พิมพ์หน้านี้ - [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: мıınta ที่ 23-01-2018 20:43:22

หัวข้อ: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 23-01-2018 20:43:22
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




——————————————————————————————————————


[ จีบนะครับ...รักผมที ]
#ติณณ์หิวข้าว





เรื่องราวของนักศึกษาฝึกงาน กับ พี่เลี้ยงของเขา

“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งครับพี่ข้าว”

"อย่ามาเรียกผมว่าข้าว"

"ได้ครับพี่ข้าว...เจ้า"

"ไอ้เด็กกวนประสาท"


#ติณณ์หิวข้าว

———————————————————————

Read Me
นิยายเรื่องนี้เป็นSpin offของติณณ์ เพื่อนของพี่อาร์ตจากเรื่องกลิ่นสีและหมอค่ะ
ซึ่งเรื่องนี้จะย้อนกลับไปช่วงหนุ่มๆอยู่ปีสามกัน
และเนื้อเรื่องหลักไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลิ่นกาวน์(ตอนหลังอาจมีมาแซมบ้าง) สามารถอ่านแยกได้ค่ะ
ปล.ตั้งใจแต่งเป็นเรื่องสั้น ไหงยาวซะงั้นก็ไม่รู้...
- Miinta -






นิยายที่แต่ง
กลิ่นสีและกาวน์หมอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61615.0) [จบแล้ว]
First Time #ครั้งแรกพบ (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1711886)

[ Short Story ]
Only you รักนี้แค่คุณ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61664.msg3696103#msg3696103)
H I D D E N (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63802.0)
———————————————————————————————————————
 ทวิตของอุ๋ง  (https://twitter.com/miinnta)
 เพจของอุ๋ง  (https://www.facebook.com/miinnnta)
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -1- 23|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 23-01-2018 20:52:17
1

20.35

ท่ามกลางบรรยากาศเบาๆ ของร้านอาหารกึ่งบาร์ในเย็นวันศุกร์สิ้นเดือนเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายก็ต่างพากันออกมาพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูง บ้างก็นัดเจอถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับตามภาษา ร่วมถึงเพื่อนรักสองคนที่นั่งกันอยู่ที่มุมๆ หนึ่งของร้าน

“ไหนใครว่าเป็นหมอต้องรักสุขภาพ เหล้าบุหรี่นารีไม่แตะ” ผมยกยิ้มขำเมื่อเห็นเพื่อนรักต่างคณะรวมถึงตำแหน่งรูมเมทยกแก้วเหล้าขึ้นเหมือนน้ำเปล่า อันที่จริงสิ้นเดือนอย่างนี้ก็ไม่น่าออกมาแหละครับแต่จู่ๆ มันก็ชวนออกมาบอกว่าจะเลี้ยง ผมเทน้ำสีเหลืองใส่แก้วที่พร่องไปเกินครึ่งของเพื่อนก่อนจะยกแก้วตัวเองขึ้นบ้าง บนโต๊ะนอกจากเหล้าก็มีอาหารสองสามอย่างสำหรับฝากท้องเย็นวันนี้

“ใครที่ว่ามันไม่ใช่กูป่ะวะ? อีกอย่างหมอก็คนไหม หืม” ไอ้หมอตรงหน้าผมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกวนเบื้องล้าง “แล้วก็นะไอ้ติณณ์ กูหมอหมาไม่ใช่หมอคน” มันยกยิ้มหล่อให้ผม เออ ถ้ามึงยิ้มแบบนี้ตอนประกวดดาวเดือนเมื่อสองปีก่อน ป่านนี้มึงได้เป็นเดือนแทนกูไปแล้วไอ้หมา

ผมรู้จักไอ้หมอหมานี่เพราะประกวดดาวเดือนนี่แหละครับ หมออาร์ตเดือนสุดหล่อของคณะสัตวแพทย์ ตอนแรกก็ไม่ได้สนิทกับมันเท่าไหร่ ไอ้นี่มันนิ่งๆ เลยดูเข้าถึงอยาก แต่พอคุยไปคุยมาดันถูกคอกันซะงั้น คนบ้านเดียวกันแค่มองตากันก็เข้าใจดี ~

“ครับๆ ไอ้อดีตรองเดือน ลากกูมาแดกเหล้านี่มีปัญหาไรอีก”

“...ไม่มีไร แค่น้องมันไปเรียนต่อ” ไอ้หมอหมาตอบอ้อมแม

“น้องแอ๋ม? น้องมันขึ้นปีหนึ่งแล้วหรือวะ? ไม่ใช่ยังม.ปลายหรือไง?” ผมถามเพราะจำได้ว่ามันมีน้องสาวอีกคนที่หน้าตาน่ารักดี แต่มันกลับส่ายหัว

“เปล่า ไม่ใช่แอ๋ม”

“แล้วใครละว่ะครับ มึงมีน้องคนเดียวไม่ใช่หรือไง?”

“น้อง...ข้างบ้าน” มันว่าเสียงเบา ยกแก้วที่มีน้ำสีอำพันขึ้นราวกับเลี่ยงคำตอบ นั่นทำให้ผมเลิกคิ้วเป็นคำถาม

“อ้าว น้องข้างบ้านมันไปเรียนแล้วมึงเกี่ยวไร” นั่นก็บ้านเขาแล้วมึงเสือกอะไรด้วย

“ก็...กูแค่จะไม่ได้เจอน้องมันอีกนาน” ไอ้หมอก้มหน้าลงมองแก้วในมือแล้วหมุนไปมา แววตามันดูหม่นแสงลงไปแวบหนึ่ง

“แล้ว?”

“เสือก” อือหือ สอใส่เกือกมาเต็มหน้าเต็มตาเลยครับ

“ก็เรื่องมึงกระตุกต่อมเสือกกูนี่ บอกมาซะดีๆ” ผมเทเหล้าเพียวๆ ใส่แก้วมันจนเกือบล้น แค่นี้ไม่คณาคอคุณหมออินทัชหรอกครับ นั่นไงมันยกดื่มชิลๆ “หรือมึงชอบน้องมัน?”

พรวด!!
“แค่ก” ผมแสยะยิ้มทันทีที่เห็นอาการตอบสนองของมัน

“กูเดาถูกสินะ ก็ยังว่าอยู่ว่าทำไมคุณหมอสุดหล่อ สุดใจดีที่มีทั้งสาวๆ หนุ่มๆ มาแจกขนมจีบให้ตลอดเวลาถึงไม่ยอมควงใครเป็นตัวเป็นตนซะที ที่แท้ก็มีคนในใจอยู่แล้วนี่เอง” พอผมพูดจบไอ้หมอมันจ้องเขม็งเลยครับทุกคน

“แจกขนมจีบเหี้ยไรของมึง”

“15นาฬิกาของกู คนผมสั้น เสื้อสีฟ้าโต๊ะนั้นเขาจ้องมึงตั้งแต่เข้ามาแล้ว เชื่อไหมว่าถ้ากูลุกนะ เขาเข้ามาหามึงแน่” ผมว่าพร้อมชำเลืองมองไปที่โต๊ะนั้นพร้อมกับไอ้หมอที่หันตาม

คุณเธอที่มองมาอยู่แล้วยกแก้วที่มีน้ำสีสวยในมือขึ้นทักทาย แต่หมอหมาคนหล่อของเรากลับเบือนหน้าหนีครับคุณ

“แล้วไง?”

“ลองดูไหมเดี๋ยวกูจัดให้” ไอ้หมอส่ายหัวรัวเลยครับท่าน เห็นคุณอินทัชฮ็อตอย่างนี้นะแต่มันก็ไม่เคยควงใครจริงจัง ตั้งแต่รู้จักมันมาเคยเห็นมันมีวันไนท์สแตนด์อยู่แค่สองสามครั้งเอง

ก็เคยแอบคิดนะว่าเพื่อนมันนกเขาไม่ขัน...

ผมนั่งกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้านที่ตอนนี้คนยังไม่เยอะเท่าที่ควร ลูกค้าส่วนมากก็คนในมหาลัยผมไม่ก็พนักงานที่ทำงานละแวกนี้จึงคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ผมแจกรอยยิ้มให้ทุกคนที่มองผมกลับมา โปรยเสน่ห์เต็มที่จนไอ้หมอหมาอาร์ตส่ายหัว ก่อนจะไปสะดุดตากับผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์ ข้างๆ กันเป็นผู้ชายตัวสูงผอมอีกคน ผมนั่งมองทั้งสองคนนั้นคุยกัน ไม่สิ... รู้สึกไอ้โย่งนั่นพูดอยู่คนเดียว ส่วนคนตัวเล็กนั่นก็ขยับหนีจนจะตกเก้าอี้อยู่แล้ว

ผมสรุปไปเองว่าทั้งสองคนคงไม่ได้มาด้วยกันแน่นอน

“อาร์ตเดี๋ยวกูมา ถ้าผู้หญิงโต๊ะนั้นมาของเบอร์มึงก็ให้เบอร์กูไปแทนนะ” ผมว่า ก่อนลุกพรวดออกมาโดยไม่ฟังเสียงไอ้อาร์ตที่ตะโกนอะไรสักอย่างตามหลัง

ผมเดินไปจนเกือบถึงเคาน์เตอร์บาร์  ทั้งสองคนยังไม่รู้สึกตัวว่ามีบุคคลที่สามกำลังยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา ไอ้บ้านี่ก็ขยับมาใกล้อีกคนจนจะชิดแล้วนั่น

และนั่นทำให้ผมตัดสินใจ...

พรึ่บ!
“ติณณ์ขอโทษครับที่มาช้า ที่รักไม่โกรธกันนะ”

ผมเท้ามือทั้งสองข้างลงบนเคาน์เตอร์ กักให้คนตัวเล็กอยู่ตรงกลางระหว่างแขน ก่อนพูดขึ้นด้วยเสียงที่คิดว่านิ่มและอ้อนที่สุด

นี่ผมบอกไปหรือยังว่าผมได้ทั้งชายหญิง?

“ที่รักอย่าเงียบสิ ไม่โกรธผมนะ” คนตัวเล็กหันหน้ามามองผมด้วยหน้าตางุนงง เหมือนยังตามสถานการณ์ไม่ได้จนผมต้องขยิบตาเป็นสัญญาณให้เล่นตามน้ำ

“เอ่อ...”

“ไหนคุณบอกว่าไม่ได้นัดใครไงครับ! เหอะ มีผัวแล้วก็ไม่บอก”

“ขอโทษแทนแฟนผมด้วยนะครับ พอดีเราทะเลาะกันมานิดหน่อย” ผมถือวิสาสะดึงคนตัวเล็กกว่าให้มาพิงชิดอกทันที และก้มหน้าจรดกับกลุ่มผมนิ่มราวกับแสดงความเป็นเจ้าของ

หอมว่ะ ใช้แชมพูยี่ห้ออะไรวะ

“หายโกรธติณณ์นะครับ นะ”

“ไม่.. ไม่โกรธแล้ว ปล่อยก่อน” เสียงใสของคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดดังขึ้น ดูท่าว่าจะตามเรื่องทันแล้วสินะ

“ถ้าผมโกรธบ้างจะได้ไหมครับ ที่คุณมานั่งให้คนอื่นจีบแบบนี้” ผมเน้นคำว่าคนอื่นและตวัดสายตามองคนด้านข้างที่ทำหน้าไม่พอใจ

“อย่า...”

“เออ ไปก็ได้วะแม่งเสียเวลา” ว่าเสร็จมันก็ลุกออกไปทันที ผมมองจนมันกลับโต๊ะไปแล้วถึงยอมปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระ ก่อนนั่งลงข้างๆ คนตัวเล็กแทนมัน

“....” คนตรงหน้ายังคงส่งสายตางุนงงมาให้ ผมเท้าคางมองใบหน้าของอีกคนอย่างพิจารณา เขาน่าจะสูงราวๆ174-175 เซนต์ได้ ถือว่าไม่ได้เตี้ยไปและคงดูหล่อในสายตาของผู้หญิง แต่สำหรับผมคิดว่าคนตรงหน้าน่ารักและกะทัดรัดพกพาสะดวก--- ผมซอยยาวระต้นคอ มีไฝจุดเล็กๆ ช่วงหางตาซ้าย ปากไม่ได้อวบอิ่มแบบผู้หญิงแต่น่าสัมผัสด้วยปากผมเอง

อืม..ผมคงจะมองเขานานเกินไปจนคนตรงหน้าส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

“เอ่อ ผมนั่งอยู่โต๊ะนั้น” ชี้ไปที่ไอ้หมอหมาที่มีสาวผมสั้นเสื้อฟ้านั่งแทนที่ผม “พอดีผมเห็นคุณน่าจะถูกมันตอแยมาสักพัก เห็นคุณขยับหนีคิดว่าคุณไม่ชอบก็เลย...” ผมเกาแก้มแล้วส่งยิ้มแห้งๆให้อีกคน

“ขอบคุณนะ” ยิ้มหวานของคนตรงหน้าส่งให้ผม เหี้ย น่ารักเหี้ยๆ

“ผมติณณ์ครับ ถ้าไม่รังเกียจไปร่วมโต๊ะกับผมไหมครับคุณ...เอ่อ” ผมยิ้มค้าง ไม่รู้ชื่อนี่หว่า

“ข้าว...”

“ครับ?”

 “ผมชื่อข้าวครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” เหี้ย ยิ้มแอคแทค จีบได้ไหม ตอบ!!!


ในที่สุดผมก็พาคนตัวเล็กกลับโต๊ะด้วยได้สำเร็จ ตอนนั่งผมว่าคุณข้าวตัวเล็กแล้วนะ พอยืนนี่หัวคุณเขาเลยไหล่ผมมาหน่อยเอง ตัวเล็กๆ เอวบางๆ บางจนไม่กล้าจับแรง กลัวหัก เอ...รึลูกเสี้ยวอย่างผมมันสูงและหนาเกินไปเองวะ?

พอมาถึงโต๊ะ ทันทีที่ไอ้หมออาร์ตเห็นผมมันก็ไล่ผู้หญิงเสื้อฟ้าคนนั้นกลับไปทันที

“งั้นเดี๋ยวคืนนี้เราโทรหาอาร์ตนะคะ จุ๊บ” สาวเจ้าว่า ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีชมพูประทับลงแก้มเพื่อนผมเบาๆ จนขึ้นเป็นรูป ในขณะที่ไอ้อาร์ตมันทำหน้าเบื่อโลก คว้าเอาทิชชูมาปาดหน้าแรงๆ เมื่อผู้หญิงคนนั้นลับตา

“แม่ไม่สอนหรือไงว่าให้ทำตัวเป็นกุลสตรี”

“อุ๊บ ฮ่าๆๆๆ” คนตัวเล็กหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินไอ้อาร์ตสถบ นี่ก็ไม่ชอบเวลาโดนผู้หญิงถึงเนื้อถึงตัว อยากรู้จริงๆว่าคนที่มันชอบเป็นคุณหนูเรียบร้อยหรือไง

“แล้ว...นี่ใคร?”

“นี่คุณข้าวที่กูไปช่วยเมื่อกี้ไง คุณข้าวครับนี่อาร์ต เพื่อนผมครับ” ผมแนะนำ ทั้งสองก็ยิ้มให้กันน้อยๆ ก่อนคุณข้าวจะทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ว่าง

“นี่เรายังเรียนกันอยู่หรอ?” คุณข้าวเปิดประเด็นคุย ตอนนี้ร้านเริ่มมีเสียงเพลงเบาๆ จากวงดนตรีสดที่มาเล่นได้สักพักแล้ว

“ครับ ผมเรียนหมอปีสาม ส่วนไอ้นี่เรียนบริหาร ปีเดียวกัน” หมอหมาตอบแทน

“โหย อย่างนั้นพี่ก็ดูแก่ไปเลยน่ะสิ”คนตัวเล็กเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้ พี่หรอ?

“ไม่หรอกครับ คุณข้าวดูไม่เห็นแก่สักนิด ผมเห็นครั้งแรกนึกว่ารุ่นน้องผมซะอีก” ผมว่า ไม่ได้ยอนะแต่คิดงั้นจริงๆ

“แหม ปากหวานเชียว” ผมยิ้มรับ “เห็นอย่างนี้อีกปีพี่ก็จะยี่สิบสี่แล้วครับ แก่กว่าพวกเราประมาณสี่ห้าปีได้มั้ง” คนตัวเล็กยิ้มอายๆ พวกผมอึ้งกับอายุที่คุณเขาพูดออกมา (ข้าว24 สองซี้20)

เชี่ย คิดว่าจะแก่กว่ากันแค่ปีสองปี “เอ่อ...”

“ไม่ต้องทำหน้าตกใจอย่างนั้นครับ มีแต่คนทักว่าพี่หน้าเด็ก” คุณข้าวพูดออกมาอย่างขำๆ “เวลาบอกไปคนไม่ค่อยเชื่อกันหรอก”

“งั้น... ตอนนี้คุณข้าวก็ทำงานแล้วสินะครับ”

“เรียกพี่ก็ได้พี่ไม่ว่า พี่เป็นพนักงานธรรมดาๆน่ะ ที่จริงร้านนี้พี่เป็นหุ้นส่วนอยู่นะ แต่ก็ไม่มีใครรู้เยอะหรอกเพราะนานๆ พี่จะได้เข้ามาเช็คแทนเจ้าของมัน อย่างวันนี้พอมาปุ๊บก็เจอแบบที่ติณณ์เห็น... แต่มาอย่างนั้นพี่ตกใจนะ ที่รงที่รักอะไรกัน” แก้มขาวของพี่ข้าวขึ้นสีแดงระเรือไม่รู้ว่าเขินหรือด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มไป

“แฮะๆ ผมคิดอะไรไม่ทันนี่ครับ”

“ไม่เป็นไรๆ งั้นมื้อนี้พี่เลี้ยงขอบคุณเราแล้วกัน”

“ไม่เป็นไรครับ” ผมกับอาร์ตที่พูดขึ้นพร้อมกันหันมองกันแวบหนึ่ง ก่อนหมอหมาจะเงียบให้ผมพูดต่อ “ผมเต็มใจช่วยครับ ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

“เอาอย่างงั้นหรอ”

“ครับ”

พวกผมนั่งคุยไร้สาระกันจนกระทั่งไอ้อาร์ตฟุบหน้ากับโต๊ะ ใบหน้ามันแดงก่ำด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ก็แหงล่ะเจอผมเทแบบเพียวๆ ไปให้ตั้งกี่แก้วล่ะ

“เอ่อ... พี่ข้าวครับ งั้นเดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนแล้วกัน ดูท่าไอ้หมอไม่ไหวแล้ว”

“ก็ดูเรามอมเพื่อนสิ ใครมันจะไหวกัน” พี่ข้าวว่าแบบรู้ทัน

“โถ่พี่ ใครมอมกัน” ผมว่ายิ้มๆ ไอ้เรื่องมอมนี่มอมจริงครับ เผื่อรู้ว่ามันจะเพ้อถึงใครคนนั้นของมันไหม

“ให้พี่ช่วยไหม?” ผมปฏิเสธ แต่คนตัวเล็กกว่าดึงดันจะช่วยให้ได้ ผมเลยส่งกระเป๋าให้ถือให้แทน เมื่อถึงรถก็จับไอ้คนเมายัดเข้าเบาหลังทันที

“งั้นกลับกันดีๆ นะ”

“พี่ข้าวครับ...ผมจะได้เจอพี่อีกไหม” ผมตัดสินใจถาม ยอมรับว่าคนตรงหน้านี่สเปคผม ตัวเล็กหิ้วสะดวก หัวเราะง่าย กินง่าย ไม่เรื่องมากแบบนี้ผมชอบ...ก็ว่าไป

พี่ข้าวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มสวย มือเล็กเอื้อมจับมือผมไปส่งให้นามบัตรสีขาวครีมถูกวงบนลงมือผม

“ได้สิ ถ้าอยากเจอพี่อีก ติดต่อมานะครับ” คนตัวเล็กก้าวเข้ามา เขย่างตัวกระซิบข้างหูผมก่อนผละออก “งั้นพี่ไปก่อนนะครับติณณ์ ฝากลาอาร์ตแทนพี่ด้วย”

คนตัวเล็กเดินจากไปโดยให้ผมยืนค้างอยู่ตรงนั้น...

คนอะไรวะตัวโคตรหอม


ไม่กี่วันหลังจากนั้น ไม่กี่วันหลังจากนั้น

“ติณณ์คะ เลิกเรียนไปไหนต่อหรือเปล่า” เสียงใสๆ ของใครบางคนเอ่ยขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็น อ่า...อดีตคู่ควงกำลังยืนตรงหน้า

“อืม ไม่ได้ไปไหนครับ บีมีอะไรหรือเปล่า?” ผมยกยิ้มถามทั้งๆ ที่รู้สึกเบื่อหน่าย มาอย่างนี้คงไม่พ้นจะชวนไปดูหนังไม่ก็ไปเดท ไม่ก็..บนเตียง

“งั้นเราไป...”

Rrrrr
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดหญิงสาวที่กำลังพูด ผมโคลงหัวให้เธอเล็กน้อยก่อนเดินหนีออกมากดรับสายจากเพื่อนสนิท

“ว่า”

‘ของห้องหมด’ ปลายสายตอบกลับมาห้วนๆ

“แล้ว?”

‘มึงเลิกเรียนละไปซื้อของเข้ากัน มาม่าหมด’ กลอกตากับคำของเพื่อน มาแบบนี้มันขี้เกียจขับรถแน่ ผมหันมองบีที่ยืนรออยู่ไม่ไกลก่อนตอบเพื่อนสนิทด้วยคำที่ทำให้เธอทำหน้างอนและเดินหนีไป

“เอาดิกูว่าง”

พอผมเลิกเรียน เดินออกจากตึกไม่ถึงสามก้าวดี รถญี่ปุ่นคันคุ้นตาก็ขับมาจอดข้างหน้า พร้อมกับคนขับจะเปิดประตูออกมาให้คนแถวนั้นกรี๊ดกร๊าด สะบัดขนสองสามครั้งก่อนไอ้หมอหมาหน้านิ่งเดินอ้อมตัวรถมาหาผม

“มองเหี้ยไร ไปขับรถดิ”

ไอ้หมาอาร์ตทิ้งตัวที่นั่งฝั่งข้างคนขับเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมยืนนิ่ง ผมกลอกตาก่อนจะเดินไปฝั่งคนขับโดยดี เป้าหมายของเราวันนี้คือห้างใกล้ๆ มหาลัยครับ

หลังจากไปเหมาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลายยี่ห้อ กับของปรทังชีวิตและของใช้บางอย่างเสร็จก็ได้เวลากลับไปนอนต่อ ระหว่างที่เราเดินไปที่จอดรถเพื่อเก็บของ ไอ้หมอก็กระชากคอเสื้อผมไว้ ยกนิ้วชี้ไปอีกทาง

“มึง นั่นพี่ข้าวไหม?”

“ไหนวะ” พอมองตามนิ้วมันก็เห็นคนตัวเล็กที่เจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้กำลังเดินผ่านหน้าไปในระยะห่างๆ ข้างกายเขามีผู้ชายตัวสูงอยู่ด้วย

“มากับแฟนป่ะวะ เพื่อนกูจะกินแห้วหรอ” มันว่าติดขำ ผมหรี่ตามองเพื่อนซี้

“...เดี๋ยวกูมา” ผมเมินเสียงร้องเฮ้ยจากไอ้อาร์ตดังขึ้นไล่หลัง ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินไปหาอีกคน

“บ่นอะไรนักหนา ก็เห็นบอกว่าอยากดูหนังเลยพามาไง” ใกล้จนได้ยินเสียงทั้งสองคุยกัน แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่รู้ตัวว่ามีคนเดินตาม

“ขอบใจมากกกก เอ๊ะ..” พี่ข้าวหันมามองเมื่อรู้สึกว่ามีคนยื่นมือไปแตะไหล่เขา

“พี่ข้าวครับจำผมได้ไหม ที่เจอวันก่อน” ผมฉีกยิ้มถามคนตรงหน้า พี่ข้าวอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสามส่วน มีเสื้อแขนยาวพาดท่อนแขน เผินๆ ดูเหมือนเด็กมหาลัยมากกว่าคนวัยทำงาน

“คนรู้จักมึงหรือเจ้า?” คนข้างๆพี่ข้าวถาม ผมขมวดคิ้วกับชื่อที่ได้ยินจากปากอีกคน แต่คนตัวเล็กส่ายหัว

“ทักผิดคนหรือเปล่าครับ ผมไม่ได้ชื่อข้าว”

“ครับ?”

“ขอตัวก่อนนะครับ” คนตัวเล็กดึงมือผมที่อยู่ที่ไหล่ออก “ไปหลง หนังจะฉายแล้ว”

และคนตัวเล็กก็เดินจากไปโดยทิ้งผมไว้ตรงนี้

What the fu*k !!

——————————————————————————————————————

   สวัสดีค่ะมีนเองค่ะ แวบมาลงเรื่องใหม่ เป็นเรื่องของเพื่อนสนิทของพี่หมอหมาในกลิ่นกาวน์แหละค่ะ ///ตั้งใจเขียนเป็นเรื่องสั้นนะ... แต่ยาวไป ยาวไปปป
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -1- 23|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-01-2018 00:47:44
 :mc4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -2- 24|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 24-01-2018 20:21:14
2

เชื่อไหมว่าตั้งแต่วันที่เจอพี่ข้าวในวันนั้นผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย มั่นใจเลยว่าคนที่เห็นนั่นพี่ข้าวแน่ๆล่ะ ผมจำไฝตรงหางตาซ้ายได้ ต่อให้เป็นฝาแฝดยังไงตำหนิมันคงไม่เกิดที่จุดเดียวกันแน่ๆ ผมอยากรู้ว่าเขาจะเล่นอะไร หรือเขาคิดจะทำอะไรเลยตัดสินใจไปหาที่ร้านเดิมที่เจอวันนั้นอีกครั้ง พอถามพนักงานแล้วเขาก็บอกว่าไม่รู้ ลองโทรไปหาตามนามบัตรนั่นก็ไม่ใช่นามบัตรเจ้าตัวเป็นของใครก็ไม่รู้เหมือนกับเจ้าตัวสุ่มๆ หยิบมาให้ผมมา

“น่ามึง คิดซะว่าเขาไม่ใช่เนื้อคู่มึง” ไอ้หล่ออดีตเดือนมหาลัยว่า ยกมือตบบ่าผมที่นั่งสูบเอาควันบุหรี่เข้าปอดอย่างเห็นใจ ผมหรี่ตามองเพื่อนสนิทที่ยกเบียร์ขึ้นดื่ม ก่อนจะพ่นควันออกมา

“ไอ้คนแอบรักเด็กข้างบ้านอย่างมึงมีสิทธิพูด?” หมอหมาสำลัก “เฮ้อ พี่ข้าวนั่นสเปคกูเลยนะ”

“สเปคมึงแค่หน้าตา นิสัยจริงๆ เราไม่รู้นี่หว่าแล้ว สมมติว่าพี่เขานิสัยแบบเดียวกับที่เจอวันนี้ไม่ใช่วันที่เราเจอที่ร้าน ถ้าคบๆ กันไปแล้วมึงเกิดรับนิสัยเขาไม่ได้ล่ะ มึงจะทำไง จะเลิกกับเขา? หรือยอมรับนิสัยนั้น” ไอ้หมอหมาว่าเสียงเข้มให้ผมนั่งเงียบ แล้วคิดตามคำพูดมัน “มึงเจอเขาแค่ครั้งสองครั้งเองนะ”

ก็จริงของมัน...

“เอาน่า เดี๋ยวมึงก็เจอคนใหม่ ตัดๆ ใจซะ” ไอ้หมอหมาว่าปลอบใจแล้วเดินแยกเข้าห้องมันไป “เออใช่ เอกสารตอบรับฝึกงานของมึงมาแล้วนะ วางอยู่บนโต๊ะ”

“เออๆ ขอบใจ” ผมตอบกลับ ขยี้บุหรี่ที่เหลือในมือกับที่เขี่ย นั่งบริจาคเลือดให้ยุงสักพักถึงเดินเข้าห้องไปหยิบจดหมายตอบรับที่ว่าขึ้นมาเปิดดูรายละเอียด

...อีกสามเดือน ปิดเทอมหน้าผมก็เริ่มฝึกงานแล้ว คงจะพอๆ ให้ลืมเจ้าของรอยยิ้มหวานคนนั้นได้ละกัน


ซะ...
เมื่อ...
ไหร่...
“นี่น้องติณณ์ เบ๊...เอ๊ย เด็กฝึกงานคนใหม่ของเรานะ พี่ฝากเจ้าดูแลน้องมันด้วยแล้วกัน ส่วนนี่ข้าวเจ้านะ เป็นพี่เลี้ยงเรา มีอะไรก็ถามๆ มันเอาแล้วกัน”

ผมชะงักมือที่กำลังยกขึ้นไหว้ค้างเมื่อเห็นหน้าค่าตาของ ’พี่เลี้ยง’ ที่พี่ทศ หัวหน้าแผนกการตลาดที่ผมต้องฝึกงานด้วยแนะนำให้รู้จัก ก่อนรอยยิ้มจะถูกจุดขึ้นที่มุมปากผมอย่างช้าๆ ผิดกับอีกคนที่เริ่มทำหน้าบึ้งลงอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนแรกที่เลือกที่นี่เพราะมันเป็นบริษัทในเครือของคุณลุงผม แต่ไม่ได้ใช้เส้นนะเพราะคนละนามสกุลกัน อีกอย่างที่เลือกมาที่นี่เพราะมันไม่ค่อยมีคนรู้ว่าผมเป็นใคร

แต่ก็คาดไม่ถึงว่าคนที่ไม่ได้เจอเกือบสามเดือนจะทำงานอยู่ที่นี่ด้วย

“ทำไมไม่ให้ไอ้หลงดูแลวะพี่ งานผมเยอะพี่ก็รู้” คุณพี่เลี้ยงของผมกว่าเสียงแข็ง สะบัดสายตาไปมองคนข้างตัวอย่างไม่พอใจ ผิดกลับเมื่อสักครู่ที่เดินยิ้มมา

“แกรับปากแล้ว ไอ้หลงมันรับสาวๆ ไปแล้วนู่น เจ้ารับไอ้นี่ไปแหละดีแล้ว” พี่หัวหน้าว่า พยักพเยิดหน้าไปหาผู้ชายอีกคนที่กำลังคุยกับสาวๆ อีกกลุ่มเพลิน “พี่ฝากดูแลด้วยละกันเจ้า รักๆ กันไว้ละไอ้หนู”

“ครับ...ผมจะรักให้มากๆ เลย” พี่เลี้ยงจำเป็นผมหันมามองตาขวาง ก่อนจะโดนพี่ทศเอาแฟ้มเอกสารเล่มหนาฟาดลงที่หัวแรงๆ ไปครั้ง เจ็บแทนนะครับ...

“ทำตัวดีๆ กับน้องมันหน่อย” พี่ข้าวรับคำหน้าบึ้ง ก่อนพี่ทศจะฝากฝังผมกับพี่ข้าวโดยการให้ตามติดคนตัวเล็กเพื่อศึกษาเรียนรู้ดูงานก่อนในวันแรก ซึ่งพี่ทศก็บอกว่าไม่น่าจะมีอะไรมาก ส่วนมากก็เดินเอกสารกับช่วยเรื่องอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ อันที่จริงก็เคยทำตอนพ่อบังคับน่ะนะ...

“ยิ้มบ้าอะไรหนักหนา” พี่ข้าวหันมามองผมทันทีที่พี่ทศเดินจากไป เสียงใสๆ นั่นเข้มขึ้นเหมือนกับโกรธชังผมมานมนาน ก่อนปากเล็กจะขมุบขมิบพึมพำออกมากับตัวเองอย่างหัวเสีย แต่ระยะนี้ผมได้ยินเต็มสองหูเลย “แม่งเอ๊ย คิดว่าจะไม่ได้เจออีกแล้วก็ยังอุตส่าห์วกมาเจอจนได้”

ผมที่ยืนยิ้มมองพี่ข้าวอยู่เผลอหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นคนตรงหน้าหงุดหงิด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วขึ้นสูงเมื่อผมยื่นมือไปตรงหน้าคนตัวเล็กกว่า

“อะไร”

“ผม...ติณณ์ครับ ต่อจากนี้อีกสามเดือนกว่า ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”

คนตัวเล็กขมวดคิ้ว มองด้วยความไม่ไว้ใจจนผมส่งยิ้มจริงใจให้ พี่ข้าวถึงยอมยื่นมือมาจับกับผมแบบงงๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งครับพี่ข้าว”

“อย่ามาเรียกผมว่าข้าว! เฮ้ย!” คนตรงหน้าร้องออกมาเมื่อถูกผมดึงมือเดินให้เข้ามาใกล้ และก้มลงไปจนใกล้แก้มแลดูนิ่มนั่น

“ได้ครับพี่ข้าว...เจ้า : )”

“ไอ้!”

“เอาละ หน้าที่ของเด็กฝึกงานอย่างผมต้องทำอะไรบ้างครับพี่ข้าว” ผมผละออกมา พลางทำเป็นเดินสำรวจรอบออฟฟิศอย่างสนอกสนใจ โดยไม่สนใจเสียงรอดไรฟันของพี่ข้าวที่ดังออกมา “มีงานดูแลหัวใจคนแถวนี้ไหมครับ”

“ไอ้เด็กกวนประสาท!”

ผมว่า... ผมได้คำตอบให้ไอ้หมอหมาแล้วล่ะครับ


การฝึกงานในวันแรกไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้ทำอะไรมาก หรือเพราะพี่เลี้ยงกันแน่ที่ทำให้ไม่เบื่อ พี่ข้าวถึงดูจะปากร้าย หาเรื่องด่าผมได้ตลอดไม่เหมือนวันที่เจอกันที่ร้าน แต่ก็ใจดี

“อ้าว ไอ้น้องวันนั้นนี่ รู้จักเจ้าหรอถึงมาทำที่นี่?” ผมที่กำลังจะเก็บของกลับหอเลิกคิ้วมองเจ้าของเสียง คนตรงหน้าคือบุคคลเดียวกันกับที่เคยเจอตอนนู้นแหละครับ มารู้ตอนนี้ว่าชื่อหลง เป็นเพื่อนสนิทของพี่ข้าว ทำงานในแผนกเดียวกัน... “เอ้อ น้อง..ติณณ์ใช่ไหม พี่ชื่อหลงเป็นเพื่อนไอ้ข้าวมัน”

“สวัสดีครับพี่หลง” ผมยกมือไหว้แต่ไม่ตอบคำถามที่พี่แกถามตอนแรก พี่หลงก็ไม่ได้อะไรเมื่อไม่ได้รับคำตอบ ทำเพียงยักไหล่แล้วเดินกลับโต๊ะไป อะไรของเขา...

หนึ่งสัปดาห์ของชีวิตการเป็นนักศึกษาฝึกงาน... นอกจากทำตัววุ่นวายกับพี่ข้าวทุกวี่วันแล้ว ก็ไปเป็นเบ้ให้ชาวบ้านทั้งแผนกจนรู้จักครบทุกหน่วยงาน นอกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่

“น้องติณณ์ พี่ฝากไอ้นี่ไปให้พี่แผนกบัญชีหน่อย” พี่จ๋าที่อยู่แผนกเดียวกันเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นซองสีน้ำตาลขนาดเอสี่มาให้ “เอาให้คุณนพนะ”

ผมรับคำ หยิบซองนั้นมาและเดินลงไปแผนกบัญชี ก้าวขาด้วยความเคยชินไปที่ห้องของคุณนพ เคาะประตูตามมารยาทกก่อนผลักเข้าไปเมื่อได้ยินคำอนุญาต วางแฟ้มไว้บนโต๊ะแต่ไม่ยอมออกไปจนคุณเขาเงยหน้ามอง พอเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร คุณนพก็เบิกตากว้าง

“น้องติณณ์!” อ่า บอกไปแล้วเนอะว่าที่นี่เครือบริษัทของลุงผม ถ้าใครเคยทำสาขาใหญ่ก็คงเคยเห็นผมบ้าง อย่างคนตรงหน้า... ถ้าจำไม่ผิดเคยเจอน้านพอยู่สองสามครั้งตอนไปป่วนเวลางานของพ่อผม

“สวัสดีครับน้านพ” ผมยกมือไหว้คนตรงหน้า “อันนี้เอกสารครับพี่จ๋าเอามาให้”

“เออๆ เอาไว้ก่อน แล้วนี่มาฝึกงาน?” พยักหน้าตอบ “แผนกไหนล่ะ”

“การตลาดครับ” น้านพเลิกคิ้วเหมือนอยากจะถามอะไรต่อ “ก็สาขานี้มันไม่มีคนรู้จักผมนี่ครับ ไม่อยากเจอว่าใช้เส้นสายหรือเกรงใจเพราะเป็นลูกหลานเจ้าของ ผมก็อยากโดนดุบ้างอะไรบ้าง”

น้านพถึงกับกุมขมับกับคำตอบของผม

“ถ้ายังไงรบกวนน้านพทำเป็นไม่รู้จักผมทีนะครับ” ผมยิ้มให้คนตรงหน้าที่จำใจพยักหน้ารับคำขอผม ก่อนจะขอตัวออกมาเมื่อเห็นนาฬิกาใกล้ถึงเลขสิบสอง


ระหว่างทางกลับแผนกก็เดินสวนกับพี่ๆ หลายคน รวมถึงอิงอับอรที่มาฝึกพร้อมกัน เขาก็ชวนไปกินข้าวด้วยแหละครับแต่เป้าหมายของหลายวันนี้ของผมคือคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งพิมพ์งานอยู่ ผมยกยิ้มเมื่อเห็นว่าไม่มีคนเหมือนแผนกก่อนจะนั่งยองๆ ข้างโต๊ะพี่ข้าว

“พี่ข้าวครับ เที่ยงนี้พาผมไปกินข้าวหน่อยนะครับ ผมไม่รู้ว่าแถวนี้มีอะไรอร่อย” ผมว่าเสียงอ้อน คนทำงานยังคงพิมพ์เอกสาร ไม่แม้แต่หันมาสนใจผมนี่พักเที่ยงแล้วนะ

“...”

“พี่ข้าวจะใจร้ายกับเด็กฝึกงานตาดำๆ เพิ่งเริ่มฝึกงานที่หิวจนท้องกิ่วได้ลงคอหรอครับ”

พี่ข้าวเหลือบมองผมที่นั่งยองๆ เกาะของโต๊ะของอีกคนอยู่ด้วยหางตา ตาสีเข้มนั่นกวาดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมว่าในหัวพี่ข้าวตอนนี้คงมีความคิดว่า ‘ไอ้หมอนี่มันใกล้เคียงกับคำว่าเด็กตาดำๆ ตรงไหนวะ’ ก่อนทำเป็นไม่สนใจผมแล้วหันกลับไปพิมพ์เอกสารต่อ ขยันแท้

“พี่ข้าวครับบบ”

“เงียบ! หนวกหู!”

“พี่ข้าวอ่า”

“ฮ่าๆ ไอ้ติณณ์มานี่ ไอ้เจ้ามันไม่อยากไปก็ไม่ต้องชวน มากินกับพี่ไหม” ผมหันพี่หลง รู้แล้วครับว่าพี่อกไม่ได้มีอะไรในกอไผ่กับพี่ข้าวอย่างที่ผมคิด เพราะพี่หลงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วสวยด้วย ก็พี่จ๋าที่เคยให้ผมเอาเอกสารไปให้น้านพไงครับ

“ไม่อ่ะพี่ กินกับพี่เดี๋ยวฟ้าผ่า” ผมสั่นหน้า พี่หลงอ้าปากมองผมอย่างเหวอๆ ก่อนจะขำออกมาล็อตใหญ่

“ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย ไอ้ติณณ์แม่ง ฮ่าๆ พี่หมายถึงกินข้าวกลางวันเว้ย ไม่ใช่กินบนเตียง! สมมติว่าพี่ชอบผู้ชายแต่ขนาดตัวแบบติณณ์พี่ก็กินไม่ลงว่ะบอกตรง”

“ก็พี่บอกผมไม่หมดนี่ครับโธ่ แต่ถ้าชวนไปกินบนเตียง... ผมอยากกินกับคนนี้มากกว่า” ผมยิ้มกว้าง หันไปมองพี่ข้าวที่หน้าบึ้งลงเรื่อยๆ “ผมอยากกินข้าว”

ปึ่ก! แฟ้มเอกสารถูกปิดและวางลงอย่างแรงโดยเจ้าของโต๊ะ

“โอ๊ะโอ เรียกชื่อต้องห้ามซะแล้ว... หรือพ่อหนุ่มริจะจีบไอ้เจ้าหรือไง” ผมพยักหน้ายอมรับ พี่หลงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ว่าไงเจ้า ให้จีบไหม”

“จีบห่าอะไร! ผมบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะว่าผม ไม่สนผู้ชาย!” พี่ข้าวแวดเสียงใส่คนสนิท ไม่วายที่จะส่งทายตาทิ่มแทงใส่ผมด้วยโดยมีเสียงพี่หลงหัวเราะเป็นซาวด์ประกอบ

“พี่ข้าวรู้อะไรไหม...ไอ้คนที่บอกว่าไม่สนผู้ชายเนี่ย ลองแล้วติดใจผมทุกราย” ผมยกคิ้วกวนๆ ให้คนตรงหน้า พี่ข้าวอ้าปากหน้าแดงก่ำ ส่วนพี่หลงก็หัวเราะลั่นออฟฟิศ อันที่จริงก็พูดไปอย่างนั้นละครับ ส่วนมากที่จึ่กๆ กันเขาก็เชี่ยวกันแล้ว (...)

แต่ในวินาทีต่อมานั่นเอง
ปึ่ก!

แฟ้มเอกสารเล่มหนาบนโต๊ะพี่ข้าวก็ถูกปากระแทกหน้าผมที่นั่งยองๆ บนส้นเท้าอย่างแรง จนผมเสียหลักหงายหลัง ไม่มีโอกาสได้แก้ความ

นาทีนี้ผมรู้แล้วว่า ณ บริษัทนี้ แผนกนี้ แฟ้ม... คืออุปกรณ์ทำร้ายล้างสูงสุด...

ตุ๊บ

“เฮ้ยไอ้ติณณ์!” พี่หลงร้องเสียงหลงเมื่อเห็นผมล่วงตุ๊บก้นกระแทกพื้น “เวรละ เจ้าเอาทิชชู่มา!”

ความรู้สึกเหมือนมีของเหลวอุ่นๆ กำลังไหลลงมาจากโพรงจมูกทำให้ผมยกหลังมือขึ้นปาดดู เชี่ยเลือดไหล...

“มึงเล่นแรงกับน้องไปไหมวะ ไม่ชอบก็บอกมันดีๆ ก็ได้ ติณณ์ก้มไว้อย่าเงยนะ เออๆ อย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำแข็งมาให้” พี่หลงว่า ส่งทิชชู่ให้ก่อนจะรีบเดินออกไปหาน้ำแข็งอย่างที่บอกไว้

ตอนนี้เหลือแต่ผู้ถูกกระทำ และคนร้ายที่ยังนั่งอยู่

“เอ่อ... ผมไม่ได้ตั้งใจ” พี่ข้าวว่าเสียงเบาให้ผมที่เอาทิชชู่อุดจมูกอยู่ฝืนเงยหน้าไปมอง ก่อนเจ้าของเสียงที่แววตาสำนึกผิดจะส่งมือมาลูบเบาๆ บริเวณสันจมูกที่คงขึ้นสีแดง “เจ็บมากไหม”

“เจ็บนิดหน่อยครับ” ผมตอบตามจริง และยิ้มแห้งออกมา “พี่ข้าวไม่ผิดสักหน่อย ผมผิดเองที่เล่นเยอะไป ขอโทษครับ”

“...” คนตรงหน้าคิ้วผูกเข้าเป็นโบว์ ปากเล็กเม้มเข้าหากันแน่นก่อนคลายออก “พี่ขอ---”

“เอ้านี่น้ำแข็ง” พี่หลงเข้ามาขัดจังหวะการพูดของพี่ข้าว ห่อผ้าที่เย็นจัดถูกวางลงกับสันจมูกผมอย่างเบามือ “รอเลือดหยุดค่อยเอาออก มึงดูน้องไว้เดี๋ยวกูลงไปซื้อข้าวขึ้นมาให้”

“ทำ---”

“อย่าถามว่าทำไม มึงเป็นคนทำน้องเลือดออก ติณณ์กินไรเดี๋ยวพี่ซื้อให้ไม่ต้องเกรงใจ” พี่หลงยกมือชี้หน้าพี่ข้าวที่หุบปากฉับ แล้วหันมาถามผมในประโยคหลัง

“เอ่อ...งั้นกะเพราไก่ก็ได้ครับ” ผมตอบเมนูที่คิดว่าง่ายที่สุดแล้ว “กระเป๋าเงินผมอยู่ที่โต๊ะ เดี๋ยวผมไปเอามาให้ครับ”

“ไม่ต้องๆ วันนี้ไอ้เจ้าเลี้ยง” คนโดนพาดพิงบ่นอุบ “งั้นเดี๋ยวพี่มา”

“ครับ ฟื้ด...”

“เลือดหยุดไหลแล้วมั้ง” เสียงพี่ข้าวพูดขึ้นเบาๆ หลังจากที่พี่หลงออกไปแล้ว เอื้อมมือมาจับคางผมที่ก้มหน้าให้เงยขึ้น “อุดอย่างนั้นหายใจออกหรือไง”

“น่าจะหมดแล้วมั้งครับ น้ำแข็งที่พี่หลงเอามาก็เริ่มละลายแล้วด้วย” ผมตอบ เอากระดาษที่ยัดจมูกออกมาดู เลือดแห้งกรังเลย... แล้วมันโยนลงถังขยะใกล้ตัว

“...”

“ครับ?” ผมที่ยกมือปาดเอาเลือดแห้งออกจากจมูกเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นอีกคนที่เม้มปากจ้องผมเขม็ง รอแล้วรออีกก็ไม่เห็นว่าพี่ข้าวจะพูดอะไรออกมา “งั้น...ผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ”

ไม่รอให้พี่ข้าวตอบรับผมก็เดินออกไปทันที รำคาญไอ้เศษเลือดแห้งๆ นี่ละครับ มองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหนบ้าง

แต่เสียดายที่ผมเดินออกมาก่อน... ถ้าผมยืนรออีกสักนิดก็จะได้ยินคำขอโทษจากอีกคนที่ดังแผ่วเบา

“...ขอโทษ”

Tbc.

――――――――――――――――――――――――――――――――
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -1- 23|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 24-01-2018 23:05:48
 :mc4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -3- 25|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 25-01-2018 21:50:14
-3-

เพราะวันนี้เป็นวันหยุด ผมเลยถือโอกาสกลับมากลิ้งเล่นอยู่ที่คอนโดเดิมได้ ถ้าวันธรรมดาผมอยู่ห้องเช่าใกล้ๆ ที่ฝึกงานครับ เพราะคอนโดไอ้หมอหมามันไกลเกินไป ขี้เกียจตื่นเช้าไปเจอรถติด พอกลับมาถึงก็เจอเพื่อนรักที่เพิ่งกลับจากบ้านที่โคราชพอดีเลยลากคอมันมาเพ้อใส่อย่างคนเก็บกดมาทั้งอาทิตย์

“สรุปมึงเจอเขาที่ฝึกงาน?” ไอ้อาร์ตถามผมหลังจากที่ผมเล่าว่าไปเจออะไรที่ฝึกงานมาบ้าง

“อื้อ โครตบังเอิญ” ผมตอบ “แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบขี้หน้ากูว่ะ แม่งออกตัวก่อนเลยว่าไม่สนใจผู้ชาย” ไอ้หมอหมาเลิกคิ้ว ก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อผมเล่าวีรกรรมทั้งอาทิตย์ให้มันฟังจบ

“โอ๊ย อย่างมึงเนี่ยนะพลาดท่าโดนเขาปาแฟ้มใส่ แถมไปเลือดกำเดาให้เขาเห็นอีก ฮ่าๆๆ”

เออ รู้ว่ากูน่าสมเพช... จนตอนนี้ผมพยายามที่จะไม่แหย่พี่ข้าวเวลาพี่แกมีอุปกรณ์ทำลายล้างอยูใกล้มือครับ... แต่ถ้าถามว่าโกรธไหมที่พี่ข้าวรุนแรงใส่ ก็ไม่นะครับ ผมไปกวนเขาก่อนนี่...

“พอเถอะ แค่นี้กูก็สมเพชตัวเองพอแล้ว” ผมว่าปลงๆ พลางยกสองมือขึ้นลูบใบหน้า แล้วพรูลมหายใจออกมาแรงๆ

ไอ้หมอหมาหยุดหัวเราะ ลุกขึ้นหันตัวหายไปในห้อง ก่อนจะกลับมาพร้อมกระป๋องเบียร์และจานกับแกล้มในมือ “กูว่าพอมีหวังเพราะจากที่ฟังมึงเล่าพี่แกบอกแค่ว่าไม่สนผู้ชายไม่ใช่ไม่ชอบใช่ไหม แล้วมึงจะเอาไงต่อ ลุยหรือหยุด?”

“ลุยดิ กูบอกแล้วไงคนนี้กูชอบ นิสัยกูก็ไม่ได้มีปัญหา ถ้าปราบดีๆ จากเสือก็เป็นแมวได้น่ามึง แถมพี่ข้าวเป็นคนแรกที่กูเข้าหาด้วย”

“หรอ แล้วเตยล่ะ” ผมเกือบสำลักเบียร์เมื่อไอ้หมอเอ่ยชื่อๆ หนึ่งขึ้น มุมปากมันยกขึ้นคล้ายยิ้มเยาะ “จำได้ว่าพี่ข้าวของมึงไม่ใช่คนแรกที่มึงเข้าหานี่”

ผมจ้องคนตรงหน้าเขม็งจนอีกคนยกมือยอมแพ้ “โอเคๆ ก็ไม่พูดชื่อนี้ก็ได้”

“เฮอะ มันจบหลายปีแล้วจะขุดขึ้นมาหาห่าอะไร” ผมยกกระป๋องเบียร์ขึ้นบังสีหน้า เรื่องนี้ไม่มีอะไรมากครับ เตยก็แค่แฟนเก่า คงใช้คำนี้ได้มั้ง แฟนเก่าที่จบไปไม่สวย... โคตรจะไม่สวย เรื่องนี้ผมพลาดเองและไอ้หมานี่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็เอาเถอะ ผมไม่อยากจะรื้อฟื้นมันนัก ลืมได้ก็ดี

แต่ถ้าอยากรู้ก็จะเล่าให้อ่านก็ได้ครับ ก็ตอนประกวดดาวเดือนเมื่อครั้นสมัยเป็นเฟรชชี่หน้าใสจนได้ตำแหน่งเดือนมาครอง ก่อนหน้าเข้ามหาลัยผมก็รู้จักคนไปทั่ว พอได้ตำแหน่งมาบวกหน้าตาดีอยู่แล้วก็ยิ่งมีคนมาเสนอตัวทั้งชายหญิงเหมือนไอ้หมอหมานั่นแหละ รูปหล่อพ่อรวยก็เงี๊ยะ บางคนเข้ามาหาผมเพื่อเงิน บางคนเอาแค่ว่าได้ควงคนหล่อก็พอใจแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเสนอมาผมสนองไป ไม่ได้มั่วนะครับ ผมควงเป็นคนๆ ไป

แล้วเตย...อ่า ผมไม่อยากพูดชื่อเธอเลย มีคนบอกว่าเตยเป็นคนสวยแต่หยิ่งครับ ด้วยความอยากลองของของผมเลยพาตัวเองไปจีบเธอ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามหาลัยที่ผมเริ่มเข้าหาคนอื่นก่อน ผมจีบเธออยู่ไม่กี่ครั้งและมันติด... มันติดง่ายเกินไปแต่ผมไม่ได้ตงิดใจอะไร ด้วยความที่เธอก็นิสัยแบบผู้หญิงทั่วๆไป ไอ้เราก็เลยเทคแคร์ไปตามปกติเวลาเธอก็อ้อนเอานู่นนี่นั่น สุดท้ายเป็นไงครับ...จับได้ว่าเธอเอาของไปให้ผู้ชายอีกคนที่มีศักดิ์เป็นสามีเธอจริงๆ แถมไอ้ตอนจับได้นะ มันเอาสามีมันมานอนห้องที่ผมเช่าไว้อยู่ ผมเลยตัดขาดกับเธอ รวมถึงไอ้เรื่องความสัมพันธ์ฉาบฉวยกับคนอื่น จะมีก็แต่พวกวันไนท์ อันที่จริงมาปลงตกได้ตอนย้ายมาหารค่าไฟกับไอ้หมอหมานี่ล่ะครับ เจอมันเทศน์แล้วสำนึกได้...

ที่จริงก็ลืมไปแล้วล่ะ แต่คิดถึงแล้วแม่งหงุดหงิด

“เลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นน่า แทนที่จะเครียดเรื่องเก่ามึงหาวิธีไปจีบเขาดีกว่าไหม” หมอหมาเปลี่ยนเรื่องคุยหลังเห็นผมเงียบไปนาน “แต่กูว่าไอ้ที่เชื่องเป็นแมวน่าจะมึงมากกว่านะติณณ์”

“เสืออย่างกูเชื่องยากเว้ย” ผมตอบไอ้หมอหมาพร้อมหัวเราะออกมาเสียงดัง

“พนันไหมล่ะ ถ้ามึงเป็นแมว... อ่า กูอยากได้ดูคาติ” ไอ้หมอหมายักคิ้วกวนพร้อมบอกข้อเสนอ

“หึ แต่ถ้ามึงแพ้มึงต้องซื้อให้กู ดีล?”

“จัดไป” ผมยิ้มอย่างคนมั่นใจในตัวเองก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยกับเพื่อนรักที่พูดถึงเรื่องเด็กข้างบ้านบ้าง

ก็ตอนนั้นผมไม่รู้นี่ว่าในอนาคตตัวเองจะเชื่องจริงๆ...


“พี่ข้าวววว”

และแล้วเช้าวันจันทร์ก็วนมาถึงอีกครั้ง บางคนอาจเกลียดวันจันทร์แต่ผมรักมันเพราะมันทำให้ผมเจอพี่ข้าวเจ้า ผมส่งเสียงสดใสทักเจ้าของโต๊ะทันทีที่เดินไปถึง สังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าพี่ข้าวจะเข้างานก่อนผมราวๆ 10นาที เพราะงั้นตอนนี้พี่แกอยู่โต๊ะชัวร์! อีกอย่างนะ หลังจากวันที่ผมโดนแฟ้มฟาดหน้า พี่ข้าวดูเหมือนค่อนข้างที่จะเริ่มใจดีกับผมมากขึ้น อย่างแรกคือพี่แกไม่แทนตัวเองว่าผมแล้วใช้คำว่าพี่แทน แล้วก็ไม่ท้วงเวลาผมเรียกพี่แกว่าข้าวแล้ว ดีใจ~ (ข้าวเจ้า – ท้วงไปก็ไม่ฟัง ท้วงทำไมให้เปลืองน้ำลาย...)

“โย่”

“อ้าวพี่หลงหรอกหรอ” ผมว่าเสียงเจือผิหวังเมื่อเห็นว่าคนบนโต๊ะไม่ใช่คนที่อยากเจอ

“อะไรๆ แค่นี้หงอย? โธ่ๆ ไอ้หนูเอ๊ย” พี่หลงเอื้อมมือมาขยี้ผมที่เซ็ตไว้จนพัง “วันนี้เจ้าบอกว่าลูกมันงอแงกลางทาง อาจเข้าช้า”

“อ้อ ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้ ลูกพี่ข้าวที่พูดถึงเป็นรถมอเตอร์ไซค์ครับ ผมเรียกว่าไอ้แก่เพราะเห็นสภาพของมันแล้วอยากให้พี่ข้าวเปลี่ยนรถแต่ก็ต้องเงียบเมื่อพี่เขามองตาขวาง เกือบจะโดนด่าเพราะไปว่าลูกรักพี่แก... พอผมนั่งลงกับโต๊ะตัวเองปุ๊บพี่หลงก็ไถลเก้าอี้พุ่งมาหาทันที

“ติณณ์ พี่ถามจริงๆ นะ เคยเจอไอ้เจ้าที่ไหนอะไรยังไง แล้วทำไมถึงชอบมันวะ” พี่หลงยิงคำถามรัว มองซ้ายมองขวาก่อนก้มมาพูดกับผมเบาๆ ด้วยเสียงหนักแน่น “พี่อยากรู้ พี่อยากเสือก”

“อือหือ เต็มหน้าผมเลย”

“เล่ามา แลกกับเบอร์ไอ้เจ้า”

“ผมไปเจอพี่ข้าวที่ร้านXXXครับ เห็นคนกำลังจีบพี่ข้าวอยู่ แล้วพี่แกดูจะไม่เล่นด้วยเลยเข้าไปช่วยแบบเนียนๆ ตอนแรกก็ไม่ได้อะไรมาก แต่พอเห็นหน้าชัดๆ แล้วได้คุยกันเท่านั้นแหละ สเปคเลย” ผมดีดนิ้วพร้อมตอบคำถามอย่างไม่อิดออด พี่หลงเบิกตากว้างก่อนหัวเราะออกมาดังลั่นจนพี่ทศตะโกนมาด่า จะว่าผมอ่อนก็ได้ครับ ขอเบอร์พี่เลี้ยงตัวเองไม่เคยได้เลย พี่ข้าวใจร้ายชะมัด กระซิก

“โห ไอ้เรื่องเจ้าล่ะเร็วเชียวไอ้เสือ” ผมยิ้มแป้นรับ มองพี่หลงที่นั่งเท้าคาง “โอเค คำตอบเดียวกับไอ้เจ้าเลย แล้วไงต่อ ยังไม่จบใช่ไหม หืม”

ผมพยักหน้า “ก็พอวันที่เจอพี่ข้าวที่ห้าง...วันที่เจอพี่นั่นด้วยแหละ ตอนเจอพี่ข้าวบอกว่าตัวเองชื่อเจ้า ไหนจะนิสัยที่คนละอย่างกับวันนั้นอีกก็ทำผมเหวอเหมือนกันนะ แต่ผมไม่คิดว่านั่นเป็นแฝดพี่ข้าวเพราะตรงนี้” ผมชี้ที่หางตาซ้ายตรง ตำแหน่งเดียวกับไฝพี่ข้าว “ถ้าแฝดยังไงตำหนิก็ไม่น่ามีเหมือนกันใช่ไหมล่ะพี่ ผมก็พยายามจะตามหาพี่เขาให้ได้เพราะมันคาใจ ทั้งกลับไปมาหาที่ร้าน ทั้งโทรตามนามบัตรที่พี่ข้าวให้ แต่ดันเป็นของใครก็ไม่รู้ นี่เจอเขาด่ากลับมาซะไม่เหลือมาดเลย กะจะให้ป๊าช่วยหาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่เขา จนเพื่อนผมมันบอกให้ผมตัดใจอ่ะพี่ สามเดือนที่ผ่านมาผมก็ยังอยากเจออยากรู้จักพี่เขาอยู่ แต่ไม่นึกว่าจะมาเจอง่ายๆ อย่างนี้ ฮ่าๆ”

“หรอ แล้วชอบนิสัยไหนมากกว่ากัน” พี่หลงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถามต่อ ตอนนี้เขาเท้าศอกทั้งสองข้างลงกับโต๊ะ แล้วจ้องมองเขม็งด้วยแววตาจริงจัง ก่อนมันจะหายไปเมื่อเสียงของบุคคลที่พวกเรากำลังพูดถึงดังขึ้น

“โอ๊ย แม่งเสียเงินแต่เช้าเลย ใครมันเอาตะปูไปทิ้งกลางถนนวะ” คนมาใหม่บ่นอุบ “แล้วมึงมานี่ทำไม? รู้สึกว่าโต๊ะมึงอยู่นู่น”

“มาคุยกับเด็กมึงไง” พี่หลงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันไปยักคิ้วใส่เพื่อนสนิท “งั้นเดี๋ยวพี่มาเอาคำตอบตอนมันเผลอแล้วกัน”

“หือ คุยไรกัน?” ผมควรดีใจไหมที่พี่ข้าวไม่ปฏิเสธคำว่า เด็กมึง

“ไม่ยุ่งน่าเตี้ย”

“ด่ากูเสือกเลยป่ะ?”

“เออ อย่าเสือก”

“ไอ้หลง!”

พี่หลงยิ้มเยาะที่ก่อกวนเพื่อนสำเร็จ ทำท่าจะเดินกลับโต๊ะของตัวเองแต่โดนผมดึงแขนไว้ก่อน “มีไรอีก?”

“คำถามที่พี่ถามไว้” ผมยิ้ม หันมองคนตัวเล็กที่ยืนทำหน้างงอยู่ข้างๆ ก่อนเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ “จะนิสัยไหนผมก็ชอบครับถ้าเป็นพี่ข้าว”

“ติณณ์!!” พี่ข้าวเรียกชื่อผมเสียงหลง ใบหน้าเล็กขึ้นริ้วแดง ในขณะที่เพื่อนสนิทของพี่แกขำลั่นอีกครั้งจนพี่ทศตะโกนด่าให้หุบปากอีกรอบ

“อุ๊บ ฮ่าๆๆ เจ้าเอ๊ยมึงเตรียมลงจากคานนะมึง ผู้หญิงไม่สนแต่ผู้ชายก็ดีนะมึง มีคนดูแล” พี่หลงกลั้นขำพลางตบบ่าเพื่อนตัวเองแรงๆ พี่ข้าวตวัดตามองผมสลับกับพี่หลงดุๆ ทั้งที่ยังหน้าแดง
น่ารัก

“ไอ้หลง! งานมึงจะทำไมถ้าไม่ทำก็กลับบ้านไป!” พี่ทศที่เริ่มหมดความอดทนเดินขึ้นมาหาพวกเรา พี่หลงทำตาวาวกับคำพูดของหัวหน้าแล้วพูดต่อ

“กลับได้หรอพี่ งั้นผมลาล่ะครับ”

“แวะมาเอาซองขาวก่อนกลับด้วยล่ะ” พี่ทศยิ้มอย่างผู้ชนะให้พี่หลงที่ยิ้มแหยเดินกลับโต๊ะไป พอพี่หลงไปหัวหน้าแผนกก็หันมาถามผมเพราะได้ยินเรื่องราว “จีบไอ้เจ้าจริงดิ หมัดมันหนักนะ?”

“หนักแค่ไหนก็คงไม่สะเทือนผมหรอกครับ” พอได้ฟังคำตอบทั้งพี่ข้าวและพี่ทศก็ยิ้มชั่วร้ายออกมาพร้อมๆ กัน ก่อนพี่ทศจะเป็นฝ่ายเดินมาตบบ่าผมอย่างเห็นใจ

หรือผมพลาดอะไรวะ?


“ติณณ์พี่ฝากอันนี้ไปให้เจ้าหน่อย” เสียงของพี่ทศทำให้ผมที่กลับจากห้องน้ำชะงักขาแล้วหันไปมองคนที่ยื่นแฟ้มเล่มเล็กมาให้

“ครับ?”

“อันนี้ข้อมูลแผนการตลาด พี่ฝากไปให้เจ้าหน่อยนะ” พี่ทศว่าแล้วหันไปมองนาฬิกา “อ่า...บอกมันด้วยว่าพี่เอาเย็นนี้”

“ได้ครับพี่ทศ” ผมรับแฟ้มนั่นมา ก้มหันให้คนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนเดินกลับโต๊ะ

“พี่ข้าวไปกินมื้อเที่ยงกัน” ผมวางแฟ้มนั่นไว้พลางเอ่ยชวนคนโต๊ะข้างๆ เมื่อเห็นว่าได้เวลาพักแล้ว “นะครับ ไปกันๆ”

พี่ข้าวปรายตามองผมสลับกับแฟ้มเล่มใหม่แต่ไม่มีท่าทีว่าจะลุก มือเล็กนั่นยังคงง่วนกับการพิมพ์เอกสาร ผมหันมองนาฬิกาอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ ผมตัดสินใจลุกขึ้น คว้ากระเป๋าเงินและโทรศัพท์เข้ากางเกง แต่พอก้าวออกมาจากตรงนั้นไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดเพราะได้ยินเสียงเลื่อนเก้าอี้ตามด้วยเสียงคนเดินตามหลัง

“จะหยุดเดินทำไม ไหนจะไปกินข้าวเที่ยง” คนด้านหลังส่งเสียงบอก พอหันไปมองพี่ข้าวก็สะดุ้งเล็กๆ และหันหน้าไปทางอื่น “มองไร? ก็งานเสร็จแล้วนี่ พี่หิวแล้ว ไปดิไป๊”

ผมยกยิ้มมองแผ่นหลังของพี่ข้าวที่ออกเดินนำผมทันทีที่เจ้าตัวพูดจบ ผมบอกแล้วไงพี่ข้าวน่ะใจดี

“ยิ้มบ้าอะไรจะกินไหมห๊ะ!”

“กินครับ!”

พอมาถึงร้านอาหารที่ใต้อาหาร ผมเสนอตัวไปซื้อข้าวเที่ยงให้อีกคน แต่พี่ข้าวกลับชี้นิ้วบอกให้ผมเฝ้าโต๊ะไว้แล้วเดินไปต่อแถวที่ร้านก๋วยเตี๋ยวทันที ผมที่เชื่อฟังคำสั่งของพี่ข้าวอย่างเคร่งครัดก็ได้แต่นั่งทำหน้าทำตัวเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ที่โต๊ะรอให้อีกคนกลับมา พี่หลงที่บังเอิญเดินผ่านมาเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะไร้เสียงใส่ผม ไม่ถึง10นาทีพี่ข้าวก็กลับมา...พร้อมชามก๋วยเตี๋ยวในมือ2ชาม

คนตัวเล็กวางทั้ง2ชามลงกับโต๊ะ และดันหนึ่งในนั้นมาตรงหน้าผม

“พี่ข้าวครับ...” ผมทำตาโตมองคนตรงหน้าที่เริ่มปรุงอาหารแล้ว พี่ข้าวเหลือบมองผมก่อนจะส่งตะเกียบให้ “อันนี้ของผมหรอครับ?”

“ของหมามั้ง” พี่ข้าวว่าเสียงขุ่น ส่งตะเกียบมาจิ้มลูกชิ้นในชามตรงหน้าผมไป “อันนี้พี่เลี้ยง ก็ตั้งแต่มาพี่ยังไม่เลี้ยงเราเลยนี่หว่า”

พี่ข้าวพูดพลางสูดเส้นสีขาวไปด้วย ผมที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มกว้าง เอ่ยปากขอบคุณก่อนลงมือจัดการอาหารตรงหน้า

อ่า...ตั้งแต่เข้ามาฝึกงานนี่เป็นมื้อที่อร่อยที่สุดของผมแล้วล่ะครับ

“อ้าว ข้าวเจ้า หวัดดี” เสียงใสของใครสักคนเอ่ยทักพี่ข้าว “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ แล้วนี่มากินข้าวหรอ”

ผมก้มมองชามก๋วยเตี๋ยวสลับกับเจ้าของเสียง อยากตอบไปชะมัดว่าไม่ได้กินข้าว มากินก๋วยเตี๋ยว ก็ได้แต่คิดแล้วก้มสูดเส้นสีขาวเข้าปากต่อ

“หึ เรากินก๋วยเตี๋ยวไม่ได้กินข้าว สาวล่ะ”

“อุ๊บ แค่ก” ผมสำลักเส้นก๋วยเตี๋ยวทันทีที่ได้ยินอีกคนตอบ เอื้อมมือรับน้ำที่พี่ข้าวส่งให้แล้วก้มหน้าซบแขนตัวเอง อยากหัวเราะแต่ก็เกรงใจ อะไรดลใจให้พี่แกตอบคำเดียวกับที่ผมคิดล่ะวะ

“น้องเขาไหวไหมอ่ะเจ้า” เสียงใสเจ้าของชื่อสาวนั่นพูดแกมเป็นห่วงในอาการผม

“ไม่รู้สิ ติณณ์ไหวไหม” มือของพี่ข้าวเอื้อมมาแตะแขนผมเบาๆ ผมชูมือเป็นเครื่องหมายโอเคก่อนเงยหน้าขึ้นมา

“โอเคครับพี่ข้าว แค่ผมรีบกินไปหน่อย” ผมตอบอีกคนที่ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ พี่สาวร้องอุ๊ยมองผมสลับกับพี่ข้าว ที่เลิกคิ้วขึ้น หันไปคุยกับเพื่อนพี่แกอีกสองสามคำก่อนจะมาสะกิดให้ผมลุก

“เมื่อเป็นอะไร” พี่ข้าวเงยหน้าถามผมระหว่างที่เราเดินกลับแผนกกัน

“ก็บอกแล้วไงครับว่ารีบกินเกินไปเลยสำลัก ของที่พี่ข้าวซื้อให้มันอร่อยเกินไป” ผมขยิบตา คนสูงแค่ปากผมหรี่ตามองเหมือนไม่เชื่อ “อันที่จริงที่พี่ข้าวตอบเขาไปคือประโยคเดียวกับที่ผมคิดอยู่ครับเลยหลุดขำ ผลก็อย่างที่เห็น...”

ผมยกมือขึ้นเกาแก้มอย่างเขินๆ มองที่ข้าวที่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนเดินนำผมลิ่ว เมื่อกี้ได้ยินพี่ข้าวพูดว่า สมน้ำหน้า หรือ ไอ้เด็กบ้า ด้วยล่ะครับ

tbc.

―――――――――――――――――――――――――
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -4- 26|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 26-01-2018 20:37:50
-4-
ข้าวเจ้า
“เด็กนั่น... คนรู้จักมึง?” ผมตวัดตามองเพื่อนตัวสูงที่หันกลับไปมองไอ้เด็กชื่อติณณ์นั่น พลางยืนลูบคางตัวเองราวกับกำลังใช้ความคิด “แล้วยังเรียกชื่อต้องห้ามมึงอีก นี่กูพลาดอะไรหรือเปล่า หืม?”

ไอ้หลงยิ้มเจ้าเล่ห์ มันเอนตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมจนต้องใช้ฝ่ามืองัดคางมันขึ้นจนได้ยินเสียงคอสั่น น้อยคนครับที่จะเรียกผมว่าข้าว(นอกจากครอบครัวนะ) ชื่อมันน่ารักเกินไปสำหรับผม เรียกเจ้าดีกว่าแมนดี

“เคยเจอที่ร้านวันก่อน กูโดนจีบอยู่ตรงบาร์แล้วมันมาช่วย” ผมโคลงหัว “ดูก็รู้ว่ามันคงไม่ได้ทำตัวเป็นพระเอกที่มาช่วยโดยไม่หวังผล ตามันบอกว่าสนใจกู กูเลยบอกชื่อนั้นไปเพราะไม่คิดจะได้เจออีก มึงก็รู้กูไม่สนใจแนวนี้... อีกอย่างมึงก็รู้ตอนเมากูเป็นยังไง”

“อ้อ น้องข้าวเมาแล้วขี้อ่อย โอ๊ย! เจ็บนะมึง!”

“อ่อยเหี้ยไรล่ะ” ผมสะบัดหน้าไปอีกทาง ไอ้ร้านที่ว่านั่นไอ้คนตรงหน้าผมมันเป็นเจ้าของแหละครับ ผมกับหลงเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มัธยมละ ไปเจอมันในค่ายมวยของตา ตอนนั้นไอ้หลงตัวเล็กๆ เหี่ยวๆ ดูไม่ค่อยสู้คน แต่ก็ไม่นึกว่าพอโตมานี่จะสูงฉิบหาย... ส่วนผมนี่หยุดที่ร้อยเจ็ดสิบสามตั้งแต่ม.ปลายแล้ว แย่!

พอเรียนจบมันก็บอกว่าอยากจะทำร้านในฝันของมันผมเลยร่วมหุ้นด้วยเพราะมันบอกจะดูแลเอง ที่ไหนได้... ทำได้ไม่ถึงปีมันก็กลายมาเป็นพนักงานออฟฟิศเดียวกันนี่ล่ะครับ ส่วนร้านนั่นก็จ้างคนจ้างญาติมาดูแล นานๆ ทีจะเข้าไปคุมเอง ไอ้พวกรวยเอ๊ย! ส่วนเรื่องกินเมา.. น้ำเปลี่ยนนิสัยไงครับคุณ

“นี่มึงยังไม่เข็ดกับการโดนสาวบอกเลิก เพราะมึงโดนผู้ชายมาจีบต่อหน้าต่อตาเขาอีกหรือไง” นิ้วไอ้หลงจิ้มๆ ลงกับแก้มผม เห็นอย่างนี้ผมก็มีสาวๆ มาติดนะ “เห็นความสูงมึงแล้วเสียดายความมาดแมนตอนเด็กจริงจริ๊ง แล้วยังเคยคบกะ---”

“ไอ้หลง!” ผมแผดเสียงใส่เพื่อนที่พูดอยู่  “กูสูงเกินมาตรฐานคนไทยนะเว้ยไม่ใช่เสาไฟอย่างมึง”

“ก็ไม่ได้บอกว่ามึงเตี้ย...เอ่อ จ้ะๆอย่าทำหน้างั้นดิ เดี๋ยวกูโทรหาจ๋าแปปจะได้เวลาแล้ว” มันแถก่อนผละออกไปโทรหาแฟนมัน อันที่จริงผมผมไม่ได้ตั้งใจมาดูหนังหรอก ผมมาเป็นกขค.คู่นี้มากกว่า

หึ เหม็นความรัก

ดีที่นับตั้งแต่ทำไอ้เด็กสูงเยี่ยงเปรตที่เจอในวันนั้นทำหน้าเหวอได้ผมก็ไม่เจอมันอีกเลย นับเป็นเรื่องที่ดีเพราะผมไม่ต้องมาเจอผู้ชายตามจีบต้อยๆ อีก แล้วไอ้นามบัตรที่ผมให้มันไปตอนนั้นก็หยิบส่งๆ ให้ ไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าเป็นชื่อใคร ต้องขอโทษเจ้าของนามบัตรแผ่นนั้นล่วงหน้าแล้วกันครับ...

แต่คุณเคยคิดไหมว่าโชคชะตาชอบเล่นตลกกับเรา...

“เจ้า แกเป็นพี่เลี้ยงเด็กฝึกงานได้ไหม” พี่ทศ หัวหน้าแผนกการตลาดที่ผมทำงานอยู่ด้วยพูดขึ้น “มีเด็กมาสามคน หญิงสองชายหนึ่ง พี่ว่าจะให้แกกับไอ้หลงช่วย”

“ได้ดิพี่ ผมหาคนช่วยงานพอดี”

“เออดีๆ งั้นตามมา พี่จะพาไปรู้จักเบ๊ประจำตัว” ที่ทศยักคิ้วให้แล้วออกเดินนำ เด็กฝึกงานทั้งสามคนนั่นดูเหมือนไม่ได้มาจากมหาลัยเดียวกัน ผู้หญิงสองคนกำลังยืนคุยกับไอ้หลงคาดว่านั่นคงเป็นเด็กไอ้หลงเรียบร้อย ส่วนผู้ชายที่คาดว่าผมต้องเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นยืนหันหลังให้ผมอยู่ สูงชะมัดเด็กสมัยนี้

“นี่น้องติณณ์ เบ๊...เอ๊ย เด็กฝึกงานคนใหม่ของเรานะ พี่ฝากเจ้าดูแลน้องมันด้วยแล้วกัน ส่วนนี่ข้าวเจ้านะ เป็นพี่เลี้ยงเรา มีอะไรก็ถามๆ มันเอาแล้วกัน”

คิ้วผมกระตุกเมื่อได้ยินชื่อคุ้นหู และเกือบจะร้องออกมาเมื่อได้เห็นหน้า ‘เด็กฝึกงาน’ ชัดๆ
ไอ้เด็กนั้นนี่หว่า! ผมสบถในใจ จากที่จะยิ้มแย้มรับเด็กฝึกงาน ผมค่อยๆ หุบยิ้มลงสวนทางกับไอ้เด็กนั่นที่ยิ้มกว้างขึ้นเหมือนคนดีใจฉิบหาย

“ทำไมไม่ให้ไอ้หลงดูแลวะพี่ งานผมเยอะพี่ก็รู้” ผมเผลอว่าเสียงแข็ง ตวัดหางตาไปมองพี่ทศ

“แกรับปากแล้ว ไอ้หลงมันรับสาวๆ ไปแล้วนู่น เจ้ารับไอ้นี่ไปแหละดีแล้ว” พี่ทศว่า สายตามองไปที่ไอ้หลงที่เต๊าะสาวอยู่ “พี่ฝากดูแลด้วยละกันเจ้า รักๆ กันไว้ละไอ้หนู”

“ครับ...ผมจะรักให้มากๆ เลย” ผมขบฟันเมื่อมันเน้นคำว่ารัก ก่อนจะโดนพี่ทศเอาแฟ้มเอกสารเล่มหนาฟาดลงที่หัวแรงๆ จนร้องโอ๊ย

โปรดจำไว้ว่าบริษัทนี้แฟ้มคืออาวุธสังหาร...

“ทำตัวดีๆ กับน้องมันหน่อย” ผมรับคำเสียงเบา ก่อนพี่ทศหันไปพูดกับมัน “ส่วนติณณ์ ศึกษางานจากเจ้ามันนะ งานก็ทั่วๆ ไปมีไม่มาหรอก ส่วนมากก็เดินเอกสาร พิมพ์งานอะไรเทือกนี้ งั้นพี่ฝากเจ้าด้วยนะ”

พี่ทศตบบ่าผมสองครั้งก่อนเดินจากไป ทิ้งให้ผมยื่นอยู่กับไอ้คนหน้าระรื่นสองคน

“ยิ้มบ้าอะไรหนักหนา” ผมตวัดตามองคนบ้า ก่อนสบถออกมากับตัวเองอย่างหัวเสีย “แม่งเอ๊ย คิดว่าจะไม่ได้เจออีกแล้วก็ยังอุตส่าห์วกมาเจอจนได้”

คนตรงหน้าหัวเราะออกมาอย่างไม่กั๊กจนผมอยากประเคนหมัดใส่ปากมัน ก่อนไอ้เด็กนี่จะยื่นมือออกมาข้างหน้า ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจ

“อะไร”

“ผม... ติณณ์ครับ ต่อจากนี้อีกสามเดือนกว่า ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” ผมส่งมือไปจับกับมือมันอย่างช่วยไม่ได้ นี่มือหรือไม้พาย?

“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งครับพี่ข้าว”

“อย่ามาเรียกผมว่าข้าว! เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อโดนมันดึงเข้าหา ไอ้เด็กนี่ก้มมาจนแก้มจะชนหน้าผมอยู่แล้ว!

“ได้ครับพี่ข้าว...เจ้า : )”

“ไอ้!”

“เอาละ หน้าที่ของเด็กฝึกงานอย่างผมต้องทำอะไรบ้างครับพี่ข้าว” ไอ้เด็กเวรทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว กวาดตามองรอบออฟฟิศอย่างสนอกสนใจ “มีงานดูแลหัวใจคนแถวนี้ไหมครับ”

“ไอ้เด็กกวนประสาท!”


แต่ละวันของผมนอกจากอยู่ออฟฟิศแล้วก็มีค่ายมวยของตานี่แหละ ที่ตอนนี้ลูกชายคนเล็กของคุณตา หรือก็คือน้าชายของผมขึ้นเป็นคนดูแลแทนแกแล้ว เพราะผมอยู่กับค่ายนี้มาตั้งแต่เด็ก เวลาหงุดหงิดอะไร หรือเครียดกับอะไรมากๆ ก็มักจะเอาไปลงกับกระสอบทราย อย่างเช่นในวันนี้...

ตุ๊บ!

“ข้าวแค้นใครมาวะ กระสอบจะทะลุแล้วนั่น” เสียงติดขำของน้าชาย...นั่นชื่อของน้าแก ดังขึ้นทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะออกหมัดแล้วหันไปหาเจ้าของเสียง

“เปล่าครับน้า ผมแค่หงุดหงิดเฉยๆ” ผมตอบ น้าชายเลิกคิ้วเหมือนไม่เชื่อ “ก็...หงุดหงิดเรื่องงาน”

“เห คนอย่างข้าวเจ้าหงุดหงิดเป็นด้วยหรอ”

“ถ้าน้าเจอเด็กฝึกงานมาเต๊าะ มาจีบทุกวันพี่ก็จะพูดแบบผม” ผมว่าเสียงเอือม และปล่อยหมัดใส่กระสอบอีกครั้งเพื่อระบายอารมณ์เมื่อคิดถึงเรื่องนี้

“ก็ดีดิมีคนมาจีบ ข้าวจะได้ไม่ขึ้นคานไง” ผมเบ้หน้าเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ทำหน้าอะไรนั่น ไม่ชอบหรือไง ไม่สวย?”

“ถ้าผู้หญิงผมจะไม่บ่นสักคำ”

“ผู้ชาย?”

“อื้อ...”

ปุๆ น้าชายเดินมาตบบ่าผม ทำหน้าเห็นอกเห็นใจและหันหลังเดินจากไป

“...อ๊ากกกกกกกกกกกก”

“โว้ย! ใครก็ได้ชวนไอ้ข้าวไปชกดิ๊! ของกูพังหมดเพราะมันเลย!” เจ้าของค่ายคนปัจจุบันตะโกนลั่น ทว่าไม่มีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้ข้าวเจ้าในตอนนี้ เพราะต่างก็รู้ความหนักของหมัดคนตัวเล็กในเวลาโกรธดี...


อย่างที่บอก... ผมหงุดหงิดที่มันชอบทำตัวน่ารำคาญใส่ อย่างตอนนี้ที่มันมาง๊องแง๊งๆ ใส่ผม ชวนผมไปกินข้าวเที่ยงด้วยอย่างนี้ ผมจะไม่สนใจมันเลยถ้าไม่ลามปามเกินขอบเขตที่ผมขีดไว้

“ผมอยากกินข้าว” ผมโยนแฟ้มเอกสารในมือลงโต๊ะอย่างแรงเมื่อได้ยินที่เด็กนี่พูด จะเกลียดชื่อตัวเองก็วันนี้แหละครับ...

พอไอ้หลงถามมันยอมรับหน้าด้านๆ ว่าจะจีบผม “ว่าไงเจ้า ให้จีบไหม”

“จีบห่าอะไร! ผมบอกคุณไว้ตรงนี้เลยนะว่าผม ไม่สนผู้ชาย!” ผมเสียงดังใส่คนทั้งสอง โชคดีที่ตอนเที่ยงคนไม่อยู่ในออฟฟิศเท่าที่ควรพี่ทศเลยไม่ออกมาด่า

ไอ้ติณณ์ยกยิ้มร้าย “พี่ข้าวรู้อะไรไหม...ไอ้คนที่บอกว่าไม่สนผู้ชายเนี่ย ลองแล้วติดใจผมทุกราย”

ปึ่ก! ผมเผลอปาแฟ้มที่หนากว่าสองนิ้วใส่หน้ามัน... และผลที่ได้คือมันเลือดกำเดาไหล

แต่ทั้งๆ ที่ผมเป็นฝ่ายผิด มันยังขอโทษผมออกมาจนผมรู้สึกผิด “พี่ข้าวไม่ผิดสักหน่อย ผมผิดเองที่เล่นเยอะไป ขอโทษครับ”

เป็นผู้ใหญ่ภาษาอะไรวะไอ้ข้าวเจ้า ทำผิดไม่ยอมขอโทษ

ผมเม้มปากมองตามแผ่นหลังกว้างของเด็กนั่นที่เดินหายไปทางห้องน้ำ เอื้อนเอ่ยคำขอโทษออกมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกคนไม่มีทางได้ยิน

บางที... ผมควรลดอคติกันเด็กนี่ได้แล้ว...

พอไม่มีคติกับไอ้เด็กนี่แล้ว ถ้าเลือกเมินเรื่องมันเข้าจีบผมด้วยวิธีกวนตีนๆนะ มันก็เด็กดีคนนึงเลยล่ะ รับผิดชอบงานดี ทำงานไว หัวไว ระยะเวลาไม่ถึงเดือน ที่ผมเป็นพี่เลี้ยงมันรู้สึกว่าผมไม่มีอะไรสอนไอ้เด็กนี่อีกแล้วซ้ำยังได้คนช่วงงานเพิ่มด้วย

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเลิกหาเรื่องด่าไอ้เด็กนี่แล้ว ยอมรับว่าขำมันเวลาที่เห็นมันทำหน้าหมาหงอยก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างอย่างดีใจเหมือนหมาได้ของเล่น อย่างตอนที่ผมเลี้ยงข้าวเที่ยงมันหรือตอนที่มันชวนไปกินข้าวเที่ยงแล้วผมยอมไปด้วย อันที่จริงเวลามันชวนก็ไม่ได้เล่นตัวหรอกครับ อยากเห็นปฏิกิริยาบนใบหน้ามันก่อนเหมือนหมาดี ส่วนเรื่องชื่อผม... เคยบอกมันไปแล้วนะ แต่ผมเจอมันบอกว่า เรียกพี่เจ้าไม่ถนัด เรียกที่รักได้หรือเปล่า เท่านั้นละครับ ปลงชีวิตเลย...


พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้อาจมีฝน20% ผมมองท้องฟ้าสดใสไร้เมฆมืดสลับกับเสื้อกันฝน ตัดสินใจไม่เอามันไปทำงานเพราะชังใจว่ามันคงไม่ตกในตอนเลิกงานหรอก

แต่ทว่า...

ตอนนี้ผมควรโทษอะไรดี? โทษที่ฝนตกผิดฤดู หรือโทษตัวเองที่ตากฝนกลับบ้านเมื่อวานแถมไม่ยอมกินยาจนไม่สบายอย่างนี้

“แค่ก ฟื้ด” ผมสูดน้ำมูกรู้สึกว่าหนักหัวอึ้ง ควานหาโทรศัพท์ที่วางไว้แถวหัวเตียงแล้วกดโทรออกเบอร์ของไอ้เด็กที่ผมเป็นพี่เลี้ยง รอสายไม่กี่วิฯมันก็กดรับสาย

‘ครับ’

“แค่ก นี่เจ้านะ วันนี้พี่ฝากทำเอกสารหน่อย แค่กๆ มีโน๊ตอยู่บนโต๊ะ พอดีรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่” ผมกลั้นใจพูดรัว เจ็บคอชิบหาย

‘ครับพี่ข้าว’

“งั้นพี่ฝากติณณ์ด้วยแล้วกัน แค่ก””

‘ครับ ยินดีครับ’

“ขอบคุณครับ” ผมเผลอยกยิ้มเมื่อเห็นอีกคนว่านอนสอนง่าย พอจะกดตัดสายเสียงอีกคนก็ดังลอดขึ้นมา

‘เอ่อ...พี่ข้าว’

“ครับ?”

‘หายเร็วๆ นะครับ’

-ติ๊ด-

ผมกดตัดสายทันทีที่ได้ยินมันพูด เสียงทุ้มนุ่มๆ ที่บอกให้ผมหายเร็วๆ ทำให้ผมเผลอเม้มปากแน่น ยกมือขึ้นกุมอกข้างซ้ายที่เต้นระรัว “อย่าเต้นแรงนักสิ...”

ไม่กี่นาทีต่อมาโทรศัพท์ในมือก็ขึ้นแจ้งเตือนว่ามีข้อความจากไอ้หลง ติณณ์คงไปบอกมันว่าผมไม่สบายมันเลยจะมาเยี่ยมหลังเลิกงาน ผมเลยโทรลงไปข้างล่างว่าให้เอาคีย์การ์ดสำรองให้ถ้ามีคนบอกว่ามาเยี่ยมโดยไม่ได้แจ้งชื่อคนที่จะมาไว้ ที่ทำอย่างนั้นเพราะคิดว่าผมคงไม่มีปัญญาไปเปิดประตูเองแน่ๆ ก็ขอให้ไอ้หลงมันมาคนเดียวแล้วกันเพราะเวลาผมป่วยทีไร นิสัยจริงๆ แม่งออกมาทุกที

แต่... ผมว่าฟ้าคงไม่ชอบผมสักเท่าไหร่...

“ติณณ์?”

――――――――――――――――――――――――――――――――
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -4- 26|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 27-01-2018 20:05:32
ติณข้าวรู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -5- 27|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 27-01-2018 22:35:51
5


“ครับพี่ข้าว”

‘งั้นพี่ฝากติณณ์ด้วยแล้วกัน แค่ก’

“ครับ ยินดีครับ”

‘ขอบคุณครับ’

“เอ่อ...พี่ข้าว”

‘ครับ?’

“หายเร็วๆ นะครับ -ติ๊ด- อ๊ะ”

ผมยกยิ้มมองโทรศัพท์เครื่องสีดำในมือที่หน้าจอขึ้นว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว จากวันแรกที่ผมเข้ามาฝึกงานจนตอนนี้ก็ผ่านมาได้เดือนกว่าๆ แล้วครับ พี่ข้าวที่ตอนแรกเหมือนจะไม่พอใจที่เป็นพี่เลี้ยงผมก็อ่อนลงเยอะ แต่กว่าจะอ่อนได้ก็เจ็บตัวไปเยอะเหมือนกัน... อย่างที่คุยไปก่อนหน้านี้พี่ข้าวเขาโทรมาบอกผมว่าเจ้าตัวป่วย ฝากเคลียร์งานที่พี่เขาทำค้างเอาไว้ต่อให้ด้วย ซึ่งงานส่วนใหญ่ก็มีแต่ที่พี่แกสอนหมดแล้ว บวกกับผมเคยทำตอนไปฝึกงานกับป๊าช่วงปิดเทอมปีก่อนๆ เลยเป็นงานง่ายสำหรับผมไปเลย

ผมเดินไปลางานกับพี่ทศให้พี่ข้าวเจ้า ก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะของคนป่วยแทนที่จะเป็นโต๊ะของตัวเอง

“ไงติณณ์ ได้ข่าวว่ามันป่วย” พี่หลงทักผมที่ขยับตัวไปเปิดคอมพี่ข้าว ข่าวไวชะมัด “แล้วนี่มันใช้งานเด็กทำงานหรือไง ได้สินบนเท่าไหร่?”

“ผมเต็มใจทำน่าพี่หลง”

“เต็มใจหมดถ้าเป็นไอ้เจ้าสั่งสินะ” พี่หลงยกยิ้มล้อเลียน รายนี้สนับสนุนที่ผมจีบพี่ข้าวด้วยซ้ำ พี่หลงบอกว่าผมเป็นคนตรงๆ แถมดูทนไม้ทนมือพี่ข้าวได้ดี...

ก็เพิ่งมารู้ว่าพี่ข้าวเป็นหลานชายเจ้าของค่ายมวยแถวนี้ และเคยได้แชมป์ตอนเด็กๆ จากปากของพี่หลงล่ะครับ... ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมัดถึงหนักจนทำผมนักกีฬาอย่างผมน็อกได้... ผมจะไม่เล่าความอัปยศนี้นะ ข้ามเถอะผมขอนะครับ ช่วงหลังๆ มานี้เริ่มสนิทกับพี่หลง พี่แกก็ชอบเอาพี่ข้าวมาเมาท์ให้ฟังเวลาเจ้าตัวไม่อยู่หรือพี่ข้าวเผลอ เลยได้รู้หลายเรื่องทั้งของที่ชอบที่เกลียดโดยไม่ต้องสืบเอง แล้วก็นะหมัดนั่นที่ผมโดนไปพี่หลงกระซิบว่าเบาสุดแล้วด้วย... นี่ผมควรสมัครเข้าสมาคมเกียมัวไว้ และทำประกันชีวิตไว้ก่อนดีไหมครับ?

แต่ตอนนี้คงได้บอกให้ไอ้หมอหมาเลือกรุ่นรถไว้ได้เลย...

“เออ เย็นนี้พี่ไม่อยู่นะ”

“ครับ?” ผมละสายตาจากหน้าจอเงยมองคนที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พี่หลงยืนเท้าศอกลงกับฉากกั้นแล้วยิ้มแบบคนมีเลศนัยมองมาที่ผม ก่อนหยิบเอากระดาษและปากกาที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นไปเขียนอะไรสักอย่าง

“พี่บอกว่าเย็นนี้พี่ไม่อยู่นะ แล้วเพื่อนสนิทสุดที่รักของพี่ดันป่วยอยู่ห้องคนเดียวไม่มีคนไปดูแล น่าสงสารเนอะว่าไหม” พี่หลงว่าเสียงสอง(เสียงตอแหล)พร้อมยกยิ้มร้าย เขาวางกระดาษลงและเดินกลับโต๊ะตัวเองไป

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากผมเมื่อเห็นสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในกระดาษด้วยลายมือหวัดๆ ของพี่หลง

TK Condo #1402

นี่... พี่หลงกะจะปล่อยให้ผมไปหาเพื่อนพี่ที่ห้องคนเดียวจริงดิ ไม่กลัวผมไปปล้ำเพื่อนพี่หรือไงครับ


แล้วผมมาทำอะไรที่นี่...

ตอนนี้คือเวลาทุ่มกว่าๆ เบื้องหน้าผมคือตึกสูงของคอนโดตามที่พี่หลงบอกทางมา ในมือมีถุงโจ๊กร้อนๆ และยาสำหรับคนป่วยที่โทรไปถามไอ้หมออาร์ตแล้วบอกให้ไปซื้อ ผมสูดหายใจลึกก่อนเดินก้าวเข้าคอนโดไป

“เอ่อ... ขอโทษครับ” ผมเอ่ยถามพนักงานตรงฟร้อนท์ของคอนโดพี่ข้าว

“ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“คือว่ารุ่นพี่ของผม ห้อง1402 เขาไม่สบายน่ะครับ...” ผมว่าเสียงอ่อย พลางยื่นข้อความที่พี่หลงส่งมาให้ประกอบ “พอดีผมเอาข้าวเอายามาให้เขา แต่ผมไม่รู้ว่าจะขึ้นไปหาเขายังไงดี...”

“อ้อ ห้องคุณเจ้า คุณเขาแจ้งไว้แล้วว่าจะมีคนมาหา งั้นเชิญทางนี้ค่ะ” พนักงานคนนั้นว่าอย่างสุภาพ ก่อนเดินนำผมไปที่ลิฟต์แล้วยื่นคีย์การ์ดมาให้ “ส่วนอันนี้คุณเจ้าฝากไว้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

และตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าห้อง1402 ผมก้มมองบานประตูสีไม้สลับกับคีย์การ์ดในมือก่อนจะถอนหายใจออกมา เอื้อมมือไปเคาะประตูบานนั้นสองสามครั้ง ยืนรอจนคิดว่าคนในห้องอาจจะไม่ได้ยิน หรืออาจกำลังหลับอยู่ แล้วจึงถือวิสาสะใช้คีย์การ์ดแผ่นนั้นเปิดเข้าไป

“พี่ข้าวครับ...” ผมส่งเสียงทัก ภายในห้องพี่ข้าวมืดสนิท ผมกดเปิดไฟก่อนเดินไปหาบานประตูบานเดียวของห้องและผลักมันเข้าไป “ขออนุญาตนะครับ”

แสงจากภายนอกห้องสาดส่องเข้ามาให้พอมองเห็นก้อนสักอย่างที่ขดอยู่กลางเตียงท่ามกลางกองนุ่มนิ่มของหมอนและตุ๊กตา ผมปัดเรื่องนี้ออกจากหัวและรีบก้าวเข้าไปหาคนบนเตียง ยกมืออังหน้าผากชื้นเหงื่อทั้งๆ ที่อยู่ในห้องแอร์เย็นจัดของพี่ข้าวทันที

ร้อน...
“พี่ข้าวครับ พี่ข้าว” คนป่วยยังนอนไม่รู้เรื่องจนต้องเขย่าตัวปลุก อย่างน้อยต้องตื่นมากินข้าวกินยาก่อน

“อืม...หลง?” เสียงแหบพร่าของพี่ข้าวเรียกชื่อเพื่อสนิท คนที่ยังงัวเงียผงกหัวขึ้นมองผู้บุกรุกอย่างผมก่อนเอ่ยอย่างแปลกใจ “แค่ก ติณณ์?”

“ครับ ผมเอง พี่ข้าวลุกไหวไหม” ผมวางของลงกับโต๊ะข้างเตียงแล้วช่วยพยุงตัวพี่ข้าวให้ลุกนั่งดีๆ ก่อนจะยื่นน้ำไปให้ เจ้าตัวไอโคลกแต่ยังส่งสายตาสงสัยมาที่ผมราวกับจะถามว่ามาได้ยังไง “พี่หลงติดธุระครับ พี่เขาเลยให้ผมมาแทน ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนครับ”

พี่ข้าวพยักหน้ารับรู้ คนป่วยชี้ที่สวิตซ์ไฟตรงหน้าห้องให้ผมไปเปิด พอทั้งห้องสว่างผมถึงได้เห็นสภาพพี่ข้าวดีๆ นั่นทำให้ผมกลืนก้อนเหนียวๆ ลงคออย่างยากเย็น

อึ่ก...

พี่ข้าวในสภาพของคนป่วยที่มีอาการอ่อนเพลียและทรงตัวไม่อยู่จนต้องพิงหัวเตียง ปากสีสดช่ำน้ำที่เพิ่งดื่มไป ใบหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ ไหนจะตาปรือๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นดีนั่นอีก แต่ที่สำคัญ... กระดุมเสื้อนอนตัวโคร่งที่หลุดลุ่ยจนคอเสื้อตกไปไหล่ จนเห็นยอดอกสีอ่อนแวบๆ นั่นล่ะครับ!!

ไอ้ติณณ์...มึงใจเย็นนั่นคนป่วย...

“ติณณ์?” เสียงแหบแห้งเรียกผมที่มองสภาพคนตรงหน้าค้างอยู่ให้ได้สติ

“เอ่อ... ผมซื้อโจ๊กมาให้ เดี๋ยวผมไปเอาใส่จานมาให้นะครับ” ผมพูดและรีบออกจากห้อง สภาพคนตรงหน้าแม่งน่ากินเกินไปแล้ว!

พอผมเทโจ๊กใส่จานเสร็จผมก็ยกเข้าไปหาพี่ข้าว คนป่วยเบ้หน้าออกมาก่อนจะเอ่ยคำที่ผมคิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะพูดกับผม

“ป้อน... ป้อนหน่อย” คุณเอ๊ย พี่ข้าวแม่งช้อนตามองผมอ่ะ!!

“ครับๆ” ผมรีบทรุดนั่งขอบเตียงเว้นห่างคนป่วยเล็กน้อย ตักโจ๊กพอดีคำขึ้นมาเป่าให้เย็นก่อนป้อนอีกคนที่อ้าปากรออย่างไม่อิดออก แต่พอทานไปสามสี่คำพี่ข้าวก็หันหน้าหนี “พี่ข้าวกินอีกครับ จะได้กินยา”

“ไม่อร่อย มันขม” คนป่วยว่าเสียงงอแงให้ผมหลุดขำ นี่ป่วยแล้วอ้อนหรือไง?

“งั้นอีกคำครับ จะได้กินยานอน” พี่ข้าวยู่ปากก่อนยอมอ้ากว้าง โจ๊กคำใหญ่คำสุดท้ายที่ผมป้อนให้ถูกส่งเข้าปากที่รอรับ แต่เพราะคำมันใหญ่เกิน...

“พี่ข้าวครับ” ผมเคาะมุมปากซ้ายของตัวเอง บอกให้อีกคนรู้ว่ามีอาหารติดที่มุมปาก พี่ข้าวแลบสิ้นเลียมุมปากคนละฝั่งกับที่ผมบอก มองคนที่เช็ดข้าวไม่ออกสักทีอยู่นานจนผมต้องยกมือไปปาดออกให้

แผล่บ
จังหวะเดียวกับลิ้นเล็กตวัดมาอีกทางพอดี กลายเป็นว่าลิ้นพี่ข้าวถูกนิ้วผมเต็มๆ... เชี่ย เหมือนโดนไฟช็อต

“เอ่อ... ขอโทษครับ พี่ข้าวนี่ยานะเดี๋ยวผมไปล้างจาน” ผมไม่รอให้เดดแอร์บังเกิด ส่งยากับแก้วน้ำเข้ามือพี่ข้าวและผละตัวถือโจ๊กออกไปล้าง ยืนนิ่งๆ ตั้งสติอยู่อย่างนั้นจนได้ยินเสียงพี่ข้าวเรียกชื่อ

คนป่วยอยากอาบน้ำ...

“อาบได้ที่ไหนครับพี่ข้าว ไข้ขึ้นอย่างนี้” ผมดุ แต่คนป่วยดูเหมือนจะไม่ยอม

“ก็มันเหนียวตัว”

“งั้นผมเช็ดตัวให้” พี่ข้าวไม่ตอบ ผมถือว่านั่นเป็นการอนุญาตจึงเดินออกไปนอกห้องนอน คว้ากะละมังใบเล็กตรงส่วนซักแห้งพร้อมผ้าผืนน้อย เปิดน้ำใส่และเดินกลับไปหาคนป่วยโดยไม่ลืมที่จะปิดแอร์

ผมยืนทำตาปริบๆ มองคนตรงหน้า ถ้าเช็ดตัวพี่ข้าว...พี่ข้าวต้องเปลือยนี่หว่า!

เอาวะ!

“เอ่อ...ขอโทษนะครับ” ผมวางกะละมังลงกับเก้าอี้ เอื้อมมือไปปลดกระดุมชุดนอนคนป่วย มืออย่าสั่นสิเฮ้ย อย่าสั่นนนนน

“พี่...เช็ดเองได้ครับ” คนบนเตียงว่าเสียงแหบ “ติณณ์หันหลังไปก่อนเนอะ”

ผมหันหลังทันทีที่พี่ข้าวพูดจบ ถึงไม่ได้ใช้ตามองแต่หูยังทำงานได้ดี ผมได้ยินเสียงของผ้าเสียดสีกัน พี่ข้าวน่าจะถอดเสื้ออกแล้ว ตามด้วยเสียงน้ำกระเพื่อม เสียงบิดน้ำและเสียงผ้าที่เคลื่อนสัมผัสผิวอย่างช้าๆ ถึงไม่ได้เห็นเชื่อไหมว่าผมเห็นภาพในหัวอย่างชัดอ่ะ

ว่าแต่จะเอาเหล้ายี่ห้อไหนไปให้พี่หลงดีนะ...

“ติณณ์เอาชุดในตู้ให้พี่หน่อย พับไว้ซ้ายมือ” ผมยืนฟังเสียงคนป่วยเช็ดตัวเองเกือบห้านาที พี่ข้าวก็เรียกให้ผมเอาชุดให้ ผมก็ยื่นให้ทั้งที่ยังหันหลังล่ะครับ พออีกคนแต่งตัวเสร็จก็ส่งเสียงบอกให้ผมหันไปได้

“แค่ก... นี่มายังไง”

“มามอไซค์วินครับ” ผมตอบ เพราะห้องที่เช่าตอนนี้อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานแบบที่สามารถเดินไปได้ เลยเอารถทิ้งไว้ที่คอนโดไอ้หมอหมามัน

“...”

พี่ข้าวพยักหน้าไม่พูดอะไรต่อ ผมมองนาฬิกาตรงหัวเตียงพี่ข้าวก็เห็นว่าใกล้สามทุ่ม ได้เวลาพักผ่อนของคนป่วยแล้วสิ “สามทุ่มแล้ว งั้นผมกลับก่อนนะครับ หายเร็วๆ นะครับ”

“ติณณ์” พี่ข้าวเรียกผมที่กำลังจะออกจากห้องนอนไว้ คนป่วยเบือนหน้าหนีผมแล้วเอ่ย “ดึกแล้ว แค่ก นั่งรถกลางคืนมันอันตราย นอนนี่ก็ได้นะ”

“ครับ?!” ผมร้องเสียงหลงอย่างไม่เชื่อหูตัวเองให้อีกคนตวัดตาดุใส่

“พี่บอกว่า นอนนี่ก็ได้ แค่กๆ โซฟาว่าง” น้ำเสียงเหมือนคำสั่งทำให้ผมยิ้มกว้าง พี่ข้าวบอกว่าให้คุ้ยหาเสื้อผ้าของพี่หลงที่มีในตู้แล้วไล่ไปอาบน้ำ พอผมอาบออกมาคนป่วยก็โดนฤทธิ์ยาครอบงำแล้ว

ผมก้าวมายื่นอยู่ข้างเตียงคนป่วย เอามือเสยเส้นผมที่ปรกหน้าพี่ข้าวขึ้น ก้มมองคนป่วยที่สีหน้าดีขึ้นกว่าตอนผมมาถึงมากที่หลับตาพริ้มนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ก่อนที่จะ...

จุ๊บ
ทำใจกล้ากดริมฝีปากกับหน้าผากชื้นนั่น

“ฝันดีครับพี่ข้าว หายเร็วๆ นะครับผมเป็นห่วง” เอ่ยกับคนป่วยที่นอนไม่รู้เรื่องก่อนเดินออกมาจัดที่นอนชั่วคราวของตัวเองในคืนนี้

ถ้ารู้ว่าพี่ข้าวป่วยแล้วอ้อนนี่จะยอมขาดงานมาดูแลแต่เข้าเลยเอ้า!!

Tbc.

――――――――――――――――――――――

แถม
หลง – เจ้า...ตกลงนิสัยมึงอันไหนกันแน่ กูอยู่กับมึงมาเป็นสิบปีนี่เจอเกือบทุกนิสัย
ข้าวเจ้า – กูก็นิสัยแบบนี้มึงเจอทุกวันไงหลง
หลง – อ้าว แล้วข้าวเจ้าเวอร์ชี้อ้อนล่ะ ไว้ใช้กับน้องติณณ์หรือไง กิ๊วๆ
ข้าวเจ้า – กิ๊วพ่อมึง! กูป่วยกูแค่ขี้เกียจกินข้าวเอง นั่นไม่เรียกว่าอ้อน!
หลง – ครับ ขี้เกียจก็ขี้เกียจ แล้วมึงจะหน้าแดงหาอะไรวะ เฮ้ย เจ้าหน้าแดงงงง!
ข้าวเจ้า – เชี่ยหลง! ! !
――――――――――――――――――――――
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -5- 27|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 27-01-2018 23:07:11
พี่ข้าวอ่อยน้องตินอิอิ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -5- 27|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-01-2018 03:08:01
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -6- 28|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 28-01-2018 21:50:21
6

ผมตื่นขึ้นมาตอนราวๆ หกโมงเช้า อย่างแรกที่ทำหลังตื่นคือลุกขึ้นไปหาคนป่วยที่ยังคงนอนหลับอยู่ในห้อง วางมือลงกับหน้าผากของคนป่วยแผ่วเบา และยิ้มจางออกมาเมื่อเห็นว่าอีกคนไข้ลดลงแล้ว ดีที่วันนี้วันหยุดเลยไม่ต้องกลัวว่าอีกคนจะนอนเพลิน ผมเดินออกจากห้องนอนไปคุ้ยโจ๊กซองที่ลงจากไปซื้อมาจากร้านค้าใกล้ๆ คอนโดเมื่อคืนพร้อมมาม่าของผม เสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อนแล้วเดินเข้าห้องน้ำ จัดการตัวเองเรียบร้อยถึงกลับไปห้องคนป่วยอีกครั้ง

ผมพลางทรุดตัวนั่งลงข้างเตียงฝั่งเดียวกับที่พี่ข้าวหันหน้ามา เอนหัวแนบกับที่นอนเพื่อสำรวจหน้าคนป่วยดีๆ อันที่จริงพี่ข้าวไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบาง ผมพิสูจน์มาแล้วว่าแข็งแรงจนทำผมน็อคได้ แต่เพราะอยู่กับคนตัวสูงอย่างพี่หลงหรือผมเลยดูตัวเล็กไปถนัดตา พี่หลงเล่าว่าคนๆ นี้ สมัยเรียนอยู่คารมดีมากจีบสาวคนไหนก็ติดทุกราย แต่ก็เลิกกันเพราะมีผู้ชายเข้ามาจีบพี่ข้าวบ่อยๆ

นี่ผมควรสงสารเขา หรือควรขำดี?

ผมเอื้อมมือไปสัมผัสไฝตรงใต้ตาซ้ายของพี่ข้าว เกลี่ยอย่างเบามือ เคยอ่านเจอจากที่ไหนสักที่ว่าคนมีไฝใต้ตามักเป็นคนเจ้าชู้ จากที่พี่หลงเล่านี่คงจริง แต่สำหรับผม... ผมว่ามันคือเสน่ห์ของพี่ข้าวนะ

“อืม...” เสียงครางในลำคอของเจ้าของไฝดังขึ้นให้ผมชะงักมือที่เปลี่ยนมาเป็นลูบแก้มนิ่มตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ก่อนคนหลับจะถูกแก้มกับมือผมแล้วหลับต่อ

ผมว่าพี่ข้าวน่ะไม่ใช่เสือหรอก นี่ลูกแมวชัดๆ!

“พี่ข้าวครับ พี่ข้าว” ผมเรียกคนที่ยังนอนทับมือผม “พี่ข้าวตื่นมากินข้าวกินยาก่อนะครับ”

“อื้อ” เปลือกตาของคนตรงหน้าค่อยๆ เปิดขึ้น ตาปรือๆ ของคนป่วยมองมาที่ผม “ติณณ์?”

“ดีขึ้นไหมครับ” ผมถาม พี่ข้าวทำตาปริบๆ ใส่ก่อนพยักหน้าเป็นคำตอบ “งั้นกินโจ๊กนะครับจะได้กินยา เดี๋ยวไปเอามาให้”

พี่ข้าวเบะปากออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยเมนูที่อยากกินซึ่งมันเป็นเมนูที่มีแต่ของมันๆ ไม่เหมาะกับคนป่วยจนผมต้องดุเพราะพี่ข้าวมีอาการงอแงจนหน้าบึ้ง สุดท้ายก็ต้องต่อรองว่าถ้าอยากกินต้องหายก่อนเดี๋ยวนะเลี้ยงพี่ข้าวถึงยอม

“คำสุดท้ายแล้วครับ” ผมตักโจ๊กคำสุดท้ายจ่อปากพี่ข้าว คนป่วยที่ทำหน้าเหมือนโดนบังคับอ้าปากรับอย่างเสียไม่ได้ พอหมดช้อนปุ๊บเจ้าก็สะบัดหน้าหนีผม “นี่ยาครับ”

ผมเดินออกจากห้องเพื่อเอาจานไปเก็บ แต่นึกขึ้นว่าลืมเอาน้ำไปให้พี่ข้าวเลยเดินกลับไปที่ห้องเจ้าตัวพร้อมขวดน้ำในมือ คนป่วยนอนคลุมโปงอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ผมเดินไปที่หัวเตียงบริเวณที่วางซองยาไว้ มันเหลือแต่ซองส่วนตัวเม็ดยาหายไป...

“พี่ข้าวครับ” ผมหรี่ตามองก้อนบนเตียงที่ขยับตัวเล็กน้อยก่อนขานรับผม “พี่ข้าวกินยาหรือยังครับ”

“กินแล้วดิ เฮ้ย!” ก้อนผ้าห่มตอบกลับ ผมถอนหายใจก่อนกระชากผ้าห่มออกจากตัวคนป่วยทันที

“กินยังไงครับ น้ำไม่มีไม่ขมหรือไง” ผมว่าอย่างเป็นห่วง เอื้อมมือไปล็อกคางไม่ให้คนป่วยเบือนหน้าหนีได้ “หรือจะให้ผมไปคุ้ยถังขยะครับพี่ข้าวเจ้า”

“...ไม่กินเดี๋ยวก็หาย” พี่ข้าวปัดมือที่ผมจับคางออก ดึงผ้าห่มที่ลงไปปลายเตียงขึ้นมาคลุมทั้งตัว “วันนี้พี่ก็หายแล้ว ติณณ์ก็กลับบ้านได้แล้ว ขอบคุณที่มาดูแลพี่ครับ”

“...” ผมยืนฟังคนป่วยที่พูด(และไล่)จนจบแล้วจึงทิ้งตัวนั่งลงข้างเตียง กวาดแขนกักตัวพี่ข้าวที่กลายเป็นก้อนไปอีกรอบแล้วก้มหน้าไปใกล้ๆ ก่อนกระซิบ “แสดงว่าเมื่อคืนก็ไม่ได้กินสินะ หรือพี่ข้าวจะให้ผมป้อน”

“ไอ้!!” คนป่วยที่หน้าขึ้นสีผุดลุกขึ้นนั่งพอดีกับที่ผมผละตัวออก พี่ข้าวขบฟันมองผมที่ยืนยิ้มแป้นยื่นยากับน้ำไปให้

“จะได้หายเร็วๆ ครับ นับสามถ้าพี่ไม่กินเองผมป้อนแน่ๆ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “และพี่คงรู้ว่าผมจะป้อนด้วยวิธีไหน”

“เอามา!” ไม่ทันที่จะได้เริ่มนับ พี่ข้าวก็คว้ายากับน้ำจากมือผม แกะออกจากซองแล้วโยนมันเข้าปากตามด้วยน้ำอึกใหญ่ ก่อนจะเบ้หน้าออกมา “แม่ง ขม”

ผมระบายยิ้มมอง ส่งมือไปลูบผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงอย่างเผลอตัว “เก่งครับคนเก่ง”

“...” พี่ข้าวชะงักพอๆ กับผมที่เพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ผมรีบดึงมือกลับและเอ่ยขอโทษคนแก่กว่าทันที

“เอ่อ ขอโทษครับพี่ข้าว ผมเผลอไปหน่อย” ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ ก่อนก้มหน้ายืนเตรียมใจโดยประทุษร้ายโทษฐานลามปาม...

แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พี่ข้าว...ครับ” พอเงยหน้าขึ้น ภาพตรงหน้าคือพี่ข้าวยกมือวางบนหัวตัวเองพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรือ สักพักเจ้าตัวก็สะดุ้งแล้วหันมามองผม ก่อนหมอนใบนิ่มจะถูกปาใส่หน้าผมเต็มๆ อย่างที่คนทำก็รีบมุดผ้าห่มหนีความผิด

“กลับไปได้เลยนะ พี่ไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณครับ” เสียงอู้อี้ๆ ที่ดังจากออกมาจากผ้าห่ม ทำให้ผมยกยิ้มกับความน่ารักของคนตรงหน้า หยิบหมอนที่หล่นพื้นไปวางบนเตียงคืนก่อนก้มไปหอมจุดที่น่าจะเป็นส่วนหัวผ่านผ้าห่มเบาๆ

“งั้นผมไปก่อนนะพี่ข้าว หายเร็วๆ นะครับ” ผมออกมาทันทีโดยไม่รอฟังเสียงโวยวายที่จะเกิดขึ้นในห้อง

หลังจากเก็บห้องพี่ข้าวให้เจ้าตัวเรียบร้อยผมถึงได้ฤกษ์ออกจากห้อง พอล้วงกระเป๋าเจอบัตรแข็งที่ได้มาเมื่อวานก็ยิ้มร้ายและเก็บบัตรนั่นลงกระเป๋าอย่างดีโดยไม่มีความคิดที่จะคืน เอ่ยทักทายพนักงานหน้าฟร้อนท์ที่เป็นคนละคนกับเมื่อวานก่อนออกมาเรียกแท็กซี่เพื่อกลับคอนโดไอ้หมอหมา


“กลับนี่ถูกด้วยหรอวะ?” นั่นคือคำแรกที่เพื่อนสนิททักหลังจากเห็นผมเดินเข้ามาในห้อง ผมไม่ตอบแต่ชูถุงข้าวที่ซื้อมาขึ้น ไอ้หมอหมาที่เห็นอย่างนั้นก็ปรี่เข้ามาดึงถุงออกจากมือผม คว้ากล่องข้าวออกจากถุง เทใส่จานและกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่มีคำขอบคุณ

ตัวอย่างเพื่อนที่ดีครับ...

“มึงจะจบสี่ปีป่ะวะ?” ไอ้อาร์ตถามขึ้นทั้งๆ ที่ข้าวยังเต็มปาก

“มึงคิดว่ากูจะเรียนห้าปีหรือไง สี่เว้ยย” ผมตอบ ไอ้หมอหมาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อแล้วหันไปกินข้าวต่อ “มีอะไร?”

“น้องกู...แอ๋มน่ะ มันบอกจะมาสอบเข้ามหาลัยที่กรุงเทพ ก็หลังปีมึงจบพอดีเลยว่าจะให้ห้องมาอยู่นี่จะได้ไม่เปลือง” มันว่า “กูถึงถามมึงไงว่ามึงจะจบในสีปีไหม”

“แล้วอะไรที่ทำให้มึงคิดว่ากูจะไม่จบสี่ปี กูไม่มีหมา มีปลาในเกรดนะเว้ย แถมกูได้เกรียตินิยมแน่ๆ”

“เผื่อมึงไม่ผ่านฝึกงาน”

“ฮะ?”

“ก็พี่เลี้ยงมึงไง ไปกวนเขามากๆ ระวังเขาไม่ให้มึงผ่านละ กลัวมึงจะเข้าโรงบาลก่อนฝึกจบ” หมอหมายักคิ้ว มันพูดทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวตุ้ยแบบไม่เหลือฟอร์มอะไรแบบตอนอยู่ในมหาลัย สภาพมันตอนอยู่หอกับไปมอนี่คนละฟีลเลยครับ ไปมอโคตรคุณชายที่ดูดีทุกระเบียบนิ้ว แต่พอมาถึงห้อง...มาดคุณชายถูกสะบัดทิ้งตั้งแต่เข้าห้อง กลายเป็นไอ้แว่นบ้าหัวฟู ...ก็เรื่องของมัน

“พูดถึงพี่ข้าว กูเพิ่งไปเฝ้าไข้เขามา พี่ข้าวตอนป่วยโคตรน่ารัก” ผมพูดไปยิ้มไป นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้วมีความสุข “ป่วยแล้วอ้อนฉิบหาย”

“ได้ข่าวว่ามึงยังโทรถามกูอยู่ว่าต้องซื้อยาอะไรมั่ง” หมอหมาขัดความสุข “แล้วนี่พี่มันยอมให้มึงเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวได้ไงวะ”

“กูมีคนช่วย” ผมยักคิ้ว “แต่พี่ข้าวแม่งน่ารักจริงๆ ว่ะ อ้อนซะกูลืมเวอร์ชั่นตอนอยู่ที่ทำงานเลย”

“ติณณ์... มึงเตรียมเงินไว้เลยนะ” เพื่อนที่ปล่อยให้ผมเพ้อ ยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียวมาได้สักพักเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยให้ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย

ไอ้หมอมายิ้มมุมปากแล้วเฉลย “ดูคาติกูไง”

ฉิบหายละ...


“ยังไงพี่ก็ฝากเจ้าเรื่องแผนการตลาดด้วยนะ” เสียงพี่ทศดังขึ้นก่อนจะจบการประชุม วันนี้มีประชุมเย็นครับ อันที่จริงนักศึกษาฝึกงานอย่างผมหรืออิงกับอรไม่ต้องเข้าก็ได้ แต่พี่ข้าวคนดีเขาขอให้ผมเข้าไปเรียนรู้งานด้วย

“ครับพี่ทศ”

“เออเจ้า เย็นนี้ว่างป่ะ” คนดีของผมเลิกคิ้วสูง หันไปมองเจ้าของเสียงที่เรียกเขา “ไอ้หลงชวนที่เก่าเวลาเดิม”

อะไรคือที่เก่าเวลาเดิม...

“ไปครับพี่!” พี่ข้าวรับคำอย่างไม่รีรอ ดวงตาคนพี่วาววับเป็นประกาย พี่ทศที่เห็นอย่างนั้นก็หันมาชวนผมบ้าง

“ไปไหมติณณ์?” ผมเหลือบมองคนตัวเล็กกว่าก่อนตอบตกลง อยากรู้ครับว่าที่เก่านั่นคือที่ไหน “งั้นให้เจ้าพาไปนะ นัดเวลากันเอง พี่เลี้ยงเอง”

“อะไรคือที่เก่าเวลาเดิมครับพี่ข้าว?” ผมถามคนที่ทำหน้าหงิกหน้างอหลังจากที่ทศเดินกลับห้อง “อ่ะ ยังไม่อยากรู้ก็ได้ งั้นพี่นัดเวลามาเดี๋ยวผมไปรับ”

“ไปรับ?” ผมชูกุญแจรถที่เพิ่งไปเอามาขึ้นแทนคำตอบ “เออๆ งั้นสองทุ่มไปรับที่คอนโดพี่ละกัน ใกล้ถึงก็โทรมาเดี๋ยวพี่ออกไปรอ”

ผมรับคำ และแยกกลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัวรอเวลา ใกล้สองทุ่มก็คว้ากุญแจรถคู่ใจขับออกไปที่คอนโดพี่ข้าว พอไปถึงก็เจอพี่แกยืนคุยกับยามที่ป้อมอยู่ ไม่ได้มองสักนิดเลยว่ารถที่จอดตรงหน้าเขาคือผม ตอนนี้พี่ข้าวอยู่ในชุดเสื้อคอเต่าแขนยาวสีดำกับกางเกงยีนต์สีซีด ปล่อยผมที่เซ็ตขึ้นเวลาทำงานลง ทำให้ผมคิดถึงวันแรกที่เจอพี่ข้าวเลย

“พี่ข้าว” ผมลดกระจกฝุ่นข้างคนขับลง ชะโงกตัวเรียกเจ้าของชื่อที่ยืนทำหน้าเอ๋อ “ขึ้นรถครับ”

“รถติณณ์? ขโมยใครมา” พี่ข้าวถามทันทีที่ขึ้นมาบนรถ อ่าก็รถญี่ปุ่นธรรมดาแหละครับแค่...ตัวท็อปของรุ่นล่าสุด ผมลอบยิ้มมองเด็กน้อยที่สนใจรอบคัน “ไปตรงXXXรู้จักไหม”

“ครับ” ผมตอบ “ส่วนนี้ก็รถผมเองครับ ป๊าซื้อให้ตั้งนานแล้ว แต่มาตอนนี้ห้องอยู่ใกล้ที่ฝึกงานเลยไม่ได้เอาใช้ เพิ่งกลับไปเอาตอนพี่ข้าวป่วยนี่ล่ะครับ อันที่จริงคันนี้ยังไม่มีใครได้เป็นตุ๊กตาหน้ารถเลยนะ”

พี่ข้าวหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อคำพูดจนผมต้องพูดต่อ “ปกติเอาอีกคันไปครับ”

“เออ ไอ้รวย!” ผมหัวเราะร่า ตั้งใจขับตามที่พี่ข้าวบอกจนไปถึงแหล่งร้านเหล้าสักที่ที่ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร้านอาหารที่มีชื่อว่า

‘ที่เก่า...เวลาเดิม’
...ใครแม่งคิดชื่อวะ!

พอจอดรถเรียบร้อยผมก็เดินตามพี่ข้าวเข้าร้าน มองไปรอบร้านเห็นสาวเชียร์เบียร์นมใหญ่ดีนะครับ...เอ๊ย! เห็นพี่ทศกำลังโบกไม้โบกมือเรียกเรา พี่ข้าวหันมองผมก่อนเดินนำไปหาพี่ทศ และทิ้งตัวลงกับเก้าอี้โซฟาซึ่งมันเป็นแบบสองที่นั่ง ทว่าตอนที่ผมกำลังจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พี่ข้าวนั้น...

“ไปนั่งนู่น” พี่ข้าวชี้ฝุ่นตรงข้ามที่มีพี่หลงนั่งครองอยู่ ซึ่งเจ้าของชื่อก็ให้ความร่วมมือดีมากโดยการนั่งกางขายึดพื้นที่

“ที่เต็มครับน้องข้าวเจ้า ให้น้องนั่งกับมึงแหละ” พี่หลงว่าแล้วยักคิ้วให้ “ติณณ์มึงอย่าดื่มมาก เดี๋ยวต้องไปส่งเจ้าด้วยใช่ป่ะ”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ ที่โต๊ะตอนนี้มีแค่สี่คนครับ คือผม พี่ทศ พี่หลง และพี่ข้าว นั่งฟังพวกเขาคุยกันแล้วถึงรู้ว่าสามคนนี่พี่น้องร่วมมหาลัยกัน รู้จักตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ พอพี่ทศจบก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยแล้วมาบังเอิญเจอกันตอนที่ทำงานแล้ว ฟังพี่ๆ คุยกันไม่นานนักอาหารที่สั่งไว้ก็ถูกวางบนโต๊ะ

“ยำอร่อยนะติณณ์” พี่ทศว่า แสยะยิ้มแล้วชี้ไปที่ยำตรงหน้าพี่แกที่ใกล้มือพี่ข้าว “เจ้าตักให้น้องมันหน่อยดิ”

“เรื่องดิพี่ มันแขนยาวจะตายตักเองก็ถึง”

“เจ้าใจร้ายกับน้องฝึกงานจัง”

“น่า เจ้าใกล้กว่าก็ตักให้น้องมันหน่อย” พี่ทศว่าแล้วยักคิ้วให้ผม

ผมว่านะ...ผมได้คนร่วมทีมเพิ่มอีกคนแล้วครับ #ทีมติณณ์กันเยอะๆ นะครับ /ขยิบตา


“ตินรู้ไหมมม ไอ้จ้าวววมันโดนสาวๆ หักอกโคตรบ่อ เอิ๊ก เพราะแม่งมีผู้ชายมาจีบต่อหน้า อึก ต่อตาเลยย” เสียงยานของคนเมากำลังเล่าเรื่องอดีตของพี่ข้าวให้ฟังอย่างออกรสชาติ ซึ่งเจ้าของเรื่องนินทาตอนนี้ฟุบกับไหล่ผมหลับไปแล้วครับ ก่อนหน้านี้ก็เล่นยิ้มหวานตาเยิ้มจนผมใจกระตุก
พอเมาแล้วเหมือนกับวันนั้นเลย...

มารู้ก่อนพี่หลงจะเมาหนักว่าพี่ข้าวเมาแล้วชอบอ่อยเรี่ยราด ผมนี่แทบยกมือกุมขมับ คือพี่ข้าวเมาเหมือนคนไม่เมา พูดคุยรู้เรื่องจำได้ทุกอย่างแต่แค่นิสัยเปลี่ยน... แต่พอเมาหนักก็อย่างที่เห็นตอนนี้ หลับปุ๋ย

“ไอ้หลงแม่งไปละ” พี่ทศที่ยังครองสติได้เพราะไม่ได้ดื่มมากพูดขึ้น “ว่าแต่เราน่ะ รู้จักกับญาดากรุ๊ปอยู่แล้วใช่ไหม”

ผมถึงกับสำลักน้ำสีอำพันที่กำลังยกเมื่อได้ยินอย่างนั้น ท่าทางของผมแทนคำตอบได้ดี “หลานชายคุณชัยธวัช?”

“พี่ทศรู้?” ผู้เป็นหัวหน้าพยักหน้า “ครับ ผมเป็นหลานลุงวัช ญาติห่างๆ น่ะ ว่าแต่ทำไมพี่ถึงรู้”

“ตอนไปประชุมที่บริษัทใหญ่อาทิตย์ก่อน คุณชัยเขามาถามพี่ว่าหลานเป็นไงมั่ง ตอนแรกพี่ก็นึกว่าอิงไม่ก็อร พอท่านพูดว่าหลายชายพี่เลยรู้” เขาว่า “อันที่จริงพี่ตงิดตั้งแต่นามสกุลเราแล้วล่ะก็คิดอยู่ว่าคุ้นๆ จะว่าไปเราไปทำที่นู่นเลยก็ได้นี่ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?”

“เพราะที่นี่ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใครไงครับ ที่นี่ผมคือติณณ์ เด็กฝึกงานตาดำๆ คนนึง แต่ถ้าไปตึกใหญ่ผมจะเป็นหลานประธาน ถ้าไปฝึกนู่นคนที่เห็นผมบ่อยๆ ก็จะคิดว่าผมเป็นหลานประธานแล้วจะเกรงใจไม่กล้าดุกล้าว่า แต่กับที่นี่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักผมเยอะขนาดนั้น... ผมอยากโดนดุมากกว่าโดนโอ๋นี่ครับ” ผมตอบอย่างที่เคยตอบน้านพไป ตอนยื่นเรื่องฝึกที่นี่พอดีผมรู้จักกับฝ่ายบุคคลเขาเลยไม่ทักเรื่องนามสุกล พอเข้าแผนกก็ใช้แต่ชื่อเล่นเป็นหลักเลยไม่มีคนสงสัยอะไร บัตรพนักงานก็เป็นชื่อติณณ์อย่างเดียว กับชื่อตำแหน่งเด็กฝึกงาน
ไม่ได้คิดจะปิดบัง แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะบอกใคร

“อืม พี่ก็นึกว่าตามเจ้ามา” พี่ทศยิ้มล้อ “ไอ้เจ้ามันแข็งนอกอ่อนใน เวลาอยู่กับคนไม่สนิทแล้วมันทำตัวไม่ถูกเลยเป็นอย่างที่เห็น แต่ถ้าสนิทนะ มันขี้อ้อนจะตาย”

“ครับ”

“ว่าแต่ว่า...หลงเคยเล่ายังว่าเจ้าเคยคบผู้ชาย?”

ห๊ะ!?

Tbc.

――――――――――――――――――――――――――――――――
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -6- 28|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-01-2018 01:34:55
 :ling1:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -6- 28|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 29-01-2018 11:40:38
พี่เจ้าต้องใจอ่อนให้นุ้งตินซักวัน บุกไปอย่ายอมแพ้นะติน
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -7- 30|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 30-01-2018 20:45:17
7

“อะไรนะพี่ทศ...”

“ก็ตามที่ได้ยินล่ะ อยากรู้อะไรก็ถามมันเองแล้วกัน” พี่ทศส่งยิ้มน้อยๆ ให้ “แยกย้ายเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นกันไม่ไหว”

พี่ทศตัดบทอย่างไม่ให้ผมได้ถามอะไรต่อ ยกมือเรียกพนักงานมาเก็บตังค์แล้วหันไปสะกิดพี่หลงให้ตื่น คนเมาโวยวายเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าให้กลับแต่พอโดนพี่ทศขู่ก็ยอมโดยดี

“ขอคีย์การ์ดที่พนักงานหอไอ้เจ้าได้เลยนะถ้าไม่ค้นตัวมัน” ผมพยักหน้า มองที่ทศที่ยกแขนพี่หลงคล้องคอและหันมาพูดกับผม “แล้วก็เรื่องที่ติณณ์เป็นหลานประธานน่ะ อย่าลืมบอกมันด้วยนะ ถ้าไอ้เจ้ามันรู้ทีหลังคงโกรธน่าดู”

“...ครับ”

“พี่ฝากมันด้วยแล้วกัน”

หลังจากช่วยพี่ทศพยุงคนเมาร่างโตที่เมาจนเสียคนขึ้นรถได้ ผมก็หลับมาพยุงพี่ข้าวที่หมดสภาพขึ้นรถ ดีที่พี่ข้าวหลับเลยทำอะไรๆ ได้ง่ายกว่าตอนไปช่วยพี่ทศ... พี่หลงเมาแล้วโวยวาย ผมจัดการคาดเข็มขัดให้พี่ข้าวแล้วขับรถกลับไปที่คอนโดพี่เลี้ยงจำเป็นทันที พอไม่มีใครคุยด้วยในหัวก็มีแต่เรื่องที่พี่ทศพูดก่อนหน้านี้ แต่พอผมขอให้เล่าต่อพี่แกก็บอกว่าให้ไปถามเจ้าตัวเองดีกว่า

อันที่จริงไม่แปลกใจถ้าพี่ข้าวมีผู้ชายมาจีบ แต่ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่ข้าวจะเคยคบผู้ชาย... มิน่าล่ะตอนนั้นถึงบอกว่าไม่สนใจแทนที่จะเป็นไม่ชอบ

“อืมม” เสียงครางของตุ๊กตาหน้ารถที่ยังคอหักคอห้อยดังขึ้นให้ผมหยุดคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หันไปมองคนที่มือไม้ไม่อยู่สุขก่อนจับให้นั่งดีๆ ตั้งสมาธิขับรถอีกไม่นานก็จะถึงห้องพี่ข้าวแล้ว

“คุณเจ้า?” ผมยิ้มแห้งให้พนักงานตรงหน้าฟร้อนท์ที่เรียกชื่อคนที่ผมพยุงอยู่ เธออาสาจะช่วยผมอีกแรงแต่ผมปฏิเสธเพราะขนาดตัวเธอกับพี่ข้าวเท่าๆ กันน่ากลัวจะลำบากมากกว่าช่วยได้ เลยให้เธอช่วยเรียกลิฟต์ให้แทน

ตึ๊ง
ลิฟต์หยุดลงเมื่อถึงชั้นที่ต้องการ พอเดินถึงหน้าห้องก็ถือวิสาสะควานหาคีย์การ์ดตามตัวพี่ข้าวก่อนจะใช้มันเปิดเข้าไป พาเจ้าของห้องที่ไม่ได้สติเดินไปยังห้องนอนและจับวางลงบนเตียงดีๆ พอพี่ข้าวหลังแตะเตียงปุ๊บก็พลิกตัวหาของนุ่มนิ่มทั้งหลายบนเตียงทันที

ผมเดินไปเปิดไฟในห้อง เห็นเจ้าของห้องเงยหน้ามาคว้าตัวอะไรสักอย่างมากอดไว้แล้วหลับต่อ พอเห็นอย่างนั้นผมก็ออกมาที่โซนซักผ้าคว้าผ้ากับกะละมังมาเตรียมเช็ดตัวคนเมา กลับมาที่ห้องอีกครั้งคนเมาที่คิดว่าหลับไปแล้วกลับลุกนั่งตาแดงๆ กอดหมอนมองผมอยู่

“พี่ข้าวตื่นแล้วหรอครับ” ผมถาม เจ้าของชื่อเลิกคิ้วมองผมอย่างงงๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานตาเยิ้มให้

ฉิบหายละใจกระตุก...

“เช็ดตัวหน่อยนะครับจะได้สบายตัว กลิ่นเหล้าเต็มตัวพี่เลย” ว่าพร้อมชูผ้าในมือขขึ้น พอเห็นพี่ข้าวพยักหน้าก็ขยับเข้าไปใกล้ เอ่ยขออนุญาตอีกครั้งก่อนจัดการถอดชุดให้คนตัวเล็กกว่าที่ยังยิ้มกว้าง และให้ความร่วมมืออย่างดีไม่มีการขัดขืน จัดการเช็ดตัวพี่ข้าวที่เหลือแต่บ็อกเซอร์อย่างลวกๆ พยายามไม่มองอะไรต่อมิอะไร และรีบหาเสื้อผ้าใส่ให้ทันทีเมื่อเสร็จเรียบร้อย...

ไม่ใช่อะไรกลัวตบะตัวเองแตกครับ เช็ดตัวให้อีกฝ่ายโดยกลั้นใจไม่ให้เผลอฉวยโอกาสทำอะไรนี่มันโคตรเหนื่อย  ผิวขาวๆ เนื้อนุ่มๆ ตรงน้านี่มันล่อตาชะมัด!

“เอายาแก้แฮงค์ไหมครับ?” พี่ข้าวในชุดนอนลายทางที่ผมใส่ให้ส่ายหัวก่อนทิ้งตัวลงนอน ผมคว้ารีโมตแอร์มากดเปิดให้เจ้าของห้อง จัดการห่มผ้าให้อีกฝ่ายและถือกะละมังออกมาเก็บ

“งือ จะไปไหน” ไม่ทันที่ขาพ้นประตูดีก็ได้ยินเสียงงัวเงียของเจ้าของห้องดังตามหลัง หันไปมองก็เห็นพี่ข้าวลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ใช้ตาตาปรือแดงจ้องมองผมแล้วถามซ้ำเมื่อไม่ได้รับคำตอบ “จะไปไหน?”

“เอาไอ้นี่ไปเก็บครับ” ชูของในมือให้อีกฝ่ายดูเป็นการยืนยัน “พี่ข้าวนอนเถอะ เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว”

“มานอนกัน” เสียงอ้อนพร้อมยิ้มหวาน... ไม่เท่าฝ่ามือที่ตบลงเตียง

“พี่ข้าวนอนเลยครับ” สิ้นเสียงพี่ข้าวก็ล้มตัวลงนอนลงไปด้วยหน้าใบบึ้งๆ ผมพรูลมหายใจปรับสติตัวเองไม่ให้กระโจนใส่เหยื่อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก่อนจะก้าวเดินออกมา

พี่ข้าวรู้ไหมว่าสุราเป็นเหตุให้เสียตัวง่ายๆ...

ผมที่สาละวนกับการเก็บของอยู่นั้นก็ต้องรีบเร่งเมื่อได้ยินเสียงคนในห้องเริ่มงอแง หันตัวเข้าห้องก็เห็นเจ้าของเสียงยืนอมลมเกาะประตูห้องมองผมอยู่

“ไปไหนมา” พี่ข้าวถามก่อนเดินเซๆ มาหาผม เอ่ยถามด้วยเสียงงัวเงีย ก่อนมือเล็กยกดึงแขนเสื้อผมให้เดินตามเจ้าตัวเข้าห้อง “ง่วงแล้วไปนอนกัน”

“เอ่อ...พี่ข้าวนอนเลยครับ เดี๋ยวผมจะกลับแล้ว เฮ้ย!” ผมที่โดนเจ้าของห้องลากมาถูกเหวี่ยงลงเตียงด้วยแรงช้างสาร ไม่ทันได้ตั้งตัวก็เจอพี่ข้าวทิ้งตัวลงมาทับจนจุกท้อง

“อุ่ก พี่ข้าว! พี่ข้าวตื่นดิเฮ้ย!” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากคนบนตัว มีเพียงเสียงกรนเบาๆ ออกจากปากพี่ข้าวให้ได้ยิน ผมยกมือก่ายหน้าผากเมื่อทำอะไรไม่ได้ จะขยับก็กลัวคนหลับตื่นมางอแงเลยล้วงไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เลื่อนหารายชื่อกดโทรออกเบอร์ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนก

‘ไงติณณ์ มีอะ—’

“เวลาพี่ข้าวเมาแล้วเป็นยังไงครับ” ไม่ต้องมีเกริ่นนำให้ยืดยาวหรือกล่าวขอโทษที่โทรมากลางดึก เพราะทันทีที่พี่ทศรับสายผมก็ยิงคำถามทันที ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา

‘บอกแล้วว่ามันเมาแล้วอ้อน หนักหน่อยก็งอแง’ อีกฝ่ายตอบ ‘จะว่าไป... อืมม เหมือนไอ้หลงมันเคยเจอเจ้าอ้อนให้นอนด้วย ว่าแต่ติณณ์มีอะไร เจออันไหนล่ะ’

“ทั้หมดเลยครับ” ผมถอนหายใจยาวโดยมีเสียงพี่ทศหัวเราะเป็นซาวด์ “ถ้า... พรุ่งนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน ก็รบกวนไปเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลด้วยนะครับพี่ทศ” ดันเผลอไปคิดถึงหมัดหนักๆ หลังจากพี่ข้าวตื่นซะนี่

‘ไอ้เจ้ามันไม่ทำอะไรหรอกน่า เชื่อพี่’ ไม่เชื่อครับ... เตรียมไว้อาลัยตัวเองได้เลย ‘เออใช่ อย่าลืมเอายาแก้แฮงค์ให้เจ้ากินด้วยนะ พวกยาแก้เคล็ดขัดยอกน่าจะอยู่หลังตู้เย็น ยังไงก็โชคดีนะครับคุณติณณ์ หึๆ’

“พี่ทศเดี๋ยว--- เฮ้อ” ผมมองหน้าจอที่ขึ้นว่าอีกฝ่ายวายสายแล้ว พรูลมใจออกมายาวๆ ชนิดที่ว่าถ้าถอนหายใจ1ครั้งแล้วชีวิตสั้นลงหนึ่งวัน ป่านนี้ผมคงตายแล้ว... นึกแล้วก็โยนโทรศัพท์ไปสักที่บนเตียง หันมาสนใจคนที่นอนอุตุอยู่บนอก ครั้งจะขยับตัวก็เกรงใจพี่ข้าวที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ไหนจะมือที่กำเสื้อเหมือนกลัวผมจะหายนั่นอีก เลยตัดสินใจตวัดผ้าห่มคลุมทั้งคู่นี่ละ เรื่องตอนพี่ข้าวตื่นก็ไว้ก่อนละกันครับ...

ตอนนี้ขอเก็บเกี่ยวนาทีทองก่อนนะครับทุกคน ช่วยเป็นกำลังใจให้ผมในตอนเช้าด้วยนะครับ...


“เฮ้ย! เชี่ย ใครวะ!!”

ปึ่ก โครม!

“อูยย”

ผมสูดปากระบายความเจ็บที่ได้รับ เคยหลับอยู่ดีๆ แล้วบินไหมได้ครับ ผมนี่ไงบินมานอนแผ่หลาข้างเตียงโดยฝีเท้าของพี่ข้าว... ตีนหนักฉิบ

“ติณณ์ ติณณ์หรอ?” เจ้าตัวชะโงกหน้ามาดูผลงานก่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่โดนถูกลูกถีบรับอรุณนั่นคือใคร “เฮ้ย พี่ขอโทษเป็นไงบ้าง โอ๊ย”

ผมดันตัวเองขึ้นมามองอีกคนบนเตียงที่เอามือกุมหัว ขาข้างหนึ่งยื่นมาข้างหน้าเป็นหลังฐานว่าเมื่อกี้คือฝีมือของเจ้าตัวเอง “พี่ข้าวไหวไหม”

“ไหวๆ ติณณ์นั่นแหละไหวไหม” พี่ข้าวส่ายหัวไปมาไล่ความมึน “โทษทีพี่นึกว่าเป็นคนอื่น”

“บอกไม่ไหวก็คงโกหก เจ็บครับแต่ดีที่ไม่ได้ลงแรงมาก...ไอ้ที่เจ็บจริงคงเป็นไอ้นี่” ผมเลิกชายเสื้อขึ้นโชว์ รอยเท้าพี่ข้าวประทับบนหน้าท้องอย่างสวยงามเป็นวงกว้าง คาดว่าคืนนี้ไม่ก็มะรืนคงม่วง... ส่วนเจ้าของผลงานก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ขยับตัวเข้ามามองใกล้ๆ ก่อนจะลูบมันอย่างเบามือ

“ม่วงแน่เลย... พี่ขอโทษนะ”

“ช่างเถอะพี่ แล้วยังปวดหัวไหมครับ?”

“ไม่ค่อยแล้ว ติณณ์ไปทำงานไหวไหม” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ จับมือพี่ข้าวที่ลูบหน้าท้องผมออกอย่างเบามือ ไม่แสบละครับ เสียว...

“อ่า...น่าจะมีชุดไอ้หลงอยู่ ไปอาบน้ำ เดี๋ยวพี่จะทายาให้”

“ผมมีชุดสำรองที่รถครับ พี่ข้าวอาบน้ำก่อนเลยเดี๋ยวผมลงไปเอา” ผมว่า เหลือบมองนาฬิกาบอกว่าหกโมงนิดๆ มีเวลาอีกเยอะ “งั้นเดี๋ยวผมมา”

ไม่ทันได้เห็นว่าเจ้าของห้องพยักหน้าหรือเปล่าผมก็หยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์เดินลงมาข้างล่าง ถามพนักงานว่าแถวนี้มีร้านโจ๊กหรือข้าวมันไก่ไหม เมื่อได้คำตอบที่ต้องการก็เดินออกมาซื้อให้พี่ข้าว ขากลับก็แวะเอาชุดสำรองที่รถก่อนขึ้นห้อง พอมาถึงห้องก็เจอพี่ข้าวยืนยิ้มกว้างรอรับผมในชุดทำงานเรียบร้อย

“เอ่อ..ผมไปซื้อข้าวเช้ามาให้ครับ” ผมบอก ชูถุงข้าวมันไก่ขึ้นเป็นหลักฐาน

“ครับ แล้วติณณ์เข้าห้องพี่ยังไงครับ” พี่ข้าวถามเสียงร่าเริงผิดวิสัย...ที่ปากยังคงมียิ้มกว้างติดอยู่ ใจผมนี่กระตุกไปแล้ว ไม่ใช่กระตุกเพราะใจสั่นกับรอยยิ้มนะครับ กระตุกเพราะมีความผิดติดตัว

“ตอนติณณ์ออกมาคีย์การ์ดพี่ยังวางอยู่ในห้องอยู่เลยครับ” ว่าแล้วพี่ข้าวก็ชูคีย์การ์ดของตัวเองขึ้นมาหมุนเล่น นั่นทำให้ผมยกมือยอมแพ้ก่อนยื่นการ์ดที่จิ๊กมายืนให้เจ้าของห้องคืน

“ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว” พี่ข้าวยิ้มเย็น “ยาอยู่ในห้องน้ำนะ”

“ไหนพี่ข้าวจะทายาให้ผมไง”

พี่ข้าวเลิกคิ้วสูง ชูคีย์การ์ดทั้งสองใบโบกไปมาแทนคำพูดว่า ‘เอ็งยังมีความผิดติดตัวนะ ยังกล้าขออะไรอีกหรอ’ เห็นอย่างนั้นผมก็ยิ้มแหยให้แล้วหนีเข้าห้องน้ำทันที ไม่น่าพลาดเลยไอ้ติณณ์เอ๊ย

พอจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย ออกมาก็เห็นพี่ข้าวนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกับข้าวมันไก่ในจานสองใบที่ไม่มีการตักกิน คนตัวเล็กหันมองผมแวบหนึ่งก่อนสะบัดหน้าหนี แต่ไม่วายเรียกให้ผมมานั่งกินข้าวเช้า

ยิ้มร่าสิครับพี่ข้าวอุตส่าห์รอ

“เมื่อวานมาส่งพี่? แล้วไอ้หลงล่ะ” พี่ข้าวเปิดฉากถาม มือเล็กเขี่ยแตงกวาไปไว้ขอบจาน คงไม่ชอบกินสินะ

“พี่หลงเมาหนักครับ พี่ทศเลยให้ผมพาพี่ข้าวกลับห้อง” ผมตอบ ยื่นส้อมไปจิ้มแตงกวาในจานของพี่ข้าวมากัดโดยมีคนตัวเล็กมองตามแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก่อนจะกลุดปากพูดในสิ่งที่สงสัยออกไป “ว่าแต่ครับ พี่ทศบอกว่าพี่ข้าวเคยคบผู้ชายหรอ”

กึก
อีกฝ่ายชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด

“เอ่อ.. ถือว่าผมไม่ได้พูดแล้วกันครับ” ผมรีบตัดบท ตักไก่ในจานไปวางให้อีกคนแทนแล้วฉีกยิ้มให้ “กินข้าวๆ จะได้ไปทำงานกันครับ”

“...เคยคบ สมัยเรียนปีหนึ่งอยู่ช่วงนึง” อีกฝ่ายตอบพลางยักไหล่อย่างไม่สนอะไร “แต่มันไม่โอเค พี่เลยไม่สนใจผู้ชาย”

ผมหรี่ตามองอีกคนที่ก้มหลบตา “แล้วผมมีโอกาสที่จะทำให้พี่สนใจได้ไหม”

“...” ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย ผมเผลอถอนหายใจให้กับตัวเองก่อนก้มหน้าก้มตากินข้าวเช่นเดียวกับคนตรงข้าม อาสาล้างจานให้และออกจากห้องไปพร้อมกัน พี่ข้าวไปกับลูกรักบุโรทั่ง ส่วนผมก็ขับรถกลับห้องก่อนเดินไปที่บริษัท

เอาไว้พี่ข้าวพร้อมจะเล่าค่อยอยากรู้ก็ได้... หรือไม่รู้ก็ยังได้เลยเพราะไอ้ที่อยากรู้จริงๆ ไม่ใช่เรื่องนั้น...


“อ้าว คุณติณณ์มาไหวด้วยหรอครับ” พี่ทศเอ่ยทักอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะทันทีที่เห็นหน้าผมเดินเข้าแผนก “เจ็บตรงไหนบ้าง”

“สะโพกกับหน้าท้องครับ” พอผมตอบไป พี่ทศก็เดินมาดึงชายเสื้อนักศึกษาผมออกจากกางเกงทันที เลิกขึ้นจนถึงอก แอบได้ยินเสียงสาวน้อยสาวใหญ่ในแผนกกรี๊ดลั่น

“เออว่ะ เป็นรอยตีนเลย นี่ทายายัง”

“ทาแล้วครับ” ผมกระชากเสื้อที่โดนอีกคนจับอยู่ลง ยัดชายใส่กางเกงมันตรงนั้นล่ะ “แล้วพี่หลงล่ะครับ?”

“ลา แฮงค์” โอเครู้เรื่อง “พี่นึกว่าติณณ์จะมากับเจ้าซะอีก”

ผมยิ้มให้ก่อนขอตัวไปทำงาน พี่ทศที่เห็นผมเฉไฉไม่ตอบคำถามก็ตบบ่าสองสามครั้งคล้ายรู้เรื่องแล้วเดินเข้าห้องตัวเองไป

“พี่ข้าวครับ” เมื่อเดินถึงโต๊ะก็เอ่ยทักคนข้างๆ ตามความเคยชิน เจ้าของชื่อชะงักมือที่จับเมาส์ไว้เล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนเมาส์ไปมาให้อย่างไม่สนใจว่าผมอยู่ตรงนั้น จนผมได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง

ตอนนั้นไม่น่าถามออกไปเลย...

Tbc.

―――――――――――――――――――――――――
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -8- 31|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 31-01-2018 20:55:00
8
ข้าวเจ้า


“ว่าแต่ครับ พี่ทศบอกว่าพี่ข้าวเคยคบผู้ชายหรอ” คำถามนั้นทำให้ผมชะงักมือที่กำลังตักข้าว ก่อนจะได้ยินเสียงรนๆ ของอีกคนว่าต่อ “เอ่อ.. ถือว่าผมไม่ได้พูดแล้วกันครับ กินข้าวๆ จะได้ไปทำงานกัน”

ผมเงยมองคนตรงหน้าที่ตักไก่ในจานตัวเองมาให้ผม แล้วเอาแตงกวาที่ผมไม่ชอบกินไปแทนก่อนขะตัดสินใจตอบคำถามนั้น

“...เคยคบ สมัยเรียนปีหนึ่งอยู่ช่วงนึง” ว่าพลางยักไหล่อย่างเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญทั้งที่ในใจก็อยากรู้ว่ามันจะรู้เรื่องมากแค่ไหน...เรื่องนี้แม่งโคตรจะเป็นความลับถ้าไอ้หลงไม่ปากโป้ง! “แต่ไม่โอเคพี่เลยไม่สนใจผู้ชาย”

ติณณ์หรี่ตามองผม... มันคงไม่รู้ว่าผมโกหกหรอกมั้ง

“แล้วผมมีโอกาสที่จะทำให้พี่สนใจได้ไหม”

“...” ทว่ามันกลับพูดประโยคที่ผมเลี่ยงที่จะรับรู้มาตลอดตั้งแต่วันที่เจอมันครั้งแรก จึงเลือกที่จะเงียบไม่ยอมตอบคำถามนั้น ตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวเข้าปากก่อนเอ่ยไล่ให้มันไปทำงาน ระหว่างทางไปบริษัทก็แช่งพี่ทศกับไอ้หลงในใจมาตลอดทาง ไหนว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไว้ไงวะ!

“ไอ้พี่ทศ!” ผมตวาดใส่คนที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าอย่างไม่เกรงกลัว เจ้าของชื่อสะดุ้งกับเสียงผมเล็กน้อยก่อนจะหมุนเก้าอี้หันมายิ้มกว้างให้ สองขาก้าวยาวๆ ไปกระแทกมือลงกับโต๊ะที่พี่ทศนั่งอยู่ โชคดีที่ตอนเช้าคนในแผนกยังไม่มากันเลยสามารถเสียงดังได้

“ว่าไงเจ้า”

“เมื่อคืนพี่บอกอะไรติณณ์” ผมกดเสียงต่ำแต่คนตรงหน้าขำ “ได้เล่าอะไรมันฟังไหม”

“โอ๊ะๆ เก็บมือก่อน นี่พี่มึงนะ” พี่ทศชี้นิ้วไปที่กำปั้นที่ผมยกชูขู่ พี่มันไม่กลัวหรอกครับก็นี่คู่ซ้อมมวยผมทั้งคน “พี่แค่บอกเด็กเจ้าว่าเจ้าเคยคบผู้ชาย”

ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ ยิ่งพี่ทศขำกับปฏิกิริยาเท่าไหร่ยิ่งทำให้ผมทวีความหงุดหงิดขึ้นเท่านั้น

“ที่จริงพี่บอกไปแค่นั้น ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ต้องถามเจ้าเอง” หัวหน้าแผนกยกมือยอมแพ้ “เด็กมันดูชอบเจ้าดีนะ ตอนเจ้าเมาหลับก็ให้แกพิงแถมไม่บ่นสักแอะแถมพากลับห้องอีก รู้ไหมว่าเมื่อคืนมันโทรมาหาพี่ ถามพี่ว่าเวลาเจ้าเมาแล้วเป็นยังไง พอตอบไปมันก็บอกว่า ‘ถ้าพรุ่งนี้ผมไม่ได้ไปทำงาน ก็รบกวนไปเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลด้วยนะครับ’ ทำซะพี่ขำลั่นจนเด็กพี่เกือบตื่น”

ผมถอนหายใจให้ตัวเองยาวๆ กับเสียงพี่ทศที่เก๊กเข้มแบบเสียงติณณ์ เมื่อเช้าที่ตื่นมาแล้วเผลอถีบมันเพราะคิดว่าเป็นคนอื่นก็ยังรู้สึกผิดอยู่เลยครับ ทั้งๆ ที่น้องมันก็อุตส่าห์ดูแลเราอย่างดีขนาดนั้น แถมยังหาข้าวหาน้ำให้อีก ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเมาแล้วทำอะไรกับมันไปบ้าง เฮ้อ

“ว่าแต่ติณณ์ล่ะ? มาไม่ไหวหรือไงเห็นไม่มาด้วยกัน” เสียงติดขำเรียกสติผมคืนมา พี่ทศเอามือป้องปากตาวาวระยับ รู้เลยว่าในหัวของหัวหน้ากำลังคิดอะไรอยู่

“ผมไล่มันให้เอารถมาครับ งั้นผมขอตัวก่อน” จริงๆ ผมควรออกมาตั้งแต่ได้คำตอบแล้ว มัวแต่สำนึกผิดเรื่องไอ้ติณณ์อยู่นั่นล่ะเลยไม่ได้ออกสักที

“เออเจ้า” ผมหันตามเสียงเรียก “กับติณณ์... ถ้าเกิดอะไรขึ้น หรือรู้อะไรอย่าไปโกรธน้องมันนะ”

“ครับ?”

“อีกอย่าง... พี่ว่าข้าวอย่าปิดความรู้สึกตัวเองเลย เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ผ่านไปเถอะ” ผมเผลอขมวดคิ้วกับคำพูดของพี่ทศ ผู้เป็นเหมือนพี่ชายควบตำแหน่งหัวหน้าทำเพียงยิ้มจางๆ ให้ พอตั้งใจจะถามต่อก็โดนอีกฝ่าตัดบทด้วยการไล่ออกมาเสียก่อน


เชื่อไหมว่าตลอดวันนี้ผมเจอคนที่ชื่อว่าติณณ์ก่อกวนทั้งวัน ไม่ว่าจะเรียกชื่อผมทุกห้านาทีบ้างละ พับกระดาษที่เขียนอะไรสักอย่างไว้ข้างในแล้วปาใส่ผมบ้างละ ตอนเที่ยงก็วอแวใกล้ๆ จนน่าหงุดหงิด และที่สุดคือพอผมลุกไปห้องน้ำกลับมาก็เจอโพสอิทหลากหลายสีถูกแปะไว้เต็มหน้าจอคอมและรอบๆ โต๊ะจนต้องตวัดตามองไอ้ตัวต้นเหตุที่นั่งยิ้มร่า ยอมที่จะเอ่ยปากพูดกับมันเพื่อที่ให้มันแกะออกจนได้

“แกะ! เดี๋ยว! นี้!” ผมเน้นคำ ชี้นิ้วไปที่หน้าจอที่เต็มไปด้วยกระดาษสีที่เขียนไว้ว่าขอโทษครับ ยกโทษให้ผมนะ ดีกันนะ...อะไรเทือกๆ นี้ สงสัยจะง้อสาวอย่างนี้บ่อยละสิ เฮอะ
อันที่จริงก็ไม่ได้โกรธอะไรมันมากมายหรอกครับ แค่ยังไม่อยากคุยด้วยตอนนี้เดี๋ยวเผลอไปอารมณ์เสียใส่มัน บวกกับงานที่เข้ามาใหม่มันล้นโต๊ะ...
แต่ตอนนี้ชักเริ่มหงุดหงิดจริงละครับ

“พี่ข้าวยอมพูดกับผมแล้ว” ติณณ์ฉีกยิ้มกว้าง ไถลเก้าอี้มาตรงหน้าผมแต่ไม่ยอมแกะกระดาษพวกนั้นออก “ถ้าผมแกะให้แล้วพี่ต้องคุยกับผมนะ ห้ามเงียบด้วยไม่งั้นผมจะกวนพี่ต่ออย่างนี้ละ”

ผมพยักหน้าส่งๆ ไปให้ไอ้หมียักษ์ที่ยิ้มเหมือนคนบ้า และเริ่มลงมือดึงโพสอิทบนหน้าจอออก หางตาผมเหลือบไปเห็นพี่ทศที่พิงกรอบประตูห้องตัวเองกำลังหัวเราะอยู่... ให้ตายเถอะปวดหัวชะมัด

“เสร็จแล้ววว” ติณณ์หันมายิ้มแฉ่งบอกผมที่ยืนพิงที่กั้นอยู่ เจ้าตัวไถลเก้าอี้มาจนชิดผม ใช่ร่างเท่าหมีควายนั่นกักตัวผมกลายๆ “เสร็จแล้วครับ มีรางวัลให้ผมไหม”

“เออๆ” ผมถอนหายใจ พลางส่งมือไปลูบกลุ่มผมของคนตรงหน้าอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำ แต่จากที่พี่ทศเล่ามาเมื่อวานมันดูแลผมดีบวกกับความรู้สึกผิดที่ไปถีบมันเมื่อเช้า... เพราะงั้นนี่ถือเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน

ว่าแต่ผมนิ่มดีแฮะ... เมื่อผมเริ่มขยับมือยีหัวมัน ไอ้ติณณ์ก็เบิกตากว้างราวกับว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นั้นคือเรื่องมหัศจรรย์อันดับแปดของโลกจนอดที่จะเปลี่ยนจากลูบเบาๆ เป็นจิกเล็บลงกับกลุ่มผมที่เซ็ตเปิดเถิกซะดิบดีนั่นแล้วดึงขึ้นไม่ได้

หมั่นไส้โว้ย!

“โอ๊ย เจ็บๆๆ พี่ข้าววว” ติณณ์โอดครวญออกมา ไอ้เด็กนี่ทำหน้าเหยเกบวกโวยวายแต่ไม่ยอมดึงมือผมออกนะ ปล่อยให้จิกอยู่ได้ มาโซรึไงนาย

“พี่ข้าวยิ้มแล้ว” ผมชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงกึ่งดีใจของอีกคน จังหวะที่จะก้มมองมันก็เห็นหน้าตัวเองกำลังยิ้มกว้างสะท้อนในหน้าจอคอมไร้โพสอิทที่ดับไปแล้ว ติณณ์ที่เห็นผมชะงักจึงคว้าข้อมือผมที่จิกหัวอยู่ไปจับ ก่อนจะกระทำการอุกอาจชนิดที่ผมคาดไม่ถึง...

ริมฝีปากร้อนถูกกดลงมากลางฝ่ามือผมอย่างแผ่วเบา...

“ผมชอบเวลาพี่ข้าวยิ้มนะ ยิ้มให้ผมบ่อยๆ ได้หรือเปล่า”

รอยยิ้มของมันและการที่มันเอามือผมไปแนบใบหน้าให้เริ่มรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้า ผมรีบสะบัดมือออกยกขาถีบเก้าอี้ติณณ์ให้กลับฝั่งของมันก่อนจะทรุดนั่ง เม้มปากก้มหน้าซบแขนตัวเองเพื่อซ่อนใบหน้าที่คล้ายจะแดงระเรื่อตามจังหวะหัวใจที่เต้นระรัว แถมเสียงหัวเราะทุ้มและเสียงพูดของคนโต๊ะข้างๆ ยิ่งทำให้ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

“มือพี่ข้าวหอมจังครับ”

ไม่ทงไม่ทำมันแล้วได้ไหมไอ้งานเนี่ย!


“ไอ้เหี้ยหลง!” ผมพุ่งไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งหลีเด็กฝึกงานสาวอย่างไม่แคร์แฟนมัน(เพราะจ๋ายังไม่มา) กระชากคอเสื้อมันขึ้นอย่างแรงจนเด็กฝึกงานสองคนนั้นสะดุ้งหนีหายจากแผนก วันนี้ผมรีบมาแต่เช้าเพื่อมาเคลียร์กับเพื่อนสนิทนี่ละครับ เมื่อวานแม่งแฮงค์จนลางาน วันนี้ต้องชำระความหน่อย

“เฮ้ยๆ ไอ้เจ้าใจเย็น... ใจเย็นนะตัวเองนะ” หลงตบหลังมือผมๆ เพื่อให้ปล่อย “มะ เมื่อวานกูแฮงค์กูเลยไม่มา ยังไม่ได้ทำไรเลยนะ”

“หรอออ งั้นเข้าเรื่องเลยนะ เรื่องกูนอกจากพี่ทศแล้วมึงเล่าให้ใครฟังอีกไหม” เค้นเสียงใส่เพื่อนสนิทที่เริ่มเหงื่อตก

“เรื่องไหนอ่ะครับคุณเจ้า”

“ก็เรื่องที่มึงเคยรู้อยู่คนเดียวไง” ผมกดเสียงต่ำ ย้ำคำจนไอ้หลงหน้าซีดเผือก

“เอ่อ... ถ้าเรื่องนั้นมีแค่พี่ทศที่กูหลุดปากพูดตอนเมา มีแค่นั้น... แค่นั้นจริงๆ” ไอ้หลงลนลานตอบ ถ้าตอนนี้เปรียบหน้าเป็นตัวอีโมชั่น... ตอนนี้หน้าไอ้หลงคงเป็นตัว ; w ;

“ที่พี่ทศรู้กูก็รู้แล้ว... แล้วมึงรู้ไหมว่าพี่ทศของมึงก็มาบอกไอ้ติณณ์ต่อ” ผมว่าเสียงเรียบพลางปล่อยคอเสื้อไอ้หลง มันที่เป็นอิสระก็ผวาจนถอยไปซะติดกำแพงห้องทันที กลัวอะไรนักหนา

“ง่า...เอ่อ แล้วน้องมันว่าไง”

“พี่ทศบอกให้มันมาถามกูเอง...” ไอ้เพื่อนสนิทไสเก้าอี้กลับมาหาผม ทำหน้าเหมือนอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ “แต่กูไม่ได้ตอบ ใครอยากจะไปตอบกันวะ”

“โถ่มึง แค่มึงคบเกย์สาวแล้วเกือบโดนฝ่ายนั้นจับทำมะ อุ๊บ ฟหกดเสวง!” ผมพุ่งตัวไปปิดปากมันทันทีที่คำพูดนั้นออกจากปากมอมๆ ของมัน หันซ้ายมองขวาอย่างกลัวว่ามีใครจะได้ยินไหม ก่อนจะตวัดตามองเพื่อนสนิทที่โวยวายทั้งที่ปากโดนปิด

“หุบปากเลยมึง” ผมกดเสียงต่ำอีกครั้ง นั่นความลับเป็นTop Secret ของผมเชียวนะ! โอเค...ผมจะเล่าก็ได้ คืองี้ครับ เขาคนนั้นเป็นคนรู้จักของเพื่อนผมอีกที เป็นผู้ชายไซส์พกพาหน้าตาหวานๆ ตัวพอๆ กับผมเลยล่ะ แล้วทีนี้จู่ๆ เขาก็มาบอกชอบผมและด้วยความที่ผมก็ไม่ได้รังเกียจหรืออะไรก็เลยลองคบดู ควงกันได้อยู่ช่วงหนึ่งก่อนคุณเขาจะชวนผมไปที่ห้อง...

ส่วนผลลัพธ์น่ะหรือครับ... ก็เกือบไม่รอดแต่ผมยังปลอดภัยดีครับ...

นับแต่นั้นผมเลยตัดสินใจไม่คบผู้ชายครับ เรียกว่าเข็ดก็ได้ครับ

“เงียบไว้ถ้ามึงยังไม่อยากให้จ๋าหนีไปมีแฟนใหม่...”

“อืม เพราะอย่างนี้หรอครับที่เลยพี่ไม่ยอมบอกผม” เสียงทุ้มของใครบางคนที่พูดขัดผม ทำให้ผมสะดุ้งตัวหันไปหาเจ้าของเสียงทันที ร่างสูงของคนคุ้นเคยในช่วงน้อย่างติณณ์ยืนกอดอกพิงที่กั้นอยู่ไม่ไกลจากผมมาก แต่อยู่ในระยะอับสายตาพอดีทำให้เมื่อกี้ผมมองไม่เห็น “พอดีไปเข้าห้องน้ำมา ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะครับ”

“ทำไม...” ทำไมถึงมาเร็ว

“เมื่อวานผมลืมเอามือถือไว้ที่โต๊ะครับ วันนี้เลยรีบมาเอา ผมมาหลังพี่หลงแปบเดียว” มันชี้นิ้วไปที่คนที่ผมยังปิดปากอยู่ ไอ้หลงทำหน้าเหรอหราใส่ผม “ส่วนเรื่องเมื่อกี้ผมไม่ได้...”

“อ่า... ก็ไม่ได้ว่าอะไร” ผมปล่อยมือจากปากเพื่อนสนิท เช็ดมือลวกๆ กับเสื้อมันก่อนจะยืนขึ้นเต็มความสูง หันมองอีกคนด้วยความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ “รู้แล้วก็คงไม่มีอะไรต้องสนใจอีกแล้วใช่ไหม”

ว่าจบผมก็เดินออกจากตรงนั้นทันทีโดยไม่สนใจเสียงของใครสักคนที่เรียกชื่อผมตามหลังมา พาตัวเองออกจากบริเวรแผนกลงไปที่มินิมาร์ทข้างใต้บริษัท เดินวนๆ ในนั้นและหยิบอะไรสักอย่างมาจ่ายตังค์อย่างไม่ได้ดูว่าซื้ออะไรออกมา ก่อนจะทรุดตัวลงกับม้านั่งแถวๆ นั้น

พอได้อยู่เดียว... ถึงได้เข้าใจว่าหงุดหงิดเรื่องอะไร

ผมแค่ไม่ได้อยากให้มันมารู้เรื่องนี้ด้วย...

ตุ๊บ
ใครสักคนที่ทิ้งตัวนั่งข้างๆ ทำให้ผมหันไปมอง คนที่ผมเพิ่งจะเดินหนีมาเมื่อสักครู่นี้...

“เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ผมก็มีครับ” สิ่งที่ติณณ์พูดทำให้ผมที่กำลงจะลุกขึ้นชะงักตัว “ส่วนเรื่องของพี่ข้าวอันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่หรอกครับ แต่ผมสนใจ... พอได้ยินว่าพี่ข้าวเคยคบผู้ชายเลยคิดแค่ว่าผมอาจมีโอกาสบ้างก็เท่านั้นเองครับ” มันว่าโดยมีรอยยิ้มจางๆ ติดที่มุมปาก

“...ทำไมถึงเป็นพี่” ไม่รู้อะไรทำให้ผมถามออกไปอย่างนั้น

“สนใจครับ” ติณณ์ตอบทันที “ยอมรับว่าตอนแรกที่เจอคือสนใจ มาเจอครั้งที่สองคืออยากรู้นิสัยจริงๆ แต่ก็ไม่เจอพี่อีกเลยจนผมตัดสินใจเลิกตามหา จนบังเอิญได้มาเจอที่นี่แหละครับ มันบังเอิญจนผมคิดว่าจะไม่ปล่อยให้พี่หายไปอีกแล้ว พี่ข้าวน่ะไม่เหมือนคนอื่นที่ผมเคยเจอ ตอนแรกผมอาจจะคิดว่าพี่แค่แตกต่างจากคนอื่นๆ เลยทำให้สนใจ แต่พอได้อยู่ด้วยกันแล้วถึงรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น...ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความสนใจมันหายไปจนกลายเป็นว่าชอบไปแล้ว”

ผมหันมองหน้าเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ ใช่ว่าผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรตั้งแต่ที่เจอวันนั้น แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะพูดออกมาหมดอย่างนี้... สารภาพง่ายๆ ว่าชอบต่อหน้าคนที่ตัวเองชอบ

“...แต่พี่ไม่ชอบเด็ก”

“ผมก็ไม่ชอบคนแก่ครับ” ห๊ะ... “แต่พี่เป็นข้อยกเว้นสำหรับผมนะครับ แล้วผมล่ะเป็นข้อยกเว้นของพี่หรือเปล่า”

“....ถ้าบอกว่าไม่”

“ผมก็คงตัดใจ” เผลอกลั้นหายใจกับคำตอบนั้น “อีกเดือนกว่าๆ ที่เหลือ... พี่ข้าวให้โอกาสผมได้หรือเปล่า ถ้าผมฝึกจบแล้วแล้วพี่ไม่รู้สึกอะไรกับผมเกินกว่าพี่น้อง ผมจะไม่มาให้พี่ลำบากใจอีก”

ติณณ์ขยับมือมากุมทับมือผมไว้หลวมๆ น่าแปลกที่ผมไม่คิดจะดึงออก... และไม่คิดจะรังเกียจสัมผัสของคนตรงหน้า

“นะครับ ผมขอโอกาสได้ไหม”

“...ก็ไม่ได้ห้าม” ผมตอบไม่ตรงคำถาม ผินหน้าร้อนๆ ไปทางอื่นเพราะไอ้รอยยิ้มกว้างที่บ่งบอกว่าดีใจมากของติณณ์... ไม่อยากจะยอมรับว่าตัวเองไม่มีภูมิต้านทานรอยยิ้มมันเลย

“ขอบคุณครับพี่ข้าว แล้วก็ผมมีเรื่องที่อยากจะ... โอ๊ย!” เสียงร้องของติณณ์ทำผมหันกลับไปมองบางสิ่งที่ทำให้มันร้องเสียงหลงเงยหน้าขึ้นจากการกอดคออีกฝ่าย ก่อนว่าเสียงใส

“พี่ติณณ์คะ!”

Tbc.
―――――――――――――――――――――――――
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -8- 31|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 01-02-2018 00:10:22
ใครนะ???
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -8- 31|01|2561
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 01-02-2018 10:09:04
 :L2:  :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -9- 01|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 01-02-2018 21:21:04
9

“อ่า... ก็ไม่ได้ว่าอะไร” พี่ข้าวละมือจากการปิดปากพี่ลง หันมามองผมที่ยืนอยู่ไม่ไกลก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือหงุดหงิด “รู้แล้วก็คงไม่มีอะไรต้องสนใจอีกแล้วใช่ไหม”

ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันหลังและเดินเร็วๆ ออกไป...

“เฮ้ย! พี่ข้าวเดี๋ยว! พี่หลงปล่อย” ผมที่จะวิ่งตามคนที่ออกจากแผนกไปแล้วชะงักตัว เมื่อถูกเพื่อนสนิทพี่ข้าวรั้งแขนผมไว้

“คุยกันก่อน อย่าใจร้อนน่า” พี่หลงว่ายิ้มๆ แต่ยังไม่ยอมปล่อยแขนผม “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าเรากับเจ้ามีเรื่องอะไรกันอีกไหม ที่พี่รู้คือวันนั้นพี่ทศบอกติณณ์ใช่ไหมว่าข้าวมันเคยคบผู้ชาย เรื่องของเรื่องก็เป็นอย่างที่ติณณ์ได้ยินนั่นแหละ มีแค่พี่ที่รู้ส่วนพี่ทศรายนั้นพี่หลุดปากตอนเมา ตอนไอ้เจ้ารู้มันก็โกรธพี่แต่ก็ไม่ได้เป็นถึงขนาดนี้ นี่สงสัยไอ้เจ้ามันคงไม่อยากให้รู้เรื่องนี้ล่ะมั้ง”

“เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ผมก็มี” ตอบพลางหันมองคนที่หายไปจากสายตาแล้ว “แต่ผมไม่ได้อยากรู้เรื่องว่าผู้ชายคนไหนที่พี่ข้าวเคยคบเคยควงหรืออะไร แต่ที่ผมอยากรู้ว่าผมมีโอกาสบ้างไหมก็แค่นั้นเอง”

“ชอบเพื่อนพี่มากแค่ไหน”

“ก็ชะ--” พอจะตอบพี่หลงก็ขัดขึ้นมา

“เฮ้ยๆ ไม่ต้องบอกเพราะพี่ไม่ได้อยากรู้ ที่พี่ถามไปบอกมันเอาเองละกัน” คนตรงหน้ายิ้มกว้างให้ผม “ถ้ามันโอเคก็ดี”

“พี่หลงครับ...”

“โอ๊ย ไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก พี่แค่อยากเห็นเพื่อนพี่มีความสุขบ้าง นี่ชอบมาเป็นกขค.พี่กับจ๋าตลอด รู้อะไรไหมว่ามันคบกับใครก็โดนบอกเลิกเพราะมีผู้ชายมาจีบซะส่วนใหญ่นี่สิ พอคบผู้ชายก็เจออย่างที่ติณณ์ได้ยินไป พี่ว่านะตอนนี้ไอ้เจ้ามันคงรู้สึกอะไรกับติณณ์บ้างแล้วล่ะ ส่วนถ้าจะขอบคุณล่ะก็เลี้ยงเหล้าพี่ก็พะ--”

“เปล่า พี่ปล่อยผมได้ยัง ผมจะไปตามพี่ข้าวแล้ว ไม่รู้เตลิดไปไหนแล้ว” พี่หลงที่กำลังพูดอยู่ชะงัก ผมจึงใช้จังหวะนี้ดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุมของพี่หลงแล้วก้าวไปตามทางที่พี่ข้าวออกไปทันทีโดยมีเสียงโวยวายตามหลัง “ไปนะพี่”

“...ไอ้เวรติณณ์!”

ผมวิ่งลงมายังชั้นล่างสุดที่เป็นส่วนของมินิมาร์ทและที่จอดมอเตอร์ไซค์ คาดว่าพี่ข้าวน่าจะอยู่ชั้นนี้และเจ้าตัวก็อยู่จริงๆ พี่ข้าวที่เอาแต่นั่งก้มหน้ามองพื้น ไม่รู้เลยสักนิดว่าผมเดินมาตรงหน้าแล้ว พอเห็นอย่างนั้นก็ถือวิสาสะนั่งข้างๆ เสียเลย เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าคนข้างๆ เป็นผมก็ทำท่าจะลุกหนี แต่สิ่งที่ผมพูดออกไปคงทำให้อีกฝ่ายสนใจพอควรถึงยอมนั่งอยู่ต่อ

ยอมรับว่าครั้งแรกที่เจอพี่ข้าวนั่นคือความสนใจ เคยคิดกับตัวเองอยู่ว่าอาจเพราะพี่ข้าวไม่เหมือนคนอื่นตรงที่ไม่เป็นฝ่ายเข้าหาผมก่อน แต่ระยะเวลาเดือนก่อนๆ ที่ฝึกงานนั้นทำให้ผมรู้ว่าความคิดนั่นมันไม่ใช่ ผมยอมรับเลยว่าผมชอบคนตรงหน้า ผมชอบที่พี่ข้าวคือพี่ข้าว ไม่ใช่เพราะพี่ข้าวไม่เหมือนใคร ... อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมชอบใครสักคนจริงๆ

ส่วนเรื่องที่ผมเพิ่งจะรับรู้ไปนั้นผมไม่ได้อยากรู้ว่าเขาคบกับใคร ผมแค่อยากรู้ว่าตัวเองมีโอกาสบ้างไหม โอกาสที่จะได้อยู่ข้างๆ...

ถ้าคำตอบคือไม่... ผมคงจะถอย

ไม่อยากทำให้คนข้างๆ ลำบากใจมากกว่านี้

“...ก็ไม่ได้ห้าม”

แต่คำตอบของพี่ข้าวทำให้ผมยิ้มออก ตัดสินใจจะพูดเรื่องของผมที่คุยกับพี่ทศเมื่อวันก่อนให้อีกคนฟัง แต่ไม่ทันได้พูดอะไรมากก็มีอะไรสักอย่างพุ่งเข้ามารัดคอผมแน่นจนจุก ก่อนจะได้ยินเสียงคุ้นเคยดังเต็มสองรูหู

“พี่ติณณ์คะ!” เจ้าของเสียงเรียกชื่อผมเสียงดัง ก่อนจะระดมหอมแก้มผมจนต้องยกมือขึ้นกัน

“แตม?” ผมมองเด็กน้อยบนตัก เด็กหญิงผมเปียแก้มใสที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่ส่งยิ้มแป้นให้ผม “นี่มาได้ยังไง?”

“มากับพ่อค่ะ หนูเห็นพี่ติณณ์นั่งอยู่เลยขอพ่อมาหา ส่วนพ่อไปนู้นแล้ว” เด็กน้อยว่าเสียงแจ้ว มือชี้ไปที่ลิฟต์สำหรับประธาน “พี่ติณณ์ไม่กลับมาเล่นกับหนูเลย โป้งแล้ว!”

“ฮ่าๆ พี่ต้องทำงานนี่ครับ แล้วแตมอยู่โคราชจะให้พี่ไปหายังไง หืม บอกลุงวัชให้พี่สิว่าเพิ่มวันหยุดให้พี่ติณณ์หน่อย พี่ติณณ์จะได้มีเวลาไปหาน้องแตม” ผมตอบเด็กสาวที่มีสถานะเป็นญาติห่างๆ ลูกหลงของลุงวัชที่ไม่ได้จอกันมาพักใหญ่ๆ... เผลอนั่งฟังแตมคุยเสียงแจ้วจนลืมว่ามีใครอีกคนอยู่ข้างๆ กระทั่งได้ยินเสียงเรียก

“ติณณ์...”

“อ่า พี่ข้าวครับ นี่น้องเฌอแตมครับ ลูกสาวคนเล็กของลุงวัช...”

“ลูกสาวของคุณชัยธวัช... ประธานของบริษัทที่เราทำงานใช่ไหม” เสียงที่พี่ข้าวเอ่ยขัดผมนั้นเป็นโทนปกติ... แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกชาไปทั้งตัว “ติณณ์รู้จักได้ยัง... ไม่สิ ติณณ์รู้จักดีเลยสินะถึงเรียกประธานบริษัทว่าลุงได้”

“เอ่อ พี่ข้าวครับ...”

“พี่ติณณ์เป็นพี่ชายหนูค่ะ ไม่ใช่พี่แท้ๆ แต่ก็เป็นพี่ชายของหนู” เด็กสาวที่นั่งตักผมอยู่เอ่ยแทรกเสียงใสอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พี่ข้าวที่ได้ยินอย่างนั้นก็เงยหน้ามองผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก พร้อมกับรอยยิ้มยัน

“หึ หรือนี่คือเรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้อย่างที่คุณว่าหรือครับคุณติณณ์” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้ผมเริ่มร้อนใจ อยากจะอธิบายแต่ก็ไม่ทันที่จะได้คิดหาคำพูดดีๆ อีกฝ่ายก็ผุดลุกขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ถ้าอย่างนั้นผมขอขึ้นไปก่อนนะครับ”

“พี่ข้าว! ผมไม่ได้จะ... โธ่เว้ย!” ผมทิ้งตัวกระแทกพนักเก้าอี้เมื่อแผ่นหลังของพี่ข้าวหายไปจากสายตา จะลุกตามก็ทำไม่ได้เพราะเด็กบนตักที่ทำตาแป๋วมองผมอยู่

“พี่ติณณ์คะ หนูทำให้พี่กับพี่คนนั้นโกรธกันหรอ” แตมถามผม ดวงตาของเด็กน้อยเริ่มคลอไปด้วยน้ำ “หนู... หนูขอโทษค่ะ หนูไม่รู้...”

“ไม่ครับ แตมไม่ผิด... พี่ผิดเองที่ไม่ได้บอกเขาแต่แรก” ลูบหัวปลอบเด็กน้อยที่พยักหน้าหงึกหงัก “ไปหาพ่อหนูกันดีกว่าเนอะ พี่พาไป”

“งื้อ พาหนูไปขอโทษพี่คนนั้นด้วยนะคะ”

“ได้สิ พี่ก็ต้องขอโทษเขาด้วยเหมือนกัน” ผมตอบ กำลังจะพูดเรื่องที่พี่ข้าวยังไม่รู้ แต่สิ่งที่พูดนั้นกลับเดินมาหาผมเองในรูปแบบเด็กน้อยวัยสิบขวบเสียได้นี่... สมควรโดนโกรธไหมละมึง

แต่ถ้าบอกไปแล้วพี่ข้าวยังไม่หายโกรธล่ะ...

“พ่อคะ!” ทันทีที่ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นที่เป็นห้องของประธาน เฌอแตมก็สะบัดมือของผมที่กำลังคิดเรื่องพี่ข้าวอยู่ทิ้งแล้ววิ่งไปหาพ่อของตัวเองทันที

“สวัสดีครับลุงวัช นี่ทำไมไม่บอกผมครับว่าจะมา”

“เออๆ หวัดดีไอ้หลานชาย พอดีมีปัญหาเลยแวะมา ว่าแต่หน้าดูไม่ได้เลยนะเกิดอะไรขึ้นหรือไง” ผมยิ้มแหยๆ ให้อีกฝ่าย สงสัยสีหน้าผมจะแย่เกินไปลุงวัชเลยถามผมอย่างนั้น

“เพราะหนูค่ะ เมื่อกี้หนูทำพี่ติณณ์กับเพื่อนทะเลาะกัน” เฌอแตมยกมือตอบขึ้นมากลางความเงียบ ลุงวัชเลยหันมองลูกสาวตัวเองสลับกับผม

“หรือว่าแตมไปทำให้ความแตก?” ลุงวัชรู้เรื่องที่ผมไม่ให้บอกว่าตัวเองเป็นใครเพราะผมขอไว้เอง และลุงแกก็เห็นด้วยกับความคิดนั้น เลยถือโอกาสให้ผมช่วยสอดส่องพนักงานให้ด้วย “อ่า... งั้นลุงขอโทษด้วยแล้วกัน ถ้าลุงมาคนเดียวก็คงไม่มีใครรู้สินะ ที่ปล่อยเจ้าแตมไปเพราะนึกว่าติณณ์อยู่คนเดียวน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมตั้งใจจะบอกเขาอยู่แล้วแต่ไม่คิดว่าจะมีคนบอกแทน” ผมตอบ “เขาคงโกรธผมน่ะครับ”

“ให้ลุงไปช่วยอธิบายไหม?”

“ไม่ดีกว่าครับ... งั้นผมขอตัวไปแผนกก่อนแล้วกัน” ว่าจบผมก็ขอตัวออกมาทันที ระหว่างรอก็หาคำอธิบายดีๆ สำหรับอีกคน

“พี่ข้าวครับ ผมไม่ได้จะปิดเรื่องนั้นนะ” ผมรีบเอ่ยกับอีกคนทันทีที่ลงมาถึงโต๊ะ พี่ข้าวนั่งประจำที่แต่ไม่หันมาสนใจผมสักนิด “พี่ข้าวฟังผมนะ...”

“ขอโทษครับ พอดีงานผมยังเหลืออีกเยอะคงไม่สะดวกคุยตอนนี้” อีกฝ่ายตัดบทด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นั่นทำให้ผมไม่กล้าคุยอะไรกับพี่ข้าวต่อ จะได้พูดก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายจะส่งงานมาให้เช็คความเรียบร้อย กระทั่งพักเที่ยง...อีกฝ่ายก็ไม่ยอมลงไปกินข้าวด้วยกัน พี่ทศที่เหมือนจะรู้เรื่องแล้วก็ได้แต่ส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้


“พี่ข้าวครับ ช่วยฟังผมแปบนึงได้ไหมครับ ขอห้านาที... แค่ห้านาทีก็ได้” เพราะไม่อยากให้ความอึดอัดมันค้างคา พอเห็นพี่ข้าวเดินมาเข้าห้องน้ำผมจึงลุกเดิน อาศัยความตัวใหญ่ของตัวเองให้เป็นประโยชน์ในการยืนขวางประตู กักไม่ให้อีกคนออกจากห้องน้ำได้

พี่ข้าวทำหน้านิ่ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูด ทำเพียงขยับตัวไปพิงอ่างล้างมือและจ้องมองผมตรงๆ... ผมจะตีความท่าทางนั้นเป็นการอนุญาตให้เล่าได้

“ผมตั้งใจปิดเรื่องที่ผมรู้จักกับลุงวัชจริงๆ ครับ” ผมสารภาพ และเป็นอีกครั้งที่ผมพูดถึงเรื่องนี้ “ที่จริงผมสามารถไปฝึกที่ตึกใหญ่โดยไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้แต่สาเหตุที่ผมมาฝึกที่ก็เพราะว่าที่นี่มันไม่มีคนรู้จักผม พอลุงรู้สาเหตุก็ส่งให้มานี่ ผมอยากได้คนติมากกว่ามีคนมาชมประจบประแจง ถ้าไปฝึกที่นั่นไม่พ้นว่า คุณติณณ์ไม่ต้องทำอะไรหรอก คุณติณณ์ทำแค่นี้ๆ ก็พอ ไม่ก็ถ้าทำผิดก็จะบอกไม่เป็นไรหรอกคุณติณณ์ ไปของานก็บอกเกรงใจคุณติณณ์ ไม่ทันได้ทำอะไรมากก็คุณติณณ์เก่งอย่างนี้อย่างนั้น... ที่รู้เพราะผมเจอทุกครั้งที่ไปช่วยพ่อตอนปิดเทอม แต่พอมาที่นี่ผมโดนทั้งพี่หลง พี่ทศและอีกหลายๆ คนดุเวลาทำงานผิด ติเวลาทำงานไม่เรียบร้อย และชมเวลาที่ผมทำได้ดี พี่รู้ไหมว่ามันดีกว่าเจอเสียงหวานๆ บอกประจบอีก”

ใบหน้าของอีกคนยังเรียบเฉยจนผมใจเสีย มีเพียงเสียงนับเวลาถอยหลังที่แทรกขึ้นมาเป็นระยะ

“ผมรู้ว่าพี่คงโกรธที่ผมไม่ได้บอกพี่ตั้งแต่แรก...”

“...หนึ่งนาทีสุดท้าย”

“ผมบอกเหตุผลของผมทั้งหมดไปหมดแล้ว ถ้า... ถ้าพี่ข้าวจะไม่หายโกรธผมก็ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากให้พี่ได้ฟังเหตุผลของผมก็เท่านั้นเอง...”

“ผมไม่ได้โกรธ” อีกฝ่ายเอ่ยปากหลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ “ผมแค่...ไม่รู้สิ ผมเข้าใจเหตุผลของคุณนะ แต่มันเหมือน อืม... เสียใจมั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยทั้งที่ผมคิดว่าเราสนิทกันแล้ว หรือบางครั้งผมอาจจะคิดไปฝ่ายเดียวว่าสนิทกับคุณ... แล้วคุณรู้อะไรไหมว่าห้องผม พื้นที่ส่วนตัวของผมนอกจากคนสนิทแล้วผมไม่ให้ใครเข้าไป ยิ่งค้างคืนมีแต่หลงที่เคยมาค้าง แต่คุณที่ผมเพิ่งรู้จักได้เข้าไปถึงสองครั้ง และไหนจะความลับของผมนั้นอีก...

ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงที่จู่ๆ เด็กฝึกงานที่ผมทำร้ายเขาอย่างไม่ตั้งใจตั้งหลายครั้งหลายครากลายเป็นหนึ่งในลูกหลานของญาดากรุ๊ปที่อาจจะบีบผมออกได้ถ้ารู้เรื่องที่ผมทำให้หลานชายเขาเจ็บตัว... ผมคงผิดเองที่ไม่ได้ดูชื่อสกุลของคุณก่อนดีๆ”

“มันไม่ได้..” อยากจะขัดเรื่องหลังแต่น้ำเสียงเรียบราบและสรรพนามห่างเหินนั่นทำให้ผมได้แต่กลืนก้อนเหนียวลงคออย่างยากลำบาก

มันไม่แปลกที่หลายๆ คนจะไม่รู้จักผมเพราะนอกจากตึกใหญ่แล้วผมก็ไม่ได้ออกงานที่ไหนเลย...

“ผมขอถามคุณแค่คำถามเดียว ถ้าวันนี้ผมไม่บังเอิญรู้เรื่องจากคุณแตม คุณมีความคิดที่จะบอกผมหรือเปล่า หรือจะปล่อยเลยตามเลยกระทั่งจบฝึกงาน”

“เมื่อเช้าผมตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับพี่ครับ แต่แตมดันเข้ามาก่อนแล้วพี่ก็ลุกไป...”

คำพูดของเราจบลงแค่ตรงนั้น ไม่มีการโต้ตอบหรือขยับกายจากคนตรงข้าม มีเพียงเสียงของลมหายใจแผ่วเบาของเราทั้งคู่ ผมผิดที่คิดบิดบังอีกฝ่าย เรื่องผมมันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าความลับของอีกฝ่ายด้วยซ้ำแต่ผมกลับไม่ยอมบอกแต่แรก... ถ้าผมเป็นพี่เขา คงจะรู้สึกเหมือนกัน

ไม่รู้ว่านาฬิกาเคลื่อนไปนานแค่ไหนกระทั่งได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเอ่ยขอให้ผมหลีกทางให้ กลิ่นกายของพี่ข้าวผ่านหน้าผมไปเมื่อผมขยับตัวออกจากบานประตูผิดกับผมที่ได้แต่ยืนมองแผ่นหลังที่เดินออกห่างผมไป

“พี่ข้าวครับ ผมชอบพี่นะ” พี่ข้าวหยุดเดินเมื่อได้ยินผมพูด “ผมขอโทษที่ไม่ได้บอก... ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ถ้าผมบอกพี่ตั้งแต่แรกพี่ยังดุยังว่าผมอย่างนี้ไหม หรือพี่จะเอาแต่เกรงใจผมอย่างที่นั่น หรือถ้าผมตัดสินใจบอกพี่เร็วกว่านี้เรื่องมันจะเป็นเหมือนเดิมไหม ผมไม่ชอบอย่างนี้เลยว่ะ”

“ไม่รู้สิ...” เสียงของพี่ข้าวตอบกลับมาแผ่วเบา

“ถ้าพี่ไม่โอเคกับการที่ผมเป็นลูกหลานที่นี้ หรือถ้าเรื่องนี้ผมทำให้พี่ลำบากใจพี่บอกผมได้นะ... ถ้าผมทำให้พี่ไม่เชื่อใจ... โอกาสที่ผมขอไปพี่ก็ไม่ต้องให้ก็ได้”

“ติณณ์... พี่ขอเวลาคิดได้ไหม ตอนนี้พี่ไม่รู้ว่ะ...ไม่รู้”

“พี่ข้าว...”

“นะ ให้เวลาพี่หน่อย พี่ยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมาพี่รู้สึกดีที่มีติณณ์อยู่ข้างๆ แต่พอมารู้เรื่องนี้พี่เริ่มไม่แน่ใจว่ะ พี่กลัว...”

“กลัวอะไรครับ” กลั้นใจถามเมื่ออีกฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากับผม นัยน์ตาของคนพี่สั่นไหว

“กลัวที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ กลัวสิ่งที่จะตามมา... ติณณ์ก็รู้นี่ว่าเพศเดียวกันรักกันคนยังไม่ยอมรับยิ่งกลับครอบครัวธุรกิจแบบบ้านติณณ์ พี่ไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้ติณณ์ใช้ชีวิตยังไง พี่คิดว่าบางครั้งติณณ์อาจจะแค่อยากลองเพราะพี่ไม่ได้เป็นแบบหลายๆ คนของติณณ์ก็ได้...”

“ไม่ใช่นะ ผมไม่ได้คิดกับพี่ข้าวอย่างนั้น”

ตึ่ก ตึ่ก
หมับ

เสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาขัดการสนทนา และท่อนแขนเล็กโอบรอบเอวคนตรงหน้าผมทำให้พี่ข้าวเอี่ยวตัวไปมอง เฌอแตม..

“พี่ติณณ์... พี่คะ หนูขอโทษที่ทำให้พี่กับพี่ติณณ์ทะเลาะกัน” เด็กสาวว่าเสียงเบา “หนู...ไม่ได้ตั้งใจ”

“คุณเฌอแตม”

เด็กสาวส่ายหน้ารัวเมื่อได้ยินพี่ข้าวเรียกตัวเองว่าคุณ “เรียกแตมเฉยๆ ก็พอค่ะหนูเด็กกว่าพี่ตั้งเยอะ หนูขอโทษนะคะ พี่อย่าโกรธพี่ติณณ์นะ หนูผิดเองค่ะ ถ้าจะโกรธโกรธหนูแทนนะคะ นะ”

พี่ข้าวดึงมือเฌอแตมที่กอดเอวออก เฌอแตมกลั้นสะอื้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออีกฝ่ายนั่งยองๆ เสมอหน้าตัวเอง

“พี่ไม่ได้โกรธครับ... พี่แค่เสียใจ” พี่ข้าวตอบพลางจับมือเด็กสาวตรงหน้ากุมไว้หลวมๆ “คุณ... น้องแตมไม่ผิดหรอกครับ ไม่ต้องร้องนะ”

“แต่ว่าหนู...”

“ไม่ต้องขอโทษแล้วครับ” พี่ข้าวว่ากับเฌอแตม ร่างเล็กของคนพี่หันมาหาผมที่ยืนอยู่ที่เดิม “ติณณ์ครับ ให้เวลาพี่หน่อยนะ”

จะให้ผมตอบอะไรได้ล่ะนอกเสียจาก “....ครับ”

Tbc.

――――――――――――――――――――
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -9- 01|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 01-02-2018 23:33:41
ความแตกก่อนเลย,,,
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -9- 01|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: PrinceCaribZ ที่ 02-02-2018 01:56:15
 :hao7:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -9- 01|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-02-2018 02:34:09
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -10- 02|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 02-02-2018 17:59:58
10

 

หลังจากที่ผมตอบไปพี่ข้าวก็ทำเพียงยิ้มให้ผมและเอ่ยปากขอตัวกลับก่อน ผมจึงจูงมือแตมกลับไปหาลุงวัช ปฏิเสธคำชวนทานมื้อค่ำก่อนจะหนีกลับห้องบ้าง แต่เพราะที่ไม่รู้จะไปไหนในวันเสาร์แห่งชาติก็เลยเอารถออกมาขับเล่น รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่หน้าคอนโดพี่ข้าวแล้ว...

 

ห้องพี่ข้าวอยู่ทางฝั่งด้านหน้า ผมที่จอดรถไว้ริมทางเท้าจึงสามารถเห็นว่าห้องนั้นเปิดหรือปิดไฟอยู่ ซึ่งในตอนนี้ไฟห้องนั้นดับอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าของห้องกลับถึงห้องหรือยัง หรือออกไปกินข้าว นึกห่วงที่เวลาเกือบสองทุ่มแต่พี่ข้าวยังไม่ถึงห้อง อยากโทรถามแต่กลัวทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ...

 

ดูท่าไอ้ติณณ์จะเป็นเอามากเนอะ

 

แต่สุดท้ายผมก็เลือกจะตีรถกลับมายังคอนโดเพื่อนสนิท อย่างน้อยมีมันคงไม่ทำให้ฟุ้งซ่านเกินไป...

 

 

“เฮ้ย นี่กะจะแดกให้ตาย?” เจ้าของห้องที่เพิ่งกลับมาถึงเอ่ยทักผมที่นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟา ดวงตาใต้เลนส์กรอบหนามองไปยังกระป๋องยี่ห้อสิงห์สาราสัตว์ที่ว่างเปล่าที่วางไว้บนโต๊ะ “ที่กูซื้อมานี่หมดตู้ยังวะ”

 

“ไอ้อาร์ต... ถ้ามึงจงใจบิดบังบางเรื่องกับคนที่มึงชอบ แล้วเขาบังเอิญมารู้เรื่องทีหลัง มึงว่าเขาจะโกรธมึงแค่ไหนวะ” ไอ้หมอหมาที่ก้มเก็บกระป๋องเบียร์พร้อมกับคำบ่นชะงักมือ จากที่มันนั่งยองๆ กลายเป็นนั่งประชันหน้ากับผมที่เอาแต่มองเพดาน พอมันเห็นผมไม่พูดอะไรต่อไอ้เพื่อนสนิทก็กระชากตัวผมขึ้น

 

“หรือพี่เขารู้เรื่องที่มึงเป็นหลานลุงวัช?” พยักหน้าตอบรับไป “แล้วไปรู้ได้ยังไง ไม่สิเรื่องนั้นยังไม่สำคัญเท่าที่มึงถาม ถ้ากูเป็นพี่เขากูคงโกรธ แล้วถ้าพี่เขารู้สึกอะไรกับมึงคงอาจจะช็อก คงแบบจู่ๆ...อืม เด็กฝึกงานที่ตามจีบตัวเองกลายเป็นลูกหลานเจ้าของบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ พี่แกคงกลัวว่าคนอื่นมองไม่ดีมั้ง มึงลองคิดดูดิว่าถ้าเจอแบบนี้มึงจะโอไหม”

 

“...ก่อนหน้านี้กูดันไปรู้เรื่องที่พี่แกเคยคบผู้ชาย แต่พี่แกก็ทำท่าเหมือนไม่อยากให้กูรู้เรื่องกูก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร แต่แล้ววันนี้แตมดันมาตอนกูคุยเรื่องนี้กับพี่ข้าวพอดี...น้องมันดีใจที่เจอกูแล้วกูก็ดันลืมตัวแนะนำน้องมันไปว่าเป็นลูกลุงวัช ซึ่งพี่เขาก็เหมือนจะรู้จักแตมอยู่แล้ว เสร็จแล้วพี่เขาก็ลุกไปเลย... สุดท้ายวันนี้พี่แกเลยดูตึงๆ ใส่กู”

 

“แล้วได้อธิบายเหตุผลให้พี่เขาฟังหรือยัง”

 

ผมหลับตาลง นึกไปถึงยิ้มฝืนๆ จากอีกคนก่อนจะแยกกัน “อธิบายแล้ว... แต่พี่เขาขอเวลา”

 

ไอ้หมอหมายัดกระป๋องเบียร์ใส่มือผมเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนจะตบไหล่ผมอย่างเห็นใจ “ถ้าพี่เขาขอเวลามึงก็ควรรอ ถ้าวันจันทร์พี่เขาไม่โอเคเรื่องมึงก็ค่อยว่าอีกที โอเคนะ”

 

“กูชอบพี่เขาจริงๆวะ...” ผมว่า “พี่เขาบอกว่ายอมรับว่าเริ่มรู้สึกดีกับกู แต่พอมาเรื่องนี้...มันเหมือนกูไปทำให้พี่เขาลำบากใจเลยว่ะ”

 

“....นี่ใครเข้าสิงเพื่อนกูวะ?” ไอ้หมอหมาที่เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนโวยวายเสียงดัง มือที่ถือกระป๋องเบียร์เปลี่ยนเป็นคว้าคอเสื้อผมเขย่าไปมา “ผีตัวไหนเข้าเพื่อนกูวะ ปกติไอ้ติณณ์ที่กูรู้จักมันถือคติด้านได้อายอดนี่หว่า”

 

รู้ว่ามันอยากให้หายเครียดแต่...

 

“ด้านไม่ไหวว่ะ...” เงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่ยิ้มขำ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่คงจะไปสะกิดใจมันเข้า “สมมติถ้าน้องที่มึงชอบมีแฟน มึงด้านไหวหรือไงล่ะ”

 

“ไม่...” ไอ้หมอหมาว่าเสียงแผ่ว ปล่อยมือจากคอเสื้อผมแล้วย้ายตัวเองไปนั่งซึมกะทื่ออยู่อีกฝั่งของโซฟา “แค่คิดกูก็ไม่ไหวแล้วว่ะ”

 

“เข้าใจกูหรือยัง” ไอ้หมอหมาพยักหน้าทั้งที่ยังคอตกอยู่ เห็นอย่างนั้นก็เลยตบหลังมันดังปึ่กๆ ด้วยความเห็นใจ ก่อนจะชนกระป๋องในมือแล้วซดแทนน้ำเปล่า

 

ถามจริง นี่ใครปลอบใครกันแน่วะ?

 

 

ก๊อก ก๊อก

“อืม...” เสียงเคาะประตูห้องปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ อาการปวดหัวเข้าแทรกทันทีที่ลุกขึ้นแต่พอเห็นจำนวนกระป๋องเบียร์ที่วางกองอยู่ก็ไม่แปลกใจที่จะปวดสักเท่าไหร่...

 

รู้สึกเหมือนจะได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง... แต่นี่มันบ่ายกว่าๆแล้ว

 

“ไอ้หมอ มีคนมา” เสียงเคาะประตูหยุดไปสักพักและดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงเรียกชื่อ ไอ้เจ้าของห้องที่นอนอยู่ปลายเท้าผมไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นเลยต้องจำใจลุกขึ้น ก้มมองสภาพตัวเองก่อนจะไปเปิดประตูเอง

 

“หม่อน?” คนตรงหน้าชะงักพอผมเปิดประตูออกไป เจ้าของชื่อเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแหยให้ “มาหามันหรอ?” หมายถึงศพหมอหมาในห้อง อีกฝ่ายพยักหน้า “ยังนอนอยู่เลย เมื่อวานดื่มกันเยอะไป เข้ามาก่อนไหม?”

 

“ไม่อ่ะ หม่อนแค่เอาชีทมาให้อาร์ต เมื่อวานยืมมาแล้วลืมคืน” สาวตรงหน้ายิ้มแห้งๆ ให้ผม “แล้วก็หม่อนซื้อข้าวเช้ามาด้วย แต่หม่อนไม่รู้ว่าติณณ์อยู่ห้องก็เลย...แฮะๆ”

 

“มีแต่ของไอ้อาร์ตมันสินะ” ผมยิ้มแซว จำได้ว่าคนตรงหน้าชอบไอ้หมอที่นอนเกาพุงในห้อง แต่ก็โดนมันปฏิเสธไป “ขอบใจแทนมันด้วยแล้วกัน กลับดีๆ นะ”

 

รู้ว่าเสียมารยาทที่ปิดประตูทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบของอีกฝ่าย พอผมกลับเข้ามาในห้องก็เห็นไอ้หมอหมาหัวฟูตื่นแล้ว แถมยังทำท่าเหมือนหาอะไรสักอย่างอยู่

 

“หาอะไร?” ถามพลางเอาข้าวแกะใส่จาน ไอ้อาร์ตเงยมาหรี่ตามองผมก่อนตอบเสียงแหบพร่าอย่างคนยังไม่สร่างดี

 

“...แว่น” มนุษย์สี่ตานี่ลำบากจริงๆ

 

 

หลังจากที่ขำมนุษย์สี่ตาที่ทำแว่นหายทั้งๆ ที่ก็อยู่บนหัวมันนั่นแหละจนถูกมันถลามาชกท้องแก้เขิน(หรอ) เราก็ย้ายตัวมากินข้าวที่หม่อนเอามาให้ แต่มันก็ไม่พอกินสำหรับผู้ชายตัวโตๆ อย่างพวกผมสองคนหรอกครับ สุดท้ายผมก็ต้องทำของกินให้คุณชายอาร์ตเพิ่มอยู่ดี

 

“แล้วมึงจะกลับตอนไหน”

 

“ลุงวัชชวนกินข้าวเย็น ไปป่ะ?”

 

ประโยคไล่กลายๆ กับคำตอบที่ไม่ตรงคำถามทำให้ไอ้อาร์ตที่นอนดูหนังฆาตกรรมสักเรื่องหันมามองผม ก่อนจะได้รับประโยคปฏิเสธกลับมา พอใกล้ได้เวลานัดผมก็บอกไอ้หมอที่ตั้งใจดูหนังพอให้มันรับรู้ก่อนที่จะออกมา

 

เรื่องพี่ข้าวที่หยุดคิดมากไปช่วงนึงกลับมาอีกครั้งเมื่อได้อยู่คนเดียว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพลางกดเบอร์ที่เริ่มจะคุ้นเคยในช่วงหลังๆ ชังใจระหว่างโทรไม่โทรก่อนจะโยนมันไว้ที่เบาะข้างๆ อยากโทรหาแต่ก็ไม่อยากรบกวน

 

เอาวะ พรุ่งนี้ก็เจอ

 

 

อ่า... ไม่ต้องถึงพรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้วครับ

 

“พี่ติณณ์มาแล้ว~” เฌอแตมว่าเสียงใสพลางกระโดดกอดเอวผม ยกมือไหว้ผู้มีศักดิ์เป็นลุงกับบุคคลที่คิดจะโทรหาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

 

“แตมอย่าไปกวนพี่เขามาก” ลุงวัชเอ่ยดุลูกสาวที่ทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยอมปล่อยผมไปนั่งข้างๆ พ่อของตัวเอง ผมมองเก้าอี้ว่างอีกที่ที่เหลืออยู่อย่างชังใจ ก่อนเอ่ยปากขออนุญาตกับคนที่เหลือบมองผมแวบหนึ่ง

 

ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังโกรธผมอยู่ไหมเลยไม่กล้าทำอะไร

 

“เจ้าอยากกินอะไรสั่งได้เลยนะ ติณณ์ก็ด้วย” ผมยิ้มรับ อยากจะเอ่ยถามว่าทำไมคนข้างๆ ถึงยอมมาแต่ลุงวัชก็พูดขึ้นมาก่อน “ยัยแตมบอกว่าอยากขอโทษเจ้าน่ะเลยให้ลุงโทรไปชวน”

 

“ที่จริงไม่ต้องก็ได้ครับท่าน ผมไม่ได้...”

 

“ท่านเทิ่นอะไรกัน เรียกลุงแบบไอ้ติณณ์มันก็ได้ แฟนมันไม่ใช่หรือไง?” คำพูดของคนอาวุโสสุดทำให้ผมที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มสำลัก พอๆ กับพี่ข้าวที่ทำเล่มเมนูหลุดมือและปฏิเสธรัวๆ

 

“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ใช่แฟนคุณติณณ์ครับ” ท่าทางลุกลี้ลุกลน และใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดงของพี่ข้าวทำให้ผมแอบขำ แต่ก็ทำให้ใจแป้วกับการปฏิเสธเป็นพัลวันนั่นเหมือนกัน

 

“หืม” ลุงวัชเลิกคิ้วสูงพลางว่าเสียงขำ “ไม่ใช่หรอกหรอ เห็นทศกัณฐ์บอกว่าชอบจีบกันเวลาทำงานนี่”

 

“ไอ้พี่ทศ...” พี่ข้าวเค้นเสียงเรียกชื่อพี่ทศออกมาเบาๆ ราวกับเจ้าของชื่อนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย นี่พี่ทศเอาผมไปนินทาให้ลุงฟังหรือไงนะ

 

“เดี๋ยวนะ” ผมยกมือค้านเมื่อนึกอะไรได้ “ทำไมลุงไม่แปลกใจ?”

 

“คิดว่าใครเป็นคนปิดข่าวแย่ๆ ของแกไม่ให้แม่แกรู้” ยิ้มแหยเมื่อได้ยินลุงพูดอย่างนั้น ตั้งแต่มานี่ก็ได้ลุงช่วยบ่อยๆ “อีกอย่างตอนนี้ยัยตาลกำลังติดอะไรโอยๆ นะแตม ชื่อเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่น”

 

“ยาโอยค่ะพ่อ อาหารญี่ปุ่นนั่นยาโยอิ” แตมตอบเสียงฉะฉาน ก่อนจะเงียบไปเมื่อของโปรดเจ้าตัวถูกเสิร์ฟ

 

“เออๆ นั่นแหละ ยัยตาลมันฝากลุงซื้อตอนลุงไปญี่ปุ่น นี่ก็ไม่ได้ดูก่อนพอไปร้านยื่นโพยให้พนักงานก็ยังว่าทำไมเขาทำหน้าแปลกๆ ใส่ลุง พอได้หนังสือเลยลองเปิดแง้มๆ ดู... แถมตอนนี้ไอ้ต้นก็ได้แฟนเป็นผู้ชายลุงเลยปลงแล้วล่ะ”

 

เผลอหัวเราะเมื่อลุงวัชเล่าด้วยน้ำเสียงปลงตกจริงๆ บ้านนี้เขาเลี้ยงลูกกันแบบอิสระครับแถมมีหลานให้สืบสกุลต่อแล้ว ผมเลยค่อนข้างจะอิจฉาอยู่นิดๆ...

 

“แต่ที่เรียกมาลุงไม่ได้แค่เพราะแตมมันหรอกนะข้าวเจ้า” จู่ๆ ลุงก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจัง

 

“ครับ?”

 

“เรื่องที่ติณณ์มันปิดเราไว้น่ะ ลุงขอมันเอง” ผมกำลังจะแย้งเพราะผมเป็นคนเสนอความคิดนั้นเอง แต่ลุงกลับตวัดตามองให้เงียบ “มันมาเสนอลุงเห็นว่าน่าสนใจเลยให้มันมาลงที่นี่เอง ถ้าจะโกรธมันก็โกรธลุงด้วยเถอะ ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด”

 

“...ผมไม่ได้โกรธครับ” พี่ข้าวเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบไปครู่ใหญ่ รอยยิ้มที่เห็นบ่อยๆ ประดับบนหน้าคนพี่ “ตอนนี้ไม่ได้โกรธแล้ว”

 

“พี่ข้าว”

 

“แต่ผมค่อนข้างจะ...น้อยใจมั้ง” ลุงวัชยิ้มน้อยๆ ให้พวกเรา ก่อนจะขอตัวลุกออกไปเมื่อลูกสาวงอแงจะเข้าห้องน้ำ... ทั้งโต๊ะจึงเหลือแค่เราสองคน

 

“พี่ข้าวไม่ได้โกรธผมจริงๆ ใช่ไหม”

 

“บอกไปแล้วว่าผมไม่ได้โกรธคุณติณณ์”

 

“ถ้าไม่โกรธก็เรียกแบบเดิมดิ ไม่เอาผมๆ คุณๆ เนี่ย” ว่าแกมหยอก อีกฝ่ายหันมาตวัดตาดุๆ ใส่ “ผมขอโทษนะที่ทำพี่น้อยใจ ผมไม่ได้ตั้งใจปิดจริงๆ นะ”

 

“ไหนตอนแรกบอกว่าตั้งใจปิด?” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดทำให้ผมหลุดขำ คนแก่ว่าหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าตัวเองหลุดมาด “อ่า...”

 

“พี่ข้าวครับ ให้ผมเป็นติณณ์ที่พี่รู้จักตั้งแต่วันนั้น... นะ” ว่าพลางถือวิสาสะยกมืออีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้ เจ้าของมือไม่ได้สะบัดออก แต่ทำเพียงเสหลบสายตาผม “กลับเป็นเหมือนก่อนหน้านี้นะพี่ข้าว”

 

“...” พี่ข้าวไม่ตอบ แต่ใบหน้าที่สีแดงระเรื่อกดลงเล็กน้อยให้ผมยิ้มได้ จนเผลอดึงมือที่กุมไว้ขึ้นมาจรดปากด้วยความดีใจ แต่ไม่ทันได้สูดความหอมของมืออีกครั้งพี่ข้าวก็ดึงมือกลับไป พร้อมเสียงกระแฮ่มไอของใครอีกคนที่ดังขึ้น

 

“กลางร้านนะไอ้หลายชาย” ลุงวัชว่า “ดีกันแล้วสินะ งั้นลุงฝากหลานลุงด้วยนะเจ้า มันดื้อมันซนก็จัดการเลยไม่ต้องเกรงใจ พ่อแม่มันหาคนปรามมันอยู่เนี่ย”

 

“...คือผม” คนโดนฝากลากเสียงยาว ทำตาปริบๆ มองผมสลับกับลุงวัชที่ยัดเยียดผมให้กับคนพี่ ก่อนพี่ข้าวจะถอนหายใจออกมา “ก็ได้ครับท่าน”

 

“ไม่ท่าน ลุง” คนเผด็จการยังไงก็เผด็จการอย่างนั้น

 

“ครับ...คุณลุง”

 

 

มื้ออาหารของพวกเราสี่คนจบลงเมื่อใกล้สามทุ่ม เฌอแตมที่เริ่มง่วงนอนออกอาการงอแงกับพ่อตัวเองจนลุงวัชต้องพากลับก่อน พร้อมกับคำสั่งให้ผมพาพี่ข้าวไปส่งที่คอนโดด้วย

 

“พี่กลับเองได้” พี่ข้าวว่า แต่ถูกผมรั้งข้อมือจูงให้ไปที่รถที่จอดไว้

 

“น่า ผมไปส่งไม่เสียเงินด้วย” ว่าติดขำเมื่อยัดพี่ข้าวเข้ารถได้ เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปขึ้นฝั่งคนขับ เรื่องขำขันระหว่างการเดินทางคือไอ้แก่ของพี่ข้าวดับตอนที่กำลังออกจากคอนโดพอดีเลยต้องมาเอง แถมระยะทางจากคอนโดมาร้านอาหารไม่ใช่ใกล้ๆ จนทำให้คนพี่บ่นอุบเรื่องค่าโดยสาร

 

เมื่อกี้ยังดึงดันจะกลับเองอยู่เลย

 

“พรุ่งนี้ให้ผมมารับไหม” เอ่ยถามคนมอเตอร์ไซค์พัง “ฟรีนะ”

 

“ไม่ๆ เดี๋ยวให้ไอ้หลงมารับ เกรงใจเราต้องวนไปวนมา” น้ำเสียงเดิมๆ ที่กลับมาทำให้ผมยิ้มกว้าง “ขอบคุณที่มาส่งนะ”

 

“ด้วยความยินดีครับ” บอกกับคนที่กำลังจะเปิดประตูรถออกไป เอื้อมมือไปดึงแขนอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะลงจากรถ “พี่ข้าวครับ แล้วเรื่องที่ผมขอ...”

 

อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม... ทั้งที่พี่ข้าวไม่โกรธก็ดีแค่ไหนแล้ว

 

รอยยิ้มจุดขึ้นบนใบหน้าคนพี่ คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้ผมอยากจะรวบพี่ข้าวมากอด “อื้ม เดือนครึ่งที่เหลือ... ฝันดีนะ”

 

อีกฝ่ายลงไปได้สักพักแต่ผมยังคงนั่งยิ้มอยู่ที่เดิม กระทั่งเห็นว่าไฟห้องคนพี่ถูกเปิดขึ้นมาแล้วพร้อมกับเงาดำๆ ของคนพี่ที่โบกมือไล่กลายๆ

 

ให้ตายเถอะ... ยิ้มจนปวดแก้มแล้ว

 

Tbc.

 

―――――――――――――――――――
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -10- 02|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-02-2018 22:08:34
 :impress2:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -10- 02|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-02-2018 23:36:33
มีโอก่สแล้วรักษาดีๆนะครับ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -11- 03|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 03-02-2018 00:03:57
11

ปฏิบัติการณ์เดินหน้าจีบพี่ข้าวดำเนินไปอย่างไม่เร่งรีบแต่รวดรัด ก็นะระยะเวลาที่ผมได้โอกาสมามันแค่เดือนเดียวนี่ แต่การที่พี่ข้าวพอจะมีปฏิกิริยาหน้าแดงกับการหยอดของผม หรือการได้แตะตัวนิด จับมือหน่อยก็มีกำลังใจมากโขแล้วครับ

“พี่ข้าว ผมหิวแล้ว” บรรยากาศเดิมๆ กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้ว การไปกินข้าวเที่ยงพร้อมกันแทบจะเป็นกิจวัตรของพวกเรา เจ้าของชื่อหันมองผมที่เกาะขอบโต๊ะเจ้าตัวเล็กน้อย ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา

“รอพี่แปบได้ไหม ใกล้จะเสร็จแล้วเนี่ย” คนพี่ว่าเสียงแผ่ว ผมยกยิ้มและพยักหน้าให้พี่ข้าวได้ทำงานต่อ ไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองชวนไปกินข้าว... ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงได้ไปคนเดียวอ่ะครับ

“กินอะไรดีเที่ยงนี้?” พี่ข้าวถามขึ้นขณะที่เรากำลังเดินไปร้านอาหาร เผลอยกยิ้มกรุ่มกริ่มแบบไม่ให้อีกฝ่ายเห็นและตอบคำถามนั้นไป

“กิน...ข้าวครับ” พูดเน้นคำว่าข้าว... คนเดินนำหยุดกึกและหันกลับมาประจันหน้าผม พร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันคล้ายไม่พอใจในคำตอบ... ก็น่ารักดี

“พี่ไม่ใช่ของกินนะ” แต่ก็กินได้... แอบเติมต่อในใจเอง ผมเก็กหน้านิ่งแล้วแสร้งยกคิ้วขึ้นมองคนหน้ามีริ้วแดงๆ

“ใครบอกว่าหมายถึงพี่ครับ? ผมหมายถึงอาหารประเภทข้าว เมื่อวานก่อนกินพวกเส้นๆ บ่อยแล้วเบื่อ” ว่าพลางยื่นหน้าไปใกล้ๆ แกล้งคนหน้าแดงให้แดงยิ่งกว่าเดิม “หรือถ้าพี่อยากให้ผมกิน... ก็ได้นะ”

“โว๊ยยย หลีกเว้ย! แยกๆๆ!” บุคคลที่สามเข้าแทรกกลางระหว่างพวกผม มือทั้งสองข้างกอดล็อกคอผมกับพี่ข้าวไว้ไว้ “วู้ จีบกันอยู่นั่นแหละ คนเดิมตามแม่งถูกมดกัดหมดแล้ว ใช่ป่ะพี่ทศ”

“เออ กัดจนแดงเลยเนี่ย” ลูกรับของพี่หลงตอบกลับขำๆ ซ้ำยังทำท่าเกาคอตัวเองอีก “ทั้งแสบ...ทั้งคัน”

“...คันตายห่าไปเลย” พี่หลงสบถออกมา “ป่ะเจ้าไปหาไรกินกัน ทิ้งไอ้พวกนี้ไว้นี่ล่ะ”

ว่าจบพี่หลงก็กอดคอพี่ข้าวเดินนำลิ่วๆ ไปทันที พอหันไปมองผู้เป็นหัวหน้าก็เจอกับรอยยิ้มกรุ่มกริ่มมองคนที่เดินไปแล้วตาไม่วางให้ผมได้เลิกคิ้วสงสัย ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากพี่ทศที่เหมือนรู้ว่าผมจ้องอยู่ก็หันมาหา ยกมือเกี่ยวคอเสื้อเชิ้ตตัวเองลงพอให้เห็นรอยกัดจางๆ ที่ติดอยู่ พลางยกนิ้วชี้อีกข้างขึ้นจรดปากเป็นสัญญาณว่าไม่ให้พูดก่อนจะเดินตามทั้งสองคนนั่นไป
เอ่อ... จริงดิครับพี่ทศ?


“ฮ่ะๆ รกหน่อยนะครับพี่ข้าว” เอ่ยบอกพี่เลี้ยงที่อุตส่าห์แบกผมกลับห้องหลังจากที่ผมไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นเขย---- ไม่สิ หลังจากที่เสนอหน้าไปค่ายมวยที่เป็นกิจการของบ้านพี่ข้าวเขา แล้วความโลกกลมก็บังเกิดขึ้นเมื่อเจอเจ้าของค่ายคนปัจจุบัน...

ย้อนกลับไปหลังเลิกงาน
“อ้าว วันนี้ไหงมาได้วะไอ้ข้าว แล้วนั่นใครล่ะ ไม่ใช่ไอ้หลงไอ้ทศนี่”

“อ่า...” พี่ข้าวเหลือบมองผมที่กำลังให้ความสนใจเสียงชกเสียงแตะกระสอบทรายตรงหน้า ก็เคยเรียนมวยตอนวิชาเลือกปีสองครับแต่ก็แค่นั้น...ไม่ได้เล่นอีก ส่วนมากเข้าฟิตเนสของคอนโดไอ้หมอเอา “เด็กฝึกงานที่ผมดูแลอยู่ตอนนี้...ครับ”

“อ๋อ ที่ว่ามาจีบข้าวใช่ไหม” เจ้าของค่ายว่าเสียงดังจนคนในค่ายหันมามองผมเกือบหมด “เฮ้ย นายน่ะชื่ออะไร... หืม”

“เอ่อ...ติณณ์ครับ” ยกมือไหว้เจ้าของค่ายที่หน้าตาคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก

“ชื่อก็คุ้น หน้าก็คุ้น... นักศึกษาม.xxx?” เขากวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “เคยเรียนมวยไหม?”

“มันจะเคยอะไรกันน้าชาย ว่าที่นักธุรกิ--”

“เคยครับ ตอนอยู่ปีสอง” พอตอบไป คนตรงหน้าก็ร้องอ๋อออกมาเสียงดัง ผิดกับพี่ข้าวที่เบ้ปากออกมา

“ก็ปีก่อนๆสินะ...เออๆ นึกออกแล้ว น้าเคยไปช่วยเพื่อนสอนอยู่เดือนกว่าๆ คงเคยเจอกันบ้าง น้าชื่อชายนะ” แกว่า “ติณณ์นี่ใช่...ไอ้หล่อที่ไอ้ชาติมันเรียกหรือเปล่า”

“ครับ จารย์ชาติชอบเรียกผมอย่างนั้นจนเพื่อนในเซ็คนี่เรียกแต่ไอ้หล่อกันแล้ว” ว่าติดขำ อาจารย์หมวดพละแกคงเหม็นขี้หน้าผมครับเวลาเจอเรียกแต่ไอ้หล่อไม่ก็ไอ้เดือน พอได้ยินอย่างนั้นน้าชาย(เรียกตามพี่ข้าว)ก็หัวเราะออกมาดังลั่นจนคนในค่ายหยุดมองก่อนแกเข้ามารวบคอผมซะแน่น

“นี่ตอนนั้นไอ้ชาติมันบอกว่าเราเป็นศิษย์เอกมันเลยนะ บอกว่าหน่วยก้านดีแต่เสียดายที่ไม่ได้เรียนต่อ ไม่งั้นมันคงจับไปลงทีมนักกีฬาของมหาลัยแล้ว แต่น้าก็เห็นด้วยกบมันนะตอนไปดูเราเรียน”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่ลงเรียนให้ครบหน่วย” พอตอบตามความจริงก็ถูกถลึงตาใส่ “คือ... ไม่นึกคุณจะเป็นน้าของพี่ข้าว”

“จะว่าไป...ข้าวบอกว่าเอ็งมาจีบ?” จู่ๆ สรรพนามที่เปลี่ยนไปและน้ำเสียงที่ดูจะเหี้ยมขึ้นก็ทำให้ขนบนตัวผมพร้อมใจกันลุก “ไหนลองรื้อฟื้นความจำตอนเรียนหน่อยสิ... ข้าวเจ้า! วันนี้ซ้อมกับไอ้เด็กนี้ให้ดูหน่อย”

น้าชายว่าเสียงดัง พี่ข้าวที่ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มเหี้ยมพิมพ์เดียวกับน้าพี่แกเป๊ะๆ... ก่อนที่ผมจะถูกดันหลังให้ไปเปลี่ยนชุดพร้อมๆ พี่ข้าว ออกมาอีกทีก็เห็นคนพี่ฟุตเวิร์คอยู่ข้างเวที...

“เออมาแล้วๆ วอร์มก่อนได้ไม่ต้องเกร็งเว้ยไอ้ติณณ์ เดี๋ยวไอ้ข้าวมันอ่อนให้เอ็งอยู่หรอก” คำพูดกับหน้าตาที่ไม่ได้เข้ากันสักนิด ผมหันมองพี่ข้าวที่อยู่อีกมุมของเวทีก็ได้แต่ยิ้มแหย

อืมมม หัวนมสีอ่อนกับกางเกงสั้นๆ นี่เร้าใจดีชะมัด

ความคิดสุดท้ายก่อนที่ผมจะน็อคในหมัดเดียว...


ก็นั่นแหละครับสาเหตุที่พี่ข้าวถึงมาที่ห้องผมได้ หมัดเดียวนับดาวจริงๆ... ผมคงไม่กล้าแหยมคนพี่ไปสักสองสามวันแน่ๆ แล้วพอรู้สึกตัวนะ น้าชายแกก็หัวเราะลั่นยิ่งกว่าเดิมที่เห็นผมน็อค

โธ่... ก็อดีตแชมป์เยาวชนกับไอ้คนเรียนเสรีตัวเดียวนี่ใครจะชนะล่ะครับ ถึงขนาดตัวผมกินขาดก็จริง แต่รายนั้นได้ฉายาเล็กพริกขี้หนูนา...

“โฮ่ นึกว่าคุณชายติณณ์จะอยู่ห้องดีกว่านี้” พี่ข้าวกวาดตามองรอบห้องผม ห้องไม่เล็กไม่ใหญ่ครับ เปิดมาเจอโต๊ะตู้เตียงเลย ไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่อยู่แต่เพราะมันใกล้เลยเอาที่นี่

“นี่พี่ข้าวเห็นผมเป็นคนยังไงครับเนี่ย เห็นอย่างนี้บุกน้ำลุยเขาก็ไปมาแล้วครับ ไม่ใช่คุณชายที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่ง” พูดจบพี่ข้าวก็ยู่ปากใส่เหมือนไม่เชื่อ

“เหอะ แล้วหลบได้ก็ไม่หลบ สวนก็ไม่สวน นี่คิดว่าตัวเองเก่งหรือไง หือออ” พี่ข้าวว่าเสียงเข้มตอนทิ้งผมลงกับเตียง นิ้วมือหยิกเนื้อต้นแขนผมแล้วบิดแรงๆ จนร้องโอดโอยออกมา “นี่ขนาดพี่ยั้งมือแล้วนะ”

“ก็ผมกลัวพี่ข้าวเจ็บนี่เลยไม่กล้าสวนกลับนี่ครับ ซี๊ด...” ว่าให้ดูดีไว้ก่อนแต่พี่ข้าวทำหน้าไม่เชื่อ “ผมเจ็บแหละดีแล้ว พี่ข้าวจะได้อยู่ดูแลผมไง”

ผมคว้ามืออีกฝ่ายมากุมไว้หลวมๆ ก่อนจะเอามือนั่นมาแนบแก้มแล้วจุ๊บหลังมือไปครั้ง พอพี่ข้าวจะสะบัดออกผมก็แกล้งร้องโอ๊ยออกไปเสียงดัง

“เฮ้ยโทษ ไหนๆ โดนตรงไหน” ฝ่ามืออีกข้างของพี่ข้าวเข้ามาประคองหน้าผม ก้มมองดูรอยช้ำที่ใต้คางด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงผมสุดๆ
แต่...ขอโทษนะครับ

หมับ!

“อ่ะ ไอ้..ติณณ์!!” พี่ข้าวแผดเสียงใส่เมื่อผมรวบคนที่กำลังก้มๆ เงยๆ มองหารอยช้ำเข้าไว้ในอ้อมกอด พอคนพี่เผลอก็เหวี่ยงลงเตียงแม่ง อดีตแชมป์มวยเด็กก็ยังคงไม่สิ้นฤทธิ์ ทุบตีผมซะเจ็บยิ่งกว่าเดิม “ปล่อยพี่!”

“ติณณ์เจ็บนะ” ว่าเสียงอ่อยพลางรวมข้อมือคนใต้ร่างเอาไว้ “ติณณ์เจ็บ ขอกอดหน่อย”

“เกี่ยวเหี้ยอะไรวะ ปล่อย!”

“...ก็ได้ครับ” แสร้งว่าเสียงเบาพร้อมปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระ ก็แค่อยากอ้อนให้โอ๋อ่ะ อยากกอด “ขอบคุณที่พามาส่งครับ ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

พี่ข้าวทำตาปริบๆ มองผมที่ทำตัวเป็นหมาหงอย ยกยิ้มและเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ย้ำว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมากเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเป็นกังวล

แต่เอาเถอะ... ยังไม่ถึงเวลา รุกมากไปก็ไม่ดี

“นี่งอนพี่?” พี่ข้าวเอ่ยถามผมที่นั่งหันหลังให้ เสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายทำให้ผมอยากหันไปมองแต่ต้องเก๊กเข้มไว้ ที่นอนด้านหลังยวบลงไปตามด้วยสัมผัสของฝ่ามือที่แตะลงกลางหลัง “งอนพี่หรอครับน้องติณณ์ หืม”

“เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ผมหันไปหาพี่ข้าวที่มานั่งอยู่กลางเตียง พี่ข้าวยกยิ้มหวานให้ผมแล้วยื่นมือมาตรงหน้า สองมืออุ่นประคองหน้าผมไว้

...อะไรสักอย่างดลใจให้ผมหลับตาลง

“...”

“...”

เนิ่นจากที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนต้องหรี่ตามอง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือพี่ข้าวยกยิ้มเหี้ยมเหมือนตอนที่อยู่ที่ค่ายมวย

“พี่ข้าว...?”

“ไอ้”
เพียะ

“เด็ก”
เพียะ เพียะ

“บ้า”
เพียะ เพียะ เพียะ

“โอ๊ย พี่ผมเจ็บ!!” โวยวายเมื่อคนพี่ที่ยิ้มหวานและยื่นหน้ามาเมื่อสักครู่บีบคางผมไว้ มืออีกข้างยกดีดหน้าผากผมอย่างแรงจนแสบไปทั้งเหม่ง

“ก็ดีดให้เจ็บไง นี่เป็นบ้าอะไร? ห้ามตอบว่าไม่ได้เป็นนะเพราะตอนนี้ติณณ์หน้าบูดมาก” พี่ข้าวขำผมที่แยกเขี้ยวใส่พลางขยับไปด้านหลัง...ระยะที่ผมเอื้อมไม่ถึง “หรือน้อยใจที่พี่ไม่ให้กอด?”

“ครับ...” ตอบไปตามตรง พี่ข้าวชะงักก่อนจะส่ายหน้าไปมา

“เหอะ จะให้กอดให้โอ๋ก็ขอดีๆ ไม่จะเล่นทีเผลอแบบนี้” เสียงแผ่วๆ ดังเข้าโซนประสาท ผมเงยหน้าเจ้าของคำพูดนั้นทันที

“ถ้าขอ... จะให้จริงหรอครับ” ผมทำตาปริบๆ ใส่คนพี่ที่ยกมือชี้หน้าผม

“ถ้าเป็นเด็กดี ไม่ฉวยโอกาส ไม่... เฮ้ย!”

“ขอกอดนะครับ” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดจบหรือเอ่ยปากอนุญาตอะไร พอผมเอ่ยขัดปุ๊บก็ดึงพี่ข้าวเข้ามากอดทันที กลิ่นหอมๆ ของสบู่ที่ค่ายมวยลอยเข้าแตะจมูกคนเผลออ้าปากงับเบาๆ ให้คนพี่ตบตีหลังโวยวาย

“รอคำอนุญาตดิเฮ้ย ฮ่าๆๆ โอ๋ๆ เจ็บหรอหมาน้อย” พี่ข้าวว่าเสียงติดขำ ฝ่ามือตบหลังลูบหัวผมไปมาเหมือนผมเป็นหมาสักตัว

“พี่ข้าวครับ”

“หืม?” อีกคนทำหน้างุนงงเมื่อเห็นว่าผมเรียกชื่อเจ้าตัวแล้วเงียบไป

“จูบ...ได้ไหม” ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธจากพี่ข้าว ผมดันตัวอีกฝ่ายออกก็เห็นคนพี่เม้มปากแน่น “เอ่อ คิดว่าผมไม่ได้ขอแล้วกับครั---”

สัมผัสนุ่มหยุ่นแตะลงที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบาแค่ชั่ววินาทีก่อนจะผละออกไป... ได้แต่มองคนหน้าแดงที่เอาหลังมือปิดปากตัวเองอย่างอึ้งๆ

“พี่..ติณณ์ เอ่อ พี่กลับล่ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะ” เสียงสั่นๆ ของพี่ข้าวดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหยิบของและเปิดปิดประตู พี่ข้าวไปแล้ว... ทิ้งให้ผมค้างอยู่อย่างนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนยกมือแตะปากตัวเอง

เมื่อกี้... จูบ?

จูบกลิ่นเปเปอร์มินท์

Tbc.

―――――――――――――――――――――

ฮรื่อออ คู่นั้นมายังไงวะคะะะ
อื้อออ เขาจุ๊บกันแล้ววว
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -11- 03|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 03-02-2018 04:03:44
 :o8:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -11- 03|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 03-02-2018 07:06:17
อร๊างจูบ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -11- 03|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 04-02-2018 22:12:29
ห่ะ. จูบเลย??
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -12- 06|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 06-02-2018 22:03:54
12
ข้าวเจ้า


‘จูบ...ได้ไหม’
เผลอเม้มปากแน่นกับคำขอนั้น รู้ว่ามันอ้อนและผมมีสิทธิที่จะปฏิเสธได้ แต่ทำไมถึง...

“...เจ้า”

ทำไมถึงยอมวะ... ทำไมถึงไปจูบมัน

“ไอ้เจ้า”

กระทั่งตอนนี้ผมยังรู้สึกถึงความอุ่นที่ริมฝีปากอยู่เลย...

“เฮ้ยไอ้เจ้า!” สะดุ้งตัวเมื่อถูกเรียกชื่อเสียงดัง “นี่มึงนั่งจับนั่งลูบปากแล้วเหม่อนานไปแล้วนะ”

ผมรีบเอามือออกจากปากทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้น หันมองเพื่อนสนิทที่จู่ๆ ก็โทรตามให้มาหาเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปชงเหล้าให้ตัวเองเป็นการกลบเกลื่อนอาการ แต่ก็ไม่เล็ดลอดความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนสนิท “หืมมม ไปจูบใครมาแล้วคิดถึงสัมผัสเขาหรือไง”

“จะ... จะบ้าเหรอมึง!!” ผมโวยวายและนั่นทำให้ไอ้หลงยิ้มออกมา เผลอขบฟันลงกับริมฝีปากตัวเองเมื่อนึกถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ตอนนั้นคิดอะไรอยู่วะไอ้ข้าว ถึงไปจูบมันอย่างนั้น...

ไม่ๆๆๆ! นั้นไม่ใช่จูบ มันแค่ปากแตะปาก!

“ฮั่นแน่ๆ ใช่แน่นอนหน้าแดงแบบนี้” ผมปัดนิ้วไอ้หลงที่ยื่นมาเขี่ยๆ แก้มผมเล่น “หรือว่า... มึงไปโดนไอ้ติณณ์จูบมาหรือไงวะ”

เคร้ง

เสียงของที่หนีบน้ำแข็งที่หลุดล่วงจากมือตกกระทบพื้นเมื่อได้ยินชื่อของใครบางคนที่อ้อนขอจูบ ใบหน้าและน้ำเสียงทุ้มๆ นั้นก้องในหูเหมือนมีใครมาปิดวนซ้ำ

ฮื่อ... ทำไมต้องคิดถึงมันด้วยยยยยยย

“ฮื่อออ” ผมก้มหน้าก้มตาซุกฝ่ามือทันทีเมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่พุ่งขึ้นบนใบหน้า พิรุธ... มึงมีพิรุธเต็มๆ ไอ้เจ้า!!

“เฮ้ยข้าวเจ้า! จริงดิ มึงถูกไอ้ติณณ์จูบ?!” ไอ้หลงว่าเสียงหลงขนาดว่าเรียกชื่อผมเต็มยศ มันจับตัวผมไปเขย่าไปมาเหมือนมิกซ์เครื่องดื่มและเอ่ยซ้ำๆ จนผมยอมพยักหน้าลงมันถึงยอมปล่อยผมไป

ที่จริงมันไม่ได้จูบกู๊ แต่มันอ้อนจนเพื่อนมึงอ่ะไปจูบมัน... ฮื่อ

“ชอบมันแล้ว?”

“ก็...” ผมลากเสียงยาวแล้วว่าเสียงเบา แม่งไม่ใช่ตัวของตัวเองสักนิด! “ก็...อยู่กับมันก็โอเคดี”

“โอเคดีก็ดีแล้ว” ไอ้หลงว่า “แต่กูนี่สิไม่โอเค”

“หืม? ตกลงมีอะไร” รอยยิ้มยันประดับบนใบหน้าเพื่อนสนิทเมื่อได้ยินคำถาม... มันยิ้มเหมือนกับยิ้มให้ตัวเอง

“กู...เลิกกับจ๋าแล้วนะ เกือบจะสองอาทิตย์แล้ว” ไอ้หลงว่าเสียงเบา “จ๋าขอกูเลิก”

“ห๊ะ! เกิดอะไรขึ้น กูก็เห็นมึงกับจ๋ารักกันดีนี่” มันส่ายหน้าแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม “ที่เรียกกูมานี่เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”

“เออ แล้วจำวันที่เราไปร้านนั้นได้ไหม ที่เราไปมี มึง ติณณ์ ไอ้พี่ทศ”

“แต่นั่นยังไม่ถึงสองอาทิตย์เลยนะ” ผมท้วงขัดมัน ไปร้านที่เก่าเวลาเดิมก็วันพุธที่แล้ว แล้วเรื่องผมกับไอ้ติณณ์นั่นเกิดวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่วนนี่ก็เพิ่งศุกร์ของอีกอาทิตย์เองนะ นับดูแค่อาทิตย์กว่าๆ เอง

“ฟังกูก่อนสิ” ไอ้หลงยกมือห้ามผมที่จะถามต่อ “ก่อนหน้านี้จู่ๆ จ๋ามาบอกกูว่าเธอไม่โอเคที่กูไปทำเหมือนเต๊าะจีบอิงอร ที่จริงกูก็แค่คุยเล่นๆ กับน้องมันตามเว้ยไม่ได้จะจีบอะไรเพราะน้องๆ มันมีแฟนกันแล้ว พออิงกับอรรู้เรื่องก็ช่วยกูเข้าไปคุยกับจ๋าให้แต่จ๋าไม่ยอมฟัง กูเลยนัดไปคุยดีๆ ถึงรู้ว่าจ๋าไม่โอเคตั้งแต่ตอนที่เขาคุยกับกูเรื่องแต่งงานกันก่อนหน้านั้น จ๋าเขาอยากแต่งก่อนสามสิบ แต่กูบอกเขายังไม่คิดอยากแต่งอะไรตอนนี้และกูยังมีหลายๆ อย่างที่กูอยากทำอยู่ คือมึง...แต่งงานมันเรื่องใหญ่นะไม่ใช่เล่นขายของ จริงๆ ระหองระแหงกันมาพักใหญ่แล้วล่ะ สุดท้ายก็เลย...”

ครางชื่อเพื่อนสนิทในลำคอเมื่อมันเล่าจบ ยกมือตบบ่าคนที่ยิ้มน้อยๆ ให้เบาๆ ยอมรับว่าระยะหลังนี่ตั้งแต่ที่ไอ้ติณณ์มาวอแวด้วยผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับหลงสักเท่าไหร่ แถมตอนอยู่กับผมมันก็ไม่ได้เศร้าหรือแสดงอาการอะไรให้เห็นหรือจับได้เลย

“กูก็เข้าใจนะว่าแต่งงานมันเรื่องใหญ่อย่างที่มึงบอก แต่มึงก็ต้องเข้าใจด้วยว่าผู้หญิงเขาอยากได้ความมั่นคง” ยิ่งกับจ๋า... ไม่ได้สนิทกับเธอมากมายก็เถอะแต่ก็พอรู้ว่ารายนั้นชอบความแน่นอน “แล้วมึงโอเคนะ”

“กูโอเคแล้วน่า” มันหันมายิ้มให้เหมือนไม่ใช้ไอ้คนที่กำลังทำหน้าเศร้าก่อนหน้านี้ มันยกมือยีหัวผมจนฟู “เอาเถอะ ผ่านไปแล้วและกูโอเค”

“แต่มึงกับจ๋าก็คบกันมาหลายปีแล้วนะ” ก็ตั้งแต่เข้าทำงาน...

“คนจะไปก็ต้องไปปป รักเท่าไหร่แต่ฉันคงทำได้เท่านี้~~~~” มันแหกปากร้องเพลงที่กำลังเปิดในร้านแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้ผม “ไม่เครียดแทนกูสิมึง คิ้วชนกันแล้ว”

“...แล้วไอ้วันที่ไปที่เก่าเวลาเดิมที่มึงเกริ่นมาคืออะไร?” นั่งไปสักพักผมก็ถามด้วยความสงสัยเมื่อนึกได้ ไอ้หลงสำลักเหล้าที่กำลังเทลงคอจนไอโขก ลำบากให้ผมต้องไปตบหลังมัน

“ก็... วันนั้นมึงเมาแล้วกลับกับไอติณณ์ใช่ป่ะ” ผมพยักหน้า “ส่วนกูก็กลับกับไอ้พี่ทศ...”

“พี่ทศก็ปากมากพูดเรื่องกูให้ติณณ์ฟัง แล้วมึงก็เมาจนแฮงค์ไปทำงานไม่ได้” ผมแทรก ยอมรับว่ายังเคืองๆ เรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ก็นะ...ช่างเถอะ

ไอ้หลงส่ายหน้าเมื่อผมพูดจบ มันทำหน้าเหมือนคันปากอยากเล่าแต่ก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น จากนั้นมันก็จ้องผมและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ทำสลับกันอยู่อย่างนี้จนผมหันไปชงเหล้ารอมันเปิดปาก

“คือ... กูก็ไม่ได้อยากเล่านะแต่ก็ไม่อยากปิดมึง อันที่จริงกูไม่ได้แฮงค์จนไปทำงานไม่ได้” เพื่อนสนิทผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ที่จริงวันนั้นกูโดนเอาจนขยับไม่ได้...”

“ห๊ะ!! ว่าไง อ้ะไอ้อ๋งอ่อยๆๆ” ผมแหกปากเสียงดังลั่นจนโต๊ะข้างๆ หันมามอง ไอ้เพื่อนสนิทก็พุ่งเข้ามาปิดปากผมทันที หลงยกนิ้วแตะปากตัวเองว่าไม่ให้ผมพูดอะไรต่อ พอเห็นผมพยักหน้าให้มันถึงยอมปล่อย

วันนี้ผมแม่งมีแต่เรื่องพีคๆ แล้วมันไปโดนตอนไหนอะไรยังไงในเมื่อมีคนส่งมันกลับห้อง

“เดี๋ยวนะ ไหนมึงบอกว่ากลับกับพี่ทศแล้ว... มึง...” เสียงแผ่วลงเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ตาเบิกกว้างพร้อมยกมือขึ้นชี้หน้าเพื่อนสนิทที่ยกแก้วเหล้าเหมือนไม่ใส่ใจอะไร “อย่าบอกนะว่ามึงกับ...ไอ้พี่ทศ!!”

“เออ” มันยอมรับง่ายๆ “วันนั้นกูอยากจะเล่ามึงเรื่องจ๋าอยู่หรอกแต่มึงดันเมาก่อน พอกูเห็นว่ามีไอ้ติณณ์อยู่ด้วยกูเลยปล่อยตัวซัดซะไม่รู้เรื่อง รู้ตัวอีกทีก็บนเตียงแล้ว”

ผมอ้าปากค้างกับเรื่องที่เพิ่งได้รู้จากปากของเพื่อนสนิท ไม่เคยเห็นพี่ทศควงสาวเป็นตัวเป็นตนก็จริง กับผู้ชายก็ไม่เคยเห็นพี่ทศยุ่งด้วยนอกจากมีแซวคนสนิทๆ แต่ที่คาดไม่ถึงคือจับไอ้หลงทำ...อืม อย่างนั้นแหละ

นึกสภาพสองคนนี้นัวเนียกันบนเตียงไม่ออกเลย...

“แล้วมึง... กูไม่เห็นว่ามึงจะโกรธหรืออะไรพี่ทศเลย มึงชอบพี่มันหรือไง” ผมถามไอ้หลงที่ทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวหรือเดือดร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้น มึงเสียหายนะเฮ้ย

“ชอบเหี้ยอะไรล่ะกูผู้ชายแล้วพี่มันผู้ชายไหม เซ็กส์ไม่จำเป็นต้องมีความรักเข้ามาเกี่ยวโว้ยยย ส่วนโกรธไหม... ตื่นมาตอนแรกกูก็โกรธอยู่หรอก แต่~~” ไอ้หลงลากเสียงยาว ใบหน้าที่มีรอยยิ้มแปลกๆ ประดับที่มุมปากของมันยื่นเข้ามาใกล้ “...ก็มันส์ดี”

จู่ๆ ภาพของติณณ์ตอนจับผมเหวี่ยงลงเตียง แล้วอีกฝ่ายคร่อมทับตัวผมไว้ลอยเข้ามาในหัว...

“ไม่!!”

“เหี้ยเจ้าหน้าแดงว่ะ! ฮ่าๆๆๆๆ” ก้มหน้าชิดเข่าทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น เสียงหัวเราะจากไอ้หลงยังคงดันเข้าโซนประสาทอีกหลายนาทีก่อนจะหายไป นั่นแหละผมถึงยอมเงยหน้าขึ้น

“เหี้ยแม่ง ใครจะไปอยู่ใต้มัน!”

“มึงก็อยู่บนดิ” ส่ายหน้ารัวเมื่อคิดถึงสภาพนั้น ขนลุกไป... แต่เดี๋ยวสิ มึงต้องไม่ควรคิดถึงเรื่องนี้สิไอ้เจ้า! “ไม่ใช่ให้มึงไปรุกไอ้ติณณ์ ออนท็อปมีครับคุณ”

“ไอ้-เหี้ย-หลงงงงงง” คว้าคอเสื้อมันแล้วเขย่าไปมาอย่างรุนแรง คุยเรื่องมันมาดีๆ ทำไมถึงลากมาเรื่องกูได้วะครับมึง!

“เออๆ กูไม่หยอกละ หยุดเขย่ากูก่อนเดี๋ยวมันขย้อน...อ่อก” ไอ้หลงยกมือปิดปากทำท่าพะอืดพะอมจนผมรีบปล่อยมือ พอหลงเป็นอิสระ... มันก็ขยับห่างผมทันที เฟค! “แล้วมึงกับไอ้ติณณ์ถึงขั้นไหนละ เห็นไอ้พี่ทศบอกกูว่ามันขอโอกาสมึงจนถึงหมดฝึกงานนี่”

 “ก็...ดี” ตอบอ้อมแอ้ม ยกแก้วขึ้นจรดปากเบนหน้าหนีมัน

“แล้วมันมีโอกาสไหมวะ” เหลือบมองเพื่อนสนิทที่ทำหน้าสอใส่เกือก แลดูมันอวยไอ้ติณณ์ดีนะมีสินบนกันหรือไง... ไม่รู้ว่ามันรู้หรือยังว่าไอ้ติณณ์มันเป็นหลายของเจ้าของบริษัทที่เราทำงะ--- “ได้ข่าวว่าเป็นหลานคุณชัยนี่? เห็นพี่ทศบอกมา”

“...”

ไอ้พวกปากเบาสองคนนี่ก็สมกันดีนะครับ... ว่าไหมครับทุกคน

“ไอ้เจ้า... มึงรู้ตัวไหมว่าตอนนี้มึงหน้าแดงมาก” ไอ้หลงนั่งเท้าคางมองผม กลบเกลื่อนไปว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แต่มันทำหน้าไม่เชื่อ “เอาเถอะๆ หมดขวดนี้ก็พอแล้ว”

น้ำสีอำพันขวดแล้วขวดเล่าถูกเทลงในแก้วของผม ยิ่งดึกเพลงในร้านยิ่งคึกคักจนต้องลากไอ้หลงไปขยับตัว ก่อนจะกลับมาจัดการไอ้น้ำที่เหลืออยู่ จากนั้นสติที่มีก็ค่อยๆ ริบหรี่ลงทีละนิด...ละนิด

.
.
.

“อืม...” เสียงเอี๊ยดอ๊าดของอะไรสักอย่างปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ พอปรือตาขึ้นมาก็พบกว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟาตัวคุ้นเคย ความทรงจำก่อนหน้านี้เริ่มไหลเข้ามาอย่างช้าๆ พร้อมอาการมึนหัว... เมาจนเดือดร้อนไอ้หลงพากลับห้องอีกแน่อีหรอบนี้

“อึ่ก...”

“เบาดิ เดี๋ยวไอ้เจ้าตื่นนะ”
เสียงกระซิบแหบพร่าที่ได้ยินทำให้ผมชะงักมือที่กำลังยกมือนวดขมับ ไม่กล้าที่จะขยับตัวเมื่อได้ยินเสียงอื้ออึงเริ่มดังขึ้นพอๆ กับเสียงอะไรกระทบกัน... ผมไม่ได้ใสซื่อขนาดไม่รู้ว่าไอ้ที่ได้ยินนั้นคืออะไร แล้วถ้าผมเดาไม่ผิดเจ้าของเสียงอีกเสียงนั่นน่าจะเป็น... พี่ทศ

ไอ้เหี้ยหลง... มึงเอาเพื่อนมึงมานอนห้องมึงนะ!

เสียงยิ่งดังขึ้นผมเลยแสร้งยกมือที่นวดระหว่างคิ้วอยู่นั้นฟาดลงกับพนักโซฟาอย่างแรง แล้วขยับตัวหันหน้าเข้าโซฟาให้เหมือนว่านอนละเมอ... รู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินนั่นชะงักไม่ชั่วครู่พร้อมเสียงโวยเบาๆ ของเพื่อนสนิท

“อึ่ก หยุด...ทำไม” ไอ้หลงว่าติดหอบ ตามด้วยเสียงครางเบาๆ ... นั่นเสียงเพื่อนกูจริงๆ หรอวะ

“เหมือนเจ้ามันตื่น” เหมือนใครสักคนจะขยับตัว คิดว่าคงมองผมที่นอนหันหลังให้เตียงอยู่ “ก็ไม่แฮะ”

“มันคงละเมอ เมาขนาดนั้นกว่าจะตื่นก็เช้า” ขอโทษที่กูตื่นแล้วก็แล้วกันนะไอ้เพื่อนยาก... “ขยับสักที อึดอัด ถ้าไม่ต่อก็ออกไป”

“ครับๆ กลั้นเสียงดีๆ ล่ะ ถ้าไอ้เจ้าตื่นมึงจะมองหน้าเพื่อนมึงไม่ติด”

“เออน่า ผมไม่เสียงดะ...อ๊า” ไม่ดังจริงๆ ครับเพื่อน แค่ลั่นห้อง...

สุดท้ายผมก็นอนฟังจนไอ้พี่ไอ้เพื่อนมันเสร็จกันนั่นแหละ... ถ้ามีคนมามีอะไรกันข้างๆ คุณเป็นคุณจะหลับต่อลงไหมล่ะครับ!


“ฮ้าวววว ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่วะมึง” เพื่อนสนิทที่อยู่ในชุดนอนแบบของมัน(คือเสื้อยืดของแถมจากอะไรสักอย่าง กับบ็อกเซอร์เอวยานๆ)ทักขึ้นเมื่อเห็นผมลุกมานั่งสับผงกอยู่บนโซฟาตัวเดิมกับเมื่อคืน ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงด้วยสายตาเคืองๆ “ตาบวมๆ นะ นอนไม่พอหรือไง”

“เออ ดิ” มองตามมันที่เดินไปเปิดตู้เย็น สายตาเหลือบมองบนเตียงยับๆ ที่... ไม่มีใครอยู่

“แล้วมองหาใครวะ... เอาน้ำไหม?” มันชูน้ำที่ถืออยู่แล้วยกดื่มเอง

“...พี่ทศล่ะ?”

พรวดดด

“แค่กๆๆ มะ...มึงว่าไงนะ” ไอ้หลงว่าอย่างลนลาน พลางรีบหาผ้ามาเช็ดน้ำที่พุ่งออกจากปากมันนั่นล่ะ พอผมพูดชื่อหัวหน้าแผนกซ้ำมันก็รีบแก้ตัวเสียงติดอ่าง “พี่ทศก็อยู่ห้องมันดิ พี่มันจะอยู่กับกูได้ไง”

แสยะยิ้มกับคำโกหกคำโตของเพื่อน กระดิกนิ้วเรียกไอ้หลงมาใกล้ๆ แล้วทำท่าจะเกี่ยวคอเสื้อมันลง... ผลคือมันกระโจนถอนหลังแถมยกมือกำคอเสื้อแน่น พิรุธเต็มๆ ว่ะ

“มึงจะทำอะไร”

“เมื่อคืนกูตื่นมาเพราะเสียงมึง” ตอบคนละคำถาม พอพูดจบเพื่อนสนิทผมก็ชะงัก.... เฮ้ยๆ ไอ้หลงหน้าแดงเว้ยคุณ!

“ก็... พี่ทศมันมาตอนไหนกูก็ไม่รู้” ตอบเสียงแผ่ว นี่มีกุญแจห้องกันด้วย? “ตื่นมาก็เห็นพี่มันคร่อมกูแล้ว แล้วกู...”

“ชอบพี่มันหรือไง ถึงยอม” ถามขัดมันที่กำลังพูด มันนิ่งไปครู่แล้วถึงตอบผม

“... เปล่า”

“มึงตอบช้า กำลังคิดอะไรอยู่” มันเงียบ ไม่ยอมตอบผม ซ้ำยังไม่มองหน้าผมด้วย “เอาใหม่ ตั้งแต่ตอนนั้นถึงเมื่อคืน มึงมีอะไรกับพี่ทศกี่ครั้ง

“... สี่”

ขมวดคิ้วกับคำตอบนั่น “ถ้าตำแหน่งมึงอยู่บนกูจะไม่อะไรเลยแต่นี่มึงอยู่ล่าง... กูจะถามอีกครั้งนะหลง ทำไมถึงยอมพี่ทศมัน”

“กูไม่รู้...” มันว่าเสียงเบา “กูก็ไม่รู้ว่ะทำไมถึงยอมพี่มัน กู...ไม่ขยะแขยงสัมผัสพี่มันด้วยซ้ำ”

ลอบถอนหายใจออกมาเมื่อได้ยินคำตอบอย่างนั้น ผมลุกจากโซฟาไปตบบ่าเพื่อนสนิทที่ยังยืนเม้มปากอยู่หน้าตู้เย็น

“เอาเถอะ มีอะไรให้กูช่วยก็บอกแล้วกัน จะตัดสินใจยังไงกูก็อยู่กับมึงนะ”

“อื้อ... ขอบใจ”

ปล่อยเรื่องของพวกเขาสองคนให้เป็นเรื่องของคนสองคนดีกว่าครับ... ตอนนี้เรื่องของตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย

Tbc.

――――――――――――――――――――――――――――

ตอนนี้ติณณ์มาแต่ชื่อค่ะ เราไม่มีเงินจ้างพระเอกของเรา...  :hao7:
ส่วนเรื่องทศหลงนี่เกิดจากความเมาค่ะ... แต่สงสารพี่ข้าวเขานะคะที่ไปอยู่ตรงนั้น ฟฟฟ เรากำลังคิดอยู่ว่าตอนหน้าลงเป็นตอนต่อ หรือพาร์ทพิเศษของคู่หัวหน้ากับลูกน้องดี

ตอนต่อกด1 พาร์ทพิเศษกด2 เลยค่ะ แค่ก----
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -12- 06|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2018 23:41:02
 :laugh:


สาแก่ใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -12- 06|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 06-02-2018 23:51:17
มันฟินนิดๆ นะนี่อิอิ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -12- 06|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 06-02-2018 23:59:44
โคตรพีคไปเลย. 555
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -12- 06|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: Elizabeth_TonnY ที่ 07-02-2018 01:55:47
พีคในพีคมากกกกกกกกกกกกกก
:hao6: :hao6: :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -12- 06|02|2561
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 08-02-2018 23:50:14
 :mc4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -จีบพิเศษ- 10|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 10-02-2018 00:06:07
จีบพิเศษ

ชีวิตคนเป็นหัวหน้าแผนกทั้งๆ ที่อายุยังไม่สามสิบดีนี่ก็กดดันดีนะครับ เป็นแค่ตัวเสียบเพราะหัวหน้าแผนกในตอนนั้นลาออกกะทันหัน แล้วไม่มีใครอยากจะเป็นแทนผมก็เลยโดนดันขึ้นแบบงงๆ

ไอ้ข้อดีของการเป็นหัวหน้ามันก็มีอยู่เยอะ ข้อเสียก็มีอยู่แยะเพราะผมชอบโดนแผนกอื่นที่วัยใกล้ๆ กันนินทาหาว่าใช้เส้นบ้างใช้ เลียแข้งเลียขาบ้าง ไม่ก็พวกพนักงานใหม่ๆ ในแผนกมันไม่เกรงใจผมเพราะเห็นวัยใกล้ๆ กัน จนบางครั้งอยากจะตะโกนใส่หน้าพวกมันว่าลองมาเป็นกูไหมครับจะรู้ว่างานแม่งหนักฉิบหาย...

อย่างตอนนี้ผมก็หมดพลังงานจากการไปไฟท์กับพวกคนแก่หัวแข็งแผนกอื่นโคตรๆ

“คิก พี่หลงละก็พูดอะไรก็ไม่รู้” เสียงหัวเราะใสๆ ของนักศึกษาฝึกงานดังเล็ดลอดให้ได้ยิน ตามด้วยมุขหยาบโลนที่แปรเปลี่ยนคำให้เป็นดูดี... ผมที่พักสายตาจากการคิดอะไรไปเรื่อยทิ้งตัวไหลไปกับเก้าอี้ และหมุนไปมาอย่างคนไม่มีอะไรทำทั้งที่งานก็กองเต็มโต๊ะ

จู่ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาซะงั้น... สงสัยใกล้เข้าวัยทอง

ก็อกๆ

“พี่ทศ ไอ้เจ้าฝากแฟ้มมาให้” เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงของบุคคลที่หยอกล้อกับเด็กฝึกงานเมื่อสักครู่นี้ ผมที่หมุนเก้าอี้หันหลังให้ประตูอยู่ขี้เกียจขยับตัวกลับเลยเอนหัวผิงกับพนักผิง ภาพที่กลับหัวกลับหางเห็นเป็นมันที่ยืนชูแฟ้มสีสดไปมา

ไอ้หลง... อดีตรุ่นน้องร่วมคณะที่ไม่ค่อนจะสนิทกันมากแต่ดันจับพลัดจับพลูมาเป็นพนักงานใต้บัญชาจนสนิทกัน

“อ่า... เอาวางไว้บนโต๊ะเลย” ชี้ไปมั่วๆ ไอ้เด็กนั่นถอนหายใจแล้วเอาแฟ้มมาวางไว้ พอเห็นมันหมดธุระผมก็หลับตาลงเพื่อพักสายตาต่อ ความเงียบที่ล้อมรอบทำให้ได้ยินเสียงเปิดและปิดประตู ก่อนลอบถอนหายใจออกมาเพราะคิดว่ามันคงจะออกไปแบบทุกๆ ครั้ง... แต่ทว่ามันไม่ใช่กับครั้งนี้

“นั่งดีๆ ดิพี่ แบบนี้ปวดคอตายห่า” แรงดันเบาๆ ที่หัวทำให้ผมค่อยลืมตาขึ้น มันบ่นยาวพร้อมนวดขมับผมไปด้วย... เออ สบายแฮะ “เออพี่ ไปกินข้าวเที่ยงกันป่ะ?”

“เอาดิ มึงจะเลี้ยง?”  มันเบ้ปากให้ผมขำ “น่าๆ เลี้ยงกูมื้อเดียวเองมึงไม่จนหรอก เดี๋ยวเย็นนี้กูเลี้ยงคืนก็ได้”

“เย็นนี้ไม่ได้ว่ะพี่ มีนัดกับจ๋า”

“...อ้อ” นึกถึงหน้าของลูกน้องผู้หญิงในแผนกอีกคนที่มีศักดิ์เป็นแฟนของไอ้คนตรงหน้าแล้วก็ได้แค่แค่นยิ้มออกมา... ทำไมรู้สึกหงุดหงิดอีกวะ? “ไว้วันหลังก็ได้ ส่วนตอนนี้ป่ะกูหิวแล้ว”

ลุกจากเก้าอี้คว้ากระเป๋าสตางค์แล้วเดินไปล็อกคอมันมาชิดตัว ความหงุดหงิดก่อนหน้านี้หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหลือบมองคนที่เอาแต่พูดจ้อตลอดทางไปร้านอาหารก็ได้แต่ยกยิ้มออกมา... รู้สึกสบายใจแปลกๆ
แต่ช่างเถอะ


“ฮ้าววว” เพราะดันตื่นก่อนเวลาเกือบชั่วโมงก็เลยได้ออกจากหอเร็ว ยังไม่เจ็ดโมงเช้าดีผมก็ถึงบริษัท ยกมือขึ้นปิดปากหาวแล้วคลี่ยิ้มให้แม่บ้านที่สวนทางไป สาวเท้าอย่างเอื่อยๆ ไปยังแผนกการตลาดที่รักที่ยังคงมืดมิด... เวลานี้ใครมันจะมาวะยกเว้นไอ้คนตื่นผิดเวล่ำเวลาอย่างกูเนี่ย

นึกแล้วก็ยกแก้วกาแฟร้อนๆ ที่เพิ่งซื้อมาขึ้นดื่มพร้อมกับใช้สะโพกดันประตูให้เปิด เดินลิ่วๆ ไปหาสวิตซ์ไฟที่อยู่ไม่ไกลจากประตูเท่าไหร่แต่หูกลับได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังแว่วเบาๆ

หืม... เสียงอะไร ผีหรอ? อย่าเข้ามานะกูมีพระ

หมุนเท้าเปลี่ยนทิศทางจากที่จะไปเปิดไฟไปยังต้นตอของเสียง... มันดังมาจากแถวๆ โต๊ะไอ้หลง พอเดินเข้าใกล้ก็เจออะไรบางอย่างเป็นก้อนสีดำๆ อยู่ตรงหน้า นั่นทำให้ผมหยิบแฟ้มใกล้ๆ มือมาถือไว้แล้วยกง้างสูง เวลานี้คงยังไม่มีใครมาแน่ๆ ถ้าเป็นโจรตูจะฟาดไม่เลี้ยง ถ้าเป็นผี...ตูจะเผ่นกลับบ้าน!

พรึ่บ
ก้อนดำๆ ตรงหน้านั่นเงยขึ้นมามอง ผมที่กำลังจะฟาดแฟ้มลงรีบชะงักมือก่อนที่สันแฟ้มจะโดนหัวอีกฝ่าย “...ไอ้หลง?”

“อือ... พี่ทศ?” มันปรือตามามองผมแล้วก้มไปดูนาฬิกา “อ่า พี่มาเช้าขนาดนี้เลยหรอ”

“ตื่นผิดเวลาอ่ะดิ จะว่าไปมึงดูหน้าหมองๆ นะ” เอ่ยทักคนที่มาเร็วกว่าปกติมาก ไอ้หลงที่กำลังบิดขี้เกียจถึงกับชะงักและยกยิ้มจางๆ ให้ผม... แปลก “เกิดอะไรขึ้นรึไง”

“ก็ไม่นะพี่ ผมคงนอนไม่พอมั้ง พอดีตื่นเช้าเลยมาไว ฮะๆ” ตอบพลางหลบตาผม... การที่คนเราจะหลบตาคนอื่นมีสองอย่างคือกำลังโกหก หรือบิดบังอะไรสักอย่าง

และถ้าให้ผมเดามันคงเป็นข้อแรกมากกว่า

“แล้วจะหลบตากูทำไมวะฮะ” ว่าเสียงนิ่งให้อีกคนหันมามอง “ที่ถามเพราะกูห่วง เพราะกูเห็นมึงเป็นรุ่นน้อง แต่ถ้ามึงบอกว่าไม่มีอะไรกูก็จะเชื่อ งั้นมึงนอนไปเถอะใกล้เข้างานเดี๋ยวให้ไอ้เจ้ามาปลุก”

แปลกง่ายๆ กูจะเสือกแต่ถ้าไม่อยากเล่าก็ช่างแม่ง... แต่ไอ้ที่บอกว่าห่วงนั่นพูดจริง

“...พี่ทศ” หลงว่าเสียงแผ่วให้ผมที่กำลังจะเดินไปห้องชะงักเท้า “คือ... ก่อนหน้านี้ผมทะเลาะกับจ๋าเรื่องที่ผมไปเต๊าะอิงกับอร เมื่อวานผมเลยนัดเขาคุยให้รู้เรื่อง...ที่บอกพี่อ่ะ ทีนี้ผมก็เล่าว่าไม่ได้อะไรกับน้องมันจริงๆ จ๋าก็ไม่ตอบอะไรแต่เขากลับเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องแต่งงานแทน แต่ผมยังไม่อยากแต่งเลยบอกไปว่าไม่พร้อม แล้วนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกไงที่คุยเรื่องนี้กัน จ๋าก็เลยถามผมถึงแผนในอนาคต...”

มันพูดรัวๆ ดวงตาหมองก้มหน้ามองมือที่ประสานกันแน่น

“พอผมบอกว่ายังไม่มี เธอก็ทำหน้าตึงแล้วก็บอกว่าเธอไม่อยากอยู่กับผู้ชายที่ไม่คิดถึงอนาคตแล้วก็เดินหนีไปเลย... ผมผิดหรอพี่ที่ยังไม่คิดไปถึงเรื่องนั้น ผมเพิ่งจบได้สองปีกว่าๆ เองนะพี่ เงินเก็บก็ยังไม่มี... ผมผิดหรอ”

ผมยื่นมือไปบีบหัวไหล่ของรุ่นน้องที่ห่อไหล่ซะจนดูตัวเล็ก ไอ้หลงเงยมองผมแล้วยิ้มอย่างฝืนๆ ให้ก่อนส่ายหน้าเชิงว่าไม่เป็นไร

รู้ไหมว่าตอนนี้หน้ามึงโคตรเป็นอะไรอ่ะไอ้หลง

“เอาน่ามึง” ว่าปลอบมันไป “มึงไม่ผิดที่มึงยังไม่พร้อม เขาก็ไม่ผิดที่เร่งมึง... ความรักมันไม่มีใครผิดหรอก ไว้มึงค่อยไปคุยกับเขาดีๆ แล้วกัน”

มันเงยหน้าขึ้นมามองผม ใบหน้าหมองๆ เมื่อครู่นี้หายไปแล้ว กลายเป็นไอ้หลงที่ฉีกยิ้มแป้นให้... เออ ค่อยเป็นมันหน่อ---

“ไม่น่าเชื่อว่าพี่ทศจะพูดเรื่องนี้เป็นด้วย”

เดี๋ยวนะมึง เดี๋ยว


เรื่องของไอ้หลงไม่ได้เป็นปัญหาให้กับชีวิตผมสักเท่าไหร่ นั่นมันเรื่องของมันส่วนผมก็มีหน้าที่ให้คำปรึกษา แต่ระยะหลังนี่รู้สึกจะตัวติดมันไปสักหน่อย... วันดีคืนดีมันถึงกับหอบเหล้าหอบเบียร์ขึ้นมาที่ห้องผม (ผมกับมันอยู่ที่เดียวกันแต่คนละชั้น) ชงกันจนสนิทกว่าเดิมละครับ

ก็เคยถามไปว่าทำไมไม่ไปปรึกษาไอ้เจ้าเรื่องนี้บ้าง มันบอกว่า...

“พี่จะรู้อะร๊ายยย เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เนี่ยอย่าไปคุยกับมันเลย แนะนำแต่ละทีนี่โคตรเดือดร้อน อีกอย่างปล่อยไว้มันกับไอ้ติณณ์นั่นแหละ ผมลุ้นอยู่ว่าเมื่อไหร่มันจะได้กัน ฮ่าๆๆ”

ก็ตามนั้นล่ะครับ... แต่ที่แปลกไปกว่าปกติคงเป็นผมมากกว่า เวลามันมาปรึกษาเรื่องมันกับจ๋าผมรู้สึกหงุดหงิดแบบแปลกๆ ทุกครั้ง แล้วก็ชอบที่เวลากวนตีนมันแล้วมันโมโหใส่ สงสัยจะเข้าใกล้วัยทองจริงๆ แล้ว

ถ้ามันเป็นผู้หญิงหรือตัวเล็กๆ อย่างไอ้เจ้านะ ผมคงคิดว่าผมชอบมันละมั้ง...  เผลอขมวดคิ้วกับความคิดนั้น เดี๋ยวนะ... ชอบหรอ?

ไม่ม้างงง ไอ้หลงมันผู้ชายมีอะไรคือๆ กัน คงจะช่วงนี้ตัวติดกันมากเกินไปหน่อย...ละมั้ง ใช่ๆ คงจะแค่ตัวตะ---

ปังๆๆๆ
เสียงทุบประตูทำให้ผมหลุดจากความคิดที่เริ่มไปไกล เสียงนั่นเงียบไปครู่ใหญ่จนผมคิดว่าคงเป็นเสียงจากห้องข้างๆ เลยไม่สนใจ แต่ไม่นานก็ได้ยินอีก

“ใครวะ!” ตวาดพร้อมเปิดประตูออกไป ไม่ทันได้แหกปากด่าออกไปไอ้ตัวการก็ทิ้งตัวใส่ผมทันที

“อึ่ก เพ่ทศศศศ” เสียงยานมาเชียว กลิ่นละมุดหึ่งเลยมึง “พี่ทศใช่ป่าววว”

“เออๆ กูเอง” ตอบไปปุ๊บมันก็เงยหน้ามามองผม ตาบวมแดงของมันที่ฉ่ำน้ำอยู่ก่อนแล้วค่อยๆ ไหลลงมาช้าๆ “หลง?”

“พี่... เลิกกับจ๋าแล้วว่ะ” มันว่าแล้วสอดมือมากอดรอบเอวผม รัดแน่นจนรู้สึกได้ “ฮึ่ก เลิกแล้วจริงๆ”

“ปล่อยกูแล้วเข้าห้องก่อน จะปิดประตู” ไอ้ดื้อที่เกาะผมเป็นลิงส่ายหน้าจนผมถอนหายใจ เอื้อมมือไปปิดประตูแล้วพาตัวเองกับอีกหนึ่งชีวิตเข้าห้องอย่างยากลำบาก

“ปล่อยกูได้ยัง” ไม่ว่าเปล่า ผมพยายามแกะมือไอ้ลิงที่รัดอยู่ออกแต่ไม่เป็นผล “กูแค่จะไปเอาน้ำให้มึง ปล่อยกูก่อน กูไม่ทิ้งมันหรอกน่า”

น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่คิดว่าจะออกจากปากตัวเองทำให้ผมและไอ้คนอกหักชะงัก แต่ถึงอย่างนั้นไอ้หลงก็ยังไม่ปล่อยผมจนต้องทิ้งตัวลงกับโซฟาโดยมีไอ้ลิงนั่นขยับไปกอดหมอนอยู่ข้างๆ

เห็นมันร้องไห้แล้วรู้สึกไม่ดีเลยแฮะ

“เล่าไหม” คำถามแรกหลังจากที่เราเงียบกับไปครู่ใหญ่ มันนิ่งไปก่อนกดหน้าลง

“ก็... คำถามเดิมๆ กับคำตอบเดิมๆ อ่ะพี่ ... ที่ไม่เหมือนเดิมคงเป็นเธอบอกเลิกผม เลิกจริงๆ” ว่าเสียงแผ่วจนน่าสงสาร หันมองไอ้หลงที่นั่งชันขากอดเข่า เหตุการณ์ก่อนหน้าที่มันจะมาหาผมถูกถ่ายทอดออกจากปากมัน

“แล้วมึงจะเอาไงต่อ” ถามเมื่อมันทิ้งกลุ่มผมดำมาซบไหล่อย่าคนไม่มีแรง “ยังไงมึงกับเขายังอยู่ในแผนกเดียวกันนะ”

กลุ่มผมนั่นขยับไปมาช้าๆ ให้ผมได้ถอนหายใจออกมา

เข้าใจทั้งสองฝ่าย... แต่ก็สงสารทั้งคู่

“เอาเถอะ คืนนี้นอนห้องกูใช่ไหม”

“...” ไร้เสียยงตอบรับ

“หลง? เฮ้ ไอ้หลง”

ตุ๊บ
หลุดหัวเราะออกมาเมื่อไอ้คนเมาหลับไม่รู้เรื่องไปแล้ว ซ้ำยังไหลจากไหล่ผมไปที่ตักอีกเห็นอย่างนั้นก็วางมือบนหัวมันแล้วลูบเบาๆ... เอาเถอะถือว่าปลอบมันแล้วกัน

ตอนน้องกูถูกหักอกกูยังไม่ปลอมมันเลยนะเฮ้ย

“ตื่นมาก็หายเศร้าสักที” ได้แต่พูดแล้วยกยิ้มจางให้ไอ้คนหลับไม่รู้เรื่อง เศร้าแล้วทำกูเศร้าไปด้วยนะมึง

ก็ว่าจะรอมันหลับสนิทแล้วกลับไปนอนในห้อง... สุดท้ายก็หลับไปทั้งๆ ที่มันหนุนตักนี่ล่ะ

 “พี่ทศ อยากเมาไปกินเหล้ากัน” หรี่ตามองไอ้คนอยากเมา เชื่อไหมว่าตั้งแต่มันเลิกกับจ๋ามันก็ตัวติดกับผมยิ่งกว่าเดิม เดี๋ยวนี้มันแทบจะมากินนอนที่ห้องผมแล้วครับเนี่ย ไล่ก็ไม่ไปแถมยังชอบทำตัวแอ๊บแบ๊วไม่สมวัย... ลำบากให้กูใจสั่นอีก

เออครับ ยอมแล้วว่าใจสั่นไม่ใช่เข้าวัยทองอย่างที่เข้าใจ

เหลือบมองมันแล้วถอนหายใจ ถ้าไซส์แบบไอ้เจ้ากูจะไม่อะไรเลยแต่นี่... อีกนิดก็เท่ากันแล้วครับ

“ไปชวนไอ้เจ้าดิ” พอพูดปัดๆ ไป ไอ้หลงแทบจะมาก

อดขาผม ทำตาปริบๆ ที่นัยน์ตามีแต่รูปขวดเหล้าอยู่... แทบจะเอามือก่ายหน้าผากตัวเอง

“พี่ทศชวนให้หน่อยดิผมว่าจะบอกเจ้าเรื่องจ๋าด้วย ไปที่เก่าเวลาเดิมก็ได้นะๆ พี่ทศเลี้ยงนะครับ นะๆ”

“เออๆ ทำไมไม่ไปร้านมึงวะลำบากไปที่อื่นอีก”

“โธ่ ผมอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างนี่ ตกลงตามนั้นนะผมไปทำงานล่ะ จุ๊บ” กลอกตาเมื่อไอ้หลงทำท่าส่งจูบมาให้แล้วก็วิ่งหนีออกจากห้อง เออตามใจมันไง ตามจนเสียคนละแม่ง... จะโทษใครละโทษตัวเองไปดิ

ประชุมอันแสนยืดเยื้อจบลงไปแล้ว คนในห้องประชุมต่างก็ทำหน้าตายินดีเมื่อผมจบคำพูดสุดท้าย หันมองไอ้หลงที่ลันล้าแบกกระเป๋ากลับไปแล้วก็ได้แต่เอือม มันแวบมาบอกผมว่าจะไปรอที่ห้องแล้วให้ผมไปรับ... ก็เอากับมันเถอะ

“ยังไงพี่ก็ฝากเจ้าเรื่องแผนการตลาดด้วยนะ” ผมหันไปทิ้งงานให้เจ้าที่ยืนคุยกับติณณ์ มันพยักหน้ารับคำ “เออเจ้า เย็นนี้ว่างป่ะไอ้หลงชวนที่เก่าเวลาเดิม”

ไอ้เจ้ายิ้มร่าเมื่อผมถามออกไป

 “ไปครับพี่!” ยกยิ้มขำเพราะเห็นคนอยากเหล้า สายตาเห็นเด็กฝึกงานที่ควบตำแหน่งที่เพิ่งแอบรู้มาอย่างหลานชายเจ้าของบริษัททำหน้างุนงงเลยเอ่ยถาม

“ไปไหมติณณ์?” มันพยักหน้า เลยส่งข้าวเจ้าเข้าปากเสียโดยการ... “งั้นให้เจ้าพาไปนะ นัดเวลากันเอง พี่เลี้ยงเอง”

พูดจบก็เดินออกมาทันที ปล่อยให้เขาถามกันเองแล้วกันเนอะ


“หูยยยย ไม่ได้มานานสาวๆ แจ่มเยอะเลยว่ะพี่” เหลือบตามองคนตาเป็นประกายก็ได้แต่ถอนหายใจ เห็นไอ้เจ้าทำท่ามองหาเราอยู่ก็เลยโบกมือให้ ศึกแย่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อยสุดท้ายไอ้ติณณ์ก็ได้นั่งข้างเจ้าสมใจ ไม่นานเกินรอคนคออ่อนอย่างไอ้ข้าวเจ้าก็สลบไปแล้ว มีแต่ไอ้หลงนี่ละที่ปากมากเผาเพื่อนตัวเองให้ติณณ์ฟัง และไม่นานเกินรอ... ไอ้หลงก็ตามเพื่อนสนิทมันไปก็สมควรอยู่ ทั้งเหล้าทั้งเบียร์

พอเห็นว่าสองคนนั่นเงียบไปแล้วผมเลยหันไปคุยกับไอ้ติณณ์เรื่องที่รู้มา คำตอบของมันก็พอสมเหตุสมผลอยู่นะผมว่า... อยากโดนดุมากกว่าโดนโอ๋ แต่คือหมั่นไส้มันไงที่ปิดมาตั้งนาน เลยหลุดปากหย่อนระเบิดที่บังเอิญรู้ไปให้หนึ่งลูกย่อมๆ ก่อนจะหันไปหาไอ้คนที่หลับปุ๋ยแล้วยิ้ม

เอาละ...ได้เวลาพาเด็กกลับบ้านกันแล้ว

To be continued...?

―――――――――――――――――――――――――――

แวบมาส่งกดสองค่ะ ไม่นึกว่าจะมีคนเล่นด้วยเยอะขนาดนี้ แงงง คือยอมรับว่าคู่นี้มาแบบเมาๆทั้งไรท์และตลค. พล็อตด้นสดก็มาค่ะ เมาๆ หน่อยอย่าว่าเรานะ 55555
ส่วนใครรอเนื้อเรื่องหลัก เราลงคืนวันอาทิตย์ ไม่ก็วันจันทร์นะคะ //กอดรอบทิศ

ปล. หวังว่าในอนาคตคงเจอคู่นี้กันอีก 55555555
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -จีบพิเศษ- 10|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 10-02-2018 02:08:10
โอ๊ะ ไม่จบ. ใาต่อเร็วๆนะคระบ. ค้างงงงง
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -จีบพิเศษ- 10|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 10-02-2018 18:04:01
ชอบจังเลย
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -จีบพิเศษ- 10|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-02-2018 22:09:57
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -13- 12|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 12-02-2018 00:52:45
13

ผมเดินฮัมเพลงอย่างมีความสุขตลอดทางไปแผนก... บางทีก็แปลกใจตัวเองนะครับ จูบคนอื่นมาตั้งเยอะไม่เห็นจะเคยเป็นอย่างนี้ แต่นี่แค่พี่ข้าวจูบเบาๆ แค่ริมฝีปากแตะกันผิวเผินเท่านั้นผมกลับยิ้มแป้นเหมือนคนบ้าได้ทั้งวัน ขนาดเมื่อกี้เจอน้านพ ผมก็ทักทายแกพร้อมรอยยิ้มแต่ทำไมน้าแกต้องผงะด้วยก็ไม่รู้
ก็คนมันมีความสุข~

ก้าวเท้าข้ามผ่านประตูแผนกด้วยความสุข แจกจ่ายรอยยิ้มให้คนในแผนกอย่างไม่เคยทำจนเห็นสาวน้อยสาวใหญ่ในแผนกหน้าแดงกันไปเป็นแถว สายตาเห็นว่าคนที่ขโมยจูบ(?)ผมเมื่อวานมาถึงแล้วผมก็สาวเท้าไวๆ ไปหาทันที

“พี่ข้าวครับ พี่ข้าว---- เฮ้ย!”

“งืมม แหกปากหาเหี้ยอะไรรรร คนจะหลับจะนอนนนนน” เจ้าของชื่อว่าเสียงยานให้ผมได้แต่ทำตาปริบๆ คือ...ใครพาพี่ข้าวมาร์กหน้าวะครับ! ตอนนี้สภาพคนพี่เป็นงี้ครับ พี่ข้าวที่มัดผมหน้าเป็นจุกกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้ตรงโต๊ะเจ้าตัว บนหน้ามีแผ่นมาร์กสีขาวแบบเต็มหน้าแปะอยู่บน แถมด้วยแตงกวาฝานบางๆ ปิดตาอีกชั้น

ถ้าเจอตอนดึกๆ คงแอบสะดุ้งครับบอกเลย...

“เอ่อ... ทำไมพี่ข้าวถึง...” ถึงมามาร์กหน้าเวลานี้ อยากจะถามต่อแต่คนพี่เอาแตงกวาที่ปิดตาอยู่ออก หันหน้ามองผมแล้วชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ พอผมนั่งปุ๊บพี่แกก็ถลามาหา... พร้อมกับขาที่พาดยาวบนตักผม ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วมากครับทุกคน

“ไว้ค่อยถาม ถ้าได้เวลางานแล้วปลุกด้วย”

“...ครับ” ผมมองพี่ข้าวที่เอาแตงกวาปิดตาและหลับไปอีกครั้งสลับกับน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ตรงหน้า... คือหิวอ่ะ

ก็ได้แต่เป็นเบาะรองเท้าให้พี่ข้าวจนอีกคนตื่นล่ะครับเช้านี้ เอาเถอะมีความสุข


“ก็... อย่างที่เล่าไปนั่นแหละ”

“สรุปว่าเมื่อคืนพอหนีผมไปก็ไปกินเหล้ากับพี่หลงแล้วก็เมาจนต้องค้างห้องพี่หลง?” ถามย้ำกับคนที่เล่าว่าทำไมไม่ได้นอนให้ผมฟัง “เมาหลับแล้วไม่ได้นอนยังไงอ่ะพี่”

คนที่แย่งน้ำเต้าหู้ผมไปสำลัก ยกหลังมือเช็ดปากตัวเองลวกๆ แล้วตวัดตาไปมองด้านหลังเยื้องขวามือจนผมต้องมองตาม ห้องพี่ทศ?

“พี่ข้าวมองอะไรครับ?”

“ติณณ์ รู้เรื่องสองคนนั้นไหม” จู่ๆ พี่แกก็พูดขึ้นเสียงเบาให้ผมเลิกคิ้วสงสัย “ก็เรื่องไอ้หลงกับ...”

“พี่ทศ?” พี่ข้าวหันขวับมามองผม หรี่ตามองเหมือนจับผิดจนผมได้แต่หัวเราะเก้อ “ก็พอรู้บ้างครับ”

จริงๆ ไม่บ้างอ่ะ... รู้แม่งเกือบทุกอย่างอ่ะครับ ผมที่พอจะเดาเรื่องได้บ้างตอนเห็นไอ้รอยที่คอพี่ทศเมื่อวันก่อน จากนั้นพี่ทศแม่งก็เริ่มมาปรึกษาราวกับผมเชี่ยวมาก...

เชี่ยวบ้าอะไรล่ะ! คนตรงหน้านี่ยังจีบไม่ติดเลยเถอะ!

“แต่ก็ปล่อยเขาสองคนนั่นเถอะพี่ แล้วจะบอกผมได้ยังว่าทำไมพี่เมาหลับแต่กลับบอกผมว่านอนไม่พอ” ปัดเรื่องสองคนนั่นทิ้งแล้วยื่นหน้าเข้าใกล้พี่ข้าวที่ยังคงหันคอไปด้านหลัง แก้มใสๆ อยู่ห่างปลายจมูกผมไม่ถึงคืบ

จะหอมมากไหม... ถ้ากดจมูกไปจะโดนพี่ข้าวว่าไหมนะ...

“ก็แฮงค์ ใช่ๆ แฮงค์ไงเลยนะ...” พี่ข้าวเงียบไปเมื่อหันหน้ามาตอบผม ความใกล้ชิดทำให้ปลายจมูกของเราเกือบชนกันจนเห็นหน้าตัวเองในตาพี่ข้าว “เอ่อ... ถอยไปหน่อยได้ไหม”

คนตรงหน้าว่าเสียงติดสั่น ใบหน้าเริ่มมีสีแดงจางประดับ พอผมแกล้งขยับเข้าใกล้กว่าเดิมคนพี่ก็แทบจะลุกหนีผม แต่ติดที่ว่าเก้าอี้พี่แกชิดผนังแล้วมีผมกักไว้อีกทีน่ะสิ หึๆ

“ตะ... ติณณ์ ถอยก่อนนะ ใกล้ ใกล้ไปแล้ว” พี่ข้าวละมือที่ถือแก้วมาดันตัวผมให้ออกห่าง ซ่อนหน้าแดงๆ ด้วยการซบต้นแขนและก้มหน้าก้มตามองพื้น

“พี่ข้าว~~” แกล้งเรียกชื่อให้คนเขินยิ่งก้มหน้าก้มตาลงกว่าเดิม “พี่ข้าวครับ โอ๊ย!”

ของหนักๆ ถูกฟาดลงมากลางหัวทำให้ผมหันขวับไปมองคนทำร้าย ชะอุ้ย...พี่ทศล่ะ

“นี่ถือว่าตัวเองเป็นหลานคุณชัยแล้วไม่ต้องทำงานหรือไงฮะติณณ์” พี่แกว่าเสียงเอือม ขยับท่าทางเป็นยืนกอดอกพิงที่กั้น “งานที่พี่ให้ไปแก้เมื่อวานเสร็จหรือยังเจ้า”

“เอ่อ เสร็จแล้วพี่ หาแปบๆ” เจ้าของชื่อหันไปหาของในกองงาน “อยู่ไหนวะ”

“เห็นหลงบอกว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนหรอเจ้า หืม”

โครม

สิ้นเสียงติดล้อที่เอ่ยถามจากพี่ทศทำให้พี่ข้าวที่ลนหาของให้หัวหน้าแผนกอยู่นั้นปัดมือไปโดนกองงานที่วางไว้จนมันล่วงไปทั้งตะกร้า ก่อนจะหันหน้ามามองพี่ทศที่ยืนทำหน้ากรุ่มกริ่มด้วยตาขวางๆ

“ก็เพราะใครละวะ!” พี่ข้าวโวยใส่พี่ทศที่ยืนขำ

“อ้าวๆ ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะอยู่ห้องด้วยล่ะ ไอ้หลงก็ไม่ได้บอกไว้ก่อน” พี่ทศส่ายหัวไปมา “พี่เข้าไปได้ก็ขึ้นเตียงอย่างเดียวเลย”

เสียงของพี่ข้าวที่โวยวายใส่พี่ทศเกี่ยวกับพี่หลงยังดังออกมาเรื่อยๆ แต่ผมที่ก้มไปเก็บเอกสารชะงักมือเมื่อได้ยินสิ่งที่สองคนนั่นคุย เดี๋ยวนะ...เมื่อคืนพี่ข้าวเมาไปนอนห้องพี่หลง มาวันนี้พี่ข้าวบอกว่านอนไม่พอ แล้วตอนนี้ได้ข้อมูลใหม่คือพี่ทศน่าจะเข้าไปในห้องพี่หลง

นี่กูพลาดอะไรหรือเปล่าวะ...

“พี่ทศๆ เมื่อวานมีอะไรป่ะครับ?” ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น หัวหน้าแผนกหันมามองผมสลับกับพี่ข้าวที่ยืนหน้าดำหน้าแดงจากการเถียงกับอีกคน รอยยิ้มสนุกสนานติดที่มุมปากพี่ทศ

“ก็เมื่อคืนไอ้เจ้ามันได้ดูนะ---” “ไม่มีอะไรเว้ยยยยย!”

พี่ข้าวโวยวายลั่นแทรกพี่ทศที่กำลังตอบ เสียงดังจนคนในแผนกต่างก็ลุกมามองพวกเราอย่างสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น จนพี่ข้าวต้องเอ่ยขอโทษคนถึงยอมแยกย้ายกัน

เหมือนจะประติดประต่อเรื่องราวได้แล้วแฮะ...หึ

“อ๋อ ที่พี่ข้าวไม่ได้นอนเพราะมัวแต่ฟังเสียงหนังสดที่แสดงนำโดยที่ทศกับพี่หลงหรอครับ?” กระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นพี่ข้าวอ้าปากเหวอขณะที่พี่ทศยกมือลูบหน้าตัวเองอย่างไม่คิดว่าผมจะพูดขึ้นมาพล่อยๆ อย่างนี้

นั่นหมายความว่าสิ่งที่ผมพูดคือเรื่องจริง

“เจ้า...  เอางานไปให้พี่ที่ห้องแล้วกันนะ” พี่ทศเปลี่ยนเรื่องแล้วเดินไปตบบ่าพี่ข้าวที่ยังอ้าปากค้างอยู่ จากนั้นก็ทำท่าจะเดินออกไปแต่กลับชะงักเท้ามองผมเหมือนคิดอะไรได้ “เออ ติณณ์”

“ครับ”

“เราฝึกงานเสร็จสิ้นเดือนนี้ใช่ไหม? ใบฝึกงานพี่ต้องให้ติณณ์หรือให้ส่งไปมหาลัยล่ะ” มองพี่ทศที่หมุนตัวกลับมาถามสลับกับมองพี่ข้าวที่เม้มปากแน่นแล้วหันกลับไปหางานที่หัวหน้าแผนกถามหาต่อ

 “ให้ผมครับ เดี๋ยวเอาไปให้อาจารย์เอง” คนเป็นหัวหน้าพยักหน้ารับรู้แล้วเดินกลับห้องไปจริงๆ เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

สิ้นเดือนนี้แล้วหรอ อ่า... อีกไม่กี่วันแล้วสิ

“พี่ข้าวหาแผ่นไหนอยู่ครับ” เอ่ยถามคนที่ยังง่วนหาของไม่เจอสักที เจ้าของชื่อสะดุ้งเล็กน้อยแล้วตอบผมเสียงเบา ลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ พี่ข้าวที่ก้มหน้างุดแล้วหยิบกองเอกสารขึ้นมาช่วยหาอีกแรง

รอบข้างเรามีแต่เสียงกดแป้นคีย์บอร์ดและเสียงกรีดกระดาษให้ได้ยิน ถึงจะไม่พูดอะไรกันแต่หางตาเห็นว่าคนข้างๆ เงยหน้ามองผมหลายครั้งแล้ว พอหันไปสบตาอีกฝ่ายก็แสร้งหาของต่อ

“พี่ข้าว”

“อ๊ะ เจอแล้ว เดี๋ยวพี่มานะ” พี่ข้าวชูเอกสารปึกหนึ่งขึ้นโบกไปมาตรงหน้าผม จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปทางห้องพี่ทศทันที ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังนั่นไป กว่าพี่แกจะออกมาอีกครั้งก็เกือบสิบห้านาทีได้ แต่... พอคนพี่เห็นผมจ้องอยู่ก็ชะงักฝีเท้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นก่อนจะคลายออกเหมือนอยากพูดอะไร พี่ข้าวก็ถอนหายใจออกมาก่อนกลับมานั่งที่ของตัวเอง

สุดท้ายก็ไม่มีคำพูดอะไรออกจากปากพวกเรา...

“พี่คิดมากเรื่องที่ผมเคยขอหรอครับ” เอ่ยขึ้นมาลอยๆ ท่ามกลางความเงียบ พี่ข้าวหยุดมือแล้วหันมามองผมตรงๆ “อ่า คือเห็นว่าพอพี่ทศพูดเรื่องที่ผมจะฝึกเสร็จพี่ข้าวก็ทำหน้าเหมือนลำบากใจ ผมก็เลยคิดว่าพี่คงคิดมากเรื่องนี้”

“...ก็ใช่” พี่ข้าวพูดเสียงเบา “ถ้าสุดท้ายคำตอบคือไม่...ติณณ์จะไม่มาให้เห็นจริงหรอ”

“ครับ” ตอบหนักแน่น แพลนไว้ว่าถ้าหากพี่ข้าวตอบอย่างนั้นจริงผมก็คงไปเรียนต่อ... ไม่ก็กลับไปทำที่สาขาที่โคราชตามที่พ่อเคยขอไว้ ง่ายๆ ก็หนีไปทำใจ “ผมรอคำตอบตอนสิ้นเดือนครับไม่ใช่ตอนนี้”

ตอบพร้อมหันไปยิ้มให้พี่ข้าว อีกฝ่ายก็ยกยิ้มฝืนๆ มาให้แล้วหันกลับไปพิมพ์งานต่อ เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของคนพี่... มองนัยน์ตาที่วูบไหวและริมฝีปากที่เม้มแน่น ไล่ลงไปยังมือซ้ายที่คีย์งานแต่มือขวากลับกุมเม้าส์แน่น

ไสตัวเลื่อนเก้าอี้เข้าอีกไปชิดโต๊ะอีกฝ่าย ถือวิสาสะยกมือตัวเองขึ้นไปกุมทับมือข้างที่กุมเม้าส์ของพี่ข้าวไว้หลวมๆ ยกมือคนพี่ให้หลุดจากการกุมเม้าส์แล้วกุมเต็มมือ

พี่ข้าวเคยบอกว่ารู้สึกดีกับผมก็จริง... แต่ก็ไม่ว่าไอ้ความรู้สึกดีนั้นเป็นในรูปแบบไหน ไม่ได้อยากคิดเข้าข้างตัวเองมากไป

อย่างน้อยๆ ยังมีเวลาเหลือเกือบอีกสองอาทิตย์นี่ จริงไหม

“พี่ข้าวครับ เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะครับ”

เจ้าของมืออุ่นที่กุมอยู่พยักหน้า

“แล้วพรุ่งนี้วันหยุด...”

“อื้อฮึ”

เหลือบมองใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีของอีกคน เผลอยกยิ้มได้ใจ

“งั้นพรุ่งนี้ไปเที่ยวกันนะ”

“...อื้อ”

“ผมชอบพี่ข้าวนะครับ”

“งะเงียบได้แล้วน่า!... ทำงานไปเลยไป๊!”

หัวเราะร่าเมื่อพี่ข้าวหันมาแยกเขี้ยวใส่ผมด้วยใบหน้าแดงๆ จากนั้นก็หันไปทำงานตัวเองต่อ... โดยที่ฝ่ามือของเรายังคงกุมกันอยู่อย่างนั้น


ตกเย็นผมก็พาพี่ข้าวไปร้านของพี่หลง... ที่ๆ เจอพี่ข้าวครั้งแรกนั่นแหละครับ ดีที่วันนี้พี่แกไม่ได้เอาไอ้เศษเหล็กลูกรักพี่แกมาด้วยผมเลยหิ้วเข้ารถง่ายๆ โดยไม่มีอิดออด โชคดีที่โต๊ะเดิมที่เคยนั่งมันยังว่างอยู่

“พาพี่มาร้านที่พี่เป็นหุ้นส่วนเนี่ยนะ” พี่ข้าวว่าติดขำขณะดูเมนู “คิดไงถึงพามานี่ล่ะ”

“ก็” ผมเงียบเมื่ออีกฝ่ายหันไปสั่งอาหาร รอพี่ข้าวหันมาถึงพูดต่อ “ก็ผมเจอพี่ข้าวครั้งแรกที่นี่นี่ครับ พี่ข้าวนั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์ส่วนผมก็อยู่ตรงนี้”

คนฟังมองตามนิ้วที่ผมชี้แล้วระบายยิ้มออกมา “แล้วติณณ์ก็ไปแกล้งเป็นแฟนพี่ งงโคตรๆ อ่ะตอนนั้น กำลังมึนๆด้วย ฮ่าๆๆ”

“แล้วพี่ข้าวก็ใจร้ายกับผมที่ไปช่วยออกมาด้วยการทำให้อยากแล้วจากไป พี่รู้ไหมว่าผมโดนเจ้าของนามบัตรนั้นด่าซะเสียคนเลย”

“ก็ตอนนั้นติณณ์แสดงออกว่าสนพี่ แต่พี่คิดว่าจะไม่เจออีกเลยหยิบนามบัตรส่งๆ ไปให้” พี่ข้าวว่าติดขำให้ผมเบ้หน้า นี่ทำให้อยากแล้วจากไปของจริง “แล้วยังเก็บไว้ไหมน่ะนามบัตรนั่น พี่จะโทรไปขอโทษเขาสักหน่อย”

“โหย ไอ้อาร์ตทิ้งไปแล้วมั้งพี่ ขอบคุณครับ” หันไปยิ้มให้บริการที่เอาอาหารมาเสิร์ฟ “วันนี้พี่ไม่กินเหล้าหรอ พี่เมาแล้วน่ารักดีออก”

“จะบ้าหรือไง เมื่อวานก็กินวันนี้จะให้กินหรอ” คนพี่บ่นอุบ ไม่วายเผื่อแผ่มาให้ผมด้วย “ติณณ์ก็อย่ากินนะ ขับรถมานี่”

“ถ้าผมเมา พี่ก็ขับให้ไงครับ” ขยิบตาส่งวิ้งค์ให้คนพี่หน้าเหวอเล่น

“ติณณ์...” ขานรับคำเรียก “พี่ขับรถยนต์ไม่เป็นว่ะ”

ทำตาปริบๆ มองคนตรงข้ามที่ยิ้มจืด มิน่าล่ะเห็นขับแต่ไอ้แก่... “ไว้เดี๋ยวผมสอนนะ เผื่อไว้จะได้ขับไปไหนมาไหนเวลาอยู่ด้วยกันไง”

ไม่วายส่งคำแซวคำหยอดให้พี่ข้าว หัวเราะเก้อๆ เมื่อเห็นคนพี่สำลักข้าวเปล่าจนหน้าดำหน้าแดง

“ประโยคหลังผมพูดเล่นน่า แต่ถ้าขับเป็นก็ดี... ไอ้แก่มันเก่าแล้วผมห่วง”

“อื้อ... ไว้สอนพี่ด้วยนะ”

รีบเงยหน้ามองเจ้าของประโยคนั้นทันที พอถามซ้ำพี่ข้าวก็เฉไฉไม่ยอมตอบยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วมองไปทางอื่นทันที ใบหูแดงๆ ที่ปิดไม่มิดนั่นก็ทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆ

“ครับ เดี๋ยวสอน...สัญญาเลย”

อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วทำเหมือนจะเลิกสนใจผมโดยการสนใจอาหารตรงหน้า...

ตอนนี้ผมขอเข้าข้างตัวเองว่าผมยังพอมีหวังนะครับพี่ข้าว

Tbc.

――――――――――――――――――――

ง่วงง่ะ... ฝันดีค่ะทุกคน---
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -จีบพิเศษ... Valentine Day- 14|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 14-02-2018 17:41:50
***หมายเห็ด***
ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลัก จะใช้ไทม์ไลน์เดียวกับเรื่องกลิ่นสีและกาวน์หมอค่ะ (มีภาคแยกของพี่หมอกับหนูฝุ่นด้วยนะคะ---)
ส่วนสำหรับคนที่ไม่ได้อ่านกลิ่นกาวน์ ว่าง่ายๆก็หลังคบกันแล้ว แหละค่ะ ถถถ

――――――――――――――――――――――――

วาเลนไทน์ เดย์กับติณณ์และพี่ข้าว

13 Feb 20xx
“ไม่เห็นบอกว่ามีประชุม” เอ่ยถามคนที่กำลังสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อน

“ก็ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่ามี” มันเดินมาจะหอมแก้ม แต่ผมโยกหัวหลบก่อนจนอีกคนหน้าเอ๋อ “โธ่ข้าวไม่งอนผมสิครับ ผมก็เพิ่งรู้พร้อมข้าวนี่ไง”

“...ก็วันหยุดติณณ์ไม่ใช่หรอ” ว่าเสียงหงอยจนโดนหมียักษ์รวบตัวไปกอดแล้วโยกเบาๆ “ไม่ไปได้ไหม”

“ผมไปแปบเดียวนะ เดี๋ยวข้าวไปอยู่กับสีฝุ่นก่อนนะครับตอนเย็นผมจะไปรับเนอะ แล้วจะได้ไปกินข้าวกัน”

“อื้อ...”

สุดท้ายก็โดนพามาทิ้งไว้หน้าร้านบ้านศิลป์จนได้...

“พี่ข้าวอยากลองทำขนมไหมล่ะ พรุ่งนี้จะได้เอาให้พี่ติณณ์ไง” ละสายตาจากเครื่องคิดเงิน เงยหน้ามองคนที่รู้สึกเหมือนเห็นน้องชายอีกคนที่เอ่ยถาม

ถามว่าโกรธไหมก็ไม่ เข้าใจว่าทำงานแต่ก็อุตส่าห์ได้หยุดพร้อมกันทั้งทีแต่มันก็แอบนอยด์ๆ แต่จะทำตัวไม่มีเหตุผลก็จะเกินไปหน่อย แก่ปูนนี้แล้ว... ตั้งแต่มานี่ก็ถูกสีฝุ่นพาทำนู่นทำที่จนลืมติณณ์ไปชั่วคราว ตอนนี้ก็หลวมตัวเข้ามาอยู่ในโซนครัวของร้านแล้วล่ะครับ

เอาเถอะ ว่าง... อีกอย่างพรุ่งนี้ก็วาเลนไทน์ทำอะไรให้มันหน่อยก็ดี

“อ้าวๆ คุณข้าวนี่ มาช่วยน้าทำขนมหรอคะ” น้าศรเอ่ยทักผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หันไปรับผ้ากันเปื้อนจากสีฝุ่นมาใส่จากนั้นก็โดนจูงไปตรงกะละมังแป้งเค้กที่ผสมเสร็จแล้ว

“พี่ข้าวใช้ไอ้นี้ตักนะ ถ้วยละช้อนพอ” มองกรวยตักไอติมในมือสลับกับคนตรงหน้า “มันจะได้เท่าๆ กันไงครับ ถ้วยละช้อนพอนะ เยอะไปอบมาจะล้น”

“คร้าบคุณฝุ่น” ยิ้มกวนจนคนเด็กกว่าขำ สีฝุ่นยืนคุมอยู่ไม่กี่ถ้วยก็ออกไปหน้าร้าน กลับมาอีกทีก็ผมเสร็จนั้นแหละ ได้ทั้งนวดแป้ง ผสมแป้ง บีบครีมก็สนุกดี

หลังจากที่เมนูของพรุ่งนี้เสร็จเรียบร้อยฝุ่นก็ถือช็อกโกแลตบาร์มาให้ผมพร้อมถ้วยแสตนเลสที่มีหม้อน้ำอุ่นอุ่นข้างล่าง... หางตาเห็นไอ้อาร์ตยืนพิงขอบประตูอยู่

“พี่ข้าวค่อยๆ กวนนะ รอเป็นเนื้อเดียวค่อยใส่พิมพ์” พยักหน้าอย่างแข็งขัน ก้มหน้าก้มตาคนเจ้าช็อคโกแลตที่เริ่มละลายเพราะความร้อน แต่คงหนักมือไป...

เคร้งงง!

ถ้วยเด้งได้ล่ะครับทุกคน...

“หย๋า พี่ข้าวระวังหน่อยสิ ใจเย็นๆ นะฮะ” ยิ้มแหยใส่แฟนของเพื่อนแฟนที่เดินมาหา น้องบ่นที่ผมไม่ระวังเล็กน้อยจนน้าศรยิ้มขำก่อนจะชะโงกหน้ามามองช็อกโกแลตข้นๆ ในถ้วย

หืม คราบอะไร

“ฝุ่น แป้งติดหน้าอ่ะ” ยกมือขึ้นเช็ดคราบสีน้ำตาลบนแก้มคนน้องเบาๆ หยิกแก้มคนหน้าเหวออย่างหมั่นไส้คนได้ยินเสียงหัวเราะดังมา พอได้ที่ก็ตักใส่พิมพ์ที่ฝุ่นเตรียมไว้ให้...รูปหัวใจเชียวนะ

ได้ยินเสียงน้องบอกจะไปหาพี่อาร์ต สักพักน้าศรเรียกให้ผมไปตามสีฝุ่นให้มาช่วยพับคุกกี้... เมนูวาเลนไทน์ก็คุกกี้เสี่ยงทายไงครับ พอออกมานอกครัวถึงเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูถึงรู้ว่าเกือบสามทุ่ม

เผลอเม้มปากแน่นเมื่อไม่เห็นมิสคอลหรือข้อความจากคนที่รอ จึงเลือกเดินไปหาคนน้อง

“ฝุ่นอยู่ไหน...อ๊ะ” อุทานออกมาเมื่อเห็นสีฝุ่นกับอาร์ตยืนจูบกันอยู่หลังร้าน เอ่ยล้อขำๆ ให้ฝุ่นหน้าแดงเล่นทั้งที่ใจห่อเหี่ยว “พี่มาขัดจังหวะหรือเปล่าเอ่ย แต่น้าศรให้มาตามล่ะ”

ผมหันหลังทันทีที่พูดจบ ได้ยินเสียงฝีเท้าของสีฝุ่นวิ่งตามมาก็ได้แต่ยิ้มจางให้ตัวเอง... แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมามองอีกครั้ง
ไหนบอกจะพาไปกินข้าวไง...


สองสาย...

สามสาย...

กระทั่งเข้าหลักสิบ ปลายสายที่โทรออกก็ไม่มีการตอบกลับมา... ก้มมองจานข้าวตรงหน้าที่แทบไม่พร่องก็ได้แต่เค้นยิ้ม ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้ง

‘ครับข้าว’ เผลอเม้มปากเมื่อได้ยินเสียงดนตรีคลอมาเบาๆ จากปลายสาย ‘ขอโทษครับที่ไม่ได้บอก พอดีผมออกมากินข้าวกับลูกค้าน่ะ’

“หรอ”

‘ครับ คงจะกลับดึกหน่อยไม่ต้องรอผมนะ ให้อาร์ตไปส่งที่คอนโดเลยก็ได้’

“อื้อ...”

‘ไว้เจอกันครับ’

ปลายสายตัดไปนานแล้วแต่ผมยังถือโทรศัพท์ค้างไว้อย่างนั้น รู้สึกตัวก็ตอนสีฝุ่นเดินผ่านนั่นแหละ รู้สึกร้อนๆ ที่ขอบตาเลยเดินไปกอดน้องแน่นเพื่อซ่อนหน้าตาตัวเอง เอ่ยปากให้สองคนนั่นไปส่งที่คอนโดอย่างง่ายดาย

“ฝุ่นกลับไปเถอะ อาร์ตรออยู่นะ” บอกกับน้องที่เดินมาส่งถึงหน้าห้อง สีฝุ่นทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูดมันออกมา “พี่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปหาที่ร้านนะ”

บอกไปอย่างนั้นสีฝุ่นถึงยอมไปแต่ก็ไม่วายบอกให้ผมเข้าห้องก่อนอีกล่ะ ยิ้มจางๆ ให้อีกฝ่ายก่อนเปิดประตูห้อง แก่ป่านนี้แล้วจะอะไรให้ห่วงอีกเนี่ย

พอก้าวเข้ามาในพื้นที่ของตัวเองได้รอยยิ้มที่มีก่อนหน้าก็หุบลง จะโทษใครได้ล่ะในเมื่อไอ้ติณณ์ทำให้ติดเองนี่... สลัดความคิดบ้าๆ ออกจากหัวแล้วเดินลากเท้าไปยังห้องน้ำ ทำให้หัวเย็นก่อนจะนอนก็น่าจะดี

พรึ่บ!

“อ๊ะ...”

ช่อดอกกุหลาบสีแดงสดแซมด้วยดอกอะไรสักอย่างสีขาวๆ ช่อโตถูกยื่นมาตรงหน้าทันทีที่ผมเปิดประตูห้องน้ำออกไป ส่วนไอ้คนให้กำลังยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างหลังช่อนั้น

“ติณณ์...หรอ”

“ครับผมเอง” ติณณ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่มๆ “เซอร์ไพรส์ครับข้าว สุขสันต์วาเลนไทน์ครับ”

“วาเลนไทน์มันพรุ่งนี้นี่ ไม่ใช่วันนี้” ทักท้วงไปแต่ไม่ยอมรับช่อนั้น เงยมองหน้าอีกฝ่ายที่ยิ้มแย้มก็ได้แต่เม้มปากแน่น

อาการน้อยใจยังคงอยู่... แต่อาการดีใจก็ยังมีจนเกิดรอยยิ้มน้อยๆ

“คุณข้าวเจ้าแก่แล้วลืมวันลืมคืนหรือไง” ใบหน้าที่กำลังจะยกยิ้มอยู่หุบฉับ ตวัดตามองเจ้าของช่อดอกไม้นั้นทันที “นี่เข้าวันที่สิบสี่แล้วครับ ผมรอข้าวอาบน้ำตั้งนานเกือบจะได้บุกเข้าไปแล้วไหมล่ะ”

ดันคนที่หายไปทั้งวันที่ขวางประตูให้พ้นจากทาง เงยมองนาฬิกาที่ขึ้นเวลาว่าเลยเที่ยงได้ไม่กี่นาที พอหันไปมองคนที่ยังหอบกุหลาบช่อโตไว้ ก็ได้แต่เม้มซ่อนรอยยิ้มเขินๆ เอาไว้

“ขอโทษครับนะที่ไม่ได้ทำตามที่บอก พอดีลูกค้าเขาชวนพ่อไปกินข้าวแล้วผมปฏิเสธพ่อไม่ได้” ติณณ์ว่า “แล้วผมเห็นข้าวกำลังสนุกกับทำขนมเลยไม่อยากขัด”

“เอ๊ะ”

“ผมแวบไปแปบเดียวครับ บอกอาร์ตไว้ว่าห้ามบอกข้าวเพราะจะแวะเอาไอ้นี้” ติณณ์ยื่นเจ้าช่อนั้นมาให้ผม “มาให้ข้าวด้วยครับ รับไปสิครับ”

ผมยังนิ่ง

“ติณณ์ขอโทษนะครับข้าว หายโกรธติณณ์นะ”

จุดยิ้มน้อยๆ ขึ้นพร้อมกับยื่นมือออกไปข้างหน้า ติณณ์ที่ยิ้มกว้างอยู่แล้วนั้นก็กว้างขึ้นไปอีกเมื่อมือผมไปโอบกอดคนที่ถือเจ้าช่อดอกไม้นั่นอยู่

“คิดถึงนะ... รักติณณ์นะ”

เหมือนจะพลาดที่พูดคำนั้นออกไป ดอกไม้ในมือถูกโยนทิ้งทันทีเพราะเจ้าของมันก้มมาจูบปากผมแรงๆ แล้วอุ้มผมขึ้นไปบนห้อง...

.
.
.
“เจ้า...ข้าวเจ้า อืมม”

เจ้าของตัวตนที่ถูกฝากฝังภายในกายครางเบาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าชิดใบหูอย่างพึงพอใจ ฝ่ามือหนาบีบเค้นช่วงสะโพกและทั่วแผ่นหลังกระแทกที่ตอกย้ำตัวตนอย่างรุนแรงจนสั่นคลอน ก่อนที่จะรู้สึกถึงความอุ่นร้อนที่ถูกปล่อยเข้ามาเติมเต็ม

“อึ่ก... ติณณ์ เอามันออกได้แล้ว” เค้นเสียงว่าพลางตีมือของไอ้หมีหื่นที่ยังไม่ถอดถอนตัวตนทั้งที่สิ้นสุดบทรักรอบที่...เท่าไหร่ก็ไม่รู้ “อึดอัด”

“ออกทำไมเดี๋ยวก็ต่ออีกรอบ” มันว่าติดขำ จับตัวผมที่คว่ำหน้าอยู่หมุนตัวให้หันไปประชันหน้าแล้วโน้มตัวมาคลอเคลียใบหน้า “นะครับ นะ ให้ติณณ์ง้อข้าวต่ออีกหน่อย”

ถลึงตามองคนง้อ ก่อนจะหวีดร้องออกมาเพราะไอ้คนง้อนั้นแหละ!!

“อ๊ะ... อย่าขยับสิติณณ์!!” ตวาดใส่คนหน้ามึนที่ขยับเอวไปมา แววตามันพราวระยับเมื่อเห็นผมทำหน้าเหยเกด้วยความทรมาน “ไม่เอาแล้ว พี่ปวดตัวแล้วนะ”

“งั้นขอผมสิ” ไอ้หมียักษ์ใช้ปลายจมูกคลอเคลียแก้มผม ช่วงล่างยังคงขยับอย่างเนิบๆ “ถ้าอ้อนแล้วถูกใจผม... ผมจะปล่อย”

สิ้นเสียงไอ้หมีหื่น... ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นคล้องคอคนตรงหน้า หลุดร้องครางจนต้องตวัดตามองค้อนเมื่อถูกคนด้านบนแกล้งขยับแรง รู้สึกถึงความแข็งขืนที่เริ่มขยายขึ้นอีกรอบจนต้องกัดฟันแน่น... รู้สึกเสียดวูบที่ช่องท้อง

“ติณณ์...” มันหยุดกึกคล้ายรอคำผม โน้มแขนรั้งคอให้มันลงมาใกล้และเอ่ยติดใบหู “ติณณ์ช่วยข้าวหน่อย...นะ”

มันนิ่งไปเพราะคงไม่นึกว่าผมจะเอ่ยอย่างนั้น ฝ่ามือใหญ่แกะแขนที่คล้องคอผมอยู่แล้วก้มมองด้วยใบหน้านิ่ง แต่แค่ชั่วพริบตายิ้มร้ายก็ประดับบนใบหน้าของไอ้ลูกเสี้ยว

“ตามบัญชาครับ... ที่รัก”

.
.
.

สองขาต่างความยาวถูกสอดเกี่ยวกันไปมา สองร่างที่ก่ายกอดกันภายใต้ผ้าห่มผืนหนา... ผมขยับตัวเพราะรู้สึกถึงท้องที่ร้องประท้วง ยกแขนที่พาดเอวออกเบาๆ พอลุกขึ้นก็รู้สึกเสียดที่ด้านหลังจนอยากจะนอนต่อแต่ความหิวก็ไม่เข้าใครออกใคร ฝืนกัดฟันลุกขึ้นหยิบๆ เสื้อของไอ้หมีที่ยังนอนอยู่มาใส่จากนั้นก็เดินลงไปหาของกิน

พอกลับขึ้นมาอีกครั้งก็ยังเห็นติณณ์นอนแผ่หลาเลยยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย ไม่นานนักคนตัวโตก็เริ่มขยับเมื่อแสงกระทบเข้ามาในห้อง ลอบขำเมื่อเห็นมือหนากวาดไปข้างตัวอย่างสะเปะสะปะพร้อมกับเรียวคิ้วที่ขมวดเมื่อหาสิ่งที่ต้องการไม่พบ ก่อนที่นัยน์ตาสีอ่อนจะค่อยลืมขึ้น... เจ้าหมียักษ์ที่ทำหน้าไม่บอกบุญกวาดตาไปรอบห้องคล้ายกำลังหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะหยุดลงตรงที่ๆ ผมนั่งอยู่

“ลุกไหวหรือไงข้าว” เสียงแหบเอ่ยถามแล้วขยับตัวจนพร้อมผ้าห่มหล่นลงไปจนเห็นไลน์กล้ามเนื้อสวย ยกมือลูบหน้าขยี้หัวตัวเองแล้วหาววอดออกมา...

ผมรีบกดหยุดคลิปที่กำลังถ่ายอยู่เมื่อมันลุกขึ้นเดินโตงเตงมาหาผม... เพราะเมื่อคืนพอเสร็จกิจรอบสุดท้ายก็นอนกันอย่างเปลือยๆ นั่นแหละ

“ไม่ตอบผมอีกนะ” ยู่ปากเมื่อถูกบีบแก้มเบาๆ “ลุกไหวได้ไง?”

“ก็หิว... ปวดตัวแต่หิวเลยต้องลุก ปลุกแล้วติณณ์ไม่ตื่น” รีบบอกก่อนที่หมียักษ์จะโดนพูดบ่นอะไร ติณณ์ส่ายหัวอย่างปลงๆ แล้วเดินลงไปข้างล่างแล้วถือเอาช่อดอกไม้มาวางบนตักผม พอได้ยินคนตัวโตบอกว่าจะไปอาบน้ำเลยยกมืออ้าแขนให้คนตรงหน้าแล้วเอ่ยอ้อน “อาบน้ำให้ข้าวหน่อย นะๆ”

ลูกอ้อนที่ใช้ได้ประจำคือการแทนตัวเองด้วยชื่อ... ไอ้ติณณ์ยิ้มรับแล้วจัดการช้อนตัวผมขึ้นพาเดินลงไปห้องน้ำ ถูกเรียกค่าจ้างเป็นการแตะนิดตอดหน่อยจนหมดแรงอีกรอบ

สุดท้ายเลยได้ให้อีกฝ่ายจับอาบน้ำแต่งตัวเหมือนตุ๊กตานั่นละ สบายไปดิ...

ประโยคท้ายนั่นประชดครับ

“เออติณณ์” เรียกเจ้าของตักที่นั่งไถหน้าจอโทรศัพท์อยู่

“หืม”

“ลืมบอกว่าต้องไปช่วยฝุ่นที่ร้าน สัญญากับน้องมันไว้”

“....” ติณณ์หันขวับมามองผมทันที

“ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ก็ยังอยู่ที่ร้านฝุ่นนะ แต่พี่คงเดินเสิร์ฟไม่ไหวแฮะ ขัดๆอยู่เลย”

“... ความหมายคือจะให้ผมไปช่วยแทนว่างั้น” ยิ้มกว้างแล้วจับคางคนหรี่ตาจนแทบจะเป็นเส้นตรงไว้ จากนั้นยื่นหน้าไปจุ๊บเบาๆ

“รักติณณ์นะ คนเก่งของข้าว”

“ครับๆ รักข้าวเหมือนกัน งั้นลุกจากตักได้แล้วติณณ์จะไปแต่งตัว”

มองตามหลังคนที่เดินขึ้นไปชั้นสองแล้วยกยิ้มขำ ต้องเอาให้คุ้มกับที่เมื่อวานหายหัวไปทั้งวันสักหน่อยครับงานนี้

END – วาเลนไทน์ เดย์ของติณณ์และพี่ข้าว
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -จีบพิเศษ... Valentine Day- 14|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 15-02-2018 07:39:31
จริงๆอยากได้NCมากกว่านี้555เราสายหื่น แต่แบบนี้ก็หวานแล้วนะ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -จีบพิเศษ... Valentine Day- 14|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 16-02-2018 00:20:49
หวานซะ,,,
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -14- 20|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 20-02-2018 22:50:40
14

ถ้านาทีนี้ถามผมว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณกณิศ... หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของข้าวเจ้านั้น บอกได้เลยว่าบางทีผมอาจจะเลยคำว่าชอบไปไกลแล้ว

ยิ่งได้อยู่ใกล้... ยิ่งได้ดูแล ยิ่งไม่อยากให้เขาหายไป เพราะหลังจากที่เข้าค่ายละลายพฤติกรรมกับพี่ข้าวไปเมื่อวันอาทิตย์ก่อนตั้งแต่เช้าตรู่จรดส่งคนพี่เข้านอน จนถึงตอนนี้สถานการณ์ระหว่างผมกับพี่ข้าวค่อนข้างจะดีกว่าเดิมครับ เห็นได้ชัดคือจากที่ผมจะเป็นฝ่ายเข้าหาพี่เขาก่อนกลายเป็นว่าพี่ข้าวเริ่มขยับเข้าใกล้ผมทีละเล็ก รับรู้เรื่องผมทีละน้อย จนถูกพี่หลงที่บังเอิญมาเห็นแซวเข้า

มันก็เหมือนว่าพวกเราก็ต่างปรับตัวเข้าหากันแหละครับ นั่นทำให้คิดว่าพี่ข้าวคงเปิดใจให้ผมไปแล้วบ้างไม่มากก็น้อย... ก็ยังดีกว่าไม่มีความหวังเลยนี่นา แต่ก็นะพี่ข้าวยังคงเป็นพี่ข้าวคนเดิมพอเขินนิดเขินหน่อยก็หมัดมา ศอกมาแก้เก้อ แล้วแถมยังมีข้อห้ามจากคนพี่ว่าไอ้สองอาทิตย์ที่เหลืออยู่เนี่ย ผมห้ามฉวยโอกาสตอดนิดตอดหน่อยเหมือนก่อนหน้านี้อีกด้วย ถึงจะเสียดายไปหน่อย... แต่อย่างน้อยถ้ามีพี่ข้าวเป็นรางวัลความพยายามมันก็คุ้มเชียวล่ะ

หนึ่งอาทิตย์หลังจากขยับเข้าหาพี่ข้าวมากขึ้นก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก... และแล้วก็นับถอยหลังเข้าสู่การฝึกงานอาทิตย์สุดท้ายแล้วครับ

เช้าวันจันทร์ที่สดใสสำหรับผมตั้งแต่ที่เริ่มฝึกงานเหมือนจะโคตรมาคุสำหรับพี่เลี้ยงของผม เพราะตั้งแต่ที่พี่เขาเข้ามาก็เอาแต่ก้มหน้างึมงำอะไรที่ผมจับใจความไม่ได้ พอลุกไปสะกิดก็เจอแววตาดุๆ ตวัดมามองจนได้แค่นั่งย้อนอดีตว่าตัวเองไปทำอะไรพลาดตรงไหน

เสาร์ก็แค่หอมแก้มพี่ข้าวฟอดใหญ่ๆ ตอนไปส่งคนพี่ ... พออาทิตย์ก็ไปฟัดคนขี้เซาจนพี่เขาตื่นมาดุ ก็เท่านั้นเอง

“นี่ติณณ์...” เสียงแผ่วเบาของพี่ข้าวทำให้ผมที่กำลังย้อนระลึกถึงความผิดของตัวเองอยู่หลุดจากภวังค์ทันที และรีบไสเก้าอีกไปนั่งข้างคนพี่อย่างไม่รีรอ

“ครับ”

อีกฝ่ายยังคงเงียบไม่พูดจา เอาแต่มองผมอย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม

“วันนี้... ตอนนี้งานค้างไม่มีใช่ไหม” ผมพยักหน้าลง “ดี งั้นมากับพี่หน่อย”

สิ้นคำพูดนั้นผมก็ได้แต่เดินตามคนพี่ต้อยๆ ออกจากแผนกลงไปถึงชั้นแรกสุด เดินเลยมินิมาร์ทไปยังที่จอดรถและเลยไปหายามที่เฝ้าอยู่ พี่ข้าวหันมาชี้นิ้วลงกับพื้นและขยับปากไม่มีเสียงว่าให้ผมยืนรอตรงนี้ก่อน ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปหายามคนนั้นพูดคุยกันสองสามประโยคก่อนยามคนนั้นจะยื่นกล่องอะไรสักอย่างมาให้ แววตาและรอยยิ้มอ่อนโยนของพี่ข้าวที่ก้มมองของในกล่องทำให้ผมขมวดคิ้วแน่น

อะไรคือสิ่งที่ทำให้พี่ข้าวยิ้มอย่างนั้นออกมาได้

“ติณณ์... ถ้าพี่จำไม่ผิดเพื่อนติณณ์คนนั้นเรียนสัตวแพทย์ใช่ไหม” พี่ข้าวถามขึ้น ผมนึกเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเมื่อคิดได้ว่าคนที่คนตรงหน้ากำลังพูดถึงคงเป็นไอ้อาร์ต

“ไอ้อาร์ตหรือเปล่าครับ”

“เออนั้นแหละ” อีกครั้งที่พี่ข้าวทอดแววตาอ่อนโยนให้เจ้าสิ่งในกล่อง มือนุ่มน่าจับเปิดฝากล่องให้อ้าขึ้นกว่าเดิมแล้วยื่นมาตรงหน้าผม “งั้นถ้าพี่ฝากเจ้านี่ไปให้เพื่อนติณณ์ดูได้ไหมอ่ะ พอดีพี่เจอหน้าที่คอนโดเมื่อเช้าแล้วไม่รู้จะพาไปไหนดี ก็ไม่ได้อยากจะรบกวนติณณ์หรอกนะแต่ว่าหอพี่มันเลี้ยงไม่...”

“แมวหรอครับ?” ผมขมวดคิ้วมองเจ้าตัวเล็กที่มีหูมีหางสีขาวมอมๆ ที่อยู่ในกล่อง เงยหน้าเอ่ยขัดคนที่กำลังพูดอยู่จนคนพี่ชะงักกึก “ไอ้นี่หรอที่ทำให้พี่ยิ้มได้อย่างเมื่อกี้”

“ห๊ะ” พี่ข้าวร้องเสียงหลงรีบเงยขึ้นมองผมที่ยังคงขมวดคิ้วด้วยใบหน้าเหวอๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนจะรู้แล้วว่าผมกำลังอิจฉาไอ้แมวนี่

ก็แหงดิ... รอยยิ้มแบบเมื่อกี้ผมยังไม่เคยเห็นเลยนะเว้ย! !

“โธ่ติณณ์ นี่แมวนะครับ แมวเหมียวๆ ไง” พี่ข้าวอุ้มไอ้แมวตัวขาวผอมออกจากลัง ยื่นมาจนเกือบถึงหน้าจนผมผงะแต่คนอุ้มกลับจับขาสั้นๆ แล้วเอาอุ้งตีนแมวตัวนั้นแตะจมูกผมเบาๆ ก่อนผละออกแล้วพูดด้วยเสียงงุ้งงิ้งแบบที่ไม่เคยได้ยิน “ติณณ์จะหึงน้องไม่ได้นะครับ”

ราวกับคำพูดนั้นสะท้อนวนไปวนมาอยู่ในหัว ได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองพี่ข้าวที่เอาแต่เล่นกับแมวอยู่ พอตั้งสติจากการโดนดาเมจจนHPลดฮวบได้ปุ๊บก็ก้าวชิดคนพี่ ก้มตัวจนใบหน้าเสมอกันแล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้คนพี่มีสีแดงอ่อนแซมบนแก้มนิ่ม

“นี่คุณครับ... เมื่อกี้ผมแค่อิจฉาแมวนะ ไม่ได้หึงสักนิดเลย หึ”

สุดท้ายก็ทนลูกอ้อนของคนตัวเล็กกว่าที่ไม่รู้ไปเรียนวิชาออดอ้อนจากใครมาไม่ไหวจนต้องโทรขึ้นไปลางานครึ่งเช้ากับพี่ทศเพื่อที่จะพาเจ้าแมวตัวปัญหาไปหาเพื่อนสนิทผมที่อยู่ในช่วงเบรคพอดี

ตลอดทางนี่เอาซะผมอยากเป็นแมวชะมัด ก็มันเล่นคลอเคลียพี่ข้าวไม่ห่างเลยนี่!

พอถึงมหาลัยผมก็ไปตามตึกที่ไอ้หมอหมาอยู่ ไม่วายที่มันจะส่งสายตาล้อๆ ตอนที่เห็นผมเอาแต่แยกเขี้ยวใส่ไอ้แมวในอ้อมแขนของคนพี่ ก่อนไอ้อาร์ตจะตกปากรับดูแลไอ้แมวตัวขาวจนกว่าจะมีคนมารับไปดูแลต่อให้ นั่นล่ะพี่ข้าวถึงยอมกลับบริษัทได้

“นี่... ติณณ์เลี้ยงไม่ได้จริงๆ หรอ มันน่ารักนะ”

“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมไม่ชอบแมว อีกอย่างผมไม่ได้มีที่อยู่เป็นแหล่งด้วยนี่”

คำตอบเดิมหลังๆ ที่ตอบคนพี่หลังจากที่ไอ้อาร์ตพาแมวนั่นไปคลินิกสัตว์เพื่อหาคนรับเลี้ยง พี่ข้าวที่ชอบสัตว์ตัวเล็กๆ ก็เอาแต่รบเร้าให้ผมเอามันไปเลี้ยงให้ได้ คือไม่ได้รักสัตว์ขนาดนั้นนี่ครับ อีกอย่างถ้าเป็นหมาผมยังพอโอเคแต่กับแมวนี่ผมไม่ค่อยถูกกับมันตั้งแต่เด็กแล้ว เคยเล่นกับมันแล้วเจอฟ้อนเล็บใส่ทีเดียวเข็ด รอยแผลเป็นยังอยู่ที่แขนเลยครับเนี่ย

ใครจะเหมือนไอ้หมอหมาเพื่อนผมล่ะ รายนั้นคงรักสัตว์มากขนาดมาเรียนเป็นสัตวแพทย์เนี่ย

“งืมมม ไม่ได้จริงๆ สินะ” เสียงลากยาวและเสียงถอนหายใจของตุ๊กตาหน้ารถจำเป็นดังขึ้นเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเห็นผมไม่รับไอ้แมวนั่นดูแลจริงๆ “จะว่าไป... พี่ทศบอกหรือยังว่ามีเลี้ยงส่งของเด็กฝึกงานไหม”

ส่ายหน้าแทนคำตอบ พี่ข้าวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

“....งั้นถ้าพี่ทศไม่ได้นัด เดี๋ยวเราไปกันสองคนนะ”

ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำพูดนั้นไป ผมทำเพียงหันไปยกยิ้มให้คนพี่ที่หน้าขึ้นสีจางๆ ก็เป็นอันรู้กัน แต่พอมาถึงที่ทำงานอีกครั้ง... หัวหน้าแผนกการตลาดที่เห็นผมเดินเข้าไปก็ปรี่เข้ามาหาทันที

“ติณณ์ เสาร์นี้หลังเลิกงานพี่จะจัดเลี้ยงส่งให้นะ”

หันมองพี่ข้าวที่ยิ้มแห้งให้แล้วหันกลับมามองหัวหน้าแผนกที่ยิ้มไม่รู้เรื่อง... โคตรจะเป็นมารชีวิตเลยนะครับพี่ทศ


เหมือนถูกหัวหน้าแผนกกลั่นแกล้งด้วยการยัดงานมาให้จนลนโต๊ะ แทบไม่มีเวลาตอดพี่ข้าวทั้งที่โต๊ะอยู่ใกล้กันแถมวันนี้พี่แกยังถูกพี่ทศลากไปประชุมที่บริษัทแม่อีก... เรียกได้ว่าตั้งแต่เช้ามาเจอพี่ข้าวแค่ตอนเข้างาน จากนั้นงานก็เทมาที่ผมจนกระดิกตัวไม่ได้...

งานเช็คความถูกต้องก็จริงแต่แบบ... มันเยอะนะเฮ้ย!

“ติณณ์ พี่ว่าไหมพี่ฝากอันนี้ไปให้บัญชีหน่อย” สันแฟ้มโขกลงมาที่หัวไหล่ผมเบาๆ เรียกให้ผมหมุนเก้าอี้กลับไปมอง “นะ”

“โธ่พี่จ๋า งานผมเต็มโต๊ะเลยอ่ะ พี่ทศแกล้งผมแน่ๆ” โอดครวญใส่หญิงสาวตรงหน้าจนพี่แกยิ้มจางๆ ให้ ตั้งแต่รู้ว่าพี่หลงเลิกกับพี่จ๋าแล้วก็ไม่ค่อยได้คุยกันเลย มีวันนี้แหละที่พี่แกเดินมาหาก่อน

“หัวหน้าบัญชีเขารีเควสมาว่าต้องเป็นติณณ์น่ะ ช่วงพี่หน่อยนะเดี๋ยวพี่แบ่งงานไปให้อิงกับอรเอง”

รีบพยักหน้ารับข้อเสนอทันทีจนได้สันแฟ้มตีเบาๆใส่ อย่างหมั่นไส้ ช่วยพี่จ๋ายกงานไปแบ่งอิงอรที่มีงานน้อยกว่าผมเป็นเท่าตัวก็แทบจะเบะปากใส่ประตูห้องหัวหน้าแผนกจากนั้นก็เดินลงมาชั้นเป้าหมาย โชคดีที่ลงมาปุ๊บก็เจอน้านพที่เดินออกจากห้องพอดี

“เห็นทศบอกน้องติณณ์ฝึกเสร็จอาทิตย์หน้านี่” น้านพถาม “จะทำต่อที่นี่หรือไปที่บ้านเราละ”

“ก็...ดูก่อนครับ”

คำถามที่ได้แต่ยิ้มจางให้เพราะตอนนี้ชีวิตมีสองทางเลือกที่ขึ้นอยู่กับคำตอบของพี่ข้าว เลยเลือกที่จะตอบกว้างๆ ไปแล้วรีบเฟดตัวเองออกมา พอกลับขึ้นมาอีกทีก็เห็นคนที่อยากเจอกลับมาแล้ว นึกสนุกอยากแกล้งคนที่นั่งฮัมเพลงอยู่ที่โต๊ะตัวเองเลยย่องเบาไปด้านหลังแล้วก้มหอมแก้มคนพี่ไว้จนได้เสียงโวยวายหน้าแดงกลับมา ก็แค่ตอดนิดตอดหน่อยให้พอชื่นใจ

หลังจากเลิกงาน... ตอนนี้พวกเราสี่คนมาอยู่กันที่ร้านของพี่หลงครับ ตอนแรกกะจะมาแค่ผมกับพี่ข้าวสองคนแต่พี่หลงดันได้ยินตอนชวนเลยจะมาเป็นกขค. และพอพี่ทศรู้เรื่องเลยตามมาด้วย...

เออดี มารชีวิตกันเข้าไปอีก

“ติณณ์กับไอ้เจ้าไปถึงไหนกันแล้วล่ะ หืมม” หรี่ตามองพี่หลงที่พูดขึ้นอย่างล้อๆ ทันทีที่คนในประโยคคำถามลุกไปห้องน้ำหลังจากอิ่มแล้ว

“...แล้วพี่กับพี่ทศล่ะครับ ตั้งแต่ข้ามขั้นตอนมานี่ไปถึงไหนกันแล้วครับ” ตอบคำถามด้วยคำถามจนทั้งสองคนสำลักอากาศ พี่ทศที่สติกลับมาก่อนส่ายหัวแล้วพึมพำด่าผมออกมาเบาๆ ส่วนพี่หลงหันมองหน้าพี่ทศแล้วนั่งเงียบไม่ถามไม่ไถ่ผมต่อกระทั่งพี่ข้าวกลับมา

และความอยากแอลกอฮอล์ก็ไม่เข้าใครของใครทั้งที่เพิ่งวันจันทร์ จากอยู่ร้านพี่หลงเราก็ย้ายถิ่นฐานมาที่คอนโดของพี่หลงกันพร้อมสิงสาราสัตว์หลากหลายขวด สาเหตุแรกคือไม่อยากดื่มที่ร้านเพราะขับรถมากัน สองคอนโดพี่หลงมันใกล้บริษัทมากกว่า ถ้าตื่นสายยังไงก็ไปทัน... นั่นพี่ทศบอกมา

“ติณณ์... Truth or Dare”

“Truth”

เกมส์ในวงเหล้าก็มา หรี่ตามองพี่ทศที่ยิ้มกริ่มอย่างไม่ไว้ใจเพราะรอบก่อนเล่นถามผมว่าถ้าได้ครั้งแรกของคนนี้(ชี้พี่ข้าว)จะทำท่าไหน... เอาซะพี่ข้าวลุกหนีออกจากห้องไปเลย

“หลังจากฝึกเสร็จติณณ์จะทำอะไรต่อ”

“ไม่รู้ครับ อนาคตผมขึ้นอยู่กับคำตอบของคนนี้” ชี้นิ้วไปที่คนข้างๆ ที่เจ้าตัวขมวดคิ้วแน่นเหมือนอยากรู้คำตอบเหมือนกัน

“เห” พี่ทศลากเสียงยาวก่อนจะถามคำถามที่พี่แกก็รู้คำตอบอยู่แล้ว “ทำไมต้องแล้วแต่เจ้าล่ะ”

หันมองพี่ข้าวที่เบือนหน้าหนี ก่อนจะตอบออกไป

“ถ้าคำตอบคือใช่ พี่คงได้เห็นผมเดินอยู่ในบริษัทนี้ต่อ” เงียบไปครู่ใหญ่จนคนที่เบือนหน้าหนีหันกลับมามอง “แต่ถ้าคำตอบคือไม่... พวกพี่คงไม่เห็นผมอีก”

ใครจะหาว่าทำไมต้องให้คนๆ หนึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตเราขนาดนี้ก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ แต่คำตอบของพี่ข้าวเป็นตัวแปรในชีวิตผมจริงๆ

เจ้าของคำถามพยักหน้าพอใจในคำตอบผมก่อนขวดเหล้าจะถูกหมุนอีกครั้ง และคราวนี้ปากขวดชี้ไปที่พี่ข้าว

“กูขอถามเองๆ บังคับให้มึงเลือกTruth” พี่หลงเอ่ยขัดผมขณะที่พี่ทศพุ่งตัวมาเอามือปิดปากไม่ให้ผมปฏิเสธได้ นี่ก็ทำงานกันเป็นทีมจริงเชียว

“แม่งบังคับฉิบหาย” พี่ข้าวสบถแล้วหมุนแก้วน้ำอัดลมในมือไปมา คนนี้ผมห้ามแตะเหล้าครับเมาแล้วไม่อยากให้เมาสักเท่าไหร่ กลัวอดใจตัวเองไม่ไหว

“แล้วมึงละไอ้เจ้า อยากให้น้องมันอยู่หรือไป” พี่ข้าวเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำถามแล้วหันมามองผมที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว

 “...กู”

ผมพยายามทำตัวนิ่งไม่ให้แสดงอาการอยากรู้ออกไป... ขัดกับหัวใจที่เต้นแรงอยากคาดหวังในคำตอบของพี่ข้าว ส่วนพี่ทศพี่หลงนี่ลุ้นตัวโก่งอย่างกับกำลังลุ้นบอล

“กู... ” พี่ข้าวลากเสียงแล้วกลอกตาไปมา ผิวแก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนๆ ให้ผมยิ้มเอ็นดู

“กูอะไรวะไอ้เจ้า”

“...กูจะลงไปซื้อข้าว หิว!” ว่าจบพี่ข้าวก็จ้ำอ้าวข้ามขวดเหล้ากลางวงไปที่ประตูแล้วออกจากห้องไปทันที เราสามคนที่เหลืออยู่หันมองประตูที่ปิดดังลั่นแล้วหันกลับมามองหน้ากันอย่างขำๆ ก่อนพี่หลงจะยื่นกุญแจห้องมาให้พลางชี้นิ้วไปที่ประตูคล้ายจะให้ผมตามคนเขินออกไป

“ไอ้เจ้ามันชอบติณณ์แน่ๆ เชื่อพี่ดิ”

รับกุญแจมาแล้วส่ายหัวอย่างปลงๆ กับคำพูดของพี่ๆ ตรงหน้า ก่อนจะเดินตามรอยคนเขินออกไป ส่วนพี่ข้าวก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอครับ แค่เปิดประตูห้องพี่หลงออกมาก็เจอคนนั่งยองๆ เอาแขนปิดหน้าปิดตาอยู่กับพื้นแล้ว

“พี่ข้าว พี่ข้าวครับ” ผมเรียกคนที่ยังก้มหน้าอยู่ พี่ข้าวสะดุ้งตัวเล็กน้อยเมื่อผมยื่นมือไปแตะแขน ออกแรงง้างจนเห็นหน้าคนหน้าแดงชัดๆ

“ติณณ์... ปล่อยพี่นะ” พี่ข้าวว่าเสียงแผ่ว พยายามดึงท่อนแขนมาปิดหน้าตัวเองให้ได้ ได้ยินอย่างนั้นก็เลยปล่อยตามที่เจ้าตัวขอ พี่ข้าวที่ถูกผมปล่อยแขนกะทันหันเสียหลักหงายหลังไปกระแทกผนังห้องดังตุ๊บ

ฉวยโอกาสที่พี่ข้าวกำลังอึ้งยกมือแนบแก้มทั้งสองข้างของคนพี่แล้วงัดขึ้นทันที

“ติณณ์...”

“พี่ข้าวชอบผมบ้างหรือยัง” ใบหน้าที่อยู่ใบอุ้งมือผมปากเหวอเมื่อผมถาม “ไม่ต้องตอบก็ได้ แต่ถ้าชอบก็พยักหน้าหรือส่ายหน้าก็ได้”

“เดี๋ยว! ทำไมมีคำตอบเดียว!” ผมยิ้มขำพอเห็นคนพี่ที่กำลังจะพยักหน้าชะงักกึกก่อนจะแผดเสียงหลงออมาเมื่อทวนคำพูดผมเมื่อกี้ได้

“ก็ผมอยากให้มีคำตอบเดียวนี่ครับ”

“มัดมือชกกันนี่หว่า”

คนพี่บ่นอุบแล้วเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบ เห็นอย่างนั้นเลยกดหน้าลงไปจูบปากที่เม้มอยู่นั่นเบาๆ อย่างมันเขี้ยว

“...ติณณ์!”

“ก็พี่ไม่ยอมตอบผมนี่ครับ”

“ก็จะให้... อื้อออ!” พอพี่ข้าวกำลังจะโวยวายเลยฉกหน้าไปอีกจุ๊บ

“ติณณ์! อื้ออ!” และอีกจุ๊บ

“ไอ้ติณณ์! พอ!” จนพี่แกยกมือมาปิดปากผมไว้ผมถึงเลิกแกล้งคนที่หอบแฮ่กหน้าแดง ถึงอย่างนั้นก็ไม่วายพรมจูบฝ่ามือพี่เล่นต่อ

“ชอบผมยัง” ถามซ้ำแล้วขบเม้มปลายนิ้วคนพี่ พี่ข้าวจะดึงมือกลับแต่ติดที่ผมจับข้อมือไว้อยู่ “ผมชอบพี่ข้าวนะ”

“...ไหนบอกจะเอาคำตอบวันฝึกเสร็จไง อ๊ะ” คนพี่ตอบเสียงเบาแล้วหันหน้าหนี ก่อนจะร้องออกมาแล้วไล่สายตาขึ้นองด้วยใบหน้าขึ้นสีกว่าเก่า นั่นทำให้ผมมองตามทันที

พี่ทศกับพี่หลงยืนเกาะประตูกันอยู่...

“โทษที ไม่ได้ตั้งใจขัดแต่ได้ยินเสียงโวยวายอยู่หน้าห้องเลยออกมาดูน่ะ งั้นไปละหึๆ”

“ไอ้หลง!”

อ่า... มารพจญเป็นอย่างนี้เองสินะ

Tbc.

――――――――――――――――――――

จะคุยอะไรดี... แต่ใกล้จะพ้นฝึกงานละ แถมดูท่าเรื่องนี้จะยาวกว่ากลิ่นกาวน์อยู่แฮะ...
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -14- 20|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 20-02-2018 23:27:19
คำตอคือ ชอบ ใช่ป่ะล่ะ??
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -14- 20|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-02-2018 00:48:11
 :-[
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -15- 25|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 25-02-2018 02:29:02
15

และแล้วก็เข้าสู่วันสุดท้ายของการฝึกงานตามหน่วยกิตของมหาลัย วันนี้ผมเลยเลือกที่จะขับรถมาเพราะขี้เกียจกลับไปเอาที่ห้องตอนเลิกงาน ซึ่งความคิดนั้นทำให้ผมถึงบริษัทช้ากว่าปกติเล็กน้อยเนื่องจากการจราจรที่ติดขัด ปกติถ้าเดินมาจากห้องก็สิบถึงสิบหน้านาทีแต่พอเอารถมานี่ครึ่งชม.ยังไม่ถึงเลยครับ ในหัววานแผนไว้ว่าไปถึงจะงอแงขอคำตอบจากพี่ข้าวให้ได้ แต่พอมาถึงที่แผนกก็ต้องผงะเพราะกองขนมหลากหลายยี่ห้อที่ถูกวางไว้เต็มโต๊ะผมจนลืมเลือนสิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้านี้

“เอ่อ นี่...” ผมชี้นิ้วไปที่กองขนมนั้นแล้วหันไปมองพี่เลี้ยงฝึกงานที่ทำหน้าเอือมใส่

“สาวๆ ทั้งในและนอกแผนกเอามาให้ไง” พี่ข้าวหันมาตอบ พอพูดเสร็จก็สะบัดหน้าใส่ผมทันทีและเหมือนผมจะได้ยินเสียงคนพี่พึมพำกับตัวเองแผ่วเบาลอยตามลมมา “เหอะ เสน่ห์แรงจริ๊งง”

พอผมได้ยินอย่างนั้นก็กระตุกยิ้มขึ้น ด้วยความอยากแกล้งคนซึนเลยเดินอ้อมไปทางด้านหลังเก้าอี้คนพี่ ดันเก้าอี้จนคนที่นั่งอยู่ตัวติดกับโต๊ะจากนั้นก็โน้มตัวลงเท้าทั้งสองมือกับโต๊ะที่มีแต่งานโดยที่มีเจ้าของโต๊ะนั่นแหละอยู่ตรงกลาง ฉวยโอกาสกดจมูกลงกับไหล่คนพี่ก่อนจะกระซิบเบาๆ ข้างหู

“หึงหรอครับ หืม”

“จะบ้าเรอะ ใครมันจะไปหึง!” พี่ข้าวว่าพลางยกมือปิดแก้มปิดปากไว้ก่อนจะหมุนตัวหันมาหาผมแถมยังใช้ศอกตีๆ กับอกผมอีก... โธ่ ป้องกันซะแน่นหนาเชียวครับ(ว่าที่)ที่รัก “ถอยไปเลยนะ ถอย!”

แต่ไม่ทันได้แกล้งโวยวายหน้าแดงต่อก็มีเสียงมารตนใหญ่แทรกขัดขึ้นพร้อมเสียงเกาะกระจกที่กั้น “เกรงใจที่ทำงานหน่อยติณณ์ไม่ได้อยู่กันสองคนนะ นี่ชะเง้อกันทั้งแผนกแล้ว”

กลอกตากับมารผจญที่มาทั้งอาทิตย์แล้วผละจากพี่ข้าวที่ตั้งท่าจะถวายศอกให้ พอผมยืนเต็มความสูงก็เห็นคนในแผนกที่กำลังชะเง้อคอมองมาทางนี้อย่างที่พี่ทศว่าเขาก็รีบก้มหลบกันทันทีเมื่อผมสบตา ได้แต่ยิ้มขำๆ ให้แล้วหันไปหาหัวหน้าแผนกหนวดเฟิ้มที่ยืนกอดพิงที่กั้นอยู่พร้อมกับม้วนกระดาษในมือ

“วันสุดท้ายแล้วพี่ อย่าเพิ่มงานให้ผมเลย” โอดครวญไปก่อนเมื่อเห็นจำนวนปึกกระดาษในมือนั้น พี่ทศเลิกคิ้วมองผมก่อนจะหัวเราะหึๆ ออกมา

“ไม่เอาแล้วเนาะไอ้ใบผ่านฝึกงานเนี่ย” พี่ทศว่าแล้วชูซองสีขาวที่แทรกๆ อยู่ในประดาษปึกหนานั้นขึ้นโบกไปมา พอผมเอื้อมมือจะไปหยิบแต่พี่ทศดึงซองนั่นกลับไปแล้วยื่นส่งให้พี่ข้าวแทน “พี่ให้เจ้าเก็บไว้นะ เย็นนี้เจอกันร้านไอ้หลง”

หันมองซองสีขาวที่มีตราประทับของบริษัทในมือพี่ข้าวสลับกับคนถือด้วยตาละห้อย ถลาเข้าไปหาพี่ข้าวที่ยิ้มเหี้ยมขัดกับแก้มที่ขึ้นสีจางที่ยกซองนั่นโบกไปมาแล้วเก็บลงในลิ้นชัก “เลิกงานค่อยเอา เก็บขนมนั่นลงก่อนแล้วมาช่วยพี่ตรวจตรงนี้หน่อย”

“โธ่พี่ครับ วันสุดท้ายแล้วปล่อยผมเถอะ”

“งั้นเย็นนี้ไม่ต้องเอา....”

“อันไหนครับที่จะให้ทำ” รีบพูดขัดทันที พอพี่เลี้ยงได้ยินอย่างนั้นก็ขำก๊ากออกมาอย่างไม่แคร์รอบข้าง สุดท้ายก็ได้งานจากมือของพี่ข้าวมาสามสี่แฟ้มไปวางที่โต๊ะตัวเองแล้วยิ้มแห้งให้มัน หันไปโต๊ะข้างๆ ด้วยตาละห้อยก็เห็นว่าคนพี่กลั้นขำจนไหล่ไหวระริก มีแววเกียมัวนะไอ้ติณณ์...

ไม่รู้ว่านาฬิกาหมุนเร็วไปหรือว่ายังไงเพราะเผลอแปบเดียวก็ได้เวลาเลิกงานแล้ว หลังจากเคลียร์งานเสร็จและพี่ทศมาย้ำว่าเย็นนี้ห้ามเบี้ยว ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อคนต่างแผนกดักเจอผมพร้อมกับขนมในมือ ไม่รู้ว่ามากันได้ไงทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ไปแผนกไหนเลย แต่คนที่เป็นตัวการอย่างหัวหน้าแผนกการตลาดก็เฉลยให้ฟังว่าตัวเองไปโม้กับคนอื่นว่ามีเด็กฝึกงานหล่อๆ ในแผนก พอมีคนได้ยินอย่างนั้นก็เลยแห่มาส่อง... แหม่ เอาซะรู้สึกว่าตัวเองเป็นของแปลก

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้พี่ข้าวหน้างอแล้วล่ะครับทุกคน

“พี่ข้าวงอนอะไรผมหรือเปล่าครับ”

“....”

ผมเดินถือถุงขนมที่ได้รับจากคนไม่รู้จักเดินตามพี่ข้าวต้อยๆ พยายามพูดกับคนที่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งก็ไร้คำตอบกลับ “ก็พี่ๆ เขาให้มาจะให้ผมปฏิเสธน้ำใจเขายังไงล่ะ”

“...งั้นได้เยอะแล้วของพี่ก็คงไม่ต้องเอาแล้วสิ” พี่ข้าวหยุดกึก หมุนตัวมามองผมและพูดด้วยเสียงแข็งๆ แล้วเดินหนีไปที่ลูกรักของตัวเองก่อนจะขึ้นคร่อมแล้วขับออกไป เห็นอย่างนั้นก็รีบโยนขนมที่ได้มาไว้หลังรถแล้วรีบขับตามมอเตอไซค์คันเก่าไปที่คอนโดคนพี่ทันที

สุดท้ายไอ้ขนมที่ได้มาก็ถูกส่งมอบให้กับสาวๆ ตรงหน้าฟร้อนท์ที่คุ้นหน้าคุ้นตาเพื่อเป็นใบผ่านทางในการเข้าห้องพี่ข้าวเขาล่ะครับ


“เฮ้ยๆ ไอ้ติณณ์ไอ้เจ้ามาแล้ว ไมมาช้ากันวะ” พี่หลงทักขึ้นทันทีที่เราทิ้งตัวนั่งลง อิงกับอรที่เปลี่ยนจากชุดนักศึกษาเป็นชุดธรรมดาส่งยิ้มทักทายพวกเราเล็กน้อยก่อนหันไปเม้าท์กับพี่ผู้หญิงในแผนกที่มาด้วยต่อ

“ก็พี่ข้าวแหละครับไม่ยอมให้ผมเข้าห้องสักที งอนอะไรก็ไม่รู้” คนถูกพาดพิงหรี่ตามองผมก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปคุยกับเพื่อนตัวเองที่ยัดแก้วน้ำสีอำพันใส่มือให้เสร็จสรรพ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มขำล่ะครับก็ก่อนหน้านี้พี่ข้าวแกโวยวายที่ติดสินบนจนได้คีย์การ์ดห้องพี่แกมา แถมยังเข้าห้องได้ถูกจังหวะตอนคนพี่อยู่ในสภาพสบายสุดขีดด้วยบ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินรอบห้องอีก ผลที่ได้คือหมัดตรงที่รับไว้ทันกับคำบ่นยาวเหยียดมาตลอดทางจนไม่ได้ถามเรื่องคำตอบที่พอจะเดาได้... เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

“แล้วงอนอะไรเด็กมันวะ” พี่ข้าวทำเป็นเมินไม่สนใจคนถามด้วยการตักอาหารตรงหน้าเข้าปาก แต่เพื่อนเขาก็ไม่ยอมแพ้ล่ะครับเซ้าซี้พี่ข้าวซะจนเจอชักสีหน้าใส่

ผมเอนหลังกับพนักพิงแล้วกวาดตามองไปทั่ว บรรยากาศในร้านพี่หลงก็เหมือนทุกครั้งที่มาแต่วันนี้จะแลดูคึกครื้นไปหน่อยเพราะจำนวนสมาชิกในโต๊ะ ได้ยินเสียงพี่ในแผนกบางคนถามว่าผมจะทำอะไรต่อบ้าง รับปริญญาเมื่อไหร่บ้าง จะมาทำที่นี่ต่อไหม... ก็ได้แต่ยิ้มๆ ทั้งทีใจจริงอยากจะบอกครับว่ายังต้องไปทำรายงานฝึกงาน ทำเรื่องจบอีกกว่าจะพ้นสภาพนักศึกษาก็อีกสองสามเดือนนู่นละครับ

เสียงพี่ข้าวที่เริ่มเมาทะเลาะกับพี่หลงที่เมาพอกันเรื่องของกินดังเข้าหูจนได้แต่รวบเอวพอดีมือให้มาชิดตัวเพื่อกันพี่แกออกหมัดใส่เพื่อน คนเมาหันมามองผมด้วยสีหน้าหงุดหงิดก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานให้แล้วเอนหัวพิงไหล่ผมอย่างผิดปกติซ้ำด้วยการเอาหน้ามาถูๆ ไหล่ผมแล้วพูดอะไรอู้อี้คนเดียวอย่างไม่สนสายตาพี่ทศที่นั่งอยู่ตรงข้าม เห็นอย่างนี้แล้วอยากจะขอจับพี่ข้าวมอมทุกวันเลยได้ไหม?

“อาร์ตมาที่นี่บ่อยหรอ?”

“อื้อปกติก็มากับเพื่อนน่ะ แต่มันไปฝึกงานเลยไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่”

เสียงพูดคุยของชายหญิงที่ชื่อในบทสนทาและน้ำเสียงของฝ่ายชายแสนคุ้นหูที่แว่วเข้ามาทำให้ผมเอี่ยวตัวหันไปมอง แล้วก็แจ็คพอตเมื่อเห็นว่าเป็นไอ้เพื่อนรักมานั่งกินข้าวกับสาวที่ผมไม่คุ้นหน้า

“พี่ข้าวครับ เดี๋ยวผมไปทักทายเพื่อนก่อนนะ” บอกกับคนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นแล้วดึงแก้วเหล้าในมือพี่แกออก พี่ข้าวช้อนตาขึ้นมามองเพราะโดนขัดใจ “กินพอแล้วเนอะ เดี๋ยวเมามาก”

“...” พี่ข้าวไม่ตอบแต่ขยับตัวเข้าไปหาพี่หลงแทนไม่ต้องบอกก็รู้ว่างอนผมเข้าแล้ว ได้แต่ส่ายหัวขำๆ กับท่าทางคนพี่แล้วหันไปบอกพี่ทศที่ดูยังมีสติอยู่แทนจากนั้นก็ขอตัวลุกขึ้นไปยังโต๊ะที่หมายตา ไอ้อาร์ตทำหน้าเหมือนเห็นผีเมื่อผมทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ที่ว่างอยู่ กวาดตามองไอ้หมอหมาที่เหมือนผีบ้าเวลาอยู่ห้องกลายเป็นผู้เป็นคนเมื่อออกท่องราตรีแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก

“มาได้ไง?” ไอ้หมอถามเสียงหลงก่อนหันไปยิ้มแหยให้สาวเจ้าแล้วเอ่ยแนะนำตัวให้ผมรู้จักกับผู้หญิงตรงหน้าที่ชื่อฟิล์ม

“ก็มากับบริษัท พามาเลี้ยงที่ฝึกงานเสร็จ” ผมตอบคำถาม “แล้วนี่มาเดทกันหรอครับ”

ไอ้อาร์ตทำหน้าเอือมขณะที่ฟิล์มยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก น่ารักดีแต่ไม่ใช่สเปค “เปล่าค่ะ อาร์ตเป็นเพื่อนเก่าเราพอเรารู้ว่าอยู่นี่เลยนัดเจอกันสักหน่อย” เธอหัวเราะ “อีกอย่างอาร์ตมันเล็งน้องเราไว้น่ะ ไม่ใช่เราหรอก”

ผมเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินอย่างนั้น เด็กข้างบ้านที่มันเคยพูดถึงสินะ... ถ้าคนเป็นพี่สาวหน้าตาแบบนี้คนน้องจะน่ารักแค่ไหนไอ้อาร์ตมันถึงชอบเนี่ย พอหันไปมองเพื่อนสนิทก็เห็นว่ามันถลึงตาใส่สาวตรงหน้าแบบไม่สนมาดตัวเอง นั่งคุยกันได้ไม่นานผมก็ได้ฤกษ์กลับโต๊ะเพราะพี่สักคนเดินมาบอกว่าอิงกับอรจะกลับก่อน ดีที่ทั้งคู่โทรหาแฟนตัวเองไว้ก่อนหน้านี้เลยไม่ลำบากเราสักเท่าไหร่ แต่ที่ลำบากจริงคงเป็นผมกับพี่ทศครับ

ก็ดูคนของเราที่เมาคอพับนั่นสิ

“ติณณ์จะอยู่ต่อได้นะ พี่จะพาหลงมันกลับก่อน” พี่ทศว่าแล้วยกแขนพี่หลงพาดไหล่ส่วนอีกข้างโอบรอบเอวคนเมาเอาไว้กันล้ม

“คงกลับเลยล่ะครับ ผมยังไม่ได้คำตอบเลยแล้วดูพี่ข้าสิ” ว่าขำๆ แล้วก็พยุงคนพี่ขึ้นในท่าเดียวกับพี่หลง... ขอย้ำอีกครั้งว่าเอวพี่ข้าวพอดีมือจริงๆ “ชิงเมาก่อนซะงั้น”

“ทำไมถึงรอฝึกงานเสร็จวะติณณ์ ดูก็รู้ว่าเจ้ามันรู้สึกยังไงกับติณณ์”

“ก็... ถ้าผมยังอยู่ในชื่อเด็กฝึกงานพี่ข้าวจะดูไม่ดีนี่ครับ ใครรู้จะว่าได้ว่าพี่แกกินเด็กที่ตัวเองเป็นพี่เลี้ยงเนี่ย” พี่ทศขำพรืดออกมา “อีกอย่างผมอยากให้พี่ข้าวมั่นใจจริงๆ ครับไม่ใช่แค่หวั่นไหวกับผม”

“ตำแหน่งหลานผู้บริหารค้ำคอแบบนี้ใครจะกล้าว่าคนของติณณ์ได้หึ”

“ก็ใครที่ว่านั่นไม่รู้เหมือนพวกพี่นี่ว่าผมเป็นหลานลุงวัช” ผมเงียบเสียงลงเมื่อถึงรถ เปิดประตูเอาคนนั่งประจำที่จนเสร็จสรรพก่อนจะเดินมาหาพี่ทศที่จอดรถข้างๆ กัน “สามเดือนไม่มากไปสำหรับการรักใครสักคนหรอก”

พี่ทศหัวเราะออกมาหลังจากที่จัดการพี่หลงเสร็จ “แต่สำหรับไอ้คนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองชอบใครสักคนมันก็ช้าไปนะ”

ได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆ ให้พี่ทศที่ย่อตัวนั่งมองพี่หลงที่หลับไม่รู้เรื่อง พอได้ยินเสียงครางอื้อจากคนในรถก็เอ่ยปากขอตัวกับคนแก่กว่า

“หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะติณณ์”

“เจอกันอยู่แล้วครับพี่”


พาคนเมากลับมาห้องได้โดยสวัสดิภาพ ถึงจะแปลกใจกับที่คนเมาว่าง่ายผิดวิสัยไปหน่อยก็ไม่ได้ติดใจอะไร หลังจากส่งพี่ข้าวลงเตียงผมก็ออกไปหากะละมังมาใส่น้ำเพื่อเช็ดตัวคนเมา กลับเข้าห้องมาก็เจอพี่ข้าวที่น่าจะนอนซุกผ้าห่มกับกองนุ่มนิ่มของเขานั่งจ้องผมเขม็ง เอาละ... พี่ข้าวจะเมายังไงล่ะคราวนี้

ครั้งแรกที่พี่ข้าวเมาหนักๆ ก็เจอเมาแล้วอ้อนกอด ครั้งที่สองเจอเมาแล้วงอแงใส่ ครั้งที่สามเมาหลับสนิทขนาดที่ว่าผมจับหอมแก้มยังไม่ตื่น แล้วครั้งที่สี่นี้พี่แกจะมาไม้ไหนกันนะ

“ไม่นอนหรอครับ จะเที่ยงคืนแล้ว” เอ่ยถามคนที่มองตามผมตลอด พี่ข้าวไม่ตอบรับแต่หันไปมองนาฬิกาแทน เห็นอย่างนั้นเลยทิ้งตัวนั้นข้างๆ พี่แก “งั้นขออนุญาตเช็ดตัวหน่อยนะครับ”

พี่ข้าวเม้มปากแน่นเมื่อผมค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อ น่าแปลกที่คราวนี้คนพี่ดูไม่ค่อยให้ความร่วมมือในการเช็ดตัวเหมือนครั้งก่อนๆ สักเท่าไหร่ และยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ที่เปล่งออกมาเบาๆ ทุกครั้งที่ผ้าชุบน้ำลากผ่านเนื้อตัว

ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ในใจเมื่อคิดอะไรได้แล้วเอื้อมมือไปปลดกระดุมกางเกงที่พี่ข้าวใส่อยู่ เท่านั้นล่ะมือพี่แกรีบตะปบลงกับมือผมที่จะรูดซิปลงทันที

“ติณณ์!!”

“อ้าว คราวนี้ไม่ให้ผมถอดให้หรอครับ” แสร้งทำมึนใส่คนแกล้งเมา “ทุกทีมีแต่อ้อนให้ผมถอดให้นี่ครับ”

“จะบ้าหรอ!”

ยิ้มขำใส่คนโวยวายจนหน้าแดงจัด มือพี่แกยังพยายามจะดันมือผมที่อยู่ตรงเป้ากางเกงออกให้ได้ เห็นอย่างนั้นเลยโน้มตัวเข้าไปหาคนพี่จนจมูกเกือบชนกัน “แกล้งเมาหรอครับ หืมม”

“...ฮึ่ยยย” พี่ข้าวสะบัดหน้าหนีเพราะหาข้อแย้งไม่ได้ ได้ทีเลยกดจมูกลงไปคลอเคลียกับแก้มนุ่มติดกลิ่นเบียร์ “ติณณ์ไม่เอา”

“แกล้งเมาเพราะไม่อยากตอบคำถามที่ผมเคยถามหรอครับ” ผละออกแล้วแสร้งว่าเสียงอ่อย “หรือพี่ไม่ชอบผมหรอครับ”

“มะ...!” พี่ข้าวที่หลุดคำออกมายกมือปิดปากตัวเองแน่น หน้าที่แดงอยู่แล้วแดงขึ้นไปอีกจนน่าเอ็นดู

“ผมชอบพี่ข้าวนะ”

“....”

“ถ้างั้นผมขอตัวแล้วกันครับ”

ผมลุกขึ้นด้วยใบหน้าเศร้าๆ แล้วหันหลังทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงกึกกักตามหลังมาพร้อมเสียงเรียกชื่อดังลั่น

หมับ

“ติณณ์! เดี๋ยว!!”

แรงกระชากที่ข้อมือทำให้ผมหยุดฝีเท้าแล้วหมุนตัวไปหาคนพี่ ตีหน้าเศร้าสร้อยแบบที่สมควรได้รางวัลสาขานักแสดงดีเด่นมองพี่ข้าวที่ทำท่าอึกอัก “คือพี่ไม่ได้...”

“ผมไม่ได้ฝืนใจพี่ให้ชอบนะครับ” กุมมือทับมือที่จับอยู่ “แค่ผมได้ชอบพี่ก็ดีแล้...”

เสียงผมหายไปเมื่อคนตรงหน้ากระชากคอเสื้อผม ตามด้วยสัมผัสนุ่มๆ ที่แตะลงที่ริมฝีปากของผมแค่แวบเดียวก่อนจะละผละออก

“หยุดมโนแล้วฟังกันก่อนสิเฮ้ย!!”

เกือบหลุดขำเมื่อคนตรงหน้าตะโกนออกมาแต่ก็ต้องเก๊กหน้านิ่งไว้ อยากจับคนตรงหน้าจูบจนหนำใจก็ทำไม่ได้

“คือ... โว้ย! รอตรงนี้ห้ามไปไหน!!” พี่ข้าวชี้นิ้วสั่งแล้ววิ่งเข้าไปในห้องก่อนจะออกมาพร้อมอะไรสักอย่างในมือ พี่แกขมวดคิ้วแล้วตึกมือผมไปจับและวางสิ่งที่ถือมาลงในมือผม “ฟังนะ พี่ไม่ได้ไม่ชอบติณณ์หรืออะไรต่างๆนานาอย่างที่ติณณ์คิดในหัว ติณณ์ไม่ได้ฝืนใจพี่เลยสักนิดแล้วพี่ก็ไม่ได้จะแกล้งเมาเพื่อที่ไม่ได้ตอบ แต่... แต่แม่งมันเขินเว้ย”

พี่ข้าวหอบแฮ่กหลังจากที่พูดจบ ผมก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือสลับกับคนหน้าแดง

“คีย์การ์ด?”

“...ก็จะได้ไม่ต้องลำบากติดสินบนฟร้อนท์อีก” พี่ข้าวยืนกอดอกหันหน้าแดงๆ หนีผม ก่อนพูดเสียงเบา “นั่น...พอเป็นคำตอบได้ไหม”

“พี่ข้าวให้ผมทำไมครับ” ยังคนแกล้งทำหน้ามึนแล้วชูคีย์การ์ดในมือโบกไปมา “หมายความว่ายังไงครับ”

“ก็เอาไว้เข้าห้อง...พี่ไง”

“แล้ว...”

“พี่ชอบติณณ์พอใจยัง!”

“งั้นเป็นแฟนผมนะ”

“เออ! เป็...” พี่ข้าวชะงัก แล้วค่อยๆ หันมามองผมที่ฉีกยิ้มกว้าง “เดี๋ยวนะ... ติณณ์...”

“ครับแฟน”

“หลอกพี่หรอ?” พี่ข้าวกดเสียงเย็นแต่ไม่ได้ผลกับผมในตอนนี้สักเท่าไหร่ ไม่รอให้คนพี่พูดอะไรต่อก็รวบตัวคนที่ยืนเปลือยส่วนบน และกางเกงถูกปลดซิปจนเห็นชั้นในสีเข้มขึ้นพาเข้าห้องแล้วระดมฟัด “ติณณ์ปล่อย! ติณณ์พี่บอกให้ปล่อย!!”

“ผมอยากนอนกอดแฟน นอนกันนะครับจุ๊บ”

ฉวยโอกาสที่คนพี่เอ๋อๆ จับซุกหน้าลงกับอกแล้วพาดแขนพาดขาล็อกตัวพี่ข้าวจนได้รอยฟันกัดๆ แทะๆ มาที่อกผมเหมือนลูกหมาลูกแมวคันฟัน ก็ได้แต่นอนลูบหัวลูบหลังคนพี่แกที่มีฤทธิ์แอลกอฮอล์จนพี่แกหลับไป

บอกแล้วไงครับพี่ข้าวไม่รอดผมหรอก หึๆ

Tbc.

――――――――――――――――――――

โอเคค่ะเขาเป็นแฟนกันแล้วนะคะ ปิดเรื่องได้--- //เดี๋ยวๆ ก็สงสารพี่ข้าวที่ต้องรับมือคนเจ้าเล่ห์อย่างนี้นะคะ 555555555 แต่เดี๋ยวพี่แกก็ซึมซับนิสัยแฟนตัวเองไปนั่นแหละ
ตอนนี้มีแขกรับเชิญมาด้วยนะใครเอ่ยยยย
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -15- 25|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-02-2018 20:51:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -15- 25|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-02-2018 23:20:41
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -15- 25|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-02-2018 00:17:36
ไม่รอดฝีมือติณจริงๆด้วย,,,
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -15- 25|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-02-2018 02:42:00
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -16- 28|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 28-02-2018 00:33:58
16
ข้าวเจ้า


เสียงหมัดกระทบกระสอบทรายและเสียงตะโกนโหวกเหวกที่ดังอยู่รอบข้างนั้นบ่งบอกได้ว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ไหน ผมสูดลมหายใจมองกระสอบทรายหนังเทียมสีแดงดำตรงหน้าที่มีรูปใครบางคนติดอยู่ก่อนจะออกหมัดชกมันอย่างแรงจนได้ยินเสียงโซ่เอี๊ยดอ๊าด ตามด้วยตวัดขาเตะสูงระดับคอของคนในรูปที่ติดอยู่ดังปุ!

“ข้าว... น้าถามจริงเอ็งไปโกรธใครมา ช่วงนี้เห็นหน้าบ่อยเกินไปแล้วนะ” ผมเหวี่ยงหมัดระบายอารมณ์เป็นครั้งสุดท้ายจับกระสอบทรายที่แกว่งอยู่ให้นิ่งแล้วถอดนวมพลางหันมองน้าชายที่ยืนกอดอกมองผมอยู่ ก่อนแกจะชายตามองรูปที่ติดอยู่บนกระสอบ “โดนแฟนเด็กเอ็งทิ้งหรือไงถึงเอารูปเขามาติดประสอบเนี่ย”

“เออ!” ผมตอบกลับไปอย่างเหวี่ยงๆ เพราะไอ้คนที่น้าชายแกพูดถึงมันปรี่มาฝากเนื้อฝากตัวกับครอบครัวผมตั้งแต่วันแรกที่ผมตกลงเป็นแฟนกับมัน ตอนแรกเหมือนจะดราม่าแต่บ้านผมกลับฝากฝังไอ้หมีนั่นให้ดูแลผมซะงั้น แล้วพอหลังจากที่มันก็มาคลุกอยู่กับผมเกือบทั้งเดือนมันก็หายไปจากวงจรชีวิตผมเลยครับ แล้วมาบอกวันไหนไม่บอกมาบอกวันที่มันจะไปนั่นแหล่ะ

“พี่ข้าวครับ” เสียงรบกวนกระซิบข้างใบหูผม ตามมาด้วยริมฝีปากที่กดลงมาบนหน้าผากแผ่วเบา

“...หืม” ปรือตามองคนร่วมห้องที่อยู่ในชุดนักศึกษาเต็มระเบียบ

“เดี๋ยวผมจะได้ไม่มาหาพี่สักสองสามเดือนนะ”

“อือออ” ผมที่ยังไม่ตื่นดีครางรับรู้ ได้ยินเสียงถอนหายใจและประตูเปิดปิดก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะเข้าใจว่ามันไปเรียนตามปกติ แต่พอสมองเริ่มประมวลผลกับคำพูดมันได้ปุ๊บผมก็เบิกตาโพลงกับความว่างเปล่าในห้องทันที

“ห๊ะ!


ก็ตามนั้นแหละครับ... จากนั้นมีแค่ข้อความที่ส่งมาบอกชีวิตความเป็นอยู่ให้รู้ว่ามันยังมีชีวิตอยู่กับโผล่หน้ามาให้เจออยู่แค่สองครั้ง คือเข้าใจครับว่ามันยังต้องไปเรียนต่ออีกหลายเดือน แต่... ถ้าแม่งจะออกงานกับลุงวัชให้คนในแผนกแตกตื่นมาถามผมจนตอบไม่หวาดไม่ไหวได้ แต่ดันโผล่หัวมาหาคนที่เป็นแฟนไม่ได้นี่ก็น่าถีบนะเว้ย!

น้าชายหัวเราะลั่นกับท่าที่หัวฟัดหัวเหวี่ยง ก่อนผมจะเดินตามน้าชายไปนั่งเก้าอี้ไม่ใกล้ไม่ไกล “ก็เด็กนั่นก็บอกอยู่นี่ว่ายังต้องไปทำเรื่องจบอีก ติดแฟนหรือไงเรา”

หันไปชักสีหน้าใส่น้าตัวเองทันที... ผมไม่ได้ติดแฟนนะแต่ถ้าคุณไม่ได้เจอหน้าคน(ที่เพิ่งจะคบ)เป็นแฟนกันเป็นสองสามเดือนนี่มันก็น่าหงุดหงิดป่ะครับ? คิดแล้วก็อยากไประบายอารมณ์กับกระสอบอีกสักรอบ แต่นั่น...สมศักดิ์ ปักตะไคร้ศิษย์เอกของค่ายมีเดินเข้าไปแล้วครับ สมศักดิ์... เอ้า สมศักดิ์แยบหมัดซ้าย สวนด้วยมัดตรงขวาที่โดนไปเต็มๆ คงได้นับดาวแน่ๆ ฮึ่ย! เอาละครับตอนนี้สมศักดิ์เข้าไปคลุกวงในแล้วครับท่านผู้ชม! โอ้ว สมศักดิ์ล็อกคอไว้แล้วนั่นเข่าลอยก็มาครับดังปุ! จนรูปหลุดเลยครับท่านผู้ชม!! อุ๊บ ขอโทษครับเพลินไปนิด... ก็อยากจะลุกไปชกต่อนะแต่พี่สมศักดิ์เด็กปั้นตั้งแต่รุ่นลุงผมเดินเข้าไปใช้กระสอบทรายต่ออย่างที่พากย์ไปนั่นแหละ...

“น่าๆ สงบสติอารมณ์แล้วกลับคอนโดไปซะ เดี๋ยวไอ้นั่นมันก็มาเอง” น้าชายว่าขำๆ ฝ่ามือตีลงที่หลังผมเสียงดังเต็มแรงจนแสบก่อนที่แกจะลุกหายไปเด็กใหม่ที่ซ้อมเตะเบาะอยู่ไม่ไกล

สุดท้าย... เพราะโดนเจ้าของค่ายมวยไล่ออกมาเลยจำใจต้องกลับคอนโดทั้งที่ยังไม่หายหงุดหงิด อาบน้ำไล่เหงื่อจากที่ค่ายแล้วก็ควบลูกรักที่ไอ้ติณณ์ย้ำนักย้ำหนาว่าให้เลิกใช้ไปหาซื้อของกินที่ร้านข้าวต้มข้างทางก่อนถึงคอนโด เอ่ยทักทายคนตรงฟร้อนท์ที่ส่งยิ้มให้พอเป็นพิธีแล้วเดินเข้าลิฟต์ไป พอถึงห้องก็สะบัดเสื้อผ้าบนร่างกายทิ้งจนเหลือแค่บ็อกเซอร์สีเข้มกับเสื้อกล้ามทิ้งตัวลงกับโซฟาอย่างหมดสภาพ

แคว่ก

ซองเอกสารสีน้ำตาลที่พี่ทศยื่นให้ตั้งแต่เลิกงานถูกแกะออกอย่างไม่ใยดี ข้างในเป็นเรซูเม่กับทรานสคริปของว่าที่เด็กฝึกงานที่ผมต้องดูแลต่อ ตอนติณณ์นั่นเหตุสุดวิสัยครับเลยไม่ได้เตรียมตัวก่อน มาครั้งนี้ไอ้คุณพี่ทศเลยให้ผมแสกนตั้งแต่ยื่นสมัครเข้ามาเลย

ผู้ชายอีกแล้ว... ถอนหายใจยาวเมื่อได้เห็นรูปที่ติดอยู่ ผมเก็บเอกสารลงในซองคืนเมื่อได้ยินเสียงไมโครเวฟร้องเตือน ผัดคะน้ากับยำไข่ดาวพร้อมด้วยข้าวต้มร้อนๆ ที่ซื้อจากร้านข้าวต้มโต้รุ่งถูกวางไว้บนโต๊ะหน้าทีวี พอมองรอบห้องก็รู้สึกว่าห้องที่อยู่มานานมันกว้างแปลกๆ ผมทรุดตัวนั่งกับพื้นหน้าโซฟา รายการตลกมุขบาทสองบาทในจอถูกเปลี่ยนเป็นหนังซอมบี้ยิงกันหัวขาดไส้ทะลัก

ข้าวอร่อยขึ้นเยอะเลยล่ะครับ... ผมประชด

ครืดดดด

มองตามเสียงโทรศัพท์สั่นครืดไปกับโต๊ะ พอเอื้อมแขนไปหยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นเบอร์ไม่คุ้นจึงกดรับ

“เจ้าครับ”

‘เอ่อ...’ ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่ ‘พี่ข้าวครับ ผมอาร์ตเพื่อนติณณ์นะ’

“อ้อ ว่าไง”

‘คือว่าผม---’ ก๊อกๆๆๆๆ

“แปบนะอาร์ต มีคนมา” ผมบอกปลายสายเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ลุกขึ้นเดินไปส่องตาแมวดูก็ไม่เห็นใครอยู่หน้าห้อง พอจะเดินกลับเข้าห้องเสียงเกาะประตูก็ดังอีกระลอกใหญ่ ได้ยินอาร์ตที่ยังอยู่ในสายพูดอะไรสักอย่างแต่ความสนใจผมไปอยู่กับเสียงรบกวนที่ดังไม่หยุด กระชากประตูออกไปอย่างหงุดหงิดก็เจอกับคนที่ไม่ได้เจอมาเกือบๆ สามเดือนยืนยิ้มกว้างพร้อมกระเป๋าเดินทางอีกสองใบข้างตัว

“คิดถึงจัง” มันว่า ก้าวเข้ามารวบตัวผมไปกอดเต็มรักและเอ่ยคำข้างหู ไม่ปล่อยให้ได้ถามอะไรผมถูกชิงลมหายใจจนต้องบิดเนื้อที่แขนมันจนอีกฝ่ายหยุดจูบ “เจ็บๆๆๆ ปล่อยครับปล่อย อูย...”

“มาทำไม” ผมถามเสียงเขียว ยกมือป้องปากกันคนฉวยโอกาสที่ทำหน้าตาละห้อย

“ก็มาอยู่กับแฟนครับ” มันตอบทันที “พี่ข้าวคิดถึงผมไหม”

“มาอยู่? ไม่มีที่อยู่หรือไง” ผมไม่ตอบมันแต่ถามมันกลับ ไอ้หมียักษ์หัวเราะหึในลำคอแต่ไม่พูดอะไร ฉวยหยิบโทรศัพท์ในมือผมไปเปิดลำโพงและพูดกับปลายสาย

“เออ กูถึงแล้ว” ได้สินเสียงถอนหายใจดังออกมาจากอีกฝั่ง

‘พี่ข้าว... ผมจะบอกว่าพอดีน้องสาวผมมันจะมาอยู่กับผม ไอ้ติณณ์เลยต้องย้ายออกน่ะครับ’ เสียงที่ตอบมาดูติดเกรงใจ แต่หน้าของคนมีชื่อในบทสนทนาแม่งบานยิ่งกว่าดอกทานตะวัน ‘คือ... ผมฝากเพื่อนผมไปอยู่ด้วยนะพี่ ไอ้ติณณ์มันเลี้ยงง่ายขับถ่ายเป็น ให้อาหารเป็นเวลาให้ความใส่ใจก็อยู่ได้ทั้งวันแล้วครับ ถ้าดื้อจับฟาดได้เลย ...อ้ะ แม่ผมโทรมาล่ะแค่นี้ก่อนนะครับพี่ข้าว’

“ห๊ะ เดี๋ยวอาร์ต!” ผมตะโกนใส่โทรศัพท์ที่อีกฝ่ายตัดสายทิ้งไปแล้ว จะกดโทรกลับไปก็ถูกไอ้คนที่ยังกอดผมอยู่แย่โทรศัพท์ไป ติณณ์กระตุกยิ้มเอาโทรศัพท์ผมยัดใส่กระเป๋าตัวเองทันที “แล้วนี่หมายความว่าไง?”

“ก็อย่างที่ไอ้หมอมันพูดล่ะครับ น้องสาวคนสวยของอาร์ตเข้ามาติวค่ายอะไรสักอย่างเพื่อเตรียมสอบปีหน้า ผมเลยต้องย้ายถิ่นฐานมาอยู่กับแฟน”

ว่าจบมันก็จกหน้าลงมาอีกครั้ง เพราะรู้ว่ามันเล็งที่ไหนเลยเบี่ยงหน้าออกทำให้ปากมันประทับแก้มแทน... รู้ตัวครับว่าหน้าเริ่มร้อนใจเริ่มสั่นเพราะไม่ได้เจอมันมาพักใหญ่ แต่ถ้ายังไม่เคลียร์เรื่องหายหัวไปไม่ได้ก็ไม่ต้องมาหวั่นไหวกันเลย!

ผมผลักมันออกเต็มแรงแล้วยืนกอดอกมองไอ้หมีตรงหน้านิ่งๆ ติณณ์ที่รู้ตัวถึงความผิดหลากหลายกระทงของตัวเองอยู่แล้วได้แต่ยิ้มแห้งแล้วเข้ามากอดผมอย่างออดอ้อน

“พี่ข้าวครับ ติณณ์ทำรายงานจบเหนื๊อยเหนื่อย” นั่น เสียงอ่อนเสียงหวานเชียวไอ้หมี “แถมยังถูกลุงวัชลากออกงาน ถูกเพื่อนไล่ออกจากห้องอีก... ติณณ์น่าสงสารออก”

ผมยกมือขึ้นกุมขมับกับไอ้หมีตัวยักษ์ที่มโนว่าตัวเองเป็นลูกแมวน้อยคลอเคลียเจ้าของ คำบอกเล่าช่วงที่มันหายไปดังเข้าโซนประสาทจนได้แต่ถอนหายใจรับคำขอโทษของมัน

ก็ติณณ์มันมีเหตุผลของมัน ไม่ใช่ไม่มีนี่ครับ

“ปล่อยพี่แล้วเอากระเป๋าเข้าห้อง” สั่งปุ๊บเจ้ากระเป๋าใบโตทั้งสองก็ถูกเข็นเข้าห้องปั๊บ บอกให้ไอ้ติณณ์จัดการเก็บส่วนตัวเองก็มานั่งกินข้าวมื้อดึกต่อ ติณณ์ที่คาดว่าเก็บของเสร็จแถมด้วยอาบน้ำเรียบร้อยเดินมานั่งซ้อนหลังกอดเอวผมวิจารณ์หนังซอมบี้ว่าไม่สมจริงก็ทำให้ผมได้แต่ส่ายหัวเอือมๆ

“ซองอะไรอ่ะพี่ข้าว” มันพูดพร้อมกับหยิบซองขึ้นมาดูโดยไม่รออนุญาต “อินเทิร์นชิพส์?”

ผมกดหน้าลงแทนคำตอบเพราะปากไม่ว่าง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเสียงสบถที่ได้ยินนั่นด่าพี่ทศไม่ใช่ผม “ตอนติณณ์ต้องเป็นหลงดูแลนั่นแหละ แต่มันคงรับสามคนไม่ไหวเลยโยนมาให้พี่”

“โหย ทำยังกับผมเป็นผักปลาจะได้โยนง่ายๆ” มันหัวเราะแล้วโยนซองไว้ที่เดิม “พี่ข้าวเป็นพี่เลี้ยงผมคนเดียวก็พอแล้ว หวง”

“คนเดียวที่ไหน ก่อนติณณ์มาพี่ก็ดูแลเป็น” ว่าติดขำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้หมีด้านหลังมันตีหน้ายุ่งเพราะมันก้มมากัดคอผมเต็มๆ นี่ละ

พอไอ้ติณณ์เห็นว่าผมอิ่มมันก็ไล่ให้ไปอาบน้ำ บอกจะล้างจานให้ซึ่งผมก็ทำตามอย่างไม่มีอิดออดเพราะตรงซิงค์ล้างจานยังมีจานของเมื่อเช้าแช่อยู่เลย อันที่จริงมีติณณ์อยู่ก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอกครับเกือบหนึ่งเดือนที่อยู่กับมันทำให้รู้ว่ามันดีเกินไปจนไม่คิดว่ามันจะมาชอบด้วยซ้ำ งานบ้านก็เป็นทำกับข้าวก็ได้ จะแย่ก็ตรงมือปลาหมึกที่จ้องจะล้วงลงไม่ก็สอดเข้าเสื้ออยู่ตลอดนี่สิครับ

ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นไอ้หมียักษ์ที่อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยนั่งอยู่ปลายเตียง พอมันเห็นผมเดินไปใกล้ก็ฉุดลงตักแล้วกอดแน่นทันที

“ติณณ์ ไม่ซนครับ” เอ่ยปราบกับเจ้าของมือที่สอดสูงเข้ามาในเสื้อนอนพร้อมกับริมฝีปากที่กดเม้มลงมาหลังลำคอจนรู้สึกแปลกๆ แต่เสียงปรามผมคงเหมือนลมพัดผ่านเมื่อมือของมันสะกิดเข้าที่ยอดอกขณะที่มืออีกข้างไล้ตามขอบกางเกงและทำท่าจะสอดมือลงไป

“ติณณ์...” กดเสียงต่ำเมื่อเห็นท่าว่าชักไม่ดี ติณณ์ยอมเอามือออกจากการสัมผัสผิวกายแต่ก็ไม่วายโอบเอวผมแล้วเอาหน้าซุกหลังผมไว้

“โธ่ ผมไม่ได้เจอพี่ข้าวตั้งนานนะ” มันโอดครวญ “ขนาดตอนนั้นยังยอมผมอยู่เลย”

“ติณณ์!!” ผมหน้าขึ้นสีเมื่อมันพูดถึงเรื่องนั้น หันขวับกลับไปจ้องตัวการที่กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์... มันไม่มีอะไรมากอย่างที่คุณคาดหวังหรอกครับก็แค่หมียักษ์มันมาลูบๆ คลำๆ ผมอย่างนี้และคุณก็คงรู้นะว่าธรรมชาติของผู้ชายมันเป็นยังไง พอสะกิดนิดสะกิดหน่อยอารมณ์ก็กระเจิง สุดท้ายก็โลกสวยเพราะมือ...มัน

“พี่ยกโทษให้ไม่ใช่จะยอมทุกอย่างนะ”

“นิดเดียวก็ได้” ติณณ์รั้งเอวผมที่เงียบไปชิดตัวมัน “แค่จูบ... นะครับข้าวครับ”

หรี่ตามองคนที่เรียกชื่อผมห้วนๆ ที่จ้องปากผมตาวาว ผมถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะขยับตัวยื่นหน้าไปจูบปากมันเบาๆ “จูบแล้ว ปล่อยพี่ได้ยะ...”

เสียงผมขาดหายไปเมื่อคนเจ้าเล่ห์กดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง กดย้ำหนักๆ พร้อมลิ้นชื้นที่ไล้รอบขอบปากเมื่อผมไม่ยอมเปิดปากให้อีกคน แต่ความเจ้าเล่ห์ของไอ้ติณณ์มันมีมากกว่านั้น ความเจ็บที่สะโพกเพราะถูกหยิกทำให้ผมเผลอเปิดปากจนมันสอดลิ้นเข้ามาได้

กว่าไอ้หมียักษ์จะพอใจผมก็แทบหมดลม มันจูบหนักๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนผละออก ได้แต่ตวัดตามองติณณ์ที่หัวเราะกับอาการหอบของผมเพราะไม่มีแรงที่จะทำร้ายมันอย่างที่ใจคิด

“อ่ะๆ ให้กัดแก้แค้น” ว่าแล้วมันก็ดึงคอเสื้อออกกว้าง ขมวดคิ้วเมื่อเห็นมันยักคิ้วท้าทายและผมก็ตอบการท้าทายนั่นด้วยการยื่นหน้าไปใกล้ลำคอจนได้กลิ่นครีมอาบน้ำกลิ่นเดียวกันจางๆ

ก่อนจะกัดไปจมเขี้ยว

กึด!

“โอ๊ย! เจ็บๆๆๆ พี่ข้าวปล่อยผมมมมมมมม”

และแล้วผมก็ได้ครองเตียงแต่เพียงผู้เดียวครับ ส่วนไอ้ติณณ์น่ะหรอ...โซฟาก็มีนะครับทุกคน

Tbc.
―――――――――――

ไทม์สคิปกันเล็กน้อยกับตอนนี้เนอะ อุอิ เดี๋ยวจะมีสคิปอีกตอนหน้าๆ บอก... เรื่องนี้ตอนเยอะกว่ากลิ่นกาวแน่นอน /ร้องไห้
แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -16- 28|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-02-2018 00:46:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -16- 28|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-02-2018 02:36:41
 :hao5:


ใจร้าย
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -16- 28|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 28-02-2018 23:50:46
สุดหวานมากครับ. สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -16- 28|02|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-03-2018 04:26:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -17- 04|03|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 04-03-2018 23:05:30
17


ผมจะไม่ขอแก้ตัวเรื่องที่ผมหายไปครับเพราะทุกอย่างมันคือความจริง... นอกจากงานหลวงอันแสนยิ่งใหญ่ที่มาในรูปแบบรายงานเดี่ยวนั่นแล้ว นั่งทำพรีเซ้นต์ข้ามวันข้ามคืนแล้วยังต้องมาเจองานราษฎร์อย่างน้องๆ สภาของคณะมางอแงให้ช่วยเพราะต้องเร่งทำสรุปประจำปี แล้วไหนจะเรื่องลุงวัชที่มาหาผมถึงห้องไอ้อาร์ตแล้วลากผมไปออกงานเป็นเพื่อน... แต่แลกกับการที่ลุงวัชจะไปคุยกับพ่อแม่ผมว่าให้ผมทำงานให้ทางนี้ต่ออีกสักสามสี่ปีก็คุ้มอยู่ เรียกได้ว่าก่อนหน้านี้งานชุมจนแทบไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเลยครับ

หลังจากที่จัดการส่งรายงานและทำพรีเซ้นต์อะไรเสร็จเรียบร้อย แทนที่จะได้กลับมาหาพี่ข้าวผมก็ดันโดนลุงวัชเรียกใช้งานต่ออย่างปฏิเสธไม่ได้ สุดท้ายพอจบทุกอย่างผมเลยหอบข้าวหอบของมาที่คอนโดของพี่ข้าวทันที โชคดีที่น้องสาวของไอ้อาร์ตมันมาหาผมเลยมีเหตุผลสนับสนุนแน่นและพี่ข้าวก็ยอมให้อยู่ห้องโดยดี

น่ารักใจดีอย่างนี้ไม่ให้ผมรักได้ยังไง

“...พี่ข้าวครับ เช้าแล้วนะ” ผมเคาะประตูห้องเรียกคนที่ไล่ให้ผมออกมานอนโซฟาตั้งแต่เมื่อคืน ถือวิสาสะเปิดห้องเข้าไปหาก้อนกลมๆ นอนขดอยู่บนเตียง พอเอื้อมมือไปปลุกจนพี่ข้าวตอบงัวเงียกลับมาอย่างไม่เป็นคำพูดก็ได้แต่ยกยิ้มขำ แอบลักหลับคนยังไม่ตื่นดีไปหนึ่งฟอดใหญ่ๆ ก่อนจะออกไปเตรียมข้าวเช้าให้คนพี่ต่อ

เห็นอย่างนี้ผมก็พ่อศรีเรือนนะครับ... ตอนทำให้พี่ข้าวชิมครั้งแรกเจอบอกว่าผมต้องไปสั่งร้านมาแน่ๆ แต่พอได้กินบ่อยๆ เลยกลายเป็นว่าคนพี่ติดรสมือผมไปซะแล้ว

กึก

ชะงักมือที่กำลังตอกไข่ลงกระทะเมื่อได้ยินเสียงคนเดินลากเท้ามาด้านหลัง จะหันไปมองก็ไม่ได้เพราะไม่สามารถละมือจากการดาวไข่ได้เลยได้แต่บอกอีกคนว่ากำลังทำข้าวเช้าให้รอก่อน ได้ยินเสียงพี่ข้าวครางรับคำแผ่วๆ คลอไปกับเสียงน้ำมัน แต่เพราะความรู้สึกที่เหมือนมีใครจ้องมองอยู่เลยทำให้รู้เจ้าตัวก็ยังคงอยู่ที่เดิมไปไหน

“ติณณ์”

“หืม” ขานรับน้ำเสียงเจืองัวเงียของคนพี่ พอดีกับไข่ดาวเริ่มสุกเลยจัดการปิดเตาจากนั้นก็หมุนตัวไปหาคนที่เรียกชื่อผมแล้วเงียบยาว

“ว่าไงครับพี่ข้าว”

ตุ้บ

“คิดถึงเหมือนกันนะ”

หลังจากที่ผมหันไปเผชิญหน้ากับคนงัวเงีย พี่ข้าวที่หาววอดอยู่ก็เดินมาทิ้งตัวหาผมพร้อมกับสองมือที่ยกขึ้นกอดรอบเอวแน่นจนผมได้แต่นิ่งเพราะคาดไม่ถึง... แต่นั่นไม่เท่ากับคำที่คนพี่พูดออกมาพร้อมส่งรอยยิ้มหวานๆ ที่ประดับบนใบหน้ามาให้ผม เสียงหัวเราะคิกคักน้อยๆ ดังให้ได้ยินก่อนที่พี่ข้าวจะผละออกและเดินกลับไปในห้องนอนอีกรอบโดยทิ้งให้ผมยืนค้างนิ่งอยู่ตรงนั้นจนพี่เขาเดินออกมาอีกครั้งนั่นแหละผมถึงรู้สึกตัว

...ถ้าคนปากแข็งที่ง้างเท่าไหร่ก็ไม่ยอมพูดยอมบอก จู่ๆมาทำอย่างนี้มันยิ่งกว่าโดนหมัดน็อกอีกครับคุณเอ๊ย!


“โธ่ลุง ให้ผมพักสักครึ่งปีไม่ได้หรอ” ผู้ใหญ่หน้านิ่งที่นั่งตรงหน้าผมหลุดออกมาเมื่อเห็นผมที่ซุกหน้าลงกับกองกระดาษเริ่มจะงอแง ตอนนี้ผมได้ตำแหน่งเลขา(จำเป็น)ประธานครับและคงดำรงตำแหน่งนี้อีกสักพักใหญ่ๆ

“ก็ลุงบอกแม่แกว่าแกจะทำงานที่นี่ต่อ แกก็ควรมาทำไม่ใช่หรือไงฮึไอ้หลายชาย” ลุงวัชหัวเราะลั่นทันทีเมื่อพูดจบประโยค ที่จริงผมขอลุงวัชหยุดไปพักสักปี แต่เพราะคุณฟ้าเลขาส่วนตัวของลุงวัชเขาลาคลอดไปเมื่อสองเดือนก่อน ผมที่เพิ่งจบมาดๆ และว่างงานเลยถูกจับยัดลงตำแหน่งนี้แบบพอดีเป๊ะ ก็ทำจนกว่าคุณฟ้าจะกลับมาแหละครับถึงจะได้พักอย่างที่ใจคิด หรือต่อให้ทำงานจริง... ตอนนี้ผมควรไปอยู่ที่เดียวกับพี่ข้าวด้วยซ้ำ!

ได้แต่กลอกตาใส่ผู้ใหญ่คนเดียวในห้องจนเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังลั่นห้อง ผมเบนสายตาจากด้านข้างกองกระดาษเป็นหน้ากระดาษแทน สายตาไล่ตามตัวอักษรจัดการแยกประเภทเอกสารรอการอนุมัติต่างๆ ที่กองเต็มโต๊ะเพราะไม่มีคนทำมาเกือบเดือนและไม่มีท่าทีที่จะลดลงไปสักนิดอยู่ค่อนวัน ลุงวัชก็เอ่ยปากชวนออกไปทานมื้อเที่ยงพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผมมองข้ามไป

รู้ตัวอีกทีก็นั่งให้นักข่าวได้สัมภาษณ์เรียบร้อยแล้วครับ...

“ได้ยินคุณชัยธวัชบ่นให้นักข่าวอย่างพวกเราฟังหลายครั้งแล้วว่ามีหลานชายหล่อแต่ไม่ยอมออกงานเป็นเพื่อนเลยสักครั้ง อยากจะอวดแต่ก็ทำไมได้... บังเอิญได้เจอกันอย่างนี้ผมขอถามได้ไหมครับว่าทำไม” เกิดเสียงหัวเราะขำขันดังมาจากคนข้างตัวเมื่อได้ยินนักข่าวถามขึ้นมาอย่างนั้น  ผมหันมองคนเผาหลานกับนักข่าวจนคอแทบเคล็ดจ้องจนตาแทบถลนจากเบ้า มีอย่างที่ไหนเอาหลานตัวเองไปเผาอย่างนั้นได้ยังไงกันครับ!!

เสียงกระแอ้มไอเบาๆ กับแววตาที่หรี่ลงเล็กน้อยของลุงคล้ายจะดุเมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมตอบคำถามนักข่าวสักที ผมหันมามองนักข่าวชายหญิงตรงหน้าก่อนจะสูดหายใจยาว

คีพลุคเฮ้ยติณณ์ คีพลุค...

“...ผมไม่ค่อยมีเวลาว่างครับ กิจกรรมของมหาลัยปีสุดท้ายก็เยอะแล้วไหนจะงานที่ผมช่วยคุณลุงอีก กว่าจะได้นอนก็ดึกแล้วครับ”

ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ รอยยิ้มปั้นแต่งถูกฉาบบนใบหน้าเมื่อฝ่ายตรงข้ามขอเก็บภาพผมคู่กับลุงวัช ได้แต่แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อสองนักข่าวหันไปสัมภาษณ์ลุงต่อ ความจริงที่ผมไม่พูดไปคือผมขี้เกียจปั้นหน้าต่อหน้าใครๆ ครับ ขี้เกียจมาตอบคำถามนู่นนี่อีก

“ขอถามคุณติณณ์อีกคำถามได้ไหมคะ” ผมพยักหน้าและส่งรอยยิ้มให้นักข่าวสาว ใบหน้าขาวของเจ้าหล่อนเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย “เอ่อ...ไม่ทราบว่าคุณติณณ์มีแฟนหรือยังคะ?”

หันขวับมองผู้อาวุโสสุดในที่นี้ทันทีอย่างขอความช่วยเหลือ ลุงวัชที่นั่งไขว่ห้างวางมือประสานบนเข่ามองผมด้วยสายตายิ้มๆ คล้ายจะรอคำตอบของผมเช่นกัน

“เอ้าๆ ตอบไปสิว่ามีไม่มี” คำพูดเร่งติดขำของลุงทำให้นักข่าวทั้งสองหัวเราะออกมาน้อยๆ “หรือกลัวอะไร?”

จี้ใจกันชะมัด... บ้านผมกับบ้านลุงเหมือนกันซะที่ไหนละ อยากจะตะโกนออกไปอย่างนั้นแต่ที่จริงทำได้แค่โวยวายอยู่ในใจ คิ้วผมแทบจะขมวดหากันจนเป็นเส้นตรงก่อนจะหันมองนักข่าวที่ตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำตอบ ก็แน่สิ... ไอ้ข่าวอย่างนี้ขายได้ดีนี่

แต่เอาเถอะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

“ผมมีแฟนแล้วครับ”


กว่าที่ผมจะได้ออกมาท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว... ก่อนหน้านี้ส่งข้อความไปบอกเจ้าของห้องที่ไปค่ายมวยว่าอย่าลืมหาของกินด้วยแต่ไม่วายที่จะซื้อของเข้าไปให้คนพี่ด้วยความห่วงว่าอีกคนจะยังไม่ได้กิน สองทุ่มกว่าผมก็มายืนอยู่หน้าห้องของพี่ข้าว ก้มมองคีย์การ์ดสองใบในมือและถอนหายใจออกมา

คืออย่างนี้ครับวันก่อนลุงวัชให้คีย์การ์ดคอนโดที่ลุงแกซื้อไว้เพื่อลูกๆ มาเพราะไปรู้จากไอ้อาร์ตว่าผมไม่ได้อยู่กับมันแล้ว แต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะคนที่อยู่ด้วยตอนนี้น่าสนใจกว่า จนมารู้เมื่อกี้นี้ล่ะครับว่าไอ้คีย์การ์ดที่ได้มาเนี่ยมันคือคอนโดเดียวกับพี่ข้าวเลยเพียงแต่จะอยู่เหนือห้องพี่ข้าวไปสองชั้น... ถ้าพี่ข้าวรู้ว่ามีคงไล่ให้ผมไปแน่ๆ

“เพิ่งกลับหรอ?” เสียงของคนในความคิดดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมสะดุ้งตัวน้อยๆ ด้วยความตกใจแล้วรีบยังคีย์การ์ดที่ได้จากลุงวัชเก็บเข้ากระเป๋าก่อนจะหันไปยิ้มแห้งๆ ให้พี่ข้าวที่เพิ่งกลับมาถึงห้อง “แล้วทำไมไม่เข้าห้องล่ะ”

“กำลังจะเข้าครับแต่พี่ข้าวมาพอดี” อีกฝ่ายหรี่ตามองเหมือนจับผิดก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นผมยิ้มแหยให้ เจ้าของห้องเดินมาข้างผมใช้สะโพกดันผมให้พ้นจากหน้าประตูแล้วแตะคีย์การ์ดเปิดเข้าไป

ผมวางของไว้บนเคาน์เตอร์และยังคงเดินตามคนพี่ต้อยๆ จนอีกคนหยุดเดินหันมอง ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วจากนั้นก็ก้มไปจุ๊บปากพี่ข้าวเบาๆ ผละออกแล้วยักคิ้วข้างเดียวให้คนที่หน้าเริ่มขึ้นสีแดงจากการจู่โจม

“กลับมาแล้วครับ”

“...ไอ้ติณณ์!”

หลังจากที่ต่างคนต่างจัดการตัวเองเสร็จก็มานั่งกองกันอยู่ตรงหน้าทีวีที่ฉายซีรีย์เลือดสาดที่คนพี่อยากดู พี่ข้าวที่ทำหน้าบูดบึ้งนั่งอยู่กับพื้นหลังพิงโซฟาค้อนตามองผมที่นั่งบนโซฟาอย่างเคืองๆ เพราะถูกผมปล้ำจูบไป อยากจะยกมือไปลูบหัวหยิกแก้มอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยวแต่ก็ทำได้แค่นั่งจินตนาการเพราะยังไม่อยากอายุสั้นตอนนี้ บทพี่ข้าวจะอ้อนคืออ้อนแบบคาดไม่ถึงแต่บทไม่เอาคือเล่นไม่ได้เลย

ก็หวงตัวเหมือนแมวจริงๆ นั่นแหละ

“วันนี้ลุงวัชพาผมไปหานักข่าวล่ะ” เปิดหัวเรื่องสนทนาให้คุณกณิศที่กำลังยกเบียร์กระป๋องในมือขึ้นจรดปากปรายตามามองเล็กน้อยก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับซีรีย์ตรงหน้าต่อ

“เขาถามผมว่าทำไมถึงไม่ออกงานกับลุงวัช เลยตอบไปว่างานยุ่งแต่จริงๆ คือไม่อยากปั้นหน้า”

“...”

“แล้วเขาก็ถามต่อว่าผมมีแฟนหรือยัง”

“...” ดูท่าหัวข้อนี่จะเรียกความสนใจจากพี่ข้าวได้ดีเพราะสายตาที่มองจอโทรทัศน์เปลี่ยนมาเป็นมองหน้าผมแทน

“พี่ข้าวอยากรู้ไหมว่าผมตอบว่าอะไร”

“ติณณ์จะตอบอะไรก็เรื่องของติณณ์สิ” ตอบเสียงเขียวไม่พอ...นั่น มีสะบัดหน้าหนีอีก ส่ายหัวน้อยๆ ให้กับความงอนของอีกคน เขินก็บอกเขินสิไม่ใช่ทำงอน...

ผมขยับไปนั่งเหนือคนพี่และสไลด์ตัวลงจนกลายมาเป็นนั่งซ้อนหลังของพี่ข้าวไว้ แย่งกระป๋องเบียร์เปล่าๆ ในมือของอีกคนไปวางบนโต๊ะแล้วกอดรวบแขนกันอีกฝ่ายหนีหรือยกฟาดใส่ผม กดจมูกลงกับผมชื้นของคนตรงหน้าและลากยาวลงไปที่ลำคอจนได้ยินเสียงโวยวายของคนในอ้อมแขนนั่นละถึงยอมปล่อย

“ไม่อยากรู้จริงหรอ หืม”

“...ไม่”

“แต่ผมอยากบอกพี่ว่ะ” พี่ข้าวเอียงหน้าที่มีคิ้วขมวดกันแน่นมามองผม

“ผมตอบว่ามีแฟนแล้ว” กระชับอ้อมแขนที่กอดอีกคนให้แน่นกว่าเดิมเล็กน้อย “แล้วก็รักแฟนมากด้วย”

“...”

คนขี้งอนกลายเป็นมะเขือเทศสุกไปแล้วล่ะครับ อยากฟัดว่ะเฮ้ย

“แล้วแฟนผมล่ะ รักผมมากไหม หืม”

แกล้งเซ้าซี้กับคนเขินจนตัวแดงที่อยู่ไม่สุขในอ้อมกอดผมโดยคำพูดและฝ่ามือที่เริ่มซุกซน เชื่อไหมว่าตั้งแต่คบกันมาได้ยินคำว่าชอบออกจากปากพี่ข้าวไม่กี่ครั้งเองแถมยังเป็นตอนอีกคนเผลอด้วย... ผิดกับผมที่อยากจะบอกให้คนพี่รู้สามเวลาหลังอาหารแต่ก็กลัวมันน่าเบื่อไปสำหรับพี่ข้าว

“ติณณ์! หยุดนะ!”

มือข้างที่เป็นอิสระของพี่ข้าวยกขึ้นกันมือที่เลื้อยไปตามผิวเนื้อของเจ้าตัว ใบหน้าแดงจากอาการเขินอายและฤทธิ์ของเบียร์หนึ่งกระป๋องหันมาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่ว เสียงครางหลุดออกจากริมฝีปากที่เม้มกันแน่นของพี่ข้าวเมื่อนิ้วมือของผมแตะเข้าที่ยอดอก นั่นทำให้เจ้าตัวยกมือตะครุบปากตัวเองแล้วหันมาส่งค้อนวงโตๆ ให้ผมทันที

แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นพลาดมากเพราะตอนนี้มือของพี่ข้าวไม่ว่างแล้ว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นมาเมื่อผมพลิกตัวให้หลังของอีกคนไปติดกับโซฟาก่อนจะตามไปประกบจูบคนพี่ที่เผลอลดมืออ้าปากโวยวาย เสียงที่เกิดจากการแลกลิ้นสลับกับเสียงครางประท้วงในลำคอดังให้ได้ยินเป็นระยะ คนต่อต้านเริ่มอ่อนข้อและระทวยเมื่อผมผละจากจูบยาวนาน

“เด็กดีของพี่ไม่ซนนะครับ”

มือที่ไล้ตามขอบกางเกงและเตรียมที่จะสอดลงไปเพื่อรั้งมันออกชะงักค้าง ใบหน้าที่ซุกอยู่ข้างลำคอเพื่อขมเม้มแสดงความเป็นเจ้าของรีบผละออกเพื่อเงยขึ้นมองพี่ข้าวที่เอ่ยประโยคนั่นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดหอบ

เด็กดี...ของพี่

ของพี่ข้าว...

“ไม่ซนนะครับ” ฝ่ามือของอีกคนยกขึ้นลูบหัวผมที่ยังค้างกับคำพูดของเจ้าตัวเบาๆ ริมฝีปากที่บวมเจ่อจากการจูบขยับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนจนผมถอยห่างคนพี่ไปเล็กน้อยให้พี่ข้าวได้เกาคางลูบหัวต่อ “เด็กดีๆ”

นาทีนี้ให้เป็นหมาก็ยอมครับถ้ามีเจ้าของชื่อข้าวเจ้า

Tbc.

―――――――――――

มาแล้วค่ะ ตอนนี้มาช้านิดนึงเพราะมัวแต่ไปแก้กลิ่นกาวน์ TwT
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -17- 04|03|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-03-2018 23:20:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -17- 04|03|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-03-2018 23:28:01
 :hao7:


สงสารติณณ์ อย่าเป็นเลยเด็กดี บางทีก็น่ะ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -18- 10|03|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 10-03-2018 02:24:27
18

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าช่วงนี้พี่ข้าวดูเครียดๆ เหมือนมีอะไรในใจ ตอนที่ออกไปข้างนอกด้วยกันก็ดูลอกแลกแปลกๆ เดินก็ห่างเป็นวา ผมลองถามไปว่าอะไรหรือเปล่าพี่แกก็เอาแต่ยิ้มและบอกว่าไม่มีอะไรๆ ไปถามพี่หลงรายนั้นก็เอาแต่อึกอักไม่ยอมตอบ สุดท้ายเลยไปเค้นคอพี่ทศถึงรู้ว่าพนักงานที่สาขานั้นเขารู้กันแล้วว่าผมที่เคยไปฝึกงานเป็นหลานชายของประธานอย่างคุณชัยธวัช แล้วมันดันมีคนบังเอิญเจอตอนผมอยู่กับพี่ข้าวเขาเลยหาว่าคนพี่เข้าหาผมเพราะจะเอาตัวเข้าแลกกับตำแหน่ง อดีตพี่ๆ ในแผนกที่รู้ว่าเรื่องจริงมันไม่ใช่อย่างนั้นก็แก้ตัวแทนแต่ทางนั้นไม่เชื่อ แล้วดันกลายเป็นว่าถ้าพี่ข้าวก้าวขาออกจากแผนกเมื่อไหร่เสียงซุบซิบและสายตาแปลกๆ จะถูกส่งมาให้คนพี่ทันที

เรื่องใหญ่ขนาดนี้คุณกณิศไม่ยอมบอกผมสักคำ

และตอนนี้ผมมายืนอยู่หน้าบริษัทสาขาที่เคยมาฝึกงานอีกครั้งพร้อมกับลุงวัชในฐานะเลขา ครั้งนี้ผมไม่ได้บอกพี่ข้าวหรอกครับว่ามีประชุมที่นี้ คนที่รู้ก็จะมีพวกหัวหน้าแผนกผู้จัดการแผนกเท่านั้น สาเหตุหลักของลุงวัชคือประชุม ส่วนสาเหตุหลักของผมคือมาแก้ข่าวให้พี่ข้าวว่าคนพี่ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น

“นี่ไม่ได้ตั้งใจมาประชุมกับลุงใช่ไหม” ลุงวัชเอ่ยติดขำขึ้นมาหลังจากที่เราเดินพ้นพนักงานที่ออกมาต้อนรับ เรื่องของพี่ข้าวลุงแกรู้ครับเพราะผมเล่าเอง “เอาเถอะจะทำอะไรก็ทำ ยังไงถ้าไปอยู่นู่นแกก็จะเอาหลานสะใภ้ลุงไปทำเลขาส่วนตัวอยู่ดีนี่”

“ถ้าเขายอมน่ะนะลุง” สิ้นเสียงถอนหายใจของผม ลุงวัชที่เลิกคิ้วสูงก็หัวเราะออกมาลั่นลิฟต์พร้อมกับคำที่ผมปฏิเสธไม่ได้

“ผู้ชายบ้านนี้กลัวเมียกันทุกคนหรือไงวะ”

บรรยากาศในห้องประชุมค่อนข้างอึมครึมเมื่อลุงวัชหยิบหน้ากากประธานบริษัทผู้เคร่งขรึมขึ้นมาสวมใส่ ผมกวาดตามองรอบห้องก็เจอแต่พี่ทศกับพี่จ๋าที่เข้าประชุม ตอนที่พี่ๆ แกเห็นผมมากับลุงก็เลิกคิ้วสูงก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งให้ ส่วนคนอื่นก็เอาแต่ยิ้มหวานใส่ผมกับลุง เวลากว่าสี่ชั่วโมงในห้องประชุมทำเอาผมแทบหมดพลังงานแต่บทสรุปที่ได้ถ้าวัดจากสีหน้าลุงก็ค่อนข้างดี

ทันทีที่เลิกประชุมผมก็แทบจะถลาไปหาพี่ข้าวถ้าไม่ติดว่าถูกมือลุงวัชดึงไว้ หันไปมองชายวัยเฉียดหกสิบแต่สุขภาพยังแข็งแรงที่มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ติดบนใบหน้าก็ได้แต่เสียวสันหลัง ได้แต่เดินตามลุงที่เดินเข้าแผนกนู้นออกแผนกนี้จนกระทั่งเรามาหยุดอยู่หน้าแผนกการตลาดที่ผมเคยฝึกงาน

ฝ่ามือที่เหี่ยวย่นตามวัยผลักเข้าประตูแผนกเข้าไป เสียงคนจอแจก่อนหน้านี้เงียบกริบเมื่อเห็นว่าใครเป็นผู้มาใหม่ คนแก่วัยผู้ถอดหน้าการผู้บริหารออกผู้เคร่งครึมออกเหลือเพียงรอยยิ้มประดับริมฝีปาก ลุงวัชเอ่ยทักทายพนักงานที่มีอยู่ไม่ถึงสิบคนอย่างเป็นกันเองจนกระทั่งหยุดฝีเท้าลงตรงโต๊ะของพี่ข้าวที่เบิกตากว้าง

“หนูเจ้าอยากไปทานมื้อเที่ยงกับลุงไหม?”

สิ้นเสียงทุ้มนุ่มของคนสูงวัยที่เอ่ยประโยคแกมบังคับ คนในแผนกก็ต่างยิ้มน้อยๆ ออกมาเมื่อผมหันไปมอง พี่ข้าวที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกหันขวับมองผมสลับกับลุงวัชที่เอ่ยคำชวนออกมาซ้ำจนต้องกดหน้าลงอย่างเสียไม่ได้

รู้สึกได้เลยว่าตลอดทางที่เดินผ่านแต่ละแผนกไปนั้นมีคนมองมาที่พวกเรา...ไม่สิ มองมาที่พี่ข้าวด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น อีกทั้งเสียงซุบซิบฟังไม่ได้ความที่ได้ยินจนคนข้างๆ ผมได้แต่ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง

ยื่นมือไปกุมมืออีกฝ่ายแต่กลับโดนดึงออก...

“หนูเจ้า” จู่ๆ ลุงวัชก็หยุดฝีเท้าและหันมาหาพวกเราพร้อมกับรอยยิ้ม “อยู่กับติณณ์มันดูแลดีไหม”

พี่ข้าวหลุดเสียงร้องแปลกใจพร้อมเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามอย่างนั้น เสียงรอบข้างต่างเงียบลงคล้ายจะรอคำตอบเช่นกัน

“เอ่อ...ครับ”

“หรอ ถ้าบอกว่ามันดูแลดีก็ดีแล้ว ลุงละกลัวว่ามันดูแลหนูไม่ดี” เสียงนุ่มทุ้มราวกับผู้ใหญ่ใจดีเอ่ยขึ้น “แต่หนูเจ้ารู้ไหมว่าที่หนูเจ้าเครียดเพราะถูกคนอื่นนินทาในเรื่องที่ไม่ใช่ความจริงนี่ทำหลานชายลุงเครียด ตีหน้ามุ่ยหน้ายักษ์จนลุงไม่อยากเห็นหน้ามันมานั่งเป็นเลขาแล้ว”

หนึ่งก้าวที่ลุงวัชขยับเข้ามาหาพี่ข้าว ฝ่ามือใหญ่และย่นตามวัยวางลงบนเส้นผมของคนพี่เบาๆ

“อะไรที่เป็นเรื่องจริงเราก็รู้อยู่แก่ใจ แต่อะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริงลุงก็อยากให้เราปล่อยมันไปไม่ต้องเครียดกับมันเกินจำเป็นนะ”

“...ครับ”

“ดีแล้ว ไปกันเถอะลุงหิวแล้ว”

พี่ข้าวยิ้มกว้างให้เห็นเป็นครั้งแรกของวัน ผมมองตามหลังคนพี่ที่กดหน้ารับคำของลุงวัชและเดินเสมอลุงคุยกันหงุงหงิงๆ อย่างมีความสุขไปตลอดทาง... เดี๋ยวนะลุง นี่มันควรเป็นบทผมป่ะครับ?

แล้วไอ้แผนที่ผมวางมามันคืออะไรวะ!!


ความเครียดของพี่ข้าวจางหายไปตั้งแต่วันที่ลุงวัชไปบริษัท พี่ทศโทรมาเล่าว่าคนเริ่มเลิกนินทาพี่ข้าวในทางเสียๆ หายๆ กันแล้วนั่นก็เป็นเรื่องดีอยู่ แต่ไอ้ที่ไม่ดีก็คงจะเป็น...

“ติณณ์... คุณลุงบอกพี่ว่าให้คีย์การ์ดคอนโดไว้แล้วทำไมไม่ไปอยู่ล่ะ”

เรื่องที่พี่ข้าวแทบจะกลายเป็นหลานรักคนใหม่ของลุงวัชนี่ล่ะครับ ไม่รู้ว่าลุงติดใจอะไรพี่ข้าวหรือแค่อยากแกล้งผมกันแน่ ไม่รู้ว่าคู่นี้เขาไปคุยกันตอนไหนยังไงแต่พอผมกลับจากทำงานทีไรพี่ข้าวก็ทำหน้ามุ่ยรับผมกับเรื่องที่ลุงเอามาเล่า และวันนี้ก็เช่นกัน

“ก็ผมอยากอยู่กับพี่ข้าวไม่ได้หรอ มีผมอยู่ด้วยประหยัดไฟนะ หารสองๆ”

“เออนั่นประหยัดก็จริง แต่พี่เปลืองตัวไง”

“เปลืองตัวยังไงครับ?” ผมถามพลางหันคอไปเลิกคิ้วมองคนที่ใช้ขาพาดบ่าผมอยู่ ไม่ใช่คนพี่นั่งเองหรอกครับแต่ผมลงไปนั่งพื้นตรงหน้าแล้วยกขาพี่แกขึ้นพาดบ่าเอง ยกมือล็อกข้อเท้าของคนที่บอกว่าตัวเองเปลืองตัวไว้ ออกแรงดึงให้คนพี่ขยับเข้าใกล้ก่อนกดปากลงกับน่องเบาๆ พี่ข้าวที่โวยวายตั้งแต่ถูกผมยึดข้อเท้าไว้ชะงักตัวเมื่อผมไล่จูบขึ้นมาถึงต้นขา

กลายเป็นว่าตอนนี้ผมหันไปหาคนพี่ที่อยู่บนโซฟาทั้งตัว... ซึ่งสภาพของอีกฝ่ายคือกึ่งนั่งกึ่งนอนกับโซฟาโดนสองขายังอยู่ที่บ่าผม

ไม่ต้องบอกเนอะว่าตอนนี้หน้าผมอยู่ส่วนไหน

“ก็ อึก เปลืองอย่างนี้ไง!” เสียงของคนพี่เริ่มสั่นเมื่อผมขยับริมฝีปากขึ้นไปเรื่อยๆ ขาที่ถูกจับไว้แน่นพยายามจะถีบผมแต่ทำไม่ได้ เกิดเสียงครางแผ่วและแรงจิกทึ้งเส้นผมเมื่อผมจงใจปัดจมูกไปโดนอะไรๆ ที่มันนอนหลับในกางเกงตรงหน้า ขบกัดสลับดูดเม้มผิวเนื้อที่โผล่พ้นขากางเกงอย่างมันเขี้ยวจนเกิดรอยแดงและรอยเขี้ยวประปราย

แต่นั่นก็เพียงพอสำหรับการทำให้สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันตื่น

“ข้าวน้อยตื่นแล้วนี่ครับ” เอ่ยแซวคนหอบแฮ่ก หน้าแดงก่ำจนได้สายตามองค้อนกลับมา ริมฝีปากที่กำลังอ้าปากโวยวายเปลี่ยนเป็นครางแผ่วเมื่อผมงับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและขยับขึ้นลงเบาๆ เอาจริงๆ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมายังไม่เคยใช้อย่างอื่นนอกจากมือเลยครับ... แต่นั่นก็ไม่กี่ครั้งเองด้วยซ้ำ

สองมือที่ยึดขาน่องไว้เปลี่ยนเป็นสอดรั้งใต้ต้นขาขยับให้คนพี่เข้าใกล้กว่าเดิม ผมครอบปากลงกับส่วนปริ่มน้ำผ่านกางเกงนอนตัวบางจนมันเปียกเป็นวงกว้าง เสียงเอ่ยห้ามดังสลับกับเสียงครางทำให้ผมขยับศีรษะเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่นานนักคนไม่ได้ปลดปล่อยมาพักใหญ่ก็ปล่อยออกมาจนชุ่ม เงยมองคนตัวแดงหน้าแดงที่ยกมือปิดหน้าตัวเองไว้สลับกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนตัดสินใจรั้งกางเกงเปื้อนๆ ออกจากตัวอีกฝ่ายทันที

“ติณณ์!!”

“...ให้ผมทำได้ไหมครับ” เอ่ยขัดเสียงโวยวายของพี่ข้าวและขยับขึ้นไปคร่อมคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอน ดึงแขนที่ยกปิดหน้าแดงๆ ของพี่ข้าวออกและกดจูบลงกับริมฝีปากที่บวมแดงจากการเม้มกลั้นเสียง “ผมไม่อยากเป็นเด็กดีแล้ว”

“...ไอ้เด็กนิสัยไม่ดี”

ยกยิ้มมองคนที่เอ่ยต่อว่าเสียงแผ่วที่ผินหน้าไปทางอื่น ก้มไปหอมแก้มแดงๆ ตรงหน้าฟอดใหญ่และอ้าปากงับอย่างมันเขี้ยว รอจังหวะคนที่ตามความเจ้าเล่ห์ไม่ทันหันมาโวยวายและใช้จังหวะนั้นจูบลงกับกลีบปากบวมแดงของคนข้างใต้อย่างรวดเร็ว สอดลิ้นทักทายอีกฝ่ายที่ไม่ได้ตั้งตัวจนเกิดเสียงแลกน้ำลายดังก้อง

ผมเคลื่อนตัวเข้าแทรกระหว่างขาทั้งสองของคนพี่และจับให้เกี่ยวเอวตัวเองไว้ ขยับฝ่ามือลากตามสะโพกเปลือยเปล่าลงไปยังบั้นท้ายพอดีมือ อดไม่ได้ที่จะขย้ำมือลงกับบั้นท้ายคนตรงหน้าจนคิดว่าน่าจะเกิดรอยแดงก่อนจะลากนิ้วลงไปทักทายช่องทางด้านหลังของอีกคนพร้อมกับหยอกล้อกับส่วนด้านหน้าที่ตื่นขึ้นอีกครั้งจากการถูกปลุกเร้า

“อื้อ...ฮึก”

เสียงครางเล็ดลอดออกมาผ่านฝ่ามือที่ปิดกั้นเมื่อผมกดนิ้วลงกับช่องทางคับแคบสลับกับนวดคลึงจนรู้สึกว่ามันกระตุกถี่ เงยสบตากับคนที่หอบหายใจหนักและมีน้ำตาคลอเต็มหน่วยก่อนจะโน้มตัวลงไปจูบหลังฝ่ามือที่ปิดกั้นเสียงและเคลื่อนหน้าหาลำคอขาวน่าฝากรอยแสดงความเป็นเจ้าของ ขบเม้มแรงๆ จนเกิดรอยจนเป็นที่พอใจ ตั้งท่าจะสอดนิ้วมือเข้าไปเบิกทางแต่ก็ต้องชะงักเมื่อคนพี่เอ่ยเรียกเสียงพร่า

“...ติณณ์”

“ครับ”

“ไม่เอาตรงนี้...ไปในห้อง”

เลิกคิ้วมองคนเอ่ยประโยคนั้นที่เม้มปากแน่นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ และอุ้มคนพี่ขึ้นพาไปในห้องตามที่อีกฝ่ายร้องขอ หลังจากวางพี่ข้าวไว้กลางเตียงผมก็ผละออกหาหยิบคอนดอมและเจลหล่อลื่นที่เคยซื้อมาไว้ กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งก็เห็นคนพี่นอนตัวแดงเอาซุกหน้าลงกับหมอนคล้ายลืมว่าท่อนล่างของตัวเองไม่ได้ใส่อะไรไว้

ริมฝีปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นอย่างนั้น ขยับเข้าหาคนที่ยังปิดหน้าปิดตาเพราะความเขิน กดจูบหนักๆ ลงกับลำคอ ลาดไหล่ และหยอกล้อกับยอดอกที่แข็งชันผ่านเสื้อผ้า ผมจับขาอีกฝ่ายตั้งชันขึ้นจนเห็นส่วนที่ตื่นขึ้นตามแรงอารมณ์ชัดเจนและวางมือลงกับส่วนแข็งขืนปริ่มน้ำออกแรงขยับรูดรั้งเบาๆ จนพี่ข้าวหลุดร้องครางออกมา มืออีกข้างวางลงกับสะโพกและไล้มือลงไปยังส่วนที่ต้องเตรียมพร้อม

“เจ็บหน่อยนะครับพี่ข้าว”

“อื้อ... อึก เจ็บ”

“ชู่ นิ้วเดียวครับ”

เผลอกลั้นหายใจเมื่อสอดนิ้วเข้าไปยังช่องทางคับและตอดรัดแน่นจนสุด การเตรียมความพร้อมสำหรับครั้งแรกของคนตรงหน้าเป็นไปอย่างนาบเนิบเพราะต้องการใช้อีกฝ่ายเจ็บน้อยที่สุด... ผมโน้มตัวไปจูบหนักๆ ที่ริมฝีปากบวมเจ่อและลาดไหล่ของคนตรงหน้าพลางเอ่ยปลอบให้อีกฝ่ายผ่อนคลายแต่เหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ เจลสีใสถูกเทลงเพิ่มกับช่องทางจนได้ยินเสียงเหนอะหนะทุกครั้งที่ขยับนิ้ว

จากหนึ่งเป็นสอง... และเป็นสามเพื่อขยายเตรียมรับในสิ่งที่ใหญ่กว่า

“...อื้ออ”

เสียงร้องครางดังขึ้นเมื่อผมงอนิ้วครูดกับผนังภายใน ผมเงยขึ้นมองคนตรงหน้าที่มีน้ำตาจากแรงอารมณ์ ไล่สายตาลงไปยังเสื้อยืดที่ถูกกองไว้เหนืออก ยอดอกที่บวมแดงจากการขมเม้ม รอยสีสดตามลำตัวของคนสุขภาพดี ก่อนจะหยุดลงที่ส่วนกลางตัวปริ่มน้ำทั้งที่ผมยังไม่ได้แม้แต่จะแตะ และนิ้วของตัวเองที่ยังแช่อยู่ในตัวของคนพี่

“พี่ข้าวพร้อมนะ”

“อึก... ติณณ์?”

เสียงพร่าไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธแต่กลับเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยเมื่อผมถอนนิ้วทั้งสามออก เจ้าของเสียงดันตัวขึ้นมามองผมก่อนจะรีบหันกลับทันทีเมื่อเห็นว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ซองสีเงินถูกโยนทิ้งไปกับพื้นเมื่อสิ่งด้านในถูกเอาออกมาใช้เรียบร้อย ผมสอดนิ้วเข้าขยายช่องทางอีกครั้งก่อนจะดึงออกเพื่อแทรกตัวตนที่ถูกห่อหุ้มเข้าไปแทน

“อึก ติณณ์เจ็บ... ไม่เอาแล้ว ฮื่ออออ”

“ชู่ ผมจะทำช้าๆ นะ”

เอ่ยปลอบและปลุกปั่นตัวตนของคนพี่พร้อมขยับแก่นกายของตัวเองเข้าไปในช่องทางตอดรัดทีละน้อย สองมือของคนพี่ที่กอดรอบคอผมเปลี่ยนเป็นจิกเจ็บลงกับแผ่นหลังระบายความเจ็บปวดที่ได้รับ ก้มไปจูบซับน้ำตาของอีกฝ่ายที่ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อผมดันเข้าไปสุด

“พี่ข้าวไหวไหม ติณณ์ขยับได้ไหม”

นิ่วหน้ากับช่องทางที่ตอดรัดสิ่งแปลกปลอมจนปวดหนึบ พี่ข้าวครางฮื่อและผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะกดหน้าลงกับคำถามของผม ทันทีที่ได้รับคำอนุญาตผมก็ถอนตัวตนที่อยู่ภายในออกมาและขยับเข้าออกอย่างนาบเนิบจนเสียงครางจากความเจ็บกลายเป็นเสียงครางจากแรงอารมณ์

จากนาบเนิบแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นเมื่อแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายพร้อมสำหรับบทรักครั้งแรก

“ติณณ์... อือออ ติณณ์แรงไป”

คนที่อารมณ์ขึ้นสูงเอ่ยประท้วงหลังจากที่ผมถอนตัวตนออกเกือบสุดและกระแทกกลับไปเต็มแรง เสียงหอบหายใจปะปนกับเสียงเสียดสีของผ้าปูที่นอนและกายของทั้งสอง ผมชันตัวจากลำคอและใบหน้าชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายขึ้นมา ภาพตรงหน้าของคนพี่ที่หลับตาพริ้ม ขนตาชุ่มไปด้วยน้ำ มือข้างหนึ่งรูดรั้งส่วนแข็งขืนกับสะโพกที่ขยับประสานกับผมอย่างลืมตัวสะท้อนในสายตาจนได้แต่ขบฟันแน่นเพื่อยั้งตัวเอง

“อึก อือออออ...”

แรงตอดรัดของช่องทางที่มากขึ้นทำให้รู้ว่าคนพี่ใกล้จะถึงปลายทางแล้ว ผมก้มตัวไปประกบริมฝีปากบวมเจ่อของพี่ข้าว สอดลิ้นเข้าเกี่ยวจนอีกฝ่ายประท้วงคล้ายหายใจไม่ออก และไม่นานนักคนพี่ก็ปลดปล่อยออกมาจนเปื้อนหน้าท้องของเราทั้งคู่

ช่องทางที่ตอดถี่หลังจากคนที่ปรือตามองผมทำให้ผมที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยขยับกายแรงและเร็วขึ้น ก่อนจะปลดออกมาตามอีกฝ่ายไป

“อืม...” ก้มลงไปจูบปากคนพี่หนักๆ ถอนตัวตนออกมาจนได้ยินเสียงครางแผ่วจากคนใต้ร่าง ปล่อยให้คนพี่ที่ยังเหนื่อยหอบจากกิจกรรมเมื่อครู่นอนพัก ก่อนจัดการดึงถุงยางออกจากแก่นกายของตัวเองและทิ้งลงถังขยะในห้อง คว้ากางเกงขึ้นมาสวมลวกๆ เพื่อไปเอาผ้าชุบน้ำมาทำความสะอาดให้คนพี่

อยากจะขออีกรอบแต่เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน


แผละ

“ไอ้เด็กไม่รักษาสัญญาอย่าเข้ามานะ!!”

ผมดึงผ้าชุบน้ำที่เอามาเช็ดตัวคนโวยวายหน้าแดงก่ำออกจากใบหน้า ยกยิ้มกริ่มมองคนที่เอาผ้าห่มม้วนตัวจนเป็นก้อนอะไรสักอย่าง ก้าวเท้าไปหาคนที่เบ้หน้าเพราะความเจ็บมองซ้ายขวาหาของปาใส่ผมอย่างไม่เกรงกลัว

“ไอ้ติณณ์ ไหนบอกพี่ว่ารอบเดียวไง! แล้วถุงยางทำไมไม่ใช่!!”

“โธ่พี่ข้าว ก็ผมเอาเข้ามาแค่อันเดียวนี่ครับ จะให้ออกมาเอาอีกทีมันก็ขาดตอนนี่” ว่าพร้อมโอบกอดก้อนกลมหน้าแดง ไล่นิ้วตามข้อเท้าที่โผล่พ้นผ้าห่ม “เดี๋ยวติณณ์เอาออกให้นะ”

“ไปไกลๆ เลยนะไอ้ติณณ์! อ๊ะ อื้อ...” จูบปากคนพี่อย่างมันเขี้ยว คนที่โวยวายกลบเกลื่อนอาการเขินจนตัวแดงทุบไหล่ประท้วงจนต้องผละออกอย่างเสียไม่ได้

“...อีกสักรอบได้ไหมครับ”

“ไอ้เวรติณณ์!”


ผมลอบมองคนพี่ที่หลับปุ๋ยจากกิจกรรมเรียกเหงื่อเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ จากที่ดูๆ แล้วพรุ่งนี้พี่ข้าวอาจจะป่วยเลยให้กินยาดักไว้ก่อน กดจมูกลงกับผมที่ยังคงชื้นเหงื่อและเอี่ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมากดเบอร์ใครบางคน

‘...โทรมาหาอะไรตอนนี้ครับเลขาคุณชัยธวัช’ ปลายสายถอนหายใจและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือหงุดหงิด

“เอาพี่หลงอยู่?”

‘เอาเหี้ยไรล่ะไอ้ติณณ์ ตอนนี้แค่หน้ากูมันยังไม่อยากมอง’ หัวเราะให้กับรุ่นพี่คนสนิทที่เปลี่ยนมาใช้กูมึงอย่างไม่ถือสา ‘ว่าแต่โทรมาตอนตีสามนี่มีอะไรให้รับใช้ครับคุณติณณ์’

“จะโทรมาลางานให้ข้าวเจ้า ป่วย”

‘หืม? เจ้าเป็นอะไรอีก?’ พี่ทศเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะโหวกเหวกโวยวายออกมา ‘ไอ้ติณณ์! อย่าบอกนะว่ามึง!’

“ก็อย่างที่พี่คิดนั่นแหละ”

‘หึ ไอ้เจ้าโดนแน่’

“คุณทศกัณฑ์ครับ ถ้าผมรู้ว่าคุณล้อคุณกณิศแม้แต่น้อย...”

‘ผมไม่ล้อไม่แซวแน่นอนครับคุณติณณ์’ ปลายสายว่าอย่างหัวเสีย ‘แม่งใช้อำนาจในทางที่ผิด’

“เออ ผมถือว่าลาให้พี่ข้าแล้วนะ แค่นี้ล่ะ”

ว่าจบผมก็กดวางสาย กดปิดเสียงและโยนโทรศัพท์ทิ้งทันที ก่อนนะกอดคนที่ซุกอยู่กับอกอย่างฝันดี

....เพื่อเตรียมพร้อมที่จะหูชาเมื่อตื่นมา
Tbc.

―――――――――――――――――――――――

กลับมาแล้วค่ะะะ หายไปอย่างไม่มีข้อแก้ตัวค่ะ งื้อออ
ถ้าใครตามจากกลิ่นกาวคงจะรู้แล้วว่าทำไมพี่ข้าวถึงแนะนำหนูฝุ่นไปอย่างนั้น  55555
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -18- 10|03|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-03-2018 00:14:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -18- 10|03|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-03-2018 23:56:49
 :laugh:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -18- 10|03|2561 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 12-03-2018 00:36:59
เขินๆๆ ได้กันแล้วววว
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -19- 16|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 16-03-2018 01:05:51
19

หลังจากที่พี่ข้าวตื่นมาผมก็หูชาตามระเบียบนั่นแหละครับ ยิ่งพอคนพี่รู้ว่าผมโทรไปลางานไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ก็ยิ่งโวยวายบวกทำตาขวางใส่ผมทันที แถมยังทำอวดเก่งว่าตัวเองไหวด้วยการลุกจะมาไล่เตะผมอีก

แต่ผลคือพอคนไม่เจียมตัวอย่างพี่ข้าวลุกจากเตียงปุ๊บ จากที่จะพุ่งหาผมก็กลายเป็นว่าถลาหาพื้นแทนนั่นแหละครับถึงทำให้เจ้าตัวเขายอมรับว่าสภาพตัวเองไม่ไหวจริงๆ

“หัวเราะบ้าอะไร!” ยกมือปิดปากทันทีพี่ข้าวหันมาทำตาขวางใส่ “เจ็บฉิบหาย...”

“ก็บอกแล้วว่าพี่ไม่ไหว ดื้ออยู่ได้” พอพูดไปอย่างนั้นก็ได้ยินอีกฝ่ายบ่นอุบ พี่ข้าวที่พยายามลุกแต่สุดท้ายก็ลงไปนั่งแหมะกับพื้นเหมือนเดิม ดวงตาแดงรื้นน้ำของคนพี่เงยขึ้นสบกับผมทันที

“...เจ็บ”

ก็นั่นแหละครับ... ตอนที่ช่วยพยุงพี่ข้าวที่ลงไปกองกับพื้นขึ้นทำให้ผมรู้ว่าอีกฝ่ายตัวรุมๆ เหมือนคนกำลังจะไข้ขึ้น พอบอกไปพี่แกก็เลยทำตัวให้สมเป็นคนไม่สบายที่ขยับร่างกายไม่ไหวให้ผมได้ดูแลทั้งวัน ทั้งป้อนข้าวป้อนยา ทั้งทำตัวเป็นไม้ค้ำให้คนแก่(กว่า)เดิน ไหนจะทำความสะอาดห้องนู่นนี่นั่นตามคำสั่งคนพี่... บ่นไปอย่างนั้นแหละแต่ใจจริงผมก็เต็มใจทำให้ล่ะครับ ก็ไอ้เราไปทำเขาเจ็บนี่นา...เนอะ?

และอย่างตอนนี้เรากำลังอยู่ในห้องน้ำกันครับ สาเหตุเพราะพี่ข้าวไม่อยากเช็ดตัวแล้วงอแงจะอาบน้ำ อ้างว่าตัวไม่สะอาดจากกิจกรรมเมื่อคืนทั้งๆ ที่ผมก็จัดการไปแล้วตั้งแต่เสร็จกิจแต่คนป่วยก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายก็ได้แต่พาคนพี่เข้าห้องน้ำตามคำสั่ง ยืนฟังอีกฝ่ายอาบน้ำไปในหัวก็มีแต่เรื่อง... อืมม นั่นแหละครับไป ทรมานตัวเองดี

แกร่ก

ประตูห้องน้ำที่ผมยืนพิงอยู่ถูกเปิดขึ้นเล็กน้อย พอให้คนข้างในได้ยื่นหน้าออกมา “ติณณ์ๆ”

“ครับพี่ข้าว นี่ชุดครับ”

พี่ข้าวรับชุดที่ผมยื่นให้ไปแต่ยังไม่ยอมกลับไปเปลี่ยน อีกฝ่ายที่ตาปรือๆ จากฤทธิ์ยาเงยขึ้นมองผมพร้อมกับทำปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง

“มีไรป่ะครับ?”

“โกนหนวดให้พี่หน่อย”

ก็เลยกลายเป็นว่าผมเข้ามาอยู่ในห้องน้ำกับพี่ข้าวที่เปลือยท่อนบนโชว์รอยสีแดงๆ ปะปราย พี่ข้าวหันไปหยิบมีดโกนหนวดด้ามสีเหลืองให้ผมก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งบนชักโครกแถมยังนั่งคอหักคอห้อย พอผมเดินเข้าใกล้ก็เอาหัวมาพิงหน้าท้องผมทันที

“พี่ข้าวเงยหน้าหน่อยครับ”

“อื้อออ”

“อื้อแล้วก็เงยสิครับ”

“...”

ได้แต่ถอนหายใจมองคนง่วงนอนเพราะฤทธิ์ยาที่ไม่ให้ความร่วมมือในการโกนหนวดสักเท่าไหร่ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเอ่ยขอให้ทำ หลังจากการอื้อจบลงคนพี่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง มีเพียงเสียงหายใจเข้าออกสม่ำเสมอที่ดังออกมา ผมมองกลุ่มผมที่ซบท้องผมอยู่สลับกับมีดโกนในมือขวา ก่อนจะยื่นมืออีกข้างไปจับใบหน้าแดงระเรื่อจากไข้อ่อนๆ ที่พิงอยู่ตรงหน้าท้องให้เงยขึ้นสบตา พอได้เห็นตาเชื่อมๆ ปรือๆ จมูกแดงๆ และท่าทางอิดโรยของคนป่วยก็ได้แต่กระตุกยิ้มมุมปาก... หมดสิ้นแล้วพี่ข้าวคนโฉด

เห็นแบบนี้แล้วก็อยากแกล้งขึ้นมาซะอย่างนั้น

“น้องข้าวเงยหน้าก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ติณณ์ทำบาดแก้มนะ”

“ห๊ะ!”

“น้องข้าวเจ้าเงยหน้ามองพี่ติณณ์หน่อยนะครับ จุ๊บ”

ว่าแล้วก็กดจูบลงบนปากคนตื่นเต็มตาไปครั้ง ใบหน้าเหวอๆ ของคนที่ถูกแทนสรรพนามด้วยคำว่าน้องนั้นเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ จากที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่จนสะบัดหน้าหนีมือผมแล้วมุดหน้าท้องผมคืน

“ยะ... อย่าลามปามเว้ย ใครน้องติณณ์กัน!” พี่ข้าวโวยวายเสียงอู้อี้ติดสั่น ไม่รู้เพราะโกรธหรือเขินกันแน่ แต่ขอเดาว่าเป็นอย่างหลัง

“ก็ข้าวเจ้าน่ารักอย่างนี้ผมก็ไม่อยากเรียกพี่แล้ว”

“เสียตัวครั้งเดียวความเป็นพี่หายเลยหรือไงวะแม่ง” ยิ้มขำมองอีกฝ่ายที่พูดกับตัวเองอย่างเอ็นดูจนอยากดูเอ็น ผมโยนมีดโกนหนวดสีเหลืองในมือทิ้ง แล้วทิ้งตัวนั่งคุกเข่าตรงหน้าพี่ข้าวที่ทำหน้าเหวอเพราะความตกใจ ก่อนจะรวบตัวคนพี่เข้ามากอดและจัดการหอมทั้งแก้มซ้ายขวาหน้าผากปากจมูกทันที

มันเขี้ยวแฟนตัวเองนี่ผิดไหมครับ?

“ไอ้ติณณ์ปล่อยพี่! อื้อออออ”

“พี่ข้าวน่าฟัดว่ะแม่ง”

“ไอ้ติณณ์พี่บอกให้ปล่อยไงเว้ย!”

“อั่ก!!”

และแล้วไอ้ติณณ์ก็โดนฝ่าเท้าคนป่วยประทับลงกลางอกเต็มๆ เลยครับ...


ตั้งแต่วันที่ผมถูกลุงวัชพาไปนั่งสัมภาษณ์กับนักข่าวอย่างไม่ได้ตั้งใจและเต็มใจนั่นก็ผ่านมาได้เดือนกว่าๆ แล้วครับ นานซะจนผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยโดนลุงหลอกไปหานักข่าว ตอนนิตยสารฉบับที่มีบทสัมภาษณ์ออกมาผมก็ไม่รู้เรื่องจนกระทั่งวันนี้....

“ช่วงนี้แม่แกได้โทรมาบ้างไหม?”

“ครับ?” ผมเงยหน้าขึ้นจากเอกสารการสรุปประชุมไปมองลุงวัชที่จ้องผมเขม็ง “เมื่อกี้ลุงถามผมว่าอะไรนะ”

“แม่แกได้โทรมาหาแกบ้างไหม”

“ไม่นี่ครับ ปกติมีแต่ผมโทรไป” ผมตอบ “ลุงมีอะไรหรือเปล่าครับ?”

อีกฝ่ายส่ายหน้าอย่างเอือมระอาพร้อมกับถอนหายใจออกมาดังๆ ลุงวัชลุกจากโต๊ะของตัวเองเดินมาหาผมพร้อมกับเล่มอะไรสักอย่างในมือ

แต่แทนที่ลุงแกจะส่งให้ดีๆ ลุงวัชกลับม้วนมันแล้วฟาดลงกับหัวผมเต็มแรงแทนซะงั้น...

“โอ๊ย! ฟาดผมทำไม”

“ฟาดเตือนสติ” ของในมือที่ลุงวัชถือถูกวางลงทับเอกสารตรงหน้า “นิตยสารที่เราไปให้สัมภาษณ์ออกแล้ว จำได้สินะว่าตอบอะไรไปบ้าง”

ผมมองนิตยสารที่มีรูปลุงวัชเป็นมุมเล็กๆ บนหน้าปก เปิดหน้าบทสัมภาษณ์กวาดตาไล่มองตัวอักษรใต้รูปถ่ายของลุงวัชก่อนจะเงยมองตัวจริงที่อยู่ตรงหน้า “ไอ้ที่ลุงหลอกผมให้ไปสัมภาษณ์ด้วยน่ะนะ?”

โอ๊ะ คนแก่ส่งสายตาเขียวปั๊ดมาให้ล่ะ

“บ้านแกก็ไม่มีใครกวนประสาทสักคนนะ... หรือตอนเกิดพยาบาลสลับเด็ก?”

“ก็ผมได้ลุงไงครับ หึๆ”

“...จะให้ลุงบอกหนูเจ้าไหมว่าวันก่อนติณณ์ไปจีบสาว?”

“คุณชัยธวัชกรุณาเก็บโทรศัพท์ลงไปเถอะนะครับ” ผมกระโจนข้ามโต๊ะไปตะครุบโทรศัพท์ในมือลุงแทบไม่ทัน “จีบเจิบที่ไหนกันครับ คุณลุงก็เห็นว่าตอนนั้นเธอเข้ามาหาผมเองแถมผมก็ไม่ได้เล่นด้วยนี่”

คนสูงวัยหรี่ตามองผมที่โอดครวญออกมา ก็วันนั้นออกไปหาลูกค้ากับลุงแล้วฝ่ายนั้นพาลูกสาวตัวเองมาด้วย แต่เพราะคำว่าธุรกิจที่ติดบนหน้าผากทำให้ปฏิเสธไม่ออก

พอเห็นผมยิ้มแหยๆ ให้ลุงวัชหัวเราะในลำคออย่างคนเหนือกว่า “แกก็รู้นี่ว่าหนูเจ้าเขาเชื่อใครมากกว่ากัน”

“ขอโทษครับลุง ผมไม่กวนลุงแล้วก็ได้ครับ” รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยคนสูงวันทันที... เท่านั้นแหละครับคนแก่กว่าก็หัวเราะอย่างเต็มเสียง งานแกล้งลูกแกล้งหลานนี่ไว้ใจลุงวัชเขาเลย

“เออๆ งั้นเข้าประเด็นที่ลุงพูดไว้ จำได้ใช่ไหมว่าตอบอะไรไป”

“...ครับ”

“แล้วรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้า...”

“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอ่ะลุง ยังไงผมไม่ยอมเลิกกับพี่ข้าวแน่ๆ” ตอบขัดประโยคที่ลุงกำลังจะพูด ลุงวัชชะงักไปครู่ก่อนจะยิ้มจางๆ ออกมาให้

“ตกลงคนนี้จริงจังสินะ”

“ถ้าไม่จริงจังผมจะตามง้อเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้ไหมล่ะ โอ๊ย! ลุงเขกหัวผมทำไม!” โวยวายใส่คนแก่แรงไม่ตกที่เขกกำปั้นลงมาเต็มหัว มองค้อนใส่ลุงวงโตๆ ก่อนจะตอบออกไป “คนนี้รักเลยน่าลุง”

ลุงวัชถลึงตาผมใส่ก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง คนแก่ที่ทำตัวไม่สมวัยนั่งเท้าคางมองผมก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมยกยิ้มตาม “เฮ้อ...เอาเถอะ มีอะไรเดี๋ยวลุงช่วยเอง”


แรงสั่นของสายเรียกเข้าทำให้ผมตื่นจากฝันดี ปรือตาเอี่ยวตัวข้ามคนในอ้อมแขนไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงอีกฝั่งขึ้นมาดูชื่อคนที่โทรมารบกวน

จากที่หงุดหงิดงัวเงียก็ต้องตื่นเต็มตาเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา

“ครับแม่ โทรมาแต่เช้ามีอะไรหรอครับ”

กรอกเสียงที่เต็มไปด้วยความงัวเงียบลงไปตามสาย นี่ผมเคยบอกหรือยังครับว่าคุณหญิงวิภา แม่ของผมเป็นลูกครึ่งไทย - อิตาลี(ที่ผมได้เสี้ยวมาเล็กน้อย) ส่วนพ่อผมก็เป็นน้องชายลุงวัชที่มีนิสัยคนละขั้วเลย แล้วถ้ายังจำกันได้... คงไม่ลืมนะครับว่าผมกับไอ้หมอหมาเพื่อนรักมาจากจังหวัดเดียวกัน

‘ติณณ์! ลูกไปมีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่!’

“อะไรนะแม่” ผมขมวดคิ้วกับเสียงแหลมๆ ของแม่ที่ดังลอดออกมา

‘แม่ถามว่าลูก-ไป-มี-แฟน-ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมแม่ไม่รู้เรื่อง!! แม่ไปอ่านเจอในนิตยสารที่ลูกไปสัมภาษณ์กับลุงแกเขาเขียนไว้อย่างนั้น!’

“อ้อ” ผมลากเสียงยาวเพราะสมองที่เพิ่งตื่นเริ่มทำงานเมื่อได้ยินคำว่านิตยสาร ได้แต่ยกยิ้มแหยขอโทษแม่ในใจก่อนจะทำผิดศีลข้อสี่ “ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละครับแม่ ตัดปัญหาน่ะ”

“อื้อ...” คนติดหมอนข้างในอ้อมแขนขยับหน้าเข้าซุกกับอกผมและครางออกมาผะแผ่วเพราะเสียงผมที่ไปรบกวนการนอน พี่ข้าวขมวดคิ้วปรือตาเงยหน้ามองผมอย่างหงุดหงิดและหลับตาลงอีกครั้ง น่ารักซะจนอดที่จะก้มไปหอมหน้าผากของอีกคนไม่ได้

‘นั่นเสียงใครน่ะ?’

...ลืมไปเลยแฮะว่ายังคุยกับแม่อยู่

“เปล่านี่ครับ”

‘ตกลงว่าแค่ตอบไปอย่างนั้นใช่ไหม แม่จะได้ไปบอกหนูแพรวว่าติณณ์ยังว่าง’

“ใครนะแม่?”

‘หนูแพรวไง ลูกสาวเพื่อนแม่ สวยน่ารักดีแม่ชอบ ตอนนี้กำลังขึ้นปีสามมหาลัยเดียวกับติณณ์ที่แหละ’

“แม่...ผมบอกแล้วไงว่าไม่ต้องหาคู่ไหนผม ผมหาเองได้น่า... ไว้ว่างๆ จะพาไปเจอ”

‘เหอะ ฉันหาให้ไม่ดีหรือไง หัวแข็งได้พ่อจริงเชียว’ แม่บ่นอุบให้ผมได้แต่ยิ้มจาง ดูท่าแม่จะไม่ตะหงิดใจกับประโยคหลังสักเท่าไหร่ ‘เอาเถอะๆ แต่หาเองแล้วไม่ถูกใจแม่แม่ไม่ยอมนะ’

ลอบมองคนหลับที่ยังขมวดคิ้วแน่น อย่างคนนี้จะผ่านไหมล่ะเนี่ย

‘จะว่าไปเมื่อไหร่ติณณ์จะกลับบ้านล่ะลูก’

“ก็เดี๋ยวกลับครับ รอคุณฟ้ากลับมาก่อนผมว่าจะกลับไปบ้านสักอาทิตย์ครับแล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ”

‘กลับมาอยู่ตลอดเลยไม่ได้หรอลูก มาช่วยบ้านเราก็ได้แม่คิดถึงนะ’

“เดี๋ยวได้กลับไปแน่ๆ ล่ะครับ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้นะครับแม่”

‘เอาเถอะๆ ตามใจเราแล้วกันแต่มาให้แม่เห็นหน้าบ้างก็ดี นี่จนลืมแล้วว่าลูกชายหน้าตาเป็นอย่างไง’ พอตอบไปว่าก็หล่อเหมือนพ่อไง ก็ได้ปลายสายหัวเราะออกมาเบาๆ ‘ถ้างั้นเดี๋ยวแม่วางสายก่อนนะลูก สายป่านนี้แล้วพ่อแกยังไม่ลงมาสักทีเลยต้องให้ปลุกตลอดเลย รักลูกนะ’

“ครับ รักแม่เหมือนกันครับ”

ผมมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ออกมาเมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่แม่พูด ไม่รู้คิดไปเองไหมว่าพี่ข้าวตื่นมาฟังแต่แกล้งหลับต่อเพราะแขนที่พาดเอวผมมันเริ่มแน่นขึ้น ยกยิ้มให้กลุ่มผมตรงหน้าแล้วกวาดแขนไปรั้งตัวอีกคนให้มาซุกอกอุ่น เกยคางลงกับหัวของคนในอ้อมแขนพลางหัวเราะหึเมื่อได้ยินเสียงครางในลำคอประท้วงเพราะผมกอดอีกคนแน่นเกินไป

“ไม่ไปหาหนูแพรวอะไรนั่นน่ะ” พี่ข้าวพูดเสียงอู้อี้ ดันตัวเอาหัวโหม่งคางผมเบาๆ

“ไปทำไม ก็แฟนผมอยู่นี่”

“ก็ไหนว่าไม่มีแฟน”

“ก็ไม่มีแฟน” คนในอ้อมแขนนิ่งไปจนรู้สึกได้ “ผมมีแต่พี่ข้าวนะครับ”

“...แล้วพี่ไม่ใช่แฟน?”

“คุณกณิศเป็นคนรักของติณณ์ไงครับ”

เหมือนว่าได้ยินเสียงฉ่าจากคนในอ้อมแขน คนที่หน้าแดงยันหูเอาแต่ซุกหน้าลงกับอกผมไม่ยอมห่างแถมยังเอากำปั้นทุบซ้ำอีก ได้แต่หัวเราะแล้วก้มไปหอมหัวคนในอ้อมแขนอย่ามันเขี้ยวและกระซิบเสียงเบา

“ไว้พี่พร้อมเดี๋ยวผมพาไปหาแม่นะ”

“...อื้อ”


เวลาผ่านไปจนกระทั่งลูกของคุณฟ้าหย่านมแม่และเธอกลับมาทำงานให้ลุงวัชได้อีกครั้งผมก็หมดหน้าที่เลขาจำเป็น จากนี้ผมมีเวลาพักที่เคยขอลุงแกไว้เกือบๆ สี่เดือนก่อนที่จะเข้าไปเป็นพนักงานที่สาขาเดียวกับพี่ข้าว ซึ่งเจ้าตัวยังไม่รู้เพราะผมกะจะทำเซอร์ไพรส์

และระหว่างที่พักนี้ผมมีแพลนจะพาพี่ข้าวเข้าบ้านด้วยครับ

ถึงจะเกริ่นๆ กับแม่แล้วก็เถอะว่ากลับไปครั้งนี้จะพาแฟนไปแนะนำด้วย... ผลที่ตามมาคือแทบจะซักประวัติแฟนของผมแต่ผมไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง แต่พ่อน่าจะรู้จากลุงวัชบ้างแล้วแหละว่าแฟนผมไม่ใช่ผู้หญิง ก่อนหน้านี้ท่านโทรมาถามว่าคุยอะไรกับแม่ แม่ถึงดูหัวเสีย แถมยังลงท้ายประโยคก่อนว่างสายว่า  :impress3: อีก...

มาอีหรอบนี้พ่อรู้แล้วแน่ๆ ล่ะครับทุกคน

“นี่ไม่ไปได้ไหม...” พี่ข้าวว่าเสียงอ่อย สองมือกอดกระเป๋าเป้ไว้แน่น “เอาจริงๆ ไม่กล้าไปว่ะ”

“ไปเถอะครับพี่ข้าว คบกันมาก็พักใหญ่แล้วผมยังไม่เคยพาไปบ้านผมเลย” ยกยิ้มมองคนพี่ที่เม้มปากแน่น “อยากเห็นแฟนตัวเองถูกแม่จับใส่พานให้คนอื่นหรือไง”

“ไม่!” อีกฝ่ายโพลงขึ้นมาทันที ก่อนจะค่อยๆ เบาเสียงลงเมื่อนึกได้ “แต่...ถ้าแม่ของติณณ์รับพี่ไม่ได้ล่ะ”

“ผมไม่เลิกกับพี่แน่ๆ และต่อให้แม่บังคับพี่ก็ต้องห้ามเลิกกับผมนะ”

“...เอาแต่ใจ”

“หึ ก็ได้พี่มานั่นแหละครับ”

“ไอ้ติณณ์!” พี่ข้าวยกมือชี้หน้าผม “นี่ยังไม่เคลียร์เรื่องไม่บอกล่วงหน้า แถมจัดการลางานให้เรียบร้อยนะ”

ผมแสร้งทำไม่สนใจคนพูด ก้มมองนาฬิกาแล้วดึงเป้ในมือพี่ข้าวมาถือเอาไว้เอง “ป่ะ ไปกันได้แล้วครับพี่ข้าว จะเดินไปเองหรือให้ผมอุ้ม?”

“ฮึ่ย!”

Tbc.

―――――――――――

จริงๆ ต้องลงตั้งแต่วันพุธ... แต่ติดละครเจ้าค่ะ...
เจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลยนะคะ ช่วงนี้วุ่นหน่อยเพราะเพื่อนบอกให้ไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้... วิ่งหาชุดกันสนุกสนาน ; w ; )

ปล. ไม่ม่าหรอก เชื่อเราดิ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -19- 16|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-03-2018 02:26:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -19- 16|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 18-03-2018 23:36:21
แม่จะว่าไงบ้างนะ???
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -20- 20|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 20-03-2018 01:08:39
จีบครั้งที่ยี่สิบ
ข้าวเจ้า


‘ว่าไงหนูเจ้า โทรหาลุงก่อนนี่มีอะไรหรือเปล่า’

“คุณลุง... พ่อแม่ติณณ์นี่เป็นคนยังไงครับ คือพรุ่งนี้หลานลุงจะพาผมไปบ้านด้วย...”  ผมรีบยิงคำถามอย่างเสียมารยาททันทีที่อีกฝ่ายรับสาย คืออย่างนี้ครับเมื่อวานติณณ์มาบอกว่าพรุ่งนี้จะพากลับบ้านด้วย เล่นเอาผมเหวอไปไม่น้อยเลยล่ะ ถึงก่อนหน้านี้ติณณ์จะบอกอยู่ว่าหลังจบงานลุงวัชจะพากลับด้วยก็เถอะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วแบบนี้...ไม่ให้ผมได้เตรียมใจกันสักนิด สุดท้ายก็ต้องต่อสายหาลุงวัชนี่ล่ะครับ

‘ฮะๆ ว่าแล้วเชียว’ ปลายสายเงียบไปครู่ใหญ่และหัวเราะเสียงนุ่มออกมา ‘อืม ไอ้วิชพ่อติณณ์น่ะมันเป็นน้องชายลุง เป็นคนที่นิสัยคนละขั้วกับลุงเลยล่ะ ส่วนแม่ของติณณ์ค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการจู้จี้จุกจิกมากหน่อย ก็ตามสไตล์ผู้หญิงแหละนะ’

“ครับ”

‘ส่วนคนอื่นในบ้าน...’

“นี่ยังมีคนอื่นอีกหรอลุง!” เผลอว่าเสียงสูงออกไปเพราะไม่นึกว่านอกเหนือจากพ่อแม่ของอีกฝ่าย พอได้ยินเสียงหัวเราะขำๆ จากปลายสายผมก็รีบขอโทษขอโพยทันที “เอ่อ ขอโทษครับ ผมก็นึกว่า...”

‘ไอ้ติณณ์ไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังหรอ’ ผมเม้มปากแน่นเพราะติณณ์ไม่เคยพูดให้ฟัง และผมก็ไม่เคยถามอีกฝ่าย ‘จริงๆ เลยไอ้เด็กนี่ งั้นเดี๋ยวลุงบอกเองก็ได้เนอะ บ้านที่นู่นนอกจากพ่อแม่ของติณณ์ก็มีเฌอแตมกับเชอรีนลูกของลุงที่ไปเรียนที่นั่น ส่วนบ้านที่นี่ก็มีครอบครัวลุงกับปู่ย่าติณณ์เขาละ นี่หนูเจ้ากลัวเรื่องจะไปเจอพ่อแม่ติณณ์เขาใช่ไหม’

คิ้วผมเริ่มขมวดเมื่อรับรู้ว่าบ้านติณณ์มีมากกว่าที่คิดไว้ นี่ผมต้องเจอทั้งบ้านทางนู้นกับทางนี้หรอ... “กลัวสิครับลุงวัช ผมเป็นผู้ชายนะไม่ใช่ผู้หญิง ยิ่งเป็นลูกชายคนเดียวอย่างติณณ์ด้วย พ่อแม่ใครเขาจะรับได้กันครับลุง”

‘ไม่ต้องคิดมากน่าหนูเจ้า ลูกชายลุงก็มีแฟนเป็นผู้ชาย ทั้งลุงกับแม่เขาทั้งปู่ย่าเขาก็รับได้นะ แล้วก็เรื่องที่ติณณ์คบกับหนูเจ้าทางนี้เขารู้กันหมดแล้ว แต่ทางนั้นเหมือนติณณ์ยังไม่ได้บอก’

แอบอ้าปากค้างกับที่ลุงวัชบอกว่าทางนี้รู้กันหมดแล้ว... “ติณณ์บอกไปแล้วครับ... แต่บอกไปแค่ว่าจะพาแฟนเข้าไปหา ไม่ได้บอกวันหรือรายละเอียดอะไร”

‘อ้าวอย่างนั้นหรอ’ ลุงวัชว่าเสียงสูง ก่อนจะพูดพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง ‘ไอ้ติณณ์นี่ไม่กลัวยัยภาวีนแตกหรือไง’

เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้ยินอย่างนั้น

‘หนูเจ้าไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวไว้ลุง... ’ ได้ยินเสียงแทรกจากทางปลายสายดังลอดมา ‘อ่า หนูเจ้าลุงต้องวางก่อนนะ’

“ครับ ขอบคุณมากครับลุงวัช”

ผมพรูลมหายใจออกมาหลังจากหน้าจอโทรศัพท์ดับลงไปแล้ว ก้มซบหน้าลงกับกองกระดาษบนโต๊ะทำงานอย่างคนคิดไม่ตก... ขอให้ไม่มีอะไรอย่างที่คิดเกิดขึ้นแล้วกัน

 ไอ้พล็อตแม่ผัวลูกสะใภ้อะไรนั่นน่ะ


และแล้ววันเดินทางที่ผมไม่พร้อมสักเท่าไหร่ก็มาถึง หลังจากที่ผมโวยวายไปเล็กน้อยก่อนออกจากคอนโดตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างทางไปบ้านติณณ์ครับ แวะกินข้าวที่บ้านสวนกันเสร็จก็กลับออกมาสู้ท้องถนนกันอีกครั้ง ผมนั่งเท้าแขนกับขอบกระจก หันหน้ามองติณณ์ที่ฮัมเพลงตามบทเพลงที่เปิดฟัง คนนี้แลดูจะมีความสุขกับการกลับบ้านครั้งนี้เป็นอย่างมากผิดกับผมที่แทบจะถอนหายใจทุกห้านาทีเมื่อนึกถึงสาเหตุในการกลับบ้านของติณณ์ครั้งนี้

“ผมรู้ว่าผมหล่อและหน้าตาดีมาก แต่พี่ข้าวกระพริบตาบ้างก็ได้นะครับ” สารถีส่วนตัวว่าด้วยเสียงติดหัวเราะให้ผมได้แยกเขี้ยวใส่ ผมกระพริบตาถี่ๆ ให้อีกฝ่ายอย่างประชดประชัน

“ไม่ต้องประชดขนาดนั้นก็ได้ม้างงง” อมยิ้มน้อยๆ กับคนลากเสียงยาว แล้วส่งมือไปดึงเส้นผมที่ปรกหน้าผากของติณณ์ที่ยักคิ้วใส่ผม

“แค่ไม่ชินหน้าตอนติณณ์เอาผมลง เมื่อไหร่จะตัด... ฮ้าววว” ว่าจบก็หาวออกมาวอดใหญ่จนคนขับรถหันมายิ้มล้อเลียนให้

“อ้าวๆ หนังท้องตึงหนังตาหย่อนหรอครับ นอนก็ได้นะครับถ้าถึงแล้วเดี๋ยวผมปลุก”

ผมส่ายหัวให้ติณณ์แล้วยัดตัวนั่งหลังตรงมองทาง มาด้วยกันทั้งทีจะปล่อยให้ติณณ์ขับคนเดียวได้ไง ผมเลยหาเรื่องชวนคุยโดยการถามเกี่ยวกับครอบครัวติณณ์ เจ้าตัวเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามก่อนรอยยิ้มจะจุดที่มุมปาก ซึ่งคำตอบของติณณ์ก็ไม่ต่างจากที่ผมรับรู้สักเท่าไหร่ยกเว้นแต่...

“แม่ชอบจับคู่ให้ผมกับลูกหลานเพื่อนแม่ครับ บอกตามตรงว่าน่าเบื่อมากแต่ยังดีที่แม่มาห่างๆ ตอนผมหนีมาเข้ามหาลัยที่นี่แหละ ขนาดวันนั้นยังอุตส่าห์จะจับคู่ให้ผมเลยพี่ก็ได้ยิน”

“อื้มมม” ผมลากเสียงยาวและพยักหน้าไปมากับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ

“กลัวแม่ของติณณ์ไม่ชอบข้าวเจ้าหรอ” ผมขบริมฝีปากแล้วกดหน้าลงเล็กน้อย เมื่ออีกคนเห็นอย่างนั้นติณณ์ก็ละมือจากพวงมาลัย ดึงมือผมที่กำแน่นไปวางบนตักของเจ้าตัวและกุมไว้หลวมๆ “เชื่อติณณ์สิว่ามันไม่เป็นอย่างที่ข้าวเจ้าคิดหรอก จุ๊บ”

ริมฝีปากของติณณ์ที่กดลงมาที่หลังมืออย่างแผ่วเบา ความอุ่นที่หลังมือวิ่งเข้าสู่ใบหน้าจนต้องเบือนหน้าหนีอีกฝ่าย

“...มั้งนะครับ”

ผมหันไปถลึงตาใส่คนทำบรรยากาศหวานๆ พังทลายแทบไม่ทัน...


“ข้าวเจ้า พี่ข้าวตื่นครับจะถึงแล้ว”

“อื้อ ถึงแล้วหรอ?” ถามด้วยเสียงยานๆ ยกมือจะขยี้ตาแต่กลับถูกมือของใครอีกคนบนรถรั้งไว้ก่อนที่ทิชชู่เปียกจะโปะหน้าผม

“ยังครับ พอดีแวะปั้มเลยปลุกคนขี้เซาให้ตื่นอยู่เป็นเพื่อน” ว่าจบมันก็ฉกหน้ามาจูบปากผมไปครั้ง “ไม่ทำตาดุใส่ผมสิ ที่ปลุกเพราะอีกไม่เกินสิบนาทีก็น่าจะถึงแล้วหรอกครับ พี่ข้าวคงไม่อยากงัวเงียตอนถึงบ้านผมใช่ไหมละ”

“อื้อ แวะห้างได้ไหม พี่อยากได้อะไรไปให้คุณลุงคุณป้า”

ติณณ์เลิกคิ้วสูง มุมปากยกเป็นรอยยิ้มกวนๆ “ผมเตรียมพร้อมให้แล้วครับ ถึงบ้านผมพี่ก็ถือเข้าไปได้เลย”

บทสนทนาจบลงของเราด้วยการที่ผมโดนติณณ์ขโมยจูบอีกรอบ อีกฝ่ายดูดดึงเหมือนว่าปากผมเป็นขนมจนรู้สึกว่าปากมันเริ่มบวมเจ่อ พอออกจากปั้มไม่นานเราก็มาอยู่หน้าบ้านขนาดกลางในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง

ความเครียดเข้าครอบงำผมทันทีที่รถของติณณ์เลี้ยวเข้าสู่ตัวบ้าน บ้านตรงหน้าค่อยข้างจะแตกต่างจากจินตนาการไปสักหน่อย สีเอิร์ธโทนของตัวบ้านทำให้รู้สึกอบอุ่นอยู่ดีหรอกครับแต่ไม่รู้ว่าคนในบ้านจะต้อนรับเราอย่างอบอุ่นหรือเปล่า...

เผลอกำมือแน่นจนรู้สึกถึงเล็บที่จิกลงฝ่ามือ ติณณ์ที่เหมือนจะรับรู้ถึงความเครียดของผมเคลื่อนมือมาวางทับหลังมือ เขาบีบมือเบาๆ จนผมคลายแรงออกเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นสอดประสานนิ้วของเราเข้าด้วยกันทันทีจนไม่เหลือช่องว่าง

“ไม่เครียดสิ ผมอยู่ตรงนี้นะ” ริมฝีปากของคนพูดกดลงมาที่หน้าผากเบาๆ “ผมรักข้าวเจ้านะครับ”

ผมยิ้มรับคำนั้น ยกแขนข้างที่ว่างเกี่ยวคออีกฝ่ายลงมาและกดริมฝีปากแนบลงไปกับปากติณณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระซิบคำที่ทำให้ติณณ์ยิ้มกว้างจนน่าหมั่นไส้ “พี่ก็รักติณณ์นะ”

“สวัสดีครับพ่อ”

“อ้าว ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมาวันนี้?” เสียงทุ้มของคนที่ติณณ์เอ่ยทักทายตอบกลับ ผมลอบมองคนตรงหน้าที่มีเค้าโครงใบหน้าคล้ายกับลุงวัชแต่หนุ่มกว่าเล็กน้อย พอสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายผมก็รีบดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมขึ้นไหว้คนตรงหน้าทันที “แล้วนั่นใครล่ะ”

“สวัสดีครับ ผมข้าวเจ้าครับ...”

“ข้าวเจ้า?” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยเสียงระคนแปลกใจ “อ้อ หนูเจ้า เด็กที่พี่วัชบอกว่าเป็นแฟนของติณณ์ใช่ไหม”

พ่อของติณณ์จ้องหน้าผมเขม็งจนเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว ติณณ์ที่เห็นอย่างนั้นเลยรีบตอบออกไปทันที “ครับ ข้าวเจ้าเป็นแฟนผม”

“พ่อถามลูกหรอ?” คิ้วติณณ์กระตุกเพราะคำพูดของพ่อ “ว่าไง?”

“เอ่อ... ครับ ผมเป็นแฟนติณณ์”

“อืม” คนตรงหน้าลากเสียงยาวและยังคงจ้องหน้าผมคล้ายจะสำรวจอะไรสักอย่าง ติณณ์ขยับมายืนอยู่ข้างๆ ผมก่อนจะยัดกระเช้าผลไม้ใส่มือผม กระตุกเบาๆ แทนคำพูด

“เอ่อ... คุณลุงครับ อันนี้ผม--”

“คุณลุง?” คุณพ่อของติณณ์เลิกคิ้วสูง ต้นฉบับรอยยิ้มของติณณ์ถูกจุดขึ้นที่มุมปากจนผมต้องหลบตา... รู้แล้วว่าติณณ์ได้รอยยิ้มแบบนั้นมาจากใคร “เรียกพ่อเหมือนติณณ์ก็ได้ พ่อไม่ถือหรอก”

“...ครับคุณพ่อ” ฝ่ามืออุ่นของคนสูงวัยวางลงบนหัวผม ขยับลูบเบาๆ ก่อนจะผละออกไปหยิบกระเช้าในมือผมไปถือไว้เอง

“คราวหน้าคราวหลังไม่ต้องเอามาให้ก็ได้นะลำบากเราเปล่าๆ ติณณ์พาเขาไปเก็บของก่อนไป เดี๋ยวคุณภามาแล้วจะไม่ได้เก็บกัน” คุณพ่อส่งยิ้มให้ผมแล้วหันไปบอกลูกชายตัวเองที่รั้งเอวผมให้ไปใกล้เจ้าตัว

“แม่ไม่อยู่? ไปไหนครับ”

“สมาคมเขาล่ะ” คุณพ่อพูดพลางถอนหายใจออกมา “ตั้งแต่ที่เห็นลูกไปสัมภาษณ์อย่างนั้น พอโทรไปหาแล้วแกบอกว่าพูดไปงั้นๆ คุณภาก็ออกตระเวนแก้ข่าวกับคุณหญิงคุณนายเพื่อนเธอนั่นล่ะ วันก่อนที่แกโทรมาบอกว่าจะพาแฟนมาหาคุณภาเธอก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยไม่ยอมไปไหนเพราะไม่รู้วัน แต่วันนี้เหมือนนัดใครไว้เลยออกไปข้างนอกน่ะ”

“อย่างนั้นหรอครับ แต่ไม่อยู่ก็ดีแล้ว... เดี๋ยวข้าวเจ้าเครียดไปมากกว่านี้ผมจะไม่มีปัญญาทำให้หายเครียด” ติณณ์ว่าด้วยน้ำเสียงล้อๆ และโอบเอวผมอย่างไม่อายคนตรงหน้า พอเห็นคุณพ่ออมยิ้มคล้ายล้อเลียนผมที่เริ่มรู้สึกว่าหน้าร้อนๆ ก็ยิ่งพยายามแกะมือปลาหมึกนั่นออกแต่ก็ไม่เป็นผล

“นี่หนูเจ้า” สรรพนามเดียวกับที่ลุงวัชใช้เรียกทำให้ผมที่หยิกหลังมือปลาหมึกอยู่เงยขึ้นมองคนตรงหน้า “พ่อฝากลูกชายพ่อด้วยนะ ดื้อมากไปก็ดุได้ตีได้เลย”

“ครับคุณพ่อ”

มุมปากของผมยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนหน้านี่ราวครึ่งปีก่อนก็ได้ยินประโยคคล้ายๆ อย่างนี้จากเพื่อนสนิทติณณ์เหมือนกัน

...จะว่าไปยังไม่ได้เคลียร์เรื่องนี้กับอาร์ตเลยนี่หว่า

“ไม่ต้องกลัวว่าพ่อจะไม่ชอบเรานะ พ่อเชื่อในการตัดสินใจของลูกชายพ่อเสมอแหละ” พูดจบคุณพ่อก็ส่งยิ้มให้ผมอย่างเอ็นดู ฝ่ามือของคนตรงหน้ายกขึ้นมาหมายจะลูบหัวผมอีกครั้งแต่ไม่ทันได้แตะเส้นผมดี ตัวของผมก็ถูกติณณ์ดึงไปจนชิดอกแน่นๆ นั่น พร้อมกับมืออีกข้างที่ยกขึ้นปิดตาผมทันที

“พอๆ คนนี้ของผมครับ พ่ออย่ามาหว่านเสน่ห์ใส่ข้าวเจ้าสิ ไปล่ะ” ว่าจบติณณ์ก็ดึงผมไปทางบันไดบ้านทันที ได้ยินเสียงเจ้าบ้านหัวเราะน้อยๆ ดังไล่หลังมาให้ผมได้หน้าร้อนกันไป

ผมมองประตูไม้สีเข้มตรงหน้าที่มีป้ายเล็กๆ เขียนว่า ‘ห้องน้องติณณ์’ ห้อยอยู่ สลับกับ ‘น้องติณณ์’ ที่ยกมือลูบหน้าลูบตาแก้เขินเมื่อผมเอ่ยล้อด้วยคำนั้น คนหูแดงเปิดประตูห้องและผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไป... เรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาในพื้นที่ของติณณ์จริงๆ

ติณณ์ดึงเป้ออกจากหลังผมและเดินหายเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ปล่อยให้ผมได้เดินสำรวจห้องของคนเป็นแฟนเล่น เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ในห้องเป็นโทนสีเทาขาวที่เป็นสีโปรดของเจ้าตัว ผมสาวเท้าไปยังกรอบรูปที่ถูกตั้งไว้ตรงหัวเตียง เผลอหัวเราะออกมาเมื่อรูปของติณณ์สมัยหัวเกรียนๆ ก่อนจะไปสะดุดกับรูปติณณ์ในชุดกางเกงสีกากีคู่กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ทั้งคู่ยืนยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

“ดูอะไรครับ หืม” คำพูดพร้อมกับสัมผัสที่กดลงมาที่หลังคอทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย พอติณณ์เห็นสิ่งที่อยู่ในมือก็ร้องอ๋อแล้วดึงออกจากมือผมไปวางที่เดิม “หึงหรือไงครับ”

“เปล่า”

“นั่นรักแรกผมเลยนะ” หันขวับตาขวางไปหาคนที่กอดเอวผมอยู่อย่างทันที “อย่าทำตาขวางสิที่รัก ผมล้อเล่นครับนั่นเพื่อนที่สนิทที่สุดในตอนม.ปลาย ไว้ว่างๆ จะพาไปรู้จักนะ... นี่สงสัยแม่จะเอามาใส่กรอบไว้ให้”

ผมครางอื้อยาวๆ ในลำคอเป็นการรับรู้

“อยากรู้ไหมว่าทำไมพ่อถึงไม่ห้ามเรื่องที่ผมคบกับผู้ชาย”

“หืม ทำไม?”

“เพราะพ่อแม่ผมเขาโดนคลุมถุงชนครับ” ติณณ์ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ มีรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ที่จริงแม่ต้องเป็นคู่หมั้นลุงวัชแต่ลุงแกเฟี้ยวไปทำสาวท้องซะก่อน เลยกลายเป็นพ่อที่ต้องเข้าพิธีหมั้นแทน ถึงไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่ขัดผู้ใหญ่ไม่ได้ คำว่าอยู่ๆ กันไปก็รักกันเองนี่ยังใช้ได้อยู่บ้างสุดท้ายก็เกิดเป็นผมนี่ล่ะ”

“ติณณ์...”

“อันนี้ลุงวัชเล่าให้ฟังตอนโตครับ พ่อผมก็ปรามๆ แม่ทุกครั้งที่แม่หาสาวให้ผม ท่านบอกว่าอยากให้ผมเลือกคนที่จะใช้ชีวิตเองมากกว่าที่จะมีคนมาบังคับจับแต่งเหมือนกับพ่อ”

“...แล้วแม่ติณณ์ล่ะ”

พอผมถามออกไปติณณ์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ผมก็ไม่รู้ครับ บอกตามตรงว่าผมเดาความคิดแม่ไม่ออกสักเท่าไหร่...” ติณณ์ว่าพลางกระชับแขนที่โอบรอบเอวผมให้แน่นขึ้น พาก้าวถอยหลังจนเจ้าตัวนั่งลงกับขอบเตียงโดยมีผมนั่งบนขาข้างหนึ่ง “อย่าเครียดสิครับคิ้วจะเป็นปมแล้ว คลายหน่อยๆ”

นิ้วชี้ของเจ้าของตักยื่นมาจิ้มหัวคิ้วผมย้ำๆ ก่อนมันจะดีดนิ้วลงกับหน้าผากผมดังเป๊าะ ...ไม่แดงเท่าไหร่แค่หน้าผากแดง

“ติณณ์!!”

“โอ๋ๆ ใครแกล้งข้าวเจ้าของติณณ์ครับ มามะเดี๋ยวติณณ์ปลอบให้นะครับ” ไอ้คนทำว่าหน้าชื่นมื่นให้ผมแยกเขี้ยวใส่ ติณณ์จับคางผมให้หันไปหาเจ้าตัวและจูบลงที่หน้าผากตรงรอยแดง ไล่ลงมาจมูกและแตะค้างที่ริมฝีปากเนิ่นนาน

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มือผมยกขึ้นคล้องคออีกฝ่าย เราปรับหน้าเอียงคอหาองศาเพื่อให้ริมฝีปากประกบกันอย่างแนบแน่น จากจูบอ่อนหวานเริ่มร้อนแรงขึ้นเมื่อลิ้นร้อนของอีกฝ่ายแตะไล้ตามริมฝีปาก ติณณ์กดจูบหนักๆ ลงบนปากก่อนผละห่างให้จมูกได้คลอเคลียกัน นิ้วมือของติณณ์ปาดหยาดน้ำที่มุมปากผมทิ้งและเมื่อเห็นผมเผยอปากหายใจ... ติณณ์ก็กดหน้าลงมาจูบและสอดลิ้นเข้ามาทันที สัมผัสของเรียวลิ้นที่หยอกล้อกัน เสียงจูบที่ก้องในหูและจูบที่ดูดดื่มทำให้ในหัวของผมแทบว่างเปล่า

หลังของผมแตะกับความนิ่มของที่นอน ติณณ์ขยับตัวมาทาบทับอยู่เหนือร่างโดยที่ริมฝีปากของเราแทบจะไม่ห่างกันสักวินาที...

แต่ก่อนที่จะอะไรๆ จะเลยเถิดไปมากกว่านี้... ประตูห้องนอนของติณณ์ก็ถูกเปิดขึ้น

“ติณณ์! ทำไมไม่โทรบอกแม่ว่ามาถึงวะ...”

ฝ่ามือของติณณ์ที่สอดเข้าใต้เนื้อผ้าจนเกือบถึงยอดอกและริมฝีปากที่ยังคลอเคลียกันไม่ห่างหลุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงนั้น ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจและหันไปตามต้นเสียงเช่นเดียวกับติณณ์

“แม่”

“นี่มันอะไรกัน”

ติณณ์ถอนหายใจหนักๆ ออกมา เบนสายตาจากคุณหญิงของบ้านที่ยังนิ่งค้างมาจัดเสื้อผ้าทรงผมของผมที่ยังคงตื่นตกใจอยู่ให้เรียบร้อย และมือดึงให้ผมไปตรงหน้าผู้มาใหม่

ผมยกมือไหว้แต่ได้รับสายตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายกลับมา เบื้องหลังท่านมีคุณพ่อที่ยืนส่งยิ้มจางๆ ให้

“ติณณ์... นี่ลูก”

“แม่ครับ นี่ข้าวเจ้าคนรักของผมเองครับ”

Tbc.

――――――――――――――

มาแล้วค่าาา พาร์ทนี้กับพาร์ทหน้าพี่ข้าวยึดบทนะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นและการติดตามค่ะ ❤
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -20- 20|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-03-2018 01:45:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

ลุ้น ๆ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -20- 20|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 21-03-2018 00:04:01
ผิดเวลาซะงั้น 555
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -20- 20|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-03-2018 07:28:04
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -20.5- 24|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 24-03-2018 23:03:12
จีบครั้งที่ยี่สิบจุดห้า
ข้าวเจ้า

“แม่ครับ นี่ข้าวเจ้าคนรักของผมเองครับ”


หลังจากที่ติณณ์เอ่ยประโยคนั้นออกไปทุกอย่างก็เหมือนถูกหยุดชะงัก ผมเบิกตากว้างหันไปมองติณณ์  เช่นเดียวกับที่หญิงสูงวัยตรงหน้าเบิกตากว้างมองลูกชายของตัวเองเขม็ง และพอคุณแม่ของติณณ์ได้สติท่านก็มองผมสลับกับติณณ์ เรียวคิ้วบนใบหน้านิ่งขมวดเข้าหากันก่อนจะแย้มยิ้มที่ต่อให้เด็กดูก็รู้ว่าฝืน

“ติณณ์ล้อแม่เล่นหรอ แม่ไม่สนุกหรอกด้วยนะ”

“ผมไม่ได้ล้อเล่นครับ นี่คนรักของผมจริงๆ เรารักกันครับ” ติณณ์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และตอกย้ำความจริงจังลงไปด้วยการโอบเอวผมและรั้งเข้าไปใกล้ๆ “ผมกับข้าว... เราคบกันได้จะครึ่งปีแล้วครับ ขอโทษที่ตอนนั้นผมโกหกแม่ว่ายังไม่มีแฟนนะครับ”

รอยยิ้มฝืนของคุณหญิงของบ้านเริ่มจางหายไปจากใบหน้าและแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงจนผมได้แต่ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง... อะไรมันจะละครขนาดนี้

“... ไปคุยกันข้างล่าง” ว่าจบคุณแม่ท่านก็เดินหุนหันออกไปทันที ส่วนคุณพ่อได้แต่ส่ายหัวให้และบอกว่าห้ามไม่ทัน ฝ่ามืออุ่นของผู้ใหญ่ตรงหน้าวางลงบนศีรษะผม และตบลงที่ไหล่คนตัวสูงข้างๆ ผมก่อนจะเดินตามคุณแม่ไป เหลือแต่ผมและติณณ์ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

“ผมลืมไปว่าห้องไม่ได้ล็อก”

“...ความประทับใจแรกพังไม่เป็นชิ้นดีเลย ฮะๆ” ผมพูดขึ้นขัดอีกฝ่ายพลางเอียงหัวไปซบกับต้นแขนของติณณ์ที่หันมองผมอยู่ก่อนแล้ว “คุณแม่ของติณณ์ไม่โอเคแน่เลย”

ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่าย... มีเพียงอ้อมกอดอุ่นๆ ของติณณ์ที่กอดผมเอาไว้และริมฝีปากที่กดลงมาบนกลุ่มผมย้ำๆ ที่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

และราวห้านาทีให้หลังติณณ์ก็พาผมลงไปข้างล่าง... ไปยังห้องรับแขกที่มีคุณพ่อและคุณแม่ของติณณ์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว บรรยากาศตรงหน้าน่าอึดอัดจนผมอยากจะก้าวถอยหลังไปตั้งหลักใหม่แต่ติณณ์ที่เดินนำหน้าเหมือนจะรู้ทันความคิดนั้นจึงหันกลับมาคว้ามือผมไปจับ กระตุกเบาๆ และพาไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับที่ผู้ใหญ่ทั้งสองนั่งอยู่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเองและนั่งลงข้างติณณ์

“พรุ่งนี้หนูแพรวจะมาหา ติณณ์เตรียมต้อนรับน้องด้วย” แต่ทันทีที่หย่อนตัวลงนั่ง คุณแม่ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ให้พวกเราได้ชะงัก

หนูแพรว? คนที่เคยได้ยินชื่อตอนนั้นไม่ใช่หรอ?

“คงไม่ได้ครับแม่ ที่มาบ้านครั้งนี้เพราะผมจะพาแฟนมาให้แม่กับพ่อรู้จัก... อาจไม่สะดวกเท่าไหร่ถ้าผมไปดูแลคนอื่นและทิ้งให้แฟนผมอยู่คนเดียว”

ติณณ์ว่าด้วยน้ำเสียงจริงจังและเน้นคำว่าคนอื่นอย่างชัดเจนจนคุณแม่เผลอชักสีหน้าแต่ก็เปลี่ยนกลับเป็นหน้านิ่งๆ คืนในเวลาต่อมา ส่วนคุณพ่อเลิกคิ้วสูงและยิ้มออกมาเมื่อได้ยินอย่างนั้น

“ในเมื่อผมมีแฟนอยู่แล้ว แม่ก็เลิกจับคู่ให้ผมเถอะครับ” ติณณ์ยื่นมือมาจับมือผมไปกุมไว้ “ผมกับข้าวเจ้าเรารักกันจริงๆ ครับ”

“แต่เด็กนี่มันผู้ชาย! แม่จะไม่ว่าอะไรเลยถ้าลูกจะคบผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายแบบนี้!” คุณแม่ตบมือลงบนโต๊ะเสียงดังลั่ง และตวาดเสียงดังจนผมได้แต่จิกมือลงกับหลังมือของติณณ์ ท่านปรายตามองมาทางผมและพูดต่อ “รักกับพวกผิดเพศอย่างนี้มันมีแต่เสื่อมเสีย! วิปริตกันไปแล้วหรือไง! แม่รับไม่ได้!”

ผมเผลอเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินอย่างนั้น ผิดเพศ? วิปริต? แค่คนที่เรารักไม่ได้เป็นเพศตรงข้ามนี่ถึงกับต้องว่าอย่างนี้เลยหรอ...

“ต่อให้ข้าวเจ้าเป็นผู้หญิง... แต่ถ้าแม่ไม่ชอบแม่ก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ”

คุณหญิงของบ้านชะงักเมื่อได้ยินลูกชายตัวเองพูดอย่างนั้น

“ผมไม่ได้มาเพื่อให้แม่บอกว่ารับได้หรือไม่ได้ครับ ผมมาเพราะต้องการแนะนำว่าผมมีคนที่อยากให้ชีวิตด้วยแล้ว และต่อให้แม่ค้านแค่ไหนผมก็ไม่ปล่อยมือข้าวเจ้าแน่ๆ แล้วเสื่อมเสียที่แม่ว่า... หมายถึงชื่อเสียงหรือหน้าตาจองบ้านเราครับแม่” ติณณ์กระชับมือของเราที่จับกันไว้ให้แน่นขึ้น “อีกอย่างผมเป็นคนเริ่มจีบข้าวเจ้าก่อนครับเพราะถ้าเรื่องนี้จะมีคนผิด คนๆ นั้นควรเป็นผมไม่ใช่ข้าว... ก่อนหน้านี้ผมตามใจแม่มาตลอด ครั้งนี้ผมขอทำตามใจตัวเองบ้างนะครับ ถึงแม่ห้ามหรือจะหาผู้หญิงมาให้ผมสักแค่ไหนผมก็ไม่มีทางเลิกกับเขา”

ผมหลุบตาลงต่ำทันทีเมื่อได้ยิน ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ผมอาจจะหน้าแดงไปแล้ว...

“แต่!”

“ไหนแม่เคยบอกว่าก่อนที่จะมีผมแม่ไปอยู่กับคุณตาที่อิตาลีตั้งหลายปี... ที่นั่นก็มีคนรักร่วมเพศอย่างผมไม่ใช่หรือครับ”

“ติณณ์!! นี่ลูกกล้าเถียงแม่หรอ”

“ผมไม่ได้เถียงครับ ผมแค่อธิบายให้แม่ฟัง”

“นั่นสิ ผมยังไม่เห็นเลยว่าลูกเถียงคุณสักคำ” คุณพ่อที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นมาขัดคุณแม่ที่กำลังจะพูดอะไรต่อจนท่านชะงักและหันไปมองสามีของตัวเอง

“ผม... ผมรักติณณ์จริงๆ นะครับคุณแม่” ผมว่าด้วยเสียงแผ่วเบาแต่ก็เรียกความสนใจของอีกฝ่ายได้ดี ใบหน้าของผู้ชายอีกสองคนในห้องยกยิ้มหลังจบประโยคนั้น ผิดกับคุณแม่ที่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ผมอย่างไม่พอใจ

“ใครเป็นแม่เธอ?”

“แม่!”

“ฉันมีลูกชายคนเดียวและไม่ต้องการเพิ่ม ติณณ์พรุ่งนี้น้องน่าจะถึงบ้านเราสิบโมง เตรียมตัวด้วย” พอคุณแม่ท่านพูดจบ ท่านก็ทำท่าจะลุกออกไปทันที

“แม่ครับ!” ผมบีบมือของคนที่ขึ้นเสียงดังเพื่อปราบ พอติณณ์หันมาหาผมก็ส่ายหน้าห้ามและหันไปมองคุณแม่ของอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นยืนแต่ยังไม่ขยับไปไหน

“คุณแม่... คุณวิภาครับ” ผมเปลี่ยนคำเรียกทันทีเมื่ออีกฝ่ายตวัดสายตามามองอย่างไม่พอใจ ติณณ์ขมวดคิ้วหันมองผมด้วยสายตาที่อยากจะถามผมว่าคิดจะทำอะไร “อาจจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่ผมขอถามคุณวิภาได้ไหมครับว่าการที่ผมกับติณณ์รักกันมันผิดตรงไหนครับ และคุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้จะทำให้ลูกชายคุณวิภามีความสุขจริงๆ”

คุณแม่ของติณณ์จ้องเขม็งเมื่อผมถามออกไปอย่างนั้น และตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“ผู้ชายกับผู้ชายรักกันมันจะเป็นไปได้ยังไง” คุณหญิงของบ้านกดเสียงต่ำและหรี่ตามองผม “ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกชายฉันอยู่แล้ว”

“แล้วคุณภาถามลูกหรือยังว่าลูกเต็มใจไหม?” คุณพ่อที่นั่งเงียบเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มคล้ายจะถูกใจในคำถามผม “ผมว่านะคุณภา... สิ่งที่ดีสุดของคนเป็นพ่อแม่กับตัวของลูกมันไม่เหมือนกัน เราเจ้ากี้เจ้าการเขาได้ไม่ตลอดหรอกนะ”

“คุณวิเชียร!” ท่านหันไปหาคุณพ่อที่ยังคงยิ้มอย่างไม่สนใจอะไร “คุณยอมรับได้หรือไงที่ลูกชายเป็นพวกวิปริตผิดเพศอย่างนี้!”

“ได้สิ สำหรับผม ผมเคารพการตัดสินใจของลูกนะ อะไรที่ลูกเลือกว่าคือสิ่งที่ดีที่สุดมันก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าตัวแล้วล่ะคุณภา และถ้าวันไหนเขาเจ็บกับสิ่งที่ตัวเองเลือกขึ้นมาเราก็มีหน้าที่ปลอบไม่ใช่ตอกย้ำซ้ำเติม... และการที่จะรักใครชอบใครสักคนทำไมต้องแบ่งเพศด้วยล่ะคุณ” คุณพ่อหยุดพูดและหันมามองเรา “รักก็คือรักนี่ ใช่ไหมติณณ์ ใช่ไหมข้าวเจ้า”

“คุณวิช!!”

“หรือไม่จริงล่ะคุณภา”

จบประโยคจากเจ้าบ้าน คุณแม่ที่เหมือนจะค้านไม่ได้ก็สะบัดหน้าใส่คุณพ่อก่อนจะเดินไปอีกทางด้วยท่าทางหงุดหงิด คุณพ่อส่ายหัวน้อยๆ ให้กับท่าทางของคนที่เดินออกไปก่อนจะเงยมองพวกเราอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม

“ให้เวลาแม่เขาหน่อยนะ เล่นเข้าไปเจอฉากอย่างนั้นตั้งแต่แรกเลยคงมีมึนกันบ้าง นั่นลูกครึ่งก็จริงแต่เพราะถูกเลี้ยงแบบคนไทยแท้ๆ เลยรั้นไปเยอะเลยล่ะ ขนาดรู้ว่าหลานชายตัวเองคบกับผู้ชายยังทำหน้าบึ้งไปทั้งวันเหมือนเป็นลูกตัวเองเสียอย่างนั้น” คุณพ่อว่าพลางหัวเราะน้อยๆ ออกมาก่อนจะพูดต่อ “พรุ่งนี้ติณณ์ก็พาพี่เขาไปเที่ยว ข้าวเจ้าไม่เคยมาที่นี่ใช่ไหมล่ะ”

พอผมพยักหน้าท่านก็ยิ้มเอ็นดูออกมา กำลังจะอ้าปากถามเรื่องที่คุณแม่บอกว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาแต่เหมือนคนตรงหน้าล่วงรู้ความคิด “ไปเถอะๆ เดี๋ยวทางนี้พ่อจัดการเองไม่ต้องห่วง ไปพักเถอะไว้ตอนเย็นค่อยลงมาทานข้าวกัน”

“ขอบคุณครับพ่อ ป่ะพี่ข้าว”

ไม่ทันได้หันไปไหว้ขอบคุณคุณพ่อ ผมก็ถูกติณณ์ลากปลิวขึ้นห้องไปทันทีและเมื่อประตูห้องของติณณ์ปิดลงตัวของผมก็ถูกอีกฝ่ายรวบไปกอดจนจมอก

“สบายใจหรือยัง? หายเครียดหรือยังครับ คิดยังไงไปถามแม่อย่างนั้น หืมมม” เจ้าของริมฝีปากที่กดลงตรงขมับผมเอ่ยถามรัวจนผมหลุดยิ้ม “พาแฟนเข้าบ้านครั้งแรกก็เจอหนักเลย สงสัยจะได้พามาบ่อยๆ ซะแล้วมั้งเนี่ยจะได้คุ้นเคย”

ผมเงยมองคนพูดเสียงทะเล้น ยกมือหยิกเนื้อตรงเอวของติณณ์จนมันร้องโอดครวญ “ก็พอทำใจไว้แล้วแหละว่าต้องมาเจออย่างนี้... แต่อย่างน้อยก็ดีที่คุณพ่อรับเราได้”

“นี่... ผมขอโทษครับ” ติณณ์ว่าเสียงสลดและถอนหายใจออกมายาวๆ และกดหน้าลงกับไหล่ผม อีกฝ่ายเงียบนานจนผมยกมือโอบหลังคนตรงหน้า “คราวหลังผมจะระวังเรื่องกลอนประตูให้มากกว่านี้นะครับ”

เดี๋ยวนะ... ผิดประเด็นแล้วไหม!

รอยยิ้มที่มีก่อนหน้านี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแยกเขี้ยวใส่คนตรงหน้า ติณณ์หัวเราะออกมาร่าเมื่อผมขบกัดไหล่ของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว

ความเครียดที่มีตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านเริ่มจางหายไปจนเกือบหมด มาครั้งนี้ถ้าทำให้แม่ยอมรับได้สักนิดก็ยังได้...


มื้อเย็นมื้อแรกกับครอบครัวติณณ์เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะ... วุ่นวายไปสักหน่อย

นอกจากคุณแม่ที่ทำหน้าบึ้งตึงเพราะเห็นผมร่วมโต๊ะเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จาพออิ่มก็ลุกขึ้นห้องไปแล้ว ก็มีเฌอแตมกันเชอรีนที่เอาแต่คลุกคลีกับผม กับเฌอแตมที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วไม่ค่อยเท่าไหร่แต่กับเชอรีนที่เพิ่งเคยเจอหน้าแต่เจ้าตัวรู้จักผมจากน้องแตมบ้างแล้ว ทำให้ผมค่อยข้างจะเกร็งๆ ไปหน่อย

ตอนแรกก็ว่าชื่อเชอรีนมันคุ้นๆ หู แต่ใครจะไปนึกว่าลูกชายคนรองสุดท้องของลุงวัชเป็นนายแบบแนวยูนิเซ็กส์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้กันล่ะ...

“พี่ข้าวคะ ปิดเทอมครั้งหน้าพาหนูไปเที่ยวนะๆๆ”

“ปิดเทอมครั้งหน้าน้องแตมต้องสอบขึ้นม.หนึ่งไม่ใช่หรอ พี่ข้าวจะพาเราไปเที่ยวได้ยังไงครับ”

“พี่รีนเงียบบบบ ฉลาดๆ อย่างหนูสอบได้อยู่แล้ววว”

“ได้เชื้อหลงตัวเองจากใครมาครับเฌอแตม หืมม พี่ข้าวครับรู้ไหมว่าแตมมันเอาแต่พูดถึงพี่อย่างนั้นอย่างนี้ อุ๊บ”

“พี่รี๊นนนนนนนนนนนน”

ผมนั่งมองสองพี่น้องที่ทะเลาะกันอย่างสนิทสนมแล้วหัวเราะออกมา อันที่จริงผมก็มีน้องสาวนะแต่ก็ไม่ได้สนิทกับเจ้าตัวอย่างพี่น้องคู่ตรงหน้านี้ ติณณ์แอบกระซิบว่าเฌอแตมเป็นลูกหลงเลยห่างจากพี่ๆ เกือบสิบปี ที่บ้านของน้องเลยค่อนข้างจะเอ็นดูแตมเป็นพิเศษ

“แล้ว... แตมกับรีนจะปล่อยแฟนพี่ได้ยัง?” ติณณ์ว่าเสียงแข็งมองเจ้าของชื่อทั้งสองที่กอดแขนผมคนละข้าง แต่แทนที่จะปล่อยแขนผม ทั้งคู่กลับมองหน้ากันแล้วรัดแขนผมแน่นกว่าเดิมอย่างท้าทาย “เฌอแตม... เชอรีน...”

“ติณณ์จะอะไรกับน้องนักหนา รายนั้นนานๆ ทีได้เจอแต่เราได้เจอทุกวันนี่” คุณพ่อที่นั่งอยู่ไม่ไกลจุดรอยยิ้มที่มุมปาก “เห็นพี่วัชบอกว่าให้กุญแจห้องไปแต่ไม่ยอมไปนอนนี่?”

“ไม่อยากห่างจากแฟนนี่”

“แฟนหรือมากกว่านั้นครับลูกชาย ไม่ใช่ว่า----”

“ลุงวิช!! แตมยังอยู่ตรงนี้นะ!!!” เชอรีนแหวดเสียงขึ้นพร้อมๆ กับยื่นมือไปปิดหูน้องสาวตัวเองที่นั่งบนตักผม “แตมไม่ฟังนะครับ ไม่ฟัง”

คุณพ่อเลิกคิ้วสูงคล้ายเพิ่งจะนึกได้ว่ามีเด็กน้อยใสๆ อยู่ร่วมห้องด้วย พอท่านเห็นเฌอแตมทำหน้างุนงงก็หัวเราะออกมาดังลั่นพร้อมกับเอ่ยขอโทษหลานชายหลานสาว

“แล้วเมื่อไหร่จะปล่อยแฟนพี่สักที ข้าวเจ้าลุก”

“ไม่! พี่ข้าวของหนู”

“ของรีนด้วยๆ”

“ไอ้แตม! ไอ้รีน!”

ผมหัวเราะลั่นเมื่อเห็นติณณ์แยกเขี้ยวใส่สองพี่น้องที่ทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกรู้สากอดแขนผมไม่ยอมปล่อย แถมยังหันไปยักคิ้วกวนๆ ใส่ติณณ์อย่างผู้ชนะอีกต่างหาก

....ดูท่าว่าพรุ่งนี้คงมีคนไปเที่ยวด้วยแฮะ

Tbc.

―――――――――――

ตาไม่ฝาดค่ะ คราวนี้มีนมาก่อนเที่ยงคืน 555555555
ตอนแรกกะจะปัดเป็น21เลย แต่พอให้แฟนเช็คนางบอกว่ายังเป็นพาร์ทข้าวเอาเป็น20.5ดีกว่า ถถถถ  ใจจริงอยากให้ม่ากว่านี้แต่บิ้วอารมณ์ตัวเองไม่ได้ คือไม่รู้เป็นบ้าอะไรมีความสุขได้ทั้งวี่ทั้งวัน...
ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ เจอกันพาร์ทหน้าค่ะ จุ๊บ

ปล. ตัวละครใหม่เป็นลูกลุงวัชค่ะ บ้านนี้มีลูก4 คน เชอเบท เชอเบลล์ เชอรีน เฌอแตม แอบกระซิบว่าสองคนสุดท้ายนี่มีเรื่องแยกของตัวเองค่ะ แต่คงดองยาวๆ 5555555 (ของแตมเป็นGLที่แต่งให้น้องชายในวันเกิด ไหนๆ คิดชื่อแล้วเลยจับมาลงเรื่องนี้ด้วย ถถถถ)
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -20.5- 24|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 25-03-2018 00:01:33
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -20.5- 24|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-03-2018 00:07:32
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -20.5- 24|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-03-2018 00:00:43
เป็นกำลังใจให้นะครับ,,,
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -21- 28|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 28-03-2018 00:13:48
จีบครั้งที่ยี่สิบเอ็ด

“พี่ข้าวครับ...อ้าว?”

ทันทีที่ออกจากห้องน้ำก็ต้องร้องอ้าวออกมาเมื่อเห็นคนที่ดื้อดึงบอกว่าจะรอนอนพร้อมกันชิงหลับไปก่อนแล้ว ผมเดินก้าวขาไปหาเจ้าชายนิทราที่ซุกในผ้าห่มหนาและกดจูบลงไปบนหน้าผากเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะเล่นกับสองพี่น้องนั่นมากหรือเพราะว่ายังเครียดกับเรื่องที่แม่ผมยังไม่ยอมรับแถมยังดูท่าว่าไม่พอใจในเจ้าตัวอีกกันแน่ถึงได้หลับสนิทขนาดที่ผมทั้งหอมทั้งจูบขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัวสักนิด

“อือออ”

เสียงครางคล้ายรำคาญดังขึ้นเมื่อหยดน้ำจากเส้นผมของผมตกกระทบใบหน้าคนหลับใหล ผมจุดรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาพร้อมกับปาดหยดน้ำนั้นออกจากใบหน้าข้าวเจ้าและเปลี่ยนทิศทางจากการกลั่นแกล้งคนรักไปยังตู้เสื้อผ้า แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นรูปที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง

รูปเจ้าปัญหาที่ข้าวเจ้ายืนจ้องมองตั้งนานสองนาน รูปคู่ของผมกับใครบางคนที่หลงลืมไปแล้ว... เธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนนี่ล่ะครับ เพื่อนจริงๆ ไม่ใช่รักแรกอย่างที่ผมโกหกข้าวเจ้าหรอก

ก็... ไม่ใช่สำหรับผมนะ แต่ใช่สำหรับเธอคนนั้น... ก็ไม่รู้หรอกว่าคำว่าเพื่อนมันเปลี่ยนไปตอนไหนสำหรับเธอ แต่ในสายตาผมเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและผมไม่เคยเห็นเป็นมากกว่านี้ ดีที่พอได้เปิดใจแล้วเธอเข้าใจก็เลยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ต่อ ส่วนเรื่องที่บอกข้าวเจ้าไปว่าจะพาไปรู้จักนั่นก็เรื่องจริง อยากพาไปให้เธอรู้จักว่าผมที่คนผมรักอยู่แล้ว

ผมแกะเอารูปในกรอบรูปออกมาเก็บไว้ในอัลบั้มคืนและแทนที่ด้วยรูปถ่ายของผมกับข้าวเจ้าตอนที่เราไปเที่ยวกันก่อนหน้านี้ จัดการแต่งตัว กดปิดไฟและแทรกตัวลงกับผ้าห่มผืนเดียวกับข้าวเจ้าดึงอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามาในอ้อมกอดและจมสู่ห้วงฝันดี

และความวุ่นวายเกิดขึ้นทันทีที่ผมตื่นนอน... นาฬิกาปลุกตอนตีห้ากว่าร้องลั่นให้รู้สึกตัว สาเหตุที่ผมตื่นเช้าเพราะคิดจะพาคนพี่ออกไปจากบ้านก่อนที่แม่จะตื่นขึ้นมารั้งไว้ แต่เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำ ไม่ทันได้แต่งตัวหรือปลุกข้าวเจ้าก็ได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ จนเจ้าชายขี้เซาลืมตาขึ้นมาพร้อมส่งสายตาดุๆ คล้ายจะให้ผมไปเปิดสักที และพอเปิดไปก็เห็นสองพี่น้องในชุดเตรียมเที่ยวเต็มยศยืนยิ้มกว้างอยู่

“จะไปไหนกัน?”

“ไปกับพี่ข้าวครับ” “หนูจะไปกับเที่ยวพี่ข้าววว”

“เดี๋ยวๆ ใครให้ไป?”

“ลุงวิช!”

แทบอยากจะกุมขมับกับสองพี่น้องตัวแสบและคุณพ่อสุดที่รักนี่มากเลยครับตอนนี้ ตัวแสบคนน้องอาศัยความเตี้ยมุดลอดแขนผมที่เท้ากับขอบประตูไปหาคนขี้เซาในห้องทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับตัวแสบคนพี่ที่หนีกรุงเทพฯ มาหาน้องสาวคนสุดท้องที่ยืนหน้าขึ้นสีและเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“พี่ติณณ์... ไปแต่งตัวเถอะครับถือว่ารีนขอ”

ผมก้มมองสภาพของตัวเองที่อยู่ในผ้าเช็ดตัวผืนเดียวไม่พอมันยังแถมด้วยรอยฟันบริเวณช่วงไหล่ และรอยเล็บประปรายที่คล้ายว่าเมื่อคืนผ่านศึกอะไรมาหนักหนา ทั้งที่จริงมันก็แค่ข้าวเจ้าคันฟันเลยงับๆ เล่นไปทั้งตัว (ความจริงคือผมไปกวนตีนเขาแล้วเจอกัดมาเต็มๆ) ผมยกมือยีผมยาวระต้นคอของนายแบบหนุ่มน้อยที่หน้าแดงจัดพลางหัวเราะหึแล้วเดินไปทางห้องแต่งตัว

นี่ลืมรสนิยมไอ้รีนได้ไงวะเรา...

“ปีนี้แตมจะขึ้นม.หนึ่งหรอ?”

“ค่ะ เปิดเทอมครั้งหน้าหนูก็ม.หนึ่งเต็มตัวแล้ว ส่วนพี่รีนก็ขึ้นปีหนึ่ง”

“หืมม รีนเรียนอะไรที่ไหนล่ะ ทั้งถ่ายแบบทั้งเรียนไปด้วยไม่เหนื่อยแย่หรอ ยิ่งใกล้จบม.หกแบบนี้ด้วย”

“ไม่หรอกครับพี่ข้าว รีนว่าจะไปมหาลัยเดียวกับพี่ติณณ์นั่นแหละครับ แล้วงานถ่ายแบบหลักๆ ก็มีแต่ของแบรนด์ของพี่เบทพี่เบลล์เขาล่ะครับ ส่วนงานอื่นๆ คุณแม่ต้องสกรีนให้รีนก่อนถึงจะรับ”

“แล้วอย่างนี้เวลาไปเรียนไม่มีปัญหาหรอ นายแบบดังอย่างนี้นี่”

“พี่ข้าวไม่ต้องห่วงหรอกครับ รีนแปลงร่างได้ ฮ่าๆ”

ผมยืนกอดอกพิงตู้เสื้อผ้ามองคนต่างวัยสามคนที่นั่งคุยกันหงุงหงิงอย่างสนุกนาน เชอรีนยกแว่นที่คล้องกับคอเสื้อไว้ขึ้นมาสวมแล้วขยี้หัวตัวเองให้ฟูๆ พอข้าวเจ้าเห็นอย่างนั้นก็เบิกตากว้างให้สองพี่น้องนั้นหัวเราะ ผมเหลือบมองเข็มสั้นของนาฬิกาที่ใกล้จะเข้าเลขหกไปทุกทีจึงตัดสินใจเอ่ยเรียกให้ข้าวเจ้าไปอาบน้ำ แต่กลับเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูห้องเปิดขึ้น

“....”

ทั้งสามพร้อมใจกับเงียบเสียงลงเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเปิดประตูเข้ามา สายตาของคนในห้องพุ่งไปยังบุคคลมาใหม่ด้วยท่าทางที่ต่างกัน ข้าวเจ้าเบิกตากว้างและหลุบตาลงในนาทีต่อมา ส่วนสองพี่น้องที่นั่งขนาบข้างข้าวเจ้าค่อยๆ ถดตัวลงจากเตียง

“ติณณ์ เดี๋ยวสิบโมงไปรับน้องแพรวให้แม่หน่อย เมื่อคืนแม่คุยกับป้าวารีแล้วแกบอกว่าน้องแพรวอยู่บ้านพอดี” แม่ที่อยู่ในชุดอยู่บ้านปรายตามองข้าวเจ้าที่สภาพเหมือนคนเพิ่งตื่น ก่อนจะตวัดสายตามามองผมและเอ่ยด้วยน้ำเสียงบังคับ

“ผมไม่ว่างครับ วันนี้ผมว่าจะพาข้าวเจ้ากับน้องๆ ไปเที่ยว” น้องๆ ที่ว่าพร้อมใจกันพยักหน้าหงึกหงัก “พรุ่งนี้ผมก็จะกลับกรุงเทพแล้วคงไม่มีเวลาเที่ยวมาก”

“ทำไมไม่อยู่นานกว่านี้หน่อยลูก”

“ข้าวเจ้าลางานมาแค่สองวันครับ”

“ก็ให้กลับเองสิ”

“แม่!”

“ไม่รู้ล่ะ ไปรับหนูแพรวให้แม่ด้วย”

ว่าจบแม่เดินออกจาห้องไปทันทีอย่างไม่ให้ผมได้เอ่ยขัดอะไร ผมถอนหายใจยาวๆ ออกมาพลางยกมือลูบหน้าอย่างปรับอารมณ์ตัวเอง แต่สัมผัสอุ่นที่แนบลงมาที่บริเวณแก้มทั้งสองข้างทำให้ผมลืมตาขึ้นมองเจ้าของมือนั่นที่ส่งยิ้มจางๆ มาให้

“ทำตามที่แม่บอกเถอะเดี๋ยวข้าวไปด้วยเอง ไว้มาครั้งหน้าค่อยพาข้าวเที่ยวก็ได้เนอะ ยังไงติณณ์ก็ไม่ได้พาข้าวมาบ้านแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวใช่ไหมล่ะ หืม”

“ครับ” ผมกดหน้ารับอย่างไม่คิดอะไรมากมายทันที

อ่า... ผมแพ้เวลาคนตรงหน้าแทนตัวด้วยชื่อจริงๆ


หลังจากที่ปล่อยให้ข้าวเจ้าไปอาบน้ำแต่งตัว สองพี่น้องที่อยู่ในเหตุการณ์หวานๆ อย่างผมกระชากตัวข้าวเจ้าที่ทำตัวน่ารักเกินไปเข้ามาจูบต่อหน้าต่อตาเด็กๆ จนได้รอยจูบและรอบตบมากประดับบนใบหน้าก็เข้ามาหาผม

“เจ็บป่ะ หูย เป็นรอยมือเลยอ่ะ” ว่าแล้วไอ้รีนก็จิ้มนิ้วมาที่รอยบนหน้าแรงๆ

“โว้ย! ไอ้รีนจิ้มมาได้นะมึงนะ”

“พี่ติณณ์ไม่พูดหยาบสิครับ”

แทบจะกลอกตาเป็นเลขแปดไทยเมื่อเจอน้องชายต่างสายเลือดที่ยกมือปิดหูน้องสาวตัวเองและติติงผมที่พูดคำหยาบออกไป

เออ ขอโทษที่กูหยาบโดยสันดานคงแก้ไม่หาย

“ใช่ไหม พี่ก็บอกติณณ์ตั้งหลายครั้งแล้วว่าให้ลบคำหยาบบ้าง” ข้าวเจ้าที่อยู่ในโทนฟ้าขาวเอ่ยขึ้นให้ผมได้กลอกตาจริงๆ

“ข้าวเจ้านั่นแหละพูดมากกว่าผมอีก พูดกับพี่หลงทีนี่แทบมาทั้งสวนสัตว์”

“พี่โตแล้วแยกแยะได้น่า” ข้าวเจ้ายักไหล่อย่างไม่สนอกสนใจอะไรกับที่โดนผมมองค้อนใส่เลยสักนิด

“เอาที่คนดีของติณณ์สบายใจเลยครับ”

พอจบการโต้วาทีเล็กๆ ระหว่างข้าวเจ้ากับผมโดยที่ข้าวเจ้าเป็นฝ่ายชนะไป พวกเราก็ย้ายตัวลงมากินข้าวเช้ากันตอนแปดโมงกว่าๆ พ่อที่นั่งอยู่หน้าโทรทัศน์เลิกคิ้วเชิงถามว่าทำไมยังอยู่เพราะเมื่อคืนผมบอกไปว่าจะพาข้าวเจ้าออกตั้งแต่เช้า แต่พอบุ้ยปากไปทางแม่ที่เมินผมกับข้าวเจ้าพ่อก็ร้องอ๋อออกมาทันที

กว่าจะกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยก็ปาไปเก้าโมงว่างๆ ผมก็ฉุดข้อมือข้าวเจ้าให้ลุกขึ้นทันที ไม่ต้องรอให้แม่บอกว่าให้ไปรับหนูแพรวอะไรนั่นตรงไหนเพราะเมื่อเช้าแม่บอกแล้วว่าเขาอยู่บ้านป้าวารี และผมรู้จักทางไปบ้านป้าวารีแกดี

“นั่นจะไปไหนกัน” น้ำเสียงนิ่งๆ ของแม่เอ่ยขัดเราสี่คนที่กำลังเดินไปทางประตูบ้าน สายตาของแม่มองที่มือของผมกับข้าวเจ้าที่กุมกันไว้ “แม่บอกให้ไปรับหนูแพรวมาบ้านไม่ใช่หรอ”

“ก็นี่จะไปรับหนูแพรวขอแม่ยังไงล่ะครับ ไปกันหมดนี่แหละ”

“แต่!”

“ก็แม่บอกให้ผมไปรับเขาผมก็ยอมไปตามที่แม่บอกแล้วไงครับ” ข้าวเจ้ากระตุกมือผมอย่างปรามๆ “ถ้าผมไปคนเดียวผมคงรู้สึกไม่ดีแน่ๆ ที่ปล่อยให้แฟนอยู่คนเดียว เอาไปด้วยแหละดีแล้ว”

“เหอะ”

แม่สบถออกมาและสะบัดหน้าหนีผมที่หันไปมองหน้าข้าวเจ้า ผมเลยออกแรงจูงข้าวเจ้าให้เดินตามไปที่รถตัวเองโดยมีสองแสบเดินตามมาติดๆ

ขับรถออกมาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย บ้านของป้าวารีก็เป็นหมู่บ้านจัดสรรคล้ายๆ บ้านผมนี่แหละครับ เพียงแต่เป็นหมู่บ้านที่พื้นที่โดยรวมค่อนข้างใหญ่กว่าเล็กน้อย พอแลกบัตรกับยามหน้าหมู่บ้านเรียบร้อยผมก็ขับตามทางที่สมองจำได้จนมาจอดหน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง

และเหมือนแม่จะโทรมาบอกทางบ้านของป้าวารีไว้ก่อนแล้วว่าผมออกมาตอนไหน เพราะทันทีที่รถจอดหน้าบ้านของเขาผู้หญิงตัวเล็กผมลอนในชุดเดรสสีขาวก็เดินออกมาจากประตูบ้านพอดี

“เดี๋ยวผมลงไปก่อนนะครับ รอแปบนะ” ผมหันไปบอกข้าวเจ้าที่มองออกไปนอกกระจก ก่อนจะเอียงหน้าไปทางเด็กด้านหลัง “แตม รีนขยับหน่อย จะได้ให้พี่เขานั่งด้วย”

จัดการคนในรถเสร็จก็พอดีกับหนูแพรวของแม่เดินถึงประตูรั้ว ผมลงจากรถไปรับตามมารยาทที่ดี

“พี่ติณณ์สวัสดีค่ะ ขอโทษที่ทำให้พี่ลำบากมารับแพรวนะคะ” คนตรงหน้าเอ่ยทักทายผมและพูดรัวอย่างสนิทชิดเชื้อ ผมที่จำไม่ได้ว่าเคยเจอเธอหรือเปล่าได้แต่ทักทายตอบกลับและพาเดินไปยังรถที่จอดอยู่ พอถึงตัวรถผมก็หันกลับไปหาเธอหมายจะบอกว่าให้เธอนั่งหลังเพราะมีคนมาด้วยแต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่เดินนำผมลิ่วๆ ไปเปิดประตูข้างคนขับเสียแล้ว

“พี่ติณณ์ไม่ต้องเปิดให้แพรวก็ได้ค่ะ แค่นี้ก็ลำบากพี่ติณณ์มากแล้ว... อ๊ะ” หนูแพรวของคุณแม่หันมาพูดพร้อมยิ้มหวานให้ผมโดยไม่ได้ดูว่าพอตัวเองเปิดประตูไปนั้นมีคนทำหน้าเหวอในท่าเท้าแขนกับอากาศเพราะประตูรถถูกเปิดอย่างกะทันหัน พอเธอหันไปเพื่อจะก้าวขึ้นรถก็ร้องอ๊ะขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นว่ามีคนประจำที่อยู่ ก่อนจะปิดประตูรถเสียงดังด้วยความตกใจจนผมสงสารคนในรถ

“เอ๊ะ? พี่ติณณ์คะ??”

เธอก้าวถอยหลังมาชิดผมและหันมาทำหน้าเหลอหลาใส่ผมที่กำลังกลั้นขำเต็มประดา ผมดันตัวเธอออกห่างเล็กน้อยและเดินไปเปิดประตูรถข้างที่เธอเพิ่งปิดไปเมื่อสักครู่นี้ ข้าวเจ้าที่กำลังลูบศอกและหัวของตัวเองปอยๆ หันมองผมด้วยตาที่คลอน้ำเพราะความเจ็บ โดยมีสองพี่น้องนั่นทำหน้ายักษ์ใส่ผม

“เจ็บมากไหมครับ”

“มาโดนเองไหมล่ะ!!”

คนพี่โวยวายแถมยังแยกเขี้ยวออกมาขู่ ผมยกมือปัดเส้นผมของข้าวเจ้าออกเพื่อดูรอยนูนแดงที่ขมับอีกฝ่ายและเป่าลมไปเบาๆ

“หายเจ็บนะครับคนดี”

เท่านั้นแหละครับ จากที่แดงแค่หัวกลายเป็นว่าตอนนี้ข้าวเจ้าแดงไปทั้งตัวเลย

“เอ่อ... พี่ติณณ์คะ”

“ครับ?” ผมหันไปหาบุคคลที่ถูกลืมเลือน หนูแพรวของแม่ทำหน้าเหมือนอยากจะถามอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกมา “พี่บอกไม่ทันว่ามีคนมาด้วย แพรวนั่งหลังกับน้องๆ นะครับ”

“เอ๊ะ ค่ะๆ ขอบคุณค่ะพี่ติณณ์”

ผมหัวเราะออกมากับท่าทางงกๆ งันๆ ของอีกฝ่ายก่อนจะเดินอ้อมรถไปขึ้นฝั่งคนขับ ตรวจสภาพแดงๆ ของข้าวเจ้าที่ยังแดงอยู่และบ่นครวญว่าเจ็บหัวก่อนจะขับกลับบ้านไปทันที ระหว่างทางกลับบ้านผมลอบมองหญิงสาวที่แม่คะยั้นคะยอ ให้ไปรับผ่านกระจกมองหลังก็เห็นแต่เธอเอาแต่มองกระจกด้านข้างอย่างไม่สนใจเสียงพูดคุยของสองพี่น้องในรถ

...เอาล่ะ มาดูกันว่าแม่จะมาไม้ไหน

Tbc.

――――――――――――――――――――

มาล่ะค่ะะะ คิดถึงเราไหมมม ตอนหน้ายังอยู่บ้านติณณ์อีกสักตอนก็ไทม์สคริปอีกรอบแล้วค่ะ
ถ้าสังเกตกันตั้งแต่ในตอนที่แล้วติณณ์จะเรียกข้าวเจ้าว่าพี่บ้างเรียกข้าวเจ้าเฉยๆ บ้าง ส่วนข้าวยังคงแทนตัวเองว่าพี่ ยกเว้นเวลาจะอ้อนหรือพูดให้ติณณ์คล้อยตาม (ถถถ+)

ปล. ใครอยากรู้ว่าในกลิ่นกาวน์ตอน24(หรือ 23นี่ละ) ข้าวเจ้าไปพูดไปแนะนำอะไรกับสีฝุ่นก็จะได้รู้ในเรื่องนี้ล่ะค่ะ แต่ตอนไหนนั้นก็คอยติดตามกันนน ถถถ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -21- 28|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-03-2018 00:29:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

อาคุงแม่ยังไม่เลิกเนอะ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -21- 28|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 29-03-2018 23:24:39
ก็ยังมาด้วยเนาะ ชะนีน้อย,,,
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 31-03-2018 21:32:53
จีบครั้งที่ยี่สิบสอง

“หนูแพรว...เธอด้วย มาในครัวด้วยกันหน่อย”

ว่ากันตามจริงเลยนะครับ... ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้แม่กำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ชวนทั้งข้าวเจ้าของผมกับหนูแพรวของแม่เข้าครัวอย่างนั้น ทางหนูแพรวของแม่ผมไม่อะไรเท่าไหร่หรอกครับแต่ผมละโคตรจะห่วงคนของผมเลย ก็ตั้งแต่ที่อยู่ด้วยกันมาเกือบครึ่งปีเนี่ยผมไม่เคยเห็นข้าวเจ้าเข้าเขตครัวสักนิด ถ้าคนพี่ทำเองเต็มที่ก็มาม่าไม่ก็ต้องอาหารไมโครเวฟ...

ยิ่งตอนที่ได้เห็นหน้าซีดๆ ของข้าวเจ้าที่ถูกแม่เรียกไปนี่ทำเอาผมแทบจะเสนอตัวไปแทน ถ้าพี่มันไม่หันทำตาดุๆ ใส่ผมซะก่อน แล้วตอนนี้ผมได้แต่นั่งชะเง้อคอจนเกือบกลายเป็นยีราฟ ตาจ้องไปยังประตูครัวเปิดโล่งที่ได้ยินแต่เสียงพูดของแม่และคำรับแผ่วๆ ได้เกือบครึ่งชั่วโมงละครับ พอผมโผล่หน้าไปดูก็ถูกแม่กับป้าสายไล่ออกมาเลยไม่รู้สถานการณ์ข้างในนั้น

จำได้ว่าแม่เลยบอกว่าอยากได้สะใภ้ที่ทำอาหารเป็น... แต่ข้าวเจ้าเป็นผู้ชายไม่จำเป็นต้องทำเป็นก็ได้มั้ง ตัวแค่นี้ผมมีปัญญาเลี้ยงหรอกน่า

“เฮ้อ...”

“ถอนหายใจอีกแล้ว” พ่อที่นั่งดูข่าวอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นคล้ายเอือมระอาจนผมทำหน้ามุ่ยใส่ “ไว้ใจแฟนแกหน่อยสิ หนูข้าวอาจจะมีอะไรมากกว่าที่แกคิดนะ”

“แต่ผมไม่เคยเห็นข้าวเข้าครัวเลยนะพ่อ” พ่อเงียบ... และยกมือตบบ่าผมเบาๆ แค่นั้น “นี่พ่อ... แม่จะยอมรับข้าวเจ้าได้ไหมอ่ะ”

“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะรับได้แล้วแค่อยากกวนแก หรืออาจจะรับไม่ได้จริงๆ ก็ไม่รู้สิ” คำตอบของพ่อก็ไม่ได้ให้ผมคลายความเครียดได้สักเท่าไหร่ “ก็รอดูกันต่อไป แต่นั่นแฟนแกออกมาแล้ว”

สิ้นคำพูดของพ่อผมก็หันไปทางประตูครัวทันที เห็นแม่ที่ตีหน้ามุ่ยเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่างเดินนำออกมา ตามด้วยข้าวเจ้าในชุดผ้ากันเปื้อนสีขาวที่ยิ้มหน้าระรื่นเคียงคู่มากับหนูแพรวของแม่ แต่สิ่งที่ทำให้คิ้วของผมขมวดเข้าหากันคือการที่ข้าวเจ้ากับแพรวคุยกันอย่างกระหนุงกระหนิงราวกับทั้งคู่สนิทกันมานานนม

“ว่าไงคุณ หน้าบูดมาเชียวนะ” พ่อเอ่ยแซวแม่ที่เดินมาทิ้งตัวลงกับโซฟาแรงๆ ด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “จะแกล้งเขาแต่ผิดแผนหรือไง”

“เหอะ”

แกล้งเขาแต่ผิดแผนงั้นหรอ? ผมหันขวับมองแม่ทันทีเมื่อได้ยินพ่อพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ทันได้เห็นสีหน้าของแม่ข้าวเจ้าก็เดินเข้ามาหาผมเสียก่อน

และผมแทบจะลืมเลือนทุกสิ่งอย่างในหัวเมื่อได้เห็นความบางของผ้ากันเปื้อนที่อยู่บนตัวคนพี่ชัดๆ อ่า... อยากให้ข้าวเจ้าใส่แค่ตัวเดียวจัง

“ติณณ์ กินข้าวกัน” ข้าวเจ้าเอ่ยเรียกสติผม สองมือของอีกฝ่ายพยายามดึงมือผมให้ลุกขึ้น “ข้าวทำเองนะ ของโปรดติณณ์ด้วย”

ผมกระพริบตาถี่ๆ มองคนที่ทำท่าทางเขินอายแบบที่ผมไม่เคยเห็น พอหันมองพ่อกับแม่ก็เห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกับของทั้งคู่ พ่อมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับที่ใบหน้าในขณะที่แม่ปรายตามองข้าวเจ้าและสะบัดหน้าหนีไปทางแพรวที่ยืนยิ้มแห้งอยู่ไม่ไกล ข้าวเจ้าเอ่ยคำชวนซ้ำและออกแรงดึงมือผมเบาๆ ก่อนผมจะเดินตัวปลิวตามคนพี่ไปแบบงงๆ

ตกลงบ้านนี้นี่เล่นอะไรกัน...

ผมนั่งมองบรรดาอาหารบนโต๊ะสลับกับข้าวเจ้าและแพรว สองพี่น้องที่หนีขึ้นห้องไปตั้งแต่ข้าวเจ้าหายไปในครัวส่งเสียงร้องว้าวเมื่อได้เห็นความน่ากินอาหารตรงหน้า ตอนนี้บนโต๊ะมีเราห้าคนครับส่วนพ่อกับแม่ขอผ่าน

“ไม่ยักรู้ว่าข้าวเจ้าทำกับข้าวเป็น”

“ก็ไม่เคยถาม” ข้าวเจ้ายักไหล่ “ไม่ชอบเวลามีกลิ่นติดตัวก็เลยไม่ทำ อีกอย่างซื้อกินง่ายกว่า”

“หมดนี่พี่เจ้าตั้งใจทำเลยนะคะพี่ติณณ์” ผมหันไปหาแพรวที่ทำหน้าล้อเลียนข้าวเจ้าจนเจ้าตัวหันไปแยกเขี้ยวใส่ ตงิดใจที่อีกฝ่ายเรียกข้าวว่าพี่เจ้าแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป “แพรวเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังทำน่าทานไม่เท่าครึ่งของพี่เจ้าสักนิดเลย”

“แพรวก็ทำน่ากินนะ ติณณ์ชิม”

ข้าวเจ้าไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ถามข้อสงสัยทั้งหลายว่าญาติดีกับแพรวตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะทันทีที่ผมอ้าปากจะถามคนพี่ก็ยัดทอดมันใส่ปากผมพร้อมกับตวัดตาดุๆ ใส่ โดยมีเสียงหัวเราะของแพรวเป็นซาวด์ประกอบ

คนน่ารักมักใจร้าย...

“ตอนแรกแพรวก็ตกใจนะคะที่พี่เจ้าบอกว่าคบกับพี่ติณณ์ แต่มาดูอย่างนี้แล้วพี่ๆ น่ารักกันจัง” สาวน้อยตรงหน้าเอามือแนบแก้มตัวเองแล้วบิดตัวไปมาอย่างเขินอายให้ผมได้แต่นั่งนิ่งเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ “อ้อ เมื่อกี้พี่ติณณ์ไม่ได้อยู่ในครัวด้วยเลยไม่รู้เรื่องสินะคะ พอดีแพรวไปขอโทษพี่เจ้าที่ทำกิริยาไม่ดีใส่ตอนพี่ๆ มารับแพรว นั่นเพราะตอนนั้นแม่ของแพรวยืนมองอยู่ด้วยก็เลยต้องทำตามเรื่องตามราวของแม่หน่อย จริงๆ แพรวไม่โอเคกับการที่แม่จับคู่ให้กับคนนั้นคนนี้เลยยื่นข้อตกลงว่าจะยอมแค่ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”

“เดี๋ยวๆ แล้วตกลงข้าวเจ้าไปบอกอะไรตอนไหนครับ” ผมพูดขัดคนที่กำลังเพลินกับการเล่าเรื่อง หันมองข้าวเจ้าที่นั่งกอดอกยิ้มกริ่ม

“ฟังต่อดิ”

“อ่ะแฮ่ม แพรวพูดต่อนะคะ” ผมพยักหน้าให้สาวเจ้า “คือแพรวเรียนคณะมนุษย์แล้วเพื่อนในเอกเขาเป็นแบบพวกพี่เยอะเลยพอจะดูออกบ้าง ยิ่งได้เห็นสายตาห่วงๆ ของพี่ติณณ์ที่มองพี่เจ้าตอนป้าภาชวนเข้าครัวแพรวเลยมั่นใจกว่าน่าจะใช่ เลยตัดสินใจถามพี่เจ้าหน้าด้านๆ นี่แหละค่ะ”

“แพรวไม่รังเกียจพวกพี่หรอก”

“หูย ถ้ารังเกียจแพรวก็อยู่ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพื่อนแพรวแมนๆ เห็นตั้งแต่ประถมยังมีผัวเลย อุ๊บ แฮะๆ หลุดไปหน่อย” แพรวยกมือปิดหน้าอย่างเขินๆ “พอได้คุยกับพี่เจ้าดันเข้าขาได้ดีจนคุณป้างอนเลย”

โอเค... ผมได้คำตอบแล้วว่าทำไมแม่ถึงทำหน้าบูดหน้างอออกมาอย่างนั้น ที่แท้ว่าที่ลูกสะใภ้ที่ตัวเองหมายปองกับที่รักของผมเข้าขากันได้ดีนี่เอง

“อีกอย่างนะคะ สเปคแพรวไม่อยากได้ตัวใหญ่เป็นยักษ์แบบพี่ติณณ์หรอกค่ะ เอาพอดีๆ แบบพี่ข้าวดีกว่า”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็รวบคนข้างๆ เข้ามากอดอย่างแสดงความเป็นเจ้าของทันที

“นี่แฟนพี่นะ”

“ฮ่าๆๆ”

หัวเราะกันเข้าไปสิครับ ไม่เคยเห็นคนหวงแฟนหรือไง

พอได้คุยถึงรู้ว่าแพรวเป็นคนเฟรนลี่กว่าที่คิดเยอะ และเป็นคนจริงด้วย เพราะหลังจากที่เราจัดการมือเที่ยงที่มีเชฟเป็นข้าวเจ้าและแพรวเสร็จ เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาแม่ตัวเองและบอกว่า คนที่แม่หาให้อย่างผมมีแฟนอยู่แล้ว และตัวเองทำตามข้อตกลงแล้วแม่จะมาหาคู่ให้ไม่ได้อีก หนำซ้ำยังลากข้าวเจ้าไปคุยกับแม่ในห้องซึ่งในส่วนนี้ผมไม่รู้ว่าเขาไปคุยอะไรกันแต่พอออกมาแม่ก็เชิดหน้าใส่ผมและบอกแค่ว่า ‘อยากทำอะไรก็ทำ’

เอาเป็นว่าบทจะง่ายก็ง่ายจนผมตามไม่ทันเลยทีเดียว...

หลังจากที่เราไปส่งน้องสาวคนใหม่ของข้าวเจ้า ตั้งใจว่าถ้าถึงบ้านจะคุยไปกับแม่เรื่องของข้าวเจ้าแต่ก็ต้องเก้อเพราะเมื่อถึงบ้านแม่ขึ้นห้องนอนไปแล้ว นี่ยังไม่สามทุ่มเลยด้วยนะ... ไอ้จะถามพ่อพ่อก็คงไม่รู้เหมือนกันเลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยอย่างข้าวเจ้า

ผมนอนรอคนพี่อาบน้ำเสร็จ และพอเป้าหมายมาถึงระยะสายตาก็ฉุดลงมากอดทันที

“โว๊ย!”

“นี่... จะไม่บอกผมหน่อยหรอครับว่าคุยอะไรกับแม่บ้าง” ผมกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดคนโวยวายอยู่ พอพี่ข้าวได้ยินคำถามก็เงียบไปครู่ใหญ่ก่อนตอบออกมา

“ไม่”

“น่าที่รัก สักนิดก็ได้ครับ”

“ไม่มีอะไรมากหรอกน่า รู้แค่แม่ของติณณ์ไฟเขียวแล้วก็พอแล้วไม่ดีหรือไง”

ผมยู่ปากใส่ข้าวเจ้าจนคนพี่หัวเราะคิกคัก จะก้มไปหมายจะฟัดแก้ม ฟัดคอคนอมพะนำทำหน้ากรุ่มกริ่มให้หายมันเขี้ยวแต่ก็ถูกคนรู้ทันยกมือมาตะปบแก้มผมทั้งสองข้าวอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ และไม่พอแค่นั้นเมื่อข้าวออกแรงยืดแก้มที่ค่อยไม่มีของผมอย่างสนุกสนานราวกับมันเป็นมาชเมลโล่ก็ไม่ปาน

“เอ็บ อ่อย”

“ขอบคุณนะ”

“หือ” ผมมองคนที่เคยคำขอบคุณออกมาอย่างลอยๆ สองมือของข้าวเจ้าที่หยิกแก้มผมเปลี่ยนเป็นโอบรอบคอผมและกดจมูกลงกับแก้มผมเร็วๆ

“ไม่มีอะไร ข้าวง่วงแล้วนอนกันๆ คร่อกฟี้”

สุดท้ายผมก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเพิ่มเติมเลย... แต่ก็ช่างมันแล้วกันตอนนี้ขอลักหลับคนก่อนดีกว่า


ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยเสียงเคาะประตูอันดังลั่นพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของเชอรีน พอเปิดไปคุยก็เจอน้องชายต่างสายเลือดยืนทำหน้าบึ้งอยู่หน้าห้อง

“พี่ติณณ์กลับกรุงเทพวันนี้ใช่ไหม เดี๋ยวรีนกลับด้วยนะ”

“หืม ทำไมอ่ะ”

“พี่เบทอ่ะดิบอกว่าจะให้รีนไปถ่ายแก้เพราะรูปไม่ถูกใจ รีนบอกให้รอเปิดเทอมพี่เบทก็ไม่ยอม” รีนบ่นอุบ “นะๆ รีนกลับด้วย”

เผลอกลอกตาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงความเรื่องมากระดับสิบของลูกสาวคนโตของลุงวัช นี่เคยหลวมตัวไปถ่ายแบบคู่ไอ้เด็กตรงหน้าสมัยโครงหน้ามันยังหวานไม่ออกหนุ่มแบบนี้แค่ครั้งเดียวกว่าจะได้ถูกใจพี่มันก็ถ่ายซ่อมหลายวันอยู่

“โอเค พี่บอกข้าวเจ้าก่อน เราก็ไปบอกแตมด้วยเดี๋ยวน้องตื่นมาไม่เห็นเราแล้วนะงอแง ล้อหมุนเที่ยงตรงนะ”

เชอรีนพยักหน้าหงึกหงักแล้ววิ่งไปที่ห้องของน้องสาวตัวเอง พอผมหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องก็เจอข้าวเจ้านั่งทำหน้ามุ่ยมองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเลิกคิ้วใส่อีกฝ่ายที่เอาแต่มองตามผมโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาจนสุดท้ายผมก็เป็นคนที่ต้องเอ่ยปากเอง

“มีอะไรครับ? มองผมเขม็งเลย”

“เมื่อกี้ออกไปด้วยสภาพนั้นอ่ะนะ”

ผมก้มมองสภาพตัวเองเล็กน้อย บนร่างกายมีเพียงกางเกงนอนขายาวตัวเดียวเกาะอยู่ช่วงสะโพกอย่างหมิ่นเหม่ อ่า... เราจะไม่พูดถึงรอยเล็บที่อกกับไหล่ผมกันครับนะ

“ก็... ครับ ไม่มีอะไรแปลกไปนี่ครับ แค่รอยเล็บที่ข้าวเจ้าฝากไว้เอง”

“ไอ้ติณณ์เงียบ!!”

หลังจากกวนฝ่าเท้าคนพี่พอหอมปากหอมคอก็ได้ฤกษ์อาบน้ำ อันที่จริงรอยบนตัวผมมันก็ไม่ได้มาจากอะไรติดเรทหรอกครับ ถูกแมวที่ชื่อข้าวเจ้าข่วนเอาเพราะไปกวนตอนหลับก็เท่านั้นเอง ผมอาศัยช่วงที่คนพี่ยังอาบน้ำอยู่ลงมาหาแม่ที่นั่งอยู่ห้องรับแขก อยากจะรู้เรื่องที่เขาคุยกับเมื่อวานให้ได้ไงครับ

“แม่ครับ”

“อ้าวติณณ์” แม่วางแก้วชาสีใสที่ถืออยู่ลงและหันมามองผม “รีนบอกหรือยังว่าจะกลับด้วย?”

“บอกแล้วครับ ว่าแต่เมื่อวานแพรวคุยอะไรกับแม่ครับแม่ถึงบอกผมอยากนั้น” แม่ปรายตามองผมเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ

“เด็กนั่นไม่ได้เล่า?” พอแม่เห็นผมสั่นหน้าปฏิเสธ ท่านก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งและตบมือลงกับเบาะข้างๆ “งั้นมานั่งนี่”

ผมทิ้งตัวลงข้างแม่ทันที แม่ยิ้มน้อยๆ ให้ผมแล้วดึงมือผมไปกุมไว้

“แม่ยอมรับนะว่าตอนนี้แม่ก็ยังรับไม่ได้ที่ลูกของแม่คบกับผู้ชาย แต่ที่หนูแพรวมาพูดกับแม่เมื่อวานทำให้แม่คิดได้ว่าแม่ก็เคยผ่านจุดที่ถูกผู้ใหญ่ยัดเยียดจับคู่ให้ด้วยความไม่พอใจแต่สุดท้ายแม่ก็รักพ่อของลูกจนกระทั่งมีติณณ์นี่แหละ” แม่เว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “หนูแพรวบอกว่าอยากให้แม่ลองเปิดใจให้กับคนที่ลูกของตัวเองเลือกบ้างเพราะยังไงชีวิตของลูกก็คือของลูก ถ้าเขาเจ็บในสิ่งที่ตัวเองเลือกจะได้รู้ว่ามันเจ็บยังไงไม่ใช่ไปห้ามตั้งแต่เริ่ม คำพูดของหนูแพรวทำเอาซะแม่หน้าเลยล่ะ พวกลูกรักกันจริงๆ ใช่ไหมไม่ใช่จ้างเด็กนั่นมาหลอกแม่เพราะไม่อยากให้แม่จับคู่ให้”

“ผมรักข้าวเจ้าจริงๆ ครับ”

“เฮ้อ เสียงหนักแน่นเชียวนะ แต่ก็อย่างที่แม่บอกนั่นแหละ ติณณ์อยากทำอะไรก็ทำ จากที่พาเด็กนั่นเข้าครัวก็น่าจะดูแลติณณ์ดีอยู่ รู้ของชอบของเราเกือบหมดเลย... แม่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าแม่จะยอมรับที่ลูกคบผู้ชายง่ายนะไม่ต้องมายิ้มระรื่นเลย”

“โอ๊ยแม่เจ็บๆๆ”

ผมหลุดเสียงร้องออกมาเมื่อแม่ยกมือมาหยิกแก้มผมแรงๆ คล้ายมันเขี้ยวก่อนจะเปลี่ยนเป็นลูบโครงหน้าผมเบาๆ จับให้ผมสบตากับนัยน์ตาสีเดียวกันของคนตรงหน้า

“พอได้ฟังพี่วัชยืนยันว่าเด็กนั่นดีอย่างนั้นอย่างนี้ทำซะแม่เป็นตัวร้ายเลยแฮะ เอาเถอะๆ แม่จะพยายามเข้าใจเราแล้วกัน โลกมันหมุนไปข้างหน้าทุกวันแม่ก็ต้องตามโลกให้ทันสินะ”

ประโยคหลังคล้ายว่าแม่จะเปรยกับตัวเอง ผมรวบแม่เข้ามากอดและหอมแก้มของแม่ฟอดใหญ่จนหยุดหญิงโวยวายให้พอ ก่อนผมจะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นและยกมือกราบลงที่ตักแม่

“ขอบคุณนะครับแม่ เดี๋ยวผมจะพาแฟนผมมาหาบ่อยนะๆ”

“ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกันล่ะ”

และแล้วก็ได้เวลากลับบ้านหลังน้อยของเราบนชั้น14 ล่ำลาพ่อแม่กับน้องเล็กอย่างแตมเสร็จก็ได้เวลาเคลื่อนทัพ ผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนหลับคอหักคอห้อยตั้งแต่พ้นตัวเมืองไม่ถึงสิบนาที ผมเหลือบมองข้าวเจ้าที่เอาแต่จ้วงขนมไม่ยอมพูดยอมคุยก็ได้แต่ยกยิ้ม รายนี้ก็เขินตั้งแต่อยู่บ้านเพราะได้ยินผมบอกรักเจ้าตัวให้แม่ฟังพอดี

...เห็นแล้วก็อยากทำให้แดงไปทั้งตัวจริงๆ


แถม


“รักข้าวนะ” เจ้าของชื่อชะงักไปเล็กน้อยเมื่อผมเอ่ยขึ้นมา ใบหน้าขาวๆ ของอีกฝ่ายเริ่มมีสีแดงแต้ม และเริ่มแดงลงไปคออย่างที่ผมอยากเห็น “ติณณ์รักข้าวเจ้านะ”

“อื้อ”

“บอกรักผมมั่งดิ”

“ไม่เอา”

“อ่ะเขินเด้ เขินเด้” ผมหันไปจิ้มแก้มแดงก่ำของคนข้างๆ อย่างหยอกล้อ “อ่า... อยากกินข้าวจัง อยากทำให้ข้าวเป็นของติณณ์”

“ไอ้ติณณ์!”

“...พี่ติณณ์ครับ พูดอะไรเกรงใจเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะหน่อยครับ”

“ทำไมต้องเกรงใจคนไม่เวอจิ้นด้วย?”

“พี่ติณณ์ครับ!!”

“แกล้งน้อง”

เพี้ยะ!

รถเป๋ไปเล็กน้อยเพราะพี่ข้าวฟาดมือลงมาพี่แขนผมเต็มแรงโทษฐานที่พูดแกล้งน้อง จริงๆ ผมก็ว่าไปนั่นอย่างนั้นแหละ ไอ้เด็กนี่หวงตัวจะตายไป

เอาล่ะ กลับบ้านเราดีกว่า

Tbc.

―――――――――――

กำลังจะลงนิยายแล้วเม้าส์ตายคามือ... ร้องไห้
ละใช้แพทไม่ถนัดมืออีก; x ;
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-03-2018 22:30:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-03-2018 22:49:57
 :laugh:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-04-2018 00:35:56
ผ่านด่านบ้านติณณ์แล้ว. ทีนี้บ้านข้าวละ??
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -22- 31|03|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: muiko ที่ 02-04-2018 12:38:24
ในที้สุดคุณแม่ก็ยอมรับซะที
 o13
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -23- 03|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 03-04-2018 19:36:26
จีบครั้งที่ยี่สิบสาม


“ข้าวมันดื้อกับเราบ้างไหม”

“ไม่นี่ครับน้าชาย” ผมตอบออกไปด้วยเสียงหนักแน่น ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มแห้งให้บุคคลที่มีศักดิ์เป็นน้าของข้าวเจ้าและเป็นเจ้าของค่ายมวยที่ผมกำลังอยู่ตอนนี้ที่หรี่ตามองผมราวกับจะคาดคั้นความจริง “ก็... ส่วนมากมีแต่มีแต่ผมนี่แหละครับที่ดื้อกับข้าว”

น้าชายหัวเราะเสียงดังเมื่อได้ยินคำตอบ และทอดสายตามองไปยังหลายชายตัวเองที่กำลังออกหมัดอยู่บนสังเวียน “ดีแล้วๆ จะว่าไปนี่เราคบกับข้าวมานานแค่ไหนแล้วนะ”

“ถ้าไม่นับช่วงผมหายไปก็เกือบครึ่งปีแล้วครับ” ผมตอบ “ถ้านับรวมด้วยก็จะเข้าเดือนที่เก้าแล้ว ไม่รู้ว่าข้าวเจ้าจะนับตอบไหน”

แอบยกยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกได้ว่าถ้านับตั้งแต่เจอกันตอนที่ยังเป็นคนแปลกหน้าเมื่อตอนนั้น ผมก็รู้จักพี่ข้าวมาปีกว่าๆ แล้ว คบกับมาเก้าเดือนนี่ถ้าข้าวเป็นผู้หญิงคงก็ท้องจนคลอดแล้วมั้ง แต่นั่นก็แค่เปรียบเปรยแหละครับ จะชายจะหญิงถ้าเป็นข้าวเจ้าคนนี้อยู่ด้วยผมก็มีความสุขแบบฉิบหายแล้ว

อยากรักษาความสุขนี้ให้อยู่ตลอดไปจัง...

ตุ๊บ

“พี่ติณณ์~~”

เหตุการณ์คุ้นๆ นะครับ... เหมือนเคยเกิดมาแล้ว

ผมที่กำลังล่องลอยไปกับความคิดสดใจในทุ่งดอกไม้ก้มมองเจ้าของเสียงที่ถลาตัวมากอดเอวผม ถอนหายใจหนักๆ ออกมาจนน้าชายที่นั่งข้างๆ หัวเราะ ก่อนน้าแกจะจับเอาปกคอเสื้อด้านหลังของสิ่งมีชีวิตที่กอดผมอยู่รั้งให้ออกห่างตัวผม

“นามาอะไร?”

“โธ่น้า นี่ค่ายมวยบ้านเราป่ะนาอยากมาก็มาได้ดิไม่ใช่พี่ข้าวคนเดียวสักหน่อยที่มาได้”

“เถียงคำไม่ตกฝากแบบนี้เอ็งได้ใครมาวะไอ้นา!!”

“ได้น้าชายไงคะ อิอิ อ๊ายยย พี่ติณณ์น้าชายตี น้าจะตีนาแล้วววว”

ได้แต่ทำตาปริบๆ เมื่อทุ่งนา น้องสาวแท้ๆ ของพี่ข้างที่รุ่นราวคราวเดียวกับเชอรีนวิ่งมาซ่อนอยู่หลังผมเพราะเจ้าตัวก่อกวนน้าชายของตัวเอง พอน้าชายเห็นว่าหลานสาวจอมแก่นของตัวเองมาซุกๆ อยู่หลังผมแกก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินหายไปหาข้าวเจ้าที่ลงมานั่งพักอยู่ข้าวเวทีแล้ว

“น้าชายใจร้ายเนอะ” นายู่ปากใส่แผ่นหลังของน้าตัวเอง แต่ก็ยิ้มกลายเป็นยิ้มแหยเมื่อน้าชายหันมาชี้หน้าเจ้าตัว “พี่ติณณ์ๆ นาถามอะไรหน่อยดิ”

“ว่าไง ถ้าการบ้านพี่ไม่ช่วยนะ”

“โธ่ววว ไม่ใช่การบ้านน่า” น้องสาวของคนรักทำหน้าเหมือนคนถูกขัดใจ ทุ่งนาหันมองพี่ชายตัวเองที่ปีนขึ้นเวทีอีกครั้งด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ และหันมาลากเสียงยาวๆ ใส่ผม “คือ....”

และคำว่าคือของน้องแกก็หายไปเลยครับ เหลือแต่ความเงียบจนผมต้องเอ่ยปาก “คืออะไร นับหนึ่งถึงสามไม่พูดพี่จะไปหาข้าวแล้วนะ หนึ่---”

“พี่ติณณ์กับพี่ข้าวได้กันยังอ่ะ!!”

“เหี้ย!!”

“เฮ้ยข้าว!!”

ทุ่งนาถามออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น เอาจริงๆ ก็รู้นะครับว่าว่าน้องสายพี่ข้าวเนี่ยเป็นสาววายแต่ไม่นึกว่าจะถามออกมาตรงๆ แบบนี้ แล้วตอนที่น้องตะโกนออกมานั้นเป็นจังหวะที่คนในค่ายพร้อมใจกันเงียบเสียงเพราะตอนนี้บนเวทีมีร่างของเจ้าของค่ายกันหลายชายกำลังเตรียมชกกัน ข้าวเจ้าที่ได้ยินคำถามนั้นก็ทำหน้าเหวอหันมาทางเราและสบถหยาบออกมา แต่นั่นทำให้เจ้าตัวพลาดท่าถูกน้าชายชกเข้าซีกหน้าเต็มๆ จนเสียหลักล้มลงกับพื้นเวทีอย่างแรง

เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาและเมื่อผมเห็นข้าวเจ้าล้มลงไปต่อหน้าต่อตาผมรีบลุกขึ้นอย่างอัตโนมัติ ก้าวขายาวๆ ไปหาคนที่ยันตัวเองขึ้นมานั่งกุมหัว และสะบัดคล้ายยังมึนๆ

“โอเคไหมข้าว”

“ไหวน้าไหว มึนนิดหน่อย”

“ไอ้ข้าว... เลือดมึง”

สมงสมองไม่รับรู้อะไรแล้วครับตอนนี้ เพราะพอได้ยินคำว่าเลือดจากปากของนักมวยร่วมค่ายและเห็นน้ำสีแดงที่ไหลออกมาจากข้างขมับผมก็ปีนขึ้นไปช้อนตัวข้าวเจ้าที่ยังคงนั่งมึนอยู่บนเวทีขึ้นอย่างไม่กลัวว่าข้าวจะโวยวาย และเดินไปยังรถที่จอดอยู่หน้าค่ายทันที

เมื่อถึงโรงบาลคนเก่งของผมก็โดนผมสั่งเช็คทุกอย่างโดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่จะเอ่ยท้วงเพราะยัง นอกจากแผลที่หางคิ้วที่เย็บไปตั้งห้าเข็มก็ไม่มีอะไรน่าห่วงมากมาย ผมยืนฟังสรรพคุณของยาจากพยาลสลับกับข้าวเจ้าที่หน้าซีดเผือกตั้งแต่หมอเย็บแผลให้ และเมื่อเจ้าตัวเห็นผมเดินเข้าไปหาพร้อมกับถุงยาในมือข้าวเจ้าก็โผหาผมทันที...

ขวัญเสียหมดแล้วคนเก่งของผม

“เจ็บมากไหมครับ”

“ข้าวเจ็บอ่ะ...“

ผมระบายยิ้มมองคนเจ็บที่ยังกอดรอบเอวผมอย่างไม่อายชาวบ้านชาวช่องที่นั่งอยู่ในโรงพยาบาล ผมยกมือลูบเส้นผมคนเจ็บอย่างเบามือและพาจูงกลับไปที่รถ ระหว่างทางที่เราขับกลับไปค่ายมวยข้าวเจ้าก็รับโทรศัพท์จากคนที่ค่ายมือเป็นระวิงเลย ก็ตอนพามาโรงพยาบาลผมมัวแต่ห่วงข้าวเลยลืมโรศัพท์ไว้บนรถ กลับมาอีกทีมีสายไม่ได้รับเกือบๆ สามสิบสายได้เลยล่ะ

และพอมาถึงค่ายมวยอีกรอบ คนแรกที่เราเจอเลยก็คือทุ่งนาที่ยืนตาแดงก่ำและพุ่งเข้ามาขอโทษผมกับข้าวเจ้ารัวๆ เมื่อเจ้าตัวเห็นผ้าก็อตที่ปิดแผลกับหน้าซีดๆ ไร้สีของข้าวเจ้าเท่านั้นแหละครับน้ำท่วมทุ่งนาเลย... และเป็นเจ้าของค่ายมวยที่มาแยกสองพี่น้องที่ยืนร้องไห้เป็นเต่าเผาด้วยการไล่ทั้งข้าวทั้งนากลับบ้าน แกหันไปดุนาที่ถามอะไรไม่รู้เรื่องและหันมากำชับให้ผมดูแลข้าวดีๆ อีก

“ไม่ต้องบอกผมก็ทำอยู่แล้วครับน้าชาย” เพราะตอบไปอย่างนั้นเลยเจอหมัดน้าชายกระทบหลังเบาๆ อย่างแรง...


“นี่ติณณ์ต้องเบาเพี้ยงๆ ให้ด้วยไหม”  ผมถามแกมหยอกข้าวเจ้าหลังจากที่เจ้าตัวอ้อนให้ดูแผลให้ แผลเล็กๆ แต่เย็บตั้งหลายเข็มนี้ทำให้ข้าวเจ้าหงอยไปเลยล่ะครับ

เห็นคนหงอยแปลกตาแล้วก็มันเขี้ยวอยากฟัดให้โวยวาย... คิดได้อย่างนั้นปุ๊บผมก็กดจูบลงกับหัวเหม่งของคนเจ็บหนักๆ ทันที จนอีกฝ่ายโวยวายเพราะเขินแล้วเด้งตัวไปหยิบกระจกขึ้นมาส่องหน้า

“งื้อ ติณณณณณ์ ข้าวเจ็บ... เมื่อไหร่จะหายอ่า” หลุดยิ้มขำเมื่อคนงอแงที่เอาแต่ส่องกระจกดูรอยเย็บเหนือหางคิ้ว “จะเป็นแผลเป็นไหมเนี่ย...”

“พอตัดไหมออกก็ขยันทายาที่พี่หลงซื้อให้สิครับจะได้ไม่เป็นแผลเป็น” ผมตอบพร้อมชูหลอดยาให้คนพี่ เมื่อหัวค่ำพี่ทศกับพี่หลงมาเยี่ยมคนป่วยครับเพราะสองวันนี้มาข้าวเจ้าระบบแผลแล้วไข้ขึ้นผมเลยห้ามข้าวเจ้าไปทำงานและพาคนดื้อไปหาหมอสุดท้ายก็ได้ยามาอีกชุดเนื่องจากแผลอักเสบ มาวันนี้ไข้พอลดลงมาบ้างก็มางอแงกับผมนี่แหละครับ

พูดถึงสองคนนี้แล้วสงสารพี่ทศครับ จีบพี่หลงมานานแต่ยังไม่สำเร็จสักทีแต่รู้ถึงว่าคุณๆ เขาจะเล่นกีฬาบนเตียงกันบ่อยกว่าผมกับข้าวอีก... สงสารตรงที่พี่แกดูไม่ออกว่าพี่หลงคิดยังไงกับเจ้าตัวนี่แหละครับ แต่ก็ปล่อยเขาไปเถอะ

“อื้ออ” คนพี่ครางยาว “เตือนพี่ด้วยนะ”

“อ้าว ไม่แทนตัวด้วยข้าวแล้วหรอ”

ผมเอ่ยล้อคนที่แทนตัวเองเอาด้วยชื่อมาทั้งวัน มีไม่กี่ครั้งหรอกครับที่ข้าวเจ้าจะเรียกตัวเองว่าข้าว ถ้าไม่ป่วยแล้วหลุดออกมาก็จะเป็นเวลาที่คนพี่อยากอ้อนให้ผมทำอะไรให้

อ้อ แล้วก็เวลานั้นด้วยครับ หึๆ

และแล้วก็ถึงวันนัดตัดไหมของข้าวเจ้า คนพี่เหมือนจะงอนผมเล็กน้อยเพราะครั้งนี้ผมไม่ได้ไปกับเจ้าตัวด้วยเนื่องจากผมถูกลุงวัชเรียกเข้าไปหากะทันหัน เห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานของผมในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าที่อาจจะได้มาที่สาขาใหญ่แทนสาขาที่พี่ข้าวอยู่

“ให้ผมไปนู่นเถอะ ที่นี่คนก็เยอะแล้ว... อีกอย่างผมอยากอยู่กับข้าวเจ้านี่ครับ” ผมโอดครวญใส่ผู้เป็นลุงที่นั่งตีหน้าขรึมเพราะคุณฟ้าเอาเอกสารเข้ามาให้ และพอเธอออกไปจากลุงหน้าขรึมก็กลายเป็นผู้พันไก่ทอด... ตอนนี้ลุงวัชแกยิ้มอย่างนั้นเลยละครับ ถ้าหัวขาวกว่านี้ใช่เลย

“ติดแฟนหรอเรา?”

“ครับ” ยอมรับอย่างง่ายดายจนลุงวัชเบ้หน้า “นะลุงนะ ให้ผมอยู่กับข้าวเจ้าเถอะ จะให้ผมทำอะไรก็ได้”

“แลกกับไปสองงานนี้กับลุงไหมล่ะ?”

ผมที่กำลังจะอ้าปากพูดขอความเห็นใจจากลุงวัชก็ต้องชะงักเมื่อลุงแกยื่นบัตรเชิญต่างสีมาให้ตรงหน้า พอกวาดตามองรายละเอียดที่ถูกพิมพ์ไว้บนบัตรเชิญนั้นก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีเพราะรู้ตัวว่าหลงกลความเจ้าเล่ห์ของลุงเข้าแล้ว

ไอ้เรื่องย้ายสาขาย้ายสาขามันไม่มีหรอกครับ ลุงวัชจงใจให้ผมไปงานด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!

“เฮ้อ ครับๆ งั้นผมขอพาข้าวเจ้าไปด้วย”

“ไม่ต้อง” หน้าผมหงิกเมื่อลุงวัชเอ่ยห้าม และต้องกรอกตาเมื่อได้ยินประโยคถัดไป “เดี๋ยวลุงชวนหนูเจ้าเอง ไม่ได้คุยกับหนูเจ้ามานานแล้ว”

นี่ก็หลงหลานสะใภ้ไปนะ...


เผลอแปบเดียวก็หมดเวลาพักของผมที่ขอคุณประธานใหญ่ไว้แล้วครับ หลังจากนั่งๆ นอนๆ ตามติดพี่ข้าวยิ่งกว่าแฟนคลับตามดารา พรุ่งนี้ผมต้องเข้าไปทำงานในฐานะพนักงานใหม่ในสาขาเดียวกับข้าวเจ้าแล้ว ดังนั้นวันสุดท้ายของการแปลงร่างเป็นตัวขี้เกียจอย่างวันนี้จึงมีแขกรับเชิญอย่างข้าวเจ้ามาร่วมด้วยตั้งแต่แดดร่มลมตก...

เอาเป็นว่าผมได้กินข้าวจนอิ่มเลยล่ะครับ

ผมนอนมองข้าวเจ้าที่นอนคว่ำหมดแรงจากกิจกรรมกระชับสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ ยกมือเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายที่ยาวจนปรกตาออกจากใบหน้าแดงก่ำ ไล่สายตาไปยังหางคิ้วที่ไม่กี่อาทิตย์ก่อนยังติดพลาสเตอร์ยาอยู่แต่ตอนนี้แผลนั้นเริ่มเหลือแค่รอยจางๆ ที่ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น ผมกดริมฝีปากลงกับหน้าผากเนียนย้ำๆ พร้อมกับเกลี่ยปลายนิ้วไปตามแผ่นหลังเปลือยเปล่าจนได้ยินเสียงครางอื้ออึงด้วยความรำคาญดังจากอีกฝ่ายนั่นแหละผมยอมหยุดการแกล้งและเริ่มทำสิ่งที่ควรทำสักที

“...ติณณ์ ไม่เอาแล้วนะ ข้าวไม่ไหวแล้วนะ” เสียงแหบแห้งติดงัวเงียของข้าวเจ้าเอ่ยทักท้วงผมที่จับข้าวพลิกตัวและช้อนสะโพกเจ้าตัวขึ้นมาเกยบนตัก ตาปรือแดงของคนหมดแรงช้อนสบเมื่อผมจัดการแยกสองขาให้ออกจากกัน... เพื่อจะได้จัดการทำความสะอาดร่างกายให้อีกฝ่ายดีๆ

ดูแลดีขนาดนี้ไม่มีขายที่ไหนแล้วนะข้าวเจ้า

“ติณณ์ก็ไม่ได้จะทำอะไรข้าวหรอกครับ แค่จะเอาออกให้” อีกฝ่ายทำเพียงครางฮื่อรับรู้พลางยกมือปิดหน้าตัวเอง ได้ยินเสียงครางจากคนพี่เล็ดรอดออกมาเมื่อผมหมุนนิ้วเป็นวงเพื่อคว้านเอาสิ่งที่อยู่ภายในตัวอีกฝ่ายออกมาจนหมด “อยากอาบน้ำไหม? หรือให้ติณณ์เช็ดตัวให้”

“หึ... เจ็บ” ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินอย่างนั้น คำว่าเจ็บของข้าวเจ้านั้นนอกจากความหมายตรงตัวแล้วยังตีความหมายได้อีกอย่างคือไม่มีแรงลุกเพราะฉะนั้นผมจึงจับตัวคนเจ็บให้นอนดีๆ แล้วลุกขึ้นขึ้นไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้อีกฝ่าย พอได้ของที่ต้องการเรียบร้อยแล้วผมก็เดินกลับเข้าห้องแต่ก็พบว่าข้าวเจ้านั้นหลับปุ๋ยไปแล้ว

หลังจากเช็ดเอาความเหนอะหนะออกจากตัวของข้าวเจ้าจนเจ้าตัวสะอาดเอี่ยมและสบายตัวแล้วผมก็ผละออกไปจัดการตัวเองบ้าง พอเรียบร้อยทุกอย่างก็กลับมานอนกอดร่างอุ่นๆ ของคนหมดแรงที่จมสู่นิทราไปก่อนหน้า

หวังแค่ว่าพรุ่งนี้ข้าวเจ้าคงไม่ไข้ขึ้นนะ... ผมไม่อยากลางานตั้งแต่วันแรก

Tbc.

―――――――――――

วันนี้มาแต่หัวค่ำเลย 555555555
อยากไปงานหนังสือจัง ; w ;
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -23- 03|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-04-2018 19:54:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -23- 03|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-04-2018 23:26:04
เหวอกันไปเลยสิ จังหว่ะนั้น,,,
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -24- 07|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 07-04-2018 20:47:01
จีบครั้งที่ยี่สิบสี่
ข้าวเจ้า


ผมมองบัตรเชิญสีหวานในมือสลับกับชุดสูทตัวสวยสีดำที่ถูกส่งมาจากลุงวัช พร้อมกับการ์ดใบเล็กๆ ที่แนบข้อความมาด้วยว่า ‘ลุงหวังว่าจะได้เจอหนูเจ้าในงานนะ’ นั่นทำเอาซะผมอยากจะร้องไห้เลยทีเดียว

“ติณณ์...” ผมชูบัตรในมือให้คนที่ยิ้มแห้ง ติณณ์รับบัตรสีหวานนั่นไปพลิกไปมาและส่งให้ผมคืน มันเป็นบัตรเชิญของงานอะไรสักอย่างที่ควบด้วยงานฉลองปีใหม่ที่ลุงวัชเคยพูดไว้เมื่อตอนคุยโทรศัพท์กันวันก่อนๆ ตอนนั้นเหมือนลุงแกบ่นว่าไม่อยากไปแต่ทำไม... ถึงมีบัตรเชิญให้ผมได้เนี่ยยย

“พี่ไม่ไปได้ไหม”

“ไปเถอะครับ ผมไปด้วย” อีกฝ่ายยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ “มีติณณ์อยู่ด้วยนะกลัวอะไร”

และด้วยคำพูดนั้นเองทำให้ตอนนี้ผมมายืนอยู่ท่ามกลางความวูบวาบของแสงแฟลชที่สะท้อนประกายระยิบระยับของเครื่องเพชรบนคอคุณหญิงคุณนายทั้งหลายและชุดราตรีสวยงาม ผมถอนหายใจยาวๆ พลางเหลือบมองคนตัวสูงที่กำลังเอ่ยทักทายคนนู้นคนนี้อยู่ก็ได้แต่ถามตัวเอง

นี่ผมมาทำไมที่นี่กัน...

“หนูเจ้า” ผมละสายตาจากแก้วค็อกเทลในมือและหันมองเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มกว้างมื่อเห็นเป็นลุงวัชที่เดินมากับภรรยาคนสวยของตัวเอง

ไม่แปลกใจสักนิดที่เชอรีนได้เค้าโครงหน้าหวานๆ นั่นมาจากใคร

“สวัสดีครับคุณลุง สวัสดีครับคุณป้า” ผมยกมือไหว้ทั้งสองคน ทั้งคู่รับไหว้ผมด้วยรอยยิ้มก่อนลุงวัชหันไปพูดอะไรกับป้าปราง ป้าแกพยักหน้าแล้วก็เดินหายไปในสมาคมคุณหญิงคุณนายทันที...

“ชุดที่ลุงส่งให้หนูเจ้าใส่พอดีเลยแฮะ เช็ตใหม่ของยัยเบทเขาล่ะ” ลุงวัชเอ่ยชมพร้อมขยิบตาให้เมื่อลุงกวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมยังจับผมหมุนไปมาอีก “สนใจเป็นนายแบบให้ลูกสาวลุงไหม เงินดีกว่าพนักงานบริษัทนะ ฮ่าๆ”

“ไม่ให้เป็นครับ” เป็นติณณ์ที่ตอบลุงวัชออกไปแทนผมพร้อมกับฝ่ามือใหญ่แตะเข้าที่กลางหลังของผมเบาๆ “อย่ามาแย่งตัวอนาคตเลขาผมสิ”

“เลขา?”

“ติณณ์ยังไม่บอกเราหรอว่าถ้าไปอยู่ที่นู่นมันจะเอาหนูข้าวไปด้วย” ผมส่ายหัวรัวและหันไปมองคนที่ยิ้มแห้งให้อย่างคาดคั้น “อ้าวๆ เคลียร์กันเองนะ ลุงไม่เกี่ยว”

“ไว้ถึงห้องจะอธิบายนะครับ แฮะๆ” ติณณ์ยกมือเกาแก้มเมื่อผมถลึงตาใส่ ก่อนจะหันไปคุยกับลุงวัชเพื่อเปลี่ยนเรื่องหนี “จะว่าไป พี่น้องเชอไม่มาหรอครับ”

“ถ้ามาลุงจะชวนแกมาไหมล่ะไอ้ติณณ์ พวกนั้นล่ะไม่ชอบมางานแบบนี้ที่สุดเลย” ลุงวัชบ่นลูกสาวลูกชายตัวเองอุบ บ้านนี้ผมเคยเจอแค่ลูกสองคนสุดท้องครับ แต่อีกสองคนที่ติณณ์บอกว่าเป็นแฝดกันยังไม่เคยเห็นหน้าเห็นตากันจริงๆ สักที

“ผมก็ไม่ชอบนะครับ” คนพูดเบะปากใส่คู่สนทนา “ไหนๆ ก็เจอลุงแล้วกลับเลยละกัน หวัดดีครับลุง”

ว่าจบไอ้ติณณ์ก็ยกมือไหว้อีกฝ่ายทันที และพอทำท่าจะพาผมเดินออกมาแต่ก็ถูกลุงวัชรั้งตัวไว้ก่อน “เฮ้ยๆ เดี๋ยวค่อยกลับสิอยู่ด้วยกันก่อน”

“โธ่ลุง ให้ผมกลับเถอะ จะสามทุ่มแล้วได้เวลานอนผมแล้วเนี่ย” ไอ้เด็กโข่งที่สูงเกินร้อยแปดสิบงอแงเล็กน้อย ลุงวัชหรี่ตามองหลายชายตัวเองก่อนจะส่งสายตาสงสารมาให้ผม

“ข้าวเจ้าเหนื่อยหน่อยนะลูก ได้แฟนไม่เต็มก็ลำบากอย่างนี้ล่ะ” คนสูงวัยว่าพร้อมกับตบลงที่บ่าของผมเบาๆ  แถมยังทำหน้าตาเห็นอกเห็นใจให้ผมได้หัวเราะชอบใจจนคนถูกพาดพิงหน้าบึ้ง แต่ก็ที่จะได้พูดอะไรต่อก็มีคนเดินเข้ามาทักผู้บริหารใหญ่เสียก่อน

“สวัสดีค่ะคุณวัช เมื่อกี้ดิฉันเห็นคุณปรางอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรอคะ” คุณนายตีกระบังฟูสูงตรงหน้าเอ่ยกับลุงวัช ผมที่ไม่คุ้นชินกับอะไรแบบนี้ก็ได้แต่ยืนเป็นตัวประกอบฉากโดยมีหลังของติณณ์เป็นเกาะกำบัง “อุ๊ย นี่ใช่ติณณ์ลูกชายคุณวิชหรือเปล่าเอ่ย”

“อ่า ใช่ครับ นี่ติณณ์หลานชายผมเอง ติณณ์นี่คุณสมรภรรยาของคุณสมาน เจ้าของบริษัทที่เราทำธุรกิจด้วย”

“สวัสดีครับ ติณณ์ครับ”

“ตัวจริงดูดีกว่าในรูปอีกนะพ่อคุณ ป้าเคยเห็นตั้งแต่ตัวน้อยๆ ไม่นึกว่าโตแล้วจะหล่อขนาดนี้” คุณสมรยิ้มร่ารับไหว้ติณณ์ จังหวะที่คุณสมรหันไปกวักมือเรียกใครสักคนอีกฝ่ายก็อุทานออกมาเมื่อสังเกตเห็นผม “อุ๊ย แล้วเด็กที่มาด้วยกันนี่เพื่อนติณณ์หรอคะ ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเลย ลูกเต้าหลานใครเอ่ย อ๊ะ ลูกมายทางนี้ค่ะ”

สายตาของผมกับติณณ์โฟกัสไปที่บุคคลมาใหม่ แอบเห็นติณณ์หันไปสบตากับลุงวัชก่อนถอนหายใจยาวๆ แต่ก็กลับมาเป็นสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อคุณสมรหันกลับมา

“นี่สมายค่ะ ลูกคนเล็กของดิฉันเองค่ะ ลูกมายสวัสดีคุณวัชกับพี่ติณณ์เขาสิลูก” ลูกสาวของป้าสมรที่ชื่อสมายยกมือไหว้ติณณ์กับลุงวัชอย่างสวยงามตามคำแม่ พอเธอสบตากับไอ้ติณณ์ที่ยิ้มรับตามมารยาทก็ยิ้มเขินๆ ออกมาและขยับไปยืนหลังแม่ตัวเอง “มายเป็นเด็กขี้อายน่ะค่ะ ป้าพามางานนี้ก็ไม่รู้จักใครเลย ถ้าอย่างนั้นป้าขอฝากน้องไว้กับติณณ์และ เอ่อ...”

คุณนายสมรและลูกสาวชื่อสมายส่งสายตางุนงงมาให้ผม

“ขอโทษครับ ผมลืมแนะนำเด็กคนนี้ไปเลยครับคุณสมร” คุณชัยธวัชยิ้มมองผมและพยักหน้าให้คนตัวใหญ่ข้างกายผม ฝ่ามือของติณณ์แตะเข้าที่หลังของผมอีกครั้งและดันให้ออกมายืนอยู่ข้างเจ้าตัว “นี่ข้าวเจ้าครับ”

“อ้อ ยินดีที่ได้รู้จักนะข้าวเจ้า ถ้าอย่างนั้นป้าขอฝากน้องด้วยนะ---”

“...เป็นคนรักของติณณ์เขาครับ”

คุณสมรยกยิ้มค้างเมื่อลุงวัชเอ่ยขึ้นมาขัดประโยคที่คุณนายเธอกำลังพูด ดวงตาที่มีขนตาปลอมหนาเป็นแพรกระพริบถี่มองผมกับติณณ์สลับกันไปคล้ายไม่เชื่อคำของลุงวัช แต่ติณณ์ก็ย้ำคำนั้นของลุงวัชด้วยการยกมือมาเกลี่ยตรงปากล่างผมเบาๆ

“โตแล้วกินเลอะนะเรา หืม”

ขอกลอกตาเป็นสระอิครับตอนนี้... เลอะบ้าอะไรล่ะ ตั้งแต่มาจิบแต่ค็อกเทลแล้วมันจะเปื้อนได้ยังไงวะครับ! แล้วหน้าผมจะร้อนหาอะไรอีก...

“เอ่อ... เอ้อ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะพอดีเจอคุณสมหญิง ไปค่ะลูก ไป” เสียงรนๆ ของหญิงสาวทำให้ผมได้แต่ทำตาปริบๆ มองคนที่รีบดันลูกสาวตัวเองให้ออกจากวงสนทนา และเสียงแก้วกระทบกันที่ได้ยินข้างหูก็ทำให้ผมหันไปมองลุงกับหลานที่ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กัน

“ฮ่าๆ เห็นหน้าเมื่อกี้ไหม ตอนลุงเข้ามาลุงยังเห็นลูกเธอยืนคุยกับคนนู้นคนนี้อยู่เลย ไม่มีเพื่อนอะไรกันล่ะตั้งใจเอาลูกตัวเองมาเสนอชัดๆ”

“ลุงไปหักหน้าเขาอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอครับ” ลุงวัชยักไหล่ให้ผม “แล้วบอกไปแบบนั้นมันไม่...”

“ไม่เป็นไรหรอกหนูเจ้า ไอ้ติณณ์มันอยากให้บอกแต่แรกด้วยซ้ำมั้งน่ะ” สองลุงหลานหัวเราะน้อยๆ “บอกแหละดีแล้ว หรือหนูเจ้าอยากให้ใครมาเกาะแกะแฟนตัวเองล่ะ”

ผมยู่หน้าใส่ลุงวัชที่ทำหน้ารู้ทัน ก่อนติณณ์จะแตะแขนผมพร้อมพเยิดหน้าไปทางผู้มาใหม่ที่เข้ามาทักทายลุงวัชให้ผมดู...

คืนนี้ผมต้องอยู่อีกยาวนานแค่ไหนเนี่ยยย


นับจากวันที่ติณณ์เริ่มเข้าทำงานจนถึงตอนนี้ก็เข้าเดือนที่สามแล้ว ช่วงเริ่มเดือนแรกของปีใหม่เช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงทองของพวกเราเพราะนักศึกษาฝึกงานที่ผ่านคัดเลือกจะเริ่มเข้ามาฝึกตามกำหนดของมหาลัยแล้ว ผมหันมองคนข้างกายที่นั่งตีหน้ามุ่ยใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้แต่หัวเราะจนอีกฝ่ายหันมามอง

“ข้าวเจ้าหัวเราะอะไรครับ”

“เปล่าๆ พี่คิดถึงตอนเราเจอกันครั้งแรกน่ะ” คนตรงหน้ายิ้มออกมาตามผม “ติณณ์ก็มาฝึกช่วงนี้เหมือนกันนี่นา”

“ครั้งแรกที่ไหนละครับ ครั้งแรกจริงๆ ก็ตอนนู้นนนน นามบัตรมั่วๆ ที่ข้าวให้ผมมา”

“อืมมม งั้นก็ปีกว่าแล้วที่เรารู้จักกันสิ” ติณณ์ไม่ตอบแต่ยื่นมือมากุมมือผมหลวมๆ “ไวแฮะ”

“นั่นสิ ผมไม่นึกว่าจะได้คบกับพี่ข้าวด้วยซ้ำ” หน้าของผมเห่อร้อนตามอุณหภูมิของริมฝีปากของติณณ์ที่กดลงมาหลังมือ

โป๊ก! โป๊ก!!

“โอ๊ย!” สันแฟ้มที่ฟาดลงมาที่หัวทำให้เราโอดครวญออกมาพร้อมกัน และเมื่อหันไปเห็นหน้าคนฟาดก็ต้องยิ้มแห้งให้อีกฝ่าย

“อะแฮ่ม คุณติณณ์กับคุณกณิศควรเก็บเรื่องอย่างนี้ไปทำที่บ้านนะครับ” คุณทศกัณฑ์หน้าเครียดยืนกอดอกมองผมกับติณณ์สลับกัน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมคล้ายต้องการให้ใครได้ยิน “ช่วยเห็นใจคนไม่มีใครให้สวีทหวานด้วยเถอะครับ”

เหมือนแอบเห็นนิ้วกลางที่ชู้มาจากโต๊ะของเพื่อนสนิท...

“อ้าว อยากได้ก็ไม่บอก ห้องน้ำว่างนะครับคุณ ในออฟฟิศผมยังไม่เคยนะ”

“ไอ้เหี้ยพี่ทศ!!”

เท่านั้นแหละครับทั้งแผนกฮาครืด ถึงคู่นี้ไม่ใช่แฟนกันแต่คนในแผนกก็รับรู้ความสัมพันธ์ลับๆ ที่ไม่ลับของทั้งคู่นั่นแหละครับ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้ยินมุขหยาบโลนจากคู่นี้บ่อยๆ

 “ไม่ขอพี่หลงเป็นแฟนสักทีล่ะพี่ เดี๋ยวก็เป็นพญานกหรอก” พี่ทศถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนลงไปนั่งยองๆ กับพื้นเมื่อได้ยินติณณ์พูดอย่างนั้น “ผมว่าพี่หลรอนะ”

“กูไม่กล้าว่ะ” หัวหน้าแผนกคนเก่งเปิดแฟ้มแล้วเอาคลุมหัว “กูไม่รู้ว่ามันคิดอะไรกับกูไหม”

ผมกับติณณ์มองหน้ากันอย่างยิ้มๆ อยากจะบอกพี่ทศว่าถ้าไอ้หลงมันไม่รู้สึกอะไรคงไม่ยอมให้พี่ทำอะไรมันอย่างนี้หรอกแต่ก็ต้องเงียบปากไว้เพราะติณณ์บอกว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน เรื่องของใครก็จัดการเองดีกว่า

“จะว่าไป พี่ทศมีอะไรป่ะครับ?”

“มีๆ” พี่ทศยกแฟ้มที่คลุมหัวตัวเองออกและยื่นมาให้ผม “ประวัดนักศึกษาฝึกงานที่เจ้าต้องดูแล ครั้งนี้ไม่ต้องห่วงนะ...”

“เป็นผู้หญิงใช่ไหมพี่”

“เปล่า รับสามคนผู้ชายล้วน” หัวหน้าแผนกยิ้มคล้ายสะใจเมื่อไอ้ติณณ์ทำหน้าแปลกประหลาดออกไป “เบ๊ข้าวจะเข้ามาอาทิตย์หน้านะ หาโต๊ะให้น้องมันด้วย”

“เค ได้ๆ” ผมเปิดแฟ้มและกวาดตาดูรายละเอียดคร่าวๆ มาจากมหาลัยใกล้ๆ นี่เอง เกรดใช่ได้เลย “เฮ้ยติณณ์ พี่ยังอ่านไม่จบนะ!”

ผมโวยวายเมื่อถูกคนข้างๆ ดึงแฟ้มออกจากมือ มันไล่สายตาไปตามตัวอักษรก่อนจะเบ้หน้าออกมาจนพี่ทศหัวเราะ

“ผมหล่อกว่าอีก ไม่มีเบ๊ให้ผมมั่งหรอพี่ทศ”

“ก็ใช่กับเจ้าไง เป็นคนๆ เดียวกันไม่ใช่หรอก หืมมม”

หน้าผมเห่อร้อนทันทีเพราะตีความหมายของคำว่าคนๆ เดียวกันไปในทางที่ค่อนข้างจะ...นั่นแหละ

“หมายถึงเจ้ากับติณณ์เป็นแฟนกันก็ช่วยๆ กันดูเด็กสิ” พี่ทศว่าด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ และยื่นนิ้วมาจิ้มๆ แก้มผม “คุณกณิศคิดไปถึงไหนแล้วครับหน้าแดงจังเลยยยยย”

“นั่นสิ ข้าวเข้าคิดไปถึงไหนแล้วหืมมมม”

แทบจะมุดโต๊ะหนี... ล้อกูจังเล๊ยยยยยยยยย

และเวลาหนึ่งอาทิตย์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ติณณ์มีอาการหมีตกมันเล็กน้อยตอนที่ผมไม่ให้เจ้าตัวช่วยดูแลเด็กฝึกงาน วันนี้ผมค่อนข้างจะแต่งตัวดีกว่าปกติเล็กน้อยเพราะFirst Impressionเป็นเรื่องสำคัญ

ขอให้ทุกคนตัดตอนผมเจอไอ้ติณณ์ไปนะครับ อันนั้นพี่ทศมาบอกกะทันหันเลยไม่ได้แต่งตัวมาก ซ้ำยังไม่ชอบขี้หน้ามันก่อนแล้วด้วย แฮะๆ...

“ตอนผมไม่เห็นดูดีอย่างนี้” ติณณ์ยังบ่นด้วยคำเดิมจนถึงที่ทำงาน หมีตกมันรั้งเอวผมไปใกล้อย่างไม่อายสายตาประชาชี กดจมูกลงกับหัวผมก่อนยู่หน้าออกมา “นี่อะไรเนี่ย เซ็ตผมซะเหม็นเลย”

“ปากหมา!”

“หมาไม่หมา ข้าวก็ชอบชิมไม่ใช่หรือไง” กลอกตาเป็นสระอิครับงานนี้

และเมื่อเดินไปถึงแผนกไม่ได้ได้เก็บของผมก็ถูกพี่ทศเรียกดักไว้เพราะน้องที่ต้องดูแลมาถึงแล้ว ผมก้มมองนาฬิกาแทบจะทันที นัดแปดโมงครึ่งแต่นี่เจ็ดโมงสิบห้า...

น้องรีบหรอครับ พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลย!

“ไปด้วย”

“พี่หิว...” หันไปทำหน้าอ้อนใส่คนตัวสูงกว่า “ข้าวอยากกินข้าวมันไก่ พี่ติณณ์ไปซื้อให้ข้าวหน่อยนะฮะ”

ไอ้ติณณ์ตัวแข็งอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ พอได้สติมันก็ยกมือลูบหน้าลูบตาปิดหน้าแดงๆ ของมันก่อนจะยื่นมือมายีหัวผมแรงๆ อย่างมันเขี้ยว

“แม่ง เวลาอยากให้เรียกอย่างนี้ละไม่เคยได้ยิน” ผมหัวเราะติณณ์สบถอย่างหัวเสีย โบกมือตามหลังคนที่ยังหูแดงเพราะเขิน และเดินไปหาพี่ทศที่ยืนยิ้มล้อ

ลืมว่าพี่มันอยู่ตรงนี้

“น้องข้าวหิวข้าวมันไก่ พี่ติณณ์ไปซื้อให้หน่อยนะฮะ” พี่ทศดัดเสียงเล็กเสียงน้อย ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อผมตะปบก้นเหี่ยวๆ ของพี่มันเต็มแรง “แม่งฟาดมาได้ เด็กอยู่ในห้อง แนะนำตัวกันเองแล้วกัน”

“คร้าบๆ” ผมเบะปากใส่หัวหน้าแผนก ก่อนจะผลักประตูห้องรับรองอันน้อยนิดเข้าไปพบกับเด็กผู้ชายในชุดนักศึกษาที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว “หวัดดี”

เด็กตรงหน้าสะดุ้งโหยงเมื่อผมทัก เขารีบลุกขึ้นยืนและยกมือไหว้ผม “สวัสดีครับ ผมนายพิทักษ์ครับ มาจากมหาลัย----”

“พอๆ พี่ขอชื่อเล่นเราพอ” ผมเอ่ยขัดคนที่ตั้งท่าจะแนะนำตัวรูปแบบเต็ม “ประวัติเราพี่อ่านจากเรซูเม่แล้ว เกรดดีใช่ย่อยนะ”

“เอ่อ ขอบคุณครับ” นายพิทักษ์ยิ้มเขิน “จริงๆ ผมไม่มีชื่อเล่นหรอกครับ แต่เพื่อนๆ เรียกว่าทักครับพี่ข้าว”

คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินเด็กตรงหน้าเรียกชื่อผม ก้มหน้ามองป้ายชื่อก็ไม่มีเพราะฝากไอ้ติณณ์ไว้... แล้วไอ้นี่รู้จักชื่อผมได้ไงวะ

และเหมือนเด็กตรงหน้ารู้สึกว่าผมสงสัย มันเลยรีบอธิบายเสียงอ่อย “คือ ผมได้ยินเสียงพี่ทศเรียกเมื่อสักครู่นี้น่ะครับ”

“พี่ชื่อข้าวเจ้า เรียกพี่ว่าเจ้าเถอะ” ผมยิ้ม “ส่วนข้าวพี่ให้แค่คนสำคัญพี่เรียกน่ะ เอาเถอะๆ เดี๋ยวพี่หาเราไปโต๊ะแล้วกัน อยู่หลังโต๊ะทำงานพี่นี่”

“ครับ” ผมรีบตัดบทและหันหลังให้อีกฝ่าย ขณะที่เอื้อมมือไปจับลูกบิดผมก็ต้องชะงักกับคำพูดแผ่วคล้ายคุยกับตัวเองของคนร่วมห้อง

“แม่ง...น่ารักฉิบหาย”

....กูเนี่ยฉิบหาย!!!

Tbc.

―――――――――――

โคราชหนาววววว เราต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่นนน
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -24- 07|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 07-04-2018 22:26:17
 :pig4: :pig4: :pig4:

สงสัยต่อไปต้องมีฉากหึงกันแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -24- 07|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-04-2018 00:22:40
 :hao3:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -25- 10|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 10-04-2018 21:35:48
จีบครั้งที่ยี่สิบห้า

“ติณณ์... พี่ต้องดูแลเด็กฝึกงานนะ เหมือนที่เคยดูแลติณณ์ไง”

“เข้าใจ... แต่ไม่อยากให้ข้าวดูแลใครไง”

“ไม่ดื้อสิ เราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ” ข้าวเจ้าเอ่ยคำนี้เป็นรอบที่... ร้อยได้แล้วมั้ง ก็ตั้งแต่ที่เราเริ่มคุยกันเรื่องนี้นั่นแหละ แต่ผมก็ตีมึนทำเมินคำนั้นแล้วรั้งเอวคนข้างกายมากอดแน่นไม่ยอมปล่อย “ไหนบอกว่าจะเป็นเด็กดีของข้าวไง”

“ก็มัน...” รีบกลืนคำพูดลงคอเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของคนพี่ที่มองมา “เฮ้อ ครับๆ จะพยายามแต่ข้าวต้องสัญญากับผมนะว่าถ้าผมทำได้ข้าวต้องไปอยู่กับผม”

ข้าวเจ้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ ให้ผมใจเสียเล่น ฝ่ามือเย็นของข้าวยกมาแตะหน้าผม ออกแรงบังคับให้หันไปมองอีกฝ่าย “พี่ไม่สัญญา แต่ถ้าติณณ์ไม่งอแงจนกว่าเด็กมันจะกลับพี่จะลองคิดดูอีกทีดีไหม”

ผมยังคงเงียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลของอีกฝ่ายที่สบอยู่วูบไหว

“ไม่หึง ไม่หวง นี่งาน  โอเคนะ”

“อยู่กับผมก็งาน” ผมว่า “แล้ว...ไม่ให้ผมหึง ผมหวงแฟน แล้วจะให้ผมไปหึงหมาแมวที่ไหนล่ะ”

“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

“ตอนผมจีบข้าวก็เพราะมาฝึกงานไม่ใช่หรอ”

คราวนี้ข้าวเจ้าถอนหายใจออกมาเล็กน้อยเมื่อผมพูดขัด มือนิ่มที่แตะหน้าผมอยู่เกลี่ยแก้มไปมาคล้ายจะให้ผมใจเย็นลง “ข้าวรู้ว่าติณณ์ไม่พอใจ แต่ข้าวเป็นผู้ชายนะไม่ใช่สาวน้อยแรกแย้มที่ต้องให้ติณณ์ห่วงตลอดเวลา แล้วไม่ใช่ผู้ชายทั้งโลกจะต้องชอบผู้ชายด้วยกันหมดทุกคนนะติณณ์”

“จะผู้หญิงหรือผู้ชายผมก็หึงหวงห่วงข้าวเจ้าอย่างนี้ล่ะครับ”

“ติณณ์” ข้าวเจ้าเริ่มเสียงแผ่ว นัยน์ตาที่แสดงออกถึงความลำบากใจของเจ้าตัวช้อนสบอย่างที่ผมแพ้ทาง “นะเด็กดีของข้าว ติณณ์ก็อยู่กับข้าวตลอดเวลาใครจะกล้าจีบข้าวล่ะจริงไหม”

ผมพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา โอเค... ผมจะพยายามไม่อคติกับไอ้เด็กนั่นตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า มันอาจจะเป็นเด็กที่กว่าที่ผมคิก และก็ถูกอย่างที่ข้าวว่าคือไม่ใช่ผู้ชายทั้งโลกจะชอบผู้ชายด้วยกัน แต่จะบอกว่าห้ามไม่ให้ผมหึงผมหวงก็ไม่ได้จริงไหม

ก็ข้าวเจ้าของผมทั้งคน...

น้ำหนักมือเบาๆ ที่แตะบริเวณแก้มทำให้ผมเห็นว่าคนในอ้อมแขนที่เม้มปากแน่นจนขึ้นขาว ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะยกมือวางซ้อนกับมืออีกฝ่ายและพยักหน้าลงเล็กน้อยเป็นการยอมรับ ซึ่งข้าวเจ้าที่เห็นอย่างนั้นก็ระบายยิ้มออกมาตามด้วยสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แตะลงมาที่ริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา

“เป็นเด็กดีให้ข้าวดูนะครับ แล้วข้าวจะให้รางวัลคนเก่ง” คนขโมยจูบเอ่ยเสียงใสชิดริมฝีปาก “เอาละ ตอนนี้ปล่อยพี่ไปอาบน้ำได้แล้ว วันนี้ต้องไปรอรับเด็กฝึกงานนะ”

ได้แต่ยกมือก่ายหน้าผากหลังจากที่ข้าวเจ้ามุดหนีออกจากอ้อมแขนไปอาบน้ำ วันนี้เป็นวันที่นักศึกษาฝึกงานทั้งสามคนจะเข้ามาทำในบริษัท ดังนั้นพี่เลี้ยงอย่างข้าวเจ้าและพี่ในแผนกอีกสองคนต้องไปแสตนบายรอเด็กมันก่อนตั้งแต่เช้าเผื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะได้เตรียมตัวทัน

ผมลุกขึ้นจากเตียงนุ่มเพื่อไปอาบน้ำตามคำเรียกของอีกฝ่าย และพอออกมาก็ต้องเบ้ปากใส่คนที่ยืนแต่งตัวเต็มยศ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่เคยปรกหน้าผากเนียนถูกปัดขึ้นจนเห็นโครงหน้าใสชัดเจน

นี่สินะที่เขาบอกว่ากินเด็กจะเป็นอมตะ

“ตกลงจะยิ้มหรือทำหน้าบึ้ง?” ข้าวเจ้าที่ยังง่วนกับการผูกไทด์หันมาหา กวาดตามองผมที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวห่อช่วงล่างหมิ่นเหม่ “แล้วเมื่อไหร่จะแต่งตัว พี่ต้องไปเช้านะ อ๊ะ! ไอ้หมีตกมันหยุดยีหัวพี่ได้แล้ว!”

จากคนกลายเป็นหมีแล้วครับตอนนี้

“เห็นแล้วมันเขี้ยวว่ะ ตอนผมไม่เห็นดูดีอย่างนี้เลย” หันไปพูดข้าวเจ้าที่โวยวายเพราะไปยกมือขยี้หัวเจ้าตัวจนมันไม่เป็นทรง อีกฝ่ายมองค้อนใส่ผมก่อนบ่นไปเซ็ตหัวตัวเองไป และเมื่อข้าวเจ้าเสร็จทุกอย่างเขาก็ลากผมออกจากห้องทันที


“...ตอนผมไม่เห็นดูดีอย่างนี้เลย” ข้าวเจ้าหัวเราะออกมาเล็กน้อยเพราะผมบ่นด้วยคำเดิมตั้งแต่ผมแต่งตัวเสร็จจนกระทั่งเราถึงที่ทำงาน เสียงหัวเราะใสๆ นั้นทำให้ผมรู้สึกมันเขี้ยวอย่างบอกไม่ถูกจนยื่นมือรั้งเอวอีกฝ่ายมาใกล้อย่างไม่อายประชาชีในบริษัท แต่เมื่อกดจมูกลงกับผมแข็งๆ นั่นก็ต้องยู่หน้าออกไป “นี่อะไรเนี่ย เซ็ตผมซะเหม็นเลย”

“ปากหมา!”

“หมาไม่หมา ข้าวก็ชอบชิมไม่ใช่หรือไง” อีกฝ่ายกลอกตาไปมาให้ผมได้หัวเราะร่านี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ที่ทำงานจะจับมาจูบให้หายซึนเลย พอเห็นข้าวเจ้าที่ลูบท้องน้อยๆ เพราะเมื่อเช้าไม่ได้กินอะไรรองท้องมาทำให้ผมรีบจูงมืออีกฝ่ายไปที่แผนก แต่เมื่อก้าวเท้าผ่านปุ๊บคนหิวก็ถูกพี่ทศดักเรียกไว้ก่อน

“เด็กมึงมาแล้ว อยู่ในห้อง” พี่ทศชี้ไปที่ห้องรับรองข้างห้องตัวเอง ข้าวกดหน้ารับและยื่นกระเป๋ามาให้ผมถือไว้

“ไปด้วยดิ”

“ติณณ์พี่หิว...ข้าวอยากกินข้าวมันไก่ พี่ติณณ์ไปซื้อให้ข้าวหน่อยนะฮะ” เผลอกลั้นหายใจเมื่อเจอข้าวเจ้าแอคแทคใส่ ในหัวมีแต่เสียงอ้อนๆ ของอีกฝ่ายที่แทนตัวเองว่าข้าวและแทนผมว่าพี่วนเวียนอยู่ในหัว แต่พอเห็นสายตาล้อเลียนที่ส่งมาจากพญานกอย่างพี่ทศก็ต้องยกมือลูบหน้าลูบตาซ่อนหน้าแดงๆ ของตัวเองก่อนจะยื่นมือมายีหัวน้องข้าวแรงๆ อย่างมันเขี้ยว

“แม่ง เวลาอยากให้เรียกอย่างนี้ละไม่เคยได้ยิน ข้าวมันไก่หนังเยอะๆ นะ?”

สุดท้ายก็ต้านความรู้สึกห่วงข้าวเจ้ามาไม่ได้จนต้องรีบลงไปซื้อให้ ซื้อเสร็จผมก็กลับขึ้นนั่งจุ้มปุ้กอยู่กับโต๊ะรอข้าวเจ้าที่ยังไม่ออกมาจากห้องรับรองนั่น... ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันหนักหนา

คิดได้ไม่นานประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดขึ้น ข้าวเจ้าที่เป็นคนเปิดประตูมาทำหน้าตาเหลอหลาเมื่อสบตากับผม ผิดกับเด็กฝึกงานที่ทำหน้าบานยิ่งกว่าดอกทานตะวันต้องแสงแดด... อะไรสักอย่างที่มันไม่ชอบมาพากลผุดขึ้นในใจ รู้สึกไม่ถูกชะตาไอ้เด็กฝึกงานที่ข้าวเจ้าเป็นพี่เลี้ยงขึ้นมาตงิดๆ

ระยะทางระหว่างห้องรับรองกับโต๊ะของเราไม่ได้ไกลกันมากแต่น่าแปลกที่ข้าวยังมาไม่ถึงสักที หมุนตัวไปดูก็เห็นข้าวเจ้าชี้นู่นนี่ไปทั่วห้องก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังแนะนำที่ทาง ผมมองใบหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่ายจนกระทั่งทั้งคู่มาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

“นี่พี่ติณณ์นะ พาร์ทเนอร์ของพี่เอง มีอะไรก็ถามพี่เขาได้นะ” ผมพยักหน้าแกนๆ ให้เด็กที่ยกมือไหว้จนข้าวเจ้าถลึงตาใส่ “ส่วนนี้พิทักษ์นะติณณ์ เด็กฝึกงานที่พี่ต้องดูแล อ้อ โต๊ะทักอยู่ข้างหลังพี่นะ โอเคไหม”

“ครับ ให้ผมนั่งไหนก็ได้ครับ” ไอ้ทักอะไรนั่นยิ้มสดใสโชว์เหล็กดัดฟัน “แต่ถ้าได้นั่งใกล้พี่ข้าว... เจ้าคงดี”

รู้สึกว่าหางคิ้วกระตุก... เส้นเลือดที่ขมับเริ่มขึ้นแล้วล่ะครับ ผมสูดลมหายใจลึกมองข้าวเจ้าที่ยิ้มแห้งให้พลางยกมือลูบปรับสีหน้าตัวเองก่อนจะชูข้าวกล่องในมือขึ้นราวกับไม่เห็นไอ้เด็กชื่อทักอะไรนี่อยู่ในสายตา “ข้าวมันไก่ จะกินเลยไหม”

“กินๆ”

“ข้าวเช้าหรอครับ ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย” ไอ้เด็กนั่นยกมือลูบท้องตัวเองและทำหน้าเหมือนหมาหิวจนผมอยากจะแหมยาวๆ ให้ถึงดาวอังคาร “หิวจัง...พี่พาผมไปได้ไหมครับ”

“ลงลิฟต์ไปชั้นล่าสุดมีนิมิมาร์ท เดินเลยไปหน่อยมีร้านอาหาร” ข้าวเจ้าหันขวับมามองผมที่ตอบเสียงเรียบด้วยสายตาดุๆ “ที่จริงตอนเข้ามาก็เห็นไม่ใช่หรอ เดินไปเองดิ”

“ติณณ์” ข้าวเจ้าหันมาปราบผมเสียงเบา “นี่น้องนะ”

ผมพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พยายามทำใจร่มๆ ไม่ให้หึงอะไรอีกฝ่ายมากเกินไป แต่เมื่อสายตาเห็นคนในแผนกกำลังเดินไปทางประตูแผนกจึงเอ่ยทักทันที “พี่นิ้งจะไปไหนครับ”

“หืม พี่ว่าจะไปโรงอาหารน่ะ ติณณ์จะฝากซื้ออะไรหรือเปล่า” คำที่พี่นิ้งตอบกลับมาให้ผมได้ยิ้มระรื่น

“ผมฝากเด็กฝึกงานไปคนดิ มันหิว” ผมชี้ไปที่เด็กนั่นที่ทำหน้าเหวอ พี่นิ้งเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยก่อนพยักหน้าตกลง “ไปดิ มีคนพาไปแล้ว”

“ติณณ์...” ข้าวเจ้าช้อนตามองผมเล็กน้อย อีกฝ่ายหันไปหาเด็กฝึกงานก่อนเอ่ย “เอ่อ น้องไปกับพี่นิ้งนะ ได้ไหม?”

“...ครับ” ผมเค้นหัวเราะเมื่อไอ้เด็กนั่นทำหน้านิ่วไปแค่พริบตา รู้สึกเป็นผู้ชนะแปลกๆ เมื่อมันเงยมองผมคล้ายหงุดหงิดก่อนจะรับคำข้าวเจ้าและเดินไปหาพี่นิ้งที่กวักมือเรียกอย่างช่วยไม่ได้

และข้าวเจ้าก็หันมาหาผมทันทีเมื่อไอ้เด็กนั่นลับตา

“เมื่อเช้าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนี่” ข้าวถอนหายใจออกมาเบาๆ “นั่นเด็กที่พี่ต้องดูแลไปอีกสามเดือนนะ”

“ก็ผมไม่ชอบที่มันเรียกข้าวอย่างนั้น ไหนข้าวไม่ชอบให้ใครเรียกตัวเองว่าข้าวไงครับ” ผมยืนกอดอกมองคนที่ทำหน้าจ๋อย

“ข้าวก็ไม่ได้ให้น้องมันเรียกอย่างนั้น แต่น้องได้ยินตอนพี่ทศล้อข้าว...”

“สรุปพี่ทศผิดสินะ” ผมตีรวน “...กินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวหายร้อน”

ข้าวเจ้ารับคำเสียงอ่อยเมื่อผมตัดบทและยื่นถุงข้าวมันไก่ไปให้ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเริ่มจัดการกับข้าวเช้าผมควานหาของบางอย่างที่อยู่ก้นกระเป๋า หยิบมันมายัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนผละตัวออกจากตรงนั้นแต่เสียงของข้าวเจ้าก็รั้งผมไว้ก่อน “นั่นติณณ์จะไปไหนน่ะ”

“สูบไอ้นี่” ผมชูซองสี่เหลี่ยมยับๆ ที่ไม่ได้แตะมาซักพักขึ้นให้อีกฝ่ายดู “จะไปทำให้หัวหายร้อน ไม่อยากทะเลาะกับข้าวตอนนี้”

“ไปด้วย”

“กินข้าวไป”

“ก็เดี๋ยวเอาไปกินด้วย”

“มันเหม็น”

“รู้ว่าเหม็นแล้วสูบทำไมล่ะ”

“...” และเป็นอีกครั้งที่ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เนื่องจากแย้งคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ ข้าวเจ้าวางช้อนลงและลุกมาหยิบซองบุหรี่กับไฟแช็คออกจากมือผม จากนั้นก็โยนมันทิ้งลงถังขยะใต้โต๊ะของตัวเองก่อนจะหันมาจ้องผมเขม็ง “โอเค ไม่ก็ไม่”

ว่าจบผมก็เลื่อนเก้าอี้ออกและทิ้งตัวกระแทกลงแรงๆ อย่างระบายอารมณ์คลุกกรุ่นในหัว พอข้าวเห็นว่าผมไม่มีความคิดจะไปแล้วเจ้าตัวก็ตักข้าวเข้าปากต่อแต่ไม่วายจะเหลือบมองผมเป็นระยะ ผมที่ไม่รู้จะทำอะไรก็ควานหาหูฟังในกระเป๋ายัดเข้าหูและหลับตาลงทันที

“ติณณ์ อ้ามๆ” ผมลืมตาขึ้นเพราะเสียงงุ้งงิ้งข้างตัว ภาพตรงหน้าคือช้อนพลาสติกสีขาวที่มีข้าวพูนๆ โปะไก่ชิ้นใหญ่ไว้ด้านบน ไล่สายตาตามช้อนที่จ่อปากไปยังเจ้าของมือที่ยื่นช้อนมา “อ้ามมม”

เผลอหลุดขำกับท่าทางหลอกเด็กกินข้าวนั่นเล็กน้อย “ง้อ?”

ข้าวเจ้าพยักหน้าหงึก พร้อมกับลดมือที่ยกขึ้นจ่อปากผมลงเล็กน้อย “ก็ไม่อยากให้ติณณ์สูบนี่”

“ง้อคนละเรื่องแล้วข้าวเจ้า” อีกฝ่ายยิ้มแหย “ข้าวจะง้อก็ง้อให้ถูกเรื่องดิ”

“คุยกันรู้เรื่องแล้วนี่ติณณ์... จะให้พี่ทำยังไงล่ะ”

“งั้นก็มาให้ผมจูบ”

“ห๊ะ”

“ผมบอกว่ามาให้ผมจูบดิ”คนตรงหน้าอ้าปากหวอเมื่อผมต่อรอง ใบหน้าขึ้นสีจางชะโงกพ้นคอกกั้นและมองซ้ายมองขวาคล้ายกับกลัวใครได้ยินประโยคเมื่อครู่นี้ “เร็วดิ คนยังมาไม่เยอะ”

“...ไอ้เด็กเอาแต่ใจ”

ผมยักไหล่และยกยิ้มระรื่นรับคำนั้น ข้าวเจ้าตีหน้ามุ่ยวางช้อนลงในกล่องคืนและไถเก้าอี้มาใกล้ เมื่ออีกฝ่ายอยู่ในระยะเอื้อมถึงผมก็ดึงอีกฝ่ายจนถลามาหาและกดปากลงกับริมฝีปากมันแผลบจากข้าวมันไก่ทันที

จูบรสข้าวมันไก่มันค่อนข้างแปลก... แต่ก็อร่อยดี

จุ๊บ

ผมผละออกจากปากที่เริ่มเจ่อจากการโดนดูดอย่างอ้อยอิ่ง เกลี่ยปากกับปากนิ่มเล็กน้อยก่อนปล่อยตัวอีกฝ่าย และเมื่อเป็นอิสระข้าวเจ้าก็หอบลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนตวัดตามองผมที่ยักไหล่น้อยๆ ด้วยแววตาดุๆ

ก็ยอมให้จูบเองนี่ครับ ไม่ได้บังคับสักหน่อย

จะว่าไปหัวโล่งขึ้นเยอะเลยแฮะ

“พอใจแล้วใช่ไหม พี่กินข้าวต่อล่ะ”

“หนึ่งจูบหนึ่งมวน ซองนั้นมีอยู่สี่...” รอยยิ้มปรากฏขึ้นเมื่อข้าวเจ้าหันมาทำตาเหลือกใส่ผมทั้งที่ปากยังคาบช้อนไว้อยู่ “น่า อีกสามทีเอง อุ๊บ!”

ไม่ทันได้กวนข้าวเจ้าต่อ คนตรงหน้าก็เอาช้อนที่ตัวเองคาบไว้นั่นแหละมายัดปากผมทันที... จูบทางอ้อมสินะ หึ


การทำงานวันนี้นอกจากจะอยากให้เวลาผ่านไปถึงเย็นเร็วๆ แล้วผมแทบจะอยากฉุดข้าวกลับบ้านตลอดเวลา เพราะไอ้เด็กนั่นอะไรๆ ก็พี่เจ้าครับ พี่เจ้าครับ ก็รู้ว่าวันแรกอะไรๆ ยังไม่คล่อง แต่นี่ก็อุตส่าห์สละเวลาทำงานอันมีค่าไปนั่งสอนให้มันตั้งนานเสือกไม่จำหรือไงวะ! แล้วแทนที่มันจะเรียกคนอาสาสอนให้อย่างผมแต่มันกลับเรียกหาแต่ข้าวเจ้าอย่างเดียวมันก็ไม่ใช่อ่ะ!

เหมือนแม่งอยากกวนประสาทผมอย่างไงอย่างนั้นแหละ

“พี่เจ้าครับบ ผมไม่เข้าใจตรงนี้เลย”

นั่นไง ไม่ขาดคำเสียงไอ้เด็กนั่นก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ผมปรายตามองเจ้าของชื่อที่ยิ้มแห้งๆ ให้และทำท่าจะลุกไปดูเด็กแต่ข้าวก็ต้องชะงักเมื่อผมขัดคอ

“ผมไปดูเอง ข้าวทำงานต่อเถอะ” หันไปยิ้มให้ข้าวเจ้าก่อนเดินไปหาเด็กนั่นที่ทำหน้าแห้งเหมือนดอกทานตะวันที่เหี่ยวแล้ว “ไหน ตรงไหนพี่ช่วยเอง”

“...ตรงนี้ครับพี่ติณณ์”

หึ รู้จักติณณ์น้อยไปแล้ว

―――――――――――

ติณณ์หึงจริงจังไว้พาร์ทหน้านะ---
จะบอกว่าาาาา ได้งานทำแล้วค่ะ
หลังสงกรานต์ไปแล้วอาจจะลงนิยายไม่เป็นเวลาแต่จะพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละตอนนะคะ TwT
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -25- 10|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-04-2018 21:56:05
 :pig4: :pig4: :pig4:

ยินดีกับงานที่ได้ด้วยนะคับ

หวังว่าจะมีเวลาอัพเดตผลงานอย่างต่อเนื่องนะคับ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -25- 10|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-04-2018 22:07:08
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -25- 10|04|2561 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: M_M ที่ 11-04-2018 14:18:46
 :katai5:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 16-04-2018 21:11:15
จีบครั้งที่ยี่สิบหก


“มีอะไรอยากจะบอกผมไหมครับ”

ประโยคที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้คนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่สะดุ้งตัวเฮือก ข้าวเจ้าหันมาทำหน้าแหยๆ ใส่ผมก่อนบอกปัดว่าไม่มีอะไรจนต้องถามคำถามเดิมย้ำอีกครั้งนั่นแหละเจ้าตัวถึงจะยอมเอ่ยปากเล่าเรื่องที่อยากรู้ให้ผมฟัง และนั่นก็ทำให้ผมตีหน้าเครียดทันที

... มีผู้ชายคนไหนจะชมผู้ชายด้วยกันว่าน่ารักวะถ้ามันไม่ได้คิดอะไร!!

ยอมรับตรงๆ กันเลยครับว่าอคติกับเด็กนั่นตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวจริงเพราะไม่อยากให้ข้าวรับบทพี่เลี้ยงเด็กฝึกงานอีกแล้ว ก็พยายามเข้าใจว่ามันเป็นงานที่ข้าวเจ้าเขารับหน้าที่มาแล้วเลยขัดอะไรไม่ได้และพยายามจะไม่งี่เง่า แต่อย่างเรื่องวันนี้ก็ยิ่งทำให้ความประทับใจแรกติดลบรัวๆ

“...ผมจะไปบอกพี่ทศให้เปลี่ยนคนดูแลเด็กนั่น”

“ติณณณณ์” ข้าวเจ้าเรียกชื่อผมเสียงดังพร้อมกับรีบตะครุบมือผมที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดโทรออกหาหัวหน้าแผนกทันที “น้องมันคงแค่ชมเฉยๆ มั้ง แล้วพี่...แล้วข้าวไปได้ยินเองเพราะน้องมันพูดเสียงเบามาก แล้วก็ติณณ์ก็ยังเคยบอกเลยว่าข้าวน่ารักไม่ใช่หรอ”

“มันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ” ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ มองคนหน้าเจื่อนที่เอาโทรศัพท์ของผมไปถือไว้ “ผมเป็นแฟนของข้าวเจ้าไง แต่นั่นไม่ใช่”

“ไอ้หลงก็เคยบอกว่าข้าวน่ารัก...”

“นั่นเพื่อนข้าว”

“แล้วพี่ทศก็---”

“คนที่ข้าวกำลังคิดถึงเป็นคนรู้จักไม่ใช่คนอื่น” ผมเอ่ยขัดคนตรงหน้า “ลองคิดกลับกันดูไหมครับว่าถ้าผมไปชมคนอื่นว่าน่ารัก หรือสวยบ้างข้าวจะชอบไหม”

คนตัวเล็กกว่าผมที่วันนี้ดูเล็กกว่าปกติไปถนัดตาเมื่อเจ้าตัวเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตา ผมนั่งมองริมฝีปากที่เม้มแน่นสลับกับคลายออกอย่างคนใช้ความคิดของคนที่นั่งอีกฝั่งของโซฟาตัวยาวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากตรงนั้น

หงุดหงิดงุ่นง่านเพราะอารมณ์ของตัวเอง กลัวถ้าพูดอะไรมากกว่านี้จะกลายเป็นว่าหาเรื่องทะเลาะกับอีกฝ่ายเลยว่าจะไปหาที่สงบสติ... แต่ก็ช้ากว่ามือของคนหน้าตื่นที่พุ่งมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือและออกแรงรั้งให้ผมนั่งลงคืนที่เดิม

“ครับ?”

“...ไม่ชอบ” ปากที่บวมตุ่ยน้อยๆ จากการเม้มแน่นเกินไปขยับเป็นคำพูดแผ่ว “เข้าใจแล้วว่าติณณ์ไม่โอเค แต่ข้าวขอนะ นี่งานนะติณณ์ ข้าวไม่อยากให้ใครมองว่าข้าวไม่มีความรับผิดชอบโยนเด็กที่ต้องดูแลให้คนอื่นเพราะปัญหาส่วนตัว”

“ใครจะกล้าว่าข้าวแบบนั้น อย่าลืมสิว่าลุงผม--”

“ติณณ์” อีกฝ่ายเอ่ยขัดผมด้วยเสียงเอื่อยพร้อมถอนหายใจออกมา ฝ่ามือของข้าวเคลื่อนขึ้นมาลูบใบหน้าไปมาเบาๆ คล้ายจะทำให้ผมเย็นลง และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเกลี้ยกล่อม “นั่นลุงของติณณ์ไม่ใช่ของข้าวนะ ข้าวไม่อยากให้คนอื่นหาว่าที่คบติณณ์เพราะหวังจะเกาะหรืออะไร แต่ที่ข้าวอยู่ตัวนี้เพราะความตั้งใจของข้าวเองไม่ว่าเรื่องติณณ์หรือเรื่องงาน แล้วไหนติณณ์จะให้ข้าวไปช่วยงานที่นู่นกับติณณ์ไงครับ ข้าวไม่อยากให้แม่ของติณณ์หรือคนอื่นมองว่าไม่ได้เรื่องหรือใช้เส้นสายหรอกนะ”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของข้าวเจ้าเมื่อเขาเห็นว่าผมนั่งเงียบ ในหัวเริ่มคิดตามที่อีกฝ่ายพูด... ไม่เคยรู้สักนิดว่าข้าวเจ้าจะคิดมากขนาดนี้... เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองเหมือนเด็กเอาแต่ใจก็ตอนนี้แหละ

และพอข้าวเห็นว่าผมไม่ได้แย้งอะไร เขาก็เริ่มพูดต่อ

“วันนี้เด็กมาวันแรกมันคงชมไปทั่วแหละ ขนาดพี่นิ้งยังมาเล่าเลยว่าน้องมันบอกว่าพี่แกน่ารัก อีกอย่างนี่ก็แค่ชมไม่ได้รุกเข้าหาหรืออะไรเหมือนตอนติณณ์สักหน่อยนี่ครับ รับดูเด็กมาหลายคนก็เพิ่งเจอคนหน้ามึนไม่ยอมไปไหนก็คนนี้แหละ” ข้าวเจ้าว่าเสียงติดตลกและเอื้อมมือมาบีบจมูกผมเบาๆ แต่พอเห็นว่าผมทำหน้านิ่งไม่ได้ตลกร่วมไปกับเจ้าตัว เขาทำหน้าตาเลิ่กลั่กและกลายเป็นบูดบึ้งเมื่อผมหัวเราะออกมาเต็มเสียงกับท่าทางของอีกฝ่าย

“ผมไว้ใจข้าวนะแต่ไม่ไว้ใจคนอื่น” ว่าพร้อมกับดึงคนข้างๆ มาบนตัก กดจมูกลงกับแก้มนิ่มและเกลี่ยเล่นไปมา “แต่ผมจะพยายามไม่ทำตัวงี่เง่าให้ข้าวลำบากใจแล้วกันนะ”

ข้าวเจ้าเลิกคิ้วสูงเพราะคงไม่นึกว่าผมจะตอบอย่างนี้ สัมผัสนุ่มหยุ่นของริมฝีปากแตะลงที่สันกรามเบาๆ ก่อนผละออกให้เห็นรอยยิ้มกว้างที่ทำให้ผมใจอ่อนยวบ และยิ่งยวบกว่าเดิมเมื่อคนบนตักหอมแก้มผมฟอดใหญ่พร้อมคำกระซิบข้างหูแผ่วๆ

“เด็กดีของข้าว”

หลังจากที่เราคุยกันวันนั้นผมก็โทรไปปรึกษาเพื่อนสนิทที่ออกฝึกงานอยู่โรงพยาบาลสัตว์สักที่ในประเทศ มันก็เอาแต่หัวเราะแล้วบอกว่าผมคิดมากเกินไป ให้ปล่อยวางบ้างเดี๋ยวข้าวเจ้าจะอึดอัด

คนมันหวงนี่วะ!!!

ถ้ามีคนจ้องจะงาบคนของตัวเองใครมันจะเย็นได้วะแม่ง


และแล้วเวลาก็ผ่านไปได้อาทิตย์กว่าๆ ที่พวกนักศึกษาฝึกงานเข้ามาทำงาน ซึ่งมันควรจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจะเริ่มปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้แล้ว แต่เชื่อไหมว่าผมยังคงได้ยินชื่อของข้าวเจ้าที่ดังมาจากโต๊ะทางด้านได้ทุกเมื่อเชื่อวันจนข้าวได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ผม พร้อมกับคำพูดที่ทำให้ผมหัวเสียมากกว่าเดิมอย่าง สงสัยน้องมันคงยังไม่รู้เรื่องจริงๆ

...ไม่รู้เรื่องบ้านพี่สิครับ ถ้าดูไอ้เด็กนั่นที่ยิ้มหน้าระรื่นเมื่อเห็นข้าวไปหาและทำหน้าเหมือนโดนจับแดกยาขมเมื่อผมเข้าไปแทนไม่ออกก็บ้าแล้ว นี่ขนาดว่าผมเข้าไปคลอเคลียถึงเนื้อถึงตัวแสดงความเป็นเจ้าของอย่างโจ่งแจ้งแล้วนะ

ก็ยังดีที่นอกจากมันเอาแต่เรียกหาข้าวเจ้าก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ เหมือนกับมันแค่อยากจะกวนประสาทผมยังไงก็ไม่รู้...

หรืออาจจะแค่ทำให้กูตายใจวะ?

“นี่มันไม่รู้หรือไงวะว่าข้าวมีเจ้าของแล้ว” สบถออกมากับตัวเองพร้อมหันมองคนข้างๆ เต็มตา หน้าตาของข้าวมันไทป์แบบที่คนส่วนใหญ่ชอบโดยเฉพาะเวลายิ้มเนี่ยโคตรน่ารัก แถมช่วงหลังๆ มาถูกผมขุนจนกอดเต็มมือยิ่งมีแต่คนมอง

บางครั้งก็คิดอยากจับขังเอาไว้ในบ้านให้รู้แล้วรู้รอด...

“พูดอะไรหรือเปล่า” คนโต๊ะข้างๆ พูดขึ้นให้ผมที่กำลังเหม่อสะดุ้ง ข้าวเจ้าโคลงหัวเล็กน้อยและถามซ้ำ “พี่ได้ยินอะไรๆ ของๆ นะ”

“ผมบอกว่า...” ผมลากเสียงยาวและเคลื่อนเก้าอี้เข้าไปหาอีกฝ่าย ปรายตามองเด็กนั่งขีดเขียนอะไรสักอย่างพร้อมกับยกมือไล้ไรผมแถวๆ ท้ายทอยขาวของคนตรงหน้าเล่น “หรือผมไม่ได้ทำรอยไว้เด็กนั่นเลยไม่รู้ว่าข้าวมีเจ้าของแล้ว”

“ติณณ์ก็ไปบอกเด็กมันดิว่าพี่มีแฟนแล้ว” แทนที่จะโวยวายที่ผมพูดอย่างนั้น ข้าวเจ้ากลับหันมายิ้มน้อยๆ ให้ผมแทนซะงั้น

ได้แต่จิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ใส่คนที่เอาแต่ยิ้ม ไม่ใช่ไม่อยากบอกนะแต่ถ้าผมบอกเองมันจะได้อะไรล่ะ แม่งไม่เชื่อกูแน่ๆ ...อีกอย่างผมอยากให้ข้าวเป็นคนพูดเองมากกว่า

“ถ้าข้าวไม่บอกเองจะมีประโยชน์อะไรล่ะ” ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนไล้ปลายนิ้วไปกับแก้มนิ่มๆ ของคนตรงหน้า “ผมบอกไปมันคงไม่ฟัง ขนาดคลอเคลียข้าวขนาดนี้มันยังดูไม่ออกเลยเหอะ”

แมวน้อยชื่อข้าวเจ้าหลับตาพริ้มเมื่อผมลากนิ้วจากแก้มนิ่มลงที่คางของเจ้าตัวและเริ่มเกาเบาๆ จนได้ยินเสียงครางแผ่วเพราะความสบาย ภาพตรงหน้านั่นทำให้ผมยิ้มออกมาได้

“พี่ข้าวเจ้าครับบบ”

แต่เสียงมารก็แม่งมาขัดอีก...

ข้าวเจ้าหันไปขานรับเสียงนั่นและผุดลุกออกไปทันที ผมมองมือที่ค้างในอากาศในท่าเกาคางแมวก่อนจะลดมือลงมาวางบนตักตัวเอง หางตาเห็นไอ้เด็กเวรนั่นกระตุกยิ้มมุมปากใส่ผมแล้วหันไปพูดเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ข้าว เห็นอย่างนั้นผมก็ลุกออกไปนอกแผนกทันทีโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของข้าวเจ้าที่ดังตามมาและเสียงไอ้เด็กนั่นที่เรียกข้าวไว้

ท่องไว้ว่าอย่าทำตัวให้อีกฝ่ายลำบากใจ

ท่องไว้ว่าอย่าหึงเกินไป

ท่องไว้ว่ามันแค่งาน...

“อ้าว มาสูบหรอ ไหนเลิกแล้ว?” สองขาพาผมมายังโซนสูบบุหรี่ที่นอกตัวตึก พี่ทศที่นั่งพ่นควันขาวอยู่ก่อนแล้วเอ่ยถามแต่อีกฝ่ายก็ต้องเลิกคิ้วสูงเมื่อผมส่ายหัวกับคำถามนั้น “ไม่ได้มาสูบแล้วมาทำไมตรงนี้”

“มาทำให้หัวโล่ง”

“ทะเลาะกับไอ้เจ้า?”

“เปล่า เซ็งเด็กฝึกงาน”

อีกฝ่ายครางรับรู้

“นี่ พี่ทศเปลี่ยนคนดูแลไอ้เด็กนั่นเถอะ” ผมเอ่ยกับหัวหน้าแผนกที่กำลังสูดเอานิโคตินเข้าปอด เจ้าของชื่อเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนหันกลับไปอย่างไม่สนใจ

“ทำไม?”

“มันกวนตีน ผมทนมาได้เป็นอาทิตย์ๆ นี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว”

“แล้วจะให้กูทำยังไง?”

“...พี่นิ้งก็ยังว่างนี่ครับ”

“ครั้งก่อนนิ้งเพิ่งรับไป” พี่ทศพ่นควันขาวออกมาและปล่อยให้มันจางหายไปกับสายลม “ไม่มีเหตุผลพอเพียงกูก็เปลี่ยนให้มึงไม่ได้หรอ เอาน่าๆ อย่าเรื่องเยอะน่าติณณ์ ถ้าไอ้เจ้าไม่เล่นด้วยยังไงมันก็ไม่สนหรอก สามเดือนแปบเดียวเองน่า”

“มันไม่แปบสิพี่ทศ อย่าลืมสิว่าไอ้สามเดือนนี่แหละที่ผมจีบข้าวติด” ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พร้อมกับเอ่ยระบายสิ่งที่อยู่ในหัวมาเป็นอาทิตย์ๆ ให้รุ่นพี่ฟัง “เข้าใจเหตุผลที่ข้าวบอกผมนะ... เหตุผมข้าวมันดีจนผมรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าไปเลยว่ะพี่”

“ก็งี่เง่าจริงๆ” พี่ทศหัวเราะหึ “หึงอะไรไม่เข้าท่า”

“...คนไม่มีสิทธิไปหึงหวงใครนี่พูดได้หรอครับ?” อีกฝ่ายหันมาถลึงตาใส่ผมเพราะพูดจี้ใจดำเจ้าตัวได้ตรงจุด แอบรู้มาว่าช่วงนี้มีสาวมาแจกขนมจีบพี่หลงอยู่แต่คนตรงหน้าผมก็ทำไรไม่ได้เพราะยังไม่ได้เป็นอะไรกับพี่หลง “มันดูไม่ออกหรือไงวะว่าผมกับข้าวเป็นอะไรกัน”

เช้ามาพร้อมกัน เที่ยงไปกินข้าวด้วยกัน ตกเย็นก็กลับบ้านด้วยกัน... เพื่อนร่วมงานธรรมดาๆ ที่ไหนเขาทำกันแบบนี้ครับถามจริง

“แล้วทำไมไม่บอกเองล่ะ”

“ถ้าข้าวไม่พูดเองมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะพี่ทศ” เสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ ดังขึ้นคล้ายเอือมระอา “ลองพี่ได้คบกับพี่หลง ถ้ามีคนมาวอแวคนของตัวเองแล้วพี่ก็จะเป็นแบบผมเอง แต่คงไม่น่า...เพราะชาตินี้พี่จะได้คบพี่หลงไหมก็ยังไม่รู้เลย”

คราวนี้คุณทศกัณฑ์ทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่าๆ ผมให้ตายไปซะ เห็นอย่างนั้นเลยยักคิ้วกวนๆ ใส่อีกฝ่ายจนพี่ทศสบถคำหยาบยาวเหยียดออกมาอย่างหัวเสีย

“มึงนี่แม่ง... เออๆ ถ้ามันทำอะไรเกินตัวกูจะเปลี่ยนคนดูแลมันให้แล้วกัน เคนะ” กลอกตาไปมาก่อนรับคำอย่างเสียไม่ได้ หัวหน้าแผนกหัวเราะและพยักพเยิดหน้าไปทางประตูกระจกด้านข้าง “นู่น ไอ้เจ้ามารอมึงแล้วนั่น”

หันไปมองตามคำบอกก็เห็นคนพี่ยื่นทำหน้าบึ้งอยู่นอกกระจกกั้นระหว่างทางเดินกับที่สูบบุหรี่

“มีอะไร?” เดินไปหาพร้อมถามด้วยเสียงติดห้วนแบบที่ไม่ได้ตั้งใจ พอข้าวเจ้าได้ยินเขาเม้มปากเข้าหากันน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบคำถามจนผมต้องถามซ้ำด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ข้าวมีอะไรหรือเปล่า”

ข้าวเจ้าส่ายหัวรัวจนผมต้องถอนหายใจออกมา และเมื่อพอเดินเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายก็ยื่นหน้ามาดมตามเสื้อก่อนเบ้หน้ามองผมตาขวางเพราะได้กลิ่นกลิ่นบุหรี่ติดเสื้อ

นี่คงคิดว่าผมสูบด้วยแน่ๆ…

คิดได้อย่างนั้นก็ปัดความคิดก่อนหน้าออกจากหัว ยกมือล็อกคางคนหน้าบึ้งและประกบจูบลงไปทันที ฉวยจังหวะข้าวจะโวยวายสอดลิ้นเข้าไปกวาดความหวานทั่วโพลงปากของอีกฝ่ายจนพอใจก่อนผละออกมาดูผลงานอย่างอ้อยอิ่ง

หน้าแดงตามคาดล่ะครับ

“ก็ไม่ได้สูบ เห็นไหมในปากไม่มีกลิ่น”

“แค่บอกก็ได้ป่ะ! แล้วพี่ทศยิ้มบ้าอะไรวะ!!” คนโวยวายหน้าแดงเริ่มพาลไปยังบุคคลที่สามที่นั่งยิ้มกริ่ม

“กลัวบอกไปแล้วข้าวเชื่อไม่ไง นี่บริสุทธ์ใจเลยนะเนี่ยเลยให้พิสูจน์” ยิ้มมุมปากอย่างยียวนกวนฝ่าเท้าให้คนหน้าขึ้นสี “แล้วตอบผมได้ยังว่ามีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า...” ข้าวเจ้าหลุบตาบลงต่ำ “เห็นออกมานานก็เลย... ก็นี่เที่ยงแล้ว”

“จะชวนไปกินข้าว?” กลุ่มผมสีน้ำตาลตรงหน้าขยับลงเล็กน้อย ผมหันไปบอกลาหัวหน้าแผนกที่ยิ้มกริ่มยกมือข้างที่คีบบุหรี่ขึ้นโบกไปมาคล้ายไล่ ก่อนจะฉวยจูงมือคนก้มหน้างุดลงไปโรงอาหาร

น่าเสียดายที่เมื่อกี้ไม่มีคนเห็น


ร้านข้าวไม่ถึงสิบร้านกับพนักงานเป็นร้อยๆ คนเป็นอัตราส่วนที่ไม่เท่ากันจนอยากเสนอลุงวัชให้เพิ่มคนขายของอีกสักร้านสองร้าน โชคดีที่โต๊ะมีเยอะพอให้เรานั่นโดยไม่ต้องไปแทรกคนอื่นที่เราไม่รู้จัก

ทันทีที่ก้าวเข้าโรงอาหารก็เห็นแล้วล่ะว่าไอ้เด็กนั่นมันนั่งอยู่กับเพื่อนที่ผมเห็นหน้าผ่านๆ เวลาไปแผนกอื่น ซึ่งมันแม่งเลือกโลเคชั่นเป็นโต๊ะเยื้องหน้าประตูโรงอาหารพอดีเป๊ะแบบที่เดินผ่านยังไงก็ต้องเห็น แต่เป็นโชคดีของผมที่ผมตัวใหญ่พอดีจะบังวิสัยทัศน์ของข้าวได้มิดเลยรีบจูงอีกฝ่ายเดินเร็วๆ ไปทางโต๊ะประจำที่ยังว่างอยู่

แต่ก็ไม่พ้นสายตามารอยู่ดีนั่นแหละ...

“อ้าวพี่ข้าว... เจ้า มาทานข้าวหรอครับ” ไอ้เด็กนั่นตะโกนเสียงดังเรียกชื่อเจ้าของมือที่ผมจูงอยู่เหมือนไม่เห็นหัวผม ข้าวเจ้าชะงักเล็กน้อยก่อนชะโงกหน้าข้ามตัวผมไปทักทายพวกเด็กฝึกงานอย่างยิ้มแย้ม แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่ข้าวกระตุกมือผมออกจากการเกาะกุม...

“ข้าว...” กดเสียงต่ำเรียกชื่ออีกฝ่ายที่หันทำหน้าแหยๆ ให้ แต่เสียงของไอ้ทักอะไรนั่นกลับดังแทรกผม

“พี่เจ้านั่งกับพวกเราไหมครับ เที่ยงอย่างนี้โต๊ะเต็มแล้ว”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวไปนั่นที่...” เสียงตอบของผมเบาลงเมื่อเห็นว่าที่ประจำถูกคนจับจองไปต่อหน้าต่อตา จะหันมาหาข้าวก็ดันไปสบตากับไอ้เด็กทักที่ยิ้มหวานเชื่อมใส่ข้าวและเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะใส่ผม

เดี๋ยวนะมึง...

“ว้า แย่จังนะครับที่ไม่มีแล้ว” ไอ้ทักทำหน้าสลดแต่น้ำเสียงกลับร่าเริง ขยับตัวเว้นที่แล้วตบมือลงที่ข้างๆ ตัวมัน “พี่เจ้านั่งกับพวกผมก็ได้ครับ ไอ้พวกนี้มันไม่กัดหรอ วิทย์มึงหลบๆ ให้พี่เขานั่งด้วยดิ๊”

เด็กชื่อวิทย์ที่กำลังสูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเงยหน้ามองเพื่อนมันสลับกับพวกผมก่อนจะขยับไปชิดริมให้จนเหลือที่ว่างให้นั่งได้อีกแค่คนเดียว ข้าวเจ้ามองผมด้วยทำสีหน้าที่แสดงถึงความลำบากใจขั้นสุดเพราะรู้ว่ายังไงผมก็ไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะกับมันแน่ๆ แต่ข้าวก็ไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจไอ้เด็กนี่อีก

ยิ่งผมทำเป็นไม่สนใจแรงกระตุกน้อยๆ ตรงแขนเสื้อและหันมองไปรอบโรงอาหารที่เต็มไปด้วยคนทุกแผนก ข้าวเจ้าก็ยิ่งหน้าเจื่อนลงไปใหญ่ สุดท้ายคงเพราะไม่อยากปฏิเสธเด็กในการดูแลที่เซ้าซี้ให้เจ้าตัวนั่งร่วมโต๊ะข้าวจึงทิ้งตัวนั่งระหว่างไอ้เด็กนั่นกับเพื่อนของมันโดนมีผมยืนกอดอกซ้อนอยู่ข้างหลัง

“นี่เพื่อนผมนะข้างพี่นั่นไอ้วิทย์ นี่พะแพง แล้วก็พาย ฝึกงานอยู่บัญชีกับจัดซื้อ” ไอ้ทักยิ้มร่าแล้วแนะนำเพื่อนมันให้ข้าวรู้จัก “ส่วนนี่พี่ข้าวเจ้า พี่เลี้ยงเราเอง”

“แล้วพี่คนนั้นล่ะคะ?” เด็กที่ชื่อพะแพงยิ้มหวานมองผม “เห็นมาด้วยกันนี่ ทักไม่เห็นแนะนำเลย”

“นั่นพี่ติณณ์ รุ่นพี่ในแผนกน่ะ” ไอ้ทักตอบแบบขอไปทีก่อนจะหันไปคุยกับข้าวเจ้า “พี่ไม่กินอะไรหรอครับ อยากกินอะไรไหมเดี๋ยวผมไปซื้อให้”

“มะ...”

“พี่ติณณ์ไม่นั่งหรอคะ ทางนั้นเต็มแล้วถ้าพี่ไม่รังเกียจนั่งข้างพะแพงได้นะคะ พายเขยิบๆๆ ให้พี่เขานั่งด้วย” พะแพงพูดแทรกเพื่อนตัวเองที่เสนอตัวไปซื้อข้าวให้คนของผม พายที่ถูกดันให้เขยิบได้แต่ทำตาปริบๆ มองเพื่อนตัวเอง ทั้งคู่ขยับไปจนเหลือที่ว่างข้างพะแพงซะกว้าง ก่อนเธอจะเงยหน้ามองและผายมือเรียกผม “เชิญค่ะพี่ติณณ์”

ผมเดินไปนั่งข้างสาวเจ้าตามคำเชิญ ก่อนจะส่งยิ้มแทนคำขอบคุณให้เด็กสาวตรงหน้าซึ่งพะแพงก็ยิ้มร่ากลับมาด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อน้อยๆ คล้ายเขิน และผมต้องกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อสบสายตาขุ่นๆ ของข้าวเจ้า

“เดี๋ยวนะคะ แพงว่าแพงเคยเห็นพี่ติณณ์นะ” เธอขมวดคิ้วก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาจิ้ม และทำตาโตมองผมสลับกับหน้าจอตัวเอง “นี่พี่ติณณ์ใช่ไหมคะ”

กระตุกยิ้มพร้อมกดหน้าลงให้อีกฝ่ายแทนคำตอบเมื่อเห็นรูปที่เจ้าตัวยื่นมาให้ดู เป็นรูปตอนที่ไปงานตอนปีใหม่กับลุงวัชซึ่งในรูปนั้นมันมีข้าวเจ้าติดมาด้วย

“งั้นๆ พี่ติณณ์ที่เป็นหลานชายคุณชัยธวัชหรอคะ!?” พะแพงถามด้วยน้ำเสียงตกใจพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปาก เธอก้มมองรูปในมืออีกครั้งและยกนิ้วชี้คนตรงข้ามที่ทำหน้าไม่บอกบุญอย่างข้าวเจ้า “แล้วนี่ใช่พี่คนนี้ไหมคะ”

“ครับ”

“งั้นพวกพี่สองคนก็เป็นญาติกันสิคะ? ในนี้บอกว่าคุณชัยธวัชและหลานๆ”

ได้แต่ยกยิ้มขำให้คนถามที่ทำท่าทางสงสัยมองผมสลับกับข้าวเจ้าไปมาคล้ายจะหาความเหมือนบนใบหน้าเพราะเธอเข้าใจว่าเราเป็นญาติกันไปแล้ว แต่ข้าวก็ทำให้เธอเลิกสงสัยด้วยการตอบไปว่าเราไม่ใช่ญาติกัน มันเลยมีคำถามขึ้นมาใหม่อย่าง “แล้วพี่สองคนเป็นอะไรกันคะ?”

คำถามที่ผมไม่ยอมตอบและข้าวเจ้าก็เอาแต่ก้มหน้างุดไม่ยอมมองหน้าใคร ไอ้ทักที่เงียบไปนานก็มองผมกับข้าวเจ้าก่อนขมวดคิ้วคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่

ครั้งนี้ผมขอยกความดีความชอบให้พะแพงเลย... เพราะปกติผมจะเป็นฝ่ายแนะนำข้าวให้คนอื่นไม่ก็พวกนั้นรู้เองจากพฤติกรรมหวงคนของผม ซึ่งผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าข้าวเจ้าจะบอกคนอื่นว่ายังไงกับคำถามที่ว่าเราเป็นอะไรกัน

Tbc.

―――――――――――

มาแล้วค่ะ มาช้าไปนิดดดดดดส์ พอดีสงกรานต์แทบไม่ได้แตะคอมเลยค่ะหมดวันก็นอนตายทั้งที่ไม่ได้เล่นน้ำสักนิด ไฟล์ในโทรศัพท์ที่มีก็เป็นตอนไม่เต็มเลยไม่ได้ลงสักที... แถมมีนยังติดPUBG mobile อีกก็เลยยาวเลย งื้อ ;; w ;; ///นั่งคุกเข่าสารภาพผิด แต่ใครเล่นแอดเราได้นะ ดีเอ็มมาเล--- แค่ก
อีกอย่างกลางอาทิตย์นี้เราเริ่มงานแล้วล่ะค่ะ อาจจะได้ลงตอนถัดไปอาทิตย์หน้าเลยเพราะยังพิมพ์ไม่เสร็จดี มีนมีนจะพยายามมาอัพให้ได้อาทิตย์ละตอนนะคะ ; v ;
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-04-2018 21:47:33
 :pig4: :pig4: :pig4:

รอเฉลยปริศนาว่าเป็นอะไรกัน  นาจา  อิอิ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-04-2018 23:13:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 17-04-2018 00:19:45
 :hao3:


หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: jumingko ที่ 21-04-2018 10:02:33
รอ รอ รอ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -26- 16|04|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-04-2018 23:14:21
จะแนะนำว่าเป็นอะไรกันนะ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -27- 28|04|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 28-04-2018 00:01:34
จีบครั้งที่ยี่สิบเจ็ด
 

“ติณณ์! จะไปไหน!!”

“ไอ้ติณณ์หยุด! พี่ถามว่าจะพาพี่ไปไหนน่ะ! เฮ้!!” ผมไม่สนใจเสียงร้องถามของข้าวเจ้า ริมฝีปากขบเข้าหากันแน่นขณะฉุดรั้งข้อมือของเจ้าของเสียงโวยวายให้เดินตามตั้งแต่ที่เราอยู่ในโรงอาหารกับไอ้เด็กนั่น แต่แรงฮึดกระชากกลับของอดีตแชมป์มวยเยาวชนนั้นทำให้ผมชะงักฝีเท้าตามแรงนั้น และหันกลับไปมองข้าวเจ้าที่ก้มตัวหอบหนักๆ ออกมาพร้อมกับยกมือมาจับมือผมที่กำข้อมือของเจ้าตัวไว้ “พี่ถามว่าจะพาพี่ไปไหน”

“...ห้องน้ำ”

“ห๊ะ?!” ข้าวเจ้าเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยใบหน้าเหวอๆ ทันทีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจนผมเกือบจะหลุดอาการขำ อีกฝ่ายเอ่ยถามย้ำอย่างไม่เชื่อหูแต่ผมไม่ตอบซ้ำและออกแรงดึงข้อมือข้าวเจ้าที่ร้องเสียงหลงให้เดินตามอีกครั้งไปยังจุดหมายที่ต้องการโดยไม่สนใจเสียงร้องโวยวายหรือการที่ข้าวทุบแขนจิกมือของตัวเองสักนิด

เผลอพรูลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างระบายอารมณ์ที่อัดแน่นในอกพร้อมกับยกมือข้างที่ยังว่างขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองเมื่อคิดไปถึงประโยคที่ข้าวเจ้าพูดเมื่อสักครู่นี้ตอนที่เรายังอยู่ที่โรงอาหาร...

‘แล้วพี่สองคนเป็นอะไรกันคะ?’ หนึ่งคำถามที่ออกจากปากของพะแพงทำให้ผมหันไปจ้องข้าวเจ้าที่เอาแต่ก้มหน้างุด ซึ่งผมก็นั่งเงียบไม่ยอมตอบคำถามนั้นเพราะอยากจะรู้ว่าข้าวเจ้าจะตอบว่าอย่างไร

‘อยากรู้หรอ?’ ผมหันไปยิ้มให้พะแพงที่พยักหน้ารัวและหันกลับมองไอ้เด็กที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดข้างๆ ข้าว ‘ถามข้าวสิครับว่าพี่กับเขาเป็นอะไรกัน’

เมื่อโยนคำถามให้ข้าวเจ้าเรียบร้อย อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาทำตาถลนใส่ผมทันที แววตาของพะแพงมองผมสลับกับข้าวเจ้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับไอ้เด็กทักนั่น

แต่ผ่านไปนานคำตอบก็ยังไม่ออกมาจากปากที่เม้มแน่นสนิทของอีกคนสักที... ทำเอาใจแป้วเชียวละ

ยอมรับนะว่ากลัวข้าวเจ้าจะบอกว่าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันหรืออะไรทำนองนี้ แต่ทั้งความอยากรู้ว่าข้าวจะตอบว่าอะไร และอยากให้ข้าวพูดออกมาเองมันมีมากกว่า... โดยเฉพาะต่อหน้าไอ้เด็กที่อยู่นั่งข้างๆ ข้าวนั่น

แต่ถ้าข้าวตอบอย่างนั้นจริงผมคง... รู้สึกแย่นิดๆ ที่ทำให้ข้าวเจ้าไม่กล้าบอกความสัมพันธ์ของเรา หรือเขาอาจจะ

‘พี่กับติณณ์ เรา... คบกันอยู่น่ะ’

เฮ้อ นั่นไงว่าละแล้วเชียว

หือ... เดี๋ยวนะ...

ปึง!

‘เมื่อกี้ข้าวว่าไงนะ!’ ผมผุดลุกขึ้นยืนพร้อมตบมือลงกับโต๊ะเสียงดังลั่นจนคนในโต๊ะสะดุ้งและคนรอบข้างหันมามองผมเป็นตาเดียว แต่ผมไม่ได้สนใจสายตาของคนที่มองมานักเพราะสิ่งที่ผมสนใจกว่าก็คือคนตรงหน้าที่นั่งก้มซ่อนหน้าแดงๆ จนคางแทบจะชิดอกอยู่แล้ว

...เราคบกันอยู่น่ะ

...เราคบกันอยู่

...เราคบกัน

ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่คำๆ นี้ที่วนเวียนอยู่

นี่ผมไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม...?

‘พะ พี่ติณณ์กับ... พี่ข้าว’ เสียงติดอ่างของพะแพงดังเข้ามาในโซนประสาทของผมที่ยังจ้องหน้าคนตรงหน้าอยู่ ข้าวเจ้าเงยหน้าแดงๆ ขึ้นมองผมด้วยสายตาค้อนๆ แค่แวบเดียวก่อนจะเบนหนีผมไปมองพะแพง และกดหน้าลงน้อยๆ คล้ายเป็นการยืนยันคำพูดนั้นแถมยังสำทับความจริงด้วยการ...

‘อื้อ พี่กับติณณ์คบกันได้ปีกว่าแล้ว’

ได้ยินเสียงคนข้างๆ พึมพำว่าไม่จริงน่าออกมา ผมที่ลืมเลือนความอึมครึมของตัวเองได้แต่ทรุดลงกับที่นั่งและยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดรอยยิ้มกว้างพร้อมกับลูบใบหน้าที่มันคงแดงจัดเหมือนกับคนที่นั่งตรงข้ามไปมาอย่างระบายอาการหน้าร้อนที่เกิดขึ้นไปบ่อยนัก และเมื่อได้สบตากับข้าวเจ้าที่แอบมองมาผมก็ลุกอ้อมโต๊ะไปฉุดให้เดินตามทันทีโดยไม่สนเสียงนกเสียงกาที่ดังมาไล่หลัง

เชี่ยเอ๊ย! ใจผมแม่งจะทะลุออกมาอยู่แล้ว!!


และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมฉุดข้าวเจ้ามายังห้องน้ำของพนักงานที่ตอนนี้ปลอดคนราวกับรู้ใจผม

ปัง!

“ติณณ์! มะ... อื้อออ” หลังจากที่ผมพาข้าวเจ้าเข้ามาในห้องน้ำได้ผมก็รวบตัวข้าวมาใกล้แล้วยกตัวอีกฝ่ายขึ้นนั่งตรงเคาน์เตอร์ล้างมือทันที เสียงโวยวายของข้าวเจ้าถูกผมกลืนหายด้วยริมฝีปากของตัวเองและแทนที่เสียงโวยวายนั่นด้วยเสียงครางในลำคอแผ่วๆ มือของข้าวเจ้าที่ทุยประท้วงลงกับไหล่และหลังของผมค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขยุ้มเสื้ออย่างหาที่พึ่งเมื่อผมสอดปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากอุ่นสลับกับขบฟันลงกับริมฝีปากนิ่มๆ เล่น

จนคนตัวอ่อนยวบเริ่มประท้วงเพราะหายใจไม่ออกด้วยการข่วนหลังผมเหมือนแมวข่วนเสานั่นแหละผมถึงยอมปล่อยให้อีกคนเป็นอิสระ แต่ยังคงเกลี่ยปากกับริมฝีปากที่เผยอหายใจไปมาไม่ห่าง

“ใครสั่งใครสอนให้พูดจาน่ารักแบบนั้นครับ หืม” ว่าพร้อมกับขบปากนิ่มๆ ของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว ข้าวเจ้าทุบอกผมดังปึ่กก่อนเงยมองผมด้วยสายตาค้อนๆ ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อคนพี่ก็หลบตาโดยการซุกหน้าลงกับไหล่ของผมซะงั้น

“ก็บอกว่าให้พี่เป็นคนบอกเองไม่ใช่หรอ...” เสียงอู้อี้ที่ดังขึ้นแผ่วๆ หลังจากที่ปล่อยให้คนพี่ได้หายใจเต็มปอดนั้นทำให้ผมต้องงัดหน้าแดงๆ ของข้าวเจ้าที่ซุกอกผมขึ้นมาหอมซ้ายหอมขวารัวๆ

ถ้าอยู่ที่ห้องนี่ได้จับฟัดหนักๆ ไปแล้ว

“ผมล่ะโคตรกลัวว่าข้าวจะบอกว่าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน...” ผมเกยคางลงกับไหล่ของคนพี่และว่าเสียงเบาพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“...พี่ขอโทษ” แต่คำขอโทษแผ่วๆ ที่ตอบกลับมาและไหล่ที่เริ่มลู่ลงของเจ้าตัวทำให้ผมกระชับตัวอีกฝ่ายแน่นขึ้น “พี่คงทำให้ติณณ์ไม่เชื่อใจสินะ ที่พี่ไม่ได้บอกคนอื่นเรื่องของเราเพราะเห็นว่าติณณ์แสดงออกว่าเราคบกันอยู่แล้วเลยคิดว่าแค่นั้นคงพอแล้ว... แต่ข้าวคงคิดน้อยเกินไปสินะถึงทำให้ติณณ์คิดอย่างนั้น ขอโทษที่ทำให้ติณณ์คิดมากนะครับ”

“รู้ว่าผมคิดมากแล้วทำไมไม่ฟังผมบ้าง”

“ขอโทษครับ...” ข้าวเจ้าว่าเสียงอ่อย “แล้วอีกเรื่องก็เรื่องของทัก--”

“ไม่อยากฟัง”

ผมตอบออกไปทันควันเมื่อได้ยินชื่อบุคคลที่สาม ข้าวดันตัวผมที่พูดขัดเจ้าตัวออกห่าง สองมือของคนพี่ยื่นมาประคองหน้าของผมที่แทรกตัวอยู่ระหว่างขาอีกฝ่ายให้สบตา “ฟังหน่อยสิ พี่ว่าทักไม่ได้ชอบพี่หรอก... อย่าเพิ่งขัดสิ ตอบหน่อยว่าตอนติณณ์ชอบพี่ ติณณ์รู้สึกยังไง”

จากที่จะอ้าปากเถียงกลายเป็นทำปากคว่ำใส่คนพี่ ผมกลอกตาเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป

“อยากอยู่ด้วย อยากเจอ อยากอยู่ในสายตาข้าว”

“ติณณ์พยายามเข้าหาพี่ตลอดเวลาใช่ไหม” ผมพยักหน้า “แต่ทักไม่เป็นแบบนั้น พี่สังเกตหลายครั้งแล้วว่านอกจากตอนพี่อยู่กับติณณ์ทักก็แทบจะไม่สนใจพี่สักนิด พอว่างก็เอาแต่ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ แต่ถ้าติณณ์วอแวพี่เมื่อไหร่ทักมันถึงจะเรียกพี่เหมือนกับอยากกวนติณณ์มากกว่า”

หัวคิ้วของผมเริ่มขมวดเข้าหากันพลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอาทิตย์นี้ที่พอจำได้บ้าง จริงอยู่ที่ไอ้เด็กนี่มันชอบเล่นโทรศัพท์เวลาพักแถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนคุยกับใครอยู่ เวลาผมคุยกับข้าวปกติมันก็ไม่พูดแทรกแต่พอผมเริ่มถึงเนื้อถึงตัวข้าวเมื่อไหร่มันก็หาเรื่องเรียกพี่เลี้ยงของมันทันที ถ้ามันชอบข้าวจริงมันคงไม่น่าอยู่เฉยแบบนี้หรือมันอาจจะประกาศสงครามเย็นกับผมไปแล้ว

แต่นี่ไม่มีสักอย่าง...

ถ้าลองตัดอารมณ์หึงหวงของผมออกไปและโฟกัสแต่พฤติกรรมมัน... ก็เหมือนกวนประสาทผมจริงๆ นั่นแหละ

“ข้าวเลยคิดว่าเด็กนั่นไม่ได้ชอบข้าวแต่แค่อยากกวนผม?” อีกฝ่ายพยักหน้าให้ ทำท่าจะดึงมือตัวเองออกจากหน้าของผมแต่ผมก็คว้ามือนั่นมากุมไว้ “แล้วมันกวนผมไปให้เกิดประโยชน์อะไรวะถ้ามันไม่ได้ชอบข้าวอย่างที่ข้าวว่าจริงๆ ทำเพื่อความสะใจก็ไม่ใช่เพราะผมก็เพิ่งรู้จักมันนี่ละ... ถึงที่จริงผมก็แอบคิดอย่างนั้นก็เถอะ แต่จะยังไงๆ ผมก็ไม่ชอบให้มันมายุ่งกับข้าวว่ะ คนของผมทั้งคน”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พี่คิดว่าคงเป็นอย่างนั้น” ข้าวเจ้าโคลงหัวเล็กน้อย “ถามหน่อย ทำไมติณณ์ถึงไม่ชอบน้องล่ะครับ?”

ผมชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วตรงหน้าข้าวเจ้า “หนึ่ง ผมเคยบอกข้าวแล้วว่าไม่อยากให้ข้าวรับเป็นพี่เลี้ยงเด็กอีกแล้ว”

อีกฝ่ายยู่หน้าลงเหมือนไม่พอใจในคำตอบ “ก็เลยพาล ไม่ชอบไปซะงั้น?”

“ฟังให้จบสิคุณ…” ผมชูนิ้วเพิ่มอีกหนึ่ง “ผมไม่ชอบที่เด็กนั่นเรียกข้าวว่าข้าวเฉยๆ แล้วไม่เห็นหรือไงว่าเด็กนั่นมันชอบยิ้มเหมือนจะเยาะเย้ยผมเวลาที่ข้าวให้ความสนใจมันมากกว่าสนใจผม อย่างวันนี้เหมือนกัน ตอนเช้าที่ข้าวลุกไปหามัน ข้าวไม่เห็นหรอว่ามันยิ้มแบบไหนให้ผม”

“...ไม่ได้สังเกตอ่ะ คิดไปเองหรือเปล่าว่าน้องมันยิ้มแบบนั่น ยิ่งติณณ์อคตืกับน้องมันอยู่แล้วแบบนี้”

แทบจะตบหน้าผากตัวเองกับคำตอบของข้าว อคติบ้าอะไรล่ะ! ไอ้อาการกระตุกยิ้มมุมปากชวนให้เอาพื้นรองเท้าไปแนบนั่นจะให้เรียกว่าอะไร!!

“งั้นต่อนะ ผมไม่ชอบ…”

“รักติณณ์นะครับ” ประโยคที่หาความเกี่ยวเนื่องกับประโยคก่อนหน้าไม่ได้นั้นทำให้ผมชะงักคำพูด ใบหน้าแดงๆ ของข้าวเจ้ามีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับเคลื่อนมาใกล้ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสที่กดลงมาที่ริมฝีปากตัวเองย้ำๆ “รักแค่คนนี้แหละครับ ใครมาจีบก็ไม่สนหรอก… เชื่อข้าวนะครับ”

ได้แต่เบิกตากว้างมองคนอายุมากกว่ายกยิ้มเขินบอกคำรักที่นานครั้งจะได้ยินด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ

“เอ่อ…” ฉิบหายละ… จะพูดอะไรต่อวะกู ผมกลอกตาไปมาอย่างนึกคำพูดก่อนจะเอ่ย “คือผมไม่ชอบที่ข้าวไม่ฟังผมเลยสักนิด แถมยังตามใจไอ้เด็กนั่นอีก”

“แต่พี่ก็เคืองนะที่เราไปนั่งข้างๆ สาวแบบนั้น”

ยิ้มขำใส่คนแกล้งทำหน้าบึ้ง รู้หรอกว่าข้าวไม่ได้เคืองจริงจังแต่แค่พูดให้ผมหายหงุดหงิด แต่การอมลมไว้ที่แก้มจนพองน้อยๆ ของคนตรงหน้าก็ทำให้ผมอดที่จะงับไม่ได้ ก่อนเราจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“เรื่องของทักพี่คงต้องดูแลจนกว่าจะครบนั่นแหละ ติณณ์ก็ช่วยพี่ดูแล้วกัน”

ผมถอนหายใจออกมาและพยักหน้าส่งๆ ให้อีกฝ่าย ขณะที่ในหัวเริ่มวางแผนการว่าจะให้พี่ทศส่งไอ้เด็กนี่ไปให้คนอื่นดูแลแล้วเรียบร้อยโดยไม่คิดจะบอกคนในอ้อมแขน

“เข้าใจตรงกันแล้วนะ?”

ยักคิ้วกวนๆ ใส่ข้าวก่อนกอดอีกฝ่ายแน่นๆ “เข้าใจก็ได้ครับ ว่าแต่ว่าขอ...กอดได้ไหม”

“ก็กอดอยู่นี่ไง”

“อยากกินข้าว”

ประโยคที่เหมือนประโยคธรรมดาแต่แฝงความนัยทำให้คราวนี้ข้าวเจ้านิ่งกึก ผมเคลื่อนมือคงไปคล้องสะโพกอีกฝ่ายไว้หลวมๆ จนคนนั่งบนเคาน์เตอร์ล้างมือรีบเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ก็...ก็ไปโรงอาหารสิ อื้ออ ติณณ์อย่ากัดนะ!!”

ปากบอกห้ามแต่เอียงคอให้คืออะไร! มันเขี้ยวว่ะ!!

“ติณณ์ พี่...ข้าวขอนะ เอาไว้ก่อน!” ฝ่ามือของข้าวเจ้าดันหน้าผมที่ซุกไซ้คอเจ้าตัวให้ออกห่าง “นี่มันไม่ใช่ที่บ้านเรา!”

โคตรชอบเลยล่ะไอ้คำว่าบ้านเราเนี่ย แต่... “เอาท์ดอร์ไงคุณ”

“ไม่เอา!”

ยกยิ้มขำมองคนที่โวยวายปฏิเสธเป็นพัลวัน ไม่ได้ชวนจริงจังหรอกครับแค่อยากแกล้งคนเล่นเท่านั้นเอง แต่ก่อนที่ผมจะได้แกล้งข้าวเจ้าต่อ เสียงของคนคุยกันที่ดังมาจากภายนอกทำให้พวกเราเงียบและหันไปมองประตูที่ค่อยๆ เปิดออกพร้อม
“เฮ้ย เย็นนี้ไปร้านเหล้ากัน”

“ไม่อ่ะ เงินไม่มียังจะชวนอีกห่านี่”

“ขอเมียมึงมาดิ ฮ่าๆ”

ไม่รู้ว่าแรงฮึดอะไรที่ทำให้ผมอุ้มข้าวเจ้าเข้าเอวแล้วพามาหลบในห้องน้ำซึ่งพอดีกับที่บานประตูถูกเปิดจนสุด ได้ยินเสียงพูดคุยสับเพเหระและเสียงทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่ถึงสิบนาทีมีอะไรเกิดตรงที่ล้างมือนั้นทำให้ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนกับชักโครก

และนั่นกลายเป็นว่าตอนนี้ข้าวเจ้านั่งอยู่บนตักผมด้วยท่าทางที่ค่อนข้าง...ล่อแหลม

ผมสบตากับข้าวเจ้าก่อนกวาดตามองคนบนตักดีๆ มือข้างหนึ่งของข้าวยกปิดปากกลั้นเสียงหายใจ ส่วนอีกข้างคล้องคอผม ขณะที่ขาก็ยกขึ้นหนีบสะโพกผมเพื่อไม่ให้ขาของเจ้าตัวโผล่จนทำให้คนอื่นรับรู้ว่าในห้องนี้ไม่ได้อยู่แค่คนเดียว

อืม... ท่ามันได้จริงๆ นั่นแหละ

แล้วไอ้การที่ไม่ได้กินข้าวมาเกือบอาทิตย์ก็ดันทำให้อะไรๆ มันตื่นง่ายตื่นดายซะงั้น

“ข้าวครับ...” กระซิบแผ่วบ่งบอกความต้องการให้อีกฝ่ายสะบัดหัวจนเส้นผมปลิว ผมลดมือที่จับเอวอีกฝ่ายลงไปที่บั้นท้าย ออกแรงขย้ำอย่างแรงจนข้าวเจ้าสะดุ้งเกือบหลุดเสียงร้องแต่ดีที่ยังมีมืออีกฝ่ายปิดปากอยู่ “พี่ข้าวครับ”

“ไม่...ได้” ข้าวว่าด้วยเสียงเบาแต่หนักแน่นพร้อมกับส่ายหน้าพรืดและพยายามรั้งตัวเองไม่ให้ผมล็อกตัวให้บั้นท้ายอีกฝ่ายแนบกับความต้องการที่ตื่นตัว ดวงตาของข้าวเจ้ากลอกไปมาตามเสียงหัวเราะที่ได้ยินก่อนกระซิบข้างหูผม “ไม่ใช่ที่สาธารณะ”

จบคำพูดของข้าวเจ้า คนข้างนอกก็พูดชักชวนให้ออกจากห้องน้ำเพิ่งไปทำงานต่อเหมือนรู้ใจผม เรานั่งเงียบกันจนกระทั่งเสียงประตูถูกปิดลงก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายยิ้มออกมาให้คนนั่งอ้าปากเหวอและเอ่ยออกไป “...ปลอดคนแล้วนะครับ หึ”

“ไอ้ติณณ์ไม่เอาที่นี่!! อ๊ะ ไม่เอา... อื้อออ”

.

.

.

ย้อนกลับไปหลังจากข้าวเจ้าถูกติณณ์ฉุดไปกันสักหน่อย พะแพงยังคงนั่งอึ้งกับเรื่องที่เพิ่งรับรู้ขณะที่พิทักษ์ทำเพียงนั่งเท้าคางกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างไม่มีความแปลกใจกับเรื่องที่ได้รับรู้พร้อมกันกับชาวบ้านจนเพื่อนที่นั่งสังเกตการตั้งแต่แรกอย่างวิทย์เอ่ยถาม

“ไอ้ทัก มึงเล่นอะไรอยู่?”

“กูเปล่า” พิทักษ์ยักไหล่ตอบปฏิเสธ “ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ... เดี๋ยวกูมา”

พูดจบเขาก็ผลุดลุกขึ้นและเดินตามทางของพี่เลี้ยงไปโดยไม่ฟังคำเรียกของเพื่อนสนิทที่ตะโกนไหล่หลัง พิทักษ์เดินผิวปากไปยังสถานที่ๆ คิดว่าสองคนนั่นน่าจะอยู่และก็เดาไม่ผิดเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันดังจากห้องน้ำของพนักงาน เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาหยิบโทรศัพท์ออกมาและจิ้มมันไม่กี่ทีก่อนจะเก็บลงเหมือนเดิม

เขายืนพิงกำแพงด้านนอกห้องน้ำที่ไร้ความน่าพิสมัยจนกระทั่งเห็นกลุ่มคนเดินเข้าไปและเดินออกมาก่อนจะเอาป้ายทำความสะอาดมาแขวนไว้หน้าห้องน้ำ ยืนรอจนกระทั่งเห็นร่างของคนคุ้นตาที่กำลังเดินมาทางนี้

“ไงมึง”

“หวัดดีน้า” พิทักษ์ยกมือไว้คนตรงหน้าที่แยกเขี้ยวใส่เขาเพราะคำเรียก “พี่เจ้ากับพี่ติณณ์อยู่ในนั้นได้... เกือบยี่สิบนาทีแล้ว”

ผู้เป็นน้ากระตุกยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่หลานตัวเองพูด “เออ ดี”

“ถามจริงนะน้า ให้ผมทำทำไมวะ? พี่ติณณ์เขาคงเกลียดขี้หน้าผมแล้วมั้งที่ไปทำเหมือนจะไปแย่งแฟนเขาแบบนี้เนี่ย รู้สึกไม่ดีเลย”

“กูหมั่นไส้ไอ้ติณณ์มัน แม่งชอบว่ากูไม่มีปัญญาจีบคน” คนตรงหน้าเขาตอบ “นี่ขนาดมึงรู้สึกไม่ดีมึงยังไปยิ้มกวนตีนไอ้ติณณ์ได้อีกนะ”

“หน้าผมเป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่ ดูนะ” ว่าจบเขาก็กระตุกยิ้มมุมปากให้น้าชายดู ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มหวาน “ผมยิ้มมุมปากแล้วเหมือนแสยะยิ้มจนหวิดโดนเท้าชาวบ้านมาแล้วเนี่ย แล้วดูนะพอยิ้มกว้างๆ ดันหลายเป็นยิ้มไปทั้งปากทั้งตาซะงั้น”

“แถมนิสัยกวนตีนของมึงอีก กูถึงให้มึงช่วยไง”

“น้าทศ...” พิทักษ์เอ่ยชื่อญาติตัวเองเสียงแผ่ว “ถ้ารู้ว่าที่น้าให้ผมมาฝึกนี่เพราะมีภารกิจอื่นเสริมด้วยผมคงไม่มาฝึกหรอกครับเล่นเอาอนาคตหนึ่งในกรรมการบริษัทจ้องงาบหัวผมแบบนี้ไม่คุ้มซะเลย แถมน้ายังไปบังคับฟ้าแบบนั้นอีกนะ”

ใช่... เรื่องนี้พิทักษ์ไม่ได้เป็นคนเริ่มแต่เป็นแผนของน้าชายตั้งแต่แรกที่เสนอให้เขามาฝึกงานที่นี่ แถมยังกำชับว่าอย่าให้ใครรู้ว่าทั้งคู่เป็นญาติกันอีกด้วย และพอก่อนถึงวันเริ่มงานทศกัณฑ์ก็นัดเจอเขา ตอนแรกก็คิดว่าจะคุยเรื่องฝึกงานแต่ที่ไหนได้... กลายเป็นว่าถูกน้าตัวเองล่อลวงให้ปั่นป่วนคู่ของติณณ์กับข้าวเจ้าซะงั้น ซึ่งแต่แรกเขาปฏิเสธไปนะเพราะใครละอยากจะบ้าไปทำคู่รักแตกแยกกัน แต่น้าดันรู้ทางที่เขาแพ้คือการเข้าหาสกาย...หรือคนที่เขากำลังคบอยู่ด้วยนั่นแหละ น้าชายไหว้วานสกายให้เกลี่ยกล่อมให้เขาช่วยโดยแลกกับอะไรก็ได้ที่ทศกัณฑ์พอหาได้

และสกายก็ตกลง... แต่คนซวยคือเขาไหม ตอบ!!

ยังจำคำที่ท้องฟ้าของเขาพูดกับเขาได้อยู่เลย...

‘มึงไปทำแทนกูไหมฮะ!’

‘เราไม่ได้หน้าม่อเหมือนทักนะ? ’

‘...’


แค่ประโยคเดียวเล่นเอาซะสะอึก หาข้อโต้แย้งไม่ทันเลยทีเดียว

แต่สุดท้ายพอได้เจอหน้าของพี่เลี้ยงฝึกงานนิสัยเก่าๆ ที่ไม่ค่อยดีก็ดันกำเริบ... แต่แค่นิดเดียวนะ! เชื่อพิทักษ์สิ!!

“ใครบังคับ แฟนมึงยอมช่วยกูเอง” ทศกัณฑ์หัวเราะหึ ล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงและหยิบของบางอย่างออกมา “อันนี้บัตรฟรีบุฟเฟ่ของสกาย บอกว่ากูฝากขอบคุณที่โน้มน้าวให้มึงมาช่วยกูได้... ส่วนนี่ของมึง”

สิ่งที่อยู่ในมือของน้าชายทำให้คนเป็นหลานตาวาว “จัดทริปฮันนีมูนสามวันสองคืนกับสกายได้เลย”

พิทักษ์ยื่นมือหมายจะไปหยิบสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย แต่ทศกัณฑ์กลับดึงหลบ “งานเสร็จแล้วนี่”

“กูกับมึงไม่รู้จักกัน เคนะ?”

“เออครับ”

“ดีมาก” ทศกัณฑ์เอ่ยพอใจ “ส่วนเรื่องพี่เลี้ยงมึง กูไม่ให้ไอ้เจ้าดูแลมึงแล้ว”

“อ้าว...”คนเห็นหลานร้องออกมาอย่างเสียดาย “ไหนน้าบอกพี่ติณณ์ว่าจะไม่เปลี่ยน”

“กูเปลี่ยนจากไอ้เจ้า... เป็นให้ไอ้ติณณ์ดูแลมึง” พิทักษ์อ้าปากหวอเมื่อได้ยินคำจากน้าชาย “สู้นะมึง สามเดือนจิ๊บๆ หึ”

“ผมจะฟ้องแม่!!”

“อย่าไปบอกพี่กูไอ้ทัก!!”

TBC.

―――――――――――

คือ... ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้อยู่แล้วค่ะให้ทักทับทศเป็นญาติกัน อิพี่ทศผู้ก่อกวนกับเราผู้ไม่ใช่สายดราม่า---
บอกก่อนเนอะว่าทุกสิ่งในสองสามตอนนี้มันคือมุมมองของติณณ์ที่อคติกับทักอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งถ้าคนเราไม่ชอบใครสักคนไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ต่อให้สิ่งที่เขาทำมันดีแค่ไหนถ้าใจเราตีว่าไม่ดีมันก็พาลว่าไม่ดีไปแล้ว อย่างที่ติณณ์มองว่าทักจะจีบข้าวกับทักผู้ที่ยิ้มมุมปากแล้วออกมากวนตีน... ดังนั้นผลลัพธ์คือติณณ์คิดว่าเด็กมันเยาะเย้ย //ไม่ได้เข้าข้างทักนะ ไม่ได้เข้าข้างเล้ยยยยย ส่วนใจความหลักตอนนี้คือเราอยากให้ไอ้ติณณ์หึงกับข้าวบอกชาวบ้านว่าคบกับติณณ์ก็เท่านั้นแล...
เอาจริงๆ เราวางโครงเรื่องไว้จนเกือบจบแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้แต่งดีๆ สักที ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าเห็นตอนสองตอนนี้มีรีไรท์ในอนาคต... ยิ่งช่วงนี้ทำงานเหนื่อยมากกกกกค่ะ กลับมาหัวตันและหลับยาว อันที่จริงตอนแรกตั้งใจจะมีเอ็นซีนะเพราะไปอ่านตูนวายเรื่องนึงแล้วมึนมีฉากในห้องน้ำพนักงานก็เลยอยากได้บ้าง--- แต่สุดท้ายแบบแต่งได้ครึ่งนึงแล้วไม่รอดจริงจังเลยตัดไปแม่ม...
นี่ก็เกลาแล้วเกลาอีกอาจจะสื่อไม่ครบในความตั้งใจ... ถ้ามันไม่โอเคยังไงคอมเม้นได้เลยค่ะจะเอามาปรับปรุงในภายภาคหน้าถ้ามีนยังไหว...
มึนมากช่วงนี้ แงงง
รักทุกคนนน
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -27- 28|04|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-04-2018 00:55:41
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -27- 28|04|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-05-2018 00:05:03
ร้ายกาจจริงๆ. 555
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -28- 06|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 06-05-2018 01:10:54
จีบครั้งที่ยี่สิบแปด
ข้าวเจ้า


ผมนั่งเท้าคางมองพิทักษ์ที่เอาแต่ยิ้มแห้งทำหน้าเจื่อนส่งให้ติณณ์ พอเบนสายตาไปเล็กน้อยก็เห็นคุณหัวหน้าแผนกการตลาดกำลังนั่งทำตัวห่อเหี่ยวโดยมีเพื่อนสนิทของผมอย่างหลงยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ผมหันกลับมามองติณณ์อีกครั้ง... ผู้ชายตัวใหญ่ก็ยังคงเอาแต่ทำหน้าบึ้งขมึงตึงเหมือนอยากจะจับคนตรงหน้าขึ้นมาบีบคอนั้นทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่รู้ควรทำตัวยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ดี

สาเหตุทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เกิดจากความบังเอิญเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ระหว่างที่กำลังจะกลับบ้านผมก็นึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่แผนกเลยให้ติณณ์วนรถพากลับเอา บอกให้ติณณ์จอดรอแค่หน้าตึกและวิ่งไปที่แผนกทันทีแต่ดันบังเอิญไปได้ยินเสียงของพี่ทศยืนคุยกับพิทักษ์อยู่ในห้องของเจ้าตัวที่ปิดประตูไม่สนิท

ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าหากว่าสรรพนามที่สองคนนั้นใช้กันคือน้ากับหลาน...

ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองฟังผิดหรือเข้าใจผิด แต่ไม่ทันได้คิดอะไรติณณ์มันก็ตามขึ้นมาซะก่อน สมองรีบสั่งการให้ผมดันผู้ชายร่างหมีให้ออกไปจากตรงนั้นทันทีเพราะรู้ดีว่าคดีเก่าของพิทักษ์เมื่อราวสองเดือนก่อนยังไม่หายไปจากหัวติณณ์... แม้ว่ามันจะแกล้งน้องเต็มที่ก็ตามที

แต่เหมือนการที่ผมพยามไปมันไม่เกิดผลเมื่อพิทักษ์ดันหันกลับมาเห็นผมกับติณณ์อยู่ตรงนั้น หน้าน้องมันเหวอเหมือนเจอผีเช่นเดียวกับพี่ทศที่ทำตาถลนออกจากเบ้า ก่อนพิทักษ์จะรีบปรี่มาหาพวกผมพร้อมขอโทษขอโพยที่ปิดบังเรื่องเป็นญาติกับพี่ทศ แถมยังบอกว่าเรื่องที่มาแกล้งวนเวียนรอบตัวผมนั้น ตัวเองถูกน้าสั่งมาเลยขัดไม่ได้

สรุปว่าก็เลยได้รู้ความจริงทั้งที่ไม่ได้ถามสักคำ...

พอพิทักษ์พูดจบคนที่ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นน้าชายของเด็กฝึกงานตรงหน้านั้นก็ถลึงตาใส่หลานชายตัวเองทักที แต่ก่อนที่จะได้ดุได้ว่าอะไรเสียงกดต่ำของติณณ์ก็ดังขึ้นให้คนทั้งสองได้สะดุ้งตัวโหยงและกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

“มีใครจะอธิบายเรื่องเมื่อสักครู่นี้ให้ผมฟังใหม่ได้ครับ”

คำพูดที่คล้ายจะบอกว่าพวกผมเพิ่งจะรับรู้เรื่องราวจากปากของพิทักษ์ทำให้ทั้งสองหันมองหน้ากันแทบทันที พิทักษ์ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้เต็มแก่รีบสารภาพผิดอย่างลนๆ ย้ำความบริสุทธิ์ใจว่าตัวเองโดนน้าชายแกล้งจริงๆ ด้วยการโทรไปหาแฟนของมันที่ผมเพิ่งจะรู้ว่ามีด้วยให้มาร่วมวงสารภาพด้วยนั้นทำให้ติณณ์ปัดเรื่องของพิทักษ์ตกไปแต่ก็ยังคงคาดโทษเด็กฝึกงานไว้จนน้องได้แต่ยิ้มแหยให้ ส่วนอีกคนก็เอาแต่ปิดปากเงียบไม่ยอมเล่าแต่ก็ต้องยอมเปิดมาเมื่อเห็นไอ้หลงที่ขึ้นมาตามแฟน... ไม่สิ ขึ้นมาตามพี่ชายคนสนิทอย่างคุณทศกัณฑ์เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับคำว่าได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว

เท่านั้นแหละครับ คำบอกเล่าก็ออกมาจากปากของพี่ทศจนถ้าไม่ติดว่าผมต้องห้ามไอ้ติณณ์ผมก็อยากจะเตะก้านคอพี่มันสักที...

มีอย่างที่ไหนล่ะ จีบคนอื่นไม่ติดแล้วมาพาลคนที่ชอบแซวตัวเองโดยการใช้หลานชายมาแทรกกลางวะครับ?

และนั่นก็เป็นเหตุการณ์ของก่อนหน้านี้ครับ ตัดกลับมาที่ปัจจุบันที่หลังจากเรารู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้วก็ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะกลับบ้านก็เพราะมีคนตัวโตอย่างติณณ์ยืนจังก้าขวางประตู โดยมีแบล็คกราวด์เป็นเสียงโทรศัพท์ของพิทักษ์ที่เหมือนน้องจะว่าแฟนของน้องมันโทรมาตามให้กลับบ้านแต่เจ้าตัวก็ไม่กล้ารับ ขณะที่ไอ้หลงก็ยืนทำท่าฮึดฮัดเพราะเพิ่งรู้ถึงแผนการของแฟน... แค่ก พี่ชายคนสนิทของตัวเองจนพี่ทศหน้าจืดยิ่งกว่าแกงจืด ไหนจะเรื่องที่พิทักษ์เป็นหลายชายเจ้าตัวอีก แลดูพี่ทศต้องเคลียร์ยาวเลยล่ะ

อย่าถามว่าทำไมผมไม่เดือดกับเรื่องตรงหน้า ถ้าผมเดือดแล้วใครจะห้ามไอ้ติณณ์ล่ะครับ? เผื่อมันอยากออกกำลังกายขึ้นมาดื้อๆ อย่างน้อยผมยังห้ามมันได้นี่... ขืนห้ามไม่ได้ลุงวัชที่ฝากฝังหลานตัวเองไว้กับผมคงได้ฆ่าผมตายเอา เพราะความคิดนั้นผมเลยย้ายตัวเองมาเป็นผู้ชมที่ดีซะเลย... ไม่รู้ว่าระหว่างน้าชายที่พาลไปทั่วกับหลานชายที่โดนน้าตัวเองหลอกใช้นั้นผมควรจะสงสารใครดี

นั่งชังใจอยู่นานเอาเป็นว่าผมไม่สงสารใครก็แล้วกันเพราะคนที่น่าสงสารคงเป็นผมกับติณณ์ที่ถูกสองหน้าหลานนี้หลอกมาได้เกือบๆ สามเดือน

“โธ่ คุณติณณ์คนหล่อ ผมล้อเล่นนิดดดดเดียวเอง” พี่ทศว่าเสียงอ่อนเสียงหวานพลางทำนิ้วให้ดูว่านิดเดียวจริงๆ ไอ้ติณณ์นิ่วหน้าลงเมื่อได้ยินอย่างนั้น “พี่ขอโทษษษ ปล่อยพี่ไปเถ๊อะ”

“พี่ทศสนุกมากหรอกครับที่ได้ปั่นหัวผม?” แต่เหมือนติณณ์ไม่เล่นด้วยพี่ทศเลยได้แต่หน้าเจื่อนและตอบปฏิเสธทันที “พี่เกือบทำให้ผมกับข้าวทะเลาะกันเลยนะครับ แก่แล้วทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้ยังว่า...ทำไมพี่หลงไม่เอา”

ติณณ์หัวเราะหึ บุคคลที่ถูกพาดพิงชื่อหันมามองคนพูดเล็กน้อยแต่ไอ้หมียักษ์ไม่สนใจและหันมาหาเด็กฝึกงานแทน

“ส่วนพิทักษ์ ผมเข้าใจว่าคุณทำไปเพราะขัดน้าตัวเองไม่ได้แถมมีคนยืนยันอีก... ถ้าอย่างนั้นผมจะถือว่าหายกันกับที่ผมไปแกล้งคุณระหว่างที่ดูแลคุณแล้วกันนะ คุณกลับไปได้แล้ว”

ประโยคของติณณ์ทำให้พิทักษ์แทบจะถลามากอดแข้งกอดขาติณณ์ถ้าไม่ติดว่ามันตวัดสายตาดุๆ ใส่ทักจนน้องเบรคตัวแทบไม่ทัน พอได้ยินคำเอ่ยไล่พิทักษ์ก็รีบกวาดของลงกระเป๋าตัวเอง ยกมือไว้บรรดาคนแก่กว่าที่อยู่ในแผนกและวิ่งออกไปทันทีคล้ายว่าถ้าช้ากว่านี้ไอ้ติณณ์จะเปลี่ยนใจ

ตอนนี้ก็เหลือหนึ่งคนที่ไม่มีใครอยู่ฝ่ายเดียวกัน

“หลง...”

“พี่หลงครับ” เสียงของติณณ์ดังกลบเสียงครางแผ่วเรียกชื่อหลงของพี่ทศ “ผมฝากจัดการแล้วกันนะครับ เอาให้ไม่กล้าซ่าได้อีกเลยนะพี่”

“เออ” อืม... รู้เลยว่าไอ้หลงคิดจะทำอะไรได้จากรอยยิ้มของมันหลังจากที่ติณณ์โยนหน้าที่ให้เรียบร้อย เพื่อนสนิทของผมแบมือไปตรงหน้าของพี่ทศและเอ่ยปากขอกุญแจห้องคืน

“เรื่องจบแล้ว งั้นเรากลับบ้านกันเถอะข้าว” ว่าจบติณณ์ก็ดึงผมออกมาทันทีโดยไม่ให้ได้อยู่ฟังว่าไอ้หลงคิดจะทำอะไรนอกจากขอกุญแจห้องคืน...

ถามจริงๆ นะ... แม่งจบง่ายไปป่ะวะไอ้ติณณ์!!
   

“ติณณ์”

“ครับ?”

“เอาใบผ่านฝึกงานกับใบประเมินให้น้องหรือยัง?” ผมหันถามคนตัวสูงกว่าที่นั่งจิ้มโทรศัพท์อยู่ข้างตัว ติณณ์ทำหน้างงๆ ก่อนจะร้องอ๋อออกมา

ตอนนี้พี่เลี้ยงกับเด็กฝึกงานคู่นี้เขาดูสนิทกันกว่าเดิมครับเพราะหลังจากที่ได้รู้ความจริงกันไปเรียบร้อยเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน วันต่อมาไอ้ทักถึงกับเอาแฟนมันมาทักทายถึงหน้าบริษัทกันเลยทีเดียวเชียว แถมพอได้คุยกันดีๆ ไอ้สองคนนี้ดันเข้ากันได้ยิ่งกว่าเป็นปี่เป็นขลุ่ย... เล่นเอาผมปวดหัวยิ่งกว่าตอนที่พิทักษ์มาแรกๆ อีก

“อ่า ผมหาแปบนะ” แทบจะตบหน้าผากกับคำตอบนั้น นี่มันลืมเรื่องสำคัญได้ไงวะ ความเป็นความตายของเด็กฝึกงานเชียว... ผมมองตามติณณ์ที่ลุกขึ้นพรวด เดินหายเข้าไปในห้องและกลับออกมาพร้อมแฟ้มสีใสสำหรับประเมินการทำงานของนักศึกษาที่พิทักษ์ให้ไว้มาชูให้ผมดูพร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ “นี่ครับ ผมบอกน้องว่าจะเอาไปให้วันจันทร์ ขอผมทำก่อนแล้วกันนะ”

แล้วไอ้ติณณ์ก็หายกลับไปในห้องอีกครั้ง...

ผมพรูลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนหลุดเสียงหัวเราะเมื่อนึกถึงใบหน้าเหรอหราของติณณ์เมื่อครู่นี้ ก็รู้ว่าช่วงนี้งานมันยุ่งเพราะระยะหลังๆ เนี่ยนอกจากงานที่แผนกแล้วมันจะหายตัวขึ้นไปหมกอยู่ในห้องผู้บริหารในฐานะตัวแทนของลุงวัช(ที่ลุงแกเป็นคนโยนงานมาให้นั่นแหละ) ไหนจะตรวจเอกสาร ไหนจะประชุมนู่นนี่อีก ต่อหน้าคนอื่นติณณ์มันทำขรึมแค่ไหน พอกลับมาถึงห้องทีไรมีอันต้องมาออดมาอ้อนผมให้ได้ซะทุกที

...หมดมาดอนาคตหนึ่งในกรรมการบริหารเชียวล่ะครับ

ฟุ่บ!

“ข้าวเจ้า...” นานเกือบสิบนาทีให้หลังท่อนแขนหนักๆ ก็พาดลงจากทางด้านหลังของผม ตามด้วยเสียงยานๆ ของติณณ์ที่ดังขึ้นข้างใบหู “เหนื่อย”

“อะไรๆ แค่นี้เหนื่อยหรอไอ้หมี” เอ่ยล้อคนที่ก้าวยาวๆ ข้ามพนักโซฟามาทิ้งตัวลงกับตักก่อนจะพลิกตัวเข้าหาหน้าท้องผม “แค่ประเมินเด็กฝึกงานแค่นี้ทำเป็นเหนื่อย แล้วหลังจากนี้จะไม่เหนื่อยกว่าหรอครับ หืมม”

“โธ่คุณ มันไม่เหมือนกันนะ” อีกฝ่ายโอดครวญออกมายาวๆ “ผมนั่งเค้นความจำหาเรื่องมาประเมินมันแทบตาย ไอ้ที่จำได้ดันมีแต่ฉากที่เอาแต่แกล้งมัน ฮ่ะๆ”

ผมยกมือหนีบจมูกคนบนตักและบิดแรงๆ อย่างมันเขี้ยวจนติณณ์ร้องโอ๊ยออกมาดังๆ ให้ตายเถอะ... เคยจำเรื่องดีๆ อะไรบ้างไหมเนี่ย

“แล้วเขียนไปว่าอะไรบ้าง”

“พิทักษ์เป็นเด็กดี ตั้งใจทำงานโดยไม่เกี่ยงว่ามันจะหนัก หรือใช่สายงานตัวเองหรือเปล่า” ติณณ์ที่จีบปากจีบคอพูดทำให้ผมอยากจะเบะปากเป็นสระอิ

“พูดซะดีเชียวไอ้หมี” ผมขัดคออีกฝ่าย ใช้ฝ่ามือบี้ลงกับแก้มมันแรงๆ “ไหนจะให้น้องไปยกน้ำมาเติมทั้งๆ ที่ปกติจะมีคนมาเปลี่ยนให้ สั่งให้เดินขึ้นลงไปหาฝ่ายนู้นฝ่ายนี้ทั้งที่ไม่มีอะไรเนี่ย ไม่ใช่มันเพราะตัวเองไปแกล้งน้องเขาหรอออ หืมมม”

“ก็ตอนนั้นมัน... แต่ตอนนี้ผมดีกับพิทักษ์มันแล้วนะครับคุณข้าวเจ้า” ติณณ์รีบเปลี่ยนคำพูดเมื่อผมตวัดตาดุๆ ใส่ สองแขนของมันเอื้อมผ่านเอวผม รั้งให้ตัวผมไปชิดกับหน้าของอีกฝ่ายมากขึ้นและพูดด้วยเสียงอู้อี้ติดอ้อน “จะว่าไป... เรื่องที่ผมจะให้ข้าวจะมาเป็นเลขาให้ผมที่นู่นล่ะครับ ยังไม่ตอบผมเลยนะครับ”

เผลอหลบตาทั้งๆ ที่ไม่ได้เห็นหน้าของคนที่ซุกหน้าท้องผมอยู่ เรื่องนี้ติณณ์ถามมาตลอดตั้งแต่ปีใหม่แต่ผมก็เอาเลี่ยงไม่ยอมให้คำตอบมันสักที

แต่คงไม่ใช่กับครั้งนี้เมื่อติณณ์เอ่ยถามซ้ำ

ไม่ใช่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้นะ แต่แค่ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับที่บ้าน... เอาตามตรงคือผมไม่เคยห่างจากครอบครัวไปไหนไกลๆ เลยครับ ถึงจะออกมาอยู่คอนโดคนเดียวก็เถอะแต่ถ้าวันไหนว่างหรือเลิกเร็วก็จะกลับไปบ้านบ้าง อย่างน้องก็อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง แต่นี่ไม่ใช่อยู่ใกล้ๆ แบบที่สามารถไปกลับได้ในครึ่งชั่วโมงไง แต่นั่นน่ะโคราชนะ! จังหวัดนครราชสีมาที่ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ เกือบๆ สี่ชั่วโมงเชียวนะ!

ยอมรับว่านั่นเป็นข้ออ้างที่ทำให้ตัวเองเข้าใจว่าอย่างนั้น แต่ลึกๆ คือผมยังห่วงคนที่บ้านอยู่ ไหนจะไอ้ทุ่งนาที่ยังเรียนไม่จบอีกล่ะ กว่าจะถึงมหาลัย กว่าจะจบก็คงหมดเยอะ... บ้านไม่ได้รวยเหมือนคนแถมนี้นี่ครับ

“ว่าไงครับ” เสียงและใบหน้าของติณณ์ทำให้ผมสะดุ้งตัวจากความคิด ไม่รู้ว่าคนที่หนุนตักผมอยู่ลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่... รอยยิ้มจางๆ ของอีกฝ่ายทำให้ผมเบนสายตาหนีแต่ถูกติณณ์จับหน้าบังคับให้ผมหันไปสบตา “ไหนบอกผมหน่อยครับว่าข้าวเจ้าของผมคิดอะไรอยู่”

“พี่... ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับที่บ้านเลย” ตอบเสียงแผ่วพร้อมหลบตาลงต่ำ “ว่าก็ว่าเถอะพี่ยังไม่เคยห่างบ้านไกลขนาดนั้นเลยนะ”

“....” ติณณ์เงียบก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที ท่าทางนั้นทำให้ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพราะรู้ตัวว่าความชักช้าของผมคงไปทำติณณ์โกรธอีกแล้ว แต่พอลุกเพื่อจะเดินตามไปอธิบายให้คนตัวสูงฟังผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นติณณ์เดินออกมาจากห้องนอนและก้าวมาความเอวผมให้ชิดตัวอีกฝ่าย

ในมือมันโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง...

คิ้วของผมขมวดเมื่อเห็นว่าโทรศัพท์ที่อยู่ในมืออีกฝ่ายคือเครื่องของผมเอง รอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปากของติณณ์พร้อมกับการยกมันแนบหูอย่างที่ผมจะเดาได้ว่ามันจะโทรหาใคร

คงไม่พ้นที่บ้านผม...

“ครับน้าชาย”

‘ติณณ์?’ ปลายสายส่งเสียงสงสัย ‘ไหงเอามือถือไอ้ข้าวโทรมาล่ะ’

“ก็เรื่องของหลานชายจอมดื้อของน้าแหละครับ” เผลอส่งสายตามองค้อนให้คนเด็กกว่าที่ลามปามว่าผมเป็นจอมดื้อ แต่มันกลับกรอกเสียงไปว่าผมมีเรื่องอยากคุยด้วยแล้วยกโทรศัพท์มาแนบหูผม “คุยสิครับ”

“....”

‘ว่าไงข้าว มีอะไรจะคุยกับน้า’

“คือ...” ผมเงยมองคนตรงหน้าที่กดหน้าลงเล็กน้อยคล้ายจะบอกว่าให้ผมพูดมันออกไป ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนตัดสินใจกรอกเสียงลงไป “ติณณ์อยากให้ผมไปช่วงงานที่... สาขาโคราช”

‘อ้อ เรื่องนี้ติณณ์มาบอกทางนี้แล้วล่ะ นี่มันยังไม่บอกข้าวอีกหรอ?’ ประโยคนั้นของน้าชายทำให้ผมได้แต่อ้าปากค้าง มองหน้าคนที่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์... ไม่นึกว่าติณณ์จะไปแล้วด้วยซ้ำ ‘พ่อแม่ข้าวก็ไม่ได้ว่าอะไร เห็นด้วยด้วยซ้ำที่จะให้ติณณ์พาข้าวไปเปิดหูเปิดตาบ้าง’

“แต่...”

‘โตได้แล้วน่าไอ้หลานชาย อยากไปกับเขาก็ไปไม่ต้องห่วงทางนี้’ น้าชายพูดอย่างรู้ความคิดผม ‘นี่บ้านของข้าวเจ้าไง อยากกลับตอนไหนก็กลับมานะ แต่ถ้าจะกลับมาอยู่ถาวรน้าขออัดมันให้สลบสักวันสองวันแล้วกัน’

คนโดนพาดพิงทำหน้าตื่นเหมือนเห็นน้าชายอยู่ในห้องด้วย เผลอหลุดหัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนติณณ์จะพูดด้วยเสียงจริงจัง “ไม่มีวันนั้นหรอกครับน้าชาย ถ้าข้าวจะมาอยู่นี่ผมก็ต้องมาด้วย”

‘มาเป็นกระสอบทรายให้ชกเล่น?’

“ฐานะคนรักของข้าวสิน้า...” รู้ตัวเลยว่าหน้าขึ้นสีเมื่อได้ยินคำว่าคนรักจากปากอีกฝ่าย ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นรอยยิ้ม “ตกลงว่าให้ข้าวไปกับผมใช่ไหมครับ น้าบอกซ้ำอีกทีเถอะคนชอบคิดมากจะได้เลิกคิดมากสักที”

‘เพิ่งรู้ว่าไอ้ข้าวคิดมากเป็น ฮ่าๆๆ’ ผมยู่หน้าใส่ปลายสายที่หัวเราะออกมาดังลั่น ‘น้ารู้ว่าข้าวห่วงที่บ้านนะ ไอ้นามันมีคนดูแลพ่อแม่แกก็ไม่ได้ลำบากอะไรถ้าจะส่งไอ้นาอีกคน... ทำตามใจตัวเองเถอะลูก’

ประโยคหลังไม่ใช่เสียงของน้าชายแต่เป็นเสียงคุ้นหูของแม่...

“แม่ครับ” ผมครางเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่ว ไม่รู้สักนิดว่าเปลี่ยนจากถูกติณณ์ยกโทรศัพท์แนบหูมาเป็นผมถือเองตั้งแต่เมื่อไหร่ “ข้าว...”

‘ติณณ์มาบอกไว้แล้วแหละว่าอยากจะพาข้าวไปช่วยทางนั้น แต่คนที่ต้องตัดสินใจคือข้าวไม่ใช่พวกแม่ใช่ไหมล่ะ’ เสียงนุ่มของปลายสายว่า ‘คิดมากแบบนี้ไม่สมเป็นลูกแม่เลย ทีไปเที่ยวกับหลงเกือบอาทิตย์จนลืมบ้านลืมช่องนี่ละไปได้เชียวนะ’

ผมสะดุ้งเมื่อแม่เอ่ยแซวเรื่องสมัยกำลังคะนอง ติณณ์งี้รีบหันมองผมขวับ

‘จะตกลงหรือไม่ตกลงก็แล้วแต่ข้าวนะ แม่วางสายก่อนล่ะเด็กๆ มาเรียนแล้ว รักลูกนะ’

“เดี๋ยวดิแม่...แม่!” ผมอ้าปากค้างเมื่อแม่ตัดสายไปทันที เงยหน้าไปก็เยอะไอ้ติณณ์ยิ้มกวนๆ อย่างอารมณ์ดีให้ “...นี่เตรียมพร้อมไว้นานแค่ไหนแล้ว”

“ก็หลายอาทิตย์แล้วครับ” คนตรงหน้ายักไหล่น้อยๆ ดึงโทรศัพท์ในมือผมออกและโยนลงโซฟา “ตกลงว่าไง”

“...ร้าย”

“ร้ายเพราะรักไงครับ ฮิ้ว”

“...”

“โอเคไม่เล่นก็ได้” ติณณ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “บ้านพี่โอเคแล้วนะ แล้วพี่ล่ะ”

“พ่อแม่ติณณ์ล่ะ?” ผมถามกลับด้วยคำถาม “พี่ไม่แน่ใจว่า... แม่ของติณณ์โอเคเรื่องของเราหรือยัง”

“ผมก็ไม่รู้ครับ แต่ผมว่าถ้าแม่ไม่ยอมรับหลายเดือนมานี้คงมีสาวๆ มาเคาะห้องให้พี่ปวดหัวเล่นแน่” อีกฝ่ายยิ้มสองแขนกระชับตัวผมแน่นขึ้น “ขอคำตอบด้วยครับ”

“อืมมมม”

“....”

“พี่ไม่เคยทำงานเลขา...” ผมว่า “ถ้าไม่โอพี่ขอย้ายแผนกนะ”

คำตอบของผมทำให้ติณณ์ที่ชะงักไปเพราะประโยคแรกเริ่มยิ้มกว้าง ตามด้วยจมูกที่กดลงมาบนผิวแก้มผมแรงๆอย่างดีใจ

“ได้ครับถ้าพี่ไม่โอเค” ติณณ์กระซิบ “แต่ไม่เป็นไรครับ ผมยังมีเวลาเทรนด์ให้พี่อีกเยอะ อย่าลืมสิครับว่าผมทำหน้าที่เลขาให้ลุงวัชมาแล้วนะ”

“....”

เกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนหน้ามันจังครับทุกคน

Tbc.

―――――――――――

มาแล้ววววว เพิ่งจะว่างค่ะช่วงนี้ร้านที่เราทำเพิ่งเปิดเลยจะวุ่นๆ หน่อย กลับมาบางทีก็สลบเหมือดไม่ได้... นี่ปั่นสดมากกกกกกกกกกกเสร็จปุ๊บลงปั๊ป
เจอคำผิดคำไหนรบกวนเม้นบอกด้วยนะคะ /ทำตาปริบๆ
ฝันดีค่ะ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -28- 06|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-05-2018 17:17:12
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -28- 06|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-05-2018 22:45:20
 :angry2:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -28- 06|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 06-05-2018 23:07:50
จะไปอยู่โคราชแล้ว. จะเป็นไงบ้างนะ,,,
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -29- 20|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 20-05-2018 23:24:45
จีบครั้งที่ยี่สิบเก้า

หลังจากวันที่ผมขอให้เจ้าตัวมาทำงานกับผมอย่างเป็นทางการ (?) แล้วข้าวเจ้าตอบตกลงก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรอีก แถมกับไอ้พิทักษ์นั่นพวกเราก็จากกันไปด้วยดี แต่ทว่า... ไม่กี่วันหลังจากนั้นลุงวัชก็บุกมาชิงตัวคนของผมกลับไปที่บ้านใหญ่ตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำ เกือบจะได้โวยวายให้บริษัทแตกตอนที่กลับมาแล้วไม่เห็นข้าวเจ้าแล้วล่ะถ้าลุงแกไม่โทรมาบอกว่าข้าวเขาอยู่กับเจ้าตัวซะก่อน

คงไม่ต้องบอกนะครับว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นมันเป็นยังไง เมื่อผมไปที่บ้านใหญ่สิ่งแรกที่ได้ยินจากปากของข้าวเจ้าไม่ใช่การทักทายแต่เป็นการที่เจ้าตัวบอกผมว่าจะไปฝึกการเป็นเลขากับลุงวัช นั่นไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะผมคิดจะขอลุงวัชว่าให้ข้าวเข้าไปเป็นผู้ช่วยคุณน้ำฟ้าอยู่แล้ว แต่ไอ้ประโยคที่ทำผมอยากจะจะบ้าตายคือลุงวัชตั้งใจจะให้ผมเข้าไปทำในสาขาใหญ่ในฐานะตัวแทนของพ่อที่เป็นหนึ่งในกรรมการผู้บริหารด้วย!

“น่าๆ เราจะได้เรียนรู้ไวๆ ไง จะได้กลับไปช่วยทางนู้นเขา”

หนึ่งคำบอกจากลุงวัชที่ทำให้ผมกลอกตาขึ้นฟ้า ปากบอกว่าจะได้เรียนรู้ไปในตัวแต่ผมยังยี่สิบสามนะเฮ้ยลุง! ประสบกง ประสบการณ์อะไรก็ติดลบ ถ้าไม่นับตอนที่เข้าไปช่วยงานที่บริษัททุกเทอม หรือตอนที่มาเป็นเลขาลุงวัชอยู่พักใหญ่จนคนรู้จักไปทั่วอ่ะนะ

เอาจริงๆ มันควรเริ่มตั้งแต่พื้นฐานป่ะ ไม่ใช่ก้าวกระโดดแบบนี้!! ผมพลูลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างหงุดหงิดแต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของประธานตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกตัว...

เล่นโยนงานมาให้แบบนี้ฆ่าผมเถอะครับลุง!

ครั้นพอโวยวายไปข้าวก็เอาเรื่องเลขามาต่อรองนู่นนี่นั่นจนสุดท้ายเป็นผมนั่นแหละที่ต้องยอมเขา แต่ยังดีที่ลุงวัชไม่ได้ใจร้ายขนาดให้ผมอยู่คนเดียว ลุงยังอุตส่าห์ส่งเลขาประจำตัวอย่างคุณฟ้ามาช่วยดูแลและสอนงานผม ส่วนลุงจะเป็นคนดูข้าวเจ้าให้เอง

นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมดีใจสักเท่าไหร่ คอยดูนะ ถ้าได้โอกาสเมื่อไหร่จะพาข้าวหนีสักสามสี่ปี... แต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะความจริงทุกวันนี้แค่มีเวลาได้นอนเต็มอิ่มผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ


ข่าวเรื่องข้าวเจ้าที่จะไปเป็นเลขาชั่วคราวให้ลุงวัชกระจายอย่างในสาขาย่อยแห่งนี้อย่างรวดเร็วเพียงเพราะคนปากสว่างอย่างพี่หลงกับพี่ทศเป็นคนรู้เรื่องก่อนชาวบ้าน เท่านั้นแหละครับเรื่องก็เหมือนไฟลามทุ่ง...
ก็พอรู้อยู่แล้วล่ะว่าตั้งแต่ที่ผม ไม่สิ ตั้งแต่ลุงวัชประกาศกลายๆ ว่ามีข้าวเจ้าเป็นหลานสะใภ้เมื่อตอนปีใหม่นั้นก็มีคนทั้งที่เฉยๆ กับเรื่องนี้และบางคนก็ไม่พอใจที่ลูกหลานคนใหญ่คนโตของบริษัทเป็นรักร่วมเพศ

แต่แล้วไง ใครแคร์?

ทั้งที่ใจอยากจะคิดอย่างนั้นแต่เพราะคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากที่สุดกลับเป็นข้าวเจ้าไม่ใช่ผมไงเลยต้องแคร์กับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษสักหน่อย

“ตั้งใจจับคุณติณณ์ตั้งแต่แรกหรือเปล่าวะ ใช้เป็นฐานปีนหาตำแหน่งสูงๆ”

“ตกถังข้าวสารชัดๆ”

“ไปอ่อยอะไรคุณติณณ์ล่ะนั่นถึงได้ไปเป็นเลขาคุณชัยธวัชได้”

“ผู้ชายกับผู้ชายหรอ... คุณติณณ์ไม่น่าตาต่ำเลย”

คำพูดนินทา คำหยามเหยียดและคำอื่นๆ ที่พูดถึงข้าวในทางลบเหมือนตอนที่พวกเขารู้ว่าผมคบกับข้าวเจ้ากลับมาอีกครั้งอย่างกับวังวนเดิมๆ เรื่องพูดคุยลับหลังที่เอามาใส่สีตีไข่เล่าปากต่อปากจนไม่เหลือเค้าเดิมให้เห็นนั่นทำเอาผมเกือบจะหมดความอดทนถ้าไม่ติดว่าข้าวเอ่ยปากกับผมว่าจะเป็นคนขอจัดการเรื่องนี้เอง

... กลายเป็นว่าเหมือนผมคิดผิดที่ให้ข้าวเป็นคนจัดการปัญหาที่พวกเราทั้งคู่ไม่ได้ก่อนนี้เอง

ผัวะ!

โครม!!

“เหอะ เก่งแต่ปาก”

ข้าวเจ้าสบถ... หลังจากจัดการซัดผู้ชายปากหมาต่างแผนกที่เข้ามาหาเรื่องเจ้าตัว และตอกกลับถึงไอ้พวกนินทาด่าทอเจ้าตัวลับหลังด้วยถ้อยคำสุภาพแต่แฝงไปด้วยความจิกกัดจนคนฟังสะอึก รอยยิ้มแสยะคล้ายสะใจที่ปรากฏบนใบหน้าข้าวเจ้าทำให้ผมได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ

“ลูกผู้ชายเขาคุยกันด้วยหมัดไงติณณ์ถึงจะเข้าใจง่ายๆ”

ราชสีห์ที่ทำตัวเป็นแมวเชื่องๆ... ผมขอจำกัดความข้าวเจ้าหลังจากพูดประโยคนั้นด้วยคำนี้แล้วกัน นี่เกือบลืมไปแล้วนะว่าข้าวเจ้าของผมไม่ได้เป็นแมวน้อยขี้อ้อนมาตั้งแต่แรก

ข้าวเจ้าไม่ใช่คนอ่อนแอที่ป้องกันตัวเองไม่ได้ทั้งด้านร่างกายและความรู้สึก แต่พอมีผมเป็นตัวแปรก็ทำให้เจ้าตัวต้องคิดหนักเหมือนกับที่ผมคิดหนักเรื่องเจ้าตัวนั่นแหละ และเมื่อข้าวถีบตัวออกจากกรอบที่ผมตีไว้ว่าผมควรเป็นฝ่ายดูแลข้าว นิสัยจริงๆ ของข้าวเจ้าก็โผล่ออกมาให้เห็น ก่อนจบลงอย่างภาพคนเลือดกำเดาไหลตรงหน้า

หลังจากนั้นไม่นานลุงวัชก็มาเคลียร์เพราะเป็นเรื่องวิวาทในบริษัท และจบเรื่องด้วยการสั่งพักงานทั้งคู่เพื่อไม่ให้เป็นข้อกังขาว่าประธานเข้าข้างคนของตัวเองมากไป

ไม่รู้หรือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เพราะหลังจากสิ้นสุดคำสั่งพักงานลุงวัชก็เอาพวกเราเข้าสาขาใหญ่ทันที...

และตอนนี้ก็ปาไปสี่เดือนแล้วที่เราเข้ามาฝึกงานที่นี่กันแล้วครับ

“ติณณ์... คุณติณณ์คะ เอกสารที่ใช้ในการประชุมครั้งหน้----”

“ได้โปรดช่วยวางมันลงก่อนทีเถอะครับคุณน้ำฟ้า...” ผมรีบเอ่ยขัดคุณฟ้า เลขาของลุงวัชที่เห็นหน้าค่าตามาได้พักใหญ่เพราะเธอถูกส่งมาช่วยเทรนด์งานผมโดยเฉพาะ ก่อนจะก้มฟุบหน้าจนได้ยินเสียงหัวโขกลงกับโต๊ะทำงานเบาๆ ได้ยินอีกฝ่ายร้องอุทานด้วยความตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแผ่วเมื่อเห็นอาการยกมือยอมแพ้ของผม

“...ข้าวของผมล่ะ”

“คุณเจ้ากลับไปได้พักใหญ่แล้วค่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับคำถามสองแง่นั่น เธอวางกองแฟ้มไว้ข้างๆ หัวผมที่ฟุบอยู่ก่อนผละออกและตอบคำถามอีกครั้ง “แต่ถ้าถามถึงมื้อเย็นของคุณติณณ์... คุณข้าวฝากเกี๊ยวน้ำมาให้ค่ะ บอกว่าเผื่อคุณติณณ์กลับบ้านแล้วจะหิวเอา”

ผมกลอกตากับคำตอบรู้ทันนั่นเล็กน้อย เดือนนี้ข้าวเจ้าหนีผมไปนอนบ้านของเจ้าตัวครับ เขาทิ้งให้ผมอยู่ห้องของเราคนเดียว... ซึ่งนั่นทำให้เราเจอกันแค่เวลางานอันน้อยนิดแถมยังโดนลุงวัชจับห่างอีก อย่างวันนี้ก็ได้เจอแค่ตอนพักเที่ยงที่ผมหนีคุณฟ้าไปหาข้าวเจ้าถึงบนห้องลุงวัชเพราะทนคิดถึงไม่ไหวนั่นแหละ

แต่คุณน้ำฟ้าเขาก็ลากผมกลับมาได้คืนอยู่ดี...

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางขยับตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ เมื่อจัดท่าทางของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วผมก็เล่นจ้องตากับเลขาสาวของคุณลุงตรงหน้า

...จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีเสียงท้องร้องผมเป็นซาวด์ประกอบน่ะนะ

โคร่ก

“อุ๊บ ขอโทษค่ะ ตายล่ะหกโมงกว่าแล้วหรอ... งั้นพี่ให้ติณณ์กลับบ้านได้ค่ะ” เธอก้มมองนาฬิกาที่สวมบนข้อมือ และเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เมื่อเห็นว่าอยู่นอกเหนือเวลางานแล้ว ปลายนิ้วเคลือบยาทาเล็บสีสวยชี้มาที่กองแฟ้มสีสดข้างตัวผม “ส่วนแฟ้มนั่นเป็นข้อมูลการประชุมครั้งหน้านะคะ คุณวัชบอกให้อ่านถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามพี่ได้... อ้อใช่ คุณวัชกับน้องเจ้าบอกว่าอนุญาตให้พี่ดุติณณ์ได้ถ้าติณณ์ดื้อนะคะ”

ผมเบะปากพึมพำใส่คุณแม่ลูกหนึ่งที่ยืนทำหน้าเหมือนกำลังปรามลูกชายตัวกลมของตัวเองทันที คุณฟ้าที่เห็นอย่างนั้นก็ตวัดสายตาดุใส่ผมก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสๆ แต่แฝงไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดเพราะตอนนี้มันเลยเวลางานของเจ้าหล่อนมาโขแล้ว

“...คุณติณณ์อย่าลืมนะคะว่าวันนี้คุณติณณ์ทำอะไรไว้”

“แฮะๆ ผมกลับละครับ” เท่านั้นแหละครับ คนที่ไม่อยากให้คุณแม่ลูกหนึ่งระเบิดลงอย่างผมก็รีบกวาดของมาไว้ในอ้อมแขนก่อนเดินผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว


บรรยากาศเหงาๆ ในช่วงเวลาที่ฝนโปรยปรายตอนรถติดนั้นมันเหมือนอารมณ์ในตอนนี้ ผมเคาะปลายนิ้วพวงมาลัยไปตามจังหวะเพลงที่กำลังฟังผ่านวิทยุ ดวงตาจับจ้องตัวเลขสีแดงนับถอยหลังกับรถที่ขยับไปได้ไม่กี่คันทำให้เวลากลับบ้านช้าไปเป็นชั่วโมง

พอกลับมาถึงห้องก็จัดการวางถุงเกี๊ยวน้ำที่ข้าวเจ้าซื้อมาให้ลงบนโต๊ะพร้อมกับแฟ้มงานสีสดที่หอบหิ้วมาด้วยเรียบร้อยผมก็เดินไปทิ้งตัวลงกับโซฟาตัวเดิมเพิ่มเติมคือไม่มีข้าวเจ้าอยู่ด้วย

“... กี่วันแล้ววะที่ไม่ได้เจอข้าวเจ้า” พึมพำกับตัวเองก่อนหัวเราะออกมาแผ่ว เหลือบตามองโทรศัพท์ในมือที่ไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้าของคนที่รอคอยก็ต้องพ่นลงหายใจออกมาเบาๆ

ถ้าถามว่าทำไมไม่เป็นฝ่ายโทรหาโทรไปหาเอง เพราะถ้าโทรไปตอนนี้ก็เจอทุ่งนาไม่ก็น้าชายรับสายล่ะครับ กลับบ้านทีไรคุณเขาเอาแต่คลุกอยู่แต่ในค่ายทุกทีเลย ไม่รู้จะฟิตไปไหน... เลยเลือกรอให้ข้าวโทรมาเองดีกว่า

แต่นี่ก็จะสามทุ่มแล้วนะ...

คิดอะไรเรื่อยเปื่อยได้ไม่นานโทรศัพท์ตรงหน้าก็สั่นครืด แต่พอยกขึ้นมาก็ต้องผิดหวังเล็กๆ เมื่อเห็นชื่อของลุงวัชปรากฏบนหน้าจอ

“ครับลุง” เอ่ยทักไปแต่ปลายสายไม่ตอบรับ เสียงดนตรีแผ่วๆ ที่ดังออกมาทำให้ผมขมวดคิ้วก่อนจะเรียกชื่อคนโทรมาอีกครั้ง “...ลุงวัช?”

‘เอ้อ ติณณ์หรอ? มาหาลุงที' ปลายสายว่าเสียงดังกว่าปกติ และค่อยแผ่วลงในประโยคต่อมา ‘ข้าวเจ้า...เมา'

“ห๊ะ!” ผมกระเด้งตัวขึ้นจากโซฟาทันทีที่ได้ยินคำนั้น “เมา? เมาได้ยังไง!! ลุงพาข้าวไปไหน!”

‘คือ... ' ลุงวัชเอ่ยด้วยเสียงอ้ำอึ้ง มีเสียงข้าวเจ้าเรียกชื่อผมแว่วมาเบาๆ และตามด้วยคำที่คล้ายกับคำปราบเด็กที่ลุงวัชใช้กับลูกๆ เวลาซน ‘มาหาลุงก่อนเถอะ เดี๋ยวลุงอธิบายให้ฟัง'

เท่านั้นแหละครับ พอลุกขึ้นคว้ากุญแจรถได้ผมก็บึ่งออกไปยังจุดหมายที่ลุงวัชบอกทันที โชคดีที่เลยเวลารถติดแล้วผมจึงใช้เวลาไม่นานในการขับรถ ถึงจะแปลกใจเล็กน้อยที่สถานที่นั้นคือร้านของพี่หลงแต่ก็เก็บเอาอาการสงสัยนั้นลงเมื่อถึงร้าน และภาพตรงหน้าที่เห็นคือญาติผู้ใหญ่คนสนิทกำลังหิ้วปีกคนรักของผมอยู่พร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของคนสูงวัย

ไร้คำทักทายตามมารยาทที่ดี... ผมเดินดิ่งไปคว้าตัวข้าวเจ้าจากลุงวัชมาไว้ในอ้อมแขน กลิ่นเหล้าที่โชยหึ่งมาจากตัวของคนเมาในอ้อมแขนทำให้ผมย่นจมูก รู้ซึ้งเลยว่าตอนที่ข้าวได้กลิ่นสูบบุหรี่จากตัวผมคงมีการแบบนี้เหมือนกัน ผมโอบเอวพยุงข้าวเจ้าก่อนเงยขึ้นมองลุงวัชและเค้นเสียงต่ำ

“ลุงครับ...”

“เฮ้ๆ ลุงแค่มาด้วยเฉยๆ นา” ลุงวัชรีบแก้ตัวพร้อมกับยกไม้ยกมือขึ้นโบกไปมา อีกฝ่ายกระแอ้มไอเล็กๆ เมื่อเห็นผมยังตีหน้านิ่ง “โอเค เอาความจริงก็ได้... พอดีตอนเย็นเพื่อนของหนูเจ้ามาชวนเจ้าไปกินข้าวเย็น เขาเลยชวนลุงมาด้วยแล้วลุงก็ตอบตกลงเพราะเห็นว่าน่าจะแปบเดี๋ยว”

“ตั้งแต่เลิกงานยันเกือบสามทุ่มเนี่ยนะลุง” ผมยกมือข้างที่ว่างเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด พยายามไม่ใส่อารมณ์มากไปเพราะคนตรงหน้าคือลุงของตัวเอง “อย่างน้อยก็ให้ข้าวโทรบอกผมสักนิดก็ได้”

“ไอ้ติณณ์!!” เสียงเรียกชื่อทำให้ผมตวัดตามองคู่กรณีอีกคนวิ่งออกมายืนข้างลุงวัชพร้อมกับอดีตหัวหน้าแผนกของผม ใบหน้าของพี่หลงที่แดงจากฤทธิ์น้ำเมาหอบหายใจหนักๆ “โอ๊ย เอาไอ้เจ้ากลับไปทีเถอะ เมาแล้วไม่เอาใครเลย”

“แล้วทำไมข้าวถึงเมาขนาดนี้ครับ... หมดไปกี่ขวด” ผมกดเสียงต่ำคาดคั้นเพื่อนสนิทของข้าว รวบตัวคนเมาที่เริ่มเลื้อยเพราะเห็นว่าคนที่กอดเจ้าตัวอยู่เป็นผมไว้นิ่งๆ “ปกติถ้าข้าวจะเริ่มเมา... อย่างต่ำสี่”

“ขวดเดียว” พี่หลงพูดขัด ผมเลิกคิ้วสงสัยกับคำบอกนั่น “แค่ขวดเดียว... แต่เป็นเหล้านอกที่ลุงวัชเปิดให้” และพอได้ยินเจ้าของร้านว่าอย่างนั้น... ผมนี่หันไปถลึงตาใส่ลุงของตัวเองแทบไม่ทันเลยครับ มันน่าเอาไปฟ้องป้าปรางจริงๆ

ดึกดื่นไม่กลับบ้านกลับช่อง แต่มามอมเหล้าแฟนหลานเนี่ย

“ให้ผมทายนะ ป้าปรางคงยังไม่รู้ว่าลุงมานี่”

ประธานใหญ่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ “คือลุง---”

“อื้อ ติณณณณ์” เสียงอู้อี้ที่เรียกชื่อทำให้ผมละความสนใจจากคนตรงหน้าที่พยายามหาข้อแก้ตัวและก้มมองคนที่ซุกหน้าหาอก ข้าวเจ้าครางเสียงแผ่วก่อนยันตัวเองออกเพื่อมองหน้าผมด้วยตาเชื่อมๆ “ตินตินคร้าบบบ”

พี่หลงหลุดเสียงหัวเราะเพราะชื่อที่ได้ยิน

“ผมยังมีเรื่องต้องคุยกับลุง---”

“ติณณ์มาแล้ววว กลับบ้านกันนนน นะๆๆ”

ข้าวเจ้าเริ่มอ้อนตามฉบับคนเริ่มไร้สติติดตัวแต่ประโยคที่พูดออกนั้นเหมือนกับจะดักคอผมยังไงอย่างนั้น แต่มือทั้งสองข้างกอดรอบเอวผมไว้พร้อมกับสายตาที่ช้อนตาขึ้นมอง ไหนจะน้ำเสียงที่เอ่ยซ้ำอย่างอ้อนๆ ทำให้ผมปัดความสนใจจุดนั้นตกไปจากใจ ผมพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบตกลงให้อีกฝ่ายยิ้มหวานใส่โดยมีเสียงร้องเยสเบาๆ จากพี่หลงและลุงวัชให้ผมได้ตวัดตาหันไปมองจนทั้งคู่สะดุ้งแล้วเดินกลับเข้าร้านไป

“...ทำไมข้าวถึงไม่บอกว่าจะมา” เอ่ยถามอีกฝ่ายเมื่อเหลือกันอยู่สองคน ข้าวเจ้านิ่งไปเล็กน้อยคล้ายกำลังประมวลผลในคำพูดนั้นก่อนจะตอบกลับไม่ตรงคำถามมาว่าอยากกลับแล้ว ผมเหลือบมองคนพูดเสียงอ้อแอ้ที่กำลังพยุงอยู่ก็ได้ส่ายหัวอย่างปลงๆ กับสภาพของข้าวเจ้า จัดการพาอีกฝ่ายขึ้นรถและบึ่งพากลับบ้านทันทีพร้อมกับคาดโทษคนเมาไว้ในใจเสร็จสรรพ

ทั้งเรื่องที่เมาไม่รู้เรื่อง รวมถึงเรื่องที่ให้ผมอยู่คนเดียวเกือบเดือนนั้นแหละ

วันนี้คนเมามาแปลก ปกติข้าวเมาแล้วจะเรื้อน จะอ้อนมากแต่ครั้งนี้เจ้าตัวกลับยืนนิ่งเป็นตุ๊กตาให้ผมจับท่านู้นท่านี้อย่างง่ายดายโดยไม่มีเข้ามาอ้อนสักนิด ได้แต่เลิกคิ้วสงสัยและพยุงข้าวเข้าลิฟต์ และเมื่อกลับมาถึงห้อง... ผมก็ต้องเบิกตากว้างกับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น

ไอ้สภาพห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นกุหลาบและดอกไม้หลากหลายชนิดนี่มันอะไรกันครับ!

ระหว่างที่กำลังมึนกับภาพตรงหน้า คนในอ้อมแขนก็ขยับตัวออกห่างผมอย่างไร้อาการมึนเมา ข้าวเจ้ายิ้มเผล่ก่อนเอ่ยหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เซอร์ไพรส์”

Tbc.

―――――――――――

มาแล้วค่ะ มาแล้ววววว ; ;
หายไปเกือบๆ 2อาทิตย์เลย รู้สึกผิดมากๆ ค่ะที่ทำให้คนอ่านที่น่ารักรอ Y-Y คือที่ทำงานห้ามใช้มือถือค่ะ เลยพิมพ์ได้แค่ช่วงพักเที่ยงไม่กี่ประโยค พอกลับมาบ้านจะเปิดคอมพิมพ์แต่ก็เหนื่อยขนาดหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเลยค่ะ กลายเป็นว่าพิมพ์ไม่เสร็จสักทีแถมคอมยังงอแงติดบ้างไม่ติดบ้างอีก ร้องไห้....
อีกไม่กี่ตอนก็จบเรื่องหลักแล้วค่ะ แล้วไทม์ก็จะสคริปไปเป็นภาคพิเศษสั้นๆ (แต่น่าจะยาว) ที่เอี่ยวกับกลิ่นกาวน์ด้วยค่ะ ใครอยากเจอพี่หมออาร์ตรอหน่อยนะคะ เราจะพยายามไม่ดองเกินอาทิตย์แล้ววว งื้อออ
ใครอยากเม้ามอย ทวง ติชมนิยาย คุบกับเราได้ในทวิตนะคะ <3
เจอกันตอนหน้า... ที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่นะคะ ; w ; /ส่งจูบให้ทุกคน

ปล. ตอนนี้มาร์เวลทำหมดตัวมากเลย... ทำไมพิท้อกับน้องกิต้องมาคู่ววววว
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -29- 20|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 20-05-2018 23:35:07
มันคือแผนที่ว่งไว้หรอเนี๊ยะ??

ร้่ยกาจ,,,
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -29- 20|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-05-2018 23:47:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

เซอร์ไพรส์   เรื่องไรหว่า?
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 31-05-2018 09:53:19
จีบครั้งที่สามสิบ
 
ผมมองคนที่ตัวเองคิดว่าเมา...ซึ่งตอนนี้กำลังยืนหน้าแดงยิ้มกว้างสลับกับบรรยากาศหอมหวาน ที่ถูกจัดสรรขึ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงด้วยใบหน้างุนงง

“เซอร์ไพรส์?” ผมทวนคำพูดของข้าวเจ้า อีกฝ่ายพยักหน้าลงหงึกหงักด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจริงจังคนผมรู้สึกผิด... ผิดที่นึกไม่ออกสักทีว่าวันนี้คือวันอะไรอีกฝ่ายถึงเซอร์ไพรส์กันอย่างนี้

ผมไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จำพวกวันสำคัญของพวกเราไม่ได้นะ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิดข้าว วันครบรอบ วันนู่นนี่นั่นผมจำได้หมดแถมพอถึงวันนั้นผมยังพาข้าวไปนู่นนี่ตามใจเจ้าตัวเขาอีกด้วยซ้ำ ถึงวันครบรอบปีแรกของเราเราจะทำงานหนักจนลืมมันไปก็เถอะ... แต่ครั้งนี้ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่ามันคือวันอะไร

ถ้าไม่ใช่วันสำคัญ หรืออาจเป็นลุงวัชบอกข้าวว่าผมได้เลื่อนตำแหน่ง? ไม่น่ามั้ง.... นี่ก็ยังอยู่ในฐานะตัวแทนของพ่ออยู่เลยเถอะ

ยืนคิดจนหัวแทบแตกก็นึกไม่ออกสักที แถมพอสบกับตาใสๆ ของอีกฝ่าย ข้าวเจ้าก็เอาแต่ยิ้มกว้างชวนให้รู้สึกกดดันมาให้อีก ลอบกวาดสายตามองไปรอบห้องอย่างหาตัวช่วยแต่บรรดากุหลาบดอกสวยที่จัดไว้นั้นก็ไม่มีอะไรที่จะบ่งบอกถึงความสำคัญของวันนี้เลยสักนิด และดูเหมือนคนตรงหน้าก็จะไม่คิดจะเฉลยเสียด้วย

เอาวะ ยอมโดนข้าวโกรธก็ได้…

“ขะ--” ผมชะงักปากของตัวเองที่กำลังจะเอ่ยถามกับอีกฝ่ายว่าวันนี้คือวันอะไรกันแน่ แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นการ์ดน้อยๆ ที่แปะอยู่บนดอกไม้ช่อที่ใกล้มือสุดซะก่อน

Anniversary? วันครบรอบ? ก็ไม่ใช่เดือนนี้นี่...

ข้าวเจ้าบอกว่าจะนับตอนที่เรามาอยู่ด้วยกันแล้วไม่ใช่ตอนที่ผมขอเขาตอนฝึกจบแล้วหายตัวไปสองสามเดือน นั่นก็คือเดือนหน้า หรือต่อให้นับวันที่ผมขอเขาครั้งแรกก็ไม่มีทางใช่เดือนนี้แน่ๆ

เดี๋ยวนะเดี๋ยว อย่าบอกนะว่า…

“เอ่อ... ข้าวครับ วันนี้วันอะไรหรอ” แกล้งถามออกไปอย่างนั้นทั้งที่ในใจยิ้มขำให้กับสิ่งที่กำลังคิดในตัว ผมมองใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มค่อยๆ หุบลงจนกลายเป็นเม้มปากแน่นแถมยังก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอีก ทำเอาซะอยากดึงตัวมากอดแล้วบอกความจริงแต่ก็ทำได้แต่เก๊กหน้าใสซื่อให้กับคนแก่หลงลืมวันเพราะความอยากหยอก

วันนี้วันที่หกเดือนพฤษภา แต่วันที่เรานับเป็นวันครบรอบคือวันที่ห้าเดือนมิถุนา… แก่แล้วหลงวันหลงเดือนจริงๆ สงสัยต้องหาของมาบำรุงกันหน่อยแล้ว

แต่ก่อนบำรุง ขอแกล้งสักทีเถอะ

“จำไม่ได้จริงๆ หรอ” ข้าวเจ้าที่ก้มหน้าลงต่ำเอ่ยถามผมเสียงเบา “วันนี้น่ะ”

“ขอโทษครับ ผมจำไม่ได้เลยจริงๆ”

ตีหน้าเศร้าสำนึกผิดออกไป และพอตอบไปอย่างนั้น ข้าวก็เงยหน้ามามองผมด้วยสายตาตัดพ้อแล้วหยิบช่อดอกไม้ที่ใกล้มือที่สุดก่อนปามันใส่หน้าผมเต็มๆ จนกลีบดอกไม้สีขาวกระจายเต็มห้อง ระหว่างที่ผมหลับตาแน่นเพราะสิ่งที่ถูกปามานั้นก็ได้ยินเสียงของข้าวเจ้าตวาดผม ตามด้วยเสียงปิดประตูห้องดังลั่น

“ไอ้บ้าติณณ์!”

ปัง!!

ฉิบหายแล้วไงไอ้ติณณ์…

หนึ่งคำที่ผมมอบให้กับตัวเอง และพอผมตั้งสติได้ผมก็รีบวิ่งตามข้าวเจ้าออกไปทันที แต่ก็ไม่ทันคนตัวเล็กกว่าที่วิ่งเข้าลิฟต์ไปแล้ว... ตัวเลขที่ค่อยๆ ลดลงจนถึงเลขสองและกลายเป็นตัวอักษรGทำให้ผมได้แต่ร้อนใจ และเร่งมือกดปุ่มลิฟต์รัวราวกับว่ามันช่วยเร่งความเร็วลิฟต์ได้ยังไงยังงั้น

ระยะเวลารอเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมมาถึงแล้วรอให้มันลงไปยั้งชั้นล่างถึงจะแค่ไม่กี่นาทีแต่เหมือนเป็นชั่วโมงในความคิดผม หลังจากที่ลงมาถึงชั้นล่างผมก็ไม่เห็นวี่แววของข้าวเจ้าแล้ว ลองถามพนักงานหน้าฟร้อนต์ก็ได้ใจความว่าข้าวโบกแท็กซี่ออกไปไหนไม่รู้ก็ยิ่งทำให้ผมเครียด ความรู้สึกผิดที่ไปแกล้งอีกฝ่ายผุดขึ้นมาในหัวจนอยากจะย้อนเวลาไปก่อนหน้านี้ แล้วยิ่งตอนนี้เกือบๆ สี่ทุ่ม...ข้าวเจ้าที่รู้ว่าพอดื่มมาบ้างหายตัวไปโดยที่ผมไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปไหนก็ได้แต่นึกห่วง ไอ้ครั้นจะโทรหาโทรศัพท์ของข้าวก็ดันอยู่กับผม

หรือจะไปหาพี่หลง? ความคิดนั้นทำให้ผมวิ่งออกไปยังที่จอดรถ สิบนาทีต่อมาก็มาจอดอยู่หน้าที่พักของพี่หลงแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นว่าพี่ทศเป็นฝ่ายออกมารับหน้าแทนเจ้าของห้อง

“มารชีวิตกูจริงๆ” อีกคนสบถออกมาอย่างหงุดหงิด “มีไรว่ามา”

“...ข้าวมาที่นี่ไหม” ถามออกไปทั้งที่ถ้าดูจากสภาพในห้องที่คล้ายผ่านสมรภูมิรบมา ข้าวเจ้าคงไม่น่าอยู่ที่นี่หรอก

พี่ทศเลิกคิ้วสูงก่อนกับคำถามผมและถามกลับว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอผมเล่าเรื่องก่อนหน้านี้ไปก็ถูกอีกฝ่ายด่ากลับมาว่าเล่นอะไรไม่เข้าท่า แถมยังไล่ไปหาที่อื่นอีก...

ก็เล่นไม่เข้าท่าจริงๆ ถึงได้สำนึกผิดอยู่นี่ไง

ผมเดินกลับมาที่รถ ยกมือลูบหน้าตัวเองเมื่อคิดถึงสถานที่อีกหนึ่งที่ข้าวเจ้าน่าจะกลับไปแน่นอน...บ้านของเจ้าตัวนั่นแหละ เสียงหมัดที่กระทบปลายคางและอาการน็อกในหมัดเดียวที่เคยเกิดขึ้นสมัยตามตื้อข้าวใหม่ๆ วนกลับมาในหัวอย่างชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นจนเผลอยกมือลูบคางตัวเองอย่างหวาดๆ

Rrrrrr

เฮือก!

ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ตอนที่กำลังเหม่อ ลนลานหาเครื่องมือสื่อสารของตัวเองก่อนกดรับโดยที่ไม่ทันได้รายชื่อที่โทรเข้า

“ครับ”

‘พี่ติณณ์... นี่นานะ’ เสียงใสกระซิบแผ่ว ผมเด้งตัวขึ้นเตรียมสตาร์ทรถทันทีที่รู้ว่าใครโทรมา ‘เมื่อกี้นานั่งดูทีวีอยู่แล้วพี่ข้าวกลับมาบ้านแบบสภาพไม่โอเคเลย พอถามพี่เขาก็เอาแต่ยิ้มแห้งๆ ให้นาแล้วก็ขึ้นห้องเงียบไปเลย... พวกพี่ทะเลาะกันหรอคะ’

“อ่า... ครับ” ตอบรับไปตรงๆ มีเสียงถอนหายใจตามด้วยเสียงคล้ายเปิดประตูจากปลายสายดังให้ได้ยิน “ไม่เชิงทะเลาะ แค่เข้าใจกันผิด ไม่สิ... พี่ผิดเองล่ะ”

‘ตอนนี้มีแค่นาอยู่บ้านกับพี่นก... คนอื่นพาเด็กน้อยในค่ายไปแข่งชกที่ต่างจังหวัดคงกลับพรุ่งนี้’ ทุ่งนาพูดแทรกผมด้วยเสียงเรียบ ‘นาเปิดรั้วไว้ให้แล้วพี่เข้ามาได้เลย’

ผมยกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินอย่างนั้น ขานรับความใจดีของน้องสาวแฟนก่อนกดตัดสาย และรีบขับออกไปยังบ้านของข้าวเจ้าทันที

ถึงแม้ว่าคำพูดสุดท้ายของทุ่งนาก่อนสายจะตัดนั้นทำให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ก็เถอะ

‘พวกพี่คุยกันดีๆ นะ’ ทุ่งนาเงียบไปครู่ก่อนเอ่ยด้วยเสียงกดต่ำแปลกหู ‘แต่ถ้านาได้ยินเสียงพี่ข้าวร้องไห้สักนิด... พี่ติณณ์ไม่ต้องถึงมือพ่อหรือน้าชายหรอกค่ะ’


ผมเอื้อมมือไปเปิดรั้วที่ทุ่งนาเปิดไว้ให้ พยายามไม่ให้เกิดเสียงดังจนคนที่หนีมากลับบ้านรู้ตัวและเดินไปหาทุ่งนาที่ยืนกอดอกรออยู่หน้าประตูบ้าน

“นาจะไม่ถามนะว่าเกิดอะไรขึ้น” ทุ่งนาไม่ถาม... แต่หนึ่งหมัดที่ไม่แรงเท่าข้าวเจ้าซัดมาที่แก้มผมเต็มๆ จนหน้าหันเพราะไม่ทันตั้งตัว “อันนี้ที่ทำให้พี่ข้าวร้องไห้หนีกลับมาบ้าน นายั้งมือแล้วพี่ไม่เจ็บหรอกเนอะ”

ก็ได้แต่ยิ้มแหยให้น้องสาวแฟนที่เอียงคอน้อยๆ อย่างใสซื่อ และพยักหน้าให้ผมเข้าไปในบ้านได้ เผลอยกมือลูบแก้มตัวเองเบาๆ ... บ้านนี้เขาโหดกันทุกคนว่ะครับ

หลังจากที่ทุ่งนาเปิดทางสะดวกโดยการยัดกุญแจบ้านใส่มือผมและเจ้าตัวก็หนีไปนอนกับพี่นกที่บ้านข้างๆ แล้วผมก็เดินย่องขึ้นบันไดไปยังห้องของข้าวเจ้าที่เคยมาค้างอยู่ครั้งสองครั้ง...ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโจรย่องเบายังไงอย่างงั้นแหละ พอลองบิดลูกบิดดูก็พบว่าห้องถูกล็อก ผมหยิบกุญแจดอกที่นาบอกว่าเป็นของห้องข้าวขึ้นมาไข เสียงคลิ๊กเบาๆ ดังขึ้นเมื่อมันลงล็อก สิ่งแรกที่รู้สึกได้เมื่อก้าวเข้าห้องคือความเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศที่ปะทะตัว

ข้าวเจ้าที่นอนขดคลุมโปงอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู เผลอกั้นหายใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะตื่น ยืนรอครู่ใหญ่จนแน่ใจว่าข้าวไม่น่าตื่นขึ้นมาผมจึงอ้อมไปนั่งยองๆ ตรงพื้นข้างเตียงเพื่อนั่งมองคนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้ว... ที่ตอนนี้นัยน์ตาดุกำลังสบกับผมอยู่

.... จ้องผมเขม็งเลยครับคุณเอ๊ย

“ขอโทษนะครับ”

“ปีก่อนก็ลืมกันเพราะงานสุมหัว...” ข้าวเจ้าว่าเสียงแผ่ว แล้วดึงผ้าห่มขึ้นจนปิดตา“แต่ก็ไม่ได้คิดว่าติณณ์จะลืมจริงๆ คิดว่าถ้าติณณ์เห็นแล้วจะนึกได้ซะอีก”

“ผมไม่ได้ลืมหรอกครับ” ผมพูดหลังจากข้าวเจ้าเงียบไปนาน อีกฝ่ายร่นผ้าห่มลงมองผมที่เตรียมสารภาพผิด “ก็ไม่ได้ลืมหรอกครับ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้คือวันอะไรแต่อันที่จริงวันครบรอบเรามันเป็นเดือนหน้าไม่ใช่เดือนนี้ ผมเห็นข้าวจำผิดก็เลยอยากแกล้งนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าข้าวจะโกรธขนาดหนีกลับบ้านมาอย่างนี้ ยิ่งข้าวดื่มมาด้วยแบบนี้รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงนะ ขอโทษครับ”

ผมพูดโดยไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย ความเงียบที่เกิดขึ้นทำให้ผมคิดได้อย่างเดียวว่าข้าวคงโกรธผมจริงๆ

“...อะไรนะ” น้ำเสียงไม่แน่ใจนั้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง คนในผ้าห่มผุดตัวขึ้นมานั่งจ้องหน้าผม “เมื่อกี้ติณณ์ว่ายังไงนะ”

“ผมขอโทษที่แกล้งข้าวเจ้าครับ ข้าวคงโกรธผมน่าดู...” ผมว่าเสียงเบา ยันตัวเองลุกขึ้นยืนเตรียมออกจาห้อง “งั้นผมกลับแล้วนะครับ”

แต่เสียงของข้าวเจ้าก็รั้งผมเอาไว้ “ไม่ๆๆ ก่อนหน้านี้ติณณ์พูดอะไรนะ”

“ผมบอกว่าผมแกล้งข้าว เลยทำให้---”

“ไม่ ก่อนหน้านี้อีก ตั้งแต่แรกเลย”

ผมเลิกคิ้วสูง “ผมบอกว่าวันครบรอบของเราไม่ใช่วันนี้แต่เป็นเดือนหน้า”

พอพูดจบก้อนผ้าห่มตรงหน้าก็อ้าปากเหวอ ข้าวเจ้าพุ่งพรวดไปเปิดไฟห้องและหยิบสมุดที่เจ้าตัวชอบใช้จดอะไรต่อมิอะไรขึ้นมาเปิดอ่าน และนั่นทำให้ผมเห็นใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อที่มองผมอย่างเหวอๆ จนผมหลุดหัวเราะกับท่าทางนั่นเบาๆ

คงรู้ตัวแล้วมั้งว่าตัวเองจำวันพลาดจริงๆ ไม่งั้นคงไม่อายหน้าแดงแบบนี้ ลงทุนเซอร์ไพร์สแต่ผิดวันแบบนี้เป็นผมคงมีอาการแบบเจ้าตัวเขาละครับ

“อะ...ออกไป” ข้าวเจ้าว่าเสียงสั่น ซุกซ่อนใบหน้าแดงจัดไว้หลังมือตัวเอง “ไอ้ติณณ์ พี่บอกว่าให้ออกไปไง!”

“น่าๆ คนเรามันมีผิดพลาดได้น่าข้าวเจ้า ดีซะอีกที่ข้าวเตือนให้ผมไม่ลืมวันไง”

พูดปลอบพร้อมก้าวไปหาคนที่ก้าวถอยหลัง คนตัวเล็กกว่าเอาแต่ส่ายหัวและเอ่ยปากไล่แต่ให้ผมออกไปจากห้องสักทีเพราะตัวเองอายที่ปล่อยไก่ตัวโตออกมาให้ผมเห็น...และคิดว่าน่าจะรวมไปถึงลุงวัชและพี่ทศพี่หลงที่มีส่วนรู้เห็นในแผนการนี้ด้วยแน่ๆ

แต่นานๆ ทีจะเห็นข้าวอายจัดแบบนี้ มีหรือที่ผมจะปล่อยให้โอกาสนี้ปลิวไป... เห็นแล้วก็อยากแกล้งอีกสักที แก้มแดงๆ แบบนี้น่าฟัดชะมัด

...นี่ก็ไม่เข็ด

“ข้าวบอกให้ติณณ์ออกไปไง!!” คนโวยวายเสียงดังเมื่อผมไล่ต้อนจนประชิดตัวอีกฝ่ายได้สำเร็จ “นะๆ ให้ข้าวอยู่คนเดียวก่อนนะติณณณณ์”

หลุดขำเมื่อข้าวลากเสียงยาวใส่ ฉวยหอมแก้มแดงๆ ไปฟอดใหญ่พร้อมกับกัดเบาๆ บนซาลาเปาสีแดงอย่างมันเขี้ยว อีกฝ่ายอ้าปากเหวอก่อนโวยวานลั่นจนเกรงว่าทุ่งนาที่อยู่บ้านข้างๆ จะตะโกนด่าผมเอา

สองมือรวบเอวข้าวรั้งเข้าหาตัว ปล่อยให้คนอายโวยวายทุบตีจนกว่าเจ้าตัวจะพอใจแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อข้าวเผลอเหวี่ยงมือผิดองศา ทำให้กำปั้นที่ควรทุบอกหรือไหล่ผมกระทบกับใบหน้าเต็มๆ ซึ่งมัน... ซ้ำจุดเดิมกับที่ทุ่งนาฝากรอยหมัดไว้ก่อนหน้านี้พอดีเป๊ะ

“โอ๊ย!”

ข้าวเจ้าหยุดมือทันทีที่ผมร้องออกไป เจ้าของดวงตาเบิกกว้างมีความตกใจผสมอยู่จับหน้าผม ประคองเบาๆ ให้หันไปหาเพื่อสำรวจ คิ้วของข้าวขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นใบหน้าผมชัดๆ และกดมือลงจนผมสูดปากเพราะเจ็บ

“รอยช้ำนี่? ไปโดนใครต่อยมา ก่อนหน้านี้ยังไม่มีเลยนี่”

ได้แต่ยิ้มแห้งให้คนตรงหน้าก่อนตอบเสียงเบา “น้องนาครับ”

“ห๊ะ”

“คืองี้...” ผมยกมือเกาต้นคออย่างประหม่า “ข้าวอย่าโทษน้องเลยนะครับ นาคงเป็นห่วงที่จู่ๆ ข้าวกลับมาโดยไม่บอกกล่าวโดยมีผมเป็นต้นเหตุ พอเห็นผมมาเลยซัดไปหมัดข้อหาทำข้าวเสียใจ”

ข้าวอ้าปากเหวอเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของชั่วโมงนี้ มือนิ่มที่ประคองหน้าผมสะบัดออกพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้ายที่ปรากฏบนใบหน้าอีกฝ่าย

“หึ ก็สมควรโดนแล้วไง”

อ้าว... ไหงงั้นครับ ไม่มีคะแนนความสงสารผมหรอข้าวววว


“สรุปคือพี่ข้าวจำวันผิดเตรียมเซอร์ไพร์สพี่ติณณ์เต็มที่ พี่ติณณ์เลยถือโอกาสนี้แกล้งพี่ข้าวว่าจำไม่ได้ก็เลยทะเลาะกัน นาเข้าใจถูกใช่ไหมคะ?”

ทุ่งนายืนเท้าเอวสรุปเรื่องเมื่อคืนที่ผมกับข้าวเล่าให้ฟังเพราะเจ้าตัวมาเค้นคอพี่ชายตัวเองรวมถึงพี่เขยอย่างผมถึงห้องตั้งแต่เช้า เอาซะผมกับข้าวเจ้าวิ่งหาเสื้อผ้าใส่กันแทบไม่ทันเลยทีเดียว

เด็กสาวผมเปียในชุดนักเรียนม.ปลายกลอกตาขึ้นฟ้าพร้อมกับเบ้ปากออกมาอย่างไม่สนใจมารยาทที่ดีต่อหน้าผู้ใหญ่ “พวกพี่รู้ไหมว่าทำตัวเหมือนเด็กที่งอนแฟนแล้วหนีกลับบ้านเนี่ย”

“ครับๆ พวกพี่รู้ตัวว่างี่เง่ากัน” ข้าวเจ้าว่า “แต่นาควรขอโทษพี่ติณณ์เขารู้ไหม เป็นสาวเป็นนางไปต่อยเขาได้ยังไง”

“ก็ใครใช้ให้พี่ติณณ์มาทำพี่ชายคนเดียวของนาเสียใจล่ะคะ พี่ข้าวรู้ตัวไหมว่าทำนาเป็นห่วงแค่ไหนตอนเห็นพี่กลับมาบ้านแถมยังทำหน้าเหมือนพร้อมจะร้องไห้ตลอดเวลาอีก” ทุ่งนาเดินไปกอดเอวข้าวเจ้า พูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ “หมัดเดียวพี่ติณณ์เขาไม่เจ็บหรอกค่ะ แรงนานิดเดียวเอง”

“กฤติยาครับ ยังไงพี่ติณณ์เขาก็โตกว่าเรานะ”

“ค่ะ” ทุ่งนาผละตัวออกมาจากอ้อมกอดข้าวเจ้าเมื่อพี่ชายเรียกชื่อจริงด้วยเสียงแข็งๆ แล้วเดินมาหาผมด้วยสีหน้าเหมือนแมวหงอยพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ “นาขอโทษนะคะพี่ติณณ์”

“ไม่เป็นไรๆ พี่เข้าใจว่านาเป็นห่วงพี่ชายตัวเอง เป็นพี่ๆ ก็คงทำแบบนาเหมือนกัน” ผมพูดปลอบใจน้องที่ทำหน้าหงอยเมื่อโดนพี่ชายดุ “...แต่คราวหลังไม่ต้องออกแรงก็ได้นะ”

“ครั้งนี้พี่ยกโทษให้.... แต่ถ้าวันไหนเกิดเรื่องแบบนี้อีก ไม่ต้องยั้งแรงก็ได้นะนา” ประโยคนั้นทำให้ผมหันขวับกลับไปมองหน้าข้าวเจ้าที่ยิ้มมุมปากย่างเจ้าเล่ห์แทบไม่ทัน

อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า!!

“โอเคพี่ชาย”

“ข้าวเจ้า...” ผมเรียกอีกฝ่ายที่แท็กมือกับน้องสาวเสียงอ่อย เผลอยู่ปากเมื่อเห็นพี่ชายหอมแก้มน้องสาวแรงๆ ก่อนหยิบกระเป๋าเงินผมขึ้นมา ล้วงแบงค์สีแดงๆ ออกจากกระเป๋ายื่นให้น้องสาวเป็นค่าขนมไปโรงเรียน

ก็ได้แต่มองตาละห้อย... งี้แหละครับ กระเป๋าเงินสามีก็เหมือนของภรรยาเนอะ


“ไปส่งนาแล้วกลับห้องกันจะได้ไปทำงาน” ผมว่าหลังจบมื้อเช้าฝีมือเด็กเตรียมเข้ามหาลัยอย่างทุ่งนา ข้าวเจ้าส่ายหัวรัวจนผมแปลกใจ “ไม่กลับ? แล้วจะอาบน้ำไหนล่ะ ที่นี่ผมไม่มีเสื้อผ้านะ”

ใบหน้าขึ้นสีจางของข้าวเจ้าหันมามอง

“...โทรบอกใครก็ได้ให้ไปเอาดอกไม้พวกนั้นออกจากห้องก่อน”

“ทำไมล่ะ อย่างนี้ดีเหมือนกัน” ผมยกยิ้ม ขยิบตาให้อีกฝ่าย “แถมยังทำให้รู้อีกว่าข้าวรักผมมากกกกก มากจนวางแผนเซอร์ไพรส์กันล่วงหน้าเป็นเดือนแบบนี้”

“ไอ้ติณณ์!”

“ครับที่รัก❤”

“โทรบอกไอ้หลงให้เอาของออกจากห้องเดี๋ยวนี้!”

“ไม่กลัวพี่หลงล้อหรอครับ นั่นผู้ร่วมแผนการเลยนะ”

“ช่างแม่งมันเถอะ เอาออกไม่ให้เห็นก็พอ!!!”

สุดท้ายกุหลาบหอมๆ ก็ถูกโยนออกจากห้องอย่างไม่ใยดีล่ะครับ... เสียดายจัง ยังไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลย

  Tbc.

―――――――――――

พี่ติณณ์และครอบครัวนักมวย ถถถถถ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 31-05-2018 11:48:01
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-05-2018 12:04:53
 :pig4: :pig4: :pig4:

555
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 01-06-2018 00:18:00
555 ลืมวันลืมคืนเลย,,,
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -30-31|05|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 10-06-2018 17:35:02
สนุกมากเลยค่ะ เอ็นดูพี่ข้าวกับน้องติณ  :pig4:
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -31- 14|06|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 14-06-2018 00:12:08
จีบครั้งที่สามสิบเอ็ด
    
การฝึกงานหรือออกสหกิจของเด็กมหาลัยนั้นจะอยู่ที่สามเดือน หรือราวสี่ห้าเดือนได้แล้วแต่สถานศึกษา ถ้าเรียนพวกครูก็จะยาวกว่านั้นหน่อย และหากจะเทียบอย่างนั้น... มันดูเหมือนว่าการฝึกงานครั้งที่สองหลังจบจากรั้วมหาลัยของผมนี้จะยาวนานเป็นพิเศษถึงหนึ่งปีกับอีกสี่เดือนเศษๆ

เดี๋ยวผมจะสรุปแบบรวบรัดให้นะว่าไอ้ปีกว่าๆ เนี่ยมันมาได้ยังไง... ก็นอกจากงานของกรรมการบริหารที่ไปทำในชื่อของพ่อแล้ว คุณชัยธวัชก็เกิดปิ๊งไอเดียที่จะทำให้ผมเข้ากับแผนกอื่นๆ ได้ง่าย ลุงแกเลยส่งให้ผมไปทำอยู่เกือบทุกแผนกที่มีในบริษัทไม่เว้นแต่พนักงานรักษาความปลอดภัย...

ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับเพราะลุงวัชส่งผมเป็นเพื่อนกับยามอยู่หน้าบริษัทจริงๆ จำได้เลยว่าข้าวเจ้าหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังตอนที่ผมกลับบ้านด้วยชุดยูนิฟอร์มของยามที่บริษัทแถมยังบอกว่ามันเข้ากับผมอีก...

แต่โรลเพลย์เป็นคนในเครื่องแบบก็ดีนะ หึ

ส่วนข้าวเจ้าหรอ รายนั้นถูกลุงวัชกักตัวไว้แค่ไม่กี่เดือนก่อนส่งกลับไปทำที่สาขาเก่าระหว่างรอให้ผมเรียนงาน (หรือไปเป็นเบ้ก็ไม่รู้...)เสร็จ ลุงวัชนี่ชมเปราะเลยว่าข้าวหัวไวอย่างนั้น เรียนรู้เร็วอย่างนี้ไม่เหมือนกับผมที่ต้องสอนย้ำซ้ำซากให้เหนื่อยใจ แถมวันดีคืนดีลุงแกพาข้าวออกงานสังคมเหมือนลูกเหมือนหลานแท้ๆ ด้วยซ้ำ

ไม่สิ... เพราะลูกแท้ๆ ก็ไม่สนใจงานพรรค์นี้ แถมหลานอย่างผมก็ไม่อยู่ให้ลุงลากออกงานผลเลยไปตกที่ข้าวเจ้ามากกว่า แต่เจ้าตัวก็เหมือนยินดีที่จะไปกับลุงนะ กลับมาทีไรบอกว่าเจอแต่ของอร่อยๆ ทุกที

และทั้งหมดที่คุณอ่านอยู่นั่นเป็นเรื่องของสองเดือนที่แล้วครับ ส่วนตอนนี้นั้น...

“เอาล่ะกล่องสุดท้ายแล้ว ไม่ลืมอะไรนะ” ข้าวเจ้าเอ่ยถาม ผมกวาดมองรอบตัวที่โล่งตากว่าปกติพลางส่ายหัวแทนคำตอบ ขยับตัวเอื้อมหยิบเทปขึ้นมาปิดลังกระดาษที่บรรจุพวกหนังสือของอีกคนเอาไว้ให้เรียบร้อยและยกเอาไปกองรวมกับลังที่เหลือ อีกไม่กี่วันเราจะย้ายถิ่นฐานกันแล้ว พวกเราถูกลุงวัชสั่งย้ายงานกันครับ---

อ้าว ไม่ใช่หรอ

เหมือนจะลืมบอกไปว่าหลังจากที่ลุงวัชสั่งปล่อยตัวผมเรียบร้อย ผมก็จัดการทำเอกสารโยกย้ายสาขาให้ข้าวเจ้าทันทีโดยมีพ่อกับลุงวัชเป็นผู้คุมเบื้องหลังทั้งหมด ถึงข้าวจะรู้อยู่แล้วว่าผมจะพาข้าวไปอยู่ด้วยก็เถอะแต่ตอนที่เขามารู้เรื่องที่ผมทำนี้เจ้าตัวก็โวยวายตามประสาเพราะผมไม่ยอมบอกให้เตรียมใจก่อน

ก็แหม ขืนชักช้าก็กลัวข้าวเปลี่ยนใจนี่ครับ

“ข้าวก็เหลือของไว้นี่บ้างก็ได้ ยังไงเดี๋ยวก็ได้กลับมาอีก” คนพี่หันมายู่ปากใส่ผมก่อนหันไปมองรอบห้องอย่างอาลัยอาวรณ์จนต้องเอ่ยปลอบ “ก็ไม่ได้จะไปตลอดนี่ครับคุณ เดี๋ยวเราก็ได้กลับมาอีกน่า หรือคุณจะปล่อยเช่าล่ะ”

“ไม่อ่ะ ปล่อยไว้อย่างนี้แหละเดี๋ยวนาก็มาอยู่แทน พี่คุยด้วยแล้ว”

ผมร้องอ๋อยาวๆ เมื่อนึกถึงน้องสาวข้าวเจ้าที่วันเมื่อวานมากรี๊ดกร๊าดใส่พวกผมเพราะสอบเข้าคณะที่อยากเข้าได้ตอนที่ผมพาข้าวไปลาครอบครัว อันที่จริงพ่อของข้าวอยากให้นอนบ้านแหละแต่ข้าวบอกว่ายังจัดของไม่เสร็จเลยกลับมานี่

แต่เมื่อคืนข้าวก็ซึมไปเยอะเลยล่ะครับ... เป็นผม ผมก็คงรู้สึกแบบเดียวกับข้าวเจ้าที่ต้องจากครอบครัวไปไกล

“จะว่าไป... อยู่นู่นจะไปอยู่ไหนวะ บ้านติณณ์?” เสียงพูดพึมพำเหมือนบ่นกับตัวเองดังให้ได้ยิน ผมละมือจากการเช็คของหันไปมองข้าวที่ทำหน้าเครียดกับเรื่องที่อยู่อาศัย “ถ้าไปบ้านติณณ์จะอยู่ยังไงล่ะเนี่ย”

“ไม่ได้อยู่บ้านผมครับ” คำตอบของผมทำให้อีกฝ่ายที่หันมามองมีเครื่องหมายคำถามแปะบนหน้าผาก ข้าวเจ้าโคลงหัวเล็กน้อย “อ่า..ข้าวจำตอนที่ผมพาข้าวกลับบ้านครั้งที่แล้วได้ไหม ไอ้วันที่ผมหายไปทั้งวันน่ะ”

“จำได้”

“คือว่าวันนั้นที่ผมหายไป...” ผมยกมือเกาแก้ม เสหลบตาข้าวเจ้าที่มองมาอย่างตั้งใจฟังคำตอบและเอ่ยเสียงอ่อย “เอ่อ ผมไปจองคอนโดมาน่ะครับ อยู่ไม่ไกลบ้านผมกับที่บริษัทเท่าไหร่ด้วย”

“ห๊ะ!” ข้าวเจ้าตะโกนเสียงหลง “คอนโด!!”

“อ่า ครับ จริงๆ ก็แค่แปดชั้นเองไม่แพงมากหรอกครับ” ผมยิ้มแหย ซ่อนสองนิ้วที่ไขว้กันไว้ข้างหลังทันที ใครจะไปกล้าบอกละครับว่าคอนโดมันมีแค่แปดชั้น แล้วไอ้ที่ผมจองไว้นั้น... ก็ชั้นแปดนั่นแหละ เป็นชั้นที่มีห้องอยู่แค่สี่แถมยังซื้อขาดด้วยซ้ำ ขืนข้าวรู้เดี๋ยวได้หาว่าผมไม่ยอมถามความเห็นอีก “ผมกลัวว่าข้าวจะอึดอัดเวลาอยู่บ้านผมนานๆ นี่ ก็เลยคิดว่าถ้ามีคอนโดเป็นของตัวเองคงจะดีรู้ตัวอีกทีก็วางมัดจำไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอกครับไว้วันหยุดเราค่อยกลับไปนอนบ้านเราก็ได้เนอะ”

“ไม่แพงมาก?” คนตรงหน้าทวนคำด้วยเสียงต่ำ หัวคิ้วของข้าวเจ้าที่เริ่มขมวดเข้าหากันจนเกือบเป็นเส้นตรงนั่นทำผมเริ่มเหงื่อตก “เท่าไหร่ แพงกว่าที่นี่ไหม”

“ไม่... ไม่หรอกครับ” ผมเสตาหลบคนตรงหน้าที่ขยับมาจ้องผมด้วยสายตาคาดคั้น “ไม่แพงเท่าไหร่หรอก”

“ติณณ์ พูดความจริงกับพี่”

“...”

“ติณณ์ครับ พูด”

ผมเม้มปากแน่นชังใจว่าจะพูดดีไหมแต่สุดท้ายหนึ่งนิ้วก็ถูกยกขึ้นแทนคำตอบ... ตามด้วยนิ้วที่สองและสาม นั่นทำให้ใบหน้าโล่งใจของข้าวเจ้าที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีตอนเห็นผมยกนิ้วแรกขึ้นก็กลายเป็นเบิกตากว้างแล้วมองผมด้วยสายตาดุๆ แทน

สายตาทิ่มแทงขนาดที่ถ้าเป็นมีดผมคงพรุน...

“ไอ้ติณณ์!!” ได้แต่ยิ้มแห้งกับคำตวาดเรียกชื่อของอีกฝ่าย “ไหนว่าไม่แพงไง!”

“ก็ไม่แพงสำหรับอยู่สองคนนะครับ ห้องเพดานสูงมีชั้นลอยเป็นห้องนอน พื้นที่ใช้สอยก็เยอะแถมราคานี้ยังรวมค่าตกแต่งแล้วด้วย... แฮะๆ”

คำอธิบายของผมทำให้ข้าวยกมือกุมขมับ ก่อนจะเงยหน้ามาแยกเขี้ยวใส่ผมเหมือนอยากจะซัดผมสักหมัดให้ได้ “ช่วยบอกพี่ว่าติณณ์ไม่ได้ซื้อขาด”

รอยยิ้มโง่ๆ ของผมคงเป็นคำตอบได้ดีเพราะข้าวเจ้ายกมือทึ้งหัวตัวเองอย่างแรงจนผมกลัวว่าผมจะหลุดติดมือข้าว แต่ก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะได้เอ่ยปากจิกกัดความใช้เงินของผมนั้น ผมก็ชิงอธิบายซะก่อน

“ผมก็อยากมีเวลาส่วนตัวกับข้าวบ้างนี่ครับ ขืนอยู่บ้านถึงจะมีห้องเหลือก็เถอะแต่เวลาอย่างนั้นผมกลัวว่าจะไปรบกวนพ่อแม่เขานี่ครับ ”

ผมยกยิ้มมุมปาก เอ่ยคำพูดสองแง่สองง่ามหวังจะเรียกใบหน้าแดงๆ ของข้าวเผื่อจะได้เบนความสนใจเรื่องนี้ได้... แต่ดันไม่เป็นผลซะงั้นเมื่อแฟนผมขยับตัวไปนั่งกอดอกทำหน้าบึ้งตึงใส่แทน

“บ้านติณณ์ก็มีพี่ก็อยู่ได้ ไม่ได้อึดอัดอะไรสักหน่อย ไม่เห็นต้องเปลืองเงินซื้ออะไรไม่จำเป็นมาเพิ่มเล---”

“ไม่จำเป็นที่ไหนครับ นั้นบ้านของเรานะ”

พูดพึมพำขัดคนที่เริ่มมีน้ำโห ข้าวเจ้าเสียงเงียบทันทีที่ได้ยินคำแย้งเบาๆ จากผม ใบหน้าที่แดงเพราะความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นเขินอายอย่างไม่รู้สาเหตุ

เอ๊ะ ไม่สิสาเหตุมันก็มีนี่

คิดได้อย่างนั้นผมก็ดึงตัวข้าวเจ้าที่กำลังนั่งเหวออยู่ตรงหน้ามากอดทันที ใช้ไรหนวดที่ขึ้นเป็นตอๆ ถูไปตามไหล่ตามแก้มอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยวก่อนอ้าปากงับคอข้าวเบาๆ จนคนในอ้อมแขนโวยวายลั่นห้อง แถมด้วยหมัดที่ประเคนลงหลังผมอย่างไม่มียั้ง

แรงผู้ชายก็ว่าเจ็บแล้วนะ... มาเจอแรงผู้ชายที่มีตำแหน่งในค่ายมวยยิ่งหนักไปใหญ่ครับคุณ แต่เอาเถอะ ผมชินแล้วล่ะครับ

“ไอ้ติณณ์!”

“รักข้าวนะครับ”

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง!!” คนโดนกอดโวยวายต่อ “ยังคุยไม่จบเรื่องห้องนะ!”

“ก็บ้านของเราไง”

“แต่นั่นเงินติณณ์ไม่ใช่เงินข้าว!”

“ขนาดที่นี่ยังเป็นของข้าวเลย นอกจากค่าน้ำค่าไฟที่เราหารครึ่งแล้วผมก็ไม่ได้มีส่วนจ่ายค่าห้องนี้สักนิดแต่เรายังเรียกว่าบ้านเราได้ไม่ใช่หรอ แล้วทำไมที่นั่นถึงจะเป็นบ้านเราเหมือนกันไม่ได้ล่ะ? หรืออยากให้ผมเรียกว่าเรือนหอแทนล่ะครับ?”

ข้าวเจ้าเม้มปากแน่น ดวงตากรอกไปมาคล้ายชังใจในสิ่งที่ผมพูด เขาหยุดดิ้นแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมมองหน้าผมตรงๆ

“งั้น...” ข้าวพึมพำ “งั้นค่าไฟที่นั่นข้าวต้องเป็นคนจ่าย!”

“ตามนั้นครับที่รัก” ผมยักไหล่ตอบข้าวอย่างสบายๆ ไม่ทักท้วงอะไรออกไป ก็นึกไว้แล้วแหละว่าถ้าข้าวรู้คงต้องตอบแบบนี้แน่ๆ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ “แต่ตอนนี้เช็คของรอบสุดท้ายก่อนเถอะครับว่าขาดเหลืออะไรอีกไหมแล้วจะได้ไปนอนกัน บริษัทขนย้ายจะมาตอนเช้านะ”

“อื้อ”

“แล้วพรุ่งนี้เราจะได้ไปบ้านใหม่ของเรากันเนอะ” ผมจูบหน้าผากของข้าวเจ้าเบาๆ เรียกให้อีกฝ่ายหน้าขึ้นสีได้ง่ายๆ

“งั้นก็ปล่อยพี่สักที จะไปเช็คของกัน”

“ไม่ข้าวแล้วหรอ?”

“ไอ้ติณณ์!”


เสียงตึงตังในยามเช้าทำให้ผมกับข้าวที่เพิ่งหลับไม่นานพร้อมใจกันตื่นอย่างหัวเสีย ข้าวตีหน้ายักษ์ใส่ผมพร้อมกับชี้นิ้วไปทางประตูห้องนอนคล้ายจะบอกให้ผมทำอะไรสักอย่างกับเสียงรบกวนจากภายนอกนั่นสักที ส่วนเจ้าตัวนั้นก็รวบเสื้อผ้าวิ่งเข้าไปในห้องน้ำปล่อยให้ผมเผชิญกับคนที่รู้ว่าใครอยู่คนเดียว

ผมกวาดตามองสภาพตัวเองที่ค่อนข้างจะโอเคกว่าข้าวเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นไปหาต้นตอของเสียงรบกวนนั่น

“มาอะไรแต่เช้าวะพี่หลง... พี่ทศด้วย” ผมกระชากประตูเปิดออกอย่างแรงและเอ่ยทักทายสองคนตรงหน้า

“ว้าว รอยกัดรอยข่วนเต็มเลยมึง” พี่ทศเลิกคิ้วสูงและกวาดตามองสภาพผม “ไม่คิดจะปิดไอ้รอยพวกนี้หน่อยหรือไง”

“ก็มาหาก่อนที่เพื่อนพี่จะถูกติณณ์ลักพาตัวไงล่ะ” พี่หลงตอบขัดแฟนตัวเอง อีกฝ่ายไร้การตกใจหรือหยอกล้อกับสภาพของผมอย่างพี่ทศ “ว่าแต่ไอ้เจ้าละ ยังไม่ตื่นหรอ?”

“ข้าวอาบน้ำน่ะพี่ นี่ผมโดนไล่มารับพวกพี่แทนเขา”

“มึงเลยมาสภาพนี้? โห นึกว่าอวด”

“หยุดกวนน้องมันสักทีพี่มึง”

“จ้ะๆ”

ผมถอนหายใจกับคู่รักบ้าบอตรงหน้า เอ่ยปากให้สองคนนั่นเข้ามาในห้องก่อนที่จะสร้างโลกส่วนตัวกันสองคนอยู่ตรงโถงทางเดินให้คนเห็น ระหว่างที่ปล่อยให้แขกไม่ได้รับเชิญสำรวจห้องที่โล่งตาข้าวก็ออกมาจากห้องน้ำพอดี หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้รู้เรื่องแล้วล่ะครับเพราะถูกข้าวไล่ไปอาบน้ำ ออกมาอีกทีก็เห็นคนของตัวเองตาแดงน้ำตาคลอคล้ายกลั้นร้องไห้กอดกับพี่หลงกลมดิ๊ก บอกลากันคล้ายจะไปฝั่งต่างประเทศทั้งที่กรุงเทพฯ กับโคราชห่างกันไม่กี่ชั่วโมงเอง

แต่เห็นแล้วก็คิดถึงไอ้อาร์ตที่ตอนนี้ไปอยู่ส่วนไหนของประเทศไทยก็ไม่รู้ ล่าสุดที่คุยกันมันส่งคลิปทำคลอดวัวมาให้ผมดู... โคตรรักผมเลย

“พี่ทศดูแลเพื่อนผมดีๆ นะ ทำมันร้องไห้ผมกลับมาฆ่าพี่แน่!”

“ร้องไห้บนเตียงนี่นับด้วยไหมเจ้า?”

“ไอ้พี่ทศ!”

สองเสียงของเพื่อนรักตะโกนขึ้นพร้อมกันด้วยใบหน้าแดงก่ำ ขณะที่เจ้าของชื่อนั้นทำเพียงเอานิ้วก้อยแคะหูตัวเองอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำตวาดนั่น

“ติณณ์เองก็เหมือนกัน” พี่หลงหัวขวับมาหาผม กระชับแขนที่กอดข้าวแน่นขึ้น “ถ้าพี่รู้ว่าทำเพื่อนพี่ร้องไห้เมื่อไหร่ละก็พี่ไม่เอาเราไว้แน่”

“ไม่มีวันนั้นหรอกครับ” ผมว่าเสียงหนักแน่น “แต่ถ้าร้องเพราะอย่างอื่นคงไม่นับสินะ”

คราวนี้เป็นชื่อผมที่ถูกสองเพื่อนซี้เรียกเสียงแข็ง พี่ทศหัวเราะร่าแล้วเดินมาแท็กมือกับผมจนสองคนที่กอดกันอยู่ตีหน้ามุ่ยใส่จนผมถลาไปง้อแทบไม่ทัน

พี่หลงกับพี่ทศอยู่กับพวกเราจนกระทั่งบริษัทขนย้ายมารับของ ตอนเก็บของมันเหมือนจะน้อยนะพอมาจัดแล้วก็หนึ่งรถบรรทุกเล็กเต็มๆ จนผมกับข้าวได้แต่หัวเราะขื่นๆ เพราะไม่คิดว่าของจะเยอะขนาดนี้

และแล้วก็ใกล้จะถึงเวลาเดินทางไปโคราช คนเข้มแข็งอย่างข้าวถึงกับน้ำตานองหน้าเพราะต้องจากเพื่อนรักที่อยู่ด้วยกันตั้งเล็กๆ ไปไกล ซึ่งก็ไม่ต่างจากพี่หลงสักเท่าไหร่ที่ตาแดงก่ำหวิดจะร้องไห้อยู่รอมร่อจนพี่ทศต้องดึงไปโอบไหล่ไว้แต่สุดท้ายสองเพื่อนสนิทก็น้ำตาแตกทั้งคู่จนต้องปล่อยให้ทั้งสองลากันจนพอใจนั่นแหละครับ ยิ่งเมื่อวานก่อนข้าวเพิ่งซึมๆ กับการไปบอกลาที่บ้านอยู่

“ไว้เจอกันนะ”

“อืม ไว้เจอกัน”

คำลาที่ไม่ใช่คำลาเอ่ยออกจากปากสองเพื่อนรัก พร้อมกับรถที่เคลื่อนออกไป


“เรียบร้อยแล้วครับ มีอะไรเรียกใช้ผมได้เลยนะครับ”

กล่องใบสุดท้ายถูกวางลงกับพื้นห้อง พนักงานของคอนโดที่มาช่วยยกของจากชั้นหนึ่งขึ้นชั้นแปดเอ่ยขอตัวกลับประจำที่ ผมยืนมองข้าวเจ้าที่ส่งแบงค์สีม่วงเป็นสินน้ำใจให้อีกฝ่ายที่ยิ้มหวานมองข้าวตาไม่วางแถมยังทำท่าจะชวนคุยต่อ จนผมต้องเอ่ยเรียกคนของตัวเองเสียงแข็ง ก่อนจะเบ้ปากยักไหล่ให้ข้าวที่หันมามองแบบดุๆ

ก็เรื่องดิ... มาถึงก็ทำตัวเฟรนลี่ไปทั่วแจกยิ้มเรี่ยราดซะอย่างนั้น ขังไม่ให้เห็นดาวเดือนดีไหม?

“ชอบห้องนี้ไหม?”

ข้าวเจ้าหมุนตัวจากประตูห้องที่ปิดไปแล้ว เชิดหน้าเมินคำถามผมเดินจ้ำอ้าวมากระแทกไหล่เข้าไปยังห้องครัวและห้องรับแขกเพดานสูง ผมมองตามข้าวที่เดินออกไปนอกระเบียงก่อนจะเดินไปทางห้องทำงานและห้องน้ำที่อยู่ใต้ชั้นลอย ตามด้วยวนกลับมาขึ้นบันไดไปชั้นลอยที่เป็นห้องกระจกและกลับลงมาข้างล่างอีกครั้งแต่ก็ยังไม่ยอมตอบคำถามผมสักคำ

ดูๆ ไปก็เหมือนลูกแมวน้อยที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับการสำรวจบ้านหลังใหม่... ถึงข้าวไม่พูดแต่มองจากสายตาก็รู้ว่าเจ้าของห้องอีกคนถูกใจห้องนี้มากพอสมควรเลยล่ะ

ผมยิ้มขำ เดินไปหาข้าวที่นั่งยองๆ และลงมือแยกข้าวของออกจากกล่องที่วางอยู่หน้าทีวี สอดมือรวบเอวข้าวเข้าหาตัวจนกลายเป็นว่าข้าวหงายหลังมาพิงอกผมพอดีเป๊ะ

ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้นะ แต่เจตนาเต็มๆ เลยล่ะ

“ว่าไงครับ ตอบผมได้ไหมว่าชอบบ้านใหม่ของเราไหม” เอ่ยกระซิบข้างใบหูที่ขึ้นสีของข้าว อ้าปากงับและดึงติ่งหูนิ่มเบาๆ จนรู้สึกถึงอาการสั่นน้อยๆ ของคนในอ้อมกอด “ชอบที่นี่ไหม”

ผมผละจากการใช้หนวดถูไถแก้มของข้าว จ้องมองเส้นผมสีน้ำตาคาราเมลที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ตอบสักทีก่อนกดจมูกลงกับกลุ่มผมตรงหน้านั้นจนข้าวดิ้นไปมาในอ้อมแขน

“...อื้อ”

“หืม?”

“ที่นี่...กว้างกว่าห้องพี่อีก” ข้าวเจ้าพึมพำ ก่อนหันหน้าเปื้อนยิ้มมาหาผม “ข้าวชอบนะ บ้านใหม่ของเรา”

ผมเบิกตากว้างเมื่อถูกริมผีปากอุ่นประทับอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่ก็แค่ชั่วพริบตาก่อนความนุ่มนั้นจะผละออก ซึ่งกว่าผมจะได้สติกับการรุกเล็กๆ ของข้าวเจ้าที่ครั้งจะเกิดสักทีนั้น เจ้าตัวดีก็ลุกออกจากตัวผมไปไกลแล้ว แถมยังแลบลิ้นใส่ผมอีก

มันน่านัก... เล่นลิ้นมากเดี๋ยวพ่อเล่นกลับเลยนี่

“ติณณ์ หยุดคิดอะไรแผลงๆ อย่างจะจับพี่โยนขึ้นเตียงฉลองบ้านใหม่แล้วมาช่วยจัดไอ้พวกนี้สักที” ข้าวตะโกนขึ้นอย่างรู้ทันความคิด เสียงเทปกาวที่ถูกดึงอย่างแรงคล้ายจะเร่งให้ผมลุกจากตรงนี้สักที แต่ขณะที่ผมเดินไปหาคนพูดนั้นผมก็ได้ยินเสียงข้าวพึมพำกับตัวเองอย่างหัวเสีย “เมื่อคืนก็อำลาห้องเก่า ขืนวันนี้มีฉลองบ้านใหม่อีกนี่... มีหวังพรุ่งนี้มีลุกไม่ขึ้นแน่ๆ”

ผมยิ้มขำกับอาการของข้าวที่ยกมือนวดหลังนวดสะโพกตัวเอง และเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวว่าถูกจ้องก็หันมาแยกเขี้ยวใส่ผมพร้อมกับชี้นิ้วสั่งให้ผมจัดของทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว

นี่เจ้าของบ้านหรือทาสในเรือนเบี้ยครับถามจริง...

Tbc.

―――――――――――


เจอกันครั้งหน้ากับจีบครั้งสุดท้ายค่ะ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -31- 14|06|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 14-06-2018 01:41:28
 :katai2-1:


ยินดีต้อนรับเข้าสู่สมาคมคนกลัวเมีย
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -31- 14|06|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 14-06-2018 08:39:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

อยู่กินกันอย่างเป็นทางการ
หัวข้อ: Re: จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: мıınta ที่ 05-07-2018 00:31:09
จีบครั้งสุดท้าย
ข้าวเจ้า
 
ผมคิดว่าติณณ์อาจจะอยากมีลูก...

มันเป็นหนึ่งความคิดที่แวบเข้ามาในหัวหลังจากที่ผมไปเห็นติณณ์กำลังเล่นกับพวกลูกๆ ของพนักงานในบริษัท ภาพของครอบครัวแสนสุขที่มีคุณแม่คนสวย คุณพ่อตัวใหญ่แสนใจดีที่กำลังหลอกล้อกับลูกชาย... หรืออาจจะเป็นลูกสาวลอยเข้ามาในความคิดออย่างห้ามไม่ได้ ถึงแม้มันจะเป็นแค่จินตนาการของผมเองแต่มันก็ทำให้ได้แต่เม้มปากแน่นและเจ็บในอกทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้

...แน่นอนว่าผมมีให้เขาไม่ได้ ไอ้ภาพครอบครัวอบอุ่นอย่างนั้นน่ะ

ผมพยายามไม่สนใจเวลาที่บังเอิญไปได้ยินพ่อแม่ของเด็กพวกนั้นพูดว่าว่าติณณ์คงเป็นพ่อที่ดีได้แน่ๆ ถึงแม้จะเก็บความเฟลเล็กๆ นี้ไว้ในใจคนเดียวแต่สุดท้ายความงี่เง่าของผมก็ทำให้ผมกับติณณ์ทะเลาะกันซะอย่างนั้น

ยอมรับว่าคิดไปเองคนเดียว ถึงไอ้ติณณ์มันเคยบอกว่าไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ก็เถอะ...แต่อนาคตก็ไม่มีอะไรแน่นอนนี่ครับ เพื่อวันดีคือดีพ่อแม่ติณณ์อยากอุ้มหลานขึ้นมาล่ะ ผมจะทำยังไง?

ถึงสุดท้ายก็เคลียร์กันเข้าใจ... และจบลงด้วยบนเตียงก็เถอะ

มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ที่ติณณ์มันไม่ชอบใช้เครื่องป้องกันเวลามีอะไรกับผม แต่ครั้งนี้หลังจากที่ไอ้หมีนั่น...เอ่อ ปล่อยข้างในตัวผม แทนที่จะดึงออกเหมือนทุกครั้งแต่มันกลับสอดความแข็งที่เริ่มอ่อนตัวลงนั่นค้างไว้ แขนที่เริ่มมีกล้ามเนื้อกว่าแต่ก่อนก็กอดรัดตัวผมไว้ไม่ยอมปล่อยห่าง จากนั้นปลายนิ้วของมันก็ลากมายังช่วงท้องน้อยของผม กดลงเบาๆ ก่อนทาบลงเต็มฝ่ามือ

“ข้าวครับ”

“หืม”

”ถ้าผมเสร็จข้างในบ่อยๆ ข้าวจะมีโอกาสท้องไหมนะ” สัมผัสร้อนของริมฝีปากแตะลงมาที่หลังคอก่อนเอ่ยคำพูด และน้ำเสียงที่ดูจริงจังนั้นทำให้ผมหันหน้ากลับไปหาติณณ์ทันทีก่อนจะหลุดร้องครางเมื่อส่วนที่ยังคงเชื่อมต่อกันมันเสียดสีอยู่ภายใน “อืม... ไม่ขยับสิครับคนดี”

“ตกวิทย์หรือไงไอ้หมี” ผมว่าด้วยเสียงแกมหัวเราะ “ข้าวเป็นผู้ชายนะ สเปิร์มไม่ได้ปฏิสนธิกับลำไส้ใหญ่”

เสียงหัวเราะหึ เบาๆ ให้กับมุขแย่ๆ ดังขึ้นมาจากคนที่กอดผมอยู่ ไอ้ติณณ์ถอนตัวตนของมันออกจากภายในก่อนขยับขึ้นมาคร่อมทับตัวผมไว้ ปากของมันแตะลงทั่วใบหน้าและลำคอจนผมรู้สึกจั้กกะจี้

“หนักนะ”

“นี่ ที่ข้าวถามผมไว้น่ะ” ถาม? ผมเผลอทำหน้าสงสัยออกไป ก่อนจะนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ผมไปถาม...ไม่สิมันควรใช้คำว่าผมตะโกนใส่ติณณ์มากกว่าออกไป “ถ้าคนเป็นแม่ไม่ใช่ข้าว ผมก็ไม่อยากมีหรอกครับ”

“แน่ใจกับสิ่งที่ตัวเองพูดนะ?”

“ครับผม มีข้าวคนเดียวผมก็ไม่มองใครแล้ว”

...ให้ตายเถอะ ใครมันสอนให้พูดจาน่ารักเวลานี้

“แต่ถ้าข้าวอยากมี... เราค่อยไปรับเด็กมาเลี้ยงก็ได้เนอะ แม่ผมรู้จักที่อยู่”

ไอ้หมียักษ์ขยิบตาให้ ผมไม่ได้ตอบอะไรกับคำถามนั้น แต่สิ่งที่ผมทำมีเพียงยกริมฝีปากคลี่เป็นรอยยิ้มจาง ยกสองแขนขึ้นคล้องคอคนตรงหน้าไว้และดันตัวเองไปสัมผัสริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาก่อนผละเอาหน้าแดงๆ ของตัวเองไปซุกไว้กับไหล่ของอีกฝ่าย และกัดลงเบาๆ แก้ความเคอะเขินในการกระทำของตัวเอง เสียงหัวเราะทุ้มจากไอ้ติณณ์ที่ได้ยินข้างหูชวนให้รู้สึกอยากกัดให้จมเขี้ยวชะมัด

แต่ผมก็ทำมันลงไปจริงๆ เมื่อได้ยินประโยคต่อไปจากปากของไอ้ติณณ์

“แต่ถ้าได้ทำทุกวัน... สักวันมันก็อาจเป็นไปได้ก็ได้นะ... โอ๊ย ข้าวกัดผมทำไมมมม”

ไอ้หื่นเอ๊ย!


หลังจากวันนั้นที่คุยกันรู้เรื่องแล้วไอ้ติณณ์ก็ไม่ได้ไปเล่นกับเด็กๆ พวกนั้นคนเดียวครับ มันกลับลากเอาผมไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นด้วยเพราะอยากให้คนอื่นได้เห็นโมเม้นพ่อแม่ลูกของพวกเราบ้าง... พ่องเถอะ แต่พอมันเห็นเด็กสาววัยหกขวบที่เอาแต่เขินผมแล้วบอกกับผมว่า ‘โตขึ้นหนูจะเป็นเจ้าสาวให้พี่ข้าวนะคะ’ เท่านั้นแหละครับ ผมเกือบจะไม่ได้เล่นกับเด็กๆ อีก... คนบ้าอะไรวะหึงได้กระทั่งเด็กรุ่นลูก

และวันนี้มันก็เอาผมมาเป็นพี่เลี้ยงจำเป็นอีกแล้ว

“ข้าวววว ข้าวของติณณ์อยู่ไหนครับ หนูนิดของพี่อยู่ไหนกันนะ” ผมถอนหายใจอย่างระอาเมื่อได้ยินคำเรียกที่ติณณ์ตะโกนถาม เด็กสาวตัวจ้อยตรงหน้ายกมือขึ้นปิดปากและหัวเราะเบาๆ ออกมาจนผมต้องยกนิ้วชี้ขึ้นจรดปากเป็นสัญญาณว่าห้ามส่งเสียง

“เบาครับ เดี๋ยวไอ้หมีจะได้ยินเสียงเอา” คำกระซิบนั้นทำให้เด็กตรงหน้าพยักหน้าหงึกหงัก ผมคลี่ยิ้มให้ก่อนดึงอีกฝ่ายมานั่งตัก เอาคางวางบนหัวเด็กน้อยแล้วโยกไปมา

ถามว่าผมทำอะไรน่ะหรอ? เล่นซ่อนหาไงครับ

เนื่องจากว่าตอนนี้ไอ้ติณณ์ยังไม่ได้เข้าทำงานเป็นกรรมการบริหารเต็มตัวเพราะยังไม่ผ่านโปรฯ จากคุณวิเชียร พ่อของมันนั่นแหละ...แม้ว่าจะผ่านมาเกือบปีแล้วก็ตาม เพราะงั้นไอ้หมียักษ์เลยมีเวลามาอ้อล้อกับผมที่อยู่แผนกการตลาดได้ตอนช่วงเย็นๆ แถมยังหอบหิ้วลูกสาวจำเป็นมาเล่นด้วยอีก

“นี่ๆ พี่ติณณ์จะหาเราเจอไหมคะ” เด็กน้อยบนตักที่มีศักดิ์เป็นหลานของไอ้ติณณ์ขยับมาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา ผมส่ายหัวเชิงไม่รู้ก่อนลอบมองออกจากใต้โต๊ะทำงาน เสียงฝีเท้าและเงาของไอ้ติณณ์อยู่อีกฝั่ง

“ก็... ไม่แน่ค่ะ เราอาจชนะก็ได้” ผมยกยิ้มให้อีกฝ่าย เกมส์นี้จำกัดการหาแค่สิบนาทีและตอนนี้ผ่านไปแล้วเก้า “เตรียมไถตังค์ค่าขนมกับพี่ติณณ์ได้เลยนะคะคนเก่---”

“ฮ่ะ เจอข้าวแล้ว!”

โป๊ก!

“โอ๊ย!!”

เสียงตะโกนลั่นของไอ้ติณณ์ดังขึ้น ตามด้วยร่างหมียักษ์ที่ชะโงกหัวมาใต้โต๊ะที่ผมอยู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นทำให้ผมที่กำลังโม้กับเด็กอยู่สะดุ้งตัวด้วยความตกใจ ผลคือผมสะดุ้งจนหัวไปโขกลิ้นชักโต๊ะที่เป็นไม้อย่างแรงจนน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บ

“เฮ้ยๆ ออกมาก่อนๆ เจ็บไหมนั่น หนูนิดลงจากตักพี่ข้าวก่อนค่ะ ให้อาเขาออกมาก่อน หนูนิดมาหาพี่ติณณ์ก่อนนี่มา” ไอ้ติณณ์ว่าด้วยเสียงติดรน เด็กน้อยหันมองผมเล็กด้วยสายตาเป็นห่วงมาให้ก่อนจะโผหาติณณ์ที่อ้าแขนรอ ผมส่ายหัวเล็กน้อยด้วยความมึน ก่อนจะจับมือที่ยืนมาของไอ้ติณณ์เพื่อช่วยพยุงผมออกจากใต้โต๊ะ... แต่ไอ้หมียักษ์ก็ไม่วายบ่น“ก็รู้ว่าตัวเองสูงกว่าเด็กก็ยังไปซ่อนในที่แคบๆ อีกนะคนเรา”

“ใครใช้ให้ติณณ์มาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงล่ะ!” ผมโวยวายใส่ ยกมือลูบลูกมะนาวบนหัวตัวเองปอยๆ “แม่งบวม...”

“โอเคๆ ผมขอโทษก็ได้” ไอ้ติณณ์หัวเราะพลางส่งมือมาลูบหัวผมเบาๆ “ก็ผมได้ยินเสียงคุยกันงุ้งงิ้งๆ นี่ นั่งฟังอยู่นานแล้วล่ะเลยแสดงตัวแต่ก็ไม่นึกว่าจะทำข้าวตกใจจนหัวกระแทกดังขนาดนี้ ดูสิหนูนิดขวัญเสียหมดแล้ว”

ผมมองหนูนิดที่น้ำตาคลอเบ้า ยกสองนิ้วชูขึ้นอีกฝ่ายให้ก่อนรับตัวเด็กน้อยที่โผเข้าหามาไว้ในอ้อมกอด “พี่ไม่เจ็บหรอกค่ะ หนูนิดไม่ต้องร้องนะคะ”

“ใช่ๆ ไม่ร้องนะ เดี๋ยวพี่ติณณ์เป่าเพี้ยงให้พี่ข้าวก่อนเนอะ”

 “อุ๊ย นิดไม่เห็น ไม่เห็นอะไรเลยยยย คิกคิก”

“...” ผมได้แต่เงียบและซุกหน้าลงกับไหล่เล็กของคนบนตักที่ทำน่าเขินอายทันที สาเหตุน่ะหรอ? ไอ้เนียนแม่งจุ๊บหน้าผากผมอ่ะ...

“หึ แดงทั้งหน้าแล้วนะคุณข้าวเจ้า” ไอ้ติณณ์เอ่ยล้อพร้อมกับเสียงเรียกของแม่หนูนิดดังขึ้น เด็กน้อยขานรับ หันมาเอ่ยลาพวกเราก่อนวิ่งออกไป ทิ้งให้ผู้หญิงสองคนนั่งจ้องหน้ากัน “เดี๋ยวผมไปเอาน้ำแข็งให้”

“ฮื่อ” คานรับในลำคอแทบคำตอบ ไอ้ติณณ์ขยิบตาให้ก่อนเดินออกไปนอกห้องและกลับมาพร้อมห่อผ้าที่ใส่ก้อนน้ำแข็งในมือ ประคบลงกลางหัวผมเบาๆ

ทำไมรู้สึกเหมือนแดจาวูวะครับ...

“นี่” ไอ้ติณณ์ที่ง่วงกับการประคบน้ำแข็งส่งเสียงทัก “คิดถึงตอนที่เจอข้าวครั้งแรกเนอะ”

“ที่ร้านไอ้หลงอ่ะนะ?”

“ไม่ดิๆ ตอนไปฝึกงานดิครับข้าว ที่ข้าวฟาดแฟ้มใส่หน้าผมเต็มๆ น่ะ” ติณณ์ทำหน้าแหยๆ ผมร้องอ๋อออกไปหลังจากพยายามนึกย้อนว่าเป็นตอนไหน “เออใช่ๆ พูดถึงเรื่องฝึกงาน พี่ต้นบอกยังว่าพรุ่งนี้แผนกข้าวมีเด็กฝึกงานมาคนหนึ่งนะ แต่พรุ่งนี้พี่ต้นลาเลยจะให้ข้าวดูให้ก่อน”

“ฝึกงาน? ปลายเทอมหนึ่งเนี่ยนะ?” ถามออกไปด้วยความสงสัย ถ้าเทียบตารางมหาลัยนี่น่าจะอยู่ช่วงสอบมิดเทอมแล้ว ไม่น่าใช่ช่วงจะมาฝึกงานนี่? ไอ้หมียักษ์ชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามของผมก่อนมันจะกลับมายิ้มกวนแบบปกติ แต่พิรุธเล็กๆ นั่นก็ไม่รอดสายตาผมที่จ้องมันอยู่นานแล้วไปได้

“ติณณ์ครับ พี่ขอความจริง”

“ก็ไม่มี๊ ไม่มีอะไร” ร้องเสียงหลงเชียวนะมึง... ผมหรี่ตามมองอีกฝ่ายที่พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของผมด้วยการวอแวเรื่องลูกมะนาวบนหัวผมแทน ก่อนผมนี่แหละที่จะเป็นฝ่ายถอยหายใจออกมาเพราะความปากแข็งของแฟนตัวเอง

“ครับๆ ถ้าคุณว่าที่กรรมการบริหารบอกว่าไม่มีผมก็จะเชื่อก็ได้ครับ”

บางครั้งผมก็นึกนะครับ เมื่อไหร่ผมจะพ้นจากการเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานสักที... เบื่อแล้วนะ


และเช้าวันใหม่ก็มาถึง ไอ้คุณติณณ์เอาผมที่ออกจากห้องเร็วกว่าปกติเล็กน้อยมาหย่อนไว้หน้าบริษัทก่อนจะขับไปรับพ่อมันที่บ้าน แต่พอไปถึงแผนกก็ต้องแปลกใจที่ไม่เจอใครอยู่ในนั้น จากประสบการณ์การเป็นพี่เลี้ยงมาหลายปีทำให้รู้ว่าปกติแล้วพวกเด็กฝึกงานมักจะชอบมาก่อนเวลาเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงได้

แต่ก็อาจจะไม่ทุกคนก็ได้... ผมยักไหล่ให้กับความคิดนั้นของตัวเองและเดินเอาของไปที่โต๊ะตัวเองมุมห้อง เกือบสิบนาทีก็ไม่เห็นวี่แววของเด็กฝึกงานคนที่ว่าสักนิด รูปก็ยังไม่เคยเห็นประวัติก็ยังไม่ได้อ่านเรียกได้ว่าไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเด็กนั่นสักนิดแม้แต่ชื่อ ครั้นไปหาพวกเรซูเม่ในห้องหัวหน้าก็ไม่เจอ สงสัยพี่แกจะเอาติดมือไปด้วยล่ะมั้ง

รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มา... ไอ้ที่มาก็มีแต่เพื่อนร่วมแผนก

“อ้าวเจ้า มาเช้าจัง ปกติไม่ได้เวลาไม่มาไม่ใช่หรอ”

“มันมีเด็กฝึกจะมาไงไอ้บาส ก็เลยออกมาเช้าหน่อย แต่รอตั้งนานละยังไม่เห็นมาสักที” ผมตอบคำถามแกมหยอกล้อนั่น บาส เพื่อนร่วมแผนกที่ผมให้ฉายาในใจว่าไอ้หลงสองเลิกคิ้วสู งก่อนจะยิ้มมุมปากและมองผมด้วยแววตาที่... ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกแฮะ “มีอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่าๆๆ ไม่มีๆ เอ้อใช่ คุณต้นบอกว่าเด็กมันน่าจะมาช้าหน่อยนะ” คู่สนทนารีบบอกปัดทันทีก่อนเอ่ยขอตัวอย่างไว ได้แต่มองแผ่นหลังของเพื่อนร่วมงานที่วิ่งกลับโต๊ะตัวเองไปด้วยสายตาไม่เข้าใจ

ผ่านเวลาเข้างานไปได้ไม่นานนัก ไอ้บาสที่นั่งอยู่หน้าห้องก็ตะโกนเรียกชื่อผมพร้อมบอกว่าเด็กฝึกงานที่ผมต้องแนะนำนู่นนี่นั่นให้มาถึงแล้ว...

“เดี๋ยวนะ?” ผมกระพริบตาถี่ๆ ยกมือขยี้ตาตัวเองแรงๆ ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อเห็นหน้าของเด็กฝึกงานที่ว่า ผมกวาดมองบุคคลตรงหน้าที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะ ผมที่ตัดสั้นถูกเซ็ตขึ้นเปิดรับแสงอาทิตย์อย่างดี แล้วไหนจะ... ป้ายห้อยคอที่บอกชื่อและตำแหน่งอย่าง Internship ไว้เรียบร้อย “เล่นอะไรฮะ ไอ้ติณณ์”

เจ้าของชื่อเอาแต่ยิ้มกว้างไม่ยอมตอบคำถามจนผมหงุดหงิด จริงๆ ผมนึกไว้แล้วแหละว่าเรื่องนี้แม่งมีอะไรไม่ชอบมาพากล และมันต้องมีเงื่อนงำมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมาไม้นี้

“ติณณ์...”

“ไอ้เจ้าเว้ย อย่าทำเสียงแข็งใส่น้องมันดิ เดี๋ยวน้องมันกลัวหัวหดหมดหรอก” ไอ้บาสหัวเราะร่าอย่างสะใจที่เห็นผมทำตัวประหลาดออกไป มันเดินมาตบไหล่ผมแรงๆ ก่อนจะปลีกตัวหายไปจากสายตา

และนั่นทำให้ผมหันมาสนใจคนตรงหน้าอีกครั้ง

“คิดบ้าอะไรวะเนี่ย” ผมสบถออกไปอย่างหัวเสีย ผิดกับไอ้ติณณ์ที่ยิ้มกว้างไปถึงใบหู “แล้วนั่นยิ้มบ้าอะไรนักหนา”

ไอ้หมียักษ์ไม่ตอบ แต่มันกลับส่งมือมาข้างหน้าแทน

“อะไร”

“ผม...ติณณ์ครับ ต่อจากนี้อีกสามเดือนกว่า ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” ผมขมวดคิ้วกลับประโยคุ้นหูนั่น ก่อนจะยกยิ้มกว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ และส่งมือไปจับกับมือหน้าตรงหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้งครับพี่ข้าว”

“อย่ามาเรียกผมว่าข้าว!” ผมแกล้งทำเสียงดัง เอ่ยต่อบทสนทนาที่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำของเรา

“แล้ว... หน้าที่ของเด็กฝึกงานต้องทำอะไรบ้างหรอครับพี่ข้าว” ไอ้ติณณ์ปล่อยมือผมลง มันแสร้งทำเป็นหันมองไปรอบๆ ห้องอย่างสนอกสนใจในออฟฟิศที่มันเห็นมาเป็นปีๆ ก่อนจะยกมือผมขึ้นไปกุมอีกครั้ง “มีงานดูแลหัวใจคนแถวนี้ไหมครับ”

“นี่จีบ? คิดจะข้ามรุ่นหรือไงไอ้หนู”

“ครับ ผมถูกใจพี่ตั้งแต่แรกเห็น ขอผมจีบพี่ข้าวได้ไหมครับ” คำสารภาพที่เคยฟังมาแล้วเรียกให้ผมที่เก็กหล่อเต็มที่หน้าขึ้นสี ไหนจะเสียงตะโกนแซวของคนในแผนกที่คล้ายกับเชียร์ให้เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวในงานแต่งนั่นอีก มันทำให้ผมอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้นๆ ถ้าไม่ติดว่ามือถูกไอ้ติณณ์จับไว้แน่น

“...”

“ไม่ตอบ อ้ะ งั้นผมจีบบบบ” ผมขำพรืดเมื่อติณณ์มันยกมือขึ้น วาดนิ้วโป้งจดกับนิ้วชี้เป็นวง กรีดสามนิ้วที่เหลือไปด้านหลังและยื่นมาตรงหน้าผม “นี่จีบติดแล้วนะครับ รักผมได้ยัง?”

“โว๊ยยย ใครสั่งใครสอนให้เล่นมุขนี้ห๊ะ!” กองเชียร์ประสานเสียงด่าคนตรงหน้าผมอย่างพร้อมเพียง

“ตอบผมก่อนดิ” ติณณ์ยู่หน้า เจ้าของใบหูที่แดงก่ำเอ่ยเร่ง “จีบแล้วครับ รักผมที”

“...ไม่”

“...”

ผมมองติณณ์ที่ทำหน้าเสียกับประโยคปฏิเสธนั่นโดยมีซาวด์ประกอบเป็นเสียงโห่ แต่ไม่นานนักรอยยิ้มจางก็ปรากฏขึ้นบนหน้าของติณณ์เมื่อผมดึงมันเข้ามาใกล้ และกระซิบเสียงแผ่วให้คนฟังได้ยินแค่คนเดียว

“ไม่ต้องจีบ ก็รักแล้วนะครับ”

- END -


――――――――――――――――――――――――――――――――

งื้อออ พี่ข้าวกับนังติณณ์เดินทางมาถึงจีบสุดท้ายแล้ว ใจหายอ่ะ.... ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตั้งแต่ช่วงธันวาจนถึงตอนนี้นะคะ รู้สึกว่าเป็นการเดินทางที่ยาวมากกก เหมือนจะยาวกว่ากลิ่นกาวน์อีก ขอบคุณทุกคอมเม้นทุกกำลังใจนะคะ จุ๊บบบบ
บอกตามตรงนี่รู้สึกผิดที่ลงช้ามากกกกกกก ไม่ได้ตั้งใจจะหายไปหรือเทอะไรนะคะ พอดีมีปัญหานิดหน่อยกับที่ทำงานเลยได้แต่วางพล็อตจบไว้แล้วว่าอยากให้เป็นอย่างนี้ๆ พอมีเวลาว่างก็แต่งได้ทีละนิดละหน่อยแต่ความเครียดจากที่ทำงานทำให้แต่งไม่ค่อยออกก นี่พอออกจากงานแล้วหัวถึงกับไบร์ท เลยลุยเอาไอ้นิดๆ หน่อยๆ นั่นมารวมเป็นตอนเดียวเลย ฮาาา
ถ้าเราไหว... เจอกันเรื่องหน้านะคะ /ขยิบตา
ปล. จีบสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด เหลือตอนพิเศษอีกนะ อิอิ
ปลล. ขอพื้นที่โฆษณาแปบ กลิ่นสีและกาว(น์)หมอเปิดพรีเซลแล้วนะคะ วางจำหน่ายงานวายบุ๊คนี้เน้อออ
หัวข้อ: Re: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-07-2018 09:51:26
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-07-2018 23:32:09
 :katai2-1:



หวานนนนนนนน
หัวข้อ: Re: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-07-2018 09:23:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

จอบอจบ  จบแย้ว
หัวข้อ: Re: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: O-RA DUNGPRANG ที่ 06-07-2018 09:40:20
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: arissara ที่ 07-07-2018 02:01:21
น่ารักม๊ากกกกก
หัวข้อ: Re: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 08-07-2018 09:56:56
 o13
หัวข้อ: Re: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-07-2018 18:45:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 12-11-2018 13:47:20
เนื้อเรื่องน่ารักมากก อ่านได้เรื่อยๆสบายๆ ไม่ดราม่า แต่อยากฝากนิดนึง เจอคำผิด บางประโยคมีตกหล่นหรือเกินมาบ้าง ทำให้อ่านๆไปแล้วสะดุดนิดหน่อยนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] จีบนะครับ...รักผมที -จีบครั้งสุดท้าย- 05|07|2561 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:29:31
 :pig4: