พิมพ์หน้านี้ - - แทนจันทร์ - EP 11 [17/04/2562]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Mr.Embrace ที่ 29-12-2017 00:41:57

หัวข้อ: - แทนจันทร์ - EP 11 [17/04/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 29-12-2017 00:41:57
เก็บกระทู้ไว้ ----โมดุฯ

-----------------------------------------------------------------------------------------
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม








แทนจันทร์

-EP 1- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3762034#msg3762034)
-EP 2- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3852138#msg3852138)
-EP 3- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3863989#msg3863989)
-EP 4- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3876039#msg3876039)
-EP 5- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3902640#msg3902640)
-EP 6- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3919905#msg3919905)
-EP 7- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3948588#msg3948588)
-EP 8- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3959651#msg3959651)
-EP 9- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3961522#msg3961522)
-EP 10- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3965255#msg3965255)
-EP 11- (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64775.msg3965255#msg3965255)


*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บุคคลและสถานที่ในเรื่องเป็นเพียงการสมมติขึ้นมาเท่านั้น*

**เนื้อหาข้างในอาจมีการใช้คำและภาษาที่รุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน**



#แทนจันทร์




หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - [EP.1] 30/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 29-12-2017 00:55:15
         
   
  - EP 1 -



          ใบหน้าขาวที่ซีดเซียว ที่แต่ก่อนเคยเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝาดทำให้แก้มขาวแต่งแต้มไปด้วยสีชมพูอ่อน ริมฝีปากบางที่แห้งแตกมีคราบเลือดกรังจากการถูกรบกวนเซลล์ที่ตายให้หลุดลอกออก ขอบตาคู่สวยบวมช้ำจนเป็นสีแดงบ่งบอกได้ถึงการร้องไห้ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน  ร่างทั้งร่างปะทะเข้ากับสายลมเย็น ๆ ที่พัดผ่านดาดฟ้าของอาคารเรียนแปดชั้นที่เพิ่งจะหมดคาบเรียนเมื่อไม่นานมานี้

   ผมหย่อนขาให้ลอยอยู่กลางอากาศ นั่งอยู่บนขอบกำแพงให้เท้าลอยเหนือจากพื้น  ให้ร่างกายได้สัมผัสและรับรู้ถึงแสงสีส้มอ่อนจากดวงอาทิตย์ในยามพลบค่ำ ที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากสีฟ้าเป็นโทนอุ่นไล่สีจากสีอ่อนไปจนสีเข้ม เป็นตัวบอกเวลาได้ดีว่าขณะนี้เย็นมากแล้ว

   ผมได้แต่หวังว่าการมองสีพระอาทิตย์ที่สาดแสงส่องฉายมายังท้องฟ้ากว้าง รวมกับเสียงนกที่พากันทยอยบินกับรังนั้น จะทำให้ผมได้รู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น…แต่เปล่าเลย…ตรงกันข้ามมันกับยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหงาและแย่ลงมากกว่าเดิม ความว่างเปล่าค่อยๆแทรกเข้ามา เกาะกินพื้นที่ข้างในหัวใจ

   สายตาเหม่อมองออกไปยังสุดเส้นขอบฟ้ากว้างที่ไกลจนสุดลูกหูลูกตา สลับกันกับมองไปยังเมืองเบื้องล่างที่เต็มไปด้วยอาคารสูงหลายชั้น ตั้งเรียงรายซ้อนทับกันจนแน่นขนัด เต็มไปทั่วทุกพื้นที่…มองถนนที่พอตกเย็นการจราจรเริ่มติดขัด รถยนต์มากมายหลายคันแน่นิ่ง ทั้งๆที่เครื่องยนต์ยังทำงานอยู่ แต่รถกลับไม่ยอมขยับเคลื่อนที่…โลกมันน่าเบื่อเกินไปสำหรับผม
   
   คิดอะไรได้บางอย่างก่อนจะมองไปยังลานจอดรถกว้างที่ฉาบไปด้วยคอนกรีตสีเทาอ่อน   ที่ก่อนหน้านี้ เคยมีรถยนต์ของเหล่าอาจารย์และนิสิตจอดแน่นจนเต็มลานกว้าง ต่างกับเวลาในตอนนี้ที่ไม่มีรถยนต์แม้แต่คันเดียวและไร้วี่แววของผู้คน

   …ถ้าผมทิ้งตัวลงไปลานข้างล่างนั่น...ทุกอย่างก็คงจบ…ตัวผมเองก็คงไม่ต้องรับรู้ถึงความรู้สึกใดใดก็ตามแต่ ที่ทำให้เจ็บปวดได้อีก…ไปตลอดกาล

   " ลาก่อนครับ " พูดกับสายลมที่พัดผ่านมาอย่างไม่ขาดสาย โดยหวังว่ามันจะพัดพาคำพูดของผมไปหาทุกคนบนโลกที่ผมรักและให้พวกเขาได้ยินคำสั่งลาสุดท้ายของผม ถึงแม้ว่าบนโลกนี้ พวกเขาเหล่านั้นจะเหลือเพียงไม่กี่คนก็ตาม…

   ...หลับตาลงช้า ๆ

   เอนตัวไปข้างหลัง…

   ไม่นาน...ทุกอย่างก็คงจะผ่านพ้นไป ผมได้ไตร่ตรองมาดีแล้วกับสิ่งที่กำลังคิดจะทำในอีกเพียงไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ และผมอยากให้ทุกคนเคารพการตัดสินใจของผมในครั้งนี้

   โปรดเข้าใจว่าผม อยากจะหลุดพ้นจากความทรมานที่ผมกำลังต้องเผชิญพบเจออยู่เพียงลำพัง และไม่สามารถรับมือกับมันได้ไหวอีกต่อไปแล้วจริงๆ…ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าผมอ่อนแอเกินไป…ทั้งความอ้างว้าง…ความเดียวดาย…ความเหงา…ความเศร้า ทุกอย่างรวมๆกันแล้ว มันเหมือนกับลวดหนามที่พันธนาการผมเอาไว้ ไปทั่วทั้งร่างกาย แล้วลวดหนามเหล่านั้นก็ค่อยๆบีบรัดรอบตัวผมจนแน่น นอกจะสร้างความเจ็บปวดแล้ว มันยังสร้างบาดแผลลึกให้กับจิตใจของผม มันมากเกินกว่าที่ผมจะสามารถเยี่ยวยามันได้ด้วยตัวเอง

   'พรึ่บ'   ไม่ทันได้ทิ้งตัวลงไป ผมถูกคว้าลงมาจากขอบกำแพงเสียก่อน

   " ทำบ้าอะไร " เขาบีบข้อมือผมแน่น

   " ... "  อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นร่างกายของผมก็จะหล่นลงไปแล้วแท้ๆ

   " คิดบ้าอะไร ทำไมถึงได้จะฆ่าตัวตาย "

   " ... " น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ผมเช็ดมันด้วยหลังมือลวกๆ

   ...จะฆ่าตัวตายแค่นี้ ยังทำไม่สำเร็จ ชีวิตผมช่างแย่สิ้นดี ผมได้แต่แค่นยิ้มให้กับความห่วยแตกของตัวเอง

   คนมาใหม่ดึงผมเข้าไปกอด…ใบหน้าของผมแนบชิดอยู่กับอกหนาของเขา…สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างที่บรรยายออกมาเป็นความรู้สึกไม่ได้…กอด…นานมากแล้วที่ไม่ได้สัมผัสรับรู้ถึงมันว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน

   น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมาแบบห้ามไม่อยู่ เขากระชับกอดผมแน่นกว่าเดิม ร่างของผมทั้งร่างแถบจะถูกกลืนจมเข้าไปกับอกของเขา

   ไหล่ของผมสั่นแบบควบคุมไม่ได้ ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่จะเล็ดรอดออกมา

   ผมเกลียดตัวเอง…

   …เกลียดที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองร้องไห้ทำไม
      
   น้ำตาที่ไหลไม่รู้ว่าไหลเพราะไม่สำเร็จกับสิ่งที่ได้คิดจะทำ หรือไหลเพราะสัมผัสที่ไม่ได้รับมาเนิ่นนาน ผมเองก็ไม่แน่ใจ มันเป็นความรู้สึกดีผสมไปกับความเจ็บปวด และวินาทีนั้นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากกว่าน้ำตาที่กำลังไหล นั้นคือความสับสนที่กำลังเกิดขึ้นภายในจิตใจ…










   “ แน่ใจนะ ว่าไม่ต้องให้ขึ้นไปส่ง ” คนที่ขัดขวางแผนของผม พาผมมาส่งหน้าหอ

   “ ครับ ” ผมตอบกลับคนที่ขับรถมาส่งผมที่หน้าหอทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักผม

   “ อย่าคิดอะไรตื้น ๆ อีก ”

   “ หอผมไม่มีดาดฟ้า ”

   “ ใครจะไปรู้…นายอาจจะทำอย่างอื่นก็ได้ ”

   “ … ”

   “ ว่าแต่ชื่ออะไร ”

   “ ผมขอไม่บอกคุณละกัน ” อย่าให้คนอย่างผมเป็นคนที่ดูแย่ในสายตาของคุณ อย่าให้การเจอกันในวันนี้เป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำของเรา เจอกันครั้งแรกก็ต้องมารู้จักกันในสถานการณ์ที่อีกคนกำลังจะจบชีวิต มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะน่ายินดีสักเท่าไร

   “ … ” เขาไม่ได้พูดอะไร แต่จ้องกลับมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะพอใจในคำตอบของผม

   “ ขอบคุณที่มาส่งครับ  ” ผมไม่รอให้อีกฝ่ายได้กล่าวอะไร ปิดประตูรถและรีบหันหลังหนีแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ไปที่ประตูหอ และยืนแอบอยู่ตรงนั้นรอให้อีกฝ่ายขับรถออกไป





   หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นเราไม่เคยพบเจอหรือได้พูดคุยกันอีกเลย   คงเพราะผมไม่เคยโผล่หน้าไปให้เขาเห็น  แต่ผมยังคงเห็นเขาทุกวันในที่ของผม

   ‘ ธิปแทน ’ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีหนึ่ง เราเรียนอยู่ในรั้วมหา’ลัยเดียวกันแต่คนละคณะ เขาเป็นผู้ชายร่างโปร่งที่มีส่วนสูงมากกว่าผมหลายเซน เขาเปรียบเสมือนพระจันทร์ที่มอบแสงสว่างให้กับทุกคนที่อยู่รอบตัวในยามเวลาที่มืดมิดรวมทั้งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

   คอยนำทางให้กับคนอย่างผม...บางครั้งก็อยู่กับที่ให้ผมได้ชื่นชมความงาม…บางครั้งพระจันทร์ก็สว่างเกินกว่าที่ผม จะเข้าไปอยู่ใกล้ๆได้...บางครั้งพระจันทร์ก็เคลื่อนที่เร็วเสียจนผมตามไม่ทัน...และในบางครั้งพระจันทร์ของผมก็ถูกเมฆบดบังจนแถบจะไม่เหลือแสงใดๆให้กับผม

   ในสายตาของเขา ผมคงเป็นเพียงเพื่อนร่วมมหา’ลัย  ที่บังเอิญเขาผ่านมาเจอผมตอนกำลังจะปลิดชีวิตตัวเองโดยการกระโดดตึก



   วันนี้เป็นอีกวันที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ ตรงที่ผมคิดแล้วว่าเขาจะมองไม่เห็นผม แต่ผมสามารถมองเห็นทุกการกระทำของเขาได้อย่างชัดเจน ตรงมุมตึกแบบนี้ ในที่ที่เงาอย่างผมควรอยู่

   ‘ เงาจะอยู่ได้ก็เมื่อมีแสงสว่าง ’ ผมทำตัวหลบๆซ่อนๆก็ถูกแล้ว

   ‘ เงามองเห็น แต่ไม่มีตัวตน ’  ผมคงไร้ค่ายิ่งกว่าเงา เพราะผมคงไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย

   ทุกเย็นเขาจะมานั่งทานข้าวที่โรงอาหารคณะแพทยศาสตร์ที่อยู่ใต้ตึกเรียนก่อนที่จะต้องขึ้นไปเรียนวิชาในตอนค่ำ

   ผมอิจฉาคนมากมายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา

   ได้พูดคุยเรื่องสนุกและส่งเสียงหัวเราะให้กัน

   เหมือนกับดวงดาวมากมายที่อยู่รายล้อมรอบดวงจันทร์ พากันเจิดจรัสและส่องแสงสกาวไปทั่วท้องฟ้าสีดำ

   ส่วนผมทำได้เพียงแค่หลบซ่อนตัวเป็นได้แค่เงาตามติด  ผมไม่ได้หวังว่าจะต้องพูดคุย หรือให้เขามอบรอยยิ้มให้เหมือนกับคนอื่นๆ  ขอแค่เพียงได้เห็นหน้าเขาจากระยะที่สมควรในทุกวันก็มากเกินพอที่คนอย่างผม สมควรจะได้รับ
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   หอพักเล็ก ๆ ห่างจากมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่ป้ายรถประจำทาง เป็นที่อาศัยของผมมาตลอดหลายเดือนและผมคิดว่าผมน่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปจนกว่าจะเรียนจบ

   หลังจากเลิกเรียนในทุกๆวัน ส่วนใหญ่ผมมักจะเดินเท้ากลับมา เพราะหอผมไม่ได้อยู่ไกลจากมหา’ลัยมากนัก ไม่ได้ลำบากอะไรถ้าหากผมจะเดินกลับมา

   ห้องพัก…เป็นเพียงที่ที่เดียวที่ผมสามารถอยู่กับตัวเองเพียงลำพัง ไม่ต้องพบเจอผู้คน  ทำให้ผมได้ทบทวนกับตัวเองในสิ่งที่ได้ทำลงไปในแต่ละวัน

   ซึ่งในแต่ละวันมันก็คงซ้ำซากไม่ได้แตกต่างกันมากสักเท่าไร

   …ผมไม่มีเพื่อน

   …ไม่มีสังคม

   มักจะอยู่ตัวคนเดียว…

   ไม่มีใครเข้าหา…และไม่คิดจะเข้าหาใคร

   ผมเคยมีเพื่อนเป็นกลุ่มเหมือนกับคนทั่วไป นั่งเรียนด้วยกัน เคยนั่งกินข้าวด้วยกัน ไปเดินเที่ยวซื้อของด้วยกัน แต่การคบเพื่อนเป็นกลุ่มมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด

   ผมไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูด ไม่รู้สึกอินกับสิ่งที่พวกเขากำลังทำ  ผมไม่รู้ว่าเขาทำหน้าเครียดทำไม   ไม่รู้ว่าเขาหัวเราะทำไม  ผมได้เพียงแต่นั่งฟัง และทำท่าทีหัวเราะตาม   ทั้งที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ

   สุดท้ายเลือกที่จะปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตคนเดียว   มันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว  อาจจะมีเหงาบ้างเป็นครั้งคราว

   ผมเริ่มจะชินกับกับการอยู่คนเดียว ไม่ต้องไปตามใจใคร อยากทำอะไรก็ได้ทำ ใช้ชีวิตอิสระในแบบของผมเอง

   แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมก็เพิ่งรู้ว่าความจริงแล้ว ทุกสิ่งที่ผมคิดมันเป็นแค่เพียงการหลอกตัวเองว่าตัวผมรู้สึกชินกับการอยู่คนเดียว  ทั้ง ๆ ที่ข้างในมันแถบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ผมเคยลองเข้าหาเพื่อน แต่ผมรู้สึกกลัว…

   …กลัวการกระทำ   กลัวคำพูด  ทุกอย่างมันดูน่ากลัวไปหมด โดยเฉพาะสายตาที่พวกเขามองมา มันทำให้ผมรู้สึกเป็นตัวประหลาด ผมก็หายใจ เดินสองขา กินข้าวเหมือนกันกับพวกเขา  ผมเองก็มีหัวใจเต้นอยู่ข้างซ้ายเหมือนกับพวกเขา แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกต่างจากคนอื่น

   ทำให้ผมไม่กล้าคิดที่จะเอ่ยปากทักทายใคร   และสุดท้ายผมก็เลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียว

   จะโทษใครได้ในเมื่อทั้งหมดมันเป็นความผิดของผม

   น่าแปลกคือบางครั้ง ทั้งๆที่ผมนอนอยู่ในห้องคนเดียวแต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าอยู่คนเดียว   หลายครั้งที่ผมมักจะได้ยินความคิดของใครอีกคนอยู่ในหัว เขาจะมาและจากไป แต่พักหลัง เขาเริ่มมาคุยกับผมบ่อยขึ้น

   เขาพูดคุยกับผม  มันทำให้ผมไม่เหงา แต่นั้นก็แค่เพียงช่วงแรก ๆ เท่านั้น  นานเข้า เขาเริ่มสั่งให้ผมทำอะไรหลายอย่าง   เริ่มจากสิ่งที่ผมทำได้   สิ่งที่ควรทำ  และกลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ   มันยากมากในการที่ผมจะควบคุมตัวเองไม่ให้ทำตามคำสั่งของเสียงที่ได้ยิน

   แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือ  คืนไหนที่ฝนตก จนทำให้อุณหภูมิรอบตัวลดต่ำลง มันสร้างความหนาวเย็นให้แก่ผมทั้งกายและใจ มันเหมือนกับฝันที่โหดร้ายสำหรับผม

   ผมรู้สึกปวด

   อึดอัด…บีบคั้น

   เจ็บและทรมาน

   เหมือนว่าผมหายใจไม่ค่อยสะดวก

   ผมกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานอยู่ในลำคอ เพราะกลัวว่าหากส่งเสียงดังจะรบกวนคนอื่นเข้าได้ หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความทรมานนี้ให้คลายลงบ้าง   กลับกลายเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาปลดเปลื้องความทรมานเหล่านั้นให้ค่อย ๆ ทุเลาจางหายไปแทน

   แต่เมื่อน้ำตาเริ่มแห้งหายไป อาการพวกนั้นมันจะกลับมาอีกครั้ง และมันจะวนเวียนกลับมาทุกคืน ผมหมดแรงไปกับการร้องไห้ กลั้นเสียงกรีดร้อง และการสะอื้นก่อนที่จะหลับไป





   ทุกๆเช้า...การลุกขึ้นจากเตียงเป็นอีกเรื่องที่ยากมากสำหรับผม ผมลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว แต่กับใช้เวลาไปกับการนอนมองเพดานว่างเปล่า ปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆตามเข็มนาฬิกา
   
   ผมไม่ได้กำลังคิดอะไร  นึกถึงใคร หรือกำลังคิดเรื่องอะไร

   แต่มันแค่รู้สึกสบายใจที่ได้ทำแบบนี้

   ได้นอนนิ่งอยู่บนเตียงและฟังเสียงหัวใจของตัวเองที่ในวันนี้มันยังเคลื่อนไหวอยู่

   เหมือนได้ตัดขาดออกจากโลกภายนอกชั่วคราว เหมือนอยู่ในฟองสบู่ โดยที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวใดใด โลกมันน่าเบื่อเกินไปสำหรับผม มันไม่น่าอยู่ ที่ผมคิดจะฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ว่ารู้สึกว่าชีวิตของผมไร้ค่า แต่แค่มันไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองได้ผ่านอะไรมาหมดทุกอย่างแล้ว ทุกวันนี้เหมือนทำตามโปรแกรมที่ถูกตั้งเอาไว้ เวลานี้คือผมต้องกิน ผมต้องไปเรียนและเวลานี้ผมต้องเข้านอน…มันวนอยู่แบบนั้นและเหมือนกันในทุกๆวัน

   ก่อนออกจากห้องเพื่อไปพบเจอผู้คน ผมได้แต่ยิ้มและให้กำลังใจกับตัวเองอยู่หน้ากระจก เพราะยังไงวันนี้ก็คงไม่มีใครยิ้มให้ผมเหมือนเช่นเคย

   ถ้าหากวันไหนผมมาถึงมหาวิทยาลัยเร็วและพอมีเวลาเหลือให้นั่งทานอาหารเช้า ผมจะเลือกเดินเข้าไปยังส่วนด้านในสุดของคณะ ซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก เป็นมุมที่สงบที่ผมชอบ ผมเลือกนั่งใต้ต้นไม่ใหญ่ที่มีโต๊ะม้าหินอ่อนสีขาวตั้งอยู่ข้างใต้ต้นไม้ ไม่เยอะมากนัก

   นั่งดื่มด่ำกับอาหารเช้าง่ายๆ อย่างเช่นวันนี้เป็น แซนวิชและนมจืดหนึ่งกล่อง ที่แวะซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อข้างทางระหว่างเดินมา

   ...เงียบสงบไม่มีผู้คน

   อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนนั่งฟังเสียงของคนที่ทิ่มแทงกันด้วยคำพูด

   ได้นั่งจัดการมื้ออาหารตรงหน้าแบบไม่ต้องเร่งรีบนัก

   และไม่ต้องคอยแคร์สายตาของผู้คน





   ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้องที่ต้องเป็นห้องเรียนวิชาแรกในเช้านี้ เสียงพูดคุยดังเล็ดรอดออกมาจนทำให้พอเดาได้ว่าข้างในเต็มไปด้วยผู้คน ที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

   เกลียดการที่จะต้องเดินผ่านหลังประตูบานนี้จริง ๆ   เมื่อผมใช้มือผลักเข้าไป เสียงเหล่านั้นก็เงียบลง    จะไม่ให้ผมเกลียดได้ยังไง  ทุกคนหยุดพูดถึงเรื่องที่ตัวเองกำลังพูดคุยอยู่ วางมือกับสิ่งที่ทำ  เปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงอะไรบางอย่างที่บางครั้งก็มักจะได้ยินชื่อของผมหลุดออกมาอย่างชัดเจน รวมถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมายังผมโดยที่ผมไม่กล้าจะมองกลับไป ผมไม่สามารถรับรู้ความคิดของพวกเขาได้เลยว่าพวกเขากำลังคิดอะไรเกี่ยวกับผมอยู่ แต่ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก



   โต๊ะเลคเชอร์สีน้ำเงินที่ตั้งอยู่แถวแรก ตรงข้ามกับโต๊ะอาจารย์

   นั้นเป็นที่ประจำของผม

   จากประตูเดินไป ระยะทางไม่ได้ไกลมาก แต่สำหรับผมมันไกลด้วยระยะทางในความรู้สึก ทุกย่างก้าวกว่าผมจะเดินไปถึงที่หมายมันทำให้ผมอึดอัดมากจริง ๆ

   ผมได้แต่เดินก้มหน้า ปิดปากแน่น ไม่สบตากับคนที่มองมา  หากปิดหูไม่ให้ได้ยินได้ก็คงจะทำ

   หลังจากร่างกายของผมสัมผัสกับเก้าอี้ได้ไม่นานอาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามาสอนพอดี วันนี้ผมเรียนเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานและทฤษฎีทางการวาดภาพ นี้คงเป็นเสียงที่น่าฟังสำหรับผมมากที่สุดในเช้านี้ ก่อนหมดคลาสอาจารย์สั่งงานชิ้นเล็ก ๆ และปล่อยให้พวกผมไปทำงานตามที่สั่งไว้

   ผมเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์วิชาเรียนส่วนใหญ่จึงเป็นไปในทางปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี

   หัวข้อในวันนี้ค่อนข้างน่าสนใจ

   ‘ วาดส่วนไหนก็ได้ในมหาลัยที่นักศึกษาสนใจ ’

   หลังจากอาจารย์แจ้งรายละเอียดงาน เมื่อหมดเวลาผมไม่ลังเลหยิบแผ่นไม้กระดานที่มีกระดาษร้อยปอนด์อยู่ไม่กี่แผ่นถือชิดแนบตัว มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่นึกถึงตั้งแต่อาจารย์บอกหัวข้อยังไม่ทันจบ











คณะแพทยศาสตร์

   คือที่ที่ผมเลือกวาดเพื่อใช้เป็นการบ้านส่งอาจารย์ เป็นตึกที่มีโครงสร้างซับซ้อนและรายละเอียดค่อนข้างจะเยอะ ด้วยความที่เป็นตึกเรียนที่สร้างมานานไม่ได้มีการสร้างใหม่ แต่มีการบูรณะบ้างเมื่อถึงเวลาอันสมควร และอีกอย่างมันอยู่ค่อนข้างไกลจากคณะของผม ทำให้ไม่มีเพื่อนคนไหนเลือกมาที่นี้แน่นอน

   เพราะต่างจากคณะอื่นที่มีการปรับปรุงและซ่อมบำรุง รวมถึงทุบเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างตัวอาคารให้ทันสมัย

   เพื่อนร่วมคลาสส่วนใหญ่คงวาดตึกคณะของตัวเอง เพราะไม่ยากและมีโครงสร้างน่าสนใจ เพราะเพิ่งถูกทุบทิ้งและสร้างใหม่เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่พวกผมจะเข้ามาเรียน

   โชคดีที่ตอนบ่ายผมไม่มีเรียน

   เลยมีเวลาเหลือเฟือที่จะวาดรูปให้เสร็จ แต่คาดว่าน่าจะต้องใช้เวลาไปจนถึงตอนเย็น ผมเลยเลือกที่จะหาร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่เพื่อบังแดด ซึ่งเป็นมุมที่ตรงตามต้องการของผมพอดี   มองดูทุกรายละเอียดของตึกตรงหน้าก่อนที่จะทรุดตัวนั่งลงไปกับพื้นหญ้าสีเขียวอ่อน   ผมจรดปลายดินสอลงไปบนแผ่นกระดาษสีขาว เริ่มร่างตัวอาคารตรงหน้า

   สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือต้นไม้สีเขียวที่ขึ้นเต็มไปเกือบทุกชั้นของตัวตึก  ตึกสีขาวที่เพิ่งได้รับการทาสี กับต้นไม้สีเขียวอ่อน เข้ม สลับกันไปไม่ได้ถูกจัดวางให้เป็นระเบียบแต่มันกลับสวยงามในแบบที่ไม่ตั้งใจ สีเขียวกับสีขาว เป็นสีที่เข้ากันอย่างลงตัว

   มันมีเสน่ห์แบบบอกไม่ถูก  แต่ที่แน่ ๆ คือมันดูแล้วสบายตา

   ผมใช้เวลาทั้งวันไปกับกระดาษสีขาวและดินสอสีน้ำตาลในมืออยู่กับการก้ม ๆ เงย ๆ นั่งวาดองค์ประกอบโดยรวมของตึกตรงหน้าจนเสร็จ    ต่อไปคงเป็นการลงสีให้กับมันเพื่อให้มันสมบูรณ์แบบที่สุด

เป็นเวลาพอดีกับดวงอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ผิดกับที่ผมคิดเอาไว้ว่างานทั้งหมดจะเสร็จพร้อมที่จะสามารถส่งได้ แต่แค่วาดรูปก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง คงเป็นเพราะผมมัวแต่เก็บรายละเอียดของต้นไม้หลายสิบต้น

   นี้คือส่วนสำคัญที่สุด คณะแพทย์และมุมที่ผมเลือก คือที่เดียวในมหา’ลัยที่จะสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ลับลาหายไปกับเส้นขอบฟ้าได้ ซึ่งแสดงให้รู้ว่าวันนี้ใกล้จะหมดวันแล้ว เพราะคณะอื่นจะถูกบดบังไปด้วยตัวอาคารเรียนจนไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์สีสวยแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าคนออกแบบผังคณะนี้ตั้งใจหรือเป็นเรื่องบังเอิญ อาจจะวางผังแบบนี้เพื่อให้นักศึกษาคณะแพทย์ที่เรียนมากหนักได้ผ่อนคลายในเวลาที่เครียด เมื่อได้มองพระอาทิตย์ในเวลานี้

   แสงสีส้มเหลืองจากดวงอาทิตย์สาดส่องมากระทบกับตัวตึก  ทำให้ตึกสีขาวเปลี่ยนเป็นสีส้ม

   มองแล้วก็เพลินตา...

   ผมเหลาดินสอที่กุดเพื่อจะเก็บรายละเอียดส่วนสุดท้ายของภาพ

   ผมมัวแต่สนใจมองความสวยงามของบรรยากาศตรงหน้า จนไม่ทันระวังมองดินสอและคัตเตอร์ในมือ

   ข้อมือผมถูกใบมีดบาดแต่ไม่ได้ลึกมาก ทำให้เลือดไหลซึมออกมา ยังดีที่งานของผมไม่เปื้อนเลือดไม่อย่างนั้นคงต้องเสียเวลามานั่งวาดใหม่

   ผมมองใบมีดคมสลับกับข้อมือตัวเอง ชั่งใจอยู่สักพัก

   ก่อนที่จะหันปลายแหลมคมกรีดลงไปใหม่ให้มันลึกกว่าเดิม

   เลือดสีแดงสดไหลอาบเต็มข้อมือ และใบมีด บางส่วนหยดลงไปบนหญ้าสีเขียว

   “ ทำบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย ”

   ผมสะดุ้งหลังจากถูกชายตรงหน้ามาดึงใบมีดออกไปจากมือของผม
   
   ผมทำอะไรไม่ถูก

   ...มือไม้สั่นไปหมด

   เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมา กดตรงบริเวณแนวที่เกิดบาดแผล

   แล้วมัดมันติดกับข้อมือ

   ผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าอ่อนของเขาชุ่มไปด้วยเลือด

   “ ลุก ไปโรงพยาบาลเร็ว ”

   สีหน้าของเขาตึงเครียด มือยุ่งอยู่กับการเก็บของของผมใส่กระเป๋า

   “ เร็วเข้า จะรอให้เลือดหมดตัวก่อนหรือไง ”

   ผมไม่ได้ทำตามที่เขาบอก แต่เลือกที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเก็บภาพตรงหน้า เพื่อที่จะเอาไปใช้ลงสีได้ถูกต้อง

   แรงจากการถูกดึงแขนทำให้ผมต้องเดินตาม

   รถคันเดิมที่ได้นั่งไปเมื่อวาน ผมไม่กล้าเข้าไปนั่ง

   “ รออะไร ? ”

   “ เอ่อ... ”

   “ อะไร? ”

   “ ผมกลัวเลือดเปรอะรถคุณ ”

   “ … ”

   “ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ไปเองก็ได้ครับ ” ร่างของผมลอยขึ้นจากพื้น เขาใช้แขนอุ้มผมขึ้นมา

   “ ทำอะไรของคุณ ” เขาวางผมลงบนเบาะข้างคนขับ

   “ เลิกดื้อ แล้วนั่งอยู่เฉยๆ ”

   เขาปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมมานั่งอีกฝั่งนึง ก่อนจะสตาร์ทรถ แล้วขับเคลื่อนมันออกไป

   “ คุณไม่ต้องเรียนตอนเย็นหรอครับ ”

   “ วันนี้อาจารย์ยกคลาส ”

   “ … ”

   “ เจ็บมากไหม ” เขาถามผมแต่ตาไม่ได้หันมามอง

   “ ครับ? ” เขาขับรถเร็วจนผมกลัว

   “ ที่ข้อมือ ”

   “ นิดหน่อยครับ ”  แต่คงสู้ความเจ็บปวดในใจไม่ได้ ผมก้มมองผ้าเช็ดหน้าที่ข้อมือ ที่เริ่มจะมีเลือดซึมออกมา เพราะผ้าเช็ดหน้าไม่สามารถซึมซับเลือดได้เพราะเลือดที่ไหลออกมาไม่มีที่ท่าจะหยุดทำให้ผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าแถบจะกลายเป็นสีแดงเกือบทั้งผืน

   “ ตอนทำล่ะไม่คิด ”

   “ … ” ไม่เห็นต้องว่ากันเลย

   “ หนาวไหม ให้เบาแอร์รึเปล่า ”

   “ ไม่เป็นไรครับ ”

   “ บ้าจริงรถดันติดอีก ”

   รถข้างหน้าติดสัญญาณไฟจราจร เขาหัวเสียไม่น้อย ผมมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง

   อยู่ ๆ ก็รู้สึกหนังตาหนักแบบบอกไม่ถูก

   “ นี้นาย ชื่ออะไร ”

   “ … ”

   “ บอกมา ผมจะได้เอาไว้ไปทำประวัติให้ ”

   “ จันทร์ จันทร์เจ้า ”

   “ เรียนศิลปกรรมศาสตร์ ใช่ไหม ”

   “ ครับ ใช่ ”

   “ แล้วคิดยังไงกรีดข้อมือตัวเอง ”

   “ … ”

   “ ถามก็ตอบ ”

   “  … ”

   “ เห้ย!!! อย่าเพิ่งหลับ ”

   “ … ”

   ผมหมดแรงที่จะตอบคำถามของเขาแล้ว ผมง่วงมากเหลือเกิน ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นที่แขนแต่หนังตาของผมหนักเกินกว่าที่ผมจะยกขึ้น เสียงของเขาค่อย ๆ เลือนหายไป

   อยู่ ๆ โลกก็เหมือนถูกดับไฟ ภาพตรงหน้าถูกแทนที่ด้วยความมืด

   นี้ผมกำลังจะตายแล้วสินะ   

   คงไม่ต้องทรมานอีกแล้ว…


   ....ไม่ต้องกรีดร้อง




   ไม่ต้องเสียน้ำตา…







   ...ไม่ต้องเหงา







   ... คงถึงเวลาที่ผมจะได้หลุดพ้นจากความทรมานและได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มสักที ...







               
To Be Continuos .









TALK

สวัสดีครับผมกลับมาเขียนนิยายอีกครั้งนึงหลังจากไม่ได้เขียนมานานเกือบปี

ขอฝากเนื้่อฝากตัวและฝากผลงานด้วยนะครับ

สามารถพูดคุยกันได้

สามารถบอกและให้ปรับปรุงได้

แต่อย่าว่าผมด้วยคำรุนแรงเลยนะครับ  ^^

ยังฝากเป็นกำลังให้ผมด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP1 [29/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 29-12-2017 08:21:33
จิ้มๆๆๆๆๆ
ต้องตาม
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP1 [29/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: diltosscap ที่ 29-12-2017 11:15:39
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP1 [30/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: _Eris_ ที่ 24-02-2018 17:30:38
รอออ มาต่อเร็ว
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP1 [30/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 24-02-2018 22:05:13
จันทร์เจ้าหนูเป็นอะไรคะลูกหนูคิดสั้นทำไมอย่าทำร้ายตัวเองอีกเลย
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP1 [30/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 26-06-2018 18:40:10
 
  - EP 2 -

- tiptan –

   วิชาภาษาอังกฤษที่นักศึกษาชั้นปีหนึ่งทุกคณะในมหา’ลัยถูกบังคับให้เรียน ได้ถูกจัดลงไว้ในตารางสอน ที่สอนโดยอาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์ ทำให้ทุกคนต้องมาเรียนที่ตึกศิลปกรรมอาทิตย์ละครั้งตามตารางที่ถูกจัดขึ้น

   ผมเก็บของใส่กระเป๋าและเดินออกจากห้องเรียนหลังหมดคลาสของวันนี้

   ขณะที่รอลิฟต์สายตาผมไปเจอเข้ากับผู้ชายคนหนึ่ง ตัวเล็ก ผิวขาว แต่ทำไมสีหน้าเขาถึงได้เศร้าขนาดนั้น แววตาคู่นั้นดูเหม่อลอย เขากำลังเดินขึ้นบันได แต่ว่าข้างบนนั้นมันเป็นดาดฟ้า เขาจะขึ้นไปทำอะไรในเวลานี้  แล้วทำไมผมต้องสนใจกับคนที่ผมไม่รู้จักด้วย ผมส่ายหน้าไล้ความคิด แล้วเปลี่ยนเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลารอลิฟต์ที่สัญญาณไฟสีแดงบอกเลข ว่าขณะนี้อยู่ชั้นล่างสุดและกำลังเคลื่อนที่ขึ้นมาชั้นที่ผมอยู่ ไม่นานลิฟต์มาถึงชั้นที่ผมอยู่และประตูลิฟต์เปิดออก ผู้คนค่อยๆทยอยเข้าไป

   “ แทนเข้าเปล่า ” เพื่อนสนิทของผมที่อยู่ในลิฟต์ถามในขณะที่นิ้วกดปุ่มเปิดค้างไว้

   “ ไปๆ ” สายตาผมมองไปยังบันได
   
   “ ก็เข้ามาดิ ” โชคดีที่ข้างในมีแต่เพื่อนสนิท เลยไม่ต้องเกรงใจกันมากเท่าไร ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงด่าไปแล้ว

   “ไปกันก่อนเลย ไว้เจอกันพรุ่งนี้ ” ผมปฏิเสธคนในลิฟต์ เหตุเพราะแค่ว่ารู้สึกติดใจกับคนที่เพิ่งด่านไป
 
   “ เอ้า เออๆ เจอกัน กลับหอดีๆ ”

   หลังจากประตูลิฟต์ปิด ผมเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปอีกชั้นจากห้องที่ผมเรียน

   ผมผลักประตูเหล็กเข้าไป ลมแรงพัดโชยเข้ามาใส่ผม จนเนคไทชุดนักศึกษาปลิวว่อน  ลมค่อนข้างแรง เขาขึ้นมาทำอะไรคนเดียวข้างบน ตอนเวลาที่ใกล้จะค่ำแบบนี้

   สายตากวาดมองไปรอบๆ จนไปพบเจอร่างบางที่นั่งบนขอบกำแพง สายตาของเขาเหม่อลอยไปไกล

   วินาทีนั้นที่เขาหลับตาลง แล้วทำท่าจะทิ้งตัวลงไปข้างหลัง ผมวิ่งเข้าไปสุดฝีเท้าแบบไม่ต้องคิดมาก ว่าคนตรงหน้ากำลังจะต้อง ‘ฆ่าตัวตายแน่ๆ’

   ถ้าหากผมช้ากว่านี้อีกเพียงวินาทีเดียวผมอาจจะช่วยชีวิตของคนคนหนึ่งไม่ทัน

   ผมฉุดข้อมือเล็กให้ลงมาจากขอบกำแพง
 
   " ทำบ้าอะไร " เผลอตะคอก ด้วยความโมโหเลยเพิ่มแรงบีบแบบไม่รู้ตัว
 
   " ... "  อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร ผมปล่อยมือจากข้อมือเล็ก แรงบีบผม ทำให้ข้อมือขาวเปลี่ยนสีเป็นสีแดง
 
   " คิดบ้าอะไรถึงได้ จะฆ่าตัวตาย " น่าโมโหจริงๆ ชีวิตคนเรามันมีมากค่ามากกว่านี้ ทำไมถึงมาคิดสั้น ไม่นึกถึงคนข้างหลังบ้างเลยหรือไงนะคนเรา
 
   " ... "  เขาใช้หลังมือเช็ดน้ำตา ร้องไห้ทำไมกัน หรือผมบีบข้อมือแรงเกินไปหรอ

   ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกจริง ๆ  ดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดปลอบ ใช้มือนึงลูบเส้นผมที่มีกลิ่นยาสระผมหอมอ่อนๆลอยมาเตะจมูก 

   น่าสงสาร เขาร้องไห้จนตัวและไหล่เล็กสั่น แต่ไม่มีเสียงสะอื้นใดเล็ดลอดออกมา คงจะกลั้นเอาไว้ ไม่อยากให้ผมได้ยิน ผมทำตัวไม่ถูก ได้แต่ลูบหัวเขาอย่างเบามือ อีกข้างตบหลังเบาๆเพื่อเป็นการให้กำลังใจ ผมกระชับอ้อมกอดแน่นหวังว่ามันจะช่วยปลอบประโลมจากสิ่งที่คนในอ้อมกอดกำลังเผชิญ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง ถึงทำให้คนๆนึงอยากที่จะฆ่าตัวตาย






   “ ครับ ” ผมขับรถมาส่งเขาที่หน้าหอ หลังจากเขาหยุดร้องไห้ ตลอดทางเขาเหม่อลอย ดวงตาคู่สวยมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยเสาไฟและรถที่วิ่งผ่านไป

   “ อย่าคิดอะไรตื้น ๆ อีก ”

   “ หอผมไม่มีดาดฟ้า ”

   “ ใครจะไปรู้ ”
 
   “ … ” 

   “ ว่าแต่ชื่ออะไร ”

   “ ผมขอไม่บอกละกัน ”

   “ … ” จะห่วงกันทำไมนะ

   “ ขอบคุณที่มาส่ง  ” หลังจากเสร็จคำพูดเขาหันหลังกลับเดินไปอย่างรวดเร็ว ผมมองตามหัวถุยๆที่หายลับไปหลังประตูกระจก










          “ ข้าวเที่ยงกินไรดี ” เพื่อนผู้ชายคนนึงในกลุ่มถามขึ้นหลังจากหมดเวลาเรียนในตอนเช้า

           “ กินในคณะหรือออกไปกินข้างนอก ”  เพื่อนอีกคนถามแสดงความคิดเห็น

           “ กินข้างในดีกว่า คลาสตอนบ่ายเข้าเลทไม่ได้ แทนว่าไง ”

            “ แล้วแต่ ” ผมตอบกลับไปห้วนๆ ผมกินอะไรก็ได้ ไม่อยากคิดเมนู เพื่อนคนอื่นกินอะไร ผมก็กินตามแค่นั้น

            ผมกับเพื่อนลงมาโรงอาหารที่อยู่ใต้ตึกเรียน

            “ ฝากซื้อข้าวหน่อย เอาเหมือนมึงเลย จะไปนั่งจองที่ให้ ” ผมหันไปบอกเพื่อนสนิทขณะที่กำลังเดินไปนั่งที่โต๊ะ คนตัวเล็กที่คุ้นตานั่งอยู่ใต้ต้นไม้คนเดียว กำลังก้มๆเงยอยู่กับแผ่นไม้กระดานสีน้ำตาลที่มีกระดาษวางซ้อนไว้อีกที สายตาดูไม่เศร้าเหมือนเมื่อวานแล้ว วันนี้คงไม่คิดอะไรตื้นๆอีกแล้ว…

   ….
   
   ..

   .



         

   หลังเลิกคลาสเรียนตอนบ่ายเป็นเวลาห้าโมงกว่าๆ ผมลงมาจากตึกเรียน ยังคงเห็นเขานั่งอยู่ที่เดิม นี้ไม่รู้ว่ากินข้าวกินน้ำบ้างหรือยัง

   เพราะแดดที่ร้อนเมื่อตอนบ่าย ทำให้แก้มขาวเปลี่ยนสีเป็นชมพูอ่อน มีเหงื่อพุดซึมบนใบหน้า

   “ มองอะไร? ” เต้ถามผม

   “ เปล่า ”

   “ ชอบเขาหรือไง มองจนจะทะลุแล้วนั้น ”

   “ ไม่รู้สิ ”

   “ แต่สายตามึงนี้มันฟ้องมากเลยนะ ”

   “ เพ้อเจ้อ กลับบ้านไปสัส ”

   “ เห้ย มึงเขาเลือดไหล ”

   ผมหันไปมองทันที ก่อนที่จะวิ่งไปยังใต้ต้นไม้ที่อีกคนนั่งอยู่  เขากรีดมือตัวเองอีกครั้ง คราวนี้เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาเยอะจนน่ากลัว พื้นหญ้าสีเขียวเริ่มเปื้อนไปด้วยหยดเลือดสีแดงสด

   ผมดึงมีดคัตเตอร์ออกจากมือของเขา

   “ ทำบ้าอะไรอีกแล้ว ”

   “…”

   “ ลุก ไปโรงพยาบาลเร็ว ” ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พับอยู่ในกระเป๋าเสื้อนักศึกษาของตัวเอง มากดบริเวณที่เป็นลอยที่เกิดจากการกรีดด้วยใบมีดก่อนจะมัดให้ผ้าอยู่ติดกับข้อมือเล็ก หันไปหยิบจับอุปกรณ์การวาดรูปของเขาใส่เข้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่สีดำที่วางอยู่ใกล้กับเจ้าของแล้วยกขึ้นมาสะพายไว้บนไหล่



   “ เร็วเข้า รอให้เลือดหมดตัวก่อนหรือไง ” อีกฝ่ายไม่มีท่าทีขยับ แต่ล้วงมือไปหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วเก็บภาพพระอาทิตย์กับตึกเรียนด้วยความทุลักทุเล เพราะสามารถใช้มือได้เพียงข้างเดียว

   เจ็บขนาดนี้แล้วยังมัวแต่จะถ่ายรูปอีก…

   ผมไม่รอให้ช้าไปกว่านี้ ฉุดแขนอีกข้างที่ไม่ได้เจ็บของเขาให้เดินตามมาที่รถที่จอดอยู่ไม่ไกล ก่อนจะกดปลดล็อครถ แล้วเปิดประตู

   “ รออะไร ? ” อีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะขยับ

   “ เอ่อ... ”

   “ อะไร? ”

   “ ผมกลัวเลือดเปรอะรถคุณ ”

   “ … ” แล้วไม่กลัวตัวเองตายบ้างเลยหรอ

   “ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ไปเองก็ได้ครับ ” น่ารำคาญจะกลัวอะไรนักหนาทีกรีดข้อมือไม่เห็นกลัว ผมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดอะไรมากกว่านี้ ช้อนตัวอีกคนให้ลอยขึ้นมาเหนือพื้น ผู้ชายอะไรตัวเบาชิบหาย

   “ ทำอะไรของคุณ ”

   “ เลิกดื้อ แล้วนั่งเฉยๆ ”

   ผมวางเขาลงบนเบาะข้างคนขับ ปิดประตูรถเดินอ้อมมาฝั่งคนขับ บิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ แล้วขับออกไป

   “ คุณไม่ต้องเรียนตอนเย็นหรอครับ ”

   “ วันนี้อาจารย์ยกคลาส ”

   “ … ”

   “ เจ็บมากมั้ย ”

   “ ครับ? ”

   “ ที่ข้อมือ ”

   “ นิดหน่อยครับ ”  โกหก แผลยาวขนาดนั้น เลือดไหลเยอะขนาดนั้น หน้าก็เริ่มซีด

   “ ตอนทำล่ะไม่คิด ” ผมดุออกไป คนข้างๆทำหน้าหงอลงทันที

   “ … ”

   “ หนาวไหม เบาแอร์รึเปล่า ” ปากซีดหมดแล้ว

   “ ไม่เป็นไรครับ ”

   “ บ้าจริงรถดันติดอีก ” เวลาเร่งรีบแบบนี้ดันต้องมาเจอการจราจรติดขัด

   “ … ”

   “ นี้นาย ชื่ออะไร ”

   “ … ”

   “ บอกมา ผมจะได้เอาไว้ไปทำประวัติให้ ”

   “ จันทร์…จันทร์เจ้า ”

   “ เรียนศิลปกรรมศาสตร์ ใช่ไหม ” ดูจากอุปกรณ์ที่ใช้น่าจะเป็นแบบนั้น

   “ ครับ ใช่ ”

   “ แล้วคิดยังไงกรีดข้อมือตัวเอง ”

   “ … ”

   “ ถามก็ตอบ ”

   “  … ”

   “ เห้ย!!! อย่าเพิ่งหลับ ”

   อีกฝ่ายไม่โต้ตอบ ผมเขย่าแขนเขา หวังว่าให้เขาลืมตาขึ้นมา แต่เปล่าประโยชน์ เขายังนั่งนิ่งจนน่ากลัวว่าจะหยุดหายใจ หลังสัญญาณไฟเขียว ผมขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด

   บุรุษพยาบาลสองคนเข็นเตียงเข้ามาก่อนจะช่วยกันยกร่างบางที่ไร้สติ  ใบหน้าเริ่มซีดเพราะขาดเลือด

   ผมเข็นเตียงช่วยอีกแรง คิดแค่ว่ายังไงก็ต้องช่วยคนตรงหน้าไว้ให้ได้ อาจจะเพราะผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน และไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

   ผมช่วยเข็นได้มาสุดถึงแค่หน้าห้องฉุกเฉิน คนหมดสติที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงจะถูกเข็นเข้าไป

   ผ่านไปชั่วโมงกว่า คุณหมอเปิดประตูออกมา

   “ คุณเป็นญาติของคุณจันทร์เจ้าหรือเปล่าครับ ”

   “ เปล่าครับ แต่เป็นเพื่อน ”

   “ พอจะติดต่อครอบครัวของเขาได้ไหมครับ ”

   “ เอ่อ…ผมไม่มีเบอร์ผู้ปกครองของเขาเลยครับ ”

   “ งั้นรบกวนคุณไปคุยกับคุณหมอจิตแพทย์หน่อยได้ไหมครับ ”

   “ ทำไมหรอครับ ”

   “ คนไข้เคยมีประวัติการรักษาแบบนี้มาแล้ว… ไว้จิตแพทย์จะอธิบายให้คุณฟังนะครับ”

   “ โอเคครับ ”

   

   หลังจากผมแวะไปหาคนที่ออกจากห้องฉุกเฉินที่ตอนนี้ถูกย้ายไปห้องผู้ป่วยผมเดินไปถามทางที่เคาเตอร์พยาบาล แล้วเดินไปหาจิตแพทย์ตามคำสั่งของคุณหมอ

   ผมต้องชะงักเมื่อเห็นป้ายชื่อหน้าห้องมันคงจะไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้งครับ

   ‘ ก๊อก ก๊อก ก๊อก ’

   “ เชิญครับ ” เสียงผู้ชายวัยกลางคนตอบกลับมา สิ่งที่ผมคิดไว้ต้องใช่แน่ๆ

   ผมเปิดประตูหลังจากได้รับการอนุญาต

   “ พ่อ!!! ” สิ่งที่ผมคิดไว้เป็นจริง

   พ่อของผมท่านเป็นจิตแพทย์ ผมไม่ท่านสังเกตโรงพยาบาลว่าเป็นโรงพยาบาลที่พ่อทำงานอยู่

   “ อ้าว แทน มาทำอะไร ” พ่อวางไอแพดลงกับโต๊ะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม

   “ คุณหมอบอกว่าให้มาหาพ่อครับ ”

   “ หื้ม เราเป็นเพื่อนกับตาหนูหรอ? ”

   “ ตาหนู? ”

   “ ก็จันทร์เจ้าไง ”

   “ ก็ไม่เชิงครับ เพิ่งรู้จักกัน ”

   “ นั่งก่อนสิ ”

   ผมนั่งลงบนเก้าอีเบาะ ตามคำเชิญ

   “ ว่าแต่จันทร์เจ้าเป็นอะไรครับ ทำไมต้องมาพบจิตแพทย์ด้วย ”

   “ หนูจันทร์เจ้ากรีดแขนมาใช่ไหม ”

   “ ครับ แล้ว… ”

   “ คือเขาเคยกรีดแขนมาแล้วก่อนหน้านี้ ”

   “ … ”

   “ เขาเป็นโรค Major Depressive Disorder หรือที่เรารู้จักกันดีว่าโรคซึมเศร้านั้นแหละ ”

   “ ครับ ” ผมตอบรับอย่างแผ่วเบา เพราะผมรู้ดีว่าโรคนี้มันน่ากลัวเหลือเกิน

   “ คือหนูจันทร์เจ้าเขาเคยรักษากับพ่อ แต่อยู่ๆก็ขาดการติดต่อไป เบอร์โทรที่ให้ไว้ ก็ติดต่อไม่ได้ ”

   “ แล้วพ่อแม่ของเขาล่ะครับ ”

   “ หนูจันทร์เจ้าไม่อยากให้ที่บ้านรู้เลยไม่ได้บอกเบอร์โทรศัพท์ไว้ ”

   “ … ”

   “ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า…ช่วงนี้เขาทำตัวแปลกๆบ้างไหม ”

   “ ผมก็ไม่รู้นะครับ เพราะเพิ่งรู้จักกันเมื่อวาน ”

   “ อ้าวหรอ ”
   
   “ ครับ…แต่เมื่อวานนี้เขาคิดจะฆ่าตัวตาย ด้วยกันกระโดดตึก ”
   
   “ อาการหนักแล้วสินะ ”

   “ ครับ? ”

   “ คืออาการของจันทร์เจ้าตอนนี้เราไม่ควรปล่อยเขาอยู่คนเดียวตามลำพังเลย ”

   “ … ”

   “ พ่อมีเรื่องอยากให้ลูกช่วย ”

   “ อะไรครับ ”

   “ เอาหนูจันทร์เจ้าไปอยู่กับแทนหน่อยได้ไหม ”

   “ ห่ะ??? ”

   “ ก็อย่างที่บอกไป พ่อไม่อยากให้เขาอยู่คนเดียว ลูกก็น่าจะพอรู้นะ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นโดยตรงกับเราสองคนเลย พ่อไม่อยากเห็นใครจากไปโดยที่พ่อช่วยอะไรไม่ได้เลย ”

   “ … ” 

   ย้อนกลับเมื่อปีที่แล้ว แม่ของผมท่านปลิดชีวิตของตัวเองลงโดยการกรีดข้อมือ แม่เป็นโรคซึมเศร้า ที่ผ่านมาทั้งผมและพ่อไม่รู้ตัวเลยว่าแม่กำลังเจออยู่กับอะไร

   วันนั้นผมไปเรียนพิเศษ

   กำลังจะกลับบ้าน พ่อโทรตามให้ผมไปโรงพยาบาล

   แต่พอไปถึงมันก็สายเกินไปแล้ว แม่ได้จากพวกเราไปแล้ว

   พ่อเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง เพราะนอนอยู่กับแม่ทุกคืน แถมตัวเองยังเป็นจิตแพทย์แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าแม่กำลังป่วย

   ผมเองก็ดูไม่ออก เพราะแม่เป็นคนร่าเริงมากๆ เช้าตื่นมาทำกับข้าวให้พวกเราทาน ทำหน้าที่เป็นภรรยาและแม่ที่ดีแบบไม่เคยขาดตกบกพร่อง

   แต่ความจริงที่ผมไม่เคยรู้เลยคือแม่ต้องเจ็บปวดอยู่กับมันมานานนับปี

   ในวันเกิดเหตุ แม่ได้ทิ้งโน้ตหนึ่งแผ่นกับสมุดบันทึกเอาไว้หนึ่งเล่ม

   มันเป็นโน้ตสั้นๆ ที่แม่เขียนว่า ‘ รัก จากแม่’

   ส่วนเนื้อหาในสมุดบันทึก บอกเล่าถึงความเจ็บปวดในแต่ละวันที่แม่ต้องเจอ

   บางหน้าหมึกก็เลอะเพราะน้ำ อาจจะเป็นน้ำตาของแม่ที่ไหลออกมาตอนเขียน

   บางหน้าก็มีหยดสีแดง น่าจะเป็นรอยเลือด

   …พ่อโทษตัวเองอยู่เป็นเดือนๆ งานไม่ทำ ชีวิตพ่อเกือบพัง แต่แล้วพ่อก็ผ่านมันมาได้…
   
   

   “  ก็ได้ครับ แต่เขาจะยอมไปอยู่กับผมหรอ ”

   “ คงต้องบังคับกันหน่อย ”

   “  เห้ย งั้นผมไม่เอาด้วยหรอกพ่อ ไปขโมยลูกเขามา ตำรวจมาตามจับพอดี ”

   “ เอาหน่ะ เชื่อพ่อ พ่อไม่ทำให้แทนต้องไปนอนในตารางหรอก ”

   “ ไว้รอเจ้าตัวเขาฟื้นขึ้นมา ค่อยมาว่ากันอีกทีดีกว่าครับ ”












to be continuos




สวัสดีครับ หายไปนานมากต้องขออภัยด้วยครับ

พอดีเครียดกับโปรเจคจบ

สัญญาว่าจะมาอัพให้บ่อยขึ้นนะครับ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP2 [26/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 26-06-2018 23:44:34
จันทร์เจ้ามีปมปัญหาอะไรถึงได้เป็นโรงซึมเศร้า ติดตาม
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP2 [26/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 26-06-2018 23:45:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP2 [26/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 27-06-2018 00:10:26
โรคซึมเศร้านี่มันอันตรายจริงๆนะคะ เราก็เป็นแต่ไม่ได้หนักยังควบคุมตัวเองได้อยู่ แต่กับคนที่เป็นมากๆเขาก็คงไม่ไหวจริงๆ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP2 [26/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 27-06-2018 13:34:53
สงสารจันทร์เจ้า
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP3 [22/07/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 22-07-2018 21:17:54
 
  - EP 3 -




กลิ่นยาจางๆที่ลอยอยู่ในอากาศ ชวนให้รู้สึกคลื่นไส้ นั้นเป็นสัมผัสแรกที่ผมรับรู้ได้หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา รู้สึกถึงความเจ็บแปลบเล็กๆที่หลังมือข้างซ้าย เหมือนถูกอะไรบางอย่างทิ่มแทงอยู่ ผมหยีตาลงเมื่อถูกแสงแดดจากหน้าต่างส่องเข้ามาแยงตา พยายามปรับโฟกัสสายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยการกระพริบตาอยู่สองสามครั้ง

   พบว่าตัวเองได้นอนอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ซึ่งน่าจะเป็นของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับมหา’ลัย เพราะเมื่อมองผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยม สามารถมองเห็นมหา’ลัยของผมอยู่ไม่ไกลมากนัก มือข้างซ้ายที่รู้สึกเจ็บมีเข็มเจาะเข้าที่เส้นเลือด ที่ตัวเข็มต่ออยู่กับเส้นยางที่ปลายถูกเชื่อมอยู่กับถุงน้ำเกลือที่แขวนอยู่บนเสาเหล็กข้างเตียง รู้สึกปวดแขนข้างซ้ายที่มีผ้าพันแผลเป็นทางยาวพันอยู่

   เสียงพูดคุยกันหน้าห้องทำให้ผมรู้ได้ว่ามีคนกำลังจะเปิดประตูเข้ามาในห้องนี้ ผมเลยหลับตาลงแล้วแกล้งทำเหมือนว่ากำลังหลับอยู่

   ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆก่อนจะหยุดอยู่ที่ข้างเตียง ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่อยู่บนเส้นผม เขาลูบหัวผมก่อนจะผละออก เมื่อมีอีกคนเปิดประตูตามเข้ามา

   “ ขอโทษนะครับ ” เสียงทุ่มน่าฟังพูดขึ้น

   “ คะ? ”

   “ ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้วันไหนครับ ”

   “ ถ้าคนไข้ฟื้นขึ้นมา แล้วคุณหมอเข้ามาตรวจ ก็น่าจะกลับบ้านได้แล้วค่ะ เพราะน้ำเกลือก็ใกล้จะหมดถุงแล้ว ”

   “ ขอบคุณครับ ”

   “ ว่าแต่แฟนน้องนี้น่ารักดีนะคะ ”

   “ เอ่อ.. ”

   “ ไม่ใช่ครับ! ” ผมดีดตัวเองลุกขึ้นทันที เมื่อได้ยินเสียงหวานของพี่พยาบาล พี่พยาบาลตกใจเล็กน้อย ไม่ต่างกับผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างเตียง

   เขาจ้องผมด้วยสายตาจับผิด

   “ ยังไงเดี๋ยวพี่ไปตามคุณหมอให้นะคะ ” เขาขำกับท่าที่ของผมเล็กน้อยหลังจากพูดเสร็จแล้วเดินออกไปตามคุณหมอ

   “   ครับ ”  คนตัวสูงตอบกลับเบาๆ

   “ … ”

   “ เมื่อกี้นี้แกล้งหลับ? ”

   “ ป เปล่า ”

   “ ให้พูดอีกที ”

   “ จริงครับ ”

   “ อืม ” เขาตอบกลับมาเหมือนไม่เชื่อคำพูด แต่กลับมีรอยยิ้มที่มุมปากแทน

   ธิปแทน เขายิ้มครับ

   คุณหมอเปิดประตูเข้ามาก่อนจะมาดูอาการของผมแล้วหันไปพูดกับคุณพยาบาล แล้วคุณพยาบาลก็เดินมาถอดเข็มที่หลังมือ แล้วใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์สีฟ้ามาปิดแผลที่เกิดจากการถูกเข็มเจาะแล้วใช้พลาสเตอร์ปิดทับอีกทีเพื่อไม่ให้สำลีหลุดออก หลังจากนั้นคุณหมอพูดอะไรบางอย่างกับธิปแทนซึ่งผมเองก็ไม่ได้ยิน เขาพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนให้คุณหมอรู้ว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่คุณหมอกำลังพูดอธิบาย สลับกับมองที่ผมเป็นระยะ พูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยคคุณหมอก็เดินออกไปจากห้องพร้อมกับคุณพยาบาล

   ธิปแทนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหยิบเสื้อผ้ากับกางเกงของผมออกมา

   “ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ”

   “ ครับ ”

   “ ลุกไหวไหม? ” เขาพยายามจะมาช่วยประครองตัวผม

   “ ไหวครับ ไม่เป็นไร ” ผมปฏิเสธออกไป

   “ ก็เร็วๆเลย ”

   ผมรับเสื้อผ้าตัวเก่าที่ใส่เมื่อวาน ที่เขาส่งให้ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานผมก็ออกมา พร้อมกับเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย

   เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ก่อนจะหันมามองที่ผม แล้วมาจูงมือข้างที่ไม่ได้พันแผลให้เดินตามเขาไป

   ผมได้แต่เดินตามเขาไปเงียบๆ ไม่กล้าถามอะไร กลัวเขาจะรำคาญ แต่ทางที่เดินมามันดูคุ้น มันไม่ใช่ทางไปที่ห้องรับยาแต่มันคือทางไป…

   ‘ แผนกจิตเวช ’

   เขาเคาะหน้าห้องที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี สามครั้ง เพื่อเป็นการขออนุญาตเจ้าของห้อง ก่อนจะเปิดเข้าไปโดยไม่รอให้เจ้าของตอบรับใดๆ

   “ มากันแล้วหรอ สวัสดีหนูจันทร์เจ้า ”

   “ สวัสดีครับ ” ผมยกมือขึ้นไหว้คุณหมอตรงหน้า

   “ ไม่เจอกันนานแล้วนะครับ ไม่ยอมไม่หาหมอเลย ดื้อจริงๆ ”

   ผมได้แต่ก้มหน้าเมื่อถูกดุ ถึงแม้จะรู้ว่าคุณหมอท่านก็คงจะไม่ได้ดุแบบจริงจังอะไรมากนัก แต่ผมก็รู้สึกผิดจริงๆที่ไม่ได้มาหาคุณหมอมานานมากแล้ว

   คุณหมอเป็นคนที่ผมเคยมารักษาด้วย ตอนที่ผมรู้ว่าตัวเองเริ่มเป็นแบบนี้ แต่วันหนึ่งผมก็รู้สึกว่าถึงจะมาหาคุณหมอ ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาสักเท่าไหร่ เหมือนแค่เรามีคนหนึ่งเอาไว้ระบายความทุกข์ที่มันจะเยียวยาก็เท่านั้น วันหนึ่งผมจึงตัดสินใจเลิกที่จะมารักษา โดยที่ไม่ได้บอกคุณหมอก่อน

   แต่วันนี้ทำไมผมถึงมาที่นี้อีกครั้ง…

   “ สงสัยอะไร ” ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาถามเมื่อผมทำหน้าสงสัย

   “ ทำไมถึงพามา ”

   “ ก็คุณพ่ออยากคุยกับนาย ”

   “ อ่อ คุณพ่อ…ห๊ะ!!! ”

   “ ตกใจอะไรขนาดนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า ” คนตัวสูงกว่าถือวิสาสะมายีหัวผม แถมยังหัวเราะเยาะอีก

   “ ขำอะไรเล่า ” 

   “ ก็ขำหน้านาย เลิกสงสัยได้แล้ว นี้พ่อเราเอง ”

   นั้นสินะ ตอนแรกๆที่ผมมาหาคุณหมอก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาแบบบอกไม่ถูก เหมือนคนที่ผมเคยเห็นมาก่อน

   “ พ่อเราหล่อใช่ไหมล่ะ เราก็หล่อเหมือนพ่อไง ^^ ”  คนอะไรหลงตัวเองแต่ก็เป็นความจริงล่ะนะ ผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้

   บทสนทนาการยอกเย้าของเด็กหนุ่มสองคนตรงหน้า ทำให้คุณหมอวัยกลางคน ยิ้มออกมา เขาไม่เคยเห็นลูกชายของเขา สดใส ร่าเริงขนาดนี้ มานานแล้ว ปกติอยู่กับเขา ลูกเขาก็เป็นคนเงียบๆขรึมๆด้วยซ้ำ แถบจะถามคำตอบคำ ส่วนคนไข้ของเขา ปกติก็ไม่ได้ดูมีชีวิตชีวาขนาดนี้มาก่อน เขาเองก็เพิ่งจะเคยเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของจันทร์เจ้าก็วันนี้ เมื่อก่อนตอนที่มารักษาเขาก็ยิ้มนะ แต่เป็นยิ้มที่เศร้ามากๆ จนคงมองรู้สึกอยากจะเศร้าตามไปด้วย

   “ แทน เลิกแกล้งจันทร์เจ้าได้แล้ว เชิญนั่งเลยตาหนู ”

   “ ครับ ” ผมขานรับและนั่งลงตามคำเชิญ “ มีอะไรจะคุยกับผมหรอครับคุณหมอ ”

   “ คือแบบนี้นะ หมอรู้สึกว่าอาการของหนู มันค่อนข้างที่จะรุนแรงแล้ว หมอเองในฐานะเจ้าของคนไข้ รู้สึกจะปล่อยหนูไปเฉยๆไม่ได้แล้ว ”

   “ … ”

   “ หมอเลยมีความคิดว่า จะให้หนูไปอยู่กับเจ้าแทน ”

   “ อาหมอว่ายังไงนะครับ ”

   “ นายฟังไม่ผิดหรอก นายต้องมาอยู่กับฉัน   ”

   “ ม ไม่เอาได้ไหมครับ ผมอยากอยู่คนเดียว ” พูดออกไป แล้วลอบมองคนข้างๆ กลัวว่าจะถูกดุด้วยสายตาคมๆนั้นอีก

   “ หมอเองก็ บังคับหนูไม่ได้หรอก หมอแค่เสนอเฉยๆ ถ้าหนูไม่สนใจ หมอก็ทำอะไรไม่ได้ ”

   “ เปล่า นะครับ ไม่ใช่แบบนั้น แต่ผมกลัวว่าจะไปรบกวนและสร้างความลำบากให้กับธิปแทนเขา ”
   
   “ แทนว่าไง? ”

   “ ผมไม่ได้ลำบากอะไรครับ คอนโดผมก็ไม่ได้เล็กอะไร อีกอย่างมีคนมาอยู่ด้วยก็ดี ”

   “ แต่ผม… ”

   “ ไม่ต้องแต่อะไรทั้งนั้นแหละ ไป กลับห้องของเรากัน คุณพ่อผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ ” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ยกมือไหว้คุณหมอ แล้วเดินออกไปจากห้องก่อนผม

   “ อาหมอครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ สวัสดีครับ ”

   “ เดี๋ยวก่อนจันทร์เจ้า ”

   “ ครับ? ”








   ตอนนี้ผมขึ้นมาอยู่บนรถของคนที่ทำหน้านิ่ง จนผมเดาไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

   “ อะไรคือห้องเรา?หรอครับ ”

   “ ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง ”
   
   “ แล้วของที่หอผมล่ะครับ ”
   
   “ ไปเก็บมาแล้ว ”

   “ ??? ”

   “ เก็บมาเมื่อวานตอนนายหลับ เลิกถามได้แล้ว ไม่มีสมาธิ ”

   หลังจากโดนดุผมก็ได้แต่นั่งปิดปากแนบสนิท หันมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่กล้ามองหน้าคนข้างๆ ขนาดจะหายใจยัง ไม่กล้าหายใจแรง กลัวจะไปรบกวนสมาธิคนที่กำลังขับรถอยู่

   


   “ เห้ย!!! ” ผมตกใจเมื่อตอนนี้ตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของธิปแทน ผมคงเผลอหลับไปตอนอยู่บนรถ ตื่นมาอีกทีก็อยู่ตรงทางเดิน เดาว่าน่าจะเป็นของคอนโดของเขา

   “ อยู่นิ่งๆสิ ” เสียงทุ้มต่ำ ทำให้ผมหยุดขยับ

   ‘2410’

   เขาวางผมลงเมื่อมาหยุดถึงหน้าห้อง แล้วหยิบกุญแจไขเข้าห้อง

   “ เข้ามาสิ ยืนให้ยุงกัด? ”

   “ ครับ ”   ผมเดินตามเขาเข้าไปในห้อง

   เป็นคอนโดที่ค่อนข้างจะกว้างขวาง ใหญ่กว่าหอผมเกือบเท่าตัว นี้เขาใช้ชีวิตคนเดียวแบบนี้ได้ยังไงในห้องที่กว้างขนาดนี้ ถ้าเป็นผมคงต้อเหงามากแน่ๆ

   ส่วนมากทั้งห้องถูกตกแต่งไปด้วยสีขาว และเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ก็เป็นไม้ การตกแต่งเหมือนคอนโดทั่วไป ไม่ต่างอะไรมาก

   แต่ไม่น่าเชื่อ ว่าห้องของผู้ชาย จะสะอาดขนาดนี้ ข้าวของถูกจัดวางแบบเป็นระบบระเบียบ

   “ นั้นห้องของนาย ไม่มีห้องน้ำในตัว แต่นายออกมาใช้ห้องน้ำตรงห้องรับแขกได้ ”

   “ ครับ ”

   “ ไปอาบน้ำพักผ่อน เดี๋ยวค่ำๆ พาออกไปกินข้าว ”

   “ ครับ ”

   ผมให้อีกคนเดินเข้าไปในห้อง แล้วค่อยไปหน้าห้องที่เขาชี้บอกผมในตอนแรก

   เมื่อผมเปิดประตูเข้าไป ผมตื้นตันใจแบบบอกไม่ถูก ภายในห้องถูกตกแต่งไปด้วยสีฟ้าน้ำทะเล ทั้งหมอนผ้าห่ม ผ้าปูเตียง มันเป็นสีที่ผมชอบ

   น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว ไม่มีคนทำอะไรแบบนี้ให้ผมมานานแล้ว

   พลันนึกไปถึงคำพูดของคุณหมอก่อนที่จะออกมาจากโรงพยาบาล

   “ เดี๋ยวก่อนจันทร์เจ้า ”

   “ ครับ? ”

   “ ไปอยู่กับเจ้าแทนแล้ว หมอก็ฝากด้วยนะ แทนเขาเป็นเด็กน่าสงสารมากนะเอาจริงๆ เห็นภายนอกดูนิ่งๆ แต่ข้างในคือเขาเก็บเรื่องอะไรมากมายเอาไว้คนเดียว ”

   “ … ”

   “ ถึงเขาจะเป็นคนดุ อย่าโกรธลูกหมอเลยนะ เขาเป็นห่วง จะหาว่าหมออวยลูกตัวเองก็ได้ ถึงภายนอกเขาจะดูใจร้าย แต่จริงๆแล้วเขาเป็นคนใจดีมาก โดยเฉพาะกับคนที่เขารัก ”

   “ ครับ ” อยู่ก็รู้สึกว่าอากาศรอบตัวมันร้อนยังไงก็ไม่รู้นะครับ

   “ ยังไงหมอฝากด้วยนะ ”

   “ ได้ครับ ไว้เจอกันใหม่นะครับ ”
    
   นอกจากห้องนอนที่ผมคิดว่าเจ้าของห้องน่าจะจัดใหม่เพื่อต้อนรับผมแล้ว ข้าวของส่วนตัวของผมก็อยู่ที่นี้จนครบ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรืออุปกรณ์การวาดรูป และเจ้าหมีเน่าของผม ที่นอนแอ้งแม้ง อยู่บนเตียง

    ผมล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงขนาดที่สามารถได้คนเดียวแบบสบาย ไม่ได้กว้างไปหรือเล็กไปพอให้มีที่กลิ้งได้

   เหมือนถูกเตียงดูด อยู่ๆหนังตาก็เริ่มรู้สึกหย่อน ในขณะที่ผมกำลังจะหลับสนิท

   ‘ ก๊อก ก๊อก ก๊อก ’  ประตูถูกเปิดออกโดยที่ผมยังไม่ได้อนุญาต แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ห้องของเรา

   “ หลับอยู่หรอ? ”

   “ เปล่าครับ ”

   “ หิวยัง ไปกินข้าวไหม? ”

   “ นิดหน่อยครับ ไหนบอกว่าจะไปตอนค่ำ ” ผมมองดูนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือตัวเอง เพิ่งจะเป็นเวลาเย็นๆ เท่านั้นเอง

   “ พอดีหัวค่ำมีธุระ เลยจะพาไปกินก่อน ”

   “ อย่างนั้นคุณธิปแทนไปทำธุระเลยครับ ผมขอกุญกุญแจกับคีย์การ์ดก็พอ เดี๋ยวผมไปทานเอง ”

   “ อย่าดื้อ บอกว่าจะพาไป ”

   “ แต่… ”

   “ ยังจะเถียงอีก หรือจะให้อุ้มไป? ”

   “ ไม่เอาครับ ” ผมสายหัวแรงๆ

   “ ก็ไปล้างหน้าล้างตา เร็วๆ ให้เวลา 5 นาที ”

   “ ชอบบังคับ ” ผมพูดเบาๆกับตัวเอง
   
   “ ว่ายังไงนะ ” แต่คงเพราะห้องเสียงเงียบมาก คนตรงประตูเลยได้ยิน

   “ ป เปล่าครับ ”

   “ ไปเร็ว ”

   เราหลงมาหาอะไรกินกันที่ร้านอาหารตามสั่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโด เพราะอีกคนเขาบ่นว่าหิวมาก ผมกลัวเหลือเกินว่าถ้าผมมัวแต่ชักช้า หรือเรามัวแต่หาร้าน คนข้างๆนี้คนจะจับผมกินแทนข้าวเป็นแน่แท้

   “ กินเสร็จแล้วกลับเองได้ไหม ”
   
   “ ได้ครับ คุณธิปแทนจะไปธุระต่อเลยใช่ไหมครับ ”

   “ อืม แล้วอีกอย่างนะ เลิกเรียนว่าคุณสักที แล้วชื่อก็ไม่ต้องเรียกเต็ม เรียกแทนเฉยๆก็พอ ”

   “ ครับ คุณธิป เอ้ย แทน ”

   “ อิ่มแล้วใช่ไหม เก็บตังค์ด้วยครับ ” ประโยคแรกเขาถามผม ส่วนประโยคหลังเจ้าตัวหันไปบอกคุณป้าเจ้าของร้าน

   “ นี้ค่าข้าวเรา ” ผมยื่นแบงค์ให้เขา

   “ ไม่ต้อง ฉันเลี้ยงเอง ” แล้วยิบแบงค์จากกระเป๋ายื่นให้คุณป้าเจ้าของร้าน

   “ ผมเกรงใจนะครับ รับไว้เถอะ ”

   “ … ” เขาไม่ตอบอะไรนอกจากยื่นกุญแจกับคีย์การ์ดที่เอาไว้ใช้เข้าหอมาให้ ก่อนจะลุกแล้วเดินนำไป

   “ แล้วคุณจะเขาห้องยังไงครับ ” ผมเดินตามมา แล้วถามออกไป

   “ มีอีกชุด ถึงห้องแล้วก็ส่งข้อความมาบอกด้วย ”

   “ ได้ครับ ”

   “ ไม่ต้องรอนะ คงกลับดึก นอนก่อนได้เลย ล็อคห้องให้ให้ดีด้วย แต่ไม่ต้องคล้องโซ่นะ ”

   “ ครับ ”

   เขาสั่งแค่นั้นก่อนจะเดินจากไป ผมเดินกลับคอนโด สังเกตตามข้างทาง ดูว่ามีร้านอาหารหรือร้านค้าอะไรบ้าง เผื่อวันหน้าจะได้มาซื้อของใช้ส่วนตัว

   คอนโดนี้สมควรแล้วที่ราคาแพง เพราะตั้งอยู่ใกล้กับร้านค้าและร้านอาหารมากมาย แถมยังมีห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลมาก และที่สำคัญใกล้กับมหา’ลัยของผมด้วย

   กลับมาถึงห้อง ผมก็ปิดประตูและล็อคห้องตามคำสั่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เพื่อที่จะได้ตอบคนที่เป็นเจ้าของห้อง

   จริงสิ ผมลืมไปว่าผมไม่มีเบอร์เขา

    ‘ ติ๊ง ’

   เสียงการจากเตือนจากแอพพลิเคชั่นสีเขียวดังขึ้น

   Taan : ถึงห้องยัง

    JJ : เพิ่งถึงครับ กำลังจะบอกพอดี

   Taan : อืม อย่าลืมล็อคห้อง

   JJ : ครับ แทน เอาไลน์ผมมาจากไหน
   ขึ้นอ่านแต่ไม่ตอบ สงสัยเขาคงออกจากการสนทนาไปแล้ว ทิ้งไว้แต่คำถามให้ผมสงสัย

   ผมเข้าห้องไปหยิบผ้าเช็ดตัว แล้วเดินไปห้องน้ำของห้องรับแขกเพื่อจะอาบน้ำก่อนนอน

   ผมนอนกลิ้งอยู่บนเตียง หลังจากทานยาตามที่คุณหมอสั่ง ไม่นานผมเริ่มรู้สึกง่วงคงเป็นเพราะฤทธิ์ของยาที่ทานเข้าไป ผมเลยเดินออกไปเช็คความเรียบร้อยของห้องอีกครั้ง ก่อนที่จะเข้ามาปิดไปล้มลงนอน

   คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ผมฝันร้าย แต่อยู่ๆฝันร้ายนั้นก็หายไป

   ความอบอุ่นบางอย่างเข้ามาแทนที่ ผมซุกหน้าเข้าหาความอบอุ่นนั้น ที่ช่วยปัดเป่าให้ฝันร้ายของผมกลายเป็นฝันดี
   







To Be Continuos








Talk


เขาย้ายมาอยู่ด้วยกันนนนนน

ฮือออ

เอาจริง ตอนนี้คนเขียนก็ไม่แน่ใจแล้วครับ

ว่าจะดราม่าหรือฟีลกู๊ด มาคอยติดตามไปด้วยกันนะครับ

เป็นกำลังใจให้จันทร์เจ้าและผมด้วยนะครับ :)
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP4 [19/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 19-08-2018 15:46:04
- EP 4 -

   วันนี้เป็นวันแรกของสัปดาห์ แต่ถือว่าเป็นวันหยุดของใครอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่จะต้องไปทำงาน หรือนักเรียน นักศึกษาอย่างเช่นผม ที่จะต้องไปเรียนหนังสือ ตามหน้าที่ของแต่ละคน แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องไปเรียนก็รู้สึกเบื่อโลกขึ้นมาทันที การศึกษาไม่ได้น่าเบื่อสำหรับผม แต่ผมเบื่อที่จะต้องไปเจอหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ ไม่ว่าจะเป็นสายตา หรือคำพูดของคนอื่นๆที่ผมแถบจะไม่รู้จักพวกเขาเลยด้วยซ้ำ

   เช้านี้ผมตื่นนอนก่อนเจ้าของห้อง เพราะรู้สึกว่าตัวเองควรจะมาเตรียมอาหารเช้าให้สำหรับผมและเขา อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการตอบแทนที่ผมมาอาศัยอยู่ห้องเขา ทั้งๆที่ตัวผมเองก็ไม่ได้เต็มใจอยากจะมาอยู่สักเท่าไหร่ เหตุผลจริงๆที่ผมยอมมาอยู่ ไม่ใช่ว่าผมชอบเขาแล้วใจง่ายหรืออะไร แต่ก่อนออกจากโรงพยาบาลอาหมอหรือพ่อของแทน ขู่แกมบังคับว่าถ้าหากผมไม่มาอยู่กับแทน เขาจะโทรบอกพ่อกับแม่ว่าผมกำลังป่วยซึ่งนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่ ผมจึงต้องจำใจมาอยู่กับเขา ทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าพอออกจากห้องอาหมอจะทักท้วงกับแทนว่าผมขออยู่หอตัวเองเหมือนเดิม

    เรากลับมาที่เรื่องของอาหารเช้ากันต่อดีกว่าครับ อย่าคาดหวังอะไรกับมันมาก มันก็แค่โจ๊กซองที่แค่ฉีกแล้วเติมน้ำร้อน แล้วรออีก 3 นาทีก็ทานได้เลย แต่มันค่อนข้างจะพิเศษกว่านั้น เพราะผมปั้นหมูสับที่หยิบมาจากตู้เย็น ซึ่งก็ไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของหอก่อน และตอกไข่ใส่ลงไปเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับอาหารมื้อนี้ ไม่อย่างนั้นเราสองคนคงได้กินแต่แป้งและโซเดียมเป็นอาหารเช้า มันก็คงไม่ดีกับร่างกาย

   เหมือนเจ้าของห้องจะรู้เวลา เพราะเมื่อโจ๊กและส่วนผสมที่ใส่ลงไปต้ม สุกจนผมสามารถนำตักใส่ถ้วยได้ เขาก็เดินออกมาจากห้องนอนพอดี

   “ ทำอะไร ” เขาถามผมตอนที่เห็นผมวางถ้วยลงบนโต๊ะ

   “ อาหารเช้าครับ มาทานด้วยกันสิครับ ผมทำเผื่อด้วย ”

   “ โจ๊กซอง? อาหารเช้า ” เขาก้มมองดูโจ๊กในถ้วยแล้วพูดพร้อมกับทำหน้าเหมือนคนสงสัย

   “ ครับ ”

   “ ไว้คราวหลังจะทำให้กิน ”

   “ ? ”

   “ อาหารเช้าน่ะ ” เขาตอบคำถามเมื่อผมทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด

   “ อ่อ ครับ … เอ่อ แทนครับ ” 

   “ หื้ม เลิกพูดครับได้แล้ว ”

   “ ครับ ”

   “ เดี๋ยวจะดีดปากให้ ว่าแต่มีอะไร ”

   ผมเอามือกุมปากทันทีกลัวว่าจะโดนดีดจริงๆ เพราะเขายกมือขึ้นแล้วทำเป็นเหมือนสัญลักษณ์โอเคที่เอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้มาชนกันให้กลายเป็นวงกลมแล้ว

   “ ผมเอาหมูสับมาใช้ แต่ยังไม่ได้ขอ เพราะเห็นแทนหลับอยู่เลยไม่ได้ไปปลุก ”

   “ ไม่เป็นไร ซื้อมาให้ใช้อยู่แล้ว ของในตู้เย็นหรือในครัว อยากใช้อะไรก็ใช้ อยากกินอะไรก็กินไม่ต้องขอหรอก ”

   “ ขอบคุณครับ ”

   “ … ” เขาไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ตักโจ๊กแล้วเอาเข้าปากต่อ

   เราสองคนนั่งกินโจ๊กด้วยกันเงียบๆ จนโจ๊กที่ตอนแรกเต็มถ้วย ตอนนี้ก็หมดลงแล้ว

   “ อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ ”

   “ ครับ ”

   “ เดี๋ยวผมล้างให้ครับ ” เขาหยิบถ้วยของผมและของเขาไปล้าง โดยไม่ฟังคำพูดของผม

   “ เดี๋ยวล้างเอง มือเจ็บอยู่ ”

   “ แต่ว่า ”

   “ ทำไมขี้ดื้อ ”

   “ แบบนั้นก็ได้ครับ ” ผมเลิกเถียงเขา แล้วเดินไปกินยาตามที่เขาสั่ง เพราะรู้ว่าเถียงไปยังไงก็แพ้ แถมยังจะเหนื่อยฟรีอีกต่างหาก

   หลังจากกินข้าวเสร็จเราสองคนเลือกตัดสินใจที่จะหาแผ่นซีดีหนังดูด้วยกันที่ห้องนั่งเล่น โดยเป็นหนังแนวที่ให้กำลังใจตัวเอง หรือสร้างแรงบันดาลใจอะไรทำนองนั้น เพื่อเป็นการพักผ่อนในวันหยุด หากต้องออกไปข้างนอกในวันหยุดแบบนี้คนคงเยอะไปหมด จากที่จะได้พักผ่อนคงจะกลายเป็นเหนื่อยมากกว่าที่จะต้องไปเดินห้างฝ่าฝูงชนมากหน้าหลายตา
   
   ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาจงใจเลือกแนวนี้มาหรือเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็คงดีกว่าการที่เขาเลือกหนังเศร้ามาดู

   “ ไปนั่งพื้นทำไม ขึ้นมานั่งข้างบน ” คนพูดขมวดคิ้ว

   “ ไม่เป็นไรครับ แทนจะได้นั่งสบายๆ ” ความจริงแล้วผมเขิน การที่จะให้ไปนั่งอยู่ใกล้ๆเขา มันคงจะทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากแน่ๆ และหน้าผมเองคงจะขึ้นสี มันคงจะไม่ดีกับตัวผม และอีกอย่างผมว่านี้เราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นที่จะมานั่งดูหนังข้างๆกันได้

   “ โซฟาตั้งกว้าง เร็วๆ ”

   “ ไม่เป็นไรครับ ”

   “ ดื้อจริงๆ จะขึ้นมาไหม ”

   “ ไม่ครับ ” หลังจากผมตอบไป เขามองหน้าผมนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเลื่อนตัวเองมานั่งที่พื้นข้างๆผม “ ขึ้นไปนั่งข้างบนเถอะครับ นั่งพื้นมันเมื่อยนะ ”

   “ ไม่ ”

   “ แต่ว่า ”

   “ จะดูไหมหนัง ”

   “ ถ้าอย่างนั้น ก็ตามใจนะครับ ถ้าเมื่อยแล้วอย่ามาบ่นนะ ”

   เราไม่ลุกไปไหนกันเลย นั่งดูหนังด้วยกันตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ เพราะเราเตรียมน้ำเตรียมขนมกันมากองไว้แล้ว พอหนังเรื่องแรกจบไปก็หาเรื่องใหม่ดูไปเรื่อยๆ

   หนังเรื่องที่สามกำลังเริ่มฉายแต่เราถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือของผมเสียก่อน แทนใช้รีโมตกดหยุดการเล่นของหน้าจอหนังเอาไว้ เหมือนอยากให้ผมจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาดูพร้อมกัน

   ‘ ตะวันฉาย ’ โทรศัพท์แสดงชื่อขึ้นหน้าจอ พี่ชายของผมโทรมา ซึ่งนานๆทีเขาจะโทรมาทำให้ผมต้องรีบไปรับโทรศัพท์สายสำคัญนี้ เพราะๆนานๆทีเขาจะโทรมา

   “ ผมขอตัวก่อนนะครับ ”

   “ อืม ”

   ผมใช้นิ้วปัดหน้าจอเพื่อรับโทรศัพท์

   “ ฮัลโหลครับ ”

   “ ทำไมรับโทรศัพท์ช้าครับ น้องจันทร์ ”

   “ ขอโทษครับพี่ฉาย น้องดูหนังอยู่ พี่ฉายอย่างอนนะ ”

   “ หึ ” ปลายสายทำเสียงเหมือนคนน้อยใจ

   “ อะไรพี่ฉาย ห้ามงอนน้องนะ ”

   “ ก็ดูสิคนเรา พี่อุตส่าห์โทรมาหา แต่ก็เห็นหนังสำคัญกว่า ”

   “ ไม่ใช่พี่ฉาย คือจันทร์ดูหนังแล้วไม่ได้ยินเสียง ไม่ต้องมาประชดเลย ”

   “ … ”

   “ ถ้าเงียบจันทร์จะไม่คุยด้วยแล้วนะ ”

   “ จันทร์ ไม่ง้อพี่หน่อยหรอ ”

   “ ง้อ อะไร จันทร์สิต้องงอน ไม่ยอมโทรมาหาเลย พอโทรไปก็ไม่เคยรับสาย ไม่รู้ว่าไปเรียนหรือไปทำอะไรกันแน่ ”

   ‘ พี่ฉาย หรือ ตะวันฉาย ’ พี่ชายแท้ๆของผมเองครับ ตอนนี้พี่ฉายไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก นานๆทีถึงจะโทรมาหาผม พี่ฉายเป็นคนเดียวในครอบครับเราที่รู้เรื่องที่ผมไม่ป่วย เพราะพี่ฉายเป็นคนพาผมไปรักษา

   “ พี่ไม่ค่อยว่างหนิครับ เราก็รู้ว่าพี่เรียนหนัก อีกอย่างเราโทรมาที่นี้ก็ตอนกลางคืนแล้ว ”

   “ ก็คิดถึง กลางคืนจันทร์ก็ง่วงแล้ว ” ผมชอบโทรหาพี่ฉายตอนกลางวันของที่นี้แต่เป็นกลางคืนของที่นู้น

   “ เรานี้นะ ”

   “ ทำไมวันนี้พี่ฉายโทรหาจันทร์ได้ ”

   “ คืออาหมอเขาโทรหาพี่บอกจันทร์เข้าโรงพยาบาลมา เป็นอะไร ทำไมไม่บอกพี่ ”

   “ ไม่ได้เป็นอะไรมาก ”

   “ อย่ามาโกหก ตอนพี่รู้ข่าวพี่แถบจะบินกลับไปหา แต่มีสอบมิดเทอม พี่เลยบินกลับไปไม่ได้ นี้สอบเสร็จก็เลยรีบโทรหาเราเลย ”

   “ ไม่ได้นะ พี่ฉายจะกลับมาเพราะเรื่องจันทร์ไม่ได้เลย ถ้าพี่ฉายไม่ได้สอบ ก็เรียนไม่จบ ต้องอยู่เรียนต่ออีก ไม่ได้เลยนะ ”

   “ ครับๆ รู้แล้ว นี้พี่ก็รีบๆ เรียนให้จบจะได้กลับไปหาเราไง ”

   “ ดีมาก ”

   “ ไปตามที่อาหมอเขานัดด้วยนะ เดี๋ยวพี่ต้องไปก่อน ไว้ว่างๆ จะโทรไปใหม่นะครับ ดูแลตัวเองด้วยนะ คิดถึงนะครับ ”

   “ ครับ คิดถึงเหมือนกัน ”

   หลังจากปลายสายว่าง ผมก็เดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น เมื่อแทนเห็นผมมานั่งลงข้างๆเลยกดให้หนังเล่นต่อ

   “ คุยกับใคร ทำไมต้องคิดถึง ”

   “ แอบฟังหรอครับ ”

   “ เปล่า ห้องมันเงียบ แล้วพูดดังขนาดนั้น ไม่ต้องแอบฟังก็ได้ยิน ”

   “ ขอโทษครับ ”

   “ สรุปแล้วใคร ”

   “ พี่ฉายครับ ”

   “ ฉายไหน ”

   “ พี่ชายของผมเอง ”

   “ มีพี่ชายด้วยหรอ ”

   “ มีหนึ่งคนครับ ”

   “ อืม ”

   “ ครับ ”

   “ จันทร์ ”

   “ … ” ผมหันไปมองหน้าเขา

   “ ต่อไปนี้ต้องเรียกแทนตัวเองว่าจันทร์แทนผม ”

   “ หื้ม ”

   “ ดูหนังต่อได้แล้ว ”

   ทำไมชอบบังคับ ผมจะแทนตัวเองด้วยชื่อก็แค่กับคนที่สนิทเท่านั้นนะครับ

   “ แอบด่าอะไร ”

   “ เปล่าครับ ” ทำไมเขาถึงอ่านความคิดผมออกล่ะเนี่ย
 




   เสียงนาฬิกาปลุกข้างเตียงดังส่งสัญญาณเตือนบอกเวลาว่าตอนนี้เช้าแล้ว และผมควรที่จะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวไปเรียน แต่เปล่าเลยผมยังคงนอนนิ่งอยู่บนที่นอน มองเพดานสีขาวที่มีหลอดไฟยาวอยู่หนึ่งหลอดติดอยู่บนนั้น

   เวลายังคงเดินผ่านไปเรื่อยๆทำตามหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม แต่เป็นผมเองที่หยุดอยู่กับที่ไม่ได้เดินไปตามเข็มนาฬิกา และยังคงปล่อยตัวเองให้อยู่กับความว่างเปล่า จมอยู่ในโลกที่มีเพียงผมแค่เพียงคนเดียว แต่คงจะปล่อยให้เวลาเดินนำไปนานไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะเหลือบไปดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่ข้างๆ ก็พบว่าผมมีเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มเรียนวิชาแรก…เวลาผ่านไปไวจริงๆ อยากอยู่แบบนานนี้ให้นานกว่านี้อีกสักหน่อยก็ยังดี แต่คงไม่ได้แล้ว เพราะอาจารย์ประจำวิชาแรกในตอนเช้านี้ค่อนข้างจะเป็นคนตรงต่อเวลาถ้าหากว่าไปสายเกินแม้แต่นาทีเดียว อาจารย์ท่านก็เช็คว่าขาด และถ้าหากเราโดนเช็คว่าขาดเกิน 3 ครั้ง ก็จะไม่มีสิทธิ์สอบและโดนปรับตกไปในที่สุด อีกอย่างดันเป็นวิชาที่เปิดแค่เพียงเทอมหนึ่งของแต่ละปีการศึกษา ซึ่งเท่ากับว่าถ้าหากว่าเราไม่ผ่านวิชานี้ก็จะต้องไปเรียนกับรุ่นน้องในปีการศึกษาถัดไป ปีนี้ก็เหมือนกัน ผมเห็นมีรุ่นพี่มาเรียนรวมกับพวกเราด้วย

   ผมหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินออกไปอาบน้ำในห้องน้ำที่อยู่ในห้องรับแขก แวะไปเคาะเรียกเจ้าของห้อง แต่ไร้วี่แววการตอบกลับ ห้องเงียบสงัดทำให้ผมรับรู้ได้ว่าเจ้าของห้องคงออกไปเรียนตั้งแต่เช้าแล้ว

   การแต่งตัววันนี้ผมหยิบเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวมาสวมใส่พร้อมกับกางเกงสแล็คสีดำและผูกเนคไทด์ ให้ถูกระเบียบ นอกจากอาจารย์ยังเป็นคงตรงต่อเวลาแล้ว ท่านยังเป็นคนเข้มงวดในเรื่องการแต่งกายไม่แพ้กับเรื่องเวลา ทุกครั้งที่มีวิชาเรียนของเขา ทุกคนต้องแต่งกายให้ถูกกฎระเบียบของมหา’ลัย ขนาดแม้แต่พวกรุ่นพี่ ที่ปกติใส่กางเกงยีนส์มาเรียน ยังต้องแต่งตัวถูกระเบียบให้เหมือนกับน้องปีหนึ่ง
   
   หลังจากจัดตรวจสอบความเรียบร้อยของการแต่งกายและตรวจสอบอุปกรณ์การเรียนเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาไปเรียนสักที ผมเป็นคนอาบน้ำแต่งตัวไม่นานมากนัก เลยยังพอมีเวลาเหลือให้เดินไปเรียนได้ กำลังจะออกจากห้องสายตาดันไปสะดุดเข้ากับโพสต์อิทสีฟ้าที่แปะอยู่หน้าตู้เย็น ทำให้ผมต้องเดินเข้าไปดู

   ‘ เตรียมอาหารเช้าไว้ให้อย่าลืมหยิบไปกิน ’

   นั้นคือข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ ผมหันซ้ายหันขวา เพื่อหาอาหารเช้าที่ว่าก็พบกับถุงพลาสติกใสที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทานอาหาร ข้างในมีกล่องข้าวใบหนึ่งที่มีแซนวิชวางอยู่ข้างในที่ทำให้ผมพออิ่มท้องและมีน้ำส้มคั้นใส่กระบอกน้ำไว้ให้อีกหนึ่งขวด ผมหยิบถุงพลาสติกแล้วเดินทางไปเรียน




   วันนี้รถค่อนข้างติด ด้วยความที่ว่าเป็นวันจันทร์และเป็นวันแรกของสัปดาห์ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้ประชากรและยานพาหนะบนท้องถนนมันถึงได้เยอะขนาดนั้น แต่ก็อย่างว่าผมเดินมาเรียน ต่อให้รถจะติดหรือถนนโล่งมันก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อตัวผมอยู่แล้ว

   ผมมองดูนาฬิกาข้อมือเหลือเวลานิดหน่อยที่ทำให้ผมสามารถกินอาหารเช้าก่อนที่จะถึงเวลาเรียน ผมเลยเลือกที่จะมานั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องเรียน เพื่อที่ถ้าอาจารย์มาถึงผมจะได้เข้าเรียนได้ทันอาจารย์ ผมหยิบเอากล่องพลาสติกเปิดออกฝาออกแล้วหยิบแซนวิชขึ้นมาหนึ่งชิ้น ค่อยๆกินมันจนหมด ซึ่งแซนวิชอันนี้คือแซนวิชที่ผมชอบซื้อกินประจำ ที่จำได้เพราะผมจำรสชาติของมันได้ ตัวไส้แซนวิชของร้านนี้ค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์ เพราะน้าคนขายเขาทำเองทั้งหมด ทำให้มีรสชาติไม่เหมือนกับร้านอื่นๆ แถมอร่อยกว่าร้านอื่นอีกด้วย

   จังหวะที่กำลังจะหยิบแซนวิชอีกชิ้นขึ้นมา ผมก็เห็นอาจารย์กำลังเดินมาแต่ไกลๆ ทำให้ผมต้องวางแซนวิชชิ้นนั้นกลับไปที่เดิม และปิดฝากล่องข้าว ก่อนจะหยิบน้ำส้มขึ้นมาเปิดฝาแล้วกระดกไปครึ่งขวด แล้วเดินเข้าไปเรียน





   Taan : อยู่ไหน

   JJ : ห้องเรียนครับ

   Taan : ยังไม่เลิกหรอ

   JJ : เลิกแล้วครับ กำลังเก็บของอยู่

   และนี้เป็นอีกครั้งที่อีกฝ่ายจะทักแชทมาหาผมและเป็นผมเองที่เป็นคนตอบกลับประโยคสุดท้ายก่อนที่แชทของอีกคนจะขึ้นว่าอ่าน แต่ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ

   ผมออกจากหน้าต่างแชทแล้วเก็บโทรศัพท์มือถือยัดลงไปไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกจากห้องเรียน

   เมื่อผมลงมาถึงชั้นแรกของอาคารเรียนก็พบคนที่เพิ่งคุยแชทกันเมื่อกี้ยืนอยู่

   “ มาทำอะไรแถวนี้ครับ ” ผมเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาก่อน

   “ มารอไง ”

   “ รอใครครับ ”

   “ นี้ ยังจะมาถามอีก ก็มารอรับกลับด้วยกันไง ”
   
   “ อ่อ ครับ ”

   แทนไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่คว้าข้อมือผมแล้วให้เดินตาม เป็นผมอีกที่พยายามสะบัดออก

   “ ปล่อยเถอะครับ คนอื่นเขามองกันหมดแล้ว ” อีกคนดูจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกับสายตาคนรอบข้างที่มองมาที่เราสองคน แถมยังจับมือของผมให้แน่นคืออีกด้วย

   “ เงียบ แล้วเลิกสะบัดได้แล้ว ”

   ในที่สุดผมก็เดินหรือโดนลากก็ไม่แน่ใจ ให้มาถึงที่รถที่จอดอยู่ไม่ใกล้กับตึกคณะมาก เป็นรถที่คุ้นตาดี เพราะผมเคยนั่งมันมาแล้ว

   “ ขึ้นรถสิ ”

   “ ครับ ”

   ทำไมเขาถึงไม่อ่อนโยนเลย นั้นคือสิ่งที่ผมคิดแต่ไม่ได้พูดออกไป นี้คือคนเดียวกับคนที่เตรียมอาหารเช้าไว้ให้ผมจริงๆน่ะหรอ

   ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แต่ไม่กล้าถามออกไป แล้วขึ้นไปนั่งบนรถข้างๆเขา จะกี่ทีก็ไม่เคยขัดใจเขาได้เลยสักครั้ง

     ใช้เวลาไม่นานรถยนต์ของแทนที่พาเราสองคนมาถึงคอนโดก็เข้ามาจอดอยู่ที่ลานจอดรถของคอนโด

   “ ไม่ขึ้นห้องหรอครับ ” ผมถามอีกคนที่กำลังเดินไปทางตรงกันข้ามกับทางเข้าคอนโด

   “ เย็นแล้ว ไม่หิวข้าวหรือยังไง ”

   “ หิวครับ ” จริงสินะ นี้ก็เย็นมากแล้ว ตอนเที่ยงผมเองก็ทานแค่แซนวิชอีกชิ้นที่เหลือจากมื้อเช้าไปเท่านั้นเอง ถึงปากจะบอกว่าหิวไปแบบนั้น แต่เอาจริงๆผมยังไม่หิวมากเท่าไร ง่วงมากกว่า ตอนนี้อยากนอนมากกว่า

   เหตุผลที่เราเดินมาทานข้าวไม่ใช้รถเพราะ ร้านอาหารก็ไม่ได้อยู่ไกลมากนัก อีกอย่างหากเอารถออกไป คงได้ติดอยู่หน้าซอยทางเข้าแน่ๆ เพราะเวลาตอนเย็นๆ ทั้งนักศึกษาที่เลิกเรียนเหมือนกับพวกผมก็มาทานข้าว คนวัยทำงานที่แวะซื้อกับข้าวหลังเลิกงาน วุ่นวายไปหมด

   และเหมือนยังเคยเราเลือกร้านอาหารง่ายๆที่คนไม่เยอะมาก เพราะขี้เกียจรอ แทนให้เหตุผลแบบนั้น

   “ เท่าไรครับ ” ผมกำลังจะควักเงินออกมาจ่าย แต่เหมือนจะช้ากว่าคนที่นั่งตรงข้ามเพราะอีกคน หยิบแบงค์ไปให้พนักงานแล้ว

   “ ... ”

   “ เลี้ยงอีกแล้ว ให้ผมเลี้ยงบ้างสิครับ หอก็มาอยู่ฟรี ”

   “ คิดอะไรมาก ที่ให้มาอยู่เพราะว่า เต็มใจ ” 
   “ ครับ? ” ผมได้ยินคำสุดท้ายไม่ค่อยถนัดนัก

   “ หูตึงด้วยหรือไง ”

   ได้แต่ยู่ปาก เถียงกับคนแบบนี้ให้ตายยังก็ไม่ชนะหรอกครับ

   “ คิดมากเรื่องมาอยู่คอนโดหรอ ”

   “ ครับ ” ตอนที่เรากำลังเดินกลับคอนโด อยู่ๆเขาก็หันมาถามผม

   “ คิดมากทำไม ”

   “ ก็ผมมาอยู่ฟรี แถมแทนยังคอยดูแลผมอีก ผมก็เกรงใจแย่เลยน่ะสิครับ อย่างน้อยน่าใจให้ผมตอบแทนอะไรบ้างก็ยังดี ”

   “ อย่างเช่นอะไร ” เจ้าของขายาว หยุดเดินแล้วหันหน้ามาหาผม

   “ ก ก็ อย่างเช่น ค่าน้ำ ค่าไฟน่ะครับ ”

   “ ฟังนะ ” เขาเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม จนผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ลอยมาเตะจมูก

   “ … ” ผมลอบกลืนน้ำลายเมื่อใบหน้านั้นเขยิบเข้ามาใกล้

   “ ที่นายมาอยู่ เพราะพ่อฉันสั่ง ไม่ต้องคิดมาก ถ้าอยากตอบแทนล่ะก็ ”

   “ ว่ามาเลยครับ ผมมีเงินจ่าย ”

   “ เงินน่ะฉันมีเยอะแล้ว ถ้าถึงเวลาตอบแทน ฉันจะบอกเอง ”

   “ … ” ผมแถบจะกลั้นลมหายใจ เพราะใบหน้าหล่อกำลังเลื่อนเข้ามาจนตอนนี้หน้าเรื่องแถบจะติดกัน ผมหลับตาปี๋ เม้มปากเข้าหากันแน่น

   “ แต่แน่นอนว่าเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ใช่เงิน  ”

   ‘ ป๊อก ’

    “ โอ๊ย ” ผมเอามือลูบหน้าผาก ตรงบริเวณที่ถูกเคาะ

   “ คิดอะไรอยู่ เป็นเด็กทะลึ่งนะเรา ”

   อีกคนเดินนำไปก่อน มีเสียงหัวเราะลอยตามมา ทิ้งไว้เพียงรอยแดงบนหน้าผากและหัวใจของผมที่สั่นไหว






       TBC.





Talk.

สวัสดีครับ จันทร์เจ้ากลับมาแว้วว

คอมเม้นเป็นกำลังใจให้จันทร์เจ้าได้นะครับ

หรือจะไปพูดคุยกันใน #แทนจันทร์ ก็ได้นะครับ ^^  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP4 [19/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 21-08-2018 19:44:27
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP4 [19/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 21-08-2018 20:47:46
+1 คะ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP4 [19/08/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: _Eris_ ที่ 22-08-2018 22:05:00
แทนดูแลดีมากอ่ะ รอๆๆนะ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP5 [21/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 21-10-2018 10:35:17
- EP 5 -




   ตอนนี้เวลาก็ล่างเลยผ่านไปได้เดือนเศษๆแล้ว ที่ผมมาอาศัยอยู่ห้องเดียวกับเขา…แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะครับ ถึงเราจะมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้นอนเตียงเดียวกัน และแน่นอนว่าคนละห้องด้วย ส่วนโรคที่ผมเป็นอยู่ และนั้นคือสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมาอยู่คอนโดเดียวกับเขา มันก็ค่อนข้างที่จะดีขึ้น ผมคิดว่าแบบนั้นนะครับ

   เขาดูแลผมดีมากๆ จนผมอดคิดอิจฉาไม่ได้ว่า ถ้าคนที่ได้มาเป็นแฟนของเขาคงจะต้องโชคดีมากแน่ๆ และในทางกลับกัน ถ้าหากตัวผมเองมีแฟน แฟนคนนั้นของผมจะดูแลผมได้ดีเท่าที่แทนเขาดูแลผมหรือเปล่า

   ตลอดเวลาที่ผ่านมาในทุกเช้าที่เราสองคนมีตารางเรียนในเวลาที่พร้อมกัน เราจะเดินทางไปมหา’ลัยพร้อมกัน เขาจะขับรถมาส่งผมที่ตึกคณะก่อน แล้วจึงจะย้อนรถกลับไปคณะตัวเอง   

   ในวันที่ผมมีเรียนบ่ายแล้วเขามีเรียนตอนเช้า เขาก็จะมาเรียนคนเดียว แล้วเวลาเที่ยงๆ เขาก็จะมารับผมที่คอนโดพาไปกินข้าวด้วยแล้วค่อยไปส่ง

   ส่วนในตอนเย็น…ทีแรกเขาจะมาส่งผม แต่ผมเห็นว่าแค่นี้ก็รบกวนเขามากเกินไปแล้ว เลยขอกลับเอง อย่างที่บอกพวกเด็กคณะแพทย์ต้องเรียนตอนค่ำด้วยถ้าหากผมให้เขาไปส่งเกรงว่าจะกลับมาเข้าเรียนไม่ทัน

   และในส่วนของสัญญาที่เขาเคยได้ให้ไว้ว่า จะทำอาหารเช้าให้ผมทาน เขาก็รักษาสัญญาได้ดีมากๆ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่อาหารเช้าที่หรูหรามากนัก เป็นพวก ขนมปัง ไข่ดาว ไส้หรอก กับนมจืดหนึ่งแก้ว หรือบางวันก็เป็นแซนวิชโฮมเมดกับน้ำสมคั้น แต่คุณเชื่อไหม แค่นี้ก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นข้างในอย่างบอกไม่ถูก
   มื้อเที่ยงบางวันเขาก็จะมากินข้าวกับผมที่ใต้ตึกคณะของผมซึ่งเขามักจะเอาเพื่อนคณะแพทย์ของเขามาด้วย ไม่รู้ว่าขยันอะไรกันนักหนา คณะศิลปกรรม กับ คณะแพทยศาสตร์ ก็ไม่ได้อยู่ใกล้กันเลยด้วยซ้ำ แถมอาหารคณะเขาก็รสชาติดีและถูกกว่า ไม่รู้ติดใจอะไรที่ตึกคณะผม

   ทำให้ตอนนี้ผมที่ไม่เคยมีเพื่อน นั่งกินข้าวคนเดียว ก็ได้เพื่อนเป็นเด็กคณะแพทย์ไปโดยปริยาย

   ตอนแรกๆที่มากินข้าวด้วยกัน ก็แอบเกร็งๆเหมือนกัน ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร เพราะในจินตนาการของผม เด็กแพทย์จะต้องอ่านหนังสือไปกินข้าวไป สวมใส่แว่นหนาๆ และคงจะต้องพูดกันแต่คำศัพท์แปลกๆ ที่ผมฟังแล้วจะต้องไม่เข้าใจและปวดหัวมากแน่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคนประเภทที่ผมได้จินตนาการไว้บ้างอย่างที่ผมพูดมา  แต่ต้องไม่ใช่กับแทนและพวกเพื่อนกลุ่มของแทนแน่นอน ที่พูดมาตอนแรกตรงกันข้าม กับพวกนี้แถบจะทั้งหมด…

   “ เห้ย มึงอ่ะ อย่าเพิ่งบวกดิวะ รอเพื่อนก่อน ”

   “ มึงเล่นเป็นป่ะเนี่ย ”

   “ ออกเกราะดิ ออกเกราะ ”
   
   “ ขอบลัฟๆ ”

   และอีกมากมายหลายคำ ซึ่งแน่นอนไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนอย่างที่ผมคิดเอาไว้ แต่เป็นเกมส์ในมือถือ ที่กำลังเป็นที่นิยมกันในมหา’ลัยของผม   

   ถามว่าพวกนี้มีอะไรที่ผมจินตนาการเอาไว้ คงมีอย่างเดียวนั้นคือใส่แว่นหนา หนาจริงๆครับ แต่ละคน แต่ไม่รู้ว่าหนาเพราะอ่านหนังสือหนัก หรือเล่นเกมส์หนัก ผมเคยถามแทน แทนบอกว่าจะใส่กันแค่ตอนเรียนในห้องที่นั่งหลังห้องเพราะมองกระดานไม่เห็น และเพื่อคีพลุคให้อาจารย์คิดว่าเป็นเด็กเรียน และตอนเล่นเกมส์แบบนี้เท่านั้น ไม่รู้จะจริงจังกันไปไหนผมนึกว่าจะไปแข่งทีมชาติ

   “ เหม่ออะไรอยู่ ” คนตรงข้ามเอามือขึ้นมาโบกพัดผ่านหน้าผม

   “ เปล่า ”

   “ จะกินอะไร เอาเหมือนเดิมไหม ”
      
   “ ครับ ”

   “ งั้นรอนี้ เดี๋ยวไปซื้อให้ ”

   “ อือ ”

   หลังจากแทนไปซื้อข้าวกลับมา เพื่อนของเขาก็เล่นเกมส์จบพอดี

   “ ตัวเองจะกินอะไร เดี๋ยวเขาไปซื้อให้ ”

   “ อะไรก็ได้ ”

   “ งั้นกินเหมือนเดิมนะ ”
      
   “ หงุยยย ตัวเองรู้ใจเขาที่สุดเลย ”

   “ โอ๊ย เชี้ยแทน กูเจ็บ ” แน่นอนพวกนั้นโดนโบกหัวไปคนละที

   “ แล้วจะไปล้อจันทร์มันทำไม ดูดิน่ะ เขินจนหน้าแดงหมดแล้ว ”

   ผมเอามือจับหน้าตัวเองทันที สงสัยคงจะแดงจริง แต่คงเป็นเพราะว่าอากาศมันร้อนน่ะครับ

   “ ไอ่แทน จันทร์มันเขินหรือมึงเขินเอาดีๆ ”

   ผมไม่สนใจคำพูดต่อจากนั้นอีกแล้ว นั่งก้มหน้ากินข้าวในจานของตัวเองต่อไปเงียบๆ

   

   
   


   หลังจากชั่วโมงในตอนบ่ายหมดลง ก็เป็นเวลาเกือบๆสี่โมง วันนี้อาจารย์ของผมปล่อยเร็วกว่าเวลานิดหน่อย และแทนก็ไม่มีเรียนตอนค่ำในวันนี้ เราเลยจะได้กลับคอนโดพร้อมกัน ถ้าเป็นปกติ รถคันสีขาวของแทนจะมาจอดรอรับผมอยู่หน้าตึกคณะของผม แต่วันนี้ผมเลิกเร็วกว่าเลยมารอแทนที่ตึกของเขาแทน จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา 

   ผมแวะมาเข้าห้องน้ำที่ใต้ตึกคณะแพทย์เพราะจู่ๆก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา เลยตัดสินใจเข้ามาห้องน้ำ เพราะถ้าจะอั้นไปจนถึงคอนโด  เกรงว่าจะไม่ทัน

   “ มึง ”

   “ ว่า ”

   “ มึงเห็นเด็กศิลปกรรมที่ไอ้แทนมันคอยเทียวรับเทียวส่งป่ะวะ ”

   “ อืม ทำไม ”

   แทนนี้แทนคนเดียวกันหรือเปล่า ผมได้แต่คิดแบบนั้น

   “ ที่ชื่อจันทร์เจ้าอ่ะ ”

   โอเคชัดเจนครับ

   “  อืม ”

   “ คือกูงงมากว่าทำไม มันถึงต้องคอยดูแลเขา ทั้งๆที่มันเองก็มีแฟนอยู่แล้ว ”

   นี้คือความจริงเกี่ยวกับแทนหนึ่งข้อที่ผมได้รู้เพิ่มมานั้นก็คือ เขามีแฟนแล้ว เป็นความจริงที่ผมไม่อยากจะรับรู้ ผมเองก็ลืมตัวไป ว่าเงาแบบผม ทำได้แค่อยู่ข้างๆเขา ได้รับความสุขมามากเกินไป จนเผลอตัวว่าตัวเองควรอยู่จุดไหน

   “  ก็เรื่องของมันไหม ปัญหาของมัน ”

   “ มันจะไม่เกี่ยวกับกูได้ไง ในเมื่อแฟนของมันคือเพื่อนกู แล้วฟ้าก็โทรมาร้องไห้กับกูบอกแทนไม่มีเวลาให้มัน ”

   “ งั้นมึงต้องไปคุยกับมันแล้วล่ะ ”

   “ กูว่าจะคุยอยู่ แต่ติดตรงที่กูเห็นจันทร์เจ้าอะไรนั้น แมร่งอยู่กับแทนตลอดเวลา ”

   “ จะว่าไปกูก็เห็นมันเคยบ่นว่าเป็นภาระนะ ”

   ผมเปิดประตูแล้วเดินหนีให้เร็วที่สุด ไม่อยากจะอยู่ฟังอะไรอีกแล้ว กลัวว่าใจตัวเองมันจะเจ็บไปมากกว่านี้  ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงร้องไห้ ก้มหน้าก้มตาไม่มองคู่สนทนาที่กำลังคุยกันอยู่

   “ แต่หลังๆ มันก็บอกว่ารู้สึกดีนะ ”

   “ มึง ”

   “ อะไรอีก กูจะเยี่ยว ”

   “ กูว่างานงอกแล้วว่ะ ”

   “ ทำไม น้องชายมึงหายไปหรอ ”

   “ บ้านมึงสิ เมื่อกี้ เหมือนถ้ากูจำไม่ผิด คนที่เดินออกไปจากห้องน้ำ ”

   “ ทำไม ”

   “ จะเป็นจันทร์เจ้านะ ”



   - tiptan  –

   JJ :  ผมขอกลับก่อนนะครับ อาจารย์ปล่อยเร็วรู้สึกปวดหัวด้วย

   Taan : กำลังจะเลิกแล้ว รอก่อน เดี๋ยวไปรับกลับพร้อมกัน

   หลังจากนั้น ก็ไม่มีการตอบกลับจากอีกฝ่าย ผมเลยเก็บโทรศัพท์ลงไปไว้ในกระเป๋ากางเกง อาจารย์ดันปล่อยช้าอีก ดีแล้วที่เขาไม่ได้รอผม

   “ แทน ”

   “ ว่า? ”

   “ กูสองคนมีเรื่องจะคุยด้วย ”

   “ เอาไว้วันหลังนะกูรีบ ”

   “ แต่ ”

   ผมรีบมากๆจนไม่ได้อยู่ฟังเพื่อน กลัวว่าตัวเล็กของผมจะไม่สบายหนักจนไม่ได้กินยา จันทร์น่ะ ไม่ใช่คนตัวเตี้ยหรอกครับ ถ้าเทียบกับผู้ชายคนอื่น แต่เมื่อถ้าเทียบกับผมแล้วเหลือตัวนิดเดียวเอง ผมกอดทีแถบจะรวบได้ทั้งตัว และอีกอย่างดื้อมาก ๆ เคยไม่สบายอยู่ครั้งนึง วันนั้นผมกลับบ้าน เขาเลยอยู่คอนโดคนเดียว วันนั้นเขาเป็นไม่สบาย เป็นไข้ ไม่ยอมกินยา เอาแต่บอกว่าเดี๋ยวก็หายๆ ผมนี้หาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้แถบไม่ทัน

   วันนี้ผมก็คิดว่าเขาคงเป็นแบบนั้นอีก เลยต้อรีบกลับไป

   ผมแวะซื้อข้าวต้มกุ้งที่เขาชอบ และยาแก้ไข้ แก้ปวดหัว ก่อนเข้าคอนโด

   แต่พอมาถึงคอนโดก็พบเพียงแต่เฟอร์นิเจอร์และข้าวของ แต่ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆในห้องนั้นนอกจากผม ลองดูรองเท้าที่ชั้นวางรองเท้า ก็ไร้คอนเวิร์สสีขาวที่ปกติจะเคยวางอยู่ เป็นสัญลักษณ์บอกว่าใครอีกคนกลับมาแล้ว

   ผมเลยวางข้าวต้มกับยาไว้ที่โต๊ะ และขับรถวนไปที่มหา’ลัยอีกรอบ คิดว่าเผื่ออเขาจะยังนั่งรอผมเหมือนที่ผมสั่ง

   แต่ก็ไม่มี คณะของจันทร์เจ้าไม่มีคนอยู่แล้ว ไฟบนอาคารก็ดับสนิท

   โทรหาก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ…ผมเลยก็กลับมาที่ห้องอีกครั้ง ถือวิสาสะเปิดเข้าไปในห้องนอนของเขา รู้สึกว่าในห้องนี้มีบางอย่างหายไป ลองเข้าไปดูในห้องน้ำ เขาของเครื่องใช้อย่างแปรงสีฟันที่เป็นของเขาก็ไม่อยู่

   ลองเปิดดูตู้เสื้อผ้า พบเพียงแต่ไม้แขวนเสื้อเปล่าๆ







   มุมห้องที่เคยมีอุปกรณ์วาดรูปวางไว้ ตอนนี้มีเพียงพื้นว่างเปล่า

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายอีกครั้ง ‘ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ’ ก็พบแต่เสียงสัญญาณตอบรับอัตโนมัติ

   ไม่รู้จะทำยังไง เลยพิมพ์ลงไปในโปรแกรมแชทบอกเพื่อน ว่าจันทร์เจ้าหายไป เผื่ออจะมีใครเห็นจันทร์เจ้า หรือจันทร์เจ้าอาจจะไปอยู่กับใคร

   ผมขับรถวนไปที่ที่คิดว่าเขาจะไป แต่ก็ไม่เจอเลยสักที

   อากาศรอบข้างก็เย็น แต่ภายในของผมกับรู้สึกร้อนอย่างบอกไม่ถูก   

   “ ว่าไง เจอจันทร์เจ้าแล้วหรอ ” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์หลังจากเห็นว่าเป็นเพื่อนในคณะโทรเข้ามา

   ‘ คือเรื่องที่กูจะบอกอ่ะ มึงจำได้ไหม เมื่อตอนเย็น ’

   “ จำได้ ทำไม ”

   หลังจากนั้นเขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง ผมจึงรู้สาเหตุแล้วว่าทำไม จันทร์เจ้า ถึงเก็บของแล้วไปจากผม

   ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม ฝนก็เทลงมาแบบหนักจนแถบจะมองไม่เห็นทาง ผมต้องแวะจอดรถที่ปั๊มใกล้ๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ และน้ำมันของผมก็ใกล้จะหมดแล้ว

   P :  แทน

   Taan : …

   P : เราเพิ่งเห็นแชท ตอนเรากลับจากมหา’ลัย กำลังกลับหอ เราเจอจันทร์เจ้า เขาบอกจะกลับบ้าน

   Taan : หรอ แถวไหน

   หลังจากผมได้รู้สถานที่ ก็รีบขับรถไปทันที โชคดีที่ฝนซาลงแล้ว เลยทำให้พอมองเห็นทางบ้าง

   ผมรู้สึกโมโหเขานิดหน่อย บอกจะกลับบ้าน จะกลับได้ยังไง บ้านตัวเองก็ไม่ใช่ใกล้ๆ อีกอย่างหอของเขาก็คืนไปแล้ว

   ผมเลยขับรถวนอยู่ดูแถวๆนั้น

   แต่ก็ไม่เจอคนที่ตามหาเลย

   ผมเริ่มถอดใจ จนขับมาถึงใต้ทางด่วน เห็นคนใส่ชุดสีขาวน่าจะเป็นชุดนิสิตนอนเอาลังกระดาษคุมตัวเองไว้

   ผมจอดรถเทียบฟุตบาทแล้วเข้าไปดู

   ก็พบว่าตัวเล็กของผมนอนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น…

        จันทร์เจ้าของผมนอนตัวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน มีกระเป๋าเป้หนุนแทนหมอน มีกระดาษลังคุมตัวเอาไว้เพียงแผ่นเดียว ใกล้ๆมีกระเป๋าเดินทางและกล่องใส่ของวางอยู่ใกล้ๆ ผมพาเขาและข้าวของกลับมาที่คอนโด ตอนที่อุ้มเขาขึ้นมาเนื้อตัวของคนตรงหน้าร้อน แถมยังไม่รู้สึกตัว

   พาไปโรงพยาบาลใกล้ๆแล้ว โชคไม่ดีนัก ที่เตียงเต็มหมด ไม่ว่าจะเป็นห้องธรรมดาหรือห้องพิเศษ คนในอ้อมกอด มีอาการตัวสั่น สองแขนเล็กกอดอกเขาหาตัวเองเพื่อช่วยบรรเทาเอาการหนาว

   ผมตัดสินใจพาเขากลับมาที่คอนโดก่อน เพราะฝนเริ่มตกหนักอีกครั้ง

   มาถึงผมหาผ้ามาเช็ดผมเขาก่อน พร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา ผมถอดเสื้อนักศึกษาที่เปียกจนแนบเนื้อออก เผยให้เห็นผิวขาวๆ ไม่รู้ทำไม ใจของผมถึงสั่นไม่เป็นจังหวะแบบนี้ ผมรีบหาเสื้อมาใส่ให้เขาโชคดีที่ช่วงล่างของเขาไม่เปียกมากหนัก ผมเลยถอดแค่กางเกงนักศึกษาออก เหลือบ็อกเซอร์เอาไว้

   จันทร์เจ้านอนแน่นิ่งไม่ได้สติ ผิวขาวๆเริ่มเป็นสีแดงเพราะพิษไข้

   ผมลองเอามืออังหน้าผาก ก็พบว่าอุณหภูมิร่างกายของเขาสูงขึ้นมากกว่าเดิม

   เห็นดังนั้นรีบไปหายาพารามาให้กิน แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตามร่างกายพร้อมกับนำมาวางแปะไว้บนหน้าผากเพื่อให้ช่วยระบายความร้อนจากร่างกาย

   ผมเช็ดและเปลี่ยนผ้าที่วางอยู่บนหน้าผากหลายรอบจนอุณหภูมิร่างกายของเขาเริ่มลดลง อาจจะเป็นเพราะได้รับยาที่กินเข้าไปช่วยด้วย ทำให้อาการดีขึ้น

   สีหน้าที่ดูทรมานในตอนแรกก็ดีขึ้นมาก

   ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ

   เห็นอย่างนั้นผมก็ฟุบหลับลงข้างเตียง คงเพราะเพลียจากการเรียนและเที่ยวตามหาคนตรงหน้า เลยทำให้ผมหลับได้ไม่ยาก

   …

   ..

   .

   ผมรู้ตัวอีกทีก็เมื่อรู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าลุกขึ้นขยับ ผมกำลังจะดุเขาเรื่องเมื่อวาน แต่ผมสัมผัสบางอย่างได้ว่าจันทร์เจ้าคนเดิมของผมหายไป สายตาที่เคยดูร่าเริง ตอนนี้กลับมีเพียงแต่ความว่างเปล่าอยู่ข้างในตาคู่นั้น…เหมือนกับวันแรกที่เราเจอกันบนดาดฟ้า…





Talk...

ขอโทษนะครับ หายไปนานมากเลยจริงๆ

เพิ่งทำงาน แล้วต้องใช้เวลาปรับตัว

อยากเขียนให้อ่านทุกอาทิตย์ แต่ยังไม่สามารถทำได้

รู้ว่าไม่ควรเอามาเป็นข้ออ้าง แต่พยายามปรับตัวครับ

ส่วนตัวใหญ่ อาจจะมีบางทันงงๆ ว่ายังไง

คือ อีพี แรกๆมา ทำไมดราม่า พอมาตอนนี้กับตอนที่แล้ว ทำไมดูแฮปปี้

เราอยากให้น้องจันทร์ของเราเหมือนกับว่าขึ้นไปที่สูงแล้วโดนผลักตกลงมา

ฮือ ไม่รู้ว่าถ่ายทอดออกมาได้ขนาดนั้นไหม

ยังไงฝากติดตามผลงานด้วยนะครับ

#แทนจันทร์

ไปพูดคุยกันในแท็กได้นะครับ

<3


หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP5 [21/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-10-2018 11:44:43
สงสารจันทร์ :mew6:
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP5 [21/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 23-10-2018 15:22:02
จันทร์เจ้าลูก​  :m15: อ้าวแทนมีแฟนอยู่แล้วหรอ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP5 [21/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 23-10-2018 19:28:02
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP5 [21/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 24-10-2018 02:53:05
น่าสงสารนะเนี่ยจะเป็นอย่างไงต่อ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP5 [21/10/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 24-10-2018 16:53:18
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 6 [05/12/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 05-12-2018 19:34:27
- EP 6-

   แทนที่จะตื่นมาแล้วผมจะนอนอยู่ใต้สะพานลอยแล้วมีลังกระดาษคลุมตัว แต่กลับกัน…พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนที่ห้องทั้งห้องถูกตกแต่งไปด้วยสีฟ้าในโทนแบบที่ผมชอบ …ที่ใครบางคนอาจจะตั้งใจหรืออาจเพราะเป็นคำสั่งที่ต้องทำเพราะถูกบังคับให้ต้องทำ ความรู้สึกดีใจในวันแรกที่ได้เข้ามาอยู่หายไปหมดสิ้น ทุกอย่างกลับกลายเป็นความรู้สึกแย่ในวันนี้…
 
   เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนที่ผมสวมเมื่อคืน ถูกเปลี่ยนเป็นอีกชุดที่แห้งและสบายกว่าเดิม บนหน้าผากมีแผ่นเจลลดไข้สีฟ้าแปะอยู่ ที่ยิ่งตกใจไปกว่านั้นคือ เจ้าของห้องนอนฟุบหน้าหลับอยู่ที่ข้างเตียงที่ผมนอนอยู่

   หลังจากผมตื่นได้ไม่นานใครอีกคนก็รู้สึกตัว เขาลืมตาขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะผมสะดุ้งแรงเกินไปหน่อย เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ปากเขากำลังที่จะขยับเหมือนกับว่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา…ผมทำได้แค่จ้องมองเขากลับไป ไร้ความรู้สึกทุกอย่าง ไม่รู้จะพูดอะไร เสียใจ…เสียความรู้สึก ทุกอย่างมันพังไปหมด หลังจากที่ได้ยินเรื่องในห้องน้ำจากเพื่อนของเขาพูดคุยกัน

   บางทีมันไม่ใช่มารยาทที่ดีที่เราแอบฟังคนอื่นคุยกัน แต่มันคงห้ามไม่ได้ ถ้าหากบทสนทนานั้นมีชื่อของเราอยู่ในหัวข้อที่คนอื่นกำลังสนทนาด้วย

   และถ้าเป็นไปได้ ผมเองก็ไม่อยากอยู่ฟัง ถ้าหากไม่รับรู้เรื่องราวพวกนั้น…บางทีอาจจะดีกว่านี้

   

   ‘ เป็นภาระ ’ คำนั้นยังคงวงเวียนอยู่ในหัวของผม 

   เรากำลังเริ่มเปิดใจรับใครสักคนเข้ามา จากแต่ก่อนที่ปิดกั้นตัวเอง ไม่เปิดรับใคร เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ตัวตนเดียว…แต่เขากลับทำให้ความไว้ใจนั้นพังทลายลงจนเละไม่เป็นท่า

   มันคล้ายๆกับว่าเราปีนขึ้นไปบนที่สูงแล้วเมื่อเราขึ้นยังจุดที่สูงที่สุด เราถูกผลักตกลงมา

   มันเป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า…เหมือนเราตกลงไปเรื่อยๆ มันไม่มีจุดสิ้นสุด และไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะตกถึงพื้น เป็นความวูบไหวอยู่ภายในอก ไม่ได้เจ็บปวดมากเท่าไร แต่ก็ทรมานพอตัว   

   มันอาจจะฟังดูเกินจริงสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับผมมันแย่กว่าที่ใครหลายคนคิด
   
   เคยมีคนพูดกับผมว่าเรื่องเล็กของใครหลายคนอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ของใครบางคน เราไม่มีวันรู้ได้เลยว่า คนบางคนนั้นต้องผ่านเรื่องรางอะไรมาบ้าง

   เหมือนที่ผมมักจะคิดเสมอว่า…

   คนๆนึงที่กำลังเดินช้าๆอยู่ข้างถนนนั้น…เขาอาจจะเพิ่งได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต จนแถบจะไม่เหลือแรงที่จะก้าวเดินต่อไป…

   เราอาจจะเห็นคนที่กำลังกินอาหาร ด้วยความมูมมาม และนึกหัวเราะในท่าทางของเขา บางที…นั้นอาจจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเขาแล้วก็ได้





   หลังจากที่ผมได้ยินคำว่า ภาระ

   ผมกลายเป็นภาระของเขา ตอนนั้นสิ่งที่ผมคิดได้มีเพียงอย่างเดียวคือต้องไปให้ไกลจากเขาที่สุด

   จะกลับไปหอเก่าก็ไม่ได้ เพราะหอเก่าคืนไปแล้ว เจ้าของหอก็แปลก   ให้คนแปลกหน้ามายกเลิกสัญญา อาจจะเป็นเพราะเราออกก่อนกำหนด เขาเลยจะได้ไม่ต้องคืนค่ามัดจำที่ผมจ่ายไปตอนแรกที่เข้ามาอยู่ และในสัญญาระบุไว้ว่าหากผมอยู่ไม่ครบตามกำหนดสัญญา ผมจะไม่ได้รับค่ามัดจำหอพักคืนในทุกกรณี ใครก็คงอยากได้กำไรกันทั้งนั้น

   จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะรถทัวร์ก็เต็ม จะมีรอบอีกทีก็คือพรุ่งนี้เช้า ผมตั้งใจว่าจะไปรอที่สถานีขนส่ง แต่ไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาเลยสักคัน รออยู่สักพักฝนก็กระหน่ำลงมาแบบไม่มีสัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า ผมเลยแบกสัมภาระต่างๆไปหลบอยู่ที่ใต้สะพาน

   สายฝนเทกระหน่ำลงมาที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงในเร็ว ๆ นี้…แบตโทรศัพท์มือถือก็ดันมาหมด…อาการปวดหัวที่ได้บอกใครอีกคนไปในโปรแกรมแชทนั้น เป็นเรื่องจริง และตอนนี้อาการมันก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ผมรู้สึกหนาวจนเนื้อตัวเริ่มสั่น ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง นี้ก็ดึกมากแล้ว แถมก็ยังไม่มีรถผ่านมาเลยสักคัน

   จึงตัดสินใจที่จะนั่งรอที่ใต้สะพาน…

   แต่กลับยิ่งแย่ลง ผมมีไข้ และอากาศหนาวมันมากยิ่งขึ้น อุณหภูมิรอบตัวลดต่ำลงเรื่อยๆแถมยังใส่เสื้อผ้าที่เปียกทำให้เนื้อตัวยิ่งเย็นมากยิ่งขึ้น หากนำเสื้อผ้าในกระเป๋าออกมาใส่ ก็เกรงว่าจะไม่มีที่ใส่เสื้อผ้าเปียก เลยทนใส่ชุดเดิมไปก่อน

   อาการปวดหัวไม่มีท่าทีลดลงเลยแม้แต่น้อย อีกนานกว่าจะเช้า ผมนอนลงบนพื้นซีเมนต์โดยใช้กระเป๋าเป้มาหนุนแทนหมอนก็ดีกว่านอนที่พื้นแข็ง ๆ เห็นกระดาษลังเปล่า ที่เคยใส่ทีวีมีคนเอามาวางทิ้งไว้ อยู่ใกล้ๆ เลยเดินไปหยิบแล้วฉีกออก นำมาคลุมตัวไว้กันอากาศหนาวเย็น

   เนื้อตัวและเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ทำให้กระดาษรังในตอนแรกที่แห้งสนิท เริ่มเปียกชื้นตามไปด้วย

   และในที่สุดผมก็หมดสติไป…รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมาเจอคนตรงหน้า

   เราสองคนต่างเสหน้ามองไปคนละทาง

   อึดอัด…เป็นอีกความรู้สึกในตอนนี้

   ผมลุกลงจากเตียง ไปจับกระเป๋าที่วางไว้ไม่ไกล กำลังจะหิ้วกระเป๋าแล้วออกจากห้องไป

   “ จะไปไหน ” เขาใช้มือหนามาจับข้อมือของผมไว้ก่อน

   “ กลับบ้าน ”

   “ ที่ไหน? ”

   “ … ”

   “ เฮ้อ ”

   “ … ” ผมเป็นภาระเขาอีกแล้วสินะ

   “ ถ้าจะไปจริงๆ กินข้าว กินยาก่อน ”

   “ … ”

   “ เดี๋ยวไปส่ง ”

   ไม่รู้เพราะอะไรแต่ผมเดินตามเขามาที่โต๊ะอาหารตามแรงจูงของเขาอย่างง่ายดาย เขาไปทำข้าวต้มให้ผมทาน

   ไม่นาน ข้าวต้มหมูสับร้อนๆ ก็มาเสิร์ฟคู่กับน้ำเปล่า แล้วมีแก้วๆที่ข้างในแก้วมียาอยู่ประมาณ 2 เม็ด

   ทั้งๆที่ก็หิวมากขนาดที่ว่า ท้องร้องประท้วง แต่กลับไม่สามารถกินข้าวตรงหน้าให้หมดชามได้

   ผมวางช้อนลงพร้อมกับจิบน้ำ

   “ ไม่อร่อยหรอ ”

   “ เปล่าครับ…อิ่ม ”

   “ กินไปนิดเดียวเอง กินอีกสักคำสองคำสิ ”

   ผมส่ายหน้าและมองไปทางอื่น

   “ งั้นก็กินยานะ ”

   ผมมองยาในขวดแก้ว ยาเม็ด กินก็ยาก ขมก็ขม “ ไม่กินได้ไหมครับ หายแล้ว ”

   เขาเอามือมาอังหน้าผากของผม “ หายที่ไหนตัวยังร้อนอยู่เลย กินก่อนเถอะ ” อีกแล้ว ทำไมชอบทำอะไรให้คนอื่นใจเต้นตลอดเลย แต่เขาคงทำแบบนี้กับทุกคนแหละมั้งครับ

   ผมเลือกไม่ได้…เทยาใส่ฝ่ามือแล้วเอาเข้าปาก มืออีกข้างบีบจมูก พร้อมกับรีบกระดกน้ำตามลงไป อย่างน้อยก็เพื่อให้น้ำมาช่วยให้ความขมที่ปลายลิ้นจางลงไป

   “ ผมทำตามที่คุณพูดแล้ว ผมไปได้หรือยังครับ ”

   “ เดี๋ยวไปส่ง จะไปที่ไหน? ”

   “ ผมไปเองได้ครับ ไม่อยากเป็นภาระของใคร ” ไม่รู้ทำไมแต่อยู่ๆ ขอบตาก็เปียกชื้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น

   ผมรีบเดินไปหยิบกระเป๋า ผมต้องไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด

   หมับ

   “ ขอโทษ ” เขาดึงผมให้หันหน้าเขาไปกอดกับเขา ตอนนี้หน้าของผมแนบอยู่ที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา

   ‘ ตึก ตัก ตึก ตัก ’ ได้ยินเสียงหัวใจของเขาดังชัดเจน

   “ … ”
    
   “ อย่าไปเลยนะ ”

   น้ำตาของผมไหลออกมา อีกแล้ว เขากอดผมแน่นขึ้นเหมือนในตอนนั้น ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก และนี้เป็นอีกครั้งที่เขาก็เป็นคนปลอมประโลมผม ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่ารู้สึกดีกับสัมผัสจากคนตรงหน้านี้มากๆ

   จนตัวผมเองก็ไม่อยากเสียมันไป…
      

   แต่…เราต้องยอมรับความจริง ว่ากอดนี้มันไม่ใช่กอดของเรา


   เราทั้งคู่ผละออกจากกัน สายตาของเราจ้องมองกันและกัน


   ก่อนที่เขาจะค่อยๆเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ๆ จนเราสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน


   ริมฝีปากของเราแตะกัน


   ‘ เขาจูบผม’ เราทั้งคู่ต่างไม่มีใครขยับ…เนิ่นนานที่เราซึมซับสัมผัสไปด้วยกัน…พร้อมๆกับน้ำตาของผมที่ยังคงไหลออกมาไม่ขาด


   ผมควรที่จะผลักเขาออก แต่กลับไม่ปฏิเสธ และยอมรับสัมผัสที่เขามอบให้

   แต่มันก็กลับทำให้ข้างในอกของผมรู้สึกแน่น และอึดอัด ผมเริ่มหายใจติดขัด… 

   ผมอยากจะล้มลงไป…

   …ไร้เรี่ยวแรง

   …แต่เพราะการโอบกอดของอีกคนทำให้ผมยังสามารถยืนได้อยู่…ไม่อย่างนั้นผมคงได้ล้มลงไปนั้งที่พื้น


   เดือนกว่า ๆ ที่อยู่ด้วยกัน ทำให้อะไรหลายๆอย่างชัดเจนขึ้น


   และแน่นอนหนึ่งในนั้น…คือความรู้สึกของผมที่มีต่อเขา





   ‘ ธิปแทน ’







To be Continuous.






- Talk -

สวัสดีฮับ

ขอโทษที่ช้าไปมากๆ แถมมาก็ยังสั้นเลย

นี้เป็นเรื่องแรกจริงๆที่เขียนแบบจริงจัง

ยังไงผมจะพยายามพัฒนาฝีมือตัวเองนะครับ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับ

เหมือนเดิมเลยไป คุยกันได้ที่ #แทนจันทร์ นะครับ :)
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 6 [05/12/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 12-12-2018 04:57:57
มาต่อแล้ว ดีจังค่ะ  รออ่านเรื่องของสองหนุ่มอยู่นะคะ เป็นกำลังใจให้แต่งจนจบเลยค่ะ   :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 6 [05/12/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 04-01-2019 01:20:24
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 7 [24/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 24-02-2019 21:34:15
- EP 7 –
   เราสองคนยังคงอยู่ด้วยกัน ผมยังคงอยู่กับเขาเหมือนเดิมกับก่อนหน้านี้ อาศัยอยู่ที่คอนโดของเขา ผมยังมีหน้าที่ที่ต้องเรียนให้จบ นี้ก็ใกล้สอบแล้ว งานหลายชิ้น…ก็ยังไม่ได้ทำส่งให้เสร็จเรียบร้อย ถ้าหากผมเลือกที่จะเลิกเรียนและลาออกไปในตอนนี้ คงจะไม่ความคิดที่สักเท่าไร เพราะนี้ก็ผ่านมาเกือบจะครึ่งทางของชีวิตปีหนึ่งแล้ว ผมเองก็อยากที่จะจบและเรียนไปพร้อมกับเพื่อนๆ เพราะถ้าให้เป็นเด็กซิ่วแล้วไปเริ่มเรียนปีหนึ่งใหม่อีกครั้ง มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี

   ถ้าถามว่าทำไมผมถึงยังอยู่กับเขา ตัวผมเองก็ยังคงหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ แต่อาจจะเป็นเพราะว่า ถ้าหากผมกลับบ้านไปในตอนนี้ ไม่รู้จะตอบคำถามกับที่บ้านยังไง เลิกเรียนหนังสือเพราะผู้ชายคนหนึ่ง นั้นคงไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอ ที่จะพูดให้แม่ที่ส่งผมเรียนฟัง

   ผมกับเขายังคงไปเรียนด้วยกันในตอนเช้า กินข้าวเช้าด้วยกันเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ มีใครอีกคนเพิ่มเข้ามาด้วย

   ‘ แพรพลอย ’ ดาวนิเทศ เธอเรียนอยู่ชั้นปี 1 เหมือนกันกับพวกเรา และแน่นอนขึ้นชื่อว่าดาวก็ต้องดูดีกว่าคนอื่นๆ

   เธอสูงกว่าผมนิดหน่อย…

   เวลาเราเดินด้วยกันสามคน ผมรู้สึกเลยว่าตัวเองไม่ควรที่จะยืนอยู่ตรงนี้ อยากจะไปให้ไกล แต่ไม่มีที่ให้ผมไป
   
   ‘คนอื่น’ เพิ่งจะเข้าใจคำนี้ ก็เมื่อตัวเองได้มายืนอยู่ตรงนี้ เขาสองคนเป็นที่ได้รับความสนใจจากรอบข้าง เมื่อเดินเคียงกัน ผมดูเหมือนเป็นคนนอกขึ้นมา ทั้งๆที่เรามากันสามคน แต่เหมือนตัวผมไม่มีตัวตน เป็นเพียงแค่อากาศธาตุเท่านั้น

   “ อิ่มแล้วหรอ? ” แพรพลอยถามผม เมื่อเธอเห็นว่าผมวางช้อนลงกับจานข้าว

   “ อืม ตอนเช้าเรากินไม่เยอะน่ะ ”

   “ อ่อ ” เธอยิ้มตอบกลับมาให้ผม

   “ อิ่มแล้วก็กินยา ” เสียงดุๆที่นั่งอยู่ข้างๆดังขึ้น แต่ก็เหมือนเดิม มือยังหยิบถุงยา และส่งยาให้ผม ด้วยท่าทีที่ดูอ่อนโยน ขัดกับน้ำเสียง

   “ แทน ทำไมต้องดุจันทร์เจ้าด้วย เดี๋ยวเพื่อนก็กลัวหรอก ”

   “ ดื้อไม่เข้าท่า ข้าวก็กินนิดเดียว ยังไม่ยอมกินยาอีก ”

   “ … ” เอาอีกแล้ว… แต่มันก็อดน้อยใจไม่ได้จริงๆ น้ำเสียงที่เขาพูดกับผม ต่างกับที่เขาใช้พูดกับแฟนมากๆ เขาใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล ต่างกับเวลาที่พูดกับผมมักจะใช้น้ำเสียงที่แข็ง เมื่อรวมกับสายตาที่ดุๆแล้ว ทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก

   “ เจ้า ”  เธอเรียกผม ขนาดเสียงก็ยังน่าฟัง คนอะไรไม่รู้ ดีไปหมดทุกอย่างจริงๆครับ

   “ ครับ ว่า? ”

   “ เราขอเรียกเจ้าเฉยๆ ได้ไหม ”

   “ ได้ครับ ”

   “ งั้นเจ้า เรียกเราพลอย เฉยๆก็ได้นะ ”

   “ ครับ ”

   “ เดี๋ยวเรามา  คุยกันไปก่อน ” คนที่นั่งอยู่ข้างผม ลุกออกไปข้างนอกร้าน เหมือนมีสายสำคัญที่ต้องรับให้ได้ตอนนี้

   “  เจ้า ”

   “ ครับ? ”

   “ คือเราขอระบายอะไรหน่อยนะ ”

   “ อ่า ครับ ”

   “ ก่อนหน้านี้ ที่แทนเขาดูเปลี่ยนๆไป ไม่ค่อยมีเวลาให้เรา เรานึกว่าเขามีคนอื่นแล้ว ”

   “ … ”

   “ แต่เพื่อนแทนบอก แทนต้องมาดูแลเพื่อน เราก็สงสัยนะตอนแรก ว่าทำไมต้องมาดูแลเพื่อน กลัวแถบแย่เลยนะ ตอนแรก นึกว่าจะเป็นเพื่อนผู้หญิง ”

   “ … ”

   “ แต่พอเราเห็นว่าเป็นเพื่อนผู้ชายก็สบายใจขึ้นหน่อย แต่เจ้าหน้าตาน่ารักมากๆเลยนะเนี่ย คงไม่ได้แอบมาหว่านสเน่ห์ใส่แฟนเราหรอกเนอะ ”

   “…”


   “ เราถามตรงๆเลยนะ ชอบแทนหรือเปล่า ”

   เธอยิ้มให้ผมนิดหน่อย น้ำเสียงติดทีเล่นทีจริงที่เธอพูดออกมา ทำให้ผมรู้สึก กระอักกระอวนใจ เพราะคำถามของเธอทำให้เหงื่อบ่นหน้าผมเริ่มผุดขึ้นมา ผมเสมองไปทางอื่น ไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี

   “ 555 ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดเลย แล้วแค่แกล้งเล่น ยังไงก็คงไม่ใช่หรอก เพราะเราคิดว่า คนที่กล้าเข้ามาแทรกกลางคนที่เขารักกันมา 3 ปีเนี่ย ต้องบ้ามากๆเลยล่ะ ” เธอเปลี่ยนจากหน้ายิ้มเป็นหน้านิ่งทันที

   “ ยังไงเราฝากเจ้าช่วยดูแทนด้วยนะ เห็นตัวติดกันตลอดเลย ถ้าเห็นแทนมองผู้หญิงคนอื่นบอกได้เลย ”

   “ คุยอะไรกัน ท่าทางน่าสนุก ”

   “ ความลับ เนอะเจ้า ”

   “ อืม ”

   “ ไปเรียนกัน เดี๋ยวสาย ”

   “ โอเคค่ะ ”

   “ เดี๋ยว ผมไปเองก็ได้ครับ แทนไปส่งพลอยเถอะ ”

   “ ก็ไปด้วยกัน ทางเดียวกัน ”

   “ เจ้าไปด้วยกันเถอะค่ะ ”

   “ ไม่เป็นไรครับ จะได้ไม่ต้องย้อนมาส่งเรา ”

   “ ดื้ออีกแล้ว ”

   “ นานๆทีแทนจะมีเวลาอยู่กับแพร อย่าให้ผมไปเป็นกว้างขวางคอเลยครับ ” ผมพูดเบาๆให้อีกคนได้พอได้ยินเท่านั้น

   “ เราไปก่อนนะแพร ไว้เจอกันครับ ” ผมไม่ทันให้อีกฝ่ายได้เอ่ยอะไร นอกจากคว้ากระเป๋าแล้วรีบก้าวเดินออกมาจากโต๊ะ แล้วมุ่งหน้าไปยังมหาลัย

   ผมเดินไปเรื่อยๆบนฟุตบาทคอนกรีตสีเทา ที่มีการชำรุดเล็กน้อย จำพวกรอยร้าว หรือเศษแตกหักของปูนที่เสื่อมไปตามอายุไขของการใช้งาน วันนี้แดดค่อนข้างร้อน แต่ก็ธรรมดาและครับแดดประเทศ เสื้อนักศึกษาของผมเริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ผมหน้าม้าก็เริ่มเปียกแนบกับหน้าผาก เสียงรถยนต์ที่วิ่งอยู่กลางถนน จากที่มีเสียงแตร เสียงเครื่องยนต์ ตอนนี้ก็ค่อยๆเบาลง เบาลง เรื่อยๆ จนผมเริ่มไม่ได้ยินเสียงรอบข้างเลยแม้แต้น้อย ปลายประสาทนิ้วเท้า นิ้วมือของผม เริ่มชา จนตอนนี้มันแถบจะไม่รู้สึกอะไร ทั้งๆที่อากาศก็ร้อนมากขนาดไอติมละลายภายในไม่กี่นาที แต่เนื้อตัวของผมกลับเริ่มเย็น สายตาเริ่มพร่ามัว ภาพตรงหน้า จากมีสี ทุกๆสิ่งค่อยกลายเป็นสีดำ ผมพยายามที่จะเกาะขอบกำแพงข้างๆ แต่ช้าเกินไป…เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังจะล้มลง

   ในจังหวะที่หัวของผมกำลังจะกระแทกลงกับปูนซีเมนต์

   มีนักศึกษามหาลัยเดียวกันเข้ามารับหัวของผมไว้ทันพอดีก่อนที่มันจะกระแทก

   คนแถวนั้นช่วยกันพัดให้ลมผ่านตัวผมมากที่สุด

   และมีบางคนยื่นยาดมมาจ่อไว้ที่ปลายจมูกของผม พร้อมแกว่งไปมา ให้ผมได้กลิ่นของพิมเสน

   กลิ่นเย็นๆของพิมเสนทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น อาการหน้ามืดต่างๆก็หายไป

   ผมเปลี่ยนจากท่านอนราบเป็นท่านั่งแทน

   พอคนที่มาช่วยเหลือผมเห็นว่าผมอาการเริ่มดีขึ้น เขาก็ขอตัวรีบไปเรียนก่อน เพราะตอนนี้ก็ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว

   ผมก้มดูนาฬิกา คิดว่าถ้าไปเรียนตอนนี้น่าจะไม่ทัน เลยคิดว่าจะกลับไปพักที่ห้องน่าจะดีกว่า

   ผมค่อยๆใช้แขนดันพื้นเพื่อช่วยทรงตัว แต่สัมผัสได้ถึงแรงดึงจากใครอีกคน ช่วยให้ผมลุกขึ้นอย่างง่ายดาย

   “ ไปโรงพยาบาลไหม ”

   “ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับไปนอนพักที่ห้องน่าจะดีขึ้น ”

   “ แน่ใจ ”

   “ ครับ ขอบคุณมากนะครับ ”

   ผมก้มหัวขอบคุณผู้ชายคนนี้ เพราะเขาคือคนที่มาช่วยไม่ให้ผมล้มลงไปกับพื้น

   “ ไม่เป็นไร ”

   “ ผมขอเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนได้ไหมครับ ”

   “ … ” เขาทำหน้าคิดสักพักก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงตกลง “ แต่วันนี้คงไม่ได้ ผมมีเรียนจนถึงค่ำๆเลย และตอนกลางคืนก็มีนัดแล้ว เป็นวันอื่นได้ไหม ”

   “ วันไหนก็ได้ครับ ”

   เขาแบมือมาตรงหน้าผม

   “ ครับ? ”

   “ เอาโทรศัพท์มาสิ จะติดต่อกันได้ยังไง ”

   “ อ่อ จริงด้วย ” ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้เขา เขากดเบอร์ลงไป แล้วกดโทรออก ผมได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อนักศึกษาของเขา เขากดตัดสาย พร้อมกับยื่นโทรศัพท์คืนมาให้ผม

   ‘ ตะวัน ’ หน้าจอปรากฏตัวเลขสิบหลักพร้อมเมมชื่อไว้ให้เรียบร้อย

   “ นายชื่ออะไร”

   เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วหันมาถามผม

   “ จันทร์ จันทร์เจ้า ”

   “ หึ ชื่ออย่างกับผู้หญิง ” เขายิ้มมุมปาก

   “ ก็เรื่องผมไหม ”

   “ ว่ายังไงนะ ” เขาส่งสายตาดุกลับมาให้ผม

   “ ป เปล่าครับ ” ทำไมคนที่นี้ดุจัง ผมได้แต่คิดในใจ

   “ ตะวันไปได้แล้ว เชี้ย เดี๋ยวสาย ” ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ตะโกนมา

   “ เออๆ ไว้เจอกัน ”  ประโยคแรกหันไปตะโกนบอกเพื่อน ประโยคหลังเขาหันมาบอกผม

   ผมขอบคุณเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินหันหลังเพื่อที่จะกลับหอ โดยไม่สนใจประโยคสนทนาที่เพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันคุยกับเพื่อนของเขา

   “ น่ารัก ”

   “ มึงเพ้ออะไรของมึง ”

   “ อย่าเสือก ”

   “ เอ้า ด่ากูเฉย มึงปล่อยให้น้องเขามีชีวิตที่ดีเถอะ ”

   “ คนนี้กูจริงจัง จะเอา! ”

   “ กูยังไม่เห็นมึงไม่เอาใครสักคน ”

   “ สัส! ”











TBC


Talk...

เรากลับมาแล้ว กลับมาช้ามากกๆ นิยายเราอัพเป็นไตรมาสฮับ

คอยเป็นกำลังใจให้ผมและน้องจันทร์เจ้าด้วยนะครับ

 :mew1:


เหมือนเดิมเลยไปพูดคุยกันได้ที่ #แทนจันทร์
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 7 [24/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 25-02-2019 00:35:41
โอเคค่ะ อัพให้จบละกันเนอะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ สู้ นะคะ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 7 [24/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: _Eris_ ที่ 26-03-2019 22:27:51
ทำไมแทนทำตัวแบบนี้ มาให้ความหวังกันทำไม
เป็นกำลังใจให้นะ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 7 [24/02/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 27-03-2019 20:01:54
อยากอ่านต่อครับ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 8 [28/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 28-03-2019 21:21:21



                  
- EP 8 –





   คงต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งที่ว่า ผมเกิดมาพร้อมกับสุขภาพร่างกายที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงเหมือนกับคนอื่นเขาเสียเท่าไร เพราะฉะนั้นร่างกายเลยสามารถรับเชื้อโรค หรือไวรัส ได้ไวมากกว่าคนอื่น
   
   ผมมักที่จะเป็นไข้ตัวร้อนอยู่บ่อยครั้ง ขนาดที่ว่าเกือบช็อคคาเตียงจนที่บ้านเกือบจะหามส่งโรงพยาบาลไม่ทัน ในครั้งนั้นหมอบอกว่า ถ้าหากมาช้ากว่านี้หน่อยอาจจะได้ไปอยู่บนฟ้าแทนที่จะมานอนบนเตียงแบบนี้
 
   ผมเป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ได้รับเชื้อโรคอะไรเข้ามา ร่างกายก็จะอ่อนแอลงทันที และดันรับได้ง่ายกว่าคนอื่น หมอเลยบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นไข้อยู่บ่อยครั้ง

   ทำไมถึงเป็นไข้บ่อยๆ…เอาให้เข้าใจง่ายๆเลยก็คือ ถ้าหากร่างกายของผมได้รับเชื้อโรคเข้ามาแล้ว อุณหภูมิร่างกายก็จะสูงขึ้นเพราะเกิดจากการที่อวัยวะภายในร่างกายทำงานหนักขึ้นเพื่อให้เม็ดเลือดขาวออกมาจัดการเชื่อโรค เมื่อเลือดสูบฉีด อุณหภูมิร่างกายเลยสูงขึ้นตามไปด้วย แล้วก็จะเกิดอาการปวดหัวและหน้ามืดตามมาบ่อยๆ อันนี้เป็นเพียงสิ่งที่ผมเข้าใจและจำได้คร่าวๆ ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ เพราะเรื่องมันก็นานมาแล้ว จำได้แค่ประมาณเท่านี้ครับ

   เรากลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่า…ผมโกหกเพื่อนใหม่ที่ช่วยไม่ให้ผมหน้าคว่ำกับพื้นไปว่าไม่เป็นอะไร แต่ทั้งที่ความจริง ปวดหัวจนแถบจะระเบิด

   ผมต้องฝืนเดินตากแดดกลับมาที่คอนโด ดีหน่อย…ถึงแม้ว่าแสงแดดและไอร้อนจะทำให้มีผลต่ออาการหน้ามืดเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แต่ยังดีที่มีลมเย็นพัดมาช่วยให้ผมไม่ร้อนไปมากกว่านี้
      
    ถ้าหากถามว่าทำไมถึงไม่นั่งรถทั้งที่จะเป็นจะตายขนาดนี้ เพราะผมดันลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่คอนโด ถ้านั่งแท็กซี่ก็เกรงจะไม่มีเงินจ่าย

   ผมเดินมาถึงคอนโดด้วยความทุลักทุเล เดินมาจนถึงหน้าลิฟต์แล้วกดปุ่มสัญลักษณ์ที่มีลูกศรชี้ขึ้น ภาวนาในใจว่าให้ลิฟต์มาถึงตรงหน้าเร็วๆ เมื่อประตูเปิดออก ผมรีบเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับกดตัวเลขที่อยู่บนปุ้มโลหะกลมๆที่เอาไว้บอกชั้นของคอนโดแห่งนี้





   ผมหยิบกุญแจในกระเป๋าพร้อมกับไขและบิดกุญแจเพื่อให้ ลูกบิดประตูปลดล็อค

   เมื่อเข้ามาในห้องได้สิ่งแรกที่ผมรีบทำคือ รินน้ำเปล่าใส่แก้ว แต่ด้วยอาการที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักทำให้น้ำหกเลอะเทอะออกนอกแก้วไปบ้าง อยากเช็ดเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ติดตรงที่ว่า…ผมกำลังจะล้มลงไป
   
   สิ่งแรกที่เกิดขึ้นก่อนเลย คือ…เสียงแก้วที่กระทบกับพื้น พร้อมกับแก้วใสที่ละเอียดจนกลายเป็นเศษแก้วจ ชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมและน้ำที่หกเลอะเทอะเต็มพื้นจนเป็นวงกว้าง

   และสิ่งต่อไปที่ตามมาคือ หัวของผมโขกเข้ากับเหลี่ยมของมุมโต๊ะหลังจากนั้นค่อยล้มไปที่พื้นอีกที

   ได้กลิ่นของเลือดที่ออกจากหัวและค่อยๆหยดลงพื้นพร้อมกับกลิ่นคาว แล้วสติของผมก็ดับไป…









   หากเป็นดั่งในนิยายเพ้อฝันหรือละครหลังข่าว คงต้องมีคนมาช่วย

   แต่ในชีวิตกับตรงกันข้าม ไม่รู้จะบอกว่าโชคดีหรือว่าโชคร้ายที่ผมเลือดไหลมาเยอะขนาดนั้น แต่กลับยังไม่ตาย อาจจะเป็นเพราะแผลไม่ได้ใหญ่มาก ทำให้เลือดหยุดไหลได้ไว

   เป็นคนอื่นอาจจะตายไปแล้ว

   แต่ผมกับลืมตาขึ้นมาด้วยตัวเองได้หลังจากหมดสติไป การตัวร้อนและปวดหัวจากอาการของไข้ก็ยังไม่หายดี แต่ก็ถือว่าดีขึ้นมากหากเทียบกับตอนแรก

   หันไปมองนาฬิกานี้ก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ใกล้เวลาที่ แทน จะเลิกเรียน คงต้องจัดการกับผลงานตรงหน้านี้ก่อนที่เจ้าของจะกลับมา

   ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่แขน ลองพลิกดูพบว่า เศษแก้วที่แตกได้บาดเข้าที่แขนพร้อมกับมีรอยเลือดไหล แต่ตอนี้ได้แห้งติดแขนผมไปแล้วเหลือไว้เพียงคราบเลือดและอาการแสบ

   …ผมเก็บเศษแก้วพร้อมกับทำความสะอาด เช็ดน้ำและคราบเลือดจนหมดเกลี้ยง กลัวว่าหากเจ้าของห้องมาถึงแล้วจะมาดุผมอีก

   ผมนั่งทำแผลเบื้องต้นให้ตัวเอง โดยการเช็ดเลือดที่เป็นคราบอยู่ตามผิวหนัง แต่จะให้มานั่งเย็บแผลเองอันนั้นคงจะเกินไป ตอนนี้ผมยังไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ เพราะกลัวว่าจะไปเป็นภาระคนเก็บขยะหรือนักศึกษาแถวมหาลัยอีก ที่ต้องมาคอยพยุงผมเพื่อไม่ให้ผมล้มลง

   เผลอๆอาจจะเป็นน้ายามหน้าคอนโดเลยด้วยซ้ำที่ต้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ดูจากอาการตอนนี้แล้วแค่ออกจากห้องแล้วลงลิฟต์ไปข้างล่างได้ก็น่าจะเก่งมากแล้ว

   อาการมึนหัวจากที่ตอนแรกทุเลาลง ตอนนี้เริ่มกลับมาเป็นหนัก และประกอบกับการที่แผลเริ่มจะส่งอาการปวดออกมาให้รู้ว่ากำลังเกิดการอักเสบ ผมเลยตัดสินใจไปหยิบกระปุกยาแก้ปวดมากิน ครั้งนี้เทน้ำด้วยความระมัดระวังและเลือกเทอยู่ที่พื้นแทนที่จะเป็นบนโต๊ะ เกรงว่าถ้ายังเทบนโต๊ะอีก แก้วคงจะได้ตกแตกอีกครั้ง

   ผมหมุนฝากระปุกยาสีขาว ภายในมียาเม็ดกลมที่ขาวอยู่หลายสิบเม็ด

   ผมหยิบมันออกมาหนึ่งเม็ด แล้วนำไปวางไว้บนลิ้น แล้วรีบดื่มน้ำตามเข้าไปทันที

   รสขมของยาจะกี่ครั้งก็ไม่เคยชอบมันเลยสักครั้ง…

   …แต่ช่วงที่ต้องรักษาอาการตัวเอง หลังจากไปพบหมอก็ได้รับยามากินอยู่เยอะพอสมควร  ช่วงนี้ต้องกินยาหลายตัว กินวันละหลายเม็ด มันทำให้ผมชินกับรสขมของมันไปแล้ว ยาก็มีขนาดเล็ก ใหญ่แตกต่างกันไป ตั้งแต่เม็ดที่เล็กจนกลืนได้โดยง่าย จนไปถึงเม็ดใหญ่ที่กว่าจะผ่านหลอกลมไปได้ ก็ทำเอาต้องกินน้ำจนจุกเลยก็มี

   แต่พอคิดได้ว่า กินยามาเยอะมากขนาดนี้แต่ยังไม่หาย ก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมกับเวทนาตัวเองไปด้วย และหลังจากที่คิดได้นั้น ผมก็ไม่เคยไปหาหมออีกเลย จนเพิ่งไปพบเมื่อไม่นานมานี้ตอนที่ไปกับแทน

   หันไปมองกระปุกยาที่ยังคงเปิดฝาทิ้งไว้อยู่  ก็นึกขึ้นได้ว่า เคยค้นหาฆ่าตัวตาย พบว่าการกินยาเกินขนาดสามารถตายได้เหมือนกัน

   ไม่รู้จะอยู่ไปให้เป็นภาระของคนอื่นทำไม นั้นคือสิ่งที่คิดขึ้นมาในตอนนั้น

   แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่ผมใช้เวลาคิด

   ผบมองยาในกระปุกก่อนที่จะตัดสินใจหยิบยาออกมาแล้วจับใส่ปาก พร้อมกับกระดกน้ำตาม

   เม็ดที่หนึ่ง เม็ดที่สอง ค่อยๆเข้าปากไปเรื่อยๆ จนผ่านไปสิบกว่าเม็ด ผมเริ่มเกิดอาการจุกอาจจะเป็นเพราะดื่มน้ำมากเกินไป จึงตัดสินใจยาที่เหลือกรอกใส่ปาก แล้วรีบดื่มน้ำตามเข้าไป
   
   รสฝาดและขมของยารุนแรงชนิดที่ผมเกือบจะอ้วกพุ่งออกมา ได้กลั้นฝืนใจกลืนลงไป

   ผมรับรู้ได้เลยว่า ยาจำนวนหลายเม็ดยังไม่ได้ไหลลงไป แต่กำลังติดอยู่ตรงหลอดลม รู้สึกได้ถึงความจุกที่มาจากภายใต้หน้าอก ผมกระดกน้ำตามอีกครั้ง พร้อมกับทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะนอนหลับตาย สงสัยอาจจะหายใจไม่ออกจนตายก่อน

   หลังจากนั้นผมจัดการเก็บกระปุกยาทิ้งในทั้งขยะ ตั้งใจว่าจะไปนอนหลับบนเตียง

   ในขณะที่กำลังจะนำแก้วน้ำไปคว่ำไว้ที่โต๊ะ

   ผมรู้สึกว่าตัวเกิดอาการเองเวียนหัวอย่างหนัก ตาที่เคยมองเห็นก็เริ่มมองไม่เห็น ทุกสิ่งรอบตัวค่อยๆกลายเป็นสีดำ มือและเท้าของผมเริ่มเย็น และไม่มีเรี่ยวแรงจับแก้วก่อนที่มันจะตกลงพื้นและแตกอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ผมทำข้าวของเสียหายแล้วสองชิ้น ผมคิดว่าคงจะโดนเจ้าของห้องดุแน่ๆ

   รีบทรุดตัวนั่งลง พร้อมกับเอาหลังพิงแนบกำแพง  ตอนนี้สายตาของผมค่อยๆกลับมามองเห็นเล็กน้อย แต่ทุกอย่างตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ หน้าต่าง หรือประตู ทุกอย่างกำลังบิดเบี้ยว เหมือนกับว่ามันกำลังหมุนอยู่

   ผมหายใจไม่ออก…จนต้องนอนราบลงกับพื้น หายใจหอบถี่ เหมือนกับปลาที่กำลังจะขาดอากาศหายใจตาย

   ณ วินาทีนั้น อาจจะเป็นความทรมานมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาในชีวิตนี้เลยก็ว่าได้

   ครั้งหนึ่งผมเคยเอาหน้าจุ่มลงไปในอ่างล้างหน้าที่เปิดน้ำจนเต็มอ่าง ว่าจะกลั้นใจตาย แต่ทนไม่ไหวเลยเอาหน้าขึ้นมาก่อน ครั้งนั้นว่าทรมานมากแล้ว เจอครั้งนี้ไป การเอาหน้าจุ่มลงไปในอ่างเทียบไม่ได้เลยจริงๆ
   
   แน่นหน้าอกไปหมด

   รู้สึกอยากจะอ้วกนั้นคืออาการต่อมา

   และในที่สุดก็อ้วกออก แต่จะอ้วกอะไรออกมาได้มาก นอกจากน้ำย่อยและยา ก็วันนี้ทั้งวันผมแถบจะไม่ได้กินข้าวเลยด้วยซ้ำ นอกจากโจ๊กที่ไปนั่งกินกับแทน และแพร ก่อนไปเรียน แต่ผมก็ตักไปได้แค่เพียงสองสามคำ ก็กินต่อไม่ลงป่านี้ น้ำย่อยก็คงจัดการหมดเรียบร้อยแล้ว
 
   ผมอ้วกออกมาจนไม่เหลืออะไรให้อ้วกแล้วจริงๆ

   แต่ก็ยังรู้สึกพะอืด พะอม ผมพยายามโก่งคออ้วก เกร็งจนหมดไส้ หมดพุง จนน้ำตาไหล สุดท้ายก็มีแค่เพียงน้ำลาย และเสียงที่พยายามจะเบ่งคอออกมาเท่านั้น แต่ไม่มีอย่างอื่นออกมาด้วยเลย

   ผมพยายามที่จะอ้วกออกมา จนหมดเรี่ยว หมดแรง

   พูดตรงๆเลยว่า สภาพตอนนี้แย่มาก นอนหมดแรง หายใจแผ่วเบา แถมยังอยู่ข้างๆกองอ้วก และเศษแก้ว

   หากเจ้าของห้องกลับมาคงได้ดุผมแบบจัดเต็มแน่ๆ ได้แต่ยิ้มให้กับความคิดไร้สาระของตัวเอง

   มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร…

   ในเมื่อผม…กำลังจะไม่ได้ยินเสียงของเขาอีกต่อไปแล้ว…



   คงจะคิดถึงใบหน้านั้น…ที่เจอกันหลังจากตื่นนอนตอนเช้า



   คิดถึงเสียงทุ้มๆที่ชอบดุผมเป็นประจำ



   คิดถึงอ้อมกอดที่โอบอุ่นที่มาช่วยคลายความเหงาภายในใจ




   คิดถึงสัมผัสที่อ่อนโยนที่เขามักจะมอบให้



   ยังต้องการอยากที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากเขาอีกสักหน่อย



   แต่ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว...มันสายเกินไป

   .

   .

   .
   ผมกำลังจะหลับ…และคงจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาเจอหน้าเขาอีก…ตลอดไป









   Talk;

   สวัสดีครับผม เอาน้องจันทร์เจ้ามาหาแล้ว แต่ตอนนี้น้องทรมานมากเลย ฮือ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายน้องนะ ไม่รู้จะมีใครคิดรำคาญน้องไหม ว่าทำไมจะตายบ่อยจัง

   มาตอบก่อนเลยละกัน คือ เรามีความตั้งใจที่จะเขียนเรื่องนี้ เพราะคนใกล้ตัว เป็นโรคซึมเศร้า แล้วสิ่งที่ฟังมาจากเขา คือทุกอย่างมากแย่มากจริงๆ วันๆหนึ่งเขาคิดจะตายวันละหลายรอบมากๆเลย

   เราเกิดความคิดเล่นๆว่า คนเราจะตายได้ด้วยวิธีไหนบ้าง ฉะนั้นเอาจริงๆแล้วนิยายเรื่องนี้จุดสำคัญคือการฆ่าตัวตายของตัวเอก ยังไงอย่าเพิ่งรำคาญน้องนะครับ

   ก็ขอบคุณทุกคนที่ยังคงติดตามมาถึงตอนนี้ ยังไงต้องขอบคุณมากจริงๆนะครับ และหวังว่าจะอยู่เป็นเพื่อนผมและน้องจันทร์ไปก่อนนะ อย่าเพิ่งหนีหายกันไป นี้เพิ่งจะเริ่มเรื่องเองนะครับ อย่าเพิ่งหายไปไหนกันนะ
    
   นั้นแหละครับ ยังไงก็ไปพูดคุยกันใน #แทนจันทร์ ได้นะครับ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 8 [28/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 28-03-2019 21:33:02
มาต่อแล้ว   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 8 [28/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: k00_eng^^ ที่ 28-03-2019 21:39:08
 :o12:
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 8 [28/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 29-03-2019 06:06:41
มาต่อแล้ว มาทีก็สงสารที
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 8 [28/03/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: manneewan ที่ 02-04-2019 12:33:10
  :mew6:หนูเจ้าลูก
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 9 [03/04/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 03-04-2019 22:57:02
- EP 9 -

- Tiptan’s -

   ใครต่างก็บอกว่า พวกเขาอิจฉาผม ที่ผมมีแฟนสวย เป็นถึงดาวคณะนิเทศ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าผม…ไม่ได้มีความสุขเหมือนที่ใครเขาพูดกันเลยแม้แต่นิดเดียว

   ถ้าเมื่อก่อนอาจจะใช่…แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

   แพรเป็นผู้หญิงที่สวย สวยแบบเข้ามาในโรงเรียนครั้งแรก ผู้ชายหลายคนก็มองกันเป็นตาเดียว

   เธอไม่ได้สวยแบบที่กำลังเป็นที่นิยม แต่ต้องพูดอย่างไรดีละครับ…สวยแบบ…หากแพรจะเป็นนางเอกละคร ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเลย      




    เราสองคนเป็นแฟนกันมา ถ้านับจริงๆปีนี้ก็เป็นปีที่สามและกำลังจะครบรอบปีที่สี่ในอีกไม่นานนี้

   ครั้งแรกที่เราคบกันตอนนั้นเราทั้งคู่อยู่ ม.4 เราสองคนเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน และบังเอิญได้อยู่ห้องเดียวกัน

   ทั้งผมและแพร เราต่างก็เป็นเด็กที่เพิ่งย้ายมาใหม่เหมือนกันทั้งคู่ ทำให้ช่วงแรกๆยังไม่มีเพื่อน และด้วยความที่ส่วนใหญ่เพื่อนในห้องรู้จักกันมาอยู่แล้ว เพราะยกชั้นเลื่อนขึ้นมาจาก ม.ต้น ตามกันขึ้นมา

   ตัวผมเองที่เป็นผู้ชายมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรสักเท่าไร กับการที่จะหาเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ แค่เพียงเตะบอลด้วยกันสักสองสามครั้ง ก็สนิทกันได้แล้ว สำหรับผู้ชาย

   เมื่อเทียบกันกับแพรแล้วต่างกันอย่างสิ้นเชิง การหาเพื่อนใหม่เป็นอะไรที่ค่อนข้างยากสำหรับเธอ ไม่รู้ว่าเธอไม่เข้าหาเพื่อนเลย หรือเพื่อนไม่ต้อนรับเธอเลยกันแน่ และอีกอย่างด้วยความที่เธอสวยจนเกินหน้าเกินตา ทำให้ผู้หญิงหลายคนคงจะอิจฉาเธอ…

   หรืออาจจะเป็นเพราะบุคลิกของเธอที่ดูหยิ่งๆ และไม่ค่อยจะเป็นมิตรด้วยแล้ว ทำให้คนอื่นอาจจะไม่อยากคุยด้วย

   ขนาดผมเองยังเคยรู้สึกแบบนั้น…

   ครั้งแรกที่เราคุยกัน ผมเป็นคนเข้าไปทักเธอก่อน แรกๆต้องยอมรับเลยว่าคุยด้วยแล้วไม่อยากคุยต่อ ถามคำตอบคำ มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดแบบบอกไม่ถูก








   แต่จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้มาสนิทกับเธอก็เพราะว่าวันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจะกลับบ้าน ผมถูกนักเรียนโรงเรียนที่เป็นศัตรูกันเข้ามารุมทำร้าย ทั้งๆที่ความจริง ไม่ใช่ความผิดของผมเลย เพราะผมไม่เคยมีเรื่องอะไรกับใครทั้งนั้น

   ตั้งแต่ที่แม่ผมเสีย ผมเลยคิดได้ว่าจะตั้งใจเรียนเพื่อไปเป็นหมอ ฉะนั้นเรื่องต่อยตีกันลืมไปได้เลย

   และอีกอย่างผมเพิ่งย้ายมาไม่นาน น่าจะไม่รู้จักกันกับคนพวกนี้แน่นอน มารู้ทีหลังจากพวกรุ่นพี่ว่าเป็นศัตรูกันกับพวกนักเรียนห้องท้าย พวกนี้เวลาจะเอาคืน มันไม่สนใจหรอกนะครับ ว่าจะเป็นใคร แค่เห็นว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนคู่อริ มันก็จะเล่นงานเราทันที

   ครั้งนั้นที่รอดมาได้ก็เพราะแพรมาช่วยเอาไว้

   “ มีคนถูกทำร้ายค่ะคุณตำรวจ ”

   หลังจากที่เธอตะโกนไปแบบนั้น พวกที่มันกระทืบผมก็วิ่งหนีไป

   แพรเข้ามาหิ้วปีกผมโดยการเอาแขนของผมไปพาดไว้ที่คอของเธอ

   เราสองคนกับมาที่โรงเรียนเพื่อที่จะมาทำแผล โชคดีที่ห้องพยาบาลยังไม่ปิด เลยได้อาจารย์ที่ประจำอยู่ห้องพยาบาลทำแผลให้ พร้อมกับแจ้งไปทางฝ่ายปกครอง ให้ดำเนินเรื่องทำคดีความกันต่อไป

   “ ขอบคุณนะ ”

   “ อืม ”

   “ เราชื่อแทน ”

   “ รู้อยู่แล้ว ”

   “ รู้ได้ไง? ”

   “  เราเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน และนายเองก็ดัง ”

   “ หื้ม ” ผมยักคิ้วเชิงสงสัย

   “  ก็เวลาฉันเขาห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ หรือรุ่นน้อง เขาก็มักจะพูดถึงนายทั้งนั้นแหละ ”

   “ พูดในห้องส้วม นี้มันดีไม่ดีวะ ”

   “ ไม่รู้…ไม่ค่อยสนใจ ”

   และหลังจากนั้น เราสองคนก็ค่อยๆสนิทกันมากขึ้น

   แพรเป็นคนที่นิสัยดีมากๆเลยคนหนึ่ง แถมยังตลกมากๆ คุยด้วยแล้วสบายใจ ไม่ได้นิสัยไม่ดีเหมือนกันกับที่เห็นภายนอก   

    เราพากันติวหนังสือ ไปกินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน

   …สุดท้ายเราสองคน…ก็พัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง…

   และเป็นผลทำให้แพรเอง มีเพื่อนมากขึ้น…แพรกลายเป็นคนเฟรนลี่ และดังมากๆในโรงเรียน

   และด้วยความดังของแพร ทำให้เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากมายจากวงในออกไปสู่วงนอก

   แพรเริ่มได้รับความนิยมจากโลกโซเชี่ยล

   มีโมเดลลิ่ง…เข้ามาติดต่อให้ไปแคสติ้งงาน จากงานถ่ายแบบ ก็กลายเป็นโฆษณา และแพรก็เข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว

   และนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้น ของรอยร้าวความสัมพันธ์ของเราสองคน

   เรื่องที่เราคบกันต้องเป็นความลับ มีแค่เพื่อนในห้องที่สนิทเท่านั้นที่รู้ ครั้งหนึ่งเราสองคนเคยเล่นละครแกล้งทำเป็นว่าเลิกกันแล้ว

   แรกๆผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะเราเข้าใจ แต่ไปๆมาๆ ผมเริ่มอึดอัด มีแฟนแต่เราไม่สามารถไปไหนมาไหนด้วยกันได้

   เต็มที่แค่คุยโทรศัพท์




   ช่วงชั้นมัธยมปลายปีสุดท้าย แพรขอพักงานด้านบันเทิงไว้ก่อน เพื่อที่จะมาตั้งใจเรียน และสอบเข้ามหา’ลัยให้ได้ก่อน

   และเธอก็ติดรอบโควตา คณะนิเทศ ของมหา’ลัยที่เรากำลังเรียนกันอยู่ในตอนนี้

   

   มีข่าวออกมาว่าเธอแอบคบกับดารารุ่นเดียวกัน ที่เคยเล่นหนังด้วยกัน…

   ช่วงนั้นที่ผมเห็นข่าวก็ไม่ได้คิดอะไร แต่กลับไปถามเธอให้เรียบร้อย

   เธอก็ตอบมาว่าเป็นเพื่อนกัน

   แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ‘กำลังอยู่ในช่วงศึกษาดูใจ’

   ผมยอมรับเลยว่าเสียใจมาก ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังจะเตรียมตัวสอบอย่างหนักเพื่อจะเข้าคณะแพทย์ให้ได้

   เกือบจะไปไม่เป็นเหมือนกัน แต่ต้องดึงตัวเองกลับมาให้ได้ ผมโฟกัสที่อนาคตของตัวเองก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันที่หลัง

   เรายังไม่ได้เลิกกัน แต่ตั้งแต่ที่มีข่าว เราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย

   

   จนมาช่วงวันเปิดเรียนของมหา’ลัยที่ อยู่ๆเธอก็ทักผมมา และบอกว่า ‘เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม’

   ผมไม่ได้ให้คำตอบ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ

   เพราะลึกๆผมยังคงผูกพันกับเธออยู่ คบกันมาตั้งหลายปี จะให้ตัดใจในเร็ววันมันก็คงจะง่ายเกินไปหน่อย

   แต่ถามว่ารู้สึกเหมือนเดิมไหม ตอบได้เลยว่า ‘ไม่’

   ลองให้โอกาสเธออีกครั้ง

   และคิดว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

   มีใครบางคนมาเปลี่ยนความคิดนั้น นั่นคือ เจ้า ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมีอิทธิพลกับผมมากมายขนาดนี้

   เคยสงสัยเหมือนกันกับเพื่อนหลายคน ว่าทำไมตัวเองจะต้องมาใส่ใจเขามากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่เราเป็นเพียงคนที่บังเอิญเจอกันเพียงเท่านั้น

   ช่วงแรกต้องยอมรับเลยว่าการที่เขามาอยู่ด้วยกันค่อนข้างลำบากใจ เพราะผมค่อนข้างที่จะรักความเป็นส่วนตัว แต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นภาระ เหมือนที่เพื่อนผมพูดกัน

   แต่ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าการที่ได้มาดูแลใครสักคน คอยไปรับไปส่งเขา หรือทำอาหารให้เขากิน มันจะมีความสุขมากมายขนาดนี้

   จากความลำบากใจในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นความเต็มใจ และยินดีที่ได้ทำ








   หลังจากที่ผมขับรถไปส่งแพรที่คณะ ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ ยังพอมีเวลาเหลือก่อนที่จะเริ่มเรียนในคลาสแรก

   ผมขับรถวนไปตามทางเดิมที่ขับผ่านมา ไปเริ่มต้นตั้งแต่ร้านข้าวที่ทานไป คิดว่าอาจจะเจอคนที่ดื้อจนไม่ยอมขึ้นรถมาด้วยกัน

   แต่ขับไปจนถึงหน้าคณะของเขา ก็ไม่เห็นเขา อาจจะเป็นเพราะว่าขึ้นเรียนไปแล้ว ผมเลยขับรถไปยังคณะของผม

   



   เมื่อหมดคลาสแรกในตอนเช้า ผมกำลังจะโทรหาเจ้า แต่ดันโดนอาจารย์เรียกให้ไปช่วยงานก่อน

   Taan : กินข้าวก่อนเลย ไม่ต้องรอ

   ผมส่งข้อความไปหาอีกคน ให้เขากินข้าวไปก่อน ปกติผมจะไปกินข้าวด้วย แต่คาดว่าอาจารย์น่าจะให้ช่วยงานจนเกือบจะเริ่มเรียนคลาสในตอนบ่าย เพราะผมได้ยินแกสั่งข้าวเผื่อผมกับเพื่อนแล้วเรียบร้อย






   ผมหยิบมือถือมาเปิดเข้าดูที่หน้าต่างโปรแกรมแชท หลังจากเลิกเรียน แต่ไม่มีการตอบกลับใดๆของอีกฝ่ายเลย และยังไม่ขึ้นอ่านด้วย ผมเริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ

   “ พวกมึงกูไปก่อน ”

   “ จะรีบไปไหนวะ ไปกินข้าวเป็นเพื่อนกูก่อน ” เต้เพื่อนสนิทของผมร้องขอ

   “ โทษที รีบ ” ผมคว้ากระเป๋าและรีบออกจากห้องทันที

   


   ผมขับรถมาจอดหน้าตึกคณะของจันทร์ เดินวนอยู่แต่ก็ไม่เจอ ผมจำได้แม่นว่าวันนี้เขามีเรียนทั้งตอนเช้าและตอนบ่าย

   เลยตัดสินใจขึ้นไปตามหาบนอาคารเรียน

   ผมเปิดตารางของอีกฝ่ายที่เซฟมา เพื่อดูห้องที่เขาเรียน ผมเพิ่งเคยขึ้นมาข้างบนครั้งแรก เพราะปกติอีกฝ่ายจะนั่งรอผมอยู่หน้าตึก

   ผมถามนักศึกษาแถวนั้น พร้อมกลับได้คำตอบว่าห้องนั้นอยู่ที่ไหน

   ผมเดินมาหยุดหน้าห้องที่มีป้ายเลขห้องแปะตรงกับในตาราง
   
   เลยเปิดประตูเข้าไป พบว่ามีเพียงนักศึกษานั่งอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

   “ เห็นจันทร์เจ้าไหม ” ผมเดินเข้าไปถามนักศึกษากลุ่มนั้น

   พวกเธอทำหน้าเหมือนไม่รู้จัก  ผมเลยเปิดรูปที่แอบถ่ายเอาไว้ให้พวกเขาดู

   พวกเขาถึงจะนึกออก

   “ วันนี้เหมือนจะไม่มาเรียนนะ ”

   “ เมื่อเช้าก็ไม่เห็น ”

   “ ขอบคุณมาก ” ผมเดินจากพวกเธอมาหลังจากได้คำตอบ

   พยายามนึกว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหน

   ผมขับรถวนไป พร้อมๆกับกดโทรศัพท์โทรหาเขาไปด้วย ยังโทรติด แต่ไม่มีคนรับสาย

   ในใจก็เกิดความกลัวเล็กๆว่าเหตุการณ์เดิมๆจะซ้ำรอย เลยลองขับรถไปใต้สะพานที่เคยเจอเขา

   แต่ก็ไม่เห็น…

   ผมจึงตัดสินใจกลับคอนโด เผื่อเขาจะกลับมาที่ห้องแล้ว เราอาจจะสวนทางกัน

   ผมเปิดเข้าไปในห้องสิ่งแรกที่มองคือชั้นวางรองเท้าและมีรองเท้าของเขาวางอยู่

   ผมเลยลองเรียกชื่อเขา…แต่เงียบ ห้องทั้งห้องเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่

   เลยจะลองไปดูที่ห้องนอน กำลังจะเดินเลยไปถึงห้องนอนของเขา สายของผมดันไปสะดุดเขากับร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น มีน้ำลายฟูมปากออกมา พร้อมกับอาการชัก วินาทีนั้น เหมือนหัวใจของผมร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

   พยายามตั้งสติแล้วไปหยิบไข่ไก่จากในตู้เย็น เช็ดน้ำลายที่ฟูมปากแล้วตอกใส่ลงไปในปากของจันทร์

   ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าวิธีนี้จะได้ผลจริงหรือเปล่า ถึงแม้ว่าผมจะเรียนคณะแพทย์ แต่ก็ยังเรียนไม่ขั้นนี้ แต่เคยอ่านเจอมาว่าให้ทำแบบนี้

   ไม่นานจันทร์ก็อ้วกสิ่งที่กินเข้าไปออกมา ผมลองดูพบว่ามียาจำนวนหลายสิบเม็ดออกมา ผมเช็ดอ้วกที่ออกมาออกจากปาก และใช้ถุงพลาสติกครอบปากของเขาเอาไว้กลัวว่าหากขณะที่ไปโรงพยาบาลจะอ้วกจนเลอะเทอะตัวเขาอีก

   ผมอุ้มเขาขึ้นมา พร้อมกับรีบไปที่รถให้เร็วที่สุด 

     ผมวางเขาไว้ที่เบาะข้างคนขับและมาประจำตำแหน่งที่นั่งของคนขับ

   ผมเหยียบคันเร่งเร็วที่สุดท่าที่จะทำได้ โดยไม่สนใจเสียงแตรที่บีบไล่หลังมา

   ณ วินาทีนั้น ผมคิดเพียงแค่ว่า จะต้องรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ให้ได้ กลัวว่าหากช้าไปกว่านี้ คนที่ไม่ได้สติอยู่ข้างๆจะจากผมไป หากเป็นอย่างนั้นผมคงไม่มีวันให้ไปอภัยตัวเองอีกเป็นอันขาด




   ผมมาส่งเขาถึงมือหมอ ได้แต่รออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ทั้งๆที่ผมอยากเข้าไปด้วยจนแถบจะขาดใจ แต่ทำได้แค่นั่งรออยู่หน้าห้อง

   ระหว่างทางที่ขับรถมา ผมโทรบอกพ่อ

   และพ่อมาอยู่เป็นเพื่อนผม ผมเครียดมากจริงๆ ผมเอาแต่โทษตัวเองที่ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว ทั้งๆที่พ่อเองก็เตือนผมแล้ว

   พ่อปลอบใจผมและบอกผมว่ามันไม่ใช่ความผิดของผม

   แต่คิดยังไง ผมก็ผิดจริงๆ ถ้าผมเดินไปตามเขา และไม่ปล่อยให้เขาลุกไป และไปส่งเขาที่คณะ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น





   หลังจากนั่งรออยู่ไปเป็นชั่วโมง

   ประตูห้องฉุกเฉินก็ถูกเปิดออก พร้อมกับปรากฏร่างของผู้ชายวัยกลางคน ส่วมใส่ชุดกราวน์

   “ คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ ทางเราได้ล้างท้องและน้ำยาออกมาจนหมดแล้ว แต่เนื่องจากคนไข้ทานยาเข้าไปเป็นจำนวนมาก อาจจะส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อระบบประสาท และการตอบสนอง ยังไงเดี๋ยวรอดูอาการ ถ้าไม่มีอาการผิดปกติอะไร ก็คงกลับบ้านได้ แต่วันนี้เดี๋ยวจะย้ายไปที่ห้องพักและคงนอนดูอาการอีกสักคืน ”

   “ ขอบคุณครับ ” ผมยกมือไหว้คุณหมอ

   “ เดี๋ยวผมจะนอนเฝ้าของเองครับ พ่อกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ ”

   “ ลูกไหว ใช่ไหม ”

   “ ครับ ”

   “ โอเค งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อมาหา ”

   “ ครับ ”

   ผมไปส่งพ่อขึ้นรถและตัวเองกลับไปที่ห้องพักของจันทร์

   “ มึง พรุ่งนี้กูฝากลานะ ” ผมกดโทรศัพท์ต่อสายหาเต้

   “ ไม่ได้ พรุ่งนี้เขามีเทสย่อย ”

   “ หรอ ไปสอบย้อนหลังได้ไหม ”

   “ น่าจะได้ไม่ได้มั้งมึง ”

   “ เชี้ย เออๆ ขอบคุณมาก ” ผมกดวางสายพร้อมกับเปิดประตูเข้าไปในห้องพัก

   บนเตียงมีร่างเล็กนอนอยู่ พร้อมกับเสาน้ำเกลือ ตั้งอยู่ข้างๆ

   ผมลูบกลุ่มผมนิ่มๆบนหัว ที่พลิ้วไหวไปตามมือในยามที่ผมสัมผัส

   ผิวที่ปกติขาวอยู่แล้ว ก็ขาวซีดกว่าเดิมเหมือนกับว่าไม่มีเลือดอยู่เลย

   รู้สึกสงสารคนตรงหน้าจับใจ…

   จังหวะที่เห็นเขากำลังดิ้นทุรนทุราย ผมแถบจะเป็นบ้า

   ตอนนี้…พอเห็นว่าคนตรงหน้านี้ยังมีลมหายใจ ก็รู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก

   ผมจูบลงไปที่หน้าผากของเขาเบาๆ หวังว่าจะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของเขาให้ลดลงไปบ้าง

   
 

   









   TBC.




   Talk;

   ตอนนี้ยาวกว่าตอนอื่นเลย มาเล่าเรื่องน้องแพรพลอยของเราให้ฟังบ้าง เป็นกำลังใจให้น้องจันทร์เจ้ากับพี่แทนไปด้วยกันนะครับ
   ขอบคุณสำหรับกำลังใจ ทุกกำลังใจที่มีให้ผมเลยนะครับ
   ถ้าใครอ่านแล้วชอบ ก็คอมเม้นเป็นกำลังใจให้กับไรท์ได้นะครับ :)
   ถ้าใครสงสัยฉากไหนตรงไหน ก็เม้นไว้ได้เลย เดี๋ยวจะมาตอบคำถามให้นะครับ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 9 [03/04/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 04-04-2019 15:08:28
ขอให้ทั้งสองคนก้าวผ่านช่วงเวลาที่แย่ๆให้ได้นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 9 [03/04/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 05-04-2019 20:35:51
สรุปไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว จันทร์เจ้าก็มีสิทธิ์ดิ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 9 [03/04/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 06-04-2019 01:10:00
 :hao5: นอกจากจะมาม่าโรคซึมเศร้า ยังมีมาม่าเรื่องคนอื่นมาป่วนอีกกกก
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 10 [16/04/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 16-04-2019 20:52:27
- EP 10 -


   แสงแดดในยามเช้าที่ลอดผ่านเข้ามาจากทางหน้าต่าง มันส่องเข้ามาที่ตาผม ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว
   ผมเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่ง ขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย คลายความเมื่อยจากการที่นอนบนโซฝาเพื่อเฝ้าคนป่วย
   ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งที่เตือนว่าผมควรที่จะกลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโด  เพื่อที่จะได้ไปให้ทันข้อทำสอบเทสย่อยที่เพื่อนได้บอกเมื่อคืน
   …มองคนที่ยังหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง…
   “ รอก่อนนะ เดี๋ยวกลับมา ” ผมบอกกับคนที่นอนนิ่งพร้อมกับลูบหัวของเขา ก่อนที่จะดึงผ้าห่มให้ขึ้นมาคลุมให้ที่หน้าออก เพราะกลัวว่าอีกคนจะหนาว

   

   การสอบย่อยในวันนี้ ถ้าหากจะบอกว่าผ่านพ้นไปด้วยดีไหมก็คงไม่ใช่ แล้วถ้าถามว่าแย่ไหม ก็ไม่แย่เช่นกัน

   ผมไม่ได้ทบทวนบทเรียนก่อนที่จะมาสอบ แต่เรื่องที่สอบวันนี้คือเรื่องที่เรียนไปเมื่อวาน ผมเป็นคนที่มีความจำค่อนข้างจะดี ทำให้ไม่มีปัญหากับการสอบในวันนี้ ถามว่าจำทั้งหมดได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไหม ผมจำไม่ได้หรอกครับ จำได้พอคร่าวๆ ทำข้อสอบไปให้พอมีคะแนน ให้คะแนนไม่น่าเกียรติจนเกินไป อาจจะเกือบผ่าน หรือไม่ก็คงจะพอผ่าน คะแนนคงไม่ได้ดีอะไร เอาความรู้ที่พอจะจำได้ มาเขียนลงไป แต่นี้แค่เก็บคะแนนย่อยไม่ได้เก็บเยอะเท่าไร เดี๋ยวไปทำข้อสอบตอนปลายภาคเอาก็น่าจะพอช่วยได้




   ผมเดินทางไปโรงพยาบาลทันทีเพราะพ่อส่งข้อความมาบอกตั้งแต่เช้าแล้วว่าจันทร์ฟื้นแล้ว
   ผมเคาะประตูห้องพักผู้ป่วยก่อนจะหมุนลูกปิดประตูเข้าไป ก็เจอคนที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังเหม่อลอยออกไปยังนอกหน้าต่าง
   ผมเดินเข้าไปใกล้เขา เขาหันหน้ามามองผมช้าๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่ยิ้มให้ผมบางๆ
   ผมยิ้มตอบกลับเขา
   “ กินอะไรหรือยัง ” ผมถามเขาแต่เขาไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่หันไปมองที่ถาดที่อยู่ที่ข้างเตียงแทน
   กับคนของคนป่วยนี้ยังไงก็ไม่น่ากินเอาเสียเลย ประกอบกับคงเป็นเพราะจันทร์เจ้ากินยาเข้าไปแล้วอาจจะไปทำร้ายกระเพาะ ทำให้ต้องทานอาหารอ่อนๆ จากที่ถามหมอมา หมอบอกว่าเขายังไม่สามารถทานอะไรที่หนักๆได้ และทานได้แค่เพียงอะไรที่เป็นน้ำเท่านั้น
   ทำให้อาหารที่ผู้ป่วยกินได้มีเพียงน้ำซุปและนมหนึ่งกล่อง
   นมจืดถูกเสียบหลอดเอาไว้ ผมลองจับกล่องนมยกดู มันยังมีนมอยู่จนแถบจะเต็มกล่อง ไม่ได้ลดลงไปจากปริมาณในตอแรกเลยด้วยซ้ำ แถมน้ำซุปที่ให้มาก็ยังไม่ได้แกะเอาพลาสติกที่หุ้มเอาไว้ออกเลย
   “ ทำไมไม่กิน ”
   “ … ”
   “ ไม่หิวหรอ ”
   “ … ” เขาไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่พยักหน้าลงเล็กน้อย
   “ กินน้อยขนาดนี้ แล้วจะหายไหม เดี๋ยวจะไม่มีแรงเอานะ ”
   เจ้าตัวยังคงนิ่งเงียบ
   ‘ เฮ้อ ’ ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ให้กับความดื้อของคนตรงหน้า ที่ปกติก็ดื้อมากอยู่แล้ว พอไม่สบายก็จะดื้อมากกว่าปกติ
   เขาเริ่มกัดปาก และน้ำตาคลอเบ้า เหมือนว่ากำลังจะร้องไห้
   “ ไม่ได้ว่าอะไรเลย จะร้องไห้ทำไม ” ผมลูบหัวอีกคนอย่างเบามือ กลัวว่าถ้าแรงเกินไป อีกคนจะพากันร้องไห้เอาได้
   “ ปล่อยมือจากหัวน้องกูได้หรือยัง! ” ผมหันไปมองทางต้นเสียง เป็นเสียงของผู้ชายคนหนึ่งที่ มีผิวขาวเหมือนกับคนที่ผมเพิ่งจะลูบหัวไป ส่วนสูงพอๆกันกับผม ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเห็นหน้าและไม่เคยรู้จักกับเขามาก่อน
   ‘ น้องกู ’ ผมทวนคำพูดของเขาในใจ
   ก่อนที่อีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงเมื่อสักครู่นี้ จะวิ่งลงจากเตียง แล้วเข้าไปกอดคนที่มาใหม่ พร้อมเรียกชื่อของคนนั้นว่า “ พี่ฉาย ”
   ชื่อที่หลุดออกมาจากปากของจันทร์ทำให้ผมหวนย้อนกลับไปนึกได้ว่า จันทร์เคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องพี่ชายที่อยู่ต่างประเทศ
   พอนึกได้ ก็ยกมือขึ้นมาไหว้
   แต่ผมโดนเมิน…
   เขาสองคนพี่น้องเหมือนอยู่ในโลกที่มีเพียงพวกเขาสองคน คนพี่ก็โอ๋น้อง คนน้องก็อ้อนพี่ พากันลูบหัวหอมหัวกันอยู่อย่างนั้น
   ไม่รู้ทำไมแต่ผมยิ้มตาม…อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่เคยเห็นมุมน่ารักของคนตรงหน้าล่ะมั้ง ปกติแล้ว เขาเป็นคนนิ่งๆ เป็นคนแสดงความรู้สึกไม่เก่ง จะดีใจหรือเสียใจ ก็ไม่ค่อยจะแสดงออกมาให้ผมได้รู้
   “ พี่ฉาย… ”
   “น้องจันทร์...”
   ผลัดกันเรียกแทนตัวเองไปมาแบบไหน แล้วพากันเล่าเรื่องต่างๆ บอกคิดถึงกันเหมือนว่าไม่เจอกันมานานหลายสิบปี การแทนตัวเองที่แสนจะน่ารักของสองพี่น้อง ในบทสนทนา
   ‘น่ารัก’
   ผมยังคงมองและยืนยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่แบบนั้น
   คนเป็นพี่เห็นผมยืนยิ้มอยู่ ก็ขยับปากใส่ผมแบบไม่มีเสียง ผมพยายามจับใจความ ก็ได้เป็นคำว่า ‘ มอง เหี้ย ไร!’  แล้วมองผมด้วยสายตาที่แข็งกร้าว แต่สองแขนก็ยังคงกอดน้องจนแถบจะจมอก
   เมื่อโดนด่าแบบนั้นผมนี้แถบจะหันหน้าไปทางอื่นไม่ทัน
   กับน้องชายนี้ทำตัวใจดีเหมือนกับเทวดา แต่กับคนอื่นนี้ดูอย่างกับยักษ์ ผมได้แต่คิดในใจแบบนั้น ไม่กล้าพูดออกไป หากพูดออกไปอาจจะเลือดกบปากเอาได้
   
   คุณหมอเดินเข้ามาพอดีกับตอนที่สองคนพี่น้องผละจากกัน
   “ แข็งแรงดีแล้วนี้ น่าตกใจเลยนะ ไม่คิดว่าจะลุกมาเดินได้เร็วขนาดนี้ งั้นเดี๋ยวหมอขอดูอาการหน่อยนะ ”
   “ ครับ ”
   “ ปวดท้องหรืออะไรไหม ”
   “ นิดหน่อยครับ ”
   “ รู้สึกหน้ามืดไหม ”
   “ ยังไม่นะครับ แต่ไม่ค่อยมีแรง ”
   “ ก็ไม่ยอมทานอะไรเลย จะมีแรงได้ยังไงล่ะ ”
   “ ไม่ค่อยหิวน่ะครับ ”
   “ ดูจากอาการคร่าวๆแล้ว ก็น่าจะให้กลับบ้านได้แล้ว ไปพักผ่อนที่บ้านได้ นี้ต้องขอบคุณเพื่อนหนูนะ ที่พามาส่งมือหมอไหว เลยล้างท้องได้ทัน ร่างกายยังไม่รับสารจากตัวยาไปเยอะเท่าไร ไม่อย่างนั้น อาจจะไม่ได้มากอดกับพี่แล้ว ”
   “ ครับ ”
   “ ยังไงช่วงนี้ก็ระวังการกินก่อนนะ กินอาหารอ่อนๆ อย่าเพิ่งทานอะไรที่ย่อยยากๆ อาจจะไม่ค่อยมีแรงเท่าไร ถ้าเป็นไปได้ก็ ควรจะนอนพักอยู่บ้านเฉยๆ ยังไม่ควรที่จะออกไปข้างนอก สัก 2 วัน พอมีแรงก็น่าจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ อาจจะมีอาการเบลอๆอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ”
   “ ครับ ”
   “ สงสัยอะไรไหมครับ ”
   “ ไม่มีครับ ”
   “ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ  ”
   “ ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ ”










   “ ทำไมจันทร์ไม่บอกพี่ว่าย้ายหอ ”
   “ ก็จันทร์กลัวพี่ฉายจะดุ ”
   “ มันใช่เรื่องไหมเนี่ย ”
   “ พี่ฉายอย่างอนจันทร์เลย ”
   “ มันน่าไหมล่ะ ทำอะไรไม่เคยจะบอกพี่ ”
   “ … ”
   “ จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงพี่บ้าง…พี่เป็นห่วง ”
   “ ฮึก ”
   “ จันทร์ไหวไหม โอเคหรือเปล่า ”
   “ … ”
   “ พี่ขอโทษนะ ที่ดูแลจันทร์ไม่ดี ”
   “ ฮือ จันทร์ขอโทษ ”
   “ มันทรมานมากเลยใช่ไหม ”
   “ มากเลยครับพี่ฉาย ”
   “ ทนอีกนิดได้ไหม เดี๋ยวพี่ก็จะกลับมาอยู่กับจันทร์แล้ว ”
   “  ฮึก จันทร์จะรอ ”
   “ อีกนิดเดียวพี่สัญญา ”
   “ ครับ ”
   “ อย่าทำอะไรแบบนี้อีกได้ไหม ”
   “ … ”
   “ ชีวิตพี่ตอนนี้ก็เหลือแค่จันทร์คนเดียว ถ้าจันทร์ไม่อยู่ แล้วพี่จะอยู่กับใคร ”
   “ เดี๋ยวพี่ฉายก็มีแฟน ”
   “ มันใช่เวลามาพูดแบบนี้ไหมเนี่ย ”
   “ ฮึก ”
   “ เดี๋ยวพี่ต้องรีบบินกลับไปแล้ว พรุ่งนี้พี่มีสอบ ”
   “ อ้าว จะกลับแล้วหรอ ”
   “ หรือยังไงดี หรือจะให้พี่ดรอปเรียนไว้ก่อนไหม ”
   “ ไม่ได้นะ พี่ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด ”
   “ หรือจันทร์จะย้ายไปอยู่กับพี่ ”
   “ จันทร์อยากเรียนที่ไทยครับ ”
   “ เฮ้อ ก็ได้ แต่ยังไงน้องต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ สัญญากับพี่ ”
   “ ครับ  จันทร์สัญญา ”
   “ ถ้าไม่สบายใจหรืออะไร ต้องโทรหาพี่ และห้ามคิดสั้นอีก โอเคนะ ”
   “ ครับ พี่ฉาย อยู่จนกว่าจันทร์จะหลับได้ไหม ”
   “ ได้ครับ นอนพักนะคนเก่ง ”
   
   บทสนทนาของสองพี่น้องที่ลอดผ่านช่องประตูออกมา ทำให้ผมพอจะได้ยินอยู่บ้าง ไม่นานพี่ชายของจันทร์ก็เดินออกมาจากห้องนอน คงแปลว่าอีกคนได้หลับไปแล้ว
   
   “ ขอคุยกับนายหน่อย ”
   “ ครับ ”
   “ ชื่อแทนใช่ไหม ”
   “ ครับ ”
   “ เข้าเรื่องเลยละกัน พี่รีบ ”
   “ ฟังจากอาหมอ พ่อของนายมาบ้างแล้ว ขอบคุณมากๆที่คอยดูแลจันทร์ แต่พี่ก็พอรู้มาว่านายทำน้องของพี่เสียใจ ”
   “ ขอโทษครับ ”
   “ จะโทษนายฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ ต้องโทษน้องพี่ด้วย ”
   “ ครับ ”
   “ จันทร์น่ะชอบนายมากๆเลยนะ ชอบเล่าเรื่องของนายให้ฟังเวลาโทรคุยกัน ”
   “ … ” แถบแอบดีใจแบบบอกไม่ถูก
   “ แต่นายมีแฟนอยู่แล้ว ถ้าพี่พูดไปแล้วทำให้นายอึดอัดก็ขอโทษด้วย ถามตรงๆว่า ยังอยากให้น้องพี่อยู่ด้วยไหม ถ้าไม่สะดวก พี่ก็จะหาที่อยู่ให้น้องของพี่ใหม่ จะได้ไม่รบกวนนาย ”
   “ ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ ”
   “ นายแน่ใจนะ ”
   “ ครับ ”
   “ งั้นพี่คงต้องฝากน้องของพี่ด้วย อีกไม่นานเดี๋ยวพี่ก็จะกลับมาดูแลเขาเอง แต่ถ้านายทำน้องพี่เสียใจอีก พี่จะมารับเขาไปอยู่กลับพี่ทันที ”
      
   

   ผมไปส่งพี่ของจันทร์ที่สนามบินทันเวลาเช็คอินพอดี
   กลับมาถึงห้องก็พบคนที่หลับไปตื่นขึ้นมาพอดี
   “ พี่ฉายกลับแล้วหรอ ”
   “ อืม ”
   จันทร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนที่จะเดินไปนั่งหน้าทีวี
   “ หิวไหม ” ผมถามพรางนั่งลงข้างๆ
   “ ไม่ครับ แล้วแทนหิวไหม ”
   “ ไม่ค่อยเท่าไร ขอคุยอะไรด้วยหน่อย ”
   “ ครับ ”
   “ ทีหลังอย่าทำอะไรแบบนี้อีก ”
   “ ขอโทษครับ ที่สร้างแต่เรื่องให้ ” อีกคนตัวเริ่มสั่น
   “ เปล่า…ไม่ใช่แบบนั้น ”
   “…”
   “ แค่กลัวจะเสียนายไป ”   
   “ … ”
   “ อย่าทำแบบนั้นอีก ขอร้อง ได้ไหม ”   
   “  ฮึก ครับ ”
   ผมใช้แขนดึงเขาเข้ามากอด ก่อนที่จะจับให้เขาหงายหน้าขึ้นมา ดวงตาสองคู่ประสานกันก่อนที่ผมจะค่อยเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าขาว แล้วจูบทับไปที่เปลือกตา เพื่อซับน้ำตาที่กำลังไหลหยดหลังมาที่แก้ม
   ผมไล่จูบจากเปลือกตา ลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดที่ริมฝีปากบาง แล้วจูบลงไปอย่างแผ่วเบา
   จากนั้น ผมใช้ปากเม้มปากของอีกคน ก่อนจะพยายามดันลิ้นเข้าไปควานหาความหวานของอีกคนที่อยู่ในอ้อมกอด
   เขาใช้มือสองข้างจับยึดที่เสื้อของผม ก่อนที่จะขย้ำมัน
   ผมผละออกจากเขาเพื่อให้เขาหายใน ก่อนจะช้อนเอาตัวเขาขึ้นมาไว้ในแขน แล้วเดินเข้าไปยังห้องนอนของผมเอง
   เขาทำหน้าตกใจเล็กน้อย
   “ ปกติแทนไม่ให้ผมเขามาในห้องนี้ครับ ”
   ก่อนที่อีกคนจะสงสัยไปมากกว่านี้ ผมวางร่างเล็กที่ตัวเบาหวิว อาจจะเพราะว่ากำลังป่วยลงบนที่นอนอย่างเบามือ
   ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้เขา กำลังจะประทับริมฝีปากลงไป
   “ อุ๊บ ” อีกคนเอามือปิดปาก ก่อนที่จะวิ่งไปยังห้องน้ำ
   ผมรีบตามเข้าไป เขาโก่งขออ้วก ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากลูบหลัง
   “ เป็นไงบ้าง ”
   “ ดีขึ้นแล้วครับ ” อีกคนก้มหน้าคุยกับผมหลังจากล้างปาก ล้างคอเสร็จแล้ว
   “ งั้นนอนเลยล่ะกัน ”
   “ ครับ ”
   “ จะไปไหน ”
   “ ไปนอนไงครับ ”
   “ นอนนี้แหละ ”
   “ จะดีหรอครับ ”
   “ อือ ดี นอนด้วยกัน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ”
   “ เอ่อ แต่ว่า… ”
   “ ห้ามแต่ หรือจะให้ฉันย้ายไปนอนห้องนายไหม ”
   “ ไม่เป็นไรครับ นอนนี้ก็ได้ครับ ”   
   “ ก็แค่นี้ นอนก่อนเลย ฉันไปอาบน้ำก่อน ”
   ผมลุกจากเตียงแล้วรีบหันหลังให้อีกคน กลัวเจ้าน้องชายของผมมันจะไปชี้หน้าเขา สงสัยคืนนี้ผมคงจะต้องจัดการกับอารมณ์ของตัวเองเสียก่อนที่จะหลับ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมคงนอนไม่ได้แน่ๆ








   “ ยังไงวันนี้ก็พักตามที่หมอสั่งไปก่อน กินอะไรที่อ่อนๆด้วย ฉันซื้อโจ๊กมาให้แล้ว นมก็มีอยู่ในตู้เย็น กินข้าวกินยาให้ตรงเวลานะ ”
   “ ครับ ”
   “ เจอกันตอนเย็น ”
   ผมออกจากคอนโดเพื่อไปเรียน ส่วนจันทร์คงต้องพักผ่อนอยู่ที่คอนโดตามที่หมอสั่งให้อาการดีกว่านี้ก่อนถึงจะมาเรียนได้   
   ตอนแรกเจ้าตัวบอกว่าหายแล้ว
   พูดไม่ทันขาดคำ ก็ทำแก้วน้ำตกแตก ขอโทษเป็นยกใหญ่
   ลุกจากเตียงก็เกือบจะเป็นลม ผมเลยต้องซื้อข้าวซื้อนมมาไว้ให้ ขืนให้ทำอาหารเอง มีหวังได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ
   


   “ เต้ มึงมีเพื่อนเรียนศิลปะศาสตร์ป่ะวะ ”
   “ เพื่อนไม่มี มีแต่กิ๊ก ”
   “ เออ กิ๊กก็ได้ ช่วยอะไรกูหน่อย ”
   เรื่องที่ผมให้เพื่อนสนิทช่วยคือ ไปถามงานของเด็กวิจิตรศิลป์ สาขาที่จันทร์เจ้าเรียนให้หน่อย ว่ามีงานอะไรบ้าง เพราะผมจำได้ว่า จันทร์เจ้าทำงานส่งแถบทุกวัน ไม่รู้จะสั่งงานอะไรเยอะแยะหนักหนา
   แต่อย่างว่าแหละครับ แต่ละคณะก็มีความอยากง่ายต่างกัน อย่างพวกผมก็ต้องท่องตำรากันจนแถบจะอ้วก
   และก็จะให้ฝากให้ด้วย หายไปหลายวัน ไม่บอกไม่กล่าวอาจารย์เขา อาจจะหมดสิทธิ์สอบได้
   “ เออๆ เดี๋ยวก็บอกให้ ”
   “ มึงต้องบอกเลย ”
   “ รีบจังวะ ”
   “ ก็กูจะได้เอางานไปให้จันทร์เจ้ามันทำ ”
   “ เป็นห่วงกันจังวะ ที่กับกูมึงไม่เห็นเป็นห่วงแบบนี้ ”
   “ มึงกูก็ห่วง แต่คนละแบบ ”
   “ หรอออ ”
   “ อืม ”
   “ มึงชอบเขาใช่ไหม ”
   “ ชอบเหี้ยอะไร ไร้สาระ ”
   “ เออ ขอให้จริงเถอะ ”
   “ … ”
   “ มึงจะชอบหรือไม่ชอบกูก็จะไม่ยุ่งละกัน แต่ยังไง มึงก็ควรจะเลือกสักทางนะเว้ย ไม่อย่างนั้น จะมีคนมากกว่าหนึ่งคนต้องเสียใจเพราะมึง ”
   “  เออ ”
   “ ไปๆเข้าเรียน ”
   “ แล้วงานจันทร์เจ้าอ่ะ ”
   “ โถ่ว ตอนนี้มันยังไม่เริ่มเรียน เดี๋ยวตอนเที่ยงกูไปขอให้ รีบจังอ่ะ นี้ส่งข้อความไปบอกให้ลาให้แล้ว ”
   “ … ”
   “ ไปๆ ไปเรียน ”
   เพื่อนของเขาส่ายหน้าให้กับความร้อนรนของเขา ปกติธิปแทนแถบจะเป็นคนนิ่ง สุขุม ใจเย็น แต่กับเรื่องของจันทร์เจ้าทีไร รีบร้อนตลอด ไม่เป็นตัวเองเลยสักครั้ง

    - Tiptan’s end -




   ผมเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ ตาก็มองไปยังนาฬิกาอีกไม่นาน เจ้าของคอนโดก็จะกลับมา
   พอนึกถึงเขาทีไรก็พาลให้นึกถึงเรื่องเมื่อคืนอยู่เรื่อยๆ นึกทีไรอากาศรอบตัวก็ร้อนขึ้นทุกที
   “ กลับมาแล้ว ” เสียงทุ่มหน้าฟังกล่าวทักทาย
   “ ครับ ”
   “ กินข้าวหรือยัง ”
   “ เรียบร้อยแล้วครับ ”
   “ ยาล่ะ ”
   “ ก็เรียบร้อยแล้วครับ ”
   “ อ่ะนี้ ”    เขายื่นเศษกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผมพร้อมกับถึงใส่ของ
   “ ครับ? ”
   “ งานน่ะ ทำให้เสร็จแล้วเดี๋ยวเอาไปส่งอาจารย์ให้ ”
   “ อ่อครับ ”
   ผมคลี่กระดาษดูรายละเอียดงานที่สั่ง ลองมองนาฬิกา ถ้าทำตอนนี้น่าจะพอทันส่งพรุ่งนี้เช้าอยู่ งานคราวนี้ไม่ได้ยากมาก แต่งานค่อนข้างจะละเอียด
   “ ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ ”
   “ อืม ”
   ตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีสองแล้ว ผมนั่งอยู่กับงานชิ้นนี้มาเป็นเวลาร่วม 7 ชั่วโมง
   ผมมองงานที่เกือบเสร็จสมบูรณ์เหลือแต่ตัดเสร็จอีกเล็กน้อย แต่มันค่อนข้างจะละเอียด
   แต่ตอนนี้ตาของผมค่อนข้างจะเบลอ เลยตั้งใจว่าค่อยตื่นมาทำน่าจะดีกว่า ถ้าหากงานเละไปผมได้ทำใหม่แน่ๆ
   อีกอย่างผมว่าผมควรนอนพักก่อน กว่างานจะมาได้เยอะขนาดนี้ ผมก็แถบจะหมดแรง เพราะอ้วกออกมาก็หลายรอบ ความตายมันทรมานจริงๆแหละครับ
   ถ้าหากคนที่ฆ่าตัวตายแล้วได้ตายก็คงจะไปสบาย   
   แต่อย่างผมต้องมานั่งชดใช้เวรกรรมของตัวเองต่อไป

   ผมตื่นขึ้นมาก่อนจะเห็นว่า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ก็รีบเด้งตัวขึ้นจากที่นอน ตั้งใจว่าจะนอนแปบเดียวแล้วตื่นมาทำงานต่อตอนตีห้า แต่รู้ตัวอีกที่ก็เกือบแปดโมงแล้ว
   เห็นอย่างนั้นเลยรีบไปนั่งที่โต๊ะกำลังจะจับปากกาตัดเส้น
   แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่างานที่ทำค้างไว้ เสร็จหมดแล้ว
   “ เอางานมา จะไปเรียนแล้ว ”
   “ ครับ แทนคือว่า ”
   “ ค่อยมาคุยกัน เดี๋ยวไปเรียนก่อน ”

   
   

   ผมเหม่อมองไปยังท้องฟ้ากว้าง ที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มเข้ม ตัดกับเส้นขอบฟ้า
   น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว
   ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้
   แถบจะทุกครั้งที่มองท้องฟ้าในตอนเย็น ผสมกับห้องมืดๆ น้ำตาก็ไหลออกมาตลอด เศร้าแบบบอกไม่ถูก
   ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ปวด แต่หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงร้องไห้   
   ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ร้องไห้   
   …แสงของท้องฟ้าในยามพลบค่ำ
   …ห้องที่ไม่ได้เปิดไฟ
   …หรืออากาศที่หนาวเย็นเวลาที่อยู่คนเดียวแบบนี้…
   “ ร้องไห้ทำไม ”
   ผมปาดน้ำตา แล้วพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติก่อนจะเปล่งออกไป
   “ เปล่าครับ ”
   อีกคนลงมานอนซ้อนหลังของผม ก่อนที่จะสวมกอดผมจากข้างหลัง
   “ เป็นอะไร ”
   “  คิดถึงพ่อกับแม่ ”
   “ อยากเล่าอะไรไหม ”
   “ … ”
   “ งั้นขอถามนะ ”
   “…”
   “ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ”
   ผมคิดว่าสิ่งที่เขาถามไม่ใช่ถามว่าผมร้องไห้เพราะอะไร แต่คงเพราะว่าทำไมผมถึงเป็นโรคนี้
   “ ตอนนั้นผมอยู่กำลังจะขึ้น ม.6 ไปเที่ยวกับพ่อกับแม่ เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำทำให้ต้องเสียพ่อไป หลังจากนั้น แม่ต้องทำงานหนักขึ้น เลี้ยงลูกสองคน พี่ฉายก็ต้องไปเรียนที่ต่างประเทศ ทำให้แม่ต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้พี่ฉายจะได้ทุน แต่แม่ก็กลัวพี่ฉายลำบากเลยต้องส่งเงินไปให้ทุกเดือน และแม่ทำงานหนัก ทำให้แถบจะไม่มีเวลาให้ผม
   ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบเข้ามหา’ลัยพอดี ผมมีคณะที่อยากเข้าอยู่แล้ว เหมือนเราไม่ได้เผื่อใจ พอผมไปสอบ … สอบไม่ติด ตอนนั้นเคว้งมาก บอกแม่ก็ไม่ได้ พี่ฉายก็ไม่ค่อยว่าง ตัดสินใจอยู่คนเดียว ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร ล้มอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะฮึดสู้ขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง
   และผมก็สอบติดคณะที่อยากเรียนแต่คนละมหา’ลัย กำลังจะกลับบ้านไปบอกข่าวดีกับแม่
ก็ต้องพบกับข่าวร้ายแทน
   วันนั้นแม่ไม่สบาย เลยกลับมาจากทำงานไวกว่าเวลา
   แม่…หัวใจวายเฉียบพลัน
   ผมยังจำแม่ที่ล้มลงไปกับพื้นต่อหน้าได้ดี
   หน้าตาของแม่ซูบลงอย่างเห็นได้ชัด ใต้ตาก็ลึกลงไป
   เล็บของแม่เปลี่ยนเป็นสีม่วง   
   เนื้อตัวของแม่เย็นเฉียบ
   ผมทำอะไรไม่ถูก พยายามตั้งสติแล้วโทรหาเบอร์ฉุกเฉินของโรงพยาบาล แล้วโทรหาพี่ฉาย
   กว่าพี่ฉายจะมาแม่ก็จากโลกนี้ไปแล้ว…
   หลังจากงานของแม่ผ่านไป
   พี่ฉายก็บินกลับไปเรียนต่อ
   ทีนี้ผมเลยต้องอยู่คนเดียว เริ่มเก็บตัวเงียบ และไม่ไปเรียน
   ตอนนั้นเกือบจะเรียนไม่จบ ม.6 ได้อาจารย์ที่ปรึกษามาช่วยไว้ เขามาตามผมถึงบ้าน และพูดให้ผมได้สติ แล้วกลับไปเรียนหนังสือต่อให้จบ
   แม่จากไป ทิ้งเงินที่เป็นประกันไว้ให้ผมกับพี่ฉายไว้ให้ได้ฉายเยอะพอสมควร
   นอกจากเงินที่แม่ทิ้งไว้ ก็มีโรคที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้เขามาด้วย
   มันค่อยๆมามีส่วนร่วมในชีวิตผม จากทีละน้อยๆ จนในที่สุดมันก็มาอยู่กับผม ”

   หลังจากเล่าที่มาและอาการให้เขาได้ฟัง เขาก็กอดสวมผมแน่นกว่าเดิม ผมพลิกตัวเข้าหาความอบอุ่นนั้น ก่อนจะซุกลงไปที่อกของเขา แล้วหลับไป


    

   TBC.




     Talk.

     สวัสดีครับ สวัสดีย้อนหลังวันสงกรานต์ด้วยนะครับ

     ตอนนี้พี่ฉายมาแล้วววว และยังคลายปมอีกว่าทำไมจันทร๋เจ้าถึงเป็นโรคนี้ได้ :)

     ตอนหน้าจะพา ตะวันมาหานะ ยังไงมารออ่านด้วยนะครับ

     อ่านแล้วก็คอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้กันได้นะครับ

     ชอบไม่ชอบก็บอกกันได้นะครับ ^^
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 11 [17/04/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 17-04-2019 16:31:56




- EP 11 -

 

 

            ช่วงสอบปลายภาคของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว นอกจากที่จะต้องอ่านหนังสือเพื่อที่จะเตรียมตัวสอบกันแล้ว เด็กคณะศิลปกรรมศาสตร์อย่างผม ก็ต้องเร่งปั่นงานทุกชิ้นให้ทันกำหนดเวลาที่จะส่งก่อนสอบ แถมหนังสือก็ต้องอ่าน ถึงแม้จะว่าจะสอบเพียงไม่กี่วิชาก็ตาม แต่วิชาที่สอบแต่ละตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

            อย่างวิชาภาคที่เรียนพวกประวัติศาสตร์ทางด้านศิลปะต่างๆก็ต้องนั่งท่อง นั่งจำกันเป็นเล่ม และแน่นอนวิชาที่ยากสำหรับผม ภาษาอังกฤษ พูดแล้วก็หนักใจ กลางภาคก็คะแนนเลยคะแนนมาตรฐานมานิดเดียว แค่นิดเดียวจริงๆ คะแนนมาตรฐานอยู่ที่ 25.50 ผมทำได้ 26.00 เห็นไหมล่ะครับนิดเดียวจริง

             ทำให้ปลายภาคนี้ก็ต้องอ่านหนังสือหนักหน่อย ขืนทำคะแนนแย่ มีหวังได้ F มาดูเล่นแน่ๆ

            ผมเลือกอ่านหนังสืออยู่ที่คอนโด ไม่อยากออกไปเผชิญกับอากาศร้อน คนเยอะ คนส่วนมากเลือกที่จะไปนั่งอ่านตามที่สงบของคณะตัวเอง หรือไม่ก็ไปกองรวมกันอยู่ที่หอสมุด มีแอร์ มีไวไฟ มีปลั๊กให้ใช้ฟรี ซึ่งแน่นอนก็ต้องมากับผู้คนที่แน่นทุกพื้นที่ และเสียงดังจนไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ

            อีกอย่าง เพราะมีคนอาสาจะติวให้ฟรีๆ ผมก็เลยอ่านอยู่คอนโด

            “ ไปหยิบหนังสือมาสิ ”

            “ แปบนึงครับ ”

            “ จันทร์ ”

            “ … ”

            “ อย่าให้ต้องนับ ”

            “ 1 ”

            “ 2 ”

            โอเค…ไปแล้ว เหตุผลที่ผมเลือกที่จะไปเพราะไม่อยากให้มันถึงสาม เพราะถ้าถึงสามแล้ว ผมต้องถูกทำโทษ ส่วนบทลงโทษนั้น ก็ทำให้ผมหายใจไม่ทัน และอุณหภูมิในห้องก็สูงขึ้นตลอดเลย เลยไม่อยากโดนทำโทษบ่อยๆ

            “ ท่องศัพท์ได้หรือยัง ”

            “ ยัง ”

            “ ทำไมดื้อ ”

            “ ท่องศัพท์ไม่ได้นี้ดื้อยังไงครับ ”

            “ ยังจะเถียง ”

            “ ไม่ได้เถียง แค่จ… ” โดนมองกลับมาด้วยสายตาดุๆ โอเคพูดได้แค่นั้น ขืนพูดอีกคำเดียวคงได้อ่านหนังสือเองแน่ๆ

            “ บอกแล้วว่าให้ท่องศัพท์ ถ้าไม่ท่องมันก็ทำข้อสอบไม่ได้ ”

            “ ก็มันท่องยากนี้ ”

            “ จันทร์แค่ไม่มีสมาธิ ”

            “ พยายามแล้ว ”

            “ ไหนท่อง ” เขาเปิดหนังสือไปหน้าคำศัพท์พร้อมกับให้ผมดูคำที่เขาชี้

            “ ทำไมคำยากงี้ ”

            “ 10 วิ ”

            “ โอ๊ย มันยากไป ”

            “ 9 ”

            ผมรีบก้มหน้าท่อง ไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้

            ได้แต่ท่องตัวอักษรภาษาอังกฤษ ในใจ พยายามนั่งท่องจำ

            “ 1 ” หมดเวลาแล้ว ก็ยังท่องไม่ได้เลยยยยย

            “ ขอต่ออีกสัก 10 วิ ไม่สิ 5 วิก็ได้ ”

            “ แล้วมั่นใจหรอ ว่าจะท่องได้ ”

            “ อืม ”

            “ แล้วถ้าท่องไม่ได้ จะให้อะไร ”

            “ ก็… ”

            “ หื้ม ”

            “ ไม่รู้ ”

            “ มีสมาธิเยอะๆ ใจเย็นๆเวลาท่อง ทำใจให้สบายๆ ค่อยๆท่อง ”

            “ ก็กำหนดเวลา ”

            “ จันทร์ลนตัวเอง 10 วินี้เยอะแล้ว ”

            “ เง้ออ ”

            “ หลับตาลง…ทำสมาธิ…เดี๋ยวลองบอกคำแปลที่แทนบอกนะ ถ้าไม่ได้ก็ข้าม ”

            “ อื้อ ”

            “ accident ”

            “ อุบัติเหตุ

            “ authority ”

            “ ข้าม ”

            “ compare ”

            “ ข้าม ”

            “ dismiss ”

            “ ข้าม…เอาคำง่ายๆหน่อย ”

            “ มันออกสอบทั้งนั้น ”

            “ เฮ้อ ”

            “ figure ”

            “ อะไรนะ ติดอยู่ที่ปากเนี่ย นึกไม่ออก…ข้ามก่อนๆ ”

            “ love ”

            “ รัก ”

            เขานิ่งเงียบไป จนรู้สึกแปลกๆ ผมเลยลองลืมตาขึ้นดู พบว่าเขากำลังจ้องหน้าผมด้วยสายตานิ่งๆ

            “ รักเหมือนกัน ”

            โอ๊ยยย ห้องร้อนอีกแล้ว ผมมองไปทางอื่นพร้อมกับใช้มือพัดเรียกลม

            “ เอ่อ วันนี้พอก่อน เดี๋ยวเราไปอ่านวิชาภาคก่อน ขอบคุณนะ ”

 

 

 

 

 

 

 

            และการสอบปลายภาคของผมก็ผ่านไปได้ด้วยดี(?) ดีจริงๆครับ ผมหมายถึงเกรดนะน่าจะ D

            “ จันทร์เจ้า ” ผมหันไปตามเสียงเรียก

            “ ครับ? ” 

            “ จำเราไม่ได้หรอ ” ผมคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน

            “ คุ้นนะ แต่นึกไม่ออก ”

            “ เราตะวันไง ”

            “ ตะวัน… ”

            “ คนที่ช่วยนายที่เป็นลม ”

            “ อ๋อ จำได้แล้วครับ ”

            “ เป็นไงบ้าง หายไปเลย คิดจะเบี้ยวหรอ ”

            “ เปล่าครับ ยังจำได้ๆ แต่เกิดเรื่องเยอะแยะมากมายเลย ”

            “ อืม แล้ววันนี้ว่างหรือเปล่า สอบเสร็จหมดแล้วไม่ใช่หรอ ”

            “ ก็ว่างครับ ”

            “ งั้น เลี้ยงวันนี้เลยได้ไหม กำลังหิว ”

            “ ได้ครับ ”

            ถ้าปกติแล้วแทนจะมารับผมกลับบ้าน แต่เขาสอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ผมเลยบอกว่าไม่ต้องมารับ อยากให้เขาพักผ่อนให้เต็มที่ อ่านหนังสือกันจนเห็นตะวันกันมาหลายวันแล้ว ป่านนี้คงจะแบตหมดอยู่บนที่นอน เมื่อเช้าบอกว่าจะมาส่ง หยิบกุญแจห้องมานึกว่าเป็นกุญแจรถ เสียบยังไงก็ไม่เข้า เลยบอกให้กลับไปนอนก่อน

            “ แล้วจะกินอะไร ”

            “ อะไรก็ได้หรอ? ”

            “ อื้อ อะไรก็ได้ครับ ”

            “ รวยนัก? ”

            “ เปล่า…ตอบแทนบุญคุณไง ”

            “ งั้นชาบูหน้ามอละกันนะ ”

            “ ได้ครับ ”

 

 

 

 

 

            “ ทำไมกินน้อยจัง อิ่มแล้ว? ” ผมวางตะเกียบลงหลังจากกินหมูสามชั้นไป 4 5 จาน และกุ้งไปอีกนิดหน่อย

            “ ครับ ปกติผมทานได้นิดเดียว ”

            “ เอ้า! แล้วทำไมไม่บอก จะได้กินอย่างอื่น ”

            “ ไม่เป็นไรครับ ”

            “ ดื้อ ”

            “ ผมไม่ได้ดื้อนะครับ ” ทำไมใครๆก็ชอบบอกว่าผมดื้อกันนะ

            “ แล้วตะวันอิ่มแล้วหรอครับ ”

            “ อื้อ อิ่มแล้ว ”

            “ ว่าแต่คนอื่นกินน้อย คุณก็กินน้อยเหมือนกันครับ ”

            “ ปกตินี้ก็กินน้อย ”

            “ เอ้า แล้วทำไมกินบุฟเฟ่ต์ล่ะครับ ”

            “ ก็เห็นนายตัวนิดเดียว เลยอยากให้เพิ่มน้ำหนัก ”

            “ โถ่ว งั้นเก็บตังค์เลยครับ ” ผมหันไปบอกพนักงาน “ เก็บตังค์ด้วยครับ ”

            “ ค่ะ ”

            ไม่นานพนักงานก็เดินมาพร้อมกับถาดใส่เงิน ผมกำลังจะควักตังค์จ่ายแต่ช้าเกินกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขาหยิบบัตรเงินสดขึ้นมายื่นให้พนักงาน

            “ จ่ายด้วยบัตรนะคะ ”

            “ ครับ ”

            “ เห้ยได้ไงอ่ะ เราบอกจะเลี้ยงก็ เราก็ต้องจ่ายสิ ”

            “ หาเงินเองได้แล้วหรอ เราน่ะ ”

            “ ยัง คุณหาได้แล้วหรอ ”

            “ ก็ยัง แต่รวย ”

            “ โอ๊ยยย ” ผมเบะปากให้กับคำพูดน่าหมั่นไส้ เลยทำให้โดนตบหัวด้วยกระเป๋าตังค์ไปหนึ่งที

            “ ฮ่า ฮ่า ฮ่า สมน้ำหน้า ”

            “ จำไว้เลยนะครับ ”

            “ กลับเลยไหม ”

            “ ครับ ”

            “ กลับยังไง ”

            “ เดินครับ ”

            “ หออยู่ใกล้หรอ ”

            “ ครับ ”

            “ อยู่ตรงไหนล่ะ ”

            “ ถัดจากมหาลัยไป 3 ป้ายครับ ”

            “ อ่ออ ใกล้กันเลย งั้นเดินกลับด้วยกัน ”

            “ ครับ ”

            “ คุณตะวัน เรียนคณะไหนครับ ” ผมพยายามเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้น่าอึดอัดจนเกินไป

            “ สถาปัตย์…นายล่ะ…สินกำหรอ ”

            “ ครับ ผมเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์รู้ได้ยังไงล่ะครับ ”

            “ ดูจากเสื้อเอาน่ะ ตัวใหญ่ๆ โคร่งๆแบบนี้ ไม่สถาปัตย์ ก็สินกำแน่ๆ ”

            “ อ่อครับ คุณอยู่ปีไหนครับ ”

            “  1 นายล่ะ ”

            “ ปีหนึ่งเหมือนกันครับ ”

            “ งั้นเลิกเรียกแบบสุภาพได้แล้ว ไม่ชินว่ะ ”

            “ แล้วให้เรียกว่าอะไรครับ ”

            “ ตะวันก็ได้ ไม่ต้องมีคุณ ”           

            “ ครับ ตะวัน ”

 

            เราคุยกันมาเรื่อยๆ เปลี่ยนเรื่องไปมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน หรือเรื่องของกิน คุยกันค่อนข้างถูกตอเลย นานแล้วที่ไม่ได้เจอเพื่อนที่คุยภาษาเดียวกันแบบนี้ นอกจากพี่ฉาย กับแทน ก็มีตะวันนี้แหละครับทำให้ผมรู้สึกว่าคุยแล้วสนุกขนาดนี้ เราคุยกันจนเพลิน ไม่ได้มองทาง…ไม่นานก็มาถึงหน้าคอนโด

            “ นี้คอนโดนาย? ”

            “ ครับ...พักอยู่กับเพื่อน…แล้วตะวันละ ”

            “ ก็เดินเข้าไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว ”

            “ ครับ ”

            “ แล้วปิดเทอมนี้ว่างหรือเปล่า ”

            “ ก็ว่างครับ ยังไม่มีแพลนจะทำอะไร ”

            “ งั้นช่วยมาเป็นแบบให้หน่อยได้ไหม ”

            “ แบบอะไรครับ? ”

            “ ก็เทอมหน้าเราจะลงวิชาเลือก แล้วรุ่นพี่บอกว่า อาจารย์เขาจะให้ทำงานหนึ่งชิ้น โดยการถ่ายรูปทำเป็น สมุดภาพ เลยอยากจะทำให้เสร็จตั้งแต่ปิดเทอม เพราะเปิดเทอมมางานคงยุ่งน่าดู ”

            “ ครับ แล้ว? ”

            “ ก็เราตั้งใจจะทำคอนเซ็ปเกี่ยวกับคน แต่ยังหาแบบไม่ได้ ”

            “ จะดีหรอครับ ผมไม่เคยทำมาก่อน ”

            “ เอาหน่า นี้ก็ไม่เคยทำ ลองดู มีค่าเสียเวลาให้ ”

            “ แต่ว่า… ”

            “ โอเค เป็นอันว่าตกลง ไว้จะโทรไปหานะ ”

            “ ก็ได้ครับ ” ผมตอบตกลงให้กับคนที่เอาแต่ใจ อีกอย่างคิดเสียว่า ลองอะไรใหม่ๆ แล้วก็หาประสบการณ์ให้กับตัวเอง แถมถ้าอยู่ห้องเฉยๆ คงจะน่าเบื่อ

 

            บอกลากันอีกนิดหน่อย จันทร์เจ้าก็เดินขึ้นคอนโดไป จนไม่ทันสังเกตเห็นว่าทางที่ตะวันเดินกลับไปไม่ใช่ทางที่จะเดินเข้าไปอย่างที่บอก แต่เขาเดินกลับไปทางเดิมไปทางมหา’ลัย

            ตะวันไม่ได้อยู่หอใกล้จันทร์เจ้า

            ตะวันมีรถยนต์ขับให้นั่งได้สบาย ไม่จำเป็นต้องเดินมา

            แต่เหตุผลง่ายๆของการกระทำนี้ คืออยากมาส่ง แต่ไม่กล้าบอกตรง ๆ

            ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่า ‘ชอบ’ นั้นแหละนะ

 

 

 

 

 

 

 

 

            “ ไปไหนมา กลับมืดเลย ”

            “ ไปกินข้าวกับเพื่อนครับ ”

            “ มีเพื่อนแล้วหรอ ”

            “ ครับ ก็ไม่เชิง เพิ่งรู้จักกัน ”

            “ อืม ”

            “ แทนกินข้าวหรือยัง ”

            “ ยัง…รออยู่ ”

            “ ขอโทษนะครับ พอดีผมอิ่มแล้ว จะให้นั่งเป็นเพื่อนไหม ”

            “ ไม่ต้อง ไม่หิวแล้ว ” เขาบอกแบบนั้นก่อนจะเทกับข้าวบนโต๊ะที่เตรียมเอาไว้ลงที่ถังขยะ

            “ เททำไมครับ เสียดาย ”

            “ ก็ไม่อยากกิน ”

            “ … ”

            “ นอนเลย ไม่ต้องรอ ” เขาคว้ากุญแจแล้วเดินออกไปนอกห้อง การปิดประตูเสียงดังของเขา ทำให้ผมกลัวจริงๆ ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด หรือทำให้เขาไม่พอใจ ปกติแทนไม่ใช่คนใจร้อนแบบนี้ เป็นคนมีเหตุผล แต่ครั้งนี้ไม่รู้เป็นอะไร ผมยืนตัวสั่นอยู่สักพักก่อนจะเรียกสติตัวเองกลับมา

                       

 

 

 

 

            ‘ 00.48 ’ ผมนั่งรอเขาที่โซฟา ดูเวลา ป่านนี้ก็ยังไม่กลับมา

            ‘ติ๊ด’

            เสียงคีย์การ์ดเปิดประตูห้องดังขึ้น ทำให้ผมลุกขึ้นไปดู

            เจอแทนเมาหมดสภาพ มีแพรพลอยหิ้วปีกกลับมา

            กลิ่นเหล้าคลุ้งกระจายไปทั่ว

            “ สวัสดีเจ้า ”

            “ ครับ ”

            “ แทนเขาเมามากน่ะ ยังไงช่วยเปิดประตูห้องให้หน่อย ”

            “ ได้ครับ ”

            ผมเดินตรงไปเปิดประตูห้องนอนของเขา แล้วรีบกลับมาช่วยแบกร่างไร้สติของแทน

            “ ไปทำอะไรมาครับ ถึงได้หนักกันขนาดนี้ ”

            “ คลายเครียดหลังสอบน่ะ ยังไงคืนนี้ขอรบกวนหน่อยนะ ”

            “ ครับ ”

            “ อาจจะเสียงดังไปบ้าง ยังไงขอโทษนะ ”

            “ ครับ? ”

            ผมไม่เข้าใจกับประโยคบอกเล่าของแพร เธอยิ้มให้ผมอย่างมีเลศนัยผมไม่ได้เอะใจอะไร นอกจากเดินไปปิดประตู แล้วปิดไฟให้เรียบร้อย สงสัยคืนนี้คงต้องกลับไปนอนห้องตัวอง

            ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ก็มีเสียงของสองชายหญิงดังผ่านกำแพงมา … เป็นเสียงแห่งห้วงปรารถนา

            เป็นธรรมดาที่ชายหญิงสองคนอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วจะเกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ยิ่งกับคู่ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งด้วยแล้ว…

            ไม่รู้ทำไม แต่หน่วงข้างในแปลกๆ หัวใจเต้นช้าเหมือนจะหยุดเต้น น้ำตาไหลลงมา ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงอ่อนแอให้กับคนๆนี้อยู่เรื่อยเลย

            ทนฟังไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว…ผมหยิบหูฟังเข้ามาเสียบต่อกับโทรศัพท์แล้วเปิดเพลงดังสุดเท่าที่โทรศัพท์จะดังได้ เพื่อหวังว่าจะให้มันกลบเสียงที่ไม่น่าฟัง และผมจะได้ผ่านค่ำคืนนี้ไปได้ด้วยตัวคนเดียว

            …เคยนอนกอดกัน วันนี้ต้องนอนกอดตัวเอง…

            จะทำอะไรได้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันคือเรื่องที่ผมควรที่จะต้องเตรียมใจมาตั้งแต่แรกแล้ว

            ไม่ควรจะต้องเสียใจกับอะไรแบบนี้ แต่ควรที่จะเข้มแข็งมากขึ้น

            …ควรจะเลิกหนีปัญหา และเผชิญหน้ากับมัน…

            แต่วันนี้ขออ่อนแออีกสักวัน แล้วพรุ่งนี้จะกลายเป็นจันทร์เจ้าคนใหม่

            ได้แต่นอนกอดปลอบตัวเอง…มีแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอยู่เป็นเพื่อน

            ร้องสะอื้นออกมาไม่ขาดสาย หวังว่าจะช่วยให้ความเจ็บข้างในอกข้างซ้ายมันจะทุเลาลงบ้าง

                                   

 

            ต้องบอกกับตัวเองว่า…พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว

           

           

 

 

 

       

            TBC.







     Talk.

     พี่แทนครับบ ทำอะไรน้องจันทร์!!!! ทำร้ายน้องจันทร์ทำไม ไหนบอกจะดูแลน้องมันงายยย

     ฮืออ

     พาป๊าตะวันมาหานะครับ 555 ยังจำป๊าเขากันได้อยู่มั้ย

     ช่วงนี้เราว่าง จนถึงสิ้นเดือน จะพยายามอัพบ่อยๆ

     กำลังเร่งแต่ง เพราะอยากเปิดเรื่องใหม่ :3

     อย่างไรก็ตามเป็นกำลังใจให้พี่แทน กับน้องจันทร์ด้วยนะ งับ <3
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 11 [17/04/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Embrace ที่ 14-01-2020 21:09:27
สวัสดีครับทุกคน

ผมห่างหายจากเขียนนิยายเรื่องนี้ไปเกือบปี

เพราะด้วยความที่ว่า เรารู้สึกตัน หมดกำลังใจ หมดไฟ ไปต่อไม่ถูก

แต่ก็ไม่ได้ทิ้งไปเฉย ๆ พยายามที่จะกลับมาเขียนใหม่หลายครั้ง แต่ด้วยเพราะอาชีพ การงานและหน้าที่ ทำให้เวลาค่อนข้างน้อย

จึงได้ตัดสินใจที่จะหยุดเขียนนิยายเรื่องนี้ ...

แต่เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมได้มีเวลาพักผ่อน และทบทวนตัวเองดูแล้ว

เรากลับรู้สึกว่า เห้ยการเขียนนิยาย มันยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกดีเวลาได้ทำอยู่

ผมไม่กล้าพูดว่ารักมัน เพราะถ้าผมรักมัน ผมคงไม่ทิ้งเขาไป

จากที่ผมได้ทบทวนตัวเองมาสักพักแล้ว

เรารู้สึกว่า โอเค...เราควรกลับมาทำในสิ่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

อย่างน้อยนิยายเรื่องนี้ก็จะได้เป็นเรื่องแรกที่ผมได้จนสำเร็จ

ที่มาประกาศวันนี้ คือผมตั้งใจว่าจะวางโครงเรื่องใหม่ ปรับตัวละครเนื้อหา ฝากทุกท่านติดตามด้วย

และที่สำคัญไปกว่านั้น ผมอยากได้กำลังใจจากนักอ่านทุกคน ยังไงฝากเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ

ใครที่เข้ามาอ่าน ฝากคอมเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

ผมจะพยายามอัพนิยายเรื่องนี้ให้จบให้ได้ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: - แทนจันทร์ - EP 11 [17/04/2562]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-04-2020 18:38:42
 :pig4:
 :3123: