พิมพ์หน้านี้ - เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 07-01-2018 20:53:04

หัวข้อ: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 07-01-2018 20:53:04
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

“จับมันให้ได้”

            เสียงตะโกนคำรามเข้ากันได้ดีกับเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นสัญญาณเตือนของมัจจุราชที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาผม ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักช่วยบังทัศวิสัยของพวกมันรวมถึงผมได้เพียงแค่นิดเดียว ตัวผมตอนนี้กำลังอยู่ในพุ่มไม้สูงเนื้อตัวหนาวสั่นจับใจ ฟันสั่นกระทบกันจนไม่สามารถควบคุมได้เหมือนกับใจที่อยู่ภายในที่เต้นดังราวกับจะทะลุออกมา น้ำที่ไหลมาบนหน้าไม่สามารถแยกออกได้ว่ามันคือน้ำฝนหรือน้ำตามันไหลออกมามากมายจนผมควบคุมไม่ไหว ผมได้แต่นั่งอยู่ตรงนี้เพื่อรอ เพื่อรอให้พวกมันไม่เจอผม ผมภาวนา ภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ผมรอดจากที่นี้

 

            รอดจากช่วงเวลาลานรกแห่งนี้

 

 

 

นี่เป็นนิยายเรื่องแรกของผู้เขียนนะครับ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ชื่อตัวละครและสถานที่เป็นเรื่องสมมุติ โปรดอ่านเพื่อความบันเทิง

เรื่องนี้มีการบรรยายถึงการกระทำที่รุนแรงและหดหู่
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 1 01/07/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 07-01-2018 21:07:34
       บทที่ 1


        ผมนั่งมองรถเก๋งสีดำยี่ห้อดังจากยุโรปค่อย ๆ เคลื่อนตัวจากไป ผมนั่งมองจนลับสายตาก่อนที่จะหันไปทางบันไดเพื่อขึ้นไปสู่ที่พักของผม ที่พักที่เป็นของผมคนเดียวเท่านั้น

       ผมเปิดประตูห้อง ตอนนี้สภาพของมันดูไม่ได้สักเท่าไหร่เพราะผมเพิ่งเข้ามาประกอบกับหอพักที่นี่ค่อนข้างเก่า การบำรุงรักษาเลยไม่ค่อยดีนัก แต่ก็แลกกับราคาที่ถูกมาก ๆ จนทำให้ผมไม่ต้องดิ้นรนจนเหนื่อยมากนัก
 
       ผมค่อย ๆ เปิดลังที่ใส่สิ่งของส่วนตัวจากบ้านหลังเก่ามาจัดวางไว้ โชคดีที่ผมไม่ได้มีสมบัติติดตัวอะไรมากมายนัก จะมีก็แต่สิ่งของที่จำเป็นเช่น เสื้อผ้า หนังสือ ของประดับเล็กน้อย แต่ของเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพียงพอสำหรับผม

   .

   .

   .

        ผมเดินมาที่หน้าปากซอยตรงแถวนี้เป็นตลาดขนาดเล็กที่ขายของทั่วไปบนฟุตบาท ผมเดินไปเรื่อย ๆ สวนกับผู้คนมากมาย ผมไม่ได้เป็นมิตรพอที่จะต้องยิ้มให้ใครและก็คงไม่มีใครบ้าพอที่จะทำอย่างนั้น ผมเดินมองหาของที่อยากจะกินไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่มีจนกระทั่งมาหยุดที่ร้านอาหารตามสั่ง ผมจึงเดินเข้าไปแล้วสั่งกะเพราหมูสับเมนูง่าย ๆ ที่ไม่ต้องคิดมาก
 
        ผมเดินไปนั่งโต๊ะตรงในสุด เสียงทีวีของร้านอาหารตามสั่งดังแข่งไม่แพ้เสียงพูดคุยภายในร้านที่วุ่นวาย จนคนที่เป็นคนทำอาหารเห็นแล้วหัวหมุน ผมหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะมาอ่านฆ่าเวลา
   
       สลดแม่ลูก ถูกรุมโทรมในย่านสลัม ตำรวจแจ้งสาเหตุเพราะยาบ้า
   
        ผมค่อยๆอ่านข่าวอย่างพิจารณาก็ได้แต่เวทนาแม่ลูกคู่นั้น คนสมัยนี้ไว้ใจได้ยาก แถมย่านแบบนั้นก็ไม่แปลกที่จะมีพวกที่จัดว่าเดนสังคมอยู่ เป็นผมผมก็ไม่เอาตัวเองไปข้องเกี่ยวแต่แรกหรอก ผมวางหนังสือพิมพ์พอดีกับอาหารยกมาเสิร์ฟ ผมจึงสนใจอาหารตรงหน้ามากกว่า ตักไปคำแรก รสชาติไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นะ หลังกินเสร็จผมก็เดินกลับขึ้นห้องไปทันทีเพราะรำคาญบรรยากาศรอบ ๆ

        ผมใช้เวลานั่งมองกระจกอยู่ปลายเตียงหลายนาที หลังจากกลับมากินข้าวที่ร้านอาหาร ผมนั่งมองดูตัวเอง มองใบหน้าที่หมองคล้ำ มองรอยเล็ก ๆ ที่เหมือนมือบริเวณต้นคอ
 
   มันกำลังจะหาย

        ผมบอกตัวเองอย่างนั้นก่อนที่จะค่อยลูบเบา ๆ ตรงบริเวณคอ รอยพวกนี้จะไม่มีวันกลับมา ชีวิตของผมจะต้องดีกว่านี้ ลำบากหนักหน่อยแต่ก็ดีกว่า ดีกว่าที่อยู่ในบ้านเฮงซวยนั้น

        ก๊อก ๆ

        ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันไปมองที่ประตูหน้าห้อง เสียงเคาะดัง ๆ ทำให้ผมรีบเดินไปที่หน้าประตูแล้วเปิดออกมา
 
        “อ้าวหนู เป็นไงบ้าง? ห้องสบายดีไหม? ” คุณป้าดูแลหอถามผม

        “สบายดีครับ ขอบคุณครับ” ผมตอบตามมารยาท

        ผมพิจารณาใบหน้าที่เปื้อนยิ้มที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ใจดี ตรงกันข้ามกับที่ผมเห็นตอนเข้ามาใหม่ ๆ ช่วงที่กำลังหาห้องพัก ป้าแกกำลังนั่งเมาท์กับเพื่อนอย่างออกรส นินทากันสนุกสนานชนิดที่ว่าคนที่โดนนินทานั้นถ้าได้ยินก็คงต้องโกรธจัด ถึงขั้นเดินไปตบปากป้าแกได้แน่ ๆ ขนาดผมที่เป็นคนนอกเมื่อได้ยินเสียงนินทาอันแหลมหูกับท่าทางที่ดัดจริตเกินบรรยายของคุณป้า ยังรู้สึกเบื่อหน่ายปนรังเกียจ

        “หนู หนูจ๊ะ!!!!!!!!!!” เสียงคุณป้าตะโกนดังขึ้น

        ผมตกใจเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มอย่างไม่เต็มใจนัก

       “ครับ” ผมถาม

       “โทษทีจ้า เห็นหนูเหมอ ๆ นึกว่าหนูเป็นอะไร พอดีจะถามว่าหนูชื่ออะไรจ๊ะ”

       “ผมชื่อ ริน ครับ”

       “หนูริน ชื่อน่ารักสมหน้าตาหนูนะเนี่ยขนาดเป็นผู้ชาย แล้วหนูเรียนที่ไหนเหรอจ๊ะ”

       “ผมไม่ได้เรียนครับกำลังทำงาน”

       “หา!!! นี่เรียนจบแล้วเหรอเนี่ย” เสียงคุณป้าดูประหลานใจเล็กน้อย

       “ครับ จบ ม.หก ตอนนี้กำลังทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารญี่ปุ่นครับ ถ้าคุณป้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ”

        ไม่รอให้ป้าแกกล่าวอะไรผมปิดประตูทันที ไม่ได้อยากจะไม่ผูกมิตรกับใครแต่แค่เห็นกันเป็นผู้ร่วมอาศัยก็มากเกินพอแล้ว สำหรับคนแบบนี้ ผมได้แต่ภาวนาให้ยอมรับมันได้ เพราะผมเลือกชีวิตแบบนี้เอง คนที่ผมเคยเจอไม่มีทางที่จะเป็นแบบนี้หรอก

        แต่คนที่ผมเคยเจอ...ก็ไม่เคยมีใครดีสักคน
 
       .

       .

       .

       ผมเปลี่ยนชุดทำงาน กำลังยืนเช็คความเรียบร้อยอยู่หน้ากระจก ผมค่อย ๆ เช็คอย่างละเอียดเพราะวันนี้คือการทำงานวันแรก ผมไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาดนัก ผมอยากสร้างความประทับใจแก่ผู้จัดการและคำสบประมาทที่มองผมเป็นลูกคุณหนู
 
       ลูกคุณหนู

       คำแบบนี้ผมไม่เคยเป็นถึงแม้ครั้งหนึ่งในชีวิตจะใกล้เคียงคำนี้ แต่มันไม่มีอีกแล้ว ไม่มีวันที่จะเป็นเหมือนเดิมแน่นอน
ผมเดินลงมาที่ชั้นหนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงดังแว่ว ๆ มาทางหน้าหอ เสียงคุ้นหูอย่างนี้เป็นใครไม่ได้นอกจากยัยป้าจอมแส่แน่ ๆ ผมเดินเบา ๆ เพื่อตั้งใจฟังบทสนทนาที่ได้ยินอย่างบังเอิญ

      “กูตงิด ๆ ใจแต่แรกแล้วล่ะ คนมาส่งมันขับรถซะใหญ่โตหรูมากกกกก แต่ดันมาเช่าห้องถูก ๆ ที่เหลืออยู่ แหม อีท่าว่าก็คงจะเป็นเด็กใจแตกโดนทิ้ง หรือไม่ก็พวกคนรวยถังแตกที่ไม่อยากมีภาระล่ะหว่า”

      “แต่หนูว่า น่าจะเป็นเด็กเสี่ยที่โดนทิ้งมากกว่านะป้า”

      “เองจะบ้าเหรออีสร้อย เด็กนั้นมันเป็นผู้ชายถึงจะดูหน่อมแน้ม แต่มันก็คงไม่มีทางเป็นเด็กเสี่ยหรอก”

      “โอ้ยยย ป้าสมัยนี้เค้านิยมของแปลกทั้งนั้นแหละ ดูเด็กนั้นก็มีอันจะกินฉันเห็นนาฬิกากับมือถือมันนะป้า มันไม่ใช่ของที่พวกเราจะซื้อได้ง่าย ๆ ”

      “แต่กูว่ามองว่าเป็นพวกเด็กหนีออกจากบ้านนั้นแหละ ฮ่า ๆ”

      เสียงสนทนาที่ฟังแล้ว รู้สึกเจ็บลึก ๆ แต่จะว่าไปมันก็มีส่วนถูกนั้นแหละ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ผมจะสนใจนัก ผมเดินตรงไปทำเป็นไม่สนใจสองคนนั้น เพื่อเดินไปที่หน้าปากซอย

      “เห็นไหม ไม่เห็นทักกูเลย หน้าตาก็เหวี่ยง ๆ เฮ้อ คนเราจมไม่ลงจริง ๆ”

      “ถ้าเป็นอย่างป้าว่าก็น่าสงสารนั้นแหละ คนรวยที่ต้องตกอับมาอยู่ที่แคบ ๆ แบบนี้ แต่หน้าตาก็ดีไม่น่าทำหน้าหยิ่งอย่างนั้น”

       บทสนทนาค่อย ๆ เบาลงตามระยะทางที่ได้ยิน ผมไม่ได้สนใจอะไรหรอกนะ กับคำพูดของพวกปากหอยปากปู ไม่รู้ก็พูดไปเรื่อย เดินผ่านขนาดนั้นยังนินทาได้นับถือสกิลของพวกนั้นเลยแหละ สกิลสาระแนที่แท้จริง

       .

       .

       .

       ผมเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนขึ้นมาใส่และเช็คตัวเองอีกรอบที่กระจกในห้องพักพนักงานผมมาก่อนเวลาสิบนาที แต่ผมก็ไม่อยากจะนั่งเฉย ๆ รอเวลาเป๊ะ ๆ หรอก ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะเดินออกไปทำงาน

       งานวันแรกค่อนข้างหนักพอสมควร ลูกค้าหลากหลายมากมาย นิสัยดีปนไม่ดีมั้ง แต่ผมก็ทำใจไว้แล้วล่ะ ผมเคยเห็นอะไรแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่ผมยังมาร้านนี้กับแม่

        แม่งั้นเหรอ

       ผมสะบัดหัวเพื่อหลุดจากอาการเหมอลอย ก่อนที่จะเดินไปทำงานจนเมื่อถึงเวลาที่ออกจากเวรผม ผมเดินเข้าไปที่ห้องพักพนักงาน พวกเขากำลังคุยกันเสียงดังถึงเรื่องงานวันนี้บางก็บ่นลูกค้า บางก็นินทาเจ้านาย ไม่ว่าไปที่ไหน ๆ ก็ไม่พ้นการนินทา เมื่อผมเดินเข้าไป บทสนทนาที่พูดคุยกันเจื้อยแจ้วก็เงียบลง เหมือนผมเป็นคนเดินไปหยุดบทสนทนาเหล่านั้นเอาไว้ ผมไม่ได้สนใจก่อนที่จะเดินไปที่ล็อคเกอร์เก็บของพนักงาน เสียงซุบซิบก็ดังขึ้น ก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งที่ตัดรำคาญถามขึ้นมากลางอากาศ

        “น้องชื่ออะไร?”

        ผมหันไปมองตามเสียงนั้น คนถามเป็นผู้ชายหน้าตาธรรมดา ๆ ผิวแทน ๆ แต่ดูสะอาด ผมค่อยยกนิ้วชี้ขึ้นมาที่ตัวเองเพื่อยืนยันคำถามว่าพวกเขาถามผมเหรอ พวกเขาพยักหน้า

        “ผมชื่อรินครับ”

        “พี่ชื่อ ไม้ นี่หนอนกับไอ้แป้ง”

        พี่คนที่ชื่อไม้หันไปชี้ที่ผู้ชายที่ชื่อหนอนและแป้งที่เป็นผู้หญิงที่ดูตัวเล็ก ๆ ผมพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่จะค่อย ๆ เก็บของของตัวเอง

        “เหนื่อยไหมวันแรก?” พี่ไม้ถามผม

        “ก็ไม่เท่าไหร่ครับ โอเคอยู่” ผมตอบกลับไปน้ำเสียงปกติ

        “เห็นดูคุณหนูๆ แต่ก็โอเคนี่หว่า นี่สนใจไปกินฉลองกับพวกพี่หรือเปล่า ถือเป็นการต้อนรับเราด้วย”

        “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ” ผมยิ้มตอบไป ก่อนบทสนทนาจบลงแค่นั้น

        .

        .

        .

        ผมเดินไปรอรถที่หน้าร้านอาหาร ผมนึกถึงพวกพี่เมื่อกี้ผมไม่ได้ที่จะทำตัวไม่แคร์โลกหรืออยากจะอินดี้ เพื่ออยู่คนเดียวแต่ผมก็ไม่อยากผูกมิตรมากนัก เพราะมันมักเกิดปัญหาเวลาที่เราสนิทกันมากเกินไปความเกรงใจบางอย่างก็จะไม่มีและบางทีคนพวกนี้แหละที่ไม่น่าไว้ใจและทำร้ายเราได้มากที่สุด

        เหมือนกับครอบครัวที่ทำกับผม





สวัสดีครับนี่เป็นนิยายเรื่องแรก มีอะไรก็คอมเม้นท์กันได้นะครับ อิอิ
ปล. ขอรบกวนแนะนำวิธีจัดหน้านิยายตอนลงที่เล้าด้วยนะครับ ขอบคุณมากนะครับ :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 1 01/07/18
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 07-01-2018 21:45:34
คงไม่มีเหตุการณ์อะไรสะเทือนใจมากใช่ไหมคะ อ่านชื่อเรื่องแล้วคิดไปไกล
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 1 01/07/18
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 07-01-2018 21:56:58
 :mc4:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 2 01/09/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 09-01-2018 18:43:23
      บทที่ 2


       
       “ถ้าเป็นนิยายทั่วไปพระเอกมักจะมาในเวลาที่ใช่ เพื่อช่วยนางเอก แต่ในความเป็นจริงโลกของเรามันไม่มีพระเอกและนางเอกอยู่เลย”

       ผมยังนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยตรงหัวเตียงพร้อมกับถือนิยายเล่มโปรดที่เปิดอ่านไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ไม่ว่าจะอ่านมันกี่ครั้งก็ทำให้ผมสบายใจ เหมือนหลุดเข้าไปในโลกของนิยายเรื่องนั้น ๆ บางทีความจริงก็โหดร้ายเกินไปสำหรับผม และนิยายมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวละครอย่างน้อยก็โชคดีที่มีเหตุการณ์กำกับไว้จากผู้เขียน

       มีอดีตก็ลืมได้…..เพราะได้เจอคนที่ทำให้ลืมอดีต

       หรือไม่ก็มีสิ่งที่คอยเป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านไปได้

       แต่ผมเอง ณ ตอนนี้ไม่มีใครเลยสักนิด ตัวคนเดียวกับอดีต…อดีตอันโหดร้าย ที่ยังฝังรอยลึกไว้ตรงคอและลำตัวของผมอย่างชัดเจน ต่อให้พยายามลืมแค่ไหน เมื่อถอดเสื้อผ้า รอยพวกนั้นก็ยังกระตุ้นความทรงจำเสมอ ทำยังไงนะ…ถึงจะลืมมันได้จริง ๆ

       ตอนนี้เปลือกตาของผมค่อย ๆ ปิด พร้อมกับความคิดที่คอยผสมปนเปกันไปและจากนั้นก็ความคิดเหล่านั้นก็สงบลง

       .

       .

       .

       “อยู่บ้านนะ แล้วอย่าออกไปไหนล่ะ”

       เด็กชายค่อยๆพยักหน้าตอบรับคำสั่งของมารดา ในมือของเขาถือตุ๊กตาที่เขารักไว้อย่างแนบแน่นราวกลับว่ากลัวมันจะหายไป เด็กคนนั้นเดินเข้าไปในบ้านก่อนที่จะเจอคุณลุงตัวใหญ่คนหนึ่ง กำลังยืนมองเขาอยู่ คุณลุงคนนี้ค่อยเดินลงมาแล้วนั่งยอง ๆ เพื่อให้ตัวพอๆกับเขาก่อนที่จะลูบหัวเขาเบา ๆ

       “อยู่กับลุงนะ แล้วเราจะมีอะไรให้สนุก ๆ ได้ทำเยอะแยะ”

       เสียงใจดีของคุณลุงคนนั้นดังเข้ามาในหัว ตัวของเด็กน้อยคนนั้นก็ลังเล เขากลัวเพราะมารดาของเขามักจะบอกเสมอว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้า แต่คุณลุงคนนี้ก็คือคนที่มารดาของเขาพามาแนะนำว่าเป็นเพื่อนพร้อมบอกให้เด็กชายรียกว่าพ่อ แต่เด็กชายส่ายหัว

       “ไม่”

       เสียงภายในใจของเขาตอบออกมา เขาจะไม่ยอมเรียกใครคนอื่นนอกจากบิดาของเขาที่ยังไม่กลับมาว่า”พ่อ” เด็ดขาด

       .

       .

       .


       ผมค่อยลืมตาทันทีพร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น ผมปิดเสียงนาฬิกาก่อนค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง ตัวของผมตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อ ผมเอามือลูบหน้าตัวเอง เหงื่อผุดเต็มใบหน้าไปหมด แล้วน้ำตาของผมก็ไหลออกมา

       ความฝันในอดีตที่ยังไม่หายไป

       ผมเองก็ไม่เข้าใจกับอาการของผมหรืออะไรก็ตามที่บอกได้ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ ผมรู้แต่เพียงว่า ผมจะลืมมันไม่ได้ ถ้าผมยังอยู่ที่เดิม ผมจึงตัดสินใจมาอยู่ที่นี่พร้อมกับแม่ของผมก็เห็นด้วย เพราะท่านเองก็ไม่อยากจะมองหน้าผมสักเท่าไหร่

       เพราะอะไรล่ะ

       เพราะใครกัน

       ต่อให้ผมหนีออกมาได้ มันก็ยังตามมา อดีตที่ไม่น่าจดจำก็ยังจะตามมาอยู่เสมอ เห็นไหมผมหนีไม่ได้ และต่อให้ตายก็หนีไม่พ้นหรอก

       .

       .

       .

       “ผมว่าคุณควรให้ลูกออกไปใช้ชีวิตของตัวเองได้แล้วนะ”

       “ทำไมล่ะคะ?”

       “คุณไม่เห็นเหรอ ว่าเขาไม่ทำอะไรเลยเหมือนกับพวกอ่อนแอ น่าสมเพช คนแบบนี้มีแต่รอวันตาย”

       “ทำไมคุณพูดถึงลูกของฉันแบบนั้น เขาแค่กำลังป่วย”

       “ป่วยเหรอ ป่วยจนต้องสร้างเรื่องโกหกให้ผมเสียหาย ผมรับไม่ได้หรอกนะที่จะต้องอยู่ร่วมกับคนอย่างมัน”

       .

       .

       .


       ผมลุกออกจากเตียง แล้วเดินไปล้างหน้า ชำระร่างกายของตัวเองให้สะอาด กระจกในห้องน้ำสะท้อนตัวผมที่ยังหมาด ๆ ใบหน้าของผมที่มีรอยคล้ำใต้ตา ไม่มีความสดใส หน้าที่ขาวอยู่แล้วกลับซีดลงอย่างเห็นได้ชัด มองลงไปที่บริเวณคอ รอยที่เด่นชัดยังคงอยู่ ทุกคนเห็นแต่ไม่มีใครกล้าถาม นี่แหละคือที่เขาอยากได้ เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก

       หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมเดินออกไปทางหน้าปากซอยเพื่อที่จะซื้อปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู ตลาดตอนเช้าก็ไม่ต่างจากตอนเย็นเมื่อวาน เพียงแต่ความวุ่นวายถูกเพิ่มเข้ามาด้วยความรีบเร่ง ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่เต็มไปด้วยชุดพนักงานออฟฟิศและชุดนักเรียนที่กำลังเดินทางไปเรียน ชุดนักเรียนชายขาสั้น สีดำ น้ำตาล น้ำเงิน เดินกันขวักไขว่ บางก็มาคนเดียว บางก็มากับเพื่อนฝูง เฮฮากันตามภาษานักเรียนชาย เสียงของเด็กนักเรียนหญิงก็เฮฮาไม่แพ้กัน

       ผมเดินไปพร้อมกับซึมซับบรรยากาศความสดใส ความคุ้นเคยที่อย่างน้อยผมก็ผ่านมันมาแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากให้มันจากไปเลย

       เพราะโรงเรียนคือที่ดีที่สุดสำหรับผม

       มีเพื่อน มีที่ที่ให้เล่น มีที่ที่ไม่ต้องนึกถึงเรื่องที่บ้าน มีที่ที่ผมสามารถสดใสได้อย่างจริง ๆ

       แต่ทุกอย่างก็จากไปหมดแล้ว เพราะธรรมชาติสร้างให้ชีวิตเดินไปข้างหน้า ถอยหลังไม่ได้ หยุดนิ่งไม่ได้ เราไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ นอกจากที่จะรอชะตากรรมข้างหน้าที่จะเกิดขึ้น

       มันคือบททดสอบหรือเปล่า?

       ผมเดินไปหยุดที่ร้านน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ ผมไม่อยากกินอะไรมาก เพราะผมก็ไม่ได้หิวอะไรมากมาย บวกกับชีวิตตอนนี้ผมไม่ควรกินอะไรที่เยอะแยะเกินความจำเป็น จะว่าไปก็นึกถึงตอนอยู่บ้านที่เวลาลงมา จะมีแม่บ้านคอยเตรียมอาหารให้ แต่ก็นั้นแหละไม่มีอีกแล้ว

       หลังจากซื้อเสร็จผมตัดสินใจเดินกลับ เพราะคงไม่มีอะไรที่จะต้องซื้อแล้ว แต่การหันกลับของผมนั้นเกิดผิดพลาดนิดหน่อยทำให้ผมหันไปชนกับคนที่เดินมาข้างหลัง

       คนที่ผมเดินชนกำลังอยู่ในชุดนักเรียน ผมรีบกล่าวคำขอโทษไปทันที
 
       “ขอโทษครับ” ผมกล่าวออกไปก่อนมองไปที่หน้าคนที่ผมชน

       เด็กคนนี้หน้าไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่านักเรียนสักเท่าไหร่ ไรหนวดเข้ม ใบหน้าคม ๆ ที่ดูดุเกินวัย กับรอยแผลเป็นบนหน้าทำให้ภาพรวมของใบหน้าของเขาดูเกินวัยไปมาก รู้นะว่าไม่ควรตัดสินคนจากภายนอก แต่ใบหน้าที่ฉุนเฉียวยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูน่ากลัวอย่างที่เป็น

       “มึงเดินบ้าอะไร!!!!! ไม่ดูทางเลย”

       เสียงตะโกนทุ้มใหญ่ของเขาเสียงดัง จนทำให้รอบข้างหันมามองที่พวกเรา ตอนนี้หลายคนเริ่มหยุดกิจกรรม แล้วหันมาสนใจพวกเรา

       ผมมองไปดูที่เสื้อของเขาก็พบว่าเปื้อนจากน้ำในแก้วที่เขาถือมา สภาพของมันดูไม่ได้เลยทีเดียว

       “ขอโทษนะครับ”

       ดูเหมือนคำ ๆ นี้ยิ่งไปกระตุ้นต่อมอารมณ์ของเด็กคนนี้เข้า เด็กคนนั้นยิ่งแสดงอาการโกรธมากกว่าเดิม พร้อมกับกระชากคอเสื้อของผมเข้าใกล้ตัว ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้ผมต้องเงยหน้ามองเขาในระยะประชิดกว่าเดิม ยิ่งเห็นชัดถึงความบิดเบี้ยวบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ

       “คิดว่าขอโทษมันจบอย่างเดียวหรือไงหา!!!!!!!!”

       ผมเริ่มสั่นนิด ๆ ตอนนี้ผมเป็นต่อทั้งพละกำลังและร่างกาย เด็กนักเรียนกระชากถุงน้ำเต้าหู้ในมือของผม พร้อมกับกับปาใส่หน้าของผมทันที

       เสียงกรี๊ดดังลั่นของผู้คนรอบ ๆ ที่ตกใจการกระทำของเด็กนั้น โชคดีที่น้ำเต้าหูไม่ได้ร้อนมากนัก แต่ยอมรับว่าปวดแสบเหมือนกัน ผมผลักมันออกไป พร้อมกับก้มมองดูตัวเองที่เปื้อนไปด้วยน้ำเต้าหู้ และเงยหน้ามองมัน

       “พอใจแล้วใช่มั้ย” ผมถามมันออกไป

       แต่ไม่ทันที่มันกำลังจะพุ่งเข้ามาหาผม ชายหนุ่มคนหนึ่งก็มาจับมันไว้ เพื่อห้ามมัน

       “ปล่อย!! ปล่อย!! ปล่อยกู!!”

       เสียงมันตะโกนโวบวาย แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรก่อนจะรีบเดินกลับไป

       “น้องพอได้แล้ว” ชายหนุ่มพยายามห้ามมัน

       “ปล่อยกู ไอ้ห่ามึงกลับมาก่อน” เสียงมันตะโกนตามหลัง

       ผมรีบเดินกลับไปที่หอด้วยสภาพที่ดูไม่ดีนัก คนที่ผมเดินผ่านต่างมองผมเมื่อยามที่ผมเดินผ่านไป ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบเลยจริง ๆ ความเร็วจากการก้าวเท้าของ ทำให้ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เดินถึงห้องผมล็อคห้องทันทีที่เข้ามา ก่อนจะตั้งสติ…..ใจเย็น ๆ ริน ใจเย็น ๆ

       ผมเดินไปที่ห้องน้ำถอดเสื้อผ้าแล้วชำระร่างกายตัวเองใหม่

       .

       .

       .
       ผมแต่งตัวออกจากห้องด้วยชุดทำงาน หลังจากที่ผมล็อคห้องเสร็จผมก็หันไปดูรอบ ๆ ทั้งชั้นเงียบสงบ ราวกับไม่มีคนอยู่ ผมแปลกใจนิดหน่อยตั้งแต่เข้ามาผมไม่ค่อยได้เจอใครนัก ชั้นอื่นยังพอมีคนอยู่บ้าง แต่ชั้นที่ผมอาศัยเงียบสงบทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งกลางคืนมันเงียบน่ากลัวเหมือนกับผมที่เป็นผู้อาศัยที่นี่เพียงคนเดียว

       ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป อาจจะเพราะหอนี้คนอาศัย อาจไปทำงานหรือไม่ก็กลับดึกมาก อีกอย่างหอนี้ก็ค่อนข้างเก่าถ้ามีเงินพอก็คงไม่มีใครอยากจะอยู่ที่นี่นัก ผมเดินลงไปชั้นล่างก่อนที่หูผมจะได้ยินเสียงคุ้นเคยอีกครั้ง เด็กสาวคนเดิมกับคุณป้าเจ้าดูแลหอ

       “หน้าอย่างนั้นนะหาเรื่องคน?”

       “ใช่ป้า หนูนี่เห็นสองตา เห็นติ๋ม ๆ อย่างนั้นก็น่ากลัวไม่เบา พูดจาก็ไม่ดีแถมทำเด็กนักเรียนเสียเวลา ไม่ขอโทษสักคำ”

       ผมเดินออกตรงหน้าหอ เสียงที่กำลังนินทากันออกรสเงียบลงทันทีเหมือนปิดสวิทช์ ผมหันไปมองคนพูด หน้าตาก็ไม่ได้แย่นะ ดูบ้าน ๆ แต่ปากน่าจะต้องปรับปรุงหน่อย ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองอารมณ์ไหนกันนะ ผมได้แต่ยื่นจ้องเด็กสาวคนนั้นอย่างไม่ละสายตา

       เด็กคนนั้นที่ตอนแรกเหมือนจะตกใจเล็กน้อย สีหน้าของเธอที่เคยซีดก็กลับมาเป็นปกติ พร้อมปรับให้เป็นสีหน้าที่ไม่ต่างจากสก๊อยในซอยที่พยายามจะหาเรื่อง และโชว์ว่าตัวเองแน่

       “มองอะไร?” เสียงหาเรื่องของหล่อนทำให้โทสะของผมปะทุเล็กน้อย

       “เปล่าครับ” ผมยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร แต่ตาผมก็จ้องอย่างแข็งกร่าว

       ปากมนุษย์ต่อให้ห้ามยังไง ก็ยังเป็นปากมนุษย์พูดไปเรื่อย ต่อให้ไม่มีมูลก็พูดได้ ไม่สนว่ามันถูกหรือผิด ความสะใจของพวกเขาที่ทำร้ายผ่านทางคำพูด

       สิ่งที่เราทำได้คืออย่าต่อความยาวสาวตวามยืด เหมือนที่คนในบ้านที่เลี้ยงผมมาตลอดว่า

       “เราเป็นทอง มีเรื่องกับใครเข้าก็ต้องดูก่อนว่าคุ้มหรือเปล่า ที่จะเอาตัวเองไปลู่”

       ผมมักจะค้านความคิดนี้ของผู้เป็นแม่ แต่ครั้งนี้ผมเห็นด้วยกับมันอย่างสุดใจ ผมอาจไม่ต่างจากแม่ที่มองคนจากระดับสังคม แต่แม่มองที่เงิน ส่วนผมมองที่กิริยา

       ผมเดินห่างออกมาทันที เสียงกะฟัดกระฟัดกระเฟียดเหมือนขัดใจไม่ได้ดึงความสนใจของผมเลย ผมได้แต่เดินทางใช้ชีวิตของตัวเองอย่างที่ตั้งไว้

       .

       .

       .

       ผมไปทำงานตามปกติ เวรของผมตรงกับแก๊งของพี่ไม้ ผมเริ่มสนิทกับพี่เขาจากการที่เขาเข้ามาคุยและเล่นกับผมบ่อย ๆ ถึงแม้ผมจะไม่ได้คุยตอบมากนัก แต่ผมก็หัวเราะได้กับมุกที่เขาพยายามปล่อย หลังเลิกงาน พวกเขาก็ชวนผมไปกินข้าวที่ร้านอาหาร ผมตัดสินใจไปกับพวกเขาอย่างน้อยก็ผูกมิตรเพราะต้องทำงานด้วยกันอีกนาน

       ระหว่างที่รอข้าวกันอยู่นั้น ก็คุยสัพเพเหระไป ผมกับหนอนและแป้ง ตัดสินใจคุยกันแบบเพื่อนรุ่นเดียวกันเพราะอายุไม่ห่างกันมาก ผมอายุน้อยกว่าพวกเขาแค่ปีเดียว เผลอ ๆ ห่างกันแค่เดือน เราคุยเรื่องงานและพี่ไม้ก็บอกว่ากำลังทำงานเพื่อรองานประจำที่สมัครไว้ เห็นเป็นคนเฮฮาแต่เขาก็จบจากมหาลัยรัฐชื่อดัง และงานที่สมัครไว้ก็เงินเดือนดีมาก ส่วนหนอน ก็เรียนจบ ม.หก มาทำงานเลยเหมือนกับ ริน ส่วนแป้งทำงานหารายได้ช่วงปิดเทอม ขณะนั้นเองคำถามเหล่านั้นก็พุ่งมาที่ผม

       “แล้วแกล่ะ จะทำที่นี่นานไหม?”

       “นานครับ เพราะผมก็จบแค่ม.หก ไม่รู้จะไปทำอะไรแล้ว”

       “จริงอะ นึกว่าแกจะทำแค่ปิดเทอมนะเนี่ย”

       “แล้วแกไม่คิดจะเรียนต่อเหรอ” พี่ไม้ถาม

       ผมยิ้มออกมาอย่างเศร้า

       “ไม่ดีกว่าครับ เพราะตอนนี้ผมต้องอยู่ด้วยตัวเองคนเดียว ไม่มีเงินมากพอหรอก”

       จากนั้นพวกเขาก็เงียบแล้วหาเรื่องอื่นคุย พวกเขาคงกลัวทำให้ผมเสียใจ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเข้าใจอย่างไร แต่ตอบแบบนี้คำถามเหล่านั้นก็หมดไป

       หลังกินเสร็จ พวกเราก็แยกย้ายกันกลับ ตอนนั้นพี่ไม้อาสาไปส่งเพราะทางเดียวกัน แต่ผมปฏิเสธผมไม่อยากพึ่งใครมากเกินไป ผมไม่อยากรับความหวังดีเหล่านี้เพราะสักวันเราจะเคยชินแล้ววันหนึ่งเราจะคาดหวังและเมื่อมันไม่ได้เราก็จะเสียใจ มันจะทำให้มองหน้ากันไม่ติดเปล่า ๆ ดังนั้นผมจึงยิ้มขอบคุณพี่ไม้ก่อนที่จะเดินขึ้นรถเมล์เช่นเคย






เรื่องนี้ผมได้แรงบันดาลใจจากนิยายเรื่องหนึ่ง พร้อมกับอ่านบทความเรื่องหนึ่งจึงเกิดนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา ส่วนตัวแล้วตัวเอกของเรามีชะตากรรมที่จะต้องได้เจออีกมาก แต่ถ้าพูดออกไปอาจเป็นการสปอยครับ :-[
เอาเป็นว่า "เหยื่อ" ของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ตัวอาริน แน่นอนครับ   o18
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 3 01/11/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 11-01-2018 22:13:12
บทที่ 3



      “ชีวิตคือความไม่แน่นอน”

      ถ้าจะวัดความดีมนุษย์โดยใช้บรรทัดฐานของแต่ละคน โลกนี้คงไม่มีคนดีหรอก เพราะคำว่าคนดีนั้นของแต่ละคน “ไม่เหมือนกัน”
      บ้างก็ว่าแบบนี้สิ…..คนดี

      บ้างก็ว่าแบบนั้นสิ…..คนดี

      คนดีของแต่ละคน บางทีก็กลายเป็นคนชั่วของคนอื่นไปโดยง่าย ๆ เพียงเพราะเขาคนนั้นไม่ใช่คนดีในอุดมคติเหมือนตนเอง
ผมก็มีรูปแบบคนดีของผมเหมือนกันนะ คนดีของผมมีแค่ข้อเดียวคือ ต้องไม่ยุ่งชีวิตของคนอื่น เน้นตัวหนา ๆ ขีดเส้นใต้ด้วย อย่างเช่นตอนนี้ที่หน้าหอของผม มีการรวมกลุ่มของสมาคมแม่บ้านที่มีอายุอานามหลากหลายตั้งแต่หัวดำยันหัวหงอก มอง ๆ ไปแล้วภาพพวกนี้ก็ไม่ได้แปลกตาอะไรนัก ผมมักเจอการพูดคุยกิริยาแบบนี้จากละครตอนเย็นที่แม่บ้านผมชอบดูและตัวผมก็ต้องดูด้วย

      “นี่แหละค่ะ คุณหนูละครมันสะท้อนสังคมจริง จริ๊ง”

      ผมนึกถึงคำพูดของแม่บ้านเวลาที่ละครมีฉากไม่เหมาะสม

      “คุณหนูไม่รู้หรอก ว่าโลกจริงนะโหดร้าย”

      ผมได้แต่หยักหน้ารับอย่างเดียว จะพูดไงได้ก็เธอคือคนที่อยู่กับผม ตลอดเวลาที่แม่ไม่อยู่บ้าน ดังนั้นผมจึงได้รับการสั่งสอนในรูปแบบที่เพื่อนในโรงเรียนของผมได้แต่แปลกใจ

      “ริน ทำไมพูดแบบนี้”

      “ริน ทำไมทำแบบนี้”


      ผมได้ยินจนชิน ไม่รู้ว่าจะโทษละครหรืออะไรดี แต่สุดท้ายคนที่น่าจะควรโทษที่สุดก็คือตัวเอง โตขึ้นนิสัยต่าง ๆ ของผมก็ได้รับการเปลี่ยนทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ผมรู้แล้วว่าอันไหนดีไม่ดี

      แต่สิ่งหนึ่งไม่หายไปเลยนั้นคือ “โรคผู้ดี”

      ผมโดนแม่บ้านพูดประโยคนี้อย่างติดตลกเสมอ และมันก็เป็นนิสัยที่เสียที่แก้ไม่หายจริง ๆ

      “คุณหนูอยู่ง่ายกินง่าย สิ่งเดียวที่คุณเธอไม่ชอบคือมารยาทแย่ ยิ่งใครที่กระโดกกระเดกเข้าไป เจอคุณเธอว่าแสบ”

      นั้นแหละคือสิ่งที่ผมเป็น ตอนนี้ภาพตรงหน้าจะไม่มีอะไรเลยถ้ากลุ่มนั้นไม่มองมา แม่สาวตัวต้นเรื่องยังอยู่ในกลุ่ม จ้องมาด้วยสายตาที่บอกว่าฉันชนะ ผมไม่ได้สนใจและรีบเดินขึ้นทันที เสียงกระซิบกระซาบดังมา พร้อมกับเสียงหัวเราะดัง ๆ อย่างผู้ที่ไม่ได้รับการอบรม ผมพยายามข่มใจไม่สนใจและเดินขึ้นทันที

      “อย่าเอาทองไปลู่กระเบื้อง” พูดเบา ๆ กับตัวเอง

      ห้องของผมอยู่ชั้นสาม หอนี้มีสี่ชั้น ตอนนี้เสียงดังบางอย่างดังมาจากด้านบน ผมซึ่งอยู่ชั้นสองก็ได้ยินเสียงนั้นดังขึ้น เสียงดังเหมือนงานเลี้ยง เสียงมันดังจนมาถึงข้างล่างผสมกับเสียงพูดคุยของสาว ๆ

      คนประเภทเดียวกันมักจะอยู่ด้วยกันได้

      แล้วผมล่ะประเภทไหน?

      ผมตัดสินใจเองนี่ ดังนั้นผมก็ไม่ควรเหมารวมแบบนี้แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจนะว่าทุกคนอาจจะได้รับการสอน

      “มารยาทเป็นสมบัติผู้ดี”

      ดังนั้นผมก็ควรที่จะละทิ้งอีโก้ ความเป็น "โรคผู้ดี" ลง เพื่อปรับให้อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ให้ได้

      เมื่อมาถึงชั้นสาม เสียงนั้นก็ดังชัดเจนขึ้น เสียงของผู้ชาย จำนวนนั้นผมไม่ทราบแน่นอนแต่ความดังของมันดังทั้งชั้น แถมสังเกตได้ง่าย เพราะมีประตูเดียวที่เปิดแสงสว่างที่ทะลุออกจากห้องนั้นตัดแสงหม่น ๆ ของหลอดไฟตามทางเดินที่ใกล้จะดับริบหรี่
 
      ยิ่งเข้าใกล้ เสียงนั้นก็ได้ยินชัด เสียงผู้ชายเมา ๆ พร้อมกับกลิ่นของแอลกอฮอล์ที่ได้กลิ่นไกลจากห้อง ผมเดินเข้าไปเรื่อย ๆ ทำเป็นไม่สนใจให้มากที่สุด แต่ไม่ทันอะไรก็มีคนคนหนึ่งพุ่งออกมาจากห้องแบบไม่ดูตาม้าตาเรื่อ เข้าชนผมอย่างจัง

      “ขอโทษครับ”

      “ไม่เป็นไรครับ” ผมรีบตอบกลับไป ผู้ชายคนนั้นดูเซ ๆ เล็กน้อย ใบหน้าของเขาแดงกำตัวของเขาก็ใส่ชุดนักเรียนอยู่
โรงเรียนดังเสียด้วย

      “โอเคไหมครับ”

      ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะเขาดูเหมือนจะไม่ไหว

      “โอเคสิครับ คนสวย”

      ไม่พูดเปล่า เด็กคนนั้นพยายามที่จะเอามือมาจับผม ผมผลักเขาออกเล็กน้อย

      “อย่าหยิ่งสิครับ”

      “ปล่อยเถอะครับ”

      “เฮ้ย!! ไอ้หมีทำไรวะ?”

      เสียงทุ้ม ๆ ดูคุ้นหูเหมือนผมได้ยินไหนสักแห่ง ผมหันไปมองคนที่ก้าวออกมาจากห้อง รูปร่างสูงหนา หน้าคมเข้ม พร้อมสายตาดุ

      เด็กนักเรียนคนที่ผมมีเรื่องเมื่อเช้า!!!!

      ทำไมโลกนี้ชอบเล่นตลกกับชะตาชีวิตของคน ต่อให้เราซวยแล้วไม่ใช่ว่าความซวยจะหายไป ดังคำพูดที่ว่า

      ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก

      ทฤษฎีโลกกลมน่าจะใช้ได้ผลจริง ๆ ผมตอนนี้ไม่รู้จะทำตัวยังไง สายที่จ้องเขม็งมาทางผม

      “ไอ้หมีไปรบกวนคนอื่นเขา กลับเข้าไปในห้อง”

      คนชื่อหมีดูทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย สายตาของมันยังจ้องมาที่ผมไม่เลิก ตอนนี้ผมรู้ทำตัวไม่ถูก กังวล สั่น กลัว ผมสู้มันไม่ได้หรอก ไหนจะเพื่อนมันอีก

      “สวัสดี”

      เสียงเย็น ๆ ของมันทักทายมา ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป หน้ายังไม่มองมันด้วยซ้ำ ผมพยายามรีบเดินหลีกมันไป แต่ไม่ทันที่มันจับแขนของผมเอาไว้ทัน แรงบีบทำเอาผมเจ็บแขนไปหมด

      “มารยาทนะมีมั้งสิ”

      แรงบีบเริ่มขึ้นมาจนผมร้อง

      “โอ้ย ปล่อยนะ”

      ผมสะบัดหลุด ตอนนี้ตาของผมเริ่มมีน้ำตาคลอออกมา มันมองหน้าผมยังยิ้ม ๆ รอยยิ้มของมันไม่ใช่รอยยิ้มอย่างเล่น ๆ หรือรอยยิ้มที่ใช้กันทั่วไปยามเจอหน้าทักทาย รอยยิ้มนั้นไม่ต่างจากตัวละครร้าย ๆ ในละครที่ผมเคยดู รอยยิ้มอำมหิตที่เหมือนกำลังคิดอะไรชั่ว ๆ

      “อ่อนแอจัง เป็นผู้ชายซะเปล่า”

      ผมรีบเดินหนีไปทันทีโดยไม่ได้เสวนาต่อพร้อมกับเสียงหัวเราะของมันที่ดังลั่นตรงทางเดิน

      .

      .

      .

      ผมกลับมาในห้องแล้วล็อคประตูทันที ผมกำลังยืนดันประตูไว้ ราวกับกลัวใครตามมา ผมเอามือปาดน้ำตาออก แล้วหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ

      นั้นสิเป็นผู้ชายซะเปล่า ร้องไห้ทำไม

      ใคร ๆ ก็บอกชายชาตรีไม่ควรร้องไห้ นี่ล่ะมั้งเขาเลยจำใส่หัวเอาไว้ตลอด ดังนั้นเวลาที่เขาถูกเรียกหรือถูกกระทำเหมือนราวกับเขาไม่ใช่ผู้ชาย เขาจึงรู้สึกเสียใจ เหมือนกับว่า เขาไม่ควรเกิดเป็นผู้ชายเลย เขารู้สึกอย่างนี้มาตลอดและรุนแรงขึ้นเมื่อ…เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น

      เหตุการณ์ที่ผมไม่อยากจำเลย แม้แต่น้อย

      ผมอยากให้มันหายไป แต่ยิ่งทำยังไง ความทรงจำยังคงชัดเจนตลอดมา

      ผมถอดเสื้อผ้าและเดินเข้าห้องน้ำ การอาบน้ำก็ทำให้สบายใจและชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีวันนี้ได้ ผมเชื่ออย่างนั้น น้ำที่ไหลไปทั่วตัว ชะล้างสิ่งสกปรก ชะล้างสิ่งที่อย่างน้อยมันไม่ดีออกไป อย่างน้อยก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาถึงจะไม่มากก็เถอะ
หลังอาบน้ำเสร็จผมก็มายืนอยู่หน้ากระจก ผมกำลังส่องรอยที่เริ่มจะหายดี ตอนนี้ครีมที่ใช้เริ่มใกล้จะหมด สงสัยต้องออกไปซื้อไว้ ผมใส่ชุดนอนแล้วขึ้นนอนทันทีเพราะวันนี้ผมเจอศึกมาทั้งวันแล้ว

      .

      .

      .

      เด็กชายกำลังนั่งถือตุ๊กตานั่งอยู่หน้าทีวีที่รายการโปรดของเขากำลังฉายอยู่ มันเป็นรายการสำหรับเด็กที่เขาชอบดูมาก เพราะมีตัวละครน่ารักๆมากมายแต่มันก็แฝงความรุนแรงไว้เหมือนกัน แต่เรื่องพวกนี้จะแปลกอะไรล่ะ ในเมื่อเขาถูกบังคับให้จ้องทีวีตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ไม่มีใครบอกหรอกว่ามันรุนแรง

      “กินขนมไหม”

      ขนมโปรดของเขายืนมาที่ปากของเด็กชาย เด็กชายหันไปมองคนที่เอามาให้ เป็นชายหนุ่มเพื่อนแม่ หน้าตาของเขากำลังยิ้มแย้ม เขาค่อย ๆ กัดขนมชิ้นนั้นเข้าไปพร้อมกับชายเพื่อนแม่ของเขาค่อย ๆ ลูบหัว ไล่ลงมาที่ใบหน้าก่อนจะจบที่แขนของเขา

      .

      .

      .


      ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้า หลังจากฝันแปลก ๆ แขนของผมขนลุกชัน มันทั้งน่ากลัวและทั้งน่ารังเกียจ ผมรีบเดินเข้าไปที่ห้องน้ำ ก่อนที่จะเอาน้ำล้างที่แขน ผมลูบมันแรง ๆ ราวกับต้องการให้ความขยะแขยงนั้นออกไปให้หมด
น้ำตาของผมค่อย ๆ ไหลหลังจากที่แขนของผมที่ถูกลูบอย่างแรงแดงขึ้นมาก

      “ฮึก”

      ผมกลั้นมันไม่ไหวแล้ว ผมกลัว ทั้ง ๆ ที่ผมหนีมันมาได้ตั้งสองวันแต่ความทรงจำพวกนั้นมันยังตามมาหลอกหลอนไม่เลิก ผมควรทำยังไงกับมันดี ผมทรุดลงร้องไห้ ผมมองดูตัวเอง ตัวของผมที่พยายามทิ้ง แต่มันทิ้งไม่ได้เพราะตัวของผมยังคงเหลืออยู่ ความทรงจำที่โหดร้าย

      ผมเกลียดตัวเอง

      ผมกำลังนั่งมองตัวเองที่หน้ากระจก รอยของมันยังคงอยู่ ผมหาเครื่องสำอางที่จะปิดรอยพวกนี้เพราะยาที่ผมใช้มันไม่ได้ผลเท่าไหร่ หรือไม่ก็อาจต้องใช้เวลา

      ครืด ๆ

      เบอร์ที่ผมคุ้นเคยโทรเข้ามา ผมรับมัน

      “สวัสดีครับ คุณรินนภัทร โทรมาจากโรงพยาบาลจิตเวชพฤกษาค่ะ พอดีโทรมาคอนเฟิร์มนัดนะคะ ว่าคุณรินนภัทร สะดวกหรือไหมคะ?”

      “ครับ”

      “งั้นที่ไหนไว้วันอังคารที่ 5 เมษายน รบกวนคุณรินนภัทร มาเวลา 10.30 นะคะ”

      “ครับ”

      ผมกดวางสายไปและนั่งมองใบนัดจิตแพทย์ของผม อาการของผมที่เหมือนจะหายแต่ก็ยังไม่หาย ผมตัดสินใจอย่างนี้เพื่อให้มันบรรเทาลง แต่ไม่เลยมันยังเหมือนเดิม ผมกลัวว่ามันจะมีปัญหากับคนรอบข้างสักวันเหมือนที่ผมเป็น ดังนั้นการที่ผมตัดสินใจจะกลับไปหาหมอ หมอที่เข้าใจผมมากที่สุดแล้ว หมอคือคนที่ทำให้ผมรู้ว่าคำพูดผมยังมีความหมาย ไม่เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมเคยโดนอะไรหลายอย่างจากคำพูด

      เพราะถ้าพูดมาก คำพูดของมันก็มาทำร้ายอย่างที่ผมเคยโดน




แก้ไขคำผิดแล้วนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 4 01/14/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 14-01-2018 00:08:26
        บทที่ 4

       
        “ทุกคนก็ป่วยด้วยกันทั้งนั้น”

        การเจ็บป่วยเป็นเรื่องปกติของทุกคนขึ้นอยู่กับว่าร้ายแรงแค่ไหน อาการป่วยมีหลายประเภท ป่วยทางกายดีหน่อยตรงที่เราเห็นรอยแผลได้

        แต่ป่วยทางใจ ใครเล่าจะเห็นมัน

        เวลาคุณทุกข์ทางใจ ไม่มีใครรู้นอกจากที่เราจะแสดงมันออกมา คุณทุกข์แต่หน้าคุณยิ้มแย้มทุกคนก็จะไม่รู้เลยว่าคุณทุกข์ขนาดไหน

        ผมก็เป็นที่เลือกจะเก็บทุกอย่างแล้วทำใบหน้าเพิกเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หัวเราะเฮฮาสนุกสนาน แถมต้องรับฟังความทุกข์ของคนอื่นอีก นี่เป็นการแสดงที่ระดับนักแสดงออสก้ายังทำไม่ได้ เหนือกว่านักแสดงก็มนุษย์ธรรมดาที่ต้องใส่หน้ากากเพื่อปิดบังอาการป่วยไว้

        ต้องปิดไว้….เพื่อไม่ให้รู้

        ยิ่งรู้…ยิ่งแพร่งพรายมาก

        ทุกคนจะรับฟังคุณ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ปัดทิ้งเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แถมเอาไปเล่าอย่างสนุกสนานและใส่ไฟอย่างเต็มที่

        ชีวิตคนเราสุดท้ายก็ไม่พ้นการติฉินนินทา

        ผมเองก็โตขึ้นมาพร้อมกับเสียงนินทาจากแม่บ้านเมื่อตอนเด็ก

        “ข้างบ้านคุณหนูสามีน่ะเขามีเมียน้อย”

        “นี่ ๆ บ้านที่หน้าปากซอยที่ย้ายมาใหม่เห็นว่าเพิ่งจะล้มละลาย”

        สารพัดเสียงนินทาที่ผมได้ยิน และสิ่งที่ผมทำคือเพิกเฉย เพราะในใจของผมเบื่อหน่ายที่จะฟังเรื่องพวกนี้เหลือเกิน
นั้นแหละ “เฉยเสีย” เพราะพูดไปก็สองไพเบี้ย มีแต่จะเจ็บใจกันเปล่า ๆ ถึงเขาจะเป็นแม่บ้านที่แม่คอยบอกว่ารับใช้เรา แต่ผมก็ยังให้เกียรติในฐานะที่เขาอายุมากกว่าและเป็นมนุษย์เหมือนกัน

        ในโลกของการนินทานั้นไม่ได้เพียงจำกัดแค่วงของหญิงสาวแก่น้อยเท่านั้น แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่ต่างกันนักหรอก ใครบอกว่าคบเพื่อนผู้ชายแล้วไม่เรื่องมากนั้น

        ถือว่าทำบุญดี

        ไม่รู้เพราะอะไร การที่ผมก็เรียนโรงเรียนที่ดี แต่การทำร้ายกันนั้นไม่ได้ใช้กำลังเหมือนโรงเรียนทั่ว ๆ ไป พวกเขาใช้ “คำพูด” จุดประเด็นจนทำให้บางคนเหมือนตกนรก เสียงซุบซิบนินทารอบ ๆ ทำให้พาลจะเป็นประสาทเอา นับว่าดีที่พวกเขาทนได้ แต่ต่างจากผมและหลายคนที่เลือกจะ “หนี” นั้นแหละผมไม่ใช่คนที่อดทนนัก การหนีจึงเป็นทางที่ดีที่สุด

        คำซุบซิบของพวกเขาที่ได้ยินต้นเหตุก็มาจากผู้ปกครองที่มีอะไรในใจก็ต้องเล่า เล่า และก็เล่า ทั้งสามี คนใช้ ยันลูก ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินมา ต้องได้รับการเปิดเผยและส่งต่อไปยังคนอื่น ไม่ต่างจากจดหมายลูกโซ่ที่ผู้รับก็ต้องส่งต่อไป

        ตอนนี้ก็เป็นเวลาเช้าพอสมควร แต่ผมยังไม่ได้หลับสนิทนักเพราะเสียงพูดคุยที่ผมเคยเป็นคนที่อยู่ในบทสนทนานั้น เพิ่งจะเงียบไปได้ไม่ถึงสองชั่วโมง นั่งสังสรรค์ยังกับโลกจะแตกในวันพรุ่งนี้ และเสียงที่ดังรบกวนขนาดนั้น ผู้เช่ารายอื่น ๆ ก็ไม่เห็นจะบ่นหรือออกมาต่อว่า มันผิดแผกจากตรรกะทั่วไปมาก

        มีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลหรือเปล่า?

        ผมรีบแต่งตัวและเปิดประตูออกไป ภายนอกเงียบสงบ ไร้เสียงผู้คน เวลาตอนนี้หกโมงเช้า แต่ยังไม่มีใครออกมาใช้ชีวิต ทั้งที่ปกติกรุงเทพไม่เคยเป็นเมืองที่ผู้คนจะตื่นเจ็ดโมงไปทำงานเหมือนต่างจังหวัด แถมที่นี่ยังห่างตัวเมืองมากนัก

        ผมเดินออกมาก่อนที่จะสำรวจรอบ ๆ หลาย ๆ ห้องยกเว้นห้องพวกนั้น ต่างมีแม่กุญแจคล้องอยู่หน้าประตู ความรู้สึกแปลกเริ่มเข้ามา

        ไม่มีใครพักที่นี่เลยเหรอ ผมรีบเดินลงไปข้างล่าง ตอนนั้นที่ชั้นสองผมกำลังเดินลงไป ก็พบพี่ผู้หญิงกำลังเดินขึ้นมา ลักษณะของพี่ผู้หญิงคนนั้น ผิวขาวเหลืองแต่แต่งหน้าหนาไปหน่อยจนค่อนข้างขาวเกินคอ แต่งตัวนุ่งสั้น ห่มน้อย พร้อมหน้าตาที่ดูเหน็ดเหนื่อยเหมือนเพิ่งกลับมา ลักษณะของเธอทำให้ผมนึกถึงอาชีพหนึ่ง แต่นั้นก็ดูจะเลวร้ายไปหน่อยที่ตัดสินคนเพียงแค่ภายนอก

        “สวัสดีครับ”

        ผมรีบทักไป หน้าตาเธอก็ดูแปลกใจเล็กน้อย

        “สวัสดี มาอยู่ใหม่เหรอ?”

        “ครับ”

        “กล้านะ”

        “ครับ?”

        “กล้าที่จะพักแถวนี่ ขายหรือไงเราอะ”

        “ผมไม่ได้ขาย”

        “จริง!!!!! เฮ้อ สงสัยคงเป็นเด็กต่างจังหวัดสิท่า แถวนี้เขาไม่ค่อยมีคนพักหรอกถ้าพักส่วนใหญ่ก็มีแบบฉันไม่ก็พวกขี้ยา”
ผมตกใจกับข้อมูลที่ได้รับ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ

        “แล้วพี่พักอยู่ชั้นไหนครับ”

        “ชั้นนี้แหละ ว่าจะย้ายไป หอที่นี่เก่าและเพิ่งเกิดเรื่องไม่ดีด้วย”

        “อะไรเหรอครับ”

        “ก็ที่นี่เคยมีคนหายไปนะสิ เป็นผู้ชายวัยประมาณหนู หน้าตาส่วนใหญ่ก็น่ารัก ไม่ใช่แค่หอนี่นะ แต่เป็นแถวนี้ต่างหาก”

        ผมอึ้งเล็กน้อยก่อนที่จะถามอีกคำถาม

        “ที่นี่มีคนพักเยอะไหมครับ”

        “ก็มีฉันและก็พวกผู้ชายที่ชอบเสียงดัง ๆ ชั้นสาม เพื่อนฉันบางคนชั้นนี้แต่หลายคนย้ายไปเยอะแล้วแล้ว เลยเหลือไม่กี่ห้อง พวกมันกลัวอะ แถวนี้เถื่อนอยู่ไม่ได้อิทธิพลมันเยอะ ยังไงเธอก็ระวังตัวหน่อยละกัน ฉันง่วงไปล่ะ”

        ผมไม่ได้รั้งเธอปล่อยให้เธอได้พักผ่อนไป ผมเริ่มไม่ไว้ใจที่นี่แล้วสิ ผมคิดว่าแค่หาที่อยู่ได้ก็น่าจะพอแล้วแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ผมเองยังไม่มีประสบการณ์ในสังคมพอสินะ

        .

        .

        .

        ผมเดินออกมาหน้าหอไม่พบป้าดูแลหอเมื่อคืนนี้ ผมพยายามหาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ
สงสัยจะดื่มหนักสินะ

        ผมเดินไปที่ตลาดทันที ผมซื้อของมากมายอย่างรวดเร็วเพราะผมเองก็กลัวว่าจะเจอกับเด็กคนนั้นอีก ผมรีบเดินกลับมาที่หอ ก็ต้องรีบหามุมหลบทันที

        เด็กนั้น!!!

        ออกมาเป็นฝูง…เอ่อ ไม่ใช่สิ เป็นกลุ่ม เสียงพวกมันเฮฮา แต่งกายด้วยชุดนักเรียนเช่นเดิม เห็นมันยืนคุยกับป้าดูแลหอ ก่อนที่พวกมันจะเดินออกไป

        ผมหลบจนพวกมันขับรถออกไป สภาพของพวกมันก็ไม่ได้ดูที่จะเรียกว่าเด็กแว้นได้เต็มปาก รถพวกมันก็เป็นรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อฮิตที่ต้องมีเงินระดับหนึ่งถึงจะขับได้ เสียงของพวกมันเฮฮา และบิดรถเสียงดังรบกวนชาวบ้านก่อนจะขี่ออกไป
ผมรีบเดินเข้าไปที่หน้าหอ แล้วเรียกป้าดูแลหอก่อนที่แกจะกลับเข้าห้อง

        “ป้าครับ”

        แกหันมาด้วยหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก หน้าตาของแกที่เหี่ยวย่นตามวัย ยิ่งดูเกินอายุมากกว่าเดิม ผมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะบอกป้าแกว่า

        “เออ ผมช่วยรบกวนป้าเตือนเด็กเมื่อกี้ เรื่องรบกวนคนอื่นด้วยเสียงได้ไหมครับ”

        ป้าแกทำหน้าเฉย ๆ

        “ใครจะไปเตือนมันได้คุณ คุณทนไปก่อนได้ไหม พวกนี้มาไม่บ่อยหรอก”

        อ้าว….ทำไมป้าพูดแบบนี้

        “เออ มันอาจจะรบกวนคนอื่นด้วยนะครับ”

        “คนอื่นที่ไหน ชั้นนั้นมีแค่ห้องคุณกับ… เออ ๆ เดี้ยวป้าเตือนเอง”

        เหมือนป้าแกนึกได้และเงียบไป ผมจับพิรุธป้าแกได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรพร้อมกันนั้นแกก็เดินจากไปทันที

        .

        .

        .

        วันนี้ผมยังคงทำงานปกติ แป้งกับผมเริ่มสนิทกันมากขึ้น แป้งก็เลยมักชวนผมคุยอยู่เสมอ ความสดใสและน่ารักของเธอทำให้ลูกค้าประทับใจมาก ส่วนผมก็ทำหน้าที่ได้ดีในส่วนของตัวเอง แต่ข้อเสียของแป้งคือ

        เธอมักจะบ่นเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟัง

        แป้งไม่สามารถเก็บอะไรไว้ได้นาน ๆ เธอบ่นทุกอย่างตั้งแต่ ลูกค้า แฟน เพื่อนร่วมงาน และผมเองก็ได้ทำหน้าที่รับฟังเท่านั้น สิ่งที่เธอบ่นบางทีก็ทำให้ผมแอบเครียดไปด้วย และดูเหมือนคนที่ดูออกจะเป็นพี่ไม้ หลังจากเลิกงานพี่ไม้ชวนผมไปเที่ยวที่ตลาดโต้รุ่ง ตอนแรกว่าจะปฏิเสธแต่ว่าก็โดนพี่แกลากไปจนได้
 
        ตลาดโต้รุ่งดึก ๆ ก็ยังมีคนพลุ่งพล่านมากมายไม่ต่างจากตลาดในตอนเช้านัก ผู้คนเดินสัญจรไปมาทั้ง ๆ ที่เวลาประมาณเกือบห้าทุ่มแล้ว ผมเองก็ไม่ค่อยมาเดินที่นี่บ่อยนัก เพราะตอนเรียนผมกลับบ้านเร็ว และเข้านอนเร็ว การจะมาเที่ยวช่วงกลางคืนเลยเป็นอะไรที่ยากมาก

        “อันนี้อร่อย” พี่ไม้ยื่นขนมที่มีลักษนะเป็นวาฟเฟิลใส่ไม้ ข้างในเป็นไส้ฮอทดอก ผมกัดไปคำนึง

        “อร่อย!” ผมยิ้มและพี่ไม้ก็ยิ้มเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันต่อนอกจากเดินไปเรื่อย ๆ

        ผมหยุดมองดูร้านที่กำลังขายกำไลลายแปลก ๆ ผมหยิบดูอย่างสนใจแต่ไม่ได้คิดว่าจะซื้อ

        “ชอบเหรอ”

        “ครับ”

        “ไม่ซื้ออะ”

        “ไม่ดีกว่าครับ” ผมยิ้มตอบและเดินออกไป

        สักพักผมกับพี่ไม้ก็ตัดสินใจกลับ พี่ไม้มาส่งผมที่หอก็แปลกใจ

        “ทำไมหอเงียบจังอะ”

        ผมไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี เพราะไม่อยากให้แกคิดว่าผมบ้าหรือเปล่าที่มาอยู่หอใกล้ร้าง

        “ทำงานนะครับ”

        “ทำงาน?”

        ผมพยักหน้าและแกก็ดูเหมือนจะเข้าใจและก็ยิ้มออกมา “ระวังตัวด้วยนะเราเดี๋ยวเขาเข้าใจผิด”

        ผมหัวเราะออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมหัวเราะกับมุกแบบนี้ พี่แกก็หัวเราะก่อนขอตัวกลับไป ผมยืนมองพี่แกจนลับตา ก่อนที่ตัวผมจะรู้สึกถึงสายตาแปลก ๆ ที่จ้องลงมา ผมไม่รู้ว่าสายตานั้นดีหรือร้าย แต่สิ่งที่ผมไม่รู้ตัวเลยว่า

       อะไรบางอย่างกำลังคุกคามผม
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 5 01/16/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 16-01-2018 19:45:45
บทที่ 5



        ผมเดินกลับขึ้นห้องทันทีหลังจากที่มองดูรถพี่ไม้ขับหายไปจนสุดสายตา ผมยอมรับว่ากลัวเพราะตอนนี้ก็เหมือนผมก็แทบที่จะอยู่ชั้นนั้นคนเดียว ผมรีบเดินขึ้นไป บรรยากาศรอบ ๆ เงียบสงบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเองและเสียงฝีเท้าของผมที่ดังก้อง ดังมากซะจนผมยังแปลกใจ ทุกการเดินของผมคล้องจองไปกับจังหวะการเต้นของหัวใจ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นความกลัวรูป
แบบไหน ผมกลัวหมด

        ผีอาจจะดีตรงที่เขาแค่ปรากฏตัว

        แล้วคนล่ะ?

        ผมหยุดชะงักตอนที่ถึงชั้นสาม เพราะไฟทางเดินนั้นติด ๆ ดับ ๆ ส่งผลให้จิตของผมที่อ่อนอยู่แล้วกลับรู้สึกกลัวมากขึ้นกว่าเดิม ที่แขนของผมมีการตั้งชันของขน ราวกับบอกว่าผมนั้นกลัวมากแค่ไหน

        ผมเดินไปตามทางอย่างระมัดระวัง ผมไม่กล้าแม่แต่จะวิ่ง การก้าวขาของผมก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ตอนนี้ผมเดินมาถึงหน้าห้องพวกนั้น

        ห้องล็อค

        แสดงว่าพวกนั้นยังไม่กลับ ผมรีบเดินไปที่ห้องทันที แต่ขณะที่ตัวผมกำลังจะถึงห้อง แขนของผมก็ถูกกระชากไป

        “เฮ้ย!!!!!”

        ผมร้องอย่างตกใจ ก่อนที่จะหันไปปะทะคนที่กระชากแขนของผม หน้าของเด็กคนที่เมาเมื่อวานแล้วพยายามลวนลามผมกำลังยิ้มอย่างทะเล้น แต่แววตาของมันไม่ได้ทะเล้นเลยสักนิด

        “สวัสดีครับพี่ ร้องซะตกใจเชียว”

        ผมมองไปที่แขนที่กำลังถูกจับ

        “ปล่อยครับ”

        “โทษที”

        แล้วมันก็ปล่อยแขนผมอย่างง่ายดาย

        “ว่าจะแค่มาทักทายเสียหน่อย อุตส่าห์พักใกล้กัน แถมยังมีแค่สองห้อง”

        “ครับ”

        มันถามคำผมก็ตอบคำ ตอนนี้มันไม่ใช่บรรยากาศที่จะมาทักทายเพื่อนบ้านเลยสักนิด

        “สงสัยพี่คงเหนื่อย เดี๋ยวผมปล่อยให้พี่ไปพักผ่อนก่อนนะครับแล้วเจอกันใหม่”

        เสียงเด็กคนนั้นทีเล่นทีจริงพร้อมกับเน้นตรงคำว่าปล่อย

        ผมกำลังเจอกับอะไรเนี่ย?

        เด็กคนนี้เดินไปที่ห้องของมันแล้วก็ไขกุญแจเข้าไปทันที ผมจ้องมองจนแน่ใจว่ามันเข้าห้องแล้วผมถึงได้เข้าห้องอย่างรวดเร็ว

        ผมรีบกลับเข้าห้องแล้วอาบน้ำทันที เพราะวันนี้เหนื่อยมากและพรุ่งนี้ผมเองก็มีนัดกับหมอ แต่ผมเองก็ยังไม่หลับเสียที ผมกำลังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่ผมพึ่งย้ายมาไม่กี่วันแต่กลับมีหลายเรื่องมากมายเกิดขึ้น และบางเรื่องก็อยู่เหนือความคาดหมายของผมไปไกล

        ตอนนี้ผมไม่สบายใจนัก ผมไม่อยากอยู่ที่นี่เลย แต่ผมจ่ายล่วงหน้าสามเดือน แถมค่าประกันไปแล้ว ผมเองก็พึ่งทำงานได้ไม่กี่วัน เงินเดือนยังไม่ออกและเงินก้อนสุดท้ายที่แลกกับอิสระ ก็คงไม่พอที่จะไปเช่าหอแพง ๆ ได้ ผมหลับตาและยี้หัวตัวเองอย่างปวดหัว

        โธ่เว้ย!!

        ผมคิดในใจจนเผลอตะโกนออกมาเสียงดังแต่นั้นแหละคงไม่มีใครได้ยินหรอก เพราะตอนนี้ชั้นของผมมีแค่ผมกับเด็กนั้น
และหัวผมก็ไปนึกถึงคำพูดของพี่ผู้หญิงคนนั้น

        มีเด็กหายตัวไป

        มันจะเกี่ยวอะไรกับพวกนั้นหรือเปล่า ผมพยายามข่มตาและสั่งให้หัวไม่ให้คิดถึงเรื่องนั้นเพราะมันจะเพิ่มความกลัวให้กับตัวเอง ดังนั้นผมได้แต่นอนนับแกะในใจเพื่อที่มันจะช่วยให้ผมหลับได้

        .

        .

        .         

        เด็กน้อยคนนั้นเริ่มที่จะกลัวบางสิ่ง บางสิ่งที่สัมผัสเขายามนอน เด็กน้อยพยายามบอกมารดาของเขาแต่มารดาของเขาก็ไม่ฟัง ส่วนนึงเพราะเด็กน้อยพูดไม่เก่งกับอีกส่วนคือเด็กน้อยไม่มั่นใจนักว่าสิ่งที่ตัวเองโดนสัมผัสนั้นคืออะไรกันแน่ เด็กน้อยรู้แต่ว่ามันเหมือนฝันร้ายที่กลายเป็นจริง

        ในฝันของเขา มีปิศาจน่ากลัวเข้ามาหาเขาช้า ๆ ก่อนที่มันจะจับตัวเขาไปทุกส่วนของร่างกายลูบไล้ราวกับหิวกระหายเหยื่ออันโอชะ……เขากลัวมาก เขารู้สึกอ้างว่างเดียวดาย ไร้หนทางที่จะต่อกร แม้แต่การขยับร่างกายก็ทำไม่ได้ เขาร้องไห้ และนั้นแหละที่ทำให้ปิศาจนั้นหายไป วันนี้เขาต้องอาศัยอยู่กับเพื่อนของแม่เช่นเดิม และวันนี้ที่เขาจะพิสูจน์ว่ามันคืออะไรกันแน่กับสิ่งที่เขาเจอ

        ตอนนี้เด็กชายกำลังนอนอยู่บนเตียง เด็กชายมองไปที่ตูห้องอย่างกลัวๆ เขาจ้องมองมันอยู่นั้นก่อนที่เสียงลูกบิดประตูดังขึ้น เขาล็อคประตูไม่มีทางหรอกที่อะไรก็ตามจะเข้ามาหาเขาได้ มันบิดอย่างรุนแรง มันพยายามที่เข้าจะเข้ามาให้ได้ และเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นมา มันไม่ใช่เสียงเคาะมันคือเสียงทุบประตู

        ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ

        เสียงดังไปทั่วห้อง เด็กชายกำลังคลุมโปงในผ้าห่มของตัวเอง ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา

        .

        .

        .

        ผมตื่นขึ้นมาจากความฝันเพราะเสียงเคาะดัง ๆ จากหน้าประตู ผมงัวเงียหันไปมองนาฬิกา

        หกโมงเช้า

        ขณะผมกำลังลุกไปเปิดประตูเสียงเคาะก็เงียบลงไป ผมแปลกใจนิดหน่อยแต่สักพักตรงใต้ประตูก็มีกระดาษถูกสอดเข้ามา แล้วผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดินออกไป

        ผมก้มลงไปเก็บสิ่งถูกสอดเข้ามา มันเป็นซองจดหมาย ไม่มีเขียนจ่าหน้าซองผมค่อย ๆ แกะออกดูก็เป็นกระดาษพับอยู่ข้างใน

        ผมสำรวจจดหมายอย่างสนใจจนลืมฝันร้ายที่เพิ่งผ่านมา ผมคลี่ออกมาดูก็พบว่า เป็นจดหมายที่เขียนไว้ว่า

        พี่รีบย้ายออกไปดีกว่านะครับ

        ผมสงสัยเล็กน้อยและตั้งคำถามในหัวว่า ทำไม? ผมไม่เข้าใจเด็กคนนั้นสักนิด ตอนนี้ผมทิ้งจดหมายไปก่อนเพราะมีนัดสำคัญวันนี้

        .

        .

        .

        ถึงแม้จะเป็นนัดประมาณสิบโมง แต่การจราจรในกรุงเทพนั้นสามารถทำให้เวลาเดินทางนั้นมากกว่าปกติ การที่ผมออกมาแต่เช้าตอนเจ็ดโมงรถยังค่อนข้างติด กว่าจะไปถึงที่โรงพยาบาลแถว ๆ ในเมืองก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง

        หน้าโรงพยาบาลที่ผมคุ้นเคยตั้งแต่จำความได้ ถึงแม้ช่วงหนึ่งผมจะไม่ได้เหยียบที่นี่มานานแต่ว่าความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่ ก็ยังคงทิ้งค้างไว้ไม่ไปไหน ที่นี่เป็นที่เดียวที่ผมสามารถจะระบายความเจ็บปวดที่ผมมี ให้คนอื่นรับฟังได้แล้วไม่หัวเราะ ไม่ล้อเลียน ถึงจะรู้ว่านั้นคือหน้าที่แต่ผมก็สบายใจที่จะพูดกับเขา

        ผมเดินไปที่ รีเซฟชั่น เพื่อสอบถามเกี่ยวกับ “หมอกิตต์” ที่เป็นคนรักษาผมตั้งแต่เหตุการณ์นั้น เขาจึงเป็นเหมือน พี่ชาย เพื่อน ที่คอยรับฟังผมได้ดีที่สุด

        “ผมมาหาหมอกิตต์ครับ”

        “ได้นัดไว้ไหมคะ?”

        “ครับ ชื่อ รินนภัทร”

        “นัดไว้สิบโมงนะคะ เดี๋ยวรอสักครู่นะคะ”

        ผมนั่งรอสักครู่พยาบาลก็เรียกให้ผมเข้าไปหาหมอกิตต์ที่ห้อง

        ผมเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นหมอที่มีลักษณะขาว ใส่แว่นหนา สูงกว่าผมประมาณ 5 เซน กำลังวุ่นวายอยู่บนโต๊ะที่มีเอกสารกองมากมาย คาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นเอกสารทางการแพทย์ มีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ
ผมเดินเข้าไปที่โต๊ะทันที ดูเหมือนพี่กิตต์ยังไม่รู้ตัว

        “พี่กิตต์”

        “ครับ” พี่กิตต์เงยหน้าขึ้นมาก่อนจะยิ้มอย่างสดใสเป็นปประจำเวลาที่ผมมาหา

        “เป็นไงบ้าง นั่งก่อน ๆ”

        ผมนั่งลงตามคำเชิญ ขณะที่พี่กิตต์กำลังยุ่ง ๆ กับการจัดโต๊ะ ห้องของพี่กิตต์ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก สมกับเป็นผู้ชายที่มีนิสัยมั่นคงและมุ่งมั่น ห้องทำงานของหมอกิตต์ประดับไปด้วยของที่ตกแต่งแล้วดูสบาย ๆ ไฟสีอ่อนที่ทำให้รู้สึกคลายเคลียดและปลอดโปร่ง ไม่ว่าใครเขามาก็จะรู้สึกว่าที่นี่น่าไว้ใจและเชื่อใจได้ สมกับเป็นห้องที่ไว้รักษาผู้ป่วยแบบผม

        กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ที่ผมก็ไม่รู้ว่าคือดอกอะไร รู้แต่ว่าสีของมันสวยงามและน่าค้นหา ผมรู้แต่ว่ามัยช่วยให้ห้องนี้ยิ่งดูน่าสดชื่นมากกว่าเดิม

        สักพักพี่กิตต์ก็นั่งลงและมองมาที่ผมแล้วก็ยิ้ม

        “มีอะไรให้หมอคนนี้รับใช้ครับ”

        ผมยิ้มตอบกลับไปที่หมอกิตต์หรือพี่กิตต์ซึ่งผมชอบเรียกพี่กิตต์แบบนั้น เพราะว่าผมรู้สึกว่ามันดูใกล้ชิดกว่าและพี่กิตต์ก็ดูจะชอบด้วย ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม พี่กิตต์ ก็คอยมาเป็นที่ปรึกษา พี่กิตต์บอกอย่างนั้นไม่อยากจะใช้คำว่ารักษา เพื่ออย่างน้อยเพื่อให้ผมรู้สึกสบายใจเวลามาหา

        นี่แหละมั้งที่ทำให้ผมและพี่กิตต์สนิทกันมาก

        คนตรงหน้าของผมนั้น รับรู้ปัญหาทุกอย่างเกี่ยวกับผมและเหมือนจะรู้จักตัวผมมากว่าที่ผมรู้จักตัวเองเสียอีก ดังนั้นผมจึงมักจะมาหาพี่แกบ่อย ๆ โดยพี่แกไม่คิดเงินผมสักเท่าไหร่ทั้ง ๆ ที่ผมรบกวนแกแท้ ๆ

        “เรื่องเดิมนั้นแหละครับ” ผมที่กำลังยิ้มก็เริ่มหุบลงเมื่อนึกถึงความฝันนั้น

        ไม่สิ มันคือเรื่องจริงต่างหาก

        “ยังฝันเรื่องเดิมอยู่เหรอ”

        “ใช่ครับ เหมือนเดิมไม่ต่างจากตอนอยู่ที่บ้านเลยครับ ผมฝันแต่เรื่องเดิมซ้ำ ๆ ยิ่งตอนที่ผมรู้สึกไม่สบายใจหรือแปลก ๆ ผมจะเริ่มฝันร้ายจนเหมือนเหตุการณ์นั้นมันกลับมา รอยที่มีอยู่ของผมก็เหมือนอยู่ดี ๆ ก็เจ็บมากขึ้น เวลาผมนอนผมรู้สึกทรมาน ผมไม่อยากหลับ”
       
        พี่กิตต์ได้แต่พยักหน้ารับฟัง เพราะพี่กิตต์เองก็รู้ว่าการรับมืออาการของผมนั้นเป็นอย่างไร

        “ผมอยากให้พี่จ่ายยาให้กับผม”

        “พี่ว่ามันอาจจะทำให้แย่นะ”

        พี่กิตต์พูดออกมา

        “ตามจริงพี่ไม่เห็นด้วยเลยที่เราจะออกมาอยู่ข้างนอก พี่อยากให้เราไปเที่ยวอะไรแบบนี้มากกว่า แต่การที่เราย้ายออกมา มันอาจทำให้รินรู้สึกปลอดภัยแต่พี่ว่ามันคือการหนี”

        พี่กิตต์รู้ปัญหาภายในครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องผม แม่ และ ”เขา”

        “ผมไม่ได้หนี” ผมเถียงออกไปอย่างสั่น ๆ

        “ยิ่งรินฝันแบบนั้นและจมปลักมันยิ่งทำให้รินก้าวต่อไปไม่ได้”

        “ผมอยากลืมมัน ไม่อยากฝันถึงมันอีก”

        “งั้นรินก็ต้อยอมรับมัน และเปิดใจที่จะใช้ชีวิตแบบใหม่ที่รินต้องการ”

        “ผมคิดว่าผมอาจทำไม่ได้”

        ตอนนี้น้ำตาของผมเริ่มไหลออกมา ผมมันอ่อนแอมาก นั้นสินะ ผมมันอ่อนแอ ขี้แพ้

        พี่กิตต์ยื่นกระดาษทิชชู่มาให้ผม ผมรับมันมาก่อนจะซับน้ำตาออก

        “พี่อยากให้เราใช้ชีวิตได้ มันอาจทำให้รินกลายเป็นซึมเศร้าซึ่งพี่ไม้อยากให้เป็นอย่างนั้น”

        ผมพยักหน้ารับ

        “สภาวะของรินก็คือ PTSD อยู่แล้วดังนั้นอาการมันยังจะคงอยู่เพราะรินกำลังโทษตัวเองและฝังใจกับมัน พี่เองยังอยากเป็นผู้รับฟังที่ดีและพี่ก็อยากให้น้องชายอย่างเราหายด้วย”

        ผมมองสีหน้าเครียด ๆ ของพี่กิตต์  ในหัวตอนนี้ผมได้แต่ตีกันไปมาและสมองผมตอนนี้เองก็ไม่อยากที่จะรับอะไรอีกแล้ว

        “เอาเป็นว่าพี่จะจ่ายยาให้เราและเรา ริน ถ้ามีอะไรบอกพี่ทันที”

        “ครับ”

        “แล้วเราได้คุยกับแม่ไหม?”

        “ไม่ครับ ตั้งแต่เขาคนนั้นเข้าคุกเขาก็ไม่เคยโทรมาเลย”

        ผมพูดเสร็จก็มองเวลา ตอนนี้ผมต้องมีเวลาเดินทางไปถึงร้านให้ทัน ผมเลยขอตัวกลับ

        “เดี๋ยวริน พี่ขอที่อยู่รินหน่อย”

        “ทำไมครับ?”
       
        “พี่จะได้รู้ว่าเราอยู่ยังไง สบายดีหรือเปล่า”

        ผมบอกไปก่อนที่มีกิตต์จะมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย

        “แถวนั้นมันย่านสลัมหรือเปล่า?”

        “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ ผมมีงาน”

        ผมพูดจบพร้อมกับที่มีอีกคนเข้ามาพอดี เธอเป็นผู้หญิงแต่งตัวเปรี้ยวจัด แฟชั่นมาก เธอสวมแว่นกันแดดสีดำและกำลังจ้องมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

        นี่อาจจะเป็นคนไข้ของพี่กิตต์ก็ได้ เธอกับผมมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยิ้มให้ผมน้อย ๆ ผมยิ้มตอบกลับไปก่อนจะออกมา เพื่อเดินทางไปทำงาน
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 5 01/16/18
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 18-01-2018 17:18:26
น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 5 01/16/18
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 18-01-2018 19:47:59
เนื้อเรื่องน่าสน :o8:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 19-01-2018 18:52:26
        บทที่ 6

       
        ผมเดินทางมาที่ทำงานได้ทันเวลาหวุดหวิด เกือบเข้างานสายไปเสียแล้ว ผมรีบเดินไปเปลี่ยนชุดที่ห้องพัก กำลังเห็นหนอนกับแป้งพูดอะไรบ้างอย่างอยู่ พอแป้งเห็นผมก็ทักด้วยเสียงดีใจ

        “ว่าไงริน”

        “สวัสดี”

        แล้วพวกเราก็พูดถึงเรื่องสัพเพเหระเป็นทั่วไป ก่อนที่จะสะดุดกับคำถามของแป้ง

        “รินไปหาหมอมาเหรอ”

        แป้งพูดพร้อมกับชี้มาที่ถุงยาของผมที่ทำตกอย่างกะทันหัน ผมรีบไปเก็บทันที

        “อืม ใช่”

        แป้งพยักหน้า ผมเองก็หวังว่ามันคงไม่มีอะไร เพราะผมเองก็อยากให้ใครรู้ว่าผมไปหาจิตแพทย์ ถึงแม้จะดูเป็นเรื่องทั่วไปในสมัยนี้แล้ว แต่สายตาหลายคนก็คงมีคำถามแคลงใจและตัดสินว่าคน ๆ นั้น

        คงเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ

        ผมไม่ได้อาย แต่ว่าการไม่รู้เป็นเรื่องที่ดีสุด ผมจึงรีบเปลี่ยนชุดแล้วไปประจำตำแหน่งทันที
วันนี้พี่ไม้ดูแปลกกว่าเมื่อวาน พี่แกไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ ซึ่งต่างจากปกติที่จะเข้ามาหยอกผมหรือแกล้งผมเสมอ และที่แปลกคือหน้าตาของพี่แกไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ จนพี่ผู้จัดการต้องเข้ามาเตือน พี่แกก็ได้แต่พยักหน้ารับและไม่พูดอะไรต่อ

        “นี่ ๆ แกว่าพี่ไม้เป็นไรอะ?”

        ช่วงเบรก แป้งก็ตรงดิ่งเข้ามากระซิบกับผมสองคนทันที เพราะแป้งก็รู้สึกเหมือนกันว่าพี่ไม้นั้นแปลกไป หนอนก็ด้วย ทุกคนเองต่างก็เป็นห่วงพี่ไม้มาก

        “ไม่รู้สิ”

        ผมตอบออกไป

        “แกลองไปสิ”

        “จะบ้าเหรอ เรากับพี่ไม้เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน แถมเราเองก็ไม่ได้อยากรู้ด้วย”

        แป้งทำหน้าเซ็ง ๆ ก่อนจะพูดว่า

        “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราลองถามเอง”

        แป้ง รีบตรงดิ่งเข้าไปหาพี่ไม้ทันที ผมเองมองร่างเล็ก ๆ กำลังสนทนากับผู้ชายร่างสูงที่ตอนนี้ หน้าตาเริ่มเศร้าผิดปกติ ผมมองอยู่อย่างนั้นก่อนที่เบรกจะหมด แล้วลูกค้าในช่วงบ่ายก็เยอะซะจน ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย

        วันนี้พวกเราต่างเหนื่อยกับการทำงานมาก ต่างคนล้วนอยากกลับบ้าน แป้งรีบเปลี่ยนชุดและลากลับไป หนอนก็เช่นกัน ส่วนผมเองไม่ได้รีบอะไรนัก ตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะแวะไปที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อที่จะไปซื้อของใช้เพิ่ม

        สักพักก็มีบางอย่างสะกิดด้านหลัง ผมหันไปก็เป็นพี่ไม้กำลังยืนยิ้มอยู่

        “มีอะไรหรือเปล่าครับ พี่ไม้”

        “เปล่า”

        แล้วพี่แกก็เงียบไปสักพัก ก่อนที่จะบอกว่า

        “พี่จะออกแล้วนะ”

        ผมรีบหันกลับไปทันที

        “ทำไมครับ”

        พี่ไม้สีหน้าสลดลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า

        “พอดีงานที่พี่สมัครไว้ ติดต่อมาแล้ว พี่เลยจะไปทำที่นั้น”

        “เสียดายจังนึกว่าจะอยู่นาน ๆ กว่านี้อีก”

        เสียดายสิ ถึงแม้ผมเพิ่งเจอกับพี่ไม้ แต่พี่ไม้เองก็ทำให้คนรู้สึกถึงความคุ้นเคยได้รวดเร็ว ความรู้สึกที่ผมเองก็ไม่เคยเป็น ตามจริงความรู้สึกแบบนี้ผมควรรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายควรรู้สึกให้แก่กัน แต่พี่ไม้เป็นข้อยกเว้น

        จะหน้าตาเหรอ ก็มีส่วนเพราะหน้าตาพี่ไม้ไม่ได้แย่ออกจะค่อนข้างดี ผิวขาวเหลืองและร่างสูงใหญ่ก็ทำให้พี่ไม้มีลูกค้าประจำโดยเฉพาะผู้หญิงมาติดพัน จนพี่ ๆ ผู้จัดการร้านชอบใจ เพราะร้านก็มีรายได้มากขึ้น

        แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมชอบพี่ไม้จริง ๆ คือนิสัย น้อยมากที่ผมจะเจอผู้ชายที่นิสัยแบบนี้ ขนาดหนอนที่ดูเงียบผมก็ยังรู้สึกว่าเขาเองก็พยายามห่างจากผมเพราะอาจจะรู้สึกว่าผม “ไม่ใช่ผู้ชายแบบทั่วไปนัก” แต่พี่ไม้ไม่ได้สนใจตรงนั้นเลย

        เขาไม่เป็นแบบนั้นเลยสักนิด

        ผมเองก็ไม่รู้ว่า เขามองผมเป็นน้องชายหรือแค่สงสาร แต่ผมเองก็ไม่กล้าคิดถึงอะไรที่มากกว่านั้นเลย
อย่าว่าแต่คนอื่น ผมเองก็ไม่อาจที่จะรับตัวเองได้เช่นกัน

        พี่ไม้กับผมไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากที่พี่แกบอกว่าจะไปส่ง แล้วผมก็ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์กับพี่ไม้

        .

        .

        .

        พี่ไม้ไม่ได้พาผมไปที่หอ แต่พาผมมาที่บึงแห่งหนึ่ง เวลาตอนนี้ค่อนข้างดึกมาก แต่ก็ยังมีคนออกมาเดินเล่นกันเยอะแยะ หลาย ๆ คนอาจนอนไม่หลับก็ได้

        ผมมองไปรอบก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ

        สดชื่น

        ไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว ผมหันไปข้างๆผมเป็นพี่ไม้ที่ลงมานั่งตรงฟุตบาท ในมือของเขาถือน้ำอัดลมมาสองขวดก่อนจะยื่นให้ผมขวดหนึ่ง

        “ขอบคุณกลับ” พร้อมกับหยิบขวดน้ำอัดลมมาจากมือของพี่ไม้

        พวกเรานั่งเงียบเหมือนปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ พร้อมกับความเงียบที่ไม่ได้รู้สึกเหงา หรือน่ากลัว แต่มันคือความเงียบที่ดีสุด

        ผมเองก็นั่งมองดูน้ำที่กำลังไหลวนเวียนกันไปมาอย่างช้า ๆ ในบึงแห่งนี้

        “พี่อยู่คนเดียวตั้งแต่เด็ก พูดง่ายๆพี่เป็นเด็กกำพร้า”

        ผมหันไปมองคนที่อยู่ดี ๆ ก็พูดออกมา ผมนั่งฟังเงียบไม่ได้พูดอะไร

        “พี่เลยทำงานตั้งแต่เด็ก มีคนค่อยช่วยพี่อยู่นะแต่พอพี่โตสักหน่อย พี่ก็รู้ว่าควรจะทำยังไง พี่ควรจะพึ่งตัวเองเต็มที่”

        “เก่งจังนะครับ” ผมพูดพร้อมกับนึกถึงตัวเอง ณ ตอนนั้น ยังทำอะไรไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ

        “พี่เลยรู้สึกว่าตัวเองโตกว่าคนอื่น จนบางทีก็คิดว่าทุกคนนั้นเป็นเหมือนน้องที่ต้องคอยดูแล รวมถึงบางทีก็ตัดสินใจแทนคนอื่นเขา แต่พี่ก็หวังดีจริงนะ”

        พี่ไม้พูดออกมา

        “ดังนั้น พี่เลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มาก ๆ พี่เลยมักคิดว่าเวลาที่เรารู้สึกอะไรควรพูดไปอย่างนั้น”

        แล้วพี่แกก็หันมามองผมด้วยสายตาที่ผมรู้สึกแปลก ๆ ในแววตาของพี่เขามีประกายบางอย่างที่ผมรู้สึกว่า ผมไม่ควรจะได้รับมันเลยสักนิด

        “พี่อาจดูไม่ค่อยใส่ใจ แต่มองอยู่ตลอดนะ”

        ผมก้มหน้าแล้วยิ้มให้กับตัวเองเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปที่หน้าของพี่ไม้

        “ผมไม่ดีพอหรอกนะครับพี่ไม้ ถ้าพี่รู้ว่าผมผ่านอะไรมาบ้างพี่คงรังเกียจผมไปเลย”

        ผมยิ้มตอบพี่แก พี่ไม้ดูมีสีหน้างง ๆ นิดหน่อย พี่แกก็ค่อย ๆ ยิ้มออกมาแล้วก็เอามือลูบหัวผม

        “พี่ไม่สนใจหรอกนะ ที่ผ่านมาพี่ไม่เคยถามว่าเราเป็นยังไงเลย เพราะพี่ไม่สนใจจริง ๆ พี่สนใจแค่ปัจจุบัน”
พี่ไม้มือลูบผมของผมไป พร้อมพูดไป ตอนนี้น้ำตาของผมเริ่มไหลช้า ๆ มันเป็นความรู้สึกที่ปั่นป่วนกันไปหมด

        ไม่มีคำพูดจากปากของเราทั้งสองคน

        มีแต่ความเงียบที่เข้ามาแทนอีกครั้ง

        .

        .

        .

        พี่ไม้มาส่งผมที่หอเช่นเดิม แล้วเราก็ต่างไม่พูดอะไรกันเช่นเดิมนอกจากที่ผม

        “ขอบคุณครับ”

        จากนั้นผมก็เดินขึ้นมาถึงชั้นตัวเองก็พบว่า ชั้นของผมดูเงียบผิดปกติ ผมรีบเดินไปที่ห้องของผมทันทีขณะที่ผมกำลังไขกุญแจผมเห็นว่าประตูของผม ได้เปิดอยู่แล้ว

        ใจสั่นๆ

        ใจของผมตอนนี้สั่นมาก ๆ ในหัวของผมปั่นป่วน สับสน รู้ตัวอีกทีผมก็ค่อยๆเปิดประตูห้องของตัวเองออก ก่อนที่จะเอื้อมมือไปเปิดสวิทช์ไฟ

       พรึ่บ

        ทุกอย่างสว่างขึ้น ภายในห้องของผมเละเทะ ของต่าง ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว ผมรีบเดินไปตรงลิ้นชักที่ผมมักซ่อนของไว้ มันโดนงันออกมา ผมค้นดูเงินจำนวนหนึ่งที่ผมเอาไว้ใช้กินหายไป ผมรีบเดินไปดูส่วนอื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรหายไปนอกจากเงิน โชคดีที่ผมไม่ได้เอาของอะไรมาจากบ้านนั้นนัก

        ใจผมที่กำลังสั่น ๆ ด้วยความวิตกค่อยกดเบอร์มือถือไปที่เบอร์ 191 เบอร์สั้น ๆ แต่ทุกการพิมพ์มันช่างยากเสียเหลือเกิน ผมกดโทรออก ก่อนที่ตำรวจจะรับสาย

        “เออ พอดีห้องผมถูกงัดครับ”

        หลังจากนั้นก็โดนสอบถามต่าง ๆ ผมก็บอกไปตามนั้น ก่อนที่ทางนั้นจะบอกว่า

        “อีกสิบนาที”

        สิบนาทีผ่านไป

        ตำรวจก็มาถึง ผมพาพวกเขาเดินขึ้นไปที่ชั้นของผม

        “หอของนอนเงียบจังนะครับ เจ้าของไปไหนครับ”

        ตำรวจคนหนึ่งที่แนะนำตัวว่าเขาชื่อ “ชาติ” ถามผมออกมา ผมได้แต่ยิ้มน้อย ๆ

        “เจ้าของไม่อยู่ อยู่แต่คนดูแลซึ่งก็ไม่ค่อยอยู่เช่นกัน หอของผมมันไม่ค่อยมีคนอยู่ด้วยครับ”

        เขาทำหน้าเฉย ๆ ไม่แปลกใจนักก่อนที่เขาจะชะงักเมื่อผมเดินขึ้นมาชั้นสามแล้ว ผมเดินเข้าไปที่ทางเดินเลย

        “น้องอยู่ชั้นนี้เหรอ?”

        “ครับ”

        พี่ตำรวจดูแปลกใจก่อนที่จะตามผมเข้าไปที่ห้อง เขาตรวจดูภายในเล็กน้อยรวมถึงเก็บหลักฐานบางอย่างด้วย

        “เดี๋ยวพี่จะตรวจหารอยนิ้วมือ แล้วก็นี้”

        พี่ยื่นกระดาษที่ผมได้มันมาเมื่อเช้านี้จากเด็กในชั้นเดียวกัน

        “พี่ว่าน้องควรทำตามที่เขียนนะ หอนี้ไม่ปลอดภัยจริง ๆ ทางที่ดีรีบย้ายออกโดยเร็วที่สุด”

        “ผมเพิ่งมาอยู่นะครับ”

        “แต่ที่นี่เองก็ไม่ปลอดภัย น้องควรคำนึงถึงตอนนั้นมากกว่า ก่อนที่จะ…..”

        “อะไรครับ”

        ผมถามทันทีที่แกเงียบลงไป แต่แกก็ไม่พูดอะไรต่อก่อนที่จะบอกว่า

        “มีอะไรรีบโทรหาพี่ทันที”

        ผมพยักหน้า จากนั้นพวกพี่ตำรวจก็ไปทันที

        ผมได้แต่คิดถึงคำพูดของคนที่อยู่ที่นี่ รวมถึงเด็กคนนั้น มันอยู่ในหัวจนผมเองก็แทบจะเรียงลำดับไม่ถูกว่าควรทำยังไง ผมมองไปทางห้องของเด็กคนนั้นแล้วพบว่ามันเงียบมาก

        แสดงว่าคงนอนแล้วสินะ

        พรุ่งนี้แล้วกันค่อยคิด ตอนนี้ผมง่วงสุด ๆ เลย

        .

        .

        .
       
        หลังจากที่ผมตื่นขึ้นมาแต่เช้า โดยที่ผมฝันดีสุด ๆ เพราะผมกินยาที่พี่กิตต์ให้มา ทำให้วันนี้ผมสดชื่นอย่างที่ควรจะเป็น ผมบิดขี้เกียจก่อนจะลุกไปอาบน้ำแล้วแต่งตัวออกมาจากห้อง ในมือของเองก็ถือกระดาษแผ่นนั้นไว้ ก่อนที่จะเดินไปที่ห้องของเด็กคนนั้น

        ปังๆๆๆๆๆ

        ตอนนี้ผมกำลังอยู่หน้าประตูผู้ต้องสงสัยของผม ผมเคาะประตูเพื่อจะให้พวกมันเปิดออกมา

        เงียบ

        ไม่มีเสียงตอบรับอะไรทั้งสิ้น ผมพยายามเคาะแล้วเคาะอีก ก็ไม่มีใครออกมา ผมรีบเดินลงไปที่ชั้นหนึ่งตรงเคาน์เตอร์ผู้ดูแล

        “เออ ป้าครับ ห้อง 305 ไปไหนครับ?”

        ป้าแกขมวดคิ้วนิดนึ่งก่อนที่จะตอบออกมา

        “เขาคงกลับบ้าน นี่มันวันหยุด นักเรียนไม่ค่อยอยู่กันหรอก”

        “เหรอครับ”

        “ทำไมเหรอ หนูมีเรื่องอะไรกับพวกเขาเหรอ ถ้าเป็นพวกเขา ป้าว่าอย่ามายุ่งดีกว่านะ”

        “ทำไมครับ”

        “เออ…….พวกเขาไม่ค่อยธรรมดากันนะหรอก”

        “เหรอครับ”

        ตอนนี้ในใจของผมกำลังคุกรุ่นไปด้วยโทสะ

        “ป้ารู้ไหมครับว่าห้องผมถูกงัด”

        “เหรอจ๊ะ!!!!”

        ป้าแกดูทำหน้าตกใจมาก ๆ ก่อนที่จะหลบตาผม

        “ผมคิดว่าที่นี่คงไม่มีกล้องวงจรปิด แต่อย่างน้อยถ้าเด็กคนนั้นอยู่ก็น่าจะเห็น เว้นแต่ว่าเด็กคนนั้นเป็นขโมย”

        “เขาอาจจะไม่ใช่ก็ได้”

        “ก็ชั้นนั้นมีอยู่สองห้องนี่ครับ”
       
        ผมขี้นเสียงใส่

        “นี่ พูดดี ๆ ก็ได้ทำไมต้องขึ้นเสียงใส่ด้วยฉันนี่อายุเยอะกว่าเธอนะ”

        ป้าคงโกรธแล้วนั้นแหละ แต่ตอนนั้นผมที่อารมณ์รุนแรงไม่แพ้กันก็พูดออกมาว่า
       
        “ป้าเองก็ทำหน้าที่ไม่ดีเลยสักนิด หายไปไหนไม่เคยดูแลหอเลย หอถึงใกล้จะเจ๊ง แล้วอีกอย่างถึงอายุเยอะกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้ อีแก่!!!!”

        ป้าแกตกใจ ผมเองก็ตกใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดอะไรแบบนั้น และดูเหมือนว่าอารมณ์ของเราทั้งคู่จะรุนแรงกันมากขึ้น แต่ก็ถูกขัดด้วยเสียงหนึ่ง

        “สวัสดีน้องริน”

        เสียงพี่ชาติ ตำรวจคนเมื่อวาน พอป้าดูแลหอเห็นตำรวจหน้าที่ตกใจอยู่แล้วก็ซีดขึ้นมาอีก

        “มีอะไรค่ะ ที่นี่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นซักหน่อย”

        พี่ชาติดูงง ๆ แต่แกก็เข้าใจ

        “ผมมาดูห้องของนอนที่โดนงัดเมื่อวานนะครับ ป้าเองไม่รูเหรอครับ พอดีผมว่าจะมาขอดูกล้องวงจรปิด”

        ป้าแกหันมามองผมด้วยสายตาที่รุนแรงเหมือนผมทำอะไรผิด

        “เอ่อ กล้องวงจรปิดเสีย” แกพูดออกมาห้วน ๆ
       
        พี่ชาติมองหน้าป้าแกอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

        “พี่ขอคุยกับรินหน่อยสิ”

        “ครับ”

        พี่แกขึ้นมาดูที่ห้องผมอีกครั้งก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้

        “พี่ว่าเราควรจะย้ายให้เร็วที่สุด ป้าดูแลหอเองก็ดูไม่น่าไว้ใจ ตามจริงที่นี่เกิดเหตุบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นงัดห้อง ขโมยของ รวมถึง…”

        “คนหาย” ผมพูดออกมา

        “รู้เหรอ”

        ผมพยักหน้า

        “นั้นแหละที่นี่ยิ่งอันตราย พวกพี่ได้รับแจ้งความจากที่หอนี้บ่อย แต่ทุกครั้งที่มาเหตุการณ์ก็สงบเพราะป้าดูแลหอออกมารับหน้าทุกครั้ง”

        “พี่ว่าป้าแกมีส่วนเหรอครับ”

        “น่าจะเพราะเห็นไม่อยากให้พวกพี่เข้ามาที่นี่”

        ผมคิดถึงสิ่งที่พวกพี่แกพูด นั้นทำให้ผมยิ่งอยากย้ายแต่เงินค่ามัดจำก็จ่ายไปแล้ว ล่วงหน้าด้วย แล้วหวังว่าจะได้คืนจากป้าแกเลย

        .

        .

        .

        ผมเดินทางไปทำงานตอนบ่ายตามปกติ ในวันนี้ลูกค้าค่อนข้างน้อยเนื่องจากเป็นวันธรรมดา ร้านจะไม่ค่อยมีลูกค้าช่วงนี้อยู่แล้ว ผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่ไม้ฟัง

        “น่ากลัวจัง พี่ว่าหาที่อยู่ใหม่ดีไหม”

        “ผมมัดจำไว้สามเดือน ตอนนี้ยังอยู่ไม่ครบ อีกอย่างหอนี้ก็ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับที่อื่น”

        “ถูกแต่แลกกับความปลอดภัยต่ำ พี่ว่ามันไม่โอเคเลยนะ”

        “ผมว่ามันไม่มีอะไรหรอก มันคงรู้แล้วล่ะว่าตัวผมนั้นไม่มีอะไรเลย”

        ผมพูดให้พี่แกสบายใจ ทั้ง ๆ ที่ผมไม่สบายใจเลยสักนิด พี่ไม้เหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่างก่อนที่จะเงียบไป จากนั้นพวกเราก็ทำงานตามปกติ วันนี้หนอนลาเพราะไม่สบาย ส่วนแป้งก็ยังเฮฮาตามประสาของเธอไป พอเธอรู้เรื่องที่ผมโดนงัดห้อง แป้งก็บอกว่าจะหาหอให้ผม ผมก็ได้แต่ขอบคุณเพราะไม่ได้มีความคิดที่จะย้ายออกไป

        .

        .

        .

        วันนี้พี่ไม้ก็มาส่งผมที่หอเหมือนเดิม ขณะที่กำลังลงจากรถพี่ไม้ก็ลงมาด้วย ผมสงสัยจึงถามออกไป

        “พี่ตามรินมาทำไมอะ”

        “ก็จะไปส่งที่ห้อง เพื่อมีอะไรจะได้ช่วย”

        “พี่ มันคงไม่กลับมาง่ายๆหรอก อีกอย่างพวกมันก็พึ่งจะก่อคดี ตำรวจก็มาลาดตระเวนบ่อย ผมไม่กลัวหรอก”

        พี่ไม้ดูเหมือนจะไม่ยอม ผมเลยเสียเวลากับการที่เขาให้ผมหมดห่วงจนเขายอมแล้วกลับไปในที่สุด ผมยืนมองจนพี่แกขับรถไปไกล ผมจึงเดินขึ้นห้อง

        ทั้งชั้นยังคงเงียบแบบผิดปกติ ผู้คนยังไม่กลับบ้าน ผมเดินไปถึงที่หน้าห้อง 305 ผมมองดูรอบ ๆ เพื่อพวกมันอาจซ่อนอยู่ขณะที่ผมกำลังจะเคาะประตู เสียงแปลกๆก็ดังขึ้นตรงทางบันได ผมหันไปมองก็พบว่ามันค่อนข้างมืด

        ไฟเสียอีกแล้ว

        ไฟหอตรงบันไดเสียบ่อย และก็ไม่ได้เปลี่ยนบ่อยนัก ผมเริ่มกังวลมากเพราะผมไม่ชอบเลยความมืด ผมรีบเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองก่อนที่จะไขกุญแจเข้าไป

        ขณะที่กำลังไขเสียงวิ่งตรงทางเดินมืดๆ ก็วิ่งมิย่างรวดเร็ว เสียงเท้ากระทบพื้นซอยถี่ ๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ผมรีบไขกุญแจจนลนลาน พอไขได้ ผมรีบเปิดเข้าไปแล้วปิดประตูทันที
       
        เสียงเงียบลง

        แต่กลับเป็นเสียงเดินมาเรื่อย ๆ แสงไฟทางเดินที่ยังเหลืออยู่ทำให้เห็นเงาตรงทางเดินที่ลอดผ่านช่องประตู ผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากยืนเฝ้าอยู่อย่างนั้น เฝ้าภาวนาให้มันรีบไป

        ผ่านไปหลายนาทีเงานั้น ก็หายไปเสียงเดินของมันเดินกลับไปทางเดินที่มันวิ่งมา ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่จะเปิดไฟแล้วไปนั่งอยู่ที่เตียง

        ใจของผมตอนนี้สั่นมาก ๆ มันเต้นแรงจนเหมือนทะลุออกมา ผมอยู่ในอาการที่เรียกว่าขวัญผวาก็ได้ ตัวผมก็สั่น ตื่นเต้น รู้สึกไม่ดี ผมรีบโทรไปหาพี่ชาติทันที แต่พี่ชาติก็ไม่รับสาย

        ผมตอนนี้ที่ยังกลัวอยู่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เลยตัดสินใจโทรหาพี่ไม้แต่พี่แกปิดเครื่องตอนนี้ ผมเริ่มรู้สึกวิตกหนักมากกว่าเดิม ทำยังไงดี ออกไปดีไหม?

        ออกไปก็เจอพวกนั้น
        อยู่ก็เหมือนหนูที่กำลังติดกับดัก

        ผมหมดทางเลือกไปแล้ว ตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี ผมรีบค้นหาของที่น่าจะป้องกันตัวได้ ส้อม ใช่ผมยังมีส้อมที่ซื้อไว้ ถึงแม้จะดูทำอะไรไม่ได้ แต่มันก็แหลมพอใช้ได้อยู่

        ตอนนี้ผมนั่งจ้องหน้าประตูเฝ้ารออะไรบางอย่าง ก่อนที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวหลับไปตอนไหน

        .

        .

        .

        เด็กชายกำลังตัวสั่นเทาในที่นอนของตัวเอง ร่างกายของเขาบวมเจ็บไปทุกส่วน เขานอนร้องไห้ทุกคืนและไม่มีใครช่วยเขาได้ คำขู่คำนั้นก็ยังคงติดอยู่ในหัวเขา

        “ถ้าบอกใคร เธอจะเจ็บตัวกว่านี้”

        เขาเจ็บ การกระทำนั้นมันเจ็บจนทรมาน มารดาของเขาก็รู้สึกได้แค่เขาป่วย เพราะมารดาคิดแต่ว่าเด็กคนนี้ไม่ปกติเท่าไหร่อยู่แล้วจึงไม่ใส่เรื่องนี้มาก ไม่ใส่ใจจนมองข้ามอะไรหลาย ๆ อย่างไป

        .

        .

        .


        ผมตื่นขึ้นมาหลังจากฝันนั้นกลับมาอีกแล้ว กลับมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่อยู่ดี ๆ ก็เจ็บขึ้นมา ผมมองไปที่นาฬิกา นาฬิกาก็บอกเวลา ตีหนึ่ง ผมมองไปที่ประตูข้างหน้าก่อนจะพบว่ามันแปลก ๆ ผมเดินเข้าไปดูแล้วก็พบว่ามันถูกงัด แต่ยังไม่ได้ทำอะไร ร่างกายของก็แข็งถือเพราะกำลังถูกจับ พร้อมมือที่หยาบกร้านนั้นก็ปิดปากผมเอาไว้ด้วย ตัวของผมไม่สามารถหลุดจากพันธนาการนี้ได้เพราะร่างกายของผมกับมันที่แตกต่างจากการสังเกตและแรงที่เขามีก็เริ่มทำให้ผมเจ็บ ตัวผมสั่นน้ำตาเริ่มไหล เมื่อเสียงกระเส่า ๆ ที่น่าขนลุกนั้นพูดเบาๆที่ข้างหูผมว่า

        “หลับลึกจังนะจ๊ะ”








ขอโทษที่หายไปนานนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 19-01-2018 19:01:10
อยากจะตีทำไมไม่เปลี่ยนหอล่ะ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 20-01-2018 10:19:51
ย้ายออกเถอะ มัดจำแค่3เดือนเอง วงวารงะ :hao5:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-01-2018 10:48:19
สนุกมากค่ะ เพิ่งมาติดตาม
สงสารรินอ่า :ling3:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: supermyrainbow ที่ 20-01-2018 11:49:33
แค่ชื่อเรื่องก็น่าติดตามแล้ว
พอมาอ่าน ก็ยิ่งน่าติดตามขึ้นไปอีก
ปมเยอะดี  :katai1:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 20-01-2018 17:49:58
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 20-01-2018 18:38:30
ริน! โถ่เอ้ย :katai1:  :katai1:

เป็นนิยายที่ทำให้เราลุ้นระทึกและอยากติดตามมากค่ะ แต่มาสะดุดพวกคำผิดนี้แหละ งืมๆ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 20-01-2018 21:50:35
 :ling3:
น่ากลัว
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 7 01/21/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 21-01-2018 21:04:34
        บทที่ 7

       
        ผมได้แต่ตัวสั่นและทำอะไรไม่ถูก ผมกลัว ผมไม่รู้ว่ามันจะทำอะไร พร้อม ๆ กันนั้นประตูก็เปิดออกมาพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของคนที่ไม่ผมไม่คุ้ยเคยเลยสามคน แววตาของพวกมันหวานเยิ้มและดูล่องลอยเหมือนกับเมาอะไรสักอย่าง เสียงพวกมันหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับที่ผมพยายามร้องออกมาในลำคอ แต่ก็ไม่ได้ผล มือของมันยังคงผิดปากผมไว้ ผมพยายามดิ้น เมื่อพวกมันสามคนที่เข้ามาใหม่ พยายามเดินมาจับผมไว้
 
        ผมพยายามดิ้นสุดชีวิต ก่อนจะโดนกำปั้นของใครคนนึงมันซัดลงมาตรงที่ท้องของผมอย่างรุนแรง มันทำให้ผมทั้งจุกและเจ็บออกมา ผมรู้สึกอยากจะอ้วกแต่ก็ทำไม่ได้ ตอนนี้ผมเริ่มกลัว กลัวมาก ๆ กลัวจนทำอะไรไม่ถูก…..

        “อย่าดิ้น!!!!”

        พร้อมกับที่พวกมันผลักผมลงไปที่เตียง พร้อมจับมือของผมแล้วเอาเชือกไปผูกกับที่มุมเตียง ลักษณะของผมกำลังก้างแขนและแขนก็ถูกมัดไว้ พวกมันทั้งสี่แบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน สองคนจับ ส่วนสแงคนมัด เมื่อมือของพวกมันหลุดจากผากของผมยังเผลอไผล ผมก็ใช้โอกาสที่น้อยนิดร้องตะโกนออกมาสุดชีวิต

        “ช่วยด้วย!!!!! ช่วยด้วย!!!!!”

        ผมร้องไปตะโกนไป พวกมันก็ได้แต่หัวเราะออกมา

        “ไม่มีใครได้ยินหรอกนะจ๊ะ”

        ผมร้องไห้ แล้วพยายามตะโกนออกไปให้ดังที่สุด

        “เฮ้ย!!!!! ปิดปากมันสิ”

        เสียงของบุคคลอีกคนเดินเข้ามา หน้าตาดุที่คุ้น ๆ ของมันผมจำได้ทันทีว่ามันเป็นใคร ตอนนี้ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมันถึงทำอย่างนี้กับผม ผมไม่เคยมีเรื่องกับมันเลย ตั้งแต่เดินชนมันครั้งนั้นแถมผมไม่ได้ตั้งใจชนมันเลยด้วยซ้ำ

        “เงียบ ๆ หน่อยสิจ๊ะ คนน่ารัก ฮ่า ๆ”

        ตอนนี้มือของมันกำลังลูบหัวผม พร้อมกับเพื่อนมันอีกคนก็เอาผ้ามาปิดปากผม ผมไม่สามารถทำอะไรได้ร่างกายของผม
ไม่มีแรงพอที่จะต่อต้านพวกมัน ผมทำได้ตอนนี้ก็แค่ร้องไห้และพยายามดิ้นให้สุดความสามารถ

        ไร้ผล

        ร่างกายนี้ไม่ต่างจากผู้หญิงเลย อ่อนแอทั้ง ๆ เป็นผู้ชาย!!!!! ผู้ชายแท้ๆ ทำไมกันนะ ธรรมชาติมักจะคัดสรรสิ่งที่เป็นข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์ได้มากมายขนาดนี้ ทั้งที่ก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ทำไมผมถึงทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนรอรับชะตากรรมบ้า ๆ นี้

        โทษใครดีล่ะ?

        ครืด ๆ ๆ

        เสียงมือถือของผมดังขึ้น เสียงแห่งความหวังที่ปลุกเร้าพลังกายของผมเพื่อที่จะรอด แต่สุดท้ายผมก็พ่ายให้กันพันธการของพวกชายโฉดที่เห็นการดิ้นที่เหมือนกับวัวพยายามดิ้นหนียามเมื่อมันกำลังถูกเฉือด นี่คือความรู้สึกของสิ่งที่โดนกระทำสินะ การที่เราไม่มีทางออกเลยสักนิดนอกจาก นอนรอสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะตามมา

        ครืด ๆ ๆ

        เสียงมือถือที่เหมือนจะดับไปแล้วกลับติดขึ้นอีกครั้ง เสียงของมันเริ่มไปสะกิดต่อมความรำคาญพองพวกมัน ก่อนที่ใครคนนึงจะลุกขึ้น พร้อมกับทำลายความหวังอย่างเดียวของผมพังจนแหลกคาที่เท้าของพวกมัน ผมร้องไห้ ตะโกนเสียงดังผ่านลำคอ เสียงของผมตอนนี้ช่างทรมาน เพราะความเจ็บคอเริ่มเข้ามา จึงทำให้การร้องของผม ยิ่งคล้ายกับเหยื่อที่น่าสงสารมากขึ้น
เสียงหัวเราะของพวกเดนนรก ยังคงสะใจกับสิ่งที่มันทำ มือของพวกมันก็เริ่มคลืบคลานเข้ามาหาผมที่นอนนิ่งสนิทไม่ไหวติง

        ยิ่งดิ้น….ยิ่งเจ็บ

        ยิ่งดิ้น…ยิ่งทรมาน

        ผมหมดหนทางยิ่งขึ้นเมื่อของพวกพวกมันทุบมาที่ท้องของผมอีกครั้ง อาการยิ่งเหมือนไปซ้ำกับแผลเก่าที่พึ่งโดนไปสด ๆ ร้อน ๆ ความทรมานนี้ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ผมเริ่มหลับตายอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น

        ใช่ เราจะขัดขืนทำไมในเมื่อสุดท้ายเราก็จะยิ่งเจ็บกว่าเดิม

        เราทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนรับชะตากรรม

        ชะตา….กรรม

        กางเกงของผมถูกดึงหลุดออกมาอย่างง่ายดาย เสื้อของผมก็เริ่มถูกพวกมันฉีกขาด

        “นิ่ง ๆ ยังนี้ค่อยน่ารักหน่อย ชอบไม่ใช่เหรอ พวกน้องรู้ว่าพี่ชอบ ฮ่า ๆ”

        เสียงพวกมันหัวเราะซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงของพวกมันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่ามนุษย์เลย มันใกล้เคียงกับคำว่า ปิศาจ

        .

        .

        .

        ผมกำลังฝัน เป็นฝันที่น่ากลัวมาก ๆ ตัวผมตอนนี้ อยู่ในห้องที่คุ้นเคยกับผู้ชายคนหนึ่ง ตัวของผู้ชายคนนั้นว่างเปล่าไร้อาภรณ์ใด ๆ บนร่างกาย เขาบอกว่ามันคือความสุข ผมจะทำให้เขามีความสุข ผมจะทำให้เขาหยุดทำร้ายผม
ถ้าผมยอม

        ผมจะหลุดพ้น

        ผมเชื่อมัน ก่อนที่ทุกอย่างจะสว่าง

        .

        .

        .


        แสงสว่างแยงตาของผม ผมค่อยๆลืมตาก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงหนึ่งที่คุ้นเคย

        “ริน ริน!!!!”

        เสียงใคร? คุ้นเคยจัง มันไม่ได้น่ากลัว มันไม่ทำให้ผมรู้สึกถูกคุกคามเท่าไหร่นัก เสียงของคนที่ผมไว้ใจมากที่สุด เสียงที่ผมรู้ว่าเขาจะปกป้องผม

        ผมลืมตา สายตาของผมพยายามปรับกับแสงที่จ้าเข้ามา ผมมองไปรอบ ๆ ผมเจอกับพี่ไม้ที่กำลังกอดผมอยู่พร้อมกับที่ตำรวจกำลังจับกุมพวกมัน

        ฝันหรือเปล่า?

        ผมร้องไห้อีกครั้ง

        ขอบคุณพระเจ้าที่ยังให้โอกาสผม

        ผมกำลังกอดพี่ไม้ เขาไม่ได้ถามผม เราไม่ได้พูดกัน ร่างกายของผมตอนนี้กำลังถูกคุมด้วยผ้านวมหนา

        “ใส่เสื้อผ้าเถอะ”

        .

        .

        .

        ผมลงมาที่ชั้นล่าง เห็นชาวบ้านหลายคนออกมาดูทั้งที่เป็นเวลาดึกมากแล้ว ผมนั่งรอตรงม้าหินอ่อนหน้าหอ เพราะพี่ชาติอยากสอบปากคำเพิ่มเติม ผมได้แต่นั่งรอพร้องมือที่กุมมือพี่ไม้ไว้ เรายังคงไม่พูดอะไรนัก อาจจะเพราะพี่เขาคิดว่าผมกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่

        เสียงชาวบ้านดังเซ็งแซ่ หูของผมก็ยังคงได้ยินเสียงคุยกัน ข่าวสมัยนี้ไม่ต้องมีอินเตอร์เน็ตก็ไวเสมอ

        “เกิดอะไรกัน?”

        “เขาว่ามีคนโดนรุมปล้ำว่ะ แต่ยังไม่โดน ได้ยินว่าคนที่โดนเป็นผู้ชายด้วย”

        “ประหลาดไปแล้วโลกนี้ เฮ้อ”

        “เรียกอะไรดี เสียหนุ่มเหรอ ฮ่า ๆ”

        มือผมยิ่งกำมือพี่ไม้ไว้แน่น ทำไมกัน พวกนั้นถ้าไม่โดนก็คงไม่รู้หรอก อยากจะรู้นักเชียวถ้าพวกมันโดนจะมีหน้ามาระรื่นแบบนี้หรือเปล่า

        “ไหวนะ?”

        ผมพยักหน้า พร้อมกับพี่ชาติเดินมาสอบปากคำเพิ่มเติม พี่ไม้ยังคงนั่งข้าง ๆ และกุมมือผมไว้
พวกมันที่ถูกเจ้าหน้าที่กำลังจับกุม ร้องโวยวาย ทั้งด่าทอเจ้าหน้าที่ ทั้งด่าตัวผม และพยายามขู่ให้ผมกลัว แต่ผมไม่สนใจนัก                                        นอกจากฟังเรื่องพี่ชาติจะคุยกับผม

        พี่ชาติจดอะไรสักอย่างก่อนที่จะเล่าเหตุการณ์ในส่วนที่ผมไม่รู้

        พี่ชาติรู้จักกับพี่ไม้โดยบังเอิญ พี่ชาติคิดว่าอย่างน้อยถ้ามีคนดูช่วย ผมจะปลอดภัยมากขึ้น เพราะคดีนี้มันไม่ได้มีแค่ผมเป็นผู้เกี่ยวข้องอย่างเดียว มันเกี่ยวกับยาเสพติดที่ระบาดในระแวกนี้มาอย่างยาวนาน ตำรวจตามจับพวกมันมานาน แต่ไม่สามารถจับได้อย่างมีหลักฐานที่ชัดเจนนัก เลยทำให้พวกมันรอดตัวไปเรื่อย ๆ ประกอบกับ “แบ็ค” ของพวกมันคนนึงใหญ่ระดับประเทศ การจะจับกุมโต้ง ๆ เลยเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

        และคดีคนหายที่ยังไม่ได้ข้อสรุป พี่ชาติบอกว่า พวกมันน่าจะมีเอี่ยว เพราะในระแวกนี้ก็น่าจะมีแต่พวกมันที่ใหญ่ที่สุด
ทำให้ผมเริ่มคิดว่า คดีขโมยของเล็ก ๆ กลับได้รับความสนใจจากตำรวจมากมายก็เพราะอย่างนี้สินะ เพราะผมอาจทำให้ตำรวจเข้าไปถึงการจับกุมพวกมันได้ ผมกลายเป็น “เหยื่อ” ล่อพวกมัน

        พี่ชาติคงจะเห็นหน้าผมนิ่งๆ พี่แกรับแก้ตัวทันทีว่าไม่ได้ใช้ผมเป็นเหยื่อล่อ แต่เพราะว่าผมอยู่ใกล้กับพวกมันที่สุด

        “น้องรินมีปัญหาส่วนตัวกับพวกมันหรือเปล่า?”

        ผมส่ายหน้า

        “ไม่มีเลยครับ”

        “ปกติพวกมันก็เป็นอันธพาลอยู่แล้ว สิ่งที่มันทำกับรินคงเพราะสิ่งที่พวกพี่เจอในห้อง”

        เขาพูดถึงสิ่งนั้น สิ่งที่ผิดกฎหมายสำหรับผู้ครอบครอง

        “พี่อยากให้รินย้ายที่พัก”


        “ผมจะย้ายไปไหน ผมเพิ่งอยู่ เงินมัดจำก็ยังไม่ได้คืน”

        “แต่ถ้าห่วงเงินมัดจำ ชีวิก็อาจไม่ปลอดภัย หอนั้นขึ้นชื่อเรื่องแหล่งมั่วสุมชั้นดี ตอนนี้พี่ได้คุยกับเจ้าของหอแล้วเรื่องนี้เขายินดีชดใช้ให้ริน อีกอย่างเจ้าของหอจะปิดหอนานแล้ว เพราะไม่มีใครอยู่เท่าไหร่ ทั้งหอมีอยู่ไม่ถึงสิบ และชั้นของรินก็มีแค่ห้องพวกมันกับห้องริน ส่วนป้าที่ดูแลหอก็เพิ่งถูกจับว่าเล่นการพนันในที่พัก”

        ผมทำหน้าตกใจเล็กน้อยเพราะเรื่องนี้มันเกินคาดไปไกล

        “พี่ว่าป้าแกมีพิรุธ ตอนแรกน่าจะเกี่ยวกับคนหาย แต่สุดท้ายไม่ใช่เพราะป้าแกเป็นเจ้ามือเลยแหละ ส่วนตัวแล้วพี่คิดว่า ป้ากับพวกนั้นน่าจะรู้เห็นเป็นใจเรื่องยาและการพนันอย่างเดียว”

        ผมพยักหน้ารับรู้แล้วถามต่อ

        “แล้วเรื่องคนหาย”

        “พี่จะสอบสวนพวกมันอีกที น่าจะใช่แน่ รินไม่ต้องเป็นห่วง”

        “แล้วพี่มั่นใจได้ไงว่าพวกมันจะไม่ออกมาอีก”

        “พี่มั่นใจ เพราะหลักฐานที่ได้มาถือว่ามีประโยชน์พอสมควร”

        “แต่ผมไม่มั่นใจ”

        ผมรู้ว่ากฎหมายมันต้านทานไม่ไหวหรอก หลังจากนี้แหละที่ผมต้องระวังตัวเอง ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเคลียร์แล้ว เหลือแต่สิ่งที่ค้างคาว่าทำไมผมถึงเป็น “เหยื่อ” ให้พวกมัน

        แต่จะว่าไป เหยื่อ ที่ถูกกระทำจากพวกนี้ ก็เป็นคนที่ไม่รู้อิโหน่เหน่ หลายคนเลยมักจะปลอบเหยื่อพวกนี้ด้วยคำว่า ดวงซวย
ผมเดินออกมา หลังจากที่พี่ชาติให้ผมไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ โชคดีที่พี่ชาติได้รับการแจ้งจากพี่ไม้ที่ระแวงเรื่องผมเมื่อเขาเห็นหอทั้งหมดนั้นมืดมาก มืดราวกับไร้สิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย

        ขนาดคนนอกอย่างพี่แก ยังสังเกตได้แต่ผมกลับไม่เห็น คงต้องเรียกว่า โง่จริง ๆ

        “หัดเป็นคนขี้สังเกตบางสิ จะได้ระวังตัวเองได้ ไม่มีใครค่อยช่วยเหลือตลอดไปหรอกนะ”

        เสียงของคนคนหนึ่งมักจะบอกผมอะไรแบบนี้เสมอ แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้จนทำให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

        “พี่ชาติครับ”

        พี่ชาติหันมามอง

        “ในสี่คนนั้น ไม่มีเด็กที่คอยมาเตือนผมอยู่ด้วยครับ”

        “เหรอ จำหน้าได้ไหม?”

        “ได้ครับ”

        “แล้วพี่จะสืบสวนพวกมันเอง เด็กนั้นอาจเกี่ยวข้องด้วย รินระวังตัวเองด้วยนะ”

        ผมพยักหน้าก่อนจะเดินออกมาหาพี่ไม้ที่นั่งรออยู่ เขาเดินมาหาผม

        “หิวไหม”

        “ครับ”

        “กินอะไรดี”

        “อะไรก็ได้”

        “โอเค อะไรก็ได้”

        พี่ไม้ยิ้มนิด ๆ เขาพยายามที่จะทำให้บรรยากาศดีขึ้นถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็ช่วยได้นิดหน่อย เรามากินข้าวที่ร้านโจ๊กข้างทางแห่งนึ่ง ผมให้พี่ไม้สั่งให้ส่วนผมก็นั่งรอ เมื่อพี่ไม้นั่งลง ผมก็พูดขึ้นมา

        “ขอบคุณครับ”

        “ไม่เป็นไร ตามจริงพี่ควรรั้งรินไว้แต่แรก พี่รู้สึกว่ามันไม่ดีตั้งแต่แรก แต่พี่ก็ช้า”

        “พี่ไม่ได้ช้าเลย อย่างน้อยมันก็ยังทัน ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย”

        ผมพยายามให้พี่แกไม่ต้องคิดมาก เมื่อผมได้มาเช็กมือถือผม ผมพบว่าพี่แกโทรมาเรื่อย ๆ แต่ผมเองกลับหลับลึก ไม่รู้อะไรเลย จนพี่แกตัดสินใจที่จะโทรตามพี่ชาติ เหตุการณ์เลยไม่ได้แย่มากอย่างที่คิด อย่างน้อย

        ผมก็ไม่ต้องถูกตอกย้ำอีกครั้งด้วยความทรงจำที่เลวร้ายจากผู้ชายเป็นครั้งที่สองอีก





มาต่อแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับผู้อ่านทุกคนที่ติดตามนะครับ ส่วนคำผิดพยายามจะไม่ให้ผิดนะครับ และกำลังแก้ไขในส่วนที่ผิดตอนก่อน ๆ นะครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ  :impress2:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: pui_noizๆ ที่ 21-01-2018 23:35:14
...ช่วง 3-4ตอนแรก มันก็จะเอื่อยๆ หน่อยเนอะ เข้าใจว่าต้องการปูเรื่องแต่มันเอื่อยๆ แบบอึดอัดด้วยอะนะ แต่ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ส่วนเรื่องการดื้อรั้นและไม่อยากย้ายหอนี่ก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่สภาพหอที่เล่ามารวมถึงมีคนหายและยังมีคนทักท้วงแล้วก็ยังจะไม่คิดอะไรนี่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร? ยังเด็กอยู่? หรือ ก็คิดได้แต่ว่าจะมีปัญหาเรื่องเงิน แต่ไม่ได้คิดถึงภาพรวมในการดำเนินชีวิต แต่ก็เข้าใจว่าก็คงเพราะอย่างงี้งัยถึงได้มีเรื่องเหยื่อให้อ่าน...
ก็รอติดตามต่อไป แต่เรื่องวรรณยุกต์นี่ อืมเยอะมากนะ ทั้งใส่ผิดทั้งลืมใส่ และตัวสะกดในบางคำด้วยที่หายไป ถ้าจะลองกลับไปดูใหม่ตั้งแต่ ep.1 ก็จะเห็นเอง
เป็นกำลังใจให้  :pig4:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 6 01/19/18
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 22-01-2018 10:39:50
อึดอัด เหยื่อ อะไร ยังไง นะ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 8 01/24/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 24-01-2018 01:36:47
บทที่ 8

       
        “เป็นไงห้องพี่”

        ผมเดินตามพี่ไม้ เข้าไปที่ห้องพักของพี่เขา พี่แกเสนอให้ผมมาอยู่สักพัก ซึ่งนั้นคือสิ่งที่ผมต้องการเพราะผมเองก็รู้ว่า ถ้าเราพึ่งคนอื่นมากไป เราก็คงไม่มีวันที่จะยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง

        “แค่นี้ผมก็พอใจมากแล้วนะครับ สัญญาว่าจะอยู่ไม่นาน”

        “อะไรกัน บอกแล้วใช่ไหมให้อยู่กับพี่ไปเลย นานเท่าไหร่ก็ได้ ตลอดชีวิตก็ดี”

        พูดเสร็จพี่แกก็หัวเราะยิ้ม ๆ ผมได้แต่หัวเราะไปตามสถานการณ์ ผมรู้ดี การเสียพื้นที่ส่วนตัวให้กับคนอื่น ถึงแม้ต่อให้เป็นคนที่เรารัก มันก็ยังรู้สึกเสียความเป็นตัวเองที่จะต้องแบ่งอะไรให้กับใครสักอย่าง แล้วคำว่ารัก ผมพูดได้เลยว่า คำว่ารัก มันไม่สามารถทำให้คนอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบตลอดไปหรอกนะ

        “ผมขอเข้าห้องน้ำนะครับ”

        “ตามสบาย” ว่าเสร็จพี่แกก็ล้มตัวนอนลงไป

        ผมเดินไปชำระร่างกายในห้องน้ำ ร่ายกายของผมตอนนี้มีรอยเพิ่มมากกว่าเดิมขึ้นมา กำลังจะหายแล้วเชียว รอยเก่ายังคงอยู่แบบจาง ๆ รอยใหม่ก็เสริมเข้ามา ผมลูบรอยนั้นอย่างเบามือ พร้อมกับสายน้ำจากฝักบัวที่ไหลลงมา

        น่าแปลกที่ทำไมผู้ชายอย่างผมถึงอ่อนแอนัก

        ผู้ชายอย่างผมควรจะเข้มแข็งกว่านี้สิ

        “ริน ๆ”

        เสียงเรียกจากหน้าห้องน้ำปลุกภวังค์ของผม ผมเดินออกไปเปิดประตูห้องน้ำแง้ม ๆ ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าที่น่าจะเป็นของพี่ไม้ส่งมาให้ตัวผม

        “ขอบคุณครับ”

        .

        .

        .

        ผมอาบน้ำเสร็จแล้วก็แต่งตัวออกมา ขนาดตัวของผมกับพี่ไม้ไม่ได้ต่างกันมากนัก พี่ไม้สูงกว่าผมนิดหน่อย เสื้อผ้าจึงใส่ได้ค่อนข้างพอดี ผมออกมาก็ไม่เห็นพี่ไม้อยู่ที่เตียงแต่พี่แกกำลังนั่งอยู่บนระเบียงที่ข้างกายมี เบียร์กระป๋อง ผมเดินเข้าไปหา

        “พรุ่งนี้ไปทำงานไม่ใช่เหรอครับ?” ผมทักแกไป

        พี่ไม้หันมายิ้ม ๆ ก่อนที่จะกระดกเบียร์กระป๋องเข้าไป

        “พี่นอนไม่หลับ”

        ผมหันไปดูนาฬิกา ตอนนี้ตีสองกว่า ผมนั่งลงข้างพี่แกแล้วมองลงไปข้างล่าง หอของพี่แกดูดีกว่าผมมาก ราคาก็แพงกว่าตั้งอยู่เกือบใจกลางเมือง ตอนนี้ข้างล่างเองก็ไม่ได้หลับใหลตามกาลเวลาที่ควรจะเป็น ช่างเป็นเมืองแห่งราตรีจริง ๆ
เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก แน่ล่ะที่ผ่านมาพวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันเลย นิสัยของผมด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถ้าบางอย่างที่ควรพูด ผมก็จะพูดออกมา

        “ขอโทษนะครับ”

        “เรื่อง?”

        “ที่ทำให้พี่ลำบาก”

        “เฮ้ย ไม่เป็นอะไร คนอย่างพี่สบายอยู่แล้ว”

        พูดจบก็กลับไปเงียบกันต่อ พี่ไม้ก็รู้ว่าผมเองไม่ค่อยพูดเรื่องครอบครัวนัก เพราะผมเองก็ไม่อยากสาวไส้ครอบครัวตัวเองให้ใครคนอื่นรับรู้ แค่เรื่องที่เคยเกิดกับผม มันทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างนั้นแย่ลงไปมาก

        “พ่อผมเสียไปแต่เด็กและแม่ก็แต่งงานใหม่”

        ผมพูดออกไปทำลายบรรยากาศความเงียบ พี่ไม้หันมามองผม

        “ผมยังเด็ก แม่เลยบอกว่าพ่อไปทำงานไม่กลับมาเพราะผมยังไม่รู้จักกับคำว่าตาย ส่วนพ่อเลี้ยงของผมเป็นแค่เพื่อน แต่ผมเองก็ไม่ได้เรียกเขาว่าพ่อเพราะว่าผมไม่ได้ชอบเขาเท่าไหร่ แม่เลยมักจะให้ผมอยู่บ้านกับแม่บ้านของผมในเวลาที่แกออกไปข้างนอกกับสามีใหม่ และเวลานั้นที่ผมกับแม่เริ่มไม่ค่อยสนิทกันนัก”

        พี่ไม้จับมือผม ตอนนี้ผมเริ่มร้องไห้ออกมา มันเริ่มแล้วสินะที่ผมต้องเล่า อย่างน้อยผมก็ไว้ใจเขา ไว้ใจพอที่จะต้องรู้เรื่องนี้

        “พี่ไม้สัญญาก่อนถ้าฟังแล้ว พี่จะไม่รังเกียจริน”

        “พี่สัญญา”

        ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ

        “แต่เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้น เมื่อแม่อยากให้ผมสนิทกับพ่อเลี้ยงเพราะผมเองก็เริ่มโตและควรรับความจริงได้แล้ว ผมเองก็เพิ่งจะจบ ป.หก ตอนนั้นผมก็โตพอที่ควรจะรู้เรื่องได้แล้วแต่ผมเองก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี”

        “แม่คิดว่าการให้ผมได้อยู่กับพ่อเลี้ยงอาจเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดี เพราะแม่เองก็รักพ่อเลี้ยง แม่อยากให้ครอบครัวสมบูรณ์เหมือนเดิม แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น”

        ผมจับมือพี่ไม้แน่นขึ้น

        “แม่ชอบไปงานต่างจังหวัดหลายวัน แล้วผมก็ต้องอยู่กับพ่อเลี้ยง ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ฮึก เพราะอะไรกัน ที่ทำให้เขาเข้ามาในห้อง”

        ความทรงจำเก่าพรั่งพรูเข้ามาในสมองผม ฉายภาพเดิมซ้ำ ๆ ที่ผมเริ่มถูกรุกรานโดยพ่อเลี้ยงของผม

        “เขาบอกว่าผมน่ารัก ฮึก”

        มือผมปาดน้ำตาออกไป น้ำตาของผมไหลออกมามากมาย

        “เขาบอกให้ผมอยู่เงียบ ๆ ถ้าผมบอกใครผมจะต้องเสียแม่ไป”

        พี่ไม้เริ่มขยับเข้ามาใกล้พี่แกเอามือที่จับมือผมมาโอบไหลพร้อมกับมืออีกข้างจับมือผมไว้

        “ผมไม่รู้ว่าทำไม ผมเป็นผู้ชาย ทำไมถึงโดนแบบนั้น ฮึก เขาเข้ามาหาผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกครั้งก็รุนแรงจนเกิดรอย แม่ผมเริ่มสังเกตความผิดปกติแต่แม่ก็แค่คิดว่าผมโดนแกล้ง เพราะผมมักโดนแกล้งตลอดอยู่แล้ว”

        “สุดท้ายผมก็พูด แม่รับไม่ได้ เขาบอกว่าผมโกหกเพราะต้องการกำจัดเขาออกจากชีวิตแม่ แล้วแม่ก็เลือกที่จะเชื่อเขา ทั้ง ๆ ที่แม่รู้ แต่แม่ก็เลือกเขา”

        “แม่บ้านผมสงสาร เพราะผมเริ่มเพ้อแล้วหวาดกลัว ผมเริ่มโดนเพื่อนในโรงเรียนหวาดกลัวเพราะผมโวยวายทุกครั้งที่มีผู้ชายใกล้ตัว และผมก็โดนล้อเสมอเรื่องเป็นที่ผมเป็นกะเทย”

        “แล้วแม่เขาทำไม….ทำไม ทั้ง ๆ ที่รินเป็นลูก” พี่ไม้พึมพำออกมา ใบหน้าของเขาที่มองผมมันมีหลายอารมณ์ ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร

        สงสารหรือสมเพช?

        “แต่สุดท้ายแม่บ้านผมทนไม่ไหวจึงพาผมไปแจ้งตำรวจ ร่างกายของผมโดนตรวจว่าถูกทารุณจริง เขาโดนจับ แม่เสียชื่อและผมกับแม่ก็ไม่คุยกันอีกเลย”

        “ผมโดนส่งไปหาจิตแพทย์ทันทีหลังเหตุการณ์นั้น การที่ผู้ชายโดนข่มขืนมันไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่นัก ไปโรงเรียนหรือที่บ้านก็มีแต่คนมอง ทำให้ผมต้องย้ายโรงเรียนและเก็บตัวเงียบอยู่ที่บ้าน และเข้ารับการบำบัดจนอาการผมดีขึ้น พร้อมกับที่ม. ปลายชีวิตของผมดีขึ้น ผมมีเพื่อนแต่ก็ไม่สนิทมาก หลังจบเรียนผมเองนี่แหละที่ไม่อยากอยู่บ้านเพราะผมฝันร้ายทุกคืน ฝันถึงวันนั้นที่ผมโดนทำร้ายซ้ำ ๆ ผมบอกแม่ว่าจะไปข้างนอก แม่ไม่ได้ถามและพาผมไปที่หอนั้น ผมรู้ว่าแม่อยากกำจัดผมออกไปในชีวิตนานแล้ว”

        พี่ไม้ไม่ได้พูดหรือถามต่อ ส่วนผมก็เงียบไป พี่ไม้ปลอบผมโดยการลูบไหล่ผมไปเรื่อย ๆ ส่วนผมก็ร้องไห้อยู่อย่างนั้น จนผมเองก็ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน

        .

        .

        .

        ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้า…น่าแปลก ที่ผมไม่ได้ฝันถึงเรื่องอะไรก็ตามสักนิด ผมหลับสบายอย่างกับกินยาที่พี่กิตต์ให้มา

        ผมไม่ได้ลุกขึ้นทันที แต่นอนลงบนเตียงสักพักเพื่อปรับตัว ปรับสมองและปรับใจให้เข้าที่

        ผมต้องสู้ต่อไป
       
        ผมบอกตัวเองอย่างเข้มแข็ง ต้องสู้ ต้องสู้ ต้องสู้!!
        ผมหันไปข้าง ๆ ก็พบว่าบริเวณนั้นที่เคยมีคนนอนอยู่ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงช้า ๆ แต่ยังไงก็ตาม อาการปวดหัวก็จี๊ดขึ้นมาที่สมองทันที พร้อมกับอาการเวียนหัวจนผมต้องเอาหัวกลับไปยังหมอนอีกครั้ง แล้วก็หลับตา

        ขอพักสักครั้ง

        วันเดียวก็พอ

        ผมหลับตาพร้อมนึกถึงเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน ชีวิตของคนเรามันจะมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นได้ขนาดนี้เชียวเหรอ?

        ผมนึกว่า ตัวละครในละครน้ำเน่าที่เคยดูมานั้นล้วนน้ำเน่าและโชคร้ายสิ้นดี ทั้ง ๆ ที่ตัวละครเองก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาแต่เจอเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายต่อให้เรื่องร้ายขนาดไหน ตัวเอกก็จะมีความสุขในตอนจบเสมอ
ผมหวังไว้อย่างนั้น

        ใคร ๆ ก็บอกว่าฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ เราจะมาพิสูจน์กันว่ามันจะจริงดังที่เขาว่ากันไว้หรือเปล่า ผมจะเฝ้ารอ “ฟ้า” หลังฝน 

        ความคิดของผมที่ปั่นป่วนไปมาเมื่อสักครู่กำลังสงบประกอบไปตามจังหวะการหายใจของผมที่เริ่มสม่ำเสมอ ผมไม่เคยนอนต่อในตอนเช้าเลยสักครั้ง เพราะทุกครั้งที่นอนตัวผมจะถูกบังคับให้ตื่นโดยคนมาปลุกเสมอ

        “คุณหนูตื่นนะคะ อย่านอนกินบ้านกินเมืองนะคะ”

        แต่ว่า ตอนนี้ผมไม่มีใครแล้ว ผมไม่มีคนปลุก ไม่มีคนดูแล ตอนนี้ผมต้องพึ่งตัวเอง เพรามีแต่ตัวผมเท่านั้นที่เหลืออยู่ ผมจะทำให้รู้ว่าชีวิตผมเองก็ดูแลได้ด้วยตัวผมเองคนเดียว

        แกร๊ก

        เสียงประตูปลุกผมจากการหลับใหล เหมือนกับร่างกายที่เป็นไปตามอัตโนมัติที่หลังจากผ่านเหตุการณ์ร้ายมาก สัญชาตญาณ ก็ปลุกให้ผมลุกขึ้นและหันไปดูทันที

        “อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”

        เสียงพี่ไม้ตอบมายิ้ม ๆ ขัดกับหน้าตาที่ดูเหวอ ๆ ตอนที่ผมลุกขึ้นมาทันทีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมที่ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วก็เวียนหัวทันที ผมรีบกลับไปนอนทันทีอีกครั้ง

        “ไม่สบายหรือเปล่า?”

        พี่ไม้พูดพร้อมกับเอามือมาทาบที่หน้าผากของผม

        “ลางานดีกว่านะ”

        “แต่ผมเพิ่งทำงานไม่กี่วัน”

        นอกจากปวดหัวรุนแรงแล้ว เสียงของผมก็แหบแห้งซะจนเสียงที่เปล่งออกมาแทบฟังจับไม่ได้ใจความ พี่ไม้ทำเหมือนไม่ได้ยินผม หยิบมือถือออกมาแล้วโทรไปลากับหัวหน้า แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายนักพี่ไม้เดินออกไปตรงระเบียงเพื่อพูดโทรศัพท์
ทำราวกับไม่อยากให้ผมรู้

        สักพักพี่ไม้ก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับมองหน้าผม

        “”พี่บอกแกไปว่า ริน โดนทำร้ายจากโจรที่มางัดห้อง พี่ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้

        ผมพยักหน้ารับรู้

        “แกบอกให้ลางานได้นะ จนกว่ารินจะหาย”

        ผมพยักหน้าอีกครั้งเพราะไม่มีเสียงจะพูด

        “หิวไหม?”

        ผมพยักหน้า

        “งั้น เดี๋ยวพี่จะป้อนอาหารให้ พี่ซื้อโจ๊กมาจะได้กินสะดวกเพราะพี่กะไว้ว่าเราอาจเป็นไข้ขึ้นมา”

        ผมพยายามจะปฏิเสธความหวังดีแต่ไม่ทัน แล้วโจ๊กร้อน ๆ กลิ่นหอม ๆ น่าทานถูกเทใส่ถ้วยไว้เรียบร้อยกำลังอยู่ในมือของ
พี่ไม้ ที่ถือมาตรงหน้าผมที่กำลังนอนอยู่

        “ลุกขึ้นนั่งไหวไหม”

        ผมพยักหน้าพร้อมกับพยายามนั่งพิงหัวเตียง แต่อาการปวดหัวเพิ่มมากขึ้น แต่ผมก็ทนจนสุดท้ายก็นั่งได้ถึงแม้อาการเวียนหัวจะยังคงอยู่

        พี่ไม้ตักโจ๊กร้อน ๆ ยื่นเข้ามาที่ปากของผม ผมมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยเพราะกลัวจะร้อนเกินไป

        “มันแค่อุ่นไม่ร้อนหรอก พี่ชิมแล้ว”

        ผมยังไม่มั่นใจ

        “เชื่อสิ”

        พี่ไม้ยิ้ม ๆ พร้อมกับยังคงเชื้อเชิญให้ผมทานมันให้ได้ ผมตัดสินใจอ้าปากแล้วงับโจ๊กคำนั้นไป

        ไม่ร้อนจริงด้วย

        แต่ยังไงก็ตามผมที่ไม่สบาย ต่อมรับรสเองก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างเคย ผมรู้แต่ว่ารสชาติมันไม่มมีรสชาติเลย แต่ผมเองก็ยังคงที่จะกินมันต่อไป พร้อมกับพี่ไม้ที่ค่อยพูดว่า
       
        “กินเยอะ ๆ”

        แล้วผมก็กินจนเกือบหมด
   
        “ดีมากเลย กินหมดอย่างนี้ก็จะหายป่วยไว ๆ แน่นอน”
   
        เสียงพูดที่ให้กำลังใจเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ ทำให้ผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา เพราะพี่ไม้ไม่ต่างจากครูอนุบาลที่กำลังค่อยป้อนอาหารเด็กอย่างผมอยู่จริง ๆ
   
        “หัวเราะอะไร ริน”
   
        พี่ไม้ก็พูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเหมือนกัน ผมพยายามที่จะเก็บภาพเหล่านี้ไว้ ภาพที่มีความสุขไว้ พร้อมกับที่ระลึกในใจอยู่เสมอว่า
   
        ความสุขมันอยู่ไม่นานหรอก






มาต่อแล้วนะครับ กลับไปแก้คำผิดหรือคำที่พิมพ์ตกไปตั้งแตตอนแรก พร้อมกับจัดหน้าใหม่เพราะรู้สึกว่ามันเบียด ๆ เกินไป (ตามจริงควรรู้สึกแต่แรก 555555) ยังไงก็ขอบคุณสำหรับผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามด้วยนะครับ  :-[
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 8 01/24/18
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 24-01-2018 06:04:33
เดี๋ยวนะ ยิ่งอ่านยิ่งไม่เห็นความสมเหตุสมผล ทั้งๆที่หอนี้เป็นยังไง คนเตื่อนไม่ฟัง พีคสุดคือโดนงัดห้อง แต่ไม่ย้ายเพราะไม่มีเงิน มาขนาดนี้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าไหมอ่ะ มีคนหาย โดนงัดห้อง แต่ยืนยันจะอยู่ มันไม่ขัดๆไปหน่อยหรอคะ ก็นะถ้าย้ายออกคงไม่เป็นเหยื่อ ตลกดี
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 9 01/28/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 28-01-2018 17:50:14
บทที่ 9

       
        ผมมาอยู่กับพี่ไม้ได้เป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ชีวิตของผมหลังจากเหตุการณ์นั้น ก็เงียบสงบอย่างที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน
ความหยิ่งผยอง ความคิดของตัวเองที่คิดว่าถูกมาตลอด เกือบทำให้ผมต้องเจอเหตุการณ์เลวร้ายอีกครั้ง แต่หลังจากนี้ ผมจะคิดให้ดีและลดทิฐิของตัวเองลง

        เพื่อให้ชีวิตของผมดำเนินไปอย่างปกติเหมือนคนอื่นสักที

        ผมยังคงทำงานที่ร้านอาหารเช่นเดิม เพิ่มเติมคือความสนิทสนมกับแป้งที่เราจะตัวติดกันเสมอ แป้งเองก็อีกนานกว่าจะเปิดเทอม เลยทำให้เรามักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ อีกอย่างพี่ไม้เองก็ลาออกจากงานที่ร้านอาหารไปทำงานประจำตามสายที่พี่ไม้จบมา

        พี่ไม้เองเวลาเลิกงานบางครั้งก็จะมารับผม บางครั้งผมก็กลับเอง แต่ไม่ว่ายังไงพี่ไม้เลือกที่จะมารับผมเองบ่อย ๆ มากกว่าถึงพี่ไม้จะเหนื่อยกับงานแค่ไหนก็ตาม

        ผมเคยพูดถึงเรื่องที่จะย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่พี่ไม้เกือบจะทะเลาะกับผมเพราะกลัวว่าผมจะกลับไปหอนั้น จนผมสัญญาว่า

        “ผมไม่กลับไปที่เดิมหรอก”

        ผมเองก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นที่จะกลับไปอยู่ที่จะเป็นจุดเสี่ยงของชีวิต แต่ผมก็เข้าใจพี่ไม้และทุกคนเพราะจากคราวก่อนที่ผมค่อนข้างดื้อและค้านหัวชนฝาว่าจะไม่ย้ายออกเด็ดขาด
ตอนนี้ผมเองก็ฉลาดพอแล้ว

        คำสัญญาว่าจะไม่ย้ายกลับไป แต่ผมไม่ได้สัญญาว่าจะไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น ดังนั้นถ้าวันไหนเป็นวันหยุดหรือผมเลิกงานเร็วผมมักจะอออกไปหาหอพักเสมอ

        แต่หอพักที่ต้องการนั้นหายากมากที่จะตรงความต้องการของผม

        ใกล้แล้วสะดวกแต่แพง

        ถูกแต่ก็ไกลไม่สะดวก

        ดังนั้นการที่ผมมีเงินติดตัวอยู่นิดหน่อยจึงยากมากที่จะหาที่พักตรงความต้องการได้ ผมเลยอาศัยอยู่กับพี่ไม้จนกว่าเงินเดือนของผมจะปรับเพิ่มขึ้นและเงินของผมก็มากพอที่จะออกไปอยู่คนเดียวได้สะดวก

        อีกอย่างพี่ไม้แทบจะไม่เก็บค่าเช่าจากผมเลยทั้ง ๆ ทีผมมาอาศัยด้วย พี่ไม้ก็จะปฏิเสธจนผมต้องแอบเอาไปไว้ในกระเป๋าพี่ไม้เอง แต่สักพักเงินก้อนนั้นก็จะกลับมาอยู่ในกระเป๋าของผมเหมือนเดิม

        ส่วนเรื่องคดีความ ผมได้รู้ข้อมูลจากพี่ชาติมาบ้างว่ากำลังอยู่ในกระบวนการสอบสวนอยู่ พวกนั้นก็อยู่ในคุก แต่พ่อแม่ของพวกนั้นก็พยายามวิ่งประกันตัวเช่นกัน ผมเองก็รอลุ้นว่ากฎหมายมันจะสามารถที่จะจัดพวกนี้ได้หรือเปล่า

        ครืด

        มือถือของผมสั่น ผมเอาขึ้นมาดูก็รู้ว่าเป็นสายของพี่ชาติตอนนี้ผมกำลังเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปหาพี่กิตต์

        “ครับ พี่ชาติ”

        “รินว่างไหม พอดีพี่มีอะไรจะคุยด้วยหน่อย”

        “เอ่อ…พอดีผมมีนัดกับหมอนะครับ”

        “รินเป็นอะไรมากไหม”

        “ไม่เป็นไรมากหรอกครับ แต่พูดกันทางมือถือได้ไหม”

        “พี่ว่า พี่ไปคุยกับรินโดยตรงดีกว่า รินไปโรงพยาบาลไหน”

        ผมบอกชื่อไป และดูเหมือนพี่ชาติจะตกใจเล็กน้อยเพราะเสียงเงียบไปสักพัก

        “ได้แล้วเจอกันนะ”

        “ครับ”

        ผมกดวางสาย พร้อมกับที่ผมเดินทางมาถึงโรงพยาบาล

        .

        .

        .

        ผมเดินเข้าไปหาพี่กิตต์ที่กำลังจดอะไรบางอย่างอยู่ แต่สักพักก็เงยหน้ามองที่ผมหลังจากที่ผมนั่งลงบนเก้าอี้

        “สวัสดีรินเป็นไงบ้าง”

        “สบายดีครับ”

        พี่กิตต์รับรู้เรื่องของผมเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น การนัดหมายของผมกับพี่กิตต์ก็เลยเริ่มถี่เหมือนกับที่ผมมาหาพี่กิตต์ในตอนเด็ก ๆ

        “ช่วงนี้เป็นไงบ้าง อยากระบายให้พี่ฟังไหม”

        “ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีอะไรมากครับ ไปทำงานแล้วก็กลับห้องวนเวียนไปเรื่อย ๆ คนรอบตัวผมก็ดีขึ้น ผมมีเพื่อนใหม่ที่สนิทกันมาด้วยนะครับจากที่ทำงาน และผมเองก็ยังคงฝันร้ายถึงเรื่องนั้นบางครั้ง”

        “ฝันยังไงบ้าง”

        “ก็เป็นเหตุการณ์เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ผมชินแล้วล่ะ แต่ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกกลัวหรอกนะ ผมเองก็ไม่รู้ทำไมตั้งแต่ผมไปอยู่กับพี่ไม้ผมไม่เคยกลัวอีกเลย”

        พี่กิตต์พยักหน้า ก่อนที่จะจดอะไรบางอย่างไป

        “พี่ว่ารินไม่ต้องกินยาแล้วล่ะ เรื่องฝันพี่ว่าถ้ารินค่อย ๆ ปรับตัวอยู่กับมันให้ได้พี่ว่าน่าจะโอเคขึ้น”

        “ผมพยายามอยู่ครับ”

        ผมตอบพี่กิตต์ด้วยใบหน้าปกติ ตอนนี้ผมเองก็ไม่อยากที่จะกินยาของพี่กิตต์นัก เพราะมันทำให้ผมรู้สึกนอนหลับสนิทจนเกินไป จนกลัวว่ามันจะไม่ตื่น

        ถึงแม้จะไม่ฝัน

        แต่ก็เหมือนฝัน

        ฝันที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ท่ามกลางความมืดมีแค่ผมคนเดียว ผมไม่เหลือใครเลยสักนิด จนเมื่อผมตื่นมาความกลัวในฝันนั้นก็หายไป

        เพราะผมตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าผมเองไม่ได้อยู่คนเดียว

        และสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเองก็ยังไม่มีใครรู้ แม้แต่พี่กิตต์ ตอนนี้ผมกำลังมีความคิดบางอย่างที่วนเวียนดำเนินอยู่ในความคิดของผมและเริ่มหนักขึ้น คือผม…อยากตาย

        ผมไม่รู้ว่าความคิดนี้มันรุนแรงขึ้นเมื่อไหร่ แต่ผมเริ่มคิดว่าผมเองไม่เหลือใครและผมเองก็ไม่อยากที่จะอยู่ ถึงชีวิตของผมจะดี มีคนที่เข้าใจ มีเพื่อนที่ดี

        แต่มันรู้สึกไม่พอ

        ต่อให้ผมรู้สึกดีแค่ไหน แต่มันก็ยังไม่พอ เพราะผมเอง ผมทั้งกลัว…กลัวสายตาของผู้คน กลัวความคิดของผู้คน ผมเริ่มเหงา เหงาจนรู้สึกสึกว่าความตายควรจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมควรได้รับ

        โดดเดี่ยวและอ้างว้าง
       
        .

        .

        .

        ผมเดินออกจากห้องพี่กิตต์ เพื่อเดินทางไปยังจุดนัดหมายกับพี่ชาติที่ร้านกาแฟ ใกล้กับโรงพยาบาล ผมเดินเข้าไปก็สังเกตได้ไม่ยาก เพราะถึงแม้พี่ชาติจะไม่ได้อยู่ในชุดตำรวจอย่างเดิม แต่รูปร่างหน้าตาของพี่ชาติก็จัดได้ว่าดี ดังนั้นชุดลำลองธรรมดาก็ทำให้พี่ชาติมีเสน่ห์ไปอีกแบบ

        ผมนั่งลงตรงข้ามพี่ชาติ ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ในมือ

        “อ้าว มาแล้วเหรอ หิวไหม สั่งอะไรกินก่อนได้”

        “ไม่หิวครับ พี่ชาติมีอะไรจะพูดกับผมครับ”

        “น้อง ๆ เอานมปั่นแก้วหนึ่ง”

        พี่ชาติเหมือนเลี่ยงที่จะคุยกับผม

        “พี่ชาติครับ”

        พี่ชาติมองหน้าผมเล็กน้อย ก่อนจะเปิดกระเป๋าค้นหาอะไรบางอย่าง พี่ชาติหยิบมือถือออกมาแล้วพี่ก็ทำท่ากำลังหาอะไรบางอย่างในมือถือ จากนั้นก็ยื่นให้ผมดู

        ในหน้าจอเป็นรูปของผู้ชายคนหนึ่งที่คุ้นตาผมเหลือเกิน เป็นเด็กหนุ่มที่อยุ่ในชุดนักเรียนหน้าตาที่หล่อเหลา ผิวที่ขาว แต่แววตาของเขานั้น มันแปลก ๆ ในรูปนั้นควรจะเป็นโทนที่มีความสุข เด็กคนนั้นถึงจะยิ้มให้กับภาพแต่แววตามันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

        “รู้จักเด็กคนนี้ไหม”

        “คุ้น ๆ ครับ”

        “ใช่เด็กที่รินบอกว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยใช่ไหม”

        ผมจำได้ทันที เด็กคนนั้นที่ส่งจดหมายแปลก ๆ แล้วท่าทางของเด็กคนนั้นก็แปลก ๆ ด้วย

        “จำได้แล้วครับ”

        พี่ชาตินั่งนิ่งสักพักก่อนจะพูดว่า

        “ริน เอ่อ รินต้องเข้าใจนะ ว่าพี่ทำเต็มที่แล้วจริง ๆ พวกเราหาเด็กคนนี้ไม่เจอเลย และอีกอย่างถึงเจอก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มันเกี่ยวข้องหรือเปล่า”

        “ไม่เป็นไรหรอกครับ ให้มันผ่านไปเถอะ”

        ผมทำหน้าปกติ แต่ในใจของผมก็เริ่มรู้แปลก ๆ พี่ชาติคงไม่ได้นัดมาเพื่อคุยเรื่องนี้

        “พี่โดนย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด”

        “ครับ”

        ผมตกใจเล็กน้อย ถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจความหมายของมันมากนัก แต่น้ำเสียงของพี่ชาติก็ทำให้ผมรู้สึกว่ามัน ‘ไม่ดี’

        “แล้วคดีของริน ก็ถูกย้ายไปที่ตำรวจคนอื่นและพวกนั้นก็ถูกปล่อยตัว”

        “ปล่อยตัว หมายความว่าไง”

        เสียงของผมเริ่มสั่น อารมณ์ของผมตอนนี้สับสนปั่นป่วน จนผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง

        “เรามีหลักฐานไม่พอ หลักฐานที่มีก็ไม่สามารถหาเพิ่มได้ ตอนนี้พวกนั้นเหมือนไม่ได้มีส่วนอะไร จนถูกให้ประกันตัว”

        “หลักฐานไม่พอได้ไงครับ แล้วเรื่องที่มันทำร้ายผมล่ะ?”

        “ของรินถูกตัดสินว่าเป็นคดีทำร้ายร่างกายเฉย ๆ”

        “แต่ผมเกือบถูกพวกมัน…”

        ผมหยุดพูดต่อทันที พี่ชาติเองก็มีสีหน้าวิตกไม่ต่างจากผม แต่ผมเองก็โกรธเกินกว่าที่จะมาเห็นใจพี่ชาติได้ เพราะตอนนี้ผมเองก็แทบไม่ต่างจากพี่ชาติ

        พี่ชาติยังปกป้องตัวเองได้

        แล้วผมล่ะ

        ผมอาจจะถูกพวกมันกลับมาเล่นงานหรือเปล่าใครจะไปรู้ ความกลัวของผมใครจะเข้าใจได้หรือเปล่า ไม่มีใครเลยที่จะเข้าใจผมสักนิด แม้แต่ตำรวจอย่างพี่ชาติ

        ผมวางเงินค่านมที่โต๊ะแล้วเดินออกมา โดยก่อนจะเดินออกมาผมพูดกับพี่ชาติ

        “ขอบคุณนะครับที่ทำให้ผมมั่นใจกับตำรวจอย่างพี่”

        พี่ชาติเหมือนจะเรียกผมให้กลับมา ผมรีบเดินแล้วไม่สนใจฟัง ผมเดินขึ้นรถโดยสารที่กำลังจะออกพอดี แล้วพี่ชาติก็หยุดวิ่งตามผมหลังจากที่รถวิ่งออกไป

        ผมนั่งรถชมวิวข้างทางไปและน้ำตาของผมก็เริ่มไหล เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
ผมยอมรับว่ากลัว ยิ่งนึกถึงยิ่งกลัว

        และถ้ามันเกิดขึ้นอีกผมคงต้องกลายเป็น ‘เหยื่อ’ ที่ไม่โชคดีเหมือนคราวที่แล้วแน่ ๆ

        ผมเดินทางไปสถานที่แห่งหนึ่ง ดีที่ผมโทรไปลางานเรียบร้อยแล้วเพราะจิตใจของผมตอนนี้ไม่พร้อมที่จะไปเจอใคร ผมเลยมี

        เวลาว่างทั้งวันที่จะออกไปไหนก็ได้

        ผมกำลังยืนอยู่บนสะพานแห่งหนึ่ง ผมมองลงไปข้างล่าง ความสูงของมันช่างน่ากลัวนัก ยิ่งจินตนาการว่าถ้าเราโดดลงไปจะเกิดอะไรขึ้น พื้นข้างล่างที่มีแต่น้ำ ศพจะหาเจอหรือเปล่า

        ผมยืนมองมันจนความคิดหนึ่งของผมก็เริ่มกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง

        โดดสิ       

        ผมเริ่มจับไปบนราวสะพาน ผมเริ่มคิดว่าถ้าผมโดดไป ชีวิตของผมอาจจะไม่เผชิญเรื่องเลวร้ายอีก

        โดดสิ

        โดดเลย

        ความคิดในหัวเริ่มสั่งให้ผมค่อย ๆ ที่จะก้าวขาเพื่อที่จะปีน

        “ฉันมั่นใจว่าคนอย่างแกสุดท้ายก็ต้องซมซานมาหาฉัน เพราะอยู่ไม่ได้”

        “ฉันจะรอไอ้ความหยิ่งผยองของแกมันจะพินาศด้วยตัวแกเอง”

        คำพูดของคน ๆ หนึ่งที่ผมทั้งรักทั้งเกลียดดังขึ้นมาในหัวของผม ผมหยุดการกระทำทั้งหมดแล้วสูดหายใจเข้าลึกพร้อมบอกกับตัวเองว่า

        ยังไม่ถึงเวลา เราต้องใช้ชีวิตให้ได้

        ผมรีบเดินออกมาจากสะพานนั้น แล้วจะกลับไปที่ห้องพักของพี่ไม้ ผมกำลังรอรถโดยสารอยู่ แต่ก็ไม่มาสักทีผมเลยตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ทันที เพราะตอนนี้ท้องฟ้ามันกำลังครึ้ม ๆ เหมือนฝนจะตก

        ด้วยสภาพจราจรที่หนาแน่นทำให้ผมยังไม่ไปถึงไหน และฝนเองก็ตกลงมาในระหว่างที่ผมกำลังเดินทาง
รถติดบวกกับฝนตกทำให้จราจรยิ่งแย่ลงกว่าเดิม

        ครืด ๆ

        “สวัสดีครับพี่ไม้”

        “รินอยู่ไหน”

        “ผมกำลังกลับครับ อีกนานกว่าจะคงถึง รถติดมาก”

        “ออ โอเคพี่ว่าจะโทรถามเฉย ๆ รีบกลับมานะวันนี้พี่ซื้ออะไรมาฝากด้วยแหละ”

        “ครับ”

        ผมตอบพี่ไม้ก่อนจะวางสายไป พี่แท็กซี่เองก็ดูหงุดหงิดไม่น้อย ก่อนจะหันมาพูดว่า

        “คุณครับช่วยลงตรงข้างหน้าได้ไหมครับ”

        “ทำไมครับ”

        “ผมจะไปส่งรถ แล้วอีกอย่างผมคิดว่าน้ำมันกำลังจะท่วม”

        “แล้วผมจะทำยังไง”

        ผมถามพี่แท็กซี่กลับแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา ผมได้แต่ลงตรงที่แท็กซี่ให้ผมลง ผมจ่ายเงินแล้วรีบลงจากรถแท็กซี่แล้ววิ่งไปหลบฝนตรงป้ายรถเมล์

        สภาพตอนนี้คือฝนตกหนักมาก เสียงฝนที่กระทบกับหลังคาทำให้ผมแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ผมกำลังมองหาทางที่จะกลับไปที่หอพี่ไม้ให้ได้ แต่มองยังไงก็หาทางไม่ได้ ระยะทางจากนี้ไปที่หอพี่ไม้นั้นไกลเกินไป ผมที่เริ่มนั่งรอในป้ายรถเมล์คนเดียวก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย

        ทำไมผมต้องซวยขนาดนี้ด้วยนะ

        ผมนั่งมองฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สักพักนึงก็มีแท็กซี่คันหนึ่งมาจอดตรงหน้าผมคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสเดียวที่ผมจะได้กลับสักที ผมรีบเดินขึ้นไปที่แท็กซี่คันนั้น บรรยากาศบนรถแปลกตากว่าแท็กซี่ทั่วไปนัก

        “ไปไหนครับ” เสียงทุ้มของคนขับที่กำลังใส่ผ้าปิดปากอยู่

        ผมบอกจุดหมายไป เขาพยักหน้าและออกรถทันที และดูเหมือนพี่แท็กซี่คันนี้จะไม่ได้ไปทางที่ผมบอกสักเท่าไหร่

        “เอ่อ พี่ครับเหมือนพี่จะไปผิดทาง”

        “ทางลัด”

        พูดแค่นั้นผมก็เงียบลง เส้นทางลัดที่ดูเหมือนจะอ้อมมากกว่าทำให้ผมรู้สึกว่ามันไกลมากกว่าเดิม ตอนนี้ข้างทางที่ควรจะเป็นในเมืองที่มีตึกมากมายเริ่มเปลี่ยนไป เป็นบ้านคนธรรมดา ก่อนที่จะเริ่มมีป่ามากขึ้น และก็มากขึ้น
ผมรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลเลยสักนิด

        “พี่ช่วยย้อนหลับไปได้ไหมครับ”

        “ทำไมล่ะใกล้ถึงแล้วนะ”

        ไม่ได้ใกล้เลยสักนิด มันไกลมากกว่าเดิม

        “งั้น พี่จอดตรงข้างหน้าก็ได้ครับ”

        อย่างน้อยมันก็ใกล้บ้านคนอยู่ ค่อยไปขอความช่วยเหลือจากพวกคนในบ้านระแวกนี้ทีหลัง แต่ตอนนี้ดูเหมือนพี่แท็กซี่จะไม่ฟังนอกจากเหยียบขันเร่งมากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ผมเองได้แต่หลังติดเบาะเพราะความเร็วของเร็ว

        ผมเริ่มกลัว

        สักพักพี่แกก็จอดรอบข้างของผมตอนนี้มีแต่ป่าเต็มไปหมด

        “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีไหม”

        พี่แท็กซี่พูดพร้อมกับหันหน้ามาที่ผมทันที หน้าคมที่ดูแก่เกินวัย ผมจำได้ทันทีว่าเป็นใคร

        “ทำไม”

        ผมหลุดถามออกมา มันหัวเราะเสียงดังก่อนที่จะพยายามเอือมมือมาจับผม ผมที่กำลังตกใจอยู่นั้นตั้งสติขึ้นมาได้ ก็พยายามขัดขืนและใช้เท้าเตะมันไปที่หน้าอย่างจัง ผมรีบปลดล็อคประตูแล้วเปิดประตูรถออกทันที ฝนที่ตกหนักลงมาทำให้ผมเองก็มองเห็นทางไม่สะดวกนัก ผมวิ่งเข้าไปในป่าแทบไม่คิดชีวิตเพื่อจะหลบมันได้ก่อน เสียงหัวเราะที่ไล่ตามหลังมาทำให้ผมขนลุกและกลัวที่จะเจอเหตุการณ์

        ที่ผมเองก็กลัวว่ามันจะเกิดกับผมอีกครั้ง     




มาต่อแล้วนะครับ เข้าใจว่าเนื้อเรื่องดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เพราะเรื่องนี้ก็แต่งค้างไว้นานมากพึ่งมาปัดฝุ่นแล้วตัดสินใจลงเว็บ บางจุดก็ดูแปลก ๆ ก็จริงผมก็จะพยายามแก้ไข้ให้ได้มากที่สุด และขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านที่เข้ามาให้กำลังใจและติชมนะครับ

หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 9 01/28/18
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 28-01-2018 18:01:13
สงสารรินมากเลยชีวิตไม่ปลอดภัยเลย
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 9 01/28/18
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 29-01-2018 00:45:44
เป็นชีวิตที่แบบ  ไม่ปลอดภัยอย่างแรง คือซวยซับซ้อนมาก
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 10 01/31/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 31-01-2018 01:15:38
บทที่ 10
อาจมีเนื้อหาบางส่วนที่มีความรุนแรงและไม่เหมาะสม
       
        ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ตอนนี้ผมเองพยายามวิ่งย้อนกลับไปทางที่มันพามาโดยวิ่งอยู่ในป่า ตอนนี้ผมไม่ได้กลัวว่าในป่าจะมีอะไร ผมกลัวแต่ว่ามันจะตามมาทัน ผมพยายามไม่ให้ห่างจากถนนมากนัก เพราะผมกลัวที่จะหลงเข้าไปในป่า ระหว่างทางผมวิ่งไปก็คล่ำหามือถือไป ก็พบว่าผมเองตอนนี้ไม่มีมือถือแล้วมันคงจะหล่นในรถนั้นแน่ ๆ

        “แฮก ๆ“

        ผมไม่รู้วิ่งมาไกลเท่าไหร่แล้ว แต่ผมเองที่วิ่งแบบไม่คิดชีวิตก็แทบที่จะล้มลงไปกับพื้นทันที ผมเหนื่อยเกินกว่าที่จะก้าวขาออก ผมหายใจไม่ค่อยสะดวกนักเพราะหน้าผมตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำจากฝนที่ตกลงมา บดบังทัศนียภาพรอบ ๆ ที่ปกติก็มองเห็นได้ยาก ตอนนี้ก็กลับมองเห็นยากยิ่งกว่าเดิม

        ผมต้องรอด

        ผมบอกกับตัวเองยังนั้นก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งไปตรงไป

        ผมเห็นแสงสว่าง แสงสว่างจากสิ่งที่รูปร่างเหมือน ‘บ้าน’

        เหมือนความหวังของผมเริ่มจุดประกายไฟอีกครั้ง ผมที่ควรจะเหนื่อยกลับหายเหนื่อย

        ผมวิ่งไปถึงก็พบว่าเป็นเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางบริเวณที่เต็มไปด้วยป่า ผมวิ่งไปตรงประตูหน้าบ้านก่อนที่จะเคาะประตูรั่ว ๆ

        ก๊อก ๆ ๆ ๆ

        “ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย”

        ผมทั้งตะโกน ทั้งเคาะประตูหวังที่จะให้คนในบ้านเปิดประตูอย่างรวดเร็วที่สุด ผมที่ดีใจที่ประตูตรงหน้าเริ่มมีอะไรบางอย่างที่แสดงว่า มันกำลังจะเปิดออกมา เสียงปลดล็อกกลอนดังขึ้นมา ก่อนที่เสียงฝืดของประตูก็ค่อย ๆ ดังตัดกับเสียงฝนที่ตกลงมา แสงสว่างภายในเริ่มลอดออกมาที่ภายนอกตามความกว้างของประตูที่เปิดออกมา

        เหมือนกับแสงความหวังของผม

        เมื่อประตูเปิดกว้างผมก็ค่อย ๆ ปรับสายตาให้กับร่างตรงหน้าที่สูงพอประมาณ แต่ร่างนั้นก็ค่อยเดินออกมาใกล้ ผมเช็ดฝนที่ทำให้ตาของผมพร่ามัว และเมื่อผมเห็นคนตรงหน้าชัดเจนขึ้น

        ความหวังของผมก็ดับลงไปทันที

        ร่างของคนที่คุ้นตายืนปรากฏกายตรงหน้า

        มัน คนนั้น

        คนที่อยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นที่พยายามมัดผมไว้

        ตอนนี้ใบหน้าแสยะยิ้มของมันจ้องตรงมาที่ผม สายตาของมันมีหลากหลายความหมาย ไม่สามารถบอกได้ว่ามันต้องการอะไรกันแน่

        ผมรีบวิ่งออกจากห่างบ้านหลังนี้ แล้วมุ่งตรงเข้าไปในป่าทันที

        เสียงโวยวายของพวกเดรชานมนุษย์กำลังไล่หลังผมมาติด ๆ ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไหร่ เสียงของพวกมันก็เหมือนเข้ามาใกล้ทุกที

        ทุกฝีก้าวที่วิ่งของผมทั้งเจ็บ ทั้งลื่น เพราะตอนนี้ฝนเองก็ยิ่งตกหนักมากขึ้น มากขึ้น

        และทางข้างหน้าที่มืดมิดเหมือนกับชีวิตของผมตอนนี้

        เปรี้ยง!!!

        เสียงฟ้าผ่าลงมา พร้อมกับไปที่เปิดทางสว่างของผมเพียงเสียววิ แต่มันเป็นเสียววิที่มีความหมายสำหรับผม อาจเป็นทางรอดและทางตายที่กำลังรอผมอยู่

        ผมเหนื่อย

        ผมเริ่มมองหาจุดที่มืดที่สุดบังสายตาพวกมันไว้ ผมพยายามเพ่งมองฝ่าเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเจอกพุ่มไม้เล็ก ๆ ผมรีบคลานเข้าไปหลบทันที

        เสียงหอบของผมที่ดังก็ไม่อาจสู้เสียงฝนที่ตกกระทบลงได้ ตอนนี้ผมกำลังตั้งใจฟังเสียงภายในความมืดเพื่อจะได้ยินพวกมันว่ามันกำลังมาทางไหน

        “ไอ้ลีไปทางซ้าย ไอ้แมนไปทางนั้น กูจะไปทางนี้”

        เสียงตะโกนของพวกมันที่ระคนไปกับเสียงฝนและเสียงฟ้าร้องดังแว่วใกล้เข้ามา

        ผมรู้ดีว่า…เวลาชีวิตของผมกำลังจะหมดลง

        พระเจ้าครับ ทำไมผมต้องมาเจอกับสิ่งแบบนี้ด้วย ทำไมผมต้องเจอกับการกระทำที่ชั่วช้าของมนุษย์พวกนี้ด้วย

        มนุษย์ที่เป็นสัตว์ประเสริฐทำไมถึงทำกับมนุษย์ด้วยกันมากมายถึงขนาดนี้

        ผมไม่เข้าใจเลย

        ผมไม่เข้าใจมันเลยสักนิด

        ชีวิตของคนเราที่ยากแค้นลำบาก บททดสอบอันหลากหลายที่ไม่มีคะแนน ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าต่อให้คุณพยายามแค่ไหน

        มันก็สิ้นเปล่า

        ชีวิตมนุษย์ ธรรมชาติไม่ได้ทำขึ้นมารองรับการกระทำที่แลกเปลี่ยน

        ต่อให้คุณไม่เหลืออะไร ธรรมชาติก็ไม่มีทางที่จะเห็นใจคุณ ธรรมชาติจะทำหน้าที่เพียงแค่

        ทวงคืนสิ่งที่มันให้เรามา นั้นคือ ‘ชีวิต’

        “จับมันให้ได้”

        เสียงตะโกนคำรามเข้ากันได้ดีกับเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นสัญญาณเตือนของมัจจุราชที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาผม ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักช่วยบังทัศวิสัยของพวกมันรวมถึงผมได้เพียงแค่นิดเดียว ตัวผมตอนนี้กำลังอยู่ในพุ่มไม้สูงเนื้อตัวหนาวสั่นจับใจ ฟันกระทบกันสั่นจนไม่สามารถควบคุมได้เหมือนกับใจที่อยู่ภายในที่เต้นดังราวกับงานเฉลิมฉลอง น้ำที่ไหลมาบนหน้าไม่สามารถแยกออกได้ว่ามันคือน้ำฝนหรือน้ำตามันไหลออกมามากมายจนผมควบคุมไม่ไหว ผมได้แต่นั่งอยู่ตรงนี้เพื่อรอ เพื่อรอให้พวกมันไม่เจอผม ผมภาวนา ภาวนาต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ผมรอดจากที่นี่

        รอดจากช่วงเวลาลานรกแห่งนี้

        ผมสิ้นหวังแล้ว เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทำให้ผมเริ่มที่จะกลัวมาก ๆ กลัวจนตัวของผมนั้นสั่นสะท้าน ที่ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความหนาวจากฝนหรือความกลัวตายที่กำลังคืบคลานอยู่ในจิตใจ

        เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาและก็เงียบหายไปจนผมสงสัย

        หรือว่ามันจะไปแล้ว

        ไม่มีทาง พวกมันไม่ทางปล่อยผมไปแน่ ๆ

        ผมนั่งนิ่ง ๆ และพยายามกั้นหายใจเหมือนกับตอนที่ผมเด็ก ๆ เพื่อปลุกความหวังอันน้อยนิด น้อยนิดจริง ๆ ว่ามันจะไม่เห็นผม

        เสียงฝีเท้าหายไป แทนที่ด้วยเสียงฝน

        ตุ้บ

        เสียงบางอย่างดังขึ้นพร้อมกับอาการเจ็บที่หัวอย่างรุนแรง ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่าสติสัมปชัญญะของผมดับลงทันที

        .

        .

        .

        ความมืดมิดปกคลุมไปรอบตัว มองไม่เห็นทางสว่างแม้แต่น้อย สิ่งที่สัมผัสได้คือเสียง เสียงจากรอบกายที่ไม่สามารถจับใจความได้ว่ามันเป็นอะไรรู้แต่ว่า เสียงเหล่านั้นใกล้เข้ามา แล้วมีมือของใครบางคนจับไปที่ขา จับไปที่แขน และอีกมือที่เริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างกายที่มักจะวนเวียนอยู่บริเวณบั้นท้าย

        สัมผัสอันน่าขยะแขยงทำให้เด็กชายกลับไปเห็นภาพตอนที่เห็นพ่อเลี้ยงค่อย ๆ ถอดเสื้อ ถอดกางเกง แล้วมองมาที่เขาอย่างหื่นกระหาย

        แต่ใบหน้าพ่อเลี้ยงกลับมัว ๆ ไม่ชัดเจน ใบหน้าในความทรงจำของเขากำลังจะเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถรู้เลยได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ทุก ๆ อย่างมันประสมปนเปกันไปหมด

        เขากลัวแล้ว

        ช่วยด้วย

        เขายอมแล้ว

        .

        .

        .


        “ปลุกมันสิ!”

        เสียงของใครสักคนได้ปลุกผมขึ้นมาจากความฝันที่น่าสะอิดเอียน แต่ไม่ทันที่จะได้ลืมตาใบหน้าของผมก็โดนตบเข้าอย่างรุนแรง ทำให้หน้าของผมหันไปตามแรงตบ ความเจ็บที่บริเวณแก้มมันทำให้ผมเองก็เริ่มที่จะรับรู้ถึงความจริง

        มันไม่ใช่แค่ฝันร้าย

        “อย่ารุนแรงกับดาราของเรานักสิ เดี๋ยวพวกเขาเห็นจะพาลคิดว่าเราบังคับคุณเข้ามา”

        เสียงของใครสักคนพูดขึ้น แต่ผมเองก็ยังจับใจความอะไรไม่ได้นัก หัวของผมเองก็เริ่มที่จะเจ็บปวดจากการโดนตีที่ศรีษะ และตอนนี้สายตาของผมที่เพิ่งตื่นก็เริ่มที่จะมองเห็นอะไรบางอย่างได้ชัดเจนขึ้น

        ผมอยู่ในห้องกับชายฉกรรจ์สี่คน พร้อมกับตัวผมที่ถูกพันธนาการบนเก้าอี้

        ทุกคนล้วนคุ้นหน้าหมด

        ผมมองหน้าพวกมันอย่างอ้อนวอน พร้อมกับน้ำตา

        ทำไมนะ ทำไมพวกมันถึงได้ทำกับผมขนาดนี้

        “ตื่นแล้วว่ะ”

        ใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม และน่าจะเป็นคนที่ “ปลุก” ผมด้วยวิธีเมื่อสักครู่ มันใช้มือบีบที่คางของผมพร้อมกับเชยคางของผมให้มองขึ้นมา

        “ร้องไห้ทำไมจ๊ะ เดี๋ยวตัวเองก็จะมีความสุขแล้ว”

        “ปะ…ปล่อย ผะ…ผม ไปเถอะ ฮึก”

        ผมอ้อนวอนสุดความสามารถที่มีตอนนี้ ผมเองก็แทบจะไม่สามารถพูดออกมาได้เป็นคำเลยสักนิด เพราะทั้งหวาดกลัว ทั้งตื่นตระหนก

        “ลี ปล่อยมันเดี๋ยวไอ้หมีก็มาโวยวายหรอกว่าดาราของมันไม่สวยสมบูรณ์”

        เสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาหาผม คนที่มันคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างของเรื่องทั้งหมด ผมมองใบหน้าของมันอย่างชัด ๆ เพื่อที่จะเก็บไว้ในความทรงจำบางอย่าง

        “ดีใจไหมที่จะได้เป็นดารานะ คุณหนู”

        ผมไม่ตอบนอกจากมองหน้าของมัน

        “มองดูพระเอกในอนาคตหรือจ๊ะได้เลย จำไว้เลยนะ”

        มันจับผมของผมดึงอย่างรุนแรง

        “กูชื่อทิดจำไว้ให้ดีนะจ๊ะ”

        มันปล่อยผมแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกันทั้งสี่คน เสียงหัวเราะของพวกมันเหมือนกับหัวเราะอย่างมีความสุขที่สุดในโลกราวกับว่าจะไม่มีอะไรในโลกที่สนุกเท่านี้อีกแล้ว เสียงของมนุษย์ที่ใกล้เคียงกับปิศาจ

        มนุษย์ที่มีความสุขกับการทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง

        “หัวเราะอะไรกันวะ!!”

        เสียงของใครสักคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ร่างของมันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ในมือของมันถือบางอย่างที่ยาวและเหมือนจะเป็นขาตั้งอะไรสักอย่าง

        วางไว้ตรงหน้าของผมไม่ห่างมากนัก

        “มุมนี้ดี ไอ้แมนไอ้ทิดมาช่วยตั้งกล้องหน่อยสิวะ”

        “ไอ้เชี้ยลีกับมิ่งไปยืนข้างมันจะได้ดูมุม”

        พวกมันแบ่งหน้าที่กันอย่างคล่องแคล่ว คนชื่อหมีคือคนที่ผมคุ้นหน้ามันมากที่สุด มันคือคนที่ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด

        “ทำไม!!”

        ผมตะโกนออกมา พวกมันที่กำลังวุ่นวายนั้นหยุดชะงัก ผู้ชายทั้งสองที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมก็เริ่มที่จะจับตัวผม

        คนชื่อหมีหยุดนิ่งนิดหนึ่งก่อนที่จะเดินเข้ามาหาผม

        “ผมบอกพี่ให้ย้ายออกแต่แรกก็ไม่เชื่อ ผมก็เลยเดาว่าพี่คงชอบอะไรแบบนี้เหมือนกับที่ ‘คนอื่น’ ชอบ”

        “เพื่ออะไร”

        “มันไม่มีเหตุผลหรอกนะครับ แต่ที่ทำไปมันมีแต่ความสนุก ฮ่า ๆ”

        “พวกแกยังมีคดีอยู่ พวกแกไม่กลัวเหรอ”

        ผมลองที่จะขู่พวกมันไป

        “ผมไม่กลัวหรอกนะ พี่ก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าขนาดที่พวกผมถูกจับโดยมีหลักฐานขนาดนั้น พวกผมยังถูกปล่อยออกมาได้อย่าง่ายดาย แต่ถ้าจะติดคุกจริง ๆ ก็ขอให้ได้ทำเป็นผลงานสุดท้ายที่จะสร้างให้แก่วงการหนัง”
ผมไม่เข้าใจที่มันพูดสักนิด

        “ไอ้หมีมันอยากเป็นผู้กำกับนะพี่ พี่ไม่ดีใจที่จะได้เป็นนักแสดงดังในโลกออนไลน์กับหนังเฉพาะกลุ่ม ฮ่า ๆ”

        คนชื่อลีพูดออกมา

        “โชคร้ายหน่อยนะครับ ที่พวกเรามีต้นทุนไม่มากหนังเรื่องนี้นักแสดงเลยต้องเจ็บจริง ทำจริง”

        คนชื่อหมีพูดออกมาอีกครั้ง

        ผมร้องไห้อย่างหนักหน่วง

        “หนังแนวอะไรวะที่มึงพูด สนง สนัฟอะไรสักอย่าง”

        เสียงหนึ่งในพวกมันถาม

        “สนัฟฟ์ฟิล์มไงไอ้โง่ แบบที่พวกเราทำกันมาตลอด”

        พวกมันพูดเสร็จก็จัดกล้องกันต่อจนเสร็จ

        “แสงสวย”

        “ภาพสวย”

        “บอกแล้ว โลเคชั่นก็โอเค วงการนี้ไม่เคยมีภาพสวยขนาดนี้มาก่อน”

        พวกมันพูดและหัวเราะราวกับโรคจิต เดนมนุษย์พวกนั้นหันมามองที่ผมด้วยสายตาที่ผมเองก็คาดเดาไม่ได้

        “กูจะทำให้หนังของกูดังกว่าไอ้วัยรุ่นที่ฆ่าคนแก่ซะอีก”

        “มันต้องเป็นตำนานแน่ ๆ”

        พวกมันพูดเสร็จก็หันมามองผมอีกรอบ

        “ไอ้ทิดมึงจำบทได้นะ”

        “ได้”

        “อีคุณหนูนี่ ใช้อารมณ์ธรรมชาติอย่างเดียวไม่ต้องมีบท จะได้ดูเป็นการแสดงที่สมจริง โอเคเริ่มถ่าย”

        สีหน้าของคนที่ชื่อทิดที่ดูเกร็ง ๆ ขึ้นมาเดินมาอยู่ตรงหน้าผม ผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ถอยออกไป

        “เรามาลองออเดิร์ฟกันก่อนนะพี่”

        คนชื่อทิด ค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของมันออกจนหมด ผมรีบหันหน้าไปทางอื่นทันที

        “หันไปทำไม กูอยากเห็นมึง’ทำ’ให้กู เร็ว ๆ เข้า”

        ผมพยายามส่ายหน้าหนีเมื่อบางสิ่งของมันที่พยายามเอาเข้ามาในปากผมให้ได้

        ผัวะ!

        มันตบที่หน้าของผมอย่างรุนแรง ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกถึงเลือดที่ไหลออกมาจากปากของผม ผมมองหน้าของมันที่ดูเหมือนสะใจที่ผมได้เจ็บตัว

        “แบบนี้กูยิ่งชอบ และมึงล่ะชอบไหม”

        ก่อนที่มันจะบีบคางของผมแล้วยัด “สิ่งนั้น” เข้ามาในปากของผมจนได้ มันผลุบเข้าออกอย่างรวดเร็ว

        “ฮา ๆ เสียวโว้ย!!!”

        ผมมองมันทั้งน้ำตา และในหัวของผมก็เริ่มคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

        “อ๊ากกกกก”

        ไอ้ทิดมันเอาของมันออกจากปากของผมทันที หลังจากที่ผมกัดของมันอย่างรุนแรงและแน่นอนสิ่งที่ผมทำเหมือนยิ่งไปปลุกความน่ากลัวของมันเข้า มันเดินเข้ามาตบหน้าหน้าผมและทุบที่ท้องผมอย่างรุนแรง

        “พอ ๆ ไอ้ทิด เดี๋ยวมันตายก่อนพวกกูจะไม่ได้สนุกกัน”

        “มันกัดของกู”

        ไอ้ทิดพูดอย่างโทสะ

        “ไม่เป็นไร นี่ ไอ้พวกที่เหลือไปเข้าฉาก เตรียมทำฉากหมู่”

        ไอ้หมีพูดจบพวกที่เหลือก็เฮฮา

        “ปล่อยผมไปเถอะ”

        แต่พวกมันก็ยังคงหัวเราะออกมา

        “ได้โปรด”

        พวกมันไม่ฟังแล้วเดินเข้ามาที่ผมพร้อมร่างที่เปลือยเปล่า

        ผมร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง

        “แบบนี้สิได้อารมณ์ดี”

        .

        .

        .

        ผมตื่นขึ้นมานอนอยู่ที่พื้น ผมไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว รู้แต่ว่ามันยาวนานยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดตอนที่อยู่ในขุมนรกแห่งนี้

        นรกบนดินที่ผมเผชิญ

        ตัวของเองก็แทบจะไม่รู้สึกว่าเป็นตัวของผมเลยสักนิด ร่างกายที่ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากมนุษย์เดรัจฉาน ยังคงทิ้งร่องรอยไว้พร้อมกับสิ่งสกปรกโสโครก

        ร่างกายของกำลังจะตาย

        และผมอยากที่จะตาย

        ผมไม่เห็นมันอีกแล้วชีวิตข้างหน้าที่รออยู่ ภาพที่เห็นมีแต่ความมืดและความเลวร้ายที่อยู่ในความทรงจำของผมวนเวียนสับสนปนเปไปมา ทั้งตอนผมยังเด็กและตอนที่ผมโตขึ้น

        มันไม่ต่างเลยสักนิด

        ชีวิตของผมเองก็ต้องกลายเป็น “เหยื่อ” ของพวกแบบนี้ตลอดไปเหรอ

        นี่คือชะตาชีวิตที่เป็นของผมใช่ไหม

        งั้นผมไม่ต้องการเลย

        ผมไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว

        เสียงเดินที่สะเทือนไปทั้งพื้นทำให้ผมรู้สึกได้ ว่าผมเองก็ยังมีความรู้สึก

        คนที่เดินข้ามานั่งยอง ๆ ก่อนที่จะเอามือลูบผมของผมไปมา

        “น่าสงสารนะครับ คนแบบพี่ไม่น่าจะมาเจอพวกผม”

        ผมเองไม่ได้ตอบโต้อะไรอีกแล้ว

        “สักพักพวกตำรวจเพื่อนพี่และแฟนพี่ก็คงจะมา เขาจะรู้สึกยังไงเมื่อเห็นว่าพี่ทั้งตัวมีแต่ความสกปรกและเน่าเฟะ”

        “ตัวของพี่ไม่เหมือนคนเมื่อก่อนเลยนะครับ ตอนนั้นมีแต่ความหยิ่งทะนง และความผู้ดีของพี่ที่ชอบดูถูกคนอื่น แต่ตอนนี้พี่เองก็จินตนาการไม่ออกสินะว่าพี่เองนั้นโสมมขนาดไหน”

        มันพูดเสร็จพร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างออกมา มันเป็นกล้องที่มันใช้ถ่ายผม

        “ดูสิพี่ ว่าพี่นะแสดงดีแค่ไหน พี่ได้รางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมได้เลยนะ อินเนอร์สมจริงสุด ๆ”

        วิดีโอตรงหน้าที่กำลังแสดงภาพป่าเถื่อนของมนุษย์ที่กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันเองอย่างไร้ความปราณี

        “อย่าเพิ่งตายสิ”

        มันดึงหัวผมที่นอนอยู่ขึ้น

        “ฆะ ฆะ”

        ผมพยายามพูด

        “อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”

        “ฆะ ฆ่า”

        “ฆ่าใครเหรอ”

        พร้อมกับสีหน้าที่ดูสนุกของมัน

        “ฉะ ฉันเถอะ”

        “ฮา ๆ ๆ”

        มันหัวเราะดังลั่นราวกับคำขอนั้นเป็นเพียงมุกตลก

        มันถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า

        “ผมกำลังจะทำ”

        มันค่อย ๆ วางหัวของผมลงที่พื้น

        “ไม่ใช่เพราะพี่ขอ แต่หนังมันเป็นแบบนี้ ฆ่าตายหลังจากเซ็ก นี่แหละคือหนังสนัฟที่ยอดนิยม”

        มันพูดเสร็จก็เดินออกไปข้างนอกและกลับเข้ามาพร้อมกับพวกมันทั้งหมด

        “จะดีเหรอวะ แค่นี้มันก็แทบเหมือนจะตายแล้ว”

        “นั้นแหละ แต่สุดท้ายพวกมึงก็ต้องโดนคดีเท่ากับฆ่าคนตายด้วยซ้ำ มึงจะกลัวทำไม”

        พวกมันเหมือนจะเห็นด้วย ก่อนที่จะเดินมายืนรอบ ๆ ตัวผม

        “ฉากนี้สำคัญและทรงพลังนะพวกมึง เอามีดที่ถือมาค่อย ๆ กรีดช้า ๆ และพยายามอย่าให้มันตายเร็ว”

        พวกมันที่เหลือนั่งลงรอบตัวผม

        “ไอ้ทิดเริ่มที่มึง เอามีดลงไปกรีดที่หลังมันช้า ๆ”

        แล้วทิดก็ทำตามคำสั่งของมันทันที มีดที่กรีดลงไปผิวหนังของผมช่างเจ็บทรมานมากมายจนผมแทบจะทนไม่ไหว
ผมพยายามร้องแต่มันก็ร้องไม่ออก

        ทิดยังคงกรีดต่อไป และต่อไป

        “เลือดไหลออกมาเยอะเลยว่ะ”

        ทิดพูด

        “ตามึงแล้วไอ้มิ่ง”

        “ดะ ได้”

        เสียงสั่น ๆ ของมันทำให้ผมใจกระตุกชา ความสั่นของมีดที่เริ่มเข้ามาที่หลังของผม

        “อย่าสั่นสิวะ”

        มันค่อย ๆ กรีดมีดที่สั่นของมันลงทันที ความเจ็บครั้งนี้มันทรมานมากกว่าของที่ไอ้ทิดทำกับผมจนผมร้องออกมา

        “โอ๊ยยยยยยย”

        พร้อมกับเสียงบางอย่างที่พวกมันเองก็สงสัย

        “มีคนมา”

        “รีบฆ่ามันเร็ว”

        ผมไม่รู้ว่าอะไรเป็นเป็นอะไร รู้แต่ว่ามีมีดเล่มหนึ่งกำลังปักอยู่ตรงที่หลังของผม

        ผมไม่ได้ร้องออกมา ผมมีแต่ภาพบางอย่างในหัวที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร มันเป็นภาพของผมที่กำลังเป็นเด็ก และเรื่องที่เห็นก็มีแต่ความสุขจนผมเองต้องยิ้มออกมา

        แสงสีขาว

        ผมเห็นแต่แสงสีขาวเต็มไปหมด

        พระเจ้ากำลังมารับผมแล้วใช่ไหม

        นี่สินะ ความตาย

        ทำไมมันถึงสวยจัง มันไม่น่ากลัวสักนิด

        ผมกำลังจะตาย

        ผมจะไม่ทรมานอีกแล้ว

        “ริน ริน ริน!!!!”

        เสียงบางอย่างที่คุ้นเคยของผมพยายามเรียกชื่อผม แต่ผมเองแหละที่ไม่อยากจะได้ยิน เพราะผมไม่อยากตื่นเลย

        ผมอยากที่จะหลับไหลไปตลอดกาล



สนัฟฟ์ฟิล์ม คือหนังใต้ดินที่ส่วนใหญ่จะเป็นการตายจริง ๆ โดยมีความรุนแรงทุกรูปแบบในหนัง
ส่วนตัวแล้วหนังพวกนี้คงจะเรียกว่าหนังก็ไม่ค่อยได้ แต่ว่ามันมีและก็ดังในอินเตอร์เน็ต(บางเรื่อง) ขอไม่บอกชื่อเพราะมันค่อนข้างหดหู่พอสมควรและไม่แนะนำให้หา เพราะผมยังไม่เคยดูเลย  :hao7:

สารภาพว่าตอนนี้ค่อนข้างรวบรัด(จริง ๆ) เพราะไม่อยากให้มันยาวจนเป็นตอนต่อไป ส่วนตัวแล้วการบรรยายฉากพวกนี้นั้นยากมากยังต้องฝึกอีกเยอะ แต่ยังไงก็ขอขอบคุณคนอ่านทุกคนนะครับ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 10 01/31/18
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 31-01-2018 09:01:03
ชีวิตมันจะรันทดอะไรเบอร์นี้ .....  :hao5:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 11 2/3/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 03-02-2018 20:21:43
บทที่ 11

       
        “รินทางนี้”
       
        เสียงของใครสักคนที่อยู่ในความทรงจำได้ปลุกผมขึ้นมาจากการหลับใหล การหลับที่ยาวนานหรือเกิน ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนเป็นอะไรหรือทำอะไร ผมจำได้แต่ว่าผมชื่อ “ริน”
       
        ผมหันไปตามทางเสียงเรียกที่ไกลออกไป ร่างกายสั่งให้ผมวิ่งตามหามัน

        “ริน”

        เสียงนี้เหมือนจะอยู่ทางซ้ายมือของผม ทั้ง ๆ ที่รอบกายของผมนั้นมืดมากแต่ผมเองก็สัมผัสได้ว่าผมกำลังจะเดินไปทางไหน

        ผมเดินไปตามเสียงที่เรียกผมเรื่อย ๆ

        ตามทางเองก็ยังคงมืดสนิท

        ผมมองไม่เห็นอะไรสักนิดจนมีภาพบางอย่างก็โผล่เข้ามาในหัวของผม ภาพที่ผมเห็นตอนนี้คือเด็กชายคนหนึ่งนั้นกำลัง
เดินเตาะแตะไปหาพ่อของเขา

        พ่อ

        ผมคิดถึงเขาจัง พ่อของผมจากผมไปตั้งแต่ผมยังเด็กและนั้นคือภาพสุดท้ายของพ่อที่ผมยังจำได้ มันเป็นภาพที่ผมกำลังถูกอุ้มโดยพ่อและเรากำลังเล่นด้วยหันอย่างสนุกสนาน ผมตอนนั้นก็คือเด็กน้อยที่บริสุทธ์

        ภาพตัดไปที่ผมกับแม่ที่ยังไม่มีเรื่องบาดหมางกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงปกติสำหรับแม่ลูกแต่ก็เข้าใจได้ว่าผมนั้นสนิทกับพ่อมากกว่า

        ภาพตัดไปที่ผมกำลังเล่นสนุกกับเพื่อนในวัยเด็ก ผมมีเพื่อนมากมายเพราะผมเองก็เป็นคนสดใสร่าเริง ผมสนุกกับชีวิตได้เล่นอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะเล่นได้

        คิดถึงจัง

        คิดถึงทุก ๆ อย่าง

        และภาพเหล่านั้นก็ดับวูบไป

        พร้อมกับความกลัวบางอย่างในตัวผมเข้าจู่โจม ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ผมนึกมันไม่ออกสักนิด แต่รู้สึกว่าผมเองเจออะไรที่โหดร้ายมากเกินกว่าจะอธิบาย ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนี้

        ผมจำไม่ได้และไม่อยากจำ

        ภาพรอบตัวของผมที่มืด ๆ ก็เริ่มมีภาพบางอย่างฉายขึ้นมา มันคือภาพบางอย่างที่ผมไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็น

        “อ๊ากกกกกก”

        ผมร้องออกมาอย่างสุดเสียง ภาพเหล่านั้น การกระทำที่ผมโดนมันกำลังฉายซ้ำอยู่ในความทรงจำของผมไม่จากไปไหน

        “ริน”

        ผมหันกลับไปตามเสียงก็พบใครอีกคนกำลังเดินมาหาผม ยิ่งใกล้ภาพมันยิ่งชัด

        เขาคือผม

        “….”

        ผมพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ทำไม? หรือนี่คือนรก ผมกำลังถูกลงทัณฑ์อยู่เหรอ

        “นายจะเรียกฉันว่าอะไรก็ได้ แต่มันคงลำบากที่เรียกด้วยชื่อเดียวกัน เรียกฉันว่า’รัน’”

        “รัน”

        “ใช่”

        ร่างนั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาหาผม ใบหน้าที่เหมือนกันทุกประการ น้ำเสียง ท่าทางนั้นก็คือผม เพียงแต่แววตาของเจ้าตัวต่างหากที่บอกได้ว่าเรานั้น “แตกต่าง”

        “นายเป็นใคร”

        “เป็นนายไง”

        รันตอบออกมา

        “เราอยู่ในตัวนาย…มานาน”

        “หมายความว่าไง”

        “ไม่รู้สิ แต่ฉันเคยออกไปครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่นายกำลังจะโดน…”

        แล้วรันก็ชี้ไปที่ภาพที่ผมกำลังโดนการกระทำบางอย่างจากพ่อเลี้ยงและเดนมนุษย์เหล่านั้น

        “นายคงจำไม่ได้ แต่นายเองก็อ่อนแอเกินกว่าจะรับการกระทำพวกนี้ได้ ฉันเลยออกไป”

        “ผมไม่ได้อ่อนแอ”

        “งั้นก็ตื่นสิ ตื่นกลับไปเผชิญความจริง กล้ามั้ย”

        ผมเงียบ ผมรู้ดีว่าตัวเองนั้นไม่อยากเลยสักนิด ความตายต่างหากที่ผมต้องการ

        “นายก็อยากตายแต่ฉันก็อยากอยู่ งั้นเรามาแลกเปลี่ยนกัน”

        “แลกเปลี่ยนอะไร”

        “นายหลับฉันตื่น และนายตื่นฉันก็หลับ เป็นวัฏจักรของเราเอง”

        “พูดเรื่องอะไรไม่เข้าใจ”

        “ก็หมายความว่าเราสองคนอยู่ด้วยกันไม่ได้และใครคนนึงต้องเสียสละ”

        “นายจะให้ฉันหลับ”

        “ถ้านายต้องการ”

        ผมเงียบกับสิ่งที่รันเสนอ ผมไม่รู้ว่ารันเป็นใครแต่ผมก็รู้ว่าผมเองก็จะไม่ได้รับความเจ็บปวดเหล่านั้นอีก

        “ถ้าฉันทำฉันจะไม่เจออะไรแบบนั้นใช่มั้ย”

        “นายจะฝันดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ส่วนฉันก็จะทำส่วนของตัวเองให้ดีเหมือนกัน”

        “ตกลง”

        ผมตอบออกไป รันยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า

        “จากนี้ไป ‘เรา’ คนเดียวจะไม่ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ อีกแล้วแหละ ฉันสัญญาว่าวันนั้นถ้านายตื่นขึ้นมานายจะไม่เจอเรื่องพวกนี้อีกเลย”

        .

        .

        .

        “คุณหมอคะ”

        เสียงรียกของพยาบาลสาวปลุกหมอหนุ่มที่กำลังนั่งทำงานอย่างเพลิดเพลินให้หันไปมอง

        “มีอะไรครับ”

        “คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ”

        หมอกีรติพลุนพลันลุกขึ้นไปดูคนไข้ที่เขาได้รับการรักษาเป็นเวลาหลายอาทิตย์ อาการของคนไข้เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแทบเรียกได้ว่า “สาหัส”

        บาดแผลที่ถูกแทงบริเวณหลังและรูทวารที่ผ่านการถูกกระทำอย่างรุนแรงและหลากหลายมันยิ่งทำให้สภาพที่เห็นหดหู่เข้าไปอีก

        มนุษย์หนอ ผู้ชายด้วยกันแท้ ๆ ทำไมถึงทารุณกรรมเขาเหมือนไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน

        หมอหนุ่มเดินเข้าไปในห้อง ICU ที่คนไข้คนนั้นกำลังพักอยู่พร้อมสายระโยงระยางที่ต่อเข้าไปในร่างกายของคนไข้ผู้นั้น
คนไข้เองก็แทบจะหมดโอกาสที่จะกลับมาจากความตายเพราะดูเหมือนเจ้าตัวเองก็คงไม่อยากกลับมา แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ที่เหมือนเป็นความหวังอันน้อยนิดได้พยายามที่จะยื้อชีวิตของคนไข้รายนี้เอาไว้

        คนไข้รายนี้มีจังหวะการเต้นหัวใจปกติ และร่างกายที่ดูเหมือนจะขยับเล็กน้อยก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกถึงการรักษาของเขาที่สำเร็จและได้ช่วยคนไข้คนนี้ได้

        เขาจะรอเพื่อได้ช่วยชีวิตของเด็กคนนี้ให้ได้


        วีรภัทรเดินทางมาถึงที่โรงพยาบาลอีกครั้งในรอบวัน เพราะเขาต้องคอยที่จะมาเยี่ยมเยียนคนที่กำลังรักษาตัวอยู่เสมอ ตอนนี้รินนภัทรถูกย้ายจากห้องฉุกเฉินมาอยู่ห้องพักผู้ป่วยแล้ว

        ตอนนี้ยิ่งคนที่เขารักเพิ่งที่จะฟื้นจากความตายก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเขาเองนั้นดูแลคนของเขาไม่ได้เลย  เขาเองที่ทำให้เจ้าตัวต้องเผชิญเรื่องเลวร้าย

        “สวัสดีครับ”

        หมอกีรติทักทายวีรภัทรทันทีเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในห้อง ในมือที่เต็มไปด้วยอาหาร ของฝากและดอกไม้

        “สวัสดีครับ”

        วีรภัทรทักทายกลับ เขาเองก็คุ้นเคยกับหมอกีรติเป็นอย่างดีตั้งแต่ที่รินนภัทรได้เข้ารับการรักษาที่นี่ และความตั้งใจพยายามที่จะช่วยให้รินนภัทรให้หายดี วีรภัทรก็ได้ขอบคุณถึงความพยายามหมอกีรติที่ทำให้เขายังไม่ได้สูญเสียรินนภัทรไป
ตอนนี้วีรภัทรเองก็ได้รับรู้อาการของรินนภัทรเองที่ดีขึ้นตามลำดับ เหลือแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่จะมีแรงใจกลับมาหรือเปล่า จากการขยับเพียงเล็กน้อยของรินนภัทรก็ทำให้ความหวังที่จะไม่ต้องเป็นเจ้าชายนิทรานั้นหายไป

        แต่วีรภัทรก็ได้รับการบอกเล่าถึงอาการของรินนภัทรว่า ถ้าฟื้นขึ้นมาอาการบาดแผลทางจิตใจอาจจะเพิ่มมากขึ้น รินนภัทรอาจไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิมแน่นอน แต่นั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาและอนาคตที่จะบอกได้ว่ารินนภัทรจะเป็นยังไงต่อไป

        “ อาการของน้องรินดีขึ้นมากเลยนะครับคุณไม้ ผมว่าอีกไม่นานหรอกนะครับที่น้องรินจะฟื้นขึ้นมา”

        “ผมก็หวังอย่างนั้น”

        วีรภัทรได้แต่มองไปยังร่างที่กำลังนอนสงบนิ่ง เขาหวังว่าเมื่อรินนภัทรตื่นขึ้นมาแล้วจะหายดี ถ้าเป็นไปได้เขาอยากให้เจ้าตัวลืมเรื่องร้าย ๆ ไปเสียให้หมด

        “ได้ยินว่าพรุ่งนี้จิตแพทย์ประจำตัวของน้องรินจะมาใช่ไหมครับ”

        “ครับ คุณหมอกฤษณะที่รักษารินอยู่”

        หมอกีรติพยักหน้าตอบรับ

        “เอ่อ เมื่อกี้คุณรัทชาติเขามาเยี่ยมด้วยแล้วเพิ่งออกไปได้เจอกันไหมครับ”

        วีรภัทรส่ายหน้า เขาไม่ได้เห็นตำรวจหนุ่มคนนั้นเลยเมื่อสักครู่ เพราะตอนนี้ตำรวจหนุ่มคนนั้นกำลังเร่งมือคดีที่เขาเองก็ได้กลับมา แล้วพูดกับวีภัทรว่า

        “ผมจะตามจับมันมาลงโทษทั้งหมดให้ได้”

        แต่วีรภัทรยังไม่ปักใจเชื่อเพราะขนาดที่รินนภัทรโดนทำร้ายร่างกายตอนที่อยู่ในหอ พวกเดนมนุษย์ก็ถูกปล่อยตัวออกมาอย่างง่ายดาย ด้วยอำนาจเงิน

        เขาจะเชื่อมั่นในความยุติธรรมของกฎหมายได้ไหมนะ

        วีรภัทรมองไปที่ร่างของรินภัทรอีกรอบ รอยฟกช้ำต่าง ๆ ร่องรอยที่ถูกทารุณอย่างเด่นชัด เขาไม่รู้เลยว่าร่างนั้นจะทรมานเท่าใดเมื่อโดนทารุณอย่างนั้น

        วีรภัทรเองก็ได้แต่ยินเกี่ยวกับการกระทำของพวกมันที่โพสท์ลงในเว็บเฉพาะดูเรื่องพวกนี้ มันเป็นเรื่องราวของทารุณกรรมที่มนุษย์ธรรมดาจะจินตนาการได้ และเหยื่อของพวกมันไม่ใช่แค่รินนภัทรแต่ยังมีเหยื่อที่มีการหายตัวไปในระแวกนั้น

        วีรภัทรเองก็ไม่เป็นอันทำงานเมื่อรู้ข่าวจากตำรวจรัทชาติที่โทรมารายงานเหตุการณ์ที่เขาเพิ่งแจ้งไปเกี่ยวกับการหายตัวไปของรินนภัทร และนั้นก็ทำให้เขารับรู้กับเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น

        “นะ…น้ำ”

        เสียงแผ่วเบาของใครคนหนึ่งปลุกวีรภัทรที่กำลังผวังในความคิดได้ วีรภัทรตื่นเต้นระคนตกใจทันที

        “ริน ริน! รินตื่นแล้ว”

        เขารีบวิ่งไปหาน้ำไปให้รินนภัทรทันที รินนภัทรค่อย ๆ ดื่มน้ำที่วีรภัทรเอามาให้อย่างกระหายก่อนที่จะสำลัก

        “ค่อย ๆ ดื่มก็ได้ เดี๋ยวติดคอ”

        รินภัทรไม่ตอบอะไร วีรภัทรรีบใช้ทิชชู่เช็ดปากของรินนภัทรทันที

        รินนภัทรเมื่อตั้งสติได้ก้มองไปที่รอบ ๆ ก่อนที่จะหันกลับมามองร่างของใครสักคนที่อยู่ในความทรงจำจนคุ้นเคย แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องสนใจ

        “รินหิวไหม”

        “ไม่”

        เสียงห้วนตอบกลับทันที รินนภัทรดูท่าจะไม่รู้สึกรู้สาเกี่ยวกับคนตรงหน้าสักนิด

        “อยากเข้าห้องน้ำ”

        “เดี๋ยวพี่พาไป”

        รินภัทรที่โดนแทงนั้นแผลเริ่มหายดี แต่บริเวณช่องล่างที่ถูกทารุณเองก็ไม่ได้หายสนิทนัก การเดินอาจจะยังไม่ปกติสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนรินนภัทรตรงหน้าวีรภัทรเองดูจะไม่ค่อยใส่ใจอาการเจ็บนัก เมื่อถึงห้องน้ำ

        “อยู่นี่ ไม่ต้องเข้าไป”

        รินนภัทรบอกก่อนรีบปิดประตู สร้างความแปลกใจให้กับวีรภัทรเป็นอย่างมาก แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจเพราะรินนภัทรเพิ่งหายป่วย

        ตอนนี้ร่างของรินนภัทรกำลังยืนอยู่หน้ากระจก แล้วยืนมองดูตัวเองที่มีสภาพ “ดูไม่ได้เลยสักนิด” รินภัทรค่อย ๆ สัมผัสไปบริเวณแผลที่อยู่บนใบหน้า

        “โอ้ย”

        ร้องออกมาเบา ๆ ก่อนจะดึงมือกลับมา ความรู้สึกเจ็บปวดเองหายไปทันทีแล้วเริ่มปะปนด้วยความดีใจของรินนภัทร ใช่แต่คนที่ดีใจไม่ใช่รินนภัทรจริง ๆ หรอกนะ

        เพราะรินนภัทรนั้นหลับไปแล้ว

        .

        .

        .

        เอี๊ยด

        ผมเปิดประตูห้องน้ำออกมาทันที คนที่กำลังรอผมถามทันที

        “เป็นไงบ้าง โอเคไหม”

        “อืม”

        ผมตอบไปอย่างสงเดชเพราะผมรำคาญผู้ชายคนนี้เหลือเกิน ไม่รู้ว่ารินนั้นชอบไปได้ไง แต่สุดท้ายผมเองก็ต้องพึ่งเข้าอีกเยอะ ในเรื่องที่ผมกำลังวางแผนไว้ในหัว

        ผมเดินขึ้นไปบนเตียงโดยการช่วยเหลือของคนที่ตัวสูงกว่าผมนิดหน่อย

        “ริน เอ่อ..”

        “รินไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ รินว่าพี่ไม้กลับไปเถอะ”

        “รินแน่ใจแล้วเหรอ”

        “ใช่”

        “แต่พี่ไม่มั่นใจ พี่ว่าอย่าไปสนใจอะไรแบบนี้ดีกว่า ตอนนี้รินหิวไหม”

        คนชื่อไม้ถามผมพร้อมกับมองมาที่ผมด้วยแววตาที่แปลกใจ แน่ล่ะ เห็นอย่างนี้ก็คงแปลกใจผมเองที่ควรจะมีอาการที่ “หนัก” กว่านี้ กลับตื่นขึ้นมาเหมือนกับคนที่ประสบอุบัติเหตุธรรมดา

        “อืม”

        “ได้”

        คนชื่อไม้กำลังเตรียมอาหารใส่จาน ส่วนผมเองก็กำลังคิดอะไรบางอย่าง

        ความคิดหมุนเวียนมากมายในหัว รวมถึงความทรงจำของรินภัทรเอง ก็กำลังมา ในไม่ช้าผมเองก็จะกลายเป็นรินนภัทรโดยสมบูรณ์แต่เป็นรินนภัทรคนใหม่ที่จะไม่ยอมอะไรอีกแล้ว ชีวิตนี้ของรินนภัทรจะต้องทวงมันกลับมา

        ชีวิตที่ต้องแลกด้วยชีวิต
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 12 2/8/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 08-02-2018 23:06:53
บทที่ 12

       
        “น้องรินมีอาการปวดหัวไหมครับ?”

        “ไม่ครับ”

        ผมตอบหมอกิตต์ หมอจิตเวชที่เคยรักษารินมาก่อน ผมไม่เคยปฏิเสธว่าตัวเองนั้นไม่ปกติ แต่รินต่างหากที่รับไม่ได้ รินอยากจะเป็นคนธรรมดาถึงขนาดที่หาหมอแต่เด็กแม้ว่าอาจจะถูกมองไม่ดีก็ตาม

        แต่เพื่อแลกกับการอยู่คนเดียว รินยอม

        รินยอมทุกอย่างเพื่อที่จะกำจัดผมออก จนกระทั่งรินเหมือนจะทำสำเร็จและหมอกิตต์ก็ยืนยันว่าผมนั้นหายไปแล้ว
แต่ความจริงแล้วผมยังอยู่

        อยู่กับรินเสมอมา

        ผมจะออกมาเมื่อรินนั้นทนกับการถูกกระทำไม่ได้ และเมื่อรินนั้นอ่อนแอเกินไป

        รินลืมที่จะมีผม ทั้ง ๆ ที่มันไม่จริงเลย

        แต่ตอนนี้รินนั้นหลับไปแล้ว และผมเองที่จะมาแทนริน

        “ริน ถ้ารินมีอะไร รินบอกพี่ได้นะ”

        “แล้วพี่จะช่วยอะไรรินได้ล่ะ?” ผมถามกลับ

        เพราะไม่มีใครช่วยผมได้เลยสักคน

        “ก็อย่างที่พี่…”

        “ก็อย่างที่พี่แค่ให้คำปรึกษาและเป็นที่ระบายให้ผมแค่นั้น ใช่มั้ย”

        “ริน พี่กำลังรู้สึกว่ารินแปลก ๆ”

        “ยังไง?”

        “รินเหมือนไม่ใช่ริน รินพยายามจะทำอะไรกันแน่”

        เมื่อสิ้นเสียงคำถามจากปากของหมอกิตต์ ผมก็ได้แต่มองหน้าของเขาอย่างเดียว

        “ผมคิดว่าผมหายดีแล้วนะครับ”

        “รินยังไม่หาย”

        ผมมองไปที่หน้าของพี่กิตต์ที่กำลังทำหน้าตาจริงจัง

        “รินอาจจะเป็นหนักกว่าเดิม”


        หลังจากที่หมอกิตต์นั้นออกไป พี่ไม้ก็เข้ามาพร้อมคุณหมอคนหนึ่งที่ผมจำชื่อไม่ได้และไม่ใส่ใจจะจำ ผมมองเห็นพวกเขาทั้งสองดูเหมือนลังเลที่จะถามผม

        “ผมอยากรู้ว่าแผลบนหน้าของผมจะหายไปเมื่อไหร่ครับ” ผมถามเมื่อเห็นพวกเขาสองคนนั้นไม่พูดเสียที

        “เอ่อ…โชคดีที่ไม่เป็นแผลที่ลึกมากนัก รอยส่วนใหญ่มักจะหายระยะเวลาไม่นาน”

        “แล้วเมื่อไหร่ผมจะออกจากโรงพยาบาลได้”

        “พี่ต้องขอดูอาการสักพักนะครับ”

        ผมได้แต่ทำหน้าตาไม่พอใจและหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ผมหันไปทั้งสองคนมองหน้ากันและเดินออกไปด้วยกัน ตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตของผมตอนนี้

        ผมเลยตัดสินใจเปิดทีวีขึ้นมา

        บนรายการทีวีกำลังฉายใบหน้าของบุคคลที่คุ้นเคย

        บุคคลที่ทำร้ายผมอย่างแสนสาหัส

        “จากการเข้าจับกุมของเจ้าหน้าที่ที่นำหมายจับไปจับแก๊งฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อเหตุฆาตกรรมมาแล้ว หลายครั้ง เป็นเหยื่อจำนวน สี่ราย และทุกรายล้วนมีคลิปวิดีโอที่แสดงถึงการทารุณกรรมอย่างโหดร้ายพร้อมกับนำไปขายที่เว็บใต้ดินแห่งหนึ่ง ตอนนี้มีเพียงผู้ต้องหาสองรายที่จับได้และอีกสามรายกำลังหลบหนี

        เหตุกาณ์สะเทือนขวัญในครั้งนี้สร้างความหวาดกลัวให้แก่คนทั่วไปเป็นอย่างมาก เพราะเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปช่วยเหลือรายล่าสุดได้ทัน แต่ผู้ต้องหาก็หลบหนีไปได้
ในตอนนี้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายกำลังทำการรักษาและผลเป็นอย่างไร ทางเราจะรายงานให้ทราบ”


        ผมปิดทีวีทันที

        หลบหนีสามคนเหรอ?

        ผมมองไปที่ตัวเองที่เต็มไปด้วยสายน้ำเกลือ แล้วถอนหายใจเมื่อมองไปข้างนอก

        ตอนนี้ผมมีเป้าหมายที่จะทำ

        แต่ผมต้องมาติดแหง็กอยู่ที่นี่ ผมอยากจะหนีไป

        เอี๊ยด

        เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาเรียกความสนใจจากผมให้ไปมอง ผมเห็นผู้หญิงร่างสูงรูปร่างคุ้นตากำลังเดินมาที่ผม ใบหน้าที่สวยจัดและแววตาที่ดุดัน ใบหน้าที่คล้ายคลึงกับผมในบางส่วน

        “แม่”

        ผมทักออกไปเมื่อผู้หญิงนั้นเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงของผมด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

        “ยังจำฉันได้อยู่เหรอ”

        ผมไม่ได้ตอบคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบนั้น ผมรู้ว่าเธอจะมาที่นี่ทำไมแล้วต้องการอะไร ผมรู้ว่าคนอย่างเธอไม่สนใจผมหรอก

        “เอาแหละ ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะมาต่อรองกับความบ้าของแก แต่สิ่งที่แกโดนมันทำให้ฉันขายหน้า”

        ผมมองไปที่หน้าของหญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น…แม่

        ไร้ความปรารถนาดี

        ไร้ความห่วงใย

        สิ่งที่เธอต้องการนั้นก็ไม่ผิดไปจากที่ผมคิด

        “ฉันจะไม่สนใจแกว่าแกจะไปทำอะไร ออกไปใช้ชีวิตตัวเองได้เต็มที่ เพียงแต่แกต้องไม่ทำให้ฉันได้รู้สึกขายหน้ามีลูกอย่างแก”

        “ให้ผมทำยังไง”

        “เปลี่ยนชื่อ แล้วไม่ต้องเรียกฉันว่าแม่”

        ผมจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ

        “ฮา ฮา ฮา!” ผมหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้

        “หัวเราะทำไม!” ผู้หญิงคนนั้นตวาดดังลั่น

        “ฮา ฮา”

        “หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้!”
 
        “ฮา ๆ”

        “ฉันบอกให้หยุด”

        เธอกระฉากแขนของผมอย่างรุนแรง พร้อมบีบไว้แน่น แต่ผมก็ยังไม่หยุดหัวเราะ

        “แกมันบ้า แกมันควรจะไปอยู่โรงบาลบ้าแต่แรก”

        “ขอบคุณครับที่บอก ฮา ๆ”

        ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากอาการหัวเราะแบบคนเสียสติ เพราะเรื่องที่ได้ยินมันน่าตลกมาก

        “คุณอยากให้ผมเปลี่ยนนามสกุลและไม่ต้องเรียกคุณว่าแม่ แต่น่าเสียดายนะ”

        “เสียดายอะไร”

        “นามสกุลนั้นไม่ใช่ของคุณ! และผมไม่อยากเรียกคุณว่าแม่เลยสักนิด! ”

        ผมตวาดออกไปพร้อมกระชากแขนกลับโดยไม่สนใจรอยแดง ๆ นั้นสักนิด

        “มันของพ่อผม”

        “แต่พ่อแกแต่งงานกับฉัน”

        “งั้น แม่ควรจะกลับไปแต่งงานกับพวกโรคจิตข่มขืนเด็กนะ แทนที่จะมาทวงของที่ไม่ใช่ของตัวเอง!”

        เพียะ!

        ใบหน้าของผมถูกตบโดยฝามือของคุณแม่ ผมหันไปมองหน้าเธอที่กำลังแดงจัดด้วยความโกรธ

        “ริน”

        เสียงของพี่ไม้ดังขึ้นมา พี่ไม้มแงไปที่ผู้หญิงคนนั้นแล้วสลับกับมองที่ผม พร้อมกับการเข้ามาของหมอที่ดูแลผม

        “เกิดอะไรขึ้นครับ”

        “เปล่าไม่มีอะไร ฉันแค่มาดูอาการ”

        “คุณเป็น…”

        “ญาติ ฉันไปล่ะ”

        เธอเดินออกไปทันทีโดยไม่เอ่ยคำลาใด ๆ

        “รินเป็นไงบ้าง” พี่ไม้ถามผมทันที

        “ไม่เป็นไรครับ”

        “ทำไมเขาถึงทำกับรินแบบนั้น”

        “เขาเป็นคนที่จิตไม่ปกตินะครับ อย่าไปใส่ใจเลย”

        พี่ไม้ตกใจกับคำพูดของผม

        “ผมง่วงแล้วต้องการนอนนะครับ ถ้าเป็นไปได้รบกวนช่วยให้ผมอยู่คนเดียวด้วยนะครับ”

        แล้วทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนที่จะออกไป

        .

        .

        .

        “อาการของน้องรินแปลก ๆ นะครับ”

        ผู้ชายสองคนกำลังนั่งปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับอาการที่เปลี่ยนไปของคนรู้จัก มีทั้งกฤษณะและวีรภัทร ที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับการ”เปลี่ยนไป”ของรินนภัทร

        “คุณหมอบอกว่า ตอนที่รินโดนทารุณจากพ่อเลี้ยงรินอาการหนักกว่านี้เหรอครับ”

        “ใช่ครับ ไม่เป็นผู้เป็นคน พูดไม่รู้เรื่องหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา”

        กฤษณะพูดถึงอดีตที่ตนนั้นได้รักษารินนภัทร

        “แต่ที่แปลก อาการของรินก็หายพร้อมกับที่เจ้าตัวลืมว่าตัวเองนั้นเคยอาละวาด เคยหวาดกลัวมาก ๆ โดยอาการเหมือนคนที่ตื่นจากฝันร้ายที่กลายเป็นจริง”

        วีรภัทรพยักหน้ารับฟังข้อมูล

        “แล้วหลังจากนั้นรินก็มีแต่อาการฝันร้ายโดยเป็นอาการของพวกที่ฝังใจจากเหตุกาณ์เลวร้าย”

        กฤษณะยังคงพูดถึงเกี่ยวกับอาการของรินนภัทร

        “รินอาจจะแค่โตขึ้นเลยรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้นหรือเปล่าครับ”

        วีรภัทรบอกกฤษณะเกี่ยวกับข้อสงสัยของตัวเอง

        “มันอาจจะใช่ เพราะคนไข้ที่ผมเคยรักษาหลายคนก็มีรูปแบบอาการที่เรียกว่ากลไกป้องกันตัวเองอยู่ รินอาจจะมีระบบ
กลไกป้องกันตัวเองอยู่แต่แบบนี้มันค่อนข้างที่จะเกินความสามารถของริน”

        “ทำไมครับ”

        “รินอ่อนแอมากเลยนะครับ ภายในจิตใจของรินซับซ้อนมาก จนผมกลัวว่า รินอาจจะมีกลไกบางอย่างที่ป้องกันตัวในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผมว่ามันน่ากลัวมาก”

        “ยังไงครับ”

        “เอาไว้ผมมั่นใจผมจะบอกคุณนะครับ”

        วีรภัทรพยักหน้าเพราะเท่าที่กฤษณะเล่าก็มากพอจนเกินเสียด้วยซ้ำที่จะให้เจ้าตัวนำข้อมูลของคนไข้มาเปิดเผย

        “ขอบคุณนะครับที่เล่าให้ผมฟัง”

        “ตามจริงมันบอกไม่ได้ แต่ผมเห็นว่าคุณคือคนที่รินไว้ใจผมเลยอยากให้คุณดูแลรินให้ดีและก็รับรู้ในบางส่วนด้วยนะครับ”

        “ครับ”

        “รินน่าสงสารนะครับ แม้แต่แม่ของเขายังไม่ชอบเพราะคิดว่าลูกตัวเองให้ท่าพ่อเลี้ยง จนเขาตบะแตกขมขื่นริน และแม่เขาไม่เคยโทษพ่อเลี้ยงเลย”

        “แม่ของรินทำไมทำกับลูกแบบนี้”

        “ไม่รู้สิครับ แต่ผมก็รู้แต่ว่าคำว่า ‘แม่ทุกคนรักลูก’ ไม่จริงเสมอไป ”

        “นั้นสินะครับ” วีรภัทรคิดถึงตอนที่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายรินนภัทรกำลังทำร้ายรินนภัทร

        “เอ่อ คุณหมอครับ ผมขอเล่าให้คุณหมอฟังหน่อยได้ไหมครับ”

        “อะไรครับ”

        “เกี่ยวกับรินนะครับ วันที่รินฟื้นรินบอกว่าให้เรียกตัวเขาว่ารัน”

        “แล้วคุณเรียกไหมครับ”

        “ไม่ครับ ผมรู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย แต่ก็คิดว่ามันอาจเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์”

        กฤษณะไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างในตัวรินที่ทำให้เขาเองก็กลัวว่ามันจะเป็นไปได้มากที่สุด

        .

        .

        .

        ผ่านมาสัปดาห์หนึ่ง ผมยังคงนอนอยู่ในห้องและไม่รับรู้ข่าวสารอะไรมากนัก ผมรู้แต่ว่ามีตำรวจจมาเฝ้าผมมากมายพร้อมกับการมาเยี่ยมของตำรวจหน้าหล่อคนหนึ่งที่ผมคิดว่าเขานั้นทำอะไรไม่ได้เอาเสียเลย นอกจากมาพูดรายงานให้ผมฟังว่าเขาจับใครได้บ้างและสัญญากับผมว่าจะไม่ปล่อยพวกมันแน่

        แต่ทำไมผมถึงไม่คิดจะเชื่อสักนิด

        ถ้าทำได้ ตัวผมก็คงไม่ต้องอยู่ที่นี่หรอกนะ จริงไหม?

        และวันนี้เขากำลังนั่งอยู่ข้างเตียงผม พร้อมกับที่ตัวผมมีเอกสารวางอยู่บนตัก ภายในนั้นมีบางอย่างที่เรียกว่า สำนวนคดีและผู้ต้องหาที่ผมคุ้นเคย ผลไล่ดูหน้า ชื่อ และภูมิลำเนาของพวกมันอย่างถี่ถ้วนเพื่อจำไว้ในสมอง เพื่อจำไว้สำหรับสิ่งที่ผมกำลังจะเตรียมการ

        “รินบอกพี่ว่ารินจำได้ทุกคนใช่ไหม?”

        “ครับ”

        “ตอนนี้ทุกคนโดนจับได้และพยายามต่อสู้คดี”

        “ครับ”

        “งั้นพี่จะขออะไรรินหน่อย หลังจากที่รินรักษาหายรินจะต้องขึ้นศาล”

        “ทำไมครับ”

        “คดีมันต้องส่งขึ้นสู่ชั้นศาลเพื่อพิจารณาโทษ เราแค่ไปยืนยันสิ่งที่มันทำ”

        “แล้วหลักฐานที่มีล่ะครับ? ทั้งบนตัวผมและในบ้านหลังนั้น”

        “นั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่รินคือสำคัญที่สุด”

        “เหรอครับ”

        ผมพูดโดยไม่มองหน้าคุณตำรวจ แต่ในหัวของผมก็กำลังคิดถึงสิ่งต่าง ๆ นานา

        ผมไม่อยากให้พวกมันเข้าคุก

        มันไม่สาสมเลยสักนิด

        สิ่งที่พวกมันควรได้รับการลงโทษ คือการโต้กลับแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน

        “รินพร้อมไหม?”

        ‘เรากลัว’

        เสียงคำถามของตำรวจและคำพูดในหัวของผมที่กำลังตื่นขึ้นมาพร้อมกัน กลัวเหรอ? แกกลัวอะไรกันรินนภัทร แกควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่มีฉัน ดังนั้นแกก็ควรจะหลับไป

        “กลัวอะไร?”

        “หา! รินพูดอะไร”

        “เปล่า” ผมบอกไปที่ตำรวจที่หูดีเกินไป ผมต้องระวังตัวกว่านี้ในการที่จะสื่อสารกับจิตใจที่อยากจะตื่นขึ้นมา
ถ้าตื่นขึ้นมาแกก็จะต้องรับชะตากรรม แกทนได้เหรอ

        ‘เรากลัว’

        ดี อยู่อย่างนั้นแหละ ฉันจัดการเอง

        ผมปิดแฟ้มแล้วส่งคืนให้ตำรวจ

        “ผมพร้อมครับ ไว้เจอกันนะครับ”

        แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนทันที โดยไม่สนใจคนที่กำลังมองมาอย่างแปลกใจของตำรวจนั้น

        มองไปสิ แกทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว

       เพราะตอนนี้มีแต่ผมเท่านั้นที่จะต่อสู้เพื่อตัวเองได้



ขอโทษที่มาต่อช้านะครับ ช่วงนี้กำลังสมองตัน ๆ อยู่เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทางไหนดี แฮะ ๆ อาจจะมีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยมาที่นี่ด้วยนะครับ

ยังไงก็รอติดตามตอนต่อไปนะครับ ^^
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 12 2/8/18
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 09-02-2018 08:24:22
รันแอบหน้ากลัว ....
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 13 2/13/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 13-02-2018 23:42:58
บทที่ 13

       
        หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ ผมก็อาการดีขึ้นจนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ รอยต่าง ๆ ก็ยังคงอยู่แต่จางลง ส่วนรอยที่อยู่จิตใจก็ยังคงอยู่ ไม่มีวันที่จะหายไป

        ผมได้รับการช่วยเหลือจากพี่ไม้เรื่องทนายที่พี่เขาบอกว่าไว้ใจได้

        และหลักฐานที่ผมมีไม่ว่าจะเป็น คราบอสุจิ รอย DNA บนแผลผมที่ได้รับผลตั้งแต่ตอนที่ผมเข้ามารักษาตัวใหม่ ๆ จากเหตุการณ์นั้น

        ผมได้แต่พยักหน้าและเตรียมข้อมูลรวมถึงคำพูดที่ควรพูดเพื่อให้พวกมันไม่หลุดรอดอย่างง่าย ๆ

        ผมมั่นใจว่าผมทำได้แน่นอน

        การดำเนินการจับเองก็เป็นไปอย่างราบลื่นและทุกคนไม่สามารถหนีได้ทัน

        มีวันหนึ่งที่ผมต้องไปชี้ตัวคนร้ายเพื่อยืนยันว่าพวกเขาจับคนถูกตัวหรือไม่ และเมื่อผมก้าวเข้าไปผมก็รู้สึกถึงบางอย่าง
สายตาของพวกมันกำลังจับจ้องมาที่ผม

        ผมนั่งลงตรงข้ามห้องตู้กระจกที่มองเห็นทะลุภายในห้อง

        นอกจากห้าตัวชั่วนั้นแล้ว

        ก็ยังมีคนอื่นที่ผมไม่คุ้นเคย

        “รบกวนคุณช่วยยืนยันตัวคนร้ายหน่อยนะครับ ให้บอกไปตามหมายเลขที่ติดไว้”

        ผมหันไปมองเรื่อย ๆ ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องอาศัยความสามารถอะไรเลยสักนิด

        “หมายเลขสาม”

        ไอ้ลี

        “หมายเลขหกและเจ็ด”

        ไอ้มิ่ง ไอ้แมน

        “หมายเลขสิบ”

        ไอ้ทิด

        “หมายเลขสิบสาม”

        ไอ้หมี

        แววตาของพวกมันไม่ได้แสดงความรู้สึกผิดอะไรสักนิด เหมือนกับตัวผมที่ไม่รู้สึกอะไรเหมือนกัน เพราะผมเองรู้สึกว่าชีวิตมันง่ายไปหน่อยที่จะต้องมาจับพวกมันเข้าคุก และก็ใช้ชีวิตโดยไม่ได้รับโทษอะไรมากนอกจากขาดอิสระ

        เทียบไม่ได้กับสิ่งที่พวกมันทำ

        พวกมันไม่ได้กักกันอิสระนั้นไว้

        แต่พวกมันทำลายการมีชีวิตของคนอื่น หมดทั้งอิสระ หมดทั้งลมหายใจ

        “แค่นี้ใช่ไหมครับ”

        คุณเจ้าหน้าที่พยักหน้า

        ผมไม่ได้พูดอะไรต่อและเดินออกมาที่ข้างนอกที่มีพี่ไม้กำลังรอรับผมอยู่


        “รินเป็นยังไงบ้าง”

        “สบายดี”

        ตอนนี้ผมกำลังอยู่กับหมอกิตต์ เพราะพี่ไม้บอกว่าหมอนี้อยากคุยกับผมหลาย ๆ เรื่อง ผมเองก็ไม่ได้ขัดอะไรสักนิด

        “ดีแล้ว เพราะพี่ก็ไม่อยากให้รินนั้นคิดมาก”

        “ใช่ครับ ไม่คิดมากแค่โดนข่มขืนและเกือบตายเท่านั้น”

        ผมพูดออกไปพร้อมกับเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว้ห้างและกอดอกไว้พร้อมกับหยักไหลอย่างไม่สนใจ เหมือนกับมันเป็นเรื่องปกติ

        “ถ้าพี่ไม่ได้รู้จักริน พี่คงคิดว่ารินกำลังประชด”

        “เปล่านี่ครับ” ผมยิ้มตอบกลับไปอย่างเสแสร้ง

        “เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า พี่อยากให้รินมาหาพี่ตามนัดที่มีให้ไว้”

        “ทำไม”

        “ก็รินอาจจะมีผลข้างเคียงกับ…”

        “ไม่มีอะไรทั้งนั้น!” ผมตวาดออกไปอย่างลืมตัว

        ผมเริ่มกลับเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติแล้วกลับไปยิ้ม

        “ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาหาพี่”

        “จำเป็นสิ รัน”

        ผมชะงักเล็กน้อยเกี่ยวกับคำพูดที่เขาเรียกชื่อผมออกมา

        “พี่ไม้บอก?”

        “เขาคงกังวลกลัวว่ารินจะเป็นอะไรไป”

        “คงมากเกินไป”

        ผมทำท่าไม่สนใจ

        “เราเคยเจอกันหรือเปล่า”

        “หมอพูดบ้า ๆ นะครับ เราก็เจอกันบ่อยจะตาย”

        “หมอไม่ได้หมายถึงริน หมายถึงรันต่างหาก”

        “ฮา ๆ”

        ผมหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับมองหน้าคุณหมอกิตต์ที่กำลังมองผมด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย

        “ผมว่าหมอเริ่มเพี้ยน ๆ แล้วนะครับ หมอควรจะรักษาตัวเองก่อนที่จะมารักษาผมดีกว่า”

        ผมลุกขึ้นจะเตรียมกลับ

        “เดี๋ยวครับ เรายังพูดกันไม่จบ แต่หมอคิดว่าคุณคงรีบกลับดังนั้นได้โปรดมาตามนัดด้วยนะครับ”

        ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินออกมาจากห้องหมอบ้าคนนี้ทันที

        ผมเดินทางกลับไปที่ห้องกับพี่ไม้ทันที ตอนนี้ผมก็ยังคงที่จะพักกับพี่ไม้เพราะผมเองยังคงไม่มีเงินเลย เรื่องทนายก็เหมือน
กันพี่ไม้ก็ช่วยผม โดยไม่เอาเงินจากผมสักบาท

        ว่าไปผู้ชายคนนี้ก็ดี จนไม่แปลกใจว่าทำไมรินคนนั้นถึงชอบเขามาก

        “คุณหมอพูดอะไรกับรินบางไหม”

        “ก็เหมือนเดิมครับ ถามปกติเลย”

        “เหรอ”

        “พี่ไม้ผมบอกให้เรียกว่ารัน”

        “เอ่อ ลืมไปเลยฮา ๆ”

        พี่ไม้พยายามทำให้บรรยากาศดีขึ้น ผมไม่สนใจนอกจากมองออกนอกหน้าต่างรถไป ออ ลืมบอกพี่ไม้ทำงานจนผ่อนรถได้แล้ว ตอนนี้แกก็เลยมีรถขับพาผมไปไหนต่อไหนได้ ผมเองก็ยินดีกับพี่แกจนผมเองก็รู้สึกผิดนิด ๆ ที่กำลังจะหลอกใช้แกจากสิ่งที่ผมจะทำ

        “เดี๋ยวผมหาเงินคืนให้นะครับ”

        “เฮ้ย ไม่เป็นไร พี่เต็มใจช่วย”

        “มันมากเกินไป”

        “ไม่เป็นไรเลยจริง ๆ พี่เองต่างหากที่ต้องขอโทษที่ดูแลริน เอ้ย รันไม่ดี”

        ผมมองไปที่ใบหน้าของเขาแล้วเอื้อมมือไปจับที่ขาของพี่ไม้ พี่ไม้ดูจะแปลกใจนิดหน่อย

        “ขอบคุณนะครับ”

        แล้วเราสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจนถึงห้อง


        ไม่กี่วันต่อมาผมก็เดินทางไปถึงที่ศาลพร้อมกับทนายที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับคดีของผม ผมได้ยินว่าฝั่งนั้นก็พยายามวิ่งเต้นเพื่อที่จะช่วยพวกชั่วนั้นให้ได้มีทั้งนักการเมืองระดับใหญ่หรือไม่ก็ท้องถิ่นที่พยายามจะเข้ามาแทรกแซง แต่คดีนี้ดันเป็นข่าวดังที่ผู้คนให้ความสนใจไม่น้อย และผมเองก็เพิ่งรู้ว่า ข่าวมันดังมาก

        สลดเด็กผู้ชายถูกรุมโทรมโดยผู้ชายและพยายามที่จะฆ่าปิดปาก

        และหลายหัวข้อข่าวที่พูดถึงผม ประเด็นที่น่าสนใจคงไม่พ้นเกี่ยวกับการการที่ผู้ชายคนหนึ่งถูกข่มขืนโดยผู้ชายด้วยกัน สังคมต่างมีความเห็นที่หลากหลาย และผมเองก็รับรู้มันมาบ้าง

        ผมอ่านผ่าน ๆ แต่ก็สะดุดกับบางคอมเม้นท์ที่บอกว่า ผมนั้นอ่อยผู้ร้าย ไปยั่วยวนหรือทำอะไรก็ตามแต่ และอีกประเภทที่หัวเราะกับการที่ผมถูกข่มขืนพร้อมกับแสดงความรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน

        และบางสื่อก็เขียนหัวข้อข่าวด้วยคำว่า คดีสายเหลือง

        ถามว่าผมรู้สึกยังไง ผมก็ตอบไม่ได้นัก แต่ก็รู้เพียงแต่ว่าผมควรที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ผมทวงความยุติธรรมนั้นกลับมา และผมเองก็กำลังจะทำมัน

        บรรยากาศภายในศาลนั้นแปลกใหม่สำหรับผม ถึงผมจะเคยเห็นมาบ้างในทีวี แต่ผมเองก็ยังคงตะลึงกับความใหญ่โตและความศักดิ์สิทธิ์ของมัน

        ถ้ามันมีจริง

        การพิจารณาคดีเริ่มจากนั้นไม่นาน การหนีไปคนหนึ่งกำลังดำเนินการเรื่องส่งตัวนักโทษข้ามแดน แต่นั้นแหละ มันก็ไม่
สามารถที่จะทำได้สักนิด

        ผมถูกซักถามและเล่าเรื่องต่าง ๆ เหมือนฉายภาพซ้ำไปมาในหัวอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ผมควรชินได้แล้วเพราะผมเองก็เป็นคนเจอเรื่องพวกนี้แทนรินมาตลอด แต่ยังไงเสีย เราก็คนเดียวกัน

        เราก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

        ผมถูกกระตุ้นโดยทนายฝั่งตรงข้ามที่พยายามจะใช้ช่องโหว่ที่มี

        แต่มันไม่มีเลยสักนิด

        อัยการฝั่งผมก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่ต่างกัน หลักฐานที่ยกมาสามารถลบล้างหลักฐานที่อยู่ที่ถูกปลอมขึ้นมา หลักฐานของมันชัดเจนจนไม่ต้องจะรอพิสูจน์อะไรนัก

        และการพิจารณาคดีผมเป็นฝ่ายชนะ

        และพวกมันบางคนก็ติดคุกยี่สิบปี

        ส่วนที่เหลือที่ยังเป็นเยาวชนก็จะถูกเข้าสถานพินิจ

        หลังจากพิจารณาคดีเสร็จ หลาย ๆ คนดูจะโล่งใจที่ทำสำเร็จแต่สำหรับผมนั้นไม่เลยสักนิด ผมหันไปมองคนรอบ ๆ ที่กำลังพูดถึงอย่างดีใจแต่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้น

        ผมเดินเข้าไปห้องน้ำและล้างหน้าทันที

        ภายในใจของผมร้อนรุ่ม ย้ำเตือนบอกผมว่า

        มันยังไม่พอ…ยังไม่พอ

        นี่แหละคือสิ่งที่เราสองคนเห็นพ้องตรงกัน ว่ามันยังไม่พอ ผ,เดินอvกไปข้างนอก เพื่อรวมกลุ่มกับพวกพี่ไม้
ผมนั่งรถกลับกับพวกพี่ไม้ เราไม่ได้พูดอะไรกันมากนักนอกจากการพิจารณาคดีเมื่อสักครู่

        “พี่ดีใจที่รันไม่ตอบตกลงคุณลุงคนนั้นที่เสนอเงินมาให้”

        “ผมไม่ได้ต้องการมันหรอก”

        ไม่ใช่ว่าไม่มีใครที่พยายามจะเล่นตุกติก แต่ผมไม่รับเงินพวกนั้นเพราะมันน้อยเกินไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่ผมโดน เงินนะซื้อผมไม่ได้หรอก เพราะผมมีมันมากกว่านั้น

        “พี่ไม้ไปส่งผมแถว…หน่อยครับ”

        “ทำไมเหรอ”

        “ผมจะกลับบ้าน”

        ผมให้พี่ไม้ไปส่งแถวหน้าปากซอยหมู่บ้านหนึ่งที่มีสภาพดูดีเพราะเป็นหมู่บ้านสำหรับคนที่มีอันจะกินเท่านั้น

        “ให้พี่ไปส่งในหมู่บ้านไหม”

        “ไม่ต้องครับ ขอบคุณ” ผมพูดเสร็จแล้วก็ลงจากรถทันที

        ผมหยิบสร้อยในกระเป่าที่เตรียมมาไว้ตอนก่อนออกจากห้อง สร้อยที่เป็นเหมือนมรดกของผมที่เก็บไว้ใกล้ตัวตลอด ผมใส่มันไว้ก่อนที่จะเดินไปร้านส้มตำแถวนั้นที่ผมรู้จักดี

        เพื่อเริ่มภารกิจของผม
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 13 2/13/18
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 14-02-2018 08:31:41
จะเป็น ล่า เวอร์ั่ชั่นผู้ชายรึเปล่า.   สนุกดีค่ะรอตอนต่อไปนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 13 2/13/18
เริ่มหัวข้อโดย: ichiichi ที่ 14-02-2018 20:55:40
เราก็ว่าเหมือนล่าเลย แต่ไม่มีแม่มาคอยทำให้ กลายเป็นลูกคนเดียวลุยเดี่ยว ส่วนแม่เป็นตัวร้ายซะงั้น
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 13 2/13/18
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 15-02-2018 07:35:59
อ่านเรื่องนี้แล้วใจตุ้มต่อมเป็นห่วงนายเอกตลอดเลย
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 14 2/18/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 18-02-2018 01:08:28
บทที่ 14

        ร้านส้มตำตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจากความทรงจำของผม ภายนอกยังคงเป็นเพิงเล็ก ๆ มีที่นั่งเพียงแค่สามสี่โต๊ะเท่านั้น ถือว่าร้านนี้ก็อยู่ในสภาพที่พอขายได้ไม่ได้เป็นร้านดังอะไรนัก เพียงแต่คนขายนั้นเป็นที่รู้จักกันในระแวกนี้ จึงมักจะมีลูกค้าขาประจำอยู่แล้วเพราะคุ้นเคยกันดี

        ไม่เว้นแม้แต่พวกแม่บ้านของผม รวมถึงผมเองก็ด้วย

        ในสมัยเด็กของผม ไม่ใช่สิ ของรินที่มักจะโดนทิ้งไว้ให้อยู่กับพี่เลี้ยงและแม่บ้าน พวกเขาสองคนก็พยายามที่จะเลี้ยงผมให้ดีที่สุด จึงไม่ได้ทิ้งผมไว้อยู่ที่บ้านเพื่อมาซื้อของ แต่ก็พาผมมาด้วยในวันที่แดดไม่จัดมากนัก

        ในตอนนั้นที่ที่ผมสามารถเดินไปได้ไม่ได้ไกลจากบ้านนักและที่ไกลที่สุดก็คือหน้าหมู่บ้านที่มีความแตกต่างจากในหมู่บ้านชัดเจน

        ต้องเข้าใจก่อนว่าแถวนี้แต่ก่อนไม่ได้เจริญนัก การที่จะมีผู้คนที่ไม่ได้มีระดับอะไรมากมาอยู่จึงเป็นเรื่องธรรมดา จนกระทั่งความเจริญขยายเข้ามา รวมถึงหมู่บ้านจัดสรร ก็ทำให้ที่นี่ดูสวยและน่าอยู่ขึ้น

        แต่มันก็เป็นแค่ภายนอกเท่านั้น

        ในหมู่บ้านผมเองก็มีเรื่องลักเล็กขโมยน้อยตลอด แต่ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้

        ทำไมเหรอ ก็เขาเป็นพวกเดียวกันนะสิ

        เป็นธรรมดาที่มีลูกตำรวจขโมยของแล้วพ่อมาไล่ตามจับ ดูเป็นภาพที่น่ารักดีจริง ๆ

        ผมเดินมาหยุดที่หน้าแผงขาย มองเข้าไปในร้านก็เจอแต่เก้าอี้ว่าง ๆ ดูเหมือนว่าจะขายไม่ค่อยดีนัก เพราะผมเห็นแม่ค้ากำลังนั่งหลับอยู่กับเก้าอี้พักผ่อน

        “ขอโทษนะครับ”

        ผมรู้สึกแย่ที่ดูเหมือนไปรบกวนคนที่กำลังนอนหลับสบาย

        “ค่า ๆ แป๊บหนึ่งนะค่า”

        ผมยืนมองแม่ค้าที่พยายามลุกจากที่นั่งอย่างลำบาก ในขณะที่ลุกขึ้นได้มือก็ไปจับที่หลังอย่างคนปวดหลังเป็นอาการที่ผมมักจะเห็นกับคนสูงอายุเสมอ

        “เอาอะไรดีคะ…”

        ผมเห็นสีหน้าของแม่ค้าตกใจนิดหน่อย

        “คุณริน คุณรินจริง ๆ ด้วย”

        แทนที่จะยืนหลังแผงขาย แม่ค้ากับวิ่งออกมาข้างนอกแล้วจับแขนผมลูบไปมา เธอลากผมไปที่นั่งทันที

        “คุณรินหายไปไหนคะ ไปถามพวกอีปอยก็บอกว่าคุณย้ายออกอยู่ที่อื่น แต่ฉันก็เห็นพวกมันอยู่บ้านเดิม แม่คุณด้วย ก็เลยคิดว่าคุณคงไปเรียนมหาลัย”

        “ผมไม่ได้ไปเรียนหรอกครับ”

        “อ้าว ไปทำอะไรล่ะคะ ป้าคิดถึงหนูมาก”

        “ไปทำงานครับ”

        “ทำงาน?”

        “ครับทำงาน”

        ผมไม่ได้ลงรายละเอียดมากเพราะดูแม่ค้าก็คงคิดไม่ตกว่าทำไม คนอย่างผมถึงต้องออกไปทำงาน นั้นสินะทำไมรินถึงอยากจะหนีออกจากบ้านไปทำงานกันล่ะ?

        “ว่าแต่คุณรินตัดสินใจจะกลับมาแล้วเหรอคะ?”

        “ไม่เชิงครับ ผมแค่มาสะสางอะไรบางอย่างนิดหน่อย”

        แกดูพยักหน้าอย่างเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจนัก

        “ร้านเป็นไงบ้างครับ”

        “ไม่ดีเลยค่ะ ช่วงนี้ก็เงียบ ๆ เศรษฐกิจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ป้าก็ขอให้ขายได้คุ้มทุนก็พอแล้ว แต่มันไม่คุ้มนะสิ”

        “ครับ”

        ผมตอบพร้อมพยักหน้า

        “เนี่ย เดือนหน้าป้าก็ต้องจ่ายค่าเทอมให้ไอ้ทีมัน”

        “ลูกชายป้านะเหรอครับ”

        “จ๊ะ”

        นี่แหละคือคนที่ผมจะใช้ทำภารกิจของผม ผมใช้แค่ป้าเป็นตัวเร่งต่างหาก

        บรื้น ๆ

        เสียงมอเตอร์ไซค์ที่ดังสนั่นลั่นไปทั่วขับมาจอดอยู่หน้าร้าน พร้อมกับร่างผอมสูงจนแห้งลงมาจากรถแล้วเดินตรงมาทางพวกเรา

        ใบหน้าที่ดูไม่เป็นมิตร สีผิวที่คล่ำ ขาที่ใส่กางเกงขาสั้นโชว์รอยดาดของท่อไอเสีย ใส่เสื้อลายเชย ๆ ที่ใครเห็นก็แทบจะจำกัดความได้ว่านี่คือ เด็กแว้น

        “แม่ขอตังค์”

        เดินมาถึงก็แบมือขอตังค์แม่

        “ไม่มีให้หรอกไอ้ลูกเวร มีแต่ขอเงินกูหัดทำงานหน่อยสิว่ะ”

        “ทำงานทำไม แล้วไอ้นี่ใคร?”

        มันมองมาที่ผมก่อนที่จะทำตาลุกวาวกับสิ่งที่แวววับบนคอของผม

        “ทำไมมึงเสียมารยาทกับคุณรินอย่างนี้”

        “มีมารยาททำไม”

        “เขาเป็นลูกค้า”

        “ลูกค้าทำไม ไม่สนหรอก เอาเงินมา”

        “ไม่มี”

        ผมมองการเถียงของมารดากับลูกชายไม่ไหว กลัวจะเกิดการทำร้ายกันเพราะคนอย่างเด็กผู้ชายคนนี้ขึ้นชื่อเสมอเรื่องตีแม่ตัวเอง

        “เอาของผมไปครับ”

        ผมยื่นเงินให้ป้าแม่ค้า แต่ก็ถูกดึงโดยลูกชาย

        “แค่นี้ก็จบ”

        “ไอ้ลูกเวร”

        ผมยิ้มเฉย ๆ ก่อนจะยืนขึ้นแล้วมองไปที่เด็กชายคนนั้น

        “แต่เธอต้องไปส่งฉันที่บ้าน”

        “อย่าเลยค่ะ”

        “ไม่เป็นไรครับ ถือซะว่าเป็นค่าจ้าง”

        “เออ ๆ” มันตอบกลับมา

        ผมขึ้นไปมอเตอร์ไซค์ของมัน ก่อนที่จะยิ้มให้กับป้าแม่ค้า แล้วรถของมันก็ออกตัวไป


        หน้าหมู่บ้านกับบ้านผมไม่ได้ห่างกันมานัก แต่ถ้าเดินก็เมื่อยพอดู ผมบอกทางเจ้าเด็กนี้อย่างละเอียดจนถึงบ้านของผม

        ดูมันจะอึ้ง ๆ นิดหน่อยกับสิ่งที่เห็น

        “ขอบใจที่มาส่ง”

        “นี่บ้านแ…บ้านคุณจริงเหรอครับ”

        “ก็ไม่เชิง”

        ผมยิ้มให้มันก่อนที่จะทำท่าโดยพยายามให้สร้อยคอเด่นสุด

        มันมองที่บ้านของผมด้วยแววตาที่ผมเองก็รู้ความหมาย เด็กอย่างมันขึ้นชื่อเรื่องการปล้น การยกเค้าบ้านคนอื่นอยู่เสมอ ยิ่งเฉพาะกลุ่มเด็กแว้นของมันที่แม้แต่กฎหมายยังทำอะไรไม่ได้

        “คุณอยู่กับใครบ้าง”

        เป็นคำถามโง่ ๆ ที่หลายคนเลี่ยงจะไม่ตอบ แล้วก็รู้ทันทีว่าคนสภาพแบบมันถามไปก็คงมีความหมายเดียว แต่ผมเองก็ได้แต่ดีใจภายในใจเพราะเดาถูกเกี่ยวกับคำถามของมัน

        ถ้ามันเฉลี่ยวใจสักนิดก็จะคิดได้ว่า คนอย่างผมทำไมถึงให้มันมาส่งบ้าน

        “อยู่กับแม่สองคน”

        มันพยักหน้าก่อนที่จะรีบบึ่งรถออกไปทันที โดยไม่ร่ำลา ผมมองตามอย่างยิ้ม ๆ ก่อนที่จะเดินไปกดออด สักพักก็มีร่างท่วม ๆ ของผู้หญิงวัยกลางคนที่ผมคุ้นเคยวิ่งมายังประตู เมื่อเปิดออกก็พบสีหน้าตกใจของเจ้าตัว

        “คุณหนู”

        “สวัสดีครับป้าศรี”

        “คุณหนู”

        เธอรีบวิ่งเข้ามากอดแล้วพาผมเข้าบ้าน เธอคงไม่รู้เรื่องที่ผมโดนทำร้ายจึงไม่มีคำถามเหล่านั้นที่ปกติแค่ผมมีอะไรนิดหน่อย เธอก็จะห่วงผมมมาก ๆ มากกว่าแม่ของผมเสียอีก

        ตั้งแต่หน้าบ้านเธอเล่าให้ผมฟังหลายอย่างที่เปลี่ยนไป บ้านหลังนี้ไม่เหมือนเดิม แม่ของผมไม่ได้ใจดีเหมือนพ่อกับผม สิ่งที่เธอทำคือการไล่คนใช้ออกเพื่อตัดค่าใช้จ่าย ตอนนี้ก็เลยมีแต่คนเก่าแก่เพียงแค่สามคนเท่านั้น

        “ตอนนี้มีใครอยู่บ้างครับ”

        “มีอีปอยกับป้าแหละจ้า ส่วนศิก็กลับบ้าน”

        ผมพยักหน้าก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งเดินมา

        “มาทำไม?”

        “ผมก็มาบ้านตัวเองนะสิครับ”

        “นี่ไม่ใช่บ้านแก”

        “ไม่ใช่บ้านแม่ด้วย”

        เธอดูโกรธนิดหน่อย

        “ไหนแกว่าจะไม่มายุ่งอีก”

        ผมหันไปมองป้าศรีที่ตัดสินใจเดินออกไป

        “ผมมีสิทธิ์ เพราะผมยังมีนามสกุลอยู่นะครับจำไว้ด้วย”

        “…”

        แม่ กระดากปากจัง เรียกหล่อนดีกว่า ไม่พูดอะไรอีกนอกจากเดินเข้าบ้านไป หล่อนทำอะไรผมไม่ได้ เพราะผมยังมีสิ่งหนึ่งที่ติดตัวผมอยู่คือ พินัยกรรมของพ่อที่จะเปิดออกเมื่อผมอายุ 20 ปีบริบูรณ์และแน่นอนอีกไม่กี่วันผมก็จะครบแล้ว

        ผมเดินเข้าไปในบ้านตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของผม เมื่อเปิดเข้าไปก็พบว่าทุกอย่างนั้นยังอยู่ที่เดิม รั้งแต่สมองให้จดจำแต่ช่วงเวลานั้น แต่ผมไม่ได้เจ็บปวดกับมันสักนิด

        เหมือนที่รินรู้สึก

        ผมเดินไปรอบห้องด้วยความคิดถึงก่อนจะล้มตัวนอน

        ก๊อก ๆ

        ผมเดินไปเปิดประตูก็พบปอย แม่บ้านอีกคนที่ทำงานกับที่บ้านเป็นเวลานาน ปอยอายุห่างจากผมไม่มากผมเลยไม่ได้เรียกพี่ เราเหมือนเพื่อนสมัยเด็กกันมากว่า

        “กลับมาไม่บอก”

        ผมยิ้ม ๆ

        “นี่ ไปอยู่ไหนเล่าให้ฟังหน่อย”

        “เดี๋ยวก็รู้ มีเรื่องเล่าให้ฟังเยอะแยะ”

        ผมไม่ได้พูดอะไรต่อนอกจากสิ่งที่ผมคิดไว้

        “ตอนค่ำ ๆ แกกับป้าศรีไปนอนที่อื่นได้ไหม”

        “ทำไม”

        “เถอะน่า ฉันอยากเคลียร์กับแม่”

        ปอยพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะรีบวิ่งลงไป ผมเดินลงไปตามสองคนนั้นก่อนจะยื่นเงินจำนวนหนึ่งที่มีเหลืออยู่และมันมากพอที่จะทำให้พวกเขาไปสักพัก

        “จะดีเหรอคะคุณหนู”

        “ดีครับ” ผมยิ้ม ๆ

        ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินออกไปทันทีหลังจากได้รับคำสั่งผม


        แม่ไม่ได้เดินลงมาชั้นล่างจนถึงค่ำ ผมเองพยายามที่จะใช้ชีวิตปกติภายในบ้าน แกลงมาครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่สนใจผมนอกจากเรียกแม่บ้านและผมก็โกหกว่าพวกนั้นมีธุระด่วนเลยกลับไปสักพัก หล่อนดูหัวเสียไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากขึ้นไปข้างบน

        ผมเตรียมของบางสิ่งติดตัวไว้ มันคือมีดพกอันเล็กที่ผมแอบไปซื้อโดยที่พี่ไม้ไม่รู้ มีดพกที่สามารถช่วยชีวิตผมได้ ผมนอนลงบนเตียงที่คุ้นเคยไม่นาน ในช่วงเวลาเกือบตีสอง เสียงบางอย่างเหมือนคนอยู่ข้างล่างก็ดังขึ้น

        ผมยิ้มอย่างพอใจกับผลลัพธ์ที่มีความเสี่ยงมาก แต่กลับเป็นไปตามแผนที่ผมวางไว้สมบูรณ์แบบ

        ผมยิ้มออกมาก่อนตัวเองก่อนที่จะพูดกับตัวเอง เพื่อให้รินได้ยินด้วยว่า

        “ถึงเวลาสนุกแล้วสิ”



มาต่อแล้ว เย้ ๆ ขอโทษที่เวลามาต่อค่อนข้างช้านะครับ เพราะติดอะไรหลาย ๆ อย่าง เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องล่า จริง ๆ ครับ ส่วนตัวแล้วเราอยากให้เห็นในมุมมองว่าถ้าเป็นผู้ชายโดนการกระทำคล้าย ๆ กันจะเป็นยังไงบ้าง ส่วนตัวแล้วอาจจะมีบางตอน ดูยืด ๆ ลอย ๆ ไม่มีเหตุผล ก็ขออภัยด้วยนะครับ ^^ 
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 15 2/22/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 22-02-2018 17:59:51
บทที่ 15

        ผมค่อย ๆ ลุกลงมาจากเตียงช้า ๆ ใช้เท้าเหยียบลงไปบนพื้นอย่างเบาที่สุด ผมค่อย ๆ ย่องเบาไปที่หน้าประตูก่อนที่จะเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดแบบเบามือที่สุด
       
        ผมแง้มประตูออกมาเพียงเล็กน้อยและนั่งลงตรงนั้นเพื่อจะส่องไปที่ข้างนอกห้องของตัวเอง

        ผมนั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้นน่าจะนานพอสมควรก่อนที่ผมจะเห็นพวกมันสองสามคน เดินขึ้นมาบนบ้าน พวกมันสวมหมวกปิดหน้าเอาไว้ ผมจึงเห็นเพียงแค่ตาของพวกมันลาง ๆ เพราะข้างนอกถือว่ามืดมากยากที่จะมองเห็นได้ชัด พวกมันใช้สัญลักษณ์มือในการบอกหน้าที่กันและกัน มีสองคนเข้าไปห้องผู้หญิงคนนั้นและอีกคนยืนเฝ้าประตู

        “กรี๊ดดดดด”

        เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวระคนตกใจ

        “เฮ้ย ทำให้มันเงียบสิ

        “ปล่อยฉัน!”

        ผมไม่รู้ว่าพวกมันทำอะไร นอกจากได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นขัดขืนก่อนที่พวกมันจะพาหล่อนออกมา

        “เฮ้ย ไปดูอีกห้องหนึ่ง”

        ผมรีบผละออกจากประตูแล้วรีบไปนอนที่เตียง ผมซ่อนมีดพกเอาไว้ข้าง ๆ ในกางเกงของผม เสียงกระชากประตูอย่างรุนแรงทำเอาผมที่เตรียมตัวอยู่แล้ว ร้องออกมาอย่างตกใจ

        “เฮ้ยยย”

        พวกมันรีบเข้ามาจับผม ผมทำท่าทางไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งสิ้น ผมพยายามบีบน้ำตาด้วยความกลัวทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้กลัวเลยสักนิด

        ผมกำลังสนุกอยู่ต่างหาก

        ตัวของผมถูกมัดเอาไว้พร้อมกับผ้าที่เอามาปิดปากของผม

        ผมถูกลากมานั่งลงข้าง ๆ ผู้หญิงคนนั้น หล่อนกำลังจ้องมองมาที่ผม เหมือนสั่งให้ผมทำอะไรสักอย่าง ผมได้แต่เมินเฉยมันเสีย

        เมื่อถูกบังคับนั่งลงผมก็เห็นสิ่งในมือของพวกมันถนัดตา

        คนหนึ่งถือปืนสั้นกระบอกหนึ่งในมือแล้วเล็งมาที่พวกเราสองคน

        อีกสองคนกลับไม่มีอะไรเลย

        น่าแปลกพวกมันประมาทกันได้ขนาดนี้เชียวเหรอ คงคิดว่าพวกเราสองคนนั้นเป็นแค่แม่ลูกธรรมดา ๆ ที่ไม่ต้องกลัวอะไรมาก

        แต่ก็จริงเพราะรินก็เป็นเด็กธรรมดาจริง

        แต่ผมล่ะ? เป็นยังไง

        ผมมองดูพวกมันที่กำลังวางแผนอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะเดินดึงผ้าปิดปากของผู้หญิงคนนั้นออก

        “บอกมาซ่อนของไว้ที่ไหน”

        “ไม่มี ฉันไม่อะไรทั้งนั้น บ้านเราล้มละลาย”

        “โกหก กูเห็นมึงยังมีชีวิตปกติดี บอกมา!!! ไม่งั้นกูยิงมึงแน่ ๆ”

        “ไม่มีจริง ๆ”

        ผู้หญิงคนนั้นพยายามที่จะต่อต้านมัน เธอกลัวว่าสมบัติของพ่อจะหมดไป แต่ก็นั้นแหละ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์

        “งั้นถ้าไม่บอกกูจะยิงลูกชายมึงทิ้งซะ!”

        “มันไม่ใช่ลูกฉัน ยิงมันเลย แต่ฉันไม่มีสมบัติให้เหมือนเดิม”

        นี่สินะมนุษย์แม่ที่ใคร ๆ ก็บอกว่ารักลูกนักหนา ผมมองเห็นแต่ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวเพื่อตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

        แล้วใครคนหนึ่งก็มาดึงผ้าปิดปากออก

        “แม่ดูเหมือนไม่รักมึงเลยนะ”

        “ก็ยังดีกว่าแม่รักแต่กลับทำตัวชั่วแหละกัน”

        ไอ้โจรนั้น ทำไมผมจะจำไม่ได้มันก็คือไอ้ลูกชายป้าขายส้มตำนั้นแหละ

        “ปากดีนะมึง”

        ผัวะ

        มันตบผมหน้าหันก่อนที่จะบอกก่อนที่จะบีบข้างของผม

        “มึงจะบอกไหม”

        “กูจะบอก” ผมอู้อี้ตอบกลับไป

        มันปล่อยคางผม

        “กูจะพาไป”

        “อย่านะ!”

        ผู้หญิงคนนั้นห้าม แต่ว่าผมไม่ได้สนใจเลยสักนิด พวกมันหันหน้าไปปรึกษา ก่อนที่ไอ้เด็กนั้นลูกป้าขายส้มตำจะให้ผมนำทางไปยังสมบัติของบ้าน มันยังคงมัดมือผมไว้

        ไอ้พี่ใหญ่ของมันให้ปืนกระบอกหนึ่งไว้แล้วมันก็เอามาจี้ผม

        ผมพามันเดินไปที่ห้องเก็บของต่าง ๆ ที่ในนั้นมีตู้เซฟและของมีค่ามากมายหลายอย่างแน่นอน ผมได้ยินเสียงพวกมันพยายามที่จะหยุดผู้หญิงคนนั้นไม่ให้พูด

        “ตรงนี้แหละ”

        ผมบอกถึงจุดของตู้เซฟ

        “เปิดซิวะ”

        “แก้มัดให้ก่อนสิ”

        แล้วผมก็ใช้ความโง่ของมันในการหลอกล่อง่าย ๆ

        แล้วผมนั่งลงไปหมุนตู้เซฟตามคำสั่ง ตัวของผมเองก็ถูกจี้โดยปืน

        ผมได้ยินฝีเท้าวิ่งมา

        “หยุดนะ”

        ผมหันไปมองพร้อมกับไอ้นั้นที่หันไปพร้อมกัน

        ปัง

        เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มันยิงปืนไปที่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของผม ยิงไปที่บริเวณหัวใจ เจ้าหล่อนร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

        “โอ๊ย”

        ผมรีบหยิบหมีดพกออกมาอย่างรวดเร็วก่อนที่จะยืนขึ้นแล้วแทงมันลงไปที่คอของมัน

        “โอ๊ย ไอ้เหี้ย!”

        มันตกใจหันมามองที่ผม ผมก้มลงแล้วก็ใช้ร่างกายพลักมันจนล้ม แน่นอนมันที่ไม่ได้ทันตั้งตัวก็ล้มลงไป ปืนในมือก็หล่นลงมา

        ผมรีบเก็บมันไว้ก่อนที่จะเล็งไปที่มัน พวกเพื่อนของอีกสองคนตามมาก็ตกใจกับภาพที่เห็น

        “เหี้ย”

        ผมไม่ได้หันไปมองที่ผู้หญิงคนนั้นนอกจากเล็งปืนไปที่พวกมันที่ตกใจกับผมอยู่ ผมเหนี่ยวไกปืนทันที ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงยิงมันได้โดยไม่มีความตื่นเต้นอะไรเลย ผมยิงมันเหมือนกับปืนของเล่น

        ปัง ปัง ปัง

        ผมเล็งไปที่ขาของพวกมัน มันคนหนึ่งสลบไปส่วนอีกสองกลับร้องระงมไปด้วยความหวาดกลัว ผมหันไปมองร่างของผู้
       
        หญิงที่นิ่งสนิท ผมค่อย ๆ ใช้นิ้วบริเวณจมูกเพื่อดูว่านางตายยัง

        แน่นอนไม่มีลมหายใจออกมาเลยสักนิด

        ผมรีบเดินไปที่โทรศัพท์บ้าน กดเบอร์ออกด้วยความคุ้นเคย

        “ช่วยด้วยครับ” ผมร้องออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวที่คุ้นชิน

        “มีโจรบุกบ้านผม”

        หลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็เข้ามา ผมที่กำลังนั่งเพลินก็รีบหยดน้ำใส่ตาให้ดูเหมือนร้องไห้ แล้ววิ่งออกไป ตำรวจเข้ามาในบ้านก็ตกใจกับสิ่งที่เห็น

        ตำรวจเห็นโจรโดนยิงที่ขาทั้งสามคน พวกมันพยายามที่จะลากตัวเองหนี รอยเลือดของมันปรากฏตามรอยลากของพวกมันเอง

        แน่นอนมันหนีไม่ได้หรอก

        พวกมันถูกจับ

        กู้ภัยมาขนศพของผู้หญิงคนนั้น ผมแสร้งทำเป็นร้องไห้แล้วเล่ารายละเอียดที่บิดเบือนนิดหน่อย

        ผมแสร้งร้องไห้แล้วเล่าเหตุการณ์ไป น้ำตาไหลไป

        แน่นอนแหละว่าพวกเขาเชื่อ

        “ซวยจังเลยนะครับ”

        คุณตำรวจบางคนคุ้นเคยกับผมจากเหตุการณ์นั้น

        ผมเองไม่ได้พูดอะไรนอกจากโทรหาพี่ไม้

        เมื่อเขามาถึงผมรีบวิ่งไปกอดแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

        ผมโทรไปบอกป้าศรีกับปอย สองคนนั้นตกใจแล้วร้องไห้กันยกใหญ่ หลังจากนี้ผมเองก็ต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะจัดการอะไรหลาย ๆ อย่าง

        คดีของพวกนั้นก็ถูกดำเนิน พวกมันสองคนเข้าคุก ส่วนลูกขายส้มตำนั้นอาการบาดเจ็บ เพราะโดนผมแทงมีดและยิงซ้ำ
มีทนายก็ติดต่อมาหาผมเรื่องมรดกของผม ที่ผมเพิ่งทราบว่าจะเปิดก็ต่อเมื่อผมอายุบริบูรณ์อีกกรณีที่แม่ของผมนั้นเสียชีวิตแล้ว
ดังนั้นมันเลยย่นเวลาอย่างรวดเร็ว ผมเองก็ได้แต่บอกว่าให้งานศพผ่านไปก่อนก็ได้ ทนายเข้าใจว่าผมยังไม่พร้อม แต่ผมแค่คิดว่าผมแค่อยากให้แน่ใจว่าเจ้าหล่อนจะไม่กลับมาทำร้ายผมและรินอีก

        งานศพที่จัดผมจัดได้อย่างธรรมดา ตามมีตามเกิด หลายคนดูแปลกใจที่ผมเองเลือกวัดธรรมดา ๆ และจัดงานทุกอย่างภายในสามวัน โดยให้เหตุผลว่า

        “ผมอยากให้แม่ไปอย่างสงบสุข แม่เป็นคนดี ท่านคงอยากไปจากโลกนี้ให้เร็วที่สุด”

        หลายคนดูแปลกใจและซุบซิบรวมถึงเรื่องของผม ที่เข้าหูป้าศรีที่ตอนแรกปอยไม่กล้าเล่าเพราะป้าศรีเป็นห่วงผมมาก
หลังจากงานศพวันที่สองป้าศรีก็เข้ามาหาผมภายในห้อง ผมยังอยู่ที่บ้านและจัดงานทุกอย่างโดยพี่ไม้และหมอจิตเวชนั้นมาช่วยด้วย แน่นอนมันไม่ได้อะไรกับผมนอกจากมองอย่างสงสัย

        “มีอะไรหรือเปล่าครับป้า”

        “ป้าแค่เป็นห่วง”

        ป้าพูดไปร้องไห้ไป พลางจับหน้าผมแล้วลูบหัวของผม

        “ป้าน่าจะดูแลคุณดีกว่านี้ ไม่น่าปล่อยคุณไปเลย”

        “ไม่ใช่ความผิดป้าหรอก ความผิดผมต่างหาก ผมดื้อเองที่อยากไป”

        ผมไม่รู้ว่ารินกับป้าศรีสนิทหันมากขนาดไหน ผมเองก็ออกมาแค่ตอนที่รินอ่อนแอเท่านั้น ผมได้แต่ปล่อยให้ป้าศรีปลอบจนพอใจแล้วกลับห้องของแกไป แต่ก่อนไปป้าแกก็พูดอะไรสักอย่างที่สะกิดใจผม

        “ป้าดีใจที่คุณหนูเข้มแข็งขึ้น แต่ป้าก็คิดว่าบางทีป้าก็เหมือนรู้สึกว่าคุณหนู ดูไม่ใช่หนูรินเลย”

        ผมนั่งคิดกับคำพูดนั้นเพราะว่าป้าแกคงเห็นว่าผมนั้นเปลี่ยนแปลงเกินไป

        เปลี่ยนจนไม่ใช่คนเดิมเลย

        วันต่อมาก็ถึงวันเผา ผมแค่ไปร่วมงานอย่างเงียบ ๆ เช่นเดิม แขกที่มาก็มีแต่คนรู้จัก ป้าที่ขายส้มตำก็คอยมาขอโทษผมอยู่เรื่อย แต่ผมไม่ได้ว่าป้าแกหรอก เพราะแกไม่ผิด แกแค่รักลูกชายตัวเองเกินไป แต่ลูกชายแกมันชั่วเอง แกบอกเองว่าจะปล่อยให้มันอยู่ในคุก ผมเองก็ได้แต่ฟังอย่างเดียว

        “รัน”

        ผมหันไปมองก็เจอกับคนที่ผมไม่ชอบสักเท่าไหร่

        “รันเป็นไงบ้าง”

        “ก็ปกติครับ”

        ผมรีบเดินหนีแต่โดนกระชากตัวไว้ก่อน

        “เธอมีอะไรปิดบังหรือเปล่า”

        “ก็ลองหาดูสิ คุณเป็นหมอรักษาคนบ้าไม่ใช่เหรอ?”

        ผมยิ้มก่อนที่จะผลักตัวเองออกมา

        “อย่าลืมว่าเรามีนัดกันนะครับ”

        “ไม่ลืมหรอกครับ”

        “งั้นหวังว่าจะเจอกันนะครับรัน”

        “ได้สิครับ คุณหมอ”

        ผมมองหมอโรคจิตเดินกลับไป ผมเองก็โมโหไม่น้อยที่เจ้าตัวพยายามมาวุ่นวายกับผม ในเมื่อรู้แล้วว่าผมเป็นใครก็ไม่ควรยุ่ง ผมไม่ใช่รินที่ให้คนอย่างนั้นมาก้าวก่ายชีวิต

        “รัน”

        พี่ไม้เดินมาหาผมหลังจากที่หมอนั้นกลับไป

        “ครับ”

        “วันนี้รันจะนอนที่ไหน”

        “ที่บ้านนะครับ”

        พี่ไม้พยักหน้า

        “พี่ไม้มานอนเป็นเพื่อนผมได้ไหม”

        “ได้สิ”

        ผมมองไปที่พี่ไม้แล้วยิ้มออกมา ก่อนที่จะจูงแขนของพี่ไม้กลับเข้าไปในงาน

        “รันรู้ไหม”

        “ครับ?”

        “รันเหมือนไม่เสียใจกับที่แม่รันเสียเลยนะ”

       
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 15 2/22/18
เริ่มหัวข้อโดย: minmin96 ที่ 22-02-2018 21:40:51
อ่านตอนแรก แสนจะหงุดหงิด กับรินที่ไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเอง ไม่ยอมย้ายหอ
รินโดนกระทำ จนจิตใจต้องสร้างรันขึ้นมา แต่รู้สึกสะใจดี ที่รันจัดการได้เหี้ยม!! เก็บกวาดได้สะอาดหมดจด รอดูเกมส์ "ล่า" ที่เพิ่งเปิดตัวของนายพรานรัน...อย่าทำให้คนอ่านผิดหวังนะ..
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 16 2/24/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 24-02-2018 14:03:25
บทที่ 16


        ผมไม่ได้ตอบอะไรพี่ไม้กลับไป ผมแค่เดินเข้าไปในงานแล้วเข้าไปคุยกับป้าศรีเรื่องพี่ไม้ที่จะเข้ามานอนที่บ้าน ป้าศรีก็ดีใจที่ผมจะได้มีคนดูแลนอกจากป้าและปอย

        วันนี้มีพี่ศิแม่บ้านที่กลับบ้านไปเพราะมีปัญหา เธอกลับมาที่นี่เพื่อมางานของคุณนายที่เธอรัก
       
        “เสียใจกับคุณรินด้วยนะคะ”

        “ไม่เป็นไรครับ”

        ผมมองดูคนสนิทของแม่ร้องไห้อย่างน่าสงสาร ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนสนิทกับแม่แต่เธอไม่ได้เลวร้าย เธอยังช่วยป้าศรีเลี้ยงผมตั้งแต่เด็ก

        “เดี๋ยวผมจัดการอะไรเรียบร้อยผมเองก็จะคุยกับป้าศรี พี่ศิและปอยเรื่องงานนะครับ”

        ผมบอกพวกเขาไปอย่างนั้นก่อนจะเดินไปหาพี่ไม้ที่ยืนรออยู่หน้างาน

        “กลับกันเถอะครับ”

        “ครับ”

        หลังจากที่กลับมาถึงบ้านผมก็ได้เห็นทนายมายืนรออยู่หน้าบ้าน ทนายนั้นเป็นทนายที่เคยทำงานกับพ่อมานานหลายปีตอนนี้แกก็ค่อนข้างมีอายุมากขึ้น มือข้างหนึ่งก็ถือเอกสาร ใบหน้าอ้วนกลมที่เหี่ยวย่นตามวัย ทนายคนนั้นใช้มือขยับแว่นเล็กน้อยพลางมองมาที่ผม

        “สวัสดีครับคุณริน”

        “สวัสดีครับ”

        “เสียใจเรื่องแม่ของคุณด้วยนะครับ”

        “ครับ”

        ผมนำทนายเข้าบ้าน พี่ไม้ขอตัวที่ไปที่ห้องก่อน ผมบอกห้องของผมให้พี่ไม้ไปพักก่อนที่จะกลับมาคุยกับทนาย
ทนายวางกระเป๋าเอกสารลงบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็เปิดมันพร้อมกับที่ทนายเอาเอกสารหลายอย่างมาวางเรียงรายไว้ที่โต๊ะ
ผมมองมันไปด้วยอาการที่ปวดหัว เพราะมันดูวุ่นวายเหลือเกิน

        “เดี๋ยวผมขออ่านข้อความของคุณพ่อคุณก่อนนะครับ”

        “ครับ”

        จากนั้นทนายก็เล่าข้อความของพ่อให้ฟัง ผมเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่า ทุกอย่างจะเป็นของผมทันที เมื่อผมอายุ 20 ปีบริบูรณ์หรือไม่ก็แม่ของผมเสียไป

        ผมได้ทั้งบ้าน เงินสดจำนวนหนึ่ง เครื่องเพชร พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้ผมมีฐานะที่ดีมากกว่าเดิมอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับรินที่ในตอนนั้น ไม่มีเงินแม้แต่จะหาที่อยู่ดี ๆ

        ผมได้ทุกอย่างแล้ว เพียงแค่เซ็นเอกสารไม่กี่อย่าง ทนายก็จะจัดการให้ ผมบอกลาท่านแล้วก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน
ตอนนี้ป้าศรีก็เตรียมของกินไว้ให้เรียบร้อย ผมพูดกับแกว่า

        “พรุ่งนี้ขอให้ป้าศรี ปอยกับพี่ศิมาพบผมด้วยนะครับ”

        แล้วผมก็ขึ้นไปตามพี่ไม้ที่กำลังรออยู่บนห้อง

        “เป็นไงบ้าง”

        “ดีมากเลยครับ พี่ไม้ลงไปกินข้าวเย็นกัน”

        พี่ไม้พยักหน้าก่อนที่จะลงไปกินด้วยกัน เรานั่งกินอาหารกันเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรกันมาก ผมเองก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับพี่แกได้ เราเหมือนรู้จักกันแต่ไม่ใช่เลย

        ผมนั้นต่างจากรินตรงมนุษย์สัมพันธ์

        ผมไม่เคยมีใครเลยสักนิด ผมอยู่คนเดียวมาตลอด

        อยู่ในหัวของรินอย่างเดียว

        ผมเหมือนคนที่เพิ่งตื่นขึ้นมาและรับรู้เรื่องราวของรินจากนั้นก็หายไป

        ถ้าผมหายไปล่ะ

        ถ้ารินกลับมา

        “เป็นอะไรหรือเปล่า”

        ผมหันไปมองรอบ ๆ ก่อนที่จะพบว่าตัวเองออกมานั่งที่สวนข้างนอกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมนั่งมองหน้าพี่ไม้อย่างสับสน

        “เมื่อกี้ยังพูดจ้อ ๆ อยู่เลย เหมือนกับรินคนเดิมเลย”

        “พี่ไม้”

        “เฮ้ย ไม่ได้อะไรแต่เมื่อกี้รันยังเรียกตัวเองว่ารินอยู่เลย”

        “เหรอครับ”

        “ใช่”

        ผมเงียบไปสักพัก

        “พี่อยากให้รินมีชีวิตใหม่ก็จริง แต่ไม่ใช่คนใหม่นะ พี่อยากได้รินคนเดิมที่ร่าเริง แต่ไม่หม่นหมอง”

        ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ

        “รินแบบรันก็ดี แต่พี่ก็อยากได้รินคนเดิมกลับมา”

        ผมมองหน้าพี่ไม้ก่อนที่จะลุกขึ้น

        “ผมนี่แหละก็ยังเป็นริน เพียงแต่ผมไม่อยากที่จะจำมันเท่าไหร่ ผมอยากทิ้งอดีต พี่ไม้ก็พูดได้เพราะพี่ไม่เคยโดนแบบผม”

        “ไม่ใช่นะ พี่แค่ยากให้เราได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเปลี่ยนไม่ต้องพยายาม”

        “พี่ไม้ฟังไอ้หมอโรคจิตนั้นพูดใช่มั้ย จำไว้เลยนะ ไม่ว่าจะรันหรือริน ทุกคนคือคนเดียวกัน รันเป็นเพียงแค่ชื่อที่ผมอยากเปลี่ยน ผมไม่ได้พยายามเลยสักนิด!”

        นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยากเป็นเจ้าของร่างนี่ ผมอยากจะเป็นรินเพียงคนเดียวที่ไม่มีใครอื่น

        “ไม่จริง”

        ผมชะงักกับเสียงในหัวก่อนจะพูดออกไปว่า

        “ผมขอตัวก่อนนะครับ”

        ผมรีบเดินเข้าไปในบ้านเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ล้างหน้าตัวเองที่อ่างล้างมือ

        ผมกวักน้ำใส่หน้าไปเรื่อย ๆ หวังให้มันดับความร้อนในจิตใจ รวมถึงความคิดของผมเอง

        ผมมองตัวเองไปที่กระจกก่อนที่จะค่อย ๆ ลูบใบหน้าของตัวเองที่เปียกไปด้วยน้ำ ตอนนี้ไม่มีริน มีแต่รันเท่านั้น

        “ริน”

        ผมลองเรียกตัวเอง ตอนนี้ผมเหมือนคนเสียสติ

        “ริน”

        เงียบไม่มีอะไรทั้งสิ้น ผมยิ้ม ยังไงซะ ผมเองก็ยังครองร่าง รินนั้นอ่อนแอเกินไปที่จะอยู่ที่นี่ มันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่วคราวแค่นั้น…แค่นั้นแน่นอน



        “ฮัลโหลครับคุณหมอ รินมีอาการแปลก ๆ อีกแล้วครับ” หมอกฤษณะได้รับสายจากวีรภัทรที่คอยรายงานอาการของรินนภัทรเป็นระยะ

        ตอนนี้ตัวของเขาเองก็กำลังศึกษาเกี่ยวกับอาการ DID (Dissociative identity disorder) หรือโรคหลายบุคลิก ที่รินนภัทรมีแนวโน้มว่าจะเป็น

        อาการของรินนภัทรเข้าค่ายอยู่ในอาการที่ว่า อยู่ดี ๆ บุคลิกก็เปลี่ยนแปลงไปทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง ดูก้าวร้าว ถึงแม้ตอนแรกอาการจะดูเหมือนไบโพลาห์ แต่เมื่อตรวจสอบดีมันไม่ใช่เลยสักนิด

        รินนภัทรอยากให้ใครหลาย ๆ คนเรียกตัวเองว่ารัน ลักษณะนิสัยบางอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ความน่ากลัวก็คือ รินนภัทรที่เป็นลักษณะเจ้าของจะถูกกลืนกินไปได้

        หมอกฤษณะได้เก็บความสงสัยไว้เงียบ ๆ เขารอวันที่เขาจะได้เจอรินนภัทรอีกครั้งหนึ่ง

        “วันนี้แปลกยังไงครับ” เขาถามกลับวีรภัทร

        “อยู่ดี ๆ เหมือนรินคนนั้นจะกลับมา”

        “กลับมาเหรอครับ?”

        “ครับ”

        กฤษณะรีบเช็คว่าตัวเองอัดเสียงไว้หรือเปล่า

        “ช่วยเล่าอาการหน่อยได้ไหมครับ”

        “อยู่ดี ๆ รันก็นิ่งเงียบสักพัก ก็ส่งเสียงครางในลำคอผมไม่รู้ว่าอะไร แต่เหมือนกับอะไรสักอย่างที่ผมเองก้ไม่รู้ว่าอะไร แต่เสียงนั้นมันน่ากลัวมาก สีหน้าแววตาก็ดูเปลี่ยน ผมเองก็เห็นเหตุการณ์กับทุกคนในบ้าน สักพักรันก็กลับมา ไม่ใข่สิ ริน เป็นรินต่างหาก”

        “คุณรู้ได้ไงครับ”

        “แววตาและการพูดครับ เขาพูดว่าตัวเองเป็นรินแบบไม่รู้ตัวเลยครับ”

        “แล้วเขารับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไหมครับ”

        “เขาดูเหมือนไม่รู้อะไรมากกว่า ยังยิ้มแย้มแล้วพูดกับผม แต่ผมเองก็ไม่เข้าใจเขาเลย ดูเหมือนเขาจะพูดคุยกับตัวเองเสียมากกว่า”

        “แสดงว่ารันยังครอบงำได้ไม่หมด แต่ตัวรินเองจิตใจก็คงพังไปไม่น้อย” กฤษณะว่า

        “รบกวนคุณไม้ดูแลเขาหน่อยนะครับ” กฤษณะขอ

        “ได้ครับ ผมต้องทำมันอยู่แล้ว ว่าแต่คุณหมอสงสัยว่ารันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของแม่เหรอครับ”

        “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่กลัวนิดหน่อยคุณก็เห็นว่ารันน่ะ น่ากลัวแค่ไหน”

        “แต่ผมว่าไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวผมดูแลเอง งั้นไม่รบกวนแล้วนะครับ”

        “ครับ”

        สายถูกวางกลับไป กฤษณะเอารายงานการรักษาที่เคยรักษารินนภัทรในวัยเด็ก หลังจากที่เจ้าตัวถูกทารุณกรรมทางเพศจากพ่อเลี้ยง

        เขาอ่านการรักษาอย่างระเอียดก็พบว่าจุดหนึ่งมันแปลกมากในรายงานนั้น

        ในนั้นมันบอกว่าเจ้าตัวแทนตัวเองว่ารันในบ้างครั้ง แล้วยังบอกว่าสิ่งที่พ่อเลี้ยงทำมันสนุก แน่นอนหลายคนในตอนนั้นกังวลหลาย ๆ อย่าง จึงพยายามรักษาแล้วรินนภัทรก็กลับมาเป็นปกติ แต่สุดท้ายเพราะชะตากรรมหรือฟ้าลิขิตที่ทำให้รินนภัทรกลายมาเป็นแบบนี้อีกครั้ง กฤษณะค่อย ๆ วางมือจากเอกสารแล้วหลับตา

        เพราะเขากำลังรู้สึกผิดที่ทำให้รินนภัทรเจออะไรแบบนี้


        วีรภัทรเดินเข้ามาในบ้านก็พบว่ารินนภัทรกำลังยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ใบหน้าของเจ้าตัวกำลังร้องไห้อยู่ วีรภัทรสังเกตถึงท่าทางที่แปลกไป รินนภัทรคนนั้นกลับมาอีกแล้ว

        “รินเป็นอะไร”

        “พี่ไม้” รินนภัทรเข้ามากอดวีรภัทร

        สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่ปลอบประโลมเท่านั้น

        “ขึ้นห้องกันเถอะ”

        เขาพาเจ้าตัวกลับมาที่ห้องก่อนที่จะพาไปที่เตียง

        “พี่ไม้”

        “ครับ”

        “นี่ระ ริน นะ”

        “ครับ”

        “รินไม่ได้เป็นอะไร”

        “ครับ”

        วีรภัทรพยายามที่จะกอดปลอบ

        “รินอยากจะเป็นริน”

        “ครับ”

        เขาไม่รู้ว่าจะตอบเจ้าตัวยังไง

        “พี่ไม้ช่วยได้ไหมครับ”

        “ยังไงครับ”

        “ทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น”

        แล้วรินนภัทรก็ประกบปากกับวีรภัทรทันที เขาตกใจมาก แต่ก็เคลิ้มไปกับรสจูบนั้น ขณะที่ทุกอย่างกำลังเข้าที่แต่สมองของวีรภัทรก็สั่งการว่าเขาไม่ควรฉวยโอกาส

        “พอก่อนริน” เขาผละออกจากเจ้าตัว

        “พี่ว่ามันไม่ควร”

        “พี่ไม้เป็นอะไรหรือเปล่า” รินนภัทรถาม

        “พี่ว่ามันไม่ดี”

        “จะเป็นอะไรไปครับ พี่ไม้ไม่รักรินเหรอ”

        “ครับ พี่รักริน”

        “งั้นพี่ไม้ก็ทำสิครับ”

        “ไม่ดีกว่า”

        อยู่ดี ๆ รินนภัทรก็ร้องไห้

        “ผมคิดแล้วว่าคนอย่างพี่ไม้ต้องรังเกียจริน พี่คงขยะแขยงคนที่ผ่านผู้ชายมาเยอะอย่างผมแล้วสินะครับ”

        “ไม่ใช่อย่างนั้น”

        “ช่างมันเถอะครับ”

        รินนภัทรนอนลงแล้วหันหลังให้

        “ผมง่วงแล้ว”

        วีรภัทรกำลังงง ๆ ก็ตัดสินใจที่จะปิดไฟแล้วนอนลงข้าง ๆ รินนภัทร เขามองดูด้านหลังของเจ้าตัวที่เริ่มสงบนิ่ง เขาเองตอนนี้เริ่มนอนไม่หลับเสียแล้วก็กำลังคิดว่า เมื่อกี้นั้นคือรินหรือรันกันแน่ แววตาเป็นรินก็จริงแต่ทุกอย่างก็เหมือนรัน แต่ไม่ใช่รัน จะบอกว่าเขาเริ่มคุ้นเคยกับทั้งสองร่างก็ว่าได้ แต่ยังไงก็ตามเขาเองก็ควรจะช่วยรินให้มากที่สุด แต่ตอนนี้เขาขอนอนหลับก่อน พรุ่งนี้ค่อยคิด

        เมื่อที่ความเงียบเริ่มย่างกรายเข้ามา วีรภัทรนั้นหลับไปแล้ว มีแต่รินนภัทรที่กำลังนอนน้ำตาไหลอยู่ พร้อมกับในหัวที่มีความคิดวนเวียนกันไปหมด

        “เห็นไหม เขารังเกียจแก แกยังจะรักเขาอีกเหรอ”

        “ไม่มีใครในโลกที่ไม่รังเกียจแกริน”

        “มีแต่ฉันที่รักแกคนเดียวริน”

        “ริน มีแต่ฉันที่ช่วยแกได้นะริน”

        “มีแค่ฉันคนเดียวที่รักแกริน”



ช่วงนี้จะกลับมาอัพบ่อย ๆ แล้วนะครับ ^^ ตอนนี้เขียนไปก็ปวดหัวไปเพราะอยากให้รู้สึกถึงความไม่ปกติทางจิตของริน(รัน) เองนั้นเองครับ หวังว่าคนอ่านจะไม่หนีความแปลก ๆ ของเรื่องกันนะครับ ฮ่า ๆ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 17 2/25/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 25-02-2018 16:37:32
บทที่ 17


        เสียงนกร้องดังออกมาจากนอกหน้าต่าง ผมลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะพบว่าหน้าต่างมันถูกเปิดเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับที่ข้าง ๆ ตัวผมก็ว่างเปล่าไร้ร่างกายของคนที่ควรจะอยู่ด้วยเมื่อคืน

        ผมเอามือไปสัมผัสที่นอนข้าง ๆ ก็พบว่ามันเย็นเฉียบซึ่งแสดงถึงการลุกจากที่นอนเป็นเวลานานแล้ว

        ผมตัดสินใจลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้ากระจก

        ตรงหน้าของผมก็คงยังเป็น “ผม” เหมือนเดิม

        ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าที่มันเป็นของคนอ่อนแอออก ก่อนที่จะยิ้มให้กับกระจก แล้วพูดประโยคให้กำลังใจตัวเองสั้น ๆ ว่า

        “สวัสดีตอนเช้ารัน”

        ผมเดินลงมาชั้นล่างที่ห้องอาหารก็เจอปอยกำลังยืนคุยกับพี่ไม้อยู่ ทั้งสองมองหน้าผมอย่างตกใจก่อนที่จะตัดสินใจทักทายผม

        “เอ่อ อรุณสวัสดิ์ระ…”

        “รันครับ”

        ปอยมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนที่จะมองหน้าพี่ไม้ ทุกการกระทำของทั้งสองอยู่ในสายตาของผม

        “วันนี้มี…”

        “ขอโจ๊กครับ”

        “ได้ค่ะ”

        แล้วปอยก็รีบเดินออกไป ผมนั่งก้มลงดูหนังสือพิมพ์ตรงหน้าที่ลงข่าวการตายของ “อดีต” แม่ของผมไว้หน้าหนึ่งด้วยหัวข้อที่ตลกมาก ๆ ว่า

        “ไฮโซสาวถูกโจรยกเค้าสังหารสยอง”

        สังหารนะเรื่องจริง แต่ไฮโซนี่คงต้องเปลี่ยนไปหน่อย มันไม่จริงสักนิดเดียว

        “ฮิฮิ”

        “เป็นอะไรหรือเปล่ารัน”

        “ครับ?”

        ผมวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มที่ใคร ๆ เห็นก็คงรู้สึกข่าว

        “ดูอารมณ์ดี”

        “ข่าวมันตลกนะครับ”

        “ไหนดูสิ”

        พี่ไม้ดูสีหน้าแปลกใจกับข่าวที่ผมให้ดู พี่ไม้เงยหน้ามองผมด้วยความรู้สึกที่กำลังกังวล

        “ตลกไหมครับ”

        ผมยิ้มถาม

        “โจ๊กได้แล้วค่ะ”

        ปอยเดินมาเสิร์ฟโจ๊กให้กับผม ผมตักมันเข้าปากอย่างไม่สนใจสายของคนรอบข้าง ผมไม่ได้สนใจพี่ไม้เมื่อกินเสร็จ ผมแค่บอกปอยให้เรียกแม่บ้านคนอื่นมาหาที่ห้องนั่งเล่น

        เมื่อทุกคนมาถึงผมก็แจกแจงรายละเอียดที่ผมคิดจะทำ

        “ผมจะไม่อยู่ที่นี่นะครับ”

        ทุกคนดูมีสีหน้าตกใจ แน่ล่ะคงกลัวตกงานกันไม่น้อย

        “แต่ผมก็ยังจ้างให้ทุกคนมาดูแลบ้านผมเหมือนเดิม แต่ไม่ต้องเป็นห่วงผมให้เงินเดือนเท่าเดิมนะครับ”

       
อ้างถึง
ดูทุกคนสบายใจ

        “แล้วคุณหนูจะไปอยู่ไหน”

        “คอนโดครับ ผมกำลังจะไปหาคอนโดอยู่”

        “คุณหนูจะไปอยู่คอนโดทำไมคะ อยู่กับป้าที่บ้านเถอะ”

        “ผมว่าไม่สะดวกเท่าไหร่นะครับ เพราะผมจะตัดสินใจเรียนต่อ”

        ผมหันไปมองพี่ไม้ที่แปลกใจ

        “ผมเลยคิดว่าอยู่คอนโดสบายกว่า”

        ป้าศรีดูดีใจกว่าทุกคน แกเดินมาหาผมแล้วดึงผมเข้าไปกอด ทุกคนเช่นกัน

        “ป้าดีใจที่คุณหนูจะเริ่มชีวิตใหม่”

        “ครับ”

        “ป้าแค่อยากให้คุณหนูรู้ว่า คุณหนูยังมีป้า”

        “มีปอย”

        “มีพี่ศิด้วย”

        “ครับทุกคน”


        ผมนั่งรถออกมาชานเมืองกับพี่ไม้เพื่อที่จะหาคอนโดนที่น่าสนใจอยู่

        “คิดไว้หรือยังล่ะ ว่าจะอยู่ที่ไหน เรียนที่ไหน”

        “ผมจะเรียนมหาลัยเปิดครับ”

        “เหรอ นึกว่าจะเอกชน”

        “ผมไม่ชอบที่จะต้องเรียนตลอดเวลาขนาดนั้น ผมยังอยากมีเวลาไว้สะสางอะไรหลายอย่าง”

        พี่ไม้พยักหน้า เอกชนกับรัฐก็คล้าย ๆ กัน มหาลัยเปิดทำให้ผมมีเวลาที่จะจัดการปัญหาที่ผมค้างคาไว้ได้สำเร็จโดยไม่ต้องกังวลอะไรเลยสักนิด

        พี่ไม้ขับรถพาผมมาที่ซอยหนึ่ง ผมลงจากรถเพราะจะมาดูคอนโดบริเวณที่ใกล้กับมหาลัยผม

        “เฮ้ย จับมันให้ได้”

        พร้อมกับมีร่างสูงที่คุ้นตาผมวิ่งผ่านไป พี่ไม้ดูตกใจเล็กน้อย แต่ผมที่เร็วกว่าก็รีบวิ่งตามร่างนั้นทันที

        “รัน!”

        “พี่ไม้รออยู่ที่นี่นะครับ” ผมบอกเขาไปก่อนจะวิ่งตามแก๊งวัยรุ่นพวกนั้น มันพากันวิ่งไปมาจนเข้าซอยเปลี่ยวเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ผมเห็นเด็กกลุ่มนั้นกำลังล้อมเด็กคนหนึ่งเอาไว้

        ผมได้ยินไม่ชัดว่าพวกมีพูดอะไรกัน แต่สักพักเด็กคนนั้นก็ถูกทำร้ายอย่างน่าตกใจจนเด็กคนนั้นเหมือนจะสลบไป พวกนั้นก็พากันเดินออกไป

        ผมรีบแอบตรงมุมอับเพื่อไม่ให้เด็กพวกนั้นเห็น ก่อนที่จะเดินเข้าไปร่างที่นอนแน่นิ่ง

        สภาพของเขาแทบจะดูไม่ได้ เสื้อนักเรียนเปรอะเปื้อน มีคราบเลือดและรอยรองเท้าเต็มตัว ใบหน้าที่บวม ปากที่แตก ผมค่อย ๆ เอามือไปเขย่าร่างนั้น

        “นาย ๆ”

        สักพักร่างนั้นก็ลืมตา เขาค่อย ๆ คว้ามือไปทั่ว ผมเห็นแว่นที่ตกข้างก็หยิบให้เขา เด็กคนนั้นใส่แว่นแล้วก็มองมาที่ผมชัด ๆ
ผมที่มองร่างตรงหน้าด้วยความโทสะก็เริ่มแปลกใจที่แววตาของเด็กคนนั้นแตกต่างจากมัน

        “คุณเป็นใคร”

        มันถามผม ผมไม่ตอบก่อนที่จะลุกขึ้น

        “ลุกขึ้นไปทำแผลเถอะ”

        เด็กคนนั้นค่อยพยายามลุกขึ้นก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ผมไม่ได้ช่วยเขาสักนิด เด็กคนนั้นมองหน้าผมด้วยแววตาแปลกใจ

        ผมเองก็แปลกใจ

        เพราะหน้าตาและรูปร่างของมันเหมือนกับ ไอ้ลี คนชั่วที่ทำร้ายผมในคืนนั้นไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักนิด

        ยกเว้นแว่นที่มันใส่และร่างกายที่ดูผอมซูบ

        โชคชะตากำลังเล่นตลกอะไรกับผมหรือเปล่า

        ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินออกมาและผมก็เดินนำมันไป


        ผมโทรไปบอกพี่ไม้ให้กลับก่อน แต่พี่ไม้ก็ดื้อดึง ผมตัดสายเพื่อตัดปัญหาผมพาเด็กนั้นไปคลินิกใกล้ ๆ ผมจ่ายค่ารักษาให้ทั้งหมดก่อนที่จะพามาร้านอาหารข้างถนน

        “อยากกินอะไรก็สั่งนะ”

        มันสั่งไปสักพักอาหารก็มาเสิร์ฟ เด็กคนนั้นก็รีบตักอาหารอย่างหิวกระหายจนติดคอ

        “ค่อย ๆ กิน” ผมพูดไปมันก็มองหน้าผมก่อนที่จะค่อย ๆ กิน

        เมื่อมันกินเสร็จมันก็มองหน้าผมสักพักก็ถามผมขึ้นมา

        “พี่เป็นใคร ทำไมถึงมาช่วยผม”

        “ฉันก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เห็นคนโดนทำร้ายก็ช่วยเหลือเท่านั้น”

        “แค่นั้น”

        “ใช่”

        “ไม่ใช่มีจุดประสงค์อื่น”

        “ทำไม หรือว่านายมีปัญหาอะไรแบบนี้บ่อย”

        “ก็ไม่เชิง”

        “ว่าแต่นายหน้าคุ้น ๆ นะ”

        “ผมว่าแล้ว” มันยืนขึ้นตบโต๊ะดังลั่นพร้อมกับคนมามอง แล้วมองหน้ามาที่ผมอย่างหาเรื่อง

        “ผมจะบอกพี่ว่า ผมไม่ใช่มัน”

        “ไม่ใช่ใคร”

        “พี่ชายผม”

        ผมยิ้ม

        “แล้วทำไมพี่ชายนายมันทำไม”

        “…”

        มันเงียบไม่ตอบผม ผมมองดูมันสักพักก่อนที่จะพูดขึ้นอีก

        “ถ้านายไม่ตอบฉันก็คงจะไม่บอกนายว่าฉันเป็นใคร”

        “ผมไม่อยากรู้”

        “อยากรู้แน่ เพราะฉันคือคนเดียวที่ช่วยนายได้ นายอยากให้ฉันช่วยไหม”

        “ผมไม่ต้องการ”

        “คิดให้ดี”

        “เราลองมาคุยข้อเสนอกันดีกว่า”

        ผมใช้คำพูดหลอกล่อมันไปที่ร้านกาแฟเงียบ ๆ แห่งหนึ่งเลือกมุมที่อับสายตา ผมนั่งตรงข้ามมันที่กำลังมองหน้าของผม

        “ข้อเสนออะไร?”

        “นายช่วยฉันฉันช่วยนาย”

        “ยังไง?”

        “นายต้องบอกมาก่อนว่านายชื่ออะไรแล้วเป็นอะไรกับลี”

        มันดูแปลกใจเล็กน้อย

        “พี่รู้จักลีด้วยเหรอ”

        ผมพยักหน้า มันหลบสายตาผมสักพักก็เงยหน้าเพื่อพูดกับผม

        “ลีเป็นพี่ชายฝาแฝดผม แต่พ่อแม่รักลีมากกว่าเพราะผมไม่เก่งอะไรเลย ผมเหมือนส่วนเกินสำหรับพวกเขา”

        “เหรอ”

        “พี่ชายผมก็แกล้งผม พ่อก็ดุผม แม่ก็นิ่งเฉย ผมไม่เคยมีใครช่วยผม”

        ผมมองเด็กคนนี้ที่หัวอ่อนกว่าที่คิด ท่าทางของมันจะถูกใช้ง่ายชะมัด แต่ว่าไม่ได้เพราะครอบครัวอาจทำให้เด็กคนนี้อ่อนแอและเก็บกดกว่าที่คิด

        “ไม่มีใครดูแลผม ผมโดนแกล้งทุกคนก็เพิกเฉย พอเกิดเรื่องพี่ชายผม…พวกเขาก็เอาแต่ช่วยเหลือผมและเคยพยายามให้ผมรับผิดแทนเขา”

        ผมตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน ทำไมครอบครัวของเขาถึงทำได้ขนาดนี้ เหมือนกับผมมาก ๆ เลย ผมค่อย ๆ เอามือไปกุมมือเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นมองหน้าผม

        “ผมอยากจะหนีไปจากพวกเขาแต่ผมทำไม่ได้ ทุกคนที่แกล้งผมก็เพราะว่าผมหน้าเหมือนลี ทั้ง ๆ ที่ต่อให้ฆ่าผมตาย ลีก็ไม่มีทางเจ็บ”

        “ชีวิตนายก็เหมือนฉัน”

        มันมองหน้าผม

        “ฉันถูกแม่ตัวเองปล่อยให้โดนพ่อเลี้ยงข่มขืน”

        มันทำหน้าตกใจมาก

        “เห็นไหมว่าเราเหมือนกันขนาดไหน”

        “พี่”

        เด็กนั้นมันเอามือผมไปกุมเช่นกัน

        “นายชื่ออะไร”

        “ผมชื่อลิน”

        ชื่อคล้ายกับรินจังเลย

        “ริน ร เรือ”

        “ล ลิงครับ”

        ผมยิ้มให้กับ”ลิน” พร้อมกับกุมมือมันไว้เพื่อที่เราจะสร้างมิตรภาพเพื่อวันข้างหน้าสำหรับภารกิจของผม

        ภารกิจทวงชีวิต



มาลงแบบสั้น ๆ น่ารัก ๆ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 17 2/25/18
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 25-02-2018 17:03:14
สนุกกกกกกค่ะ.   :katai2-1:ติดตามๆ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 18 2/28/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 28-02-2018 17:23:38
บทที่ 18


        จะหาว่าผมนั้นโหดร้าย เป็นเหมือนซาตานสำหรับเด็กคนหนึ่งก็คงไม่ผิดนัก ผมเองก็ไม่ต่างจากหมอกิตต์หรอกที่จะคุ้นเคยกับการพูดโน้มน้าวใจ อย่าลืมสิ ผมอยู่กับหมอกิตต์มาเกือบครึ่งชีวิต

        แต่ใช้คำว่าครึ่งชีวิตก็ไม่ถูกเพราะมีแต่รินที่อยู่กับหมอบ่อยกว่าผมอีก ดังนั้นไม่แปลกที่ผมจะกลายเป็นคนที่เข้าใจคนที่มีจิตใจอ่อนไหวแบบลิน หรือพูดแบบบ้าน ๆ เลยว่า ผมนะเข้าใจคนบ้าด้วยกัน

        เด็กลินนี่ก็ดูจิตใจอ่อนไหว ไม่มั่นคง แต่มันก็มีประโยชน์ต่อผมบางอย่าง ผมจะใช้มันในการทวงชีวิตของผมและรินคืนมา

        “พี่จะกลับยังไง”

        “มีคนมารับ”

        “แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่ครับ”

        “พี่มาหาห้องพัก พี่คิดว่าจะมาเรียนแถวนี้”

        “เหรอครับ”

        มันพูดพร้อมกับมองไปที่ถนน ตอนนี้เรากำลังนั่งอยู่ม้านั่งแถวสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง บรรยากาศรอบ ๆ ก็วุ่นวายพลุ่งพล่านตามปกติที่มันควรจะเป็น ผมก้มมองดูเวลาก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว

        “นายจะกลับยังไง”

        “ผมเดินกลับครับ”

        “ให้พี่ไปส่งไหม”

        “ไม่เป็นไรครับ”

        ลินลุกขึ้นแล้วมองที่มาผมพร้อมกับยิ้ม

        “ขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือผม”

        “ไม่เป็นไร”

        ผมยิ้มตอบให้กับมันก่อนที่เราจะแยกจากกันไป ผมยังไม่ได้ยื่นข้อเสนออะไรบางอย่างให้กับมัน ผมไม่รู้ว่ามันจะกล้าทำหรือเปล่า ผมโทรหาพี่ไม้ทันทีหลังจากที่ผมจัดกรทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว

        “วันนี้เป็นไงบ้าง เด็กคนนั้นเป็นไง”

        “ก็ดีครับ”

        “แล้วได้ที่พักไหม”

        “ยังไม่ได้หาครับ”

        “รัน คือเรื่อง…”

        “พี่ไม้ลืมมันเถอะครับ”

        พี่ไม้เงียบไปสักพัก ก่อนที่พี่ไม้จะเลี้ยวเข้าที่บ้านของผม แล้วก็ลงไปเปิดประตูเอง สักพักพี่ไม้ก็ขึ้นมาขับรถเข้าไปในบ้านก่อนที่ผมจะสังเกตถึงรถที่ไม่คุ้นเคย ผมลงจากรถแล้วรีบตรงดิ่งเข้าไปในบ้าน ผมก็เห็นแขกสองคนมาที่บ้านผม

        คนหนึ่งคือหมอโรคจิตที่ผมเกลียดเข้าไส้

        คนหนึ่งคือตำรวจที่ช่วยผมเอาไว้

        “สวัสดีน้องริน”

        ผมมองหน้าคุณตำรวจสักพัก ก็ตอบกลับไปว่า

        “สวัสดีครับคุณตำรวจ”

        สักพักพวกเราก็พากันไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ป้าศรียกอาหารที่เตรียมไว้มากมาย มาวางเรียงไว้บนโต๊ะ

        “วันนี้ไม่คิดว่าแขกคุณหนูจะเยอะขนาดนี้จะได้เตรียมอาหารไว้ให้เยอะ ๆ”

        “ไม่เป็นไรครับ พวกเราเองก็มาโดยที่ไม่บอก” หมอโรคจิตตอบ

        “แม้คุณกิตต์ก็พูดเหมือนคนไม่คุ้นเคย เห็นกันมาตั้งนาน”

        ผมมองป้าศรีสลับกับหมอกิตต์

        “เสียใจด้วยนะเรื่องแม่ของริน” นายตำรวจนั้นพูด

        “ไม่เป็นไรครับ”

        เขาดูแปลกใจกับความห่างเหินของผม ถึงผมจะอยู่กับรินแต่ผมก็รับรู้เพียงแค่บางอย่างเท่านั้น นอกนั้นผมเองไม่ค่อยได้รู้อะไรนัก

        “วันนี้มาหาผมมีอะไรหรือเปล่าครับ”

        “พี่มาเรื่องคดีของเรา” ตำรวจพูดพร้อมกับตักอาหารไปด้วย

        “อะไรครับ”

        “คือพอดี เด็กคนหนี่งที่อยู่ในสถานพินิจกำลังถูกปล่อยตัว”

        “ปล่อยตัว!” เป็นพี่ไม้ที่เสียงดัง

        “ใช่ รู้สึกว่าจะชื่อลีนี่แหละ”

        “หมายความว่าไงครับ” พี่ไม้ถามย้ำอีกครั้ง

        “ผมพยายามเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนพ่อแม่ของเด็กลีนั้นมีคนค่อยช่วยเหลือ”

        “คนชั่วอย่างนั้นมีคนค่อยช่วยเหลือด้วยเหรอครับ” พี่ไม้พึมพำ

        “ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน แต่ทางเขาเองก็บอกว่าในบรรดาห้าคน ลีนั้นมีหลักฐานมัดตัวน้อยที่สุด”

        ผมเริ่มที่จะกำมือของตัวเองแล้วเกร็งแน่นไว้อย่างนั้น เมื่อภาพที่ผมคิดว่ามันควรจะหายไปเห็นเตือนสติขึ้นมา ภาพที่ผมกำลังถูกระทำอย่างทารุณเหมือนที่ผมไม่ใช่คน จากพวกสัตว์เดรัจฉานทั้งห้า

        “เรากลัว” เสียงในหัวยังคงย้ำเตือนผมอีกครั้งว่าที่ผมอยู่ได้เพราะใคร และผมมีหน้าที่อะไรในครั้งนี้

        “แล้วคนที่อยู่ในคุกล่ะครับ” หมอโรคจิตถาม

        “นั้นยากหน่อยครับ ไม่มีทางที่พวกมันจะออกมาแน่นอน”

        พี่ไม้ดูหัวเสีย หมอโรคจิตดูเงียบลง ผมเองก็เห็นสีหน้าของตำรวจนั้นที่เสียอย่างชัดเจน

        โธ่ น่าสงสาร หมายถึงตัวผมเองต่างหาก

        ผมค่อย ๆ วางช้อนลง ผมไม่มีอารมณ์ที่จะแตะอาหารอีกต่อไป ยอมรับว่าในใจตอนนี้มีแต่อารมณ์โทสะเต็มไปหมด แต่ผมไม่อยากจะให้ใครผิดสังเกตสักนิด

        “ผมว่า ปล่อยให้เวรกรรมทำหน้าที่ของมันไปดีกว่า”

        สามคนนั้นมองหน้าของผมด้วยสีหน้าที่แปลกใจกว่าเดิม

        “ขนาดกฎหมายยังจัดการคนชั่วไม่ได้ ก็คงจะมีแต่เวรกรรมเท่านั้นแหละที่จะจัดการพวกมันได้”

        แล้วทั้งโต๊ะก็เข้าสู่ความเงียบงัน

       
        ตำรวจที่เรียกแทนตัวเองว่าพี่ชาติ ขอลากลับก่อนพร้อมกับขอโทษผม ผมหันไปมองหมอโรคจิตที่ยังคงอยู่ที่บ้าน

        “ไม่คิดจะกลับบ้านเหรอครับ”

        “พี่อยากดูอาการของเราให้แน่ใจ”

        “ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เชิญคุณหมอกลับบ้านดีกว่า”

        หมอนั้นถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

        “ได้ครับ แล้วเจอกัน หวังว่าคุณคงไม่ทำอะไรที่มันร้ายแรงหรอกนะครับ”

        “ดูคุณหมอจะห่วงรินจังเลย” ผมพูดออกมา

        “ก็คุณเป็นคนไข้”

        “คุณหมอชอบรินเหรอ”
       
        “ผมขอตัวกลับก่อน”

        “คุณคงเสียใจที่ตอนนี้ไม่ใช่ริน แต่ไม่เป็นไรยังไงเราก็คือคนเดียวกัน”

        “ไม่ คุณไม่ใช่ริน ไม่ใช่เลยต่างหาก”

        เขาพูดเสร็จก็เดินออกไป ผมมองหน้าหมอโรคจิตนั้นอย่างแค้นเคือง แต่ผมก็สลัดความคิดนั้นออกอย่างรวดเร็วเพราะผมรู้ว่าผมไม่ควรที่จะทำร้ายใครสักคนที่ไม่เกี่ยวข้องนอกจากพวกมัน ตอนนี้ผมเองก็ควรจะวางแผนได้แล้ว

        วันต่อมาพี่ไม้ไปทำงาน ส่วนผมก็ออกจากบ้านเหมือนเดิม เป้าหมายของผมก็คือเด็กลินคนนั้น วันนี้ผมแต่งตัวดูดีกว่าปกติ มานั่งรอมันที่ร้านกาแฟ ผมนั่งรอสักพัก ก่อนที่จะเห็นเด็กนั้นวิ่งกระหืดกระหอบมา

        “ขอโทษนะพี่ พอดีกว่าแม่ผมจะปล่อยออกมา”

        “ไม่เป็นไร กินอะไรมาหรือยัง”

        “ยังครับ”

        “อยากกินอะไรไหม”

        มันยิ้มนิด ๆ ก่อนจะส่ายหน้า

        “ไม่เป็นไรครับ”

        ผมเห็นสีหน้าของมันที่ดูลังเลนิดหนึ่งก่อนที่จะถามผม

        “พี่เป็นเกย์หรือเปล่า”

        “ทำไม”

        “ผมรู้สึกว่าพี่ ไม่ได้แค่อยากจะช่วยผมอย่างเดียว”

        “ถ้าพี่มีจุดประสงค์อื่นและพี่เป็นเกย์จริง ๆ นายจะทำยังไง”

        “ผมไม่ขัดครับ เพราะพี่ช่วยผมไว้” ผมยิ้มนิด ๆ ก่อนที่จะลูบแก้มของเด็กคนนั้น แต่ความรู้สึกขยะแขยงก็เริ่มเกิดขึ้น พร้อมกับความทรงจำที่พี่ชายของมันทำกับผม

        “พี่เป็นอะไร”

        “เปล่า”

        ไม่เป็นไร มันก็แค่คนหน้าเหมือนกันเท่านั้น ผมพามันไปกินอาหารดี ๆ ก่อนที่จะพาไปที่ที่หนึ่ง

        “พี่พาผมมาที่นี่ทำไม”

        “คลายเครียด”

        ผมพามันไปเตรียมตัว มีครูฝึกค่อยเราอยู่ เขาแนะนำทุกอย่างก่อนที่จะพาเราไปจุดยิง ใช่ ผมพามันมาที่สนามยิงปืน ผมได้รับการสอนนิดหน่อย ก่อนที่จะยิงไปที่เป้าอย่างแม่นยำ ผมเองก็ไม่รู้ว่าความกล้าของผมมันมาจากไหน แต่นั้นแหละรินไม่มีวันทำแบบนี้ได้แน่นอน

        ผมหันไปมองเด็กคนนั้นที่กำลังงก ๆ เงิ่น ๆ กับปืน ผมเดินเข้าไปใกล้ก่อนที่จะกระซิบข้างหูของมัน

        “นายเห็นเป้านั้นไหม”

        มันพยักหน้า

        “นายลองจินตนาการดูว่า ตรงนั้นคือคนที่นายเกลียดมันมาก ๆ นายลองแทนจุดต่าง ๆ เป็นร่างกายของคนนั้น นายต้องตั้งสติแล้วค่อย ๆ เหนี่ยวไก”

        มันหันมามองผม แต่ผมก็ดันหน้ามันกลับไปที่เป้า

        “มันทำอะไรกับนายไว้ คิดสิ ใครที่ทำร้ายนาย คิดสิตอนนายโดนกระทำ ตอนนี้นายเองก็เป็นฝ่ายทำคืนแล้ว”

        ปัง ปัง

        มันยิงปืนออกไปแล้วหันมามองผม ผมยกนิ้วโป้งให้กับมันก่อนที่มันจะยิ้มตอบ ตอนนี้ผมกำลังเลี้ยงดูบ่มเพราะความแค้นของเด็กคนหนึ่ง ถ้าความแค้นมันสุกงอมเมื่อไหร่ กลิ่นของมันจะโชยหอมหวานจนเราแทบจะดอใจไม่ไหวเลยทีเดียว

       
        “ขอบคุณพี่มากนะครับ”

        “ไม่เป็นไร”

        ผมพามันนั่งแท็กซี่มาส่งที่บ้านหลังหนึ่งในซอยที่มีบ้านเดี่ยวปลูกใกล้ ๆ กัน แต่ก็ห่างพอที่จะไม่ได้สนใจกันนัก

        “แถวนี้น่ากลัวนะว่าไหม” ผมพูดเมื่อมองไปรอบ ๆ ว่าบ้านแต่ละหลังมีเนื้อที่มากพอที่จะปลูกต้นไม้ ถ้าเป็นกลางคืนแถวนี้จะดูน่ากลัวมาก ๆ

        “ผมชินแล้ว เดี๋ยวผมขอตัวนะครับ”

        “อืม”

        ลินเปิดประตูแท็กซี่ก่อนที่จะลงไป ผมมองมันจนเข้าบ้านก็บอกแท็กซี่ให้กลับไปที่บ้านของผม เมื่อผมมาถึงผมก็เห็นพี่ไม้กำลังนั่งอยู่ห้องนั่งเล่น

        “รันไปไหนมา”

        “ผมไปธุระนิดหน่อย”

        “เรื่องที่พัก?” พี่ไม้ดูท่าทางสงสัยผมไม่น้อย จึงดูพยายามที่เค้นจอะไรจากผม

        “ประมาณนั้นครับ ผมขอตัวนะครับเหนื่อย” ผมบอกปัดพร้อมกับเดินหนีไป

        ผมเดินขึ้นไปที่ห้องก่อนที่จะได้รับรู้ถึงการสั่นของมือถือของผม ผมดูเบอร์ก็เป็นเบอร์ของลินที่ผมเพิ่งให้ไป กำลังโทรเข้ามา มันมีเรื่องอะไรหรือเปล่าถึงได้โทรมา ผมถามตัวเองก่อนที่ตัดสินใจรับสาน

        “ฮัลโหลพี่รัน” ลินพูดพร้อมกับน้ำเสียงที่ร้อนรน

        “อะไร”

        “ช่วยผมด้วย”

        “เกิดอะไรขึ้น”

        “พ่อแม่จะฆ่าผม”

       


มาต่อแล้วนะครับ อาจจะดูสับสนตรงรินกบัรันนิดหน่อย แต่เป็นความตั้งใจของผมที่ทำให้รู้สึกว่าโรคของรินเป็นอาการหลายบุคลิกแต่บุคลิกของรันนั้นยังไม่สามารถที่จะกลืนบุคลิกรินได้ทั้งหมด อารมณ์เหมือนคนที่ไม่ปกติทางจิตเพราะเรื่องนี้เล่าในมุมมองของริน(รัน)นะครับ ถ้างงตรงไหนไรท์จะพยายามปรับให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ ^^

หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 18 2/28/18
เริ่มหัวข้อโดย: minmin96 ที่ 01-03-2018 08:45:26
ความรู้สึกเหมือนรันจะได้น้องลินมาเป็นเมีย
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 18 2/28/18
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 01-03-2018 09:54:51
สงสารลิน มีพี่ชายแบบนี้และยังต้องอยู่ในสังคมแบบนี้.....
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 19 3/10/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 10-03-2018 15:57:18
บทที่ 19


        แสงไฟสีส้มนวลตาภายในห้องปรับความรู้สึกของผมที่ตื่นกลัวให้สงบลงเมื่อคิดได้ว่า ความรู้สึกสงบที่เคยหายไปกลับมาแล้ว คนข้างหน้าผมก็ยังคงนั่งจ้องหน้า ดวงตาภายใต้แว่นหนาไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น สร้างความรู้สึกเกร็งให้ผมไม่น้อยเหมือนกัน

        “หมออยากรู้ว่าตอนนี้หมอกำลังพูดกับใครอยู่ครับ”

        ตอบไปสิ

        “ระ…รินครับ”

        ใช่ เราสองคนได้ตกลงกันแล้วว่าผมจะออกมาตอนที่ต้องมารักษากับพี่กิตต์ เพราะรันทนไม่ได้ที่ต้องถูกถามคำถามที่น่ารำคาญจากเขา เรานัดแนะกันถึงเรื่องที่ควรพูดและไม่ควรพูด

        “ปิดใจ ซ่อนแววตาไว้”

        “อย่าทำให้เขาเข้ามาในความคิดของเราเด็ดขาด”

        ผมนั่งนิ่งไม่ไหวติง พอ ๆ กับพี่หมอที่นั่งนิ่งเงียบมองมาที่ผมเช่นกัน สายตาของเขาดูมีความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ผมรู้ว่าเขาพยายามที่จะทำหน้าที่หมอให้ดีที่สุด

        “รินเป็นไงบ้าง” หน้าเครียดถามผมพร้อมกับเท้าคางมองมา เขาดูผ่อนคลายเมื่อรู้ว่าไม่ต้องคุยกับรัน

        หมายความว่าไงวะ เสียงรันประท้วงในหัวเมื่อผมนึกถึงเขา

        “ก็ดีครับ…ถ้าไม่นับหลายเรื่องที่เข้ามา”

        “ยังไง”

        “เรื่องแม่ เรื่องคดี”

        ไม่มีเสียงตอบรับนอกจากพยักหน้ามองมาที่ผม

        “พี่อยากรู้ว่ารันมาได้ยังไง”

        ตอบออกไปตามปกติที่แกรู้สึก เสียงบัญชาจากรันยังคงดังอยู่ในหัวของผม รันรับรู้ทุกอย่างแม้เขาจะไม่ได้ออกมา ผิดกับผมที่จะหายไปและเรื่องบางอย่างก็ไม่สามารถรู้ได้เลย

        “แกไม่จำเป็นต้องรู้ พักผ่อนซะ” เขามักจะพูดอย่างนี้เสมอกับผม

        “วันนั้นหลังจากจากเหตุการณ์นั้น ผมฝันว่าผมมีใครอีกคนอยู่ในตัว หมายถึง ความคิด เขาบอกว่าเขาช่วยผมได้”

        “ยังไง?”

        “ผมไม่รู้ ผมแค่ตอบตกลงไป แล้วจากนั้นผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นตัวเองซักเท่าไร มันมีเสียงในหัวตลอดเวลา คอยพูด คอยบอกผมให้ทำทุกอย่าง”

        “เขาพารินไปทำอะไรที่แบบว่า…เอ่อ…ไม่ดีหรือเปล่า?”

        อย่านะ

        “ไม่ครับ แค่บอกประมาณว่าให้ผมเข้มแข็งขึ้น”

        “ถ้าพี่จะคุยกับรันได้ไหม”

        “ไม่รู้สิครับ ผมเรียกเขาออกมาไม่ได้เพราะเขาจะออกมาเอง”

        “โอเค”

        เขาหาอะไรสักอย่างก่อนจะนำมันมาตั้งไว้บนโต๊ะ มันเป็นรูปภาพแปลก ๆ ที่ผมเองก็ไม่เข้าใจนัก มันเป็นหมึกสีดำ ๆ ที่หยดลงไปบนกระดาษ เหมือนงานศิลปะที่ไม่ต้องคิดอะไร เราแค่จุ่มหมึก แล้วปล่อยให้หมึกไล่ลงจากพู่กันตามการเคลื่อนไหวของเราเอง

        รูปภาพแรกถูกเลือกขึ้นมาตั้งไว้ มันมีปีกสองข้าง แต่ก็มีช่องระหว่างปีกนั้น ผมมองว่ามันคล้ายหน้ากากเสียมากกว่า หน้ากากที่น่ากลัวเสียด้วย

          รูปอะไรหมอมันบ้าหรือเปล่า เสียงแว้ด ๆ ของรันในหัวของผมกำลังด่าพี่กิตต์อย่างหยาบคายด้วยคำที่ผมเองแทบไม่เคยพูดมันออกมาเลยสักครั้ง ตั้งแต่เกิด

        “บอกได้ไหมว่าเห็นอะไร”

        (อวัยวะเพศผู้หญิง)ตอบมันไป 

        “รูป_ครับ”

        “มองเป็นอย่างนั้นเหรอ”

          ถามมากเสียเวลารำคาญฉิบหาย พูดกับมันไป

        ‘ไม่ได้หรอก’ เสียงสองคนในหัวกำลังตีกันปั่นป่วนไปตามความรู้สึกที่มี เหมือนกับว่าตัวของผมตอนนี้ไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของร่างกายที่แท้จริงเสียแล้ว…ร่างของผมกำลังถูกยึดโดยรันอย่างช้า ๆ

        “รินได้ยินพี่ไหม”

        หันไปมองรูปที่ถูกสับเปลี่ยนใหม่ หูของเราไม่ได้ยินเสียงคำถามจากพี่กิตต์เลย เรากำลังถกเถียงประเด็นบางอย่าง เรื่องที่รันจะจัดการเอง

          แกมันช้า หมอแบบนี้ต้องเจอฉัน

        ‘นั้นแหละ เขาพยายามที่จะเอาแกออกมาดูไม่ออกเหรอ’

          ก็ให้มันเจอไปสิ

        “ครับ”

        รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ภาพในมือนั้นดูน่าสนใจดีแต่ไม่ใช่สำหรับผมเลยสักนิด ผมมองหน้าของของหมอกิตต์ที่กำลังมองผมอย่างจับผิดสังเกต

        “มันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะครับ”

        “มันเป็นการวิเคราะห์อาการของ…รันเองนะครับ”

        “ไม่ต้องเสียเวลาในการบอกเลยสินะครับ หมอฉลาดจัง”

        รอยยิ้มอันน่ากลัวของหมอกิตต์ที่เรียกเสียงในความคิดของผมว่า น่ากลัวจัง มันไม่ได้ทำให้ผมสะท้าน ผมน่ะผ่านรอยยิ้มแบบนั้นมาหมดแล้ว หลายรอยยิ้มด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าผมนะกร้านโลกแค่ไหน

        อย่าพูดถึงมันได้ไหมรัน ขอเถอะ

        ‘ดัดจริต’ แล้วเสียงในหัวก็เงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด

        “พี่อยากให้รัน อย่าทำอะไรรินเป็นอันขาด”

        “จะทำไมครับคุณหมอ จับผมเข้าโรงพยาบาลบ้าเหรอ”

        ผมพูดเสร็จก็คว้าเอาเครื่องเล็ก ๆ ข้างหน้านั้นโยนไปที่ผนังห้อง เสียงกระทบของมันรุนแรงบ่งบอกถึงว่าเครื่องนั้นแตกละเอียดขนาดไหน เทียบได้กับหัวใจของผมที่แตกละเอียดไม่แพ้กัน

        “รัน!”

        มือนั้นคว้าแขนของผมทันที แววตานั้นฉายความโทสะที่พยายามปิดไม่มิดเอาเสียเลย ผมได้แต่ยิ้มหน้าระรื่นแล้วค่อย ๆ ดึงมือที่จับแขนออก ปัดแขนของตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปที่เครื่องบันทึกเสียงนั้นที่แหลกละเอียดคาพื้นไม่ต่างจากซากเน่า ๆ ชิ้นหนึ่งที่ผมก็เคยเห็น

        “หมอลองคิดดูสิว่า เครื่องนี้หมอจะมีหนทางกลับมาซ้อมได้เหมือนเดิมไหม”

        “ได้” ดูเหมือนอารมณ์นั้นจะเบาบางลงมากเสียแล้ว แหม ไม่สนุกเลยสักนิด ผมโกยซากมันขึ้นมาแล้วยื่นไปให้หมอกิตต์ดู

        “ถึงซ่อมมันก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมเลยสักนิดต่อให้เก่งแค่ไหนก็เถอะ”



        การรักษานั้นผมไม่รู้ว่าผลจะเป็นอะไร จะถูกลงความเห็นว่าบ้าหรือไม่ก็สุดแล้วแต่พี่กิตต์ แต่สุดท้ายผมเองก็ต้องทำตามเสียงในหัวที่กำลังบอกผมทุกการกระทำ

        กลับห้องแล้วคุยกับเด็กนั้นซะ ฉันเชื่อว่าแกทำได้ริน

        ผมทำตามบัญชาทุกอย่างแม้ในใจอย่างหวั่นวิตกมาก การที่เห็นคนที่หน้าเหมือนคนที่ทำร้ายผม ต่อให้เป็นเดือน ๆ ผมก็ไม่มีทางลืมมันหรอก แต่นั้นแหละรันก็ได้แต่บอกกับผมว่า

        “ จำไว้น่ะดี เพราะเราจะสอนให้พวกมันรู้ว่าเจ็บและจำเป็นยังไง”

        ผมเปิดประตูห้องพักที่ผมเช่าไว้ ห้องขนาดกลางไม่ใหญ่มากนักเหมาะที่จะอยู่คนเดียวแบบผมทำให้ผมตกลงที่จะอยู่ที่นี่ หมายถึง รัน ที่อยากจะอยู่ที่นี่ การตกแต่งของมันดูสวยงามและเพียงพอต่อความต้องการ รันไม่อยากที่จะอยู่ที่โกโรโกโสแบบที่ผมเคยอยู่เลยสักนิด ดังนั้นทุกอย่างของผมรันจะต้องจัดการให้อยู่เสมอ แม้แต่รสนิยมบางอย่างที่ผมเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

        ผมเดินถือขนมปังนำเข้าจากร้านค้าแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ราคาของมันแทบจะเรียกได้ว่าสามารถกินข้าวแกงได้มากกว่าสามมื้อแต่นั้นแหละ เพราะความรวยของเรารันก็ไม่เคยเห็นว่าเราจะประหยัดไปทำไม ผมเดินเข้าไปข้างในวางของไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว

        ผมกวาดสายตาหาลินไปทั่วห้องแต่ก็ไม่พบ จนเดินไปที่ระเบียงจึงเห็นเจ้าตัวกำลังยืนอยู่ ผมเดินเข้าไปช้า ๆ ก่อนที่จะยื่นมือไปแตะไหล่ของเขา

        “เฮ้ย!” เสียงร้องตกใจของเขาทำให้ผมเองก็ตกใจด้วยเช่นกัน

        “พี่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”

        “เป็นไงบ้าง”

        “โอเคขึ้นแล้วครับ”

        “พี่ซื้อขนมมาฝากเยอะเลย ไปกินด้วยกันไหม”

        เด็กคนนั้นพยักหน้าก่อนที่จะเดินตามผมเข้ามาในห้อง ผมเดินไปเอาขนมปังออกมาและให้เด็กคนนั้นทันที

        “ขอบคุณครับ” เด็กคนนั้นทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นขนมปังยี่ห้อไม่คุ้นเคย

        “กินไปเถอะ ของแพงนะ”

        “ของแพงผมไม่กินหรอกครับ” ลินรีบวางมันลงทันที

        “พี่ซื้อมาเยอะ ซื้อมาฝากเราด้วยกินเถอะนะ”

        ลินลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาแล้วกัดมันลงไปคำหนึ่ง ใบหน้าของเขาบอกทุกอย่างว่าสิ่งที่เขากินนั้นมันอร่อยมาก มากจนเขายิ้มอกมาให้ผมพร้อมกับทั้ง ๆ ที่ยังเคี้ยวอยู่

        “ขอบคุณครับ”

        หลังจากนั้นผมก็ไปหยิบกล่องพยาบาล นำยามาทาที่แผลบนแขนของลิน มันเป็นรอยแผลจากการถูกกีด ด้านหลังก็รอยจี้บุหรี่มากมาย ตามตัวของรินก็มีรอยฟกช้ำจากการถูกชก สำหรับผมเมื่อเห็นครั้งแรกถึงกับตกใจในขณะที่รันนั้นเห็นเป็นเพียงรอยเล็ก ๆ ที่ไม่น่ากลัวเลยสักนิด

        “พี่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นได้ขนาดนี้ แม้พี่จะเคยได้รับความรู้สึกนี้จากแม่ แต่พี่เองก็ไม่คิดว่าเขาจะทรมานถึงขั้นฆ่าแกงกันได้”

        “หึหึ” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของลินทำให้ผมเงยหน้าจากแผลขึ้นมามองเขา ที่กำลังหันหน้ามาทางผม

        “มันน้อยไปสิ ผมเองโดนมาทุกรูปแบบ”

        “พอจะบอกพี่ได้ไหมว่า…ทำไม”

        “ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมนั้นหัวอ่อนที่ไม่อยากร่วมทำในสิ่งที่พวกเขาทำ”

        “ทำอะไร”

        “ค้ามนุษย์”

        ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ พร้อมมองไปที่ลินที่เหมือนพยายามรวบร่วมสติ แล้วเล่าทุกอย่างออกมา

        “พ่อแม่ผมร่วมมือกับพ่อแม่เพื่อนพี่ลีทำธุรกิจค้ามนุษย์ที่ใหญ่ที่สุด ไม่มีใครจับได้ ไม่ใช่สิ ไม่กล้าต่างหาก” เด็กนั้นมองมาที่ผม

        “ทุกครั้งที่ผมใช้เงินผมก็รู้สึกผิดเสมอ จนบางครั้งผมแอบช่วยเหยื่อที่พวกเขาจับมา แต่นั้นแหละพ่อแม่ผมจับได้และพยายามทำร้ายผม เขาไม่กล้าฆ่าผมแต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากที่ปล่อยให้ผมไปไหน ผมมันหัวอ่อน หัวอ่อนเกินใคร ฮึก ผมเริ่มถูกพี่ลีและเพื่อนเขารังแกและผมเองก็นั่งมองเหยื่อที่พวกพามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

        “เหยื่อ” ผมพูดออกมาพร้อมกับมองไปที่หน้าของลินที่เต็มไปด้วยน้ำตา

        “ใช่ คนที่มีข่าวหายตัวไปทุกคนถูกจับมาค้ามนุษย์แต่เมื่อทำไม่ได้ดังใจก็ถูกฆ่า พ่อแม่พวกเขาพยายามตามหา แต่ก็ไม่มีใครที่จะทำได้ ไม่มีใครช่วย เพราะเรื่องนี้มีผู้ได้ผลประโยชน์มากกว่าที่คิด”

        ผมกำลังอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ผมกลัวว่าถ้าผมทำอะไรไปมันอาจจะส่งผลอะไรหลายอย่างที่เกินจะคาดคิด

        “ผมบอกเขาว่าจะฟ้องตำรวจทั้งเรื่องที่เค้ามนุษย์ ผมจะทำมันให้เป็นข่าวดังที่สุด”

        “ทำไม”

        “ผมเห็นพี่ในข่าว พี่เป็นเหยื่อของพวกพี่ลี ผมรู้แล้วว่าพี่เข้าหาผมเพราะอะไร”

        “…” ตอนนี้ผมได้แต่เงียบไม่พูดอะไรออกมา

        “ถึงพี่จะหลอกใช้ผมยังไง แต่ผมจะช่วยพี่ทุกอย่าง”

       

        “ฮัลโหลบ้านสุขสวัสดิ์ค่า”

        “ขอสายคุณนายสมรหน่อยสิค่ะ” ผมกำลังดัดเสียงให้เหมือนผู้หญิงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะผมเองก็ไม่อยากให้รู้ว่าผมนั้นเป็นใคร

        “มีอะไรคะ?”

        “ดิฉันรู้จักคุณนายจากนายหน้าคนหนึ่งค่ะ”

        “เรื่องอะไรคะ?”

        “เนื้อค่ะ เนื้อสด ๆ ซะด้วย”

        “สักครู่นะคะ” เสียงนั้นแผ่วเบาลงทันที พร้อมกับเสียงอึกทึกครึกโครมบางอย่างที่ทำให้ผมที่กำลังรอฟังนั้นแทบจดจ้อไปกับโทรศัพท์แล้ว

        “คุณเป็นใคร ชื่ออะไร เป็นสายตำรวจเหรอ”

        “เปล่านะคะ ดิฉันเป็นเพื่อนกับคุณเมฆาค่ะ เราสนิทกันมาก คุณคงจะได้ยินชื่อ มิรันดา นะคะ”

        “ใช่เหรอ”

        “อย่างน้อยฉันก็รู้จักหุ้นส่วนของคุณทุกคนและรู้ด้วยว่าที่พักสินค้าอยู่ที่ไหน”

        ผมบอกชื่อและทุกอย่างที่รู้ไปกับมันและโค๊ดลับ

        “รับจัดงานแต่งไหมคะ” เสียงปลายสายนั้นเงียบลงทันที ผมหันไปมองลินที่กำลังมองผมคุยโทรศัพท์อยู่อย่างลุ้น ๆ

        “แหม พูดอย่างนี้เสียทีแรกก็คุยกันรู้เรื่องแล้วล่ะคะ” ผมยกนิ้วโอเคให้กับลินก่อนที่จะกลับไปสนใจบทสนทนาต่อ

        “ดีค่ะ เรากลับมาพูดเรื่องเนื้อของเราดีกว่าไหมคะ”

        “เนื้อแบบไหนคะเนี้ย”

        “สด ๆ ใหม่ ๆ รับรองหาไม่ได้ตามแถว ตจว. หรือสถานีขนส่งหรอกค่ะ”

        “คุณจะบอกว่าเนื้อที่ได้มาชั้นดีและเกรดในเมืองเหรอคะ”

        “ใช่ค่ะ”

        “ดิฉันจะเชื่อได้อย่างไร สมัยนี้หลอกกันมีถมเถ เผลอ ๆ ก็คงจะเป็นรีไซเคิล”

        “เดี๋ยวฉันจะส่งตัวอย่างไปให้ดูก่อนนะคะ” ผมบอกสัญญาณมือให้ลิน ก่อนที่เหมือนจะได้ยินเสียงข้อความเข้าจากมือถือของปลายสาย
       
        “อุ๊ยตาย ฉันอยากจะลองเช็คสินค้าก่อนนะคะ แต่จะมั่นใจได้ไงว่าไม่ได้หลอกลวง”

        “งั้นเดี๋ยวฉันจะกลับไปคุยกับคุณเมฆาดีกว่าเพราะเขาเองก็สนใจไม่น้อย”

        “เดี๋ยว ๆ ตกลง แต่ฉันขอดูก่อนได้ไหม วันไหนดี” ผมยิ้มออกมา

        “วันนี้ค่ะ ดิฉันต้องการวันนี้” ผมตอบออกไป

        “ดีค่ะ แล้วเจอกัน”

        ผมวางสายก่อนที่จะหันมาพยักหน้าให้กับลิน ตอนนี้ผมกำลังยิ้มพร้อมกับความคิดในหัวของผมที่กำลังพูดไปมา

        รันเราจะรอดไหม มันเสี่ยงมากเลยนะ

        ‘กลัวทำไม ถ้ากลัวเราจะจัดการได้ไหม’

        แต่มันบาป

        ‘เธอบาปไปแล้ว แถมเป็นบาปหนาเสียด้วยที่ฆ่าแม่ตัวเองนะ จะบาปให้สุดจะเป็นอะไรไป’



        เสียงเคาะกริ๊งหน้าบ้านสุขสวัสด์ นั้นทำเอาคุณสายสมรนั้นนั่งตัวไม่ติด เธอกำลังตื่นเต้นที่จะได้เนื้อชิ้นใหม่ ที่เพิ่งมีคนกำลังเอามาให้ เธอไม่ต้องการให้พวกหุ้นส่วนรู้เลยสักนิด เธอจะนำมันไปขายที่อื่นมันจะได้เงินมากพอกับที่เธอสามารถใช้หนี้คนที่มาประกันตัวลูกชายสุดที่รักให้กับเธอ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เธอห่วงนอกจากไอ้ลูกชายเนรคุณที่หนีออกไปจากบ้าน

        เธอเกลียดมัน มันคือตัวนำความฉิบหายมาให้กับเธอ ผิดกับอีกคนที่ช่วยเธอและสามีทำมาหากิน เธอแทบกังวลว่าตำรวจจะมาเมื่อไหร่ แล้วจะมีข่าวไหม แต่ทุกอย่างเงียบกริบ แต่นั้นก็ไม่ทำให้เธอวางใจได้สักนิด เธอเลยจ้างนักสืบตามสืบอยู่พร้อมกับนั่งรอลูกชายอีกคนของเธอออกจากคุก

        คุณนายสมรเดินนวยนาดออกไปที่ประตูหน้าบ้าน บ้านของเธอค่อนข้างปลูกห่างจากผู้คน เพราะต้องการไม่ให้ใครได้ยินเสียงของเนื้อที่เธอเอามาเก็บไว้ ซึ่งมันก็ไม่เคยดังไปถึงใครเลยด้วยซ้ำ ในระแวกนี้เธอก็ซื้อไว้หมดแล้ว เพื่อกันปัญหาในภายหลัง เธอเห็นเงาของคนสองคนในความมืดหน้าบ้าน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะทุ่มแล้ว แต่คนนั้นต้องการที่จะให้เธอเช็คสินค้าก่อน พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้มันมีความโลภเข้าครอบงำเธออยู่ไม่น้อย

        คุณนายสมรเดินไปถึงหน้าประตูก็ต้องแปลกใจคนตัวสูงกว่าเล็กน้อย ดูท่าทางที่จะเป็นมิรันดานั้นกลับทำให้เธอรู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ ๆ มีเครื่องแต่งหน้าที่หนาจัด ผมยาวสลวยฟูฟ่อง แต่งตัวด้วยชุดที่มิดชิดจะคล้ายผู้ชายมากกว่า พอนึกถึงผู้ชายมันก็ติดอยู่ที่ปากว่าทำไมเธอถึงรู้สึกคุ้นเสียเหลือเกิน

        “มาส่งเนื้อ” เสียงนั้นทำให้คุณนายสมรแปลกใจมันดูทุ้มกว่าตอนคุยกันผ่านโทรศัพท์เสียอีก เสียงของเขาดูออกจะไปเป็นทางผู้ชายเสียหน่อย กะเทยเหรอน่าจะใช่ สายตาของคุณนายแปรเปลี่ยนไปที่คนข้าง ๆ ที่สวมฮู้ดสีดำ ผมยาวของคนนั้นซ่อนใบหน้าไว้ในความมืด ร่างกายของเธอก็ทำให้เธอดูคุ้นมากเสียเหลือเกิน

        “เข้ามาก่อน” แปลกใจ เด็กคนนั้นไม่มีท่าทีกลัวสักนิดกลับเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับมัจจุราชที่กำลังส่งเธอไปลงนรกทั้งเป็น

        เมื่อเข้าไปในบ้าน คุณนายสมรก็กำลังจะเรียกสามี แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรนั้น ร่างของหญิงสาวก็ปาอะไรบางอย่างใส่หน้าของเธอ

        เนื้อ! มันคือก้อนเนื้อสด ๆ ที่ไม่รู้ว่าเป็นของอะไร แต่ก่อนที่เธอจะได้เกลียด เธอก็ถูกบางอย่างหวดเข้าที่หัวอย่างจังพร้อมกับที่ทุกอย่างดับมืดลงทันที



        เสียงดิ้นรนสั่นไหวของร่างทั้งสองที่กำลังถูกมัดติดกับเก้าอี้นั้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมามองของพวกเขาจากแสงเทียนที่กำลังจุดอยู่รอบ ๆ ผมมองไปที่ลินที่กำลังนั่งเฝ้าพ่อแม่ของตัวเองอยู่อย่างนั้น ส่วนผมก็ไม่พยายามที่จะสนใจเสียงนั้นเลยสักนิด วิกผมถูกถอดออก แต่เครื่องแต่งหน้ายังคงอยู่ ผมให้ลินสับคัตเอ้าท์และตัดไฟในบ้านให้หมด เพราะผมกำลังจะสร้างซีนโรแมนติกของทั้งคู่

        “ตื่นแล้วเหรอ” คุณนายนั้นดูจะทำหน้าตกใจที่เห็นผม

        “จำฉันได้แล้วใช่ไหม” เสียงนั้นดูเหมือนพยายาจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ได้เทปกาวนั้น ปิดแน่นสนิทเสียจนเก็บเสียงของคุณนายที่เคยด่าผมแว้ด ๆ ในศาลได้ ผมหันไปมองผู้ชายร่างท้วมที่กำลังนั่งนิ่ง ๆ ไม่ไหวติงอยู่กับที่

        “กลัวเหรอ” มันไม่ตอบอะไร

        “ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะอีกไม่นานพวกคุณก็จะเป็นดาราดังบนโลกอินเตอร์เน็ตแล้วนะ” พวกมันสองคนมองหน้าผมด้วยสายตาที่หวาดกลัว

        “เหมือนที่ลูกชายพวกมึงทำกับกู!”

        ผมบอกให้ลินวางกล้องถ่ายวีดีโอไว้ข้างหน้า ตอนนี้แสงเทียนสลัวของมันทำให้ภาพออกมาดูมืดแต่ขณะเดียวกันก็ลึกลับพอดู พอนึก ๆ ไป ผมรู้สึกว่าเรื่องบูชาซาตานน่าจะใหม่มากสำหรับคนไทยดังนั้น ผมที่คิดพล็อตออกก็บอกลินทันที

        สีหน้าของลินดูหวั่นวิตกเล็กน้อย

        “นายไม่กล้าเหรอ”

        “ไม่ใช่” เสียงของเขาตอบออกมาสั่น ๆ

        “โกหก นายจำไม่ได้เหรอว่าพวกเขาทำอะไรนาย อะนี่” ผมเดินไปหยิบบุหรี่แล้วยื่นไปให้เขา

        “ถึงเวลานายตอบแทนบุญคุณพวกเขาแล้ว”

        “พี่น่ากลัว”

        “พวกนั้นน่ากลัวกว่าพี่เยอะ”

        ลินยื่นมือสั่นเทาของตัวเองหยิบบุหรี่ก่อนที่จะก้มลงไปจุดไฟที่เทียนนั้น สภาพของเทียนที่ล้อมเป็นวงกลมไว้ทำให้ผมแทบจะรักซีนนี้เป็นพิเศษ ผมเดินไปที่กล้องก่อนที่จะซูมไปช้า ๆ เมื่อเห็นว่าลินพยายามที่จะนำบุหรี่ที่จุดแล้วเดินตรงไปหาพ่อของตัวเอง สีหน้าของผู้ชายคนนั้นดูหวาดกลัวแล้วพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต ผมซูมไปที่หน้าของเขาอย่างชัดเจนแววตาที่สิ้นหวังนั้น มันช่างดึงดูดเสียเหลือเกิน

        ไม่แปลกใจว่าทำไมพวกนั้นถึงได้รักการทรมานเหยื่อนัก ก็เพราะว่ามันสนุกนี่เอง อยากจะบอกไปถึงมันเลยนะไอ้หมี ว่ามันคงต้องยกตำแหน่งผู้กำกับไฟแรงให้ผมเสียแล้วล่ะ

        น่ากลัว อี้

        ‘สวยออก แกควรจะชอบมัน’

        มันน่ากลัว

        ตอนนี้รินเงียบไปแล้วเหลือแต่ผมที่กำลังสนุก ริน อย่าเพิ่งหลับมาดูสิ่งสวยงามนี่ก่อนเร็ว

        “ดีมากลิน” ผมพูดเบา ๆ ก่อนที่จะซูมไปใกล้ขึ้น เมื่อบุหรี่นั้นจี้ลงที่แก้มของผู้ชายอ้วนที่กำลังดิ้น ๆ ด้วยความทรมาณ ลินหันมามองหน้าผมแล้วยิ้ม

        “สนุกไหม” ผมถาม

        “สนุก” แล้วเราสองคนก็หัวเราะอย่างนั้น

        “ถ้าสนุกก็ทำอีกสิ”

        ลินยังคงหรรษากับการทรมานส่วนผมเองก็เตรียมมีดทำครัวเอาไว้ มีดใหม่นี้แหลมคมพอที่จะกรีดเข้าเนื้อหนังเหี่ยว ๆ ของทั้งสองได้ ลองจินตนาการที่เรากินเค้กที่ไส้ข้างในมันเป็นแยมสตรอเบอรรี่ เมื่อเราค่อย ๆ บรรจงตัดเค้กนั้นออกเป็นชิ้น ๆ แยมนั้นก็จะค่อย ๆ ไหลออกมาจนไปติดที่ตัวมีด

        คอคนก็เช่นกัน แค่มีดคมล่ะก็ ไม่ต่างจากการเชือดหมูเลยสักนิด ผมเห็นลินทรมานสองคนนั้นพอใจ ก่อนที่จะถอยห่างให้ผมได้ทำภารกิจของผมต่อ คิดเสียว่าช่วยชาติก็แล้วกัน

        ผมค่อยยื่นมีดไปใกล้หน้าของพวกเขาพอที่จะทำให้แววตาของพวกนั้นหวาดกลัว ผมรู้สึกสนุกที่กำลังได้ทำในสิ่งที่ผมเองก็ไม่คิดว่ามันจะสนุกขนาดนี้ ผมรอคอยเหลือเกินที่จะเห็นเลือดชั่วของพวกมัน

        “สายเลือดชั่ว ๆ ต้องกำจัด” พูดเสร็จก็เดินอ้อมไปด้านหลัง มือที่สวมถุงมือก็กระชากหัวของผู้ชายไว้ เสียงของมันร้องสะอื้นเสียจนน่าสงสาร

        “ตอนที่แกเอาแต่ละคนไปขายเขาเขาก็ร้องแบบนี้ แต่แกก็ไม่เห็นใจเขาเลยสักนิด” ผมกระซิบลงไปด้วยน้ำเสียงที่ใครได้ยินคงจะรู้สึกกลัวไม่น้อย ผมคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ร่างกายของผมกำลังเป็นไปตามความสนุกเมื่อผมค่อย ๆ จ่อมีดลงไปที่คอหอย



        รอยเลือดบนผนังค่อย ๆ บรรจงเป็นรูปวงกลม ผมใช้แปรงทาสีอันใหญ่ ๆ วาด พร้อมกับตาที่มองดูในจอมือถือไปด้วย ลินไม่ได้เก็บกวาดอะไรเท่าไร แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ร่างของคนสองคนกำลังนอนหลับสนิทแบบไม่ตื่นบนเก้าอี้พร้อมกับคอที่พับล้ม เป็นราตรีสีเลือดที่ยาวนานสำหรับสองคนนั้นเหลือเกิน

        รอยเลือดบนพื้นที่หยดลงและไหลลงมาผมพยายามรองไว้ในถัง แล้วนำมันมาเป็นสีมาทาไว้บนผนัง

        “พี่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลเหรอ”

        “ดึงความสนใจชั่วคราว กว่าที่พวกตำรวจจะรู้ตัวเราก็คงฆ่าหมดก่อน”

        “พี่ไม่กลัวเหรอ”

        “พี่ต้องถามนาย ว่ารู้สึกยังไง นั้นพ่อแม่นายนะ”

        “ไม่ใช่! ผมไม่รู้อะไรสักนิด ยิ่งตอนที่ผมเห็นพี่ใช้มีดกรีดคอพวกเขามันยิ่งทำให้ผมรู้ว่าผมเกลียดพวกเขาแค่ไหน”

        ผมจับมือเขาไว้

        “นายใส่ถุงมือตลอดใช่ไหม”

        “ครับ”

        ผมวาดรูปที่เป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายซาตานเสร็จก็หันไปหยิบมีด

        “กว่าคนจะรู้ก็คงอีกนาน”

        “มั้งครับ แถวนี้ไม่ค่อยมีใครเลย”

        ผมหันไปที่หน้าประตูทันทีเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังตรงหน้าบ้าน

        “อะไรครับ”

        ผมทำท่าให้เขาเงียบเสียงและตั้งใจฟังเสียงของเท้าที่กำลังก้าวเข้ามาภายในบ้าน ผมหันไปมองนาฬิกาก็เป็นเวลาเกือบ ตีหนึ่ง ใครจะมาเวลานี้กัน

        แต่แล้วทุกสิ่งที่ผมสงสัยก็คลายออก ลักษณะของร่างสูงที่เปิดประตูเข้ามา มีหน้าตาเดียวกันกับลินเลยไม่ผิดเพี้ยนสีหน้าของเขาฉายแววของความแปลกใจระคนไปด้วยความพิศวงเมื่อเห็นผมที่ยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งมือและตัวของผมตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดมากมาย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น

        แต่ทันใดนั้นคนข้าง ๆ ผมก็รีบวิ่งเอาไม้เข้าไปฟาดพี่ชายของตัวเองทันที แต่ดูเหมือนลีจะรู้ตัวเลยหลบหลีกได้ทัน พร้อมกับยื้อเอาไว้

        “มึงทำเหี้ยอะไร!” เสียงของลีตะโกนถามน้องชายที่ตอนนี้แววตาของเขานั้นว่างเปล่าไปเสียแล้ว ลินตอนนี้ไม่ต่างจากเครื่องจักรที่ถูกผมตั้งโปรแกรมให้ฆ่า แต่เหตุการณ์ดูจะแย่ลงเมื่อลีได้เหมือนลุกขึ้นมามีชัย เอาไม้นั้นไปถือไว้ในมือแล้วกั้นไม้นั้นไปบริเวณที่คอของลิน

        “กูถามว่ามึงทำเหี้ยอะไร”

        ผมไม่ยืนรีรอมองดูอย่างนั้น ผมรีบไปหยิบแจกันใบสวยงามราคาแพง ผมลูบไล้มันอย่างเสียดายลวดลายสวย ๆ นั้นก่อนที่จะถือมันแล้วฟาดลงไปที่หัวของลีทันที ลินรีบสะบัดหลุดออกพร้อมกับลุกขึ้นทันที ส่วนลีนอนดิ้นชักกระตุกสักนิดก่อนที่จะนิ่งไป

        มันตายหรือเปล่า รินในหัวถามออกมาทันที

        “ยังไม่ตาย มันตายไม่ได้ มันไม่สิทธิ์ตาย” ลินหันมามองหน้าผม

        “ฉันไม่มีทางให้มันตายง่าย ๆ แน่นอน”


ขอโทษที่หายไปนานนะครับ ติดสอบทั้งอาทิตย์เลย เพิ่งจะเคลียร์ได้ช่วงนี้แต่ว่าก็ยังมีงานรออยู่อีกเพียบ มาติดตามว่าริน(รัน) จะทำยังไงต่อไปดี อิอิ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 20 3/20/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 20-03-2018 23:11:49
บทที่ 20


        มีคนมักบอกกับผมเสมอว่า ‘เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร’ ผมเองก็รู้สึกว่าโลกใบนี้จะสงบสุขได้อย่างไร ถ้าหามนุษย์ลุกขึ้นมาฆ่าแกงกันเพียงเพราะความอาฆาตแค้น และตัวผมในวัยเด็ก ๆ ก็หัวเราะกับการกระทำของผู้คนที่ฆ่ากันแล้วมองพวกเขานั้นน่าสมเพชเสียเหลือเกิน

        แต่ตอนนี้ ผมกลับมาไกลเกินกว่าที่จะเรียกว่าหยุดได้เสียแล้ว นับจากที่ผมวางแผนต่าง ๆ มากมายและตอนที่มือของผมเองก็เปื้อนเลือดมามากพอที่จะทำให้ผมถูกตราหน้าว่า ฆาตกรต่อเนื่อง มันทำให้ผมหยุดการกระทำของตัวเองไม่ได้แล้ว
ผมกำลังมองดูร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่ผมจำมันได้แม่นราวกับสมองกลอัจฉริยะ

        ผมแทบไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าผมเองจะจำมันได้แม่นถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะน้องชายฝาแฝดของมัน ลินกับลีแตกต่างกันมากพอจนผมเองก็สามารถสังเกตได้…ผมแยกออกได้เลยจากภายนอกว่า ถ้าผมเจอพวกมันสองคนพร้อมกันผมสามารถเอามีดที่ผมถือนั้นพุ่งแทงไปที่มันได้เลย

        แต่ทุกอย่างมันช่างง่ายกว่านั้น

        มันกลับมา ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่มันกลับมาในคืนที่ผมและน้องมันได้วางแผนฆาตกรรมครอบครัวมันยกครัว ผมกับลินแทบจะตั้งสติไม่อยู่ แต่เมื่อมันเองก็สนใจเพียงแค่น้องชายของมัน ผมเองก็ไม่ปล่อยช่วงเวลาดี ๆ นั้นหลุดลอยไปอย่างง่ายได้
นั้นจึงเป็นที่มาของเศษแจกันที่กระจายตามพื้น

        ผมมองไปที่แจกันที่ไม่มีสภาพหลงเหลือจากเมื่อสักครู่เลยสักนิด จากใบสวยงามราคาแพง กลายเป็นเศษชิ้นไร้ราคา ผมมองไปที่หน้าของลีที่กำลังหลับใหล ผมปล่อยให้ลินนั้นจัดการตามแผนต่อไป มันยังคงหลับใหลอยู่อย่างนั้น ผมเช็ครอบ ๆ ที่ตัวของมันว่า มีจุดไหนที่ผมยังมัดเชือกมันให้ติดกับเก้าอี้ยังไม่แน่นพออีกหรือไม่ เมื่อเช็คจนพอใจแล้วไปดูตรงจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่ผมกับลินช่วยกันตั้งไว้ ตรงมุมห้อง ผมเช็ดสายสัญญานทุกอย่าง แล้วก็ลองเทสเปิดคลิปดูนิดหน่อย

        เสียงกุกกักดังมาจากข้างหลังผม ร่างนั้นฟื้นแล้ว ร่างของคน ไม่สิ ไม่ใช่คน มันเป็นร่างของสัตว์เดรัจฉานที่ทำร้ายผมให้ตายทั้งเป็น ผมตั้งสติช้า ๆ เพราะกลัวว่าการทำอารมณ์ชั่ววูบจนเกินไปจนไม่เป็นผลดีนัก

        มันตื่นแล้ว…แววตามันน่ากลัวจัง รินก็ยังคงเป็นรินต่อให้ร่างตรงหน้าเสียเปรียบแค่ไหนเขาก็ยังคงกลัวพวกมันเสมอ ไม่แปลกผมเองก็กลัว แต่ผมไม่ได้นำมาใช้เพื่อให้ตัวเองซ่อนหรือหลีกหนีจากโลกความจริง ผมใช้มันเพื่อเป็นการล้างแค้นต่างหาก

        “ตื่นแล้วเหรอ” ผมพูดกับลี

        “มึงจับกูทำไม ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง อีตุ๊ด!”

        “ปากยังเสียเหมือนเดิมเลยนะ คุณสามี” ผมพูดพร้อมกับลูบหน้าสุดน่ารังเกียจนั้นไปด้วย มันพยายามเบือนหน้าหนี แต่ผมก็กระชากผมมันไว้และทำให้มันประจันหน้ากับผม

        “มึงต้องการอะไร”

        “ต้องการอะไรงั้นเหรอ ต้องการชีวิตของพวกมึงไง”

        “ฮ่า ๆ” มันหัวเราะอารมณ์ดี มนุษย์นั้นมีการแสดงออกถึงความกลัวและหลีกหนีสถานการณ์ต่างกัน ดังที่ยกตัวอย่างไปกับพวกเราแล้ว แต่กรณีของลี มันใช้ความกล้าที่เกินเหตุ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกมันไว้

        “กูไม่กลัว แล้วมึงก็เตรียมรับมือเพื่อนของกูที่กำลังออกจากคุก และพ่อแม่ของพวกมันไม่ปล่อยมึงเอาไว้แน่ ฮ่า ๆ”

        “กูเตรียมพร้อมแล้ว” มันยิ้มเยาะอย่างไม่เชื่อ

        “แล้วจะทำอะไร ฆ่ากูเหรอ ก็ฆ่าสิ”

        “ไม่หรอก”

        ผมพูดกับมันออกไปอย่างนั้น มันทำหน้าพิศวงปนแปลกใจเมื่อผมเดินไปที่โทรทัศน์ผมต่อสายอะไรนิดหน่อย จากนั้นก็เสียบปลั๊ก เพียงไม่นานภาพบนจอก็ปรากกฎขึ้น ผมเดินถอยห่างออกจากโทรทัศน์แล้วลอบสังเกตไปที่มันที่กำลังตกใจจนแสดงความหวาดกลัวที่แท้จริงออกมา

        ผมมองไปที่โทรทัศน์ที่กำลังฉายภาพวิดีโอสั้น ๆ แต่เป็นภาพของพ่อและแม่ของมันกำลังถูกเชือด โดยเฉพาะเสียงของพ่อแม่มันในยามโดนเชือดนั้น มันช่างฟังจนดูเหมือนเสียงสัตว์ที่ดังอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ ที่กำลังร้องขอความเมตตาจากมนุษย์ที่กำลังจะเชือดมันอย่างช้า ๆ

        “อ๊ากกกก” เสียงของคนที่กำลังนั่งดูร่วมกับผมนั้นร้องออกมาเสียงดัง เมื่อภาพเหล่านั้นยังคงฉายวนซ้ำไม่จบไม่สิ้น ผมตั้งให้มันวนฉายไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

        “ฆ่ากูที ฆ่ากูที ขอร้องได้โปรด” เสียงของมันร้องขอสลับไปมากับเสียงพ่อแม่ของกำลังกรี๊ดร้องและดิ้นทุรนทุรายยามโดนเชือดคอ

        “แกเห็นไหมความตายมันสวยงามขนาดไหน” เสียงของผมพูดกับมัน ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในตอนนี้ เหมือนกับที่ความรู้สึก ผมกับรินกำลังจะรู้เช่นเดียวกัน เราไม่ได้แยกจิตใจกันอย่างชัดเจนนัก เสียงของผมที่ออกมาตอนนี้มันจึงดูเรียบง่าย อำมหิตและเลือดเย็น

        “แต่น่าเสียดายที่ฉันเลือกความตายให้กับพ่อแม่แกเท่านั้น ส่วนพวกแกเป็นกรณีพิเศษ” ผมมองไปทางมันที่กำลังหลับตาปี๋ด้วยอาการขยะแขยง

        “อย่างที่บอกถ้าแค่พวกแกติดคุกหรือโดนประหาร โดนฆ่า ฉันก็ไม่รู้สึกว่าพวกแกได้รับโทษที่สาสมเลยสักนิด ความตายไม่ใช่ทางออกสำหรับพวกแก และฉันก็หาวิธีที่จัดการพวกแกทีละคนเรียบร้อยแล้ว”

        ผมตบไปที่หน้าของมันแล้ว พยายามยกเปลือกตาของมันขึ้น

        “พวกแกจะได้รับรู้ความตาย แล้วจะเรียกร้องมันแต่ฉันจะไม่ให้พวกแก ต่อให้พวกแกกราบเท้าฉันก็ตาม ฉันจะให้พวกแกได้รู้สึกว่าความตายนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าขนาดไหน”

        มันพยายามดิ้นไปมา แต่ผมก็จับมันไว้แน่นมากพอที่จะไม่หลุดง่าย ๆ ผมยิ้มไปที่มันอย่างเลือดเย็น พร้อมกับที่ร่างผู้มาใหม่ได้เดินเข้ามาล็อคคอมันไว้ พร้อมกับยื่นเข็มและด้ายมาให้ผม

        “สวัสดีพี่ชาย” ลีเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงน้องชายของตัวเอง ตอนนี้มันคงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมดแล้ว เพียงแต่มันก็สายเกินไปที่จะรอดพ้น

        น่าแปลกที่มือของผมไม่ได้สั่นอย่างที่คิด งานประณีตนั้นผมไม่ค่อยถนัดเสียเท่าไรนัก เราขอทำเอง แน่นอนเสียงของคนที่ประณีตกว่าผมพูดออกมา เรามีจิตเชื่อมถึงกัน รินอำมหิตกว่าที่ผมคิด รินค่อย ๆ ร้อยสายด้ายกับเข็มเข้าไว้ด้วยกันอย่าง่ายดาย ก่อนที่จะจัดการกับลีอย่างเด็ดขาด ไม่คิดว่าวิธีการมันจะทารุณถึงเพียงนี้ แต่ก็คุ้มค่ามากพอที่จะทำมันนั้นแหละ

        “ยินดีต้อนรับสู่นรก”


        ผมกับลินช่วยกันปิดประตูด้วยตู้ขนาดใหญ่ โชคดีที่บ้านของมันมีห้องดูหนังที่มักจะเก็บเสียงอะไรต่าง ๆ ไว้ได้เสมอ เราปิดตู้เอาไว้แล้วจัดตกแต่งให้มันดูเหมือนว่านี้คือตู้ที่ถูกตั้งไว้ตรงนี้นานมาแล้ว ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แม้แต่เสียงโทรทัศน์ก็ตาม

        “พี่แน่ใจได้นะว่าวีดีโอนั้นจะไม่เห็นหน้าเรา” ผมถามลิน

        “ผมตัดต่อออกมาเรียบร้อยครับ แล้วทุกอย่างผมมั่นใจเลยว่าไม่มีใครรู้” เด็กหนุ่มที่สดใสนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงแต่เด็กที่อำมหิตเกินมนุษย์ เขามีสีหน้าที่ดีเกินไป จนผมรู้สึกว่า…มันน่ากลัว เขาเพิ่งจะเห็นมือของผมฆ่าพ่อและแม่ของเขาต่อหน้า ก่อนที่จะทรมานพี่ชายของตัวเอง

        อย่าดัดจริตหน่อยเถอะน่า แกก็เห็นไม่ใช่หรือว่าแกกำลังแก้แค้นให้ตัวเองและที่สำคัญกำจัดคนเลวไป ดีเสียอีกเพราะยังไง ตำรวจก็ทำไม่ได้

        “จริง”

        “ครับ?” ลินหันมามองหน้าผม

        “เปล่า ๆ กลับกันเถอะ” ผมพยายามยิ้มและเดินนำลินออกไป ต่อไปนี้ผมคงต้องพยายามพูดในใจกับรันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะผมเองก็ไม่อยากให้คนอื่นมองแปลก ๆ

        กลัวทำไม เสียงของรันยังคงแว้ดขึ้นมา เมื่อคิดว่าเราอาจเป็นบ้า

        ฉันไม่ได้บ้า แกก็ไม่ได้บ้า คนที่บ้าคือพวกมัน แล้วรันก็ร้องเพลงออกมา ลินมองมาที่ผมด้วยสีหน้าประหลาดที่ท่าทางของผมดูเปลี่ยนไป มีเสียงฮัมเพลงจากผม แม้ว่าผมพยายามที่จะกดมันไว้ไม่ให้แสดงออกมาก็ตาม

        “เมื่อกี้พี่ยังทำหน้าเหวอ ๆ อยู่เลยนะครับ”
       
        “พี่คงกลัวนะ ใคร ๆ ก็กลัวทั้งนั้นเมื่อต้องทำอะไรอย่างนี้”

        “จริงครับ” ผมตอบพลางมองยิ้มไปที่ลิน ผมเดินไปที่อ้างล้างหน้าแล้วก็ล้างมือตัวเอง ถึงแม้จะไม่ได้เปื้อนเลือดอะไรมาก แต่มันก็มากพอที่จะดูออกว่าเราไปทำอะไร เมื่อผมล้างมือเสร็จ สายตาก็ไปเหลือบมองที่มีดทำครัว แล้วพลางมองไปที่ลิน ในหัวตอนนี้ก็กำลังคิดถึงแผนการบางอย่างที่ไม่ได้บอกกับลินเอาไว้ แต่ถ้าทำได้นั้นหมายความว่าลินอาจจะไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยนัก

        “พี่มีคนมา”

        แต่ความคิดของผมก็ถูฏชะงักไว้เมื่อลินพูดออกมา ลินรีบลากผมแล้วไปหลบตรงมุมที่มิดชิดในบ้าน ที่เมือนกับที่เก็บของเล็ก ๆ แต่พอที่จะให้เราสองคนเข้าไปนั่งซ่อนได้

        เสียงฝีเท้าที่ได้ยินสามารถคาดเดาได้ว่าหลายคนกำลังเดินเข้ามา

        ตำรวจเหรอ? ถ้าจริงหมายความว่า ผมเองก็จะโดนจับทั้ง ๆ ที่ผมแค่ฆ่าพวกมันได้แค่คนเดียวนี่นะ ผมเริ่มสับสน พยายามหาทางที่จะหนีจากที่นี่ ถึงแม้จะกลัวแต่ผมเองก็ไม่อยากที่จะต้องเสียโอกาสในการชำระความกับพวกมันเลยสักนิด
ผมกับลินนิ่งเงียบ แต่หัวของผมนิ่งไม่เงียบพอ เสียงผีเท้าดังใกล้เข้ามา จนมาหยุดตรงที่ซ่อนของผม ผมหันไปมองหน้าลิน แต่แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นเร็วมาก ผมโดนกระชากออกมาพร้อมกับลินที่ตะโกนมาหาผม
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่รู้แต่ว่าผมกำลังถูกปิดปากด้วยอะไรบางอย่างก่อนที่ทุกอย่างจะดับสนิท

        “ช่วยด้วย”

        “ฮ่า ๆ” เสียงหัวเราะของพวกมันห้าคน

        “ช่วยด้วย”

        “ไม่มีใครช่วยหนูได้หรอกริน”

        “ช่วยด้วย”

        ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที พร้อมกับสัมผัสได้กับอาการปวดหัวอย่างรุนแรงของตัวเอง ผมพยายามลืมตาแล้วมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่มีแต่กำแพงสีขาวทึบ ๆ ดูไม่มีอะไรเลย มันเป็นสีขาวที่สว่างมาก ๆ มากจนแสบตานิด ๆ มันไม่ใช่โรงพยาบาล เตียงที่นอนก็เป็นเพียงเตียงเหล็กธรรมดา ไม่ได้นุ่มเท่าไหร่

        เสียงประตูเปิดเข้ามาจากด้านมุมห้อง มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผม เธอใส่ชุดสีดำ ผมของเธอก็เป็นสีดำ หน้าตาของเธอพอเดาอายุได้ว่าน่าจะเป็นสี่สิบต้น ๆ แต่ท่าเดินที่กระฉับกระเฉงเกินอายุ ก็ทำให้เธอดูดีมาก ร่างของเธอตัดกับสีภายในห้องอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับว่าถ้าที่นี่เป็นกระดาษขาว เธอก็จะเป็นจุดด่างดำลงในกระดาษใบนั้น

        “สวัสดีค่ะ คุณรินนภัทร”

        “พวกคุณ”

        “ฉันจะขอพูดอะไรกับคุณสักนิดได้ไหมคะ? ลุกไหวไหม”

        “ครับ”

        ผมลุกออกจากเตียง เดินตามเธอที่พาผมออกไปข้างนอก ไม่ผิดคาดที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลมันมีลักษณะเป็นตัวตึกสำนักงานอะไรแบบนี้มากกว่า แต่คนก็ไม่ได้เยอะเกินความคาดหมายนัก ทุกคนใส่ชุดสีดำและต่างก็ก้มหน้าเวลาที่ผู้หญิงคนนี้เดินผ่าน เธอพาผมเดินไปเรื่อย ๆ เราเลี้ยวตรงหัวมุมด้านใน เพื่อไปเจอกับประตูขนาดใหญ่และเมื่อเปิดเข้าไปก็เจอกับห้องโถงโล่ง ๆ ที่เพดานของมันสูงมาก ห้องนี้มีเพียงเก้าอี้ไม่กี่ตัวที่รายล้อมโพเดี่ยมแห่งหนึ่งที่นั่งตรงกลาง

        “ลินอยู่ไหนครับ”

        “เรื่องนั้นเธอค่อยรู้ แต่ตอนนี้ฉันอยากเห็น อีกด้านของคุณมากกว่า”

        “อะไรครับ” ผมพยายามแกล้งบ่ายเบี่ยงเพราะเธอก็คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่ที่รู้เรื่องของผมดีขนาดนี้

        “อีกด้านของคุณชื่ออะไรคะ”

        ผมเงียบ

        “ฉันอยากเจอคุณจริง ๆ”

        สักพักทุกอย่างก็เงียบลง น่าแปลกที่ผมกับรู้สึกถึงความว่างเปล่ามาอีกครั้ง

        “มีอะไร”

        และแน่นอนผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว



        จะว่าไปยัยนี้แต่งตัวดูเชยชะมัด ท่าทางก็อีกมันดูเหมือนพวกองค์กรลับอะไรสักอย่าง มันทำให้ผมรู้สึกว่าเสียเวลาที่จะคุย แต่นั้นแหละรินก็ทำให้ผมออกมาเผชิญหน้ากับมันจนได้

        “ฉันอยากแนะนำตัวเองก่อนนะคะ ฉันธาราค่ะ คุณคงจะคุ้นเคยฉันไม่มากก็น้อยจากข่าวนี้” เธอยื่นหนังสือพิมพ์ให้ผม มันเป็นข่าวที่รินเคยอ่านตอนที่ย้ายไปอยู่หอช่วงแรก ๆ

      สลดแม่ลูกถูกรุมโทรม เกือบเอาชีวิตไม่รอด

        “นี่คือคุณ?”

        “ใช่ค่ะ”

        ผมทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นยัยธาราพยายามที่จะทำหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่ข่าวนี้ก็เป็นของเจ้าตัวเองแท้ ๆ ท่าทางจะประสาทไม่น้อย

        “คุณคงไม่ไว้ใจฉัน ดังนั้นฉันจะเล่าทั้งหมดให้ฟังเองค่ะ”

        ผมพยักหน้า

        “ฉันกับลูกสาวเคยเป็นหนึ่งร่วมแก็งค้ามนุษย์แต่พวกเรากลับรู้สึกผิด จึงทรยศ พวกนั้นส่งคนมาตามล่าและพยายามปิดปากเราสองแม่ลูก แต่เรารอด แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราตกนรกทั้งเป็น ในข่าวนั้นไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรเลย ตามจริงเราสองคน ไม่ใช่สิ ลูกสาวของฉันถูกพวกมันเอาไปค้ามนุษย์ด้วย”

        ผมกลืนน้ำลายฝืด ๆ ลงคอเพราะรู้สึกว่า ชะตาชีวิตของคนนี้ก็น่าสงสารเช่นกัน

        “ฉันเลยเริ่มที่จะล้างแค้นพวกมัน แต่ฉันดันมาเห็นข่าวคุณซะก่อน ก็เลยหวังว่าคุณจะร่วมมือกับพวกเรา”

        “ร่วมมือ?”

        “ใช่ค่ะ คุณคงไม่คิดว่า คุณจะสามารถใช้เด็กคนนั้นและคุณเพียงสองคนบรรลุภารกิจนี่ได้หรอกนะคะ โชคดีที่คุณยังเจอแค่ครอบครัวนี้ ส่วนนอกนั้น แค่คุณคิดจะเข้าไปถึงพวกมันยังยาก”

        “นี่คือการบังคับเหรอ?”

        “แล้วแต่ค่ะ เพราะนี่คือการตัดสินใจของคุณ แต่ฉันรับรองว่าคุณจะได้จัดการพวกมันที่ทำร้ายคุณแน่นอน ส่วนพ่อแม่พวกมันฉันจะจัดการเอง”

        อย่านะรัน

        “ตกลง” ผมตอบทันที โดยไม่ได้สนใจเสียงทัดท้านของริน ยัยนั้นดูจะพอใจมากจนกระทั่งยิ้มออกมา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่น่าขนลุกชะมัด

        “ฉันรู้จักคุณดีค่ะ ฉันรู้ด้วยว่าคุณกำลังอยู่ในสภาวะไหน” ยัยนั้นพล่ามต่อมาไม่หยุด

        “จากนี้ไปเราจะร่วมภารกิจกันแล้วนะคะ”



        คนชื่อแมนกำลังจะออกจากสถานพินิจ และพวกที่เหลือสามคนในคุกก็เช่นกัน เงินนั้นเป็นอำนาจของพวกมันที่กฎหมายจะต้านทานได้ แต่นั้นแหละมันยิ่งทำให้ผมเองเริ่มมีความรู้สึกถึงไฟแค้นได้อย่างเต็มที่

        องค์กรของคุณธาราจัดฉากการฆาตกรรมนั้นเป็นเพียงเรื่องราวของวัยรุ่นโรคจิตที่สะเทือนประเทศไทย ซึ่งตอนแรกผมก็ทำอย่างนั้นแต่เธอบอกว่า มันยังไม่พอ เธอได้ปล่อยให้ลินเป็นผู้รอดชีวิตในบ้านเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย และรายนิ้วมือที่ตำรวจจะเก็บได้ก็เป็นของลี ที่องค์กรได้ทรมานมันต่อจากผมด้วยวิธีการที่เธอก็ไม่บอก แต่เธอก็ยืนยันว่าถ้าผมเห็นผมจะต้องสะใจ เธอเลยเปิดคลิปของลีและสภาพศพให้ด้วย แน่นอนมันทำให้ผมนั้น…มีความสุข

        คนในองค์กรพาผมมาที่โรงพยาบาลของลิน ยิ่งตอนนี้มีแต่นักข่าวเต็มไปหมดทำให้เราต้องใช้อีกเส้นทางหนึ่ง แต่นั้นแหละมันยิ่งทำให้ผมแปลกใจว่าทำไมทุกอย่างมันดูง่ายเสียเหลือเกิน ดูหมอบางคนและพยาบาลบางคนจะร่วมมือกับพวกเราเสียด้วย ผมเลยเรียกพวกมันว่าองค์กร คุณธาราบอกว่าทุกคนที่นี่คือคนเก่าแก่ ที่เคยทำงานกับเธอและแต่ละคนก็มีเส้นสายในวงการต่าง ๆ ผมได้แต่ทำหน้าตกใจเพราะคิดว่า ถ้าเธอยังคงค้ามนุษย์อยู่ก็คงน่ากลัวมากแน่ ๆ

        แต่ผมเองก็ไม่รู้สึกสงสารคุณธาราเท่าไร เพราะเธอเองก็ทำบาปกับพวกผู้หญิงหรือไม่ก็ผู้ชายไว้มาก ถือซะว่าเป็นบทเรียนที่สั่งสอนเธอแหละกัน

        ผมเดินเข้าไปข้างในห้อง ในห้องมีแต่ความเงียบ ผมเห็นลินกำลังหลับไหลอยู่จึงไม่ได้ปลุกตรง ๆ

        “พี่รัน” สักพักเด็กคนนั้นก็ตื่นแล้วมองมาที่ผม

        “เป็นไงบ้าง”

        “ไม่เป็นอะไรครับ” มันมองไปลอบ ๆ เหมือนไม่ไว้ใจ

        “พี่คุยกับพวกนั้นแล้ว เราจะร่วมมือกับพวกเขา”

        “ป้าธา?”

        “รู้จักด้วย”

        “ครับ”

        “ถ้าลินไม่อยากทำก็บอกนะ”

        “ไม่ครับไม่” ลินพยายามรั้งผมไว้

        “ผมมั่นใจ ผมไม่กลัว แต่พี่อย่าทิ้งผมได้ไหม”

        “นายจะเดือดร้อนนะ”

        “ผมไม่กลัว”

        เมื่อลินยืนยันอย่างนั้น ผมก็ตัดสินใจที่จะใช้เขาให้ทำตามแผนต่อไป แผนครั้งนี้ผมต้องทิ้งเวลาไปสักพัก แล้วรอเวลาที่เหมาะสมทุกอย่างจะออกมาดูดี ผมพูดกับคุณธาราแล้วว่าจะเป็นยังไง คุณธาราจะจัดการพวกนั้นเอง ส่วนผมผก็แค่ชำระบัญชีแค้นพวกนั้นไปอย่างเดียวน่าสนุกชะมัด



        หลังจากที่ทุกอย่างจัดการอย่างเรียบร้อยแบบเงียบ ๆ เงียบจริง ๆ เมื่อเทียบกับการตายของสามชีวิตที่มีคนหนึ่งที่เพิ่งออกจากคุก สื่อทุกสำนักต่างก็เงียบกริบเช่นกัน มีเพียงกรอบคดีเล็ก ๆ ที่หน้าหนังสือพิมพ์และบนโซเชียลที่เงียบกริบเหมือนเรื่องนี้ไม่มีใครสนใจเลยสักนิด

        ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ที่หน้าสถานพินิจ น่าแปลกที่บรรยากาศที่นี่ไม่ได้แย่มากนัก แต่มันก็หมายความว่าพวกมันไม่ได้ทรมานจากการกระทำของพวกมันเลยสักนิด ผมที่ตอนนี้กำลังแต่งตัวด้วยชุดที่ดูทะมัดทะแมง หนวดปลอมที่ดูเหมือนจริงอย่างไม่น่าเชื่อ และการทาผิวให้เข้มกว่าเดิมเล็กน้อยก็ทำให้ผมแทบจะแตกต่างอย่างที่เป็นอยู่

        ผมเดินตามลินที่กำลังตรงไปที่ห้องพบผู้ต้องหา มีคนหนึ่งที่ผมก็คุ้นหน้าดีกำลังนั่งฝั่งตรงข้าม แน่นอนมันดูแปลกใจที่มองผมผิดกับอีกคนที่มันดูไม่แปลกใจเลยสักนิด

        เมื่อลินนั่ง ไอ้แมนก็เริ่มทักทายเลยทันที

        “ไอ้เชี้ยลี ทิ้งกูไปแล้วไม่ส่งข่าวมาเลยนะมึง”

        หลังจากที่แมนมันพูดจบ ผมก็ได้แต่ยิ้มมุมปากเท่านั้น
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 21 4/17/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 17-04-2018 23:24:30
บทที่ 21


        เรากำลังเดินทางไปไหนสักแห่ง ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะถูกเรียกว่าอะไรดี มันเป็นหนองน้ำขนาดเล็ก ๆ พื้นที่ส่วนใหญ่มีแต่ป่า
ไร้สิ่งมีชีวิตรอบข้าง มีเพียงแต่เสียงเงียบและความว่างเปล่าเท่านั้นที่ปกคลุมบริเวณรอบ ๆ แห่งนี้

        “ที่ไหนวะ?”

        เสียงของคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับไหลตรงบริเวณเบาะด้านหลัง ทำให้ผมต้องหันไปมองเพื่อดูมันให้เต็มตา หน้าตาของมันยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีความสำนึกผิด แม้ว่ามันจะเพิ่งออกจากสถานพินิจก็ตาม

        “เราจะอยู่ที่นี่ก่อน”

        “ทำไม” มันถามผมเสียงแข็ง

        ผมไม่ได้พูดอะไรนอกจากลงจากรถ แล้วมันลงตามมากับผม ผมในตอนนี้แต่งตัวแบบพวกค้ายา แต่งตัวไม่ได้ดูดีเท่าไหร่ หนวดปลอมและผยาวที่รุงรังปิดบังตัวตนของผมได้สมควร ผมเองพยายามเดินตัวให้ตรงด้วยท่าทางที่ถูกฝึกซ้อมมาว่า ผมเองนั้นเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงเพราะไปขายยาในสมัยก่อนและตอนนี้ผมเองก็หันหน้ามาเข้าสู่วงการค้ามนุษย์เพราะเงินดีกว่า แน่นอนข้อมูลพวกนี้คนที่รู้ความจริงมีแค่ไม่กี่คนแต่ที่แน่ ๆ ไอ้คนที่ตามหลังไม่ได้รับรู้แน่นอน

        มันเดินตามผมมาช้า ๆ พร้อมสอดส่องสายตาไปทั่ว ผมเองก็เลือบมองด้วยหางจา ก่อนจะมองไปทางกระท่อมกลางป่าเล็ก ๆ ที่ถูกปลูกไว้ ผมใช้เวลาเกือบอาทิตย์หลังจากที่เที่ยวไปมาหาสู่ไอ้แมนในสถานพินิจกับลินแล้วเดินทางมาที่นี่เพื่อดูราดราวว่าที่นี่จะไม่มีคนอื่นอยู่และก็ไม่มีใครที่จะมารบกวนได้

        “ไอ้ลีไปไหน”

        มันพูดพลางจุดบุหรี่สูบอยู่บริเวณทางเข้ากระท่อมเมื่อผมเปิดประตูเข้าไป

        “กำลังมา เห็นว่าจะจัดการอะไรนิดหน่อย”

        “ทำไมถึงมาที่นี่ ที่ดีกว่านี้ไม่มีเหรอ”

        “มี แต่สะดุดตาไป”

        “นี่มึงของจริงรึเปล่าวะ”

        “ก็ของจริง จนแม้กระทั่งตำรวจยังไม่รู้จักหน้ากูเลย รู้แค่ชื่อปลอมที่กูปล่อยให้พวกมันดิ้นกันไปหา”

        ผมพูดแล้วก็สำรวจบริเวณรอบ ๆ ที่มีแต่กลิ่นอับชื้นเต็มไปหมด แต่อากาศที่นี่กลับเย็นสบาย ผมกับลินได้ทำการเตรียมของบางอย่างมาไว้เพื่อที่จะใช้เป็นหลักฐานในการที่ว่า ผมนั้นใช้ที่นี่เป็นแหล่งกบดานเวลา”พ่อ”มาหรือที่เราเรียกว่าตำรวจมาจับนั้นแหละ

        ผมเดินไปนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วทำท่าหยิบมือถือขึ้นมาเล่นตามปกติ

        “หน้ามึงคุ้น ๆ นะ”

        พอมันพูดอย่างนั้นผมแทบที่จะทำมือถือหล่นลงพื้นทันที ใจเย็น เสียงในหัวกำลังบอกผม ผมพยายามตั้งสติแล้วทำเป็นไม่สนใจเสียงของมันสักเท่าไรนัก

        “ได้ยินที่กูพูดมั้ย!”

        “คุ้น ๆ ยังไง”

        “ไม่รู้สิ” แมนพูดแล้วก็นั่งตรงเก้าอี้ตรงข้าม มันยังคงคาบบุหรี่ไว้ในปากแล้วก็พ่นขวัญออกมา ยามเมื่อสูบเข้าไปเต็มปอด ผมได้แต่ภาวนาให้มันสำลักขวัญแล้วก็ตาย ๆ ไปเสีย

        “กูคิดว่ามึงเหมือนกับใครสักคน แต่กูเองก็จำได้ไม่ชัด”

        ผมยังคงไม่สนใจเสียงที่มันพล่ามออกมา อยู่ดี ๆ มันก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาที่ผม จับแขนผมไว้ด้วยความแรงพอประมาณ

        “สนใจกูหน่อยสิ”

        เสียงของมันเริ่มแผ่วเบาบ่งบอกถึงความปรารถนาบางอย่างในกายของมันได้ ผมสังเกตเห็นเป้ากางเกงของมันที่กำลังตุงออกมาจนผมเองก็เห็นมันได้ชัด ผมยิ้มน้อย ๆ ให้มัน เมื่อมันกำลังจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม

        “เดี๋ยวสิ จะทำอะไร” ผมถามออกมา

        “กูรู้ว่ามึงกับไอ้ลี กูเห็นว่ามึงกับมันเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมธุรกิจกัน”

        มันเริ่มเอาหน้ามันมาซุกไซที่คอของผม ผมพยายามขัดขืนมันแต่ไม่จริงจังนัก

        “รู้ได้ไง”

        “ก็รู้ เพราะกูรู้ว่าไอ้ลีแม่งเป็นเกย์ แล้วกูเองก็กำลังเป็นเสียด้วย”

        “ทำไม”

        มันเอาหน้าออกจากคอของผม มองตาด้วยแววตาหื่นกระหายก่อนที่จะดึงผมให้ลุกขึ้น แล้วโยนผมลงไปที่ฟูกที่นอนใกล้ ๆ มันครอมมาบนตัวผมก่อนที่จะค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อของมันและของผมออก

        “กูเคยเอาผู้ชาย ไม่ใช่เอาสิ ขมขื่นต่างหาก และมันก็สนุกมากด้วย”

        พอมันพูดจบ อะไรบางอย่างในหัวผมก็แทบร้องออกมา คืนนั้น เรื่องนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้น

        “ที่ทำให้มึงเข้าคุกเหรอ”

        มันดูชะงักกับคำถามของผม ผมไม่พูดอะไรต่อก่อนที่จะดึงคอมันมาประกบปาก มันเองก็ดูเคลิ้มจนกระทั่งที่เสื้อผ้าของมันก็ถูกมันเองถอดออกไปจนหมดเหลือแต่ผม

        “กูว่าเราควรจะคุยกันก่อนนะ”

        “เรื่องอะไร” มันพยายามที่จะถอดกางเกงของผมออก

        “เรื่องที่มึงบอกว่ามึงเข้าคุกเพราะผู้ชาย”

        “กูยังไม่ได้พูดเลย”

        ผมค่อย ๆ หยิบสิ่งของที่อยู่ใกล้ตรงฟูก โชคดีที่ผมกับลินวางสิ่งของที่จำเป็นไว้ข้าง ๆ กรณีฉุกเฉินแบบนี้ มันกำลังง่วนกับการถอดกางเกงของผมอย่างทุลักทุเล

        “แต่กูรู้ เพราะกเป็นสาเหตุที่มึงเข้าคุกไง”

        มันเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับที่ผมฟาดท่อเหล็กขนาดพอเหมาะเข้าไปที่หัวของมันอย่างจัง มันกระเด็นออกจากตัวผมพร้อมกับร้องอย่างเจ็บปวด มันพยายามที่จะจับหัวที่เลือดไหลของตัวเองไว้พร้อมกับพยายามที่จะคลานหนี

        ผมไม่รอให้เสียเวลา ผมฟาดท่อนเหล็กซ้ำเข้าไปอีกครั้งที่สองแล้วตามาครั้งที่สาม สี่ เรื่อย ๆ จนมันแน่นิ่ง ผมตกใจมากรีบจับมันขึ้นมาเช็คชีพจร มันยังหายใจ ผมโล่งอกก่อนที่จะค่อย ๆ ลากร่างของมันไปมัดไว้ที่เก้าอี้


        เสียงจิ้งหรีดร้องเสียงดังสร้างความเงียบเหงาที่น่าวังเวงให้กับที่นี่มากขึ้น แสงไฟเล็ก ๆ จากเปลวเทียนที่ผมจุด มันช่วยทำให้ที่นี่ไม่มืดจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สว่างมากนัก

        มีดหรืออะไรดี คราวนี้รันถามผมถึงอุปกรณ์ที่จะใช้แก้แค้น เรายังไม่ได้ตกลงอย่างเป็นทางการว่าแบบไหนที่เราจะทำกันแน่ ทรมานหรือฆ่า แต่สิ่งที่ต้องทำก่อนเลยก็คือทำให้มันได้รู้ถึงสิ่งที่ทำกับผมก่อน ผมค่อย ๆ หยิบมีดที่เตรียมไว้ออกมา มันคือมีดเล่มเดิมที่เคยใช้ไปแล้วกับไอ้ลี แต่คราวนี้ผมจะใช้มันสำหรับงานนี้อีกครั้ง

        ต้องรอมันตื่นก่อนนะ

        เพราะคราวนี้รันอยากให้ผมได้ลงมือที่จะล้างแค้นเอง เพราะเขาอยากให้ผมได้ลิ้มรสชาติของคราวเลือด บาดแผลเหวอะวะ เพื่อให้ผมได้ชินและลิ้มรสของความแค้นในเวลาที่มีดคม ๆ นั้นกรีดแทงลงไปบนผิวหนังของพวกมัน

        มันทำเราด้วยมีด ด้วยไอ้นั้นของพวกมัน เราก็จะทำมันคืนบ้าง

        ผมยิ้มออกมาพร้อมกับนั่งรอภายในความมืดที่แสงไฟนั้นส่องเข้าไม่ถึง ผมนั่งอยู่อย่างนั้น นั่งลงตรงเข้าชิดบนเก้าอี้อีกตัวตรงกันข้ามกับไอ้แมน ผมนั่งมองอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักอย่าง ร่างกายที่โชกเลือดของมันที่สมควรตายไปแล้วจากการโดนทุบโดยท่อเหล็ก ยังคงนั่งนิ่งเพราะโดนมัดติดกับเก้าอี้ เห็นเพียงแต่เงาที่กระทบจากแสงของเทียนที่สอดส่องให้ทอดเห็นเงาของมัน กำลังขยับเขยื้อนไปมา

        สักพักไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ร่างกายของไอ้แมนก็ขยับ มันมองไปรอบ ๆ ห้องก่อนที่จะพยายามดิ้นหนีออกจากเก้าอี้

        “ปล่อยกู”

        มันตะโกนดังลั่น เมื่อเห็นผมเดินออกมาจากความมืด หน้าของมันที่ปูดบวมจากการโดนทุบ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้นไปอีก

        “ปล่อยกูไอ้สัด มึงต้องการอะไร”

        “ชีวิตกูไง”

        ผมพูดตอบมันไป มันพยายามที่จะดิ้นไปมาจนเก้าอี้ที่มันนั่งล้มลงไปกับพื้น ตอนนี้มัมกำลังนอนตะแคงข้าง แม้ว่าตัวจะถูกมัดติดก็กับเก้าอี้ แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามที่จะค่อย ๆ คลานโดยสภาพแบบนั้นเพื่อหนีเอาตัวรอด ผมตัดสินใจวิ่งไปหยิบอุปกรณ์ชิ้นแรก เปิดฝาแล้วสาดใส่มันทันที

        “โอ๊ย”

        มันร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และดิ้นขลุกขลักอยู่ตรงนั้น ผมสวมถุงมือแล้วจับหัวมัน ให้อยู่นิ่ง ๆ มันกำลังดิ้นทรมานไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว แต่ผมก็รู้ดีว่า มันจะต้องจดจำคำสั่งเสียนี่ที่ผมจะมอบให้มันไปจนถึงนรกแน่นอน

        “นี่คือหนี้ที่มึงติดกูไว้ ตอนนี้ไอ้ลีไปรออยู่แล้วที่เหลือก็จะตามไป อีกไม่นานแน่นอน แต่ขอให้มึงจำไว้เลยว่า ชีวิตของมึงต่อให้ไปเกิดใหม่อีกสิบชาติกูจะตามไปฆ่ามึงทุกชาติ”

        ผมหยิบมีดที่สอดเอาไว้ตรงกางเกงออกมา เดี๋ยวก่อน เสียงของรันห้ามของผม

        เปลี่ยนแผนดีกว่า


        ผมรีบวิ่งออกมาด้วอย่างกระเซอะกระเซิง ถอดเสื้อผ้า ถอดหนวด วิกผม และใส่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้บนรถก่อนที่จะรีบวิ่งไปตรงที่เดิมที่จากมา ตอนแรกมันเป็นกระท่อมเล็ก ๆ สกปรกตรงป่าใหญ่ แต่ตอนนี้มีเพียงเปลวไฟที่ลุกโชนเต็มไปทั่วทั้งหลังแทน มันทำให้ที่นี่ที่มืดมิดกลับสว่างไสวเพราะเปลวไฟที่กำลังเผาที่นี่อยู่ ผมโยนทุกอย่างที่เกี่ยวกับมันไปบริเวณกองไฟมหึมานั้น
มันค่อนข้างร้อน เพราะผมต้องมันใจว่าทุกอย่างที่ผมโยนเข้าไปจะมอดไหม้ไปพร้อมกับบ้านและร่างของไอ้แมน ผมยืนยิ้มอยู่อย่างนั้นก่อนที่จะเดินออกมา

        โดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนแอบมองผมอยู่ตั้งแต่แรก

        ผมรีบขับรถไปตรงสถานที่เตรียมไว้ เพื่อไปเจอกับลิน มันเป็นม่านรูดเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้บ่อยนัก ผมเดินเข้าไปข้างใน ภายในกลับว่างเปล่า ผมโทรหาลินทันที แต่ลินก็ยังคงไม่รับโทรศัพท์ผม ผมรู้สึกแปลก ๆ เลยตัดสินใจที่จะออกมาจากที่นั้น

        “พี่จะไปไหน”

        ลินเดินมาพร้อมกับถุงกับข้าวมากมาย

        “พี่นึกว่าลิน…ช่างเถอะ ไปไหนมา”

        “ผมไปซื้อของ เข้าไปข้างในก่อน”

        ลินลากผมไป เข้าข้างในก่อนที่จะล็อคประตู

        “เด็กพวกนั้นจะคิดว่ามันแปลก ๆ”

        ผมพยักหน้าก่อนที่จะนั่งบนเตียง ลินวางของก่อนที่จะเดินมาหาผมพร้อมกับปัดอะไรบางอย่างมาให้ผม

        “ขี้เถ้าน่ะ” ลินปัดแล้วก็พูดไปพร้อมกับมองหน้าผม

        “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ”

        “ใช่”

        “ทางนี้ก็เช่นกัน”

        “พี่กลัว”

        “ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวพี่ก็จะผ่านไป…พี่รัน”

        ลินเดินเข้ามากอดผม แล้วเราสองคนก็ยืนกอดกันเงียบ ๆ


        ข่าวของมันดังกว่าที่คิด แต่ทุกอย่างถูกตัดสินว่าเป็นคดีฆ่าอำพรางศพ มันเป็นเพียงข่าวเล็ก ๆ เพราะถูกตีความว่าเกี่ยวกับเรื่องค้ายา แต่คราวนี้ในข่าวบางช่องก็พูดถึงผมในแง่ของคดีข่มขืนที่พวกมันทำมา ถึงแม้ว่าข่าวที่ลงเกี่ยวกับผมเพียงนิดเดียว แต่นั้นก็หมายความว่าหลายคนอาจสังเกตเห็นมันได้

        คุณธาราโทรมาเกี่ยวกับสิ่งที่ผมทำ พร้อมกับบอกให้ผมระวังตัวมากกว่านี้ เพราะเธอคงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากถ้าข่าวมันดังเกินไป ผมรับปาก พร้อมกับนั่งมองข่างบนจอโทรทัศน์ที่มีนักข่าววิเคราะห์เกี่ยวกับการตายของมัน พร้อมกับโยงไปที่ไอ้ลีเหยื่อคนล่าสุด

        ติ๊ด

        เสียงมือถือผมดังขึ้น เมื่อดูเป็นเบอร์ของพี่ไม้โทรมา ผมรับทันที

        “ฮัลโหลครับ”

        “ทำอะไรอยู่”

        “ก็ไม่ได้ทำอะไรมากครับ นั่งเล่นนอนเล่นนี่แหละครับ”

        “พี่ว่าจะชวนไปกินข้าวด้วย”

        “เหรอครับ”

        “ว่างมั้ย”

        “ก็ว่างนะครับ เดี๋ยวเราออกไปเจอกันที่ไหนดี”

        “พี่ว่าพี่ไปรับรันดีกว่า”

        “ไม่ดีกว่าครับ เราไปเจอกันที่นัดดีกว่า”

        “ก็ได้ครับ งั้นเจอกันที่….นะครับ”

        “ครับ”

        ผมวางสายแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวทันที


        “สวัสดีครับ” เสียงพี่กิตต์ทักผมขึ้นทันทีเมื่อเจอหน้า ผมแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นพี่เขาแทนที่จะเป็นพี่ไม้ที่นัดกันไว้

        “สวัสดีครับ พี่กิตต์ก็มาทานข้าวเหมือนกันเหรอครับ”

        “ใช่ครับ”

        “อ้าวคุณหมอ รัน” พี่ไม้เดินยิ้มมา วันนี้พี่ไม้แต่งตัวดูดีกว่าปกติ ผมมองไปที่พี่ไม้ยิ้ม ๆ

        “สวัสดีครับคุณไม้ นัดกับ….รินเหรอครับ” พี่ไม้ดูแปลกใจนิดหน่อยก่อนที่จะพยักหน้า

        “ดูสับสนนะครับ ทำไมต้องมีหลายชื่อก็ไม่รู้ทั้ง ๆ ที่เป็นคนเดียวกัน”

        ไอ้หมอเหี้ย สาระแน เสียงของรันด่าออกมา จนผมเกือบเผลอที่หลุดพูดออกมาจริง ๆ

        “ไปกันเถอะครับพี่ไม้” ผมไม่สนใจคำพูดของพี่กิตต์ เหมือนกับที่รันสั่งไว้ ไม่สิผมเริ่มที่จะเป็นเหมือนรันต่างหาก ผมอาจจะกลายเป็นรันโดยสมบูรณ์สักวัน…แล้วถ้าถึงวันนั้นผมจะเป็นตัวเองไหมนะ

        “ทำไมรันถึงเดินหนีหมอกิตต์ล่ะ”

        “เขาเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ พี่ไม้ก็อย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่านะครับ”

        “อืม” แล้วเราสองคนก็หาเรื่องอื่นคุยกัน

        พี่ไม้กำลังเลื่อนขั้น เงินเดือนเยอะขึ้น พี่ไม้ดูมีความสุขมากแม้ว่างานจะหนักขึ้น ผมดีใจกับพี่ไม้ได้เจอสิ่งดี ๆ ผมชื่นชมและรับฟังอย่างมีความสุข

        “แล้วรัน หาที่เรียนได้หรือยัง”

        “ผมสมัครไปแล้วครับ” ผมโกหก ผมไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

        “มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้นะ”

        “ครับ”

        “เออ รัน”

        “ครับ”

        “รู้มั้ย สองคนที่เพิ่งออกจากสถานพินิจตายแล้ว ตายยกครัวทั้งสองครอบครัว”

        พี่ไม้พูดแล้วมองหน้าผมนิ่ง ๆ ผมเองพยายามคงบคุมน้ำหนักมือไม่ให้สั่นออกมา ผมก้มหน้านิดหนึ่งก่อนที่จะเงยหน้ามาแล้วมองหน้าพี่ไม้ พร้อมกับยิ้มให้อย่างปกติ

        “เหรอครับ”

        “ลูกชายตายที่อื่น แต่พ่อแม่ตายคาบ้านทั้งคู่”

        พี่ไม้เลือกที่จะเงียบต่อแล้วนั่งทานข้าวต่อไป หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นไปเรื่อย ๆ บรรยากาศอึดอัดกว่าตอนแรกมาก จนผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

        “รันคงเหนื่อย พี่ว่าเรากลับกันดีกว่า เดี๋ยวพี่ไปส่ง”

        “ไม่เป็นไรครับ พี่ไม้กลับเถอะ เดี๋ยวผมกลับเอง”

        “ทำไมไม่อยากให้พี่รู้ที่อยู่ของรัน รันปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า”

        “ไม่มีอะไรทั้งนั้น!” ไม่รู้สึกตัวเหมือนตอนนี้ทุก ๆ อย่างกำลังดำเนินภายใต้คำสั่งของ “รัน“ จริง ๆ

        “หยุดยุ่งกับกูสักที!” รันดึงมืออกจากพี่ไม้แล้ววิ่งหนีออกไป แต่ไม่ทันพี่ไม้คว้าไว้ก่อนที่จะจับตัวไว้ หลายคนมองมาทางพวกเราด้วยสายตาที่แปลกใจ

        “ใจเย็นก่อน ๆ ไปที่รถพี่”

        “ไม่ ปล่อย ปล่อยสิวะ!” รันยังคงขัดขืนไม่ฟังอะไรทั้งนั้น สักพักคนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ก็เดินมาหยุดที่ตรงหน้าพวกเรา รันดิ้นหลุดจากพันธนาการของพี่ไม้

        “เพราะมึงที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้”

        “ใจเย็นสิ…รัน”

        รันยืนมองหน้าพี่กิตต์อยู่อย่างนั้น สักพักหนึ่งพี่ไม้ก็เดินมาจับแขนของ “ผม”

        “รัน ฟังก่อนพวกพี่จะไม่ได้มาทำร้าย พวกพี่ต้องการช่วย…ริน”

        ผมหันไปมองพี่พี่ไม้

        “โกหก”

        “พี่พูดจริง ๆ เราไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันดีกว่า”

        ผมหันไปมองทั้งสองคนพร้อมกับคำสั่งในหัวบอกว่า อย่าไป





        กลับมาต่อแล้วครับ เย้ ๆ ขอโทษที่หายไปนานมากนะครับ พอดีว่าติดโปรเจกค์บาง ติดวันหยุดบ้าง(อันนี้ไม่น่าเกี่ยว 5555) แต่ว่าก็ไม่ได้หยุดไปเฉย ๆ นะครับ ก็ไปเขียนเรื่องนี้ให้จบเลย อีกประมาณสองตอนก็จบแล้วครับ อาจจะดูรวบรัดไปบ้างแต่ก็วางเรื่องไว้แบบนี้แล้ว แฮะ ๆ ตอนนี้ก็มาลุ้นกันว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นยังไงต่อไป ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 21 4/17/18
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 17-04-2018 23:42:05
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 27-05-2018 01:24:37
บทที่ 22
       



        ผมนั่งรถมากับพี่ไม้ พี่กิตต์ โดยนั่งอยู่ตรงเบาะหลังพร้อมสายตาของพี่กิตต์เฝ้ามองผมมาเป็นระยะ ผ่านกระจกมองหลังราวกับกลัวว่าผมจะหนีไป ซึ่งผมอาจจไม่ใช่แต่คนในหัวของผมไม่แน่ เมื่อผมมาถึงบ้านของพี่กิตต์ตัวผมก็ถูกพามาที่ห้องของพี่เขา ทั้งสองนั่งมองหน้าผมอยู่อย่างนั้น

        ริน ฟังเราต้องหนี ไม่ต้องสนใจพวกมัน

        “ไม่ต้องฟังเสียงในหัวให้มาก เพราะนั้นมันเป็นแค่บุคลิกหนึ่ง รินต้องฟังพี่เข้าใจไหม”

        “ครับ” ไม่ ผมกับรันเราพูดพร้อมกันมีแต่ผมเท่านั้นที่ได้ยินรัน

        แกไม่มีทางหนีฉันได้หรอกริน เราเป็นคนเดียวกัน ฉันอยู่ในหัวแก อยู่ในความคิดแก และฉันรู้ว่าแกอยากจะเป็นฉัน

        “รินตั้งสติแล้วฟังพี่ ทุกอย่างแก้ไขได้”

        พวกมันจะจับแกเข้าคุก

        “พี่จะช่วยรินเอง” พี่ไม้พูดออกมา

        อย่าไปฟังมัน

        “ช่วยด้วย” นี่คือเสียงผม

        “ใครก็ได้ช่วยด้วย” แกมันอ่อนแอรินนภัทร ฉันผิดหวังในตัวแกจริง ๆ

        ผมรู้สึกราวกับร่างกายในตอนนี้ของผมแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง มีบางอย่างกำลังบังคับความรู้สึกของผมแต่ผมพยายามต่อต้านมัน จนผมรู้สึกเหนื่อย

        จนสุดท้ายสายตาของผมเริ่มจะเห็นไม่ชัด เสียงเรียกของคนทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้าก็แทบจะจับใจความไม่ได้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร ผมได้ยินแต่เสียงวิ้ง ๆ ภายในหู ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะค่อย ๆ ดับลงไป

         
        ที่พื้นที่ผมเหยียบไม่ได้นุ่ม แต่ก็ไม่ได้แข็งจนเกินไป ความรู้สึกเหมือนกำลังเหยียบพื้นอะไรสักอย่าง ผมจำไม่รู้ว่าจะเรียกมันยังไงดี รอบ ๆ กายมีเพียงความมืดเท่านั้น น่าแปลกที่ผมเองก็รู้สึกว่าผมยังมองเห็นหนทางข้างหน้าได้อยู่ ผมเดินไปตรงไปข้างหน้า ตรงไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับที่กลุ่มก้อนที่เหมือนหมอกสีเทาค่อย ๆ โผล่ออกมา

        กลุ่มก้อนนั้นเหมือนเมฆแต่เหมือนเมฆสีเทามากกว่า เมฆสีเทาที่จะปรากฏทุกครั้งในเวลาฝนตก แต่มันไม่ได้จับกลุ่มกันแต่มันเป็นก้อนที่กระจัดกระจายไปทั่ว มีแสงแวบ ๆ ที่ทำให้นึกถึงสายฟ้าในยามฝนตก สักพักกลุ่มก้อนนั้นก็ไม่ได้แสดงอะไรให้เห็นนอกจาก ฟ้าผ่าแต่สักพักก็เปลี่ยนกลับเป็นภาพที่ผมคุ้นเคย

        ภาพอดีตของผมตั้งแต่เด็ก จนโต ทั้งเหตุการณ์ร้ายและเหตุการณ์ดี ๆ มันถ่ายทอดออกมาทั้งหมด มันฉายสวนเวียนไปเรื่อย ๆ ไม่จบสิ้น ถึงแม้ว่าผมพยายามที่จะหันหน้าหนีแต่ว่ากลุ่มก้อนพวกนั้น ก็ไม่ได้มีแค่กลุ่มก้อนเดียวแต่มันมีหลายก้อนและแยกออกไปตามแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

        ผมวิ่งหนีอย่างสุดแรงเกิด

        แม้จะรู้ดีว่าหนีไม่พ้น สักพักเสียงที่ผมเองก็คุ้นเคย เสียงร้องของผมก็ดังขึ้น มันดังมากเหมือนไม่ได้ดีงมาจากรอบ ๆ แต่ดังมาจากในหัวของผมอีกที มันเป็นเสียงที่ทรมานสลับไปมาจนผมเองต้องเอามือขึ้นปิดหูของตัวเอง

        “เห็นมั้ยว่าเธอไม่สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง”

        ผมหันไปมองร่างสีเทาเป็นกลุ่มก้อนที่ค่อย ๆ มารวมกันมีขนาดเท่ากับผม ทุกอย่างดูเจือจางเหมือนหมอก แต่ใบหน้ากลับเป็นใบหน้าของคนที่ผมคุ้นเคยที่สุดมาทั้งชีวิต…เพราะมันคือตัวผม

        “รัน” ผมรู้ดีว่านั้นคือใคร คนที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผมช่วงนี้มากที่สุด

        “ฉันผิดหวังจริง ๆ อีกสามคนเองริน แค่สามคน ทำไมถึงยอมแพ้”

        ผมไม่ตอบนอกจากพยายามที่จะหาลู่ทางหนี

        “ตอนนี้แกอ่อนแอมาก ต่อให้แกพยายามหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น สุดท้ายฉันก็เป็นคนที่ต้องออกมาเป็นแกอยู่ดี ไม่ใช่สิ ฉันต่างหากที่เป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์”

        ผมไม่สนใจนอกจากเดินหนี แต่ว่าร่างกลุ่มก้อนเมฆของรันก็ยังคงตามมา

        “ฮ่า ๆ”

        เสียงหัวเราะของเขาก็ไล่ตามหลังมา แต่ผมก็เดินออกไป เดินไปเรื่อย ๆ แม้จะรู้สึกว่าตัวเองเดินวนไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุดก็ตาม

        “แกหนีไม่พ้นหรอก แกมันอ่อนแอ”

        ทุกอย่างกลายเป็นเลือด เป็นชิ้นเนื้อ มันเหมือนกับระเบิดตู้มออกมา แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นเลือด ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลง

        ในตอนนั้นผมภาวนาว่าขอให้ผมเป็นตัวเองที

 
        “ริน” เสียงของพี่ไม้ปลุกผมให้ตื่นขึ้น เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าผมยังอยู่ที่บ้านเดิมของพี่กิตต์

        “รินเป็นไงบ้าง” เสียงพี่ไม้ยังคงถามผม

        ผมดูเหมือนไม่ได้สนใจคำถามนั้น นอกจากอยากพูดในสิ่งที่อยากทำมากที่สุด ผมมองไปที่พี่กิตต์แล้วพูดว่า

        “ช่วยรินด้วย รินไม่อยากฆ่าคนแล้ว”

        ผมถูกพี่กิตต์พาไปวินิจฉัยที่โรงพยาบาลและรักษาด้วยวิธีของเขา ทุกอย่างถูกเก็บเป็นความลับไว้ แต่ผมเองก็ต้องกินยาเพื่อกดบุคลิกรันเอาไว้ แม้จะรู้ดีว่ามันยากแต่ผมก็จะพยายามทำ

        “รันจะกลับมาอีกไหม”

        “ขึ้นอยู่กับริน ถ้ารินมีใจที่สู้ รินก็จะสู้ต่อไปได้”

        “ผมกลัว”

        “ไม่เป็นไรหรอก” พี่กิตต์พร้อมกับยิ้มให้ผม

        ผมถูกบังคับให้อยู่บ้านเดียวกับพี่กิตต์ ตอนนี้ผมติดต่อกับลินไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าลินคงรู้ว่าผมไปไหน ผมในตอนนี้ไม่ได้ข่าวอะไรเกี่ยวกับเขา บางทีเขาจะไปอยู่กับคุณธาราแล้วก็ได้

        ผมถูกห้ามดูทีวีหรือสื่ออะไรก็ตามที่อาจกระตุ้นความรุนแรงในตัวผม ผมถามพี่กิตต์ถึงสิ่งที่ผมเป็นนั้นคืออะไร พี่กิตต์พูดถึงโรคหลายบุคลิก มันเป็นเหมือนกลไกป้องกันตัวของมนุษย์ที่เวลาเจอเรื่องร้าย ๆ กับตัวเองในอดีต ก็มักจะสร้างตัวตนอีกตัวหนึ่งที่แตกต่างจากบุคลิกดังเดิม “รัน” คือสิ่งที่ผมสร้างขึ้น เพื่อแก้แค้นคนที่ทำร้ายผม

        “รินรู้สึกตัวไหมตอนที่รันอยู่”

        “รู้บ้างไม่รู้บ้าง รันมักบอกกับผมว่า ไม่จำเป็นต้องรู้”

        “ปกติคนเป็นโรคนี้ บุคลิกต่าง ๆ จะไม่รู้จักกัน แต่ว่าของรินกับรันอาจเป็นกรณีที่พิเศษ”

        “ยังไงครับ”

        “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องรอผลต่อไป”

        ผมไม่ได้พูดอะไรกับพี่กิตต์ต่อเลยตัดสินใจเดินออกมา ก็พบว่าพี่ไม้นั่งรออยู่

        “วันนี้พี่ว่า พี่จะพารินไปเที่ยว”

        “ผมไปได้เหรอ”

        “ไปได้สิ พี่ถามหมอแล้ว เขาบอกว่าไปได้”

        ผมหันไปมองพี่กิตต์ที่ยืนยิ้มอยู่ตรงห้องทำงานเขา ผมยิ้มตอบก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับพี่ไม้

 
        เราสองคนเดินทางมาที่ตลาดแห่งหนึ่งที่ขายของทั่วไป ผมเองในตอนแรกก็กลัวแต่ว่าพี่ไม้ก็ยื่นมือมาจับมือผมแล้วเดินไปด้วยกัน แม้มันจะดูแปลก ๆ แต่ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เราสองคนเดินซื้อของนั้นนี่ แล้วก็เดินมาพักที่สวนแห่งหนึ่ง แถวนั้นมีผู้คนมากมายกำลังนั่งเล่นกันอยู่ เราสองคนนั่งตรงม้านั่งแห่งหนึ่ง ในมือก็ถือของพะรุงพะรัง แล้วเราสองคนก็พูดกันเรื่อยเปื่อยทั่วไป

        บางทีผมก็คิดว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ผมเจอ มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย ผมอยากให้เป็นอย่างนั้นบางทีชีวิตของผมเองก็คงมีความสุขมาก ๆ

        “แล้วรินตัดสินใจที่จะเรียนต่อไหม”

        “ไม่รู้สิ ตอนนั้นรินโกหกพี่ แต่ตอนนี้รินก็อยากกลับไปใช้ชีวิตธรรมดาแล้วสิ”

        “พี่ยินดีช่วยเหลือรินทุกอย่าง รินมีอะไรก็บอกพี่ได้”

        “ขอบคุณจริง ๆ ขอบคุณพี่ไม้ที่รับผมได้ คนที่มีชีวิตเหลวแหลกอย่างผม”

        “พี่รับได้ พี่เข้าริน รินห้ามคิดมาก พี่…พี่รักรินนะ”

        ผมโอบกอดพี่ไม้ทันที เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรนอกจากนั่งกอดกันอย่างนั้น ผมเองก็ร้องไห้ จนผมเองก็ไม่ได้ทันสังเกตอะไร ผมผละออกจากพี่ไม้ พร้อมกับที่พี่ไม้ยิ้มให้ผมทั้งน้ำตา

        “ผมก็รัก…”

        มีเสียงบางอย่างที่ผมคุ้นเคย มันเป็นเสียงของอาวุธขนาดเล็ก ที่มีอนุภาพทำลายล้างสูง มันสามารถส่งลูกตะกั่วด้วยระยะความเร็วที่มาก มากพอที่จะทำให้คนตรงหน้าของผมนั้น มีเลือดไหลออกมาช้า ๆ มือของผมที่จับหลังเข้าอยู่ก็สัมผัสถึงเลือดได้ กระสุนนั้นมันเฉียดมือผมไป นิดเดียวแต่กลับไปโดนพี่ไม้แทน

        “…พี่ไม้”

        ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่าสติของผมไม่เหลืออีกแล้ว ไม่เหลือต่อไปแล้ว ไม่มีอีกแล้วรินนภัทรคนเดิม

 
        ร่างของพี่ไม้ถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที ผมเดินตามอย่างนิ่งเฉยเพราะผมไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด ผิดกับรินที่ช็อคไปเลย ผมยืนมองมองร่างของเขาที่ถูกพากเข้าไป ก็ได้แต่ภาวนาว่าเขาจะรอดในฐานะเพื่อนร่วมโลก

        “รินเป็นอะไรหรือเปล่า”

        เสียงของหมอโรคจิตที่ผมชิงชัง แต่ทำไงได้ตอนนี้ผมอยู่กับเขาดังนั้น สิ่งที่ผมจะทำคือเล่นละคร

        “พี่ไม้ ฮึก พี่ไม้” สมบทบาทชะมัด

        หมอนั้นถือวิสาสะเข้ามากอด แม้ตัวผมจะขัดขืนแต่สุดท้ายผมก็ยอม

        เรานั่งรอกันนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนผมขอตัวเข้าห้องน้ำ ในห้องน้ำท่ามกลางไฟมืดสลัว ผมเห็นตัวเองในกระจก กำลังร่ำไห้ เพียงแต่คราวนี้เสียงร้องนั้นไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอ แต่มันคือความแค้น

        “ฉันจะจัดการให้เองริน ไม่ต้องห่วงฉันทำได้แน่”

        ในคืนนั้นรินก็รู้ว่า พวกสามคนที่เหลือออกจากคุกแล้ว แต่ไม่มีใครบอกรินเพระกลัวว่าตัวของรัน ซึ่งก็คือผมในตอนนี้จะออกมา แต่นั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าพวกมันก็รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเพื่อนมัน แล้วพวกมันเองก็ตามล่าผมเหมือนกัน

        เสียงมือถือของผมดังขึ้น พร้อมกับเบอร์ที่คุ้นเคย

        “สวัสดีครับคุณธารา”

        “สวัสดีค่ะ ฉันคิดว่าคุณคงพักผ่อนเพียงพอแล้ว พร้อมหรือยังครับสำหรับการทวงหนี้”

        “ผมพร้อมแล้วครับ”

 
        พวกมันรู้จักผมได้ ผมเองก็รู้จักพวกมันได้เช่นกัน แม้ว่าความปลอดภัยจะรักษาหนาแน่นแต่ก็คงไม่มีใครสังเกต ขอทานผอมกะหร่องที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้า ขาด ๆ กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ถังขยะที่เหม็น ผมยกมือพนมขอเงินไปด้วย พร้อมกับชำเลืองพวกมันไปด้วย ผมกำลังอยู่ที่แถว ๆ ที่ทำงานของพวกมันที่เปิดผับบังหน้า แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้วก็คือค้ามนุษย์

        ผมสังเกตพวกมันอยู่นานจนสามารถที่จะส่งสัญญานไปยังคนอื่น ๆ ที่สังเกตพวกนี้เช่นกัน ตอนนี้เขามีข้อมูลว่าไอ้ทิดและไอ้มิ่งมันกำลังกบดานที่นี่ ภายใต้อาณัติของพ่อแม่พวกมัน ตอนนี้เหลือแค่ผมคนเดียวที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เพื่อให้ทุกอย่างมันจบเสียที

        “พี่รันตรงนั้นเป็นยังไงบ้าง”

        “ยังคงปกติเช่นเดิม”

        ผมค่อย ๆ กระซิบกับเครื่องเสียงที่ติดอยู่ตรงหู พวกมันมองมาทางผมเล็กน้อย แต่คงไม่ใส่ใจมากเพราะคงคิดว่าบ้า ผมเดินผ่านพวกมันไป ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกดำเนินตามแผน ผมซ่อนตัวตรงช่องที่เคยมาดูลาดราวไว้ แล้วคอยเสียงสัญญาน

        ปัง

        ผมรีบเดินอ้อมไปทางหลังร้านที่รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดแต่ตอนนี้ ทุกอย่างกำลังวุ่นวาย มีเพียงเสียงปืนและเสียงกรี๊ดร้องของผู้คนที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงจะดูแปลกเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครสังเกตขอทานอย่างผม จนทำให้ผมลอบที่จะขึ้นไปชั้นบนได้

        ตรงโถงที่จะนำพาผมไปสู่พวกมัน มีบอดี้การ์ดสองคนกำลังยืนเฝ้าอยู่ ผมหยิบเครื่องเล็ก ๆ ที่แอบเก็บเอาไว้ โยนเข้าไป มันส่งเสียงดังตู้มพร้อมกับควันที่โม่งโฉงเฉง ผมใส่แว่นตาที่เตรียมมา หยิบมีด แล้วแอบแทงไปที่ท้องของพวกมันตรงจุดไม่สำคัญนัก เพราะผมไม่ได้หวังให้พวกนี้ตาย คนที่ผมหวังให้ตายคือคนที่อยู่ภายในห้องนั้น

        ผมรีบเปิดประตูเข้าไปทันที

        ห้องนี้มีเพียงไฟสลัว ๆ ที่คอยนำความสว่างเท่านั้น ผมปิดประตูแล้วค่อย ๆ ย่อง น่าแปลกที่พวกมันหนีออกไปได้อย่างเงียบเฉียบ ผมเดินไปที่ประตูอีกบานที่อยู่ในห้อง ก็ไม่พบอะไรนอกจากเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ ที่กำลังฉายไปที่จอผ้าใบใหญ่ที่บนนั้นกำลังฉายภาพหนังเรื่องหนึ่ง หนังที่ผมนั้นเป็นผู้แสดง

        ใบหน้าที่ทรมานแตกต่างจากใบหน้าของผู้ชายอีกสี่ “ตัว” ที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ตัวของผมนั้นก็เปื้อนเลือด ใบหน้าของผมบ่งบอกได้ว่าผมคงจะตายในไม่ช้า ตรงเครื่องฉายมีซองจดหมายกำลังเสียบเอาไว้ ผมหยิบมันขึ้นมา แล้วเปิดอ่าน

        ‘ยินดีด้วยนะจ๊ะ นางเอกของพวกเราที่ได้ดังเป็นนักแสดงทางเน็ตเสียที’

        มีเสียงข้อความเข้าที่มือถือของผม มันเป็นข้อความของหมอกิตต์ที่สงเข้ามาถามว่า

        “เกิดอะไรขึ้น”

        ผมกรีดออกมาสุดเสียง ก่อนที่ตัวของผมจะถูกล็อคไว้จากด้านหลัง เสียงกระซิบที่หูผมยังคงจำมันได้ดี เสียงที่ทำให้ผมตายทั้งเป็น เสียงของคนที่พยายามเข้ามาหาผมก่อน เสียงของคนที่ขับแท๊กซี่ในคืนนั้น เสียงของไอ้เหี้ยทิด

        “สวัสดีจ๊ะ จำผัวตัวเองได้ไหม”
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 27-05-2018 01:25:51
บทที่ 23




        ผมถูกไอ้ทิดเอาปืนจ่อมาที่หลังของผม พร้อมกับล็อคคอผมไว้อย่างแน่นหนา มันทำให้ผมหายใจไม่ค่อยสะดวกนัก ผมพยายามดิ้นและส่งเสียง แต่ว่ามันก็ขู่ผมไว้

        “เงียบ ๆ นะ ถ้าส่งเสียงหรือว่าดิ้นอีกละก็...รับรองว่าปืนนี้ได้ลั่นแน่”

        ผมนิ่งอยู่อย่างนั้น มันพยายามที่จะลากผมไปอีกห้องหนึ่งก่อนที่ผมจะถูกผลักลงเตียง เสียงกรี๊ดและความวุ่นวายทั้งหลายยังคงดังลั่นมาถึงข้างบน ไอ้ทิดมันดูลาดราวข้างนอก ก่อนที่จะปิดประตูและลงกลอน

        มันมองผมด้วยแววตาอาฆาตแค้นผมอย่างหนัก ในมือของมันก็ยังคงถือปืนชี้มาที่ผม

        “ไม่คิดว่ามึงจะโง่ขนาดนี้”

        “…”

        “ไม่คิดจะทักทายผัวหน่อยเหรอจ๊ะที่รัก”

        มันพูดพร้อมกับเอาปืนกระบอกนั้นมาเขี่ยที่หน้าของผม แล้วไล่ลงต่ำไปเรื่อย ๆ จนหยุดที่อยู่ที่จุดกึ่งกลางของผม

        “น่าแปลกนะที่พวกนั้นเสือกโง่ปล่อยให้มึงฆ่าพวกมันได้อย่าง่ายดาย แต่ก็ช่างมันตอนนี้กูจะชดใช้ให้พวกมันเอง”

        ในเวลานั้นอยู่ ๆ ดีก็เสียงดังตู้มตรงหน้าห้องจนไอ้ทิดตกใจ หันกระบอกปืนไปที่ประตู เพราะมีคนพยายามจะพังเข้ามา ผมใช้โอกาสนั้นถีบมันและขึ้นคร่อมมันไว้ ผมพยายามแย่งปืนจากมัน มันเองก็พยายามต่อต้านผมไปมา จนมันสามารถพลิกกลับให้ผมไปนอนลงพื้น มันใช้มืออีกข้างบีบคอผมพร้อมกับจ่อปืนมาที่ขมับของผม

        “ฤทธิ์เยอะนักนะมึง”

        เสียงประตูยังคงดังไปเรื่อย ๆ ผมเองก็เริ่มหายใจไม่ออกพยายามที่จะหามีดที่ซ่อนไว้ตรงกางเกง ผมคว้ามันได้ก่อนที่จะแทงเข้าไปที่คอมัน

        “อ๊ากก”

        มันพลั้งทำปืนหล่น ผมรีบหยิบปืนขึ้นมาก่อนที่จะยิงไปที่ขาของมันทันทีโดยไม่ลังเล ประตูก็พังเข้ามาทันที

        “พี่รัน”

        ลินวิ่งมาหาผม ด้วยสภาพที่เลือดโชกมาหมาย

        “ไม่ใช่เลือดของผม เลือดคนอื่น”

        “ช่วยพี่ได้ไหม”

        ผมชี้ไปที่ร่างของไอ้ทิดที่กำลังนอนร้องอย่างทรมาน มือข้างหนึ่งของมันก็กำไปที่คอที่เลือดไหลจากมีด อีกข้างก็จับขา

        “มึงฆ่ากูเถอะ”

        “เมื่อกี้เห็นปากเก่งนักนี่ ทำไมไม่ปากเก่งต่อไปล่ะ”

        มันดูไม่สนใจที่ผมพูดนอกจากร้องโอดครวญ ผมเดินเข้าไปใกล้มัน ก่อนที่จะนั่งตรงข้างหน้ามัน ดึงผมมันขึ้น

        “บอกมาว่าไอ้สองตัวไปที่ไหน”

        “กูไม่บอก”

        ลินพยายามจะเข้ามาช่วย แต่ผมห้ามไว้ ตอนนี้ผมคิดว่าจะปิดบัญชีไอ้นี่ให้เร็วกว่าคนอื่นเสียหน่อย ผมดึงมีดที่ปักจากคอก่อนที่จะแทงมันลงไปที่กลางลำตัวของมัน มันร้องเสียงหลงอย่างทรมาน

        “จะบอกกูไหม”

        “ไม่บอก”

        ผมก็แทงซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมันแน่นิ่ง

        “อย่าเพิ่งตาย!”

        มันค่อย ๆ ที่จะหลับตาลงแล้วยังคงเงียบปากอยู่อย่างนั้น เลือดสีแดงกระจายไปรอบพื้นและไหลออกจากบริเวณที่ผมแทงย้ำ ๆ

        “เดี๋ยวกูจะพาเพื่อนมึงที่เหลือตามไปอยู่กับมึงเอง อีกไม่นาน”


        ผมกับลินออกจากห้อง เราไม่จำเป็นต้องเก็บกวาดอะไรมากเพราะตอนนี้ ทุกอย่างเองก็กำลังจะถูกเก็บกวาดโดยคนจากองค์กรณ์อยู่แล้ว เราสองคนแค่เดินออกจากหลังร้านแบบเงียบ ๆ เดินผ่านศพมากมายที่นอนเกลื้อนบนพื้น ผมไม่รู้ว่าขณะที่เดินอยู่นั้นผมเหยียบพื้นหรือศพกันแน่

        รองเท้าของผมที่ถึงแม้มันจะขาด ๆ เหมือนรองเท้าขอทานที่ใส่ทั่วไป จากสีขาวของมันก็กลายเป็นสีแดงจากเลือดที่อยู่บนพื้น

        เราสองคนเดินไปที่รถที่จอดไว้ บริเวณรอบ ๆ ที่วุ่นวายตนไม่ได้สังเกตเห็นเราสองคนที่เดินออกมา ผมเดินไปเปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งที่คนขับ ลินเองก็นั่งข้าง ๆ ผม

        “พี่กลัวเหรอ”

        “ไม่ พี่แค่รู้สึก…รู้สึกอยากหลุดพ้นจากเรื่องนี้สักทีต่างหาก”

        “ถ้าพี่ไม่ไหว ปล่อยให้ป้าธา…”

        “ไม่ พี่จะจัดการพวกมันด้วยมือของพี่เอง”

        ผมสตาร์ทรถแล้วขับออกมา

        “พี่แวะไปล้างตัวที่ห้องก่อนไหม ผมว่าพวกนั้นคงหนีไปไหนไม่ไกลหรอก”

        “…”

        “พี่รัน”

        “เงียบ!”

        ผมจอดรถ แล้วทุบไปที่พวงมาลัยรุนแรงจนผมรู้สึกเจ็บมือ ผมร้องไห้ออกมา ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ ผมไม่เคยอ่อนแอ ผมเป็นรัน ไม่ใช่ริน ทำไม ทำไมทุกอย่างมันถึงเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ทำไมผมถึงอ่อนแอ

        “พี่รัน ผมว่าผมขับรถให้เองดีกว่า”

        “พี่ไม่เป็นไร…พี่ไหว พี่ว่าเรากลับห้องก่อนดีกว่า”

        ผมขับรถกลับมาที่หอของผม โดยผมพยายามเช็ดเลือด และอะไรหลายอย่างเปลี่ยนเสื้อผ้านิดหน่อย แล้วทิ้งมันไว้ในรถ เตรียมไปทำลาย เมื่อเช็ดความเรียบร้อยผมก็เดินเข้าหอทันที

        เพียงแค่ก้าวเดียวที่ผมเหยียบเข้าหอพัก ร่างสูงของผู้ชายที่ผมคุ้นตา ใส่แว่นหนา แต่งตัวภูมิฐาน กำลังนั่งรอตรงบริเวณล็อบบี้ เมื่อเขาเห็นผมก็รีบเดินมาหาก่อนที่จะชะงักเมื่อคนข้างกายผม เหมือนโลกทุกอย่างหยุดนิ่งอย่างนั้น นานหลายนาทีก่อนที่ผมจะทักเขา

        “หมอกิตต์”

        หมอนั้นพยายามขอคำอธิบายจากผม แต่ผมไม่ได้ตอบนอกจากบอกให้ลินขึ้นไปก่อน แล้วลากหมอกิตต์ออกมาคุยตรงที่นั่ง

        “หมายความว่าไง”

        “ก็ตามที่เห็น”

        “แต่คนนั้นมันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้ว…”

        “เขาเป็นน้องชาย น้องชายของไอ้ลี”

        “แล้วคุณรู้จักเขาได้ไง”

        “เรื่องมันยาว”

        “รันเกี่ยวกับอะไรกับการตายของพวกนั้นใช่มั้ย”

        เสียงของเขาเหมือนกับกระซิบ ใบหน้าที่โกรธจัดของเขาทำให้ผมรู้สึกถึงความน่ากลัวจากผู้ชายคนนี้ได้ตั้งแต่ครั้งแรก

        “มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย”

        “เกี่ยวสิ ผมเป็นหมอ ผมต้องดูแลคนไข้”

        “คุณเป็นแค่คนรักษา ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาก้าวก่ายชีวิตคนอื่น”

        “…”

        “ผมมาไกลเกินกว่าที่จะหยุดแล้ว”

        “มันหยุดได้ เพียงแค่คุณจะหยุด”

        “ขอโทษด้วยนะ ผมไม่หยุดครับคุณหมอ”

        หมอกิตต์จ้องหน้าผมอย่างนั้นสักพักก่อนที่จะตัดสินใจเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ผมเห็นแผ่นหลังที่สั่นไหวของเขาแล้วก็นึกสงสาร แววตาที่เขามองผม ก็เหมือนตอนมองริน ทั้งอบอุ่น แล้วก็รู้สึกถึงความปลอดภัย ขอโทษนะที่รินคนเดิมอาจกลับมาไม่ได้อีกแล้ว

        มือถือของผมสั่น ผมหยิบขึ้นมาดู มีข้อความและสถานที่บางอย่างที่ผมต้องไป ไม่งั้นคลิปที่มันมีจะถูกปล่อยลงเน็ต มันปล่อยออกมาบางส่วนแล้ว ผมได้แต่เก็บความแค้นนี้แล้วกลับขึ้นไปบนห้อง

 
        “เขาเป็นหมอที่รักษาพี่เหรอ”

        “เคยนะ”

        “พี่จะไปไหน”

        “ไปทำให้ทุกอย่างมันจบ”

        “ผมไปด้วย”

        “นายรออยู่นี่แหละ มันเริ่มที่พี่ ก็ต้องจบที่พี่”

        ผมพูดแล้วเดินออกมา ธาราโทรมาบอกถึงจุดหมายที่ไอ้สองตัวนั้นมันกลบดานที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง มันโทรมาหาธาราพร้อมกับจับลูกสาวของเธอเป็นตัวประกัน ผมตอบรับ พร้อมกับมุ่งตรงไปยังจุดหมายทันที ที่บ้านร้างหลังนั้น

        บ้านร้างที่ทำให้ชีวิตผมนั้นตกนรกทั้งเป็น
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: ๋ื๋Jinnapat ที่ 27-05-2018 01:27:34
บทที่ 24




        สภาพของมันยังคงคุ้นเคยอยู่ในความทรงจำ ภาพเก่า ๆ ที่ผมโดนกระทำเริ่มเข้ามาในหัวสมอง ทำไมผมต้องแยกรินกับรันด้วย ก็ในเมื่อเราทั้งสองนั้นเป็นคนเดียวกัน

        รันคือริน

        รินก็คือรัน

        รินก็แค่เจ็บปวดเกินไปจนต้องสร้างผม และผมเองก็ต้องทำหน้าที่รับความเจ็บปวดพวกนั้นเอาไว้คนเดียวเพื่อให้รินมีชีวิตรอด ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้วก็ในเมื่อรินและรันต่างก็ได้รับความเจ็บปวดพอ ๆ กัน ดังนั้นตอนนี้เราสองคนก็กลายเป็นคนเดียวกันโดยสมบูรณ์แล้ว

        “เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ” 

        ไม่ต้องมีใครที่ต้องรับความเจ็บปวดเพียงคนเดียวอีกต่อไป

        ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปในทางเดินบ้านหลังนั้นด้วยเส้นทางอีกเส้นทาง ผมเพิ่งรู้ว่าเรากลัวขนาดไหนในยามที่รู้ว่าภัยอันตรายกำลังจะอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่สิ ความกลัวที่เราต้องฆ่าต่างหาก ถ้าจะบอกว่าผมนั้นเก่งใช่ไหมถึงกล้ามาที่นี่คนเดียว ผมก็ตอบได้เลยว่าไม่ ผมแค่อยากให้ทุกอย่างมันจบเท่านั้นเอง

        บ้านหลังเดิมที่ดูทรุดโทรมผมเพิ่งได้เห็นมันเต็มตาในวันนี้ เพราะมันยังคงสว่างที่ทำให้เห็นได้ว่าสภาพที่นี่น่ากลัวกว่าที่คิดแม้ในเวลากลางวันก็ตาม ผมเดินไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะหยุดที่ประตูหน้าบ้าน ผมเคาะประตู รอคอยเจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ

        เพียงไม่กี่อึดใจ ประตูบานนนั้นก็เปิดออก พร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคิดถึงมันมาตลอด คิดถึงในแง่ที่ว่า ผมจะทำยังไงให้มันตายอย่างทรมานดี ผมจะทำยังไงให้มันได้รับความเจ็บปวดที่ผมมีส่งไปถึงมันได้มากที่สุด

        “สวัสดีครับเมียสุดที่รัก เข้ามานั่งก่อนสิครับ”

        มันผายมือผมไปที่โต๊ะอาหารสุดหรูที่ดูขัดแย้งกับสภาพของบ้าน ตรงกลางมีอาหารมากมายวางอยุ่ดูน่ากิน ผมมองไปรอบ ๆ ก็เจอกับคนชื่อมิ่งกำลังยืนคุมเชิงอยู่ตรงข้างหลังของลูกสาวคุณธารา เธอกำลังโดนมัดปาก มัดมือ หน้าตาดูไม่ได้เพราะเต็มไปด้วยน้ำตา ผมเผ้ายุ่งเหยิง สายตาของเธอกำลังเว้าวอนของความช่วยเหลือ แต่ผมก็ไม่ได้ตอบเธออะไรลับไป

        “อาหารอร่อยมาก นี่ให้เชฟดังทำให้เลยนะ ถือว่าเป็นการบำรุงก่อนที่จะเล่นหนังเรื่องใหม่ไง”

        “หนัง”

        “ใช่”

        มีดเล็ก ๆ ที่ไอ้มิ่งถือค่อย ๆ จี้ไปที่คอของหญิงสาว

        “ให้เล่นเป็นอะไร”

        “หลายอย่าง แต่เริ่มด้วยการทรมานจากนั้นก็มีเซ็กซ์ จากนั้นก็…ฆ่า!”

        มันจับหน้าผมแล้วตบ จนผมหล่นลงไปที่พื้น

        “เหมือนที่มึงทำกับเพื่อนกู อีชั่ว!”

        “มึงควรโทษตัวเองก่อนดีกว่านะ ไอ้โรคจิต”

        ผมลุกขึ้นนั่งแล้วปัดผมของตัวเอง

        “เพราะพวกมึงมันชั่วไง”

        สักพักเสียงยิงของปืนก็ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง ทำให้ไอ้มิ่งที่กำลังจ้อมีดอยู่ล้มลง

        “โอ๊ย”

        “ไอ้มิ่ง”

        ผมใช้โอกาสนั้นแย่งมีดจากมันมาแล้วก็แทงมีดไปที่ขาของมัน ก่อนที่จะมีคนบุกเข้ามา คุณธาราเดินเข้ามาพร้อมใครหลาย ๆ คนก่อนที่คนบางคนจะใช้สันปืนตีไปที่หน้าของพวกกระจอกทั้งสอง

        “ที่เหลือคุณจัดการเองนะคะ”

        แล้วพวกเขาก็เดินออกไป เหลือแต่ร่างของพวกมันสองคนที่กำลังนอนแน่นิ่ง แต่ไม่ได้ตายอยู่บนพื้น ผมลากพวกมันไปนอนกองกันก่อนที่จะใช้เชือกแถวนั้นมัดมันไว้ติดเก้าอี้ ผมวางกล้องวีดีโอของไอ้หมีที่ในนั้นยังคงมีคลิปของผมอยู่ ผมลบมันทิ้งก่อนที่จะตั้งไว้ตรงที่มันเคยตั้งในวันนั้น

        “เรามาเริ่มถ่ายหนังจริง ๆ ดีกว่า”

     
        อาวุธที่เตรียมมาดูท่าจะไม่ได้ใช้ ผมรู้แต่ว่าที่พวกมันมีก็มีเพียงพอแล้ว ที่จะจัดการได้ทันเวลาก่อนที่พวกตำรวจจะมา เครื่องทรมานที่มันเคยทรมาน”เหยื่อ”ของมันที่ผ่านมา

        ผมพบว่ามีอุปกรณ์มากมายจนผมเองตัดสินใจหยิบมีดหมอมาอันนึง

        “ตื่นแล้วเหรอ” เมื่อผมเดินออกมาผมก็พบว่าไอ้หมีกำลังตื่นแล้วจ้องหน้าผมยังโกรธแค้น

        “มึงร่วมมือกับพวกนั้นเหรอ”

        “ก็ใช่ นึกว่าจะรู้ตั้งนานเสียอีก”

        “มึง…”

        “มึงมันโง่ มันประมาทคิดว่าคนอย่างกูทำอะไรไม่ได้ ที่มึงขู่ว่าจะปล่อยคลิปกู กูไม่ได้กลัวสักนิด เพราะสุดท้ายกูก็จะมาที่นี่ มาเพื่อฆ่ามึงและมึง”

        ผมชี้ไปที่ไอ้มิ่งที่กำลังนอนสลบไสลอยู่

        “มึงทำไม่ได้หรอก”

        “เพื่อนมึงที่ตายก็ฝีมือกูทั้งนั้น”

        ผมหยิบมีดขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปหาไอ้มิ่ง

        “มึงอย่าทำอะไรไอ้มิ่ง”

        “แหมรักเพื่อนจริงนะ ไม่เป็นไรหรอกมันไม่เจ็บปวด…แค่ตอนนี้นะ”

        ผมใช้มีดกรีดลงไปบนแก้มมัน น่าแปลกที่มันแหลมคมพอที่จะกรีดลึกเข้าไปมากกว่านั้น จนถึงริมฝีปาก

        “ไอ้เหี้ย”

        เสียงของไอ้หมียังคงดังอยู่อย่างนั้น ผมไม่ได้สนใจนอกจากกรีดอีกข้าง จนสภาพของไอ้มิ่งกลายเป็นหนุ่มปากฉีก ที่เหมือนกับสาวปากฉีกในตำนานของญี่ปุ่น ไอ้หมีร้องอย่างโหยหวนและทรมาน ราวกับเป็นมันซะเองที่โดนกรีด

        ผมเดินไปหยิบอาหารที่ดูมีสีจัดจ้านมากที่สุด หยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปหาร่างของไอ้มิ่งที่แน่นิ่ง

        “มึงจะทำอะไร”

        “เล่นนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง”

        “มึงมันโรคจิต”

        “ไม่เท่ามึงหรอก”

        ผมพูดยิ้ม ๆ ก่อนที่จะพยายามปลุกไอ้มิ่งขึ้นมา มันสะลึมสะลือก่อนที่จะตกใจและพยายามร้องอย่างเจ็บปวด ผมเทอาหาใส่ปากของมันทันที จนมันร้องแกมาเสียงหลงอย่างทรมาน ปากของมันที่ถูกฉีกกว้างก็พะงาบ ๆ ออกอย่างน่าเวทนา มันเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย ผมเดินไปหยิบกระจกขึ้นมาก่อนที่จะส่องไปที่หน้าของมัน มันดูตกใจสุดขีดที่เห็นสภาพตัวเองเป็นอย่างนั้นและส่ายหัวไปมา

        “ฮ่า ๆ”

        ผมบ้าสุด ๆ ไปแล้ว ผมหัวเราะกับภาพตรงหน้า ผมขำกับอาการหวาดกลัวที่ปากของมันที่กว้าง ผมเดินไปหยิบมีดก่อนที่จะไปหาไอ้หมีที่พยายามดิ้นหนี คราวนี้ผมเดินไปหากล้องแล้วหยิบมันขึ้นมา แพนไปที่ตัวมันที่กำลังกลัวสุดขีด

        “ใจเย็น ๆ เดี๋ยวมึงจะได้โดนสิ่งที่โหดร้ายกว่านั้น”

        ผมหยิบยาชาที่เตรียมไว้ ก่อนที่จะเดินไปแล้วฉีดให้กับมัน มันดูอึกอักก่อนที่จะแน่นิ่ง ส่วนไอ้มิ่งดูเหมือนจะสลบไปนานแล้ว ผมหยิบเลื่อยที่นำมาจากห้องทรมาน แล้วเล็งไปที่ขาของมันก่อนที่จะหั่นช้า ๆ

        ด้วยความที่ยาชาเพิ่งฉีด และยังไม่ได้ออกฤทธิ์ดีจึงทำให้มันทรมานกว่าที่เป็น แม้มันพยายามดิ้นขนาดไหน แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นใบมีดของเลื้อยที่ผมกำลังเลื้อยมันช้า ๆ เลือกของมันไหลทะลักออกจากต้นขา มันกระเด็นใส่หน้าของผม และไหลลงเต็มพื้น เสียงของมันพยายามร้องแต่ร้องไม่ออกเพราะติดยาชาทำให้ผมเลื้อยขามันอย่างง่ายดาย

        และตอนที่ยากที่สุดก็คือตอนที่มันเลื้อยถึงกระดูก ผมไม่สามารถที่จะทำได้ถึงขั้นนั้นจึงหยุดเลื้อยและหันมาหั่นต่ออีกข้าง แม้ไอ้หมีพยายามจะดิ้นแต่ก็หมดแรงเสียแล้ว เพราะมันกำลังจะตายในไม่ช้า

        “กูจะไม่สั่งเสียอะไรกับพวกมึง กูไม่ต้องการคำขอโทษจากพวกมึง”

        ผมพูดต่อไปเรื่อย ๆ แม้คนที่ฟังเริ่มที่จะหมดสติลงแล้วก็ตาม

        “กูแค่อยากให้พวกมึงตาย ตายเท่านั้น ตาย ตาย ตาย”

        ในหัวและคำพูดมีแต่คำว่า ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย! ตาย!

 
        ร่างภูมิฐานของผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาภายในบ้านอย่างเงียบเฉียบ เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากข้างนอกนานแล้วแต่เขาก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะเข้ามาตอนไหนดี แต่หลังจากที่ทุกอย่างเงียบมานานจนเขาคิดว่าเป็นเวลาที่ดีพอที่จะเดินเข้าไป

        ภายในบ้านที่โกโรโกโสตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดที่กระจายไปทั่วทุกที่ น่าแปลกมันควรจะเป็นภาพชินตาสำหรับเขาถ้าไม่ติดตรงที่ว่า สาเหตุที่เลือดเหล่าเปรอะผนังและกระจายไปทั่วเป็นฝีมือของคนที่กำลังนั่งคุดคู้กอดเข่าอยู่มุมห้อง เด็กผู้ชายวัยยี่สิบที่ผ่านเรื่องเลวร้ายมากมาย มันทำให้เขารู้เห็นใจคนนั้นมากกว่าศพสองศพที่โดนฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

        “ริน” รัทชาติเรียกและเขย่าตัวของรินนภัทร

        รินนภัทรทำเพียงเงยหน้ามองขึ้นมา ด้วยแววตาเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ถูกปลุกจากที่นอนในยามเช้า รัทชาติสังเกตว่าอาจจะเป็นเรื่องผิดปกติเขาจึงตัดสินใจที่จะอุ้มเด็กคนนั้นออกมา

        อีกสักพักพวกตำรวจคงมาถึง แต่นั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงที่ยืนรอเขาอยุ่ตรงรถเก๋งสีดำ เธอยิ้มให้กับเขาพร้อมกับเปิดประตูด้านหลังให้ เขาวางของรินนภัทรใส่เบาะหลังก่อนที่จะมาสนทนากับผู้หญิงตรงหน้า

        “คุณจะทำยังไงต่อไป”

        “อันนั้นเป็นหน้าที่ของฉัน คุณแค่ไปส่งรินนภัทรให้ถึงมือหมอก็พอ”

        รัทชาติพยักหน้า จากทุกอย่างที่ผ่านมาเขาควรที่จะไว้ใจผู้หญิงคนนี้ได้แล้ว ถ้าไม่มีเธอรินนภัทรคงทำภารกิจไม่สำเร็จ เขาก็เช่นกัน

        มีเรื่องบางเรื่องที่ตำรวจธรรมดาอย่างเขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้เลยสักนิด การที่เขาจะเล่นสายมืดที่เขาเคยเกลียดเพื่อทำลายมัน มันก็คุ้มไม่ใช่เหรอ แต่มันก็แลกมากับเด็กบริสุทธิ์อย่างรินนภัทร ถึงแม้ตาของรัทชาติเพ่งไปที่ถนนแต่ในบางครั้ง เขาก็จะเหลือบมองไปที่รินนภัทรเพียงแค่เสี้ยววิ เพื่อพูดคำว่า “ขอโทษ”

        การเป็นตำรวจของเขาในครั้งนี้ มือของเขาไม่ได้ใสสะอาดเลยสักนิด ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องที่เขาควรจะทำคือการพารินนภัทรกลับไปหาคุณหมอกฤษณะ เขาเหยียบคันเร่ง ขับผ่านรถตำรวจมากมายที่กำลังมาถึง เขาไม่ได้สนใจพวกนั้น เพราะกว่าพวกนั้นจะรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง เขาเองก็อาจจะไม่อยู่ที่นี่รวมถึงเด็กที่อยู่ข้างเขา

        ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงที่เดินทางมาถึงบ้านของหมอกฤษนะ เขาอุ้มร่างของรินนภัทรที่ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งเฉย ๆ ไม่มีความรู้สึก ไม่รู้สึกตัวกับอะไรทั้งนั้น

        “คุณตำรวจ! ริน!” หมอกฤษณะเดินมา

        “คุณหมอช่วยด้วยคุณรินหน่อยครับ”

        หมอกฤษณะพารินไปที่เตียง อาการของรินนภัทรเหมือนไม่รู้สึกตัวอะไรแล้ว เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบสนอง นอกจากนั่งเหมอลอยไปเรื่อย ๆ

        “เขาอาจจะอยู่ในโลกส่วนตัวของเขาไปแล้วครับ” กฤษณะตอบ ตอนนี้เขากำลังน้ำตาไหลออกมา สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดได้เกิดขึ้นจนได้

        “รินเคยเป็นแบบนี้ตอนสมัยเด็ก ๆ แต่เขาก็หายในระยะเวลาไม่นาน แต่นี้อาจไม่มีโอกาส”

        กฤษณะพูดจบก็หันมามองตำรวจหนุ่ม

        “ผมอยากให้คุณตำรวจเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังได้ไหมครับ”

        รัทชาติพยักหน้าก่อนที่กฤษณะจะพาตำรวจหนุ่มไปที่ห้องรับแขก เมื่อทั้งสองนั่งลงรัทชาติก็เล่าทันทีตามฉบับของตำรวจหนุ่มที่ทำอะไรค่อนข้างรวดเร็วและรวบรัด

        “ตามจริงผมกำลังจับพวกนั้นอยู่แล้ว ยิ่งตอนที่ผมช่วยรินจากเหตุการณ์ที่หอก็ยิ่งทำให้ผมอยากจับพวกนี้มากขึ้น แต่ไม่สำเร็จพวกมันมีแบ็คที่ใหญ่เกินไป หัวหน้าของผมก็มีส่วนเขาจึงโยกย้ายผมไปมาหรือไม่ก็พยายามทำให้ผมอยู่ห่างจากเรื่องพวกนี้มากที่สุด จนสุดท้ายผมได้เจอคุณธาราเธอยื่นข้อเสนอเรื่องหนึ่งให้ผม และแน่นอนเรื่องของรินเธอก็รู้เพราะผมแอบจับตารินอยู่”

        “คุณรู้เรื่องนี้มาตลอด แล้วทำไมปล่อยให้รินเจอเหตุการณ์นั้น”

        “มันเป็นสิ่งที่ผมให้อภัยตัวเองไม่ได้เลย ผมพยายามไปช่วยแต่ทุกอย่างก็สายไป ถึงแม้ผมจะไปเร็วกว่าตอนที่คุณไม้โทรบอกผมก็ตาม แต่ไม่ทัน จากนั้นผมพยายามเฝ้าดูรินอยู่ห่าง ๆ จนรู้ว่าเขามีอาการทางจิตที่มีโรคหลายบุคลิกตามที่คุณบอก”

        “หมายความว่าไงครับ”

        “คุณธารารู้เรื่องนี้ ผมเองก็เลยตัดสินใจที่จะให้รินแก้แค้นโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นเพราะมันจะทำให้งานเราสะดวกแล้วพวกนั้นก็ตายแทนที่จะเข้าคุก”

        “คุณหลอกใช้ริน พวกคุณทุกคน”

        “จะว่าไปผมก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็อยากขอโทษริน ผมรู้สึกผิด ผมมันทำอะไรไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่เป็นตำรวจแท้ ๆ”

        “คุณควรจะเป็นอย่างนั้น” กฤษณะลุกขึ้นทันทีเพราะไม่สามารถรับฟังอะไรต่อได้อีกแล้ว ความโกรธของเขามากพอที่ฆ่านายตำรวจตรงหน้า

        “ผมขอโทษ”

        “คำนี้คุณควรจะพูดกับรินมากกว่านะครับ”

        “ผมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยรินมากที่สุดหลังจากนี้”

        “ถึงทำรินก็อาจกลับมาไม่ปกติ…”

        ไม่ทันที่กฤษณะจะได้พูดจบ เสียงมือถือของผู้กองรัทชาติดังขึ้น เจ้าตัวรับสายก่อนที่จะทำหน้าแปลกใจ

        “ครับ” จบคำของรัทชาติก็วางสาย

        “ผมต้องกลับไปที่สน. ตอนนี้เหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคดีนี้”

        “คุณจะจับรินเข้าคุกเหรอ”

        “ไม่ครับ ไม่มีทางเป็นแบบนั้นเพราะคนที่ทำสารภาพหมดแล้ว”

        “หมายความว่าไง”

        “เดี๋ยวผมกลับมาใหม่ ขอให้ผมได้ทำหน้าที่ส่วนนี้นะครับ”

        รัทชาติก็เดินออกไปทิ้งไว้แต่กฤษณะที่กำลังยืนคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา บางทีทุกอย่างมันอาจจะเกินความคาดหมายของเขามากเกินไป แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถทำใจยอมรับเรื่องราวทุกอย่างได้แน่นอน

        เขาเดินกลับมาหารินทั่งนั่งตรงมุมห้อง แววตาของรินไม่ได้มีความหวาดกลัว ความกังวล แววตาของรินเหลือเพียงแต่ความบริสุทธ์เรื่องราวทุกอย่างในตอนนี้ไม่สามารถเข้าไปถึงรินได้และรินเองก็คงไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

        กฤษณะเอื้อมมือไปช้าเพื่อลูบหัวริน รินไม่ได้หนีหรือหวาดกลัว มีแต่ทำหน้าสงสัยแล้วก็ยิ้ม

        ยิ้มอยู่อย่างนั้น ยิ้มราวกับเด็กเล็กที่ไม่ประสา

 
        รัทชาติเดินเข้ามาในสน. ก็พบความวุ่นวายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือไม่ก็ตำรวจที่พยายามจะทำข่าว

        “ผู้กองครับทางนี้”

        นายตำรวจที่ยสน้อยกว่าเขา พาเขาเดินไปที่ห้องขัง ในตอนนั้นที่เขาได้ยินว่ามีฆาตกรที่สารภาพความผิดเขาก็ได้แต่แปลกใจ แต่ไม่เท่ากับคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

        “นาย…”

        “ครับ”

        เด็กหนุ่มคนนั้นฝาแฝดของหนึ่งในคนที่ข่มขื่นรินนภัทรที่ชื่อ "ลิน" คนตรงหน้าคือลูกชายคนเดียวที่รอดชีวิตจากฆาตกรรมยกครัวบ้านของตัวเอง เด็กคนนั้นหน้านิ่งและไม่ตอบคำถามอะไรที่นอกเหนือจากการฆาตกรรม เมื่อพูดถึงแรงจูงใจคนทำเด็กคนนั้นตอบเพียงว่า

        “เพื่อช่วยเขาครับ”

        คนอื่นไม่อาจรู้ความหมาย บางคนอาจคิดว่าหมายถึงเหยื่อที่กำลังโดนไปค้ามนุษย์แต่สำหรับรัทชาติเขารู้เหตุผลนั้น เด็กคนนี้ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนที่เหลือแต่ความว่างเปล่าในจิตใจ

        “เรียบร้อยแล้วครับ”

        การสอบสวนเป็นไปอย่างเรียบง่าย ระดับของฆาตกรต่อเนื่องที่อาจลงทุนฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง สารภาพอย่างง่ายดายรวมถึงหลักฐานที่เด็กคนนี้พยายามโยงเข้าหาตัวเอง ไม่มีร่องรอยของรินไปเกี่ยวข้องเลย ต่อไปก็เป็นกระบวนการตามกฎหมายให้ทำหน้าที่ต่อไป

        เขาถามคนอื่นว่าเจอเด็กคนนี้ที่ไหน ทุกคนพูดว่าเด็กคนนั้นกำลังนั่งข้าง ๆ ศพทั้งสองในบ้านร้างและในมือของเขาถืออาวุธทุกชิ้นด้วยมือเปล่า รัทชาติได้แต่พยักหน้าแล้วเดินหลบมุมไปที่แห่งหนึ่ง เขาโทรหาธาราแต่เจ้าตัวไม่รับสาย

        บางทีทุกอย่างมันควรจะจบแล้วตรงนี้

        .

        .

        .

        หนึ่งปีผ่านไป

        ทุกอย่างในโลกยังคงดำเนินต่อไป ชีวิตมนุษย์กลับมาเป็นสงบสุขอีกครั้ง ถึงแม้ ว่าความสงบนั้นไม่ได้อยู่เป็นนิรันดร์แต่ ณ ตอนนี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้ใครหลายคนได้พักหายใจ เพื่อต่อสู้อะไรหลาย ๆ อย่าง

        คดีสะเทือนขวัญที่ใหญ่โตถูกขุดคุ้ย เด็กที่สารภาพว่าตัวเองฆาตกรอย่าง ลิน มีใครหลายคนที่พยายามจะช่วยเหลือเพราะว่าข่าวลือเรื่องเด็กคนนั้นถูกทารุณกรรมและถูกกลุ่มค้ามนุษย์ที่ใหญ่โตและอื้อฉาวที่สุดในเมืองไทยจะนำไปขาย ดังนั้นเขาจึงลุกมาแก้แค้น แน่นอนเด็กคนหนึ่งที่เคยตกเป็นเหยื่อจริง ๆ กลับไม่ได้ถูกกล่าวถึง มีเพียงชื่อปรากฎเล็ก ๆ ว่าเคยมีคดีเรื่องข่มขืนซึ่งเป็นหนึ่งในคดีย่อย ๆ ของพวกที่ตายไปแล้วเท่านั้น ตอนนี้ลินกลายได้ถูกตัดสินให้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งแน่นอนมันอาจจะดูโหดร้ายแต่เจ้าตัวกลับยิ้มแล้วยอมรับสภาพโดยไม่ปริปากใด ๆ ทั้งสิ้น

        รัทชาติเดินทางมาเยี่ยมลินบ่อย ๆ จนหลายคนแปลกใจ แต่สำหรับเขาการมาเยี่ยมก็เพื่อที่จะทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เขาเองก็รู้สึกผิด ถ้าเรื่องทุกอย่างเขาทำเต็มที่คนบริสุทธ์ทุกคนคงไม่ต้องมีชะตากรรมแบบนี้ ธาราก็ฝากเขามาเยี่ยม เธอไม่สามารถมาได้เพราะกำลังถูกตามล่าจากหลายฝ่าย แต่เขาเองก็เริ่มมีแบ็คที่ใหญ่พอที่จะช่วยเหลือเธอ รวมถึงคนตรงหน้า อย่างน้อยสิ่งที่เขาทำมันก็มีประโยชน์ มันทำให้เขาได้รู้ว่าอำนาจมันก็ดีเหมือนกัน

        ส่วนโลกอีกด้าน ชายหนุ่มคนหนึ่งหลังจากที่รักษาร่างกายเป็นปกติ วีรภัทรกลับมาทำงานและใช้ชีวิตปกติ เขาไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างแน่ชัด รู้แต่เพียงว่าตอนนี้รินได้จากไปไกลแสนไกลแล้วพร้อมกับหมอกฤษณะ เขาไม่ได้ข่าวในตอนที่เขาฟื้นมีแค่รัทชาติกับจดหมายจากกฤษณะเท่านั้น ที่บอกว่าจะพารินไปพักผ่อน เขาไม่ได้ความหมายของข้อความนั้นเท่าไหร่ แต่เขาก็มั่นใจได้ว่ารินอาจไม่กลับมาแล้ว

        น่าแปลกที่ชีวิตมนุษย์คนเรานั้นซับซ้อนบางทีก็ดีบางทีก็โหดร้าย แต่ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่มีใครคาดเดากับมันได้ อย่างเช่นตอนนี้ที่กฤษณะกำลังนั่งอ่านหนังอยู่ตรงชิงช้าที่สวนหลังบ้าน ที่แสนสงบ เขาตัดสินใจมาที่นี่เพราเขาอยากจะพัก บางทีการที่เขาเกษียนตัวเองก่อนวัยมาก ๆ ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เขามีเงินมากพอที่จะเลี้ยงตัวเองและคนข้าง ๆ ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ข้างเขา

        ร่างบางไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการนั่ง กฤษณะชอบมองแววตาของรินนภัทรในตอนนี้ มันว่างเปล่าแต่ก็มีความสุข...ความสุขในโลกของเขา

        รินนภัทรไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ เขาจึงต้องทำหน้าที่ในการดูแลเจ้าตัวทุกอย่าง เขาไม่รู้ว่ารินนภัทรกำลังเดินทางไปที่ใดแต่เขาก็เฝ้ารอสักวัน วันที่รินนภัทรจะกลับมา แต่ทว่าอีกใจหนึ่งของเขาก็ต้องการให้รินนภัทรเป็นอย่างนี้ต่อไป เพื่อที่ว่าร่างบางจะไม่ต้องนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่ตัวเองถูกกระทำและรวมถึงที่ตัวเองกระทำ

        “รินพี่อยากรู้ว่าตอนนี้รินกำลังคิดอะไรอยู่” กฤษณะกล่าวพร้อมกับที่ป้อนข้าวรินนภัทร

        “พี่อยากรู้ว่ารินเป็นยังไงบ้าง” ดูเหมือนแววตาของรินนภัทรจะขยับมองมาที่เขา แวบนั้นหัวใจของเขาเต้นแรง แต่ว่าทุกอย่างก็เป็นเพียงการคิดไปเองเท่านั้น รินนภัทรยังคงสงบนิ่งบนรถเข็นเช่นเดิมเหมือนทุกวัน

        “รินฝันว่ารินอยากเปิดร้านกาแฟ” กฤษณะพูดเรื่องเดิมอีกครั้ง เขาชอบมักเล่าในสิ่งที่ร่างบางเคยบอกเมื่อตอนที่ยังรักษาตัวกับเขา เขาเองถึงจะหยุดงานเป็นหมอแต่ว่าเขาก็ยังคงที่จะรักษารินนภัทรต่อไป ในแบบของเขา

        “รินบอกว่ารินอยากเรียนให้จบ เรียนให้สูง รินอยากที่จะทุกอย่างด้วยตัวเองมากที่สุด” ชายหนุ่มก็ยังคงเล่าต่อไป ในช่วงหนึ่งที่เขาต้องเก็บจานที่ซิงค์ ตอนนั้นที่เขามักจะปล่อยให้รินนภัทรอยู่ตามลำพังปกติ แต่ว่าคราวนี้เมื่อเขากลับมากลับไม่เห็นรินนภัทรนั่งอยู่บนรถเข็นเช่นเดิม

        “ริน!” เขาร้องตะโกนวิ่งหาไปทั่วบ้าน “ริน!

        ห้องนอน ห้องน้ำ หน้าบ้าน ไม่มี  เขารีบวิ่งเข้าไปตรงป่าหลังบ้าน เขาเห็นรอยเท้าที่คุ้นเคยอยู่บนโคลน กฤษณะรีบวิ่งตามก่อนที่จะเจอรินนภัทรยืนอยู่ที่เหว

        “ริน” รินนภัทรหันมาแล้วยิ้มให้กับเขา

        “ขอบคุณนะครับพี่กิตต์”

        “จะทำอะไร อย่านะ พี่ขอร้อง”

        “ยังไงมันก็ลบล้างความจริงไม่ได้อยู่ดีว่าผมเป็นฆาตกร” รินมองไปที่เบื้องล่างที่ห่างกันหลายเมตรเป็นน้ำทะเลที่ลึกพอสมควร รินนภัทรกำลังจะก้าวขา

        “หยุดนะริน พี่ขอร้อง”

        “ขอโทษนะครับพี่กิตต์” ไม่ทันที่จะโดดลงกฤษณะรีบวิ่งอย่างรวดเร็วไปคว้ารินนภัทรเอาไว้

        “หยุดนะ คิดว่าแค่โดดลงแล้วทุกอย่างมันจะจบหรือไง”

        “ปล่อยผม” รินนภัทรตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง

        “ริน ฟังพี่รินต้องอยู่ ตอนนี้รินไม่ต้อง...”

        “ผมรู้ดี แต่ผมไม่อยากอยู่แล้ว ผมไม่อยากอยู่กับความทรงจำบ้า ๆ แบบนี้อีก” รินนภัทรกล่าวพร้อมกับร้องไห้ ในตอนนี้จิตใจของเขาไม่ไหวแล้ว เขาไม่อาจทนได้เมื่อนึกถึง

        “พี่กิตต์ขอโทษนะ แต่ปล่อยผมไป”

        “ไม่”

        “...”

        “ขอร้องรินอยู่เพื่อพี่ได้ไหม”

        รินนภัทรหยุดดิ้นก่อนที่จะค่อยหันหน้ามาแล้วกอดกฤษณะไว้ ไม่มีการขัดขืนหรืออะไรจากรินนภัทรอีกเลย


        กฤษณะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวัน เขาพบว่าคนที่ควรนอนเตียงข้าง ๆ กลับหายออกไป กฤษณะรีบลุกออกจากเตียงแล้วลงมาข้างล่าง

        กลิ่นหอมของกาแฟและไข่ดาวทำให้เขาเดินเข้าไปตรงครัว

        ร่างผอมบางข้างหน้ายังคงง่วนกับการทำนั้นนี่ในครัว โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครสักคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าตัว

        “ริน” เสียงของกฤษณะแหบพร่าในยามเช้า ทุกอย่างมันตีบตันอยู่ในลำคอ เขากำลังฝันอยู่หรือเปล่า เขาถามตัวเองในหัวหลายรอบ ถ้าเป็นฝันก็คงเป็นที่ดีที่สุด

        รินนภัทรหันหน้ามาช้า ๆ ก่อนที่จะปากของร่างบางจะค่อย ๆ ยิ้มออกมา

        “อรุณสวัสดิ์ครับพี่กิตต์”





End



จบแล้วนะครับสำหรับนิยายเรื่องนี้ ขออภัยที่ไม่ได้อัพนานมากติดอะไรหลายอย่างจริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะจบเรื่องแบบไหนดีก็เลยจบที่เป็นอ่านนี่แหละครับ 55555

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่แนวรักโรแมนติก ค่อนข้างหนักหน่วงดราม่ามาก เจอกันใหม่ในเรื่องหน้านะครับ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-05-2018 11:24:34
ตอนจบรันหายไปไหน รินเอาชนะมาได้เหรอ สงสัยว่าหายไปเพราะอะไร

รู้สึกมันรวบรัดตัดความไปหน่อย ยังมีช่องโหว่ให้อุดและมีจุดให้เล่นได้อีก
แต่โดยรวมใช้ได้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 27-05-2018 17:21:09
จบได้ดีค่ะ

อย่างน้อยรินก็มีความสุข
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 28-05-2018 02:39:38
ในฐานะที่ทำงานพิสูจน์อักษรมาทั้งชีวิต
จะมองข้ามเรื่องตัวสะกดผิดไปนะคะ

เอาภาพรวม ... เป็นภาพที่ชัดเจนค่ะ
มองไกล ๆ นี่ ถือว่าได้ความครบ เห็นเป็นภาพ
เรื่องอยู่ในกรอบดี
แต่พอมองดี ๆ มันก็มีจุดแหว่งวิ่นเยอะอยู่
บางตอน ตัดออกก็ไม่เสียหาย
บางตอน เพิ่มมามันก็รกเรื้อเนอะ

เขียนจบแบบนี้แล้ว ลองนั่งลง "เกลา" ใหม่อีกครั้งนะคะ
อุดช่องโหว่ ตอบคำถามให้ปมที่สร้างมา
จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจแบบสมบูรณ์แบบเลยละ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 28-05-2018 20:42:58
ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 29-05-2018 13:26:34
ปกติจะไม่ค่อยอ่านเรื่องแนวเครียดๆนะครับ แต่พอหลงมาอ่านก็วางไม่ลงเหมือนกัน  ขอบคุณเอานิยายเรื่องนี้มาให้อ่านนะครับ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 29-05-2018 17:53:40
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 31-05-2018 03:23:45
อยากให้มาสรุปให้หน่อยค่ะ จะได้เข้าใจตรงกันนนน  :katai1: เดี๋ยวสงสัยนอนไม่หลับ
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 01-06-2018 01:22:41
อ้าว...หมอ!!!
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-09-2018 13:31:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 30-09-2018 09:57:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เหยื่อ (victim) บทที่ 22-24(End) 5/27/18
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:44:09
 :pig4: