อนไง”

“...”

“หึ หรือว่ากินจนเบื่อแล้ว”

“คืน นั่นพี่สาวเรา  ลูกพี่ลูกน้องกันน่ะ”

“เฮ้ย ขอโทษ ไม่รู้นี่ว่า  ขอโทษนะ” โอเล่ที่รู้สึกผิดกับคำพูดก่อนหน้านี่ เอามือเขย่าหน้าขาของกล้าที่มานั่งอยู่ตรงหน้า

“ไม่ได้ตั้งใจนี่”

“ตั้งใจสิ ตั้งใจด่านี่ไง แต่ไม่รู้ เห็นนุ่งสั้นซ้อนรถเครื่องแก๊งนาย ใครจะไปรู้ล่ะ”

“เขาเพิ่งกลับจากเมืองนอกมา อยากซ่าบ้าง เลยขอตามไปด้วย นี่ก็จะกลับสวีเดนแล้ว”

“อืม... อย่าถือสานะ ฉันก็อย่างนี้แหล่ะ”

“ไปกันได้แล้ว ไปเชียร์ลุงแจ้กัน”

“นี่ติดต่อพี่โอ๊คไม่ได้ ไม่รู้หายไปไหน”

“ก็น่าจะอยู่กับเฮียกลองมั๊ง”

“กวนตีน”

“อ้าว ต้องยอมรับความจริงดิครับ แพ้คือแพ้”

“ไม่อ่ะ เราจะสู้ ไปได้แล้ว”

“ไม่ไป.. เราก็จะสู้”





“เป็นไงบ้างแล้วอาร์ม น้าแจ้เข้ารอบไหม” ปุยที่เพิ่งมาถึงหน้าเวที ถามอาร์มโดยไม่หันไปมองดอยที่นั่งอยู่ข้างๆ

“เข้ารอบ 3 คนสุดท้ายแล้ว เข้าเป็นคนสุดท้ายเลย หัวใจจะวาย เฮลั่นกันทั้งโต๊ะเลย ไม่เชื่อถามไอ้ดอย” อาร์มที่กันที่นั่งข้างดอยไว้ให้ปุยแต่แรก พยายามช่วยเพื่อน

“ปุย แต่เบอร์ 10 ที่เข้าคนแรกก็หล่อเลยล่ะ มีการรำมวยไทยโชว์ด้วย พี่นกน้อยอดใจไม่ไหว ต้องเดินเอาดอกกุหลาบไปให้ด้วยล่ะ น้าแจ้ยังชะโงกหน้าออกมาดูเลย ไม่รู้งอนหรือเปล่า” มะนาวมีท่าทีวิตกแทนน้าแจ้ เล่าสิ่งที่ปุยพลาดให้ฟัง

“ปีนี้ concept คือ ขุนช้างผู้นำทางสู่ยุคมิลเลเนี่ยม เจ๊ว่า อาจไม่โดนใจกรรมการเท่าไหร่ อย่างเบอร์ 4 นี่ก็โชว์ตีระนาด ถ้าเป็นปีก่อนอาจจะได้ใจกรรมการ แต่นี่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ขุนช้างแบบนี้ไม่ตอบโจทย์”

“โหย พี่นกน้อยนี่เหมือนกูรู เลยนะครับ” ปุยรู้สึกทึ่ง

“อ้าว ปุยไม่รู้เหรอ เจ๊นกน้อย เป็นนางงามเดินสายด้วยนะ เคยได้รางวัลที่นี่ด้วย ธิดาจำแลง ปี ๓๙” ยอดดอยพยายามชวนปุยเมฆคุยด้วยการบอกเล่าเก้าสิบ หวังให้สถานการณ์จะดีขึ้น

“รองค่ะ ไม่ได้เป็นธิดา เป็นแค่รองอันดับหนึ่ง”

“สวยขนาดพี่นกน้อยยังไม่ได้มงกุฏอีกเหรอครับ”

“ค่ะ แพ้อีแมวไงคะ อีแมวห้อง 2D น่ะค่ะ”







“นั่นไง นั่งตรงโต๊ะนั้นกันอยู่” กล้าที่เพิ่งมาถึง เห็นอาร์มโบกมือเรียกตรงหน้าเวที ก็ชวนโอเล่เพื่อจะเดินเข้าไปร่วมโต๊ะ

“นายจะไปด้วยเหรอ”

“อ้าว ไปด้วยไม่ได้เหรอ”

“คนจะคิดว่าเรามาด้วยกัน”

“เรามันน่าอายตรงไหน  นายนพมาศน้อยเชียวนะเว้ย”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ไม่อยากให้เพื่อนพี่โอ๊คคิดว่า เราไม่มั่นคง”

“ถ้าเขาจะหึง เขาก็หึงเองแหละ อย่าคิดมาก ไปเหอะ น้าแจ้จะโชว์แล้ว”

“ขี้ตื๊อเนอะ” โอเล่ที่พูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ถูกกล้าจูงมือแน่นไปร่วมสมทบกับโต๊ะยอดดอย

“ก็ถูกใจอ่ะ นักเลงเหมือนกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันได้”


[ TBC ]
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 24 : งานประกวดขุนช้าง ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 15-03-2018 02:48:58

[ ต่อ ]


“แล้วการแสดงความสามารถผู้เข้าประกวดคนสุดท้าย จากผู้เข้าประกวดหมายเลข 9 นายจักรกฤษณ์ คชมาลา ในโชว์ชุดขุนช้างพันธุ์ร็อค” สิ้นเสียงพิธีกร เสียงกรี้ดจากผู้ชมก็ดังกระหึ่ม

“ก็มีบางครั้งที่ยังไม่เข้าใจ.. ถึงเรื่องราวที่เธอได้พูดมา.. พอเธอโมโหตัวฉันเธอก็พูดจา.. รู้ไหมว่าบางคำทำฉันเสียใจ..” แจ้ที่เปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์ขาดหวิ่น แต่คงใส่เสื้อม่อฮ่อม พันผ้าขาวม้าที่พุงเหมือนเดิม ใส่แว่นตาดำ หวีผมรวมไปทางด้านหลังทำให้หน้าผากยิ่งดูกว้างมากกว่าทุกที

“เชี่ยยยยยย น้าแจ้ แม่งสุดยอด” อาร์มลุกขึ้นยืนปรบมือรัว พร้อมกับทุกคนที่โต๊ะดูตื่นตะลึงส่งเสียงเชียร์ดังลั่น  โดยเฉพาะมะนาวกับปุยเมฆที่ดูชอบใจหัวเราะกันใหญ่กับท่าทีของน้าแจ้ที่พวกเขาไม่เคยเห็น มีเพียงนกน้อยที่ดูไม่ได้ประหลาดใจอะไร เพียงแต่ยิ้มที่มุมปาก  แต่ทันใดนั้น นกน้อยก็ต้องเอามือป้องปาก เหลือกตาด้วยความตกใจ เมื่อแจ้ขึ้นไปยืนบนลำโพงหน้าเวที แล้วกระชากผ้าขาวม้าที่คาดเอวออกมาเหวี่ยงไปมา โยกตัวเสมือนว่าเป็นร็อคเกอร์ชื่อดังจนคนดูเฮลั่น

“อยากบอกเอาไว้ให้รู้กัน.. คนหัวล้านใจน้อยทุกคน.. อย่าทำให้เขากังวลจนคิดมากไป..” แจ้ชี้นิ้วมาที่นกน้อย
“อยากบอกเอาไว้..ให้รู้กัน.. คนหัวล้านใจน้อยทุกราย.. จกรักษาน้ำใจกันให้ดีดี..”







“เชี่ยยยย กูอยากจะอัดวีดีโอส่งไปรษณีย์ไปให้แม่กูดูเหลือเกิน น้องชายตัวเองซ่าได้ขนาดนี้” ดอยที่ยังตะลึงไม่หายกับโชว์ที่เพิ่งจบไป หันไปบอกกับทุกคน พร้อมเอามือกุมขมับ

“นี่ซ้อมกันมาก่อนหรือเปล่าคะพี่นกน้อย” มะนาวถามนกน้อยที่มีอาการรุกรน

“เจ๊แค่เลือกแนวทางการโชว์ให้ แต่ไม่ได้ว่าให้เขาออกแอ็คติ้งอะไรขนาดนี้ เขาเลือกเพลงเอง ซ้อมเอง”

“ผมว่า น้าแกต้องเก็บกดแน่ โอ้โห ผมนี่ลุกขึ้นยืนตบมือให้เลย ป๊ะไปให้ดอกกุหลาบน้ากัน” อาร์มยังคงทึ่งไม่หาย
คนที่โต๊ะต่างเหมาดอกกุหลาบดอกละ 5 บาท สีแดง เท่าที่กำลังตัวเองถึงไปส่งให้น้าแจ้ โดยที่ หมายเลข 4 กับ หมายเลข 10 ก็มีเพื่อนสนิทมิตรสหายมามอบดอกไม้ให้เยอะไม่แพ้กัน โดยกุหลาบสีแดง นับ 1 คะแนน และ กุหลาบสีชมพู นับ 5 คะแนนเพราะราคาดอกละ 20 บาท ส่วนที่แพงที่สุด เป็นกุหลาบสีขาว ดอกละ 100 บาท นับเป็น 30 คะแนน ซึ่งนกน้อย ถืออยู่ในมือ 1 ดอก เดินมายื่นให้แจ้ เมื่อคนอื่นเดินกลับมาที่โต๊ะหมดแล้ว

“ดอกเดียวเองเหรอจ๊ะ อุตส่าห์โยกซะหลังเคล็ด” แจ้ที่โน้มตัวมารับดอกกุหลาบจากมือนกน้อยพูดแซว

“คนอื่นเขาเหมากันจนหมดแล้ว หนูคงให้พี่ได้เท่านี้”

“เท่ากับ ที่ให้เบอร์ 10 หรือเปล่าล่ะจ๊ะ น้อยใจนะเนี่ย”

“ดอกสีแดงนั้น เป็นการตอบแทนในฐานะที่เป็นลูกค้าที่ดี”

“คนหัวล้านได้ยินคงน้อยใจแย่”

“ส่วนดอกสีขาว หนูให้พี่ตอบแทนในฐานะที่เป็นผู้ชายที่ดีเลิศของหนู”






“ระหว่างที่เรารอผลการประกวดจากคณะกรรมการ  ขุนช้างแดนทอง ๒๕๔๒ ทางกองประกวดขอเผยโฉมผู้เข้าประกวด ขุนแผนแสนสะท้าน ๒๕๔๒ เพื่อเป็นการคั่นเวลา และเมื่อแนะนำผู้เข้าประกวดขุนแผนทั้ง 20 คนหมด ก็จะกลับมาประกาศผลรางวัล ขุนช้างแดนทองกันเลยค่ะ” พิธีกรสาว แจงขั้นตอนให้ผู้ฟังได้รับทราบ  ซึ่งตอนนี้ มีผู้หญิงทั้งวัยสาวจนถึงวัยทอง ตลอดจนสาวประเภทสอง เข้ามายังที่นั่งหน้าลานเบียร์จนล้น มีการขายกระดาษหนังสือพิมพ์เพื่อปูรองนั่งเพิ่ม มีเสื่อขายผืนละ 60 บาท แล้วก็คนที่ทยอยมามุงดูอีกจำนวนมาก เพราะการประกวดขุนแผน ที่มักเป็นหน้าเป็นตาของจังหวัด จะเป็นรองก็เพียง เทพีสันติภาพ ซึ่งเป็นการประกวดความสวยงามของผู้หญิง ที่จะประกาศผลในคืนถัดไป

“เมื่อกี้น้าแจ้ ตอบคำถามดีเหมือนกันนะคะ ไม่เหมือนสองคนแรก” มะนาวถามความเห็นนกน้อย

“คำถามยากเหมือนกันนะมะนาว ปุยนี่ตกใจเลย”

“ถ้าคุณเป็นขุนช้าง คุณจะเอาหัวใจของนางพิม กลับมาได้อย่างไร” ยอดดอยทวนคำถามที่ผ่านพ้นบนเวทีไปเมื่อสักพัก

“สองคนแรก ตอบคล้ายกันนะครับ ใช้ความจริงใจ ใช้ความรักเดียวใจเดียว” อาร์มเสริม

“มันคือคำตอบของขุนช้างในทุกปีจ๊ะ ขุนช้างรักเดียวใจเดียว เป็นอะไรที่ใครก็รับรู้” นกน้อยตอบ

“แล้วน้าแจ้ ทำไมมันแหกด่านอย่างนั้นล่ะ” อาร์มยังงง แต่ก็ไม่เข้าใจกับคำตอบของน้าแจ้ว่าจะชนะใจกรรมการได้ไหม

“ยอมรับข้อผิดพลาด แล้วขอโอกาสนางพิม” ยอดดอยพรึมพรำกับตัวเองอย่างแผ่วเบา





“นี่ถ้าเราขึ้นประกวดขุนแผน เราจะชนะไหมโอเล่”

“เหมือนเด็กน้อยในดงผู้ใหญ่ป๊ะ เตี้ยยังงี้”

“ก็หล่อกว่าไอ้พวกสิบคนแรกแหล่ะวะ”

“แต่ถ้านับเรื่องความเจ้าชู้แบบขุนแผน นี่น่าจะตรงใจกรรมการนะ”

“ทำมารู้ดี หน้าเราเหมือนขุนแผน แต่หัวใจเราเป็นเช่นขุนช้างนะ” กล้าเอื้อมมือไปหยิกแก้มโอเล่ ที่พยายามดึงหน้าหนี




“ผู้เข้าประกวดหมายเลขสิบหก นายต้นสาย ตรีโอฬารวงศ์”

“เชี่ยยยยยยยยยยยยยยย”  อาร์มกับดอย อุทานพร้อมกันด้วยเสียงอันดัง  มะนาวกับปุยยืนขึ้นตาลุกวาว พร้อมเสียงสาวน้อยใหญ่ที่บัดนี้ส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นจนกลบเสียงพิธีกร เมื่อชายหนุ่มเปลือยอก เดินนุ่งจุงกระเบนสีน้ำเงิน ต่างจากคนอื่นที่ใส่สีแดงและน้ำตาล เดินออกมาเผยผิวขาวผ่อง มัดกล้ามที่ดูสวยงาม รูปร่างสูงโปร่ง มีลายกล้ามเนื้อชัดแม้ผิวที่ขาวจัดโดนแสงกลางเวที คิ้วเข้ม ปากแดง ตาดำกลมโต จมูกที่โดนแสงมีเงาสันแสดงให้เห็น มีกระบี่โบราณคาดหลังไขว้ด้วยสายคล้องพันเป็นกากบาทที่ตัว

“ลูกบ้านตรีโอฬารวงศ์นี่แก”  “แฝดพี่บ้านจัดสรรใช่ไหม”  “คนโตโชว์รูมรถไงเธอ”  “ที่ขี่รถสีดำเท่ๆผ่านตลาดค่ำๆไงแก”  เสียงสาวน้อยใหญ่แซ่ซ้อง พร้อมกับสายตาที่เพ่งมอง  แค่โอ๊คโบกมือตอนอยู่ที่หัวมุมเวทีด้วยอาการเขิน คนดูก็กรีดร้องบ้าคลั่งราวกับดูคอนเสิร์ตพี่เบิร์ด 

“พี่โอ๊คแม่ง หล่อเด่นว่ะ ขุนแผนปีนี้ชัวร์เลยโอเล่” กล้าบอกโอเล่ที่พยายามชะเง้อเพราะผู้หญิงมายืนรุมดูหน้าเวทีจนเต็ม

“ต้องดูรอบคำถามด้วย เคยมีหล่อมากๆ แต่ไม่ได้เป็นขุนแผนก็มี ปกติ ต้องดูกวน ๆ เจ้าชู้ๆ แล้วก็สายตาซนๆหน่อย เจ๊มองว่าต้องดู concept ปีนี้ด้วย”

“ทำไม ไม่ไปประกวดล่ะ น่าจะตรงกับ concept นะ” ปุยเมฆหันไปคุยกับยอดดอย เป็นประโยคแรกตั้งแต่มานั่งด้วยกัน

“หูยยยยยยย ปุยร้ายอ่ะ” มะนาวหัวเราะชอบใจ ก่อนจะเหลือบตาไปมองอาร์ม  “แฝดน้องก็เหมาะกว่านะคะ มะนาวว่า”

“แหม อย่าเพิ่งมาทำร้ายกันเองตอนนี้นะครับ เราไปซื้อดอกไม้ให้พี่โอ๊คกันดีกว่า” กล้าที่เห็นสถานการณ์ไม่ดี รีบเบรค
ริมฟุตบาทที่เงียบเหงา บนถนนแม่น้ำแคว ผิดจากวันธรรมดาที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวเต็มผับบาร์ แต่เพราะว่าวันนี้เป็นคืนวันที่ 4 ก่อนเข้าสู่วัน มหามงคล ในวันรุ่งขึ้น จึงทำให้เจ้าของบาร์ พร้อมใจกันหยุดอย่างเต็มใจ เนื่องจากรุ่งเช้าพรุ่งนี้ จะมีการจัดโต๊ะยาว ซึ่งทางเทศบาลรับนิมนต์พระไว้ถึง 72 รูป มาเดินรับบิณฑบาตร ผู้คนจึงดูตื่นเต้นและเข้านอนเร็ว โดยใช้เวลามาเดินเที่ยวซื้อหาของในงานสะพานข้ามแม่น้ำแควแทน  แต่สาวบาร์ยังคงเดินยืนรอแขกตามถนนอยู่ แม้บาร์จะไม่ได้เปิดขายแอลกอฮอล์ แต่ก็เปิดร้านให้มีโต๊ะนั่งสำหรับชาวต่างชาติ แต่ปิดไฟมืด ซึ่งก็มีชาวต่างชาติหลายคนที่ไม่เข้าใจในเหตุผลที่ต้องงดขายสุรา ซึ่งเจ้าของร้านก็คอยอธิบายให้ฝรั่งเข้าใจ


ผมที่ยาวสลวยบนคนร่างเล็ก พริ้วไสวเมื่อต้องลม แมวยืนอยู่เพียงลำพังตรงข้างบาร์หนึ่ง บุหรี่ที่ถูกสูบจนเกือบหมดถึงก้น ถูกทิ้งไว้บนพื้นฟุตบาต แมวเอาปลายส้นสูงสีแดงขยี้จบมอดดับไป  เธอเดินเล่นริมฟุตบาตแบบไม่สนใจใคร เดินไปเรื่อยไม่สนใจฝรั่งที่เข้ามาแซวหรือพยายามชวนคุย ก่อนจะไปหยุดที่หัวถนน แล้วก็หายตัวเข้าไปในห้องแถวแห่งหนึ่งที่ปิดไฟเงียบ


“และผู้ที่ได้ตำแหน่ง ขุนช้างแดนทอง ๒๕๔๒ ได้แก่....”  พิธีกรประกาศผล ซึ่งตอนนี้เหลือเพียง หมายเลข 9 และ 10 ซึ่งยืนโอบไหล่กันอย่างคุ้นเคย ลุ้นผลบนเวที ผู้คนข้างล่างดูตื่นเต้น โดยเฉพาะโต๊ะหน้าเวที ที่ไม่มีเสียงพูดคุยกันเลย

“หมายเลข....   9 !  นายจักรกฤษณ์ คชมาลา” สิ้นเสียงพิธีกร เสียงกรีดร้องจากโต๊ะหน้าก็ดังขึ้น โดยเฉพาะเสียงของนกน้อยกับมะนาว ดังแหลมพุ่งขึ้นไปบนเวที  ไก่แจ้ กับ ผู้เข้าประกวดเบอร์ 10 โอบกอดตบไหล่กันเป็นเชิงหยอกล้อ แล้วผู้เข้าประกวดเบอร์ 10 ก็เดินไปรับรางวัลรองอันดับ ๑ ก่อนที่จะถึงคิวไก่แจ้ ที่เปลี่ยนกลับมาในชุดม่อฮ่อม กางเกงผ้าขายาว เข้ารับรางวัลชนะเลิศ เกียรติบัตร และมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน พร้อมคิวโชว์ตัวเกือบเต็มเดือนช่วงหลังปีใหม่ยาวจนถึงตรุษจีน ไม่รวมที่ต้องถ่ายรูปขึ้นปกหนังสือพิมพ์ประจำจังหวัดร่วมกับขุนแผน และนางงามสันติภาพ เมื่องานสะพานสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่วัน

“อ่ะ” ปุยยื่นโทรศัพท์มือถือให้กับยอดดอย เพราะเขารู้ว่า ดอยอยากจะออกไปโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะที่ใกล้ที่สุด แต่ไม่อยากจะพลาดการเชียร์โอ๊คที่จะต้องขึ้นแสดงความสามารถในรอบต่อไป

“ขอบใจนะ” ดอยยิ้มรับโทรศัพท์มา แล้วกดโทรออกอย่างตื่นเต้น  “แม่ !! แม่ต้องไม่เชื่อว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายแม่..” 






บริเวณกองอำนวยการประกวด ถัดจากโต๊ะกรรมการด้านข้างเวทีใหญ่ จัดจำหน่ายดอกกุหลาบที่เวียนใช้จากการประกวดขุนช้างในรอบเมื่อสักครู่ มาให้ผู้ชมไว้ใช้ซื้อหาเพิ่มคะแนนในการประกวดประเภทขวัญใจมวลชน  ที่เมื่อกี้แม้ไก่แจ้จะพลาดตำแหน่งขวัญใจมวลชนนี้ให้แก่ เบอร์ 10 ไป แต่ก็ยังได้ตำแหน่งชนะเลิศจากกรรมการแทน 

กระนั้น ครั้งนี้โต๊ะหน้าเวทีจะให้เสียเกียรติไม่ได้ เมื่อคนในตระกูลตรีโอฬารวงศ์ ขึ้นประกวด อาร์มที่เพิ่งโทรบอกที่บ้านอย่าง
เร่งด่วนจนป๊าและม๊าที่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน รีบไปหาเหมากุหลาบที่ตลาดมาเสริมทัพอย่างด่วน เพราะมีกฏว่า เฉพาะกุหลาบแดง สามารถซื้อมาเสริมได้ แต่กุหลาบสีชมพู และ สีขาวต้องใช้ของกองประกวดเท่านั้น ซึ่งมีจำกัดไม่กี่ดอก   

“ป๊าบอกว่า ที่ตลาดไม่มีเหลือเลยว่ะ” อาร์มหันไปบอกดอยที่เพิ่งวางสายจากแม่เสร็จ

“กูว่า คงต้องรอตำแหน่งชนะเลิศอย่างเดียวแล้วว่ะ กูเห็นเบอร์ 7 แม่งเหมาไปหมดเลยสีแดง”

“ไปเหมาสีชมพู กับสีขาวกัน ป๊ากูสั่งลุย เสียหน้าไม่ได้งานนี้ แต่ไม่ได้ติดตังมาน่ะสิ เมื่อกี้ซื้อให้น้าแจ้หมดแล้วด้วย”

“เออ จะไปเบิกเอทีเอ็ม กลับมาคงไม่ทัน เดี๋ยวลองหายืมใครก่อน”

“กูว่า ไม่ต้องแล้วแหละว่ะไอ้ดอย.. ดูนั่น”





หน้าเวที ผู้เข้าประกวดยืนเรียงกันเพื่อรับดอกไม้คะแนน ท่ามกลางผู้คนที่มุงกันมอบดอกไม้ ทหารสามคน หอบดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่ตรงไปที่ผู้เข้าประกวดหมายเลข 16 เป็นแถวหน้ากระดาน จนผู้คนหน้าเวทีต้องหลบทางให้ โอ๊คที่มีอาการเขินอย่างเห็นได้ชัดเดินมารับช่อดอกไม้ เมื่อทหารทั้งสามคนมอบให้เสร็จ ก็แหวกตัวออก เผยให้เห็นเด็กหนุ่มตัวผอมบางผิวซีด แต่สายตาแจ่มใสชัดเจนกว่าทุกครั้ง หอบดอกกุหลาบช่อใหญ่สีขาว เดินตรงมา..

“กลัวพี่จะแพ้ขนาดนี้เลยเหรอครับ ขอบคุณนะ” โอ๊คนั่งยอง เอื้อมตัวมารับช่อกุหลาบสีขาว โดยมีคนมายืนด้านหลังรับดอกไม้ไปเพื่อไปนับคะแนะ

“ไม่ได้กลัวพี่แพ้..  แต่ผมกลัวตัวเองจะแพ้..”



ที่โต๊ะหน้าเวที ไก่แจ้ที่เพิ่งรับรางวัลเสร็จ มานั่งสมทบข้างนกน้อย ปล่อยให้เด็กๆไปสนุกกันที่หน้าเวที มะนาวและปุย รีบเอากล้องที่ยืมโอเล่มา ถ่ายรูปโอ๊คทุกมุมเท่าที่ทำได้  อาร์มกับดอยตะโกนแซวเพื่อนบนเวที  กล้าที่ยืนดูห่าง ๆ ส่งยิ้มให้โอเล่ที่เดินกลับมาที่โต๊ะ

“จัดเต็ม สมกับเป็นนายเลย” กล้าแซวโอเล่ที่ทอดตัวลงนั่งบนเก้าอี้

“มันไม่มีผลต่อใจพี่โอ๊คหรอก เขาไม่เหมือนคนอื่น”

“แต่อย่างน้อยก็ได้ทำให้พี่เขาเห็น”

“นายไม่ว่าอะไรฉันเหรอ”

“จะว่าทำไม.. ถ้าเธอมีความสุข เราก็ยินดีที่จะดูรอยยิ้มนั้น”

“ฉันดูเป็นคนอมทุกข์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แค่ดูก็รู้ว่าไม่มีสุข เราเห็นเธอยิ้มแค่ตอนพี่โอ๊คเดินผ่านมาในร้านเน็ต”

“พี่โอ๊คมีค่ากับเราจริงๆ”

“ยิ่งได้ยินสิ่งที่เธอเผชิญมา ก็ถึงเวลาที่สมควรจะได้ยิ้มบ้างนะโอเล่ เราห่วงใยเธอเหลือเกิน”

“ขอบคุณนะกล้า นายเจ๋งดีว่ะ”
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 25 : เห็นเงาในตาฉันไหม Feat.โอเล่ ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 15-03-2018 21:29:31


Track 25 :  เห็นเงาในตาฉันไหม เห็นเธออยู่ในนั้นไหม..
                                     รู้ใจกันบ้างไหม ว่าฉันนั้นคิดอะไร..


[ โอเล่ ]

ผมเป็นลูกมาเฟีย ? ไม่นะ ไม่ขนาดนั้นครับ
ทำไมผมหลงพี่โอ๊คขนาดนี้ ? พวกคุณต้องดูสิ่งที่พี่เขาทำให้ผม
พ่อเลี้ยงข่มขืน ? นั่นละครหลังข่าว ชีวิตผมรันทดแค่พอประมาณ
มีผลประโยชน์อะไรกับร้านน้าแจ้..  อืม อันนี้น่าคิด

ผมโตมากับม๊าและก็สามีของเขา  เพราะเตี่ยกับม๊า แยกทางกันนานแล้ว แต่เขาก็คุยกันนะ ม๊าก็ดีกับผม ส่วนพ่อเลี้ยงก็ไม่ได้ร้ายอะไร เขาแค่ไม่สนใจผมกันเลย ไปทานเข้าก็แค่ซื้อกลับมาให้ผม ไปเที่ยวกันก็มีของฝากมาให้ แค่ไม่มีผมในชีวิตพวกเขาเท่าไหร่  ม๊าพยายามมีลูกกับสามีใหม่เขาหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ตัวผมเลยดูเหมือนจะดูเกะกะในสายตาพวกเขามากขึ้น ยิ่งการตั้งครรภ์ล้มเหลง ยิ่งมาลงที่ผม

พวกเขาย้ายผมขึ้นไปอยู่ที่ห้องใต้หลังคา ผมก็ไม่คิดมากนะ วิวดี เวลาหิมะตก ห้องผมก็เห็นก่อนใคร ตอนหลังผมขอเตี่ยซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในห้อง เตี่ยก็ส่งมาให้  ผมขลุกกับการหัดใช้งาน จะบอกว่า windows95 นี่ผมชำนาญกว่าใครในเมืองนี้แล้ว เมื่อไม่มีอะไรทำ ก็ เรียน เรียน เรียน..  ผมเรียนเก่งนะ แต่มันไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผมชอบนัก ผมรักคอมพิวเตอร์ ผมเข้าชมรม digit ของไฮสคูล เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน.. อืม จะเรียกว่าเพื่อน ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เหมือนต่างคนต่างใช้อีกฝ่ายในการให้ความรู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มี  มีคนไต้หวันกับคนฟิลิปปินส์ที่เก่งมากจนพวกฝรั่งในเมืองอึ้งเลย ผมก็พยายามเรียนรู้และตามให้ทัน

จนวันหนึ่ง พ่อเลี้ยงขังผมไว้ในห้องนอน เพราะเขากลัวว่าผมจะลงมาที่ห้องรับแขก แล้วญาติเขาจะถามว่าผมคือใคร มีความสัมพันธ์อย่างไรกับเขา แต่แล้วเขาก็ลืมไขกุญแจปลดล็อค  ม๊าที่ไม่ได้สนใจผมก็ไม่แม้แต่จะขึ้นมาดู มาถามหา ผมร้องตะโกนไม่ไหวเพราะไม่มีแรง ความหิวและความหนาวทำให้ผมนอนกองอยู่กับพื้นจนสลบไป  แล้วผมก็กลับมาอยู่เมืองไทยหลังจากนั้น
..ไม่รู้ว่าเตี่ยทำอะไรบ้าง แต่ม๊ากับสามีเขาไม่เคยคิดยุ่งกับผมอีกเลย

เมืองไทยมันน่าสนใจนะผมว่า ผู้คนเป็นมิตรพร้อมจะถามไถ่ในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตน เขายิ้มให้คนแปลกหน้ากันง่ายชะมัด แถมยังเงี่ยหูฟังคนรอบข้างสนทนาแล้วจับใจความมาขยายต่อได้แม่นยำ  แปลกมาก  จนผมก็ติดมันเลยนะ ผมเอานิสัยของคนไทยมาใช้ในงาน  คนรู้จักที่ชมรม ส่งอีเมล์งานมามากมายโดยเฉพาะวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค  เขียนซอฟต์แวร์เกมส์โดยอิงพฤติกรรมคนเซีย มีความซุ่มเงียบในประเทศอย่างเกาหลีใต้ ที่พยายามจะเอาชนะคนญี่ปุ่น มันเป็นงานยากแต่ท้าทายมาก ทีมของเรามันเก่งพอประมาณ เราถึงกับสร้างเกมส์ที่เด็กติดกันงอมแงม ก่อนจะโดนก็อปปี้ ซอฟต์แวร์ปลอมจนความนิยมลดลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทีมเราย่อท้อ เราก็ค้นหาแนวทางใหม่ ด้วยไอเดียใหม่อยู่เสมอ

จนร้านน้าแจ้นี่แหล่ะ เป็นอะไรที่เด็ดโครต ผมมองเห็นอนาคตของนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คจากมุมกระจกนี้ มันเป็นดวงตา ทางการตลาดที่น่าทึ่ง เกื้อต่องานวิจัยของทีมเราไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มชาวยิว ชาวญี่ปุ่น และชาวอินเดีย แต่ละคนมีฐานวิชาคอมพิวเตอร์ที่แน่นปั๋ง เขามาทำอะไรกันที่เมืองเล็กอย่างกาญจนบุรี ไม่ใช่แค่ท่องเที่ยวแล้ว กล้องวงจรปิดที่ผมติดไว้รอบร้านพอเอามาซูมหน้าจอยามค่ำคืนพบว่า มันมีทั้งองค์กรและขบวนการหลายอย่างพลางตัวอยู่ในฝูงชน ไม่ใช่ว่าจะมาก่อการร้ายอะไร แต่เป็นพวกวิจัยทางการตลาดก็เหมือนกับพวกผมนี่แหล่ะ การลงพื้นที่จริงในยุคสมัยใหม่นี้มันป้องกันความผิดพลาดก่อนจัดจำหน่ายอะไรสักอย่าง อีกทั้งยังสร้างมุมคิดแปลกใหม่ให้ผลิตภัณฑ์ไม่น้อย 

เบื่อไหมครับ.. นี่แหล่ะผม.. ไม่เกินห้านาที ผมสามารถชักนำพวกคุณเข้าสู่โซนน่าเบื่อของผมได้ มันคงเป็นความสามารถของผมอีกอย่างนึงที่ผู้คนหนีหาย จะมีเพียงคนเดียวที่ทนฟังด้วยรอยยิ้มที่พิมพ์ใจ คนที่ทำผมปัดหน้าได้หล่อที่สุดในโลกในความคิดผม  ตาดุแต่ดำเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสันจนน่าเอามือไปบีบสักทีสองที  คนที่ช่วยแวะมาอยู่เป็นเพื่อนผมโดยตลอดท่ามกลางสังคมที่เวิ้งว้างเดียวดาย  ...เขาคนนั้น

เตี่ยที่ไม่ให้ผมขับรถ แล้วก็พยายามแอบส่งพลทหารเดินตามผมทุกครั้งเมื่อผมเผลอ ท่านก็คงจะเป็นห่วงผม อันนี้ผมก็ซึ้งนะ แต่บางทีมันมากไป ถึงกับคอยแอบหนีบ้าง จนผมมาเจอร้านน้าแจ้นี่แหล่ะ เลยบอกเตี่ยไปว่า ผมจะปักหลักตรงนี้ เตี่ยก็ชอบใจ จนเซ้งร้านให้ผมในที่สุด ผมถูกใจน้าแจ้ แกเป็นคนใจดี แล้วก็อารมณ์ขัน พอกับเจ๊นกน้อยที่ดูแลผมเหมือนหลานคนนึงเลยเชียว แถมยังทำให้ผมคนที่ไร้อารมณ์ขำขันสามารถหัวเราะได้บ้าง

ความรักของผม มันเกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้านที่ผมอยากจะเดินดูผู้คนบ้าง กลุ่มเด็กช่างกลวิทยาลัยดังพยายามจะแย่งโทรศัพท์มือถือของผม เข้าใจนะว่ามันราคาตั้งครึ่งแสน แค่ผมโทรปิดเบอร์มันก็ใช้ไม่ได้แล้ว จะมากรรโชกมือถือกันทำไม  ผมก็คิดในใจ แต่ความคิดก็หยุดไปตอนมันเตะที่หน้าท้องจนผมตัวงอนี่แหล่ะ  แล้วเทพบุตรผมปัดที่ควบมอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดี ปรากฏการณ์หนึ่งกระทืบสามหน้าลานห้างดัง ยังเป็นที่กล่าวขานมาถึงทุกวันนี้ 
สามช่างกลหนีหัวซุกหัวซุนไป  พี่โอ๊คมีรอยเลือดที่มุมคิ้วเล็กน้อย คงโดนตอนเผลอ เขาเก็บของที่หล่นกระจาย แล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือของผมมาปัดด้วยชายเสื้อแล้วส่งมาคืน  ใบหน้าที่เหมือนหุ่นยนต์ไม่ได้แสดงความรู้สึกว่ากำลังคิดอะไร เอ่ยถามผมว่าให้ไปส่งบ้านไหม ผมก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขากลับมา  เขาไม่ตกใจเมื่อเห็นคฤหาสน์ของเตี่ย ไม่มีแม้แต่จะถามเรื่องงานของที่บ้านผม ไม่แม้แต่จะถามว่าผมมีสินทรัพย์เท่าไหร่ ใช้ชีวิตอย่างไรกับกองเงินกองทองเหมือนเพื่อนที่วิทยาลัยเก่าเพียรถามกัน เขาแค่ยื่นยาแก้ปวดกับคำสั่งที่ผมไว้มีวันลืม คือ นอนให้เยอะ ในวันที่เราเจ็บ

ผมใช้เวลาในร้านน้าแจ้ทุกวันหลังจากวันนั้น ผมจองแถวที่สาม มุมเยื้องกับที่นั่งแถวสองของพี่โอ๊ค เพื่อที่จะได้มองหน้าหล่อเหลาของเขาทุกวัน  ผมไม่ได้คิดว่าผมจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมยังไม่ถึงวัยมีความรักด้วยซ้ำ ผมแค่ชอบคนนี้ คนตรงหน้า แม้ว่าเขาแทบจะไม่ได้หันมามองผมเลย  เขาขลุกกับพี่ดอย ซึ่งก็ใจดีไม่แพ้กัน แถมพี่ดอยยังพูดจาตลกแบบหน้าตายได้ด้วย ไม่เหมือนพี่โอ๊คคนขรึม แม้เต็มที่ก็แค่ยิ้มเจื่อนในแบบที่เขาเป็น 

เตี่ยผมเคยมาที่ร้าน แวะเอาอาหารกับขนมมาฝากทุกคนในร้าน เอาเงินให้เจ๊นกน้อยไว้คอยทำอะไรให้ผมกินเวลาผมไม่ได้พกเงินมา หรือเผื่อเหลือเผื่อขาด ครั้งหนึ่งหม้อแปลงระเบิดที่ถนนแม่น้ำแควไฟดับหมดทั้งถนน เตี่ยเนรมิตให้หอนาตยา มีไฟใช้เพียงอาคารเดียวบนถนนเส้นนี้  พี่โอ๊คเผยยิ้มแรกให้ผม ตอนที่ไม่พลาดดูฟุตบอลทีมโปรดที่จะแข่งในวันไฟดับนั่น รอยยิ้มของพี่โอ๊คแบบนี้แหล่ะ ที่ผมเสพติดนักหนา ผมอยากให้พี่ชายแสนใจดีมีรอยยิ้มแบบนี้ได้บ่อยๆ ไปนานๆ

ผมพอจะรู้ เรื่องที่ครอบครรัวของพี่เขาต้องเผชิญ ผมเจาะข่าวสืบได้หมด ผมชอบมะนาวกับปุยนะ พวกเราอายุเท่ากันแถมยังคุยกันถูกคอ ยิ่งเวลานินทาพวกพี่ดอย หรือฝาแฝดสุดแสบ พวกเราจะเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ถ้าพี่ดอยลงเอยกับปุย แล้วพี่อาร์มลงเอยกับมะนาว เขาก็จะเป็นแก๊งเดียวกันไปจนวันตาย มันน่าอิจฉาเนอะ เพราะพี่โอ๊คคงไม่ได้มีใจให้ผมแบบนั้นหรอก ปุยกับมะนาวก็ดูออก แต่กำลังใจที่ให้ มันไม่ได้จอมปลอม พวกเขาเข้าอกเข้าใจผมอย่างแท้จริง


ในวันที่ผมสารภาพรักในคอนโดหรูของพี่โอ๊ค เขาหอมหน้าผากผมอย่างเอ็นดู แล้วขอบคุณสำหรับความรักที่ผมมีให้เขา  ดูสิ ขนาดปฏิเสธยังมีสไตล์ คนอะไรช่างเพอร์เฟ็คไปหมด โครตเท่ ผมขอกอดเขาเพื่อจดจำวันนั้นไปตลอดกาล พี่เขาเอาหัวผมไปหนุนที่อ้อมแขน เป็นครั้งแรกที่ผมได้นอนยาวโดยไม่ต้องสะดุ้งลุกขึ้นมากลางดึกเช่นเหมือนที่ผ่านมา  พอตอนเช้าที่แสงอาทิตย์ลอดผ่านผ้าม่านมา ผมยังนอนจ้องหน้าของเขาไปสักพัก จนพี่โอ๊ครู้สึกตัวมาเห็นผมมองตาแป๋ว เขาก็เขินไปเอง

พี่โอ๊คให้ผมตั้งใจศึกษาหาความรู้ เขาบอกว่าผมจะมีอนาคตที่ไกลระดับโลกในวันหน้า แถมยังหาหนังสือที่น่าสนใจมาให้ผม จัดตารางการทานที่เตี่ยเคยเป็นห่วงนักห่วงหนา สั่งเจ๊นกน้อยให้คัดแต่ของที่มีประโยชน์ พะแนงกุ้งที่เคยทานประจำโดนสั่งให้เหลือแค่เดือนละสองครั้ง แต่ผมก็ไม่ขัดขืน พี่โอ๊คบังคับให้ผมวิ่งที่สนามกีฬาอย่างน้อยอาทิตย์ละสองวัน  ไม่รวมถึงตารางนอนภาคบังคับที่จัดใหม่โดยนายต้นสายคนนี้

ตอนที่พี่มือกลองกลับเข้ามาในชีวิตพี่โอ๊คอีกครั้ง ผมแทบจะหมดหวังไปแล้ว ถ้ามะนาวกับปุยไม่คอยเชียร์ให้ผมมีหวังลมๆแล้งๆ ไปเรื่อย แต่ผมก็ไม่โกรธพี่มือกลองนะ เขาดูเป็นคนดี แล้วก็เหมาะกับพี่โอ๊คมาก  ดูรอยยิ้มของพี่โอ๊คสิ เป็นรอยยิ้มที่เปื้อนหน้าหล่อๆได้อย่างสมศักดิ์ศรี  พี่โอ๊คไม่เคยได้หัวเราะ หรือมีรอยยิ้มผ่อนคลายแบบเท่าที่เป็นอยู่นี้เลย แล้วจะให้ผมเดินหน้าเข้าไปขวางความสุขของคนที่ผมเทิดทูนขนาดนั้นได้เชียวเหรอ

ต้นกล้า ก็พูดถูก การตักตวงความสุขเป็นสิทธิของทุกคน แล้วถ้าเราเป็นทุกข์เสียหนึ่ง แต่มีคนเป็นสุขได้ถึงสอง ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะไปขัดขวางทางของมัน  พูดถึงไอ้หมอนี่ มันก็เป็นอะไรไม่รู้ ชอบมากวนประสาทผมจัง  ตอนที่เห็นเขาครั้งแรก ผมนึกว่าเป็นน้องชายพี่ดอย เหมือนกันจะตาย แต่เตี้ยเป็นลูกหมา หน้าตาทะเล้นกวนประสาท  คงคิดว่าตั้งแต่ได้ตำแหน่ง นายนพมาศน้อย แล้วจะหัวบันไดบ้านไม่แห้งสินะ เชอะ! วันๆ ก็เห็นมาขลุกแต่กับร้านเน็ต มาแซวผมได้ทุกวัน จนเพื่อนชาวแก๊งมอเตอร์ไซค์ป่วนเมืองแทบจะถอดมันออกจากการเป็นหัวหน้าแก๊งไปแล้ว 

จะว่าไป กล้าเขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่นะ ผมเขินเหมือนกันตอนเขาสารภาพว่า เขาชอบมานั่งโต๊ะคอมแถวที่หนึ่ง แอบนั่งมองว่าผมทำอะไร เขาแซวเรื่องผมมองพี่โอ๊คข้างเดียวเรื่อย เขาพูดว่าเข้าใจความรู้สึกของการแอบมองดี ไอ้ขี้โม้ หน้าอย่างนี้ มีเหรอจะไม่มีคนเข้ามาให้เลือก มันหล่อจะตาย ถ้าไม่นับแฝดสุดหล่อสมบัติของเมืองกาญจน์ กับพี่ดอย ก็คงต้องมันนี่แหล่ะ น่าจะหล่อกว่าใครในย่านนี้แล้ว แต่ความเตี้ยกับกับความกวนส้นตีนนี่คงเป็นอุปสรรคของการโชนแสง ภาพลักษณ์ธุรกิจบ้านเขาก็ไม่ดี จนได้ตำแหน่งนายนพมาศน้อยกับเขามา ก็เริ่มซ่าเชียว คิดว่าหล่อนักเหรอ ข้ามศพพี่โอ๊คไปก่อนเหอะ

บ้านผมกับบ้านกล้า ใครรวยกว่ากัน ? ผมก็ไม่รู้สิครับ มันเป็นสมบัติของพ่อ ไม่ใช่ของผม จริงๆแล้ว เตี่ยผมกับป๊ากล้าไม่ถึงกับรวยเหมือนบ้านพี่โอ๊คหรอก ธุรกิจบ้านพวกเรามันสีเทากว่า เตี่ยผมแค่สามารถกุมคะแนนเสียงทหารในกองพันได้ ช่วงเลือกตั้ง เตี่ยผมนี่เนื้อหอมมาก นักการเมืองแทบมากราบ วันเกิดเตี่ยทีไม่ต้องพูดถึง มากันทุกพรรคการเมืองเลย  ส่วนของบ้านกล้าเขาก็ไม่ได้รับเขียนแต่หวยหรอก เขาก็ปล่อยเงินกู้ รับจำนองบ้าน จำนองที่ จำนำรถ เงินเขาก็สะพัดอยู่นะ ผมเห็นเขาใช้ตังแต่ละวันก็ไม่น้อย ซื้อไอศกรีมแพงมาฝากผมประจำ ใครจะบ้ากินไอติมเวนเน็ตต้าอันและร้อยกว่าบาทได้ทุกวี่วัน ซื้อมาทำไม แต่เสียดายก็เลยต้องกิน มันคงรู้ว่าผมชอบ จ้องจะให้ผมอ้วนขึ้นให้ได้เลย แฟนก็ไม่ใช่ ยุ่งจริงว่ะ

แต่ตัวผมรวยกว่ามันแน่ เพราะผมเก็บเงินเก็บทองจากการทำงานได้เยอะ มันน่ะเขียนหวยให้ป๊ามันได้ค่าจ้างมาก็แต่งรถหมด อายุเท่าผมแต่ทำเอกสารเงินกู้ได้หมด ก็ใช่จะเก่งหรอกนะ คงแค่ทำบ่อยมากกว่า งั้นๆ แหล่ะ  เห็นมันเป็นเด็กซ่า เที่ยวเตร่ แต่เออ เกรดโครตดีเลย สงสัยมันจะแอบอ่านหนังสือตอนก่อนนอน มันนอนดึก ผมการันตีจากข้อความที่มันขยันส่งมาช่วงตีหนึ่ง เป็นตัวแทนโรงเรียนไปตอบปัญหานั่นนี่อยู่บ่อย หึ.. แต่ก็งั้นๆ แหล่ะ

ช่วงนี้จะสิ้นปี 1999 แล้ว ใครก็กลัวโลกจะแตกกัน ผมในฐานะคนที่สนใจตัวเลข มากกว่าศาสตร์มืด ก็ต้องยอมรับว่าหวั่นอยู่เหมือนกัน  ไม่ใช่จากเพราะคำทำนาย หรือคิดว่าจะมีอุกกาบาตขนาดใหญ่มาชนโลกแบบในหนังหรอกครับ แต่ความวุ่นวายของชาวคอมพิวเตอร์อย่างพวกเราก็ต้องพูดตรงๆเลยว่า มันป่วนไม่ใช่เล่น  คืนวันที่ เลขฐานเปลี่ยนจาก 99 มาเป็น 00 ผมแทบไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง คงจะรวนไม่ใช่เล่น ความผิดเพี้ยนของปี ตัวเลข การย้อนเวลาตามความเข้าใจของระบบคอมพิวเตอร์ 

ผมเคยนอนฝันว่าคอมในร้านทุกตัวกลายเป็นสีดำแล้วมีตัวหนังสือสีเขียววิ่งขึ้นมาเองทุกเครื่องจนผมสะดุ้งตื่น  ไอ้กล้ามันยังแซวว่าผมกินมากไปตอนที่ผมเล่าให้ฟัง ผมก็เลยงอนมันไปยี่สิบนาทีได้ มันก็ง้อจนใจอ่อนด้วยเวนเน็ตต้ารสวนิลลา

เมื่อคืน ผมเอาดอกไม้ช่อใหญ่ ไปให้นายขุนแผนแสนสะท้านปีล่าสุด พร้อมพ่วงตำแหน่งขวัญใจสื่อมวลชน และขวัญใจมวลชนไปซะสามรางวัล กับยิ้มพิมพ์ใจเป็นรางวัลที่สี่ ซึ่งจะไม่นับรางวัลนี้ก็ได้ เพราะบ้านของพี่มือกลองเป็นสปอนเซอร์ ตอนผมเอาดอกไม้เดินไปให้เขา คนมองกันมาตรึมเลย แต่ผมไม่อายหรอก เพราะพี่เขายังไม่เห็นจะอายเลย เขาโน้มตัวลงมามอบยิ้มนั้นให้ผม ยิ้มที่ผมไม่มีวันได้เป็นเจ้าของไปตลอดกาล  แต่มันก็สุขใจ..  ได้เท่านี้ ก็ดีพอแล้ว

ในวันที่แอบมองโดยเขาไม่รู้ มันก็มีความหวัง  แต่พอเขารู้แล้วความหวังมันพังทลายไป ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อก่อนไอ้เจ้า ความหวังมันมาพร้อมกับการแค่แอบมอง  แต่ความผิดหวังมันได้สิ่งหนึ่งคืนมา คือการที่ได้สบตากันเสมอ เพราะเขารับรู้มันแล้ว

คงเหมือนกับที่ กล้า ชอบบอกกับผม ถ้าเรามัวรักคนที่หันข้างให้เรา เราจะไม่รู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจฉันใด ความจริงใจมันก็ต้องส่งผ่านสายตาฉันนั้น  จากนี้ผมก็จะก้มหน้าก้มตาเรียนต่อและทำงานไปด้วย ผมจะต้องยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้เป็นของขวัญพี่โอ๊ค  ผมจะทำร่างกายให้แข็งแรง ให้เตี่ยได้หมดห่วง  แล้วสักวัน ผมก็จะมีคนที่เข้าใจผมมาทดแทนวันเวลาแห่งความฝัน ห้วงยามซึ่งผมหมดไปกับพี่โอ๊คมาแรมปี  ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้คนกวนตีนที่ชื่อกล้า !!

พูดแล้วยังโมโหไม่หาย เมื่อคืนมันอาศัยช่วงที่มาส่งหน้าบ้าน แอบหอมแก้มผมตอนเผลอ ถ้าไม่เกรงใจเห็นแก่ไอศกรีมที่เพียรซื้อมาให้ทุกวัน คงให้เตี่ยเอาปืนมาไล่ยิงไปแล้ว  เตี่ยนี่ก็อีกคน เห็นไอ้กล้ามันปากหวานเข้าหน่อย ชวนเข้ามากินข้าวเรื่อยเลย
อารมณ์เสีย!


หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 25 : เห็นเงาในตาฉันไหม Feat.โอเล่ ]
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 16-03-2018 23:37:50
 :o8: :o8:เสียทีไอ้กล้าแล้วโอเล่เอ๋ย  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Bonus Track : วันพ่อ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 17-03-2018 18:26:10
Bonus Track  : พ่อใช้เหงื่อแทนน้ำรดลงไป.. เพื่อให้ผลิดอกใบออกผล..

ขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค ที่มีขึ้นเมื่อวาน ถูกฉายบนจอโทรทัศน์ซ้ำไปมาในวันนี้ เพื่อให้พสกนิกรได้ชื่นชมความงดงาม ทุกบ้านทุกครัวเรือนเปิดรับชมรายการพิเศษผ่านสถานีฟรีทีวี  แม้แต่ช่องเคเบิ้ลท้องถิ่น ก็นำสารคดีใต้แสงตะวัน เปิดวนไปมา คนชราดูแล้วถึงกับน้ำตาไหล แม้แต่วัยรุ่นยุคใหม่ก็พอจะเริ่มเข้าใจในเนื้อหาที่สื่อเสนอ

“ตื่นได้แล้วพี่อาร์ม” มะนาวปลุกอาร์มที่นอนงีบอยู่ที่เปลในสวนหลังหอ ถัดไปดอยนอนอยู่ที่แคร่ ทุกคนดูอิดโรยเพราะเมื่อคืนหลังเลิกจากงานประกวดขุนช้างขุนแผนเสร็จ ก็ไปกินข้าวต้มกันต่อยันดึก แถมรีบตื่นกันขึ้นมาใส่บาตรอาหารแห้ง ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พ่อหลวง เนื่องในวัน เฉลิมพระชนมพรรษา 
มะนาวทยอยปลุกทุกคน เพราะว่าใกล้เวลา 10.30 น  ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกยังพระที่นั่งอนันตสมาคม รับการถวายพระพรชัยมงคล ซึ่งจะถ่ายทอดสดให้คนต่างจังหวัดได้ชมกัน ทุกคนจึงมารวมตัวกันหลังใส่บาตรเสร็จที่สวน และงีบเอาแรงเพื่อกะตื่นมาดูทีวี

ปุยเมฆมีนัดกับพ่อในวันพ่อ  วันนี้พวกเขาใส่บาตรด้วยกันแล้วมาทานอาหารเช้าด้วยกันที่โรงแรมใหญ่ใจกลางเมือง โดยเพจเจอร์ของปุยก็สั่นเป็นระยะจากข้อความของยอดดอยที่เพียรส่งมาง้อ 

“นี่ทะเลาะกันหรือยังไง ทำไมดอยไม่มาด้วยล่ะ”

“หลับเป็นตายอยู่ที่สวนหลังหอน่ะครับ เมื่อคืนกว่าจะรอโอ๊ครับรางวัล ถ่ายรูปเสร็จ พาไปกินข้าวต้มกันก็ตีสองกว่า”

“โอ๊คไปรับรางวัลอะไรเหรอลูก”

“ไปประกวดขุนแผนแสนสะท้าน ชนะด้วยครับพ่อ  น้าแจ้ประกวดขุนแผน ก็ชนะด้วย นี่คนที่หอมีรางวัลการันตีตั้งสองคน”

“สามคนสิ..  ได้ข่าวว่ามี ธิดาจำแลงอยู่ด้วย เลยทำให้ลูกพ่อมานั่งหน้าบูดมาหลายวันนี่ไง”

“ใครปากมาก”

“ทุกคนที่เป็นห่วงลูก เล่าให้พ่อฟัง”

“ลูกอยากทุ่มไปที่การเรียน”

“อันนั้นมันก็ดีอยู่หรอก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้”

“ลูกปุย..”

“ครับ”

“ลูกยังทานยากล่อมประสาทอยู่ใช่ไหม”

“....”

“ลูกกลับไปติดมันหรือเปล่า พ่อต้องเป็นห่วงไหม”

“ไม่ครับ ครั้งล่าสุด คุณหมอจัดเป็น แวเลี่ยม ไม่ได้อันตรายอะไร แค่ช่วยให้ลูกได้หลับ”

“ทานบ่อยมันจะติดน่ะสิลูก”

“ก็มันนอนไม่หลับอ่ะ”  ปุยก้มหน้าเอามีดกับส้อมเขี่ยจานอาหารที่ว่างเปล่า  คงเหลือแต่ผัก กับกระดูกหมูท่อนยาว

“ดอยบอกว่า ตอนลูกอยู่กับเขา ลูกไม่จำเป็นต้องทานยาเลย”

“เป็นคำคุยโวของคนหนึ่งคน ที่ฟังดูสำคัญตัวเองมากเลยนะครับ”

“พ่อก็แค่อยากเห็นลูกนอนหลับสนิทโดยไม่ต้องพึ่งยา”





“ว่าไงล่ะพี่ พ่อขุนช้างคนดัง นอนยาวเลย คงเพลียสินะ หนูทำแกงเขียวหวานไก่ไว้ให้ ยังอุ่นอยู่เลย”

“เล่นเอาปวดคอเลย ร้องเพลงโยกหัวเมื่อคืนเนี่ย”

“ก็ใครใช้ให้ลงทุนขนาดนั้นล่ะ อยากได้รางวัลขนาดนั้นเชียว”

“เปล่า แค่ไม่อยากแพ้เบอร์ 10 ล่ะ เดี๋ยวมีคนปันใจ”

“เอ่อ..  นั่งตรงหน้าร้านก่อนก็ได้พี่ เดี๋ยวหนูไปตักข้าวให้  แล้วนี่ถือถ้วยรางวัลมาอวดใครล่ะ” นกน้อยแก้เขินชวนกินข้าว

“เอามาฝากไว้ที่นี่ ไม่มีที่จะเก็บ”

“อ๊ะ ของใครก็ของมันสิ ไม่เก็บไว้จะได้ภูมิใจ เมื่อคืนเห็นน้องดอยบอกว่า พี่สาวพี่กับคนที่บ้านดีใจกันใหญ่”

“ฉันล่ะเฉยๆ เขาขอให้ประกวดก็ร่วมสนุกไปอย่างนั้น”

“ฝากไว้ที่ฉันก็ได้ แล้วพี่จะมาเอาไปเมื่อไหร่ก็มาเอาไป”

“อยากให้วางไว้ตรงนั้นน่ะ  วางคู่กับถ้วยหลังตู้อันนู้นน่ะ” แจ้ชี้ไปที่ตู้โชว์ของหลังร้าน ที่มีถ้วยรางวัล สลักว่า “รองอันดับ ๑ ธิดาจำแลง ๒๕๓๙” วางเอาไว้  ก่อนจะหันกลับมาทางนกน้อยที่หลบสายตาด้วยท่าทีเขินอาย



“ทรงพระเจริญ..  ทรงพระเจริญ..”  เสียงกู่ก้องลั่นไปทั่วหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ผู้คนที่เต็มลานกว้างยาวไปถึงท้องถนนใหญ่ บ้างก็ถือพระบรมฉายาลักษณ์เทิดไว้ที่เหนือเกล้า  ต่างก้มลงกราบเมื่อพ่อหลวงเสร็จกลับเข้าไปหลังมีพระราชดำรัสแล้ว  ใจความหนึ่งที่กึกก้องอยู่ในหัวของคนที่นั่งดูผ่านทีวีอย่างมะนาว  ทีวีจอใหญ่ที่แขวนอยู่ใต้ฝ้าในร้านอินเทอร์เน็ต ถูกเร่งเสียงจนดังสุดขีด เพื่อให้คนที่นั่งอยู่เต็มร้านรวมถึงชาวต่างชาติได้ยินกันทั่วถึง ทุกคนละจากจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าหันมาดูจอโทรทัศน์อย่างสนใจ มีคนแอบเช็ดน้ำตาเป็นระยะ มีเสียงสูดจมูกกับภาพที่ได้เห็น  ฝรั่งหลายคนหันไปฟังคำอธิบายภาษาอังกฤษจากโอเล่ที่คอยแปลให้ลูกค้าในร้านฟัง

“คนมีไมตรีต่อกัน.. จะคิดอะไร ก็จะคิดแต่ในทางสร้างสรรค์”  มะนาวพรำคำพ่อสอน ออกมาอย่างแผ่วเบา มีน้ำตาไหลจากการชื่นชมพระบารมี  โดยมีอาร์มที่นั่งอยู่ข้างกาย

“มะนาวครับ พี่รู้ว่า มะนาวไม่ชอบใจกับสิ่งที่พี่ทำให้อดีต พี่ไม่เคยคิดแก้ตัว แต่อย่างหนึ่งที่พี่อยากให้รู้ไว้ว่าถ้าพี่มีความหวังในเรื่องของเราได้ พี่จะไม่ทำให้มะนาวเสียใจอีก”

“พี่อาร์ม มะนาวก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่หรอกนะ เราไม่ได้มีอะไรผูกมัดกัน มันไม่ใช่ความผิด ทุกอย่างเป็นความคึกคะนองตามประสาคนหนุ่ม มะนาวเข้าใจดี”

“พี่สัญญาว่า จะไม่มีอะไรแบบนั้นอีก  พี่สัญญาด้วยเกียรติของผู้ชายที่รอคอยผู้หญิงคนหนึ่งมานาน เชื่อพี่นะ”

“ค่ะ มะนาวรู้ว่า พี่อาร์มจะไม่ทำให้มะนาวเสียใจ”





“ว่าไงเจ้าตัวดี ทำไมไม่บอกกันบ้าง ไม่อย่างนั้นจะตีรถลงเมืองไปเชียร์ ขนกันไปให้หมดหมู่บ้านเลย”

“แหม พี่ก็ ฉันก็อายเป็นนะ แล้วนี่พี่ได้ขึ้นไปหาพ่อที่สังขละบุรีไหม หรืออยู่ที่ทองผาภูมิล่ะ”

“นี่ฉันก็นั่งอยู่กับพ่อเนี่ย วันพ่อ ก็อยู่กับพ่อสิ ว่าแต่แก เมื่อไหร่จะพาลูกฉันกลับมาบ้านบ้างเนี่ย”

“น่าจะวันหยุดยาวอาทิตย์นี้ ดอยมันก็จะขึ้นกันไปแล้วล่ะ แต่ฉันคงต้องเฝ้าร้าน เพราะลูกค้าเยอะมาก ไหนจะลูกค้าที่มาเช่ารถอีก  นี่กำลังจะทำอาหารตามสั่งส่งในตัวเมืองกัน เห็นใน กทม.กำลังฮิต เผื่อจะฟลุคดีขึ้นมา”

“มันต้องดีอยู่แล้ว ฝีมือนกน้อยน่ะอร่อยจะตาย ฝากความคิดถึงด้วยนะ ฉันไม่ว่างลงไปในเมืองเลย”

“ผมขอคุยกับพ่อหน่อยสิ ทำอะไรอยู่ เข้าฌานอยู่หรือเปล่า”

“ไม่นะ เพิ่งทำนายดวงให้รัฐมนตรีไปคนนึง อุตส่าห์นั่งเฮลิคอปเตอร์มาลงเมื่อคืน เดี๋ยวนะ  พ่อคะ ไอ้แจ้จะคุยด้วย”





บนรถเมอร์ซิเดสคันหรูที่กำลังขับจากลานจอดรถโรงแรมใหญ่ใจกลางเมือง เพื่อไปส่งปุยกลับหอพัก

“นี่จะขึ้นไปสังขละบุรีเมื่อไหร่ล่ะ”

“วันหยุดรัฐธรรมนูญครับพ่อ วิชางานมัคคุเทศก์ มีเก็บกลุ่มตัวอย่าง ฝรั่งเยอะดี น่าจะไปที่เดียวเสร็จครบ”

“คิดถึงเหมือนกันนะ ไม่ได้ไปสังขละบุรีนานแล้ว ตั้งแต่เปิดด่านที่บ้องตี้ ธุระแถวนี้เยอะเหลือเกิน บนนั้นก็จะเป็นหน่วยงานไปแจกของ กับทำเอกสารให้ผู้อพยบ งานพ่อจึงไม่ได้ขึ้นไปเท่าไหร่”

“เมื่อเช้าช่องเคเบิ้ลประจำจังหวัดถ่ายภาพมาเห็นมีคนมอญ กับ กะเหรี่ยงออกมาถวายพระพรเต็มไปหมดเลยครับ”

“โหย เขารักในหลวงของเรามากเลยลูก ในหลวงท่านทรงช่วยเหลือกลุ่มอพยบไว้มาก”

“บ้านเมืองเขามันโหดร้ายมากเลยเหรอครับ”

“ไม่หรอก มันแค่วุ่นวายและไม่ลงตัว แต่ใต้พระบรมโพธิสมภาร ทุกอย่างมีความสงบ เขาจึงอยากลี้ภัยกันมาพึ่งพาใต้ร่มพระบารมี”

“นี่อาทิตย์ที่ผ่านมา ที่คณะก็จัดนิทรรศกาลเฉลิมพระเกียรติครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่า การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่กำลังมาแรง มีแรงบันดาลใจหลายอย่างมาจากพระราชดำริ ไม่รวมถึง วิถีไทยต่างๆ ที่กลายเป็นที่ท่องเที่ยวไปด้วยเลย”

“ถึงได้บอกว่า พระอัจฉริยภาพของพ่อหลวง เป็นที่ประจักษ์ มีสิ่งให้เราได้เรียนรู้มาก”

“พ่อครับ..”

“ว่าไงลูก”

“ผมไม่คิดจะทำโรงแรมแล้วนะ”






“อ้าว ตื่นซะที ข้าวต้มเย็นหมดแล้ว เพลียล่ะสิ พ่อขุนแผนแสนสะท้าน”

“ฟวย”

“ทำไมไม่บอกว่าจะประกวด” อาร์มที่นั่งทานข้าวอยู่ห้องอาหารหรูในคฤหาสน์ใหญ่ ถามแฝดผู้พี่ เมื่อเห็นโอ๊คในสภาพอิดโรยใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินลงมาจากบันได

“ก็มือกลองขอร้องมากระทันหัน กูโครตอายเลยว่ะอาร์ม แต่งตัวอะไรก็ไม่รู้”

“นี่ถ้าม๊ารู้ล่วงหน้า คงจ้างคนมาถ่ายวีดีโอนะกูว่า ฮ่าๆๆ”

“ก็เลยไม่บอกไง แค่นี่ก็เอิกเกริกจะแย่” แฝดพี่ชะโงกหาของกินที่วางเรียงราย เผื่อมีอะไรที่จะถูกปากบ้าง

“โอ๊ค”

“ว่า”

“มือกลอง นี่ตกลง ไปกันถึงไหนแล้ว”

“ไม่มีอะไรนี่ ก็เพื่อนกัน ก็สนิทกัน”

“มึงกลัวอะไรหรือเปล่า”

“....”

“ถ้าเป็นเรื่องที่ผ่านมา ทั้งป๊าทั้งม๊า และกู  รวมไปถึงอุ๋มอิ๋มถ้ายังมีชีวิตอยู่  ไม่มีใครถือโทษบ้านไอ้กลองนะเว้ย”







“มาทำไม ๕ ธันวาทั้งที ไม่ไปอยู่กับพ่อง”

“พ่อ ก็ได้ พ่อง นี่เหมือนด่า”

“อย่าคิดว่าจะลืมนะ นายทำอะไรเมื่อคืนน่ะ” โอเล่ที่นั่งพิมพ์งานอยู่ในร้านเน็ต ทำหน้าดุใส่ผู้ที่เพิ่งมาเยือน

“ก็อากาศหนาว กับหมู่ดาวมันพาไป”

“เป็นนายนพมาศน้อย แล้วก็อยากจะเป็นกวีด้วยว่างั้น”

“เป็นคนที่ถูกมองข้ามต่างหาก”

“อย่ามาเบี่ยงเรื่องอื่น ฉันยังไม่ได้ชำระความนะเมื่อคืน”

“นี่ไง ซื้อ ไอติมเวนเน็ตต้ามาง้อ แล้วไม่อยู่กับเตี่ยเหรอวันนี้ วันเตี่ยทั้งที”

“เขาก็ไปทำงานของเขา วันหยุดคนอื่นก็ไม่ใช่ว่าเตี่ยฉันจะมีวันหยุดนี่”

“เหมือนเราเลย ทุกวันที่ 1 กับ 16 นี่ไม่เคยได้หยุด เช้ามานี่ก็เสียงโทรศัพท์เฮียดอยโทรมาเขียนหวยคนแรกทุกงวด”

“น่าจะเป็นพี่น้องกันเนอะ เหมือนไปถึงหน้าตาเลย”

“ชมว่าเราหล่อใช่ม๊ะ” กล้ายักคิ้วใส่คนที่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์แสนยุ่งเหยิง เอกสารวางกองสูง มีสมุดโน้ตที่เก่าเยินวางอยู่

“อย่ามาตู่ได้ป๊ะ ไปไหนก็ไป ฉันจะทำงาน”

“หยุดมั่งเหอะ ไปเที่ยวกัน ไปดูนิทรรศกาลพ่อหลวงกัน คืนนี้ไปจุดเทียนชัยถวายพระพรที่สะพานข้ามแม่น้ำแควกันเรานะ”

“อย่างนายจะรู้ด้วยเหรอ ว่าพ่อหลวงทรงทำอะไรให้ประเทศไว้บ้าง”

“ป่ะป๊าเราลี้ภัยมาซุกหัวนอนที่เมืองไทย อย่าลืมสิ นี่ป่ะป๊าสั่งปล่อยนกปล่อยปลาเป็นร้อยตัวเลย ถวายพ่อหลวง”

“อืม พวกชาวเทคโนโลยี ยิ่งปลื้มในหลวงใหญ่ พระองค์นี่ บิดาแห่งคอมพิวเตอร์ไทยเลย สคส. ที่พระองค์ประทานให้คนไทยฉบับแรก ฉันยังเซฟรูปไว้ที่สกรีนเซฟเวอร์เลย” โอเล่ส่งน้ำเสียงตื้นตันผ่านคำพูด

“ไม่รู้สิ  ที่คอมเธอ เราแอบดู เห็นแต่รูปพี่โอ๊ค”

“กวนตีน!”







ที่สวนหลังหอพัก แม้เป็นเวลาบ่ายแก่ แต่ลมหนาวปลิวมาพร้อมกับใบไม้ที่ร่วงหล่น ชายวัยกลางคนนั่งอยู่กับเด็กหนุ่มที่ม้านั่ง กับห่อของกินในถุงกระดาษโรงแรมฟีนิกซ์ ที่เอามาฝากใครบางคน

“พ่อไม่ได้ไม่อยากให้ลูกเลิกสานฝันของแม่นะ แค่ให้ค่อยศึกษาค่อยทำไป ถ้ามันดีก็ทำ พ่อพร้อมลงทุนเท่าที่เงินเก็บพ่อมี หรือถ้ามันดี พ่อก็กู้มาทำให้ได้ ลูกก็อย่าเพิ่งล้มเลิกความมุ่งมั่นไป”

“เปล่าหรอกครับ ลูกนั่งคุยกับโอ๊ค เขาก็พูดให้ได้คิดหลายอย่าง และแน่นอนว่า ฝันของแม่ไม่ได้มีอย่างเดียว เรื่องโรงแรมเป็นแค่ฝันเล็กของแม่ ลูกอยากไปสานฝันใหญ่ของแม่ก่อน”

“ฝันใหญ่ของแม่.. คืออะไร”

“ถ้าให้ลูกเดา  แม่คงอยากให้ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า”

“.....”

“พ่อครับ  ลูกรู้ ว่าลูกเป็นลูกของบ้านเล็ก แล้วแม่ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องอะไร  แต่วันนี้ลูกมุ่งมั่นขอเรียนให้จบ ออกไปมีงานที่ดีทำ สักวันลูกอยากมีบริษัททัวร์ เพราะลูกชอบการเดินทาง ลูกอยากถ่ายทอดให้คนที่มาเที่ยวที่นี่ ได้รู้จักจังหวัดที่แม่ของลูกนั้นรัก ส่วนที่ดินของแม่ พ่อจะเอาไปทำอะไร ลูกคงไม่ไปยุ่ง พ่อจะขายก็ได้นะ โอเล่บอกว่า เตี่ยเขายินดีซื้อ  นี่ มือกลองก็บอกว่า เขาก็จะซื้อให้ราคาที่เราพอใจ เขาอยากเอาไว้ปลูกบ้าน”

“พ่อไม่ขายหรอก มันเป็นที่ดินของลูก แล้วปุยอยากจะทำอะไร วันหน้าพ่อก็จะสนับสนุนเท่าที่แรงพ่อมีนะ”

“ครับพ่อ”

“อย่าลืมเอาของกินนี่ไปแบ่งเพื่อนๆด้วย  สเต๊กนี่พ่อตั้งใจซื้อมาฝากดอย เอาไปให้เขาด้วยนะเดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อย พ่อไปละ เดี๋ยวเย็นนี้ ที่สถานทูตจัดงานจุดเทียนชัยถวายพระพร  เห็นแม่บ้านตื่นเต้นเช็ดถูกันใหญ่  ปีนี้เป็นปีที่วุ่นวายของสถานทูตพม่า  แต่ว่า มันน่าจะดีขึ้นในปีหน้านี้ ยุคปี 2000 ที่ใครก็ฝันถึง”

“ขับรถดีๆนะครับ เมื่อเช้าก็ตื่นเช้า”

“จ๊ะลูก ไปแล้วนะ ไว้ถึงกรุงเทพจะโทรหา” ธรรมเสถียรลุกขึ้นกำลังจะเดินจากไป

“พ่อครับ”  ปุยเรียกอีกฝ่ายให้หยุดหันมาด้วยเสียงนั่น

“สุขสันต์วันพ่อ..  ผมรักพ่อนะ”



[ TBC ]


หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Bonus Track : วันพ่อ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 17-03-2018 18:30:58

[ ต่อ ]

สัปดาห์งานสะพานข้ามแม่น้ำแคว กำลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของเทศกาล เหลืออีกเพียงสองวัน บางร้านค้าที่ของขายพร่องจนแทบไม่มีเหลือ ก็ไม่นำของมาขายเพิ่มเพราะกลัวขายไม่ได้เนื่องจากอีกสองวันที่เหลือเป็นวันจันทร์กับวันอังคาร คนที่มาเดินเที่ยวงานอาจจะน้อย 
ผิดกับบูธขนมจีนของเจ๊นกน้อย ที่ทำเพิ่มกี่หม้อก็ไม่เพียงพอจนทหารที่มาช่วยงานต้องปาดเหงื่อกันเลย อีกทั้งวันนี้ ผู้หญิงจะเข้ามาทานเป็นพิเศษ เพราะว่าเจ้าของตำแหน่ง ทั้งขุนช้าง และ ขุนแผน ปีล่าสุด ก็มารวมตัวกันที่บูธขนมจีน เพื่อรอร่วมพิธีการจุดเทียนชัยถวายพระพรพร้อมกันเวลา 19.19 นาที ซึ่งยังมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงเศษ ก่อนจะต้องไปเตรียมซ้อมกับคณะกองอำนวยการ
“แหม ทั้งขุนแผน กับขุนช้าง มารวมกันอยู่ที่พี่ พอดี ขนมจีนไม่พอสาวๆ” มะนาวแซวน้าแจ๊กับโอ๊คที่กำลังแต่งหน้าด้วยฝีมือของเจ๊นกน้อย ซึ่งทิ้งหม้อขนมจีนให้ทหารลูกน้องเตี่ยของโอเล่ดูแลมาหลายวันแล้ว

“อย่ามาแซว มะนาวนั่นแหล่ะ ปีหน้าไปลงประกวดเทพีสันติภาพเลย” โอ๊คที่กำลังโดนเจ๊นกน้อยเอาแป้งพัฟตบที่หน้า ในชุดเสื้อเชิ้ตขาวผูกไท  มีสูทสีกรมท่าพาดอยู่บนเก้าอี้อีกตัว

“ไม่เอาเว้ย ไม่ให้ประกวด” อาร์มรีบเบรกพอเห็นมะนาวทำหน้าเหมือนจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย

“ทำไมล่ะน้องอาร์ม สวยอย่างน้องมะนาวรับรอง เหมารางวัลตั้งแต่ผมสวยยันส้นตีนสวยเลยค่ะ” เจ๊นกน้อยแสดงความเห็น

“ก็นั่นแหล่ะ ไม่ให้ประกวดเว้ย ถ้าขึ้นไปประกวดนะ จะเอาไฟไปเผาเวทีให้วอดเลย”

“หูยยยย  ไหนว่าสงครามโลกจบแล้ว” แจ้ที่อยู่ในชุดสูทพร้อม ก็ตัดบทสนทนา

“อาร์มมันก็หวงของมันน่ะแหม ขนาดผมรับต้องข้อความทางเพจตั้งแต่เช้า จากใครมั่งก็ไม่รู้ ไม่รู้เอาเบอร์มาจากไหน”

“เขาซื้อขายกันนะเบอร์เพจพี่โอ๊คเนี่ย มะนาวได้ยินตอนเข้าห้องน้ำหญิงเมื่อคืน”

“ห๋า มีอย่างนี้ด้วย” เจ้าตัวยังงง ว่าการประกวดขุนแผนเมื่อคืนมีผลต่อความชื่นชอบขนาดนี้

“แหม นี่เขาลือเรื่องที่มีแมวมองมาให้นามบัตรพี่โอ๊คเมื่อคืนด้วยนะคะ ที่ว่าจะชวนไปถ่ายแบบที่กรุงเทพ”

“โอ้ย ไม่เอาด้วยหรอก ใครจะไปยืนให้กล้องจับจ้อง ต้องไอ้อาร์มนู่น มันชอบ”

“เขาไม่เอากูนี่หว่า แม่งโลกไม่ยุติธรรม หน้าก็เหมือนกันยังกับแกะ”

“แหม น้องอาร์มน่ะแนวใส มันต้องถึงเวลาเป่งประกาย รอนิดนึง สิงโตจะเท่ ต้องรอขนขึ้นรอบคอ เชื่อกูรูอย่างเจ๊”

“ตอนนี้ ขนมันก็ขึ้นพรึ่บแล้วเจ๊ ผมเข้าห้องน้ำต่อจากมันทีไร จะอ๊วก”  โอ๊คพูดจบ ทุกคนก็หัวเราะลั่น เพราะไม่ค่อยมีคำพูดตลกจากโอ๊คเท่าไหร่ แม้แต่อาร์มที่อยู่ด้วยกันทุกวันยังสังเกตได้

“หนูชอบที่พี่โอ๊คเป็นแบบนี้นะพี่อาร์ม”  มะนาวกระซิบที่หูของอาร์มผู้ซึ่งอมยิ้มรออยู่





ที่ร้านเน็ต ลูกค้าคนไทยแทบไม่มีเหลือแล้ว คงมีแต่ชายต่างชาติจับจองคอมพิวเตอร์เต็มทุกเครื่องนั่งใช้บริการกันอยู่ โอเล่เฝ้าร้านแทนน้าแจ้ นั่งอยู่กับปุยเมฆที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวลงมา 

“ไปร้านด้วยกันไหมโอเล่ ที่นี่ให้นิค ช่วยดูก็ได้ นิคไว้ใจได้” ปุยชี้ไปทางลูกค้าประจำที่มาแทบทุกวันเพื่อเล่นเกมอย่างบ้าคลั่ง
 
“ไม่ไปหรอก ปุยไปเหอะ ขากลับถ้าเจอตูดไก่ ซื้อมาฝากด้วยนะ”

“ได้เลย แล้วนี่จะอยู่ดึกไหมล่ะ”

“ไม่ดึกนะ วันนี้เตี่ยน่าจะกลับเร็ว ว่าจะซื้อข้าวเลือดหมูไปฝากแก แกชอบ”

“โอเล่กับเตี่ย คงเหมือน เรากับพ่อเนอะ เหมือนจะไม่สนิทกัน อยู่ห่างกัน”

“แต่กำลังเคลื่อนเขาหากัน มันกำลังจะสู่ยุค 2000 แล้วปุย อะไรที่ทำได้ แล้วชีวิตมันดูดีขึ้น ก็ทำซะ”

“เราชอบที่เห็นโอเล่ดูเริงร่าขึ้นนะ”

“อย่ามายอกันเองเลย นู่น พ่อตัวดีมารออยู่ตั้งนานแล้ว” โอเล่ชี้ไปยัง ยอดดอยที่ยืนพิงรถมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าร้าน

“ก็ให้รอไปสิ งั้นไปแล้ว เดี๋ยวซื้อตูดมาสังเวยให้นะ”  ปุยส่ายมือบ๊ายบายโอเล่ที่หันกลับไปทำงานของตน






“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง”  ปุยถามคนที่กำลังยืนรอเพื่อไปส่งยังบูธของเจ๊นกน้อยที่ งานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว

“ระหว่างเรานั้นมื้อนี้จะเป็นมื้อสุดท้าย เหรอ”

“บ้า”

“อ้าว เห็นกำลังฮิต บอกเลิกกันตอนกินข้าว”

“......” 

“ดอยไม่อยากเลิกกับปุยเลยนะครับ”

“แต่เราเหนื่อยที่จะไปต่อแล้วล่ะ”

“อยากคุยกันแบบเปิดอกไหม”

“อกใคร อกเจ๊แมว น่ะเหรอ”

“เดี๋ยวเหอะ”

“เชอะ”

“เขาก็ไม่ใช่เจ๊ อายุเท่าปุยนั่นแหล่ะ  แล้วเขาก็รอเราสองคนอยู่ที่ห้อง 2D”  ดอยเอื้อมมือไปจูงมือปุย เดินย้อนกลับเข้าไปที่หอพัก ปุยเดินตามไปแต่โดยดี





“ขอเชิญท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ท่าน จเด็จ อินสว่าง เป็นผู้เริ่มจุดเทียนชัยถวายพระพร แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...” พิธีกรชายบนเวทีหลักหน้าแท่นพิธี ที่ถูกจัดขึ้นเป็นวาระพิเศษ กลางพื้นที่ของงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว เอ่ยเป็นสัญญาณให้ท่านผู้ว่าเป็นผู้เริ่ม เทียนถูกจุดจากคนสู่คน ต่อกันไปผ่านไปยังบูธหน้ากาชาดจังหวัดซึ่งห่างเป็นร้อยเมตร  เปลวเทียนยังคงส่งต่อทอดยาวตลอดทางเดินเท้าที่เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งรวมใจมายืนต่อกัน เลยจนถึงหน้าเชิงสะพานข้ามแม่น้ำแคว วัยรุ่นอีกจำนวนมาก รอต่อเทียนจากหัวรถจักรที่ใช้ในการแสดง Light & Sound ซึ่งบัดนี้ รอบการแสดงถูกเลื่อนออกไปสองชั่วโมงเพื่อหลีกทางให้งานพิธีสำคัญ วัยรุ่นหนุ่มสาวหวงพื้นที่บนสะพานเหล็กที่พวกเขามาจับจอง เนื่องจากหวังว่า เทียนที่ถูกจุดสว่างสไวอยู่บนรางสะพานที่พวกเขายืนอยู่ คงเป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย เมื่อวาระสำคัญที่เฉลิมฉลองในกาลปัจจุบัน พระชนมพรรษาครบ 72 พรรษา หรือ 6 รอบ อยู่บนสะพานประวัติศาสตร์แห่งอดีตกาล

“มะนาวเทิดทูนพระองค์มาก มะนาวไม่มีพ่อ ในหลวงทรงเสมือนพ่อของมะนาว”

“ยังไงบ้างล่ะ” อาร์มหันไปถามมะนาวที่มีน้ำตาไหลเมื่อร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเสร็จพร้อมกับคนในงาน

“วัฒนธรรมทางอาหารและการใช้ชีวิตของพระองค์ ถูกนำเป็นต้นแบบแห่งวิถีชาวบ้าน  มะนาวไม่มีพ่อก็จริง แต่แนวทางปฏิบัติของพระองค์สอนให้รู้ว่า อะไรที่จะถ่ายทอดนำมาสู่ผู้คน  นี่มะนาวหุงข้าวแดงกินที่บ้านนะพี่อาร์ม ที่วิทยาลัยก็นำเมนูโปรดของพระองค์ที่แสนเรียบง่ายมาประยุกต์ให้ผู้คนได้ศึกษา  ผักโครงการหลวงนี่น่าทานมาก ใครมีผักในครัวเรือนก็ประหยัดลงมาก”

“บ้านพี่ก็เต็มๆนะ ค่านิยมในการใช้รถแบรนด์ญี่ปุ่นที่ราคาไม่สูงเกิน มีพระราชดำริ รถที่เหมาะสมกับประเทศไทย แถมสามารถปรับรับกับสภาพน้ำท่วมของกรุงเทพได้ พระองค์สนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมาอย่างต่อเนื่อง” 

“ถ้าสักวันมะนาวมีลูก มะนาวจะเลี้ยงแบบไม่ให้ฟุ้งเฟ้อค่ะ มะนาวไม่เอาหรอก ที่โตมาแบบรวยแล้วเหยียดผู้อื่น”

“สมเด็จย่าทรงตั้งพระนามพ่อหลวงไว้อย่างนั้นเลย ภูมิพลังแผ่นดิน”  อาร์มเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาของมะนาว

ผู้คนในถนน เริ่มทยอยเดินทางกลับ แต่ส่วนใหญ่เลือกที่จะเดินเล่นในงานต่อไป เพราะวันนี้ กรรมการจัดงานไม่เก็บค่าผ่านประตูเข้างาน สัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแคว เพื่อเป็นของขวัญให้ผู้คนที่ออกมาร่วมจุดเทียนชัยกัน  และแน่นอนว่า บูธขนมจีนน้ำยาของนกน้อยถูกรุมจนของไม่มีเหลือสักอย่าง  นกน้อยจึงทยอยเก็บร้านและให้ทหารผู้มาช่วยได้พัก ตัวนกน้อยเองที่เพิ่งจุดเทียนชัยร่วมกับลูกค้าในบูธเสร็จ ก็เตรียมจะไปหาแจ้ ซึ่งยืนหล่อบนเวทีร่วมกับโอ๊ค ในฐานะขุนช้าง ขุนแผน คนใหม่ล่าสุด

“เสร็จแล้วเหรอครับ ขุนแผนคนเก่ง” หนุ่มผิวขาวหน้าตาดีในชุดแจ็คเก็ตขาว พิมพ์โลโก้ห้างสรรพสินค้าที่ด้านหลัง ซึ่งยืนรออยู่ที่ลานจอดรถขาออกของงานประจำปี เอ่ยทักโอ๊ค ที่เดินเหงื่อท่วมแม้ถอดเสื้อสูทคล้องไว้ที่แขนแล้ว

“ไม่ต้องมาพูดเลย หาเรื่องให้เราเหนื่อยเนี่ย มีคิวงานขอบคุณสปอนเซอร์ไปจนเกือบปีใหม่แหน่ะ เดี๋ยวฝึกงานต้นปีหน้าไม่ทำแล้วนะพูดเลย”

“โอ๋ๆๆ  ในฐานะตัวแทนห้าง ต้องขอบคุณมากที่มาช่วย ไม่ให้ตำแหน่งหลุดลอยไปจังหวัดอื่น”

“สมกับสายเลือดชาวฟิลิปปินส์เลย เรื่องประกวดนี้นะ แพ้ไม่เป็น  แล้วนี่กินไรยังอ่ะ”

“ก็รออยู่ครับ แต่ว่าอยากจะพาโอ๊คแวะไปที่แห่งหนึ่งก่อน”  แล้วโอ๊คก็ขึ้นรถฮอนด้าพรีลูดสีน้ำเงินป้ายแดงของมือกลอง รถขับออกไปบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน มีพลุไฟยิงขึ้นฟ้าเป็นระยะ และทุกครั้งจะมีเสียงฮือฮารวมถึงเสียงหัวเราะชอบใจของเด็กน้อยที่พ่อแม่พามาชม   รถพรีลูดที่สะดุดตาทุกคู่ด้วยรูปทรงที่ไม่ค่อยเหมือนใครในท้องตลาด แถมสียังสดใสจัดจ้าน ดึงสายตาทุกคู่ที่รถขับผ่านช้าๆ ตรงทางออกคู่กับทางเท้า ไม่เว้นแม้แต่สายตาของโอเล่

“จุกไหมอ่ะ”  กล้าที่เพิ่งไปแวะรับโอเล่มา ถามคนที่เงียบไป

“ไม่นะ มันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”

“มองโลกในแง่ดีเหมือนกันนะเนี่ย”

“อันนี้ก็ต้องขอบคุณนาย”

“ห๋า เราไปเกี่ยวอะไร”

“ถึงนายจะกวนตีน แต่บางคำพูดก็ทำให้ฉันได้คิด  รอยยิ้มของพี่โอ๊คมันทำให้ฉันมีความสุขว่ะ แม้จะแลกกับความทุกข์บ้างก็ตาม”

“โอเล่”

“อืม”

“เราจะทำให้เธอได้ยิ้มบ้างนะ.. ยิ้มของเธอ ก็คือความสุขของเรา”

แม้เป็นช่วงเวลาสั้น ที่กล้าเอื้อมมือไปจับบ่าของโอเล่แล้วบีบอย่างแผ่วเบา ไม่สนว่ารถที่ขยับตัวช้าอยู่แล้วจะต้องมาติดกับฉากห่วงใยจากมิตรภาพของหนุ่มน้อยหน้าหล่อกับเด็กหนุ่มตัวบางผิวขาว ซึ่งยังต่างยืนจ้องกันขวางอยู่กลางถนน  จนคนขับรถตู้ VolkSwagen Caravelle สีบรอนซ์กำลังจะบีบแตรไล่

“อย่าเลย สุชาติ ปล่อยเขาไป.. นั่นลูกพวกฉันเอง” ชายสูงอายุที่ถือไพ่นกกระจอกมาดูแล้วใส่กลับลงไปที่ไพ่แถวบนซึ่งวางอยู่บนโต๊ะไซส์เล็ก โต๊ะถูกล้อมด้วยโซฟาสั่งทำพิเศษ  มีชายสูงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งดูไพ่สำรับตัวเองอยู่ฝั่งตรงข้าม 

“ครับ ท่านณรงค์”  คนขับนิ่งเงียบไป เมื่อคิดว่าเกือบจะบีบแตรไล่ลูกๆของเจ้านายด้วยความไม่รู้เพราะเขาเพิ่งเข้ามาทำงานกับท่านณรงค์ได้เพียงไม่กี่วัน

“คุณณรงค์ สงสัยผมจะต้องเอาขันหมากไปสู่ขอบ้านท่านใช่ไหมเนี่ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามหัวเราะชอบใจเหมือนอยู่ในฐานะที่เหนือกว่า พร้อมเปิดหน้าไพ่หงายจนหมดทุกตัวเผยให้เห็นแต้มคะแนนที่น่าสนใจ

“คุณไพโรจน์ ของแบบนี้ต้องดูยาวๆ  ผมดูจากผิวพรรณของลูกชายท่าน ผมว่า ลูกชายผมต่างหาก จะต้องยกขันหมากไปขอลูกท่าน เรามาพนันกันไหมล่ะ”

“เรานี่ก็พนันกันได้ทุกเรื่องจริงๆนะ ฮ่าๆๆ  ผมพนันกับใคร ก็ไม่สนุกเท่าคุณณรงค์ เรามันคงใจถึงเหมือนกัน”

“ลูกๆเรา เขาก็คงจะได้เลือดพวกเราไปเต็มๆ ฮ่าๆๆๆ”

“สงสัยผมจะไม่ได้เป็นคุณปู่” ไพโรจน์ส่ายหน้า ซึ่งเดายากว่าไม่ถูกใจแต้มไพ่ตรงหน้าหรือเปล่า

“แต่ผมไม่สนหรอก ผมอยากให้ลูกของผมมีความสุข เห็นมันทะลึ่งตึงตัง แต่มันก็รักใครรักจริงเหมือนพ่อของมัน”

“อืม ผมก็อยากให้ลูกของมีความสุขเหมือนกัน  เขาถูกวางในที่ซึ่งไม่มีคนสนใจเขามานาน”

“ถ้าอย่างนั้น ผมว่า ลูกชายผมนี่แหล่ะ น่าจะทำให้ลูกชายคุณมีความสุข”






ที่ระเบียงชั้นสอง ของหอพักนาตยา ยอดดอยผู้ยืนอยู่ตรงระเบียงพยายามห้ามใจไม่ให้คว้าบุหรี่ที่เพิ่งซื้อไว้มาสูบ เขาไม่ได้สูบมาพักใหญ่แล้ว แต่ที่ตัดสินใจซื้อมาเพราะว่า เขาอาจจะผ่านคืนนี้ไปได้ไม่ง่ายนัก  แต่ยอดดอยก็ยังใจแข็งไม่แกะแม้แต่เปลือกพลาสติกที่หุ้มซอง แต่กระนั้นเขาก็ยังเดินกระวนกระวายไปมาคล้ายคนรอพิพากษา  ลูกขุนที่มีสีหน้ามึนงงตอนเขาจูงเข้าห้องมา  เผชิญหน้าอยู่กับจำเลยหน้าสวยผมยาวสลวย ที่เปิดประตูรอรับผู้มาเยือน  ปุยเข้าไปในห้องอยู่พักใหญ่แล้ว แต่ไม่มีเสียงของปุยเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย  คงมีแต่แมวที่เป็นฝ่ายพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ปนกันเสียงสะอื้นไห้


ลานปูนในวัดเทวสังฆาราม ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดเหนือ รถสีน้ำเงินจอดอยู่ที่ริมต้นไม้ใหญ่ขนาดประมาณ ห้าคนโอบ ตรงรากมีปูนก่อมาหุ้มปกป้องไว้  มีป้ายปูนสลักด้วยอักษรสีทองเขียน “ต้นโพธิ์ทรงปลูก” ปักอยู่ที่โคน  โอ๊คกับมือกลองนั่งอยู่คู่กันที่ขอบปูนก่อ ซึ่งมีชานพักเป็นที่นั่งกว้างขวาง   

“ในทางดนตรี พระองค์ทรงเลอค่าล้นเหลือ” โอ๊คที่ขยับเน็คไทปล่อยลงมาหลวม ปลดกระดุมคอเสื้อเชิ้ตขาวสองเม็ดจนเห็นเนินแผ่นอกขาวแน่น เงยมองกิ่งใบต้นโพธิ์ที่สั่นไหวด้วยแรงลม  “เราว่า เราจะกลับไปเล่นดนตรี”  โอ๊คเอื้อมมือของตัวเองไปกุมมือของมือกลองที่นั่งอยู่  รถแล่นผ่านไปมาตามถนนข้างกำแพงวัด  พระสงฆ์ที่สวดมนต์ถวายพระพรแด่พ่อหลวง ทยอยกลับกุฏิ  ใต้ต้นไม้ใหญ่ ยังคงมีชายหนุ่มสองคนจับมือและมองหน้ากัน ท่ามกลางเงาจันทร์ที่ส่องแสงเล็ดลอดพุ่มใบ ผ่านลงมายังโคนราก เผยให้เห็นแค่รอยยิ้มคู่หนึ่งซึ่งมอบให้แก่กันและกัน  ที่ใต้ต้นไม้ของพ่อ..
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Bonus Track : วันพ่อ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 19-03-2018 09:15:05
 :กอด1:กน่ารักจัง
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 26 : มาเพื่อลา ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 26-03-2018 21:36:03

Track 26 : รู้แล้วว่ารักคนอื่น.. ไม่คืนไม่ขอให้วุ่นวาย.. 
                                  รู้แล้วว่ารักคนใหม่.. ไม่เคยแย่งใจไปจากเขา..


ในครัวของ นกน้อยโภชนา เจ้าของร้านกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารบรรจุในกล่องไม้ญี่ปุ่น เพื่อให้คนที่จะต้องเดินทางนำไปทาน โดยมี ปุยเมฆและมะนาว ช่วยหั่นผักกับจัดเครื่องดื่มไว้ให้ ซึ่งตอนนี้ ทั้งสามคนมีความชิดเชื้อกลมเกลียว หลังจากที่ร่วมกันจัดบูธขายอาหารเมื่องานประจำปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้เรียนรู้นิสัยใจคอกันมากขึ้น แม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ทำให้ปุญเมฆและมะนาวต้องโทรหากันแทบทุกคืน และเมื่อว่าง ก็จะชวนกันมาขลุกอยู่ในร้านของเจ๊นกน้อยที่รู้สึกเอ็นดูหนุ่มสาวคู่นี้เสมือนเป็นญาติ 


วันนี้ พวกเขาอาสาทำข้าวกล่องให้กับโอ๊ค ที่จะย้ายไปอยู่คอนโดในกรุงเทพ เพื่อเตรียมฝึกงานช่วงต้นเดือนมีนาคม แม้เป็นเวลาอีกตั้งสองเดือนกว่า แต่โอ๊คก็อยากเตรียมตัวให้พร้อม แถมหลังปีใหม่ต้องกลับมาโชว์ตัวในฐานะขุนแผนแสนสะท้าน ๒๕๔๒ อีกหลายครั้ง  ซึ่งคิวงานยาวแม้ว่า มือกลองจะใช้ความเป็นสปอนเซอร์หลักกองประกวด จึงลดคิวงานได้หลายงาน  ผิดกับแจ้ ที่ดูสนุกกับการเดินสายโชว์ตัวในฐานะ ขุนช้างคนล่าสุด

“พี่โอ๊คจะกินหมดไหมคะเนี่ย น่ากินทุกอย่างเลย ที่คอนโด มีไมโครเวฟ หรือ เตาอุ่นบ้างเปล่าก็ไม่รู้เนอะ”

“หูย หนูมะนาวไม่รู้อะไร น้องโอ๊คแม้จะเป็นคนทานยาก แต่ถ้าเจอของถูกปาก รับรองได้ว่า ทานไม่เหลือ ตัวก็ผอม ไม่รู้เอาไปเก็บไว้ไหนหมด เจ๊ทำไก่ผัดซ้อสน้ำมันงาของโปรดไปให้ด้วย รับรองน้องโอ๊คจะแทบเลียกล่องข้าวเชียว”

“โอ๊คทานยากมากเลยครับพี่นกน้อย ไปไหนกันก็ต้องคอยแอบดูว่าเขาทานอะไรได้บ้าง แต่เขาไม่ค่อยเรื่องมากเท่าไหร่ แต่ผมรู้เลยว่า เขาเป็นคนทานยาก”

“นี่ดีขึ้นมากแล้วนะปุย สมัยตอนยังเด็ก พวกเราต้องให้พี่โอ๊คเลือกเมนูก่อนใคร เพราะว่า จะห้ามเผ็ดบ้าง ไม่ใส่ผักบ้าง ไม่กินหอมหัวใหญ่ ไม่ใส่พริกไทย ถ้าร้านไหนทำผิดมานี่ พี่โอ๊คไม่แตะเลย”

“อ้าว แล้วเวลาร้านทำผิดมาทำไงล่ะคะหนูมะนาว”

“ก็จะใครล่ะ พี่อาร์มจัดการเรียบน่ะสิคะ ขานั้น อะไรก็ทานหมดเกลี้ยง”

“จริงด้วย ฮ่าๆๆๆ”  ปุยหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพอาร์มที่ทานได้ทุกอย่างจริงๆ






“เอาแบทแมนไปใช้ไหม” โอ๊คโยนกุญแจรถมอเตอร์ไซค์คันโปรดมาที่อาร์มผู้ซึ่งนั่งที่เตียงของโอ๊คมองห้องนอนที่ดูคล้ายจะว่างเปล่า เนื่องจากข้าวของหายพร่องตาไปเยอะเลย

“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวไอ้โรบินมันน้อยใจว่ะ” อาร์มส่งกุญแจรถคืนให้โอ๊ค รับไป

“ก็ไว้ตรงนี้ เผื่อเอาไปใช้ หรือ ให้ไอ้ดอยมันใช้ก็ได้ กูไม่หวงหรอก อย่าให้น้ำมันพร่องนะเว้ย”

“นี่มึงจะกลับมาช่วงปีใหม่ไหมวะ เสียดาย น่าจะไปสังขละด้วยกัน คุณตาไอ้ดอยคงคิดถึงมึงน่าดู”

“ขอบายล่ะ ไว้มีโอกาสคงได้ไป  งวดนี้ให้ข้าวใหม่ปลามันเขาไปหวานแหววแต๋วจ๋ากันเหอะว่ะ”

“กูก็ขอให้มันผ่าน คุณตา ไปให้ได้ว่ะ จะได้ราบรื่น คุณตานี่พ่อทุกสถาบัน แม้แต่พ่อไอ้ดอยก็คงไม่กล้า”

“มึงยืนขึ้นสิ”  โอ๊คบอกกับแฝดน้องคนคุ้นเคย

“อย่ามาทำซึ้งเชี่ยอะไร เดี๋ยวกูร้องไห้ตุ๊ดแตก”

“ขอกอดหน่อย”    แล้วสองหนุ่มก็สวมกอดกันอย่างคนผูกพัน โอ๊คเอามือลูบหลังอาร์มอย่างแผ่วเบา ไล้ขึ้นมาตบที่ท้ายทอย อาร์มซบหน้าลงบนไหล่มีน้ำตาซึมออกมา

“กูไม่อยู่ มึงก็ชวนพ่อแม่ไปกินข้าวเย็นให้บ่อยนะเว้ย พามะนาวไปด้วยก็ดี แล้วก็อย่าซ่ามาก กูคงซิ่งรถมาเคลียร์ให้ไม่ไหว”

“อืม”

“ออกกำลังกายด้วย แล้วก็กินให้มันน้อยๆนะเหล้าเนี่ย”

“อืม”

“อย่าให้ไอ้ดอยมันติดหวยมาก เดี๋ยวจะเหมือนตอนติดพนันบอลนะ”

“อืม”

โอ๊คเอามือดันตัวอาร์มออกมาตั้งตรง เอามือจับที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเอ่ยคำลากับอาร์ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาของพี่น้องที่ไม่ค่อยได้แสดงออกกันบ่อยนัก เพราะทั้งคู่โตมาแบบเพื่อนกันมากกว่า แฝดพี่ที่ดูแลแฝดน้องเสมอมา  อาร์มตาแดง มีรอยน้ำตาไหลเต็มแก้มไปหมด โอ๊คเอามือไปเช็ดให้แล้วจับหน้าของอาร์มให้เงยขึ้น  เขามองตากัน

“กูเหมือนจะเห็นแก่ตัว ที่ทิ้งไปอย่างนี้ แต่ว่า กูเชื่อว่า มึงกำลังจะเติบโต และเป็นผู้ใหญ่ในวันที่กูไม่อยู่ ทำให้ได้นะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ น้องคนนี้ จะทำให้ได้ครับ.. พี่ชาย”





ที่ริมแม่น้ำรันตี มีชายหนุ่มหอบแกะตัวใหญ่ที่ผ่าเฉือนอาบเกลือและยัดเครื่องเทศไว้ มาขึ้นขึงกับลำไม่ไผ่ ย่างไฟอย่างช้าจนผิวแกะตัวใหญ่เกรียมหอม มีสาวน้อยใหญ่กำลังนำดอกไม้สีสวยในกระถางทางมะพร้าว มาวางเรียงรายตกแต่งสถานที่ในลานกว้าง ซึ่งถูกล้อมขอบอณาเขตด้วยแท่งคบเพลิงซึ่งยังไม่ผ่านการจุดไฟ  พวกเขาเตรียมตัวเพื่องานประจำปีที่กำลังจะมาถึง กับการเฉลิมฉลองเทพเจ้าแห่งสายน้ำในช่วงกลางเดือนธันวาคมของทุกปี 

ในปีนี้ตรงกับวันเสาร์ มีเจ้าเรือนชะตาดาวพระเสาร์คุ้มครองในขวบปีหน้าทั้งปีตามความเชื่อของคนพื้นที่  และท่านบุตรแห่งสายน้ำรันตี ทำนายไว้ว่าเรือนพระเสาร์จะส่งผลต่อกุศลกรรมของทุกคน ผู้ที่มากความเพียรจะอยู่รอด ผู้ที่แบกรับหน้าที่ด้วยความสุจริตจะอยู่พ้น ความทุกข์ ความเศร้า ความหดหู่ ความเสียใจ เป็นแกนหลักของปีหน้า อุบัติภัยร้ายแรง จะปรารฏให้เห็น ความวุ่ยวายทางโลกสุดโกลาหล ดังนั้น การเฉลิมฉลองและบูชาเทพเจ้าแห่งแม่น้ำ จะนำมาซึ่งความอยู่รอดปลอดภัย ด้วยการอำนวยอวยพรของเทพแห่งแม่น้ำรันตี 




“พี่น้อยคะ มะนาวมีเรื่องอยากจะถามหน่อยค่ะ แต่ถ้าพี่น้อยไม่สะดวกที่จะตอบ ก็ไม่เป็นไรนะคะ”

“เรื่องของ แมว ใช่ไหม”

“โหว ไปไม่เป็นเลย เล่นเดาใจเก่งขนาดนี้”

“พี่ดูหนูซึมกันขนาดนี้  แม้แต่ ปุยเองก็เหอะ นี่โดนเรียกเข้าห้องเย็นไปเคลียร์กันแล้วใช่ไหม”

“ครับ แต่ว่า ก็ไม่ใช่ทุกประเด็น แต่เข้าใจเจตนาของเขา ผมก็รู้สึกดีขึ้น แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่ค้างคา”

“แล้วมะนาวอยากรู้อะไร” นกน้อยที่บรรจงเรียงผักอย่างสวยงามในกล่องใส่ผัก พร้อมแยกน้ำยำเผ็ดน้อยแบบที่โอ๊คชอบ หันไปถามมะนาวที่ตอนนี้ เม้มปากคล้ายอยากจะถามแต่มีความไม่กล้าอยู่ในที

“ผมว่า มะนาวก็อยากรู้เหมือนผม”

“อยากรู้อะไร เจ๊ให้ 5 นาทีทอง ว่ามาเลย”

“ผู้ชายของเรา จะนอกใจเราไปอีกทั้งชีวิตไหมคะ”

“เจ๊ก็ถามตัวเองแบบนั้นตอนรู้เรื่อง พี่แจ้กับแมวเหมือนกัน แต่ถ้าเราจมปรักกับมัน เราจะไปต่อไม่ได้”

“แต่มะนาวไม่อยากให้มันเกิดเรื่องอะไรแบบนี้อีก แล้วต้องมาคอยหึงหวง ไม่ใช่แค่กับพี่แมวหรอกค่ะ จะคนไหนๆก็ด้วย”

“ผมเอง ก็เลยคิดว่าจะไม่โฟกัสเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน ว่าจะมุ่งไปที่เรียนล่ะครับ ผมอยากทำงานมากเลยตอนนี้”

“เอาเป็นว่า เคสของพวกเรามันไม่ได้เลวร้ายนะ  เจ๊อยากให้พวกหนูคิดแบบนี้  คือ หนึ่ง ณ ขณะนั้น ที่เกิดเรื่องทั้งหมดทั้งปวง พวกเขา ไม่ได้ผูกพันกันใครในแบบมีพันธะ  แน่นอนว่า เป็นสิทธิของพวกผู้ชาย ที่เขาจะซุกซน หรือจะมีเล็กมีน้อยในที่ต่างๆ ตามประสาความคะนอง”

“แล้ว..” ปุยจะเอ่ยพูด แต่โดนนิ้วชี้เรียวสวยของนกน้อยมาแตะที่ปากให้หยุดก่อน

“ไม่เกี่ยวกับว่า เขาจะไปกับผู้หญิง หรือกะเทย อันนั้น มันความพอใจในวงเหล้า  แต่เราต้องดูว่า ถ้าเขามีพวกเราแล้ว เขายังจะมีซุกซนอีกไหม  ถ้ามี เราต้องตัดใจให้เด็ดขาด แต่ถ้าเขาอยู่ในโอวาท ไม่ได้ทำอะไรให้เราช้ำใจ ก็ต้องคิดว่า อดีต มันก็คืออดีตนะ อย่าเก็บมาทำร้ายเขาในวันที่พวกเขาไม่ผิด”

“มะนาวอยากให้ทุกคนไม่มีอดีตจังค่ะ”

“แต่มันก็ทำไม่ได้ไงหนู อดีตมันทำให้เราเจ็บ แต่มันจะทำให้เราแกร่ง”

“งั้นผมว่า พวกเราต้องบอกลาอดีต แล้วให้โอกาสคนของเราใช่ไหมครับ”

“เจ๊ก็ทำอยู่นี่ไง มันมีเรื่องให้ตอแยอีกมากในชีวิตคู่ อะไรข้ามได้ กระโดดก้าวข้ามไปเลย แต่ถ้าอะไรที่มันจะทำร้ายเราวันหน้า เราต้องมีสตินะ พวกเรา ยังสาว ยังสวย ยังดูดีกัน ก็มีแรง แต่ถ้าสักวัน มันหย่อนยาน มันไม่มีคนเหลียว เราก็ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ ไม่ก็เข้าวัดไปเลย”

“มะนาวชอบไปวัดค่ะ ไว้มะนาวจะไปเป็นเพื่อนพี่นกน้อยเองดีไหม”

“ไม่ดีค่ะหนู ยังไงเจ๊ก็ยังอยากมีผัวค่ะ”

“อ้าว.. ไหงเป็นงั้นซะล่ะคะ”





“น้าล่วงหน้าไปก่อนนี่จะไป ไซโคอะไรผมหรือเปล่าเนี่ย”

“โถ่ไอ้ดอย เอ็งคิดว่าข้าคุยกับพ่อข้าเกินห้าคำได้ไหมล่ะ ไม่กินหัวข้าก็ดีตายล่ะ”

“คุณตาใจดีจะตาย อย่ามาว่าท่านนะ” ดอยที่กำลังช่วยแจ้ยกกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่นัก กับของฝากเต็มสองลัง ใส่เข้าที่ใต้ช่องเก็บสัมภาระ รถโดยสารประจำทาง กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ  หลานตัวดีมายืนส่งน้าชายขึ้นรถ โดยมีอาร์มที่ขับรถมาส่ง จอดรถรออยู่ที่หน้าชานชาลา

“แหม หลานรักอย่างเอ็งก็พูดได้นี่หว่า  แล้วพรุ่งนี้ก็ขับรถกันดีๆล่ะ หมอกมันเยอะ”

“แล้วนี่แม่จะไปพร้อมน้าเลยเปล่า”

“ไปสิ เขาให้ข้าไปลงที่ทองผาภูมิก่อน แล้วขึ้นไปสังขละด้วยกัน พ่อเอ็งก็ไปด้วย”

“อืม”

“ไม่อยากเจอพ่อเหรอ”

“ก็ไม่ใช่ไม่อยาก”

“หรือกลัวพ่อไม่ถูกใจลูกสะใภ้”

“จะเอาใช่ไหมน้า อย่าให้ผมได้แฉมั่งนะ”

“เออๆ ยอมๆๆ  ขับกันไปดีๆ นี่ก็ช่วยคุณโอเล่ดูร้านไปก่อนนะ ส่วนรถเช่า ข้าฝากเพื่อนไว้แล้ว เดี๋ยวมันแวะมาช่วยดู”

“น้าว่า.. ผมพาปุยไป มันจะเป็นเรื่องไหมครับ”

“หลานทูนหัวของน้า โลกจะแตกอยู่รอมร่อ อยากจะทำอะไร ก็ทำซะ”  แจ้กระโดดขึ้นรถไปแล้วตรงไปยังที่นั่งด้านหลังรถประจำทาง ที่มีคนนั่งอยู่กระจายทั่วรถ มีคนงานพม่านั่งอยู่แถวหลังสุดจนเต็ม  แจ้จึงเลือกไปนั่งชิดริมหน้าต่างตรงหน้าต่างตรงแถวถัดมา  แล้วโบกมือส่งสัญญาณให้ยอดดอยกลับไปได้แล้ว





“นี่กะจะให้กินไปสามวันเลยเหรอครับเนี่ย”

“พี่โอ๊ค นี่ขนาดมะนาวเบรกพี่นกน้อยไปสามเมนูแล้วนะคะ ถ้าห้ามไม่ทันคงมีปอเปี๊ยะทอด กับกุ้งพันอ้อย และอีกมากมายตามมา”

“โอ๊ย อยากกินกุ้งพันอ้อยฝีมือเจ๊นกน้อย ปอเปี๊ยะก็อร่อย อยากกินอ่ะ”

“เห็นม๊ะ มะนาวนี่ไม่น่าห้ามเจ๊เลย เอาไหมโอ๊คลูก เดี๋ยวเจ๊ไปทำเพิ่มให้”

“ไม่ๆๆ  ไม่ต้องแล้วครับ เดี๋ยวหลังปีใหม่ ก็อาจจะแวะกลับมา พอดีมีงานโชว์ตัวขุนแผน ต้องขอบคุณสปอนเซอร์ด้วย ขาดไม่ได้ เกรงใจห้างของมือกลอง เดี๋ยวกลายเป็นได้ตำแหน่ง แต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่  แล้วผมแวะมากินนะเจ๊คนสวย”

“เดี๋ยวเจ๊จะทำเต้าหู้ทอดราดซ้อสชาเขียวที่น้องโอ๊คชอบให้ด้วย แต่บอกล่วงหน้านะ เจ๊จะไปเอาเต้าหู้เจ้าที่อร่อยที่สุดในตลาดมาให้เลย”

“ต้องโรยอะไรด้วยนะครับ จำได้หรือเปล่า”

“อัลมอนด์ สิคะ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ”

“ขอบคุณครับ ที่ทำอะไรอร่อยให้กินเสมอ ขอกอดทีครับ” แล้วโอ๊คก็เอื้อมตัวไปกอดนกน้อยที่กำลังทำหน้าเขินสุดขีด แต่น้ำตาเริ่มไหลออกรอแล้ว   “ฝากดูแลไอ้ดอย ไอ้อาร์ม ด้วยนะเจ๊ ขอบคุณเจ๊มากนะครับ”

“กินให้เยอะนะน้องโอ๊ค ขาดเหลืออะไรขอให้บอก ทางนี้ไม่มีอะไรต้องห่วง เจ๊กับน้าแจ้จะดูแลทุกคนเอง”

“ขอมะนาวกอดลาด้วย กลับมาให้บ่อยนะพี่โอ๊ค กลุ่มเราไม่เคยจะอยู่ครบกันได้นานเลย”

“ลากันเพื่อกลับมาอยู่ไปตลอดไง อดใจนิดเดียวนะ”

“ค่ะ มะนาวจะรอ”

“ไอ้อาร์มมันทุ่มหัวใจให้มะนาวมาก.. มะนาวคงจะมาเป็นน้องสาวพี่โดยสมบูรณ์เร็วๆนี่นะ”

“ทุกวันนี้ พวกพี่ก็รักมะนาวเหมือนน้อง มะนาวก็รักพี่โอ๊คเหมือนพี่นะคะ”

“มา ขอกอดหน่อย”  โอ๊คเอื้อมตัวรั้งมะนาวที่มีน้ำตาไหลรินมากอดอย่างเอ็นดู  โดยมีนกน้อยที่ยืนดูอยู่ เอากระดาษทิชชู่มายืนซับน้ำตาที่พรั่งพรูไม่แพ้กัน






“นี่เห็นว่าเดินสายร่ำลาอย่างกับมึงจะไปตาย ไอ้โอ๊ค”

“เชี่ยย มึงสิตายก่อนกู ไอ้ดอย”

“แล้วนี่คือ กูจะเจอมึงอีกทีก็หลังปีใหม่เลยใช่ไหม”

“ถ้าโลกไม่แตกซะก่อนนะ” โอ๊คหันไปมองปุยที่เดินมาสมทบเขากับยอดดอย พวกเขากำลังยืนคุยกันอยู่ที่ลานจอดรถในพื้นที่ของ คฤหาสน์หลังงาม โดยโอ๊คเตรียมของขึ้นรถแอคคอร์ดสีดำไว้หมดแล้ว ดอยที่ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่ง มีปุยเมฆซ้อนท้ายมาล่ำลา เพราะเมื่อตอนเย็นตอนที่ โอ๊คบอกลาเจ๊นกน้อยกับมะนาว ปุยเมฆก็หายตัวไป จนโอ๊คก็สงสัย

“เราไปหานี่มาให้โอ๊ค”  ปุยยื่นเทปเพลงที่อัดไว้หลายม้วนใส่ในกล่องสวยสีขาว “เอาไว้ฟังตอนคิดถึงกัน”

“คงต้องฟังแล้วฟังอีกสินะ”โอ๊คหันไปทำหน้าทะเล้นใส่ดอย

“น้อยๆหน่อย กูยืนอยู่นี่”

“แหม.. กูจะไปแล้ว หมดเสี้ยนหนามแล้วนี่ อย่าได้กร่างไป อย่าเผลอนะมึง”

“ดูพูดกันเข้าสิ.. มานี่ ขอกอดหน่อย” ปุยบอกโอ๊คให้เดินมากอดตัวเอง

“ได้ไหม” โอ๊คหันไปถามดอย ดอยยิ้มพยักหน้าตอบ  เขาสวมกอดปุยไว้แน่น โอบปุยไว้ในอ้อมอก

“คิดถึงเราบ้างนะ ปุยเมฆคนเก่ง”

“เราต้องเหงาแน่เลยโอ๊ค โทรหาเราบ้างนะ” ปุยที่มีน้ำตาซึมไหลจนเห็นได้ชัด เสียงสั่นเครือ

“จะโทรจนรำคาญเลยล่ะ” โอ๊คคลายกอดหนุ่มร่างบางตัวขาวที่ตาแดงก่ำ

“เราขอหอมแก้มโอ๊คทีนึงนะดอย”  ปุยหันหน้าไปขอร้องยอดดอย  ยอดดอยยังคงส่งยิ้มให้ พยักหน้าอีกครั้งเป็นเชิงอนุญาต
ปุยเขย่งเท้าหอมแก้มซ้ายของโอ๊ค แล้วกอดโอ๊คคาไว้อย่างนั้น ก่อนจะหันไปพูดกับยอดดอย “ขอบคุณที่ไว้ใจเรานะดอย”

ยอดดอยเดินเข้ามาหาทั้งคู่ เอามือโอบทั้งคู่ไว้ในอ้อมกอด “ไม่มากเท่าที่ไว้ใจไอ้โอ๊ค.. โอ๊ค.. มึงคือเพื่อนที่กูรักที่สุดแล้ว”
ดอยบรรจงกดจุมพิตลงที่หน้าผากของโอ๊ค แล้วหันไปจูบที่แก้มของปุยเมฆ เขาสามคนกอดกัน น้ำตาริน ปุยสะอื้นร่ำไห้ เขากอดกันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จนได้เวลาโอ๊คต้องลาจากไป




“ปุยกับมะนาวเข้ามาในจังหวะที่เหมาะสม  เรากับอาร์ม ไม่มีโอ๊คคงเหงาแย่  พวกเรามีกันแค่สามคนมานานเหลือเกิน จนแทบจำไม่ได้ว่าพวกเราปล่อยให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตพวกเราบ้างไหม”

“ดอยครับ”

“ครับ”

“โอ๊คฝากนายไว้กับเรา.. เราจะดูแลนายเอง”

“โอ๊คมันก็ฝากปุยไว้กับเราเหมือนกัน  เราจะดูแลกันและกันนะครับ”

“เราคงคิดถึงโอ๊คเนอะ”

“เราก็เหมือนกัน ชีวิตเราก็มีแค่มันกับไอ้อาร์ม”

“แต่ที่เขาไป มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาใช่ไหม”

“เป็นก้าวใหญ่ของมันเลยล่ะ ถึงจะใจหาย แต่คิดถึงความสุขที่รอมันอยู่ เราก็อดตื่นเต้นแทนมันไม่ได้”

“ถ้าอย่างนั้น วันนี้ จะไม่ใช่วันที่มาเพื่อลา”

“อืม มาเพื่อบอกโอ๊ค ว่าพวกเรา รอวันที่มันกลับมา”

หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 27 : บูชายันต์แม่น้ำรันตี ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 30-03-2018 20:18:15
Track 27 : ชีวิต..ไม่พ้น ขึ้นลงก็แค่นั้น.. อยากจะขึ้นอย่างนั้นให้นานนาน..

รถที่แล่นด้วยความเร็วต่ำ ราวกับต้องการจะเก็บเกี่ยวความงดงามของทิวทัศน์ถนนข้างทางพกพาไปด้วย อาร์มท่องรถคัมรี่สีเขียวคันโปรดไปบนถนนที่ว่างโล่ง มีรถสัญจรสวนไปมาไม่มากนัก ในขณะที่ดอย กับ มะนาว ผู้ที่โดยสารมาด้วยต่างทอดตัวลงบนเบาะหลับใหลไปด้วยความเพลีย เพราะพวกเขาเพิ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งเป็นที่ท่องเที่ยวจุดแวะ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังบ้านของยอดดอย  อากาศที่เย็น กับ น้ำร้อนจัด ทำให้มะนาว กับ ดอย ที่พักผ่อนมาน้อยเมื่อคืน เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ต่างจากอาร์มที่นอกเอาแรงมาเต็มพิกัดเมื่อคืน อาร์มเปิดเพลงคลอแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสองคนที่กำลังพักผ่อน  “ I will be the sun in your sky.. I will light your way for all time..”

“ใกล้ถึงแล้วเหรอคะพี่อาร์ม” มะนาวที่งัวเงียขึ้นมาหันไปถามโชเฟอร์

“อืม อีกพักเดียว นอนต่อนะ เดี๋ยวใกล้ถึงแล้วปลุก จะลุกขึ้นมาแต่งหน้าใช่ไหม รู้ทันนะ”

“พี่อาร์มนี่ก็ ฮ่าๆ อย่าลืมปลุกนะ เดี๋ยวไม่สวย”

“ครับคนดี นอนต่อนะ”  อาร์มเอื้อมมือไปหรี่เสียงเพลงลงอีกนิด เพื่อให้มะนาวได้เอนตัวหลับต่ออย่างสบายใจ

“ I will cross the ocean for you.. I will go and bring you the moon..”  อาร์มฮัมเพลงเบาก่อนจะเอื้อมมือที่เชนเกียร์ จากตัว D2 เมื่อทางขึ้นเขา เปลี่ยนไปเป็น D ยังทางเรียบ แล้วก็เอื้อมไปกุมมือมะนาวไว้

“Promise You.. For you I Will..”



บนพื้นเรียบของที่ราบข้างแม่น้ำรันตี มีผ้าดิบย้อมสีแดงที่ย้อมจากฝาง มีรูปวงกลม และ สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม สีน้ำเงินที่ใช้หมึกสกัดจากใบห้อมปรากฏอยู่บนผ้า ถูกแขวนเรียงรายกั้นเป็นอณาเขต ผู้หญิงหลายคนกำลังช่วยกันตรงแคร่ไม้ที่เป็นครัวเปิด หั่นผักและเนื้อสัตว์ เพื่อเตรียมกับข้าว โดยมีผู้ชาย ยกตัวแกะที่บูชายันต์ไว้เมื่อเช้า มาแร่แบ่งเป็นก้อนให้ผู้หญิงได้ปรุงอาหาร  แจ้ที่กำลังช่วยกันชักธงสามเหลี่ยมสีแดงขึ้นขนยอดไม้ลวกขนาดยาว ปักไว้ที่ศูนย์กลาง เงาของธงพาดทับกองไฟที่ยังไม่ได้จุด ปลายธง ณ เวลาขึ้นจุดสูงสุดของยอดนั้น เงาจะอยู่กับตรงกองไฟพอดี  ผู้เฒ่าประจำหมู่บ้าน เดินมาโรยผงใบไม้แห้งที่ตากแดดไว้จนกรอบ ขยำเป็นใบละเอียด โรยลงไป 

“แจ้.. เองจุดไฟสิ”

“แต่พ่อ... ผมยังไม่พร้อม”

“ก่อนที่เงาจะลาลับกองกำเนิดแห่งอัคคี เอ็งมีเวลาแค่เพียงอึดใจ”

“ไม่ครับ”  ก่อนแจ้จะเดินถอยหลังหนึ่งก้าว  ผู้เฒ่าโยนหินที่ชุบน้ำมันก๊าดไว้จนท่วมผูกกับเชือกหน่วงเป็นลูกตุ้มไว้

“งั้นเอ็งก็ไม่คู่ควร ไม่ว่าจะวันนี้ หรือวันไหน”  แล้วหินก็ลุกเป็นไฟ ก่อนจะถูกโยนลงไปในกองก่อไฟ จนเกิดเป็นเปลวไฟลุก




“ทำไมมากันช้าจัง อ้าวแล้วทำไมเสื้อผ้ายับยู่ยี่ เปียกกันขนาดนี้ อ้อ.. แวะเล่นน้ำร้อนกันมาล่ะสิ” ชายวันกลางคนส่ายหน้า พร้อมหอบของจากหน้าบ้านเรือนไม้ชั้นเดียวขนาดใหญ่ บนพื้นที่กว้างขวางสุดสายตา ไม่มีรั้ว แต่มีต้นไม้ใหญ่ลูกเรียงราย กั้นไว้เป็นอณาบริเวณ     

“พอดี ออกจากเมืองกาญจน์กันช้านะพ่อ เดี๋ยวผมช่วยยก” ดอยเอาห่อข้าวหลาม และหน่อไม้ไผ่ตงนอกฤดูกาล มีของกิน ในถุงพลาสติกอีกจำนวนหนึ่ง อาร์มกับมะนาวที่ยกมือไหว้พ่อของยอดดอย แล้วรีบเข้าไปช่วยหิ้วเข้าไปไว้ที่ท้ายรถ

“แล้วนี่แม่ไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วเหรอพ่อ”

“เออ.. ไปกับไอ้แจ้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว รอมึงนี่แหล่ะ ช้าเหลือเกิน ไปกันได้แล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำห้องท่าไหม” ชายร่างผอม ตัวสูงหันไปถามมะนาว กับอาร์มที่ทำหน้าเหวอยืนอยู่ตรงประตูรถ  อาร์มส่ายหน้า พร้อมเปิดประตูให้พ่อของดอยนั่งด้านหน้าคู่กับตน  มะนาวย้ายไปนั่งข้างหลังคู่กับดอยโดยไม่ต้องนัดหมาย



“โอะฮาโย โกไซอิมัส”

“กระแดะ” โอเล่เงยหน้าจากคอมพิวเตอร์ทำปากเบะ เมื่อเห็นผู้มาเยือน

“แหม่ เจอหน้าก็ด่าเลยนะเธอ” กล้าทำหน้าเซ็ง

“แล้วนี่ไม่มีเรียนหรือไง”

“เมื่อเช้าต้องไปโชว์ตัว ก็แหม่ ทั้งขุนช้าง ทั้งขุนแผนเบี้ยวงาน ฝั่งผู้ชาย นี่เหลือนายนพมาศน้อยคนเดียว ขืนหยุดไปไม่ร่วมงาน แล้วสาวๆ จะกรี้ดใครละครับ”

“หลงตัวเองว่ะ ตัวก็เตี้ย หมาเลียตูดถึงอย่างนี้”

“พูดกับเราดีๆบ้างได้เปล่าครับ”

“ก็อย่าทำหน้ากวนตีนได้ป๊ะล่ะ”

“แล้วถ้าทำหน้าแบบนี้ล่ะ” กล้ายิ้มตาหยีเก๊กหล่อให้โอเล่ดู จนโอเล่เงียบไป

“ประสาท”





“แล้วนี่เมียเองเหรอ”

“เฮ้ยยย ไม่ใช่นะพ่อ นี่เพื่อน น้องมะนาวอยู่กลุ่มเดียวกัน เคยเจอกับแม่แล้ว”

“สวยขนาดนี้มึงไม่จีบวะ เอ่อ.. ขอโทษทีนะหนู ลูกชายลุงมันโง่”

“พอดี มะนาวคบกับผมน่ะครับ” อาร์มชิงแทรก เพื่อระงับความอึดอัดบรรยากาศบนรถ

“อ่อ แล้วก็ไม่บอก แล้วนี่ พี่ชายฝาแฝดเอ็งไม่มาด้วยเหรอ”

“ไม่มาครับ พอดีเขาไปฝึกงาน และเตรียมช่วยงานป๊า”

“เออดี เอาการเอางานดีไอ้คนพี่เนี่ย”

“พ่อกินอะไรมายัง แวะกินอะไรก่อนไหม ที่หน้าน้ำตกเกริงกะเวียเดี๋ยวนี้ก็ร้านเยอะนะพ่อ”

“ทำมารู้ดี นานปีทีหนมึงจะกลับบ้าน แหม่..  เอ่อ แม่หนู นี่ลูกชายฉันมันติดสาวที่ตัวเมืองหรือไง ถึงไม่กลับบ้านบ้างเลย”

“คุณพ่อถามพี่ดอยดีกว่าค่ะ มะนาวเรียนทั้งวันเลย ไม่ค่อยทราบว่าพี่ดอยคบหาอยู่กับใคร”

“เดี๋ยวมีก็จะบอกเองน่ะพ่อ” ดอยตัดบทด้วยน้ำเสียงเซ็ง

“หึ หน้ามึงก็หล่อ บ้านเราก็มีกินมีใช้ ถ้ามึงไม่เกเรจนคนหนี ก็คงเป็นอย่างที่กูแอบได้ยินไอ้แจ้คุยกับแม่มึงน่ะ”

“น้าเขาเล่าอะไรล่ะ”

“หึ อย่าให้กูพูดเลย บัดสี”





ที่ลานสนามกว้าง มีแท่นปูนหล่อทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ทุกแท่นมีหินอ่อนสีดำสลักชื่อภาษาอังกฤษ มีไม้กางเขนขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ชาวต่างชาติจำนวนมากเดินถ่ายรูป มีชาวไทยที่มากับคณะทัวร์เดินถ่ายรูปกับหลุมศพของทหารเชลยศึกสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

“นี่โรแมนติกมากเลยเนอะ พามาเดทที่หลุมศพเนี่ย”

“ขี้ตู่จังคนสวย ใครพามาเดท”

“ไอ้..” โอเล่หยุดพูดไปด้วยสีหน้าทั้งโมโห ทั้งอาย แต่ก็ไม่รู้จะไปต่อด้วยคำพูดอะไร จึงแก้เกี้ยวด้วยการหันไปเดินดูอักษรที่ปรากฏบนแท่นหลุมศพแทน

“พามาดูอะไรนี่ มาเร็ว” กล้าจูงมือโอเล่ที่เดินตามมาทางแถวในสุดของแท่นป้ายชื่อหลุมศพ ปรากฏชื่อ Ton Van de Leen กล้าหยุดตรงหน้า รอให้โอเล่อ่านคำรำลึกจากลูกหลานผู้เสียชีวิตที่ปรากฏไว้จนจบ

“ที่จะบอกคืออะไร”

“คุณทอน ที่เราเรียกเขาว่า ลุงต้น เนี่ย คือเพื่อนสนิทของป๊ะป๋าเราเอง ถ้าท่านอยู่ ก็อายุเจียนจะหกสิบแล้ว”

“แล้ว”

“ท่านคือผู้ที่ผลักดันป๋าเรา และร่วมลงทุนในธุรกิจของบ้านเรา”

“...”

“บ้านเราไม่ได้รวยจากธุรกิจมืด แบบที่เขาลือกัน.. ป๋าเราแค่ได้เพื่อนที่ดี”

“แล้วทำไมไม่เล่าให้คนอื่นฟังล่ะ คนทั่วจังหวัดก็เข้าใจเป็นอย่างอื่น..”

“ป๋าไม่ได้คิดแก้ข่าวหรอก ก็ไม่สนใจใครจะว่าไง  เราเองก็แค่ห่วงความรู้สึกเฉพาะคนที่แคร์..  เราอยากแค่ให้เธอได้รู้”




อาหารปรุงกันจนเสร็จหอมกรุ่นกลิ่นโชยไปทั่ว นอกจากแพะที่เป็นอาหารหลัก ปรุงด้วยสมุนไพรและน้ำราดสีเกรวี่ข้น มีผักลวกหั่นวางเรียงรอบถาดไม้ขนาดใหญ่ล้อมตัวแกะที่เกรียมสุก  ยังมีปลาแม่น้ำ กุ้งแม่น้ำที่เตรียมเผาขณะงานสังสรรค์ซึ่งกำลังจะเริ่มในพลบค่ำ  มีไก่ที่ชาวพื้นเมืองเรียกว่า “ชอ” ตุ๋นในน้ำสีน้ำตาลคล้ายพะโล้ แต่หอมโชยกว่า 

“นี่พวกเจ้าดอยใกล้ถึงหรือยังล่ะ” ชายชราร่างสูงใหญ่ เปลื้องท่อนบน ห่มด้วยผ้าหนังสัตว์ย้อมสีแดงพันสะโพก หยิบผ้าผืนหนาห่อตัวสีแดงมาคลุมไหล่และตัวไว้จขนคล้ายชุดทหารโบราณ

“ใกล้แล้วครับ พอดีเขาแวะโรงแรมที่ตลาด ก็เพื่อนเขามาถึงตั้งแต่เช้าคนนึง”

“อ้าว แล้วไม่ได้นอนที่บ้านเรากันเหรอ”

“เขามากับวิทยาลัยน่ะพ่อ เขาเรียนการท่องเที่ยว”

“ไม่อย่างนั้น ดอยมันคงไม่มาเยี่ยมข้าสินะ ที่แท้ก็ตามมาเฝ้าเพื่อนมันนี่เอง”

“พ่อก็ มันก็ลาเรียนมาให้ตรงกันนั่นแหล่ะ เดินทางก็ตั้งไกล ก็คงต้องวางแผนกันเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว”

“แล้วเอ็งเนี่ย ไม่หอบเมียมาด้วยหรือไง”

“ฉันยังไม่มีหรอกเมียน่ะ”

“งั้นเอ็งก็ยังไม่ใช่ คนของเผ่าเราอยู่ดี ลูกผู้ชาย เราต้องกล้าทำกล้ารับ”




ด้านหน้าล็อบบี้โรงแรมแนวรีสอร์ต จุบบรรจบแม่น้ำสามสาย จนเป็นเป็นมหาธารา สายหนึ่งสีแกมแดง สายหนึ่งก็อมเขียวมรกต อีกสายเป็นสีฟ้าเข้ม หมุนรวมกันกลายเป็นทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มขนาดใหญ่ มีแสงอาทิตย์แดงดวงใหญ่ใกล้จะลับขอบฟ้าสะท้อนระยิบที่ผิวน้ำ

“เดี๋ยวค่ำแวะมารับ ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ นะ ริมแม่น้ำหนาวมาก ห้ามใส่สั้นอย่างนี้นะ”  ยอดดอย ดุปุยเมฆที่นุ่งกางเกงขาสั้น จนมองเห็นโคนขาขาวเนียน

“ก็เดินเก็บแบบสอบถามทั้งวันเลยวันนี้ ใส่ขาสั้นมันสบายอ่ะ นี่ต้องสรุปข้อมูลและทำตารางส่งอาจารย์ค่ำนี้เลย แต่ของเราเสร็จแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพวกโหน่ง”

“แล้วคืนนี้นอนค้างข้างนอกได้ไหม”

“คืนนี้น่าจะไม่ได้ แต่กลับดึกได้ พรุ่งนี้ตอนกลับ เราบอกจอยแล้วว่าเราจะอยู่ต่อ เดี๋ยวจอยเช็คชื่อแทนให้”

“อืม ค้างอีกสักสองวันเนอะ”

“ได้ ยังไม่ได้เที่ยวทั่วเลย เดินทางมาไกลมาก โค้งก็เยอะ มาทีต้องเอาให้คุ้ม”

“แล้วเมื่อกี้ตอนไปสวัสดีพ่อ พ่อพูดอะไรมั่งล่ะ”

“ก็ไม่พูดอะไร เห็นหัวเราะเบาๆว่า ฮึ ทำไมเหรอ”

“เปล่าไม่มีอะไรหรอก ไปนะ รีบกิน ไก่ทอดร้านนี้อร่อยมาก ขนมจีนน้ำยาหัวปลีเจ้านี้ก็อร่อยมาก ไม่เผ็ดเท่าไหร่ ปุยน่าจะชอบ น้ำยากะเหรี่ยงนี่ไม่ต้องกลัว ไม่อ้วนหรอก”

“อืม ไปเหอะ พ่อทำหน้าดุใหญ่แล้ว”  ปุยเหลือบไปเห็นพ่อของดอยที่นั่งบนรถทำหน้าบอกบุญไม่รับ อาร์มกับมะนาวโบกมือลาเป็นสัญญาณว่าเดี๋ยวเจอกันตอนค่ำ




หน้าตึกขนาดใหญ่ขนาดสี่คูหา ความสูงสามชั้นครึ่ง ตกแต่งกึ่งจีน แต่มีชายคาที่แต่งเชิงชายด้วยไม้ฉลุสไตล์โคโลเนียลแบบตะวันตก หลังคามีรอยทาสีใหม่เป็นสีน้ำเงินด้วยกระเบื้องแผ่นเรียบดูโอ่อ่า ข่มบ้านทุกหลังที่เป็นชั้นเดียวจนหมดสิ้น ถนนแม้เป็นถนนซอย แต่เชื่อมระหว่างถนนหลักสองสายเข้าไว้ด้วยกัน คนสัญจรผ่านไปมาเยอะเสียจนมีร้านขายของชำเรียงราย มีที่ทำการไปรษณีย์ และร้านอาหารหลายร้าน

“จะอยู่นานหรือเปล่า ฉันห่วงร้านคอม”

“ก็อยู่เท่าที่อยากอยู่สิครับ โอเล่คนสวย”

“ถ้าเรียกแบบนี้อีกจะเตะปากคอยดู”

“ครับๆๆ ขอโทษ ไปเหอะ เข้าบ้านกัน”

“นายไม่จำเป็นต้องพามาซะหน่อย พามาทำไมก็ไม่รู้”

“ก็อยากจะพามารู้จักที่บ้านไว้ บ้านเราทำอาหารอร่อยไม่แพ้เจ๊นกน้อยหรอกนะ” แล้วกล้าก็คล้องแขนโอเล่ลากเข้าชายคาตึกที่ด้านในตกแต่งไว้อย่างโอ่อ่า ดูใหม่เอี่ยมผิดกับภายนอกบ้านที่คงลักษณะของบ้านตึกสไตล์โบราณไว้เป็นอย่างดี เฟอร์นิเจอร์แทบทุกชิ้นทำจากไม้เสียส่วนใหญ่ มีบุนวมด้วยผ้าลายหลุยส์ในบางชิ้น กระจกตู้โชว์เล่นสีคล้ายกระจกโบสถ์ 

“ป๋า ไม่ไปไหนเหรอวันนี้ ซื้อเกาลัดเจ้าเจ๊เกียวมาฝาก ร้อนๆอยู่เลย  อ้าว มีแขก  สวัสดีครับ” กล้ายกมือไหว้เพื่อนของเตี่ยที่กำลังนั่งเล่นไพ่ด้วยกันเพียงสองคน

“สวัสดีพ่อหนู” ชายเพื่อนของพ่อรับไหว้อย่างเอ็นดู “อ้าว โอเล่ มากับเขาด้วยเหรอ”

“เตี่ย !!”





ตะวันเริ่มชิงพลบ ลมเย็นเยือกพัดเอื่อยบริเวณชายแม่น้ำ เสียงร้องรำทำเพลงเริ่มดังขึ้น มีการจุดคบไฟเจิดจ้า เด็กน้อยใหญ่ ออกมาเล่นเต้นรำกันสนุกสนาน หญิงชาวเผ่าตัวอ้วนใหญ่ในชุดกะเหรี่ยงสีเขียวปักลาย ยืนอยู่บนแท่นตอไม้ เปล่งเสียงร้อง หวานแต่ทรงพลังดังไปทั่วรับผู้ที่เพิ่งลงรถมาเยือน   อาร์มกับดอยที่ไปรับปุยเมฆมาร่วมงาน ลงมาสวัสดีทักทายญาติของดอยจนครบ ก่อนที่ยอดดอยจะพาปุยมายังคนสุดท้าย ที่เพิ่งเสร็จจากการยืนทอดขนมทองโย๊ะอยู่ที่หน้ากระทะใบใหญ่จนเหงื่อท่วม โดยมีมะนาวที่เป็นลูกมือมาได้สักพัก ส่งผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นส่งให้เช็ดหน้า

“แม่ครับ นี่ปุย” ดอยเผยมือไปทางชายหนุ่มร่างผอมตัวขาว ที่แม้แต่อาทิตย์จะเริ่มลับขอบฟ้า แต่ผิวของปุยยังดูสุกใส เด่นโดดอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ร้องเล่นเต้นรำ

“สวัสดีครับคุณแม่” ปุยไหว้แม่ของดอยอย่างอ่อนน้อม เขาแปลกใจที่แม่ของยอดดอยยังดูสาวมาก และสวยมาก

“สวัสดีจ๊ะลูกปุย พาเพื่อนไปนั่งก่อนสิ เดี๋ยว พือพือ.. เอ๊ย คุณตา จะเริ่มกล่าวคำสรรเสริญเทพแห่งน้ำแล้ว เดี๋ยวเราค่อยสนุกกัน แม่จะไปแต่งหน้าก่อน เดี๋ยวไม่สวย”  แล้วแม่ของดอยก็รีบคว้ากระเป๋าที่วางอยู่บนแคร่เดินไปทางห้องน้ำซึ่งอยู่ไกลพอสมควร 

“คุณแม่ตลกดีเนอะ”

“แต่อย่าให้ร้ายนะ ใครก็เอาไม่อยู่เลยล่ะ” ดอยยิ้มมีเลศนัยให้ปุย


ตะวันที่ลับฟ้าไปจนหมดแล้ว ความมืดปกคลุมอย่างรวดเร็วใต้แผ่นฟ้า คงมีแต่ลุ่มแม่น้ำรันตี ที่มีตลิ่งสุกสกาว เปลวไฟจากคบเพลิงส่องสว่าง ไม่รวมกองไฟขนาดใหญ่ที่จุดไว้พร้อมฟืนสำรองอีกกองเบ่อเร้อ  เด็กน้อยที่เต้นกันจนเพลียนั่งฟังนิทานจาก “พีพี” หรือย่าทวดประจำหมู่บ้าน ที่บอกเล่าเก้าสิบเชิงสอนผสานบทเรียนนิทาน  มี “พาตี่” หรือชายแก่ประจำเผ่า คอยผูกข้อมือเรียกขวัญที่หนีหายไประหว่างปีคืนแก่ชายหนุ่ม  แล้วก็ยังมี “เม่อก่าห์” หรือสาวสูงอายุ เอาหวีสับผมแตะแป้งทำสัญลักษณ์ดอกจันที่แก้มหญิงสาว และชายหนุ่มที่เป็นคนโสด โดยกลุ่มของดอย ก็โดนแต่งแก้มกันทุกคน  มะนาวยิ่งตกเป็นเป้าสายตาชายหนุ่มในหมู่บ้าน  สาวน้อยใหญ่ก็เหล่มองอาร์มด้วยความชื่นชม  ปุยเมฆเองที่ตัวติดกับดอยไม่ห่าง ก็นั่งชมวัฒนธรรมหมู่บ้านผ่านการแสดงของ “แว่จ๊อ และ แว่หน่อ” ที่คอยสรรหาการร้องรำทำเพลงมาฝากผู้ร่วมงาน ด้วยความสนุก ซึ่งก็ทำให้ปุยเมฆผ่อนคลายอารมณ์ลงมาบ้าง เพราะว่าเขามีความกังวลกับท่าทีของคุณอนันต์ พ่อของยอดดอย ที่เหมือนจะไม่ค่อยปลื้มเขาเท่าไหร่




“เตี่ย งั้นผมกลับก่อนแล้ว จะไปดูร้าน” โอเล่ที่นั่งคุยกับเตี่ยได้สักพักขอตัว หลังจากที่หายตกใจเมื่อเห็นเตี่ยของตัวเองนั่งอยู่กับป๋าของกล้า

“เดี๋ยวให้ไอ้หลง ไปดูให้ พลทหารพ่อเยอะแยะ ไม่ต้องไปหรอก อยู่เป็นเพื่อนลูกชายคุณณรงค์ไปก่อน นานๆก็หยุดที อย่าทำงานมากลูก ใช้ชีวิตบ้าง”

“พูดถูกใจเลยครับคุณอา ผมนี่คอยบอกให้เขาดูแลสุขภาพ และให้ไปเปิดหูเปิดตาบ้าง นี่นั่งกับคอมทั้งวันจนแว่นจะหนาเป็นนิ้วแล้วครับ โอ๊ยยย” กล้าหยุดพล่ามเมื่อโดนโอเล่เอาศอกกระทุ้งใส่พุงน้อยๆ

“เออๆ ดีๆ น้าฝากด้วย ท่าจะให้ดี เรียกเตี่ย ก็ได้นะ ลูกคุณณรงค์ ก็เหมือนลูกเตี่ย”

“ได้ครับเตี่ย ไปข้างบนกันดีกว่า เรามีอะไรให้ดู งั้นไปนะครับ” กล้าลากแขนโอเล่ขึ้นบันไดไปยังชั้นบน โดยมีเสียงหัวเราะของชายสูงอายุสองคนดังลอยตามมา




“ปา โม่ แว่ บื่อ..  พ่อแม่พี่น้อง ชาวเผ่าทุกท่าน..” ชายสูงอายุน่าเกรงขามในห่อผ้าหนาสีแดง ที่บัดนี้ถูกสลัดออก เผยให้เห็นเพียงร่างที่มีแค่ผ้าเตี่ยวหนังคลุมสะโพก  “ตัมราเมียะ”ผู้เฒ่าบุตรแห่งสายน้ำรันตี สวดคาถาเป็นภาษาที่ปุยเมฆฟังไม่ออก เขาเองยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณตาของยอดดอยเท่าไหร่ เพียงแค่เข้าไปสวัสดี คุณตาไม่ได้รับไหว้ แค่พยักหน้า แล้วก็ให้ชาวบ้านเอาน้ำผสมฝางออกสีชมพูเรื่อมาดื่ม แล้วล้างมือล้างเท้าด้วยน้ำในกะละมังไม้  เปลี่ยนชุดเป็นชุดพื้นเมืองที่แม่ของยอดดอยเตรียมไว้ให้พอดีตัว มีเพียงอาร์มที่ขากางเกงลอยเล็กน้อยเพราะกางเกงสั้นไป จนแม่ของดอยหัวเราะดังลั่นเมื่อเห็นข้อเท้าอาร์มโผล่ออกมาเหลือเป็นคืบ 

คบเพลิงที่ลุกโชนไหวเล็กน้อยด้วยแรงลมก่อนหน้านี้ จู่แล้วลมทั้งหมดก็เงียบสงบ แต่สายน้ำกลับเคลื่อนไหวตัวทั้งที่ลมนิ่ง ท่านตัมราเมียะ สาดกำยานผสมกับเม็ดดินบางอย่างใส่ไปในกองไฟ ทำให้เปลวเพลิงที่เป็นสีส้มลุกฟู่กลายเป็นสีแดงสว่าง  เป็นสัญญาณว่ากำลังจะเข้าสู่พิธีสำคัญ พิธีกรรมที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อตอนฟ้าสาง ยามตะวันขึ้น ที่บูชาด้วยแพะตัวเป็น แล้วแจ้ก็เป็นคนปาดที่ลำคอจนแพะดิ้นดับชีวาไป ก่อนจะบูชายันต์ไว้จนคล้อยบ่าย  แต่บัดนี้ พิธีกรรมมีเพียงอาหารที่ปรุงแล้ว
ธูปเทียนหอมที่จุดด้วยไฟจากคบเพลิงอันตรงกลางซึ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาคบเพลิงทั้งหมด ถูกส่งจากชายสูงอายุอันดับที่สอง มาให้ผู้เฒ่าตัวราเมียะถือไว้  ผู้หญิงที่อุ้มลูกเอามือปิดตาเด็ก  ดอยบอกให้อาร์มเอามือปิดตามะนาว มีเพียงแม่ของยอดดอยเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มองพิธีการ  ลมเริ่มพัดกรรโชกขึ้นมาในทันใด ไฟในคบเพลิงสั่นไหว ผู้เฒ่ากู่ร้องด้วยเสียงอันดัง “เจ๊อปา” แล้วชายชราก็สลัดผ้าเตี่ยวออกเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าก่อนจะเดินลงไปที่ตลิ่ง หยิบไม้เท้าที่วางรอไว้ เอามาจุ่มที่น้ำ ปลาน้อยใหญ่กระโดดขึ้นมาเล่นบนผิวน้ำตอบรับ ชายแก่ที่รูปร่างยังคงเต็มไปด้วยมัดกล้ามแต่คงไว้ซึ่งรอยแผลมากมายเดินลงน้ำจนผิวแม่น้ำมิดศีรษะไป..



“นี่ เราให้” กล้าส่งโมเดลขนาดเล็ก เป็นตัวเด็กชายใส่เสื้อสีเหลืองกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน แว่นตากลมโต ส่งให้คนที่นั่งบนเตียงของเขา ผู้ที่กำลังใช้สายตาสำรวจไปทั่วห้องนอนขนาดใหญ่ที่ไม่มีของแต่งอะไรมาก มีเพียงรูปของ ลิฟ ไทเลอร์ นักแสดงสาววัยรุ่นชื่อดัง กับ โปสการ์ดที่แปะผนังของนักร้องสาวไทย มีตัวหนังสือคาด “เราคือลูกแก้ว” ใต้นักร้อง

“โนบิตะ อ่ะนะ” โอเล่รับมาพลิกดูไปมา

“อืม เราเห็นทีไร นึกถึงเธอ”

“ว่าฉันโง่เหมือนโนบิตะเหรอ”

“เปล่า แค่คิดว่า เป็นคนที่น่ารัก น่าคบหา”

“นายคือ ชิสุกะ สินะ”

“เฮ้ย หล่ออย่างเรา ก็เดคิสุกิ สิ”

“เดคิสุกิ กับ โนบิตะ ไม่ได้สนิทกัน เขาแย่งชิสุกะ”

“นั่นมันในการ์ตูน ในชีวิตจริง เดคิสุกิ คนนี้ จะจีบ โนบิตะ”




เวลาผ่านไปสักพักจนน่าตกใจ ผู้เฒ่าที่ไม่โผล่ขึ้นมาจากน้ำเสียทีจนปุยมีอาการกังวล แต่พอหันไปทางยอดดอยซึ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนเป็นเรื่องปกติก็จึงคลายกังวล  สักพักมีฟองน้ำผุดขึ้นมาบนผิวน้ำ แล้วก็มียอดไม้เท้าโผล่ขึ้นมาจากน้ำอย่างช้า ๆ เป็นสัญญาณว่า ตัมราเมียะ กำลังจะกลับขึ้นมา  ชายชราเดินเปลือยขึ้นมาจนถึงกองผ้าที่กองไว้ เขาหยิบขึ้นมาห่อตัว อาร์มคลายมือที่ปิดตามะนาวตามคนอื่น แล้วหญิงอ้วนในชุดเขียวคนเดิมก็เปล่งเสียงร้องโหยหวนเป็นทำนองเพลงออกมา
ชาวชนเผ่าเดินไปต่อแถวยาว แยกเป็นแถวชายทางซ้าย กับแถวผู้หญิงทางขวา ยอดดอยจึงพาเพื่อนๆ ไปร่วมแถวด้วย

ตัมราเมียะ นั่งบนแท่นไม้ใหญ่ที่มีไม้กระดานเหลาเป็นสามเหลี่ยมเป็นฉากหลัง ผู้เฒ่าที่อายุรองลงมาสองคนนั่งอยู่ด้านข้าง เสียงสวดภาษากะเหรี่ยงลอยออกมาจากผู้เฒ่าที่นั่งขนาบซ้ายขวา  ตัมราเมียะหยิบแป้งที่ผสมกับใบไม้สีเขียวแห้งจนแป้งมีสีเขียวอ่อน ชายชราเอานิ้วนางขวา ช้อนแป้งขึ้นมาแตะที่หน้าผากของชายที่พนมมือรออยู่ตรงหัวแถว แล้วก็คิวถัดไปโดยเริ่มจากแถวผู้ชายใกล้หมด  มีแถวผู้หญิงที่รออยู่ด้วยท่าทีสงบ ทุกคนพนมมือไว้ที่อก

“มีม่อซะโอ๊นา” ผู้เฒ่าพูดกับปุยตอนที่เอามือแตะแป้งสีเขียวที่หน้าผาก 

“เก่อะ” ชายชราตำหนิยอดดอยที่มาเป็นคนสุดท้ายในแถวชาย  แต่ดอยกลับหัวเราะและก้มคุกเข่าแล้วลงไปกอดที่หน้าแข้งของผู้เป็นตา แล้วคว้ามือของตัมราเมียะซึ่งกำลังลูบหัวเขามาจูบ ก่อนจะเอาเทิดไว้ที่หน้าผาก
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 27 : บูชายันต์แม่น้ำรันตี ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 03-04-2018 19:51:07
 :katai1:หวังว่าทุกอย่างจะโอเค คุณพ่อนี่ก็ สัใภ้น่ารักแบบนี้ หาได้ที่ไหนอีก
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 28 : คำทำนาย สะพานมอญ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 05-04-2018 00:46:19
Track 28 : คนที่รัก.. ร้างไกลนั้นไม่นาน  คนไม่รัก.. ใกล้กันช้ำใจยิ่งกว่า



“โอ๊คเป็นไงบ้าง” ปุยที่ยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้ารีสอร์ตจุดพบแม่น้ำสามสาย สอบถามถึงคนที่คิดถึงกัน

“จัดของกว่าจะเสร็จดึกมาก ดีนะ เจ๊นกน้อยทำกับข้าวตุนไว้ให้ อุ่นก็กินได้อีกหลายวัน ฝากขอบคุณแกด้วย”

“นี่เรากว่าจะกลับก็อีกสองสามวันเลย เดี๋ยวบอกให้นะ”

“คิดถึงเราไหม”

“คิดถึงสิ คิดถึงมากๆ  อยากให้มาด้วยจัง”

“ฝากความคิดถึงคุณตาด้วย”

“เอ๊ะ ท่านรู้จักโอ๊คด้วยเหรอ”

“รู้สิ ท่านมาหาเราบ่อยจะตาย”

“ท่านเดินทางลงไปในเมืองเหรอ”

“เปล่า..  ท่านชอบมาในความฝัน..”





ลานตลิ่งข้างแม่น้ำรันตีที่กลับมาสะอาดเหมือนเดิม ราวกับไม่เคยเกิดงานเลี้ยงไปเมื่อคืน มีเพียงร่องรอยของเขม่าจากกองฟืนที่เป็นคราบดำหล่นตามพื้น ไม่มีใครกล้าเก็บ  เศษซากธงสีแดงที่ไหม้จนเกือบหมด หัวของแพะที่บูชายันต์ในกองขี้เถ้า กับชาวเผ่าชายที่ช่วยกันรื้อคบเพลิงเก็บไว้ใช้ในงานอื่น ชาวเผ่าหญิงเช็ดทำความสะอาดแคร่และจานชามกะลาที่แช่น้ำทิ้งไว้ข้ามคืน

ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะคำทำนายของท่าน ตัมราเมียะ เมื่อคืนนี้ ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่า ชนเผ่ากำลังก้าวเข้าสู่ความรุ่งโรจน์ในขวบปีต่อไป ไม่มีการพูดถึงวันสิ้นโลกที่เกรงกลัว แม้ครึ่งนึงของชนเผ่าในลุ่มแม่น้ำรันตี จะนับถือศาสนาซึ่งมีส่วนคล้ายจะเป็นคริสต์ แต่คำพูดของผู้เฒ่าบุตรแห่งสายน้ำ ก็ทำให้คลายกังวลใจจากคืนวันที่กำลังจากมาถึง วันที่ชนเผ่าเกรงว่าจะเกิดความหายนะ หรือภัยพิบัติหากก้าวเข้าสู่ปี 2000 
ในขณะที่อีกครึ่งของชนเผ่าที่นับถือผีสาง รวมถึงชนชาวพุทธ ก็มีความวิตกไม่น้อยกับภัยธรรมชาติ ซึ่งปรากฎร่องรอยบางอย่างให้เห็นผ่านความเคลื่อนไหวของแมลงและสัตว์ ที่ร้อนรนจนผิดวิสัย  หากแต่ ตัมราเมียะ ผู้ไม่เคยทำนายอะไรผิดบอกไว้อย่างนั้น..  ทุกคนก็อุ่นในหัวใจ


แคร่ไม้ใต้สะพานปูน ตั้งอยู่สามตัวเรียงกันที่ริมตลิ่งแม่น้ำรันตี ซึ่งไหลทอดยาวคล้ายลำตัวงูที่ขดไปมา มะนาวนั่งอยู่กับอาร์มที่กำลังเคี้ยวทองโย๊ะ กับกาแฟร้อนจนแก้มตุ่ย อากาศหนาว มีหมอกตรงยอดเขาที่มองเห็นแต่ไกล ชายท้องถิ่นนั่งเรือหางยาวเพื่อไปรับนักท่องเที่ยว  “เกอะชอ” หรือช้างตัวใหญ่ เดินย่ำอยู่ตรงเชิงตลิ่ง เอางวงดูดน้ำมาพ่นใส่ตัว และพ่นเล่นใส่ปางช้างที่เผลอ  เด็กน้อยกระโดดน้ำจากสะพานลงมาด้วยความสูงร่วมเกือบยี่สิบเมตร  กลางลำน้ำมีชาวประมางทอดแห

“เมาค้างไหมเนี่ย” มะนาวหันไปถามอาร์มที่กินไม่หยุด

“ไม่นะ แต่ร้อนไปทั้งตัวเลย เหล้าหมักที่นี่เจ๋งดี เดี๋ยวพี่จะซื้อกลับไปฝากป๊า”

“เขาไม่ได้ขาย มะนาวถามแล้ว ตอนแรกจะซื้อไปฝากป๊าพี่อาร์มเหมือนกัน แต่เขาทำไว้เฉพาะเทศกาล มันผิดกฎหมาย”

“อ้าวเหรอ กินไปจะตาบอดไหมเนี่ย”

“แล้วมองชัดอยู่ไหมล่ะคะ ตอนนี้” 

“ชัดสิครับ ต่อให้ตาบอด ก็จดจำได้ พี่น่ะใช้หัวใจมอง”

“คือยังไม่สร่างเมาใช่ไหมเนี่ย มองที่นิ้วนี่” มะนาวเอานิ้วมาวนที่ใกล้ตาของอาร์ม เช็คว่ายังมีสติ ก่อนจะโดนอาร์มจับนิ้วนั้น

“โลกจะแตกแล้วนะครับ อีกไม่กี่วัน..  มะนาว..  เป็นแฟนพี่นะ  ให้พี่ได้เรียกมะนาวว่าเป็นแฟนอย่างเต็มปาก”




หน้าบ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง มีไก่หลายตัวเดินจิกข้าวเปลือกอยู่ใต้ถุน  บ้านมีขนาดไม่ใหญ่ แต่ระเบียงกว้างพอที่จะรับแขกได้จำนวนมาก โต๊ะไม้แดงและเก้าอี้ชุดใหญ่วางเรียงคล้ายโต๊ะประชุมในร่มชายหลังคา ต้นไม้เขียวขจี มีเวิ้งหน้าบ้านปลูกต้นจันผา เป็นแนวยาว ข้างก้อนหินก้อนใหญ่คล้ายรูปหัวช้าง  เสียงเด็กเล็กกลุ่มหนึ่งวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวบนพื้นดินแดง ไม่มีหญ้าปกคลุมเลยสักจุด แต่พื้นก็ไม่มีแม้แต่หินเม็ดเล็กเช่นกัน ดินแดงฟุ้งตามรอยเท้าของเด็กที่วิ่งเล่น ละเอียดจนคล้ายแป้งฝุ่นผงที่ใช้ปะหน้า  ที่ระเบียง นาตยากำลังจัดผ้าเรียงเป็นชุดไว้เพื่อให้เพื่อนลูกชายได้เปลี่ยน เป็นชุดกะเหรี่ยงปักสีสวย โดยมีปุยเมฆยืนช่วยอยู่ด้านข้าง

“แม่ว่าสีนี้ ลูกปุยน่าจะใส่สวย เหลืองสด รับกับผิวเลย คนอะไร ข๊าวขาว” นาตยาเอื้อมมือไปลูบที่แขนของปุย จนปุยเขิน

“แหม่ เด็กสมัยนี้วันๆ ก็เรียนอย่างเดียว จะมาดำเกรียมดำแดดอะไรแบบคนบ้านนอกล่ะ” อนันต์ที่นั่งอยู่ใกล้พูดออกมา

“แล้วนี่ วันนี้จะไปไหนกันบ้างล่ะลูก”

“น่าจะไปสะพานมอญครับ แล้วก็อยากเดินตลาดชายแดน อยากข้ามไปฝั่งพม่าด้วย”

“ต้องติดบัตรประชาชนไปด้วยนะลูก เขาจะยึดไว้แลกกับพาสปอร์ตรายวันที่ชายแดนจะออกให้”

“เตรียมกันให้ดีล่ะ อย่าให้เสียเที่ยว” อนันต์ที่ทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่แล้วคอยพูดแทรกเป็นระยะ

“ขนมจีนน้ำยากะทิหัวปลีตรงเชิงสะพานอร่อยมากนะ หนูลองทานดู ไม่เผ็ดมาก แล้วก็จะมีร้านหมูตุ๋น คล้ายหมูจุ่ม เจ้านั้นก็อร่อย แต่น้ำจิ้มจะเผ็ดนิดนึง ให้ดอยพาไป รับรองจะติดใจ”

“โอ๊ย เดี๋ยวเด็กมันก็หากินกันเองแหล่ะเธอ จะไปอะไรกันนักหนา” อนันต์คนเดิม เพิ่มเติมคือน้ำเสียงยียวน

“ห้องน้ำชาวมอญเขาลำบากกว่าฝั่งเรา ติดพวกกระดาษทิชชู่ไปด้วยนะ แล้วมีนกแก้วตัวใหญ่ ถ่ายรูปคู่ได้ เผื่อเก็บภาพไปอวดเพื่อนฝูง เชื่องมาก ชื่อเจ้า อองเอ”

“เฮอะ เด็กสมัยนี้หาสาระกันไม่เจอ เอะอะก็ถ่ายรูป วันๆทำอะไรกันที่เป็นประโยชน์บ้างไหม”

“เพล้งงงงง”  เสียงจานกระเบื้องที่ถูกเขวี้ยงลงพื้นแตกกระจายจนอนันต์ตกใจ

“จะไปไหนก็ไป!”  นาตยาตวาดใส่สามี ก่อนสามีจะลุกเดินจากไป หันมามองหน้าปุย แล้วแสยะปากใส่

“อย่าไปใส่ใจนะหนู คนวัยทองก็แบบนี้”

“เดี๋ยวผมเก็บให้ครับ คุณแม่จัดของเถิดครับ” ปุยรีบกุลีกุจอเก็บเศษจานกระเบื้องที่แตกกระจายเต็มพื้น




พือพือ หรือที่ชาวบ้านเรียกแทนชื่อ ตัมราเมียะ ซึ่งกำลังแต่งตัวหลังจากตื่นสายผิดจากทุกวัน มีคนในชนเผ่ามารอให้ทำนายโชคชะตาในปีต่อไป ซึ่งปกติท่านจะให้คนเข้ามาขอดูได้เฉพาะวันหลังพิธีบูชาเทพแห่งแม่น้ำรันตีไปได้ 90 วัน หลังจากนั้น จะไม่ทำนายให้คนในหมู่บ้าน ท่านจะตรวจชะตาให้เฉพาะคนที่ไม่ใช่ “คนใน” เท่านั้น

ชาวชนในเผ่าจะได้ใกล้ชิดกับพือพือ แค่ช่วงที่มาขอผูกข้อมือเรียกขวัญทั้ง 37 ขวัญ ตามความเชื่อ ว่าขวัญจะหนีหายยามเจอเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ หรือตกใจ ผู้ที่ขาดสติ หรือหลงป่า ก็จะแวะเวียนมาให้ท่านเรียกขวัญให้ ก่อนจะเข้าประเพณีเสริมสิริมงคลประจำปี ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี

แต่ในวันนี้ พือพือ จะอยู่ทำนายดวงชะตาให้ไม่นาน เพราะว่า ท่านอยากจะไป สะพานมอญ กับยอดดอยหลานรัก เล่นเอาทุกคนตกใจ เพราะท่านไม่ได้ออกนอกพื้นที่แม่น้ำรันตีนานแล้ว จะเข้าเมืองก็ตอนไปหาแพทย์ตรวจโรคปอดที่เป็นอยู่ อีกทั้งสะพานมอญ เป็นเขตพื้นที่คนมอญ จะให้คนกะเหรี่ยงไปรุ่มร่าม ก็ใช่ที่  แต่เมื่อพือพือ ยืนกรานจะไปด้วย ทางพวกดอยเลย จัดข้าวของจำเป็นสำหรับชายสูงอายุขณะเดินทางเผื่อไปด้วย โดยดอยขันอาสาพาคุณตาไปด้วย ทางแม่และน้าแจ้ ก็วางใจ






“เหม่ออารายยยยยยยยย”

“ยุ่ง”

“อยากรู้อ่ะ ว่าโนบิตะ คิดอะไรอยู่”

“นั่งเฉยๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ”

“มันเหงาน่ะสิ”

“แล้วเพื่อนแก๊งรถเครื่องป่วนเมืองไปไหนกันหมดล่ะ” โอเล่ที่กำลังพิมพ์งานอยู่ในร้านเน็ต เหน็บแหนมหนุ่มน้อยตรงหน้า

“มันจะปลดเราจากการเป็นหัวหน้า”

“อ้าวทำไมล่ะ”

“มันว่าเราติดเมีย”






รถยนต์สีเขียวของอาร์มแล่นผ่านถนนเลียบริมแม่น้ำ มะนาวกับปุยดูตื่นเต้นมองริมกระจกทั้งส่องฝั่งจากด้านหลัง โดยมียอดดอยที่นั่งแถวหลังตรงกลาง คอยเอื้อมตัวมาคุยกับคุณตาเป็นระยะ อาร์มที่กำลังขับรถมีอาการตัวเกร็งแต่ก็หันไปมอง ตัวราเมียะ ที่นั่งคู่กันจนบ่อย

“ขับไปเถิดพ่อหนุ่ม ฉันสบายดี”

“ครับ”

“โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแล้วสินะ ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายแล้วใช่ไหม”

“ไม่แล้วครับ”  อาร์มหันไปตอบ แต่คู่สนทนาไม่ได้หันกลับมามองหน้า แค่มองไปข้างหน้า ยังวิวทะเลสาบขนาดใหญ่

“เจ้าไม่มีอะไรติดค้างหลานฉัน อย่าคิดมากเลย  ขับตรงไป” ตัมราเมียะ ชี้ทางเมื่อเห็นอาร์มลังเลตรงทางแยก


นาตยาที่สั่งงานคนงานเสร็จแล้ว ก็ออกมานั่งคุยกับแจ้ที่ลานระเบียง มีอนันต์เดินตามมา แต่ไม่กล้านั่งร่วมโต๊ะ อนันต์จึงหลบไปนั่งที่ชิงช้าไม้ใกล้โต๊ะแทน ปล่อยให้พี่น้องสองคนคุยกัน แต่ก็ยังคอยเงี่ยหูเพื่อฟังสองพี่น้องสนทนากัน

“นี่นกน้อยเป็นยังไงบ้าง ร้านน่าจะขายดี โอนเงินคืนมาเร็วกว่ากำหนด ฉันก็บอกไม่ต้องรีบ แถมยังจ่ายดอกเบี้ยมาอีก”

“นั่นแหล่ะ เขาเลยแหล่ะ ชอบชดใช้พระคุณด้วยความตั้งใจ นี่ได้งานข้าวกล่องเพิ่มอีกจากกลุ่มครูโรงเรียนใกล้ๆ”

“นกน้อยเป็นคนดี เดี๋ยวก็จะได้ดี”

“คนดีก็เป็นกะเทยอยู่ดีแหล่ะวะ แต่งหน้าทาปาก น่าทุเรศ”  อนันต์ที่ทำทีอ่านหนังสือพิมพ์พูดลอยมาขัดคู่สนทนา

“แล้วเจ้าดอย มันหยุดเล่นพนันบอลได้แน่นะแจ้”

“ได้สิพี่ เจ้าสองแฝดมันช่วยขนาบเลย มันไม่ยอมแถมยังโทรไปสั่งไม่ให้ที่ไหนรับแทงเลย ก็ได้เพื่อนดี”

“อืม ดี ก็ดูแลกันไป”

“แต่หวยนี่ ฉันห้ามไม่ได้ พอจะห้าม มันก็ดันถูกเต็งๆ เดี๋ยวจะหาว่าไปขัดลาภมัน”

“ถ้านิดๆหน่อยๆ ก็ยังดีกว่าเล่นพนันบอล แต่ถ้ามันมาก แจ้ก็ต้องตืนมันนะ อย่าให้เสีย”

“ฉันดูตลอด ไม่มีหรอก พักนี้ยิ่งรับจ๊อบแต่งมอเตอร์ไซค์ ดูขยันขันแข็ง จนบางทีลืมแทงหวยไปเลย ไม่น่าเชื่อ”

“จริงสิ” นาตยาเอามือมาปิดปากหัวเราะด้วยความถูกใจ  “แล้วเขาทำได้ดีไหม หมายถึงดอยเขาทำถูกใจลูกค้าไหม”

“ว่าไม่ได้นะพี่ ลูกค้าติดทุกคน มันเลือกของเก่งไม่ใช่เล่น ตอนที่เห็นมันอีเมล์ไปสั่งของแบบ งูๆปลาๆ ฉันล่ะอึ้งเลย”

“มันก็กลุ่มเดียวแหล่ะวะ พวกบ้าๆ รถเครื่อง อีกหน่อยไม่มีใครใช้แล้วรถเครื่อง คนมีตังไปขับรถยนต์หมด” อนันต์แทรก

“แล้วมันพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษไปเลยเหรอแจ้” นาตยาไม่สนใจคำพูดสามี ถามน้องชายด้วยความตื่นเต้น

“ใช่สิ แถมยังเอาปกเทป ปกซีดีมาอ่าน แปลเนื้อเพลง เหมือนจะเอามาใช้เวลาเขียนจดหมาย ฉันไปเก็บห้องนี่เห็นประจำ เออเข้าท่า”

“ส่งให้เรียน ไปนั่งอ่านเนื้อเพลง ถุย” อนันต์สบถ

“นี่ถ้าลูกค้าเยอะ สังสัยจะไม่ยอมกลับบ้านแน่เลย ลูกคนนี้”

“เฉพาะในเมืองนะพี่ คนมีตังเอามาให้ไอ้เจ้าดอยมันแต่งรถให้ก็เรียกว่า ลูกค้าทุกคนถูกใจในฝีมือ แถมอะไหล่ที่ดอยมันสั่งมา เป็นสินค้ามีคุณภาพ ไม่ซ้ำสไตล์ เด็กมันดูเป็น มันรักทางนี้ นี่ถ้ามีทุนสักหน่อย สต็อคของ น่าจะดี เพราะว่ามีขาจรที่ขับมอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ ตะเวณมาเที่ยวในเมืองกาญจน์ คงได้ยินหรือพูดต่อกันว่า ดอยมันมีของเล่นแต่งรถขาย แต่แวะมาก็ไม่ค่อยมีของเท่าไหร่ ลำพังค่าใช้จ่ายในหอพัก มันก็เหลือเดือนๆไม่เยอะ เงินกองกลาง ดอยมันก็ไม่แตะ เรียกว่าถึงพี่ไม่ให้มันโอนมาให้ มันก็เก็บเข้าบัญชีกลาง”

“เอ้อ รู้จักคิดมั่งก็ดี ปกติก่อแต่เรื่อง” อนันต์ที่ยังคงอ่านหนังสือพิมพ์ พรำลอยออกมา พร้อมเบ้ปาก





ที่เชิงสะพานไม้ ทอดยาวหลายร้อยเมตรจนเกือบสุดสายตา ด้านใต้เป็นแม่น้ำซองกาเรียแกมสีแดง ปุยชี้ให้มะนาวดูรีสอร์ตที่เขานอนกับวิทยาลัยเมื่อคืน ก่อนที่จะลาคุณครูเพื่อมาสมทบกับดอยเมื่อเช้า ดอยพยุงคุณตาออกมาจากที่นั่งด้านหน้ารถ อาร์มล็อครถพร้อมยกใบปัดน้ำฝนตรงกระจกหน้าขึ้นตั้ง เหมือนจะใช้เวลากับที่นี่นาน

ตัมราเมียะ เดินคู่มากับยอดดอย โดยมีเพื่อน ๆ ของดอยตามหลังมา ก่อนจะมาหยุดที่เชิงสะพานกำลังจะก้าวขึ้น ผู้เฒ่าแห่งลุ่มแม่น้ำรันตี ก็เอาไม้เท้าที่ติดมือมา เคาะที่เชิงสะพาน สามครั้ง

“ทักทายชาวซองกาเลีย เสียหน่อย จุดบรรจบสามลำน้ำแห่งนี้ พึงมีปู่โสมเฝ้าหลายตน เราแสดงความเคารพท่าน”
ยอดดอยฟังคุณตา แล้วผงกหัวให้ที่เชิงสะพาน จนคนผ่านไปผ่านมาแปลกใจว่า ยอดดอยทำท่าแปลกๆทำไม

“เพงก่อว์อิร่าห์”  ตัมราเนียะ หลับตายืนหยุดนิ่ง ยืดแขนตั้งไม้เท้าเป็นแนวดิ่งตรง ปลายไม้เท้าปักอยู่ที่สะพานไม้

“สายฟ้าฟาด” ยอดดอยแปลคำพูดคุณตาให้เพื่อนพ้องฟัง

“จะเวงค่อตงด่าห์”

“ดับสูญ”

“ปี่ร์ลูดาม เยคะยอ”

“ขัดแย้ง”

“ต๊อย๊ะหมิ่น ตุเลปาร์”

“พิพากษา”

“เบิ่งจะเดย์ จันเดย์”

“รวมใจ”

“ผเหร่ ปิ๊เถ๊าะ”

“นักรบกล้า”

“ปะหน่า ถ่องชิ๊ย่อ ม๊ะเลาะห์”

“คลื่นมหาชน”


[ TBC ]
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 28 : คำทำนาย สะพานมอญ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 05-04-2018 00:48:37

[ ต่อ ]

ที่ท่ารถประจำทาง สังขละบุรี ~ กาญจนบุรี รถกระบะฟอร์ด  สี่ประตู สีแดง ป้ายดำแต่ยังคงความใหม่เอี่ยม สะดุดสายตา เพราะไม่ค่อยมีรถประเภทสี่ประตูในเมืองเท่าไหร่นัก อีกทั้งคนย่านนี้ยังผูกขาดกับรถโตโยต้ารุ่นไทเกอร์ เสียมาก พอมีรถแบรนด์ยุโรปคันโตมาจอดหน้าตลาด ผู้คนก็ชี้นิ้วมองด้วยความชื่นชมและสนใจ โดยเฉพาะชายหนุ่มในตลาด

“ฉันให้เอารถไปใช้ในเมืองก็ไม่เอาไป ขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ได้”

“อ้าว ก็มันอาชีพฉัน ฉันให้รถเครื่องไว้เช่า เราก็ต้องตรวจเช็ค วันๆแทบไม่มีเวลาไปไหน”

“เผื่อลูกฉันจะไปไหน จะได้วานไปรับไปส่ง”

“โอ๊ย ยิ่งขานั้น เพื่อนมันมารอรับไม่ต้องกลัว มันไปไหนมันติดรถเครื่องยิ่งกว่าฉันอีก อย่างว่า อาชีพเสริมของมันด้วย”

“เฮ้อ น้าหลานคู่นี่ล่ะก็”

“ว่าแต่พี่เถิด จะทนอยู่กับผัวได้นานแค่ไหน นอกจากปากมันจะหมา ใจมันยังแคบอีก”

“เมื่อก่อนเขาก็ไม่ได้เป็นขนาดนี้นะ มันเวรกรรมอะไรของฉันก็ไม่รู้”

“น้องปุยนี่หน้าเสียเลย เจอพี่อนันต์แสดงอาการใส่”

“เมื่อคืนฉันบอกดอยไปแล้ว สิทธิขาดทุกอย่างอยู่ที่พือพือ ไปลุ้นเอาตรงนั้น”

“ฉันก็ไม่ค่อยได้คุยกับพ่อเท่าไหร่หรอกงวดนี้”

“จะไม่มาอยู่ที่นี่แล้วจริงใช่ไหม มันหมดทายาทเลยนะนั่น”

“ฉันตัดสินใจแล้วล่ะ”

“เฮ้อ งั้นภาระหนัก ก็เป็นเจ้าดอยแล้วล่ะ”

“ฉันขอโทษที่ผลักภาระไปให้หลาน”

“ไม่เป็นไรหรอก โลกมันจะแตกแล้วน้องชาย จะทำอะไรก็ทำ ชีวิตคนเรามีหนเดียว  มาให้กอดที รถจะออกแล้ว”






ณ ปลายอีกฝั่งของสะพานไม้ เจ้าของความยาว 850 เมตร ปุยเมฆ กับ มะนาว ดูเริ่งร่า กับการถ่ายรูปเนี่องจากบรรยากาศที่งดงาม ลำน้ำสายสวยที่มารวมกับเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ บ้านเรือนที่ปลูกด้วยไม้ เด็กน้อยแต่งตัวแปลกตาวิ่งเล่น มีแพล่องจากฝั่งมาอยู่ใต้สะพาน ในแพเต็มไปด้วยชาวต่างชาติผมสีทองบ้าง แดงบ้าง ดำบ้าง  ที่ใต้สะพานมีเรือหางยาวขับผ่าน มีนักท่องเที่ยวสะพายกล้องถ่ายรูประหว่างหลบหยาดน้ำที่กระเซ็นมาโดน

ดอยพยุงปู่ เดินอย่างเชื่องช้า พลางสัมผัสบรรยากาศโดยรอบไปด้วย  อาร์มที่หิ้วกระเป๋าสะพายของมะนายอยู่ ก็เอากล้องที่คล้องคอออกมาถ่ายรูปเพื่อนตอนเผลอ  แดดสายแม้จะแรง แต่ลมที่เย็นยังทำให้ ตัวราเนียะ รู้สึกผ่อนคลาย เขายืนหันไปทางราวสะพานฝั่งซ้าย หลับตาและสูดเอาสายลมที่พัดมาจากทางแม่น้ำรันตีเข้าเต็มปอด  ก่อนจะแตะที่ไหล่ของหลานชาย ให้พาเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งมอญ

“นี่พ่อมึงมาล่วงหน้าเลยเหรอวะ” อาร์มหันไปกระซิบดอย ที่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกตั้งแต่เห็นพ่อของตน ตรงปากทางเข้าเรือนไม้ใหญ่ ที่อยู่ไม่ไกลจากเชิงสะพานนัก 

“คุณตาคงให้มาแจ้งกับผู้นำเผ่าอื่นน่ะ ว่าท่านจะมา มันเป็นธรรมเนียม”

“เรื่องของมึง กับ น้าแจ้จะอยู่ในหัวข้อสนทนาใช่ไหมวะ”

“กูคิดว่าก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”

“กลัวไหม”

“ถ้ามาคนเดียวก็กลัว”

“มึงมีคุณตาอยู่ด้วย มึงไม่ต้องกลัวนะไอ้ดอย”

“เปล่า ที่กูไม่กลัว เพราะกูมีพวกมึง”





ผู้เฒ่าสามคนยืนทักทายกันอย่างชื่นมื่น โดยชายที่สูงอายุที่สุด ยอดดอยคิดว่า น่าจะเป็นชายร่างท้วมที่ยืนแทบไม่ไหวแล้ว ผิวคล้ำแต่หน้าตาใจดี มีเครายาว ผมยาวสีขาวปนเทา ส่วนคุณตาของดอยอายุคงรองลงมา เขาคิดในใจ  ส่วนอีกท่านเป็นชายชราตัวเตี้ยแคระแต่เสียงดังดุดัน แววตาที่มองปาดมาที่ดอยและเพื่อน ช่างเดาไม่ออกเลยว่า ควรตีความหมายไปในทิศทางใด  ยิ่งมองไปทางพ่อของตัวเอง ซึ่งยืนอยู่ข้างกลุ่มชายชรา แถมยังคอยกระซิบชายชราตัวเตี้ยหน้าดุอยู่เป็นนิจ แล้วทั้งคู่ก็หันมาทางยอดดอย กับ ปุยเมฆ ส่ายหน้าเป็นระยะ ฟ้องว่า มันคงเขียนเป็นอักษรได้ว่า ระอา ตามทิศทางของสายตาที่ส่ายสำรวจไปมา

“กูว่า พามึงมาเชือด ไอ้ดอย” อาร์มกระซิบ

“มะนาวสัมผัสได้ว่า โลกจะแตกก่อนกำหนดค่ะพี่ดอย”

“เราทำอะไรผิดธรรมเนียมเขาหรือเปล่าอ่ะดอย ทำไมเขามองเราจัง” แม้แต่ปุยก็อดที่จะสงสัยไม่ได้

“ควรเป็นคิวน้าแจ้นะ น้าแม่งหนีเอาตัวรอด กูเตรียมซวยแล้ว” ดอยเร่งเสียงกระซิบให้เพื่อนทั้งกลุ่มได้ยิน





“ดอย... มานี่สิ” ตัมราเมียะ เอ่ยเรียกหลานด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เย็นเยือกไปถึงความรู้สึก  โดยที่อาร์มตบบ่าให้กำลังใจ มีมะนาวเอากำปั้นมาชูแสดงสัญลักษณ์ให้ดอยสู้ ปุยทำตาปริบคล้ายสำนึกว่าเป็นต้นเหตุ แต่กระนั้น ดอยก็ไม่ได้ทำหน้ากังวลอะไรมาก แค่ดูประหม่าเล็กน้อย แต่คำพูดที่เขาเตรียมมา ก็พังพินาศไปในความทรงจำทันทีที่ได้เห็นสายตาของ บุตรแห่งแม่น้ำบีคลี่ ผู้มีนามว่า วีเอยอง ซึ่งส่งแววตาดุดันมาให้ ไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย

“หลานชาย นั่งลองก่อน” ฮินทออู ชายชราร่างท้วม บุตรแห่งแม่น้ำซองกาเลีย เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังแทบจะไม่ได้ยิน

“อ้าว ผู้ใหญ่บอกให้ทำอะไร ก็รีบทำสิ” อนันต์ เตือนลูกชายด้วยน้ำเสียงแกมตะคอก

“ลูกชาย เจ้ามีเรื่องในใจอันใดหรือไม่ ทำไมทั้งน้าของเจ้า กับเจ้าถึงได้ตัดสินใจ ไม่รับช่วงต่อการเป็นผู้สืบสันดานธารา”

“ท่านฮินทออู กระผมไม่ได้คิดเพิกเฉยต่อชะตาของชนเผ่าผมแต่ประการใด เพียงแต่ผมไม่คิดว่า ผมจะมีคุณสมบัติเพียงพอจะต้องใจคนในเผ่าอีกต่อไป”

“ไหน เจ้าลองเล่ามาสิว่า เจ้ามีเรื่องอันใดในใจ”

“กระผมคิดว่า ในจำนวนนับแห่งดวงดาราพราว กระผมอาจจะไม่มีทายาทให้สืบต่อ และขาดความเลื่อมใสจากคนในเผ่า”

“นั้นเพราะเจ้าไปหลงระเริงในเมืองหลวง !” วีเอยอง ตัดบทด้วยน้ำเสียงกระโชกรุนแรง

“มันเยียวยาได้นะลูกพ่อ แกแค่หนักแน่น แล้วกลับมาอยู่กับเรา ตัดไปซะ พวก.. เอ่อ..  เพื่อน ที่ชักนำกันไปในทางไม่ดี”

“ผมไม่คิดว่า คนที่ผมคบหาจะไม่ดีตรงไหนครับพ่อ”

“พ่อไม่ได้บอกว่า พวกเขาไม่ใช่คนเลว  แต่ความประพฤติของพวกแก มันไม่เป็นที่ยอมรับของคนในหมู่บ้านแน่นอน”

“ผมถึงได้เลือกที่จะหันหลัง และเดินออกมาอย่างไรล่ะครับ”

บรรยากาศเงียบไปสักพัก มีเสียงถอนหายใจจากบุตรแห่งบีคลี่ ที่เหมือนจะไม่สบอารมณ์นัก  ส่วนตัมราเมียะยังคงนิ่งเงียบพลางมองไปยังฮินทออู ที่ฟังสถานการณ์อย่างตั้งใจ

หลังจากมีเสียงถกเถียงเป็นภาษาที่ไม่เข้าใจอยู่สักพัก ทางปุยกับอาร์ม จึงชวนมะนาวขอตัวออกมาข้างนอกเรือนโบราณ เพราะเกรงจะเป็นตัวการเสียมารยาทที่อยู่ฟัง อาร์มกับปุย โค้งคำนับหนึ่งครั้ง แล้วจูงมะนาวเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด เพื่อไปยังประตูทางออก

“หยุดก่อน พวกเจ้าจะไปไหน” บุตรแห่งบีคลี่ แผดเสียงดังลั่น

“เอ่อ..  พวกผมจะปล่อยให้พวกท่านได้พูดคุยกันอย่างออกรส  เอ๊ย.. แบบไม่ต้องเกรงใจพวกผมไงครับ” อาร์มเด๋อด๋าตอบ

“พวกฉันไม่จำเป็นต้องเกรงใจใครทั้งนั้น”  วีเอยอง สวนกลับ

“หลานชาย พวกเจ้าอยู่เถิด เพราะพวกเจ้าก็เป็นตัวแปรสำคัญในหลายเรื่อง พวกเราอยากสนทนากับพวกเจ้าด้วย ต้องขออภัยถ้าทำให้อึดอัดหรือตกใจ เราชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยง ก็เป็นแบบนี้  เสียงดังบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่พวกเราจริงใจต่อกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความประสงค์ดี และต้องการหาข้อสรุป ขอโปรดจงอยู่ และมีส่วนร่วมกับหลานดอย เพื่อเป็นเพื่อนเขาต่อไป” บุตรแห่งซองกาเลีย หว่านล้อมด้วยน้ำเสียงนุ่มและสายตาที่คล้ายจะยิ้มได้แก่หนุ่มสาวที่ตัวลีบเพราะความหวั่นกลัว แต่ท้ายที่สุด อาร์มก็ เรียกปุย และ มะนาว ไปนั่งข้างดอย เพื่อร่วมวงสนทนาแบบเผชิญหน้าโดยไม่เกรงกลัว ทำเอาอนันต์ออกสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร

“เจ้าเป็นบุตรของใคร” วีเอยอง ที่ผ่อนคลายน้ำเสียงดุดันลง เพิ่มความนุ่มที่หางเสียง หวังให้อาร์มผ่อนคลาย

“กระผมชื่อ กลางชล บุตรแห่งลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ครับ”

“ไม่ตลก” อนันต์สอด

“แต่ข้าตลกเจ้าเด็กคนนี้ ฮ่าๆๆ” ฮินทออู หัวเราะลั่น

“กระผมขอถามอะไรพวกท่านสักอย่างนะครับ” อาร์มส่งสายตาวิงวอน โดยเลือกเล็งไปที่บุตรแห่งซองกาเลียผู้อารีย์

“เอาสิหลานชาย”

“ผมอยากทราบว่า เกณฑ์การเป็นผู้สืบสันดานธารา”

“ต้องมีผู้สืบสกุล”

“โดยไม่ต้องระบุว่า ผู้หญิง หรือ ผู้ชายใช่ไหมครับ”

“เราเอื้อรับทุกเพศ”

“แต่ต้องมีบุตรธิดา เพื่อสืบต่อ”

“และเป็นที่ยอมรับแก่ทุกคนในชนเผ่า ตลอดจนสามารถเป็นปากเป็นเสียงให้พวกเราได้” วีเอยองขัด

“กระนั้น ที่สุดแล้ว สายน้ำแต่ละแห่งจะเป็นผู้ตัดสิน ธาราจะเป็นผู้เปิดรับทุกอย่าง” ตัมราเมียะ กล่าวสรุป

“แต่ตอนนี้ พวกท่านมีปัญหา เพราะไอ้เจ้านี่” อาร์มชี้นิ้วไปที่ปุย ที่ทำหน้าตกใจเมื่อถูกฉุดเข้ามามีส่วนร่วม

“ก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหา การยอมรับจากชนเผ่านี่ก็คิดว่า น่าจะเป็นไปตามกาลเวลา ชนเผ่าเราไม่ได้ใจร้าย แถมทุกคน รักนาตยามาก ลูกของนาตยา หรือจะเป็นน้องชายอย่าง ไก่แจ้ แต่ทั้งคู่ก็เลือกที่จะไม่สืบต่อ มันก็น่าเสียดาย เพราะศรัทธาจากพี่น้องชนเผ่า กว่าจะมีมติร่วมกันได้ ไม่ใช่ทุกบ้านจะได้รับการยอมรับหรอกนะ” ผู้เฒ่าแห่งแม่น้ำรันตีถอนหายใจ

“แต่..” ฮินทออู หยุดคำพูดของตัวเอง หลับตา และค่อยๆ อธิบายให้หนุ่มสาวที่ยังไม่ทราบประเพณีได้ฟัง  “การไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไข ก็ใช่ว่าจะถึงทางตัน  หากบุตรแห่งธารานั้น สามารถสืบตั้งจากคนที่รับเข้ามาเป็นบุตรก็ได้”

“คล้ายบุตรบุญธรรมเหรอคะ” มะนาวเอ่ยถาม

“ใช่ แต่ ก็ต้องเป็นคนที่เทพแห่งธารารองรับ อีกทั้งยังต้องมาจากจิตใจที่ศรัทธาและผ่านการอนุมัติทางบุตรแห่งสายธารทั้งสามอย่างพวกเรา กระนั้น ต้องเป็นคนที่ไม่มีผู้ให้กำเนิดทับซ้อนกัน การเป็นบุตร พึงเลือกพ่อแม่ได้เพียงทางเดียว” อนันต์อธิบายเสริมให้มะนาวฟัง  “และมันจะง่าย ถ้าแต่งงานกับผู้หญิงสักคน มีลูก แล้วก็ทำในสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ซะ”

[ TBC ]
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 28 : คำทำนาย สะพานมอญ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 05-04-2018 00:50:32

[ ต่อ ]


มื้อกลางวัน เป็นอาหารเรียบง่าย น้ำพริกปลาย่าง ที่แม่บ้านประจำเรือนคุยโอ่ว่าทุกคนจะต้องติดใจ มีปลานิลทอดตัวใหญ่ที่ตกได้จากบึงน้ำ กับน้ำปลายำมอญ วางคู่กัน ผักเคียงเรียงสวยงาม แกงส้มผักชามใหญ่ แต่หลังจากที่อาร์มชิมดูพบว่า มันไม่หวานเหมือนแกงส้มทั่วไป จึงไม่คุ้นปาก

“ที่นี่เราไม่ค่อยกินหวานกัน หนักเค็ม หนักเปรี้ยว”  ฮินทออู หันไปบอกอาร์ม

“คนงานที่บ้านผม ก็ไม่กินพวกข้าวหมูแดงเลยครับ เวลาป๋าเหมาข้าวหมูแดงร้านตรงข้ามบริษัมมาเลี้ยงพนักงานบางวัน คนงานพม่าจะไม่เทซ้อสราด สงสัยจะไม่ทานหวานกันจริงๆด้วย”

“แต่ของหวานนี่ เรากินกันหวานมากเลยนะ ถ้าไม่หวาน นี่ไม่ใช่ของพื้นเมืองเรา” วีเอยองที่ดูผ่อนคลายลงจนอาร์มตกใจ

“แล้วพวกท่านทานเหล้ายากันบ้างไหมครับ”

“ชนใดไม่มีสุรา ชนนั้นพิกลนัก” วีเอยองตอบ พลางหยิบจอกกระเบื้องที่บรรจุเหล้าหมักมอญ มาดื่ม สร้างเสียงหัวเราะให้ที่โต๊ะทานอาหารไม้ขนาดใหญ่ ที่ทุกคนดูผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากบทสนทนาที่ร้อนแรงกันเมื่อสักพักผ่านพ้นไป

“ข้าบอกแล้วว่า พวกเรา เถียงกันเฉพาะเท่าที่จำเป็น” บุตรแห่ง บิคลี่ หันไปมองอาร์ม ใช้สายตาตอบอย่างรู้ทัน

“ก็แหม ท่านดุเหลือเกินจนผมนี่หดไปหมดทั้งตัว”

“แต่เราก็จะหาข้อสรุปให้ ไก่แจ้ และ หลานดอย นะ  ต่อให้จะเป็นเผ่าไหน ชนชาติไหน เราชาวมอญและกะเหรี่ยง ก็ต้องรวมใจ หมดยุคการเข่นฆ่า เยื้อแย่งพื้นที่กันแล้ว สะพานมอญที่เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์มอญ กะเหรี่ยง ก็เป็นพยานได้”  วีเอยองลงข้อสรุปจากบทสนทนาให้

“แต่คุณตา ทำนายว่า สะพานมอญ จะมีวิกฤต”  ดอยโพร่งขึ้นมา เมื่อนึกได้ว่าได้แปลนิมิตคุณตาให้เพื่อนฟังเมื่อขามา

“ท่านดัมราเมียะ เคยพลาดซะที่ไหนล่ะ แต่มันจะลงเอยด้วยดี ใช่ไหม” ฮินทออู หันไปยกจอกกระเบื้องลอยขึ้นตรงหน้า คล้ายเป็นการชนจากระยะไกล กับ จอกของท่านดัมราเมียะ

“พวกคุณตา คุณปู่ นี่มีพลังการมองเห็น หรือทำนายทุกคนเลยเหรอค่ะ” มะนาวสนใจใคร่รู้

“เปล่าเลย แต่ละคนจะมีความพิเศษไปคนละแบบ ท่านดัมราเมียะ บุตรแห่งรันตี จะมองเห็นอนาคตผ่านลำน้ำ” อนันต์ที่นั่งนิ่งอยู่นานเสริม   “ส่วนท่านฮินทออู บุตรแห่งซองกาเลีย จะมีความสามารถในการพลิกพืชพรรณที่ล้มตายให้ฟื้นคืน”

“ท่านก็ชมเราเกินไป ท่านอนันต์”

“พลังของท่านเป็นที่ประจักษ์ครับ” อนันต์ย้ำเสียงเข้ม  “ส่วนท่านวีเอยอง ท่านพิทักษ์เผ่าพันธุ์ผ่านสายน้ำบิคลี่ได้ด้วยเพียงสั่งการผ่านปลายเท้าที่แตะผิวน้ำ   

“ทึ่งไหมล่ะ” วีเอยอง หันไปแหย่มะนาวที่นั่งตาลุกวาว

“ว่าแต่ แม่หนูนี่ ข้าต้องชะตาเหลือเกิน เจ้าคือคนที่ข้าแต้มหน้าผากให้เมื่อคืนแล้วมีเสียงฟ้าร้องใช่ไหม” ดัมราเมียะเอ่ยถาม

“ค่ะ แต่หนูไม่เข้าใจที่ท่านเทพบอก ว่าหนูไม่มีความกลัวเหลือหลง คงเป็นเพียงอนุสรณ์แห่งจิตรำลึก”

“ข้าบังเอิญไปหยั่งรู้ถึงอดีตของหนู และข้าก็ว่า เจ้าเป็นคนเข้มแข็งมาก ข้าเห็นคุณสมบัตินี้ในผู้นำหญิงหลายคน”

“หนูก็แค่พยายามที่จะไม่จมกับอดีตที่หนูไม่คิดจะจำค่ะ”

“นี่แหล่ะ คือสิ่งที่ นาตยา ลูกสาวฉันผ่านไปไม่ได้ พลังอันแกร่งกล้าจากใจเจ้า จะส่งถึงคนอื่น และเป็นกำลังขับเคลื่อนให้พวกเขาไปสู่ความสว่างของหัวใจ  มันไม่ใช่ใครทุกคนที่คิดได้หรอกนะ  เจ้าจะยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า  ไม่ใช่ด้วยเรื่องของชื่อเสียงเงินทอง  แต่เจ้าจะไปสัมผัสชีวิตของคนด้อย และทำให้พวกเขาเจิดจ้าได้เท่าที่เจ้าผลักดัน”

“ฟังดูน่าสนุกนะคะ มะนาวจะพยายามค่ะ”

“เจ้าช่างเป็นเด็กดี..  เจ้าเป็นเด็กดี..”





ผู้เฒ่าทั้งสาม เอ่ยลากันที่กลางสะพาน  ดัมราเมียะเอ่ยรับคำผู้เฒ่าทั้งสองว่าจะมาเยี่ยมให้บ่อยขึ้น เนื่องจากเทพรันตีเป็นผู้ที่อยู่ไกลกว่าคนอื่น จึงได้มาเยี่ยมเยียนกันน้อยกว่าอีกสองท่าน ที่ไปมาหาสู่กันประจำ

ดอยที่นิ่งเงียบไปนาน มีปุยเดินอยู่ข้างกาย เขาไม่ได้จับมือกัน แต่ใช้แขนเบียนกัน ให้หลังฝ่ามือสัมผัสกันตลอดการเดินข้ามสะพานไม้มา  ทันใดนั้น มีเสียงฟ้าคำรามอย่างแผ่วเบา ลมเบาเอื่อยพัดแรงขึ้น ผิวน้ำวิ่งเป็นลูกกว้างเป็นแผ่นผืนสั่นไปทั่วทะเลสาป ผู้เฒ่าทั้งสามคนมองหน้ากันและหันมาที่กลุ่มหนุ่มสาวที่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิด  ปลาน้อยใหญ่ กระโดดขึ้นมาปรากฏบนผิวน้ำแล้วดำดิ่งลงไป ชาวมอญต่างหลบเข้าไปในเพิงบ้าน ตาแง้มดูที่บานหน้าต่าง  อนันต์เดินไปหลบอยู่ด้านหลังท่านดัมราเมียะอย่างตกใจ 

ทันใดนั้น ลมก็พัดผิวน้ำวนเป็นเกลียวกลมอยู่ใต้สะพานไม้ แล้วเป็นรูตรงกลางดิ่งเป็นกรวยลงไป แสงแดดที่สาดลงไปบริเวณนั้นพอดีเผยให้เป็นผิวน้ำใส

“นี่เป็นสิ่งที่หนูตั้งใจแน่วแน่ใช่ไหม”  ดัมราเมียะ เดินมาทางมะนาวที่ยืนเผชิญหน้าอยู่

“ค่ะ รับหนูเป็นลูกนะคะ หนูอยากมีพ่อ” ว่าแล้วมะนาวก็ก้มลงไปกอดหน้าแข้งของดัมราเมียะ เมื่อเห็นผู้เฒ่าปรากฏยิ้มและพยักหน้า  ก่อนจะลุกขึ้นแล้วปีนไปบนราวสะพานมอญ

“มะนาว !!”  อาร์มตะโกนกับสิ่งที่เห็น เมื่อสาวน้อยยืนในชุดเสื้อยืดคอวีสีดำ กับกางเกงยีนส์ขาสั้น กำลังยืนเด่นอยู่บนนั้น

“พี่อาร์มคะ มะนาวจะมีพ่อแล้วค่ะ”  เมื่อพูดจบ มะนาวก็กระโดดจากราวสะพาน ลงสู่วงน้ำที่กำลังม้วนตัวลงไปสู่เบื้องลึก

“ขอต้อนรับสู่ครอบครัวแห่งรันตี  ลูกสาวคนเล็กของพ่อ” 






รถเก๋งสีเขียวเข้ม มาจอดเทียบที่บ้านเรือนไม้ที่ตั้งอยู่ริมตลิ่งแม่น้ำ นาตยาที่กำลังยืนคุยกับอนันต์ ซึ่งขับรถกลับมาก่อนล่วงหน้ากลุ่มของอาร์ม  ดอยเปิดประตูรถ แล้วพยุงดัมราเมียะกลับเข้าเรือน ปุยถือขนมที่ซื้อจากสะพานมอญมาฝากนาตยา อาร์มเอาผ้าเช็ดตัวจากท้ายรถมาห่อมะนาวที่เปียกปอนไว้ แล้วเอาชุดฟุตบอลสำรองซึ่งมีติดรถไว้ มาให้มะนาวเปลี่ยน

“คุณอาครับ ผมขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะครับ” อาร์มที่โอบไหล่มะนาวอยู่ พาสาวน้อยที่ตัวสั่นเพราะความหนาวเข้าเรือน
 
“ได้สิจ๊ะ สวิทช์น้ำอุ่นอยู่ด้านนอก เดี๋ยวเปิดให้นะ” นาตยาเดินกลับเข้าเรือนไปจัดเตรียมผ้าขนหนูสำรองไว้ให้

“ขอบคุณค่ะคุณแม่” มะนาวยกมือไหว้ขอบคุณเมื่อ ผ้าเช็ดตัวแห้งสีขาว พับไว้มีกลิ่นหอมถูกส่งมาให้

“ต้องเรียกฉันว่าพี่สิ”

“คะ?”

“อ้าว หนูเป็นลูกสาวของพ่อฉันแล้ว ฉัน แจ้ และก็หนูล่ะนะ มะนาว ต้องเรียกฉันว่าพี่สิ มาๆ มาอาบน้ำก่อน ส่วนผู้ชาย ไปนู่นเลย มาดูผู้หญิงโป๊ได้ยังไง” นาตยาชี้นิ้วใส่อาร์มทำหน้าขึงขังใส่ จนอาร์มหัวเราะแก้เขินแล้วเดินออกจากเรือนไป



ม้านั่งไม้ตัวใหญ่ใต้ต้นขนุน ปุยและดอยนั่งอยู่ มองดูดัมราเมียะ เอาข้าวสวยใส่กะลาโปะด้วยขนุนฝานเป็นเส้น แล้วลอยไปในแม่น้ำ ก่อนกะลาไม้จะจมหายไปในห้วงลึกของรันตี  ผู้เฒ่าใช้สองมือกวักน้ำขึ้นมาสาดเข้าที่หน้าผากตัวเอง ก่อนจะนั่งลงไปในน้ำแล้วหลับตา ดัมราเมียะนั่งอยู่สักพัก ก่อนที่เปลี่ยนเป็นนอนหงายลอยตัวอยู่กลางน้ำ

“ไม่คิดว่า มันจะเป็นเรื่องอะไรใหญ่โตขนาดนี้เลยเนอะ”  ปุยทำหน้าสำนึกผิด

“มันคงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผู้สืบสันดานธารา เป็นอะไรที่ต้องยอมรับจากคนในหมู่บ้านด้วย มันเลยทำให้เราลังเลในช่วงนั้น ช่วงที่เราจีบปุยน่ะ”

“ไม่รู้สึกตัวเองว่าโดนจีบเลยนะ”

“จริงดิ  เราว่าเราจีบนะ”

“ไม่มีเลย อยู่ดีๆ ก็มาทำเนียนๆ ตีสนิท ไปไหนมาไหนด้วย”

“นั่นแหล่ะจีบ เราจีบคนเป็นซะที่ไหนล่ะ”

“ขอบคุณที่ทิ้งทุกอย่างเพื่อเรานะ เราเสียอีก ยังไม่ได้ทำอะไรให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้เลย ดอยมั่นใจกับเรามากเลยเหรอ”

“ก็มั่นใจ แต่ถึงท้ายที่สุดมันจะไม่ใช่ เราก็คิดว่า เราได้เป็นตัวเองในช่วงขณะหนึ่ง  วันหน้ายังมาไม่ถึง แต่วันนี้เราทำเต็มที่”

“แล้วถ้าสักวันเราไม่ได้คบกันแล้ว จะนึกเสียดายไหม ที่ไม่ได้เป็นผู้สืบสันดานธาราน่ะ”

“ไม่เลย พ่อเราจับเราโยนลงน้ำตั้งแต่เด็ก จนเราสำลักบ่อยครั้ง เราถึงได้กลัวน้ำลึกที่เรายืนไม่ถึงไง ถ้าไม่จำเป็น เราไม่ลงน้ำด้วยซ้ำ”

“แต่มะนาว นี่โครตเท่ เลยเนอะ”

“ใช่ สุดยอดแล้ว”

“ดอยว่า มะนาวอยากมีพ่อ หรือเพราะเขาอยากเป็นผู้สืบสันดานธาราน่ะ”

“เราว่า มะนาวทำเพื่อเรา”



กำยานและขี้ผึ้งดำถูกวางไว้ในถาดไม้ขนาดเล็ก มีดอกบานไม่รู้โรยโปรยอยู่บนหน้าธูปเทียนแพ มะนาวในชุดกีฬาของอาร์มเผยผิวขาวผ่องเนียนใส นั่งคุกเขาอยู่ที่พื้นไม้ในเรือน ยกถาดไม้ส่งให้ดัมราเมียะผู้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สัก รับถาดนั้นไป  ผู้เฒ่าเอาแป้งหอมมาวาดที่หน้าผากของมะนาว เอาน้ำอบมาโรย 6 หยดที่กระหม่อมหญิงสาว นาตยาที่นั่งอยู่ถัดไปเอื้อมส่งมาลัยที่เพิ่งร้อยสด ส่งให้ดัมราเมียะ มอบแด่มะนาว  สาวน้อยก้มลงไปกราบแล้วเอาหลังมือของชายชรามาอังที่หน้าผากตามคำแนะนำที่นาตยาสอนไว้เมื่อตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ

“รู้ไหมว่า คุณพ่อบอกไว้ตั้งแต่มะนาวมาถึงว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ มีชะตาร่วมกัน” นาตยาหันไปบอก

“ห๋า จริงดิ ยังไงเหรอครับคุณตา” ดอยที่นั่งอยู่หลังมะนาวถามชายชราเพราะอยากรู้

“อัฐิ ของพ่อแม่หนู ถูกโปรยไว้ที่ไหน” ผู้เฒ่าถามลูกสาวคนใหม่

“รู้แต่ว่า ท่านเกิดอุบัติเหตุที่โค้งลงภูเขาระหว่างมาทำธุระที่สังขละบุรี แล้วคุณป้าก็มาโปรยอัฐิที่นี่ แต่ไม่รู้ว่า เป็นแม่น้ำอะไร หรือตรงไหน มะนาวยังเด็กมากค่ะคุณตา..  เอ้ย  คุณพ่อ”

“พวกเขาอยู่ในรันตีนี่ กรรมเก่าเขาหมดลงตรงนี้ และบัดนี้ เขาฝากหนูให้พ่อดูแล มาเป็นลูกสาวเรา อย่าได้กังวลเรื่องผู้สืบสันดานธารา  ท้ายที่สุด จะไม่มีผู้สืบต่อ ครอบครัวเราก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไป ผู้คนยังคงจะนับถือเราที่คุณความดีของเรา ไม่ใช่ยศฐา  แต่ในญาณของเรา  หนูจะเป็นผู้นำที่ดี และผลักดันให้เผ่าของเราก้าวไปสู่ยุคใหม่ได้ดีกว่าเราอีก”

“โห มะนาว เท่ไปเลย”  ดอยเอามือจับที่ไหล่หญิงสาวจากด้านหลัง

“ต้องเรียกมะนาวว่า คุณน้า” นาตยาดุใส่

“ห๋า”

“ต้องเรียกคุณน้า  น้ามะนาว”

“โอ๊ย เอาจริงสิ”

“อย่าให้ผิดธรรมเนียมสิ ลูกคนนี้”

“ครับ  เท่ไปเลยครับ น้ามะนาว”  ดอยเสียงหม่น ทำเอาทุกคนหัวเราะ ยกเว้นอนันต์ที่มองดอยอยู่ห่างๆ


ดัมราเมียะเล่าถึงความเป็นมาในการยกถิ่นฐานมาปักหลักกันที่ลุ่มรันตีนี้ให้เด็กหนุ่มสาวฟัง อีกทั้งยังเล่าไปถึงความโลภของกลุ่มนายทุนที่พยายามจะขับไล่คนในเผ่าให้ย้ายถิ่นฐานไป เนื่องจากตลิ่งของรันตีนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องความงาม เพราะยังมีความเป็นธรรมชาติมาก ดินโป่งอุดมสมบูรณ์ ผีเสื้อ แมลงปอ ที่บินว่อน ดอกไม้สีสวยริมธาราที่ทนแสงกลางแจ้งได้เพราะร่มไม้ที่รำไร แต่ก็เป็นภัย เพราะใครก็อยากจะจับจองเป็นเจ้าของ

“พ่อหนุ่มคนนั้น มานั่งตรงนี้ทีสิ” ดัมราเมียะ ผายมือไปที่ปุยเมฆ เพื่อให้ปุยเมฆเขยิบมาใกล้ เจ้าตัวประหม่าเล็กน้อย

“คุณตาครับ ท่านวีเอยอง ดูจะไม่ชอบปุยเอามากๆเลยเนอะครับ” ดอยถามชายชรา ที่กำลังเอื้อมส่งลูกประคำมาให้ปุย

“อย่าได้ถือโทษ ท่านบุตรแห่งบิคลี่ เลยนะพ่อหนุ่ม” ดัมราเมียะ เอื้อมหน้าลงมาที่ปุยเมฆซึ่งสั่งอยู่กับพื้น

“ครับ ไม่ได้คิดอะไรมากเลยครับคุณตา”

“แม่น้ำบิคลี่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธัญญาพันธุ์ ชนเผ่าเขาถือสาเรื่องการมีทายาทสืบสกุลเหลือล้น เพราะเขาบูชาเทพแห่งดินน้ำ และชั้นฟ้า ที่ประทานข้าวปลาอาหารที่อุดมสมบูรณ์กว่าใครอื่น การที่ดอย และ ไก่แจ้ มีความเสี่ยงที่จะไม่มีทายาทให้ แน่นอนว่า สร้างความไม่ถูกใจให้แก่พวกเขา  แต่พอหาทางออกได้ ท่านก็ยิ้มร่า เห็นไหม”

“ผมไม่ได้คิดอะไรมากเลยจริงๆนะครับ”

“นั่นก็คงผิดจริตจากที่เราเห็นสินะ เพราะพ่อหนุ่มน่าจะเป็นคนคิดมากเหลือหลาย.. ยังคิดถึงคนที่จากไปใช่ไหม”

“...” 

“จะบอกให้ว่า..  นางจะดูพ่อหนุ่มอย่างภูมิใจ จากนี้ไป จงเดินหน้าตั้งใจเติบใหญ่เป็นคนดีตามที่ปณิธานไว้”

“ครับ” ปุยที่เริ่มมีน้ำตาริน ตอบชายชรา

“คุณพ่อไม่ทักท้วง เรื่องเจ้าดอย กับเด็กคนนี้สักหน่อยเหรอครับ”  อนันต์ที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่นาน ระบายความในใจ

“ไม่มีอะไรที่เราต้องทัดทาน”

“เขาพิเศษกว่าคนอื่นหรือยังไงครับ”

“ไม่ เด็กคนนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ”

“แล้วทำไมล่ะครับ ทำไมไม่คัดค้าน ลูกผมทั้งคนจะเป็นยังไงในภายภาคหน้าถ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับเด็กคนนี้”

“ยอดดอย.. ก็จะมีรอยยิ้มกลับมาเหมือนเมื่อกาลครั้งนั้น.. หลานของเราคนนี้ จะกลายเป็นชายผู้มีความสุขที่สุดในโลก”





ของฝากถูกอัดไว้เต็มหลังรถ อาร์มพยายามจัดให้เข้าที่เข้าทางเพื่อลดความเสียหาย เสื้อผ้าใช้แล้วถูกห่อไว้ในกล่องพลาสติก กับกระเป๋าเดินทางของน้าแจ้ที่ล่วงหน้ากลับไปก่อน ก็ถูกฝากไว้ในรถของอาร์มเช่นกัน เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ อาร์มก็ตามไปสมทบ มะนาวที่กำลังล่ำลาคุณตา ซึ่งบัดนี้ได้กลายมาเป็นพ่อบุญธรรมของหญิงสาว  ปุยและดอยอยู่กับแม่ มีอนันต์เดินไปมาไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่เหมือนใคร่รู้ในสิ่งที่คนอื่นคุยกัน 

“หนูจะมาหาให้บ่อยนะคะ หนูจะศึกษาวิถีชีวิตคนที่นี่ผ่านพี่ดอยอีกที หนูให้สัญญาว่าจะมาให้บ่อย”

“ยังเป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ ทั้งหนังสือเรียน และชีวิต  อย่าเพิ่งรีบร้อนไปใยลูกสาวเรา ยังมีเวลาให้ได้เรียนรู้กัน”

“ค่ะ แต่หนูรับปาก หนูจะกลับมาหาคุณพ่อให้บ่อยนะคะ”

“ยังมีภาระข้างหน้ารออยู่อีกมาก  แล้วปมในใจของเจ้าจะถูกแก้ไขจนหมดสิ้น ได้น้ำมือของชายผู้นั้น” ดัมราเมียะชี้ไปทางชายหนุ่มที่ยังวุ่นกับการขนของผู้โดยสารขากลับขึ้นรถ “เขาเป็นคนจิตใจดี และจะทำให้หนูมีความสุขไปจนชีวิตจะหาไม่..  หนูเองก็รับรู้ได้”

“ค่ะพ่อ หนูทราบ”  มะนาวกอดดัมราเมียะ เอ่ยคำลา




ดอยกับปุย กราบที่ตักของนาตยา เพื่อร่ำลากลับบ้าน นาตยาเอามือจับที่ไหล่ปุย ฝากฝังให้ช่วยดูแลยอดดอย แล้วขอบคุณปุยที่เป็นแรงบันดาลใจให้ยอดดอยเลิกบุหรี่ได้ ปุยสวมกอดนาตยาก่อนจะปล่อยให้แม่กับลูกชายได้เอ่ยคำลากัน ปุยเลือกที่จะเดินออกมาสมทบกับอาร์มและมะนาว

“โตแล้ว กำลังจะมีเมียแล้ว ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์นะลูก”

“ครับแม่ ผมขอบคุณแม่ที่เข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องเอ่ยอะไร”

“แม่ไม่ได้เข้าใจอะไรหรอก แม่ก็มีคำถามมากมาย ยังนึกกับพ่อว่า เราเลี้ยงลูกผิดแผกไปตรงไหน... แต่แม่ก็ได้นึกถึงรอยยิ้มของลูก ดอย...  แม่ไม่สนหรอกว่า อนาคตดอยจะได้เป็นที่ยอมรับหรือร่ำรวยมหาศาล ต่อให้ตกอับ จะไปยากดีมีจน แม่ก็แค่เป็นกำลังใจให้ หนุนนำกันได้แค่ไหน ตราบที่แม่มีแรงแม่ก็จะช่วย แต่สิ่งหนึ่งที่แม่ทำให้ไม่ได้..”

“ครับ”

“ก็คือ ความสุขในชีวิตคู่”  นาตยาถอนหายใจเฮือกใหญ่   “ดูความล้มเหลวของแม่สิดอย.. ชนชาติของเราลูกก็รู้ ว่าอยู่กินกันได้แค่คนเดียว แล้วท้ายที่สุด ก็ต้องจมกับความทุกข์ไปจนตาย..  ยิ่งเห็นหน้ากัน ยิ่งจางซึ่งความสุข ยิ่งใกล้ ยิ่งเจ็บ  ลูกต้องไม่เป็นแบบแม่  เลือกแต่สิ่งที่มีความสุข  เงินพยายามเอาก็หาได้ แต่ความสุข เราหาไม่ได้จากความพยายามนะดอย”

“ครับ” ดอย กอดแม่ที่เอว เขาซุกหัวไปที่หน้าท้องผู้เป็นแม่ แล้วแม่ก็กอดโอบเขาไว้อย่างนั้น





ปุยที่เดินมาอยู่ตรงหน้าอนันต์ สบตาชายที่ไม่เคยคิดชอบหน้าเขา อนันต์ไม่ได้หลบหน้าหนี แค่ทำหน้าสงสัย

“ผมขออนุญาตคบหาลูกคุณพ่อนะครับ”

“ถึงฉันไม่ยินยอม พวกเธอก็คงไม่ฟังอยู่แล้ว”

“ดอยเครียดเรื่องความรู้สึกคุณพ่อมาก ผมก็ทุกข์เมื่อเห็นเขาเป็นอย่างนั้น สิ่งเดียวที่พวกผมทำได้ คือจะทำให้คุณพ่อเห็นว่า เราจะชักนำกันไปในทางที่ดี”

“ฉันไม่ได้เปลี่ยนใจง่ายดายอะไรขนาดนั้นหรอกนะ  ฉันไม่รู้ว่าโลกนี้มันหมุนกันไปถึงไหน แต่โลกของฉันหมุนช้ากว่าพวกเธอมากนัก”

“ผมทราบและรู้สึกเป็นพระคุณที่คุณพ่อยังคุยกับพวกผมโดยดี ผมซาบซึ้งนะครับ”

“อืม ก็เดินทางกลับกันดีๆล่ะ ถึงแล้วก็ให้ดอยโทรหาแม่เขาด้วย เขาจะได้อุ่นใจ”

“งั้นผมลานะครับ”  ปุยไหว้อนันต์ แล้วหันเดินไปที่รถ

“ทำให้ได้นะ” 

“....  อะไรนะครับ” หนุ่มน้อยหันกลับมาหาอนันต์ที่ก้มมองยังพื้นดิน ไม่มองหน้าเขา ปุยเห็นอนันต์เริ่มคลายมือที่กำไว้

“ไอ้รอยยิ้มอะไรที่คุณตาท่านว่าน่ะ..   ทำให้ลูกชายฉันที ..ให้ยอดดอย ได้เป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก”

หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 28 : คำทำนาย สะพานมอญ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 05-04-2018 09:42:22
มะนาว เธอคือที่สุด  :call:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 28 : คำทำนาย สะพานมอญ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 06-04-2018 13:37:06
มะนาวเธอคือยอดหญิง
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 28 : คำทำนาย สะพานมอญ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 07-04-2018 23:06:01
นานที จะชอบผู้หญิงในนิยายวาย
มะนาว หนูคือยอดหญิงแห่งลุ่มน้ำสามสี
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 28 : คำทำนาย สะพานมอญ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 08-04-2018 18:24:28
ภาษากะเหรี่ยงที่เขียนคำทำนาย ติ๊ต่างเอา หรืออ่านแบบนั้นเลยคะ  :ruready
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 28 : คำทำนาย สะพานมอญ ปี 1999 ]
เริ่มหัวข้อโดย: SocialMovement ที่ 10-04-2018 17:09:03
ภาษากะเหรี่ยงที่เขียนคำทำนาย ติ๊ต่างเอา หรืออ่านแบบนั้นเลยคะ  :ruready

เรา dm ไปถามคนเขียนมาค่ะ พอดีจะยืมบางคำไปใช้ในบทความ พี่โตฟูจังบอกว่า ใช้ถามคนงานที่บ้านเอาค่ะ
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 29 : จะบอกเธอวันนี้.. ให้เธอฟัง ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 11-04-2018 13:38:38
Track 29 :    จะบอกเธอวันนี้.. ให้เธอฟัง  หวังว่าไม่ช้า เกินไป..

รถคัมรี่สีเขียวเข้ม แล่นผ่านโค้งนับสิบ ขึ้นลงเขาอย่างช้า บนรถไม่มีใครหลับแม้จะเป็นเวลาบ่ายแก่คล้อยเย็น อาร์มที่แม่วันนี้ไม่ได้งีบ แต่ก็ไม่รู้สึกง่วง กลับตาสว่างใสแจ๋วด้วยกาแฟเย็นที่มะนาวคอยป้อนส่งเข้าปากเป็นระยะ ส่วนปุยนอนพิงไหล่ดอยหลับไป ปล่อยให้ดอยใช้เวลากับตัวเองเพ่งมองไปนอกหน้าต่าง ดอยหันไปหอมที่หน้าผากของปุยซึ่งงัวเงียลืมตามาส่งยิ้มก่อนจะหลับต่อที่ไหล่ของชายหนุ่มต่อไป

“เดี๋ยวถึงน้ำตกเกริงกระเวีย แวะเข้าห้องน้ำ เล่นน้ำกันหน่อยไหมวะ อาร์ม มึงจะได้พักด้วย” ดอยถามโชเฟอร์

“เอาสิคะ น้ำตกอยู่ติดถนนเลยนี่นา มะนาวอยากถ่ายรูป เล่นน้ำตกกันแป๊บนึงเนอะ”

“โอ้โห นี่วันนี้กะจะเป็นราชินีแห่งน้ำเลยเหรอครับ กระโดดสะพานไปแล้วจะมากระโดดน้ำตกต่ออีกรอบเลยเหรอ”

“ไอ้พี่อาร์มบ้า”

“ฮ่าๆๆๆ  แวะสิครับ เดี๋ยวพี่ถ่ายรูปให้นะ แต่อย่าไปกระโดดอะไรอีก พอได้แล้ว หัวใจจะวาย”




ริมถนนใหญ่ ทางหลวงแผ่นดินสาย 323 มีป้อมตรวจดักรถ เพื่อป้องกันไม่ให้นำชาวพม่าเข้ามาค้าแรงงานในตัวเมือง ตำรวจตระเวนชายแดนสั่งให้ทุกคันเปิดกระจก แล้วก็เอาไฟฉายส่องในรถเพื่อดูหน้าตาผู้โดยสาร ยอดดอยดูจะเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงคนเดียวในรถ ตชด.สั่งให้ยอดดอย ร้องเพลงชาติ พร้อมขอดูบัตรประชาชน คนที่เหลือบนรถหัวเราะลั่นจนดอยออกอาการฉุนใส่เจ้าหน้าที่  ปุยต้องเอามือมาจับที่แขนเพื่อเป็นการบอกให้ดอยใจเย็น  มะนาวส่งกาแฟกระป๋องที่ยังมีความเย็นอยู่ ส่งให้เจ้าหน้าที่ 1 กระป๋องเพื่อเป็นแรงใจในการทำงาน  อาร์มขับออกจากด่าน มาตามทาง รถไม่ค่อยเยอะ มีสวนกลับขึ้นไปทางสังขละบุรีบ้างเป็นระยะ  ยอดดอยมองเห็นคนนั่งพับเพียบอยู่ริมถนนใต้ต้นพุทราขนาดใหญ่  มีย่ามสะพายสีแก่นขนุนวางกองอยู่ที่กอหญ้า
“เฮ้ย อาร์มจอดก่อน แม่ชีสีชมพูว่ะ”  ดอยชี้ให้อาร์มจบเทียบข้างทาง อาร์มค่อยแฉลบรถเข้าข้างทางเลยตำแหน่งที่แม่ชีนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้  ดอยรีบเปิดประตูรถลงไป ตรงไปที่ผู้ที่นั่งกับพื้นหญ้า เขาพนมมือถาม “แม่ชีครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“แม่พักหลบแดดน่ะลูก พอดีจะรอรถประจำทาง เพื่อติดไปลงที่น้ำตกเกริงกระเวีย”

“ไปกับพวกผมได้ครับ ผมจะแวะไปส่ง”  ดอยหยิบย่ามของแม่ชี แล้วเดินนำมาที่รถ  มะนาวเปลี่ยนสลับที่มานั่งกับดอยด้านหลัง เพื่อกั้นการถูกเนื้อต้องตัวของผู้ชายกับแม่ชี ปุยจึงเปลี่ยนไปนั่งที่ด้านหน้าแทน ก่อนที่อาร์มจะขับรถออกไปต่อ ด้วยความเร็วที่ลดลงมา




“มะนาว ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่าง ที่ทำให้ขนาดนี้” ดอยเอื้อมมือไปกุมมือของมะนาว

“ไม่ได้ทำให้พี่ดอยคนเดียวหรอก อย่าลืมนะคะ ว่ามันดีกับทุกคน มะนาวเองก็ได้มีพ่อด้วย รู้สึกถูกชะตากับน้านาตยา กับคุณตามาก ไม่รู้เป็นอะไร”

“มันคือด้ายแดงแห่งโชคชะตาน่ะลูก”   คำพูดสุดท้ายของแม่ชีสีชมพู ทำเอาทุกคนบนรถเงียบกันไปหมด ปุยหันไปมองหน้าอาร์มที่ก็มีสีหน้าสงสัยไม่แพ้กัน  บรรยากาศที่ล่องลอยไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

“นี่แม่ชีไปไหนมาหรือเปล่าคะ ทำไมมารอไกลจากด่านมากขนาดนี้ล่ะคะ”

“แม่ไปสอนเด็กที่หมู่บ้าน เด็กนักเรียนขี่จักรยานมาส่งแม่ที่ปากทาง แม่เลยมารอรถตรงนี้”

“เด็กเยอะเลยเหรอครับ สอนอะไรบ้างน่ะครับ” ปุยหันหลังมาถามแม่ชีด้วยความสนใจ

“ไม่เยอะจะลูก แต่เด็กทุกคนมีความตั้งใจ ตัวแม่ ไม่มีความสูงอะไรมาก ก็มาสอนให้เขาอ่านออกเขียนได้ แล้วดูแลเด็กระหว่างที่พ่อแม่เขาไปทำไร่ ดูสวนยาง ช่วงนี้ คนย้ายจากภาคใต้ มาปลูกยางแถวนี้เยอะ เขาว่าอากาศมันเหมือนภาคใต้ ฝนตกชุก แถมผู้คนก็หนีความไม่สงบหลายอย่าง แถวนี้เลยมีทั้ง สุเหล่า และชุมชมมุสลิม แต่กับเราชาวพุทธ ก็เป็นพี่น้องกัน ช่วยเหลือกันและกัน แม่ดีใจ อะไรช่วยกันได้ ก็อยากจะช่วย”

“อย่างผมนี่มาสอนได้ไหมครับ คือ อย่างเช่นเสาร์อาทิตย์ หรือปิดเทอมผมว่าง ผมมาช่วยได้ไหมครับ”

“ได้สิลูก ยังมีเด็กอีกหลายหมู่บ้าน เขาเป็นคนมอญบ้าง กะเหรี่ยงบ้าง พม่าบ้าง แม้จะพูดภาษาไทยได้ แต่อ่านออก และเขียนไม่ได้ ถ้าจะไปเข้าโรงเรียน มักจะมีปัญหา ถ้าได้รู้จึกการอ่านเขียนพื้นฐาน ก็จะดีไม่น้อย เราส่งต่อเขาเข้าโรงเรียนได้”
“ผมว่า แทนที่จะส่งนักศึกษาไปฝึกงานสอนตามโรงเรียน ก็แบ่งจำนวนมาแบบนี้บ้างก็ดีนะครับ  ดีกว่าไปยืนส่งแฟกซ์ ไปซื้อขนมถังแตกให้ ผอ. มาทำแบบนี้มีประโยชน์กว่า”  อาร์มแสดงทัศนะ

“แม่ก็คงไม่กล้าไปวิจารณ์อะไรแบบนั้น แค่หลวงมีที่ให้ชาวบ้านทำกินโดยไม่ผลักไส แค่นี้ ชาวบ้านก็ดีใจแย่แล้ว”




รถจอดเทียบที่ริมข้างทางเรียงราย แม้จะคล้อยเย็น เสียงน้ำตกซ่าดังมาถึงข้างถนน มีป้ายไม้ “น้ำตกเกริงกระเวีย” ตั้งอยู่ที่ริมถนนใหญ่  ซึ่งเป็นที่ตั้งของน้ำตกขนาดเล็กที่อยู่ริมถนน ใครผ่านไปมาก็มักแวะเพราะมีของขาย อาหาร เครื่องดื่ม หรือแวะเข้าห้องน้ำ ส่วนตัวแอ่งน้ำตกก็ใกล้ถนน เดินเข้าไปไม่ไกลเหมือนน้ำตกทั่วไป

“แม่ชีจะไปไหน ให้พวกเราไปเป็นเพื่อนไหมครับ” ปุยส่งย่ามถวายคืนแม่ชี ที่ลงจากประตูหลังรถลงมา

“แม่พักที่นี่แหล่ะหนู พอดี กุฎิเก่าของอดีตพระอาจารย์ยันตระ อมโร ที่ท่านสึกไปอยู่ต่างประเทศ ทางวัดเห็นว่าว่าง จึงให้เป็นที่พำนักของแม่ชีที่แวะเวียนกันมาสอนเด็กตามหมู่บ้าน เพราะที่นี่สัญจรขึ้นรถเมล์ได้สะดวก  ถ้าพวกหนูมีเวลา เดินไปกับแม่สิ แม่มีของจะให้”  แม่ชีสีชมพู เดินนำหน้าเด็กหนุ่มสาว ที่เดินตามกันมา  ข้างน้ำตกขนาดเล็ก เป็นทางเดินดิน มีรั้วไม้ให้จับระหว่างทางชัน  เดินเพียงไม่ถึงครึ่งกิโล ก็ถึงเรือนไม้ ที่เคยเป็นกุฏิของพระอาจารย์ดัง   แม่ชีเดินเข้าไปในกุฏิ หยิบผ้ายันต์สีแดงที่พับใส่ถุงตะข่ายสีขาวไว้ หยิบใส่มือที่แบของทุกคน

“ยันต์แผ่นนี้ เรียก เป็นเมตตาคุณ แม่ให้พวกหนูไว้ ไม่ใช่เพราะมันมีพลังวิเศษอะไร แต่ให้มันรำลึกถึงความมีน้ำใจของพวกหนู  ในห้วงแห่งความคิดดี และทำดี จงนึกไว้เสมอว่า เรามีคุณค่าเพียงพอแก่โลกใบนี้ จงมีชีวิตอยู่ให้นาน เพื่อเป็นดอกไม้ที่สวยงามแด่พระแม่ธรณี” แล้วแม่ชีสีชมพู ก็สวดให้พรด้วยภาษาที่หนุ่มสาวไม่คุ้น ดอยนั่งลงคุกเข่า อาร์มดึงให้มะนาวและปุย นั่งลงทำตาม เสียงของแม่ชีไพเราะ บทสวดที่จับต้องความหมายไม่ได้ กังวานไปทั่วเวิ้งธารน้ำตกที่งดงาม ก่อนตะวันจะเริ่มคล้อยมืดลง




“พี่โอ๊คได้ติดต่อมาหาเธอบ้างไหม”  กล้าที่กำลังเฉือนโรลครีมชาเขียวที่แก้ใส่จาน แบ่งให้โอเล่

“ส่งแบบรวมๆน่ะ เป็น Forward Email ไม่ได้เจาะจงว่าให้ฉันหรอก” โอเล่รับ โรลมาตัดแล้วจิ้มเข้าปาก “ทำไมอะไร ๆ ก็ต้องเป็นชาเขียวไปหมดเลยพักนี้ อีกหน่อยคงมี ผ้าอนามัยรสชาเขียว”

“โอเล่”

“อาฮะ”

“เป็นแฟนกันได้แล้ว”

“แกประสาทป๊ะ”

“....”

“หรือว่าบ้า”

“....”

“ไม่ก็ปัญญาอ่อน”

“โหว  สำนึกผิดแทบไม่ทันเลย  ขอโทษ ก็นึกว่า จะเริ่มมีใจให้เราบ้าง ไม่นึกว่าจะคิดไปเองคนเดียว”

“แล้วที่มายอมให้ล้วงให้ควัก ให้กอดจูบ นี่นึกว่าฉันยอมทุกคนหรือไง”





อาร์มขับรถเข้าสู่เขตอำเภอเมือง ตะวันลับฟ้าไปนานแล้ว โดยโชเฟอร์หนุ่มเลือกที่จะหักรถเข้ามายังถนนเลียบริมแม่น้ำ เพื่อชมวิวสะพานข้ามแม่น้ำแKามค่ำคืน ซึ่งเริ่มเปิดไฟตกแต่งไฟสีเหลืองยาวค่ำคืน เนื่องจากใกล้เทศกาลปีใหม่ เสียงโทรศัพท์มือถือเข้าเครื่องปุยเมฆเป็นระยะ มีทั้งสายของพ่อปุยและแม่ของดอย สลับกันมาถามว่าถึงปลายทางหรือยัง พร้อมเสียงบ่นลอดหูโทรศัพท์จากพ่อของดอยผู้เสนอให้ค้างอีกคืน แต่ไม่ยอมค้างกันเนื่องจากปุยมีเรียนในวันรุ่งขึ้น 

“คุณตาบอกว่า ให้เราห่างจากสะพานข้ามแม่น้ำแคว คราวที่แล้วเราเกือบโดนเอาชีวิต” ปุยบอกกับดอยที่นั่งข้างๆ

“ทำไมล่ะ ทำไมต้องเป็นปุย”

“คุณตาของเราน่าจะไปสร้างความโกรธแค้นให้ทหารเชลย คือ คนญี่ปุ่นก็โหดร้ายอยู่ในช่วงสงครามโลก”

“งั้นคราวที่แล้วที่เกือบตกสะพานตอนมากับเรา แล้วก็ฝาเหล็กหัวรถจักรที่ตกลงมาเกือบโดนก็เพราะทหารเชลยเหรอ”

“คุณตาของดอย ท่านไม่ได้พูดเจาะจง แต่ตามประวัติศาสตร์ แต่ละไม้หมอนของทางรถไฟ มันคือ ชีวิตของเชลยที่จากไปพร้อมความโหดร้ายของสงคราม”

“อย่างนี้ก็ต้องหนีไปตลอดน่ะสิ อันตรายมาก อย่าไปเข้าใกล้นะถ้างั้น  ดอยไม่มีปุย ดอยคงแย่” ดอยส่งเสียงออดอ้อน จนอาร์มทำปากเปะผ่านกระจกส่องหลัง

“เราไม่อยากหนีปัญหานะ คราวหน้ารถไปหาท่านดัมราเมียะ เราจะถามวิธีขอขมาไถ่โทษ เพราะมันไม่ใช่ความผิดของเรา”

“เดี๋ยวรอนี่เลย ตอนมะนาวเป็นหัวหน้าเผ่า เดี๋ยวให้มะนาวเป่าปัดให้ เลม่อนซอมบี้ จอมขมังเวทย์”

“นี่แหน่ะ” มะนาวตีที่ต้นแขนของอาร์มจนคนโดนตีร้องโอดโอย “เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะพี่อาร์มก็”

“แล้วนี่พรุ่งนี้ให้ไปส่งไหม เราไปนั่งเล่นที่คณะปุย แล้วค่อยไปวิทยาลัยเราตอนบ่าย” ดอยเอื้อมมือไปจัดผมปุยที่กระเซิงจากการตื่นนอนให้เข้าที่เข้าทาง

“คืนนี้ ขึ้นไปนอนที่ห้องเราไหม”

“อะแฮ้ม”  อาร์มส่งเสียงกระแอม

“ไม่ใช่นะอาร์ม ไอ้บ้า ฮ่าๆๆ  คือ เราอยากคุยเรื่องที่บ้านของดอยน่ะ”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย อย่าร้อนตัวสิปุย  ดูไอ้ดอยสิ ตาเยิ้มแล้ว พรุ่งนี้ปุยมีเรียนเช้านะเว้ย”

“มีเรียนสาย” ดอยสวนกลับ ทำตาเจ้าเล่ห์ส่งมายังเงาสะท้อนกระจกส่องหลัง ทำเอาอาร์มหมั่นไส้


อีเมล์ของโอ๊ค ส่งถึงป๊ากับม๊า ถูกปริ้นท์มาบนกระดาษเอสี่ สีครีม มือกลองนำมามอบให้ที่หน้าบ้าน

“อีกไม่กี่วันก็ คริสต์มาสอีฟ แล้ว ปกติป่านนี้ คงกำลังพาป๊ากับม๊าไปทานอาหารกันที่โรงแรม เพื่อวางแผนการให้โบนัสและของขวัญพนักงานกันช่วงปีใหม่ แต่วันนี้ ลูกอยู่ช่วยไม่ได้ รู้สึกเสียใจจัง  ทางนี้สนุกมาก ลูกถูกขอให้ไปทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แถม ถูกถ่ายรูปทีละเยอะมาก มีคนมาแต่งหน้า เตรียมเสื้อผ้าแปลกตาให้ใส่ ลูกจะส่งรูปทางเมล์มาให้อาร์ม ม๊าคอยถามจากมันนะ นี่ก็ขยันพามะนาวไปเที่ยว กลัวมะนาวจะเสียการเรียนจัง คอยเตือนอาร์มมันด้วย”

“ที่ฝึกงานดีมาก วันก่อนลูกเอาเอกสารเข้าไปให้ เขาพาชมแผนก  เครื่องมือที่นี่มันดีมากเลยป๊า ถ้าวันหน้าแผนกเคาะพ่นสีของเราใช้เครนยกรถแบบนี้ มันจะดูดีมีราคาเลย เซฟตี้รถให้ลูกค้าได้ด้วย แถมดูหรูหรา เรียกราคาได้ นี่ก็ว่าจะถ่ายรูปให้อาร์มเก็บไว้ เครื่องมือของการซ่อมบำรุงเครื่องอากาศยานมีมาตรฐานกว่าของบริษัทเรามากก็จริง แต่หลายอย่างคงประยุกต์ไปใช้ได้ โอ๊คจะตั้งใจเก็บข้อมูลมาให้ป๊านะครับ”

“อาทิตย์ก่อน ได้แวะมาเข้าศึกษาแปลนจากคุณลุงธนู ราคาคอนโดแนวราบแบบโลว์ไรซ์ ไม่ค่อยดีเลยครับป๊า มันกำลังจะหมดไปเพราะผังเมืองมันเปลี่ยน ข้อบังคับมันเยอะ แต่แถวบ้านเรา มันก็ต้องโลว์ไรซ์นี่แหล่ะ เพราะว่าด้วยเรื่องของเขตแผ่นดินไหว  โอ๊คว่า ที่ถนนเส้นตรงสี่แยกศาลากลางน่าจะดีครับป๊า คุณลุงธนูบอกว่า ถ้าเราตกแต่งมันไม่ดีพอ หรือพื้นที่ลานจอดรถมารายรอบอาคารมากเกิน มันจะเหมือนอพาร์ทเม้นท์ ดูไม่หรู  อย่างไรป๊าก็ใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งรีบไปลงทุน เพราะมาดูตัวเลขบางแปลงของคุณลุงธนู ไม่มีกำไรมากมายอะไร ยิ่งบ้านนอกเรา จะไปตั้งราคาสูง ในช่วงห้าปี สิบปีนี้ยังไม่เหมาะแน่ครับ แต่ลูกจะเขียนเป็นรายงานและขอถ่ายแปลนของลุงธนูกลับไปให้ครับ”

“แกงป่าไก่ไทยฝีมือของม๊านี่ไม่มีใครเทียบเลยครับ ขอบคุณที่เข้าครัวทำให้ลูกหลังจากไม่ได้ทำมานาน ตอนมือกลองบอกว่า ม๊าฝากกับข้าวมาให้ยังแทบไม่เชื่อเลย ว่าม๊าจะเข้าครัวอีกครั้ง นี่ลูกตื่นเต้นที่จะกลับไปทานหลายๆเมนูของม๊ะนะครับ”
“โอ๊คขอโทษที่อาจไม่ได้ช่วยอะไรเต็มที่นัก ไหนจะโชว์ตัวในฐานะขุนแผน ลูกก็ไปเช้าเย็นกลับไม่ได้แวะบ้านเลย เพราะไม่อยากทิ้งการซ้อมของวงช่วงค่ำ เดี๋ยวจะมีขึ้นโชว์ที่ลานเวทีแถวสยามด้วย ไว้จะให้มือกลองถ่ายวีดีโอเอาไปให้นะครับ โอ๊คเริ่มสนุกกับมันครับม๊า ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้โอ๊คได้กลับมาเล่นอีกครั้ง”

“ฝากดูแลไอ้ดอยมันด้วยนะครับ เห็นมันมุนานะจะทำเรื่องร้านแต่งรถมอเตอร์ไซค์เต็มที่เลย โอ๊คก็ว่าจะหุ้นกับมันด้วย ลูกเชื่อฝีมือเพื่อนครับ แถมคนช่วยเยอะแยะ  ส่วนอาร์ม ก็ไม่ห่วงแล้ว น้องเป็นผู้ใหญ่มาก โอ๊คภูมิใจกับน้องมากครับ น้องจะเป็นผู้นำของธุรกิจครอบครัวเราได้ โอ๊คเชื่อมั่นน้องครับ”

“ม๊าห่มผ้าหนาๆ นะ อากาศหนาวแล้ว ป๊าก็อย่าดื่มไวน์มาก นี่คุณลุงธนูวันก่อนก็หกล้มจนทำงานไม่ได้อยู่สองวัน แกบ่นใหญ่ ว่าลูกเต้าก็ไม่มี นี่จะให้ลูกช่วยดูแลกิจการต่อ ลำบากใจจังเลย อากาศเปลี่ยน ดูแลรักษาสุขภาพกันนะครับ เดี๋ยวลูกพอจะมีเวลา จะรีบกลับไปหา แต่ปีใหม่นี้คงไม่ได้กลับ กะว่าจะแบ็คแพ็คไปพักผ่อน ไปหาแรงบันดาลใจในการทำดนตรี ปีนี้ลูกไม่อยู่ด้วย แต่ลูกคิดถึงป๊ากับม๊านะครับ  รัก.. จากลูกโอ๊ค”



ในห้องนอนชั้น 3 ดอยนอนเล่นเกมบอยที่เตียงในท่ากึ่งนั่ง ชายหนุ่มที่เปลือยหน้าอก โชว์ผิวคล้ำเนียนเอนหลังพิงหัวเตียงไว้ เขารอให้ปุยอาบน้ำเสร็จ เพื่อจะนั่งคุยกันเฉกเช่นกิจวัตรที่ทำกันปกติ  เพียงแต่วันนี้มันจะต่างออกไป เพราะปุยเอ่ยปากให้เขานอนค้างที่ห้องได้ ซึ่งปกติพอเที่ยงคืนเขาก็จะเดินลงมายังห้องพักเขาเพื่อให้ปุยได้พักผ่อน ทั้งที่ใจจริงก็อยากจะค้างที่ห้องนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก แถมยังเพิ่งผ่านเรื่องของห้อง 2D มาด้วย กว่าจะพ้นความชุลมุนมาได้ ยอดดอยจึงคิดว่าไม่อยากจะก่อปัญหาอะไรเพิ่ม ไม่อยากให้ปุยเมฆมองเขาไม่ดี เขาจึงพยายามข่มใจและทำตัวเป็นคนสุภาพไม่ทำตัว รุ่มร่ามใส่ปุย แม่ในใจจะอยากดึงหนุ่มร่างบางเข้ามากอดฟัด ยิ่งตอนที่หนุ่มน้อยผิวขาวใสเดินออกจากห้องน้ำ มีเพียงผ้าเช็ดตัวสั้นจู๋พันเอวไว้ เผยให้เห็นโคนขาเนียน หรือผ้าเช็ดตัวอีกผืนที่ห่อไหล่ไว้แต่ไม่เคยมิด เผยให้เห็นเนินอกขาว แม้เจ้าตัวอย่างปุย คงไม่คิดอะไรเพราะเป็นผู้ชาย แต่หัวใจที่เต้นแรงของเขามันทำเอาเขาทรมานอยู่ไม่น้อยทุกครั้งที่ต้องเห็น

“อาบน้ำไหม” ปุยเดินออกมาด้วยท่าเดิม ที่ยอดดอยคิดเสมอว่า นี่ถ้าปุยไม่ใสซื่ออย่างที่เขาสัมผัสแล้ว คงต้องคิดว่า สุนัขจิ้งจองตัวนี้ เจ้าเล่ห์และช่างยั่วยวนเสียเหลือเกิน

“เดินมานี่โหน่ยยยยยว”

“อย่ามามองแบบนี้นะ”

“มองยังงายยยยยยย”

“มันดูหื่นๆน่ะ”

“คิดมากหน่า มาเร็ว มานี่ มา นะๆๆๆ”  ดอยเอามือตบที่เตียงเบาๆ เป็นการเรียกให้ปุยเดินมาหา ปุยก็เดินมาแต่โดยดี

“ที่ให้มาอยู่ด้วยคืนนี้ เพราะจะคุยกันเรื่องอนาคต ไม่ใช่ให้มาคิดทะลึ่งลามกจกเปรต”

“ว่าเค้าทำมายยยยย” ดอยเอามือไปดึงผ้าเช็ดตัวของปุยที่คลุมไหล่ ไปเช็ดผมที่เปียกของปุยให้ ท่อนบนของปุยจึงไม่มีอะไรปกคลุมอยู่ ดอยยังคงเหลือบมองมาเป็นระยะ พอเจอสายตาปุยจ้องกลับ ดอยก็หันไปมองเส้นผมที่เริ่มแห้งของปุยแทน

“เราจะทำให้พ่อของดอย ยอมรับเราให้ได้นะ”

“อย่าคิดมากสิ ถึงรับไม่ได้ ก็ไม่ต้องกังวล แค่แม่ กับ คุณตาไม่ทักท้วง ก็โอเคแล้วหน่า”

“ไม่ได้หรอก ถ้าได้รับพรจากผู้ใหญ่ มันจะทำให้ทุกอย่างราบรื่น ไม่ควรมีใครทักท้วงหรือไม่เห็นด้วย”

“อืม ก็เอาเท่าที่ได้นะ เราแค่อยากให้ปุยรู้ว่า ถ้ามันจะรอดหรือไม่รอด ไม่เกี่ยวกับคนรอบข้างแล้ว อยู่ที่พวกเรา”

“ครับ”

“แล้วนี่ ดูอยู่กันมาหลายเดือนแล้ว ไม่เห็นบอกรักดอยสักคำเลย”

“ดอยก็ไม่เคยพูดนะ”

“พูดออกจะบ่อย” ยอดดอยถอดกางเกงฟุตบอลออก เหลือแต่กางเกงชั้นในสีเทาเข้ม

“เฮ้ย ถอดทำไม  แล้วพูดตอนไหน เราไม่เคยได้ยิน”

“ก็พูดกับตัวเอง พูดซ้ำๆ จนมั่นใจ ก็เลยจะบอกต่อหน้าวันนี้..  ผมรักคุณ”

ดอยเอื้อมไปดึงปุยมาแนบชิดใน ก่อนจะโน้มตัวปุยให้นอนราบบนเตียง เขาคร่อมลำตัวที่เผยเนื้อผิวสีแทนมาอยู่บนตัวปุย ทำให้สีผิวที่ตัดกันจนชัดเจน ดอยก้มลงไปจูบปุยที่ปาก ปุยดูตื่นเต้นจนลมหายใจแผ่วร้อน ดอยซึ่งหายใจถี่ไม่แพ้กัน บรรจงบดปากลงไปอีกครั้ง เขาเอาลิ้นแตะที่ขอบริมฝีปากบนของปุย แล้วขบมันเบาบาง ปุยครางเสียงออกมา ดอยบดรอยจูบลงไปอีกครั้งแล้วเม้มที่ขอบริมฝีปากล่าง เขาดูดมันอย่างเบาช้าก่อนจะแหย่ลิ้นของเขาเข้าไปในปากปุย หนุ่มร่างบางสัมผัสรสลิ้นคนเป็นครั้งแรก มันจืดแต่หวานในความรู้สึก ปุยหายใจแรงและลึก ดอยถอนหน้าออกมา เขามองตากันอยู่ชั่วอึดใจ

“รักนะครับ  ดอยรักปุยนะครับ”

“ผมก็รักคุณ.. ยอดดอย”




ที่หน้าผับอาปาเช่ ซาลูน ผู้คนทยอยออกจากสถานบันเทิง อาร์มจูงมือมะนาวเดินข้ามถนนกลับมาที่รถยนต์ซึ่งจอดอยู่ไกลพอประมาณ เพราะผู้คนแน่น มาชมคอนเสิร์ตวงดนตรีดัง ที่มาแสดงในผับ ซึ่งมะนาวเป็นแฟนเพลงของนักร้องนำ อาร์มผู้รู้ใจก็ขันอาสาหาบัตรและจองที่นั่งหน้าสุดไว้  นักร้องนำยังรับตุ๊กตาหมีตัวเล็กที่มะนาวเตรียมมาเป็นของขวัญให้ไปเก็บไว้ พร้อมส่งดอกกุหลาบจากแจกันที่ตั้งอยู่ตรงโพเดียมหน้าเวทีมามอบให้มะนาวคืนกลับ เล่นเอามะนาวดีใจจนเนื้อเต้น

“ชุดนี้เพลงดังทุกเพลงเลยเนอะพี่อาร์ม คนในผับร้องกันได้หมดเลย พี่ชอบเพลงอะไรคะ”

“ชอบข้อความ กับ ความลับ”

“มะนาวชอบทุกเพลงเลย แต่ชอบ ดาว เป็นพิเศษ”

“ไปบอกรักใคร แล้วเขาไม่รับฟังเหรอครับ”

“จะบ้าเหรอ มะนาวจะไปบอกรักใคร”

“ก็ไม่รู้สินะ” อาร์มเปิดประตูรถให้มะนาวเข้าไปนั่งในรถ แล้วเดินอ้อมกลับมาเปิดประตูฝั่งตัวเอง เข้าไปนั่งแล้วสตาร์ทรถ

“พี่อาร์ม”

“ครับ”

“มะนาว รัก พี่อาร์ม นะคะ”
.
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 29 : จะบอกเธอวันนี้.. ให้เธอฟัง ]
เริ่มหัวข้อโดย: SocialMovement ที่ 14-04-2018 02:49:12
 :haun4:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 29 : จะบอกเธอวันนี้.. ให้เธอฟัง ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 17-04-2018 00:20:39
รักพี่โอ๊ค เอ็นดูพี่อาร์ม   :-[
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 30 : เริ่มรู้จักความหมาย ของคืนวัน.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: TofuChan ที่ 20-04-2018 00:11:46
Track 30 :    เริ่มรู้จักความหวาน.. กับรักลึกซึ้งหมดใจ.
                                เริ่มรู้จักความหมาย.. ของคืนวัน



ที่ห้องโถงหรูของบ้าน ตรีโอฬารวงศ์ โซฟาสไตล์หลุยส์มีชายหญิงสูงอายุ สนทนากับหนุ่มน้อยหน้าตาดีด้วยความขึงขัง โทรทัศน์จอใหญ่ เปิดทิ้งไว้แต่ถูกหรี่เสียงลง มีสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลสีขาวสองตัว นั่งขนาบข้างชายหญิงคนละตัว

“มันไม่ใช่เรื่องเล่นนะอาร์ม คิดดีแล้วเหรอ”

“คิดดีแล้วป๊า เชื่อผม งานนี้อาร์มขอ รับรองว่า ทุกอย่างมันจะดีเอง”

“แล้วป๊าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง”

“ไม่ต้องทำอะไร เตรียมใจอย่างเดียวป๊า”

“เฮ้อ มันเป็นการหาเรื่องใส่ใจเราหรือเปล่าเนี่ย  ว่าไงดีล่ะคุณ” ชายสูงอายุหันไปทางหญิงที่นั่งข้าง บัดนี้เธออุ้มพุดเดิ้ลน้อยมาวางที่ตัก พลางลูบขนหยิกนั้นอย่างเอ็นดู

“เอาเข้าจริง มันก็ถึงเวลาแล้วล่ะ”

“มันจะทำให้พวกเขาดีขึ้นเหรอ คุณว่า”

“เปล่าหรอกค่ะ  มันจะทำให้พวกเราดีขึ้นด้วย”






หน้าบ้านหลังใหญ่ โครงการภัทรียานคร ริ่มถนนปิ่นเกล้า-พุทธมณฑล  ชายวัยกลางคน ไขประตูบ้านพร้อมพาเด็กหนุ่มร่างบางที่เดินตามอยู่ด้านหลัง เข้ามายังโถงของบ้าน ซึ่งแต่งไว้อย่างเรียบง่าย แต่มีของสะสมแปลกตาเป็นเครื่องตกแต่ง โดยมีเสียงบทสวดมนต์จากเครื่องเล่นเทปดังลอยมาจากชั้นสองของบ้าน  ชายเจ้าของบ้านพาเด็กชายให้มานั่งที่โซฟาใกล้กับที่เขานั่งอยู่  ที่บันไดชั้นสอง มีหญิงวัยกลางคนเดินลงมาพร้อมชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นที่คอยประคองแขนคู่กันมา

“อ้าว มากันแล้วหรือ นี่คือปุยเมฆใช่ไหม”

“สวัสดีครับคุณอา ผมปุยเมฆครับ”

“เคยเห็นตอนเด็ก ไม่คิดว่าจะโตไวขนาดนี้ นี่อายุก็ใกล้กับเจแปนล่ะมั๊ง”

“อันนี้ พี่เจแปน ลูกคนโตของพ่อนะปุย สวัสดีพี่เขาสิ”

“สวัสดีครับ” ปุยยกมือไหว้ชายหนุ่มหน้าตาดี หุ่นล่ำตัวสูง ที่เขาลังเลว่า จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการมาเยือนครั้งนี้

“สวัสดี ตามสบายนะ เดี๋ยวผมขอตัวก่อนครับพ่อ เพื่อนชวนไปงานคริสตมาสอีฟของที่ทำงานเขา”

“อืม ขับรถขับราให้ดีนะ น้ำมันมีไหม เอาบัตรเครดิตพ่อไปรูดสิ”

“ไม่เป็นไรครับ   แม่ผมไปก่อนนะ เดี๋ยวตอนดึกผมซื้อข้าวต้มมาฝาก”

“เอาเป็นโจ๊กไว้กินตอนเช้าดีกว่าลูก เดี๋ยวคืนนี้ แม่คงอิ่ม ทำกับข้าวไว้ให้พ่อกับปุยซะเยอะเลย”

“อ่ะ” เจแปนส่งกระดาษสมุดที่ฉีกไว้เหลือเพียงครึ่งเดียว เป็นลายมือหวัด จดอักษรภาษาอังกฤษไว้

“ครับ” ปุยยื่นมือไปรับมา

“ไม่ได้อยู่กินข้าวด้วย ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยด้วยนะ แต่นัดเพื่อนไว้ อันนี้ อีเมล์ ไว้เขียนมาคุยกัน”

“ขอบคุณครับ..  พี่เจแปน”




หน้าร้านอาหารนกน้อยโภชนา ไก่ย่างส้มตำร้านเจ้าประจำตะโกนเรียนนกน้อยที่มักซื้อตูดไก่ไว้ให้แจ้แกล้มเหล้าอยู่เสมอ แต่นกน้อยบอกปัด เพราะวันนี้สาวใหญ่เจ้าของร้านก็เตรียมกับข้าวไว้เต็มที่เหมือนกัน ซึ่งมีทั้งอาหารทะเล และก็ไก่ย่างแบบทั้งตัว สูตรพิเศษ เนื่องจากนกน้อยพยายามจะจัดจานเลียนแบบไก่งวงคริสตมาสให้เหมือนมากที่สุด แล้วก็เอาต้นโกศลมาแต่งด้วยไฟเม็ดสีเหลืองแทนต้นคริสตมาส  อีกทั้งยังฉีดสเปรย์พ่นที่ชั้นวางของสดของร้านเป็นอักษรภาษาอังกฤษ ว่า Merry X-Mas1999

“โอโห๋ เตรียมพร้อมซะขนาดนี้ ฉันก็เมาแย่ล่ะสิ” แจ้ที่เดินมาเอากับข้าวซึ่งลูกค้าในร้านอินเทอร์เน็ตสั่งไว้ แวะแซว

“ก็แหม ใครๆ ก็ทิ้งไปกินกันเองซะหมด เด็กๆ ก็ติดปาร์ตี้อื่น หนูจัดกับข้าวเต็มที่ เผื่อจะถ่ายรูปไว้ยั่วยวน จำไว้นะ ทีหลังมีงาน ต้องฉลองที่นี่ ห้ามไปที่ไหน”

“ร้ายจริงๆเลยแม่หนูคนนี้” แจ้เอื้อมมือไปหยิกแก้มนกน้อยที่กำลังเสียบไม้เข้ากับปลาหมึกหมักไว้ได้ที่

“ไม่ได้หรอก จะได้เข็ดเมื่อเห็นว่า ที่นี่อุดมสมบูรณ์กันแค่ไหน เชอะ”

“ว่าแต่ อาร์มก็ไม่อยู่ มะนาวก็ไม่อยู่ โอ๊คก็ไม่กลับ ไอ้เจ้าดอยกับน้องปุยนี่ไม่ต้องพูดถึง รับรองได้ว่าไม่กลับเมืองกาญจน์แน่นอนล่ะคืนนี้  ก็กินกันสองคนสินะ

“สาม”

“ใครอีกคนล่ะ ฉันรู้จักไหม”

“รู้จักดี รู้ลึก รู้ทุกซอกทุกมุมเลยล่ะ”

“ห๋า ใครกัน หนูเชิญใครมาร่วมวงกับเรา”

“คนสวยของพี่แจ้ไงคะ น้องแมว แสนสวยไง”





ในแมนชั่นหรูกลางเพลินจิต ชายหนุ่มหน้าตาดีสองคนเพิ่งเดินผ่านล็อบบี้เข้ามาจนคนที่นั่งเล่นอยู่บริเวณหน้าสระว่ายน้ำ และหลังกระจกห้องฟิตเนสต้องเหลียวมองในความสะดุดตา หญิงสาวตัวอวบอ้วนที่กำลังวิ่งบนลู่หันมองตามจนชายสองคนเดินเข้าประตูลิฟท์ไป
“แล้วนี่มือกลองมาเยี่ยมบ่อยไหมวะ”

“มาบ้างแต่ว่างานของเขาก็ยุ่งแหล่ะ ห้างสรรพสินค้า พอใกล้ปีใหม่มันยุ่งมาก นี่คริสตมาสไม่ต้องพูดถึงคนซื้อของกระจาย”

“เออ ดูมึงซูบลงนะโอ๊ค แม่งอย่าโหมนักสิว่า ยิ่งป่วยง่ายอยู่ด้วยมึงน่ะ”

“มึงก็อ้วนท้วนเชียวไอ้ดอย ตัวเป็นจะเป็นหมูอยู่แล้ว”

“เขาเรียกหมีเว้ย กำลังจะมาแรงในยุคสหัสวรรษ”

“ชิชะ อย่างนี้ปุยคงต้องตามมึงแจเลยสิ ไอ้ขี้โม้”

“อ้าว อย่าดูถูกกู หน้าบ้านๆ ตัวล่ำๆ จะมาแทนพวกขาวตี๋เว้ย มึงน่ะเตรียมตกกระป๋องได้เลย ไอ้โอ๊ค”

“เออๆ ยอมๆ  เชี่ย หลงตัวเองชิบหาย”  โอ๊คเดินนำดอยผ่านประตูลิฟท์ที่ถูกเปิดออกไปยังห้องด้านขวาซึ่งใหญ่ที่สุดในชั้น

“กูก็ขำๆน่ะแหม ใครจะฮอตเท่าพี่โอ๊ค นี่น่ากลัวหัวลิฟท์แทบไม่แห้งเลยสิท่า”

“ยามก็มีเปล่าวะ เขาไม่ได้ให้เข้าง่ายๆนะเว้ย”

“แล้วนี่มึงน่ะไปถึงไหนแล้ววะ กับมือกลองเนี่ย” ดอยมองดูโอ๊คที่หยิบบัตรสี่เหลี่ยมมาแตะที่หน้าประตูเพื่อปลดล็อคห้อง

“อย่ามาทำเนียน เล่าเรื่องมึงกับปุยมาเลย เห็นโอเล่บอกว่า ปุยไปเรียนสายโด่ง แทบไม่มีแรงเดิน มึงทำชั่วอะไร เล่ามา”






“ให้มะนาวแต่งตัวซะสวยเชียว นี่จะพาไปไหนคะเนี่ย”

“ไปที่หนึ่ง มะนาวจะไม่เข้าไปก็ได้นะ ปาร์ตี้คริสตมาสนี้ จัดให้มะนาว แต่ไม่ได้บังคับ”

“พี่อาร์มนี่ก็พูดแปลก” มะนาวมองไปที่กระจกเงาในม่านบังแดดรถ ที่ถูกดึงลงมาส่องแต่งหน้าระหว่างนั่งอยู่บนรถคันหรู 

“ก็พี่ไม่อยากจะเป็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการหรอกนะ แต่พี่อยากให้ทุกสิ่งอย่างมันได้คำตอบ พี่ก็แบบนี้แหล่ะ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่พี่หวังดี  ถ้ามะนาวคิดว่า มันไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่พร้อม บอกพี่ได้ตลอด”

“ยิ่งพูดก็ยิ่งงงค่ะ แล้วทำไมถึงคิดว่า มะนาวจะไม่ชอบคะ อะไรจะทำให้มะนาวลังเล”

“ปกติมะนาวน่าจะปฏิเสธครับ แต่หลังจากที่พี่เห็นมะนาวลอยละลิ่วจากราวสะพานมอญลงสู่ทะเลสาปนั่น พี่ก็เริ่มลังเลแล้วว่า จะลองเสี่ยงดู บางทีมันอาจถึงเวลาของมัน”

“มะนาวไม่รู้หรอกค่ะ ว่ามะนาวจะรับกับสิ่งที่พี่อาร์มเตรียมรอไว้ไหวหรือเปล่า มะนาวก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรจากวันนั้นถึงวันนี้  แต่สิ่งหนึ่งที่บอกให้พี่รู้คือ มะนาวจะไม่โกรธหรือเกลียดพี่ เพราะทุกสิ่งที่พี่อาร์มทำ เพื่อมะนาวอย่างแท้จริง” แล้วมะนาวก็เอื้อมตัวไปหอมที่แก้มของอาร์ม จนลิปสติกบางสีแดงทิ้งรอยไว้ อาร์มอมยิ้มแล้วคลายกังวล เขาขับรถไปยังจุดหมาย





ในห้องนอนของโอ๊ค ยอดดอยนั่งที่พื้นพิงขาเตียง มือเปิดดูอัลบั้มรูปของโอ๊ค ดอยหัวเราะเมื่อเห็นรูปของเพื่อนรัก ที่แสดงอิริยาบถซึ่งไม่ค่อยได้เห็น เช่นกระโดดบนหน้าเวที โยนไมโครโฟนขึ้นเหนือหัว ยังมีภาพโอ๊คไปถ่ายแบบให้กับรองเท้าแตะยี่ห้อหนึ่งซึ่งเขามองว่าเท่ดี ดอยหันไปมองกองหนังสือที่เรียงกันบนโต๊ะนั่งทำงาน มีสมุดและกองพิมพ์เขียววางไม่เป็นระเบียบผิดกับวิสัยของโอ๊ค  ตรงหัวเตียง มีรูปที่ถ่ายหมู่ในคืนวันแดงเดือดซึ่งมือกลองถ่ายและอัดมาให้ เขากอดคอกับโอ๊ค มะนาวโอบไหล่ปุย มีอาร์มยืนซ้อนอยู่ด้านหลังมะนาว ทุกคนดูหน้าเปี่ยมสุข โดยเฉพาะตัวดอยเองที่จำได้ว่าเมาอยู่ไม่น้อยในคืนนั้น    โอ๊คที่อาบน้ำเสร็จ เตรียมใส่เสื้อผ้า โยนกระป๋องเบียร์สีทองฉลากขาวมาให้ดอยผู้ซึ่งรับมันอย่างแม่นยำ ดอยเปิดออกดื่ม มือยังคงเปิดอัลบั้มรูปของโอ๊คดูไปเรื่อยๆ

“เดี๋ยวจะไปรับปุยกี่โมงล่ะ”

“น่าจะให้เขากินข้าวกับแม่ใหญ่เขาก่อน คงนั่งตัวเกร็งไม่กล้ากินอะไร เดี๋ยวกูค่อยไปรับอีกสักพัก”

“แล้วมานอนที่นี่ไหมวะ กูมีห้องว่าง แต่แม่งทำกันเบาๆนะเว้ย เดี๋ยวกูโดดไปแจมมึงจะหนาว”

“เชี่ยแล้วถ้างั้น ของเพื่อนนะเว้ย”

“สัส กูพูดเล่นหรอก”

“เออ กูรู้ นี่ว่าจะพาไปเดินที่เวิร์ดเทรด ดูไฟ ถ่ายรูป แล้วก็ไปนอนที่โรงแรมแถวปิ่นเกล้า เช้าก็ขึ้นรถทัวร์กลับไปกาญจน์เลย”

“แล้วต้องไปเช่าโรงแรมให้ยุ่งยากทำไมวะ อยู่ด้วยกันที่นี่แหล่ะ”

“ไม่ยุ่งยากหรอก ออกจะโรแมนติก”

“กูจะอ๊วก สัส เยอะนะมึงเนี่ย” โอ๊คที่เปลี่ยนเป็นเสื้อกีฬากางเกงขาสั้น ลงไปนั่งบนพื้นพรมข้างยอดดอย หลังพิงขอบเตียง โอ๊คหยิบเบียร์อีกกระป๋องมาชนกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้าหลายวัน

“ไอ้โอ๊ค กูขอกอดมึงหน่อยดิวะ”

“เพี้ยนไปแล้วมึงเนี่ย” แต่โอ๊คก็อ้าแขนสวมกอดเพื่อนรักด้วยความคิดถึงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“คิดถึงมึงจังว่ะ”





ที่จอดรถในห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่สุดของจังหวัด รถถูกจอดเต็มทุกที่ มีเพียงที่ว่างเดียวที่ยามวิ่งมายกกรวยสีส้มซึ่งกั้นไว้ ให้อาร์มเสียบรถเข้าซอง ก่อนอาร์มจะพามะนาวเดินขึ้นลิฟท์จากลานจอดรถ และกดไปที่ “3” 
มะนาวหันไปมองอาร์ม ที่ไม่ได้มองหน้ากลับมา ครุ่นคิดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร อาร์มเอื้อมมือไปกุมมือมะนาวไว้ บีบอย่างแผ่วเบาเหมือนจะสื่อสารให้ทราบว่า เขาอยู่ตรงนี้ จงอุ่นใจ มะนาวบีบกลับเช่นกันเพื่อตอบรับว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิด เธอเชื่อใจว่า อาร์มเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอแล้ว




“กินเยอะๆนะหล่อน ผอมอย่างกับไม้เสียบผี”

“น้องก็กินเยอะนะ แต่น้องก็ไม่ยอมอ้วนซะที อิจฉาพี่นกน้อย ดูอิ่มเอิบ”

“หูย อย่ามาปากหวานย่ะหล่อน ผอมกะหร่องอย่างหล่อนนี่แหล่ะ ขายดิบขายดี ผู้ชายไทยชอบ”

“แต่ท้ายที่สุด ผู้ชายอยากอยู่กับคนที่มีน้ำมีนวลมากกว่า อย่าเถียงแมวเลยค่ะพี่ แมวรู้ดี ไม่เชื่อถามพี่ไก่แจ้”

“เอ่อ.. อย่าได้เอาฉันเข้าไปเกี่ยวข้องเลย สาวๆ  วันนี้ฉันขอเป็นใบ้นะ”

“หึ แหม พี่อย่ามานั่งเกร็งสิคะ หนูไม่ได้คิดอะไร  มาๆๆ ชนแก้วกัน สุขสันต์วันคริสตมาส”





ชั้นบนสุดของบ้านตึกขนาดใหญ่ ห้องนอนที่ตกแต่งไว้ทันสมัยผิดกับสภาพภายนอกซึ่งคงเอกลักษณ์ความเป็นตึกโบราณได้อย่างสวยงาม ในห้องมีโปสเตอร์ ดาราหนุ่ม ริเวอร์ ฟีนิกซ์ ที่หัวเตียง เลยไปมีลูกรักบี้ตั้งเป็นของตกแต่งที่โต๊ะหนังสือ ห้องถูกจัดไว้อย่างสะอาดผิดกับทุกวันที่รกรุงรังจากนิตยสารและหนังสือการ์ตูน แต่วันนี้ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ มีเพลงที่ใช้ฉลองคริสตมาสในเวอร์ชั่นต่างๆ ถูกอัดใส่เทปเปิดไว้ไม่ดังเกินไปเพื่อที่จะไม่มาขัดบรรยากาศที่เจ้าของห้องบรรจงจัดไว้
โอเล่ นั่งที่เตียง หยิบนิตยสารมาอ่าน ส่วนใหญ่เป็นหนังสือรวมชุดแต่งรถมอเตอร์ไซค์ กับการ์ตูนญี่ปุ่น  และยังมีหนังสือที่รวบรวมโมเดลหุ่นยนต์ตัวละครการ์ตูนดังในโทรทัศน์  โอเล่ไม่ได้มีเจตนาอยากจะรู้ข่าวสารอะไรจากหนังสือเหล่านี้ แต่เขาหยิบมาอ่านแก้เขินเพราะว่ารู้สึกใบหน้าตอนนี้มันร้อนเผ่า เพราะกล้าที่นั่งอยู่ติดกันบนเตียง เอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่ตลอด
“โอเล่จ๋า”

“อย่ามาทำพิเรนทร์อะไรนะ”

“เรามีของขวัญคริสตมาสจะให้”

“ก็เอามาสิ”

“อยากให้เธอหยิบเอง”

“อยู่ไหนล่ะ”

“อยู่ในกระเป๋ากางเกง” กล้าใช้สายตายียวน แล้วมองไปที่กางเกงฟุตบอลอะดิดาสสีขาวของตัวเอง

“ก็หยิบออกมาสิ”

“ไม่ได้ มันเป็นของเธอ  อยากให้เธอเป็นคนหยิบ” กล้ากระซิบที่หูของคนที่นั่งข้างกาย
โอเล่เอามือค่อยๆล้วงไปในกระเป๋ากางเกงของกล้าอย่างช้าๆ แต่ล้วงเข้าไปก็ต้องฉงนเพราะเหมือนกางเกงนั้นไม่มีกระเป๋า หนุ่มตัวบางผิวขาวซีดจึงเขยิบมือเข้าไปอีกนิด เหมือนจะหาปลายทางไม่ได้จนไปสะดุดกับบางสิ่ง ที่เจ้าของตั้งใจจะมอบให้




หน้าบ้านหลังใหญ่ในโครงการยักษ์ รถแท็กซี่สีเขียวสลับเหลืองจอดรอที่หน้าบ้าน มิเตอร์ยังคงวิ่งไป ยอดดอยเอื้อมมือไปรับถุงขนมห่อใหญ่ที่ปุยถือติดมือมา แล้วพาปุยขึ้นรถแท็กซี่กลับมาที่โรงแรมย่านปิ่นเกล้า เยื้องกับสถานีขนส่งสายใต้ ดอยโอบปุยมาอิงที่ไหล่ของตัวเอง  คนขับแท็กซี่เขม็งตามองผ่านมากระจกส่องหลังเพื่อมองหนุ่มผู้โดยสารสองคน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหันไปเพิ่มวอลลุ่มเพลงให้ดังขึ้นแทน เพลง White Chirstmas จากเสียงของ Elton John ผ่านคลื่นวิทยุ 105.50 ตามคำขอของผู้โดยสารดังลอยแผ่วมา  ดอยหอมที่หน้าผากปุย แล้วโน้มศีรษะของปุยมาอิงที่ไหล่ของเขาไว้




ที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ กลางศูนย์อาหารที่ถูกตกแต่งใหม่ ถูกกั้นไว้ไม่มีผู้คนมาใช้บริการเพราะวันนี้ถูกทำเป็นพื้นที่ส่วนตัว ตกแต่งไฟไว้สวยงาม มีป้ายแขวน Merry Chirstmas 1999 กับต้นคริสตมาสใหญ่ แต่งด้วยลูกบอลสีทอง มีกล่องของขวัญวางที่พื้น  ที่โต๊ะมีอาหารชั้นเลิศวางอยู่ แม้อาหารจะไม่ค่อยพร่อง แต่เครื่องดื่มถูกเสิร์ฟเติมอยู่บ่อยครั้งโดยพนักงานผู้หญิงที่ยืนไม่ห่างโต๊ะอาหารซึ่งมีผู้ร่วมโต๊ะเพียง 6 ท่าน
“คุณพี่ลองทานปูอลาสก้า ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นนิยมมาก แต่จริงๆ ก็เอามาจากทะเลที่ฟิลิปปินส์แถวบ้านคุณโทนี่แหล่ะค่ะ”

“อืม อร่อยมากเลยค่ะน้องเปิ้ล  แล้วนี่เมื่อเช้าได้ไปวัดไหม”

“ไปมาค่ะ คนเยอะมาก แต่สายต้องไปช่วยงานที่โบสถ์ คือวิ่งทั้งพุทธ ทั้งคริสต์ ปรับศาสนาตัวเองไม่ถูกเลยค่ะ”

“ดีแล้ว มีอะไรให้ทำ จะได้เพลิน คนอายุอย่างพวกเรา ก็ต้องวัดวานี่แหล่ะ”

“ไว้น้องไปรับพี่ที่บ้านนะคะ เวลามีงานบุญใหญ่ ไปด้วยกัน”  หญิงตัวท้วมผิวผุดผ่อง เชิญชวนผู้เป็นมารดาของอาร์ม

“แล้วนี่ คุณโทนี่จะไปทำห้างที่สุพรรณเพิ่มหรือเปล่า เห็นมือกลองบอกว่า กำลังจะมีแผนจะไปลุยต่างจังหวัด” ป๊าของอาร์มถามชายที่นั่งอยู่เยื้องกัน

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับพี่ ร่างกายผมก็ไม่ค่อยจะแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้ มือกลองมาช่วยงานก็แทบจะปล่อยให้ลูกหมดแล้ว นี่พี่ยังดี มีทั้งโอ๊ค ทั้งอาร์ม แต่ละคนขยันขันแข็ง”

“โอ๊คน่ะขยัน อาร์มนี่ขอดูพฤติกรรมไปก่อน” ป๊าเหลือบหางตามามองหนุ่มน้อย

“อ้าวทำไมป๊าเผากันอย่างนี้ล่ะ” อาร์มกังขา พอจะเรียกอารมณ์ขันของคนบนโต๊ะมาเบรกบรรยากาศที่ตึงเครียดในช่วงเริ่มวงสนทนาได้บ้าง   มีเพียงมะนาวเพียงคนเดียวที่นิ่งเงียบ แต่ก็ทานกับข้าวที่อาร์มตักให้เป็นระยะ

“หนูมะนาว เรียนคหกรรมเป็นอย่างไรบ้าง ชอบไหม” เปิ้ล มารดาของมือกลองเอ่ยถาม เมื่อเห็นมะนาวไม่ได้พูดจานัก

“สนุกดีค่ะ มีอะไรให้เรียนรู้เยอะ”

“ศูนย์อาหารชั้น 3 นี้..  น้ายกให้หนูนะ  จะเอาไว้ทำอะไร ก็ตัดสินใจได้เลย มันเป็นของหนูแล้ว”






แท็กซี่จอดที่ปั๊มน้ำมันฝั่งตรงข้ามห้างเมอร์รี่คิง ปิ่นเกล้า ยอดดอยขอมือถือของปุยออกมากดเบอร์โทรออก ไม่ถึง ห้านาที มีรถกอล์ฟสีขาวขับออกมารับพวกเขาเข้าซอยแคบไปสู่โรงแรม  ซึ่งเป็นที่พักสไตล์รีสอร์ทขนาดเล็กใจกลางชุมชม มีสระว่ายน้ำ และพื้นที่ของสวนมากกว่าขนาดอาคารที่พักซึ่งเป็นตึก 2 ชั้นรูปตัวแอล  เสียงโมบายไม้ไผ่ตีกันทุ้มนุ่มคล้ายบอกต้อนรับผู้มาเยือน ดอยทำการชำระเงินและพาปุยเดินไปยังห้องพักชั้นล่างไกลสุดซึ่งอยู่ติดกับสระน้ำขนาดเล็ก และศาลาไม้ที่ไว้ใช้เป็นที่นวดแผนไทย
“สระว่ายน้ำคงปิดแล้วใช่ไหมครับ” ปุยถามเจ้าหน้าที่ซึ่งเหมาตำแหน่งทั้งขับรถรับส่ง และยกกระเป๋า จนปุยอดไม่ได้ที่จะควักธนบัตรส่งให้เป็นทิป

“ทางเราไม่ได้ห้ามลงหรอกครับ แต่ถ้าไม่เสียงดังรบกวนท่านอื่น ไม่มีโรคประจำตัว และดูแลตัวเองได้ ก็เชิญเล่นน้ำได้ครับ”

“ขอบคุณครับ พวกผมจะระวังตัว”






“ไอ้บ้า ไอ้ผีทะเล ไอ้กล้าไอ้ตัวชั่ว เห็บหมา ไอ้ปลาดุกเน่า”

“งัดออกมาเลยครับที่รัก ความเกรี้ยวกราดที่มีทั้งหมด”

“อย่ามาเล่นอะไรแบบนี้ ไม่ชอบ”

“ไม่ชอบจริงอ่ะ กำซะนานเลย โอยยยย ซี้ด”

“นิสัย”

“ก็เราอดใจแทบไม่ไหวแล้ว เธอมันน่ารัก”  กล้าเอื้อมตัวไปหอมที่แก้มของโอเล่

“อยู่กับคนง่ายๆ แก๊งพวกสาวใจแตก แล้วคิดว่า คนจะเป็นแบบนั้นกันหมดหรือไง”

“ไม่ใช่นะ เราไม่เคยมองเธอแบบนั้น  เราแค่อยากใกล้ชิด หัวใจเราเต้นแรงเวลาอยู่กับเธอสองต่อสอง”

“......”

“ไม่เชื่อใช่ม๊า” กล้าพูดจบก็ถอดเสื้อยืดสีดำออก เผยให้เห็นแผ่นอกที่ดูมีมัดกล้ามเกินวัย ก่อนจะคว้ามือโอเล่มาคลำและวางมือไว้ที่หน้าอกด้านซ้าย” ได้ยินเสียงหัวใจเราเต้นไหม

“อืม”

“แล้วเธอยังจะว่าเราโกหกอีก”

“ก็นี่มันหัวใจ ส่วนนั่นมัน.... โอ๊ย ไอ้ลามก”

“อย่าไปคิดในเรื่องอุจาดสิครับ มันอยากรู้จักโอเล่นะ”

“ดูมึงพูดเข้าสิไอ้กล้า ไอ้ห่าลาก”

“มันไม่โกหกเธอหรอก อยากดูมันใกล้ๆไหม”

“กลับดีกว่า” โอเล่ทำท่าจะลุกจากเตียงไปแต่กล้ารีบคว้าตัวไว้ในอ้อมกอด  กล้าค่อยๆ เอามืออีกข้างที่เหลือ ถอดกางเกงตัวเองออก เหลือเพียงร่างกายที่ล่อนจ้อน กับแก่นกายที่พองก๋า  “ไอ้กล้า  หือออ  ฉันกลัว”

“อย่ากลัวนะครับที่รัก เราจะไม่บังคับฝืนใจอะไรที่เธอไม่ยอม  เราแค่อยากให้เธอรู้จักมันอีกหน่อย มันเป็นของเธอนะ”

“ก็จับไปแล้วไง”

“เมื่อกี้จับ แค่ทักทาย.. ทีนี้ กล้าอยากให้โอเล่ ได้คุ้นเคยกับมัน รู้ไหม มันรักโอเล่มากนะ.. ที่รัก.. ลองจูบมันดูสิ”




โต๊ะอาหารที่เหลือเพียงซากเปลือกอาหารทะเล ขวดเบียร์เปล่าหกขวด แมวช่วยนกน้อยเก็บโต๊ะ โดยมีแจ้นั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้โยกหน้าทีวี 
“วางไว้นั่นแหล่ะ ไปนอนเหอะ เดี๋ยวชั้นเก็บเอง”

“ให้น้องช่วยเถิด น้องอยากมาได้บ่อยๆ”

“ก็มาได้ตลอดนี่ ไม่มีใครห้ามสักหน่อย”

“พี่น้อยไม่โกรธแมวเหรอ”

“หายโกรธแล้ว ยกโทษให้”

“น้องขอบคุณพี่มากนะ น้องเปลี่ยนไปแล้ว น้องเป็นคนใหม่มานานแล้ว แม้จะไม่มีใครอยู่ข้างๆ”

“โลกจะแตกแล้วแมว อยากทำอะไรก็ทำ แต่ถ้ามีวันหลังวันที่โลกแตกรออยู่  ก็ลืมอดีตซะ แล้วทำทุกวันให้ดี”

“น้องยอมทิ้งผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้มีเพื่อนอย่างพี่นกน้อยนะคะ”

“ปากแกหวานอย่างนี้ ผู้ชายถึงเสร็จแกหมด นังแรด ยกจานไปล้างเลย”





ในสระว่ายน้ำขนาดเล็ก สองหนุ่มที่ใส่เพียงกางเกงขาสั้นเปลือยท่อนบน ลงเล่นน้ำอย่างเงียบๆ ไม่ส่งเสียงดัง คล้ายลอยตัวในน้ำเพียงแค่เบิกรับความสดชื่นจากความเย็น เขาสบตากันในขณะที่โผล่จากน้ำมาแค่ยอดอก ตัวล่ำคล้ำของดอย ตัดกับผิวขาวหยวกของปุยใต้แสงจันทร์  เสียงโมบายไม้ไผ่ยังคงกระทบกันดังทุ้มนุ่มไปทั่ว ดอยเอื้อมมือไปดึงสะโพกของปุยมาชิดแนบตัวไว้ เขาจูบไปที่หน้าผากของปุย ไล้มาที่สันจมูก เขายกปากออก แล้วจูบไปอีกทีที่แก้มขวา  แล้วไต่ริมฝีปากมาที่ริมฝีปากของปุย ตาของสองหนุ่มสบกัน
ดอยโรมรันไปที่ปากของอีกฝ่าย เขาบดมันด้วยปากของเขา ก่อนจะแลกลิ้นกันในสระน้ำนั้น  ดอยเอามือไล้ตามแผ่นหลังที่ขาวเนียนของปุย ในขณะที่ปุยทำได้แค่เพียงเอาฝ่ามือทั้งสองยันแผ่นอกของดอยเอาไว้ เพื่อต้านทานการโจมตีอย่างหนักหน่วงของหนุ่มตัวใหญ่ ที่จู่โจมเขาไม่หยุดหย่อนจนปุยต้องหายใจลึกและถี่
ดอยเอามือของปุยมาจับแก่นกายที่พองโตใต้กางเกงผ้าร่มของเขาเพื่อบอกถึงความสิเน่หา  ปุยกำมันไว้แล้วดูดปากตอบ ทั้งคู่หายใจถี่ขึ้น ผิวน้ำในสระกระเพื่อมไปมา ดอยแหย่ลิ้นไปที่หูซ้ายของปุย เขาเม้มที่ติ่งหูแล้วขบเบาๆจนปุยครางออกมา ดอยดึงกางเกงลงไปอยู่ที่เข่า แล้วคว้ามือปุยกลับมาสัมผัสพยานสิเน่หาของเขาอีกครั้ง ก่อนจะรุกเข้าที่ซอกตอของปุยจนฝ่ายตั้งรับต้องอ่อนระทวย ดอยดันตัวของปุยที่ลอยน้ำไปจนใกล้ขอบสระ เขาไม่ละปากออกจากริมฝีปากของอีกฝ่าย ดอยยังคงบดขยี้ริมฝีปากของปุยด้วยรอยจูบของเขา มันเบาแต่เร่าร้อนในความรู้สึกจนปุยหายใจไม่ทัน
ดอยจับขาของหนุ่มร่างบางที่หายใจหอบมาคร่อมไว้ที่เอวเขา ก่อนจะจับใบหน้าของปุยเชิดขึ้นมามองหน้าเขา  ปุยพยักหน้า ดอยโน้มตัวเข้าจูบอีกครั้งพร้อมดันตัวเขาไปแนบชิดอีกฝ่ายจนหลังของปุยแนบติดขอบสระ




บนผ้าปูเตียงสีน้ำเงินเข้ม ฟูกนุ่มฟูยุบลงเพราะน้ำหนักของหนุ่มน้อยสองคนที่คร่อมทับกันไว้  โอเล่ที่ถูกถอดเสื้อผ้าจนล่อนจ้อนมองหน้าคนที่คว่ำหน้าคร่อมเขาไว้ โอเล่มองตา ตัวสั่นเพราะความหนาวของแอร์ที่เร่งความเย็นไว้จนสุด กล้าที่ไม่มีอาภรณ์ห่อหุ้มร่างกาย เผยให้เห็นมัดกล้ามที่ชัดเจนเกินวัย เขาคว้ามือโอเล่มาลูบไล้แผ่นอกเขา ลากไปที่เอว สะโพก แล้วย้อนกลับมาที่แผ่นหลัง
“เป็นของเรานะโอเล่ เราฝันถึงเธอมานาน มาทำวันนี้ให้มันเป็นจริงนะ”

“มันจะเจ็บไหมกล้า”

“เจ็บ”

“เฮ้ย งั้นไม่เอา”

“เจ็บ แต่เธอจะจดจำมัน ให้เราเป็นคนแรกของเธอนะ แล้วเราจะทำตัวให้ดีขึ้นทุกวัน คู่ควรกับการได้เป็นคนแรกของเธอ”

“นายจะทำให้เรามีความสุขไปตลอดกาลใช่ไหม”

“เราไม่รู้  เราไม่โกหกว่าอนาคตของพวกเรายังไม่ชัดเจนขนาดนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราบอกได้”

“คืออะไร”

“เราจะทำคืนนี้ให้มันดี เป็นของเรานะ.. ที่รัก” 

“อย่าทำเราเจ็บนะ”

“สั่งมันสิ.. มันเป็นของเธอ..  เพียงเธอ คนเดียว”  กล้าคว้ามือของโอเล่ไปจับที่ลำกายของเขา แล้วก้มลงมาบดปากโอเล่ที่เจ่อแดง กล้าหายใจแรง มีเหงื่อซึม เขาพรมจูบโอเล่ที่ครางออกมาอย่างแผ่วเบาแต่ชัดเจนในความรู้สึกของกล้าที่รอวันนี้มาแสนนาน..


หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 30 : เริ่มรู้จักความหมาย ของคืนวัน.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 22-04-2018 15:58:24
พี่อาร์มน่ารัก
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 30 : เริ่มรู้จักความหมาย ของคืนวัน.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: LovelyPenGirl ที่ 25-04-2018 19:56:40
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 30 : เริ่มรู้จักความหมาย ของคืนวัน.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: Hyenas ที่ 08-05-2018 22:25:41
โค้งสุดท้ายแล้วสินะ มะนาวนี่อย่างเท่
หัวข้อ: Re: Love of 1999 : มารักกัน.. ก่อนวันสิ้นโลก [ Track 30 : เริ่มรู้จักความหมาย ของคืนวัน.. ]
เริ่มหัวข้อโดย: SocialMovement ที่ 13-05-2018 18:24:20
วันที่ 31 แล้วสินะ :m15: