ณ ปลายทางที่รอ
[3]
ช่วยวาดรูปตอนที่เราไม่ใส่เสื้อหน่อยสิ
ในห้องชมรมค่ายอาสาตอนนี้ดูวุ่นวายมาก กระดาษเอสี่จำนวนไม่น้อยเกลื่อนอยู่บนพื้นห้องระเนระนาดราวกับถูกพายุพัด
สิ่งของบริจาคจากสปอนเซอร์ต่างๆก็วางไว้อยู่มุมห้องเป็นกองโต
โดยมีน้องๆปีหนึ่งในชมรมกำลังแยกกันนับว่าครบกันหรือเปล่า
เพราะอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าพวกเขาก็ต้องออกค่ายกันแล้ว ถ้าจัดการเสร็จก็จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก
โดยเฉพาะใกล้เวลาสอบแบบนี้แล้วด้วย
“ของทุกอย่างครบค่า ”
“พี่เนยหนูหิวแล้ววววว ”
“พี่เนยหนูอยากกินเค้กกกกก”
สามสาวฝ่ายซื้อน้ำร้องกันอย่างโอดครวญหลังจากเช็คของเสร็จ
ต่างคนต่างแผ่ตัวนอนอยู่กับพื้นแล้วร้องเรียกประธานชมรมอย่างกับเด็กสามขวบ
คนท่าทางซื่อๆละสายตาจากจอคอมฯมองน้องๆอย่างนึกน่าเอ็นดู
คงจะเหนื่อยนั่นแหละ ก็ตั้งแต่เรียนเสร็จก็วิ่งเข้ามาช่วยพี่ๆกันทันที
เด็กพวกนี้มันน่ารักจริงๆ
“ อ่ะๆ งั้นพวกแกสามคนก็ไปซื้อของกินมาไป ”
ประธานชมรมยื่นแบงค์สีเทาหนึ่งใบ พอได้ยินของกินทุกคนก็ต่างหูสั่นหางกระดิกสั่งกันไม่ยั้ง
จนสามสาวเริ่มงอแงบอกว่าถือไม่ไหว ต้องรอนาน จนเขานึกสงสาร
เลยเอ่ยปากบอกว่าจะช่วยถือของให้ เท่านั้นแหละสามสาวก็วิ่งเข้ากอดรัดจนเกือบจะตกเก้าอี้
“พ่อพระของน้อง”
“ ไม่มีใครดีเกินพี่นทีอีกแล้ว”
“พี่กวินนะ เคยทำแบบพี่นทีบ้างมั๊ย ไม่เค๊ย ไม่เคย เอาแต่สั่งๆ เชอะ”
แก้มหันไปจิกกวินที่ตอนนี้กำลังสาละลนจดตัวเลขหน้าตาจริงจังอยู่บนพื้นห้อง
พี่กวินนะตัวโตกว่า สูงกว่า แต่ก็ไม่เค๊ย ไม่เคยจะไปช่วยน้องซื้อของ
จะมีก็แต่พี่นทีสุดน่รักของพวกเขานี่แหละที่ใจดี๊ ใจดี แม้นานๆทีก็เถอะ
“อ๊าว นี่พี่ผิด” กวินชี้นิ้วมาที่ตัวองและเลิกคิ้วถาม
“ ใช่” “ใช่” “ ใช่”
สามสาวพร้อมกันตอบเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนที่ทุกคนจะปล่อยเสียงเสียงหัวเราะออกมา
กวินทำหน้าคาดโทษสามสาวก่อนจะคว้ากระดาษแถวนั้นมาขยำๆแล้วขว้างใส่
แต่กวิน ลืมไปแล้วเหรอว่าโดนเขาด้วย
“ กวินโดนเรา” กระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนใหญ่โดนหัวนทีอย่างจัง
จนเจ้าตัวต้องลูบหัวตัวเองป้อยๆ ถลึงตาไปให้คนที่ขว้าง
“เอ๊าก็ทำไมมึงไม่หลบล่ะว้า หลบไปเด้ ดูจะปาไอ้พวกสามตัวนั่น” พูดจบกวินก็ขว้างกระดาษนั้นนอีกรัวๆ
จนน้องๆต้องยืนไปหลบหลังนทีกันอย่างพัลวัน กลายเป็นว่าตอนนี้นทีโดนอยู่คนเดียว
กวินใจร้าย
“ เย้ยรีบไปซื้อดีกว่าค่ะ พี่กวินท่าทางจะโมหิวมากน่ะนั่น”
นุศชะแวบหน้าจากหลังพี่นทีออกมาดูพี่กวินก็เห็นพี่กวินกำลังขยำกระดาษก้อนเบ้อเริ่ม
ถ้าโดนเข้าไปเนี่ยคงจะเจ็บไม่น้อย สามสาวหันหน้ามาปรึกษากันก่อนที่นุศกับวารีจะจับแขนพี่นทีกันคนละข้าง
ส่วนแก้มก็วิ่งไปเปิดประตูเตรียมไว้ให้ทุกคนวิ่งออกไปแต่ก็ยังไม่วายพูดกวนโมโหให้กวินได้หงุดหงิดเล่น
“กูไม่ได้โมโหหิว แต่โมโหพวกมึงนั่นแหละไอ้สามสาวพาวเวอร์แรงเจอร์”ไม่ขว้างแม่งแล้วไอ้กระดาษ
กวินลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไล่สามสาวนั่น แต่ก็ไม่ทันอยู่ดี ไอ้เด็กแสบสามคนนั่นวิ่งไวอย่างกับอะไร
นึกแล้วกวินก็ได้แต่ขำขันในใจ ต้องมีเรื่องให้เขาต้องได้ออกกำลังทุกวันสิหน่า
“ ย๊ากกก พวกหนูไม่อยู่แล้วววววววววว”
**********
“ สวัสดีทุกคุน” เสียงทุ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของคนมาใหม่เรียกสายตาคนในชมรมให้หันไปมองกันเป็นจุดเดียว
ผู้ชายตัวสูง ผิวไม่ขาวมาก คิ้วเข้ม จมูกโด่งรับกับใบหน้าเรียว เวลายิ้มทีทำเอาสาวๆในชมรมใจละลายกันเป็นกอง
กวินเงยหน้าจากงานตรงหน้ามองผู้ชายที่หล่อกว่าตัวเองอย่างนึกสงสัย มาได้ทุกวัน เที่ยงถึงเย็นถึง
นับตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันที่เชนท์ไปช่วยพวกเขาในคืนนั้นพอวันถัดมาก็เทียวไปเทียวมาที่ชมรมเขาอย่างกับชมรมตัวเอง
ซ้ำยังชอบขลุกอยู่ใกล้กับนทีทุกที จนเขารู้สึกคันปากยุบยิบอยากจะถามไอ้หน้าหล่อนั่นว่าคิดอะไรกับเพื่อนเขาหรือเปล่าถึงได้
มาหากันทุกวันแบบนี้ แต่ติดตรงที่ยังไม่สนิทขนาดนั้นน่ะสิ
โว๊ยยย กูอยากเสือกกกโว๊ยยย คันปากๆ
“อ้าวเชนท์ นึกว่าวันนี้จะไม่มาซะแล้ว” ประธานชมรมเอ่ยทัก ส่งยิ้มเหมือนคนรู้ทัน
เขานี่อยากจะแหม ไปถึงดาวอังคารมากเลย ที่มาชมรมนี้ทุกวันก็คงมาหาเพื่อนชายอย่างนทีนั่นแหละ
เพิ่งได้รู้จากนทีมาเหมือนกันว่าก่อนหน้านี้สองคนนี้เขาไม่ได้สนิทกัน เอาจริงเลยคือ ไม่เคยคุยกันเลย
แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่คุยเลย กลับบ้านก็กลับด้วยกันทุกวัน แบบนี้มันเกินกว่าเพื่อนแล้วม้างงงง
“มาสิ แล้วนี่นทีไปไหนล่ะ อ่ะนี่ขนมซื้อมาฝาก”
สายตาคมมองไปยังรอบๆห้อง ก่อนจะยื่นถุงขนมที่หลากหลายถุงที่ซื้อมาฝาก
โดยเฉพาะขนมเคกรสมะพร้าวอ่อน เขาจำได้แม่นเลยละว่ามันเป็นของโปรดของคนข้างบ้าน
ก็กลับบ้านด้วยกันทีไรคนข้างบ้านเขามักจะหยุดซื้อไอ้เค้กนี่เป็นประจำ
เขาก็ไม่เข้าใจทั้งที่กินทุกวันขนาดนั้นแต่ก็ไม่ยักอ้วน ไม่รู้เอาคอเลสเตอนอลไปเก็บไว้ไหน
“มาถึงก็ถามหาแต่นทีเลยน้า” ประธานชมรมเอ่ายปากแซ็วอย่างขบขำ“ รายนั้นเขาไปซื้อของกินกับสามสาวจ๊ะ เดี๋ยวก็คงมานั่นแหละ ขอบคุณสำหรับขนนมน้า แต่เค้กนี่ของนทีใช่ป่ะ ”
“ อ๋อ อืม แล้วนี่มีอะไรให้เราช่วยมั๊ย”เชนท์พยักหน้ารับทั้งที่หน้ายังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกแปลกๆเหมือนกันเมื่อโดนทักแบบนี้
มาถึงก็ถามหาคนข้างบ้าน ก็แค่ไม่เห็นอยู่ในห้อง เลยถามหาแค่นั้น
“ ว้าย หล่อแล้วใจใจดี ดีเลยจ๊ะ งั้นเชนท์ช่วยดูบันทึกในสุดของนทีหน่อยสิว่ามีอะไรขาดเหลืออีกมั๊ย อันไหนที่นทีติ๊กถูกแสดงว่ามีแล้ว ส่วนอันไหนที่ยังแสดงว่ายังขาด แล้วช่วยจดติ๊กในสมุดนี้ด้วยน่ะ”
ประธานชมรมยื่นสมุดสีฟ้าที่เป็นรายการซื้อสินค้าให้ ก่อนจะเดินไปนั่งยังที่นั่งประจำของนที
แล้วมองหาสมุดที่คาดว่าน่าจะเป็นสมุดจดรายการซื้อสินค้าคร่าวๆบนโต๊ะ
แต่ก็ไม่มี คงจะอยู่ในกระเป๋าเจ้าตัวนั่นแหละ
อันนี้ละมั้ง
เชนท์หยิบสมุกปกแข็งสีน้ำตาลขึ้นมาแล้วสำรวจเล็กน้อย ก่อนจะเปิดหน้าออกแล้วพลิกดู
แต่แล้วคิ้วหนาเข้มก็ต้องขมวดเข้าหากันเพราะรูปในสมุดเล่มนี้ ลูกฟุตบอล สนามบอล อัฒจรรย์
และที่สำคัญรูปผู้ชายที่หันหลังให้อัฒจรรย์โดยข้างหลังเสื้อเขียนเบอร์ 22
และตัวอักษรภาษาอังกฤษหกตัว C H A I N มือใหญ่รีบพลิกกระดาษหน้าต่อไปด้วยใจลุ้นระทึก
แล้วทุกอย่างก็ปรากฎต่อสายตาตัวเอง เมื่อได้เห็นหน้าของภาพวาดนั่น
“ ช เชนท์”
tbc
ครึ่งหลัง ค่อยมาต่อน่ะฮับ เป็นกำลังให้นทีด้วย :mew2:
ณ ปลายทางที่รอ
[5]
[ตอนจบ]
“พี่กวินน้ำแพ็คใหญ่ๆนี่เอาไปไว้ในรถคันไหน”
“ เอาไว้ในรถขนของดิว่ะ”
“พี่เนยครับ ผมขอกลับไปเอาหมวกที่หอก่อนน่ะพี่ ผมลืม”
“เออๆ เร็วล่ะมึง ส่วนใครทีเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นรถเลยจ้าพี่จะได้เช็คขื่อ“
“ครับ/ค่ะพี่เนย”
เสียงโหวกเหวกดังขึ้นเป็นระยะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ชาวค่ายจะออกเดินทางไปค่ายอาสากัน ของต่างๆก็ถูกขนไปวางบน
รถตั้งแต่เย็นของเมื่อวานแล้วดังนั้นเช้ามืดวันนี้ทุกคนเพียงแค่นำกระเป๋าสำภาระของตัวเองไปเก็บก็เท่านั้น
น้องๆทุกคนก็เริ่มทยอยขึ้นไปนั่งรถไปแล้วบางส่วน และบางส่วนก็กำลังวิ่งดุ๊กดิ๊กมาสวัสดีนทีที่รออยู่ด้านล่างคอยช่วยน้องๆเก็บกระเป๋าให้ซึ่งข้างๆกันก็มีคนตัวโตที่ไม่ใช่สมาชิกในชมรมมาช่วยด้วย
ตอนเช้ามืดอากาศค่อนข้างเย็นนทีเลยโดนคนตัวโตกำชับให้สวมเสื้อกันหนาวไว้ด้วย เพราะกลัวว่าหวัดจะกินทั้งยังคอยเช็คของคอยหานู่นหานี่มาใส่กระเป๋าเขาจนตุงไปหมด เมื่อคืนกว่าที่เชนท์จะยอมให้เขาปิดกระเป๋าได้ก็เช็คอยู่หลายรอบจนเขาต้องเอ็ดเชนท์เบาๆว่าจะไปค่ายไม่ได้จะย้ายบ้าน นั่นแหละเชนท์ถึงยอมให้เขาปิด
นทีมองน้องๆที่กำลังไหว้ลาคุณพ่อคุณแม่อยู่ตรงนั้นก็นึกคิดถึงคนแดนไกลทั้งสองคน แม้จะคุยกันทุกวันผ่านเครื่องมือสื่อสารแต่มันก็ไม่พอหรอก แต่ถึงอย่างนั้นนทีก็เข้าใจว่าสาเหตุที่พ่อกับแม่ต้องไปอยู่ไกลขนาดนั้นก็เพราะไปทำงาน และด้วยหน้าที่การงานของพ่อที่เป็นถึงท่านทูตแม่ถึงต้องไปอยู่ด้วยกันเพื่ออยู่ข้างๆให้กำลังใจพ่อ
นทียิ้มเมื่อมองภาพเหล่านั้นมือเล็กๆของตัวเองก็ยกขึ้นมากอดเพราะลมเย็นๆพัดผ่านมาหนาวจนต้องการความอบอุ่น และความความอุ่นที่ซ้อนอยู่ด้านหลังนทีนั่นก็โอบมือแข็งแรงของตัวเองกอดอีกคนที่กำลังยืนสั่นไปทั้งตัว ดีที่พื้นที่ตรงนี้มันไม่ค่อยสว่างนักเพราะเครื่องยนต์ยังไม่ได้ติดเชนท์เลยกล้าที่จะกอดให้ความอบอุ่นอีกคน
นทีพิงกับอกแน่นของเชนท์ ยืนนิ่งสัมผัสความความอบอุ่นที่อีกฝ่ายแชร์มาให้ และนั่นแหละแม้ที่ตรงนี้จะมืดแต่คนสายตาดีอย่างเนยที่เดินสำรวจอยู่รถนั่นก็มองเห็นทั้งคู่ เขามองยิ้มๆเขินจนบิดตัวไปมาราวกับว่านั่นคือตัวเอง จนน้องที่นั่งหลับอยู่ตรงตำแหน่งนั้นลืมตาขึ้นมามองเพราะอาการยุบยิบของประธานชมรม ก่อนที่น้องจะเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าประธานชมรมเป็นอะไร
นานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าที่สมาชิกทุกคนจะมากันครบ เครื่องยนต์โดยสารติดแอร์คันโตของมหาลัยก็ติดรอท่าอุ่นเครื่องไว้แล้ว ประธานชมรมเดินเช็คชื่อสมาชิกที่จะไปกันอีกครั้งโดยรวมแล้วมีกันอยู่เกือบๆสี่สิบชีวิต
น้องๆที่นั่งหลับสะลึมสะลือตื่นมาเพราะอาการง่วงงุนถูกปลุกขึ้นมาโดยฝ่ายสันทนาการซึ่งหน้าที่นี้ก็เป็นของพี่ปีสี่ที่เป็นผู้ชายแต่ใจสาวสร้างความบันเทิงก่อนที่ทุกคนจะเริ่มออกเดินทางโดยให้แต่ละคนเดินออกมาแนะนำตัวเองข้างหน้าแม้ว่าก่อนหน้านี้ทุกคนจะแนะนำกันแล้วก็ตาม น้องๆต่างก็หัวเราะอย่างสนุกสนานกับมุกตลกอยู่บนรถแต่นทียังไม่ได้ขึ้นไปร่วมสนุกกับใครเขาเลย เพราะคนตัวโตนั่นนั่นแหละจับมือเขาไม่ยอมปล่อย
“ ถึงที่หมายแล้วโทรหาเชนท์ทันทีเลยน่ะ” นทียิ้มขำกับการย้ำที่นับไม่ได้แล้วเหมือนกันสั่งเขารอบที่เท่าไหร่แล้ว
อันที่จริงคนตัวโตอยากจะไปด้วยแต่เพราะอาทิตย์หน้านี้มีแข่งฟุตบอลซึ่งเชนท์ก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของมหาลัยไปแข่งกับมหาลัยเจ้าภาพที่จัดขึ้นมาเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างมหาลัย เชนท์เลยต้องอยู่ซ้อมทุกวัน แม้ว่าใจเขาอยากจะตามนทีไปแค่ไหนแต่หน้าที่ของตัวเองเชนท์ก็ต้องรับผิดชอบด้วย ดังนั้นแล้วเขาเลยอดห่วงคนตรงหน้าไม่ได้ยิ่งนทีไปตัดผมทรงใหม่ที่เข้ากับรูปหน้าตัวเองแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ทำสีผมแต่นั่นก็เผยออร่าความน่ารักจนเขาเกิดอาการหวงสารพัดหวง กลัวว่าจะมีคนเข้ามาจีบ
ให้ตายเถอะนที! ทำไมจะต้องมาน่ารักในวันที่เขาไม่ได้อยู่ด้วยน่ะ
“ น่ะ ถึงปุ๊บก็ต้องรีบโทรหาเลย เข้าใจมั๊ย”
“ เข้าใจแล้ว”
“ไม่อยากให้ไปเลย” เสียงเหงาหงอยของเชนท์พูดเอาแต่ใจจนนทีต้องบีบมือใหญ่ของตัวโตแน่นแล้วเขย่าเบาๆเพื่อปลอบ
“ สองอาทิตย์แป๊ปเดียวเอง” นทีพูดเสียงอ้อนพลางกับขยับเข้ามาใกล้คนตัวโตนั่นวางมือเล็กของตัวเองบนไหล่หนาแล้วลูบมันเบาๆ นทีรู้ว่าตอนนี้คนตัวโตกำลังงอแง สีหน้าแสนเว้าวอนของเชนท์ที่ไม่อยากให้เขาไปเกือบจะทำให้นทีใจอ่อน แต่ถึงอย่างนั้นนทีก็ต้องหักห้ามใจตัวเองพยายามพูดปลอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันแล้ว”
“เห้อ อากาศที่นั่นหนาวมากนทีต้องดูแลตัวเองให้ดีเข้าใจมั๊ย ห้ามนอนดึก ห้ามทำงานหนัก ห้ามมองคนอื่น ห้ามให้ใครมาจีบ ห้าม... ”
“พอแล้วจะสั่งอะไรเยอะแยะเนี่ย” นทีพูดปรามพลางทาบนิ้วตัวเองลงบนปากที่ช่างเจรจานั่น เชนท์เลยงับนิ้วนั้นของนทีขบเม้นเบาๆก่อนจะกุมมือทั้งสองข้างของนทีขึ้นมาจูบเพื่อทดแทนความคิดถึงที่ต้องห่างกันตั้งสองอาทิตย์ แม้เวลาเพียงสองอาทิตย์มันอาจจะไม่ได้นาน แต่เชนท์กลับรู้สึกว่ามันนานราวกับเป็นแรมปี
หากเขาต้องห่างนทีเป็นปี เขาต้องบ้าตายแน่ๆ ขนาดแค่คิดหัวใจของเชนท์ก็แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว มันบีบรัดจนหายไม่ออก
ไม่อยากห่าง ไม่อยากให้ไปไหนไกล
อยากให้อยู่ข้างๆกัน อยู่ด้วยกัน
“เชนท์เราต้องไปแล้ว” นทีรั้งมือตัวเองกลับเพราะเชนท์แช่จูบไว้เนิ่นนานไปแล้ว แก้มใสของเขาก็แดงเรื่อยนิดๆ
บ่งบอกว่าตัวเองกำลังเขินกับการกระทำของคนตัวโตนั่นเพียงใด สายวาววับของเชนท์ทำเอานทีต้องเบือนหน้าหนีแสร้งทำเป็นเกาแก้ม แต่กิริยาแบบนี้ของนทีกลับทำให้เชนท์อยากจะพานทีกลับบ้านแทนให้เจ้าตัวไปค่าย แต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะตอนนี้เสียงไมโครโฟนนั่นดันดังขัดจังหวะการลักพาตัวซะก่อน
“เอ้าๆๆ สองคนนั่นนะ ล่ำลากันเสร็จหรือยังจ๊ะ นานไปแล้วน่ะ นานจนเจ้ชักจะอิจแล้วเนี่ย” นทีอ้าปากค้างเติ่งเมื่อได้ยินเสียงแซ็วนั่น ก่อนจะเห็นว่าทุกคนบนรถต่างก็มองมาที่พวกเรากันเป็นตาเดียว นั่นก็ยิ่งทำให้นทีเริ่มทำตัวไม่ไม่ถูก
อับอาย อับอายมาก
เชนท์ยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางปิดหน้าปิดตาของนทีเดินขึ้นรถบัส ปิดขนาดนั้นจะเดินขึ้นรถถูกมั๊ยนั่น เขาเลยเดินไปจับมือนทีแล้วพาคนขี้อายขึ้นรถ แต่พอขึ้นไปเท่านั้นแหละ นทีแทบจะมุดหน้าเข้ากับแผ่นหลังกว้างเสียให้ได้เลย
เสียงโห่แซ็วที่ดังขึ้นเป็นระลอกทำให้เจ๊ที่ถือไมค์ยู่นั้นสั่งให้หยุดและทุกคนก็งับปากตัวเองก่อให้เกิดความสงบแต่ก็ไม่นานหรอกเพราะเชนท์ที่อยู่ๆก็ขอไมค์มาถือก่อนที่ประโยคจากปากเจ้าตัวจะทำให้นทีต้องโดนแซ็วอีกรอบและอีกหลายๆรอบ
“ ผมเชนท์ครับ ”เขาเอ่ยอย่างอายๆแล้วมองคนข้างกายที่ก้มหน้าจนคางแทบชิดอกกก่อนจะหันมามองทุกคนที่รอลุ้นว่าเขากำลังจะพูดอะไร เชนท์จุดยิ้มมุมปากนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยประโยคชัดๆดังๆให้ทุกคนฟัง ”ไม่ได้อยู่ในชมรมนี้ แต่คาดว่าจะได้เป็นแฟนกับคนในชมรมนี้ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยน่ะครับ ” เพียงเท่านั้นเรื่องราวของคนตัวโตนั่นก็กลายเป็นประเด็นให้ทุกคนบนรถพูดคุยกันไม่หยุดหย่อน นทีขาแข้งแทบอ่อนยามที่เจ้าตัวเดินไปหาที่นั่ง
เชนท์ยืนมองรถบัสที่เคลื่อนที่ออกไปอย่างช้าๆจนลับสายตา เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ในใจรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมาเมื่อรู้ว่าไม่ได้เจอหน้าสองอาทิตย์ สายลมเย็นๆปะทะเข้ากับหน้าเชนท์หลับตาพริ้มเอนตัวพิงหลังกับรถเก๋งของตัวเองด้วยท่าทีสบายๆ สายลมที่ว่าหนาวเหน็บไม่ทรมานเท่าความคิดถึง ถึงจะหนาวก็หนาวแค่กายหาผ้าอุ่นๆมาสวมใส่ก็หนาวแล้ว
....... แต่ความคิดถึง...คงมีเพียงอ้อมกอดเท่านั้นที่จะบรรเทาได้........
เขาอยากจะขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเองได้เข้าไปอยู่ในโลกของนที โลกที่เขาไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้เจอกับคนที่เป็นคนสำคัญของหัวใจ คนสำคัญของชีวิต คนสำคัญแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหนแต่หัวใจก็คงเป็นของคนคนนั้น
เชนท์ยืนพิงตัวอยู่อย่างนั้นจนแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ค่อยโผล่ออกมาจนมันสว่างไปทั่วฟ้า ใบหน้าคมคายแหงนมองแสงแห่งรุ่งอรุณในยามเช้าภาวนาให้คนที่อยู่บนรถนั้นเดินทางปลอดภัย
...
RRRRRRRRR
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกคนที่นอนหลับใหลในสภาพหน้าคว่ำให้ตื่นขึ้นมา เชนท์ขยับตัวนอนหงายมือก็ควานหามือถือที่ดังลั่นตั้งแต่เช้าตรู่อย่างสะเปะสะปะ
“เออว่าไง” เขาหรี่ตามองจอที่สว่างวาบแล้วกดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนสนิทก่อนจะลุกนั่งแล้วเสยผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเอง
[ไม่มีอะไร พอดีตอนนี้กูอยู่หน้าห้องมึง กรุณามาเปิดประตูด้วยครับ ] เชนท์จิ๊ปากเบาๆเมื่อรู้ว่าเพื่อนสนิทอย่างไอ้ตั้มมันมากวนเขาแต่เช้า แม่งเอ๊ยมันจะมาทำแต่เช้าว่ะ ชิงบอลก็อีกตั้งค่ำ
เชนท์เดินหงุดหงิดกระเฟียดกระฟาดไปเปิดประตูก็เห็นหน้าไอ้ตั้มยิ้มเฉ่งขนกระเป๋าใบใหญ่ของตัวเองเข้ามาด้วย
“ เดี๋ยว นั่นประเป๋าอะไรของมึง”
“ก็....กระเป๋ากีฬากูไง” ไอ้ตั้มเฉไฉตอบทำท่าทำทางอึกอักจนเขานึกแปลกใจ
“มีอะไรจะบอกกูมั๊ย”เขากอดอกมองไอ้ตั้มที่นั่งบนเตียงแล้วเลิกลักไม่มั่นใจว่าจะบอกหรือไม่บอกดี
“...”
“ถ้าไม่บอกมึงเก็บกระเป๋าออกจากบ้านกูเลยไป”
“เชี่ย” ตั้มสะดุ้งโหยงตอนที่ไอ้เชนทร์มันเหวี่ยงกระเป๋าเขาไปทางประตูก่อนที่จะละล่ำละลักลงจากเตียงไปเก็บกระเป๋าตัว
เอง
“....”
“ เออๆกูบอกก็ได้ไม่ต้องมามองแรงเลย”
“ เร็วๆอย่าลีลา ” ตั้มกลืนน้ำลายตัวเองดังอึกลำคอแห้งผากเห็นไอ้เชนท์กระดิกเท้าดิกๆแบบนี้แล้วรู้สึกเรียบเรียงคำพูดไม่ทันเลยว่ะ ไอ้นี่ก็โหดเกิ๊น ตั้งแต่นทีไปค่ายมันก็อารมณ์ขึ้นลงๆจนเขาไม่กล้าจะพูดในสิ่งที่ตัวเองจะบอกเลย
“ คือ.....ช่วงนี้....กู.,...ขออยู่บ้านมึงสักพักน่ะ”
“ ทำไมหอมึงโดนโจรงัดหรือไง”
“ ไอ้ห่าไม่ใช่”
“แล้ว ”
“คือกู”
“ ไอ้ตั้ม” เชนท์ตวาดมันเสียงดัง อึกๆอักๆอยู่นั่นแหละ โทรมาปลุกเขาตอนเช้าแล้วเสือกแบกข้าวของมาเต็มประเป๋าอย่างกับจะย้ายหอ “ ถ้ามึงยังอึกอักอีกน่ะ กูถีบมึงออกจากห้องกูแน่”เขาชี้นิ้วบอกมัน
“ เหี้ย มึงก็ให้เวลากูคิดหน่อยดิว่ะ”
“.... ”
“ คืองี้เว่ย คือตอนนี้กูกำลังหนีใครบางคนมา”
“ ใคร เจ้าหนี้เหรอ”
“ ไม่ใช่ คือ กูจะบอกมึงยังไงดีว่ะ ” ตั้มถอนหายใจก่อนจะพูดออกมาอย่างปลงๆ “ เพื่อนพี่ชายกูเองแหละ”
“แล้วทำไมมึงต้องหนีด้วยล่ะ”
“ ก็มัน เหี้ยมึงอย่าให้กูพูดเลยขนลุกว่ะ” ตั้มทำท่าขนลุกขนพองเมื่อนึกถึงเพื่อนพี่ชายตัวเองที่มันชอบมาดักรอหน้าหอทุกวัน แม่งเอ๊ย คิดถึงไอ้บ้านั่นคิ้วก็ชักกระตุกอยากจะประเคนตีนให้มันฉิบหาย นั่นแหละคือสาเหตุที่ต้องขนเข้าขอนของมาขออยู่
กับไอ้เชนท์สักพัก หวังให้มันเลิกตอแยแล้วค่อยกลับไปใหม่
เขามองไอ้ตั้มที่ดูเหมือนจะมีอารมณ์ยามที่พูดถึงเพื่อนพี่ชาย ปกติไอ้ตั้มมันเป็นคนเฮฮาไปไหนไปกันเรียกง่ายๆคือเฟรนลี่เข้ากับทุกคนได้ง่าย พอเห็นมันเป็นแบบนี้จากที่อารมณ์หงุดหงิดโดนปลุกแต่เช้าตรู่แบบนี้ก็เริ่มบางเบาลง
“ เออๆ มึงจะอยู่กี่วันก็เรื่องของมึง กูนอนก่อนละกัน”
ไอ้ตั้มเป่าลมฟู่เมื่อเพื่อนไม่คะยั้นคะยอถามให้มากความจากนั้นก็กระโดดขึ้นมานั่งบนเตียงไอ้เชนท์ซึ่งเจ้าของมันกำลังนอนคว่ำดูรูปใครสักคนในโทรศัพท์ จะใครอีกล่ะถ้าไม่ใช่คนข้างบ้านมันนะ เมื่อกี๊บอกกูว่าจะนอนไอ้เชนท์เอ๊ย!
“ แล้วนี่นทีจะกลับมาวันไหน”
“ อีกสองวัน”
“ เอ๊า ไม่ใช่วันนี้เหรอว่ะ” จำได้ว่าไอ้เชนท์เปรยๆบอกกับเขาว่าวันนี้ครบกำหนดแล้ว
“กูก็งงอยู่เนี๊ย ถามไปก็ไม่ตอบ” ไอ้เชนท์ตอบอย่างมีอารมณ์ มิน่าล่ะ เมื่อกี๊มันถึงได้เกรี้ยวกราดใส่เขา ที่แท้เพราะนทียังไม่ยอมกลับนี่เอง โถ่ววว!!! นทีเกือบจะทำให้ไอ้ตั้มคนนี้โดนมันถีบแล้วมั๊ยล่ะ
“หรือว่านทีจะติดใจหนุ่มดอยว่ะ ”
ตุ๊บ!
“ เหี้ย”
หึ
เหี้ยจริงๆ ไอ้เชนท์มันถีบเขาอย่างแรงจนก้นลงไปกระแทกกับพื้นห้อง แม่ง เจ็บเหี้ยๆเลย ตั้มทำสีหน้าเหยเกลุกขึ้นลูบก้นตัวเองป้อยๆ
“ มึงก็ถีบกูลงมาได้ กูแค่ล้อเล่นมั๊ยไอ้ห่า”
“ อ้าวเหรอ เอองั้นเมื่อกี๊กูถีบมึงเล่นๆละกันเมื่อกี๊” โอ้โห เล่นๆของมึงอีกนิดเดียวกูก็เข้าโรงบาลแล้วมั๊ย ตั้มเดินเป๋ๆประคองก้นตัวเองไปนั่งบนโซฟาเล็กๆ หยิบรีโมทเปิดทีวี ส่วนไอ้เชนท์น่ะเหรอ มันก็นอนดูรูปของนทีจนหลับไปนั่นแหละ
..........................................................................................
อ่านต่อด้านล่างค้า