เรื่อง : ห้องลับภายในใจ
(เพลงประกอบ Safeplanet - ห้องกระจก (Mirror Room))
๐๐
ในวันที่ความเงียบกลืนกินบรรยากาศ ภายนอกอาคารฝนก็กำลังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย
“มัท มึงจะมองไปที่หน้าต่างอีกนานไหม”
“อ้าวไอ้เชี้ย กูมองฝนตกก็ผิดหรอวะ”
ชายหนุ่มหันไปค้อนเพื่อนวงใหญ่หลังจากถูกขัดจังวะในการสังเกตุสายฝน
“คือมึงเพื่อน มันควรจะตื่นเต้นมากกว่านี้เว้ย แบบฝนตกเดือนกุมภางี้
มึงมองซะหงอยเหงาเป็นหมาโดนทิ้งเลยว่ะ”
“หมาโดนทิ้งไร กูโสดมายี่สิบเอ็ดปีจะเอาเวลาไหนไปทำเศร้าอกหัก”
“มึงก็ย้ำตัวเองจัง เอามะเดี๋ยวกูช่วยขาย “เพื่อนสนิทที่นั่งข้างกายพูดขึ้น
กลับเจอตอบกลับด้วย
“โถเพื่อน กูแค่โสดนะ มันไม่โรคสังคมรังเกียจ ไม่ต้องเวทนากันขนาดนั้น”
“อ้าว เหรอ”
“เออ!”
เพื่อนสนิทของชายหนุ่มผู้กำลังหัเสียยังคงเซ้าซี้ไม่หยุดหย่อน
ทั้งที่ปกติไม่ทำแบบนี้ แต่เพราะอาการประหลาดของคนตรงหน้า
ที่เกิดขึ้นมันเป็นเฉพาะวันนี้
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้
“แต่มึงโอเคใช่ไหม”
“มันก็แค่ฝนตก กูคงจะเฉาเพราะฝนตกว่ะ”
ชายหนุ่มตอบเพื่อน
โดยสายตายังคงจ้องมองสายฝนที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเม็ดหนาขึ้น
เสียงร้องจากภายในกลับพูดต่างไป
เปล่าหรอก ผมน่ะเฉาเพราะเดือนนี้….
๐๐
เอี๊ยด
เสียงเลื่อนเก้าอี้ภายในห้องแห่งความเงียบ
ฟุบ
เสียงวางของบนโต๊ะตัวเดียวกันกับที่ผมกำลังฟุบอยู่
อ๋อ ลืมแนะนำตัวให้ได้รู้จัก
ผมชื่อมัท อยู่ศึกษาศาสตร์ เอกภาษาไทย
...โคตรแปลกว่าไหม
มันคงแปลกตั้งแต่ตกลงคุยกับที่บ้านเรื่องเรียนต่อแล้วล่ะ
พ่อแม่ที่เป็นครูก็บอกและผมก็คล้อยตามกับคณะ
ส่วนเอกผมเลือกเพราะชอบหนังสือ
มันคงติสต์เลยนะ ถ้าสัมภาษณ์งานแล้วผมตอบว่าชอบโลกของวรรณกรรม
คิดจะเปลี่ยนคณะอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ผ่านมาแล้วครึ่งชีวิตการเรียนมหาลัย
เห้ยๆ เห็นผมงี้ก็มีอุดมการณ์ความเป็นครูอยู่นะ
ไม่ได้มาเล่นๆ นะครับ
เล่าซะเพลิน แต่ฝนก็ยังโปรยปรายที่ด้านนอก
โต๊ะที่ผมนอนมันค่อนข้างติดมุมห้องและหน้าต่างใสแจ๋ว
เวลาแบบนี่แหละที่ผมชอบมาสิงสถิตอ่านหนังสือที่สุด
แต่สำหรับวันนี้ แค่อยากมาเฉยๆ
มาดูฝน
“จะไม่ตื่นมาดูจริงๆ ใช่ไหม”
เสียงทุ้มลึกถามขึ้น
เสียง….คนตรงข้ามที่เพิ่งเข้ามานั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน
ผมพอจะรู้แหละว่าใคร
“อื้ม”
“ส่งเสียงแค่นี้”
“แล้วจะให้ตอบอะไร”
อีกฝ่ายเปลี่ยนคำถามเป็นคำแกมบังคับ
“ลุกขึ้นมากินข้าว”
“ไม่หิว” ผมบอกปัดปฎิเสธ
พร้อมห่อตัวเองกับเสื้อคลุมคณะพยายามนับแกะในใจ
“คนอุตส่าห์วิ่งมาจากลานกีฬาในร่ม”
เสียงบอกลอยตามลม แต่พอจับน้ำเสียงได้ว่าเจ้าตัวกำลังขอความสนใจ
อาการน้อยใจ ผมรู้จักดี
ครับ ผมเงยหน้าขึ้น
อีกฝ่ายนั่งกอดอกมองกระจกด้านนอกด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
“แล้วมาทำไม”
สายตาก็เหลือบเห็นว่าเสื้อผ้าร่มของเขาเปียกชื้นระดับหนึ่ง
“มาหานายไง มัท”
“ตึกคณะกับอาคารเรียนนายมันไกลพอสมควรนะ”
แถมฝนจากเมื่อกี้ก็ดูจะตกหนักขึ้นมากด้วย
“ก็แล้วทำไม ก็คนอยากมา”
“กวนตีนว่ะ”
“กับนายคนเดียว”
กวนมากวนกลับไม่โกงฮะ “จีบเหร๊อ”
คนตรงข้ามเหล่มาก่อนจะตอบกลับมา
“ถามมากี่รอบแล้ว”
“ไม่รู้ดิ จำไม่ค่อยได้ ช่วงนี้เครียดกับวิชาหลักสูตรสมองเลยเบลอๆ “มัทเริ่มทำท่านับนิ้ว
“น้อยใจจัง จีบมาเกือบปีไม่เห็นจะก้าวหน้า”
คนตรงข้ามแม้จะพูดออกแนวน้อยใจ แต่มุมปากกลับยกยิ้ม
ผมอ้าปากหาวเล็กน้อย
“ไม่ไหวก็ถอย อย่างน้อยก็เพื่อนร่วมคณะร่วมรุ่น หรือเพื่อนร่วมมหาลัยดีล่ะ”
อีกฝ่ายทำหน้าหวานอมขมกลืนแปลกๆ
“ยิ่งใหญ่ไป รับไม่ไหว เอาแค่แฟนพอน่าอบอุ่นดี”
“เชี้ย ทิน พูดไรให้เข้ากับหน้าหน่อย”
เขารู้ว่าคนตรงหน้าเวลาเดินผ่านใครต่างบอกว่าโคตรแมนแสนเย็นชาติดเท่หน่อยๆ
แต่ทำไมพอมาอยู่กับเขาเจ้าตัวดูพูดแต่คำระรื่นหูจนเขาเอียนไปหมด
“ไม่เอา คุยกับคนที่ชอบก็ต้องเพราะๆ ดิ “
"ครับ "
ตอบรับสั้นๆ ก็ได้แต่งุดก้มหน้าโซ้ยข้าวผัดหมูนุ่มของผม (ที่ทินซื้อมาฝาก)
ใครมันจะคิดว่าไอ้หนุ่มหน้าแมน คมเข้มแต่ไม่ถึงมากที่สุด
ผิวแทน สูงน่าจะร้อยแปดสิบสอง ผมทรงอันเดอร์คัตที่ไม่เคยเปลี่ยน
ชอบทำหน้าตายเสมอ
และที่สำคัญเขาคนนี้เป็นคนที่เข้ามาสารภาพว่าต้องการจะจีบผมตอนจะขึ้นปีสาม
เอ่อ ก็พอรู้รสนิยมตัวเองว่าเปิดกว้างแม้ไม่ได้ลองเรียนรู้จริง
เพราะสิ่งแวดล้อมรอบข้างในโรงเรียนมัธยมชายล้วน
พอเข้ามหาลัยก็อยู่เอกที่มีประชากรหญิงท้วมท้น
มองภาพชีวิตเด็กหนุ่มผิวขาวแต่ไม่ได้ผ่องกระจ่างเนื่องจากเอาชีวิตไปผูกติดกับการวิ่งอยู่พักหนึ่ง
ปากเป็นกระจับแบบที่เพื่อนสาวแท้เทียมชมว่าเล็กน่ารัก สูงร้อยเจ็ดสิบ
ติดผอมไปหน่อย ผมปล่อยยาวแต่ไม่เคยเกินปะบ่า
เนื้อตัวไม่พกไรมากมีหนังสือ หูฟังมือถือก็มีชีวิตรอด
ขนาดพูดในใจยาวนานขนาดนี้ คนตรงข้ามก็ยังไม่ละสายตาออกไปอีก*! *
๐๐
“วันนี้ทำไมดูซึม”
ทินเอ่ยปากถามคนตรงหน้า
“ฝนตกพาซึม”
“ติสต์นะเรา”
“อาร์ตตัวพ่อเลยแหละ”
“ว่าแล้ว ยังว่าทำไมเอาใจยาก”
….
“เงียบเลย”
….
“พูดเล่นน่ะ”
มัทกล่าวขอบคุณเรื่องข้าวเที่ยง
“อิ่มแล้ว ขอบคุณสำหรับอาหารฮะ”
“ไม่เป็นไร” ทินยิ้มรับ
“เราหมายถึงพระแม่โพสพ”
“อ้าว”
“อ้าวไร”
ไม่พูดไรมาก ทินเอื้อมมือมาขยี้ผมอีกฝ่ายจนเสียทรง
“เห้ยๆ หมดหล่อ”
“น่ารัก”
มัทสะบัดหนีก่อนจะเซ็ตผมใหม่อีกครั้ง
พร้อมทั้งหันมาเก๊กยิ้มๆ ให้อีกฝ่าย
“หล่อไหมล่ะ ชายบนหิ้งของเอกนะเว้ย”
“สอยลงมาได้ปะ ไม่อยากให้ใครเห็น”
นี่ก็พูดยังกับจะสอยมะม่วง!
“ถ้าเป็นจริง จะเป็นมดที่อันตรายที่สุดเพื่อแฝงมะม่วงเลยเอ้า”
“วันนี้มาแปลก รุกเหลือเกินนะ”
มัทหรี่ตามอง
“ก็ วันนี้ฝนตก”
ทินยิ้มมุมปากตอบ
“เหตุผลไม่น่าฟังขึ้นนะ”
“หยวนๆ นะ มัท”
แล้วเราทั้งคู่ก็เล่นเกมจ้องตาในความเงียบอีกครา...
๐๐
“ถามจริงทำไมถึงมาจีบเรา”
ความถามมีสาระก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเข้ามาจีบ
มัทยังไม่เคยเอ่ยปากถามเลยซักครา
“ก็ชอบ” คำสั้นๆ แต่หนักแน่น
“แค่ชอบไม่น่าทนมาเกือบปีนะ”
“ไม่รู้ดิแค่ชอบ ชอบทุกอย่างที่เป็นนาย”
“นายอาจจะเห็นแค่กรอบนอกเราเปล่า”
“ถ้านายพร้อมก็เปิดใจให้เราเรียนรู้ดิ”
ครืด
เป็นผมเองที่ผุดลุกขึ้น พร้อมรวบของทุกอย่างลงกระเป๋า
“จะไปแล้วเหรอ”
“อื้ม “มัทเอาแต่มองหน้าต่างก่อนจะเดินออกห่างโต๊ะ
แต่ก็ถูกรั้งไว้กับอีกคน
“ปะ ไปพร้อมกัน”
“ไม่ เรามีธุระต้องไปทำก่อน"
“อ้าวเหรอ”
“บาย”
“เจอกัน”
ก่อนที่ตัวเองจะเดินออกไปไกล
สายตาเหลือบหันไปมองอีกคนที่ยังนั่งที่เดิม
ไม่ได้จะรั้งเอาไว้ แค่ไม่คิดว่านายจะรอมานานขนาดนี้
ขอโทษ
มันยังตกค้างในใจ
๐๐
’ ทำไร’
’ นอนเล่น’
[/i]
’ เห้ย พ่อแม่ส่งมาเรียน’
’ งีบเดียวแล้ว....’
’ จะตื่นมาเรียน?’
’ เปล่า อ่านการ์ตูน’
’ …...ครับ’
๐๐
” มัท วิชาการจัดการในชั้นเรียนอะ เราไปเรียนรวมกับอีกเอก อาจารย์แกจะสอนรวมกัน”
เพื่อนสนิทบอกทันทีที่กำลังจะไปเรียนวิชาช่วงบ่ายสาม
” อ้าว ทำไม”
” จารย์แกบอกอยากให้เราไปดิสคัทกัน”
บ่ายสามกับช่วงอ่อนล้าของชีวิตเด็กเรียน” ว่างเปล่ามากสมองตอนนี้”
มัทร้องโอดควญกับความคิดของอาจารย์
” เอาน่า เดี๋ยวเอกเรานะ ตอบเป็นกลุ่มไปเลย สามัคคีชุมนุมไปเลย”
” ถ้าจะขนาดนั้นนะเพื่อน” มัทส่ายหัวให้กับความคิดประหลาดๆ ของเพื่อน
” ไปเรียนเถอะ ขืนไปช้ากระผมจะโดนเพ่งเล็งจากท่านอาจารย์อีก”
๐๐
’ อยากยิ่งใหญ่’
‘ผมก็ใหญ่นะ พี่เล็กเหรอ’
‘หมายถึงอุดมการณ์เว้ย’
‘อ้าวเหรอ 555555’
‘ไอ้หนู ทะลึ่งใหญ่ละ’
‘ไม่ทะลึ่ง แต่ก็ใช้ได้อยู่’
‘ใช้ไปซื้อกับข้าวได้ไหม’
‘กวนตีนน่าเฮีย’
‘ถ้าเรียกเฮียแล้วหยาบขนาดนี้ก็อย่าเรียกเพราะๆ เลย’
‘อ้าว เพื่อน’
‘ฟวยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย’
[/i]
๐๐
หลังจากที่เข้ามาภายในห้อเรียนขนาดใหญ่ของคณะ
มัทก็นั่งเท้าคางมองหน้าต่างอีกครั้ง
เมื่อสนิทกระทุ้งเข้าที่สีข้างทำให้หันกลับมาละทิ้งสิ่งที่เพ่งพินิจอยู่
” มึงเหม่ออีกแล้ว”
” ปกติ”
” ปกติมึงเงียบแต่ก็ทำไรไปด้วย นี่กูเห็นตามึงทะลุออกนอกหน้าต่างไปแล้ว”
เสียงจิปากไม่อยากพูดอะไรต่อ จึงปัดความไปส่งๆ
” ก็เล่นมือถือก็โดนเรียกยืนอีกดิ แถมวันนี้เอกที่มาเรียนด้วยก็ใช่ย่อย
ทำไรพลาดไปแม่งเผาจนกว่าจะจบแน่”
มัทเลี้ยวมองไปทางด้านหลัง เจออีกเอกที่นั่งทะมึนไม่กล้าสบตาเท่าไหร่
แม้พวกเขาภายในห้องเรียนนี้จะอยู่ร่วมคณะกัน
แต่รูปแบบการเรียนที่สอดคล้องกับเอกทำให้มีช่องว่างระหว่างกันพอตัว
” มึงก็ว่าเขาเกินไป ถึงเอกพละมันจะพากันกวนส้น ปากมอม แต่มันก็เอาการเอางานนะเว้ย”
เพื่อนสนิทพูดเสียจนต้องหรี่ตาจับอาการบางอย่าง
” เดี๋ยว มันจ้างมึงมาโปรเท่าไหร่” มัทใช้มือพลักศีรษะเพื่อนเบามือ
” กูพูดจริงเว้ย สังคมเรามันต้องคลุกคลีแมนๆ บ้าง เอกพละตอบโจทย์ที่สุด
ปีหนึ่งกูยังเห็นมึงไปเป็นตัวจริงลงวิ่งกับเอกพละอยู่เลย ไม่ใช่เหรอวะ หรือว่ากลัวใคร”
ไอ้สายตากรุ้มกริ่มตอนพูดของเพื่อนสนิท อยากทำให้เขาซื้อทิ้งซะ!
” ครับๆ แล้วแต่เลย” มัททำตัวเป็นปกติเปิดสมุดรอจด
” มันมีดีแตกต่างกันไป เปิดใจให้กันหน่อย”
” เข้าใจว่าพูดถึงเอก แต่มันแม่งๆ เหมือนชี้เน้นตัวคนเนอะ”
” ปล่าวววววววววววววว” พูดจบเพื่อนสนิทก็หันไปจดเอกสารประกอบการเรียนรู้ต่อ
แต่มุมปากนั่นรอยยิ้มดั่งวายร้ายยังคงประดับไว้
มัทถอนหายใจก่อนลงมือจดข้อความบ้าง
๐๐
’ วิ่งเป็นไง’
’ เหนื่อยสัส’
’ ไม่เพราะ’
’ เหนื่อยจังครับ’
’ พูดดี เอาน้ำไร’
’ น้ำพี่’
’ ฮะ’
’ น้ำที่พี่ซื้อมาให้ ของฟรีมันดีครับ’
’ พูดขนาดนี้เลยนะให้ขึ้นรถเอาไปให้ไหม’
’ ก็พูดไปงั้นแหละ กลับบ้านดีๆ นะพี่’
'ไม่เอาน้ำจากพี่แล้วเหรอ'
[/i]
’ จะรบกวนเปล่าๆ โรงเรียนเราห่างไกลจะตาย
พี่สวัสดิการแบกน้ำมาให้แล้วด้วย ผมรอดตายแล้วล่ะ’
[/i]
.
.
กลับเป็นเสียงจากด้านหลัง
’ แต่พี่ซื้อน้ำแดงมาให้แล้วนะ หันมาดิ’
แก้วพลาสติกแนบที่หน้าเบาๆ
[/i]
๐๐
ทำไมสองชั่วโมงมันดูนานเหลือเกิน
นาฬิกาในห้องก็ดันมาตาย
มัทจึงขอแอบดูจากมือถือหน่อยนะ ท่านอาจารย์อย่าเพิ่งหันมา
แต่พอกดเข้าไป ความอยากเล่นมือถือคลายเบื่อก็ทำใจสั่น
เขาจึงกดโปรแกรมในเครื่องตัวเอง
เปิดดูเอกสารที่กดดาวน์โหลดเพื่อนำมาเขียนรายงาน
จนไปพบไฟล์เอกสารบันทึกจากหน้าจอ ที่เขาก็ลืมไปแล้วว่ามันคืออะไร
เขาจึงเลือกกดเข้าไปดูรายละเอียดเพื่อตั้งชื่อให้มัน
ขอโทษ
13.02.xxxx
(ต่อด้านล่างนะคะ :z13:)
มัทกลืนน้ำลายผ่านคอที่แห้งผาก
ก้อนคำบางอย่างมันจุกที่คอ
ต้องใช้เวลาเท่าไหร่
ถึงจะลืมบางมัน.....
๐๐
"คุณมัทนะ”
เสียงอาจารย์เรียกชื่อจากด้านหน้าของชั้นเรียน ทำให้เขาละจากจอมือถือของตนเอง
หูที่ได้ยินแค่เสียงวิ้งค์ก่อนหน้าเพิ่งจูนให้ตรงกับสายระบบการสื่อสารภายในห้อง
"ครับ"
เสียงขานรับเดียวจากภายในห้องกว้างรวมคนภายในเกือบแปดสิบคน
ท่านทำเพียงแค่มองลอดผ่านใต้แว่นสายตาก่อนจะกวาดสายตาพูดกับทุกคนภายในห้อง
"อย่างกรณีนี้ที่เด็กเล่นมือถือภายในชั้นเรียน เราผู้ซึ่งจะไปเป็นครู
จะจัดการและมีมาตรการอย่างไรบ้าง"
สายตาทุกคู่จ้องมาที่มัท ชายหนุ่มอยู่ในสภาวะสงบนิ่ง
ยังจมจ่อมกับสิ่งที่บังเอิญเลื่อนเจอ ภาพบันทึกหน้าจอเมื่อนานมาแล้ว
เสียงซุบซิบพูดคุยเกิดรอบข้าง ต่างแนะนำถกเรื่องการใช้มือถือในคาบเรียน
"เอาล่ะ หมดเวลา เราลองมาเป็นคุณครูประจำชั้นของเด็กชายมัทนะกันดีกว่า
ช่วยแก้ปัญหานี้กัน ใครจะเริ่มก่อน"
แล้วทั้งห้องก็เริ่มกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกัน
ชายหนุ่มหลังสุดจากเอกพละตอบออกแนวกฏตายตัว
สร้างข้อบ่งชัด หากทำก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตน
คำตอบนี้ส่งผลให้เกิดข้อถกเถียงมากมายเพราะออกไปในเชิงลบ
ส่วนหญิงสาวจากเอกภาษาไทยยกมือตอบเชิงสร้างข้อตกลงร่วมกัน
ใช้มือถือเป็นสื่อร่วมในการเรียนรู้
ข้อถกเถียงยังคงมีในเรื่องมูลค่าค่านิยมความเท่าเทียม
หรือแม้แต่ผมสัมฤทธิ์ต่อการเรียนรู้ที่ยังถกเถียงกันได้เสมอ
จำเลยในกรณีตัวอย่าง
ยังคงก้มหน้า เขารู้สึกละอายที่ตนกลายเป็นหัวข้อในเรื่องการทำตัวที่ไม่เหมาะสม
ทั้งที่เหลือไม่อีกปีก็จะออกไปฝึกสอน
ไปเจอโลกจริง
ยิ่งต้องไปพูดเรื่องนี้กับเด็กซึ่งเขาก็ทำพลาดในห้อง
มันจะดูเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีได้
แต่อีกใจหนึ่งเขารู้สึกละอายไปกับพฤติกรรมที่เก็บซ่อนภายในใจที่มันไม่เคยลบเลือนมาจนทุกวันนี้
๐๐
'พี่ ฝากไปบอกเพื่อนพี่ที่ว่าผมไม่เอาเสื้อแล้วถ้ามันจะนานขนาดนี้'
'เสื้อ green day'
'ใช่'
'พี่ว่ามันคงเอาตัวนั้นไปให้แฟนมันแล้วนะ วันก่อนพี่เห็นใส่ไปเที่ยว'
…..
'เงียบเลยเหรอ โกรธมันมากเหรอ'
[/i]
'มาก แม่งเอ๊ย ให้ผมรอทำไมวะ เซ็ง'
'พูดซะเหมือนสาวน้อยตัดพ้อ'
'พี่ ผมไม่เล่นนะ'
'ครับๆ พี่ว่าพี่มีอยู่ตัวนะ แต่อาจจะคนละรุ่น'
'ห๊ะ'
'ไอ้คุณพี่ที่เอ็งรอนั่นแหละ มันชวนพี่ซื้อมาเกร็ง'
[/i]
'พี่จะขายให้ผมเหรอ รุ่นไหน ราคาไหนบอกมา ผมซื้อแน่ๆ '
'ไม่ขายๆ '
'อ้าว ไหงงั้น น้องร้องแล้วนะ'
'พี่หมายถึง จะให้ฟรีต่างหากเล่า'
'….ฟรี……...ไม่ม้างงงงง'
'เอาไปเหอะ ให้คนที่ชอบมัน ดีกว่ามาเก็บซุกในตู้เฉยๆ '
[/i]
'กราบเว้ยยยย ได้เสื้อวงโปรดแล้ว'
พรุ่งนี้พี่จะเอาไปให้ ที่ไหนดีล่ะ'
‘ขอบคุณมากพี่ เจอกันสนามลานกลางเมืองนะ’
[/i]
๐๐
มือกำหมัดแน่น อยากจะวิ่งออกจากห้องไป
แปดปีที่เก็บซ่อนเอาไว้ในที่ลึกที่สุด
คิดแค่เหมือนการขุดให้ลึก เอาดินมากลบๆ แล้วเดินผ่านไปก็ไม่มีใครรู้
ขลาดเพราะความเด็ก
ทำผิดแบบเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสา
แค่อยากจะหนีออกไป
ช่วยด้วย
๐๐
"ผมขอตอบฮะ"บุคคลจากทางด้านหลังยกมือขอตอบประเด็นที่เกิดขึ้น
"ได้สิคุณทินกร"
"ผมขอเดินไปพูดคุยกับนักเรียนกรณีตัวอย่างด้วยนะฮะ"
"ได้ตามที่คุณต้องการ"
เสียงรองเท้ากีฬาตามแบบฉบับเด็กพละก้าวเดินอย่างมั่นคงไปอีกด้านของห้อง
และหยุดลงข้างๆ ที่เก้าอี้ไร้คนนั่ง
ทินนั่งลงข้างมัทนะที่ยังก้มหน้าลงบีบมือตัวเองแน่น
"คุณมัทมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ เมื่อครู่ครูเห็นคุณหยิบมือถือขึ้นมาบนโต๊ะขณะเรียน"
เสียงถามอ่อนโยนจนคนฟังรู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ
มัทเงยหน้าขึ้นพร้อมกับอาการสงสัยที่คนข้างๆ เริ่มบทสนทนาเข้าหาตน
"ผมต้องการจะดูเวลาฮะ" ชายหนุ่มตอบด้วยความสัจจริง
"ในห้องเราก็มีนาฬิกาแขวนอยู่ คุณมองเห็นใช่ไหมที่ด้านหลังของห้อง"
"ครับ แต่วันนี้นาฬิกามันหยุดนิ่ง สงสัยถ่านหมดมันเลยไม่เดิน"
ขณะที่ตอบ ทุกคนก็หันไปมองที่ด้านหลังเพื่อมอง นาฬิกาตาย
ทินกรเริ่มถามอีกครั้ง
"แล้วคุณไม่พกนาฬิกาข้อมือ"
"ไม่ฮะ"
"ทำไมไม่ลองถามเพื่อน"
"ผมไม่อยากรบกวน แค่อยากดูเวลาตอนนี้ว่ากี่โมงแล้ว ผมแค่รู้สึกไม่สบายก็เท่านั้น"
ทันทีที่อีกฝ่ายตอบ หลังมือของทินก็ใช้วัดไข้ที่หน้าผากอีกฝ่าย
พบว่ามีไอร้อนนิดหน่อย
บวกกับขอบตาที่เริ่มแดงกร่ำ ในหัวก็พาลคิดไปว่าช่วงนี้ฝนตก
"ถ้าไม่สบายคุณมัทนะควรจะบอกครูไม่ก็เพื่อนนะครับ เดี๋ยวครูจะพาไปห้องพยาบาลนะ"
จบบทบาทสมมุติ ทินกรก็สรุปความคิดเห็นของตนเองเรื่องกรณีใช้มือถือในคาบเรียน
"จากการคิดวิเคราะห์และสอบถามของผมนั้น โดยใช้กรณีศึกษาของนายมัทนะ
ก่อนหน้านั้นผมสังเกตเห็นว่ามัทนะดูเหม่อลอย อาจจะเพราะตั้งใจฟังหรือนั่งเอ่อระเหยทั่วไป
อีกอย่างช่วงเวลาที่หยิบมือถือขึ้นมานั้นก็เห็นว่ากดได้ไม่ถึงสามนาทีก็นั่งนิ่งจ้องมือถือ
เจ้าปัญหาเฉยๆ ไม่ได้แตะอีกจนกระทั่งเจออาจารย์เรียกนี่แหละครับ"
ทินจึงกล่าวไว้อีกว่า
"การพูดคุยเบื้องต้นอาจทำให้ครูมองเห็นปัญหาบางอย่างได้ แล้วจึงค่อยแก้ปัญหาไปทีละเปราะ
การมองภาพเหมารวมตามความคิดตัวเองเป็ยใหญ่ไม่ใช่เรื่องดี เพราะอาจจะทำให้เราพลาดบางสิ่งไป"
ทุกคนต่างปรบมือให้กับวิธีการและแนวคิดของทินกร
"อื้ม คุณใส่ใจในการจัดการตั้งแต่ปัญหา เก่งมากคุณทินกร เราจะเห็นว่า -"
ทินยกมือขออนุญาตอีกครั้ง คราวนี้เขาต้องรีบเพราะอีกฝ่ายดูพร้อมจะลมลงไปนอนกับโต๊ะทุกที
"ผมขออนุญาตพามัทนะไปห้องพยาบาลนะครับ เมื่อกี้ผมเช็คแล้วป่วยจริง"
อาจารย์เบิกตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปล่อยอนุญาตไป
"โอเค ฝากด้วยคุณทินกร"
๐๐
ส่งรูป
'เสื้อพี่โคตรเท่เมื่ออยู่กับผม'
'หง่อวว ชมตัวเองก็เป็น'
'เบๆ พี่ คนหล่อก็เงี้ย'
'น่ารัก'
'ขนลุก'
[/i]
'ชมจริงๆ นะ'
'หล่อพี่หล่อ'
'หล่อของใครก็ช่าง แต่น่ารักน่ะของพี่'
[/i]
๐๐
มัทนะขืนตัวไว้เล็กน้อยหลังจากเดินมาถึงชั้นล่างของอาคาร
"ไม่ไปห้องพยาบาลหรอก เดี๋ยวเราไปงีบที่ห้องพักสำหรับผู้เรียนก็ได้"
"ห้องพยาบาลมีเตียงนะ" ทินพยายามจะอุ้มอีกฝ่าย
"ไม่ไป! "
"ทำไมต้องขึ้นเสียง บอกเราดีดีก็ได้"
"เราปวดหัว นายไปเรียนเถอะ"
มัทเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพาลเกินไปแล้ว
"อื้ม"
ทินปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระก่อนจะหันหลังกลับไป
หลังจากบอกลากันที่ทางเดินใต้ตึก
มัทก็เดินตรงไปยังพาหนะเดินทางกลับหอผ่านสายฝนที่ยังโปรยปรายไป
ไม่ได้ไปนอนในห้องนั่งพักตามที่ได้บอกอีกฝ่าย
ทันทีที่ถึงห้อง ร่างทั้งร่างก็นอนคุ้ดคู้ลงกับพื้นเย็นเฉียบ
ละอองฝนที่ซัดสาดตลอกการขับขี่ทำให้เนื้อตัวเปียกโชก
ไม่มีแรงอยากจะทำอะไรแล้ว
อยากนอนผ่านวันนี้ไป
ให้มันจบ
๐๐
'เฮีย ไมเมื่อวานไม่ตอบ'
'ไม่ค่อยว่าง โครงงานล้นมือ เดี๋ยวเฮียตอบกลับนะ'
'ครับ'
๐
'เฮียว่างเปล่า 20th เข้าแล้ว'
'วันนั้นเฮียไปต่างจังหวัด ไอ้ตั้มมันสนใจจะไปดูอยู่ มันคงว่างเดี๋ยวชวนให้'
'อ่า ไม่เป็นไรฮะ'
[/i]
๐
'เรียนเป็นไง'
….
'มัท'
…..
'งั้นเฮียไม่กวนละ'
[/i]
๐
'ช่วงนี้วุ่นจังเนอะ'
'เป็นธรรมดาของคนหน้าตาดี'
แค่คิดเฉยๆ ว่าไม่ได้คุยเท่าเดิม
'เหรอ เฮียว่าก็ปกติ'
'คงงั้น'
'ทำไม เหงาเหรอ'
'ไม่อะ'
[/i]
…..
'แค่รู้สึกแปลกๆ '
'เป็นอะไร'
'เหมือนมันไม่เหมือนเดิม'
'เฮียก็เมสเสจเหมือนเดิม'
'นั่นสิ มันเป็นทางเดียวที่เราจะคุยกันได้เนอะ'
'….หรือจะโทรคุย'
[/i]
'ไม่เอาอะ มันดูรบกวน'
'ไงเอ็งก็น้องเฮีย'
….
'มีอะไรบอกได้'
….
'เฮียอยู่ข้างๆ เสมอ'
[/i]
๐
'เฮียมางานกีฬา รร.มัท ไหม'
….
'เฮีย ว่างไหม'
'อื้ม เดี๋ยวโดดไปดู แต่ไม่รู้ว่าวันไหนนะ ต้องถามเพื่อนเฮียอีกที'
'….โอเคครับ'
[/i]
๐
'เฮีย ตกลงมาวันไหน เผื่อน้องไปรับ'
…..
ไม่ตอบเลยนะ ยุ่งอีกเหรอ
๐
…..
'เห้ย ตอบหน่อย'
……
๐
'ช่างเหอะ
ถ้ามันรบกวนก็บอกจะได้ไม่ส่งไปอีก'
๐
[/i]
……
'เฮีย จะหายไปใช่ไหม'
……
'เข้าใจแล้ว'
……
……
[/i]
…..
๐๐
[/i]
ฮึกๆ
ร่างสั่นเทาขึ้นเรื่อยๆ มันหนาวเหน็บไปทั้งใจ
มันคือความรู้สึกที่แย่ มีบางสิ่งที่ถาโถมเข้ามา
เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นแกว่งกวนเพื่อดึงเอาบางอย่างในใจ
ไม่คิดว่ามันจะถูกเก็บลึกภายในมานานขนาดนี้
ทั้งที่ทุกครั้งหลังจากนั้นก็พยายามบอกตัวเองซ้ำๆ ว่า
มันผ่านมาแล้ว แค่จำไว้เป็นบทเรียนก็พอ
"มัท ลุกขึ้น"
เสียงเรียกจากทางด้านหลัง บุคคลใหม่ที่เพิ่งเข้ามาภายในห้องของเขา
"ฮือออ"
"นายมานอนพื้นทำไม ลุกๆ สั่นไปหมดแล้ว"
เมื่อมองผ่านม่านน้ำตาก็พบใบหน้าที่คุ้นเคย
ใบหน้าของคนที่เขาเพิ่งพาลใส่ไปก่อนหน้านั่นเอง
"ทิน ฮึกๆ "
ทินกรวางสัมภาระในมือลงก่อนจะโอ่อุ้มให้อีกฝ่ายลุกขึ้น "อย่าร้อง ตาบวมหมดแล้ว"
"ฮึกๆ "
"ลุกขึ้นก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้านะ" ทินกระซิบบอกก่อนจะถอดเสื้อผ้าให้
มัทไม่รับรู้ถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
ความรู้สึกจากอดีตฉุดกระชากลงสู่ห้วงความอ่อนล้าทั้งกายใจ
ลำบากพอสมควรกว่าจะจัดการเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าจนอุ้มขึ้นนอนบนเตียงกินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
เขากลัวว่าฝ่ายคนป่วยจะปอดบวมไปเสียก่อนจึงให้กินยาลัดเอาไว้ก่อนจะดึงผ้าห่มให้
"หลับนะ คนดี" มือหนาลูบผมเบาๆ
….
"อย่าเหม่อมองเพดาน หลับได้แล้ว มัท"
เสียงดุเจือด้วยความเป็นห่วงแต่มันก็ทำให้ใจคนฟังหลับไม่ลงเหมือนเดิม
น้ำตาก็เอ่อล้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มไม่อยากจะใส่อารมณ์กับคนป่วยไปมากกว่านี้
แค่เห็นคนร่าเริงยิ้มแย้มตลอดเวลาทำตัวเองจนป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ
ถ้าเขารู้ว่าสาเหตุคืออะไรหรือใคร เขาจะตามไปจัดการซะ
"ใครทำอะไรนายบอกมา"
อีกส่ายหน้าเล็กน้อย
"หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น"
อากัปกิริยาคนป่วยยังคงเดิม
ทินขมวดคิ้วแน่นก่อนจะ ลุกขึ้นมองคนป่วย "นายที่เป็นแบบนี้ เราไม่ชอบเลยจริงๆ "
คนนอนบนเตียงได้ยินก็รวบรวมพังคำพูด ก่อนจะโพล่งออกมา
"หายไปสิ! ออกไปก่อนนายจะรับรู้ตัวตนที่นายก็อาจจะไม่ยินดีที่จะรับมัน"
แล้วน้ำตาก็ไหลเป็นทางและหนักกว่าเดิม
ทินถึงกับทรุดลงนั่งบนเตียงเพื่อปลอบโยนอีกฝ่าย ทั้งที่ภายในใจก็แอบรู้สึก
"มัท ฉันหมายถึงมัทเจ้าน้ำตาซึ่งมันไม่ใช่ตัวตนของนาย
อย่าประมาณค่าคนที่เฝ้าแอบมองนายมาจะสามปีต่ำไปซิ"
คนป่วยยังคงสั่นหัวไปมา "ฮึกๆ ๆ หายไป ช่วยหายไปก่อนที่ฉันคนนี้จะทำให้นายเจ็บ
ฉันไม่อยากทำร้ายความรู้สึกนาย ฉันไม่ใช่คนดี ทิน ฉันไม่ใช่เด็กดีของนายหรอกนะ! "
ทินที่นั่งนิ่งฟังอยู่นานก็แทบจะดึงอีกฝ่ายจนร่างปลิวแนบกับอกตัวเอง
เขาไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ทั้งที่มันก็เจ็บ แต่ก็ยังอยากจะลองดู
"ใช่ นายไม่ใช่เด็กดี!
นายทำให้เราตายใจด้วยรอยยิ้ม
ทำให้เราหัวเราะด้วยมุกแป๊ก
บางทีก็ทำให้เอาอดห่วงไม่ได้กับนิสัยเด็กแก่นเซี้ยว
ทำให้เราหวงทุกครั้งที่ยิ้มแจกคนอื่น
และตอนนี้นายมันแย่ที่สุดที่ไม่ยอมรับรักเราซักที"
มัทเงียบเสียงลง น้ำตาก็ยังลงไหลไม่หยุด
ทินเริ่มกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นพร้อมกับจูบลงที่เรือนผมในอ้อมกอด
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกับคนคนนี้จริงๆ
"แต่เอาเข้าจริงเราโกรธนายไม่ลง
คงเพราะเรารักนายเกินจะร้องขออะไรแล้วล่ะมั้ง
อย่าไล่เราไปได้ไหม มัท"