พิมพ์หน้านี้ - Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Alchemist_toey ที่ 12-11-2017 09:06:22

หัวข้อ: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 12-11-2017 09:06:22
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************





ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้
ต่อให้ทำอย่างไรก็ดูไม่ดีในสายตาของเขาอยู่วันยังค่ำ ถูกตราหน้าว่าเป็นพวก ‘เอาตัวเข้าแลก’
ร่างกายโสโครก ทำตัวไร้ค่า...
แม้ถูกเกลียดชังกันสารพัด แต่หัวใจก็ยัง ‘เลิกรัก’ ไม่ได้สักที




01 ผูก มัด

 


 

 

            “ใครจะเป็นคนรับมันไปเลี้ยงก็ให้ตกลงกันเอาเอง ฉันกับเมียขอตัวก่อน”

เสียงเด็ดขาดของเจ้าบ่าวอย่างลุงปรีชากำลังร้องปัดความรับผิดชอบ ผลักเด็กในความดูแลให้บรรดาพี่น้องที่เหลือเป็นคนรับช่วงต่อ เพราะตนเองแต่งงานมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่ต้องการให้ใครมาเพ่นพ่านภายในบ้าน ทำลายความเป็นส่วนตัวของการใช้ชีวิตคู่ ชายสูงวัยทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินโอบเอวบางของภรรยาสาวน้อยไปขึ้นรถ เที่ยงวันนี้ทั้งคู่เตรียมจะไปรับประทานอาหารด้วยกันนอกบ้าน ฉลองให้กับช่วงเวลาแห่งความสุขหลังคืนแต่งงาน

            “ไม่ใช่หน้าที่ฉันคนหนึ่งล่ะ” พี่สาวคนรองแย้งบอก

            “ทำไมพี่เดือนพูดอย่างนี้คะ คนที่จะรับไอ้ปั้นไปเลี้ยงต่อก็คือพี่ไม่ใช่หรือคะ”

             ดาวในฐานะน้องคนสุดท้องเธอก็ไม่ยอมกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน พยายามเรียกร้องอย่างที่เคยตกลงเมื่อครั้งที่คุณแม่เพิ่งเสียไปใหม่ๆ

            “ทุกวันนี้ฉันก็ทำงานเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่อยากได้มันมาเป็นภาระเพิ่ม” พี่สาวให้เหตุผล

            “ดาวเองก็ไม่อยากรับมันมาเป็นภาระเหมือนกันนั่นแหละ!” คนน้องเอาแต่ใจกว่า เมื่อพี่สาวปฏิเสธได้เธอก็ปฏิเสธได้ ไม่มีใครเขาอยากได้ลูกคนอื่นเข้ามาอยู่ในบ้าน ถึงมันจะเป็นลูกชายของพี่น้องร่วมสายเลือด หลานสุดที่รักของคุณแม่ก็ตาม

            “ได้ข่าวว่าคุณชลเขาก็เอ็นดูมันอยู่ไม่น้อยเลยนี่ อยู่บ้านสบายๆ นั่งกินเงินเดือนผัวไปวันๆ ฉันว่าแกน่าจะรับมันไปเลี้ยงนะ” คนเกิดก่อนย่อมรู้จุดอ่อนของน้องสาวตัวเองดี ไม่เพียงแค่นั้นยังได้โอกาสเหน็บแหนมน้องสาวว่าเป็นประเภทเกาะเงินเดือนสามี   

            “พี่พูดแบบนี้หมายความว่าไง”
            “แกชอบไม่ใช่รึไง! ให้คนอื่นเขามองว่าเป็นพวกใจบุญใจกุศลน่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ เอาไอ้ปั้นไปเลี้ยงเลยสิ” เดือนปรายตามองน้องสาวพลางยิ้มมุมปาก แค่โดนยุเข้าไปนิดหน่อย ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะเริ่มคล้อยตามขึ้นมาเสียแล้ว พี่เปรมเป็นถึงนักการทูตชั้นผู้ใหญ่ มีหน้ามีตาทางสังคม ใครๆ ก็ย่อมรู้จักดี ส่วนคนเอ็นดูไอ้ปั้นเองก็มีเยอะไม่ใช่น้อย...ดาวใช้เวลาคิดเรื่องนี้ไม่นานนัก และในที่สุดก็ได้คำตอบ
            “สมจิตร”
            “ขา...คุณดาว มีอะไรคะ”
            “ไปบอกไอ้ปั้นให้รีบเตรียมเก็บกระเป๋า ฉันจะกลับภูเก็ตวันนี้ สั่งมันว่าอย่ามัวชักช้าล่ะ ถึงเวลาฉันไม่รอหรอกนะ”
            เด็กหนุ่มปิดประตูห้องทันทีที่ได้ยินเสียงสั่งของอาดาว ปั้นถอยหลังออกมาจากบานประตูด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดเป็นเขาแล้วมันน่ารังเกียจนักหรือ ทำไมทุกคนถึงได้ผลักไสไล่ส่งกันนัก  อยากจะทำอะไรก็ทำ ตัดสินกันเองไม่เคยนึกถึงเขาเลยสักครั้ง

เสียงเรียกของป้าจิตรดังขึ้นหน้าห้อง แต่เขายังไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้น
            “ได้ยินแล้วครับป้า ขอเวลาแค่สิบนาทีเดี๋ยวปั้นจะตามลงไป”
            “รีบๆ หน่อยล่ะ อย่าให้คุณเขารอนาน” เด็กหนุ่มทรุดนั่งลงพิงกับบานประตู น้อยใจในโชคชะตาเหลือเกิน
            ถ้าพ่อยังอยู่ก็คงดี...อย่างน้อยปั้นลูกพ่อก็คงไม่ถูกมองว่าเป็นเด็กไร้ตัวตนเช่นทุกวันนี้
หลายครั้งที่เคยถูกคนในตระกูลพาณิภัคดูถูกดูแคลน แต่ก็ยังเข้มแข็งไม่อ่อนแอให้ใครเห็น ไม่ร้องไห้เสียน้ำตากับเรื่องพวกนั้น เขายังจำคำที่พ่อเคยสอนไว้เสมอ ‘จงเข้มแข็งถึงแม้จะโดดเดี่ยว’ ไม่เคยเข้าใจความหมายของมัน จนได้มาเจอทุกอย่างกับตัวเอง

            ความเข้มแข็งทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ แม้รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างมากเพียงใด เมื่ออดทนก็จะสามารถข้ามผ่านอุปสรรคทั้งหมดไปได้

            “ปั้น...เก็บของเสร็จรึยัง รีบๆ เข้า คุณดาวเธอจะออกรถแล้วนะ” ป้าจิตรเดินขึ้นมาเคาะประตูเตือนอีกรอบ ปั้นตกใจเล็กน้อยเพราะมัวแต่เหม่อจนลืมดูเวลา
            “ใกล้เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวปั้นตามไป”
            รีบเก็บของยัดลงกระเป๋า เสื้อผ้าบางตัวเริ่มซีด บางตัวก็เก่าเกินกว่าจะใช้งาน ของที่ไม่สำคัญก็คงต้องทิ้งไว้ที่นี่ เด็กหนุ่มหอบเอากระเป๋าสองใบขึ้นสะพายหลัง ในมือมีถุงกระดาษใส่ข้าวของเดินถือพะรุงพะรัง เพราะปั้นไม่มีกระเป๋าใบใหญ่ๆ อย่างใครเขา ลำพังกินฟรีอยู่ฟรีในบ้านหลังนี้ก็ดีถมแล้ว ให้คนอื่นมาตามใจซื้อของนั่นนี่ให้ เห็นจะเป็นเรื่องเกินตัวไปนัก

มีครั้งหนึ่งลุงปรีชาเคยยื่นข้อเสนอให้ถ้า หากอยากมีข้าวของเครื่องใช้หรูๆ เสื้อผ้าราคาแพงๆ ก็แค่ยอมนอนกับเขาและมีเซ็กด้วยกัน ...ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย

เป็นแบบนั้น ขอให้ชีวิตแบบเดิมต่อไปดีกว่า

            เด็กหนุ่มยืนรออยู่ที่รถนานกว่าสามชั่วโมงก็ยังไม่เห็นใครเตรียมตัวออกเดินทางเหมือนอย่างที่ว่า รอตั้งแต่ช่วงบ่ายจนตอนนี้อาดาวก็ยังไม่มาสักที

            “ถือของให้มันดีๆ หน่อยสมจิตร ฉันซื้อมาแพงนะ”
            “ค่ะๆ คุณดาว”
            ป้าสมจิตรถือถุงเสื้อผ้าแบรนด์เนมมาเต็มหอบ ไม่บอกก็รู้ว่าอาดาวหายไปช้อปปิ้งมาแน่ๆ แล้วผมทรงใหม่นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ปั้นต้องรอนานขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่บอกกัน...

            “แกจะมัวยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ รีบขึ้นรถไปสิ” น้ำเสียงติดหงุดหงิด แล้วชี้สั่งให้เด็กในบ้านเอาของรีบไปเก็บบนรถ
            ปั้นเลือกที่นั่งเบาะหลังสุดเพราะคิดว่ามันคงสะดวกต่อการนอน บนรถตู้มีหลายที่นั่งเขาคงหลบห่างจากอาดาวได้สักพักใหญ่ๆ ก็จนกว่าจะไปถึงภูเก็ตนั่นล่ะ

ไม่ใช่ว่าปั้นไม่อยากพูดกับอาถึงได้คิดอะไรแบบนี้ แต่เพราะรู้ตัวว่าตัวเองมักจะเป็นสาเหตุทำให้คนอื่นๆ ไม่พอใจอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นการหลีกเลี่ยงจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

 



            ถนนหนทางก่อนเข้าสู่ตัวเมืองเริ่มคดเคี้ยวซะเป็นส่วนใหญ่ การเดินทางตลอดค่ำคืนไม่สามารถมองเห็นภาพด้านนอกได้ชัดเจนนักเนื่องจากความมืดที่เข้ามาปกคลุม
            เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นเมื่อรถหักเลี้ยวไปตามทางโค้ง มันเอนไปเอนมาจนรู้สึกเวียนหัว เขาขยับเข้าไปใกล้หน้าต่างเพื่อสำรวจเส้นทาง และสิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้เขารู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที

ทะเล...

เส้นสีฟ้าตัดกับสีส้มอ่อนของแสงอรุณยามวันใหม่...ร่างกายที่เมื่อยล้าและอ่อนเพลียราวกับหาย ไปเป็นปลิดทิ้ง ตื่นเต้นอยู่ได้ไม่นานเสียงท้องก็ร้องดังโกรกกราก มันกำลังประท้วงเพราะความหิว เขาได้แต่เอามือลูบท้องไปมาหวังให้มันสงบลง

ยังไม่ใช่เวลา จะมาหิวอะไรเอาตอนนี้ ข้ามไปอีกแค่จังหวัดเดียวเราก็น่าจะถึงภูเก็ตแล้ว

           เด็กหนุ่มต้องข่มตาลงนอนอีกครั้ง รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงปึงปังอยู่ข้างตัว อาดาวเป็นคนเคาะกระจกฝั่งที่เขาเป็นคนนั่งอยู่นั่นเอง
            “ตื่นได้แล้ว นี่แกจะนอนไปถึงไหน  รีบมาช่วยถือของให้ฉันนี่” ปั้นยัดเสื้อกันหนาวลงกระเป๋า รีบกระโดดลงจากรถไปช่วยยกสัมภาระของอาดาวซึ่งวางอยู่ในรถแล้วเดินตามเข้าไปในบ้าน

            “แม่กลับมาแล้วครับพ่อ” เสียง ใสๆ ตะโกนลั่นบ้านทันทีที่เจอหน้าแม่เดินทางมาถึง ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ถึงน้องเดียร์จะไม่มีเรียนในวันปกติก็ตาม แต่ก็ต้องไปเรียนพิเศษตามที่แม่เป็นคนจัดการให้อยู่ดี งานแต่งงานลุงปรีชาครั้งนี้ตัวเองกับพ่อจึงตามไปด้วยไม่ได้
            “อ้าว...นั่นใครอ่ะแม่”
            เด็กชายอายุสิบห้าปีมองคนมาใหม่ด้วยความสงสัย สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ประเมินอีกฝ่ายด้วยความคิดแบบเด็กๆ
            “นี่พี่ปั้นจ้ะลูก เราจำได้รึเปล่าเคยเจอกับพี่เขาตอนเด็กๆ น่ะ”
            “เดียร์จำไม่ได้หรอก”  ปั้นยืนมองสองแม่ลูกยืนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงทักทายมาจากในบ้าน
            “อ้าวปั้น..ไม่เจอกันนานเลยนะเราน่ะ” เด็กชายยิ้มกว้างก่อนจะหันไปทำความเคารพผู้ใหญ่ อาชลทีเป็นเพื่อนรักของพ่อมาตั้งแต่สมัยเรียน
            “ปั้นมันจะมาอยู่กับเราน่ะ”
            “งั้นก็ดีสิ น้องเดียร์จะได้มีเพื่อน”
            “อะไรนะครับ แม่พูดงี้หมายความว่าไง ที่จะให้พี่ปั้นมาอยู่ที่นี่..หมายถึงช่วงปิดเทอมนี้ใช่มั้ย”
            “ไม่ใช่จ้ะลูก ตลอดไปเลยต่างหาก”
            “อะไรนะ!!”

            เปิดเทอมวันแรกปั้นตื่นนอนตั้งแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก็ลงมากินข้าว เขาได้ยินอาดาวปลุกน้องเดียร์ไปโรงเรียนอยู่นานพักใหญ่ และรู้สึกว่าฝั่งนั้นก็ดูท่าจะไม่ตื่นเอาง่ายๆ เสียด้วย
และเขาเองก็ไม่อยากไปโรงเรียนสายตั้งแต่วันแรก
            “ปั้น เราไปกันก่อนก็ได้นะ ส่วนน้องเดียร์เดี๋ยวให้แม่เค้าจัดการเอง” อาชลส่ายหัวระอากับเหตุการณ์วุ่นวายภายในบ้านของเช้าในวันนี้ เขาเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัด เกิดไปสายก็คงไม่ดีแน่ ปั้นรีบตามไปที่รถ เมื่อสำรวจเครื่องแต่งกายว่าเรียบร้อยดีแล้วทุกอย่าง

เปิดเรียนวันแรกต้องเนี้ยบเป็นพิเศษ...

           เด็กหนุ่มยืนตัวสั่นอยู่หน้าห้องเรียนตอนได้ยินเสียงเพื่อนในชั้นกำลังทำความเคารพอาจารย์ที่ปรึกษา เขาเอาแต่ก้มหน้างุดไม่กล้ามองสบตาใคร ตอนเดินเข้ามาในห้องทุกคนเงียบกริบและยังมองตรงมายังเขาเป็นสายตาเดียว

            “วันนี้อาจารย์มีเพื่อนคนใหม่มาแนะนำให้พวกเรารู้จัก”
            อาจารย์ประจำชั้นพยักพเยิดให้เขาก้าวออกมาหน้าห้องแล้วแนะนำตัวให้แก่ เพื่อนๆ ซึ่งแต่ละคนก็ดูเหมือนจะพร้อมเพรียงกันเงียบเสียง รอฟังในสิ่งที่เขาพูด





.....................

ต่อด้านล่างนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ♥..... 01 ผูก มัด
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 12-11-2017 09:07:27



“ส..สวัสดีครับ ผมชื่อ ปาริชาต พาณิภัค ยินดีที่ได้รู้จัก ทุกคนนะครับ”
            เจ้าของชื่อไม่กล้ามองสบตาใครเลย มันตื่นเต้นจนพูดติดๆ ขัดๆ ได้แต่ก้มหน้าลงที่พื้น กว่าจะพ่นคำพูดออกไปจบประโยคได้ก็เล่นเอาเหงื่อแตกเต็มหลัง

เสียงปรบมือดังเกรียวกราวต้อนรับ ปั้นเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนในชั้นทุกคนส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร นั่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก มันช่วยลดความกังวลไปได้เยอะเลย
            “นายนั่งกับเราก็ได้นะ ปาริชาต”
            “เรียกปั้น เฉยๆ ก็ได้” เด็กหนุ่มบอกสั้นๆ พร้อมรอยยิ้ม จากนั้นมีหลายคนเข้ามาทักทาย ทุกคนถามชื่อเล่นเขาแล้วชวนไปนั่งคุยกันในกลุ่ม
            พักเที่ยงหัวหน้าห้องชวนเขาไปกินข้าวในโรงอาหาร ปั้นรู้สึกสนิทกับเธอมากเป็นพิเศษ คงเพราะเรานั่งเรียนด้วยกัน
            “แพรว!..คิดถึงว่ะ ไม่เจอหน้าตั้งหลายวัน” มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาจากด้านหลัง หมอนั่นเข้ามากอดหัวหน้าห้องอย่างออดอ้อน ท่าทางจะไม่ได้เจอกันนานอย่างที่ว่าจริงๆ นั่นแหละ
            “เอาหัวแกออกไปห่างๆ เลยนะไอ้บ้า!” เธอรีบปัดออกอย่างรำคาญ อีกฝ่ายจึงเบี่ยงความสนใจมาทางเด็กหนุ่มตัวเล็กข้างกายแทน
            “เพื่อนใหม่เหรอ?” แพรวพยักหน้ารับ แล้วแนะนำเพื่อนให้ปั้นรู้จัก

“เย็นวันนี้จะมีการรับน้องใหม่ด้วยนิ” อาร์มบอกหลังจากที่กินข้าวหมดเป็นคนแรก เขาเป็นเพื่อนสนิทของแพรวแต่เรียนกันคนละห้อง พวกเขาเป็นเด็กห้องทับ 2 ส่วนอาร์มเรียนห้องทับ 4
            “รับน้องใหม่เหรอ?”
            “ใช่แล้ว...เพราะนายก็เพิ่งย้ายเข้ามานี่นา”
            “ม.6 แต่ละห้องจะคิดฐานของตัวเองขึ้นมา แล้วแบ่งกลุ่มน้องม.1 ม.4 แล้วก็เด็กที่ย้ายมาใหม่คละกันเป็นแต่ละกลุ่มสี จากนั้นก็เข้ากิจกรรมไปทีละฐาน”
            “ห้องเราก็มีฐานเหมือนกันนะปั้น เดี๋ยวคงได้เจอกัน”

 

            ปาริชาต อยู่ในชุดวอร์มของโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อย เขามาอยู่รวมกับเด็กรุ่นน้องเนื่องจากปีการศึกษานี้มีเขาเพียงคนเดียวที่ เป็นเด็กม.6 ย้ายเข้ามา นับเป็นเรื่องยากทีเดียวกับการหาเพื่อนคู่คิดและร่วมกิจกรรมไปด้วยกัน ได้แต่ยืนมองแถบริบบิ้นสีแดงที่ผูกข้อมือของตัวเองแล้วถอนหายใจ ปั้นอยู่ทีมนี้แต่ไม่รู้จักใครเลยสักคน

กิจกรรมของฐานแรกๆ ส่วนใหญ่ก็จะสอนร้องเพลงประจำโรงเรียน สอนให้ท่องปรัชญา แนะนำการแต่งกายที่ถูกระเบียบและบอกถึงกฎข้อห้ามต่างๆ ภายในโรงเรียน แนะนำสถานที่ ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเด็กใหม่อย่างเขา
            ปั้นสำรวจลายเซ็นบนแขนของตัวเอง นี่เป็นภารกิจที่เขาต้องตามล่ามาให้ครบทั้งสิบลายเซ็นและการที่จะได้มันมานั้น ต้องแลกกับการเข้ากิจกรรมในแต่ละฐาน และตอนนี้ก็เหลือเพียงลายเซ็นสุดท้าย!

            พวกเขาเดินมาถึงกลางสนามหญ้าก็ถูกแยกออกเป็นสองกลุ่มโดยแบ่งชายหญิง แล้วในกลุ่มก็ต้องรีบจับคู่กัน ปั้นหันมองรุ่นน้องคนอื่นๆ ที่พากันจับคู่กันหมดแล้ว เหลือแต่เขาคนเดียวที่ยังยืนเคว้งคว้าง
            “ขาดคนนึงอีกแล้ว คราวนี้ไอ้ดิศ มึงลงไปเล่นแทนกูเลย”
            “คนไหนอีกวะ” เจ้าของชื่อพูดด้วยเสียงปนรำคาญเล็กน้อย ยังไม่ละสายตาจากจอโทรศัพท์
            “ก็คนที่ขาวๆ ยืนหัวโด่อยู่นั่นไง”
            หนุ่มร่างสูงหันไปมองตามร่างที่เพื่อนแนะ เห็นเด็กรุ่นน้องคนหนึ่งกำลังยืนหันหลัง
รดิศพยักหน้ารับรู้แล้วเดินเข้าไปหาทันที เขาคว้าข้อมือเรียวยกขึ้นเป็นสัญญาณ ถามเพื่อนว่าใช่คนนี้รึเปล่าที่มันหมายถึง ส่วนปั้นเองก็มึนงงไม่น้อยเมื่อมีคนมาคว้าแขนตัวเองไว้ และดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นก็คงจะเดาสีหน้าของเขาออก     

            “นายต้องคู่ฉัน” เด็กหนุ่มยืนกระพริบตาปริบๆ ตามคำบอกของคนตัวสูงกว่า แล้วรดิศก็ยื่นผ้าสีดำในมือมาให้
            “ปิดตาสิ”

“อ่ะ อ๋อๆ” ปั้นรับมาผูกอย่างทุลักทุเล จนแล้วจนรอดคนที่ยืนมองอยู่ ต้องเป็นฝ่ายช่วยจัดการเรื่องนี้ให้แทน
            “หันมานี่มา” คนตัวเล็กกว่าเงยหน้ามองคนตรงข้าม ปั้นรู้สึกชะงักเล็กน้อย เมื่อมีความรู้สึกว่าระยะห่างของเราสองคนใกล้กันมากเกินไปแล้ว เขารีบก้มลงมองพื้นอย่างที่ชอบทำเพื่อเรียกสติของตัวเอง

รดิศสั่งให้เขาหลับตาลงแล้วเอื้อมมือมาผูกปมให้ ในนาทีนั้นตนเองได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับตัวไปไหนเลย
            “แน่นเกินไปรึเปล่า ไหนลองเงยหน้าขึ้นมาสิ มองเห็นฉันมั้ย?”

ปั้นไม่รู้ว่าเผลอตัวส่ายหน้าไปได้อย่างไรทั้งที่หลักฐานมันฟ้องอยู่ทนโท่ว่าตนเองกำลังแอบมองเขาอยู่ผ่านทางเนื้อผ้าสีดำที่ทั้งบางและโปร่งแสงขนาดนี้

เพียงแต่เขาไม่รู้...

ทั้งรอยยิ้มและสายตาคู่นั้น ถึงไม่ชัดเจนแต่กลับรู้สึกอบอุ่น น่าหลงใหล...
            “ไม่เห็นก็ดีแล้ว...ทีนี้เข้าใจกติกาแล้วใช่มั้ย เกมนี้นายต้องตามหาฉันให้เจอ ห้ามเลือกคนผิดเด็ดขาด เพราะฉันไม่อยากซวยโดนทำโทษ เข้าใจรึเปล่า?” ปั้นพยักหน้ารับรู้
            “ไอ้ดิศ นานไปแล้วนะมึง รีบไปรวมตัวตรงนั้นได้แล้ว เร็วๆ” เขาจำเป็นต้องแยกไปตามกติกาหลังจากได้ยินเสียงเรียกของเพื่อน
            “น้องๆ ที่ยืนอยู่ไม่ทราบว่าจำลักษณะ หน้าตา ท่าทางของเพื่อนที่คู่เราได้รึเปล่า เอาล่ะรอบๆ ตัวของน้องตอนนี้จะมีเพื่อนๆ ยืนล้อมกันเป็นวงกลม พอจะรู้หน้าที่ของตัวเองกันแล้วนะครับ ฝั่งน้องที่กำลังปิดตาต้องหาคู่ของตัวเองให้เจอภายในเวลาห้านาที หากถ้ามั่นใจคิดว่าใช่คู่ของตัวเองจริงๆ ก็ให้เอาริบบิ้นสีแดงที่ข้อมือตัวเองไปผูกให้เพื่อน เข้าใจกันทุกคนแล้วครับ เอาล่ะ...ทีนี้เรามาเริ่มตามหากันเลยดีกว่า ไปเลยครับ”

            เสียงกลองดังเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงเชียร์ของพวกม.6 ที่ยืนอยู่รอบๆ ซึ่งตอนนี้ภายในวงกลมเริ่มชุลมุนวุ่นวาย เพราะแต่ละคนต้องเดินไปหาคู่ทั้งที่ถูกปิดตามองไม่เห็นใคร ถึงแม้ปั้นพอจะเห็นได้รางๆ แต่ก็เฉพาะตอนที่อยู่ใกล้ๆ เท่านั้น

            เด็กหนุ่มถูกเดินชนกระแทกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กว่าจะฝ่าเด็กรุ่นน้องคนอื่นๆ ออกมาได้เล่นเอามึนไปหมด แต่ที่น่าดีใจที่สุดก็คือตอนนี้ปั้นตามหาเขาเจอแล้ว พอรีบเดินเข้าไปหาก็เหมือนมีใครสักคนพุ่งมาชนเขาจากด้านหลัง ปั้นหกล้มลงหน้าคว่ำ ผ้าที่ผูกตาไว้ในตอนแรกร่นลงมา ก่อนจะทำให้มองอะไรไม่เห็นอีกเลย

ซวยแล้ว...

ร่างเล็กพยุงตัวขึ้นก่อนจะเดินอย่างทุลักทุเลไปในทิศทางที่พอจำได้ ถ้าเดาไม่ผิดคิดว่าเขาก็น่าจะยืนถัดไปอีกประมาณสองสามคน
            “น้องๆ ครับ ใครที่ไม่มั่นใจว่าเพื่อนที่ยืนอยู่ตรงหน้าใช่เพื่อนตัวเองรึเปล่า ก็เอามือไปจับไปสัมผัสดูได้นะครับ แต่ห้ามถามห้ามกระซิบกันเด็ดขาดนะ”

จับ...เลยเหรอ
            “เหลือเวลาอีกสองนาที”

เวลาใกล้จะหมดแล้ว จะมัวลังเลอยู่ไม่ได้ยัง ไงก็ต้องพิสูจน์ก่อนว่าใช่เขาจริงๆ รึเปล่า
            “ขออนุญาตนะครับ”

            ปั้นบอกก่อนจะวางฝ่ามือตัวเองลงทาบบนตัวของเขา ผู้ชายคนนี้คงสูงมากน่าดู ขนาดเอื้อมมือไปจนสุดแขนแต่สัมผัสได้แค่แผ่นอกของเขาเท่านั้นเอง รู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อแน่นที่อยู่ภายใต้เนื้อผ้า มือเรียวป่ายไปทั่วด้วยความไม่มั่นใจก่อนจะลุกลามไปจนถึงบริเวณใบหน้าของเขา

            “นี่นายมองเห็นฉันใช่มั้ย?” ปั้นแอบสะดุ้งเมื่อรู้ตัวว่าผู้ชายตรงหน้าขยับเข้ามากระซิบ ร่างบางส่ายหัวปฏิเสธเพราะตอนนี้ตนเองมองอะไรไม่เห็นจริงๆ ไม่เหมือนกับทีแรก ว่าแต่ว่า เสียงของผู้ชายคนนี้มันถึงฟังดูคุ้นๆ ยังไงไม่รู้

“ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ ก็ผ้าผืนนั้นฉันเป็นคนเตรียมมาเอง มันไม่เหมือนของคนอื่นหรอก”

จำได้แล้ว..เป็นเขาจริงๆ ด้วย
            “รีบผูกข้อมือให้ฉันสิ” เขาพยักหน้างึกหงักก่อนจะลงมือแก้ปมเชือกที่ข้อมือของตัวเองออก แต่คนบางคนไวกว่า จับมือเขาไว้แล้วเป็นฝ่ายแก้มันให้เอง
            “ลืมไปแล้วรึไงว่าตัวเองมองไม่เห็นน่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มเขินๆ เอามืออีกข้างขึ้นเกาหัว

            “เหลือเวลาอีกสามสิบวิ ใครผูกข้อมือให้คู่ตัวเองแล้วก็แกะผ้าปิดตาออกได้เลยครับ”

             สิ้นเสียงสั่งของพิธีกรปมเชือกที่อยู่ด้านหลังของปั้นก็ถูกแกะออกให้โดยอัตโนมัติ แสงสว่างที่ยังไม่คุ้นเคยทำให้ต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย สิ่งที่ชัดเจนอยู่ตรงหน้าเริ่มทำให้เขารู้สึกถึงเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นรัว...

ใบหน้าหล่อเหลาห่างกันเพียงไม่กี่คืบ ดวงตาที่ดูมีเสน่ห์คู่นั้นกำลังจ้องมองกันไม่ลดละ รอยยิ้มอบอุ่นของเขาเหมือนกำลังช่วยเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างที่เคยขาดหายไป

ความรู้สึกเหล่านี้มันคืออะไรกันนะ
            “ชื่ออะไรนะเราน่ะ” ประโยคแรกถูกยิงใส่ในระยะประชิด เขายิ้มให้บางๆ ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นราวกับว่าทั้งสนามมีกันอยู่แค่สองคน
            “ปั้นครับ”
            “ปั้นงั้นเหรอ..เรียนปีไหนห้องไหนล่ะ”
            “ม.6ห้อง2ครับ”
            “อ้าว..เรารุ่นเดียวกันนี่นา นายเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่เหรอ” ปั้นได้แต่พยักหน้ารับเพราะทำตัวไม่ถูก รู้สึกเขินขึ้นเสียมาดื้อๆ
            “ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เขาบอกก่อนจะขอตัวออกไปก่อนโดยที่ไม่ลืมเอาริ้บบิ้นสีแดงของปั้นไปด้วย ร่างบางที่ยืนอยู่เพียงลำพังได้แต่มองแผ่นหลังของคนที่กำลังเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อน

เสียงปรบมือดังเกรียวกราวให้กับคู่ที่ทำภารกิจในเกมสำเร็จ ส่วนคนที่ยังหาคู่ไม่เจอก็ถูกทำโทษไปตามกติกา เสียงหัวเราะดังลั่น ทุกคนกำลังสนุกสนานกับกิจกรรมสันทนาการของฐานนี้

            ปั้นแทบไม่รู้ตัวเลยว่าเอาแต่มองหาผู้ชายคนนั้นมานานเท่าไหร่ จนได้ยินเสียงสั่งให้ยืนต่อแถวเพื่อเข้ารับลายเซ็นประจำฐาน ใครจะรู้ล่วงหน้าว่าคนที่นั่งประจำการอยู่ที่โต๊ะก็คือคนเดียวกันกับเขาคนนั้น หัวใจเริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง และมันยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจำนวนคนที่ยืนอยู่ก่อนหน้าเริ่มลดลงทีละนิด ทีละนิด จนเหลือปั้นเป็นคนสุดท้าย

            ปั้นก้มหน้างุด คราวนี้มีเพื่อนคนอื่นๆ ยืนอยู่ข้างหลังของเขาเต็มไปหมด แต่ละคนมองมาที่ปั้นเป็นตาเดียว
            “ขอมือด้วยครับ” ร่างบางยังคงงงงันจนลืมอะไรไปชั่วขณะ แต่ก็ยอมยื่นแขนของตัวเองไปให้ตามที่เขาสั่ง ยิ่งเห็นริ้บบิ้นสีแดงของตัวเองบนข้อมือของเขายังอยู่ก็รู้สึกดีมากๆ

เพราะอะไรกันนะ..เขาถึงไม่ยอมแกะ
            “เซ็นที่อื่นได้รึเปล่า” เสียงโห่ร้องของเพื่อนที่ยืนอยู่ตรงนั้นดังสนั่น คนตีกลองก็รัวกลองใส่เหมือนรู้หน้าที่ ทุกคนกำลังยิ้มอย่างมีพิรุธจนปั้นเริ่มสงสัย
            “น้องครับ ยื่นแขนอีกข้างให้มันเถอะ มันจะได้ขอจอง เอ้ย ขอเซ็นถนัดๆ”
            “หุบปากเลยไอ้เหี้ยนนท์!”
            ปั้นทำตามอย่างว่าง่าย ถึงจะไม่เข้าใจที่พวกเขาพูดกันเท่าไหร่นัก ลายเซ็นสุดท้ายที่ต้องการมันอยู่ที่เขาไม่ใช่เหรอ มือของปั้นถูกดึงไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ และความอบอุ่นที่ได้รับก็ยิ่งทำให้หัวใจรู้สึกแปลกๆ

ชายหนุ่มเขียนชื่อของตัวเองด้วยลายมือบรรจงตัวใหญ่ๆ คราวนี้มันไม่เหมือนกับที่เซ็นให้คนอื่น
เพราะเขาตั้งใจจะแนะนำตัวทางอ้อม
            “เรียกดิศเฉยๆ ก็พอ”
            เขากระซิบบอกให้ได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้น ก่อนที่ปั้นจะรีบหันหลังเดินกลับเพราะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ บริเวณใบหน้า เสียงแซวของคนอื่นๆ ดังระงมแข็งกันไปหมดแต่ปั้นก็ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว เพราะมัวแต่ทบทวนชื่อของเขาที่เขียนไว้บนหลังมือของตัวเองและน้ำเสียงตอนกระซิบบอก ปั้นไม่รู้ว่าการกระทำแบบนี้มันหมายความว่ายังไง

รู้เพียงแต่ว่าตัวเองรู้สึกดีใจมากตั้งแต่ที่ได้เจอเขา

           ‘รดิศ ชาญณรงค์’
            ยินดีที่ได้รู้จักนายเช่นกันนะ

ว่าแต่ว่านามสกุลเดียวกับอาชลเลยนี่นา...เป็นอะไรกันรึเปล่านะ


            “ไมมึงไม่เขียนเบอร์ให้น้องเขาไปเลยล่ะ ถ้าตั้งใจจะจีบกันซะขนาดนี้”
            “เขาชื่อปั้น เรียนปีเดียวกัน”
            “ชื่อเหมาะกะตัวดีเนอะ”
            “กูนี่เข้าใจว่าเป็นรุ่นน้องซะอีก”
            “ว่าแต่มึงนี่เนียนเขาไม่ปล่อยเลยนะ เห็นแล้วกูหมั่นไส้ว่ะ”
            “ปล่อยมันไปไอ้นนท์ นานๆ ทีมันจะเจอของจริง”
            สองเพื่อนซี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน รดิศส่ายหัวกับนิสัยของพวกมัน นอกจากรู้ทันความคิดของเขาแล้ว พวกมันยังพูดได้จี้ถูกจุดอีกต่างหาก

 
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ♥..... 01 ผูก มัด
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 12-11-2017 09:31:53
จิ้มๆๆๆๆ
ตามอ่านจ้า
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ♥..... 02 ท่ามกลางสายฝน
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 12-11-2017 10:10:20
                                                             02 ท่ามกลางสายฝน
    
    



          วันนี้พวกเขาต้องย้ายไปเรียนอีกห้องหนึ่งของอาคารศิลป์ เด็กห้องทับ4เป็นเด็กที่เลือกเรียนศิลปะมาตั้งแต่ตอนเข้าเรียนใหม่ๆ สมาชิกในห้องส่วนใหญ่เป็นพวกที่มีใจรักและถนัดงานด้านนี้โดยเฉพาะ
เก้าอี้ภายในห้องเรียนถูกจัดไว้เป็นแถวครึ่งวงกลมสลับฟันปลาเพื่อง่ายต่อการมองแบบที่จะวางอยู่จุดกึ่งกลางของห้อง นายรดิศกับเพื่อนอีกสองคนเข้ามาเป็นกลุ่มสุดท้าย ที่นั่งมุมประจำเลยโดนคนอื่นแย่งไปเสียก่อน ส่วนที่เหลืออยู่ก็มีแต่แถวหน้าสุด
คาบแรกของวิชานี้พวกเขาจะต้องฝึกวาดภาพเหมือน..และโจทย์ในวันนี้ก็คือนายแบบจริงๆ ไม่ใช่รูปปั้นหรือสิ่งของอย่างเช่นที่ผ่านมา พวกเขาต้องใช้ความชำนาญตลอดระยะเวลาหลายปีที่ได้สั่งสม เก็บรายละเอียดทุกส่วนของรูปต้นแบบให้ได้มากที่สุดและเหมือนจริงที่สุด

ในระหว่างที่รออาจารย์เข้ามาชี้แจงรายละเอียดเขาก็นั่งนึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก ตอนที่เริ่มหัดวาดรูปใหม่ๆ นั่นเป็นเพราะได้เห็นผลงานของพ่อบนฝาผนังบ้าน สีสันบนผืนผ้าใบที่สวยงามผนวกกับลายเส้นที่นุ่มนวลทำให้เขาหลงใหลมันมาตั้งแต่ตอนนั้น
รดิศฝึกจับดินสอและเริ่มขีดเขียนมันตั้งแต่นั้นมา จนวันนี้... เขารู้แล้วว่าสิ่งที่เลือกได้กลายเป็นจิตวิญญาณของเขาไปเสียแล้ว
“สวัสดีนักเรียนทุกคน”
อาจารย์วิรัตน์พูดนำเข้าสู่บทเรียนคร่าวๆ ก่อนจะบอกว่าวันนี้ได้เชิญแขกพิเศษเป็นนักเรียนจากห้องทับ2 ที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักมาเป็นนายแบบ และพูดติดตลกว่าวันนี้นักเรียนโชคดีที่ไม่ต้องทนวาดหน้าแก่ๆ ของแกไปอีกคาบ เด็กนักเรียนในห้องหัวเราะลั่น แต่ละคนตื่นเต้นกันสุดๆ เริ่มอยากรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร
“เอาล่ะ..ไม่ต้องทำหน้าตื่นเต้นแปลกใจกันขนาดนั้น นายปาริชาต เข้ามาแนะนำตัวกับเพื่อนๆ สิ”
    “ส...สวัสดีครับ”
    “เฮ้ย...”
    เสียงนนท์ตะโกนดังกว่าใครเพื่อน เด็กหนุ่มหน้าห้องตัวแข็งทื่อเมื่อเจอบุคคลไม่คาดฝัน หากรู้ก่อนล่วงหน้ารับรองว่าเขาไม่มีทางมายืนอยู่ตรงนี้แน่
    “ไอ้ดิศนั่นเด็กมึง!! ” เจ้าของชื่อยิ้มมุมปาก สายตามองคนตรงหน้าไม่ลดละ สังเกตทุกการกระทำตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในห้อง ท่าทางการพูด สีหน้า รวมไปถึงดวงตาคู่นั้น
หากจะมองว่าเขาเป็นคนละเอียดอ่อนก็คงใช่ ...
ร่างบางตรงหน้ามีเสน่ห์อย่างปฏิเสธไม่ได้ ดวงตากลมใสคู่นั้นเหมือนดั่งลูกแก้ว จมูกรั้นโด่งรับกับโครงหน้าได้รูปตามสัดส่วนที่ถูกต้อง ทั้งที่เจ้าตัวก็ดูตื่นๆ กลัวๆ ขนาดนั้นแต่พอพูดแล้วสามารถสะกดสายตาของใครหลายๆ คนในห้องให้อดมองตามไม่ได้เลย
เข้าใจแล้วว่าทำไมอาจารย์วิรัตน์ถึงได้เลือกเด็กคนนี้มาเป็นแบบ
“ปาริชาต...เดี๋ยวเรานั่งหลังตรงๆ แล้วมองตรงไปข้างหน้านะ ทำตัวสบายๆ ผ่อนคลายตามปกติ ไม่ต้องเกร็ง โอเคมั้ย”
“ค..ครับ” ปั้นมองหน้าอาจารย์ พยักหน้าตอบรับไปแต่ไม่รู้ทำได้อย่างที่ว่านั่นรึเปล่า นั่งตัวตรงๆ น่ะไม่มีปัญหา แต่พอมองตรงไปข้างหน้าแล้วเจอสายตาคู่นั้นกำลังจ้องกันอยู่ แค่นี้ปั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวสบายๆ ได้อย่างไร
ไม่เคยเป็นแบบให้ใครวาดรูปมาก่อนด้วยซ้ำ คนตั้งมากมายมองไปทางไหนก็มีแต่คนจ้องมา
ยิ่งชายผู้ชายตรงหน้าเป็นรดิศด้วยแล้ว ไม่รู้จะทนได้จนหมดคาบรึเปล่า...
“นายแบบถูกใจซะขนาดนี้ ผมว่าบางคนได้ Aชัวร์ๆ เลยครับอาจารย์”
เสียงหัวเราะดังสนั่นเพราะต่างคนต่างเข้าใจความหมายที่บีมพูด เจ้าตัวเอากระดานรองวาดโบกไปมาตรงหน้าเพื่อน เห็นเอาแต่จ้องไม่เลิกไม่รู้จะเก็บรายละเอียดกันไปถึงไหน
“เชี่ยมึงทำลายสมาธิกูหมด”
ปากด่าไปงั้น แต่มือจับดินสอลากเส้นในกระดาษอย่างชำนาญ ค่อยๆ ร่างสัดส่วนบนใบหน้าออกมาตามภาพที่เห็น
มีครู่หนึ่งปั้นเผลอสบตากับเขาอย่างจัง จากแก้มขาวๆ ซีดๆ ในทีแรกกลับเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ
ราวกับมีจิตรกรฝีมือดีมาแต่งเติมสีสันให้ยังไงยังงั้น 
ชายหนุ่มเผยยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาวาดต่อด้วยเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัว...
เสียงกริ่งหมดคาบ ปั้นผ่อนลมหายใจโล่งอกเพราะนั่นหมายถึงหน้าที่ของตัวเองได้จบลงแล้วเช่นกัน ตอนเดินออกจากห้องหน้าประตูก็มีคนบางคนดักรออยู่ก่อน
“ไปกินข้าวกัน” ปั้นนึกไม่ถึง อยู่ๆ ดิศก็มาชวนไปกินข้าวด้ แค่นี้ก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง เขิน ไม่มั่นใจ อีกอย่างมันรู้สึกแปลกๆ ทุกทีเวลาที่ได้อยู่ใกล้ หากเพื่อนกันปกติมันคงไม่รู้สึกแบบนี้ใช่มั้ย
“เอ่อ...พอดีเรานัดกับเพื่อนไว้”
“กับแพรวเหรอ เดี๋ยวบอกให้” อาร์มเดินมาสมทบเบื้องหลัง ทั้งคู่ดูท่าจะเข้าขากันเป็นอย่างดีราวกับนัดแนะกันมาก่อน
“ไม่เป็นไร เรา...” ไม่ทันฟังเสียงหมอนั่นก็เดินไปก่อนแล้ว...เหลือเพียงแต่รดิศที่ยืนอยู่
“ไปกินข้าวกัน”
ทั้งสี่คนเดินมาในโรงอาหารพร้อมกัน ต่างคนต่างมองหาที่นั่ง เด็กใหม่อย่างปั้นถูกมองอยู่แล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เรื่องที่ทำให้หน้าแปลกใจกว่านั้นก็คืออีกสามหนุ่มที่มาด้วยกัน
รดิศเป็นคนเลือกที่นั่งและจัดการทุกอย่างแม้กระทั่งช่วยปั้นแลกคูปองซึ่งทุกการกระทำย่อมตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ ในบริเวณนั้น
“เชิญมึงนั่งเป็นราชาให้สบายไปเถอะครับ เดี๋ยวกูกับไอ้บีมจะบริการมึงเอง...น้องปั้นด้วยนะครับ”
นนท์บอกเสียงหวานตอนหันมาพูดกับปั้น ทั้งคู่เดินไปต่อแถวซื้อข้าวทิ้งปั้นไว้กับเพื่อนของเขาเพียงลำพัง

ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องเขินอยู่ตลอดเวลาแถมยังทำตัวไม่ถูกอีก ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เรียกว่าถูกมัดมือชกก็คงจะใช่ ปั้นยังไม่ตกลงรับปากก็ถูกเขาลากมาเสียก่อน
คาดว่ามื้อนี้คงกินข้าวไม่หมดจานแน่ๆ เหตุผลน่ะหรือ...แค่สายตาคู่นั้นมองมาปั้นก็ไม่กล้ากระดิกตัวทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
ยอมรับว่าตัวเอง...กำลังเขิน


เลิกเรียนวันนี้อาดาวไม่ได้เข้ามารับเหมือนกับทุกๆ ที ปั้นตั้งใจจะเดินไปรอรถเมล์ที่ป้ายแต่ในขณะที่เดินไปหน้าโรงเรียนก็เห็นอาชลธียืนรออยู่พอดี

“สองแม่ลูกคงช้อปปิ้งเพลินจนลืมเวลา” บอกพลางเอามือล้วงกระเป๋า อาบ่นไปตามประสาก่อนจะบอกให้หลานชายขึ้นรถ
“หวัดดีครับอา” เสียงพูดคุยอย่างสนิทสนมพร้อมยกมือไหว้ รดิศเดินเข้ามาทักทายคุณอาชลธีด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“ไม่เจอกันนานเลยนะเรา เป็นไงบ้าง”
“ครับ..ช่วงนี้ยุ่งๆ นิดหน่อย ปีสุดท้ายด้วยน่ะครับ”
“อาดาวก็บ่นคิดถึงอยู่นะว่าทำไมดิศไม่มาเยี่ยมบ้าง”
“อาสองคนสบายดีนะครับ...แล้วนี่มารับปั้นเหรอ? ”
“อ๋อ...ใช่ ปั้นเค้าเพิ่งย้ายมาอยู่ด้วยที่บ้านน่ะ เรารู้จักกันแล้วใช่มั้ย?”
“บังเอิญเจอกันตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะครับ”

คนถูกเอ่ยถึงกลับยืนนิ่งไม่พูดอะไรสักคำ รู้สึกมันกะทันหันเกินไปและอีกอย่างไม่คิดว่าอาหลานคู่นี้เขาจะสนิทสนมกันขนาดนี้ คนนอกอย่างเขาไม่รู้จะเอาอะไรไปร่วมสนทนาด้วย
 
“เรียนที่เดียวกันยังไงก็ฝากดูแลเพื่อนด้วยนะดิศ” รดิศยิ้มรับก่อนจะหันมามองเจ้าตัวที่ยืนก้มหน้าก้มตา อยากตอบไปเหลือเกินว่าถึงอาไม่บอกเขาก็พร้อมจะดูแลให้อยู่แล้ว
ไม่รู้สิ...เพราะเป็นคนๆ นี้มั้ง เขาถึงได้รู้สึกแบบนั้น

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นในเที่ยงวันของวันหยุด  น้องเดียร์รีบวิ่งไปเปิดประตูเห็นพี่ดิศมาเยี่ยมก็ดีใจสุดๆ เพราะนานๆ ครั้งกว่าเราจะได้เจอกัน ทั้งที่บ้านก็ไม่ไกลกันเท่าไหร่นักแต่พี่ดิศก็ไม่ว่างแวะมาเยี่ยมเลย

“พี่ดิศ! คิดถึงจังเลยครับ”
“เป็นไงเรา ไม่เจอกันนานเลยนะ” มือหนาลูบลงบนกลุ่มผมอย่างเอ็นดูเช่นทุกทีที่เคยทำ
“สบายดีครับ...พี่ดิศล่ะไม่เจอกันนานรู้สึกตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะครับเนี่ย” อดไม่ได้จะเอาฝ่ามือตัวเองเข้าเทียบกับส่วนสูงของพี่ชาย
วันนี้อาชลธีไม่อยู่บ้าน น้องเดียร์ก็กำลังจะออกไปเรียนพิเศษ ส่วนอาดาวก็มีธุระต่อหลังจากนั้น

“เสียดายจังเลยครับ ถ้ารู้ล่วงหน้าเดียร์จะได้ขอแม่หยุดเรียน”
“เรื่องเรียนต้องมาก่อนเสมอนะลูก เอาไว้ไปหาพี่เค้าที่บ้านก็ได้นี่” คนเป็นแม่ยกเอาน้ำส้มมาเสิร์ฟนั่งพูดคุยกับหลานสุดที่รักอยู่ครู่ใหญ่ก็ใกล้ถึงเวลาต้องไปส่งน้องเดียร์เรียนพิเศษแล้ว
“แล้วพี่ดิศจะกลับตอนนี้เลยรึเปล่าครับ จะได้ออกไปพร้อมกัน”
ทั้งบ้านก็ไม่มีใครอยู่ด้วยซ้ำ จะว่าไปก็น่าเสียดาย ทั้งที่พี่ดิศก็อุตส่าห์มาหาแต่เจ้าของบ้านกลับไม่ว่างอยู่ต้อนรับกัน
“อ้อ..พอดีผมแวะมาหาปั้นด้วยน่ะครับ”
“ปั้นเหรอ รู้จักกันหรือ? ”
“ครับ...เราเป็นเพื่อนกัน”
“สงสัยคงจะอยู่ที่ห้องน่ะ...วันหยุดแบบนี้ไม่ค่อยออกไปไหนกับใครเขาหรอก หมกตัวอยู่แต่บ้าน”

อาดาวพูดพลางยิ้ม ก่อนจะให้น้องเดียร์ไปเรียกตัวมาให้ ส่วนลูกชายก็บ่นประปอดกระแปดไปตลอดทางพอรู้ว่าคนที่พี่ตั้งใจจะมาหาไม่ใช่ตัวเอง
น้องเดียร์ยืนเคาะประตูอยู่หน้าห้อง พี่ปั้นย้ายมาอยู่ในห้องทำงานเก่าของพ่อ ซึ่งมีระเบียงยื่นออกมามองเห็นห้องหนังสือด้านล่าง ทั้งหลังทำจากไม้โดยถูกต่อเติมออกมาจากบ้านใหญ่ถึงจะถูกปล่อยว่างไว้นานแต่สภาพโดยรวมยังดีอยู่


อันที่จริงปั้นถูกจัดให้นอนห้องเดียวกับน้องตั้งแต่วันแรกที่มาถึง แต่เพราะน้องเดียร์ไม่ชอบแชร์ห้องกับใคร ช่วงแรกอยู่ด้วยกันมีหลายครั้งที่น้องเดียร์ชอบวางของทิ้งไว้เกะกะบนเตียง ใช้ห้องน้ำนานบ้าง เปิดไฟทิ้งไว้สว่างตลอดทั้งคืน ยิ่งกว่านั้นยังคุยโทรศัพท์เสียงดัง เปิดเพลงเสียงดัง ทั้งหมดจะเป็นเฉพาะเวลาที่ปั้นกลับมาถึงห้องเท่านั้น
ปั้นรู้ตัวตั้งแต่ต้นจนในที่สุดก็ต้องยอมย้ายออกมาเองและขออามาอยู่ที่นี่แทน ทั้งสงบ สบาย แถมยังเป็นส่วนตัวอีกต่างหาก

“พี่ปั้น..แม่ให้มาตาม”
“มีอะไรหรือ?”
“พี่ดิศมาหา”
“อะไรนะ! ”
“รีบๆ ตามมาเถอะครับ”

เขาฟังไม่ผิดใช่มั้ย...อยากถามซ้ำอีกครั้งก็เห็นน้องวิ่งลงบันไดไปก่อนแล้ว ปั้นงุนงงเล็กน้อยก่อนจะปิดประตูห้องแล้วรีบตามมา
ให้ตายเถอะ...เขาเล่นมาหาถึงนี่เลยหรือ
ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะพวกเขาเป็นญาติสนิทกัน แต่ทำไมต้องเรียกปั้นออกไปด้วย
ขนาดเจอที่โรงเรียนทุกวันก็ไม่รู้จะตั้งตัวยังไง

“อ่ะนั่น มากันแล้ว งั้นดิศทำตัวตามสบายเลยนะลูก อากับน้องขอตัวก่อนนะ โทษทีที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับ ไปได้แล้วน้องเดียร์เดี๋ยวจะสาย”
ประโยคหลังเธอหันไปบอกลูกชาย ก่อนเตรียมแว่นกันแดดมาสวม น้องเดียร์มองหน้าพี่ปั้นอย่างไม่ชอบใจก่อนจะคว้ากระเป๋าตัวเองแล้วเดินกระทืบเท้าปึงปังออกจากบ้าน รดิศมองตามสองแม่ลูกก่อนจะหันมายิ้มทักทายเพื่อนตัวน้อยตรงหน้า
“ยุ่งอยู่รึเปล่า?”
“อ้อ...เปล่า” ปั้นส่ายหน้ารัว เห็นเขาแปลกตาไปจากทุกทีคงเป็นเพราะวันนี้ไม่ได้อยู่ในชุดนักเรียน
“ไม่รบกวนใช่มั้ย? ”
“ไม่...นายทำตัวตามสบายเถอะ”
“นายมีงานอะไรก็ทำต่อได้นะ ฉันแค่แวะมาเฉยๆ”

จะให้ปั้นบอกไปว่า ‘ได้ งั้นเราขอไปทำงานก่อนนะ นายก็อยู่ของนายไป’อย่างนั้นเหรอ ไม่ได้หรอก เสียมารยาทแย่
“ดะ เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้” เด็กหนุ่มหันขวับรีบดิ่งเข้าครัว
“อาดาวยกมาให้แล้ว” รดิศฉุดแขนไว้ก่อนทั้งที่ตัวเองยังนั่งอยู่บนโซฟาพลางชี้ไปที่แก้ว ปั้นมองตามแล้วอยากจะร้องไห้
อะไรๆ ก็ไม่เข้าข้างเอาซะเลย ทำตัวไม่ถูกไม่ชอบสถานการณ์นี้เลย ทั้งบ้านมีกันอยู่แค่สองคนเท่านั้นจะขอเลี่ยงไปที่อื่นก็ทำไม่ได้
แล้วทำไมต้องรู้สึก...ปั่นป่วนขนาดนี้ด้วยนะ

“ทำไมมือซีดจัง” ปั้นชักข้อมือตัวเองกลับแทบไม่ทัน นี่อาการเราออกง่ายขนาดนั้นเลยรึไง
“อยู่กับฉันแล้วต้องกลัวขนาดนั้นเลยรึไง?”
“อ เอ่อ…เปล่านะ สงสัยอากาศมันคงจะร้อน” ปั้นแถจนสีข้างถลอก เอาเถอะเขาจะเชื่อหรือไม่ ตัวเองก็ตกม้าตายตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ
“หน้าแดงๆ ด้วยนี่ สงสัยคงจะไม่ใช่แค่ร้อนธรรมดาๆ” เขาทำหน้าทะเล้นราวกับอ่านใจกันออก คนที่พยายามเก็บอาการรู้สึกอยากหายไปจากตรงนี้ให้พ้นๆ
“เอ่อ..ขอตัวนะ นายจะอยู่ต่อก็ได้ เราขอไปทำงานก่อน”
“ฉันขอตามไปด้วยได้มั้ย” ไม่พูดเปล่าเขายังคว้าข้อมือของปั้นเอาไว้ คนที่เขินอยู่แล้วแทบจะเป็นลมจับ
“อ..เอ่อ” ว่าแต่อากาศร้อนๆ นี่ชอบทำให้หน้าแดงทุกที บ้า บ้าไปแล้วแน่ๆ เผลอพยักหน้าตอบไปได้ยังไงกัน ซวยล่ะ!!



รดิศเดินตามมาถึงห้อง ชายหนุ่มยิ้มมุมปากมองตามร่างที่เดินนำหน้า ไม่รู้สิ ทำไมเขาถึงยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ ทำไมถึงอยากอยู่ต่อ ขอให้ได้มองหน้าเพื่อนคนนี้นานๆ แค่นั้นก็พอใจแล้ว
แต่เจออาการหน้าแดงมือสั่นของอีกฝ่ายไปนี่สิ รู้สึกว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุรึเปล่า ไม่แน่ใจ
“ทำตัวปกติของนายเถอะ”
ปั้นยิ้มแห้งๆ ตามคำบอก ก็เพราะใครกันล่ะถึงทำให้เขาเป็นถึงขนาดนี้ ...
รดิศเข้ามายืนอยู่ในห้องกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ ผนัง พื้น เพดานทุกอย่างทำจากไม้รวมถึงเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ก็ด้วย
“แต่งห้องสวยดีนะ” ปั้นอมยิ้มก่อนจะแก้เก้อด้วยการเอาเสื้อนักเรียนที่ค้างไว้มานั่งปักชื่อตัวเองต่อ
“นั่นทำเองเหรอ? ”

รดิศตามลงมานั่งที่พื้น เห็นเส้นด้ายที่ปักเรียงตัวสวยอย่างเป็นระเบียบบนหน้าอกเสื้อแล้วอดทึ่งไม่ได้ เด็กคนนี้ชอบทำอะไรให้เขาแปลกใจอยู่เรื่อย
ยิ่งรู้จักก็ยิ่งประทับใจมากขึ้น...

ผ่านไปเป็นชั่วโมง ปั้นนิ่งเงียบเหมือนลืมไปแล้วว่ามีเขาเป็นเพื่อนอยู่ในห้อง รดิศขึ้นไปนั่งบนเตียงอย่างถือวิสาสะหลังจากค้นหาสมุดโน้ตกับดินสอเจอ
เขาร่างแบบลงไปง่ายๆ อย่างคนชำนาญ ถือเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้วาดรูปปั้นโดยปราศจากคนอื่นๆ แต่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้กับความรู้สึกพิเศษๆ ที่ก่อตัวขึ้นภายในหัวใจ
อยากอยู่ใกล้ อยากเห็นหน้าตลอดเวลา

เย็นวันหนึ่งก่อนเลิกเรียนปาริชาตถูกเรียกให้ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษา เนื่องจากเรื่องที่เขาเคยยื่นเรื่องขอทุนไปเมื่อไม่นานมานี้ และดูท่าว่าครั้งนี้จะเป็นข่าวดีเสียด้วย นอกจากจะได้รับเงินช่วยเหลือจากเจ้าของทุนจำนวนหนึ่งแล้ว ยังได้รับค่าครองชีพตลอดปีการศึกษาอีกต่างหาก

“เพราะเราเรียนดี ปฏิบัติตัวดี แค่อ่านประวัติ ใครๆ เขาก็อยากช่วย”
อาจารย์สมปองบอกก่อนจะอ้อมเดินมาใกล้ๆ มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของเขาแล้วบีบมันเบาๆ คล้ายให้กำลังใจ ปั้นนั่งนิ่งรับรู้ถึงสายตาแปลกๆ ของอาจารย์ซึ่งดูต่างไปจากทุกที
หรือเขาอาจจะคิดไปเอง...

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ครั้งนี้มีผู้ใจดีเสนอจะช่วยเหลือเราเป็นกรณีพิเศษ”

อาจารย์สมปองยืนพิงโต๊ะทำงานของตัวเองสำรวจปั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนสายตาคู่นั่นจะหยุดนิ่งอยู่ที่ช่วงโคนขา

“ค..ครับ”

กลิ่นอายไม่ดีลอยอวลอยู่ท่วมห้อง ปาริชาตร้อนรนและรู้สึกได้ อาการคลื่นเหียนจุกแน่นอยู่ในอก วูบหนึ่งเผลอนึกไปถึงตอนอยู่บ้านกับลุงปรีชา
ลุงมักใช้สายตาแบบนี้โลมเลียเขาอยู่เสมอ

“พรุ่งนี้เลิกเรียน ว่างรึเปล่า”
“คะ ครับ อาจารย์จะให้ผมทำอะไร”
“เจ้าของทุนที่ว่า เขาต้องการจะพบตัวเธอน่ะ”
“ครับ”

ปาริชาตตอบตกลงและขออนุญาตออกมาหลังจากนั้น รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องตั้งแต่แรกเข้าไปในห้อง  คงไม่ได้คิดไปเองแน่อาจารย์ใช้สายตาแบบนั้นมองเขาจริงๆ
หากครั้งหน้ามีเหตุการณ์เช่นวันนี้เกิดขึ้นอีกเขาคงลำบาก ฝ่ายนั้นเป็นถึงอาจารย์เกิดไปก่อเรื่องเหมือนที่เคยทำกับลุงปรีชาเข้าล่ะก็ ดีไม่ดีอาจจะถูกไล่ออก
คิดสิ...จะหาทางป้องกันตัวเองยังไง





“เข้าพบอาจารย์สมปองแบบสองต่อสอง คิดว่าเป็นเรื่องอะไรอีกเล่า”
“มาใหม่ได้ไม่นาน คิดจะคั่วกับอาจารย์ซะแล้ว”
“นักเรียนทุนไงแก...ทุนเรียนดี ฮ่าๆๆ”
“เฮอะ ! เด็กเลี้ยงอาจารย์สมปองสิไม่ว่า”
“นั่นสิใครๆ เขาก็รู้กัน”   


ปาริชาตยืนตั้งสติหลังจากได้ยินบทสนทนาหนึ่งของกลุ่มเด็กหญิงในโรงอาหารตอนที่กำลังเดินผ่าน ไม่รู้เพราะบังเอิญหรือจงใจกันแน่แต่ละคนพูดจาเสียงดังเหมือนอยากให้เขาได้ยิน 
นี่มันเรื่องอะไรกัน !!


เข้าเรียนตอนเช้าแพรวก็ถาม ปั้นปฏิเสธและอธิบายความจริงทั้งหมดให้ฟัง เธอบอกว่าเรื่องพวกนี้มันเคยเกิดขึ้นกับนักเรียนในโรงเรียนมาหลายครั้งและไม่อยากให้ปั้นมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น ใครๆ ก็รู้ว่าอาจารย์เป็นคนแบบไหน ถึงแม้ปั้นเป็นผู้ชายช่วยเหลือตัวเองได้ แต่อาจารย์ก็ต้องคิดหาวิธีอื่นมาขู่แน่ๆ เพราะฉะนั้นหากถูกเรียกพบเป็นการส่วนตัวอีกล่ะก็ให้รีบบอก เธอนี่แหละจะไปเป็นเพื่อนเอง

 “มากันสองคนเหรอ? ”

อาจารย์สมปองมองหน้าแพรวนิ่ง สีหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจแต่พยายามปิดบังไม่แสดงออกมาตรงๆ
“ครับ...คือผมมาพบเจ้าของทุนการศึกษา”

“วันนี้ท่านไม่ว่าง คงต้องเลื่อนออกไปก่อน” อาจารย์บอกเสร็จสรรพก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

“ครับ” ปั้นรู้สึกโล่งอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสองคนรีบเดินออกจากอาคารแยกย้ายกันกลับ บ้าน แพรวมีคนมารอรับอยู่แล้วจึงขอตัวกลับก่อน ส่วนปั้นยืนก็รออาดาวอยู่หน้าโรงเรียนเช่นทุกวัน




ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายฝนกำลังจะตก เด็กหนุ่มมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเองด้วยความกังวล หากหลังจากนี้อายังไม่มา มีนหวังว่าต้องเปียกฝนแน่ๆ

ผ่านไปสิบนาที เมฆสีดำก้อนนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวมาเข้ามาอย่างหนาแน่น ลมเย็นก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบไม้ทั่วบริเวณพากันปลิวว่อนไปหมด



ต้องรีบหาที่หลบฝนก่อน...
เป็นจังหวะเดียวที่มีสายเข้ามาจากอาดาว ฝ่ายนั้นบอกว่าติดธุระด่วนคงเข้ามารับไม่ได้ ส่วนอาชลก็ไม่ว่าง วันนี้ให้ปั้นนั่งรถเมล์กลับเอง

อันที่จริงปั้นก็เกรงใจอยู่ อยากนั่งรถไปกลับเองมากกว่า เขาเคยเสนอไปแบบนั้นเพราะระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนมันไม่ไกลเท่าไหร่นัก แต่อาชลก็ค้านบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ทั้งสองจะเป็นฝ่ายไปรับไปส่งเอง

เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมา เป็นเวลาเกือบหกโมง เด็กๆ ที่รอรถอยู่หน้าโรงเรียนต่างทยอยกันกลับไปก่อนหน้านี้ ในระหว่างที่ปั้นกำลังยืนรอฝนก็ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จากที่ยืนอยู่จนต้องถอยไปชิดกำแพงหลบละอองฝนที่กำลังสาดเข้ามา

ร่างบางกอดกระเป๋านักเรียนพลางใช้มันเป็นที่กำบังลมหนาว บนถนนแทบจะไม่มีรถหลงเหลือสักคัน สองข้างทางก็ว่างเปล่า
เด็กหนุ่มมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วถอนหายใจ

ต้องยืนรอแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่นะ...

เงามืดดำปรากฏอยู่เบื้องหลัง พร้อมกับสายฝนที่สาดเข้ามาเริ่มเบาบางลง

“ยังไม่กลับอีกเหรอ”
เด็กหนุ่มสะดุ้ง อยู่ๆ ก็มีใครบางคนมายืนข้างๆ ในมือถือร่มหนึ่งคันพร้อมกับสภาพของคนที่เพิ่งเล่นกีฬามาหมาดๆ เขาปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกงส่วนกระดุมก็ติดไม่เรียบร้อย

หัวข้อ: Re: Listen to my heart .....♥ 03 ชั่วข้ามคืน
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 12-11-2017 19:07:46
03 ชั่วข้ามคืน






เมื่อชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ วินาทีนั้นปั้นได้ยินเสียงหัวใจตัวเองว่ามันเต้นดังแค่ไหน รอบกายอากาศหนาวเหน็บแต่ทว่าใบหน้ากลับร้อนผ่าว
            “คันเล็กไปหน่อยนะ”
            รดิศแบ่งร่มให้พลางเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า ก้มมองใบหน้าขาว เห็นเพียงเสี้ยวจมูก ปั้นเอาแต่หลบงุดไม่ยอมสบตา
            “อายังไม่มารับเหรอ”
            คำตอบที่ได้เป็นเพียงเสียงอือในลำคอ ปั้นพยักหน้านิดหน่อยก่อนจะมองออกไปยังท้องถนน มันว่างเปล่านานๆ ครั้งถึงจะมีรถผ่านมาสักคัน

“กลับด้วยกันนะ”
            “อะ เอ่อ...ไม่เป็นไร”
            ปั้นกอดกระเป๋ายังยืนยันคำเดิมว่าจะรออยู่ที่นี่จนกว่าฝนแล้งหรือไม่ก็จนกว่ารถเมล์เที่ยวต่อไปจะผ่านมา
            “คงอีกนานเลยล่ะ ท่าทางฝนมันคงไม่หยุดตกเอาง่ายๆ หรอกนะ ฉันรู้จักฟ้าฝนที่นี่ดี”
            ถึงจะเห็นด้วยในคำบอกของเขา แต่ตัวเองก็ยังรั้นจะยืนรอต่อไป ปั้นไม่ใช่ประเภทที่จะท้อกับอะไรง่ายๆ รอแค่นี้มันไม่หนักหนาเลย
            “นายกลับไปก่อนเถอะ...เราไม่เป็นไรจริงๆ”
            “นายไม่เป็นไรแต่ฉันเป็นห่วง...บ้านฉันอยู่ใกล้แค่นี้เดินไปแปบเดียวเดี๋ยวก็ถึง ดีกว่ายืนรอตากฝน เดี๋ยวจะไม่สบายเอาเปล่าๆ”
            “กลับด้วยกันนะปั้น รอฝนแล้งแล้วฉันไปส่งนายที่บ้านเอง” ดิศคะยั้นคะยออีกครั้ง
            ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีว่าว่าจะซาลงจากเดิม ชุดนักเรียนของทั้งคู่เริ่มเปียกไปค่อนครึ่ง รดิศมองคนตัวเล็กกว่ากำลังยืนสั่นเทา เนื่องจากลมหนาวกำลังพัดมา เขาไม่ลังเลในการตัดสินใจ ชายหนุ่มโอบไหล่ของเพื่อนตัวน้อยเข้ามาชิดใต้ร่มคันเดียวกัน ฉุดให้ออกเดินไปโดยไม่สนใจคำทักท้วง

             ปั้นรู้สึกถึงความอบอุ่นจากอ้อมแขนคู่นั้นยามประคองร่างให้ก้าวเดินออกไปพร้อมกัน ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและท้องฟ้ามืดมัว
จะปฏิเสธความอบอุ่นนี้ได้อย่างไร จะปิดกั้นความรู้สึกไม่ให้รู้สึกดีต่อเขาได้อย่างไร...

 

รดิศเปิดประตูรั้วเข้าบ้าน ทั้งหลังตกแต่งคล้ายรีสอร์ท หลังคาทรงแหลมแบบไทยประยุกต์ หน้าบ้านมีบันไดตรงไปบนชั้นสอง ส่วนนอกระเบียงประดับประดาด้วยต้นไม้เต็มไปหมด

            “ไม่มีคนอยู่หรอก พ่อยังไม่กลับจากสิงคโปร์” เขาบอกตอนอีกฝ่ายกำลังชะเง้อมองไปรอบๆ บ้านเพื่อมองหาใครสักคน ตัวเองขอเข้าไปเปลี่ยนชุดระหว่างนี้ก็บอกให้ปั้นทำตัวตามสบาย

            เพราะสภาพที่เปียกเกือบทั้งตัวปั้นจึงตัดสินใจยืนรออยู่นอกชานบ้าน ลมพัดแรงอากาศด้านนอกทำให้หนาวจนตัวสั่น เด็กหนุ่มนั่งย่อลงกับพื้นหลบอยู่ข้างกระถางต้นเฟิร์น
            “ทำไมไม่เข้ามาในบ้าน” รดิศเปลี่ยนชุดเรียบร้อยพร้อมผ้าเช็ดตัวในมือ ถามเสียงเข้มเมื่อกลับมาเห็นปั้นยังรออยู่ที่เดิม
            “เราตัวเปียกแล้ว นั่งรอตรงนี้ก็ได้”
            “ที่ชวนมาที่นี่ก็เพื่อหลบฝน ไม่ใช่ให้มานั่งตากฝน”

            น้ำเสียงติดขุ่นเคืองเล็กน้อยกับใบหน้ายุ่งๆ ของเขาทำให้ปั้นปฏิเสธลำบาก ข้อมือถูกรั้งขึ้นมาอีกครั้ง รดิศพาแขกตัวน้อยเข้ามาในบ้านใช้ผ้าขนหนูที่เตรียมมาคลุมลงบนไหล่ให้ด้วยความเป็นห่วง
            “ดิศ...”
            “อย่าทำเหมือนฉันเป็นคนอื่นคนไกล เรื่องแค่นี้ไม่หนักหนาอะไรเลยสำหรับฉัน”
            “แต่ว่าเรา...”
            “ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเถอะ...ฉันกลัวนายจะไม่สบาย”
            รับรู้ถึงความห่วงใยจากเขา ผ่านทางแววตา น้ำเสียง การกระทำ ความหวังดีจากคนๆ หนึ่งทั้งที่ไม่เคยคิดว่าตนเองจะได้รับ
            “ขอบใจนะ”
            มันคงจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สิ่งที่เขาทำอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่สำหรับใคร แต่กับเด็กที่เติบโตมาเพื่อเป็นภาระของคนอื่นอย่างปั้นแล้ว แค่นี้ก็รู้สึกดีใจเหลือเกิน
            อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็ออกมานั่งอยู่ตรงโต๊ะกาแฟริมระเบียงเพื่อรอฝนหยุดตก เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแต่ทุกอย่างยังคงเดิม ฝนไม่มีทีท่าว่าจะซาลงแม้แต่น้อย
            “เราว่าเราต้องกลับก่อนแล้วล่ะ” ปั้นตัดสินใจบอก หากยังนั่งรอก็ไม่รู้ต้องรอจนถึงเมื่อไหร่
            “ตอนนี้เหรอ จะออกไปยังไง”

            ปั้นเสนอว่าจะออกไปรอมอเตอร์ไซค์จะได้รีบกลับกลัวดึกกว่านี้แล้วอาจะเป็นห่วง
            “ฉันบอกแล้วไงว่าจะไปส่งนายเอง” ฝนตกหนักแบบนี้ขับรถมันอันตราย อีกอย่างเขาไม่อยากเสี่ยงหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะทำยังไง เพราะเป็นห่วงถึงอยากให้รออยู่ที่นี่ ใจจริงอยากให้ค้างด้วยกันเสียเลยมากกว่าแต่ดูท่าแล้วปั้นคงจะไม่ยอม
            “ขอโทรศัพท์หน่อย”
            ปั้นงงงันเล็กน้อยแต่ก็ยื่นให้โดยดี รดิศรับไปแล้วกดโทรหาอาดาว พอฝ่ายนั้นรับสายทั้งคู่ก็พูดคุยทักทายอย่างสนิทสนม โดยที่เขาไม่ลืมขออนุญาตให้ปั้นนอนค้างที่บ้านและดูเหมือนว่าอาดาวจะอนุญาตเสียด้วย
            “ทำไมบอกไปแบบนั้น” ปั้นไม่มีเจตนาจะค้างที่นี่แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจมาตั้งแต่แรกสักหน่อย
ผิดคาดไปหมดรู้สึกว่าเขาทำอะไรตามใจชอบเกินไปแล้ว
            “ไม่เห็นเป็นไร แล้วพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด” รู้สึกเกรงใจ ไม่อยากรบกวนเขานานๆ แค่นี้ก็เกินพอ อีกอย่างปั้นทำตัวไม่ถูกตอนเวลาอยู่กับเขา
            “เราเป็นเพื่อนกันนะปั้น ทำไมชอบปฏิเสธฉันอยู่เรื่อย” น้ำเสียงอ่อนโยนอยากให้คนฟังเห็นใจ เขามีเจตนาดีและอยากช่วยเหลือ
ซึ่งลึกๆ แล้วมันมาจากความเป็นห่วง อยากอยู่ใกล้อยากดูแล

            ร่างบางนิ่งงันกับคำบอกแต่ในสมองกลับคิดทบทวน เพราะในชีวิตไม่เคยพึ่งพาใคร มันเลยแปลกไปสักหน่อยกับการมีใครสักคนเข้ามาทำดีด้วย
แบบนี้มันยิ่งทำให้ใจหวั่นไหว...ถ้าเผลอชอบขึ้นมาจะทำยังไง

 

            ห้องนอนของเขากว้างขวาง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและจัดแบ่งโซนชัดเจนเป็นสัดส่วนเหมาะสำหรับคนทำงานใช้สมาธิอย่างเขา แต่ที่ปั้นชื่นชอบมากที่สุดก็คงจะเป็นภาพวาดตกแต่งตามฝาผนัง มันเป็นผลงานเก่าที่เจ้าตัวบอกว่าส่วนใหญ่เคยได้รับรางวัลในการประกวดมาแล้ว
            “เก่งจัง”
            “ไม่หรอก...ยังต้องฝึกอีกเยอะเลย” เขาอมยิ้มตอนนั่งเขียนรายงานอยู่บนโต๊ะ เหลือบมองร่างบางในชุดของตัวเองเดินสำรวจไปรอบห้องแล้วรู้สึกเพลินตา
อย่างที่เคยบอก ไม่ว่าปั้นจะทำอะไรก็น่ามองไปหมด

            เด็กชายคนนี้มีเสน่ห์ดึงดูดไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม คิดว่าบางทีเจ้าตัวอาจจะยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเผลอทำให้ใครบางคนไม่อาจละสายตาให้มองตามไม่ได้เลย

            อากาศหนาวเหน็บในคืนฝนตก ชายหนุ่มเร่งปั่นงานที่ค้างจนเสร็จสรรพ หันไปมองยังร่างบนเตียงอีกครั้งเห็นอีกฝ่ายหลับไปแล้ว เสี้ยวหน้าหนึ่งท่ามกลางแสงสลัวภายในห้องกว้าง ความคิดแรกที่ลอยเข้ามาในหัว

เขาอยากจะเขียนภาพนี้เก็บไว้...

            ใช้เวลาเพียงไม่นานกระดาษว่างเปล่าในมือก็กลายเป็นรูปเป็นร่าง ลายเส้นละเอียดอ่อนลงแสงและเงาหนักเบาตามความเป็นจริง เป็นการเขียนภาพครั้งแรกที่เขารู้สึกตื่นเต้นและประหม่าอย่างไร้สาเหตุ อันที่จริงอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะกับปั้นแค่คนเดียว
            ใช้ปลายดินสอเก็บรายละเอียดตรงส่วนของเรียวปาก บรรจงแต่งเติมมันจนเสร็จสมบูรณ์ วูบหนึ่งในใจก็เกิดจินตนาการถึงตอนได้เป็นฝ่ายสัมผัสมัน

 

             รดิศรีบปัดความคิดนั่นทิ้งไปทันที ด่าทอตัวเองในใจว่าอารมณ์ส่วนไหนชักนำให้อยากทำอะไรแบบนั้น
แต่พอลองนึกทบทวนในอีกมุมหนึ่ง...ความรู้สึกแรกเริ่มตั้งแต่ตอนที่เราได้เจอกัน

             เขาชอบมองใบหน้าขาวๆ ตอนมันเปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ ชอบเสียงพูดติดๆ ขัดๆ ตอนปั้นรู้สึกไม่มั่นใจ อาการตัวแข็งทื่อทุกทีที่เจอเขา รวมไปถึงแววตาใสบริสุทธิ์ ความเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้ปั้นแต่งหรือแต่งเติมอะไรทั้งสิ้น รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกแบบนั้น

นี่คือสิ่งที่เขามองเห็น..

             ชายหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียงแล้วดึงห่มผ้ามาคลุมร่างให้อย่างเบามือ เนื่องจากอุณหภูมิภายในห้องเริ่มเย็นลงตามสภาพอากาศด้านนอก เฝ้ามองเพื่อนตัวน้อยนอนหลับบนเตียงด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

            ใบหน้าของเขาขยับใกล้เรื่อยๆ ด้วยความตั้งใจ ริมฝีปากได้รูปค่อยๆ ประทับจูบลงไปบนเรียวปากของร่างตรงหน้าแผ่วเบา เป็นครั้งแรกที่เขาขโมยจูบคนอื่นในขณะหลับแบบนี้

รู้ว่าทำเรื่องไม่สมควรแต่อีกใจหนึ่งกลับร้องสั่ง ไม่อาจห้ามใจ ไม่อาจต้านทานความปรารถนา

 
            ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในตัวเมือง สถานที่ที่พวกเขาสามคนชอบนัดเจอกันในช่วงของวันหยุด เพื่อนทั้งสองตั้งใจฟังรดิศที่กำลังเล่าเหตุการณ์บางอย่างให้ฟัง

            “ปกติกูไม่ชอบลักหลับใคร กูทำเฉพาะตอนที่เขาเต็มใจมากกว่า”
            “มึงนี่พูดเหมือนกับว่า...”
            “เออ...กูจูบน้องปั้นของมึงไปแล้ว! ”
 สองเพื่อนซี้สำลักกาแฟในถ้วยจนหาน้ำมาล้างคอแทบไม่ทัน
            “ไอ้เหี้ยดิศ...นี่มึง” นนท์เอากระดาษมาเช็ดปากชี้หน้าด่าเพื่อนด้วยความคาดไม่ถึง หลังจากมันโทรชวนนัดมาเจอกันที่นี่ แล้วเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ฟังตั้งแต่เจอน้องปั้นหน้าโรงเรียนจนถึงชวนไปที่บ้าน

            “มึงจะด่ากูไงก็ช่าง บอกตรงๆ ว่ามันอดใจไม่ได้ มึงเข้าใจมั้ยว่าปั้นน่ารัก ที่สำคัญกูไม่เคยรู้สึกพิเศษแบบนี้กับใคร”
            “แล้วน้องปั้นเขารู้รึยังวะ”
            “คิดว่าไม่...ตอนเช้าไปส่งก็ไม่เห็นมีไรผิดปกติ”
            รดิศนั่งพิงพนักเก้าอี้สีหน้าครุ่นคิด เหตุการณ์เมื่อเช้า ตอนเขาไปส่งปั้นที่บ้านฝ่ายนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการหรือมีพิรุธอะไรให้เห็น พูดคุยกันปกติ
คิดว่าปั้นคงไม่รู้ว่าเมื่อคืนเขาทำอะไรลงไปบ้าง ซึ่งนั้นก็ดีแล้ว
            “กูแนะนำให้มึงบอกไปเลยตรงๆ ทำแบบนี้ไม่แมน กูไม่เห็นด้วย”บีมกอดอกพูดจาด้วยท่าทางสบายๆ ในเมื่อเพื่อนเขาออกจะชอบน้องปั้นซะขนาดนี้ จะรออะไรอยู่ถ้าชอบก็อยากให้รีบบอกไป
            “เรื่องนั้นพวกมึงไม่ต้องห่วง กูทำแน่ แต่ปั้นจะชอบกูรึเปล่านี่สิ”
            “มึงเคยกังวลเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอวะ” จอมยียวนกวนประสาทชอบชักใบให้เรือเสีย ดิศหันไปมองหน้านนท์อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ปากมันที่พูดอยากเอาช้อนไปอุดให้นัก
            “เออ...ยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่กูไม่มั่นใจ”สำลักครั้งที่สองเป็นเสียงหัวเราะของสองเพื่อนแสบดังลั่นร้าน สีหน้าของเจ้าตัวตอนยอมรับความจริงเห็นแล้วชวนขำสุดๆ
            “กูเครียดอยู่นะเว้ย พวกมึงสนุกอะไรกันนักหนาวะ” อยากเอาอเมริกาโน่ในแก้วสาดหน้าพวกมันทั้งสองคน จะได้หุบปาก เงียบเสียง หรือไม่ก็หยุดหัวเราะเขาสักที
            “ตอนทีเผลอละถนัดนักนะมึง”
            “ไอ้นนท์มึงพอ”
            ถือเป็นกาแฟยามบ่ายที่ครื้นเครงมากเลยทีเดียวนอกจากเขาจะได้ระบายสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมา พวกมันสองคนก็ยังช่วยเสริมความมั่นใจให้เขาได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ

หลังจากนี้คิดว่าตัวเองจะบอกชอบปั้น อีกฝ่ายจะคิดอย่างไรนั้นมันก็เป็นเรื่องของอนาคต

 

            น้องเดียร์เคาะประตูเรียกอยู่หน้าห้อง วันนี้ตัวเองไม่ต้องไปเรียนพิเศษเพราะแม่บอกว่ามีนัดทานข้าวกับคุณพิมพ์ เจ้าของโรงแรมรีสอร์ทชื่อดังในภูเก็ตจึงอยากชวนเขากับพี่ปั้นไปด้วยกัน

            “พี่ปั้นแต่งตัวเสร็จรึยัง แม่ให้มาตาม” เดียร์ไม่เข้าใจแม่หรอกว่าทำไมคราวนี้ต้องชวนพี่ปั้นไปด้วย ปกติก็ไม่เคยเห็นแม่อยากพาพี่ปั้นไปไหนเลยนอกจากคอยรับคอยส่งที่โรงเรียน

            ประตูเปิดออกพร้อมร่างของพี่ชายในชุดเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงขาสั้นธรรมดา เด็กตัวเล็กกว่ามองตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าตาพี่ปั้นก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร แต่ทำไมไม่รู้จักแต่งตัวให้มันดูดีกว่านี้
            “ไม่มีชุดที่ดีกว่านี้แล้วเหรอพี่” คำถามนี้ของน้องทำเอาคนที่ยืนอยู่หน้าซีดชาไปเลยทีเดียว ปั้นพูดไม่ออก จะบอกว่าที่หาดีได้ที่สุดก็มีเพียงเท่านี้ จะเอาอะไรจากเด็กขออาศัยบ้านของคนอื่นอยู่ไปวันๆ อย่างเขาล่ะ

            น้องเดียร์มองหน้าพี่ปั้นแล้วส่ายหัว ตัวเองก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกันนอกจากลากแขนพี่ชายให้เดินตามมาที่ห้อง ไม่ใช่ว่าอยากทำดีด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นพวกชอบสงสาร แต่พ่อก็เคยสอนเสมอว่าควรมีน้ำใจกับคนอื่นบ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี
            “ยืมของเดียร์ไปก่อนละกัน” เดียร์เปิดตู้เสื้อผ้าเลือกหยิบชุดที่คิดว่าพี่ปั้นคงใส่ได้พอดี เราสองคนขนาดตัวก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก เรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหา
            “ขอบใจนะ”
            “ไม่ต้องหรอก แค่เดียร์ไม่อยากขายหน้า”
            เด็กชายกอดอกยืนรอพี่เปลี่ยนชุด เพราะนี่เป็นนัดสำคัญ แต่งกายก็ควรให้เกียรติคนที่จะไปเจอ อีกอย่างคนที่แม่จะไปพบก็ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน อยู่ในสังคมก็ต้องหัดเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง

ทั้งสามคนออกมาทานข้าวยังห้องอาหารหรูของรีสอร์ทคุณพิมพ์ตามคำเชื้อเชิญ วันนี้อากาศแจ่มใสท้องฟ้าโปร่ง ไร้เมฆบดบังแตกต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง
            พื้นที่รีสอร์ทตั้งอยู่บนแหลมสูงมองไปเบื้องล่างเห็นท้องทะเล ปั้นเอาแต่สนใจภาพตรงหน้าจนลืมความหิวไปชั่วขณะ พวกผู้ใหญ่เขาคุยอะไรกันปั้นไม่เห็นจะรู้เรื่อง จนถึงคราวน้องเดียร์สะกิดนั่นแหละถึงจะรู้ตัว

“คุณพิมพ์เขาถามว่าอายุเท่าไหร่ ก็ตอบไปสิปั้น” อาดาวหันมาบอกย้ำ ส่วนปั้นได้แต่ยิ้มแก้เก้อให้คุณพิมพ์เพราะเอาแต่เหม่อไม่ได้ฟังที่เขาพูดกัน
            “อ...เอ่อ สิบแปดปีครับ”

“หล่อน่ารักเหมือนพี่เปรมไม่มีผิด วันหลังอยากมาเที่ยวที่นี่ก็มาได้เสมอเลยนะ พูดถึงพ่อเราแต่ก่อนเขาดีกับอามากจริงๆ เห็นหนูวันนี้อาก็เลยนึกถึง”

“ขอบคุณครับ”   

“คุณดาวโชคดีนะคะที่มีลูกมีหลานน่ารักแบบนี้” คุณพิมพ์ยังชมไม่หยุดงานนี้อาดาวได้หน้าไปเต็มๆ สังเกตได้จากรอยยิ้มพึงพอใจบนแก้มกับแววตาเปี่ยมสุข ปั้นพอจะเดาทั้งหมดออกว่าทำไมคราวนี้ตัวเองถึงถูกพามาที่นี่
            “ค่ะ ลูกพี่ชายก็เหมือนลูกตัวเอง ดิฉันเต็มใจที่จะได้ช่วยเหลือ”

 

            “แม่จะพาพี่ปั้นไปซื้อชุดใหม่เหรอ” ลูกชายโพล่งเสียงดังเมื่อแม่เลี้ยวเข้าลานจอดรถของห้างในตัวเมือง หลังจากขับรถกลับจากรีสอร์ทคุณพิมพ์แม่ก็ดูอารมณ์ดีมาตลอดทาง
            “ก็ดูสภาพมันสิ มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่กับเขาที่ไหน”
            “ไม่เป็นไรหรอกครับอา ปั้นพอจะมีชุดอื่นอยู่บ้าง”
            “เงียบไปเลยพี่ปั้น” น้องเดียร์หันมาแหวใส่ จัดการตกลงกับแม่เสร็จสรรพบอกว่าจะเป็นคนพาพี่ปั้นไปเอง แม่อยากไปนั่งร้านทำผมก็ตามสบายส่วนตัวเองไม่อยากรอ   

            เด็กตัวเล็กลากแขนพี่ชายเข้าร้านแบรนด์ประจำของตัวเอง น้องเดียร์พาพี่ปั้นมาหยุดอยู่ตรงแผนกเสื้อ หยิบจับตัวนั้นตัวนี้มาลองทาบ จะว่าไปแล้วหุ่นของพี่ปั้นก็ดูดีอยู่ไม่น้อย ใส่ตัวไหนๆ ก็เข้ากันไปหมด รูปร่างไม่เก้งก้างเหมือนผู้ชายทั่วไป ส่วนสูงเหมาะสมกับขนาดตัวถึงจะไม่สูงเท่าพี่ดิศ แต่พี่ปั้นก็จัดได้ว่าน่ารัก ถ้าเป็นนายแบบก็น่าจะโอเค
            “มันแพงไป...พี่ว่าเราไปหาซื้อที่อื่นกันก็ได้”
            “ทำไมพี่ปั้นชอบพูดอะไรน่ารำคาญ แม่อนุญาตแล้วพี่จะเรื่องมากทำไม”
            ปั้นไม่พูดอะไรต่อจากนั้น ปล่อยให้น้องชายหยิบจับโน่นนี่ตามอำเภอใจ ตัวเองมีหน้าที่เข้าไปลองตามคำสั่ง ถูกใจน้องเดียร์ตัวไหนเขาก็เลือกตัวนั้นเพื่อเป็นการตัดปัญหา

            สองพี่น้องช่วยกันถือของออกจากร้าน ผ่านไปร่วมชั่วโมงข้าวของที่ได้เต็มไม้เต็มมือไปหมดปั้นไม่คิดว่าตัวเองจะใช้จ่ายเงินครั้งไหนซื้อของสุรุ่ยสุร่ายได้เท่าวันนี้มาก่อน รู้สึกไม่สบายใจกับเงินทั้งหมดของอาดาวที่เสียไป แต่พอไปเห็นสีหน้าสบายอารมณ์ของน้องเดียร์แล้วก็ได้แต่คิดว่า นี่คงจะเป็นเรื่องปกติของฝ่ายนั้นไปแล้วก็ได้
            “ไปดูรองเท้า”
            “พอแล้วน้องเดียร์...พี่ว่านี่มันก็เยอะแล้ว”
            “พี่ปั้นไม่ชอบรึไงของฟรี เดียร์ว่าพี่น่าจะดีใจมากกว่านะ” พี่ชายส่ายหัวบอกว่าไม่สบายใจถ้าจะรับมันไว้ทั้งหมด อีกอย่างเงินรายวันที่ได้รับจากอาชลทีก็เพียงพอแล้ว สะสมวันละนิดละหน่อยก็พอจะเอาไปทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง
            ทั้งคู่เดินฆ่าเวลาอยู่ในห้างเพื่อรออาดาวซึ่งยังอยู่ในร้านทำผม น้องเดียร์จึงได้โอกาสชวนคุย
            “ขอถามอะไรหน่อยสิ...พี่ปั้นเป็นเพื่อนกับพี่ดิศได้ยังไง” ทำไมอยู่ๆ พี่ดิศก็ชวนไปค้างที่บ้านแล้วก็อาสามาส่งให้ ทั้งที่ปกติพี่ดิศมักจะไม่ค่อยมีเวลา แต่พอพี่ปั้นมาอยู่ที่นี่ก็ดูเหมือนอะไรๆ เริ่มเปลี่ยนไป

แค่อยากรู้ว่าสนิทสนมกันแบบไหน...
            “อ เอ่อ...เราบังเอิญเจอกันตอนเปิดเรียนวันแรก” พี่ชายแก้มเปลี่ยนสี ท่าทางตื่นๆ เมื่อถูกถามถึงใครอีกคน
            “พี่คิดว่าพี่ดิศเขาเป็นคนแบบไหนเหรอ” คนถูกถามเดาใจอีกฝ่ายไม่ออกไม่รู้ว่าน้องชายมีเจตนาไหนกันแน่ ดวงตากลมโตคู่นั้นสะท้อนความรู้สึกบางอย่างที่ตนเองก็ไม่แน่ใจนัก ปั้นหลบตาเบือนหน้าไปอีกทาง ทำทีเปลี่ยนเรื่อง
            “พี่ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
            “เดี๋ยวก่อนพี่ปั้น” ข้อมือถูกรั้งไว้ เด็กชายตัวเล็กกว่ายิ้มนัยน์ตาเจ้าเล่ห์
            “พี่ดิศเขาค่อนข้างจะเจ้าชู้นะครับ พี่ปั้นคิดเหมือนกันมั้ย” น้ำเสียงเย็นเยียบแฝงไปด้วยความหมาย ปั้นได้แต่พยักหน้าก่อนจะขอตัวออกมา

เด็กหนุ่มรีบล้างหน้าล้างตาเพื่อต้องการลบภาพบางอย่างไปจากความคิด รวมไปถึงประโยคนั้นของน้องเดียร์ด้วยเช่นกัน
ได้แต่เตือนตัวเองถึงเหตุการณ์เมื่อคืนว่ามันไม่มีอะไรเกินขึ้นทั้งนั้น ปั้นก็แค่คิดและรู้สึกไปเอง...

            น้องเดียร์เป็นเด็กฉลาดใครรู้สึกอย่างไรกับพี่ชายตัวเองก็คงไม่รอดพ้นจากสายตา ทั้งที่พยายามนิ่ง เก็บอาการแต่กลับถูกทำให้จนมุมจนได้

แล้วจะซ่อนมันไว้ได้อีกนานแค่ไหนกัน

ตอนเย็นระหว่างอยู่รออาดาวที่โรงเรียน ปั้นเดินออกมาจากห้องสมุดเจออาจารย์สมปองอยู่หน้าห้องก็ถูกเรียกตัวไว้ก่อน อาจารย์บอกให้เขาตามไปพบที่ห้องประชุมเล็ก ปั้นตั้งใจจะปฏิเสธแต่กลับถูกอ้างเรื่องทุนการศึกษา คราวนี้ไม่มีแพรวเป็นเพื่อนเหมือนครั้งก่อน เขารู้สึกไม่วางใจเพราะท่าทางอาจารย์คงมาดักรอเจอเขาอยู่ก่อนแล้ว ช่วงเลิกเรียนเด็กเริ่มน้อยเสียด้วย คงไม่มีใครอยู่อย่างเช่นทุกที ทำไมทุกอย่างถึงไม่เข้าข้างเขาเลย
            “อาจารย์เรียกผมมามีอะไรรึเปล่าครับ” เด็กหนุ่มเปิดประเด็นถาม ระมัดระวังตัวและเลือกยืนห่างๆ อาจารย์ไว้

“ฉันจะแจ้งข่าวดีเรื่องทุนน่ะ”

“ครับ”

“ทางผู้ใหญ่เขาอนุมัติเรียบร้อยแล้วล่ะนะ เข้าไปสิ รีบไปขอบคุณท่านซะ”

ภายในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ผู้ชายวัยสามสิบต้นๆยืนอยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นผู้มาใหม่ยืนไหว้ทำความเคารพ

“ทุกๆ เดือนฉันจะโอนเงินไปทางบัญชีของนาย”

“ครับ” เด็กหนุ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลเมื่อถูกสายตาของผู้ชายตรงหน้าโลมเลียไปทั่วร่างกายแบบนั้น เขารีบอ้างว่าได้เวลาคนที่บ้านมารอรับ โอกาสนี้จึงขออนุญาตกลับก่อน
            “เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหน” นัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อรู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกสวมกอดจากทางด้านหลัง ในวินาทีนั้นปั้นตกใจจนตัวสั่นร้องตะโกนออกมาแต่กลับถูกฝ่ามือปิดปากไว้ได้ทัน
            “เงียบซะ ถ้าไม่อยากมีปัญหาทีหลัง” น้ำเสียงนั่นไม่ใช่เพียงแค่คำขู่แต่กลับเตือนถึงเรื่องราวร้ายแรงหลังจากนั้นที่อาจจะตามมา ถ้าเรื่องเกิดเล็ดรอดออกไปคนเดือดร้อนนั่นก็คือตัวเขาเอง

ร่างบางหายใจเข้าออกพยายามรวบรวมสติ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน มันจะต้องมีทางออก เขาจะต้องรอดพ้นไปได้
            “กลิ่นตัวหอมดีนะเรา” ชายคนนั้นกำลังฝังจมูกสูดดมไปตามซอกคอขาวเนียน พูดด้วยน้ำเสียงหื่นกระหาย อ้อมแขนรัดแน่นขึ้นทั้งตัวแนบติดจนปั้นรู้สึกขยะแขยง เด็กหนุ่มดิ้นรนเบี่ยงหลบทุกวิถีทาง วินาทีนี้ไม่เกรงกลัวอะไรอีกแล้วต่อให้อีกฝ่ายเป็นที่ได้ชื่อว่าเป็นหลานของผู้มีพระคุณก็เถอะ ในเมื่อทำเรื่องเช่นนี้ก็ไม่สมควรจะมาเคารพกันอีกต่อไป

                ปั้นเหยียบลงบนหลังเท้าของชายผู้นั้นอย่างสุดแรงแล้วอาศัยโอกาสหลบมา ได้ยินเสียงสบถด้วยความโกรธ รู้ว่าหากถูกจับได้อีกครั้งปั้นคงไม่ถูกปล่อยให้หลุดมือออกมาได้ง่ายแน่ คิดดังนั้นก็รีบตรงไปยังประตูวิ่งหนีอย่างเร็วที่สุด
            “คิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ” ร่างบางถูกกระชากคอเสื้อจากทางด้านหลัง ทั้งตัวถูกเหวี่ยงไปชนขอบโซฟาด้วยแรงมหาศาล
            “อ้ะ! ”
            “ยอมแต่แรกก็สิ้นเรื่อง” ร่างสูงใหญ่ตรงดิ่งเข้ามาหา ปาริชาตหัวใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว ครั้งนี้ดูไร้ความหวังเหลือเกิน เมื่อประตูถูกล็อคจากทางด้านใน ต่อให้ร้องขอความช่วยเหลือคงไม่มีใครเข้ามาได้และนั่นก็ไม่ต่างอะไรจากการประจานตัวเอง
            “ผมขอร้อง ปล่อยผมไปเถอะครับ”
            “ทำไม อย่างฉันมันน่ารังเกียจตรงไหน เงินทองก็มีให้พร้อม อยากได้อะไรล่ะ หืม ?”
            มือหยาบกร้านกดไหล่เล็กจนสุดแรงจนเอนราบลงไปกับโซฟา ปั้นฝืนกายหนีห่างอย่างสุดกำลังแต่กลับสู้เรี่ยวแรงของผู้ชายตรงหน้าไม่ได้เลย

เด็กหนุ่มหวาดกลัวจนตัวสั่น เมื่อกระดุมเม็ดแรกถูกปลดออก ในหัวอื้ออึงไปหมด
            “เด็กฉลาดเขาไม่ร้องไห้ฟูมฟายกันหรอก...ยอมซะเถอะ แล้วฉันจะเลี้ยงดูส่งเสียให้เรียนสูงๆ เอง”
          “เก็บเงินของท่านไว้ส่งเสียลูกที่บ้านเถอะครับ”

            ประตูถูกเปิดพร้อมลูกบาสตกกระแทกกับตู้เหล็กเสียงดังสนั่น หนุ่มร่างสูงเข้ามายืนอยู่กลางห้องมองการกระทำของคนที่เป็นหนึ่งในตระกูลเครือญาติของผู้ก่อตั้งโรงเรียนอย่างเอาเรื่อง
            “ตกใจอะไรกันครับ...ไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาได้หรือตกใจที่มีคนมาเห็นพฤติกรรมชั่วๆ ของตัวเอง”
            “ดิศ!” เสียงสั่นเครือเอ่ยเรียกผู้มาใหม่ด้วยความดีใจ 
            “ปล่อยมือออกจากเพื่อนผม ถ้าคุณยังไม่อยากให้เรื่องนี้รู้ถึงหูคนอื่นๆ”
            เขาฮึดฮัดแต่ยอมทำตามโดยดี มองหน้ารดิศด้วยแววตาโกรธแค้น ก่อนหันมาสำรวจเรือนร่างขาวนวลนั่นอีกครั้งอย่างนึกเสียดาย
            “เรื่องมันจะไม่จบแค่นี้แน่” เขากระซิบให้ได้ยินเพียงสองคนก่อนรีบออกไปจากห้อง
ปั้นหน้าถอดสีด้วยความเกรงกลัว ยืนตัวเกร็งทื่อราวหุ่นกระบอก
             เหตุการณ์วันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ตัวเองไม่ได้เข้มแข็งจริงๆ อย่างที่พ่อเคยสอน ทั้งที่กำหมัดแน่นไว้ตลอดเวลาแต่ก็ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรลงไปสักอย่าง
ไม่ได้เรื่องเลย...

 

“ปั้น” ร่างสูงสวมกอดร่างที่ยืนน้ำตาซึมไว้ในอ้อมแขน พูดจาปลอบประโลมหวังหยุดน้ำตาที่กำลังไหลออกมา

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” คนตัวเล็กกว่าพยักหน้าเบาๆ พลางเช็ดน้ำตาตัวเอง เหตุการณ์ครั้งนี้ปั้นจะไม่มีวันลืมเด็ดขาดว่าใครที่เข้ามาช่วยเหลือ

ขอบคุณเหลือเกิน   

“กลับกันเถอะ” เขาจูงมือเพื่อนตัวเล็กให้เดินออกไปพร้อมกัน รดิศไม่พูดถึงเหตุการณ์ก่อนนั้นอีกเลย เขาปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปส่งปั้นที่รถ ยืนคุยกับอาดาวอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะขอตัวกลับ

             วันนี้ไม่เห็นรอยยิ้มของปั้นเหมือนเช่นทุกที เขาเองก็พาลรู้สึกไม่ดีไปด้วย…

 
 


______________________________

ต่อด้านล่างจ้า^^
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 03 : ชั่วข้ามคืน
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 12-11-2017 19:10:30


              ปั้นตกใจกับจำนวนเงินสองหมื่นบาทในบัญชีของตัวเอง ในระหว่างคิดทบทวนว่านั่นอาจจะเป็นความผิดพลาดของระบบหรืออะไรสักอย่างแน่ๆ โทรศัพท์ก็มีสายเข้าจากเบอร์ไม่คุ้นเคย ตัดสินใจกดรับและเสียงที่ตอบกลับมานั้นเขาจำได้ทันที
              “ได้รับเงินเรียบร้อยแล้วสินะ”
             “มันคืออะไรครับ…”
             “เงินที่นายจะได้รับในทุกเดือนๆ ยังไงล่ะ”
             “ขอโทษนะครับ คือว่าผมคงต้องขอปฏิเสธเงินนี้”
             “ไม่คิดว่านี่เป็นโชคดีของเธอเหรอ ที่มีคนใจดีอยากช่วยเหลือ”
            เด็กหนุ่มกำโทรศัพท์แน่นรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ กดตัดสายจากชายผู้นั้นก่อนจะรีบตรงเข้าไปในโรงอาหาร เช้านี้เป็นอีกวันที่ตนเองรู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ของคนอื่นเมื่อตอนมองมา บ้างจับกลุ่มคุยกันทันทีที่เจอเขาเดินผ่าน

            ปั้นซื้อขนมเก็บไว้เผื่อตอนกลางวัน เพราะช่วงนี้ไม่อยากทานมื้อเที่ยงในโรงอาหารสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะไม่อยากเห็นสายตาของคนรอบข้าง และไม่อยากได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง ตอนเดินมาหยุดหน้าประตูห้องเรียน ทุกคนมองเขาเหมือนตัวประหลาด จากเสียงหัวเราะสนุกสนานพร้อมเพรียงกันเงียบลงตั้งแต่ที่ทุกคนเห็นเขา มันเปลี่ยนไปจากเดิมในวันแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องเรียนนี้ ไม่มีอีกแล้วรอยยิ้มและคำพูดทักทายเหมือนเมื่อก่อน

               ความรู้สึกคล้ายเป็นส่วนเกินบีบบังคับให้เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ข้อมือถูกใครบางคนฉุดออกไป ปั้นหันมองและดีใจอย่างถึงที่สุดเมื่อรู้ว่าเป็นแพรว

             “นายไม่ได้นอนกับเอ่อ...หลานของคุณวิสุทธิ์ใช่มั้ย? ”
             “อะไรนะ” ปั้นเห็นสีหน้าท่าทางจริงจังของเพื่อนแล้วพอจะเข้าใจทุกอย่าง แพรวเล่าให้ฟังว่าตอนนี้คนทั้งโรงเรียนมีแต่คนพูดถึงเรื่องนี้ บ้างก็ตีความไปเองจนมั่วไปหมด หลายคนหลงเชื่อไปกับเรื่องบ้าบอพวกนั้น
             “แค่บอกมาว่ามันไม่จริง ฉันเชื่อนาย”
             “เราไม่ได้ทำแบบนั้น”
             “ถ้างั้น ก็ไม่ต้องไปสนใจที่คนอื่นเขาพูด” ในคาบเรียนนอกจากแพรวแล้วก็ไม่มีใครยอมคุยกับเขาสักคน ไม่เพียงแต่ถูกเบือนหน้าใส่แต่ทุกคนปฏิบัติกับเหมือนเขาเป็นตัวน่ารังเกียจ

            สัญญาณพักเที่ยงแต่ปั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะ แพรวชวนไปโรงอาหารด้วยกันเขาก็ปฏิเสธ โรงเรียนที่เคยคิดว่าน่าอยู่กลับเป็นสถานที่คอยสร้างความทรงจำอันโหดร้าย บอกตัวเองเสมอว่าต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอให้ใครเห็น ต่อให้ข้างหน้าเป็นภูเขาสูงสักเท่าไหร่ ต้องเดินข้ามผ่านมันไปให้ได้ เพื่อเจอสิ่งที่ดีกว่า มันอาจมืดมัวมองไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม ขอแค่ใครสักคนยอมเชื่อใจ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

 

 

            เวลาเลิกเรียนปาริชาตรีบตรงกลับบ้าน วันนี้เขาไม่อยากรออาดาวมารับเหมือนเช่นทุกวัน สภาพแวดล้อมต่างออกไป คนในโรงเรียนก็เช่นกัน เมื่อข่าวคราวเริ่มรั่วไหลใครๆ ก็พากันมองเขาและนินทาว่าร้ายด้วยถ้อยคำต่างๆ นานา มันโหดร้ายยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น มากมายจนไม่อาจทนไหว

             “จะรีบไปไหน” เสียงเข้มๆ เอ่ยทัก เมื่อเขาเดินผ่านรถคันหนึ่ง ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับเขาว่าต้องรีบหนีไป
             “ไม่คิดจะตอบแทนกันก่อนเหรอ” ชายคนเดิมเข้ามาล็อคตัวเขาไว้จากทางด้านหลัง ไม่รอช้ารีบดึงตัวปั้นไปยังรถ โดยมีคนขับเปิดประตูรอไว้ก่อน
             “ปล่อยผม! ”
             “ไปคุยกันบนรถดีกว่าน่า”
             “คุณพล ไม่เอา ปล่อยผมเถอะครับ” ปาริชาตออกแรงเตะต่อยราวกับคนบ้าคลั่ง ในสมองสั่งการเพียงว่าอย่าไปกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า แต่ก่อนเขาเคยรอดมาจากเงื้อมมือของลุงได้อย่างไร ครั้งนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้น
             “เงินก็ได้ไปแล้วยังจะอะไรอีกห้ะ”
             “คุณพูดเรื่องอะไร”
            ใครก็ได้ช่วยอธิบายให้กระจ่างที สิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไรกันแน่ ปั้นปฏิเสธเงินนั้นไปแล้ว
             “ก็สองหมื่นบาทที่ฉันเพิ่งโอนไปเมื่อเช้าไง จำไม่ได้เหรอ”
             “เงินนั่น แต่ผมปฏิเสธมันไปแล้ว”
             “ปฏิเสธได้ยังไง ในเมื่อนายรับเงินนั่นไปแล้ว เด็กน้อย” คราวนี้ร่างสูงใหญ่กลับเริ่มเข้ามาใกล้ ปั้นถูกจับขึ้นมานั่งบนตักแล้วถูกสวมกอดแน่นอย่างคนหื่นกระหาย
             “ผมจะเอามันมาคืน ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้” ทั้งร้องทั้งตะโกนแค่ไหนแต่ก็ไม่มีใครยอมฟังเสียง
             “ไอ้ชิต ออกรถ”
            สิ้นเสียงสั่งคนขับรถก็รีบทำตามโดยทันที คราวนี้ปั้นถูกพาออกไปยังนอกตัวเมือง ลัดเลาะไปตามตรอกซอยต่างๆ ที่ไม่คุ้นตา
             “ปล่อยผม! ”
             “เงียบ..ถ้ามึงยังไม่อยากเจอดี” รถหยุดลงหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะถูกพาเข้าไป เขาต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง

...กระเป๋านักเรียน

จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเอาเสื้อไปนั่งปักชื่อที่โรงเรียน แน่นอนว่าในนั้นยังคงมีกล่องเข็มเย็บผ้าติดอยู่ ปั้นล้วงมันเข้าไปควานหาอยู่ไม่นานก็เจอ
            อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังซุกใบหน้าลงกับร่างกายของเขา หยิบเข็มหมุดที่ปักอยู่บนหมอนกดลงให้ส่วนปลายแหลมโผล่ออกมา สบโอกาสตอนมันเปิดประตูลงไปใช้จังหวะนั้นเอาเข็มทิ่มลงไปที่แขนหลายสิบครั้ง โดยไม่สนใจว่าจะสร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายมากแค่ไหน   
             “โอ๊ยกูเจ็บนะ...ไอ้เด็กเวรนี่”
            เสียงคำรามในลำคอด้วยความเจ็บปวดกับร่องรอยบาดแผล ถึงไม่ลึกมากนักแต่มันก็ได้ผลเป็นอย่างดี เมื่อถูกปล่อยตัวเป็นอิสระเด็กหนุ่มก็รีบกระโดดลงจากรถ
             “ไอ้ชิต รีบไปจับตัวมันมา”
            ยิ่งได้ยินเสียงสั่งของฝ่ายนั้นปั้นก็รีบวิ่งหนีอย่างสุดกำลังโดยไม่หันมองด้านหลัง ได้ยินฝีเท้าที่เริ่มกระชั้นเข้ามาก็เร่งฝีเท้าหนักยิ่งกว่าเก่า คิดเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าต้องวิ่งหนีไปไกลแค่ไหนเขาจะต้องรอดพ้นจากคนพวกนั้นให้ได้ ปั้นหลบซ่อนตัวตามบ้านเรือนของชาวบ้านละแวกนั้น อาศัยหลังคาต่ำๆ หลบหนีจากการตามหา

            รอเวลาผ่านไปเนิ่นนานเมื่อรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยแล้วถึงได้ออกมาจากที่ซ่อน
โชคดีที่ยังคงมีเงินเหลือติดในกระเป๋าอยู่บ้างไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาทางกลับยังไง กว่าจะหาทางเดินออกมาที่ถนนใหญ่ก็มืดค่ำแล้วและที่โชคดียิ่งกว่านั้นก็คือเขาออกมาทันรถเที่ยวสุดท้ายพอดี

   

            “ทำไมกลับเอาดึกป่านนี้ห้ะ”

            ได้ยินเสียงอาดาวทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน ปั้นรู้สึกผิดที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วง และไม่อยากเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มาเล่าให้ใครฟัง 
            “ปั้นขอโทษที่ไม่ได้โทรบอกก่อนหน้านี้ครับอา”
            “แกจะไปไหนฉันไม่ว่า จะดึกแค่ไหนฉันก็ไม่ห้ามแต่ให้มันรู้ซะบ้างว่าอยู่บ้านใคร ไปไหนมาไหนก็หัดบอกกันก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้รอเดือดร้อนกันทั้งบ้านแบบนี้”
            “ปั้นขอโทษ...”
            “ไม่เท่าไหร่ก็ท่าจะเลี้ยงยากแล้วนะแกน่ะ ชักจะเหลิงขึ้นทุกวัน ถ้าพอใจคิดทำอะไรตามใจชอบก็ให้ออกไปอยู่ที่อื่น ฉันไม่อยากได้เด็กแบบนี้มาเลี้ยงไว้ให้เป็นภาระ” คำพูดของอาดาวทำเอาร่างที่ยืนอยู่น้ำตาเอ่อล้นออกมาโดยไม่รู้ตัว ยิ่งคำสุดท้ายที่ย้ำว่าตัวเขาเป็นภาระของคนในบ้านนี้แล้วยิ่งทำให้เขาน้อยใจ

            “แม่กับผมนั่งรอพี่ปั้นหน้าโรงเรียนตั้งเป็นชั่วโมง ให้คนไปตามก็บอกว่าเห็นพี่ปั้นออกไปกับใครที่ไหนก็ไม่รู้” น้องเดียร์กอดอก กล่าวโทษที่พี่ปั้นหายไปแล้วทำให้คนอื่นเขาวุ่นวายกันไปหมด
            “พี่ดิศก็มารอที่บ้านตั้งแต่เย็น ว่าแต่พี่ปั้นเถอะครับหายไปไหนมากันแน่”
            “ป..เปล่า” เขาพูดไม่ออก ยิ่งรู้ว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วยแล้วก็รู้สึกผิด แต่จะทำอย่างไรในเมื่อเขาเองก็เพิ่งเจอกับเหตุการณ์ไม่ดีมาเช่นกัน

“เดียร์พอจะรู้นะว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียน อย่างพี่ปั้นลำพังแค่เงินของพ่อเดียร์ที่ให้ก็เหลือเฟือแล้วไม่ใช่เหรอครับ รู้จักเก็บเล็กเก็บน้อยก็เอาไปทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง ที่หายไปตั้งนานแบบนี้หวังว่าคงไม่ใช่เพราะเงินสองหมื่นนั่นหรอกนะครับ”
            ทั้งร่างแทบทรุดลงกับพื้น สองขาไร้เรี่ยวแรงกับคำพูดของน้องชายที่เอาประโยคที่เขาเคยพูดไว้มาย้อนถาม

เพราะเงินตัวเดียวที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปทุกอย่าง...

 

 

“ผมขอคืนเงินครับ”

            ปาริชาตเปิดประตูเข้ามาในห้องพักอาจารย์ วางเงินจำนวนสองหมื่นบาทลงกับโต๊ะเพื่อยุติเรื่องราวทุกอย่าง
             อาจารย์สมปองคลี่แบงค์สีเทาออกมานับทีละใบ แววตาเจ้าเล่ห์จ้องมาที่ร่างเด็กตรงหน้าไม่วางตา “คิดว่าเงินแค่นี้เป็นวิธีที่จะจบทุกอย่างได้งั้นเหรอ”
             “แต่นั่นคือทั้งหมดที่ผมได้รับมา” ปั้นเถียงกลับทันที รู้สึกสิ้นหนทางทั้งๆ ที่ตั้งใจจะยุติปัญหาแต่ดูท่าแล้วเรื่องมันคงไม่จบง่ายๆ อย่างที่คิด
            “อย่าลืมสิว่าทำบ้าอะไรไว้ คิดว่าคืนเงินไปแล้วเรื่องมันจะจบง่ายๆ สินะ”

“แล้วอาจารย์จะให้ผมทำยังไง ก็ในเมื่อเขา..”
            “เฮอะ ไปขอโทษคุณพลเขาซะ” อาจารย์สมปองลุกจากเก้าอี้ เขาเดินอ้อมมาหยุดลงเบื้องหลังแล้วกระซิบด้วยเสียงแหบพร่า ทำเอาร่างที่ยืนอยู่สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
            “ถ้ายังไม่อยากให้ข่าวมันรั่วออกไปมากกว่านี้”
            ร่างบางปล่อยให้น้ำตารินไหลอยู่แบบนั้นพร้อมกับลมหายใจเข้าออกถี่รัวพยายามสะกดความขมขื่นไว้ภายใน
            ปั้นไม่เคยคิดจะเอาตัวเข้าแลกกับเงิน ไม่เคยคิดจะทำดั่งคำที่ใครเขาว่า...

            เสียงเคาะประตูห้อง ทำให้อาจารย์ร้อนรนตาลีตาเหลือก ชี้สั่งให้เด็กในห้องรีบออกไปและห้ามเอาเรื่องนี้ไปพูดกับใครเด็ดขาด

            ปั้นรีบเปิดประตูออกไปแต่ที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด นั่นก็คือรดิศและบรรดาเพื่อนๆ ในห้องของเขา ทุกคนหันมองปั้นเป็นตาเดียว

            สิ่งหนึ่งที่เจ็บปวดที่สุดเมื่อได้เห็นก็คือสายตาแสดงออกถึงความผิดหวังบนดวงตาสีเข้มคู่นั้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความสมเพชเวทนา โกรธเกลียดและชิงชังในที่สุด

            ทั้งร่างเบาหวิวคล้ายปุยนุ่นยามถูกลมพัดปลิวว่อนไปอย่างไร้ทิศทาง โอนอ่อนไปตามสายลมที่แปรผัน ก่อนจะตกลง ณ.ไหนสักแห่งเมื่อความบ้าคลั่งของสายลมได้สงบลง…เมื่อนั้นทุกอย่างรอบกายคงว่างเปล่า ไร้ซึ่งหนทางใดๆ

            ทั้งตัวถูกกระชากออกมาจากบรรดานักเรียนที่กำลังรุมล้อม เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่อยู่เบื้องหลังแต่มันกลับถูกกลบทับด้วยพายุอารมณ์ที่กำลังโหมกระหน่ำ ปั้นรู้ตัวว่าตนเองนั้นพลาดไปแล้ว

            รดิศลากตัวเขามายังบริเวณสวนหย่อมหลังโรงเรียนซึ่งไร้ผู้คน เงียบสงบเพียงพอที่จะทำการประณามการกระทำของใครบางคนให้รู้สึกตัวว่าทำอะไรสิ้นคิดลงไป
            “พูดอะไรไม่ออกจริงๆ” คำสบถออกมาจากชายหนุ่ม มองร่างตรงหน้าด้วยความผิดหวังเท่าที่คนๆ หนึ่งจะรู้สึกได้จากที่เคยชอบและชื่นชมในตัวใครคนนั้น

            ในขณะที่เขาและคนอื่นๆ ในห้องไม่เคยเชื่อในข่าวลือพวกนั้นและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ปั้นหลุดพ้นจากคำกล่าวหา ข่าวฉาวที่แพร่กระจายไปทั้งโรงเรียน เรื่องไม่ดีที่คนเอามาพูดดูถูกนินทา พยายามคิดและหาทางช่วยกันกำจัดคนผิดให้ออกไปจากที่นี่

            เพื่อให้คนที่เขาชอบได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโรงเรียนแห่งนี้
            ให้เราสองคนได้มีช่วงเวลาดีๆ ต่อกัน 
            และอยากให้ทุกๆ วันเป็นเหมือนครั้งแรกที่เราได้เจอกัน
            แต่กลับพบความจริงที่ทำให้เขาแทบกระอัก เมื่อบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดได้กระจ่างชัดว่าคนที่พวกเขาต้องการปกป้องกลับเป็นฝ่ายยินยอมทำเรื่องอย่างว่าเสียเอง

            พอกันทีกับความหวังดีทั้งหมดที่มีให้...
            “นายรับเงินจากคุณพลจริงๆ เหรอ” เขามองร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไร้ความหมาย น้ำเสียงแสดงออกถึงความชิงชังแตกต่างจากคนที่ได้ชื่อว่าเคยรู้สึกดีด้วยมาก่อน

“ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ความจริงแล้ว..เงินนั่นน่ะมันเป็นทุนที่อาจารย์สมปองเป็นคนจัดหามาให้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่เป็นเจ้าของทุนคือใคร”

            “ไม่รู้แต่ก็ยังรับไว้อย่างนั้นเหรอ” รดิศหันมามองหน้าอย่างเหลือทน เขาไม่เคยรู้สึกผิดหวังในตัวใครได้มากเท่านี้มาก่อน “ติดต่อกับผู้ชายคนนั้นมานานรึยัง เขาคงจะพึงพอใจอะไรบางอย่างในตัวนาย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเงินทุนพิเศษแบบนี้ให้หรอก จริงมั้ย”

“ดิศ”

“นายไม่รู้รึไงว่าเงินพวกนั้นมันไม่มีจริง ไอ้พวกผู้ใหญ่ที่มันจ้องจะเลี้ยงเด็กไว้ทำเรื่องอย่างว่า มันก็แค่หาข้ออ้างดีๆ ไว้คอยยัดเงินให้ นายไม่สงสัยเลยบ้างรึไงว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ปกติ ถึงได้ตัดสินใจรับเงินเขามาแบบนี้”

นั่นเป็นคำพูดทิ้งท้ายก่อนร่างสูงเดินจากไปอย่างไร้เยื้อใย โดยไม่หันกลับมามองกันอีก

            ต้องด่าตัวเองสักเท่าไหร่ให้มันสาสมกับคำว่า ‘โง่’

            ตอนนี้ทุกคนคงจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเขาไปหมดแล้ว จะมีใครยอมฟังความจริงบ้างล่ะ

แม้กระทั่งคนที่คิดว่าจะเชื่อใจกันมากที่สุด ก็ยังไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรเลย

             “ไอ้ดิศเรื่องน้องปั้นเป็นยังไงบ้างวะ” นนท์วิ่งมาหาหลังจากดักรออยู่หน้าโรงเรียนเพื่อรอฟังข่าว ภาวนาขอให้มันเป็นไปด้วยดี แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนแล้วความหวังที่มีกลายเป็นศูนย์
             “จำไว้ว่ากูไม่เคยรู้จักเด็กคนนั้น!”




----------------------------------------


หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 04 : อารมณ์ปรารถนา
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 21-11-2017 18:00:02

04 อารมณ์ปรารถนา

 

 

            ท้องฟ้าตอนกลางคืนเต็มไปด้วยก้อนเมฆหนาทึบ ไร้แสงสว่างประดับประดาจากพระจันทร์และดวงดาว อากาศค่อนข้างหนาวสักเล็กน้อยกับสายลมเย็นพัดมาเป็นระลอกๆ ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ
            หากจะกล่าวโทษใครสักคน ก็คงเป็นความโง่เขลาของตัวเอง ด้วยการตัดสินใจเพียงครั้งเดียวที่ทำลายลงหมดทุกอย่างไม่เหลือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างคนๆ หนึ่ง เขายังจดจำสายตาอันว่างเปล่าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ คู่นั้น จากคำพูดไม่เพียงกี่คำของรดิศ ก็สัมผัสได้แล้วว่าเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งที่เคยเชื่อมาเสมอ ไม่ว่าต้องเจอกับปัญหาใดก็ตาม อย่างน้อยก็ยังมีเขาคอยเข้าใจ

            หยดน้ำใสๆ เอ่อล้นอยู่บริเวณรอบดวงตา ทั้งหมดถูกบีบมาจากความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เพราะเขาคงไม่เชื่อกันอีกแล้ว...

             “ยังไม่นอนเหรอปั้น” เด็กหนุ่มรีบกลืนก้อนสะอึกลงคอ ลบคราบน้ำตาตัวเองทิ้งไปราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
            อาชลธีเข้ามานั่งข้างๆ บนม้านั่งที่เหลือ คนแก่กว่าลองแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าบ้าง ก่อนจะบ่นออกมาตามประสาว่าคืนนี้ไม่ยักจะมีดาวให้เห็นสักดวง
             “กำลังทุกข์ใจอะไรอยู่รึเปล่า” แน่นอนว่าภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของคนผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนได้ อาชลธีละจากภาพมืดดำบนท้องฟ้าหันมองหลานชาย คิดว่าการหลบออกมานั่งคนเดียวแบบนี้คงกำลังเจอเรื่องทุกข์ใจอยู่เป็นแน่

            ความห่วงใยในตัวหลานคนนี้มีไม่น้อยไปกว่าลูกชายของตัวเอง อาจจะเรียกว่ามากกว่าด้วยซ้ำไป เพราะปั้นไม่ได้มีทั้งพ่อและแม่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเหมือนอย่างพวกเขา
             “ปั้นแค่นึกทบทวนเรื่องเก่าๆ น่ะครับอา”
             “ก็ดีแล้ว ขืนพี่เปรมรู้เข้าว่าอาเลี้ยงดูลูกแกไม่ดีจะตามมาไล่บีบคอเอา”
             “พ่อคงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ” คำพูดติดตลกทำเอาปั้นหลุดหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว ว่าไปแล้วก็คิดถึง ป่านนี้ถ้าพ่อยังอยู่ ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
            “เอ้อ...อามีอะไรจะให้ดู” อาชลล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกางเกงเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เลื่อนค้นหาอะไรสักอย่างอยู่ในนั้นแล้วส่งมาให้เขาดู มันเป็นภาพวาดสีน้ำมันที่ถ่ายเก็บไว้อีกที
             “รูปพ่อ...” รอยยิ้มแห่งความสุขเผยออกมาให้เห็นดั่งที่คิดไว้ เขาตั้งใจถ่ายมันตอนพี่ชาญเพิ่งวาดเสร็จใหม่ๆ
            “คนขวาคืออาชลใช่มั้ยครับ ส่วนคนนี้” นิ้วชี้มาหยุดลงที่คุณลุงคนหนึ่งซึ่งใบหน้าแลดูคล้ายคลึงกับอาชลราวกับเป็นพี่น้องกัน
             “นั่นลุงชาญพ่อเจ้าดิศมันน่ะ เราคงจำไม่ได้สินะ” อาค่อยๆ ย้อนเล่าอดีตให้ฟังคร่าวๆ ว่าแต่ก่อนพวกเขาสามคนสนิทสนมกันมากแค่ไหน เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนซี้ชนิดที่ตัวติดกัน กิน นอน เที่ยวไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะอยู่ด้วยกันตลอด ใช้ชีวิตวัยรุ่นตามประสาพวกคนโสด
            อาชลธีเพิ่งสังเกตใบหน้าหมองๆ ของหลานชายตอนมองคนในภาพถัดไป นั่นเป็นรดิศตอนเด็กๆ ที่พี่ชาญเป็นคนวาด             

            “น้องเดียร์มาฟ้องว่าเรากับรดิศมีเรื่องทะเลาะกัน” เสียงทุ้มต่ำหยั่งเชิงถามด้วยความเอ็นดู ทั้งหมดนี้เขารู้มาจากลูกชายซึ่งคอยรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในบ้านให้ฟังในระหว่างเขาไม่อยู่
             “ปะ..เปล่าครับอา” ปั้นชะงักไปนิดกับคำถาม
             “ดิศก็เหมือนพ่อมัน โกรธใครเขาได้ไม่นานหรอก ปล่อยไปสักพักเดี๋ยวก็ดีเอง”
            ฝ่ามือหนาวางลงบนกลุ่มผม ภาพของหลานชายสะท้อนถึงเพื่อนรักในอดีตไม่ผิดเพี้ยน ปั้นถอดนิสัยพี่เปรมออกมาราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน ถึงพี่เปรมไม่ได้อยู่เลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวเอง แต่เด็กคนนี้ดูเหมือนจะจดจำคำสอนทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

            อาชลธีเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้ว แต่เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เฝ้าคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง
            หากเป็นอย่างที่อาบอกจริงๆ เขาก็คงทำได้แต่รอให้วันนั้นมาถึง...

 

 

             “น้องเดียร์” ปั้นกลับเข้ามาในห้องเจอน้องชายร่วมบ้านนอนเล่นอยู่บนเตียงของตัวเอง ในมือของคนเสียมารยาทถือสมุดโน้ตที่รดิศเคยวาดรูปของเขาไว้
             “พี่ปั้นไม่ต้องกลัวไปหรอกครับ เดียร์ไม่เล่าเรื่องพวกนั้นให้พ่อกับแม่ฟังหรอก พี่จะทำอะไรก็เรื่องของพี่ แต่อย่าทำให้ครอบครัวของผมเสียชื่อไปด้วยก็พอ ขอแค่นั้น”

พูดจบก็ก้าวขาลงจากเตียง วางสมุดโน้ตเล่มนั้นไว้ที่เดิมก่อนจะมาหยุดลงต่อหน้าเจ้าของห้อง
            “หลับฝันดีนะครับ”
            เสียงประตูปิดไปแล้วแต่เขายังคงนิ่งอยู่ที่เดิม ในสายตาของคนอื่นๆ คงถูกมองไม่ดีไปแล้วสินะ...

 

            ทุกเย็นหลังเลิกเรียนทั้งสามคนนัดเจอกันใต้ตึกเพื่อเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบปลายภาค ทุกวันนี้มีแค่แพรวกับอาร์มเท่านั้นที่ยังคงอยู่ด้วยกันเสมอ แม้เรื่องพวกนั้นจะค่อยๆ หายไปแล้วก็ตาม แต่คนอื่นๆ ในโรงเรียนก็ยังไม่มีใครอยากเข้ามาคุยกับเขาสักเท่าไหร่ จากที่เคยคิดมากและรู้สึกไม่ดี ตอนนี้มันกลับเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว

             “ปั้น เดี๋ยวไปเจอกันที่เดิมนะ” คนบอกรีบยัดสัมภาระลงกระเป๋าก่อนจะวิ่งตรงไปยังห้องน้ำทันทีเมื่อหมดคาบสุดท้าย ปาริชาตมองสีหน้าเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในห้องแล้วแอบขำ ก่อนจะเก็บกระเป๋าแล้วรีบตามไป

            ขาเรียวก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย ภาพตรงหน้าที่เห็นเป็นกลุ่มของเด็กห้องเรียนศิลป์ที่มักจะใช้พื้นที่ใต้ตึกนัดเจอกับนางแบบนายแบบของตัวเองเพื่อวาดงานชิ้นสุดท้ายส่งก่อนสอบ

           เป็นฉากเดิมๆ ที่ต้องเจอทุกวันอย่างเลี่ยงไม่ได้ รดิศยืนอยู่ตรงนั้นแต่ความรู้สึกเหมือนไกลกันเหลือเกิน มากพอที่เขาจะมองว่าปั้นไร้ตัวตน
            จะให้รออย่างที่อาบอกก็เห็นท่าว่าหนทางมันเลือนรางลงไปทุกที ยิ่งนานไปเขาก็ยิ่งเย็นชาใส่กันมากขึ้น แค่โอกาสให้ปั้นได้เข้าไปอธิบายเรื่องราว ก็ยังไม่มีเลย...

 

            ชายหนุ่มเบือนหน้าด้วยความระอาเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง ที่ผ่านมาถึงแม้ปั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เราสองคนได้กลับไปเป็นเพื่อนกันอย่างเก่า แต่มันก็เปล่าประโยชน์ ทุกทีที่เจอ เขาทำเหมือนคนไม่รู้จัก แม้แต่เดินสวนกันก็ทำเหมือนปั้นเป็นอากาศ ไม่เคยคิดจะหันมามองหรือไม่มีแม้กระทั่งเห็นอยู่ในสายตา

             “ไอ้ดิศ มึงเลือกคนเป็นแบบได้รึยังวะ” นนท์เอ่ยขึ้นเสียงดังตามประสา แม้แต่คนเลือกที่นั่งหันหลังไกลออกมาอย่างปั้นก็ยังได้ยิน คำถามนั้นทำเอาคนกำลังตั้งใจอ่านหนังสือต้องชะงักลงเพื่อรอฟังคำตอบจากเจ้าตัว
             “อืม...”
             “เฮ้ย ใครวะ” เรียกความตื่นเต้นให้กับเพื่อนบริเวณนั้น คำตอบสั้นๆ ไม่ทำให้คนอื่นๆ หายสงสัย รดิศเปิดรูปในโทรศัพท์ให้พวกอยากรู้อยากเห็นได้เชยชมคนที่จะมาเป็นแบบให้เขา เสียงฮือฮาตามมาพักใหญ่เมื่อสาวสวยในรูปเป็นเด็กที่ใครๆ ก็ต่างอิจฉา ตามด้วยการซักไซ้ประวัติ

             “น้องบีมึงนี่น่ารักนะ จมูกโด่ง หน้าสวย ตาโตอีกต่างหาก กูอยากได้แบบนี้มาเป็นแบบให้บ้างว่ะ” แต่ละคนออกปากชมกันยกใหญ่ บ้างก็บอกจะไปหาคนสวยกว่านี้มาเป็นแบบให้ ชนิดที่น้องบียังเทียบไม่ติด
             “งั้นกูขอเลือกน้องปั้นละกัน มึงคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ยวะ”
            เพื่อนในห้องคนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อสรุปความได้ว่า สาวสวยคนใหม่ที่จะมาเป็นแบบให้มันไม่ใช่หนุ่มน้อยน่ารักอย่างน้องปั้นแน่นอน
             “นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับกู” คนเสียงแข็งตอบกลับเพียงแค่นั้น ก่อนสายตาคมกริบจะเหลือบมองแผ่นหลังของเจ้าตัวที่นั่งไกลออกไป
            พูดแค่นี้ก็หวังว่าคงจะได้ยิน...

 

 

            มือที่เปิดหนังสือหน้าถัดไปกำลังสั่นเทา คำพูดรุนแรงของเขาส่งผลต่อความรู้สึกและหัวใจที่กำลังเต้นเร้าด้วยความเจ็บปวด

ไม่หรอก...ตนเองจะไม่หยุดเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ ยังคงดึงดันเพื่อหาโอกาสเข้าไปคุย ต่อให้ถูกเมินเฉยอีกกี่ครั้งก็ตามแต่ ต่อให้เขาพูดอะไรปั้นไม่เก็บมันมาใส่ใจหรอก เพราะทุกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นจากการที่เขาไม่รู้ความจริง

             “โทษที รอนานรึเปล่า” เพื่อนรักรีบมานั่งข้างๆ หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อย เธอยังบ่นไม่หายเนื่องจากหาสาเหตุไม่เจอว่ากินอะไรผิดสำแดงลงไป วันนี้ถึงได้ท้องเสียทั้งวัน
            ไม่นานอาร์มก็ตามมาสมทบ ฝ่ายนั้นบังคับให้แพรวมาเป็นนางแบบให้ เพราะตัวเองจนใจจะไปหาคนอื่นแล้วเช่นกัน มีเธอเป็นที่พึ่งสุดท้าย

            อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาขอให้ปั้นเป็นแบบ ทีแรกก็ตั้งใจจะปฏิเสธ แต่พอนึกถึงประโยคที่ได้ยินจากรดิศ บางอย่างทำให้เขาจงใจรับคำ 

            เจ้าของใบหน้าเรียบเฉยกำลังมองอยู่ก่อนตอนที่ปั้นหันกลับไป เขาหลบตาเมื่อรู้ตัว และนั่นทำให้มั่นใจว่าคราวนี้ไม่ได้เข้าข้างตัวเอง

            เพราะรดิศชอบทำแบบนี้ ปั้นถึงไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าไปคุยกับเขาง่ายๆ ทำเหมือนไม่เคยใส่ใจแต่จริงๆ แล้วตรงกันข้าม สายตาที่มักจะแสร้งทำเป็นไม่มองกันแต่จริงๆ แล้วกลับรับรู้ทุกอย่าง

 

            ช่วงเย็นของวันถัดมากลุ่มของรดิศไม่ได้นั่งอยู่ใต้อาคารเหมือนเช่นทุกที ปั้นกวาดมองไปรอบบริเวณก็นึกขึ้นได้ จึงลองไปดูที่สนามบาสเพราะจำได้ว่าอีกฝ่ายมักชอบไปรวมกลุ่มกันที่นั่นเสมอ

            ในมือเตรียมน้ำเปล่ากับผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไว้ให้ ครั้งนี้จะรอเจอแล้วหาโอกาสพูดกับเขาอีกให้ได้ ปั้นยืนลังเลอยู่ข้างสนามคนที่หันมาเห็นเขาก่อนก็คือบีม ชายหนุ่มยิ้มให้เหมือนทุกทีที่เจอหน้า ไม่แสดงท่าทีรังเกียจหรืออะไรเหมือนเพื่อนตัวเองเลย

             “ไอ้ดิศ เด็กมึงมา” นนท์สะกิดเรียกตอนช่วงพักออกมาดื่มน้ำ เห็นปั้นยืนอยู่ก็ส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้ม รู้ว่าเพื่อนตัวเองไม่ชอบแต่เขาไม่สน ไอ้ดิศจะมองอีกฝ่ายเป็นคนยังไงก็แล้วแต่ ไอ้บีมกับเขากลับไม่เคยคิดอย่างที่มันคิดเลย

            เจ้าของชื่อหันมองเพียงนิดก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ ปล่อยไปแบบนั้น เขาไม่เคยคิดเข้าไปยุ่งด้วยอยู่แล้ว หลังจากเหตุการณ์วันนั้น อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป แม้กระทั่งความเชื่อที่เคยมีในตัวคนๆ หนึ่ง

             “ไปคุยกับน้องเค้าหน่อยเหอะ ถือว่ากูขอร้อง” นนท์เดินตามมาเซ้าซี้เมื่อเห็นเพื่อนหันมาตั้งใจโยนบาสลงห่วง พอมันเล็งพลาดเขาก็ยึดลูกบาสไว้ทันที
             “มึงอย่าใจร้ายใจดำไปหน่อยเลย ไม่สงสารน้องปั้นบ้างรึไงวะ” นนท์เข้ารั้งคอเสื้อมันไว้อย่างเหลือทนกับท่าทีแข็งกระด้าง
             “ถ้ามึงไม่คุยกัน แล้วจะรู้เหรอความจริงมันเป็นยังไง” บีมยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง นาทีนี้คนที่เขาเห็นใจมากที่สุดคือน้องปั้นเพราะหลายเดือนที่ผ่านมาอีกฝ่ายพยายามเป็นอย่างมากเพื่อหาโอกาสมาปรับความเข้าใจกับเพื่อนของเขา

            เป็นใครก็ยอมใจอ่อนกันทั้งนั้น เหลือแต่มันคนเดียวที่ยังดักดานไร้เหตุผล

            รดิศปัดมือของเพื่อนออกจากคอเสื้อ เขามองหน้าพวกมันสองคนราวกับต้องการคำตอบว่าเปลี่ยนไปเห็นใจคนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ต่อให้ใครมาเกลี้ยกล่อมพูดจาเข้าข้างอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีทางกลับไปมองคนแบบนั้นใหม่โดยปราศจากข่าวฉาวพวกนั้นแน่นอน
            เขาเห็นทุกอย่างมากับตาถึงสองครั้งสองหน จะให้เปลี่ยนความคิดใหม่ เห็นทีจะเป็นไปได้ยาก

            ร่างสูงเดินออกจากกลุ่มเพื่อนตัวเองโดยไม่รอกลับพร้อมกัน เขาตรงไปที่อ่างล้างหน้าในระหว่างนั้นก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังตามมา
            ถ้าให้เดาอีกก็คงไม่ผิด…
            ดูท่าแล้วต่อให้ไล่ไปเท่าไหร่ก็คงไม่คิดจะไปง่ายๆ เคยคิดว่าต่างคนต่างอยู่ แต่หลังๆ มานี้รู้สึกว่าฝ่ายนั้นเริ่มทำตัวน่ารำคาญเข้าทุกวัน

            ยังได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ตามมาเรื่อยๆ รดิศเดินตรงไปตามตัวอาคารโดยไม่คิดเหลียวมามองคนด้านหลัง เขาตั้งใจหลบอยู่ข้างมุมตึกสบโอกาสตอนอีกคนเดินผ่าน คว้าข้อมือไว้ก่อนฝ่ายนั้นจะรู้ตัว
            เป็นดังคาด เมื่อคนที่ตามมาคือคนที่เขาตั้งใจจะเกลียดไปแล้วจริงๆ
            “ดิศ!” ปั้นอุทานออกมาด้วยอาการตกใจ พอสบกับดวงตาแข็งกร้าวคู่นั้นยิ่งทำให้รู้สึกกลัวเกรงมากขึ้น
             “คอยตามเป็นเงาติดตัว ถามหน่อยเถอะ นายต้องการอะไรจากฉันกันแน่”
            พอปั้นไม่ตอบเขาก็ผลักลงไปกับผนัง แรงบีบรัดอยู่บริเวณช่วงไหล่ทำให้คนตัวเล็กกว่านิ่วหน้าขึ้นด้วยความเจ็บ
             “ถามทำไมไม่ตอบ!” เขาเค้นเข้ามาเรื่อยๆ ตามแรงบีบ

            มือเรียวข้างหนึ่งถือขวดน้ำพลาสติกยื่นให้ ส่วนผ้าเช็ดหน้ามันร่วงลงไปกับพื้นเสียแล้วตอนที่เขาเป็นคนผลัก
             “เราเอานี่มาให้” น้ำเสียงหวั่นๆ ตอบกลับไป วูบหนึ่งที่สังเกตเห็นความอ่อนไหวในดวงตาคู่นั้นก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นความแข็งกระด้างเช่นเดิม
             “ขอบใจ แต่ทีหลังไม่ต้อง!” ชายหนุ่มรับไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ เขาโกรธ เกลียด ขยะแขยง แต่ทำไมถึงยังรับมา เพียงแค่มองใบหน้านั้นใกล้ๆ อะไรบางอย่างที่เคยรู้สึกก็เริ่มต่อต้าน

            นานมากแล้วที่ตีตัวออกห่างและเฝ้าบอกตัวเองเสมอว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับคนพรรค์นั้น แทนที่อีกฝ่ายจะหายไปจากเขาแล้วทำให้ความทรงจำระหว่างเราถูกกลืนกินไปพร้อมกับวันเวลา แต่ไม่เลย ปั้นยังเข้ามาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แม้ถูกแสดงออกถึงความเกลียดชังแต่ก็ยังไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ
เขาเองจากรู้สึกไม่ชอบกลับกลายมาเป็นโหยหาทั้งที่คอยปฏิเสธเสมอ บางคราวก็ยังแอบมองกันอยู่ร่ำไป
            ไม่รู้ว่าต้องจัดการความรู้สึกนี้อย่างไร

             “คุยกันก่อนได้ไหม” ปั้นตัดสินใจเอ่ยไปตอนเขากำลังหันหลังเดินจาก ไม่ต้องการปล่อยเรื่องในอดีตค้างคาแบบนี้ แผ่นหลังนั้นหยุดลงตามคำบอก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนรออยู่ที่เดิม ปั้นถึงได้เดินเข้าไป
             “เรื่องของเรากับคุณพลน่ะ ที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ นะ”
             “ถ้าจะเอาเรื่องนั้นมาพูดอีก ก็อย่าเลย”
             “ไม่ใช่นะดิศ เราไม่ได้ต้องการจะแก้ตัวกับสิ่งที่เกิด แค่เราไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนกำลังคิด มันไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้นเลย”
             “แต่นายก็ยอมรับไม่ใช่เหรอว่าทีแรก ก็เป็นฝ่ายรับเงินของเขามา”
            ปั้นยืนนิ่งน้ำตาคลอ ไร้คำใดจะสรรหามาโต้แย้งกับความจริงที่เกิด
             “จะเกิดหรือไม่เกิดมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่นายเลือกมากกว่า ส่วนฉันก็แค่นึกไม่ถึง” น้ำเสียงเรียบนิ่งกล่าวออกมาตามความคิดเห็น หันมองคนข้างกายเพียงนิดก่อนจะเดินจากไป
             “ดิศ! ถ้าเราขอกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมล่ะ ได้มั้ย?” แผ่นหลังของเขากำลังพร่ามัวไปด้วยน้ำตาที่เข้ามาบดบัง เป็นคำขอร้องที่ไม่มีความหมายใดแอบแฝง เพียงแค่กลับไปเป็นเพื่อนเหมือนเดิมก็ยังดี ไม่หวังอะไรนอกจากนั้นเลย
             “นายไม่เคยมองฉันเป็นเพื่อนอยู่แล้ว” แม้แต่เจอกับปัญหาก็ไม่เคยบอกกันสักคำ คนที่หวังอยากเป็นที่พึ่งให้มาเสมอไม่เคยถูกมองเป็นคนสำคัญ
            ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใย ต้องการให้เรื่องราวทั้งหมดมันจบลงโดยไม่เหลือความสัมพันธ์ใดๆ อีก

 

 

            วันนี้เป็นงานวันเกิดของน้องเดียร์ ปาร์ตี้ขนาดย่อมถูกจัดขึ้นที่ลานสนามหญ้าหน้าบ้าน ทั่วบริเวณประดับประดาไว้ด้วยดวงไฟหลากสี วันนี้พ่อกับแม่ไม่อยู่จะกลับมาอีกทีก็คงค่ำ มีพี่ชายสุดที่รักเพียงคนเดียวอยู่ช่วยงานที่บ้าน
             “ถ้าพี่ดิศไม่มา เดียร์ต้องแย่แน่ๆ เลยนะเนี่ย”
             “วันเกิดน้องรักทั้งที พี่จะไม่มาได้ยังไง”
            พี่ชายตัวสูงหันมายีหัวเด็กตัวเล็กกว่าที่ดูช่างประจบประแจงกันเหลือเกิน น้องเดียร์ช่วยส่งกรรไกรให้เขา ชายหนุ่มตัดกระดาษสีเป็นริ้วบางๆ ไว้ติดกับกระดาษโน้ต ให้เพื่อนในงานได้เขียนข้อความอวยพรถึงเจ้าตัว
             “พี่ปั้นนะพี่ปั้น นี่ก็ใกล้จะเริ่มงานแล้วนะยังไม่กลับมาเลย” เจ้าของวันเกิดบ่นตามประสาเด็ก แต่ชื่อเรียกกลับทำให้พี่ชายอีกหนึ่งเกิดความสงสัย ตั้งแต่มาถึงเขาก็ยังไม่เจอตัวอีกฝ่ายเลยเหมือนกัน
             “เค้าไปไหนล่ะ?” รดิศถามออกไปโดยไม่หยี่ระ ไม่ต้องการอยากรู้คำตอบแต่อย่างใด
             “ไม่รู้สิครับ เดียร์บอกไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่าให้รีบกลับมาช่วยงาน นี่ก็จะเย็นแล้วนะ”
             “อย่าไปคิดมากเลย พี่ก็อยู่ทั้งคนแล้วนี่ไง” เขาหันมายิ้มกับเจ้าตัวที่ทำหน้าบูดบึ้ง ก้าวขาลงจากเก้าอี้เมื่อติดกระดาษข้อความด้านบนเสร็จแล้ว

 

            เสียงรถจอดลงหน้าบ้าน สองพี่น้องหันไปมองว่าอาจจะเป็นพ่อกับแม่เพราะสีและรุ่นของรถเหมือนกันเหลือเกิน แต่พอเห็นคนเปิดประตูออกมานั้น ถึงได้ยืนนิ่งค้างไปตามๆ กัน เป็นพี่ปั้นกับผู้ชายที่ดูมีอายุรุ่นราวคราวพ่อ กำลังช่วยขนของลงจากรถ
            คนหนึ่งทำหน้าเบื่อหน่ายกับภาพที่เห็น
            คนหนึ่งตื่นตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

ภาพที่เห็นไม่อาจห้ามความคิดของทั้งสองคนให้มองเป็นอย่างอื่นไปได้

             “ขอบคุณมากๆ นะครับ” ปั้นไหว้ขอบคุณคุณพ่อของน้องนุ่นที่อุตส่าห์ใจดีมาส่งถึงบ้าน หันไปโบกมือให้เด็กหญิงตัวเล็กซึ่งเป็นน้องสาวของน้องนุ่น เธอนั่งทำหน้าบูดบึ้งด้วยความเสียดายอยู่บนตักของคุณแม่
             “สวัสดีพี่ปั้นก่อนสิลูก” น้องฝ้ายทำท่าจะร้องไห้อยู่แล้วพอรู้ว่าพี่ปั้นจะกลับ
ปั้นหันโบกมือให้น้องนุ่นที่นั่งอยู่เบาะหลัง เธอเป็นหลานสาวของแพรวที่ติดต่อมาให้เขาช่วยสอนภาษาอังกฤษให้ก่อนสอบ ปั้นตอบตกลงเพราะจะเอาเงินที่ได้มาซื้อของขวัญให้น้องเดียร์ในวันเกิด

.........................
ต่อด้านล่างครับ

 

 
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 04 : อารมณ์ปรารถนา
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 21-11-2017 18:02:50


            ทั้งสี่คนกลับไปแล้วแต่ปั้นก็ยังยืนส่งอยู่หน้าประตูรั้ว วันนี้ถือว่าเป็นโชคดีของเขา ตอนแรกตั้งใจจะไปเดินดูของในห้างให้น้องเดียร์ก่อนกลับ เป็นโอกาสเดียวกันกับครอบครัวของน้องนุ่นจะออกไปเที่ยวนอกบ้าน ปั้นจึงได้โอกาสติดรถไปพร้อมกัน เด็กสาวสองพี่น้องติดเขาแจจนไม่อยากให้ไปไหนสุดท้ายก็ถูกอ้อนวอนให้อยู่เที่ยวด้วยกันก่อนจนได้

             “ได้ของกลับมาเต็มไปหมดเลยนะพี่ปั้น” น้องชายมองถุงกระดาษในมือ เข้าใจถึงสาเหตุว่าทำไมพี่ชายถึงกลับเอาป่านนี้ หากมัวรอพี่ปั้นอยู่งานคงไปไม่ถึงไหน ถ้าไม่มีพี่ดิศมาช่วย วันเกิดตัวเองสงสัยคงล่มไม่เป็นท่า
             “พี่ขอเอาของไปเก็บก่อนนะ” พี่ชายเลี่ยงออกมาไม่อยากตอบคำถามไม่อธิบายอะไรให้มากความ ไม่อยากให้ตัวเองดูแย่ลงไปกว่านี้อีกแล้ว ถึงอย่างไรก็ห้ามความคิดกันไม่ได้ เห็นร่างสูงที่ยืนถัดออกไป ปั้นก็หมดปัญญาใดๆ จะแก้ตัว
             “รีบลงมาเตรียมขนมให้เดียร์ด้วยนะพี่ เพื่อนคนอื่นๆ ใกล้จะมากันแล้ว” น้องเดียร์ตะโกนบอกแผ่นหลังที่เดินหายเข้าไปในบ้าน เขารู้สึกไม่พอใจพี่ปั้น วันเกิดน้องชายทั้งทีแต่ดันหายไปเที่ยวกับคนอื่น

 

            ปั้นเตรียมของอยู่ในครัวเงียบๆ โดยไม่ออกไปหน้าบ้าน เพราะรู้ว่าใครบางคนคงไม่อยากเจอหน้ากันอยู่แล้ว จนเมื่อมีพนักงานจากร้านเอาอาหารมาส่งถึงในครัว ไม่คาดคิดว่ารดิศจะเป็นฝ่ายเข้ามาช่วยจัดของ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่พูดด้วยสักคำ เกิดความเงียบงันขึ้นชั่วขณะ รับรู้ถึงความเฉยชาที่อีกฝ่ายตั้งใจมอบให้โดยไม่ปิดบัง

             “ขอบใจนะ” ปั้นบอกตอนฝ่ายนั้นช่วยเอาของมาวางไว้บนโต๊ะ แต่เจ้าตัวก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับเขาไม่มีตัวตน

             “ไม่มีทางจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเลยใช่มั้ย?” ร่างบางพูดกับตัวเองหลังจากฝ่ายนั้นเดินออกไปแล้ว เขานั่งลงบนเก้าอี้อย่างถอดใจ อยากจะพักและออกห่างจากเรื่องพวกนี้สักที หลายครั้งหลายหนบางทีมันก็เจ็บจนท้อไปเอง...

ทุกครั้งต้องคอยห้ามตัวเองว่าอย่าพยายามทำอะไรเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันอีก เพราะสุดท้ายต่อให้ทำอย่างไรเขาก็ไม่เคยเห็นความสำคัญ
            ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่เคยจำสักที...

            ทุกครั้งที่มีเขาเข้ามาวนเวียนใกล้ๆ นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด การกระทำที่แสดงออกถึงการเอาใจใส่และคอยเป็นห่วงกันอยู่เสมอนั่นทำให้เกิดความหวั่นไหว
            ผิดด้วยหรือที่พยายามเรียกร้องอะไรให้กลับมาเหมือนเดิม…

 

            งานเลี้ยงเริ่มขึ้นแล้ว เสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ ไปกับเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เพื่อนของน้องเดียร์ส่วนใหญ่เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน มีเขากับรดิศเท่านั้นที่เห็นจะเป็นพี่สุดของงาน
            อาสองคนกลับมาแล้วและนั่งพูดคุยกับพวกเด็กๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะขอตัวขึ้นไปพักผ่อน ถึงเป็นวันหยุดแต่ทั้งคู่ก็มีธุระต้องออกไปทำตั้งแต่เช้า ฝากฝังให้พี่ใหญ่สองคนช่วยดูแลทุกอย่างแทน

            ปั้นหลบมานั่งดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ริมสระน้ำ ฟังเพลงที่เปิดขึ้นในงานเพื่อสร้างสีสัน โดยมีรุ่นน้องคนหนึ่งคอยเป็นดีเจจัดหาเพลงตามคำขอ และเป็นตัวแทนเล่าเรื่องสนุกๆ หามุขตลกๆ มาเล่าสู่กันฟัง
เด็กหนุ่มหัวเราะคนเดียวด้วยความหงอยเหงา ช่างเป็นงานเลี้ยงที่ไม่น่าภิรมย์เอาเสียเลย
            คงเป็นเนื้อหาในเพลงนั่นล่ะมั้งที่ทำให้เขารู้สึกเคลิ้มไป
            คนที่ตัวเองชอบยืนอยู่ตรงนั้นแท้ๆ แต่กลับทำได้แค่เฝ้ามอง โอกาสพูดคุยกันเหมือนวันเก่าๆ ไม่มีอีกแล้ว

            หย่อนเท้าแช่ลงไปในสระ ความเย็นของน้ำทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ความชุ่มฉ่ำช่วยดับความทุกข์ร้อนรุ่มในใจ ใบหน้าหวานแหงนขึ้นมองไปบนฟ้า เห็นกลุ่มดาวเล็กๆ อยู่รวมกันเป็นกระจุกแล้วนึกถึงเรื่องเล่าเป็นนิทานปรัมปรา เป็นจริงหรือไม่นั้นเขาเองก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ผ่านมาในชีวิต เรื่องที่ไม่คิดว่าจะมีทางเป็นไปได้ แต่มันก็กลับพลิกผันไปหมด
             “ทำไมหลบมานั่งคนเดียวล่ะครับพี่ งานไม่สนุกเหรอ”เจ้าของเสียงทักขึ้นแล้วนั่งลงข้างๆ ปั้นหันมองพอรู้ว่าเป็น ‘กร’ เด็กหนุ่มรุ่นน้องที่คุ้นเคย ฝ่ายนั้นก็ชวนพูดไปเรื่อย เขาเห็นว่าเด็กนี่คุยสนุกดี โดยปกติแล้วปั้นไม่ถนัดพูดคุยกับใครที่ไม่สนิทด้วยเท่าไหร่นัก
             “ผมขอนั่งเป็นเพื่อนนะครับ พี่ปั้นจะได้ไม่เหงา” อีกฝ่ายชวนคุย หยิบจานขนมยื่นให้เพราะน้องเดียร์บอกว่าพี่ปั้นชอบกิน เขาจึงเลือกมาเป็นพิเศษเพื่อรุ่นพี่คนนี้โดยเฉพาะ
             “ขอบใจนะ” ปั้นเลือกเค้กส้มมาหนึ่งชิ้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ อันที่จริงเขากินอะไรไม่ลงเลยนอกจากพวกเครื่องดื่มหวานๆ นั่น คงเป็นเพราะความเครียดสะสมอยู่ล่ะมั้ง อะไรๆ ก็ดูกร่อยๆ ไปตามกัน
             “คราวที่แล้วพี่ปั้นยังไม่ให้คำตอบผมเลย”
             “อะไรเหรอ”
             “ก็...ที่ถามไปว่าถ้าผมจะมาหาพี่ที่นี่บ่อยๆ จะเป็นไรมั้ย?”
             “เรื่องนั้นเหรอ...อืม ตามใจนายเถอะ”

            ปั้นมองเหม่อเข้าไปในงานเลี้ยง มองลอดผ่านแนวซุ้มไม้เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นับว่านานมากแล้วที่ตัวเองเอาแต่เฝ้ามองจนไม่อาจละสายตาไปไหน
            รดิศดูเป็นตัวของตัวเอง ทั้งท่าทางการพูดรวมไปถึงบุคลิกทั้งหมด เขาเป็นคนสนิทสนมกับคนอื่นได้ง่าย แม้แต่กระทั่งคนไม่รู้จักกันมาก่อน
            เหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน…
            “ผมขอถามอะไรพี่อย่างนึงสิ”
            ปั้นหันมาพยักหน้าเชิงอนุญาต เห็นสายตาที่พยายามสื่อความหมาย เขาพอจะเดาคำถามนั่นได้ไม่ยาก
            “พี่ปั้นมีแฟนรึยังครับ?” คนแก่กว่าส่ายหน้าเป็นคำตอบพลางยิ้มขบขัน เขารู้เจตนาของเด็กตรงหน้าดี ตั้งแต่รู้จักกันมาอีกฝ่ายแสดงออกอย่างไม่ปิดบังว่ารู้สึกอย่างไรกับเขา

“ดีจังเลย” หนุ่มรุ่นน้องคลี่ยิ้ม ไม่ทันคาดคิด จู่ๆ เจ้าตัวกลับขยับเข้ามาใกล้อย่างจงใจ ใบหน้าเลื่อนลงต่ำ กว่าจะทันตั้งตัวริมฝีปากของเขาถูกครอบครองไปเสียแล้ว

เสียงโห่ร้องของคนเห็นเหตุการณ์ทำเอาร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากบริเวณนั้นต้องหันมอง และภาพที่ปรากฏทำให้เขารู้สึกชาไปชั่วขณะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
            คนสองคนกำลังจูบกัน และหนึ่งในนั้นเป็นคนที่เขาเคยรู้สึกดีด้วยมาก่อน
            ยิ้มเยาะให้ตัวเองกับความคิดที่เคยเผลอไป สบถออกมาเป็นคำหยาบเมื่อลึกๆ ในหัวใจกลับรู้สึกประหลาดๆ ไปกับเหตุการณ์นั้น
           

            ปั้นรีบผลักเด็กรุ่นน้องออกห่าง ลุกยืนขึ้นสงบสติอารมณ์ ดับความโกรธภายในใจไม่ให้แสดงออกมา เพราะยังถือว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นน้อง อาจคิดทำอะไรตามใจโดยไม่ทันยั้งคิด
             “อย่าทำแบบนี้อีกนะกร” ปั้นเตือนไว้แค่นั้น มองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความโกรธและเป็นฝ่ายผละออกมา   
             “ผมชอบพี่!”
             “แต่กรก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรแบบนี้!” เขาเผลอตะคอก นี่ถือเป็นการกระทำจาบจ้วงและฉวยโอกาส สำหรับคนที่ตัวเองไม่คิดจะมีใจด้วยไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่สามารถบังคับจิตใจกันได้
             “ผมขอโทษ…”

ปั้นยืนสงบสติอารมณ์ ฟังคำบอกนั้นก่อนจะเดินออกมา ไม่อยากถือสากับเรื่องที่เกิด ในเมื่อใจไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่นก็อยากให้มันจบๆ ไป ทั้งที่พยายามหลีกหนีเรื่องวุ่นวายแต่ดูเหมือนอะไรๆ ก็ไม่เข้าข้างกันเลย
            ร่างบางหลบอยู่ในห้องน้ำริมสระอยู่พักใหญ่ ล้างหน้าล้างตาดับความร้อนที่กรุ่นอยู่ในใจ ไม่อยากคาดคิดถ้ารดิศเห็นภาพนั้นเข้า ก็คงตีความเกี่ยวกับเขาไปถึงไหนต่อไหน ร่างบางถอนหายใจ หลับตาลงยืนพิงผนังอย่างคนเหนื่อยล้า

เสียงฝีเท้าของคนที่เข้ามาทำให้เขาหันมอง รดิศกำลังยืนขวางประตูกอดอกมองเขาด้วยท่าทียิ้มเยาะ ท่าทางแบบนั้นปั้นเดาได้ไม่ยาก เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คงหนีไม่พ้นถูกเห็นเข้าอีกจนได้
             “อย่างพี่ปั้นคงไม่ถูกใจเด็กหน้าอ่อนแบบนั้นหรอกมั้ง มันต้องแก่ๆ หรือไม่ก็อายุรุ่นราวคราวพ่อเพราะมีเงินให้ใช้เต็มกระเป๋า”
             “ดิศ!” ชายหนุ่มไม่แยแสกับแววตาและท่าทางโกรธเคืองใดๆ นั่น เพราะที่เขาพูดไปไม่เห็นจะมีอะไรผิดไปจากความเป็นจริงเลย
             “ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่นายพูด เราคงไม่ทำทุกอย่างเพื่อให้นาย กลับมาเข้าใจกันเหมือนเดิมหรอก!” ปั้นเดินหนีไปพร้อมประโยคสุดท้ายที่เผลอสารภาพความในใจ ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรจริงก็ไม่ควรจะมาพูดจาเหมือนกำลังรู้สึกโกรธกันแบบนี้ ถ้าไม่เคยคิดจะชอบกันก็ไม่ควรทำเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ
            เพราะคนที่คิดอะไรอย่างเขามันทรมาน...

 

             “น้องเดียร์ครับ พี่ขอสั่งเหล้ามากินหน่อยได้มั้ย?”
             “ไม่ได้นะครับพี่กร ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้าเดียร์ตายแน่”
             “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องนี้เอง”
             “พี่ดิศ” น้องชายตาโตกับคำบอก ลากเก้าอี้ตัวที่ว่างมานั่งโต๊ะเดียวกับพี่ชาย สังเกตใบหน้าขุ่นเคืองราวกับไปเจอเรื่องไม่ดีมา 
             “พี่ดิศเป็นอะไรรึเปล่า?” น้องเดียร์ถามด้วยความเป็นห่วง ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจอยู่หลายครั้ง ก็คิดว่างานวันเกิดของตัวเองดูท่าจะมีเรื่องให้พี่ชายไม่สนุกเข้าเสียแล้ว  ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
             “ไม่มีอะไรหรอก เดียร์ไปนั่งคุยกับเพื่อนเถอะ” บอกปัดไปแค่นั้นก่อนจะจมดิ่งสู่ความคิดของตัวเอง ความหมายที่อีกฝ่ายพยายามบอกกันงั้นเหรอ ไม่ต้องคิดอะไรให้ยุ่งยาก ความจริงก็แปลตรงตัวของมันอยู่แล้ว
            ว่าชอบ...
            เป็นความรู้สึกที่เขาอยากรู้มาตลอดไม่ใช่หรือ...ถึงจะผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงดีใจกับมันมากกว่านี้

 

            ตีสอง ปั้นตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้ ไม่อยากอยู่ต่อในงานจึงหลบเข้ามาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียวในห้อง คาดว่าดึกป่านนี้แต่ละคนคงแยกย้ายกันกลับไปหมดแล้ว เพราะเสียงเพลงเริ่มเงียบไปตั้งแต่ช่วงห้าทุ่ม เขาเดินออกไปสำรวจนอกบ้านเก็บเศษอาหาร เก็บกวาดขวดเครื่องดื่มที่เหลือ ชะงักไปนิดเมื่อในแก้วมีกลิ่นเหล้าปะปนอยู่ด้วย แต่มองหาที่มาของมันเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ใครแอบเอาเข้ามากินในบ้าน ถ้าอาสองคนรู้เข้าคงเป็นเรื่องใหญ่แน่

            ข้าวของส่วนใหญ่ค่อนข้างจะเรียบร้อย คงเป็นเพราะน้องเดียร์กับเพื่อนช่วยกันเก็บกวาดไปก่อนหน้านี้แล้ว ปั้นตรวจดูความเรียบร้อยรอบๆ บ้านอีกครั้ง

            เสียงฝีเท้าหนักๆ ย่ำมาใกล้จากทางเบื้องหลัง ก่อนจะรู้ตัวและทันหันไปมองทั้งร่างก็ถูกผลักเข้าชิดกับฝาผนัง กลิ่นเหล้าอบอวลไปทั่วจนรู้สึกฉุนจมูก ร่างสูงที่ยืนตรงหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสับสนมากมาย
            ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดอยู่บริเวณพวงแก้ม ใบหน้าได้รูปเริ่มขยับเข้ามาใกล้พร้อมสายตาดุดัน ปั้นได้แต่มองเพราะทั้งตัวสั่นเกร็งไปหมด หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะเมื่อรู้สึกถึงระยะห่างระหว่างกันซึ่งค่อยๆ น้อยลงไปทุกที

            รดิศประทับจูบลงบนเรียวปากบางอย่างรุนแรง บดเบียดแนบชิดราวกับคนหื่นกระหาย ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยนอกจากการกระทำที่เป็นฝ่ายอธิบายความต้องการทุกอย่าง ลิ้นร้อนตวัดกวาดความหอมหวานภายในนั้นอย่างชำนาญด้วยความเหนือกว่า ฝ่ามือหนาบังคับต้นคออีกฝ่ายให้เข้ามาชิดกันยิ่งกว่าเก่า ร่างบางตรงหน้าตอบรับสัมผัสนั่นด้วยยินยอมตามอารมณ์ปรารถนา

            ชายหนุ่มรู้ดีกว่าใครนี่ไม่ใช่จูบแรกระหว่างเราสองคน
            ต่างฝ่ายต่างตอบรับสัมผัสอย่างเนิ่นนานในความต้องการที่ไม่เคยสิ้นสุด มือข้างหนึ่งรวบร่างในอ้อมกอดเข้ามาใกล้ ความเร่าร้อนไม่ต่างจากเชื้อเพลิงช่วยเติมเต็มความต้องการของไฟอย่างเขา ริมฝีปากผละออกมาก่อนจะย้ำลงไปอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่อาจดับอารมณ์ความต้องการนี้ได้

            รดิศไล่จูบไปตามซอกคอขาวนวลเนียนยามผิวกายกระทบกับแสงไฟสลัวๆ เน้นย้ำฝังรอยจูบลงไปโดยไม่คิดถนอม คนที่เคยแปดเปื้อนมาแล้วจะไปหวงแหนกันอีกทำไม
            มือเรียวยกขึ้นโอบชายหนุ่มไว้แนบชิด ทั้งตัวรู้สึกปั่นป่วนไปหมดเมื่อชายเสื้อถูกเลิกขึ้นสูง ริมฝีปากของรดิศก้มต่ำมาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงที่หน้าอกสีสวย ฝังเขี้ยวคมลงไปบนนั้น โลมเลียอยู่เนิ่นนานจนสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเสียงเครือครางแห่งความพอใจ       

            ก่อนจะหยุดการกระทำทุกอย่างเอาไว้แค่นั้น…
            ร่างบางทรุดฮวบลงกับพื้นเมื่อถูกแรงจากฝ่ามือหนาผลักออกห่างอย่างไร้เยื้อใย แตกต่างจากการกระทำก่อนหน้านั้นเหลือเกิน ก่อนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอนเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันบนริมฝีปากคู่นั้น และสายตาตัดสินกันด้วยการดูถูกดูแคลน

            ปั้นกอดเข่าด้วยความหนาวเหน็บเฝ้ามองเขาค่อยๆ เดินจากไป น้ำตารื้นขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ คอยถามตัวเองว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นทำลงไปที่จริงแล้วมันเพื่ออะไรกันแน่
            ต้องการจะเล่นตลกกับเรางั้นหรือ เห็นเป็นคนไม่มีค่าขนาดนั้นเลยใช่มั้ย...

 

 

 
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 04 : อารมณ์ปรารถนา
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 02-12-2017 15:20:19
อยากให้เรื่องผ่านปั้นไปไวๆๆๆจัง
ลุ้นต่อๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 04 : อารมณ์ปรารถนา
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 02-12-2017 17:38:08
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 05 : ใช่รักหรือเกลียดชัง
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 05-12-2017 22:22:19




   สายน้ำจากฝักบัวรินไหลไปตามร่างกาย ดับความร้อนรุ่นในใจที่กำลังแผดเผา ภาพในเงามืดสะท้อนเจ้าของร่างที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล เพียงแค่มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นก็อยากจะครอบครองไปทั้งตัว เพราะฤทธิ์เหล้าหรืออย่างไรกันแน่ ก่อนหน้านี้ทำไมถึงทำอะไรเหมือนคนไร้การควบคุม หากไม่ยับยั้งตัวเองเขาคงตัดสินใจทำอะไรไปมากกว่านั้น
   ปฏิเสธความจริงไม่ได้ ความต้องการส่วนหนึ่งมันมาจากความหลงใหล อยากได้อยากเป็นเจ้าของ  แต่หากมองผิวเผินมันก็แค่การกระทำที่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่างเพียงเท่านั้น...
   ไม่คิดจะแตะต้องหรืออยากทำอะไรล่วงเกิน ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบเป็นบทชักนำไป
   ร่างกายที่ตอบสนองกันอย่างเร่าร้อน เริ่มต้นจากจูบแค่จูบเดียว...
   มือหนานวดคลึงเบาๆ บริเวณสันแก้ม ยังคงรู้สึกมึนงงไม่หาย สัมผัสอุ่นร้อนยังคงติดตรึงอยู่บริเวณริมฝีปาก เขายังจำตอนอีกฝ่ายสนองจูบของเขาได้เป็นอย่างดี เรียวลิ้นที่ผลัดกันมอบความหอมหวานราวกับชำนาญเรื่องพวกนี้มาก่อน
มันอดคิดไม่ได้...
   คงไม่มีใครจูบเก่งตั้งแต่ครั้งแรกกันหรอกนะ พอคิดแบบนั้นหัวใจก็เริ่มพาลไม่สงบขึ้นมาเสียดื้อๆ
บอกตัวเอง ถ้าไม่คิดอะไรก็ไม่ต้องสนใจ
 
   
   “ปั้น..ปั้น..นายจะเหม่อไปไหนเนี่ย”
   “ห้ะ เอ่อ มีอะไรเหรอ”
ทั้งสามคนนัดออกมาสังสรรค์ด้วยกันฉลองสอบเสร็จ ที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งร้านเหล้ามีดนตรีสดเล่นให้ฟังในจังหวะสบายๆ วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน หลายเดือนผ่านมามีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นตั้งมากมาย ปัญหาที่เข้ามาได้ฝากบทเรียนให้จดจำ หล่อหลอมให้คนๆ หนึ่งเข้มแข็งขึ้นกล้าเผชิญกับเรื่องต่างๆ และเปลี่ยนแปลงชีวิตไปสู่หนทางที่ดีขึ้น
   ถึงแม้รอบกายจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือความรู้สึกในใจที่ยังมั่นคง มีแค่คนเดียวเท่านั้น ที่ยังคงมีอิทธิพลต่อหัวใจดวงนี้เสมอ แม้การกระทำทุกอย่างจะแสดงออกว่าเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง
แต่ก็ยังดื้อด้านไปหลงรัก...ไม่อาจหักห้ามใจ
    “นายวางแผนเรื่องที่เรียนต่อไว้รึยัง” เทอมแรกผ่านไปแล้วเหลือเวลาอีกไม่นานที่จะได้ใช้ชีวิตช่วงมัธยม ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปตามหนทางของตัวเอง
    “อ้อ...ก็คงจะเป็นมหาลัยแถวนี้แหละ เราคงไม่ไปไหนไกลหรอก”
    “แบบนั้น...เราก็อดอยู่ด้วยกันต่อน่ะสิ”เสียงเศร้าสร้อยเป็นความรู้สึกของคนที่ไม่ต้องการแยกจาก เพราะกว่าจะเจอคนที่จะเป็นเพื่อนเราได้สักคนหนึ่ง มันต้องใช้เวลาเรียนรู้และทำความเข้าใจ กว่าจะเป็นที่รู้ใจจริงๆ เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
            “ก็ยังเจอกันได้นี่” ปั้นปลอบใจเพื่อนด้วยรอยยิ้ม ตั้งใจจะบอกว่าเมื่อไหร่ที่คิดถึงกันก็ยังกลับมาเจอกันได้เสมอ
            “แกล่ะอาร์ม คิดไว้บ้างรึยัง?...”
            “ฉันเหรอ?...เธอไปไหนฉันก็ไปที่นั่นแหละ จะตามอยู่แบบนี้จนกว่าเธอจะยอมมาเป็นแฟนฉัน”
             พูดเสียงยานด้วยวาจาหนักแน่น มือโบกไปโบกมาก่อนจะเอนตัวลงมาพิงไหล่หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ
             กี่ปีแล้วเจ้าตัวก็ยังคงรักอยู่เช่นเดิม ไม่เคยเปลี่ยนใจหรือหันมองคนอื่น
            “ไอ้บ้านี่...เมาแล้วพูดจาอะไรไม่รู้เรื่อง”
              เธอบ่นแล้วผลักชายหนุ่มออกห่างถึงจะเขินไปนิดจนต้องด่าไปกลบเกลื่อน เป็นเพื่อนกันมานับสิบปีแต่ก็ยังไม่ชินที่มันชอบพูดจีบกันสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยคนอย่างอาร์มก็จัดเป็นผู้ชายที่มีนิสัยน่ารัก ไม่เคยทำเรื่องอะไรให้เสียใจเลยสักครั้ง

ปั้นมองเพื่อนทั้งสองด้วยความอิจฉาในความสัมพันธ์ที่ยังมั่นคง ข้ามผ่านช่วงเวลาต่างๆ มาด้วยกัน ชื่นชมในตัวอาร์มที่ไม่เคยหันไปมองใคร นอกจากคนที่รักเพียงแค่คนเดียว
ไม่เห็นจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองบ้างเลย...
           ปั้นกลับมาถึงตอนเที่ยงคืน ไฟในบ้านทั้งหลังถูกเปิดไว้จนสว่าง อาสองคนยังไม่กลับจากต่างจังหวัดทั้งบ้านจึงเหลือกันอยู่แค่สองคน คาดว่าน้องเดียร์คงเป็นคนเปิดทิ้งไว้

เด็กหนุ่มอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะเข้านอน ช่วงหลังๆ มานี้เขากลับบ้านดึกบ่อยมาก ไม่ออกไปกับเพื่อนก็หายไปเดินเที่ยวเล่นคิดอะไรเพลินๆ คนเดียว ใช้เวลาอยู่กับตัวเองหรือไม่ก็หากิจกรรมตามชมรมต่างๆ ล่าสุดก็เพิ่งกลับมาจากค่ายกลุ่มคนอาสาของชาวบ้านในละแวกนี้ที่รวมตัวจัดขึ้นในทุกๆ สามเดือน
 
           เสียงเคาะประตูหน้าห้องตอนที่เขากำลังล้มตัวลงนอน ร่างบางลุกขึ้นไปเปิดอย่างรวดเร็วเพราะเป็นห่วงว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
            “น้องเดียร์...มีอะไรรึเปล่า” เป็นน้องชายดังที่คาดไว้ น้องเดียร์อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแต่ที่เขาสงสัยก็คือหมอนที่กอดไว้ในมือ
            “ในบ้านมันเงียบอ่ะ...ขอนอนด้วยคนสิ” เด็กชายตัวผอมบางยืนอยู่หน้าห้องหน้าตางัวเงียเพราะนอนไม่หลับจึงเดินออกมาหาคนนอนเป็นเพื่อน ไม่รอให้พี่ชายอนุญาต เจ้าตัวก็เดินผ่านประตูเข้ามาก่อนจะล้มลงนอนอีกฝั่งที่ว่างของเตียง
            “พี่ปั้นทำไมกลับช้า รู้มั้ยแม่โทรถามตลอดเลย เดียร์โกหกไปว่าอยู่กันสองคนนั่นแหละถึงได้เลิกเป็นห่วง”
            “โทษทีนะ ไว้คราวหลังแล้วพี่จะโทรบอกก่อน” พี่ชายปิดไฟตรงหัวเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนบ้าง
            “พี่...จะหลับรึยังอ่ะ”
            “อื้ม...ทำไมเหรอ” ปั้นลืมตาขึ้นมาเพียงนิดมองน้องชายในความมืด เจ้าตัวเริ่มชวนคุยอีกแล้วทั้งที่ก่อนหน้านี้ดูท่าทางจะง่วงซะเต็มประดา
            “เปล่า...อยากชวนคุย” เขากับน้องเดียร์เริ่มสนิทมากขึ้นจากที่อีกฝ่ายเคยพูดจาตรงๆ แรงๆ ไม่ค่อยถนอมน้ำใจ กลายเป็นมีเรื่องอะไรก็ชอบเอามาปรึกษา อาจเป็นเพราะเราสองคนได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นล่ะมั้ง
            “ช่วงนี้พี่ดิศไม่ค่อยมาที่บ้านเลยเนอะ พี่ปั้นว่ามั้ย?”
            “อื้ม...” เขาตอบกลับไปสั้นๆ ไม่อยากออกความเห็น เจ้าของชื่อนี้ไม่อยากพูดถึงสักเท่าไหร่
            “เดียร์ไม่ชอบให้พี่ดิศคบกับพี่หมวยเลย”
             น้องชายพลิกตัวมาหาแล้วถอนหายใจระบายความรู้สึก ปั้นอยากจะบอกให้ฟังเหลือเกินว่าการที่คนๆ หนึ่งจะรักใครชอบใครนั้นมันเป็นสิทธิ์ของเขา ไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของคนอื่นไม่ได้หรอก แม้จะรู้สึกไม่ชอบใจก็ตาม
เหมือนกับตัวเองตอนนี้...
            “แล้วพี่ปั้นล่ะ...ยังชอบพี่ดิศอยู่รึเปล่า?” คำถามที่ทำเอาตัวเองหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ แทบไม่ต้องคิด ความรู้สึกในใจมันแสดงออกมาอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ความรู้สึกของเขา คนอื่นยังรู้ได้ ก็มีแต่คนเดียวเท่านั้นแหละที่ยังทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ยอมรับรู้...
            “ก็...ชอบ”
            “ทั้งที่เค้าไม่ได้ชอบเราเลยน่ะเหรอ”
            “ไม่รู้สิ...” อันที่จริงเขารักไปแล้วต่างหาก ส่วนอีกฝ่ายจะคิดอย่างไรนั้น เขาเลิกหวังไปนานแล้ว แค่ไม่รังเกียจกันมากว่าเก่าก็พอ
            “ทำไมต้องรักเขาข้างเดียวด้วยนะ ไม่เห็นเข้าใจเลย” เด็กชายยังไม่กระจ่างอาจเพราะยังเด็กจึงไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ อย่างพี่ดิศที่คบกับคนอื่นๆ ไปเรื่อยนั้นก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันใช่ความรักหรือเปล่า ทำไมมันถึงไม่ยืดยาว ทำไมถึงไม่เหมือนกับคนที่เขารักกันจริงๆ เลิกกันง่ายดายขนาดนั้น เหมือนที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้สึกอะไรเลยบ้างหรือ อย่างน้อยก็เคยมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันมาก่อน ส่วนพี่ปั้นทำไมถึงไม่ยอมมีคนใหม่ทั้งที่คนที่ผ่านเข้ามาก็มีอะไรดีไม่น้อยไปกว่าคนอย่างพี่ดิศเลย 

            “ถ้าเป็นเดียร์นะ เดียร์จะเลือกรักแต่คนที่เขารักเราเท่านั้น”
           เด็กชายสรุปความตามที่คิด วันนี้อาจยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่ถ้าช่วงเวลานั้นมาถึงก็คงเลือกในสิ่งที่จะไม่ทำให้ตัวเองเจ็บปวด
            “รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปเรียนพิเศษไม่ใช่เหรอ?” เขาเองไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว และพรุ่งนี้ต้องรีบตื่นมาอุ่นกับข้าวเตรียมไว้ให้น้อง ขืนยังคุยเรื่องนี้ต่อเห็นท่าว่าอีกนานกว่าเขาจะข่มตาให้นอนหลับได้
            “อื้ม...ฝันดีนะพี่ปั้น”
           ทั้งที่ไม่อยากกลับไปคิดถึงมันอีกแล้ว เรื่องที่รดิศมีคนอื่นและลืมเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ก็อาจจะถูกอย่างที่น้องเดียร์พูด
เขาคงไม่ได้รู้สึกอะไร...



            “ให้...”
            “มาห้งมาให้อะไร มึงดูหนังญี่ปุ่นมากไปป่ะวะ”
            “เดี๋ยวเถอะไอ้นี่ กูไม่ได้จะให้มึง กูให้ปั้นโว้ยยยย!!”
           คนถูกเอ่ยชื่อละมือจากเชือกถักตรงหน้า หันมาทักทายเพื่อนคนใหม่ที่เริ่มเข้ามาสนิทกับพวกเขาตั้งแต่เทอมที่แล้ว           
            “รูปที่ฉันวาดนายไง เอาไปเก็บไว้สิ ได้เอเชียวนะสุดยอดป้ะ?”
           ใบหน้าละมุนจากเส้นดินสอสีดำราวกับถอดแบบมาจากตัวเขาเอง เป็นภาพเขียนฝีมือเติ้ลที่เข้ามาขอให้เขาเป็นแบบให้วันนั้น
            “จริงสิ เยี่ยมไปเลย!”
            “งานนี้ต้องขอบคุณนายล่ะที่ยอมมาเป็นแบบให้ ไว้วันหลังจะพาไปเลี้ยงนะ...” เติ้ลยักคิ้ว
            “ไม่หรอก ของแบบนี้มันอยู่ที่ฝีมือคนวาดต่างหาก”
            “แต่ถ้าไม่ได้คนน่ารักแบบนายมานั่งเรียกกำลังใจนะ ฉันก็ไม่ฮึดวาดเหมือนกัน”
            “เฮ้ย!...นี่มึงคิดจะจีบเพื่อนกูเหรอ?”
             อาร์มเข้ามาล็อกคอมันไว้แล้วทำตาขวาง บอกไว้ก่อนเลย ถ้ามีเจตนาจะจีบก็ให้มองตรงไปที่ส้นเท้า มันกระดิกส่งสัญญาณเตือนว่าถ้าตั้งใจจะมาทำเพื่อนเขาเจ็บอีกคนก็ให้ไสหัวไปไกลๆ เข็ดมาแล้วกับที่เคยทำตัวเป็นพ่อสื่อพ่อชักมาก่อน
            “ถ้าจะจีบกูก็ทำไปนานละ...คร้านจะรำคาญไอ้พวกหวงก้างว่ะ เลยไม่อยากยุ่ง”
             เขาหมายถึงเพื่อนในห้องที่ชอบมีท่าทีฮึดฮัด ไม่พอใจเมื่อเขาเอ่ยชื่อปั้น ยิ่งพอมันรู้ว่าเขาได้อีกฝ่ายมาเป็นแบบก็ยิ่งแล้วใหญ่ มันทำตัวให้เขารู้สึกหมั่นไส้ขึ้นทุกวัน
            “ถึงคิดจะจีบจริง ปั้นก็ไม่เอาแกหรอก ฮ่าๆๆ” แพรวนั่งหัวเราะร่า วันนี้เปิดเทอมวันแรกเพื่อนในกลุ่มก็ดูท่าจะครึ้กครื้นกันตั้งแต่เช้า
            “โหย ดูถูกกันเข้าไป”
           เจ้าของชื่อไม่ได้สนใจฟังบทสนทนาของเพื่อนในกลุ่มเลย สายตาเอาแต่มองเหม่อไปยังใครอีกคน ตั้งแต่ช่วงปิดเทอมมา วันนี้เป็นวันแรกที่เพิ่งได้เจอหน้าเขา
เจ็บปวดไปกว่านั้นก็คือเจ้าของร่างบอบบางอีกหนึ่งที่เดินอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมในฐานะ...คนรัก
            “ปั้น!...นี่..อย่าไปมองเลย” มือเรียววางลงบนไหล่ มองไปตามทิศทางที่เพื่อนรักกำลังจับจ้อง พวกเขาสามคนก็ได้แต่ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ให้มันดีขึ้น สร้างเสียงหัวเราะสร้างความสนุกสนาน อยากให้คนที่ยังไม่ลืม ไม่จมจ่อมอยู่กับเรื่องแบบนั้น
            “มึงคิดว่ากับคนนี้จะนานสักกี่เดือนกันวะ?”
            “จนกว่าจะเบื่อ แล้วก็หาคนใหม่ได้นั่นแหละ”
            “มันไม่มีความสุขหรอกพวกมึงเชื่อกูมั้ย คบๆ เลิกๆ ทำคนอื่นเจ็บไปวันๆ แบบนั้น คอยดูนะ! เวรกรรมจะสนองมันเอง” เติ้ลออกความเห็นแกมหมั่นไส้ เห็นมานักต่อนักแล้วไอ้พวกแบบนี้ไม่มีใครได้ดีมีความสุขสักคน
            “กูก็ว่างั้น!”
            “ถ้ามันเกิดรักใครจริงขึ้นมานะ กูขอแช่งให้มันถูกเขาทิ้ง”
            “เฮ้ยเติ้ล...มึงนี่พูดถูกใจกูเลยว่ะ ฮ่าๆๆ”
           เป็นเพื่อนร่วมห้องกันมานานแต่ก็เพิ่งจะมาสนิทกันเอาเทอมสุดท้าย ไม่คิดว่าเติ้ลจะเป็นคนที่มีนิสัยคล้ายๆ กัน จากที่ชอบเขม่นใครเขาไปทั่วพูดจาไม่ค่อยแคร์คนฟัง ภายนอกดูไม่น่าคบหาแต่ใจจริงแล้วแตกต่างกันมากนัก
 
    น้องเดียร์อยู่ในชุดนักเรียนนั่งรอพี่ชายร่วมบ้านกลับมาในห้องรับแขก ตอนพี่ปั้นเดินผ่านก็เรียกไว้ด้วยการกางหนังสือในหน้าที่มีรูปให้ดู
               “พี่ปั้น!! ทำนี่เป็นมะ?”
     “ช็อกโกแลตเหรอ?” พี่ชายเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ตามสิ่งที่น้องบอก
            “ใช่...ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ไง ของขวัญพร้อมคำสารภาพ”
            “จะทำให้ใคร?”
            “เดียร์ชอบพี่ที่โรงเรียนอยู่คนนึง เขาน่ารักมากก็เลยอยากจีบดู นี่ไงคนนี้ๆ...” น้องชายชี้ให้ดูรูปที่ตั้งพักไว้บนหน้าจอมือถือ คนในภาพเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก ที่บอกว่าเป็นรุ่นพี่เขาไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ หน้าเด็กเหมือนจะเป็นรุ่นน้องมากกว่า
            “ก็น่ารักดี...แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง”
            “เดินชนอ่ะพี่...บังเอิญเนอะ ฮ่าๆ” น้องชายพูดไปเขินไป หน้าแดง มีอาการออกมาอย่างเห็นได้ชัด อ้อนวอนให้เขาช่วยทำตามคำขอ บอกว่ามีวิธีทำในหนังสือแต่ตัวเองแค่ไม่เข้าใจสูตรตอนใส่ส่วนผสมเท่านั้นเอง
            “เขามีแต่ผู้หญิงทำให้ผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”
            “โหย...สมัยนี้ใครมันจะไปคิดเรื่องแบบนั้นกัน นะๆ ช่วยหน่อยเหอะ เดียร์ชอบเขามากจริงๆ”
            “อืม...เอาไว้น้องเดียร์กลับจากเรียนพิเศษนะ จะไปซื้อของมาเตรียมไว้ให้”
            “ต้องได้แบบนี้สิพี่ปั้น!” น้องเดียร์ตบมือแปะ แววตาแสดงออกถึงความดีใจ กระโดดกอดคอพี่ชาย บอกว่าถ้าครั้งนี้สำเร็จจะมีรางวัลให้อย่างงาม


           น้องเดียร์ลุ้นจนสุดฤทธิ์ว่าช็อกโกแลตเหลวๆ ของพี่ปั้นจะจับตัวเป็นก้อนแข็งภายในเวลารึเปล่า ผ่านไปหลายนาทีแต่ยังหนืดๆ เหนียวๆ ไม่ใกล้เคียงอย่างที่บอกในตำราเลยสักนิด เขาเองเริ่มท้อแต่พี่ปั้นยังคงตั้งใจทำโดยไม่ละความพยายามลงเลย 
            “งั้นเอาใหม่นะ”
            “พอเหอะพี่...ค่อยไปซื้อสำเร็จรูปเอาก็ได้ นี่มันก็ดึกแล้ว”
            “อยากให้เค้าไม่ใช่เหรอ?...ลองอีกสักรอบจะเป็นไรไป”
            เด็กชายนั่งลงบนเก้าอี้เท้าคางมองใบหน้าที่ไม่แสดงให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย อดทึ่งในความอดทนของพี่ชายคนนี้ไม่ได้จริงๆ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัวเองเลยแท้ๆ แต่ก็ยังทำให้กันขนาดนี้
            “เดียร์รบกวนพี่ปั้นเกินไปรึเปล่า?” ช่วงหลังๆ ตั้งแต่พ่อกับแม่วางใจให้พี่ปั้นเป็นคนดูแลเขาในระหว่างที่ทั้งสองต้องเดินทางไปทำธุระที่ต่างจังหวัด เขาได้มีโอกาสทำความรู้จักตัวตนที่แท้จริงของพี่ชาย
ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าพี่ปั้นก็แค่คนร่วมบ้าน มาอยู่อาศัยในฐานะญาติคนหนึ่ง ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรมากนัก แรกเจอก็รู้สึกไม่ถูกชะตา สีหน้าราวกับแบกความทุกข์ไว้ในใจของพี่ปั้น เห็นแล้วไม่ชวนผูกมิตรเอาเสียเลย
    พี่ปั้นคงชินกับการอยู่ด้วยตัวคนเดียวล่ะมั้ง แบบนี้แหละถึงทำให้เขาไม่ชอบ ปกติแล้วอยากให้คนอื่นเข้าหามากกว่า มันทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ใครๆ ก็อยากรู้จัก
จะว่าไปแล้วบางนิสัยของเราสองคนก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากนัก แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันหมดเสียทีเดียว
           พี่ปั้นอดทนกับเรื่องต่างๆ ได้ดีกว่าใคร
           ส่วนเขานั้น ไม่เลยสักนิด...

            “น่าจะได้ผลแล้วล่ะน้องเดียร์!”
            “จริงด้วย! ดูสิ! เป็นก้อนแล้ว” น้องชายตัวเล็กกว่าชูกระดาษไขที่หยดช็อกโกแลตเหลวทิ้งไว้ให้ดู มันจับตัวเป็นก้อนภายในเวลาไม่กี่นาที และได้ผลดีกว่าครั้งไหนๆ
    พี่ปั้นออกแรงกวนอัลมอนต์กับช็อกโกแลตให้คลุกเคล้าเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ส่วนน้องเดียร์ก็เตรียมถ้วยกระดาษมาจัดเรียงไว้ งานนี้ดูทั้งคู่จะตื่นเต้นกันมาก เรียกว่าลองผิดลองถูกมาหลายหน กว่าจะลงตัวก็เหนื่อยกันพอดู
           ช็อกโกแลตอัลมอนต์เรียงตัวสวยอยู่ในกล่องกระดาษสีชมพู ปั้นตกแต่งด้วยโบว์สีขาวอีกทีพร้อมติดการ์ดเขียนความรู้สึกจากลายมือของน้องเดียร์เอง เจ้าตัวดีใจเป็นพิเศษร้องบอกอยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ เพราะจะได้นำช็อกโกแลตกล่องนี้ไปมอบให้กับคนที่ตัวเองชอบ

            “อันนี้ของพี่…” น้องชายยื่นกล่องช็อกโกแลตสีแดงอีกกล่องให้ “เอาไปให้พี่ดิศด้วยสิ…พี่ปั้นเองก็ไม่ควรพลาดโอกาสนี้เช่นกัน”
            “จะดีเหรอ?” ตัวเองไม่เคยคิดจะทำอะไรแบบนั้นอีกเลยเพราะตั้งแต่เหตุการณ์ที่ผ่านมา ปั้นพยายามออกห่างจากเขามาตลอด บังคับสายตาให้มองเขาน้อยลงเพราะไม่อยากเห็นท่าทีรังเกียจนั่นอีกแล้ว
            “ในฐานะเพื่อนคนนึง...คิดว่าพี่ดิศคงไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
            “ใครจะรู้...”
            “แต่เดี๋ยวพี่เค้าก็จะไปเรียนต่อที่อื่นแล้ว พี่ปั้นไม่ลองดูก่อนเหรอ”
           พูดขึ้นมาก็ใจหาย เหลือเวลาแค่เดือนเศษๆ ก่อนจะจบการศึกษาในปีนี้ และต่างคนต่างแยกย้ายกันไป หนึ่งในนั้นรวมถึงรดิศด้วยเช่นกัน
           แค่ยอมฟังความรู้สึกในใจนี้ก็พอ...ไม่ต้องการอะไรอีกเลย




------------------
ด้านล่างอีกนิดนึงค่ะ
^^
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 05 : ใช่รักหรือเกลียดชัง
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 05-12-2017 22:24:22


    วันวาเลนไทน์มาถึง เด็กในโรงเรียนดูมีความสุขกันมากเป็นพิเศษบางคนหอบดอกไม้ช่อโตมาโรงเรียน บ้างก็หิ้วถุงของขวัญใบใหญ่เพื่อเตรียมเอาไปให้กับคนที่ตัวเองรัก มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนยิ้มหน้าบานกันทั้งนั้น
            “แล้วกล่องสีแดงนั่นล่ะ ให้ใคร?” สองหนุ่มตะโกนถามออกมาพร้อมกันเมื่อเห็นของขวัญชิ้นสุดท้าย ขนาดของมันใหญ่กว่าของตัวเองถึงสองเท่า คิดว่าในนั้นมันต้องมีอะไรพิเศษกว่าของพวกเขาสามคนแน่ๆ
            “ก็มีอยู่คนเดียว” แพรวเฉลยให้ หญิงสาวเดินเข้ามาโอบไหล่เป็นกำลังใจด้วยรอยยิ้ม ต้องการจะบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำ ตามความรู้สึกไม่ต้องไปสนใจว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นยังไง
            “แน่ใจนะว่ามันจะไม่โยนทิ้ง!” อาร์มเริ่มฉุนพอนึกถึงการกระทำเลวๆ ที่ผ่านมาของรดิศ ต่อหน้าพวกเขายืนอยู่ด้วยมันก็ไม่เคยรักษาน้ำใจกัน หากปล่อยเพื่อนเขาไปลำพังแล้วมันจะขนาดไหน
            “ลองมันโยนทิ้งดูดิ กูนี่แหละแม่ง...” อีกหนึ่งหนุ่มหันมาออกตัวจะเป็นฝ่ายช่วยปกป้อง เพราะไม่ชอบขี้หน้ารดิศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เจอแบบนี้ยิ่งไปกันใหญ่
            “นี่ๆ หยุดๆ ไปเถียงกันไกลๆ เลยไป พูดแบบนี้ปั้นจะรู้สึกยังไง”
            “ฉันก็แค่เป็นห่วงอ่ะ...ไม่อยากให้ปั้นเข้าไปยุ่งกับมันสักเท่าไหร่”
            “เราไปในฐานะเพื่อนคนนึงเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไร” เพื่อนตัวเล็กรีบแย้งขึ้นในทันที
            “แน่นะปั้น...หวั่นไหวได้แต่อย่าไปแสดงอาการให้มันเห็น เดี๋ยวมันได้ใจ”
            “ใช่...รีบให้แล้วรีบกลับเลยนะ วันนี้ฉันจะพาไปเลี้ยงไอติมตามสัญญา”
            “เฮ้ย! มึงชวนแค่ปั้นคนเดียวเหรอวะ แล้วกูล่ะ?”
            “มึงไปมึงก็จ่าย”
            “อ้าว...ไอ้นี่!”
            “งั้น...เดี๋ยวเรามานะ” สองคนจะตามไปด้วยแต่ถูกรั้งคอไว้ก่อน แพรวทำหน้ายักษ์ใส่ บอกว่าถ้าจะไปเพื่อสร้างความวุ่นวายน่ะไม่ต้อง อยู่เฉยๆ ให้เป็นเรื่องของคนสองคนพอ
            “ฉันเอาใจช่วย” หญิงสาวเพียงคนเดียวของกลุ่มบอกด้วยความมั่นใจเพราะรู้ดีถึงความเข้มแข็งที่มีในตัวของเพื่อนรัก
            ความรู้สึกที่ไม่อาจห้ามกันได้ มีแต่กำลังใจอยากให้เพื่อนได้ทำในสิ่งที่มีความสุข
            ในฐานะของเพื่อนที่ทั้งรักและเป็นห่วง เธอพร้อมจะยืนข้างกันเสมอ...




           ภายในห้องเรียนอันเงียบสงบ ชายหนุ่มปิดประตูขังตัวเองอยู่ในนั้นเพื่อหลบหนีความวุ่นวายจากกิจกรรมด้านนอก ดวงตาสีเข้มตวัดมองกล่องของขวัญซึ่งวางรวมอยู่บนโต๊ะและดอกกุหลาบอีกจำนวนมาก ทั้งหมดได้รับมาจากเด็กในโรงเรียนที่เขาแทบจะไม่รู้จักเลยทั้งสิ้น ไหนจะจดหมายบรรยายความในใจอีกหลายฉบับที่เขาไม่เคยคิดเปิดอ่าน ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากสนใจความรู้สึกของใครทั้งนั้น มันก็แค่ความรู้สึกจอมปลอมที่เกิดขึ้นภายใจจิตใจเพียงชั่วขณะ
พอถูกเขาเมินเฉย ไม่นานก็คงเลิกรากันไปเอง…

           ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังตื่นเต้นและดีใจไปกับจำนวนของขวัญและดอกกุหลาบ
           เขากลับรู้สึกแตกต่าง...เบื่อหน่ายกับมันเต็มที ไม่ว่าใครผ่านเข้ามาก็เหมือนกันหมด ต้องการความรักความเอาใจใส่จากเขา แต่สุดท้ายไม่มีเลยสักคนที่ช่วยทำให้ความรู้สึกแย่ๆ ในใจนี้หายไป
           ก็ตั้งแต่วันที่เลือกตัดความสัมพันธ์กับคนๆ หนึ่ง ในชีวิตของเขาเหมือนไม่เคยพบเจอกับความสุขอีกเลย

           เขาออกมายืนมองเหตุการณ์ในโรงเรียนอยู่ริมหน้าต่าง ทั้งที่ปกติเวลาเลิกเรียนแต่ละคนจะแยกย้ายกันกลับ ดูเหมือนว่าวันวาเลนไทน์นี้จะทำให้หลายคนอยากกลับบ้านช้าลง
           คงเพราะอยากใช้ช่วงโอกาสนี้อยู่กับคนที่ตัวเองรักล่ะมั้ง?

           รดิศยืนมองเพื่อนสองคนกำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มเด็กรุ่นน้อง มันเป็นปีแรกที่เขาไม่อยากได้ยินคำสารภาพรักจากใคร ไม่อยากได้รับอะไรจากใครทั้งนั้น มองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หากคนรักกันจริงคงไม่เพิ่งมาให้ความสำคัญเฉพาะวันนี้หรอก

           เขากดปิดเครื่องตัดปัญหาเมื่อหน้าจอโชว์เบอร์ไม่ได้รับอยู่หลายสาย เป็นผู้หญิงที่เขายอมเรียกเธอว่าแฟนและให้ความพิเศษเหนือจากคนอื่นๆ 
แต่ใครจะรู้ว่าเจตนาที่แท้จริงแล้วนั้น ก็เพื่อต้องการให้ใครบางคนรู้ฐานะตัวเอง
ว่าไม่ควรเข้ามายุ่งวุ่นวายกันอีกต่อไป...

           สายตาคมเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งของเด็กรุ่นน้องต่างโรงเรียน จำได้ว่าเคยเจอกันมาก่อนในงานวันเกิดของน้องชาย ในมือของฝ่ายนั้นถือดอกกุหลาบสีแดงช่อโต ท่าทางมุ่งมั่นคงกำลังตามหาใครบางคนอยู่เป็นแน่
           ไม่ต้องเดาก็รู้ได้
           คงอยากมาหากันถึงในนี้...
           รดิศละจากภาพตรงหน้า ในใจเริ่มรู้สึกกระวนกระวายเหลือเกิน อยากออกไปดูให้เห็นกับตาว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างที่เขาคิดรึเปล่า…

           ในขณะที่ใจร้อนรุ่ม ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินขึ้นมาบนตึก ก่อนจะหยุดลงที่ไหนสักแห่งท่ามกลางความเงียบสงบ สายตาคมสังเกตช่องว่างใต้ประตู แสงสว่างที่เคยลอดผ่านเข้ามาก่อนหน้านั้นถูกบดบังด้วยร่างของใครสักคนกำลังยืนอยู่ด้านนอก
           เกิดความลังเลขึ้นจากเงามืดดำนั้น ก่อนบางคนจะเดินออกไป เขาตัดสินใจกระชากประตูออกทันที
ร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเผลอทำให้หัวใจอ่อนไหวขึ้นมาชั่วขณะ เมื่อเห็นกล่องสีแดงที่ถืออยู่ในมือ สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นความชิงชังทันที

    เจ้าของแววตาตื่นตระหนกเกิดอาการตัวสั่นขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้เผชิญหน้ากันตรงๆ รู้สึกกระอักกระอวก คำที่ต้องการเอ่ยถูกกลืนหายไปเมื่อเจอสายตาดุดันจ้องเขม็งด้วยท่าทางแข็งกร้าว รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัวกับความมืดดำคล้ายดั่งอารมณ์ของเขา มันไม่อาจคาดเดาได้เลยสักครา
           ร่างสูงตรงหน้าไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย…

    มือสั่นเกร็งยื่นกล่องของขวัญในมือให้โดยปราศจากบทสนทนาใดๆ เจตนาที่มาในวันนี้เพียงแค่แสดงให้รู้ว่า ต่อให้ถูกเกลียดชังกันมากแค่ไหน แต่ความรู้สึกที่เคยมีให้ไม่เคยลดน้อยลงจากเดิมเลย
           ปั้นดีใจเมื่อรดิศยอมรับสิ่งนั้นไว้ เกิดรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า สิ่งนั้นออกมาจากความรู้สึกที่เปี่ยมล้น ก่อนเจ้าตัวจะหันหลังกลับเมื่อพอใจกับสิ่งที่ตัวเองคาดหวังไว้
    จากความเฉยชาแปรเปลี่ยนเป็นความแข็งกระด้าง รดิศกระชากร่างที่กำลังเดินจากไปเข้ามาในห้อง ผลักประตูปิดลงยันร่างเล็กนั่นไว้กับผนัง
    “ต้องการอะไร?” เสียงเข้มสะกดถามด้วยความสับสน ตาเรียวหรี่มองเค้นเอาคำตอบจากร่างตรงหน้า
คนถูกถามส่ายหน้าช้าๆ มองไปในดวงตาคู่นั้นอย่างไม่เคยคิดปิดบัง
            “ทำแบบนี้หวังอยากได้อะไร?” รดิศย้อนถามอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายยังเงียบ ไม่ต้องการถูกเมินเฉยหรือถูกมองข้าม เขาบีบข้อมือแน่นบังคับเอาคำตอบให้จนได้
            “เราไม่เคยคิดแบบนั้นเลย”
            “โกหก!” ตอกกลับคำพูดด้วยแรงอารมณ์ มือหนาวางทาบลงกับผนัง กักร่างไว้แล้วมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น บีบลงบนปลายคางบังคับให้เชยหน้าขึ้นสบ
            “เคยบอกไปแล้วนี่...แล้วทำไมถึงยังไม่เลิกยุ่งกับฉันสักที หรือที่ทำอยู่คงเพราะติดใจอะไรกันแน่”
            “พูดเกินไปแล้วน...”
            ริมฝีปากร้อนกดจูบลงไปโดยไม่สนฝ่ามือของคนตรงหน้าที่กำลังปัดป้อง คำพูดต่อต้านฟังแล้วรู้สึกรำคาญใจ ในเมื่อเป็นฝ่ายเข้ามาหาก็ไม่ควรแสดงท่าทีเช่นนี้ใส่เขา รดิศออกแรงผลักจนแผ่นหลังเล็กชิดติดกับบานประตูด้วยแรงโทสะที่ไร้ซึ่งเหตุผล ริมฝีปากหนาดูดดุนอย่างรุนแรงเมื่อฝ่ายนั้นยังไม่เลิกต่อต้านการกระทำของเขา มือข้างหนึ่งบีบปลายคางบังคับให้เรียวปากสีสดเผยอออกยอมรับสัมผัสที่ต้องการยัดเยียดให้ แค่นั้นยังไม่สาแก่ใจ ในเมื่อต้องการ เขาก็จะตอบแทนกลับให้จนพอใจ จะได้ไปจากเขาสักที
 
           ไม่รู้ว่าเปลี่ยนมาเป็นความเกลียดชังตั้งแต่เมื่อไหร่ คงเริ่มจากการเห็นใครต่อใครเข้ามาเกาะแกะให้ความสนิทสนมกับคนที่เขาเคยมีใจให้ ไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวายต่อให้ตัวเองจะเลิกสนใจไปนานแล้วก็ตามแต่
ทุกครั้งที่ได้ยินใครต่อใครพูดถึงคนๆ นี้อย่างชื่นชมด้วยความสนิทสนม มันห้ามไม่ให้รู้สึกหึงหวงขึ้นมาไม่ได้
           แต่ทำไมต้องรู้สึกเฉพาะกับปั้นแค่คนเดียว
           ไม่เข้าใจตัวเอง..
           รสเค็มปร่าบริเวณปลายลิ้นเรียกสติเขากลับคืน เมื่อก้มลงเพ่งมอง เลือดสีแดงสดบนริมฝีปากบางทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก พร้อมด้วยน้ำตาบนแก้มของคนที่ถูกเขาย่ำยีความรู้สึกจนย่อยยับ
ถามตัวเองว่า ทำบ้าอะไรลงไป

           มือที่กักไหล่บอบบางนั่นไว้ค่อยๆ คลายแรงออก รดิศยืนมองผลการกระทำของตัวเองที่เผลอไปอย่างคนไร้สติ ริมฝีปากแดงช้ำของอีกฝ่ายมีเลือดออกมาเพราะแรงที่ไม่เคยทะนุถนอม
เสียงสะอื้นร้องดังแผ่วเบา ถึงอีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บปวดใดๆ แต่ภายในใจตอนนี้คงรู้สึกไม่แตกต่าง
           รวมถึงใจของเขาด้วยเช่นกัน
ไม่มีคำพูดใดๆ เอ่ยออกมาหลังจากนั้น คนตัวเล็กกว่ามองชายหนุ่มตรงหน้าผ่านม่านน้ำตาด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เรื่องราวดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นในวันก่อนๆ กำลังถูกเขาทำลายลงไปทีละน้อย…หากทั้งหมดมาจากความเกลียดชังที่มีต่อกันแล้ว หลังจากนี้ก็จะขอเป็นฝ่ายเลิกรา ในเมื่อไม่เคยต้องการก็จะไม่เข้ามาวุ่นวายใดๆ อีก

           สองขาวิ่งออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลมาแทนความรู้สึก เข้าใจทุกอย่างดีแล้ว ต่อให้ทำอย่างไรก็ไม่เคยเป็นผล ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของเขาได้เลย
           เกลียดกันจริงๆ ใช่มั้ย? เราเองหลังจากนี้จะได้เลิกหวังสักที


“พี่ปั้น...พี่ปั้นครับ”
           เสียงหนึ่งทักขึ้นตอนเห็นเขาเดินลงมาจากตัวอาคาร ปั้นทำเป็นไม่ได้ยินเสียง ไม่หันกลับไปมอง นาทีนี้อยากหนีไปให้ไกลที่สุดก่อนจะทนไม่ไหว ห้ามความเสียใจนี้ไว้ไม่ได้อีก แต่ข้อมือกลับถูกครอบครองไว้ได้ก่อน เป็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเขาไม่คิดว่าจะมาหากันถึงที่นี่
“ทำไมถึงร้องไห้...ใครทำอะไรพี่ปั้นมา?”
“เปล่า...ไม่มีอะไร” มือข้างหนึ่งรีบลบคราบน้ำตาตัวเองทิ้งไป ก่อนภาพที่เห็นตรงหน้าจะเปลี่ยนเป็นช่อกุหลาบสีแดงสดจากกร ที่กำลังยื่นมาให้
“นี่เป็นความรู้สึกทั้งหมดของผม” ร่างบางมองการกระทำของเด็กตรงหน้าด้วยความลำบากใจ รอบกายมีหลายคนกำลังมองมาทางนี้ คนที่หัวใจกำลังแหลกสลายเริ่มอึดอัด ไม่มีกะจิตกะใจจะพูดคุยกับใครนานๆ
“พี่รับไว้ไม่ได้หรอกกร...ขอโทษนะ”
เพราะรักใครอีกคนเหลือเกินจนไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกจากใครได้อีก
ต่อให้ถูกปฏิเสธกันซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ เขาก็ยังดึงดันจะรัก แม้เขาไม่มีวันเห็นค่าเลยก็ตาม...

หนึ่งคนยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ตอนปาริชาตวิ่งผ่านสนามไป ด้วยหัวใจที่รู้สึกผิดจนเกินบรรยาย แต่ก็ยังทระนงตัวไม่คิดเอ่ยคำขอโทษหรือแสดงความเสียใจใดๆ ทั้งสิ้น
ด้านชาไปกับความเจ็บปวดของใครอีกคนที่เพิ่งถูกเขาทำร้าย
           อาการร้อนรนเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นคนสองคนอยู่เคียงข้างกัน สถานการณ์เป็นใจให้อีกฝ่ายได้เอ่ยคำสารภาพ ในขณะนั้นเองพายุในใจเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ต่อให้พยายามห้ามไม่ให้ใจรู้สึกกับมันเช่นไรกลับไม่เคยเชื่อฟัง รดิศกำมือแน่นจนเป็นสัน บันดาลความโกรธลงบนกรอบหน้าต่างอย่างไม่รู้สึกรู้สาต่อความเจ็บปวดใดๆ
     ไฟร้อนรนเริ่มสงบลง เมื่อหนึ่งในนั้นได้เดินจากไปพร้อมกับช่อดอกไม้ในมือที่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธ
   ชายหนุ่มยิ้มเยาะในใจราวกับอยากให้มันเป็นแบบนั้นมาก่อน




...............................
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 05 : ใช่รักหรือเกลียดชัง
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 05-12-2017 23:03:00
ขอบคุณค่ะ 
รอดูรดิศ  จะทะนงตนอีกนานแค่ไหนกัน
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 06 : เรื่องบังเอิญ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 13-12-2017 22:12:41
 ตอนที่ 6 เรื่องบังเอิญ

 


 

 

ทั้งสามคนยืนรอตามนัดอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนพอเห็นปั้นเดินผ่านก็เรียกไว้ เพื่อนตัวเล็กรีบหรุบหน้าลงต่ำ ตั้งใจจะเดินหนีเสียด้วยซ้ำแต่แพรวเห็นท่าทางพิรุธเลยคว้าตัวไว้ก่อน

“นั่น!!...ไปโดนอะไรมา?” หญิงสาวร้องทักเมื่อสังเกตริมฝีปากล่างของเพื่อนแดงช้ำเป็นรอยชัดเจน ไม่ต้องเดาให้ยากว่าเป็นฝีมือใคร มีคนเดียวเท่านั้นที่กล้าทำอะไรบ้าๆ แบบนี้

“ไอ้ดิศ!!!...” อาร์มขบกรามแน่นด้วยความโกรธแค้น ไอ้สารเลวนั่นเห็นท่าว่าปล่อยไปไม่ได้แล้ว ครั้งนี้มันทำเกินไปจริงๆ

“ม...มันไม่ใช่อย่างนั้น” เขาอายเกินกว่าจะยอมรับความจริงต่อหน้าเพื่อนๆ จะโทษรดิศคนเดียวก็ไม่ได้ เขาเองไม่ใช่หรือที่เป็นฝ่ายเข้าไปหา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าฝ่ายนั้นไม่เคยไยดี

สมแล้วที่ถูกรังแกเหมือนคนไม่มีค่าเช่นนี้

“วันนี้เราคงไปไม่ได้ ขอตัวกลับก่อนนะ” รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าเศร้าหมอง ไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงแต่ต่อให้ปกปิดความจริงไว้แค่ไหนก็คงไม่พ้นอยู่ดี

พวกเขาสามคนทำได้แต่ยืนมองแผ่นหลังที่กำลังห่างออกไปความรู้สึกเศร้าเสียใจไม่แพ้กัน

เมื่อไหร่กันนะ ความรักจะเห็นใจเพื่อนของเขาคนนี้สักที…

 

น้องเดียร์นั่งมองกล่องช็อกโกแลตสีชมพูด้วยความผิดหวัง ตัวเองไม่มีโอกาสได้สารภาพรักเลยด้วยซ้ำก็ถูกปฏิเสธขึ้นมาเสียก่อน ต่อหน้าต่อตาคนตั้งมากมายไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย ไม่รู้จะจัดการความรู้สึกนี้ยังไง พี่น้ำฝนทำให้ความมั่นใจของเขาหายไป

ในระหว่างที่นั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวในสวน ประตูรั้วก็เปิดออก พอเห็นพี่ปั้นกลับมาแล้วก็ดีใจมาก รีบเดินเข้าไปหา ใจหนึ่งก็คอยลุ้นข่าวดีเรื่องพี่ดิศด้วย

“เป็นไงมั่ง?” คนเป็นพี่ชายกลับหลบหน้า พยายามปกปิดร่องรอยนั่นไว้ไม่อยากให้ใครเห็นแต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ

“รอยอะไรน่ะพี่ ไปโดนอะไรมา?” น้องเดียร์ชี้ไปที่ปากด้วยความสงสัย ส่วนปั้นไม่ยอมตอบคำถามรีบเดินขึ้นห้องอ้างว่าวันนี้มีการบ้านต้องทำให้เสร็จ

           

ปั้นหมกตัวอยู่แต่บนห้องไม่ยอมลงมากินข้าว น้องเดียร์ที่ตั้งใจจะเอาเรื่องมาปรึกษาก็เข้าใจว่าพี่ชายคงกำลังยุ่ง ไม่อยากรบกวน แต่ใจหนึ่งแล้วหากคืนนี้ไม่ได้คุยกับพี่ปั้นตัวเองก็คงจะจัดการกับความ รู้สึกแปลกๆ ในใจนี่ไม่ได้สักที

“เอาวะ ลองดูหน่อยละกัน”

เกือบเที่ยงคืนแต่เห็นไฟในห้องยังเปิดอยู่คิดว่าพี่ปั้นยังไม่นอน น้องเดียร์ลองเคาะประตูไปสองสามครั้ง พอประตูเปิดออกก็รีบขออนุญาตเข้าไปทันที เจ้าของห้องอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นสบายๆ กลิ่นแป้งลอยฟุ้งปนไปกับกลิ่นสบู่สงสัยคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

“นอนไม่หลับอีกแล้วเหรอ” น้องเดียร์พยักหน้ารับแล้วมุ่งไปนั่งที่เตียง ระบายให้ฟังว่าวันนี้ตัวเองไปเจออะไรมาบ้าง

“รักครั้งแรกหัวใจก็แตกสลายแล้วล่ะครับ ไม่คิดเลยว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องแบบนี้”

“วันนี้อาจจะยังไม่ใช่ พี่เชื่อว่าสักวันน้องเราต้องได้เจอกับคนที่ดีที่สุดแน่นอน”

“จริงนะพี่ปั้น ผมจะต้องเป็นผู้ชายที่พร้อมจะปกป้องคนที่ผมรักให้ได้เลยคอยดู”

“แล้วพี่ปั้นล่ะ?” รอยยิ้มของพี่ชายค่อยๆ หายไป คนถูกย้อนถามนิ่งงัน ไม่ใช่เพราะไร้คำตอบแต่อย่างใด เขารู้จักหัวใจตัวเองดีในเมื่อรักไปแล้วมันไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะถูกเกลียดชังสักแค่ไหน

“ให้มันเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว” ปั้นตอบด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ เมื่อนึกถึงใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง ต่อไปนี้คงไม่กล้าเข้าไปวุ่นวายกับเขาอีกแล้ว ขอเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจแบบนี้ก็พอ

 

 

ท้องฟ้าตอนกลางวันไร้เมฆขาวเข้ามาบดบัง ลมร้อนของฤดูกาลหอบเอาความอบอ้าวเข้ามาแทนที่ เมืองที่มีทะเลสวยติดอันดับต้นๆ ของประเทศเสน่ห์ดึงดูดของเกาะเล็กๆ แห่งนี้ชักชวนให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมถึงชายหาดแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

ช่วงปิดเทอมอันยาวนานนับเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับการหาประสบการณ์ให้ตัวเอง

เก้าอี้เล็กๆ ถูกวางไว้สำหรับคนที่สนใจอยากเข้ามานั่งเป็นแบบให้กับเขา มันไม่เคยว่างเว้นเลยสักครา

ร่มชายหาดมีส่วนช่วยในการบดบังแสงอาทิตย์และไม่ทำให้ผิวหนังของเขากร้านแดดจนเกินไป ผิวกายคล้ำแดดภายใต้เสื้อกล้ามอวดโชว์แผงอกแกร่ง ท่ามกลางแสงแดดจัด แต่กระนั้นกลับยิ่งทำให้เจ้าของร่างมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น ดูเป็นชายหนุ่มสมบูรณ์แบบ

ปลายผมยาวประบ่าปลิวสะบัดไปตามแรงลมจนไร้ทิศทาง เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลาตามแบบฉบับหนุ่มเอเชีย รดิศกำลังขะมักเขม้นกับการเขียนภาพตามต้นแบบตรงหน้า เม็ดเหงื่อประปรายตามมุมขมับถูกซับออกด้วยมือของหญิงสาว เธอเป็นลูกครึ่งสาวสวยที่เข้ามาใช้บริการฝีมือในการเขียนภาพของเขา

รอยยิ้มแสดงออกถึงความพึงพอใจในตัวเจ้าของผลงานมากกว่าผลงานที่เขากำลังวาดในมือเสียอีก ดวงตากลมโตเอาแต่จับจ้องอยู่แต่ใบหน้าของเขาไม่ห่าง อาจเป็นเพราะนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นช่างดูลึกลับชวนหลงใหล แม้อีกคนรู้ดีกับท่าทีที่เธอแสดงออกว่ามันแฝงไปด้วยความรู้สึกเช่นไร แต่กลับมองข้ามมันทุกอย่าง ราวกับโลกทั้งใบมีแต่กระดาษกับดินสออยู่ตรงหน้าเท่านั้น นับว่าเป็นเสน่ห์ท้าทายอย่างหนึ่งชวนให้ลองค้นหา

ยิ่งเขาปิดกั้นตัวเองเท่าไหร่กลับทำให้อยากเข้าใกล้มากขึ้น

รดิศส่งภาพให้เมื่อมันเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย สาวลูกครึ่งมองด้วยความรู้สึกเสียดายเมื่อเวลาที่มีระหว่างกันกำลังจะหมดลง

“พรุ่งนี้ คุณมาที่นี่อีกรึเปล่าคะ?” เธอถามเพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราจบลงเพียงแค่นี้ ต้องการรู้จักและสนิทสนมกันมากขึ้น

รดิศเพียงแต่พยักหน้ารับ เก็บอุปกรณ์เข้าที่เมื่อแสงแรกของวันใกล้สิ้นสุดลง ไม่ได้สนใจสาวผมน้ำตาลตรงหน้าแต่อย่างใด

“หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะ”

เธอบอกด้วยรอยยิ้มแพรวพราว หมายความว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน ก่อนจะเดินมาหาแล้วฉวยจูบเบาๆ ลงบนแก้มซ้าย รดิศเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือว่ากล่าวใดๆ ราวกับทั้งหมดเป็นเรื่องปกติ

พระอาทิตย์กำลังตกดินแสงส้มอ่อนที่ปลายขอบฟ้า มองเห็นอยู่รำไร ท้องทะเลเงียบสงบได้ยินเพียงเสียงคลื่นเข้ามากระทบฝั่ง

ที่แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยคิดชวนใครบางคนมาด้วยกัน แต่มันก็เป็นแค่สิ่งที่เคยคิดเท่านั้น

ย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อหนึ่งเดือนเต็มก่อนหน้านี้ ข้อความในการ์ดวาเลนไทน์เคยมีใครบางคนเขียนบอกไว้สั้นๆ ด้วยคำๆ เดียว

‘รัก’

เขายังเก็บมันเอาไว้พร้อมช็อกโกแลตกล่องนั้น เป็นเพียงของขวัญชิ้นเดียวที่ไม่คิดโยนทิ้งลงถังขยะไปพร้อมกับของคนอื่นๆ ไม่ใช่เพราะต้องการถนอมน้ำใจใคร แต่เป็นเพราะความรู้สึกส่วนหนึ่งหลังเปิดอ่านมันต่างหาก

 

            ท่ามกลางผู้คนนับร้อยแต่ก็ไม่สามารถทำลายความอ้างว้างในใจนี้ได้ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างนี้มาก่อน ตั้งแต่ที่ทุกคนแยกย้ายกันไปตามหนทางของตัวเอง ความเหงาในหัวใจมันก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

เมื่อไหร่จะชินกับมันสักที
            เด็กหนุ่มถอนหายใจเป็นครั้งที่ไม่ถ้วนของวัน สองเท้าเหยียบย่ำไปตามพื้นถนนด้วยความเบื่อหน่าย เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องราวในอดีตที่ยังคงไม่ลืมเลือน สำหรับเขาแล้วการมาเที่ยวในครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด รังแต่จะทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมามากกว่า

วันเปิดเรียนก็ใกล้เข้ามาแล้ว ทำไมไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจกับมัน สภาพแวดล้อมใหม่ ที่เรียนใหม่ เพื่อนใหม่ แต่ถ้าหากต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้มันจะไปสนุกอะรไ ป่านนี้คนอื่นๆ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ

คิดถึงกันบ้างไหม

เมื่อปล่อยใจลงดิ่งสู่ความคิดถึง วูบหนึ่งใบหน้าของใครบางคนก็เด่นชัดขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นหัวใจก็เริ่มเต้นรัวด้วยถ้อยคำมากมายที่ต้องการถามไถ่ อยากให้เจ้าตัวมายืนอยู่ตรงหน้าเหลือเกิน

ตอนนี้นายทำอะไรอยู่ คงไม่เหงาเหมือนกันหรอกใช่มั้ย?

 

 

เด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนขาสั้นธรรมดาๆ แต่เขากลับรู้สึกถึงความแตกต่างจากบรรดาผู้คนที่ผ่านไปมาบนท้องถนน ร่างสูงนั่งพักอยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในย่านนั้น เฝ้ามองเจ้าของใบหน้าหมองหม่นนั่นราวกับอยากจดจำให้ขึ้นใจ โดยไม่ลืมกดบันทึกภาพเด็กคนนั้นไว้ในกล้องถ่ายรูป เขาจ่ายเงินแก่พนักงานแล้วรีบเดินฝ่าผู้คนที่เริ่มแออัดออกไป ก่อนหน้านี้เขาคงชะล่าใจเกินไปนัก เพราะกว่าจะรู้ตัวอีกที ร่างบอบบางนั้นได้หายไปเสียแล้ว

                ตามมาไม่ทันสินะ

                ท่ามกลางถนนเส้นเล็กๆ แห่งนี้ การได้พบกับใครสักคนที่รู้สึกถูกชะตานับว่าเป็นเรื่องบังเอิญนัก

เขาได้แต่ภาวนา…สักวันเราจะต้องได้เจอกันอีก

 

 

กิจกรรมของวันปฐมนิเทศของนักศึกษาปีหนึ่ง ทุกคนปรบมือเสียงดังลั่นต้อนรับกลุ่มรุ่นพี่บนเวที ปาริชาตนั่งหลังตรงปรบมือตามอย่างว่าง่ายให้ความร่วมมือกับกิจกรรมในวันนี้เป็นอย่างดี

            “เอาล่ะค่ะน้องๆ ปีหนึ่งต่อไปเรามาคลายเครียดกันดีกว่า ข้างหลังน่ะเริ่มง่วงกันแล้วใช่มั้ยค้า”

                        เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของพวกรุ่นพี่ทำให้เด็กทุกคนรีบโก่งตัวขึ้นนั่งหน้าตั้งหลังตรงทันที ไม่ใช่เพราะสนใจกิจกรรมบนเวทีนั่นแต่อย่างใด ลองให้ถูกจับได้ว่าไม่ตั้งใจฟังระหว่างบรรยายดูสิ รับรองว่าได้ไปยืนเต้นท่าประหลาดๆ ต่อหน้าคนนับพันบนเวทีตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกอย่างแน่นอน 

คงไม่มีใครอยากเป็นแบบนั้น

“นายๆ”

มีใครบางคนสะกิดเรียกจากด้านหลัง พอหันไปมองเขาก็ได้แต่ทำหน้างงงัน เพราะจำได้ว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“มีลูกอมป้ะ?” ฝ่ายนั้นหาววอดๆ แล้วบ่นว่าง่วงนอน ต้องนั่งแช่อยู่นานๆ แบบนี้เขาเข้าใจว่าใครๆ ก็คงเบื่อ

“เราไม่มี”

“อะแฮ่ม! น้องผู้ชายที่กำลังคุยอยู่ตรงนั้น”

แย่ละ! หมายถึงใครกันน่ะ

ทันทีที่ปั้นหันกลับมาก็พบว่าทุกสายตากำลังมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว 

“ทุกคนปรบมือให้กำลังใจเพื่อนคนเก่งของเราหน่อยสิคะ” เสียงปรบมือดังลั่น ปาริชาตอยากจะเป็นลมล้มชักลงตรงนั้นเมื่อมีเสียงสั่งให้เขาขึ้นไปแนะนำตัวบนเวที

ซวยตั้งแต่วันแรกเลยรึไงเนี่ย?

มีใครรู้บ้างไหมว่า เขาเกลียดการแนะนำตัวที่สุด!...

 

เด็กหนุ่มยืนตัวแข็งทื่ออยู่บนเวทีราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน ปั้นกวาดตามองไปยังเบื้องล่างเห็นเด็กปีหนึ่งมากหน้าหลายตา ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยสักคน ในขณะนั้นหัวใจกลับเต้นรัว เขาบังเอิญเห็นใบหน้าเรียบเฉยของใครคนหนึ่ง ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมาไม่วางตาด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะคาดเดา  เพียงเท่านั้นรอบกายเหมือนไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว

เกิดคำถามขึ้นมากมาย ทำไมรดิศถึงมาอยู่ที่นี่ เวลานี้...

“เชิญน้องแนะนำตัวหน่อยสิครับ” พี่อีกคนหันมาสะกิดทำให้เขาหลุดจากภวังค์ ปั้นสูดลมหายใจลึกๆ ระงับความตื่นเต้นเรียกสติตัวเองกลับมา

“สวัสดีครับ ผ...ผมนายปาริชาต พาณิภัค คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนครับ”

ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ ก่อนเสียงปรบมือจะดังขึ้นอีกครั้งจนคราวนี้เขารู้สึกมึนงงไปหมด ปั้นหันไปมองรดิศเห็นเขายังคงนิ่งสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม ไม่เคยคิดว่าเราจะได้มาเป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ทั้งที่เตรียมใจไว้แล้วว่าเราสองคนคงไม่ได้เจอกันอีก

ท่ามกลางคนนับพันร่างสูงของชายคนหนึ่งกำลังมองมายังเด็กรุ่นน้องที่ยืนอยู่กลางเวที ส่วนมือที่ถือกล้องถ่ายรูปก็ทำหน้าที่กดบันทึกภาพไว้เช่นเดิม ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เคยเจอกันในคราวก่อนจะกลายมาเป็นรุ่นน้องในมหาลัยไปเสียได้

 “ขอบใจที่มาให้เจอกันอีกนะ...” เขากระซิบเบาๆ ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

            ในขณะทุกคนกำลังแยกย้ายกันกลับหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมของวันนี้ รดิศรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วเดินออกจากหอประชุม เพราะรู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังเดินตามมาแม้ไม่หันไปมอง

จะอะไรกันนักหนา...

“รีบไปไหนวะไอ้ดิศ!” นนท์ตามมาทีหลังแล้วกระชากแขนมันไว้ หันไปมองปั้นที่เดินตามมาแล้วถึงเข้าใจทุกอย่าง

“นี่มึงกำลังหนีเขาอยู่ใช่มั้ย?”

“กูไม่เข้าใจเว้ย! ทั้งที่มึงก็ตามน้องเค้ามาเรียนที่นี่ แล้วพอเค้าอยากคุยด้วย ทำไมต้องเดินหนีด้วยวะ” เขายืนขวางมันไว้ต้องการจะคุยกันให้รู้เรื่อง

“พูดเหี้ยไร?”

 “ปากดีไปเหอะ แต่กูจะบอกอะไรให้อย่างนึงนะ ในเมื่อเขารักมึงได้ สักวันเขาก็เลิกรักมึงได้เหมือนกันนั่นแหละ” นนท์เริ่มทนไม่ไหว เขาไม่ชอบนิสัยไร้เหตุผลของเพื่อน เรื่องมันก็นานมาแล้วทำไมต้องโกรธเกลียดกันไม่จบไม่สิ้น แล้วเรื่องที่มันเปลี่ยนใจมาเรียนที่นี่ก็ยังไม่บอกพวกเขาก่อนเลยสักคำ
            บีมฉุดแขนนนท์เดินออกไปพร้อมกัน ถึงเขาจะเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนแต่ก็ไม่อยากให้พวกมันทะเลาะกัน

 

รดิศยังยืนอยู่ที่เดิมแม้ว่าสองคนนั้นจะเดินออกไปแล้ว ชายหนุ่มมองย้อนกลับไปเบื้องหลังคิดว่าอีกคนคงตามมา แต่ทว่าทุกอย่างกลับว่างเปล่า

‘ในเมื่อเขารักมึงได้ สักวันเขาก็เลิกรักมึงได้เหมือนกัน’

สับสนไปหมด อยู่ดีๆ ก็รู้สึกพาลขึ้นมาดื้อๆ เพราะคำพูดของไอ้นนท์แท้ๆ เขาเกลียดความรู้สึกนี้ของตัวเองที่สุด ต่อให้ใครจะเป็นยังไงก็ช่างเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องงี่เง่าพวกนั้น





 ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,


ต่อด้านล่างจ้าาาาา

หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 06 : เรื่องบังเอิญ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 13-12-2017 22:14:42


ร่างที่กำลังเดินอย่างรวดเร็วเป็นต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากแรงกระแทกอย่างรุนแรงจากทางเบื้องหลัง ปั้นเซถลาลงกับพื้นของที่ถือไว้หล่นกระจัดกระจาย เอกสารในแฟ้มปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ ยิ่งไปกว่านั้นคนผิดกลับไม่หันมาขอโทษกันสักคำ

เด็กหนุ่มเก็บเอกสารที่กองเกลื่อนอยู่บนทางเดินแล้วรีบตามไป...แต่คราวนี้ฝ่ายนั้นกลับหายไปเสียแล้ว คิดอย่างน้อยใจ ทั้งที่เคยพูดกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเขาอีก แต่พอได้เจอกันก็ลืมเรื่องนี้ไปทันที ทั้งที่รู้อยู่ว่าเขาไม่ได้สนใจเราเลย...


            ปั้นเดินห่อไหล่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยทั้งอดีตที่ผ่านมารวมไปถึงการได้มาเจอรดิศในวันนี้ ยังคงหวังไว้เสมอว่าสักวันความสัมพันธ์ของเราสองคนคงกลับไปเป็นเหมือนเดิม ในขณะที่ปล่อยความคิดไว้กับเรื่องในอดีต ด้านหลังมีใครบางคนเรียกชื่อเขา ผู้ชายตัวสูงคนนั้นยิ้มให้แล้วยื่นกระดาษใบหนึ่งส่งกลับมา         

“นี่ของเรารึเปล่า?”

“อะเอ่อ ครับ...” เด็กรุ่นน้องยืนยิ้มเก้ออยู่อย่างนั้น “ขอบคุณนะครับพี่...” นายปาริชาตยกมือขึ้นเกาหัว เนื่องด้วยยังไม่รู้จักชื่อของรุ่นพี่ตรงหน้าเลย

“พี่อธินครับ” ปั้นพยักหน้ารับแล้วบอกขอบคุณ

“เดี๋ยว...” เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับมาอีกครั้งตามคำเรียก

“ครับ?”

“นั่นน่ะ...จะติดไปจนถึงบ้านเลยรึไง” อธินชี้ไปที่มุงกุฎกระดาษบนหัวของเจ้าตัว ฝ่ายนั้นยืนงงอยู่พักหนึ่งก่อนจะนึกได้แล้วรีบปลดมันออก เห็นอาการของรุ่นพี่ยืนมองด้วยความขบขันแล้วรู้สึกอายขึ้นทันที ก็ไอ้กระดาษที่ติดบนหัวนี้ ได้รับมาเพราะตอนที่เขาออกไปแนะนำตัวต่อหน้าเด็กปีหนึ่งทั้งหมดนั่นแหละ นึกแล้วน่าขายหน้าชะมัด

“ผมกลับแล้วนะครับ ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีก”

อธินยืนมองแผ่นหลังที่เดินหายไปท่ามกลางความวุ่นวายของเด็กที่เพิ่งเสร็จสิ้นกิจกรรมด้วยเอ็นดูในความน่ารักของอีกฝ่าย

หลังจากนี้คงจะเรียกว่าความบังเอิญไม่ได้อีกแล้วล่ะนะ...

 

 

หัวหน้าชมรมถ่ายภาพกำลังง่วนอยู่กับการอัพเดตภาพกิจกรรมในวันนี้ลงแฟนเพจของตัวเอง พอนึกถึงการเจอกันอย่างเป็นทางการระหว่างเขากับน้องปั้นเป็นครั้งแรกก็อดไม่ได้จนต้องนั่งยิ้มกับตัวเอง

“อธินทำไรวะ”

“ลงรูป...มีไรเหรอ”

“เออ...จะถามหน่อย เห็นเขาว่ากันว่าน้องที่โดนเรียกออกมาวันนี้น่ะน่ารักมาก มึงมีภาพป่ะวะ ขอดูหน่อยดิ” มอสรองประธานชมรมยืนเท้าแขนกับพนักเก้าอี้ ชะโงกหน้าไปดูรูปที่หน้าจอคอม

“เฮ้ย...ผู้ชายหรอกเหรอ” คนมองยืนชะงักไปพักใหญ่ ได้ยินคนชมกันว่าน่ารักเขานึกว่าเป็นผู้หญิงเสียอีก

“หน้าตาดีแบบนี้ น่าจะให้มาเป็นนายแบบของชมรมเรานะ แกไม่ลองไปชวนน้องเค้าดูล่ะ” เขาเสนอพลางไล่ดูรูปของน้องให้ชัดๆ ทีละรูป

“อธิน นี่ฉันวางไว้ตรงนี้นะ” หญิงสาวเปิดประตูเข้ามาในห้อง เธอเอาเมมโมรี่การ์ดของเขามาคืนหลังจากยืมไปเซฟรูป

“เป็นไงบ้าง...ถูกใจรึเปล่า?”

“ยังจะมาถามอีกนะ กิจกรรมวันนี้มีไม่ถึงร้อยที่เหลือมีแต่รูปน้องปั้นเต็มไปหมด”

“น้องปั้นนี่ใครวะ?” มอสเริ่มสงสัย แค่เขาไม่ได้เข้าไปที่หอประชุมวันนี้ดูเหมือนว่าตัวเองจะพลาดอะไรไปบางอย่าง

“ก็เด็กคนนั้นไง” เมย์ชี้ไปที่หน้าจอคอม

“เอ้ย จริงดิ นี่อธิน! แกคิดไรกะน้องเค้ารึเปล่าวะ”

“คิดไม่คิดฉันไม่รู้ แต่ในกล้องเนี่ยถ่ายแต่รูปน้องเค้าเต็มไปหมด”

“ฮ่าๆๆๆ แหมๆ ท่านหัวหน้าชมรมจะจีบเด็กปีหนึ่งเหรอ ไม่เบานะเนี่ย”

             อธินได้เพียงแต่ยิ้ม เขาเปลี่ยนมานั่งทำความสะอาดเลนส์กล้องและพวกอุปกรณ์ต่างๆ ในกระเป๋าปล่อยให้เพื่อนแซวอยู่อย่างนั้นไม่คิดจะแก้ตัวเพราะมันจริงอย่างที่พูดก็เลยไม่อยากปิดบัง   

 

ระยะเวลาผ่านไปราวเดือนกว่าๆ เด็กปีหนึ่งอย่างเขารู้สึกคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยมากขึ้น มีอิสระคิดจะทำอะไรก็ทำโดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองยังไง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้เลยว่าการทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นไปทั่วของเขานั้น กำลังทำให้ใครบางคนรู้สึกเจ็บปวดอยู่ภายในใจทุกครั้งที่เฝ้ามอง

ใครคนนั้นที่ตกหลุมรักเขา ตั้งแต่วันแรกที่เจอ...

รดิศยังคงทำตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คบคนใหม่ไม่ซ้ำหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่หลงใหลไปกับเสน่ห์อันร้ายกาจนั่น

 

เลิกเรียนตอนสี่โมงเย็น ปาริชาตเดินเข้าห้องน้ำใต้ตึกทั้งที่หน้าประตูมันแขวนป้ายว่ากำลังซ่อมปรับปรุง สองมือผลักประตูห้องริมสุดเข้าไปตามความเคยชินแต่ทว่าภาพที่ได้เห็นมันทำให้เขาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ผู้ชายสองคนกำลังจูบกัน...

ร่างสูงตวัดมองมาทางเขาด้วยหางตาทั้งที่ริมฝีปากยังแนบชิดกับใครอีกคนไม่ห่าง

“ดิศ!...” น้ำเสียงแหบพร่าจนพูดไม่ออก นัยน์ตาแดงก่ำยืนมองการกระทำของสองร่างตรงหน้าโดยที่ไม่อาจหลีกหนีได้เหมือนถูกสั่งให้นิ่งอยู่แบบนั้น

เจ้าของชื่อสบถออกมาอย่างหงุดหงิดมองมาทางตัวต้นเหตุที่เข้ามาขัดขวางฉากความสุขของเขา เมื่อไม่สบอารมณ์กับสายตาเว้าวอนนั่นก็รีบผละออกจากกันทันที รดิศเดินนำออกไปก่อนโดยไม่หันมาสนใจใครอีกหนึ่งที่ยืนตัวสั่นสะท้านอยู่ที่เดิม

เสียงฝีเท้าของทั้งคู่หายไปแล้ว ร่างที่ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน ในหัวมีแต่ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้วนเวียนอยู่เต็มไปหมด ไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมต้องรู้สึกเจ็บข้างในใจนี้

คิดจะทำอะไรกับใครก็ได้อย่างนั้นหรือ...

เขาทำเหมือนทุกคนเป็นของเล่น ตัวเราก่อนหน้านี้ก็ไม่ต่างกันสินะ แล้วที่ผ่านมาล่ะมันไม่เคยมีค่าเลยใช่มั้ย...

แล้วทำไมน้ำตาถึงไหลออกมาด้วย...

ไม่เคยเสียใจกับการกระทำของเขาเท่าภาพที่เห็นในวันนี้มาก่อน ทั้งที่เข้มแข็งมาโดยตลอด เวลานี้ห้ามตัวเองไว้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ร่างบางมองเงาตัวเองในกระจกที่บัดนี้ไม่เหลือเค้าของคนเข้มแข็งอีกต่อไปแล้ว ปั้นแทบไม่รู้ตัวเลยว่ายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่

เงาของผู้ชายคนหนึ่งสะท้อนยืนอยู่เบื้องหลัง ปั้นจำได้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่เจอกันในวันปฐมนิเทศ

“พี่อธิน…”

“เจอกันในสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่เลยนะ...” อธินหมายถึงคราบน้ำตาที่อยู่บนแก้มของอีกฝ่าย เขายืนมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกว่าปั้นจะรู้ตัว

“ทำไมมายืนร้องไห้อยู่ตรงนี้ มีปัญหาอะไรรึเปล่า...” คำตอบที่ได้เป็นเพียงการส่าย ยิ่งพอได้ยินคำพูดที่แสดงถึงความห่วงใยกลับสะอื้นหนักกว่าเก่า

นี่เขาเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมหยุดร้องไห้ไม่ได้

 

เสียงแม่บ้านกำลังปิดประตูอาคาร อธินรีบคว้าแขนเด็กรุ่นน้องออกมาทันที ขืนอยู่ในนี้มีหวังถูกขังจนถึงเช้าแน่ๆ ทั้งคู่ออกมาทันก่อนที่ป้าจะล็อคกุญแจ

            “วันหลังอย่าเข้าไปที่แบบนั้นคนเดียวอีกเข้าใจมั้ย แล้วนี่ถ้าป้าเขาไม่รู้ว่ามีคนอยู่เกิดเราติดอยู่ในนั้นจะทำยังไง”

            พี่อธินเตือนแต่เขาไม่ได้ฟัง สายตาเหลือบเห็นผู้ชายสองคนยืนอยู่ไม่ห่าง คราวนี้รดิศเองก็กำลังมองมาทางพวกเขาเช่นกัน ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนฝ่ายนั้นจะฉุดมือใครอีกคนเดินออกไป

ทุกอย่างไม่รอดพ้นไปจากสายตาของรุ่นพี่ที่ยืนอยู่เคียงข้างได้ อธินมองรุ่นน้องคนนั้นก่อนจะหันกลับมามองเด็กอีกคนที่ยืนเคียงกัน

คิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้วล่ะ…

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” ปั้นหันมาบอกก่อนเดินหนีไปโดยไม่กลัวจะถูกมองว่าทำตัวเสียมารยาทกับรุ่นพี่ เพราะไม่อยากให้ใครเห็นเขาตอนกำลังอ่อนแอ ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา

 

ไม่อยากหวังอีกต่อไปแล้วว่าเราสองคนจะมีโอกาสกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก

เขาคนนั้นไม่ใช่รดิศที่เคยรู้จัก...

                                                         
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 07 : สิทธิ์ของใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 13-12-2017 22:18:02
 ตอนที่ 7            สิทธิ์ของใจ

 

 


 

 

 

 

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นปั้นกับพี่อธินก็สนิทกันมากขึ้น พี่อธินเป็นเหมือนเพื่อนเป็นเหมือนพี่ชายคอยอยู่เคียงข้างกันเสมอ ให้คำแนะนำปรึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามทั้งยังเข้าใจกันเสียทุกเรื่อง ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี บางครั้งก็อดคิดไปไม่ได้ว่าสิ่งที่ฝ่ายนั้นกระทำอยู่ใช่ในฐานะพี่น้องกันจริงๆ หรือ

ปั้นยอมรับว่าตัวเองรู้สึกดีที่มีพี่อธินอยู่เคียงข้างแต่ในใจก็อดคิดถึงใครอีกหนึ่งไปไม่ได้

ร่างบางลุกจากที่นอนเมื่อพยายามข่มตาหลับลงเท่าไหร่แต่ก็ทำไม่ได้ นาฬิกาชี้บอกเวลาตีสาม น้องเดียร์ที่เข้ามานอนเป็นเพื่อนหลับไปก่อนตั้งแต่ห้าทุ่ม ในหัวของเขามีแต่เรื่องของผู้ชายสองคนกับคำถามของน้องเดียร์ที่ยังให้คำตอบไม่ได้ จนน้องหลับไปแล้วปั้นก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี

ระหว่างคนที่เรารักกับคนที่รักเรา...

หากใช้เหตุผลในการตัดสินใจคำตอบที่ได้มันคงไม่ยากเกินไป แต่ถ้าให้หัวใจเป็นฝ่ายตอบ...คนที่เขาจะเลือกก็คงมีเพียงแค่คนเดียว

‘พี่ปั้นจะเลือกใครระหว่างพี่ดิศกับรุ่นพี่คนนั้น’

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ปั้นรีบกระโดดลงจากเตียงไปรับสาย

“โทษทีนะที่โทรมากวนเอาป่านนี้...” ฝ่ายนั้นรีบบอกด้วยความเกรงใจ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่อธินมีอะไรรึเปล่า?”

“พี่ก็แค่..นอนไม่หลับเฉยๆ น่ะ”

“เหรอครับ...ผมเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน” ปั้นเปิดประตูออกมาคุยนอกระเบียงกลัวจะไปรบกวนน้องเดียร์ที่กำลังหลับสบาย

“ทำไมล่ะ ปกติปั้นนอนเร็วไม่ใช่เหรอ?”

“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะครับ.....แล้วพี่ล่ะเพราะอะไรทำไมถึงนอนไม่หลับ”

“พี่คิดถึงปั้น...” คนฟังถึงกับหน้าร้อนผ่าว ปั้นไม่อยากตีความไปนอกเหนือจากคำพูดนั้น

“อะเอ่อ...เดี๋ยววันจันทร์เราก็ได้เจอกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“พี่ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ถึงจะเจอหรือไม่เจอพี่ก็คิดถึงเราอยู่ดี”

“พี่อธิน...” ปั้นหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกตัวเบาหวิวเริ่มไม่แน่ใจกับท่าทีของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่ารุ่นน้องคนนี้จะไม่รู้แต่มันก็อดกังวลไปไม่ได้ ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะเดินไปทางไหน

“พี่อยากเจอปั้นนะ...ตอนเช้าให้พี่ไปรับที่บ้านได้มั้ย”

“อ..เอ่อ...”

“ไปดูพระอาทิตย์กัน...ปั้นไปกับพี่นะ”

หลังจากวางสายจากพี่อธินไปแล้วปั้นก็ไม่สามารถข่มตานอนหลับได้อีกเลย ก่อนหน้านี้สิ่งที่พี่แสดงออกเขาพอจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร ไม่ได้นึกรังเกียจและก็ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกของพี่อธินได้อีกเช่นกัน

นึกทบทวนคำถามของน้องเดียร์อีกครั้ง...จนตอนนี้เขาก็ยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้

 

ตอนตีห้าพี่อธินโทรมาหาเขาอีกครั้ง ฝ่ายนั้นบอกว่ากำลังจะออกมารับให้เตรียมสวมเสื้อหนาๆ เอาไว้ เพราะอากาศตอนใกล้รุ่งมันหนาวเนื่องจากหมอกที่จะลงในตอนเช้า ปั้นยืนรอหน้าบ้านในชุดเตรียมพร้อม ผ่านไปไม่นานพี่อธินก็มาถึง

ผู้ชายตัวสูงขับเวสป้าสีขาวสะพายกล้องถ่ายรูปคู่ใจจอดรถลงหน้ารั้วบ้าน ส่งขาตั้งกล้องมาให้คนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วเป็นฝ่ายช่วยถือ พี่อธินยังทำตัวปกติถึงแม้จะพูดประโยคนั้นออกมาก่อน แต่คนที่รู้สึกไม่ปกติกลับเป็นเด็กรุ่นน้องที่เอาแต่ยืนนิ่งเพราะทำตัวไม่ถูก อาการทั้งหมดถูกสังเกตได้ง่ายๆ จากคนแก่กว่าที่ค่อนข้างใส่ใจกันเป็นพิเศษ พี่อธินยกมือขึ้นวางลงบนผมนุ่มด้วยความเอ็นดู

“คิดมากเรื่องที่พี่เพิ่งบอกไปรึเปล่า...ถึงพี่จะพูดไปแบบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าจะเร่งรัดให้เรามาชอบหรืออะไร...มันเป็นความรู้สึกที่พี่อยากให้เรารับรู้ไว้น่ะ” บอกให้แน่ใจ นัยหนึ่งก็เพราะไม่อยากให้ปั้นมองใครอีกแล้ว

เขาพยักหน้ารับ ถึงจะเข้าใจที่พี่พูดแต่มันก็ยังเขินทำตัวไม่ถูกอยู่ดี ถ้าจะหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะเป็นความอ่อนโยนของพี่อธินนี่ล่ะ

 

ทั้งคู่ขับรถผ่านแนวหุบเขาท่ามกลางหมอกหนา ลมเย็นพัดมาทำให้ปั้นต้องซุกแขนไว้ในกระเป๋าเสื้อ นั่งตัวกลม หลบอยู่ด้านหลังพี่อธินไปตลอดทาง

“ทำแบบนี้พี่ว่ามันอุ่นกว่านะ” พอพูดจบคนชอบเอาใจก็เอื้อมมือมากุมแขนเล็กๆ ไว้ รั้งทั้งตัวลงแนบบนแผ่นหลังใบหน้าซบลงที่ไหล่ ไออุ่นจากร่างตรงหน้าทำให้ไม่อยากผละออกจาก ปั้นอาศัยจังหวะนี้ทดสอบจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเอง

ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเต้นแรงขนาดนี้…

เมื่อมาถึงก็มองหาที่จอดรถ ทั้งคู่เดินลัดเลาะขึ้นไปตามทางเดิน แสงสว่างเพียงเลือนรางไม่ยากเกินไปสำหรับการมองเห็น อธินหันมาสำรวจเจ้าของร่างผอมบางที่เดินตามเขามาเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วงเกรงว่าจะสะดุดล้มลง

อีกสามสิบนาทีก่อนจะถึงหกโมงเช้าพวกเขามีเวลาพอสมควรในการมองหาที่นั่ง ปั้นช่วยพี่อธินถือของ คอยเดินตามเหมือนเป็นเด็กถูกว่าจ้างมายังไงยังงั้น

“พี่อธินออกมาถ่ายรูปตอนเช้าแบบนี้บ่อยเหรอครับ?” ปั้นถามตอนที่อีกฝ่ายกำลังเซตขาตั้งกล้องไว้ข้างๆ โขดหินแห่งหนึ่ง ดูพี่อธินเพลิดเพลินไปกับการถ่ายรูป คิดว่านี่คงเป็นงานที่อีกฝ่ายชอบ แค่เห็นอารมณ์ทางสีหน้าก็รู้แล้วว่ามีความสุขมากแค่ไหน

            “ก็ทุกเสาร์อาทิตย์ที่พี่ว่าง” ประธานชมรมสุดหล่อเดินเข้ามาใกล้ๆ ฝากกระเป๋าสะพายไว้ให้ปั้นช่วยถือ ส่วนตัวเองจะออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆ แถวนี้

“งั้นก็บ่อยสิครับ?”

“ประมาณนั้น...แต่เป็นครั้งแรกที่ชวนคนอื่นมาด้วยแบบนี้” มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า ส่วนอีกข้างหนึ่งเชยคางมนของเด็กขี้สงสัยขึ้นมามอง

“เอ่อ...”

“อยู่กับพี่ไม่ต้องเขินขนาดนั้นก็ได้ หรือว่าพี่ผิดกันแน่นะที่ตัดสินใจบอกเราไปแบบนั้น” รุ่นพี่คนเก่งหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ไม่แน่ใจว่าตัวเองรีบร้อนเกินไปรึเปล่า

ขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ใบหน้าของน้องปั้นตอนนี้เองก็เช่นกัน

รู้สึกว่าจะเขินจนแก้มแดงแข่งกับแสงแรกของวันไปเสียแล้ว...

 

            ในขณะที่พี่อธินกำลังตั้งใจอยู่กับการถ่ายรูปพระอาทิตย์ตรงหน้า ปั้นก็เอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปบ้าง ก็นานๆ ทีที่จะได้มีโอกาสออกมาชมวิวตอนเช้าแบบนี้ ถ้าปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ คงเสียดายแย่ 

            “ปั้นอยากถ่ายรูปรึเปล่า?” คนที่เดินมาจากด้านหลังอยู่ดีๆ ก็ถามขึ้นมา ปั้นกำลังตั้งใจกับการหามุมรีบเอาโทรศัพท์ยัดลงกระเป๋าเสื้อ

            “พี่ถ่ายให้เอามั้ย?” ว่าแล้วก็ดึงโทรศัพท์ในมือของน้องปั้นไปทันที พอเปิดหน้าจอก็ชะงักไปกับรูปหน้าจอ อธินเห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์อยากเอาชนะพุ่งสูง เขาดึงตัวผอมบางให้มายืนซ้อนกันตรงหน้า แผ่นหลังเล็กปะทะอกแกร่งโอบทั้งร่างไว้แนบชิดก่อนจะกดถ่ายภาพทันที

            ปั้นหน้าแดงจัดรู้สึกถึงความอบอุ่นบริเวณแก้ม พอมองภาพนั่นชัดๆ ถึงได้รู้ว่าใบหน้าของเราสองคนใกล้ชิดกันมากแค่ไหน

            “เปลี่ยนเป็นรูปนี้น่าจะดีกว่านะ” อธินไม่ถามความพอใจของเจ้าของโทรศัพท์ จัดการเสร็จเรียบร้อยส่งคืนให้พร้อมภาพหน้าจอที่ตั้งเป็นรูปคู่กัน

            เขาไม่เคยโกรธที่ปั้นให้ความสำคัญกับไอ้เด็กนั่นเป็นพิเศษ ให้สิทธิ์เจ้าตัวเต็มที่ในการตัดสินใจ เพราะเชื่อเสมอว่าสิ่งที่เขาทำอยู่สามารถทำให้ปั้นเปลี่ยนใจมามองเขาได้ในสักวันหนึ่ง

เพียงแค่ไอ้เด็กเวรนั่นไม่เข้ามาวุ่นวายกันหลังจากนี้ก็พอ...เขาให้โอกาสคนอย่างมันมามากพอแล้ว หลังจากนี้คงจะไม่ใจดีกับใครง่ายๆ อีก

           

 

            เพียงแค่ไม่กี่นาทีภาพที่เพิ่งแพร่ออกไปก็มีคนเข้ามากดไลท์เป็นจำนวนมาก หลายคนแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา แต่ประเด็นที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นคนในภาพ ที่คนถ่ายจงใจจะเน้นเป็นพิเศษ ฉากหลังที่เป็นพระอาทิตย์ขึ้นแทบจะถูกละเลยไปในทันที

            “สถานที่เดิมแต่ต่างกันตรงที่ความรู้สึก...สวัสดีตอนเช้าครับทุกคน...เฮ้ยไอ้นนท์!! มึงดูอะไรนี่ดิวะ” บีมรีบปลุกเพื่อนที่ยังหลับให้รีบตื่นขึ้นมาดูภาพในเพจของรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าชมรมถ่ายภาพ

            “นี่มันน้องปั้นนี่หว่า!” นนท์ขยี้ตาตัวเองซ้ำๆ ถึงภาพจะย้อนแสงเห็นเพียงเงามืด แต่คนที่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างพวกเขา ขอยืนยันว่าไม่ผิดคนแน่นอน ทั้งขนาดตัว รูปร่าง แม้กระทั่งสัดส่วนบนร่างกายพวกเขาเคยสเก็ตภาพของปั้นมาก่อนทำไมแค่นี้จะดูกันไม่ออก

            “ไอ้ดิศมันจะรู้มั้ยวะ”

            “เหอะ! กูว่าป่านนี้มันคงดิ้นตายไปแล้ว”

            “ก็สมน้ำหน้าดีว่ะ...” อย่างไอ้ดิศมีหรือที่จะไม่รู้ ถึงจะเป็นเพื่อนกันแต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นด้วยกับการกระทำของมันเลยแม้แต่น้อย ถ้าปั้นได้เจอคนที่ดีกว่าก็อยากให้เปลี่ยนใจ ไม่อยากให้มายุ่งกับคนแบบมันที่ นับวันก็เริ่มทำตัวแย่ลงทุกที

 

 

อากาศในห้องร้อนระอุด้วยแรงอารมณ์ เสียงร้องลั่นดังมาจากเตียงหลังใหญ่ อีกคนถูกปลุกขึ้นมาแต่เช้าก็เพื่อใช้เป็นที่รองรับอารมณ์

“ดิศ! เจ็บนะ พอก่อน” อีกคนไม่ฟังเสียง ออกแรงไม่ยั้งระบายอารมณ์ลงบนเรือนร่างของอีกฝ่าย มัวเมาไปกับความโกรธแค้น ใช้ร่างตรงหน้าเป็นตัวแทนของใครอีกคน

“อื้อ...นายเป็นอะไรไป!” แม้อีกคนกำลังครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่เสือร้ายอย่างเขาที่โดนช่วงชิงการควบคุมตัวเองไปไม่อาจยับยั้งการกระทำของตัวเองได้

เมื่อความอดทนเดินทางมาถึงขีดสุด ปลดปล่อยความคับแน่นไว้ภายในร่างกายของคนที่อยู่ใต้การบังคับ เขาละจากร่างตรงหน้าอย่างไม่ไยดี ทิ้งอีกฝ่ายให้ทรมานจากความสุขที่ยังไม่ถึงฝั่ง

“นั่นนายจะไปไหน...มีเรียนตอนเช้าไม่ใช่รึไง ดิศ!” อีกฝ่ายทักท้วงตอนเห็นเขาออกมาจากห้องน้ำหยิบเสื้อที่กองอยู่ขึ้นมาสวม

“ที่นัดกันไว้ว่าจะไปเรียนพร้อมกันล่ะ?”

เช้านี้รดิศทำตัวไม่น่ารักเลย ตื่นมาก็บังคับฝืนใจกัน พอเขามีอารมณ์ร่วมก็ยิ่งทวีความรุนแรงจนเจ็บไปหมดทั้งตัว สมปรารถนาก็ผละออกไปดื้อๆ ไม่สนใจกันเลย แล้วนี่ยังคิดจะไปไหนอีก!

“อย่าทำตัวเรื่องมาก! ถ้าอยากไปก็ไปคนเดียว!” พูดจาราวกับคนไร้เยื้อใย ปิดประตูลั่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ตั้งใจจะตัดความสัมพันธ์ลงในครั้งนี้

 

            หนุ่มประธานชมรมเดินเข้ามาในห้อง วางสัมภาระลงบนเก้าอี้ สมาชิกอยู่กันครบทีม เอ่ยแซวลั่นเมื่อเห็นท่าทางสบายอารมณ์ของอีกฝ่าย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าที่หายตัวไปบ่อยๆ ก็เพราะเอาเวลาไปตามดูแลน้องปีหนึ่งนั่นเอง

            “เมื่อไหร่จะประกาศให้แฟนคลับนายเขารู้กันสักทีล่ะห้ะ? ว่าเด็กหนุ่มปริศนานั่นน่ะเป็นใคร” คนในชมรมรู้ดี สงสารก็แต่สาวๆ คนอื่นๆ ที่เอาแต่เดาไปเองต่างๆ นานา

            อธินให้เหตุผลว่าเขาไม่อยากเร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไป ให้น้องปั้นได้ตัดสินใจเองดีกว่า ว่าใครกันแน่ที่รักกันจริง แล้วใครที่ทำให้เจ็บช้ำ

            “แล้วเมื่อไหร่แกจะให้พวกฉันยืมน้องปั้นมาเป็นนายแบบบ้างวะ?”

            “ฉันเคยบอกไปแบบนั้นด้วยเหรอ?”

 “อ้าวเฮ้ย!...ไหนทีแรกบอกว่าจะช่วยคุยให้ไง เดี๋ยวสิวะ กลับมาคุยกันก่อน!” เขาเดินผิวปากออกจากห้องชมรมไปยังตึกเรียน วันนี้ปั้นเลิกเรียนก่อนเขาครึ่งชั่วโมง โทรไปนัดแนะกันเรียบร้อยหลังจากนี้ให้รอเจอกันใต้อาคารสาม

            ท้องฟ้าอึมครึม เมฆฝนเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วทั้งที่ก่อนหน้านี้อากาศยังคงแจ่มใส สภาพอากาศแปรปรวนราวกับจิตใจคนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้สักครา

ปั้นยืนรอพี่อธินตามที่นัดกันไว้ ฝนเริ่มประปรายลงมาบ้างแล้ว รอบกายอากาศเริ่มเย็นลง ช่วงเวลาที่ฝนกระหน่ำลงมาแบบนี้ ชวนให้นึกถึงใครบางคนเหลือเกิน

ใต้ร่มคันเดียวกัน ทั้งที่อากาศหนาวเหน็บแต่กลับอบอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด…

 

ปั้นยืนพิงเสา เหม่อมองอยู่นานทีเดียวกว่าจะรู้ตัว บุคคลที่อยู่ในห้วงคำนึง...กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ...

“ดิศ!” แววตาแข็งกร้าวคู่นั้นดูน่ากลัวจนเกินไป สองเท้านิ่งอยู่กับที่ราวกับยืนอยู่ท่ามกลางจุดเยือกแข็ง ที่บัดนี้ความหนาวเหน็บค่อยๆ กัดกินลึกไปจนถึงหัวใจ

ปั้นไม่รอช้าเมื่อได้สติก็รีบเดินหนีจาก ก่อนที่จะถูกปราการน้ำแข็งปิดกันไว้จนไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้อีก

มือเย็นเชียบคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แน่น ในเมื่อต้องการเจอตัวแล้วไ ม่มีทางที่จะปล่อยให้จากกันไปง่ายๆ

“จะรีบไปไหน?”




“เอ่อ...ปล่อยเราเถอะ” เมื่อดิ้นไม่หลุดก็หันมาใช้วิธีขอร้อง คนใจร้ายลากเขาออกมาท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ไม่สนใจคำทักท้วงใดๆ เลย

ร่างผอมบางถูกฉุดกระชากเข้ามาในห้องเก็บผลงานของนักศึกษา เพื่อนของเขาจำนวนมากที่รวมกลุ่มกันอยู่ในห้องถึงกับมองทั้งคู่ด้วยความงงงัน เจอเด็กต่างเอกในสภาพเปียกโชกแล้วหันมองเพื่อนตัวเอง รดิศสั่งเสียงเข้มให้ทั้งหมดออกไปนอกห้อง เขาปิดประตูหนาแน่นและกำชับไม่ให้ใครเข้ามา ฝ่ายนั้นขอเวลาไม่นานสำหรับการจัดการเรื่องบางอย่าง

ทั้งห้องเหลือกันเพียงสองคน ปั้นถูกเหวี่ยงจนล้มเซไปที่โต๊ะ รดิศเข้าประกบทันทีกดทั้งร่างให้นอนนิ่งอยู่บนพื้นไม้

“ถามอะไรหน่อยสิ ระหว่างนอนนิ่งๆ เป็นแบบให้ฉันวาดกับยืนยิ้มยั่วโพสท่าให้ไอ้ตากล้องนั่น อย่างไหนมันดีกว่ากันเหรอ?”

“พูดอะไรน่ะ!!!”

“น้องปั้นของเราคงชอบอย่างหลังมากกว่าสินะ?” รดิศพูดจายียวนไม่สนใจคนฟังว่าจะรู้สึกอย่างไร ชอบที่จะได้เห็นดวงตาคู่นั้นมองมาด้วยความโกรธเคืองจนแทบควบคุมไม่ไหว

“หยุดพูดบ้าๆ แบบนั้นสักที!!”

ร่างผอมบางตัวสั่นราวกับลูกนกไร้ซึ่งหนทางขัดขืน เขาเป็นเหมือนเสือร้ายที่กำลังขย้ำเหยื่อพร้อมจะกัดกินทุกเมื่อ ดวงตาคมกริบไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย บีบข้อมือเล็กนั่นไปตามแรงอารมณ์ เมื่อขัดใจก็ตะคอกถามอีกครั้ง

“งั้นก็ตอบมาว่าแบบไหน!!”

“เลือกไม่ได้หรอกนะ...ของแบบนี้มันอยู่ที่ความพอใจมากกว่า!”

ปั้นหมดความอดทนเลยเผลอตะคอกกลับไปด้วยอารมณ์ประชดประชัน คราวนี้เป็นรดิศที่เป็นฝ่ายนิ่งอึ้ง ดวงตาแข็งกร้าวก่อนหน้านี้เริ่มเปลี่ยนเป็นความอ่อนไหว สับสน ร้อนรน เพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นความแข็งกระด้างตามอารมณ์เช่นเดิม

“ฉันจะทำให้นายได้เจอคำตอบที่พอใจเอง”

พูดจบก็โน้มหน้าลงต่ำ ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวก็ชิงครอบครองริมฝีปากสีสวยไปเสียก่อน อีกฝ่ายเม้มแน่น แต่ถึงอย่างไรเมื่อถูกพายุแห่งเปลวเพลิงชักนำ ความร้อนรุ่มในใจก็ทำให้คล้อยตาม ปรารถนารสชาติอันหอมหวาน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลงใหลในจูบของเขาเพียงใด...

จากท่าทีขัดขืนในทีแรกกลับค่อยๆ หายไป พายุฝนสงบลงแล้วเหลือเพียงกลิ่นอายบนผิวดินที่ยังคงชุ่มฉ่ำ...

ทั้งสองตอบสนองกันอย่างเร่าร้อน เรียวลิ้นรัดพันเกี่ยวกระหวัดไม่ห่าง ราวกับไม่อยากให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผละออกไปก่อน

“เอาล่ะ...เล่นสนุกกันพอรึยัง?”

ร่างสูงในเสื้อสีขาวสะอาดตาเยื้องงกรายเข้ามาในห้องราวกับเป็นแขกรับเชิญที่จะโผล่ออกมาในช่วงสุดท้ายของเกม ฝีเท้าหนักๆ ย่ำลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอด้วยความใจเย็น แม้ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าจะทำให้ร้อนรุ่มในอกมากมายเพียงใดก็ตาม

“มายุ่งกับคนอื่นแบบนี้ ไม่คิดว่าแฟนนายมาเห็นแล้วจะเสียใจรึไง”

            หลังจากนั้นบรรดาเพื่อนๆ ที่รดิศสั่งให้เฝ้าอยู่หน้าห้องก็กรูกันเข้ามา พวกมันทำหน้าสำนึกผิดที่จัดการรุ่นพี่จอมแส่คนเดียวไว้ไม่ได้ เนื่องจากโดนฝ่ายนั้นขู่เอาไว้ถ้าไม่อยากโดนวินัยนักศึกษา โทษฐานสมรู้ร่วมคิดทำลามกอนาจารในมหาวิทยาลัยก็ให้เปิดประตูแต่โดยดี และเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นไปอย่างที่เห็น

“ในเมื่ออยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ก็ดี จะได้ประกาศให้รู้ทั่วถึงกัน” อธินพูดจาเนิบนาบ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งที่สายตามองตรงไปยังร่างผอมบางนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์หึงหวง

“ถึงเวลาที่ฉันจะต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้เสียที หลังจากนี้คงไม่ปล่อยให้ไอ้พวกน่ารำคาญอย่างนายเข้ามาวุ่นวายกับคนของฉันง่ายๆ อีกแล้ว แล้วก็หวังว่านายจะอยู่ในที่ที่ตัวเองสมควรอยู่”

เขารู้ว่าต่อให้ห้ามอย่างไรก็ไม่สามารถบังคับใครได้ รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากการกระทำของคนๆ เดียว อาจจะงี่เง่าไปหน่อย แต่ถ้าจัดการให้รดิศเลิกยุ่งกับปั้นได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?

“ถ้าคิดว่ามีปัญญากักคนของนายไว้ได้...ก็เอา” รดิศท้าทาย เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมสวยนั่นไม่ลดละ ยกยิ้มเย้ยหยันราวกับดูถูก

หากคิดจะสั่งก็ควรจะดูให้ดีเสียก่อนว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเข้ามาวุ่นวายกัน ไม่ใช่ปั้นหรอกหรือที่ยังตอแยเขาไม่ลดละจนถึงทุกวันนี้…

 

ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ จากคำขู่นั่น รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถกักขังหัวใจของใครได้ สักวันหนึ่ง ต้องมีวิธีการที่จะทำให้หัวใจดวงนั้นตกเป็นของตนโดยสมบูรณ์

คนๆ หนึ่งยืนนิ่งน้ำตาไหลลงอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครสังเกตเห็น ทั้งตัวสั่นสะท้านยืนฟังคำตัดสินที่ไร้ซึ่งความยุติธรรม

ยินยอมจะมอบใจให้ใครอีกคนแต่เขาคนนั้นก็โยนทิ้งขว้างไม่ไยดี...ส่วนคนที่ไม่เคยมอบใจให้กลับดูแลและห่วงใยกันเสมอมา...

อธินใช้เสื้อกันหนาวคลุมลงบนไหล่ของเด็กตรงหน้าด้วยความห่วงใย รั้งร่างบางให้เดินออกไปพร้อมกัน เขาไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่เขามั่นใจในวันนี้นั่นก็คือการกระทำของตัวเอง เขากุมมือของรุ่นน้องข้างกายเอาไว้แน่น ต้องการประกาศความเป็นเจ้าของแม้อีกฝ่ายยังไม่ยินยอม

ความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความหนาวเหน็บ ฝนที่กระหน่ำลงมาผ่านไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏก็คือแสงแดดอบอุ่น สายรุ้งงดงามถักทออยู่เบื้องหน้า

มองเรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงอดีต ความเจ็บปวดในวันวานก็ไม่สามารถกลับมาทำร้ายกันได้อีก

 

 

“พี่จะไม่โทษเรา...ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”

เขาบอกตอนเดินออกมาจากห้องทั้งอารมณ์ที่ยังคงเจือความขุ่นเคือง หันมองร่างที่ยืนหนาวสั่น ยังจำภาพที่อีกฝ่ายผลัดกันรับผลัดกันจูบกับอีกคนอย่างเร่าร้อนนั่นได้ติดตา

อธินรั้งต้นคออีกฝ่ายไว้มั่น ก่อนจะประทับริมฝีปากลงซ้ำ ต้องการลบล้างร่องรอยน่ารังเกียจนั่นทิ้งไป สัมผัสอ่อนหวานนุ่มนวลดั่งขนนกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ลบเลือนความหนาวเหน็บ หวาดกลัวอ้างว้างในอดีต

ดั่งยาวิเศษชโลมหัวใจ …

            สิ่งที่น้องเดียร์เคยเฝ้าถามกันอยู่เสมอ...ระหว่างคนที่เรารักกับคนที่รักเรา วันนี้เขาคงให้คำตอบกับตัวเองได้สักที...

ปั้นส่ายหน้าด้วยความเหม่อลอย รวมรวมสติเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

“ผมขอถามอะไรพี่อย่างนึงได้รึเปล่า?”

“ได้สิ...”

“พี่อธินคิดยังไงกับผมกันแน่?...”

“แล้วถ้าพี่บอกว่า‘รัก’ล่ะ ปั้นจะเชื่อมั้ย?...ไม่ใช่แค่ชอบ แต่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ”

“เอ่อ...พี่อธินยังจำวันที่ผมขึ้นไปบนเวทีนั่นได้อีกเหรอ?” นั่นมันเป็นเรื่องน่าขายหน้าสุดชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ เล่นเอาเขาอายไปเกือบเดือน

“ความจริงแล้วพี่เจอเราก่อนหน้านั้นเสียอีก”

ได้โอกาสเฉลย ทำเอาเด็กรุ่นน้องตาโต ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นได้ เรียกว่าความบังเอิญได้อีกรึเปล่า?

เขาตอบหน้าตายว่าคนเราคงไม่บังเอิญเจอกันมากกว่าสามครั้งหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาตั้งใจ

“คบกับพี่นะ”

ปั้นไม่ตอบในทันที แต่เตรียมคำตอบไว้ภายในใจแล้ว เด็กรุ่นน้องขอเวลาอีกสักหน่อยในการลืมเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่อยากให้ในระหว่างที่คบกัน ยังคงมีเรื่องของใครบางคนมารบกวนใจ อยากให้หัวใจดวงนี้เป็นหัวใจที่บริสุทธิ์สำหรับพี่อธินเพียงคนเดียว

 

 

“ได้ข่าวว่าช่วงนี้ทำตัวเหลวไหล ไม่เข้าเรียน ไม่ยอมกลับบ้าน ไม่คิดว่าจะทำตัวสบายไปหน่อยรึไง?” เสียงต้อนรับเมื่อกลับเข้าบ้านในเช้าวันหนึ่งดังขึ้นที่ห้องรับแขก

“พ่อกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เท่ากับจำนวนวันที่แกไม่อยู่กลับบ้านนั่นแหละ” นับไปนับมานี่มันก็สามวันมาแล้ว

“แล้วทำไมไม่โทรบอกผมล่ะ”

“ฉันก็จะดูซิว่าแกจะมีใจโทรหาพ่อแม่บ้างรึเปล่า!”

รดิศวางกระเป๋าลงบนโซฟา รีบมุ่งเข้าครัวก่อนสิ่งใด หาดูว่าเช้าวันนี้แม่ทำอะไรอร่อยๆ ไว้ให้กินบ้าง

“ทำไมสภาพถึงดูไม่ได้แบบนั้นล่ะห้ะ! ผมเผ้ารุงรังหนวดเคราไม่รู้จักตัดจักโกนให้มันเรียบร้อย ดูสิเนี่ย! ต้องให้บ่นตลอด พอกันทั้งพ่อทั้งลูก น่าหงุดหงิดจริงๆ เชียว !” คุณผู้หญิงประจำบ้านถึงกับส่ายหัวมองตามร่างของลูกชายที่หายเข้าไปในครัวแล้วหันมาหยุดที่สามีที่ยังนั่งนิ่งไม่ทุกข์ร้อน

“โถ่คุณ...บ่นลูกก็บ่นไปสิ จะมาโยงผมไปเกี่ยวด้วยทำไม!” คุณชาญ ชาญณรงค์ศิลปินชื่อดังตัวจริงเสียงจริง เขาละจากหนังสือพิมพ์แล้วหันมาขอความเห็นใจ

 “ทั้งสองคนนั่นแหละ เย็นนี้ไปที่ร้านแล้วจัดการซะเลยนะ ไม่งั้นล่ะก็ ฮึ!!” คุณเนตรออกแรงฉับๆ ตัดก้านกุหลาบที่อยู่ในมือแล้วปักลงใส่แจกัน หันกรรไกรตัดกิ่งมาทางสองพ่อลูกด้วยเชิงขู่

คุณศิลปินเข็ดขยาดกับอำนาจมืดของภรรยามาตั้งแต่ไหนแต่ไร นอกเสียจากว่าอยู่ในสังคมเพื่อนฝูงเท่านั้นที่จะวางมาดเข้มขรึม ไม่มีอ้อแอ้อ่อนปวกเปียกให้ใครได้เห็นเหมือนอย่างที่บ้านแน่นอน คุณเนตรเธอเป็นคนรักต้นไม้ดอกไม้ รักความสวยความงามที่มาจากธรรมชาติ แต่รู้สึกจะไม่ชอบความเป็นธรรมชาติของสองพ่อลูกเอาซะเลย ถ้ายังไม่ยอมตัดกิ่งตัดก้านให้ดูสะอาดสะอ้านเหมือนดอกไม้พวกนี้อีกล่ะก็...เห็นทีคราวนี้เธอต้องลงมือเอง

เสียงร้องประท้วงในใจของสองพ่อลูก...ถึงตายอย่างไรก็จะไม่ยอมตัดผมเป็นอันขาด!

 

“เย็นนี้แม่จะไปเยี่ยมอาชล...ดิศก็ไปด้วยกันสิ” ช้อนที่กำลังตักข้าวชะงักกึก รดิศนิ่งคิดไปครู่

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ?”

“อาดาวชวนไปกินข้าวเย็น นานๆ ทีจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ไปได้ยังไง”

“ได้ข่าวว่าปั้นก็ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว?” พ่อยกกาแฟขึ้นดื่ม หันมาทางลูกชายเป็นเชิงถาม

ชายหนุ่มคิดในใจ พ่อไม่รู้อะไรซะเลยว่าคนที่พ่อหมายถึงกำลังทำให้จิตใจของลูกชายตัวเองปั่นป่วนขนาดไหน เขาทำไม่ได้ถ้าเจอแล้วต้องนิ่งเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทั้งที่อยากขย้ำกลืนกินลงไปทั้งตัว

นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะงั้นเหรอ? ฟังดูก็น่าสนุกดี อยากรู้นักว่าใครกันที่อดทนนิ่งเฉยได้มากกว่า...

แค่นึกก็รอให้ถึงเย็นนี้ไม่ไหวซะแล้วสิ

 

 



หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 08 : เครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 14-12-2017 20:57:26
 ตอนที่ 8 เครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของ

 

 


 

 

 

            เวสป้าสีขาวค่อยๆ จอดลงหน้าบ้าน คนซ้อนท้ายกระโดดลงจากรถแล้วส่งขาตั้งกล้องกลับไปให้เจ้าของอย่างรู้หน้าที่ ทุกเย็นหลังเลิกเรียนพี่อธินชอบพาไปนั่งรถเล่น หามุมสวยๆ ถ่ายรูป ตัวเองก็ช่วยถืออุปกรณ์ให้ เป็นนายแบบให้ในบางคราวที่จำเป็น แต่วันนี้เกิดซุ่มซ่ามไปหน่อยเล่นสนุกจนได้แผลกลับมา

“ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?” รุ่นพี่คนสนิทยื่นมือมาช่วยปลดหมวกกันน็อก ใบหน้าหล่อเหลาเจือไปด้วยความเป็นห่วง เพราะความไม่ระวังของเจ้าตัว ขึ้นไปยืนบนโขดหินแล้วกระโดดลงมาไม่รู้พลาดท่ายังไงถึงล้มโดนเอาเปลือกหอยบริเวณนั้นบาดจนได้แผลเป็นรอยยาว จากตั้งใจจะให้น้องปั้นเป็นแบบ จำต้องล้มเลิกความคิดนั้นทันที

“นิดหน่อยครับ เดี๋ยวมันก็หาย”

            “คราวหลังอย่าทำอะไรแบบนั้นอีกนะ” พี่อธินดุ พลางดึงแขนของเด็กโชคไม่ดีตรงหน้าขึ้นมาดูอาการ รอยถลอกเป็นแนวยาวพันไว้ลวกๆ ด้วยฝีมือของเจ้าตัว ส่วนคนเจ็บกลับยืนยิ้มราวกับตัวเองไม่ได้เป็นอะไร
            “รีบเข้าบ้านได้แล้ว” 
            “ครับ..พี่อธินก็ขับรถดีๆ นะ”

ชั่วขณะหนึ่งที่อธินเหลือบไปเห็นร่างสูงที่ดูคุ้นตายืนอยู่ภายในบ้าน ใบหน้านิ่งสนิทมองมาที่พวกเขาสองคน ต่อให้ฝ่ายนั้นเก็บอาการไว้แค่ไหนก็ปิดบังแววริษยานั่นไว้ไม่มิด
            “หมอนั่น อยู่ที่นี่ได้ยังไง?” รู้สึกถึงเส้นเลือดที่กำลังกระตุกอยู่บริเวณขมับ ไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่อุณหภูมิภายในอกร้อนรุ่มมากกว่ากัน
            เขาหรือไอ้เด็กนั่น...

ปั้นมองเข้าไปที่บ้านถึงได้เห็นรดิศยืนอยู่
            “เอ่อ..คือ” นาทีนี้ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
            “ช่างเถอะ...ปั้นคงรู้นะว่าพี่ไม่ชอบให้ใครมาเกาะแกะของที่พี่หวง” นิสัยหนึ่งของพี่อธินก็คือไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับของส่วนตัวเด็ดขาด ยิ่งของสำคัญก็ยิ่งไม่อยากให้ใครแตะต้อง

รอจนกว่าพี่อธินกลับไปแล้วปั้นก็รีบเดินขึ้นห้อง ตั้งใจจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่สนใจร่างสูงที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตู
            “มีบริการส่งฟรีถึงบ้านแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ?” ร่างบางยืนชะงัก แต่ไม่ยอมหันกลับไป “รู้อะไรมั้ย?...ของฟรีน่ะมันไม่มีในโลกหรอก”
            คนเพิ่งมาถึงไม่โต้ตอบ อยากเป็นคนหูหนวกตาบอด ไม่อยากได้ยินหรือรับรู้อะไรทั้งนั้น…แต่รดิศก็ยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ฝ่ายนั้นสาวเท้าหนักๆ รีบก้าวขึ้นบันไดตามมาติดๆ พอปั้นเปิดประตูห้อง เขาก็ถือวิสาสะเข้าไปในนั้นอย่างหน้าด้านที่สุด

นี่มันคือการกระทำของคนที่ตั้งใจปล่อยมือไปจากเขาอย่างนั้นหรือ...

ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร...

“นายเป็นฝ่ายต้องการให้เรื่องของเรามันจบไปแบบนี้ไม่ใช่รึไง? ถ้าเราจะชอบใครขึ้นมาสักคน ต่อให้ถูกเขาหลอก ถูกเขาทำร้าย มันก็ไม่เกี่ยวกับใคร!”
            “งั้นเหรอ?...” รดิศนิ่งไป นึกถึงข้อความในการ์ดบ้าบอนั่นแล้วเทียบกับคำประกาศของอีกฝ่าย
            “ออกไปจากห้องเราเถอะ” เจ้าของห้องสั่งเสียงสั่น แทนที่อีกฝ่ายจะทำตามอย่างว่าง่าย แต่กลับก้าวเข้ามาเรื่อยๆ อย่างท้าทาย
            “ไหนบอกให้ฟังหน่อยสิว่ารักมันแค่ไหน...ไอ้พี่อธินนั่นน่ะ”
            ปั้นถอยห่างออกมาหนึ่งก้าวอย่างยอมแพ้
            จะให้บอกว่ารักพี่อธินได้อย่างไรในเมื่อใจมีแต่คนตรงหน้าแค่คนเดียว
           

รดิศไม่พูดอะไรต่อ กลับโน้มใบหน้าลงต่ำต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ ริมฝีปากสีสวยกำลังถูกเขาครอบครอบ ร่างที่ยืนอยู่ไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืน ยอมให้เขาได้ทำทุกออย่างตามความปรารถนา

แค่เขาแสดงความรู้สึกออกมาว่ายังมีเยื่อไยต่อกันอยู่ ใจที่คิดจะถอยห่างกลับโอนอ่อน ยอมตกลงไปในหลุมลึกนั่นอีกครั้งด้วยความเต็มใจ

“จะไปเป็นของคนอื่นได้ยังไงในเมื่อนายยังยอมรับสัมผัสของฉันอยู่...” กระซิบอยู่ข้างแก้ม มือข้างหนึ่งยังคลอเคลียอยู่บริเวณริมฝีปาก ประทับจูบลงไปอีกครั้ง ไล้เลียอยู่เนิ่นนานด้วยความรู้สึกยากเกินบรรยาย
            ไม่อยากให้คนตรงหน้าเตลิดหนีไป เพราะรู้ตัวแล้วว่าที่ๆ เคยมีใครบางคนรออยู่...มันกำลังว่างเปล่า
           

ดวงตาสอดประสานกันพยายามสื่อความหมาย มือหนาลูบไล้ต่ำมาเรื่อยๆ จัดการปลดกระดุมออกไปทีละเม็ด ดันร่างตรงหน้าให้นอนราบลงบนที่นอน ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าปั้นกำลังตัวสั่น

“พี่ปั้นอาบน้ำเสร็จรึยังครับ?”
            ประตูถูกเปิดพรวดออกมาเนื่องจากนิสัยของน้องเดียร์ที่มักจะเดินเข้าออกห้องนี้ราวกับเป็นพื้นที่ส่วนตัว ภาพที่ปรากฏทำเอาเด็กชายตกใจราวกับถูกจับได้ว่าแอบมองของต้องห้าม ยืนชะงักอยู่กับที่ ลมหายใจติดขัด

พี่ชายสองคนบนเตียง พี่ดิศคร่อมร่างพี่ปั้นไว้ เขารู้สึกถึงอุณหภูมิในห้องที่สูงมากเป็นพิเศษ

 

น้องเดียร์เดินกลับมาที่โต๊ะอาหารด้วยอาการตัวแข็งทื่อ แม่ถามอะไรก็ได้แต่พยักหน้าตอบไปส่งๆ ถ้ามีใครสังเกตคงจะเห็นอาการแก้มแดงเรื่อ ภาพเมื่อครู่นี้เป็นเหตุการณ์ที่เด็กวัยอย่างเขาไม่สมควรได้เห็นจริงๆ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปทั้งตัว

ไม่นานพี่ปั้นก็ลงมาจากห้องในชุดเดิม เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวพยายามปกปิดร่องรอยบางอย่างไว้ภายใต้คอเสื้อ พี่ชายนั่งลงบนเก้าอี้ได้ไม่นานพี่ดิศก็ตามลงมา

“หายไปไหนมาน่ะเรา อาดาวเรียกมากินข้าวตั้งนานแล้ว” คุณเนตรดุลูกชายเมื่อฝ่ายนั้นดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งลงมานั่งข้างๆ ต่างกับตอนพูดกับลูกของพี่เปรม เด็กที่เธอชื่นชมนักหนาว่าน่ารัก ว่านอนสอนง่ายยิ่งกว่ารดิศเป็นไหนๆ

“ได้ข่าวว่าปั้นเองก็เรียนที่เดียวกับดิศใช่มั้ยลูก?”

“ครับ”

“เรียนที่มหาลัยเป็นยังไงบ้าง เริ่มปรับตัวได้รึยัง?”

“ผมเริ่มชินแล้วครับ”

“ถ้ามีปัญหาอะไรอยากให้ช่วยเหลือล่ะก็ บอกดิศได้เลยนะ ไหนๆ ก็เรียนที่เดียวกันแล้ว”

“ปั้นเขามีรุ่นพี่คนสนิทคอยดูแลอยู่แล้วครับแม่ เขาคงไม่อยากรบกวนผมเหรอก” ลูกชายเพียงคนเดียวกำลังประชดประชัน

“อย่างแกเรอะจะไปให้ใครเค้าพึ่งพาได้” คุณชาญได้ทีโขกสับลูกชาย

“อ่ะ...เอ่อ เกือบลืมไปเลยว่าทำบัวลอยไข่หวานไว้ด้วย ปั้นกับน้องเดียร์ช่วยไปยกออกมาหน่อยซิ เอาถ้วยกับช้อนมาเพิ่มด้วยนะ” อาดาวขัดทัพขึ้นมาก่อนที่พ่อลูกจะก่อสงคราม คุณชาญดูภายนอกเป็นคนเข้มงวด แต่จริงๆ แล้วเป็นคนอ่อนโยนมาก เธอเปลี่ยนไปพูดถึงบัวลอยสูตรใหม่ที่สืบรู้มาจากแม้ค้าขนมหวาน วันนี้อยากให้ทุกคนลองชิมดู
            อาชลธีชวนพูดถึงเรื่องในอดีต ย้อนไปถึงสมัยที่ยังเป็นหนุ่ม ยังไม่แต่งงาน คุณลุงคุณอาสองพี่น้องคุยกันออกรส ทั้งคู่เอ่ยชมพ่อเปรมของปั้นด้วย เจ้าตัวนั่งฟังแล้วยิ้ม สายตาบังเอิญสบกับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงข้าม
            เปลวเพลิงแห่งความปรารถนาคล้ายจะแผดเผาเขาให้มอดไหม้ รดิศเอาแต่จ้องจนรู้สึกทำตัวไม่ถูก ปั้นระแวดระวังตลอดเวลา พยายามปกปิดรอยสีกุหลาบไว้ใต้เสื้อนักศึกษา อีกทั้งสายตาของน้องชายที่ลอบมองอาการของพวกเขาสองคนอยู่เป็นระยะๆ

นี่ไม่ใช่มื้ออาหารที่ดีเลย! ถ้าเป็นไปได้ เขาควรหลบออกไปตั้งแต่ตอนนี้

ปั้นตัดสินใจขอตัวออกไปก่อน อ้างว่าวันนี้มีการบ้านต้องรีบทำ ขอเสียมารยาทที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับครอบครัวของลุงชาญจนถึงที่สุด ทันทีที่เขาเดินออกไป ไม่นานลูกชายคนเดียวของคุณชาญก็รีบตามออกมาทันที โดยอ้างว่าจะไปหาที่สูบบุหรี่

             “โอ๊ะ...” ปั้นนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด รดิศกระชากแขนอย่างแรงจนเผลอไปโดนแผล ชายหนุ่มจับสังเกตได้ สายตาว่องไวรีบสำรวจไปที่แขนทันที

            “ไปโดนอะไรมา?” มือข้างหนึ่งลูบลงไปบนผ้าแผ่วเบา เพิ่งสังเกตว่ามันมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
 คนอย่างเขาไม่เคยสนใจกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ครั้งนี้ปั้นไม่ตอบ ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองต้องบอก รดิศล็อคแขนข้างนั้นไว้แน่น มืออีกข้างค่อยๆ ปลดปลายผ้าพันแผลนั่นออกทั้งที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

“อยู่เฉยๆ” เขาดุ เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความห่วงใยออกมาชัดเจนและจริงจังมากขนาดนี้ จนเผลอทำให้ปั้นเต็มใจให้เขาได้แตะต้องมันอย่างที่ต้องการ

เลือดเกรอะกรังอยู่บนปากแผล เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ รดิศลากเจ้าตัวเข้าไปในห้องน้ำ เปิดก๊อกล้างมันด้วยวิธีที่ดิบเถื่อนที่สุดแต่การกระทำนั้นช่างอ่อนโยนผิดไปจากทุกทีนัก

เม็ดทรายที่ติดอยู่ถูกชำระออก ปั้นมองเสี้ยวหน้าเคร่งขรึมนั้นด้วยความไม่เข้าใจ ไม่อยากคิดอะไรไปเพียงฝ่ายเดียว
            รดิศคนก่อนที่เคยเห็นก็เป็นคนแบบนี้ อ่อนโยนและห่วงใยเขาอยู่เสมอ...

“เราทำเองดีกว่า นายน่ะ...กลับไปเถอะ” ปั้นไม่ได้เอ่ยปากไล่ เพียงแค่ไม่อยากให้ตัวเองถลำลึกไปมากกว่าที่เป็นอยู่

เขาตกลงคบกับพี่อธินไปแล้ว…

นั่นเป็นเรื่องที่ไม่เคยเปิดเผยกับใครมาก่อน แม้แต่รดิศก็ไม่ต้องการให้รับรู้

            ปั้นเดินกลับห้องไปเงียบๆ ช่วงสามทุ่มเขาได้ยินเสียงรถของครอบครัวลุงชาญกลับออกไป ร่างบางถอนหายใจแล้วล้มตัวลงบนที่นอน
            การเจอกันในครั้งนี้ไม่น่าเกิดขึ้นเลย…

            มันยากสำหรับคนที่ต้องการตัดใจ ถ้าเขายังแสดงความห่วงใยให้เห็น แล้วเมื่อไหร่ปั้นจะกระโดดขึ้นมาจากหลุมนั่นได้สักที

น้ำตาไหลออกมาช้าๆ ราวกับเป็นเครื่องเตือนใจ

            ถ้าไม่มีใครคนใดคนหนึ่งวิธีการมันคงไม่ยากถึงเพียงนี้ 
            ถ้าไม่มีพี่อธินเขาคงอยู่กับความชอกช้ำที่ได้รับจากรดิศได้อย่างไม่ยากเย็น
            ถ้าไม่มีรดิศเขาก็คงจะมีความสุขกับพี่อธินได้โดยที่ไม่มีอดีตของเรามาคอยรบกวน

            “พี่ปั้น!”
            เป็นเสียงใสๆ ของน้องชายที่แง้มประตูเข้ามา น้องเดียร์กวาดมองรอบห้องอย่างระแวดระวังด้วยกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เมื่อแน่ใจว่าพี่ปั้นอยู่คนเดียวถึงได้รีบเข้ามา
น้องชายไม่พูดอะไรมากความ เห็นน้ำตาของพี่ชายที่กำลังนอนร้องไห้แล้วรู้สึกใจหาย นั่งลงบนขอบเตียงแสดงท่าทีราวกับผู้ใหญ่ที่เข้าใจเรื่องทุกอย่างได้ง่ายดาย

            “พี่ปั้นคงลำบากใจไม่น้อยเลยสินะเนี่ย” ว่าพลางก็ช่วยเช็ดน้ำตาให้ ถ้าเขารู้ว่าเงื่อนไขง่ายๆ ของตัวเองจะทำร้ายพี่ชายแบบนี้ เด็กโง่อย่างเขาคงไม่สนับสนุนรุ่นพี่คนนั้นแน่…

            เพียงแต่เขาไม่รู้...
            ‘ระหว่างคนที่เรารักกับคนที่รักเรา’ ตัวเลือกนี้ใช้กับพี่ปั้นไม่ได้

            เส้นความสัมพันธ์ที่เชื่อมอยู่ตรงกลางไม่มีใครมองเห็น นอกจากคนสองคน... อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่คลุมเครือมาตลอดทำให้ไม่มีใครแน่ใจว่าต่างฝ่ายต่างคิดยังไง ทุกอย่างเพิ่งชัดเจนเมื่อมีคนที่สามเข้ามา

            พี่อธินไม่ผิด เพียงแต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่พี่ปั้นจะรักได้อย่างเต็มหัวใจ คนอย่างพี่ปั้นเมื่อยึดติดกับสิ่งใดแล้วก็ไม่มีทางละมือจากสิ่งนั้นง่ายๆ อย่างเช่นความรักที่มีให้พี่ดิศ ต่อให้มีคนใหม่เข้ามาก็ไม่สามารถทำให้ลืมความสุขในอดีตได้

            นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากจริงๆ

            ในมุมมองของเด็กคนหนึ่ง เงื่อนไขง่ายๆ ที่คิดว่าคงได้ผล ใช่ว่าจะจัดการกับทุกคนได้เสมอไป

            พี่ปั้นชอบพี่ดิศ พี่อธินชอบพี่ปั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสามเป็นแบบลูกศรที่พุ่งตรงไปข้างหน้า ถ้าจะให้พี่ปั้นหันกลับมาแล้วมองคนที่อยู่เบื้องหลัง และทิ้งคนที่ตัวเองรักไป

            น้องเดียร์คิดไม่ตกกับเรื่องนี้จริงๆ

            “ถ้าพี่อธินเห็นคงไม่ดีแน่ๆ” น้องเดียร์ชี้ไปที่ต้นคอของพี่ชายพลางช่วยคิดหาทาง ทำอย่างไรก็ได้ จนกว่ารอยนั่นมันจะจางไปอย่าให้พี่อธินของพี่ปั้นเห็นเข้าก็พอ

            “ใช้นี่ปิดไว้นะครับ” ถึงไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่นัก แต่สมองของเด็กอย่างเขาคิดออกได้เท่านี้จริงๆ

มือเรียวปิดทับแผ่นปลาสเตอร์แก้ปวดไว้ กำชับพี่ชายถึงข้ออ้าง แค่นี่ก็น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว

 

“อะไรกันน่ะ ไม่ทันข้ามวันนายก็มีแผลเพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอ?”
            พี่อธินชี้ไปที่ลำคอขาวของแฟนหนุ่มสุดที่รักด้วยความละเหี่ยใจ เขาจะพูดอย่างไรกับเด็กคนนี้ดี เด็กเรียบร้อยอย่างน้องปั้นไม่น่าจะซุ่มซ่ามหาเรื่องเจ็บตัวได้ทุกวี่ทุกวันแบบนี้

“อันนี้...ผมแค่ปวดคอนิดหน่อยเองครับ..เอ่อ..คือ.เมื่อคืนน้องเดียร์มานอนที่ห้อง สงสัยถูกแย่งหมอนไปตอนหลับแน่ๆ เลย” ปั้นเอามือกุมลำคอไว้อย่างระมัดระวัง กล่าวโทษน้องไปอย่างรู้สึกผิดที่ต้องหาเรื่องแก้ตัว

“ปวดมากรึเปล่า? ดูสิเนี่ยช้ำไปหมดทั้งตัว ทั้งที่พี่ก็ถนอมเราดียิ่งกว่าอะไร” อธินหมายถึงผ้าพันที่แขนด้วยอีกหนึ่งสาเหตุ คิดไม่ออกว่ามันต้องใช้เวลารักษาอีกนานเท่าไหร่ถึงจะหายสนิท

“ไม่เกินสองอาทิตย์หรอกครับ ผมยังหนุ่มยังแน่น แผลแค่นิดเดียวหายเร็วจะตาย”

 

ปั้นพ่นลมหายใจออกจากปากอย่างโล่งอก กว่าหนึ่งวันจะผ่านไปกับการปกปิดคนรักช่างเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ นิ้วเรียวแกะปลาสเตอร์แก้ปวดแผ่นนั้นออก มองตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกแล้วต้องถอนหายใจอีกครั้ง

คนที่ฝากไอ้เครื่องหมายบ้าๆ นี้ไว้คงนึกสนุกอยากแกล้งเขาขึ้นมาเฉยๆ สินะ เขาคงไม่รู้หรอกว่าปั้นต้องเดือดร้อนกับมันแค่ไหน ทุกครั้งที่เห็นร่องรอยของมันอยู่บนร่างของตัวเองแล้วรู้สึกยังไง ความร้อนรุ่มแล่นร้าวไปทั้งกายราวกับมีเขายืนจ้องอยู่ตรงหน้า
ปั้นรีบดึงแผ่นสีขาวอันใหม่ออกมาจากกระเป๋า ปิดซ้ำลงไปรอยเดิม ไม่ต้องการให้ใครเห็นมัน
            “พี่อธิน!”

“มีอะไรงั้นเหรอ?” อธินที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นปั้นตกใจจนผิดสังเกต

“ปะ เปล่าครับ”

“งั้นก็รีบกลับ” ประโยคหลังเจือไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง เขากุมมือคนรักเดินออกมา ในใจร้อนรนจนไม่อาจควบคุมได้ รู้ดีว่าตัวเองเผลอตกลงไปในกับดักของหมาลอบกัดบางตัวเข้าซะแล้ว

มันอาศัยช่วงเวลาที่เจ้าของไม่อยู่ เข้ามาเล่นกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยในกรงทองของเขา
ไอ้เด็กคนนั้น เขาเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ...ว่าให้อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่

ปั้นแปลกใจที่อยู่ๆ พี่อธินก็เปิดประตูให้เขาเข้าไปนั่งในเบนซ์คันหนึ่งไม่ใช่เวสป้าสีขาวที่คุ้นเคย พอถามถึงมันอีกฝ่ายก็บอกว่าตอนนี้กำลังส่งซ่อม แต่เมื่อวานเขาเห็นยังใช้การได้ดีอยู่ไม่ใช่หรือ ปั้นปัดความคิดนั่นทิ้งไป พี่อธินเหยียบเบรกกะทันหัน แตะคันเร่งไปข้างหน้าแล้วหักเลี้ยวในทันที ทำเอาคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเริ่มกังวลใจ
            พี่อธินเป็นอะไรไป...

อธินขับรถไปบนถนน เขากำลังควบคุมอารมณ์ตัวเองแม้ในหัวจะนึกถึงแต่ภาพใบหน้าขาวๆ ของน้องปั้นตอนที่ถูกอีกฝ่ายกระทำ เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่เลยเถิดไปถึงไหน ยิ่งไม่อยากนึกถึงความจริงที่ว่าคนของเขาเองก็ยินยอมไปกับเรื่องแบบนั้นด้วย

ไอ้เด็กนั่นคงรู้จุดอ่อนถึงได้พยายามปั่นหัวเขา

            ทั้งที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ปั้นหันมารัก ทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะมัน แต่ทุกอย่างเหมือนไม่มีความหมายอะไร

            อีกนานแค่ไหน ที่หัวใจของปั้นจะมีแต่เขาแค่คนเดียว

            เขารักน้องปั้นมาก มากจนทั้งที่รู้อยู่เสมอว่าปั้นไม่ยอมตัดใจนั่นเพราะยังลืมรักแรกไม่ได้ เขาไม่เคยโกรธเคือง ไม่เคยกล่าวโทษกัน ความผิดทั้งหมดเขาโยนไปที่ไอ้หมอนั่นคนเดียว
            จะมีอีกกี่ทาง...ที่จะเปลี่ยนเจ้าของหัวใจดวงใจนั้นให้กลายเป็นเขาคนนี้แทน

 

 
..................................

ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 08 : เครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 14-12-2017 20:58:44

 

“พวกฉันอยากได้น้องปั้นมาเป็นนายแบบจริงๆ นะ”

“คนในมหาลัยมีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นน้องปั้น?” เขาไม่เข้าใจแทนที่มันจะเฉพาะเจาะจงแค่คนเดียวๆ ตามตื้อเขาจนเสียเวลาเปล่าไปแบบนี้ สู้เอาเวลาไปหาคนใหม่แทนไม่ดีกว่าเหรอ รู้ดีอยู่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางยอม

“ฉันให้แกมีสิทธิ์กำกับได้เต็มที่ ชุดไหนเหมาะสมไม่เหมาะสม หรือโพสท่าทางอะไรยังไงฉันยกให้แกหมด”

“ขอปฏิเสธ แกคิดว่าเรื่องแบบนี้มันยอมกันได้ง่ายๆ หรือไง แกคงไม่อยากให้แฟนตัวเองต้องไปอยู่ท่ามกลางสายตาคนอื่นนับสิบ ใครจะสั่งให้โพสท่ายังไงก็ได้งั้นเหรอ?”

“อธินขอร้องล่ะ นี่มันเป็นงานนะ” เขาพยายามเตือนสติไม่อยากให้เพื่อนเอางานมาปนกับเรื่องส่วนตัว

“เปลี่ยนเป็นคนอื่นเถอะ”

“เพราะคนอื่นไม่เหมือนน้องปั้นน่ะสิ น้องปั้นดูเป็นธรรมชาติที่สุด แกก็รู้เรื่องนี้ดีไม่ใช่เหรอ?” เขาไม่เถียงข้อนั้น ดวงตาใสบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อย ใบหน้าที่เรียบเฉยแต่กลับมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ไม่ต้องเติมแต่งอะไร ความเป็นธรรมชาติขับให้ทุกอย่างลงตัวไปหมด ยิ่งรอยยิ้มบางๆ นั่นแล้วเป็นใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันน่าดึงดูดขนาดไหน แม้จะเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความเศร้า

            เขายอมไม่ได้ถ้าต้องแบ่งของรักของหวงของตัวเองให้ใครเชยชม

            “ถอนหายใจ? มีเรื่องไม่สบายใจหรือครับ”

            “มากๆ เลยล่ะ” อธินกดปิดกล้อง ละจากแสงตะวันจากอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้ามาให้ความสนใจกับร่างที่นั่งทรงตัวอยู่บนโขดหินใกล้ๆ มันเป็นเรื่องที่ทำให้ใจของเขาไม่สงบ เหมือนทะเลที่มีคลื่นซัดฝั่งตลอดเวลา

            “เรื่องงานเหรอ?”

            “เรื่องเรานั่นแหละ”

            “เรื่องผม?” ปั้นทำหน้างุนงงได้อย่างน่ารักที่สุด เอียงคอมองเขาพยายามขบคิดอะไรบางอย่าง
            ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาเพิ่งตัดเรื่องไอ้เด็กนั่นไปได้ไม่ทันไร กลับต้องมาปวดหัวกับพวกบรรดาช่างภาพที่ขยันหาเวลาเข้ามาเจรจาทาบทามแฟนสุดหวงของเขาไปเป็นนายแบบ เขาปฏิเสธไปครั้งที่ร้อยแต่พวกมันก็ยังไม่ละความพยายาม
            ควรจะโทษใครดี โทษตัวเองที่ไปหลงรักบุคคลต้องห้ามอย่างนั้นหรือ...

            “จะให้พี่ทำยังไงดี?”

            “ผมเป็นต้นเหตุสินะครับ” น้องปั้นทำหน้างุดแสดงอาการรู้สึกผิดออกมาอย่างไร้เดียงสา อธินที่กำลังคิดว่าอายุของพวกเขาห่างกันแค่สามปีเท่านั้น แต่นานวันเขาชักจะรู้สึกว่าน้องปั้นทำให้เขาดูแก่ลงเรื่อยๆ

            “สองสามวันมานี้ มีแต่คนมาขอให้พี่ยอมให้ปั้นไปเป็นนายแบบให้พวกเขา”

            “อะไรนะครับ?”

            “พวกช่างภาพในชมรมเขาอยากถ่ายรูปเราน่ะ แต่พี่ปฏิเสธไปหมดแล้ว”

            “รูปผม...ทำไมถึง...”

            “เขาบอกว่าแฟนของพี่น่ารัก” พูดแค่นั้นปั้นก็เขินหน้าแดง เขาบอกไม่ถูกจริงๆ ถ้าคนอื่นมาเห็นคนรักของเขาในสภาพนี้จะอดใจยังไงไหว

            แค่คิด...ไอ้โรคหวงของของเขาก็กำเริบขึ้นมาแล้ว

            “ไม่ขนาดนั้นหรอกมั้งครับ?” อีกคนเอามือขึ้นกุมต้นคอ ลูบไปมาด้วยความเก้อเขิน จะว่าไปแล้วถูกชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้มันทำตัวไม่ถูกจริงๆ

            “เอ๊ะ...นั่นยังไม่หายเหรอ?” อธินชี้ที่ลำคอขาว บนนั้นยังมีแผ่นปลาสเตอร์แปะอยู่ นี่ก็ย่างเข้าวันที่สี่แล้ว คนรักยังไม่ยอมเอาออกเสียที ถ้าไอ้อาการปวดธรรมดาคงจะหายไปตั้งแต่วันสองวันแรกไม่ใช่เหรอ?

            “พี่ว่าเราเลิกติดมันได้แล้วนะ ใช้ไปนานๆ เดี๋ยวจะเคยตัว” เขาอ้างไปอย่างนั้น อันที่จริงรู้ตั้งแต่วันแรกที่เห็นปั้นเข้าไปเปลี่ยนมันในห้องน้ำแล้วล่ะ แต่ก็ยังทำเป็นตาบอด

            “อะ..เอ่อ ผมค่อยแกะตอนอาบน้ำก็ได้ครับ” พี่อธินไม่ฟัง เอื้อมมือไปแกะออก ปั้นที่กำลังขืนตัวเกิดอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด ถึงรอยนั่นมันจางไปแล้วแต่ก็ยังไม่หายสนิทอยู่ดี คนที่ฝากมันไว้คงตั้งใจตั้งแต่แรกที่จะให้มันเป็นแบบนี้

“ก็ปกติดีนี่ ไม่บวมเหมือนวันแรก คงหายแล้วล่ะมั้ง” อธินพูดอย่างอ่อนโยน นิ้วมือลูบลงไปบริเวณนั้นราวกับไม่เจอร่องรอยอื่นใดอย่างที่ว่านั่นจริงๆ

ภายใต้ใบหน้าที่ซุกซ่อนอารมณ์ความรู้สึก แล้วเขาก็ได้เห็นมันกับตา รอยเขี้ยวของหมาตัวหนึ่ง ถึงมันจะจืดจางลงไปแล้วก็ตาม ใช่ว่าความโกรธเคืองของเขาจะลดน้อยลงไปด้วยเสียเมื่อไหร่

คงต้องโทษกรงขังที่อาจจะยัง...หนาแน่นไม่พอ

“คราวหลังก็อย่าตามใจน้องชายมากเกินไปสิ” เขาแสร้งเอ็ดไปนิดถึงสาเหตุที่ทำให้คนดีของเขาต้องนอนตกหมอนจนปวดคอระบมอยู่ถึงสี่วันแบบนี้ ปั้นเองที่ไม่ทันความกลับตามน้ำไปโดยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

 

 

“พี่อธินทำงานเถอะครับ ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกเลิกเรียนแล้วเดี๋ยวผมกลับเองได้”
            “ครับ แล้วเจอกัน”
            วางสายจากคนรักแล้วรีบเก็บสัมภาระลงกระเป๋า วันนี้พี่อธินต้องออกไปทำกิจกรรมกับชมรมกว่าจะกลับมาคงมืดค่ำ

“น้องปั้น”

“อ่อ...พี่มอส” พี่ที่ชมรมถ่ายภาพที่เขารู้จักยืนรออยู่หน้าห้อง ว่าแต่พี่อธินบอกว่าวันนี้คนในชมรมต้องไปทำกิจกรรมกันไม่ใช่เหรอ?

“คือพวกพี่มีเรื่องอยากให้น้องปั้นช่วยน่ะครับ”

“ให้ผมช่วย?...”

“พี่ไปคุยกับอธินมาหลายครั้งแล้วว่าอยากให้น้องปั้นมาเป็นแบบ แต่มันก็ไม่ยอมสักที พวกพี่ก็เลยตัดสินใจมาคุยกับน้องเองโดยตรง”

“เรื่องนั้นเหรอครับ...คือผมเองก็ไม่ถนัดถ่ายรูป พวกพี่หาคนอื่นดีกว่านะครับ”

“เดี๋ยวครับน้อง คือว่าคอนเซปต์ครั้งนี้มันตรงกับน้องปั้นทุกอย่าง คนอื่นๆ ก็ลงความเห็นว่าน้องเหมาะที่สุด ช่วยพวกพี่หน่อยเถอะนะ”

“แต่ว่าผม...”

“พี่ขอเวลาแค่สองชั่วโมง ถ้าน้องปั้นตกลงพวกพี่มีค่าจ้างเล็กๆ น้อยๆ ให้ด้วย”

“เอ่อ...”

“พี่ขอร้องล่ะนะ”

ปั้นพยักหน้าตกลงไปด้วยความเกรงใจ อยากปฏิเสธแต่ก็ทำไม่ได้ รับปากพวกพี่เขามาแล้ว ถ้าทำไม่ได้ดั่งใจก็คงลำบากน่าดู คิดแล้วก็เริ่มหวั่นใจ ถ้าเกิดเปลี่ยนใจตอนนี้จะทันมั้ยนะ

 “นี่เป็นเงินของพวกพี่ ให้เป็นค่าเหนื่อยของเราเลยละกันนะ”

“พี่มอสครับ...คือผม...” ปั้นมองซองสีน้ำตาลในมือที่ใส่แบงค์พันไว้หลายใบแล้วคาดไม่ถึง พี่มอสกับกลุ่มช่างภาพอีกสี่ห้าคนพามาที่ห้องชมรม จัดการเชตฉากอย่างรู้หน้าที่ เปิดไฟเพิ่มแสงอีกสองสามดวงเตรียมพร้อมที่จะเริ่มถ่าย

ทั้งที่ปั้นยังไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลย

“เปลี่ยนเป็นชุดนี้ดีกว่านะ” แล้วก็ยื่นเสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อนมาให้พร้อมกับกางเกงสีน้ำตาล ถุงรองเท้าอีกสองสามคู่มาให้ปั้นลองใส่

“ด้านหลังจะมีห้องแต่งตัวอยู่ เข้าไปเปลี่ยนในนั้นได้เลย” พี่มอสชี้ไปอีกมุมของห้อง ปั้นพยักหน้าอย่างว่าง่าย ไหนๆ ก็รับปากพวกพี่เขาแล้วก็ต้องช่วยไปจนถึงที่สุด ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีปั้นก็ออกมายืนอยู่ต่อหน้ารุ่นพี่ทุกคน

“น่าอิจฉาอธินมันจริงๆ เลยนะ...”

“ทำไมเหรอครับ?”

“อ้อเปล่า...พร้อมแล้วใช่มั้ย งั้นก็นั่งลงตรงนี้เลยละกัน”
            มันเป็นพื้นที่ถูกยกระดับขึ้นมาเล็กน้อย ปั้นถูกสั่งให้นั่งลงไป พี่มอสช่วยเข้ามาจัดเสื้อผ้าให้ รู้สึกงุนงงที่อยู่ดีๆ กระดุมเม็ดแรกถูกปลดออกไป

“ยืดขามาข้างหน้า มืออีกข้างยันไว้กับพื้นด้านหลังนะครับ” พี่อีกคนสั่ง ปั้นรีบขยับตามด้วยท่าทาเก้ๆ กังๆ เนื่องจากไม่เคยผ่านงานแบบนี้มาก่อน

“ผ่อนคลายหน่อยครับ ไม่ต้องเกร็ง” จู่ๆ อีกเสียงก็บอกมา ก่อนแสงเฟลชสาดเข้ามาวูบวาบ จนรู้สึกมึนงงไปหมด

“ลองยิ้มหน่อยสิครับ ช้าๆ อย่างนั้นแหละ ค้างไว้นะครับ”

“ไหนลองเปลี่ยนมาคุกเข่าสิครับ แล้วนั่งราบลงไป”

“แบบนี้เหรอครับ” ตอนนี้รู้สึกสับสนไปหมดแล้ว คนโน้นสั่งให้ยิ้ม คนนั้นสั่งให้ก้มหน้า คิดผิดจริงๆ ที่ตัดสินใจแบบนี้ ได้แต่ภาวนาให้เวลาหมดไปสักที

“โอเคครับ...คราวนี้ก็เหลือแค่ฉากสุดท้าย...” พี่มอสเข้ามาปลดกระดุมบนเสื้อของปั้นออกจนหมด คราวนี้เด็กรุ่นน้องตกใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศภายในห้องเริ่มเปลี่ยนไป

“บนโซฟา...” ไม่ทันคาดคิด ทั้งร่างถูกผลักลงไปบนนั้น ปั้นเย็บวาบไปทั้งตัว ท่าทางของรุ่นพี่แต่ละคนเริ่มไม่น่าไว้ใจ

“อะไรกันครับ พวกพี่จะทำอะไร?”

“อธินมันไม่ได้บอกรึไง!...ว่าต้องถ่ายภาพแบบไหน!”

“ปล่อยนะครับพี่มอส” ร่างเล็กถูกกดไว้บนโซฟาไม่อาจขยับเขยื้อนได้ เสื้อที่สวมกำลังถูกปลดออกไป ส่วนคนอื่นๆ ก็รุมกดบันทึกภาพกันยกใหญ่ ไม่มีใครยอมฟังเสียงร้องของเขาเลยสักคน

“ไม่นะ...ปล่อยผม!”

“ค่าตัวตั้งแพง..เปลืองตัวแค่นี้ถือว่ายังน้อยไปเสียด้วยซ้ำนะครับคนดี”

“ขอร้องล่ะครับ อย่าทำแบบนี้!”

“เฮ้ยรีบๆ หน่อยเว้ย เดี๋ยวไอ้อธินมันก็กลับมาหรอก” ไม่ทันขาดคำ ประตูที่ล็อคไว้ก็ถูกเปิดออก ร่างสูงพุ่งตรงมาที่การกระทำของเพื่อน อยากจะกระทืบพวกมันให้ตายลงตรงนั้น เขาไม่พูดพล่ามใดๆ ทั้งสิ้นตรงมายังร่างที่คร่อมทับคนรักของตัวเองด้วยความโกรธแค้น

โทษฐานที่กล้ามาแตะต้องของรักของหวงของเขา อย่าคิดว่าเรื่องทั้งหมดจะจบลงง่ายๆ

“มึงกล้ามากที่ทำกับของๆ กูแบบนี้!”

“เฮ้ย..ใจเย็นก่อน กูแค่แกล้งน้องเค้าเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย”

“ลูกผู้ชายเค้ายอมรับความผิดกันแบบนี้เหรอวะ?”

หมัดแรกถูกซัดลงที่ปลายคางจนร่างอีกฝ่ายเซถลาลงไปชนกับผนัง อธินเข้าประชิดทันที ลากคอของเพื่อนขึ้นมาปล่อยหมัดซ้ำลงไปอีกรอบ ไม่สนใจรอยเลือดที่มุมปากนั่นแต่อย่างใด คำพูดที่อีกฝ่ายพยายามร้องขอก็ไร้ประโยชน์ที่จะฟัง

“พวกมึงก็เหมือนกัน เอาเมมที่ถ่ายไปทั้งหมดมาให้กูเดี๋ยวนี้!”

“แต่ว่า..”

“หรือมึงอยากให้กูพังกล้องพวกมึงทิ้งทีละตัว” อธินกระชากคอเสื้อของเพื่อนอีกคนขึ้นมาด้วยความโกรธ เหวี่ยงกล้องที่อยู่ในมือมันลงไปกับพื้นราวกับเป็นของไร้ค่า ไม่มีการประนีประนอมกันอีกแล้ว 

คนที่เหลือตาลีตาเหลือกถอดการ์ดที่อยู่ในกล้องมาวางไว้ด้วยความขลาดกลัว ได้ยินเสียงสั่งให้รีบไสหัวออกไปจากห้องพวกมันก็รีบวิ่งออกไปโดยที่ไม่ต้องสั่งซ้ำสอง

            อธินระงับความโกรธหันไปมองร่างบางที่ขดตัวอยู่บนโซฟา

            “พี่ขอโทษที่กลับมาช้า...” เข้าไปสวมกอดด้วยความเป็นห่วง ทั้งร่างที่สั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขนทำให้เขารู้สึกไม่ดี

            “ไม่ใช่ความผิดพี่เลย ผมเองที่ไม่รู้จักระวัง” ปั้นน้ำตาไหลออกกมาโดยที่ไม่รู้ตัว เมื่อมองเข้าไปในดวงตาคมเข้มคู่นั้น มือเรียวค่อยๆ วางแนบลงไปบนแก้มของพี่อธิน รู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ใกล้คนๆ นี้

            อธินเอาเสื้อมาสวมให้คนรัก พูดจาปลอบประโลมจนอีกคนหยุดร้องไห้ ทั้งคู่เดินออกจากห้องชมรมไปพร้อมกัน

ท่ามกลางสายตาคู่หนึ่งที่มองมา อย่างที่ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกได้...

           

 

 

 

 

           

..............................................................


 
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 08 : เครื่องหมายแสดงความเป็นเจ้าของ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 16-12-2017 10:34:36
พี่อธิปดีงามอะไรขนาดนี้
3P เลยมะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียดายพี่อธิปจัง มามะมาอยู่กับเค้าแทน คิกๆๆ
ดิสเนี่ยน่ามั่นไส้สุดๆๆๆๆ ต้องโดนพี่อธิปสั่งสอนเยอะๆๆ น่องปั้นจ้าหันมาหาพี่อธิปมะ อิอิ
รออ่าน่ะ^^
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 09 : กว่าจะรู้ใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 04-01-2018 15:42:39


  09 กว่าจะรู้ใจ

 

 

 


 

 

 

 “ต้องรูปนี้สิ ยิ้มน่ารักเป็นบ้า”

          “ไม่คิดเลยว่าจะกล้าถ่ายอะไรแบบนี้ด้วย”

          “กูได้ยินที่เค้าพูดกัน ว่ากันว่าหมอนี่ได้เงินจากคนในชมรมตั้งเป็นหมื่นเชียวนะเว้ย”

          “โห...มิน่าล่ะ”

          “ที่จริงเรื่องนี้เค้าจงใจปิดเป็นความลับไม่ให้พี่อธินรู้ แต่ก็ดันมีมือดีทำให้เกิดเรื่องขึ้นจนได้”

          “ความลับไม่มีในโลกไง...กูเห็นใจพี่อธินว่ะ”

“เสียดายนะ หน้าตาก็น่ารักไม่น่าเปลืองตัวเพราะเงินเลย”

“เออ...แต่ยังไงกูก็ชอบนะ ดูสิเนี่ย ของเขาดีจริงๆ ฮ่าๆๆ”

ร่างบางทรุดนั่งลงพิงกับต้นไม้ริมสระน้ำ กอดเข่าร้องไห้กับความจริงที่ต้องเผชิญ บรรยากาศในมหาวิทยาลัยวันนี้ไม่ต่างอะไรจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในโรงเรียนเมื่อหนึ่งปีก่อนเลย ทุกสายตาพากันมองเขาอย่างดูถูกดูแคลน เย้ยหยันกับภาพที่หลุดแพร่ออกไป แต่ละคนพูดถึงเรื่องของเขากันสนุกปากรู้สึกอับอายเสียจนอยากหายไปจากโลกนี้

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความโง่ของตัวเองจะทำให้เรื่องแบบนี้มาทำลายชีวิตอีกซ้ำสอง เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่เคยคาดคิด ราวกับมีใครบางคนจงใจให้เกิด แต่ทำไมต้องทำร้ายกันด้วยวิธีนี้...

 



ปั้นมองหน้าจอโทรศัพท์แล้วร้องไห้ออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นเป็นชื่อของพี่อธินที่พยายามโทรเข้ามาพร้อมทั้งข้อความอีกจำนวนมาก

‘ปั้นอยู่ที่ไหน พี่เป็นห่วงมากเลยรู้มั้ย?’

‘รับสายพี่เถอะนะ อย่าหายไปแบบนี้เลย พี่ขอร้องล่ะ’

‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่พร้อมจะอยู่ข้างเราเสมอนะ พี่รักปั้นนะ’

เขาควรจะทำอย่างไรดี...ไม่อยากให้ใครดึงพี่อธินมาเกี่ยวข้อง ไม่อยากให้ถูกมองไม่ดี

...ขอโทษนะครับพี่อธิน ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวแบบนี้สักพักเถอะนะครับ...

ไม่กล้าแม้แต่ออกไปเจอกัน ตัวเองทำเรื่องเสื่อมเสียเอาไว้เป็นใครเขาก็คงรังเกียจ

เข็มนาฬิกาหมุนไปอย่างเชื่องช้า กว่าวันพรุ่งนี้จะมาถึงไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน โลกที่เคยอยู่ถูกบีบจนแคบลง รอบกายห้อมล้อมไปด้วยกำแพงสูงชัน มืดมิดมองไม่เห็นทางออกใดๆ

 

 

น้องเดียร์รอพี่ชายอยู่ที่บ้านด้วยความร้อนใจ ตัวเองทราบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นและพยายามหาทางออกให้กับปัญหา ตอนนี้คนที่อยากเจอที่สุดก็คือพี่ปั้น เขาต้องการรู้ข้อมูลบางอย่างในเหตุการณ์คืนนั้น ทั้งที่พยายามติดต่ออยู่หลายครั้ง แต่ดูเหมือนฝ่ายนั้นจงใจปิดเครื่องหนีไปแล้ว

 

ควรจะทำอย่างไรดี...

เมื่อพิจารณาจากรูปภาพทั้งหมด ก็จะรู้ได้ว่ามันเป็นการแอบถ่ายจากมุมหนึ่งของห้องชมรม...มีใครอยู่ในเหตุการณ์นอกเหนือจากรุ่นพี่กลุ่มนั้นอีกอย่างนั้นหรือ

เขาต้องรู้ความจริงข้อนี้ให้ได้!...

“น้องเดียร์ทำอะไรอยู่น่ะลูก ดึกป่านนี้แล้วทำไมยังไม่นอน?” แม่เปิดประตูเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง น้องเดียร์ลนลานหาปุ่มปิดหน้าจอแทบไม่ทัน

“ปะ เปล่าครับแม่!” เด็กตัวเล็กทำทีเป็นดึงหนังสือจากชั้นวางขึ้นมาเปิดอ่าน หัวใจเต้นรัว กลัวว่าจะปิดบังความจริงจากแม่ไม่ได้

“อะไรน่ะ? เมื่อกี้แม่เห็นแวบๆ อย่าบอกนะว่าลูกแอบเข้าเวปพวกนั้นน่ะ?”

“ไม่ใช่นะแม่! ไม่ใช่อย่างนั้น!” เธอกดปุ่มหน้าจอทันทีเมื่อเจอท่าทางพิรุธของลูกชาย น้องเดียร์อายุยังไม่เท่าไหร่ เรื่องนี้เห็นทีต้องตักเตือนกันบ้างแล้ว

“นี่มันอะไรกันน่ะห้ะ!!” บนหน้าจอเต็มไปด้วยรูปของเด็กอีกคนกับผู้ชายทั้งกลุ่มในสภาพที่ไม่อาจทนดูต่อไปได้ ทั้งโกรธทั้งโมโห จนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“ภาพพวกนี้ลูกไปเอามาจากไหน!!!” เธอตะคอกถามจากลูกชายอย่างเดือดดาล ที่ยอมให้มันมาอยู่ในบ้านก็เพราะเห็นว่าทำตัวดีมาตลอด ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ อารมณ์ส่วนไหนถึงกล้าทำเรื่องอับอายขายหน้าแบบนี้

“แม่ครับ ใจเย็นๆ ก่อน มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดนะ”

“ไปเรียกพี่ปั้นมาเดี๋ยวนี้!!” เธอกดเสียงลงต่ำ ทั้งที่ใจอยากระเบิดมันออกมาเต็มทน

“พ..พี่ปั้นตอนนี้...” น้องเดียร์น้ำตาซึมออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของคนเป็นแม่อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งร่างสั่นเทารู้สึกกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

“แม่บอกว่าไปเรียกมันมา!” เป็นครั้งแรกที่เธอกล้าตวาดใส่ลูกชาย แต่ไหนแต่ไรมาน้องเดียร์ไม่เคยกล้าขัดคำสั่ง

“พี่ปั้นติดต่อไม่ได้ครับ ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย แม่อย่าเพิ่งโกรธได้มั้ย? ฟังเดียร์อธิบายก่อนนะ”

“นี่ลูกหัดเข้าข้างมันตั้งแต่เมื่อไหร่? เรื่องมันมาขนาดนี้แล้วจะให้แม่ใจเย็นได้ยังไง? อุตส่าห์รับมันมาเลี้ยง แล้วดูนี่สิมันทำเรื่องน่าอายขนาดนี้ จะลากชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเราให้ตกต่ำไปด้วยสิไม่ว่า” คุณดาวตวัดมองลูกชายที่ออกตัวปกป้องคนทำผิดยิ่งกว่าอะไร

 “จริงๆ แล้วเรื่องนี้พี่ปั้นไม่ได้เป็นคนทำ แม่อย่าโกรธพี่ปั้นนะ เดียร์ขอร้องล่ะ!”

 “ลูกก็อีกคน! จำเอาไว้เลยนะ ถ้าแม่ไม่อนุญาต คืนนี้ห้ามออกมาจากห้องเด็ดขาด!”

“แม่!!!”

ประตูปิดลงเสียงดังสนั่นพร้อมกับน้ำตาของเด็กชายที่ไหลมาด้วยความหวาดกลัว เป็นห่วงพี่ปั้นเหลือเกิน เขาได้แต่โทษตัวเองว่าเป็นฝ่ายทำให้พี่ชายเดือดร้อน ทั้งที่พี่ปั้นก็เจอปัญหามามากพอแล้ว

“เดียร์ขอโทษนะครับพี่ปั้น...เดียร์ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้”

 

ฝนตกลงมาอย่างหนักเกือบตลอดทั้งคืน เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ด้วยสภาพที่เปียกไปหมดทั้งตัว กว่าจะมีมอเตอร์ไซค์ผ่านมาสักคัน เขาต้องยืนรออยู่นานนับชั่วโมง พอกลับมาถึงก็ดึกมากแล้ว ภายในบ้านเงียบสงบ ปั้นเปิดประตูเข้าไปอย่างเบาที่สุด ท่ามกลางความมืดมิดทว่าจู่ๆ ไฟในบ้านก็สว่างขึ้นกะทันหัน และในตอนนั้นเขาเห็นอาดาวกำลังนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก

“กลับมาแล้วเหรอ?”

“ค..ครับ”

“แกยังจะกล้าเข้ามาเหยียบในบ้านหลังนี้อีกเหรอ?”

“อาดาว...”

“คิดว่าฉันโง่นักใช่มั้ย?”

“ผ..ผม” ปั้นพูดจาตะกุกตะกัก เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคืองของอาดาว ก็รู้สึกกลัวจนไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก

“ถ้าน้องเดียร์ไม่เอาเรื่องมาบอกล่ะก็ ป่านนี้ชื่อเสียงของตระกูลชั้นคงได้พังพินาศหมดเพราะแก!!” ภาพถ่ายหลายสิบใบถูกเอามาประจานใส่หน้า เด็กหนุ่มยืนมองกระดาษที่ร่วงลงสู่พื้นด้วยความรู้สึกผิดมหันต์ เกลียดตัวเองขึ้นมาจนไม่อาจให้อภัยได้

“เรื่องนั้น ผ ผม..ขอโทษครับ”

เพี๊ยะ!!!

“แกยังมีหน้ามาพูดคำนี้อีกเหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนอย่างแกจะคิดทำเรื่องทรามๆ พวกนี้ได้ลง ฉันผิดหวังมากเลยรู้ไหม แกมัน...” อาดาวรู้สึกตีบตันในลำคอ เจ็บจนพูดไม่ออก เธอน้ำตาซึมตอนมองหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะพูดขึ้นเพื่อตัดเยื่อใย

“ออกไปจากบ้านฉันซะ แล้วก็ไม่ต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีก”

เขาชาวาบไปทั้งตัว ความรู้สึกเมื่อได้ยินประโยคนั้น จากคนที่ตัวเองรักไม่ต่างไปจากครอบครัวที่แท้จริง มันกรีดลึกลงไปในหัวใจ ยิ่งกว่าความเจ็บช้ำใดๆ ที่เคยผ่านมา

แล้วจะมีสิทธิ์ร้องขออะไรได้อีก...นอกจากยอมจำนนในสิ่งที่ตัวเองทำ

 

“พี่ปั้น พี่ปั้นเป็นอะไรรึเปล่า?” น้องเดียร์ไม่ยอมทำตามคำสั่งของแม่ พอรู้ว่าพี่ปั้นกลับมาแล้วก็รีบเข้ามาหา เด็กชายเห็นรอยแดงช้ำบนแก้มของพี่แล้วถึงกับตกใจ ไม่คิดว่าแม่จะโมโหขนาดนี้ ตัวเองรู้สึกผิดเหลือเกิน

“พี่ปั้นอย่างร้องไห้นะ” สองมือประคองใบหน้าพี่ชายเอาไว้ให้หันมามองตัวเอง พอได้เห็นชัดๆ ถึงได้รู้ว่าอีกคนต้องผ่านเรื่องราวเจ็บช้ำมามากแค่ไหน ดวงตาบวมช้ำที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก

 “...”

“พี่จะทำอะไร?”

 “อาดาว...รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว” ปั้นรีบเก็บเสื้อผ้าบางส่วนลงกระเป๋า และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นของตัวเอง ไม่อาจห้ามน้ำตาเอาไว้ได้ ที่อยู่สุดท้ายสำหรับเขา หลังจากนี้คงไม่มีอีกแล้ว

 “เดียร์ขอโทษ เดียร์ไม่ได้ตั้งใจ เดียร์จะช่วยพี่แต่ตอนนั้นแม่ก็เปิดประตูเข้ามาพอดี เดียร์ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ” น้องชายร้องขอโทษขอโพยอย่างสำนึกผิด เป็นเพราะตัวเองที่ไม่ระวังทำให้พี่ชายต้องเดือดร้อน แทนที่จะช่วยอะไรได้มากกว่านี้กลับทำให้ปัญหามันรุนแรงยิ่งกว่าเก่า

 “พอเถอะน้องเดียร์”

“พี่ปั้นทำไมพูดแบบนี้...”

คงไม่ใช่เพราะเข้าใจว่าเขาเป็นคนเอาเรื่องทั้งหมดไปฟ้องแม่หรอกนะ หวังว่าพี่ปั้นคงไม่ได้เข้าใจเขาผิด

“น้องเดียร์คงอยากให้พี่ไปจากที่นี่ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย พี่ปั้นเข้าใจผิด” เด็กชายมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นด้วยความผิดหวัง ทั้งที่ตัวเองทำทุกอย่างเพื่อต้องการปกป้องพี่ชาย น้อยใจเหลือเกินที่ความหวังดีถูกมองข้าม พี่ปั้นไม่เชื่อใจเขาเลยสักนิดทั้งยังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าทำเหมือนต้องการจะไปจากบ้านหลังนี้

“นั่นพี่จะทำอะไร เก็บกระเป๋าจะไปไหน?”

“น้องเดียร์เองก็คงอยากให้พี่รีบๆ ไปจากที่นี่เหมือนกันใช่มั้ย?”

 

 ‘พี่ปั้นไม่ต้องกลัวไปหรอกครับ เดียร์ไม่เล่าเรื่องพวกนั้นให้พ่อกับแม่ฟังหรอก พี่จะทำอะไรก็เรื่องของพี่ แต่อย่าทำให้ครอบครัวของผมเสียชื่อไปด้วยก็พอ ขอแค่นั้น’

‘น้องเดียร์มาฟ้องว่าเรากับดิศมีเรื่องทะเลาะกันเหรอ?’

‘คิดว่าฉันโง่เหรอ? ถ้าน้องเดียร์ไม่เอาเรื่องนี้มาบอกล่ะก็ ป่านนี้ชื่อเสียงของตระกูลฉันคงได้พังพินาศเพราะแก!!’

ปั้นร้องไห้ออกมาอย่างหนักเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เคยผ่านมา เข้าใจทุกอย่างดีแล้ว...เพราะเขาคนเดียวที่ทำให้คนในบ้านต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย

สิ่งที่เขาได้รับเรียกว่ายังน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ...

เจ็บปวดกว่าอะไรทั้งหมดนั่นคือการที่ได้รู้ว่ามิตรภาพระหว่างกันมันไม่มีความหมายอะไรเลย ทั้งที่เขาเองก็รักน้องเดียร์ไม่ต่างจากน้องชายคนหนึ่ง

“พี่ปั้น!”

ท่าทางของพี่ชายเปลี่ยนแปลงไป สายตาที่มองเขาก็ไม่เหมือนเดิม มันทำให้เด็กชายรู้สึกน้อยใจเหลือเกิน ที่ถูกพี่เข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเอง

“เรื่องนั้น..ผมไม่ได้ทำ”

“พอเถอะ!”

“พี่ปั้น!!!”

เขารูดซิบกระเป๋า หันไปมองหน้าน้องชายอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด “ขอบคุณสำหรับทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา” คำพูดนั้นคนฟังเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน มองข้าวของในมือพี่ชายแล้วใจหาย

ทำไมไม่ยอมฟังกันเลย ทำไมถึงไม่เชื่อ...

“เออ! ก็ได้! ผมนี่แหละเป็นคนไปฟ้องแม่เอง!! ถ้าพี่อยากไปนักก็ไปเลยสิ!...ฮือ ไปเลย ไปแล้วก็ไม่ต้องคิดกลับมาที่นี่อีกนะ ฮือ” น้องชายตะคอกใส่ทั้งน้ำตา รู้สึกเสียใจที่สุดที่ถูกพี่ชายเข้าใจผิด พูดประชดประชันไล่หลังไปด้วยอารมณ์โดยที่ไม่ทันยั้งคิดว่ามันจะทำร้ายกันและกันมากเพียงใด

คนที่เดินออกไปแล้วร้องไห้น้ำตานองหน้า ไม่กล้าหันกลับมามองข้างหลังอีกเลย

ลาก่อนนะ...น้องเดียร์

 

 

ฝนตกลงมากระหน่ำท่ามกลางค่ำคืนอันแสนหนาวเหน็บ ลมพัดแรงคล้ายพายุขนาดย่อมพัดเอาสิ่งกีดขวางปลิวหายไปต่อหน้า ในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย ร่างสูงของใครบางคนดักรอคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ตรงบริเวณทางออก เขามองพวกมันด้วยความสมเพช ก่อนหน้านี้ที่เคยวางตัวเป็นใหญ่ ข่มเหงรังแกคนอื่นด้วยอำนาจที่เหนือกว่า บัดนี้ไม่เหลือเค้าให้น่านับถือในฐานะรุ่นพี่เลยสักนิด สายตาคมปลาบส่งไปยังพวกมันที่ถูกเขาไล่ต้อนจนติดกับในที่สุด

รดิศเดินเข้าไปหาพวกมันช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน เขามีเวลากว่าค่อนคืนที่จะสะสางธุระกับพวกมัน

“กูถามคำเดียว...ทั้งหมดใช่ฝีมือพวกมึงรึเปล่า?”

“มึงพูดเหี้ยไร กูไม่รู้เรื่องว่ะ”

“ถ้าไม่ใช่แล้วไอ้หน้าไหนมันทำ!”

“ถึงรู้ กูก็ไม่มีทางบอกมึงหรอก!” รุ่นพี่ชมรมถ่ายภาพพูดจายียวนกวนประสาท จงใจจะยั่วให้โมโห ส่วนบางคนที่ยืนห่างออกไป เหวี่ยงไม้ในมือไปมาเป็นเชิงขู่ เห็นได้ชัดว่าในตอนที่พวกมันวิ่งหนีเขาไปทีแรก ดูเหมือนว่าจะเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้เตรียมอาวุธไว้บ้างแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวขึ้นมาแต่อย่างใด

หากแน่จริง มันคงไม่คิดหนีตั้งแต่ทีแรก

“มึงจะพูดหรือไม่พูด!!!”

“หาเรื่องคนผิดแล้วว่ะไอ้ปีหนึ่ง จะบอกอะไรให้นะ เด็กนั่นน่ะมันหาเรื่องเอง ช่วยไม่ได้นี่หว่า”

“พูดแบบนี้อยากลองดีใช่มั้ย?” มือแกร่งขยุ้มเข้าที่คอเสื้อของอีกฝ่าย เขากำหมัดแน่นพยายามระงับอารมณ์โกรธ

 

ในขณะนั้นเอง อีกห้าคนที่เหลือต่างกรูเข้ามาล้อมรอบเหมือนได้รับคำสั่ง รดิศมองพวกมันทีละคนอย่างชั่งใจ ถึงจะมีอาวุธครบมือแต่เห็นได้ชัดว่าหน้าตาแต่ละคนขี้ขลาดกันขนาดไหน

“ให้โอกาสมึงพูดความจริงอีกครั้ง บอกกูมาว่าใครเป็นคนทำ!”

“บอกให้โง่สิ...เฮ้ย!! พวกมึงจัดการสั่งสอนไอ้เวรนี่ที” สิ้นเสียงสั่งแต่ละคนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วต่างรุมกันเข้ามา รดิศเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางอย่างรู้ทัน ประเมินฝีมือการต่อสู้ของพวกมันได้ง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าไอ้พวกที่มีดีแต่ใช้ปากขู่ไปวันๆ ถึงในมือจะมีอาวุธแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

เขาเตะข้อมือรุ่นพี่คนหนึ่งจนไม้หน้าสามในมือหล่นไปกับพื้น ไม่รอให้มันก้มเก็บเขาก็ชิงมาเสียก่อน ก่อนจะฟาดลงไปที่ไหล่อย่างแรง อีกคนเข้ามาประชิดจากทางด้านหลังแล้วล็อคแขนเขาไว้ทั้งสองข้าง รุ่นพี่คนเดิมเข้ามายืนประจันหน้า ยิ้มเยาะราวกับตัวเองเป็นผู้ชนะ ก่อนจะปล่อยหมัดใส่เขาไม่ยั้ง คราวนี้รดิศรู้สึกได้ถึงเลือดบริเวณมุมปาก

“ไอ้คนที่คิดจะหาเรื่องกู..มันไม่มีทางรอดหรอกเว้ย!” เสียงหัวเราะของพวกมันดังสนั่นแข่งกับสายฝน ชายหนุ่มใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดที่มุมปาก อาศัยจังหวะที่แต่ละคนกำลังได้ใจกับชัยชนะของตัวเองเหวี่ยงร่างคนที่จับตัวเขาไว้จนมันเซไปอีกทาง อีกคนรีบปราดเข้ามาประชิดตัวแต่ด้วยความไวกว่า รดิศใช้เท้าเตะเข้าที่กลางลำตัวจนมันล้มพับไปกองอยู่ที่พื้น

คราวนี้ก็เหลือแค่สี่...

ชายหนุ่มกระชับท่อนไม้ในมือไว้มั่น ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ไม่อาจระงับเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นในร่างกายของเขาได้อีกแล้ว

เสียงหอบหายใจอย่างรุนแรงเมื่อทุกอย่างสิ้นสุด ผู้ชายหกคนที่นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ไร้เรี่ยวแรงใดๆ จะหนีไปได้อีก

“คราวนี้ มึงจะพูดได้รึยัง?”

“ไอ้เหี้ย ปล่อยกู!!” เสียงขู่คำรามด้วยความเจ็บปวดเมื่อเขาเหยียบลงไปบนหลังมือของมันแล้วขยี้อย่างรุนแรงด้วยปลายเท้า

“ว่าไงครับพี่มอส” รดิศย่อตัวลงข้างๆ มือแกร่งขยุ้มปลายผมของรุ่นพี่คนนั้นให้เงยหน้าขึ้นมา

“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับกู!”

“จนป่านนี้แล้วมึงคิดจะปิดบังความจริงอีกหรือ? ถ้าไม่ใช่พวกมึงแล้วมันเป็นใคร?!”

เขาใช้ความรุนแรงทุกประการเพื่อบังคับให้พวกมันพูดความจริง จนในที่สุด สิ่งที่เขาได้รับรู้กลับสร้างคำถามในใจขึ้นมาอย่างมากมาย

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า...ใครบางคนจะเลวได้ถึงเพียงนี้

 

ในคืนนั้นเขารีบตรงไปที่บ้านของอาดาวทันทีเมื่อเรียบเรียงและปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมดเข้ากับคำสารภาพของพวกรุ่นพี่กลุ่มนั้น รดิศรีบมุ่งไปที่ห้องของอีกฝ่ายทันทีโดยที่ไม่รอช้า เมื่อไปถึงกลับพบแต่ความว่างเปล่า หันไปเห็นน้องเดียร์ที่ยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องเขาถึงได้รู้ว่าตัวเองมาช้าไป

“พี่ดิศครับ พี่ปั้น! พี่ปั้นเขาหนีออกไปจากบ้านแล้ว ฮือออ” ร่างเล็กโผเข้ากอดพี่ชายทันทีที่เจอหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขน “เพราะเดียร์เองที่เป็นคนไล่พี่ปั้นไป! เดียร์ผิดเอง..” เพราะคำพูดของตัวเองทำให้พี่ปั้นหนีออกจากบ้าน เรื่องนี้จะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย

ไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากเขานอกจากความเศร้าโศกเสียใจที่ท่วมท้นอยู่ภายในอก น้ำตาหลั่งนองอยู่ข้างในจนรู้สึกเจ็บปวด

เข้าใจสภาพของคนที่กำลังขาดอากาศหายใจแล้วว่ามันทรมานเช่นไร...

 

 

หน้าประตูห้องในอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ร่างบอบบางยืนตัดสินใจอยู่เนิ่นนานด้วยความลังเล ในขณะเดียวกันนั้นประตูที่ปิดสนิทกลับเปิดออกมาเสียก่อน

“ปั้น...ปั้นมาได้ยังไง?” พี่อธินสวมกอดด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเด็กตรงหน้ายืนกำลังยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องของเขา น้ำตาเปรอะเปื้อนบนสองแก้มเนื้อตัวเย็นเฉียบพร้อมกับเสื้อผ้าที่เปียกฝน

“รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงเรามากขนาดไหน”

“ผมไม่เหลือใครอีกแล้ว” น้ำเสียงสั่นเครือฟังดูแล้วน่าใจหาย สองแขนกระชับแน่นอยู่บนรอบเอวของอีกฝ่าย ใบหน้าซุกลงหวังให้คนๆ นี้เป็นที่พึ่งสุดท้าย

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ”

            “ทำไมทุกอย่างต้องลงเอยแบบนี้ด้วย ฮือ...”

            “อย่าร้องไห้เลยนะ...ทุกอย่างมันต้องมีทางออกเสมอ” มือแกร่งลูบลงบนแผ่นหลังด้วยความอ่อนโยน ใจที่ว้าวุ่นมาตลอดทั้งวันเริ่มสงบลงเมื่อได้กอดคนๆ นี้ไว้ในอ้อมแขน

ชายหนุ่มเกลี่ยหยดน้ำตาที่ไหลมาอีกครั้งบนแก้มนั่นให้ด้วยความรู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน คนที่เขารักกำลังเสียใจ แต่เขากลับทำได้เพียงแค่ยืนมอง มือคู่นี้ทำได้แค่ปลอบประโลม คอยเช็ดน้ำตาให้เพียงเท่านั้น

อยากแบกรับความทุกข์ทรมานในใจดวงนั้นไว้ด้วยตัวเอง

เพียงแค่อีกฝ่ายจะยอมยกหัวใจดวงนั้นให้เขาเป็นผู้ดูแลอย่างแท้จริง

 

 

 

“วันนี้ทำไมพี่ปั้นยังไม่ลงมากินข้าวอีกล่ะลูก?” คุณชลธีเอ่ยถามขึ้นระหว่างมื้อค่ำในวันถัดมา ไม่แปลกที่เขาจะไม่รู้ถึงการหายตัวไปของหลานชาย เนื่องจากวันที่เกิดเหตุเป็นวันที่เขาไม่อยู่บ้าน และดูเหมือนว่าภรรยาของเขาเองก็จงใจจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ด้วย

มื้อค่ำของวันนี้ดูจืดชืดไร้รสชาติไม่เหมือนอย่างทุกทีที่เคยเป็น ลูกชายที่มักจะสรรหาเรื่องราวสนุกๆ ที่โรงเรียนมาเล่าให้ฟัง กลับนิ่งเฉยต่างออกไปจากทุกที พอถูกถามถึงพี่ชายใบหน้าที่ดูเหงาหงอยอยู่แล้วแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

“ถ้าพ่ออยากรู้ก็ถามแม่ดูเองสิครับ!” น้องเดียร์ลุกจากเก้าอี้ด้วยความน้อยใจทิ้งข้าวในจานที่ยังไม่ได้แตะไว้อย่างนั้น เดินขึ้นห้องแล้วปิดประตูขังตัวเองไว้ ถึงเหตุการณ์จะผ่านมาสองวันแล้ว แต่ตัวเองก็ยังไม่ยอมพูดกับแม่สักที

“เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณ?”

“ฉันนี่แหละที่เป็นคนไล่มันออกไปเอง...ถ้าคุณอยากจะโกรธหรือไม่พอใจฉันอย่างที่ลูกกำลังทำอยู่ก็เชิญ!” เธอเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกันที่ถูกลูกชายเมินใส่และทำเหมือนว่าเธอเป็นคนผิดในเรื่องนี้

“เหตุผลอะไร ทำไมต้องทำกันถึงขนาดนั้น”

“อย่าให้ฉันต้องขุดเอาเรื่องบัดสีมาพูดซ้ำสองเลยค่ะ เชิญคุณไปดูเองให้เห็นกับตาจะได้รู้ว่าหลานสุดที่รักของคุณน่ะ มันสร้างเรื่องอะไรเอาไว้บ้าง”

เธอเดินไปหยิบซองสีน้ำตาลพวกนั้นมาโยนลงกลางโต๊ะอาหาร พูดจาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะจากไปอีกคน

ในระหว่างที่เขาไม่อยู่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่...

 

 

“น้องเดียร์ลูก...เปิดประตูให้พ่อหน่อย” ชายหนุ่มวัยสี่สิบตอนปลายใบหน้ายังคงเจือไปด้วยความกังวล ยืนรอลูกชายตัวน้อยอยู่หน้าประตู จากเสียงที่เงียบในห้องทำให้เกิดความลังเลว่า บางทีลูกชายคนดีของเขาคงจะหลับไปแล้ว

ไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมกับเจ้าของห้องที่ดวงตาเพิ่งผ่านจากการร้องไห้มาหมาดๆ

“ขอพ่อเข้าไปได้มั้ย?” น้องเดียร์พยักหน้าเบาๆ แล้วเปิดประตูกว้างขึ้นให้พ่อเข้ามาด้านใน

“พ่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะ” คุณพ่อเป็นคนสุภาพอ่อนโยน ถึงจะเจอเรื่องร้ายแรงแค่ไหนก็สามารถควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองได้เสมอ

            “เรื่องนั้นเดียร์อธิบายได้นะครับ พี่ปั้นไม่ผิด พ่อต้องเชื่อเดียร์นะ” พูดแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเองโดยที่ไม่รู้ตัว สิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ภายในใจมันยากเกินที่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเก็บเอาไว้ได้

            “เรามีอะไรจะบอกรึเปล่า...ไหนลองเล่ามาให้ฟังซิ”

            “มีคนแกล้งพี่ปั้นครับ ถ้าพ่อสังเกตให้ดีๆ รูปนั้นมีใครบางคนแอบถ่ายแล้วเอามาโพสทำให้คนอื่นมองพี่ปั้นเสียหาย เดียร์บอกแม่แล้วแต่แม่ก็ไม่เชื่อ แม่ทำให้พี่ปั้นเข้าใจเดียร์ผิดด้วย พ่อครับเดียร์ไม่อยากให้พี่ปั้นไปเลย ฮือ..”

            “ลูกคนเก่งของพ่อ ไม่เอาไม่ร้องไห้ ถ้าพี่ปั้นรู้ว่าลูกเสียใจขนาดนี้ ไม่นานเดี๋ยวพี่เค้าก็คงกลับมา”

            “ตอนนี้ไม่ได้เหรอครับ...พ่อไปตามหาพี่ปั้นกับเดียร์ตอนนี้ได้มั้ย?”

            “ต้องรอให้เรื่องมันคลี่คลายก่อน...รอให้แม่เราใจเย็นลงกว่านี้ ขืนทำอะไรลงไปปัญหามันจะยิ่งร้ายแรงกว่าเก่านะ” ฝ่ามือหนาลูบลงบนเรือนผมของลูกชาย รู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ

            “อีกนานมั้ยครับพ่อ”

            “อันนี้พ่อเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ชลธีกอดลูกชายไว้ด้วยความเอ็นดู อีกใจหนึ่งก็อดเป็นห่วงหลานชายขึ้นมาไม่ได้ ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าวันนั้นมีเขาอยู่ บางทีปัญหามันคงไม่รุนแรงถึงเพียงนี้

ถ้าได้รู้ว่าน้องเดียร์เป็นห่วงขนาดไหนบางทีอาจจะทำให้ปั้นใจอ่อนยอมกลับมาในสักวันหนึ่ง

           

 

กลางเดือนพฤศจิกายน มรสุมที่พัดเข้ามาทำให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องมาหลายคืน อากาศที่ไม่แน่นอนเช่นนี้เป็นสาเหตุทำให้จิตใจของใครบางคนไม่สงบเลยสักวัน

ปลายพู่กันตวัดลงบนผืนผ้าใบด้วยความชำนาญ สอดแทรกความรู้สึกของตัวเองลงไปในนั้น เส้นสีแม้จะสดใสแต่กลับแฝงไปด้วยความหมองหม่น ใบหน้าของคนในรูปถึงจะยิ้มมีความสุขแต่แววตากลับเศร้าสร้อยเหลือเกิน ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้ผู้เป็นพ่อที่ยืนมองทุกอย่างเงียบๆ อยู่หลังประตูอดไม่ได้ ค่อยๆ ย่างเข้ามาในห้องด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด

“ว่ากันว่าจิตใจของจิตกรมักจะสวนทางกับผลงานที่วาดเสมอ...”

คุณชาญหยุดยืนอยู่ข้างๆ ลูกชาย มือที่จับพู่กันอยู่ในทีแรกของรดิศ ค่อยๆ ชะงักลงพร้อมด้วยสีหน้าท่าทางของคนที่เหนื่อยล้าเต็มทน

ดูท่าท่านศิลปินใหญ่จะรู้อะไรมากเกินไปแล้ว…

“ผมคิดว่าผมปิดประตูไว้แล้วซะอีก...” รดิศพยายามไม่สนใจ เปลี่ยนพู่กันอันใหม่ค่อยๆ บรรจงเติมสีลงไปในภาพนั้น

“ฉันว่าแกควรหยุดก่อนที่จะทำให้งานมันเสียดีกว่านะ”

“แล้วพ่อจะมายุ่งอะไรด้วยเนี่ย!” เขาหันไปต่อว่าพ่อด้วยความหงุดหงิด เห็นได้ชัดว่าคุณชาญไม่แยแสต่อความรู้สึกเขาเลยสักนิด ยังยืนกอดอกพูดจาได้ตรงจุดเหมือนมานั่งอยู่ในหัวเขายังไงยังงั้น

“แกนี่มันเด็กไม่รู้จักโตจริงๆ เลยนะ”

ชายหนุ่มสบถในลำคอด้วยความขัดใจเมื่อถูกต่อว่า พยายามไม่ฟังในสิ่งที่พ่อพูดแล้วหันมาตั้งใจกับภาพสีน้ำตรงหน้าแทน

“โอ๊ะๆ...ฉันเริ่มดูออกแล้ว นั่นมันหลานปั้นนี่นา!”

คราวนี้เขาเริ่มทนไม่ไหว รดิศโยนพู่กันลงกระป๋องน้ำด้วยความแม่นยำแล้วหันไปหาพ่อด้วยสายตาเอาเรื่องสุดๆ พ่อกำลังกวนใจเขาจนไม่มีสมาธิ แล้วมันเหตุผลอะไรที่ต้องเอ่ยชื่อคนๆ นั้นออกมาด้วย ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ตั้งใจจะวาดภาพของเจ้าตัวเลยด้วยซ้ำ

“ฉันดูก็รู้ว่าแกไม่มีสมาธิมาตั้งแต่แรก อย่า..อย่ามาโทษฉัน” คุณชาญชี้หน้าลูกชาย ไม่สนใจสายตาของรดิศที่กำลังบ่งบอกว่า ‘กรุณาออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้!’

“ใจแกน่ะมันไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ฝืนวาดไปก็เปล่าประโยชน์”

คุณชาญได้ทีก็พูดต่อ เพราะอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ปัญหามันผ่านเลยไปโดยที่ไม่ได้รับการแก้ไข อย่างน้อยคนเป็นพ่ออย่างเขาก็เคยผ่านอะไรมามากมาย รู้ว่าควรจัดการกับความรู้สึกนั่นยังไง

“ฉันจะบอกอะไรให้นะ รูปที่ไม่มีหัวใจวาดให้ตายยังไงมันก็ออกมาไร้ความรู้สึกอยู่วันยังค่ำ ลองถามตัวเองดูว่าเพราะอะไรแกถึงเป็นแบบนี้”

เขายืนมองประตูห้องที่เพิ่งปิดลง น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาไม่คิดจะเถียงพ่อกลับไป คงเพราะมันเป็นจริงอย่างที่ว่าทุกอย่าง

ตั้งแต่วันที่รู้ว่าปั้นตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย ในหัวใจของเขามันก็เริ่มว่างเปล่าไปตั้งแต่ตอนนั้น ระยะเวลาเกือบสองปีนับตั้งแต่วันแรกที่เราได้รู้จักกัน เขาใช้เวลาที่มีอยู่หมดไปโดยเปล่าประโยชน์

ในขณะที่อีกคนกำลังวิ่งตามเขามาอย่างสุดกำลัง เขากลับใจร้ายไม่เคยนึกห่วงใย ไม่เคยหันกลับไปมองด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตรงนั้นไม่เหลือใครแล้ว

ที่ผ่านมาเขามัวทำบ้าอะไรอยู่...

 

 

 

 

..................................

 

เป็นตอนที่ไม่ว่าจะอ่านกี่รอบก็เศร้าใจยิ่งนัก

เรื่องก็มาเกือบกลางๆ แล้ว รักใครเชียร์ใคร ก็เต็มที่ได้เลย

ขอบคุณสำหรับการติดตามจ้า

 

 

 

 

หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 10 : อีกฟากหนึ่งของความเหงา
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 04-01-2018 15:59:51
 ตอนที่ 10 อีกฟากหนึ่งของความเหงา

 

 

 

 

 

 

- 5 ปีต่อมา -

 

 

 

            “กับข้าวพร้อมแล้วนะทุกคน มากินข้าวกัน” มือเรียวยกถังน้ำดื่มขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะแล้วตะโกนเรียกคนอื่นๆ ให้ขึ้นมากินข้าว กิจกรรมของวันนี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว เหลือเพียงแค่จัดวางโต๊ะหนังสือและชั้นวางของของเด็กๆ ให้เข้าที่ ส่วนการประชุมสรุปงานเอาไว้เป็นกิจกรรมสุดท้ายในคืนนี้และหลังจากนั้นก็ถึงคราวส่งมอบห้องสมุดแห่งนี้ให้กับชาวบ้านในหมู่บ้าน

            ห้าวันสำหรับการใช้ชีวิตที่นี่ช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน...

            “พี่อธินโทรมา ผมขอตัวไปรับสายก่อนนะครับ” ร่างบางปลีกตัวออกจากโต๊ะกินข้าว ก่อนจะรับสายคนรักด้วยน้ำเสียงร่าเริง

          “เหนื่อยไหมครับคนเก่งของพี่”

            “ไม่เลยครับ ว่าแต่พี่เถอะต้องถ่ายรูปให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่ใช่เหรอ? ปลีกตัวออกมาแบบนี้เดี๋ยวก็ถูกนายจ้างว่าเอาหรอก”

          “พี่ก็ทนเห็นเขาสวีทกันมาทั้งวันแล้ว ให้พี่ได้มีเวลาออกมาหวานกับแฟนพี่มั่งเถอะ” ปั้นหัวเราะคิกคักจนหน้าแดง บทพี่อธินจะอ้อนก็เล่นเอาเขาเขินจนทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“พรุ่งนี้ผมก็จะกลับแล้ว พี่อธินอยากได้อะไรเป็นของฝากมั๊ยครับ ลูกหยีกวนของพัทลุงเนี่ย อร่อยมากๆ เลยนะครับ อันนี้ผมแนะนำเลย” รสชาติของมันเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยที่สุด ได้ลองกินตอนอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกติดใจ ก็เลยตั้งใจจะแวะซื้อฝากใครบางคนด้วย

          “แค่เรากลับมาปลอดภัยพี่ก็ดีใจแล้ว” เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะยิ้มหวาน จนบรรดาเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่บริเวณนั้นต้องเอ่ยปากแซว

            “หวานกันข้ามจังหวัด น่าอิจฉาจริงๆ” พอกลับมาที่กลุ่มปุ๊บ พี่แอนก็จุดฉนวนเป็นคนแรก

            “แกก็หาสักคนสิวะ”

            “หากี่คนก็หาได้อ่ะนะ แต่หาแบบดีๆ อย่างพี่อธินของน้องปั้นเนี่ย ฉันลงไปงมหินในอ่าวไทยยังง่ายกว่าซะอีก”

“พี่ปั้นเนี่ยโชคดีจริงๆ เลยน้า...”

“ทำไมเหรอมีน พูดเหมือนอยากมีแฟนเลยนะเราน่ะ” พี่มะลิเอ่ยแซวเด็กรุ่นน้องคนหนึ่งในทีม

“อย่างผมเนี่ยคงไม่มีใครเขาสนใจหรอก” เจ้าตัวพูดแล้วแอบมองไปยังผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ฝ่ายนั้นนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ทั้งที่เมื่อก่อนทั้งคู่สนิทสนมกันมาก แต่หลังจากที่ความลับถูกเปิดเผย พี่แม็กซ์รู้ความจริงว่าน้องมีนแอบชอบตัวเองอยู่ ความสัมพันธ์ก็เริ่มห่างเหินกันไปเรื่อยๆ

            “เดี๋ยวผมล้างจานเองนะครับ ทุกคนไปพักผ่อนกันก่อนได้เลย”

            “งั้นผมอยู่ช่วยพี่ปั้นนะ”

            ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว แสงสีส้มปลายขอบฟ้าพาดผ่านเหนือท้องทุ่ง ภาพถ่ายที่ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำของเขาในทุกๆ ที่ที่เคยไป มักจะได้รับประสบการณ์และเรื่องราวดีๆ กลับมาเสมอ ดวงตากลมสวยมองนกตัวน้อยๆ กำลังบินกลับรังด้วยความรู้สึกเอ็นดู ชีวิตที่แสนสงบสุขท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ พวกมันคงมีความสุขมากน่าดู

เขาเองก็อยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง

“ออกมาถ่ายรูปอีกแล้วเหรอครับ?” น้องมีนมายืนอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ไม่รู้ เด็กรุ่นน้องยื่นขนมในมือแบ่งให้

“กาละแมครับ ชาวบ้านเขาตั้งใจทำมาฝาก นี่ก็เป็นของดีของที่นี่เหมือนกันนะครับ พี่ปั้นลองชิมดู” ออกค่ายครั้งนี้ดูท่าแล้วน้ำหนักเขาคงขึ้น เพราะมีแต่ของกินอร่อยๆ ทั้งนั้นเลย

“ถ้าอยู่ที่นี่ไปอีกสักอาทิตย์ กลับไปพี่อธินคงได้ทักว่าอ้วนแน่ๆ”

“พี่สองคนดูรักกันดีนะครับ” คนชวนคุยมีท่าทีหงอยเหงา นึกถึงเรื่องของตัวเองแล้วดูความหวัง เลือนลางเหลือเกิน

“หมายถึงพี่อธินกับพี่เหรอ?”

“ครับ”

“เขาเป็นคนที่ดีกับพี่มากๆ มากเสียจนพี่ไม่รู้จะตอบแทนเขายังไงดี” ทุกวันนี้จึงต้องตอบแทน โดยการรักพี่อธินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับเขามีเพียงเท่านี้จริงๆ

“พี่อธินคงเป็นรักแรกของพี่ปั้นสินะครับ ว่ากันว่ารักแรกคนเรามักจะทุ่มสุดตัวแบบนี้” ได้ยินคำถามนี้คนฟังก็ได้แต่ยิ้มเศร้า หลังจากนั้นกล่องความทรงจำที่เก็บเอาไว้แสนนานก็ถูกเปิด

“ความจริงแล้ว...พี่อกหักจากใครบางคนมาก่อนต่างหากล่ะ”

“เอ๋?...”

“ตอนที่พี่เสียใจสุดๆ ตอนที่เจอปัญหาเข้ามารุมเร้า ก็มีพี่อธินนี่แหละที่คอยเป็นกำลังใจให้ ช่วยเหลือพี่ทุกอย่าง จนพี่ได้กลับไปเรียนที่มหาลัยอีกครั้ง” ในปีการศึกษาถัดมา เขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเล็กๆ แห่งหนึ่ง โดยคนที่คอยช่วยเหลือเรื่องค่าเล่าเรียนนั่นก็คือพี่อธินที่เรียนจบและสามารถทำงานเองได้แล้ว

“ผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะ ว่าแต่ว่าผมเริ่มอยากรู้แล้วสิว่ารักแรกของพี่ปั้นเนี่ย เขาจะเป็นแบบไหนกันนะ?”

แววตาน้องมีนเป็นประกาย อดไม่ได้ที่จะถามเพื่อเอามาเทียบกับเรื่องราวของตัวเอง ความรักของเขากับรุ่นพี่ที่ร่วมงานด้วยกัน เหมือนจะไปได้ดีและมีความสุขในทีแรก ไม่นานภาพนั้นก็หายวับไปกับตา สิ่งที่คิดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ปั้นยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงใบหน้าของใครอีกคน จะว่าไปแล้วนี่มันนานเท่าไหร่กันนะที่ไม่ได้ย้อนนึกถึงเลย

ผู้ชายที่เป็นรักครั้งแรกของเขา ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ยังคิดถึงกันอยู่รึเปล่า?...

“เขาต่างจากพี่อธินมากเลยล่ะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนนะกันว่าทำไมพี่ถึงรักเขาได้ขนาดนี้ เพราะเป็นคนแรกที่ทำให้พี่เข้าใจการให้โดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนล่ะมั้ง ความห่วงใยที่พี่ได้รับจากเขาถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันก็ทำให้พี่มีความสุขมากในตอนนั้น”

สำหรับคนที่ไม่เคยได้รับความห่วงใยจากใคร แค่นั้นก็เปรียบเหมือนของขวัญชิ้นใหญ่ในชีวิตแล้ว

“แล้วทำไมถึงเลิกกันล่ะครับ?”

รู้สึกลำคอแห้งผาก เมื่อต้องพูดความจริงข้อนี้

“เราไม่เคยเป็นแฟนกันเลยเสียด้วยซ้ำ พี่น่ะตัดสินใจทำเรื่องบางอย่างทั้งที่ไม่ยอมไตร่ตรองให้ดี เราเข้าใจผิดกันตั้งแต่วันนั้น แล้วเขาก็ไม่ยอมฟังที่พี่อธิบายเลย”

“โห..ใจร้ายอ่ะ ใจร้ายมากๆ เลย”

“แต่พี่ก็ไม่ยอมแพ้นะ ตื้อเขาจนถึงที่สุด จนนานๆ เข้าเขาก็คงเกลียด วันวาเลนไทน์พี่เคยให้ช็อกโกแลตเขาด้วยล่ะ ในการ์ดก็เขียนสารภาพลงไป แต่เขาคงทิ้งมันไปตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะมั้ง”

น้องมีนฟังแล้วก็รู้สึกได้ว่าเรื่องราวของพี่ปั้นมันน่าเศร้ามากกว่าเรื่องราวของเขาเป็นไหนๆ

“พอเข้ามหาลัย เราก็ไม่คุยกันอีกเลย พี่แปลกใจมาก ทั้งที่คิดว่าเขาจะไปเรียนต่อที่อื่นแล้วเสียอีก แต่กลายเป็นว่าเขากลับมาเรียนที่เดียวกัน”

“ผมว่าเขาคงตามพี่ปั้นมาแน่ๆ บางทีเขาอาจจะยังรักพี่อยู่ก็ได้นะครับ”

“ไม่หรอก..เพราะตอนที่เราเจอกันเขาก็ทำเหมือนพี่ไม่ใช่คนรู้จัก”

“เดาใจยากจริงๆ เลยแฮะผู้ชายคนนี้ ผมว่าพี่ตัดสินใจมาคบกับพี่อธินนั่นน่ะดีที่สุดแล้ว”

“ถ้าเปลี่ยนใจกันง่ายๆ แบบนั้นก็ดีสิ”

“พี่ยังไม่ลืมเขาอีกเหรอครับ?”

ปั้นไม่ตอบความจริงข้อนั้น ได้แต่นึกย้อนไปถึงค่ำคืนสุดท้าย...ก่อนที่เขาตัดสินใจออกมาจากบ้าน

ผู้ชายที่เขาคิดถึงเป็นคนแรก คนที่เขาอยากไปหามากที่สุด คนที่อยากจะไปพึ่งพา แต่ก็กลัวว่าถ้าได้เจอหน้ากันแล้ว อีกฝ่ายจะนึกรังเกียจกัน

เขากลัวข้อนั้นยิ่งกว่าสิ่งใด   

คิดถึงเหลือเกิน

ห้าปีที่ผ่านมาอย่างยาวนานกับความทรงจำที่ไม่เคยจางหาย ความอ้างว้างที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจ แม้จะมีความสุขแต่ก็ไม่เคยมีวันไหนที่จะยิ้มออกมาจากหัวใจที่แท้จริง

“พี่ปั้นครับ...นั่นพี่กำลังร้องไห้ ผมขอโทษที่ถามเรื่องนี้ ผมไม่ได้ตั้งใจ...”

“ไม่เป็นไรหรอก...จะว่าไปแล้วน้องมีนก็เหมือนน้องชายพี่คนนึงเลย” ปั้นรีบเช็ดน้ำตาที่กำลังรินไหล สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับความปวดร้าวในใจที่กำลงจะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อไหร่ที่คิดถึงเขา...น้ำตามักจะไหลออกมาเองเสมอ

“น้องชาย...พี่ปั้นมีน้องด้วยเหรอ?”

“มีสิ...ตอนนี้คงกำลังเรียนอยู่ปีสองล่ะมั้ง เราไม่ได้เจอกันมาตั้งห้าปี จะว่าไปแล้วมันก็นานมากเลยเนอะ”

“มีแต่เรื่องน่าเศร้าทั้งนั้นเลย...”

“พี่ชินแล้วล่ะ...แต่น้องมีนสัญญากับพี่ได้มั้ยว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด”

“ผมสัญญาครับ...เรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคน”

“ขอบใจนะ”

“พี่ปั้นต้องอดทนมากแค่ไหนกันนะกว่าจะมาถึงวันนี้ได้”

“แต่สำหรับพี่แล้วการออกค่ายบ่อยๆ แบบนี้ มันช่วยให้พี่หายเศร้าได้มากเลยนะ การได้ช่วยเหลือคนอื่นทำให้พี่รู้สึกดี”

“สักวันสิ่งดีๆ ที่พี่ทำลงไปจะกลับมาตอบแทนพี่เอง มีนเอาใจช่วยนะครับ ว่าแต่เรารีบกลับเข้าที่พักกันเถอะ ไปอาบน้ำแล้วรีบมารวมตัว คืนนี้จะส่งมอบห้องสมุดให้เด็กๆ แล้ว”

สองคนเดินกลับจากท่าน้ำด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน ทิ้งความทุกข์ที่ได้ระบายเอาไว้เบื้องหลัง การได้ย้อนถึงอดีตทำให้เราเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในปัจจุบันให้คุ้มค่า ไตร่ตรองความคิดการกระทำโดยไม่ทำให้ตัวเองและใครต้องเดือดร้อนอีก

 

องค์กรอิสระเน้นการพัฒนาชุมชนเป็นหลัก พวกเขาเป็นกลุ่มคนเล็กๆ ที่เดินทางไปช่วยเหลือหมู่บ้านต่างๆ ที่ยังคงขาดแคลนระบบสาธารณูปโภค อีกทั้งยังดูแลเรื่องการศึกษาให้แก่คนทั่วไปในชุมชน นอกจากนั้นยังทำงานร่วมกับหน่วยแพทย์อาสา ช่วยเหลือเรื่องสาธารณะสุขในหมู่บ้าน รวมไปถึงแม้ยามในพื้นที่ต่างๆ ประสบกับภัยพิบัติจากธรรมชาติ พวกเขาก็มีทีมงานเข้าไปบรรเทาทุกข์ภัย ทุกอย่างก็เพื่อให้ผู้คนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นี่เป็นงานหนึ่งที่เขารู้สึกภาคภูมิใจ ปัญหาต่างๆ ของผู้ที่ประสบความเดือดร้อน เมื่อเทียบกับเรื่องราวในชีวิตของตนเองแล้วเรียกว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นั่นทำให้ปั้นมีพลังในการดำเนินชีวิต หลังจากที่เจอเรื่องราวร้ายๆ มามากมาย

“ขอเชิญคุณปาริชาต พาณิภัค เป็นตัวแทนมอบอุปกรณ์การเรียนให้แก่เด็กๆ ด้วยครับ” เจ้าของชื่อลุกจากที่นั่งเมื่อพี่แม็กซ์ที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรกล่าวจบ ร่างบางเดินออกไปยืนด้านหน้าในที่ประชุมด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย จากที่ไม่เคยมั่นใจเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าที่ชุมชน แต่มาวันนี้ความรู้สึกนั้นได้หายไปแล้ว

เสียงปรบมือเป็นอันสิ้นสุดภาระหน้าที่ งานเลี้ยงเล็กๆ ที่ถูกจัดขึ้นเป็นผลพวงมาจากน้ำใจของชาวบ้าน อาหารพื้นบ้านไม่กี่อย่างบวกกับความตั้งใจที่มีให้พวกเขาอย่างเหลือล้น ทำให้ใครหลายๆ คนในทีมถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาโดยที่ห้ามไว้ไม่อยู่

            “กลับไปแล้วก็อย่าลืมมาเยี่ยมที่นี่กันอีกนะ” ผู้ใหญ่บ้านพูดกับพี่แอนที่กำลังร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งใจ ห้าวันที่ได้รับการปฏิบัติราวกับเหมือนลูกเหมือนหลาน เป็นความผูกพันในช่วงเวลาสั้นๆ นี่คือสิ่งดีๆ ที่พวกเขาได้รับในระหว่างการเดินทาง

            คืนนั้นพวกเขารีบเข้านอนแต่หัวค่ำ หลังจากเสร็จพิธีเป็นอันเรียบร้อยแต่ละคนก็แยกย้ายไปจัดแจงสัมภาระของตัวเองสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้เช้า

           

            “พี่ปั้นตื่นแต่เช้าอีกแล้ว” หมอกจางๆ ในตอนเช้าลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ไอเย็นฉ่ำปะทะกับผิวหน้ารู้สึกเย็นสบายจนต้องเผลอเอื้อมมือออกไปจับ

            “พี่ปั้นกินอะไรรึยัง?”

            “พี่ดื่มชากับปาท่องโก๋เรียบร้อยแล้ว น้องมีนล่ะ”

            “เรียบร้อยแล้วเหมือนกันครับ”

            “มีเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่ารถจะออก พี่ว่าเราไปถ่ายรูปเล่นกันเถอะ” พี่ปั้นเอ่ยชวนก่อนจะจูงมือรุ่นน้องอีกคนหายเข้าไปในที่พัก บรรดาสมาชิกทั้งหลายยังคงนอนขี้เกียจกันอยู่บนเตียง พี่ปั้นกดถ่ายรูปเล่นอย่างนึกสนุก คิดว่ากลับไปครั้งนี้จะเอาภาพของแต่ละคนขึ้นบอร์ด เพียงแค่คิดก็ขำจนท้องจะแตกแล้ว

 

ระหว่างทางก็แวะไปตามสถานที่ต่างๆ กว่าพวกเขาจะกลับถึงภูเก็ตได้ก็มืดค่ำแล้ว ทั้งหมดช่วยกันขนของลงจากรถเข้าเก็บในชมรมเป็นที่เรียบร้อยถึงจะได้แยกย้ายกันกลับ ปั้นเห็นรถของพี่อธินจอดรออยู่ก่อนแล้วก็รีบวิ่งไปหาพร้อมด้วยถุงของฝากอีกชุดใหญ่

“อ้วนขึ้นรึเปล่านะเราน่ะ” พี่อธินลดกระจกแล้วทักขึ้น เป็นคำแรกอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย

“ก็อยู่ดีกินดีนี่นา ใครจะไปอดใจไหว”

“รีบขึ้นรถเถอะ...เดี๋ยวพี่จะพาไปกินอะไรอร่อยๆ”

“แต่พี่เพิ่งทักผมว่าอ้วนเองไม่ใช่เหรอ?”

“อ้วนนั่นแหละดีพี่ชอบ เวลากอดจะได้รู้สึกดี” ปั้นเขินหน้าแดงจนต้องเปลี่ยนเรื่องคุย รีบขึ้นไปนั่งบนรถเพราะตอนนี้รู้สึกว่าท้องเริ่มจะหิวขึ้นมาอีกแล้ว

สายตาที่มองออกไปนอกรถเห็นป้ายโฆษณาของบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง น้ำทะเลสีมรกตโอบล้อมด้วยภูเขาหินปูน แค่คำเชิญชวนบนป้ายไม่กี่คำเป็นใครได้เห็นก็ต้องอยากไปเป็นธรรมดา

“อ่าวมาหยา สวยจังเลยเนอะ”

“อยากไปเหรอ?” อธินเหลือบมองไปข้างทางตอนที่รถกำลังติดไฟแดง ถึงขนาดที่น้องปั้นเปรยออกมาแบบนี้มีหรือที่คนอย่างเขาจะไม่ตามใจ

“ผมว่างตั้งอาทิตย์นึง ถ้านอนอยู่แต่บ้านคงอืดน่าดู”

“พี่อบรมเสร็จตอนค่ำ แต่ถ้าปั้นอยากไปพี่จะกลับมาให้ทันช่วงเช้าก่อนเรือออกละกันนะ” อธิน ทบทวนตารางงานที่แน่นเอี๊ยดของตัวเองแล้วได้แต่ถอนใจ ลำพังวันหยุดสักวันให้คนที่ตัวเองรักแทบจะไม่มีเลย คืนนั้นหลังอบรมของโครงการเขาต้องรีบบึ่งรถกลับมาจากหาดใหญ่ทันที ไม่มีเวลาให้นอนเอาแรงเลยเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าเพื่อให้คนที่ตัวเองรักมีความสุขแล้ว เรื่องแค่นี้มันไม่ใช่ปัญหา

“พี่อธินไปกับผมจริงๆ นะ”

“อื้ม...เราน่ะเตรียมตัวดำเป็นปลาย่างได้เลย”

“เรื่องนั้นผมไม่กลัวอยู่แล้ว”

มีความสุขที่สุดเมื่อนึกถึงตารางทัวร์ของตัวเองในวันหยุดที่ใกล้จะมาถึงนี้ ไปทะเลดำน้ำดูปะการัง สิ่งที่เขาจะต้องเตรียมมันมีอะไรบ้างนะ ครีมกันแดด แว่นกันแดด อืม...กางเกงว่ายน้ำด้วยก็น่าจะดี ห้ามลืมกล้องถ่ายรูปเด็ดขาด งานนี้ถ้าไม่ได้รูปสวยๆ มาอวดคนอื่นให้อิจฉาล่ะก็เขาไม่มีทางยอม ว่าแต่จะกลัวไปทำไมในเมื่อพี่อธินก็ไปด้วยทั้งคน มีทั้งกล้องมีทั้งคนถ่าย ความสุขของคนที่มีแฟนเป็นช่างภาพเนี่ย มันดีแบบนี้นี่เอง

“กินข้าวได้แล้ว บ่นว่าหิวอยู่ไม่ใช่รึไง?”

“ผมตื่นเต้นนิดหน่อย”

“เราน่ะว่ายน้ำไม่เป็นไม่ใช่เหรอ?”

“งั้นพรุ่งนี้ผมไปเรียนว่ายน้ำเลยดีกว่า” อธินส่ายหน้าด้วยความขบขัน ไม่คิดเลยว่าน้องปั้นของเขาจะดูจริงจังมากขนาดนี้ นั่งมองใบหน้าสวยๆ นั่นยิ้มอย่างอารมณ์ดี เขาเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

ห้าปีที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากจริงๆ

 

 

ร่างสูงในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นสบายๆ กระโดดลงจากเรือ รีบเดินลุยน้ำทะเลขึ้นมาบนฝั่ง หลังจากที่ทราบเรื่อง เขาแทบจะวกเรือกลับจากเกาะให้รู้แล้วรู้รอดเสียเดี๋ยวนั้น ภายในออฟฟิศเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนดาดฟ้าของอาคารแห่งหนึ่งริมชายหาด เขาผลักประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“กูขอปฏิเสธ!” ทันทีที่กลับมาถึงเขาก็พุ่งไปที่โต๊ะทำงานของเพื่อนทันที ไอ้เพื่อนตัวดีที่บังอาจไปรับงานจากลูกค้าแล้วโยนมาให้เขาทั้งที่เขาไม่เต็มใจ

“โธ่ไอ้ดิศ! ถือว่ากูขอร้องล่ะนะ ช่วยรับงานนี้ทีเถอะ ไม่งั้นกูล่ะเสียหน้าคุณหนูเขาแย่!”

“คุณหนงคุณหนูอะไรกูไม่สน กูไม่ใช่ประเภทที่จะรับงานจากใครก็ได้ มึงก็รู้ดี”

“ถือว่าไปเที่ยวละกันนะ กูไหว้ล่ะพ่อคุณ! พอถึงอ่าวปุ๊บมึงก็แค่เสียเวลาวาดรูปให้เขา ฝีมืออย่างมึงไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จแล้ว ทนๆ หน่อยนะ”

“ของแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้หรอกเว้ย!”

“แต่เขาเจาะจงมาโดยเฉพาะเลยนะว่าต้องเป็นมึง! เขาอยากได้มึงมาวาด”

ถึงจะต้องเสียเงินเท่าไหร่ก็เอา เพื่อให้เขาเป็นคนวาดรูปให้ ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาแม้ออกจะดูหยิ่งๆ ไปสักนิด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากถูกมองด้วยสายตาคู่นั้น ดวงตาคมเข้มที่ทำให้รู้สึกร้อนละลายดั่งไฟแผดเผา เป็นใครก็หลงใหล

“มึงไปหาคนอื่นเถอะ!”

“โถ่...แล้วจะให้กูไปหาใครที่ไหนได้วะ ที่กูรับเนี่ยก็เพราะเห็นแก่เพื่อนของเขาที่จะมาทัวร์กับบริษัทเรานะเว้ย ตั้งเป็นสิบเชียวนะมึง มึงก็รู้นี่หว่าเดี๋ยวนี้คู่แข่งแม่งเยอะตายห่า ”

กริ้งง กริ้งงง!!!

“กูรับสายลูกค้าแปบ มึงห้ามกลับก่อนนะเว้ย”

รดิศนั่งกอดอกทำหน้าเซ็งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาเบื่อการมัดมือชกสุดๆ ไม่รู้ว่ายัยคุณหนูนั่นจะเป็นใคร เข้าใจถึงงานศิลปะดีแค่ไหน ถ้าเพียงแค่อยากได้รูปสวยๆ ไปอวดเพื่อนก็น่าจะหาช่างภาพฝีมือดีๆ สักคนคอยตามถ่ายให้ไม่ดีกว่าเหรอ

ทุกสิ่งที่เขาทำมันล้วนออกมาจากใจ...ผลงานของเขาทุกชิ้นแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากหัวใจ ถ้าเป็นการบังคับแล้วมันจะเรียกว่าผลงานได้ยังไง

“สวัสดีครับ เอซีทัวร์ยินดีให้บริการ” เสียงของเอกสุภาพอ่อนโยนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ การยิ้มไปด้วยพูดไปด้วยเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่จะทำให้คนฟังรู้สึกดี “ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสนใจโปรแกรมทัวร์แบบไหนของบริษัท หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทางเราก็ยินดีนะครับ”

“อ่าวมาหยา เดินทางวันที่สิบหกนี้ ไปกลับสองที่ ขอรบกวนทราบชื่อผู้เดินทางด้วยครับ ปาริชาตนะครับ ขอเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าด้วยครับ...”

ชื่อของลูกค้าที่โทรเข้ามาติดต่อสอบถามข้อมูลแทบจะทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามแย่งโทรศัพท์ไปคุยเสียเอง ชื่อนี้ที่ไม่ได้ยินมานานแล้ว เจ้าของชื่อที่ทำให้ใจของเขาอ่อนยวบเสมอทุกคราวที่นึกถึงเรื่องราวในอดีต

“เรียบร้อยแล้วครับ ทางเราจะแจ้งรายละเอียดวันเดินทางและกำหนดการทั้งหมดไปทางอีเมลล์ที่ได้ให้ไว้นะครับ ขอบคุณมากครับ”

“ทำไมมึงไม่ถามนามสกุลเขาวะ” เขาตบโต๊ะปึงปังด้วยรู้สึกไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ บอกใบ้มันไปตั้งนานแต่มันกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ น่าโมโหชะมัด

“ถ้ามึงอยากรู้นักก็ตกลงรับงานกูก่อน!” เอกยื่นข้อเสนอ โบกรายชื่อและข้อมูลติดต่อกลับในมือราวกับเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า

“แล้วถ้าเขาไม่ใช่คนเดียวกับที่กูอยากเจอล่ะ”

“ถ้าใช่...มึงจะยอมไปใช่มั้ย?”

“ต้องเป็นวันที่สิบหกนี้เท่านั้น และต้องเป็นเรือลำเดียวกัน”

“เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว” เอกกดเบอร์โทรศัพท์ไปตามที่ลูกค้าได้ให้ไว้ทันที เหลือบมองเพื่อนที่กำลังกระสับกระส่ายอยากรู้ความจริงจนแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ เหมือนหนูติดจั่นไม่มีผิด

“ต้องขอโทษคุณปาริชาตอีกครั้งนะครับ รบกวนขอทราบชื่อและนามสกุลของคุณใหม่อีกครั้ง ได้มั้ยครับ คุณปาริชาต นามสกุล พาณิภัค นะครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลอีกครั้งนะครับ สวัสดีครับ” เขาสังเกตเห็นท่าทางนิ่งๆ ของมันแล้วรู้สึกใจแป้วชิบหาย

“เฮ้ย...ตกลงใช่คนที่มึงอยากเจอรึเปล่า?” ใบหน้าเรียบนิ่งของเพื่อนทำให้เขาเดาความคิดของมันได้ยากนัก

“ไปบอกลูกค้ามึงว่ากูตกลง”

“เฮ้ย!!! จริงสิวะ ไอ้ดิศ! ขอบใจมากนะเว้ย”

จริงๆ ต้องขอบใจเจ้าของชื่อนั้นมากกว่า ที่กลับมาทำให้หัวใจของเขา เต้นแรงได้ขนาดนี้

 

 

...............................................................

 

 
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 10 : อีกฟากของความเหงา
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-01-2018 22:32:24
อ่านถึงตอนนี้แล้วขอเชียร์พี่รดิส ฮ่าๆๆๆๆ กลับลำ อิอิ
ปั้นยังรักฝังใจ พี่รดิสก็รู้ตัวช้ามากกกกก จะทันไหมเนี่ย
พี่อธิปจะยอมปล่อยหรออุตสาห์ได้ปั้นมาแล้ว แล้วใครที่อยู่เบื้องหลังภาพนั้น อยากรู้สุดดดดดด

หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 10 : อีกฟากของความเหงา
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 06-01-2018 00:43:29
แต่งดีมากเลยค่ะ รอให้ปั้นสมหวังจริงสักทีนะ
ว่าแต่คนทำเบื้องหลังจริงๆคือใครอะ เหลือหมากตัวเดียวก็คืออธิน



รออ่านพรุ่งนี้อีกนะคะ ชอบมากเลย หวังว่าจะมาลง 55555
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 11 : ไม่เคยเปลี่ยน
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 06-01-2018 22:10:46
 ตอนที่ 11 ไม่เคยเปลี่ยน

 

 

 

 

สระว่ายน้ำในวันธรรมดาผู้คนไม่เยอะเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มมองไปยังร่างบางที่โบกมือไปมาอยู่ในสระ อธินส่งยิ้มให้คนรัก เขาย่อตัวลงใกล้ริมขอบ เพื่อคุยกับคนที่ว่ายน้ำเข้ามาหา

            “ไง กลับกันได้รึยัง?” ปั้นพยักหน้าอย่างคนหมดแรงก่อนจะรีบขึ้นจากน้ำ ผิวกายนวลเนียนถูกห่อหุ้มด้วยชุดคลุม มือหนาจัดการผูกสายคาดที่เอวให้อย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกถึงสายตาหลายคู่กำลังมองมา เขาปล่อยให้คนรักอยู่ในสภาพล่อแหลมเช่นนี้นานๆ ไม่ได้ 

ขากลับพี่อธินพาเขาไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็น อีกฝ่ายบอกว่าควรซื้อของกินตุนเผื่อไว้เยอะๆ ในระหว่างที่เขาไม่อยู่ ปั้นจะได้ไม่ต้องลำบาก 

“เมื่อไหร่เราจะย้ายมาอยู่กับพี่” เสียงเรียบถามขึ้นตอนมองใบหน้าหวานๆ กำลังเพลิดเพลินกับการเลือกของ เขาชะงักไปครู่หนึ่ง คำถามของพี่อธินยากเกินไปสำหรับการให้คำตอบในทันที

“ไปดูครีมกันแดดตรงโน้นกันเถอะครับ” จงใจเปลี่ยนเรื่อง มือข้างหนึ่งเกาะแขนพี่อธิน นำเดินไปยังแผนกตรงข้าม

ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ เขารู้ดี ความสัมพันธ์ที่ถูกคั่นด้วยเส้นบางๆ ระหว่างกันนั้น แม้มองไม่เห็น แต่เขารู้สึกได้

เพราะหัวใจดวงนั้น ยังไม่ใช่ของเขาทั้งหมด

 

 “ไม่ลืมอะไรนะครับ” ริมฝีปากบางสวยคลี่ยิ้มหวาน สองมือไขว้หลัง ยืนมองคนรักกำลังจัดของบนรถ อธินนัดเพื่อนๆ มารวมตัวกันก่อนที่นี่ คาดว่าไม่นานพวกนั้นคงจะมาแล้ว

“น่าจะครบแล้วล่ะ”

“เดินทางปลอดภัยนะครับ”

“เราก็ดูแลตัวเองด้วยนะ”

“ครับ...เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง” มือหนาเกลี่ยผมของร่างตรงหน้าด้วยความอ่อนโยน ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสราวสัตว์เลี้ยงตัวน้อยกำลังประจบประแจงเจ้านาย

มองอย่างไรก็น่ารัก...ไม่ต่างจากครั้งแรกที่เจอ

ใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาใกล้ กดริมฝีปากลงบนเรียวปากสีสวยอย่างโหยหา มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าหวานเข้ามาแนบชิด เรียวลิ้นสอดเข้าไปอย่างนุ่มนวล อ้อยอิ่งอยู่เนิ่นนานด้วยความอาลัยอาวรณ์ เด็กรุ่นน้องทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำอย่างที่ใจต้องการ คล้อยตามไปกับจูบแสนหวานจนทั้งร่างกายแทบจะละลายไปกับมัน

            เสียงบีบแตรดังขึ้นหน้าบ้านจนทั้งคู่ต้องรีบผละออกจากกัน กลุ่มเพื่อนของพี่อธินมาถึงแล้ว ได้เวลาที่อีกฝ่ายต้องออกเดินทาง

            “พี่ต้องไปแล้ว”

            “เดินทางปลอดภัยนะครับ”

            “ไว้ถึงแล้วพี่จะโทรหา”

            ปั้นยิ้มรับ โบกมือให้ก่อนอีกฝ่ายจะขึ้นรถ ยืนมองรถคันนั้นขับออกไปจนลับตา

ผู้ชายที่ไม่เคยทำให้เขาเสียใจเลยสักครั้ง พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุข หัวใจของพี่อธินที่ให้กันมา จะทิ้งมันไปได้อย่างไรนอกจากจะยอมรับไว้โดยไม่มีเงื่อนไข

            “ผมจะไม่ทำให้พี่อธินเสียใจ”

ว่าแล้วก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากดโทรหาคนรัก คนรับสายตอบกลับด้วยเสียงร้อนรน เพราะเพิ่งจากกันมาไม่นานเกรงว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น

          “ปั้น...เป็นอะไรรึเปล่า”

            “เปล่าครับ...ผมแค่มีเรื่องจะบอก...” ร่างบางนิ่งไป ในตอนนั้นรับรู้ได้ว่าคนฟังกำลังร้อนใจมากแค่ไหน

            “ถ้าพี่กลับมาแล้ว...ผมจะย้ายไปอยู่ด้วยกันนะครับ” ปั้นรีบกดวางสายเพราะรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก หน้าร้อนผ่าวกับประโยคที่สื่อความหมายได้อีกนัยหนึ่งว่า เขาพร้อมแล้วที่จะให้พี่อธินดูแล

 

ปั้นรูดซิปกระเป๋าสะพายเมื่อสำรวจข้าวของทุกชิ้นเป็นที่เรียบร้อย คำนวณไว้แล้วว่า ตอนนี้พี่อธินน่าจะเดินทางถึงภูเก็ตแล้ว

“ผมเตรียมของพร้อมแล้วนะครับ”

“พี่เองก็ใกล้ถึงแล้วนะ”

“ให้ผมไปรอที่ท่าเรือเลยดีมั้ย? พี่อธินตามไปที่นั่นเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลา”

“เอาแบบนั้นก็ได้ แล้วเจอกันนะ”

ปั้นออกมายืนรอมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยทันทีที่วางสาย มองนาฬิกาบนข้อมือเหลือเวลาอีกไม่มากเขาต้องรีบไปให้ทันก่อนเจ็ดโมงครึ่ง

 

พอมาถึงก็มองหาพี่อธิน คิดว่าฝ่ายนั้นคงจะมารออยู่ก่อนแล้ว ท่ามกลางนักท่องเที่ยวมากมายส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ เขามองหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

ปั้นมองจำนวนคนในแถวที่กำลังเดินขึ้นเรือแล้วได้แต่ถอนใจ พี่อธินยังมาไม่ถึงส่วนแขกคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยขึ้นเรือใกล้จะหมดแล้ว

เหลือเวลาอีกสิบห้านาที!

เขารีบต่อสายหาคนรัก ก่อนจะเข้าไปที่เคานท์เตอร์บริการของบริษัททัวร์ สอบถามเวลาเดินทางให้แน่นอนอีกครั้งเพราะเกรงว่าคนรักอาจจะยังมาไม่ทัน ปั้นขอให้เลื่อนเวลาออกไปอีกนิดแต่ก็ถูกปฏิเสธ ซ้ำยังถูกสั่งให้รีบขึ้นไปประจำที่นั่งของตัวเอง

ชายหนุ่มรู้สึกไม่พอใจพนักงานที่ให้บริการอย่างรุนแรง ใบหน้าหวานโกรธขึ้ง ยังยืนยันคำเดิม ไม่สนใจคนพวกนั้นที่มองว่าเขากำลังทำเรื่องยุ่งยาก

ถ้าการเดินทางครั้งนี้ไม่มีพี่อธินไปด้วย เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะไปทำไม!

“ขอโทษนะครับ ผมว่าคุณรีบขึ้นเรือไปก่อนดีกว่า นี่มันก็เลยเวลามามากแล้ว คุณกำลังทำให้แขกคนอื่นๆ ไม่พอใจ”

“แต่แฟนของผมเขากำลังเดินทางมา ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงแล้ว ขอเวลาให้เขาอีกนิดเถอะครับ”

“แค่ห้านาทีเท่านั้นนะครับ”

ปั้นจำใจขึ้นไปนั่งบนเรือเพราะพวกเขาสัญญาว่าจะยอมรอพี่อธิน แต่พอตัวเองก้าวขึ้นไปบนเรือแล้วเท่านั้น สะพานที่พาดอยู่ระหว่างกันก็ถูกเก็บทันทีพร้อมกับเรือที่เริ่มเคลื่อนตัวออกห่างจากท่า

“หยุดเดี๋ยวนี้! ไหนพวกคุณบอกว่าจะรอเขา” ปั้นตะโกนลั่นจนแขกที่อยู่บริเวณชั้นสองทั้งหมดหันมามองเป็นตาเดียว วินาทีนั้นเขาโกรธจนไม่สนใจใครทั้งสิ้น ร้องสั่งเสียงแข็ง แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครหน้าไหนจะยอมทำตามเลยสักคน

“เชิญนั่งที่ด้วยครับ” ลูกเรือคนหนึ่งเดินมาบอกเขา คนๆ นั้นพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ไม่ช่วยให้คนที่โกรธอย่างถึงขีดสุดใจเย็นลงได้

“ผมบอกให้หยุดเรือไม่ได้ยินรึไง!” แขกบางส่วนมองมาที่เขาและเริ่มโวยวาย เขาไม่อยากทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ แต่มันก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ปั้นมองทุกคนในห้องโดยสารด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร รู้สึกพาลไปหมดแม้กระทั่งคนที่ไม่รู้จัก เหมารวมว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอเรื่องแย่

ร่างบางถูกพาไปยังที่นั่งทั้งที่ไม่พอใจ บริกรคนหนึ่งเดินมาเสิร์ฟของว่างให้ เขาก็ปฏิเสธ

เวลานี้ใครจะไปกินลง!

ใบหน้าหมองหม่นจนอยากจะร้องไห้ เมื่อเรียกร้องอะไรจากใครไม่ได้ปั้นก็ได้แต่โทษตัวเอง เขาไม่น่าตัดสินใจลงมาในเรือลำนี้เพราะเชื่อในคำบอกของคนพวกนั้นเลย

ทั้งที่เวลานี้เราควรจะอยู่ด้วยกัน ไปที่ไหนก็ได้ถึงแม้ไม่ใช่ที่นี่...

ตัวเรือเริ่มไกลออกจากฝั่งสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไป ปั้นมองเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมในมืออย่างหมดความหมาย เหมือนทุกอย่างจงใจทำให้เขากับพี่อธินต้องห่างกัน

สิบเอ็ดชั่วโมงนับจากนี้ เขาจะไปมีความสุขได้ยังไง!

 

เสียงไกด์เริ่มบรรยายความพิเศษของสถานที่ท่องเที่ยวในตารางทัวร์ที่จะพาทุกคนไป เรียกความสนใจให้กับผู้โดยสารคนอื่นๆ ยกเว้นก็แต่ร่างบางที่นั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง สายตาเหม่อมองออกไปนอกทะเลอย่างไร้จุดหมาย

ความสนุกสนาน ความตื่นเต้น ไม่มีเลย...

 

 

“เพราะมึงคนเดียวที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวายไปหมด!”

คนถูกกล่าวหาไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียวกับเรื่องที่สั่งให้เพื่อนทำลงไป ช่วยไม่ได้ที่ความต้องการของเขาจะทำให้ใครหลายคนต้องเดือดร้อน

เขาแค่เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ห่างๆ โดยยื่นข้อเสนอไปว่าถ้าปั้นไม่ได้ลงเรือไปกับพวกเขาครั้งนี้ สัญญาว่าจ้างระหว่างเขากับยัยคุณหนูนั่นจะถูกยกเลิกทันที ถึงได้เห็นพนักงานคนอื่นๆ พยายามทำทุกอย่างเพื่อรบเร้าให้อีกฝ่ายขึ้นเรือทั้งที่ความเป็นจริงคงไม่มีพนักงานคนไหนกล้าทำเกินกว่าเหตุ เพราะนี่เป็นงานบริการ หากมีเรื่องจำเป็นที่อาจจะทำให้ออกเรือช้าจากกำหนดการนิดหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าการเดินทางในครั้งนี้ ถูกใครบางคนถือสิทธิ์ควบคุมไปหมดแล้วต่างหาก

“ไปบอกคุณหนูของมึงให้เตรียมตัวได้แล้ว” รดิศยอมทำตามเงื่อนไขที่วางไว้แต่แรกอย่างอดเสียไม่ได้ ปราการสุดท้ายถึงแม้จะมีหน้าที่เป็นอุปสรรค ถ้าเทียบกับเป็นหมอนั่นมาโผล่อยู่บนเรือแล้วล่ะก็ นี่ถือว่าโชคยังเข้าข้างเขาอยู่มาก 

 

 

ปั้นเพิ่งสังเกตว่าห้องผู้โดยสารชั้นสองที่นั่งอยู่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกับเขา เสียงกรี๊ดเกรียวกราวดังขึ้นเมื่อพวกเธอพูดคุยเจอเรื่องถูกใจ มันรบกวนเวลาเขาหลับ อีกทั้งตอนนี้ยังรู้สึกเวียนหัวเหลือเกิน

เสียงประกาศบอกว่าเรือกำลังเดินทางเข้าใกล้เกาะแห่งหนึ่งและจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการลงเล่นน้ำและดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นที่นี่ แขกบนเรือเริ่มเปลี่ยนชุด พวกสาวๆ กลุ่มนั้นเองก็เช่นกัน แต่ละคนอวดบิกินีสีสันสดใสด้วยความสนุกสนาน

คงจะมีเขาเพียงคนเดียวที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แสดงออกถึงความตื่นเต้นเหมือนคนอื่นๆ

มีเรือหางยาวประมาณสามลำเตรียมรับส่งพวกเขาขึ้นฝั่ง ปั้นตัดสินใจว่าจะรออยู่บนนี้ ร่างบางนั่งขดตัวอยู่บนที่นั่ง มองคนอื่นๆ กำลังทยอยลงจากเรือผ่านทางกระจกหน้าต่าง

“น้องไม่ลงไปหรือ” ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาถาม ปั้นส่ายหน้ากลับไปอย่างเบื่อหน่ายเมื่อเห็นว่าเป็นพนักงานคนเดิมที่เคยสั่งให้เขาขึ้นเรือ พี่คนนั้นวางกล่องข้าวไว้ตรงหน้าพร้อมกับน้ำส้มคั้นอีกหนึ่งแก้ว ปั้นมองการกระทำของเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าน้ำส้มนั่นน่าจะช่วยให้อาการเมาเรือของเขาดีขึ้น

“ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวพี่ให้เด็กเอายามาให้” บอกแค่นั้นก่อนเขาจะเดินจากไป

ในอีกมุมหนึ่งของห้องโดยสารมีสายตาคู่หนึ่งที่กำลังเฝ้ามองอยู่ด้วยความห่วงใย ใจจริงอยากจะเข้าไปจัดการทุกอย่างเองให้รู้แล้วรู้รอด รดิศไม่แน่ใจว่าถ้าปั้นได้เจอเขาจะมีท่าทีเช่นไร จึงได้แต่รอเวลาที่เหมาะสม

“ทีนี้พอใจมึงรึยัง?” รดิศไม่ตอบ เอาแต่จ้องไปยังร่างนั้นไม่วางตา โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ อยากจะมองอยู่แบบนี้ เพื่อจดจำทุกส่วนบนใบหน้าให้ขึ้นใจ

นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้เจอกัน

“จะว่าไปแล้วน้องเขาก็ดูน่ารักดี กูอยากรู้ว่ามึงไปรู้จักกันตอนไหน”

“เรื่องมันนานมาแล้วว่ะ กูไม่อยากพูดถึง”

“กูว่ามึงอย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า เห็นอยู่ว่ามีแฟนแล้วนะเว้ย! ดูท่าว่าจะรักกันมากด้วย มากจนกูเองยังรู้สึกผิดที่ต้องมาช่วยมึงทำเรื่องแบบนี้”

เอกคร้านจะพูดเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนที่ไม่ยอมฟังคำเตือนของเขา ชายหนุ่มกระโดดลงเรืออีกลำไปโดยทิ้งทั้งสองคนไว้เบื้องหลัง

 

ปั้นรู้สึกว่าตัวเองหลับไปได้เพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงพูดคุยจากผู้หญิงกลุ่มนั้น ทั้งตัวพวกเธอเปียกไปด้วยน้ำทะเลมีเพียงผ้าบางๆ ห่อหุ้มเรือนร่างไว้ แต่ละคนแย่งกันพูดจนฟังไม่ออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร

“พี่ครับๆ เมื่อไหร่จะถึงอ่าวมาหยา?” การเดินทางในวันนี้จะไปสิ้นสุดที่เกาะพีพีเป็นแห่งสุดท้าย แต่ที่ที่เขาอยากไปเห็นกับตามากที่สุดคืออ่าวรูปจันทร์เสี้ยวที่ตั้งอยู่กลางทะเล แม้ไม่เต็มใจขึ้นเรือมาตั้งแต่ทีแรก แต่ในเมื่อมาถึงแล้วอย่างน้อยเขาก็ควรลงไปสัมผัสกับความงามของที่นั่นสักครั้ง

“ประมาณเที่ยงๆ ครับ” พี่คนขับเรือบอกอย่างใจดี ปั้นพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับก่อนจะเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าของเรือ มองคนที่อยู่ริมฝั่งกำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ไม่นานคนอื่นที่เหลือก็ทยอยขึ้นจากน้ำจนครบ

 

สองชั่วโมงผ่านไป เสียงฮือฮาของผู้โดยสารคนอื่นๆ เริ่มดังขึ้นเมื่อเรือเริ่มเข้าใกล้อ่าวเล็กๆ แห่งหนึ่งน้ำทะเลเป็นสีเขียวมรกต มองเห็นแม้กระทั่งฝูงปลาที่ว่ายอยู่ใต้น้ำ ลึกลงไปเป็นปะการังน้ำตื้นหลากสีสัน เพียงแค่เห็นภาพเบื้องหน้าจิตใจที่ขุ่นมัวในทีแรกก็ค่อยๆ สดใสขึ้น

ในที่สุดเขาก็มาถึง แต่มันจะดีไม่น้อยถ้ามีใครอีกคนมาด้วย

มีเรือหางยาวหลายลำคอยรอรับสำหรับคนที่อยากขึ้นไปนอนอาบแดดริมชายหาด แต่เขาเลือกที่จะดำน้ำดูปะการังอยู่ข้างๆ เรือ ปั้นรีบสวมเสื้อชูชีพและกระโดดลงน้ำไปอย่างรวดเร็ว

 

หาดทรายสีขาวตัดกับน้ำทะเล เขาหินปูนสูงใหญ่สลับซับซ้อนเป็นรูปร่างที่สวยงาม ทำให้รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงไปทันที ปั้นเริ่มว่ายเข้าฝั่งเรื่อยๆ เพราะเปลี่ยนใจจะไปเดินเล่นที่ริมหาด น้ำใสจนมองเห็นพื้นด้านล่าง ปั้นสวมหน้ากากดำน้ำ มองฝูงปลาที่ว่ายอยู่รอบตัวด้วยความตื่นเต้น ในนาทีที่กำลังเพลิดเพลินกลับรู้สึกเหมือนตัวเองว่ายไปชนเข้ากับใครสักคน

“ขอโทษครับ” เขาทรงตัวขึ้นจากผิวน้ำ แล้วถอดหน้ากากดำน้ำออก แต่แล้วกลับต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อพบว่า คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นใคร

ผู้ชายคนนั้นกับเส้นผมที่ยาวกว่าแต่ก่อน แผ่นอกเปล่าเปลือยไร้เสื้อชูชีพ รูปร่างแข็งแกร่งเป็นสัดส่วน ขับให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาที่แฝงไปด้วยเสน่ห์คู่นั้นพร้อมจะทำให้เขาร้อนวูบวาบได้เสมอเมื่อเจอกัน

ปั้นว่ายน้ำหนีจากชายตรงหน้าไปอย่างรวดเร็ว หัวใจที่เต้นรัวจนแทบระเบิดออก ไม่รู้ว่าการที่ได้มาเจอกับเขาในวันนี้เป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่

รู้สึกถึงช่วงแขนแกร่งที่รัดแน่นอยู่บริเวณช่วงเอว คนที่ว่ายน้ำตามมาเบื้องหลังกอดเขาไว้ก่อนจะทำเรื่องไม่คาดคิด

“นายจะทำอะไร!” ปั้นร้องด้วยความตกใจเมื่อรดิศปลดเสื้อชูชีพของเขาออกแล้วทิ้งมันไปอีกฝั่ง เท่านี้ตัวเองก็ไม่ต่างจากถูกโยนทิ้งลงทะเล เมื่อพิจารณาระดับน้ำรอบๆ แล้ว มันลึกเกินกว่าความสูงของเขาเสียอีก

“ทีนี้นายก็หนีไปไหนไม่ได้แล้ว”

เพิ่งจะรู้ตัวเองว่าถูกเขาสวมกอดเอาไว้ เพิ่งจะรู้ตัวว่าร่างของพวกเขาใกล้ชิดกันมากขนาดไหน ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ ปั้นรู้ดีว่าส่วนหนึ่งไม่ได้มาจากไอร้อนของแสงแดด แต่เป็นเพราะอุณหภูมิของหัวใจตัวเองต่างหาก

เขายังคงร้ายกาจเหมือนเดิม และเอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยน!

“ปล่อยเรา” มือเรียวผลักเขาออกห่างตัดสินใจว่ายน้ำขึ้นฝั่ง ถึงแม้เสื้อชูชีพจะถูกทิ้งไปแล้วแต่ก็ไม่คิดจะพึ่งพาคนอย่างเขา ร่างบางว่ายออกไปได้เพียงแค่ไม่กี่คืบก็สำลักน้ำทะเลไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก ร่างกายค่อยๆ ถูกบีบลงไปในม่านสีมรกตนั่นด้วยความโหดร้าย

“คราวหลังอย่าคิดจะทำอะไรแบบนี้อีก!”

เจ้าของเสียงขุ่นเคืองกำลังดุเขา รู้สึกเจ็บใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในวินาทีที่คิดว่าตัวเองจะจมลงไป และสองมือที่คว้าบางสิ่งเอาไว้อย่างแน่นหนา ปั้นเพิ่งรู้ตัวเองว่าโอบกอดรอบคออีกฝ่ายไว้แน่นขนาดไหน ใบหน้าใกล้ชิดกัน สองร่างแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียว พอจะผละออก รดิศกลับรวบตัวไว้อีกหน

“ปล่อยนะดิศ! เราจะกลับไปที่เรือ”

ชายหนุ่มไม่ยอมทำตามอย่างที่ว่า กลับค่อยๆ ว่ายขึ้นฝั่ง ทั้งที่คนอื่นๆ เริ่มทยอยกลับกันหมดแล้ว พอเท้าเริ่มแตะพื้นปั้นก็รีบกระโจนไปที่เรือลำสุดท้าย ลุงคนขับกำลังรอเขาอยู่แต่แล้วใครบางคนกลับฉุดเขาไว้แล้วพาขึ้นฝั่ง

“นายทำแบบนี้ทำไม!”

ปั้นหันกลับมาตวาด เขายืนนิ่งเพียงอึดใจมองหน้าอีกฝ่ายเขม็งด้วยความโกรธ กว่าจะรู้ตัวเมื่อหันไปมอง เรือท่องเที่ยวของเขาก็เคลื่อนตัวออกไปแล้ว ผู้โดยสารจากเที่ยวเรือเดียวกันไม่มีใครหลงเหลืออยู่เลยสักคน

“รอก่อนครับ...ผมอยู่ทางนี้!!” ปั้นโบกมือไปมากลางอากาศ วิ่งลงไปในน้ำเพื่อต้องการขอความช่วยเหลือ

เรือโดยสารลับตาไปแล้ว ร่างบางหันมาต่อว่าชายอีกคนด้วยความโกรธเคืองอย่างถึงที่สุด

 “แล้วทีนี้เราจะกลับไปยังไง เรือออกไปแล้ว เราไม่เข้าใจ ทำไมต้องทำแบบนี้ นายต้องการอะไรอีก!” มือเรียวกำแน่นทุบลงไปบนแผงอก เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโกรธเขามากขนาดนี้ เขาคิดถึงพี่อธินที่กำลังรออยู่ ถ้าต้องติดอยู่ที่นี่จริงๆ อีกฝ่ายจะเป็นห่วงแค่ไหน

รดิศไม่ตอบ เห็นท่าทางร้อนรนของปั้นแล้วจึงเริ่มแน่ใจอะไรบางอย่าง คิดว่าคำพูดของไอ้นนท์ในวันนั้นคงจะย้อนกลับมาหาเขาแล้วจริงๆ

‘ในเมื่อเขารักมึงได้ สักวันเขาก็เลิกรักมึงได้เหมือนกัน’

 “เรื่องนั้นไม่ต้องกลัวไปหรอก” คำพูดนั้นช่างเย็นชาและประชดประชัน เขาคงไม่ได้เข้าใจผิดว่ารดิศกำลังน้อยใจกันอยู่ใช่มั้ย? ปั้นมองแผ่นหลังที่ไกลห่างออกไปด้วยความเหนื่อยล้า กี่ครั้งที่ต้องยืนมองเขาเดินจากไปอยู่อย่างนี้

“ทั้งหมดฝีมือนายใช่มั้ย? นายจงใจทำแบบนี้ตั้งแต่แรกใช่มั้ย?”

ปั้นตะโกนไล่หลัง รีบเดินไปขวางรดิศไว้ ถึงจะกังวลเรื่องกลับบ้าน แต่เวลานี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะคิดเรื่องอื่น นอกจากคำตอบจากผู้ชายตรงหน้า

“บอกมาสิ!”

“ใช่!...ฉันเป็นคนทำ!”

“เพื่ออะไร”

 “อยากรู้จริงๆ หรือ?”

“ถ้ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องตกเรือ เราก็มีสิทธิ์ที่จะรู้”

เกิดความเงียบชั่วขณะ รอบกายมีเพียงเสียงลมทะเลและคลื่นที่ซัดเข้าหาชายฝั่ง รดิศมองคนตรงหน้าที่กำลังรอคอยคำตอบ แต่ทว่าเขา...ไม่มีสิ่งใดจะพูดออกมา

มือหนาประคองขึ้นที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย เขามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นราวกับสื่อความหมาย ไม่ทันให้เจ้าของร่างบางได้ตั้งตัว ริมฝีปากก็ชิงประทับจูบลงไปทันที

ปั้นตัวแข็งทื่อกับสัมผัสที่กำลังรุกล้ำเข้ามา เมื่อได้สติก็รีบผลักเขาออกไปอย่างรุนแรง

“คราวนี้ยังอยากรู้อีกรึเปล่า?” ดวงตากลมโตมองคนฉวยโอกาสด้วยความโกรธเคือง เจ็บแปลบภายในอก รดิศขอบใช้วิธีนี้ทำให้เขาหวั่นไหวอยู่เรื่อย

“ที่นายทำอยู่ มันทำให้เรารู้สึกแย่ไม่ต่างอะไรจากเมื่อก่อนเลย”

ปั้นเดินหันหลังกลับ ตอนนี้ความโกรธได้เปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกน้อยใจแล้ว เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ทั้งที่ระหว่างเราก็ไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันแล้ว

คราวนี้รดิศเป็นฝ่ายเดินตามมา เขากุมมือข้างหนึ่งไว้ด้วยความเอาแต่ใจที่ไม่เคยเปลี่ยน

“ปล่อย!”

“ไม่ปล่อย”

“ดิศ พอได้แล้ว เราขอร้อง”

“ทำไม ไม่พอใจงั้นเหรอ?”

“ถึงจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่นิสัยนายมันก็ยังเหมือนเดิม” รดิศถูกต่อว่า เขารู้ตัวดีถึงสิ่งที่ถูกตอกย้ำ มองเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่ไม่หลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้กันอีกแล้ว

“ถ้าฉันไม่เอาแต่ใจแล้วจะได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างนั้นหรือ?”

น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วในอดีตค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง กับเสียงที่เริ่มอ่อนโยนของเขา

“ปั้น...” อีกฝ่ายดึงร่างเขาเข้ามากระชับ เสียงพูดราวกับคนที่โหยหากันมานานแสนนาน “ขอโทษ”

“ไม่ใช่เวลาที่จะมาล้อเล่นนะดิศ!” ปั้นเกลียดผู้ชายคนนี้เหลือเกิน เกลียดที่เข้ามาทำให้เขารู้สึกสับสนอีกแล้ว

“ขอโทษจริงๆ” ใบหน้าคมเข้มค่อยๆ ขยับเข้าหา เขาตั้งใจจูบลงที่ริมฝีปาก แต่ก่อนที่จะได้รุกล้ำไปมากกว่านั้น อีกฝ่ายเป็นคนเบือนหน้าหนีออกไปเสียก่อน

“อย่า...นายไม่ควรทำแบบนี้”

ได้ยินคำพูดนั้น สองมือที่ฉวยโอกาสโอบรอบกายอีกฝ่ายไว้ก็เริ่มคลายออก เขารู้แล้ว รู้ถึงสถานะของตนเอง ที่ผ่านมาเป็นเพราะเขาที่ไม่เคยทำอะไรให้ชัดเจน เรียกร้องอะไรตอนนี้คงไม่ได้แล้วสินะ

เขาดึงดันจะพาอีกฝ่ายมาที่นี่เองตั้งแต่แรกเพราะด้วยความมั่นใจในตัวเอง ยังคงหวังว่าอีกคนหลงเหลือความรักให้กันอยู่ แต่แล้วกลับผิดคาดเมื่อมันไม่เป็นอย่างที่คิด

ยากเกินกว่าจะยอมรับ เมื่อรู้ว่าตัวเองได้สูญเสียคนที่รักไปแล้ว

“นั่นนายจะไปไหน?” ปั้นเริ่มลนลานเมื่อเจ้าของแผ่นหลังกว้างค่อยๆ เดินจากกันไปเรื่อยๆ เพราะที่ตรงนี้ไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากพวกเขาสองคน

“จะมีคนมารับนายที่นี่ อยู่รอตรงนั้นดีกว่าถ้าไม่อยากให้หมอนั่นเป็นห่วง” คนพูดหันมาบอกกันเพียงสั้นๆ แล้วก็เดินลัดเลาะไปตามแนวโขดหิน คนที่อยู่เบื้องหลังได้แต่ยืนนิ่ง ในใจรู้สึกกระวนกระวาย

อีกแล้วนะ ชอบทำให้เขาสับสนอยู่เรื่อย

 

ปั้นนั่งรออยู่ที่เดิม ผ่านไปราวชั่วโมงกว่า รอบกายไร้ผู้คน ได้ยินก็แต่เสียงลมกับคลื่นที่เข้ากระทบฝั่ง มองหาคนที่คิดว่าน่าจะอยู่แถวนี้ แต่ก็ไร้วี่แวว

ตะวันเริ่มคล้อยแล้ว บรรยากาศรอบๆ วังเวงเสียจนทำให้เขาเริ่มขลาดกลัว

นานๆไปก็กลับทำให้เขาเริ่มมองหา

ดิศ!

อยู่ไหน?

 

นี่มันก็นานมากแล้ว เรือที่อีกฝ่ายบกว่าจะมารับเขาก็ไม่เห็นสักลำ ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะกลั่นแกล้งกันอีกใช่ไหม ไม่ใช่ตั้งใจจะทิ้งเขาไว้ที่นี่แค่คนเดียว

ความว้าวุ่นใจไม่อาจทำให้ทนนั่งเฉยได้อีกแล้ว

“ดิศ!! อยู่ไหน?”

สองขาเดินลัดเลาะไปตามชายหาด เส้นทางเดียวกับที่ใครบางคนเดินลับไป ตรงหน้าเป็นภูเขาสูงที่กั้นชายหาดส่วนนี้ไว้ เขาต้องเดินลงน้ำและว่ายอ้อมไปตามแนวโขดหิน เพื่อเข้าไปยังชายหาดด้านหลังนี้

ว่าแต่ลืมอะไรไปรึเปล่า? ว่าก่อนหน้านี้เสื้อชูชีพของเขาถูกรดิศถอดทิ้งไปแล้ว!

กว่าจะรู้ตัวเขาก็ลงมายืนอยู่ในระดับน้ำทะเลที่ลึกจนถึงช่วงอก แล้วทั้งร่างก็ถูกคลื่นซัดจนทรงตัวไม่อยู่ ปลายเท้าเริ่มแตะไม่ถึงพื้น ไม่นานคลื่นอีกลูกก็เข้ามาซ้ำ ปั้นถูกลากลงไปลึกกว่าเดิมแล้วก็ถูกซัดเข้าฝั่งอีกหน โชคร้ายที่ด้านหน้าเป็นแนวโขดหิน เขาไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะสามารถว่ายหนีออกไปจากเขตนี้ได้ แขนก็เลยถูกอัดกระแทกเข้าอย่างจังกับผาหิน ตอนที่ร้องขอความช่วยเหลือก็เผลอสำลักนำทะเลเข้าไปอึกใหญ่ ทั้งตัวถูกบีบวนอยู่ในกระแสคลื่นที่กำลังบ้าคลั่ง เขาเริ่มกลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมา แต่ทะเลก็ไร้ความปราณีใดๆ เมื่อมองออกไปเห็นคลื่นลูกใหม่กำลังพัดเข้ามา สองมือรีบยึดไว้ที่ซอกหินด้านหลัง นาทีนั้นเขาหลับตาแน่น รอรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตนเองอีกครั้ง

“อ้ะ!” คราวนี้สิ่งที่เข้ามากระทบกลับไม่ใช่น้ำทะเล แต่เป็นร่างกายอุ่นๆ ของใครสักคนที่เข้ามาบดบังกระแสคลื่นลูกนั้นแทน ปั้นลืมตามองดูเจ้าของอ้อมแขนแกร่ง มือข้างหนึ่งของรดิศโอบรอบเอวของเขาแน่น ส่วนอีกข้างก็เกาะผนังหินไว้ป้องกันไม่ให้ร่างของพวกเขาปลิวว่อนไปกับสายน้ำ

ทันทีที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สองมือที่ยึดอยู่กับผนังหินปูนก็เปลี่ยนมาเป็นกอดอีกฝ่ายไว้ทันที ปั้นเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ทั้งตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม เขาเพิ่งรอดจากนาทีเสี่ยงตายมาอย่างหวุดหวิด   

“ไม่เป็นไรแล้วๆ”

หลังจากวันนี้ เขาก็คงหวาดกลัวทะเลไปอีกนาน

 

ได้ยินเสียงตะโกนจากเรือส่วนตัวที่เข้ามารับ นาทีนั้นได้ย้ำเตือนให้รู้ว่า เวลาของพวกเขาได้หมดลงแล้ว

ท้องฟ้าเริ่มมืด อากาศกลางทะเลก็เย็นลงไม่ต่างกัน รดิศส่งผ้าขนหนูในมือให้ร่างบางที่นั่งห่อไหล่อยู่ข้างๆ ด้วยความห่วงใย ในระหว่างที่ต่างฝ่ายต่างนิ่งงัน ในสมองกลับย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ในขณะที่นั่งเรือกลับมาด้วยกัน ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างพวกเขาอีก

ปล่อยให้ความเงียบเป็นสื่อกลางระหว่างหัวใจทั้งสอง

 

ร่างสูงที่ขึ้นมาจากเรือเป็นคนสุดท้ายยืนมองคนที่ตัวเองรักกับชายอีกคน รดิศเข้าใจความเป็นจริงทุกอย่างแล้ว ต่อให้รักมากแค่ไหนสำหรับปั้นนั้น ตัวเขามันก็แค่ความฝัน

ฝันที่ไม่มีทางจะเป็นจริง...

 

“มึงอย่าไปยุ่งกับคนมีเจ้าของเลยว่ะ เชื่อกูเถอะ” เพื่อนรักเข้ามาปลอบใจ เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนหม่นลงเมื่อมองไปยังคนสองคนที่เดินเคียงคู่กันไป

“ทั้งที่คนอย่างมันใช้วิธีสกปรกแลกมาอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

.......................................................................

 

เอ้ะๆ รดิศรู้อะไรมาน้า

เอ้ะๆ ไม่บอกหรอก

 เจอกันตอนหน้า ขอบคุณสำหรับการติดตามคร้าบบบ

 

 

 

 

 

 
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 11 : ไม่เคยเปลี่ยน
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 06-01-2018 22:56:51
เกมพลิกแล้ว อธินโดนแน่
ได้เวลาดิศแล้วววววววว
งานนี้ปั้นจะได้รู้ความจริงซักที เพราะคนอ่านก็รอเฉลยอยู่ อิอิ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 11 : ไม่เคยเปลี่ยน
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 07-01-2018 00:02:32
นั้นไง อธินหรอที่ปล่อยข่าว ทำไมร้าย หรือว่าอธินเป็นคนจ้างมอสมาทำ
ฮือออ ทำไมทำร้ายใจมากก

เมื่อไหรจะมีความสุขหนอ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 12 : สุขสันต์วันเกิด
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 07-01-2018 12:51:32
ตอนที่ 12 สุขสันต์วันเกิด
 
 
ทันที่ที่สปีทโบ้ทจอดลงเทียบท่า เขาก็รีบก้าวขึ้นฝั่งทันทีโดยไม่คิดจะหันไปล่ำลาผู้ชายอีกคนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน
“น้องครับ...กระเป๋า”
ไม่มีแม้กระทั่งคำขอบคุณให้พนักงานที่อุตส่าห์ตามเอากระเป๋ามาให้ เมื่อรับมาก็รีบเดินออกจากท่าเรือไปหาพี่อธินที่กำลังรออยู่
ราวกับต้องการหนีไปจากที่ตรงนี้
 
 
 
“ไหงทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ ยิ้มหน่อย”
หน้าบึ้งตึงมองคนรักที่ยังคงร่าเริงกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างปกติ ทั้งที่ถูกคนใจดำพวกนั้นทิ้งไว้ที่ท่าเรือ ตัวเองทั้งโกรธทั้งโมโหแต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง 
“เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก ”
ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรอยู่ๆ ก็รู้สึกเศร้า อธินสำรวจอาการของคนตรงหน้า สิ่งที่ผิดปกติไปนั่นก็คือดวงตากลมโตคู่นั้นที่ไม่สดใสเหมือนเช่นทุกที
“เป็นอะไรไป หืม?”
“ผมรู้สึกเหนื่อยจังเลยครับ” มือหนาลูบลงบนกลุ่มผมนุ่มนิ่มนั่นเบาๆ เสียงแผ่วๆ ของน้องปั้นฟังแล้วรู้สึกเอ็นดูขึ้นมา
“คืนนี้มานอนกับพี่นะ” พอนึกถึงสัญญาก่อนหน้านี้แล้วรู้สึกร้อนวูบบริเวณพวงแก้ม เกือบลืมไปเสียสนิทว่าเคยตกลงอะไรไว้
 
ภาพระหว่างพวกเขา กำลังทำให้ใครบางคนที่เฝ้ามองกำลังเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนความเสียใจที่เกิดจากความรัก ตอนนี้ได้รู้ซึ้งถึงมันแล้ว
รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังอ่อนแรง รู้สึกราวกับจมอยู่ในทะเลลึก
 
เรื่องราวระหว่างเราคงไม่มีอีกแล้ว...
 
 
 
คอนโดกว้างขวางพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาห้องใหม่ของพี่อธินหลังจากฝ่ายนั้นย้ายเข้ามาเมื่อเดือนก่อน ปั้นแทบจะกระโจนลงบนเตียงนุ่มๆ นั่นทันที แต่กลับถูกไล่ให้ไปอาบน้ำ เจ้าตัวรับคำอย่างว่าง่าย ผ่านไปไม่ถึงสิบห้านาทีปั้นก็อยู่ในชุดนอนเป็นที่เรียบร้อย
 
“พี่อธินจะเลือกด้านซ้ายหรือขวา”
“ฝั่งไหนก็ได้ครับ แค่คนข้างๆ เป็นเรา พี่ก็นอนหลับแล้ว” ผู้ชายคนนี้ชอบพูดอะไรให้เขาเขินทุกทีสิน่า เมื่อเป็นเช่นนั้นปั้นก็ รีบล้มตัวลงนอน เด็กรุ่นน้องดึงชายผ้าห่มขึ้นคลุมจนเกือบมิดตัว
ร่างสูงนั่งบนขอบเตียงยันกายอยู่เหนือร่าง นิ้วชี้ข้างหนึ่งกดเบาๆ บนหน้าผากของเด็กตรงหน้า
“ไม่ทำอะไรหรอกน่า เลิกคิดมากได้แล้ว”
ยังไม่หยุดฟุ้งซ่าน แค่อยู่ใกล้พี่อธินก็แทบจะละลายไปทั้งตัว ถ้าถูกปฏิบัติแบบนั้นตัวเองคงสำลักความหวานตายไปเสียก่อน
ช่วงแขนแกร่งวางลงเหนือสะโพกเมื่อล้มตัวลงนอนเคียงข้าง เขารั้งคนตัวเล็กกว่าเข้ามาใกล้ คืนนี้ตั้งใจจะกอดน้องปั้นไว้จนถึงเช้าให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน
“อุ่นจังเลยครับ” ปั้นพึมพำก่อนจะหลับตาลง ใช้แขนของคนรักหนุนแทนหมอน แผ่นหลังที่กำลังแนบชิดจากอ้อมกอดของพี่อธิน ช่างอบอุ่นและปลอดภัย
“ฝันดีนะ...คนเก่งของพี่” ร่างบางพยักหน้าก่อนจะเคลิ้มไป ยามโทนเสียงต่ำๆ ของพี่อธินยามกระซิบบอก
หวังว่ามันจะช่วยทำให้เขาลืมเรื่องร้ายๆ ในวันนี้
ทว่าเมื่อหลับตาลง กลับเห็นเป็นใบหน้าของใครบางคน
ทั้งที่พยายามลืม แต่มันกลับชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด

 
 
 
 
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคมเป็นวันเกิดของคนรัก เขาอยากทำอะไรให้พิเศษกว่าวันอื่นๆ ในขณะที่ยืนมองคนตัวเล็กกว่าง่วนอยู่กับการแต่งตัวหน้ากระจก เขาจึงเดินเข้าไปช่วยติดกระดุมให้จากทางด้านหลังอย่างเอาใจ
“วันเกิดปีนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า” อธินใช้รอยยิ้มตามแบบฉบับของเจ้าตัวละลายใจคนรักตั้งแต่เช้า
“ขอวันหยุดของพี่แค่หนึ่งวันก็พอแล้วครับ” เด็กหนุ่มยิ้มให้ ใครๆ ก็รู้ว่าเวลาของพี่อธินมีค่ามากแค่ไหน
“แบบนี้โทรไปยกเลิกงานลูกค้าเลยดีมั้ยนะ” เขาทำท่าจะกดโทรออกแต่ดีที่อีกฝ่ายยกมือห้ามเสียก่อน ไม่งั้นเงินหมื่นคงลอยลิ่วหายวับไปกับตาแน่ๆ แถมชื่อเสียงที่สะสมมาเนิ่นนานของพี่อธินคงด่างพร้อยไปเพราะตัวเองก็ได้
“ไม่ดีเลยครับ” ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ก็ยังไม่อยากให้พี่อธินหยุดงานแล้วมาอยู่ด้วยกันอยู่ดี ไม่อยากเห็นแก่ตัวจนเกินไป
“ปั้นก็รู้นี่นา ไม่ว่าอะไรพี่ก็ทำให้ได้อยู่แล้ว”
“เอาไว้ไปกินอะไรอร่อยๆ ตอนเย็นก็ได้ครับ”
“แน่ใจหรือ? ไม่ใช่ว่าถึงตอนนั้นเราจะมีนัดกับคนอื่นก่อนนะ” มือหนาจับปลายคางมนบีบเบาๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว ทุกส่วนบนใบหน้าของคนๆ นี้ไม่ว่าอะไรก็น่ามอง น่าสัมผัสไปหมด
“เหอๆ”
“เพื่อนเยอะซะขนาดนี้ กว่าจะถึงคิวพี่ก็เช้าวันใหม่พอดี”
“งั้นพี่ก็ไปด้วยซิ”
“ไม่เอาหรอก อยากอยู่ด้วยกันสองคนมากกว่า”
“ผู้ชายคนนี้พอแก่แล้วเริ่มเอาใจอยากจริงๆ”
“พี่เนี่ยนะเอาใจยาก?”
 อีกฝ่ายกำลังรอคำตอบ แต่น้องปั้นกลับเป็นฝ่ายจูบเข้ามาแทน เล่นเอาคนโตกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ร่างบางเงอะงะจนคล้ายจะทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ยังรวบรวมความกล้าหยอกเย้าอยู่บนริมฝีปากนั่นไม่หยุด เพราะต้องการจะเอาใจคนรัก แค่อยากทำอะไรให้อีกฝ่ายมีความสุขบ้าง ก็เท่านั้น...
 
ร่างบางขบเม้มน้อยๆ ตรงริมฝีปากล่างของอีกฝ่าย รู้สึกไม่ถนัดที่เป็นฝ่ายเริ่มเกม ลิ้นร้อนๆ ตั้งใจจะสอดเข้าไปควานหาความอบอุ่นในนั้นแต่แล้วก็ถูกร่างสูงชิงหน้าที่นั้นไป อธินดึงอีกฝ่ายให้นั่งลงบนตัก ประคองสะโพกกลมกลึงเข้ามาแนบชิดยิ่งขึ้น อุณหภูมิในห้องเช้านี้เริ่มสูงขึ้นทุกขณะ
“เลิกงานแล้วรอผมอยู่ที่ห้องนะครับ”
“หือ ที่ห้อง?”
“ผมมีของขวัญจะให้” ร่างตรงหน้ามีท่าทีเขินอายเล็กน้อยตอนพูดประโยคนั้น ตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่กับพี่อธินทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกรักคนๆ นี้
จากนี้ไปจะไม่หวั่นไหวอีก
 
 
อากาศสดใสสมกับอารมณ์ของเจ้าของวันเกิด ระหว่างที่พี่อธินกำลังง่วนอยู่กับการขับรถคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮัมเพลงออกมาเบาๆ คล้ายจะสื่อความหมาย
“ทุกสิ่งยอมให้เธอ...เพียงเธอแค่คนนี้ เพราะเธอแสนดี ช่างแสนดี คนที่แสนดี....” พอถึงท่อนสำคัญของเพลง ปั้นจงใจเน้นประโยคสุดท้ายให้ดังขึ้นเป็นพิเศษ ดวงตาสดใสหันมองชายหนุ่มที่เอาแต่สนใจอยู่แต่บนถนนและกระจกหลัง
“อารมณ์ดีจังเลยนะ” อธินอดหันมามองไม่ได้ อยากรู้จริงๆ เชียวว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้สึกว่าคนรักของเขาจะดูมีความสุขเป็นพิเศษ
“จากเลวร้าย...เธอทำให้มีความหมายให้ฉันได้รู้ว่า...ว่าชีวิตของฉันนี้จะขอมีเธอคนดีตลอดไป...”
“ร้องเพลงบอกรักใครรึไง?”
“ก็ผมกำลังบอกพี่อยู่นี่ไง...พี่อธินที่แสนดี คนที่แสนดี...” ชายหนุ่มยังคงร้องไม่หยุด เนื้อหาในเพลงมันช่างเข้ากับชีวิตเขาและพี่อธินเหลือเกิน
 
ร่างสูงชะงักคำว่า ‘แสนดี’ ไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมเข้มวูบไหวไปชั่วขณะหันมองคนรักด้วยไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง
“แล้วถ้าพี่ไม่ใช่คนที่แสนดีอย่างในเพลงนั่นล่ะ ยังจะรักอยู่อีกมั้ย?”
“ชีวิตผมมีแต่พี่อธินแค่คนเดียวเท่านั้นนะครับ จะไปรักใครได้อีก” คนที่นั่งอยู่เคียงค้างยังคงยืนยัน ระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาอะไรๆ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผู้ชายคนนี้จะไม่มีวันทำให้เขาเสียใจอย่างแน่นอน
คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของตัวเองได้อีกแล้ว
“พี่ดีใจที่ได้ยินคำนี้นะ พี่เองก็รักปั้นไม่ต่างกัน”
พี่อธินมาส่งถึงที่ทำงาน หนุ่มร่างบางเปิดประตูลงจากรถแล้วยืนโบกมือให้เขาอย่างร่าเริง
“เจอกันคืนนี้นะครับ”
“อื้ม..เจอกัน”
 
 

            “แฮปปี้เบิร์ด เดย์!!!!”
พลุกระดาษร่วงลงมาเป็นสายเมื่อปั้นเปิดประตูเข้าไปในที่ทำงาน สเปรย์สายรุ้งพันกันยุ่งเหยิงอยู่บนหัวเขาแลดูคล้ายดักแด้ยังไงยังงั้น ทุกคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนานที่ได้แกล้งเจ้าของวันเกิด เรียกได้ว่าเป็นการเริ่มงานวันแรกในรอบสัปดาห์ที่ดูครึกครื้นที่สุด ดูเหมือนว่าช่วงวันหยุดที่ผ่านมาแต่ละคนคงได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่
“ขอบคุณมากๆ นะครับ” กล่องของขวัญสีขาวสะอาดตาตั้งอยู่ตรงหน้า เป็นของขวัญวันเกิดที่ทุกคนช่วยกันทำขึ้นมา
“รีบเปิดดูข้างในสิ” พี่แอนขยิบตาให้เป็นสัญญาณบอกว่าถ้าน้องปั้นได้เห็นคงต้องชอบมันแน่ๆ คนอื่นๆ ก็ลงความเห็นเช่นนั้น
“มีความสุขมากๆ นะครับพี่ปั้น ขอให้เจอแต่สิ่งดีๆ แล้วก็สมหวังในทุกๆ เรื่อง” น้องมีนยื่นถุงคุกกี้ให้เขาพร้อมกับคำอวยพร
“ขอบใจนะ”
“เลิกงานแล้วเจอกันร้านเดิมนะจ้ะ ใครไปถึงช้าคนนั้นจ่าย”
สิ้นเสียงประกาศของพี่มะลิราวกับเป็นการปลุกระดมให้แต่ละคนเร่งทำงานกันยกใหญ่ ไม่มีท่าทีอิดออดหรือเกียจคร้านให้เห็น เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเวลาเลิกงานมาถึง แต่ละคนเร่งรีบกันสุดๆ ตั้งใจจะไปให้ถึงร้านที่เคยนัดหมายไว้ก่อนใครเพื่อน ถึงแม้ไม่ได้เป็นคนแรกอย่างน้อยก็อย่าเป็นคนสุดท้ายก็พอ
 
และคนดวงซวยในวันนี้คือพี่มะลิ

            “เต็มที่เลยทุกคน กินไม่ต้องยั้ง อยากสั่งอะไรสั่งไปเลย คืนนี้มะลิจ่ายไม่อั้น ฮ่าๆๆๆๆๆ” แน่นอนว่าคนพูดไม่ใช่พี่มะลิแต่เป็นพี่แอนที่เพิ่งจะเจอชะตากรรมเดียวกันมาก่อนในงานเลี้ยงต้อนรับน้องมีนที่เพิ่งผ่านมาล่าสุด เหมือนพี่แอนจงใจจะเอาคืนด้วยประโยคเดียวกัน
 
            ผ่านไปได้ไม่กี่ชั่วโมงทุกคนเริ่มมีสภาพเมามายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนปั้นที่คออ่อนอยู่แล้วถึงจะมีสติอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถือว่าครบถ้วนเท่าไหร่นัก น้องมีนที่นั่งข้างๆ เขาก็เริ่มฟุบลงไปแล้ว
“อย่าดื่มกันเยอะนักสิ เดี๋ยวก็กลับกันไม่ไหวหรอก” พี่แม็กซ์ร้องปรามคนอื่นๆ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครยอมฟังกันสักคน
            พอเหล้าเข้าปากอะไรๆ ก็ชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มไปหมด จากเรื่องที่ไม่ตลกกลับตลกขึ้นมา คนที่เข้มแข็งกลับเสียน้ำตาได้ง่ายๆ กับเรื่องบางเรื่อง
“พี่ปั้นครับ ผมอยากเข้าห้องน้ำ”
“หือ...ได้สิ” ปั้นหรี่ตามองน้องชายที่นั่งข้างๆ ท่ามกลางแสงไฟสลัวๆ ตั้งใจจะลุกขึ้นจากโต๊ะพยุงร่างนั้นขึ้นมาแต่พี่แม็กซ์กลับไวกว่า
“ฉันพาหมอนี่ไปเอง แค่ยืนก็ยังไม่ไหวเลย นายน่ะนั่งอยู่นี่เถอะ”
“เอางั้นหรือครับ?” ปั้นเองพอเมาก็ว่าง่ายเหลือเกิน ปล่อยน้องมีนให้ไปกับพี่แม็กซ์โดยลืมไปเสียสนิทว่าสองคนมีปัญหากันอยู่
 
เกือบห้าทุ่มพวกเขาถึงแยกย้ายกันกลับ ทุกคนอยู่รวมตัวกันที่ลานจอดรถ จัดแจงหน้าที่ว่าใครจะเป็นคนไปส่งใคร พี่อิฐ พี่แอน และพี่มะลิอยู่ทางเดียวกันกลับด้วยกันอยู่แล้ว ที่เหลือก็มีปั้น น้องมีนแล้วก็พี่แม็กซ์
“เดี๋ยวพี่อธินมารับใช่มั้ย?”
“ครับ” ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกัน น้องมีนที่อยู่ข้างๆ ยืนเซจนจะล้มลงไป โชคดีที่พี่แม็กซ์คว้าตัวไว้ได้ก่อน
“กลับกันก่อนก็ได้นะครับ” ทั้งที่ตัวเองยืนก็แทบจะไม่ไหว แต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วงคนอื่น ก่อนหน้านี้ปั้นตั้งใจจะไม่ดื่มเพราะยังต้องกลับไปเลี้ยงฉลองกับพี่อธินต่อ แต่ก็ถูกเชียร์จนเสียเรื่องจนได้
“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ พี่พาเจ้านี่กลับก่อน” ในที่สุดเจ้าเด็กที่เขาประคองไว้ก็อ้วกออกมาจนได้ พี่แม็กซ์จึงต้องรีบพากลับไปโดยเร็วที่สุด ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะอยู่เป็นเพื่อน
 
ปั้นรู้สึกมึนมากๆ ที่ๆ ยืนอยู่มันหมุนจนเขาเวียนหัว ร่างบางมองหารถพี่อธินที่คิดว่าคงจะมาถึงแล้ว แต่มือหนึ่งกลับฉวยโอกาสตอนที่เขาไร้เรี่ยวแรง ฉุดขึ้นไปบนรถที่จอดอยู่ข้างๆ เสียก่อน
“ปล่อยผม!” ร่างเล็กถูกกดลงกับเบาะหลัง ความรู้สึกเหมือนตัวเองลูกเหวี่ยงลงไปในหุบเขาก็ไม่ปาน พยายามขัดขืนการกระทำของผู้ชายคนนั้น เมื่อได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนความรู้สึกโกรธก็แล่นเข้ามา
            “ปล่อยเรานะ!!” ทั้งโกรธเคืองทั้งสับสนปะปนกันไปหมด สติที่พร่าเลือน แค่เจอหน้าเขาหัวใจที่เคยแข็งแกร่งกลับวูบไหวขึ้นมาทันที
“อยู่กับฉันก่อน...ได้มั้ย?”
“ไม่!” น้ำเสียงที่ใช้อ้อนวอนเกือบทำให้ปั้นใจอ่อน แต่จิตใต้สำนึกกำลังตะโกนบอกว่าต้องรีบถอยห่างจากผู้ชายคนนี้
โทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นในตอนนั้น ยังไม่รู้ว่าใครโทรเข้ามาเสียด้วยซ้ำรดิศกลับชิงไปเสียก่อน
“เอาคืนมา!” คนๆ นั้นต้องเป็นพี่อธิน อีกฝ่ายกำลังรออยู่ ถ้าไม่รีบไปตอนนี้อีกคนต้องเป็นห่วงแน่ ในสมองคิดได้แต่เพียงเรื่องนั้นเรื่องเดียว ร่างบางออกแรงขัดขืนพันธนาการของผู้ชายตรงหน้า
แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นเมื่อร่างกายกำลังอ่อนแรง ฝ่ายนั้นใช้โอกาสที่เขาไร้ทางหนีประทับจูบลงมาอย่างฉวยโอกาส และที่น่าเจ็บใจที่สุด ร่างกายของเขากลับยอมรับสัมผัสนั้นอย่างง่ายดาย

ร่างบางนอนขดกายอยู่ด้านหลังในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกไป ในเวลานี้ตัวเองควรหาทางหนี แต่ในสมองกลับคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง จนกระทั่งรถจอดลงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่แสนคุ้นเคย ปั้นพยายามขัดขืนแต่แล้วก็ต้องปล่อยให้เขาอุ้มลงมาจากรถแต่โดยดี
ห้องนอนกลิ่นเดิมที่ยังคงฝังอยู่ในความรู้สึก ภาพที่ใช้ตกแต่งผนังยังคงเป็นภาพเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เหตุการณ์ในวันวานยังคงชัดเจนเสมอ
 
เงาเลือนรางในห้องนอนทำให้เขาแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งใดคือความจริงและอะไรคือความฝัน เขากำลังอยู่ในห้องนอนของรดิศไม่ผิดแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่านี่คืออดีตหรือปัจจุบัน
 
มือเล็กๆ ยื่นออกไปสัมผัสบนใบหน้าของเขาเหมือนในเกมครั้งหนึ่งที่เคยเล่นคู่กัน ใบหน้าเรียวงามรับกับจมูกโด่งเป็นสัน เส้นผมที่ยาวลงกว่าแต่ก่อนทำให้ดูน่าหลงใหลมากขึ้น ผู้ชายคนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกประทับใจอยู่เสมอ 
เขาคงฝันถึงอดีตอีกแล้วสินะ...
'อยู่ตรงนี้นี่เอง'.... โชคดีอีกแล้ว ครั้งนี้พวกเขาไม่ต้องถูกทำโทษ ต้องขอบคุณผ้าปิดตาผืนนั้นสินะที่ช่วยให้รอดมาได้
'ฉันก็ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย' คนในความฝันบอกกับเขาแบบนั้น แต่ถึงอีกฝ่ายจะมีท่าทางดีใจที่เราสองคนไม่ต้องถูกทำโทษแต่ทำไมดวงตาคู่นั้นถึงได้ดูเศร้านัก
“นอนหลับซะเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะไปส่งนายเอง” ปั้นพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายตามคำบอก ในความฝันเขาจำไม่ได้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ตัวเองเคยมาที่นี่
 “ขอบใจนะ”
มือเรียวประคองใบหน้าหล่อเหลานั่นเข้ามาใกล้ กว่าจะรู้ตัวก็ถลำลึกลงไปเสียแล้ว เมื่อความต้องการค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ฉุดรั้งให้ทำทุกอย่างลงไปโดยที่ไม่คาดคิด ก่อนเป็นฝ่ายจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นด้วยความปรารถนาที่ยังคงมีในจิตใจ

เสื้อที่สวมอยู่ถูกถอดออกไปช้าๆ ด้วยฝีมือชายหนุ่ม ร่างที่นอนหอบหายใจอยู่ด้านล่างกำลังร้อนรุ่ม มือเรียวปลดกระดุมของอีกฝ่ายให้อย่างเอาใจ ดวงตาหวานฉ่ำทอดมองคนเหนือร่าง ต้องการจะใกล้ชิดกันมากกว่านี้ อยากให้เขาครอบครองและทำทุกอย่างได้ตามใจ ทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม ไฟแห่งความต้องการกำลังแผดเผา

สิ่งที่รดิศจะทำหลังจากนี้มันเกิดจากความรู้สึกในหัวใจอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพราะต้องการจะล่อลวงกันแต่อย่างใด หากเรื่องราวจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้ก็ต้องโทษความรักที่เป็นตัวชักนำให้เขากล้าทำในสิ่งที่ผิด
เพราะรักเหลือเกิน รักจนไม่อาจห้ามใจ
“ฉันรักนาย”
“ฮึก...เรารู้แล้ว...” จู่ๆ น้ำตามันก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ สองมือโอบกอดร่างตรงหน้าแน่น ราวกับกลัวว่า สิ่งที่ได้เห็นจะเลือนหายไป
รดิศผละออกมาจูบซ้ำลงที่ริมฝีปาก ปลอบประโลมคนตัวเล็กกว่าที่ยังคงสะอื้นไม่หยุด เรียวลิ้นอุ่นร้อนตอบรับสัมผัสนั้นอย่างไม่รังเกียจ ทั้งยังเครือครางออกมาอย่างสุขสม รู้สึกพึงพอใจกับจูบนี้
พอถูกถอนริมฝีปากออก คนด้านล่างก็รู้สึกหน่วงๆ ดวงตาเว้าวอนมองคนตรงหน้าคล้ายเรียกร้องความสนใจ รดิศบิดแก้มนุ่มนั่นไปหนึ่งครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหรี่ไฟที่หัวเตียง สำหรับเขาแล้ว เรือนร่างตรงหน้านี้จะยิ่งเย้ายวนใจมากยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสีส้มอ่อน
คล้ายกับคืนนั้นที่เขาเคยเผลอจูบปั้นไปครั้งแรก
กระดุมถูกปลดไปหมดแล้ว มือหนาลูบไล้ไปบนเอวขอดอย่างใจเย็น ส่วนริมฝีปากก็ระดมจูบไปตามไหปลาร้า และต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงแนวหน้าอก ที่มีจุดสีสวยยั่วยวนสายตา ดวงตาคมเข้มตวัดมองเจ้าของร่างเชิงขออนุญาต เมื่ออีกคนมีท่าทางเขินอาย มือหนาก็เลื่อนอ้อมไปด้านหลัง ดันแผ่นหลังเล็กให้ขึ้นสูง ก่อนจะประกบริมฝีปากลงไปแนบแน่น ขบเม้มโลมเลียด้วยความปรารถนา
“อ้ะ อะ...” คนใต้ร่างส่งเสียงได้แค่นั้นก่อนจะแอ่นกายขึ้นรับสัมผัส ปั้นหลับตาแน่นแต่สองมือก็โอบรอบคออีกฝ่ายไว้ไม่ห่าง
รดิศวกขึ้นมาจูบเอาใจกันอีกหน ก่อนอีกมือหนึ่งจะค่อยๆ ปลดกางเกงคนด้านล่างออกไปทีละนิด อย่างเชื่องช้า เช่นเดียวกับตอนที่เขากินส้ม พอปอกเปลือกได้ส่วนหนึ่งก็มักจะชิมมันก่อน แล้วจึงค่อยลงมือปอกอีกครึ่งที่เหลือ 
“น่ากินไปทั้งตัว” คนฟังเผลอจิกเล็บลงไปที่หัวไหล่ ก็ใครกันล่ะพูดจาให้เขินขึ้นมาแบบนี้ ปั้นหน้าแดงซ่าน แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงสลัว แต่เชื่อว่าแก้มเขาตอนนี้คงแดงยิ่งกว่าแสงไฟไปเรียบร้อยแล้ว
ความร้อนรุ่มเผลอทำให้เขาขยับเข้าไปบดเบียดคนด้านบน เมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ดุดันอยู่บริเวณด้านล่าง ใจของเขาก็เต้นรัว ไม่รู้จะซุกหน้าไปไว้ตรงไหนดี
“เขินรึไง…”
ปั้นไม่ตอบแต่เป็นฝ่ายซบลงไปบนไหล่ของเขาแทน แล้วก็ต้องเกร็งแน่นเมื่อรับรู้ว่ารดิศลงมือถอดกางเกงของตัวเองออกไปสำเร็จแล้ว ทีนี้ร่างบางก็แทบเปล่าเปลือย
“ที่เหลือนายถอดเองนะ”
“ดิศ!” เจ้าของร่างสูงยิ้มกริ่มมองคนตรงหน้าที่กำลังเขินอาย แต่คงเป็นเพราะฤทธิ์เหล้าที่ทำให้คืนนี้เจ้าตัวใจกล้ามากกว่าทุกที สายตากรุ้มกริ่มมองมือเรียวที่กำลังถอดชั้นในตัวนั้นออกมาไม่วางตา เขาชอบมองอารมณ์สีหน้าที่กำลังบ่งบอกถึงความขัดแย้งกันเองแบบนี้มากที่สุด
กระดากอายแต่ขณะเดียวกันก็ใจกล้าทำเรื่องบ้าบิ่น

ส่วนอ่อนไหวปรากฏต่อสายตา มือหนารั้งต้นขาข้างหนึ่งของร่างบางขึ้นสูง ปั้นได้แต่ผวา มือข้างหนึ่งยันที่นอนไว้เบื้องหลัง เมื่อถูกเปิดเผยขนาดนี้ เจ้าตัวก็ไม่กล้าที่จะสบตา
แต่รดิศกลับมองว่าอาการนั้นช่างน่ารักเสียจนอยากถะนุถนอมไว้ให้มากที่สุด ก่อนมือหนึ่งจะเชยคางมนขึ้นมาจูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่ม เมื่ออีกฝ่ายเริ่มตอบสนองเขากลับมาบ้าง อุณหภูมิรอบกายก็ดูเหมือนจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยเสียงใสที่เผลอครวญครางอย่างไม่รู้ตัว เมื่อส่วนนั้นถูกประคองไว้ในอุ้งมือ และอีกมือของเขาก็เริ่มทำหน้าที่สำรวจช่องทางด้านหลัง
อีกฝ่ายกระตุกร่างจนสั่นเทาเมื่อรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอม นิ้วมือของอีกฝ่ายพยายามชำแรกผ่านจุดอ่อนนุ่มที่แสนคับแคบ แล้วค่อยชโลมเนื้อเจลอย่างใจเย็น เคล้าคลึงอยู่กับผิวอ่อนๆ อยู่ได้สักพักแล้วจึงพยายามสอดใส่นิ้วมือของตัวเองไปทักทายอีกหน
ภายในนั้นตอบรับเขาอย่างอบอุ่น จนอดจินตนาการถึงความสุขหลังจากนี้ไปไม่ได้ว่ามันจะหวานสักขนาดไหน
แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้น ก็เหมือนมีมือหนึ่งพยายามจะสำรวจบางสิ่งของเขาอยู่เช่นกัน
“ซนจริงๆ” เขาอดว่าเบาๆ ไม่ได้ จากนั้นก็ยอมละมือและปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำอะไรอย่างใจชอบ
รดิศนั่งพิงลงไปบนหมอน เฝ้าดูอีกฝ่ายว่าจะทำอะไรกับตน
สำหรับปั้นแล้ว ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่ปรารถนาจะอยู่เคียงข้างมากที่สุด เป็นคนที่ไม่ว่าจะเคยทำร้ายกันขนาดไหน แต่ในใจก็ยังรักเขามากมายอยู่ดี
มือเรียวปลดตะขอกางเกงของชายหนุ่มอย่างเงอะงะแต่ก็ไม่ละความพยายาม เมื่อถอดได้ส่วนหนึ่ง ชิ้นสุดท้ายก็คือชั้นในที่เหลือ ปั้นไม่เพียงแต่ใช้มือครอบครองส่วนนั้นแต่ยังใช้ริมฝีปากเพื่อเอาใจคนใต้ร่าง
รดิศเห็นแล้วก็อยากลากเจ้าตัวเข้ามาทำโทษให้หนักที่กล้าทำอะไรแบบนี้ แต่เมื่อเห็นสายตาออดอ้อนยามตวัดมองมาที่เขาแล้วใจก็อ่อนยวบ
ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้คนที่ตัวเองรักกระทำเช่นนั้นอยู่นาน ในที่สุดก็รั้งร่างบางขึ้นมาชิดแล้วดันร่างเล็กให้นอนพิงลงกับหมอน เขายกเรียวขาขึ้นสูง ส่วนอีกข้างก็แยกออกให้กว้างขึ้นเพื่อเตรียมสอดใส่ความอุ่นร้อนลงไปแนบชิด
“อ้ะ อื้อ” คนใต้ร่างหลุดครางเป็นช่วงๆ เมื่อเขาเริ่มขยับอีกฝ่ายก็ไม่สามารถกลั้นเสียงร้องนั้นไว้ได้เลย ดวงตากลมสวยมองสบชายหนุ่มอย่างเว้าวอน มือเรียวกำผ้าปูที่นอนแน่น ร่างทั้งร่างคล้ายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“ดิศ! ด..ดิศ อื้อ” เจ้าตัวไม่รู้หรอกว่า ยิ่งเรียกชื่อเขา ยิ่งทำให้เขาคลั่ง มือหนาปัดปลายผมที่ระอยู่บนแก้มนวลเนียนทิ้งไป แล้วค่อยๆ จูบซับลงอย่างทะนุถนอม ผิดกับการกระทำด้านล่างที่ค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ
“อะ อ้า อะ อะ” เสียงผิวเนื้อกระทบกันดังก้องในโสตประสาท ร่างบางเนื้อตัวแดงระเรื่อ ในขณะเดียวกันสมองก็หมุนคว้าง รู้สึกสุขสมจนบรรยายไม่ถูก
เขาชอบการครอบครองของคนๆ นี้ ชอบความเร่าร้อนที่กำลังแผดเผา ในขณะที่ทั้งร่างจะตกลงไปในเหวลึก มือหนาก็ค่อยประคองแผ่นหลังขึ้นมา แผงอกบดเบียดแนบชิดส่วนมืออีกข้างของรดิศก็ช่วยปรนเปรอส่วนเล็กน่ารักนั้นอย่างเอาใจ
“ม..ไม่ ไหวแล้ว” แก้มใสๆ กลายเป็นสีแดงระเรื่อ ยามที่พูดเจ้าตัวก็พยายามสกัดกั้นอารมณ์วาบหวามของตนเอง มือเรียวกุมท่อนแขนของอีกฝ่ายแน่น ก่อนที่จะทนไม่ไหวแล้วปลดปล่อยความสุขออกมาในที่สุด รดิศรั้งคนเก่งให้นอนราบลงไป เขาอยากจะมองอีกฝ่ายยามสุขสมให้ชัดเจน เมื่อสมใจแล้วตนเองก็เร่งจังหวะให้กระชั้นขึ้น ไม่นานก็ปลดปล่อยทุกหยาดหยดเอ่อล้นช่องทางคับแคบที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสีแดงระเรื่อ จากการรุกล้ำจากชายหนุ่ม เขามองของเหลวสีขาวขุ่นไหลซึมออกมาจากช่องทางนั้นเมื่อคนใต้ร่างกระตุกหอบ  ปั้นหายใจถี่รัวก่อนจะถลาเข้ามากอดเขาไว้อย่างว่าง่าย ก่อนความเหนื่อยล้าจะทำให้หลับไปในที่สุด   
ร่างสูงจัดการเช็ดทำความสะอาดให้คนในอ้อมกอดจนเรียบร้อยดีแล้ว ก็หันไปปรับแอร์ให้เหมาะสม ก่อนจะลงมานอนเคียงข้าง และปิดไฟในห้องเป็นภารกิจสุดท้าย
พรุ่งนี้ตื่นมาทุกอย่างก็คงกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
นึกถึงแล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่ ณ เวลานี้ได้อยู่ด้วยกันนั่นก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว






___________________________________________________

ทุกคนคะ !! เราอย่าเพิ่งรีบให้สองคนนี้มีความสุขค่ะ เพราะถ้ารักกันดีเมื่อไหร่ก็จะยิ่งสูบเลือดสูบเนื้อสูบวิญญาณเราไปมากเท่านั้น อร๊างงงงงง ดูอย่างท้ายๆ ตอนนี้เป็นตัวอย่างสิคะ
มาค่ะ เราต้องช่วยกันขัดขวาง ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 12 : สุขสันต์วันเกิด
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 07-01-2018 13:16:20
ปลื้มปริม สุดๆๆๆๆๆๆ
ปั้นได้กินดิศแล้ว ดัศได้กินปั้นซิ ฮ่าๆๆๆๆๆ
ดิศจัดการอธินให้ได้ไวๆๆๆน่ะ ทำกับปั้นขนาดนี้ ลบไม่ได้หรอก
ดีใจที่เขาได้กัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ เอาอีก อิอิ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 13 : ยิ่งกว่าฝันร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 07-01-2018 21:22:24
ตอนที่ 13 ยิ่งกว่าฝันร้าย
 
 
 
 
 
รุ่งเช้าของวันใหม่ชายหนุ่มบนเตียงลืมตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ดวงตากลมโตเพ่งมองไปในแสงสลัวของห้องนอนที่ไม่คุ้นเคย ทันทีที่ขยับตัวทั้งร่างกลับร้าวระบมไปหมดทุกส่วน ในหัวหนักอึ้งเหมือนมีอะไรคอยถ่วงไว้ กลิ่นกายหอมอบอุ่นลอยปะทะจมูก ท่อนแขนรัดรึงอยู่บนแนวสะโพก แผ่นหลังที่แนบชิดกับแผงอกแกร่งจนรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายของใครอีกคน มีเพียงผ้าห่มผืนเดียวเท่านั้นที่ช่วยปกปิดร่างเปลือยเปล่าของเราสองคนเอาไว้ บางส่วนที่ดุนดันอยู่บริเวณสะโพกทำให้ใบหน้าหวานร้อนผ่าว
“ตื่นแล้วหรือ?” ไรหนวดแข็งๆ กำลังคลอเคลียอยู่บริเวณแก้มของเขาพร้อมเสียงทุ้มต่ำที่ต่างออกไปจากทุกเช้า สมองทำงานอย่างหนักนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เท่าที่จำได้นั่นก็ตอนที่ยืนรอให้พี่อธินมารับ
เขาเมามากแล้วก็หลับไปตั้งแต่ตอนขึ้นรถ แต่ว่า..คนที่มารับไม่ใช่พี่อธิน!
ไม่จริง...
ดวงตากลมโตไหวระริกมีหยาดน้ำใสเอ่อคลอ ลุกขึ้นนั่งมองสำรวจสภาพของตัวเองและผู้ชายข้างกายที่แทบไม่ต่างกันเลย
ระ..เรื่องนี้มันไม่จริงใช่มั้ย?
ริมฝีปากสั่นระริกเมื่อภาพในฝันรางเลือนค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมาในทุกขณะ
“เป็นอะไรรึเปล่า?” อีกคนลืมตาขึ้นมา เขาถามด้วยความห่วงใย
“ต้องไม่ใช่นาย เมื่อคืนต้องไม่ใช่นาย...เรื่องนั้น ไม่มีทาง!”
พยายามปฏิเสธภาพในหัว เสียงเครือครางอย่างพอใจเมื่อร่างกายแนบชิดกัน และสองมือที่เป็นฝ่ายโอบกอดเขาไว้ไม่ห่าง
ไม่จริง เราไม่มีทางทำแบบนั้นลงไปเด็ดขาด!
“ฟังฉันพูดก่อน” รดิศกุมไหล่เปล่าเปลือยนั่นด้วยความทะนุถนอม มองเข้าไปในลูกแก้วกลมใสที่กำลังต่อต้านเขาอย่างชัดเจน
“นาย นายทำแบบนี้ได้ยังไง” ไม่ใช่เขาที่เรียกร้องมันเองหรอกหรือ ไม่ใช่เขาที่ปล่อยใจไปกับความสุขนั่นโดยที่ไม่รู้จักยับยั้ง ทั้งที่คิดไปว่าทั้งหมดคือความฝัน
“ขอโทษ...”
“ไม่จริงใช่มั้ย? บอกทีว่ามันไม่จริง เราสองคนไม่ได้มีอะไรกัน” ปั้นแทบร้องไห้ออกมา แค่อยากให้เขาช่วยยืนยันทีว่าสิ่งที่ทำไปมันก็แค่ในความฝัน
“เป็นฉันแล้วมันแย่มากขนาดนั้นเลยเหรอ?...”  คนพูดใบหน้าหม่นหมอง แสยะยิ้มขำให้กับการกระทำของตัวเองเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังร้องปฏิเสธความจริง
ไม่มีคำพูดใดๆ หลังจากนั้น ปั้นลุกจากที่นอนแล้วหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมด้วยความขมขื่น ในหัวมีแต่ภาพความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนกรอเข้ามาซ้ำๆ ไม่รู้จักหยุดหย่อน
“จะไปไหน?”
“เราจะกลับ”
“กลับไปหาหมอนั่นเหรอ?”
“จะไปหาใครมันก็เรื่องของเรา...”
รดิศหัวเสียเมื่อได้ยินคำนั้น มองเค้นเข้าไปในดวงตาคู่สวยด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“ทั้งๆ ที่เพิ่งนอนกับฉัน...”
เพี้ยะ!!
ฝ่ามือเรียวฟาดลงบนใบหน้าคมสันก่อนที่ฝ่ายนั้นทันจะพูดจบประโยค รดิศกลืนถ้อยคำทุกอย่างลงคอ ค่อยๆ หันมองเจ้าของร่างกำลังโกรธเคืองอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“อย่าพูดแบบนี้ให้เราได้ยินอีก!!” 
เขาพยักหน้าช้าๆ กับเรื่องตลกร้ายนั่น ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์ด้วยไฟโทสะที่มากมายไม่แพ้กันก่อนจะฉุดร่างบางลงบนเตียงอีกครั้ง อย่างไม่ยอมแพ้
“ทำไม?”
“ปล่อย!” น้ำเสียงเย็นชาอย่างคนไร้เยื้อใยทำให้คนได้ยินรู้สึกราวกับถูกท้าทาย ปั้นมองดวงตาคู่นั้นนิ่งอย่างไม่ยอมแพ้ สุดท้ายแล้วสองมือก็ถูกพันธนาการ ทั้งร่างโดนผลักลงบนที่นอน ทั้งคู่มองตากัน คนหนึ่งอารมณ์เต็มไปด้วยไฟโทสะ ส่วนอีกคนก็ต่อต้าน ไม่ยอมแพ้ พอริมฝีปากหนาทาบลงจูบ ความรุนแรงที่มีในตอนแรกก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เปลี่ยนเป็นกระตุ้นให้คนด้านบนเริ่มอยากเอาชนะขึ้นมาอีกครั้ง รดิศไล่จูบมาตั้งแต่ซอกคอ สูดดมกลิ่นกายของคนตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจของเจ้าของร่าง เขากดข้อมืออีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนา พอปั้นขัดขืนไม่ได้เขาก็ยิ่งได้ใจ ริมฝีปากดูดเม้มอยู่ที่ยอดอกสีสวย หยอกเหย้าสลับไปมาอย่างไม่สนใจว่าใครอีกคนยินยอมหรือไม่
“อื้อ อื้อ” เสียงร้องอย่างทรมานนั้นทำให้คนตัวโตกว่ายอมละริมฝีปาก เขาเหลียวมองเจ้าของดวงตาคู่สวยที่พยายามกลั้นความรู้สึกของตนเอง แล้วก็ลงลิ้นเล็มเลียบริเวณเดิม ให้หนักขึ้นจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวในที่สุด
อีกฝ่ายมีท่าทีอ่อนลงแล้ว รดิศก็ไม่รอเช้า ใช้สองนิ้วเหย้าแหย่ลงไปที่บริเวณอ่อนนุ่มทันที เขายิ้มให้กับสัมผัสที่ได้รับ ขณะเดียวกันก็มองใบหน้าขาวๆ ของอีกฝ่ายที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อไปด้วย แล้วค่อยวกมือกลับมาบีบคลึงที่สะโพกอย่างหลงใหล เขายอมรับว่าปั้นเป็นผู้ชายที่มีร่างกายยั่วเย้าอารมณ์ที่สุด ไล่ตั้งแต่หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อน้อยๆ ตรงนี้ เทียบจากตอนเป็นเด็กหนุ่มหุ่นผอมบางเมื่อสมัยเรียนแล้วนั้น เขาชอบอีกฝ่ายตอนนี้มากกว่า ยิ่งไล่ต่ำลงมาที่เนินหน้าท้องแนวสามเหลี่ยม เห็นแล้วก็อยากขบเม้มให้เป็นรอย
“อย่านะ”
“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า” เขากระซิบอย่างเอาแต่ใจเมื่อร่างตรงหน้ามีท่าทีขัดขืน “แต่ถ้านายมีอะไรกับหมอนั่นก็อย่าลืมเปิดตรงนี้ให้มันดูด้วยล่ะ”
เพี้ยะ!!!
ฝ่ามือเรียวสะบัดลงบนแก้มของคนพูดจนเจ้าตัวหน้าชา แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอยากเปลี่ยนใจกับสิ่งที่จะเริ่มทำหลังจากนี้ ราวกับเป็นฉนวนให้เขาเปลี่ยนเป็นความหนักหน่วงมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า 
 ปั้นกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง รู้สึกงงงันไปหมดเมื่อจู่ๆ รดิศก็จับสองมือของเขาไขว้ไปทางด้านหลัง แล้วก็ใช้เข็มขัดหนังที่ตกอยู่ข้างๆ ขึ้นมารัดมันไว้แทน คราวนี้คนถูกกระทำก็ได้แต่ร้องลั่นด้วยไม่ชอบใจที่ถูกข่มเหงด้วยวิธีนี้
“แก้มัดเดี๋ยวนี้นะดิศ! นี่ ไม่ได้ยินรึไง บอกให้รีบ...อื้อ” ยังไม่ทันจบประโยคนั้นริมฝีปากก็ถูกครอบครอง ลิ้นร้อนๆ สอดเข้ามารัวเร็ว แผดเผาจนหัวใจดวงน้อยอ่อนยวบ ปั้นรู้สึกวูบโหวงในช่องท้อง ทั้งที่ถูกมัดไว้จนรู้สึกเป็นรองแบบนี้ ทั้งที่เขาสมควรจะโกรธ แต่พอถูกเอาใจด้วยจูบแบบนี้แล้วกลับรู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาเสียดื้อๆ รู้ตัวอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายละริมฝีปากไปแล้วและจับพลิกให้เขานอนคว่ำลงบนที่นอน มือหนายกสะโพกเขาขึ้นมาระดับหนึ่ง ก่อนจะรั้งให้มันแอ่นอยู่ในทิศทางที่เหมาะสมแล้วค่อยๆ สอดสองนิ้วลงไปในช่องทาง
“อื้อ...” ในความฝืดเคืองนั้นจู่ๆ ก็ถูกแทนที่ด้วยของเหลวแฉะชื้น พอปั้นหมุนลำตัวขึ้นมามองก็พบว่านั่นเป็นน้ำลายของอีกฝ่าย ตามด้วยลิ้นร้อนๆ ที่พยายามเล็มเลียอยู่บริเวณนั้น
“ไม่เอา อ้ะ ไม่!” ร้องออกไปเท่าไหร่รดิศก็ไม่ยอมฟังเสียง ซ้ำยังสอดทั้งสองนิ้วเข้าไปลึกยิ่งขึ้น ออกแรงขยับๆ จนทั้งร่างของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้  ส่วนอีกมือหนึ่งก็รูดรั้งส่วนนั้นของร่างบางเบาๆ หยอกเย้าให้ส่งเสียงครางหวานๆ ออกมาไม่หยุดหย่อน
“อือ อ้ะ อ้ะ อ้า” ใบหน้าของเขาร้อนผ่าว สองมือไม่อาจระบายความเสียวซ่านนี้ลงกับผ้าปูที่นอน หรือไม่อาจเอื้อมขึ้นไปปิดเสียงน่ารังเกียจของตนเองได้ เนื่องจากถูกพันธนาการไว้ จึงทำได้แต่ซบลงบนที่นอน ปล่อยให้ชายหนุ่มทรมานร่างกายได้ตามใจชอบ ในสมองเบลอไปหมดบอกไม่ถูกว่ารสชาติของเซ็กซ์ครั้งนี้ทำให้เขาทรมานหรือทำให้มีความสุขกันแน่
“จะเข้าไปแล้วนะ”
“อ้ะ อา ” แล้วส่วนที่ดุดันก็ค่อยๆเข้ามาจนแนบสนิท ไม่เว้นช่วงให้เขาหยุดพัก ปั้นเหลือบไปมองคนด้านหลัง เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วแน่น ตัวเองก็ชักเริ่มไม่มั่นใจจึงค่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายตรงนั้นให้ได้มากที่สุด แล้วคนที่มีท่าทางใจร้ายในทีแรกก็เอื้อมมือมาแก้มัดให้ พอถูกปล่อยให้เห็นอิสระ แทนที่ร่างสูงจะทำอะไรที่ค้างคาไว้ต่อ ก็เปลี่ยนเป็นประคองให้คนที่อยู่ด้านล่างขึ้นมานั่งซ้อนกันบนตัก เมื่อแผ่นหลังเล็กปะทะหน้าอกแกร่ง ความอุ่นร้อนก็แทรกมาจุดฉนวนให้ส่วนที่เชื่อมอยู่ด้านล่างขยับกระแทกรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คนด้านบนรู้สึกสั่นสะท้าน ไม่อาจนั่งนิ่งๆ บนหน้าขาของชายหนุ่มได้ สะโพกสอบขยับตอบรับตามจังหวะที่กระแทกสวนขึ้นมา ทั้งยังแอ่นสะโพกให้รับส่วนนั้นเข้ามาให้ลึกมากที่สุด
“อ้ะ อ้ะ” ร่างบางโน้มตัวนั่งคุกเข่า สองมืออ้อมไปด้านหลังวางบนหน้าขาของชายหนุ่มที่ซ้อนร่างอยู่แนบชิด รดิศกำลังเร่งจังหวะกระแทกเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเองก็แยกสองขาออกกว้าง เพื่อทรงตัวรับน้ำหนักและส่วนนั้นของเขาเข้ามาให้ถนัดที่สุด
ทั้งๆ ที่เกลียดแท้ๆ แต่ก็ยอมให้ผู้ชายคนนี้ทำอะไรตามใจชอบ ในสมองตอนนี้ปั้นไม่มีเวลามาทบทวนเรื่องผิดถูก เมื่อฝ่ามือหนาลูบไล้วนเวียนสัมผัสไปทั่วแผ่นหลัง ริมฝีปากก็ไล่จูบลงมาพร้อมกัน ขณะเดียวกันอีกมือก็บดขยี้บนยอดอกซ้ายขวาจนปั้นปวดหนึบไปหมด เขาหายใจไม่ทั่วท้องเมื่ออีกฝ่ายเคล้นคลึง เว้นจังหวะหนักสลับเบาไปมาแบบนี้ ทรมานเขาจนปั่นป่วนไปทั้งร่างจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นใด
เสียงกระทบของผิวเนื้อดังก้องในห้องนอน เนิ่นนานจนทั้งคู่ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน
ร่างบางยอมให้คนตัวโตกว่ากอดอยู่แบบนั้นอีกสักพัก เมื่อเริ่มหายเหนื่อยสติก็เริ่มกลับมา เขาลุกจากที่นอนอย่างไร้เยื่อใย ไม่ยอมหันไปมองคนด้านหลังที่นอนทำตาขวางกับท่าทางดื้อดึงนี้ 
 “ฉันไปส่ง” เขาพูดขึ้นหลังจากนอนมองคนตรงหน้ากำลังแต่งตัวด้วยความทุลักทุเลเพราะผลจากการกระทำอย่างห่วงใย แต่ถึงกระนั้นสายตาก็ไม่ละจากจากเรียวขาขาวๆ ไล่ไปจนถึงบริเวณโคนขาที่มีร่องรอยสีกุหลาบแต้มอยู่ประปราย เขาพิจารณาชายเสื้อเชิ๊ตรุ่มร่ามนั้นอย่างชั่งอกชั่งใจ
“ไม่ต้อง!”
“สภาพแบบนี้จะกลับไปเองได้ยังไง?” รดิศลุกจากที่นอนมาแต่งตัวบ้าง เขาเดินตามอีกฝ่ายไปติดๆถึงระเบียงบ้าน มองคนที่ปฏิเสธความหวังดีจากเขาอย่างอาลัยอาวรณ์เพราะไม่อยากให้ปั้นจากไป
“เราไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอย่างนาย!”
“อย่างฉันแล้วมันยังไง?” รดิศดันร่างเล็กจนชิดระเบียง สองแขนกักร่างไว้ เจ็บปวดกับประโยคนั้นเหลือเกิน “มีอะไรดีไม่เท่ามันงั้นเหรอ?...”
ปั้นไม่ตอบ มือเรียวผลักรดิศออกห่างเมื่อฝ่ายนั้นผละออกไปแล้วก็รีบวิ่งลงจากบ้าน โดยไม่หันไปมองกันอีกเลย
 
 


หนุ่มร่างบางเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยสภาพจิตใจที่ว่างเปล่า สองขาไร้เรี่ยวแรงราวกับร่างกายถูกพิษร้ายกำลังเล่นงาน เจ็บปวดไปหมดทั้งตัวรวมไปถึงหัวใจ ด้วยผลจากการกระทำของตัวเอง
มันสายไปแล้วถ้านายจะกลับมา...ต่อให้ใช้วิธีไหนมาผูกมัดก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว
 
เขาเดินเข้าไปในห้องนอนอย่างแผ่วเบา กวาดมองไปในแสงสว่างยามเช้า เห็นพี่อธินกำลังหลับอยู่บนโซฟาและทีวีที่ยังคงเปิดทิ้งไว้
คงรอเขามาทั้งคืนเลยสินะ...
ผมขอโทษนะครับ…
ปั้นทรุดกายลงข้างๆ ผู้ชายที่กำลังหลับใหล มือเรียวลูบไล้ลงบนเสี้ยวหน้าคมเข้มด้วยความรู้สึกผิดอย่างมากมาย ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้อยากให้คนแรกของเขาเป็นพี่อธิน
ไม่ใช่ คนๆ นั้น...
“กลับมาแล้วหรือ?” เสียงทุ่มต่ำเอ่ยถามเมื่อรู้สึกตัว ร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟาเมื่อเห็นคนรักกลับมาแล้วและที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้
“เป็นอะไรไป?” อาการงัวเงียของพี่อธินหายไปเป็นปลิดทิ้ง ร่างสูงรั้งคนรักขึ้นมานั่งเคียงข้างอย่างร้อนใจ มือหนาเกลี่ยหยดน้ำตานั่นให้แผ่วเบาด้วยความเป็นห่วง เห็นน้องปั้นร้องไห้ตั้งแต่เช้าแบบนี้ก็รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก
“ผม...ผมขอโทษนะครับ”
“ขอโทษพี่เรื่องอะไร หืม”
“ที่บอกให้พี่รอ แต่ผม...ฮึก” ปั้นกลืนก้อนสะอึกลงคอด้วยความเจ็บปวด ลำคอตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก ทั้งรู้สึกแย่ รู้สึกผิดไปในคราวเดียวกัน
ไม่อยากให้พี่อธินรู้...
อีกฝ่ายดึงร่างเล็กเข้ามากอด เพียงแค่เห็นน้ำตาบนแก้มก็ไม่ต้องการฟังคำอธิบายใดๆ อีกแล้ว มือหนาลูบบนแผ่นหลังอย่างทุกทีที่เคยทำตอนปั้นร้องไห้ และรอจนกว่าเสียงสะอึกสะอื้นนั้นหายไปถึงยอมปล่อยเป็นอิสระ
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
“แต่ผม...”
“ไม่เอาน่า เรื่องเล็กนิดเดียว” อธินเกลี่ยปลายผมยุ่งเหยิงบนแก้มออกให้ ดวงตากลมโตเฝ้ามองการกระทำของเขา ปั้นกอดอีกฝ่ายแน่นไม่ปล่อยอย่างคนต้องการที่พึ่งพิง
“ตัวอุ่นๆ นะไม่สบายรึเปล่า?”
“แค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยเองครับ”
“งั้นก็หยุดพักสักวันเถอะ”
“ไม่เป็นไร กอดพี่ไว้แบบนี้เดี๋ยวมันก็หาย” ยิ่งมีคนปลอบใจก็ยิ่งรู้สึกอ่อนแอลงกว่าเดิม ตั้งแต่ที่มีพี่อธินเข้ามาในชีวิต ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวของเขายิ่งหายไป
“มันมีที่ไหนกันล่ะ เชื่อพี่ นอนพักอยู่ที่ห้องไม่ต้องออกไปทำงาน เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อนเราเอง”
“แต่พี่อธินต้องไปคุยงานกับลูกค้าไม่ใช่เหรอ?”
“แฟนพี่กำลังไม่สบายนะ จะทิ้งให้อยู่คนเดียวได้ยังไง”
ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งพี่อธินทำดีมากแค่ไหนก็ยิ่งรู้สึกผิดมากเท่านั้น
ต้องโทษผู้ชายคนนั้นคนเดียว...
พี่อธินแยกตัวออกไปคุยเรื่องงาน เสียงอ่อนนุ่มในความรู้สึกดังอยู่ไม่ห่างทำให้รู้สึกอุ่นใจมากยิ่งขึ้น ก่อนจะหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย ในสมองหนักอึ้ง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
 
อธินมองเข้ามาในห้องเห็นคนรักหลับไปแล้วจึงวางใจ กดต่อสายไปยังอีกหมายเลขทันทีทั้งที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องพึ่งพาพวกนั้น
“จับตาดูไว้ทุกฝีก้าว มีอะไรผิดปกติรายงานฉันทันที” สั่งการด้วยเสียงเย็นเยือก ถ้อยคำสั้นๆ แต่แฝงไปด้วยอำนาจ
“ครับ...คุณอธิน” เขากดวางเมื่อสิ้นเสียงตอบรับของบุคคลในสาย อธินสะกดอารมณ์ขุ่นเคืองนั่นไว้ภายใน
เขานิ่งกับเรื่องนี้มามากพอแล้ว ถึงคราวต้องลงมือจริงๆ จังๆ เสียที
 
 
เช้าวันถัดมาปั้นมาทำงานด้วยท่าทางที่ไม่ร่าเริงสดใสเช่นทุกที ความเหม่อลอยในดวงตาคู่นั้นปกปิดไว้ไม่มิด ถึงขนาดกดถ่ายเอกสารผิดออกมาเป็นร้อยแผ่น แต่คนที่ยืนอยู่กลับไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
“พี่ปั้น กระดาษมันล้นออกมาแล้ว!”
น้องมีนที่เดินมาต่อคิวเป็นรายต่อไปสะกิดเรียก
“ตายจริง!” ปั้นลนลานหาปุ่มยกเลิกคำสั่ง กวาดกระดาษที่เสียไปทั้งหมดขึ้นมาดูผลงานแล้วได้แต่กุมขมับ
“ไม่สบายก็ไม่เห็นต้องรีบมาทำงานเลยนี่ครับ”
“พี่ไม่ได้เป็นไร” ปั้นเลี่ยงบทสนทนาของเด็กรุ่นน้องแล้วหลบเข้าไปในห้องพัก ชงกาแฟใส่ในแก้วทั้งที่ตัวเองเป็นคนไม่ชอบดื่มกาแฟมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“ว่าแต่เราเถอะ พี่โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย เมื่อคืนหายไปไหนมา?” เสียงอ่อนโยนแต่ทว่าประโยคหลังฟังดูคล้ายบังคับกันอยู่กลายๆ จนคนที่นอนอยู่บนเตียงเร่งหาข้อแก้ตัวมาอ้างแทบไม่ทัน
“ผ ผม เอ่อ เมื่อคืนผมเมามาก ไม่รู้ว่าทำโทรศัพท์หายไปตอนไหน..ก็เลย..ค้างที่ห้องน้องมีนครับ”
“ทีหลังก็ระวังหน่อยสิ..รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงเราแค่ไหน”
“ขอโทษครับ”
บทสนทนาในคืนนั้นยังก้องอยู่ในหัว ไม่รู้ว่าที่พี่อธินถามไปแบบนั้นเพราะติดใจสงสัยอะไรขึ้นมารึเปล่า แล้วก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาโกหกมันจะน่าเชื่อถือสักแค่ไหน ปั้นคิดเรื่องนี้จนปวดหัวไปหมดแล้ว กลัวว่าความจริงจะเปิดเผยขึ้นมาสักวัน
ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย...
ชายหนุ่มยกถ้วยกาแฟขึ้นจรดริมฝีปาก แต่แล้วต้องเบ้หน้าเพราะความขมจนแทบกลืนไม่ลง
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้องมีนเปิดประตูเข้ามาหน้าตาตื่น
“มีอะไรเหรอ?”
“มีคนใช้เบอร์ของพี่โทรหาผมน่ะ!” พร้อมทั้งมือเรียวยื่นหน้าจอที่โชว์เบอร์โทรเข้ามาล่าสุดให้ดู
“เอ๋?”
“ปั้นจ้ะ! มีคนมารอพบอยู่ด้านนอกแน่ะ” พี่มะลิเปิดประตูเข้ามาบอก ตอนนี้เขารู้สึกงงไปหมด
ใครกันนะ?... หรือว่าจะเป็น!!
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากผู้ชายคนนั้นที่ปั้นไม่อยากเจอมากที่สุด! แต่แล้วก็ยอมออกมาพบอีกจนได้ ในขณะที่เดินออกมาจนสุดตัวอาคาร ไม่ไกลก็เห็นรดิศรวบผมครึ่งหนึ่งไว้เป็นหางม้า หมอนั่นสวมเสื้อยืดพอดีตัวกับยีนส์สีซีดๆ ในมือมีโทรศัพท์ของเขาอยู่
เมื่อสบตากันกลับเป็นเขาเองที่พูดอะไรไม่ออก จนอีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มาให้ เขาถึงรู้ตัวว่าควรทำอย่างไรต่อ
“ขอบใจ” อยากให้เรื่องนี้มันจบๆ ไป คราวหลังรดิศจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับเขาถึงที่ทำงานแบบนี้
“เดี๋ยวก่อนสิ!”
ในอาคารสำนักงานมีสายตาหลายคู่กำลังมองมาทางพวกเขา ปั้นไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่งพรายถึงพี่อธิน แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองมีความสัมพันธ์แบบไหนกับผู้ชายคนนี้
“จะให้เป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ พูดกันดีๆ กว่านี้ไม่ได้รึไง?” อีกคนร้องขอแกมบังคับ อารมณ์ในน้ำเสียงคล้ายกับคนที่พยายามข่มความรู้สึก
“นายยังต้องการอะไรจากเราอีกงั้นเหรอ? ทั้งหมดนั่นมันยังไม่พอรึไง!”
“ใช่! ไม่พอ!”
ดวงตาคู่สวยตวัดมองคนไม่รู้จักสำนึกด้วยความโมโห คนหน้าไม่อาย ไม่เคยรู้สึกผิดบ้างเลยหรือไงทั้งที่เขาแทบจะเป็นบ้า อึดอัดและรู้สึกผิด เพราะความลับพวกนั้นที่มีต่อพี่อธิน มันไม่เป็นตัวของตัวเองเลยราวกับถูกใครสักคนควบคุมไว้ ทั้งหมดนี้มันเพราะใครกันล่ะ ใครที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
รดิศนิ่ง ได้จังหวะปั้นก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนด้วยประโยคที่หวังจะตัดความสัมพันธ์
“หลังจากนี้...เราไม่ควรจะมาเจอกันอีก...”
ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วรีบฉวยโอกาสดึงโทรศัพท์ในมือของอีกฝ่ายมา ปั้นรีบเดินเข้าไปในตึก ทว่า...กว่าจะรู้ตัวว่าพูดรุนแรงเกินไปก็ตอนที่หันกลับไปแล้วไม่พบรดิศยืนอยู่ที่เดิม...
ชายหนุ่มรู้สึกหน่วงๆ ในใจ ท้ายที่สุดก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอย่างที่ว่าจริงๆ
 

 
แสงไฟยามราตรีขับให้หน้าหวานๆ ของเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะครบยี่สิบปีบริบูรณ์ในคืนนี้ดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น รูปร่างผิวพรรณที่ได้รับการดูแลมาอย่างดี ติดก็แต่นิสัยห้าวหาญมาดนักเลง ชอบวางตัวเป็นอันธพาลทั้งที่ตัวก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก ดูอย่างไรก็ช่างขัดกันเหลือเกิน
“เดี๋ยวกูมา!” เขาแยกตัวออกมาหลังร้านเพื่อรับโทรศัพท์ เห็นทีว่าถ้าไม่ยอมคุยกับแม่ให้รู้เรื่องฝ่ายนั้นก็ยังคงโทรมาไม่หยุด
“แม่โทรไปตั้งนานแล้ว ทำไมเดียร์เพิ่งจะรับสาย”
“ก็ผมยุ่งนี่ แม่มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะ” เด็กหนุ่มตัดความรำคาญ ในตอนนั้นได้ยินเสียงถอนหายใจของคนเป็นแม่ตามมาในสาย 
“เสาร์อาทิตย์นี้ลูกจะกลับบ้านรึเปล่า?”
“ไม่กลับ...แค่นี้นะ”
เขากดวางทันทีไม่อยากจะฟังเสียงบ่นหลังจากนั้น ไม่นานโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นเบอร์ของพ่อแทน
“แม่เป็นคนสั่งให้พ่อมากล่อมอีกใช่มั้ยเนี่ย”
“รู้ดีนักนะ ก็อย่างว่าแหละ พอลองนับๆ ดู นี่มันก็เกือบสองเดือนแล้วนะที่ลูกไม่ยอมกลับบ้านเลย”
“ก็ผมเบื่อนี่นา...กลับไปทีไรแม่ก็บ่นตลอด” ลูกชายบ่นประปอดกระแปด นับตั้งแต่วันที่แม่ไล่พี่ชายสุดที่รักออกไปจากบ้าน เขาก็ทำตัวเป็นเด็กขวางโลกมาตลอด จากที่เคยว่านอนสอนง่ายก็กลายเป็นพวกแข็งกระด้าง ไม่เชื่อฟัง
“วัยรุ่นอยากมีอิสระเป็นเรื่องธรรมดา พ่อเข้าใจว่าลูกโตแล้ว เอาเป็นว่าจะทำอะไรก็คิดถึงตัวเองให้มากก็แล้วกัน ส่วนของขวัญวันเกิดปีนี้ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอะไร ก็รีบๆ กลับมาบ้านล่ะ”
“พ่อรู้จุดอ่อนของผมทุกทีสิน่า!” เด็กหนุ่มพึมพำเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกล่อด้วยข้อเสนอบางอย่างที่ยากจะปฏิเสธ คงจะมีแต่พ่อคนเดียวเท่านั้นล่ะมั้ง ที่เข้าใจและรู้เสมอว่าตัวเองต้องการอะไร ซึ่งแตกต่างจากแม่โดยสิ้นเชิง
 
“ผู้หญิงคนนั้นเซ็กซี่สุดๆ ไปเลยว่ะ”
“ไหนวะๆ”
เดียร์กลับเข้ามาที่โต๊ะเห็นเพื่อนทั้งสองกำลังให้ความสนใจอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง ก็อดมองตามไปไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายเมื่อได้เจอกับคนที่ตัวเองชอบ
“คนนั้นชื่อพี่เจนนี่”
“มึงไปรู้จักได้ไงวะ??” อีกสองคนหันมามองที่เขาด้วยความสนใจ สาวสวยคนไหนมีหรือที่เดียร์จะไม่รู้จัก
“ก็เคยคุยกันครั้งนึง” เจ้าตัวยักคิ้วเจ้าเล่ห์ นั่นทำให้อีกสองหนุ่มที่เหลือเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที
“มึงนี่ร้ายไม่เบาเลยนะ!”
“เฮ้ย...พี่เค้ามองมาทางนี้ด้วยเว้ย!!” สองเพื่อนรักดูท่าทางจะตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ และยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อพี่เจนนี่เดินมาหยุดลงที่โต๊ะ
“คืนนี้มากับเพื่อนเหรอ?” สาวผมทองในชุดสีดำรัดรูปเผยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์มาให้ เล่นเอาเด็กรุ่นน้องอย่างพวกเขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ได้แต่ตอบกลับไปสั้นๆ ด้วยความตื่นเต้น
“ครับ!!”
“ไม่คิดจะแนะนำตัวหน่อยเหรอ?”
“ผมชื่อเนครับ!”
“ผมภูครับ!”
“เด็กๆ นี่น่ารักจังเลยนะ” เธอเอ่ยชมพร้อมส่งยิ้มหวาน มือข้างหนึ่งเชยคางของน้องเดียร์ขึ้นมาสบตาก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหู
“โดยเฉพาะนาย!” พี่เจนนี่เดินจากไปแล้ว แต่สามหนุ่มยังคงนิ่งแข็งอยู่กับที่ ประมาณว่าไม่เคยถูกใครชมมาก่อนด้วยคำนี้ แถมอีกฝ่ายยังเป็นสาวสวยระดับนางเอก จะไม่ให้ตัวลอยอย่างนี้ได้ยังไง!
“เขาชมว่าน่ารักด้วยว่ะ แสดงว่าเขาต้องชอบกูแน่ๆ” เดียร์อดหลงตัวเองไม่ได้ ภูเลยตบป้าบเข้าให้เพื่อเรียกสติ หวังจะกระชากวิญญาณที่ลอยหลุดไปกลับมา หลังจากพี่เจนนี่ชมมันว่าน่ารัก
“ชอบเหี้ยไรมึงล่ะ อย่างมากก็แค่เอ็นดูมึงในฐานะน้องชายคนนึงเท่านั้นแหละ ถ้าเขาจะชอบใครสักคนขึ้นมาจริงๆ อ่ะนะ เขาคงไม่เลือกเด็กอย่างเราหรอก” เนสำทับด้วยเพราะไม่อยากให้เพื่อนคิดไกล แต่ดูท่าแล้วไอ้คนหัวรั้นจะไม่ยอมฟังที่พูดเลย
“เด็กกว่าแล้วไงวะ!!” เดียร์ฉุนเฉียว หันมาแว้งใส่เพื่อน
“กูว่ามึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะจีบพี่เค้าเหอะว่ะ อย่างมึงสอบตกตั้งแต่รอบคัดเลือกแล้ว แล้วก็เลิกนิสัยชอบผู้หญิงแก่กว่าได้สักที! กูเห็นแล้วมันขัดลูกกะตา ไม่มีผู้หญิงคนไหนเอยากได้เด็กหน้าตาน่ารักกว่าตัวเองมาเป็นแฟนหรอกว่ะ นอกจากจะเอ็นดูในฐานะน้องชาย มึงเชื่อกู!”
เดียร์หัวเสียเลยเดินออกไปจากที่ตรงนั้น คบกับเด็กแล้วไงวะ! มันมีอะไรเสียหายงั้นเหรอ จะบอกให้ว่าเด็กอย่างเขาตื่นมาออกกำลังกายทุกเช้า รักษาสุขภาพตัวเองดีแค่ไหน ไม่นับรวมที่ชอบดื่มเหล้าสูบบุหรี่อะไรนั่นตอนอยู่กับเพื่อนนะ แล้วตอนนี้เขาก็ยี่สิบปีบริบูรณ์บรรลุนิติภาวะแล้วด้วย ผู้หญิงคนไหนไม่รักก็โง่แล้ว
“น้อง! ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ!” กลุ่มผู้ชายสามคนดักรอเขาอยู่หน้าห้องน้ำ คาดคะเนแล้วว่าพวกมันอายุน่าจะแก่กว่าเขาประมาณห้าหกปี ท่าทางไม่น่าไว้วางใจทำให้เดียร์ต้องระวังตัว
“มีอะไร?”
“แค่จะแวะมาเตือนอะไรมึงนิดๆ หน่อยๆ ”
“ขอโทษ พอดีว่ากูไม่ว่างจะคุยกับใคร!”
“หน็อย ไอ้เด็กนี่ปากเสีย!”
“กูบอกให้หลีกไง!!”
“ตอนแรกกูกะจะมาดี แต่มึงเสือกพูดจาไม่เข้าหูแบบนี้ เห็นทีต้องสั่งสอนสักหน่อยแล้ว!!”
“เฮ้ย! ปล่อย!!” เดียร์หันไปรอบๆ เห็นพวกมันเริ่มเข้ามาเกาะแกะ มือไม้ก็ถูกพวกมันตรงมาล็อคไว้
“กูบอกให้ปล่อยไม่ได้ยินรึไงวะ!” เด็กหนุ่มออกแรงขัดขืน พวกมันตัวใหญ่กว่าแถมยังเล่นรุมกันแบบนี้ ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
ผัวะ!!
หมัดแรกซัดลงที่ปลายคางจนใบหน้าหวานๆ มีรอยแดงช้ำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เดียร์ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ มันบ่อยจนตัวเองเริ่มชิน จากเคยกลัวกลับกลายเป็นท้าทาย
“ระวังปากไว้ให้ดี แล้วอย่าหาว่ากูไม่เตือน! ที่มึงมายุ่งกับคนของกูวันนี้ ก็ถือว่ากูใจดียอมให้อภัย แต่คราวหน้าก็ระวังตัวไว้ ถ้ายังไม่รู้จักหลาบจำล่ะก็ มึงได้เจอหนักกว่านี้แน่!!”
เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ รอยยิ้มน่ากลัวเหยียดขึ้นมุมปาก เดียร์อาศัยตอนที่พวกมันหันหลังและตายใจว่าเขาคงหมดทางสู้ เข้ากระชากตัวคนที่มันกล้าขู่เขาแล้วต่อยกลับคืนไปอย่างแรงจนมันเซลงไปกับพื้น
อีกคนปราดเข้ามาอย่างรวดเร็วแต่เดียร์ไวกว่า เด็กหนุ่มคว้าเอากระถางต้นไม้บริเวณนั้นฟาดลงไปบนหัวของมันอย่างแรง เรียกเลือดสีแดงสดได้เป็นอย่างดี!
“อยากลองดีอีกคนก็เข้ามา!!” เขาไม่ได้ขู่ ท่าทางและแววตาดูจริงจังจนน่ากลัว มันเหลือบมองเศษกระถางต้นไม้ในมือของเดียร์ก่อนชั่งใจ ก่อนจะเลือกวิ่งหนีกลับไปไม่สนใจพรรคพวกที่เหลือ
“แน่จริงก็ไปเรียกพวกมึงมาให้หมดเลยสิวะ กูไม่กลัวหรอกโว้ย!!!”
เดียร์ตะโกนไล่หลังอย่างท้าทาย ไม่กลัวเกรง หันมองพวกมันที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นแล้วได้แต่สมน้ำหน้า คิดจะมีเรื่องกับเขางั้นเหรอ?
ถ้าไม่แน่จริงคนอย่างเขาคงไม่มีทางอยู่รอดในสังคมนี้หรอก
 
 
 
 


 
 
...............................................
 
เจอน้องเดียร์มาดนักเลงหน่อยเป็นไง ฮ่าๆๆๆ 
 

หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 13 : ยิ่งกว่าฝันร้าย
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 07-01-2018 22:16:44
น้องเดียร์แย้งซีนอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
อยากให้ปั้นรู้ความตริงไวไวจัง ช่วงเอาคืนดิศนิเนอะ อิอิ
อธินมีแผนร้ายอีกแล้วแน่ๆๆ
ดิศลุยโลดดดดด
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 14 : เพราะฉันนั้น...
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 08-01-2018 14:29:54
ตอนที่ 14 เพราะฉันนั้น...
 
 
 

 
 
ร่างสูงโดดเด่นเดินเข้ามาในร้านสร้างความสนใจให้ใครหลายคนต้องหันมอง ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล จมูกโด่งสันกับริมฝีปากได้รูปน่าสัมผัส เขาจัดได้ว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งที่ซ่อนความลึกลับไว้ทำให้ดูน่าค้นหา
อธินก้าวผ่านโซนต่างๆ ไปโดยไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่หันมามอง
หลังจากวางสายจากคนของเขาที่โทรเข้ามารายงานความคืบหน้า ความโกรธแค้นที่สั่งสมมาเนิ่นนานดั่งภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่น บัดนี้ใกล้ถึงเวลาระเบิดออกมาเต็มที
ไอ้เวรนั่นกล้าเข้ามายุ่งกับคนของเขาถึงที่ เห็นทีว่าเรื่องมันคงจะไม่จบลงง่ายๆ
มาถึงอธินก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบเหล้าที่ชงไว้รออยู่ก่อนแล้วขึ้นดับความร้อนรุ่นในกายแก้วแล้วแก้วเหล้า ไม่ฟังเสียงร้องห้าม
“เฮ้ย!! ใจเย็นๆ ก่อนสิครับคุณชาย!”
สายตาคมกริบตวัดมองไม่พอใจที่ถูกเรียกด้วยชื่อนั้น
“ทะเลาะกับเมียมารึไง?” คนถูกต่อว่าด้วยสายตาได้แต่งึมงำเบาๆ ด้วยความน้อยใจ ใช่สิ เขามันก็แค่แฟนเก่า ทำอะไรไปก็คงไม่ถูกใจสักอย่าง
มองร่างสูงที่สนใจเหล้ามากกว่าเพื่อนฝูงแล้วถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า ก็เลยหาเรื่องคุยหวังทำให้บรรยากาศมันดีขึ้น
“แล้วนี่ไม่คิดจะพาน้องเค้ามาแนะนำให้เพื่อนรู้จักบ้าง”
“พามาก็ความแตกกันหมดสิวะ” มอสแย้งขึ้นทันควัน
อธินหันไปปรามเพื่อนอย่างหัวเสียเพราะไม่ต้องการให้ใครพูดถึงมันอีก ยิ่งตอนนี้เขารู้มาว่าไอ้เวรนั่นคอยวนเวียนคนของเขาไม่ห่าง คิดว่ามันต้องหาทางทำให้ปั้นรู้ความจริงขึ้นมาสักวัน
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขากระวนกระวายใจอยู่ตอนนี้
“เกิดไรขึ้นวะมอส”
“เลิกทำตัวน่ารำคาญได้แล้ววินซ์” อธินดุร่างเล็กตรงหน้าที่ยังคงซักไซ้ไม่เลิก เล่นเอาคนที่น้อยใจอยู่แล้วยิ่งเตลิดไปกันใหญ่ แค่ถามถึงแฟนหน่อยเดียวกลับโมโหขึ้นมาราวกับเขาทำอะไรผิดนักหนา
“ท่าทางเจ้าตัวเขาไม่อยากให้ฉันพูด” มอสเอ่ย
นึกถึงตอนสมัยก่อนดวงตาคู่นั้นก็วาวโรจน์ ที่เขาเคยกลายเป็นแพะรับบาปถูกไอ้เด็กปีหนึ่งนั่นเค้นเอาความจริงแทบเป็นแทบตายในคืนนั้นแล้วยังแค้นไม่หาย ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ แผลเป็นที่หลังมือยังเจ็บแปลบอยู่เลย ทั้งที่มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว จริงอยู่ที่เขาควรจะโกรธหลังจากถูกไอ้เด็กนั่นเล่นงานจนสะบักสะบอม แต่ไม่เลย เมื่อได้รับเงินชดเชยก้อนโตจากเพื่อนรัก ทุกสิ่งก็หายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และความเป็นเพื่อนก็ยังคงดำเนินมาได้จนถึงทุกวันนี้
            “ดูท่าทางนายเครียดๆ นะธิน” สาวร่างบางนั่งลงข้างๆ อย่างถือสิทธิ์ มือเรียวไล้สัมผัสไปบนแผงอกแกร่ง ซึ่งบัดนี้มันกำลังร้อนรุ่มไม่ต่างจากไฟ
            “หลีกไปเถอะเจนนี่ เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีรสนิยมชอบผู้หญิง!!” อธินปฏิเสธหญิงสาวที่เข้ามาคลอเคลียอย่างไร้เยื่อใย สำหรับเขาแล้วถ้าไม่ใช่คนที่ต้องการก็ไม่มีทางจะคิดเป็นอย่างอื่นไปได้
เจนนี่หัวเราะน้อยๆ ในความตรงไปตรงมาของผู้ชายตรงหน้าแต่ก็ยังไม่วายหยอกล้อ
            “หึหึ รู้ล่ะน่า! แค่ล้อเล่นหน่อยเดียว จริงๆ แล้วอยากแนะนำเด็กน่ารักๆ ให้นายรู้จักสักคนมากกว่า เผื่อจะอารมณ์ดีขึ้นมา”
            “ไม่ต้อง!” เขายังคงปฏิเสธ นาทีนี้เป็นใครเขาก็ไม่ต้องการอีกแล้ว มีแต่น้องปั้นคนเดียวเท่านั้นที่เขารักและต้องการครอบครอง ต่อให้คนอื่นวิเศษวิโสมาจากไหนก็ไร้ค่าในสายตาอยู่ดี
“รักเดียวใจเดียวจริงๆ เลยน้า ว่าแต่วินซ์เถอะ เมื่อก่อนไปทำอะไรไว้เหรอ? ถึงได้ถูกทิ้งไปง่ายๆ แบบนี้”
ประโยคย้อนถามของอีกฝ่ายเล่นเอาคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธ เจ้าของชื่อพยายามระงับอารมณ์เมื่อถูกถามถึงเรื่องในอดีต
            “เกิดเรื่องใหญ่แล้วว่ะ!!” เสียงตึงตังดังมาตลอดทางเดินพร้อมร่างของเพื่อนที่วิ่งเข้ามาสีหน้าตาตื่น
            “ค่อยๆ พูดก็ได้ มีอะไร?” เขาเข้ามาในคลับยังไม่ถึงชั่วโมงก็เกิดเรื่องให้ตามล้างตามเช็ดอีกแล้ว
            “ไอ้ธนากับไอ้บอมถูกเล่นงานอยู่หลังร้าน”
            “อะไรนะ!!”
อธินรีบออกไปดูทันทีโดยไม่ฟังอะไรต่อจากนั้น เขาเป็นห่วงเพื่อนมากกว่าสิ่งใด ต่อให้พวกมันทำผิดหรือสร้างปัญหาวุ่นวายแค่ไหนมันก็อดไม่ได้อยู่ดี
            พอไปถึงในที่เกิดเหตุ เห็นสภาพของพวกมันนอนกองอยู่บนพื้นไม่เจอคู่กรณีที่คงจะหนีไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่สบถออกมาด้วยความไม่พอใจ
“ฝีมือใคร!”
            “มัน มันเป็นเด็ก!...”
            “เด็กงั้นเหรอ?...” เค้นเสียงต่ำทบทวนคำพูดนั้นอีกครั้ง ดวงตาคบกริบกวาดมองความเสียหายไปทั่วบริเวณ ถึงจะเป็นเด็กแต่ท่าทางคงจะแสบใช่ย่อย เห็นกระถางต้นไม้ที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะชมเชยถึงความใจเด็ดของมัน หลังจากฟังคำบอกเล่าจากคนเคราะห์ร้าย
          คนเดียวงั้นเหรอ...ร้ายไม่เบาเลยนี่
“คราวหลังคิดจะไปมีเรื่องกับใครก็หัดระวังตัวไว้บ้าง พวกแกคงไม่โชคดีแบบนี้ทุกครั้งหรอกนะ” 
            เขาเตือนด้วยความหวังดีเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนอีกสองคนที่เละไม่เป็นท่า ที่พวกมันวางตัวเป็นใหญ่ได้อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมีคนของเขาคอยหนุนหลัง ถึงเขาจะไม่ชอบให้พวกมันไปหาเรื่องใครก่อนแต่พอเกิดเรื่องแบบนี้ก็อดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้
            “พาไปส่งโรงพยาบาล” ครั้งนี้เขาไม่คิดจะซักไซ้อะไรให้มากความว่าใครผิดใครถูก ถ้าเรื่องเกิดจากการที่พวกมันไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ก็สมแล้วที่ควรจะได้รับบทเรียนกลับมาเสียบ้าง
เขาเองปวดหัวเต็มทนกับสภาพสังคมในกลุ่มเพื่อนเช่นนี้ ใช้อำนาจของเขาเป็นที่กำบังแล้วสร้างปัญหาไม่รู้จักหยุดหย่อน ถ้าไม่ใช่เพราะข้อแลกเปลี่ยนเมื่อห้าปีก่อนเขาคงสลัดพวกมันทิ้งไปตั้งนานแล้ว
หลังจากที่พวกมันถูกไอ้รดิศเล่นงานอย่างหนัก ผิดไปจากแผนที่เคยวางไว้ เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบโดยการรับข้อเสนอของพวกมันทั้งหมดอย่างเลี่ยงไม่ได้ และรวมไปถึงการให้คนของเขาจำนวนหนึ่งคอยเป็นพรรคพวกหนุนหลังให้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม เขาปล่อยพวกมันให้ใช้อำนาจของเขาอย่างเต็มที่ และเขาคงไม่ปล่อยให้ใครมีโอกาสได้ทำผิดซ้ำซากอยู่แบบนี้เด็ดขาด ถ้าไม่ใช่เพราะคำขู่ที่ว่าจะบอกความจริงทั้งหมดให้น้องปั้นรู้
ซึ่งนั่นเป็นจุดอ่อนสำคัญของเขาเลยทีเดียว
 
 
“รีบหนีเร็วเข้า!!” เดียร์สะบักสะบอมกลับมาที่โต๊ะร้องบอกให้สองแสบในกลุ่มรีบเผ่น เดียร์เหลียวซ้ายแลขวา ไม่แน่ใจว่าไอ้สามคนนั่นมันมีพวกมาเพิ่มรึเปล่า แต่ที่รู้ๆ คือพวกเขาต้องรีบชิ่งก่อนจะถึงเวลานั้น
“แล้วมึงไปมีเรื่องกับใครมา”
“เรื่องนั้นค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้รีบออกไปจากที่นี่ก่อน”
สองเพื่อนซี้รีบวิ่งตามแบบไม่ต้องรออธิบายอะไรเพิ่มเติม รู้กันดีในกลุ่มอยู่แล้วว่าถ้าคืนไหนเผลอไปมีเรื่องกับใครเข้า หากสถานการณ์ไม่สู้ดีนักก็ให้หนีเอาตัวรอดไว้ก่อน ใช่ว่าจะกลัวขึ้นมาหรืออะไรเพียงแค่เขาไม่อยากให้เสี่ยงนอกเหนือจากความจำเป็น
เมื่อวิ่งออกมาไกลมากแล้วและหันมองไปด้านหลังไม่เห็นว่ามีใครตามมา หัวหน้าแก๊งค์ตัวดีถึงได้หยุดฝีเท้า
“แฮ่กๆ มึงไปมีเรื่องกับใครมาวะ” ภูเข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้น ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อบนหน้า เขาเหนื่อยจนแทบขาดใจ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลยสักนิดพอบอกให้หนีเท่านั้นสมองก็ทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข
“กูไม่รู้” คนนำส่ายหน้าด้วยความอ่อนแรงไม่แพ้กัน ก่อนจะทรุดนั่งลงกับพื้นตามมาอีกราย
“เชี่ยเอ้ย!!!”
“ไม่ต้องห่วงหรอก กูจัดการไปเรียบร้อยละ”
“สงสัยจริงๆ ว่าแม่งพวกไหน”
“เหอะ!! ก็แค่ไอ้พวกขี้เมาแล้วทำตัวเป็นใหญ่ เที่ยวระรานไปทั่วก็เพราะมีพวกหนุนหลัง” เดียร์สรุป
“แต่ก็ดีแล้วที่มันไม่ยกพวกมาตอนที่มึงอยู่คนเดียว”
“กูไม่กลัวหรอก!”
“เออ กูรู้ว่ามึงเก่ง ไหนกูขอดูแผลคนเก่งหน่อยสิ” คนพูดไม่พูดเปล่า เนใช้มือข้างหนึ่งเชยคางเพื่อนตัวดีขึ้นมาสำรวจรอยช้ำที่แก้ม
“โอ้ยย มึงก็เบาๆ หน่อยสิวะ”
“เจ็บมากรึเปล่า?” เสียงอ่อนโยนถามขึ้นด้วยความห่วงใย เขาเห็นเลือดไหลออกมาด้วย ให้ทายว่านั่นคงโดนมาไม่ต่ำกว่าสามหมัด ไหนจะรอยแตกตรงหางคิ้วนั่นอีก
“พอทนได้”
“ไปทำแผลห้องกูก่อนไหม?” เจ้าตัวส่ายหัวก่อนจะขอแยกกันตรงนี้ ร่างเพรียวบางเดินไปบนถนนที่มีฉากหลังเป็นแสงไฟสีส้มอ่อนอย่างเดียวดาย
 
 
 
บรรยากาศอบอุ่นและเป็นมิตรในร้านกาแฟแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง สถานที่เดิมถึงแม้เวลาจะผ่านมาห้าปีข้าวของทุกชิ้นในร้านยังคงถูกวางไว้ที่เดิมเสมอ แม้กระทั่งลูกค้าของร้านส่วนใหญ่เองก็มักจะเป็นคนเดิมที่แวะเวียนเข้ามาเป็นประจำ
หัวข้อสนทนาจากโต๊ะตัวหนึ่งที่แยกออกมาอยู่ในมุมส่วนตัวยังคงเป็นเรื่องราวของคนๆ เดิม แววตาอ่อนโยนบวกกับน้ำเสียงที่มั่นคงจริงจังกลั่นออกมาจากความรู้สึกของคนพูดทุกคราวที่เอ่ยชื่อใครคนหนึ่ง
“กูมีอะไรกับเขาแล้ว” นนท์ตกใจจนเกือบทำแก้วในมือหล่นลงพื้น ส่วนบีมเขาสำลักกาแฟจนเลอะเสื้อไปเรียบร้อยเมื่อได้ฟังประโยคสุดท้ายของเรื่องทั้งหมด
“เมื่อกี้มึงพูดว่าไงนะ!!” สองหนุ่มขยับเก้าอี้เข้ามาจนชิดขอบโต๊ะ ต้องการฟังสิ่งที่มันเพิ่งพูดไปอีกรอบอย่างตั้งใจ
“พวกมึงได้ยินไม่ผิดหรอก”
“มึงไปทำแบบนั้นกับน้องปั้นได้ยังไง ก็ไหนว่าน้องเขามีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ?”
บีมยิงรัวรวดเดียวต้องการเอาคำตอบ เขารู้ว่ามันรักน้องปั้นมาก ไม่คิดว่ามันจะกล้าทำเรื่องแบบนั้นกับคนที่มีเจ้าของแล้ว 
“คืนนั้นปั้นเมามาก กูก็เลย...อย่างที่บอกไปนั่นแหละ”
“ฉวยโอกาสเนี่ยนะ แทนที่มึงจะยับยั้งชั่งใจให้มากกว่านี้” นนท์อยากบีบคอคนพูดออกมานัก มันพูดออกมาหน้าไม่อาย ต่อให้อธิบายยังไงมันก็ผิดอยู่เต็มประตู
“บอกตรงๆ เลยนะ ตอนนี้กูโคตรผิดหวังในตัวมึงจริงๆว่ะ”
“ห่วงก็แต่ความรู้สึกของน้องเขา มึงนี่น้าไอ้ดิศ”
“น้องปั้นเป็นยังไงบ้าง”
“นี่แหละที่กูกลุ้มใจอยู่ แถมยังโดนเขาเกลียดจนแทบไม่อยากจะมองหน้า”
“ก็สมแล้วที่มึงโดนแบบนี้น่ะ เป็นใครใครก็โกรธ” ไม่มีใครเห็นใจเขาสักคน รดิศรู้ดีว่าทำไม่ถูกต้อง แต่มันก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สำหรับเขาเขายินดีรับผิดทุกอย่าง ให้ทำอะไรก็ยอม
“น้องปั้นมีแฟนแล้ว มึงไปทำแบบนั้นไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาจะรู้สึกยังไง เกิดแฟนเขารู้นะไม่ใช่มึงคนเดียวที่เดือดร้อนน้องปั้นเองก็อาจจะโดนหางเลขไปด้วย”
คำพูดของบีมทำเอาคนฟังนั่งหน้าเครียด สำหรับเขาเองต่อให้เจอกับเรื่องราวหนักหนาสาหัสแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่กับปั้นแล้วเขากลัวว่าผลลัพท์ของมันจะย้อนกลับไปทำร้ายอีกฝ่ายเหลือเกิน
ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ห่วงก็แค่ความรู้สึกของคนๆ เดียวเท่านั้น
กลัวว่าต้องเสียน้ำตาเพราะเขาอีก

 
 
......................................................

แวะเอาพี่อธินมาให้ทุกคนทำความรู้จักในอีกมุมหนึ่งค่ะ  อิอิ
จากที่ดูนิสัยลึกๆของพี่แล้ว ตัวตนที่อยู่กับปั้นนั้นคนละเรื่องกันเลย แต่ก็มีหลุดออกมาเป็นระยะๆ ด้วยนะ
หลังๆ ยิ่งตอนโกรธเนี่ย   แต่สำหรับคนนี้จะร้ายแค่ไหนอย่างไรก็ให้อภัยจ้า เค้ายอมมมมมม

หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 15 : บางสิ่งที่เปลี่ยนไป
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 08-01-2018 15:02:23
ตอนที่ 15 บางสิ่งที่เปลี่ยนไป
 
 
 

 
 
 
 
            “เป็นมันจนได้สินะ” ข่าวล่าสุดจากลูกน้องคนสนิททำให้เขาเดือดเป็นไฟแต่ก็ยังคงนิ่งรักษาอาการไว้ ไม่เพียงแต่ความโกรธเคืองเท่านั้นที่ภายในใจรู้สึกแต่มันยังมีความกลัวที่ว่าเขาอาจจะเสียคนรักไป
เขารู้จุดประสงค์ของมันดี
            ถ้าจะใช้ความจริงในอดีตกำจัดเขาไปในคราวนี้ล่ะก็...ง่ายดายเหลือเกิน
            “นั่นนายจะกลับแล้วเหรอ”
            “หลีกไปน่า!” อธินตะเพิดไล่อย่างหัวเสียทำเอาอดีตคนรักของเขาผงะนิ่งไป ใบหน้าขาวซีดมองตามแผ่นหลังสูงใหญ่นั่นด้วยความน้อยใจที่ไม่เคยเป็นคนมีค่าในสายตาเลย
            เขาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ภายในนั้น เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าจะสตาร์ทรถขับออกไปได้ ภายใจร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
            กลัวเหลือเกินว่าหัวใจของปั้นอาจจะยัง...ไม่ลืมมัน
 
 
เขากลับมาถึงห้องด้วยสภาพหัวใจที่อิดโรย ตลอดห้าปีผ่านมานี่เป็นวันแรกที่เขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองมากที่สุด ถ้าทุกอย่างพังทลายลงก็เท่ากับว่าเขาไม่เหลืออะไรเพราะคนเดียวที่จะตัดสินรักครั้งนี้ได้ก็คือปั้นเท่านั้น
อธินเฝ้ามองคนรักกำลังหลับอยู่บนโซฟา ด้วยความรู้สึกหลากหลายท่วมท้นอยู่ในใจ
“กลับดึกจัง” เสียงบ่นอุบทันทีที่รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆ บริเวณริมฝีปากจากร่างสูง ปั้นลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงียจ้องมองใบหน้าของคนรักท่ามกลางแสงสลัวจากทีวีที่เปิดทิ้งไว้
“ทำไมไม่ไปนอนในห้อง...หืม”
“รอพี่กลับมา” ร่างบนโซฟากำลังงอแงเพราะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว พี่อธินออกไปสังสรรค์กับเพื่อนตั้งแต่เลิกงาน ครั้นจะขอไปด้วยแต่เจ้าตัวก็ให้เหตุผลว่าสถานที่แบบนั้นมันไม่เหมาะกับเขา ปั้นก็เลยยอมรออยู่ที่ห้อง
ไม่มีครั้งไหนรู้สึกไม่อยากห่างจากพี่อธินเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็กลัวว่าอีกคนจะเปลี่ยนไป กลัวว่ามันจะไม่เหมือนเดิม อาจเป็นเพราะตราบาปที่ทำผิดไว้
            “เกิดเรื่องนิดหน่อย โทษทีนะที่ทำให้รอ” เสียงอ่อนโยนกระซิบบอก คนว่าง่ายพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ปั้นลุกไปนอนในห้องตามคำบอกของพี่อธิน อาการกังวลค่อยๆ หายไปเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยผ่านทางดวงตาคู่นั้น ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่มีความผิดติดตัว
ขออย่าให้มีเรื่องร้ายแรงระหว่างเขากับพี่อธินเกิดขึ้นหลังจากนี้เลย
 
            ร่างสูงเดินออกจากห้องน้ำก่อนจะล้มตัวลงนอนเคียงใกล้ ดวงตาคบกริบซ่อนเร้นความเจ็บปวดไว้ภายในนั้นมองคนรักกำลังหลับพริ้มอยู่ในอ้อมแขน
            “พี่ไม่ยอมให้เรากลับไปหามันหรอกนะปั้น...” เขากระซิบบอกผ่านความฝัน ถ้าหากไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว ต่อให้ต้องใช้วิธีที่สกปรกยิ่งกว่านี้เขาก็พร้อมจะทำ
            ริมฝีปากอุ่นร้อนแนบลงบนหน้าผากมน เฝ้ามองใบหน้าของคนรักก่อนจะหลับไปในที่สุด
 
ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ คนมีหน้าที่คอยรับคอยส่งก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเสมอ มีแต่ปั้นเท่านั้นที่ในใจยังหวาดระแวง กลัวว่าบางสิ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนต้องสะบั้นลง
“ตอนเย็นพี่มารับนะ”
จมูกโด่งรั้นหอมฟอดลงบนแก้มของผู้ชายตรงหน้า เรียกรอยยิ้มให้คนโตกว่าเป็นอย่างดี การกระทำที่ค่อนข้างจะเอาอกเอาใจกันทำให้เขาต้องเลิกคิ้วถาม
“มีอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า หืม...” อธินเอียงคอด้วยความสงสัยมือข้างหนึ่งเชยคางเรียวขึ้นสบตา ปั้นส่ายหน้าวืด ไม่คิดว่าการที่ตัวเองทำตัวผิดไปจากปกติจะยิ่งทำให้คนช่างสังเกตคาดเดาอะไรได้ง่ายดายเช่นนี้ แค่อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด หวังลบล้างความผิดที่ทำลงไป
“เย็นนี้เราไปซื้อของมาทำกับข้าวกินกันที่ห้องดีมั้ยครับ”
“ฮึฮึ ได้สิ” อธินกลั้วขำเมื่อเจอลูกอ้อนของคนรัก มือหนาขยี้ผมอีกฝ่ายเล่นจนมันยุ่งเหยิงไปหมด
“งั้นผมไปทำงานก่อนนะ”
เขายืนมองร่างเล็กบางเดินเข้าไปตึกสำนักงานจนลับตา ดวงตาคมกริบที่แลดูอบอุ่นอ่อนโยนบัดนี้กลับซุกซ่อนความเจ็บปวดร้าวรานไว้ภายใน
เขารู้ว่ามีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป...
 
 
เสียงฮัมเพลงเบาๆ พร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก ร่างแบบบางเดินตรงไปยังที่นั่งของตัวเอง วันนี้รู้สึกสดใสเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะเรื่องที่เคยกังวลค่อยๆ หายไปแล้วและดูเหมือนว่าชีวิตเขาหลังจากนี้จะราบรื่นขึ้นอีกด้วย
“วันนี้ดูอารมณ์ดีจังเลยนะพี่ปั้น”
“มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นใช่มั้ยเนี่ย”
คนถูกแซวหัวเราะเก้อเขิน ที่จริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรพิเศษอย่างที่ทุกคนคิดเลย ก็แค่เรื่องที่เคยกังวลก่อนหน้านี้มันหายไปหมดแล้วเท่านั้นเอง
“เปล่าสักหน่อย” เจ้าตัวปฎิเสธด้วยรอยยิ้ม นั่งลงบนเก้าอี้หยิบงานของตัวเองขึ้นมาทำต่อ แต่คำปฏิเสธไม่ได้ลดความสงสัยจากเพื่อนร่วมงานไปได้
“ผู้ชายที่เคยมาหาเราเมื่อวานน่ะ เป็นใครเหรอ?” พี่มะลิตามมากระเซ้าถึงที่ด้วยคำถามที่ทำเอาคนฟังนิ่งสะอึก
“อะ...เอ่อ เพื่อน เขาเป็นเพื่อนสมัยเรียน” คนตอบหลบสายตา เบี่ยงเบนความสนใจโดยการปรับสีหน้าให้ดูปกติที่สุดเมื่อถูกเอ่ยถามถึงผู้ชายคนนั้น
“หล่อเท่ห์ ดูดีสุดๆ ไปเลยเนอะ” หนุ่มในฝันตามสเป็คของสาวโสดอย่างเธอไม่มีผิด พี่มะลิหมายมั่นถึงความฝันของตัวเองไว้ในใจ ถ้าอยากลงเอยกับใครสักคนล่ะก็ คนๆ นั้นต้องมีดีกรีเทียบเท่าเพื่อนของน้องปั้นคนนี้อย่างแน่นอน
คนอื่นๆ แยกย้ายไปทำงานหมดแล้ว เหลือแต่เขาที่ยังปล่อยให้ใจหวนคิดถึงคนบางคนจนไม่เป็นอันทำอะไรเลย และแล้วภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นก็ค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้งพร้อมกับใจตัวเองที่เต้นแรงกว่าปกติ
ที่คิดว่าจะลืมน่ะ...มันทำได้จริงรึเปล่า
 
            พี่อธินมารับเขาในเวลาเลิกงาน ทั้งคู่เลือกเดินซื้อของสดภายในห้างและของใช้จำเป็นก่อนกลับ ถ้าหากมองดูผิวเผิน พวกเขาสองคนคงเป็นคู่รักที่ดูรักกันดีจากการแสดงออกจนหลายคนต้องอิจฉา แต่ใครจะรู้ได้ว่าภายใต้ใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสแต่ละคนซุกซ่อนความลับอะไรเอาไว้บ้าง
อธินมองมือน้อยๆ ที่กำลังเกาะกุมเขาไว้ไม่ห่างตลอดเวลา ปั้นพยายามปรับสีหน้าและท่าทางของตัวเองให้ดูปกติที่สุด เพราะความกังวลจนทำให้ลืมธรรมชาติของตัวเองไป เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือสมเพชตัวเองดีกันแน่ ปั้นไม่เคยเป็นฝ่ายปฏิบัติกับเขาเช่นนี้มาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังกลัวว่าเขาจะรู้ความจริง
คงต้องขอบใจไอ้หมอนั่นสินะ 
เป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจไม่น้อย เขาเองก็ต้องคอยแสร้งทำตัวเป็นปกติทั้งที่ในใจร้อนรนเสียเต็มประดา ยิ่งได้รู้เหตุผลว่าทำไม มันก็ยิ่งยอมรับตัวเองไม่ได้ว่าเขากำลังจะแพ้มัน
           
กลับมาถึงห้องปั้นก็ตรงดิ่งเข้าครัวทันที ไม่เพียงแต่เอาอกเอาใจเขาเป็นพิเศษ มีบางเวลาที่เขาสังเกตได้ว่าปั้นพยายามจะหลบหน้าเขา นั่นมันยิ่งทำให้สงสัยเหลือเกินว่ามีอะไรนอกเหนือกว่าความจริงที่เขาได้รู้อย่างนั้นหรือ เขาเองก็ใช่จะว่าจะทนหลับหูหลับตาได้นานเสียเมื่อไหร่ เขาต้องรู้ให้ได้ ช่วงเวลาที่คนรักของเขาหายไป สองคนนั้นมีความสัมพันธ์กันแบบไหน
อธินใจเย็นพอและไม่วู่วาม ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปเขามักจะคิดและวางแผนไว้อย่างดีเสมอดีเสียจนคนที่รักและรู้ใจกันก็ไม่รู้สึกเอะใจในความเปลี่ยนแปลงนั้นเลย
 
            พ่อครัวตัวน้อยกำลังล้างจานอยู่ในครัวหัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่ออยู่ดีๆ ร่างสูงกลับเข้ามายืนซ้อนอยู่ทางเบื้องหลัง มือหนาคล้องเอวบางไว้หลวมๆ แต่ทว่าลมหายใจที่เป่ารดอยู่บริเวณซอกคอกลับร้ายกาจยิ่งกว่าเล่นเอาน้องปั้นหายใจไม่เป็นส่ำ มือหนาไล้ลงต่ำเรื่อยๆ อีกข้างหนึ่งกระตุกปมผ้ากันเปื้อนออก ริมฝีปากซุกซนจูบซับลงบนแก้มอย่างนิ่มนวลแต่สัมผัสกลับร้อนแรง
            “อะไรกันครับเนี่ย” ปั้นตื่นตระหนกตกใจเมื่อคนโตกว่าค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของเขาออกทีละเม็ด มือที่กำลังล้างจานอยู่ในที่แรกกลับชะงักลงเสียดื้อๆ
            “พี่อธิน...” เสียงหวานที่ใช้ออดอ้อนดังเช่นทุกทีบัดนี้เจือไปด้วยความทรมานวาบหวาม มือเรียวกุมขอบอ่างพิงแผ่นหลังไว้กับร่างสูงใหญ่
            “ทำไมครับ” ร่างสูงกระเซ้าถาม เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนตรงหน้าออกจนเม็ดสุดท้าย มือหนาบรรจงลูบไล้ผิวกายของคนรักส่วนริมฝีปากก็ทำหน้าที่สำรวจไปตามเรือนร่าง
            “อะ..” เสียงหวานๆ หลุดครางออกมาเพียงแค่นั้น คนถูกจู่โจมโดยที่ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนกว่าจะรู้ตัวทั้งร่างก็อ่อนระทวยไปกับสัมผัสนั่นแล้ว อธินขบเม้มบนซอกคอสร้างรอยสีกุหลาบ นิ้วมือหยอกล้ออยู่บนยอดอกสีสวยสร้างความเสียวซ่านให้กับคนรัก
“มะ..ไม่ไหวแล้ว”
“ให้พี่ช่วยนะ”
“อะ อื้ม...” ปั้นยอมจำนนในที่สุด เข็มขัดกางเกงถูกปลดออกอย่างง่ายดายรวมทั้งชั้นในตัวบางก็ถูกถอดออกไปเช่นกัน
“รู้สึกดีมั้ย?”
“อา อ๊ะ คะ..ครับ” คนตัวเล็กกว่าหน้าแดงจัด มือที่ยันเคาน์เตอร์เอาไว้จิกแน่นด้วยความเสียวซ่านเมื่อถูกปรนเปรอความสุขสม
“รักพี่รึเปล่า?...” อธินประคองใบหน้าหวานให้หันมาสบตา ดวงตากลมโตหวานฉ่ำพยักหน้าน้อยๆ กับประโยคนั้น
“รักครับ อา อ้ะๆ” เมื่อสิ้นสุดคำตอบมือที่เร่งจังหวะกลับถี่กระชั้นขึ้น อธินใช้ริมฝีปากจูบลงไปบนเรียวปากสีสวย กลืนกินทุกถ้อยคำที่หลุดออกมา เสียงเครือครางก็หายไปในนั้น
ร่างสูงกระตุกยิ้ม มือหนาไล้ลงบนรอยสีกุหลาบจางๆ บริเวณเหนือสะโพกของคนรักภายใต้ชายเสื้อที่ปิดไว้หมิ่นเหม่ไม่สามารถปกปิดหลักฐานชิ้นดีที่เอาไว้มัดตัวคนผิด
“ฮึก อื้อๆ...พี่อธิน” ปั้นกุมท่อนแขนอีกฝ่ายไว้แน่นเมื่อชายหนุ่มขยับจังหวะขึ้นรัวเร็ว ก่อนจะชะงักไว้เพียงแค่นั้น อธินอุ้มคนรักนั่งบนเคาน์เตอร์จากนั้นก็ยกเรียวขาข้างหนึ่งขึ้นสูงจนเจ้าของร่างเผลอร้องออกมาด้วยความเขินอาย
“ต...ตรงนี้”
“ตรงนี้ทำไม...หืม?” จมูกโด่งสันก้มลงสูดดมความหอมหวานบริเวณซอกคอ แล้วมืออีกข้างก็รั้งชายเสื้อของคนรักขึ้นสูง ร่องรอยบางเบาจนแทบมองไม่เห็นแล้ว เขาใช้โอกาสนั้นลบร่องรอยน่ารังเกียจทิ้งไปด้วยริมฝีปากของตนเอง
เขาคือคนที่มีสิทธิ์ในร่างกายนี้มากที่สุด
คนโตกว่าไม่ลืมทักทายยอดอกสีหวาน เรียวลิ้นอุ่นร้อนตวัดเลียสลับซ้ายขวา ยิ่งได้ยินเสียงครางอย่างทรมานของคนรัก ก็อดโมโหไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่งไอ้เวรนั่นก็เคยครอบครองคนของเขามาก่อน จึงเป็นผลให้ริมฝีปากหนาออกแรงขบเม้มหนักหน่วงขึ้นกว่าเก่า
“อ้า...”
เขาใจร้อนที่จะสำรวจบริเวณนั้นของคนรักให้เร็วมากที่สุด ใช้นิ้วมือเกลี่ยลงไปที่เรียวลิ้นอุ่นร้อนของร่างตรงหน้า เมื่อชโลมน้ำลายของเจ้าตัวจนมันชุ่มเต็มที่แล้วก็ค่อยๆ กดลงไปบนช่องทางคับแคบนั้นทันที
ไม่รู้เป็นผลจากการกระทำครั้งก่อนหรือไม่ จึงเห็นได้ชัดว่าปั้นเผลอกระตุกเบาๆ ตอนที่เขาเพียงแค่แตะลงไปที่ผิวเนื้อ
“จะ เจ็บ”
“พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” แล้วชายหนุ่มก็ใช้จังหวะนั้นสอดใส่เข้าไป คนรักซี้ดปากร้องอย่างทรมาน สองขาเกร็งจนตัวสั่นสะท้าน อาการนี้ใครๆ ก็ดูออกว่าเพราะอะไร แต่เขาไม่เคยปราณี ในเมื่อมันได้ร่างกายคนของเขาไปแล้ว เขาก็ไม่ยอมแพ้ที่จะปล่อยให้ปั้นตกเป็นของมันเพียงคนเดียว
อธินจับสองขาแยกออกกว้าง ร่างบางตรงหน้าไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ อีกแล้ว ทั้งๆ ที่กำลังขัดเขิน แต่เวลานี้ในสมองมันว่างเปล่า มึนเบลอไปหมด เมื่อนิ้วเรียวยาวค่อยๆ ขยับเข้าออกเป็นจังหวะช้าๆ จากที่ปวดหนึบๆ ในตอนแรก ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกเสียวซ่านมากกว่า
“พี่อธินครับ อื้อ อื้อ” อธินรั้งเรียวขาสวยให้เกาะเกี่ยวที่สะโพกของตนเอง จากนั้นก็ปลดกางเกงของตัวเองออก รูดรั้งเพียงไม่นาน บางส่วนที่แข็งขืนก็ปรากฏต่อสายตาของคนรัก
ปั้นตัวสั่นสะท้านมองส่วนนั้นกำลังดุนดันเข้ามาในช่องทางสีสดของตนเอง ทั้งที่อยากประท้วงแต่ใจนึงก็ต้องยินยอมรับมันเข้ามา นิ้วเรียวจิกแน่นลงบนพื้นเคาน์เตอร์ เพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้นเขาก็หอบหายใจถี่รัวทานทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แยกขากว้างๆ” คนรักร้องสั่งเมื่อความฝืดเคืองเริ่มเป็นอุปสรรค เขามองดวงตากลมโตที่กำลังปิดสนิทของคนปั้นแล้วก็ต้องเปลี่ยนไปเชยคางเรียวให้ขึ้นมารับจูบนี้
“มองหน้าพี่สิ” ปั้นลืมตามองอย่างขาดกลัว แต่ขณะเดียวกันเมื่อเห็นความอ่อนโยนผ่านทางดวงตาคู่นั้น จากที่กำลังหวาดหวั่นก็เปลี่ยนเป็นคลายกังวล ยินยอมและผ่อนคลายให้พี่อธินเข้ามาลึกขึ้น
“อ่ะ อื้อ” ในที่สุดเขาก็รับส่วนนั้นเข้ามาภายในจนหมด ปั้นหอบหายใจอย่างหนัก รอรับชะตาที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ร่างสูงค่อยๆ  ขยับกายเบาๆ เมื่อคนด้านล่างไร้เรี่ยวแรงจะยกขาขึ้นสูงๆ เขาก็เปลี่ยนให้คนรักลงมายืนฟุบกับโต๊ะกลมทันที นั่นยิ่งทำให้ง่ายต่อการสอดใส่มากขึ้นกว่าเดิม เมื่ออยู่ในท่าถนัด เขาก็เร่งจังหวะให้ถี่ขึ้น เสพสุขจากร่างตรงหน้าที่ปรารถนามานานแสนนาน
“อะ อ้ะ”
“มีความสุขรึเปล่า?”
“ครับ” ตอนได้ยินคำตอบรับนั้นเขาเกือบเผลอถามกลับไปแล้วว่าระหว่างเขากับมันใครกันที่ทำให้มีความสุขมากกว่า แต่ก็ยับยั้งใจไว้ก่อน เมื่อได้ยินคนรักครางเสียงสูง เขาก็ช่วยรูดรั้งส่วนนั้นให้เบาๆ ไม่นานน้องปั้นก็ชิงปลดปล่อยออกมาก่อน เสียงหายใจระรัวเร็ว ไม่นานเขาก็ตามปลดปล่อยออกมาติดๆ
ภายในกายร้อนระอุไปหมด ร่างกระตุกเกร็งเป็นจังหวะหลั่งหยาดหยดแห่งความสุขสมออกมาจนหมด สองขายืนบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง คนไวกว่าใช้สองแขนประคองร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมอก
“รู้ใช่มั้ยว่าพี่รักเราแค่ไหน?”
ปั้นพยักหน้าตอบไปด้วยสติที่รางเลือน แล้วร่างสูงก็ช้อนเอวขอดขึ้นมา พาร่างกายที่อ่อนปวกเปียกเข้าไปล้างทำความสะอาดในห้องน้ำ



เช้าของวันถัดมา ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำอยู่นานพอสมควร เนื่องด้วยทบทวนประโยคแปลกๆ เมื่อวานของพี่อธิน หากฟังดูเผินๆ มันก็คือคำบอกรักเหมือนทุกที แต่ถ้าคิดลึกซึ้งถึงความหมายบางทีมันอาจจะมีอะไรมากกว่านั้นก็ได้
ร่างบางขึ้นจากอ่างน้ำยืนมองตัวเองในกระจก พิจารณาร่องรอยที่คนรักฝากไว้บริเวณต้นคอ ปกติแล้วพี่อธินไม่ใช่คนชอบทำอะไรแบบนี้ ดวงตาคู่สวยพลันเปลี่ยนเป็นความสงสัยเมื่อสะดุดกับรอยกุหลาบจางๆ บริเวณเหนือสะโพก 
ตะ ตรงนี้...
เป็นไปได้ไหมว่ามันจะเป็นรอยเดิม ตอนที่เขากับรดิศมีอะไรกัน
มือเรียวสั่นเทาขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่นเมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นในหัว
หรือว่าพี่อธินจะรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว…
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดสมาธิ ร่างบางที่ยืนหน้ากระจกหลุดจากภวังค์ ดวงตากลมสวยเลิ่กลั่กด้วยหวาดกลัวในความคิดของตัวเอง
            “เป็นอะไรไปรึเปล่า?” พี่อธินยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ร่างสูงมีสีหน้าเป็นห่วงเขาขึ้นมาอย่างชัดเจน ฝ่ายคนที่มีความผิดพยายามหลบตาปกปิดความจริง
            “เปล่าครับ”
เขาพลาดไปแล้ว...
           
คนที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่นิ่งเฉยและเก็บเรื่องราวทุกอย่างไว้ในใจและปฏิบัติตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนคนผิดค่อยๆ แสดงท่าทีพิรุธและคายความผิดที่ทำลงไปออกมาเองในที่สุด
พี่อธินกำลังใช้วิธีนั้นกับเขาสินะ
 


........................................

 ไม่รู้ว่าขนมในครัวกับเค้กวันเกิดอะไรอร่อยกว่ากัน โฮ่ๆ แต่ที่แน่ๆ น้องปั้นอิ่มแน่นอน
เง้ยยย พูดอะไร ทำไมเขินจังงงง ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 15 : บางสิ่งที่เปลี่ยนไป
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 08-01-2018 19:25:35
งานนี้ผูกกันยาวกว่าเดินเลยอ่ะ อยากให้ปั้นคู่ดิศไวไวจัง รอเท่านั้น
เดียร์เนไหมน่ะ กลัวจะเป็นเดียร์อธิน ปนจะได้ยาวไป อิอิ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 16 : แค่อยากให้รู้
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 09-01-2018 12:33:43
ตอนที่ 16 แค่อยากให้รู้
 
 
 
 
บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความอึดอัด ระหว่างพวกเขาสองคนคล้ายกับท้องฟ้าในวันที่ฝนจะตก มืดมัวจนมองไม่เห็นอะไรเลย ทั้งที่อยู่ด้วยกันแต่กลับรู้สึกห่างเหิน แม้พี่อธินจะทำตัวปกติแต่ลึกๆ แล้วมันไม่เหมือนเดิม
ปั้นยืนมองคนรักกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา แม้อยากเข้าไปใกล้และพูดจาออดอ้อนเช่นเดิมแค่ไหนแต่เขาไม่สนิทใจจะทำแบบนั้น คนผิดอย่างเขาไม่รู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรดี
ร่างบางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าและจัดกระเป๋าเดินทางสำหรับการออกค่ายในวันพรุ่งนี้ คิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าการที่เขาหายไปสักพักอาจจะทำให้ความผิดในตัวถูกลบล้างลงไปได้บ้าง หากวนเวียนอยู่แต่ในสถานการณ์เดิมๆ ซ้ำๆ เขาคงเครียดจนไม่เป็นอันทำอะไรแน่
“ยังไม่ถึงกำหนดไม่ใช่เหรอ?” เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นจากร่างสูงที่ดูเหมือนจะไม่สนใจกันในทีแรก อีกฝ่ายกดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ รอฟังคำตอบจากคนรัก
“มันเป็นค่ายเล็กๆ แค่สองสามวันครับ” ปั้นยังคงจัดกระเป๋าของตัวเองต่อไป รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยที่พี่อธินยังคงถามไถ่กันอยู่บ้าง
“ไปที่ไหนล่ะ”
“กระบี่ครับ” สิ้นสุดคำตอบพี่อธินก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาเดินไปคว้ากุญแจรถก่อนออกไปจากห้องทิ้งทวนประโยคไว้เพียงสั้นๆ ที่ทำเอาใจคนฟังสั่นไหวราวกับเมฆขุ่นมัวนั่นจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตา
“เข้านอนไปก่อนเลยนะ ไม่ต้องรอพี่”
เสียงประตูปิดลงพร้อมกับประโยคที่ยังก้องอยู่ท่ามกลางความเงียบงัน ร่างบางนั่งอยู่บนพื้นหยุดการกระทำทุกอย่างของตัวเอง
ทำไมพี่อธินถึงทำแบบนี้
ถ้าจะต่อว่าหรือประณามการกระทำของเขาออกมาเป็นคำพูดก็จะไม่เสียใจเลย แต่การนิ่งเฉยใส่กันมันโหดร้ายเกินไป
“ผมรู้ว่าผมผิด แต่จะให้ผมพูดออกไปได้ยังไง...” เสียงสั่นเครือบอกไปในความว่างเปล่า พี่อธินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนและเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
นอกจากรอให้ฝ่ายนั้นเห็นใจและกลับมาเป็นเหมือนเดิม
 
 
            อธินกลับห้องในรุ่งเช้าของวันถัดมา สภาพของชายหนุ่มทำให้ปั้นรู้ว่าเขาคงอดนอนมาทั้งคืน ตัวเองก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรนอกจากเข้าไปนั่งรอในรถ เมื่ออีกฝ่ายจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยเขาก็ตามมาเหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติ เพียงแต่บทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่เริ่มลดน้อยลง
            “ดูแลตัวเองด้วยนะ” 
            “ครับ...พี่เองก็เหมือนกัน”
            “ถึงแล้วก็อย่าลืมโทรมาบอกพี่”
            “ครับ” ในตอนนั้นเองคนที่ใจกำลังอ่อนแอรู้สึกเหมือนมีม่านบางๆ เข้ามาบดบังในดวงตา พี่อธินขับรถออกไปแล้ว เหลือเพียงแต่เขาที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
และน้ำตาก็ไหลออกมาในที่สุด...
วิธีลงโทษแสนเรียบง่าย แต่ทว่าช่างโหดร้ายกันเหลือเกิน
 
ร่างสูงสบถในลำคอเมื่อมองคนรักทางกระจกหลัง ระบายความเจ็บช้ำที่มีไม่ต่างกัน แม้รู้สึกเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาในฐานะที่เป็นรองอยู่เสมอจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เพื่อเป็นเครื่องผูกมัดที่จะทำให้ปั้นไม่กล้าทำผิดต่อเขาอีก
เพราะรู้จุดอ่อนของคนรักดี...และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะยอม
 
“พี่ปั้น...พี่ปั้นเป็นอะไร!!” เด็กหนุ่มกระชับไหล่ของรุ่นพี่คนเก่งเพื่อมองน้ำตาบนแก้มนั่นให้ชัดๆ ว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด คนถูกถามเอาแต่ส่ายหน้าไม่ยอมบอกอะไรทั้งนั้น คนอื่นๆ ที่เข้ามารุมล้อมต่างก็อดเป็นห่วงไปไม่ได้ พี่มะลิวางกระเป๋าของตัวเองลงบนพื้น กอดไหล่น้องปั้นอย่างเอ็นดูพลางปลอบประโลม ปั้นกำลังจะเดินทางไปมอบความสุขให้เด็กๆ แต่ไหงตัวเองถึงยืนร้องไห้เสียใจแบบนี้ เธอเล่าเรื่องตลกๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ หวังทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นอย่างที่มันควรจะเป็น
 
พวกเขาเดินทางออกจากตัวเมืองภูเก็ตได้ไม่นาน ฝนก็เริ่มตกลงมาอย่างหนักทำให้การเดินทางล่าช้า เสียงพูดคุยในทีแรกเริ่มสงบลง หลายคนบนรถกำลังหลับ เหลือเพียงเขากับความฟุ้งซ่านที่ยังไม่จางหาย
ปั้นเฝ้ามองหน้าจอโทรศัพท์มือถือราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง ปกติแล้วเวลานี้พี่อธินคงโทรหา แต่ครั้งนี้ไม่มีเลย คิดว่าคงโกรธกันไปแล้วจริงๆ
พอคิดแบบนี้ทีไร น้ำตามันจะไหลออกมาทุกที
 
.......................................................
 
“เอ้าทุกคน...ตื่นได้แล้ว ถึงแล้วจ้า” พี่แอนกำลังปลุกน้องๆ ที่ยังคงหลับอยู่บนรถ ปั้นลืมตาขึ้นมาเมื่อเห็นบรรยากาศนอกหน้าต่างมันเปลี่ยนไป โรงเรียนอนุบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งในชนบท บัดนี้มีคุณครูและนักเรียนหลายคนกำลังยืนต้อนรับพวกเขาที่เพิ่งเดินทางมาถึง
ทุกคนไม่รอช้ารีบลงจากรถไปทักทายพวกเด็กๆ ที่แลดูตื่นเต้นไม่น้อยกับการได้พบกับผู้มาเยือน บรรดาคุณครูเชิญพวกเขาพักรับประทานอาหารเที่ยง ก่อนจะชี้แจงหน้าที่ที่จะมอบหมายให้หลังจากนี้
พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มที่หนึ่งรับผิดชอบการทำกิจกรรมร่วมกับเด็กๆ ไม่ว่าจะเสริมทักษะต่างๆ เน้นความเพลินเพลินสนุกสนาน ส่วนกลุ่มที่เหลือรับหน้าที่วาดรูปตกแต่งผนังโรงเรียนเพื่อต้อนรับประชาคมอาเซียนที่จะมาถึง ซึ่งคุณครูหลายๆ ท่านต่างคอยให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกพวกเขาอย่างเต็มที่ รวมทั้งเด็กๆ ก็คอยลุ้นว่าโรงเรียนของตัวเองจะถูกออกแบบและตกแต่งออกมาในแนวไหน
“พี่แอนหาอะไรอยู่เหรอครับ?”
“อ้อ! ถุงใส่ของรางวัลให้เด็กๆ น่ะ พี่จำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน”
“อยู่ในรถคันที่ 2 รึเปล่าครับ?”
“พี่หาดูแล้วนะ แต่มันไม่เจอเลย”
“เอ...หรือจะเป็นคันแรกครับ แต่รู้สึกว่าพวกพี่แม็กซ์กับคนขับรถเอาของไปเก็บที่บ้านพักเรียบร้อยแล้วล่ะครับ”
“สงสัยจะติดไปด้วยแน่ๆ ทำไงดีล่ะต้องใช้ซะด้วยซิ”
“งั้น เดี๋ยวผมออกไปเอาให้ก็ได้ครับ”
“ฝากทีนะปั้น!”
 “ครับ” ปั้นยิ้มรับแล้วรีบเดินออกมาหน้าโรงเรียนทันที เขาเห็นพี่คนขับรถนอนพักอยู่ใต้ร่มไม้ ก็เลยเข้าไปขอความช่วยเหลือ
“พี่ครับ ช่วยไปส่งผมหน่อย คือพอดีต้องไปเอาของน่ะครับ”
พี่คนขับมีอาการงัวเงียเล็กน้อยแต่ก็รับคำ ปั้นรีบเดินตามไป เบนซ์รุ่นเก่าคันหนึ่งจอดอยู่ใกล้รถตู้ของพวกเขา ร่างบางเปิดประตูตามเข้าไปนั่งอย่างรู้หน้าที่
“ไกลมั้ยครับ?” ปั้นซักไซ้พอเห็นว่านี่มันก็เกือบยี่สิบนาทีเข้าไปแล้ว คิดว่าที่พักกับโรงเรียนจะอยู่ใกล้กันเสียอีก ซึ่งปกติมันต้องอยู่ใกล้กันเพื่อความสะดวกไม่ใช่เหรอ?
คนขับยังคงเงียบจนปั้นเริ่มชักไม่แน่ใจ รู้สึกเหมือนบางอย่างผิดปกติ ก่อนเขาจะถามคำถามที่สองรถก็จอดลงหน้าบ้านพักแห่งหนึ่ง ปั้นคิดว่านั่นคงจะเป็นที่หมาย พี่คนขับรถเดินนำไปก่อน ปั้นเดินตามไปทีหลัง เมื่อพิจารณาจากรูปร่างลักษณะของคนตรงหน้าทำให้รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอย่างบอกไม่ถูก ส่วนสูงที่มากเกินกว่าชายทั่วไปกับท่าเดินที่ดูสง่าผ่าเผยเหมือนกับใครคนหนึ่ง สงสัยเหลือเกิน ภายใต้หมวกใบนั้นกับหน้ากากอนามัย แถมคนขับก็ยังดึงฮูดขึ้นมาปิดจนมิดอย่างน่าสงสัย เจ้าตัวรีบเดินตามคนตรงหน้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วกระชากหมวกใบนั้นออกทันที
เส้นผมที่ยาวไล่ปรกลงมาบนใบหน้า กับนัยน์ตาคมเข้มกำลังจ้องมองมา
เป็นรดิศจริงๆ ด้วย...
“คิดจะทำอะไรของนาย!” ความรู้สึกมากมายพุ่งเข้ามาในใจ ทั้งโกรธ โมโห หมอนี่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด แทนที่จะหายไปซะ แต่กลับเข้ามาวนเวียนตอกย้ำ
“ปั้นเดี๋ยว...” ไม่พูดเปล่าเขายังจับมือไว้ น้ำเสียงฟังดูร้อนรนราวกับต้องการจะพูดอะไรต่อจากนั้น
“ปล่อยเราไปเถอะดิศ เราสองคนไม่ควรจะมาเจอกันอีกนะ เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ...” ต้องการให้ทรมานไปถึงไหนเรื่องเก่าที่เกิดก็สร้างปัญหาให้มากพอแล้ว
“ฉันขอโทษ”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรตอนนี้มันก็ไม่มีประโยชน์หรอก นายกลับไปเถอะ”
คนฟังเองก็ใจหายไม่แพ้กัน ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเพียงแค่มองปั้นจากทางด้านหลัง เห็นทั้งร่างกำลังสั่นสะท้าน เขาก็รู้สึกผิดจนเกินบรรยาย แทนที่จะทำตามอีกคนพูด รดิศกลับรั้งอีกคนเข้ามากอดราวกับต้องการรับความเจ็บช้ำนั้นมาไว้เอง
“อย่านะ บอกว่าอย่าไงเล่า!” พอห้ามไม่ได้ผล ปั้นก็ระบายความคับแค้นในใจออกมา มือที่ฟาดลงไปบนอกของอีกฝ่ายทั้งหนักหน่วง รุนแรง แต่ทั้งหมดมันคงไม่เท่าความทรมานในใจนี้
“ขอโทษ!” น้ำเสียงอ่อนโยนเพียงพอจะทำให้อารมณ์รุนแรงของคนบางคนสงบลง รดิศใช้จังหวะนี้เอ่ยคำขอโทษอีกนับครั้งไม่ถ้วน “ฉันรู้ว่าตัวเองทำผิด ขอโทษที่เป็นต้นเหตุทำให้นายเป็นแบบนี้ ฉันเองก็เสียใจเหมือนกันนะ”
“พาเรากลับไปส่งเถอะ...” เมื่อไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้านปั้นจึงเปลี่ยนเป็นคำขอ รู้สึกเหนื่อยเหลือเกินกับหลายๆ สิ่งที่เข้ามาในชีวิตจนสับสนไปหมด ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น อยากหนีไปให้ไกลๆ
“อยู่ด้วยกันก่อนไม่ได้เหรอ?” อีกฝ่ายกำลังอ้อนวอนอยู่เช่นกัน ที่มาในวันนี้ก็เพราะต้องการทำในสิ่งที่อยากทำ พูดในสิ่งที่ต้องการพูด ระหว่างพวกเขาสองคนมีหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจกัน
เขารู้ว่าที่ผ่านมาตัวเองไม่ดียังไงและเพราะเป็นแบบนั้นเขาถึงไม่มีความสุขเลยในห้าปีที่ผ่านมา
“ฉันไม่เคยร้องขอใครแบบนี้เลยนะ...” ประโยคนี้ของรดิศทำเอาคนที่นิ่งอยู่นานต้องเงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ฉันรักนายจริงๆ นะ”
‘เขา’ ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นรักแรกและเป็นคนเดียวที่ไม่เคยลบออกไปจากใจ รดิศจูบเบาๆ ลงบนหน้าผาก รู้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรในตอนนี้ แค่เพียงต้องการยืนยันสิ่งที่ตัวเองทำผิดไปว่ามันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นเพราะเกิดจากรักจริงๆ
 
ตั้งแต่ได้ยินคำสารภาพ ปั้นก็เงียบมาตลอด ร่างบางนั่งอยู่บนม้านั่งริมระเบียงบ้านพักส่วนตัวหลังหนึ่งซึ่งมองออกไปเห็นทะเล ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ใบหน้าอันเรียบสนิทนั้น กำลังคิดอะไรอยู่
รดิศเข้ามาเกาะแกะอีกครั้งหลังปล่อยให้อีกฝ่ายใช้เวลาอยู่กับตัวเอง พอเห็นสีหน้าที่หม่นหมองยามเหม่อลอย เขาก็อยากเข้าไปกอดปลอบให้อีกคนเลิกคิดมาก แต่สองมือไม่กอดเปล่า กลับลูบไล้ไปตามแผ่นหลังจนเจ้าของร่างเริ่มหวั่น
“อย่า..นี่จะทำอะไรอีก”
“แค่ครั้งเดียว นะ”
“เราต้องกลับแล้ว!” 
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ดิศ! อย่าเอาแต่ใจ”
“ฉันคิดถึงนาย...อยากกอด” แล้วคนขี้ใจอ่อนก็ยอมให้ร่างสูงกว่าปลดกระดุมเสื้อออกไปทีละเม็ดจนหมด ไม่ใช่ว่ายินยอมอยากให้เขาทำอะไรตามใจชอบ แต่เป็นเพราะตนเองไม่เคยห้ามความต้องการลึกๆในใจนี้ได้เลยต่างหาก แม้จะรู้ว่าทำผิด แต่ร่างกายมันซื่อสัตย์กับสัมผัสของรดิศไปแล้ว ไม่อาจหักห้ามใจ
จะโทษอีกฝ่ายคนเดียวไม่ได้ เพราะตัวเองก็ไม่รู้จักยับยั้งความรู้สึก
 “อื้ม อือ” ริมฝีปากสีสวยถูกครอบครอง ทั้งคู่จูบแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มคล้ายคนกระหายที่รอนแรมมาเนิ่นนานได้พบกับโอเอซิสกลางทะเลทราย รอบกายนั้นได้ยินเพียงเสียงคลื่นทะเล และลมหายใจถี่รัวของคนตัวเล็กกว่าเมื่อเขาเพิ่งถอนจูบออกมา
“พอแล้ว” ร่างบางเอ่ยขัดเมื่อเห็นอีกคนจะเข้ามาจูบซ้ำอีกรอบ มือเรียวยกขึ้นเช็ดรอยเปียกชื้นที่ริมฝีปาก พลันเหลือบเห็นสายตาเอาแต่ใจของรดิศ ก็รู้ตัวแล้วว่าเขาผิดเองที่ปล่อยให้คนๆ นี้ได้ทำอะไรตามใจตั้งแต่แรก ก่อนจะตั้งตัวทั้งร่างก็ถูกอุ้มขึ้นพาดบ่า ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในบ้านหลังนั้นแล้ววางร่างบางลงบนเตียงก่อนจะขึ้นทาบทับ
“ดิศ! นี่มันจะมากไปแล้วนะคนอื่นเค้ารออยู่ ทำแบบนี้อยากให้คนอื่นเค้าสงสัยกันนักใช่มั้ย?”
แน่นอนว่าถ้าเรื่องนี้รู้ถึงพี่อธิน เขาคงไม่มีวันกล้าเผชิญหน้ากับฝ่ายนั้นแน่ เมื่อปั้นพยายามจะลุกขึ้นขัดขืนแต่แล้วกางเกงขาสั้นของเขาก็ถูกถอดออก ดูเหมือนว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ รดิศไม่คิดลดละซ้ำยังไล่จูบตั้งแต่หน้าขาขึ้นมาจนถึงหน้าท้องแบนราบ ทำเอาคนใต้ร่างหายใจติดขัด แล้วชั้นในตัวเล็กก็ถูกถอดลงมา
ชายหนุ่มใช้ริมฝีปากครอบครองลงไปส่วนนั้น ขยับเบาๆ ให้คนด้านล่างฟุ้งซ่าน ไม่นานอีกคนก็หน้าแดงก่ำ แอ่นกายกระตุกเบาๆ ทั้งตัวสั่นเทิ้ม เห็นแล้วช่างเย้ายวนใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน รดิศรุกเร้าอย่างหนัก เมื่อขยับขยายบางส่วนจนพอใจแล้วก็เตรียมสอดใส่เข้าไปทันที
“อื้อออ ดิศ!” ร่างบางร้องผวา มองตาคนตรงหน้าอย่างไม่พอใจ แล้วก็ส่งเสียงร้องครางอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มเร่งจังหวะอย่างหนัก สอดใส่จนลึกสุดแล้วขยับออกมา ก่อนจะสวนขึ้นไปอีกครั้ง ย้ำๆ อยู่แบบนั้นจนสมองของปั้นขาวโพลนไปหมด ทั้งกังวลทั้งมีความสุขจนไม่อาจเก็บเสียงครางดังลั่นอันน่ารังเกียจของตนเองไว้ได้
“อ้ะ อ้า อ้า อะ” น้ำตาไหลซึมออกมาที่หางตา นั่นไม่ใช่เพราะความเศร้าเสียใจแต่มาจากความสุขสมที่ไม่อาจยับยั้ง รดิศใช้ปลายนิ้วชี้หมุนวนที่ส่วนปลายของคนด้านล่างที่เริ่มแฉะชื้น เนื่องจากมีหยาดหยดไหลซึมมา เมื่อฝ่ายนั้นยกสองนิ้วขึ้นแล้วส่งให้เขาดูความปรารถนาของตนเอง ปั้นก็เขินอายจนไม่อาจยอมรับความจริง
“น่ารักจริงๆ เมียใครวะ!” พูดจบรดิศก็ก้มลงมาจูบเอาใจ ตอนนี้เขามีความสุขมากจนไม่คิดเกรงใจใครอีกแล้ว หากจากนี้คิดจะแย่งคนๆ นี้กลับมา
“อืออ อื้มมมม” ร่างบางถูกรุกเร้าเข้ามาอย่างหนัก จนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่ยกแขนปรามการกระทำ อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้เขาได้หายใจสะดวกเลย ทั้งยังกระแทกเข้ามาถี่กระชั้นจนแทบจะขาดอากาศ
“รู้สึกดีมั้ย?”
“อื้ม”
“อื้ม..ยังไง”
“ดี ระ..รู้สึกดี” แล้วไม่นานปั้นก็ทนไม่ไหว เมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาช่วยปรนเปรอส่วนหน้าให้ ในที่สุดก็เป็นฝ่ายหลังออกมาก่อน เขาหอบหายใจรุนแรง ปล่อยให้ร่างสูงเคลื่อนกายไปมาอยู่ด้านบน ฟังเสียงผิวเนื้อกระทบกันดังลั่นในห้องเล็กๆ ริมทะเลแห่งนี้
แล้วชายหนุ่มก็ปลดปล่อยออกมาในที่สุด ร่างเล็กหน้าแดงก่ำเมื่อรู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนอยู่ภายในช่องทางของตนเอง พอคิดถึงเรื่องยุ่งยากนี้แล้วก็ได้แต่เม้มปากแน่น
“ทำไม ไม่พอใจเหรอ?”
“ลุกสิ!”
รดิศถอนแก่นกายของตนเองออกมา ก่อนที่คนทำตัวน่ารักแบบแมวน้อยๆในตอนแรก จะกลายร่างเป็นเสือ เขาลุกขึ้นอย่างอิดออด มองคนบนเตียงที่ยังคงเหนื่อยล้าจากเซ็กซ์เมื่อครู่ เห็นแล้วก็อยากลงไปจูบแล้วกระแทกซ้ำลงไปแรงๆ อีกหน แต่ติดที่ดวงตาดุๆ กำลังมองมา

ปั้นเดินตามอีกฝ่ายกลับไปที่รถ ในระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย จนกระทั่งถึงโรงเรียน
“เดี๋ยวก่อน!” เป็นเสียงตะโกนตามมาทีหลัง คนที่เดินออกไปแล้วจำเป็นต้องชะงักฝีเท้า หยุดและรอฟังสิ่งที่เขาต้องการจะพูด
“ฉันเป็นห่วงนายนะ” ปั้นรู้สึกตัวเบาโหวง เกิดอาการแปลกๆ ในใจอย่างที่เคยเป็นในอดีต แต่ความรู้สึกเหล่านั้นถูกลบออกไปเมื่อเขาไม่อาจปฏิเสธความจริงนั่นได้...
ความจริงที่ว่าเขามีพี่อธินอยู่แล้ว...
ไม่ควรทำร้ายใคร ยิ่งคนนั้นคือคนที่อยู่เคียงข้างมาตลอด คนที่ยอมทำอย่าง ยิ่งกว่านั้นเคยสัญญาไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าจะไม่ทำให้พี่อธินเสียใจอีก
เขาหลับตาลงทำเหมือนตัวเองไม่ได้ยินทุกสิ่งที่รดิศพูด...
 
 
“ปั้นหายไปไหนมา!” พี่มะลิถามเสียงลั่นเมื่อเห็นเขากลับมา ท่าทางดูร้อนรนจนเขาชักกลัวว่าที่นี่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นรึเปล่า
“รู้ไหมว่าพวกพี่เป็นห่วงแค่ไหน แล้วเนี่ยโทรศัพท์ก็ลืมทิ้งไว้” เธอยัดโทรศัพท์ของเขาใส่ให้ในมืออย่างรู้สึกโล่ง จนปั้นรู้สึกผิดไปเลยที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงขนาดนี้ 
“ผมขอโทษ ส่วนเรื่องของรางวัล ผมยังไม่ได้กลับไปเอาให้เลย”
“อันนั้นช่างมันเถอะ พี่แอนให้คนอื่นจัดการไปก่อนแล้ว ว่าแต่เรารีบโทรหาพี่อธินเร็วเข้า ฝ่ายนั้นเค้ากำลังรออยู่นะ”
“พี่อธินเหรอครับ?”
“ใช่! โทรมาตั้งหลายสายเชียวแน่ะ”
“อะ เอ่อ..ครับ” ในใจวูบโหวงรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
“รีบไปโทรหาเลยเร็วเข้า” พี่มะลิรุนหลังรุ่นน้องให้รีบไปจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ เพราะไม่ต้องการเห็นอาการเศร้าซึมของเพื่อนร่วมงาน
“ยุ่งอยู่รึเปล่า?”
“อ้อ...เปล่าครับ”
“กินอะไรรึยัง?”
“ยังเลยครับ...พี่ล่ะ”
“เหมือนกัน...” ปลายสายเงียบเหมือนไร้ประโยคจะพูดต่อ ทั้งที่มันควรจะกลับไปเป็นเหมือนปกติแต่มันยากเกินไปนักสำหรับพวกเขาทั้งคู่
“งั้นแค่นี้นะ...” พี่อธินตัดสายไปก่อน ปั้นยืนตัวแข็งทื่อไร้ความรู้สึก ทำไมบาดแผลระหว่างพวกเขาสองคนมันถึงประสานกลับเป็นเหมือนเดิมยากนัก ทั้งที่เขากำลังพยายามและก็รับรู้ว่าพี่อธินเองก็พยายามไม่แพ้กัน แต่ทำไมมันเหมือนมีเส้นบางๆ มากั้นไว้ อยากจะพูดแต่ทำไมถึงพูดไม่ออก อยากจะถามไถ่ให้มากกว่านี้แต่กลับไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
 
ในหนึ่งวันคนเราสามารถรองรับอารมณ์ของตัวเองได้เท่าไหร่กันนะ ในช่วงเวลาหนึ่งคนเราจะมีความรู้สึกได้มากแค่ไหน
รู้สึกดีเมื่อพี่อธินแสดงออกมาว่าห่วงใยแต่แล้วต้องกลับไปร้องไห้อีกครั้งเมื่อเห็นท่าทีเฉยชาของคนรักและการที่เขาตีตัวออกห่างคำพูดทุกอย่างฟังดูห่างเหิน รู้สึกเกลียดตัวเองที่ทำเรื่องผิดพลาดแล้วก็ไม่สามารถอธิบายเรื่องทั้งหมดที่อยู่ในใจให้ใครฟังได้
ในระหว่างที่พยายามทำตัวปกติปล่อยตัวปล่อยใจไปกับหน้าที่ของตัวเอง รดิศก็เข้ามาความรู้สึกในตอนนั้น ทั้งโกรธ ทั้งโมโห เขาเหมือนสิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดทรมาน ซ้ำยังพูดในสิ่งที่ไม่คาดฝัน ครั้งนี้มันดูหนักแน่นและจริงจังกว่าที่ผ่านมา รวมไปถึงคำขอโทษนับครั้งไม่ถ้วนที่ทำให้ใจของปั้นรู้สึกสงบขึ้นอย่างน่าประหลาด
เกิดอารมณ์อ่อนไหวในใจแล้วมันก็ถูกพัดพาไปกับสายลม เมื่อหวนคิดถึงความเป็นจริง
            ...ไม่ว่าอะไรมันก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ตราบใดที่เขามีพี่อธินอยู่ รดิศก็เป็นได้เพียงแค่ความทรงจำในอดีต
 
 
…………………………………..
 
ในช่วงเย็นของวันถัดมา ปั้นนั่งดูเด็กๆ กำลังเล่นฟุตบอลอยู่ในสนามหญ้า อันที่จริงเรียกว่าแย่งบอลกันมากกว่าแต่ละคนดูดีใจกันยกใหญ่กับของเล่นที่พวกเขาเอามาฝาก เห็นสีหน้ามีความสุขของเด็กๆ แล้วอดยิ้มตามไปไม่ได้ คงจะดีไม่น้อยถ้าเขาเองได้มีรอยยิ้มแบบนั้นบ้าง
            “ไอติมครับ” รุ่นน้องที่แสนดีของพี่ปั้นนั่งลงข้างๆ พร้อมยื่นไอติมรสส้มแบบที่เจ้าตัวชอบกินให้
“ขอบใจนะ”
“แยกมานั่งคนเดียวอีกแล้วนะครับ ผมเนี่ยตามหาซะทั่วเลย พี่ๆ คนอื่นเค้าก็เป็นห่วงกัน” น้องมีนได้รับหน้าที่ให้มาดูแลพี่ปั้นโดยเฉพาะ เพราะอยู่ในฐานะเพื่อนร่วมงานที่สนิทกับพี่ปั้นที่สุด คนอื่นๆ เลยฝากฝังมา
“พี่ไม่เป็นไรหรอก”
“แน่ใจนะครับ?” เด็กหนุ่มสีหน้าไม่สบายใจเท่าไหร่นัก เพราะเห็นแววตาของคนพูดมันสวนทางกับความรู้สึกที่ตัวเองสัมผัสได้ เขารู้ว่าพี่ปั้นพยายามปกปิดอาการ ไม่อยากให้ใครเป็นห่วงแต่มันไม่สามารถโกหกสายตาคู่นี้ได้หรอก
“ไม่เป็นไรจริงๆ”
ยิ่งมีคนห่วงใยมากเท่าไหร่ เขาเองยิ่งรู้สึกอ่อนแอลงเท่านั้น บางทีสิ่งที่อยู่ในใจนี้ควรถูกระบายออกไปบ้าง อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องทนแบกรับมันไว้คนเดียว
น้องมีนเห็นใบหน้าของพี่ปั้นเริ่มอ่อนลง และน้ำตาก็ไหลออกมาหลังจากนั้น เขาเองที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนรู้สึกตกใจไปไม่น้อยเลย พยายามกอดปลอบและสรรหาคำพูดอื่นมาช่วยปลอบ แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้นเลย
เป็นจังหวะเดียวกันที่พี่มะลิเดินเข้ามา และการปรากฏตัวของผู้ชายอีกคนที่มาพร้อมกันนั้นทำให้น้องมีนแปลกใจยิ่งกว่า   
คนที่พี่ปั้นเคยบอกว่าเขาเป็นเพื่อนตอนสมัยเรียน…
“ปั้น!” ในนาทีนั้นรดิศรีบเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เล่นเอาคนอื่นๆ ที่ตามมาทีหลังต่างรู้สึกแปลกใจไปไม่น้อยกับคนที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของรุ่นน้อง
น้องมีนหลีกทางให้โดยอัตโนมัติเมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยและความรู้สึกพิเศษที่มาจากผู้ชายคนนี้ ทุกคนได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ เฝ้ามองการกระทำของเขาด้วยคำถามมากมายในใจ
เจ้าของอ้อมกอดที่สามารถทำให้คนๆ นึงสงบลงได้ แม้ไม่พูดอะไรออกมาเลยก็ตาม
 
........................................................
 
 

หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 17 : ไม่แน่ใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 09-01-2018 12:37:38

 ตอนที่ 17 ไม่แน่ใจ
 
 
 


 
“สวัสดีครับ”
เย็นวันนั้นในขณะที่ทุกคนกำลังเก็บอุปกรณ์หลังจากเสร็จภารกิจระบายสีตัวการ์ตูนบนกำแพง มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาถามถึงน้องปั้น พี่ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ให้ความสนใจบุคคลมาใหม่เป็นอย่างมาก เขาทั้งหล่อแถมยังพูดจาสุภาพ บรรดาสาวๆ แถวนั้นต่างพากันมองเป็นการใหญ่
“อ้อใช่ๆ ฉันจำคุณได้แล้ว เพื่อนน้องปั้นนี่เอง รู้สึกว่าปั้นน่าจะอยู่แถวๆ นี้ล่ะค่ะ ถ้าอยากเจอเดี๋ยวฉันพาไปก็ได้นะ” พี่มะลิเป็นคนรับคำ เธอเผลอพูดจาติดๆ ขัดๆ เพราะรู้สึกตื่นเต้น ได้เจอกันแค่ครั้งสองครั้งแต่กลับแพ้เสน่ห์ของผู้ชายคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณครับ” รดิศยิ้มให้และขอบคุณ เขาเดินตามพี่มะลิไปด้วยความหวังว่าปั้นเองก็คงไม่รังเกียจที่จะเจอเขาอีก หากลองนึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่ผ่านมา สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ปั้นเคยทำมาก่อนแล้วทั้งนั้น หลายคนเคยพูดไว้ว่าคนอย่างเขามันสมควรที่จะถูกทิ้งเข้าสักวัน โทษฐานที่ทำให้ใครเจ็บมานักต่อนัก ไม่อยากจะเชื่อว่าตอนนี้มันเป็นเช่นนั้นแล้วจริงๆ
เจ้าของร่างที่คุ้นเคยนั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อนไม่ใกล้ไม่ไกล ใบหน้าที่มีแต่คราบน้ำตาเห็นแล้วรู้สึกใจหาย
“ปั้น!” รดิศรีบเข้าไปหาทันทีด้วยความเป็นห่วง กอดอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ นับเป็นครั้งแรกที่ปั้นไม่ได้ขัดขืน ยินยอมให้เขาทำหน้าที่นั้นแต่โดยดี
ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างกัน ราวกับว่าสิ่งที่ต้องการจะเอ่ยมันกำลังถูกถ่ายทอดผ่านทางอ้อมกอด ต่างคนต่างรับรู้มันได้อย่างง่ายดาย ท่ามกลางสายตาหลายคู่กำลังมองมา ความสัมพันธ์พิเศษที่ซ่อนอยู่ในนั้นไม่ว่าใครต่างสัมผัสได้ มันมากมายเกินกว่าจะเข้าใจ
เสียงร้องไห้ค่อยๆ สงบลงแล้ว ดวงตาบวมช้ำจ้องมองเจ้าของอ้อมกอดด้วยใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจเริ่มผิดปกติ การที่มีรดิศอยู่ใกล้ๆ ปั้นยอมรับว่าควบคุมใจตัวเองลำบาก
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
“ช่างเถอะ” ปั้นขยับออกห่างจากเขา ไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
“นาย...”
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ ปั้นใช้จังหวะตอนที่ทุกคนเดินออกไปแล้วตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจและเฝ้าคิดทบทวนมาตลอด ถ้าไม่พูดไปตอนนี้เขาคงต้องทนอยู่กับความทุกข์ในใจนี้ไปอีกนาน
“เรื่องของเราสองคนให้มันจบลงตรงนี้ได้มั้ย?”
เป็นคำพูดที่กรีดแทงหัวใจคนฟังเหลือเกิน ราวกับว่าสิ่งที่หวังไว้ทั้งหมดมันกำลังพังทลาย
“พี่อธิน...รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว”
“อย่างนั้นเหรอ...” เขาฝืนรับคำด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ ไม่แสดงอาการเจ็บช้ำใดๆ ให้เห็น ต่างจากความจริงในใจดวงนี้
...มันกำลังทรมาน
 “เราไม่อยากทำให้เขาเสียใจ มันคงจะดีกว่าถ้าเราสองคนไม่เจอกัน ดิศเข้าใจใช่มั้ย?”
ในสมองว่างเปล่า...เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับไร้ความรู้สึก
พยายามมาเจอหน้าทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่อยากเจอ เรียกร้องให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมทั้งที่ไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้เลย มีแต่ทำร้ายจิตใจกันมาตลอด
กว่าจะเข้าใจความหมายของมัน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะสายเกินไป รดิศยืนมองแผ่นหลังที่เริ่มไกลห่างด้วยความเจ็บปวด
 “แล้วฉันล่ะ ฉันเองก็เสียใจ...”
 
 
………………………………………………
           
 
“เพื่อนพี่ปั้นคนนั้นดูเขาเป็นห่วงพี่มากจริงๆ นะครับ” น้องมีนอาบน้ำเสร็จแล้วเห็นพี่ปั้นยังไม่หลับก็เลยชวนคุย จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ช่วงเย็นที่ผ่านมาทำเขาคาใจไม่หาย ผู้ชายคนนั้นดูไม่เหมือนจะเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ที่สังเกตได้คือดวงตาคู่นั้นตอนที่มองพี่ปั้นมันอ่อนโยนและอบอุ่นแค่ไหน รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่มีอยู่ พอเหลือบมองคนบนเตียงกลับพบว่าพี่ปั้นหลับไปแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเห็นนอนดูรูปภาพในโทรศัพท์อยู่เลย
พอหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เจ้าตัวก็ล้มตัวลงนอนบ้าง เมื่อภายในห้องเงียบลง คนที่คิดว่าหลับไปแล้วกลับลืมตาขึ้นมา
มีเพียงอย่างเดียวที่เขาไม่อยากให้ใครรู้...คือความรักที่มีให้รดิศว่ามันมากมายแค่ไหน และเจ็บแค่ไหนที่ต้องฝืนพูดคำนั้นออกไป
ให้ทิ้งพี่อธินไป ปั้นทำไม่ได้ ที่ผ่านมาคนที่คอยช่วยเหลือมาตลอดก็คือเขา รู้ว่าพี่อธินรักเขามากแค่ไหน สิ่งที่ทำผิดไปมันก็เหมือนทรยศต่อความรักที่เขามอบให้ ปั้นไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนแบบนั้น
เพราะเป็นแบบนี้เขาถึงต้องเลือก
ร่างบางพยายามข่มตานอนหลับทั้งที่ในหัวมีแต่เรื่องพวกนี้คอยรบกวนอยู่ตลอดเวลา
ถ้าไม่มีเขา ก็คงตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ควรยุติความสัมพันธ์เอาไว้แค่นั้นพอ
หวังว่าจะเข้าใจ...
ปั้นนอนไม่หลับเมื่อนึกถึงสีหน้าของรดิศตอนที่ได้ยินคำนั้น เดาไม่ออกว่าภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยซ่อนอะไรอยู่ นิ่งเพราะเก็บอาการ หรือนิ่งเพราะ...ไม่ได้รู้สึกอะไรหากเราสองคนจะอยู่ในสถานะคนไม่รู้จัก
            คิดได้แบบนั้นภายในใจก็ร้อนรุ่มไปหมด ถ้าเป็นอย่างหลังล่ะก็...
ปั้นลุกจากที่นอนเดินออกไปนอกระเบียง นอนไม่หลับ ทั้งที่ตัดสินใจไปแล้วแต่มันก็ยังสับสน
 
..................................................
 
            ตั้งแต่กลับจากกระบี่ครั้งนั้น สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างปั้นกับพี่อธินก็เริ่มลดลง แต่มีเพียงบางเวลาเท่านั้นที่ปั้นรู้สึกมีอะไรแปลกไป รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นพี่อธินมีสิทธิ์โกรธ เพราะฉะนั้นแล้วเขาก็ควรยอมรับ
            “ไงอธิน ไม่เจอกันนานเลยนะเรา”
            “ครับพี่วัฒน์ พี่เองก็สบายดีนะครับ”
            “ก็เรื่อยๆ น่ะ ช่วงนี้อยู่คนเดียวมันก็เลยเหงาๆ เออ ว่างๆ ไปดื่มด้วยกันหน่อยมั้ย?”
            “ครับ”
            ปั้นยืนรอพี่อธินคุยกับเพื่อน ระหว่างนี้ตัวเองก็เลยได้โอกาสเดินไปรอบๆ นิทรรศการที่จัดแสดงผลงานทางด้านศิลปะ พี่อธินเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมแสดงผลงานในสาขาภาพถ่าย งานนี้ปั้นเลยได้โอกาสมาด้วย
            สายตาสะดุดเข้ากับภาพๆ หนึ่ง ลายเส้นที่ดูคุ้นตาเหลือเกินในผลงานที่ใช้ชื่อว่า ‘จูบแรก’ ปั้นยืนมองริมฝีปากเรียวบางในภาพนั้นอยู่นานราวกับต้องมนต์ แล้วจู่ๆ ความรู้สึกหนึ่งก็พุ่งเข้ามา แต่เพียงไม่นานก็ถูกเสียงหนึ่งขัดขึ้น ทำลายสมาธิ
            “ชอบเหรอ?” พี่อธินเดินมายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ใบหน้าเรียบสนิท ปั้นเดาไม่ออกว่าอาการนั้นมันหมายถึงอะไร แต่รับรู้ถึงอารมณ์กรุ่นโกรธที่ซ่อนลึกในดวงตา
            “ผมเห็นว่ามันสวยดีน่ะครับ” ปั้นเอ่ยชมแล้วก็เดินออกไป สายตาคมเข้มตวัดมองชื่อเจ้าของผลงาน ที่ติดอยู่ข้างๆ คนรักของเขาคงยังไม่ทันได้สังเกต ตอนนั้นอธินได้แต่กำหมัดแน่นอย่างแค้นเคือง 
            “ผมชอบรูปนี้ของพี่จังเลยครับ”
            “งั้นเหรอ..พี่ดีใจนะที่ปั้นชอบ”
            “ทำไมถึงให้ชื่อว่า‘ความลับ’ล่ะครับ...” มันขัดแย้งกันยังไงชอบกล พี่อธินกำลังสื่อถึงอะไรกันแน่ ปั้นมองกี่ทีก็ไม่เข้าใจ รู้เพียงแต่ว่ามันสวย กลมกลืน ไร้ที่ติ
            พระจันทร์ที่ลอยเด่นเป็นสง่าบนท้องฟ้ายามราตรี นั่นแหละคือความลับที่เขาต้องการจะบอก สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังเมฆ ไม่ได้เปิดเผยเสียทีเดียวและก็ไม่ได้ซ่อนไว้จนไม่มีใครมองเห็น
ทั้งหมดมันหมายถึงตัวตนของเขาเอง...
“แล้วปั้นคิดว่าไงล่ะ?”
“ก็...ลึกลับ อบอุ่น น่าค้นหา อย่างนั้นล่ะมั้งครับ”
“เป็นนักวิจารณ์ที่ดีเลยนะเนี่ย” อธินอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปยีหัวคนตัวเล็กกว่าอย่างรักใคร่ ที่ผ่านมาเขาต้องทนทุกข์อยู่กับมันมานานเท่าไหร่ แต่พอได้ยินอะไรแบบนี้แล้วมันทำให้ใจสงบขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
“ขอบใจนะ..”
“ขอเป็นมื้ออร่อยๆ เป็นของตอบแทนดีกว่ามั้ยครับ” คนรักยังทำหน้าที่อ้อนได้ดีกว่าใคร หลังจากพูดคุยหยอกล้อกันอยู่สักพัก ทั้งคู่ก็เดินออกมาจากหอศิลป์รีบตรงไปยังร้านประจำของตัวเองทันที
 
ผู้ชายที่มีตัวตนคล้ายพระจันทร์ในยามค่ำคืนและภาพถ่ายที่ใช้ชื่อว่า ‘ความลับ’ ทั้งหมดกำลังจะถูกเปิดเผยในอีกไม่ช้า
 
           
          “ตามติดไว้ อย่าปล่อยให้คลาดสายตา!” นั่นเป็นเสียงสั่งการของเขาหลังจากที่ปลายสายโทรมารายงานความคืบหน้าหลังจากได้รับมอบหมายให้คอยติดตามคนรักของเจ้านายมาตลอดทุกฝีก้าว ไม่ว่าจะทำอะไร ที่ไหน โดยห้ามไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวเด็ดขาด
          ไม่ใช่เพราะอธินไม่ไว้ใจ แต่เขาอยากแน่ใจในอะไรบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าทุกความเคลื่อนไหวที่เขารู้ มันทำให้เขาเจ็บเจียนตายแค่ไหน แต่คนเจ็บก็ยังไม่ชาชินสักที เป็นเพราะรักที่ทำให้เขาอดทนถึงขนาดนี้
“ครับ คุณอธิน”
หลังจากวางสายจากลูกน้องคนสนิท มันทำให้เขารู้ว่าไอ้เด็กนั่นมันตามไปเจอคนรักของเขาไปถึงค่ายที่กระบี่ อย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด หมาลอบกัดอย่างมันก็เป็นได้แค่หมาลอบกันอยู่วันยังค่ำ
เขาไม่อาจทนฟังรายละเอียดจากคนของเขาที่เล่าให้ฟังจนจบได้ เพราะเพียงแค่รู้ว่าสองคนนั้นเจอกัน ความรู้สึกของเขาก็เหมือนคนโดนเผาให้ตายทั้งเป็น
มันเจ็บมาก จนไม่รู้จะระบายออกมายังไง
มือแกร่งกำแน่นจนมันขาวซีด อธินทุบมันลงบนโต๊ะทำงานเสียงดังสนั่น ข้าวของที่อยู่บนโต๊ะกระจัดกระจาย นึกถึงใบหน้าของคนรักก็ยิ่งเจ็บกว่าการทำร้ายตัวเองเป็นไหนๆ
เขาไม่อาจยอมรับว่าปั้นยังไม่ลืมมัน และก็ไม่อาจทนอยู่กับความจริงที่ว่า เขาเป็นผู้แพ้มาตลอด
ทั้งที่หวังว่าสักวันปั้นจะเปลี่ยนใจมารักเขา แต่ความจริงแล้วรักที่เขาคว้ามามันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ไอ้รดิศมันได้ไป
ห้าปีของเขากับระยะเวลาแค่หนึ่งปีของมัน น้ำหนักของความรักเทียบกันไม่ติดเลย
พอกันที...
เขาร้องบอกตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน ว่าไม่ควรหลงผิดหวนกลับไปใช้วิธีต่ำๆ อย่างที่แล้วมา แต่คนอย่างเขาในเมื่อต้องการสิ่งใดแล้วมันก็ต้องได้สิ่งนั้น เขายอมมาตลอดให้กับความรัก หากจะย้อนกลับไปใช้วิธีแบบนั้นเพื่อตัวเองอีกสักครั้ง...คงไม่ผิด
 
 
            “รู้มั้ย ทำไมพี่ถึงชอบปั้น” ในระหว่างที่คนรักกำลังง่วนอยู่กับการย่างเนื้ออยู่บนเตา สบโอกาสอธินก็เริ่มพูดในสิ่งที่ต้องการทันที
            “ครับ?” คนฟังกำลังเขินแต่ถึงอย่างไรก็ไม่หลบตา จ้องฝ่ายตรงข้ามรอฟังในสิ่งที่พี่อธินกำลังบอก
            “ดวงตา จมูก ริมฝีปาก แก้ม มีใครเคยบอกเรารึเปล่าว่าเราน่ารักแค่ไหน”
            “เอ่อ...พี่อธิน”
            “นั่นมันก็แค่ภายนอก แต่รู้มั้ยจริงๆ แล้วพี่ชอบอะไร?”
            คราวนี้คนฟังได้แต่ส่ายหัว ปั้นหันมาสนใจเนื้อที่กำลังสุกบนเตาเมื่อเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่พี่อธินจะพูดหลังจากนี้คืออะไร
            “พยายามทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรัก โดยไม่สนว่าเขาจะคิดยังไง” ประโยคนี้ของพี่อธินทำเอาปั้นนิ่งและครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าคนรักกำลังจะพาดพิงถึงใครหรือเปล่า?
            “เหรอครับ?”
            “แล้วถ้าพี่จะเอาอย่างเราบ้างล่ะ...จะได้มั้ย?”
นั่นเป็นคำถามที่ปั้นยังไม่ทันได้ตอบ พี่อธินก็พาเปลี่ยนเรื่องไปเสียก่อน จะว่าไปเขาก็ลืมไปหมดแล้วว่าตัวเองเคยเป็นคนแบบนั้นมาก่อน เรื่องที่เขาเคยพยายามเพื่อความรักมันก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้เรื่องแบบนั้นมันแทบจะไม่มีแล้วในชีวิต ตั้งแต่คบกับพี่อธินสิ่งที่เขาทำมาตลอดนั่นก็คือการตอบแทนรักที่อีกฝ่ายมอบให้
ซึ่งมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
 
............................................................
 
            ไม่กี่วันหลังจากนั้นพี่อธินก็ง่วนอยู่กับการแต่งห้อง ข้าวของทุกชิ้นล้วนแต่ถูกสั่งมาใหม่ทั้งสิ้น โทนสีขาวดำทำให้บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่ปั้นกลับมาจากที่ทำงานมักจะทำให้เขารู้สึกเหมือนเข้าห้องผิดอยู่เรื่อย
            “ภาพถ่ายที่แขวนไว้ตรงนี้ พี่เก็บมันไปแล้วเหรอครับ?” เขาจำได้ว่ามันเป็นภาพของพี่อธินเองโดยคนถ่ายก็คือเขา
            “พี่อยากได้รูปใหม่น่ะ” คำตอบสั้นๆ ทั้งยังไม่ยอมละจากหน้าจอคอม ทำให้คนถามเริ่มมีทีท่าน้อยใจ ไม่ใช่เพราะถูกละเลยแต่เป็นเพราะคำตอบแบบนั้นต่างหาก
            ถึงอธินจะไม่หันมามองแต่ก็รับรู้ได้ถึงอาการผิดปกติของคนรัก เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนไปนั่งเล่นบนโซฟาเขาก็จำเป็นต้องเฉลยเหตุผลจริงๆ ของมันออกมา
            “คราวนี้พี่อยากได้เป็นภาพเขียนของปั้นน่ะ”
            “ผมเหรอ?”
            “พี่นัดเขาเอาไว้แล้ว น่าจะไม่เกินอาทิตย์นี้”
            “แต่ผมไม่ถนัดเป็นแบบให้ใครนะครับ”
            “เรื่องนั้นปั้นไม่ต้องกังวลหรอก...” คนรักหันมามองกันเพียงนิด ก่อนจะหันกลับไปสนใจงานตัวเองต่อ
            ไม่ใช่ว่าปั้นเขินหรืออะไร แต่เป็นแบบนี้แล้วมันชวนให้นึกถึงใครบางคนทุกที
ครั้งสุดท้ายที่เคยนั่งเป็นแบบน่ะเหรอ ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ไม่ลืมเลยล่ะ...
 
 
 
 
 
 
..................................................
  เรามาหายใจเข้าลึกๆ อดทนอีกนิดกับดราม่าเฮือกสุดท้ายยย ฮึบฮึบ ใกล้แล้ว มันใกล้สิ้นสุดแล้ว หลังจากนี้จะได้หายใจกันคล่องๆ ซะที ฮ่าๆ
 

หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ฟังเสียงหัวใจของฉัน : 16,17
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 11-01-2018 17:52:16
รออย่างใจจดใจจ่อเลย ใกล้จะระเบิดแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 18 : ระหว่างเรา
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 12-01-2018 10:31:48
ตอนที่ 18 ระหว่างเรา




อธินไปส่งปั้นที่โรงแรมรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ซึ่งถ้าจำไม่ผิดปั้นเคยมากับอาดาวเมื่อหลายปีที่แล้ว เจ้าของโรงแรมที่เคยรู้จักรู้สึกจะชื่อคุณพิมพ์ภาดา พี่อธินบอกว่าเขาชอบวิวของที่นี่ก็เลยนัดจิตกรคนนั้นไว้
“ไม่อยู่ด้วยกันก่อนเหรอครับ?”
“พี่ต้องรีบไปส่งงานให้ลูกค้าครับ ตอนเย็นๆ ไว้พี่กลับมาดูผลงานนะ”
“ครับ..” เป็นการตอบรับที่ไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำเท่าไหร่นัก ถ้ามีพี่อธินอยู่ด้วยปั้นคงรู้สึกมั่นใจมากกว่านี้
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในรีสอร์ท แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้ากระทบกับน้ำในสระที่มีภาพเบื้องหลังเป็นทะเล ปั้นตกตะลึงกับความงดงามของมันอยู่ครู่ใหญ่
“ผมต้องทำยังไงบ้างครับ?” ปั้นเอ่ยถามคุณจิตกรรูปร่างสูงใหญ่คนนั้น ดูท่าทางเขาคงกำลังยุ่งมาก มือง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอุปกรณ์จนไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครเข้ามาในห้องบ้าง ปั้นเองก็แอบเสียมารยาทไปไม่น้อยเมื่อเอาแต่มองรูปร่างของเขาผ่านทางเสื้อยืดสีขาวตอนแสงแดดลอดผ่าน มันทั้งบางและโปร่งจนเห็นไปถึงร่างกายแข็งแกร่งนั่นอย่างชัดเจน
“ถอดเสื้อแล้วนอนลงไปบนเตียงนั่นเฉยๆ ก็พอ” ชายหนุ่มทบทวนรายละเอียดของงานแล้วเริ่มสั่ง “อ้อ...ไม่สิ! แฟนคุณเขาคงจะชอบมากกว่าถ้าได้เห็นคุณเปลือยทั้งตัว” เจ้าของประโยคที่ทำเอาคนฟังยืนอึ้งไปกว่านาทีค่อยๆ หันมามองผู้จะมาเป็นแบบ
ดวงตาคู่สวยสอดประสานด้วยความตกตะลึงพร้อมทั้งเกิดคำถาม
“นะ...นาย อยู่ที่นี่ได้ยังไง!!”
รดิศเดาะพู่กันในมือเล่นด้วยความขบขันเมื่อเจอปั้นยืนอยู่ตรงหน้า คิดว่าไม่มีสิ่งใดตลกเท่านี้อีกแล้ว
ผู้ว่าจ้างงั้นเหรอ...
ทั้งเขาและปั้นคงตกหลุมพรางของมันเข้าให้แล้ว
“แล้วนายล่ะ...คิดว่ามันเป็นไปได้ไง?” เขาเห็นอาการลนลานสะท้อนภายในดวงตาคู่นั้น ความกลัวของคนตรงหน้ามากมายเสียจนเขารับรู้ได้
อธินช่างเลือกวิธีทำร้ายได้เด็ดขาดเหลือเกิน...
ปั้นเชื่อว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่อธินจงใจ เจ้าตัวอาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าจิตกรที่ตัวเองติดต่อมาถูกสลับตัวกับรดิศแล้ว
“ฝีมือนายใช่มั้ย?”
แล้วความผิดก็ถูกโยนลงที่เขาจนได้
“นายไม่คิดว่าสิ่งที่เราทำมันอยู่ในสายตาหมอนั่นตั้งแต่แรกเหรอ? ดูไม่ออกรึไง! ว่าไอ้อธินมันจงใจจะทำอะไร? ให้ฉันมาเจอนายได้โดยที่ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ”
ต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นว่ามันอยู่เหนือกว่าใครๆ คอยควบคุมหมากทุกตัวในกระดาน ที่เลือกยืนนิ่งๆ ไม่ทำอะไรจนดูเหมือนตัวเองกำลังเสียเปรียบ ที่จริงแล้วมันตั้งใจรอเอาคืนทีหลังมากกว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่ามันเป็นคนตัดสินใจ
“แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร” และในฐานะที่เหนือกว่า มันไม่มีทางปล่อยของสำคัญให้กลับมาหาเขาแน่นอน
“ในเมื่อมันใจดีเปิดโอกาสให้เจอกันขนาดนี้ เราควรจะตอบแทนในสิ่งที่มันต้องการนะว่ามั้ย?”
“นี่ไม่ใช่เวลาจะมาล้อเล่นนะดิศ ถ้าเป็นแบบนั้นนายก็ควรกลับไปซะ! แล้วก็ทำอย่างที่เคยตกลงกันไว้สิ!”
เห็นไหม...หมอนั่นเดาเกมไว้ถูกทุกทาง
มันรู้ว่าปั้นไม่มีทางทำร้ายคนอย่างมันแน่นอน อาศัยจุดอ่อนนี้และบีบให้ปั้นตัดขาดความสัมพันธ์จากเขา
ร้ายกาจจริงๆ
แต่ในทางกลับกัน กลับทำให้เขาเห็นช่องโหว่ที่ซ่อนอยู่ในนั้น...
อะไรที่ทำให้ไอ้อธินหันกลับมาใช้วิธีสกปรกแบบนี้อีกครั้ง แสดงว่าที่ผ่านมามันเองก็คงทรมานมากไม่ต่างกัน
ต้องขอบใจความร้ายกาจของมันซะแล้วล่ะมั้ง! ที่ช่วยชี้ทางทำให้เขามองเห็นอะไรบางอย่าง
“ฉันจะทำแบบนั้นก็ต่อเมื่อนายยอมตอบคำถามข้อนี้...” คนๆ เดียวที่จะตัดสินทุกอย่าง ระหว่างเขากับมันไม่มีใครเหนือไปกว่ากันถ้ายังไม่ได้เป็นฝ่ายถูกเลือก
ความเป็นไปได้ที่ปั้นจะเลือกเขาแทบจะกลายเป็นศูนย์ เขาอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ แต่เหตุผลอะไรเล่าที่ทำให้คนสมบูรณ์แบบอย่างไอ้อธินถึงได้ร้อนรนเช่นนี้
มันเองก็คงได้รู้อะไรดีๆ เข้าแล้วสินะ...
 “นายยังรักฉันอยู่มั้ย?” รดิศเร่งเร้าเอาคำตอบด้วยการรุดเดินเข้ามาใกล้ๆ ฝ่ายคนถูกถามทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็ง นอกจากนิ่งจนไม่ขยับแล้ว ดูเหมือนว่าระบบต่างๆ ในร่างกายคล้ายจะหยุดทำงานไปด้วย
“มันไม่ยากเลยนะ...แค่ตอบมาตามความรู้สึก” มือข้างหนึ่งวางทาบลงบนฝาผนัง ทั้งห้องกว้างดูแคบไปถนัดตาเมื่อลมหายใจปะทะลงบนแผงอกแกร่งแล้วไอร้อนของมันสะท้อนกลับมา
“เราไม่...”
“ตอบให้มันชัดถ้อยชัดคำหน่อยสิ...” รักก็ควรจะบอก ถ้าไม่รักก็พูดให้ดังๆ รดิศยืนมองภาพตรงหน้าอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะแก้มที่ถูกแต้มด้วยสีแดงจางๆ นั่น มันทำให้ปั้นดูน่ารักจนไม่อาจละสายตา
ผลงานชิ้นนี้ของนายรดิศยอดเยี่ยมจนคุณชาญต้องยกนิ้วให้เลยล่ะ
“ดิศ!” คนตรงหน้าเรียกชื่อเขาออกมาอย่างจนใจ
“5 ปีมันก็มากพอนะสำหรับการลืมใครสักคน แล้วฉันก็รู้ว่าตัวเองก็ไม่ได้ดีพอจนขนาดที่ทำให้นายอยากจดจำ ฉันแค่อยากรู้....ว่าตอนนี้นายรู้สึกยังไงบ้าง...” เมื่อปั้นยังเงียบเขาจึงถามต่อ
“เกลียดรึเปล่า?”
รดิศเหลือบไปมองนาฬิกาบนโต๊ะ เหมือนตัวเองเป็นคนบ้าเมื่อรู้ตัวว่าพูดคนเดียวมาเกือบยี่สิบนาที
“ปั้น...จนกว่าหมอนั่นจะมา ฉันเหลือเวลาแค่นี้จริงๆ นะ” เขากำลังอ้อนวอนในสิ่งที่คิดว่าไม่มีทางจะเป็นไปได้ ทั้งที่คิดว่ามันคงง่าย แต่เมื่อเจออาการนี้ของอีกฝ่าย และเพราะปั้นไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายความรู้สึกใครด้วยแล้ว บางทีคำตอบ...อาจจะแฝงอยู่ในความเงียบนั้น
“ช่างมันเถอะ...ฉันยอมแพ้!”
ปั้นยืนมองรดิศเก็บอุปกรณ์วาดภาพโดยตนเองพูดอะไรไม่ออกสักคำ อาการแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นเมื่อห้าหกปีก่อน
จำได้ว่าเจอกันครั้งแรกตัวเองก็เกิดอาการใบ้กินแบบนี้
เพราะอะไรนะ...
ปั้นลืมตัวเผลอยกมือขึ้นแนบแก้ม อุณหภูมิที่สัมผัสได้มันร้อนพอๆ กับแดดตอนกลางวัน
นี่เรากำลังเขินเหรอ?...
“ปั้น...” เสียงเรียกนี้ทำเอาร่างที่ยืนอยู่มุมห้องตื่นจากความคิด แล้วประโยคถัดมาก็ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เขาพูดประโยคเดียวกับที่ปั้นเคยร้องขอ...ในอดีต
“ถ้าฉันจะขอกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมล่ะ ได้มั้ย?”
“คิดว่ามึงยังมีโอกาสนั้นอีกเหรอ!!”
“พี่อธิน!!!...”
ร่างสูงเข้ามาหยุดอยู่กลางห้อง ใบหน้าเรียบเฉยมองคนทั้งสองอย่างไม่สามารถคาดเดาความคิด
“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่มึงจะได้ทำอะไรแบบนี้!!” เสียงเย็นเยือกบอกกับรดิศที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากคนของเขา
“ส่วนเรา...ออกไปรอพี่ข้างนอก!” ประโยคหลังอธินหันมาสั่งกับคนรัก ปั้นหายใจไม่ทั่วท้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินคำสั่งก็ไม่รีรอ

“เป็นแผนของมึงใช่มั้ย?” รดิศมองผู้มาใหม่อย่างคนรู้ทัน
“ไม่จำเป็นต้องบอก สิ่งที่มึงควรจะรู้ไว้ตอนนี้ก็คือเลิกยุ่งกับคนของกูสักที!”
“เหอะ! กูน่าจะเป็นคนพูดคำนั้นมากกว่า!!”
“ไอ้ดิศ!” เพียงประโยคเดียวแต่ทำเอาคนที่ตั้งสติได้ดีกว่าใครถึงกับฉุนขาด อธินกระชากคอเสื้อของรดิศพร้อมกำหมัดไว้แน่น อีกฝ่ายจ้องเขม็งอย่างไม่กลัวอะไรใดๆ
ถ้าอธินมั่นใจในรักของปั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาวิธีมากำจัดเขาออกไปให้ยุ่งยาก แม้มีเขาอยู่แต่ในเมื่อปั้นไม่ได้รักมันก็ไม่มีค่าอะไร ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
“กูจะบอกอะไรมึงไว้อย่าง ต่อให้มึงขังปั้นไว้ยังไง ที่มึงทำได้มันก็แค่ร่างกายเค้าเท่านั้นแหละไม่ใช่หัวใจ! แล้วก็หยุดใช้วิธีสกปรกๆ แบบนี้สักที! ไม่ใช่แค่มึงคนเดียวหรอกที่รักเค้า! กูเองก็รัก!!...” ประโยคสุดท้ายนั้นหนักแน่น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เพราะไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน สิ้นสุดจากการกระทำทั้งหมดแล้ว คนเดียวที่รับความเจ็บช้ำไปนั่นก็คือคนที่พวกเขารัก
เขาไม่อยากให้ปั้นเสียใจเหมือนอย่างที่ผ่านมา…

รดิศสะพายกระเป๋าตัวเองเดินออกจากห้องพัก เห็นใครอีกหนึ่งกำลังยืนอยู่ เขามองภาพนั้นอีกครั้งราวกับต้องการบันทึกมันไว้ในความทรงจำ
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีแต่ความเงียบมันช่างยาวนาน รดิศยังคงรอฟังอะไรบางอย่าง คำๆ เดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ แค่ปั้นบอกว่ารัก เขาพร้อมจะทำให้ปั้นกลับมาเป็นของเขาได้ในตอนนี้ แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้สนใจกัน มันทำให้ความมั่นใจค่อยๆ ลดลงไป
รักที่ไม่สมหวัง...ตอนนี้คงต้องบอกลากันอย่างจริงๆ จังๆ เสียที
“ฉันต้องไปแล้ว” ประโยคสั้นๆ แต่หลากหลายความหมาย ไม่รู้ว่าคนฟังจะเข้าใจมันรึเปล่า เพราะเขามันไม่ได้เรื่อง ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่มีปัญญายื้ออีกฝ่ายไว้ได้ หลังจากนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่โอกาสนั่นจะวนกลับมาอีก
แผ่นหลังที่แสนคุ้นเคยของรดิศค่อยๆ ห่างออกไป บนทางเดินเล็กๆ แห่งนี้ นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่ปั้นทำได้แต่คอยมอง
คงต้องปล่อยเขาไปใช่ไหม...
แต่ทำไม...ภายในใจกลับร่ำไห้ คล้ายคนกำลังหมดแรง

“พี่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?” เสียงของพี่อธินทำให้ปั้นต้องละสายตาจากภาพตรงหน้า อีกฝ่ายรู้ดีว่าคนรักกำลังรู้สึกอย่างไร เพราะแววตาที่ไม่สามารถโกหกกันได้
“ที่มีอะไรกับมันปั้นรู้สึกอะไรรึเปล่า?”
“พี่อธิน!...” 
“ตอบคำถามพี่!!”
ปั้นเงียบไปชั่วอึดใจ ลำคอตีบตัน กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ผม...ไม่ได้รู้สึกอะไร...”
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี! หลังจากนี้พี่จะได้สบายใจ” น่าแปลกที่กลับรู้สึกดีเมื่อได้ยินคำโกหกนั้น คงเพราะหลอกตัวเองมานานเกินไปถึงทำให้กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
“ที่ผ่านมาพี่ไม่เคยบังคับใจเราเลย แต่ต่อไปนี้พี่คงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว ปั้นเข้าใจใช่มั้ย”
ห้ามมองใคร ห้ามคิดถึงใครอีก ให้มีแต่เขาคนเดียว
   “ครับ”
คงต้องยอมจำนน สงสารก็แต่หัวใจที่ไม่เคยมีโอกาสได้รักใครอย่างที่มันต้องการเลย

...............................................

แกลลอรี่ของสองเพื่อนแสบเวลานี้ไม่มีลูกค้า พวกเขาถึงได้ใช้มันเป็นที่ตั้งวงสนทนาหลังจากเพื่อนรักที่ไม่เจอหน้ากันมาพักใหญ่ปรากฏตัวพร้อมด้วยเรื่องทุกข์ใจไม่ต่างจากที่แล้วๆ มา
“ทำกับเขาเอาไว้เยอะ สุดท้ายก็ต้องมารับกรรมแบบนี้ล่ะว้า” นนท์ว่าไปตามเนื้อผ้า ถึงจะรู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อย แต่ก็อดนึกถึงสิ่งที่รดิศทำในอดีตไม่ได้
“โอกาสมึงมีเยอะมาก แต่มึงก็ไม่เคยเห็นค่า!”
พวกเขาในอดีตทำได้แค่คอยตักเตือน ไม่เคยก้าวก่ายในการตัดสินใจของเพื่อน แม้ไม่ชอบใจในสิ่งที่มันทำ พอเกิดปัญหาก็ไม่เคยคิดทิ้งกัน
“ดิศ! มึงน่ะยอมแพ้ง่ายไปป่ะวะ! ทำไมมึงไม่บอกความจริงน้องเค้าไปล่ะ?” บีมเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าหมองของมัน
“บอกไปแล้วจะทำอะไรได้”
“เอ้า! อย่างน้อยน้องปั้นก็ได้รู้ไงว่าไอ้อธินนั่นเคยทำเลวอะไรไว้บ้าง!”
   “กูไม่อยากเอาชนะใครด้วยวิธีแบบนั้น” ใครทำอะไรไว้ สักวันมันก็ได้รับผลตอบแทนเอง อย่างเช่นตัวเขาตอนนี้ยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นจึงทำได้แต่ก้มหน้ายอมรับความจริง
   “ถ้ามึงยังเชื่อมั่น สักวันเค้าก็ต้องกลับมา” บีมตบบ่าเพื่อนเพื่อให้กำลังใจ ทั้งสองคนปล่อยให้รดิศได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาอยู่ตามลำพัง เพราะเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา เขาถอนหายใจมองดูเพื่อนจากอีกมุมหนึ่งของร้าน รดิศซึมลงไปมากจนเพื่อนสนิทอย่างพวกเขารู้สึกใจหาย อยากช่วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ
   




...................................................................



มาต่อแล้วครับบบบ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 19 : เจ็บ ...ยิ่งกว่าเจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 13-01-2018 16:47:38
ตอนที่ 19 เจ็บ...ยิ่งกว่าเจ็บ
   
   
   
‘รัก’
คำๆ นี้มันช่างว่างเปล่าราวกับกลุ่มควันที่ลอยหายไปในอากาศ
ค่ำคืนแสนเหน็บหนาวที่มาพร้อมกับสายฝนหลงฤดู ตอกย้ำว่าตัวเองไม่เหลือแล้วสักอย่างกระทั่งคนที่รักจนหมดใจ
รดิศสอดการ์ดใบหนึ่งเก็บไว้ในลิ้นชัก ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนโซฟากลางห้อง เฝ้าฟังเสียงของสายฝนกำลังกระหน่ำจากทางหน้าต่างราวกับว่ามันต้องการจะบอกอะไรให้เขารับรู้ และใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา
ดวงตาคู่นั้นสะท้อนความรู้สึกที่อัดแน่นภายในใจยามเฝ้ามอง
“กว่าฉันจะรู้ตัว...นายก็หายไปแล้ว” หลับตาพูดกับคนที่อยู่ในความคิดด้วยความร้าวราน จากนี้ไปนี่คงเป็นบทเรียนที่เขาไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้เลย


...................................................

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นทำให้ปั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงใครอีก ไม่กล้าแม้แต่แอบซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในใจราวกับว่ากลัวพี่อธินจะล่วงรู้มันได้ ถึงอย่างนั้นไม่ว่าพยายามปิดกั้นตัวเองมากเท่าไหร่สุดท้ายแล้ว ยิ่งห้ามมันก็เหมือนยิ่งยุ
จะทำอย่างไรกับหัวใจดวงนี้
ห้าปีสำหรับการลืมใครสักคนคงมากพอที่จะไม่เหลือเรื่องราวและความรู้สึกใดๆ ระหว่างกันอีก แต่สำหรับปั้นที่ไม่เคยใช้เวลาทั้งหมดเพื่อลืมรดิศเลยกลับฝังใจอยู่จนทุกวันนี้ แม้การที่เขายอมเปิดใจให้พี่อธินได้เข้ามาเป็นเจ้าของแต่ทว่าลึกๆ นั้น มันยังคงยึดมั่นอยู่กับคนๆ เดียวมาตลอด
เฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมถึงยังรัก...
บางครั้งเหตุผลนับพันก็ไม่สามารถเอามาอธิบายความรู้สึกต่อคำสั้นๆ นี้ได้
รู้เพียงแต่ช่วงเวลาไม่นานกับเรื่องราวดีๆ เหล่านั้นสิ่งที่เขาสัมผัสได้มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขที่มาจากใจที่แท้จริง
กว่าจะรู้ตัวว่าเหม่อมองอยู่เนิ่นนานก็ตอนรถจอดลงหน้าร้านอาหารกึ่งร้านเหล้าแห่งหนึ่ง วันนี้เป็นวันเกิดของน้องมีนและแน่นอนว่าเลิกงานปุ๊บพี่ๆ ที่ทำงานทุกคนต่างก็รีบตรงไปยังร้านเป้าหมายทันทีตามกฏกติกาที่ได้ตั้งกันไว้ในกลุ่ม
สำหรับงานเลี้ยงคืนนี้คนดวงซวยก็คือพี่แม็กซ์ แม้ทุกคนจะแปลกใจกันอยู่ไม่น้อยทั้งๆ ที่พี่แม็กซ์ ออกจากที่ทำงานก่อนใครเพื่อนแต่กลับมาถึงร้านเป็นคนสุดท้าย มันดูเหมือนเป็นเรื่องจงใจเสียมากกว่า ทุกคนต่างคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่มีใครพูดออกมา
   เสียงเพลงในร้านดังกลบเสียงพูดคุย เวลาผ่านไปนานร่วมชั่วโมงคนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นเริ่มมีอาการฟุ้งซ่าน เพราะฤทธิ์เหล้าทำให้เขาแยกแยะเรื่องจริงกับสิ่งที่อยู่ในใจไม่ได้
   ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ชีวิตตอนนี้เหมือนถูกขังอยู่ในกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่ง ทั้งคับแคบ อึดอัด ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีความสุขอย่างที่มันควรจะเป็น
นับแต่นั้นมาเรื่องราวระหว่างเขากับพี่อธินก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย ถึงเราจะพูดคุยกันปกติแต่ก็ไม่สนิทใจอย่างแต่ก่อน ทั้งที่เขาก็พยายามสร้างบรรยากาศให้มันกลับมาเป็นเหมือนเก่า แต่ราวกับช่องว่างระหว่างพวกเราจะค่อยๆ ห่างกันเรื่อยๆ พี่อธินเองก็ระแวดระวังเขามากขึ้น ปั้นรู้ดีเสมอว่าความเชื่อใจของพี่อธินที่มีต่อเขามันลดลงตั้งแต่วันที่ฝ่ายนั้นรู้ความจริง ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนกับใคร หรือทำอะไรก็ตามพี่อธินต้องรับรู้ก่อนเสมอ

ชายร่างสูงปรากฏตัวท่ามกลางร้าน เพียงแค่เขาเดินมาไม่กี่ก้าวกลับสะดุดตาผู้คนเป็นอย่างมาก อธินเดินตรงมายังกลุ่มเพื่อนของตัวเองที่มักจะรวมตัวอยู่ที่นี่กันเป็นกิจวัตรประจำวัน
เพื่อนคนหนึ่งทักขึ้นเมื่ออธินนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มาถึงเจ้าตัวก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เอาแต่ดื่มเหล้าไม่สนใจคนข้างๆ เลย
“มีเรื่องทุกข์ใจขนาดนั้นเลยเหรอวะ?” ประโยคถามไถ่จากเพื่อนๆ แทบกลายเป็นธาตุอากาศ นอกจากอธินจะไม่สนใจรอบข้างแล้ว เขาทำเหมือนไม่อยากพูดจากับใคร ทั้งๆ ที่ออกมาที่นี่ก็เพราะไม่อยากอยู่ห้องคนเดียวในระหว่างที่ปั้นไปฉลองกับเพื่อนๆ
“ค่อยๆ สิอธิน เดี๋ยวก็เมาหรอก” วินซ์เป็นห่วงตามประสาคนแอบรัก เขาเห็นอีกฝ่ายกำลังเคร่งเครียดอย่างหนักแถมดื่มไปตั้งเยอะแบบนั้นก็อดห้ามไม่ได้
“นายอยู่เฉยๆ ได้มั้ย!”
“ทะเลาะกับแฟนมาอีกล่ะสิ! ถึงได้เหวี่ยงเป็นหมาบ้าแบบนี้”
“บอกให้หุบปากไง!”
“คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงนะอธิน!”
“จะไปไหนก็ไป!”
“เฮ้ย! ใจเย็นๆ ดิวะ” เพื่อนคนหนึ่งช่วยปรามเมื่อเห็นวินซ์เดินออกจากกลุ่มไปเพราะน้อยใจที่ถูกตะเพิด ทั้งที่ก่อนอธินจะมา เจ้าตัวยังหัวเราะร่าเริงอยู่แท้ๆ
“เดี๋ยวกูตามไปดูมันให้เอง!”
อธินพยายามระงับอารมณ์บ้าคลั่งของตัวเองด้วยการเลี่ยงไม่ตอบคำถามใคร เขาเลือกนั่งห่างออกมาจากเพื่อนในกลุ่มเพราะไม่อยากได้ยินคำถามกวนใจอีก
ทั้งที่ทุกอย่างก็เป็นแบบที่เขาต้องการแล้ว แต่ก็อดรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไม่ได้อยู่ดี

“วินซ์ นั่นมึงจะไปไหน?”
“มึงไม่ได้ยินที่มันพูดรึไง?” เจ้าตัวตอบกลับด้วยความน้อยใจที่ไม่เคยมีค่าในสายตา ทั้งที่เขาก็เป็นคนรักเก่าคนหนึ่งแต่ปฏิบัติใส่กันราวกับว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันเลย สองขารีบก้าวออกจากร้านไปให้พ้นๆ ด้วยแรงประชด แต่เพื่อนตัวดีกลับเข้ามาขวางไว้
   “เฮ้ย! เดี๋ยวสิวะ! ถ้ามึงโกรธไอ้อธินมันน่ะ เรื่องเมื่อกี้มึงก็น่าจะเข้าใจนะ มันก็แค่อารมณ์ไม่ดี”
   “กูใช่ที่ระบายอารมณ์รึไง! ในสายตามัน แม่ง! กูทำอะไรก็ผิด”
   “มันคงเครียดๆ เรื่องแฟนมั้ง? เอาน่า...อย่าไปถือสามันเลย คราวหลังถ้าไม่อยากให้เป็นแบบนี้มึงก็อย่าไปพูดถึงน้องเค้าสิวะ”
“ทำไม!”
   “เรื่องมันนานมาแล้ว อธินมันไม่อยากให้ใครพูดถึง”
“แล้วมันเพราะอะไรทำไมพูดถึงไม่ได้ มีอะไรนักหนา?”
“เออ...มึงก็อย่าไปสนใจเลย”
“กูอยากรู้ ทำไมอธินมันถึงโกรธนัก มึงเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย?”
“ก็...จริงๆ กูก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของมันหรอกนะ รู้แล้วก็เก็บไว้เป็นความลับล่ะ” เพราะถ้าอธินมันรู้เข้าทีหลังว่าใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป รับรองว่าโดนกระทืบตายแน่ๆ รู้กันอยู่ว่าอธินเป็นคนเด็ดขาดแค่ไหน
“อธินน่ะมันชอบน้องปั้นมาก เมื่อก่อนนะถึงกับขนาดวางแผนให้น้องเค้ามาเป็นของมันเลยรู้มั้ย? ที่มึงเห็นคนของไอ้อธินคอยหนุนหลังให้ไอ้มอสอยู่ตอนนี้ก็มาจากข้อตกลงอะไรสักอย่างนี่แหละ เมื่อก่อนแฟนเก่าน้องปั้นน่ะเคยซ้อมพวกไอ้มอสจนปางตายมาแล้วนะเว้ย! มันก็เลยเรียกร้องค่าชดเชยจากไอ้อธินชุดใหญ่ สบายมาจนถึงทุกวันนี้ไง”
“ถ้าเกิดเด็กคนนั้นรู้เข้า มึงคิดว่ามันจะเป็นยังไง?”
“มึงก็รู้นิสัยคนอย่างไอ้อธินดี ไม่มีทางยอมหรอก”
เพล้ง!!
คนที่ได้ยินบทสนทนามาตั้งแต่ต้นทำแก้วเหล้าที่อยู่ในมือหล่นลงพื้น ทั้งร่างชาดิกราวกับยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ไอเย็นของมันแทรกเข้าไปทุกอณูของร่างกาย เจ็บร้าวจนทรมาน
“พี่ปั้น! พี่ปั้นเมามากแล้วนะครับ! ผมว่าเรากลับโต๊ะกันเถอะ เอ่อ...ขอโทษแทนพี่ผมด้วยนะครับ!” น้องมีนร้องบอกผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่บริเวณทางเดินของร้านกำลังหันมองมาทางพวกเขาเป็นตาเดียว ท่าทางแบบนั้นคงพร้อมจะมีเรื่องได้ทุกเมื่อ เทียบสภาพกันแล้วตัวเองควรจะพาพี่ปั้นกลับไปที่โต๊ะให้เร็วที่สุดดีกว่า
“ไม่นะน้องมีน พี่จะไม่ไปไหน! จนกว่าพวกเขาสองคนจะบอกว่าที่พี่ได้ยินเมื่อกี้ มันไม่จริง!” จู่ๆ พี่ชายก็โพล่งว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียมารยาทยืนฟังคนอื่นเขาคุยกัน รู้สึกว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักเมื่อเห็นสายตาของใครคนหนึ่งตวัดมองมาอีกครั้ง
“นายเป็นใคร?”
“ช่วยบอกผมทีสิครับว่ามันไม่จริง!!” พี่ปั้นก็ยังเฝ้าถามไม่หยุด คงเป็นเพราะเหล้าที่ทำให้พี่ชายที่มีนิสัยติดจะเกรงใจคนอื่นอยู่เสมอเกิดความกล้ามากกว่าทุกครั้ง
“กรุณาพาเพื่อนคุณออกไปด้วยครับ!!” ผู้ชายหน้าตาน่ารักคนนั้นพยายามสงบอารมณ์ พูดจาด้วยเสียงสุภาพแต่ทว่าฟังดูน่ากลัวชอบกล และน้องมีนที่เข้าใจสถานการณ์ได้ดีกว่าใครก็รีบหิ้วปีกพี่ปั้นกลับไปที่โต๊ะซึ่งตอนนี้กำลังร้องไห้เสียใจอย่างหนัก
“ผมขอร้องล่ะ!!” เรี่ยวแรงของคนเมามากพอจะสลัดแขนของเขาทิ้ง พี่ปั้นย้อนกลับไปยังผู้ชายคนนั้นทันทีเพื่อขอร้องให้เขาช่วยยืนยันบางสิ่งบางอย่าง เหตุการณ์บริเวณนั้นเริ่มกลายเป็นความโกลาหล คนในร้านต่างก็ให้ความสนใจ
“มีเรื่องอะไรกัน!!” ทันทีที่มีเสียงรายงานว่าพวกเพื่อนๆ ของเขากำลังจะมีเรื่องกับคนในร้านเขาก็ลบทิฐิในใจและรีบตามออกมา แสงสลัวในนี้ทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครเป็นใคร และไม่อาจรู้เลยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาต้องยอมรับความจริงเสียที
“พี่อธิน...”
“ปั้น! เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เขาอึ้งกับการได้เจอคนรักที่นี่ เวลานี้
ปั้นเห็นพี่มอสมายืนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ต้องขอคำยืนยันหรือคำอธิบายจากใครอีกเลย ทุกสิ่งที่ผ่านมามันทำให้เขาคิดทบทวนจนหัวแทบจะระเบิด
“นี่มัน.....หมายความว่ายังไง?” คนตัวเล็กกว่าเสียงสั้นเครือ มองใบหน้าพี่อธินสลับกับผู้ชายในอดีตคนนั้น 
   “เราหมายถึงอะไร?” ทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แกใจ แต่ก็ยังสงบนิ่ง ไม่ยอมรับความจริง
   “ห้าปีที่แล้ว...พี่บอกผมทีสิครับว่ามันไม่จริง? บอกสิครับว่าพี่ไม่ได้เป็นคนวางแผน?” ปั้นเอ่ยถามทั้งน้ำตา มันเจ็บปวดเหลือเกินเมื่อย้อนนึกถึงมันอีกครั้ง น้ำตาไม่อาจหยุดไหลได้เลย ขาสองข้างมันไร้เรี่ยวแรงแทบจะทรุดลงกับพื้นถ้าหากพี่อธินไม่ประคองไว้เขาคงล้มลงไปเสียแล้ว
   ทำไมถึงเป็นแบบนี้...
“ปั้นไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน?”
ทุกสิ่งที่เขาเคยมอบให้มันไม่เพียงพอสำหรับข้อแก้ตัวในความผิดครั้งนี้ได้เลย เมื่อเห็นดวงตาที่สะท้อนความผิดหวังของคนที่รักจนหมดหัวใจกำลังมองมา
เขาพลาดไปแล้ว...
“ทำไมคนที่ผมไว้ใจถึงได้ทำกับผมแบบนี้”
“ปั้นพี่ขอโทษ!...พี่ขอโทษ!”
“พี่รู้ไหม? ผมเจ็บ..เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
คนที่เขาเชื่อมาตลอดว่าจะไม่มีทางทำให้เขาเสียใจ เป็นคนเดียวที่ทำให้เขาเชื่อว่ารักที่มั่นคงยังมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่ทว่าก่อนที่จะได้รับมันมาเขากลับแลกด้วยความเจ็บช้ำ ความทรมานแสนสาหัสโดยที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
คำพูดนั้นตอกลึกเข้าไปในใจของเขาและดวงตาที่สะท้อนความรู้สึก มันช่วยยืนยันได้ดีกว่าสิ่งใด ว่าคนพูดนั้นเจ็บและทรมานแค่ไหน ต่อความเห็นแก่ตัวของเขาเพียงฝ่ายเดียว
“ปั้น! เดี๋ยวก่อน ปั้น! โธ่เว้ย!!”
เขาตะโกนเรียกฝ่ายที่วิ่งออกไปจากร้านอย่างบ้าคลั่ง ไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมา เวลานี้สิ่งที่เขาควรทำนั่นก็คือ ยื้อคนรักเอาไว้ให้นานที่สุด



“ให้คนออกตามหาเพิ่ม ไม่ว่ายังไงคืนนี้ฉันต้องเจอปั้นให้ได้!” อธินขบกรามแน่น สั่งกำชับคนปลายสายก่อนจะหันมายังสองร่างที่นอนอาบเลือดอยู่บนพื้นด้วยฝีมือเขา
“มึงเป็นคนเอาเรื่องนี้ไปบอกปั้นใช่มั้ย?” การสืบสาวความจริงยังไม่จบ ในเมื่อผลของมันยังไม่เป็นไปอย่างที่เขาต้องการก็ไม่มีทางปล่อยพวกมันไปเด็ดขาด
“กูไม่ได้ทำ!” ต่อให้ยืนยันอีกสักกี่ร้อยพันครั้งคำตอบก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เขาไม่มีเจตนาจะทำให้อธินทะเลาะกับคนรักเลย เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่ความบังเอิญ ให้สาบานกี่ครั้งกี่หน แม้แต่คนรักอีกฝ่ายเป็นใครก็ไม่เคยรู้เสียด้วยซ้ำ
“โกหก! ถ้าไม่ใช่เพราะมึงปั้นจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง!” อธินนอกจากจะไม่เชื่อกันแล้วยังปรักปรำเขาอีก ตั้งแต่ที่เราเลิกกันฝ่ายนั้นก็ไม่เคยมองกันในแง่ดีเลยสักครั้ง
“พวกกูสองคนแค่คุยกัน แต่แฟนมึงดันมาได้ยินเข้า ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะเว้ยอธิน...กูขอโทษ!!”
นิคช่วยอธิบายความจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็อดโทษตัวเองไม่ได้ ถ้าหากตอนนั้นตัวเองไม่เผลอพูดออกไป เรื่องมันคงไม่เกิด และพวกเขาก็คงไม่เดือดร้อน
“กูเคยบอกไปแล้วใช่มั้ย? ว่าหน้าไหนก็ห้ามพูดถึงอีก”
ต่อให้อธิบายยังไงสำหรับอธินมันก็เป็นข้อแก้ตัวทั้งนั้น รังแต่จะทำให้อารมณ์เดือดยิ่งกว่าเดิม
“นิคมึงพอเถอะ! ใครจะเข้าใจยังไงก็ช่างมัน” วินซ์ร้องบอกเมื่อเห็นว่าต่อให้พูดอะไรไปสุดท้ายแล้วอธินก็ไม่เคยหยุดความโหดร้ายของตัวเองลง และผลจากคำพูดนั้นกลายเป็นฝ่ามือหนักๆ ฝาดลงบนแก้มของเขาแทน
“เจ็บ…”
ร่างสูงย่อตัวลงข้างๆ บีบคางของคนเก่งแต่ปากขึ้นมามองหน้า เลือดสีแดงเกาะอยู่ตามมุมปากถึงแม้จะรู้สึกใจหายอยู่บ้างกับฝีมือของตัวเองแต่แค่นี้ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาได้รับ
“มึงเจ็บนั่นแหละดี จะได้รู้ว่าตอนนี้กูรู้สึกยังไง!”
“อธินสงสารมันเถอะ ยังไงก็เพื่อนกันนะ” หลายคนเห็นด้วยกับคำพูดของบอม
“ตอนนี้กูไม่ใช่เพื่อนมัน!!”  วินซ์บอกทั้งน้ำตา ทั้งเจ็บปวดกับบาดแผลบนร่างกายที่คนทำไม่เคยนึกถึงจิตใจ แม้แต่ในฐานะเพื่อนก็แทบไม่เหลือค่า
“อย่าปากดี!”
“กูจะบอกให้มึงรู้ไว้ ที่มึงเป็นแบบนี้เพราะสิ่งที่มึงทำนั่นแหละ ต่อให้ไม่ใช่เพราะพวกกู สักวันเรื่องเลวๆ ที่มึงทำก็ย้อนหามึงอยู่ดี!
แม้ถูกจ้องด้วยสายตาแข็งกร้าวแต่คนเจ็บราวกับทั้งร่างจะแตกสลายกลับไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด
“ใช้วิธีผิดๆ เพื่อให้ได้เขามา ตอนเสียเขาไปก็อย่าหวังเลยว่าความรักจะเข้าข้างมึง!” รู้ดีเพราะมันเกิดขึ้นกับตัวเองมาแล้ว วินซ์สะบัดมือของอธินออกไปแล้วช่วยประคองเพื่อนเคราะห์ร้ายอีกหนึ่งลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุกลักทุเล โดยมีสายตาของเพื่อนในกลุ่มมองตามอย่างเวทนา ใจหนึ่งอยากเข้ามาช่วยแต่เหลือบมองสายตาแข็งกร้าวของอธินราวกับสัตว์ป่าที่พร้อมจู่โจมเหยื่อได้ทุกเมื่อแล้วก็ได้แต่นิ่ง มองตามสองร่างที่โชกไปด้วยเลือดเดินออกจากกลุ่มไปเงียบๆ
“ไม่ใจร้ายไปหน่อยรึไงวะ” มอสยืนกอดอกมองดูเหตุการณ์เงียบๆ พูดออกมาหลังจากเรื่องสงบลง นึกไม่ถึงว่าอธินจะโหดร้ายกับเพื่อนได้ขนาดนี้ ถ้าชั่งน้ำหนักตามเหตุผลจริงๆ ครั้งนี้เรียกว่าทำเกินกว่าเหตุมาก มันคงหัวเสียไม่น้อยที่คนรักทิ้งไป แต่ใครจะรู้อะไรบ้างไหมว่าคนที่น่าสมเพชกว่าไอ้สองคนนั้น จริงๆ แล้วยืนอยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก
รักมากจนไม่รู้ตัวว่าทำผิด...
“ถ้าอยากไปก็ปล่อยมัน”
คนฟังไม่หยี่หระกับคำตอบนั่นสักเท่าไหร่ ใครจะอยู่ใครจะไปก็ไม่เกี่ยว เพราะถือว่าผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกนั้น ในเมื่ออธินยังติดค้างเขาอยู่

   
   อธินเดือดเป็นไฟจนไม่สามารถยับยั้งความโหดร้ายที่โหมพัดขึ้นมาราวกับได้รับเหยื่อชั้นดีเป็นเชื้อเพลิง ตัวตนอีกด้านหนึ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้มานานคราวนี้คงได้เวลาของมันแล้ว
   ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดอีกครั้งหลังจากรู้มาว่าไม่มีใครเจอเบาะแสคนรักเลย ใจเริ่มร้อนรน เมื่อคิดว่าบางทีปั้นอาจจะไปหาไอ้เด็กคนนั้น
“หาให้ทั่วโดยเฉพาะทุกที่ที่ปั้นเคยไป” และแน่นอนว่าบ้านของไอ้รดิศก็รวมอยู่ในนั้นด้วย


“เป็นไปได้ยังไง นี่พวกนายทำงานประสาอะไร!”
“จับตาดูมันไว้สิวะ อย่าให้ฉันรู้ว่าทำงานพลาด” ไม่ใช่เพียงแค่ขู่ ใครๆ ต่างรู้ดีเมื่อถึงจุดสูงสุดของอารมณ์แล้ว คำพูดถือเป็นประกาศิตคนอย่างเขาไม่เคยให้โอกาสใครซ้ำสอง
อธินกลับมารอที่ห้องเพราะหวังว่าบรรยากาศเก่าๆ อาจทำให้จิตใจสงบและนิ่งลงได้ เฝ้าแต่ภาวนาว่าปั้นจะกลับมา ทั้งที่ไม่แน่ใจอะไรเลยสักอย่าง และที่สำคัญไปกว่านั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา คนรักไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“อย่าทิ้งพี่ไว้แบบนี้ ขอร้องล่ะ...”
เขาฝากข้อความนี้กับคนปลายสาย ใจรู้สึกกลัวการรอคอยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สามชั่วโมงที่ผ่านมาให้ความรู้สึกยาวนานเหลือเกิน
ถ้าหากปั้นไม่กลับมาเขาจะทำอย่างไร
นาฬิกาบนข้อมือยังคงทำงานของมันไปเรื่อยๆ ไม่เคยหยุดพัก อธินเผลอหลับไปรู้ตัวอีกทีเมื่อท้องฟ้ามืดสนิทกลับเต็มไปด้วยเม็ดฝนกำลังโหมกระหน่ำไม่ขาดสาย เขามองนาฬิกาของตัวเองอีกครั้ง
ผ่านไปแล้วห้าชั่วโมง...
เป็นห่วงเหลือเกิน ยิ่งอุณหภูมิเย็นลงเท่าไหร่ใจดวงนี้มันก็ยิ่งสวนทาง
สายฝนไม่เคยทำให้รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน กลัวว่าใครบางคนจะจากไป...


..........................................................

คืนนี้ฝนตกอีกแล้ว
ชายหนุ่มผู้มีความทรงจำที่ดีและไม่ดีเกี่ยวกับสายฝนบ่นขึ้นในใจ ดวงตาคมเข้มมองออกไปยังความมืดนอกหน้าต่าง ไม่ชอบความรู้สึกที่กำลังกวนใจเขาตอนนี้เลย
ทุกครั้งที่ฝนตกหนักมักจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเสมอ...
เขาไม่เคยเชื่อโชคลางหรืออะไรทำนองนั้น จะมายึดติดอยู่กับคืนฝนตกว่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นก็ดูไร้เหตุผลเกินไป รดิศรีบปิดกระจกทุกบานของห้องแข่งกับสายฝนที่เทลงมาอย่างต่อเนื่อง
ปล่อยให้ห้องจมอยู่กับความเงียบเคล้าบรรยากาศในคืนฝนตก รอบกายตอนนี้ช่างบั่นทอนใจคนอ่อนแออย่างเขาเหลือเกิน
“คิดถึงเขาแต่ไม่ยอมทำอะไรเลย แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรวะ ทีแบบนี้แล้วทำเป็นคนดีไปได้นะมึงน่ะ”
เสียงของไอ้นนท์ยังคงดังกรอกหูอยู่ทุกวัน พวกมันทำเหมือนกับว่าที่เขาเป็นอยู่นี่มันง่ายนัก ทั้งที่คิดถึงปั้นใจจะขาด อยากไปหาแต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งรู้อยู่ว่าปั้นไม่ได้รักจะดึงดันต่อไปมันก็ไม่ได้อะไร
ทำใจยอมรับความจริงเสียดีกว่า!   
รดิศถอนหายใจวันละร้อยรอบราวกับมันจะช่วยระบายความช้ำในใจของเขาได้ พอนานๆ เข้าเมื่อมันไม่เห็นผลก็หงุดหงิดขึ้นมาเสียดื้อๆ
ชายหนุ่มพาดร่างลงไปบนโซฟาตัวเดิม เสียบหูฟังกับโทรศัพท์แล้วไล่กดเพลงฟังไปเรื่อยๆ หวังว่ามันจะช่วยทำให้เขาลืมเรื่องนั้นได้สักพัก สงบจิตสงบใจตัวเองได้ไม่ถึง 5 นาที
คิดถึงเรื่องในอดีต วันแรกที่เจอใครบางคนกับรอยยิ้มสดใส ช่วยทำให้ใจเขาสงบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด แต่เมื่อไหร่ที่นึกถึงความบ้าบอกับเรื่องโง่ๆ ของตัวเอง ผลของมันก็ออกมาอย่างที่เห็น โทรศัพท์เจ้ากรรมลอยลิ่วไปติดมุมห้อง คนเอาแต่ใจเลือกใช้ข้าวของเป็นที่ระบายอารมณ์
ความคิดถึงมันทำให้เขาคลั่ง
.................................................

ท้องฟ้าโปร่งใสต่างจากหลายวันก่อน เช้าวันจันทร์กับจุดเริ่มต้นของวงจรชีวิตมนุษย์ในสัปดาห์ใหม่ บนท้องถนนเต็มไปด้วยรถมากมาย ทุกชีวิตไหลไปตามกฎเกณฑ์ของมันอย่างที่ควรจะเป็น มีเพียงแต่เขาที่ทำตัวสวนทางกับเข็มนาฬิกา
อธินยกเลิกงานทั้งหมดโดยไม่สนใจผลกระทบของมันที่ตามมาภายหลัง เฝ้าจดจ่ออยู่แต่หน้าจอโทรศัพท์อย่างร้อนรน แม้ว่าสภาพอากาศกลับสู่ปกติของมันแล้ว แต่ใจเขายังคงมีพายุหมุนวนตลอดเวลา อธินทนอยู่เฉยได้ไม่นานก็คว้ากุญแจรถแล้วออกไปจากห้อง
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง
เบนซ์สีขาวจอดลงที่จุดลับสายตาคนไม่ห่างจากบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นจุดหมาย เขาจะขับรถมาเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ในทุกๆ เช้า คิดเผื่อไปว่าบางทีปั้นอาจจะย้อนกลับมา
เจ็ดโมงกว่าๆ คุณอาเจ้าของบ้านก็ออกไปทำงาน สายหน่อยก็ถึงเวลาของคุณผู้หญิงของบ้าน ตกเย็นทั้งคู่กลับมาในเวลาไล่เลี่ยกัน นี่เป็นชีวิตประจำวันของคุณอาทั้งสองคนที่เขาพอจะรู้
 อากาศตอนกลางวันร้อนอบอ้าวแต่เขาก็ยังอดทนรอต่อไป มือหนาปลดกระดุมตัวบนออก สะบัดเสื้อเล็กน้อยเมื่อรู้สึกอึดอัดเพราะนั่งอยู่ในรถมาตั้งแต่เช้า ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเฝ้ารออะไรได้นานขนาดนี้ เวลาผ่านไปจนใกล้ค่ำก็ยังไร้วี่แวว นั่นทำให้เขาต้องย้อนถามตัวเองอีกครั้งว่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่
ราวกับก่อปราสาททรายบนชายหาด พอคลื่นซัดมาก็พังทลายไม่เหลืออะไร
เสียเวลาเปล่า...
อธินเลิกหวัง เขาสตาร์ทรถเพื่อขับออกไป มันเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งตกแต่งด้วยสีฉูดฉาดจอดลงหน้าบ้าน เป็นเด็กวัยรุ่นหน้าตาดีสองคนในชุดนักศึกษา คนหนึ่งวิ่งหายเข้าไปในบ้านไม่ถึงสิบห้านาทีก็เดินหัวเสียออกมาตามด้วยคุณอาอีกสองคน
เขาชั่งใจอยู่นานเมื่อเพ่งมองเสี้ยวหน้าหนึ่งท่ามกลางความมืด
และบางอย่างก็ชัดเจนขึ้นในหัว
‘เมื่อคืนน้องเดียร์มานอนที่ห้อง สงสัยถูกแย่งหมอนไปตอนหลับแน่ๆ เลย’ เขายังจำประโยคของคนรักได้
หรือจะเป็นเด็กคนนั้น...


.......................................................






คนนั้นไง คนนั้นนนนนนน
 :z2: :katai2-1: :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 19 : เจ็บ ... ยิ่งกว่าเจ็บ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 13-01-2018 19:45:28
คนไหนล่ะ มาด่วนเลยๆๆๆๆๆๆๆ
ได้เวลาแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 20 : เก็บไว้ในใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 19-01-2018 15:31:21
ตอนที่ 20 เก็บไว้ในใจ





กลิ่นอายทะเลพัดมา ม่านหน้าต่างพลิ้วสะบัดยามต้องลม เจ้าของใบหน้าหม่นหมองเกยคางลงบนพนักพิง ดวงตาคู่สวยเหม่อมองออกไปยังแสงสว่างยามเช้าของวันใหม่
 ครั้งหนึ่งเคยเปรียบไว้ว่าพี่อธินนั้นป็นดั่งแสงสว่างในชีวิต อบอุ่นเสมอเมื่ออยู่ใกล้ แต่มาวันนี้แสงนั้นกลับร้อนแรง แผดเผา ยิ่งใกล้ก็ยิ่งอันตราย เช่นความเสียใจที่ได้รับมา
“นายคงไม่ได้นั่งอยู่แบบนี้ทั้งคืนหรอกใช่มั้ย?”
“เรา...” ชะงักคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อหาข้ออ้างไม่ได้ ดวงตาคู่สวยเลิ่กลั่ก ที่ไม่สามารถซ่อนความอ่อนแอในใจนี้ เขาไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง แต่คนที่รู้จักกันมานาน มองแวบเดียวก็กระจ่าง
“ที่ผ่านมาไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นายก็เข้มแข็งมาตลอดไม่ใช่รึไง?” หญิงสาวนั่งลงใกล้ๆ เอียงคอมองคนคิดหาข้ออ้าง หลายวันที่ผ่านมาเจ้าตัวเอาแต่ร้องไห้กับเรื่องที่เกิดขึ้น คนที่คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ รู้สึกเป็นห่วง สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่ว่ามันไม่มีทางออกเสียหน่อย ปั้นเลือกได้ว่าจะกลับไปหรือจะปล่อยมันทิ้งไว้ ขอแค่เลือกแล้วจะไม่มานั่งเสียใจกับมันอีก
“ที่ผ่านมาแล้วก็แล้วกัน อีกอย่างพี่เค้าก็เป็นคนดี ให้โอกาสกันอีกสักครั้งจะเป็นไรไป นอกจากว่านายไม่อยากกลับไปเองมากกว่า”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกแพรว ต่อให้พี่อธินทำผิด ที่เขาดูแลช่วยเหลือเรามาตลอดห้าปีมันก็ลบล้างความผิดนั่นไปหมดแล้วล่ะ” นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดมาทั้งคืน อันที่จริงความรู้สึกโกรธแค้นกันก็ไม่มีเลยด้วยซ้ำ ที่มีอยู่ก็แค่ความเสียใจ
“แล้วจะลังเลอะไรอีกล่ะ มีอะไรในใจงั้นเหรอ?”
“ไม่หรอก...” ลูกแก้วกลมใสสะท้อนแสงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้า สิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นคือความไม่มั่นใจ ไม่เข้าใจตัวเองทำไมถึงยังให้กับตอบกับหัวใจไม่ได้ สิ่งที่ค้างคาอยู่ในนั้น สะสมจนเป็นตะกอนใหญ่
 “โกหกไม่เก่งเลยรู้มั้ย? นี่! ฉันมองตานายก็รู้ว่าที่นายทำทั้งหมดนี่มันหมายถึงอะไร จริงๆ แล้วนายอยากเปิดโอกาสให้หมอนั่นมากกว่า ใช่มั้ยล่ะ?”
มันก็ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอกนะ
“ถ้าหมายถึงไอ้รดิศนั่นอ่ะนะ! บอกไว้ก่อนเลยว่าฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่เห็นด้วย!” ทั้งคู่หันไปมองยังที่มาของเสียง สองหนุ่มเดินขึ้นมาบนบ้านด้วยสายตาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เมื่อได้ยินประโยคเกี่ยวข้องกับคนบางคน
“กูก็เหมือนกัน...จนตอนนี้ก็ยังเกลียดหน้ามันว่ะ! ไม่รู้ทำไม!” เติ้ลบ่นแล้วลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งรวมกลุ่ม ตอนนี้พวกเขาสี่คนมีโอกาสได้อยู่กันครบทีม เหมือนตอนเรียนมัธยมอีกครั้ง นับเป็นช่วงเวลาที่หาได้ยาก คนที่เศร้าเสียใจมาหลายวัน วันนี้ได้มีรอยยิ้มออกมาบ้าง
“พวกนายมาได้ยังไง?”
“ก็ไอ้อาร์มเนี่ยเป็นคนพามา...บอกว่าให้รีบกลับมาทำหน้าที่เพื่อนสนิทน่ะ”
“หน้าที่เพื่อนสนิท?”
“ใครจะยอมให้เพื่อนที่น่าสงสารคนนี้นั่งเศร้าอยู่คนเดียวล่ะจริงมั้ย?...อีกอย่างเราก็ไม่ได้อยู่กันครบแบบนี้มานานแล้วนะ” ปั้นยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนๆ นั่งอยู่รายล้อม คิดว่าต่อให้เจอเรื่องมาหนักหนาแค่ไหน ขอแค่มีเพื่อนที่รู้ใจคอยเคียงข้าง รับรองว่าทุกอย่างต้องกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน
“ว่าแต่อยากเห็นหน้าไอ้อธินนั่นจัง บังอาจมาทำให้เพื่อนกูเสียใจเนี่ย”
“เรื่องมันนานมาแล้วล่ะ...” พูดจบเจ้าตัวก็นั่งกอดเข่า เหม่อมองออกไปไกล
ไม่คิดว่าคนที่ไว้ใจมาตลอดอย่างพี่อธินจะลงมือทำเรื่องแบบนี้ แม้จะเป็นเพราะความรัก แต่การกระทำนั้นได้สร้างบาดแผลในใจให้เขาไปแล้ว และก็เป็นเขาเองที่เข้ามาเยียวยารักษาให้จนมันหายดี นึกถึงช่วงเวลานั้น เขาก็น้ำตาคลอ
“เขาเป็นคนดีแล้วก็น่ายกย่อง ทุกอย่างที่ทำให้เรา มันก็ชดเชยไปหมดแล้วกับสิ่งที่เขาทำผิด จะมาโกรธแค้นกันตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ”
ที่เหลือก็แต่...จะทำอย่างไรกับชีวิตหลังจากนี้ต่างหาก
“งั้นถามอะไรหน่อยสิปั้น? ระหว่างถูกคนที่ไว้ใจทำร้ายกับคนที่เรารักไม่ยอมเชื่อใจ อันไหนมันทำให้นายเจ็บมากกว่ากัน?” คำถามของอาร์มเล่นเอาเจ้าตัวนิ่งคิดไปพักใหญ่ บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไปโดยฉับพลันและความเงียบก็เข้ามาแทนที่
นั่นสินะ...เขายังจำความเจ็บปวดครั้งนั้นได้ดี และรู้สึกว่าแผลเดิมในวันนั้นก็ยังไม่หายดีซะด้วย
“ปั้นไม่ต้องตอบหรอก ถึงคำถามข้อนี้คำตอบที่ถูกต้องของมันไม่ใช่รดิศ เจ้าตัวเขาก็ดึงดันตอบเป็นรดิศอยู่ดีนั่นล่ะ จริงมั้ย?”
หากไม่จริงเขาก็ควรปฏิเสธ ต่อหน้าเพื่อนที่รู้ใจกันขนาดนี้ถึงตอบว่าไม่ก็ไร้ประโยชน์
ไม่มีใครเชื่อหรอก...
ขึ้นชื่อว่าความรักบางทีมันก็ไร้เหตุผลจนเกินไป
“ฉันเชื่อว่านายไม่กลัวคำว่าเสียใจ ถ้าแลกกับการที่ตัวเองเป็นฝ่ายเจ็บเพื่อยอมให้คนที่รักมีความสุขได้นายก็จะทำ ตอนนี้ไม่ต้องทำแบบนั้นเพื่อคนอื่นแล้วนะ นายจะแบกความเสียใจไว้คนเดียวตลอดได้ยังไง” คำพูดของแพรวทำให้ปั้นนิ่งคิดอีกครั้ง
“อย่าไปเชียร์ไอ้รดิศมันให้มากนักได้ป่ะ” อาร์มยืนกอดอกอยู่ริมระเบียง เขาอารมณ์ไม่ดีอีกแล้วเมื่อแฟนสาวเริ่มพูดจาเข้าข้างใครบางคน
“มันก็ไม่ได้เรื่องทั้งสองคนนั่นแหละ เป็นใครฉันก็ไม่เห็นด้วย ถ้าคิดแบบนั้นสู้มีใหม่ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?” เติ้ลเสนอ หากมันยุ่งยากนักก็ตัดออกไปจากชีวิตเลยทั้งคู่
“โอ้ย! พวกนายสองคนนี่”
“ก็ฉันไม่ชอบพวกมันนี่หว่า!”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อแต่ละคนต่างมีความเห็นไม่ตรงกัน คนหนึ่งก็บอกเหตุผลของตัวเอง อีกคนก็แย้งขึ้นเมื่อไม่เห็นด้วย เพราะรักและอยากให้เพื่อนมีความสุขจึงช่วยหาทางออกให้อย่างเต็มที่
“ขอบใจทุกคนมากนะ เราตัดสินใจได้แล้วล่ะ” คำพูดของปั้นดึงความสนใจของเพื่อนๆ หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน
“ตัดสินใจได้แล้วหรือ?”
“ว่าไง?”
..........................................................................

ประตูสำนักงานเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า สร้างความแปลกใจให้สาวรุ่นพี่ แต่เมื่อลองพิจารณาใบหน้านั้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะเคยเจอกันมาแล้วเมื่อคราวก่อน
“คุณนั่นเอง!”
ในที่สุดรดิศก็ทนเก็บความคิดถึงเอาไว้ในใจคนเดียวไม่ไหว เขาตัดสินใจออกมาหาปั้นถึงที่ทำงาน ต่อให้เจออีกฝ่ายเมินเฉยหรือแสดงท่าทางรังเกียจก็พร้อมจะยอมรับ แต่สิ่งที่แปลกจากทุกครั้งนั่นก็คือบรรยากาศในสำนักงานที่ค่อนข้างเคร่งเครียด พอลองถามถึงใครอีกคน สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปกลายเป็นความกังวล
 “เอ่อ..น้องปั้นไม่มาทำงานหลายวันแล้วค่ะ ตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้เลย” ได้ยินดังนั้นเขาไม่คิดเซ้าซี้อะไรต่อ ตัดสินใจถอยหลังกลับ คิดว่าปั้นคงไม่ต้องการเจอเขาจริงๆ
มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
“ใครหรือพี่มะลิ?”
“เพื่อนน้องปั้นคนที่ชอบมาหาบ่อยๆ ไง”
“งั้น เดี๋ยวผมมานะ” มีนผลักประตูออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นแผ่นหลังของผู้ชายคนนั้นเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ เขาก็รีบวิ่งตามไปทันที
“คุณ! คุณครับ รอเดี๋ยว” เด็กหนุ่มร้องตะโกนจนอีกฝ่ายชะลอฝีเท้า เมื่อรดิศหันมาตัวเองก็รีบวิ่งเข้าไปหา มีนยืนหอบแฮ่กๆ พร้อมแนะนำตัว
“ผมชื่อมีน เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ปั้นครับ! จำผมได้มั้ย?”
“อ่อ...จำได้สิ!” รดิศยิ้มให้ตามมารยาท รุ่นน้องคนนี้เขาเห็นอยู่กับปั้นมาหลายครั้ง
“คุณได้ข่าวพี่ปั้นบ้างมั้ยครับ?” รดิศส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ จากสีหน้ากังวลของเด็กคนนี้เมื่อเห็นเขาปฏิเสธ ลางสังหรณ์บอกว่าคงมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง
“ตอนนี้พวกเราติดต่อพี่ปั้นไม่ได้เลย พี่ปั้นหายตัวไปครับ”
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?”
“ครับ เรื่องจริง ผมคิดว่าคุณรู้แล้วเสียอีก”
เขานิ่งเงียบ ในใจมีแต่ความกังวล ร้อนรนใจ นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย รดิศรู้สึกผิด แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเริ่มขึ้นจากเขาเอง คนที่เป็นฝ่ายผิด
ได้แต่โทษตัวเอง
มีนเห็นว่าคนๆ นี้ไว้ใจได้ เลยตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
“คืนนั้นพี่ปั้นทะเลาะกับพี่อธิน” เขากับพี่ปั้นบังเอิญได้ยินผู้ชายคนหนึ่งพูดถึงแผนการอะไรสักอย่าง ซึ่งคนนอกอย่างเขาฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจนัก พอพี่อธินมาถึงเรื่องมันก็รุนแรงขึ้น หลังจากนั้นพี่ปั้นก็วิ่งออกจากร้านไปเลย
แผนการเหรอ?  รดิศกลืนก้อนฝืดๆ ลงคอ นั่นคือสิ่งที่เขาเคยกังวล หรือว่าปั้นจะรู้ความจริงแล้ว?
“อย่าหาว่าผมยุ่งเรื่องนี้เลยนะครับ คือว่าก่อนหน้านี้พี่ปั้นเคยเล่าเรื่องคนๆ หนึ่งให้ผมฟังด้วย ผมคิดว่าบางทีมันอาจจะเกี่ยวกันก็ได้....พี่ปั้นบอกว่าเขาเป็นรักแรก...”
รดิศเงียบไป รู้สึกตีบตันในลำคอ ฟังน้องมีนค่อยๆ เล่าต่อ “พี่ปั้นเคยชอบเค้ามาก แต่มีเรื่องเข้าใจผิดกัน ก็เลยทำให้คนๆ นั้นรังเกียจ” คนเล่าไม่ได้สังเกตท่าทางของคนฟังเลยแม้แต่น้อย ก็เลยไม่รู้ว่าในดวงตาคู่นั้นซ่อนความรู้สึกใดไว้
“ขนาดเรียนมหา’ลัยเดียวกันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน รู้อะไรมั้ยครั้บ? ตอนที่พี่ปั้นเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง พี่ปั้นร้องไห้ด้วยนะ ผมใจหายมากเลยตอนเห็นน้ำตา พี่ปั้นบอกผมว่ายังไม่ลืมเขา บอกว่ายังคิดถึงอยู่”
น้องมีนยังคงพูดเจื้อยแจ้ว “ผมว่านี่ต้องเป็นสาเหตุให้พี่ปั้นทะเลาะกับพี่อธินแน่ๆ คุณคิดเหมือนกันมั้ย?” พอหันกลับมาทางคนฟังกลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังมีน้ำตา
“คุณ...”
“เขาพูดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่หรือ?”... รดิศหันมายิ้มขณะเดียวกันก็สูดลมหายใจ ยกหลังมือเช็ดหยดน้ำใสๆ ที่ไหลมารวมกันที่ปลายจมูกด้วย
“เอ่อ..เมื่อเดือนก่อนเองครับ”
“ที่เขาพูดถึงช็อกโกแลตวาเลนไทน์น่ะ ความจริงแล้วมันยังอยู่นะ ส่วนตอนเข้ามหาลัย ใช่แล้วล่ะ...ฉันเป็นคนตามเขาไปเอง”
“ห้ะ!!คุณ ..คุณคงไม่ใช่...”
“ส่วนที่หมอนั่นบอกว่ายังคิดถึง...ขอบใจมาก..ที่เล่าให้ฟัง”
“ดะ เดี๋ยวนะ!..ไม่อยากจะเชื่อเลย...” น้องมีนตกตะลึงกับความจริงยิ่งกว่าสิ่งใด ทุกความสงสัยในตัวผู้ชายคนนี้มันถูกเฉลยออกมาหมดแล้ว “คุณจะช่วยตามหาพี่ปั้นมั้ย?”
“แน่นอนสิ!”
คำตอบนั้นสร้างความพอใจให้เขาเป็นอย่างมาก ที่เคยสงสัยว่ารักแรกของพี่ชายที่รักจะเป็นคนอย่างไร เมื่อได้เจอรดิศในวันนี้ เขารู้แล้วว่าทำไมพี่ปั้นถึงยังรัก...
เขามีบางอย่างที่ไม่เหมือนใครจริงๆ
“งั้นระหว่างนี้ก็ลองมาทำงานที่ชมรมกับพวกเรามั้ยครับ ตอนนี้งานยุ่งมากเลย กำหนดไปค่ายก็เร็วๆ นี้แล้วด้วย อย่างน้อยก็ช่วยรักษาตำแหน่งนี้ไว้ในระหว่างที่เขาไม่อยู่”
“แบบนั้นก็ไม่เลวเลยนะ”
“พี่มะลิต้องดีใจมากแน่ๆ เลยล่ะครับ”

...........................................................................



หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 20 : เก็บไว้ในใจ
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 19-01-2018 19:49:47
ลืมกลุ่มเพื่อนปั้นไปเลย ฮ่าๆๆๆๆ
เอาๆๆๆน่าอะไรๆๆๆหลายๆๆอย่าง ก็ทำให้ได้เรียนรู้ รอปั้นดิสเดินเคียงค้างกัน อิอิ

ส่วนอธิปตามไปหาคู่ใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 20 : เก็บไว้ในใจ
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 19-01-2018 20:34:22
อ่านรวดเดียวเลย รอนะคะ  ชอบค่ะ หน่วงๆ เทาๆ
ปวดใจเล่นดี

เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ สู้ๆๆๆๆ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 21 : หัวใจดวงเดียวกัน
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 20-01-2018 15:17:56
ตอนที่ 21 หัวใจดวงเดียวกัน



ชายหนุ่มนั่งมองจำนวนผู้คนในแถวที่ต่อคิวเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีของหน่วยงานแพทย์อาสาที่เพื่อนๆ ของตนสังกัดอยู่แล้วอดนึกถึงหน้าที่ของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ เกือบสองสัปดาห์ ที่เขาทำตัวขาดความรับผิดชอบ เอาแต่หนีไม่กล้ากลับไปเผชิญปัญหา
   “ถ้านายเบื่อจะไปปั่นจักรยานเล่นก็ได้นะ” นั่นคือคำพูดของคุณหมอแพรวที่อุตส่าห์เจียดเวลาตรวจคนไข้หันมาใส่ใจคนอย่างเขา ปั้นหันมองจักรยาน มันจอดนิ่งอยู่ในโรงรถจนฝุ่นจับ คาดว่าคงถูกทิ้งไว้แบบนั้นมานานแล้ว
ในที่สุดก็ตัดสินใจออกมาคนเดียว...

ห่างจากศาลาหมู่บ้านไปเป็นทุ่งหญ้าเลียบชายหาดบรรยากาศเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นที่สุด ร้านขายเครื่องดื่มริมทะเลอยู่ไม่ห่างไปจากตัวหมู่บ้านนัก มีลูกค้าแวะมาอุดหนุนไม่ขายสาย ปั้นยืนรอคิวอยู่ไม่นานก็ได้น้ำส้มปั่นของโปรดมาดื่มสมใจ จากนั้นก็ออกแรงปั่นจักรยานไปจนสุดทาง นั่งรับลมทะเลพร้อมเครื่องดื่มคู่ใจ
ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี กลุ่มเมฆบางๆ ลอยห่างไปจากสายตา ช่วงเวลาแบบนี้ทำให้เขานึกถึงใครบางคน คนที่เป็นเหมือนพระอาทิตย์ยามเย็น...
“จะไม่เปลี่ยนใจแน่นะ?”
เสียงแพรวถามย้ำขึ้นมา วันนั้นเขาให้คำตอบกับทุกคนว่าอยากใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวมากกว่า แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำแบบนั้นได้จริงๆ รึเปล่า...
เสียงคลื่นสาดกระทบฝั่งดังแว่วมาเป็นคำตอบ ทั้งหนักแน่นและเต็มไปด้วยความหวัง
หลังจากนี้จะไม่ลังเลอีกแล้ว...


ปั้นรอจนแสงของวันหมดไปจึงค่อยปั่นจักรยานกลับที่พัก ช่วงเวลาเพียงไม่นานระหว่างที่พระอาทิตย์ตกดินทั้งสองข้างทางกลับมืดลงอย่างรวดเร็ว มีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟแต่ละจุดเท่านั้นที่ช่วยทำให้เขาอุ่นใจ
แต่แล้วปั่นไปได้ไม่นาน จักรยานดันมาเสียระหว่างทาง ซ้ำร้ายกว่านั้นเขาไม่ได้พกอะไรติดตัวไว้เลยนอกจากกระเป๋าสตางค์
แย่ล่ะสิ!
   “ทำไมโซ่มันต้องมาขาดตอนนี้นะ” อันที่จริงจักรยานมันก็เก่ามากแล้วด้วย เขานี่สิที่ไม่ควรลากมันออกมา เขาต้องเดินกลับที่พักซึ่งใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เหงื่อโทรมทั้งตัวเหนื่อยจนบรรยายออกมาไม่ได้
   เจ้าของร่างเพียวบางกำลังหมดเรี่ยวแรง เดินผ่านศาลาเห็นเพื่อนๆ นั่งประชุมอยู่ ดูเหมือนคืนนี้จะมีสมาชิกเพิ่ม นอกจากหน่วยแพทย์อาสาด้วยกันแล้ว เขาเห็นมีหน่วยงานอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
   ปั้นใช้เวลากับการอาบน้ำไปกว่าครึ่งชั่วโมง เขาได้ยินเสียงเคาะประตูห้องจึงรีบวิ่งไปเปิด แขกตัวน้อยของเขาเป็นเด็กอายุแปดขวบ เธอเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่บ้าน
   “พี่แพรวบอกว่ารออยู่ที่ศาลาค่ะ”
   “ครับ..เดี๋ยวพี่รีบตามไปนะ” ปั้นบอกแล้วรีบหันมาปะแป้งหวีผม เลือกสวมเสื้อยืดสบายๆ ถึงเวลาเข้านอนจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่
   เสียงพูดคุยดังแว่วมาแต่ไกลจากคนที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้น แพรวที่เห็นเขาเดินมาแล้วก็เลยเรียกให้เข้าไปนั่งด้วยกัน
   ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเผลอสบกับใครคนหนึ่ง รอบกายราวกับถูกสะกด ไม่อาจขยับเขยื้อน
   
ปั้นหันมองไปยังตราสัญลักษณ์บนรถตู้คนหนึ่งที่จอดอยู่ไม่ห่างแล้วถึงกับไม่เชื่อสายตา ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้ ที่น่าแปลกไปยิ่งกว่าทำไมรดิศถึงอยู่ที่นี่ได้ เขารู้ได้ยังไง?
ชายหนุ่มยืนกระอักกระอ่วนอยู่กับที่ สองขาไม่อาจก้าวต่อไปได้เลยเมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาเช่นกัน ส่วนอาร์มกับเติ้ลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สองคนนั้นทำหน้าบอกบุญไม่รับ เนื่องจากต้องทนร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่ชอบ ก็มีแต่แพรวเท่านั้นที่ดูอารมณ์ดีกว่าใคร
“ปั้น รีบมากินข้าวสิ!”
พี่มะลิ พี่แอน น้องมีนและคนอื่นๆ นั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่คิดมาก่อนเลยว่าโลกมันกลมจนขนาดที่พาพวกเขาทั้งหมดมาเจอกันภายในวันเดียว ไม่เพียงเท่านั้นเขายังรับรู้ได้ถึงทุกสายตาที่มองมาพร้อมด้วยคำถามมากมาย
ให้ตายสิ! เราควรทำตัวยังไง?
“ปั้น! นี่คือเพื่อนๆ จากหน่วยงานอาสา พรุ่งนี้เขาจะมาแจกอุปกรณ์กีฬาให้เด็กๆ ที่นี่น่ะ” ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เสียหน่อย เป็นเพื่อนกันแต่ต้องมาแนะนำตัวกันแบบนี้มันก็กระไรอยู่ ก็เลยตัดสินใจอธิบายให้ฟังว่าความจริงแล้วตัวเองก็ทำงานอยู่ที่นั่น แล้วทั้งหมดก็คือเพื่อนเขา
“ไม่อยากจะเชื่อเลย บังเอิญมากเลยนะเนี่ย!” ที่บังเอิญที่สุดเห็นจะเป็นการปรากฏตัวของผู้ชายตัวสูงที่นั่งอยู่ริมฝั่งโน้นมากกว่า ไม่ยักรู้ว่าเขาจะหันมายึดอาชีพนี้แล้ว
“พี่รดิศอาสามาช่วยงานพวกเราตอนที่พี่ปั้นไม่อยู่ไงครับ!” น้องมีนที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวถัดไปหันมากระซิบ
“งั้นหรือ?”
กินข้าวเสร็จพวกเขาก็ออกมาเดินเล่นที่สวน หลังจากไม่ได้เจอกันหลายวัน ทุกคนล้วนพุ่งไปที่ปั้นคนเดียว
“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่? ปั้นเลิกกับพี่อธินไปแล้วงั้นหรือ?” คำถามของพี่มะลิเล่นเอาคนตอบนิ่งไป ปั้นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ของเขากับพี่อธินมันจะเป็นอย่างไร
“เปล่าครับ...”
“ไม่กลัวพี่อธินจะเป็นห่วงหรือ? รู้ไหมเขาโทรมาถามข่าวเราจากพี่ทุกวันเลยนะ”
“ตอนนี้ผมยังไม่อยากกลับไป...” ได้แต่ประณามตัวเองถึงการลังเลนี้ ไม่กล้าตัดสินใจอะไรสักอย่างแม้แต่เรื่องหัวใจ แบบนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะสิ้นสุดสักที
“พี่อยากให้เรากลับมามีความสุขเหมือนเดิม ไม่ว่าปั้นจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่ พี่เอาใจช่วย!”
“ขอบคุณครับ” พี่มะลิกับพี่แอนขอตัวไปอาบน้ำจัดแจงเตรียมของไว้สำหรับพรุ่งนี้ ที่เหลือก็มีแต่น้องมีนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดดีกว่าใคร เมื่ออยู่กันเพียงลำพังน้องมีนก็ตัดสินใจถามในสิ่งที่อยากรู้มานาน อยากฟังทั้งหมดจากปากของพี่ชาย
“เรื่องวันนี้มันบังเอิญจริงๆ เลยนะครับ”
“นั่นน่ะสิ!”
“ผมไม่คิดว่าคนที่หมอแพรวหมายถึงคือพี่ แต่พี่สองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งดูเหมือนเขาไม่ค่อยชอบพี่รดิศสักเท่าไหร่เลยนะครับ”
“อ๋อ..มันเป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้วล่ะ”
“พี่ปั้นครับ ผมขอถามอะไรสักอย่างได้รึเปล่า?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
“รักแรกของพี่ปั้น คือพี่ดิศใช่มั้ย?”
“...”
“พี่ปั้นเคยบอกว่าเขาเป็นเพื่อนตอนสมัยเรียน ตอนที่เขารู้ว่าพี่ปั้นหายไป ดูเขาเป็นกังวลมากเลยนะ ผมคิดว่าเขาน่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับพี่บ้าง ก็เลยตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ในคืนนั้นให้เขาฟัง” ปั้นเงียบไปนานจนน้องมีนรู้สึกไม่ดี เมื่อเห็นสีหน้าของพี่ปั้นที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิด
“เล่าไปหมดเลยหรือ?” เมื่อรุ่นน้องพยักหน้ายอมรับออกมาตรงๆ แบบนั้น ปั้นก็ได้แต่นั่งหน้าซีด
“พี่ปั้น...ผมขอโทษ”
   “ไม่เป็นไรหรอก...”
   “แต่ว่าเอ่อ...มีอีกเรื่องนึง ตอนนี้พี่อธิน เขาก็ตามหาพี่อยู่ทุกวันเลยนะครับ”
“พี่รู้...” รู้ดีแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถกลับไปได้
“ขึ้นอยู่กับพี่แล้วนะครับว่าจะตัดสินใจยังไง สำหรับผมผมอยากให้พี่มีความสุข”
“ขอบใจนะ”

   เวลาผ่านไปจนเที่ยงคืนปั้นกับน้องมีนแยกย้ายกันกลับเข้าที่พัก ก่อนที่เมฆครึ้มๆ บนท้องฟ้าจะกลั่นออกมาเป็นสายฝน ไอเย็นรอบกายยามนี้ทำให้นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ปั้นกลับไปที่ห้องทันเวลาที่ฝนจะตก ในขณะนั้นเขาเห็นใครบางคนกำลังรออยู่ สายตาคู่นั้นมองเห็นเขาก่อนที่จะคิดหาทางหนีได้
“ยังไม่นอนหรือ?” ปั้นเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อทำลายความเงียบ เมื่อถูกสายตาของเขามองมาอย่างไม่ลดละ รดิศทำให้อากาศตรงนี้หนาวขึ้นเป็นสิบเท่า 
“ฉันมารอนาย...”
“มีอะไรหรือ?”
“ไม่หรอก...แค่อยากรู้ว่าตอนนี้นายสบายดี” คนฟังเงียบไปอึดใหญ่
“เรา...สบายดี” ปั้นตอบพร้อมกับยิ้มให้ อยากให้เขารู้ว่าที่ผ่านมามันก็แค่เรื่องเล็กน้อย ต่อให้หนักหนาแค่ไหนเขาย่อมผ่านมันไปได้
“ฉันไม่กวนแล้ว นายรีบเข้านอนเถอะ” เขาบอกก่อนจะเดินออกไป และเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ฝนเริ่มตก ปั้นมองเจ้าของแผ่นหลังสูงใหญ่กำลังคิดจะวิ่งฝ่าสายฝนออกไป ก็รีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน ดิศ!” ที่พักของเขาอยู่ถัดไปอีกหลัง หากต้องตากฝนกลางดึกแบบนี้ เดี๋ยวก็ไม่สบายขึ้นมา
เสียงของเขาถูกกลืนไปกับสายฝน ชายหนุ่มรีบเข้าไปหยิบร่มออกมาและตามรดิศไปก่อนที่ฝนจะเทลงมาหนักกว่านี้
เม็ดฝนที่สาดลงมาค่อยๆ เบาบางลงพร้อมกลิ่นกายหอมๆ ในแบบที่เขาคุ้ยเคย รดิศหันไปมองร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับร่มในมือที่ช่วยบดบังเขาจากสายฝน อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นว่าเป็นใครคนนั้น
“เรา...” รดิศไม่รอให้คนขี้อายได้พูดจบประโยค ก็คว้าร่มในมืออีกอันที่ฝ่ายนั้นยื่นมาให้
“ขอบใจ” ขอบคุณในความห่วงใยที่มีให้ เท่านี้ก็เกินพอแล้วจริงๆ
นาทีนั้นบอกกับตัวเองว่า หลังจากนี้จะพยายามดูอีกสักครั้ง
เพื่อความรักที่อาจจะยังเหลืออยู่...

...............................................................


“ทำหน้าเบื่อแต่เช้า นี่เป็นอะไรกันห้ะ?”
“จะไม่ให้เบื่อได้ไง ดูโน่นสิ!” เติ้ลยืดกอดอกสังเกตพฤติกรรมคนบางคนที่มีอาการดีใจจนออกหน้าออกตา เห็นแล้วมันอดหงุดหงิดไปไม่ได้ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างรดิศจะมีอิทธิพลต่อเพื่อนเขาขนาดนี้
“หมั่นไส้มันชะมัด!”
“นี่เป็นโรคขี้อิจฉากันรึไง! แบบนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?” แพรวมองตามเข้าไปในเต้นท์กลางสนาม หลายคนกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่เช้า ช่วยขนอุปกรณ์กีฬาที่จะนำมามอบให้โรงเรียนลงจากรถ ดูเหมือนว่ามีใครบางคนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ อาการที่แตกต่างจากหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการปรากฏตัวของใครคนหนึ่ง นับเป็นเรื่องบังเอิญในจังหวะที่เหมาะสม นอกจากจะได้ตัวตนของเพื่อนคนเดิมกลับมาแล้ว ยังได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าตัวบ่อยขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณหมอขี้สงสัยยังคงไม่หยุดตั้งข้อสังเกต ขอพนันว่าเหตุการณ์ระหว่างเพื่อนรักกับชายหนุ่มที่เป็นรักแรกมันจะต้องพัฒนาขึ้นภายในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน   

เจ็ดโมงตรงการเตรียมงานทุกอย่างได้เสร็จลุล่วงไป หลังจากนั้นเป็นเวลาพักรับประทานอาหารเช้า ทุกคนต่อแถวเพื่อรับข้าวต้มร้อนๆ จากแม่บ้านที่อาสามาช่วย ปั้นมาถึงเป็นคนสุดท้ายและเดินไปต่อหลังสุด รดิศที่ยืนอยู่ประมาณกลางแถวถือโอกาสรั้งแขนเขาไว้ แล้วบอกให้มายืนด้วยกัน
“ไม่เป็นไร เราไปรอด้านหลังก็ได้”
“เถอะน่า!” เขายังกุมมือไว้ไม่ปล่อย
“ไม่ดีกว่า...สงสารคนอื่นเค้า”
“ไม่มีใครว่าไรหรอก จริงมั้ย?” รดิศช่วยหันไปถามเพื่อนๆ ที่อยู่ด้านหลังให้ ซึ่งแน่นอนว่านอกจากจะไม่มีใครขัดแล้ว ยังช่วยสนับสนุนเขาอีก นั่นจึงทำให้ปั้นไม่มีทางเลือก


เวลาในหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาถูกนัดรวมตัวกันอีกครั้งในช่วงค่ำของงานเลี้ยงขอบคุณเป็นการปิดท้ายกิจกรรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปั้นกับแพรวแยกตัวกันออกมาช่วยคุณป้าเตรียมมื้อค่ำ ช่วงเวลาที่ได้อยู่กันเพียงลำพังคุณหมอคนเก่งจึงได้โอกาสสอบถามความจริงจากเพื่อนรักสักที 
“ถึงก่อนหน้านี้นายจะบอกว่าอยากอยู่คนเดียวมากกว่า แต่สิ่งที่ฉันเห็นพอจะทำให้รู้แล้วล่ะว่าอะไรที่เหมาะสมกับนาย นายน่ะไม่ต้องลังเลอะไรอีกแล้วนะปั้น ระหว่างพวกนายสองคน ไม่มีใครที่ดูไม่ออกหรอกนะ”
“หมายความว่าไง?” ปั้นชะงักไปจนเกือบทำจานหล่นแตก
“ก็...คนอื่นเขารู้กันหมดแล้วว่ารดิศน่ะชอบนาย ถึงขั้นที่เรียกว่ารักเลยล่ะ” เจ้าตัวนิ่งไป ได้จังหวะคุณหมอแพรวพูดต่อ
“มีแต่นายนั่นแหละ หมอนั่นแสดงออกมากแค่ไหน นายมองจุดประสงค์ไม่ออกเลยหรือไง หรือนี่ยังเป็นห่วง กลัวว่าพี่อธินจะเสียใจ”
“เรากลัวว่าถ้าเลือกเขาไปแล้ว พี่อธินจะไม่มีทางจบเรื่องนี้ง่ายๆ น่ะสิ” ปั้นถอนหายใจตอนพูดจบประโยค เรื่องราวระหว่างเขากับพี่อธินนั้นยังซับซ้อน หากไปคบคนใหม่เขาคงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
“ฟังฉันนะ ต่อให้พี่อธินจะยิ่งใหญ่มาจากไหน หมอนั่นก็คงไม่มีทางปล่อยให้ใครเข้ามาทำร้ายหรือเข้ามามีสิทธิ์ในตัวนายได้อีกแน่นอน เชื่อฉันเถอะ...มั่นใจในตัวผู้ชายคนนี้ได้แล้ว”
ทั้งสองคนหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้นเมื่อคุณป้าเรียกให้หนุ่มๆ ด้านนอกเข้ามายกกับข้าวออกไปเสิร์ฟ งานเลี้ยงในคืนนี้ปิดท้ายด้วยกิจกรรมรอบกองไฟบนลานหญ้าเล็กๆ ในสวน หลังจากทานมื้อค่ำกันเสร็จแล้วพวกเขาก็รีบไปรวมตัวกัน


กองไฟเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยบรรดาหนุ่มสาวที่มีใจอาสาทำกิจกรรมเพื่อสังคม เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างสนุกสนานเมื่อคนในกลุ่มถูกทำโทษด้วยการเต้นท่าพิสดาร เสียงโห่ถูกใจดังขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้ว่าคนต่อไปในเกมนี้คือพี่แอน
พี่แม็กซ์ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรสั่งเปลี่ยนเกมเพราะอยากให้สมาชิกคนอื่นๆ มีส่วนร่วมบ้าง ราวกับโดนแกล้ง เมื่อสิ้นเสียงสั่งว่าให้จับคู่ แต่ละคนวิ่งกันชุลมุนไปหาเพื่อนสนิทของตัวเองราวกับเด็กๆ และคนสุดท้ายที่เหลืออยู่นั้นก็คือรดิศนั่นเอง
“ทุกคนฟังนะ เราจะเล่นเกมส่งลูกปิงปองกัน แต่ละคู่ต้องช่วยกันประคองลูกปิงปองนี้ด้วยใบหน้า ย้ำนะครับ ห้ามใช้มือเด็ดขาด! และถ้าใครทำตกต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ และคู่ไหนที่ถึงเส้นชัยช้าที่สุด ก็จะถูกทำโทษครับ...”
หลายคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนานและเตรียมซ้อมทำภารกิจ มีแต่คู่ของปั้นกับรดิศเท่านั้นที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ
ปั้นหันไปมองคนด้านข้าง รดิศตีสีหน้านิ่งไม่ทุกข์ร้อน เลยตัดสินใจหันไปกระซิบกับพี่แม็กซ์ว่าขอถอนตัวได้หรือไม่ ซึ่งหลายคนก็ลงความเห็นว่าไม่อนุญาต เขาจึงรับปิงปองมาถือไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ตอนนี้มันไม่เหมือนกับตอนเด็กๆ แล้ว จะให้อยู่ใกล้กันโดยไม่คิดอะไรได้ยังไง
“เกมนี้เล่นไม่ยาก แค่ร่วมมือกันส่งปิงปองให้ทันเวลา ทุกคู่วางแผนกันให้ดีๆ นะครับ เอาล่ะ! ประจำที่ได้”
แต่ละคู่ต่างอยู่ในท่าเตรียมพร้อม มีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ยังไม่ยอมตกลงกัน จนในที่สุดคนตัวสูงกว่าก็คว้าแขนคนตรงหน้าเข้ามา และประคองใบหน้าหวานขึ้น ก่อนจะทาบลูกปิงปองไปบนแก้มแล้วตัวเองก็ตามมาแนบชิด
“เราไม่เล่น” ปั้นรีบผละออก กระซิบบอกคำนี้กับรดิศ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ โน้มลงต่ำพยายามชี้แจงว่าถ้าไม่เลือกทำแบบนี้มีหวังพวกเขาสองคนคงถูกทำโทษ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่อยากออกไปเต้นท่าประหลาดๆ เหมือนคนอื่นๆ และเชื่อว่าปั้นเองก็ไม่อยากโดนเหมือนกัน
เมื่อสิ้นสุดเสียงนกหวีด ทุกคนก็ออกสตาร์ท แต่ละคู่ใช้เทคนิคต่างกัน บางคนสนิทกันมากก็กอดคอเดินกันไป บางคู่วางไว้บนหน้าผากพอเดินไม่พร้อมกันลูกปิงปองก็ร่วงลงไปต้องกลับไปเริ่มใหม่ ส่วนคู่ของปั้นกับรดิศนั้นเพราะมีส่วนสูงที่ต่างกัน คนหนึ่งต้องโอบเอวอีกฝ่ายไว้ ส่วนอีกคนก็โอบไหล่โน้มลำตัวที่สูงกว่ามาชิดกัน
“ใกล้กว่านี้ก็เคยมาแล้ว นี่นายช่วยอยู่นิ่งๆ จนกว่าจะจบเกมได้ไหม?” คนที่มีอาการยึกยักๆ ตลอดเวลาเกือบทำปิงปองร่วงไปตั้งหลายครั้ง กำลังโดนเอ็ด แน่นอนว่าประโยคนั้นทำคนฟังหน้าแดงขึ้นไปอีก ปั้นอยากจะหันมาต่อว่าเขาเหลือเกินแต่ติดตรงที่แก้มยังแนบกันแบบนี้
พอถึงเส้นชัยปิงปองก็ร่วงลงพื้นทันที คราวนี้คนที่พยายามเลี่ยงการใกล้ชิดมาตลอดก็ตกอยู่ในอ้อมกอดคนสูงกว่ากลายๆ พอได้จังหวะก็รีบผละออกไปยืนห่างๆ รอดูคู่อื่นๆ ที่ทยอยเดินมา

หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 20 : เก็บไว้ในใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 20-01-2018 15:18:19

   ลมเย็นชื้นพัดผ่านไปได้ไม่นานฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมา พี่แม็กซ์ตะโกนบอกให้ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปหลบในตัวอาคาร หลายคนวิ่งวุ่น กิจกรรมรอบกองไฟในคืนนี้จำต้องหยุดลงกะทันหัน กองไฟเล็กๆ ของพวกเขาดับวูบลงเมื่อไม่อาจต้านทานสายฝนหลงฤดูกาลในค่ำคืนนี้ได้
   ความอบอุ่นแทรกผ่านปลายนิ้วและดูเหมือนว่ามันจะเป็นฉนวนทำให้ใครบางคนแก้มแดงระเรื่อเนื่องจากฝ่ามือหนาที่เข้ามากอบกุม...จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่เคียงข้าง
ปั้นถูกเขาดึงให้เข้ามาหลบในเรือนไทยซึ่งอยู่ไม่ห่างจากลานกิจกรรม ที่นี่มีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้น คนอื่นที่แน่ใจว่าวิ่งตามมาด้วยกลับหนีหาย เขาไม่กล้าแม้แต่กระดิกนิ้ว
   และแล้วความเงียบก็เข้ามาปกคลุมอย่างหนักพอๆ กับสายฝนที่ตกลงมา
สถานการณ์ที่น่าอึดอัดนี้... บรรยากาศรอบกายหวนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน
ในวันที่ฝนตกหนัก...
แม้ชายหนุ่มจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองที่กำลังฟ้องว่าตื่นเต้นตลอดเวลานี้ได้ จนเมื่อได้ยินเสียงจากร่างสูงที่ยืนอยู่เคียงข้างเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“หนาวรึเปล่า?...”
ปั้นส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ และรู้สึกถึงแรงกระชับที่มือว่ามันแน่นขึ้น
“เวลาผ่านไปเร็วเนอะ...นายว่าไหม?”
ใบหน้าสวยหันมามองเมื่อได้ยินประโยคที่แฝงความหมาย
ใช่แล้ว...เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน จนคนที่ไม่พร้อมจะเผชิญปัญหาอย่างเขากำลังนึกกลัวกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
“พรุ่งนี้นายจะกลับไปพร้อมกันรึเปล่า?” รดิศทำให้คนฟังนิ่งค้างเป็นรอบที่สอง ใบหน้าสวยหวานที่เขาชอบมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ทั้งที่คำตอบของมันเป็นแค่การยืนยันว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่กริยาดังกล่าวของอีกฝ่ายราวกับเป็นคำถามที่ตอบยากเหลือแสน
“ไม่รู้สิ”
“งั้นหรือ...” ได้ยินแล้วความหวังที่จะพัฒนาไปอีกขั้นของเขาเป็นอันต้องมอดไป รดิศทอดมองออกไปในสายฝน ดวงตาคมกริบดูคล้ายจะอ่อนแสงลงพร้อมกับความหวังที่เริ่มสั่นคลอน
ก็พอจะดูออกว่าปั้นยังคงมีเยื่อใยให้ไอ้หมอนั่น เป็นไปไม่ได้เลยว่าในระหว่างห้าปี ที่ไม่รู้ว่าเขามัวแต่ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน จะไม่ทำให้ทั้งความสัมพันธ์ของคนสองคนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ปั้นเองก็อาจจะหลงรักหมอนั่นเข้าแล้วก็ได้
ยิ่งคิดยิ่งพาลให้รู้สึกแปลบๆ ในหัวใจ แต่มันคงห้ามกันไม่ได้เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขามีส่วนผิดเต็มๆ
ไม่ผิดหรอกถ้าปั้นจะหลงรัก เพียงแต่เขาแค่อยากรู้ว่าภายในดวงตาที่พยายามข่มความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาคู่นั้น ยังเฝ้ามองเขาอยู่เหมือนเดิมไหม
แค่นั้นจริงๆ ...
“ไม่กลัวหมอนั่นจะเป็นห่วงหรือ?” แล้วความน้อยใจก็พาลให้พูดจางี่เง่าขึ้นมาเสียได้ รดิศรู้สึกหงุดหงิดเมื่อรู้ตัวว่าเขาเผลอใช้น้ำเสียงเอาแต่ใจถามไป
ไม่น่าเลย...ให้ตาย
ปั้นรู้ดีว่าป่านนี้พี่อธินคงพยายามแค่ไหนกับการตามหาเขา รู้ดีอยู่เต็มอกว่าทำให้อีกฝ่ายเป็นห่วง แต่มันยากเย็นเหลือเกินที่จะกลับไปแล้วมองข้ามเรื่องในอดีตทั้งหมด แม้ไม่เคยโกรธเกลียดอีกฝ่าย แต่ความผิดหวังที่มีแม้จะเจือจางลงไปแต่ทว่ามันกลับไม่เลือนหาย
ยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่...และนานอีกแค่ไหน
ร่างบางกระตุกวูบเมื่อเจ้าของความอบอุ่นตรงหน้า คว้าร่างเขาเข้าไปกอดแน่นอย่างไม่ทันตั้งตัว น้ำเสียงสั่นเครือของรดิศพร้อมกับลมหายใจติดขัดของเขาทำให้ปั้นแปลกใจ แล้วใจดวงน้อยก็เต้นถี่รัวอีกครั้งเมื่อได้ยินหัวใจอีกดวงเต้นรุนแรงไม่แพ้กัน
ความสับสน ว้าวุ่นใจของชายหนุ่มค่อยๆ สงบลงเมื่อสองแขนเรียวยกขึ้นกอดแผ่นหลังของเขาราวกับช่วยปลอบประโลม
“ฉันขอแค่ห้านาที แล้วจะไม่กวนใจนายอีกเลย” รดิศรู้ตัวว่าเขาอาจวุ่นวายชีวิตของอีกฝ่ายมากเกินไป ทั้งที่ตั้งใจว่าจะสู้อีกสักตั้งแต่แล้วกลับต้องแพ้พ่ายลงอย่างย่อยยับตั้งแต่ไม่ทันเริ่ม แค่เพียงเห็นใบหน้าของคนที่รักเอาแต่เหม่อลอยคล้ายกับคิดถึงใครอยู่ตลอดเวลา
อดีตก็คืออดีต ความรู้สึกที่ปั้นมีให้เขาอาจจะมอดลงไปแล้วตามกาลเวลา
รอจนม่านหมอกในใจค่อยๆ จางลงชายหนุ่มจึงพูดต่อ
“ขอโทษที่เอาแต่ใจแล้วก็สร้างปัญหาให้นาย แต่สาบานได้เลยว่าสิ่งที่ฉันรู้สึกมาตลอดมันไม่เคยเปลี่ยน ต่อให้นายไม่ได้มองฉันแล้วก็ตาม รู้ไหมสิ่งที่ฉันเคยทำกับนาย...ตอนนี้มันย้อนกลับมาหาฉันแล้ว”
ร่างสูงพยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา สองแขนแกร่งกอดร่างบางในอ้อมแขนแน่นด้วยความเจ็บปวด ใจที่เคยเข้มแข็งกลับอ่อนแอลงเสียดื้อๆ เมื่อไม่อาจครอบครองในสิ่งที่รัก
รู้แล้วว่าตัวเองมาช้าเพียงใด...และตอนนี้ก็คงไม่ทันการ
อาการดังกล่าวทำให้ร่างบางที่ยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ลมหายใจอุ่นร้อนพร้อมกับน้ำตาของชายหนุ่มจนรู้สึกได้ เสียงหายใจที่ขาดห้วงของคนกำลังกลั้นความเจ็บปวดไว้
ต่างจากที่ผ่านมาที่รดิศมักจะเอาแต่ใจ
หรือจะจริงอย่างที่แพรวบอก...
ร่างสูงค่อยๆ คลายอ้อมแขนออก ใบหน้าหล่อเหลาจ้องมองมาไม่วางตา ปั้นเห็นแววตัดพ้อซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นที่มีร่องรอยของน้ำตา ผู้ชายที่คิดว่าแข็งแกร่งที่สุดไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะอ่อนแอให้กับเรื่องแค่นี้ คนร่างเล็กคิดแล้วอยากจะขำแต่กลับแสร้งตีหน้านิ่งเฝ้ามองดูว่าคนตรงหน้าจะยังใจเสาะให้กับเรื่องแค่นี้ไปจนถึงเมื่อไหร่
“ฉันขอให้นายโชคดี...” ปั้นยืนฟังคำที่รดิศบอกอย่างตะลึงปนคาดไม่ถึง นี่คิดจะตัดขาดกันจริงๆ งั้นหรือ...แล้วร่างสูงก็ยิ้มให้เขาด้วยแววตาเศร้าหมองของคนยอมแพ้แล้วกับความรัก
ไม่สิ...หมอนี่กำลังเข้าใจผิดนะ
เวลานี้ตัวเองควรพูดอะไรสักอย่างเพื่อรั้งแผ่นหลังที่เริ่มห่อเหี่ยวนั่นไว้ ก่อนที่จะมีคนเข้าใจผิด เดินตากฝนกลับไปคืนนี้
“ดิศ! เดี๋ยวก่อน”
ปั้นไม่อาจนิ่งเงียบได้อีกต่อไป ในใจพาลไม่สงบเสียอย่างนั้นเมื่อเห็นอาการและท่าทางของรดิศราวกับคนหัวใจแหลกสลาย หมอนั่นดูไม่รู้เลยหรือไง ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดอย่างไรกันแน่...
หรือเป็นเขาเองที่ควรพูดมันออกไปให้ชัดเจน
“เราคิดว่านายคงเข้าใจอะไรผิดไป จริงๆ แล้วคนที่ไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำก็คือผู้ชายที่เคยเขียนชื่อแนะนำตัวกับเราในวันนั้น”
“ยังจำได้อีกหรือ”
“ก็นายไง!” แก้มขาวๆ ขึ้นเป็นสีแดงจัดแม้สายฝนจะตกลงมากระหน่ำแต่ก็ไม่อาจทำให้ความร้อนบนแก้มนี้ลดลงไปได้ และยิ่งเป็นทวีคูณเมื่อเจ้าของเรือนผมที่เริ่มยาวประบ่าเข้ามาคลอเคลียใกล้ๆ
“ไหนลองพูดอีกทีสิว่าหมอนั่นมันเป็นใคร?...” น้ำเสียงค่อนไปทางเจ้าเล่ห์ จนคนฟังไล่ตามอาการนั่นไม่ทัน
“รดิศ ช...” ไม่ทันเอ่ยจบเรียวปากบางก็ถูกครอบครองเสียก่อน ปั้นได้แต่ยืนนิ่งเป็นหินเมื่อถูกจู่โจมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว คนที่อารมณ์เศร้าหมองเมื่อครู่กลับกลายเป็นคนละคน เนื่องจากได้รับการเยียวยาจากร่างตรงหน้า ที่เสียรู้ให้กับแผนการของชายหนุ่มที่เล่นเกมตีหน้าเศร้าให้คนฟังใจหายวูบ แล้วตลบหลังด้วยการหลอกให้เผลอเผยความในใจออกมาจนหมด ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชายที่ไม่คิดว่าจะไหลออกมาง่ายดายด้วยเรื่องแค่นี้ แม้จะสงสัยว่ามันแปลกๆ ในทีแรกก็เถอะ
เจ้าเล่ห์ที่สุดเลย...
ร่างบางใจยังเต้นแรงกับสัมผัสที่เรียกว่าจู่โจมนั่นไม่หาย ทั้งตัวร้อนผ่าวขัดกับสภาพอากาศด้านนอกเหลือเกิน ดวงหน้ายังคงเจือด้วยสีชมพูจางๆ ยามสบมองเจ้าของดวงตาคมเข้มตรงหน้า กลับจากค่ายครั้งนี้ถ้าเขาจะไม่สบายขึ้นมาก็คงไม่แปลก ก็สภาพร่างกายที่แปรปรวนขนาดนี้จะให้ทนยังไงไหว
“กลับด้วยกันเถอะนะ” ร่างสูงเอ่ยชวนกันอีกครั้ง ที่บอกว่าเหลือเวลาอีกไม่มากนั่นก็เพราะหมายความว่า ถ้าปั้นไม่ตกลงกลับไปกับเขาดีๆ พรุ่งนี้เช้าอาจจะต้องใช้โหมดบังคับกันบ้างล่ะ
“แต่เรายังไม่พร้อม...”
“ใช่ว่าจะให้นายกลับไปหาไอ้อธินนั่นซะที่ไหน” รดิศเผลอใช้เสียงแบบคนเอาแต่ใจอีกแล้วจนคนฟังได้แต่ยืนกระพริบตาให้กับอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านของชายหนุ่ม
 “ฉันสัญญา จะไม่ทำให้นายเสียใจอีก” มือหนาประคองใบหน้าขาวๆ เข้ามาใกล้ ใช้สายตาแห่งความจริงใจบอกผ่านความรู้สึก
“แค่กลับไปกับฉัน”
“ไม่บังคับกันไปหน่อยหรือ?”
“ก็ลองปฏิเสธสิ” คนขู่ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเองพอได้ยินประโยคถัดมาทำเอาร่างสูงยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ที่จริง...อยู่ตัวคนเดียวมันก็ดีเหมือนกันนะ” ปั้นไม่คิดว่าแค่เปรยเล่นๆ จะทำให้คนฟังถึงกับเข้ามาพันแข้งพันขาด้วยความจำนน
“แต่มันจะดีกว่าถ้ามีฉันอยู่ข้างๆ” ชายหนุ่มพยายามอวดสรรพคุณของตัวเองอย่างถึงที่สุดแต่ดูท่าว่าคนตรงหน้าจะไม่ยอมใจอ่อนสักเท่าไหร่
เรียวปากบางยกยิ้มร่าเริงอย่างไม่เคยรู้สึกมีความสุขขนาดนี้มาก่อน ที่จริงใจมันอ่อนตั้งแต่เจอลูกอ้อนนั่นเข้าแล้ว แต่อยากยั่วให้เหยื่อใจแป้วเล่นๆ เท่านั้นเอง ไหนๆ ก็ทำให้เขาเสียใจมาก็มาก
“ยิ้มแบบนี้แสดงว่าตกลงใช่ไหม?”
ร่างสูงเผยยิ้มชั่วร้ายก่อนจะโอบร่างบางที่ยังคงดื้อดึงเข้าสู่อ้อมอก รดิศชิงหอมแก้มไปฟอดใหญ่ก่อนจะกดลงหนักๆ ที่ริมฝีปากบางสวย คนตัวเล็กกว่าราวกับรู้หน้าที่ตอบรับสัมผัสที่คุ้นเคยนั่นอย่างโหยหา นัยน์ตาคู่สวยหวานฉ่ำมองใบหน้าคมเข้มที่ห่างกันเพียงคืบ จมูกโด่งรั้นแนบชิดแก้มรับรู้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของชายหนุ่มตรงหน้า เมื่อไม่อาจต้านทานสายตาคู่นั้น ปลายเท้าเขย่งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเป็นฝ่ายจูบลงไปบนริมฝีปากหยักสวยที่แย้มยิ้มด้วยความสุขสม รดิศโน้มลงต่ำเพื่อให้คนตัวเล็กกว่าได้ฝึกกลวิธีมัดใจเขาให้อยู่หมัดด้วยริมฝีปากสวยคู่นั้น
“อื้ม..”
ฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายกลบเสียงเครือครางในลำคอของอีกฝ่ายจนสิ้น ทั้งคู่ใช้ศาลาเรือนไทยที่ค่อนข้างจะลับตาผู้คนเป็นสถานที่บอกรักกันในค่ำคืนนี้ ร่างบางในสภาพกึ่งเปลือยนั่งคร่อมอยู่บนเรือนร่างสูงใหญ่ สองมือโอบคอคนตรงหน้าแน่น ค่อยๆ ขยับสะโพกตอบรับไปตามจังหวะที่อีกคนส่งให้ ปลายอกสีสวยถูกครอบครองไปในคราวเดียวกันนั่นเรียกเสียงหวานให้ครางสูงขึ้นกว่าเดิม
“อ้ะ!...อ้า..ดิศ”
“รู้สึกดีไหม?” คนสวยได้แต่พยักหน้ารับเพราะเรียวปากที่เอาแต่ส่งเสียงหวานกำลังถูกครอบครอง นัยน์ตาสีสวยหลับพริ้มไปกับรสจูบแสนหวานนั่นและร่างกายที่เชื่อมติดกันแนบแน่นช่วยบรรเทาอากาศหนาวในยามนี้ได้
การมีเซ็กกันครั้งนี้ให้ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด…
ความอบอุ่นที่ตามหามาแสนนาน



....................................................

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับตอนนี้นะเจ้าค่า...สำหรับคนที่รอพี่อธิน เจอกันตอนหน้านะคะ พี่กำลังจะตามมาค่ะ o18


ยัง ยังจะตามมาอีกเรอะ ฮ่าๆๆๆๆ   :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 20-01-2018 16:49:40
ตอนที่ 22 บอกเธอด้วยหัวใจ

 
            ร่างบางนอนขดกายอยู่ในผ้าห่มผืนหนาหลังจากหมดเรี่ยวแรงไปกับกิจกรรมรักที่เกิดขึ้นด้วยความตั้งใจในค่ำคืนที่ผ่านมา เสียงนาฬิกาปลุกทำให้ร่างสูงข้างๆ ต้องรีบควานหามันด้วยความงัวเงีย
“หกโมงเช้า...”
รดิศพึมพำก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งโดยไม่ลืมซุกร่างบอบบางตรงหน้าเข้ามาไว้แนบอก อมยิ้มให้กับรอยกุหลาบสีสวยบนลำคอขาวที่เป็นเครื่องหมายย้ำให้รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนของพวกเขานั้นช่างหอมหวานเพียงใด หลังจากเกมบอกรักท่ามกลางสายฝนเสร็จสิ้นไปทั้งคู่ก็กลับมาต่อด้วยเกมทายใจในห้องพักจนเกือบสว่าง และฝ่ายที่เป็นคนเริ่มก่อนตอนนี้ยังคงหลับไม่รู้เรื่องราว
ก็อยากเข้ามายั่วเขาก่อนทำไม... 
            เขาหลับตาลงอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ใช่ว่าเป็นคนขี้เซาแต่ทว่ากลับแพ้ใบหน้าขาวๆ กับเรียวปากสีแดงจัดของคนตรงหน้า อยากมองอยู่แบบนี้นานๆ
           

“พี่ปั้นตื่นรึยังครับ!”
            “ผมเข้าไปได้มั้ย”
 เสียงน้องมีนเรียกหน้าห้องดังแว่วมาปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ ร่างสูงมีท่าทางร้อนรนจนถึงขีดสุดเกรงว่าคนหน้าห้องจะเปิดเข้ามาจริงๆ ทั้งๆ ที่เขาก็ล็อกประตูไว้แล้ว
“ยังไม่ตื่นหรือ?”
“พี่ปั้นๆ ไม่สบายรึเปล่า?” เสียงเคาะประตูตามมาบวกน้ำเสียงอีกฝ่ายที่กำลังเป็นห่วง คิดว่าถ้าไม่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างฝ่ายนั้นคงพังเข้ามาจริงๆ
ร่างสูงคว้ามาได้แค่ผ้าขนหนูผืนเดียวเท่านั้น เขาเปิดประตูต้อนรับคนมาใหม่
“พะ พี่รดิศ!” เจ้าของชื่อยิ้มกว้างราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ผิดกับเด็กหนุ่มตรงหน้าที่บัดนี้ใบหน้าขาวๆ นั้นแดงก่ำไปเรียบร้อย เมื่อเผลอมองเข้าไปบนเตียงหลังเล็กสีขาว เห็นพี่ชายที่รักหลับอยู่โดยไม่รู้เรื่องราว
“พี่ปั้นหลับอยู่น่ะ” เขาตอบให้โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องถาม น้องมีนพยักหน้ารัว แต่ร่างกายเป็นเหมือนหุ่นกระบอก ไม่อยากคิดตามเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด ปกติพี่คนนี้ตื่นเร็วจะตาย!
“ผมไปก่อนนะครับ” น้องมีนส่งน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ของว่างยามเช้ามาให้ก่อนจะรีบโกยแน่บกลับไปราวกับเห็นผี
“เอาแล้วไง!” รดิศเกาหัวแกรกหันไปมองร่างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใดๆ บนเตียง ร่างสูงตรงเข้าไปหาใช้ปลายจมูกแซะไปตามเนื้อกายหอมหวาน คนหลับอยู่จำต้องปรือตามองอย่างเกียจคร้าน
“ตื่นได้แล้ว”
ปั้นพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะเดินโซเซไปยังอ่างล้างหน้า พลันสายตาเหลือเห็นน้ำเต้าหู้วางอยู่ก็เลยนึกแปลกใจ
“นายเป็นคนซื้อ?”
“เปล่า น้องมีนเอามาให้”
“เมื่อไหร่?”
“ตะกี้ นายหลับอยู่”
ปั้นหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย แบบนั้นน้องมีนก็ต้องรู้สิว่าเมื่อคืนพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน แค่ยอมให้รู้ว่ารักครั้งแรกของเขาคือรดิศก็เขินแทบแย่ แต่นี่มัน...เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
 
................................................................
พวกเขามีเวลาเที่ยวเล่นอีกชั่วโมงกว่าๆ เนื่องจากรถที่มารับจะเข้ามาถึงตอนแปดโมงครึ่ง ได้โอกาสรดิศจึงชวนอีกคนที่เอาแต่ก้มหน้างุดตลอดเวลาเพราะเขินออกมาเดินเล่น จุดหมายปลายทางไม่ใช่ที่ไหน แต่เป็นริมชายหาดที่ปั้นเคยมาแล้วเมื่อวันก่อน
“อะไรหรือ?” ร่างสูงเรียกเขาให้หันมองแต่แล้วต้องงงงันยิ่งกว่าเมื่อเจอกล่องของขวัญเล็กๆ ผูกโบว์สีขาวสะอาดตาอยู่ตรงหน้า
“14 มีนาคม ของขวัญวันไวท์เดย์ยังไงล่ะ” ปั้นยังคงงงอยู่เช่นเดิม ก็วาเลนไทน์ที่ผ่านมาจำได้ว่าพี่อธินพาเขาไปกินเค้กที่ร้านโปรดเท่านั้นไม่มีอะไรพิเศษมากมายเนื่องจากฝ่ายนั้นเองก็ไม่ค่อยมีเวลา แล้วที่จำได้เขาไม่เคยให้ของขวัญใครอีกเลย ก็ตั้งแต่ที่โดนปฏิเสธไปคราวนั้น
หรือว่าจะเป็น...
“ห้าปี...มันอาจจะช้าไปหน่อย” กล่องของขวัญสีขาวถูกเปิดออก มือหนาค่อยๆ หยิบสร้อยเส้นเล็กคล้องด้วยจี้รูปหยดน้ำที่ทำจากแก้วบางใสขึ้นมา เมื่อเพ่งมองไปด้านในกลับพบว่ามันประดับด้วยดอกไม้แห้งจิ๋วๆ ทั้งหมดจัดวางอยู่ในนั้นอย่างประณีต
"เก็บไว้นานเลย โชคดีที่ตัดสินใจพกมาด้วย"
“จริงหรือ?...” ร่างบางถามเสียงสั่นเครือ ไม่อาจกักเก็บน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป
“อืม..กลัวเหมือนกันว่าจะไม่ได้ให้” รดิศรั้งข้อมือของอีกฝ่ายเข้ามาชิดก่อนจะกอดร่างเล็กตรงหน้าแนบอก "ฉันรักนายนะ" เสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ น่าจะพอยืนยันได้ว่าสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่หัวใจร้องบอก ไม่ว่าอย่างไรคำตอบของมันก็เป็นแบบเดียวกัน
ว่ารักมากเพียงใด...
 
“ไม่คิดว่ามึงจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไง!”
ร่างบางผละออกทันทีที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคย นัยน์ตาคมกริบนิ่งสนิทราวกับไร้ความรู้สึก ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นด้วยความสมเพชที่ทนหลอกตัวเองมาเนิ่นนาน ตวัดมองคนรักด้วยความโหยหาแต่เมื่อเจอมือเรียวกอบกุมอยู่กับไอ้หมอนั่นไม่ห่าง ความโกรธที่คล้ายกับพายุเพลิงกลับกระหน่ำขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ในที่สุด...เขาก็ตามหาปั้นจนเจอ
“พี่อธิน!” เสียงสั่นเครือคล้ายจะขาดห้วงอยู่ในที เมื่อดวงตาคู่นั่นตวัดมองมายังพวกเขาด้วยความรู้สึกผิดหวัง ปั้นเห็นแล้วใจกระตุกวูบ ไร้คำแก้ตัวใดๆ จะเอื้อนเอ่ย
“ฉันว่านายควรจะกลับไปดีกว่านะ” รดิศพูดจาดีๆ พลางกระชับมือเล็กๆ นั่นไว้มั่น รู้สึกถึงอาการสั่นเทาผ่านทางฝ่ามือเย็นชื้นของคนข้างกาย
“ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างแกจะใช้แต่วิธีเดิมๆ...เมื่อไหร่ที่ปั้นเสียใจแกก็จะหาทางเข้ามา”
“แล้วอย่างแกมันดีกว่าฉันตรงไหน?”
อธินเงียบไปเมื่อเจอฝ่ายนั้นย้อนกลับ ร่างสูงก้าวเข้ามาอย่างไม่หวาดหวั่น ยืนจ้องหน้ารดิศที่ตอนนี้กำลังถือไผ่เหนือกว่า ด้วยการได้หัวใจของคนที่เขารักกลับไปครองเต็มๆ
“เราแน่ใจแล้วใช่มั้ยที่ทำแบบนี้?” ร่างสูงเอ่ยถามคนรักที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังไอ้คนที่เขาตราหน้าว่าเป็นพวกลอบกัด “จะไม่เสียใจถ้าหลังจากนี้มันจะทำให้ปั้นของพี่เจ็บปวด คิดดีแล้วใช่ไหมที่จะปล่อยมือไปจากพี่” อธินเค้นเข้าไปในดวงตาคู่สวยด้วยแววตัดพ้อ น้ำเสียงเย็นเยือกที่เคยใช้แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ร้อนระอุคล้ายถูกเปลวเพลิงเผาทั้งเป็น
“พี่อธิน ผม... ผม” ร่างบางคิดหาคำตอบแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งอับจนหนทาง ไม่เคยเห็นพี่อธินเสียใจแบบนี้ ปั้นได้กลิ่นเหล้าจากร่างสูงนั่นก็พอจะรู้ว่าทำไมพี่อธินถึงเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
“มองหน้าพี่แล้วพูดออกมาสิว่าไม่ได้รักแล้ว! บอกมาสิว่าเกลียดไอ้เลวคนนี้....พี่จะได้ตัดใจ”
“พี่อธินอย่าพูดแบบนั้นสิครับ ผม...ผมไม่ได้เกลียด...”
“แต่ปั้นก็ไม่ได้รัก...”
ร่างสูงต่อประโยคนั้นจนจบด้วยน้ำตาที่ไหลออกมา มองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเจ็บปวดราวกับคนขาดใจ
รดิศถอยร่นกลับมาหนึ่งก้าวเพียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้ให้กับความสัมพันธ์ที่ชวนให้ปวดหนึบๆ ในหัวใจของสองคนอย่างเลี่ยงไม่ได้
บางทีคนที่คิดว่าตัวเองชนะมาเสมอ...อาจจะแพ้มาแล้วตั้งแต่ต้น
 
 
“พี่ปั้นล่ะครับ แล้วทำไมพี่กลับมาคนเดียว!”
“แฟนเขามารับแล้วล่ะ” น้องมีนอยากจะเอาหัวเขกประตูรถเมื่อได้ฟังแบบนั้น ก็ไม่ใช่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาหรอกหรือแฟนพี่ปั้น ทั้งที่ฉากเมื่อเช้ายังตำตาซะขนาดนั้น
“พี่นี่เข้าใจเล่นมุกเนอะ” พูดจบเจ้าตัวก็ขำไม่ออกเมื่อเจอสีหน้าราวกับคนอกหักของรดิศที่เดินขึ้นไปนั่งบนรถราวกับคนใกล้ขาดอากาศหายใจ น้องมีนเองก็ชักงงๆ กับอาการที่ว่า แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกต่อไป
“ปั้นโทรมาบอกว่ากลับไปกลับพี่อธินก่อนแล้วล่ะ พวกเราออกรถได้เลย”
น้องมีนกระพริบตาปริบๆ เมื่อมองย้อนไปยังหนุ่มร่างสูงสลับกับบทสนทนาของพี่มะลิกับพี่แอนเมื่อสักครู่ ตกลงเรื่องจริงมันคืออะไรกันแน่
“รดิศ! รดิศ!” แพรวรีบจำอ้าวตามขึ้นไปบนรถเมื่อรู้เรื่องราว หญิงสาวพินิจใบหน้าเศร้าหมองของเพื่อนสมัยม.ปลายด้วยความผิดหวัง ที่เชื่อมาตลอดว่าอีกฝ่ายจะไม่ปล่อยมือเพื่อนรักของเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“ตกลงจะให้มันจบลงแบบนี้ใช่มั้ยดิศ! จะปล่อยให้ปั้นไปทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าหมอนั่นรักนายขนาดไหนน่ะหรือ” เสียงใสตะโกนถามอย่างเอาเรื่อง เล่นเอาคนบนรถที่ไม่รู้เรื่องราวหันมามองยังจุดของพวกเขาเป็นตาเดียว
“มันคงจะดีกว่าถ้าไม่ใช่ฉัน…” รดิศตอบลอยๆ พลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง อยากจะหลับตาลงแล้วลืมว่าที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้น หรือไม่ก็ย้อนเวลากลับไปและหยุดมันไว้เพียงแค่นั้นพอ
เขาไม่อาจทนกับสิ่งที่เห็น...ภาพของคนสองคนที่เต็มไปด้วยความผูกพันมันทำให้เขาปวดร้าวแค่ไหน มากจนรู้ตัวว่าควรถอยออกมา...
เพี๊ยะ!!! ฝ่ามือเรียวฟาดลงอย่างแรงเมื่อไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปในอาการนิ่งเฉยราวกับคนไร้ความรู้สึกของรดิศ ใบหน้าคมเข้มสะบัดไปตามแรงแต่กลับไม่สะทกสะท้านใดๆ
ไม่มีใครรู้หรอกว่าภายในใจเขาตอนนี้กำลังคลั่งจนแทบบ้า..
“ฉันผิดหวังแทนปั้นจริงๆ นายนี่มันงี่เง่า งี่เง่าไม่เคยเปลี่ยน!!” อาร์มกับเติ้ลเป็นฝ่ายพาแพรวที่ตอนนี้กำลังร้องไห้ออกมาอย่างหนักเพราะรู้สึกผิดหวังลงไปจากรถ พวกเขาหันมองรดิศที่กำลังข่มความเจ็บปวดไว้ภายใน เข้าใจหมอนั่นดีก็วันนี้เมื่อเห็นแววตาอ่อนแสงนั่นแฝงไปด้วยความร้าวราน
ชักจะเห็นใจมันก็คราวนี้...
รดิศกำหมัดแน่นทุบลงกับขอบหน้าต่าง กดนิ้วลงบนขมับก่อนจะหลับตาลงแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างคนโง่เขลา
เกือบสามชั่วโมงที่เขาปล่อยให้เวลาไหลไปพร้อมกับภาพความทรงจำวันเก่าๆ แล้วก็ได้แต่โทษตัวเองไปว่า เขามันไม่ได้เรื่อง...
 
“ขอบใจพี่ดิศที่เข้ามาช่วยงานพวกเรานะ” ชายหนุ่มแย้มรับด้วยยิ้มอันฝืดฝืน ก่อนจะสะพายเป้ตัวเองเดินข้ามถนนไปยังรถของสองหนุ่มที่เข้ามาจอดรออยู่ก่อนแล้ว
“ทำหน้าโง่อีกแล้วเพื่อนกู” นนท์บ่นเสียงขรมด้วยความละเหี่ยใจอย่างสุดซึ้งที่เห็นหน้าตาหมาหงอยของเพื่อนข้ามถนนมาแต่ไกล นี่ถ้าไม่ไฟแดงรับรองว่ามันคงโดนสิบล้อสอยติดล้อไปด้วยแหงๆ ก็เล่นไม่ดูตาม้าตาเรืออะไรเลย
“มึงนี่อาภัพรักจังนะ” นนท์ทักทายใบหน้าของคนอมทุกข์นั่นด้วยคำพูดจาทิ่มแทง นึกสะใจอยู่ลึกๆ ที่มันตกอยู่ในโหมดนี้อีกครั้ง ใช่ว่าจะเกลียดเพื่อนแต่เพราะยังแค้นใจที่มันเคยทำกับน้องปั้นไม่หาย
“ไม่คิดเลยว่ากรรมมันจะสนองซ้ำซากขนาดนี้” จะว่าไปก็เห็นใจอยู่หน่อยๆ  ถ้าไม่เรียกเวรกรรมก็คงไม่รู้จะพูดอย่างไร
“แล้วนี่จะให้ไปส่งที่บ้านเลยรึเปล่า? ถ้าไปก็รอเย็นๆ โน่น กูติดแก้งานต้องเร่งทำให้เสร็จ”
“ตามใจ” มันเหม่อลอยจนไม่รับรู้อะไรรอบตัวอีกแล้ว บีมจึงเลยตามเลย สองหนุ่มมองหน้ากันไปมาอย่างรู้ความหมายก่อนจะรีบบึ่งไปที่ร้านอย่างรวดเร็วด้วยความไวปานเหยียบแสง
เฮ้อ...ถ้าปั้นรู้ว่าหมอนี่เฮิร์ทขนาดไหน จะเปลี่ยนใจกลับมาหามันไหมนะ...
 
 
Please, listen to my heart…
 
ลมทะเลพัดมา เรือนผมสีเข้มยาวระบ่ากำลังสะบัดไปตามแรง เจ้าของใบหน้าได้รูปชวนให้คนมองยิ่งหลงใหล ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น หากยามใดที่เผลอจดจ้องก็จะรับรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วร้อนแรงเพียงใด เรียวปากหยักได้รูปเม้มน้อยๆ เมื่อกำลังจริงจังกับผลงานของตนเอง แต่แล้วใบหน้าของคนแอบมองกลับแดงก่ำขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะเผลอไปนึกถึงสัมผัสยามที่ได้แนบชิดกัน
บ้าจริงเผลอคิดเรื่องน่าอายออกมาเสียได้!
ร่างบางคิ้วกระตุก เมื่ออยู่ดีๆ สาวฝรั่งที่นั่งเป็นแบบให้ดันเอื้อมมือมาแตะลงบนใบหน้าของรดิศ อย่างถือวิสาสะ ส่วนเจ้าตัวก็ไม่ทุกข์ร้อน ปล่อยให้อีกคนได้ทำตามใจอยู่แบบนั้น
รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ
ปั้นเองก็อยากเข้าไปนั่งเป็นแบบตรงนั้นในฐานะลูกค้าบ้างแต่ก็ไม่กล้าพอ กลัวเขาเห็นหน้าแล้วพาลจะเสียอารมณ์เปล่าๆ พอคิดได้แบบนั้นตัวเองก็เลยชะงักฝีเท้าแล้วนั่งมองอยู่ห่างๆ แอบอิจฉาบรรดาสาวๆ ที่แวะเวียนกันมาทักทายหรือจะพูดให้ถูกนั่นก็คือตามมาหยอดขนมจีบนั่นเอง และมันก็อดไม่ได้ที่คนๆ นี้จะรู้สึก...หึง!
ซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนอย่างเขาต้องแอบมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่อย่างนี้มาหลายครั้งหลายหน ก็เพราะตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฝ่ายนั้นเสียใจอย่างหนัก และเข้าใจผิดไปว่าเขากับพี่อธินคืนดีกันแล้ว ใจหนึ่งอยากเข้าไปอธิบายความจริง แต่อีกใจมันกลัวๆ กล้าๆ เพราะคิดไปว่ารดิศคงมองเขาเป็นพวกโลเลหลายใจไปแล้ว ที่อยู่ดีๆ ไปทำให้รักแล้วสักพักก็มาหักอก
เฮ้อ.....
 
ท้องฟ้าเริ่มอ่อนแสงลง เป็นเวลาเดียวกับที่ชายหนุ่มส่งผลงานให้ลูกค้ารายสุดท้ายของวัน รดิศมักใช้เวลาว่างที่เหลือจากการทำงานที่ร้านออกมาเตร่อยู่ริมชายหาดแบบนี้อยู่เสมอ...ตามประสาของคนที่อกหัก และไม่คิดจะมอบหัวใจให้ใครอีก...
เรื่องราววันนั้นจบลงพร้อมกับอะไรหลายๆ อย่างที่ยังค้างคาใจ แต่ด้วยความที่ไม่อยากให้ตัวเองต้องเจ็บช้ำ เขาถึงเลือกฝังกลบมันไปพร้อมกับหัวใจดวงนี้ ที่ยังคงเต้นอยู่ได้แต่ก็ไร้ความรู้สึก
เขาดำเนินชีวิตไปด้วยความจำเจ บนเส้นทางที่แสนจืดชืด
 
คนแอบมองยังไม่ละความตั้งใจง่ายๆ รวบรวมความกล้าก่อนจะหมดโอกาส และเดินเข้าไปหาใครคนนั้น  ในทันทีที่พบหน้ากัน ใจของคนที่อ่อนแออยู่แล้วราวกับไม่มีแรงหลงเหลือ…
รดิศรีบเก็บของ ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย
“มาอยู่นี่ได้ไง?” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถาม แปลกใจไม่น้อยที่ได้เจอกันทั้งที่ปกติแล้วไอ้อธินคงไม่ปล่อยให้คนของตัวเองไปไหนตามใจชอบได้แบบนี้หรอก คิดแล้วใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึม คล้ายจะบดบังความร้าวรานที่อยู่ในใจ
“เราเอ่อ เอ่อ..” เมื่อหาข้ออ้างไม่ได้ ปั้นเลยล้วงกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่ง
“อะไร?” รดิศเหลือบมองในมือของอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“ค่าจ้าง...วาดรูปเรา” ร่างสูงตวัดมอง คิ้วหนาขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเก่า ก่อนจะยิ้มเยาะเมื่อเข้าใจสถานะของตัวเอง
“ไม่รับวาด” เขาปฏิเสธด้วยเสียงเย็นชามากพอที่จะทำให้ใครบางคนหน้าถอดสี และไม่ได้อธิบายเพิ่มว่าตอนนี้มันหมดแสงของวันไปแล้ว ไม่ได้สนใจดวงตากลมโตคู่นั้นว่ากำลังผิดหวังแค่ไหน
ก็จบกันไปแล้ว จะตามมาทำให้เขาเสียใจอีกทำไม...
“ถ้าหมอนั่นรู้เข้า...มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกจริงไหม?” เสียงอ่อนลงคล้ายจะอธิบายเหตุผลให้เข้าใจ เขาน่ะ มันก็แค่คนอกหัก ปั้นไม่ต้องมาสนใจด้วยซ้ำว่าหลังจากวันนั้นเขาจะเป็นอย่างไร แค่ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขให้มากที่สุดก็พอ...
ถึงเขาจะรักมากแค่ไหนก็ไม่มีวันได้ครอบครอง...
รดิศทนมองสายที่ตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจนั่นไม่ไหว จึงเป็นฝ่ายยอมแพ้และเดินจากไป
เขาก็ไม่อาจทนยืนนิ่ง ต่อหน้าคนที่รักนานๆ ได้หรอกนะ รังแต่จะทำให้มีน้ำตาเปล่าๆ...
ปั่ก
“โอ้ย!!!” ก้อนหินขนาดพอดีมือปะทะลงกลางหลังของคนงี่เง่าได้อย่างแม่นยำสุดๆ ก่อนฝ่ายนั้นจะหันมามองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
ปั้นตามไปสมทบด้วยฝ่ามือหนักๆ อีกสองสามทีบนไหล่ของคนที่งี่เง่าได้ไม่รู้จักเวลา แบบนี้น่าจะปล่อยให้หงอยตายไปซะจะได้จบๆ เรื่อง แต่ก็ติดตรงที่ตัวเองนี่แหละจะเป็นฝ่ายเฉาตายตามไปด้วย
“อะไรเนี่ย จะฆ่ากันจริงๆ รึไง! ปั้น!” รดิศรีบมัดสองแขนนั่นไว้ก่อนที่เขาจะอ่วมไปมากกว่านี้ คนตัวเล็กกว่าจ้องมองเขาอย่างโกรธแค้น เขาเห็นประกายไฟวาวๆ ซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นแล้วต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ อะไรที่ทำให้ปั้นโกรธเคืองได้มากขนาดนี้
“เราต้องคอยเดินตามนายไปแบบนี้จนถึงเมื่อไหร่! เมื่อไหร่นายจะเข้าใจสักทีว่าจริงๆ แล้วเรารู้สึกยังไงกันแน่...”
“นี่นาย!”
“จะยัดเยียดเราให้คนอื่นอีกนานไหม? นายก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรามองใครไม่ได้อีกแล้ว แล้วยังจะใจร้ายให้เราไปอีกหรือ?”
“ฉันขอโท...” ทว่าคำขอโทษกลับกลืนหายลงไปในนั้น ชายหนุ่มยอมเสียเชิงที่ถูกชิงนำไปก่อน แล้วไม่นานก็กลับมาเป็นฝ่ายรุกกลับจนร่างบางที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
จูบที่หวานซะจนเปลี่ยนน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำตาล แสงอาทิตย์ที่เป็นฉากอยู่เบื้องหลังก็เปลี่ยนเป็นสีชมพูไม่ต่างกัน
แล้วปั้นก็ได้รู้อีกข้อหนึ่งว่า การที่ได้แอบมองจากที่ไกลๆ มันเทียบไม่ได้เลยกับตัวตนจริงๆ ที่ยืนอยู่ตรงหน้า แถมริมฝีปากหยักสวยที่เคยเผลอจินตนาการไปเองทุกครั้ง ไม่คิดว่ามันจะมอบความหวานให้มากมายถึงเพียงนี้
ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว...

อยากขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่คอยอยู่เคียงข้างกันในวันที่รู้สึกผิดหวัง ท้อใจ ขอบคุณที่ไม่เคยหายไปไหนแม้เวลาจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม
ขอบคุณน้องชายที่รักที่ทำให้รู้ซึ้งถึงคำว่ามิตรภาพดีๆ ที่เขาจะไม่มีวันลืม มันจะยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ และจะเฝ้ารอจนกว่าเราจะได้พบกัน
ขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนในชมรมอาสาที่คอยสร้างสีสันในชีวิตให้เขาลืมเรื่องร้ายๆ ในช่วงเวลาเก่าๆ นั้นไปได้ และเด็กหนุ่มอีกคนที่เปรียบเสมือนน้องชายกับเรื่องราวมากมายที่คอยช่วยเหลือกันตลอดมา
ขอบคุณผู้ชายที่แสนดีคนนั้น กับความรักที่มอบให้กันมาตลอดห้าปี และภาวนาขอให้ความเจ็บช้ำที่มีภายใจหัวใจดวงนั้น ลบเลือนหายไปในเร็ววัน
และผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เขาได้รู้จักกับความรัก รัก...ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ให้คนๆ หนึ่งได้รู้ว่า สิ่งที่เคยตามหามาตลอดนั้นมีอยู่จริง
ภาพที่เห็นตรงหน้า ไม่เหมือนกับวันที่มีสายฝนโปรยอีกแล้ว หลังจากนี้คงไม่รู้สึกอ้างว้างเมื่อมองไปยังแสงสุดท้ายของยามเย็น เพราะเขามีคนที่จะอยู่เคียงข้าง ไม่ปล่อยให้เหน็บหนาวในทุกๆ ค่ำคืนอีกแล้ว
‘ขอบคุณนะ’
 
 
 
 The End
 
 
…………………………………………………..


ขอบคุณที่ติดตามมาจนบทสุดท้ายนะคะ ต้องขอบคุณจริงๆ ที่อดทนอ่านเรื่องราวและอุปสรรคในความรักของคู่นี้มาได้อย่างสุดพลัง :hao5:
สำหรับคนที่คิดถึงพี่อธิน ฝากติดตามนิยายเรื่อง Dear to me ด้วยนะคะ รับรองว่าจะมีคนเข้ามาสร้างสีสันใหม่ ให้ชีวิตของพี่เราได้ปวดหัวกันไม่หยุดอีกแน่นอน ฮ่าๆๆๆๆๆ
ปล.เรื่องนี้ยังมีตอนพิเศษอีกนะคะ ^^ :mew1:
 

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 20-01-2018 19:30:05
ในที่สุดก็ได้คู่กัน รู้สึกโล่งใจ ฮ่าๆๆๆๆ
รอตอนพิเศษน่ะ อยากเห็นเขาหวานหยอกล้อกันใจพอได้ใช้ขีวิตคู่

ตามอ่านเรื่องใหม่ต่อ^^
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 20-01-2018 21:27:24

เสียน้ำตาไปเยอะมาก

กว่าจะสมหวัง

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 21-01-2018 14:24:48
รอตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 21-01-2018 17:20:08
เป็นความรู้สึกที่อึดอัดดีของทั้วสามคน..ชอบ  o13

แต่ยังไงก็ยังเชียร์พี่อธินอยู่ดี  :hao5:

ไปเปิดให้คู่กับน้องเดียร์..น้องเดียร์คงต้องทำงานหนักหน่อยนะจ้ะ  :z13:

เพราะพี่อธินรักของนางมานาน..เก็บน้ำตารอร้องไห้กับเรื่องของคู่นี้ต่อ  :monkeysad:

รอทุกคู่..ตาม ตาม ตาม..จ้า  :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 24-01-2018 01:52:02
สรุปพี่อธินยอมปล่อยมือ ?
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 01-02-2018 12:34:01
กว่าจะได้รักกัน ลุ้นมากก! นุ้งปั้นน่ารักกกกกกก :o8:
พล็อตดี ภาษาดี แอบมีคำผิดบ้างนิดหน่อยแต่ไม่เสียอรรถรส 
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: TheCatmewt ที่ 01-02-2018 23:50:40
อ่านจบแล้วแต่รู้สึกชอบพี่อธินมากกว่าแฮะ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: tegomass ที่ 02-02-2018 00:57:59
นับถือความงี่เง่าของดิศอะ มโนได้หน้าหมั่นใส้มาก ยกนิ้วให้เลยอิเรื่องชอบคิดไปเองอะ  :L3:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 08-02-2018 21:39:34
โดยรวมสนุกมากเลยค่ะ แต่อึดอัดกะปั้นมากเลยอ่ะ เป็นคนที่ทำอะไรไม่เคยสุดเลย 55555 รักแต่ก็ไม่ยอมทำให้ดิศเข้าใจ มัวแต่จะตัดใจ พอจะตัดใจก็ดันไปรับสัมผัสเขามาอี้กกกก  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-02-2018 00:47:44
อ่านรวดเดียวจบเลยยย เอาตรงๆเขียนดีมากๆเลยค่ะ ปูมาตั้งแต่มัธยม เราว่าโลกโหดร้ายกับน้องเกินไปค่ะ ทำไมถึงเจอแต่อะไรแบบนี้ โมโหพระเอกยันตอนจบ เป็นคนที่แบบน่าสมน้ำหน้ามาก ส่วนพี่อธินเขาเลี้ยงของเขามาห้าปีเนอะ ถ้าจะเป็นพระเอกเราก็ไม่เถียง แต่เป็นดิศเราก็โอเคค่ะ ชอบมาก อินมากๆเลย ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ จะติดตามผลงานอื่นของคุณคนเขียนด้วยค่ะ  :hao5:  :L2:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: orloftin ที่ 12-02-2018 03:11:24
สนุกมากค่ะ อ่านรวดเดียวเลย
รออ่านตอนพิเศษ ~ 
ทั้งเรื่องเราสงสารปั้นสุด เจอแต่ละอย่างแบบ เห้อมมมม อยากจับปั้นมากอดปลอบมาก
ขอบคุณนะคะ แต่งสนุกมากเลย
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 12-02-2018 07:55:56
สงสารปั้นมากโดนความรักทำร้ายรดิศที่ไม่เชื่อใตไม่เชื่อมั่นในความรักของปั้นพี่อธินที่รักปั้นจริงๆแม่วิธีการจะผิด..น่าเห็นใจ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: mkooo ที่ 12-02-2018 21:43:06
สนุกมากๆเลยค่ะ แต่เราอยากให้พี่อธินเป็นพระเอกงื้ออ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: memomeme ที่ 13-02-2018 16:06:30
ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่แต่งเรื่องนี้มา บอกเลยว่าถึงดิศจะร้ายยังไง แต่ก็เชียร์สุดใจอยู่ดี เพราะไม่ปลื้มพี่อธินอย่างแรง55555 แน่นอนว่าเพราะรู้ว่าดิศเป็นพระเอกเลยทำให้ไม่ปลื้ม ขอโทษพี่อธินด้วยค่ะ ส่วนในเรื่องขอบอกว่าชอบน้องเดียร์สุด ทำไมก็ไม่รู้แต่รักมากๆ เอ็นดูมากกว่าปั้นหน่อยนึง555 แต่ปั้นก็น่ารัก อยากอ่านตอนที่เค้าหวานๆกันจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Atomtaa ที่ 13-02-2018 18:25:49
เขียนดีมากๆเลย เสียดายที่แต่งจบไปแล้ว เราจะคอยติดตามผลงานน้าา
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 14-02-2018 05:48:59
เนื้อเรื่องสนุกดีค่ะ ดราม่ากำลังดี ชอบๆ o13
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: XXIXII ที่ 14-02-2018 13:17:06
อ่านรวดเดียวจบเลย ดราม่าดี เจ็บปวดตามตัวละครเลย 55555
มาคอมเม้นท์ให้กำลังใจไรเตอร์นะคะ ขอให้มีกำลังใจแต่งเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ 22 : บอกเธอด้วยหัวใจ (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: earthhhs ที่ 15-02-2018 19:20:56
รำคาญพระเอกตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเลย ตอนแรกก็งี่เง่าไม่คิดจะรับฟังคนอื่นเลย ทิฐิเยอะจังนะ พอหลังกลับมาเจอกันก็ทำตัวได้แบบ เอิ่มคุณพี่ทำกับเขาไส้เยอะขนาดนั้นที่ตัวเองโดนบ้างน้อยใจ ยอมแพ้ตลอดคือนายเอกนี่พยายามจนถึงที่สุดมากๆคุณพี่ยังไม่สนใจเลย ที่ตาตัวเองละพยายามมากพอรึยัง เหอะ! แต่เรายังค้างคาหลายๆอย่าง ปั้นจะได้เจอเดียร์อีกไหมจะกลับไปเจอบ้านนั้นอีกหรือเปล่า อยากอ่านมุมมองของพี่อธินหลังจากนี้ และสำหรับเราเราคิดว่าสิ่งที่พระเอกได้รับยังไม่พอกับสิ่งที่น้องปั้นต้องเจอเพราะมึงงง //ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆ สนุกมาก อินมากจ้า เกือบโดดเรียนกลับมาอ่านเลยเนี่ย :hao5:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : หน้าที่สุดท้าย (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 17-02-2018 19:07:55
  Listen to my heart
ตอนพิเศษ : หน้าที่สุดท้าย





สายลมเย็นปะทะมาอีกระลอกหนึ่ง เหมือนลืมเอาความเหน็บหนาวกลับคืนไปด้วย รอบกายถึงได้มีแต่กลิ่นอายของความอ้างว้างโดดเดี่ยว ราวกับว่าเส้นทางต่อจากนี้จะมีแค่เขาคนเดียวเป็นผู้เดินทาง

ร่างสูงดึงใครอีกคนเข้ามากอด เมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ความกลัว ความว่างเปล่า
ทุกความรู้สึกที่ได้สัมผัส สอนให้เขารู้แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไรหลังจากนี้ ชีวิตที่ไร้หัวใจนั้นเหน็บหนาวเพียงใด
ชายหนุ่มแทบไม่มีเรี่ยวแรง ต้องการแค่ความอบอุ่นช่วยต่อเติมช่วงเวลาที่เหลือ ที่เคยห่วงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรตอนนี้แค่ได้เจอกัน
เขาก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วที่ปั้นไม่รังเกียจ

สองสัปดาห์ที่ไม่เจอเขายังอ่อนแอขนาดนี้ หากต้องปล่อยมือจากกันจริงๆ ไม่รู้เลยว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร

เนิ่นนาน...กว่าจะเรียบเรียงคำพูดได้

“พี่อยากเอาแต่ใจ อยากทำทุกอย่างเพื่อให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิม อยากหลอกตัวเองอีกสักครั้ง แต่ว่าตอนนี้ พี่เริ่มเหนื่อยแล้ว...”
น้ำเสียงสั่นเครือบอกอาการของคนพูดได้ดีกว่าสิ่งใด คนที่ไม่เคยอ่อนแอในสายตา คนที่เป็นที่พึ่งพาให้ผู้อื่นอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้นั้น...

“พี่อธิน...”

“ขอถามครั้งสุดท้ายนะปั้น ครั้งนี้อย่าโกหกตัวเอง อย่ากลัวว่าจะทำให้พี่เสียใจ” สองแขนกระชับร่างในอ้อมกอดแนบแน่น หายใจเข้าลึก พยายามรวบรวมคำพูด

“ยังรักหมอนั่นอยู่ใช่รึเปล่า?” น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง ไม่มีอารมณ์โกรธแค้นขุ่นเคืองใดๆ เหลือแฝง เพราะทำใจยอมรับความจริงข้อนั้นได้แล้ว

เหลือเพียงแต่...คำยืนยัน

อธินไม่ได้รับคำตอบในทันที แต่เขารู้สึกถึงแรงสะอื้นของคนในอ้อมกอด อีกทั้งฝ่ามือที่แนบอยู่บนแผ่นหลังของเขาก็เริ่มกระชับแน่น
ความรู้สึกให้คำตอบแทนคำพูด

ร่างบางพยักหน้ารัว หากถามว่าใครเห็นแก่ตัวที่สุด คนที่ไม่น่าให้อภัยที่สุด ที่ผ่านมานั้น...ก็คือเขาเอง

“ผมขอโทษ ขอโทษที่ปล่อยให้เวลามันล่วงเลยมานานขนาดนี้ ความจริงผมน่าจะชัดเจน...” คนตัวเล็กกว่ารู้สึกผิดเกินกว่าจะให้อภัยตัวเอง เมื่อเงยหน้ามองพี่อธินและรับรู้ถึงความเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้น

“ตอนนี้ปั้นยังมีเวลาอยู่นะ...”

“ผมไม่สมควรจะมีความสุข ผมรู้ตัวเองดีครับ”

“อย่าโทษตัวเองแบบนั้นสิ...”

“ผมกลัวแม้กระทั่งความคิดของตัวเองว่ามันจะเป็นสิ่งที่ผิด กลัวว่าความปรารถนาของผมจะทำร้ายคนอื่น กลัวว่าหากแสดงความต้องการไปแล้วจะกลายเป็นการเห็นแก่ตัว”

“ปั้นของพี่ไม่ใช่คนแบบนั้น...” เขาต่างหากที่เห็นแก่ตัว รวบรัดทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง ทั้งที่ควรเว้นระยะห่างให้อีกฝ่ายได้ทบทวนใจตัวเอง และทั้งๆ ที่รู้สึกว่าฝืนต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ ซ้ำยังคิดหาทางบังคับใจอีกฝ่ายเรื่อยมา

“พี่อธิน”

“จากนี้ทำตามที่หัวใจบอกเถอะนะ”

“ทำไมพี่ถึงดีกับผม ทั้งที่ผมตอบแทนอะไรให้พี่ไม่ได้เลย”

“เพราะว่าพี่รัก...” และเป็นหนทางเดียวที่จะชดเชยทุกอย่างให้ได้ ทดแทนความผิดครั้งใหญ่ในอดีต

จบคำพูดนั้นปั้นก็กอดอีกฝ่ายแน่น ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก เพราะยิ่งรู้เหตุผล ก็ยิ่งทำให้เกลียดตัวเองมากขึ้นทุกที
ในใจได้แต่ภาวนา ขอให้สักวันหนึ่งผู้ชายคนนี้ได้เจอกับเจ้าของหัวใจที่แท้จริง คนที่จะไม่ทำให้ผิดหวัง


และรักพี่อธินที่แสนดีคนนี้อย่างสุดหัวใจ...






............................................

มาส่งพี่อธินด้วยตอนพิเศษสั้นๆ นี้ (หน้าที่สุดท้าย) ฮือๆ เศร้าใจยิ่งนัก ทำไม ทำไม :hao5:
หลังจากนี้ติดตามชีวิตพี่อธินของเราต่อได้ในเรื่อง Dear to me นะคะ

ก่อนอื่นเข้ามาก็ตกใจเลย ขอบคุณคุณ  UNCHXLXX ที่เขียนแนะนำนิยายเรื่องนี้ในกระทู้
จึงทำให้ได้รับกำลังใจมากมายขนาดนี้ รู้สึกขอบคุณจริงๆ และดีใจมากที่นิยายเรื่องนี้สร้างความสุข (เอ้ะ หรือสร้างน้ำตาให้กับผู้อ่านกันแน่นะ)
จะเก็บไปเป็นแรงใจในการเขียนต่อไปนะคะ

ส่วนตอนพิเศษหลังจากนี้จะว่าด้วยเรื่องราวที่ไม่ต้องใช้เสียงหัวใจในการบอกผ่านความรู้สึกแล้ว
เพราะตัวละครจะได้แสดงออกอย่างเต็มที่ ตรงกับความรู้สึก
ตอนแรกก็กะจะรอให้เรื่องน้องเดียร์ ให้เหตุการณ์ในเรื่องใกล้เคียงกันแล้วค่อยเขียนตอนพิเศษ
แต่ตอนนี้อดใจรอไม่ไหว เอามาลงเลยละกัน อิอิ  :o8:

ขอให้มีความสุขกันนะคะ ร่ายยาวนิดนึง เอิ้กกกกกก  :bye2:
มีต่ออีกตอนด้านล่างจ้า
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 17-02-2018 20:32:35
  Listen to my heart
ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป






“ยังไม่กลับหรือ”

“อือ”

“เออ เรื่องเด็กมนุษย์คนนั้น สรุปเค้าลาออกไปแล้วนะ ”

มือที่จับพู่กันชะงักนิ่ง รอฟังสิ่งที่เพื่อนเล่า

“น่าเห็นใจจริงๆ แต่ให้ทำไงได้ล่ะ”

“....”   

“แล้วนั่น มือไปโดนอะไรมาวะ”

“ช่างเถอะ เสร็จแล้วฝากปิดห้องด้วยนะ”

ชายหนุ่มเก็บพู่กันและอุปกรณ์ต่างๆ เข้าที่ คว้ากระเป๋าและรีบเดินออกจากห้องห้องจิตรกรรม ราวกับต้องการหนีจากอะไรสักอย่าง ไม่สนใจเพื่อนๆ ในคณะคนอื่นๆ ที่พากันทักทายเมื่อเจอเขา

สายลมเย็นปะทะใบหน้า บนดาดฟ้าของตึกคณะ ที่ที่มองเห็นดวงดาวชัดเจนที่สุด แต่ทว่าเวลานี้แม้แต่ภาพเบื้องหน้าก็ยังเลือนรางไปหมด

เพราะน้ำตาของเขาเอง

“ปั้น..ขอโทษ”

แล้วสิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้นจริงๆ จะไปมีประโยชน์อะไรอีก ในเมื่อเวลานี้คนที่เขาเคยเดินหนีมาตลอด กลับไม่อยู่กวนใจกันอีกต่อไปแล้ว

“ขอโทษจริงๆ”

ฉันขอโทษ…

ขอโทษที่ช่วยเหลือนายไม่ได้

สองมือที่เต็มไปด้วยรอยแผล ระบายโทสะใส่ขอบกำแพง

ความเจ็บปวดอย่างนั้นหรือ...ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว
วันนั้นเองที่ชีวิตได้สัมผัสคำว่าว่างเปล่า...อย่างแท้จริง


จากหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งเดือน หนึ่งปี...และยาวนานเข้าสู่ปีที่สอง...ทุกอย่างว่างเปล่ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชิน
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้รับคำถามจากรุ่นน้องในคณะ หลังจากเด็กพวกนั้นได้อ่านแรงบันดาลใจของเขาในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นหนึ่ง ที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสาร ทำให้เกิดข้อสงสัย วันนี้ก็เลยยกโขยงกันมาเยี่ยมเยียน มาเฝ้าดูการทำงานชิ้นใหม่ของเขาถึงตึกคณะ

“รักครั้งแรกเชียวหรือนี่ ไม่อยากจะเชื่อว่าเฮียเราจะมีมุมโรแมนติกกะเขาด้วย”

“วาเลนไทน์เหรอ...ไหนเล่าให้ฟังหน่อย”

“หุบปากเลยพวกมึง”

“วาดมากี่วันเนี่ย กว่าจะได้ดอกกุหลาบเยอะขนาดนี้”

“กูบอกว่าให้ออกไปไง”

“ไปก็ได้ๆ แต่วาดเสร็จแล้วอย่าลืมโพสเต็มๆ ให้ดูด้วยนะเฮีย”

รดิศเกือบจะตามไปไล่กระทืบไอ้เด็กกลุ่มนั้นแล้วเชียวที่บังอาจเข้ามาทำให้เขาเสียสมาธิ ตอนนี้ในหัวมีแต่ภาพวันเก่าๆ เข้ามาไม่หยุด พอนึกถึงทีไรใจก็ไม่สงบเลย

กี่เดือน กี่ปีมาแล้วที่เขาต้องจมอยู่ในสภาพเช่นนี้...

ปั้น...ฉันคิดถึงนาย

น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมา ตอนนึกขึ้นว่าอีกฝ่ายอาจจะลืมกันไปแล้ว

แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะพยายามตามหา แต่เหมือนอีกฝ่ายได้จงใจหายไปจากชีวิตของเขาและทุกๆ คน นอกจากความทรงจำที่มีด้วยกัน ตัวตนของฝ่ายนั้นก็ดูเหมือนจะเลือนรางลงทุกที เขาถึงต้องเขียนทุกความรู้สึกที่มีลงไปในรูปภาพเหล่านี้ และถ่ายทอดทุกช่วงเวลา ที่มีความรู้สึกไว้ในผลงานต่างๆ หลายคนที่รู้จักเขาผ่านทางผลงานก็คงคิดว่านายรดิศคนนี้ช่างเป็นหนุ่มโรแมนติก
แต่จริงๆ ทุกสิ่งที่สื่อออกไปก็เป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ของผู้ชายคนหนึ่ง

ตนตัวของเขาจริงๆ น่ะหรือ...

เลวร้ายเกินกว่าจะให้อภัย

หากใครพยายามถามถึงบุคคลที่เขาอ้างถึงว่าเป็นรักแรก น่าขันสิ้นดี ที่เขาไม่สามารถพูดออกไปได้ อย่างเต็มปาก แม้แต่รูปถ่ายสักใบของเขาคนนั้นก็ไม่เคยมี

สงสัยอยู่เหมือนกันว่าที่ผ่านมา...มัวทำบ้าอะไรอยู่

นอกจากภาพในความทรงจำที่เขียนขึ้นมาเอง ทุกๆ ปีเขาได้แต่จินตนาการไปว่าปั้นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ในสมุดสเก็ตซ์จึงมีแต่ภาพของคนๆ เดียวที่เปลี่ยนแปลงอิริยาบถ สีหน้า เสื้อผ้า ทรงผม หากจะให้นับจำนวนก็คงไม่ถ้วน

นี่ก็ใกล้วาเลนไทน์ปีที่สามแล้วนะ...

แน่นอนว่าหลายคนพยายามส่งดอกไม้ ของขวัญ หรือช็อกโกแลตต่างๆ มาให้มากมายไม่ต่างจากเมื่อก่อนเท่าไหร่นัก แต่ว่าเขาไม่แม้แต่จะรับของใครเลยสักคน ไม่อยากทำร้ายจิตใจใครอีกแล้ว หลังจากบอกเลิกกับแฟนที่คบกันเพราะต้องการประชดประชัน
ใครบางคน เขาก็ครองตัวเป็นโสดมาตลอด...

รดิศเปิดแชทอ่านข้อความที่น้องเดียร์ส่งเข้ามา เห็นเป็นรูปเจ้าตัวถ่ายที่ซุ้มหัวใจสีแดงมาให้ดู ตอนนั้นพวกเขาจึงมีโอกาสได้คุยกันเล็กน้อย

“ผมลองทำช็อกโกแลตที่พี่ปั้นเคยทำให้ครั้งนั้นด้วยล่ะ แต่รสชาติอาจจะแย่กว่ามาก พี่ว่างแล้วก็เข้ามาชิมที่บ้านได้นะ” แน่นอนว่าเย็นวันนั้นเขาก็ตรงไปที่บ้านน้องเดียร์ทันที นานๆ ครั้งที่เขาจะมาเยี่ยมที่นี่ ครามรู้สึกที่คิดถึงใครอีกคนก็ท่วมท้นขึ้นมา

“พี่ไม่ได้ข่าวอะไรเลยเหรอ?”

ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหัว ใบหน้าของน้องชายที่เฝ้ารอคำตอบก็พลอยหม่นหมองไปด้วย

“เพราะแม่คนเดียวเลย”

“ใจเย็นๆ ก่อนนะ พี่รู้ว่าเดียร์ยังเสียใจ พี่ปั้นไม่โกรธเดียร์หรอก ตอนนี้รอให้เขาพร้อมที่จะมาเจอพวกเราดีไหม”

“เมื่อไหร่ล่ะครับ เดียร์แค่รู้สึกเหมือนว่าพี่ปั้นจะไม่กลับมาหาเราแล้ว”
ใจจริงรดิศก็คิดเช่นนั้น สำหรับสถานที่ที่แทบไม่มีความทรงจำดีๆ เกิดขึ้นเลย เขาไม่กล้าหวังว่ามันจะทำให้ใครอยากย้อนกลับมา

ร่างสูงขอเข้าไปสำรวจในห้องเดิมของปั้น ข้าวของบางส่วนยังคงวางไว้ตำแหน่งเดิม ชายหนุ่มลองเปิดในลิ้นชัก เขาเห็นผ้าปักลายที่เจ้าตัวยังทำไม่เสร็จเก็บไว้ ลวดลายเล็กๆ น่ารักทำให้นึกถึงคนที่มักจะใส่ใจกับสิ่งรอบตัว รดิศอมยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าที่
กำลังตั้งใจอยู่กับมัน

แล้วสายตาก็เจอสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่สอดไว้ด้านในสุด

เมื่อเปิดดูก็เห็นภาพเขียนเก่าที่เขาเคยวาด มันเป็นครั้งแรกที่เขามาหาปั้นที่นี่

ไม่ได้เอาไปด้วยหรือ...

แน่ล่ะ มีใครอยากจะเก็บมันไว้บ้าง ฝีมือก็ไม่ได้เรื่องขนาดนี้ ลายเส้นแสดงให้รู้ว่าผู้วาดนั้นประหม่ามากแค่ไหน
นาย...อยู่ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง...

นิ้วเรียวยาวลูบเบาๆ ลงบนแผ่นกระดาษ

สมุดเล็กๆ เล่มนี้ เจ้าของคงตั้งใจทิ้งมันไว้ ไม่ต่างอะไรจากเขาเอง


“จะกลับแล้วหรือพี่”

“อื้ม”

“รอแปบนะ” น้องเดียร์หายเข้าไปในห้องและกลับออกมาพร้อมด้วยอัลบั้มภาพชุดหนึ่ง แล้วยื่นให้ รดิศเปิดดูด้วยความสงสัย

ในนั้นเป็นภาพถ่ายของคนที่เขากำลังคิดถึง เลยอดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมในระหว่างที่เปิดดูไปเรื่อยๆ ดูเหมือนน้องเดียร์ตั้งใจจะคัดเฉพาะภาพที่มีปั้นมาใส่ไว้เป็นพิเศษ เขายังจำภาพบางมุมในวันเกิดน้องเดียร์ปีนั้นได้เป็นอย่างดี 

“พี่เก็บไว้นะครับ”

พี่ชายพยักหน้า ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรดี ตอนนี้อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย ล้วนเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขา ราวช่วยต่อลมหายใจคนรอไปได้อีกระยะหนึ่ง 


ภาพของเขาได้รับคัดเลือกเข้าแสดงในนิทรรศการโดยจัดขึ้นที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านใจกลางเมือง ชายหนุ่มหวังเหลือเกินว่า หากใครคนนั้นแวะเวียนมาที่นี่ ได้หยุดมองมันสักเสี้ยวนาที

อยากให้รู้ว่ามีใครกำลังคิดถึง และอยากขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา...

“ดีใจด้วยนะเฮีย แหม สีสันสดใสเห็นมาตั้งแต่ยืนหน้าห้างโน่น”

“เว่อร์ไป”

“ตกลงบอกได้รึยังว่าคนไหน แล้วเขาจะมาด้วยป่าว”

“หยุดเสือกเรื่องกูได้ไหม”

“คนดังซะอย่าง ใครก็อยากเสือกอยู่แล้ว” พวกนั้นหัวเราะอย่างหน้าไม่อาย ก่อนจะมอบดอกกุหลาบหลากสีสันให้เขาเป็นการ
แสดงความยินดี พร้อมด้วยการเข้ามาถ่ายรูปหมู่


พอทุกคนทยอยกันกลับแล้ว ก็เหลือเพียงแต่เขาที่ยืนว่างเปล่าอยู่ที่เดิม จนพวกไอ้นนท์กับไอ้บีมเข้ามาหาและชวนไปหาร้านกินข้าว

“กูได้ข่าวน้องปั้นด้วยว่ะ”

รดิศชะงัก มือที่ถือช้อนเริ่มสั่น เขาวางมันลงเบาๆ

“เห็นเขาว่า...ปั้นอยู่กับแฟนที่ต่างประเทศ”

“มึงตั้งใจจะพูดอะไร”

“กูว่ามึงตัดใจเหอะว่ะ”

“แค่นั้นหรือ”

“กูรู้ว่ามันยาก แต่กูแค่อยากให้มึงอยู่กับปัจจุบัน หัดมองรอบตัวบ้าง ไม่ใช่จมปลักอยู่กับเรื่องนี้ กูรู้ว่ามึงเสียใจนะ แต่ปั้นเขามีชีวิตใหม่แล้ว มีคนที่ทำให้เขามีความสุข นั่นคือเรื่องจริง”

“แล้วกูไม่มีสิทธิ์จะรักเขาหรือ”

“เห้ย! พวกมึงใจเย็น”

รดิศมองเพื่อนทั้งสอง รู้ว่าพวกมันเป็นห่วงแค่ไหนที่เขาเป็นแบบนี้

“บอกตรงๆ ว่ากูใจสั่นไม่น้อยเลยที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขา เข้าใจความรู้สึกใช่ไหม แต่กูจะไม่เชื่อใครทั้งนั้นจนกว่าจะได้เห็นกับตา”

“เออ!...ถึงวันนั้นมึงก็ทำใจให้ได้ก็แล้วกัน”

นนท์หัวเสีย ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินออกจากร้าน ไม่สนใจใครหน้าไหนที่มองมา บีมหันไปเห็นสีหน้าทุกข์ใจของรดิศ เขาเองใจจริงก็อยากเตือนมันเช่นกัน

แต่เห็นท่าทางแบบนั้นทีไร...ก็พูดไม่ออก

“มึงมีอะไรจะพูดหรือเปล่า”

“เอ่อ...”

“พูดมาเถอะ...”

“ในฐานะเพื่อนนะ...ก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจมึงหรอก ที่น้องปั้นตั้งใจหายไปเลยแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากมีชีวิตใหม่หรือ...ทั้งกู ทั้งไอ้นนท์อยู่ข้างมึงนะเว้ย ไม่อยากให้มึงรอเก้ออยู่ฝ่ายเดียว เข้าใจใช่ไหม?”

“บีม ปล่อยให้กูรอเถอะ”

“เพื่ออะไรวะ...ก่อนหน้านี้กูยอมรับนะว่าสนับสนุนมึงกับน้องเขาเต็มที่ แต่ตอนนี้...มันยากจริงๆ ว่ะ”

“...ถึงเวลานั้นแล้ว...ถ้ามันไปต่อไม่ได้จริงๆ ใจกูจะให้คำตอบเอง”

“เออๆ ก็อย่าฝืนนักล่ะ”

แล้วเขาก็ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมา เข้าสู่ปีสุดท้ายในชีวิตมหาวิทยาลัย

“เฮีย นี่จะบอกได้รึยังว่าเขาคือใคร ถามมาเป็นปีๆ แล้วนะ” เด็กหนุ่มอยู่ช่วยงานรุ่นพี่ วันนี้เป็นวันแสดงผลงานวันสุดท้ายของนักศึกษาปีที่ 4 เมื่อเสร็จสิ้นก็ยังช่วยขนของกลับมาที่ตึกคณะอีก แน่นอนว่าเหลือเวลาไม่มากแล้วที่เขาจะได้สัมผัสกับความเป็นกันเองของรุ่นพี่กลุ่มนี้

“มึงก็รอต่อไปเหอะ”

“ใครอ่ะพี่บีม...เขามีตัวตนอยู่จริงๆ ใช่ไหม?”

“มีสิ...”

“ใครอ่ะ”

“นี่ไอ้รัน มึงเฝ้าถามมันอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่เข้าปีหนึ่งละ ถามจริง ชอบมันอ่อ?”

“ป่าว ก็แค่อยากรู้” ท่าทางแบบนั้น เป็นใครก็ดูออก

“นี่จะบอกให้นะไอ้น้อง มึงอ่ะมาช้าไปห้าปี”

“เออ ถึงได้บอกอยู่นี่ไงว่าไม่ต้องรอ” นนท์เดินเข้ามาสมทบ เจรจากันแบบไม่อ้อมค้อมอย่างลูกผู้ชาย “ถ้าอยากให้มันมองใครนะ ก็รอให้เจ้าของหัวใจมันกลับมาพร้อมกับแฟนใหม่ก่อน ตอนนั้นมึงถึงจะมีสิทธิ์ หรืออาจจะไม่มีสิทธิ์เลยก็ได้ เพราะเพื่อนกูมันไม่
คิดจะตัดใจ ทีนี้มึงเข้าใจรึยัง” นนท์พูดตรงๆ อย่างไม่รักษาน้ำใจ จึงได้เห็นท่าทางหงอยๆ ของรุ่นน้องตอนเดินออกไป


จากวันนั้นก็ไม่มีรุ่นน้องคนเดิมเข้ามาวุ่นวายกับเขาอีก นับเป็นช่วงเวลาที่ใจของเขาเข้าขั้นเย็นชาอย่างแท้จริง




หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 17-02-2018 23:42:48
ก้อนะ   ก้อเพราะทำตัวเองนั่นแหละ 
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: pamhicc ที่ 18-02-2018 09:45:50
เราชอบพี่อธินมากกว่าถึงแม้จะทำเรื่องไม่ดีแต่ก็รู้ว่ารักและพร้อมที่จะดูแลปกป้องปั้นจริงๆ
ขอบคุณค่ะะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 18-02-2018 13:00:39
3p ได้ไหม ไม่อยากให้พี่ อธิน เสียใจ แต่เอะ ถ้างั้นน้องเดียร์ก็ไม่มีคนปราบสิเนอะ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 18-02-2018 13:15:25
ซึมไปเลยรดิศ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
รอตอนพิเศษๆๆๆ จะำด้โชว์หวานแล้วใช่มะ อิอิ

พี่อธินน้องเดียร์ ก็รอน่ะ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 21-02-2018 23:22:59
ชอบอธินมากกว่ารดิศ แต่สิ่งที่อธินทำไปก็แย่จริงๆ เพราะทำให้น้องปั้นเจอเรื่องไม่ดี โดนสังคมตราหน้าจนต้องลาออกจากมหาลัยและโดนไล่ออกจากบ้าน สรุปพระเอกพระรองแย่ทั้งคู่ สงสารน้องปั้นจริงๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 26-02-2018 01:13:16
ลุ้นระทึก ด่าพระเอกจนเหน็ดเหนื่อยอ่ะ ความรักนี่ซับซ้อนจริงๆ
กว่าจะมารักกันได้ ก็รักกันให้มากๆ นะ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 17-03-2018 17:28:23
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมาก สงสารปั้นที่สุด
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 21-03-2018 21:11:49
การมัวแต่อมพะนำ ไม่พูดกันให้เข้าใจนี่ทำให้สองคนเดินทางกันยาวนานจริงๆ
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-03-2018 22:02:55
ส่วนตัวเราสงสารพี่อธินมากกว่าแล้วพี่เขาอย่างน้อยก็ทำอะไรเพื่อความรัก ถึงจะไม่ดีก็เถอะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-02-2019 12:36:48
 :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-02-2019 19:38:07
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Listen to my heart ........♥ ตอนพิเศษ : เมื่อเธอหายไป (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 22:05:39
 :pig4: