พิมพ์หน้านี้ - ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sakana04 ที่ 08-11-2017 21:20:40

หัวข้อ: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 08-11-2017 21:20:40
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก

นิยายแฟนตาซี ตลกเฮฮา มีดราม่าประปราย

เรื่องย่อ
หลังจากประตูแห่งความวินาศเปิดออก  เขาจึงต้องกอบกู้ความสงบสุขคืนมาด้วยความช่วยเหลือของผู้วิเศษ  และเหล่าสนมชายงามที่ไม่อยากได้  เพราะไม่ต้องการฮาเร็ม ดังนั้นเขาจึงคิดจะชงให้พวกนั้นได้กันเอง!


===คำโปรย===
หลังประตูแห่งความวินาศถูกเปิดออก เขาที่ต้องขึ้นเป็นผู้ปกครองดินแดน

ซึ่งใกล้กับประตุมากที่สุดได้รับความช่วยเหลือจากผู้วิเศษ

ผนึกกำลังกันตามหาผู้ถูกเลือกและหยุดยั้งพวกอสูร

ทว่า...นอกจากผู้วิเศษจะช่วยเขาจัดการอสูรแล้ว

ยังหานายสนมมาให้เหมาะสมกับตำแหน่งราชาเสียด้วย ฟังไม่ผิดหรอก นายสนม

"ท่านไม่ชอบหรือ ชายงามเชียวนะ"

"อะไรเป็นบรรทัดฐานของเจ้า อธิบายคำว่าชายงามมาสิ"

"หุ่นดี กล้ามงาม..."

นอกจากงานหลวง งานปราบอสูร

งานสำคัญของราชาคือการเขี่ยฮาเร็มไปด้วยการชงให้พวกเขาได้กันเอง

สารบัญ
บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3733359#msg3733359)
บทที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3733368#msg3733368)
บทที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3733371#msg3733371)
บทที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3734416#msg3734416)
บทที่ 4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3736258#msg3736258)
บทที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3739130#msg3739130)
บทที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3771165#msg3771165)
บทที่ 7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3779592#msg3779592)
บทที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3794818#msg3794818)
บทที่ 9 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3798837#msg3798837)
บทที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3799299#msg3799299)
บทที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3799339#msg3799339)
บทที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3799746#msg3799746)
บทที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3799749#msg3799749)
บทที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3799926#msg3799926)
บทที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3800407#msg3800407)
บทที่ 16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3800414#msg3800414)
บทที่ 17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3803701#msg3803701)
บทที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3805249#msg3805249)
บทที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3805254#msg3805254)
บทที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3805296#msg3805296)
บทที่ 21  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3805593#msg3805593)
บทที่ 22  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3805594#msg3805594)
บทที่ 23  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3818533#msg3818533)
บทที่ 24  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3820300#msg3820300)
บทที่ 25  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3821767#msg3821767)
บทที่ 26  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3822164#msg3822164)
บทที่ 27  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3822543#msg3822543)
บทที่ 28  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3824388#msg3824388)
บทที่ 29  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3824389#msg3824389)
บทที่ 30  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3824390#msg3824390)
บทที่ 31 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3825419#msg3825419)
บทที่ 32 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3825836#msg3825836)
บทที่ 33 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3826272#msg3826272)
บทที่ 34 [End] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3826678#msg3826678)
บทที่ 35 [True End 1] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3827174#msg3827174)
บทที่ 36 [True End2] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63604.msg3827176#msg3827176)
***คำเตือน นิยายเรื่องนี้ไม่ได้จบแบบฮาเร็มนะคะ ไม่มีหลายพีค่ะ
สวัสดีค่ะ ขอฝากผลงานเรื่องนี้ด้วยนะคะ สามารถติดตามข่าวสารความคืบหน้าได้ที่ เพจนักเขียน Sakana04 ได้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <บทนำ+บทที่ 1,2> 8/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 08-11-2017 21:25:23
บทนำ
ก่อนประตูจะถูกเปิด
อาณาจักรคาร์ไลน์นั้นตั้งอยู่เกือบใจกลางทวีป มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลทางทิศตะวันตก ป่าที่อุดมสมบูรณ์ทางทิศตะวันออก ทิศเหนือติดทะเลสาบ และอาณาจักรข้างเคียง เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ทั้งยังรุ่งเรืองมั่งคั่ง กษัตริย์ทุกพระองค์ต่างมีพระราชกรณียกิจที่ช่วยอาณาจักรเสมอมา

นอกจากนั้นคาร์ไลน์ยังมีชื่อเสียงด้านที่เป็นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ นับตั้งแต่พันปีที่แล้ว สมัยแรกของการก่อตั้งมีตำนานเล่าขานว่าได้รับการอวยพรจากพระเจ้า ทุกการเปลี่ยนรัชสมัยการขึ้นครองราชย์ก็จะต้องมีพิธีอย่างยิ่งใหญ่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นดินแดนที่ไม่พ่ายศึกสงครามและสงบสุขเรื่อยมา

จนกระทั่งถึงยุคสมัยของกษัตริย์คนปัจจุบัน ทาทารัส คาร์ไลน์ มอร์ฟอร์ด ดินแดนกลับหมองแสงลง
ประชาชนในอาณาจักรถูกเรียกเก็บภาษีมากขึ้น ทหารทำตามใจตนเอง มีการใส่ร้ายป้ายสีให้คนบริสุทธิ์กลายเป็นแพะ อาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น แต่ราชาทาทารัสกลับเมินเฉย

บ้างลือว่านี่เป็นคำสาป เพราะในช่วงสมัยของราชาทาทารัสนั้น ราชวงศ์มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

องค์ราชินีเสด็จสวรรคตเมื่อประสูติบุตรชายคนที่สอง ซ้ำองค์ชายคนนั้นก็หายตัวไปนานถึงห้าปี องค์ชายลำดับที่หนึ่งเองยามอายุได้หกพรรษาก็ถูกคนรอบข้างเกลียดชัง

มาในตอนนี้ราชาทาทารัสเองก็เป็นราชาที่ถูกประชาชนเกลียด แต่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ด้วยความแข็งแกร่งและการคุมอำนาจการทหารไว้

มีคนเคยต่อต้านเขา นั่นคือองค์ชายลำดับที่หนึ่งและองค์ชายลำดับที่สอง ทั้งสองรวบรวมคนที่คิดต่อต้านในปราสาทขึ้นมา ทว่าก็ถูกจับได้ กบฏที่ร่วมมือนั้นถูกนำตัวขึ้นสู่ลานประหารพร้อมกับองค์ชายลำดับที่หนึ่ง

จุดประสงค์ของพระราชาในยามนั้นคือการเชือดไก่ให้ลิงดู ซ้ำยังทำร้ายจิตใจลูกชายของตัวเองด้วย

ผู้ที่ได้รับหน้าที่เป็นเพชฌฆาตในตอนนั้นไม่ได้ฆ่าให้ตายในทีเดียว ผู้ก่อกบฏทุกคนได้รับความทรมานก่อนจะจบลงด้วยการถูกทุบด้วยค้อนเหล็กจนศีรษะแหลกเหลว

ตลอดการสำเร็จโทษนั้น องค์ชายลำดับหนึ่งถูกจับให้มองดูคนเหล่านั้นถูกสังหารทีละคน แม้จะเบือนหน้าหนีแต่ก็จะถูกจับให้ทนมองต่อไป ยิ่งเขากรีดร้องห้ามเท่าไหร่ก็เหมือนพระราชาจะยิ่งชอบใจ

องค์ชายลำดับที่หนึ่งไม่ได้ถูกประหารในตอนนั้น แต่ถูกขังอยู่ในคุกใต้ดิน ส่วนองค์ชายลำดับที่สองได้รับความช่วยเหลือจากผู้เป็นพี่จนสามารถหนีออกไปได้แต่แรก

คุกใต้ดินนั้นมืดและอับชื้น ไม่เห็นแม้แต่แสงอาทิตย์ ไม่มีทางรู้วันและเวลา ถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวน นับตั้งแต่วันที่ถูกขังก็ไม่มีแม้แต่น้ำตกถึงท้อง

ใบหน้าขององค์ชายที่เคยเรียกได้ว่างดงามดังภาพวาดโทรมลงไปมาก ร่างกายไม่ถึงซูบผอมแต่อิดโรย แม้จะไม่ได้รับโทษประหารแต่การถูกจองจำแบบนี้ก็มีแต่ต้องรอความตาย

จะวันนี้...หรือพรุ่งนี้? เขาจะทนได้นานถึงวันไหน...

แกร็ก!

เสียงกรงเหล็กถูกเปิดออกทำให้องค์ชายเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำนั้นเหม่อมองผู้ที่เข้ามา ราชาทาทารัสมองเห็นสภาพลูกชายแล้วกระหยิ่มยิ้ม เขาและพวกผู้ติดตามนี้หาได้มีความสงสารต่อคนตรงหน้าไม่ ได้แต่มองว่าเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดตรงหน้าเป็นกบฏไม่ใช่ทายาทของตน

“บอกมา น้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน” ราชาเอ่ยขึ้น แต่องค์ชายเพียงแค่มองเขาแล้วไม่พูดอะไรเหมือนเดิมทำให้อีกฝ่ายโกรธ คว้าแส้จากคนรับใช้ฟาดใส่ทันที

“อึก!” เด็กหนุ่มนั้นกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ เขาไม่บอกเพราะรู้ดีว่าเสด็จพ่อของตนมีจุดประสงค์เช่นไร คงอยากจะจับพวกเขาสองคนไปประหารพร้อมกัน

โดยไม่สนแม้แต่น้อยว่านี่คือลูกที่สืบสายเลือดของตน

“ตอบมา!” ราชาเค้นเสียงกรรโชกใส่พร้อมกับตรงเข้ามาจับเส้นผมสีดำไว้ บังคับให้เงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน แต่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของลูกชายเลยแม้แต่น้อย

ความรักที่เขาเคยได้รับจากพระบิดา บัดนี้มลายหายไปหมดแล้ว

“ใจแข็งจริงๆ องค์ชาย หากท่านเลือกบอกที่อยู่เขามาก็ได้รับการอภัยโทษแท้ๆ” ผู้ติดตามคนหนึ่งของราชาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม แม้จะยังเด็กแต่องค์ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่มีทางเป็นจริง

หากว่าจะต้องตายจริงๆ แล้วละก็เขาเลือกที่จะตายคนเดียวเสียยังดีกว่า น้องชายของเขา ตัวเขาเองย่อมรู้ดี ด้านกลยุทธ์และการรบนั้นองค์ชายลำดับที่สองไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร หากว่าไม่มีคนทรยศแล้วละก็การปฏิวัติคงสำเร็จไปด้วยดี

“ไม่...มีทาง ข้าไม่มีวัน...ทรยศเหมือนเจ้า” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า ทำให้อีกฝ่ายชะงักและแสดงสีหน้าโกรธอย่างเห็นได้ชัด
แผนการทั้งหมดพังเพราะคนคนนี้ที่แสร้งเข้ามาช่วยเหลือ ทุกอย่างราบรื่นไปได้ด้วยดีเพราะเขาจนทำให้องค์ชายทั้งสองตายใจ สุดท้ายก็ถูกทรยศ

องค์ชายลำดับที่หนึ่งนั้นเป็นคนที่เจ็บใจและเสียใจที่สุด เขารู้ตัวดีว่าตัวเองนั้นถูกผู้คนเกลียดชังเพราะคำสาปประหลาดที่มีมาตั้งแต่อายุหกพรรษา ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขาแต่ทุกอย่างสำเร็จเพราะน้องชาย

ตอนที่ถูกจับขังรวม สายตาของกบฏคนอื่นที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น โทษว่ามันเป็นความผิดของเขา องค์ชายเองก็ยอมรับเรื่องนี้ดี หากไม่มีเขาแผนการปฏิวัติคงสำเร็จไปแล้ว

“ไม่เหลืออะไรแล้วยังกล้าพูดดีอีก” ราชาทาทารัสแค่นยิ้ม มองอย่างเหยียดหยาม “ไม่เป็นไร เชิญเจ้าอวดดีไปเถอะ เดี๋ยวก็คงอดตายอยู่ในนี้”

องค์ราชาปล่อยมือจากบุตรชาย ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านครับ ตอนนี้เตรียมการพร้อมหมดแล้ว เราจะเริ่มทำพิธีแล้วครับ”
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ราชาเอ่ยก่อนที่จะตวัดตัวหันกลับไป คำพูดของคนที่เข้ามาใหม่ทำให้องค์ชายชะงักแล้วถามขึ้น

“ท่านคิดจะทำอะไร?”

“ทำอะไร...ใช่ ก่อนหน้านี้มีคนสงสัยว่าข้ากล้าจะฆ่าผู้สืบทายาททั้งหมดหรือเปล่าด้วย” ราชาทาทารัสหยุดเดิน แล้วหันหน้ามาทางเขา “เจ้าอยากรู้คำตอบไหม”

“เพราะข้า...กำลังจะได้เป็นอมตะ เมื่อถึงเวลานั้นทั้งเจ้าและพวกที่ประท้วงอยู่จะต้องพบจุดจบ” คำตอบนั้นทำให้องค์ชายเบิกตากว้าง ด้านนอกปราสาทมีคนประท้วงการกระทำอันโหดร้ายนั่น

“อย่า ท่านจะทำแบบนั้นไม่ได้ นั่นคือประชาชนของท่านนะ!” องค์ชายหนุ่มร้องประท้วงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี พระราชานั้นตวาดขึ้นโต้กลับก่อนที่จะเดินจากไป

“มันไม่ใช่ประชาชนของข้านับตั้งแต่มันคิดจะต่อกรกับข้า!”

เหล่าผู้ติดตามที่มาด้วยเดินตามราชาของตนกลับไป ห้องขังกลับมาเงียบอีกครั้ง ความหดหู่ถาโถมใส่จิตใจขององค์ชาย
ตอนที่เขาเป็นเด็ก เสด็จพ่อที่แย้มยิ้มให้แก่ประชาชน...คนที่คอยดูแลสารทุกข์สุกดิบอย่างดีจนน่าเป็นแบบอย่างไม่มีแล้ว

แล้วถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป...แม้แต่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ก็จะถูกทำร้ายไปด้วย เขาที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บใจ

“ใครก็ได้...ช่วยด้วย...” องค์ชายหนุ่มเอ่ยคำอ้อนวอนออกมาจากใจ แม้จะรู้ว่าไม่มีใครได้ยิน แต่ความปรารถนาของเขาก็คือการที่ประชาชนทั้งหลายได้รับการปลดปล่อยจากพระบิดาของตน

“ทั้งที่ตัวท่านเองก็ทรมาน เหตุใดถึงยังขอให้ช่วยคนอื่นอยู่” เสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้องค์ชายชะงักแล้วเงยหน้าขึ้น ไม่น่ามีใครอยู่แต่กลับได้ยิน

“ใคร?”

ตรงหน้าของเขาพลันปรากฏแสงสว่างขึ้น เพราะอยู่ในคุกที่มืดมิดมานานทำให้องค์ชายหนุ่มไม่ชินจนต้องหลับตาแน่น ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วก็ต้องตกตะลึง

ตรงหน้าเขาปรากฏร่างของชายหนุ่มผิวขาวสะอาดผู้มีเส้นผมสีทองยาวและใบหน้าที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่

“เจ้าเป็นใคร?” องค์ชายหนุ่มถามขึ้นด้วยความระแวง ประตูห้องขังยามเปิดนั้นจะมีเสียงให้เขารู้ตัว ทว่าผู้ชายคนนี้คล้ายกับปรากฏตัวต่อหน้าเขาเฉยๆ

“ข้าเป็นใครยังไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ข้าต้องช่วยท่านเสียก่อน” อีกฝ่ายกล่าวก่อนจะยกมือขึ้นตวัดไปด้านหน้าแค่ครั้งเดียว โซ่ที่ตรึงแขนทั้งสองข้างพลันหลุดออก องค์ชายที่เพิ่งถูกปล่อยไม่ทันได้ตั้งตัว ขาที่อ่อนแรงนั้นไม่สามารถรับน้ำหนักได้จึงล้มลง
ทว่าชายตรงหน้าเขากลับรับไว้ได้อย่างนุ่มนวล แล้วถามว่า “ยืนไหวไหมขอรับ”

องค์ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ จริงๆ แล้วคือหมดแรงจนไม่อยากจะพูดอะไร อีกฝ่ายยื่นกระบอกน้ำส่งมาให้เป็นอันดับแรก “น้ำหวานขอรับ ค่อยๆ ดื่ม”

“ข้าเองก็อยากให้ท่านได้พักบ้างแต่ดูแล้วคงทำแบบนั้นไม่ได้” ชายลึกลับยังคงพูดต่อในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ครั้นจะอ้าปากถาม พื้นห้องกลับสั่นสะเทือนตามมาด้วยเสียงดังกึกก้องกัมปนาททำให้เขาตกตะลึง

อีกฝ่ายรวบตัวองค์ชายขึ้นยืนด้วยมือข้างเดียวพร้อมกับบอกว่า “ท่านอยู่ในนี้มานานเกินไปแล้ว เราจะออกไปข้างนอกกัน อาจจะทำให้ท่านมึนงงไปเสียหน่อยแต่ครู่เดียวก็จบแล้วขอรับ”

สิ้นเสียงนั้น องค์ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างของตัวเองถูกกระชาก แสงสีขาวก่อตัวขึ้นโอบล้อมร่างของพวกเขาไว้ทำให้ต้องหลับตาแน่นอีกครั้ง

เมื่อลืมตาขึ้นพลันพบว่าตนเองถูกย้ายมาที่ทุ่งหญ้ารกร้างแห่งหนึ่ง เสียงร้องโวยวายทำให้เขาหันไปมองรอบๆ แล้วก็พบกับเรื่องน่าตื่นตะลึง

ทหารจำนวนมากของคาร์ไลน์กำลังวิ่งหนีตาย รวมทั้งพวกขุนนางที่เขาจำได้ว่าเป็นผู้ติดตามขององค์ราชา ด้านหลังพวกนั้นคือสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ไม่รู้จัก รูปร่างมันแตกต่างกันออกไป คล้ายสัตว์เดรัจฉานแต่น่ากลัวยิ่งกว่า

พวกมันตรงเข้าหาเหยื่อที่กำลังหนีตาย ฉีกกระชากร่างพวกนั้นจนย้อมทุ่งหญ้าให้กลายเป็นสีแดงฉาน ชวนให้องค์ชายหนุ่มรู้สึกสะอิดสะเอียน

ไม่ใช่เพียงแค่ที่นี่ เมื่อหันไปมองรอบๆ เจ้าตัวประหลาดพวกนั้นพุ่งตรงไปยังสถานที่อื่น ทั้งหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งอาณาจักรอื่น เพื่อทำร้ายผู้คน

ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงฉาน ประตูสีดำน่าขนลุกขนาดยักษ์ลอยอยู่เหนือศีรษะพวกเขา สัตว์ประหลาดพวกนั้นกำลังทยอยออกมาจากประตูชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น

“นั่น...อะไรน่ะ” องค์ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกตะลึง จำนวนสัตว์ประหลาดนั้นมากมายจนไม่สามารถนับได้ ซ้ำยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกน่ากลัวที่ไม่อาจต่อกร

“นั่นคือประตูแห่งความวินาศ มีแต่ผู้สืบทอดสายเลือดจากบรรพกาลเท่านั้นที่จะเปิดมันได้ ส่วนที่ออกมานั่นเรียกว่าอสูร เผ่าพันธุ์ที่เป็นศัตรูต่อพระเจ้า ทุกอย่างบนโลกนี้สร้างขึ้นจากพระเจ้า เพราะแบบนั้นแล้วพวกนี้จึงคิดจะทำลายทุกอย่าง” ชายลึกลับที่อยู่ข้างเขาอธิบายอย่างใจเย็น

“บ้าชัดๆ ...” องค์ชายพยายามเอ่ยขึ้นแม้ร่างกายจะอ่อนแรง เพียงแค่พูดไม่กี่คำก็รู้สึกเหนื่อย “ใครกันที่เป็นคนเปิดประตูนั่น”

“ผู้สืบทอดสายเลือดคือราชวงศ์คาร์ไลน์ ดูเหมือนพระราชาจะเป็นคนเปิดมันเอง” ชายลึกลับนั้นบอกเสียงเรียบ แต่คำพูดนั้นทำให้เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง

“เสด็จพ่อ...ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ต้องรีบให้เขาแก้ไขมัน”

“ข้าเองก็อยากทำเช่นนั้น แต่สัญญาณชีวิตขององค์ราชาหายไปแล้ว เกรงว่าคงเพราะเขาไม่สามารถควบคุมประตูได้เลยสิ้นพระชนม์ลง”

“อะไรนะ?” องค์ชายหันมาด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ ในอกสั่นเทิ้มและคล้ายกับถูกบีบรัด
 
อีกฝ่ายหันมายิ้มให้เขาแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ พระเจ้าไม่นิ่งเฉยแน่”

สิ้นเสียงนั้น เกิดเสียงอึกทึกขึ้นอีกเหนือท้องฟ้า ลำแสงขนาดใหญ่พุ่งผ่านม่านสีแดงตรงไปที่ประตูยักษ์ คล้ายกับเกิดระเบิดขึ้นอีกรอบ คลื่นอากาศกระจายไปทั่วท้องฟ้าปัดเป่าให้กลับมาเป็นปกติ ส่วนประตูนั้นพลันมีตาข่ายสีขาวคลุมไว้รอบทิศเป็นทรงกลม

“อสูรถูกผนึกไว้แล้ว จากนี้พวกมันจะยังไม่ลงมาเพิ่มอีก” ชายคนนั้นกล่าว ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง องค์ชายหันมองตามและพบว่าเหนือท้องฟ้าปรากฏอัญมณีสีแดงขนาดใหญ่ลอยคว้างอยู่ มันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้แล้วพุ่งกระจายออกไปยังทิศต่างๆ

หนึ่งชิ้นลอยมาทางเขา ทาบทับลงบนหลังมือแล้วฝังอยู่ข้างใน เกิดสัญลักษณ์ประหลาดขึ้น ในตอนที่เศษอัญมณีนั้นเข้าไปในเนื้อไม่รู้สึกเจ็บอะไร แต่เมื่อองค์ชายรับรู้ถึงพลังบางอย่างที่แพร่ไปทั่วร่างนั้นกลับต้องงอตัว คล้ายกับปวดร้าวไปชั่วขณะจนทรุดลงไปกองกับพื้น

“ไหวหรือเปล่าขอรับ” ชายลึกลับคนนั้นถามด้วยความเป็นห่วง องค์ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า

“ไม่เป็นอะไรแล้ว นี่คืออะไร?”

“เป็นพรของพระเจ้าที่ส่งมาให้ผู้ที่เหมาะสม เศษอัญมณีที่มีพลังนั้นจะกระจายไปหาผู้คนที่ได้ถูกคัดเลือกแล้ว ท่านเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ขอเพียงแค่มีพลังนี้ก็จะสามารถกำจัดอสูรได้ขอรับ”

“จริงหรือ?” ร่างกายของเขานั้นอ่อนแรงลงไปมาก จะด้วยการรับพลังใหม่เข้ามาหรือตั้งแต่ถูกทรมานอยู่ในคุก การอยู่ต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายมาได้ถึงขนาดนี้โดยไม่สลบไปก่อนนับว่าเป็นความอึดที่ตัวเขาเองยังทึ่ง

“ขอรับ ต่อจากนี้ข้าอยากรบกวนท่าน...ท่านในฐานะราชาของประเทศนี้ขอสร้างที่มั่นเพื่อรวบรวมผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ และปราบพวกอสูรให้สิ้นซาก” ชายคนนั้นเอ่ยพร้อมกับพยุงเขาให้ลุกขึ้น ตอนนั้นเองที่ตรงหน้าปรากฏร่างของชายหนุ่มอีกสามคนขึ้น

“ท่านครับ เราจัดการอสูรบางส่วนไปแล้ว พวกมันพอถูกแสงของพระเจ้าปัดเป่าก็หลบหนีไปหมดแล้ว” หนึ่งคนที่อยู่หน้าสุดรายงานด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เส้นผมของอีกฝ่ายนั้นเป็นสีเขียวเข้มคล้ายใบไม้ ดวงตาเป็นสีทอง รูปร่างสูงโปร่งและมีใบหน้าที่แสนอ่อนโยน

“ดีแล้ว พวกเจ้าเองก็ได้รับอัญมณีหมดแล้วสินะ” ชายที่อยู่ข้างเขาเอยขึ้น เมื่อองค์ชายลองมองพวกเขาก็พบสิ่งหนึ่งที่คล้ายกัน นั่นคือทุกคนล้วนมีดวงตาสีทองหมด แต่ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นร่างกายของเขากลับถูกดันไปข้างหน้าหาชายผมสีเขียวนั่น

“ฝากเขาไว้หน่อย...ดูเหมือนเราจะมีแขก” ชายผมทองลึกลับเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปมองอีกทาง ตรงหน้านั้นมีคนลึกลับในชุดคลุมสีดำยืนอยู่

ฝ่ายนั้นมองพวกเขาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย แต่ไหนแต่ไรก็ชอบขัดขวางข้าอยู่เรื่อย”
 
“ข้าไม่คิดจะปล่อยเจ้าให้ทำตามอำเภอใจหรอกนะ และข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าทำอย่างไรพระราชาถึงยอมทำตามเจ้าขนาดนั้น” ชายลึกลับตรงหน้าเขาเอ่ยถามขึ้นทำให้องค์ชายหนุ่มชะงัก นั่นก็หมายความว่าชายชุดดำที่เขาเจอนี่คือคนที่ทำให้เสด็จพ่อเป็นเช่นนั้น

“มนตร์สะกดของข้าไม่มีใครต้านทานได้หรอกนะ” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อสังเกตเห็นบางอย่างแล้วชี้มาทางเขา “ทำไมองค์ชายถึงอยู่กับเจ้าได้”
 
ชายหนุ่มที่รับเขาไว้ต่อจากชายผมทองนั้นกอดเขาแน่นขึ้นเพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ส่วนคนที่ถูกถามนั้นเพียงยิ้มร่าแล้วเอ่ยว่า “ระหว่างที่เจ้ากำลังยุ่งยากเรื่องการเปิดประตู ข้าก็มีเวลาถอนมนตร์ของเจ้าไปช่วยเขาได้เหลือเฟือ”

อีกฝ่ายนั้นคล้ายสบถบางอย่างออกมาก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งเข้าปะทะกัน หนึ่งคนยิงลำแสงเวทขาว อีกคนโจมตีด้วยลูกไฟสีดำเข้าใส่ ระยะการโจมตีนั้นแผ่วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พวกเขาสี่คนถอยหนีออกมา ชายผมทองนั้นปัดลูกไฟให้สลายไปก่อนจะเสกดาบแสงห้าเล่มขึ้นมาแล้วพุ่งไปปักรอบๆ อีกฝ่าย

เกิดวงเวทใหญ่ขึ้นหนึ่งชุดก่อนที่ร่างของชายในชุดคลุมดำจะหายไป

“ฆ่าเขาไปแล้วหรือ?” ใครคนหนึ่งถามขึ้น แต่องค์ชายหนุ่มกลับไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมองหรือหันไปตามต้นเสียง รู้สึกเหมือนสติของตัวเองกำลังเลือนราง ร่างกายหนักอึ้งไปหมด

“แค่ส่งไปที่ไกลๆ ห่างผู้คนเสียหน่อย เขาฆ่าไม่ตายในตอนนี้ อีกอย่างเรามีเรื่องสำคัญต้องรีบทำ” เสียงของชายคนนั้นเอ่ยขึ้น ก่อนที่มือของเขาจะถูกสัมผัสตามด้วยการพูดคุยที่คงสื่อกับเขา แต่ดวงตาขององค์ชายตอนนี้เริ่มหนักอึ้งจนมองเห็นไม่ค่อยชัด
 
“เราต้องรีบกลับปราสาท องค์ชาย ระหว่างที่ท่านกำลังรักษาตัวนี้ ข้าจะจัดการทุกอย่างให้ เพื่อให้ท่านสามารถขึ้นเป็นราชาได้อย่างเต็มภาคภูมิ” นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนที่องค์ชายหนุ่มจะสลบไป

เขานอนหลับไปนานเท่าไรแล้วก็จำได้ แต่ห้วงฝันที่เห็นนั้นแสนสั้น แม้ไม่นานแต่สร้างความหวาดกลัวให้อย่างมาก ตัวเขาที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายได้ยินเสียงนินทาและสายตาที่มองมาอย่างเหยียดหยามจนรู้สึกหวาดระแวง
ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง

เขาเห็นศพของเสด็จพ่อที่ตายอย่างน่าอนาถ เห็นแผ่นหลังของน้องชายที่หายตัวไป ทิ้งไว้เพียงความมืดที่น่าหวาดกลัว

องค์ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมา เสียงกระทบของแก้วเซรามิกพลันเงียบลง เขาเลื่อนสายตาไปมองรอบๆ ห้องที่แสนคุ้นเคยนี้เป็นห้องของเขา พื้นอ่อนนุ่มนี่เป็นเตียงที่นอนมาตั้งแต่เด็ก ข้างๆ คือชายผมทองที่ช่วยเขาจากคุก

ทุกอย่างดูเงียบสงบราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นความฝัน แต่สัญลักษณ์ที่หลังมือนั้นทำให้เขาตระหนัก

“อรุณสวัสดิ์ฝ่าบาท ท่านจะรับชาสักถ้วยก่อนไหม” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แต่เขากลับเอ่ยถามว่า

“เกิดอะไรขึ้นบ้างตอนที่ข้าหลับอยู่...ข้าหลับไปกี่วัน”

“สี่วัน ร่างกายท่านอ่อนแอมาก พวกหมอหลวงกังวลกันใหญ่ ส่วนเรื่องในวังข้าบอกว่าได้รับมอบหมายจากท่านจัดการให้ไปหมดแล้ว” อีกฝ่ายรายงาน คำพูดนั้นทำให้องค์ชายหนุ่มชะงัก

“พวกหมอหลวงจะกังวลไปทำไม ตลอดมาเขาอยากให้ข้าตายไปเสียที”

คำสาปที่ทำให้คนรอบข้างเกลียดชังนั้นได้ผลอย่างดีกับพวกข้าราชบริวารที่อยู่ด้วยกันมานาน เพียงแค่ได้ยินชื่อของทีอารีน คาร์ไลน์ มอร์ฟอร์ด องค์ชายลำดับที่หนึ่งก็มักจะเบือนหน้าหนี

ชายผมทองยกยิ้มก่อนจะบอกว่า “ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่เชื่อท่านลองออกไปดูนอกประตูดูขอรับ”

องค์ชายทีอารีนขมวดคิ้วก่อนจะลุกจากเตียงเดินไปที่ประตู เมื่อเปิดออก บรรดาสาวรับใช้ที่เดินผ่านไปมาและยามที่เฝ้าอยู่หน้าห้องพลันเบิกตากว้างก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความตะลึง “ฝ่าบาทฟื้นแล้ว!”

คำว่า ‘ฝ่าบาทฟื้นแล้ว’ นั้นดังก้องไปทั่ว แล้วยังถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ตัวเขากำลังตกใจอยู่นั้น หน้าห้องก็เต็มไปด้วยผู้คนวิ่งมามุงด้วยความดีใจ

“ฝ่าบาท พระวรกายทรงไม่เป็นอะไรแล้วหรือเพคะ”

“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นห่วงพระองค์เหลือเกิน กินไม่ได้นอนไม่หลับเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท หากประสงค์สิ่งใดโปรดเรียกใช้ข้าได้ทุกเมื่อ”

“ฝ่าบาท...”
ฯลฯ

องค์ชายทีอารีนมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางมือที่ยื่นมามากมายจนน่ากลัวนั้น เขารีบปิดประตูทันทีก่อนจะหันหลังทรุดลงไปกองกับพื้น

“นี่มันเรื่องบ้าอะไร?” เขาถามผู้ที่ยืนอยู่ในห้องด้วยสีหน้าซีดเผือด เป็นผลจากความตกใจกับการปฏิบัติที่เปลี่ยนไปของคนในปราสาท

“ข้าจัดการคำสาปให้ท่านไป” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ ย่อมไม่ได้ทำให้เขาเข้าใจกระจ่าง

“ปกติพวกเขาไม่เป็นแบบนี้”

“คำสาปนั้นลบล้างไม่ได้ ต้องสาปทับไปให้ฤทธิ์มันคานกัน ข้าเลยทำคำสาปแบบเสน่หาให้ แต่ว่า...” ชายคนนั้นพูดค้างไว้ทำให้องค์ชายขมวดคิ้ว

“แต่?”

“ผสมพลาดไปนิด เลยกลายเป็นว่าใครก็ตามที่พบเห็นท่านจะต้องหลงรักหัวปักหัวปำ” จบท้ายด้วยรอยยิ้มแก้เขินของอีกฝ่าย

องค์ชายทีอารีนเบิกตากว้าง จริงอยู่ที่เขาหวาดกลัวคำสาปเกลียดชัง แต่ก็ไม่ชินกับการถูกรุมรักเช่นนี้ ดังนั้นแล้วนี่จึงเหมือนเป็นหายนะพอๆ กับประตูแห่งความวินาศเลยก็เป็นได้

----------------

[/size]
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <บทนำ+บทที่ 1,2> 8/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 08-11-2017 21:30:36
บทที่ 1
ผู้ถูกเลือก
โลกในตอนนี้เต็มไปด้วยอสูรที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืด  หลังจากอดีตราชาของอาณาจักรคาร์ไลน์เปิดประตูแห่งความวินาศ  โลกก็เกือบเข้าสู่หายนะจากปีศาจร้ายผู้เป็นศัตรูกับพระเจ้า  พวกมันเข้าทำลายบ้านเมืองและมนุษย์ทุกหนแห่ง

แม้จะมีพรแห่งพระเจ้ามาช่วยยับยั้งได้ทัน  แต่ความรวดเร็วของการทำลายโดยอสูรนั้นทำให้เกิดความเสียหายทุกหย่อมหญ้า  รวมทั้งพวกมันจำนวนมากที่ลงมาแล้วยังไม่ได้ถูกกำจัดไปและรอเวลาออกมาทำร้ายมนุษย์


เมื่อเป็นเช่นนั้น  พระเจ้าจึงได้กระทำอีกอย่าง  อัญมณีสีแดงที่ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าแตกกระจายตัวออก  เศษเสี้ยวพวกนั้นลอยไปหาบุคคลที่ได้รับเลือกยังที่ต่างๆ  มอบพลังที่สามารถกำจัดอสูรได้ให้

แกนนำหลักของการต่อกรกับอสูรคือชายผู้ซึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับ  ไม่มีทั้งภูมิหลัง  ประวัติหรือใครเคยพบเห็นมาก่อน
เขาพาข้า...ทีอารีน  คาร์ไลน์  มอร์ฟอร์ด  เจ้าชายลำดับที่หนึ่งซึ่งหมดสติไปแล้วมายังปราสาท เพียงโบกมือครั้งเดียว  พลังเวทของเขาก็ปัดเป่าอสูรให้หายไปหมดได้  พวกขุนนางและทหารต่างนับถือชายคนนี้มาก

ข้าได้รับการรักษาหลังจากนั้น  ช่วงที่หมดสติไป  ชายลึกลับคนนั้นเป็นคนจัดการเรื่องราวในอาณาจักรทุกอย่าง  โดยอ้างว่าได้รับคำสั่งจากข้า  แล้วยังสั่งกับทุกคนในปราสาทไม่ให้ใครเข้ามาในห้องของข้าโดยเด็ดขาด

ข้าเลยไม่รู้ว่าคำสาปเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในตอนไหน  พอรู้สึกตัวก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

สิ่งที่ต้องทำคือการยอมรับต่อชะตากรรม  ข้าได้ขึ้นเป็นราชาของอาณาจักรโดยปริยายเนื่องจากบังลังก์จะว่างเว้นไม่ได้  บริหารบ้านเมืองในยุคที่อสูรเข้ามาวุ่นวาย  แม้จะเป็นเรื่องที่ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก  ทว่าก็มีบางอย่างที่ทำให้ไม่ชินอยู่บ้าง

หากจะพูดง่ายๆ  ข้าพบว่าตัวเองเข้าสังคมไม่เก่ง  ไม่สามารถไว้วางใจผู้ใดได้  อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในอดีตทำให้ข้าเป็นเช่นนั้น

แต่ชายคนนั้นเพียงบอกว่าอย่าใส่ใจ  นิสัยนี้แก้ไขกันได้  เช่นนั้นข้าเลยถูกเขาอบรมทุกวัน

ชายลึกลับผมสีทองผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนที่ช่วยเหลืออาณาจักรไว้นั้นไร้นาม  เจ้าตัวบอกเองว่าไม่มีชื่อ  แต่ชาวเมืองก็ขนานนามเขาว่า  ‘ผู้วิเศษ’  กลายเป็นคำเรียกติดปากกันมาแม้กระทั่งข้า

ผู้วิเศษดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องอสูรโดยการสร้างองค์กรคาร์ไลน์ขึ้นเพื่อรวบรวมผู้ถูกเลือกที่กระจัดกระจายตามที่ต่างๆ  และช่วยเหลือบ้านเมืองอื่นๆ  ที่ได้รับความเดือดร้อนจากอสูร

ที่แห่งนั้นค่อนข้างกว้างขวาง  อยู่ห่างจากปราสาทไปไม่มาก  และมีเรื่องน่าอัศจรรย์ที่สร้างเสร็จในคืนเดียว  ว่ากันว่าหลังจากผู้วิเศษเห็นงบประมาณค่าจ้างทั้งหมด  เขาก็เอ่ยปากว่าหามาแค่วัตถุดิบพอ  แล้วใช้เวทสร้างเองจนเสร็จ

และตั้งแต่รู้จักกันมา  ข้าก็พบว่าเขาเป็นคนงกขั้นสุด  เพราะข้าไม่ถนัดเรื่องเงินทองเท่าไร  เขามักจะออกหน้าแทน  แต่ต่อให้ข้าถนัด  เขาก็เป็นคนรับหน้าอยู่ดี  เพื่อประหยัดงบประมาณมากที่สุด  เขาเลยมักจะทำอะไรที่ไม่น่าเชื่อแทน

ครั้งหนึ่งท่านแม่ทัพใหญ่มาขอเบิกซื้อศาสตราวุธเพิ่มเนื่องจากของเก่ามีจำนวนมากที่ถูกอสูรทำลายไป  เพื่อป้องกันอาณาจักรจากที่มีบางอาณาจักรคิดชุบมือเปิบเข้ามาทำสงครามในช่วงนี้  แต่จำนวนเงินที่ตั้งกันไว้สูงเตะตาผู้วิเศษ  เขาเลยคัดค้านแล้วบอกให้ใช้แค่ที่มี

วันนั้นทั้งวันข้ารู้สึกเอือมระอา  ท้องพระโรงมีแค่เสียงทะเลาะโต้ตอบกันของคนสองคน  ท้ายที่สุดท่านแม่ทัพก็แพ้ไปแล้วใช้แค่อาวุธที่มีอยู่สู้  โดยแลกกับให้ผู้วิเศษร่ายเวทเสริมพลังให้  แม้ผลจะได้รับชัยชนะอย่างสวยงาม  แต่ก็กลายเป็นว่าทั้งคู่ก็ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร

“ฝ่าบาท  ขออนุญาตครับ”  เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น  ทำให้ข้าเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่อ่านอยู่  อีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามาพร้อมรถเข็นเล็กๆ  ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม  ผมสีเขียวใบไม้ตัดกับบรรยากาศห้องสีน้ำตาลเข้มทำให้เขาดูโดดเด่นขึ้นมาก  ร่างกายสูงโปร่งดูดีมีระดับด้วยเครื่องแบบที่สวมอยู่

หากมีคนไม่รู้จักมาพบก็คงคิดว่าเขาเป็นเจ้าชาย

“มีใครมาขอพบหรือ  เร็น”  ข้าถามขึ้น  เร็นเพียงยิ้มแล้วส่ายหน้าก่อนจะบอกพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นมาเป็นคำตอบ 

“ถึงเวลาน้ำชาแล้วขอรับ” 

“อ้อ”  ข้าอุทานเข้าใจออกมาเบาๆ  ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ  แล้วเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่อีกฝ่ายจัดเตรียมให้ขณะมองเขาเตรียมของว่างอย่างใจเย็น

เพราะข้าเข้าสังคมไม่เก่ง  และจากคำสาปเกลียดชังที่เคยโดนทำให้ข้าไม่มีเพื่อนเลยสักคน  คนที่เชื่อใจได้ก็มีแต่น้องชายซึ่งตอนนี้กำลังตามหาตัวอยู่  เสด็จพ่อก็สวรรคตไปแล้ว  เรียกได้ว่าอยู่ตัวคนเดียวจนโดนผู้วิเศษส่งสายตาสงสารมาให้
เช่นนั้นแล้วเขาจึงได้ทำการรบเร้าให้ข้าหาเพื่อน  ซึ่งข้าปฏิเสธ  เขาเลยเปลี่ยนคำถามว่าเอาพระสนมไหม  มีคนรับใช้ดูแลใกล้ชิดก็จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายขึ้นบ้าง

ตอนนั้นข้าเอือมระอามากเลยตอบส่งๆ  ไปว่าตามใจเจ้า  สุดท้ายวันต่อมาเขาก็ส่งผู้ชายสามคนมาให้ข้า  ซึ่งเป็นพวกเดียวกับที่อยู่กับเขาตอนที่พาข้าออกจากคุก

‘ข้ารู้ว่าท่านชอบแบบนี้’  เขาบอกแบบนั้นด้วยสายตากรุ่มกริ้มก่อนจะจากไป  ทิ้งให้ข้านั่งอึ้งกับชายสามคนที่เพิ่งรู้จัก  พวกเขานำโดยเร็นถวายตัวกับข้า  และรับใช้เรื่อยมาอย่างซื่อสัตย์  ข้าได้รู้ทีหลังว่าพวกเขาเองก็เป็นผู้ถูกเลือก

ในบรรดาผู้ถูกเลือกนั้นจะถูกแบ่งแยกความเก่งกาจผ่านสีทั้งห้า  สีแดงคือระดับเก่งสุด  และมีขั้นกว่าคือสีทอง  ซึ่งมีจำนวนน้อยนัก  แค่สี่คน  หนึ่งคือข้า  และอีกสามคือผู้ติดตามพวกนี้

หากตัดข้าไป  ระดับสีทองก็จะดูง่ายสุดเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่าง  พวกเขาล้วนมีดวงตาสีทอง  และมีอีกความลับที่ไม่มีใครรู้นอกจากข้าและผู้วิเศษ

พวกเขาทุกคนไม่ใช่มนุษย์

แต่ข้ารู้มาแค่นั้น  รายละเอียดที่ว่าเป็นตัวอะไรผู้วิเศษไม่ยอมตอบ  เพียงแค่บอกว่า  ‘พวกเขาจะไม่มีวันหักหลังท่าน  และเก่งกาจมาก’  ขอให้ข้าอย่าได้เป็นกังวล

ข้าที่ปฏิเสธอะไรไม่ได้เลยต้องรับเอาไว้  แต่พวกเขาทุกคนก็ช่วยงานข้าอย่างดี

เร็นนำขนมและชามาวางตรงหน้าข้า  ปฏิบัติตนเป็นพ่อบ้านที่ดีคนหนึ่ง  หลังจากรับประทานขนมและดื่มชาที่เขานำมาให้แล้วจิตใจข้าถึงได้ผ่อนคลายบ้าง

“เร็น”  ข้าเอ่ยเรียกเขา  อีกฝ่ายจึงขยับเข้ามาใกล้เพื่อรอฟังคำสั่ง  “ข้าอยากออกไปข้างนอก”

“ครับ?”  เขาเลิกคิ้วคล้ายจะไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด 

“ข้าอยากออกไปข้างนอก”  ข้าพูดซ้ำสอง  “ไปแบบไม่มีทหารหรือขบวนผู้ติดตามอะไรทั้งนั้น”

“นั่นเรียกว่าหนีเที่ยวมากกว่าครับ”  เขาเอ่ยขึ้นพลางกลั้วหัวเราะ  ท่าทีคล้ายจะเอ็นดูนั้นทำให้ข้ามองตาขวาง  แต่ก็คาดคั้นอะไรจากเขาไม่ได้

ตั้งแต่อาณาจักรกลับมาสงบสุข  ข้าก็ถูกบังคับให้อยู่แต่ในปราสาท  ไม่ได้ออกไปไหนเลยแม้แต่น้อย  วันๆ  ถ้าไม่ไปที่ท้องพระโรงก็ต้องทำงานอยู่แต่ในห้อง  ไม่รู้สารทุกข์สุขดิบของคนข้างนอก

“พวกเจ้าจะขังข้าไว้หรือ”  ข้าย้อนถามในสิ่งที่พวกเขากังวลว่าจะทำให้ข้าสงสัย  เร็นรีบส่ายหน้าเป็นพัลวันแล้วบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ผู้วิเศษและพวกข้าไม่มีวันทำเช่นนั้นหรอกขอรับ”

“งั้นให้ข้าออกไปสิ  เป็นเจ้าน่าจะทำได้”  ข้าคะยั้นคะยอต่อเมื่อรู้ว่าเร็นเริ่มรับมือไม่ได้  แต่แล้วเขาก็ฉีกยิ้ม  ถามข้ากลับมาประโยคเดียว

“แล้วข้าจะได้  ‘อะไร’  ตอบแทนหรือขอรับ”   

นิสัยเสียของเจ้าหมอนี่ออกมาแล้ว

“อะไรก็ได้ที่ไม่มีในข้อตกลงของเรา”  ข้ากลั้นใจตอบพลางเสตาไปทางอื่น  เขาหัวเราะออกมาก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าข้าแล้วขออนุญาตจับมือไปใกล้เพื่อจุมพิตลงบนหลังมือ

“น้อมรับคำสั่งครับ”  เขาตอบตกลงก่อนที่จะพาข้าลุกขึ้นยืนพร้อมสวมเสื้อคลุมให้  โอบกอดไว้แล้วรอบตัวก็ปรากฏวงเวทขึ้น  เป็นเวทเคลื่อนย้ายที่มีเพียงผู้ถูกเลือกระดับสีทองนั้นที่จะทำได้  แต่ข้าทำไม่ได้  เพราะผู้วิเศษไม่ยอมสอนให้โดยอ้างว่ายังไม่ถึงเวลา

เร็นพาข้ามายังตรอกแห่งหนึ่งที่ใกล้ย่านผู้คน  เมื่อออกมาก็พบความครึกครื้นของตลาด  ชาวเมืองเดินกันขวักไขว่  สินค้าเร่ขายมากมาย  และตามบ้านประดับตกแต่งธงริ้วทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้

“กำลังจะมีงานอะไรเกิดขึ้นน่ะ”

เร็นหัวเราะขึ้นมาแล้วตอบว่า  “ฝ่าบาทลืมไปแล้วหรือขอรับว่าเร็วๆ  นี้จะมีพิธีขึ้นครองราชย์ของพระองค์”

ข้าร้อง  ‘อ้อ’  ออกมาเมื่อนึกได้  พิธีขึ้นครองราชย์นั้นเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันมาแต่โบราณ  เพื่อให้ผู้จะขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์และปกป้องบ้านเมืองสืบต่อไป  ภายหลังเริ่มมีการออกร้านของประชาชน  จัดเป็นเทศกาลที่จะมีนานๆ  ครั้งสร้างความคึกคักอย่างที่เห็น

ข้าเดินชมตลาดไปพร้อมกับเร็นอย่างไม่ทุกข์ร้อน  เสื้อคลุมที่สวมอยู่นี้ทำให้ไม่มีใครทราบตัวตนที่แท้จริงจึงไม่ต้องกังวลว่าคำสาปจะทำงานหรือไม่  เป็นของที่ได้รับมาจากผู้วิเศษที่ตอนนี้คงยุ่งอยู่กับการเตรียมงานพร้อมกับขุนนางคนอื่นๆ 
“ฝ่าบาท  นั่นคือร้านขนมปังที่ท่านชื่นชอบขอรับ”

ข้อดีของการมากับเร็นคือเขาจะไม่ขัดข้า  ซ้ำยังใส่ใจทุกอย่าง  แลกกับการถูกจับมือถือแขนนิดๆ  หน่อยๆ  พอเขาเห็นว่าข้าชอบขนมปังก็มักจะซื้อมาให้ลอง  และร้านที่เขากำลังชี้ให้ข้าดูอยู่ก็เป็นร้านที่ข้าชื่นชอบ  เห็นดังนั้นเลยจูงมือเดินไปหาเจ้าของร้าน
“ข้าอยากซื้อไปให้พวกเด็กๆ”  ข้าเอ่ยความต้องการขึ้น  เขาพยักหน้าแต่โดยดี

“ขอทุกอย่าง  อย่างละชิ้นขอรับ”  เร็นเอ่ยสั่งกับอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย  ก่อนที่พนักงานในร้านจะจัดแจงให้  ไม่นานก็นำถุงใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนมปังมาให้  หลังจากเร็นจ่ายเงินที่ข้าให้ไปเรียบร้อยก็ถือของเดินตามมา

จุดประสงค์อีกหนึ่งอย่างในการออกมาข้างนอกของข้าคือการเยี่ยมเยือนประชาชน  ดูสารทุกข์สุขดิบพวกเขา  ในตลาดคึกคักกันดีจึงไม่มีอะไรน่ากังวล  อีกหนึ่งที่ที่จะไปคือองค์กรคาร์ไลน์

ที่แห่งนั้นรวบรวมผู้ถูกเลือกที่ไร้ถิ่นฐานประจำมาพักอาศัยอยู่  รวมทั้งมีศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งพ่อแม่ถูกฆ่าตายหรือหายสาบสูญจากภัยอสูร  เพื่อรวบรวมเด็กที่ยากลำบากและที่ได้รับพลังของผู้ถูกเลือกด้วย

ตึกสูงที่ถูกตกแต่งอย่างดีและได้รับการป้องกันด้วยพลังเวทคือที่ทำการหลัก  เป็นที่ๆ  ผู้ถูกเลือกส่วนใหญ่อยู่  ข้างๆ  นั้นคืออาคารที่ถูกใช้เป็นสถานเลี้ยงเด็ก

เมื่อเห็นข้าเข้าไป  พวกเด็กๆ  ที่วิ่งเล่นอยู่ก็หยุดชะงักแล้วหันมามอง  ก่อนที่ใครบางคนจะวิ่งเข้าไปข้างในแล้วออกมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง

ข้ารีบตรงไปหาเธอคนนั้นเพื่อบอกให้นั่งลงเนื่องจากท้องที่โตมากแล้วชวนให้อดเป็นห่วงไม่ได้

“ฝ่าบาท  จะเสด็จมาเหตุใดถึงไม่แจ้งล่วงหน้าก่อนล่ะเพคะ”  อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงอันไพเราะขณะนั่งลงแต่โดยดี  ข้าขืนยิ้มก่อนจะตอบแบบเลี่ยงๆ  ไป 

“ข้าแค่แวะมาเฉยๆ  น่ะ”

“หนีเที่ยวหรือเพคะ”  ข้าชะงักทันทีเมื่อได้ยินนางพูดแบบนั้น  ท่าทางจากสีหน้าท่าทางข้าอีกฝ่ายก็คงเดาออกจึงหัวเราะขึ้นแล้วตำหนิเชิงหยอกล้อว่า  “ไม่ดีนะเพคะ”

“ไม่เอาน่าท่านพี่  ข้าถูกขังไว้ตั้งหนึ่งอาทิตย์เลยนะ”  เมื่ออยู่กับอีกฝ่ายและรายล้อมไปด้วยคนรู้จักข้าก็ไม่จำเป็นต้องถืออำนาจบาตรใหญ่อะไร  หลังจากทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  อารีแอนนา  ซิริส  ผู้มีศักดิ์เป็นญาติฝ่ายเสด็จแม่ของข้า  นางเองก็เป็นผู้ถูกเลือก  และรับหน้าที่ดูแลเด็กๆ  ที่นี่

ท่านพี่เป็นหญิงสาวที่มีจิตใจดีและครรภ์แก่  สามีของนางเสียชีวิตเพราะอสูร  แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา  และทำหน้าที่ช่วยเหลือสอนสั่งเด็กๆ  เรื่อยมาด้วยจิตใจโอบอ้อมอารี 

และด้วยเหตุเล่านั้นข้าเลยอดเป็นห่วงไม่ได้

“ท่านพี่  เด็กในครรภ์เป็นอย่างไรบ้าง  ไปพักกับข้าที่ปราสาทก่อนไหม”  ข้าเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง  เพราะเป็นเครือญาติเพียงไม่กี่คนที่เคยดูแลข้าเลยอดเป็นห่วงไม่ได้ 

“ถ้าข้าไปแล้วใครจะดูแลเด็กๆ  พวกนี้กันล่ะเพคะ  ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นกังวลเลย  ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก  หมู่นี้เจ็บท้องเพราะเด็กคนนี้ดิ้นบ่อยก็จริง  แต่ยังไหวเพคะ”

“อย่าฝืนมากจะดีกว่า...”  ข้าบอกไปเช่นนั้น  แม้ท่านพี่จะบอกว่าไม่เป็นอะไร  แต่ข้าคิดว่าส่งคนมาดูแลจะเป็นการดีที่สุดจึงตัดสินใจเรื่องนี้เงียบๆ

“จริงสิ  ข้านำขนมมาฝากด้วย  เร็น  แจกพวกเด็กๆ  ที”  ข้าบอกกับท่านพี่ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มที่ยืนเฝ้าอยู่  เขาโค้งตัวตอบรับก่อนที่จะนำถุงขนมปังไปหาพวกเด็กๆ  ที่รู้งานและต่อแถวรอรับด้วยรอยยิ้ม

ข้าอยู่คุยกับท่านพี่และพวกเด็กๆ  สักพักก็ล่ำลากลับ  หลังจากย้ำเตือนเด็กๆ  ให้ช่วยดูแลท่านพี่เสร็จก็เดินออกมา

“ฝ่าบาททรงเป็นห่วงพวกเขาจริงๆ  นะขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเราเดินห่างมาสักพัก  เขาคงหมายถึงที่ข้าดูแลพวกเด็กๆ  อย่างดี

“ก็เพราะเรื่องอสูรเกิดจากฝีมือเสด็จพ่อของข้า  ในฐานะลูก  ข้าก็ต้องรับผิดชอบแทนเขาด้วย”  ข้าตอบไปตามตรง  อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงชื่นชม

“สมกับเป็นฝ่าบาท  แล้วเราจะไปที่ไหนกันต่อดีขอรับ”

ข้านิ่งคิดไป  เมื่อถึงย่านการค้าจู่ๆ  ก็มีเสียงกรีดร้องขึ้นทำให้พวกข้าชะงัก

“กรี๊ด!”

ชาวบ้านเริ่มแตกตื่นหนีกระจาย  ขณะที่พวกข้าวิ่งเข้าไป  เร็นดึงชายคนหนึ่งไว้เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“มะ...มีอสูรขอรับ”  ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นเสียงสั่นก่อนที่จะรีบวิ่งหนีไปทำให้ข้าเบิกตากว้าง 

“อสูร?  มันจะอยู่ที่นี่ได้ยังไง”  เร็นพึมพำขึ้น  ตอนนี้คาร์ไลน์ได้รับการปกป้องจากผู้วิเศษไม่น่ามีอสูรเล็ดลอดมาถึงย่านการค้าได้  แต่เพื่อความแน่นอนพวกข้ารีบวิ่งไปดู  ก่อนที่จะโล่งใจเปราะหนึ่งเมื่อได้ยินว่าไม่ใช่อสูร

“คนบ้า  มีคนบ้าแก้ผ้าอาละวาด”  หญิงสาวคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตะลึง  “หุ่นดีมากๆ  ด้วย”

ข้าขมวดคิ้ว  อยากจะหันไปถามเร็นว่าระหว่างคนบ้ากับคนหุ่นดีแก้ผ้าจะดูอะไร  แล้วถ้าคนบ้าหุ่นดีจะดูไหม  แต่มันไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญจึงปัดทิ้ง  ที่สำคัญคือไปดูเพื่อยับยั้งความวุ่นวายก่อนจะดีที่สุด

พวกข้าไปถึงยังที่เกิดเหตุ  เหนือซากกองไม้ที่หักผุพังนั้นมีร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งยืนอยู่  ไร้ซึ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ  ปกปิดไว้จึงเผยให้เห็นกล้ามเนื้อได้รูป  เส้นผมสีแดงเพลิงดูยุ่งเหยิง  ใบหน้าที่หันมานั้นแม้จะเปื้อนดินไปบ้างแต่ก็สามารถมองออกว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง

ที่สำคัญกว่านั้นที่ทำให้ข้าชะงักได้คือดวงตา...สีทองแม้จะมีประกายแดงเหลือบอยู่บ้างแต่จากพลังและสัญลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ข้างเอวทำให้ข้ามั่นใจได้

“ผู้ถูกเลือก...”  ข้าพึมพำขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ  ไม่ใช่เพียงแค่เขาเป็นผู้ถูกเลือกแต่ดวงตานั้นเป็นเครื่องบ่งบอกที่ชัดเจนที่สุดว่าเป็นระดับสีทอง

ข้าหันไปมองเร็นก่อนจะพบว่าเขาเองก็ตื่นตะลึงไม่แพ้กัน  ปากพึมพำออกมาเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหู  “โซ...แวน”

“รู้จักหรือ?”  ข้าถามขึ้นทำให้เขาหันมาตอบเสียงอ่อน

“เพื่อนสนิทของกระหม่อมเอง  เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว  ไม่คิดว่าเขาจะมาที่นี่ได้”  สิ้นเสียงเร็นข้าก็หันไปมองอีกฝ่ายที่ยังคงจ้องมา

“ถ่วงเวลาไว้ได้ไหม  ดูเหมือนเขาจะเข้าสู่สภาวะคลั่ง  ข้าจะหยุดเขาเอง”  ข้าถามขึ้น  สภาวะคลั่งนั้นมักจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ถูกเลือกไม่สามารถควบคุมพลังได้  ทางแก้ไม่รักษาก็ฆ่า  วิธีแรกมีแค่ผู้วิเศษกับข้าที่สามารถทำได้  ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็จะให้จับมาก่อน

เร็นยิ้มขืนแล้วบอกเสียงเบาว่า  “จะพยายามขอรับ”

เขาสูดลมหายใจเข้า  เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายที่เดินใกล้เข้ามาทางนี้  ก่อนที่ทั้งคู่จะพุ่งเข้าหากันแล้วเริ่มปะทะอย่างดุเดือด  คลื่นพลังที่ถูกปล่อยออกมานั้นพลอยทำให้ข้าชะงักไปด้วย

แต่ไม่นานเร็นก็เป็นฝ่ายถูกผลักกระเด็นออกมา  ร่างของเขากระแทกกับผนังปูนของบ้านหลังหนึ่งอย่างแรงจนทรุดลงไปกองกับพื้น  ข้าเบิกตากว้างก่อนที่จะรีบวิ่งไปดู

“เร็น!”  ข้าร่ายเวทรักษาเขา  อีกฝ่ายกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ทำให้ข้ารู้สึกใจไม่ดี  ในบรรดาผู้ถูกเลือกทั้งหมด  ตอนนี้เร็นแข็งแกร่งที่สุด  แต่เขายังพ่ายแพ้ในเวลาไม่กี่วินาทีเมื่อต่อกรกับคนตรงหน้า

“ข้า...ไม่เป็นอะไร”  เขาพยายามบอกเมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงของข้าก่อนที่จะลุกขึ้นยืน 

“เพื่อนของเจ้าแข็งแกร่งขนาดไหนกัน”  ข้าถามขึ้นด้วยความสงสัยทำให้เขายิ้มขืนขึ้นแล้วพึมพำว่า 

“ข้ายังไม่เคยเห็นเขาแพ้ใครด้วยสิ”

ขณะนั้นร่างสูงโปร่งของฝ่ายตรงข้ามก็พุ่งเข้ามาหาเร็นอีกครั้ง  แม้จะปัดป้องไว้ได้แต่ผู้ติดตามของข้าก็ถูกเหวี่ยงไปอีกฝากหนึ่ง  ข้าจะลุกวิ่งตามไปรักษาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสบตากับผู้ที่ยืนขวางอยู่

ผู้ถูกเลือกที่คลุ้มคลั่งนั้นมองมาทางข้า  ดวงตาสีทองเหลือบแดงจดจ้องไม่ไหวติงไปที่อื่น  ลูกตาดำราวกับสัตว์ป่าทำให้ข้าชะงัก  สองเท้าถอยหลังเพื่อป้องกันตัวเอง

แต่แล้วเขาก็เข้ามาใกล้และคว้าลำคอของข้าอย่างรวดเร็วทำให้ข้าต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ  แม้เร็นจะร้องห้ามและพยายามลุกขึ้นแต่สภาพร่างกายของเขาตอนนี้บาดเจ็บจงไม่สามารถขยับตัวได้

ข้าคิดจะใช้เวทรักษาเขา  ทว่าสองมือกับถูกจับไว้  ก่อนที่ร่างจะถูกผลักล้มลงกับพื้น  ความเจ็บปวดจากการถูกฟาดทำให้ข้าชะงักไปชั่วขณะ

“ห...ยุ...ด”  เสียงทุ้มต่ำที่แหบพร่าทำให้ข้าหยุดนิ่ง  เมื่อมองดูก็พบว่าคนที่กำลังคร่อมอยู่มีสีหน้าทรมาน  แต่นัยน์ตาสีดำนั้นกลมโตขึ้นไม่เหมือนสัตว์แล้ว  คล้ายกับมีสติขึ้น  เสียงหอบหายใจดังขึ้นถี่เหมือนเขาพยายามหยุดยั้งตัวเองข้าจึงได้ลองพูดดู

“ปล่อยก่อนสิ  ข้าจะช่วยเจ้า”  ข้าบอกกับเขา  อีกฝ่ายจึงได้ปล่อยมือออกเป็นที่แน่ชัดว่าสติของเขาเริ่มกลับมา

ข้ายื่นมือไปโน้มศีรษะของเขาเข้ามาใกล้  เมื่อหน้าผากแนบชิดกันแล้วจึงได้หลับตา  ปากก็ร่ายคาถาเบาๆ อณูแสงสีทองเริ่มปรากฏขึ้นและลอยเข้าหาเขา  จนกระทั่งมันดับลงเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี

เมื่อข้าลืมตาขึ้นก็ปล่อยมือจากเขา  ดวงตานั้นกลับมาเป็นปกติดูแล้วคงจากหายจากอาการคลั่งแล้วข้าจึงยิ้มอย่างโล่งอก 
“เป็นยังไงบ้าง”

เขาไม่ตอบคำถามของข้า  ด้วยสภาพที่แต่แรกเขาคร่อมไว้อยู่ข้าจึงไปไหนไม่ได้  ครั้นจะผลักเขาออกอีกฝ่ายก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้และทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดซึ่งเรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนรอบข้าง  รวมทั้งเร็นที่ทำสีหน้าเหมือนจะฆ่าใครบางคนได้เมื่อเห็นสิ่งที่เพื่อนของเขากำลังทำ

เขา...ที่เร็นเรียกว่าโซแวนจูบลงบนริมฝีปากข้า  ไม่ใช่แค่แนบกันอย่างผิวเผินแต่ยังสอดลิ้นเข้ามาด้วยทำให้ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  รู้สึกเหมือนถูกดึงเอาวิญญาณไปขณะที่ขัดขืนอะไรไม่ได้ 
-----------------------
ฝ่าบาทถูกขโมยจูบไปแล้ว  :o8:
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <บทนำ+บทที่ 1,2> 8/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 08-11-2017 21:37:12
บทที่  2
ค่ำคืนแห่งพายุและราชา

“ผู้วิเศษ!”

ข้าตะโกนขึ้นขณะย่างเท้าเข้าไปในห้องหนังสือที่อยู่ในปราสาท  ระหว่างทางพวกขุนนางมองข้าเป็นตาเดียวแต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้  อาจเพราะข้ากำลังอารมณ์ไม่ดี  ข้างหลังนั้นเป็นเร็นที่แบกเจ้าคนไร้ยางอายที่หมดสติไปเดินตามมา

หลังจากเกิดเหตุการณ์น่าขายหน้าที่ย่านการค้านั้น  ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น  เร็นพุ่งเข้ามาฟาดศีรษะเจ้าคนไร้ยางอายที่น่าจะซื่อโซแวนจนสลบเหมือดไป  ส่วนข้า...ดีที่มีผ้าคลุมวิเศษอยู่จึงไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริง  แต่ก็กลายเป็นขี้ปากให้ชาวบ้านนินทาในขณะนั้น

พวกข้ารีบออกไปจากตรงนั้น  แต่เพราะว่าโซแวนสลบไปแล้วเลยขนย้ายยาก  เร็นต้องแบกเพื่อนตัวเองออกมาแล้วหาเสื้อผ้าให้ใส่แบบลวกๆ

จากนั้นข้าก็นึกได้ว่าปกติแล้วหน้าที่การตามหาผู้ถูกเลือกเป็นของผู้วิเศษ  ยิ่งถ้าเป็นระดับสีทองเขาย่อมรู้ถึงความเป็นไป  แต่นี่...พอขบคิดว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมมาตามตัวข้าสักทีก็พอเข้าใจได้ว่าตัวเองนั้นถูกหลอกใช้

ชายผมทองผู้นั่งสงบเสงี่ยมในห้องส่งยิ้มให้แล้วทักขึ้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว  “ไปเที่ยวข้างนอกมา  สนุกไหมขอรับ  ฝ่าบาท”
เขารู้อยู่แล้วจริงๆ  ด้วย...

“เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่ไหมว่าข้าหนีออกไป”  ข้าตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อเขาขึ้นมาเพื่อพูดคุย  ประตูปิดไปแล้วภาพพจน์ราชาอะไรนั่นไม่ต้องมามัวเป็นห่วงแล้ว  ที่ควรหายๆ  ไปสักทีคือภาพพจน์ของผู้วิเศษต่างหาก  นับวันเจ้าหมอนี่ยิ่งทำตัวเสเพลขึ้นเรื่อยๆ  แถมตอนนี้ยังมีหน้ามาหัวเราะชื่นบานอยู่ได้

“ถือว่าเป็นประสบการณ์น่ะขอรับ  ท่านได้ลองใช้วิธีสยบความคลั่งแล้ว  อีกอย่างเร็นก็ได้เจอเพื่อนที่ห่างกันไปนานด้วย  ถือเป็นเรื่องน่ายินดีนะขอรับ”

“แต่กระผมไม่ต้องการขอรับ”  เร็นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา  สีหน้าของเขาบึ้งตึงขึ้นกว่าปกติ  เมื่อข้าหันไปมองอีกทีเขาก็ทิ้งเพื่อนลงไปนอนกับพื้นเสียแล้ว

“เขาทำให้ฝ่าบาทต้องแปดเปื้อน”  เขาพูดขึ้นต่อขณะก้มมองคนที่สลบอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเคียดแค้น  ผู้วิเศษเองหลังจากแกะมือข้าออกก็เดินไปร่วมวงพูดเรื่องน่ากลัวขึ้น

“นั่นสินะ  บังอาจมาแตะต้องฝ่าบาทแบบนี้น่าทำให้หายไปจากโลกเลย”

“ทั้งๆ  ที่กระผมเล็งไว้ก่อนแท้ๆ”

“พวกเจ้า  ถ้าไม่หยุดพูดอะไรที่ดูเป็นการล่วงเกินข้า  ข้าจะสั่งประหารเดี๋ยวนี้เลย”

พวกเขาทั้งสองคนหุบปากเงียบ  ข้าตัดปัญหาเรื่องผู้วิเศษโยนงานมาให้ทั้งๆ  ที่ข้าตั้งใจแอบเที่ยวโดยการไม่ใส่ใจ  อันที่จริงก็โกรธอยู่บ้างเพราะดันทำให้เร็นบาดเจ็บค่อนข้างหนัก  แต่ข้าก็รักษาให้เขาแล้ว  ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง  ดังนั้นจึงควรใส่ใจผู้ถูกเลือกคนใหม่นี่เสียก่อน

ข้าเดินไปเรียกคนรับใช้ให้เตรียมเสื้อผ้ามาหนึ่งชุด  แล้วให้เร็นช่วยจัดการกับเพื่อนตัวเองซึ่งยังไม่มีวี่แววตื่นขึ้นมา  หลังจากที่เขาเช็ดคราบสกปรกไปหมด  แต่มีรอยแดงถลอกเพราะความบรรจงถูอย่างรุนแรงทิ้งไว้แทน  เป็นความแค้นที่ข้าไม่อยากยุ่งด้วยสักเท่าไร  พวกคนใช้ก็เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้  พวกข้ายืนห่างออกไปเลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว

และถึงแม้จะหายคลั่งแต่เขาก็ยังคงเป็นตัวทำลายอยู่ดี...

พอตื่นมาเห็นพวกคนใช้ของข้าก็ร้องลั่นแล้วปัดพวกเขาทิ้ง  นับว่ายังดีที่ใส่เสื้อผ้าแล้วเลยไม่ขัดลูกหูลูกตาเท่าไร  ดวงตาสีทองประกายแดงตวัดมามองพวกข้าทันทีแล้วย่างสามขุมเข้ามาใกล้  อันที่จริงแล้วเขาเดินมาหาเร็น

“เจ้าทุบหัวข้า!”  อีกฝ่ายเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ  ท่าทางจะโกรธเอาเรื่อง...แต่เร็นก็หาได้สะทกสะท้านไม่  เขามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแล้วบอกขึ้น

“ก็ใครใช้ให้คุณทำความผิดล่ะครับ”

“หา?  ผิดอะไร?”

“พวกเจ้าสองคนพอได้แล้ว”  ข้ารีบยกมือปราม  ทำให้เร็นปัดมือของอีกฝ่ายออก  ข้าโบกมือให้พวกคนใช้ออกไปได้  จังหวะเดียวกันนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียก่อน  และคนที่ข้าคุ้นหน้าคุ้นตาก็ยืนอยู่

“ขออนุญาตครับ”  เด็กหนุ่มที่มีเส้นผมสีน้ำตาล  และดวงตาสีทอง  ดูจากภายนอกแล้วก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า  แต่ความสดใสนั้นมีมากกว่า

“อาคีรัส”  ข้าเอ่ยชื่อของเขาออกมาอย่างแปลกใจ  เมื่อสามวันก่อนเขาได้รับภารกิจให้ไปสำรวจทางทิศใต้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้

“ฝ่าบาท!”  อีกฝ่ายร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเมื่อเห็นข้าพร้อมกับพุ่งเข้ามากอดโดยไม่ทันฟังเสียงร้องห้ามจากคนอื่น

กร็อบ!

เสียงน่ากลัวนั่นคือเสียงกระดูกข้าลั่น  ด้วยแรงกอดที่มีมหาศาลของอีกฝ่ายทำให้ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ  อาคีรัสถึงหน้าและนิสัยจะเหมือนเด็กแต่ร่างกายกำยำกว่าข้า  มีแรงช้างสารที่สามารถยกท่อนซุงเหวี่ยงไปมาได้  แล้วเขาเองก็ยังเป็นผู้ถูกเลือกระดับสีทองที่ไม่ใช่มนุษย์

“เจ้ากลับมาได้ปลอดภัยก็ดีแล้ว  มีธุระอะไรหรือเปล่า”  ข้าถามเขาที่นึกจะกอดก็กอดขณะดันตัวเองออกห่าง  อาคีรัสทำหน้างงๆ  อยู่ครู่หนึ่งก็นึกออกแล้วหันไปหาเร็น

“ที่จริงข้ามีเรื่องสงสัยก็เลยอยากรบกวนท่านเร็นสอนให้หน่อย”  เขาหันไปบอกกับชายที่ทำหน้าที่ดูแลทุกอย่าง  เร็นเป็นเสมือนที่พึ่งของทุกคน  โดยเฉพาะคนที่อายุน้อยกว่าอย่างข้าหรืออาคีรัส

“ได้สิ”  เร็นตอบรับด้วยรอยยิ้มอย่างไม่อิดออด  เขาขอตัวเดินตามอาคีรัสออกไปข้างนอก  ในห้องจึงเหลือเพียงแค่สามคน  ผู้วิเศษเป็นคนเริ่มเปิดการสนทนากับโซแวนต่อ

“สวัสดี  เจ้าชื่อโซแวนใช่ไหม  ดูจากสง่าราศีแล้วสมกับคำร่ำลือจริงๆ  ด้วย”

“เจ้ามีเอี่ยวจริงๆ  ด้วย”  ข้ามองผู้วิเศษตาขวาง  ซึ่งเขาเพียงยิ้มตาหยีทำเป็นไม่สนใจขณะที่โดนโซแวนปั้นหน้าหงุดหงิดใส่

“หน้าที่ของเจ้าคือการปราบอสูร  และดูแลปกป้องท่านผู้นี้”  ผู้วิเศษอธิบายต่อถึงหน้าที่ของโซแวน  ก่อนจะผายมือมาทางข้า  “ท่านผู้นี้คือทีอารีน  คาร์ไลน์  มอร์ฟอร์ด  เป็นพระราชาของอาณาจักรนี้”

“โห่  เก่งนี่  ตัวแค่นี้แต่ได้เป็นพระราชา”  เขายกยิ้มขึ้นขณะมองมาทางข้า  คำพูดนั้นทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“เจ้ามีปัญหาหรือ”  ข้าถามกลับไปเสียงขุ่น  อีกฝ่ายเพียงเลิกคิ้วแล้วยักไหล่  เป็นผู้วิเศษที่เอ่ยขึ้นต่อ

“โซแวน  ข้าอยากให้เจ้าคอยช่วยเหลือฝ่าบาท  ในฐานะที่เจ้าเคยเป็นผู้ปกครองมาก่อน”

“ผู้ปกครอง?”  ข้าย้อนถามด้วยความสับสนขณะมองผู้ชายผมแดงที่อยู่ตรงหน้า

ผู้วิเศษพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะอธิบายว่า  “ฝ่าบาท  คนผู้นี้เคยเป็นผู้ปกครองของป่าต้องห้าม  อาณาเขตของป่าอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา  พูดง่ายๆ  ฐานะของโซแวนก็เหมือนเป็นราชาแห่งป่าต้องห้ามแหละขอรับ”

ป่าต้องห้าม...เป็นเขตป่าที่ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าย่างกรายเข้าไป  ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่หลบซ่อนตัวอยู่  ว่ากันว่ามนุษย์คนไหนที่เคยเข้าไปล้วนไม่ได้กลับออกมา

ทันทีที่ได้ยินคำว่าราชา  ข้าก็พอเข้าใจนิสัยที่ดูถือตัวของโซแวน  เจ้าหมอนั่นลุกขึ้นก่อนที่จะตรงเข้าถามข้า  “แล้วคนข้างกายล่ะ”

“หะ?  หมายความว่ายังไง”

“อะไรกัน  เป็นถึงพระราชาแต่ไม่มีหญิงงามร่วมเตียงเลยหรือไง”  เขาถามขึ้น  น้ำเสียงยียวนนั้นชวนให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง

“ฝ่าบาทยังเด็ก  ไม่ใส่ใจเรื่องนั้นหรอก”  ผู้วิเศษเป็นคนแก้ต่าง  นั่นทำให้โซแวนพ่นลมหายใจออกมา

“เหอะ”  นั่นทำให้เส้นประสาทของข้าขาดผึง

“ท่าทีแบบนั้นหมายความว่ายังไงกัน”  ข้าถามเขาขึ้นขณะก้าวเข้าไปหา  “คิดว่าราชาทุกคนต้องหาผู้หญิงมาไว้ข้างกายหรือไง  อย่าเหมารวมข้ากับเจ้านะ!”

“โห่  เป็นเด็กจริงๆ  ด้วย  เจ้ายังไม่เข้าใจความรู้สึกสุดยอดของการนอนร่วมเตียงสินะ”

เจ้าหมอนี่...

ข้ากัดฟันกรอด  เกลียดการโดนดูถูกเช่นนี้  แต่ทำไมข้าต้องคิดยอมแพ้เจ้าคนแบบนี้ด้วย

พอคิดเช่นนั้นข้าก็ตรงไปคว้าคอเสื้อเขาก่อนจะลั่นวาจาว่า  “ถ้างั้นเจ้าก็มาเป็นคนข้างกายข้าสิ”

โซแวนเบิกตากว้าง  แต่เพียงชั่วแวบหนึ่งก็กลับมากระตุกยิ้ม  ใบหน้าก้มลงมาใกล้  “ดีนี่  เจ้านี่ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ  งั้นข้าก็ต้องทำตามหน้าที่...ถูกไหม”

เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม  เพราะเคยโดนมาแล้วที่ย่านการค้าข้าเลยรู้ว่าโซแวนคิดจะทำอะไรจึงรีบปิดปากอีกฝ่ายไว้แล้วบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าคนข้างกายไม่ได้มีแค่เรื่องบนเตียง”

ผู้วิเศษที่เห็นบรรยากาศไม่ดีเข้ามาขวางก่อนจะบอกกับโซแวนว่า  “หน้าที่ของเจ้ามีการดูแลฝ่าบาทและปกป้องให้พ้นภัย”
เขากันข้าออกก่อนจะตัดบทขึ้น  “เย็นนี้เราจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ  ต้อนรับเจ้า  แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าต้องเข้าใจหน้าที่ของผู้ถูกเลือกเสียก่อน”

“อา”  โซแวนตอบรับสั้นๆ  แล้วหยุดนิ่งเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ  ข้าหันไปหาผู้วิเศษ  เขาเหลือบมองกองงานของตัวเองแล้วโค้งให้เบาๆ

“ฝากฝ่าบาทช่วยดูแลสหายใหม่ของเราด้วย”

ข้าถอนหายใจ  แต่มันก็ช่วยไม่ได้เลยตอบตกลงไปแล้วพาโซแวนออกมาเพราะไม่อยากรบกวนแล้ว  ข้านำเขาไปที่ห้องรับรองของข้าแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวโปรด

“เจ้าไม่มีราชองครักษ์หรืออะไรแบบนั้นหรือ?”  เขาถามขึ้นลอยๆ  ขณะมองไปรอบห้อง  ข้าเลยส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ปกติพวกเร็นจะเป็นผู้ติดตามในแต่ละวันน่ะ  เวลาพวกเขาว่างแล้วจะมาอยู่กับข้า”

“รวมข้าด้วยใช่ไหม”

“ใช่...”  ข้าเลือกสมุดเล่มหนึ่งออกจากกองหนังสือบนโต๊ะแล้วยื่นให้เขา  “นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ถูกเลือกที่ข้าสรุปขึ้น  เอาไปอ่านให้เข้าใจเสียก่อน”

โซแวนรับมันไป  ทันทีที่เขาเปิดอ่านมันก็เลิกคิ้ว  “ลายมือสวยนี่”

“อ่านไปเถอะน่า”  ข้าบอกปัดเขาก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าลืมเรื่องสำคัญไป  “อ้อ  ในนั้นลืมเขียนไปน่ะ  ผู้ถูกคัดเลือกจะมีการแบ่งระดับตามสีของพลัง  และพวกที่ยังไม่มีพลังเรียกว่าไร้สี  ถ้าเรียงจากพลังจากอ่อนไปแข็งแกร่งก็คือสีน้ำเงิน  เขียว  เหลือง  และแดง  ส่วนกลุ่มพิเศษจะถูกเรียกว่าสีทองก็คือพวกเรา”

“ทำไมต้องเป็นสีทอง?”

“สีตาพวกเจ้ามั้ง”  ข้าตอบไปแบบไม่ใส่ใจขณะเก็บหนังสือเล่มอื่นเข้าที่  มันเป็นข้อสรุปจากข้าเอง  ถ้าไม่ได้นับข้าแล้วพวกเขาก็มีตาสีทองเหมือนกันจริงๆ  จะมีโซแวนที่แปลกหน่อยตรงที่มีสีอื่นปนมา

“แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง...”  ข้าพูดค้างไว้แล้วหันไปทางเขา  มองร่างกายโดนรวมแล้วพูดขึ้นว่า  “อาจเป็นเพราะพวกเจ้าไม่ใช่มนุษย์แต่แรก”

โซแวนชะงักไปทันทีจนเห็นได้ชัด  เขาช้อนสายตาขึ้นมามองข้าแล้วถามว่า  “เจ้ารู้ได้ยังไง”

“ตั้งแต่ได้เจอเจ้ามันก็ชัดเจนขึ้น  อย่างแรกคือตาเจ้าช่วงคลุ้มคลั่งเป็นตาของสัตว์  อีกอย่างคือที่ผู้วิเศษบอกว่าเจ้าเป็นผู้ปกครองป่าต้องห้าม  ที่นั่นไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่”

นอกจากนี้คนก่อนหรือแม้กระทั่งเร็นเองก็มีบางครั้งที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ใช่มนุษย์  และก็ไม่ได้เป็นผลมาจากพลังของผู้ถูกเลือกด้วย

เขาฉีกยิ้ม  ก่อนจะบอกว่า  “ก็รู้อยู่แล้วนี่  ข้านึกว่าจะไม่รู้เรื่องเสียอีก”

“ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้วิเศษถึงไม่ยอมบอกข้าตรงๆ  สักที”

ที่ผ่านมาผู้วิเศษไม่เคยบอกข้าเลยว่าพวกเขาแต่ละคนเป็นตัวอะไร  มาถึงก็โยนให้  มีแค่ช่วงหลังมานี้ที่ยอมบอกกลายๆ  ว่ามาจากไหนที่ข้าพอจะเดาได้ว่าไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน

“มีเหตุผลที่ไม่มีใครยอมบอกอยู่...”  เขาเอ่ยขึ้นขณะปิดสมุดลง  “เจ้าก็รู้ว่าแต่แรกพวกเราไม่ถูกยอมรับว่าเป็นมิตรกับมนุษย์  ยิ่งมีเรื่องของพวกอสูรแล้วด้วยพาลจะให้ถูกเข้าใจผิดง่ายๆ”

“ก็จริง”  แต่ไหนแต่ไรมาพวกสัตว์วิเศษอย่างมังกร  เงือก  หรือยูนิคอร์นไม่ได้ถูกมองว่าเป็นมิตรกับมนุษย์  และค่อนข้างไม่เป็นที่ยอมรับ  ดูเหมือนว่าตั้งแต่เกิดเรื่องอสูรพวกนี้ก็ถูกตามล่ามากขึ้นจากพวกที่เข้าใจผิด

ข้าหันไปมองเขาก่อนจะถามขึ้นว่า  “แล้วเจ้าเป็นตัวอะไร”

โซแวนแค่ยกยิ้มมุมปากแล้วตอบในสิ่งที่ข้าเดาได้  “ลองเดาดูสิ”

“คนอื่นก็พูดแบบนี้”  ข้าพึมพำขึ้นก่อนที่จะเดินไปยังประตูอีกบานที่เชื่อมต่อกับห้องบรรทมของข้า  อีกฝ่ายลุกขึ้นทำท่าจะตามมาทันที

“อ้อ  จริงสิ  เจ้าต้องลงทะเบียนผู้ถูกคัดเลือกด้วย  จะให้เร็นพาไปพรุ่งนี้”  ข้าบอกกับเขา  แล้วปิดประตูแต่อีกฝ่ายกลับยกมือขึ้นกันไว้

“นี่คิดจะตามไปเรื่อยๆ  เลยหรือไง”  ข้าขมวดคิ้วมองเขา

โซแวนยกยิ้มมุมปากขึ้นอีกก่อนจะบอกว่า  “ในฐานะผู้ติดตาม  ข้าก็ต้องตามไปทุกที่สิ”

สุดท้ายข้าจึงต้องถอนหายใจ  เถียงกับหมอนี่แล้วมันเลวร้ายยิ่งกว่าโดนเร็นเทศนาเสียอีก  ไหนจะแรงที่มากกว่าจนข้าใช้กำลังปิดประตูไม่ได้เลยยอมแพ้

“ห้องกว้างดีนี่”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะทิ้งตัวลงนั่งโซฟา  ทำตัวเอกเขนกจนรู้สึกอยากเรียกทหารข้างนอกมาหิ้วไปโยนทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด

“ไม่กว้างสิแปลก”  ข้าย้อนใส่อย่างเหลืออดขณะถอดเสื้อตัวนอกออก  เมื่อไม่ได้อยู่ในเวลาทำงานแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ชุดพิธีการ  ถึงจะเหลืองานเลี้ยงต้อนรับแต่พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากว่าข้าจะแต่งตัวยังไงไป  เป็นสถานที่เดียวที่ข้าไม่ได้อยู่ในฐานะราชา  แต่เป็นเพื่อนคนหนึ่ง  เพียงแต่แต่ละคนในตอนนี้ก็ไม่ใช่คนปกติสักเท่าไหร่  ไม่สิ...แต่แรกก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว

ข้าหยิบเสื้อผ้าที่ใส่สบายที่สุดในตู้มาสวม  ว่าก็ว่าเถอะ  เวลามีงานเลี้ยงเฉพาะกลุ่มกันที่ไรจะมีคนๆ  หนึ่งมายุยงให้ข้าไม่ต้องใส่เสื้อผ้าไปมาก  ยิ่งน้อยชิ้นยิ่งดี  ซึ่งข้าก็ยังไม่เข้าใจว่ามันมีดียังไง  แต่อย่าหวังว่าข้าจะทำ
จะว่าไปข้าวันทั้งวันข้าก็ยังไม่เห็นคนๆ  นั้นเลย

“นั่นอะไร”  โซแวนเอ่ยถามขึ้นทำให้ข้าตื่นจากภวังค์แล้วหันไปทางเขาซึ่งชี้มาที่ตัวข้า  เมื่อก้มมองตามจุดที่ถูกชี้ก็พบอักขระคุ้นตาจึงร้องอ้อออกมา

“คำสาปข้าเอง”  ข้าตอบเขาขณะสวมเสื้อผ้าปกปิดไว้

“คำสาป?”

“คำสาปเสน่หาของผู้วิเศษ  เขาต้องการลบคำสาปเกลียดชังของข้าออกเลยสาปทับด้วยอันนี้  แต่เขาทำพลาดไปหน่อยเลยกลายเป็นว่าตอนนี้มีแต่คนมาหลงรักข้าแทน”  ข้าหลุดหัวเราะมาในตอนสุดท้าย  จากที่เคยถูกเกลียดกลับกลายเป็นว่าได้รับความรักมากมาย

ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร  แต่ตัวข้านั้นไม่สามารถเปิดใจได้เมื่อนึกถึงการกระทำแต่ก่อนของพวกเขา

“มิน่าข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าไม่เหมือนคนอื่น”  โซแวนเอ่ยขึ้นทำให้ข้าเสริมไป  ถึงน้ำเสียงจะดูภาคภูมิแต่ในใจไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย

“แน่นอน  คำสาปนี้ไม่เว้นแม้แต่พวกสัตว์วิเศษที่แปลงมาเป็นมนุษย์หรอกนะ”

“แต่ถึงจะรักยังไง  ถ้าเขาไม่ตอบรับกลับมาก็น่าเศร้าไม่ใช่หรือไง...”

“...ใช่”  คำพูดของเขาทำให้ข้าตอบรับอย่างเบาโหวง  จู่ๆ  ในอกกลับรู้สึกหน่วงขึ้นมา

“ฝ่าบาทที่รัก”  ข้าหันไปตามเสียงเรียกด้วยใบหน้าเฉยชา  ในที่สุดคนที่ข้าคิดว่าไม่เห็นมาทั้งวันก็โผล่หน้าออกมา  ตรงหน้าข้าเป็นผู้ชายผมยาวสีน้ำตาลที่ยิ้มหวานอยู่  ในหมู่สาวๆ  เขาคนนี้ถือว่าได้รับความนิยมสูงสุด  แต่ละวันก็ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า  ที่จริงข้าคิดว่าคำสาปข้าอาจจะไม่มีผลกับเขา  แต่เปล่าเลย  แถมหมอนี่ยังแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งด้วย

“นอร์ธวินด์”  ข้าเรียกชื่อเขาเป็นการทักทาย  ระหว่างข้ากับผู้ถูกเลือกคนนี้มีข้อตกลงที่ค่อนข้างแปลกกว่าคนอื่น  จะเรียกว่าสัญญาก็ได้  เขาขอให้ข้าเรียกชื่อเขาทุกวันเมื่อเจอหน้า  ซึ่งข้าก็ไม่เห็นว่ามันน่าเดือดร้อนอะไรเลยเรียกไป  ไม่น่าเชื่อว่าแม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ที่เมืองหลวงก็ยังหาทางติดต่อมาจนได้

“หมอนี่ใครกันครับ?”  นอร์ธวินด์มีสีหน้าเหยเกขึ้นเมื่อเจอกับโซแวน  หนำซ้ำยังดึงข้าไปใกล้ด้วย  แต่ข้าไม่ใช่สิ่งของเลยดันตัวเองออกมา

“เขาเป็นผู้ถูกเลือกคนใหม่  ระดับสีทองเหมือนกับเจ้านั่นแหละ  ญาติดีกันไว้ล่ะ”  ข้าเปิดการสนทนาให้ทั้งสองคนแล้วยืนดูเงียบๆ  ด้วยนิสัยของนอร์ธวินด์แล้วเขาค่อนข้างเข้ากับคนง่าย

“ข้าชื่อนอร์ธวินด์  ยินดีที่ได้รู้จัก”  เขายื่นมือออกไป  แต่โซแวนดูจะยังงงๆ  กับวิถีมนุษย์แต่ก็ได้อีกฝ่ายช่วยนำว่าต้องทำอย่างไร  เขาเลยทำตาม

“ข้าชื่อโซแวน  ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เหลือเชื่อว่านายยังไม่เข้าใจวิถีชีวิตมนุษย์”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นขณะนำทางไปที่ห้องรับประทานอาหาร  โซแวนเลยบอกปัดเสียงเรียบ

“เมื่อก่อนข้าต้องอยู่แต่ในป่านี่นา”

“ในฐานะราชา  จะออกไปไหนไม่ได้ง่ายๆ  นี่นะ”  ข้าเสริมขึ้นในฐานะคนเข้าใจหัวอก

“แต่วันนี้ได้ข่าวว่าท่านหนีไปเที่ยวนี่ครับ”  ผู้ที่เดินนำหน้าอยู่หันมาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  ข้าชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบทำเป็นไม่ใส่ใจ

“หนวกหูน่า”  ข้ากดเสียงต่ำขณะต่อยหลังนอร์ธวินด์เบาๆ

นอร์ธวินด์ยักไหล่ก่อนที่จะหยุดไปครู่หนึ่งเมื่อพวกเราถึงหน้าห้องที่หมาย  ทหารเฝ้ายามสองคนเปิดประตูต้อนรับให้  เมื่อไปถึงข้าก็พบว่าคนอื่นรอกันอยู่ก่อนแล้ว

งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย  ไม่มีอะไรคึกคักมากกว่ามื้ออาหารที่มากขึ้นกว่าปกติ  และข้าได้ร่วมทานกับพวกเขา  มีเรื่องน่าทึ่งอยู่อย่างหนึ่งคือไปๆ  มาๆ  กลายเป็นงานแข่งกินระหว่างโซแวนและอาคีรัสไปเสียแล้ว  ทั้งคู่ต่างก็กินจุไม่แพ้กัน  ส่วนข้าก็ได้แต่มองเงียบๆ

เมื่อดึกแล้วต่างคนต่างก็แยกย้าย  แต่ไม่มีใครออกไปจากปราสาทได้เพราะสภาพอากาศ

“อ๊ะ  พายุเข้า...”  อาคีรัสอุทานขึ้นระหว่างที่พวกข้าเดินมายังทางเดินปีกขวา  ดูเหมือนเขาจะเพิ่งเข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงต้องค้างที่ปราสาท  ข้ามองไปนอกหน้าต่าง  ตอนนี้พายุฝนกำลังกระหน่ำทีเดียว

“เช่นนั้นข้าขอไปนอนก่อนนะขอรับ  ราตรีสวัสดิ์ขอรับฝ่าบาท”  อาคีรัสยกยิ้มสดใสขึ้น

“ราตรีสวัสดิ์”  ข้าเอ่ยทิ้งท้ายขณะที่มองเขาวิ่งเข้าไปในห้องประจำของตนเอง  ตอนนี้เหลือแค่ข้ากับโซแวนที่เดินกันต่อ  ถัดจากห้องข้าไปคือห้องพักชั่วคราวของอีกฝ่าย

“ห้องเจ้าคือห้องนู้น...”  ข้าชี้ไปทางห้องที่อยู่ติดๆ  กัน  แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยพูดย้ำไปอีกว่า  “ห้องเจ้าอยู่ทางนู้น”
โซแวนยังไม่ยอมไปยิ่งทำให้ข้าขมวดคิ้ว  “เป็นอะไรไป”

“ต้องนอนคนเดียวเหรอ”  เขาหันมาถามข้าเสียงเบาโหวง  จะว่าไปสีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว  เมื่อข้าพยักหน้าเขาก็ส่งเสียงแปลกๆ  ออกมาแล้วขอร้องชัดเจนว่า  “ให้ข้านอนด้วย”

“ทำไม?”  ข้าขมวดคิ้ว  แต่อีกฝ่ายอึกอักไม่ยอมตอบสักทีเลยกะว่าจะปฏิเสธแต่เสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นทำให้ข้าพอจะเข้าใจ  โซแวนมีปฏิกิริยารุนแรงกับเสียงฟ้าผ่า  เขาจับข้าแน่นขึ้นและซุกหน้าไว้กับไหล่

“หรือว่า...เจ้ากลัวเสียงฟ้าผ่า?”  ข้าลองถามขึ้น  โซแวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าทำให้ข้าเม้มริมฝีปากแน่น

ไม่ได้...จะขำไม่ได้เด็ดขาด  “อุ๊บ...ฮะๆ”

“เจ้าไม่เคยโดนฟ้าผ่าไม่เข้าใจหรอก!!”  เขาตวาดลั่นด้วยสีหน้าจริงจังจนข้าต้องรีบขอโทษแล้วยอมให้เขาอยู่ด้วย

“ก็ได้  จนกว่าพายุจะหยุด”

แล้วสุดท้ายโซแวนก็ได้เข้ามาในห้องข้าอีกครั้ง  หลังจากข้าอาบน้ำเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เขาใช้ต่อ  แต่อีกฝ่ายต้องไปหยิบเสื้อในห้องที่เตรียมไว้ให้แต่แรกคนเดียวก่อน  ส่วนตัวข้าก็ทำงานที่เหลือต่อให้เสร็จก่อนจะนอน

“ข้าสงสัยว่าทำไมเจ้าถึงยอมง่ายๆ  จัง”  โซแวนถามขึ้นขณะออกมาพร้อมกางเกงแค่ตัวเดียว  กล้ามหน้าท้องของเขาทำให้ข้าเผลอจ้องวูบหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้ว

“หรือจะให้ข้าปล่อยเจ้านอนคนเดียว”

“อย่าทำแบบนั้นเชียว”  เขาทำสีหน้าขยาดออกมาทันทีทำให้ข้าหลุดยิ้ม  แล้วยอมตอบคำถามแต่โดยดี

“เมื่อก่อนข้าก็เคยรู้จักคนๆ  หนึ่งที่กลัวเสียงฟ้าผ่าเหมือนกัน  ตอนเด็กๆ  หรือกระทั่งโตแล้วเวลามีพายุทีไรจะมาขอข้านอนด้วยทุกที”

“ใคร?”

“น้องชายข้าเอง”  ข้าหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะหรุบตาต่ำลง  “แต่ตอนนี้เขาหายไป...ข้ากำลังตามหาอยู่”

หลังจากข้าตื่นขึ้นมาก็ยังคงตามหาน้องชายมาโดยตลอด  แต่ไม่ว่าเมืองไหนก็ไม่เจอ  ประกอบกับที่งานส่วนราชาเริ่มเยอะขึ้นทำให้ข้าไม่มีเวลาแต่ก็ยังยืมมือคนอื่นช่วยเหลือไปก่อน

โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อ  เขาแค่รอข้าเงียบๆ  ตอนแรกก็นอนบนโซฟา  แต่พอข้ามานอนที่เตียงเขาก็ตามมาจนข้าต้องลุกขึ้น 
“ต้องนอนด้วยกันอีกเหรอ”

“ข้าชอบนอนกับคนอื่นมากกว่า”

“สมัยก่อนล่ะ”

“ก็นอนกับนางสนมไง  ข้าไม่เหมือนเจ้า  ยังไงก็ต้องมีนางสนมไว้ข้างตัว”  คำพูดตอนท้ายของโซแวนทำให้ข้ารู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา  แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้ข้ารู้สึกเสียวไส้แทน  ไส้แบบไส้จริงๆ...  “เผื่อหิวจะได้มีอาหารไว้ข้างๆ  ด้วย”

“จะไม่กินข้าใช่ไหม”

“อิ่มแล้วน่า”  เขาบอกด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอนโดยทิ้งระยะห่างไว้ด้วย  ข้าเลยหันหลังให้แล้วนอนบ้าง  ไม่นานข้าก็หลับไป

คืนนั้นข้าฝัน...ฝันถึงเมื่อสมัยเด็ก  น้องชายข้ามาร้องงอแงอยู่หน้าห้องไม่ยอมเข้ามาจนข้าไปเปิดประตูถึงรู้ว่าเขายังกลัวที่จะเข้ามานอนกับข้า  แต่ข้าก็พาเขาเข้ามานอนจนได้  พวกเรานอนด้วยกันทุกครั้งที่มีพายุ

แม้กระทั่งคืนก่อนเริ่มแผนเจรจากับเสด็จพ่อเขาก็ยังมานอนกับข้า  แต่นั่นเป็นครั้งสุดท้าย  เพราะมีคนทรยศทุกคนฝั่งข้าจึงถูกฆ่า  เพื่อให้น้องชายยังมีชีวิตรอดข้าเลยพาเขาไปยังทางหนี  แล้วยอมถูกจับกุม

ข้าไม่รู้ชะตากรรมของเขา  แต่แค่เห็นเขาหายไปก็รู้สึกใจหล่นหายไป  แม้จะยื่นมือไปคว้าไว้ก็ไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลย...
แม้แต่น้อย

เมื่อข้าลืมตาอีกทีก็พบว่าเป็นเช้าของอีกวันแล้ว  ตรงหน้าข้ามีร่างหนึ่งนอนหลับสบายอยู่ในระยะประชิดจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจ  โซแวนยังคงไม่ตื่นแต่ข้าสังเกตได้ว่ามือตัวเองกำลังกุมมืออีกฝ่ายไว้เลยรีบผละออกแล้วลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า  พอออกมาจากห้องน้ำแล้วก็พบว่าเขาตื่นแล้ว  และเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย

“ไม่คิดจะอาบน้ำหรือไง”

“อาบทำไม?”  อีกฝ่ายถามกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย  ข้าเลยตำหนิเรื่องความสะอาด  จนเขายอมเข้าไปอาบน้ำ

หลังจากโซแวนออกมา  ข้าก็รีบใส่เสื้อคลุมพิธีการแล้วออกไปทันที  เมื่อถึงห้องทำงานก็เจอเร็นรอรับอยู่  เขาดูแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนสายตาไปถามคนข้างหลังข้า  “ทำไมเจ้าถึงมากับฝ่าบาทได้”

“ออกมาจากห้องแล้วเห็นกำลังเดินอยู่คนเดียวเลยตามมาด้วย”

ข้าเผลอขืนยิ้ม  นับว่าหมอนี่โกหกได้หน้าตายเอามากๆ  ซึ่งเร็นก็ไม่ได้ติดใจอะไรต่อและหันมาสนใจข้าแทน  “แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงใส่ชุดนี้หรือขอรับ”

“ข้าจะไปพบกับท่านหญิงซีวาล”  ข้าแจงนัดหมายของวันนี้ก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะทำงานก่อน  แว่วเสียงสองคนนั้นคุยกันอย่างไม่เกรงใจดังขึ้นมาระหว่างที่ข้ากำลังดื่มน้ำชาอยู่

“ใครคือท่านหญิงซีวาล?”

“นางเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาท...”
------------------------
คู่หมั้น!? o22 คู่หมั้นของฝ่าบาทจะป็นคนแบบนั้นกัน ตอนหน้ามาพบกันค่ะ
แล้วพบกันตอนสามเร็วๆ นี้ค่า

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <บทนำ+บทที่ 1,2> 8/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 10-11-2017 10:05:49
โคตรแฟนตาซีเลยอะ

อ่านคำโปรยทีแรกนึกว่าสายมุ้งมิ้ง
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <บทที่ 3> 10/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 10-11-2017 21:10:17
บทที่ 3
เทพร้อยศาสตรา
“ท่านหญิงซีวาลเป็นคู่หมั้นของฝ่าบาท เป็นเด็กอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก อายุเพียงแค่สิบเจ็ดก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้แล้วซ้ำยังช่ำชองอาวุธเกือบทุกชนิดจนได้รับฉายาว่าเทพร้อยศาสตรา” เร็นพยายามอธิบายให้โซแวนฟังระหว่างที่พวกข้ากำลังเดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลเอเมเรียล “แต่ที่ทั้งสองหมั้นกันก็เพราะโดนบังคับน่ะนะ มีสิทธิ์จะยกเลิกเมื่อไรก็ได้”

“อย่าไปพูดแบบนั้นต่อหน้าท่านหญิงเชียว” ข้าเตือนทั้งสองคนด้วยความหวังดี ซีวาลเป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนกับหญิงคนอื่น ถ้าหากได้เจอตัวจริงก็จะรู้ และบางทีเวลาอยู่ด้วยกันก็ทำให้ลำบากใจ

“ฝ่าบาท ทำไมถึงจะมาพบท่านหญิงซีวาลหรือครับ?” เร็นถามขึ้นทำให้ข้าชะงัก ก่อนจะตอบเขาไปอ้อมๆ

“มีธุระจะคุยกับท่านหญิงนิดหน่อยน่ะ”

“งานแต่ง?” น้ำเสียงของเขาดูแตกตื่นขึ้นมากจนข้าอดถอนหายใจไม่ได้

“เจ้าหมกมุ่นมากไปแล้ว” ข้าชายตามองทั้งสองคน เร็นยกยิ้มแก้เขินแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนโซแวนก็นั่งเงียบมาตั้งแต่แรก ไม่นานรถม้าก็พามาถึงยังที่หมาย

หญิงรับใช้สองคนออกมารับพวกข้าไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้ ข้าสั่งให้ทั้งสองคนรอข้างนอกแล้วเข้าไปพบท่านหญิงแค่คนเดียว
ในห้องสีแดงเลือดหมูนั้นมีเพียงโต๊ะและเก้าอี้ตั้งไว้กลางห้อง รายล้อมด้วยตู้หนังสือทั้งสองฟากผนัง ซีวาลที่นั่งอยู่ผุดลุกขึ้นแล้วทำความเคารพทันที

“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ใบหน้างดงามยังคงแฝงไปด้วยความจริงจังเกินกว่าผู้หญิงในวัยเดียวกัน ซีวาลมีผมสีน้ำตาลทองและดวงตาสีเขียวดูเยือกเย็น หลายคนบอกว่านางเย็นชา แต่ลึกๆ แล้วก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก

“ข้าบอกแล้วว่าไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอก” ข้าเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปนั่งตามที่นางเชิญไว้ เมื่อซีวาลนั่งลงจึงได้พูดธุระกัน

“ได้ข่าวเขาบ้างไหม” ข้าถามขึ้นอย่างมีความหวัง แต่ซีวาลกลับหลับตาลงแล้วโค้งให้ “ขออภัยฝ่าบาท เรายังไม่เจอข้อมูลของครีออนเลย”

“งั้นเหรอ...” แม้แต่หน่วยกรองข่าวที่ดีที่สุดของตระกูลเอเมเรียลก็ยังตามหาไม่ได้ยิ่งทำให้ข้าเป็นกังวลมากขึ้น ครีออนคือนามของน้องชายข้า ผู้ที่ข้าเป็นคนบอกให้หลบหนีแล้วตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ

“อย่ากังวลไปเลยเพคะฝ่าบาท ครีออนเป็นคนที่แข็งแกร่งและฉลาดพอจะเอาชีวิตรอดได้ ข้าเชื่อว่าตอนนี้เขาแค่ยังหลบหนีอยู่” ซีวาลยังคงพูดปลอบใจ นางเองก็รู้จักน้องชายของข้าไม่น้อยและเป็นคนที่พึ่งพาได้มากที่สุด

ข้าพยายามทำสีหน้าปกติก่อนที่จะลุกขึ้น “ขอบคุณเจ้ามาก และขอโทษที่รบกวน”

“หามิได้ ข้าเองก็จะช่วยตามหาเขาจนกว่าจะเจอ...” ซีวาลโค้งให้ขณะพูดค้างไว้ นางยกมือขึ้นแตะหน้าอกก่อนจะบอกต่อว่า “ถ้านั่นทำให้ฝ่าบาทสบายพระทัย”

ข้ายกยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยอย่างเป็นกันเองว่า “ขอบคุณนะ”

ซีวาลยิ้มกลับก่อนที่จะทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ “ถ้าฝ่าบาทไม่ทรงว่าอะไร ก่อนจะกลับเชิญดื่มชายามบ่ายกับข้าก่อนจะได้หรือไม่”

“ได้สิ” ข้าตอบตกลงในทันทีทำให้ซีวาลคลายสีหน้ากังวลลง แล้วนำข้าไปยังสวนด้านหลังพร้อมกับสั่งให้คนรับใช้พาผู้ติดตามของข้าเข้ามา

เมื่อมาถึงเร็นก็รีบทำความเคารพเธอทันที “ท่านหญิงซีวาล ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”

“ขอบคุณที่ดูแลฝ่าบาทเป็นอย่างดี แล้วท่านผู้นั้นคือ...”

“ผู้ติดตามคนใหม่ของฝ่าบาทครับ แล้วยังเป็นผู้ถูกคัดเลือกระดับสีทองด้วย” เร็นเป็นคนอธิบายให้เองก่อนที่จะหันไปบังคับให้โซแวนทำความเคารพ แม้ท่าทีจะแข็งทื่อไปบ้าง

“ซีวาล มีอะไรหรือ?” ข้ากับซีวาลเป็นเพื่อนกันมานาน ฉะนั้นย่อมรู้ว่ายามนี้นางเริ่มมีบางอย่างที่ไม่พอใจเพราะดวงตาหรี่ลงอย่างเห็นได้ชัดและการไม่พูดอะไรกลับไป

“จำไม่ผิดเขาคือคนบ้าที่ออกมาอาละวาดเมื่อวันก่อนนี่ แถมยังทำร้ายฝ่าบาท!”

จะว่าไปข้าก็ลืมนึกไปเลยว่านอกจากผู้วิเศษแล้วก็มีหน่วยข่าวจากตระกูลของซีวาลนี่แหละที่พยายามตามติดข้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าคิดจะหนีจากอีกทางก็ต้องเจออีกทาง ประสิทธิภาพนั้นต่างก็ไม่มีใครเป็นรองใคร น่ากลัวว่าถ้าร่วมมือกันไม่ว่าจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็ยังเจอได้

“เรื่องแบบนั้นลืมๆ ไปซะเถอะ อีกอย่างมันเป็นเหตุสุดวิสัย ข้าไม่มีเหตุอะไรจะต้องทำร้ายฝ่าบาทของเจ้า” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ใส่ใจยิ่งทำให้ซีวาลไม่พอใจมากยิ่งขึ้น

“เจ้า!”

“ซีวาล...” ข้าเรียกชื่อนางเพื่อปรามอารมณ์ ว่ากันตามตรงแล้วซีวาลไม่ใช่ผู้หญิงเย็นชาแต่เป็นเด็กใจร้อนเสียส่วนใหญ่มากกว่า
เมื่อนางรู้ตัวว่าทำเรื่องไม่เหมาะสมจึงรีบหันมาหาข้าแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดจากนั้นก็นำไปที่โต๊ะ แล้วเป็นฝ่ายรินชาให้ข้า

“ท่านพ่อของเจ้าไม่อยู่หรือ?”

“เขาไม่อยู่สิดีเพคะ” ซีวาลตอบด้วยสีหน้าอมยิ้ม จะว่าไปก็จริงอย่างที่เธอว่า เพราะเจอหน้าท่านพ่อของซีวาลทีไรก็จะถูกถามเรื่องพิธีอภิเษกทุกทีจนข้าเริ่มลำบากใจ

อย่างที่เร็นพูดนั่นแหละ ข้ากับซีวาลถูกบังคับให้หมั้นหมายกันด้วยเหตุผลทางการเมืองตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ข้าเห็นว่ายังไม่เหมาะสมกับนางแม้แต่นิดเดียว นางเป็นคนเก่งชนิดหาตัวจับยาก ช่ำชองอาวุธทุกอย่าง ถ้าเทียบกับข้าที่นอกจากเรื่องเวทมนตร์แล้ว การต่อสู้ที่ต้องใช้อาวุธน่ะไม่เอาอ่าวเอาเสียเลย การอภิเษกนี้มันยังเร็วไป

แต่การที่มีนางเป็นคู่หมั้นก็ทำให้ปริมาณคนที่โดนผลของคำสาปข้าไม่กล้าทำอะไรเกินเลย นั่นนับว่าเป็นเรื่องดี

ข้าพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนางอีกหลายเรื่องจนกระทั่งถึงเวลากลับจึงขอตัวออกมา เร็นนำรถม้าออกมารออยู่ด้านนอก พวกมันดูเข้ากับเขาเป็นพิเศษ ไม่สิ ม้าทุกตัวเข้ากับเขาได้หมดจนข้าแปลกใจ เพราะถึงจะรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

“หมอนั่นก็เป็นม้านี่นะ...” โซแวนพึมพำขึ้นทำให้ข้าเริ่มกระจ่าง

“เขาเป็นม้า?” ข้าถามกลับด้วยความสงสัย

“ใช่ แต่เป็นม้าไม่ธรรมดา”

“ไว้ข้าจะลองกลับไปหาคำตอบดู” ข้าพึมพำขึ้น ก่อนจะขึ้นไปบนรถม้าสี่ล้อปิดทึบของราชวงศ์ ไม่รู้เพราะอะไร แต่พวกม้าไม่ค่อยชอบโซแวนดังนั้นแล้วหน้าที่คนขับจึงตกเป็นของเร็น เขาพาข้าไปยังทางถนนที่อยู่เกือบติดชายแดนป่าตามที่ขอไว้

“ทำไมต้องมาแถวนี้ด้วย” โซแวนถามขึ้นทำให้ข้าละสายตาจากการมองรอบๆ “ไหนๆ ก็ออกมาแล้วก็เลยถือโอกาสมาสังเกตการณ์ด้วยน่ะสิ”

“นั่นมันหน้าที่ของทหารยาม”

“แต่ทหารสู้กับอสูรไม่ได้”

ตั้งแต่มีอสูรปะปนอยู่บนโลกมนุษย์ เรื่องดีอย่างเดียวคือภัยสงครามระหว่างดินแดนลดน้อยลงเพราะต่างคนต่างยุ่งอยู่กับการจัดการกับอสูร ดินแดนของข้าที่เสมือนเป็นศูนย์กลางของพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถปราบพวกมันได้ยิ่งได้รับผลกระทบจากการแย่งชิงดินแดนน้อยลง ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็พยายามเป็นพันธมิตรกับข้าอยู่ แต่ก็ยังมีบางคนที่ต้องการเล่นงานอยู่

“อีกอย่าง ข้ามีผู้ถูกคัดเลือกระดับสีทองมาด้วยตั้งสองคน ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ข้าต้องมาลาดตระเวนแถวนี้เพราะมีเรื่องที่ต้องพิสูจน์ โซแวนที่เพิ่งเข้ามายังไม่มีใครรู้ถึงพลังของเขา ซึ่งจำเป็นต่อการขึ้นทะเบียนที่ข้าเคยบอกว่าจะพาเขาไป

“แค่ผมคนเดียวก็เกินพอแล้วครับ” แว่วเสียงเร็นลอยเข้ามาทำให้โซแวนกระตุกยิ้ม ก่อนจะข่มกลับไปว่า “ข้าเองไม่มีเจ้าก็สู้ได้น่า”

“ยังไงก็อย่าให้เดือดร้อนข้าแล้วกัน” ข้าเอ่ยขัดขึ้นก่อนที่จะหันกลับไปมองวิวรอบๆ แทนก่อนจะสะดุดตากับป่าผืนหนึ่งที่มืดจนมองไม่เห็นอะไร

“นั่นน่ะเหรอป่าต้องห้าม”

“ใช่ จะว่าไปเรื่องคำสาปของเจ้า ต้องการจะแก้ไหม” คำถามของโซแวนทำให้ข้าตาลุกวาวจนกระเด้งตัวไปหาเขา

“เจ้ารู้วิธีแก้เหรอ!?”

“ก็รู้จักคนที่พอจะเชี่ยวชาญคำสาปอยู่ หล่อนเป็นนางเงือกที่อาศัยอยู่ในเขตป่าต้องห้าม” เขาบอกเสียงเรียบแต่ทำให้ข้ารู้สึกใจชื้นขึ้นมา แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงขมวดคิ้ว “เร็นไม่เคยบอกกับเจ้าหรือ?”

“ทำไม?”

“เขาเองก็รู้จัก สนิทมากกว่าข้าอีก” สิ้นเสียงของโซแวนก็เหมือนทั้งโลกเงียบไปชั่วขณะ ไม่มีเสียงเร็นตอบกลับมา เป็นข้าที่ถามขึ้นว่า

“พวกเขาสนิทกันหรือ?”

“ก็พวกเขาเคยอยู่ด้วยกันมาก่อน ช่างเถอะ จะว่าไปเรื่องท่านหญิงซีวาลอะไรนั่นน่ะ เป็นคู่หมั้นของเจ้าจริงหรือ”

“ใช่” ข้าตอบไปตามความจริง ไม่รู้ว่าทำไมโซแวนถึงถามออกมา เขาเงียบไปจนข้าสงสัย “ทำไมหรือ?”

“เป็นผู้หญิงแน่เหรอ”

“จะบ้าหรือไง ถึงนิสัยซีวาลจะดูห่ามๆ แต่นางก็เป็นผู้หญิง ดูจากรูปลักษณ์เจ้าน่าจะรู้ได้แล้วนี่”

“แต่...ระวัง!” เกิดเสียงโครมดังขึ้นก่อนที่โซแวนจะพูดจบ เขารีบตะโกนบอกแล้วโอบข้าไว้ รถม้าคันใหญ่ถูกกระแทกอย่างจังจนล้มลง เสียงร้องของม้าดังขึ้นอย่างโหยหวน

ข้าไม่ได้รับแรงกระแทกอะไรมากเพราะมีโซแวนช่วยไว้ก่อนที่เขาจะรีบพาข้าออกมาโดยการทำลายประตูรถม้าทิ้ง เร็นยืนขวางระหว่างพวกข้ากับศัตรูทันที

“ขออภัยด้วยครับ ไม่คิดว่าจะมีอสูรที่ลบกลิ่นอายตัวเองได้”

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ข้าถามเขาขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผลอะไรมากจึงหันไปดูอสูรตรงหน้า รูปร่างของมันสูงใหญ่กว่าสองเมตร แต่ไม่มีกลิ่นอายใดๆ ออกมาเลย มันหยิบขวานขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้วคำรามอีกครั้ง

โซแวนปล่อยข้าให้เป็นอิสระแล้วไปยืนอยู่ข้างเร็น ตอนแรกข้าคิดว่าเขายังดึงพลังของผู้ถูกเลือกออกมาไม่เป็นแต่ก็พบว่าคิดผิดเมื่อเห็นเขาเริ่มแตะที่สัญลักษณ์ของตนเองเช่นเดียวกับเร็น

ทั้งคู่เรียกอาวุธออกมา ของเร็นนั้นเป็นสามง่ามสีขาวที่ข้าคุ้นตา ส่วนโซแวนเป็นดาบที่สลักลายปีศาจสีแดงไว้ ทั้งคู่เป็นสายอาวุธเหมือนกันทำให้ข้าเบาใจขึ้น อย่างน้อยมันก็เป็นสายที่ใช้งานได้ง่ายสุดแล้ว

และอย่าคิดว่าข้าจะนั่งสบายๆ รอพวกเขาจัดการเสร็จ เมื่อทั้งคู่เตรียมตั้งท่าต่อสู้เรียบร้อยแล้วข้าก็แตะหลังมือตัวเอง กระแสพลังสีทองเรืองลอยออกมารอบตัวก่อนที่ข้าจะใช้มันร่ายเวทรักษาและเสริมพลังให้ทั้งสองคนนั้น

“ขอบพระคุณฝ่าบาท เมื่อได้รับพลังจากท่านแล้วข้าไม่มีวันแพ้แน่นอน” เร็นหันมากล่าวกับข้าด้วยรอยยิ้มปลื้มปรีติจนอยากจะฟาดให้หันกลับไปสนใจอสูร แต่ระหว่างที่เขากำลังหันกลับไปอยู่นั้นโซแวนก็เริ่มวาดลวดลายแล้ว

เขาพุ่งตัวออกไปข้างหน้าขณะที่เจ้าอสูรนั่นง้างขวานโจมตีใส่เขา โซแวนงัดดาบขึ้นป้องกันและสามารถเหวี่ยงอาวุธขึ้นไปจนอสูรยักษ์นั่นเซถอยหลัง เขาใช้จังหวะที่มันเสียหลักกระโดดขึ้นไปบนตัวแล้วเสียบดาบลงบนอกอีกฝ่าย เลือดสีดำไหลทะลักออกมาทันทีที่ถอนดาบออก

“ชิ ไม่ตายเหรอ” เขาสบถขึ้นขณะที่กระโดดถอยกลับมา เป็นเหตุให้เร็นต้องรีบเตือนก่อนว่า “อาวุธแบบพวกเราจะสามารถกำจัดอสูรได้ก็ต่อเมื่อตัดหัวให้ขาดครับ”

“เข้าใจแล้ว” เขาพยักหน้าให้ก่อนที่จะชะงัก “นั่นอะไร?”

ข้าหันไปมองตามเขา อสูรที่ยืนอยู่ไม่ยี่หระต่อความเจ็บปวด กลับกันเลือดสีดำที่ไหลออกมากลับค่อยๆ กลายเป็นงูหลายตัวกำลังเลื้อยมาทางนี้จำนวนมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างที่เลือดยังคงไหลไม่หยุด ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเลยแม้แต่น้อย

“ฝ่าบาทระวังด้วยขอรับ” เร็นเขยิบเข้ามาใกล้ข้าก่อนที่จะร้องบอกโซแวน “โซแวน ทำลายหัวมันให้ได้ เร็ว!”

“เออ เข้าใจแล้ว!” อีกฝ่ายตอบรับแล้วฝ่าดงงูไปสู้กับเจ้ายักษ์นั่น ส่วนเร็นก็กำจัดงูที่จะพุ่งมาทำร้าย ข้าเองก็ต้องรีบใช้เวทรักษาพวกเขาที่ถูกพิษงูให้ทันถ่วงที แต่คนพวกนี้นับว่าเหนือมนุษย์โดนงูกัดก็ยังไม่สะทกสะท้านแถมกระชากออกดื้อๆ อีกจนดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเป็นอสูรย่อมมีพิษร้าย ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องร่ายสลายให้หมด

การต่อสู้กินเวลาไปครู่ใหญ่ในที่สุดโซแวนก็สามารถล้มอสูรลงได้ ทันทีที่ร่างของมันล้มลง ร่างรวมทั้งพวกงูก็เริ่มสลายไปจนหมด ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ถึงจะไม่ได้ต่อสู้ด้วยตัวเอง แต่ต้องมาร่ายเวทเสริมให้พวกคนบ้าเลือดก็ผลาญพลังชีวิตข้าไปเยอะแล้ว

“ฝ่าบาท ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมขอรับ” เร็นรีบเข้ามาประคองข้าพร้อมถามขึ้น ทีแรกข้าจะตอบว่าไม่เป็นอะไร แต่จากที่ตัวเริ่มหนัก แขนขาชาจนไม่มีแรง รวมทั้งปากที่สั่นจนพูดอะไรไม่ได้มันไม่เป็นใจเสียเลย

“ฝ่าบาท!” เขาเรียกข้าอีกครั้งด้วยเสียงที่กังวลมากกว่าครั้งแรก ข้ากำเสื้อเร็นไว้แน่นเพื่อใช้เป็นหลักยืน ก่อนที่จะถูกจับให้นั่งลง รู้สึกได้ว่าขาถูกจับคลำไปมาก่อนที่เร็นจะโวยวายอะไรสักอย่าง ที่ข้าฟังไม่รู้เรื่องเพราะล้าไปหมด แล้วจากนั้นข้าก็หมดสติไป
มันเหมือนการหลับไปบนดินเหนียวหนืด ทั้งร้อนและเหนอะตัวไปหมด เป็นการนอนที่ไม่สบายตัวสักนิดเดียว หลังจากการหลับที่ไม่รู้ว่านอนไปนานเท่าไหร่ข้าก็รู้สึกตัว สิ่งที่สัมผัสได้อย่างแรกคือความอบอุ่นที่ฝ่ามือ กับเสียงพึมพำปนสะอื้นบางอย่างที่พอจะจับใจความได้ว่า

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”

เสียงนี้มัน...

“เร็น...” ข้าลืมตาขึ้น พยายามจะยกหัวขึ้นมองแต่ร่างกายมันหนักกว่าที่คิด รู้แค่ว่าตอนนี้อยู่ในห้องของตัวเองแล้ว

“ฝ่าบาท!” เร็นเรียกข้าอีกครั้งพร้อมเข้ามาใกล้กว่าเดิม ดวงตาทอประกายไปด้วยความดีใจ ถ้าข้าตาไม่ฝาด เขากำลังร้องไห้อยู่ด้วย “ดีจริงๆ ที่ท่านไม่เป็นอะไรมาก”

เมื่อได้ฟังเขาพูดก็ทำให้ข้าขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”

“ฝ่าบาท ข้าขอประทานอภัยด้วย เอ่อ...ท่านได้รับพิษจากงูอสูรทำให้ประชวร” เร็นอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง กลายเป็นว่าข้าถูกงูกัดเข้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะเป็นช่วงใช้เวทสลายพิษให้พวกเขาตอนแรกๆ เพราะผลพ่วงจากการร่ายทำให้ข้าไม่รู้สึกอะไรก็ได้

“ข้าเลยรีบมาที่นี่เพื่อให้ท่านผู้วิเศษรักษาท่าน”

“เขาลงทุนแบกเจ้าวิ่งมาสุดกำลังเลยนะ” โซแวนเอ่ยขึ้นทำให้ข้ารู้ตัวว่าเขาก็อยู่ด้วย เจ้าตัวลงนั่งอีกฟากของเตียงแล้วพูดขึ้นลอยๆ ว่า “ข้านึกว่าเจ้าจะใช้พลังแต่กำเนิดไม่เป็นเสียอีก”

“ข้าไม่มีทางลืมมันหรอกน่า” เมื่อพูดกับโซแวนเสร็จก่อนจะหันมาทางข้า “ฝ่าบาท ท่านทรงบาดเจ็บตรงไหนอีกไหม”

“คิดว่าไม่” ข้าตอบตามความจริง แม้จะเหลืออาการมึนหัวบ้างแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอาจเป็นผลมาจากการนอนมากไป “ข้าสลบไปนานเท่าไหร่”

“ครึ่งวันขอรับ ฝ่าบาทเหงื่อออกเยอะไปหมด พระองค์ประสงค์จะแช่น้ำก่อนหรือไม่ เช่นนั้นช้าจะได้บอกให้พวกคนรับใช้รีบเตรียมน้ำร้อน” เร็นตอบพร้อมกับช่วยพยุงข้าลุกขึ้น โซแวนขอแยกตัวออกไปโดยมีอาคีรัสนำทางไปพบผู้วิเศษ ท่าทางจะเป็นเรื่องการขึ้นทะเบียนผู้ถูกเลือก

หลังจากข้ารับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ได้กลับมาที่ห้อง เรื่องแปลกอย่างหนึ่งคือคนที่พามาส่งกลับยืนนิ่งไม่ยอมออกไปเหมือนทุกที

“เร็น มีอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นเรื่องพิษงูละก็ข้าบอกไปแล้วนี่ว่าไม่ใช่ความผิดของเจ้า”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นขอรับ” คำพูดของเขาทำให้ข้าหันกลับไป

“แล้วมีเรื่องอะไรอยากคุยกับข้า” คำถามของข้าทำให้เร็นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เนิ่นนานกว่าจะตัดสินใจพูดออกมา

“ข้าแค่มีเรื่องติดใจนิดหน่อย...” น้ำเสียงของเขาอ่อนลงจนข้าเกือบไม่ได้ยิน หลังจากเรียกให้เขามานั่งใกล้ๆ แล้วถามว่า

“มีเรื่องอะไรจะปรึกษาข้า”

“คือว่า...ข้าขออภัยที่ข้าจำเรื่องราวของผู้ที่สามารถถอนคำสาปให้ท่านไม่ได้” สิ่งที่เร็นพูดขึ้นทำให้ข้านึกออก จะว่าไปตอนนั่งรถม้าโซแวนก็พูดเรื่องนี้อยู่ด้วย

“ไม่เป็นไร ข้าไม่คิดว่ามันเป็นความผิดอะไรเลยนะ” แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่เร็นจะสื่อ ยิ่งเขามีสีหน้ากังวลกว่าที่คิดทำให้ข้าอดห่วงไม่ได้

“เล่ามาสิว่าเจ้ากังวลเรื่องอะไร?”

“ข้าเคยบาดเจ็บหนักจนตายมาก่อนเมื่อราวร้อยปีที่แล้ว แต่เหมือนจะได้ใครสักคนช่วยไว้ รู้สึกตัวอีกทีก็เจอแค่โซแวน เขาบอกแค่ว่ามีนางเงือกตนหนึ่งช่วยไว้ แต่...แต่...ทำยังไงข้าก็นึกไม่ออกว่านางเป็นใคร หรือมีความสัมพันธ์ยังไงกับนาง”

“แต่เจ้ามั่นใจว่าเป็นคนเดียวกับที่โซแวนพูดถึงเมื่อตอนกลางวันสินะ” ข้าถามย้ำ และเขาก็พยักหน้ากลับมา ก่อนที่ข้าจะสังเกตได้ว่าเขาคลึงบางอย่างที่สร้อยคอไว้ตลอดเวลา

“นั่นอะไร?”

“เหมือนจะเป็นเครื่องรางครับ” คำพูดของเขาทำให้ข้าเอนตัวไปดูใกล้ๆ มันเป็นเหมือนขวดแก้วขนาดเล็กที่บรรจุน้ำไว้ แต่น้ำนั่นคงไม่ใช่สิ่งของวิเศษ ที่พอสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์ก็คือเกล็ดสีรุ้งเรืองแสงต่างหาก

“ของเงือกหรือ” ข้าเดาสุ่ม แต่เกล็ดปลาที่มีพลังเวทอยู่ก็มีแต่พวกเงือกเท่านั้น เร็นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า
“ข้าไม่รู้ว่ามันมาได้อย่างไร แต่รู้สึกว่าไม่ควรทำหาย”

“ของสำคัญ? ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนี้? อืม...เป็นอะไรที่ดูคลุมเครือจังนะ” ข้าทวนประโยคของเขาออกมาก่อนที่จะพึมพำขึ้น แต่เพื่อประโยชน์สุขของผู้ติดตามของข้า (แม้ผู้วิเศษจะเอาไปเรียกเองว่าสนมชายงามก็ตาม) จะลองตามดูก็ได้

“เข้าใจแล้ว ไว้ถ้าข้าว่างจากภารกิจจะช่วยเจ้าตามหานะ นางเงือกที่เป็นคนสำคัญของเจ้า” ข้าเอ่ยขึ้นกับเขาพร้อมยกมือขึ้นทาบอกดิบดี พร้อมวางแผนไว้ในใจ ก่อนอื่นต้องสะสางงานราชการให้หมด “นางเงือกที่อยู่ใกล้ดินแดนนี้ก็มีแค่ที่ติดกับป่าต้องห้าม ไม่ต้องห่วงหรอก เราต้องเจอแน่”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ ข้าบอกจะช่วยก็คือจะช่วย” ข้ารีบดักคอเขาไว้ทันที ก่อนที่จะยิ้มออกมา “ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่มีอะไรน่าห่วง”  เพราะคำสาปที่ผู้วิเศษสร้างมาทำให้พวกเขาลุ่มหลงตัวข้าจนเกินไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ห่วงไปเสียหมดทั้งที่จริงแล้วข้าสามารถทำมันได้อย่างสบายๆ และเพราะมันเป็นผลจากคำสาปทำให้ข้าคิดว่าความรู้สึกนั้นไม่ใช่ของจริง แล้วถ้ามีอะไรที่สามารถทำให้พวกเขา
ตัดใจจากข้าได้ มีหรือที่ข้าควรปล่อยไป

นี่เป็นแค่งานตามหาคน ไม่มีอสูร ไม่มีอะไรยากลำบากจนเกินไป เป็นสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว นี่แหละ...แผนการตัดกองนายสนมไม่จำเป็นพวกนี้ออกไปจะได้เริ่มขึ้นแล้ว!
----------------------------
ฝ่าบาทคิดถูกแล้วใช่ไหมที่จะใช้วิธีนี้ตัดฮาเร็ม 55555
ร่วมคอมเม้นท์ติชมเป็นกำลังใจให้นักเขียนได้นะคะ  :-[
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <บทที่ 3> 10/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 13-11-2017 20:22:31
บทที่ 4
ร่องรอยที่ต้องตามหา

“อรุณสวัสดิ์ขอรับฝ่าบาท วันนี้ตื่นเร็วจังนะขอรับ” อาคีรัสโผล่เข้ามาในห้องแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสที่มาพร้อมรอยยิ้มเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ จะว่าไปวันนี้ก็น่าจะเป็นเวรของเขา

ข้าถือโอกาสนั้นละมือจากเอกสารที่ทำอยู่แล้วลุกขึ้น “อรุณสวัสดิ์ เจ้าเองก็มาเร็วดีนี่”

“ก็ข้านับเวลาเป็นแล้วนี่นา ต่อจากนี้จะไม่สายอีกแล้ว ฮิ” เขาบอกด้วยความภูมิใจพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมาด้วยท่าทีที่เป็นเด็ก แล้วคิดว่าข้าควรทำอะไร...ด้วยความเผลอตัวเลยยกมือขึ้นลูบหัวเขาทันที

“เก่งมาก”

“อ๊ะ นี่คือตารางงานของวันนี้ครับ” อาคีรัสยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ข้า ซึ่งข้อความในนั้นเป็นลายมือของเร็น เขาเองก็รู้ดีว่าหมอนี่มีความจำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้ารับมาอ่านคร่าวๆ ก่อนที่จะเริ่มแผนงานของวันนี้

เพราะเมื่อวานมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นทำให้ผู้วิเศษเลื่อนนัดบางส่วนออกไปเป็นวันพรุ่งนี้แทน เหลือแค่นัดสำคัญกับทูตต่างดินแดนเท่านั้น หลังจากรอให้มีคนมารับเอกสารไปส่งให้ที่อื่นแล้วข้าจึงได้เดินออกมาจากห้องเพื่อไปยังห้องโถงที่ใช้ต้อนรับท่านทูตที่มาจากอัลทอเบีย

ข้าขึ้นนั่งบนบัลลังก์สีทองเหมือนเช่นทุกวันเพื่อฟังรายงานที่เข้ามา ไม่นานผู้วิเศษก็เข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใส แต่นั่นทำให้ข้าอดถอนหายใจอย่างระอาไม่ได้

“พอเป็นเรื่องค้าขายแล้วต้องโผล่มาทุกทีสินะ”

“แน่นอนขอรับ เพื่อประโยชน์ของฝ่าบาทเอง ข้าจะเจรจาให้ถึงที่สุดเลยขอรับ” ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นอย่างมั่นเหมาะจนเจ้าหน้าที่การคลังหลั่งน้ำตาออกมาแล้วพูดประมาณว่าความหวังทางการเงินของอาณาจักรขึ้นอยู่กับท่านแล้ว

“อัลทอเบียเป็นประเทศที่มีทรัพยากรผลิตอาวุธเยอะก็จริงแต่ด้วยนิสัยหวังแต่ได้ของพวกเขา บ่อยครั้งที่จะส่งอาวุธที่คุณภาพไม่สมราคาให้อาณาจักรอื่น ต้องระวังไว้ขอรับ” ผู้วิเศษหันมาคุยกับข้าแค่สองคนก่อนที่จะโค้งเคารพข้าแล้วหันกลับไป ข้ายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทั้งห้องโถงเงียบ ก่อนที่คณะต้อนรับจะเข้ามาพร้อมพวกทูตที่มาถึง

ชายร่างท้วมคนหน้าสุดถัดจากคนของปราสาทที่ส่งไปทำความเคารพก่อนใครทันที “ถวายบังคม ท่านราชาทีอารีน กระหม่อมมีนามว่าอารุลขอรับ อารุล ซอเรีย”

“ยินดีต้อนรับสู่คาร์ไลน์เหล่าท่านทูตจากอัลทอเบีย ข้าคือผู้วิเศษแห่งคาร์ไลน์ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เจรจากับพวกท่าน” ผู้วิเศษเอ่ยขึ้น จริงๆ แล้วถึงข้าจะไม่มอบหมายให้เดี๋ยวเขาก็จะเสนอตัวเอง

“เหตุใดจึงไม่ให้ฝ่าบาทเป็นผู้เจรจา” อารุลมีสีหน้าแปลกใจอย่างมาก เขาถามขึ้นคล้ายกับผิดหวัง

“มีเหตุผลอะไรที่ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้เจรจาหรือ” ผู้วิเศษถามกลับทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งโหยง “การเจรจาค้าขายอาวุธครั้งนี้ ฝ่าบาททรงตั้งใจนำมามอบให้แก่สมาคมผู้ถูกคัดเลือกเพื่อต่อกรกับอสูร ฉะนั้นแล้วผู้ที่เป็นผู้นำอย่างข้าจะมาเจรจาก็ไม่แปลก อีกอย่างหนึ่งฝ่าบาทได้มอบหน้าที่ไว้ให้ข้าแล้ว หรือท่านอารุลไม่ต้องการเจรจากับข้า”

“หะ...หามิได้ เพียงแค่ข้าแค่สงสัยเฉยๆ อา...ตอนนี้เรามาเริ่มเจรจากันเลยเถอะ” อารุลนั้นปั้นยิ้มให้แม้ว่าหน้าจะเต็มไปด้วยเหงื่อก็ตาม ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้วิเศษ ชื่อเสียงด้านการเจรจานั้นย่อมกระฉ่อนไปทั่ว

ถึงแม้ตัวข้าจะได้รับตำแหน่งราชา แต่เพราะยังอายุน้อย หลายอาณาจักรจึงคิดใช้ความอ่อนด้อยประสบการณ์นี้เป็นจุดอ่อนและเข้ามากอบโกย แต่คนพวกนี้ร้อยทั้งร้อยไม่มีวันชนะผู้วิเศษได้หรอก

โชคดีอีกอย่างก็คือวันนี้เป็นเวรของอาคีรัสที่ต้องติดตามข้า เขาถูกไหว้วานให้ช่วยทดสอบอาวุธที่นำมา ผลคืออาวุธถูกทำลายเรียบด้วยแรงช้างสารของเด็กหนุ่ม ใครจะรู้เล่าว่าเป็นกลอุบายของผู้วิเศษที่ต้องการจะแฉเรื่องการโกงค่าวัตถุดิบของอัลทอเบีย นั่นทำให้ทูตอารุลหน้าซีดไปและยอมทำข้อตกลงทางการค้าอย่างซื่อสัตย์แต่โดยดี

หลังจากเจรจาเสร็จสมบูรณ์ ข้าที่หมดภารกิจแล้วจึงลุกขึ้นเตรียมไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแต่ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเรียกผู้วิเศษไว้ก่อน

“ผู้วิเศษ”

“มีอะไรจะบอกข้าหรือฝ่าบาท” อีกฝ่ายหันมายิ้มอย่างมีเลศนัยทำให้ข้าชะงัก อย่างไรก็รู้อยู่แล้วนี่นาว่าข้าคิดจะทำอะไร

“เจ้าก็รู้แล้วนี่” ข้าหรี่ตาลงมองเขาขณะพูดเช่นนั้น

“รู้เองกับมาบอกด้วยตัวเองมันต่างกันนะฝ่าบาท ข้าจะดีใจด้วยซ้ำถ้าท่านทำอย่างหลัง” เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าคล้ายระอาทำให้ข้านึกขำ

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกเสียตรงนี้แหละว่าจะออกไปข้างนอก ไม่ต้องเป็นห่วง”

“แบบนี้ก็กะทันหันไป...ช่างเถอะ” ผู้วิเศษยกมือขึ้นคล้ายปลงก่อนจะบอกว่า “ท่านยังเป็นเด็กอยู่ อยากออกไปเที่ยวเล่นบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดานี่นะ”

“ข้าไม่ใช่เด็ก!” ข้าปฏิเสธเสียงแข็งก่อนที่จะตวัดตัวเดินห่างออกไป

“ฝ่าบาทจะไปไหนหรือขอรับ?” อาคีรัสเอ่ยถามขึ้นหลังจากข้ากลับมาที่ห้องแล้วปลดชุดพิธีการออกคลายความอึดอัด

“ขอโทษที พอดีมีธุระที่ต้องทำน่ะ เจ้าไม่ต้องตามมานะ ข้ามีเร็นคอยดูแลอยู่แล้ว” ข้าบอกกับเขาก่อนที่จะคว้าเสื้อคลุมออกมาสวมแล้วออกไป เร็นมาทำหน้าที่ยืนรอรับอยู่แล้วหน้าปราสาท

“ฝ่าบาทแน่ใจจริงๆ หรือขอรับ?” เขาถามย้ำ...เป็นรอบที่สิบเห็นจะได้ยิ่งทำให้ข้าถอนหายใจ

“ข้าเห็นเจ้าทำหน้าอมทุกข์มาตั้งแต่เมื่อวาน มันทำให้ข้าไม่สบายใจยิ่งกว่า ไปดูให้มันรู้เรื่องรู้ราวก็จบ” ข้าบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ปนหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะเริ่มรำคาญ

ในบรรดาผู้ติดตามที่ถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับข้า เร็นถือว่าช่วยดูแลข้าดีที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนที่วางตัวดีที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดด้วย การกระทำครั้งนี้ข้าถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจสักเล็กน้อย

เร็นอ้ำอึ้งไปครู่ใหญ่ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมก้มหน้า “ขอรบกวนด้วยขอรับ”

“ดีมาก” ข้ายิ้มอย่างพึงพอใจก่อนที่จะให้เร็นนำไป หน้าปราสาทตอนนี้เต็มไปด้วยการเตรียมงานวุ่นวายและมีผู้คนขวักไขว่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้าเป็นข้า เพราะผ้าคลุมนี่ช่วยลบตัวตนที่คนอื่นรู้จักออก

“ฝ่าบาท อีกไม่กี่วันจะถึงพิธีขึ้นครองราชย์แล้วนะขอรับ ไม่ว่ายังไงก็โปรดดูแลตัวเองด้วย” เร็นหันมาเตือนข้า ความเป็นห่วงของเขานั้นข้ารู้สึกได้ แต่แบบนี้มันทำเหมือนกับข้าเป็นเด็กเลยรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

“รู้แล้วล่ะน่า” ข้าตอบเขาไปส่งๆ ขณะจ้ำฝีเท้าเดินต่อ

“ฝ่าบาท...” เร็นเรียกข้าเสียงเบาขณะรีบเดินตามมา เพราะช่วงขาที่เรียวยาวนั่นทำให้ไม่กี่ก้าวก็ทันข้า

“อย่างไรก็ตาม อยู่ข้างนอกเจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าฝ่าบาทก็ได้ เดี๋ยวคนอื่นก็รู้พอดี” ข้าหันไปตำหนิเขา

“พวกเจ้าจะไปไหนกันอีกแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ข้าหันไปตามเสียงและพบว่าเป็นโซแวน จำไม่ผิดเขาเป็นคนบอกเองว่าจะขอใช้เวลาปรับตัวให้ชินกับมนุษย์ แล้ว...

“ผู้หญิงที่ตามเจ้านั่นมันอะไร” ข้าหรี่ตามองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

ผู้ชายคนนี้แค่วันเดียวก็มีผู้หญิงมาติดพันถึงห้าคนแล้วเหรอ มันจะเกินไปแล้ว!

“อย่าน้อยใจสิฝ่าบาท แค่ฆ่าเวลาเฉยๆ น่ะ” เขายกยิ้มมุมปากขึ้นก่อนที่จะละแขนจากไหล่สาวสองคนตรงมาหาพวกข้า “จะไปที่ป่าต้องห้ามใช่ไหมล่ะ ให้ข้านำทางไปจะดีกว่า”

“ทำไม”

โซแวนไม่ตอบคำถามนั้นตรงๆ เขาเพียงแค่มองไปที่เร็นก่อนที่จะเดินนำเสียเอง “ไปกันเถอะ”

“ไปกันเถอะขอรับ ฝ่าบาท”

ข้าพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะเดินตามทั้งสองคนไป ช่วงบ่ายจึงถึงบริเวณหน้าป่าต้องห้ามซึ่งยังมีบรรยากาศน่าขนลุกอยู่เลยแม้จะเป็นตอนกลางวัน

“ตั้งแต่มีพวกอสูร มนุษย์ก็เริ่มทำร้ายเรามากขึ้นจนพวกเราเริ่มหวาดระแวง ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่ากลิ่นมนุษย์ของเจ้าจะทำให้พวกนั้นมุ่งมาทำร้ายเรา” โซแวนเอ่ยเตือนขึ้นก่อนที่จะเข้าไปทำให้ข้าชะงัก

“แต่เจ้าเคยเป็นผู้ปกครองไม่ใช่หรือไง ไม่มีอำนาจอะไรหรือ”

“ข้าพูดเผื่อในกรณีที่ข้าไม่อยู่” อสูรควรถูกจัดการไปนั่นเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ แต่การต่อกรกับปีศาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในเมื่อพวกมันไม่มีเจตนาทำร้ายก็ไม่ควรฆ่า นั่นเป็นเรื่องพื้นฐานของโลกนี้

แล้วในตอนนี้ข้าควรต้องฆ่าหรือปล่อยไว้...

“ฝ่าบาท ถ้ายังไง” เร็นเอ่ยเรียกข้าไว้ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นปลดสายสร้อยของตัวเองออกแล้วนำมาสวมให้ข้า ทำให้ข้าต้องรีบถอยหนีออกมา “เจ้าจะทำอะไร?”

“นี่เป็นเครื่องราง คนที่สมควรสวมมันตอนนี้ควรเป็นท่านมากกว่าข้า” เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วงพร้อมกับเข้ามาใกล้แล้วสวมมันให้ทันที ทีแรกข้าจะปฏิเสธเพราะมันเป็นสิ่งสำคัญที่จะยืนยันตัวได้ แต่ก็ยอมแต่โดยดีกับสายตาของเขา

“แล้ว...เราจะเข้าไปทางไหนล่ะ” ข้าเอ่ยถามขึ้นกับผู้นำทาง โซแวนปรายตามองไปในป่าครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า “เดินเข้าไปในป่าสักหกร้อยเมตรจากเนินหินนั่นจะเจอทะเลสาบขนาดยักษ์อยู่”

“ก็ไม่ไกลเท่าไหร่ดี แต่ทำไมถึงมองไม่เห็นอะไรที่น่าจะเป็นทะเลสาบเลย”

“พวกเงือกใช้เวทบังตาไว้ แต่ไหนแต่ไรพวกนั้นก็หลีกหนีจากทุกอย่างอยู่แล้ว พวกถือตัวก็อย่างนี้แหละ” โซแวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับนำทางเข้าไปในป่า ทันทีที่ก้าวเข้ามาถึงบริเวณป่าต้องห้ามก็ทำให้ข้าขนลุกขึ้นมาทันที

แต่เดิมแล้วป่าแห่งนี้ไม่เคยมีเรื่องเล่าว่ามีผู้ใดเหยียบย่างเข้ามาเลย บันทึกแต่ละเล่มต่างลงลักษณะของป่านี้ต่างกันไปหมด บ้างก็ว่าเต็มไปด้วยหมอกพิษที่ทำให้มนุษย์ตายได้ บ้างก็ว่ามีแต่วิญญาณของผู้วายชนม์ที่รอร่างใหม่เข้าไปอยู่ ที่เหมือนกันคือระบุว่าเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษ ปีศาจนานาชนิดที่รอทำร้ายมนุษย์ แต่ละเล่มก็บรรยายความน่ากลัวของป่าไว้เสียจนพวกเด็กๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

แต่มีเล่มหนึ่งในหอสมุดเก่าแก่ของราชวงศ์กล่าวแตกต่างออกไป มันเป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่ข้าเพิ่งสนใจเพราะมีเค้าโครงที่แปลกจากหนังสือทั่วไป กล่าวว่าป่าต้องห้ามเป็นป่าธรรมดาที่พระเจ้ารังสรรค์ให้มันแลดูน่ากลัว ข้างในเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษที่หลบซ่อนจากมนุษย์ หากยินยอมที่จะไม่โผล่ออกมาให้มนุษย์เห็น ป่าผืนนี้ก็จะปกป้องพวกมันตลอดไป

“ฝ่าบาท” เร็นเอ่ยเรียกข้าขึ้นก่อนที่จะก้าวเข้าใกล้แล้วยกแขนขึ้นโอบไหล่ข้าไว้ เจ้าตัวโน้มหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบบอกว่า “กรุณาอย่าหันไปมองรอบๆ มองแค่โซแวนเป็นพอ และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอย่าอยู่ห่างจากพวกกระหม่อมเด็ดขาด”

“อืม” ข้าพยักหน้ารับสั้นๆ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาพร้อมกับจิตสังหาร เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าที่แห่งนี้ไม่ต้อนรับมนุษย์

“รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ไหม” เร็นเอ่ยขึ้น เขาไม่ได้คุยกับข้าแต่เป็นโซแวนต่างหาก อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “อืม เหมือนไม่ได้มีแค่ ‘พวกเรา’”

“หมายความว่ายังไง...” ข้าเอ่ยถามขึ้น ก่อนที่จะชะงักไป ความรู้สึกที่ใกล้เข้ามานั้นแผ่จิตสังหารชัดเจนยิ่งขึ้น ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะพึมพำออกมาว่า “อสูร”

“กล้าดียังไงถึงเข้ามาในป่าแห่งนี้!” โซแวนคำรามลั่นก่อนจะเรียกอาวุธแล้วหมุนตัวไปฟาดใส่อสูรที่โจมตีเข้ามา ด้านหน้าตอนนี้เต็มไปด้วยอสูรหลายสิบตัว ไม่รอช้าเขาเข้าโจมตีพวกมันทันที

“เร็น ไปช่วยเขา” ข้าเอ่ยขึ้นแต่เร็นทำแค่การเรียกอาวุธขึ้นมาไม่ได้ก้าวออกไปไหน ขณะนั้นเองที่โซแวนตะโกนกลับมาน้ำเสียงเคร่งเครียด

“เร็น อย่าอยู่ห่างจากเด็กนั่น พวกนั้นยังไม่ไว้ใจมนุษย์”

“เข้าใจแล้ว” เขาพยักหน้ารับสั้นๆ ก่อนจะฟาดสามง่ามในมือใส่อสูรที่เข้ามาโจมตี ข้าใช้เวทเพิ่มพลังให้พวกเขาก่อนที่จะชะงักเมื่อเห็นบางอย่างที่ซุ่มอยู่ เงาร่างนั้นไม่มีสัมผัสของอสูร พวกเร็นเลยไม่ได้ระแวง

“นั่นอะไร” ข้าเอ่ยขึ้นทำให้เร็นละความสนใจจากอสูรและหันไปมองยังทิศที่ข้าชี้ จังหวะเดียวกันนั้นสิ่งที่ว่าก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เร็นรีบกันข้าไว้ก่อนที่จะถูกกระแทกจนกระเด็นออกไป แว่วเสียงตะโกนของโซแวนดังขึ้นขณะที่ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองลอยอยู่ในอากาศแล้วกระแทกลงพื้น

เพราะข้างหลังพวกข้าเป็นเนินลาดลงทำให้เมื่อเสียหลักแล้วจึงล้มกลิ้งลงไปกองอยู่บนพื้นเบื้องล่าง ขณะหยุดนิ่งแล้วข้าจึงได้รีบลุกขึ้น อาการบาดเจ็บไม่ได้มีมากเท่าไหร่เพราะถูกปกป้องไว้ แต่ไม่ใช่กับเร็น

“เร็น!” ข้าใจหายวาบไปทันทีเมื่อเห็นเขานอนแน่นิ่งอยู่ แต่ลมหายใจที่หอบหนักอยู่ทำให้รู้ว่าเขายังไม่ตาย ทว่าอาการหนักเอาการ ข้ารีบพลิกตัวเขาให้นอนหงายแล้วถกเสื้อออกเผยให้เห็นรอยแผลที่อกขวาเป็นรูใหญ่ เป็นผลมาจากที่ถูกโจมตีเมื่อกี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ไม่น่าให้อภัยทั้งนั้น

ข้ากัดฟันแน่นก่อนที่จะร่ายเวทเยียวยาให้เขาเพื่อหยุดการไหลของเลือด ไม่มีเวทที่ทำให้แผลใหญ่ขนาดนี้หายได้ในทันที ดังนั้นต้องใช้เวลา อาจจะชั่วโมง...หรือนานกว่า “ทำใจดีๆ ไว้ จะช่วยเดี๋ยวนี้แหละ”

“อึก...ฝ่า...บาท”

“ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นอะไรแล้ว” ข้าเอ่ยขึ้นกับเขาที่ปรือตาขึ้นมา แม้จะมีเวทช่วยห้ามเลือดไว้แต่แผลของเขาใหญ่เกินไป ขืนปล่อยไว้นานจะเกิดการติดเชื้อ “อย่าขยับมากด้วย”

“ฝ่า...บาท...” เขากำเสื้อข้าแน่นมาก ลมหายใจหอบถี่ขึ้นจนหน้าแดงก่ำไปหมด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปแย่แน่

“ทำยังไงดี...อึก!”

ในขณะที่ข้ากำลังหาวิธีช่วยอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ออกแรงดึงตัวข้าลงไป แม้จะพยายามยันกายไว้แต่เขากลับใช้มือข้างนั้นเลื่อนไปกดศีรษะข้าไว้บังคับให้ทาบริมฝีปากด้วยกัน วินาทีที่ข้ากำลังตกใจเร็นใช้ลิ้นร้อนผ่าวแทรกเข้ามาจนข้าต้องฝืน ทว่าร่างกายคล้ายกับถูกช่วงชิงพลังไป

แม้ข้าจะรู้ตัวว่ากำลังลนลานแต่ก็ไม่สามารถขัดขืนได้ ร่างกายกำลังอ่อนแอลง และเขาก็พลันยันตัวขึ้นแล้วขึ้นคร่อมข้าแทนทั้งที่ยังไม่ถอนริมฝีปากออก

ข้าดิ้นขลุกขลักอยู่สักพักจนในที่สุดก็สามารถรวบรวมแรงมาผลักเขาให้ถอยออกได้ “เร็น!!”

เสียงสูดหายใจดังเฮือกของเร็นดังขึ้น ข้าชะงักเมื่อเห็นว่าวูบหนึ่งดวงตาของเขาฉายแววคลุ้มคลั่งออกมาก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติพร้อมทั้งสื่อความสับสนชั่วครู่

“ฝ่าบาท...” เขาเอ่ยเสียงเบาโหวงก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ขออภัยขอรับ แต่ถ้าไม่ทำแบบเมื่อครู่ข้าคิดว่าอาจจะไม่หายเร็วเท่านี้”

ตั้งใจจริงด้วย! ข้ากัดฟันกรอดก่อนที่จะสะบัดแขนออกให้ตัวเขาลุกขึ้นก่อนที่จะจัดเสื้อผ้าให้เป็นปกติ

“ฝ่าบาท ต้องขออภัยจริงๆ แต่ร่างกายข้าจำเป็นต้องใช้พลังเวท การจูบเป็นวิธีที่เร็วเกือบที่สุดแล้วสำหรับการดึงมันออกมา” เขายังคงแก้ตัวด้วยความกระวนกระวาย ตีหน้าซื่อแบบนี้มีหรือที่ข้าควรจะเชื่อใจ เมื่อกี้มันเสือร้ายชัดๆ

“ไม่มีวิธีที่เร็วกว่านี้หรือไง” ถ้าเป็นสถานการณ์แบบนี้คนเราย่อมหาทางที่เร็วที่สุด แต่เขาไม่ควรทำแบบนี้

“มีครับ”

“อะไร”

“มัน...เอ่อ...การมีเพศสัมพันธ์”

ข้ารู้สึกได้ว่าตัวเองคล้ายจะเป็นลม หลังจากยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองแล้วก็รีบสั่งเขาไว้ก่อนว่า “ลืมเรื่องที่ข้าถาม แล้วอย่าคิดใช้วิธีนั้นกับข้าเด็ดขาด”

“จะพยายามครับ”

“ตอบให้ชัดเจนสิ” ข้าตวาดเขาแต่เร็นไม่ตอบกลับมา ประกอบกับที่ข้าหันไปสนใจรอบๆ ทำให้เลิกต่อล้อต่อเถียงกับเขา พื้นที่โดยรอบเป็นผืนหญ้ากว้างขวาง แม้จะมีต้นไม้อยู่รอบๆ แต่ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตเหมือนเมื่อกี้

“เหมือนเราจะเข้าเขตเงือกแล้วครับ ตรงนี้เป็นรอยต่อของป่าต้องห้ามกับเขตเงือก จะไม่มีสัตว์วิเศษใดๆ เข้ามาได้” เร็นอธิบายก่อนที่จะปาดเหงื่อออก ท่าทางเขาเองก็อ่อนเพลียจากการบาดเจ็บ ตอนนี้ถึงแผลของเขาจะไม่สมานแต่ก็ดีขึ้นมาจนไม่น่าเป็นห่วงแล้ว

“แล้วโซแวนล่ะ เขาจะเป็นอะไรไหม” ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง พวกข้าสองคนตกลงมาค่อนข้างไกลกว่าที่คิดจนไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายเป็นยังไงบ้าง

“ข้าเองก็ไม่ทราบ ข้าว่าจะขึ้นไปดูเขา” เร็นเอ่ยขึ้นก่อนที่จะคุกเข่าต่อหน้าข้า “ฝ่าบาทนี่อาจเป็นการเสียมารยาท แต่ช่วยรออยู่ตรงนี้สักครู่ก่อนนะครับ ข้าจะขึ้นไปหาเขาเพียงคนเดียว”

“ทำไม”

“ข้างบนอันตรายกว่าตรงนี้มาก อีกอย่างเมื่อกี้ท่านโดนข้าดูดพลังเวทไปด้วย พักก่อนจะดีกว่าครับ” นี่เขากำลังสำนึกผิดกับสิ่งที่เขาก่อไว้ใช่หรือไม่ แต่กลายเป็นว่าเขาทิ้งให้ข้าอยู่คนเดียว หลังจากนั่งคิดอยู่พักหนึ่งระหว่างตัวเองกับพวกพ้องในที่สุดข้าก็ปล่อยให้เขาไป

“แต่เจ้าต้องห้ามไปนานนะ รีบพาเขากลับมา” ข้ากำชับเขาไว้ก่อนที่จะเผลอยกนิ้วก้อยขึ้นมา “สัญญา”

อีกฝ่ายอึ้งไปครู่หนึ่งทำให้ข้ารู้ตัวเลยรีบเก็บมือลง คล้ายกับใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมด เร็นขำขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัว “จะรีบกลับมา เป็นเด็กดีนะขอรับ”

“ข้าไม่ใช่เด็ก!” ข้าโวยวายไล่หลังเขาที่ค่อยๆ หายลับไป ก่อนจะนั่งลงตามเดิม แถวนี้ไม่มีสัตว์วิเศษจริงๆ ทำให้ข้ารู้สึกโล่งใจ ตรงหน้าข้าห่างออกไปเป็นทะเลสาบกว้าง

ขณะที่กำลังนั่งรออยู่นั้น พลันข้าได้ยินเสียงอันไพเราะขับขานบทเพลงดังแว่วมาทำให้เผลอลุกขึ้น มันเป็นเสียงที่ไม่เคยได้ยินแต่กลับเพราะที่สุดเท่าที่เคยได้ฟังมา เหนือกว่ากวีใดๆ ทั้งปวงในดินแดน เมื่อรู้ตัวอีกทีตัวข้าก็เผลอมาหยุดอยู่หน้าทะเลสาบเสียแล้ว

ตรงหน้าข้าเป็นผืนน้ำที่ไม่มีอะไร แต่กลับรู้สึกได้ถึงกระแสเวทอันมหาศาลไหลเวียนอยู่ พลังแบบนี้ข้ารู้สึกคุ้นเคยดี มันคือข่ายมนตร์ที่ปกปิดร่องรอยบางอย่างไว้ ศาสตร์เวททุกอย่างจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป บางทีในแต่ละอาณาจักรนั้นต่อให้เป็นเวทที่มีผลเหมือนกัน แต่อักขระ ลำดับการท่อง วิธีร่าย ส่วนประกอบที่ใช้ล้วนไม่เหมือนกัน

อย่างข่ายมนตร์อันนี้ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันคือศาสตร์ที่สืบทอดกันมานับพันปีของคาร์ไลน์ นั่นทำให้ข้าอดขมวดคิ้วไม่ได้

เหตุใดจึงมีข่ายมนตร์ของคาร์ไลน์อยู่ตรงนี้ ผู้ที่ทำเช่นนี้ได้มีแต่กษัตริย์กับเชื้อพระวงศ์ ใครเป็นผู้ทำและเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเงือก เรื่องราวเหล่านั้นข้าไม่อาจทราบได้แต่กลับติดค้างอยู่ในใจ

ทันทีที่ข้ายกมือขึ้นแตะอากาศตรงหน้า ข่ายมนตร์พลันปรากฏขึ้นมาก่อนที่จะค่อยๆสลาย ไปโดยที่ยังไม่ทันได้แก้คาถาอะไร เสียงเพลงนั้นชัดเจนขึ้นมา แน่ชัดว่าเป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง ทุกท่วงทำนองที่ขับขานเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หนักแน่น เต็มไปด้วยความเศร้า ความคิดถึง และคำภาวนา

เสียงเพลงนั้นดังอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะหยุดลง เมื่อเจ้าของเสียงและข้าสบตากัน

หญิงสาวตรงหน้านั่งอยู่บนโขดหินที่อยู่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ รูปร่างผอมบางและผิวขาวคล้ายไข่มุกตัดกับชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน เส้นผมยาวสลวยสีชมพูอ่อน ใบหน้าสวยงดงามนั้นชวนให้ผู้ชายหลายคนลุ่มหลง ดวงตาสีทองทอความแปลกใจ

“นั่น...” เสียงของนางเริ่มดังขึ้น ด้วยความเผลอตัวหรืออะไรไม่ทราบ แต่หญิงสาวคนนั้นทำท่าจะพุ่งมาหาข้าแต่กลับล้มกลิ้งลงไปกองอยู่บนโขดหิน ที่ข้อเท้าทั้งสองมีเครื่องพันธนาการตรงไว้อยู่

“สร้อยเส้นนั้น! ทำไมเจ้าถึงมีสร้อยเส้นนั้น เกิดอะไรขึ้นกับเขา!!” นางแผดเสียงออกมาพร้อมกับตะเกียกตะกายเข้ามาหาทั้งที่อยู่ไกลเกือบกลางทะเลสาบ แต่นั่นก็ทำให้ข้าตกใจจนล้มลงนั่งกับพื้น หญิงสาวคนนั้นเริ่มร้องไห้ออกมาก่อนที่จะพึมพำประโยคที่เกือบจะจับใจความไม่ได้ว่า

“ได้โปรด...อย่าทำเขา ฮึก...ได้โปรด”

ข้าเผลอกุมสร้อยที่เร็นให้ไว้แน่น รู้สึกมั่นใจได้ทันที ไม่ผิดแน่...นางคือเจ้าของสร้อยเส้นนี้!

-------------

สวัสดีค่ะ ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตาม ฝากคอมเม้นท์ติชม ถ้าชอบก็ติดตามเรื่องนี้กันนะคะ จะพยายามมาลงให้เร็วๆ  ค่ะ[/size]
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <บทที่ 5> 18/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 18-11-2017 19:41:24
บทที่ 5
นางเงือกที่ถูกจองจำ
“ใจเย็นก่อน  เขาที่ว่านี่หมายถึงใคร” 

ข้ารีบยกมือขึ้นเพื่อให้นางสงบสติอารมณ์ไว้ก่อนที่จะถามย้ำเพื่อความแน่ใจ  หญิงสาวตรงหน้าข้าจึงได้รู้สึกตัว  นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยชื่อออกมา 

“เขามีนามว่าเร็น  ตอบมาเดี๋ยวนี้ว่าทำไมสร้อยเส้นนั้นถึงอยู่กับเจ้า”

“เขาเป็นคนมอบให้ข้า  แค่ชั่วคราวเท่านั้น”  ข้ารีบดักคอก่อนทันที  เพราะพอจะเดาได้ว่าสองคนนี้อาจมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง  ถึงเป็นห่วงเป็นใยมากขนาดนี้  เผื่อไม่ให้ถูกเข้าใจผิดการพูดแบบนั้นถือว่าดีที่สุด

“ทำไม  เขาไม่ควรถอดมัน...ไม่สิ  เป็นไปได้  ก็ตอนนี้เขา...อึก”  นางพึมพำอะไรที่ข้าไม่เข้าใจก่อนจะเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง  เสียงสะอื้นนั้นทำให้ข้าไม่สบายใจอย่างมาก 

“ใจเย็นก่อน  ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”  ข้ารีบเอ่ยขึ้น  คั่นกลางระหว่างพวกข้ามีทะเลสาบอยู่  ไม่สามารถเดินไปหานางได้  และเพื่อสร้างความเชื่อใจจึงได้บอกชื่อไป  “ข้ามีนามว่าทีอารีน  คาร์ไลน์  มอร์ฟอร์ด  เจ้าล่ะ”

“คาร์ริต้า  เมื่อกี้เจ้าว่าเขาให้เจ้าแค่ชั่วคราวใช่ไหม  แล้ว...แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”  นางยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับข้าอีกครั้งจึงคิดว่าไม่น่าถูกเกลียดแล้ว 

“เขากลับไปช่วยเพื่อน  อีกสักครู่ก็คงตามมาสมทบ”

“งั้นหรือ...”  นางพึมพำเบาๆ  ก่อนที่จะเงียบไป  ข้าจึงลองถามดูด้วยความสงสัย

“นี่  ช่วยเล่าให้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น  แล้วทำไมช่วงล่างของเจ้าถึงไม่เป็นหางปลา”

ขาของนางตอนนี้เป็นแค่ท่อนขาเปลือยเปล่าที่มีเกล็ดแทรกตัวขึ้นอยู่บางช่วง  ลักษณะแบบนี้ไม่เคยมีในบันทึกเกี่ยวกับพวกเงือกมาก่อน  หนำซ้ำสีของเกล็ดยังเป็นแบบในสร้อยที่ข้าสวมอยู่

คาร์ริต้าเงียบไปครู่หนึ่งคล้ายจะลังเลก่อนจะเล่าว่า  “สมัยก่อนข้าเคยพบกับเขาที่นี่...ตรงนี้  แต่เพราะพวกเงือกนั้นไม่ยอมคิดคบหากับคนต่างเผ่าพันธุ์ข้าจึงถูกห้าม  และนั่นเป็นเหตุให้เขาบาดเจ็บหนัก  ส่วนข้าก็ถูกจองจำอยู่แบบนี้”

“จองจำ?”

“ใช่เจ้าค่ะ  ข้าจะไม่สามารถไปไหนได้จนกว่าจะปลดโซ่เส้นนี้ได้”  นางเอ่ยขึ้นทำให้ข้าสังเกตเห็นว่าข้อเท้านั้นมีโซ่เส้นหนึ่งตรึงไว้อยู่  เมื่อลองเพ่งมองดีๆ  แล้ว  ไอเวทที่สถิตอยู่นั้นช่างคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

“แต่แค่รู้ว่าเขายังปลอดภัยก็ดีแล้ว...”  คาร์ริต้ายังคงเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้ม  ยิ่งทำให้ข้าสงสัย 

“แล้วเจ้าล่ะ?”  ข้าถามขึ้นเมื่อเห็นนางทำสีหน้าคล้ายปลงได้  ดวงตานั้นราวกับยอมจำนนต่อโชคชะตาที่ฟ้าลิขิตให้เป็นเช่นนี้

“ข้าบอกแล้วว่าตัวข้าถูกจองจำไว้  พวกเขาไม่ยอมให้ข้าไปไหนแน่”  นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น  ดูก็รู้ว่าคาร์ริต้าไม่ต้องการแค่นี้  ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ว่าปลอดภัยหรือเห็นหน้า 

“ไม่อยากไปอยู่กับเร็นหรือ?”  ข้าลองถามขึ้น  ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นด้วยประกายบางอย่างแต่แล้วก็วูบดับลง
 
“มันไม่มีทางเป็นไปได้  ข้าบอกแล้วว่าไม่สามารถไปไหนได้  จนกว่าท่านผู้นั้นจะกลับมาปลดโซ่ให้”

“ท่านผู้นั้นที่ว่าเนี่ยที่ใช้เวทขังเจ้าไว้ใช่ไหม”  ข้าลองถามขึ้น  นางก้มหน้าลงแต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี 

“เจ้าค่ะ”

“งั้นข้าคิดว่าพอจะมีทางช่วย”  ตอนนี้ข้าสามารถมั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าใครเป็นผู้ที่ขังนางไว้  แม้จะไม่เหมือนมากแต่ก็ใกล้เคียง  และถ้าเป็นแบบนั้นตัวข้าเองก็น่าจะช่วยนางได้

“ยังไงหรือเจ้าคะ?” 

ข้าสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนที่จะก้มลงถอดรองเท้าและเสื้อคลุมออก  รวมทั้งเครื่องประดับที่ติดตัวมา  เหลือไว้แค่กางเกงกับเสื้อตัวในเท่านั้น  แน่นอนว่ากลายเป็นที่สงสัยของอีกฝ่ายทันที 

“ท่านคิดจะทำอะไร”  นางถามขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา  คาร์ริต้าเองก็น่าจะคาดเดาสิ่งที่ข้าจะทำได้  ดวงตานั้นจึงทอความตื่นตะลึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่ลองไม่รู้”  ข้าพึมพำขึ้นก่อนจะก้าวลงไปในน้ำ  “แถวนี้ไม่มีพวกเงือกใช่ไหม?”

คาร์ริต้าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของพวกเขา  น้อยมากที่จะผ่านมาแถวนี้”
“ดี”  ข้าเอ่ยขึ้นสั้นๆ  แล้วหย่อนขาลงไปในน้ำ

ด้วยอุณหภูมิของน้ำที่เย็นจัดทำให้เสียงของข้าเริ่มสั่นๆ  แต่ไม่นานก็เริ่มปรับสภาพได้  ข้าก้าวอย่างช้าๆ  จนกระทั่งเท้าไม่ติดพื้นเลยเริ่มว่ายไปจนกระทั่งถึงโขดหินที่คาร์ริต้าอยู่  แม้นางจะดูประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรมีเพียงแค่ความสงสัยที่ไม่สามารถพูดออกมาได้หมด

“ทำไมท่านถึงยอมทำถึงเพียงนี้”

“เพราะข้ารู้ว่าการรอคอยมันทรมานไง” 

ทั้งการรอความช่วยเหลือยามเมื่อถูกขังหรือการเฝ้ารอครอบครัวเพียงคนเดียวกลับมา  บทเรียนที่ผ่านมาทำให้ข้ารับรู้ได้ว่ามันน่าเศร้าเพียงใด  แล้วกับอมนุษย์ที่มีชีวิตยืนยาวแบบนางที่เฝ้ารอมาไม่รู้กี่สิบปีจะทรมานขนาดไหน 

“อีกอย่างเร็นเองก็เป็นคนสำคัญคนหนึ่งของข้าเหมือนกัน”  ข้าเอ่ยขึ้นพลางส่งยิ้มให้นาง  ข้าไม่ต้องการกักขังใครไว้เพียงเพราะเขาลุ่มหลง  หากแท้จริงคนคนนั้นมีคนรักอยู่แล้ว  และเป็นผู้ที่ยอมตายแทนกันได้ข้าก็ไม่คิดขัดขวางเส้นทางรัก  อยากอวยพรให้เคียงคู่กันตลอดไปด้วยซ้ำ

ข้าปีนขึ้นมาบนโขดหินข้างนางอย่างทุลักทุเลก่อนที่จะลองยกมือขึ้นไปกำโซ่ที่ตรึงไว้  ฉับพลันนั้นมันก็สลายไปทันทีท่ามกลางความตกตะลึงของคาร์ริต้า

“ท่านทำได้อย่างไร” 

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”  ข้าตอบไปตามความจริง  ที่แน่ใจก็เพราะว่าเมื่อครู่เวทบังตานั้นก็มีไอเวทที่คล้ายคลึงกับโซ่นี่  ดังนั้นแล้วถ้าข้าสามารถสลายเวทบังตาได้ก็ต้องสลายนี่ได้ด้วย  “ตอนนี้รีบออกไปเถอะ”

“แต่ข้า...”

“อะไรอีก?”  ข้าขมวดคิ้วถาม  ไม่เข้าใจว่าติดพลันอะไรกับที่นี่นักหนา  แต่แล้วในที่สุดนางก็ยอมบอกเหตุผลที่แท้จริง 

“ข้าไม่ได้สามารถใช้ขาของตัวเองได้อีกแล้ว...”

ข้านิ่งอึ้งไปทันทีก่อนที่จะประเมินน้ำหนักตัวนางกับระยะทาง  มาถึงขั้นนี้แล้วจะถอยกลับไปเปล่าๆ  ก็ใช่เรื่อง  “งั้นข้าจะพาเจ้าไปเอง  มาเร็ว”

ข้ารับคาร์ริต้าลงมาในน้ำก่อนจะพานางว่ายไปถึงอีกฝั่ง  โชคดีที่ตัวนางเบาจึงไม่ได้เป็นปัญหามากนัก  เมื่อมาถึงฝั่งแล้วข้าจึงได้วางนางลง  สีหน้านั้นดูโล่งใจมากยิ่งขึ้น  ดวงตาสีทองดูตะลึงไปพักหนึ่งก่อนจะพึมพำขึ้นอย่างไม่เชื่อความจริง

“นี่ข้า...ข้าเป็นอิสระแล้วจริงๆ  หรือ”

“ให้ข้าช่วยยืนยันไหมล่ะ?”

นางยกยิ้มขึ้น  สีหน้าดูสดใสอย่างเห็นได้ชัด  “ขอบพระคุณท่านมาก  รีบขึ้นมาเถอะค่ะ”  พร้อมกับยื่นมือมา

“อืม”  ข้าตอบรับสั้นๆ  แต่ไม่อยากรบกวนนาง  แต่ขณะที่กำลังจะยันตัวขึ้นฝั่งนั้น  จู่ๆ  ที่ข้อเท้ากลับมีใครบางคนจับไว้  วินาทีที่ข้ากำลังตกตะลึงอยู่นั้นร่างทั้งร่างพลันถูกฉุดลงไปทันที  แม้แต่เสียงร้องตะโกนของคาร์ริต้าก็แทบจะไม่ได้ยิน

“ทีอารีน!!”

ใต้ผืนน้ำอันเย็นเยียบ  ข้าถูกดึงลงมาแล้วยังถูกกดให้ลงต่ำไปเรื่อยๆ  รอบข้างถูกล้อมไปด้วยเงือกสามตนที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร

“เจ้าที่บังอาจพาตัวนางผู้ฝ่าฝืนกฎออกไปจากเขตเงือกจะต้องพบกับความตาย!”  เสียงสะท้อนก้องดังขึ้นจากเงือกที่อยู่ด้านหน้า  ข้าพยายามสู้กับพวกมันสุดฤทธิ์แต่แขนทั้งสองข้างกลับถูกจับไว้ทำให้ไม่สามารถใช้เวทได้  ขณะที่กำลังสำลักน้ำอยู่นั้นจู่ๆ  ก็มีแสงสว่างลำหนึ่งพุ่งลงมาทำให้พวกเงือกถอยห่างออกไป

คาร์ริต้าปล่อยตัวเองให้ลงมาอยู่ข้างข้า  ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวจ้องไปที่เงือกทั้งสามตัวนั้น 

“ห้ามแตะต้องเด็กคนนี้!”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์หนีไปไหน!”

“หุบปาก”  นางตวาดด้วยความโมโหก่อนที่จะวาดแขนไปข้างหน้า  น้ำที่อยู่รอบๆ  ม้วนตัวกลายเป็นดาบพุ่งไปโจมตีพวกเงือก  แต่มันก็สามารถหลบได้  ขณะที่ข้าเริ่มไม่ไหว  คาร์ริต้าได้หันกลับมาแล้วเปิดจี้เครื่องรางที่ข้าห้อยอยู่  “อมมันไว้  เร็ว”

นางพูดพร้อมกับยัดเกล็ดเงือกเข้าปากข้า  ข้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่กลืนมันลงไปพร้อมกับน้ำที่เต็มปาก  แต่หลังจากนั้นข้ากลับไม่ทรมานจากการอยู่ในน้ำแล้ว

“คาร์ริต้า  นางผู้หญิงน่าสมเพช  เจ้าไม่มีสิทธิ์หนีไปไหนทั้งนั้น  แล้วเจ้าเด็กนั่นก็จะไม่ได้ไปไหนด้วย”  เงือกตนหนึ่งเอ่ยขึ้น  แต่ไม่ได้เข้ามาโจมตีแล้ว  คาร์ริต้าเองก็นิ่งเงียบ  เห็นได้ชัดว่าแม้จะอยู่ในน้ำแต่นางก็ทรงตัวลำบากข้าจึงช่วยนางประคองไว้  แต่พวกเงือกก็เข้ามาล้อมไว้พร้อมกับอาวุธ

“แล้วถ้าเป็นข้าล่ะ?”  เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งจะลอยลงมาตรงหน้าพวกข้า  เส้นผมสีแดงนั้นทำให้ข้ารู้ทันทีตั้งแต่แรก 

โซแวน!

“ท่าน!?”  น้ำเสียงของพวกเงือกเปลี่ยนไปทันที  พร้อมกับปลดอาวุธออก  จากตรงนี้ข้าไม่เห็นว่าโซแวนทำหน้ายังไงแต่เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  น่าแปลกที่แม้อยู่ในน้ำก็ยังพูดได้

“นางถูกจองจำมานานเกินเวลาที่เคยถูกกำหนดไว้แล้ว  พวกเจ้าต้องปล่อยนางไป”

“แต่...”

“ใครมีปัญหาก็ให้เข้ามา  อยากกลายเป็นปลาตากแห้งแบบอดีตผู้เฒ่าทรงพลังของพวกเจ้าก็เข้ามา”  คำพูดของโซแวนทำให้พวกเงือกสะดุ้งเฮือก  เมื่อไม่มีใครคัดค้านอะไรอีกเขาก็หันกลับมาทางพวกข้าแล้วพาขึ้นไปเหนือผิวน้ำ 

“แฮก!”  ทันทีที่ได้สัมผัสกับอากาศบนดินข้าก็สำลักน้ำออกมาแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด  รู้สึกเหมือนถูกสูบพลังชีวิตไปมากจนแทบไม่มีแรง  แต่โซแวนนอกจากจะยังไม่สนใจแล้วยังต่อว่าข้าอีก 

“เจ้านึกบ้าอะไรถึงโผล่มาช่วยนางคนเดียว  ถ้าข้ามาไม่ทันพวกเจ้าทั้งสองคนตายไปแล้ว”

“หนวกหูน่า”  ข้าสบถขึ้นทั้งๆ  ที่ยังไม่หายสำลักดี  แล้วยกมือขึ้นปาดน้ำที่อยู่บนหน้าออก  โซแวนเอาผ้าคลุมที่ข้าถอดทิ้งไว้มาสวมให้ก่อนที่จะยีผมเสียยุ่ง 

“อย่าทำให้เป็นห่วงมากจะได้ไหม  เจ้าหนู”

“เร็น...”  ขณะที่ข้าคิดจะไปต่อล้อต่อเถียงกับโซแวน  เสียงใสของคาร์ริต้าก็ดังขึ้นทำให้ข้านึกขึ้นได้จึงรีบหันไปมองและพบว่าเร็นยืนนิ่งอยู่ในจุดที่ห่างออกไป  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางไม่สังเกตเห็น  หญิงสาวเผยยิ้มโล่งอกขึ้นก่อนที่จะกระเถิบตัวเข้าไปใกล้  ขาทั้งสองข้างของนางไม่สามารถใช้ได้จริงๆ 

“เป็นเจ้า...เป็นเจ้าจริงๆ  ด้วย  เจ้ายัง...มีชีวิตอยู่  ดีจริงๆ”  นางเอ่ยขึ้นเสียงสั่นพร้อมกับหลั่งน้ำตามาอีกครั้ง  แต่เร็นกลับยืนอึ้งไปคล้ายกับสับสน  ท่าทีนั้นทำให้ข้าจึงหันไปหาเพื่อนสนิทของเขา

“โซแวน  มันเกิดอะไรขึ้น”  และเหมือนเขาจะรู้เห็นเป็นใจจริงๆ  จึงได้เล่าให้ข้าฟัง 

“พวกเงือกเป็นเผ่าที่หยิ่งในศักดิ์ศรีและพวกพ้อง  มีกฎสำคัญอย่างหนึ่งคือการห้ามรักกับเผ่าพันธุ์อื่น  แต่แล้วสตรีที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดและมีเกล็ดที่หายากมากที่สุดกลับหลงรักม้าหนุ่มในร่างคน  ทั้งคู่แอบพบกันอย่างลับๆ  มาโดยตลอดจนกระทั่งมีมนุษย์จำนวนหนึ่งคิดจะเข้ามาในป่าต้องห้าม  ม้าตนนั้นเลยปกป้องผืนป่าไว้  แม้สุดท้ายจะสามารถขับไล่ไปได้แต่ต้องบาดเจ็บสาหัส  หากไม่ได้รับการรักษาก็มีเพียงแค่ความตายเท่านั้น”

ข้าเหลือบไปมองสองคนนั้น  คาร์ริต้าหยุดการเข้าหาอีกฝ่ายแล้ว  คล้ายกับรับรู้ได้ถึงบางอย่างแต่น้ำตาแห่งความดีใจยังคงไหลไม่หยุด

“ตอนนั้นผู้ที่มีพลังรักษาดีๆ  ก็คือพวกเงือก  นางเงือกตนนั้นยอมพาร่างของคนรักไปขอความช่วยเหลือ  แต่ไม่มีใครให้ความร่วมมือเพราะความลับที่ปกปิดไว้แตกออก  หนำซ้ำพวกเงือกเองนั่นแหละที่เป็นคนทำอุบายให้พวกมนุษย์เข้ามาได้เพื่อสังหารม้าตนนั้น” 

โซแวนหยุดเล่าไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองสถานการณ์ของทั้งสองคน  ก่อนจะพูดว่า  “นางผู้ที่หัวใจสลายเมื่อรับรู้เช่นนั้นจึงทำลายทุกสิ่งอย่างแม้แต่การฆ่าพวกพ้องของตน  ทั้งยังขอร้องต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยจนในที่สุดคำขอนั้นก็ได้รับคำตอบรับ  ม้านั่นได้รับการรักษาจนพ้นความตายมาได้  แต่...”

“เจ้า...เป็นใคร?”  คำพูดที่ดังขึ้นของเร็นทำให้ข้าหันไปมองด้วยความตกใจ  สีหน้าของเขาไม่ใช่เรื่องโกหก 

“เพื่อแลกกับชีวิตของคนรัก  นางยินยอมแลกทุกอย่างที่พระเจ้าขอ  หางอันสวยงาม  ขาที่สามารถเดินได้  ความทรงจำเกี่ยวกับนาง  ทุกอย่างหายไปหมด”

โซแวนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เบา  เรื่องเล่านั้นมีเพียงข้าที่ได้ยินยิ่งทำให้ข้ารู้สึกสับสน 

“เจ้ารู้เรื่องมาตลอดแต่ทำไมถึงไม่บอกเขา?”

“ข้าฝืนบัญญัติพระเจ้าได้ที่ไหน  ในฐานะผู้ที่เห็นเหตุการณ์ตอนนั้นข้าก็ถูกห้ามไว้ด้วยแหละ”  เขาตอบกลับมาทำให้ข้าชะงัก  ดวงตานั้นทอความเจ็บปวดออกมา  โซแวนเองก็ไม่อยากเมินเฉยต่อเรื่องของทั้งคู่  แต่เพราะเป็นบัญญัติของพระเจ้าจึงไม่สามารถบอกได้

ข้านิ่งอึ้งไปก่อนจะหันไปหาทั้งสองคนนั้น  คาร์ริต้ายังคงร้องไห้แต่นั่นไม่ใช่น้ำตาแห่งความปลื้มปีติอีกต่อไป

“นางรู้หรือเปล่าว่าเขาจำนางไม่ได้?”  ข้าเอ่ยถามขึ้น  แว่วเสียงถอนหายใจของโซแวนดังขึ้นก่อนที่เขาจะตอบว่า 

“รู้เสียยิ่งกว่ารู้”

“ไม่เป็นไร  ข้าเป็นใครเจ้าไม่ต้องรู้ก็ได้  แค่เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว”  คาร์ริต้าฝืนใจเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตาก่อนจะก้มหน้าลงเหลือเพียงแค่เสียงสะอื้น  ข้าเลยหันไปมองทางเร็น  เขายังคงยืนนิ่งราวกับหุ่นไม้แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความสับสน  เนิ่นนานกว่าที่เขาจะถามขึ้น

“เจ้าเป็นคนมอบสร้อยเส้นนั้นให้ข้าหรือ?”

“อื้ม  เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถลงมาในน้ำกับข้าได้บ้าง”  คาร์ริต้ากลับมาตอบอีกครั้งด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเงียบไป  เร็นเองพอได้ฟังคำตอบก็นิ่งไปอีก  ข้าเองพอได้ยินเรื่องสร้อยก็รีบหาเกล็ดที่คายออกมาแล้วเก็บเข้าไปในจี้เหมือนเดิม

“ทำไม...”  ท่ามกลางความเงียบเร็นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเครือก่อนที่จะทรุดตัวลงกับพื้น  น้ำตาเริ่มไหลออกมาทีละหยดกลายเป็นสายไหลอาบแก้มในที่สุด 

“ทั้งๆ  ที่นึกอะไรไม่ออกแต่น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุด”

เมื่อเห็นผู้เป็นที่รักร้องไห้  คาร์ริต้าจึงเริ่มพาตัวเองคลานด้วยสองแขนไปหาอีกฝ่ายแล้วสวมกอดไว้แน่น  เร็นไม่ได้ปฏิเสธอะไรหนำซ้ำยังยกมือขึ้นกอดนางไว้ด้วย  ข้าที่มองภาพตรงหน้าอยู่รู้สึกโล่งใจและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วโซแวนก็หันมาถามข้าว่า  “ไปกันได้หรือยัง”  ทำให้ข้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ตอนนี้ย้อมไปด้วยสีของความมืดและดวงดาวนับล้านดวง

“อืม  ไปพักกันก่อนเถอะ  เรื่องของคาร์ริต้าไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”  ข้าเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้น  ก่อนที่จะสั่งให้ทั้งสองคนทำตาม  “เร็นเจ้าเป็นคนพาคาร์ริต้าไป  โซแวนทำยังไงให้ไปถึงปราสาทเร็วที่สุด”

“เจ้าไม่ต้องเดินไง”  เขาตอบกลับมาเสียงเรียบ  ในระหว่างที่ข้ากำลังมึนงงอยู่นั้นเขาก็ช้อนตัวข้าขึ้นทันทีแล้วหันไปบอกเร็น
 
“เจ้าตามข้ามา”

“จะทำอะไร”  ข้ารีบถามขึ้นก่อนที่จะโอบรอบคอเขาไว้  เพราะหมอนี่เริ่มย่อตัวลงจากนั้นก็ดีดตัวขึ้นไปเหนือต้นไม้  พากระโดดไปตามกิ่งใหญ่จนกระทั่งถึงปราสาทในเวลาไม่นาน  แถมยังไม่มีใครสังเกตเห็น  เขาเข้ามาถึงในระเบียงทางเดินพร้อมกับเร็นที่ตามหลังมา

“ต่อไปจะเอายังไงท่านราชา”  โซแวนถามข้าขึ้นก่อนจะเหลือบมองไปที่คาร์ริต้า  นางไม่สามารถเดินเองได้และคงอยู่ร่วมกับผู้ติดตามคนอื่นของข้าไม่ได้เลยหันไปมองหาสาวใช้สักคน
 
“ข้าขอโทษที่รบกวนกะทันหันไปหน่อย  แต่ช่วยเตรียมห้องให้สักห้องได้ไหม  แขกของข้าต้องการพักผ่อน”  ข้าสั่งกับนาง  หญิงสาวพยักหน้าทันทีแล้วรีบไปหาคนมาเตรียมห้องอย่างรวดเร็ว  ไม่นานก็กลับมาพาคาร์ริต้าไปที่ห้อง  ข้าฝากให้ช่วยดูแลนางก่อนที่จะบอกให้ที่เหลือแยกย้ายกันไป

เร็นไม่ได้หันหลังกลับไปง่ายๆ  เหมือนทุกที  แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงข้า  เขามองทางที่พวกสาวรับใช้พาคาร์ริต้าไปจนลับตาจากนั้นจึงหันมาทำความเคารพข้าแล้วออกไป

ส่วนโซแวนก็หายไปแล้ว  ข้าจึงเดินไปตามระเบียงทางเดิน  แต่เป้าหมายไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง  เป็นอีกที่หนึ่งซึ่งมีคำตอบให้ข้า

“ผู้วิเศษ”  ข้าเอ่ยเรียกเขาขณะเปิดประตูเข้าไป  ชายในชุดลำลองสีขาวตัวยาวนั่งอ่านหนังสือรออยู่ที่เก้าอี้หนังกลางห้องพร้อมรอยยิ้มด้วยท่าทีเหมือนรู้ล่วงหน้าอีกแล้ว

“สายัญสวัสดิ์  ฝ่าบาท  มีธุระอะไรกับข้าหรือเปล่า?” 

“วันนี้ข้าไปพบเงือกตัวหนึ่ง  เจ้ารู้ใช่ไหม”  ข้าลองถามขึ้น  เขายกยิ้มกว้างไม่มีท่าทีปฏิเสธทำให้ข้าเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา

“แล้วรู้มาตลอดใช่ไหมว่าเงือกตนนั้นถูกขังมาตลอดเพราะเร็น”  เขายังคงยิ้มและไม่มีท่าทีปฏิเสธเหมือนเดิมทำให้ข้าเดินไปใกล้ๆ

“เจ้ารู้ทุกอย่างแต่ปกปิดไว้หมด  ต้องการอะไรกันแน่!”  ข้าตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อของเขาพร้อมตะคอกเสียงดัง  “มีอะไรก็พูดๆ  ออกมาสิ  คิดจะทำตัวเป็นคนลึกลับแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”

ตั้งแต่แรก  เขาก็พูดอะไรที่มันกำกวนหรือแม้กระทั่งไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยทั้งๆ  ที่รู้มาตลอด  แม้กระทั่งเรื่องของคาร์ริต้าเองก็ด้วย

“ฝ่าบาท...”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อลดโทสะของข้าก่อนจะจับมือออก  “ต้องขอโทษด้วยแต่บางอย่างเมื่อยังไม่ถึงเวลาข้าก็ไม่สามารถพูดอะไรได้จริงๆ”

“ทำไม”

“โซแวนเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหม  เกี่ยวกับที่เมื่อก่อนเขาไม่สามารถบอกเรื่องราวของเงือกตนนั้นกับเร็นได้  เป็นเพราะบัญญัติพระเจ้า  คำสัญญาที่ให้ไว้  ข้าเองก็เช่นกัน”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้น  แต่นั่นไม่ได้ทำให้ข้าสงบใจลงแม้แต่น้อย 

“อย่างน้อยเจ้าน่าจะบอกว่าก่อนว่านางเองก็เป็นผู้ถูกเลือก”

ข้ากำหมัดแน่น  ขณะที่ผู้วิเศษชักสีหน้าแปลกใจขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มให้  “ท่านเริ่มแยกออกได้แล้วสินะ”

นอกจากตาสีทองที่เป็นเอกลักษณ์แล้วอย่างหนึ่งที่ทำให้ข้าแน่ใจว่านางใช่ก็คือไอเวทที่นางใช้ตอนอยู่ใต้น้ำ  นั่นไม่ใช่พลังเงือกของนาง  และเรื่องนั้นก็ทำให้ข้าหงุดหงิดผู้วิเศษขึ้นมาเพราะเขาจงใจปล่อยข้าไปเพื่อให้ตามผู้ถูกเลือกกลับมา  ไม่ได้มีเจตนาอื่นเลย

“คราวหน้า...อย่าทำแบบนี้อีก  ข้าไม่ชอบที่เจ้าทำเหมือนหลอกใช้ข้า” 

เขาคล้ายกับหัวเราะในลำคอออกมาครู่หนึ่งแล้วเดินตรงมาหาข้าเพื่อคุกเข่าลงตรงหน้า  “มิบังอาจฝ่าบาท  ข้าไม่มีวันหลอกใช้ท่านอย่างแน่นอน  ทุกอย่างแค่ไหลไปตามชะตากรรม”

ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย  ข้าเพียงแค่ถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วเอ่ยกึ่งบังคับกับเขาว่า  “บอกมา  ยังเหลือผู้ถูกเลือกอีกคนที่ข้าต้องไปตามหา”

เขายกยิ้มก่อนที่จะบอกว่า  “หนึ่งคนพ่ะย่ะค่ะ  แต่ตอนนี้ข้าอยากให้ท่านเตรียมตัวเกี่ยวกับพิธีขึ้นครองราชย์ที่จะมาถึงมากกว่า”
“มันวุ่นวายขนาดนั้นเลยรึ”

“ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนๆ  ก็นับว่ามากเลยก็ว่าได้”  ผู้วิเศษเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้น  เงาของเขาทาบทับลงมาบนตัวข้าพลอยให้หน้าของอีกฝ่ายดูมืดครึ้มไป  “อีกอย่างท่านยังทรงไม่บรรลุนิติภาวะ  แถมชอบออกไปข้างนอกบ่อยๆ  เรื่องงานการกับการว่าราชการก็ใช้ได้อยู่หรอก  แต่ท่านยังมีความเป็นเด็กเกินไป  จำต้องอบรมให้พร้อมก่อนพิธีขึ้นครองราชย์”

ผู้วิเศษยกยิ้มที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนแต่กลับทำให้ข้ารู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาได้  “เพราะฉะนั้นก่อนจะถึงวันพิธี  อย่าได้คิดออกจากปราสาทไปไหนเชียวพ่ะย่ะค่ะ”

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <บทที่ 5> 18/11/60
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 14-01-2018 08:09:52
บทที่  6
การเตรียมตัว
“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ฝ่าบาท” ข้าลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนจะสะดุ้งโหยงทันทีเพราะเจอหน้าของใครบางคนยืนยิ้มร่าอยู่ “ผู้วิเศษ ทำไม...”

“ฝ่าบาทน่าจะทรงจำได้ เกี่ยวกับที่เราพูดกันไว้เมื่อคืน...” รอยยิ้มของเขาสดใสขึ้น แต่สำหรับข้าแล้วยังไงจุดประสงค์ก็คงไม่ได้ดีเหมือนหน้าตาหรอก

และนั่นทำให้ข้าต้องเผชิญหน้ากับการเตรียมตัวเข้าพิธีขึ้นครองราชย์ ซึ่งนอกจากจะต้องรับมอบสมบัติประจำตำแหน่งแล้ว ที่ข้าไม่ถูกโรคอีกอย่างก็คือการพบปะผู้คนต่างแดน แถมที่น่ากลัวอีกอย่างคือคำสาปข้าที่จะไม่มีอะไรมาปิดบังแล้ว

จริงสิ...เมื่อวานข้าไปหาคาร์ริต้าเพื่อให้นางแก้คำสาป ลืมไปเสียสนิทเลย!

“ฝ่าบาท จะไปไหนหรือขอรับ” แต่ขณะที่กำลังคิดหนีออกไปจู่ๆ ผู้วิเศษก็เอ่ยถามขึ้นทันทีพร้อมรอยยิ้ม ข้าฝืนกลืนน้ำลายไปก่อนจะตอบบ่ายเบี่ยง

“ข้า...ข้าจะไปดูอาการคาร์ริต้าสักหน่อย”

“แค่โกหกยังไม่เนียนเลย...” แว่วเสียงของเขาถอนหายใจดังขึ้นทำให้หันไปมองด้วยความแปลกใจ ผู้วิเศษก้าวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้าตัวข้าไว้ “งั้นเราคงต้องเข้าอบรมการวางสีหน้ากับคนอื่นแล้วล่ะขอรับ”

“เดี๋ยว ปล่อยข้านะ!”

“ฮึๆ อ้อ แล้วก็อีกอย่าง เผ่าเงือกน่ะแก้คำสาปที่เกิดจากข้าไม่ได้หรอก ตัดใจเสียเถิด” ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นน้ำเสียงยียวนไม่ต้องมองก็รู้ว่าเขากำลังสนุกอยู่

“ว่าไงนะ เจ้า...รู้ทั้งรู้แต่ไม่ยอมบอกอีกแล้วนะ!”

“ขืนข้าบอกท่านก็ไม่ยอมไปหาผู้ถูกเลือกน่ะสิ” ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนที่จะทิ้งข้าลงบนเก้าอี้จากนั้นก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงหน้าข้า

“เอาล่ะฝ่าบาท ก่อนอื่นท่านอย่าคิดว่าพอมีคำสาปลุ่มหลงของข้าแล้วจะไม่มีใครกล้าทำร้ายท่าน” ผู้วิเศษเริ่มเอ่ยขึ้นเป็นการเตือนทำให้ข้ารีบปฏิเสธเสียก่อนว่า “ข้าก็ไม่เคยคิดแบบนั้นอยู่แล้วน่า”

“อย่างที่ข้าเคยบอกหลักการทำงานของคำสาปนั้นจะมีผลเฉพาะผู้ที่รู้จักฝ่าบาทเท่านั้น นั่นคือคนที่เห็นหน้าและรู้ว่าฝ่าบาทคือใคร ผ้าคลุมที่ข้ามอบให้ช่วยทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าท่านคือราชาของคาร์ไลน์ เพราะฉะนั้น...อย่าได้ไปทำให้ใครหมั่นไส้ในช่วงนั้นเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้วน่า”

“ที่สำคัญหลังจากท่านได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วขอให้ระวังตัวยิ่งกว่าเดิมด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” ข้าพยักหน้าไปตามน้ำแทนที่จะตอบ ก่อนที่ผู้วิเศษจะเอ่ยขึ้นต่อว่า “เพราะฉะนั้นแล้วก่อนอื่นเลยฝ่าบาทต้องรู้จักการวางสีหน้ากับบุคคลอื่นเสียก่อน”
เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใสก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องแล้วแนะนำตัวผู้ที่ยืนอยู่ว่า “และนี่คืออาจารย์พิเศษในวันนี้”

“โซแวน” ข้าขมวดคิ้วไม่เข้าใจก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปใกล้สองคนนั้น “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

“อา...ก็พอนอนไปสักพักแล้วหมอนี่ก็เข้ามาแล้วขู่ว่า ‘มีเรื่องอะไรให้ช่วยหน่อย ถ้าไม่ทำจะโดนสาปเดี๋ยวนี้แหละ’ ก็เลยต้องมา” โซแวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นช่วงที่เลียนแบบผู้วิเศษก็ยังคงทำเสียงให้พอคล้ายได้จนข้าเกือบหลุดหัวเราะออกมา น่าเสียดายที่ความรู้สึกน่าสมเพชมันมากกว่า

“ในฐานะที่เขาเคยเป็นเจ้าแห่งป่าต้องห้ามก็เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะมาช่วยแนะนำฝ่าบาท อีกอย่างหมอนี่ก็หน้าเป็นปลาตายอยู่แล้วด้วย” ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปถามโซแวนว่า “เอาล่ะ แนะนำฝ่าบาทหน่อยสิว่าทำยังไงถึงจะทำให้คนมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร”

“ก็ไม่ต้องคิดอะไรไง” ทว่าโซแวนกลับตอบด้วยท่าทีเฉยเมิน “แค่ไม่ต้องคิดอะไรก็ได้แล้ว”

“เป็นไปไม่ได้หรอก” ข้าตอบไปตามตรง “คนเราน่ะ จะไม่คิดอะไรไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”

“ถ้าในส่วนของคนน่ะ...ไม่ค่อยเข้าใจอะไรหรอก” เขาเอ่ยขึ้นทำให้ข้านึกขึ้นได้ “ตอนที่เจ้าอยู่ที่ป่าต้องห้ามใช้ร่างคนบ่อยไหม”

“ไม่ใช้เลยมากกว่า รูปลักษณ์จริงๆ ฉันมันน่าเกรงขามกว่านี้เลยไม่ค่อยใช้น่ะ” โซแวนตอบก่อนจะเสริมขึ้นอีกว่า “ในหมู่พวกปีศาจแล้วไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเยอะอยู่แล้ว คติของตระกูลฉันคือขัดขืนก็เชือดทิ้ง”

พวกป่าเถื่อน... ขณะที่ข้าเผลอนิยามตระกูลเขาก็ถอยหลังไปทันที เอาจริงๆ แม้เสด็จพ่อของข้าจะได้ชื่อไปแล้วว่าเป็นราชาที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์คาร์ไลน์แต่ก็ไม่ได้ฆ่าประชาชนทิ้งเป็นว่าเล่นหากไม่คิดต่อต้าน ส่วนข้านั้นก็อย่าได้คิดว่าจะทำตามแบบเสด็จพ่อเลย

“ว่าแล้วเชียว เอาความคิดแนวสัญชาตญาณสัตว์ป่ามาใช้ไม่ได้จริงๆ ด้วย” แต่เป็นผู้วิเศษที่เอ่ยขึ้นตามความจริงเล่นเอาข้าสะดุ้ง แต่โซแวนกลับไม่พูดอะไรก่อนจะพูดว่า

“แค่ตีสีหน้าเรียบเฉยก็พอแล้วนี่”

“มันก็จริง แล้วทำยังไงถึงจะตีหน้าแบบเจ้าได้ตลอดเวลาล่ะ” ข้าถามขึ้นทำให้เขาเงียบไปครู่หนึ่ง โซแวนยกมือขึ้นจับคางตัวเองคล้ายกับกำลังใช้ความคิด เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ๆ เขาถึงพูดออกมา

“ไม่ต้องคิดอะไรไง”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ไหว...ไม่สิ ที่ไม่ไหวมากกว่าคือคนสอนมากกว่า” ข้าอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ก่อนจะกลับไปนั่งลงตามเดิม

“เอาเป็นว่าข้าจะลองพยายามดูแล้วกัน”

“แค่ทำตัวเองให้สง่างามก็พอ ความสง่างามจะทำให้มีความน่าเชื่อถือสูง” โซแวนยังคงพยายามแนะนำออกมา ทำให้ข้านึกออก ใช่แล้ว...ความสง่างาม! แต่...

“แล้วควรทำยังไงให้มันดูสง่างามล่ะ”

โซแวนกลับไปทำท่าคิดอีกครั้งก่อนที่จะตอบด้วยสีหน้าที่เหมือนจะดูจริงจังขึ้นนิดหนึ่งว่า “ง่ายๆ เจ้าก็แค่ต้องตัวตรง เดินอย่างองอาจ ไม่ใจอ่อนต่อเรื่องใดง่ายๆ ไม่แสดงท่าทีที่ดูเหมือนเป็นเด็ก...”

ข้าแอบอ้าปากค้างเล็กน้อยเมื่อเขาเริ่มสาธยายถึงวิถีความสง่างามออกมา ครั้งนี้ดูเหมือนจะพึ่งพาได้กว่าเมื่อกี้!

“แล้วก็คำรามให้เต็มเสียง” เอ๊ะ...

“เวลามีคนทำผิดก็ตะปบมันต่อหน้าประชาชนคนอื่นให้มันรับรู้ถึงความน่ากลัว!” ข้าเผลอฝืนยิ้มขึ้นมาเพื่อไม่ให้เขาจับได้ ขณะที่ผู้วิเศษกลับยิ้มอย่างสดใสแล้วพึมพำสั้นๆ ว่า “สัตว์ป่าก็คือสัตว์ป่านั่นแหละนะ”

“แต่โซแวนก็ยังดูมีความสง่างามแม้จะอยู่ในร่างมนุษย์อยู่นะ” ข้าเอ่ยขึ้น จะว่าไปตอนนี้ตัวข้าก็อยู่กับคนที่เป็นที่เคารพนับถือถึงสองคน ผู้วิเศษว่ากันตามตรงแล้วก็เหมือนมีออร่าสว่างสดใสออกมาให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธาอยู่แล้ว แต่โซแวนอาจจะเป็นเพราะเขาเคยเป็นผู้ปกครองป่าต้องห้ามเลยมีบางอย่างที่ดูน่านับถือ

ข้าเงยหน้าขึ้นมองโซแวนแล้วเริ่มไล่ลงมาเพื่อหาสิ่งที่ข้าอาจขาดไป เขามีเส้นผมสีแดงซึ่งดูเด่นสะดุดตาอยู่แล้วแต่ไม่น่าใช่เหตุผล ดวงตาสีทองถึงจะมีสีอื่นเหลือบถึงจะดูเด่นแต่ก็ไม่น่าเกี่ยวข้อง ว่าแต่ใครเป็นคนเลือกชุดให้กัน ข้าไม่ยักรู้ว่าคนที่นิยมเสื้อผ้าแบบเปิดเผยเนื้อหนังแบบนี้ด้วย

จะว่าไปโซแวนตอนนี้ส่วนบนก็เหมือนใสเสื้อคลุมแขนกุดตัวสั้นแค่อย่างเดียว ไม่มีเครื่องประดับอะไร และท่อนล่างเป็นกางเกงขายาว แต่แค่นี้ก็พอเผยให้เห็นกล้ามเนื้อส่วนท้องกับลำแขนกำยำ เดี๋ยวนะ...

“เข้าใจแล้ว!” ข้าร้องขึ้นทำให้ผู้วิเศษหันมามองด้วยความสงสัย ก่อนจะหันไปบอกกับเขาด้วยความตื่นเต้นว่า “ที่ข้าไม่มีคือกล้ามเนื้อไงล่ะ กล้ามเนื้อทำให้สง่างามได้ ใช่ไหม โซแวน”

เขาพยักหน้าตามข้าทันที แต่ผู้วิเศษกลับนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินมาจับไหล่แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “ฝ่าบาท พวกเราน่ะเป็นสายใช้สมอง ไม่จำเป็นต้องมีกล้ามเนื้อมากมายเหมือนพวกป่าเถื่อนแบบโซแวนหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“เฮ้ย เมื่อกี้นี้กำลังว่าข้าใช่ไหม...”

“สิ่งแรกที่พระองค์ควรทำคือการเก็บสีหน้าและอารมณ์ที่เหมือนเด็กพ่ะย่ะค่ะ” ข้าชะงักก่อนจะรีบกลับไปตีสีหน้าจริงจังต่อ แล้วก็เกือบต่อยเขาไปทีหนึ่งตอนที่ได้ยินเขาพูดต่อว่า “สีหน้าแบบเมื่อกี้เก็บไว้ให้ข้าเห็นแค่คนเดียวก็พอ”

“หุบปาก”

“ฮะๆ แล้วก็...” เขาเว้นช่วงไว้ก่อนจะบอกว่า “คิดเสมอว่ายังมีพวกกระหม่อมที่อยู่เคียงข้างพระองค์ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรหรอกขอรับ”

ข้าชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะมองตาเขา เมื่อผู้วิเศษไม่คิดจะพูดต่อจึงหลบตาแล้วเงียบไป

ตอนนี้ยังไงข้าก็คือเป็นกษัตริย์คนหนึ่ง ราชาจะต้องเป็นผู้ใหญ่ ต้องไม่แสดงความเป็นเด็กออกมา ข้าในตอนนี้ถ้าเทียบกับเสด็จพ่อก็ยังไม่ได้เรื่อง ไม่ว่ายังไงก็ต้องก้าวข้ามแล้วทำให้ประชาชนศรัทธา

ข้าหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างนุ่มนวลก่อนที่จะผ่อนมันออกมาแล้วลืมตาขึ้น

“ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอยู่แล้วละน่า” ข้าตอบเสียงเรียบก่อนจะหันกลับไปทางผู้วิเศษ “แล้วบทเรียนต่อไปเป็นอะไรล่ะ”
เขายกยิ้มขึ้น ซึ่งข้าก็ยังคงยืนยันเช่นเดียวว่ารอยยิ้มของเขามักมีเลศนัยแอบแฝงเสมอ

ผู้วิเศษไม่ตอบแต่เขาหันไปตบมือเป็นสัญญาณให้อะไรบางอย่างก่อนที่ประตูจะเปิดออกพร้อมสาวใช้สี่ห้าคนที่ถือเสื้อผ้าและกล่องใบโตเข้ามา

ข้าอดขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ก่อนจะถามเขาว่า “นี่มันอะไร”

“ฝ่าบาทคงเกิดไม่ทันช่วงรับตำแหน่งของพระราชา แต่นี่เป็นธรรมเนียมของคาร์ไลน์พ่ะย่ะค่ะ เมื่อใดที่มีการขึ้นครองราชย์ ผู้ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปจะต้องใส่ชุดนี้ขึ้นไปบนลานพิธีเพื่อขอพรต่อพระเจ้าให้บ้านเมืองปลอดภัย” ผู้วิเศษอธิบายอย่างเรียบง่ายก่อนจะเสริมขึ้นว่า “ปกติแล้วคาร์ไลน์ค่อนข้างเป็นดินแดนที่สงบสุข จะเป็นการรับช่วงต่อของกษัตริย์ แต่ในกรณีนี้พระบิดาของพระองค์เสด็จสวรรคตไปเสียก่อน ดังนั้นแล้วข้าจะเป็นตัวแทนมอบศาสตราประจำตำแหน่งให้แทนนะพ่ะย่ะค่ะ”

ข้าพยักหน้าให้แทนคำตอบแล้วรอเขาพูดต่อ

“เพราะพระองค์ต้องขึ้นเป็นราชาตั้งแต่อายุสิบเจ็ด ซึ่งน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของคาร์ไลน์เลยต้องมีการลองชุดก่อนเพื่อตัดเย็บให้สะดวกขึ้นนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาบอกก่อนที่จะหันไปส่งสัญญาณให้สาวรับใช้ข้างหลังเข้ามาใกล้

“ขออนุญาตนะเพคะ ฝ่าบาท” นางที่อาวุโสที่สุดเอ่ยขึ้นในฐานะหัวหน้าสาวใช้และยังเคยเป็นแม่นมของข้าด้วย เมื่อข้าพยักหน้าให้แทนคำตอบแล้วนางก็เข้ามาปลดเสื้อของข้าออกทันที

ชุดพิธีการขึ้นครองราชย์นั้นเป็นสีขาวขอบสีทอง เสื้อคลุมยาวเป็นสีน้ำตาลทองตัดกับสายคาดไหล่ทั้งสอง นางละมือจากข้าเมื่อสวมเสื้อผ้าและเย็บเก็บส่วนที่เกินมาให้เสร็จแล้ว จากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสาวใช้ที่เหลือซึ่งนำพวกเครื่องประดับมาใส่ให้
ข้าเหลือบมองในกล่องแล้วรวมกับในมือพวกนางก่อนจะหันไปทางผู้วิเศษ “ข้าว่ามันเยอะเทอะทะเกินไปหรือเปล่า”

“ไม่หรอกฝ่าบาท แบบนี้แหละ หนักนิดหน่อย...อา ออกจะทำให้เดินไม่สะดวกไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา...เนอะ”

“ไอ้นี่หนักเอาเรื่องแฮะ” ทว่าเสียงของผู้วิเศษกลับถูกเบี่ยงเบนความสนใจโดยโซแวน เขาเอ่ยขึ้นพร้อมยกเครื่องประดับชิ้นหนึ่งขึ้นมา ดูจากทรงแล้ว...เป็นเครื่องประดับศีรษะ

“อ๊ะ นั่นเป็นเครื่องประดับศีรษะที่สำคัญขอรับ ประดับไปด้วยอัญมณีแสนหายาก น้ำหนักโดยประมาณคือห้ากิโลพ่ะย่ะค่ะ” ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้ม แต่นั่นทำให้ข้าอดเบิกตากว้างไม่ได้ “ห้ากิโล!?”

“ช่าย” เขาเอ่ยขึ้นเสียงยานคาง

“บ้าไปแล้ว เจ้าคิดว่าคอข้าเป็นเหล็กหรือไง ข้าได้ตายกลางพิธีแน่!” ข้าโวยวายลั่น แต่เหมือนพวกนี้เตรียมกันไว้ก่อนแล้ว สาวใช้ที่อยู่ใกล้ข้าเริ่มเข้ามาล็อกแขนข้าไว้ทันที

“คิดซะว่าแค่ห้ากิโลเองครับ นี่ยังไม่รวมเครื่องประดับพาดตัวที่หนักประมาณหนึ่งกิโลกับคทาอีกประมาณแปด”

“เจ้าอยากให้ข้ากระดูกหักใช่ไหม ไม่ต้องมายิ้มเลยนะ ผู้วิเศษ!!” ข้าโวยลั่นทันทีก่อนจะหันไปมองสาวใช้ทั้งสองล็อกข้าไว้ “แล้วพวกเจ้า ปล่อยข้าได้แล้ว”

แล้วนางก็ปล่อยแต่โดยดี

“ฝ่าบาท จริงๆ กระหม่อมเองก็กลุ้มใจเหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ เพราะแต่ละรุ่นที่ผ่านมาท่านราชาก็ทรงเป็นนักรบไม่ก็อายุเยอะกว่า อย่างเสด็จพ่อของพระองค์ตอนเข้าทำพิธีก็ยี่สิบแปด แต่พิธีก็พิธีนะพ่ะย่ะค่ะ เปลี่ยนแปลงไม่ได้”

“งั้นข้าขอกล้ามเนื้อ แบบโซแวนได้ยิ่งดี”

“ฝ่าบาท มันเสกกันได้เสียที่ไหน แล้วก็อีกสองวันก็จะถึงวันพิธีแล้ว เลิกฝันเถอะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนจะหยิบเครื่องประดับนั่นมาจากมือของโซแวนแล้วเดินตรงมา “สวมๆ ไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่นคำพูดกับพระราชาเหรอ!” ข้าตวาดกลับก่อนจะเกร็งคอแน่น เครื่องประดับศีรษะนี่หนักก็จริงแต่ถ้ายืนตัวตรงก็จะช่วยพยุงน้ำหนักได้ ตอนแรกข้าก็คิดว่าไหวจนกระทั่งเจอเครื่องประดับชิ้นอื่นกับต้องถือคทาไปด้วย เมื่อผู้วิเศษบอกให้สาวใช้ทั้งหมดออกไป ข้าก็สูดลมหายใจเข้าแล้วบอกว่า

“ในนามของพระราชา ข้าขอสั่งให้ยกเลือกประเพณีบ้าๆ นี้ซะ!”

“ฝ่าบาท ข้าก็ประทับใจขึ้นนะที่ท่านเริ่มใช้อำนาจของพระราชาแล้ว แต่แบบนี้น่ะไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าผู้วิเศษดับฝันของข้าอีกครั้ง ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทนๆ ไปหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ ยังไงวันนั้นช่วงเย็นท่านต้องอยู่ในชุดนี้ให้ได้”

ข้าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่า “ก็ได้ ในฐานะราชาการอดทนก็เป็นเรื่องสำคัญ”

ผู้วิเศษคล้ายจะอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มขึ้น น่าแปลกที่คราวนี้ข้ารู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่ไม่แอบแฝงอะไร

“แต่ถ้าเสร็จพิธีเมื่อไรรีบมาถอดให้ข้าด้วย” ข้ารีบเตือนเขาก่อนที่จะถามต่อว่า “แล้วนี่ข้าถอดได้หรือยัง”

“จนกว่าจะสามารถเดินด้วยชุดนี้ได้อย่างคล่องแคล่วพ่ะย่ะค่ะ” ผู้วิเศษตอบก่อนจะเสริมว่า “อย่าลืมว่าลานพิธีสร้างขึ้นเหนือพื้นดินที่ต้องขึ้นบันไดไป หากท่านเดินไม่คล่องแล้วเกรงว่าจะได้กลิ้งตกลงมาแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ข้าตาโตชั่วหนึ่ง แทบอยากจะกรีดร้องออกมาให้หายอึดอัดแต่ก็ต้องเงียบไว้ก่อนจะเดินไปหนึ่งก้าว ไม่ได้ ถ้าข้ากระดูกหักมาตอนนี้เดี๋ยวก็ถูกหาว่าอ่อนแอพอดี ต้องทำให้ได้!

“เดี๋ยว เดินแบบนั้นมันดูตลกนะ” ทว่าโซแวนกลับเอ่ยขึ้นแทรกพร้อมกับเข้ามายืนชิดอยู่ข้างหลังช่วยจัดท่าทางให้ เขาเอื้อมมือไปช่วยจับคทาแล้วบอกว่า “ถ้ากางแขนประมาณนี้จะช่วยถ่วงน้ำหนักที่หัวได้ ส่วนคอก็ต้องยืดตรง เชิดหน้าขึ้น อย่ามาก...”
ข้าลองยืนในท่าที่เขาบอก เหมือนเขาก็จะรู้เลยลองเปลี่ยนเป็นแตะข้าเบาๆ เหมือนไม่ได้จับ ซึ่งทำให้ข้ารู้ว่าแบบนี้จะยืนสะดวกกว่า “จริงด้วย”

“แล้วลองเดินดู” เขากระซิบบอกพร้อมใช้เท้าแตะข้าเบาๆ เป็นการบอกให้ออกเดิน ซึ่งมันได้ผล แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาห่วงหรืออะไร แต่โซแวนไม่ยอมออกห่างข้าเลยช่วงหัดเดิน ทุกครั้งที่ก้าวเขาจะคอยเดินตามแล้วอ้าแขนเตรียมประคองตลอดเหมือนกับ...แม่จับลูกเดิน?

“อะแฮ่ม ข้ายังอยู่ๆ” เสียงจากผู้วิเศษกระแอมไอดังขึ้นทำให้ข้าหยุดชะงัก แล้วนึกขึ้นได้ว่า “ข้าถอดเครื่องประดับออกได้ยัง”

“ถอดเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ฝ่าบาท” เขาบอกทันที ทำให้โซแวนถอดเครื่องประดับศีรษะออกให้แล้วช่วยข้าถอดเสื้อออก เมื่อข้าอยู่ในชุดเดิมเรียบร้อยแล้ว ผู้วิเศษก็นึกอะไรออก

“จริงสิ ฝ่าบาท ท่านเองก็ต้องใส่อะไรบางอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ถึงความสำเร็จอย่างหนึ่งด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงของเขาข้าก็เผลอขมวดคิ้ว “หมายถึงอะไร?”

“อย่างสมัยพระบิดาของพระองค์ ท่านนำเขาของปีศาจกวางที่ออกมาทำลายพื้นสวนชาวบ้านมาหลอมเป็นดาบถืออีกมือพ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบทำให้ข้าครุ่นคิด “แล้วอย่างข้าจะไปหาของแบบนั้นมาจากไหน”

ผู้วิเศษคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ก่อนที่โซแวนจะพูดขึ้นว่า “เอาของข้าไหมล่ะ”

ข้าเลิกคิ้วขึ้นแล้วหันไปหาเขา โซแวนยื่นของสิ่งหนึ่งมาให้ มันเป็นเขี้ยวยักษ์ที่ขนาดเท่าฝ่ามือ ขณะที่เงยหน้าไปเป็นการสื่อว่านี่มันเป็นของตัวอะไรเขาก็ตอบมาทันทีไม่ให้สงสัยเลยว่า

“เขี้ยวข้าเอง”

“หา?”

“เขี้ยวเก่าข้าเอง มันหักมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้งอกใหม่แล้ว” โซแวนเอ่ยเสียงเรียบ ข้ามองเขี้ยวในมือแล้วเงยหน้ามองเขาสลับกันอยู่ครู่ใหญ่แล้วเผลอหลุดปากไปว่า “นี่เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่”

“เดี๋ยวก็ได้รู้เอง...ล่ะมั้ง” เขาบอกแต่เสียงช่วงสุดท้ายเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจสุดๆ แต่ข้าก็ไม่ได้คิดจะคาดคั้นอะไรเพราะยังไงเจ้าตัวก็คงบอกเองไม่ได้ แถมมีผู้วิเศษยืนยิ้มหน้าสลอนอยู่ในห้องด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

ข้าเลยเปลี่ยนไปมองนอกหน้าต่างก่อนจะสังเกตเห็นแสงสีที่มากกว่าคืนที่ผ่านๆ มา “วันนี้มีอะไร?”

“อ่ะ งานเทศกาลคงเริ่มแล้วขอรับ ปกติจะมีขึ้นก่อนพิธีขึ้นครองราชย์สองวัน จะลองไปดูไหมพ่ะย่ะค่ะ” ผู้วิเศษอธิบายก่อนจะหันมาถามความเห็นข้า ทันทีที่ข้าหันไปมองเขาด้วยใจที่ตื่นเต้นเขาก็พาข้ากับโซแวนไปทันที

ที่งานนั้นประดับไปด้วยโคมไฟสีสันสดใส และเสียงจ้อกแจ้กของผู้คน เพราะครั้งนี้มีผู้วิเศษมาด้วยเลยกลายเป็นว่าข้าไม่สามารถปิดตัวเองได้ ทันทีที่เห็นพวกข้า ประชาชนก็เงียบเสียงไปทันที

ผู้วิเศษกระแอมไอขึ้นแล้วผายมือมาทางข้าแทน “ฝ่าบาท ทรงจัดการเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า...” ข้าอดหันไปแยกเขี้ยวใส่เขาไม่ได้ ก่อนจะหันไปหาผู้คนที่เฝ้ารอแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแค่มาเดินดูนิดหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอก ทำตัวตามปกติเถอะ”

“ขะ...ขอรับฝ่าบาท” ใครบางคนเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มหน้าลงไปคุกเข่าทำให้คนอื่นทำตาม ข้าเลยต้องยกมือห้ามไว้ “อ๊ะ พอเถอะ ทำตัวกันตามปกติเลย”

“ขอรับฝ่าบาท” แต่ไม่มีใครคิดเงยหน้าขึ้นมาสักคนเดียว

ผู้วิเศษหัวเราะขึ้นแล้วพาข้าเดินผ่านพวกเขาไป แม้ตอนแรกพวกเขาจะเกร็งๆ อยู่บ้างแต่สักพักก็เริ่มทำตัวตามปกติทำให้ข้าโล่งอกมากขึ้น

“อ๊ะ ฝ่าบาท” เสียงร้องเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้นทำให้ข้าหันไปมองและพบว่าเป็นเร็น ข้างๆ นั้นคือรถเข็นที่คาร์ริต้านั่งอยู่

“พวกเจ้า...” ข้าเดินไปหาพวกเขาก่อนที่ยกยิ้มขึ้น “คืนดีกันแล้วเหรอ”

แค่นี้ข้าก็จะได้ตัดสนมออกไปได้คนหนึ่งแล้ว...

เร็นยกยิ้มขึ้นก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “ขอรับ แต่ในฐานะเพื่อนน่ะครับ”

“หา?” ข้าขมวดคิ้ว แต่กว่าจะได้ถามอะไรต่อเขาก็คว้าข้อมือของข้าไปจูบเบาๆ แล้วบอกว่า “ยังไงให้หัวใจของกระหม่อมก็มีแต่ฝ่าบาท”

“ดะ...เดี๋ยวสิ” ข้ารีบดึงมือของตัวเองกลับมา เจ้าเร็นท่าจะเพี้ยนไปจัดแล้วมาพูดต่อหน้าแฟนตัวเองแบบนี้มันค่อนข้างจะ... ข้ารีบหันไปมองคาร์ริต้าทันที เหมือนเร็นเองก็จะรับรู้ได้เลยบอกว่า “นางเองก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

“หา?” ข้าไม่รู้ตัวเองอุทานคำว่า ‘หา?’ เป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้ว แต่ตราบใดที่ยังมีเรื่องชวนงงแบบนี้เข้ามาเรื่อยๆ ข้าก็คิดว่าคงไม่จบง่ายๆ

คาร์ริต้ายกยิ้มขณะเคลื่อนรถเข็นมาหาข้าแล้วดึงมือข้าไปแนบไว้ที่หน้าอก “ฝ่าบาท ที่ทรงช่วยปลดปล่อยหม่อมฉันมานับเป็นพระคุณอย่างสูง ข้าประทับใจท่านเสียยิ่งกว่าอะไร ได้โปรดให้ข้าติดตามท่านด้วยเถิด”

พระเจ้า! นางก็ติดคำสาปข้าไปอีกคนแล้ว

ข้าสะดุ้งเฮือก ก่อนที่จะหันไปคาดโทษผู้วิเศษอีกครั้ง เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดเลยยิ้มกลับมาให้

“แล้วพวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่” โซแวนเข้าไปถามเร็น เขาเลยตอบด้วยรอยยิ้มว่า “กำลังช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับฝ่าบาทอยู่น่ะ”

“ทำไม ถ้าจะให้พูดตอนนี้พวกเจ้าก็มีสถานะเป็นคู่แข่งกันไม่ใช่รึ”

“โซแวน คาร์ริต้าโดนขังมาเป็นร้อยปียังไม่รู้ว่ามนุษย์ชอบอะไรบ้าง แล้วนางเป็นผู้หญิง ถ้าเกิดนางเลือกซื้อกางเกงในให้ฝ่าบาทละก็คงเป็นเรื่องน่าอับอายใช่ไหมล่ะ”

“ความสัมพันธ์พวกเจ้าช่างซับซ้อนจริงๆ ...” แว่วเสียงโซแวนพึมพำออกมาคล้ายกับว่าไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยังอุตส่าห์ไปถามต่อว่า “แล้วทีข้า...”
 
“กับเจ้ามันคนละระดับกัน...”

“ฝ่าบาท” เสียงอันไพเราะของคาร์ริต้าดังขึ้นทำให้ข้าละความสนใจจากสองคนนั้นแล้วหันมามองนางซึ่งส่งบางอย่างเขามาในมือข้า “นี่เป็นสร้อยที่ข้าตั้งใจมอบให้พระองค์เพคะ”

มันเป็นสร้อยจี้เปลือกหอยสีชมพูธรรมดา แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังเวทบางอย่าง “นี่คือ...”

“เครื่องรางจากข้า และก็...อาจเป็นการรบกวนไปบ้าง แต่ช่วยคืนสร้อยเส้นนั้นให้เร็นได้ไหมเพคะ” นางเอ่ยขึ้น ข้าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่า “ได้สิ”

“ขอบพระคุณเพคะ” นางเอ่ยตอบ ข้าคิดว่านางก็คงยังมีใจให้เร็นบ้างแต่... “เพราะสร้อยเส้นนั้นไม่คู่ควรที่จะทำให้ฝ่าบาทแปดเปื้อน...”

“...ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ แต่จะคืนให้เดี๋ยวนี้ละกัน” ข้าเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปหาเร็นแล้วส่งสร้อยคืนให้เขา อีกฝ่ายดูงงชั่วคราวแต่สวมกลับไปแต่โดยดี เขาเริ่มจะร่ายคำขอบคุณออกมาแต่โดนข้าห้ามไว้ก่อน “กลับไปเลือกของขวัญของเจ้าเถอะ”

“ขอรับฝ่าบาท”

เมื่อเสร็จสิ้นธุระกับเขา ข้าจึงเดินไปหาผู้วิเศษแล้วลากตัวเขาออกมาคุยกันส่วนตัว “ทำแบบนี้มันไม่ถูก!”

“ฝ่าบาท”

“คำสาปของเจ้า...แม้แต่คาร์ริต้า นางไม่ควรมาถูกคำสาปอย่างนี้!” ข้าขึ้นเสียง แบบนี้มันไม่ถูกต้อง แต่แรกนางรักเร็นคนเดียว ไม่สมควรที่จะมารักข้าแบบนี้

“ฝ่าบาท ใจเย็นก่อน และฟังข้า...แบบนี้มันดีแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบาพร้อมกับบีบไหล่ทั้งสองของข้าเบาๆ

“ทำไม?” ข้าเอ่ยถามขึ้น ผู้วิเศษไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรได้เลย แม้แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่เข้าใจเขาสักนิดเดียว

ผู้วิเศษถอนหายใจก่อนจะบอกอย่างเชื่องช้าว่า “แม้ว่านางจะยังรัก แต่เร็นไม่ได้รักนางแล้ว ถึงจะรู้ว่านางเคยเป็นผู้ช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเหลือแล้ว พระเจ้าทำให้เขาลืมเรื่องของนางไปหมดสิ้นแล้ว เหลือก็แค่ความรู้สึกว่าเป็นผู้มีพระคุณเท่านั้น”

ข้านิ่งเงียบไปเพื่อคิดหาทางแก้ไข ก่อนจะระบายออกมาว่า

“แต่ข้าไม่ชอบที่ต้องเห็นคนเคยรักกันต้องมาเป็นเหมือนศัตรูกัน” ข้าเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเสริมต่อว่า “และข้ารู้สึกไม่สบายใจที่มันเป็นเพราะข้า”

ผู้วิเศษยกยิ้มขึ้นก่อนจะบอกว่า “ฝ่าบาท หากเป็นประสงค์ของพระองค์พวกเขาก็จะไม่มีทางเป็นศัตรูกันแน่ขอรับ”
ข้าไม่ได้ตอบอะไรออกไป

คำถามที่ว่าตัวตนของพวกเขาเวลาอยู่กับข้าเป็นตัวตนจริงๆ หรือเป็นเพราะคำสาปกันแน่...ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เขากลับรับรู้ได้จึงดึงข้าไปกอดแล้วขอร้องขึ้น

“โปรดเชื่อใจความรู้สึกของพวกเขา”

[/size]
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 6>
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 15-01-2018 08:14:22
สนุก นะรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 6>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 28-01-2018 19:55:55
บทที่ 7
ฝันลวงยามค่ำคืน

หลังจากเดินดูงานเทศกาลกับผู้วิเศษ ข้าก็ต้องกลับมานั่งทำงานต่อ ส่วนพวกเขาก็ไปพักผ่อนตามที่ข้าสั่ง ยามกลางคืนนั้นเงียบสงบเหมาะกับการทำสมาธิและสะสางงานเอกสารที่เหลือ แม้จะปล่อยตัวไปเที่ยวเตร่บ้าง แต่ก็มีเวลาให้คิดวางแผนสำหรับอนาคตในภายภาคหน้าของคาร์ไลน์

ข้าจรดปากกาขนนกลงบนกระดาษ ร่างสิ่งที่คิดออกมา ขณะเดียวกันก็ขบคิดเรื่องการตามหาครีออน ไม่กี่วันก็จะถึงพิธีครองราชย์ ความปรารถนาของข้าตอนนี้คืออยากให้เขามาร่วมพิธีด้วยมากกว่าไปเผชิญความทุกข์ยากข้างนอก

ข้าปล่อยใจตัวเองจนเหม่อลอยไปนานขณะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกที บรรยากาศรอบตัวกลับแปลกไป แต่กลับชวนให้คิดถึงอย่างน่าประหลาด พอลุกขึ้นเดินสำรวจรอบๆ พบว่าข้าวของบางอย่างไม่เหมือนเดิม ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ามีใครเข้ามาจัดของตอนข้าไม่อยู่หรือ?

แต่มันเป็นไปไม่ได้

ข้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเดินออกไปข้างนอก อาจเป็นเพราะนี่ก็ดึกมากแล้วจึงไม่มีคนพลุกพล่านเท่าตอนกลางวัน ทว่า...กลับมีใครบางคนกำลังเดินมา

“ทีอารีน เจ้ามาทำอะไรในห้องของข้า” น้ำเสียงที่ดังขึ้นทำให้ข้าสะดุ้งเฮือกก่อนที่จะหันไปตามต้นเสียง เงาร่างที่ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นยามเดินใกล้เข้ามาทำให้ข้ารู้สึกเหมือนจมอยู่ในน้ำชั่วขณะ

“เสด็จพ่อ...”

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวพร้อมกับหรี่ตาลงคล้ายไม่ไว้ใจ เหมือนเขาจะตำหนิอะไรอีกแต่ข้าไม่ได้ฟัง เพราะยังคงสับสน

ก็เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ทำไมถึงได้...

“ทีอารีน ฟังอยู่หรือเปล่า” ข้าสะดุ้งเฮือกทันทีก่อนที่จะกล้าเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง แม้จะไม่ได้สัมผัสแต่คนคนนี้คือเสด็จพ่อจริงๆ

แต่...ทำไม...เรื่องนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

ข้ากัดฟันกรอดก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป ไม่สนแม้แต่เสียงเรียกห้ามของเขา ไม่สิ แต่เดิมเขาก็ไม่คิดห้ามอะไรอยู่แล้ว เพื่อต้องการให้พวกข้าตายใจ เขาปล่อยให้มีการซ่องสุมพวกที่ไม่เห็นด้วย ส่งสายลับมารวมกับผู้ที่คิดจะปฏิวัติ และทำลายให้สิ้นซาก...

“เจ้าตัวน่ารังเกียจ หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” คำเรียกที่ดังไล่หลังมาทำให้ข้าชะงัก ราวกับหัวใจถูกบาดลึกเข้าไปในส่วนที่เก็บซ่อนไว้ แต่ไม่ได้ทำให้ข้าหยุด เพื่อที่จะหาคำตอบต่อให้ต้องขัดคำสั่งก็ต้องยอม

“ทหาร จับมันไว้!”

ข้ารีบวิ่งสุดแรงจนกระทั่งไปถึงหน้าห้องที่ต้องการ ผู้วิเศษต้องรู้แน่ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทว่า...

“ผู้วิเศษ...!”

ห้องที่เขาเคยอยู่บัดนี้กลับไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต ข้าตัวสั่นไปชั่วขณะก่อนจะกัดฟันวิ่งต่อไปเพื่อไปยังห้องของคนอื่นๆ ผู้ที่เป็นผู้ติดตามของข้า จะต้องไม่ทอดทิ้ง...

“โซแวน! เร็น! คาร์ริต้า! อาคีรัส! นอร์ธวินด์! ซีวาล!” ทว่ากลับไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่น้อย มือของข้าเย็นเฉียบขึ้นทันที รู้สึกหายใจไม่เป็นจังหวะ

พวกเขาหายไปไหน ทำไม...

“เกิดอะไรขึ้น?” ข้ากุมหัวอย่างสับสน ราวกับว่าคำสาปของผู้วิเศษไม่ได้ผลแล้ว และ ‘มัน’ ยังกลับมาหล่อเลี้ยงคนอื่นอีกครั้ง

คำสาปที่ทำให้ข้าต้องถูกเกลียดชังมานานหลายปี

ไม่...แต่มีคนหนึ่งที่ไม่เป็นผล

ต่อหน้าทหารที่เริ่มวิ่งกันมา ข้ารีบวิ่งไปยังห้องในสุดที่น้อยคนจะได้เข้าไปแล้วผลักประตูออกเต็มแรง “ครีออน!”

ข้าตะโกนเรียกชื่อน้องชายสุดเสียง แต่แล้วก็ต้องตัวแข็งค้างเมื่อในห้องไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่น้อย เหลือเพียงกองเลือดที่ทำให้ข้าใจหายกับศพทหารที่เกลื่อนพื้น

“ครีออน...”

นี่มัน...

“อย่าขยับ เจ้าตัวการก่อกบฏ!” ขณะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ทหารของเสด็จพ่อก็วิ่งตามมาทันและล้อมไว้ ทำให้ข้านึกอะไรได้ สถานการณ์แบบนี้ข้าเคยเจอมาก่อน...

ข้าหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา แม้จะรู้ว่าตอนนี้ตัวเองสับสนมากแค่ไหน และผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้าก็คือเสด็จพ่อจริงๆ ใบหน้าของเขานั้นดูเกรี้ยวกราด แววตาที่มองลงมาราวกับกำลังมองสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ

เพี๊ยะ!

และเขาก็ฟาดฝ่ามือลงมาตบแก้มขวาของข้าทันที ความรุนแรงนั้นทำให้หน้าชาไปพักหนึ่ง แต่มันคงยังไม่สาแก่ใจของเสด็จพ่อ เขาเลยพุ่งมือมาบีบคอของข้าด้วย

“ส...เสด็จ...พ่อ อึ่ก”

“เจ้าลูกไม่รักดี เพราะแก อะไรๆ ก็ล้มเหลวไปหมด แกมันตัวซวย” คำด่าทอดังออกมาจากปากเสด็จพ่อทันที เขาไม่ยอมฟังคำของข้า แม้ไม่อยากจะได้ยินแต่คำพูดของขุนนางและคนในวังกลับโผล่มาวนเวียนในหัวอีกครั้ง

“ร่างกายก็อ่อนแอ แถมการต่อสู้ก็ไม่เอาอ่าว ฝ่าบาทจะทรงเก็บไว้ทำไมก็ไม่รู้”

“ที่ต้องทำเป็นดีด้วยก็เพราะเป็นถึงโอรสของพระราชาละนะ”

“คนแบบนี้เหรอจะขึ้นเป็นพระราชา ไม่เอาหรอกนะ”

หยุดนะ...

“ไสหัวไปไกลๆ เลย โอ๊ะ อย่าคิดเอาไปฟ้องเสด็จพ่อของเจ้าเด็ดขาดนะ”

“ไม่รู้ตัวหรือไงว่าคนเขาเกลียดแก หัดคิดซะบ้างสิ”

“ไปตายซะ”

หยุด พอดี! อึดอัด ทรมาน

ใครก็ได้...ช่วยด้วย

   …

“เฮ้ ทำใจดีๆ ไว้” เสียงที่ดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า เหมือนภาพทุกอย่างถูกตัดทิ้งไปจนมองไม่เห็นอะไร ก่อนที่ข้าจะรู้สึกถึงแรงเขย่าเล็กน้อย

เพราะอยู่ในสภาพที่หายใจไม่สะดวกมานานข้าเลยเริ่มสูดหายใจเข้าแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ภาพเบื้องหน้าเริ่มปรากฏชัดเจน ข้ากำลังถูกเขาประคองกอดไว้ โซแวนมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบเดิมแต่ปนไปด้วยความสับสน

“โซแวน”

“เกิดอะไรขึ้น...” เขาถามทำให้ข้าได้สติ เมื่อหันไปมองรอบๆ ข้าก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่โต๊ะทำงานแล้ว ออกจะเป็นกลางห้องเลยมากกว่าจึงได้เบนสายตาไปมองโซแวนอีกครั้งเพื่อขอคำตอบ

“ข้าเข้ามาเห็นเจ้าหลับอยู่บนโต๊ะเลยจะอุ้มไปส่งที่เตียง แต่จู่ๆ เจ้าก็ละเมอแล้วทำหน้าเหมือนคนจะตาย” เขาอธิบายให้ฟังทำให้ข้าอดลูบลำคอไม่ได้ รู้สึกเหมือนเกิดขึ้นจริงทุกอย่าง อาจเป็นเพราะมันเคยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต

“ข้าอาจแค่ฝัน” ข้าตอบไปด้วยเสียงที่แหบพร่า โซแวนอุ้มข้าขึ้นไปนั่งบนเตียงก่อนจะถามย้ำ

“ฝันร้าย?”

“ใช่ แต่...มันเหมือนจริงมาก มัน...” ข้าอยากจะเล่าให้เขาฟังแต่กลับติดขัดไปหมด รู้ว่าต้องอธิบายแต่ก็ไม่อยากเอ่ยถึง

“ข้าฝันว่าไม่มีใครอยู่เลย แม้แต่น้องชายข้า แถมท่านพ่อก็ต้องการจะฆ่าข้าอีก ข้า...” เนิ่นนานกว่าจะสามารถพูดออกมาได้ โซแวนนั่งฟังอยู่เงียบๆ ไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ แต่ไม่นานเขาก็เอื้อมมือมากอดข้าไว้ แล้วปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“นั่นแค่ฝันร้าย มันจะไม่มีวันเป็นจริง ข้าจะอยู่ข้างเจ้าเสมอ พวกเร็นเองก็ด้วย”

“แต่...” ข้าเอ่ยขึ้นค้างไว้ ลังเลอยู่ชั่วครู่ในที่สุดก็กล้าพูดว่า “แต่มันก็เป็นเพราะคำสาป...”

ทั้งคนในปราสาทแห่งนี้ ประชาชน หรือกระทั่งพวกโซแวนเองก็ล้วนจงรักภักดีกับข้าเพราะคำสาปของผู้วิเศษ ความลุ่มหลงที่เป็นเหมือนสิ่งเยียวยาและยาพิษในเวลาเดียวกัน

“จะมีคำสาปของผู้วิเศษหรือไม่ พวกข้าก็คือพวกข้า ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ข้างเจ้า เพราะฉะนั้นไม่มีวันทรยศแน่นอน” เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ไร้ความจริงจังเหมือนท่าที่เฉื่อยชาอันปกติของเขา แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกโล่งอกได้ “ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น ทีอารีน”

ข้ากัดฟันแน่นก่อนจะเอื้อมมือไปกอดเขาไว้ แม้คำพูดของเขาจะได้ผลแต่ฝันร้ายยังคงทิ้งความน่ากลัวไว้ในจิตใจ ดังนั้นข้าเลยต้องทำสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีที่สุดก่อน

เขาไม่ได้พูดอะไร และปล่อยให้ข้ากอดอยู่แบบนั้นจนกระทั่งข้าเผลอหลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเป็นช่วงเช้ามืดของอีกวัน และข้างๆ ข้าก็เป็นโซแวนที่ยังหลับอยู่ ดูท่าว่าเขาจะอยู่กับข้าทั้งคืน

อาจเป็นเพราะเมื่อวานข้ามัวแต่หวาดกลัวเลยไม่ทันได้สังเกต หรือเคยเห็นไปแล้วแต่ไม่ได้ทักเลยตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าหมอนี่ไม่ได้ใส่อะไรเลยมีแค่ผ้าปิดบังส่วนนั้นแค่นั้น ซึ่งมันแทบไม่ช่วยอะไรเลย

“โซแวน! ตื่นได้แล้ว” ข้ารีบเอาผ้าห่มมาปิดบังส่วนที่ดูน่าอายนั่นก่อนจะเขย่าให้เขาตื่นขึ้นมา โซแวนขมวดคิ้วยุ่งแล้วทำเสียงงัวเงียใส่

“ยังไม่เช้าเสียหน่อย...”

“แต่ข้าไม่อยากนอนร่วมกับคนบ้าเปลือยอย่างเจ้า ลุกไปหาอะไรมาใส่เดี๋ยวนี้”

“ใส่แล้ว...ปิดแล้วไง”

“ก็เห็นอยู่ดี!” ข้ารีบดันโซแวนให้ลุกขึ้น ทว่าเจ้าหมอนี่ยังไม่ยอมไปไหนแถมยังขัดขืนเสียอีก เขาจับแขนข้าดึงเข้าหาตัวก่อนจะกดไว้ด้วยแขนอีกข้าง

“แต่เจ้าก็ชอบไม่ใช่หรือไง” เรื่องที่เขาเอ่ยขึ้นทำให้ข้าสะดุ้งโหยงแล้วมองเขาเขม็ง

“เจ้าพูดเรื่องอะไร?”

“อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสาไปหน่อยเลยน่า ก็เจ้าชอบแบบนี้ไม่ใช่หรือไง” โซแวนเอ่ยขึ้นพลางแสยะยิ้ม หนำซ้ำยังบังคับจับมือข้าลูบท้องของเขาอีก และเพราะแบบนั้นทำให้ข้ารู้สึกร้อนวาบขึ้นมา

ข้ากัดฟันกรอดเพื่อข่มอารมณ์อายตอนนั้นแล้วส่งเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “ใครบอกเจ้า”

“ผู้วิเศษ”

ไอ้หมอนั่นอีกแล้ว!

“ข้าเคยถามเขาว่าทำไมถึงเลือกพวกข้า แล้วเขาก็บอกว่าเจ้าชอบอย่างนี้” โซแวนเล่าต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแต่ก็ทำอะไรหมอนี่ไม่ได้ ก็คนที่ผิดนั่นมันผู้วิเศษ ข้าเลยแค่ชักมือกลับมาแล้วลุกขึ้นจากเตียง

“ไม่ได้ปฏิเสธแสดงว่าจริงสินะ”

“ก็แล้วจะทำไมเล่า!?” ข้าขึ้นเสียงกลับด้วยความโมโหก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น ก็ไม่ได้คิดจะโกหกหรือปิดบังอะไร ในเมื่อเขารู้แล้วข้าก็ไม่อยากบอกปัดให้มันมากความ เพียงแค่จดบัญชีไว้ไปคืนกับผู้วิเศษหลังอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น

ครั้งแรกที่ผู้วิเศษตำหนิข้าว่าไม่รู้จักหาความสุขเข้าตัวเขาก็สาธยายหญิงงามที่เคยมาถวายตัวรับใช้เสด็จพ่อให้ฟัง เมื่อเห็นข้าไม่สนใจ ไปๆ มาๆ เขาก็สรุปเออเองว่าข้าไม่ได้ชอบผู้หญิง หนำซ้ำยังรู้ไปอีกว่าข้าสนใจผู้ชายที่มีกล้ามเนื้อดีๆ มากกว่า เขาเลยยิ้มให้แล้วหายไปพาตัวพวกเร็นมา พร้อมบอกข้าว่าเป็นสนมที่จะมารับใช้

และเพราะเขาหามาจากรสนิยมของข้า ข้าเลยปฏิเสธไม่ได้

“ฮึ” โซแวนหลุดขำพรืดออกมาทำให้ข้าตื่นจากภวังค์แล้วหันกลับไปมองเขา...ที่ยังไม่ใส่อะไรเหมือนเดิม หมอนั่นอ้าแขนออกแล้วบอกพร้อมรอยยิ้มมุมปากว่า “จะเข้ามาลูบคลำก็ได้นะ ก็ข้าเป็นสนมของเจ้านี่”

ข้าชะงักไปครู่ใหญ่ก่อนที่จะรู้สึกว่าหน้าร้อนวาบ รู้สึกเหมือนมือไม้อ่อนแรง ทว่า...

“เจ้าเข้ามาทำอะไรในห้องฝ่าบาทยามนี้กันไม่ทราบ?” น้ำเสียงคุ้นหูที่ดูขุ่นมัวดังขึ้นพร้อมกับแรงกอดจากข้างหลังทำให้ข้าสะดุ้งโหยง เมื่อเบนสายตาขึ้นไปมองก็พบว่าเป็นนอร์ธวินด์ที่จ้องเขม็งไปยังโซแวน

เจ้าเองก็แอบเข้ามาในห้องข้ายามวิกาลเหมือนกันนะ!

“เจ้า...” เสียงของโซแวนขาดห้วงลงก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วแน่น “เป็นใครกัน”

ข้ารู้สึกได้ว่าคนที่พยายามทิ้งน้ำหนักลงมาที่ข้าเสียหลักไปวูบหนึ่ง

“ชื่อของข้าคือนอร์ธวินด์ เป็นหนึ่งในผู้ติดตามของฝ่าบาท หัดจำไว้ด้วย” นอร์ธวินด์แนะนำตัวอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น ปกติเขาไม่ใช่คนแบบนี้ ออกจะเป็นคนขี้เล่นด้วยซ้ำ “โซแวน ตอบข้ามาว่าทำไมถึงมาอยู่ในห้องของฝ่าบาทด้วยสภาพเช่นนี้”

อา...จะว่าไปใครมาเห็นก็คงรับไม่ได้ทั้งนั้นแหละนะ

ข้าเหลือบไปมองโซแวนอีกครั้งด้วยสายตาเอือมระอาก่อนจะสั่งเขาว่า “โซแวน ไปหาอะไรใส่ก่อน วินด์เราต้องคุยกันก่อน”

พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร คนหนึ่งเดินไปคว้าเสื้อคลุมมาปิดไว้ ข้าก็เพิ่งเห็นว่าเขามีเสื้อคลุมมาแต่ไม่ยักใส่ ส่วนนอร์ธวินด์แค่รออยู่เงียบๆ

เมื่อทุกอย่างดูจะเรียบร้อยแล้วข้าจึงหันไปหานอร์ธวินด์ “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนะ เมื่อคืนข้ามีปัญหา...จู่ๆ ก็ฝันร้าย แต่เขาเข้ามาพอดีเลยให้อยู่เป็นเพื่อน”

แต่อีกฝ่ายกลับขมวดคิ้ว แล้วหันไปถามโซแวนว่า “แล้วเจ้าเข้ามาในห้องฝ่าบาททำไม”

“ข้ารู้สึกไม่ชอบมาพากลเลยมาดูน่ะ เหมือนกับสัมผัสได้ถึงเวทมนตร์ดำบางอย่างจากห้องนี้” คำพูดของเขาทำให้ทั้งข้าและนอร์ธวินด์ชะงัก โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่ถึงกลับคิดไม่ตก

“มนตร์ดำ? ทำไมที่นี่ถึงมีของแบบนั้น” นอร์ธวินด์พึมพำขึ้นอย่างสงสัย

“ไม่รู้ อาจจะฝากมากับลม...หรือสัตว์อื่น แต่ก็เป็นแค่เวทที่ทำให้รู้สึกไม่ดีแค่นั้นแหละ ไม่มีผลร้ายแรงอะไร” โซแวนตอบแทนก่อนจะหันไปหยิบบางอย่างมาจากโต๊ะของข้า เป็นเขี้ยวที่เขาให้ไว้ “ติดตัวเอาไว้ตลอด อย่างน้อยก็ทำให้ข้ารู้ได้ถ้าเจ้าอยู่ในอันตราย”

“เห็นทีข้าต้องบอกกับผู้วิเศษให้กางข่ายมนตร์เพิ่ม” นอร์ธวินด์พึมพำขึ้นก่อนที่เขาและโซแวนจะช่วยกันตรวจสอบรอบๆ ห้อง เมื่อไม่มีอะไรผิดปกติจึงได้มาหยุดยืนอยู่หน้าข้า

“ไม่มีอะไรผิดปกติแล้ว” นอร์ธวินด์รายงานก่อนที่จะถอดถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ข้าไม่อยู่ทั้งคนล่ะหละหลวมกันเสียจริง แล้วทำไมกันนะผู้วิเศษถึงชอบส่งข้าไปทำภารกิจไกลๆ เรื่อยเลย”

ข้าเผลอยิ้มเหยเกออกมา ก็ถ้าว่ากันด้วยความชอบลวนลาม หมอนี่ชอบมาเป็นที่หนึ่งแล้วตอนนี้เป็นช่วงยุ่งของข้า เขาเลยกลายเป็นเป้าหมายที่ผู้วิเศษต้องส่งออกไปไกลๆ ไม่ให้มารบกวน

แต่เหมือนจะไม่ค่อยเป็นผล เมื่อทุกอย่างดูจะเรียบร้อยแล้วนอร์ธวินด์ก็ส่งยิ้มออกมาแล้วยกมือขึ้นแตะที่หน้าอกตนเอง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสดใสแฝงจุดประสงค์ไว้

“ถ้าพระองค์ฝันร้ายละก็ให้ข้าช่วยไหม”

“ยังไง?” ข้าขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายกลับเผยยิ้มออกมาแล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ ขณะที่ข้ากำลังเบือนหน้าหนีเขาก็ใช้มือดันให้รับจูบเสียดีๆ

ข้ารู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งตัวก่อนที่จะมีความรู้สึกได้ว่าพลังเวทในตัวเริ่มหดหายไปเหมือนกับตอนที่อยู่กับเร็น แต่ครั้งนี้กลับมีพลังบางอย่างเข้ามาแทนที่

เพียงไม่นานนอร์ธวินด์ก็ถอนจูบออก ทั้งที่เป็นช่วงเวลาที่ไม่นานแต่กลับรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงมันหายไปทั้งหมด

“เจ้า...เจ้าทำอะไร แฮ่ก” ข้าเอ่ยถามขึ้นขณะที่พยายามปรับลมหายใจให้เป็นเหมือนเดิม รู้สึกว่าใบหน้าร้อนวูบวาบอีกครั้ง นอร์ธวินด์ยิ้มตาหยีก่อนจะเฉลยขึ้น

“เป็นการร่ายเวทคุ้มครองด้านความฝันขอรับ แต่เพราะมันค่อนข้างควบคุมอยากเลยเผลอดูดพลังเวทฝ่าบาทมาแทนด้วย”

“ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้หรือไง” ข้าเอ่ยไปด้วยน้ำเสียงขุ่นก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนอนอีกครั้งและเพิ่งเห็นว่าโซแวนยังจ้องมองมาสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนที่จะหันไปหานอร์ธวินด์แล้วเอ่ยขึ้นอย่างชัดเจน

“ทำดีมาก”

“ใช่ไหม สีหน้าแบบนี้มันกระตุ้นดีใช่ไหมล่ะ”

“พวกเจ้า!” ข้าตวาดเสียงดัง อยากจะไล่ออกจากห้องไปให้พ้นๆ แต่ก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นเลยต้องให้อยู่เฝ้าก่อน ข้าแค่พักเอาแรงครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งเงียบๆ ไม่นานด้านนอกก็สว่างพร้อมกับประตูที่เปิดออกโดยผู้วิเศษ

สีหน้าของเขาตอนนี้ไร้ซึ่งรอยยิ้มซึ่งหาดูได้ยาก เจ้าตัวเดินเข้ามาพร้อมกับหันไปมองทั้งสองคน

“พวกเจ้าทำดีมาก...” ผู้วิเศษเอ่ยชมขึ้นเสียงเรียบก่อนที่ข้าจะรู้สึกว่าบรรยากาศของเขาเปลี่ยนไปเมื่อพูดประโยคถัดมา “แต่ทั้งการเปลือยแล้วถือวิสาสะนอนข้างๆ หรือการจูบแล้วอ้างมาร่ายเวทก็ทำให้ข้ารู้สึกผิดมหันต์ที่เลือกพวกเจ้า”

“น่าๆ” นอร์ธวินด์หัวเราะอย่างไม่ถือสาก่อนที่จะถามขึ้นว่า “แล้วเรียกข้ากลับมาทำไม?”

“มีเรื่องที่จะต้องพูด ก่อนอื่นฝ่าบาท ขอเชิญที่ห้องประชุมด้วยครับ” ผู้วิเศษหันกลับมาหาข้าแล้วเดินนำออกไป ข้าเดินตามไปเงียบๆ โดยมีทั้งสองคนคุ้มกันอยู่ข้างหลัง

ที่ห้องประชุมนั้นอยู่ลึกเข้าไป เป็นส่วนลับของปราสาทก็ว่าได้ ถ้าไม่ใช่การประชุมที่ใหญ่จริงๆ จะไม่ค่อยมีใครใช้ห้องนี้ แต่บัดนั้นถูกเปิดออก ผู้ที่รออยู่ด้านในคือเหล่าผู้ติดตามของข้า

“มากันครบแล้วล่ะ” ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นแล้วเชิญข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวในชุดอันเป็นที่ของประมุข ส่วนตัวเขานั่งอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกันข้ามพอดี ระหว่างพวกเราเป็นผู้ติดตามของข้าทั้งหมด

“มีอะไรถึงต้องเรียกมาประชุมด่วนขนาดนี้” โซแวนที่นั่งอยู่ใกล้ข้าที่สุดเช่นเดียวกับเร็นเอ่ยถามขึ้น เขาเองก็น่าจะรู้พร้อมข้า แต่ก็ปักใจเชื่อไม่ได้ ทั้งพวกเขาและผู้วิเศษต่างก็มีความลับที่ไม่ยอมบอกข้าทั้งนั้น

“เกี่ยวกับพิธีขึ้นครองราชย์ของฝ่าบาท” เขาเกริ่นขึ้นก่อนจะบอกว่า “ข้าเห็นนิมิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกมันเริ่มเล่นงานพวกเราแล้ว เพื่อให้อสูรสามารถออกมาได้และทำลายตาข่ายของพระเจ้า”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับพิธีขึ้นครองราชย์ล่ะครับ” เป็นอาคีรัสที่ถาม แต่คำถามนั้นข้าเองก็สามารถเดาได้

“ในวันพิธี ผู้ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ของคาร์ไลน์จะได้รับคำอวยพรจากพระเจ้า และอาวุธที่สืบทอดต่อกันมาว่ากันว่าสามารถโค่นล้มได้แม้แต่พระเจ้าเอง พวกมันต้องการสิ่งนั้นใช่ไหม” ข้าอธิบายในสิ่งที่คาดการณ์ได้และถามกลับ

“ถูกต้องแล้วครับฝ่าบาท อาวุธที่ทำลายได้แม้แต่พระเจ้า ใครๆ ก็อยากได้ทั้งนั้น แต่ว่า...ผู้ที่ถือครองมันได้มีแค่ผู้สืบสายเลือดโดยตรงของกษัตริย์แห่งคาร์ไลน์เท่านั้น” ผู้วิเศษอธิบายต่อก่อนจะเสริมขึ้นอีกว่า “และในวันนั้นเวทมนตร์ที่ใช้คุ้มกันคาร์ไลน์จะอ่อนแอลงอย่างมาก แม้แต่พลังของข้าเองก็จะอ่อนแอด้วย”

“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหรือคะ?” คาร์ริต้าเอ่ยถามขึ้น

“เป็นช่วงที่อาวุธซึ่งเป็นแกนพลังไร้ซึ่งคนครอบครอง และจะเริ่มกลับทำงานได้ใหม่เมื่อรับมอบอาวุธกันเสร็จสิ้นแล้ว”

“อย่างนี้นี่เอง นั่นหมายความว่าช่วงที่ฝ่าบาทยังรับมอบไม่เสร็จอาจจะมีพวกอสูรลักลอบเข้ามาก็ได้สินะขอรับ” เร็นเอ่ยขึ้นเมื่อเขาเข้าใจก่อนที่จะเสริมขึ้นว่า “หนำซ้ำพวกที่คิดจะกำจัดเราก็จะเข้ามาได้ด้วย”

“ก็ไม่รู้ว่าพวกนั้นเล็งช่วงไหนไว้น่ะนะ แถมศัตรูมีจำนวนมากเท่าไรก็ไม่อาจทราบได้ ยังไงก็ต้องพึ่งพวกนายด้วย ถึงวันนั้นจะมีผู้ถูกเลือกคนอื่นมาร่วมบ้างแต่ก็อย่าประมาทล่ะ” ผู้วิเศษเตือนขึ้นก่อนที่จะหันไปทางนอร์ธวินด์เพียงคนเดียว “แล้วก็นอร์ธวินด์ ข้าอยากให้เจ้ารับหน้าที่ดูแลฝ่าบาทเมื่อเกิดภัยอะไรขึ้น เพราะนายเป็นคนเดียวที่บินได้ น่าจะไปถึงตัวฝ่าบาทได้เร็วที่สุด”

“เชื่อมือได้เลย” เขายกยิ้มขึ้นก่อนจะหันมาทางข้าแล้วก้มหัวลง “ฝ่าบาท เชื่อมือกระหม่อมได้เลยขอรับ”

“แล้วก็...ฝ่าบาทมีอะไรจะพูดไหมขอรับ” จู่ๆ ผู้วิเศษก็โยนมาถามข้าด้วยรอยยิ้มทำให้ข้าอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ในช่วงที่กำลังคิด

ข้าในตอนนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นราชาเต็มตัว แม้ใครก็เรียกแบบนั้นจนชินปากเพราะบัลลังก์จะว่างเว้นไม่ได้ ทั้งที่ทำหน้าที่นี้มาพอสมควรแต่ข้ากลับรู้สึกไม่ชินเสียเลยเมื่อรู้ตัวว่าจะต้องขึ้นเป็นกษัตริย์จริงๆ ข้ายังมีคุณสมบัติไม่พอ ที่พวกเขารักใคร่ก็เพียงเพราะคำสาป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรสนว่าจะมีใครรักข้าหรือไม่

ข้าแค่ต้องเดินไปตามทางที่ตนเองเห็นควร ทางของราชา...ที่เป็นผู้นำของทุกคน

“เหล่าผู้ติดตามของข้า หากในวันนั้นเกิดเรื่องอะไรที่เป็นภัยร้ายแรงขึ้นมา ขอฝากประชาชนของข้าไว้ด้วย ปกป้องพวกเขาให้เหมือนกับที่พวกเจ้ามีใจจะปกป้องข้า”

“ขอรับ!”


-------------------------
คอมเม้นท์ติชมเป็นกำลังใจกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 7>
เริ่มหัวข้อโดย: DekPed ที่ 07-02-2018 20:41:07
 :hao3:  รอๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 7>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 23-02-2018 19:07:36
บทที่ 8 (ครึ่งแรก)
พิธีขึ้นครองราชย์
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อทุกคนมุ่งความสนใจในการเตรียมงานพิธี  ด้วยความตั้งใจนั้นทำให้งานในวันนี้เหมือนจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

แต่เมื่อผู้วิเศษบอกว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี  ร้อยทั้งร้อยย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  ไม่มีทางราบรื่นจริงๆ  หรอก

ข้าพยายามปั้นยิ้มตามที่ได้รับการอบรมมากับทุกคนที่เข้าเฝ้า  ช่วงเช้านั้นพิธีจะดำเนินอยู่แค่ในปราสาท  การต้อนรับราชาต่างแคว้นหรือผู้นำคนสำคัญเป็นหน้าที่ของข้าและขุนนางอาวุโสหลายท่าน 

ด้วยอำนาจของคำสาปทุกคนเลยไม่มีท่าทีรังเกียจข้า  กระทั่งคนที่เคยดูถูกเหยียดหยามหรือทำร้ายข้ายังพูดเยินยอจนรู้สึกสะอิดสะเอียน  จะเป็นปัญหาแค่ที่มีบางคนเริ่มลามปาม  แต่เพราะมีผู้ติดตามอยู่ด้านหลังตลอดเลยไม่มีใครกล้าหือ

ส่วนพิธีช่วงบ่ายคือการพบปะกับประชาชน  ว่ากันตามตรงข้าประหม่าเสียยิ่งกว่าการเจอคนนอกแคว้นเสียอีก  ถึงตอนเด็กจะเคยออกไปเล่นข้างนอกหรือแม้กระทั่งเคยหนีเที่ยวในช่วงก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้วก็ตาม

ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงบันไดทางขึ้น  ด้านหน้าคือส่วนมุขที่ยื่นออกไป  เป็นที่สำหรับให้ราชาพบปะกับประชาชน  ตอนนี้ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงาม  ผู้วิเศษที่เหมือนจะรู้สึกถึงความกังวลได้จึงหันมาเรียกข้าแล้วส่งยิ้มปลอบโยนให้  อย่างน้อยพอรู้ว่ายังมีพวกเขาอยู่ก็ทำให้ข้าโล่งใจได้บ้าง  เมื่อก้าวพ้นขอบประตูโค้งไปยังหน้ามุขนั้นก็พบประชาชนหลายพันคนที่ยืนรออยู่เบื้องล่าง

ท่ามกลางเสียงสรรเสริญร้องต้อนรับ  ข้าเกือบพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นเป็นสัญญาณ  สรรพเสียงทุกอย่างพลันเงียบลง  สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือการกล่าวดำริเพื่อให้ประชาชนไว้วางใจ  ข้าจึงได้หลับตาครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ประชาชนของข้า  ยามนี้ทั้งดินแดนและโลกของเราต้องเผชิญกับอสูรที่อาจนำไปสู่การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ได้  แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวล  เพราะข้า  ทีอารีน  คาร์ไลน์  มอร์ฟอร์ด  ราชาของพวกเจ้าขอให้คำสัตย์สาบานว่าจะปกป้องพวกเจ้าแม้ตัวจะตาย  และจะปกครองดินแดนนี้ด้วยความชอบธรรม!”

เสียงเฮลั่นดังขึ้นเมื่อสิ้นเสียงของข้า  พร้อมกับมีเสียงสรรเสริญทั่วทุกหนแห่ง  ข้ายืนอยู่ที่ตรงนั้นครู่ใหญ่แล้วตัดสินใจเดินกลับเข้าไป  หลังจากนี้คือพิธีที่ชาวบ้านต่างเฝ้ารอและเป็นช่วงที่ทหารและผู้ถูกเลือกที่ได้รับมอบหมายต้องเฝ้าระวังอย่างถึงที่สุด

เพราะมีความเป็นไปได้ว่าปีนี้อาจมีอสูรบุกเข้ามาช่วงที่ทำพิธี  ดังนั้นแล้วผู้ถูกเลือกส่วนหนึ่งจึงได้ถูกจ้างวานให้มาช่วยคุ้มกันด้วย 

พิธีต่อไปคือการรับมอบศาสตราที่สืบทอดกันมา  หมายความว่าข้าต้องใส่ชุดพิธีการที่แสนยุ่งยากนั่น  หลังจากหัวหน้าคนรับใช้จัดชุดให้ข้าเสร็จ  เหล่าผู้ติดตามก็เดินนำหน้าและประกบหลังข้าออกจากปราสาท  ตลอดเส้นทางมีประชาชนที่รอรับอยู่และเฝ้าดูพิธีกรรม

สถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีนั้นไม่ใช่อยู่ในปราสาท  แต่ตั้งอยู่ในใจกลางของเมืองบนลานพิธีสูง  ตามธรรมเนียมแล้วก่อนจะถึงลาน  ข้าต้องถือของที่เตรียมไว้ซึ่งแสดงถึงพลังอำนาจของตัวเอง

ซึ่งก็คือเขี้ยวของโซแวน...ในร่างจริง

“อ๊ะ!  นั่นมัน...อย่าบอกนะว่าคือเขี้ยวของราชันแห่งป่าต้องห้าม  พลังเวทหนาแน่นแบบนั้นมีแค่ตนเดียวเท่านั้น  ไม่อยากจะเชื่อ  ราชาของพวกเราสามารถล้มคิเมร่าได้!”  เสียงของใครบางคนดังขึ้นจากฝูงชนที่อยู่รายรอบ  ด้วยประสบการณ์ที่มี...ต้องเป็นคนที่ผู้วิเศษจ้างมาให้ขยายความอย่างแน่นอน  ก็ว่ากันตามตรงชาวบ้านแถวนี้ไม่เคยได้เฉียดใกล้ไปป่าต้องห้าม  แม้แต่ข้าเองก็มีข้อมูลอยู่น้อยนิดส่วนใหญ่ก็ได้มาจากนักผจญภัยที่อยากไปลองดีแล้วรอดกลับมา

แต่เพราะเสียงนั้นทำให้ประชาชนเกิดเสียงฮือฮาขึ้น

แล้วข้าก็เพิ่งรู้ว่าโซแวนคือคิเมร่า  สัตว์ร้ายที่เป็นส่วนผสมของเสือ  แพะ  และมังกร  ว่ากันว่าแม้แต่ในป่าต้องห้ามนั้นก็มีพวกมันเหลืออยู่น้อย  แต่ที่เหลืออยู่นั้นมีพลังเวทมหาศาล 

แล้วทำไมถึงมีเขี้ยวหลุดออกมา  หรือเขาถอดออกเอง  เมื่อข้าสงสัยเช่นนั้นก็อดเหลือบมองเขาไม่ได้

โซแวนที่เดินนำข้าอยู่เหลือบสายตามามองข้าก่อนที่จะพูดเสียงเรียบว่า  “ไม่ต้องห่วง  แค่ฟันน้ำนมหลุดน่ะ”

“กรุณาจริงจังด้วยครับ”  เร็นรีบขัดขึ้นเสียงขุ่นทำให้ข้าที่เกือบหลุดหัวเราะกลับมาทำสีหน้าปกติได้  หลังจากการนำของวิเศษมาสวมใส่แล้ว  ลำดับต่อไปคือการรับพรจากเหล่านักบวชที่รอรับอยู่  ณ  ทางขึ้นไปยังลานพิธี

พวกเขาต่างจุมพิตบนมือข้าเพื่อเป็นการอวยพรก่อนที่จะแยกย้ายออกไป  ทุกอย่างมันควรจะจบแค่นี้  ทว่า...ขณะที่คนสุดท้ายกำลังเดินออกไปประจำที่ของตน  ตรงหน้าข้ากลับปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดผ้าคลุมดำขึ้น

ท่ามกลางความอึ้งของทุกคน  นางชี้นิ้วเรียวยาวมาที่ข้าแล้วตะคอกขึ้นว่า

“เจ้าผู้แปดเปื้อนจักนำภัยมาสู่เมือง  ยุคสมัยของเจ้านั้นแสนสั้น  เจ้าจะไร้ซึ่งคนเหลียวแล  เหมือนแต่ก่อน!  ทุกอย่างที่เจ้าเชื่อใจจะต้องสูญสลาย  ทุกคนจักทอดทิ้งเจ้า!”  นางแสยะยิ้มขึ้นแล้วแผดเสียงหัวเราะออกมา  ท่ามกลางความตื่นตะลึงของชาวเมือง  ทหารรีบมากันนางออกไปก่อนที่จะมีคนมาคุกเข่าต่อหน้าข้า

“ขออภัยฝ่าบาท  นางเป็นคนบ้าที่มาเร่ร่อนอยู่แถวนี้  ข้าในฐานะทหารตรวจคนเข้าเมืองจะขับไล่นางออกไปเดี๋ยวนี้”

เสียงของเขานั้นเบาโหวง  เหมือนกับทุกอย่างอื้ออึงไปหมด  ทั้งเสียงเซ็งแซ่จนไม่รู้เรื่องของประชาชน  เสียงหัวเราะและคำที่ตะโกนตอกย้ำมาของนางผู้นั้น

“ฝ่าบาท!”  ข้าสะดุ้งเฮือก  เหมือนทุกอย่างถูกตัดขาดไปด้วยเสียงของผู้วิเศษที่ดึงข้าเข้าไปใกล้ตัว  สองมือของเขาบีบแขนข้าแน่นก่อนที่จะก้มหน้ามากระซิบว่า  “อย่าไปสนใจนาง  มันไม่มีวันเป็นจริง  ข้ายังอยู่กับท่าน”

“ข้า...”  ข้าเอ่ยขึ้นค้างก่อนที่จะเบนสายตาไปมองรอบๆ  ประชาชนยังคงจ้องมองมาด้วยสายตาที่ระคนความเป็นห่วงกับเฝ้ารอ  เช่นนั้นแล้วข้าจึงไล่ความคิดทุกอย่างออกไปแล้วดันเขาออกเบาๆ  “ข้าไม่เป็นไร  ดำเนินพิธีต่อเถอะ”

“ตามบัญชา”  ผู้วิเศษโค้งศีรษะลงแล้วหันหลังกลับไป  ตำแหน่งที่เขาต้องยืนตอนนี้คือบนลานพิธี  พวกโซแวนขยับถอยไปยืนอารักขารอบๆ  เช่นเดียวกับนักบวช  ข้าต้องเดินขึ้นบันไดไปแต่เพียงผู้เดียว

ลานพิธีแห่งนี้เป็นตำนานเล่าขานคู่กับคาร์ไลน์มานาน  กล่าวกันว่าปฐมกษัตริย์สั่งให้สร้างลานยกขึ้นสูงเพื่อเป็นเกียรติแก่พลังที่พระเจ้ามอบมาให้คุ้มครองดินแดน  และยามที่ความมืดเข้าครอบงำไปทั่วทุกหนแห่งนั้น  ท่านได้ทำพิธีเพื่ออ้อนวอนให้พระองค์ช่วยปัดเป่าไปให้พ้นภัย  ยอมอุทิศทุกอย่างเพื่อประชาชน  บ้านเมืองจึงได้ปลอดภัย

ข้าต้องสวดคาถาอันเป็นการประกาศตนเอง  และสัตย์สาบานต่อเลือดเนื้อและวิญญาณของบรรพบุรุษ  เหล่าราชาและผู้กล้าที่ปกป้องดินแดนนี้มา  พร้อมทั้งสรรเสริญปวงเทพขณะก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น

เมื่อข้าก้าวขึ้นมายังลานพิธีสำเร็จแล้วจึงเห็นผู้วิเศษที่ยืนรออยู่  บนผืนผ้าที่เขาถือไว้ด้วยสองมือคือศาสตราที่สืบทอดกันมา  ดาบที่ว่ากันว่าสังหารได้แม้แต่พระเจ้า  มีเพียงผู้ที่เป็นกษัตริย์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ถือครอง  เขาเอ่ยคาถาเพื่อปลดพันธนาการของอาวุธออกและเป็นจังหวะที่ข้าเดินไปถึงตัวเขา

เขายกยิ้มให้  ขณะที่ข้ายื่นมือไปจับด้ามดาบนั้นพร้อมกับเอ่ยคำประกาศตน  “ข้าทีอารีน  คาร์ไลน์  มอร์ฟอร์ด  กษัตริย์คนที่  42  พลังเอ๋ยจงสถิตอยู่กับดินแดนนี้ตราบชั่วกาลนาน”

ดาบนั้นเปล่งแสงขึ้นวูบหนึ่งเป็นการตอบสนอง  เมื่อข้าถือมันได้อย่างมั่นคงแล้วผู้วิเศษจึงได้ละมือออกและเดินลงไป 

ขณะนั้นเองที่เสียงประชาชนเริ่มฮือฮาเพราะท้องฟ้าเกิดรอยร้าวขึ้น  ซึ่งนั่นก็คือตัวตนของพลังเวทที่ปกป้องดินแดนนี้ไว้  มันหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงคำรามที่ดังใกล้เข้ามา  เหล่าผู้อยู่ด้านหลังเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์กันแล้วและบอกประชาชนให้เตรียมพร้อม

ในพิธีนี้  เวทคุ้มกันเดิมสลายไปอย่างรวดเร็ว  แต่ข้อเสียที่สำคัญและกลายเป็นจุดบอดมหันต์คือการสร้างขึ้นใหม่นั้นจะกินเวลาไปพอสมควร

ข้าเก็บดาบไว้ในฝักที่ผู้วิเศษเตรียมให้ก่อนจะเดินไปยังใจกลางลานพิธี  กระชับคทาในมือแล้วปักมันลงไปยังพื้นหิน  และส่งพลังแผ่ออกไป

วงเวทสีทองพลันเกิดขึ้นรอบกายของข้าโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่วงใหญ่สุดที่อยู่ใต้เท้าและเหนือหัวขึ้นไป  ทุกวงหมุนวนไปเพื่อสะสมพลังแล้วแผ่ออกไปรอบๆ  เพื่อสร้างข่ายคุ้มกันเมือง  อย่างน้อยข้าก็สบายใจอย่างหนึ่งที่ว่ามันเริ่มต้นจากพื้นดิน  หมายความว่าอสูรจะเข้ามาไม่ได้แล้ว

และอีกอย่างคือตอนนี้ข้าส่งพลังเวทไปหมดแล้วเหลือเพียงแค่รอข่ายคุ้มกันสร้างเสร็จ  จะล้มพับไปตอนนี้ก็ได้  แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ

“มังกร!” 

ทว่าเสียงใครบางคนตะโกนขึ้นทำให้ข้ารีบเงยหน้าขึ้นไปดู  เหนือท้องฟ้าตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยเงาดำทะมึนที่แผ่ปีกกว้าง  มันส่งเสียงร้องคำรามลั่นสร้างความตกใจให้แก่ชาวบ้าน  และตอนนั้นเองที่อสูรมากมายซึ่งบินได้โผเข้ามาทำร้ายคนที่อยู่ข้างล่าง

ส่วนมังกรตัวนั้นมันบินวนอยู่ครู่เดียวก็โผลงมา  เป้าหมายคือ...ข้า!

“ฝ่าบาท!”  เสียงร้องตะโกนของนอร์ธวินด์ดังขึ้นขณะที่ข้าถอยหนีเจ้ามังกรที่เตรียมจะมาโจมตีข้า  ครู่หนึ่งที่เหมือนจะล้มลงไปนั้นจู่ๆ  ก็ถูกโอบไว้แล้วพยุงขึ้นไป  เท้าของข้าเริ่มไม่ติดพื้นและถอยห่างจากมันมาได้มากพอสมควร

“ฝ่าบาทไม่บาดเจ็บตรงไหนนะพ่ะย่ะค่ะ”  นอร์ธวินด์ถามข้าทันทีที่พ้นรัศมีของมังกร  ยามนี้เจ้าตัวมีปีกขนาดยักษ์โผล่มาที่หลัง  นับว่าเขาคิดถูกที่ตอนที่ช่วยข้าเมื่อครู่เขาปลดเครื่องประดับศีรษะทิ้งไปด้วย  คทาข้าก็ทิ้งไว้ตรงนั้นด้วย

“ข้าไม่เป็นไร”  ข้าตอบเขาก่อนจะก้มลงไปมองข้างล่าง  ดูเหมือนสถานการณ์ข้างล่างจะไม่ร้ายแรงเท่าไหร่  แต่ขณะที่คิดแบบนั้นร่างก็คล้ายจะถูกดึงขึ้นไป  นั่นเป็นเพราะนอร์ธวินด์พยายามบินหลบเจ้ามังกรนั่น

“มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น  มังกรต่างถิ่นเข้ามาได้ยังไง” 

เขาพึมพำขึ้นด้วยน้ำเสียงหวั่นวิตก  มังกรเป็นสัตว์วิเศษเช่นเดียวกับคิเมร่า  หรือนางเงือก  แต่ระดับของมันอยู่สูงกว่านั้น  บนโลกนี้คนที่สามารถสังหารมังกรได้นั้นมีอยู่แทบนับหัวได้  และในจำนวนนั้นส่วนใหญ่ก็ลาโลกไปแล้ว  ในบรรดาสัตว์วิเศษ  มังกรก็คงเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอีกพวกหนึ่ง  ข้าเคยได้ยินว่าไม่มีใครกล้าสู้กับพวกมัน  เหมือนจะเป็นพวกที่ฆ่าไม่ได้  และมีการกำหนดแบ่งเขตเสียด้วย

แต่เจ้ามังกรตัวนี้กลับโผล่มาในเขตมนุษย์ที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปี  แถมจุดประสงค์มันเหมือนจะมีแค่ข้าเพราะไม่ยอมปล่อยไปไหน  จะให้นอร์ธวินด์พาลงไปบนพื้นมันก็จะเข้ามาขัดขวาง 

“บ้าเอ๊ย”  เขาเริ่มสบถด้วยความไม่สบอารมณ์  ก่อนที่จะบินขึ้นไปเหนือชั้นข่ายมนตร์ที่กำลังสร้างเสร็จสมบูรณ์  ในส่วนของพลังที่ใส่เข้าไป  ผู้บุกรุกจะไม่มีทางออกจากม่านได้ด้วย

และข่ายมนตร์ก็สมบูรณ์ขณะที่มังกรนั่นอยู่ในนั้น

“เราพ้นแล้ว”  เสียงนอร์ธวินด์ถอนหายใจดังขึ้น  แต่ขณะที่คิดว่าโล่งแล้วจู่ๆ  ข่ายมนตร์ก็พังทลายด้วยฝีมือของมังกร  ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะพึมพำออกมาเสียงสั่น

“เป็นไปไม่ได้”

‘อ๊า  กะแล้วจริงๆ  ด้วยว่าตอนนี้ท่านยังไม่ควรจะทำอะไรยิ่งใหญ่แบบนี้’  เสียงหนึ่งที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นทำให้ข้าชะงักแล้วหันไปมองรอบๆ  ซึ่งไม่มีใคร  และไม่น่าเป็นนอร์ธวินด์  เสียงนั้นยังคงดังขึ้นต่อเนื่องอีกว่า  ‘เจ้านั่น...ท่านเรียกมันว่าผู้วิเศษสินะ  ใช้ไม่ได้เลยนะ  ทั้งที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่แท้ๆ  แต่กลับให้ท่านต้องเผชิญชะตาแบบนี้  ยังคิดว่ามันถูกต้องอยู่หรือ’

“เสียงใคร?”  ข้าเผลอหลุดถามขึ้น  แต่มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอที่ดังขึ้นในหูแล้วเงียบหายไป  นอร์ธวินด์ก็ไม่ได้สนใจด้วย  เขากำลังรับมือกับมังกรนั่นอยู่

“นอร์ธวินด์  อย่าฝืนสู้คนเดียวแบบนี้  มันต้องมีสักทาง”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง  เพราะเขาทั้งอุ้มข้าและต้องหลบมังกรไปด้วย  แม้จะตัวใหญ่แต่เจ้ามังกรนั้นก็รวดเร็วพอๆ  กับเขา  “ไม่งั้นก็ทิ้งข้าไว้”

“ข้าทำแบบนั้นได้ซะที่ไหน!”  เขาตวาดขึ้นเสียงดังก่อนที่จะชะงักไป  อาจเป็นเพราะเห็นข้าทำหน้าตกใจก็เป็นได้  ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเคยดุข้าแบบนี้  นอร์ธวินด์กัดฟันกรอดก่อนจะสบถออกมาว่า  “โธ่เว้ย”

เขากอดข้าไว้แน่นก่อนจะบินขึ้นไปเพื่อหลบการโจมตีของมังกรนั้น  “เห็นทีมีแต่ต้องพึ่งเจ้านั่นเสียแล้ว”

เขากอดข้าไว้แน่นก่อนจะบอกว่า  “ฝ่าบาทกัดฟันไว้นะ  ข้าจะเร่งความเร็วแล้ว”

และข้าก็รู้สึกว่าความเร็วของเขามันเพิ่มขึ้นจนได้ยินเสียงฝ่าอากาศดังลั่นและแรงลมที่เพิ่มขึ้นจนข้าหลับตาปี๋  เสียงของมังกรคำรามยังคงดังตามมา  ก่อนที่มันจะอ้าปากกว้าง  เตรียมปล่อยพลังบางอย่างออกมา

“นอร์ธวินด์  ระวัง!”  ข้ารีบร้องเตือนขึ้นทำให้คนที่กำลังบินด้วยความรวดเร็วนั้นชะงักและเหลือบตาไปมอง  เขากัดฟันแน่นด้วยความตะลึงก่อนที่จะรีบเบี่ยงไป

“อ้าก!”  นอร์ธวินด์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกไฟมังกรโจมตีเข้าที่ปีกข้างหนึ่ง  เขาสูญเสียการควบคุมจนร่วงลงมาจากฟ้า  แต่ถึงกระนั้นก็ยังกอดข้าไว้แน่น

นอร์ธวินด์พยายามสุดชีวิตที่จะทำให้พวกเราสองคนร่วงลงสู่พื้นเบาที่สุด  ข้ารีบดูอาการของเขาหลังจากนั้นทันที  ปีกสีดำนั้นค่อนข้างเสียหายหนัก  แต่ยังไม่หมดสติไป

“นอร์ธวินด์  ทำใจดีๆ  ไว้  ข้าจะรักษาให้เข้านะ”  ข้าร้องบอกด้วยความตื่นตระหนกแล้วร่ายเวทรักษา  ขณะนั้นเองเสียงมังกรคำรามก็ดังขึ้น  มันบินเข้ามาใกล้ก่อนที่สี่เท้าจะแตะพื้นและหดร่างลง

มังกรตัวนั้นกลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงซึ่งมีใบหน้าเปื้อนยิ้มสะใจ

“โอ๊ะโอ  ข้าดูไม่ผิดจริงๆ  ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”  เขาเอ่ยขึ้นพลางแสยะยิ้ม  ขณะหันไปมองนอร์ธวินด์ซึ่งกัดฟันข่มความแค้นบางอย่างไว้

“เป็นอะไรไป  จำข้าได้หรือเปล่า  นอร์ธวินด์”  เขาเอ่ยถามขึ้นขณะเดินเข้ามาใกล้  “หรือเราควรจะมารื้อฟื้นความจำกันดีล่ะ”

“ใบมีดลม!”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นด้วยคาถาที่เหมือนจะง่ายแต่มีเพียงเขาที่ทำได้  เป็นอาวุธที่สร้างจากเวท  เสียงลมดังขึ้นก่อนที่จะพุ่งไปโจมตีชายตรงหน้า

 “ไม่เอาน่า”  ทว่ามังกรในร่างมนุษย์ตรงหน้ากลับสามารถปัดใบมีดลมอย่างง่ายดายก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม  “อย่าดื้อสิ  ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นเด็กดีกว่านี้”

“กลับไปซะ  มาร์ลัน  ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเจ้า”  นอร์ธวินด์ยังคงเอ่ยไล่เขาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น  ผิดกับคนที่ข้ามักจะเห็นอยู่เสมอ  เขายังคงพยายามหาวิธีสู้กับอีกฝ่าย  การที่เขารู้จักชื่ออีกฝ่ายนั่นก็หมายความว่าพวกเขาเคยพบกัน

“ข้าไม่กลับจนกว่าจะเสร็จธุระ  มอบเด็กคนนั้นให้ข้าเสีย “  มาร์ลันบอกในสิ่งที่เขาต้องการ

“ไม่มีวัน!”  แต่นอร์ธวินด์กลับยืนกราน

“ไม่สิ...ข้าเปลี่ยนใจ  ทั้งเจ้ากับเด็กนั่นต้องไปกับข้า”  สิ้นเสียงนั้น  อีกฝ่ายก็ก้าวเข้ามาใกล้และง้างมือเตรียมโจมตีใส่  คราวนี้นอร์ธวินด์สามารถปัดป้องได้และสวนกลับอย่างรวดเร็ว

เขาหมุนตัวจับข้าดันไปด้านข้างเพื่อให้หลบที่โขดหินยักษ์  จากนั้นนอร์ธวินด์จึงเรียกธนูเวทออกมายิงสวนใส่มังกรในร่างมนุษย์นั้น

ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดโดยที่ไม่มีใครยอมใคร  ทว่าเมื่อผ่านไปนานนอร์ธวินด์ก็เริ่มหมดแรงและเป็นฝ่ายเสียเปรียบ  สุดท้ายผู้ติดตามของข้าก็เกือบถูกแขนที่นิ้วกลายสภาพเป็นกรงเล็บมังกรเข้าโจมตี

ข้ารีบกางมนตร์ปกป้องนอร์ธวินด์ไว้ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บมาก  แต่นั่นก็ทำให้มาร์ลันเปลี่ยนความสนใจ  เขารีบเดินเข้ามาใกล้ทำให้ข้าจ้องวิ่งหนี  เพราะข้าไม่ถนัดการต่อสู้เพราะฉะนั้นนี่จึงเป็นทางเลือกเดียว

“มาร์ลัน  หยุดนะ!”  เสียงของนอร์ธวินด์ดังขึ้น  แต่ข้าไม่ได้มีเวลาสนใจมากนัก  เพราะมังกรนั่นไม่ได้สนใจเสียงนั้นและตามข้ามาอย่างไม่ลดละ  จนในที่สุดเขาก็สามารถกระโดดมาขวางหน้าข้าได้

“มาร์ลัน  หยุด  ข้ายอมทำทุกอย่าง  ปล่อยเขา!”  นอร์ธวินด์ยังคงตะโกนดังไล่หลังมา  คราวนี้มาร์ลันชะงักและเผยรอยยิ้มพึงพอใจขึ้น

“เจ้าพูดจริงหรือ...”  เขาถามย้ำด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย

ข้าหันกลับไปมองนอร์ธวินด์อย่างคัดค้าน  ดูก็รู้ว่ามาร์ลันนี่ไม่ได้ประสงค์ดีแม้แต่น้อย  ทว่าผู้ติดตามข้าก็ยังต่อต้านการห้ามของข้า

นอร์ธวินด์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่จะชะงักค้างไป  และเป็นฝ่ายเผยรอยยิ้มบางๆ 

“ตอนนี้ไม่แล้ว”

“เจ้า...”

“วารัน!!  ได้โปรด!”  นอร์ธวินด์ตะโกนขึ้นสุดเสียงท่ามกลางการตกตะลึงของมาร์ลัน  เสียงคำรามดังกึกก้องขึ้นบนเนินสูงที่มองไม่เห็นอีกด้าน  ก่อนที่ฝูงนกจะบินทะยานสู่ฟ้า  ขณะที่เสียงย่ำเท้ายังคงดังต่อเนื่อง
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 8>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 23-02-2018 19:09:11
บทที่ 8 (ครึ่งหลัง)
พิธีขึ้นครองราชย์

“เจ้า!”  คราวนี้มาร์ลันหันมาตะคอกใส่นอร์ธวินด์อย่างเคียดแค้น  ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับเสียงคำรามที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  เงาที่ดำขนาดยักษ์เคลื่อนขึ้นมาบนเนิน 

ทั้งเกร็ดขนาดยักษ์ที่ปกคลุมทั่วกายขนาดใหญ่โตกว่าสี่เมตร  และดวงตาสีทองขนาดยักษ์ทำให้ข้าชะงักค้างไปชั่วขณะ

“กรร!!”

มังกร...

“ฝ่าบาท”  ขณะที่ข้ากำลังตกตะลึง  นอร์ธวินด์รีบกระซิบเรียกและคว้าตัวข้าวิ่งไปหลบหลังโขดหินยักษ์  ซึ่งในขณะนั้นมาร์ลันคืนร่างเป็นมังกรเช่นเดียวกันแล้ว

มังกรทั้งสองตัวเผชิญหน้ากัน  ต่างฝ่ายต่างเดินวนเพื่อหยั่งเชิงคู่ต่อสู้ก่อนจะคำรามและเข้าต่อสู้ทันที  กินรัศมีวงกว้างจนทำให้ต้นไม้แถวนั้นหักโค่นไปยามพวกมันเซถลาไป

“วินด์  นี่มันเรื่องอะไรกัน”  หลังจากมองการต่อสู้อยู่ครู่หนึ่ง  ข้าก็หันไปถามนอร์ธวินด์ด้วยความสับสน  เจ้าของนามมาร์ลันนั้นข้าทราบดีว่าเป็นมังกรต่างถิ่นที่เข้ามาทำลายพิธีที่คาร์ไลน์  แต่ทำไมถึงมีมังกรอีกตัวปรากฏออกมาได้

“ฝ่าบาท  มันค่อนข้างอธิบายยาก  เอาเป็นว่าเจ้ามังกรที่อยู่ตรงนั้นคือเจ้าถิ่นแถวนี้ขอรับ”

“ปกติสัตว์วิเศษไม่ได้อยู่ในป่าต้องห้ามหรือ”  แถวนี้อยู่ห่างจากป่าต้องห้ามพอสมควร  เป็นเพียงป่าธรรมดาที่มีอาณาเขตกว้างขวาง 

นอร์ธวินด์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า  “มังกรตัวนี้รักสันโดษและมีพลังอำนาจมาก  อาศัยอยู่แถวนี้เพื่อคุ้มครองป่า  อีกอย่างหนึ่งคือมันค่อนข้างขี้งก  ที่อยู่ที่นี่ก็เพื่อเฝ้าสมบัติไว้”

“กรร!”

เสียงมังกรคำรามลั่นอีกครั้งทำให้พวกข้าที่สนทนากันอยู่รีบหันไปมอง  ตัวที่น่าจะเป็นมาร์ลันร้องโหยหวนขึ้นก่อนที่จะล้มลงไปก่อนจะถูกกัดเข้าที่ลำคอจนร่างใหญ่โตนั้นกระตุกเฮือกและแน่นิ่งไป

มังกรอีกตัวคำรามขึ้นก่อนแล้วหันมองรอบๆ  บรรยากาศที่หนักอึ้งนั้นทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“โอ๊ยตาย”  นอร์ธวินด์พึมพำขึ้นเสียงเบาเมื่อเห็นมังกรสีดำตัวใหญ่นั้นเริ่มเคลื่อนไหว  เขาเริ่มคว้ามือข้าและซ่อนอยู่หลังโขดหินเมื่อมันหันมาแล้วอ้าปากกว้าง  ไอเวทที่เริ่มรวมตัวกันนั้นทำให้ข้าเริ่มหวาดเสียวและพลิกตัวอยู่ในอ้อมกอดของผู้ติดตามแล้วกางโล่ป้องกัน

ตูม!

ชั่ววินาทีเดียวกับที่กางโล่ทันนั้น  ไฟสีดำขนาดยักษ์พุ่งเข้าใส่ทันทีจนโขดหินที่พวกข้าใช้ซ่อนตัวเริ่มแตกหักและละลายไป  เพียงไม่กี่อึดใจ  ด้านหลังของนอร์ธวินด์ก็เหลือเพียงผืนป่ากว้างใหญ่และมังกรตัวหนึ่งที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้

ลมหายใจของมันแรงขึ้นเมื่ออยู่ห่างออกไปไม่ถึงสองก้าว  ดวงตาสีทองขนาดยักษ์ยังคงจับจ้องมา

นอร์ธวินด์หัวเราะแห้งๆ  เขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนจะผลักข้าออกและพลิกตัวไปหามังกรตรงหน้าพร้อมเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“หวัดดี”

“กรร!!”

ข้ารีบยกมือขึ้นปิดหูเมื่อมังกรตนนั้นคำรามขึ้นเสียงดัง  แต่นอร์ธวินด์กลับยืนนิ่งเฉย  หนำซ้ำยังเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายเสียงเบา  “ใจเย็นๆ  เราค่อยพูดค่อยจากันก็ได้...นะ”

“เจ้า...ทำให้ข้าโกรธ!”  เสียงกึกก้องดังออกมาจากปากของมังกรตนนั้นทำให้ข้าชะงัก  แต่ไม่มีเวลาสงสัยว่ามังกรพูดได้นานนัก  เพราะสถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าไม่ดีเลย

“เจ้าพามังกรตนอื่นเข้ามาในอาณาเขตของข้า  หนำซ้ำยังเป็นมัน!”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ  แต่มันตามล่าพวกเราจนต้องหนีมาที่นี่  ข้าไม่ต้องการรบกวนเจ้าหรือให้เจ้าลำบาก  แต่เพื่อคนสำคัญ...”  นอร์ธวินด์พยายามอธิบาย  แต่เหมือนความโกรธจะเข้าควบคุมมังกรตนนั้นอยู่

“หุบปากของเจ้าเสีย!  ข้าจะไม่เชื่อเจ้าอีกต่อไป”

“วารัน...อึก!!”

“นอร์ธวินด์!”  ข้าร้องตะโกนขึ้นด้วยความตกใจเมื่อมังกรนั้นยกแขนขึ้นตบนอร์ธวินด์เต็มแรงจนร่างของเขากระเด็นไปกองกับพื้น  แต่เมื่อข้ารีบเข้าไปหากลับถูกมังกรตัวนั้นเข้ามาขวาง

“เจ้า”  มังกรนี่น่าจะชื่อวารันหรี่เปลือกตาลงมองข้าแล้วเอ่ยขึ้น  “คือคนสำคัญที่เจ้านั่นเอ่ยถึงสินะ”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”  ข้าถามสวนกลับไปขณะตัดสินใจยืนประจันหน้ากับเขา  “เขาเป็นผู้ติดตามคนสำคัญของข้า  และเจ้าไม่มีสิทธิ์ทำร้ายเขาไปมากกว่านี้”

“ฝ่าบาท...อย่า...”  เสียงของนอร์ธวินด์ดังขึ้น  ขณะที่มังกรตรงหน้าข้าหัวเราะในลำคอก่อนที่ร่างนั้นจะเปล่งแสงจางๆ  และหดเล็กลง  จนกลายเป็นรูปร่างของบุรุษรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีดำยาว  และใบหน้าคมคาย

“ฝ่าบาท...เจ้าคือกษัตริย์?”  เขาถามขึ้นก่อนจะแสยะยิ้ม  “แล้วเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”

“มีมังกรบุกมารบกวนอาณาจักรของข้า  จึงต้องหนีมา”  ข้าตอบไปตามตรงขณะที่ยังไม่ลดการระแวงเขา  “แล้วเจ้าจะอยากรู้ไปทำไม”

วารันนั้นเหลือบมองซากมังกรที่ตายไปแล้วก่อนจะหันมาเอ่ยกับข้าต่อ  “มังกรตัวนั้นบุกรุกอาณาจักรของเจ้า  และข้าเป็นคนจัดการมันได้  เช่นนั้นข้าควรได้รับการตอบแทนถูกไหม”

“เจ้าต้องการอะไร?”  ข้าขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

“แลกกับการปกป้องประชาชน”  เขาเอ่ยขึ้นขณะเข้ามาใกล้พร้อมกับเชยคางข้าขึ้นทำให้รู้สึกไม่ดีขึ้นมา  “เจ้าจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีของเจ้าทิ้งไปแล้วมานอนกับข้าสักครั้งหรือไม่”

“เจ้า!...”  ข้ากดฟันกรอดด้วยความโมโห  เขายังคงยกยิ้มแบบผู้อยู่เหนือกว่า  นอร์ธวินด์ยังคงมีอาการบาดเจ็บและตัวข้าเพียงลำพังของข้าคงไม่สามารถพาออกไปได้  ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหากต้องเผชิญหน้ากับมังกรตนนี้จะมีชีวิตอยู่ได้กี่นาที

และตอนนี้ที่ข้ามั่นใจอยู่อย่างคือเขากำลังตกอยู่ใต้คำสาปของผู้วิเศษ  แต่แม้อยู่ในอำนาจของคำสาปก็ยังสามารถอยู่เหนือกว่าได้  ไม่ได้คิดอยู่ใต้บังคับบัญชาข้านั่นทำให้รู้สึกกังวลขึ้นมา

เขาฆ่าข้าได้  ในตอนนี้  วินาที  ด้วยมือเพียงข้างเดียว  อย่าว่าแต่ตัวข้า  หากเขาคิดจะทำ  อาณาจักรคาร์ไลน์เองก็คงถูกทำลายให้ย่อยยับได้ในพริบตา

และเขาเป็นคนที่เพิ่งช่วยประชาชนในอาณาจักรให้ปลอดภัย

ศักดิ์ศรีในตัวข้า  กับชีวิตของประชาชน  สิ่งหลังย่อมสำคัญกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

“ฝ่าบาท  ไม่...”

“ข้า...”  ขณะที่ข้ากำลังอ้าปากพูด  จู่ๆ  เสียงหนึ่งก็เข้ามาแทรกพร้อมการโจมตีด้วยมนตร์ที่ทำให้วารันกระเด็นห่างออกไป

“ข้าคิดว่าเจ้าไม่ควรขู่ฝ่าบาทเช่นนั้น  พ่อมังกรเลือดร้อน” ผู้วิเศษยกยิ้มขึ้นขณะปรากฏตัวออกมาจากวงเวทย์ทำให้ข้ายกยิ้มขึ้นอย่างโล่งอกและวิ่งเข้าไปหาเขาทันที

“ผู้วิเศษ!”

“พระองค์ปลอดภัยดีนะขอรับ”  เขาถามข้าด้วยความเป็นห่วง  ขณะนั้นเองที่โซแวนกับเร็นวิ่งมาขวางข้างหน้าเพื่อป้องกันการโจมตีของวารัน

“ข้าไม่เป็นอะไร  เจ้าช่วยรักษาให้นอร์ธวินด์หน่อย”  ข้าขอร้องเขาก่อนที่จะหันไปมองวารัน  ขณะเดียวกันผู้วิเศษก็พยักหน้าแล้วหันไปร่ายเวทรักษาให้นอร์ธวินด์จนเขามีแรงลุกขึ้น

ฝ่ายวารันที่ถูกโจมตีใส่ก็ร้องออกมาด้วยความโมโห  คิดจะโจมตีอีกครั้งแต่ผู้วิเศษกลับห้ามเสียก่อน

“ช้าก่อน  ข้าว่าเราเจรจากันอย่างสันติได้” 

“หุบปาก  เจ้าเทพปลิ้นปล้อน”  วารันตะคอกใส่เขา  ก่อนที่จะตะคอกย้ำเสียงดัง  “ข้าไม่มีวันร่วมมือกับคนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้า”

“อย่าพูดอย่างนั้นสิ  ข้าเจ้าเล่ห์อะไรกัน  ดูหน้าตาแสนคนดีนี่สิ”  ผู้วิเศษเอ่ยย้ำชัดขณะชี้ใบหน้าตนเองด้วยรอยยิ้มกว้าง  แต่ข้าเชื่อว่านอกจากข้าแม้แต่พวกโซแวนเองก็พร้อมส่งสายตาสมเพชให้เขา

“เจ้าคนกระล่อน  รู้จักเขาเหรอ”  เป็นข้าที่ถามแทรกเขาขึ้น

“แม้แต่ฝ่าบาทก็...”  ผู้วิเศษทำท่าจะร้องไห้ก่อนที่จะหันไปวารัน  “เป็นอย่างที่ท่านเข้าใจแหละขอรับ  เขาคือผู้ถูกเลือกคนสุดท้าย  ที่ข้าใช้เวลาเกลี้ยกล่อมอยู่นาน”

“คนดีหรือ  คนดีที่ไหนเข้ามาในถ้ำข้าทีไรต้องฉกสมบัติข้าไปทุกที!”  วารันตวาดเสียงดังด้วยความโมโห  ยิ่งทำให้ความเชื่อถือในตัวผู้วิเศษเริ่มลดต่ำลง  ขณะที่วารันยังคงตำหนิต่อไป  “แรกเริ่มเจ้าก็เป็นคนก็พานอร์ธวินด์หนีข้าไป  แล้วยังชอบลักสมบัติข้าอีกตั้งหลายชิ้น  คราวก่อนก็อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเอาเพชรล้านปีไป!”

“ข้าไม่ใช่สมบัติของเจ้า!”  นอร์ธวินด์ตะโกนแทรกกลับไปเมื่อถูกเหมารวมกับสมบัติที่ถูกผู้วิเศษลักมา

“ผู้วิเศษ”  เมื่อเห็นว่าวารันเริ่มโมโหใหญ่ข้าก็ได้ตัดสินใจบางอย่างที่ถูกต้อง  “คืนของให้เขาไปซะ”

“ถูกต้อง”  วารันหันมาเสริมให้ข้าด้วยความโมโห

“แน่นอน  ข้าจะคืนให้เขา”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นก่อนที่จะคว้าไหล่ข้าไว้แล้วหันไปบอกวารัน  “แต่เจ้า...ไม่มีทางหลีกหนีชะตากรรมได้”

“ว่ายังไงนะ”

“เจ้าต้องมารับใช้เขาในฐานะผู้ถูกเลือกแห่งพระเจ้า”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  “เจ้าไม่มีทางปฏิเสธต่อไปได้อีกแล้ว  วารัน”

“แต่ข้าต้องอยู่ที่นี่  สมบัติตั้งแต่บรรพกาล”

“ท้องพระโรงของคาร์ไลน์กว้างขวางพอจะรักษาสมบัติเจ้าทุกชิ้นได้”  ผู้วิเศษยกยิ้มกว้างแบบผู้ใจบุญ  ขณะที่วารันมองเขาอย่างไม่ไว้วางใจ  ส่วนคนอื่นๆ  ไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น

พวกเขาเถียงต่อกันอยู่นาน  กว่าวารันจะยอมร่วมมือ  ข้าต้องเป็นฝ่ายขอร้องเขาตามคำแนะนำของผู้วิเศษเพราะถึงแม้มังกรหนุ่มนี้จะดูแข็งกระด้างแต่คำสาปยังมีผลให้เขาเชื่อฟังอยู่

ตกดึกข้าจึงได้กลับมาพักผ่อนที่ปราสาท  ในห้องส่วนตัว  ข้าพักผ่อนอยู่กับนอร์ธวินด์ที่แผลบางจุดยังไม่หายดี

“วันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามากนะ  นอร์ธวินด์”  ข้าเอ่ยขึ้นกับเขาอย่างขอบคุณ  อีกฝ่ายยกยิ้มกว้างด้วยความดีใจก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ไม่นักหนาอะไรเลยขอรับ  ข้าเต็มใจช่วยท่านอย่างยิ่ง  เป็นเกียรติจริงๆ  ที่ท่านเป็นห่วง  ตายวันนี้ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว”

ข้ายกยิ้มให้กับคำพูดของเขาก่อนจะเลื่อนมือไปกุมมือของเขาแล้วถามขึ้นในสิ่งที่สงสัยมานาน  “งั้นข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง  เจ้ากับวารันเป็นอะไรกัน”

นอร์ธวินด์ชะงักค้างไปทันที  ก่อนที่จะรีบบ่ายเบี่ยงจนรู้ทัน

“อ้า  ข้ารู้สึกเหนื่อยขึ้นมา  คงต้องทูลลาไปพักที่ห้อง...”

“แฟนเก่าหรือ?”  ข้าลองถามขึ้น  เขาสะดุ้งโหยงขึ้นมาแล้วเหงื่อตก  ก้มหน้ายอมรับเสียงเบาๆ  แทน

“มันนานมากแล้ว”

ข้าพยักหน้าหงึกหงักแล้วเงียบไป  ดูจากการที่พวกเขาทะเลาะกัน  ความสัมพันธ์ก็คงไม่ค่อยดีเท่าไร  หรือจะเรียกว่าแปลกๆ  ดี

วารันยอมออกมาเมื่อได้ยินเสียงนอร์ธวินด์ร้องขอความช่วยเหลือ  โกรธที่เห็นเขาอยู่กับมังกรตัวอื่น  และยังทำร้ายเพราะบอกว่าข้าเป็นคนสำคัญ

ข้าครุ่นคิดอยู่สักพักก็รับรู้ได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างซับซ้อน

ในขณะที่กำลังคิดทวนดูอยู่นั้น  ประตูห้องก็ถูกเปิดออก  และร่างสูงของวารันก็เดินเข้ามาทำให้ข้าสงสัย

“เจ้ามีธุระอะไร”  ข้าเดินไปถามเขา  ก่อนจะนึกอีกคำถามออก  “ชินกับชีวิตในปราสาทหรือยัง”

“ชินแล้ว”  เขาตอบสั้นๆ  ก่อนจะบอกถึงจุดประสงค์ที่มา  “ข้ามาทวงสัญญา”

“หืม?”  ขณะที่ข้าขมวดคิ้วอย่างงุนงงอยู่นั้น  จู่ๆ  เขาก็จับข้าไว้แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้  มอบจูบที่กะทันหันให้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

เสียงของนอร์ธวินด์ร้องโหยหวนลั่นแล้วรีบเข้ามาแยกข้ากับเขาออกทันที

“เจ้าทำอะไร  ห้ามแตะต้องฝ่าบาท  แม้แต่ปลายเล็บ!”  นอร์ธวินด์ที่เข้ามากอดข้าไว้ร้องโวยวายขึ้น  ขณะที่วารันไม่พอใจและทั้งคู่ก็เริ่มทะเลาะกัน

เพราะข้าต้องการพักผ่อน  พวกเขาจึงออกไปข้างนอกขณะที่ยังคงมีเสียงถกเถียงกันไปตลอดทาง

เมื่อมองทั้งสองคนแล้วก็ยิ่งทำให้ข้ามั่นใจว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด  และเพื่อแผนการตัดสนมออกไป

ถ่านไฟเก่าต้องราดด้วยน้ำมัน  ข้าจะสนับสนุนให้พวกเขากลับไปคืนดีกัน!
--------------------------------
ฝ่าบาทจะทำลายฮาเร็มตัวเองสำเร็จหรือไม่!?
ขออภัยที่ลงช้าค่า
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 8>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 02-03-2018 19:49:29
บทที่  9
เบาะแสสำคัญ

เรื่องวุ่นวายในวันพิธีจบลงในที่สุด  การเฉลิมฉลองยังคงมีต่อเนื่องจนถึงวันพรุ่งนี้  แต่ข้าเหน็ดเหนื่อยจากการสูญเสียพลังสร้างข่ายเวทคุ้มครอง  ดังนั้นหลังจากล้มตัวลงนอนก็หลับไปเกือบหนึ่งวันเต็ม

ตอนที่ตื่นมา  ผู้วิเศษเฝ้าอยู่ข้างกายแล้วถามด้วยรอยยิ้มอบอุ่นขึ้น  “พระวรกายเป็นอย่างไรบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นอะไรแล้ว  ข้าแค่เพลียนิดหน่อย”  ข้าตอบก่อนจะลุกขึ้นนั่ง  อาจเพราะนอนนานเกินไปเลยทำให้รู้สึกมึนหัวขึ้นมา  แต่ก็ไม่มีเวลาปล่อยว่างมากนักจึงถามเขากลับไป  “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”

“ทุกคนเป็นห่วงท่าน  แต่สถานการณ์โดยรวมเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ  พระองค์ไม่ต้องทรงกังวล”  ผู้วิเศษตอบด้วยรอยยิ้มทำให้ข้ารู้สึกโล่งใจแล้วลงจากเตียง  นั่นทำให้ผู้วิเศษรีบยืนขึ้น

“ฝ่าบาททรงพักอีกสักหน่อย...”

“ไม่เป็นไร  ข้านอนนานจนปวดหัวแล้ว  อยากออกไปข้างนอก”  ข้าบอกเขาขณะหยิบเสื้อผ้าออกมาจากตู้  พาดไว้บนเก้าอี้ที่ว่างอยู่และปลดชุดนอนของตัวเองออก

ผู้วิเศษถอยห่างออกไปและยืนเฉยๆ  สายตาทอดไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่าง  ขณะที่ข้าถอดเสื้อผ้าส่วนบนออกไปจนหมดนั้นก็อดจ้องมองเขาไม่ได้

“เจ้าแปลก”  ข้าพึมพำขึ้นทำให้เขาเอียงคอสงสัย  “ขณะที่คนอื่นมัวแต่จ้องข้า  เจ้ากลับไม่”

เหล่าผู้ติดตามของข้านั้นมันจะแวะเวียนมาเฝ้าในแต่ละวัน  เมื่อถึงเวรของตนเองก็จะมาเฝ้าตั้งแต่เช้ามืด  เห็นเกือบทุกการกระทำ  เป็นกลุ่มคนที่เห็นข้าเปลี่ยนชุดบ่อยที่สุดแล้ว  และเพราะแบบนั้นข้าจึงแทบไม่เคยเปลือยกายแม้แต่ในห้องของตัวเองเลย

“ท่านหวังอะไรอยู่หรือ”  เขาหลับตายิ้มขำขณะหันมาทางข้า  คำถามนั้นทำให้ข้าชะงักแล้วเฉไฉปฏิเสธ

“ไม่ได้หวังอะไรทั้งนั้น”

เขาหัวเราะขึ้นจมูกขณะที่เดินเข้ามาใกล้และหยิบเสื้อที่ข้าพาดไว้ขึ้นมาสวมให้ข้า  ท่วงท่านั้นดูราบเรียบแต่คล้ายกับว่าเวลากำลังเคลื่อนไปอย่างช่วงช้าขณะที่มองใบหน้าของอีกฝ่าย

“ถ้าท่านบอกไม่หวัง  ข้าก็จะเชื่อเช่นนั้น”  เขาตอบด้วยรอยยิ้มทำให้ข้ายิ่งแปลกใจแล้วถามกลับไปเสียงเรียบ

“เจ้าคิดว่าข้าหวังสิ่งใด”

เขาเพียงแค่เลื่อนสายตามามองหน้าข้าและไม่พูดเรื่องนั้นอีกต่อไป  แล้วเปลี่ยนเรื่องด้วยรอยยิ้มเหมือนเช่นทุกที  “ท่านระวังตัวจากคนอื่นที่ไม่สนิท  แต่กับทุกคนที่ท่านเริ่มให้ใจไป  ก็ไม่มีการระแวงพวกเขาเลยสักนิด”

“เจ้าพูดถึงสิ่งใด”  ข้าอดขมวดคิ้วไม่ได้  คำบ่นของเขาเรียกได้ว่าเข้าใจแค่ครึ่งและสับสน

“ท่านไม่ระวังตัวเสียเลย  เกิดถูกพวกนั้นหาโอกาสลวนลามขึ้นมาจะทำอย่างไร  ข้าเป็นห่วงนะขอรับ  อย่างน้อยก็ไม่อยากให้ท่านแปดเปื้อน”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ทีเล่นทีจริงทำให้ข้าอดไม่ได้ที่จะกำหมัดต่อยแขนเขาเบาๆ

“ข้าไม่มีวันให้เกิดเรื่องแบบนั้นหรอก”  ข้ายืนยันหนักแน่นก่อนจะเสริมด้วยความมั่นใจ  “และข้าจะทำให้พวกเขากลับไปรักกันด้วย”

“เช่นนั้นก็ระวังการเปิดเผยเรือนร่างให้คนอื่นเห็นด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”  เขาตอบขณะจัดระเบียบเสื้อข้าและเอื้อมมือไปหยิบเครื่องประดับให้  “รวมทั้งข้า”

ข้ายืนมองหน้าเขา  ขณะเดียวกันความคิดในอกที่แท้จริงเกือบจะเผยออกมา

“ถ้าเป็นเจ้า  ข้า...”

“ทูลฝ่าบาท  ท่านหญิงซีวาลมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”  เสียงของทหารที่เฝ้าอยู่หน้าห้องดังขึ้นขัดจังหวะ  ทำให้ข้าหันไปแต่งตัวให้เสร็จ

“ให้นางรอสักพัก” 

“ข้าจะหันหลังก่อน”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นขณะหันหลังให้ข้าเพื่อปล่อยให้แต่งตัวให้เรียบร้อย  เพราะซีวาลรออยู่ข้าจึงรีบใส่กางเกงอย่างรวดเร็วแล้วรีบออกไปทันที

“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”  ซีวาลน้อมตัวลงเคารพทันทีที่ข้าออกไปข้างนอก  นางยืดตัวเต็มความสูงก่อนจะหันไปทางผู้วิเศษที่เดินตามออกมา  “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ  ท่านผู้วิเศษ”

“สวัสดี”

“ซีวาล  มีอะไรหรือเปล่า  ถึงมาแต่เช้าเช่นนี้”  ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย  ปกติซีวาลไม่ได้มาแต่เช้าตรู่เช่นนี้  นางมองข้าสลับกับผู้วิเศษ  ท่าทีนั้นราวกับว่าต้องการคุยกับข้าเพียงคนเดียว

“ฝ่าบาท  ต่อจากนี้ข้าต้องไปประชุมที่องค์กร  ขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”  จู่ๆ  ผู้วิเศษก็เอ่ยขึ้นแล้วทำท่าจะผละไป  “โปรดอย่าลืมเสวยอาหารเช้านะพ่ะย่ะค่ะ”

เขาเตือนข้าก่อนจะเดินห่างออกไป

ข้ายืนอยู่กับซีวาลหน้าห้อง  ก่อนที่จะมีสาวใช้มาเชิญไปที่ห้องรับประทานอาหาร

“ซีวาล  ไหนๆ  เจ้าก็มาแต่เช้าแล้ว  ไปด้วยกันเถอะ”  ข้าบอกกับนางก่อนจะขอจูงมือซีวาลพาไปที่ห้องรับประทานอาหาร  ระหว่างนั้นก็เจอวารันกำลังสวนทางมา

“วารัน  เป็นอย่างไรบ้าง”  ข้าทักทายเขา  พูดตามตรงแล้วเราเพิ่งเจอกัน  ต้องสร้างความสนิทสนมให้มากเสียก่อน

“เจ้าผู้วิเศษนั่นพยายามขโมยสมบัติข้าไปเข้ากองสมบัติเจ้า”  เขาเริ่มฟ้องด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ทำให้ข้ายิ้มขืน 

“อย่าพูดว่าเป็นสมบัติข้าเลย  นั่นคือทรัพย์สินของอาณาจักรนี้  ข้าจะพยายามห้ามไม่ให้เขาทำอีกก็แล้วกัน”  ข้าแก้ต่างก่อนจะรับปากให้เขาสบายใจแล้วถามต่อ  “เจ้าจะไปไหน”

“มาดูแลเจ้า  ผู้วิเศษสั่งมา”  วารันตอบสั้นๆ  และข้าก็พยักหน้ารับ

“งั้นตามมา”  ข้าบอกขณะเดินต่อไปยังห้องรับประทานอาหารระหว่างนั้นก็ถือโอกาสแนะนำซีวาลกับวารันให้รู้จักกัน

“คู่หมั้น...หญิง?”  วารันพึมพำบางอย่างขึ้นขณะขมวดคิ้วยุ่งจนข้าไม่รู้ว่าต้องการสื่ออะไร  เขาไม่พูดอะไรต่อและเดินตามมาเงียบๆ

ข้าเชิญพวกเขาร่วมรับประทานอาหารด้วย  ก่อนที่จะออกมาคุยกับซีวาลด้านนอก  เพราะดูจากท่าทีแล้ว  นางคงไม่คุยในที่ที่มีคนอยู่เยอะ

“มีอะไรหรือ”  ข้าถามนางขึ้นเมื่อออกมาที่สวนแล้ว

“ฝ่าบาท  ข้าได้พบเบาะแสของครีออนแล้วเพคะ”  นางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ  ที่มาจากความยินดี  นั่นทำให้ข้าเบิกตากว้างแล้วเผยยิ้มออกมาทันทีอย่างปิดกั้นไม่อยู่

“จริงหรือ!?  ที่ไหน...เขาอยู่ที่ไหน”  ข้ารีบถามขึ้นทันที  แต่ซีวาลกลับรีบยกมือห้ามเสียก่อน

“ทรงสงบพระทัยก่อนเพคะ  เป็นแค่เบาะแส  แต่เรายังไม่เจอตัวของเขา”  สิ้นเสียงของซีวาล  คล้ายกับความหวังที่ส่องสว่างอยู่ห่างออกไปอีกครั้ง  ข้าที่เผลอลุกขึ้นด้วยความดีใจต้องทิ้งตัวลงนั่งทันที

“งั้นหรือ”  ข้าพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ  ก่อนจะบอกให้ซีวาลเล่ามา  “เจ้าได้เบาะแสอะไรมาบ้าง”

“มีคนเคยพบผู้ที่คล้ายท่านครีออนที่ชายแดนของอาณาจักรอัลทอเบียเพคะ”  ซีวาลเอ่ยขึ้น  “จากการบอกเล่าทั้งลักษณะรูปร่างและสีตา  กระหม่อมมีความมั่นใจอยู่ไม่น้อยว่าต้องเป็นครีออนแน่ๆ”

“อัลทอเบียหรือ  อยู่ห่างไม่เท่าไร  ไว้ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบดู”  ข้าพึมพำขึ้น  ในใจก็รู้สึกชื้นขึ้นมา

ครีออนเป็นน้องชายของข้า  และมีลักษณะเด่นที่ดวงตา  ดวงตาของเขาเป็นสีแดงอ่อน  แล้วหน่วยข่าวของซีวาลมีความน่าเชื่อถือ  ย่อมเชื่อใจได้

“ขอบคุณมากนะซีวาล  เจ้าช่วยได้มากจริงๆ”  ข้าขอบคุณนางจากใจด้วยรอยยิ้ม  นางเองก็ยิ้มตอบก่อนจะถ่อมตัว

“หามิได้  เป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องทำ  ถ้าเพื่อให้ฝ่าบาทสบายพระทัยแล้วล่ะก็  ข้ายินดีทำทุกอย่าง”

ข้ายิ้มให้นางอย่างยินดี  ซีวาลคุยกับข้าสักพักก่อนที่เราจะชวนกันออกไปเดินเล่นข้างนอก  วารันเพียงเดิมตามมาห่างๆ  เพื่อไม่รบกวนการสนทนาของเรา

“เมื่อกี้ข้าเห็นท่านหญิงซีวาลมาหาฝ่าบาทแต่เช้าด้วยล่ะ” 

ทว่าเมื่อกำลังเดินออกจากสวน  ระหว่างทางข้ากลับได้ยินเสียงพูดคุยของหญิงสาวดังขึ้นในจุดห่างออกไปไม่เท่าไร  เหล่าสาวใช้กำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ข้างเสายักษ์นั้น

“ตายแล้ว  เป็นสาวเป็นนางเหตุใดถึงมาหาผู้ชายแต่เช้ามืด”  อีกคนเสริมขึ้น  ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่อง  “ว่าแต่ว่า  เมื่อไรฝ่าบาทจะประกาศพิธีหมั้นสักที”

“นั่นสินะ  หรือว่า...ข่าวลือที่ฝ่าบาทเป็นผู้ชายกินพืชจะเป็นเรื่องจริง”

“เจ้าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง  บังอาจนินทาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน  ไม่ต้องการมีชีวิตรับใช้ดินแดนนี้แล้วใช่ไหม”  ซีวาลตวาดขึ้นเสียงดังขณะตรงเข้าไปหาหญิงรับใช้ทั้งสามด้วยความโมโห  พวกนางกรีดร้องด้วยความตกใจ  เมื่อสังเกตเห็นข้าก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นทันที

“ฝ่าบาท  ขอประทานอภัย  พวกหม่อมฉันผิดไปแล้ว  โปรดอภัยด้วย!”  พวกนางต่างผลัดกันร้องขอการอภัยโทษให้ตัวเอง  ขณะที่ซีวาลยังคงตวาดอย่างเหลืออด

“พวกเจ้านินทากันอย่างสนุกปากแล้วยังมีหน้ามาขอการอภัยโทษอีกหรือ!?  หน้าไม่อาย!”

“ซีวาล  ใจเย็นๆ  ก่อน”  ข้ารีบคว้าแขนของนางไว้เพื่อห้ามไม่ให้ซีวาลทำอะไรไปมากกว่านี้ที่จะเป็นการเสียภาพลักษณ์ของนาง  ก่อนที่จะหันไปหาหญิงรับใช้ทั้งสามนาง  “ส่วนพวกเจ้า  ข้าจะไม่ไล่ออก”

พวกนางรีบเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มทันที  แต่ข้าไม่ได้สนใจก่อนจะหันไปหาทหารที่เดินมาดูเพราะได้ยินเสียงโวยวาย

“ไปตามหัวหน้าแม่บ้านแล้วให้ตัดสินใจลงโทษนางทั้งสามนี้  ข้อหานินทาเจ้าแผ่นดิน  แต่อย่าให้เลยเถิด  หากพวกนางสำนึกจริงๆ  ก็ให้เลิกเสีย”

ข้าสั่งทิ้งไว้ก่อนจะพาซีวาลกับวารันออกมา  ขณะที่คิดว่าพ้นจากเรื่องนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมาทันทีแล้วหันไปมองหญิงสาวข้างกาย

“เจ้าโกรธหรือเปล่า”  ข้าถามซีวาลขึ้น  ทำให้นางที่กลับมาสีหน้าปกติแล้วหันมามอง

“ข้าโกรธ  โกรธพวกนางที่ว่าร้ายท่านอย่างไม่ให้เกียรติ”

“ไม่ใช่”  ข้ารีบปฏิเสธ  “ข้าหมายถึง...เจ้าโกรธข้าหรือเปล่า”

คราวนี้นางเป็นฝ่ายขมวดคิ้วแทน

“ข้ากับเจ้าหมั้นกัน  ตั้งแต่เด็ก  จนถึงตอนนี้...เราทั้งคู่อายุสิบเจ็ด  ข้าได้ขึ้นเป็นราชา  ตามความจริงก็ควรทำพิธีอภิเษก  แต่ข้ากลับปล่อยให้เจ้าต้องรอ”

ข้าอธิบายด้วยความรู้สึกผิดที่เก็บไว้ข้างในมาเนิ่นนาน  ซีวาลเป็นผู้หญิง  ตามปกติแล้วล้วนแต่ถือเรื่องคู่ครองเป็นเรื่องละเอียดอ่อน  จริงๆ  เคยมีกำหนดการอภิเษกมาแล้ว  แต่ด้วยเหตุการณ์ความวุ่นวายหลายอย่างเลยต้องเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด  บิดาของนางก็ถามมาหลายครั้งแต่ข้าไม่สามารถให้คำตอบได้

นั่นหมายความว่าซีวาลต้องรอไปเรื่อยๆ  ท่ามกลางเสียงนินทามากมายเช่นนี้

ทว่าซีวาลกลับหัวเราะพรืดขึ้นมา  นางขบขันอย่างที่ไม่เคยเห็นมานานมากแล้ว  ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบแก้มของข้า 

“อะไรทำให้ท่านคิดว่าข้าจะโกรธท่าน”

“ข้าไม่ยอมอภิเษกเสียที  แล้วยัง...ทำให้เจ้าต้องกังวลเรื่องนี้ด้วย”  ข้าเอ่ยขึ้นในสิ่งที่ตนเองกังวล

“อย่าได้กังวลพระทัยเลยเพคะฝ่าบาท  ถ้าเพื่อพระองค์  ข้ารอได้เสมอ”  นางตอบด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเสริมขึ้น  “หากท่านรักข้า...”

“ซีวาล...”

“ฝ่าบาท”  เสียงของผู้วิเศษดังขึ้นทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจและหันไปมองตามที่มา  เขากำลังเดินเข้ามาใกล้ในมือมีเอกสารบางอย่างก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า  “ฝ่าบาท  ข้ามีเรื่องพิธีที่จะต้องมาทูลให้พระองค์ทราบ”

“อะไร”

“อีกสามวันจะเริ่มการรับสมัครอัศวินราชองครักษ์  และจะดำเนินการแข่งขันหาจนกว่าจะเจอผู้ที่เหมาะสม  ผู้ที่ชนะจะได้รับเลือกให้เป็นอัศวินราชองครักษ์ประจำตัวของพระองค์”  เขาชี้แจงขึ้นทำให้ข้าเบิกตากว้าง

“ข้าไม่ต้องการ”  ข้าตอบกลับทันทีก่อนจะชักสีหน้า  “ทำไมเจ้าไม่ถามความเห็นของข้าก่อน”

“ถ้ามาถามท่านก่อนก็ถูกปฏิเสธสิขอรับ”  เขาตอบพลางยิ้มตาหยีทำให้คิ้วข้ากระตุกขึ้นมา  แล้วเสริมอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า  “ข้าติดประกาศไว้ทั่วอาณาจักรนี้แล้ว  ขอแค่เป็นคนของอาณาจักรนี้จะเพศไหน  อาชีพใดก็ไม่เกี่ยง”

“นี่มันบังคับกันชัดๆ”  ข้าอดถอนหายใจออกมาไม่ได้  ในเมื่อประกาศไปเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว  จากที่ผู้วิเศษว่ามีคนให้ความสนใจกันมากก็ไม่มีสิทธิ์ยกเลิกอะไรให้เสียความตั้งใจของคนอื่น  อีกอย่างการมีคนคุ้มครองตลอดเวลาก็เป็นเรื่องที่ดี  แม้จะมีบรรดาผู้ติดตามอยู่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะอยู่ตลอดและตำแหน่งของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นทางการเสียด้วย

ข้าคุยกับผู้วิเศษเรื่องพิธีคัดเลือกจนได้ใจความว่างานทั้งหมดเขาจะเป็นคนจัดเอง  และให้ข้าไปร่วมงานในการแข่งครั้งสุดท้ายเท่านั้น  และเมื่อหมดธุระแล้วเขาก็จากไป  ส่วนซีวาลเองก็ขอตัวกลับคฤหาสน์ของนางด้วย

ข้าจึงชวนวารันไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กเพื่อเยี่ยมเยียนท่านพี่กับพวกเด็กๆ

หลังจากกลับไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมแล้วข้าจึงได้ออกเดินทางไปกับวารัน  ระหว่างทางนั้นได้ชวนคุยเรื่อยๆ
 
“ชินกับการใช้ชีวิตในแบบมนุษย์หรือยัง”  ข้าถามขึ้นทำให้เขาละสายตาจากการชมวิวนอกรถม้า

“เรื่อยๆ”  เขาตอบเสียงเรียบแล้วถามกลับ  “เจ้ากำลังตามหาน้องชายหรือ”

“ใช่  น้องชายข้าหายไปร่วมเดือนกว่าได้แล้ว  ข้าต้องการตามหาเขาให้เจอ”  วารันฟังข้าพูดจบก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทันที  เขาเอนกายพิงที่นั่งแล้วพึมพำบางอย่างออกมา

“ลำบากหน่อยนะ  ความทรมานของการเฝ้ารอน่ะข้าเข้าใจดี”  คำพูดนั้นของวารันทำให้ข้าชะงักและสนใจที่จะถามต่อด้วยความใคร่รู้

“เจ้าเคยรอใครหรือ?  รอนานเท่าไร”

ดวงตาคมสีทองของเขาเหลือบมามองข้าก่อนจะตอบชื่อสั้นๆ  “นอร์ธวินด์”

นั่นไง!  ข้าเดาถูก

มุมปากข้ายกยิ้มขึ้นมาทันที  แล้วถามต่ออย่างไม่รีรอ  “ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าเป็นยังไงกัน  ข้าอยากรู้”

-------------------------ต่อครึ่งหลังข้างล่างค่ะ---------
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 9>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 02-03-2018 19:50:23
บทที่ 9
เบาะแสสำคัญ (ครึ่งหลัง)

“ข้ามีหน้าที่ปกป้องเผ่าพันธุ์ซัคคิวบัสอินคิวบัสมาตั้งแต่เมื่อหกร้อยปีก่อน  แลกกับที่พวกเขาจะส่งเครื่องสังเวยมาทุกร้อยปี...จริงๆ  แค่ส่งคนที่น่าจะถูกใจข้ามาก็พอ  แต่พวกเขามีตาหามีแวว  แต่ละคนที่มาล้วนโดนความโลภครอบงำ  คิดจะขโมยสมบัติข้าทั้งนั้น  ข้าเลยจับกินไปหมดแล้ว”  วารันเล่าด้วยน้ำเสียงปกติและสีหน้าเคร่งขรึมชวนให้ข้ารู้สึกหวาดเสียวขึ้นมา  คงต้องเตือนไม่ให้ใครคิดขโมยสมบัติของมังกรตนนี้

“นอร์ธวินด์เป็นเครื่องสังเวยคนล่าสุด  ตอนที่มาครั้งแรก  เขาเด็กมาก  ศีลธรรมข้ายังมี  เลยไม่จับกินตอนนั้น”  เขาเล่าต่อขณะนึกถึงความหลัง  “เนื้อก็น้อย  กินก็คงไม่อิ่มด้วย”

“ไหนบอกมีศีลธรรม” 

วารันเมินการแทรกของข้าแล้วเล่าต่อ  “เด็กนั่นโตมาในถ้ำของข้า  อย่างน้อยเขาก็ดีกว่าอินคิวบัสซัคคิวบัสที่เคยส่งมา  แต่เมื่อแปดสิบปีก่อน  เขาหนีออกมาแล้วไม่เคยคิดกลับไปที่ถ้ำของข้าอีกเลย”

“พวกเจ้าทะเลาะกัน?”  ข้าลองเชิงถามขึ้นก่อนจะพึมพำอย่างสงสัย  “ทำไมล่ะ  เกิดเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นระหว่างพวกเจ้าหรือ”
เขาไม่ตอบ  ทำให้ข้าไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้  ความอึดอัดพลันก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าประกอบกับความรู้สึกผิดในใจ
ขณะเดียวกันรถม้าก็ได้มาถึงสถานรับเลี้ยงเด็ก  คนขับรถวิ่งตรงมาเปิดประตูให้ข้าลงไป  พวกเด็กๆ  ออกมารับทันที

“ถวายบังคมเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ  ฝ่าบาท”  พวกเขาต่างเอ่ยขึ้นพร้อมกับน้อมคำนับข้าอย่างรู้ความ  ดูท่าท่านพี่อารีแอนนาจะสอนไว้แล้ว

“สวัสดี  เป็นอย่างไรกันบ้าง”  ข้าทักทายตามปกติด้วยรอยยิ้มก่อนจะคุยกับพวกเขาอีกเล็กน้อย  ข้าเชิญพวกเด็กๆ  และท่านพี่ไปร่วมงานพิธีครองราชย์  เช่นนั้นแล้วตอนนี้หัวข้อที่เด็กๆ  จะยกมาก็เลยไม่พ้นความตระการตาของพิธี

หลังจากคุยกับพวกเขาสักพักข้าก็บอกให้พาไปตามจุดประสงค์ที่มาวันนี้  “พาข้าไปหาท่านพี่หน่อยสิ”

พวกเด็กๆ  พาข้าเข้าไปยังสถานรับเลี้ยงเด็ก  ท่านพี่นั่งอยู่ในห้องพร้อมกับหมอตำแยที่คอยดูอาการ  ครรภ์ของพี่โตขึ้นมากข้าจึงส่งหมอมาดูหลายวันแล้ว

“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”  นางเชิญข้านั่งที่เก้าอี้ก่อนที่พวกเราจะคุยตามประสาพี่น้อง  แม้จะไม่ใช่ครอบครัวเดียว  แต่นางก็เป็นสายเลือดของเสด็จแม่ข้า

หมอคาดการณ์ไว้ว่าคงคลอดในอาทิตย์หน้า  ทว่าระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่  จู่ๆ  ท่านพี่กลับนิ่วหน้าแล้วยกมือขึ้นกุมท้องร้องโอดโอยด้วยความทรมาน

สัญญาณนั้นทำให้ทุกอย่างอลหม่าน  หมอตำแยที่ถูกเชิญไปพักข้างนอกรีบวิ่งเข้ามาขณะที่ผู้ช่วยออกไปตามให้คนมาช่วย  แน่นอนว่าวารันที่ยืนอยู่ใกล้สุดในบริเวณนั้นก็ถูกลากมาด้วย

เป็นครั้งแรกที่เขายืนงงเป็นไก่ตาแตกขณะที่ถูกใช้ให้เตรียมของตามที่หมอตำแยสั่ง  วิ่งไปหยิบตามคำสั่งด้วยท่าทีเก้ๆ  กังๆ  ดีที่มีชาวบ้านบริเวณใกล้ๆ  มาช่วยด้วยเขาจึงไม่โดนหมอชราด่ามากนัก

หลังจากนั้นพวกผู้ชายก็ถูกกันออกมาข้างนอก  ด้านในมีแต่ผู้หญิงคอยช่วยหมออยู่

ข้าได้แต่เดินวนไปวนมานั่งไม่ติดพื้น  สุดท้ายก็โดนวารันดึงไปนั่งข้างๆ  แล้วใช้มือโอบเอวเพื่อกดไว้  “รอนิ่งๆ  สิ”

“อย่ามาสั่งข้านะ”  ข้าตวาดกลับไป

“แย่แล้ว!  มีอสูรขวางอยู่ตรงถนนในป่าทางเหนือ”  เสียงของใครบางคนดังขึ้นขณะรีบมุ่งหน้าไปในเมือง  ข้ากับวารันรีบลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งไปทันที  แม้บริเวณนี้จะได้ความคุ้มครองจากข่ายเวทมนตร์แต่ก็ต้องตรวจสอบ

ข้ากับวารันรีบวิ่งจากสถานรับเลี้ยงเด็กไปที่ถนนนอกอาณาจักรทันที  เสียงคำรามของอสูรดังขึ้นเรื่อยๆ  ก่อนที่จะพบกับความตะลึง

อสูรไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งหรือสอง  แต่มีนับสิบ  หากปล่อยให้หลุดเข้าหมู่บ้านไปคงไม่ดีแน่

“วารัน  จัดการได้หรือเปล่า”  ข้าถามขึ้นเพราะไม่มั่นใจ  เขาเพิ่งได้เป็นผู้ถูกเลือกยังไม่เคยเจอกับอสูรตัวเป็นๆ  ด้วยซ้ำ 
แต่วารันเพียงยกยิ้มแล้วกางมือออก  แสงสีฟ้าก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นกระบี่  เขาวาดอาวุธที่ถืออยู่ในมือออกไปด้านข้างก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นใจ  “ต่อให้มาเป็นร้อยข้าก็ไม่แพ้หรอกนะ”

บรรยากาศรอบตัวของวารันเปลี่ยนไปทันที  เขาร้องคำรามเหมือนตอนอยู่ในร่างของมังกรแล้วพุ่งไปปะทะกับพวกอสูรทันทีทำให้ข้าเกือบร่ายเวทเสริมไม่ทัน  แม้อาวุธของเขาจะเป็นกระบี่ที่มีขนาดเล็กบางแต่การกวัดแกว่งและเคลื่อนไหวของเจ้าตัวนั้นดุดันอย่างไม่น่าเชื่อ  ขณะที่สู้ไปสักพักเขาก็เรียกกระบี่อีกเล่มหนึ่งมาถือเป็นสองมือ

พวกอสูรทยอยล้มลง  แต่ข้ากลับรู้สึกแปลกๆ  เพราะเห็นท่าทีของวารันดูอ่อนล้าลงผิดปกติ  ใบหน้านั้นเริ่มซีดเซียวและมีเหงื่อไหลออกมาเต็ม

“วารัน!  ถอยออกมาก่อน”  ข้ารีบสั่งเมื่อเห็นความผิดปกตินั้น  ขณะร่ายเวทเยียวยาให้เขาด้วย  กลิ่นฉุนที่ปนมากับกลิ่นคาวเลือดทำให้ข้าสังหรณ์ใจว่าเลือกของอสูรพวกนี้อาจมีพิษบางอย่าง  และมันสามารถเล่นงานวารันได้ด้วยกลิ่น

“ไม่ได้  มันจ้องเล่นงานเจ้า”  เขาตะโกนตอบกลับมาขณะพุ่งมาผลักอสูรตนหนึ่งที่วิ่งเข้าหาข้ากลับไป  ก่อนจะตามไปแทงด้วยกระบี่ซ้ำ

“วารัน  ถอยออกมา!”  ขณะที่ข้ากำลังคิดหาทางอยู่นั้น  สายลมวูบใหญ่ก็พัดมาจากด้านหลังตามด้วยเสียงบางอย่างพุ่งผ่าอากาศไปโจมตีพวกอสูรจนเกิดเสียงระเบิดขึ้นดังสนั่น

วารันไถลตัวมาด้านหลัง  ข้ารีบวิ่งเข้าไปดูอาการของเขาก่อนจะหันกลับไปมองหาที่มาของการโจมตี 

นอร์ธวินด์บินลงมาจากฟ้าด้วยสีหน้าเป็นกังวลแล้วปล่อยให้คันธนูหายไปจากมือ  ข้างหลังเขาคือซีวาลที่วิ่งมาหาพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง

“ฝ่าบาท  บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ”  นอร์ธวินด์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงขณะเข้ามาดูอาการ  แต่สายตากลับเหลือบไปมองวารัน

“ข้าไม่เป็นไร  วารันเองก็เช่นกัน”

“พิษแค่นั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก  แต่กลิ่นมันทำให้ประสาทข้าตอบสนองไม่ค่อยดี”  วารันเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วหันไปมองทางพวกอสูรซึ่งบัดนี้ถูกกำจัดไปด้วยลูกศรหมดแล้ว  เขาหันมามองนอร์ธวินด์แล้วบอกผ่านๆ  ว่า  “ฝีมือดีนี่”

“แน่นอนอยู่แล้ว  ข้าฝึกมาตั้งเจ็ดสิบปีเชียวนะ”  เมื่อถูกชม  เป็นธรรมดาที่นอร์ธวินด์จะยิ้มอย่างลำพอง  วารันเองก็ยกยิ้มบางๆ  ขึ้นเช่นกัน

“เจ้าฝึกมากกว่านั้นอีก  ใครกันที่เป็นคนสอนให้เจ้ารู้จักธนูกันล่ะ”

“นี่เจ้าจะทวงบุญคุณหรือ?”

ข้ามองพวกเขาต่อล้อต่อเถียงกัน  ก่อนจะกำหมัดขึ้นทุบกันอย่างเข้าใจแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบริมฝีปาก 

“พวกเจ้าดูเหมาะกันดีนะ”

“หา?”  นอร์ธวินด์ร้องลั่นแล้วพุ่งมาทันทีด้วยใบหน้าที่คล้ายจะร้องไห้  “ฝ่าบาท  อย่าพูดเช่นนั้นสิขอรับ  ทั้งใจข้าน่ะมอบให้ฝ่าบาทไปหมดแล้วนะ!”

“เลี่ยนมากนะ”  ข้ายิ้มขำ  ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้  “จริงสิ  ท่านพี่กับหลาน!”

พวกข้ารีบมุ่งกลับไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กอีกครั้ง  สีหน้าของทุกคนดูชื่นมื่นเป็นสัญญาณของเรื่องที่ดี  ชาวบ้านเชิญให้ข้าเข้าไปข้างใน  หมอตำแยกำลังอุ้มเด็กทารกตัวแดงในห่อผ้าเดินไปมาอยู่

“ฝ่าบาท  ขอแสดงความยินดีด้วยเพคะ  หลานท่านเป็นเด็กผู้หญิง”  นางเอ่ยขึ้นขณะเดินมาหา  “ท่านอยากลองอุ้มไหมเพคะ”

ข้าพยักหน้าแต่โดยดีก่อนจะรับเด็กทารกคนนั้นมาอุ้ม  เด็กในห่อผ้านอนหลับเงียบๆ  ไม่ร้องไห้งอแง  แต่กลับชวนให้รู้สึกหลงใหลขึ้นมา

“ท่านพี่ล่ะ”

“นางหมดสติอยู่เพคะ  เมื่อครู่นี้ให้นมเด็กเสร็จก็หลับไป”  หมอตำแยเอ่ยขึ้นก่อนที่จะถอยไป  ข้าอุ้มเด็กในอ้อมกอดหันไปทางซีวาลก่อนจะบอกนางด้วยรอยยิ้มยินดี

“ซีวาล  ดูสิ  ข้าได้หลานสาวล่ะ”  นางยิ้มรับด้วยความยินดีทันที  ซีวาลมองเด็กทารกคนนี้แล้วเอ่ยขอบางอย่างขึ้น

“ข้าขอลองอุ้มเขาได้หรือไม่เพคะ”  ข้าพยักหน้าแล้วส่งให้นางเบาๆ  แม้จะแค่ไม่กี่นาที  แต่เพราะเกร็งไปหมดเลยทำให้รู้สึกเมื่อยขึ้นมา  ซีวาลก้มมองเด็กทารกในอ้อมแขนที่ลืมตาขึ้นมาแล้วมองนางตอบ

“ดูสิ  ช่างเป็นภาพที่เหมาะสมอะไรเช่นนี้”  เสียงของหญิงสาวที่มาช่วยดังขึ้นทำให้พวกข้าชะงักไป  “อย่างกับพ่อแม่ลูกจริงๆ  เลยนะเพคะ”

“หากฝ่าบาทมีทายาท  ก็คงจะเป็นเด็กที่วิเศษมากแน่ๆ  เพคะ”  หมอตำแยเอ่ยขึ้นพลางยิ้มกว้างอย่างปิดไม่มิด  แต่ข้ากลับทำได้เพียงแค่ยิ้มขืน  เมื่อหันไปมองซีวาล  นางก็เพียงแค่ยิ้มบางๆ  แล้วไม่ตอบอะไร  ก่อนจะส่งเด็กทารกคืนให้หมอตำแย

ท่านพี่อารีแอนนาตื่นมาหลังจากนั้นไม่นาน  นางตั้งชื่อบุตรสาวว่าไลลา  เป็นชื่อที่สามีตั้งใจจะมอบให้ลูกแต่ตัวเขากลับเสียชีวิตไปก่อน  ข้าอยู่กับนางจนพลบค่ำ  ก่อนที่จะกลับไปที่ปราสาท

วารันกับนอร์ธวินด์แยกตัวไปรายงานเรื่องกับผู้วิเศษ  ส่วนซีวาลกลับไปยังคฤหาสน์ของนาง  ข้ากลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน  แม้จะเป็นช่วงหัวค่ำ  แต่ความเหนื่อยล้าในวันนี้ทำให้ข้าเผลอหลับไป

รู้ตัวอีกทีข้าก็คิดว่าตัวเองกำลังฝัน  ตรงหน้าข้ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่  ชายที่ทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

เขาคือคนที่ต่อสู้กับผู้วิเศษในวันที่ประตูแห่งอสูรเปิดออก

“เจ้า...”  ข้ารีบลุกขึ้นและถอยหลังออกห่างทันที  อีกฝ่ายยกยิ้มแสยะขึ้นแล้วน้อมศีรษะลง 

“ถวายบังคมฝ่าบาท  เราไม่เจอกันนานเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าต้องการอะไร  ออกไปซะ!”  ข้ารีบเอ่ยไล่ก่อนจะหยิบข้าวของใกล้ๆ  ขว้างปาใส่  แต่ของทุกอย่างกลับทะลุผ่านร่างนั้นทำให้แน่ใจได้ว่านี่คือร่างมายา

“ฝ่าบาททรงเย็นพระทัยลงก่อน...”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า  “ท่านไม่อยากรู้หรือว่าน้องชายของพระองค์อยู่ที่ใด”

ข้าชะงักไปทันทีก่อนจะเบิกตากว้าง  “ว่าอย่างไรนะ”

“ข้ารู้ว่าน้องชายของท่านอยู่ที่ไหน”  เขายกมือขึ้นทาบอกตัวเองก่อนจะเดินเข้ามาใกล้  รอยยิ้มที่คล้ายแฝงเจตนาบางอย่างนั้นชวนให้รู้สึกไม่ไว้วางใจขึ้นมา  “คนที่ท่านเรียกว่าผู้วิเศษก็รู้  แต่เขาไม่ยอมบอกท่าน  ทำไมกันนะ”

“ครีออนอยู่ที่ไหน”  ข้าถามออกไปตรงๆ  ด้วยความหงุดหงิด  ที่เขากลับยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปากตัวเองแล้วเผยยิ้มอีกครั้ง

“บอกตรงๆ  ก็ไม่สนุกสิ”  เขาหัวเราะยิ่งทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น  แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็ชิงเอ่ยขึ้น  “หากท่านไปที่อัลทอเบีย  อาจพบคำตอบ”

“ว่ายังไงนะ”  หัวใจของข้าคล้ายกับพองโตขึ้นชั่วขณะที่คำพูดอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น  แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรต่อ  ภาพทุกอย่างกลับถูกกลืนด้วยแสงสว่างจ้า 

ข้ารู้สึกได้ถึงแรงกดทับแผ่วเบาที่หน้าผากทำให้ต้องลืมตาขึ้น  และแน่ใจว่าเมื่อครู่นี้เป็นแค่ฝันทำให้โล่งอกอย่างบอกไม่ถูก

ข้างกายข้าคือผู้วิเศษที่นั่งอยู่ข้างเตียง  เขายกมือที่ทาบหน้าผากข้าออกก่อนจะถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล  “พระวรกายเป็นเช่นไรบ้างขอรับ  ฝ่าบาท”

“ข้าสบายดี  เมื่อกี้นี้...”  ข้าลุกขึ้นก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสับสน

“ลูซัสแอบแฝงพลังเวทมนตร์ของเขามาโจมตีท่าน  คาดว่าน่าจะมาจากพวกอสูรที่ท่านต่อกรวันนี้”  เขาอธิบายก่อนจะหงายมือข้างที่เคยทาบหน้าผากข้า  ควันสีดำประหลาดที่มีบรรยากาศน่ากลัวปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของเขา  ผู้วิเศษท่องคาถาบางอย่างกำจัดมันไปในทันที

“ลูซัส?...”

“ชายที่ข้าต่อกรด้วยในวันที่ประตูอสูรเปิดออก  มันทำอะไรท่านหรือเปล่า”  เขาถามขึ้น  ข้านิ่งเงียบไปในทันที  ยังคงติดใจคำพูดของลูซัสบางอย่างขณะมองตาของชายตรงหน้า

ผู้วิเศษรู้ว่าครีออนอยู่ที่ไหน  แต่ไม่ยอมบอกข้า...

“เปล่า  ไม่ได้ทำอะไร”  ข้าตอบไปอย่างแผ่วเบา  ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ  ไม่รู้ว่าเมื่อพูดออกไปแล้วผู้วิเศษจะทำหน้าเช่นไร  แต่ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา

“ฝ่าบาท  ด้วยความเป็นห่วงของข้า  ต่อจากนี้  ได้โปรด...”  ผู้วิเศษยกมือทั้งสองข้างจับไหล่ข้าไว้  บังคับให้มองหน้าก่อนจะบอกในสิ่งที่คล้ายกับฟ้าผ่ากลางใจข้า

“ได้โปรดหยุดการตามหาท่านครีออนไว้เพียงเท่านี้เถอะพ่ะย่ะค่ะ”

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 9>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 03-03-2018 17:23:31
บทที่  10
นิทานที่เพิ่งเคยได้ยิน

“เจ้าว่า...อย่างไรนะ”  ข้าถามกลับด้วยความสงสัย  ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูด  ผู้วิเศษเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ได้โปรดหยุดการตามหาท่านครีออนก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ามันบ้าไปแล้ว!”  ข้าตวาดใส่เขาอย่างเหลืออดแล้วเดินหนีออกมาทันที  ไม่อยากฟังคำแก้ตัวอีกต่อไป  หลังจากนั้นผู้วิเศษก็ไม่ค่อยปรากฏตัวเท่าไรนัก

เขาหายหน้าไปเพราะต้องจัดพิธีคัดเลือกอัศวินราชองครักษ์  ผู้ติดตามคนอื่นเองก็ยังเทียวไปเทียวมาเพื่อคุ้มครองข้า  แต่ขณะเดียวกันคนที่หายไปดื้อๆ  ไม่โผล่มาแม้แต่เงาก็คือโซแวนด้วย

เมื่อข้าไล่ถามจากคนอื่นล้วนไม่ตอบและทำหน้าบึ้งก่นด่าอีกฝ่ายกันทั้งนั้นจนพลอยให้รู้สึกสงสัย  แต่ก็ไม่ได้มาสนใจมากนัก  เพราะตอนนี้ดันมีปัญหาหนักเข้ามาเสียก่อน

ย่างเข้าสู่วันที่สี่หลังจากผู้วิเศษบอกให้ข้ายุติการค้นหาครีออน  เขาก็ปรากฏในห้องประชุมซึ่งเต็มไปด้วยขุนนางและบุคคลสำคัญของอาณาจักร

ข้านั่งอยู่บนบัลลังก์  นั่งฟังพวกเขาถกเถียงกันขณะไตร่ตรองไปด้วย

“ฝ่าบาท  ท่านจะทนให้ราชาหมูตอนนั่นดูถูกต่อไปไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”  ท่านแม่ทัพหันมาทางข้าด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นข้างใน 

“ท่านแม่ทัพโปรดไตร่ตรองให้ดี  การต่อต้านไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้”  เป็นท่านเสนาธิการที่ค้านขึ้นด้วยใบหน้าที่เยือกเย็นกว่าปกติ  “จริงอยู่ที่เราไม่ควรให้อัลทอเบียดูถูก  แต่เราก็ไม่ควรก่อสงครามด้วย”

“แล้วจะให้ทำอย่างไร  เจ้าจะให้ฝ่าบาทออกนอกอาณาจักรไปช่วยกางข่ายมนตร์ให้ฝ่ายนู้นหรือ”

“ไม่ได้เด็ดขาด  ฝ่าบาทจะออกนอกอาณาจักรไม่ได้”  เป็นผู้วิเศษที่ค้านต่อ  และทั้งห้องก็เข้าสู่บรรยากาศตึงเครียดอีกครั้ง 
การสร้างข่ายเวทซึ่งป้องกันอสูรได้ทำให้อาณาจักรอื่นสนใจ  โดยเฉพาะอัลทอเบียซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด  ราชาของที่นั่นต้องการให้ข้าไปสร้างมนตร์คุ้มครอง  แต่เมื่อปฏิเสธไปอย่างสุภาพกลับถูกต่อว่ากลับมา

“เพราะราชาแห่งคาร์ไลน์เป็นเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเลยทำการใหญ่เช่นนั้นไม่ได้”

นั่นเป็นคำพูดทิ้งท้ายที่ราชาของอัลทอเบียทิ้งท้ายไว้ก่อนจากไป  ทีแรกข้านับถือที่อุตส่าห์มาเยือนด้วยตัวเอง  แต่หลังจากนั้นก็ได้แต่ปั้นยิ้มรับคำดูถูก  การรบกับพวกเขาไม่ใช่เรื่องดี  ยิ่งถูกขู่ไว้แล้วย่อมต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

อัลทอเบียเป็นอาณาจักรที่ขึ้นชื่อเรื่องการรบ  มีทรัพยากรผลิตอาวุธที่มีคุณภาพ  และกำลังทหารที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครในภูมิภาคแถบนี้  แต่ด้านเวทมนตร์นั้นแทบไม่มีนักเวทที่มีพลังมากนัก  จึงไม่สามารถสร้างข่ายคุ้มกันที่เสถียรได้

เช่นนั้นแล้วราชาแห่งอัลทอเบียจึงมาขอร้องข้า...ไม่สิ  น่าจะเรียกว่าขู่มากกว่า

ตัวข้านั้นต้องการไปที่อัลทอเบียเพื่อสืบเรื่องของครีออน  แต่ว่าการสร้างข่ายเวทมนตร์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ  มันเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่  ไม่เกี่ยวกับการขอพรของเทพเจ้า  แต่เพราะตอนนี้ตัวข้าไม่สามารถควบคุมพลังทั้งหมดได้  หากจะทำอีกครั้งก็จะสูญเสียพลังเวทไปเหมือนการเทน้ำลงบนผืนทราย  และร่างกายข้าจะเป็นอันตราย  ยิ่งอัลทอเบียมีอาณาเขตที่มากกว่าคาร์ไลน์ด้วยแล้วก็มีแนวโน้มที่ข้าจะหมดสติไปก่อนพิธีจะเสร็จ

ผู้วิเศษเป็นคนคัดค้านเรื่องนี้  เพราะเข้าใจเรื่องพลังเวทดี  หากข้าใช้เวทยิ่งใหญ่แบบนั้นอีกครั้งอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น  และเสี่ยงที่จะถูกลอบสังหาร  แต่มีอีกอย่างที่ข้าสงสัยว่าจะเป็นสาเหตุที่ไม่ให้ข้าไป  นั่นคือเรื่องของครีออน

ทางเลือกที่จะเจรจากับอัลทอเบียมีแค่สามทาง  เมินเฉย  ตกลง  หรือต่อต้าน  ตอนนี้สิ่งที่คาร์ไลน์กำลังทำคือเพิกเฉยต่ออีกฝ่าย  แต่เป็นวิธีที่แค่ประวิงเวลาไว้เท่านั้น  ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องตัดสินใจ  จะสู้หรือจะยอมรับ

“แล้วจะให้ข้าทำเช่นไร”  เมื่อฟังพวกเขาโต้เถียงกันมานาน  ในที่สุดข้าก็เปิดปากถาม  ทุกอย่างเงียบลง  ไม่มีใครเสนอความคิดออกมา  พวกเขาย่อมคิดไม่ออกว่าทางไหนดีกว่ากัน

ไม่มีใครอยากเปิดสงครามในช่วงนี้  โดยเฉพาะเมื่อคู่ต่อสู้คืออัลทอเบีย

แต่ก็ไม่มีใครอีกเหมือนกันที่จะบังคับให้ราชาออกไปนอกอาณาจักรเพื่อช่วยดินแดนอื่น

นอกเสียจากราชานั้นจะเป็นคนพูดเอง

“ส่งสารไปหาราชาแห่งอัลทอเบีย  บอกกับเขาว่าตัวข้าไม่สามารถกางข่ายคุ้มครองทั้งอาณาจักรได้  ให้เขาเลือกมาส่วนหนึ่งที่ต้องการให้คุ้มครองเป็นพิเศษ”  ข้าเอ่ยขึ้นในสิ่งที่ตัดสินใจ  ไม่มีใครคัดค้านและไม่มีเสียงใดตอบเห็นด้วย  แม้กระทั่งผู้วิเศษ
เขามองหน้าข้าด้วยแววตาตำหนิ  แต่ข้าเลือกที่จะเมินเฉยแล้วหันไปหาราชทูตที่ยืนรอรับคำตอบของที่ประชุมอยู่

“ฝากจัดการด้วย”

“ขอรับ”  ราชทูตน้อมรับคำสั่งก่อนที่จะเดินออกไป  ข้าจึงลุกขึ้นหันไปทางประตูหลังเป็นสัญญาณให้แยกย้าย

เมื่อออกจากห้องประชุมมาแล้วก็พบเร็นยืนรออยู่ด้วยรอยยิ้ม  เขาน้อมตัวลงแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  “เหนื่อยหน่อยนะขอรับฝ่าบาท  ตอนนี้น้ำชายามบ่ายพร้อมแล้วขอรับ”

“เหรอ  ดีจริงๆ”  ข้ายิ้มให้เขาก่อนที่จะเดินตามเร็นไปในสวน  ที่ซุ้มม้านั่งนั้นมีคาร์ริต้ากำลังจัดเตรียมขนมอยู่

“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”  นางโน้มศีรษะลงช้าๆ  ข้ายิ้มรับก่อนที่จะเดินไปนั่งข้างๆ  ขณะที่เร็นเริ่มรินน้ำชา

“วันนี้เป็นชาคาโมมายล์ขอรับ  ขนมในวันนี้เป็นเค้กส้ม  และขนมปังจากร้านโปรดของพระองค์ขอรับ”  เขาอธิบายขณะยื่นถ้วยชามาให้  ข้ารับมาถือไว้ด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะยกดื่มแล้วปล่อยตัวให้ผ่อนคลายบ้าง

“ชานี้อร่อยมาก  ฝีมือเจ้าดีขึ้นมากเลยนะ”  ข้าเอ่ยชมทำให้เร็นยิ้มแก้มปริ  จริงๆ  ครั้งแรกที่เขาชงชาให้ข้านั้นรสชาติเรียกได้ว่าห่วยแตกสิ้นดี  แต่เพราะเห็นแก่ความตั้งใจของเขา  สุดท้ายข้าก็ต้องอดทนดื่มให้หมดแล้วค่อยบอกอ้อมๆ  ไปว่าให้ไปฝึกกับหัวหน้าพ่อบ้านซึ่งใกล้เกษียณแล้ว  ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะถูกใจมากเลยรับเร็นเป็นศิษย์อันดับหนึ่ง

“แล้วเจ้ากำลังทำอะไรหรือ?”  ข้าหันไปถามคาร์ริต้าที่นั่งอยู่ข้างๆ  นางไม่สามารถใช้ขาเดินไปไหนได้จึงอยู่แต่ในปราสาท  มีเร็นคอยดูแลตามคำสั่งของข้า  หากเร็นไม่ว่างก็จะอยู่กับหญิงรับใช้

“เครื่องรางเพคะ”  นางตอบขึ้น  ในมือเป็นสร้อยเส้นเล็กๆ  ที่ประดับด้วยเปลือกหอยและอัญมณีต่างๆ  ทุกอย่างเจือปนด้วยพลังเวทมนตร์ด้านการคุ้มครอง

“เจ้าถนัดด้านการทำเครื่องรางสินะ”  ข้าลองคาดเดาดู  คาร์ริต้าพยักหน้าพร้อมยิ้มรับ

“เผ่าเงือกของข้ามีความพิเศษด้านการคุ้มครอง  ฉะนั้นเครื่องรางที่ทำจากพวกเราล้วนได้ผลดีเพคะ”  นางตอบก่อนจะชี้ไปที่สร้อยคอซึ่งเร็นสวมอยู่  “โดยเฉพาะชิ้นที่มีเกล็ดเงือกอยู่”

“อย่างนี้นี่เอง” 

“อันนี้ข้าทำให้ท่านเพคะ”  คาร์ริต้าหยิบสร้อยเส้นหนึ่งขึ้นมามอบให้ข้า  มันมีจี้ที่ใส่เกล็ดเงือกชิ้นหนึ่งไว้ด้วย  ข้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะรับไว้แต่โดยดี

“ขอบคุณมากนะ  ข้าดีใจจริงๆ” 

คาร์ริต้ายิ้มอย่างมีความสุข  เท่าที่ดูนางทำสร้อยไว้หลายเส้น  คาดว่าคงมอบให้ผู้ติดตามคนที่เหลือด้วย  เช่นนั้นข้าจึงนึกอะไรได้  “จริงสิ  คาร์ริต้า  เจ้าพอจะสอนข้าทำเครื่องรางได้หรือเปล่า”

“ทำไมหรือเพคะ?”

“ข้าอยากทำของขวัญให้ใครบางคน”  ข้าอธิบายเหตุผลสั้นๆ  แต่คาร์ริต้าก็ยอมสอนให้แต่โดยดี  พลังเวทของข้าไม่ได้ด้อยไปกว่านางอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคาถาเสริมพลัง  แต่ด้านงานฝีมือนั้นข้าด้อยอย่างมาก  เดือดร้อนนางต้องสอนทุกอย่างที่จะทำให้งานออกมาดีได้

แต่ในที่สุดสร้อยเครื่องรางเส้นแรกของข้าก็เสร็จสมบูรณ์ท่ามกลางความลุ้นระทึกของคนทั้งสอง  เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังอย่างชัดเจนตามมาด้วยเสียงปรบมือจากเร็น

“ฝ่าบาทยอดเยี่ยมมากขอรับ”

“ในที่สุด!”  ข้าร้องออกมาด้วยความยินดีขณะประคองสร้อยมาไว้บนฝ่ามืออย่างทะนุถนอม   

“ว่าแต่ว่า  ฝ่าบาทจะทำให้ใครหรือเพคะ”  คำถามของคาร์ริต้าทำให้ข้าชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มรับ

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”  ข้าลุกขึ้นก่อนจะเดินออกมาแล้วทิ้งท้ายด้วยความดีใจว่า  “ขอบคุณพวกเจ้าทั้งสองคนมากนะ  แล้วข้าจะหาโอกาสตอบแทนทีหลัง”

ข้าเดินกลับเข้าไปในปราสาทขณะที่เก็บสร้อยเส้นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อ  ขณะเดียวกันก็เห็นใครบางคนกำลังเดินเหมือนหาบางอย่างอยู่  เมื่อเข้าไปใกล้ก็พบว่าเป็นอาคีรัสนั่นเอง

“ฝ่าบาท!”  เขาร้องขึ้นด้วยความดีใจก่อนจะพุ่งมาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  แล้วกอดรัดไว้เหมือนเด็กๆ 

“มีอะไรหรือ”  ข้าถามขึ้นพลางปั้นยิ้มพยายามขืนตัวไว้เมื่อเขาพยายามเหวี่ยงข้าไปรอบๆ  อาคีรัสละกอดแล้วยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้ดู

“ท่านสัญญาว่าจะอ่านหนังสือให้ข้าฟังนี่ขอรับ”

ข้าเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจแต่ก็รับหนังสือมาแต่โดยดี  ขณะนั้นก็เงียบไปสักพักเพื่อนึกย้อนความดู  จะว่าไปก็เหมือนจะเคยสัญญาไว้เช่นนั้น

“เข้าใจแล้ว”  ข้าพึมพำตอบรับเขาขณะพลิกดูหนังสือนิทานเล่มนั้น  มันเป็นหนังสือที่ค่อนข้างเก่า  หน้ากระดาษเป็นสีเหลืองจัด  ทั้งภาพสีก็จางจนเกือบมองไม่เห็นอะไรจนทำให้เกิดความสงสัยว่าอาคีรัสไปขุดมาจากไหน

“ข้าพร้อมแล้ว!”  ทว่าข้ายังไม่ได้ถามอะไรเขาก็ร้องบอกด้วยน้ำเสียงสดใสก่อนจะจูงมือข้าเดินไปที่ห้องนอน  อาคีรัสทิ้งตัวลงบนเตียงขณะทำตาวาวใส่จนข้าเกือบหลุดหัวเราะ

“เจ้านี่เหมือนเด็กเลยนะ”  ข้าพึมพำขึ้นด้วยความเอ็นดูขณะยกมือขึ้นลูบเส้นผมของเขาเบาๆ  เคยได้ยินผู้วิเศษพูดเหมือนกันว่าอาคีรัสค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่น  พลังของเขาไร้ขีดจำกัด  ทว่าหากใช้พลังไปมากๆ  จะเริ่มควบคุมไม่อยู่และเป็นภัยอันตรายต่อคนอื่น  แต่ทางแก้นั้นก็ง่ายมาก  แค่ให้พักผ่อนให้พลังเสถียรเท่านั้น

ดังนั้นเขาเลยมักหายไปนอนกลางวันบ่อยๆ  ยามที่เสร็จจากภารกิจ 

ข้าอดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้  ช่วงนี้เขาไม่ได้ไปทำภารกิจข้างนอกเลยแต่กลับต้องนอนพักทุกวัน  หรือจะมีงานอื่นที่ไม่มีใครบอกข้า

“ฝ่าบาท...”  เขาเอ่ยเรียกขึ้นทำให้ข้าตื่นจากภวังค์ขณะที่อาคีรัสจ้องมาด้วยสายตาที่ซึมลง  “หรือฝ่าบาทไม่ชอบแบบนี้หรือขอรับ”

“เปล่าหรอก  แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ”  ข้าเริ่มเปิดหนังสือแต่ก่อนที่จะเริ่มอ่านนั้นก็รีบบอกดักไว้  “อย่าไปบอกคนอื่นล่ะ”

“แน่นอนขอรับ”

“กาลครั้งหนึ่งบนดินแดนที่อุดมสมบูรณ์  ผู้คนอยู่กันอย่างสงบสุข  บ้านเมืองกระจัดกระจายไม่เป็นปึกแผ่นแต่ไม่มีสงคราม  ณ  หมู่บ้านที่ห่างไกล...”  ข้าเริ่มเล่าให้เขาฟัง  แรกเริ่มเป็นการเกริ่นนำถึงโลกในนิทานและหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางทิศเหนือ

ที่หมู่บ้านแห่งนั้นมีนักบวชที่มีชื่อเสียง  คนผู้นั้นมีชื่อเสียงด้านเวทมนตร์คาถาอย่างมาก  ไม่มีใครเทียบกับนักบวชได้  เป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีใครต่อต้าน

ทว่าวันหนึ่งนักบวชผู้นั้นได้เจอวิหคดำ  วิหคที่ชักนำให้เขาตามหากุญแจที่จะเปิดประตูแห่งอำนาจ  ขุมพลังเวทมนตร์ที่ไม่มีใครต่อต้านได้  โดยหารู้ไม่ว่านี่คือแผนการของวิหคชั่วร้ายที่จะหลอกล่อให้ชายหนุ่มเปิดประตูแห่งอสูรและนำหายนะมาสู่โลกใบนี้
ทันทีที่อ่านถึงหน้าที่เล่าถึงประตูอสูรข้าก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ  เมื่อหันไปมองอาคีรัสก็พบว่าเขาหลับไปแล้ว  ข้าจึงได้หันกลับมาอ่านต่อในใจ 

แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร  นักบวชสามารถเปิดประตูอสูรได้ตามแผนของวิหคดำทว่าเขาไม่ตายตามแผน  ร่างนั้นไม่ถูกกลืนกินและจมดิ่งสู่เวทมนตร์ดำที่ไม่มีใครต่อต้านได้

วิหคดำถูกสังหาร  โลกเข้าสู่ภัยหายนะจากอสูรด้วยเงื้อมมือของนักบวชผู้ชั่วร้าย

ท่ามกลางความสิ้นหวัง  ชายคนหนึ่งได้จับดาบลุกขึ้นสู้กับอสูร  เขาคนนั้นเป็นน้องชายของนักบวชผู้ชั่วร้าย  แต่จิตใจถูกหล่อหลอมด้วยความชอบธรรม  และคำอวยพรจากพระเจ้า  เป็นผู้กล้าที่ต่อต้านหายนะครั้งนั้น

ผู้กล้าได้รับการชี้นำจากแสงสว่างซึ่งพระเจ้าส่งมา  แสงนั้นนำทางเขาไปยังประตูแห่งอำนาจที่แท้จริง  รวบรวมพวกพ้องผู้ศรัทธาจนกระทั่งมีข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ห้าคน  พวกเขาสามารถต่อกรกับอสูรได้และสามารถปิดประตูแห่งความวินาศลงสำเร็จ
นักบวชผู้ชั่วร้ายพ่ายแพ้ให้แก่ผู้กล้าและถูกขับไล่  เขาหนีหายไปจากมนุษย์

ผู้กล้านั้นได้รับชื่อเสียงและความรักอันมากล้นจากมนุษย์  เขารวบรวมบ้านเมืองเป็นหนึ่งเดียวและก่อตั้งอาณาจักรขึ้น  อาณาจักรที่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า  ดินแดนที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ซึ่งสถิตอยู่ชั่วกาลนาน

ทว่านักบวชไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น  ท่ามกลางเสียงสรรเสริญแห่งชัยชนะ  ผู้กล้าได้รับความทรมานอย่างไม่รู้ตัว

ภายใต้คำสาปแห่งความเกลียดชัง

จากลาภยศชื่อเสียงที่เคยมีพลันสลาย

ผู้คนที่ปกป้องมาด้วยเลือดเนื้อหยาดเหงื่อกลายเป็นคนที่ต้องการเอาชีวิตตน

กลายเป็นคนโดดเดี่ยวที่ไม่มีใครเหลียวแล

ทว่าร่างกายของผู้กล้าเป็นอมตะ  ไม่ว่าจะถูกฆ่าสักกี่ครั้งก็ไม่มีวันดับสลาย  ร่างเนื้อนั้นทุกข์ทรมานอย่างไม่มีวันจบสิ้นในขณะที่ไม่มีสถานที่ให้ตนอยู่

ผู้กล้าหรือกษัตริย์ของดินแดนนั้นจึงได้หลบหนีจากผู้คน  สู่ป่าที่ไม่มีกล้าย่างกรายเข้าไป  ตัวตนที่ยิ่งใหญ่นั้นถูกลบออกจากประวัติศาสตร์  ตำนานของประตูถูกปิดซ่อน  ไม่ปรากฏนามของผู้กล้าคนนั้นอีกต่อไป

ทิ้งไว้เพียงแค่เขาผู้นั้นคือปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรคาร์ไลน์
----------------จบครึ่งแรก-------------
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 10>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 03-03-2018 17:29:45
บทที่ 10
นิทานที่เพิ่งเคยได้ยิน

ภาพในหนังสือจบลงที่รูปของป่าอันมืดมิด  มือของข้าสั่นเทาขณะลูบหน้านั้น  จิตใจรู้สึกสับสนขึ้นมาชั่วขณะ  รับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่นิทานแต่เป็นตำนานหนึ่ง  ตำนานที่ไม่มีใครเคยได้ยิน

หลายครั้งข้าก็เคยสงสัย  แม้ดินแดนนี้จะก่อตั้งมานับพันปี  แต่ไม่ปรากฏนามของปฐมกษัตริย์เลยแม้แต่น้อย  ในรุ่นข้านั้นเรียกได้ว่าไม่มีการกล่าวถึงหากข้าไม่นึกสงสัย  ไม่มีพิธีสรรเสริญแม้ว่าเขาจะเป็นคนก่อตั้งดินแดน  พงศาวดารเรื่องเล่าก็มีน้อยเสียจนนึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีจริง

แต่บางอย่างในใจกลับทำให้ข้าเชื่อว่านิทานเล่มนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นและมีความเป็นไปได้ว่ามันคือเรื่องจริง

“อาคีรัส  เจ้าได้หนังสือเล่มนี้มาจากไหน”  ข้าหันไปเขย่าตัวคนที่หลับไปแล้วเพื่อให้ตอบคำถาม  “อาคีรัส  ตอบข้า  เจ้าได้หนังสือมาจากไหน”

“อืม...ลูกพี่...”  เขาคล้ายจะงัวเงียตื่นขึ้นมาตอบก่อนที่ชื่อหนึ่งจะทำให้ข้าชะงักไป  “ลูกพี่...โซแวน”

“ว่ายังไงนะ”  ข้าขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ  อาคีรัสหลับแล้วปลุกยาก  เมื่อกี้ข้าแค่ลืมตัวแล้วเผลอถามไปอย่างนั้น  ดีแค่ไหนที่เขายังตื่นมาตอบได้

ข้าวางหนังสือไว้บนโต๊ะข้างเตียงของอาคีรัสก่อนจะรีบเดินออกจากห้อง  มุ่งสู่ในส่วนที่ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป

ข้าเดินลงไปยังส่วนใต้ดินของปราสาท  และเดินไปยังส่วนลับที่ห้ามใครเข้ามา  เศษฝุ่นและหยากไย่เกาะตามกำแพงทำให้รู้สึกคัดจมูกขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นปิดใบหน้าครึ่งล่างแล้วไปหยุดอยู่หน้าประตูหินยักษ์ที่อยู่ด้านในสุด

ข้าลดมือลงไปหยิบมีดเล่มเล็กที่พกไว้ก่อนจะถอดถุงมือข้างหนึ่งก่อน  ข้างประตูนั้นมีรูปปั้นของเทพธิดาองค์หนึ่งที่คุกเข่าก้มศีรษะลง  มือที่ยื่นออกมานั้นถือจานเล็กๆ  อยู่  แม้จะไม่เคยมาที่นี่แต่ข้าก็รู้ธรรมเนียมปฏิบัติดีจากบันทึกของกษัตริย์รุ่นก่อนๆ
ข้ายกมีดขึ้นกรีดเลือดจากมือหยดลงจานที่เทพธิดานั้นถือ  ครู่เดียวกลไกเปิดประตูก็ทำงาน  ข้าจึงได้เริ่มเดินเข้าไป 

ห้องนี้นอกจากกษัตริย์ก็ไม่มีใครสามารถเข้าได้  มีเวทมนตร์มากมายที่ถูกร่ายคุ้มครองอยู่  มันเป็นสถานที่ใช้เก็บของสำคัญและประวัติของกษัตริย์คาร์ไลน์ทุกพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ข้าเหลือบไปมองส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งสลักชื่อและรุ่นของเสด็จพ่อไว้  แม้ท่านจะจากไปก่อนวัยอันควรแต่สิ่งของที่เป็นเครื่องสร้างชื่อเสียงให้แก่ท่านก็ไม่น้อยกว่ารุ่นก่อนๆ

ข้าไม่ได้มีธุระกับส่วนของเสด็จพ่อจึงรีบมุ่งหน้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุด  กษัตริย์ที่ควรจะเป็นผู้มีบันทึกประวัติและข้าวของเยอะที่สุดกลับมีเพียงกล่องเล็กๆ  วางอยู่บนแท่นหินและอักษรที่สลักแค่คำว่าปฐมกษัตริย์เท่านั้น

เมื่อหันไปหากษัตริย์องค์ที่สองก็ไม่มีการกล่าวถึงบิดาซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แม้แต่น้อย

ข้าจึงได้หันกลับไปหากล่องไม้นั้น  มันสามารถเปิดได้อย่างง่ายดายและถูกถนอมไว้ด้วยเวทมนตร์คงสภาพ  สิ่งที่อยู่ด้านในมีเพียงแค่จดหมายเก่าห้าฉบับ

‘แด่ท่านผู้ไม่มีวันตาย  ดวงตาของข้าผู้นี้เห็นแจ้งเมื่อสายไปแล้ว  ร่างกายนี้ใกล้สิ้นลมจนไม่สามารถทำอะไรได้  หากคำทำนายจากคนผู้นั้นเป็นจริง  ข้าขอสาบานด้วยดวงวิญญาณนี้  ขอปกป้องเลือดเนื้อของท่านผู้ประสบเคราะห์กรรมเฉกเช่นเดียวกับท่าน  และหากชะตาไม่ทอดทิ้ง  ขอให้ข้าได้พบท่านอีกสักครั้ง’

ข้าอ่านจดหมายฉบับหนึ่งก่อนจะหยิบฉบับที่เหลือมาดู  แม้เนื้อหาจะต่างกันแต่ใจความมีเพียงหนึ่งเดียว  พวกเขาสำนึกผิดแก่ปฐมกษัตริย์ในยามใกล้ตายและขอเกิดใหม่เพื่อคุ้มครองใครบางคน

ผู้เขียนจดหมายเหล่านี้คงเป็นสหายคนสนิทของปฐมกษัตริย์  แต่  ‘ใครคนนั้น’  ที่บอกคำทำนายให้แก่พวกเขา  ข้าไม่สามารถเดาได้ว่าเป็นใคร

หากทุกอย่างเป็นเรื่องจริง  หมายความว่าก่อนที่อาณาจักรคาร์ไลน์จะก่อตั้งขึ้นมาก็เคยเกิดเหตุการณ์ประตูแห่งความวินาศถูกเปิดออกมาแล้ว  แต่เวลาผ่านมานานจึงไม่มีใครกล่าวถึง

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือปฐมกษัตริย์เองก็เคยถูกคำสาปเกลียดชังมาก่อน  และเขาคนนั้นเป็นอมตะ  ไม่มีวันตาย  แสดงว่าตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่  หากแต่หลบซ่อนอยู่ในที่แห่งหนึ่ง

ข้านึกย้อนไปยังนิทานที่อ่านเมื่อครู่

สู่ป่าที่ไม่มีใครย่างกรายเข้าไป...ป่าต้องห้าม!

“ฝ่าบาท  ท่านกำลังทำอะไรอยู่”  เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบทำให้ข้าเผลอสะดุ้งเฮือกรีบเก็บจดหมายทุกฉบับลงกล่องและซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุมก่อนจะหันกลับไป

ผู้วิเศษยืนอยู่นอกประตูไม่ได้เข้ามา  เห็นชัดว่าเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามายังห้องนี้  แต่ถึงกระนั้นเขายังขมวดคิ้วปั้นสีหน้าไม่พอใจอยู่ด้านนอก  “ท่านมาที่นี่ทำไม”

“ผู้วิเศษ  ฟังข้านะ”  ข้าวิ่งไปหาเขาขณะนั้นก็เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว  “เราต้องไปที่ป่าต้องห้าม  เจ้ารู้เรื่องของปฐมกษัตริย์ไหม  เขาอาจอยู่ที่นั่น  หากข้าได้พบเขา  เราอาจจะ...”

จบสงครามได้...ยังไม่ทันที่ข้าจะได้พูดประโยคจนจบ  เขากลับตีสีหน้าเครียดแล้วกล่าวอย่างชัดเจน

“เราจะไม่ไปที่ป่าต้องห้าม”  คำพูดนั้นทำให้ข้าชะงักไปในทันที  ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสับสน

“ทำไม?...ถึงยังไงปฐมกษัตริย์ก็มีตัวตนจริงไม่ใช่หรือ  ข้าเจอหนังสือและในหนังสือบอกไว้ทุกอย่าง  เขาเคยต่อกรกับอสูร  เคยปิดประตูลงได้  แล้วยังเคยถูกคำสาปเดียวกับข้า  เขาต้องช่วยเราแก้ปัญหาได้แน่ๆ”

“ถึงยังไงท่านก็ห้ามไปพบกับเขา!”  ผู้วิเศษตะคอกขึ้นทำให้ข้าที่กำลังดีใจตกตะลึงไปชั่วขณะ  เหมือนกับถูกดึงลงสู่ใต้น้ำที่ชวนให้รู้สึกอึดอัด

เขาถอนหายใจขึ้นขณะหลับตาลงครู่หนึ่ง  จากนั้นยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองข้างของข้าก่อนจะบอกด้วยดวงตาที่เจือปนไปด้วยความรู้สึกขอร้อง  “ฝ่าบาท  ไม่ว่าเช่นไรโปรดอยู่แต่ในปราสาท...”

“ทีแรก...เจ้าบอกให้ข้าร่วมมือ  เพื่อจบเรื่องนี้  ปิดสงครามที่มีแต่จะทำให้ผู้คนล้มตาย”  ข้าเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าขณะแกะมือของเขาออก  “แต่ตอนนี้เจ้ากลับไม่ให้ข้าไปพบคนที่เป็นแสงแห่งความหวัง”

“เขาไม่ใช่แสง  ไม่ใช่อีกต่อไป”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นพลางส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า  ข้าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาหมายถึงแต่มีความเชื่อว่าคนพูดนี้กำลังหลีกเลี่ยง

“เจ้าโกหก” 

“ข้าโกหกไม่ได้  เขาไม่ใช่แสงอีกต่อไป  แสงคือท่าน  เพียงแค่ท่านเท่านั้น  หากเขายังเป็นแสง  ข้าก็คงไม่มาช่วยท่านอยู่อย่างนี้”

“เจ้า...”  ประโยคหลังของผู้วิเศษทำให้ในอกข้ารู้สึกปวดขึ้นมาขณะที่จ้องมองเขาด้วยความรู้สึกประหลาด  “ที่ผ่านมาหากข้าไม่ใช่คนที่สามารถจบสงครามได้  เจ้าก็จะไม่เหลียวแลสินะ”

“ฝ่าบาท”

“หากข้าไม่ใช่แสงอีกต่อไปแบบปฐมกษัตริย์เจ้าก็จะทอดทิ้งใช่ไหม!?”  ข้าขึ้นเสียงใส่เขา  ผู้วิเศษเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงก่อนจะรีบแก้ตัว

“ฝ่าบาทท่านเข้าใจผิด”  เขาเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลขณะยื่นมือมาหา  “โปรดระงับอารมณ์ด้วย”

เพี้ยะ!

ข้าปัดมือเขาทิ้งทันที  ดวงตาจ้องมองใบหน้าที่ตกใจนั้นด้วยความโกรธก่อนจะคว้าสร้อยเส้นที่อุตส่าห์ตั้งใจทำให้เขาขว้างใส่แล้วกดเสียงต่ำพูดอย่างเดือดดาลว่า  “อย่ามายุ่งกับข้า!”

เขาไม่พูดอะไรเพียงแค่มองมา...ด้วยสายตาที่ดูเวทนา  ราวกับกำลังสงสารในตัวข้าซึ่งกำลังโกรธจนไม่อยากฟังอะไร  เมื่อรู้ตัวว่าอยู่ประจันหน้ากับผู้วิเศษไปก็ไร้ความหมาย  ข้าไม่อยากรับรู้อะไรที่ทำให้เจ็บปวดอีกแล้วจึงได้หนีออกไป

ไม่รู้ว่าระหว่างทางเจอกับใครบ้าง  ข้าได้แต่ก้มหน้าแล้วหนีมาให้ไกล  ตั้งใจจะเดินกลับห้อง  ในระหว่างนั้นเพราะมัวแต่ก้มมองพื้นจึงไม่รู้ว่ามีใครบางคนเดินออกมาจากมุมทางเดินแล้วชนเข้าอย่างจัง

อีกฝ่ายรีบคว้าข้าที่เซถลาไปด้านหลังไว้ก่อนจะถามด้วยความตกใจ  “ฝ่าบาท  เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ”

“ซีวาล”  ข้าเอ่ยชื่อของนางด้วยความตกตะลึงก่อนจะส่ายหน้า  “ข้าไม่เป็นไร  ขอบคุณนะ”

“แน่ใจหรือเพคะ  สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดี”  นางถามย้ำก่อนจะถือวิสาสะลูบใบหน้าของข้าพร้อมกับท่าทีที่เหมือนจะรับฟังให้สบายใจ

“ไม่...ข้าไม่เป็นไร  แค่ทะเลาะกับผู้วิเศษมานิดหน่อย”  ข้าขืนยิ้มขณะตอบไปเช่นนั้น  ก่อนจะเล่าให้ฟังแค่บางช่วง  “หากข้าไม่มีประโยชน์เขา...รวมทั้งคนอื่นๆ  ก็จะทอดทิ้งข้าใช่ไหม”

ซีวาลมีสีหน้าแปลกใจก่อนจะรีบปลอบทันที  “มันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นหรอกเพคะ  ไม่มีใครทอดทิ้งพระองค์เป็นแน่  อย่างน้อยข้าก็คนหนึ่งที่จะไม่มีวันทอดทิ้งพระองค์ไปไหนอีกแล้ว”

นางกล่าวด้วยความจริงจังก่อนจะฉีกยิ้มให้และถือวิสาสะกุมมือข้าไว้เพื่อให้กำลังใจ  “ฝ่าบาทโปรดสบายพระทัยได้  จะไม่มีใครทรยศพระองค์อีก”

ข้าขืนยิ้มขึ้นอีกครั้งก่อนจะกล่าวขอบคุณนาง  ซีวาลขอตัวออกไปทำธุระต่อขณะที่ข้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม  มือเผลอยกขึ้นมากุมที่อกขณะที่นึกทวนคำพูดของนาง

ไม่มีใครทรยศอีก...ใช่  มันจะไม่มีวัน  ตราบใดที่คำสาปของผู้วิเศษยังคงอยู่  แต่หากมันหายไป  ข้าก็คงกลับไปเป็นเหมือนเก่า  เป็นคนที่ไม่มีใครเหลียวแล

คืนนั้นข้าเข้านอนไวกว่าปกติ  แต่ยังไม่หลับดีเพราะอย่างไรเร็นก็คงจะนำนมอุ่นมาให้ดื่มก่อนนอนอยู่แล้ว  และในหัวก็ยังคิดวนไปมาเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้จนทำให้ข่มตานอนไม่หลับ

ไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นก่อนที่จะถูกเปิดออกพร้อมด้วยเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา

“นมอุ่นพ่ะย่ะค่ะ  ฝ่าบาท”  น้ำเสียงนั้นทำให้ข้าเบิกตากว้างก่อนที่จะเด้งตัวขึ้นมามองผู้ที่เข้ามาเยือน  ผู้วิเศษฉีกยิ้มให้ก่อนที่จะวางถาดที่ถือมาบนโต๊ะที่อยู่ใกล้สุด

“ออกไป”  ข้าเอ่ยสั้นๆ  ทันทีทำให้เขาชะงัก  แต่ผู้วิเศษไม่ได้คิดทำตามคำสั่งแม้แต่น้อย

“ฝ่าบาท  เราต้องคุยกัน”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมเดินเข้ามาใกล้ในขณะที่ข้าเขยิบหนี

“ยังต้องคุยอะไรอีก”  ข้าถามสวนกลับไป  ผู้วิเศษขืนยิ้มก่อนที่จะงอขาไปด้านหลัง  คุกเข่าลงนั่งก่อนจะโค้งศีรษะลงจนหน้าผากติดพื้นนั่นทำให้ข้าตกใจขึ้นมาทันที  “เจ้าทำอะไร!?”

“ข้าต้องขออภัยจริงๆ  ที่ทำให้ท่านโกรธขึ้นมา  เป็นความผิดของข้าที่โง่เขลาเอง”  เขาเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากพื้น  แม้จะอยู่ในที่ลับตาแต่การกระทำของผู้วิเศษก็ทำให้ข้าทำตัวไม่ถูก  ชายคนนี้ไม่เคยคุกเข่าให้ใครมาก่อน

“เงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”  ข้ารีบสั่งเขา  ผู้วิเศษจึงยอมเงยหน้าขึ้นมา

“ฝ่าบาท  ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ท่านเข้าใจผิด  แต่ท่านโปรดรับรู้ไว้  ข้าไม่มีวันทอดทิ้งท่าน”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะถือวิสาสะคว้ามือข้าไปกุมไว้เบาๆ  “โปรดเชื่อใจ”

“เจ้ากำลังโกหกหรือเปล่า?”

“ตัวข้าไม่มีวันโกหกได้  และไม่มีวันทรยศ”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือของตัวเองทาบอก  “ขอสาบานในนามของตัวแทนแห่งพระเจ้า”

“แต่เจ้าปิดบังบางอย่างกับข้า  ทั้งยังห้ามข้าทำนู่นทำนี่ที่น่าจะดีอีก”

“หากให้พูดตามความจริง  ทั้งวิญญาณและร่างกายของท่านอ่อนแอจนถูกพลังกัดกินได้ง่าย  เรื่องที่ข้าปิดบังไว้มันค่อนข้างส่งผลกระทบต่อจิตใจ  เช่นนั้นข้าจึงยังไม่พูดเพื่อปกป้องท่าน”  เขากล่าวเช่นนั้น  “และสิ่งที่ข้าห้ามท่านทำ  นั่นเพราะมันไม่ใช่เรื่องดี”

“ทำไม  ปฐมกษัตริย์เป็นผู้ที่เคยปิดประตูแห่งความวินาศได้ไม่ใช่หรือ”

“นั่นคือเรื่องจริง  แต่ตอนนี้เขาได้ละทิ้งตัวเองจากการเป็นผู้กล้า  และท่านอย่าลืมว่าเพราะคำสาปทำให้เขาละทิ้งมนุษย์ไป  ตัวตนของเขาคือความยุ่งเหยิง  ไม่สามารถคาดเดาได้  ข้าไม่แน่ใจหากเขาเจอท่าน  เขาจะฆ่าท่านหรือไม่”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะย้ำเตือนในจุดประสงค์  “ข้าห้ามเช่นนั้นเพื่อปกป้องท่าน”

“เช่นนั้นข้าก็ไม่ว่าอะไร”  ข้าพึมพำขึ้นเสียงแผ่วเบา  อยากยอมรับแต่ก็ไม่เสียทั้งหมด  ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงถามเขากลับไป

  “เจ้ารู้จักกับปฐมกษัตริย์สินะ”

ผู้วิเศษนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา  “ขอรับ”

“วันนี้ข้าเจอนิทานเล่มหนึ่ง  ที่บอกเล่าเหตุการณ์เมื่อหนึ่งพันปีก่อนจะก่อตั้งคาร์ไลน์  ในนั้นผู้กล้าที่เป็นปฐมกษัตริย์พบเจอกับแสงสว่างที่ช่วยชี้นำเขา  หากข้าเดาไม่ผิด  นั่นคือเจ้าใช่ไหม”

“ไม่ยักรู้ว่ามีนิทานที่กล่าวถึงข้าด้วย”  เขาพูดเชิงยอมรับกลายๆ  ด้วยรอยยิ้ม  นั่นแสดงว่าไม่ได้โกหก 

“งั้นเล่าความจริงมาเสีย  เมื่อหนึ่งพันปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“แต่...”

“ข้าโตพอจะไม่หวั่นไหวต่อเรื่องในอดีต”  ข้ารีบขัดเขาขึ้นก่อนที่จะดึงคอเสื้อเขาให้เข้ามาใกล้ๆ  แล้วเอ่ยขึ้นต่อ  “หากข้าคือแสงแห่งความหวังต่อจากปฐมกษัตริย์อย่างที่เจ้ากล่าว  ข้าก็ควรจะได้รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาด้วย”

ผู้วิเศษเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มศีรษะลงน้อมรับแต่โดยดี

“พ่ะย่ะค่ะ  เช่นนั้นข้าจะเล่าให้ฟัง  เรื่องที่ถูกผู้คนลืมเลือนไปเมื่อหนึ่งพันปีก่อน”
---------------------
ผู้วิเศษยังคงทำคะแนนอย่างต่อเนื่อง มาลุ้นกันต่อไปนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 11>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 03-03-2018 18:46:18
บทที่  11
เรื่องราวเมื่อหนึ่งพันปีก่อน

“ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง  เกี่ยวกับความจริงเมื่อหนึ่งพันปีก่อน” 

เสียงของผู้วิเศษเงียบหายไปชั่วขณะพร้อมกับบรรยากาศอึดอัดที่เกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า  ข้านั่งอยู่บนเตียงรอเขาพูดขณะที่อีกฝ่ายยังง่วนอยู่กับการเตรียมนมร้อนแก้วใหม่  ไม่รู้ว่าเขาคาดการณ์มาแล้วหรืออย่างไรถึงมีกาน้ำชาอีกใบด้วย

“อย่ามัวชักช้าสิ”  ข้าเร่งเขาด้วยความใจร้อน  แต่ผู้วิเศษกลับหัวเราะเบาแล้วยิ้มหวาน

“ใจเย็นๆ  สิพ่ะย่ะค่ะ  เรื่องมันก็นานมาแล้ว  ขอข้านึกก่อน”  เขาพูดทีเล่นทีจริงพลางยิ้มแฉ่ง  มันทำให้ข้าอดไม่ได้ที่จะตอกกลับไปบ้าง

“แก่แล้วนี่นะ”

“นับวันช่างพูดจาร้ายกายนะพ่ะย่ะค่ะ”

“เล่ามาเถอะน่า  อย่าปกปิดอะไรด้วย”  ข้าเร่งเร้าอย่างใจร้อน

“รับทราบพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”  เขาโค้งให้ข้าก่อนจะยกมือขึ้นชี้ไปที่ตัวเอง  “อันที่จริงตัวข้ามีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี  แปลกใจหรือเปล่าขอรับ?”

“เจ้าไม่เคยบอกอายุตัวเอง  แต่ต่อให้เจ้ามีอายุเป็นหมื่นๆ  ปีก็ไม่แปลกใจหรอก”  ข้าตอบไปตามตรง  เพราะเคยอ่านนิทานมาก็ตั้งมาก  ปกติคนที่มีบทบาทแบบนี้ล้วนอายุยืนนาน  หมอนี่บ่อยครั้งก็แสดงตัวว่าแก่โลกมานาน  น่าแปลกที่ยังรักษาอาการเยาว์วัยได้แบบนี้นี่แหละ

เขาหัวเราะขึ้นก่อนที่จะเงียบลงเพื่อรินชาถ้วยใหม่ให้ตนเอง  ก่อนที่จะเริ่มเล่าออกมา

“ผู้คนเมื่อพันปีก่อนนั้นแทบไม่ต่างอะไรจากตอนนี้  มีทั้งผู้ที่ต้องการช่วงชิงดินแดน  หรือผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข  แต่เดิมคาร์ไลน์นั้นไม่ใช่คาร์ไลน์  เป็นดินแดนที่ไม่อุดมสมบูรณ์  แห้งแล้งเหลือคณา”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้น  ดวงตาทอความคิดถึงบางอย่างออกมา  “ใกล้ๆ  ดินแดนที่ไม่มีใครปกครองนั้นมีเมืองเล็กๆ  อยู่  ที่นั่นมีวิหารศักดิ์สิทธิ์  เป็นสถานที่เก็บหยาดน้ำตาของพระเจ้าไว้”

เขาทิ้งช่วงอีกครั้งก่อนจะเริ่มเล่าออกมายาวๆ

“เป็นสถานที่ที่ผู้คนชอบมาภาวนาอยู่เสมอพ่ะย่ะค่ะ  แต่ว่า  วันหนึ่งนักบวชศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง  ซึ่งในขณะนั้นมีพลังเวทที่ไม่มีใครต่อกรได้เกิดคำถามขึ้นมา  เหตุใดจึงต้องเคารพพระเจ้า  และบังเอิญว่าเขาไปค้นพบบันทึกอันเก่าแก่ที่เล่าถึงอำนาจของประตูบางหนึ่งที่สามารถนำพาพลังอันมหาศาลมาได้  พลังที่ต่อกรได้กระทั่งพระเจ้า  ช่วงเดียวกันตอนนั้นเองมารร้ายผู้ต่อต้านพระเจ้าก็หนีออกมาได้  และบังเอิญที่สองที่พวกเขาได้พบกัน”

ผู้วิเศษหยุดเล่าไปชั่วขณะก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ  “เขาออกเดินทาง  รวบรวมชิ้นส่วนที่จะสามารถเปิดประตูได้  ใช้เวลาแค่หนึ่งปีก็สำเร็จ  นักบวชคนนั้นกลับมาที่หมู่บ้าน  เขาหลอกคนอื่นว่าจะนำแสงสว่างมาให้  ท่ามกลางความยินดีของผู้คน  เขาได้เปิดประตูนั้นขึ้น  แต่นั่นหาใช่ประตูแห่งสันติ  อสูรออกมาจากประตู  และเข้าทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า  หมู่บ้านกลายเป็นซากในพริบตา  ผู้คนถูกฆ่า”

ผู้วิเศษเล่าไปถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น  ถ้าให้เทียบกับตอนนี้แล้วช่างต่างกันนัก  สมัยนั้นความเสียหายขยายวงกว้างไปอย่างหยุดไม่ได้  ผู้คนต่างภาวนาต่อพระเจ้า

“พระเจ้าที่สงสารเลยชี้ทางสว่างให้”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นก่อนที่จะชี้ตัวเองอีกครั้ง  “ตัวข้าที่มีพลังรับหน้าที่ตามหาผู้ที่เหมาะสม  น่าเสียดายที่ในเวลานั้นผู้คนหวาดกลัวจนไม่สามารถใช้การได้  แต่ก็มีคนหนึ่งที่ต่างจากคนอื่น” 

ข้าเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาหยุดพูดไป  ผู้วิเศษคล้ายกำลังคิดทวนบางอย่างก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า  “เขาเป็นผู้ชายที่อยู่ในหมู่บ้านของนักบวชคนนั้น  ท่ามกลางเศษซากมีเพียงชายคนเดียวที่เหลือรอด  แต่แทนที่เขาจะขอร้องให้ข้าจัดการอสูรเหมือนคนอื่นเขากลับถามว่าทำยังไงตัวเขาถึงจะกำจัดพวกมันไปได้”

นั่นเป็นเหตุให้ผู้วิเศษเลือกผู้ชายคนนั้น  เหตุการณ์เหมือนกับปัจจุบัน  เพียงแต่ไม่มีการเลือกผู้ถูกเลือก  เขามอบพลังให้ชายหนุ่ม  แล้วสองคนก็ออกเดินทางเพื่อกำจัดอสูร  เนื้อหาราวกับในนิทานเพียงแค่เพิ่มเติมรายละเอียดนิดหน่อย

ผู้ที่กล้าร่วมเดินทางกับชายคนนั้นมีห้าคน  เป็นห้าคนที่ถูกเรียกภายหลังว่าวีรบุรุษ  ได้รับพลังจากชายคนนั้น  หาใช่ผู้วิเศษ

“ทำไมท่านถึงไม่มอบพลังให้แก่พวกเขา?”  ข้าถามขึ้นด้วยความสงสัย  เขาเพียงยิ้มแล้วบอกว่า  “คนที่เหมาะสมมีเพียงคนเดียว” 

ผู้วิเศษเล่าต่อ  บอกเพียงแค่ว่าพวกเขาเป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชายคนนั้นซึ่งเป็นน้องชายของนักบวช  เขาพาคณะผู้ติดตามเข้าไปในดินแดนที่ไม่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง  และพบว่าเป็นแหล่งเก็บพลังเวทชั้นดีจึงรวบรวมกองทหารมาสร้างป้อมปราการอยู่  ทำลานพิธีและร่ายรำขอพรต่อพระเจ้าเพื่อให้ฝนตกลงมา  จากพื้นดินที่แห้งแล้งพลันเกิดพืชผลนานาพันธุ์  เป็นแหล่งให้ผู้ลี้ภัยได้พักพิง

ชายผู้นั้นปราบอสูร  รวบรวมกุญแจเปิดประตูแห่งอำนาจที่แท้จริง  มอบพลังให้แก่ผู้ติดตามจนสามารถขับไล่อสูรไปได้  ประตูอสูรหายไป  ทุกอย่างคืนสู่ความสงบสุข

จากค่ายพักแรมเล็กๆ  เกิดเป็นหมู่บ้าน  ก่อร่างสร้างตัวเป็นเมือง  และขยายเป็นอาณาจักรที่ถูกเรียกว่าคาร์ไลน์  ชายผู้นำพาความสงบสุขมานั้นได้รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์
 
“ฝ่าบาทรู้ไหมว่าอารมณ์บางอย่างในตัวเรานั้นช่างซับซ้อนนัก”  เขาเอ่ยขึ้นหลังจากหยุดเล่าไป  “บางทีความรักก็ยากเกินกว่าจะเข้าใจ”

ข้าไม่เข้าใจความหมายของเขา  ขณะที่จะเอ่ยถามผู้วิเศษก็เล่าต่อ  บอกว่าท่ามกลางความยินดี  ช่วงที่ปฐมกษัตริย์อยู่คนเดียวนั้น  นักบวชที่ไม่ได้ตายจากไปปรากฏตัวขึ้นและมอบคำสาปให้กับเขาด้วยความรักใคร่

คำสาปนั้นทำให้ปฐมกษัตริย์ดึงดูดความชั่วร้ายจากคนอื่น  ความโลภ  ความอิจฉา  และทุกๆ  สิ่ง  ก่อเกิดเป็นความเกลียดชังของทุกคนที่มีให้ต่อเขา

เพราะนักบวชต้องการให้น้องชายรักเขาแต่เพียงผู้เดียว

จากวีรบุรุษผู้ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องผู้คน  ต้องเผชิญหน้ากับความอาฆาตที่หมายจะเอาชีวิต  แม้แต่หญิงผู้เป็นที่รักและบุตรก็ไม่อาจต้านทานคำสาปได้  เขาผู้จนตรอกจำเป็นต้องหนี  ต้องตกต่ำถึงที่สุด  ยามที่คิดว่าต้องตายแน่ๆ  จึงไปหาผู้ติดตามคนสนิททั้งห้า

และพบว่าทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปคนละทิศละทาง  เขาถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด  และในวินาทีที่กำลังจะตาย  ปฐมกษัตริย์กลับพบความจริงที่ว่าตนนั้นกลายเป็นอมตะ  เป็นผลพวงของคำสาป  เพื่ออยู่เป็นนิจนิรันดร์คู่กับพี่ชาย

ปฐมกษัตริย์ผู้ที่หัวใจแตกสลาย  ทนทุกข์กับความเกลียดชังนานนับปีจนในที่สุดก็หนีพ้น  เมื่อเข้าไปในป่าต้องห้าม  และไม่มีใครรับรู้ข่าวคราวของเขาอีกเลย

ชื่อของเขาถูกลบหายออกไปหน้าประวัติศาสตร์  เหลือเพียงส่วนที่เกี่ยวข้องกับดินแดน  และเพราะไม่มีใครอยากกล่าวถึง  ประตูอสูรที่เป็นผลงานสำคัญจึงถูกลืมเลือนไปด้วย  มาในรุ่นข้าก็ไม่มีใครเคยได้ยินกันแล้วหากเสด็จพ่อไม่เปิดมันออกมา

“แล้วท่านล่ะ?”  ข้าเอ่ยถามขึ้น  “ท่านไม่ได้ช่วยปฐมกษัตริย์หรือ?”

“หลังจากประตูอสูรหายไป  ข้าก็ทำอะไรมากไปกว่าการมองไม่ได้”  เขาบอกขึ้นเสียงเรียบ  “มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องปฏิบัติ”

“แล้วตอนนี้ล่ะ?  ถ้าประตูหายไป  เจ้าจะเป็นยังไง?”

เขาเพียงยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่ข้าไม่คิดว่ามันทำให้อารมณ์ดี  กลับกันเพราะแววตานั้นทอความเศร้าออกมาเลยทำให้ใจหาย 

“แล้วจดหมายที่ข้าพบในห้องนั้นเป็นของผู้ติดตามหรือเปล่า”

“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ  ข้าสามารถบอกพวกเขาได้แค่ก่อนที่จะสิ้นใจ  เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ  ที่ความจริงใจได้ออกมา  แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้  พวกเขาจึงได้อ้อนวอนให้กลับมาชีวิตอีกครั้ง  เพื่อปกป้องสายเลือดของปฐมกษัตริย์” 

“แล้วปฐมกษัตริย์ตอนนี้อยู่ที่ป่าต้องห้ามจริงๆ  ใช่ไหม”

“พ่ะย่ะค่ะ  เขาอยู่ที่วิหารเก่าในป่าต้องห้าม  แต่ไม่เคยออกไปไหนมานานแล้ว  ใจคิดอะไรอยู่ก็ไม่อาจทราบได้”  ผู้วิเศษตอบขณะเหม่อมองออกไป 

ข้านิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามเขาอีก  “การอยู่เป็นพันปีทั้งๆ  ที่มีแต่คนเกลียดมันเป็นยังไง”

“ก็คงเหมือนตกนรกทั้งเป็นกระมัง”  มือที่ประสานกันอยู่ของข้าเผลอกุมแน่นขึ้น  ผู้วิเศษรับรู้ถึงเสียงที่สั่นออกไปจึงหันกลับมาด้วยแววตาสงสัย  “ฝ่าบาท  ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

“เหตุการณ์จะช้ำรอยหรือเปล่า?”  ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความระแวง  มันมีส่วนที่เรียกได้ว่าประวัติศาสตร์ช้ำรอยหลายอย่าง  “หากคนที่สาปข้าเป็นคนเดียวที่ยุยงให้เสด็จพ่อเปิดประตู  แล้วต่อจากนี้ข้า...”

“ข้าคิดว่าคนที่มีรสนิยมปล่อยให้คนที่รักขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแล้วผลักร่วงลงมาก็คงมีแต่นักบวชนั่นแหละขอรับ”  ผู้วิเศษเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้  “ท่านก็รู้ว่าตอนนี้กับพันปีก่อนมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกันแล้ว”

“แล้วมันมีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำไหมล่ะ?”

“ก็มีโอกาส”  คำพูดที่แสนเรียบง่ายของผู้วิเศษทำให้ข้าใจหายวาบไปชั่วขณะ  ก่อนที่เขาจะเอ่ยเสริมขึ้นว่า  “แต่ท่านอย่าได้กังวลไปเลย  ข้าอยู่ที่นี่เพื่อช่วยท่าน”

“เมื่อพันปีที่แล้วก็มีเจ้าไม่ใช่หรือ?”  ข้าถามสวนกลับทำให้เขาตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง

“แต่เมื่อพันปีก่อนไม่เหมือนตอนนี้  อย่างน้อยท่านก็จะไม่โดนพิษของคำสาปเกลียดชังเล่นงาน  ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำท่านไป  โปรดเชื่อใจ”

“ข้า...จะเชื่อได้ยังไงว่าเจ้าต้องการจะช่วยจริงๆ”  ข้าสบตากับผู้วิเศษเพื่อรอฟังคำตอบ  “ในเมื่อเจ้ายังมีความลับกับข้ามากมายขนาดนี้”

ทั้งเรื่องชาติกำเนิด  เรื่องของพวกผู้ติดตาม  และพันปีก่อนที่รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างที่เขาไม่พูดออกมา  แต่เดิมข้าถือว่าเพราะยังไม่อยากเล่าจึงไม่ถามอะไรไป  แต่เมื่อรู้ว่ามันอาจมีผลกระทบมากกว่าที่คิดก็ทำให้ข้าอดระแวงไม่ได้

ผู้วิเศษนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนที่จะเผยยิ้มออกมา  “ฝ่าบาท  ตามที่ท่านเข้าใจ  เรื่องราวบางอย่างที่ข้ารู้ตอนนี้ท่านยังไม่ควรจะได้ยิน”

“เพราะอะไร”

“ท่านและผู้ติดตามของท่านยังไม่แข็งแกร่งพอจะปกป้องตัวท่านได้”  ผู้วิเศษเอ่ยตอบก่อนจะก้มลงมาใกล้ๆ  ใช้มือสัมผัสลงบนคอของข้าอย่างแผ่วเบา  “ราคาความลับต่อจากนี้มันหมายถึงชีวิตของใครสักคน  ท่านยังไม่พร้อมจะจ่ายมัน”

เขาปล่อยมือออกก่อนที่จะบอกว่า  “แต่มีบางเรื่องที่ข้าสามารถบอกได้เลย”

“อะไร?”

ผู้วิเศษยิ้มร่าก่อนที่จะเอ่ยออกมาชัดเจนว่า  “พรุ่งนี้จะมีการแข่งขันรอบตัดสินว่าใครจะได้เป็นอัศวินราชองครักษ์ของพระองค์  ท่านต้องไปเป็นประธานด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

ข้าเบิกตากว้าง  ใช้เวลาสักพักก่อนจะนึกออกว่าผู้วิเศษเคยมาพูดไว้ แล้วเงียบหายไปเลย  โผล่มาอีกทีก็จะจบแล้วหรือ  “นี่เจ้าถามความสมัครใจของข้าหรือยัง?”

“ถามทำไมให้มากความ  ฝ่าบาท  ไปเถิด  พรุ่งนี้ต้องสนุกเป็นแน่แท้”  เขายิ้มหวานให้ข้ายิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา  แต่เขาก็เก็บอุปกรณ์ดื่มชาที่นำมาก่อนจะบอกว่า  “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านแล้ว  ขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”

ผู้วิเศษลุกขึ้นก่อนโค้งศีรษะอีกครั้ง  “ราตรีสวัสดิ์ฝ่าบาท”

ข้าลุกตามเขาไปช่วยเปิดประตูให้เพราะเห็นว่ามือของเขาไม่ว่างเลย  ผู้วิเศษยิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป  ที่ระเบียงมีเพียงแค่ทหารที่เฝ้ายามอยู่เท่านั้น

“เดี๋ยว”  ข้าเรียกเพื่อรั้งเขาไว้  ผู้วิเศษหันมาด้วยความสงสัย  ข้าลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะเอ่ยออกไป  “เอ่อ...ราตรีสวัสดิ์”

เขายกยิ้มอ่อนโยนให้ทำให้ข้าชะงักไป  ก่อนที่จะปิดประตูลง

ทว่าเมื่อหันหลังจะกลับไปที่เตียงกลับพบใครบางคนยืนขวางอยู่  “หวา!  อื้ม!”

“ชู่ว  อย่าตกใจสิ”  เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นทำให้รับรู้ได้ว่าเป็นใคร  ข้ากระชากมือที่ยกมาปิดปากไว้ออกก่อนจะมองใบหน้านั้นชัดๆ  ด้วยความแปลกใจ

“โซแวน?  ทำไมเจ้าถึง...”  ข้าเอ่ยค้างไว้ด้วยความแปลกใจ  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจถามไปอีกอย่าง  “เป็นเจ้าจริงๆ  หรือ”

เขาเลิกคิ้วแล้วถามกลับมา  “จะมีใครอีกที่สามารถเข้าห้องเจ้าได้”

ท่าทีภาคภูมิใจของเขาทำให้ข้ารู้สึกระอาจนส่ายหน้าเบาๆ  แล้วถอนหายใจ  ห้องนี้มีมนตร์คุ้มครองอยู่แต่ไม่รู้ทำไมถึงป้องกันคนคนนี้ไม่ได้  อาจเพราะเขาเป็นสัตว์วิเศษที่มีพลังมาก  เช่นนั้นวารันหรืออาคีรัสก็อาจจะลอบเข้ามาได้  แต่คงไม่มีใครพิเรนทร์เท่าหมอนี่

“เจ้าหายไปไหนมาตั้งนาน”  ข้าถามขึ้น  นั่นทำให้เขาเลิกคิ้วแล้วยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ 

“เป็นห่วงข้าหรือ?  น่ายินดีจริงๆ”

“เปล่าสักหน่อย  แค่สงสัยเท่านั้นแหละ!”  เมื่อเขาเอ่ยเช่นนั้นข้าก็รีบปฏิเสธไปทันที  ก่อนจะสังเกตได้ว่ามือของเขาพันผ้าอย่างลวกๆ  ไว้และมีเลือดไหลออกมา  นอกจากนั้นตามแขนก็มีรอยแผลอยู่ทำให้ข้าเบิกตากว้าง  “เจ้าบาดเจ็บนี่”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตหรอก”  เขาบอกเสียงเรียบก่อนจะยกมือไปซ่อนไว้ข้างหลังทำให้ข้ารู้สึกโมโหขึ้นมา

“จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตได้ยังไง  นั่งลงที่เก้าอี้ซะ  ข้าจะทำแผลให้เจ้า”  โซแวนเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวกลมทันทีขณะที่ข้าเดินไปเตรียมยาที่เก็บไว้มาทาให้  บางครั้งเวทมนตร์ก็ไม่ได้รักษาให้หายดีได้เท่าไรนัก  การใช้ควบคู่กันจะได้ผลดีกว่า

เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วจึงได้เดินมาแล้วสั่งเขา  “ถอดเสื้อ”

“ใจไวจริงๆ  โอ๊ย!”  เมื่อได้ยินคำพูดเหลวไหลแบบนั้นข้าก็อดไม่ได้ที่จะกดแผลตรงไหล่ของเขาทันทีจนทำให้ร่างกำยำนั้นร้องโอดโอยออกมา  เขาครางด้วยน้ำเสียงเจ็บใจก่อนจะยอมถอดเสื้อแต่โดยดีทำให้พบว่าใต้เสื้อของเขาเต็มไปด้วยแผลฟกช้ำและรอยถูกฟันแทงจำนวนไม่น้อย  ทั้งที่ใกล้หายและเพิ่งเกิด

“เจ้าไปทำอะไรมากันแน่”  ข้าพึมพำถามอย่างไม่อยากจะเชื่อขณะใช้ปลายนิ้วลูบแผ่นหลังของเขาเพื่อประเมินบาดแผลคร่าวๆ  โซแวนยืดตัวตรงขณะที่ข้าไล่มือลงไปเรื่อยๆ

“อย่าลูบ”

“หืม?”

“อย่าลูบ  เดี๋ยวข้าตื่น”

“ตื่นอะไร  เจ้าไม่ได้หลับอยู่นี่”  ข้าหยุดมือแล้วถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจทำให้เขาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ  แล้วหันกลับมา  เป็นสีหน้าที่ดูปลอดโปร่งไม่น้อย

“ทำแผลต่อเถอะ”  เขาบอกข้าก่อนจะนั่งนิ่งๆ  ข้าเลยเริ่มทายาให้ตามแผลฟกช้ำต่างๆ แล้วร่ายเวทรักษาให้เพื่อให้แผลอื่นๆ  หายดี 

ขณะที่ทายาให้ข้าก็อดถามไม่ได้  “เจ้าไปทำอะไรมา”

“แค่เล่นสนุกนิดหน่อย  ไม่มีอะไรมากหรอก”  โซแวนตอบเสียงเรียบ  “เดี๋ยวเจ้าก็คงจะได้รู้”

“แม้แต่เจ้าก็มีความลับกับข้าหรือ...”  ข้าพึมพำขึ้นเสียงเบาทำให้เขาที่ก้มหน้าอยู่เงยขึ้นมาด้วยความสนใจ

“ใช่ว่าอยากจะมี”  เขาเอ่ยขึ้นขณะจ้องมองมาที่ข้า  “พระเจ้าของข้าบังคับไม่ให้บอกความลับที่เกี่ยวข้องกับเจ้าออกมา  ไม่เช่นนั้นชีวิตของข้าคงจบไปแล้ว”

“ทำไมถึงต้องทำเช่นนั้น”

“อาจเพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้า”  เขาพูดเสียงเบาขึ้นคล้ายไม่แน่ใจ  “และจิตใจของเจ้า”

“จิตใจ?”

“ข้าได้ยินมาว่าผู้สืบสายเลือดของผู้มีอำนาจถือครองประตูต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งพอจะรักษาพลังอำนาจของประตูได้”  เขาตอบแล้วเสริมว่า  “ข้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้”

“อย่างนั้นหรือ”  ข้าพึมพำก่อนจะลดมือลง  การทำแผลให้โซแวนเสร็จสิ้นข้าจึงบอกให้เขาใส่เสื้อหลังจากนั้นก็ไปเก็บกระปุกยา

“แล้วเจ้ามาห้องข้าทำไม”  เมื่อข้านึกได้ว่ายังไม่ทราบเหตุผลที่เขามาที่นี่ก็อดถามไม่ได้  เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกอย่างหน้าไม่อายว่า

“มานอนกับเจ้า”

“เจ้านี่มัน...”  ข้าพูดค้างไว้อย่างไม่รู้ว่าควรจะตำหนิออกไปว่าอะไรดี  สุดท้ายก็ได้กัดฟันถามเขาอย่างไม่เข้าใจ  “ทำไม?”

“อาจเพราะเป็นที่ที่ทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัย”  เขาตอบเสียงเรียบขณะที่ข้ายังขมวดคิ้วงุนงง

“ห้องนอนของข้าเนี่ยนะ?”

“เปล่า”  โซแวนปฏิเสธเสียงเรียบขณะที่เดินเข้ามาใกล้  “ทุกที่ที่มีเจ้า”

ขณะที่ข้ากำลังตกตะลึงอยู่กับคำตอบอยู่นั้นเขาก็ถือวิสาสะอุ้มข้าขึ้นมาแล้วเดินไปที่เตียง  ด้วยความตกใจเลยรีบคัดค้านเขาไว้  “เฮ้  ข้าเดินไปเองได้”

แต่โซแวนไม่ได้ฟังแม้แต่น้อย  ขณะเดียวกันไม่กี่ก้าวเขาก็เดินมาถึงเตียงแล้ววางข้าลง  จับให้นอนแล้วดึงผ้าห่มมาห่มให้เหมือนข้ายังเป็นเด็กน้อยทำให้อดถลึงตาใส่ไม่ได้

“ข้าไม่ใช่เด็กนะ”

โซแวนเพียงยิ้มแล้วลูบหัวข้าเบาๆ  ก่อนจะเอ่ยว่า  “ราตรีสวัสดิ์”  และคว้าหมอนใบหนึ่งเดินไปที่โซฟาตัวใหญ่แล้วนอนที่นั่น  ข้าที่มองอยู่อดแปลกใจไม่ได้

“ทำไมเจ้าไม่นอนที่เตียง”  ครั้งก่อนที่เขามาก็นอนบนเตียงข้า  ครั้งนี้พอเขาบอกว่าจะนอนด้วยข้าเลยนึกว่าเขาจะทำเช่นนั้น

โซแวนยกยิ้มมุมปากแล้วถามกลับว่า  “เจ้าอยากให้ข้านอนที่เตียง?”

“ไม่  เชิญนอนตรงนั้นไปเถอะ  ถ้าขืนข้ารู้ว่าเจ้าแอบมานอนบนเตียงโดนดีแน่”  ข้าตอบกลับไปด้วยความหงุดหงิดก่อนที่จะพลิกตัวหนีเขาแล้วปิดเปลือกตาลง  ไม่นานก็หลับไปด้วยความเหนื่อย

ข้าตื่นมาอีกครั้งในตอนเช้าของอีกวัน  เมื่อเร็นมาปลุกก็พบว่าโซแวนไม่ได้อยู่ในห้องเสียแล้ว  ข้าไม่ได้ถามหาแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้  พักนี้หมอนั่นมีเรื่องลับๆ  ล่อๆ  เยอะพอๆ  กับผู้วิเศษทีเดียว

“ฝ่าบาท”  เสียงของเร็นทำให้ข้าหันไปมอง  ก่อนที่เขาจะบอกกำหนดการของวันนี้   ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการว่าราชการในช่วงเช้า  และเป็นการเข้าร่วมชมการแข่งขันช่วงเย็น

“ดูเหมือนว่าผู้คนจะให้ความสนใจกับงานในช่วงเย็นนะพ่ะย่ะค่ะ”  เร็นเอ่ยขึ้นฆ่าเวลาระหว่างรอข้าแต่งตัว  ซึ่งทำให้ข้าอดแปลกใจไม่ได้ 

“ทำไม?”

“ก็ฝ่าบาทเพิ่งมาแต่งตั้งอัศวินราชองครักษ์นี่นา  และพวกเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยดูว่าใครจะเหมาะสม”  เขาอธิบายขึ้นทำให้ข้าเอะใจบางอย่าง 

“แล้วถ้าข้าไม่เลือกใครเลยล่ะ”

“นั่นก็คงต้องไปขัดใจผู้วิเศษเอานะขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นปนหัวเราะ  ก่อนที่จะถามกลับว่า  “ทำไมถึงไม่อยากมีอัศวินราชองครักษ์ล่ะขอรับ?”

ข้านิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยตอบไปตามความจริงว่า  “ก็มีพวกเจ้าอยู่แล้วนี่”

“เอ๊ะ?”  เร็นทำสีหน้าแปลกใจขึ้นก่อนที่เขาเงียบไปนานแล้วเผยยิ้มขึ้นมา  “ที่พูดนั่นจริงหรือครับ?”

“ทำไมข้าต้องโกหกด้วย”  ข้าขมวดคิ้วถามกลับ  เขายกยิ้มหวานกว่าเดิมแล้วบอกว่า  “ถ้าฝ่าบาทประสงค์จะยกเลิกงานนี้กระหม่อมก็ยินดีนะพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้องหรอก”  ข้าห้ามปรามเขาที่ทำท่าจะเดินออกไปข้างนอกแล้วบอกว่า  “ดูทรงไปก่อนแหละ  ถ้าเป็นคนน่าสงสัยค่อยกำจัดทิ้ง”

“จะว่าไปแล้วฝ่าบาท  กระหม่อมขอเรียนถามอะไรได้ไหมขอรับ?”  เร็นเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่พวกเราจะได้ออกจากห้องไป  ข้ารอฟังคำถามของเขา  “ทำไมถึงทรงไว้ใจพวกกระหม่อมขนาดนี้”

นั่นทำให้ข้านิ่งคิดไป  “นั่นสิ  พวกเจ้าที่มีความลับบางอย่างที่ไม่ยอมบอก  ทำเหมือนข้ายังเด็ก  ชอบลวนลามทีเผลอมีอะไรให้น่าไว้ใจกัน...”

เร็นชะงักไปทันที  แม้จะมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้า  แต่คงเหงื่อตกน่าดู

“ข้าเคยถูกคนทรยศ  หักหลังหรือแม้แต่เป็นศัตรูมาก่อนเลยพอสังหรณ์ใจได้บ้าง  ไม่รู้สิ  แค่มีความรู้สึกว่ายังไงพวกเจ้าก็จะไม่ทิ้งข้า  โซแวนก็เคยบอกแบบนั้น”  ข้าบอกออกไปตามที่ใจตัวเองคิด  เมื่อก่อนก็เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการถูกหักหลังมาก็ต้องเยอะ  พวกที่เข้ามาตีสนิทเพื่อหวังโอกาสก็มากพอจะทำให้ข้าเรียนรู้ได้  แต่อย่างน้อยคนพวกนี้ก็ไม่เป็นอย่างนั้น

เร็นนิ่งไปสักพักก่อนที่จะเผยยิ้มออกมาอีกครั้ง  “นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ  พวกกระหม่อมจะไม่มีวันทอดทิ้งพระองค์”

เป็นข้าที่ยิ้มออกมา  ในเวลานี้พวกเขาถือเป็นสหายที่ดีที่สุด  แม้ต่างฝ่ายต่างก็มีความลับที่ยังปกปิดกันแต่ข้าเชื่อว่าสักวันก็คงได้บอก

ข้ากับเร็นออกไปนอกห้องเพื่อมุ่งไปสู่การว่าราชการช่วงเช้า  วันนี้ไม่มีงานอะไรมากนอกเสียจากการแข่งขันที่ลานประลองขนาดใหญ่ประจำเมือง  ข้าไปถึงในช่วงบ่ายสามที่เป็นการตัดสินคู่สุดท้าย 

รอบสนามประลองเต็มไปด้วยผู้คนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์  ส่วนลานนั้นมีเวทป้องกันรายล้อมอยู่เพื่อไม่ให้คนอื่นโดนลูกหลง  ที่นั่งข้าอยู่ตรงจุดที่มองเห็นสนามได้ชัดและไม่ไกลมาก  พอที่จะส่งเสียงไปได้

“สายัณห์สวัสดิ์ฝ่าบาท”  ผู้วิเศษโค้งต้อนรับข้าใกล้ๆ  กับที่นั่งที่เตรียมไว้สองที่  คงเป็นของข้ากับเขา  ข้างๆ  นั้นเป็นนอร์ธวินด์ที่ถือกระดาษใบหนึ่งอยู่

“คู่สุดท้ายแล้วเหรอ”  ข้าทวนถาม  คำตอบคือใช่  และนอร์ธวินด์ก็ยื่นกระดาษแผ่นนั้นมาให้  “นี่เป็นรายชื่อของผู้ที่ผ่านเข้ารอบมาทั้งสองคนครับ”

ข้าก้มมองกระดาษในมือก่อนที่จะเบิกตาโตด้วยความตะลึง  ทั้งสองชื่อนั้นคุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้นจนหันไปหาผู้วิเศษด้วยความแปลกใจ  “นี่มันเรื่องอะไร!?”

รายชื่อผู้ที่จะต้องต่อสู้ในศึกตัดสิน  คือโซแวน...และซีวาล
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 11>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 04-03-2018 12:58:00
บทที่  12
โซแวนปะทะซีวาล

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!” 

ราชาทีอารีนแห่งคาร์ไลน์โวยวายขึ้นเมื่อเห็นรายชื่อคู่สุดท้ายที่ถูกส่งมา  ผู้วิเศษยกยิ้มเหมือนที่ทำเป็นประจำก่อนจะโค้งหัวแล้วตอบตามความจริง

“ฝ่าบาท  หากบอกท่านแต่แรกการแข่งนี้ก็คงถูกยกเลิก”

“มันก็แน่นอนสิ”  เขายืนยันในทันทีก่อนที่จะหันขวับไปหาเร็นและนอร์ธวินด์ซึ่งเป็นผู้ติดตาม  “พวกเจ้าก็รู้อยู่แล้วหรือ”

“ขออภัยขอรับ  หากปล่อยให้งานนี้ยกเลิก  เราคงตัดสินกันไม่ได้”  เร็นเป็นฝ่ายก้มหัวขอโทษก่อนจะโพล่งบางเรื่องออกมาทำให้ทีอารีนแปลกใจ

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะถามกลับไป  “หมายความว่ายังไง”

“ฝ่าบาท  งานนี้จัดด้วยเหตุผลหลายอย่าง หนึ่งคือพวกข้านั้นเป็นผู้ถูกเลือก  นับวันอสูรที่หลบซ่อนอยู่เริ่มออกมารุกรานมนุษย์และพวกมันแข็งแกร่งเกินกว่าที่คนธรรมดาจะรับมือไหวจึงมีเหตุจำเป็นให้ออกไปบ่อยๆ  ไม่สามารถแบ่งเวลามาคุ้มครองได้ตลอดเวลา  ดังนั้นผู้วิเศษจึงเห็นว่าควรแต่งตั้งอัศวินราชองครักษ์”  นอร์ธวินด์เดินมาอยู่เคียงข้างเร็นแล้วอธิบาย  เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ

“เพราะพวกข้าแต่เดิมไม่ใช่ทหารและอัศวิน  ดังนั้นจึงต้องทำเหมือนคัดเลือกเพื่อให้ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ  แต่ผู้วิเศษเห็นว่าการคัดเลือกแค่พวกข้าจะดูไม่เป็นการยุติธรรมต่อคนอื่นเลยจัดการแข่งขันนี้ขึ้นมาขอรับ”

“พวกเจ้าเองก็ร่วมด้วยสินะ”  ทีอารีนถามขึ้นเมื่อได้ฟังจบ  ทั้งสองคนเงียบไปก่อนจะก้มหน้ายอมรับด้วยความสำนึกผิด

“ขอรับ”

เช่นนั้นทีอารีนจึงเข้าใจได้ทันที  เหตุใดโซแวนถึงหายหน้าไป  เหตุใดบางทีผู้ติดตามของเขาถึงมาพร้อมบาดแผลทั้งๆ  ที่ไม่มีภารกิจไปกำจัดอสูร  รวมทั้งเรื่องที่อาคีรัสต้องนอนพักด้วย

“จะยังไงก็ตาม  ข้าไม่ต้องการให้สองคนนั้นสู้กัน  ยกเลิกเดี๋ยวนี้”  ทีอารีนเอ่ยขึ้น  ตามความจริงแล้วคำสั่งของราชาถือเป็นคำขาด  แต่ในตอนนี้พอมีเรื่องอสูรเกิดขึ้น  ผู้วิเศษก็มีฐานะเทียบเท่า...หรืออันที่จริงก็แค่ไม่กลัวมากกว่า

“แน่ใจหรือขอรับฝ่าบาท”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะจับเขาหันไปหากลุ่มคนที่รอดูอยู่เต็มที่นั่ง  “จะไล่พวกเขาที่มารอดูอยู่ไปหรือขอรับ”

“เจ้า...”  เป็นฝ่ายทีอารีนเองที่ขบเคี้ยวฟันกรอด  เพราะตัวเขาเองนั้นถือประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ  ผู้วิเศษย่อมแน่ใจว่าถ้ามีประชาชนมาเฝ้ารอแบบนี้แล้วย่อมเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธได้

“แต่ถ้าท่านอยากยกเลิก  ข้าคิดว่าควรไปคุยกับสองคนนั้นก่อน”  ผู้วิเศษยื่นตัวเลือกให้กับทีอารีน  เด็กหนุ่มจึงรีบออกไปตามทางเดิน 

“ห้องพักผู้เข้าแข่งอยู่ที่ไหน”

ทหารนายหนึ่งนำเขาไปที่ห้องพักชั่วคราวที่อยู่ด้านใน  ตลอดทางนั้นเงียบสนิทเพราะทีอารีนไม่ปริปากพูดจนกระทั่งมาถึงห้องห้องหนึ่ง  นายทหารคนนั้นเคาะประตูแล้วบอกว่า  “เปิดประตู  ราชาทีอารีนเสด็จ”

ไม่กี่วินาทีต่อมาผู้ที่อยู่ในห้องก็รีบมาเปิดทันที  แม้จะมีดวงตาเรียบเฉยแต่ซีวาลก็แสดงออกมาชัดเจนว่าแปลกใจ  เธอรีบทำความเคารพเขาทันที  “ฝ่าบาท  เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านมา”

ทีอารีนเข้าไปในห้องทันที  เมื่อประตูห้องถูกปิดไปแล้วก็ถามกับซีวาลทันทีด้วยความไม่เข้าใจ  “ทำไมเจ้าถึงลงมาแข่งด้วย”

“ฝ่าบาท...”

“เจ้ามีศักดิ์เป็นถึงคู่หมั้นข้า  จะเป็นราชินีในอนาคต  ทำไมถึงต้องลงมาคัดเลือกอัศวินราชองครักษ์ด้วย”  ทีอารีนเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ  ซีวาลมีฐานะเป็นถึงคู่หมั้นและราชินีในอนาคต  ไม่จำเป็นเลยสักนิดที่ต้องมาแข่งเช่นนี้เลยสักนิด

“ฝ่าบาท  ขออภัยที่ไม่ได้บอกท่าน  แต่นี่เป็นความตั้งใจของข้าเอง”  ซีวาลเอ่ยขึ้นก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าใบหน้าของคู่สนทนากำลังไม่สบอารมณ์  “ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยหรือเพคะ”

“เปล่า...ข้าแค่ไม่เข้าใจ  ทำไมเจ้าต้องลงแข่งให้เสี่ยงเจ็บเนื้อเจ็บตัวด้วย”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นขณะนั่งลงกับเก้าอี้  ซีวาลนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะลองถามอย่างหยอกล้อ

“เป็นห่วงข้าหรือเพคะ”

“ก็ใช่น่ะสิ”  คำพูดของทีอารีนทำให้ซีวาลชะงัก  “เจ้าเป็นผู้หญิง  ถึงจะเป็นนักรบที่เก่งแต่ก็บาดเจ็บได้  อีกอย่างโซแวนน่ะไม่เหมือนคนที่เจ้าเคยสู้มา  อาจจะ...”

“ข้าจะชนะให้ได้”  นางเอ่ยขัดขึ้นทำให้ทีอารีนชะงัก  ดวงตาบนใบหน้าสวยนั้นฉายแววความมุ่งมั่นไว้  “เพื่อต่อจากนี้จะสามารถปกป้องท่านได้อย่างเต็มภาคภูมิ  ข้าจะต้องชนะ”

ทีอารีนอึ้งไปชั่วขณะ  เขาคิดว่าตลอดว่าไม่ควรเป็นฝ่ายถูกผู้หญิงปกป้องเหมือนที่ผ่านมา  ซีวาลพยายามช่วยเหลือเขามาตลอด  แม้ช่วงหลังหล่อนเองก็ถูกผลจากคำสาปเกลียดชังด้วยแต่ก็ไม่ได้มาทำร้ายอะไร  ในอนาคตหน้าที่ราชินีก็หนักหนามาก  ดังนั้นแล้วจึงไม่ต้องการให้มารับภาระในภายหลัง

ผู้เป็นราชา...บัดนี้ละทิ้งอำนาจในเมื่อเพื่อคืนสู่สายสัมพันธ์เดิม  ซีวาลเป็นเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง  ความเป็นห่วงของเขาไม่ได้ผลกับอีกฝ่ายผู้ทะเยอทะยานเช่นนั้นจึงหลับตาลงก่อนจะตัดสินใจอย่างหนึ่ง  “เข้าใจแล้ว  เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ”

“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”  เด็กสาวแย้มยิ้มขึ้นก่อนจะยกมือขึ้นกุมมือของทีอารีนไว้  “เพื่อท่านแล้วข้าจะต้องชนะ”

“ขอให้เจ้าจงมีชัย”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นก่อนที่จะขอตัวออกไปข้างนอก  และรู้ตัวว่าไม่สามารถห้ามซีวาลได้จึงเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง

ทันทีที่เขาเข้าไปคนที่อยู่ในห้องก็บอกขึ้นเหมือนรู้ทันว่า  “ถ้าจะให้ถอนตัวละก็ไม่ได้หรอก”

“ก็รู้ดีนี่ว่าข้าจะพูดอะไร”  ทีอารีนก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายซึ่งนั่งทำสมาธิอยู่ก่อนที่จะจับไหล่ทั้งสองข้างไว้  “งั้นบอกมาสิว่าทำไมถึงปิดบังข้า”

โซแวนเงียบไปสักพักก่อนจะบอกตามความจริง  “เพราะถ้าบอกเจ้าก็คงให้ทั้งข้าและเขาถอนตัวน่ะสิ”

“เรื่องนั้นก็แน่นอนอยู่แล้ว  ซีวาลก็เป็นคู่หมั้นข้า  แล้วเจ้าก็เป็นถึงผู้ติดตาม  ทำไมพวกเจ้ายังต้องลงแข่งนี่อีก”

“ไม่เอาน่า  ทีอารีน  เจ้าน่ะ...ถ้าเป็นคนอื่นแล้วจะไม่อยากให้เข้าใกล้ใช่ไหมล่ะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยกนิ้วเรียวชี้มาที่ตัวเขา  “ถึงจะพบกับผู้คนมากมายแต่เจ้าก็เลือกที่จะเว้นระยะห่างกับพวกเขา  แต่อัศวินราชองครักษ์จะต้องตามติดเจ้าทุกฝีก้าว  ถ้าเป็นคนนอกน่ะเจ้าจะยอมรับได้หรือ”

“อึก”  ทีอารีนชะงักไปทันทีเมื่อถูกจี้ใจดำ  เนื่องจากเขาเคยจมอยู่กับความเกลียดชังของผู้อื่นมานานหลายปีทำให้ไม่กล้าจะเข้าหาใครมากไปกว่าที่ควร  ไม่กล้าเชื่อใจใครนอกจากผู้วิเศษ  เหล่าผู้ติดตาม  น้องชาย  และซีวาล  ถึงจะไม่อยากให้ทั้งคู่ต้องมาสู้กัน  แต่ถ้าหากเป็นคนอื่นเขาก็คิดไม่ออกว่าจะเข้าหาอย่างไร

“ก็ยอมรับไปเสียเถิดว่าไม่ข้าก็เขาที่จะต้องเป็นอัศวินราชองครักษ์”  โซแวนย้ำขึ้นอีกก่อนที่จะเปลี่ยนคำถาม  “จะว่าไป  ทำไมเจ้าถึงไม่แต่งงานสักที”

“หา?”  ทีอารีนเงยหน้าขึ้นเหวเสียงลั่น  ก่อนที่จะรู้ตัวว่าทำเรื่องไม่ควรจึงตอบเสียงตะกุกตะกักไปว่า  “ก็...ก็...ก็เพราะทั้งข้าและนางยังอายุน้อยกันน่ะสิ”

“พ่อเจ้าก็แต่งงานตอนอายุสิบเจ็ด  ไม่เห็นน้อยตรงไหนเลย”  โซแวนแย้งขึ้นก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้  แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มยียวนว่า  “ไม่ใช่ว่าเพราะเจ้าหมดรักนางแล้วหรือ”

“ไม่ใช่...”

“จะเรียกว่ารักหรือเปล่านะ...”  ยังไม่ทันที่ทีอารีนจะปฏิเสธจบ  โซแวนก็เอ่ยขึ้นอีก  “เรื่องของนางเจ้าก็ยังไม่รู้เลยนี่”

ทีอารีนนิ่งเงียบไปในทันที  เด็กหนุ่มขมวดคิ้วก่อนที่จะถามว่า  “ซีวาลมีอะไรปิดบังข้า  นางน่าเชื่อใจมากกว่าพวกเจ้าหรือผู้วิเศษอีก”

“เจ้าคิดอย่างนั้นหรือ”

“ใช่สิ  ตั้งแต่โตมาด้วยกันนางก็ไม่เคยโกหกข้าเลย  ไม่เหมือนพวกเจ้าที่ชอบปิดบังข้าหรอก  รู้ไว้ด้วยว่าแบบนั้นทำให้ข้าไม่ชอบ”  ทีอารีนขึ้นเสียงใส่เมื่อพูดประโยคที่ชวนให้ตนเองหงุดหงิดออกมา  เขาเบื่อกับการที่ถูกทำตัวเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ไม่ต้องรู้อะไร  ในขณะที่พวกนี้ก็จะพยักหน้ารู้กันเอง

โซแวนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาใกล้  ร่างสูงกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า  “ถ้าข้าชนะ  จะบอกความจริงบางอย่างให้รู้ก็ได้”

ทีอารีนผละออกด้วยความตกใจ  ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไร  ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าห้องก็เปิดออกเพื่อบอกว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว  ราชาจึงได้เดินกลับไปประจำที่

ผู้วิเศษยิ้มรับเขาเหมือนรู้อยู่แล้วว่าไปขอให้ถอนตัวไม่ได้ผล  เร็นไปนั่งบนลานอัฒจันทร์  ส่วนนอร์ธวินด์จะทำหน้าที่ผู้บรรยายอยู่ในสนาม

เมื่อเขานั่งบนเก้าอี้ประทับแล้วนอร์ธวินด์ก็เริ่มเปิดงานด้วยการกล่าวกับผู้ชมและหันมานำสรรเสริญแก่ทีอารีนกับผู้วิเศษ  เสียงโห่ร้องอวยพรดังขึ้นก่อนจะเงียบลงเมื่อนักดนตรีเริ่มประโคมเพลงเปิดลาน

ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองเดินออกมาจากประตูทางเข้าทีละคน

“ผู้ที่เข้าถึงสนามเป็นลำดับที่หนึ่ง  ดัสเซสซีวาล  เจ้าของฉายาเทพร้อยศาสตราและเท่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยแพ้ให้ใคร  สมกับเป็นดอกไม้งามท่ามกลางฝุ่นดินเลยขอรับ”  สิ้นเสียงของนอร์ธวินด์  เสียงคนโห่สรรเสริญก็ดังขึ้นแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ซีวาลวอกแวกแต่อย่างใด  ใบหน้าของนางยังเรียบเฉย  และจิตใจแน่วแน่อยู่ในสนาม

“ส่วนอีกด้าน  ม้ามืดของรายการที่ยังไม่เคยแพ้ใครเช่นกัน  เขามีนามว่าโซแวน  ผู้ถูกเลือกที่ยังไม่มีใครเห็นฝีมือที่แท้จริง  วันนี้เขาจะชนะได้หรือไม่  แต่จะดีกว่าถ้าแพ้ไปซะ  เจ้าคนทรยศ!”  ผู้ประกาศที่คงเจ็บใจไม่น้อยทำท่าเหมือนจะลงไปแข่งด้วย  แต่เพราะทำไม่ได้จึงกลายเป็นผสมคำสาปแช่งลงในการบรรยาย  ทีอารีนก็เพิ่งมานึกออกว่าในเมื่อพวกผู้ติดตามต้องการจะใกล้ชิดเขาทุกคนแล้วถ้ารู้ว่าโซแวนมาแข่งแบบนี้จะเป็นยังไง

และคำตอบนั้นเขาก็พบในเวลาไม่นาน  เมื่อหันไปเห็นกลุ่มผู้ติดตามซึ่งอยู่ทางฝั่งโซแวนถือป้ายขนาดใหญ่เขียนชื่อผู้เข้าแข่งและภาพเหมือน  พร้อมข้อความที่เขียนชัดเจนว่า  ‘ไปตายซะ’  ‘แพ้หมดรูปไปซะ’  ทำให้ทีอารีนเผลอหลุดขำออกมา

โซแวนไม่ยี่หระต่อคำครหาหรือการก่อกวนจากผู้ติดตามคนอื่นๆ  และสายตานั้นจับจ้องไปที่คู่ต่อสู้ด้านหน้า

“เอาล่ะ  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา  ขอเริ่มการต่อสู้นะบัดนี้” 

นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นเสียงดังพร้อมกับสัญญาณพลุที่ถูกจุดขึ้น  ทั้งซีวาลและโซแวนจึงพุ่งใส่กันทันที  เด็กสาวร่ายเวทของตนเปิดมิตินำดาบเล่มหนึ่งออกมาโจมตี  ส่วนโซแวนก็เรียกดาบที่เป็นอาวุธของตนออกมาโจมตีสวนกลับเช่นเดียวกัน

“ท่านหญิงซีวาลเองก็เป็นผู้ถูกเลือกระดับสีแดงที่แข็งแกร่งที่สุด  คงจะทำให้โซแวนเผยพลังของตนเองออกมาได้เยอะทีเดียว”  ผู้วิเศษที่ปั้นหน้ายิ้มเอ่ยขึ้นอย่างพอใจทำให้ทีอารีนมองตาขวางใส่ 

“เป็นแผนการอะไรของเจ้าอีกล่ะ?”

“บอกตามตรงว่าการให้ทั้งสองคนนี้มาสู้กันนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีขอรับ  ท่านจะได้รู้เรื่องราวอีกหลายเรื่องทีเดียว”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือเป็นสัญญาณ  ไม่นานสาวใช้สี่คนก็เดินมาเสิร์ฟน้ำชาและชุดขนมให้  ท่ามกลางเสียงพูดของเขา  “การต่อสู้นี้คงกินเวลานาน  เรามาจิบชาไปพูดคุยไปกันเถอะขอรับ”

“เจ้าเดาผลการแข่งได้หรือเปล่า”  ทีอารีนถามขึ้นอย่างสงสัย  จากที่เฝ้าสังเกตมาเหมือนอีกฝ่ายจะมีแนวโน้มว่ามองเห็นอนาคตได้แต่ครั้งนี้ผู้วิเศษส่ายหน้า  “เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา”

“งั้นเหรอ”  ทีอารีนพึมพำขึ้นก่อนจะหยิบคุกกี้ที่ถูกวางไว้ระหว่างพวกเขากิน  “แล้วเจ้ารู้อะไรบ้าง”

“ท่านหญิงซีวาลเองก็คงมีความในใจอยากจะบอกท่าน  ข้าคิดว่าจบศึกนี้ภาระในอกของนางก็จะถูกคลายลง”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นก่อนจะเสริมว่า  “เป็นคนที่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ”

“แล้วเจ้าต้องการอะไร”  ผู้เป็นราชาถามขึ้นด้วยความสงสัย  เขาเริ่มรับรู้แล้วว่าการแข่งครั้งนี้มีจุดประสงค์แอบแฝง  บางทีการหาอัศวินราชองครักษ์อะไรนั่นอาจเป็นแค่ข้ออ้าง  เพราะว่ากันตามตรงแล้วผู้ติดตามทั้งหกของเขาก็เปลี่ยนเสมือนองครักษ์อยู่กลายๆ  แล้ว

ทีแรกทีอารีนคิดว่าผู้วิเศษจะไม่ตอบและมอบรอยยิ้มให้เหมือนเดิม  แต่กลับผิดคาด  อีกฝ่ายมองไปที่โซแวนก่อนจะบอกว่า  “ข้าคาดเดาอะไรเกี่ยวกับเขาไม่ได้เลย”

“หืม?” 

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา  ผู้ติดตามคนอื่นของท่านล้วนแต่เป็นคนที่มีวิญญาณอันแสนคุ้นเคยกับข้า  แต่เขานั้นไม่ใช่”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยคำกำกวมก่อนที่จะยกประเด็นหนึ่งขึ้นมา  “ท่านจำจดหมายที่พบในห้องลับได้ไหม  จดหมายจากสหายของปฐมกษัตริย์”

“ได้สิ”  ทีอารีนตอบในทันที  แม้จะเขียนแตกต่างกันไปแต่เนื้อความในจดหมายไหนไปในทางเดียวกัน 

‘หากสามารถเกิดใหม่ได้อีกครั้ง  จะขอตามปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านแทนความผิดที่ไม่น่าให้อภัยนี้’

เป็นถ้อยคำของเหล่าผู้กล้าที่ติดตามปฐมกษัตริย์ทิ้งไว้ก่อนตาย  ทีอารีนเคยถามจากผู้วิเศษแล้วเลยรู้ว่ามีแค่ห้าคน...เป็นห้าคนที่แข็งแกร่งมาก

“อาจจะกะทันหันไปหน่อย  แต่ผู้กล้าที่กลับชาติมาเกิดนั้นมีแค่ห้าคน  หลักฐานคือดวงตาสีทองที่พิเศษ  และตอนนี้เขาก็อยู่รายล้อมท่านแล้ว”  ผู้วิเศษเฉลยขึ้นทำให้ทีอารีนเอะใจและเริ่มพึมพำรายชื่อออกมา 

“เร็น  คาร์ริต้า  วารัน  นอร์ธวินด์  อาคีรัส  โซแวน...แต่พวกเขามีหกคน”

“ห้าคนขอรับ”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นก่อนจะกลับไปมองในสนามที่ตอนนี้ยังคงสู้กันอย่างดุเดือด  “โซแวนเป็นคนที่ข้าคาดไม่ถึง  และยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดถึงได้ถูกเลือกเป็นระดับสีทอง”

“เจ้าจะบอกโซแวนเป็นคนนอกหรือ?”  ทีอารีนขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ไม่ขนาดนั้นขอรับ  เขาไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนนอก  แต่ภูมิหลังกับพลังที่แท้จริงนั้นข้าไม่สามารถทราบได้”  ผู้วิเศษเอ่ยขณะเงยหน้าขึ้นมองข่ายเวทที่กางไว้  แม้จะไม่ได้แน่นหนาเหมือนที่กางไว้รอบดินแดน  แต่ก็แข็งแกร่งในระดับหนึ่ง  ทว่าตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าอณูของเวทกำลังสั่นไหวจากการปะทะ

“ข้าหวังว่าการต่อสู้นี้จะทำให้เรารู้ความสามารถที่แท้จริงของเขาด้วย”

---------------------------------------------------------------------------------------
ครึ่งแรกค่ะเนื่องจากเกินที่เล้ากำหนดไปนิดหนึ่ง QwQ

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 12>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 04-03-2018 13:00:59
บทที่ 12
โซแวนปะทะซีวาล

ในสนามที่เต็มไปด้วยเศษฝุ่นดิน  ร่างในชุดกระโปรงสั้นที่ดัดแปลงมาเพื่อให้เหมาะแก่การสู้รบพลิ้วไหวตามกระบวนท่าที่ถนัดราวกับร่ายรำอยู่ด้วยดาบคู่ใจ  แม้จะได้ฉายาว่าเป็นเทพร้อยศาสตราแต่อาวุธที่ซีวาลถนัดมากที่สุดคือดาบยาวที่ได้สืบทอดมาจากปู่ 

แม้เขาจะไม่ได้สู้รบเป็นจริงเป็นจัง  แต่การประลองในสนามไม่ว่าจะเป็นคนในหรือนอกดินแดนก็ล้วนแล้วแต่ชนะมาทั้งสิ้น  และไม่เคยมีครั้งไหนที่รู้สึกหงุดหงิดใจแบบนี้มาก่อน

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”  ซีวาลเอ่ยขึ้นกับอีกฝ่ายที่ได้แต่ตั้งรับการโจมตีโดยไม่สวนกลับมา  โซแวนหลบการโจมตีของเธอแล้วถามขึ้นด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย

“เจ้ารักทีอารีนหรือ”

“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว  เพื่อปกป้องเขา  ข้ายินดีทำทุกอย่าง”  ซีวาลเอ่ยขึ้นด้วยใจแน่วแน่ก่อนที่จะสลับอาวุธเป็นง้าวที่ถนัดไม่ต่างกับดาบ

“แน่เหรอ”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนจะตวัดดาบโจมตีใส่ง้าวนั้นกลับไป  แรงปะทะนั้นทำให้ซีวาลชะงักไปขณะที่เสียงเย็นเยียบของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นอีก  “ทั้งที่เจ้าก็เคยทำร้ายเขามาก่อนน่ะเหรอ”

คำพูดนั้นทำให้เด็กสาวชะงัก  ดวงตาแปรเปลี่ยนไปด้วยความโกรธก่อนที่จะฟาดง้าวใส่ชายหนุ่มทันที  “หุบปาก  นั่นเป็นเรื่องในอดีต”

“แต่เจ้าก็คงไม่ปฏิเสธที่ทำให้เด็กคนนั้นมีแผลใจขึ้นมาใช่ไหม”  โซแวนพูดต่อขณะที่หลบการโจมตีอันรวดเร็วนั้น  “ที่เด็กนั่นไม่สามารถเชื่อใจใครได้ก็เป็นเพราะพวกเจ้า”

“หุบปาก!”  ซีวาลตวาดลั่นพร้อมกับเสยง้าวในมือขึ้นเป็นผลให้โซแวนได้รับบาดเจ็บที่อก  แต่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดออกมา  เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าก่อนที่จะตีสีหน้าเยือกเย็นเหมือนเดิมแล้วบอกว่า  “เรื่องในอดีตตอนนั้นตัวข้าที่โง่เขลากระทำลงไปอย่างไม่คิด  แต่นั่นเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้แล้ว  และยังไงเล่า  ข้ามีเหตุอันใดต้องไปจมปลักกับมัน  สู้ปกป้องเขาจากคนที่คิดจะมาทำร้ายไม่ได้กว่าหรือ”

“โห่  ตอบได้สวยนี่”  โซแวนเผยยิ้มขึ้นก่อนที่จะประกาศชัดเจนว่า  “แล้วเรื่องที่เจ้าโกหกเขามาตลอดล่ะ?  นั่นน่ะ  จะไม่ได้ทำให้ทีอารีนเสียใจหรือ”

“เลิกพูดจาถ่วงเวลาสักที  และขอบอกไว้เลยว่าข้านี่แหละเหมาะสมจะอยู่เคียงข้างฝ่าบาทแล้ว”

“เจ้าไม่คู่ควรอยู่เคียงข้างเขาหรอกถ้ายังไม่ชนะข้า”  โซแวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบขณะตั้งท่าต่อสู้ใหม่

“งั้นข้าจะโค่นเจ้าเสีย”  ซีวาลเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเรียกอาวุธนับสิบของตนออกมาด้วยเวทมนตร์  พรของพระเจ้าทำให้เธอสามารถใช้อาวุธได้หลากหลายในคราวเดียวและควบคุมมันได้ดั่งใจนึกแม้ไม่ได้ถือไว้

“เพื่อฝ่าบาท!”

โซแวนตะลึงเล็กน้อยกับจำนวนอาวุธที่ต้องเผชิญแต่เขาก็สามารถหลบได้แต่โดยดี  ก่อนที่จะโผล่เข้าไปใกล้อีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว  ซีวาลเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะรีบเอี้ยวหลบดาบที่โจมตีมา
 
อีกฝ่ายกระโดดถอยออกไปทำให้ไม่เห็นว่าเธอกำลังมีสีหน้าอย่างไร  ซีวาลตกอยู่ในความตกใจชั่วขณะ  ก่อนที่จะกัดฟันกรอด  สองมือกำหมัดแน่นแล้วใช้สายตามุ่งตรงไปที่โซแวน 

“ข้าจะฆ่าเจ้า”  นั่นเป็นคำพูดที่เอ่ยออกมาพร้อมกับพุ่งตรงไปปะทะกับโซแวนทันทีโดยไม่หยุดพัก  เด็กสาวสาดอาวุธทุกอย่างที่สามารถหยิบใช้ได้ใส่อีกฝ่ายทันที

“ดูเหมือนว่าจะโกรธจนขาดสติไปแล้วสิ”  ชายหนุ่มพึมพำขึ้นก่อนที่สะดุ้งเฮือกเมื่อถูกมีดเล่มเล็กพุ่งมาปักที่ไหล่  เขารีบดึงมันออกก่อนจะพบว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากจึงถอนหายใจ  แวบหนึ่งโซแวนเหลือบไปมองยังที่นั่งของทีอารีนและผู้วิเศษก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า  “ถ้าอยากรู้นักก็จะแสดงให้เห็นก็ได้”

“ทุกอย่างเพื่อเจ้า...ทีอารีน”

เขาหันกลับไปหาซีวาลที่กำลังพุ่งเข้ามาพร้อมการโจมตีชุดใหญ่  ก่อนที่จะกวาดมือขวาไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว  กระแสลมจากการกระทำนั้นทำให้เกิดคลื่นปัดเด็กสาวกระเด็นไป  ตามมาด้วยวงเวทสีแดงที่ก่อตัวขึ้นบนพื้นดินล้อมรอบโซแวนไว้  พลังมากมายมหาศาลพุ่งทะลุออกมาและกระจายไปปะทะรอบๆ  นั่นเองที่ทำให้ข่ายเวทร้าว

“ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ  เจ้าหนู”  โซแวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายโดยที่ซีวาลเองก็ร่ายมหาเวทเรียกอาวุธของตนออกมาพร้อมๆ  กันเพื่อโจมตีเขา

เสียงการปะทะกันดังสนั่นระหว่างลมเวทและอาวุธดังก้องขึ้น  อาวุธของซีวาลถูกทำลายไปมากขณะที่โซแวนเองก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นเช่นกัน  การต่อสู้กันของทั้งคู่ทำให้ในที่สุดข่ายเวทก็แตกสลายลง

“พลังรุนแรงกว่าที่คิดนะขอรับ”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นโดยไม่ทุกข์ร้อน  กลับกันราชาทีอารีนเป็นฝ่ายที่นั่งไม่ติดเก้าอี้หลังจากเห็นว่าแรงปะทะนั้นอาจทำให้มีประชาชนได้รับลูกหลง 

“อพยพคนออกไปข้างนอก”

ราชาทีอารีนออกคำสั่งกับทหารทันที  และตอนนี้เองก็มีชาวบ้านส่วนหนึ่งหนีออกไปแล้ว  คาดว่าคงหมดในเวลาไม่นาน  ขณะที่ทั้งสองคนบนสนามยังต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ  “การต่อสู้จะจบลงเมื่อไร”

“ตอนแรกข้าคิดว่าแค่มีใครสักคนสิ้นสภาพ  แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าพวกเขาคงสู้กันให้ตายไปข้างเลยขอรับ”  คำพูดของผู้วิเศษทำให้ทีอารีนชักสีหน้า  เขารีบผละออกจากห้องชมทันทีเพื่อลงไปสู่สนาม

ด้านล่างนั้นทั้งซีวาลและโซแวนยังปะทะกันอย่างไม่ลดละ  โดยเฉพาะเด็กสาวที่โมโหขึ้นหน้าเสียจนไม่ยั้งคิดอะไรแล้วและแค่ต้องการให้อีกฝ่ายหายไปซะ

เมื่อผลักโซแวนจนกระเด็นออกไปไกลแล้ว  ซีวาลจึงกระโดดขึ้นไปยืนบนอากาศและร่ายเวทเรียกอาวุธของตนทั้งหมดออกมาคลุมพื้นที่สนามทั้งหมด 

“กะไม่ให้ข้าหนีไปไหนเลยใช่ไหม”  โซแวนพึมพำขึ้นอย่างอ่อนใจกับความไม่ยั้งคิดของอีกฝ่าย  ดูเหมือนซีวาลจะไม่ฟังอะไรแล้วและเวทนั้นก็กำลังจะสมบูรณ์  ที่แรกเขาคิดว่าจะทำลายทิ้งไปให้หมดทั้งคนทั้งอาวุธ  ทว่า...

“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”  เสียงที่ดังขึ้นทำให้เขาและซีวาลชะงัก  แต่ทีอารีนมาได้ตรงจังหวะเกินไป  เวทของอีกฝ่ายสัมฤทธิผลและกำลังพุ่งลงมาโจมตีทั่วสนาม  อันหมายถึงราชาที่เพิ่งลงมาถึงก็จะโดนไปด้วย

“ฝ่าบาท!”  ซีวาลเบิกตากว้างด้วยความตกใจแต่ไม่สามารถทำอะไรได้  เป็นโซแวนที่ไม่คิดอะไรแล้วพุ่งเข้าป้องกันทีอารีนไว้ด้วยความกังวล

จากที่คิดว่าจะถูกอาวุธเสียบจนเป็นกระบองเพชรเขากลับไม่รู้สึกอะไร  และเมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่ารอบๆ  ตัวเขาและราชาทีอารีนมีเวทป้องกันสีทองครอบอยู่

“เจ้าคิดว่าข้าไม่มีเวทป้องกันหรือไง?”  คำพูดของราชาทีอารีนทำให้โซแวนชะงัก  เขาพลันละกอดอีกฝ่ายทันทีก่อนจะพึมพำแก้ตัวออกไป

“มันเผลอตัวไปน่ะ”

ราชาทีอารีนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะคลายเวทป้องกันออกและยืนขึ้นเอ่ยว่า  “แต่ก็ดีแล้วที่ไม่มีใครเป็นอะไรร้ายแรง”

“ฝ่าบาท  ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะเพคะ”  ซีวาลรีบเข้ามาดูอาการของราชาทันทีด้วยความเป็นห่วง  ความโมโหเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว 

เด็กหนุ่มก้มมองตนเองก่อนจะเอ่ยว่า  “ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”

“ดูเหมือนว่าเราจะได้ผู้ชนะแล้วนะขอรับ”  เสียงของผู้วิเศษดังขึ้นทำให้ทั้งสามหันไปมอง  ร่างสูงโปร่งยิ้มขึ้นก่อนจะหันไปทางโซแวน  “ขอแสดงความยินดีด้วย”

“เดี๋ยวก่อนผู้วิเศษ  ยังไม่รู้ผลแน่นอนเลยนะเพคะ”  ซีวาลรีบแย้งขึ้นทันทีด้วยความไม่เชื่อ  แต่ผู้วิเศษกลับยืนยันว่า  “มันจบแล้วท่านหญิงซีวาล”

“ได้ยังไง” 

“ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าข้าประเมินพลังของพวกท่านตลอดการต่อสู้  แม้จะเห็นว่าท่านเป็นฝ่ายได้เปรียบมาตลอดแต่พลังทั้งหมดของโซแวนเหนือกว่า  ที่ผ่านมาไม่มีใครเคยทำลายอาวุธท่านได้  แต่นี่เขาทำได้  อีกอย่างหนึ่ง...”  ผู้วิเศษเว้นช่วงไว้ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นชัดเจนว่า  “เขาเป็นคนที่เข้ามาปกป้องฝ่าบาท”

“แต่!”

“อ้อ  มีอีกอย่างที่ทำให้โซแวนชนะ  เพราะว่าท่านหญิงยังเป็นมนุษย์  คำสาปนั้นยังคงมีผล”  คำพูดนั้นทำให้ซีวาลชะงักไปทันที  หญิงสาวก้มหน้านิ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาทำสีหน้าเยือกเย็น 

“เข้าใจแล้วเพคะ  ขออภัยที่เสียมารยาทขึ้นเสียงกับท่าน”

“ไม่เป็นไร  เอาล่ะ  แยกย้ายไปทำแผลก่อนเถิด”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหันไปบอกราชาทีอารีนว่า  “ท่านช่วยรักษาให้พวกเขาได้หรือไม่”

“ได้  แต่ทีละคนได้ไหม  เริ่มจากเจ้าก่อน”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปหาโซแวน  อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับก่อนที่จะทิ้งคำพูดที่จงใจให้ซีวาลสะดุ้ง 

“ตามสัญญา  เดี๋ยวข้าจะบอกความลับบางอย่างให้”

ทีอารีนกับโซแวนถูกพามาที่ห้องพัก  ซีวาลมีสาวรับใช้ทำแผลชั่วคราวอยู่ข้างนอกก่อน  ด้วยพลังรักษาขององค์ราชาทำให้ไม่นานบาดแผลทุกอย่างก็หายไป

“เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้า?”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย  อีกฝ่ายเงียบไปสักพักก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าจะไม่จัดพิธีอภิเษกใช่ไหม?”

ราชาทีอารีนสะดุ้งเฮือกก่อนจะถามย้ำด้วยความสงสัยว่า  “ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น”

“ใครต่อใครก็สงสัยเรื่องนี้  มีข่าวลือด้วยว่าเจ้ายกเลิกการหมั้นไปแล้ว  ก็น่าคิดนะว่าทำไมราชาถึงไม่ยอมแต่งงานสักที”  โซแวนอธิบายขึ้นก่อนที่จะเสริมว่า  “เจ้าหมดรักซีวาลไปแล้วหรือ”

“ไม่ใช่”

“แล้วทำไมถึงไม่แต่งงาน”  โซแวนเอ่ยถามย้ำขึ้นทำให้ทีอารีนอึดอัด  เขารออยู่นานในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจพูดออกมาว่า  “ข้าไม่ได้หมดรักนาง  แต่...ที่ผ่านมาสำหรับซีวาลก็เหมือนกับพวกเจ้า  ไม่ได้รักใคร่  แต่ก็เป็นคนสนิท”

โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อและรอฟังอย่างเงียบๆ  ทำให้ทีอารีนยอมคายออกมาเพิ่มว่า

“จริงๆ  แล้วเรื่องงานหมั้นเป็นเรื่องที่ท่านพ่อของซีวาลตกลงกับเสด็จพ่อของข้าเพื่อที่เขาจะมีหน้าที่การงานดีกว่าเดิม  จะบอกว่าเป็นงานหมั้นที่ถูกบังคับตั้งแต่เด็กก็ได้”  ราชาทีอารีนเอ่ยขึ้น  จริงอยู่ที่ว่าซีวาลมีสถานะเป็นคู่หมั้น  แต่ที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้รู้สึกกับอีกฝ่ายมากกว่าเพื่อนคนสำคัญ 

“แล้วที่ถูกบังคับเนี่ยรู้หรือเปล่า...”  โซแวนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะตัดสินใจเปลี่ยน  “ถ้าเจ้าไม่รักแล้วทำไมไม่ยกเลิกการหมั้นไปเสียล่ะ  ตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่เสียหาย”

“ยกเลิกงานหมั้น?”  ทีอารีนทวนคำ  ในขณะนั้นเองประตูพลันถูกเปิดขึ้นอย่างแรงก่อนที่ร่างของซีวาลจะก้าวเข้ามาในห้องแล้วตรงเข้ามาตบหน้า...โซแวนทันที

“เจ้าอย่าปั่นหูฝ่าบาทเด็ดขาด”  เธอตวาดใส่อีกฝ่ายก่อนที่จะหันมาหาทีอารีน  ดวงตานั้นรื้นไปด้วยน้ำตาเล็กน้อย  “ฝ่าบาท  ทำไมท่านถึงคิดจะยกเลิกงานหมั้นกับข้าล่ะ  ข้าไม่ดีตรงไหน  หรือว่าเพราะข้า...เพราะข้า...”

“ซีวาลใจเย็นก่อน...”

“หรือว่าเพราะข้าไม่ใช่ผู้หญิง  ท่านเลยไม่อยากแต่งกับข้า!”  ซีวาลเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าปวดใจ  ทำให้ราชาทีอารีนที่ตอนแรกจะให้เธอสงบใจชะงักแล้วชักสีหน้าเหวอออกมา 

“หะ  เจ้าว่าอะไรนะ  ไม่ใช่ผู้หญิง...”

ราชาทีอารีนทวนคำซ้ำๆ  คล้ายวิญญาณหลุดลอยออกไปทำให้ซีวาลเบิกตากว้างแล้วหันไปหาชายหนุ่มที่เธอ...หรือเขาคิดว่าแฉเรื่องที่ตัวเองปิดบังมานานไว้กับฝ่าบาทไปหมดแล้ว

โซแวนหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ายียวนว่า  “ข้ายังไม่ได้พูดอะไรไปเลยนะ”

“เจ้า!  เจ้าคนเหลือขอนี่”  ซีวาลเหวเสียงลั่นด้วยความโมโห  แต่ยังไม่ทันคิดจะเปิดศึกอีกรอบก็ต้องรีบหันไปดูราชาทีอารีนที่ร่างซวนเซไปมาก่อนที่จะทนไม่ไหวแล้วล้มตึงไปในที่สุดทำให้เขาและโซแวนต้องรีบไปประคอง

“ฝ่าบาท  ฝ่าบาททำใจดีๆ  ไว้  ใครอยู่ข้างนอกตามผู้วิเศษมาเร็ว”  ซีวาลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าปกติ  แบบที่สมชายกว่าอาจเป็นเพราะตกใจ  แต่นั่นก็ทำให้โซแวนรู้สึกดีขึ้นมา  อย่างน้อยวันนี้เขาก็สามารถทำให้ทีอารีนรู้ความจริงที่สมควรรู้มานานจากปากตัวการได้แล้ว

ที่เหลือก็คงให้เด็กหนุ่มคุยกันเอง

-----------------------------------------
โปรดติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 12>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 04-03-2018 13:05:52
บทที่  13
ความจริงจากใจ

ข้าฝันถึงเรื่องราวที่ผ่านมานานแล้ว  ตอนที่อายุได้ห้าปี  เสด็จพ่อได้พาไปพบกับลูกหลานของขุนนางที่มักจะมาเล่นที่สวน  ข้าไม่ชอบคนเยอะเลยมักจะปลีกตัวออกมาทุกครั้งยามมีงานพบปะสังสรรค์  ครั้งนี้ก็เช่นกัน  พอพูดคุยจนเป็นพิธีแล้วข้าก็ปลีกตัวออกมา  วันนั้นมีสถานที่หนึ่งที่จะต้องไป

อีกสองวันจะเป็นวันเกิดครบรอบสี่ปีของครีออน  ข้าจึงจะหาของขวัญไปให้เขา

ที่นั่นข้าได้พบกับเด็กคนหนึ่งที่นั่งเงียบอยู่ท่ามกลางดอกไม้สวยงาม  เส้นผมสั้นระดับเดียวกันแต่หนากว่าและมีลูกไม้ผูกเพิ่มความน่ารัก  เมื่อข้าเข้าไปใกล้  เด็กคนนั้นก็หันมาจึงทักทายด้วยรอยยิ้ม  “สวัสดี”

“องค์ชาย”  เด็กคนนั้นเอ่ยด้วยความแปลกใจ  เหมือนจะรู้จักข้า  “เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”

“ข้ามาหาของขวัญให้น้องชาย”  ข้าตอบไปก่อนจะลงนั่งใกล้ๆ  “ท่านแม่ชอบดอกไม้  ข้าก็ชอบ  น้องก็คงชอบด้วย” 

เด็กคนนั้นเงียบไปสักพักก่อนจะบอกว่า  “งั้นข้าจะช่วยหาด้วย”

“ขอบคุณนะ”  ข้าเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้ม  เด็กคนนั้นแนะนำตัวว่าชื่อซีวาล  มาที่นี่เพราะไม่อยากเจอความวุ่นวายเหมือนกับข้า  พวกเราช่วยกันตามหาดอกไม้แล้วกลับไปที่วัง  แน่นอนว่าข้าโดนเสด็จพ่อดุอีกตามเคย  ส่วนซีวาลกลับไปหาบิดา

นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพบกับซีวาล  อาจเพราะเข้าหาง่ายตั้งแต่เด็กข้าเลยเป็นเพื่อนเล่นด้วยได้  และเพราะเจ้าตัวมักจะใส่ชุดกระโปรงน่ารักมาเสมอข้าจึงนึกว่านางเป็นคุณหนูผู้เรียบร้อย

แม้โตมาจะเก่งกาจการต่อสู้จนได้ชื่อว่าเป็นเทพร้อยศาสตราก็ไม่ได้เอะใจอะไร

“ถ้าโตขึ้น  เรามาแต่งงานกันไหม”  ซีวาลในตอนเด็กเอ่ยขึ้นกับข้าที่ยังไม่คิดอะไร

“อื้ม  ถ้าโตขึ้นซีวาลมาเป็นเจ้าสาวของข้านะ”

แล้วพิธีหมั้นก็เริ่มขึ้นเพราะเมื่อท่านกีนาส  บิดาของซีวาลรู้เข้าก็มากึ่งบังคับให้เสด็จพ่อจัดโดยอ้างว่าเป็นคำยินยอมของพวกข้า  แต่เมื่อโตมาถึงรู้ว่าเขาต้องการอำนาจจึงได้ใช้ซีวาลเป็นเครื่องมือ

ข้ารู้แล้วว่าทำไมหลายครั้งนาง...หรือเขามักจะทำหน้าเจ็บปวดยามอยู่กับข้า

“ฝ่าบาท”  เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังขึ้นทำให้ข้ายอมลืมตา  ผู้วิเศษยืนอยู่ข้างเตียง  ขนาบข้างด้วยโซแวนและเร็น  เมื่อได้สติแล้วข้าจึงรีบลุกขึ้นแล้วถามเมื่อกวาดสายตาไปไม่พบคนที่ต้องการคุยด้วย

“ซีวาลอยู่ที่ไหน?”

“หมอนั่นฝากบอกว่าอย่าตามหา”  โซแวนเอ่ยขึ้นทำให้ข้าใจไม่ดี 

“ทำไมพวกเจ้าไม่ห้ามไว้”

“ใจเย็นๆ  ก่อนนะขอรับ  ท่านหญิง...ท่านซีวาลอาจจะแค่ต้องการอยู่คนเดียวสักพัก”  เร็นเอ่ยขึ้นทำให้ข้าถอนหายใจเฮือก 

“แบบนั้นยิ่งไม่ได้ใหญ่  เวลาซีวาลอยู่คนเดียวแล้วชอบคิดมากจะตาย”

“แต่...”

“ข้าจะไปพบซีวาล”  ข้าเอ่ยความตั้งใจออกมาก่อนจะลงจากเตียงในที่สุดแล้วมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ของตระกูลเคย์รอน  ซึ่งเป็นตระกูลของซีวาล  ทันทีที่ไปถึงก็พบท่านหญิงออกมาต้อนรับ

“ฝ่าบาท”  นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือคล้ายกับคาดเดาสถานการณ์ได้แล้วคุกเข่าลงตรงหน้า  “ได้โปรดให้อภัยลูกของกระหม่อมด้วย  เขาไม่ผิดอะไร  คนที่ผิดคือข้า...ข้าไม่ได้ห้ามเขาไว้  โปรดลงโทษข้า!”

“ซีวาลอยู่ที่ไหน?”  ข้าถามออกไปโดยไม่สนเสียงคร่ำครวญนั้น  นางเบิกตากว้างแทนคำตอบทำให้ข้าต้องชักสีหน้าถมึงทึง  เนิ่นนานจนนางจะยอมบอก 

“เขาอยู่ในห้องนอน...แต่เข้าพบไม่ได้นะเจ้าคะ  เขากำลังโกรธ”

ข้ารีบเดินไปตามที่ท่านหญิงบอกทันทีโดยไม่ฟังคำทัดทานข้างหลัง  ห้องของซีวาลนั้นข้ารู้จักเป็นอย่างดีจึงมาได้ถูก  เบื้องหลังประตูนั้นมีเสียงโครมครามดังเป็นระยะทำให้ทั้งโซแวนและเร็นที่ตามมารีบก้าวมาอยู่ข้างหน้า

“ฝ่าบาท”  เร็นเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือสัมผัสที่ประตูแล้วสรุปออกมา  “ไม่ผิดแน่ขอรับ  อาการคลุ้มคลั่งของผู้ถูกเลือก”

ข้าพยักหน้าตอบรับก่อนจะยืนยันคำเดิม  “ข้าจะเข้าไป...เพื่อช่วยซีวาล”

“ข้าจะคุ้มครองให้”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนที่เร็นจะเสริมว่า  “กระหม่อมก็เช่นกันขอรับ”

ข้าเตรียมตัวอยู่สักพักก่อนจะเปิดประตูเต็มแรง  ท่ามกลางเสียงโครมของประตูที่กระแทกกับผนัง  ดาบและง้าวสองเล่มก็พุ่งตรงมาทางนี้ทันที  แต่ทั้งโซแวนและเร็นก็สามารถออกมาปัดมันได้

กลางห้องที่เต็มไปด้วยซากของหักพังและขาดรุ่งริ่ง  ซีวาลกำลังนั่งอยู่กับพื้น  เสื้อผ้าส่วนบนฉีกขาดจนเห็นแผงอกเด่นชัด  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตานั้นมองข้าด้วยสีหน้าตื่นกลัว  “ฝ่าบาท...”

“เจ้า...”

“อย่าเข้ามา!”  เขาตะโกนขึ้นขณะที่อาวุธซึ่งลอยอยู่รอบๆ  พุ่งโจมตีไม่เป็นทิศทาง  บางส่วนที่มาทางข้าก็มีโซแวนกับเร็นช่วยคุ้มกัน 

“ข้าควบคุมมันไม่ได้”  ซีวาลเอ่ยขึ้นเสียงสั่นแล้วร้องไห้ออกมาอีกครั้ง  อาวุธรอบตัวเขาอาละวาดรุนแรงขึ้นตามอารมณ์ที่แปรปรวน

“ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษ  ข้าขอโทษที่ปิดบังท่านมาตลอด”  เขาพึมพำเช่นนั้นทั้งที่ไม่มองหน้าใคร  ทำให้ข้าเผลอกัดริมฝีปาก

อาจเพราะอารมณ์โกรธที่อยู่ในใจทำให้ข้าเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วก้าวไปข้างหน้า  สั่งห้ามไม่ให้โซแวนกับเร็นตามมาเพื่อไปหาซีวาล

“ข้าไม่เคยเอะใจอะไรสักอย่าง”  ข้าพึมพำขึ้นขณะเดินเข้าไปใกล้ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมามอง  และนั่นทำให้อาวุธที่ลอยอยู่พุ่งมาทางข้า 

“ทั้งที่เจ้าก็แสดงออกมาอยู่บ่อยครั้ง”  ข้ายกมือขึ้นแล้วร่ายเวทป้องกันออกมาปัดการโจมตีของอาวุธ  อณูแสงสีทองแผ่กระจายไปรอบๆ  เพื่อยับยั้งพลังที่คลุ้มคลั่ง  ร่างกายของซีวาลกำลังอ่อนแอลงจากการถูกสูบพลังเวทออกไป  “แล้วเจ้าก็เก็บเอาความทุกข์นี้ไว้กับตัว  ไม่เปิดปากกับใคร  ไม่ให้ใครรับรู้จนมันกลายเป็นความคลุ้มคลั่งแบบนี้”

ซีวาลกุมขมับ  เขายังไม่สามารถควบคุมอาวุธทั้งหมดได้  พวกมันเข้าทำลายทุกสิ่งโดยเพ่งเล็งมาที่ข้า  มีมีดสั้นเล่มหนึ่งที่...ข้าจงใจปล่อยมันผ่านเวทป้องกันมาจนทำให้ใบหน้าข้าเป็นแผล  นั่นทำให้คนตรงหน้าเบิกตากว้างด้วยความตะลึง  เขากำลังรับรู้ถึงความคลุ้มคลั่งที่อันตราย

“ฝ่าบาท!”

ข้าคุกเข่าลงตรงหน้าเขา  ก่อนที่จะยกมือขึ้นลูบใบหน้านั้น  เวทสยบความคลุ้มคลั่งกำลังช่วยให้พลังของเขาสงบลง  และเมื่ออาวุธทุกอย่างหายไปแล้วข้าจึงยกยิ้มขึ้นให้

เพี้ยะ!

และตบหน้าซีวาลไปทีหนึ่งท่ามกลางความอึ้งของทุกคน  ซีวาลหันมามองมามองหน้าข้าด้วยสีหน้าตะลึงคล้ายอยากจะถาม  แต่ข้าก็ชิงพูดขึ้นก่อน  “นี่เป็นบทลงโทษที่เจ้าปกปิดตัวเองมาตลอด”

“ฝ่าบาท...”  เสียงของเขายังคงสั่น  ทันทีที่กลั้นน้ำตาได้ก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดึงข้าไปกอด  ใบหน้างดงามนั้นซุกลงที่ไหล่  เอื้อนเอ่ยออกมาว่า  “โปรดอย่าทิ้งข้า”

“ทำไมข้าต้องทิ้งเจ้า”  ข้าแสร้งทำเป็นถามไป  ก่อนที่จะบอกว่า  “เจ้าชอบคิดเองเออเอง  ถามข้าสักคำหรือยังว่าข้าโกรธเจ้าหรือเปล่า”

“แต่ท่านเป็นลม”

“เรื่องเป็นลมนั่นข้าอ่อนแอเอง  แต่ไม่ได้โกรธเข้าใจหรือยัง  เจ้าเป็นชายแล้วไง  พวกนั้นก็ชายเหมือนกัน”  ข้าเอ่ยขึ้นโดยประโยคหลังชี้ไปทางสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตู  ซีวาลก้มหน้านิ่งก่อนจะแย้งเสียงเบา 

“แต่ข้าโกหกท่าน...มานับสิบปี”

“งั้นก็เล่ามา”  ข้าลุกขึ้นนั่งกับเก้าอี้  รอฟังความจริงจากปากของซีวาล  เหมือนสองคนนั้นจะเป็นใจเลยเดินมานั่งกดดันอยู่ข้างๆ 

ซีวาลอ้ำอึ้งไปนาน  ข้าเลยหันไปสั่งสองคนนั้น  “ไปตามท่านกีนาสมาพบข้า”

“ขอรับ”  เร็นรับคำแล้วพาโซแวนออกไป  ไม่นานก็กลับมาพร้อมท่านเจ้าบ้านตระกูลเครย์รอน  ฝ่ายนั้นสีหน้าซีดเผือดทันทีทำให้ข้าหันไปหาซีวาล

“เพราะเขาใช่ไหม  เจ้าถึงต้องปลอมเป็นผู้หญิงแบบนี้”  ข้าจี้จุดขึ้นทำให้ซีวาลชักสีหน้าออกมา  จริงๆ  เรื่องที่ท่านกีนาสต้องการอำนาจนั้นถูกลือมาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีใครคิดว่าจะทำถึงขั้นบังคับให้ลูกชายแต่งหญิงมาหมั้นกับรัชทายาท

และคงเป็นโชคดีของทางเขาที่ข้าไม่เคยมีความคิดล่วงเกินซีวาลแม้แต่น้อย  ยิ่งตอนที่คำสาปเกลียดชังนั่นยังมีผลก็ทำให้ห่างออกไป

ตอนนี้สีหน้าของซีวาลและกีนาสเด่นชัดทำให้ข้าแน่ใจว่าที่พูดออกไปนั้นเป็นความจริง  ยิ่งเคยได้ยินข่าวลือว่าท่านหญิงของตระกูลชมชอบลูกสาวเป็นที่สุดก็ยิ่งแน่ชัดไปอีก

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าทำอะไรลงไป”  ข้าหันไปหากีนาส  ฝ่ายนั้นสะดุ้งตัวโยงแล้วก้มหัวขอขมาสุดชีวิต 

“ขออภัยฝ่าบาท  ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกท่าน  แต่มันเป็นความจำเป็น  เพื่อตระกูล  เพื่อชื่อเสียง  และอนาคตที่ดีของลูกข้า!”

“ถึงขนาดให้เขาปลอมตัวผิดเพศเป็นสิบๆ  ปีอย่างนี้หรือ”  เขายังก้มหัวขอขมาข้าครั้งแล้วครั้งเล่า  มีทหารเข้ามาด้านในแล้ว  คล้ายกับรอคำสั่งของข้า  เมื่อหันไปมองซีวาล  เขาก็ยังมีสีหน้าสับสนที่ไม่รู้ว่าจะช่วยท่านพ่อดีหรือยอมรับผิด

“ฝ่าบาท”  ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น  “นี่เป็นความผิดของข้า  โปรดลงโทษแค่ข้าคนเดียว” 

“ซีวาล  ลูก...”  กีนาสเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาซาบซึ้ง  ทำให้ข้าตัดสินใจบางอย่างได้ 

“ทหาร  เอาท่านกีนาสไปขังไว้ที่คุก  จนกว่าข้าจะมีคำสั่ง  อย่าปล่อยเขาออกมาเด็ดขาด”

“ฝ่าบาท  โปรดไตร่ตรองดูอีกทีเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”  กีนาสร้องโวยวายขึ้นทำให้ข้าหันไปมอง  “หรือจะให้ข้าสั่งโทษประหาร?”

แล้วเขาก็เงียบลง  “ยึดทรัพย์สินส่วนหนึ่ง  แค่ส่วนเดียวเข้ากองคลังเป็นค่าปรับ  หรือถ้าเจ้าไม่อยากติดคุกก็ส่งทรัพย์สินมาอีกสามส่วน  ทหาร  เอาตัวเขาออกไป”

สิ้นเสียงของข้า  พวกทหารที่รออยู่แล้วก็จัดการลากเขาไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงโวยวาย  กลับกลายเป็นว่าท่านหญิงวิ่งเข้ามาแทนด้วยใบหน้าที่คล้ายแตกสลาย

แต่ข้าไม่ได้มีธุระอะไรกับนาง  แม้จะบอกว่าชื่นชอบลูกสาว  แต่ในฐานะแม่ก็คงเป็นคนที่รักซีวาลมากคนหนึ่ง  และไม่อยากเห็นลูกต้องรับผิดอะไร

“ส่วนความผิดของเจ้า...”  ทันทีที่ข้าเอ่ยขึ้น  เสียงถอนหายใจเฮือกปนสะอื้นจากหญิงวัยกลางคนก็ดังขึ้น  ข้าใช้เวลาสักพักก่อนจะตัดสินใจว่า  “การหมั้นของเรา...จะต้องยกเลิก”

ซีวาลเบิกตากว้าง  คล้ายกับไม่อยากยอมรับ  แต่เขาก็ยอมกัดฟันเอ่ยขึ้นว่า  “เพ...พ่ะย่ะค่ะ”

“ทำตามใจเจ้าเถอะ  หากไม่อยากเป็นหญิงแล้วก็เลิกซะ  แค่ให้เจ้ามีความสุขก็พอ”  ข้าเอ่ยขึ้น  เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาสับสนก็เสริมไปว่า  “ถึงจะถอนหมั้นไปแล้ว  แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นะ”

“ข้าไม่อยากเป็นเพื่อนกับท่าน”  เขาเอ่ยขึ้นแทบจะทันทีทำให้ข้าแปลกใจ  อาจจะด้วยเพราะว่าซีวาลใช้เสียงจริงๆ  ของเขาพูด  แต่ที่ทำให้ข้าหน้าแดงวาบคือการที่จู่ๆ  คนตรงหน้าก็เข้ามาใกล้ช้อนมือหนึ่งขึ้นแล้วใช้อีกมือดันตัวข้าเข้าไปใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ  “แต่ข้าอยากเป็นมากกว่านั้น”

“ซีวาล...”

“ข้ายังรักท่าน  และจะรักตลอดไป  เพราะการนี้ต่อให้ต้องกลับไปเริ่มใหม่ข้าก็จะทำ”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงมาทันที  แน่นอนว่านี่ไม่ใช่จูบแรกของข้า...และอาจจะไม่ใช่ของซีวาลด้วย  แต่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้จูบกับเขา  ไม่รู้ว่าเป็นนิสัยหรือไปฝึกมาจากไหน  แต่ข้าไม่ยักรู้ว่าผู้ชายคนนี้จะจูบเก่งกว่าที่คิด

“อื้อ”  ข้ารีบส่งเสียงประท้วงแล้วดันตัวเขาออก  โชคดีที่ซีวาลไม่ได้ตั้งใจจะโล่งเกินข้าจริงๆ  จึงรีบผละออก  อาจจะกลัวโทษ  แต่เห็นรอยยิ้มประหลาดที่ผุดขึ้นมาแล้วข้าก็คิดว่าหมอนี่ไม่ได้กลัวอะไรแบบนั้น  เป็นโซแวนกับเร็นที่แผ่รังสีไม่พอใจออกมา 

“ออกห่างจากฝ่าบาทเดี๋ยวนี้นะขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวลแต่เนื้อในนั้นกลับไม่ใช่อย่างที่เห็น 

“เจ้าไม่ได้มีศักดิ์เป็นคู่หมั้นแล้ว  ตอนนี้ก็ถอยออกมาซะ”  โซแวนเสริม  และถูกซีวาลยิงกลับไป

“แต่ข้ามีสถานะเช่นเดียวกับพวกเจ้า  จะแปลกอะไรถ้าฝ่าบาทจะมีผู้ติดตามเพิ่มมาอีกคน”

เขาผละจากข้าแล้วมุ่งเป้าไปที่ทั้งสองคน  จากนั้นก็เย้ยขึ้นว่า  “อย่าลืมสิว่ายังไงข้าก็อยู่กับเขามาตั้งแต่เด็กและฝ่าบาทยังมีเยื่อใยกับข้า”

ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยินอะไรต่อจากนี้แล้ว

“ฝ่าบาท”  ข้าชะงักก่อนจะหันไปตามเสียง  เห็นท่านหญิงเดินเข้ามาใกล้และกุมมือข้าไว้ทั้งน้ำตา  “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ไม่ได้เอาเรื่องซีวาล  เขาโตมาโดยที่ข้ากับสามีบังคับมาตลอด  เขาอยากบอกความจริงกับท่านหลายครั้ง  แต่พวกข้าก็ห้ามไว้”

“ข้าพิจารณาไปตามความเหมาะสม”  ข้าเอ่ยขึ้นก่อนที่จะกุมมือนาง  “แต่ต่อจากนี้ต้องให้เขาเป็นคนเลือกทางเดินเอง”

“เพคะ  หม่อมฉันเป็นหนี้พระคุณอย่างยิ่ง”  นางเอ่ยขึ้นโดยที่น้ำตายังคงซึมออกมา  ข้ายิ้มให้นางก่อนที่จะผละไปทางสามคนที่เขม่นใส่กันเพื่อห้ามทัพแล้วตัดสินใจกลับ

ข้า  โซแวนและเร็นกลับไปที่ปราสาท  ผู้วิเศษออกมาต้อนรับทันทีด้วยสีหน้าหม่นหมองนิดหน่อย  ทำให้ข้านึกสงสัย 

“มีเรื่องอะไรหรือ?”

“ท่านราชาแห่งอัลทอเบียเร่งเร้ามาให้ท่านไปช่วยกางข่ายเวทให้พ่ะย่ะค่ะ  มิเช่นนั้นจะยกทัพมาประชิดดินแดน”

ข้านิ่งไปขณะหนึ่ง  ก็คาดไว้อยู่แล้วว่าตอบไปแบบนั้นแล้วไม่ทำอะไรเพิ่มก็มีแต่จะทำให้ถูกเร่งเร้ามากขึ้น  จริงๆ  แล้วถ้าไม่มีเรื่องวุ่นวายมาพัวพันข้าอาจจะไปเร็วกว่านี้

“งั้นบอกไปว่าอีกสามวันข้าจะไป”  คำตอบนั้นทำให้ผู้วิเศษตะลึงไปชั่วขณะคล้ายจะถามย้ำ

“แน่ใจหรือขอรับ”

“ก็ดีกว่าทำให้ประชาชนเดือดร้อน  อัลทอเบียคงเริ่มเล่นงานจากพวกเขาก่อนแน่”  ข้าเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินเข้าไปในส่วนปราสาท  “ก็แค่กางข่ายเวท  ไม่มีปัญหาหรอก”

“ข้าก็หวังให้มันมีแค่นั้นเหมือนกัน”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอยก่อนจะเดินตามมา

หลังจากแจ้งข่าวกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว  ในวันถัดไปก็เป็นการประชุมทันที  เมื่อข้าที่เป็นราชาออกไปนอกดินแดนก็ต้องมีผู้คุ้มกัน  ซึ่งผู้วิเศษได้รับหน้าที่นี้ไปโดยไม่มีเสียงค้าน  โดยแลกกับที่ผู้ติดตามทั้งหมดของข้าต้องร่วมเดินทางไปด้วยและต้องแจ้งข่าวมาทุกวัน

คณะเดินทางของข้าถูกฝ่ายนั้นขอมาว่าอย่านำไปเยอะเพราะจะทำให้ประชาชนตื่นกลัว  จริงๆ  ก็จับกลอุบายได้แต่ไม่มีใครกล้าค้าน  เพราะเห็นว่าคนที่ข้าเอาไปด้วยนั้นอย่างไรก็ไม่ใช่คนธรรมดา

ต้องเรียกว่าไม่ใช่คนจะมากกว่า...

แล้วสามวันแห่งการรอคอยก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว  เมื่อทราบข่าวว่าข้าต้องเดินทางไปต่างแดนก็มีผู้คนออกมาส่งกันเป็นระเบียบ  แม้ว่าผู้วิเศษจะแสดงท่าทีไม่ได้กังวลมากแต่ก็กำชับตลอดว่าให้ส่งข่าวมาเรื่อยๆ  และอย่าออกห่างจากผู้ติดตาม  ดูเหมือนพวกเขาเองก็คงถูกพูดฝากฝังมาด้วย

ทีแรกวารันจะแปลงเป็นมังกรให้ขี่  แต่ปัญหาเยอะ  (เช่น  คนที่ขี่เขาได้มีแค่ข้าคนเดียว)  ทำให้เปลี่ยนมาใช้รถม้า ซึ่งพวกม้าก็ดูถูกใจเร็นเป็นพิเศษทำให้ข้านึกสัตว์บางชนิดออก

“ยูนิคอร์น?” 

“ถูกต้อง”  โซแวนหันมาเฉลยก่อนจะเสริมว่า  “แต่ลึกๆ  เจ้านั่นก็ไม่ได้นิสัยเหมือนยูนิคอร์นหรอก”

ข้าหัวเราะขึ้นทำให้เร็นหันมามองด้วยความสงสัยก่อนที่จะพาข้าขึ้นไปบนรถม้ากับโซแวนและคาร์ริต้า  โดยมีตัวเขาเป็นคนขับ  ส่วนคนอื่นๆ  นั่งรถม้าอีกคันตามมา

ทางไปอัลทอเบียนั้นเป็นป่าทึบที่ไม่ได้น่ากลัวเท่าป่าต้องห้าม  แต่ก็มีความชัน  อีกทั้งยังมีอสูรโผล่มาเป็นระยะ  น่าเศร้าสำหรับพวกมันที่ทั้งขบวนนี้มีแต่ผู้ถูกเลือกจึงโดนจัดการไปตามระเบียบ  ใช้เวลาอยู่เกือบครึ่งวันก็ไปถึงประตูทางเข้าอัลทอเบีย 

พวกทหารออกมานำขบวนข้าเข้าไปข้างใน  บริเวณริมกำแพงนั้นมีแต่สลัมที่ซอมซ่อ  ตัวข้ามองไปรอบๆ  อย่างพินิจพิจารณาแล้วพบว่าสายตาของพวกเขานั้นแห้งแล้งเหลือเกิน

หลังจากนั้นก็เป็นสภาพบ้านเรือนที่ค่อนข้างเงียบ  มีคนออกมาต้อนรับเต็มรายทางแต่ไม่ได้คึกคักเท่าคาร์ไลน์  เมื่อถึงหน้าปราสาท  พระราชาของดินแดนนี้ก็ออกมาต้อนรับข้าทันที  ชายร่างอ้วนท้วมในชุดอาภรณ์หรูหราและเพชรนิลจินดาเต็มตัวมองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบที่แฝงความดูถูกไว้อย่างแนบเนียนว่า

“ยินดีต้อนรับสู่อัลทอเบีย  ราชาทีอารีน  หวังว่าดินแดนข้าจะไม่ใหญ่เกินกว่าที่พลังของท่านจะรับไหวนะ”

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกันขอรับ  ท่านราชาบาซินซัส”  ข้ายกยิ้มอ่อนโยนให้เขาตามแบบฉบับผู้วิเศษที่มักจะทำเวลาต้องรับมือกับคนที่ชอบมีปัญหา

แต่แค่เริ่มก็รับรู้ได้ถึงความไม่เป็นมิตรเสียแล้ว...
----------------------------------------------
ฝ่าบาทสู้ๆ เพคะ 55555 ติดตามตอนต่อไปได้ในช่วงเย็นๆ นี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 12>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 04-03-2018 19:22:13
บทที่  14
การต่อรองของราชา

ราชาแห่งอัลทอเบียนั้นเป็นชายเจ้าเล่ห์ที่สามารถกอบโกยเงินทองมากมายจากการค้าขาย  ดินแดนนี้มีสินแร่และทรัพยากรมากมายจึงสามารถผลิตอาวุธส่งออกไปยังอาณาจักรต่างๆ  ได้  แต่เพราะนิสัยโลภมาก  หลายครั้งอาวุธที่ส่งให้นั้นก็เป็นของที่คุณภาพต่ำกว่าราคา  แต่ก็ไม่เคยมีใครคิดต่อต้านอันเนื่องมาจากกองทัพของอัลทอเบียนั้นแข็งแกร่งมาก

จะมีก็แต่ผู้วิเศษนี่แหละที่เคยไปต่อรองใส่ท่านทูต  ท่าทางเรื่องราวในคราวนั้นจะทำให้เขาอารมณ์เสียพอควร

พอต้อนรับคณะของข้าเสร็จแล้ว  ราชาบาซินซัสก็พาเข้าไปยังปราสาทแล้วชวนพูดคุยนู่นนี่  ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการข่มด้วยทรัพยากรทหารที่เยอะกว่า  แต่เพราะครั้งนี้ผู้วิเศษบอกว่าอย่าชักศึกเข้าบ้านข้าจึงไม่ได้ตอบสนองทางลบสักเท่าไร  แต่แค่คุมพวกผู้ติดตามข้างหลังไม่ให้โกรธจนออกนอกหน้าก็ลำบากพอแล้ว

เมื่อมีราชาต่างเมืองมาเยือนย่อมมีงานเลี้ยง  แต่ไม่คิดว่าเขาจะจัดใหญ่โตเสียขนาดที่ว่าเชิญราชาจากดินแดนอื่นมาด้วยทำให้ข้าใจไม่ดี  พวกเร็นก็พอจะรู้ได้ว่าเพราะอะไร

“นี่มันผิดจากที่เราตกลงกันไว้”  เมื่อหาโอกาสเข้าหาท่านบาซินซัสได้แล้วข้าจึงเอ่ยกับเขา  ชายตรงหน้าจึงได้ทำหน้าตาเลิ่กลั่กใส่ 

“โอ้  ตายจริง  ข้าเผลอตื่นเต้นมากไปหน่อยที่ท่านจะมาช่วยอาณาจักรของข้าเลยเชิญสหายที่สนิทมาร่วม  ให้เขาเป็นสักขีพยาน”

“ท่าน...”

“ไม่ดีหรือท่านทีอารีน  ราชาจากดินแดนอื่นจะได้รับรู้ถึงพลังของท่านไง”  ข้าผงะไปชั่วขณะแต่ไม่ได้ทำสีหน้ากังวลไปแต่อย่างใด  ตาแก่เจ้าเล่ห์นี่แสบกว่าที่ข้าคิด

ตามข้อตกลงแล้วเรื่องการสร้างอาณาเขตป้องกันนี่ผู้วิเศษกำชับกับราชาบาซินซัสไปแล้วว่าจะไม่บอกอาณาจักรอื่น  แต่นี่เขากลับเอามันไปแพร่งพราย 

“ท่านโปรดอย่าลืมว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ใด”

“ถึงข้าจะอยู่ในดินแดนท่าน  แต่อย่าลืมว่าข้าไม่ได้มาคนเดียว”  ข้าย้ำเตือนกลับไปก่อนจะหันหลังหนีไปทางอื่น  ไม่รู้ว่าต่อจากนั้นเขามีสีหน้าเป็นอย่างไร

“ท่านทีอารีน”  ข้าหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียก ท่านราชาจอร์นที่สี่ของอาณาจักรข้างเคียงเดินตรงมาหาพร้อมกับองครักษ์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เหตุไฉนท่านจึงมาเดินคนเดียวเล่า?”

“องครักษ์ของข้าอยู่รอบๆ  นี่แหละขอรับ  เมื่อครู่นี้ข้าไปคุยกับท่านบาซินซัสมาจึงไปแค่คนเดียว  ท่านมีธุระอะไรหรือ”  ข้าอธิบายก่อน  ที่ต้องไปคนเดียวเพราะขืนให้พวกนั้นไปด้วยมีหวังได้เกิดศึกกันแน่  ก่อนจะถามกลับ 

ท่านจอร์นยกยิ้มขึ้นก่อนที่จะบอกว่า  “ข้าแค่มาแสดงความยินดีท่านได้ขึ้นเป็นราชา  ทั้งที่ยังเยาว์อยู่แท้ๆ  คงลำบากน่าดูนะ  ถ้ามีอะไรก็ปรึกษาข้าได้เสมอ”

“ขอบพระทัยขอรับ”

“แล้วก็เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน  ช่วยกางอาณาเขตให้แก่ดินแดนข้าได้หรือไม่”  นั่นไง  ข้าคาดไว้แล้วเชียว  ที่ผู้วิเศษต้องการปิดเรื่องนี้เพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่าถ้าไปช่วยดินแดนหนึ่ง  ดินแดนที่เหลือก็ต้องการให้ช่วยด้วย 

ในจุดที่ข้ายืนอยู่ยังพอเห็นว่าราชาบาซินซัสกำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าคาดหวัง  คิดว่าเขานั่นแหละเป็นตัวการ  แต่ข้าไม่อยากยอมแพ้เลยยิ้มให้ท่านจอร์น  ทำให้เขาชะงัก  ก่อนหน้านี้ก็เคยฝึกวิธีการทำให้คนลุ่มหลงมากกว่าเดิมกับผู้วิเศษมาแล้ว

ข้าไม่ใช่คนที่ยิ้มบ่อย  ผู้วิเศษเลยบอกว่าถ้ายิ้ม  จะมีคนรักท่านมากกว่าเดิมสามเท่า

“ขออภัยขอรับราชาจอร์นที่สี่”  ข้ายกมือขึ้นทาบอกตัวเองก่อนจะเอ่ยตามความจริงว่า  “ด้วยสภาพร่างกายตอนนี้ข้าคงไม่อาจทำได้”

ข้ายื่นมือไปจับมือของเขายกขึ้นมาแล้วประทับจุมพิตลงไป  “แต่โปรดวางพระทัยเถิด  ปราบใดที่ท่านอยู่ข้างข้า  ผู้วิเศษจะช่วยเหลือท่านถึงที่สุดเมื่อท่านเดือดร้อน”

ไหนๆ  ก็มีข่าวลือว่าผู้วิเศษให้ท้ายข้ามากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว  ใช้มันให้เป็นประโยชน์หน่อยจะเป็นอะไรไป  เขาผิดเองนั่นแหละที่ไม่รู้จักความยุติธรรม 

เพราะคำสาปของผู้วิเศษยังอยู่จึงทำให้ราชาจอร์นยอมจำนนอย่างง่ายดาย  เขาไม่ตอแยกับข้าต่อแล้ว  ส่วนคนอื่นที่เข้ามารบเร้าข้าก็ใช้มุกแบบนั้นไปอีก  แน่นอนว่าไม่มีใครรอดทำให้ราชาบาซินซัสหัวเสียออกมาจนสังเกตได้

จะว่าไป...เหตุใดเขาจึงไม่ตกอยู่ในคำสาปของผู้วิเศษ

ระหว่างที่ข้ากำลังคิดแบบนั้น  พวกเร็นก็เข้ามาอยู่ใกล้ๆ  พวกเขาหันไปมองทางเวทีใหญ่ซึ่งบัดนี้ราชาบาซินซัสขึ้นไปยืนอยู่ด้านบนแล้ว  และรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์แปลกๆ

“ท่านผู้มีเกียรติและประชาชนที่รัก  วันนี้ขอขอบพระคุณที่ท่านได้เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับท่านราชาทีอารีนแห่งคาร์ไลน์”  เสียงปรบมือดังขึ้นเซ็งแซ่  รอยยิ้มของเขาที่ปรากฏขึ้นทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี

“ในวันพรุ่งนี้  ราชาทีอารีนจะช่วยกางข่ายเวทให้เรา  เพื่อปกป้องอัลทอเบียให้ปลอดภัย  ท่านจะช่วยกางอาณาเขตคลุมทั้งอาณาจักรอัลทอเบีย!” 

เสียงปรบมือดังสนั่นขึ้นมากกว่าเดิม  แต่ข้ากลับไม่รู้สึกยินดีด้วยสักนิด  มันไม่ตรงกับที่สัญญากันไว้แต่แรก  ข้าถูกเชิญขึ้นไปบนเวที  ฟังท่านบาซินซัสพูดอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ปล่อยให้ข้าพูด  หนทางแก้ตัวกำลังหมดไปเรื่อยๆ

“ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจผิดไปอย่างนะพ่ะย่ะค่ะ  ราชาบาซินซัส!”  ท่ามกลางความสับสน  จู่ๆ  นอร์ธวินด์ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังพอจะทำให้เสียงเซ็งแซ่เงียบลง

เขาเดินเข้ามาใกล้เวที  ผู้คนที่อยู่รายล้อมหลีกทางให้แต่โดยดี  นอร์ธวินด์ระบายรอยยิ้มที่น่าหลงใหล  เขาสามารถออกหน้ามาเร็วขนาดนี้แสดงว่าคงเป็นแผนการรับมือของผู้วิเศษ

เพียงแค่เจ้าตัวเดินผ่าน  หญิงสาวหลายคนก็ถึงกับหลงใหลและมองเขาอย่างถวิลหา  ก่อนหน้านี้นอร์ธวินด์เป็นผู้ ถูกเลือกระดับสีทองที่ถูกเรียกออกไปทำภารกิจมากที่สุด  (ส่วนสาเหตุนั้นเพราะผู้วิเศษอยากให้ไปอยู่ไกลๆ  ข้า)  ด้วยความที่เป็นคนเจ้าเสน่ห์และอัธยาศัยดีทำให้มีแต่คนรู้จักเขา

“ท่านนอร์ธวินด์นี่นา”  พวกเขาต่างส่งเสียงฮือฮา  นอร์ธวินด์หยุดยืนอยู่หน้าเวทีแล้วโค้งเคารพข้ากับราชาบาซินซัส  ก่อนจะล้วงเอาเอกสารปึกหนึ่งออกมาแสดงให้

“กราบทูลฝ่าบาท  นี่เป็นข้อสัญญาระหว่างคาร์ไลน์และอัลทอเบียว่าด้วยการกางข่ายเวท”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงละมุม  ขณะที่หันกลับไปหาผู้ร่วมงาน  แสดงให้เห็นสัญญาแบบเด่นชัด  แล้วอ่านออกเสียงว่า  “ในหนังสือสัญญากล่าวไว้ว่า  เนื่องด้วยสภาพร่างกายของท่านทีอารีนที่ยังเยาว์วัยอยู่นั้นไม่สามารถแบกรับพลังมหาศาลได้  และอาณาจักรอัลทอเบียนั้นกินอาณาเขตไปมากจึงกางข่ายได้แค่บางส่วนเท่านั้น  ขอให้ราชาบาซินซัสตัดสินใจ  และท่านก็ลงนามรับทราบแล้วด้วย”

“ไม่เห็นมีตรงไหนที่บอกว่าจะกางให้ทั้งหมดเลยนี่ขอรับ”  นอร์ธวินด์หันกลับมาถามราชาบาซินซัสซึ่งตอนนี้สีหน้าซีดเชียวจนเห็นได้ชัด  เขาขบเคี้ยวฟันกรอดก่อนจะรีบเดินลงมาข้างล่าง  ข้าเลยแค่ยกยิ้มให้คนอื่นแล้วเดินลงมาเช่นกัน  นอร์ธวินด์รีบมารับและพาเดินไปหาทุกคน  ทว่า...

“ทีอารีน”  เสียงเรียกชื่อข้าดังขึ้นทำให้ต้องหยุดชะงัก  และเมื่อหันไปก็พบคนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตา  “อ๊ะ  ไม่สิ  ตอนนี้ต้องเป็นท่านราชาทีอารีนนี่เนอะ”

“วิลเลียม”  ข้าเอ่ยชื่ออีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ  รู้สึกตื้นตันขึ้นมาที่ได้เจอเพื่อนเก่าจึงเข้าไปหา  “เป็นเจ้าจริงๆ  ด้วย”

เจ้าชายวิลเลียม  บุตรชายองค์โตของราชาบาซินซัส  นอกจากหน้าตาจะหล่อเหลาแล้วยังเก่งกล้าปรีชาสามารถเรื่องอาวุธและการทหารมาก  อีกทั้งด้วยจิตใจดีงามและซื่อสัตย์ผิดกับพระบิดา  เลยมีแต่ผู้คนคาดหวังให้เขาขึ้นครองราชย์แทน

“ถวายบังคม  ฝ่าบาท”  วิลเลียมโค้งเคารพข้าอย่างสุภาพ  แต่เจ้าตัวกลับแอบหัวเราะออกมา  ดูก็รู้ว่าแกล้งเล่น 

“พอเถอะ  ทำตามปกติก็พอ”

“ข้าตกใจจริงๆ  นะที่พอเจอกันอีกที  เจ้าก็เป็นกษัตริย์ไปเสียแล้ว  ขออภัยที่ในพิธีขึ้นครองราชย์ข้าไม่ได้ไปทักทาย”  เขาเอ่ยขึ้นอย่างสำนึกผิด

“ไม่เป็นไร  ข้าไม่ถือ  เจ้าเองก็คงงานยุ่งเหมือนกันแหละ”  เมื่อเห็นวิลเลียมกล่าวเช่นนั้นข้าก็รีบร้องบอกอย่างไม่ถือสาทันที

“นั่นสินะ”  เขากลอกตาก่อนที่จะยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ๆ  “ข้าไม่รู้ว่าท่านพ่อกำลังคิดอะไร  แต่ระวังเขาไว้ก็ดี”

“เข้าใจแล้ว”  ข้าพยักหน้าให้เขา  วิลเลียมพูดคุยด้วยสักพักก็จากไป  ข้าเลยกลับไปรวมกับผู้ติดตาม  และถูกถามทันทีว่าวิลเลียมเป็นใคร 

ดูเหมือนว่าพวกเขายังไม่ค่อยไว้วางใจคนของอัลทอเบียเท่าไร  เร็นจึงเตือนขึ้นด้วยความหวังดีกับข้าว่า  “ฝ่าบาท  อาจเป็นการไม่เหมาะสม  แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งเชื่อใจพวกอัลทอเบียจะดีกว่านะขอรับ”

“เรื่องนั้นข้ารู้น่า”  ข้าเอ่ยขึ้น  ในตอนนี้ดูชัดแล้วว่าราชาบาซินซัสต้องการกอบโกยผลประโยชน์  ไม่แน่ชัดว่าเขายังมีลูกไม้อื่นอีกไหม

หลังจากงานเลี้ยง  ข้าก็ตรงไปที่ห้องทันทีโดยมีพวกผู้ติดตามเข้าไปด้วย  ตอนแรกอยากจะไล่ออกไป  แต่ต่อมาข้าก็รู้ว่ามีพวกเขาอยู่มันค่อนข้างโชคดี...มั้ง

“เจ้าหมูตอนนั่นน่าโมโหมากกว่าที่คิด”  เสียวของโซแวนดังขึ้น  แถมยังดูเหนื่อยหน่ายมากกว่าปกติ  อาจเป็นเพราะข้าใช้ให้เขากับวารันเอาผ้ามาช่วยขึงกั้นไว้ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้า 

“น่าเขมือบให้จมเขี้ยวไปเลย”  วารันเสริม

“มีแต่ไขมัน  ข้าขอผ่าน”  โซแวนตอบกลับไปโดยไม่เปลี่ยนน้ำเสียง  ประโยคสนทนาที่เห็นคนเป็นผักปลาทำให้ข้าเข้าใจได้ว่าปกติสัตว์กินเนื้อพูดกันด้วยเรื่องแบบนี้...

“เคี้ยวเสร็จค่อยคายทิ้งก็ได้  คนแบบนั้นข้าก็ไม่อยากกลืนให้เปลืองพื้นที่ในกระเพาะหรอก”

“พวกเจ้าช่วยคุยอะไรที่เป็นปกติมนุษยชนได้ไหม”  สุดท้ายแล้วนอร์ธวินด์เป็นคนที่เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจนใจ  สองคนนั้นเงียบไป

อีกพักใหญ่โซแวนถึงพึมพำขึ้นทำให้บทสนทนาเปลี่ยน  “จะว่าไปเจ้าตัวเล็กกว่าที่คิดนะ”

“เพราะปกติใส่แต่เสื้อหนาๆ  นี่นะ”

“อย่าเอาข้าไปเกี่ยวสิ”  ข้าตำหนิพวกเขาขึ้นก่อนจะกระชากผ้าออกโยนลงไปที่เตียงแล้วนั่งลง  จากนั้นก็นั่งปรึกษาหารือกัน  ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มันเริ่มกลายเป็นเรื่องผี  สักพักก็กลายเป็นเรื่องน่าอายของพวกเขา  คาร์ริต้าที่เล่นเกมแพ้จนต้องกลายเป็นคนเล่าเรื่องน่าอายออกมาพลันสะดุ้งเฮือกแล้วหันขวับไปทางประตูทันที

ประตูห้องข้าพลันถูกเปิดออกด้วยทหารสองคนที่พุ่งพรวดเข้ามาพร้อมมีองครักษ์อีกสี่คนเข้ามา  ราชาบาซินซัสปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางการประจันหน้า

ผู้ติดตามข้าลุกขึ้นทันทีและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดระแวง  ไม่เว้นแม้แต่คาร์ริต้าที่ถึงแม้ขาจะใช้การไม่ได้แต่ยังเลื่อนรถเข็นมาอยู่ข้างๆ  ข้า

“ทำไมผู้ติดตามของท่านถึงมาอยู่ในห้องนี้  ข้าจัดห้องให้พวกเขาแล้วไม่ใช่หรือ”  ราชาบาซินซัสเอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง  จะว่าไปตอนพวกเขาตามมาก็ไม่มีใครสังเกตเห็นนี่นา  แล้วตอนนี้ข้าก็นึกเรื่องสนุกบางอย่างได้

“ข้าแค่เรียกพวกเขามาทำกิจกรรมก่อนนอน”  ข้าเอ่ยขึ้นสีหน้าไร้เดียงสา  ก่อนจะถามกลับไป  “ท่านมีธุระอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ดูเหมือนว่าราชาบาซินซัสจะไม่สนอะไรแล้วเมื่อไม่อยู่ต่อหน้าคนอื่นจึงเอ่ยจุดประสงค์ที่แท้จริงขึ้นว่า  “กางข่ายเวทให้ทั่วดินแดนของข้าซะ  ทีอารีน”

“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น?”  ข้าถามกลับก่อนจะเสริมว่า  “ข้าเคยบอกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าข้าไม่ไหว...”

“เจ้าโกหก  เด็กที่เกิดมาพร้อมพลังเวทมหาศาลอย่างเจ้าน่ะมีหรือจะไม่ไหว  แล้วเจ้าก็รู้นี่ว่าการไม่กางอาณาเขตทั่วดินแดนจะเป็นยังไง”

ราชาบาซินซัสต้องการให้ตัวเองพ้นภัยจากอสูร  เพราะแบบนั้นเขาจึงขอมาให้กางเขตคุ้มภัยแค่ในปราสาท  นั่นทำให้ข้าตกลง  แต่ก็หมายความว่าประชาชนชายแดนก็จะไม่พอใจ

“ข้าสามารถกางข่ายเวทให้เป็นกำแพงล้อมรอบดินแดนได้  ถึงจะป้องกันบนฟ้าไม่ได้  แต่ก็ช่วยป้องกัน...”

“แค่นั้นมันไม่พอหรอก!”  ราชาบาซินซัสขึ้นเสียงขึ้น  ทำให้ทางฝั่งข้าเริ่มขยับด้วยความโมโห  ทางพวกทหารก็รีบตั้งอาวุธขึ้นมา

“หยุด”  ข้าเอ่ยขึ้นเสียงเรียบแต่ทำให้พวกผู้ติดตามยืนนิ่งแต่โดยดี  ก่อนจะมองไปยังราชาบาซินซัส  “ต้องขออภัย  แต่ข้าคงทำตามที่ท่านหวังไม่ได้  กลับไปเถิด  ไม่เช่นนั้นข้าจะออกจากอาณาจักรอัลทอเบียไปตั้งแต่คืนนี้”

“แล้วถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ?”  ราชาบาซินซัสเอ่ยขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้ม  ก่อนที่จะยกมือขึ้นทำสัญญาณให้ทหารเข้ามา  พวกเขาแบกใครบางคนมาคุกเข่ากับพื้น

ร่างในชุดเปรอะเปื้อนแต่ก็พอรู้ได้ว่าเป็นชุดของชนชั้นสูง  เส้นผมสีน้ำตาลยาวคลอไหล่ตกลงมาปิดบังใบหน้าไว้ทำให้ทหารคนหนึ่งต้องจับเขาเงยหน้าขึ้น  เผยให้เห็นดวงตาสีแดงจางและใบหน้าที่แม้จะถูกปิดปากไว้แต่ก็คุ้นเคยจนทำให้ใจข้าหล่นวูบ

“ครีออน!” 

“ฝ่าบาท  ไม่ได้นะเพคะ  อึก!”  ข้าเอ่ยเรียกชื่อเขาเสียงดังด้วยความตกใจก่อนจะวิ่งไปหาตามสัญชาตญาณ  แม้คาร์ริต้าจะดึงไว้แต่ก็ไม่เป็นผลและทำให้นางล้มลงไป

แต่ทว่าทหารของอัลทอเบียกลับยกดาบขึ้นจ่อข้า  ตามมาด้วยเสียงของราชาบาซินซัส  “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้เด็ดขาด”

“เจ้า...”  ข้ากัดฟันกรอดด้วยความโกรธ  ก่อนจะขยับถอยหลังไปโดยมีโซแวนกับเร็นดึงไว้ 

ข้ามองคนตรงหน้าอีกครั้ง  ยังไงก็ไม่ผิดแน่  เป็นครีออนจริงๆ  แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมราชาบาซินซัสถึงได้มีตัวเขา  หรือถูกจับตัวมานานเท่าไร

“อยากได้น้องชายคืนหรือเปล่า  ราชาทีอารีน”  เขาเอ่ยขึ้นพลางแสยะยิ้ม  ก่อนจะยื่นข้อเสนอ  “ถ้าทำตามที่ข้าต้องการ  ข้าจะคืนเขาให้ท่าน” 

ข้ากัดฟันกรอด  เพราะอีกฝ่ายมีครีออนทำให้ความเด็ดขาดสั่นคลอน  แม้น้องชายจะพยายามส่ายหน้าเป็นสัญญาณ  แต่สภาพของเขาทำให้ข้าอดสงสารไม่ได้  สุดท้ายแล้วข้าจึงได้ตัดสินใจยอมรับ  “ได้  ข้าตกลง”

ราชาบาซินซัสหัวเราะขึ้นดังลั่น  ก่อนจะเข้ามากอดข้าไว้  “แล้วข้าจะรอ”  และออกจากห้องไปพร้อมกับพวกทหารที่พาครีออนไป

ข้าทรุดลงนั่งกับพื้นทันทีก่อนจะกำหมัดแน่น  “ข้าขอโทษ”

“ไม่ใช่ความผิดเจ้าหรอก”  โซแวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับน้ำหนักของมือที่วางบนหัวข้า  แว่วเสียงนอร์ธวินด์บ่นขึ้นอย่างหงุดหงิดดังขึ้น

“เจ้าราชานั่นน่าขยะแขยงเกินไปแล้ว  เอาความสัมพันธ์พี่น้องมาต่อรองแบบนี้  วารัน  เขมือบมันลงท้องไปเลย  ไม่สิ  คายมันทิ้งแล้วกระทืบให้จมดินเลย”

“อยากทำแบบนั้นเหมือนกันล่ะน่า  แต่ว่า...”

ทำไมกันนะ...ทำไมเขาถึงถือไพ่เหนือกว่า  ราชาที่หยิ่งทะนงนั่นคิดจะเอาชนะข้าถึงขนาดใช้วิธีสกปรก  จะมีวิธีอะไรจัดการ

“ฝ่าบาท  ต่อจากนี้จะเอาอย่างไรหรือครับ?”  เร็นเอ่ยถามขึ้นทำให้ข้าต้องยืนแล้วหันกลับไป 

“ก่อนอื่น  คาร์ริต้า  ขอโทษที่ทำให้เจ้าเจ็บ”

“หามิได้เพคะฝ่าบาท  หม่อมฉันประมาทเองที่ทำเช่นนั้น”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้น  ก่อนจะบอกว่า  “โปรดจงวางใจเถิดเพคะ  ทั้งข้าและพวกเขาจะปกป้องฝ่าบาทเอง”

“ใช่ขอรับ  พวกข้าจะปกป้องฝ่าบาทเอง  ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร”  อาคีรัสเอ่ยเสริมขึ้นและมองข้าด้วยสีหน้ากระตือรือร้นทำให้ข้าอดยิ้มกับเขาไม่ได้

พวกเขาเป็นผู้ติดตาม...ไม่ว่ายังไงก็อยู่ข้างข้า  แต่แค่หกคนนี้จะสามารถทำอะไรได้บ้าง...

“นี่  ข้านึกเหตุผลที่จะกางข่ายเวทคลุมอัลทอเบียทั้งหมดออกแล้ว”  ข้าเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ  โดยที่เร็นท้วงขึ้นว่า  “แต่ในวันพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะมาไม้ไหน”

“ก็ข้ามีพวกเจ้าอยู่แล้วนี่”  ข้าเอ่ยขึ้น  ใจจริงก็แค่กะจะล้อเล่น  แต่พวกเขากลับพุ่งเข้ามารุมกอดข้า  “ฝ่าบาท  ทรงน่ารักจริงๆ”

“หนวกหูน่า”  ข้าตวาดลั่นหน้าแดงก่ำ  ก่อนที่จะสะดุ้งเฮือก  “ใครล้วงมือเข้ามาในเสื้อข้า  ออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้นะ!” 

สุดท้ายแล้วนอกจากคาร์ริต้าข้าก็เสยหมัดใส่พวกเขาไปคนละที  แล้วนั่งลงบนเตียง  เตรียมคุยเกี่ยวกับแผนการวันพรุ่งนี้

“ฟังนะ  พรุ่งนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ต้องมาช่วยข้าให้ทันเวลา”  ข้ากำชับกับพวกเขา  ก่อนที่จะปล่อยให้พวกนั้นจัดเวรกันเฝ้า  แล้วเข้านอน

รุ่งเช้าทหารของอัลทอเบียมารอรับแต่เช้า  จึงให้เร็นไปชี้แจงว่าพวกเขาต้องอยู่กับข้าตลอดการทำพิธีซึ่งนั่นคงไม่เป็นไปตามแผนของราชาบาซินซัส  เขาเลยมาโวยวายทีหลัง  แต่โดนข้าหลอกไปว่าเป็นส่วนหนึ่งในพิธีเขาเลยเชื่อ

ก่อนหน้าที่จะมาผู้วิเศษได้มอบสร้อยเส้นหนึ่งให้มาใส่แทนสร้อยของโซแวน  มันสามารถเก็บพลังเวทส่วนหนึ่งได้เพื่อไม่ให้มีใครวัดระดับพลังที่แท้จริงข้าได้  แต่คงไม่เป็นผลแล้ว

ข้าดึงสร้อยเส้นนั้นออก  ก่อนจะเดินเข้าไปยังลานพิธีด้วยสีหน้าเรียบเฉย  ด้านหลังมีพวกเร็นตามมา  และนักบวชของทางอัลทอเบีย  ข้ามองรอบๆ  คาดการณ์ปริมาณพลังเวทที่จะใช้  ซึ่งคงทำให้ร่างกายข้าแย่ลง  แต่นั่นก็ไม่เป็นไร

ทั้งหมด...ก็เพื่อครีออน

...

อีกด้านหนึ่ง  ทางคาร์ไลน์  หลังจากคณะเดินทางของราชาทีอารีนออกไปแล้ว  ท่านแม่ทัพได้เข้ามาพบผู้วิเศษโดยตรงพร้อมกับท่านเสนาธิการฝ่ายขวา

“ท่านผู้วิเศษ  เหตุใดท่านจึงไม่ให้ทหารของเราไปกับท่านราชาขอรับ”  ชายร่างสูงเต็มไปด้วยมัดกล้ามตบโต๊ะชาของอีกฝ่ายดังตึง  แต่คู่สนทนากลับไม่สะทกสะท้าน  เขาวางถ้วยชาที่ถืออยู่ก่อนจะบอกว่า  “เพราะพวกเขามีเลือดเนื้อและภักดีต่อคาร์ไลน์  ข้าจึงไม่ส่งไป”

“หา?” 

ผู้วิเศษยืนขึ้นด้วยท่าทีสง่างาม  หันไปมองนอกหน้าต่างซึ่งเป็นทิศทางที่อัลทอเบียตั้งอยู่  “เรื่องนี้จะให้ฝ่าบาทและคาร์ไลน์มีผลกระทบไม่ได้”

“หกคนนั้นเป็นผู้ติดตาม...ไม่สิ  เป็นผู้ถูกเลือก  หรือว่า...”  เสนาธิการฝ่ายขวาเบิกตากว้างเล็กน้อยหลังจากคิดบางอย่างได้และมองผู้วิเศษเพื่อขอคำยืนยัน

ชายหนุ่มผมทองส่งยิ้มสดใสก่อนจะเอ่ยกฎข้อหนึ่งออกมา  “ตามสนธิสัญญาที่เวียนไปแต่ละดินแดนแล้ว  ข้าและผู้ถูกเลือกทั้งหมดไม่ขึ้นตรงกับดินแดนใดดินแดนหนึ่งเป็นพิเศษ  การกระทำแต่ละอย่างของผู้ถูกเลือกนั้นขอให้ถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับดินแดนใดๆ  ขึ้นตรงแต่กับข้า...ผู้วิเศษเท่านั้น”

เหตุการณ์อสูรนั้นทำให้ผู้วิเศษเป็นเสมือนตัวแทนพระเจ้าที่คนทั้งโลกต่างให้ความเคารพ  ไม่มีมนุษย์หน้าไหนกล้าหาเรื่องกับเขาและผู้ถูกเลือกซึ่งขึ้นตรงกับเขาโดยไม่มีเหตุผลที่ดี

“ตามที่ท่านเข้าใจ  ต่อจากนี้การกระทำของหกคนนั้นจะไม่เกี่ยวกับคาร์ไลน์  และถ้าท่านราชาบาซินซัสต้องการหาเรื่องกับข้าก็ลองดู”

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 14>
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 05-03-2018 00:14:31
มาแปะไว้ก่อนสนุกดี
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 14>
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 05-03-2018 06:58:36
พึ่งได้เข้ามาอ่าน สนุกมากเลยค่ะ อ่านคำโปรยตอนแรก เดาเลยว่าผู้วิเศษต้องเป็นพระเอกแน่นอน ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้ว โซแวน รึเปล่า
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 14>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 05-03-2018 16:31:53
บทที่ 15
การตอบโต้

หากตัดรายละเอียดพิธีที่เกี่ยวข้องกับการกางข่ายเวทคุ้มครองออกไปซึ่งก็คือการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์คาร์ไลน์ก็ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก  แต่เพราะที่นี่คืออัลทอเบียข้าจึงต้องใช้เวลาคาดการเสียก่อน

เมื่อคืนช่วงที่วารันเป็นเวรเฝ้า  ข้าขอให้เขาพาตระเวนไปดูรอบๆ  เพื่อหาขอบเขตหมู่บ้านทั้งหมด  หากคิดจะกางแล้วถ้าไม่คุ้มครองให้หมดจะดูกระไรอยู่ในฐานะกษัตริย์

“เจ้าช่างเป็นคนดีเหลือเกินนะ”  เขาเอ่ยขึ้นตอนที่ข้าบอกจุดประสงค์  แต่สายตานั้นก็ไม่สามารถทำให้ข้าเข้าใจได้ว่าวารันต้องการสื่ออะไรกันแน่

จริงๆ  แล้วอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีมีสองชนิด  ดาบและคทา  แต่ชิ้นแรกนั้นเนื่องจากเป็นของคู่บ้านคู่เมืองคาร์ไลน์จึงห้ามนำออกจากดินแดน  ด้วยเหตุนั้นเลยไม่สามารถใช้ได้ 

ปกติในพิธีนี้จะใช้ดาบเพื่อขับไล่ความชั่วร้ายไปเสียก่อน  และคทาจะเป็นตัวดึงพลังเวทจากผู้ใช้ไปสร้างข่ายเวท  น่านับถือตรงที่อัลทอเบียเป็นแหล่งสร้างอาวุธที่ดีที่สุดจึงสามารถสร้างคทาเลียนแบบของคาร์ไลน์ขึ้นมาได้ภายในเวลาไม่นาน

แต่เป็นของที่ไม่ทนทาน  เพียงแค่สัมผัสก็รู้แล้วว่าจะต้องแตกสลายหลังจบพิธีอย่างแน่นอน

ราชาบาซินซัสเองก็ไม่ขัดที่จะไม่มีการขับไล่อสูรออกไปก่อน  อาจเป็นเพราะเขาถือว่ามีผู้ถูกเลือกอยู่แล้วจึงเลือกแค่กางข่ายเวทเป็นพอ

ข้าขึ้นไปลานพิธีซึ่งเตี้ยกว่าที่คาร์ไลน์มาก  เป็นเพราะใช้เวลาสร้างแค่ไม่กี่วัน  หลังจากรวบรวมพลังเวทมากพอแล้วจึงร่ายคาถาและปักด้ามคทาลงไปในใจกลางพิธี 

มหาวงเวทเริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆ  เป็นอันว่าการทำพิธีนอกคาร์ไลน์นั้นได้ผล  และมันเริ่มกระจายตัวออกไปยังทิศทางต่างๆ  เพื่อเสริมเป็นกำแพงใส  เพราะถูกดึงเอาพลังเวทไปมากแขนและข้าของข้าจึงเริ่มชา  ร่างกายสั่นเกร็งเหมือนจมอยู่ในน้ำเย็นจัด  มันแย่ยิ่งกว่าตอนทำพิธีที่คาร์ไลน์ 

ข้ากัดฟันกรอดก่อนจะเหลือบมองขึ้นไปเหนือหัว  วงเวทสุดท้ายไหลขึ้นไปรวมเป็นข่ายคลุมด้านบนเป็นอันจบพิธี  ราวกับถูกกระชากลงจากที่ต่ำอย่างรวดเร็ว  หัวข้ารู้สึกปวดหนึบไปชั่วขณะ  ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงไปแล้วทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้น  คทาที่ใช้นั้นแตกสลายไปไม่มีชิ้นดี  ท่ามกลางสายตาพร่าเลือน  ข้าเห็นราชาบาซินซัสกำลังเดินเข้ามาใกล้

“ท่านทำได้ดีมาก”  เขาเอ่ยขึ้น  ข้าไม่คิดจะพูดอะไรออกไป  เพราะยังสูญเสียพลังเวทไปอย่างรวดเร็ว  เสียงที่ออกมาจึงมีแค่การหอบหายใจ

“ทีนี้...”  เขาจงใจลากเสียง  เหมือนเขาจะหยิบบางอย่างออกมา  จากมุมมองของข้านั้นไม่แน่ชัดว่าเป็นอะไร  แต่เพราะเสียงวิลเลียมตะโกนห้ามกับร้องเรียกให้ข้าหนีไปนั้นทำให้พอจะเดาการกระทำของเขาได้  โดยเฉพาะคำพูดต่อไปนั้น  “จงยอมจำนนต่อข้าเสียเถอะ”

ราชาบาซินซัสยกดาบขึ้นสูงหมายจะฟันใส่ข้า  ท่ามกลางเสียงฮือฮาของทุกคนที่ไม่คิดว่าเขาจะกระทำการอุกอาจเช่นนี้  ตรงหน้าข้าก็ปรากฏเงาร่างที่คุ้นเคยวิ่งขึ้นมาคุ้มกันทันที 

เคร้ง!

เสียงดาบกระทบกันดังขึ้นก่อนที่ร่างของราชาบาซินซัสจะกระเด็นล้มกลิ้งไปข้างหน้า  วารันลดแขนที่ถือดาบลงก่อนจะถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว  ข้าถูกโซแวนประคองไว้ไม่ให้ล้มไปกองกับพื้น  และยังรู้สึกได้ว่ารอบๆ  มีผู้ติดตามคนอื่นอยู่  แต่ตอนนี้นอกจากพยายามทำให้พลังเวทฟื้นกลับมาข้าก็ไม่คิดสิ่งใด

“ฝ่าบาท  ทำใจดีไว้ๆ  นะพ่ะย่ะค่ะ”  เร็นเอ่ยขึ้นขณะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า  เขาจับใบหน้าของข้าเหมือนต้องการวัดอุณหภูมิก่อนจะชักมือออก 

ข้าครางต่ำอย่างไม่สบอารมณ์  รู้สึกเหมือนถูกอัดไว้ในดินเหนียว  ทั้งอึดอัดและหายใจไม่ออก  แม้มือจะเย็นเฉียบแต่ตัวกลับร้อนรุ่มไปหมด 

“ระ...ร้อน  ฮ้า...ฮ้า”

ข้าพยายามสื่อสารออกมา  แต่พูดได้ไม่กี่คำก็ต้องหอบเหนื่อยอีก  รู้สึกเหมือนลำคอมันแห้งเหือด 

ต้องการ...

“เพราะสูญเสียพลังเวทมากเกินไป  ถ้าปล่อยไว้จะไม่เป็นผลดีต่อฝ่าบาท”  เสียงคาร์ริต้าดังขึ้น  ก่อนที่นอร์ธวินด์จะเสริมอย่างหงุดหงิด  “ถ้าเจ้าไม่ทำข้าจะทำเอง”

“หนวกหูน่า”  ท่ามกลางความสับสนว่าทำอะไรของข้า  โซแวนก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวก่อนที่เขาจะบีบเชิงกรามข้าบังคับให้อ้าปากแล้วโน้มตัวลงมาจูบทันที  ทีแรกข้าอยากจะค้านว่ายังอยู่ในสายตาประชาชน  แถมบางส่วนยังเป็นศัตรู  แต่พอรู้สึกถึงพลังเวทที่ไหลเข้ามาข้ากลับเป็นฝ่ายรั้งเขาไว้

โซแวนใช้ลิ้นร้อนผ่าวของตัวเองรุกไล่เข้ามาในโพรงปากของข้า  ที่แม้อยากจะขัดขืนแต่ตอนนี้ร่างกายมันเรียกร้องให้รับเอาพลังมาทำให้ข้าต้องจำยอมเขา   

อาจเพราะโซแวนมีพลังเวทที่แข็งแกร่งอยู่แล้วเขาจึงไม่ปฏิเสธถ้าจูบนี้ของพวกเราจะนานกว่าครั้งก่อนๆ  ยังไงก็คงไม่ทำให้เขาตาย  แต่เพราะข้าทนต่อความอายไม่ไหว  เมื่อถึงจุดที่พอดีแล้วจึงดันเขาออก

“หน้าเจ้าแดง...”  เขาพูดสั้นๆ  ด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาทำให้ข้ายิ่งรู้สึกอายมากกว่าเก่า 

“หนวกหูน่า”

“ฝ่าบาท  ไม่เป็นอะไรแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”  เร็นเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับช่วยพยุงตัวข้าขึ้น

“อืม  ข้าไม่เป็นอะไร”  ข้าตอบไปเสียงเรียบ  ไม่รู้ว่าพวกผู้ติดตามคนอื่นๆ  จะเป็นยังไง  แต่จากสถานการณ์แล้ว  ดูเหมือนพวกเขาจะมองมาตลอดช่วงเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้จู่ๆ  หน้าข้าก็ร้อนขึ้นมาอีกแล้ว

“โซแวนไม่ได้ทำอะไรรุนแรงใช่ไหมขอรับ”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงก่อนจะพึมพำว่า  “ถ้าข้ามีดวงมากกว่านี้ก็คงได้จูบกับท่านไปแล้ว”

“หา?”

“ข้าไม่คิดว่าโซแวนจะเป็นเซียนไพ่ขนาดนี้” 

พวกเจ้าอย่าเอาชะตาข้าไปเดิมพันกับการพนันของพวกเจ้าสิ! 

ในตอนที่พอจะรู้ความจริงว่าทำไมเขาถึงไม่ห้ามโซแวนก็อยากจะไปเขกหัวทีละคน  แต่สถานการณ์กลับไม่เต็มใจ

ฝั่งราชาบาซินซัสเรียกทหารขึ้นมาพร้อมแล้ว  และใบหน้าอวบอูมนั่นก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดที่แสดงความโกรธ  ด้านล่างนั้นข้าเห็นว่าวิลเลียมกำลังประกาศให้ผู้คนอพยพออกไป  ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดี  ข้านับถือที่เขานึกถึงประชาชนเป็นอันดับแรก

ส่วนราชาบาซินซัส  เขาดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด  “พวกเจ้ายังยืนอยู่ได้ยังไง”

“หมายความว่ายังไง”  ข้าเอ่ยถามขึ้น  ก่อนที่เร็นจะเป็นคนเฉลยว่า  “เขาแอบใส่ยาพิษไว้ในอาหารพวกข้า  เพื่อให้พวกข้าไม่มีเรี่ยวแรงแล้วจะส่งทหารมาฆ่าทีหลัง”

ข้าเบิกตากว้างครู่หนึ่งด้วยความตะลึงก่อนที่จะเห็นว่าเร็นหันไปยิ้มให้ฝ่ายตรงข้าม  แล้วเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนว่า  “แต่พิษแบบนั้นใช้ไม่ได้กับ  ‘พวกเรา’”

“บ้าเอ๊ย  แผนของข้า!”  ราชาบาซินซัสสบถขึ้นก่อนที่เขาจะกุมหัวคล้ายหาทางตอบโต้ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแสยะยิ้ม  “เหอะ ทีอารีน  เจ้าคงไม่ลืมนะว่าข้ามีไม้ตายอยู่  ถ้าไม่อยากเห็นน้องชายตายก็ยอมจำนนซะ”

“ท่านจะฆ่าข้าไปทำไม?”  ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ  ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับมา

“ข้าไม่ได้ต้องการจะฆ่าเจ้า  แต่เจ้าจะไม่มีวันได้ไปที่ไหน  เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่!  อย่าลืมเสียล่ะว่าในตอนนี้ตัวเจ้ามีค่ามากกว่าอะไรทั้งปวงอีก”

ราชาผู้นั้นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ชวนให้ข้ารู้สึกขยะแขยงขึ้นมา  ก่อนที่จะถูกขู่ซ้ำว่า  “เจ้าจงเลือกมา  ว่าอยากให้น้องชายตายหรือยอมอยู่ที่อัลทอเบีย”

ข้านิ่งค้างไปก่อนที่จะยกยิ้มขึ้น  “ก่อนอื่นข้าคงต้องขอบอกท่านว่าครีออนไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่เป็นเบี้ยล่างใครนานๆ  และ...ท่านลืมไปหรือเปล่าว่าผู้ถูกเลือกที่มากับข้ามีกี่คน”

ฉับพลันนั้นคล้ายราชาบาซินซัสจะรู้ตัว  แต่ก็สายไปเสียแล้ว  ส่วนที่เป็นคุกใต้ดินที่ข้าให้นอร์ธวินด์ไปสำรวจจนรู้ว่าเป็นที่คุมขังครีออนระเบิดออกก่อนที่จะมีร่างหนึ่งกระโดดมายืนกลางวงพร้อมเปลวไฟที่โพยพุ่งออกมาปกป้องเขาไว้  เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่วิ่งกลับมาทางข้าด้วยสีหน้ายินดี  ไหล่ข้างหนึ่งนั้นแบกน้องชายของข้ามาด้วย

“ฝ่าบาท  ข้าทำได้แล้ว”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดีขณะวางครีออนลงพื้น  ข้าส่งยิ้มและคำขอบคุณให้เขาสั้นๆ  เพราะตอนนี้ไม่มีเวลามาก

ครีออนไม่ได้บาดเจ็บอะไร  และเมื่อยืนบนพื้นได้แล้วเขาก็ปัดมือของอาคีรัสทิ้งทันที  ก่อนที่จะเดินเข้ามาทำให้ร่างกายข้าวิ่งไปรับทันที

“ครีออน  เจ้าไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”  ข้าถามเขาอย่างเป็นห่วงพร้อมกับจับแขนทั้งสองข้างของเขาไว้  เขาดูผอมลงไปกว่าวันที่เราอยู่ด้วยกัน

“ข้าไม่เป็นอะไร  เสด็จพี่”  เขาตอบ  ก่อนที่จะเสริมว่า  “ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร”

ข้าสูดลมหายใจเข้าเพราะอยากกลั้นความรู้สึกไว้ก่อนที่จะโผเข้ากอดเขาแน่น  “ดีแล้ว...ดีที่ปลอดภัย  ข้าเป็นห่วงแทบแย่”

“ดี  พี่น้องได้เจอกันแล้ว  ทีนี้...”  เสียงของโซแวนดังขึ้นทำให้ข้าได้สติว่ายังไม่ใช่เวลามาดีใจ  “ก็มาจัดการตาแก่หมูตอนนี่ดีกว่า”

“เขายังเป็นราชาอยู่นะครับ”  เร็นเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง  “อย่างน้อยก็ยังมีอำนาจสั่งการทหาร” 

“แต่แบบนี้แล้วคงไม่มีใครต้องการให้เขาเป็นแล้วค่ะ”  คาร์ริต้าเสริมขึ้น  “ทั้งการเอาเปรียบเพื่อนบ้านหรือแม้กระทั่งกับประชาชนของตัวเอง  การรังแกฝ่าบาท...การคิดปองร้ายต่อราชาทีอารีน  คิดว่าคงเป็นเหตุผลที่เพียงพอจะปลดเขาแล้วค่ะ”

“จะว่าไปก็ถือว่ายุ่งกับราชวงศ์คาร์ไลน์ด้วยละนะ  ว่ากันตามตรง  ถึงจะอยู่ในดินแดนของตัวเองก็มีสิทธิ์หัวขาดได้นา”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นขณะก้าวเข้าไปอยู่ข้างหน้าเหมือนคนอื่น  ส่วนวารันนั้นตั้งแต่ตอนแรกเขาก็แผ่รังสีทะมึนน่ากลัวอยู่แล้วทำให้มีหลายคนตัวสั่นเกร็ง 

“ใครอยากตาย  ก็เข้ามา”  นั่นเป็นคำพูดของวารัน  ซึ่งทำให้ทหารหลายคนของฝั่งนู้นสะดุ้งเฮือก  แต่ถ้าว่ากันตามตรง  พวกเขาตรงหน้าข้าแต่ละคนก็ทำหน้าเหมือนจะฆ่าคนให้ได้อยู่แล้ว  ไม่แปลกหรอกที่จะมีคนกลัว

“พวกเจ้ามัวยืนบื้ออะไรอยู่  ฆ่ามันสิ!”  ราชาบาซินซัสตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา  เขาเองก็คงกลัวเหมือนกัน  แต่ไม่มีทหารคนไหนกล้าย่างเท้าเข้ามาใกล้พวกข้า

“พวกเจ้ายังจะยอมก้มหัวให้คนผู้นั้นอยู่อีกหรือ!”  ข้าเอ่ยขึ้นเสริมเมื่อเห็นพวกทหารมีท่าทีลังเล  ทำให้ราชาบาซินซัสสะดุ้งเฮือก  “เขาที่ไม่สนว่าประชาชนจะเป็นยังไง  และคิดจะเอาตัวรอดคนเดียวแบบนั้น  ยังคิดจะปกป้องเขาอีกหรือ?”

พวกทหารเริ่มมองหน้ากัน  นั่นทำให้เข้าทางข้า

“ตั้งแต่แรก  เขาคิดแค่จะปกป้องแค่ตนเอง  แล้วพวกเจ้ายังจะรับใช้เขาต่อไปหรือไม่  กับคนที่ทำกับอัลทอเบียไว้ขนาดนี้” 

ราชาบาซินซัสนั้นเป็นคนโลภแต่แรก  เขาทำทุกวิถีทางที่จะเรียกเงินมาไว้ในปราสาท  แม้กับประชาชนก็ขูดรีดภาษีจนได้รับความเดือดร้อนมากมาย  และเคยได้ยินมาว่าเขาไม่เคยเหลียวแลผู้ที่ประสบภัยจากอสูรเลยแม้แต่น้อย

“หยุด  พวกเจ้าอย่าไปฟังมัน  แล้วนั่นจะไปไหน  เฮ้ย  กลับมา”  ชายร่างอ้วนตะโกนแข่งกับข้าก่อนที่จะรีบหันไปห้ามพวกทหารที่เริ่มถอยออกไปยืนอยู่ข้างเจ้าชายวิลเลียม  ที่มองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาเศร้า 

“เสด็จพ่อ  พอเถอะขอรับ”

“หุบปาก  เจ้าลูกไม่รักดี  เจ้าก็อยู่ข้างมันใช่ไหม  หน็อย!”  ราชาบาซินซัสที่ตอนนี้เหมือนจะโกรธทุกสิ่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนจะหันมาทางข้าด้วยความเคียดแค้น  เขาควักเอาลูกแก้วหลายลูกออกมาจากเสื้อคลุม  แล้วปาลงบนพื้น

เค้าไอเวทที่แผ่ออกมานั้นทำให้พวกข้าต่างตะลึงค้าง  และยิ่งแน่ใจเมื่อมันแผ่ควันดำออกมาก่อตัวเป็นรูปร่างที่ ชัดเจน

“อสูร!”  ทหารแถวนั้นตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ  พวกอสูรที่ถูกปลุกขึ้นมาตรงเข้าทำร้ายทันทีโดยที่ราชาบาซินซัสยืนหัวเราะมองดูภาพประชาชนและทหารวิ่งหนีตาย

“อาคีรัส  ไปพาวิลเลียมมา”  ข้าเอ่ยสั่งขึ้นก่อนที่จะหันไปหาคนอื่น  “พวกเจ้า  จัดการอสูรเดี๋ยวนี้”

“ขอรับ!”  เหล่าผู้ติดตามของข้าขานรับทันทีก่อนที่จะแยกย้ายไปตามที่ข้าบอก  เพราะพวกเขาเป็นผู้ถูกเลือกจึงจัดการอสูรได้ไม่ยาก  และวิลเลียมเองก็ยังปลอดภัย

“ทีอารีน  เสด็จพ่อ...เสด็จพ่อ...”  เขานั้นเอ่ยขึ้นกับข้าด้วยความสับสน  คงรู้เต็มอกว่าผู้เป็นพ่อผิดและคงกู่ไม่กลับแล้ว  แต่ในฐานะลูกก็ไม่อยากลงมือ  “วางใจเถิด  ข้าจะทำให้มันจบเอง”

ไม่กี่นาทีต่อจากนั้น  อสูรที่ถูกเรียกมาก็ถูกปราบไปได้หมดทำให้บาซินซัสยืนตะลึงค้าง  ประชาชนที่คิดว่าเหตุการณ์สงบแล้วจึงได้เริ่มออกมาแล้วทำการขับไล่เขา

“ออกไป!  ออกไป!”

ราชาบาซินซัสที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมองซ้ายมองขวา  ก่อนที่จะเงยหน้ามองขึ้นฟ้า  ร้องตะโกนขึ้นอย่างเวทนา 

“ท่าน  ได้โปรดช่วยข้าด้วย”

ข้าไม่รู้ว่าเขาหมายถึงใคร  เมื่อไปถามวิลเลียมในภายหลังเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน  แต่ต่อจากนั้นบาซินซัสก็แสยะยิ้มขึ้นแล้วหันมาทางพวกข้า 

“งั้นหรือ  แค่ฆ่าเขาก็พอ  งั้นหรือ...”

ดวงตานั้นคล้ายบ้าคลั่งไปแล้วทำให้ข้าตกอยู่ในอาการตะลึง  ร่างอ้วนฉุพุ่งมาหาด้วยความรวดเร็วพร้อมกับดาบที่ถือไว้

ฉัวะ!

แต่เขาไม่สามารถมาถึงตัวข้าได้  ร่างของบาซินซัสแข็งค้าง  ดวงตาเบิกกว้างก่อนที่จะล้มลงไปกองทันที  ชายสองคนที่เป็นผู้ลงมือลดอาวุธของตนลง  โซแวนมองศพที่กองอยู่ด้วยแววตาเรียบเฉย  แต่วารันกลับเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“น่าสมเพช”

ข้ามองศพเบื้องหน้าก่อนจะนึกย้อน  ตามแผนแล้วข้าแค่ต้องการให้เขามอบตัว  สละราชบัลลังก์แล้วไปใช้ชีวิตในคุก  ไม่ใช่มาตายตรงนี้  แต่เขาก็ทำตัวเอง

ท่ามกลางทหารที่เข้ามาจัดการสถานการณ์ต่อ  และผู้ติดตามที่เข้ามาดูแลข้ากับครีออน  คำพูดของราชาบาซินซัสทำให้ข้าอดเงยหน้ามองท้องฟ้าที่สดใสทว่ากลับแฝงไปด้วยความน่ากลัวบางอย่าง

ไอเวทแปลกประหลาดยังคงมีตกค้าง  แต่ข้าไม่สามารถแยกได้ว่าเป็นของผู้ใด  ใครกันที่อยู่เบื้องหลังคอยเป่าหูราชาบาซินซัส

ข้าหันไปมองวิลเลียมฝ่ายนั้นดูตกใจไม่น้อยแม้พยายามจะปกปิดสีหน้า  ทำให้ข้าต้องบีบมือเขาไว้  หลังจากนั้นจึงได้เดินลงจากลานพิธี  วิลเลียมมีพี่น้องคนอื่นและราชินีคอยปลอบประโลมทำให้ข้าเบาใจไปเปลาะหนึ่ง

ข้าพาครีออนลงมาก่อนจะสำรวจเขาอีกทีว่าไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน  เมื่อแน่ชัดแล้วว่าไม่มีอะไรร้ายแรงเลยกอดเขาไปอีกรอบแม้เจ้าตัวจะดูสับสนแต่ข้าก็รู้ว่าเขาก็ดีใจ 

“เสด็จพี่”

“ดีใจที่ได้เจอเจ้าอีก”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความคิดถึง  ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงกระแอมไอปานคอจะแตกดังขึ้นมา 

“ทีกับพวกข้า  เจ้ายังไม่ขนาดนี้เลย”

วารันมองข้าสลับกับครีออน  ก่อนที่ข้าจะสวนกลับไปอย่างอารมณ์ดี  “เพราะพวกเจ้ามันคนละชั้นกันต่างหาก”

“ฝ่าบาทใจร้าย”  เป็นอาคีรัสที่โอดครวญออกมาทำให้ข้าต้องรีบปลอบ  ก่อนที่ราชินีแห่งอัลทอเบียจะเข้ามาพูดคุย  ข้าขอโทษที่พวกโซแวนสังหารบาซินซัสไปเป็นอันดับแรก  แต่นางไม่ได้ติดใจอะไร  ดูเหมือนจะทราบชะตาอยู่แล้วเพราะนางสามารถมองเห็นอนาคตได้  อีกทั้งยังบอกว่าเป็นสัญญาณดีของอัลทอเบีย

นางคุยว่าจะให้วิลเลียมขึ้นเป็นราชาต่อภายในสองวันนี้จึงต้องการให้ข้าอยู่ต่อ  ซึ่งก็ตรงกับแผนที่ข้าวางไว้

เพราะต้องการช่วยครีออน  ข้าจึงทำเป็นยอมรับข้อเสนอของบาซินซัส  และการกางข่ายเวทนั้นก็ไม่ใช่เพื่อเขา  แต่เป็นวิลเลียมที่ข้าต้องการให้ขึ้นเป็นราชาคนต่อไป  ด้วยการทำให้บาซินซัสยอมจำนนและสละราชบัลลังก์  แล้วให้อาคีรัสไปช่วยครีออนแหกคุกออกมาเพราะเขาเป็นคนที่เคลื่อนไหวเร็วและมีพลังเยอะที่สุด

ข้าไปขอโทษกับวิลเลียมโดยตรงอีกครั้งก่อนจะกลับมา  เห็นพวกเขากำลังนั่งรออยู่  คาร์ริต้าใช้พลังของตัวเองควบคุมลูกแก้วที่เก็บมาทั้งหมดไปตรวจสอบ  เพราะเป็นของที่ไม่เคยเห็นทำให้พวกข้าตึงเครียดกันมาก

“จะว่าไปพวกเจ้าโดนพิษไปแล้วไม่เป็นอะไรหรือ”  ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยก่อนที่เร็นจะเป็นผู้ตอบ

“เป็นพิษที่ใช้ได้กับมนุษย์เท่านั้นครับ  พวกข้าไม่ใช่มนุษย์เลยไม่เป็นอะไร”

“อย่างนี้นี่เอง”  ข้าพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะเผลอหาวออกมาทำให้เร็นรีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยขึ้น

“เช่นนั้นท่านไปพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ  วันนี้ทรงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

“แต่...”  ข้าค้านอยากจะอยู่ต่อเพราะดูเหมือนพวกเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ  แต่เร็นก็ยังรบเร้าพาข้าไปส่งที่ห้องจนได้  ที่นั่นมีครีออนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่

“ท่านครีออนนอนห้องเดียวกับฝ่าบาทหรือขอรับ?”  เร็นเอ่ยถามขึ้น  ดูเหมือนข้าจะลืมบอกไป 

“ใช่  ข้าให้เขามานอนเอง”

“...ถ้างั้นข้าก็ไม่ค้านอะไร  ท่านครีออน  รบกวนดูแลฝ่าบาทด้วยนะขอรับ  วันนี้เขาเหนื่อยมาทั้งนั้นแล้ว”  เขาเอ่ยขึ้นโดยที่ประโยคหลังหันไปเอ่ยกับครีออน  เจ้าตัวพยักหน้าตอบรับช้าๆ  ก่อนที่จะยืนขึ้น

เมื่อข้าเปลี่ยนชุดเสร็จก็เห็นว่าเร็นออกไปแล้ว  และครีออนก็นั่งรออยู่ที่ปลายเตียงคล้ายกับมีเรื่องจะถาม 

“เสด็จพี่  ให้ข้านอนด้วยแบบนี้จะดีหรือ?”

ข้าตีสีหน้าสงสัยก่อนจะตอบไปตามปกติ  “ก็ดีสิ...เจ้าไม่ใช่คนอื่นคนไกล  และท่านราชินีก็บอกเตรียมห้องให้ไม่ทันด้วย”

“งั้นหรือ...”  เขาตอบสั้นๆ  คล้ายเป็นการพึมพำมากกว่า  การแสดงออกของเขาทำให้ข้าสงสัยบางอย่างขึ้นมา 

“ไม่ดีใจที่ได้เจอข้าหรือ?”

“มีหรือข้าจะไม่ดีใจ?”  ครีออนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบก่อนที่จะดึงข้าลงไปนั่งกับเตียง  “แต่วันนี้เสด็จพี่เหนื่อยมามากแล้ว  พักผ่อนเถิด  ข้าก็จะพักผ่อนด้วย”

เขาเอ่ยขึ้นทำให้ข้าพยักหน้าแล้วหันไปนอนที่เตียง  ครีออนเองก็นอนอยู่ข้างๆ  เขาไม่ใช่คนนอนหลับง่ายจึงจ้องข้าอยู่แบบนั้น  ข้าเองก็ชินแล้วที่ต้องเจออาการแบบนี้เวลานอนด้วยกันรวมกับที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้วจึงชิงหลับก่อนโดยทิ้งท้ายไว้ด้วยความคุ้นเคย

“ราตรีสวัสดิ์  ครีออน”

“ราตรีสวัสดิ์  เสด็จพี่”  เขาเอ่ยตอบกลับมาเสียงเบา  ก่อนที่ข้าจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปทันที  รู้สึกตัวอีกทีเมื่อถึงเช้าวันถัดไป

ครีออนลุกขึ้นไปเสียก่อนแล้วและกำลังนั่งรออยู่  ข้าเลยรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปพร้อมเขา  ผู้ติดตามทุกคนรออยู่นอกห้องอยู่ก่อนแล้ว  ข้าและพวกเขาทักทายกันตามปกติ  วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องกังวล  ความสัมพันธ์ระหว่างคาร์ไลน์กับอัลทอเบียก็กำลังไปได้ด้วยดี

วิลเลียมได้ขึ้นเป็นราชาของอัลทอเบียในวันต่อมา  ข้าอยู่ร่วมพิธีตามคำขอของราชินีและเพื่อนสนิทก่อนที่จะกลับไปยังคาร์ไลน์

ที่นั่นผู้วิเศษได้ยืนต้อนรับอยู่แล้วพร้อมกับทหารมากมาย  ข้าทักทายพวกเขาตามปกติ  ก่อนที่จะให้เร็นช่วยดูแลครีออนขณะที่ข้าถูกผู้วิเศษเรียกไปพบในห้องส่วนตัว

“เจ้ามีอะไรหรือ  ระหว่างที่ข้าไม่อยู่มีอะไรหรือเปล่า”  ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย  เนิ่นนานกว่าผู้วิเศษจะยอมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“ท่านกางข่ายเวทคลุมทั้งอัลทอเบียทำไม?”

ข้าเบิกตากว้าง  ด้วยพลังของเขาเป็นธรรมดาที่จะเห็นว่าข้ากางข่ายเวทแบบไหน  แต่แล้วตัวเขาเองก็ขัดขึ้น  “ไม่สิ  ทำไมท่านถึงคิดว่ากางข่ายเวทแบบนั้นจะช่วยท่านครีออนได้”

เขารู้อยู่แล้ว...

“ราชาบาซินซัสจับน้องข้าเป็นตัวประกัน  แล้วข้าจะยอมให้เขาฆ่าครีออนหรือ?”  ข้าสวนกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ  ก่อนที่จะถูกตะคอกกลับมา 

“แต่ท่านก็ควรสำนึกบ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้!”

“แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไง  ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอกอะไรสักคำ”  ข้าตะคอกไปด้วยความหงุดหงิดที่เหมือนตัวเองเป็นฝ่ายทำผิดอยู่คนเดียว

เพี้ยะ!

ข้าชะงักไปทันทีด้วยใบหน้าที่ชาวาบ  ก่อนจะหันกลับไปมองคนตรงหน้าด้วยความสับสน  ผู้วิเศษมองมาที่ข้าด้วยแววตาโกรธเคืองแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า  “ท่านน่ะ...น่าจะเข้าใจ  ว่าตัวท่านไม่เหมือนคนอื่น  และคงฉลาดพอจะรู้ว่าพลังตัวเองมีค่ามากแค่ไหน  เพราะอย่างนั้นก็ควรจะประพฤติตัวให้มันดีกว่านี้  ไม่ใช่เอาตัวเองไปเสี่ยงตายแบบที่ผ่านๆ  มา!”

ผู้วิเศษเข้ามาใกล้ข้ามากขึ้นก่อนที่จะโน้มหน้าลงมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวังว่า  “ข้าเลือกผิดจริงๆ  ที่ให้ท่านไปคนเดียว  สุดท้ายแล้วท่านก็ยังเป็นแค่เด็กไม่รู้จักโต”

ผลัวะ!

ข้าต่อยหน้าเขาไปเต็มแรงเท่าที่จะมีในตอนนั้น  คำพูดของเขามันเสียดแทงเข้าไปในใจจนเจ็บยิ่งกว่าถูกตบเสียอีก  จนอึดอัดไปหมด  จนหายใจไม่ออก  ข้ากัดฟันกรอดก่อนที่จะพยายามเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่ไม่พยายามให้สั่นว่า  “ข้าเกลียดเจ้า...อึก...ที่สุด!”

ข้าไม่รู้ว่าผู้วิเศษว่าอะไรต่อ  เพราะต่อจากนั้นตัวข้าก็รีบวิ่งออกมาโดยไม่สนทิศทางจนกระทั่งชนกับใครบางคน  เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นโซแวนที่ดูตกใจกับสีหน้าของข้า

ก็คงจะแน่นอนอยู่แล้ว  ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้แต่ข้าไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้  อาจจะเป็นเพราะกลัว  กลัวจากการที่เห็นผู้วิเศษเป็นแบบนั้นครั้งแรกและความผิดที่อยู่ในใจ

โซแวนอึ้งไปแค่พักเดียวก็โอบมือทั้งสองข้างของเขากอดข้าแล้วปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  “ไม่ร้อง...ไม่มีอะไรแล้ว”

เขาปลอบเหมือนคนที่ปลอบใครไม่เป็น  แต่นั่นก็มากพอให้ข้ารู้สึกว่ายังไม่โดดเดี่ยว  เพราะความรู้สึกหลายอย่างที่ปนเปกันอยู่ในอกข้าเลยร้องไห้หนักกว่าเก่า

สุดท้ายแล้วข้าก็ยังเป็นเด็กไม่รู้จักโตเหมือนที่ผู้วิเศษว่าไว้...
----------------------------------
สำหรับพระเอกของเรื่องนี้นั้น...น่าจะเริ่มชัดขึ้นแล้ว ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามค่า
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 14>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 05-03-2018 16:44:05
บทที่  16
วงสุราของสัตว์ประหลาด

โซแวนยอมรับว่าค่อนข้างตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ  ถูกร้องไห้ใส่  เขาปลอบคนไม่เป็นเช่นนั้นเลยทำได้แต่พาไปในที่ลับตาเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นแล้วลูบๆ  ปลอบๆ  อย่างตะกุกตะกัก

แต่ไม่นานทีอารีนก็หยุดร้องได้  หลังจากเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าไปหมดแล้ว  โซแวนจึงได้ถามด้วยความสงสัย  “เกิดอะไรขึ้น  ใครทำอะไรเจ้า”

ถามเช่นนั้นพร้อมลูบคลำแก้มที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเป็นรอยแดงจางๆ  เพราะมือที่เย็นเฉียบทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อยและตอบมาเสียงเบา

“ข้าทะเลาะกับผู้วิเศษ”  โซแวนเบิกตากว้างเล็กน้อย  อันที่จริงเขาเดาได้ว่าฝ่ายนั้นน่าจะโกรธ  การกระทำของทีอารีนมีผลเสียมากกว่าผลดี  แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นลงไม้ลงมือ

“เจ็บหรือเปล่า”  ทีอารีนเงียบไปอีกพักหนึ่งเมื่อถูกถาม  ดูท่าคงเสียใจไม่น้อย 

“เจ็บสิ”

เสียงที่ตอบกลับมานั้นแผ่วเบาปนสั่นเครือ  โซแวนไม่คิดถามอะไรต่อแล้วเอ่ยขึ้น  “กลับไปที่ห้องเจ้าเถอะ”

ทีอารีนพยักหน้าแล้วปล่อยให้เขาพาไปที่ห้องแต่โดยดี  แม้จะเป็นยามกลางคืนแต่ตามระเบียงก็มีคนรับใช้และทหารยามอยู่เยอะ  การปล่อยให้องค์ราชาอยู่ด้านนอกนานๆ  ไม่ดีสำหรับเจ้าตัว  ดังนั้นหากจะให้ระบายอะไรหรือบ่นใครก็คงต้องรอให้ถึงในที่รโหฐานอย่างห้องบรรทม

เมื่อไปถึงห้อง  ทีอารีนก็ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยสีหน้าดูโศกเศร้า  ตอนที่โซแวนบอกว่าคอยรับฟังอยู่  อีกฝ่ายก็ทำหน้ามุ่ยแล้วทั้งบ่นทั้งด่าผู้วิเศษอย่างหัวเสีย  จบท้ายที่ก้มหน้ารับคำผิด

“ทุกอย่างเป็นความผิดของข้านั่นแหละ...”

“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเพียงคนเดียวหรอก”  โซแวนเอ่ยออกมาพร้อมลูบศีรษะปลอบอีกฝ่าย  ก่อนที่จะบอกต่อว่า  “ทั้งข้า  ทั้งพวกเร็น  หรือกระทั่งผู้วิเศษก็ล้วนแล้วแต่ผิดกันทั้งนั้น  เจ้าแค่ถูกบีบให้ไม่มีทางเลือก”

ทีอารีนพยักหน้าช้าๆ  เป็นเชิงแค่รับรู้  แต่จะเอาไปคิดมากน้อยแค่ไหนโซแวนก็ไม่อาจเดาได้  ก่อนที่อีกฝ่ายจะระบายออกมาด้วยเสียงเศร้าสร้อย  “ทำยังไงถึงจะแข็งแกร่งขึ้นนะ”

“หืม”  โซแวนเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ  ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องนี้  “เจ้าไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นแล้ว”

“หมายความว่ายังไง”

“เจ้าแข็งแกร่งแล้ว  ทีอารีน  แข็งแกร่งพอที่ร่างกายและวิญญาณจะรับได้  หากมากกว่านี้มันจะเป็นการทำร้ายตัวเจ้าเอง”  เขาอธิบายความแข็งแกร่งให้อีกฝ่ายเข้าใจ  “เจ้าไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งมากไปกว่านี้  ไม่ต้องโหยหาพลังแล้ว  พวกข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

“ข้าไม่อยากเป็นฝ่ายที่ถูกปกป้องเพียงอย่างเดียว”  เด็กหนุ่มเอ่ยสิ่งที่ใจคิดออกมาทำให้โซแวนอดชื่นชมไม่ได้  เขาคุกเข่าลงข้างหน้าอีกฝ่ายแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

“สิ่งที่เจ้าทำมันมากกว่าการปกป้องพวกข้าและมนุษย์เสียอีก”  ทีอารีนถูกรับเลือกเป็นวีรบุรุษ  คนเดียวที่จะสามารถปิดประตูแห่งความวินาศลงได้  ไม่ใช่คนอ่อนแอที่รอการปกป้อง  แต่เป็นคนที่ต้องถูกปกป้องเพื่อไปทำการยิ่งใหญ่เพื่อช่วยเหลือโลกนี้

“โซแวน...เจ้าเองก็รักข้าเพราะคำสาปใช่ไหม”  เด็กหนุ่มถามเขาขึ้นทำให้โซแวนแปลกใจ  เมื่อมองหน้าอีกฝ่ายก็พบว่าดวงตาคู่สวยนั้นกำลังเหม่อลอย  ทีอารีนกำลังคิดอะไรมากมายอยู่ในหัวจึงถามออกเช่นนั้น

“ข้าอยู่ใต้บัญญัติพระเจ้าของข้า  คำสาปของผู้วิเศษไม่มีผลอันใด  ข้าตามเจ้าด้วยการตัดสินใจของข้าเอง”  เขาตอบตามความจริง  ไม่รู้สึกผิดแปลกอะไรแสดงว่านี่ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม  “เรื่องที่ตัดสินใจสู้เพื่อเป็นอัศวินราชองครักษ์ของเจ้าด้วย”

โซแวนเอื้อมมือไปจับเท้าของอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาใกล้  ใช้นิ้วโป้งไล้ไปตามรูปส่วนทำให้ทีอารีนชะงัก

“เจ้าจะทำอะไร”

“ข้าขอสาบาน  ตลอดชั่วชีวิตนี้จะไม่มีวันโกหกเจ้าและไม่ว่าเจ้าจะเดินไปทางไหน  จะทำอะไร  ไม่ว่าอย่างไรข้าจะปกป้องเจ้าไว้  แม้ต้องแลกด้วยร่างกายนี้  วิญญาณนี้ก็ตาม”  โซแวนเอ่ยคำสาบานขึ้นก่อนจะประทับริมฝีปากที่เท้าของอีกฝ่ายท่ามกลางความตกตะลึงของทีอารีน  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง  ตัวเขาไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่คำเดียว  “ไม่ใช่แค่ในฐานะราชองครักษ์”

“เจ้านี่มัน...”  ทีอารีนถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะแต่มุมปากกลับเผลอยกยิ้มขึ้น  โซแวนถูกแต่งตั้งเป็นอัศวินราชองครักษ์ไปแล้วโดยปริยายตั้งแต่ประกาศผลผู้ชนะในการคัดเลือก  แต่ไม่ได้มีพิธีสาบานตน  เมื่อเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายคงหาทางทางมาสาบานเองเช่นนี้

เมื่อโซแวนปล่อยมือจากเท้าของเขาแล้ว  ทีอารีนก็ลุกขึ้น  หยิบดาบประจำตัวขึ้นมาและหยิบมันออกจากฝัก  เด็กหนุ่มเดินมาหาเขาซึ่งยังนั่งคุกเข่าอยู่ก่อนจะทาบคมดาบลงบนไหล่ของอีกฝ่าย

“โซแวน  ในฐานะนายของเจ้า  ข้าขอออกคำสั่ง  อย่าปกป้องข้าจนตัวตาย  อย่าทอดทิ้งข้าไว้  และมีชีวิตอยู่เพื่อข้าตลอดไป”

“น้อมรับคำบัญชา”

พิธีสัตย์สาบานที่รู้กันเพียงสองคน  เริ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดและจบลงด้วยสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น  ทีอารีนมีสีหน้าปลอดโปร่งขึ้นทำให้โซแวนโล่งใจไม่น้อย  เขาอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งอีกฝ่ายหลับแล้วจึงเดินออกมา

ท้องฟ้าคืนนี้ไร้สีสัน  แม้จันทร์เต็มดวงจะทอแสงสุกสกาวทั่วฟ้าแต่ไร้หมู่ดาว  โดดเดี่ยวท่ามกลางความมืดทำให้โซแวนทราบสาเหตุที่ตนรู้สึกขุ่นมัวในอก  ชายหนุ่มไม่ชอบคืนจันทร์เต็มดวงเท่าใดนัก  มันทำให้นึกถึงใครบางคนที่ถีบหัวส่งเขามา

บ้านเมืองด้านล่างมีแสงจากโคมไฟสว่างอยู่ริบหรี่  ทุกอย่างดูสงบสุขจากข่ายเวทมนตร์ที่กางอยู่รอบอาณาจักร

แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ

เขารู้ตัวดีว่าเด็กคนนั้น...ทีอารีนยังไม่สามารถแบกรับพลังในตัวและภาระหลังจากนี้  จริงอยู่ที่ว่าเวทในตัวราวกับจอมคาถาที่สั่งสมพลังมานาน  แต่ร่างกายกลับอ่อนแอจนไม่สามารถดึงมาใช้ได้หมด  หลักฐานคือการคงอยู่ของเขา  และคนอื่นๆ

สัตว์ประหลาดที่ไม่ควรย่างกายเข้ามาในข่ายเวทได้อย่างเขาและพวกนั้นกลับคงอยู่ได้  แม้จะใช้พลังได้ไม่เต็มร้อยแต่ก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าเด็กคนนั้นยังไม่พร้อม  อาจเป็นเพราะยังอายุไม่เยอะหรือสภาพจิตใจ...ที่เขารู้ว่าค่อนข้างแย่และประหลาดไปในคราวเดียวกัน

เด็กคนนั้นไม่เชื่อใจมนุษย์  หลายครั้งจะเว้นระยะห่างจนสังเกตได้  แม้กระทั่งกับคนที่เป็นคู่หมั้นยังห่างเหิน  ถ้าไม่ได้โอบอ้อมอารีแบบที่เป็นปานนี้ชายคนที่หลอกลวงว่าเป็นหญิงมานับสิบปีคงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป

และที่ประหลาดคือเด็กคนนั้นกลับเชื่อใจพวกเขา  พวกเขาที่เป็นสัตว์วิเศษ  แม้บางทีจะปากแข็งปฏิเสธนู่นนี่มาเรื่อยแต่เขาก็เห็นว่าเด็กคนนั้นมักจะยื่นมือมาขอความช่วยเหลือเสมอ  เขาไม่ได้อยู่ตั้งแต่ต้นเหมือนเร็น  แต่ก็เห็นอีกฝ่ายเคยพูดไว้

‘สาเหตุที่เชื่อใจ...เพราะผู้วิเศษเคยบอกว่าพวกเราจะไม่โกหกกับเขา’

เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่สัตว์วิเศษทุกตัวจะไม่โกหก  มีแค่พวกเร็นที่ภักดีตามสัญชาตญาณ  ความโหยหาที่กักเก็บมานาน  และถึงจะไม่โกหก  แต่ก็มีบางเรื่องที่บอกไม่ได้  เป็นพันธสัญญาเพื่อรอวันเวลาที่เหมาะสม

เวลาที่เหมาะสม...เขาเองก็กำลังรออยู่เหมือนกัน

“แปลกใจที่เห็นเจ้ามายืนอยู่หน้าห้องของฝ่าบาทนะขอรับ”  เสียงทักอันคุ้นเคยดังขึ้นทำให้โซแวนที่ยืนเหม่ออยู่หันไปมอง  เร็นส่งยิ้มทักทายแต่ก็อดแฝงความสงสัยไว้ไม่ได้  นั่นทำให้ชายหนุ่มจำเป็นต้องตอบ

“บังเอิญนิดหน่อย  คาร์ริต้าไปไหนเสียล่ะ”

“นางหลับแล้ว  ส่วนข้ามาดูอาการของฝ่าบาท”  เร็นตอบก่อนจะหันไปมองทางประตูซึ่งปิดสนิท  “ได้ข่าวว่าเขาทะเลาะกับผู้วิเศษ”

“เขาหลับไปแล้ว”  โซแวนตอบทำให้เร็นไม่เข้าไป  อีกฝ่ายมีความรับผิดชอบพอที่จะไม่ไปกวนเวลาพักผ่อนของผู้เป็นนาย  “และเขาทะเลาะกับผู้วิเศษจริง”

“น่าแปลกเหลือเกิน...”  เร็นพึมพำขึ้นอย่างสับสนก่อนจะหันไปยิ้มทักทายทหารยามที่กำลังเดินตรวจตราอยู่  ที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับการพูดคุยเท่าไรนักจึงเอ่ยชวนโซแวนขึ้น  “นานๆ  ทีเราไปดื่มกันหน่อยไหม”

“น่าแปลกที่เจ้าเป็นฝ่ายชวน”  โซแวนกระตุกยิ้มขึ้น  ทั้งสองคนรู้จักกันมานานพอจะหยอกพ่อล้อแม่ได้  เช่นนั้นเมื่อเห็นคนที่พยายามทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเอ่ยชวนเช่นนี้เขาก็อดแซวไม่ได้  อีกฝ่ายแค่ขืนยิ้มรับแล้วเงียบไม่พูดอะไร  ชายหนุ่มผมแดงจึงคว้าคอพาเดินไป  “เอาสิ  ข้ามีร้านดีๆ  แนะนำอยู่”

พวกเขาสองคนไปยังร้านเหล้าที่อยู่ไม่ไกล  ได้พื้นที่ส่วนตัวเพราะโซแวนสนิทกับเจ้าของร้านเลยสามารถคุยได้หลายเรื่อง  หลังจากเหล้าเหยือกใหญ่และกับแกล้มมาเสิร์ฟแล้วทั้งสองคนก็เริ่มดื่ม 

“ผมคิดว่าคุณเป็นคนแปลก”  เร็นเอ่ยขึ้นห้วนๆ  ทำให้โซแวนงงไปครู่หนึ่ง  ก่อนที่เจ้าตัวจะเสริม  “ทั้งๆ  ที่ไม่มีพันธะอะไรก็ยังตามติดฝ่าบาทอยู่นั่นแหละ”

“ใครว่าไม่มี”  เขาแย้งไปเสียงเรียบ  ผ่านมาสักระยะแล้วที่เขารู้ถึงความสัมพันธ์แท้จริงระหว่างทีอารีนและห้าคนที่เหลือ  แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงนี้ 

“แล้วยังไง  ดีหรือร้าย?”

“ใครเขาถามตรงๆ  กันแบบนั้น  ถ้าร้ายคงไม่มานั่งตรงนี้ให้เสียเวลาหรอก”  เขาเอ่ยขึ้นเจือความหงุดหงิดเวลาถูกถามเรื่องนี้  แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวเลยไม่ติดใจอะไรมากนัก  “ข้าอยู่ข้างพวกเจ้า...แค่ข้าน่ะนะ”

“มีคนอื่นด้วยหรือ?”

“ผู้ให้กำเนิดข้าไง”  โซแวนเฉลยขึ้นทำให้ฝ่ายเร็นร้องอ้อ 

“จะว่าไปผมยังไม่เคยเจอพวกเขาเลย”

“ก็แค่คนประหลาดที่น่าสงสาร...ส่วนพ่อข้าคงไม่มีวันได้เจอ  เขาตายไปตั้งแต่สามร้อยปีที่แล้ว”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนจะยกเหล้าขึ้นดื่ม  ฤทธิ์ของมันทำให้เขาชื่นใจขึ้นมาบ้างหลังจากนึกถึงเรื่องราวความหวัง  “เป็นผู้ให้กำเนิดที่แค่คิดจะใช้ข้าให้เป็นประโยชน์”

“แต่คุณก็หลุดมาได้แล้วนี่?”  เร็นเอ่ยขึ้นแต่แฝงไปด้วยความไม่มั่นใจ 

โซแวนเงียบไปสักพักก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาเมื่อนึกได้  “จะว่าไป  คำสาปของผู้วิเศษนั่น...มีผลกับเจ้าด้วยสินะ”

คำสาปที่ทำให้คนลุ่มหลงในตัวทีอารีน  เร็นพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า  “ไอ้เรื่องได้รับก็ใช่แหละครับ  แต่ว่า  ก็แค่เล็กน้อย  ไม่ได้เท่าพวกมนุษย์  แต่ที่ทำให้ตกอยู่ในความภักดีน่าจะเป็นเพราะพันธะมากกว่า”

เรื่องที่ว่าชาติที่แล้วพวกเขาได้ขอให้เกิดใหม่เพื่อรับใช้สายเลือดกษัตริย์แห่งคาร์ไลน์นั้นผู้วิเศษเล่าให้ฟังตั้งแต่แรก  โดยเฉพาะกับคนที่ตามรับใช้มาตั้งแต่แรกอย่างเร็น  นอร์ธวินด์  และอาคีรัส 

ทีแรกนั้นเร็นไม่ได้ปักใจเชื่ออะไรจนกระทั่งได้เจอกับทีอารีน  จึงได้รู้ว่าในอกมันกำลังเรียกร้องให้รักษาอีกฝ่ายไว้

“คุณล่ะ?  เพราะอะไรถึงติดตามฝ่าบาท”  อีกฝ่ายถามกลับ  โซแวนที่ดื่มเหล้าอยู่หยุดชะงักก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเหม่อลอย  “คำสัญญา”

“อ๊ะ!  พวกเจ้า”  ทว่าเสียงที่ดังแทรกขึ้นทำให้พวกเขาขมวดคิ้วแล้วหันไปมองตามเสียง  เห็นนอร์ธวินด์กำลังชี้มาทางนี้ด้วยท่าทีแปลกใจ  ข้างๆ  นั้นเป็นวารันที่ตีสีหน้าเรียบเฉย

เร็นส่งเสียงทักทายแล้วเรียกให้เข้ามานั่งร่วมวง  สอบถามกันไปมาก็รู้ว่าวารันแค่อยากดื่มเหล้า  นอร์ธวินด์เลยพามาที่นี่เพราะเป็นขาประจำเหมือนกับโซแวน  จริงๆ  แล้วพวกเขาก็บังเอิญเจอกันบ่อย

“พวกเจ้าไม่เรียกสาวมาบริการหรือ?”  นอร์ธวินด์เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยโดยหันหน้าไปเจาะจงที่โซแวน  ปกติแล้วมักจะมีผู้หญิงมาบริการเสมอ

“มีเรื่องที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้น่ะครับ”  เร็นเอ่ยขึ้นแทนก่อนที่นอร์ธวินด์จะถามขึ้น 

“ยกตัวอย่างเช่นอะไร”

“วันที่อากาศอบอ้าวแบบนี้  ฝ่าบาทจะถอดเสื้อนอน”  เร็นยกตัวอย่างขึ้นด้วยท่าทีขำๆ  แต่อีกฝ่ายกลับทำสีหน้าจริงจัง 

“แย่ล่ะ  ข้าจะกลับไปที่ปราสาท”

“จุดประสงค์ชัดเจนเกินไปแล้ว”  วารันเอ่ยเสียงเรียบก่อนที่จะสับลงไปกลางกระหม่อมของอีกฝ่ายจนนอร์ธวินด์ร้องโอดโอย

“เรื่องที่คนนอกรู้ไม่ได้ไง”  โซแวนเสริมขึ้นทำให้ทั้งสองคนเข้าใจ 

“งั้นพวกข้าขอร่วมวงด้วยดีกว่า”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปเรียกบริกรมาสั่งอาหาร  เขาคุยเล่นจนของมาครบแล้วจึงเริ่มคุยต่อ

“ข้าได้ข่าวว่าฝ่าบาททะเลาะกับผู้วิเศษ”  ชายผมสีน้ำตาลเอ่ยขึ้น  ก่อนที่จะหันไปหาสหายที่มากับตน  “วารัน  นายก็ได้ข่าวใช่ไหม”

“เออ”

“เกิดอะไรขึ้น?”  นอร์ธวินด์หันมาถามขึ้นแล้วเสริมว่า  “ทั้งที่ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะแอบมีใจให้ผู้วิเศษแท้ๆ...พูดแล้วก็เจ็บแฮะ”

“อาจจะเป็นเพราะมีใจให้เลยเจ็บก็ได้”  โซแวนพึมพำขึ้น  ก่อนที่จะตัดบทว่า  “ก็เรื่องที่อัลทอเบียนั่นแหละ”

“อ้า  กะแล้วเชียว”  นอร์ธวินด์ร้องอ้อขึ้นพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่  “ตอนนั้นข้าเองก็เป็นห่วงฝ่าบาทมากเลยนะ”

“ใครๆ  เขาก็ห่วงกันทั้งนั้นแหละ”  วารันแทรกขึ้น  “เพราะงั้นถึงได้พยายามปกป้องไง”

“แต่ก็ไม่ได้มีอำนาจไปห้ามอะไรนี่”  อีกฝ่ายเอ่ยพลางถอนหายใจอีกครั้ง  “ข้าอยากเป็นคนที่สามารถห้ามฝ่าบาทเวลาที่จะทำเรื่องอันตรายได้จัง”

พวกเขาตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่  คล้ายกับแต่ละคนก็มีเรื่องให้ครุ่นคิด  หลังจากทราบเรื่องที่ฝ่าบาทถูกต่อว่าต่างก็รู้สึกผิดไม่แพ้กัน  เพราะพวกเขาเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์  แต่กลับห้ามอะไรไม่ได้

“เอาเถอะ  เรื่องมันผ่านไปแล้ว  ขอแค่เด็กนั่นยังปลอดภัยก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนที่นอร์ธวินด์จะเสริมด้วยความจริงจัง

“ถ้าฝ่าบาทมีความรักให้บ้างจะดีมากๆ  ด้วย!”

“ฝันไปเถอะ”  วารันตัดบททันที  โดยมีเร็นหัวเราะเห็นด้วย

“จะว่าไป  ฝ่าบาทเนี่ย...ไม่มีความระวังตัวเลยนะ...”  นอร์ธวินด์เกริ่นขึ้นก่อนจะเฉลย  “เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าตอนเช้าน่ะก็จะเบลอแล้วก็ถอดเสื้อต่อหน้าคนปลุกเลย”

“แต่ก็ไม่มีใครเตือนฝ่าบาทนะขอรับ”  เร็นขัดขึ้นทันทีเพราะมั่นใจว่าไม่ใช่แค่นอร์ธวินด์  แต่คนอื่นๆ  ก็คิดเหมือนกัน  และก็ไม่มีใครคิดเตือนเลยแม้แต่น้อย  ก็คิดว่าเป็นของขวัญตอนเช้าก็แล้วกัน

“พอตื่นนอนก็จะเบลอแบบนั้นตลอดแหละ  แต่ก็ถือว่าดีกว่าที่ข้าเจอ”  วารันเสริมขึ้น  “ครั้งก่อนตอนไปปลุก  จู่ๆ  ก็โดนคว้าคอไว้  เกือบจะควบคุมไม่อยู่เหมือนกัน...”

“โรคจิตนะ”  ทั้งสามคนเอ่ยขึ้นพร้อมกันทันที

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน”  แต่มังกรหนุ่มกลับไม่แยแสแล้วดื่มเหล้าต่อไป  หลังจากถกประเด็นเรื่องฝ่าบาทกันไปหลายชั่วโมง  ในที่สุดพวกเขาก็กลับ

ที่พักประจำของพวกเขาคือในปราสาท  เพื่อดูแลฝ่าบาท  ในยามดึกดื่นเช่นนี้มันเงียบสงบ  มีเพียงทหารยามเฝ้าอยู่ประปราย  ห้องของโซแวนค่อนข้างอยู่ห่างจากคนอื่น  เช่นนั้นเขาจึงแยกไปคนเดียว  ระหว่างทางกลับเห็นใครบางคนเดินออกมาจากห้องของทีอารีน

“โอ๊ะ  แปลกใจจัง  ยังไม่นอนหรือ?  องค์ชาย”  ตรงหน้าเขาคือเจ้าชายครีออน  น้องชายของทีอารีนผู้เพิ่งได้คืนสู่บ้านเกิด  หลังจากพักรักษาตัวแล้วก็มักจะมาช่วยผู้เป็นพี่ว่าราชการบ่อยๆ  และทักษะการต่อสู้นั้นก็เยี่ยมยอดสมที่องค์ราชาเคยโม้ไว้

ครีออนเพียงแค่มองเขาด้วยแววตาเรียบนิ่งแล้วไม่สนใจทำให้โซแวนอดขำไม่ได้

“มีอะไรน่าขำ”  เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายพูดกับเขา  องค์ชายหนุ่มที่ทีแรกตั้งใจจะเดินหนีหันกลับมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“ขอประทานอภัยด้วยองค์ชาย”  โซแวนหันกลับมาน้อมศีรษะให้อีกฝ่าย  “ข้าเพิ่งนึกได้ว่าท่านไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนอื่น  ขนาดได้กลับคืนสู่บ้านเกิดยังไม่ดีใจเลย  เช่นนั้นแล้วการพบกันอย่างบังเอิญเช่นนี้ของพวกเรา  ท่านคงไม่มีกะจิตกะใจจะร่วมด้วย”
“นั่นคือสิ่งที่เจ้าจะพูด”  ครีออนถามขึ้นเสียงเรียบก่อนจะทำเป็นไม่สนใจและหันหลังกลับ

“อื้ม  ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าอีกแล้ว  หรือให้พูดกันตามตรงคือเราทั้งคู่คงไม่อยากเสวนากันเท่าไร  ขออภัยที่รบกวน”  โซแวนเอ่ยไล่หลังอีกฝ่ายที่กำลังจะจากไป  แต่จู่ๆ  ครีออนก็หยุดชะงัก

“แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่จะคุยกับเจ้า”  คำพูดของอีกฝ่ายทำให้โซแวนเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ  ขณะเดียวกันครีออนก็หันมาหาเขาด้วยดวงตาที่ทอความรู้สึกไม่ชอบใจและแผ่รังสีสังหารออกมารอบๆ

“อย่ามายุ่งกับเสด็จพี่ให้มากนัก  เจ้าสัตว์ประหลาด”

โซแวนที่ยิ้มค้างจากตอนที่พูดเล่นกับอีกฝ่ายยืนนิ่งทันที  ครีออนเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง  จนกระทั่งลับร่างของอีกฝ่ายแล้วชายหนุ่มก็เลิกทำเป็นใจดีสู้เสือแล้วสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“เจ้าตัวอันตรายเอ๊ย”

โซแวนเดินต่อไปสักพักแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้  ใครบางคนกำลังยืนเหม่อมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอยู่ไม่ไกลจากห้องของเขา  รูปร่างนั้นชัดเจนว่าเป็นผู้วิเศษซึ่งหันมายิ้มทักทายเมื่อรู้ว่ามีคนมา

“นี่มันวันอะไรกัน  บนทางเดินนี้ข้าต้องเจอกับสองคนที่ไม่อยากเจอมากที่สุด”  โซแวนอดไม่ได้ที่จะพึมพำถามกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ

“ดึกดื่นเช่นนี้ยังไม่หลับอีกหรือ”

“เจ้าทะเลาะอะไรกับเขา”  ชายหนุ่มชิงถามขึ้นทันที

“นึกว่าเขาจะบอกไปแล้วเสียอีก”  ผู้วิเศษพึมพำขึ้นก่อนที่จะสวนกลับมาว่า  “เจ้าก็น่าจะรู้  เรื่องที่เกิดขึ้นที่อัลทอเบียยังไงข้าก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา”

“แต่นั่นเป็นเพราะราชาฝั่งนั้นเล่นสกปรก  และเจ้าก็น่าจะรู้...ทีอารีนคงไม่ยอมแน่ถ้าน้องชายเป็นอะไร  เขาทำได้ทุกอย่าง”  โซแวนบอกเหตุผลขึ้นก่อนจะถามขึ้นลอยๆ  อย่างไม่เข้าใจ  “ทำไมกัน”

“เพราะท่านครีออนเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่กระมัง”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเสียงเบาโหวง  ดวงตาหลุบต่ำลงขณะนึกถึงเรื่องของทีอารีน  “ฝ่าบาทน่ะ  ตอนเด็กก็สูญเสียพระมารดาไป  ต่อมาก็ถูกผู้คนรังเกียจ  พระบิดาที่เคยรักมากก็หักหลังและโดนฆ่าไป  เหลือแต่ท่านครีออนที่เป็นน้องตามสายเลือดที่แท้จริง”

“แล้วถ้าครีออนเป็นอะไรไปล่ะ”

“เจ้าก็น่าจะพอเดาได้”  ผู้วิเศษตอบสั้นๆ  ก่อนที่จะเดินมาหาโซแวน  ฝ่ามือเรียวแตะลงที่ไหล่ของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยออกมา  “และเพราะฝ่าบาทคงจะไม่ยอมปล่อยมือ  เจ้าเองก็อย่าปล่อยมือจากเขาล่ะ”

“วางใจข้าแล้วหรือ?”  โซแวนเลิกคิ้ว  ตลอดมาในบรรดาผู้ถูกเลือกระดับสีทองเขาเป็นคนที่ผู้วิเศษไม่ชายตาในเรื่องที่ดีสักเท่าไหร่  ส่วนใหญ่จะเป็นการจ้องจับผิด  ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร  เรื่องนั้นเขาก็รู้ดี

“ข้าหวังว่าเจ้าจะเปลี่ยนใจมาเชื่อฟังข้าบ้าง”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  แต่เขาไม่แยแสและปัดมืออีกฝ่ายออก  “ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือเขาข้าก็ไม่สนทั้งนั้น  ข้าตัดสินใจเองได้” 

โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนจะตวัดตัวเดินออกไป  รู้สึกว่าศีรษะปวดหนึบขึ้นมา  น่าจะเป็นเพราะการท้าทายจาก  ‘เขา’  ที่อาศัยอยู่ในป่าต้องห้าม  แม้จะห่างกันแต่อีกฝ่ายก็คงรู้ความเป็นไปได้

ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของทีอารีนอีกครั้ง  บนระเบียงทางเดินที่เงียบสงบนั้น  เขานึกถึงคำพูดที่ผู้วิเศษเคยบอกไว้ยามที่ถามไปว่าทำไมถึงไม่พูดความจริงกับเด็กหนุ่ม

“เพราะฝ่าบาทยังไม่พร้อมกับการสูญเสีย...”  นั่นเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความห่วงหา  ก่อนที่เจ้าตัวจะหันออกไปมองหน้าต่างและเอ่ยอย่างเลื่อนลอยว่า  “และข้าเองก็ยังไม่พร้อมกับการสูญเสียเหมือนกัน”

โซแวนถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด  เขาพอจะรู้ต้นสายปลายเหตุแต่ก็พูดอะไรออกมาไม่ได้  เพราะร่างกายยังไม่เป็นอิสระ 

ชายหนุ่มหยุดชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงเพลงที่คุ้นเคย  ดวงตาสีทองเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะหันออกไปมอง  ด้านนอกปราสาท  ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม  แต่ตรงหน้าต่างนั้นกลับมีบางอย่างตกอยู่

ดอกไม้สีขาวที่แสนบอบบาง  เมื่อแรกเห็นความทรงจำในอดีตของเขาพลันผุดขึ้นมาเหมือนถูกกระตุ้นให้จำได้  ให้ทวนซ้ำถึงความสำคัญของตัวเอง  เหตุใดถึงยังมีชีวิตอยู่และถึงมาที่นี่

ดอกคาเมเลียร์สีขาว...ใครบางคนสอนว่าหมายถึงการรอคอย

โซแวนถอนหายใจ  รู้สึกประหลาดขึ้นมาเมื่อพบว่ามันหายไปแล้ว  แต่เพียงแค่เห็นก็พลันทำให้เขาเกิดนึกขึ้นได้

บนโลกนี้ยังมีอีกหลายคนที่กำลังรอคอย  ทั้งตัวเขา  ทีอารีน  ผู้วิเศษ  หรือแม้กระทั่ง...พระเจ้าของเขา

รอวันเวลาที่ความปรารถนาของตนจะเป็นจริง

-----------------------------------
ผู้ชายเรื่องนี้เต็มไปด้วยปริศนา \(-w-)/
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 16>
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 05-03-2018 18:45:28
อัพไวมากเลยค่ะไรท์ อ่านจุใจมากเลย มีความรู้สึกว่า โซแวนน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับปฐมกษัตริย์ที่หายสาบสูญไป
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 16>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 13-03-2018 19:42:00
บทที่ 17
จุดพลิกผัน
   อาณาจักรคาร์ไลน์กำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง  บ้านเมืองประดับตกแต่งด้วยโคมไฟสีและธงริ้วเต็มท้องถนน  ยามกลางคืนเช่นนี้ทั่วทั้งเมืองสว่างไสวแข่งกับหมู่ดาวบนฟ้า  ประชาชนพากันเดินเที่ยวในย่านการค้าและเริ่มมีการแสดงที่ลาน  สร้างความสนุกสนานให้กับชาวเมืองเนื่องด้วยงานคล้ายวันประสูติของพระราชา...ซึ่งก็คือข้า

“กราบทูลฝ่าบาท  เมื่อสักครู่นี้  จดหมายจากเจ้าหญิงแห่งซานารีเพิ่งส่งมาถึงขอรับ”  ท่านเสนาธิการเอ่ยขึ้นหลังจากที่ข้าเตรียมกลับไปที่ห้อง  จดหมายซองสีขาวตราแผ่นดินซานารีถูกมอบมาให้  เนื้อความในนั้นหลังจากอ่านแล้วก็พบว่าเป็นการชี้แจ้งและยืนยันว่าจะมาเข้าร่วม

“เตรียมห้องใหม่ไว้เพิ่มอีกสาม  สำหรับองค์หญิงหนึ่ง  ที่เหลือเป็นข้าราชบริวาร  อย่าลืมว่าต้องให้เสร็จก่อนบ่ายวันพรุ่งนี้นะ”  ข้าสั่งกับเขาเสริมไป  ท่านเสนาฯ  พยักหน้ารับก่อนที่จะโค้งเคารพข้าแล้วถอยออกไป

หลังจากแน่นอนแล้วว่าไม่มีงานเหลือแล้วจึงได้กลับไปที่ห้องโดยมีเร็นนำทางไป  เขาอยู่ช่วยข้าจนกระทั่งเวลาล่วงไปสักพักจึงเอ่ยขึ้นมาว่า  “พรุ่งนี้ก็จะถึงวันคล้ายวันประสูติแล้วนะขอรับ  รู้สึกยังไงบ้างขอรับ”

“เฉยๆ...”  ข้าตอบไปตามความจริงทำให้เร็นอดหัวเราะออกมาไม่ได้แล้วถามข้ากลับ 

“ทำไมล่ะขอรับ”

“ไม่รู้สิ  ข้าไม่มีงานฉลองมาเกือบหกปีได้แล้วเลยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง  อีกอย่างหนึ่ง...”  ข้าพูดค้างไว้เพื่อถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา  “ผู้วิเศษก็เป็นคนบอกข้าเองว่าเมื่อข้าอายุครบสิบแปดแล้วจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น”

เร็นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยออกมา  “ข้าคิดว่ามันคงไม่เลวร้ายเท่าไร...”

“ใครจะรู้...”  ข้าไหวไหล่ให้กับคำตอบของตัวเอง  ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  แม้กระทั่งผู้วิเศษ  เขาทราบชะตากรรมของผู้อื่น  แต่ต้องเป็นชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้แต่แรกโดยพระเจ้าเท่านั้น  หากเกิดการเปลี่ยนแปลง  เขาก็ไม่อาจทราบได้แน่ชัด  เพราะแบบนั้นหลายครั้งเขาจึงมักจะพูดอะไรที่ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดออกมา

“บางทีข้าก็ไม่เข้าใจผู้วิเศษ...”  เร็นพึมพำขึ้นอย่างเหม่อลอยขณะที่เดินมาสวมเสื้อคลุมนอนให้ข้า  “เขาเหมือนจะดูแลท่าน  ให้ความสำคัญกับท่าน  แต่บางที...เขาก็ทำให้ท่านต้องไปเจอเรื่องอันตราย”

สิ้นเสียงของเขา  ทั้งห้องก็มีแต่ความเงียบ  ข้ากำลังใช้ความคิด  เร็นก็คงจะเหมือนกัน  ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นข้าที่ถอนหายใจออกมา  “ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”

“แต่เราก็คงรู้ในไม่ช้า...”  ข้าเอ่ยออกไปเช่นนั้นเพราะในวันพรุ่งนี้  ผู้วิเศษบอกจะเล่าความจริงบางอย่างให้ข้าฟัง

เร็นโค้งเคารพให้ข้าพร้อมกับจุมพิตลงบนฝ่ามือแล้วเดินออกไป  ข้าจึงทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง  ครุ่นคิดไปถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง...

ข้าไม่เคยได้ฉลองงานวันเกิดมานานมากแล้ว  มากพอจะจำไม่ได้ว่าควรทำยังไง  ก็คงนับตั้งแต่ถูกคำสาปนั่นจนไม่มีใครเหลียวแลข้านั่นแหละ  ทุกปีก็ทำแค่บวกอายุเพิ่มไปอีกหนึ่งปีและรับของขวัญจากครีออน  เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เกลียดข้า

“ฝ่าบาท...”  ทว่าขณะที่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่นั้น  เสียงเรียกหนึ่งก็ดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องจะถูกเคาะ  ข้าลังเลอยู่สักพักแล้วไปเปิดเนื่องจากรู้ว่าเป็นอาคีรัส  ทันทีที่เห็นหน้าของเขาก็อดทำให้ข้าแปลกใจไม่ได้

“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”  อาคีรัสมองมาที่ข้าด้วยดวงตาสีทองที่รื้นไปด้วยน้ำใส  เขาเม้มปากแน่นก่อนจะยกมือทั้งสองข้างมากอดข้าไว้แล้วปล่อยโฮ  ทำให้ข้าตกใจ 

“จะ...ใจเย็นก่อน  ยังไงก็เข้ามาแล้วบอกสิว่าเกิดอะไรขึ้น”

ข้าพยายามลากอีกฝ่ายที่ตัวใหญ่กว่าเข้ามาข้างในแล้วปิดประตู  อาคีรัสใช้เวลาสักพักก็เงียบได้ก่อนจะบอกว่า  “ข้าฝันร้าย...”

คำตอบนั้นทำให้ข้าเงียบไปครู่หนึ่ง  ปกติถึงอาคีรัสจะดูเหมือนเด็ก  แต่เขาไม่เคยแสดงท่าทีออกมาแบบนี้  อย่างน้อยนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขาร้องไห้ออกมาด้วยใบหน้าหวาดกลัว  ขณะที่กำลังคิดหาสาเหตุอยู่นั้นจู่ๆ  เขาก็ดึงข้าเข้าไปแล้วกอดแน่น

“ข้าฝันเกี่ยวกับท่าน...มันน่ากลัว...”  เขาเอ่ยออกมาเสียงสั่น  คำพูดนั้นทำให้ข้ารู้สึกหน่วงขึ้นมา  ผู้วิเศษเคยเล่าว่าอาคีรัสมีพลังความฝัน  เขาจะไม่ค่อยฝัน  เพราะฝันแต่ละครั้งนั้นเป็นสัญญาณเตือนถึงเรื่องร้าย

ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน 

“ไม่ต้องร้อง”  ข้าเอ่ยปลอบออกไปพร้อมกับลูบหัวอย่างอ่อนโยน  “ข้าอยู่ตรงนี้  ไม่เป็นอะไรแล้ว  ไม่ต้องกังวล”

ข้าเม้มปากแน่นยามเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป  ใช่แล้ว  ข้าแค่ต้องการปลอบเขา...ด้วยคำโกหก  ไม่รู้ว่าเขาจะแยกออกไหมว่ามันคือคำหลอกลวง  แต่ท้ายที่สุดแล้วอาคีรัสก็หยุดร้องจากนั้นก็ปล่อยข้า

“ข้านอนที่นี่ได้ไหม”  เขาถามขึ้น  แววตาที่เหมือนเด็กไร้เดียงสาของเขาหายไปแล้ว  อาจเพราะความกังวลที่อยู่ในจิตใจ  นั่นทำให้ข้าเองก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

ข้ายกยิ้มก่อนจะอนุญาต  “ได้สิ  นอนข้างข้า...ช่วยปกป้องข้าที”

คำพูดนั้นข้าเอ่ยออกมาจากใจเพื่อให้เขาหายกังวล  เพราะรู้จุดประสงค์ของเขาดี  อาคีรัสยกยิ้มขึ้นก่อนจะขานรับด้วยสีหน้าแจ่มใสว่า  “แน่นอนขอรับ  คืนนี้ข้าจะปกป้องท่านเอง”

ข้ายิ้มให้เขาก่อนจะชักชวนให้นอน  พอมีอาคีรัสอยู่ข้างๆ  แล้วทำให้ความกังวลผ่อนคลายลงบ้าง  แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้

ถ้าหากพรุ่งนี้มีบางอย่างเกิดขึ้น  ข้าก็จะใช้เวลาคืนนี้ในการเตรียมใจ  และเก็บความคิดบางอย่างไว้เพื่อไม่ให้คนข้างๆ  ต้องเป็นกังวล

ใครจะรู้...นี่อาจจะเป็นคืนสุดท้ายของชีวิตข้าก็ได้...

...

ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ดีใจที่ถึงวันเกิดที่มีงานฉลองรออยู่ด้านนอก  แถมยังคิดมากจนเมื่อคืนเกือบไม่ได้นอนอีก  เร็นกับคาร์ริต้าเข้ามาในห้องตอนเช้าพร้อมกับช่วยข้าเปลี่ยนชุด  เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่เจออาคีรัสอยู่ข้างๆ  แต่พอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกไปทั้งคู่ก็เข้าใจได้ในทันที  และตามมาด้วยความกังวล...

ทั้งนอร์ธวินด์  วารัน  หรือแม้กระทั่งโซแวนที่เข้ามาภายในห้องทีหลังด้วยจนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศหดหู่เต็มห้อง

“เฮ้อ...”  ในที่สุดข้าก็ถอนหายใจออกมา  “นี่วันเกิดข้านะ  ไม่ใช่วันตาย  ควรดีใจสิ  อย่ามาทำหน้าตาหดหู่แบบนี้อีก”

“เจ้าเองยังกังวล...”  โซแวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทำให้ข้าหันไปยิงเขี้ยวใส่เขา  “เจ้าน่ะ  หุบปากไปเลย”

พวกเขาคุยกันอยู่สักพักจนในที่สุดก็ถึงเวลาจึงพาข้าออกมา  ที่ด้านล่างของลานพิธีกลางเมืองนั้นมีผู้คนเนืองแน่นไปหมดเพื่อรอการมาของข้ารวมทั้งครีออนและซีวาล  พิธีดำเนินต่อไปโดยมีผู้วิเศษเป็นแกนนำ  เขาอวยพรให้ข้าด้วยพรวิเศษก่อนที่เสียงฮือฮาจะดังขึ้น  ผู้คนที่อยู่ด้านล่างมองไปทิศทางเดียวกัน  ข้าจึงได้หันไป

บันไดที่ทอดยาวขึ้นมาบนลานพิธีที่ไม่ควรจะมีใครขึ้นมาได้นอกจากข้า  ผู้วิเศษ  และเหล่าผู้ติดตามบัดนี้มีบุคคลหนึ่งกำลังขึ้นมา  ทั้งตัวคลุมด้วยผ้าคลุมดำมิดชิด  รูปร่างและความสูงนั้นทำให้ข้าพอจะแน่ใจได้ว่าเป็นใคร

ฝ่ายนั้นยกยิ้มขึ้นก่อนจะปลดหมวกผ้าคลุมออก  เผยให้เห็นดวงตาและเส้นผมสีดำ  เขาผายมือไปข้างๆ  ก่อนจะวาดกลับมาและโค้งตัวลง 

“ถวายบังคมฝ่าบาท  เป็นเกียรติที่ได้พบกันอีกครั้ง”

“ลูซัส!”  เสียงของผู้วิเศษดังขึ้นก่อนที่เขาจะก้าวมายืนตรงหน้าข้า  ส่วนพวกโซแวนเองก็เรียกอาวุธออกมาแต่เขากลับเตือนขึ้น  “พวกเจ้ายังต่างกับเขา  อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด”

ลูซัส...  ข้าคุ้นชื่อนี้อย่างประหลาด  อาจจะเป็นเพราะช่วงหนึ่งพยายามตามหาข้อมูลของปฐมกษัตริย์จนในที่สุดก็เจอชื่อของเขา  และชื่อของพี่ชาย...ผู้ที่เปิดประตูอสูรออกมา 

ลูซัส  คาร์ไลน์  นักบวชที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้วกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกข้า  เขายกยิ้มขึ้นก่อนจะหันไปบอกกับผู้วิเศษ

“เจ้า...ผู้วิเศษ  เขายังเด็กอยู่แท้ๆ  แต่เจ้ากลับใช้งานเขาเกินตัวแบบนี้มันค่อนข้างจะโหดร้ายไปนะ”

“ข้าไม่ได้ใช้งานเขา”  ผู้วิเศษปฏิเสธเสียงเรียบก่อนที่อีกฝ่ายจะไหวไหล่ 

“อ๋ออย่างนี้นี่เอง  งั้นก็หมายความว่า...ท่านน่ะอ่อนแอเองสินะ”  ประโยคสุดท้ายเขาหันมามองข้าด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก  “ฝ่าบาท  ข้าจะแสดงอะไรให้ดูไหม...ว่าพลังของท่านน่ะยังอ่อนแอ”

สิ้นเสียง  เขาก็ยกมือขึ้นแล้วรวบรวมไฟสีดำไว้ที่ฝ่ามือก่อนจะส่งขึ้นไปข้างบน  ทันทีที่สัมผัสกับข่ายเวทคุ้มครองดินแดนก็ทำให้มันสลายไปในพริบตา  ประชาชนส่งเสียงกรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงคำรามของอสูร  ข้าทรุดตัวลงทันทีเพราะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาในหัว  เป็นเพราะข่ายเวทถูกทำลายไป

“เป็นเช่นนี้แล้วยังคิดว่าจะปกป้องประชาชนได้อยู่หรือ”  เสียงพูดนั้นดังก้องอยู่ในหัว  ข้าตระหนักได้ว่าลูซัสนี่เองที่เคยป่วนข้าด้วยการโทรจิต

ข้ารู้สึกได้ถึงบรรยากาศน่ากลัวจากเขา  แม้ว่าอีกฝ่ายจะเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้มแต่นั่นไม่ใช่สัญญาณของความเป็นมิตร

“หยุดแค่นั้นแหละ  ลูซัส”  ผู้วิเศษตะเบ็งเสียงขึ้นพร้อมกับวาดเส้นแสงสีทองโจมตีใส่อีกฝ่าย  แต่ลูซัสกลับสามารถปัดออกไปได้และยกมือขึ้น 

“เจ้า  และพวกสัตว์ประหลาดนี่ไม่ใช่คู่มือของข้า”

เขาดีดนิ้วข้างที่ชูขึ้นไป  ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาผู้วิเศษอย่างรวดเร็วจนเขากระเด็นล้มลงไป  ขณะที่ข้ากำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมรับมือนั้น  รอบข้างก็ถูกล้อมไว้ด้วยอสูร

ข้าสัมผัสได้ว่าพวกมันคืออสูร  แต่รูปลักษณ์นั้นใกล้เคียงกับคนจนเกือบแยกไม่ออก  อีกทั้งพลังงานที่ออกมานั้นก็เข้มข้นกว่าที่เคยพบ  โดยไม่รอช้า  พวกนั้นตรงเข้าโจมตีพวกโซแวนทันที

ทั้งผู้วิเศษและเหล่าผู้ติดตามต่างก็ต้องรับมือกับพวกมัน  แม้จะรู้ว่าเป็นแผนล่อแต่จากสีหน้าของแต่ละคนก็รู้ว่าตึงมือ  ข้ากัดฟันกรอดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูซัสเพียงลำพัง  อีกฝ่ายเป็นจอมเวทที่อยู่มานานนับพันปี  และคงจะไม่ได้อยู่เฉยๆ  พลังของเขาต้องแข็งแกร่งมากถึงทำลายข่ายเวทลงได้

“สุขสันต์วันเกิดครบรอบสิบแปดปีนะพ่ะย่ะค่ะ  ฝ่าบาท”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงยียวนและรอยยิ้มประหลาด  ทันใดนั้นลูซัสก็สะบัดมือข้างหน้าทำให้มีโซ่สีดำพุ่งเข้ามาหาตัวข้า  แต่ข้าสามารถกางโล่ป้องกันไว้ได้  ทั้งพลังของอีกฝ่ายและของข้าสลายไปพร้อมกัน

ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้หยุดแค่นั้น  เมื่อโล่ของข้าสลายไปแล้วเขาก็พุ่งตรงเข้ามาด้วยความรวดเร็ว  แม้ว่าข้าจะกางข่ายป้องกันไว้แล้วแต่เมื่อมือของเขามาสัมผัสมันก็แตกสลายไปในพริบตา

ขณะที่ข้ากำลังตกตะลึงอยู่นั้น  ลูซัสก็หยุดอยู่ตรงหน้าข้าในระยะที่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งช่วงมือ  เขายื่นมือข้างหนึ่งมาโอบหลังข้าและใช้อีกมือมาสัมผัสที่แผงอก  รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

“ของขวัญ...สำหรับท่าน”

“ฝ่าบาท!”  เสียงร้องเรียกของผู้วิเศษดังก้องขึ้น  เขารีบวิ่งเข้ามาแต่กลับถูกข่ายเวทและอสูรกันไว้  ลูซัสแสยะยิ้มและจิกเล็บเข้าในผิวเนื้อของข้าจนรู้สึกเจ็บจนกรีดร้องออกมา  รู้สึกเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยเวทที่มองไม่เห็นและถูกกระชากบางอย่างออกมา  เส้นแสงสีทองลอยค้างอยู่ในมือของอีกฝ่ายที่ดึงออกจากอกก่อนที่มันจะถูกขยี้และสลายไป

ข้ารู้สึกเบาโหวงทันทีก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ลุกลามไปทั่วร่าง  ลูซัสปล่อยให้ข้านั่งอยู่กับพื้น  ก่อนจะหันไปหาผู้วิเศษแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“น่าขำดีนะ  เจ้าทำลายคำสาปของข้าไม่ได้  แต่ข้าทำลายคำสาปของเจ้าได้  เห็นหรือยังว่าใครเก่งกว่ากัน”

ข้าชาวูบไปทั้งตัว  หากเมื่อกี้ที่ถูกดึงออกไปคือคำสาปของผู้วิเศษ  หมายความว่าที่กำลังลุกลามข้าอยู่ตอนนี้...

“อึก  ไม่...ไม่นะ”  ข้ากอดตัวเองไว้แน่น  ร่างกายสั่นสะท้านไปหมดด้วยความกลัว  คล้ายกับทุกสิ่งรอบตัวหยุดนิ่ง  และสายตาที่จ้องมองมานั้น...

“อย่า...” 

ข้ารู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่กลับมาเป็นเหมือนก่อน  ที่ถูกผู้คนรอบข้างหมางเมิน  ถูกใส่ร้ายหรือแม้กระทั่งการลอบทำร้าย  ข้าจดจำมันได้เป็นอย่างดี

ความรู้สึกที่ถูกเกลียดชัง

ข้าไม่กล้าสบตาใครสักคนและได้แต่ก้มหน้านิ่ง  ทั้งกลัวและไม่ต้องการรับรู้  ที่ผ่านมาเวลาคำสาปเกลียดชังทำงานนั้นก็ไม่เคยมีใครคิดดีกับข้าสักคน  และเพราะแบบนั้นข้าจึงกลัว...กลัวจนอยากร้องไห้ออกมา

และยิ่งพบเจอกับความสุขที่เคยมีคนรักทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมากกว่าเดิม  เพราะตอนนี้รอบกายข้าคือคนที่เคยรักข้า...แม้จะเป็นเพราะคำสาปของผู้วิเศษ  แต่...

แต่ข้าก็ไม่อยากรับรู้ว่าคนที่ข้ารักกำลังเกลียดข้า

“ผู้วิเศษ  ข้าไม่เข้าใจจริงๆ  ว่าทำไมต้องเอาใจเด็กคนนี้นักหนาด้วย”  เสียงของลูซัสดังขึ้น  ข้าไม่รู้ว่าเขากำลังทำสีหน้าอย่างไร  แต่ต่อมาเจ้าตัวก็หัวเราะก่อนจะเอ่ยออกมาว่า  “แต่สุดท้ายก็ต้องขอบคุณเจ้านั่นแหละที่ทำให้แผนของข้าดำเนินไปอย่างเรียบง่าย”

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”  เสียงของผู้วิเศษดังขึ้น  ทำให้ข้าสะดุ้งเฮือก  แม้อยากจะเงยหน้าขึ้นไปมองแต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอ  ทั้งประชาชนที่อยู่รอบๆ  ต่างก็ส่งสายตารังเกียจมาให้ยิ่งทำให้ข้าวิตก

“เอ้า  ฝ่าบาท  ดูสิ  ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ข้างท่านสักคน  แล้วจะก้มหน้ายอมรับชะตากรรมแบบนี้ต่อไปหรือ  คิดดีแล้วหรือที่จะปล่อยพวกเขาไว้แบบนี้”  ลูซัสเอ่ยขึ้นก่อนจะกระชากเส้นผมข้าบังคับให้เงยหน้าขึ้น  “ท่านตัดสินใจสิ  ว่าจะอยู่แบบนี้ต่อไป  ถูกรังเกียจต่อไป  หรือจะฆ่าพวกมันให้หายไปให้หมด”

ข้าเบิกตากว้างด้วยความตะลึง  ยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรอีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นอีกว่า  “ข้าจะไม่รังเกียจท่าน  และอสูรจะทำให้ท่านสมปรารถนาเอง  ว่ายังไง  ท่านราชาตกบัลลังก์”

อา...จะว่าไปหากคำสาปกลับมาแบบนี้ก็คงไม่มีใครอยากให้ข้าเป็นราชาแล้ว  พวกเขา...ทุกคนที่รังเกียจข้า  ควรที่ข้าจะปกป้องจริงๆ  หรือ?

“เอามือออกห่างจากฝ่าบาทเดี๋ยวนี้นะ!”  เสียงตะโกนดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงคล้ายแก้วแตกทำให้ลูซัสตะลึงค้างก่อนที่เขาจะผละออกตอนที่กำลังจะถูกโจมตีด้วยไฟ  และข้าก็ถูกใครบางคนโอบกอดไว้ด้วยสองมือ 

อาคีรัส...

เขากอดข้าแน่น  ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ลูซัสด้วยความโกรธแค้น  รอบข้างเต็มไปด้วยเปลวไฟเป็นเส้นสายวนรอบๆ  แต่กลับไม่รู้สึกร้อน  และหากข้าไม่ได้ตาฝาด  ผมของเขายาวขึ้นและเปลี่ยนเป็นสีคล้ายเปลวเพลิง

“เจ้า...ไม่ได้เกลียด...”  ข้าเอ่ยออกไปด้วยความสับสน  แต่แรกข้าคิดว่าจะไม่มีใครอยู่ข้างข้าแล้ว  แต่อาคีรัสยังเป็นเหมือนเดิม  เขาหันกลับมาด้วยใบหน้าไร้เดียงสาก่อนจะฉีกยิ้ม 

“ข้าสัญญาแล้วนี่ว่าจะปกป้องท่าน”

“ใครเขาจะเกลียดเจ้ากัน?”  โซแวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้  ตัวเขาเต็มไปด้วยเลือด  “ข้าสาบานไปแล้วนี่”

“ผมสาบานไว้แล้วว่าต่อให้ฝ่าบาทกลายเป็นตาแก่หนังเหี่ยวก็จะยังรักนะขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนที่คาร์ริต้าจะเสริมขึ้นเช่นเดียวกัน

“ดิฉันเองก็เคยสาบานไว้แล้วว่าจะปกป้องท่านให้ถึงที่สุด”

“ฝ่าบาทน่ารักออกขนาดนี้ใครจะรังเกียจลงล่ะขอรับ”  นอร์ธวินด์เอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใสขึ้น  แม้ตัวเขาจะบาดเจ็บแต่ก็ยังมายืนอยู่ข้างข้าอีกคน  วารันไม่ได้พูดอะไรอาจจะเพราะเหนื่อยจากการต่อสู้แต่เขาก็คุกเข่าลงข้างข้าแล้วลูบศีรษะทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้น  ก่อนที่จะลุกขึ้นไปยืนอยู่ด้านหน้าพร้อมกับอาคีรัส

“ไม่ต้องห่วงไปหรอก  พวกข้าไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหนแน่”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนที่พวกเขาจะตั้งท่าต่อสู้อีกครั้ง

พวกเขาหันหลังให้ข้า  แต่ไม่ใช่การเมินหนี  พวกเขาอยู่ตรงนี้...อยู่ข้างข้า  เพื่อปกป้อง  ทั้งๆ  ที่ข้า...ทั้งที่ข้าคิดมาตลอดว่าพวกเขาเป็นแค่หุ่นเชิดที่รักข้าเพราะคำสาปของผู้วิเศษ  และคงจะเกลียดข้าถ้าหากคำสาปเกลียดชังทำงาน

แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าตัวเองนั้นคิดผิดมาตลอด  พวกเขา...เป็นคนที่ข้าสามารถรักได้จริงๆ

“พวกเจ้า...ฮึก...”  ข้าอยากเอ่ยขอบคุณพวกเขา  แต่เพียงพูดออกไปแค่คำแรกหยาดน้ำตาก็ไหลรินออกมาทันทีจนข้ากลั้นสะอื้นออกมาไม่ไหวและร้องไห้ออกมาในที่สุดด้วยความรู้สึกอารมณ์หลายอย่าง  ทั้งตื้นตัน  ดีใจ  และอบอุ่น

“บ้าเอ๊ย”  ลูซัสสบถขึ้นทันทีด้วยความโมโห

“เสียใจด้วยนะ  แต่ข้าก็ไม่ได้ทำให้แผนของเจ้าดำเนินไปได้ด้วยดีหรอก”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นก่อนที่เขาจะไปยืนอยู่ตรงหน้าพวกโซแวน  “และอสูรที่เจ้าพามาด้วยก็ไม่ได้คณามือพวกข้าหรอก”

“หึ  อย่าได้ใจไปเลย”  เพียงแวบเดียวเขาก็กลับมาทำสีหน้าปกติได้อีกครั้ง  ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า  “ยังไงคำสาปก็ยังคงดำเนินต่อไป  สัตว์ประหลาดพวกนั้นจะเอามาเทียบกับคนทั้งโลกได้หรือ  แล้วคิดว่าจะปกป้องเด็กคนนั้นไปได้ตลอดงั้นหรือ”

“ก็คงต้องรอดูกันต่อไป”

“อย่าคิดว่าข้าจะหยุดง่ายๆ  นะ”  ลูซัสกัดฟันกรอดก่อนที่จะหายตัวไป  รอบข้างตกอยู่ในความเงียบทันที  มีเพียงอาคีรัสที่พึมพำว่า  ‘หนีไปแล้ว’  ออกมา 

“ฝ่าบาทไม่เป็นอะไรนะขอรับ”  เร็นรีบหันกลับมาพยุงข้าทันทีพร้อมถามด้วยความเป็นห่วง  ข้ารีบส่ายหน้าเป็นคำตอบทันทีก่อนที่จะถามกลับไปเพราะสภาพพวกเขาแต่ละคนนั้นก็บาดเจ็บหนักเอาเรื่อง 

“พวกเจ้า...”

แกร๊ก! 

แต่แล้วข้าก็หยุดชะงักเมื่อรู้สึกได้ถึงวัตถุที่กลิ้งมาโดนเท้า  ก้อนหินขนาดกลางหยุดนิ่งอยู่ที่พื้น  แต่ยังมีอีกสองสามก้อนตกลงมาบนลานพิธี  และเริ่มเยอะขึ้น

ประชาชนที่อยู่รอบๆ  ส่งเสียงโวยวาย  เมื่อมีคนเริ่มก็เริ่มมีคนตาม  พวกเขาหยิบก้อนหินขึ้นมาปาใส่ข้าทันทีแล้วตะโกนออกมาว่า  “ออกไป!  ออกไป!”

“กรอด  เจ้าพวกนั้น...”

“ไม่เอาน่าวารัน”  นอร์ธวินด์ส่งเสียงเตือนขึ้น  เร็นรีบโอบกอดข้าไว้เพื่อป้องกันหินที่ถูกขว้างมาแล้วบอกว่า  “ยังไงก็กลับไปที่ปราสาทก่อนเถอะครับ”

พวกเขาพยักหน้าก่อนที่คาร์ริต้าจะใช้เวทเคลื่อนย้าย  เหลือทิ้งไว้แค่ผู้วิเศษที่คุมสถานการณ์ให้

ข้ามาถึงในห้องทันทีโดยไม่ต้องผ่านพวกทหาร  อดคิดไม่ได้ว่าสถานการณ์ในปราสาทจะเป็นเช่นไร  ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าก็แค่ถูกเมินเฉย  แต่ในตอนนี้แน่นอนว่าจะต่างออกไป  ถ้าขั้นเลวร้ายสุดข้าก็คงโดนประหาร

“ฝ่าบาท  ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นนะเพคะ  พวกดิฉันจะปกป้องท่านเอง”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้นพร้อมกับกุมมือทั้งสองข้างของข้าเอาไว้  ข้ายิ้มให้นางเป็นการตอบรับ  ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกทำให้พวกเขาหันกลับไปมอง

ครีออนรีบก้าวเข้ามาข้างในด้วยสีหน้าเป็นห่วงทันทีก่อนที่จะถามว่า  “เสด็จพี่  ไม่เป็นอะไรนะ”

“ครีออน”  ข้ารีบลุกขึ้นไปหาเขาทันทีก่อนจะสวมกอดแน่น  แม้ว่าคนทั่วจะได้รับผลจากคำสาปเกลียดชัง  แต่เพราะครีออนเป็นสายเลือดเดียวกันเลยไม่ได้รังเกียจข้า

“ข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหันไปทางคนอื่น  “พวกเจ้าไม่ได้รับผลจากคำสาปสินะ”

“ใช่แล้ว  เพราะไม่ได้เป็นมนุษย์น่ะ”  โซแวนตอบขึ้น  ก่อนที่ครีออนจะเอ่ยขึ้นว่า 

“งั้นก็ดีแล้ว  ต่อจากนี้คงต้องวานพวกเจ้าอีกแรงช่วยเสด็จพี่”

“ของมันแน่นอนอยู่แล้ว...”

ตึง!

ในขณะที่พวกข้ากำลังหาทางรับมืออยู่นั้น  จู่ๆ  ประตูห้องกลับถูกเปิดกระแทกเสียงดังก่อนที่ทหารจำนวนหนึ่งจะบุกเข้ามาในห้องนำโดยท่านแม่ทัพ

“ทีอารีน  เจ้าจงสละราชบัลลังก์เดี๋ยวนี้!”
------------------------------
ขออภัยที่หายไปนานค่ะ ทางนี้ค่อนข้างมีปัญหาเรื่องสัญญาณเน็ตนิดหน่อย ต่อจากนี้จะพยายามมาอัพให้บ่อยขึ้นค่ะ ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 17>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 17-03-2018 15:55:58
บทที่  18
สละบัลลังก์

“จงสละราชบัลลังก์เดี๋ยวนี้!” 


เสียงของท่านแม่ทัพดังก้องไปทั่วห้อง  หากยึดเอาสถานการณ์ตอนนี้ที่ข้าไม่สามารถดำรงตำแหน่งราชาได้แล้ว  เขาก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่มีอำนาจสั่งการมากที่สุด


ทหารหลายนายจ่ออาวุธมาทางข้าเพื่อป้องกันการหลบหนี  แต่นั่นทำให้พวกโซแวนไม่พอใจแม้แต่น้อย


“เจ้าพวกเวรนี่”  วารันสบถขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์และหมายจะเข้าไปโจมตี  ข้ารู้ดีว่าแค่เขาคนเดียวก็สามารถจัดการทหารทั้งหมดได้  แต่นั่นจะทำให้สถานการณ์บานปลาย


“วารัน  หยุด”  ข้าสั่งเสียงเรียบด้วยใบหน้าเรียบเฉย  ในตอนนี้ถ้าบุ่มบ่ามไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่  เกินกำลังกว่าที่ใครจะเข้ามาห้ามได้ 


ข้าต้องใจเย็นไว้ก่อน  อีกอย่าง...ข้าก็ไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน


“แต่มัน...”


“ข้า...จะสละบัลลังก์”  ข้าพูดออกไปอย่างชัดเจนขณะมองตรงไปข้างหน้า  พวกผู้ติดตามของข้ารวมทั้งครีออนต่างตกตะลึง  แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว  ข้าในตอนนี้หากจะดื้อดึงเป็นราชาต่อไปก็จะไม่สามารถควบคุมใครได้  ที่ชัดอยู่แล้วก็คือการที่ท่านแม่ทัพตั้งตนเป็นศัตรูแบบนี้  ทั้งที่เขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยสาบานว่าจะภักดีต่อข้าและคาร์ไลน์


“แต่มีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง”  ข้าเอ่ยขึ้นต่อทำให้ท่านแม่ทัพชักสีหน้าไม่พอใจแล้วสวนขึ้นทันที 


“เจ้ายังคิดต่อรองอีกหรือ!”


“กษัตริย์ของคาร์ไลน์จะต้องเป็นผู้สืบสายเลือดแต่โบราณกาลเท่านั้น!  เรื่องนี้ท่านก็น่าจะทราบดีท่านแม่ทัพ”  ข้าท้วงกลับไปก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างแน่วแน่  “ครีออนจะต้องขึ้นเป็นราชาคนต่อไป”


“เสด็จพี่!” 


“เจ้าเป็นคนเดียวที่จะสามารถปกครองคาร์ไลน์ได้”  ข้าเอ่ยขึ้นกับครีออน  ถึงเขาจะมีสีหน้าลำบากใจแต่นี่เป็นสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้ 


ครีออนเป็นทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่นอกจากข้า


“แต่...ข้าไม่อยากทำแบบนี้  มันเหมือนเป็นการแย่งท่าน...”


“ไม่เป็นไร”  ข้ายิ้มปลอบใจเขาก่อนจะบอกว่า  “นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว”


“เช่นนั้นท่านครีออนจะขึ้นเป็นราชาองค์ต่อไป”  ท่านแม่ทัพประกาศขึ้น  ก่อนที่จะปรายตามองมาทางพวกข้า  “ส่วนพวกเจ้าจะต้องไปอยู่ในคุก...”


“เสด็จพี่จะต้องอยู่กับข้า”  ครีออนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทันทีทำให้ท่านแม่ทัพแปลกใจ  เขาอ้าปากค้างก่อนที่จะก้มหน้านิ่ง


“ในฐานะราชาคนต่อไป  ข้าต้องการให้เขาอยู่ในปราสาท”  ครีออนชี้แจงขึ้นก่อนที่จะหันไปทางพวกโซแวน  “ส่วนพวกเจ้า  ข้าอยากให้อยู่ปกป้องเสด็จพี่ด้วย”


“รับทราบขอรับ”  เร็นเป็นผู้ที่รับคำสั่ง  ครีออนสั่งให้พวกทหารออกไป  แม้ท่านแม่ทัพจะยังระแวงข้าแต่เขาก็ยอมปล่อยให้พวกเราอยู่ตามลำพัง


ข้าพลันถอนหายใจขึ้น  แต่ก็ยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง  ไม่มีใครพูดอะไร  หลังจากทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้แล้วผู้วิเศษก็เดินเข้ามาทำให้ข้ารีบเข้าไปหาเขา


“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”  ข้าถามขึ้นทันที  เขาถอนหายใจสักพักก่อนจะบอกว่า  “พวกชาวบ้านสงบลงแล้ว  ผลของคำสาปทำให้พวกเขามีท่าทีแบบนั้น  และดูเหมือนว่ามันจะกำเริบขึ้นได้อีก”


“กำเริบ?”


“คำสาปจะทำให้ผู้คนคลั่งแล้วทำร้ายท่าน  หากมันกำเริบขึ้นอีกท่านอาจเป็นอันตราย”  ผู้วิเศษอธิบายสั้นๆ  ก่อนจะถามกลับ  “แล้วทางนี้?”


“ครีออนจะขึ้นเป็นราชาคนต่อไปเพื่อปกป้องคาร์ไลน์  เจ้าต้องช่วยเขาดูแลด้วย”  ข้าเอ่ยขึ้นกึ่งขอร้อง  ผู้วิเศษมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมรับแต่โดยดี  ครีออนเด็กกว่าข้าปีหนึ่ง  แต่ความคิดอ่านก็ดีกว่าในรุ่นเดียวกัน  เขาฉลาดและสุขุม  เป็นเลิศด้านการต่อสู้  เพียงแค่พลังเวทนั้นน้อยกว่าข้า


“เรื่องกางข่ายเวท  ข้าได้ใช้มนตร์ของตนเองกางไว้ชั่วคราวแล้วเพื่อไม่ให้เป็นภาระท่านครีออน”  ผู้วิเศษอธิบายก่อนที่จะหันไปหาครีออน  “แล้วต่อจากนี้หากมีปัญหาอะไรโปรดปรึกษาข้า...หรือเสด็จพี่ของท่านก็ได้”


“ขออนุญาตขอรับ  ท่านครีออน  ท่านผู้วิเศษ  ท่านแม่ทัพเรียนเชิญให้พวกท่านไปร่วมการประชุมขอรับ”  ระหว่างที่กำลังปรึกษากัน  จู่ๆ  ประตูห้องก็ถูกเปิดออกโดยทหารสองนาย  คนหนึ่งเอ่ยคำเชิญขึ้นทำให้ผู้วิเศษและครีออนต้องออกไปตามคำสั่ง  สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้พวกชาวบ้านเกิดความกังวลเกี่ยวกับอสูร  คงอยากจะเร่งการประกาศราชาคนใหม่ขึ้นมา


“เช่นนั้นข้าขอตัว”  ครีออนหันมาเอ่ยกับข้าก่อนจะโค้งลาไป  ส่วนผู้วิเศษมองรอบๆ  ครู่หนึ่งก่อนจะก้มมากระซิบกับข้าสั้นๆ 


“อย่าออกจากห้องไปเด็ดขาด”


เรื่องนั้นข้าคิดไว้อยู่แล้ว  การออกไปข้างนอกโดยพลการตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดี


เนื่องจากตอนนี้ยังมีเรื่องอสูรที่บานปลายขึ้นมาทำให้พวกเร็นเองก็ต้องออกไปจัดการให้เรียบร้อย  ดังนั้นพวกเขาเองก็ไม่สามารถอยู่กับข้าได้ตลอดจึงต้องผลัดเปลี่ยนเวรกัน


“ฝ่าบาท  แล้วข้าจะรีบกลับมานะขอรับ”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นทิ้งท้ายก่อนจะออกไป  ข้ามองตามพวกเขาก่อนจะแปลกใจเล็กน้อยกับคนที่เดินสวนมา


“เจ้าเอาอะไรมา”  ข้าถามโซแวนขึ้นหลังจากเห็นเขาหอบเอาอะไรเข้ามาด้วย  อีกฝ่ายเป็นเวรแรกที่ต้องอยู่กับข้า


“ขนมปัง  เจ้ายังไม่กินอะไรตั้งแต่เที่ยงนี่”  เขาเอ่ยขึ้นแล้วเปิดห่อผ้าออก  เผยให้เห็นขนมปังหลายก้อนที่เพิ่งถูกอบมาใหม่ๆ  คาดว่าน่าจะเป็นของจากในครัว


“ข้ายังไม่หิว”  ข้าตอบไปตามตรง  “จริงๆ  แล้วต้องบอกว่ากินอะไรไม่ลงต่างหาก”


“ไม่กินบ้างเดี๋ยวก็ไม่มีแรงหรอก”  เขาสวนกลับมาแล้วยังดันทุรังยื่นขนมปังก้อนหนึ่งมาให้ข้า  “ถึงไม่อยากกินก็ต้องกิน”


“เจ้าเป็นพ่อข้าหรือไง”  ข้าบ่นพึมพำใส่เขาก่อนจะรับเอาขนมปังมาแล้วกัดไปคำหนึ่ง  จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น  “แค่นี้พอใจหรือยัง?”


“กินเข้าไปอีก”  เขาพูดแกมบังคับขณะที่ยัดขนมปังเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ  ข้าสบถอย่างไม่พอใจก่อนจะยอมกินแต่โดยดี  โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อและกินขนมปังที่เหลือไป


ข้ากินไปแค่ก้อนเดียวแล้วหยุดก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า  “เมื่อก่อนตอนที่โดนคำสาปแรกๆ  ข้าถูกขังไว้แต่ในห้อง...ร้องไห้ก็ไม่ได้  ขอให้ใครช่วยก็ไม่ได้”


โซแวนชะงัก  ก่อนจะมองมาคล้ายตั้งใจจะฟัง


“ข้าถูกขังลืม  มีแค่น้ำประทังชีวิต  จนตอนที่หิวจนหมดเรี่ยวแรง  ครีออนก็เอาขนมปังมาให้  นั่นเป็นมื้อแรกที่ข้าได้กินหลังจากที่ติดคำสาป  อาจเป็นเพราะตอนนั้นข้าเลยชอบขนมปังขึ้นมา”  ข้าเล่าให้เขาฟังขณะนึกถึงความหลัง  ก่อนจะหัวเราะเบาๆ  ออกมา  “ครั้งนี้ขนมปังก็ช่วยชีวิตข้าไว้อีก...”


โซแวนไม่ได้พูดอะไรออกมา  เมื่อนึกถึงเรื่องราวตอนนั้นที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำก็ทำให้ข้าอดนึกถึงอีกอย่างไม่ได้  “แต่นั่นทำให้เสด็จพ่อโกรธ  แต่เดิมครีออนก็ไม่ใช่ลูกรักของท่านอยู่แล้ว  พอรู้ว่าเขาเป็นคนช่วยข้า  เสด็จพ่อก็จับครีออนส่งไปที่ปราสาททางใต้  ให้เขาอยู่กับพี่เลี้ยงที่นั่น”


“แล้วเจ้าล่ะ?”


“ข้าไม่ได้ถูกขังอีกแล้ว  แต่ไม่มีใครสนใจข้า  ถึงครีออนจะสั่งให้คนหาอาหารมาให้แต่บางวันพวกเขาก็ลืม”  ข้าพยายามนึกถึงช่วงที่ถูกคำสาปใหม่ๆ


ข้าพยายามเข้าหาพวกเขาแต่แน่นอนว่าย่อมถูกเมินกลับมา  จากคนที่เคยมีแต่คนรักใคร่กลับถูกเพิกเฉยนั่นทำให้ข้าเคว้งคว้างไปพักใหญ่  ถึงพยายามจะทำหลายอย่างๆ  ด้วยตัวเองแต่เพราะถูกเลี้ยงมาแบบเจ้าชายทำให้บางสิ่งมันค่อนข้างทุลักทุเล 


ครีออนเป็นเหมือนแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดของข้าในยามที่ถูกคำสาป  เขามีความคิดที่ดูเป็นผู้ใหญ่และเป็นคนเดียวที่ยังรักข้าเหมือนเดิม  เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยข้า  แม้เสด็จพ่อจะพยายามแยกเขาออกไปแต่ครีออนก็มักจะแอบมาหาเป็นประจำ


และทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวนั้นข้าก็จะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่


“เพราะงั้นเจ้าเลยรักน้องชายมากสินะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นทำให้ข้าพยักหน้า  “ไม่ใช่แค่เพราะเป็นพี่น้องนะ  แต่เพราะครีออนเป็นคนที่ช่วยข้ายามที่ไม่มีใครด้วย”


“ถ้ามีใครช่วยเจ้าตอนที่กำลังลำบาก  เจ้าก็จะรู้สึกดีด้วยสินะ”  คำพูดของเขาทำให้ข้าเลิกคิ้วสงสัยครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า  “แน่นอนสิ”


“...แต่เจ้าจำข้าไม่ได้เนี่ยนะ”  เขาพึมพำขึ้นด้วยประโยคที่ข้าไม่ค่อยเข้าใจ  ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั่นเอง  จู่ๆ  โซแวนก็ลุกขึ้นแล้วโน้มตัวลงมาใกล้  ดันข้าลงไปนอนกับเตียง  แม้จะตกใจแต่ดวงตาของเขากลับทำให้ข้าชะงัก 


ดวงตาสีทองเหลือบแดงนั้นเปลี่ยนไปคล้ายกับสัตว์ป่า...


ข้าเบิกตากว้างขึ้นเมื่อจู่ๆ  ในหัวก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันขึ้นมา  ดวงตาแบบนี้ข้าเคยเห็น  ไม่ใช่ตอนที่พบโซแวนครั้งแรกในสภาพคนคลุ้งคลั่ง  แต่นานกว่านั้น...


“เจ้า...”  ข้าเอ่ยค้างขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเคยลืมบางสิ่งไป


ครั้งหนึ่งเสด็จพ่อเคยคิดจะฆ่าข้าด้วยการสั่งให้ทหารเอาไปทิ้งไว้ในป่าต้องห้าม  เพราะจะได้ไม่มีใครหาเจอและไม่มีซากให้เห็น  ข้าถูกจับใส่กระสอบเลยไม่เห็นว่าผ่านที่แห่งไหนบ้าง  รับรู้ได้แค่ว่าทั้งมืดและก็ร้อน  ตัวข้าในตอนนั้นสั่นไปด้วยความกลัว


พวกทหารนำข้าออกจากกระสอบแล้วทิ้งไว้กับพื้น  แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะออกไป  สัตว์ยักษ์ตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาฆ่าพวกนั้นจนหมด


พื้นดินนองไปด้วยเลือด  ท่ามกลางกองซากศพนั้นข้านั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับไปไหนมองสัตว์ตัวนั้นก้มกินซากไม่วางตา  เมื่อมันขยับข้าก็สะดุ้งจนมันรู้ตัว


สิ่งนั้นจะเป็นสิงโตก็ไม่ใช่ทั้งหมด  เพราะมีเขาแพะและหางเป็นงู  เจ้าตัวนั้นเดินเข้ามาใกล้  ข้าตัวสั่นด้วยความกลัวแล้วร้องไห้ออกมา  ทั้งที่คิดว่าจะถูกกินแล้วแต่มันกลับหมอบลงแล้วยื่นจมูกเข้ามาใกล้ทำให้เห็นใบหน้าของมันชัดเจน  เนิ่นนานที่ข้าไม่กล้าขยับ  จนกระทั่งรู้สึกเวียนหัว  ร่างกายเบาโหวงขึ้นมา  สติในช่วงหลังจากนั้นค่อนข้างเลือนราง  ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรต่อ


แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าจำได้ไม่รู้ลืม  ดวงตาของมันเป็นสีทองเหลือบแดงดูประหลาดแต่กลับสวยจนละสายตาไม่ได้


ข้าเคยคิดว่าอาจจะไม่เจอเจ้าของดวงตานั้นอีก  จนกระทั่งตอนนี้...


“...สิงโตตัวนั้น”


“ข้าไม่ใช่สิงโต  คิเมร่าต่างหาก”  โซแวนแก้ต่างขึ้นก่อนจะปล่อยให้ข้าลุกขึ้นนั่ง  แล้วพึมพำคล้ายน้อยใจ  “ให้ตายสิ  ข้าอุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้าไว้แท้ๆ  ใช่สิ  ข้าไม่ใช่น้องเจ้านี่”


“ใครจะรู้ล่ะว่าเจ้าเป็นคิเมร่าตัวนั้น”  ข้าสวนกลับไปก่อนที่เขาจะยักไหล่


“ข้าก็ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าเด็กอ่อนแอแบบนั้นจะรอดไปได้ถึงไหน”


“ข้าก็รอดมาถึงทุกวันนี้แล้วกัน”  ข้าถอนหายใจออกมาก่อนจะทิ้งตัวซบลงบนไหล่ของเขา  “ถึงจะเกือบตายอยู่หลายครั้งก็เถอะ”


“สบายใจเถอะ  ตอนนี้เจ้ามีพวกข้าอยู่  ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”  โซแวนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ  แม้จะดูเหือดแห้งแต่ข้าก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากเขาที่โน้มหน้าเข้ามาใกล้  แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแต่ข้าก็ไม่ได้ขัดอะไร  หนำซ้ำยังเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้เพื่อให้เราได้จูบกันเร็วขึ้น 


“เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”  โซแวนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่เขาจะมอบจุมพิตมาให้  ข้าที่กำลังต้องการคนอยู่เคียงข้างตอบรับอีกฝ่าย  แต่ทว่าก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น 


ข้าสะดุ้งเฮือกเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกทำให้เผลอผลักโซแวนออก  ก่อนจะหันกลับไป  ครีออนยืนนิ่งอยู่คนเดียวก่อนจะเดินเข้ามา 


“เสด็จพี่”


“ครีออน  ประชุมเสร็จแล้วหรือ”  ข้าเอ่ยถามขึ้น  เขาพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะชี้แจง


“พิธีจะเริ่มในอีกสองวัน”


“เหรอ  ดีจังเลยนะ  แล้วผู้วิเศษล่ะ?”  ข้าถามต่อ  เขาบอกว่าผู้วิเศษกลับไปที่องค์กร  ยังไม่ทันถามอะไรเท่าไรท่านแม่ทัพก็มาตามครีออนอีกแล้ว  แต่ก่อนที่น้องข้าจะออกไปเขากลับทิ้งคำถามไว้


“เสด็จพี่  ยังคิดจะแก้คำสาปอยู่อีกหรือเปล่า...”


“ถ้ามีทางแก้ก็ดีสิ...”  ข้าพึมพำกับเขาด้วยรอยยิ้มก่อนจะไปส่งที่หน้าประตูห้อง  ข้าพยายามไม่สบสายตากับทหารหรือท่านแม่ทัพที่มารอครีออนอยู่เพราะรู้ว่าจะได้สายตาแบบไหนตอบกลับมา 


พวกเขาเกลียดชังในตัวข้าไปแล้ว


“จะว่าไป...”  ขณะที่ประตูปิดไปแล้วและแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ด้านนอก  โซแวนก็เดินมาใกล้ข้าแล้วเอ่ยขึ้น  “เจ้าไม่เคยรังเกียจพวกมนุษย์ที่เกลียดเจ้าเลยนี่”


ข้าเลิกคิ้วก่อนจะตอบไปตามความจริงว่า  “จะเกลียดพวกเขาไปทำไมในเมื่อมันเป็นเพราะคำสาป”


“แต่คำสาปนั่นก็ปลุกความเกลียดชังในตัวผู้คนขึ้นมานี่”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะถามในสิ่งที่ข้าก็สงสัย  “ถ้าคำสาปหายไป  คนเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร”


“ไม่รู้สิ  อาจจะเฉยๆ  กับข้า  แต่ถ้าเป็นแบบนั้น  สำหรับข้าเองก็รู้สึกดีนะ”  โซแวนขมวดคิ้วเมื่อข้าเอ่ยออกไปเช่นนั้น  “ข้าไม่ชอบอะไรที่มันสุดกู่  ทั้งเกลียดกันเกินไป  หรือรักใคร่กันเกินไป  จะทางไหนก็น่าอึดอัดทั้งนั้น”


“งี้นี่เอง  แต่ครั้งนี้เจ้าก็ดูไม่ระคายกับคำสาปสักเท่าไรนะ” 


ข้าพยักหน้า  ถ้าเทียบกับตอนที่เป็นถูกคำสาปครั้งแรก  ปฏิกิริยาตอนนี้ของข้านั้นต่างจากสมัยก่อนโดยสิ้นเชิง


ทั้งเคว้งคว้าง  โดดเดี่ยว  กลัว  ไม่กล้าทำอะไรจนร้องไห้ออกมา  นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าเกือบถูกทำร้ายบ่อยๆ 


แต่ในตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว 


“อาจจะเป็นเพราะมีพวกเจ้าอยู่”


ความรู้สึกของข้าตอนนี้มันไม่ได้ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว  “ถ้ามีพวกเจ้าอยู่  ต่อให้ไม่สามารถแก้คำสาปได้ก็ไม่เป็นไร”


ข้าเอ่ยออกไปตามความรู้สึก  แต่ทั้งห้องกลับตกอยู่ในความเงียบ  ข้าที่ก้มหน้าอยู่พลันเงยขึ้นเมื่อเห็นบางอย่างปลิวเข้ามาทางหน้าต่าง  กลีบดอกคาเมเลียสีขาวมากมายถูกพลัดเข้ามาทั้งที่แถวนี้ไม่มีต้นของมัน


เสียงสัตว์กรีดร้องแหลมขึ้นเป็นท่วงทำนองประหลาดคล้ายมีเหตุอาเพศเกิดขึ้น  ข้าขยับตัวเข้าไปใกล้คนตรงหน้าด้วยความตกใจแต่กลับถูกดันกลับไปติดกำแพง


“โซแวน!”  ข้าเรียกชื่อเขาด้วยความตกใจ  ใบหน้าตอนนี้ของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด  เขาบีบแขนของข้าแน่นขึ้นจนข้าร้องออกมาแต่ไม่ได้ทำให้เขามีสติแต่อย่างใด


“ไม่...ไม่ได้  อย่า...ทำ...อะไรแผลงๆ”  โซแวนเอ่ยขึ้นเสียงสั่นจนไม่สามารถจับใจความได้ทั้งหมด  แต่คล้ายกับเขากำลังต่อสู้กับบางอย่างในหัวจนทรุดลงไปกองกับพื้น  ก่อนที่จะนิ่งไป


“โซแวน...”  ข้าเอ่ยเรียกเขาด้วยความไม่มั่นใจ  โซแวนสูดลมหายใจเฮือกก่อนจะจับข้อมือของข้าแล้วลุกขึ้น  ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนไป  ราวกับเข้าสู่ความบ้าคลั่ง  รอยยิ้มน่ากลัวพลันปรากฏขึ้นบนหน้าของอีกฝ่ายก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แตกต่างจากปกติ


“หึๆ  หาเจอแล้ว”


ข้าสะบัดแล้วถอยห่างจากเขาทันที  ก่อนจะถามขึ้นด้วยความตกใจ  “เจ้าเป็นใคร!?”


ตรงหน้าข้าเป็นโซแวน  แต่บรรยากาศไอเวทและดวงตานั้นต่างออกไป  รอยยิ้มบางๆ  ที่ประดับอยู่บนใบหน้านั้นก็ไม่ใช่แบบที่โซแวนเคยทำ  อีกฝ่ายหัวเราะก่อนจะเอียงคอแล้วเอ่ยขึ้นคล้ายพูดกับตัวเอง


“ปานนี้แล้วไม่มีใครจำชื่อข้าได้แล้วมั้ง”


ปัง!


“ฝ่าบาท...!!”  เสียงประตูเปิดดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงตะโกนของเร็นที่เข้ามา  เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนที่ร่างจะทรุดลงกับพื้น


“เร็น!”  ข้าตะโกนเรียกเขาก่อนจะเข้าไปหาแต่กลับถูกคว้าไว้ด้วยใครบางคนที่สิงร่างโซแวนอยู่


“ว้าว  ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังหวาดกลัวข้าถึงขนาดนี้  ทั้งที่วิญญาณพวกเจ้าเคยทำอะไรไว้บ้าง...”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ  และเร็นเองก็คงไม่เข้าใจเหมือนกัน  ฝ่ายนั้นกัดฟันกรอดแล้วกำหมัดแน่นพยายามฝืนร่างกายสุดฤทธิ์


“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”  ข้าตะโกนลั่นพร้อมกับดิ้นออกจากอ้อมแขนแต่กลับไม่เป็นดั่งใจจนอีกฝ่ายหัวเราะออกมา 


“ร่างนี้สะดวกกว่าจริงด้วย”


“แกเป็นใครกันแน่”  ข้าเอ่ยขึ้นแต่ไร้ซึ่งคำตอบ  กลับกันคนที่สิงร่างโซแวนอยู่ก้มลงมาจูบข้า  ทันทีที่ถูกสัมผัสก็คล้ายกับมียาพิษเข้ามาในร่างกายจนไร้เรี่ยวแรง  วินาทีที่เปลือกตากำลังจะปิดลงพลางได้ยินเสียงของเขาดังขึ้น


“บอกกับผู้วิเศษด้วยว่าข้าจะรออยู่ที่วิหารโบราณในป่าต้องห้าม  ถ้าอยากเจอก็ตามมา”


แล้วสติข้าก็วูบดับไป...


แต่เป็นการหมดสติระยะสั้น  ทันทีที่รู้สึกตัวข้าก็รีบผุดลุกขึ้นทันทีด้วยความตกใจ  รอบข้างเป็นวิหารโบราณที่เต็มไปด้วยพรรณพืชสีเขียวชอุ่ม  ห่างออกไปไม่มากสิ่งที่ข้าเห็นทำให้ข้าแปลกใจไม่น้อย


“โซแวน!”  ข้าตะโกนเรียกเขาก่อนจะเข้าไปหา  แต่กลับชะงักเมื่อถูกดึงไว้ด้วยโซ่ล่ามที่ข้อเท้า  โซแวนถูกรัดพันด้วยหนามกุหลาบมากมาย  ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเวทหนาแน่นที่กดทับเขาไว้อยู่


“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก  ยังไงข้าก็ไม่คิดจะฆ่าเขาอยู่แล้ว”  เสียงที่คล้ายกับคนที่สิงร่างโซแวนดังขึ้นทำให้ข้ารีบหันไปมอง


ร่างผอมบางในชุดคลุมสีดำเดินเข้ามาใกล้  ผิวขาวของเขาตัดกับอาภรณ์ที่สวมอยู่อย่างมาก  ใบหน้าเกลี้ยงเกลามีรอยยิ้มบางๆ  ประดับอยู่  ดวงตาสีดำและเส้นผมสีดำสวยงาม  โครงหน้าแบบนั้นราวกับว่าข้าเจอตัวเองที่อายุมากกว่า


“แต่ถ้าเป็นเจ้าก็ไม่แน่...”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มคล้ายเทพบุตร  “ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจข้าน่ะนะ”


ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  เมื่อมาเรียบเรียงข้อมูลที่มีอยู่ในหัวกับสถานการณ์ตอนนี้  และการที่อีกฝ่ายถือดาบประจำราชวงศ์ทำให้ข้ายิ่งมั่นใจ


“ลูซิฟราน  คาร์ไลน์”  ข้าเอ่ยชื่อที่ผุดขึ้นมาในหัว  ชายผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นวีรบุรุษกอบกู้และพาโลกเข้าสู่ยุคใหม่  ทว่าผู้คนกับลืมเลือนเขาด้วยพลังแห่งคำสาป


เสียงดีดนิ้วดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มร่า 


“ถูกต้อง  ลูกหลานของข้าช่างเยี่ยมยอดเสียจริง”


นามของปฐมกษัตริย์แห่งคาร์ไลน์  ลูซิฟราน  คาร์ไลน์

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 19>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 17-03-2018 16:08:47
บทที่ 19
เจตจำนงของปฐมกษัตริย์

จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ระบุช่วงเวลาสถาปนาดินแดนนี้ในนามคาร์ไลน์นั้น  หากนับย้อนไปจะครบหนึ่งพันปีพอดี  และยังคงเป็นหนึ่งพันปีที่สามารถปิดประตูอสูรได้ก่อนจะถูกเปิดออก 


คาร์ไลน์นั้นถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีความพิเศษตรงที่พระเจ้าได้ประทานของวิเศษมาให้สองอย่าง  หนึ่งคือคทาที่ใช้ดูดซับพลังเวทจากรอบๆ  และสองคือดาบที่สามารถฟาดฟันได้ทุกสิ่ง  เป็นศาสตราที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมานาน


ดาบและคทานั้นถูกจำกัดให้ถือได้เพียงกษัตริย์ของคาร์ไลน์เท่านั้น  การที่คนตรงหน้าข้ามีดาบวิเศษอยู่ในมือนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี  เพราะตอนนี้กษัตริย์ของคาร์ไลน์ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีเพียงข้า  และเขา


ปฐมกษัตริย์ผู้มีชีวิตเป็นอมตะ


“เหตุใดจึงทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้นกัน  ไม่สมกับเป็นคนที่ได้รับความรักมากมายเลยนะ”  ปฐมกษัตริย์...หรือข้าควรจะเรียกว่าท่านลูซิฟรานได้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ท่าทางสดใสนั้นหากไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าอายุมากกว่าพันปี


“ท่านต้องการอะไร?”  ข้าเอ่ยออกไปน้ำเสียงนิ่งเรียบแม้ในใจจะรู้สึกร้อนรนมากกว่าปกติ  หากเทียบกันดูแล้วพลังของอีกฝ่ายมีมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยทีเดียว


เขาเอียงคอก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า  “แต่ข้าชอบสายตาแบบนี้มากกว่าที่สิ้นหวังเสียอีก”


ให้ตาย  เขาไม่ฟังข้าเลย


“บอกว่าสามารถอยู่ได้ถ้ามีเจ้าพวกนั้นอยู่ใช่ไหม”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้นขณะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าข้า  คำพูดต่อจากนั้นทำให้หัวใจข้าคล้ายหล่นวูบลงไป  “แล้วถ้าพวกนั้นทรยศเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าไปล่ะ  เจ้าจะยังอยู่ได้อีกไหม”


“หา?”


“คิดดูสิ  พวกเขารู้เรื่องตัวเจ้ามากกว่าเจ้า  รู้ถึงความลับของเรื่องราวนี้มากกว่า  แต่ไม่มีใคร...ไม่มีใครเลยที่ยอมบอกเจ้า  ทำไมกัน  ถ้าไม่ใช่เพราะแค่ต้องการหลอกใช้เจ้า”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเย็นเฉียบพอๆ  กับมือของเขาที่กำลังลูบใบหน้าของข้าขึ้นมา  ท่วงท่านั้นเชื่องช้าแต่ทรงพลังและรุนแรงขึ้นตอนที่กระชากเข้าไปใกล้จนใบหน้าเกือบชิดกัน  “เจ้าหนู  เจ้ามันก็แค่หมากตัวหนึ่งบนกระดานนี้เท่านั้นแหละ”


“ไม่ชะ...”


“ทั้งท่านพี่ของข้า  หรือแม้กระทั่งคนที่เจ้าเรียกว่าผู้วิเศษต่างก็มองเจ้าเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น  พอใช้จนพอใจก็เขี่ยทิ้งเป็นผักปลา”  สิ้นเสียงของท่านลูซิฟราน  ข้าก็เบิกตากว้างไปชั่วขณะด้วยความกลัวที่ซ่อนอยู่ข้างใน 


สิ่งที่ข้ากลัวยิ่งกว่าการถูกคนทั้งโลกทอดทิ้งคือการถูกคนที่เชื่อใจหักหลัง


“ไม่ใช่...”  ข้าพยายามปฏิเสธ  แต่เขากลับหัวเราะในลำคออย่างสมเพชก่อนจะเอ่ยถามเสียงเย็นชาขึ้น 


“แล้วทำไมผู้วิเศษนั่นถึงไม่ยอมบอกเจ้ากันล่ะ...ความจริงของเรื่องนี้”


“...อย่าไปฟังที่เขาพูดเด็ดขาด!!”  เสียงของโซแวนดังขัดขึ้นทำให้ท่านลูซิฟรานหันไปมองก่อนจะยกมือขึ้นแล้วเอ่ยขึ้น


“นับวันชักจะแข็งข้อขึ้นเรื่อยๆ  นะ  ถึงจะน่ายินดีที่มองข้าเป็นพระเจ้าของเจ้าก็เถอะ”


เขาแบมือก่อนที่จะกำแน่น  เถาวัลย์หนามที่เกาะกุมโซแวนไว้ขยับจนรัดเขาแน่นขึ้นและมีบางส่วนที่ลามไปปิดใบหน้าส่วนล่างไว้  ฝ่ายนั้นแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจนโดยที่ไม่สามารถส่งเสียงอะไรได้


“พอได้แล้ว!”  ข้ารีบตะโกนขึ้นขณะยื่นมือไปดึงแขนเขาเพื่อขัดจังหวะการควบคุม  ท่านลูซิฟรานหันกลับมาด้วยสีหน้าประหลาดใจครู่หนึ่งแล้วกระหยิ่มยิ้มขึ้น


“ใจกล้าดีนี่”  เขาเอ่ยพร้อมกับสะบัดมือของข้าทิ้งแล้วกดหัวข้าลงกับพื้น  แรงกระแทกนั้นทำให้มึนงงไปชั่วขณะ  “ข้าชอบเด็กแบบเจ้าเสียจริงๆ”


“ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”  ข้ากัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้แล้วถามเขา  ท่านลูซิฟรานนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะปล่อยข้า 


“ทำตามใจของข้า”


“หา?”  ข้าหลุดคำอุทานขึ้นทันที  อีกฝ่ายกลับมายิ้มแบบเดิมอีกครั้งทำให้ข้ารับรู้ได้ถึงบางอย่าง


ถึงแม้ว่าจะยิ้มอยู่แต่บรรยากาศรอบตัวเขานั้นช่างน่าเศร้าและหดหู่จนไม่อยากเชื่อว่าคนคนนี้มีความสุขจริงๆ


“ต่อจากนี้เจ้าจะทำอะไรต่อ  ตามสิ่งที่เจ้าตั้งใจไว้”  จู่ๆ  เขาก็เอ่ยถามขึ้นทำให้ข้างงไปชั่วขณะ  “ว่าไง  อย่าลืมว่าข้าสามารถฆ่าเจ้าได้เลยนะ”


ข้าเลยชะงักไปอีก  เมื่อคิดว่าไม่น่าจะเข้าใจคนคนนี้ได้จึงลองเสี่ยงที่จะตอบดู  “ร่วมมือกับพวกโซแวน  แล้วก็ปิดประตูอสูรเพื่อช่วยมนุษย์”


“หา  ยังไว้ใจพวกนั้นอีกเหรอ”  เขาเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะที่จะถอนหายใจแล้วยิ้ม  “อ้อ  เอาเถอะ  ลำพังตัวเจ้าคงทำไม่สำเร็จหรอก  แล้วหลังจากนั้นล่ะ...”


“ไม่รู้”  ข้าตอบไปตามตรง  หากยังมีคำสาปนี้อยู่  ต่อให้ปิดประตูอสูรได้ก็จะไม่มีใครสรรเสริญเทิดทูนอะไร  แล้วข้าจะสูญเสียที่อยู่ของตัวเองไปอย่างสมบูรณ์  ไม่มีที่ใดให้ข้าไปได้


ท่านลูซิฟรานยกมือขึ้นเท้าคางก่อนจะพึมพำอย่างไม่เข้าใจ  “ทำไมกัน  ทั้งๆ  ที่ถูกมนุษย์เกลียดขนาดนั้นแต่ก็ยังคิดจะช่วยพวกเขา  ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองเพื่อช่วย”


“...เพราะทั้งหมดเป็นคำสาปนี่  คนที่รักข้าก็มีแต่เขาแค่ไม่สามารถต้านทานคำสาปได้  และก็ใช่ว่าพวกเขาจะเกลียดข้าจากใจจริง  พอคิดแบบนั้นแล้วก็ไม่อยากเมินเฉยหรอกนะ”


“เป็นเด็กดีเสียจริงๆ  เลยนะ...”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้นก่อนจะพึมพำอย่างเหม่อลอย  “หรือนี่จะเป็นนิสัยเสียจากข้า”


“หา?”  ข้าเผลอหลุดอุทานออกมาทำให้เขาหันหน้ามาสบตา


“ทั้งๆ  ที่ถูกเกลียดขนาดนั้นแต่กลับไม่ได้รู้สึกชิงชังหรือเคียดแค้นตาม...ทำไมกันนะ  บางทีข้าเองก็อาจจะโลกสวยมากไปก็ได้”  เขาเอ่ยขึ้นคล้ายคุยกับตัวเองก่อนจะหัวเราะออกมาซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่าไม่ได้จริงใจเลยสักนิด


แม้ว่าจะยิ้มอยู่เกือบตลอดเวลา  แม้จะหัวเราะได้  แต่ทั้งแววตาและบรรยากาศโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง  โศกเศร้าและเดียวดาย


“บางทีข้าเองก็เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง”  ท่านลูซิฟรานหันมาพูดกับข้าอีกครั้งก่อนจะเสริมขึ้นว่า  “อยู่มาตั้งหนึ่งพันปีแล้วแต่กลับแก้ไขอะไรไม่ได้”


เขาลุกขึ้นยืนก่อนที่จะบอกว่า  “เพื่อไม่ให้เจ้างงเป็นไก่ตาแตกแบบนี้  ข้าจะบอกเรื่องดีๆ  ให้ฟังเอาไหม”


ข้าเบิกตากว้างขึ้นนิดหนึ่งแล้วตั้งใจฟังเขา  ท่านลูซิฟรานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน  “ข่ายที่กั้นประตูอสูรไว้จะเสื่อมลงในเจ็ดวัน  และหากไม่มีใครแก้ไข  มนุษย์ทั้งหมดก็จะตายลง”


“มันจะเป็นไปได้ยังไง  ในเมื่อผู้วิเศษบอกว่ามันแข็งแกร่งมากและอยู่ได้เกือบร้อยปี”  ข้าเถียงขึ้น  ตาข่ายที่ล้อมรอบประตูอสูรไม่ให้มันลงมามากกว่านี้เป็นฝีมือของพระเจ้า  และผู้วิเศษก็เคยบอกว่ามันสามารถอยู่ได้จนถึงตอนที่สามารถปิดประตูอสูรได้


ท่านลูซิฟรานถอนหายใจก่อนจะบอกว่า  “มันไม่ใช่แบบนั้นหรอก”


“ข้าไม่เข้าใจ...”


“ถ้าให้ข้าพูด...เดิมทีประตูอสูรเป็นของเล่นที่พระเจ้าส่งมาลงโทษมนุษย์ที่แสวงหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่  เป็นเกมที่ให้พี่ชายข้าได้รับการสั่งสอน  แต่เขาแข็งแกร่งเกินไปอีกทั้งยังมีพลังมืดชี้นำทำให้เขาใช้อสูรทำลายมนุษย์  พี่ข้าสังหารตัวนำพลังด้านมืดนั้นและควบคุมอสูรทั้งหมด  พระเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้  ตัวข้าเลยต้องเข้าร่วมเกมนี้เพื่อหยุดยั้งร่วมกับคนที่เจ้าเรียกว่าผู้วิเศษ  ซึ่งถูกพระเจ้าส่งมาอีกทีหนึ่ง”


ท่านลูซิฟรานเหม่อลอยไปครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยต่ออีกว่า  “เกมในคราวนั้นจบลงที่ข้าสามารถรวบรวมกุญแจและปิดประตูลงได้  ทุกอย่างควรจะจบลงแค่นั้น  เสียทีข้าใจอ่อนเกินไปจึงไว้ชีวิตพี่ชายจนทำให้เขากลับมาแก้แค้นอีกครั้ง”


“หมายความว่าครั้งนี้ก็เป็นเกมของพระเจ้าอีกหรือ?”


“เปล่า  ถ้าครั้งนี้เป็นเกมของพระเจ้าเรื่องก็คงไม่วุ่นวายหรอก”  เขาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มแห้ง  “ครั้งนี้ประตูอสูรนั่นเป็นฝีมือของลูซัส  เขาเป็นคนสร้างกุญแจและใช้ทายาทตระกูลเปิดประตูขึ้นมา  ไม่มีกุญแจให้พวกเจ้าไปตามหาเพื่อปิดประตู”


ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  “แล้วหนทางที่จะปิดล่ะ?”


“ก็คงต้องฆ่าลูซัสอย่างเดียว  พูดก็พูดเถอะ  เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อพันปีที่แล้วอีก  แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่สามารถเดาได้ว่าจะมีใครสามารถเอาชนะเขาได้หรือเปล่า  ในตอนนี้น่ะนะ”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้นทำให้ข้ากังวลก่อนที่จะเสริมว่า  “อีกอย่างหนึ่ง  ด้วยนิสัยของเขาแล้วสิทธิ์การครองประตูตอนนี้อาจจะไม่ใช่แค่เขาคนเดียวก็ได้”


“หมายความว่ายังไง?”


“การเปิดประตูนั้นจำเป็นจะต้องใช้พลังมหาศาล  และพูดได้เลยว่าเรื่องมาก  ประตูจะสูบพลังเรื่อยๆ  จนทำให้ร่างกายรับไม่ไหว  ทางแก้ที่ดีที่สุดคือการถือครองประตูด้วยกันสองคน”


“แสดงว่ามีคนอื่นอีกควบคุมประตูอสูรไว้?”  ข้าเอ่ยถามขึ้น  ก่อนจะนึกขึ้นมาได้  “ลูซัสหลอกใช้เสด็จพ่อของข้าเปิดประตู  งั้นอีกคนที่ว่าก็คือเสด็จพ่อของข้าใช่หรือไม่?”


“ไม่มีทางหรอก”  แต่เขากลับปฏิเสธเสียงเรียบ  “คนตายแล้วจะถือครองสิทธิ์ไม่ได้  สิทธิ์จะถูกถ่ายทอดไปยังผู้สืบสายเลือดต่อไปเรื่อยๆ”


“แล้วตอนนี้สิทธิ์ที่ว่าจะอยู่ที่ใครกันล่ะ?”  ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความสับสน  เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อใช้ความคิดก่อนจะตอบ 


“ข้าคิดว่าลูซัสเองก็คงไม่แน่ใจ”


“ไม่แน่ใจ?”


“จากที่ข้าเฝ้าดูเจ้าผ่านโซแวน  การที่เขาปรากฏตัวขึ้นในวันพิธีคราวก่อนก็คงเพื่อดึงเจ้าให้ตกต่ำลง”  เขาอธิบายขึ้น  “เพราะทั้งข้าและเขาต่างก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน  ลูซัสเองก็เคยแอบไปตีท้ายครัวราชินีบางคนของคาร์ไลน์เพื่อสืบทอดลูกหลานของตัวเองด้วย  เพราะฉะนั้นในตอนนี้ก็พูดได้ว่าสายเลือดกษัตริย์คาร์ไลน์นั้นสามารถถือครองได้ทั้งประตูแห่งอำนาจและประตูอสูร”


ท่านลูซิฟรานถอนหายใจก่อนจะพูดต่ออีกว่า  “และการที่จะควบคุมประตูได้  ผู้ถือครองก็จะต้องตกต่ำลงไปสู่ด้านมืด  การที่ลูซัสพยายามจะดึงเจ้าลงไปโดยใช้คำสาปเกลียดชังก็อาจเป็นเพราะต้องการให้เจ้าควบคุมประตูอสูรก็ได้”


“ข้าไม่อยากทำแบบนั้น”  สิ้นเสียงของข้า  ท่านลูซิฟรานก็หัวเราะก่อนจะบอกว่า  “ข้ารู้ๆ  ไม่มีใครอยากทำแบบนั้นทั้งนั้นแหละ  เพราะฉะนั้นก็อย่าตกลงไปล่ะ”


เขายกยิ้มขึ้นขณะเข้ามาลูบศีรษะของข้า  หลังจากนิ่งเงียบไปสักพักก็ถามท่านลูซิฟรานว่า  “ถ้าท่านบอกว่าสายเลือดกษัตริย์คาร์ไลน์สามารถเปิดประตูทั้งสองก็หมายความว่าข้าเองก็สามารถเปิดประตูแห่งอำนาจได้ใช้ไหม”


“อ๋อ  นั่นเป็นกรณีพิเศษน่ะ”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะบอกว่า  “เพราะข้าที่เป็นผู้ถือครองประตูแห่งอำนาจยังมีชีวิตอยู่  สิทธิ์จึงยังไม่ได้ถ่ายทอดไปหาใคร  เจ้าแค่มีโอกาสสืบทอดต่อเท่านั้น”


“แล้วท่านสามารถเปิดมันได้ไหม”  ข้าลองถาม  ประตูแห่งอำนาจเองก็เป็นหัวใจหลักในการปิดประตูอสูร


ท่านลูซิฟรานยกยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าก่อนจะส่ายหน้า  “เสียใจด้วย  ร่างกายข้าตอนนี้ไม่ไหวแล้วล่ะ”


“เอ๊ะ?”


“อยู่มาเป็นพันปีแล้ว  ร่างกายข้าก็ย่อมเสื่อมถอยลงเป็นธรรมดา  คงจะไปแก้ไขอะไรเพิ่มไม่ได้แล้วล่ะ”  เขาขืนยิ้มก่อนจะเสริมว่า  “แต่อย่าห่วงเลย ข้าเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ  ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เตรียมการแทรกแซงการเล่นเกมระหว่างลูซัสกับพระเจ้าไว้”


“ท่านต้องการจะบอกอะไร?”  ข้าขมวดคิ้วด้วยความสับสน  ท่านลูซิฟรานยกนิ้วมาทางข้าก่อนจะบอกในจุดประสงค์ของเขา  “ต่อจากนี้เจ้าจะเป็นผู้สืบทอดของข้า...แลกกับการถอนคำสาปให้”


“หา?”


“ข้าใช้เวลาศึกษามันอยู่ร่วมห้าร้อยปี  ในที่สุดก็รู้ทางแก้ของมัน”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้นก่อนจะตรงเข้ามากดข้าไว้กับพื้นแล้วพึมพำคาถาหนึ่งออกมา  เสียงวงเวทกรีดผ่านพื้นหินดังอย่างต่อเนื่องจนทำให้ตอนนี้ตัวข้าอยู่ท่ามกลางวงเวท


“เป็นคำสาปที่โหดร้ายว่าไหม...”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะพึมพำอย่างเศร้าสร้อย  “แม้แต่วิธีแก้ก็ยังโหดร้าย”


“ท่านคิดจะทำอะไร”  ข้าเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเขายกดาบวิเศษขึ้น  ท่านลูซิฟรานขืนยิ้มก่อนจะบอกว่า  “ไม่ต้องกังวล  เจ็บแค่นิดเดียวเอง”


ร่างกายของข้าถูกตรึงกับพื้นโดยที่ทั้งขาและแขนไม่สามารถขยับได้ 


“ทางแก้วิธีเดียวคือการตายด้วยดาบนี่”  เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทำให้ข้าชะงัก แต่ท่านลูซิฟรานกลับหันมายิ้มให้ข้า  “ไม่ต้องกลัว  เจ้าจะไม่ตายหรอก  ข้าจะชุบชีวิตเจ้าด้วยพลังของข้า  ถึงแม้ว่าจะอยู่ได้ไม่นานเท่าแต่ก็จะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ไปร่วมร้อยปี”


“เดี๋ยว  แล้วท่านล่ะ...”  ข้าแย้งขึ้น  ท่านลูซิฟรานยกยิ้มอันเศร้าสร้อยขึ้นก่อนจะบอก  “ข้าไม่มีความหมายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”


สิ้นประโยคนั้นแสงจากพลังเวทก็สว่างขึ้น  แม้ว่าคิดจะต่อต้านเพื่อคุยกับท่านลูซิฟรานมากกว่านี้แต่ข้าก็ถูกกดทับด้วยพลังจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้  เขากรีดนิ้วของตัวเองจนเลือดอาบก่อนจะสอดเข้ามาในปากของข้าแล้วพึมพำคาถาบางอย่าง


พลังเวทสายหนึ่งไหลเวียนเข้ามาในตัวข้าทำให้รู้สึกร้อนรุ่มไปหมด  ก่อนที่เขาจะลุกแล้วเงื้อดาบขึ้นก่อนจะแทงเข้าที่อกของข้าทันที 


“ฮึก  อ้าก!!”  ข้าร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด  รู้สึกเหมือนเลือดในกายกำลังกรีดร้องเพื่อที่จะออกมา  ทั่วทั้งร่างร้อนรุ่มดังเปลวไฟกำลังแผดเผาและเจ็บปวดถึงที่สุด  แต่ถึงแบบนั้นก็รู้สึกได้ว่าคำสาปกำลังไหลออกไป


ท่านลูซิฟรานดึงดาบออกทำให้ข้ากระอักเลือดออกมาคำใหญ่  ก่อนที่เขาจะดึงข้าเข้าไปจูบ  สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและพลังบางอย่างที่ไหลตรงเข้าไปรักษาแผลที่ถูกแทงเมื่อครู่  ข้าที่ใกล้สิ้นใจพลันรู้สึกเหมือนเลือดลมกลับมาเดินอีกครั้งแต่สติกลับวูบลง


ข้าเห็นรอยยิ้มของท่านลูซิฟานเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนที่จะหลับไป

...

ตุ้บ!

เขาจงใจปล่อยร่างผอมบางนั้นให้นอนลงกับพื้นก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรับรู้ได้ถึงหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะของอีกฝ่าย  อย่างน้อยก็สามารถช่วยไว้ได้ทันอย่างฉิวเฉียด


เขารู้มาตลอดว่าดาบวิเศษคู่เมืองคาร์ไลน์นี่สามารถจัดการกับคำสาปได้  แต่นั่นก็หมายถึงความตาย  เวลานั้นที่ลูซิฟรานเตรียมใจจะใช้มันเพื่อปลดตัวเองจากความทุกข์  เขาก็รับรู้ได้ว่าลูซัสจะไม่หยุดเพียงเท่านี้


ลูซิฟรานรู้เจตนาของพี่ชายตนดีว่าคิดจะทำอะไร


จะต้องมีใครสักคนโดนคำสาปเหมือนกับเขา  และมนุษย์ทั้งโลกก็จะถึงการสูญสิ้น


‘เขาผู้นั้น’  เพียงลำพังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด  เขาจึงมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อแทรกแซงเกมบ้าบอนี่  แม้จะถูกคนทั้งโลกเกลียดชังหรือต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ไม่สนใจ


เพื่อคนผู้นั้น...เขาถึงยังมีชีวิตอยู่  แม้จะถูกเมินเฉยมาตลอดก็ตาม


“ลูซิ...ฟราน”  เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มที่จ่อดาบเข้าหาตนเองชะงักแล้วหันไปมองด้วยความแปลกใจก่อนจะเลิกคิ้ว 


“ไม่คิดว่าเจ้าจะมานะ...”


มุมปากของลูซิฟรานพลันยกขึ้น  เป็นยิ้มที่ไม่มีความรู้สึกอื่นเจือปนนอกจากความยินดีที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง


ผู้วิเศษเดินตรงเข้ามายังวิหารด้วยสีหน้าไม่สู้ดีแล้วหันไปมองรอบๆ  โซแวนยังถูกขังไว้ด้วยเถาวัลย์หนาม  ส่วนทีอารีนหมดสติอยู่ที่พื้น


“เจ้าทำอะไร”


“แค่เปลี่ยนทิศทางของเกมนิดหน่อย”  ลูซิฟรานเอ่ยขึ้นก่อนจะยกยิ้ม  “ดีใจที่เจ้ามาทันนะ”


“หา?”


“ถ้างั้น  วาระสุดท้ายของข้า...”  ลูซิฟรานยื่นดาบที่ถืออยู่ให้ผู้วิเศษ  ซึ่งเป็นบุคคลที่สามารถถือได้แม้จะไม่ใช่กษัตริย์ของคาร์ไลน์  “ช่วยจัดการที”
------------TBC----------
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 19>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 17-03-2018 16:11:25
บทที่ 19
เจตจำนงค์ของปฐมกษัตริย์

“พูดอะไรของเจ้า  มันจะเป็นไปได้ยังไง  หรือว่า...”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อหูก่อนจะหันไปมองทีอารีนแล้วเบิกตากว้าง  “เจ้าทำอะไรเขา”


“ข้าแค่แก้คำสาปให้เขา  เด็กคนนี้ยังต้องเดินหน้าต่อไปข้าเลยมอบพลังอมตะให้เขาไปด้วย”


“เจ้าจะบ้าหรือไง!”  ผู้วิเศษตะคอกขึ้นเสียงดังแล้วค้าคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยความโมโห  “เจ้าทิ้งความเป็นอมตะแล้วจะตายตรงนี้หรือ!”


“ชู่ว  เบาหน่อยสิ  เดี๋ยวเขาก็ตื่นหรอก”  ทว่าลูซิฟรานกลับปัดมือเขาอย่างไม่ทุกข์ร้อนแล้วสวนกลับไปว่า  “เจ้าห่วงว่าข้าจะตายด้วยเหรอ”


ผู้วิเศษนิ่งเงียบไป  ทำให้เขาพ่นลมหายใจออกมา  “แต่ไหนแต่ไรเจ้าก็ไม่ได้ไยดีข้าอยู่แล้วนี่  ต่อให้ข้ารักเจ้ามากเพียงใดเจ้าก็ไม่ตอบรับ  แล้วทีนี้จะมาเป็นห่วงเหรอ...มันสายไปแล้ว”


“แต่ความตายของเจ้ามีแต่จะทำให้มันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น”


“อ้อ...เจ้าไม่ได้ห่วงว่าข้าจะตายสินะ  ที่ห่วงก็แค่ต่อจากนี้ลูซัสจะบ้าคลั่งขึ้นมากกว่าเก่า”  ลูซิฟรานรู้ดีว่าหากตนตายไป  ลูซัสก็จะก่อความรุนแรงเพิ่ม  เขาถอนหายใจออกมาโดยที่ไม่พูดอะไร


นั่นเป็นเพราะเขานึกสมเพชตัวเองที่ดันคิดว่าคนตรงหน้าจะมีเยื่อใยบ้าง


“เจ้ามันก็แค่ตุ๊กตาไร้หัวใจจริงๆ”  เขาเอ่ยขึ้นตอกหน้าอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา  แต่เพียงแวบเดียวก็กลับมายิ้มให้  “ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงร้องไห้น้ำตาตกใน  แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว”


“เจ้าก็พบรักที่แท้จริงแล้วนี่”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทำให้ลูซิฟรานหัวเราะออกมาแล้วตบไหล่เขาซ้ำๆ  “ใช่แล้ว  ข้าพบเขา  ห้าร้อยปีก่อน  เขารักข้าจากใจจริงไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด  แถมเรายังมีลูกด้วยกันด้วย  เป็นครอบครัวแสนสุขเลยล่ะ”


ลูซิฟรานเล่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  “ทั้งที่เป็นคิเมร่า  แต่กลับอ่อนโยนกว่ามนุษย์เสียอีก”


ผู้วิเศษเหลือบไปมองโซแวนที่ห่างออกไปก่อนจะหันกลับมาหาคู่สนทนาที่ยินดีเล่าอย่างไม่ปกปิด


“ก็ตามที่เจ้าสงสัยมาตั้งแต่แรก  เขาเป็นลูกชายของข้า  ถึงโซแวนจะคิดว่าข้าใช้เป็นเครื่องมือสอดแนมเรื่องในปราสาทแต่ก็ใช่ว่าข้าจะเกลียดเขานะ”


“เจ้าก็รักกับคนรักของเจ้าดีนี่”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้น  อีกฝ่ายยิ้มเงียบๆ  อยู่พักหนึ่งแล้วยื่นมือทั้งสองข้างมาคว้าเสื้อของเขาไว้  ใบหน้างดงามนั้นซุกลงกับแผงอก


“เขารักข้า...และข้าก็รักเขา  แต่ทำไมกันตอนที่เขาตายไปข้ากลับไม่ร้องไห้เลยสักนิด  แถมยัง...แถมยังไม่เคยลืมเจ้าเลยสักวัน”  ลูซิฟรานเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสั่นเครือ  เขากำเสื้อของอีกฝ่ายแน่นขณะที่ปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหลออกมาโดยห้ามไม่อยู่  เขาต้องการสัมผัสจากอีกฝ่ายมากกว่านี้แม้รู้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้


“เจ้ามันคนใจร้าย  ใจร้ายที่สุด...”  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำตา  เขารู้ตัวดีว่าคนตรงหน้าจะไม่มีการเห็นใจใดๆ  ทั้งสิ้น  ทว่าลูซิฟรานกลับคิดผิดเมื่อผู้วิเศษโอบกอดเขาไว้


“อย่าร้องไห้เลย”  เป็นประโยคแสนอ่อนโยนที่เขาเคยได้ยินประจำ  และมันก็ทำให้น้ำตาของลูซิฟรานหายไปได้  อาจเป็นเพราะว่าแปลกใจมากกว่า 


เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น  ผู้วิเศษยกยิ้มให้แล้วเอ่ยขึ้นว่า  “เจ้าเหนื่อยมานานแล้ว  ข้าจะทำตามประสงค์ของเจ้าแล้วกัน”


“เพิ่งเห็นใจกันหรือ”  ลูซิฟรานแค่นยิ้มก่อนจะเงยหน้าขึ้น  “งั้นฆ่าข้าสิ”


“นั่นคงไม่ได้”  ผู้วิเศษปฏิเสธแทบจะทันทีทำให้เขาเกือบหลุดหัวเราะออกมา 


“แต่ข้าก็ขอยืนยันคำเดิม  ฆ่าข้าซะ”


“พลังของเจ้าจำเป็นสำหรับการต่อสู้กับลูซัส”


“ผู้วิเศษ...ร่างกายข้าตอนนี้ไม่ไหวแล้ว  ข้าทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ไปหมดแล้ว  พลังก็แบ่งให้พวกเขาไปด้วย”  ลูซิฟรานเอ่ยขึ้นก่อนจะถอนหายใจแล้วอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงเบาโหวง  “ให้ข้าได้พักบ้างเถอะ  อยู่มาพันปีแล้วเหนื่อยจะตาย”


“แต่วิญญาณเจ้าอาจถูกช่วงชิงไปได้นะ...”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเพราะเขาไม่คิดว่าลูซัสจะยอมรามือจากลูซิฟรานง่ายๆ


“อะไร  เป็นห่วงข้าหรือ”  ลูซิฟรานเอ่ยขึ้นพลางขืนยิ้ม  “งั้นก็ปกป้องข้าไว้จนกว่าเทวทูตจะมารับวิญญาณสิ”


“นี่เจ้าจะตายให้ได้เลยใช่ไหม”


อีกฝ่ายหัวเราะก่อนที่จะถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า  “ข้าอยากจะหลุดพ้นจากคำสาปบ้าๆ  นี้แล้ว  ทำให้มันจบๆ  ไปสักที”


ลูซิฟรานกุมมือที่จับดาบของผู้วิเศษไว้แน่นแล้วเอ่ยว่า  “ข้าอยากตายด้วยฝีมือของคนที่ข้ารัก  ช่วยทำให้ความปรารถนาเป็นจริงหน่อยไม่ได้หรือ”


ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง  ตอนนี้อารมณ์ตัวเขาแปรปรวนไปหมดด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามา  ความทรมานนับพันปีที่ผ่านมา  เขาอยากหลุดพ้นไปเสีย


ผู้วิเศษกัดฟันแน่น  แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้ามากนักแต่ตัวเขาเองก็รู้สึกเจ็บปวด  หลังจากลังเลอยู่นานในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจับดาบขึ้นแล้วแทงไปที่กลางอกของอีกฝ่าย


ลูซิฟรานแสดงความเจ็บปวดผ่านสีหน้ามาแวบหนึ่งก่อนจะกัดฟันแล้วฝืนยิ้มขึ้นมา  รอบข้างของเขาปรากฏวงเวทขึ้นด้วยพลังของดาบทำให้คำสาปถูกกำจัดไป  แต่ตัวเขาที่ไม่มีพลังฟื้นฟูแล้วก็ไม่สามารถรักษาบาดแผลได้


ผู้วิเศษถอนดาบออกก่อนจะปล่อยให้มันร่วงลงแล้วประคองร่างผอมบางนั้นไว้  ลูซิฟรานยกมือที่เกือบจะไร้เรี่ยวแรงของตนขึ้นกอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเอ่ยขึ้น


“ขอบคุณนะ  ที่เหลือก็...ขอฝาก...พวกเขา...ไว้...ด้วย”


เสียงนั้นแผ่วเบาลงพร้อมกับแขนทั้งสองข้างที่ร่วงลงมาแนบลำตัว  ผู้วิเศษยังคงประคองร่างนั้นไว้ขณะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น


เมื่อผู้ใช้ตายไป  พลังเวททั้งหมดก็เสื่อมลง  โซแวนจึงได้เป็นอิสระทันทีที่ตกลงมาบนพื้นเขาก็รีบเดินเข้ามาหาแม้ตัวเองจะยังเจ็บอยู่  ทำให้ผู้วิเศษที่กำลังวางร่างของลูซิฟรานไว้บนพื้นเงยหน้าขึ้นมอง


โซแวนนิ่วหน้าขณะคุกเข่าลงกับพื้น  ตัวเขาแม้จะเคยรู้สึกไม่ชอบที่ผู้ให้กำเนิดแท้ๆ  คนนี้ทำเหมือนเขาเป็นของเล่น  แต่ก็รู้ตัวดีว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่อีกฝ่ายเพียรพยายามทำนั้นก็เพื่อตัวเขาและมนุษย์บนโลก


เขาอยู่ตรงนี้มาตลอดแต่ไม่สามารถห้ามหรือพูดอะไรกับอีกฝ่ายได้เลย


ทั้งที่จริงเขาเองก็ยังอยากจะบอกรักในฐานะลูกชายคนหนึ่งอยู่


ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองร่างที่เริ่มเย็นเฉียบ  จับมือของลูซิฟรานไว้แน่นขณะพร่ำคำที่อยากจะเอ่ยในใจ  ทั้งคำขอโทษ  คำสารภาพ  คำบอกรัก   เขาไม่สามารถพูดอะไรได้เนื่องจากพยายามกลั้นน้ำตาไว้  แต่รอบข้างนั้นเงียบสนิททำให้เสียงสะอื้นของเขาดังออกมา


“ข้าขอโทษ...”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนด้วยความสำนึกผิด  แต่โซแวนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย  ลูซิฟรานเป็นคนเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างเอง  เพื่อจบชีวิตอันแสนทรมานของตน


“เจ้าไม่ผิดอะไร”  เขาฝืนเอ่ยขึ้นขณะเช็ดน้ำตาบนใบหน้า  ขณะเดียวกันนั้นก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่และไอโขลกจากทีอารีน  ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนหันไป


เด็กหนุ่มคนนั้นเด้งตัวขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆ  ด้วยความกังวลแล้วมาหยุดสายตาที่พวกเขา  หรือจะพูดให้ถูกคือลูซิฟราน


“ไม่จริง...”  ทีอารีนเอ่ยออกมาเสียงสั่นแล้วคลานเข้ามาใกล้ร่างที่นอนแน่นิ่งก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง  “ทำไมกัน...ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย”


ทีอารีนเอ่ยขึ้นเสียงสะอื้น  แม้ว่าตนจะหลับไปแต่ภาพฝันที่เห็นนั้นกลับเป็นเรื่องของลูซิฟรานที่หลั่งไหลมาพร้อมกับพลังที่เสียสละให้เขา ความรู้สึกทั้งมวลของอีกฝ่าย  ความปรารถนา  และความโดดเดี่ยวนั้นเขารับรู้ได้ทั้งหมด


โซแวนดึงเขาเข้าไปปลอบทั้งที่ตัวเองยังมีน้ำตาไหลออกมาอยู่  ผู้วิเศษหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะยืนขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นเพื่อย้ำเตือน


“พวกเจ้าจงแข็งแกร่งขึ้นซะ”


ทั้งโซแวนและทีอารีนเงยหน้าขึ้นก่อนที่ผู้วิเศษจะเอ่ยขึ้นต่อว่า  “ลูซิฟรานฝากปณิธานของตนเองไว้กับพวกเจ้าแล้ว  หากไม่อยากให้การตายของเขาเสียเปล่า  ก็จงลุกขึ้นสู้ตั้งแต่ตอนนี้เสีย”


โซแวนได้ยินดังนั้นแล้วจึงกัดฟันกรอดก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง  “เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้วน่า”


ผู้วิเศษเผยยิ้มให้ทั้งสองเป็นการปลอบใจก่อนที่จะชะงักแล้วหันกลับไปทางหน้าวิหาร  เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางไอสีดำทะมึน


ลูซัสเดินตรงเข้ามาในวิหารก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างไร้ลมหายใจของผู้เป็นน้องชาย  ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธมองตรงไปยังผู้วิเศษทันที 


“แก!  แกบังอาจมาพรากเขาไปจากข้า”


“เสียใจด้วยลูซัส  แต่ข้าไม่ได้พรากเขาไป  เป็นความปรารถนาของเขาเอง”


“ลูซิฟรานต้องอยู่กับข้า  เขาต้องรักข้าเพียงคนเดียว  แต่แกกลับ...แกกลับทำให้ทุกอย่างที่ข้าทำให้เขาพังทลาย”  ลูซัสระเบิดความโกรธแค้นออกมาด้วยรูปของไอเวทที่รุนแรงขึ้นทำให้ผู้วิเศษต้องกางข่ายเวทป้องกัน


เพียงแค่มองอีกฝ่าย  ทีอารีนก็นึกถึงเรื่องของลูซิฟรานที่ถ่ายทอดมาให้เขา  นั่นทำให้เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความโกรธ 


“ที่เขา...ที่ท่านลูซิฟรานต้องทุกข์ทรมานมาตลอดเพราะเจ้าไม่ใช่หรือยังไง!”  เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเขาสั้นๆ  ก่อนจะตะโกนออกมา  “เพราะเจ้า  เขาถึงต้องเจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น”


ลูซัสนิ่งลงไป  ไอเวททั้งหมดอ่อนลง  ก่อนที่เจ้าตัวจะหัวเราะเสียงต่ำแล้วเงยหน้าขึ้น  “พูดอะไร  การที่เขาทรมานน่ะสิดี  ยิ่งแสดงความเจ็บปวดมากเท่าไรข้าก็ยิ่งรู้สึกดีมากเท่านั้น”


ทีอารีนชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มน่ากลัวปรากฏขึ้นบนหน้าอีกฝ่ายขณะที่ชี้มาทางเขา


“ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาอยู่กับเจ้า  ถ้างั้นข้าก็จะชิงเอามาไว้ในมือเอง”

------------------------------
เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ แฮะๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 19>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 17-03-2018 17:34:02
บทที่ 20
การปะทะของทั้งสองฝ่าย

“หมอนี่มันบ้าไปแล้ว”  โซแวนสบถขึ้นอย่างหงุดหงิด  ดวงตาของลูซัสตอนนี้เต็มไปด้วยความคั่งแค้นที่พร้อมจะปลิดชีพคนอื่นได้ทุกเมื่อ

“ช่วยปกป้องสองคนนั้นด้วยนะ”  ผู้วิเศษหันมาเอ่ยขึ้นกับเขาซึ่งคงหมายถึงทีอารีนและร่างและดวงวิญญาณของลูซิฟราน  โซแวนเรียกอาวุธของตนออกมาเตรียมพร้อมไว้จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่าย 

“แล้วเจ้าล่ะ”

“ข้าคงต้องสู้กับเขา”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไร  เขาขยับแขนเสื้อให้พอดีจากนั้นก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย  “ต้องขอโทษด้วย  แต่ดูท่าว่าเจ้าจะไม่ยอมถอยไปง่ายๆ  สินะ”

“นานแล้วนะที่เราไม่ได้สู้กันแบบนี้”  อีกฝ่ายแสยะยิ้มก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มพุ่งเข้าหากันและเรียกอาวุธของตนออกมา  ลูซัสเรียกดาบของตนออกมาฟาดฟันใส่ด้วยความรวดเร็ว  ทว่าผู้วิเศษเองก็สามารถยกคทาขึ้นป้องกันได้ทันและปัดอีกฝ่ายออกไป

แต่ลูซัสไม่ได้คิดจะสู้คนเดียว  เขาดีดนิ้วขึ้นรอบตัวก็ปรากฏวงเวทสีดำหลายวงก่อนที่จะมีอสูรโผล่ออกมา  มีทั้งพวกที่มีรูปร่างประหลาดและตนที่เหมือนมนุษย์

“จัดการพวกมัน  พาเด็กนั่นมาให้ได้”  คำสั่งของลูซัสดังขึ้นทำให้พวกมันหันมาจ้องทางพวกทีอารีนทันที  ผู้วิเศษเตรียมจะจัดการพวกมัน  แต่ก็ถูกขัดขวางเสียก่อน

“คู่ต่อสู้ของเจ้าก็คือข้า”  ลูซัสแสยะยิ้มขึ้นขณะยกดาบขึ้นเตรียมจะฟันใส่อีกฝ่ายแต่ผู้วิเศษก็ยกขึ้นกันได้แล้วเหลือบสายตาไปมองพวกทีอารีน

“ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้หรอกน่า”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะที่ยกดาบขึ้นจัดการอสูรที่พุ่งเข้ามาหา  ตัวเขานั้นได้รับพลังเวทเสริมจากทีอารีนที่อยู่ด้านหลัง  ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่มีอะไรน่าห่วง  แต่ก็วางใจไม่ได้

“อย่าประมาทเด็ดขาดนะ”  ผู้วิเศษตะโกนเตือนก่อนจะหันไปรับมือกับลูซัสอย่างจริงจัง 

โซแวนตวัดดาบของตนไปมาเพื่อจัดการกับอสูรชั้นปลายแถวที่กรูกันเข้ามาอย่างบ้าเลือด  เขาจึงต้องออกแรงมากกว่าเก่า  จำนวนนั้นไม่ใช่ปัญหาแต่สิ่งที่ทำให้จิตใจเขาอยู่ไม่ค่อยเป็นสุขก็คืออสูรที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างหาก

เขาเคยเผชิญหน้ากับอสูรที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์มาแล้วและฝีมือพวกนั้นต่างชั้นกันมาก  หากไม่ทันระวังตัวก็มีสิทธิ์บาดเจ็บหนักได้

โซแวนฟาดฟันใส่พวกอสูรที่กรูกันเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยสายตาก็มักจะหันไปมองอีกฝ่ายด้วย  มันแสยะยิ้มขึ้นทำให้เขาชะงักและเพียงแค่ชั่วจังหวะหายใจนั้นร่างของอสูรตนนั้นก็หายไปในพริบตา  ชายหนุ่มกัดฟันกรอดก่อนจะหันไปตามพลังเวทที่ตกค้าง

“ทีอารีน!”  เขาเรียกเด็กหนุ่มด้วยความตกใจเพราะอสูรตนนั้นไปปรากฏตัวด้านหลังของอีกฝ่าย  ทีอารีนหันกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะกางข่ายเวทคุ้มกันขึ้นทันทีเมื่อถูกจู่โจม

“โห่  ไวดีนี่”  อสูรตนนั้นเอ่ยขึ้นขณะถอยออกมา  “ข้าชอบอะไรที่มันตื่นเต้นแบบนี้”

“ไม่เป็นอะไรนะ”  โซแวนเข้ามาถามทันทีด้วยความเป็นห่วง  ก่อนจะหันกลับไปจัดการอสูรอีกตนที่พุ่งเข้ามา  “โธ่เว้ย  ไอ้พวกนี้ยังมากันไม่เลิกอีก”

“ลูซัสเป็นคนเรียกพวกมันมา  ต้องขัดขวางเขา”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงโซแวนลงมาอยู่ข้างตัวแล้วถามว่า  “มีที่ไหนที่จะให้ท่านลูซิฟรานพักอย่างสงบบ้าง”

“ทำไม  อยู่กับเจ้าก็ดีแล้วนี่”

“ข้าไม่อยากนั่งดูให้เป็นภาระเจ้าหรอกนะ  ให้ข้าสู้ด้วย”  ทีอารีนเอ่ยปากออกมาด้วยสีหน้าแน่วแน่ก่อนจะชี้แจง  “อีกอย่างให้ศพท่านอยู่ท่ามกลางการต่อสู้แบบนี้แล้วไม่ค่อยดีเท่าไร”

“เฮ้อ  เข้าใจแล้ว”  โซแวนเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมาพร้อมกับแบกศพของลูซิฟรานขึ้นแล้วหันไปกำชับกับทีอารีนว่า  “อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามล่ะ”

จากนั้นเขาก็หายไปจากตรงนั้น  เนื่องจากป่าแห่งนี้เคยเป็นสถานที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่เด็กโซแวนจึงรู้ที่ทางเป็นอย่างดี  เขาโผล่ไปในถ้ำที่ห่างออกไปซักเล็กน้อย  กำชับฝูงแฟรี่ที่ดูแตกตื่นให้ดูแลร่างของลูซิฟรานไว้แล้วกลับมาทันที

ทีอารีนกำลังยึดอีกฝ่ายไว้ด้วยโซ่เวทมนตร์ที่เรียกออกมาจากพื้น  ดูเหมือนอสูรตนนั้นก็ยังพยายามจะเข้าหาอีกฝ่ายตลอดแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ยอมให้อสูรตนไหนเข้าใกล้

โซแวนกระโดดไปกำจัดพวกอสูรปลายแถวให้หายไปก่อนจะเข้าไปถามทีอารีนเพื่อความแน่ใจว่า  “เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม”

“อื้ม  ข้าไม่เป็นอะไร”  ทีอารีนตอบก่อนที่จะหันไปร่ายเวทปัดอสูรตนหนึ่งออกห่างจากตัวก่อนที่โซแวนจะตวัดดาบจัดการมันซ้ำ  ในขณะนั้นเองที่อสูรมนุษย์จะหลุดพ้นจากพันธนาการของโซ่ได้และตรงเข้ามาโจมตีทันที

โซแวนยกดาบขึ้นป้องกันไว้แล้วผลักอีกฝ่ายออก  มันแสยะยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยปากชม  “เหอะ  ฝีมือดีนี่  ข้าชักจะสนุกแล้วสิ”

“ข้าก็เหมือนกัน”  ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นแล้วกระชับดาบในมือให้แน่นขึ้น  “เบื่อที่จะสู้กับพวกปลายแถวแล้ว  อยากรู้เหมือนกันว่าอสูรอย่างเจ้าจะแน่สักแค่ไหน”

“เหอะ  แต่เจ้าไม่ขี้โกงไปหน่อยหรือ?”  ทว่าอีกฝ่ายกลับท้วงขึ้นทำให้โซแวนแปลกใจ  ก่อนที่มันจะชี้ไปทางทีอารีน  “เจ้ามีเขาช่วยตลอดนี่  คิดจะพึ่งพาเด็กไปเรื่อยๆ  หรือไง  หา?”

“โซแวน  อย่าหลงคำยั่วยุของมันนะ”  ทีอารีนเอ่ยเตือนขึ้นด้วยความกังวลว่าจะเป็นแผนของอีกฝ่าย  แต่โซแวนกลับยิ้มและย้อนอีกฝ่ายกลับไป 

“ไม่หรอก  แค่ไม่อยากขัดใจฝ่าบาทก็เท่านั้นเอง  และสำหรับเจ้าต่อให้ไม่มีเวทช่วยข้าก็คิดว่าชนะได้สบาย”

“ว่ายังไงนะ!?”  อีกฝ่ายหรี่ตาลงด้วยความหงุดหงิด  “น่าสนุกนี่  มาเจอกันหน่อยเป็นไง” 

“ทางนี้เองก็กำลังต้องการแบบนั้นอยู่เลย”  โซแวนแสยะยิ้มขึ้นก่อนที่จะหันมาหาทีอารีน  “ทีอารีน  ถอนเวทเสริมทั้งหมดจากข้าด้วย”

“หา?  เจ้าจะบ้าหรือไง  บอกแล้วว่าอย่าไปหลงคำยั่วยุมันน่ะ”  ทีอารีนตวาดกลับทันทีแต่โซแวนก็ไม่ฟัง 

“ไม่ต้องห่วงน่า  ข้าไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่คิดสักหน่อย  เจ้านี่น่ะจัดการได้สบาย” 

“เฮ้อ  เจ้านี่มัน...”  เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะหาคำไหนมาต่อว่าดี  แต่เห็นสายตาเอาจริงแบบนั้นก็คงห้ามอะไรไม่ได้จึงถอนเวทที่ใช้เสริมให้อีกฝ่ายออก

โซแวนกระตุกยิ้มแล้วก้าวออกมาห่างจากทีอารีน  “ทีนี้ก็สามารถสู้กันได้แล้วใช่ไหม”

“เหอะ  ถึงข้าจะอยากสู้ตัวต่อตัวกับเจ้าก็เถอะ  แต่ว่านะ...เป้าหมายของพวกข้าคือเด็กนั่นต่างหาก”  สิ้นเสียงนั้น  อสูรที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ก็ปรากฏตัวขึ้นเพิ่มอีกห้าคน  แต่ละคนนั้นต่างก็มีเค้าไอเวทความมืดแพร่ออกมาอย่างมหาศาล

แต่โซแวนกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านและกระตุกยิ้ม  “น่าเสียดายนะ  เพราะทางพวกข้าก็ต้องปกป้องเด็กคนนี้เหมือนกัน  ที่เหลือก็ฝากด้วยละกัน  เร็น”

“ไม่ต้องบอกก็รู้ขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นขณะก้าวมายืนเคียงข้างทีอารีน  ก่อนจะก้มหัวให้อีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม  “ขออภัยที่ให้รอนานนะพ่ะย่ะค่ะ  ฝ่าบาท”

“ช้ามาก  กว่าเจ้าจะยอมส่งสัญญาณ  รู้ไหมว่าข้ากังวลแทบจะตายเลยนะ”  นอร์ธวินด์บ่นปนตำหนิใส่โซแวน  ก่อนที่อีกฝ่ายจะหัวเราะในลำคอแล้วย้อนกลับไปว่า 

“งั้นก็ตายไปเลยสิ”

“อย่ามาล้อเล่นน่า  ตายแบบนั้นไม่สมศักดิ์ศรีสักหน่อย”  นอร์ธวินยังคงบ่นตามมา  “เจ้าเองก็อย่าตายซะล่ะ” 

“รู้แล้วล่ะน่า”  ชายหนุ่มเสยเส้นผมสีแดงขึ้นจากใบหน้า  ดวงตาสีทองนั้นทอสัญชาตญาณสัตว์ป่าออกมาอย่างเด่นชัด  “งั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า  คุณอสูร”

“อึก”  อสูรตนนั้นกัดกรอกก่อนที่จะรีบป้องกันการโจมตีที่รวดเร็วของโซแวนไว้  ร่างของทั้งคู่ไถลห่างออกจากจุดเดิมก่อนที่จะเริ่มการปะทะกัน  เช่นเดียวกับอสูรที่เหลือซึ่งตรงเข้ามาหวังจัดการกับทีอารีนแต่ก็ต้องสู้กับพวกเร็น  ที่รีบเดินทางมาหลังจากได้รับสัญญาณจากโซแวน

อีกด้านหนึ่ง  ผู้วิเศษก็กำลังต่อสู้อยู่กับลูซัส  เขาพยายามหลอกล่อให้อีกฝ่ายออกห่างมาไกลพอสมควรเพื่อไม่ให้คนที่เหลือได้รับผลกระทบจากพลังที่แข็งแกร่ง

ลูซัสสะบัดข้อมือเพื่อใช้เวทโจมตีใส่เขาไม่หยุดยั้งแต่ผู้วิเศษก็ทำเพียงแค่ปัดมันออกไปอย่างง่ายดาย  ก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้น  “พอแค่นี้แหละลูซัส  เจ้าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปถึงไหน”

“ข้าไม่หยุด  พวกเจ้าทุกคนจะต้องหายไปให้หมด”  ลูซัสประกาศกร้าวทำให้ผู้วิเศษถอนหายใจออกมา 

“เจ้ามันกู่ไม่กลับไปแล้วจริงๆ”

เขารวบรวมพลังของตนเองไว้ที่ฝ่ามือก่อนจะวาดแขนออกไปเพื่อโจมตีอีกฝ่ายแล้วถอยกลับมาเล็กน้อย

แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาจะเป็นแค่ผู้ชี้แนะและเฝ้ามองภัยนี้มาตั้งแต่เมื่อพันปีที่แล้ว  รับรู้ถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

แม้ว่าแต่เดิมลูซัสจะทำตามคำแนะนำจากความมืดแต่แท้จริงแล้วเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความรัก

เป็นความรักที่บิดเบี้ยวระหว่างลูซัสและลูซิฟราน
-------------------
ต่อเรฟล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 19>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 17-03-2018 17:35:45
บทที่ 20 ครึ่งหลัง
ลูซิฟรานเองก็รู้ดีว่าพี่ชายแท้ๆ  ของตัวเองชอบ  แต่เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาจึงทำเป็นไม่สนใจ  แล้วใครจะรู้เล่าว่านั่นเป็นสาเหตุให้ลูซัสคิดเปิดประตูอสูร  แต่ก็ไม่ได้รับความรักกลับ  และโชคชะตาก็ช่างเล่นตลกที่ให้ลูซิฟรานมาหลงรักคนอย่างเขา

ผู้วิเศษเองก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวดมากไปกว่านี้จึงพยายามออกห่างเพราะตนเองนั้นรักใครไม่ได้

ลูซัสที่ต้องการความรักจากน้องชาย  และลูซิฟรานที่ต้องการความรัก  เป็นวังวนที่ไม่มีใครได้พบกับความสุข  อีกทั้งยังทำให้ลูซัสตกลงไปในความมืดเรื่อยๆ

สุดท้ายตัวชายหนุ่มก็ตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งขึ้น  ลูซัสไม่ต้องการให้ใครมาแย่งชิงความรักของลูซิฟรานไปจากเขาได้อีก  และเพราะแบบนั้นเขาจึงคิดค้นคำสาปขึ้นมา

คำสาปที่ทำให้ลูซิฟรานถูกเกลียดชังจากคนรอบข้าง  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาหันมารักพี่ชายตนเองได้เลยแม้แต่น้อย

ต่อให้พยายามไปมากเท่าไร  ลูซิฟรานก็ไม่ได้มีใจให้พี่ของตนเลยแม้แต่น้อย  ตอนแรกคิดว่าลูซัสจะตัดใจแต่เปล่าเลย  จนถึงตอนนี้สิ่งที่เขาได้ทำไปก็เป็นชนวนให้อีกฝ่ายทวีรุนแรงขึ้น

อาจจะบอกได้ว่าคนคนนี้วิปลาสไปแล้วก็ว่าได้

ส่วนตัวผู้วิเศษก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์นั้นได้แม้อยากจะช่วยลูซิฟรานสักแค่ไหน  เขาทำได้เพียงแค่เฝ้ามองจนถึงตอนนี้

ลูซัสกำลังจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว...  ผู้วิเศษสรุปในใจเช่นนั้น  การตายของลูซิฟรานเป็นชนวนใหญ่ที่ทำให้เขาบ้าคลั่งมากกว่าเดิม  ทว่าตัวผู้วิเศษเองนั้นก็ไม่ได้คิดห้ามแม้จะรู้แก่ใจดี

เหตุเพราะหนึ่งพันปีที่ผ่านมาลูซิฟรานทรมานมามากพอแล้ว  นี่ควรถึงเวลาพักผ่อนของชายคนนั้น

“ข้าจะทำลายทุกอย่าง  ทุกอย่างที่เขาสร้างมา!”  ลูซัสเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะใช้พลังเวทของตนโจมตีผู้วิเศษซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้ว่าจะป้องกันไว้แต่ก็มีบางส่วนที่ทำให้ได้รับบาดเจ็บ

“อึก”  ชายหนุ่มกัดฟันกรอดขณะยกมือขึ้นกุมแผลที่แขนซ้าย  ก่อนจะรีบยกมือขึ้นร่ายเวทป้องกันอีก

“เหอะ  เป็นอะไรไป  เจ้าดูอ่อนแอกว่าเมื่อพันปีที่แล้วอีกนะ”  ลูซัสแสยะยิ้มทำให้ผู้วิเศษชะงักไป  “ไม่สิ  ต้องบอกว่าตอนนี้ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าแล้วใช่ไหม?”

“อาจจะ...แต่ว่านะตอนนี้ข้าไม่อยากเสียเวลาคุยกับเจ้าแล้ว”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะขยับเท้าและกางมือออก  ทันใดนั้นเองรอบตัวของลูซัสพลันเกิดข่ายเวทที่ใช้ตรึงขึ้น  อีกฝ่ายชะงักไปทันทีก่อนจะตวาดกลับมา 

“แกคิดจะทำอะไร!”

“ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ก็จริง  แต่คนที่จะกำจัดเจ้าน่ะมีอยู่  ระหว่างนั้นก็คงต้องส่งเจ้าไปที่อื่นเสียก่อน”  ผู้วิเศษยกยิ้มขึ้นก่อนจะร่ายคาถา  เกิดหลุมขนาดยักษ์ใต้เท้าลูซัสก่อนที่ความมืดในนั้นจะกลืนกินอีกฝ่ายหายไป  ขณะที่กำลังจมไปนั้น  อีกฝ่ายกลับไม่มีแววตาของผู้แพ้หนำซ้ำยังแสยะยิ้มขึ้น 

“น่าสนุกนี่  เด็กนั่นจะไปได้แค่ไหน  ข้าเองก็กำลังลุ้นอยู่เชียว”

“ไว้ใจได้เลย  เขาต้องฆ่าเจ้าสำเร็จแน่”  เขายกยิ้มขึ้นส่งท้ายก่อนที่หลุมเคลื่อนย้ายจะหายไป  แว่วเสียงปะทะกันยังแว่วมาเรื่อยๆ  ทำให้ผู้วิเศษรู้ว่าอีกฝั่งนั้นยังไม่จบ  “จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?”

อีกด้านหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้น  โซแวนรุกไล่อสูรที่ท้าสู้ด้วยอย่างเอาเป็นเอาตาย  ขณะที่อีกฝ่ายเองก็ไม่อ่อนข้อให้  การต่อสู้ของทั้งคู่นั้นราวกับสัตว์ป่าด้วยสัญชาตญาณดิบที่ปล่อยออกมา  ดูสนุกสนานกับการห้ำหั่นกัน  และอาจไม่ใช่แค่โซแวน  แต่เป็นพวกเร็นด้วย

“อย่าประมาทเด็ดขาดนะ”  ทีอารีนร้องเตือนขึ้นด้วยความเป็นห่วง  แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครฟังเขาเลยนอกจากคาร์ริต้าทำให้เจ้าตัวอดถอนหายใจออกมาไม่ได้  “เจ้าพวกนี้นี่...”

“อย่ากังวลไปเลยเพคะฝ่าบาท  ยังไงพวกเขาก็ไม่มีทางแพ้ให้แก่อสูรอยู่แล้ว”  หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะที่ยกมือขึ้นมากุมมือเด็กหนุ่มไว้  ทีอารีนเหลือบมองมาที่เธอ  เพราะไม่สามารถเดินได้คาร์ริต้าจึงต้องนั่งรถเข็นอยู่ตลอดเวลา  และอยู่ข้างเขาเสมอเพื่อปกป้องจากภัยร้าย 

“ต้องขอโทษทีนะที่ทำให้มาลำบากแบบนี้”

“ไม่หรอกเพคะ  การปกป้องฝ่าบาทคือหน้าที่ของหม่อมฉันอยู่แล้ว”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้นพลางยิ้มหวาน  ก่อนที่จะหันไปมองตามต้นเสียงที่ดังขึ้น 

“ตายจริง  ยังมีตัวเกะกะเหลืออยู่อีกเหรอเนี่ย”

อสูรที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ผู้หญิงเอ่ยขึ้นพลางเหยียดยิ้มแล้วชี้นิ้วไปทางทีอารีน  “ส่งเด็กนั่นมาซะ  ยัยพิการ”

“ตายจริง”  แต่คาร์ริต้ากลับกุมมือเขาไว้แน่นกว่ากันแล้วส่งยิ้มหวานกลับไป  “ไม่มีใครสั่งสอนหรือคะว่าไม่ควรพูดแบบนี้กับคนอื่น”

“ว่ายังไงนะ”

“อ๋อ  ลืมไป  เพราะเป็นอสูรนี่นะ”  หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่ยังเยือกเย็น  ผิดกับอีกฝ่ายที่เริ่มหน้าแดงจัดด้วยความโกรธจนใบหน้าสวยนั้นบิดเบี้ยวไป

“ยัยปากดีนี่  สงสัยคงต้องฆ่าแกก่อนเสียแล้ว”  อสูรตนนั้นแสยะยิ้มขึ้นก่อนจะหยิบแส้ออกมาสะบัดแล้วเอ่ยขึ้นต่อว่า  “แค่ใช้แส้นี่กระชากแกออกมาจากรถเข็นนั่นก็เรียบร้อยแล้ว”

“วางใจได้เพคะ  หม่อมฉันไม่มีทางอยู่ห่างจากพระองค์แน่นอนค่ะ”  อสูรตนนั้นชะงักไปทันทีที่เห็นคาร์ริต้าไม่สนใจตัวเองแต่กลับหันไปปลอบทีอารีนที่อยู่ข้างๆ  ทำให้มันร้องเสียงสูงด้วยความโกรธแล้วฟาดแส้ใช่ทันที 

ตูม!

ทว่าแส้เส้นนั้นไปไม่ถึงเป้าหมายแต่กลับถูกกดลงบนพื้นด้วยเสาน้ำที่พุ่งลงมาใส่  อสูรสาวเบิกตากว้างทันทีก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า  คาร์ริต้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้า  เธอยกมือที่ร้อยเชือกหินสีฟ้าไว้ที่นิ้วมือทั้งห้าก่อนที่รอบตัวจะปรากฏสายน้ำลอยอยู่ในอากาศ

“ข้าน่ะไม่ได้เลือดร้อนแบบพวกผู้ชายหรอกนะคะ  แต่ว่า...ถ้าเจ้ายังยืนยันจะยุ่งกับฝ่าบาทอีกก็คงต้องเอาจริงเสียหน่อย”  หลังจบประโยคแล้ว  หญิงสาวก็กำมือข้างที่ยกขึ้น  ทันใดนั้นสายน้ำที่ไหลวนอยู่รอบตัวก็พลันรวมเป็นรูปร่างของเถาวัลย์เข้าโจมตีอีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังตูมตามของการปะทะกับแส้

ทางคาร์ริต้าที่เพิ่งเริ่มสู้กันทำให้เร็นอดเหลือบสายตาไปมองไม่ได้  และนั่นทำให้เขาเกือบโดนเคียวยักษ์ฟันเข้ามาที่คอ  ชายหนุ่มรีบกระโดดถอยหลังหลบไปทันที  อีกฝ่ายเป็นอสูรที่ตัวใหญ่กว่าเขาประมาณหนึ่งเท่าและมีอาวุธใหญ่

“ดูเหมือนเจ้าจะหันไปสนใจทางนั้นบ่อยนะ”  อีกฝ่ายทักขึ้นทำให้เขาชะงัก  แต่ก็ไม่ปฏิเสธอะไร  “แล้วจะทำไมหรือขอรับ”

“กำลังสนใจใครอยู่งั้นเหรอ  แม่สาวสวยคนนั้น?  หรือพ่อหนุ่มนั่น?”    อีกฝ่ายถามด้วยความอยากรู้ทำให้เร็นนึกสงสัยขึ้นมา 

“ไม่นึกว่าอสูรก็จะสนใจเรื่องรักๆ  ใคร่ๆ  ด้วยนะขอรับ”

“ไม่เอาน่า  อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ”  อีกฝ่ายท้วงขึ้น  “ข้าชอบเรื่องความรักของหนุ่มสาวนะ”

อสูรร่างยักษ์ยกยิ้มเป็นมิตรขึ้น  ขณะที่เร็นกำลังเผลออยู่นั้นเองอีกฝ่ายก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาอยู่ตรงหน้าพร้อมกับง้างเคียวขึ้น  “โดยเฉพาะตอนที่ได้พรากทั้งคู่ออกจากกันน่ะ  มันรู้สึกดีสุดๆ  เลย”

เร็นเบิกตากว้างก่อนที่จะรีบกระโดดออกมาแล้วกระชับด้ามสามง่ามของตนให้แน่นจากนั้นจึงเข้าไปต่อสู้กับอีกฝ่าย  อสูรสบถขึ้นทันที  “หลบได้ยังไง”

“น่าเสียดายนะขอรับ  แต่ว่าเรื่องความเร็วน่ะผมไม่แพ้ใครหรอก”  ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นแล้วใช้สามง่ามงัดเคียวอีกฝ่ายให้ลอยขึ้นจากนั้นรวบรวมพลังเวทไว้ที่มืออีกข้างต่อยเข้าที่ตัวมันจนอสูรล้มกลิ้งลงไป  “ผมน่ะ  จะไม่พ่ายแพ้อยู่ตรงนี้หรอกนะขอรับ”

อีกด้านหนึ่ง  ท่ามกลางลานโล่งของป่าต้องห้าม  ทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน  อสูรตนที่นอร์ธวินด์และวารันต้องเจอนั้นเป็นชายร่างอ้วนที่ยังหัวเราะคิกคักไม่เลิก

“ไอ้หมอนี่มันร้ายกาจชะมัดเลย”  นอร์ธวินด์บ่นพึมพำขึ้นขณะง้างคันธนูอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อม  เมื่อปะทะกันมาสักพักเขาเองก็เริ่มเหนื่อย  แต่อีกฝ่ายยังคงดูร่าเริงจนพลอยทำให้คนข้างๆ  เขาหงุดหงิดเปล่าๆ

อสูรตนนี้ดูท่าจะถนัดการเล่นกล  ถึงขนาดปลอมเป็นใบไม้มาลอบแทงเขาได้  หรือหลอกให้วารันคิดว่านอร์ธวินด์เป็นศัตรูจนเกือบทำร้ายมาแล้ว

“เอ้า  เหลืออะไรที่ยังไม่งัดออกมาอีกล่ะ”  ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเหลืออด  เพื่อความปลอดภัยของพวกตนการดูท่าทีอีกฝ่ายจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ 

อสูรตนนั้นหัวเราะชอบใจก่อนที่จะบอกว่า  “ต่อไปเป็นอะไรดีนะ  ขา?  แขน?  หรือเป็นตาสีทองก็ดี”

“นี่ไม่ฟังกันเลยนี่นา”  นอร์ธวินด์ลอบถอนหายใจอย่างระอาก่อนที่จะเหลือบมองคนข้างๆ  วารันยังคงนิ่งเงียบ  ซึ่งนั่นก็เป็นท่าทางที่ดีกว่าตอนโกรธ  แต่อีกฝ่ายกลับทำในสิ่งที่เขาอดแปลกใจไม่ได้ 

“มาร่วมมือกัน”  วารันเอ่ยขึ้นเป็นเหมือนคำสั่งขณะขยับเข้ามาใกล้ 

นอร์ธวินด์ขมวดคิ้วขึ้นแล้วถามว่า  “ร่วมมือยังไง?”

“ใช้ความสามารถเจ้าให้เป็นประโยชน์สิ”  อีกฝ่ายหันมาตบไหล่เขาเบาๆ  ขณะนั้นเองที่อสูรส่งเสียงหัวเราะขึ้นแล้วร่างของมันก็ค่อยๆ  เลือนหายไป

“คราวนี้เป็นล่องหนเหรอ”  นอร์ธวินด์ขมวดคิ้ว  ตัวเขาเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว  แต่ก็ต้องสงบใจลงเมื่อวารันเตือน  ชายหนุ่มหลับตาลงเพื่อสัมผัสสายลมรอบกาย  เป็นความสามารถที่เขาได้รับจากการเป็นผู้ถูกเลือกเพื่อหาตำแหน่งของอสูร 

“อ๊ะ  ข้างหลังเจ้า”  นอร์ธวินด์รีบหันมาบอกวารันทันที  และด้วยความรวดเร็วนั้นชายหนุ่มอีกคนจึงรีบหันหลังกลับไปแล้วคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ได้ก่อนที่จะเตะออกไปเต็มแรง

“ว้าก!”  มันร้องลั่นด้วยความตกใจขณะกลิ้งไปบนพื้น  ร่างอ้วนนั้นค่อยๆ  ลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ  “หน็อย  พวกแก...พวกแกจะต้องเจอดี”

อสูรตนนั้นพลันลุกขึ้น  ร่างของมันขยายมากกว่าเดิมจนมีขนาดตัวสูงกว่าสามเมตร  ทำให้นอร์ธวินด์อดสบถออกมาไม่ได้  “บ้าเอ๊ย  ยังมีลูกเล่นขยายร่างอีก  ข้ามันดวงซวยจริงๆ  ที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้”

“บ่นไปก็เท่านั้นล่ะน่า”  วารันสวนกลับไปเสียงเรียบก่อนที่จะผลักอีกฝ่ายไปข้างหลัง  “ตัวใหญ่แค่นี้น่ะไม่เท่าไรหรอก”

“หา?”  นอร์ธวินด์ขมวดคิ้วงุนงงไปชั่วขณะก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร  “หรือว่าเจ้า...”

“ถอยออกไปห่างๆ  หน่อยละกัน  ข้าไม่รับประกันว่าเจ้าจะไม่โดนลูกหลง”  วารันเอ่ยเตือนขึ้นก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับอสูร  ร่างสูงโปร่งเรืองแสงสีขาวขึ้นก่อนที่จะค่อยๆ  แปรเปลี่ยนรูปร่างกลับเป็นมังกรขนาดยักษ์  สยายปีกกว้างออกแล้วยืนเต็มความสูง

“จะว่าไปวารันร่างจริงก็สูงเกือบสี่เมตรนี่นะ...”  ขณะนั้นเองชายหนุ่มที่หลบมุมไปยืนมองอยู่พึมพำขึ้นและเกือบจะกลั้นขำไว้ไม่ได้ตอนที่เห็นสีหน้าตกตะลึงของเจ้าอสูร  เขาตั้งใจว่าจะปักหลักรออีกฝ่ายแต่ก็อดห่วงไม่ได้  “อาคีรัสจะเป็นยังไงบ้างนะ  พักนี้เลือดขึ้นหน้าบ่อยด้วยสิ”

“แฮ่ก  แฮ่ก  แฮ่ก...”  ในป่าที่ลึกไปอีก  อสูรตนหนึ่งหยุดพักหอบหายใจหลังจากวิ่งต่อเนื่องมานานแล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเหยียบกิ่งไม้ใกล้ๆ  “บ้าเอ๊ย  แกเป็นตัวอะไรกันแน่”

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วงุนงงกับคำพูดอีกฝ่าย  ก่อนที่จะชะงักเมื่อจู่ๆ  ก็ถูกปามีดมาปักลงที่กลางอกจนต้องกระอักเลือดออกมาคำใหญ่  แต่นั่นก็เป็นแค่อาการจากการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่

อาคีรัสดึงมีดที่ปักอกตัวเองออกแล้วขว้างทิ้งไป  “เปล่าประโยชน์  ยอมแพ้แต่โดยดีเถอะน่า”

“อย่ามาพูดเหลวไหลน่า”  อสูรตนนั้นตวาดลั่นก่อนที่จะแสยะยิ้ม  “เหอะ  ถ้าแกมีพลังฟื้นตัวเร็วล่ะก็  ลองแบบนี้ดูจะเป็นยังไง”

ทันใดนั้นรอบตัวของมันก็เต็มไปด้วยอสูรชั้นต่ำที่โผล่ออกมา

“ข้าจะรีบจัดการเจ้าแล้วพาเด็กนั่นไปหานายท่านสักที  เสียเวลามาพอแล้ว”  อสูรตนนั้นเอ่ยขึ้น  ทันทีที่ได้ยินคำว่าเด็กนั่นก็ทำให้อาคีรัสชะงักไป 

เขาสบตากับอีกฝ่ายก่อนจะถามว่า  “จะทำอะไรกับฝ่าบาทงั้นเหรอ”

“ก็คงถูกนายท่านใช้เป็นเครื่องมือล่ะมั้ง”  อีกฝ่ายตอบแบบไม่ใส่ใจ  “เหอะ  เจ้าเด็กนั่นจะเป็นยังไงต่อข้าก็ไม่ใส่ใจหรอก  ถึงจะถูกฆ่าก็ช่าง”

“แบบนั้นไม่ได้...”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นเสียงเบาจนทำให้อีกฝ่ายชะงัก  ดวงตาสีทองจับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยอารมณ์ที่อ่านไม่ออก...ราวกับว่างเปล่า  “จะให้ใครมาล่วงเกินฝ่าบาทไม่ได้”

เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น  บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไปจนน่าอึดอัดทำให้อสูรเริ่มไม่ชอบมาพากลและรีบสั่งการว่า  “จัดการมัน”

อสูรมากมายที่อยู่ตรงนั้นรีบพุ่งเข้าไปหาอาคีรัสทันที  แต่เด็กหนุ่มที่สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วกลับพุ่งตัวสวนกลับมาหาศัตรูตรงหน้า  ดวงตาวาวโรจน์ขึ้นขณะที่เอื้อมมือไปสัมผัสอีกฝ่าย

“ต้องกำจัด...”

ตูม! 

ฉับพลันนั้นอากาศรอบกายของเขากลับบิดเบี้ยวแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงที่ลุกโหมราวกับพายุหมุนแผดเผาอสูรทุกตัว

ประติมากรรมพายุเพลิงนั้นทำให้โซแวนชะงักไปด้วยเสียงที่ดังขึ้น  แม้จะรับรู้ว่าใครเป็นผู้ก่อแต่เขาก็ไม่มีเวลามาสนใจเพราะกำลังต่อสู้กับอสูรตรงหน้า  ซึ่งพุ่งมาหาด้วยความรวดเร็ว

โซแวนรีบหลบออกทำให้การโจมตีไปโดนต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังจนหักโค่นลง  เขากระโดดหลบอีกครั้งก่อนที่จะยกดาบขึ้นตวัดใส่อีกฝ่ายซึ่งยังคงรับดาบของเขาไว้ได้  มันมีสีหน้าตึงเครียดและกระหน่ำเพลงดาบใส่ไม่ยั้ง

“ไม่เลวนี่”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนที่จะตวัดอีกฝ่ายออกด้วยดาบ  “แต่แค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”

ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นอสูรก็กัดฟันกรอดทันทีก่อนที่จะพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง  “อย่าได้ใจไปไอ้หนู  ข้าจะเด็ดหัวเจ้าซะ”

โซแวนยังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์ขณะถอนหายใจกับคำพูดนั้น  เขายกดาบขึ้นป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า  “นี่  ขอโทษทีเถอะ  แต่จริงๆ  แล้วข้าอายุเกือบสามร้อยปีแล้วนะ...”

อสูรเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะเข้ามาโจมตีด้วยดาบของตน  “สามร้อยปีแล้วอย่าได้ใจไปหน่อยเลย  ข้าจะจัดการเจ้าที่นี่แหละ”

“เรื่องนั้นก็คงไม่ได้หรอก”  โซแวนยกยิ้มเย็นขึ้นขณะปัดอีกฝ่ายออกให้ห่างตัวแล้วแผ่พลังเวทที่รวบรวมไว้มากดดันอสูรไว้  เขาก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วแล้วตวัดดาบฟันมันให้ขาดในทีเดียว  “อย่าดูถูกราชาของป่าต้องห้ามดีกว่าน่า  เจ้าหนู”

ร่างของอสูรร่วงลงสู่พื้นก่อนที่จะสลายไป  โซแวนถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอกก่อนที่จะชะงักเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาหลายสิบคู่  “โอ๊ะ  มาดูกันด้วยเหรอ”

เขาเอ่ยทักทายกับเหล่าสัตว์วิเศษที่หลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้  “ขอโทษทีนะที่เล่นเอาซะป่าวุ่นวายไปหมด”

เสียงร้องของเหล่าสัตว์ดังขึ้นเพื่อยื้อให้เขาอยู่ต่อ  แต่โซแวนทำได้แค่ยกยิ้มจางๆ  “ไม่ได้หรอก  ตอนนี้น่ะยังกลับมาไม่ได้  มีบางอย่างที่ต้องทำ”

พวกสัตว์นั้นเงียบลงทำให้เขาหันไปมองทางทิศที่ยังคงมีการสู้กัน  “เอาล่ะ  รีบกลับไปดีกว่า”

ทีอารีนยังคงพยายามเสริมเวทให้พวกของตนอยู่ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล  เพราะทั้งโซแวนและผู้วิเศษนั้นเขาไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่ไหนหรืออาการเป็นอย่างไรบ้าง  แต่สถานการณ์ตรงหน้าเองก็ไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย  คาร์ริต้ากำลังรับมือกับอสูรผู้หญิงที่โจมตีมาไม่ยั้งจนทำให้เธอตั้งรับทัน

“อึก!”

“คาร์ริต้า!”  แล้วการป้องกันของเงือกสาวก็พังลงเมื่ออสูรหาโอกาสจนสามารถกระชากเธอร่วงจากรถเข็นได้ทำให้ทีอารีนรีบเข้าไปหา  ทว่ากับถูกแส้รัดข้อมือจนล้มลงด้วย

“ฝ่าบาท!”  คาร์ริต้าร้องขึ้นด้วยความตกใจขณะพยายามเอื้อมมือมาหาสุดชีวิต  แต่เด็กหนุ่มกลับถูกลากไปใกล้อสูรมากขึ้น

“ฮ่าๆ  จับได้แล้ว”  มันหัวเราะขึ้นด้วยความพึงพอใจทันที

ฉับ!

ทว่าก็ไม่เป็นดังหวังเมื่อโซแวนกระโดดมาใช้ดาบตัดแส้ให้ขาดแล้วประคองทีอารีนขึ้นมาทันที  “ไม่เป็นอะไรนะ?”  ชายหนุ่มถามขึ้นก่อนจะตวัดสายตามามองอสูรด้วยความโกรธที่เจือปนมา

“หน็อยแน่  แก...”  มันกัดฟันกรอด  ก่อนที่จะชะงักแล้วพึมพำขึ้นมา  “สัญญาณถอย  เกิดอะไรขึ้น?  ช่างเถอะ  คราวหน้าข้าจะจัดการพวกแกแน่”

อสูรนั้นเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหายเข้าไปในวงเวทสีดำทิ้งให้พวกทีอารีนงุนงงกันสักพักก่อนที่ผู้วิเศษจะเดินมา  “ไม่เป็นอะไรนะขอรับ  ฝ่าบาท”

“อื้ม  เกิดอะไรขึ้น  ทำไมพวกมันถึงถอยไป?”  ทีอารีนถามขึ้นด้วยความสับสน

“ข้าส่งลูซัสไปที่อื่น  เขาคงรู้ว่าลำพังพวกอสูรคงพาท่านไปไม่ได้เลยส่งสัญญาณมาให้ถอยกลับไปก่อน” 

“แล้วทำไมเจ้าไม่จัดการเขาให้เด็ดขาดล่ะ?”  โซแวนถามขึ้นแทรกทำให้ผู้วิเศษนิ่งเงียบไปสักพักก่อนที่จะบอกว่า  “ข้าไม่สามารถจัดการเขาได้แล้วล่ะ”

“แม้แต่ท่านน่ะหรือ?”  เป็นคาร์ริต้าที่พึมพำขึ้น  เธอเข้าใจดีว่าผู้วิเศษแข็งแกร่งมากเพียงใดและอดกังวลไม่ได้ที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังมากกว่าคนตรงหน้า 

ในขณะนั้นเองที่พวกเร็นกลับมาสมทบด้วยความสับสนที่เห็นอสูรหนีไป  ฟ้าที่เริ่มมืดแล้วทำให้ผู้วิเศษตัดสินใจว่าควรออกไปจากที่นี่เสียก่อน  แต่ก่อนหน้านั้นก็มีสิ่งที่ต้องทำ

“ทำพิธีศพให้แก่ลูซิฟรานก่อน  จากนั้นกลับไปที่ปราสาทแล้วเราค่อยพูดกัน”
-----------------------------------------------
จะพยายามลงรัวๆ ช่วงกลางวันนะคะ จริงๆ ต้นฉบับเสร็จมาสักพักแล้ว
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 20>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 18-03-2018 09:50:42
บทที่ 21
ยามลมสงบ
“เสด็จพี่!” 

ทันทีที่มาถึงหน้าปราสาทครีออนก็รีบวิ่งมารับพร้อมทหารกลุ่มหนึ่ง  สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลจนข้าอดห่วงไม่ได้
 
“ครีออน  เจ้าไปรอในปราสาทก็ได้...”  เมื่อสัมผัสตัวเขาพบว่าเย็นเยียบเสียจนสะดุ้งเฮือกครู่หนึ่ง  ดูท่าเขาคงยืนตากลมรออยู่นานแล้ว

“ข้าเป็นห่วงท่านจนนั่งไม่ติดเลยมารออยู่ตรงนี้  ท่านไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?”  เขาถามขึ้นพร้อมมองข้าอย่างพิจารณา  ถึงจะเปื้อนฝุ่นและเสื้อผ้ามีรอยขาดบ้างแต่ตัวข้าก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรแล้ว

“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก  เพราะได้พวกเขาช่วยไว้ด้วยนั่นแหละ”  ข้ายกยิ้มบางๆ  ขึ้นก่อนจะหันไปมองผู้ติดตามที่เหลือ  ตอนนี้ด้วยเวทรักษาของข้าทำให้อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่หายไปหมดแล้ว  แต่ก็ไม่มีแรงกันอยู่  ครีออนเองก็คงรู้เรื่องนั้นดีจึงให้พวกคนรับใช้มาดูแล

“ข้าจะให้พวกคนครัวเตรียมอาหารให้นะขอรับ”  สิ้นเสียง  ครีออนก็หันไปหาท่านเสนาที่อยู่ด้านหลัง  ฝ่ายนั้นโค้งตัวลงรับคำสั่งแล้วเดินเข้าไปก่อนเพื่อสั่งการกับคนรับใช้

ข้ากวาดสายตาไปมองรอบๆ  ผู้คนรอบข้างไม่ได้ส่งสายตาจงเกลียดจงชังแล้ว  และในทางตรงข้ามก็ไม่มีสายตาหมายปองอะไร  หากให้พูด  นี่ก็คงเป็นสายตาธรรมดาเวลามองคนอื่น  ข้าออกจะรู้สึกว่าพวกเขาเมินเฉยด้วยซ้ำ

“เสด็จพี่รีบเข้าไปในปราสาทเถอะขอรับ  อากาศเย็นมากแล้วด้วย”  ครีออนเอ่ยขึ้น  ข้าจึงเดินเข้าข้างในพร้อมกับเขา  เพราะรู้สึกว่าตัวเหนียวไปหมดเลยขอไปอาบน้ำก่อน  พวกผู้ติดตามคนอื่นก็เช่นกัน

“ข้าจะรีบกลับมานะ”  ข้าเอ่ยกับครีออนด้วยรอยยิ้มเพื่อทลายสีหน้าเศร้าหมองของเขาหลังจากถูกข้าปฏิเสธไม่ให้ตามไปตอนอาบน้ำ

“แล้วข้าจะรอนะขอรับ”  น้องชายของข้าเอ่ยขึ้นก่อนที่จะถอยหลังออกไป  ข้าจึงเข้าไปยังห้องของตนเอง  พวกผู้วิเศษเองก็แยกย้ายไปอาบน้ำเหมือนกัน  เพราะพวกเขาทุกคนก็มอมแมมพอๆ  กัน

หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วข้าก็รีบไปที่ห้องรับประทานอาหาร  มีครีออนนั่งรออยู่แล้วที่หัวโต๊ะใหญ่  ข้างซ้ายเป็นผู้วิเศษ  เมื่อไปถึงน้องชายข้าก็ลุกขึ้นพาไปนั่งที่เก้าอี้ด้านขวา  พวกโซแวนเองก็ค่อยๆ  เดินกันมาจนกระทั่งอาคีรัสมาถึงตอนสองทุ่มตรง  มื้ออาหารจึงได้เริ่มขึ้น

“ท่านครีออนทราบไหมขอรับว่าตอนนี้ท่านทีอารีนหลุดพ้นจากคำสาปแล้ว”  ท่ามกลางเสียงพูดคุยเรื่อยเปื่อย  จู่ๆ  ผู้วิเศษก็เอ่ยขึ้นทำให้ครีออนชะงักแล้วหันมามองข้า  เขายกยิ้มบางๆ  ก่อนจะแสดงความยินดี 

“จริงหรือขอรับ  ข้ายินดีจริงๆ”

“ใช่”  ข้ายิ้มตอบผู้เป็นน้องก่อนจะระบายออกมาว่า  “ทีนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับพฤติกรรมสุดโต่งอะไรแล้ว  ข้าชอบธรรมดาแบบนี้มากกว่า”

“ท่านพี่ดูบ้านๆ  กว่าที่คิดอีกนะขอรับ”

“หมายความว่ายังไงกัน  ไอ้ที่พูดนั่นน่ะ”  ข้าหันไปตาขวางใส่  แต่ครีออนแค่ยิ้มกลับมาและเปลี่ยนเรื่อง  เขาให้ข้ากินอาหารอีกเยอะๆ  เพราะเกรงว่าจะหิว  แต่แค่หนึ่งจานข้าก็อิ่มแล้วจึงยื่นไปให้โซแวนที่ท่าทางเหมือนคนหิวโซ  กินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม 

หลังจากเสร็จสิ้นมื้ออาหารนั้น  ผู้วิเศษชี้แจงว่าวันพรุ่งนี้จะให้ครีออนทำพิธีขึ้นครองราชย์ทันทีเพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย  น้องชายข้าก็ไม่มีปัญหาอะไรแต่เขาขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อน  การพูดคุยต่อจากนั้นจึงเหลือแค่ข้า  ผู้วิเศษ  และพวกโซแวน

“ผู้วิเศษ  ท่านลูซิฟรานบอกกับข้าว่าข่ายสะกดประตูอสูรจะอยู่ได้อีกแค่เจ็ดวัน  มันหมายความว่ายังไงกันแน่?”  ข้าเอ่ยถามขึ้นเมื่อแน่ใจว่าทั้งห้องเหลือกันอยู่แค่พวกเรา  ทุกสายตาหันไปมองผู้วิเศษทันที  เขานิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะยอมอธิบายออกมา

“จริงๆ  แล้วข่ายนั่นไม่ได้เป็นของพระเจ้า  แต่เป็นพลังของข้าที่ใช้หยุดยั้งพวกมันไว้  ข้าเคยเห็นการถูกทำลายเมื่อหนึ่งพันปีก่อนมาแล้วจึงไม่อยากเห็นเช่นนั้นอีก  ที่จริงมันก็ควรอยู่ได้อีกร้อยปี  แต่ตอนนี้ร่างกายของข้าเหมือนจะรับไม่ไหวแล้ว”

“ผู้วิเศษ!?”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ  พวกเร็นเองก็มีสีหน้าตื่นตะลึงไม่แพ้กัน  แต่คนต้นเรื่องกลับยกยิ้มแล้วบอกให้สงบลง

“ออกจะดูแย่ไปสักหน่อยที่มาบอกตอนนี้  แต่นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประสงค์มาสักพักแล้ว  เมื่อก่อนตัวข้าแค่ถูกสร้างมาเพื่อยับยั้งการเปิดประตูอสูร  สาเหตุเพราะครั้งนั้นเป็นฝีมือของพระเจ้า  แต่ครั้งนี้ท่านเห็นว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์จึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย”

“อะไรกัน  หมายความว่าพระเจ้าจะทอดทิ้งพวกมนุษย์งั้นหรือ?”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเครียดจัด  แม้จะไม่อยากได้ยินแต่คำตอบของผู้วิเศษนั้นก็เด่นชัดออกมา 

“ถูกต้อง  ท่านเล็งเห็นให้พวกมนุษย์จัดการกันเอง”

“จะปล่อยให้ลูซัสชนะหรือเจ้าคะ?”  คาร์ริต้าขมวดคิ้วถาม  ซึ่งข้าก็เห็นด้วย  หากไม่มีพลังของพระเจ้าแล้วจะกลายเป็นการยากที่จะชนะคนอย่างลูซัส

“ไม่หรอก  ข้าคิดว่ายังมีโอกาสอยู่”  ผู้วิเศษยกยิ้มขึ้น  “ร่างกายของลูซัสเองก็คงแบกรับภาระมากอยู่เหมือนกัน  ยิ่งนานวันพลังจะยิ่งกัดกิน  เหมือนที่เกิดขึ้นกับข้าและลูซิฟราน  อีกอย่างปัจจัยที่พอจะให้ชนะก็ยังมีอยู่  ทั้งพลังของผู้ถูกเลือกที่ทำให้มนุษย์ธรรมดาแข็งแกร่งขึ้น  สัตว์วิเศษที่ไร้เทียมทาน  และประตูแห่งอำนาจ...ข้าคิดว่าสามสิ่งนี้ก็พอจะโค่นล้มลูซัสได้แล้ว  โดยเฉพาะอย่างหลังสุด”

“แต่เราก็ไม่สามารถยืนยันได้นี่ว่าจะสามารถเปิดประตูแห่งอำนาจได้”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความสับสน  ไม่มีสัญญาณอะไรที่พอจะเดาได้เลยว่าตอนนี้ประตูแห่งอำนาจนั้นถูกโอนสิทธิ์ไปอยู่ที่ใดหรือกับใคร

“ลูซิฟรานคงกำหนดไว้แต่แรกแล้ว  ข้าเองก็รับรู้ได้...”  เขาเกริ่นขึ้นก่อนจะเบนสายตาไปข้างตัวข้าซึ่งเป็นตำแหน่งที่นั่งของโซแวนและหันกลับมาสบตาด้วยกันกับข้า  “ท่านและโซแวนคือคนที่ลูซิฟรานเลือก”

“เหลวไหลน่า  ข้าไม่ใช่คนของราชวงศ์อะไรนี่สักหน่อย”  โซแวนท้วงขึ้นแต่ก็โดนผู้วิเศษสวนกลับไป

“แต่เจ้าเป็นลูกของลูซิฟราน  การสืบทอดน่ะเขาเอาจากสายเลือดที่แท้จริงต่างหาก”

“แล้วต้องทำยังไงล่ะ?  ไม่เห็นรู้สึกได้ถึงประตูอะไรนั่นเลย”  ข้าถามขึ้นด้วยความสงสัย  ทำให้ผู้วิเศษบอกว่า  “ตอนนี้อาจจะยังไม่รู้สึกอะไร  แต่อีกสองวันข้าจะพาท่านกับโซแวนไปทำวิธีสืบทอดอำนาจต่อจากลูซิฟราน  คิดว่าวันนั้นพวกท่านคงต้องเตรียมตัวกันหนักเสียหน่อย”

“พวกข้าไปด้วยได้ไหม?”  นอร์ธวินด์เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย  ผู้วิเศษจึงหันไปบอกเขาว่า  “แน่นอนอยู่แล้ว  พวกเจ้ามีหน้าที่คุ้มกันทั้งสองคน”

“จะพยายามเต็มที่เลยครับ”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งขันแทรกขึ้น  ผู้วิเศษหันไปยิ้มชื่นชมเขาก่อนจะถามปนติดตลก

“มีใครมีคำถามอะไรไหม  ข้าแก่แล้วก็หลงๆ  ลืมๆ  บ้าง”

“นี่  เจ้าบอกมีเวลาแค่เจ็ดวันก่อนที่พลังของเจ้าจะหมดใช่ไหม”  โซแวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนที่จะยิงคำถามไปว่า  “แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสักพัก  พวกข้ารอฟังคำตอบจากเขา  ผู้วิเศษเองก็ไม่ตอบในทันที  หลังจากชั่งใจอยู่นานในที่สุดก็เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่ชัดเจน

“ก็คงต้องหายไป...”

ข้ารับรู้ได้ว่าบรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งขึ้น  ในอกเองก็รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา  “โก...หก...ใช่ไหม”

“ข้าบอกแล้วนี่ว่านี่คือตัวตนที่สร้างขึ้นเพื่อหยุดยั้งเกมของพระเจ้า  เมื่อครั้งนี้ไม่มีพระเจ้ามาเกี่ยวข้องตัวข้าก็หมดหน้าที่  จริงๆ  แล้วย่อมดีด้วยซ้ำที่ตัวข้ายังมีเวลาอีกเจ็ดวัน”

“เดี๋ยว  เจ้าจะหายไปจริงๆ  น่ะหรือ?...แบบตาย...”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความสับสนและไม่อยากจะเชื่อ  แต่ผู้วิเศษกลับตอบมาอย่างชัดเจนโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไร

“เป็นเช่นนั้นแหละขอรับ  ฝ่าบาท”

“ไม่เอานะ!”  ข้าลุกขึ้นตะเบ็งเสียงไปเองราวกับเด็กเอาแต่ใจ  อาจจะเพราะข้ายังตัดเยื่อใยกับเขาไม่ขาดและช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันมันมีค่ามากเสียจนน่าใจหาย

“ไม่เอาน่าฝ่าบาท  นี่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”  เขาเอ่ยขึ้นคล้ายปลอบใจแล้วยิ้มมาให้  ทั้งๆ  ที่หัวตาข้าเริ่มร้อนผ่าวแล้วมีน้ำเอ่อออกมาจนต้องปาดทิ้ง

“อย่าทำตัวเป็นเด็กขี้แยไปหน่อยเลยน่า  ไม่ได้จากกันตอนนี้เสียหน่อย”  ทว่าโซแวนกลับแทรกแล้วยกมือขึ้นกดหัวข้าเบาๆ  ทำให้ชะงัก  แต่พอจะหันไปต่อว่าเขาก็พูดขึ้น  “แทนที่จะมานั่งเสียใจ  สู้ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าดีกว่า”

เขาเอ่ยเสียงเรียบ  แต่กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างผ่านสายตา  นั่นทำให้ข้าชะงักแล้วนึกขึ้นได้  โซแวนเองก็เพิ่งสูญเสียท่านลูซิฟรานโดยที่ยังไม่ได้บอกลาเหมือนกัน

“ฝ่าบาทไม่ต้องร้องไห้  มีข้าอยู่ด้วยทั้งคน”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสแล้วตรงมากอดข้าจากด้านหลัง  จากนั้นวารันก็เข้ามากอดด้วย  รวมทั้งคนอื่นๆ  จนรู้สึกอึดอัดขึ้นมา

“พวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ  ข้าอึดอัด!” 

ข้าโวยวายลั่นทันทีทำให้พวกเขาแตกฮือกันออกไป  เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ  จากผู้วิเศษได้  แม้จะโมโหที่ถูกทำตัวเหมือนเด็กแต่ก็รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด

“มีอะไรหรือเปล่า?  ฝ่าบาท”  ผู้วิเศษถามขึ้นหลังจากเห็นข้าจ้องเขาอยู่อย่างนั้น  พอถูกถามเข้าข้าก็เดินเข้าไปใกล้แล้วสวมกอดอีกฝ่ายไว้แน่น

“กอดกันหลายๆ  คนแล้วรู้สึกดี”

“ข้าด้วย”  พอได้ยินข้าพูดแบบนั้นแล้วอาคีรัสก็มาร่วมวงด้วย  คนอื่นๆ  จึงหันมากอดผู้วิเศษกันทันที  แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธเหมือนข้าซ้ำยังหัวเราะชอบใจด้วย

“แบบนี้มันเหมือนลัทธิอะไรสักอย่าง...”

“แค่กอดปลอบเท่านั้นล่ะน่า”  โซแวนแย้งขึ้นก่อนจะแยกตัวออกไปเช่นเดียวกับคนอื่นๆ  รวมทั้งข้าด้วย 

"ขอบคุณพวกเจ้ามากนะ  รู้สึกดีทีเดียว”  ผู้วิเศษยกยิ้มบางๆ  ขึ้นด้วยความรู้สึกยินดี

ข้าก้มหน้านิ่งไม่ได้พูดอะไรออกไป  อาจเพราะลึกๆ  แล้วยังทำใจไม่ได้ก็เลยไม่กล้าพูดอะไรต่อ 

ผู้วิเศษเองก็เหมือนจะเดาได้แต่เขาก็ยกมือขึ้นช้อนใบหน้าข้าแล้วบอกว่า  “นี่ก็ดึกมากแล้ว  เชิญท่านไปพักผ่อนเถิด  สีหน้าดูเพลียมากแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นข้าไปส่งฝ่าบาทเองขอรับ”  เร็นอาสาขึ้นก่อนจะผายมือรอให้ข้าเดินไป  ข้าล่ำลากับคนที่เหลือแล้วจึงตามเขาไปที่ห้องนอน  ระหว่างที่อยู่ในห้องก็เกิดคำถามขึ้นว่า

“เร็น  เจ้าคิดยังไงกับคาร์ริต้า”  มือที่กำลังชงชาร้อนหยุดชะงักแล้วหันมามองข้าด้วยแววตาตกใจ 

“เหตุใดจึงทรงถามเช่นนั้นล่ะขอรับ?”

“ตอนนี้ไม่มีปัญหาเรื่องคำสาปอะไรแล้ว  เจ้ากับคาร์ริต้าเองก็คงรู้ถึงความรู้สึกจริงๆ  สักที  นางรักเจ้ามากๆ  ข้าก็เลยอยากรู้ว่าเจ้าคิดยังไงกับนาง”  ข้าอธิบายขึ้นขณะที่เขายกถ้วยชาคาร์โมไมล์มาให้เลยเอ่ยเสริมไปว่า  “ขอบคุณนะ”

เร็นนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง  พักใหญ่จนข้าจิบชาไปได้ครึ่งถ้วยแล้วเขาจึงตอบมาเสียงสั่น  “ข้า...ข้าเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด”

“หา?  แล้วเงียบไปนานเนี่ยนะ”

“ก็ข้าไม่แน่ใจนี่น่าว่าความรู้สึกแบบนี้ควรจะเรียกว่ายังไง  ตอนนี้น่ะข้าคิดได้แค่ว่านางเป็นผู้มีพระคุณของข้าก็ควรดูแลนางให้ดี  แต่จะว่ามันมีแค่นั้นก็ไม่ใช่  แต่ก็ไม่รู้ควรจะเรียกว่ารักได้หรือเปล่า  ข้าเกรงว่าไอ้ที่กำลังรู้สึกอยู่นี้เป็นแค่ความเห็นใจแล้วจะไม่ได้รักนางจริงๆ  นั่นอาจทำให้นางเจ็บทีหลังก็ได้”

เร็นอธิบายด้วยสีหน้าสับสน  เขาเองก็อาจจะกำลังก้ำกึ่งว่าจริงๆ  แล้วนั่นคือความรักหรือแค่ความหวังดีจากการทดแทนบุญคุณอยู่ก็ได้  ข้าเองก็อยากเอาใจช่วยเขาเลยลองตั้งสถานการณ์สมมติดูว่า  “ถ้าระหว่างข้ากับคาร์ริต้าเจ้าจะเลือกใคร?”

“ข้าควงสองได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”  การตอบทันทีของเขาทำให้ข้าหงุดหงิดขึ้นมา  แม้จะรู้ว่านั่นเป็นคำล้อเล่นจากอีกฝ่ายแต่กลับรู้สึกได้ถึงความเอาจริงจนข้าอยากจะขว้างถ้วยชาใส่  เมื่อเห็นว่าคำถามไม่น่าได้ผลเลยบอกเร็นว่าจะนอนแล้ว

ข้าล้มตัวลงนอนหลังจากเก็บถ้วยชาและเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว  ก่อนที่เร็นจะออกจากห้องไปก็อดอวยพรให้เขาไม่ได้  “พยายามเข้านะ  เร็น”

“ขอรับ”  เขาส่งยิ้มให้ก่อนที่จะโค้งตัวขอออกจากห้องไป  “ราตรีสวัสดิ์ครับ  ฝ่าบาท”

ทั้งเมื่อวานและวันนี้ต่างมีเรื่องหนักหนาและเสียพลังงานไปเยอะ  ข้าจึงคิดจะหลับเพื่อให้ร่างกายพักฟื้น

ข้ายกมือขึ้นแตะที่หน้าอกพลางสูดลมหายใจเข้า  รู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบของกล้ามเนื้อที่ฉีกออกจากกัน  มันเป็นเรื่องที่ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจแต่หลังจากท่านลูซิฟรานถอนคำสาปออกไปให้ก็รู้สึกว่าแผลบนร่างกายหายไวขึ้นกว่าเดิม  ยกเว้นก็แต่ตรงนี้  ถ้าเปิดดูจะยังเห็นรอยแผลเป็นอยู่

หลังจากที่พวกอสูรไปหมดแล้ว  โซแวนกับผู้วิเศษเป็นคนจัดการเรื่องศพของท่านลูซิฟราน  ในป่าต้องห้ามมีสุสานเล็กๆ  ตั้งอยู่ในส่วนลึก  ที่นั่นเป็นที่พักผ่อนแห่งสุดท้ายของท่านปฐมกษัตริย์  ข้างๆ  นั้นเป็นหลุดศพของใครบางคน  โซแวนมาบอกข้าทีหลังว่าเป็นของอีกคนที่เขาเรียกว่าพ่อ

เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นโซแวนทำสีหน้าเจ็บปวดแบบนั้นแม้จะพยายามกลบเกลื่อนด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนทุกทีก็ตาม  แต่ข้าเองก็ไม่สามารถช่วยปลอบอะไรเขาได้มากเช่นกัน

ข้าคิดวนเวียนอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ดีเพราะยังไม่หลับ  ทั้งๆ  ที่รู้สึกเพลียแต่ก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้  ทีแรกข้าคิดว่าอาจเป็นเพราะชาที่ดื่มไปเลยรอสักพัก  แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถหลับได้  จนกระทั่งแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้องข้าจึงลุกขึ้น  ดีที่ไม่มีอาการอ่อนล้าแต่อย่างใด 

เมื่อลองคิดๆ  ดูอาการเพลียก็หายไปแล้วด้วย

“ฝ่าบาท  อรุณสวัสดิ์ขอรับ!”  เสียงของอาคีรัสดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออกทำให้ข้าสะดุ้งเฮือกเพราะยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนเสื้อผ้า  พอหันไปมองเขาก็พบว่ากำลังยิ้มอย่างสดใสและถือผ้าบางอย่างไว้

“อาคีรัส?  บาดแผลเจ้าเป็นยังไงบ้าง”  ข้าถามขึ้นขณะเดินเข้าไปหา  อาคีรัสยิ้มตาหยีขึ้นก่อนจะบอกว่า  “ข้าสบายม้ากมากขอรับ”

“งั้นก็ดีแล้ว  แล้วนี่เจ้าถืออะไรมาด้วย”  ข้ายิ้มอย่างโล่งอกก่อนที่จะก้มมองผ้าที่อยู่ในมือของเขาอย่างสงสัย  ปกติแล้วถ้าเป็นเสื้อผ้าใหม่คนที่ควรจะเอามาให้ควรเป็นพวกสาวรับใช้มากกว่า

“ครีออนฝากมาให้ท่าน  เขาบอกอยากเห็นท่านใส่ผ้าคลุมนี้ในวันนี้น่ะขอรับ  คงตั้งหน้าตั้งตารออยู่นะขอรับ”  อาคีรัสตอบด้วยรอยยิ้ม  คำพูดของเขาทำให้ข้าอดขมวดคิ้วไม่ได้ 

“นี่เจ้าสนิทกับครีออนแล้วหรือ?”

“อืม...จะเรียกสนิทดีหรือเปล่านะ  แต่ข้าก็เห็นเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งนะขอรับ”  อาคีรัสขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกออกมา  ข้าไม่ได้ถามว่าเริ่มสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่  แต่พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

“ดีแล้วล่ะ  ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาเองก็ไม่ค่อยคบหาใครเป็นเพื่อน  ถ้าเจ้าเป็นเพื่อนกับเขาก็คงดีไม่น้อย  ขอฝากครีออนด้วยนะ”  ข้าเอ่ยขึ้นจากใจจริง  เพราะว่าเสด็จพ่อไม่ชอบครีออนทำให้ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย  แม้ว่าจะมีข้าอยู่แต่ลึกๆ  เขาเองก็คงอยากได้เพื่อนมากกว่านี้

“ข้าจะพยายามขอรับ”  อาคีรัสกำหมัดแน่นก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้  “ถ้างั้นจะใส่เสื้อคลุมนี่เลยไหมขอรับ”

“ก็ถ้าเขาขอมาก็คงต้องใส่ละนะ”  พอข้าพูดจบ  อาคีรัสก็พยักหน้ารับคำแล้วช่วยแต่งตัวให้พร้อมกับเล่าว่าตอนนี้ข้างนอกกำลังยุ่งกันมาก  ทีแรกพวกขุนนางได้ลงความเห็นว่าจะเริ่มจัดพิธีเฉลิมฉลองพรุ่งนี้ยาวไปเจ็ดวัน  แต่ครีออนเห็นว่านานเกินไปจึงลดเหลือแค่สามวัน

“นี่เป็นชุดคลุมจากไหนกัน?”  ข้าพึมพำขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจก  เสื้อคลุมที่ครีออนให้มานั้นเป็นสีขาวปักลวดลายสีทองสวยงามและไข่มุก  มีหมวกติดอยู่ด้านหลังแต่ข้าคิดว่าในพิธีไม่ควรจะเอาขึ้นมาคลุมศีรษะ  ชุดที่ข้าตั้งใจใส่แต่แรกก็เป็นสีขาวทำให้ตอนนี้กลายเป็นว่าข้ารู้สึกกังวลว่าจะไปทำเปื้อนตรงไหนหรือไม่

“โอ๊ะ  ครีออน”  เสียงของอาคีรัสดังขึ้นทำให้ข้าหันไปมอง  ครีออนเข้ามาในห้องเงียบๆ  คนเดียว  ส่วนพวกทหารที่ตามอารักขามารอกันอยู่หน้าประตู  พอข้าสบตาด้วยเขาก็ยิ้มขึ้น 

“เหมาะมากขอรับเสด็จพี่”  ครีออนเอ่ยชมหลังจากมองข้าแล้ว

“ขอบคุณ  เจ้าก็เช่นกัน”  ครีออนอยู่ในชุดพิธีการของราชวงศ์ซึ่งเป็นสีขาวน้ำเงิน  เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนถูกมัดรวบเป็นหางม้าอยู่ด้านหลัง  เครื่องแบบที่ดูภูมิฐานนั้นทำให้น้องชายข้าดูสง่างามขึ้นมามากกว่าเดิมเสียอีก

“เจ้าสง่างามมากจริงๆ”  ข้าชมเขาด้วยรอยยิ้มจากใจจริง  ครีออนเองก็ยิ้มตอบกลับมาแบบขัดเขิน 

“แต่ข้ายังด้อยกว่าท่านนัก  เสด็จพี่ให้ข้าจัดทรงผมให้เอาไหมขอรับ  เหมือนเมื่อก่อน...”  ครีออนอาสาขึ้นขณะลูบเส้นผมของข้า  สมัยเด็กเขาชื่นชมแม่นมคนหนึ่งเป็นเหมือนแม่  และนางมักจะสอนอะไรหลายอย่างให้เขา  ที่ครีออนชื่นชอบมากที่สุดน่าจะเป็นการถักเปีย  เพราะเขามักจะมาทำให้ข้าบ่อยๆ  “เสด็จพี่จะต้องดูดีขึ้นอีกแน่ๆ”

“ฮะๆ  ถ้าเป็นคำขอร้องของว่าที่ราชาก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ”  ข้าอนุญาตปนหยอกล้อเขาแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ปล่อยให้เขาจัดการทรงผมของข้า  ระหว่างนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่า  “ครีออน  เจ้าไม่ต้องไปต้อนรับพวกคณะราชาที่จะเดินทางมาหรือ”

“ยังมีเวลาพอที่จะให้ข้าทำผมให้ท่านเสร็จน่ะขอรับ”  เขาตอบขึ้นขณะหวีผมให้แล้วเอ่ยขึ้นว่า  “เสด็จพี่  ตอนงานพิธีข้าสามารถพาคนคนหนึ่งไปร่วมพิธีได้ไหมขอรับ”

“หืม?  มันเป็นสิทธิ์ของเจ้านี่  เจ้าจะพาใครมาก็ได้  แล้วคนคนนั้นเป็นใครกัน”  ข้าขมวดคิ้วด้วยความสงสัยแต่ก็ตอบไปแล้วถามกลับ

“เป็นคนที่ช่วยข้าไว้ตอนที่เสด็จพ่อคิดจะสังหารข้าขอรับ”  เขาตอบเสียงเรียบ  แต่นั่นทำให้ข้าตาลุกวาว 

“เป็นผู้มีพระคุณของเจ้าหรือ  ข้าเองก็อยากพบเหมือนกันนะ”

“ท่านจะได้พบเขาแน่ๆ  ขอรับ”  ครีออนเอ่ยขึ้น  จากการมองในกระจกเขากำลังคลี่ยิ้มอยู่พลอยให้ข้ารู้สึกดีไปด้วย 

หลังจากที่ครีออนถักเปียผมข้าทั้งสองข้าแล้วรวบไปข้างหลังเหมือนคาดมงกุฎไว้เขาก็จุมพิตหลังมือและขอคำอวยพรจากข้าก่อนที่จะออกไป  พิธีในตอนเช้าคือการทักทายกับคณะทูตและราชาที่เดินทางมาจากต่างแคว้นและจัดเลี้ยงอยู่ในปราสาท  พวกเร็นตอนนี้ก็คงเตรียมความพร้อมคุ้มกันให้ครีออนอยู่แล้ว ส่วนตัวข้าก็คงออกไปทักทายแค่พอเป็นพิธีเพื่อป้องกันคำถามประมาณว่าเหตุใดจึงสละราชบัลลังก์

แต่พอข้าลุกจากเก้าอี้ก็เห็นอาคีรัสทำสีหน้ากังวลแปลกๆ  “เป็นอะไรหรือ?  อาคีรัส”

“ข้ารู้สึกแปลกๆ  แต่มันอธิบายยากจังขอรับ”  เขาบอกเสียงเบาด้วยสีหน้าสับสน  ข้านิ่งคิดไปสักพักก่อนจะบอกว่า  “ลองพูดออกมาสิ”

“ข้าคิดว่า...ครีออนดูแปลกๆ  จากปกตินะขอรับ  หรืออาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้เขายิ้มบ่อยกว่าปกติ”  อาคีรัสบอกในสิ่งที่ตัวเองสงสัย  จะว่าไปก็รู้สึกว่าครีออนยิ้มบ่อยกว่าปกติจริงๆ 

“แต่นั่นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง  ในฐานะราชาคนต่อไปก็ต้องมีใบหน้ายิ้มแย้มไว้บ้างสิ”  ข้าเอ่ยขึ้นตามความเป็นจริงทำให้อาคีรัสพยักหน้าเห็นด้วย  แต่เขาก็อดพึมพำออกมาไม่ได้

“ข้าแค่สงสัยว่าเขาดีใจเรื่องอะไรกัน  เมื่อวานซืนยังดูอารมณ์ไม่ดีกับงานพิธีอยู่เลย”  เขาพึมพำขึ้นทำให้ข้าชะงักก่อนที่จะลองคิดดู  “...ตอนนี้เขาอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้  พูดก็พูดเถอะ  พิธีแบบนี้น่ะยังไงก็ต้องทำตัวอารมณ์ดีเข้าไว้นะ”

ข้าบอกอาคีรัสไปเช่นนั้น  แต่ในใจกลับรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

หากชะตานำพาพวกเราไปพบสันติสุขก็คงดี...
--------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 20>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 18-03-2018 09:56:35
บทที่  22 
เงามืดที่เด่นชัด

ช่วงบ่ายนั้นเป็นพิธีที่ข้ายังคงเป็นกังวล  การกางข่ายเวทนั้นจำเป็นต้องใช้พลังมหาศาล  ครีออนยังเด็กกว่าข้าและไม่ได้มีพลังเวทแข็งแกร่งขนาดนั้น  แม้ผู้วิเศษยืนยันจะช่วยแต่ข้าก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี

“ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นก็รีบบอกเลยนะ  เข้าใจใช่ไหม?”  ข้าถามย้ำกับเขาก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มพิธี 

ครีออนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง  แล้วเสริมท้ายด้วยความมั่นใจว่า  “ข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆ  หรอกขอรับ  เสด็จพี่”

“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี...”  ข้าถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนที่จะยกมือขึ้นตบแผงอกของเขาเบาๆ  “ข้ารบกวนเจ้ามามากพอแล้ว  เจ้าไปเตรียมตัวต่อเถอะ”

สำหรับเขายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำ  ส่วนข้าในวันนี้มีหน้าที่อยู่บนลานพิธีเพื่อส่งมอบดาบแก่ครีออนเป็นการสืบต่ออำนาจไป  พวกเร็นรับหน้าที่คุ้มครองครีออน  ส่วนผู้วิเศษกับโซแวนเฝ้าอยู่บนลานพิธีเผื่อในกรณีฉุกเฉินหากเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“ข้าจะรอนะ”  ข้าเอ่ยกับน้องชายก่อนที่จะหันหลังกลับไปเตรียมตัวในส่วนของข้าเอง

“เสด็จพี่”  ทว่าครีออนกลับเรียกข้าไว้ก่อนพร้อมกับดึงแขนไว้  พอหันไปมองด้วยความสงสัยเขาก็ถามขึ้นว่า  “ยังจำสัญญาของพวกเราได้หรือไม่?”

ข้านิ่งไปสักพักด้วยความงุนงงก่อนที่จะพูดได้อย่างเต็มปากว่า  “แน่นอนสิ  ไม่ว่าเมื่อไรพวกเราพี่น้องก็จะอยู่เคียงข้างกัน”

ข้าได้ให้คำสาบานเช่นนั้นไปตอนที่สามารถช่วยครีออนออกมาจากห้องกักขังได้ 

เสด็จพ่อที่รักเสด็จแม่มากเกลียดชังครีออนตั้งแต่ตอนที่เขาเกิดมา  กล่าวหาว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้เสด็จแม่ต้องตายจึงเลี้ยงไว้ในห้องที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน  และทำโทษยามที่ตัวเขาไม่พอใจ

ข้ารู้ว่าตนเองมีน้องชายอีกคนก็จากพวกคนรับใช้ที่คุยกันอยู่เลยแอบตามเสด็จพ่อไปตอนอายุห้าปี  คำขอร้องของข้าทำให้ครีออนได้เป็นอิสระ  แต่ยังคงไม่มีใครในปราสาทชอบเขา

ข้ารู้ว่านั่นเป็นแผลใจที่ใหญ่หลวงของครีออน  แต่ความสามารถของเขาก็เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ทำให้หลายคนเริ่มยอมรับ

เพราะครีออนเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้า  ดังนั้นแล้วข้าจึงให้ความสำคัญกับคำสาบานนั้น

“ข้าดีใจเหลือเกิน”  ครีออนสวมกอดข้าหนึ่งครั้งก่อนที่จะผละออกไปเพื่อเตรียมตัวต่อ  ข้าจึงได้มุ่งไปยังลานพิธี  ที่นั่นพบผู้วิเศษกับโซแวนกำลังรออยู่

“ท่านทีอารีน...”  ผู้วิเศษยิ้มต้อนรับข้าก่อนที่จะเข้ามาหา  “กำลังรออยู่เลยขอรับ”

เขาจับแก้มทั้งสองข้าอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเพิ่มแรงบีบมันโดยที่ไม่ให้ข้าพูดอะไร  “หายไปไหนมาขอรับ  รู้ไหมว่าทางนี้กังวลใจเป็นอย่างมาก”

“เอ๊บๆ  อังอ้าอ่อนอี่  (เจ็บๆ  ฟังข้าก่อนสิ)”  ข้าเปล่งเสียงอู้อี้ออกไปก่อนที่จะแกะมือของเขาออก  ผู้วิเศษจึงได้ปล่อยแต่ยังคงถามคาดคั้นอยู่

“ท่านหายไปไหนมา”

“ข้าแค่ไปคุยกับครีออนมาก็เท่านั้น  เจ้าก็น่าจะรู้นี่”  ข้าตอบไปตามความจริง  จริงอยู่ที่บอกไว้แล้วแต่ดันใช้เวลานานกว่าที่ควรจริงๆ

“ข้าเห็นว่ามันนานกว่าที่ท่านบอกเลยกังวลขึ้นมาน่ะขอรับ  เอาล่ะ  เตรียมตัวกันเถอะ”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้น  ก่อนที่จะเดินนำข้าขึ้นไปยังลานพิธี  ตัวข้านั้นต้องทำหน้าที่ส่งมอบดาบให้แก่ครีออน

“นี่  ข้าขึ้นไปได้ด้วยเหรอ?”  โซแวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะที่กำลังขึ้นบันไดด้านหลังลานพิธี  ผู้วิเศษเป็นคนที่หันมาตอบเพราะเขาเป็นคนกำหนดเอง  “ได้สิ  เพราะเจ้าเองก็มีเชื้อสายจากลูซิฟรานนี่นา”

“แต่ปกติข้างบนนั้นห้ามใครขึ้นไปนี่”  โซแวนถามต่อ  นั่นก็จริงอย่างที่เขาว่า  นอกจากผู้ที่ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์แล้วคนอื่นไม่มีสิทธิ์ขึ้นไป

“ก็ตอนนี้สถานการณ์มันไม่ปกตินี่  ข้าให้เจ้าขึ้นไปเพื่อคุ้มกันท่านทีอารีนกับท่านครีออนต่างหาก”  สิ้นเสียงผู้วิเศษโซแวนก็พยักหน้าเข้าใจและไม่ได้ถามอะไรต่อ

สัญญาณจากการบรรเลงเครื่องดนตรีดังขึ้นเป็นการเปิดฉากงานพิธีอันศักดิ์สิทธิ์  เพราะความสูงของลานข้าจึงไม่ได้เห็นงานเบื้องล่าง  แต่เมื่อครีออนขึ้นมาแล้วเขากลับดูสง่างามกว่าเมื่อครู่เสียอีก

น้องชายของข้าก้าวเข้ามาใกล้  ข้าจึงได้เอ่ยคาถาปลดปล่อยพันธนาการอาวุธออกแล้วยกยิ้มให้เขา

ครีออนยื่นมือมาจับด้ามดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าถืออยู่แล้วเอ่ยคำปฏิญาณ  “ข้า  ครีออน  คาร์ไลน์  มอร์ฟอร์ด  กษัตริย์คนที่  43  ของคาร์ไลน์  พลังเอ๋ย  จงสถิตแด่ดินแดนนี้ชั่วกาลนาน”

ดาบเปล่งแสงตอบรับกับคำปฏิญาณของเขา  ครีออนชูมันขึ้น  ข้าจึงได้ถอยห่างออกจากบริเวณพิธี  ในฐานะกษัตริย์แล้วเขาได้ปักดาบศักดิ์สิทธิ์ลงใจกลางพิธีเพื่อชำระดินแดน  แล้วใช้คทาที่สืบทอดต่อมากางข่ายเวทออก

มหาวงเวทสีทองบังเกิดขึ้นรอบตัวครีออน  ส่งพลังไปกางข่ายเวทคุ้มครองทั่วดินแดน  ผู้วิเศษที่อยู่ไม่ไกลได้ช่วยเสริมพลังให้เขาด้วย

เมื่อเวทมนตร์หายไป  ข่ายคุ้มกันก็กางเสร็จสมบูรณ์พร้อมกับเสียงสรรเสริญที่ดังระงมทั่วทุกสารทิศ

ข้าเห็นครีออนเริ่มยืนโงนเงนจึงรีบเข้าไปประคองเขาไว้ก่อนที่จะล้มลงไปแล้วพาลงไปด้านล่าง  พิธีต่อจากนี้สำหรับกษัตริย์แล้วไม่มีอะไรสำคัญ  เป็นหน้าที่ของผู้ให้ความบันเทิงที่จะเริ่มบรรเลงดนตรีต่อหรือแสดงอย่างอื่น  งานเลี้ยงฉลองเองก็จะเริ่มจากคืนนี้เป็นต้นไป

มีกษัตริย์คนอื่นต้องการที่จะคุยกับครีออนเพื่อสร้างความสัมพันธ์แต่ข้าคิดว่าในเวลานี้ยังไม่เหมาะจึงได้ขอโทษพวกเขาแล้วพาครีออนไปพักผ่อน

“เจ้าไหวหรือเปล่า”  ข้าถามขึ้นเมื่อจับเขานั่งพักได้แล้ว  ครีออนหอบหายใจแรงเห็นชัดว่ากำลังเหนื่อยแต่เขากลับพยักหน้าตอบ 

“ข้าไม่เป็นไร  พักเดี๋ยวเดียวก็หาย”

“แน่นะ?”  ข้าถามไปด้วยความเป็นห่วง  เขายังคงยืนยันคำเดิมก่อนที่จะหลับตาลง  พวกคนรับใช้ต่างมาดูแลเขาทันทีทำให้ข้าต้องถอยออกมาชั่วคราว

“พิธีเสร็จสิ้นแล้วใช่ไหม”  โซแวนเอ่ยถามขึ้นขณะที่ข้าถอยไปใกล้เขา  เมื่อลองไล่เรียงดูแล้วก็ถือว่าพิธีเสร็จสมบูรณ์แล้ว 

“อื้ม  เหลือก็แค่งานเฉลิมฉลองเท่านั้นแหละ”

“ก็ดี แล้วเจ้าจะออกไปเดินดูงานไหม”  เขาถามขึ้นอีกครั้ง  ข้าหันไปมองครีออนที่ยังนั่งพักอยู่ก่อนที่จะปฏิเสธออกไป 

“ไม่ล่ะ  ข้าคิดว่าอยู่ดูแลครีออนจะดีกว่า”

“เป็นพี่ที่ดีจังนะ”  เขาเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวข้าพลอยทำให้รู้สึกสะดุ้งโหยง 

“อย่ามาลูบหัวนะ”

โซแวนเพียงแค่ยกยิ้มให้ทำให้ข้าชะงัก

“เสด็จพี่”  แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกรอบเพราะครีออนลุกขึ้นเดินมาหา  ข้ารีบเข้าไปหาเขาพร้อมถามด้วยความเป็นห่วงว่า  “เจ้าลุกขึ้นไหวแล้วหรือ?”

“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว  ท่านไม่ต้องห่วง”  เขายิ้มบางๆ  ให้ข้าก่อนที่จะเสริมว่า  “เดี๋ยวช่วงหัวค่ำก็คงไปร่วมงานเลี้ยงได้  ท่านจะมากับข้าด้วยไหม”

“ก็ถ้าเป็นคำสั่งของราชาก็คงปฏิเสธไม่ได้ละนะ”  ข้าเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะ  ต่อให้เขาไม่ได้เป็นราชายังไงก็ต้องไปเป็นเพื่อนอยู่แล้ว  ครีออนเข้าสังคมไม่เก่งและติดนิสัยเสียที่ไม่เอาใครเสียด้วย

“แต่ก่อนหน้านั้นพวกเจ้าไปพักก่อนเถอะ”  เป็นโซแวนที่เอ่ยขึ้น  ข้าพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่จะเสนอตัวพาครีออนไปพักผ่อน  เขาขอให้ข้าอยู่ด้วยในห้อง

“ให้ตาย  เจ้าไม่ใช่เด็กๆ  แล้วนะ”  ข้าบ่นพึมพำขึ้นอย่างเหนื่อยใจเมื่อเห็นเขาส่งสายตาขอร้องมา

“แต่เจ้าก็ยังนั่งด้วยอยู่นี่”  เป็นโซแวนที่แทรกขึ้นเสียงเรียบแต่ทำให้ข้าหงุดหงิดได้จึงสวนกลับไปทันทีว่า  “หนวกหูน่า”

เขาเลิกคิ้วอย่างไม่รู้สึกรู้สาก่อนจะบอกว่า  “เจ้าตามใจน้องชายมากเกินไปแล้ว  หัดเป็นพี่ที่ดีกว่านี้หน่อยสิ”

“แค่นี้เสด็จพี่ก็ดีพออยู่แล้ว”  ครีออนหันกลับมาสวนเขาแทนข้า  โซแวนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจเสียงดังออกมา 

“เฮ้อ  พวกเจ้าพี่น้องนี่มัน...”

“คนไม่มีพี่น้องอย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอกน่า”  ข้าลองตอกเขากลับไปทำให้โซแวนชะงัก  แต่ก็ยังสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงปนน้อยใจ

“ลูกคนเดียวก็มีดีเหมือนกันล่ะน่า  ข้าไม่เคยต้องมาทะเลาะกับพี่น้องด้วย”

“แต่เจ้าไปทะเลาะกับคนอื่นบ่อยนี่  อีกอย่างข้าก็ไม่เคยทะเลาะกับครีออนเหมือนกัน”  ข้าสวนกลับไปอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด  ดวงตาของเขาจ้องเขม็งมาทางข้าแต่ก่อนที่เรื่องทะเลาะจะลามไปมากกว่านี้ครีออนก็ยกมือขึ้นห้าม

“พอแค่นี้เถอะขอรับ”  คำพูดของเขาทำให้ข้ารู้ตัวทันที 

“อ๊ะ  ขอโทษนะ  ทั้งๆ  ที่เป็นเวลาพักผ่อนของเจ้าแท้ๆ”

“ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกขอรับ”  ครีออนหันมาบอกข้าด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันกลับไปพูดกับโซแวนด้วยสีหน้าเรียบเฉย  “เจ้าออกไปได้แล้ว”

“ไม่ล่ะ  ข้ามีหน้าที่คุ้มครองพวกเจ้าสองคน”  โซแวนปฏิเสธเสียงเรียบ  ครีออนเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะหันกลับไปนั่งพัก

“แต่ว่า  ข้าขอคุยกับเจ้าหน่อย”  เขาหันมาหาข้าก่อนที่จะรีบคว้าข้อมือข้าเดินออกจากห้องทันทีสร้างความสับสนอย่างมาก

“เดี๋ยว  โซแวน  เจ้ามีเรื่องอะไร”  ข้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะที่เขาพามานอกห้องของครีออน  โซแวนยังไม่พูดอะไรจนกระทั่งพาข้ามายังมุมลับตาแล้วจับข้อมือข้าตรึงไว้กับกำแพงจนสะดุ้งเฮือก 

“โซแวน!?”

“กลิ่นของเจ้า...”  เขาพึมพำขึ้นสีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดยิ่งทำให้ข้าไม่เข้าใจ  “กลิ่นของเจ้ามันรุนแรงแถมยังแปลกกว่าเดิมด้วย”

“หมายความว่ายังไง?”  ข้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจแล้วลองหันไปดมแขนเสื้อตัวเอง  แต่ทำไปก็ไม่พบกับความแตกต่างจากปกติ  น้ำหอมที่ใช้ก็เป็นแบบเดียวกับเวลาปกติ

“ข้าได้กลิ่นแปลกๆ  ที่มันเกือบกลบกลิ่นเดิมของเจ้าหมด”  เขาพูดอย่างเดียวไม่พอแต่ยังยื่นจมูกเข้ามาดมใกล้ๆ  เพื่อหาไอ้กลิ่นแปลกๆ  ที่ว่า  เขาพยายามหาไปเรื่อยจนกระทั่งถึงช่วงลำคอที่ทำให้ข้าเบือนหน้าหนีเพราะรู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมา

“นี่  พอได้หรือยัง”  ข้าลองถามขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาผละออกมาแล้วจับข้าถอดเสื้อทันทีโดยไม่พูดอะไร  “เดี๋ยว!  จะทำอะไร  โซแวน!?”

“เงียบๆ  น่า  อยากให้เจ้านั่นมาได้ยินหรือไง”  โซแวนกระซิบบอกเสียงเครียดทำให้ข้าเงียบปาก  เขาถอดไปแค่เสื้อคลุมที่ข้าสวมอยู่  “เจ้านี่เป็นต้นเหตุนี่เอง”

“เอ๊ะ?  หมายความว่ายังไง”

“มันมีพลังเวทบางอย่างที่ทำให้พวกข้าหาเจ้าไม่เจอ”  เขาตอบเสียงเรียบทำให้ข้าประหลาดใจ 

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด  ก็นี่เป็นของที่ครีออนให้...”

“ครีออน?  ข้าจะบอกอะไรให้นะว่าอย่ายุ่งกับเจ้าเด็กนั่นอีกจะดีกว่า” 

“เจ้าจะบ้าหรือไง!?”  ข้าตวาดกลับไปทันทีเมื่อเขาพูดจบ  สีหน้าของเขาจริงจังมากจนข้าไม่คิดว่านั่นคือคำพูดอำเล่นของเขา

“ถึงผู้วิเศษจะเห็นว่ายังไม่ควรบอกเจ้าก็เถอะ  แต่ถ้าปล่อยไว้เจ้านี่แหละที่จะเป็นอันตราย”  เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบก่อนที่จะยื่นหน้ามากระซิบใกล้เพื่อให้ได้ยินแค่สองคน

“เกี่ยวกับประตูอสูรน่ะ  เจ้าไม่ฉุดใจคิดบ้างหรือว่าอีกคนที่ควบคุมจะเป็นใครถ้าไม่ใช่เจ้า”  คำพูดของเขาทำให้ข้าเบิกตากว้าง  ทุกอย่างมันเด่นชัดอยู่แล้วหากมาคิดถึงประเด็นนี้

แต่ข้าแค่พยายามไม่คิดและไม่ตัดสินเช่นนั้นด้วยความเชื่อใจ

เพราะพวกเราเหลือกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง...

“ไม่...ไม่มีทางเป็นไปได้”  ข้ายังคงโกหกต่อไป  แต่อีกฝ่ายไม่ได้อยากยอมรับความคิดของข้าจึงออกอาการโมโห  โซแวนกระชากคอเสื้อข้าดันติดกับกำแพง 

“เลิกโกหกตัวเองสักที  ยอมรับความจริงซะ!”

“ไม่...ไม่ใช่ครีออนแน่ๆ”

“ทีอารีน!”

“ปล่อยมือจากเสด็จพี่เดี๋ยวนี้!!”  เสียงของครีออนดังขึ้นทำให้โซแวนที่เผลอตะคอกใส่ข้าหันไปมอง  เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความโกรธ  “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแตะต้องเสด็จพี่”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”  โซแวนตอบกลับไปเสียงเรียบก่อนที่จะโยนเสื้อคลุมที่ถอดจากข้าไปให้ครีออน  “เจ้าเถอะ  เสื้อคลุมนี้หมายความว่ายังไง  ทำไมถึงคิดจะลบร่องรอยของทีอารีน”

“ครีออน  นี่มันหมายความว่ายังไง”  ข้าถามซ้ำไปเมื่อเห็นว่าเขานิ่งเงียบ  “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ข้าแค่อยากช่วยเสด็จพี่เท่านั้น”  เขาหันมาตอบข้าก่อนจะยกยิ้มขึ้นแล้วยื่นมือมา  “คนพวกนี้น่ะไม่สามารถพาพี่ไปหาความสุขที่แท้จริงได้หรอก  มากับข้าสิ”

แต่โซแวนกลับยกมือขึ้นกันข้าไว้แล้วบอกว่า  “อย่าไปเชื่อเจ้าหมอนี่นะ”

“หนวกหูจริง  เพราะเจ้าเลยทำให้แผนของข้าผิดรูปไปหมด...แต่ไม่เป็นไร  แบบนี้ก็ดีแล้ว”  ครีออนยังคงเอ่ยทั้งๆ  ที่วาดรอยยิ้มบางๆ  บนใบหน้าแต่ข้ากลับรู้สึกไม่ดีอย่างน่าประหลาด  ขณะนั้นเองที่เขาหันมาทางข้าแล้วบอกว่า  “จริงสิเสด็จพี่  ข้าบอกว่ามีคนจะแนะนำให้รู้จักใช่ไหม  ตอนนี้เขามาถึงแล้ว”

สิ้นเสียงของครีออน  ระเบียงทางเดินที่ไม่มีใครพลันรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาและในตอนนั้นเองที่ข้างกายของน้องชายข้ามีใครบางคนปรากฏตัวขึ้น

ทั้งข้าและโซแวนต่างเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงทันที  โดยเฉพาะข้าที่เผลอเอ่ยนามของอีกฝ่ายออกมา 

“ลูซัส...”

“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งขอรับ”  อีกฝ่ายเผยยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าเป็นมิตรแต่กลับแผ่จิตสังหารออกมาเต็มไปหมด

“ข้าพลาดช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการขึ้นเป็นราชาของท่านไปเสียได้  น่าเจ็บใจจริงๆ”  เขาหันไปพูดกับครีออนที่ยังคงทำสีหน้าเรียบนิ่ง  ลูซัสเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะถามว่า  “คงจะหงุดหงิดมากสินะขอรับ  มีอะไรให้ข้าจัดการไหมหรือไม่  ฝ่าบาท”

ครีออนยกนิ้วขึ้นชี้มาทางโซแวนก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า  “จัดการเขาซะ”

“น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”  สิ้นเสียงของลูซัส  โซแวนก็รีบผลักข้าไปด้านหลังทันทีก่อนที่จะยกมือขึ้นป้องกันการโจมตีจากลูซัส  แรงปะทะนั้นทำให้กระจกหน้าต่างที่อยู่ใกล้ๆ  แตกละเอียด

“รู้อะไรไหม  ข้าอยากฆ่าเจ้ามานานแล้ว”  เสียงของลูซัสดังขึ้นขณะที่เขาเตรียมจะกระหน่ำการโจมตีใส่โซแวนอีกรอบ  อาจเพราะเขาไม่อยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้เลยทำให้รับมืออีกฝ่ายได้ลำบาก

“โซแวน!”  ข้าตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วงก่อนจะยื่นมือไปร่ายเวทป้องกันให้เขาแล้วเข้าไปหา  โซแวนกุมท้องด้วยความเจ็บปวดหลังจากถูกเวทมนตร์ดำของอีกฝ่ายจู่โจม  “ยืนไหวไหม”

“อืม”  เขาครางรับสั้นๆ  ก่อนจะยันตัวลุกขึ้น 

ลูซัสผิวปากเบาๆ  ก่อนจะบอกว่า  “ท่านทีอารีน  ทำแบบนี้ไม่คิดว่าจะทำร้ายจิตใจน้องชายของท่านหรือขอรับ”

ข้าหันไปมองครีออน  เขายังมีสีหน้าเรียบนิ่งที่ยากจะเข้าใจ  “ครีออน  เหตุใดเจ้าถึงร่วมมือกับลูซัสกัน?”

“เพราะอุดมการณ์ของข้ากับเขาตรงกันน่ะสิ”  เขาตอบเสียงเรียบ  “เสด็จพี่  ทั้งๆ  ที่ท่านก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจถึงความน่ากลัวของมนุษย์มากที่สุดแต่ทำไมถึงยังช่วยพวกเขาอยู่ล่ะ  ทั้งๆ  ที่พวกเขาทำกับท่านถึงขนาดนั้น”

“ก็ไม่ใช่ทุกคนจะชั่วร้ายหมดนี่”  ข้าตอบกลับไปสีหน้าจริงจังก่อนที่จะเอ่ยต่อว่า  “ครีออน  ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่นะแต่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังเลือกทางผิดอยู่...”

“ไม่มีทางที่ผิดหรือถูกสำหรับข้าหรอกเสด็จพี่  ข้าแค่เลือกในทางที่เหมาะสมที่สุดต่างหาก”  เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบโดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร  “มนุษย์น่ะควรจะหายจากโลกนี้ไปเสียบ้างก็ดี”

“เจ้าต้องการอะไรกันแน่”  ข้าถามย้ำด้วยความไม่พอใจ  “ทำไมเจ้าต้องร่วมมือกับลูซัส”

ครีออนยกมือขึ้นชี้มาก่อนจะตอบอย่างเรียบง่าย  “ตัวท่านไง  เสด็จพี่”

“นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ”  ข้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ  แต่เขากลับใช้โอกาสที่โซแวนซึ่งพัวพันกับการต่อสู้ห่างออกไปเข้ามาคว้าข้อมือข้าไว้ 

“ข้าก็ไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องตลก”

ครีออนสวมผ้าคลุมที่เขาเอาให้ข้าก่อนที่จะคว้าตัวข้าเข้าไปใกล้  “มากับข้า”

“เดี๋ยว!  ครีออน”

“ทีอารีน!”  เสียงของโซแวนตะโกนดังขึ้นทำให้ข้าหันไปมองเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาถูกโจมตีใส่จนกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงจนทะลุไปในห้อง  สภาพนั้นทำให้ข้าหันกลับมาตวาดใส่ครีออนด้วยความโกรธ 

“ทำบ้าอะไร  หยุดเขาซะ  ครีออน!”

“คิดว่าข้าจะหยุดหรือ”  เขาหันกลับมาด้วยสีหน้าเย็นชาก่อนจะบีบมือข้าแน่นเพื่อเดินไปต่อ  แม้จะขืนไว้แต่แรงของครีออนมีมากกว่าที่ข้าคาดไว้  ตามทางเดินตอนนี้ไม่มีใครเพราะต่างอยู่ในงานเลี้ยงไม่ก็เทศกาล  คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

ข้ากัดฟันกรอดแล้วดึงมือกลับมาสุดแรงจนสลัดเขาได้  เมื่อครีออนหันกลับมาก็ต่อยที่แก้มไปเต็มแรง  “ครีออน  ข้าย้ำอีกครั้ง  ที่เจ้าทำอยู่นี่มันไม่ดีเลยสักนิด”

“ไม่ดีหรือ...”  เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะบีบคอข้าแล้วกระแทกเข้ากับกำแพง  “ทั้งๆ  ที่ข้าทำเพื่อท่านขนาดนี้  ให้ท่านได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของพวกเขาแต่ท่านก็ยังไปเชื่อใจพวกมัน  ทั้งพวกมนุษย์  ทั้งพวกสัตว์นั่น” 

“เจ้า...กำลัง...อึก  เข้าใจผิด”  ข้าพยายามเปล่งเสียงออกมาขณะคลายมือของเขาออกจากลำคอแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ฟัง  ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ

“ทั้งๆ  ที่ท่านควรจะรักข้าแค่คนเดียวเท่านั้น  แต่มันยังมาทำให้เสด็จพี่ไปมีใจให้คนอื่นอีก!”  ครีออนยังคงเอ่ยขึ้นด้วยความแค้น  ข้าไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไรแต่หากเป็นแบบนี้ต่อไปตัวข้าจะตาย

“ครี...ออน  ครีออน!”  ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขาสุดกำลังทำให้ครีออนชะงัก  ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่จะปล่อยมือทำให้ข้าทรุดลงไปกองกับพื้นแล้วไอโขลกออกมา

ครีออนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นสองมือกุมหัวแน่นราวกับกำลังเจ็บปวด  ข้าจึงลองเอ่ยเรียกเขา  “ครีออน...”

“เสด็จพี่”  น้ำเสียงของเขาโอนอ่อนลงขณะเงยหน้าขึ้น  ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำไหลออกมา  ใบหน้าราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่

สายลมสีดำกับสีขาวพัดมาโอบล้อมพวกเราไว้คนละข้าง  ก่อนที่ร่างของข้าจะถูกอุ้มขึ้นไปด้วยฝีมือของใครบางคนที่เมื่อมองดูแล้วเป็นผู้วิเศษ  เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็งแต่ลูซัสก็ไม่ได้สนใจใครนอกจากปิดตาครีออนไว้ 

“ฝ่าบาท  ท่านเหนื่อยพอแล้ว  พักผ่อนสักครู่เถอะ”

“เจ้าทำอะไรครีออน!”  ข้าตะโกนถามขึ้นแต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบ  หนำซ้ำผู้วิเศษยังรีบพาข้าหนีออกจากปราสาท  ขณะนั้นพวกทหารกรูกันเข้ามาโดยมีลูซัสเรียกให้จัดการพวกข้า

“ผู้วิเศษ  ปล่อยข้าก่อน  ครีออน..."
“เปล่าประโยชน์ขอรับ  เขาน่ะ...ตกลงไปในความมืดแล้ว”  ข้าที่พยายามขอร้องให้เขาช่วยครีออนหยุดชะงักเมื่อได้ยินผู้วิเศษพูดเช่นนั้น  ก่อนที่จะหันกลับไปมองครีออน

ดวงตาของเขากลับไปเย็นชาเช่นเดิมแล้วพร้อมกับหัวใจข้าที่คล้ายกับว่าถูกกรีดออกเป็นชิ้นๆ
-----------------------
ดราม่าเริ่มขึ้นแล้ว//สำหรับบางคนที่สงสัยครีออน มาตอนนี้คงกระจ่างแล้วนะคะ แฮร่ๆ ติดตามตอนต่อไปในเร็วๆ นี้ได้ค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 22>
เริ่มหัวข้อโดย: asmar ที่ 15-04-2018 23:27:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 22>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 16-04-2018 19:38:08
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 23>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 16-04-2018 21:12:40
บทที่ 23
จมดิ่งสู่ความมืด

ข้าถูกผู้วิเศษอุ้มออกจากปราสาท  เขาหลบพวกทหารด้วยการกระโดดออกทางหน้าต่าง  ทว่ากลับถูกลูซัสใช้จุดบอดโจมตีใส่จนเขากระอักเลือด  รวมทั้งพวกทหารเองก็เตรียมง้างคันธนูขึ้นเตรียมเล็งมา

กรร!!

ทว่าเสียงคำรามหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน  เมื่อข้าหันไปก็พบมังกรสีดำตัวใหญ่กำลังบินมาทางนี้  เมื่อเห็นพวกทหารกำลังคิดจะโจมตีมาทางพวกข้าจึงบินโฉบไปหา  แรงลมที่พยุงกายนั้นไว้ราวกับพายุที่ทำให้พวกเขาล้มระเนระนาด  รวมทั้งสัตว์ยักษ์นั่นยังพุ่งเข้าไปโจมตีปราสาทจนทำให้ส่วนที่พลธนูอีกส่วนอยู่เสียหาย

จากนั้นมังกรนั่นก็ได้บินกลับมาทางพวกข้า  เงาร่างที่อยู่บนหลังมันคือนอร์ธวินด์  เขายื่นมือหนึ่งมาคว้ามือผู้วิเศษไว้แล้วดึงเข้าหา

“ผู้วิเศษ  ฝ่าบาท  บาดเจ็บตรงไหนไหมขอรับ”  เขาถามขึ้นทันทีด้วยความเป็นห่วง  มังกรที่โดยสารอยู่นี่ก็คือวารัน  ข้าพอจะจำตำหนิบางอย่างของเขาได้ 

วารันเร่งความเร็วขึ้นขณะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงเพื่อไม่ให้พวกนั้นตามทัน  ข้าหันกลับไปทางผู้วิเศษพบว่าเขายังคงไอโขลกเป็นเลือดอยู่  แถมพลังเวทยังคงลดน้อยลงเรื่อยๆ

“ผู้วิเศษ  ท่านไหวหรือเปล่า”  นอร์ธวินด์ถามขึ้นขณะที่ประคองเขาไว้  ผู้วิเศษเพียงขืนยิ้มก่อนจะตอบด้วยท่าทีลำบาก 

“ลูซัส...มันร่ายมนตร์ดำใส่ข้าด้วย”

“ว่ายังไงนะ”  ข้าขมวดคิ้วยุ่งอย่างกังวล  มนตร์ดำนั้นเป็นศาสตร์ต้องห้าม  จริงอยู่ที่ว่าข้าเองก็เห็นลูซัสใช้มาตั้งแต่แรก  ต่างกับข้าหรือผู้วิเศษที่ใช้มนตร์ขาวซึ่งเป็นเวทรักษาหรือเสริมพลัง  การถูกโจมตีด้วยมนตร์ดำนั้นจะทำให้บาดเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม  ซ้ำร้ายมันอาจแทรกซึมเข้าไปในร่างถ้ากรณีร้ายแรงก็จะทำให้เลือดไหลออกมาจากทวารทั้งห้าได้

“แต่ไม่เป็นไรหรอกขอรับฝ่าบาท  ข้ายังไหว”  ผู้วิเศษหันมายิ้มให้ข้าทั้งๆ  ที่หน้าของเขาซีดลงเรื่อยๆ  เห็นท่าทีดื้อรั้นของเขาข้าเลยอดถอนหายใจออกมาไม่ได้แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสหน้าผากของเขา  ไอเวทสีทองแผ่ออกมาจากฝ่ามือไหลไปหาอีกฝ่าย 

ถึงผู้วิเศษจะมีพลังเวทมหาศาล  แต่การถูกมนตร์ดำรบกวนนั้นจะทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลง  ข้าจึงจำเป็นต้องรักษาให้เขา

“เห็นๆ  อยู่ว่าเจ้าไม่ไหว”  ข้าตำหนิไปอย่างอ่อนใจแต่เขากลับหัวเราะขึ้น

“ขอบคุณท่านมาก”

“ฝ่าบาท  จะออกจากข่ายเวทแล้วนะขอรับ”  นอร์ธวินด์ร้องเตือนขึ้นก่อนที่จะขยับมาใกล้พวกข้าแล้วโอบไว้ก่อน  “ข้าเคยทดสอบดูแล้ว  ถ้าจะออกไปได้พวกข้าต้องออกแรงทำลายมันก่อน”

ทันทีที่เข้าใกล้ข่ายเวท  วารันก็คำรามขึ้นอีกก่อนจะหมุนตัวอย่างเร็วจนพวกข้าเกือบหงายหลัง  เขาใช้หางฟาดใส่จนทำให้ข่ายเวทแตกกระจายเป็นวงกว้างก่อนจะใช้โอกาสนั้นหนีออกมา

แต่ข่ายเวทเองก็ฟื้นตัวเร็วมากสวนทางกับความรวดเร็วของวารันจนเขาเกือบโดนหนีบหาง

“โธ่  เจ้าอืดอาด  ข้าบอกแล้วว่าอย่ากินเยอะ  เจ้าหนักจนบินช้าแล้วนะ”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นพลางตบหนังของวารันสองสามที  ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินไหมเพราะลมแรงแต่การที่เขาคำรามกลับมาอีกถือเป็นคำตอบที่น่าจะไม่พอใจเท่าไร

วารันในร่างมังกรพาพวกข้าลงจอดที่ลานโล่งของป่าต้องห้าม  ที่นั่นมีอาคีรัสรออยู่  เขารีบวิ่งเข้ามาหาทันที  “ผู้วิเศษบาดเจ็บหรือ?  เดินไหวไหมขอรับ”

“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว  เพราะได้ท่านทีอารีนช่วยเลยดีขึ้นมากเลย”  เขาหันมายิ้มให้ข้า  พอลงถึงพื้นแล้วข้าปล่อยมือจากเขาทันทีเพราะไม่สะดวก  แต่มนตร์ดำก็จางหายไปมากแล้วจึงไม่น่าเป็นอะไรมาก  วารันกลับเป็นร่างมนุษย์เหมือนเดิมแล้วตรงไปเขกศีรษะนอร์ธวินด์ทันที  ท่าทางเขาจะรับไม่ได้กับเรื่องที่บินช้า

“ตอนนี้ท่านเร็นกับท่านคาร์ริต้ากำลังอยู่ที่ใจกลางป่าต้องห้ามกับลูกพี่ครับ”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหันมาหาข้าคนเดียว  “ข้าขอโทษที่ช่วยครีออนไม่ได้”

ข้าเลิกคิ้วอย่างสงสัย  นั่นทำให้อาคีรัสยอมอธิบาย  “ข้าได้รับคำสั่งให้เป็นเพื่อนกับครีออนเพื่อที่จะช่วยเขา  แต่ว่า...ข้าก็ทำไม่ได้”

“หมายความว่ายังไง”

“อาคีรัสมีร่างเดิมเป็นนกฟินิกซ์  ไฟของเขาสามารถชำระล้างจิตใจคนได้  แต่ดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้ท่านครีออนจะโดนลูซัสควบคุมอยู่ตลอดเวลา  ข้าผิดเองที่ตัดสินใจช้าไป”  ผู้วิเศษเป็นคนอธิบายต่อด้วยสีหน้าหม่นหมอง 

“เจ้ารู้แต่แรกแล้วหรือว่าครีออนกับลูซัสร่วมมือกัน”  ข้าถามขึ้นในสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ  หากลองนึกดูผู้วิเศษเองก็มีบางทีที่ไม่ไว้ใจหรือครีออนหรือกีดกันข้ากับน้องไว้

“ในตอนแรกข้าแค่คาดการณ์ไว้เฉยๆ  เพราะยังไงลูซัสก็ต้องเล็งพวกท่านทั้งสองไว้อยู่แล้ว  แล้วมามั่นใจก็ตอนที่เจอเขาตรงๆ  นี่แหละขอรับ”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้น  “บรรยากาศรอบตัวเขาเหมือนลูซัสในสมัยก่อนไม่มีผิด”

“เจ้ารู้แต่แรกแต่ไม่ยอมบอกกับข้า”  ผู้วิเศษชะงักไปทันทีที่ข้าพูดขัด  เขาเป็นคนที่รู้เรื่องแต่แรกแต่ไม่ยอมบอกอะไรเลย  ที่ผ่านมาขอทำเป็นเมินเฉยตลอดเพราะเขาเป็นคนบอกเองว่ายังไม่ถึงเวลา  ทว่าแม้แต่เรื่องนี้...

“ทำไมเจ้าไม่ยอมบอกกับตั้งแต่แรกเรื่องครีออน!”  ข้าขึ้นเสียงพร้อมกับตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อเขา  แต่ท่าทีของผู้วิเศษยังคงสงบนิ่งแล้วอธิบายอย่างใจเย็น

“เพราะท่านเองตอนแรกก็สุ่มเสี่ยงที่จะตกลงไปในความมืดเหมือนกัน...ดังนั้นแล้วข้าจึงได้รอเวลา”

“ขอขัดนิดหนึ่งได้ไหมขอรับ”  อาคีรัสยกมือขึ้นถามแทรกเข้ามา  “ที่ว่าตกลงไปในความมืดนี่มันหมายความว่ายังไงกันหรือขอรับ”

“เป็นสภาวะที่ผู้ที่สามารถใช้เวทได้มีจิตใจตกต่ำ  เป็นทุกข์  ถูกทำร้ายจิตใจ  หรือการมีจิตอาฆาตแค้นมากๆ  จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และเวทมนตร์เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ  ว่าง่ายๆ  จากดีกลายเป็นร้ายนั่นแหละ  ที่เห็นเด่นชัดก็ลูซัสขอรับ”  ผู้วิเศษหันไปอธิบายให้อาคีรัสฟังขณะแกะมือของข้าออก  “อย่างท่านทีอารีนเองก็เคยเกือบตกลงไปในสภาวะนั้นในช่วงที่ถูกขัง  แต่เพราะได้พวกเจ้าช่วยตอนนี้เลยไม่เป็นอะไรแล้ว”

ข้าชะงักไปครู่หนึ่ง  ในสมัยที่ท่านพ่อปกครอง  ตัวข้าเองก็ถูกทำร้ายทางจิตใจบ่อยๆ  จนเกือบตกต่ำลงนับเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดก็ว่าได้

“เจ้าช่วยข้าได้  แต่ทำไมถึงไม่ช่วยครีออน”  ข้าถามเขาขึ้นอีกเมื่อคิดถึงครีออน  อย่างไรก็ตามผู้วิเศษก็คงสามารถหาตัวครีออนได้แน่นอนอยู่แล้ว  แต่เขากลับไม่ช่วย

“ท่านกับเขาต่างกัน  ตัวเขาตกต่ำลงไปนานแล้วและมีลูซัสอยู่ข้างๆ  คอยให้พลังความมืดแก่เขาตลอด  ในตอนนั้นข้าก็พยายามหาเขาแล้วแต่ลูซัสกลับขัดขวางมาตลอด”  ผู้วิเศษอธิบายก่อนจะเสริมขึ้นเมื่อเห็นข้าทำสีหน้าไม่ดี  “แต่ว่าพอเห็นเขาอยู่กับท่าน  ข้าเลยคิดว่าตอนนี้ก็ไม่สาย  ถ้าหากท่านอยากช่วยท่านครีออน”

“ข้าอยากช่วยเขา!”  ข้าตอบกลับไปทันทีเพราะเป็นจุดมุ่งหมายเดียวที่ข้าต้องการรู้  ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดข้าก็จะช่วยครีออนให้ได้

“ไว้เรามาคิดแผนกันขอรับ”  ผู้วิเศษยกยิ้มขึ้น  ก่อนที่พวกข้าจะได้ยินเสียงม้าวิ่งเข้ามาใกล้  ยูนิคอร์นตัวหนึ่งออกมาจากป่าหยุดยืนอยู่ตรงหน้าแล้วกลับคืนร่างเป็นคน

“ฝ่าบาท  อยู่ที่นี่จริงๆ  ด้วย!”  เร็นเอ่ยขึ้นทันทีพร้อมกับเข้ามาหาข้า  สีหน้าของเขาดูร้อนรนผิดปกติ  “รีบไปที่วิหารโบราณเถอะขอรับ  โซแวนกำลังแย่แล้ว”

“ว่ายังไงนะ!?”  ข้าหันไปหาผู้วิเศษ  ดูเหมือนเขาเองก็ตกตะลึงเหมือนกันก่อนจะรีบออกคำสั่งว่า  “เรารีบไปกันเถอะขอรับ”

ข้าถูกเร็นในร่างยูนิคอร์นบังคับให้ขึ้นขี่เขาไปเพราะไม่ทันฝีเท้าคนอื่น  พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงวิหารซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆ  รายล้อมอยู่

คาร์ริต้านั่งอยู่หน้าทางเข้า  เธอมีสีหน้าโล่งอกขึ้นเมื่อเห็นพวกข้า  “ฝ่าบาท”

“ฝ่าบาท  โซแวนได้รับบาดเจ็บหนัก  ตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องนั้น”  เร็นหันมาเอ่ยกับข้า  แต่พอจะก้าวเข้าไป  พวกสัตว์วิเศษตรงหน้ากับยื่นอาวุธมาขัดขวาง

“พวกเจ้า...”

“ห้ามเข้าไปใกล้นายเหนือหัวนะ!”  แฟรี่ตนหนึ่งร้องตะโกนขึ้น  ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องจากรอบข้างเพราะเห็นด้วยนั่นทำให้เร็นรีบเข้ามาขวางข้าไว้ก่อนจะสวนกลับไป 

“พวกเจ้าเป็นอะไรไปกันหมด  หลีกไป  ข้าจะพาเขาไปรักษาโซแวน”

“ไม่ได้!  เจ้าเองอยู่กับมันก็ระวังตัวไว้เถอะ  เจ้านี่ต้องเป็นตัวโชคร้าย!”  แฟรี่อีกตนโวยวายขึ้นพร้อมชี้มาที่ข้า  นั่นทำให้ในอกรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา  “เพราะมัน  เพราะนายเหนือหัวไปช่วยมันเลยบาดเจ็บปางตายแบบนี้!”

บาดเจ็บ...ปางตาย

“เราจะไม่ให้นายเหนือหัวไปยุ่งกับพวกมนุษย์อีกแล้ว”  เซนทอร์หนุ่มตัวหนึ่งเอ่ยขึ้น  ก่อนจะยื่นหอกเข้ามาใกล้ตัวข้ามากกว่าเดิมจนต้องถอยหนีไปหนึ่งก้าว  “ไสหัวไปซะ  เจ้ามนุษย์”

“ไสหัวไป!  ไสหัวไป!  ไสหัวไป!”  เหล่าสัตว์ที่อยู่รอบข้างตะโกนขับไล่อย่างเซ็งแซ่ทำให้ทั้งเร็นและคนอื่นๆ  เข้ามาขวางข้าไว้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้าย

“เงียบนะ!!”  ทว่าเสียงหนึ่งตะโกนดังกึกก้องขึ้นทำให้พวกสัตว์ที่เหลือเงียบลง  คนที่ปรากฏตัวข้างคาร์ริต้าทำให้ข้าตะลึงค้าง

“นายเหนือหัว!?”

“โซแวน!!” 

พวกสัตว์ที่หันกลับไปเห็นว่าใครเป็นผู้ห้ามต่างเอ่ยเสียงหลงแล้วลงไปหมอบเคารพกับพื้นทันที  สภาพของโซแวนตอนนี้บาดเจ็บหนักเกินกว่าจะยืนไหว  แต่เจ้าตัวยังพอใช้เสาข้างๆ  ค้ำยันตัวเองได้  ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดแถมยังสูญเสียพลังเวทที่จำเป็นไปเรื่อยๆ

ข้ารีบวิ่งเข้าไปประคองเขาไว้ทันทีเพราะคาร์ริต้าคงไม่ไหว  ลมหายใจของเขาหอบหนักแต่ยังคงฝืนตัวเอ่ยออกมา  “พวกเจ้า...อยากเห็นข้าตายหรือไง”

“มะ...ไม่ใช่นะขอรับ”  เซนทอร์ตัวเดิมเอ่ยขึ้นเสียงสั่น  โซแวนพยายามสูดลมหายใจเข้าก่อนขึ้นเสียงในประโยคถัดมา 

“ถ้างั้นก็ปล่อยมนุษย์นี่รักษาข้า!  แล้วขืนใครคิดขวางหมอนี่อีกล่ะก็  ข้าจะฆ่าให้ตาย...อึก!”

“โซแวน  เจ้าฝืนเกินไปแล้ว”  ข้าร้องออกไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นเขาเจ็บจนตัวงอขึ้น  ก่อนจะหันไปในห้องที่เขาออกมา  “กลับไปนอนพักซะ”

เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ  คงเพราะหมดแรงแล้วข้าจึงพาเขาเข้าไป  พวกเร็นตามเข้ามาในห้องด้วยเพื่อช่วยวางโซแวนลงบนเตียงหินที่มีผ้าขนสัตว์ปูรองไว้อีกสองสามชั้น

รอบข้างเต็มไปด้วยกำแพงหินที่ฝังอัญมณีเวทไว้  พอจะช่วยดูดซับและปล่อยพลังเวทบริสุทธิ์ให้เขาได้

“ทำไมเขาถึง...”  ข้านั่งลงข้างเขาแล้วเอ่ยค้างอย่างไม่เชื่อสายตา  โซแวนหน้าซีดเผือดแถมเมื่อนอนไปสักพักลมหายใจก็อ่อนลงเรื่อยๆ  เมื่อข้าสัมผัสแขนเขาก็พบว่าตัวเย็นเฉียบ

“คงเพราะสู้กับลูซัส  เจ้านั่นกะจะฆ่าเขาให้ตายแต่พวกเร็นไปช่วยออกมาได้  แต่ก็แย่อย่างที่ท่านเห็น”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นเสียงเบา  “หนำซ้ำยังใช้คำสาปให้พวกบาดแผลไม่สมานตัวเหมือนปกติด้วย”

“อะไรกัน?”  ข้าเอ่ยขึ้นเสียงสั่น  หากยามปกติไม่ต้องพึ่งพลังรักษาอะไรมากโซแวนเองก็จะฟื้นตัวเองได้  แต่ตอนนี้แม้แต่แผลถลอกก็ไม่สามารถจางหายไปแม้แต่น้อย

สีหน้าของโซแวนเต็มไปด้วยความทรมาน  เพราะเขาอุตส่าห์มาบอกข้าเรื่องครีออน  ถ้าตอนนั้นเขาไม่อยู่กับข้าก็คงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น

ข้ากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ  ก่อนจะหยิบมีดที่อยู่ข้างๆ  กรีดนิ้วตัวเองให้มีเลือดออก  สั่งให้เร็นถอดเสื้อของโซแวนออกแล้วเขียนอักขระเวทลงบนแผ่นอกของเขาแล้วนำเลือดบางส่วนของเขามาผสม  ก่อนจะพึมพำร่ายคาถารักษาขึ้น

วงเวทสีทองปรากฏอยู่ด้านล่างโดยมีเตียงเป็นศูนย์กลาง  อณูแสงสีทองลอยขึ้นมาหาเขาเพื่อฟื้นฟูบาดแผล  อย่างที่ผู้วิเศษว่า  เพราะคำสาปทำให้แผลของเขาหายช้ากว่าที่ควรจะเป็นแม้จะใช้เวทขั้นสูงเพียงใด

“ผู้วิเศษ  ไม่มีวิธีแก้เลยหรือ?”  ข้าถามขึ้น  ก่อนที่ผู้วิเศษจะเดินมาอยู่อีกข้างของเตียง 

“วิธีแก้มีขอรับ  แต่ว่า...”

“แต่ว่าอะไร?”

“จะทำให้เขาทรมานสักหน่อย  สภาวะตอนนี้สุ่มเสี่ยงที่เขาจะตาย”  ผู้วิเศษหลุบตาลงมองโซแวนที่นอนอยู่บนเตียง  หัวใจข้าหล่นวูบไปแต่แล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นบ้างเมื่อเขาบอกว่า  “แต่ถ้าท่านกล้าที่จะใช้เวทรักษาขั้นสูงกว่านี้อาจจะช่วยยื้อให้เขาตอนที่ข้าถอนคำสาปออกก็ได้”

“ได้  ข้าจะทำ”  ข้าตอบตกลงไปในทันที  ก่อนจะหันไปมองโซแวน  อย่างที่พวกสัตว์วิเศษว่า  ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะช่วยข้าไว้ 

ผู้วิเศษพยักหน้ารับคำก่อนจะหันไปสั่งพวกคนที่เหลือ  “พวกเจ้ารีบไปเตรียมของมาถอนคำสาป  เร็นนำผงอวยพรของแฟรี่มา  วารันกับนอร์ธวินด์รีบไปตามหาขนนกยักษ์ทางตอนเหนือมา  อาคีรัส...เอาเลือดเจ้ามาแก้วหนึ่ง  ส่วนคาร์ริต้าช่วยเตรียมน้ำตานางเงือกให้ที”

“ขอรับ!/เจ้าค่ะ!”  พวกเขาขานรับพร้อมกันก่อนที่จะออกไปข้างนอก  ผู้วิเศษบอกให้ข้ารออยู่คอยดูโซแวนไว้ก่อนที่จะออกไปด้วย

เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ  ข้าก็ได้มองโซแวนอีกครั้งแต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น  ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดในอกจึงได้กุมมือของเขาไว้แล้วยกขึ้นแตะหน้าผากของตัวเองแล้วให้คำมั่นสัญญาไว้

“ข้าจะต้องช่วยเจ้าให้ได้  ข้าสัญญา”

มือของเขาขยับเล็กน้อยคล้ายกับพยายามจะตอบสนอง  แต่พอหันไปมองสีหน้าของเขาก็พบว่าเรียบเฉยสมกับเป็นเจ้าตัว  “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าจะคิดยังไง  แต่ว่าไม่ต้องห่วงไปหรอก  เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร”

ข้ารออยู่ราวครึ่งชั่วโมง  พวกผู้วิเศษก็กลับมาพร้อมขวดยาขนาดใหญ่  ผู้วิเศษแบ่งหนึ่งแก้วเล็กให้เร็นนำมาให้โซแวนดื่ม  ส่วนที่เหลือก็ราดลงบนแผลที่เห็นเด่นชัด  จากนั้นก็ร่ายคาถาบางอย่าง

“ฮึก  อ้าก!!”  ร่างของโซแวนกระตุกอย่างแรงแล้วดิ้นไปมาทำให้พวกเร็นต้องเข้ามาช่วยข้าจับไว้เพราะแรงของเขาเยอะ  มือที่ข้ากุมไว้อยู่ก็บีบแรงขึ้นจนคล้ายจะบดมือข้าให้แหลกไป

“ไม่เป็นไร  เจ้าจะไม่เป็นไร”  ข้าพยายามเอ่ยปลอบเขาขณะที่ยกมืออีกข้างลูบหัวไปด้วยพร้อมกับร่ายเวทรักษาขั้นสูงประคองอาการไว้  ตาของเขายังไม่ลืมขึ้นมา  แต่โซแวนก็สงบลงบ้างและนอนนิ่งเหมือนเดิมเมื่อผู้วิเศษถอนคำสาปเสร็จแล้ว

ทุกคนต่างปาดเหงื่อแล้วถอนหายใจออกมาเมื่อจบลง  นอร์ธวินด์ถึงกับบ่นอุบ  “หมอนี่แรงเยอะเป็นบ้า”

“เขาเคยแข่งดึงเชือกชนะเลยนะขอรับ  คู่แข่งเป็นเซนทอร์สิบตัว”  เร็นคุยถมขึ้นทำให้นอร์ธวินด์ถึงกับตาค้าง 

“ข้าไม่กระเด็นไปก็ดีเท่าไรแล้ว”

“ถ้าหมอนี่ละเมอขึ้นมาต่อยจะทำยังไง”  วารันพึมพำขึ้นก่อนจะมองมาหาข้า  คงตั้งคำถามขึ้นเพราะเป็นห่วง  “เจ้าจะต้องอยู่กับโซแวนตลอด  ไม่เป็นอะไรหรือ?”

“ไม่เป็นอะไร  ไม่ต้องห่วง”  ข้าเอ่ยขึ้นพลางอมยิ้มจางๆ  “ข้าคิดว่าฤทธิ์เขาหมดแล้วล่ะ”

“ก็จริง”  วารันเห็นด้วย  พอคำสาปถอนไปแล้วแผลของเขาก็หายไวขึ้นแต่ก็ต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะรักษาเสร็จ  โดยรวมแล้วคงใช้เวลาทั้งคืนนี้

“พวกเจ้าไปพักผ่อนกันเถอะ  ข้าไม่เป็นอะไร”  ข้าเอ่ยขึ้น  ห้องนี้ที่จริงแล้วแคบพอให้อยู่แค่ไม่กี่คน  พอพวกเขาอยู่กันครบจึงชวนให้รู้สึกอึดอัดมากกว่าอุ่นใจ 

ผู้วิเศษเองก็เห็นด้วยก่อนจะบอกว่า  “มีคนอื่นอยู่ในห้องแบบนี้จะทำให้การทำงานของอัญมณีเวทมนตร์ทำงานผิดเพี้ยน  ให้ท่านทีอารีนอยู่กับโซแวนก็พอแล้ว”

“แต่ยังไงพวกเราก็อดห่วงไม่ได้  ถ้ายังไงให้เฝ้าหน้าห้องก็ยังดี”  เร็นต่อรอง  ทั้งข้าและผู้วิเศษก็ไม่ปฏิเสธ  กลับกันข้ายังรู้สึกอุ่นใจขึ้นอีกเมื่อรู้ว่าจะมีคนเฝ้านอกห้อง

“ถ้ามีอะไรก็ตะโกนได้เลยนะขอรับ”  นอร์ธวินด์กำชับขึ้นก่อนที่จะออกไปทำให้ข้ายกยิ้มให้ 

“ได้  พวกเจ้าเองก็พักผ่อนให้เต็มที่เถอะ”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง  เงียบพอจะได้ยินพูดคุยงึมงำอยู่ด้านนอกคลอมากับเสียงของแมลงยามค่ำคืน  ข้าเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็กๆ  ที่มีเพียงเพื่อให้อากาศในห้องได้ระบายออกไปบ้าง  จากมุมนี้ไม่เห็นอะไรนอกจากท้องฟ้ามืดมิด

พอหันกลับมาหาคนที่นอนเจ็บอยู่ข้าก็อดเสียใจไม่ได้  หากตอนนั้นข้ายอมสู้กับครีออนเขาก็คงไม่บาดเจ็บขนาดนี้  แต่ถ้าให้สู้กับน้องชาย  ตัวข้าที่สับสนอยู่แบบนั้นคงไม่มีวันทำ

“บ้าเอ๊ย”  ข้าสบถด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือ  ก่อนจะประสานมือทั้งสองข้างบนตัวโซแวนแล้วโน้มหัวลงไปซบเบาๆ  เพื่อคลายความรู้สึกที่อยู่ในใจ  ทั้งกังวล  เศร้าโศก  และทรมาน

หากหยุดอยู่เพียงแค่นี้  คนของข้าก็จะไม่ต้องทำอะไร  ไม่เจ็บปวดหรือทรมาน  ให้หนีไปสักที่ที่ปลอดภัยแล้วอาศัยอยู่ที่นั่น  เฝ้าดูมนุษย์ที่ถูกอสูรรุกราน  เพราะแต่เดิมเหล่าสัตว์วิเศษพวกนี้ก็ไม่มีส่วนเสียหายอะไรอยู่แล้ว  แต่นั่นหมายความว่าข้าจะไม่สามารถช่วยครีออนได้

ถ้าหากเดินต่อ...ด้วยพละกำลังเพียงเท่านี้  ไม่มีทางที่จะสามารถโค่นลูซัสลงได้เลย  และไม่สามารถจะช่วยชีวิตใครได้เลย

หากผู้วิเศษพูดเป็นความจริง  ตอนนี้ครีออนเองก็ยังพอมีโอกาสที่พ้นจากสภาวะตกต่ำได้  แต่ลูซัสเองก็คงไม่ยอมปล่อยน้องชายข้าง่ายๆ

เพื่อที่จะช่วยครีออน  และเพื่อจะปกป้องคนอื่น

ข้าจำเป็นจะต้องแข็งแกร่งขึ้น...มากกว่านี้  และเหนือกว่าลูซัสให้ได้!

ข้าเอ่ยคำสาบานกับตัวเองในใจ  แรงปรารถนาที่ลุกโหมอยู่ในอกเป็นบ่อเกิดของพลังเวทที่สูงขึ้นโดยที่ข้าเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคือสิ่งใด

ราวกับได้ยินเสียงก้องกังวานของกระดิ่งที่ไพเราะแว่วมา

...

“นั่นอะไรน่ะ”  เสียงร้องแหลมของแฟรี่ดังขึ้นก่อนที่ทั้งฝูงซึ่งอยู่เฝ้าสวนด้านนอกจะแตกตื่นบินไปมา  ผู้วิเศษและพวกเร็นต่างรีบลุกขึ้นแล้วออกไปนอกวิหาร  เมื่อเงยหน้าไปทางทิศที่พวกสัตว์ตัวอื่นมองต่างก็ต้องตะลึงค้าง

ประตูสีทองลอยเด่นอยู่เหนือวิหารโบราณ  แรงลมในอากาศพัดผ่านส่งผลให้กระดิ่งสีเงินที่แขวนอยู่รอบๆ  ก้องกังวาน  แต่เพียงแค่ชั่วครู่เดียวก็หายไป

ไม่มีใครรู้ว่ามันคือสิ่งใดเว้นแต่ผู้วิเศษ  ชายหนุ่มผู้ผ่านช่วงเวลาพันปีมาแล้วยกยิ้มขึ้นอย่างโล่งอก  ดูเหมือนสิ่งที่เขากังวลมาโดยตลอดจะได้รับการคลายออกแล้ว

...

“มีอะไรแปลกๆ  ลอยอยู่เหนือป่าต้องห้ามขอรับ”  เสียงของทหารนายหนึ่งดังขึ้นทำให้ลูซัสซึ่งอยู่ตรงระเบียงพอดีหันไปมองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตะลึง  ภาพลักษณ์อันแสนคุ้นตากระตุ้นความรู้สึกตื่นเต้นในอกให้ลุกโหม  แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้  แต่เสียงอันไพเราะยามมันปรากฏก็ยังติดค้างอยู่ในโสตประสาท

น่าเสียดายที่ผู้ที่เปิดมันไม่ใช่น้องชายของเขาอีกต่อไป

ลูซัสกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นก่อนจะเดินลับหายไปในความมืด

“สงครามกำลังจะเริ่มแล้ว  น่าสนุกจริงๆ  ข้าตั้งหน้าตั้งตารอเลยนะ  ทีอารีน...”

--------------
คอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันได้นะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 23>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 16-04-2018 22:37:17
คำเดียวเลยค่ะ สนุก
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 24>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 20-04-2018 20:12:16
บทที่  24
ผู้ส่งสาร

“ฟังนะ  เจ้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้”  เสียงของพ่อคนที่สองดังก้องอยู่ในหัว  หวนให้นึกถึงสมัยก่อนยามที่อยู่กันพร้อมหน้าสามคน 


โซแวนในวัยเด็กนั่งอยู่บนหิน  ย่นคอหนีมือที่ยื่นมาป้ายยาใส่แผลถลอกบนหน้า  ลูซิฟรานย้ำกับเขาด้วยคำพูดนั้นเสมอ  ถ้าไม่แข็งแกร่งก็จะชนะพ่ออีกคนไม่ได้แล้วก็จะต้องทำแผลแบบนี้ไปเรื่อยๆ


ตั้งแต่เกิดมาชีวิตเขาวนเวียนอยู่ไม่กี่อย่าง  เล่น  กิน  ต่อสู้  ทำแผล  สองอย่างแรกนั้นเป็นสิทธิ์ที่ลูซิฟรานขอนาร์ลัคไว้เพราะเขายังเป็นเด็ก  แต่ช่วงนี้การเล่นของเขาส่วนใหญ่คือการต่อสู้กับพ่อ  แล้วก็จะได้แผลกลับมาตลอด


“ลูซิฟราน”  เขาเอ่ยเรียกคนตรงหน้า  “รักข้าหรือเปล่า?”


พ่อของเขานิ่งค้างไปพักหนึ่ง  จากนั้นก็ระบายยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร  เป็นท่าทีที่แสดงให้เห็นยามพูดถึงเรื่องนี้  ตั้งแต่โซแวนยังเด็กจนกระทั่งโตมา  เวลาหลายร้อยปีนั้นเป็นความสับสนที่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้


นาร์ลัคที่เป็นพ่อของเขาเหมือนกันเลี้ยงดูราวกับสัตว์ตัวหนึ่งเพราะตัวเขาก็คือคิเมร่า  แต่ลูซิฟรานกลับเลี้ยงดูในฐานะคนคนหนึ่ง  เป็นเรื่องขัดแย้งที่สองคนนั้นจะมีปากเสียงกันบ่อยๆ  แต่ก็เห็นพลอดรักกันตลอด  ทว่ากับตัวโซแวนนั้นไม่เคยได้ยินคำว่ารักที่พูดกับตัวเองเลย


แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของคนทั้งสองก็ไม่เคยพูดว่ารักกับเขาเลย


แท้จริงแล้วรักเป็นแบบไหน  การแสดงออกใดที่สามารถเรียกว่ารักได้  เขาเองก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน...


...


โซแวนสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ยามได้สติและลืมตาขึ้น  เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงรู้ว่าที่นี่คือห้องรักษาในวิหารโบราณ  เมื่อขยับตัวใครบางคนก็ตรงเข้ามาด้วยความเป็นห่วงทันที


“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”  ทีอารีนถามขึ้นน้ำเสียงเป็นกังวล  โซแวนกลอกตาไปมาเมื่อแน่ใจแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง


“ข้าไม่เป็นอะไร”


ทว่าทีอารีนกลับจ้องเขาด้วยสายตาไม่เชื่อแล้วถามย้ำ  “แน่ใจนะ”


“ไม่เจ็บตรงไหนแล้ว  เพราะงั้นก็คงไม่เป็นอะไร”  โซแวนตอบก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจากเตียง  เด็กหนุ่มยังคงปรี่เข้ามาประคองด้วยความเป็นห่วงนั่นทำให้เขาเผลอหลุดหัวเราะออกมา 


“ข้าบอกว่าไม่เป็นอะไรก็คือไม่เป็นอะไรไง  อย่าคิดว่าข้าเป็นเหมือนเจ้าสิ”  ชายหนุ่มเชยคางอีกฝ่ายขึ้นทำให้เห็นว่าดวงตานั้นเริ่มทอความไม่พอใจออกมา 


“หมายความว่ายังไง”


“เจ้าชอบฝืน  แล้วยังดื้อด้วย”  โซแวนไม่อิดออดที่จะตอบอีกฝ่ายไปโดยไม่ต้องถนอมน้ำใจมากนัก  เป็นความรู้สึกอยากแกล้งที่พอเห็นทีอารีนทำสีหน้าขึงขังขึ้นมาก็อดอมยิ้มไม่ได้


เขาผละจากอีกฝ่ายเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วใกล้เข้ามา


“นายเหนือหัวตื่นแล้ว!”  แฟรี่ทั้งหลายเกือบสิบตัวร้องตะโกนขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเป็นเสียงร้องระงมไปทั่วห้องจนหนวกหู 


โซแวนนิ่วหน้าทันทีแล้วออกคำสั่งอย่างระอา  “พวกเจ้า  เงียบๆ  หน่อย”


“ครึกครื้นกันดีนะ”  ทีอารีนพึมพำขึ้นขณะมองภาพฝูงแฟรี่และสัตว์เล็กที่แตกตื่นเมื่อทราบข่าว  มุมปากของเด็กคนนี้ขยับขึ้นทำให้โซแวนรู้สึกโล่งใจ


“เจ้ามนุษย์  เจ้าสุดยอดจริงๆ”  แฟรี่สาวตนนั้นลอยลงไปยืนข้างทีอารีนแล้วแตะแขนเบาๆ  แม้จะเป็นการชื่นชมแต่สีหน้าก็แฝงไปด้วยความหยิ่งผยองจนโซแวนอยากสั่งสอนมารยาทให้  แต่เหมือนทีอารีนจะไม่ถือสาอะไร


ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก  มีแฟรี่บางตัวออกไปแจ้งข่าวข้างนอกแล้ว  ผู้วิเศษและพวกเร็นจึงเข้ามาหาทันที  พวกเขาแสดงความโล่งออกมาเมื่อเห็นพวกเขาสบายดี


“ร่างกายมีอะไรผิดปกติไหมหรือไม่ขอรับ  ท่านทีอารีน?”  ผู้วิเศษเดินเข้าไปถามเด็กหนุ่มทันที  แต่ทีอารีนนิ่งคิดสักพักก็ส่ายหน้า  ออกจะแปลกใจด้วยซ้ำที่ถูกถามเช่นนั้น 


“ข้าสบายดี  ทำไมถึงมาถามข้า?”


“เมื่อคืนฝ่าบาทสามารถทำให้รูปลักษณ์ของประตูแห่งอำนาจปรากฏขึ้นมาได้  แต่แค่ครู่เดียวเท่านั้น  ผู้วิเศษบอกว่าเป็นเพราะประตูตอบรับเจตนารมณ์ของฝ่าบาทขอรับ”  เร็นเป็นคนอธิบายกับโซแวนด้วยเสียงที่เบากว่าปกติเพราะยังคงเป็นความลับ  คิเมร่าหนุ่มพยักหน้าเข้าใจช้าๆ  ก่อนจะหันไปมองกลุ่มที่จับตัวอยู่รอบๆ  ทีอารีน


“นี่เวลาเท่าไหร่แล้ว”  โซแวนเอ่ยถามขึ้น  ทำให้เร็นตอบว่า  “ตอนนี้กำลังจะได้เวลาอาหารกลางวันพอดี”


“ดีเลย  ถ้าหากนายเหนือหัวตื่นแล้วแบบนี้ก็ร่วมรับประทานอาหารกับพวกข้าได้สิ”  แฟรี่หน้าตาหยิ่งผยองนั้นเอ่ยขึ้นเสียงแหลมก่อนจะบอกต่อด้วยรอยยิ้ม  “ได้เวลาอาหารพอดี  พวกท่านจะไปกินเลยไหม?”


โซแวนรู้ว่าตนกำลังถูกถามจึงหันไปมองรอบๆ  ก่อนที่จะพยักหน้า  “ดีสิ”


พวกแฟรี่ส่งเสียงด้วยความดีใจก่อนจะบินออกมาด้านนอก ผู้วิเศษเห็นทีอารีนมองตนอยู่นั้นก็ตัดบทเสียก่อนด้วยความเป็นห่วง  “ไปทานอาหารก่อนเถอะขอรับ  แล้วเราค่อยมาคุยกัน”


ทุกคนจึงออกไปข้างนอก 


วิหารโบราณที่โซแวนเคยอยู่ตอนนี้ถูกเสกสรรให้ตรงกลางเป็นลานรับประทานอาหารที่ยิ่งใหญ่  พวกสัตว์วิเศษที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีต่างออกมารอรับอยู่ด้านนอก


“นายเหนือหัวกลับมาแล้ว!  นายเหนือหัว!”  เสียงร้องเฮดังขึ้นทันทีที่โซแวนปรากฏตัว  พวกสัตว์ต่างๆ  นั้นยินดีอย่างมากที่ราชาของพวกตนกลับมา


“นายนี่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคนดีนะ”  ทีอารีนที่ยืนอยู่ข้างๆ  เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาโหวงทำให้โซแวนหันไปหา  อีกฝ่ายกำลังระบายยิ้มแต่ดวงตานั้นคล้ายกับคิดบางเรื่องอยู่ทำให้เขานึกอะไรขึ้นได้


ที่ผ่านมาทีอารีนเองก็อยู่ในฐานะผู้ปกครอง  แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ  แต่ความต้องการที่จะได้รับการนับถือจากผู้ที่ตนปกครองอยู่นั้นก็เป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งของเด็กนี่


การได้รับความน่าเชื่อถือโดยไม่พึ่งคำสาปของผู้วิเศษ


“สังคมที่นี่เขานับถือผู้ที่แข็งแกร่งเป็นใหญ่น่ะ  ในป่าแห่งนี้  ข้าชนะมาหมดแล้วทุกตัว  ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงนับถือข้า  การที่ข้ากลับมาเป็นสัญญาณว่าป่าแห่งนี้จะได้รับการคุ้มครอง”  โซแวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ  เขาไม่รู้ว่าเจตนาใดที่ทำให้พูดออกไปเช่นนั้น  แต่เห็นทีอารีนรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้างก็ดีแล้ว


“นายเหนือหัว  เชิญนั่งตรงนี้เจ้าค่ะ”  แฟรี่พาเขาไปนั่งอยู่ด้านหน้าลาน  รอบข้างทั้งสองนั้นเป็นพวกเร็นและผู้วิเศษ  แต่พวกสัตว์วิเศษที่นี่นั้นเกลียดมนุษย์  ทีอารีนจึงเกือบถูกพาไปนั่งไกลๆ


“เดี๋ยว  เขาเป็นคนสำคัญของข้า  ต้องมานั่งใกล้ๆ  ข้าสิ”  โซแวนขัดขึ้นทำให้พวกสัตว์ทั้งหลายตาโตก่อนที่จะรีบพาทีอารีนมานั่งข้างๆ  ทันที 


เด็กหนุ่มมีสีหน้าอึดอัดขึ้นก่อนที่จะกระซิบข้างหู  “เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้  ตรงไหนข้าก็นั่งได้”


“ไม่ได้หรอก  นั่งไกลไปเดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมาจะช่วยไม่ทัน”  เขาตอบไปตามสิ่งที่คิดก่อนที่จะหันไปหาคนอื่น  “เชิญกินกันได้เลย”


ทันทีที่มื้ออาหารเริ่ม  เหล่านางโลมที่เป็นบรรดาสัตว์วิเศษแปลงกายมาต่างก็เข้าปรนนิบัติโซแวนทันที  ความสวยงามและความใกล้ชิดนั้นทำให้ใครหลายคนต้องมอง  อย่างน้อยก็ทำให้นอร์ธวินด์ส่งสายตาอิจฉาตาร้อนมาได้


“บ้าเอ๊ย  จบงานนี้ข้าจะวิ่งไปหอนางโลมเป็นอันดับแรกเลย  สวรรค์น้อยๆ  ของข้า”  เจ้าตัวรำพึงรำพันออกมาพลางกัดใบไม้ที่ใช้เป็นจานรองด้วยความแค้น  แต่แล้วก็มีเสียงขัดขึ้นว่า  “ตราบใดที่ข้ายังอยู่  เจ้าไม่ต้องไปพึ่งหอนางโลมหรอก”


“หนวกหู!”  นอร์ธวินด์หันกลับไปตวาดใส่วารันที่ยังทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาแล้วกัดเนื้อย่างก้อนโตต่อโดยไม่พูดอะไร  ทำให้เสียงเงียบลง  แต่เพราะมีคนอยู่เยอะ  ดังนั้นแล้วเสียงพูดคุยจึงดังต่อเรื่อยๆ


โซแวนยกมือขึ้นหยุดมือสาวสวยข้างๆ  ที่อาสาป้อนมาตั้งแต่แรก  แล้วเหลือบไปมองคนข้างๆ  “ดูเจ้าไม่ค่อยมีอารมณ์กินอาหารนะ?”


ทีอารีนชะงัก  แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าแดงเรื่อ  “ก็เจ้า...ก็เพราะเป็นแบบนี้ไง”


โซแวนขมวดคิ้วไม่เข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่าย  เป็นผู้วิเศษที่หัวเราะออกมาแล้วอธิบายด้วยรอยยิ้มเอ็นดู  “ก็เพราะท่านทีอารีนไม่เคยเห็นใครมีสาวมาบริการแบบนี้นี่นะ  ย่อมเคอะเขินธรรมดา”


“อย่างนี้นี่เอง  พวกเจ้าก็ไปดูแลเขาหน่อยสิ”  โซแวนพยักหน้าเข้าใจแล้วเอ่ยกับสาวงามทั้งหลายด้วยรอยยิ้มบางๆ  ด้วยคำสั่งของนายเหนือหัวเหล่าสาวจำแลงทั้งหลายจึงหันไปหาทีอารีนทันที


“ยะ...หยุดนะ  ข้าไม่ได้ต้องการแบบนี้”  เด็กหนุ่มร้องประท้วงขึ้น  แต่ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนก็เจอแต่กายเนื้ออ่อนนุ่มของหญิงสาวทั้งหลาย


“ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ  หนูน้อย  พี่สาวจะสอนหลายๆ  เรื่องให้เอง”


“ตายแล้ว  ผิวเด็กคนนี้ดีเหลือเกิน”


“ข้าชักชอบเด็กคนนี้แล้วสิ”  พวกนางต่างพูดคุยกันพลางจับส่วนนู้นส่วนนี้ของเขาไปทั่ว  บางคนก็อาสาป้อนให้เขา  ทั้งอาหารและน้ำ  เรียกได้ว่าได้รับความประคบประหงมอย่างดี


จนกระทั่งพวกเขากินกันอิ่มแล้ว  เหล่าสาวรับใช้จึงได้เดินออกไปกัน  พอเห็นทีอารีนนั่งหน้างออยู่กับที่โซแวนเลยเขยิบเข้าไปหา  “เป็นยังไงบ้าง?  รู้สึกดีไหมล่ะ”


“ดีบ้าอะไร”  เป็นคำต่อว่าจากอีกฝ่าย  นานๆ  ทีจะได้เห็นเด็กตรงหน้าโกรธหน้าแดงแบบนี้นับว่าความตั้งใจของเขาประสบความสำเร็จ  “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบผู้หญิงก็ยังยัดเยียดมาอีก”


“ก็แค่อยากให้ลอง”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนที่จะรับรู้ได้ถึงรังสีทะมึนจากด้านหลังของตน  เร็นโผล่หน้ามานั่งใกล้ๆ  ก่อนจะลงหมัดใส่หลังเขา 


“อย่าคิดแกล้งฝ่าบาทอีกนะขอรับ”


แต่โซแวนก็ไม่ได้สนอะไร  ทีอารีนหันไปหาผู้วิเศษก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นอย่างสับสนที่เรียกความสนใจของพวกเขา


“ผู้วิเศษ  นี่มันหมายความว่ายังไง  ข้านอนไม่หลับมาสองวันแล้ว” 


คำถามนั้นแม้แต่ผู้วิเศษเองก็ยังขมวดคิ้ว  ขณะที่ทีอารีนพูดต่อด้วยความสับสน  “มันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่ข้าจะไม่หลับ  ตั้งแต่ได้รับพลังของท่านลูซิฟรานมาก็มีเหมือนมีบางอย่างผิดปกติตลอดเวลา  ทั้งๆ  ที่ใช้เวทมนตร์ไปมากมาย  ร่างกายนี้สูญเสียพลังไปตั้งเยอะแต่เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกอยากนอนขึ้นมา”


“เป็นไปได้ยังไง”  ทุกคนต่างตั้งคำถามเช่นนั้น  เป็นไปไม่ได้ที่ทีอารีนจะไม่หลับ  ร่างกายของมนุษย์ต้องการพักผ่อน  และเด็กคนนี้ก็ใช้พลังงานมากจำเป็นต้องนอน


“ฝ่าบาท  ข้าขออนุญาต”  เมื่อครุ่นคิดดูแล้วผู้วิเศษก็เอ่ยขึ้นแล้วยื่นมือมาสัมผัสที่ศีรษะของเด็กหนุ่ม  เขาหลับตาลงขณะที่ตรวจสอบบางอย่างด้วยเวทมนตร์


เมื่อผู้วิเศษลืมตาทุกคนต่างคาดหวังคำตอบที่จะช่วยไขปัญหานี้ได้  เมื่อเขาถอนหายใจก็ทำให้คนอื่นเกิดความสงสัย


“ว่าอย่างไร  ผู้วิเศษ”


“แย่แล้วสิ”  คำพึมพำแรกนั้นทำให้คล้ายกับจะทำให้หัวใจทุกคนหล่นไปที่ตาตุ่ม  ก่อนที่ผู้วิเศษจะเอ่ยสาเหตุออกมา  “มันคือผลข้างเคียงของมนตร์อมตะ”


“หา?”


“มนตร์อมตะทำให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูได้เร็วยิ่งขึ้น  ในกรณีของท่าน  อาจเพราะมีพลังเวทมากเกินไปจึงทำให้นอกจากจะฟื้นฟูได้เร็วแล้วยังทำให้การทำงานผิดพลาดด้วย”  ผู้วิเศษอธิบายอย่างใจเย็นแต่ทีอารีนกลับมีสีหน้าหวั่นวิตกมากขึ้น


“โกหก...ใช่ไหม”


ผู้วิเศษมองเด็กตรงหน้า  เนิ่นนานกว่าจะได้ตัดสินใจพูดออกมา  “อาจจะไม่ใช่เสียทีเดียวก็ได้  ผลของมันอาจมีแค่สองสามวัน  เราต้องรอดูไปสักระยะ” 


“แล้วถ้าหากมันไม่ใช่แค่สองสามวันล่ะ”  ทีอารีนเอ่ยถามขึ้นน้ำเสียงสั่น  “ถ้าผลของมันยังมีอยู่  ข้าก็จะไม่สามารถหลับได้อีกต่อไปใช่ไหม  ตลอดชีวิต...”


“เรื่องนั้น”


“แล้วข้าจะกลายเป็นอะไร  ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปหรือ!”  ทีอารีนแผดเสียงถามขึ้นด้วยความสับสน  ความกลัวในอกก่อให้ใจเขาร้อนรุ่ม  เป็นผู้วิเศษเองที่รีบคว้ามือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้แล้วกอดแน่นเพื่อให้เด็กหนุ่มสงบ


“โปรดใจเย็น  ใจเย็น  มันจะไม่เป็นอะไร  หลังจากสงครามสิ้นสุด  ทุกอย่างจะคลี่คลาย  ข้าสัญญา...ข้าสัญญา”  ผู้วิเศษปลอบโยนอีกฝ่ายด้วยอ้อมกอดและคำพูดที่สามารถทำให้ทีอารีนสงบใจลงได้  ไม่นานเด็กหนุ่มก็ผละออก  สีหน้าดูหมดกังวลมากขึ้น


“รอดูไปอีกสักสองสามวันจะดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ” 


ทีอารีนพยักหน้าตามที่ผู้วิเศษเสนอก่อนที่จะลุกขึ้น 


“อ้า...ใช่ๆ  ที่ฝ่าบาทนอนไม่หลับอาจเป็นเพราะเครียดมากเกินไปก็ได้นะขอรับ  ถ้ายังไงลองดื่มชาผ่อนคลายดู  แล้วก็ถ้าท่านสนใจ  ข้ามีสมุนไพรที่ทำให้หลับลึกด้วยนะขอรับ”  เพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียด  นอร์ธวินด์ได้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มทำให้ทีอารีนหันมาสนใจ 


“สมุนไพร?”


“เป็นสมุนไพรยานอนหลับชนิดแรงที่ไม่มีผลข้างเคียงมากนัก  และไม่มีรสชาติขอรับ  ข้าเคยลองใช้กับวารันแล้ว  หลับสนิทต่อให้หนีเที่ยวทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา”


“เฮ้ย”  น้ำเสียงต่ำของวารันที่ดังมาทำให้นอร์ธวินด์สะดุ้งเฮือก  สีหน้าเหมือนคนที่เพิ่งทำความลับแตก  แล้วหลังจากนั้นอีกฝ่ายก็โดนมังกรที่ว่าลากไปสั่งสอนทันที


“พวกเขารักกันดีจริงๆ  นะ”  ทีอารีนมองภาพคนสองคนที่มีปากเสียงกันแล้วอดพูดออกมาไม่ได้  แม้จะดูไม่ถูกกันแต่ยามทั้งสองได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันแล้วดูเหมาะสมกันดี  ซ้ำยังเป็นคนที่รู้ใจกันมากที่สุด


แต่คนอื่นกลับมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ


“ฝ่าบาทชอบแบบนี้?”


“ไม่ใช่หรอก”


“อะแฮ่ม”  ผู้วิเศษกระแอมไอขึ้นขัดก่อนที่จะฉีกยิ้มแล้วสนับสนุนคนที่โดนลากไปซ้อม  “ตามที่นอร์ธวินด์เสนอ  ก็เป็นความคิดที่ดีนะขอรับ  หากฝ่าบาทสนใจ...”
---------------------------------------------
เนื่องจากจำนวนตัวอักษรเกิน ขอแบ่งเป็น 2 reply นะคะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 24>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 20-04-2018 20:13:18
บทที่ 24 ครึ่งหลัง


“ลองดูก็ไม่เสียหาย  คืนนี้ลองดูแล้วกัน”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นทำให้นอร์ธวินด์คลานกลับมาชูมือร้องบอกด้วยน้ำเสียงสดใส  “ข้าจะหามาให้ฝ่าบาทให้เร็วที่สุดนะขอรับ”


“เช่นนั้น  ก่อนอื่นเลยฝ่าบาทเนื้อตัวมอมแมมแล้ว  หากไม่ว่าอะไรลองอาบน้ำผ่อนคลายดูไหมขอรับ”  เร็นเสนอขึ้นทำให้เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว  อีกฝ่ายเสนอด้วยรอยยิ้ม  “ใกล้ๆ  วิหารนี้มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่  ท่านสนใจจะไปแช่ไหมขอรับ”


“บ่อน้ำพุร้อนหรือ  น่าสนใจดีนี่”  ใบหน้าของทีอารีนดูสดใสทันที  เขาหันไปหาคนอื่นๆ  แล้วเอ่ยชักชวนขึ้น  “พวกเจ้าจะไปด้วยไหม”


“ข้าไปด้วยดีกว่า”  โซแวนว่าพร้อมกับลุกขึ้นเช่นเดียวกับอาคีรัสที่ตะโกนขึ้นว่า  ‘ข้าไปด้วยๆ’  ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“ข้าก็ไปด้วย”  นอร์ธวินด์รีบยกมือขึ้นด้วยสีหน้าระรื่น  ก่อนจะหันไปถามวารันที่อยู่ข้างๆ  “เจ้าจะไปใช่ไหม  ไปใช่ไหม”


“ข้าไม่ไปล่ะ”  แต่วารันกลับปฏิเสธทำให้คนชวนตาโต  “ทำไมล่ะ?”


“วารันต้องออกไปกับข้าน่ะ  เราจะไปสำรวจกันแถวๆ  คาร์ไลน์”  ผู้วิเศษเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นทำให้นอร์ธวินด์หันไปด้วยความสงสัย 


“จริงเหรอ?”


“แน่สิ”  วารันเป็นฝ่ายตอบ


“ไปกันแค่สองคนจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ?”  ทีอารีนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง 


ผู้วิเศษพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยความมั่นใจว่า  “ไปกันแค่สองคนนี่แหละดีขอรับ  พวกเขาจะได้ตามหายาก  แล้วที่พาวารันไปเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะหนีทัน”


“งั้นเหรอ  ถ้างั้นก็ขอให้ปลอดภัยทั้งสองคนนะ”  เด็กหนุ่มอวยพรขึ้นทำให้ผู้วิเศษยกยิ้ม


“ไม่ต้องห่วงหรอกพ่ะย่ะค่ะ  เดี๋ยวจะรีบกลับมา”


“เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว  ไม่ต้องห่วงหรอก”  วารันเอ่ยขึ้นเสียงเรียบพร้อมยกมือขึ้นสัมผัสศีรษะของนอร์ธวินด์เบาๆ  ทันทีที่พูดจบ  อีกฝ่ายก็รีบผละออกทันที 


“บอกแล้วไงว่าอย่ามาลูบหัว  ข้าไม่ใช่เด็กอีกแล้วนะ!”


วารันเพียงแค่ยักไหล่แล้วเดินออกไปพร้อมกับผู้วิเศษ  คาร์ริต้าบอกจะรออยู่แถวนี้  มีสาวๆ  อีกหลายคนที่อยากพูดคุยกับเธอ 


เร็นกับโซแวนเลยพาพวกเขาไปที่บ่อน้ำพุร้อนซึ่งไม่ไกลเท่าไหร่  ที่นั่นไม่มีใครอยู่เลยทำให้ทีอารีนรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว


ยกเว้นก็แต่การต้องถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกก่อนลงแช่นี่แหละ


“อายอะไร  ผู้ชายเหมือนกัน”  เป็นคำพูดเรียบๆ  ที่ออกมาจากปากโซแวนทำให้ทีอารีนสะอึกไปวูบหนึ่ง  แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจอะไรแล้วหันไปถอดเสื้อกับอาคีรัสก่อนจะตามหลังอีกฝ่ายลงไปในบ่อน้ำ


“ว้าว  รู้สึกดีสุดๆ  เลยนะขอรับ”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มหลังจากได้ลงแช่น้ำ  ทีอารีนเองก็เห็นด้วย 


“นั่นสิ  ไม่เคยแช่น้ำพุร้อนมาก่อนเลย”


“ตรงนี้น่ะเป็นจุดแช่น้ำร้อนที่ดีมากๆ  เลยนะขอรับ  ผมกับโซแวนน่ะเมื่อก่อนก็มาที่นี่บ่อยๆ”  เร็นเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ  “เป็นสถานที่พิเศษของพวกเราเลย”


“เพราะมาแช่แล้วรู้สึกว่าพวกแผลฟกช้ำจากการต่อสู้มันหายไวขึ้นด้วยน่ะนะ”  โซแวนบอกเสียงเบาก่อนจะเอนตัวพิงกับหินที่อยู่ขอบบ่อ


ทีอารีนมองรอบๆ  สักพักก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้เลยขยับเข้าไปใกล้นอร์ธวินด์แล้วเอ่ยเรียก  “นี่  นอร์ธวินด์”


“หืม?  มีอะไรหรือขอรับ”


เด็กหนุ่มจ้องมองอีกฝ่ายแล้วยกมือขึ้นชี้ที่ด้านหลังอีกฝ่าย 


“รอยแดงนั่นมันอะไรกัน”


คนถูกถามสะดุ้งเฮือกแล้วยกมือขึ้นตะครุบต้นคอทันทีด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ  ส่วนผู้ร่วมบ่อคนอื่นๆ  อย่างเร็นและโซแวนทำตาโตทันทีด้วยความใคร่รู้  ส่วนอาคีรัสแค่สงสัยเพราะทีอารีนพูดถึง


“อะ...เอ่อ  นี่...นี่แค่รอยโดนแมลงกัดนิดหน่อยน่ะขอรับ  แหะๆ”  นอร์ธวินด์แก้ตัวน้ำเสียงตะกุกตะกัก  แต่ถึงแม้ว่าทีอารีนจะพยักหน้าแล้วแต่สองคนด้านหลังกลับทำสายตาไม่ไว้วางใจทำให้เขาถลึงตาใส่


“ข้ารู้  เจ้ารู้  และเขารู้”  โซแวนหันไปพึมพำกับสหายที่อยู่ข้างๆ  ด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย  อีกฝ่ายก็หัวเราะเห็นด้วยไม่ชวนให้รู้สึกไว้วางใจเลยสักนิด  ก่อนที่คิเมร่าหนุ่มจะพึมพำบางอย่าง  “น่าคิดว่าเจ้านั่นเอาเวลาไหนไปทำกันนะ”


“พวกเจ้าถ้าไม่หยุดพูดล่ะก็เจอข้าฆ่าแน่”  คนที่โดนพาดพิงกลายๆ  รีบขู่ขึ้นทันที


ทีอารีนไม่ได้สนใจวงสนทนานั้นสักเท่าไร  เมื่อแช่จนพอใจแล้วก็ชวนอาคีรัสขึ้นจากบ่อแล้วสวมเสื้อผ้า  มีคนนำชุดใหม่มาให้เขาตามคำสั่งของผู้วิเศษเพราะชุดเก่านั้นค่อนข้างเตะตาเกินไป


ตกค่ำเมื่อถึงเวลาแยกย้าย  ผู้วิเศษและวารันยังไม่กลับ  ทีอารีนก็ได้กินยาที่นอร์ธวินด์นำมาให้ไปหนึ่งเม็ด  ส่วนอีกเม็ดเขาเก็บไว้ก่อน  มันไม่มีรสชาติเลยค่อนข้างสะดวกต่อการกิน


เขาไม่ต้องการรบกวนผู้อื่นนักจึงบอกให้ไปพักผ่อนไม่ต้องสนใจ  โซแวนให้ทีอารีนพักด้วย  แต่จนแล้วจนรอดเด็กหนุ่มก็ได้แต่นอนลืมตาไม่มีท่าทีหลับ


คนที่วูบหลับไปแล้วครู่หนึ่งลุกขึ้นมาแล้วถามด้วยความเป็นห่วง  “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”


“ข้าไม่ค่อยรู้สึกเพลียแล้ว”  ทีอารีนตอบเสียงเรียบ  เด็กหนุ่มเหม่อมองมือของตัวเองอย่างไม่ค่อยเข้าใจ  ความอมตะเช่นนี้มันทำให้เขาแปลกแยกจากมนุษย์คนอื่น  เหมือนตัวประหลาด


“อยากออกไปเดินเล่นไหม”  สุดท้ายแล้วเขาไม่สามารถปล่อยให้เด็กคนนี้ทนทุกข์ได้  โซแวนจึงเอ่ยชวนขึ้น  โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คว้าตัวอีกฝ่ายออกมาจากวิหาร  พาไปยังสถานที่หนึ่งในป่าต้องห้าม


ทีอารีนขมวดคิ้วมองสถานที่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกแปลกใจ  ทุ่งดอกหญ้าที่สูงประมาณน่องขากินอาณาเขตกว้าง  ต้นพลิ้วไหวไปตามสายลมเย็น  เขาหันไปมองคนที่พามาด้วยความรู้สึกสงสัย


โซแวนผิวปากขึ้น  ฉับพลันนั้นทุ่งดอกหญ้าที่ถูกความมืดปกคลุมพลันค่อยๆ  เกิดแสงดวงน้อยขึ้น  มากขึ้นและมากขึ้น  ล่องลอยไปสู่พื้นฟ้าขับทิวทัศน์งดงามด้วยแสงเล็กๆ  มากมาย


“สุดยอด”  เด็กหนุ่มอดอุทานออกมาไม่ได้ที่เห็นความตระการตาตรงหน้า  นั่นทำให้โซแวนยกยิ้มด้วยความพึงพอใจก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายไว้


“ยังไม่หมดแค่นี้นะ”  ชายหนุ่มพาอีกฝ่ายลงไปในทุ่งหญ้านั้น  ทุกการก้าวเดินมีแสงเล็กๆ  นั้นลอยขึ้นมาไปสู่พื้นฟ้า  เมื่อมองใกล้ๆ  แล้วทีอารีนจึงรู้ว่ามันเป็นแมลงชนิดหนึ่ง


แมลงที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้านี้นับพันตัวกำลังโบยบินอยู่รอบๆ  ย้อมกลางคืนให้กลายเป็นสีทองสวยงาม  เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นดวงดาวมากมายที่อยู่เต็มผืนฟ้า  งดงามไม่แพ้กัน


“เป็นที่ที่ดีใช่หรือเปล่า”  อีกฝ่ายคว้าตัวเขาเข้ามาใกล้แล้วถามขึ้น  ทีอารีนไม่ปฏิเสธความสวยงามตรงหน้าจึงตอบไปด้วยรอยยิ้ม 


“มันวิเศษมาก” 


คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้โซแวนที่พามารู้สึกดีใจ  เขาคว้าเอวของอีกฝ่ายมาไว้แน่นๆ  แล้วช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้น  เพียงหมุนไปรอบๆ  แมลงที่ซ่อนตัวอยู่อีกมากมายก็พากันส่องแสงบินออกมาราวกับหยอกล้อ


ทีอารีนอดยิ้มออกมาไม่ได้  ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจและปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามอารมณ์  โซแวนต้องการให้เขาไม่ทนทุกข์


เขาอดปฏิเสธไม่ได้ที่ต้องการอยู่ในช่วงเวลานี้ไปเรื่อยๆ 


เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินโซแวนหัวเราะสนุกสนานเช่นนี้


ทั้งคู่อยู่ในทุ่งหญ้านั้นอีกพักหนึ่ง  เมื่อเห็นว่าทีอารีนเริ่มเหนื่อยโซแวนก็อุ้มกลับไปที่วิหาร  ในห้องที่อยู่กันเพียงสองคน  เขากอดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมแขนท่ามกลางความสับสนของอีกฝ่าย


“เผื่อเจ้าจะผล็อยหลับไปบ้าง”  โซแวนเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายงุนงง  “ผ่อนคลายก็แล้ว  กินยาก็แล้ว  เล่นจนเหนื่อยก็แล้ว  อยู่ในที่อุ่นๆ  แล้ว  เจ้าง่วงบ้างหรือยัง”


“ถ้าข้าตอบว่ายังล่ะ”  ทีอารีนเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย  เมื่อรู้จุดประสงค์แล้วก็อดพลิกตัวออกมาจากอ้อมแขนไม่ได้  “ข้าไม่เป็นอะไร  ร่างกายก็ไม่ได้รู้สึกเพลียหรือล้าอะไรด้วย  เจ้านอนเถอะ”


“จะให้ข้านอนได้ยังไงในเมื่อเจ้าต้องทนลืมตาอยู่เช่นนี้  ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”  โซแวนเอ่ยความตั้งใจขึ้นทำให้ทีอารีนถอนหายใจอย่างเอือมระอา


“ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าไม่ดื้อเหมือนข้าไง”  เขารู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไร  โซแวนไม่ได้รับผลของความเป็นอมตะ  ถึงจะเป็นคิเมร่าแต่การอดนอนก็คงไม่ใช่เรื่องดี  เช่นนั้นแล้วทีอารีนจึงตัดสินใจทำให้อีกฝ่ายยอมนอน


โซแวนไม่ได้โต้เถียงอะไรเขา  และออกจะแปลกใจด้วยซ้ำที่อยู่ๆ  ก็ถูกสวมกอด  ครู่หนึ่งทีอารีนจึงผละออกแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


“เจ้าต้องพักผ่อนโซแวน  หากเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะได้ปกป้องข้าได้”  แม้จะเอ่ยไปเช่นนั้นแต่เขารู้ดีว่าโซแวนย่อมไม่ยอมด้วยดวงตาดื้อรั้นแบบนั้น  เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจยื่นหน้าเข้าไปใกล้และมอบจูบให้


จูบที่เกิดโดยพลการและไม่ชำนาญ  แต่เพียงแค่สัมผัสโซแวนก็แทบจะตอบสนองด้วยอย่างดี  เขาที่เป็นฝ่ายเริ่มคิดจะหยุดแค่สามวินาทีแรก  แต่กลับถูกรั้งไว้แล้วถูกรุกเข้ามาในโพรงปากจนเกือบคุมสติไม่อยู่  โชคดีที่นิสัยดื้อรั้นทำให้เด็กหนุ่มขืนและแทรกลิ้นเข้าไปในโพรงปากของอีกฝ่ายได้


เนิ่นนานที่พวกเขาจูบกัน  ในที่สุดโซแวนก็สะดุ้งเฮือกแล้วกระชากเขาออก


ทีอารีนยิ้มขืนแล้วเอ่ยออกมาสั้นๆ  ด้วยใบหน้าแดงเรื่อ


“ขอโทษนะ”


โซแวนกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ  เขาเสียท่าให้เด็กนี่เสียแล้ว  ขณะที่กำลังจะอ้าปากเปล่งเสียง  สติก็พลันวูบหลับไป  ร่างสูงเอนล้มไปบนเตียง  เมื่อเห็นว่ายาออกฤทธิ์ดีแล้วทีอารีนจึงคลานลงจากเตียงไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้  เหม่อมองแสงเทียนที่วูบไหวจนพ้นคืนเหมือนเช่นเมื่อวาน


ในเช้าวันต่อมาโซแวนทำท่าไม่พอใจใส่เขา  แต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น  หลังจากหายตัวไปพักหนึ่งก็กลับมาหา  ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ก็ย้ำเตือนเขาสีหน้าจริงจัง


“ครั้งหน้าอย่าคิดวางยาข้าอีก”


“ข้าไม่ทำหรอก”  ทีอารีนยกนิ้วขึ้นคล้ายสาบาน  แต่ต่อมาก็ไขว้กันไว้  “ยกเว้นแต่เจ้าดื้ออีก”
โซแวนถลึงตาใส่  นับว่าการเอาคืนที่เคยถูกแกล้งเป็นผลสำเร็จดี


การโต้เถียงกันทั้งสองคนจบลงเมื่อผู้วิเศษและวารันกลับมา  พร้อมใครบางคนที่คุ้นตา  แต่ทีอารีนกลับนึกไม่ออก


เด็กหนุ่มรูปร่างสูงกว่าทีอารีนเล็กน้อย  แต่ทั้งใบหน้าและร่างกายทุกส่วนนั้นงดงามดังประติมากรรมชั้นเลิศ  น่าเสียดายที่มีบาดแผลบางจุด


ทันทีที่เด็กหนุ่มคนนั้นเห็นทีอารีนก็รีบเข้ามาหาทันทีแล้วสวมกอดแน่น  “ฝ่าบาท  ทรงปลอดภัยดีนะพ่ะย่ะค่ะ”


ท่าทีนั้นทำให้ทั้งเขาและคนอื่นๆ  ตกตะลึง  โซแวนรีบแยกฝ่ายนั้นออกก่อนจะบอกว่า  “เจ้าเป็นใคร”


ฝ่ายนั้นตวัดสายตามามองด้วยความไม่พอใจแล้วหันกลับไปหาทีอารีนด้วยความเป็นห่วง  “ฝ่าบาทไม่บาดเจ็บตรงไหนข้าก็ดีใจมากแล้ว”


“ขอโทษนะ  แต่เจ้าเป็นใคร?”  ทีอารีนเอ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง  อีกฝ่ายชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยยิ้มเอ็นดูออกมา 


“แม้แต่ฝ่าบาทก็จำไม่ได้หรือนี่  ดูเหมือนข้าจะเป็นหญิงนานไปหน่อย”


“หรือว่าเจ้า...ซีวาล”  ทีอารีนลองเอ่ยทายคนที่มีใบหน้าใกล้เคียงออกมา  อีกฝ่ายกระตุกยิ้มขึ้นก่อนจะน้อมศีรษะลงอีกครั้ง


“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


พร้อมกับโน้มหน้าลงมาประทับจุมพิตที่ริมฝีปากของทีอารีนทันที  ทำให้พวกโซแวนที่อยู่รอบๆ  ตาโตแล้วแยกอีกฝ่ายออกไปทันที  “เจ้าทำเกินไปแล้ว”


“ข้าแค่ทักทายกันเฉยๆ”  ซีวาลในร่างชายหนุ่มซึ่งเป็นเพศที่แท้จริงเอ่ยกับโซแวนเสียงเรียบ  ก่อนที่ผู้วิเศษจะเล่าขึ้น 


“ข้าพบท่านซีวาลที่ชายแดน  เห็นกำลังต่อสู้กับพวกทหารอยู่จึงรีบช่วยไว้แล้วพามาที่นี่  ท่านซีวาลมีเรื่องอะไรจะเอ่ยกับฝ่าบาทหรือขอรับ”


ซีวาลเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังขึ้น  “จริงสิ  ฝ่าบาท  ตอนนี้น่ะมีเรื่องสำคัญที่ข้าต้องนำมาบอกกับท่าน”


“อะไร?  ที่เมืองมีเรื่องอะไร”


“ครีออน...ครีออนกับชายที่อยู่กับเขากำลังโหมข่าวลือที่ว่าผู้วิเศษเป็นคนลักพาตัวท่านเพื่อโค่นล้มราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ  ตอนนี้ผู้ถูกเลือกทั้งหมดกำลังถูกตามล่าเพราะเป็นพวกของผู้วิเศษ  แถมยังบอกด้วยว่าผู้วิเศษเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดประตูอสูรด้วย”


“ว่ายังไงนะ?”  ทีอารีนอุทานขึ้นด้วยความตกใจ  ก่อนที่จะหันไปมองผู้วิเศษที่ตีสีหน้าเคร่งขรึมยากที่จะเดาออกว่ากำลังคิดอะไร


“พวกคนในปราสาทอยู่ในการควบคุมของครีออน  แถมเขากำลังจะทำให้ประชาชนอยู่ภายใต้การควบคุมของอสูรด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 24>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 23-04-2018 19:04:12
อยากอ่านต่อแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 25>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 23-04-2018 21:45:23
บทที่  25
การแยกจาก

“ครีออนกำลังควบคุมทุกคนให้เชื่อฟังเขาและชายคนนั้น” 

สิ่งที่ซีวาลพูดนั้นทำให้พวกข้าตกตะลึง  ครีออนมีอำนาจในฐานะราชาอยู่แล้วจึงไม่แปลกอะไรถ้าคนในปราสาทจะเชื่อฟังเขา  แต่ที่น่าตกใจกว่าคือการใส่ความผู้ถูกเลือกทั้งหมดแล้วยังใช้เหตุการณ์ต่อสู้ในปราสาทมาว่าร้ายผู้วิเศษอีก

การที่ผู้วิเศษหลบหนีมาเช่นนี้ยิ่งเป็นการเกื้อหนุนคำพูดของอีกฝ่าย  และถ้าไม่ทำอะไรสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ

“ตอนนี้ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  กำลังถูกตามล่า  ใครที่ขัดขืนก็จะโดนฆ่า”  ซีวาลเล่าให้ฟังต่อ  เขาเองก็บาดเจ็บอยู่เหมือนกัน  “ตอนนี้พวกผู้ถูกเลือกกำลังสับสนอย่างหนักพ่ะย่ะค่ะ”

ข้าหันไปมองผู้วิเศษ  เขานิ่งเงียบคล้ายกับกำลังใช้ความคิดอยู่  ทุกคนไม่มีใครพูดอะไรเหมือนรอการตัดสินใจ

“ผู้วิเศษ  มีทางไหนพอจะช่วยพวกผู้ถูกเลือกคนอื่นได้บ้าง?”  ข้าถามขึ้นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมา 

“ถ้าฝ่ายนั้นเล่นแรงขนาดนี้  เราคงต้องรีบตามหาผู้ถูกเลือกเท่าที่จะทำได้  หากไม่เช่นนั้นท่านเองก็จะเสียกำลังพลไปมาก”

“แล้วจะพาพวกเขาไปไว้ที่ไหน”  ข้าถามต่อ  ตอนนี้ที่คาร์ไลน์ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป  หากเป็นอาณาจักรข้างเคียงก็อาจส่งผลกระทบถึงสงครามระหว่างอาณาจักรเอาได้

“ถ้าเป็นที่นี่จะได้หรือไม่?”  ผู้วิเศษถามขึ้น  สายตาของเขาจ้องไปที่โซแวน

ความเงียบเกิดขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่โซแวนจะตัดสินใจตอบ  “ค่อนข้างลำบาก  พวกเขาไม่ชอบให้มนุษย์มายุ่งด้วย”

คำตอบนั้นราวกับดับความหวังที่ข้าตั้งไว้  นอกจากที่นี่แล้ว...คิดไม่ออกจริงๆ  ว่าจะรวมทัพได้ที่ไหน

“แต่ถ้าจำกัดพื้นที่ของพวกมนุษย์  ไม่ให้มายุ่มย่ามกับเหล่าสัตว์  พวกเขาก็จะไม่ว่าอะไร”  โซแวนเอ่ยขึ้นต่อทำให้ข้าโล่งอก  “ยังไงก็ขอให้ข้าคุยกับพวกเขาอีกทีหนึ่ง”

“ได้”  ผู้วิเศษพยักหน้าก่อนจะหันไปหาคนที่เหลือ  “เช่นนั้นข้าจะชี้แจงแผนขั้นแรกก่อน  รอบๆ  คาร์ไลน์ตอนนี้มีผู้ถูกเลือกที่หลบหนีออกมาอยู่  ขอให้พวกท่าน  ผู้ถูกเลือกระดับสีทองไปตามหาพวกเขาและทำการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด”

“ขอรับ”  พวกเร็นตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง  ผู้วิเศษหยิบลูกแก้วลูกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะกำมันแน่นแล้วหลับตาลง  กระแสเวทไหลผ่านเป็นเส้นสายไปรอบทิศออกสู่นอกป่า

เมื่อผู้วิเศษลืมตาขึ้นก็แจ้งว่า  “ข้าได้ทำการระบุตำแหน่งของผู้ถูกเลือกที่อยู่รอบๆ  แล้ว  ขอให้พวกเจ้าเร่งทำการช่วยเหลือโดยใช้ภูตพวกนี้เป็นตัวนำทาง”

ฉับพลันนั้นภูตสีฟ้าที่มีรูปร่างกลมๆ  ก็เกิดขึ้นในอากาศ  ลอยเข้าหาพวกผู้ถูกเลือกสีทองทุกคนรวมทั้งข้า  “มันจะเป็นตัวกลางสื่อสารให้แก่พวกเจ้าและนำไปหาผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ”

“ครับ”  พวกเขาขานรับอีกครั้ง  ก่อนที่จะแยกย้าย  ข้าให้คาร์ริต้าพาซีวาลไปพักก่อน  เพราะอย่างไรนางก็คงออกไปตามหาคนอื่นไม่ได้

“ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าหมอง  นางก็คงอยากช่วยมากกว่านี้

“ไม่เป็นอะไรหรอก  ทุกคนเข้าใจดี  อีกอย่างข้าไม่อยากให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายนะ”  ข้าพยายามปลอบนาง  คาร์ริต้ามีปัญหาที่ขาทั้งสองข้างใช้งานไม่ได้  เป็นเพราะแลกเปลี่ยนสิ่งสำคัญไป

นางยิ้มให้ข้าก่อนเอ่ยว่า  “ท่านเป็นห่วงข้า  ดีใจจริงๆ”

“ทุกคนก็ห่วงเจ้าทั้งนั้นแหละ”  ข้าตอบกลับไป  คาร์ริต้าเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม  ดังนั้นแล้วคนอื่นที่เป็นผู้ชายย่อมห่วงเป็นธรรมดา  ต่อให้เป็นสัตว์วิเศษแต่นางก็อ่อนแอกว่าพวกเขาจึงมักได้รับการดูแลเสมอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเร็น  ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คาร์ริต้ายอมแลกหางของตัวเองและรับเงื่อนไขที่จะเดินไม่ได้ไปตลอดชีวิตเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อก็ปฏิบัติกับคาร์ริต้าอย่างดี  เขาเองก็ชอบดูแลคนอื่นดีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

ตามความคิดข้า  พวกเขาควรได้ครองคู่กันเหมือนเมื่อก่อน...

แม้ว่าข้าจะไม่ได้รังเกียจความรักที่พวกเขามีให้  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ  ตั้งแต่รู้ความจริงของพวกเขา  การแสดงความรักที่พวกเขามีให้ก็ทำให้รู้จักไม่สบายใจ

ข้าไม่ใช่คนใจร้ายใจดำถึงขนาดจะพรากทั้งสองคนออกจากกันได้  ถึงเร็นจะจำเรื่องของคาร์ริต้าไม่ได้  แต่สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นก็สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับมาเป็นเหมือนเก่า

และคาร์ริต้า  ข้านับถือความรักของนาง  จะมีสักกี่คนที่ยอมเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อคนที่รักได้ขนาดนี้ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจใหญ่

“ฝ่าบาท”  เสียงของเร็นดังขึ้น  เมื่อข้าหันไปมองก็พบเขายืนอยู่ด้านหลัง  สีหน้าดูตะลึงเล็กน้อย  “นึกว่าท่านจะอยู่กับท่านซีวาลเสียอีก”

“ข้าให้เขาพักก่อนน่ะ”  ข้าตอบก่อนจะลุกขึ้น  “นี่ก็จะไปแล้ว  ไม่กวนหรอก”

“ข้ามารบกวนท่านหรือเปล่า?  งั้นข้าจะออกไปก่อน”  เร็นขัดขึ้นพร้อมทำท่าจะออกไปทำให้ข้าต้องรีบรั้งเสื้อเขาไว้  “ไม่ได้กวนอะไรสักหน่อย  เจ้ามีธุระกับคาร์ริต้าใช่ไหม?”

ทันทีที่ถามออกไปทำให้เขาชะงัก  ท่าทางข้าจะเดาไม่ผิด  ดูจากการแต่งตัวแล้วเขากำลังจะออกเดินทางไปตามคำสั่งของผู้วิเศษ

สุดท้ายแล้วเร็นก็เลยขืนยิ้มแล้วตอบว่า  “ตามที่ท่านพูดนั่นแหละ  ข้าขอคุยกับนางสักครู่  แต่ท่านไม่ต้องไปก็ได้”

ข้าเลยถอยออกมาเล็กน้อย  เร็นก้าวเข้าไปหาคาร์ริต้าก่อนที่จะคุกเข่าลงแล้วเอ่ยออกมาเสียงเศร้า  “ขอโทษนะ”

คาร์ริต้ายกยิ้มขึ้นปลอบใจก่อนจะลูบเส้นผมของอีกฝ่ายเบาๆ  แล้วบอกว่า  “ข้าไม่ได้โกรธอะไรเจ้าสักหน่อย  ที่ข้าเป็นแบบนี้จนช่วยเหลืออะไรทุกคนไม่ได้ก็เป็นเพราะตัวข้าเองทั้งนั้น”

ทั้งสองคนนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เร็นจะเอ่ยขึ้นต่อว่า  “ข้าต้องไปตามหาผู้ถูกเลือกที่อยู่รอบคาร์ไลน์  มันค่อนข้างอันตรายสักหน่อย  ถ้าข้าเป็นอะไรขึ้นมาช่วยดูแลฝ่าบาทด้วยน...”

เพี้ยะ!

ข้าตะลึงค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เร็นเองก็เบิกตากว้างเช่นกัน  ใบหน้าของเขาหันตามแรงตบของคาร์ริต้าก่อนที่จะค่อยๆ  หันไปหาเจ้าตัวซึ่งทำสีหน้าไม่พอใจอยู่

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้า  ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาตามปกติ  “ไม่มีคำลาที่ดีกว่านี้แล้วหรือ?  เจ้าเองก็แข็งแกร่งไม่แพ้โซแวน  เหตุใดถึงพูดอะไรพล่อยๆ  ออกมา  ฝ่าบาทข้าดูแลคนเดียวยังได้  แต่เจ้าต้องกลับมา  เข้าใจไหม”

เร็นนิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วตอบรับสั้นๆ  ด้วยรอยยิ้ม  “เข้าใจแล้ว  งั้นจะกลับมาให้ได้แล้วกัน”

เขาลุกขึ้น  ทั้งคู่มองตากันก่อนที่เร็นจะหันมาทางข้า  แก้มข้างขวาเป็นรอยแดงห้านิ้วดูแล้วเจ็บแทน  เขายกยิ้มตามปกติแล้วบอกว่า  “ฝ่าบาท  พวกข้าอาจจะต้องไปนานเลยอยากจะมาลาก่อน  คิดว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาก็คงมาแล้ว  ยังไงท่านอยู่ทางนี้ก็รักษาตัวด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

“อื้ม  เจ้าเองก็รักษาตัวด้วยเช่นกัน”  ข้าพยักหน้าตอบรับ  ก่อนที่เร็นจะเสริมขึ้นว่า  “พวกสัตว์ที่นี่ยังไม่ยอมรับมนุษย์เท่าไร  ถ้ายังไงอยู่กับโซแวนไว้จะดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

“เขาไม่ได้ไปด้วยหรือ?”  ข้าขมวดคิ้ว  โซแวนเองก็เป็นคนเก่ง  ปกติก็น่าจะถูกส่งไป

“เขาเป็นผู้ครองของที่นี่  ถึงจะอยากไปมากเท่าไรแต่ภาระทางนี้เขาต้องเป็นคนดูแล”  เร็นอธิบายให้ข้าเข้าใจก่อนที่จะจูบลาข้าที่หลังมือ  “เช่นนั้นขอตัวก่อน”

“ข้าขอให้เจ้าปลอดภัย”  เมื่อข้ากล่าวจบ  เร็นก็เดินไปที่อื่น  ส่วนข้าเองก็ออกตามหาคนอื่น  แล้วก็เจอกับอาคีรัสที่นั่งเหม่ออยู่

“เจ้าไม่เตรียมตัวหรือ?”  ข้าถามไปด้วยความสงสัยทำให้เขาสะดุ้งโหยง  หันมามองตาโต 

“ฝ่าบาท  มาตั้งแต่เมื่อไรหรือขอรับ?”

“เมื่อกี้นี้เอง”  ข้าตอบไปก่อนจะนั่งลงข้างๆ  เขา  ตรงหน้าเป็นธารน้ำที่ใสสะอาดจนมองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ 

“เจ้ากำลังทำอะไร”

“ข้าคิดอะไรนิดหน่อยน่ะ  เดี๋ยวก็จะไปเตรียมตัวแล้ว”  เขายิ้มขึ้น  ความสดใสนั้นทำให้บรรยากาศของยามเย็นรอบๆ  ดูไม่มืดครึ้มเท่าไหร่ 

ข้าฟังคำพูดของอาคีรัสก่อนจะถามว่า  “คิดเรื่องอะไรอยู่”

“ท่านกับครีออน” 

ข้าเบิกตากว้าง  ก่อนจะถามกลับไปอย่างรวดเร็วว่า  “เจ้าคิดเรื่องครีออน?”

“ข้าสงสัยว่าอะไรทำให้เขาตัดสินใจทำแบบนี้กัน”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นขณะเหม่อมองไปบนท้องฟ้า  คำถามนั้นข้าเองก็คิดไม่ตก  แต่พอจะคาดเดาอะไรได้บ้าง

“สมัยก่อน...ครีออนน่ะถูกทอดทิ้งมาตลอด  มีคนที่ไม่รักเขา  มีคนที่พยายามทำร้ายเขา  ถึงจะทำเป็นไม่รู้สึกอะไร  แต่เด็กคนนั้นคงจะเจ็บปวดมาก”  ข้าบอกไปตามสิ่งที่เห็น 

“พวกท่านนี่โชคร้ายจริงๆ  นะ”  เขาพึมพำขึ้นก่อนที่จะเอนตัวลงมาพิงไหล่ข้า  “อายุเพียงเท่านี้ก็ต้องแบกรับภาระอะไรมากมายเหลือเกิน”

“มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้นี่นะ”  ข้าพึมพำขึ้นอย่างจนใจ  เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามบางอย่างออกมา

“ท่านเกลียดครีออนหรือเปล่า?”

คำถามของเขาถึงจะเบาโหวงแต่กลับมีน้ำหนักอย่างน่าประหลาด  ข้านิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบด้วยใจจริง  “ข้าเกลียดเขาไม่ลงหรอก”

ยังไงครีออนก็ถือเป็นน้องชายแท้ๆ  ของข้า  ต่อให้เขาไปอยู่ฝั่งลูซัสก็ทำใจเกลียดแต่แรกไม่ได้  ข้าต้องการฟังเหตุผลของเขา

“แต่ถ้าโกรธน่ะ  มันแน่นอนอยู่แล้ว”  ข้าเอ่ยต่อทำให้อาคีรัสหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย  ครีออนทำให้คนอื่นเดือดร้อนนั่นเป็นเรื่องที่ข้าไม่ชอบใจ

“ฝ่าบาทรู้ไหมว่าทุกหัวข้อการสนทนาของครีออนน่ะจะต้องมีท่านมาเกี่ยวเสมอ  เขาถามข้าเรื่อยว่าท่านเป็นยังไงบ้าง”  อาคีรัสเล่าให้ฟังก่อนจะเสริมด้วยรอยยิ้ม  “เขาถามเยอะมากโดยเฉพาะช่วงที่เขาไม่อยู่น่ะ  ว่ามีใครว่ายุ่งกับท่านไหม”

ข้าฟังเงียบๆ  ความรักของครีออนที่ไม่ค่อยแน่ชัดเริ่มชัดเจนขึ้นมา  แล้วเรื่องเมื่อหนึ่งพันปีก็ไหลย้อนกลับ

ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย?  ไม่มีทาง...

“ครีออนน่ะเหมือนกำลังสับสนอยู่  ถ้าได้ท่านเตือนสติสักหน่อยคงดี”  อาคีรัสทิ้งท้ายไว้ก่อนที่จะลุกขึ้น  แล้วบอกว่า  “ข้าต้องไปเตรียมตัวบ้างแล้ว  ขอตัวก่อนนะขอรับ  ฝ่าบาท”

ข้าลุกขึ้นก่อนจะอวยพรว่า  “ขอให้ปลอดภัยนะ  รักษาตัวด้วย”

“ท่านก็เช่นกัน”  อาคีรัสยิ้มร่าก่อนจะโน้มหน้าลงมาประทับจูบเบาๆ  บนริมฝีปากทำให้ข้าสะดุ้งเฮือก  เขาโบกมือลาแล้ววิ่งออกไปทิ้งไว้แต่ความงุนงง

เขาคงอยากจูบลา  และที่ข้าตกใจคือเขาทำแค่นั้น  ไม่ได้ใช้ลิ้นแบบคนอื่นนับว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงและพาลให้คิดได้ว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมยังไง  เขาก็ไม่ทำอะไร

อาคีรัสสมกับเป็นคนที่ข้าไว้วางใจแล้วจริงๆ

ข้าลองเดินไปที่อื่นต่อ  แน่นอนว่าคือการตามหานอร์ธวินด์กับวารัน  มีโอกาสเป็นไปได้มากว่าสองคนนั้นจะยังอยู่ด้วยกัน  ถึงนอร์ธวินด์จะทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอย่างยุ่งด้วยแต่ก็มีเหตุให้อยู่กับวารันบ่อยๆ

เมื่อคืนหลังจากทำให้โซแวนหลับไปแล้ว  สักพักข้าก็เดินออกมารับลมข้างนอก  และได้พบกับนอร์ธวินด์ที่มานั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนต้นไม้  เหมือนว่าจิตใจเขากำลังสับสน

ในตอนนั้นเขาไม่พูดอะไรเลยในช่วงแรก  ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงนั่งเป็นเพื่อนอยู่เงียบๆ  สุดท้ายแล้วนอร์ธวินด์ก็ร้องไห้ออกมา

“ข้ารักท่านนะ...”  เป็นคำที่เขาสารภาพออกมาอย่างสั่นเครือ  “ข้าอยู่กับท่านแล้วสบายใจที่สุด  อยากอยู่กับท่านตลอดไป  แต่ว่า...แต่ว่า...”

“ข้าทิ้งเจ้านั่นไปไม่ได้  ข้า...ลืมเจ้านั่นไม่ลง”

นอร์ธวินด์ที่ร่าเริงมาตลอด  ร้องไห้ด้วยสีหน้าที่แสนจะปวดร้าวทำให้ข้าพูดอะไรไม่ออก  เมื่อยื่นมือไปหาเขากลับถูกกอดอย่างเต็มแรง

ข้าปล่อยให้เขาร้องไห้และกอดตามที่เขาต้องการอย่างไม่ขัดขืน  แต่ในใจกลับรู้สึกผิด  ทั้งที่นอร์ธวินด์กำลังทุกข์ใจแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้

เขาเงียบลง  แล้วค่อยๆ  ผละออกจากข้า  “ฝ่าบาท  ข้าขอโทษ...”

“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด  ไม่จำเป็นต้องขอโทษนี่”  ข้าเอ่ยขึ้นแล้วยกยิ้มปลอบใจเขา  “ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้เจ้าสบายใจข้าก็ยินดี”

“งั้นขอจูบ...”

“ขอกันง่ายๆ  แบบนี้ไม่ได้หรอก”  เขาหัวเราะกับคำพูดของข้าก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่  เอ่ยประโยคหนึ่งออกมาแล้วชวนกลับไปพักผ่อน

“ถ้าข้าสามารถซื่อตรงกับความรู้สึกจริงๆ  ได้ก็ดีสิ”

ดวงตาของเขาตอนนั้นดูเศร้าอย่างน่าประหลาด  ข้าพยายามมองหารอบๆ  จนในที่สุดก็เห็นหลังนอร์ธวินด์อยู่ในจุดที่ไม่ไกลจากอาคีรัสอยู่  และเป็นอย่างที่คาดสองคนนั้นกำลังอยู่ด้วยกัน

แต่แค่คุยกันเฉยๆ...ทั้งที่ข้านึกว่าจะได้เห็นอะไรมากกว่านี้นิดหน่อย  ตามนิสัยของวารันแล้วเขาใจเร็วจะตาย

“ต้องแยกกันตามหาแล้ว  อย่าไปนอนกับคนที่ไว้วางใจไม่ได้ล่ะ”  วารันเอ่ยขึ้นทำให้ข้าที่กำลังเดินเข้าไปหาชะงัก  แล้วนอร์ธวินด์ก็เถียงกลับว่า  “ใครจะไปทำแบบนั้นกัน  อันตรายจะตาย!”

“ถ้ารู้จักป้องกันตัวเองก็ดี  มนุษย์น่ะถึงจะมีพลังไม่มากแต่เล่ห์เหลี่ยมเยอะนะ  ไม่ใช่ทุกคนจะเหมือนทีอารีน”  วารันเสริมต่อก่อนจะมองมาทางข้าที่ยืนอึ้งอยู่  “ใช่ไหม?”

“คนแบบข้าหมายความว่ายังไงกัน?”  ข้าขมวดคิ้วแล้วตรงเข้าไปหา  นอร์ธวินด์หันกลับมาก่อนจะยกยิ้มขึ้น 

“ฝ่าบาท  ข้ากำลังจะไปหาพอดีเลย”

“พวกเจ้าเตรียมตัวออกเดินทางเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”  ข้าถามขึ้น  นอร์ธวินด์พยักหน้าเต็มแรงก่อนจะเอ่ยว่า 

“แล้วก็กำลังจะไปขอกำลังใจจากท่านด้วย”

“ข้าเดินมาให้แล้วนี่ไง”  ข้ายิ้มขึ้นก่อนจะบอกว่า  “ขอให้เดินทางปลอดภัยนะ  รักษาตัวด้วย  ถ้ายังไงก็ขอให้รักกันไปนานๆ...”

“เดี๋ยวๆ!  ฝ่าบาท  ประโยคหลังนั่นมันอะไรขอรับ”  เขาท้วงขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปากข้าแล้วเอ่ยเสียงโหยหวนว่า  “ข้ารักท่านน้า”

“แล้วเจ้าลืมใครไม่ลงล่ะ?”  ข้าถามย้ำพลางยิ้มกรุ้มกริ่มทำให้นอร์ธวินด์ชะงักไปทันที  พอเห็นเขาทำหน้าเสียแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะ  “ช่างเถอะ  เอาเป็นว่ากลับมาหาข้าด้วยล่ะ”

“แน่นอนขอรับ  ฝ่าบาท  ก่อนที่จะไป...”  นอร์ธวินด์พูดค้างไว้ก่อนที่จะโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วประกบริมฝีปากข้าไว้  มันเป็นจูบที่ลึกล้ำกว่าอาคีรัสและมาไม่ทันตั้งตัวข้าเลยรีบถอยหนี  จังหวะที่ออกมานั้นก็อดเหลือบมองวารันไม่ได้ว่าเขารู้สึกยังไง  แต่สุดท้ายก็ทำหน้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“งั้นข้าขอตัวก่อน”  พอละจูบแล้ว  นอร์ธวินด์ก็เดินไปด้วยสีหน้าเป็นสุข  ทิ้งข้าไว้กับวารัน  ระหว่างพวกข้ามีความเงียบเกิดขึ้นจนต้องหาเรื่องคุย 

“เจ้าไม่โกรธหรือ?”

“โกรธทำไม...นั่นเป็นนิสัยของเขา”  วารันเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเดินเข้ามาใกล้  “อีกอย่างเพราะเป็นเจ้า  ข้าเลยไม่ทำอะไร”

“เพราะเป็นข้า...”  ข้าไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด  จนสุดท้ายวารันก็ยอมอธิบายให้ฟัง 

“เพราะเจ้าไม่รักเขายังไงล่ะ  ไม่ใช่แค่เขา  แต่เป็นทุกๆ  คน”

ข้านิ่งเงียบไป

“เจ้าไม่เคยแสดงความรู้สึกว่ารักกับใครเลย  ปิดกั้นตัวเอง  เปิดใจให้แค่บางคนเท่านั้น  ถึงจะไว้วางใจพวกข้า  แต่หัวใจเจ้าไม่รักในแง่ของการคบหากับพวกข้าอยู่แล้ว  เพราะแบบนั้นข้าถึงปล่อยนอร์ธวินด์ไง  ยังไงเขาก็จะไม่ได้รับความรักจากเจ้ากลับมา”  วารันเอ่ยขึ้นก่อนจะเสริมว่า  “ข้าเองก็ไม่อยากเสียเวลากับคนที่ไม่ได้รักตัวเองสักนิดหรอกนะ”

“ฟังดูใจร้ายจังนะ”  ข้าสวนกลับไปเสียงเรียบ  และอดทึ่งไม่ได้ที่เขามองออก  ข้าพยายามจินตนาการเสมอว่าถ้าข้ารักกับพวกเขาจะเป็นยังไง  แต่ในอกก็ไม่มีความรู้สึกนั้นมากพอจะเห็นเป็นรูปร่างได้  ยกเว้นก็แค่บางคนจริงๆ  และถ้าวารันรู้แบบนี้แล้ว  คนอย่างเขาย่อมไม่ฝืนต่อกับคนที่รักเขาไม่ได้

“ข้าไม่ได้ใจดีเหมือนเจ้าหรือคนอื่นๆ”  วารันเอ่ยเสียงเรียบ  “แต่เพราะเขาเป็นอินคิวบัส  เรื่องบนเตียงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว  ภาวนาให้ได้แค่ว่าไม่ไปโดนคนไม่ดีทำร้ายเอาก็พอ  จริงๆ  ข้าคิดว่าแค่กับเจ้าเท่านั้นถึงจะยอม”

“เจ้าตัดใจจากเขาแล้วหรือ?”  ข้าเลิกคิ้วด้วยความสงสัย  แต่เขากลับปฏิเสธ  “ตัดใจ?  ข้าทำแบบนั้นได้ที่ไหน  แต่เจ้าเป็นมนุษย์  อยู่ไม่นานเท่าข้าหรือนอร์ธวินด์  ถ้าพวกเจ้ารักกัน  ข้าแค่รอ  หลังจากเจ้าตายเขาต้องกลับมาหาข้าเท่านั้น”

“ถ้าเป็นแบบนั้น  เจ้าก็คงต้องรอนานหน่อยนะ  ข้าไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นสักเท่าไร”  ข้าลองพูดไปเช่นนั้น  เพราะได้รับพลังส่วนหนึ่งมาจากท่านลูซิฟรานทำให้อายุข้ายืนยาวขึ้นอีก  แต่วารันกลับไม่ใส่ใจ 

“ข้ารอได้”

“แต่อย่างที่เจ้าบอก  ข้ากับนอร์ธวินด์คงเป็นไปไม่ได้  ข้าไม่มีรสนิยมแย่งคนรักชาวบ้านหรอกนะ”  ข้าเอ่ยขึ้นตามความจริง  ก่อนที่จะลองถามด้วยความสงสัยในใจ  นอร์ธวินด์แม้จะพอมีใจให้บ้างทว่าก็พยายามหลีกเลี่ยงวารันมาโดยตลอด  แต่คนคนนี้จะยังทำยังไงต่อ  “วารัน  ถ้านอร์ธวินด์ไม่ยอมเข้าหาเจ้าจะทำยังไง?”

“ข้าจะรอ”  เขาตอบง่ายๆ  ก่อนจะบอกว่า  “ขืนใจไปก็ไม่ดี  ถ้าเจ้านั่นตัดใจจากข้าไม่ลงก็รอให้กลับมาเองดีกว่า”

ข้าขมวดคิ้วก่อนจะถามว่า  “เจ้าจะรอแบบนี้ไปเรื่อยๆ  เหรอ”

“ที่ผ่านมาก็รอมาตลอดแล้ว”  เขาเอ่ยขึ้น  “จะรอไปจนตายก็ไม่เห็นเป็นอะไร”

ข้าอดทึ่งในความตั้งใจของเขาไม่ได้  แล้วจึงภาวนาให้สมหวัง  อย่างน้อยถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขึ้นมากกว่านี้ก็คงจะดี 

“แต่ถ้าเจ้าอยากจะร่วมวงด้วยข้าก็ไม่ว่าหรอกนะ”  เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง  แต่ดูก็รู้ว่าเป็นการหยอกเล่นจึงตอกกลับไปว่า 

“ไม่เอาล่ะ  เดี๋ยวนอร์ธวินด์ตกใจหนีไปอีก”

นั่นทำให้วารันชะงักกึกจนอดขำไม่ได้

“ว่าแต่ว่า  เจ้าบอกว่าข้าเปิดใจให้แค่บางคน  แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าว่ามีใครบ้าง”  ข้าถามขึ้นด้วยความสงสัย  เขาเลยตอบทันที

“แน่นอนว่าคือน้องชายเจ้ากับผู้วิเศษ  แต่ผู้วิเศษเองเจ้าก็คงตัดใจจากเขาได้แล้ว  ส่วนอีกคน...”

“นี่!  ใกล้ถึงเวลาออกเดินทางแล้วนะ  เจ้ามัวแต่ชวนฝ่าบาทคุยอะไรอยู่”  เสียงของนอร์ธวินด์แทรกขึ้นมาทำให้ข้าหันไปมอง  เขาเดินมาพร้อมโซแวนแล้วเร่งขึ้นว่า  “ไปรวมตัวกันได้แล้ว”

“ได้ๆ”  วารันตอบรับอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะเดินตามไป  แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายไว้ให้ข้าว่า  “อีกคนข้ารู้แล้วกันว่าเป็นใคร”

“เจ้ามันเก่งไปแล้ว”  ข้าพึมพำขึ้น  ก่อนที่จะเดินตามพวกเขาไป  ทุกคนรออยู่ที่ลานวิหารอยู่แล้ว  เมื่อมาถึงผู้วิเศษก็แจกถุงผ้าเล็กๆ  ให้นอร์ธวินด์กับวารัน

“นี่เป็นถุงใส่ของที่จำเป็นขอรับ  ทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยตามหาผู้ถูกเลือก  และยาสำคัญอื่นๆ  ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยรักษาไว้ให้ดีด้วยนะขอรับ”  ผู้วิเศษอธิบายของที่อยู่ในถุงทีละอย่าง  ก่อนจะอวยพรให้พวกเขาแล้วหันมาทางข้า

“เอ้า  ฝ่าบาท  ตาท่านอวยพรแล้วขอรับ”  ข้าก้าวไปตามเสียงเรียกไปหยุดยืนตรงหน้าเร็นที่อยู่ใกล้สุด  ยื่นมือออกไปจับใบหน้าเขาไว้แล้วอีกฝ่ายก็โน้มลงมา 

“ขอให้พรวิเศษปกป้องเจ้าให้พ้นภัย”

ข้าจุมพิตลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย  เวทมนตร์ไหลผ่านไปหาเขา  เป็นคำอวยพรจากข้า  อย่างน้อยถ้าเขาบาดเจ็บขึ้นมาก็จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ข้าไล่ไปทีละคน  อาคีรัส  วารัน  สุดท้ายก็นอร์ธวินด์ที่เรียกร้องว่า  “ขอเป็นที่ริมฝีปากไม่ได้เหรอขอรับ”

“ยุติธรรมหน่อยสิ  ต้องได้เท่าเทียมกัน”  ข้าตอบกลับไปด้วยอารมณ์ขันก่อนที่จะส่งผ่านเวทคุ้มครองเหมือนคนอื่นๆ  แล้วพวกเขาก็รีบแยกย้ายกันออกไปตามหาผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วข้าจึงหันกลับไปหาคาร์ริต้า  “ซีวาลล่ะ?”

“เขาหลับไปแล้วเจ้าค่ะ  บาดแผลทั้งหมดได้รับการรักษาแล้วและคงเพลียมากเลยหลับไป”  นางอธิบาย  ข้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กลายเป็นตอนกลางคืนแล้วจึงหันไปหาผู้วิเศษ 

“แล้วพวกข้าต้องทำอะไร”

“คาร์ริต้ากับข้าจะดูแลคนที่บาดเจ็บที่พวกเร็นพามา  ส่วนท่านกับโซแวน...”  เขาพูดค้างไว้ก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้  “พวกท่านต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดประตูแห่งอำนาจ”

ผู้วิเศษยัดกระเป๋าใบหนึ่งให้ข้าแล้วบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  “ในป่าต้องห้ามนี้มีเขตที่ลึกที่สุด  ไร้แสงเข้าถึงและเป็นอันตรายที่สุด  ไม่มีสัตว์ตัวไหนเข้าใกล้  ในนั้นมีวิหารของเทพเจ้าซ่อนอยู่  กุญแจของบททดสอบอยู่ที่นั่น”

“เข้าใจแล้ว  แล้วจะให้ข้าไปตอนไหน?”

“ตอนนี้”

“หา?”  ข้าร้องกลับไปด้วยความตกใจ  ก่อนที่ผู้วิเศษจะสวนกลับมาว่า  “โธ่  ฝ่าบาท  เราไม่มีเวลาแล้ว  ท่านต้องรีบนะ”

“...ขะ...เข้าใจแล้ว”  ข้าได้แต่พยักหน้าตามไปอย่างนั้น  ก่อนที่จะนึกอะไรได้จึงถามว่า  “เจ้าเหลือเวลาอีกกี่วัน”

“สามวัน”  ผู้วิเศษตอบกลับมาอย่างกับเป็นเรื่องธรรมดา  ทั้งๆ  ที่สามวันต่อจากนี้เขาจะตายไปแท้ๆ  ข้าเบิกตากว้างแม้จะรู้สึกหน่วงแต่ทำได้แค่ก้มหน้ารับชะตากรรม

“ได้  ก่อนสามวันข้าจะกลับมา”  ข้าเอ่ยขึ้นก่อนที่จะหันไปหาโซแวน  “เจ้าจะไปแต่ตัวเหรอ?”

“มีของที่ผู้วิเศษให้มาแล้วนิดหน่อย”  เขาเอ่ยขึ้นสีหน้าเรียบนิ่งก่อนที่จะเป็นฝ่ายเดินนำข้า  “ตามข้ามา”

ข้าหันไปลาคาร์ริต้าก่อนที่จะเดินตามเขาไป  อดแปลกใจไม่ได้ที่ขั้นตอนการเปิดประตูแห่งอำนาจจะเรียบง่ายแบบนี้  แต่ก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้แน่นอน  ทางข้างหน้าเป็นอย่างไรต่อก็ไม่รู้

หนำซ้ำความลำบากคือการต้องวิ่งตามฝีเท้าคนชำนาญป่าให้ทันในยามวิกาลแบบนี้  แม้โซแวนจะเดินอยู่แต่ความเร็วของเขามากกว่าข้าอีก  สุดท้ายพอข้ามเนินชันมาได้ข้าก็ต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้นก่อน

“โซแวน  แค่ก...เดี๋ยวก่อน”  ข้าพยายามส่งเสียงเรียกเขา 

โซแวนเลยรู้ตัวแล้วหันกลับมา  “ไหวหรือเปล่า?”

เขาเดินมาหาแล้วพยุงข้าขึ้น  ในตอนนี้ข้ามั่นใจในการส่ายหน้าเป็นคำตอบมากว่าไม่ไหว  “พักหน่อยได้ไหม  แล้วกลางคืนแบบนี้เจ้ายังเดินอีกเหรอ?”

“ขอโทษที  ข้าชินกับการเดินในความมืดเลยคิดว่าเจ้าไม่มีปัญหา  อีกอย่างหนึ่ง...”  เขาพูดค้างไว้ก่อนที่จะบอกว่า  “เจ้าเองไม่ใช่เหรอที่อยากกลับภายในสามวันน่ะ”

ข้านิ่งเงียบไปเพราะยังรู้สึกเหนื่อยจนหอบหนัก  ทำให้ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาและคำพูดที่แสนเยือกเย็นว่า  “เตรียมใจซะ  ยังไงเจ้าก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว  ถ้าหมอนั่นตายก็มีแต่ต้องยืนส่งเท่านั้น”

“จะให้เตรียมใจยังไง  ผู้วิเศษก็เป็นคนสำคัญนะ  เจ้าไม่เสียใจเลยหรือถ้าเขาหายไป”  ข้าถามกลับไป  แต่โซแวนกลับตอบอย่างเย็นชา

“ไม่”

เพี้ยะ!

ข้าตบเขาก่อนจะตวาดซ้ำ  แม้ยังรู้สึกเหนื่อยจนแทบเวียนหัวแต่คำพูดนั้นทำให้ข้ารู้สึกโกรธขึ้นมา  “เจ้ามันคนไร้หัวใจ”

โซแวนไม่ได้พูดอะไร  หนำซ้ำยังไม่หันกลับมามองหน้าข้าตรงๆ  เขาลุกขึ้นก่อนจะกระชากแขนข้าขึ้น 

“เดี๋ยว...”

“งั้นก็ไปต่อ  ถ้าเจ้าอยากไปหาผู้วิเศษก่อนที่เขาจะตายก็ต้องเดินทางต่อ  แล้วต่อจากนั้นจะไปใช้ช่วงเวลาที่เหลือให้คุ้มค่าก็ทำไป”  เขาเอ่ยออกมาโดยไม่หันมามอง  หนำซ้ำยังออกแรงลากข้าที่ยังตั้งหลักไม่ดีให้เดินต่อ  ไม่ได้สนด้วยซ้ำว่าข้ากำลังขัดขืนเขาอยู่

“เดี๋ยว  โซแวน...อ๊ะ!”  ข้าพยายามร้องเตือนเขา  แต่จู่ๆ  ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรได้  ร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาดื้อๆ  และไอโขลกไม่หยุด

ข้าล้มตัวลงกับพื้น  ยกมือปิดปากและรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวในปาก  เมื่อลดแขนลงก็พบว่าตัวเองไอออกมาเป็นเลือด

โซแวนที่อยู่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  ขมวดคิ้วอย่างวิตกกังวล  ทั้งเขาและข้าต่างรับรู้ได้

การที่ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงจนไม่สามารถนอนได้เริ่มส่งผลกระทบแล้ว
---------------------
ต่อจากนี้จะพยายามมาลงเรื่อยๆ ทุกวันจนกว่าจะจบค่า ติดตามกันได้นะคะ

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 25>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 23-04-2018 22:07:45
น่าเป็นห่วงกับผลกระทบ
โซแวนหึงผู้วิเศษเหรอ 555

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 26>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 24-04-2018 20:07:40
บทที่ 26
ผู้นำทาง

แย่ที่สุด...
มึนหัวเหลือเกิน

เพราะจู่ๆ  ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาแถมไอเป็นเลือดทำให้โซแวนตื่นตกใจอย่างมาก  เขาหายาในกระเป๋าที่ได้มาจากผู้วิเศษแล้วให้ข้าดื่มทันที  หลังจากนั่งพักแล้วจึงรู้สึกดีขึ้น

แต่โซแวนก็ไม่ยอมให้ข้าเดิน  เขาหันหลังให้แล้วทรุดตัวลงนั่ง  ยื่นมือทั้งสองข้างมาด้านหลังแล้วออกคำสั่งทนที  “ขึ้นหลังข้ามาซะ”

“ไม่เป็นไร  ข้าเดินเองได้”

“ขึ้นมา  หรือจะให้ข้าอุ้ม”  เขาบังคับและเมื่อข้าลองลุกขึ้นยืนก็พบว่าขายังไม่ค่อยไหวจึงจำใจขี่หลังเขาไป  พวกเราจึงได้เดินทางกันต่อ

รอบข้างเป็นป่าที่มืดสนิท  มองไปก็ไม่เห็นอะไรนอกจากต้นไม้ข้าจึงซบหลังเขาคิดจะหลับตาเพื่อพักผ่อน  แต่แล้วภูตสีฟ้าที่อยู่ในกระเป๋าของโซแวนก็ลอยออกมา

“ฝ่าบาท  ทรงดีขึ้นหรือยังขอรับ?”  เสียงของผู้วิเศษดังขึ้นจากตัวภูตที่เปล่งแสงออกมา  ดูเหมือนมันจะเป็นสื่อกลางสื่อสารของพวกข้าด้วย

“อืม  ข้าไม่เป็นอะไร”  ข้าตอบกลับไป  ก่อนที่ภูตตัวนั้นจะยืดตัวขึ้นหนึ่งครั้งแล้วเสียงที่ส่งมาก็เปลี่ยนไป 

“ค่อยยังชั่ว  ตอนแรกที่ได้ยินว่าฝ่าบาทสลบไป  ข้าตกใจแทบแย่” 

คราวนี้เป็นเสียงของเร็น  ดูเหมือนเขาจะโล่งใจขึ้นมาก  แล้วภูตก็ยืดตัวอีกครั้ง  เปล่งแสงอีกทีเสียงที่ส่งมาก็เปลี่ยนไปอีก 

“โซแวน!  เจ้าต้องดูแลฝ่าบาทให้ดีๆ  นะ  ข้าอุตส่าห์ไว้ใจเจ้า”

“ข้าก็ดูแลอยู่ที่ไง”  เป็นโซแวนที่สวนกลับนอร์ธวินด์ไปเสียงเรียบ  “อุตส่าห์ให้ขึ้นขี่หลังเลยนะ”

“อ๊า  ข้าก็อยากทำแบบนั้นบ้าง”  นอร์ธวินด์ส่งเสียงคร่ำครวญกลับมา  ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวังว่า  “ฝ่าบาท  ถ้ากลับไปแล้วมาขี่หลังข้าไหม”

“ต้องถามวารันก่อน”  ข้าแซวกลับไปสั้นๆ  อีกฝ่ายเลยโหยหวนใส่

“ช่างหมอนั่นไปสิฝ่าบาท  ขี่หลังข้านะๆ”

“เจ้านี่ทำตัวเหมือนเด็กเลยนะ”  เสียงของวารันดังแทรกขึ้นเรียบๆ  หลังจากภูตยืดตัวแล้ว  แล้วเขาก็ดุขึ้นอีกว่า  “เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว  ให้คนอื่นพูดบ้าง  ทีอารีนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว  รักษาสุขภาพด้วย”

“ขอบคุณเจ้ามาก”  ข้าเอ่ยกลับไป  ความเป็นห่วงของพวกเขาทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาจนอดยิ้มไม่ได้  ภูตสีฟ้ายืดตัวขึ้นอีกครั้งก่อนจะกลายเป็นเสียงของอาคีรัส

“ฝ่าบาท  ค่อยยังชั่วที่ไม่เป็นอะไรมาก  ข้าเป็นห่วงแทบตายเลย”  น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคึกคักเหมือนเดิม  ก่อนที่จะกระอึกกระอักบอกว่า  “จริงสิ  ทุกคนฟังอยู่ใช่ไหม  คือตอนนี้ข้ามีเรื่องจะให้ช่วย”

“อะไรล่ะ?”  ข้าถามขึ้น  โซแวนแม้จะเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ  ยังตั้งใจฟังแม้จะไม่พูดอะไร  คนอื่นก็คงเช่นกัน

“ข้าหลงทาง”  ประโยคสั้นๆ  นั้นทำให้ทั้งข้าและคนอื่นๆ  เงียบไป  ขนาดโซแวนยังหยุดกึก  พอบรรยากาศเริ่มเงียบจึงได้ยินเสียงสะอื้นของอาคีรัส  “ข้าต้องไปทางไหนต่อขอรับ  ทางก็มืดแล้วยังน่ากลัวอีก”

“เจ้าเป็นนกฟินิกซ์นะ  จะกลัวอะไร”  โซแวนเป็นฝ่ายถามขึ้น  แต่อีกฝ่ายกลับส่งเสียงคร่ำครวญออกมา

“ฮือ  ลูกพี่ไม่กลัวอะไรไม่เข้าใจหรอก  เมื่อกี้ข้าเห็นคนโบกมือไหวๆ  อยู่ข้างทางเลยเดินไปหา  พอไปถึงเขาก็ทำหัวตัวเองหลุดแล้วหายไปเลย  พูดแล้วก็ขนลุกขึ้นมา”

สิ้นเสียงของอาคีรัสข้าก็รู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมาแถวต้นคอจนเผลอบีบบ่าของโซแวนแน่น  แน่นอนว่าเขาสังเกตได้เลยถามว่า  “กลัวเหรอ”

ข้ากัดฟันแล้วเลือกที่จะไม่ตอบเขาก่อนจะหันไปดุอาคีรัส  “อาคีรัส  กลางป่ากลางเขาอย่าพูดเรื่องผีสิ”

“ปกติเขาเจอแล้วห้ามทักนะ  เจออีกก็อย่าไปสนใจล่ะกัน”  เร็นตอบกลับมาผ่านภูตสีฟ้าด้วยน้ำเสียงใจเย็น  ตามมาด้วยวารันที่บอกว่า  “ไฟเจ้าส่งพวกมันไปสู่สุคติได้  คราวหลังก็ฟันให้เกลี้ยงเลยนะ”

“จะว่าไปข้าก็เคยเห็นผีสาวสวยนะ  หน้าอกสุดยอด  แต่หน้านี่สยองจริงๆ  ขอผ่านเลย”

เจ้าคนพวกนี้ไม่กลัวผีกันเลยหรือยังไง

“รอบตัวเจ้าก็มีแต่สัตว์ประหลาด  ควรจะชินได้แล้วนะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นอีกทำให้ข้าเผลอหันไปเถียงเขา

“พวกเจ้าไม่เหมือนกับผีสักหน่อย  พวกผีน่ะน่ากลัวจะตาย”

“ยอมรับแล้วสินะว่ากลัว”  เขาแค่นหัวเราะหึใส่อีกครั้งจนข้าชักจะโมโหขึ้นมาจริงๆ  ติดที่ว่าต้องช่วยทางอาคีรัสเสียก่อน

“ข้าจะต้องทำยังไงดี  ให้ยิงพลุลูกไฟเลยไหมขอรับ”

“เจ้าบ้า  อย่าทำแบบนั้นนะ  เดี๋ยวพวกทหารรู้ตัว  เจ้าอยู่ที่ไหน  เดี๋ยวข้าไปรับเอง”  เสียงของนอร์ธวินด์ดังขึ้นผ่านภูตสีฟ้า  แล้วตามมาด้วยการสอบถามทางมากมาย  โซแวนเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ  พลางฟังเสียงคนอื่นจากภูตสีฟ้าไปพลางๆ  บางทีมันก็เกิดอาการดิ้นไปมาเพราะมีคนพูดแทรกพร้อมกันหลายคน

“พวกเจ้าถนอมภูตกันหน่อย”  เป็นผู้วิเศษที่ส่งเสียงเตือนมาทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะพูดแทรกกัน  แต่ก็ยังคุยกันเรื่อยๆ  ทำให้ตลอดการเดินทางเหมือนอยู่กันครบ

“อยู่คนเดียวแบบนี้เหงานะขอรับ  หาเรื่องคุยหน่อย”  พอเงียบกันไปสักพักหลังจากที่นอร์ธวินด์เจออาคีรัสแล้วพาไปส่งเรียบร้อย  ทุกคนก็หมดเรื่องคุยเร็นเลยเริ่มหาเรื่องสนทนาอีกครั้ง 

เป็นวารันที่เสนอขึ้นว่า  “เรื่องผี”

“ทำไมพวกเจ้าถึงต้องคุยเรื่องนี้กันตอนเดินทางกลางคืน?  ทุกทีไม่เคยมีใครสนใจนี่”  ข้าสวนกลับไปอย่างหมดความอดทน  พอรู้ว่ามีคนกลัว  พวกเขาที่เฉยๆ  ก็จะพยายามสอดเรื่องผีมาให้

“พูดถึงเรื่องผีข้าก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”  แล้วโซแวนที่เงียบมานานก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ  ข้าบีบบ่าเขาแน่นก่อนจะขู่ว่า 

“เจ้าน่ะหุบปากไปเลย”

“จริงๆ  แล้วข้าไม่รู้ทางไปวิหารเทพเจ้าอะไรนั่นหรอก  ส่วนที่ลึกที่สุดก็ไม่เคยเข้าไป  แต่ข้ามาถูกทางตลอด...”  เขาเริ่มเล่าโดยไม่สนใจคำสั่งของข้า  ทุกคนเองก็คล้ายจะตั้งใจฟัง  มีเร็นที่สงสัยเหมือนกับข้าจึงถามขึ้น

“แล้วเจ้ามั่นใจได้ยังไงว่าเดินมาถูกทาง”

“ก็เดินตามวิญญาณมาน่ะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบแต่ชวนให้ข้ารู้สึกขนลุกขึ้นมา  และเผลอเหลือบไปมองข้างหน้า  นอกจากแสงไฟจากแมลงแล้วยังมีร่างหนึ่งเดินนำอยู่ชวนให้รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา

“เจ้าบ้า  แล้วจะพูดขึ้นมาทำไม!”  ข้าตวาดลั่นทันทีอยากจะกระโดดหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้  แน่นอนว่าเขาไม่สะทกสะท้านแถมยังขู่ต่ออีก

“ถ้าเขารู้ว่าเจ้ากลัวต้องเข้ามาใกล้กว่านี้แน่ๆ”

“ไล่ไปสิ!”  ข้าซุกหน้าลงกับหลังเขา  ปิดการมองเห็นทุกสิ่งอย่าง  ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากภูตสีฟ้า  แต่ข้าไม่มีสมาธิมากพอจะมาแยกว่าเสียงใคร

“โซแวน  เจ้าแกล้งฝ่าบาทเยอะไปแล้ว”  เร็นตำหนิขึ้น  ก่อนจะเสริมว่า  “แต่ฝ่าบาทอย่าเสียงดังจะดีกว่า  ถ้าผีเข้ามาใกล้จริงๆ  พวกข้าก็ไม่รู้วิธีไล่หรอกนะขอรับ”

ข้ากลั้นหายใจ  รู้สึกว่าคนที่สมควรหายไปไม่ใช่ผี  แต่เป็นเจ้าพวกนี้ที่รู้ว่าข้ากลัวแต่ก็ยังสรรหาเรื่องผีๆ  มาให้อีก

“เมื่อกี้ข้าเจอผีผู้หญิงควักไส้ออกมาให้ดูด้วย”  เสียงของวารันแทรกขึ้นอย่างเยือกเย็น  หนำซ้ำยังอธิบายให้เห็นเป็นฉากๆ  ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนพูดมากจนข้าอยากจะร้องไห้ออกมา

หายๆ  ไปซะให้หมด  ไอ้พวกบ้านี่!

“เดี๋ยวฝ่าบาทร้องไห้หรอก  พอกันได้แล้ว”  เป็นผู้วิเศษที่เตือนขึ้นมา  ความหวังดีของเขาทำให้ข้าอยากจะกลับไปโผกอดเสียเดี๋ยวนี้  คน...สัตว์ประหลาดพวกนี้ไม่เข้าใจความรู้สึกของคนกลัวผีหรอก!

“แต่ตรงหน้าเนี่ย  เจ้าไม่น่ากลัวนะ”  โซแวนเอ่ยขึ้น  ก่อนที่จะยักไหล่เชิงให้ข้าเงยหน้าขึ้น  “ลองดูสิ”

“ไม่เอา...”

“จะขี้กลัวไปไหน...แล้วเจ้า...ผู้วิเศษ  ตรงหน้าพวกข้านี่เป็นสิ่งที่เจ้าทำไว้หรือเปล่า”  โซแวนถอนหายใจให้กับข้าแล้วหันไปคุยกับภูตสีฟ้า 

อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะบอกว่า  “อะไรหรือขอรับ?”

“ถ้าเจ้าจงใจทำแบบนี้  กลับไปข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นชิ้นๆ”  น้ำเสียงของโซแวนเจือความขุ่นเคืองมา  แต่ผู้วิเศษยังคงถามอย่างใจเย็น

“ดวงวิญญาณตรงหน้าเจ้าเป็นใคร”

“ลูซิฟราน”  คำพูดของโซแวนทำให้ข้าชะงัก  และเงยหน้าขึ้นทันที  เมื่อพยายามเพ่งมองไปข้างหน้าเป็นจังหวะเดียวกับที่ดวงวิญญาณนั้นหยุดชะงักและหันมาส่งยิ้ม

ข้าเบิกตากว้าง มือที่จับไหล่ของโซแวนบีบแน่นขึ้นอัตโนมัติ  แม้รูปร่างจะเลือนรางในความมืดแต่ข้าย่อมจำได้ดีไม่ผิดเพี้ยน

ตรงหน้าคือท่านลูซิฟรานไม่ผิดเพี้ยน

“ข้าไม่ได้ส่งเขาไปนะ  จริงๆ  แล้วคิดว่าเจ้ารู้ทางเสียอีก”  ผู้วิเศษปฏิเสธกลับมา  ก่อนที่จะถามว่า  “พวกเจ้าถึงหรือยัง”

“คิดว่าใกล้แล้ว”  โซแวนตอบกลับไป 

“ถ้าเข้าไปในเขตป่าลึกแล้วมันจะเต็มไปด้วยพลังงานเวทมากมายรบกวนพลังของภูตนี้  ว่าง่ายๆ  คือจะไม่สามารถติดต่อพวกเจ้าได้”  ผู้วิเศษอธิบายก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า  “ถ้ามีอะไร...อะไรที่ไม่ชอบมาพากลให้หนีออกมาทันทีเลยนะ”

“เข้าใจแล้ว”  โซแวนตอบกลับไปแทนข้า  ก่อนที่ภูตสีฟ้าจะเปลี่ยนเป็นเสียงนอร์ธวินด์ที่พูดแทนทุกคน

 “ฝ่าบาท  ข้าเป็นกำลังใจให้นะขอรับ!  เจ้าก็ด้วยนะโซแวน  พาฝ่าบาทกลับมาอย่างปลอดภัยด้วย”

“ขอบคุณพวกเจ้ามากนะ”  ข้าตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม  ขณะนั้นเองที่โซแวนหยุดยืนแล้ววางข้าลง 

“อยู่หน้าเขตลึกสุดแล้ว”

เขาเก็บภูตสีฟ้าลงกระเป๋า  ตรงหน้าข้าเป็นป่าทึบที่ดำมืดคล้ายกับมีม่านสีดำกั้นอยู่  กระแสพลังเวทมากมายพัดวนอย่างบ้าคลั่งเป็นสัญญาณว่านี่คือเขตที่ลึกที่สุด

ท่านลูซิฟรานยืนอยู่หน้าป่านั้นครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปข้างในต่อ  โซแวนจึงจับมือข้าเดินตามไป  รอบข้างเริ่มมืดลงเรื่อยๆ  ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงเหยียบลงไปบนใบไม้และกิ่งไม้แห้งของพวกข้า

โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อ  แต่ข้ายังคงติดใจสงสัยกับน้ำเสียงของเขาตอนที่พูดชื่อของอีกฝ่าย  เขานิ่งเงียบมาตลอดแม้จะรู้ว่าวิญญาณตรงหน้าคือท่านลูซิฟราน  ข้าไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเลยไม่สามารถแน่ใจได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไรอยู่กันแน่

พวกข้าเดินไปสักพัก  วิญญาณตรงหน้าก็หยุดแล้วเปลี่ยนไปชี้นิ้วแทนพร้อมกับหันมาให้พวกข้าเดินไป  โซแวนนิ่งสักพักก่อนจะพาข้าเดินไปตรงหน้า

“รู้สึกถึงอะไรไหม”  เขาถามขึ้น  ข้ามองตรงหน้าตัวเองอย่างถี่ถ้วนแล้วพบกับพลังเวทที่หนาแน่นกว่าตรงอื่น 

“มีกำแพงอยู่”

ข้ายกมือขึ้นลองแตะกำแพงที่มองไม่เห็นนั้นดู  ทันใดนั้นพลังเวทนั้นก็ปั่นป่วนขึ้นอีกแล้วสลายลงจนสามารถทะลุผ่านไปได้

กำแพงทลายลงอย่างรวดเร็ว  แสงสว่างสาดส่องออกมาทันทีจนข้าต้องยกมือขึ้นบังแสงไว้ชั่วคราว  เมื่อสายตาเริ่มชินจึงยกลงและพบว่าตรงหน้าคือวิหารที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางป่า  แม้จะรกร้างแต่เต็มไปด้วยพลังเวทมหาศาล  เป็นที่ที่เดียวที่มีแสงสาดส่องลงมา

วิญญาณของท่านลูซิฟรานเดินนำเข้าไป  ข้ากับโซแวนลังเลสักพักก่อนที่จะเดินตาม  เมื่อเข้าไปในตัววิหารก็ไม่พบสิ่งใดเลยนอกจากพืชพรรณที่แทรกตัวขึ้นมา  จนกระทั่งถึงห้องโถง

ท่านลูซิฟรานหยุดยืนแล้วหันมาหาด้วยรอยยิ้ม  ก่อนที่จะบอกว่า  “ยินดีต้อนรับ  ดีใจจริงๆ  ที่เจ้ายอมตามมาง่ายๆ”

“พูดได้...”

“เป็นท่านจริงๆ  เหรอ  ลูซิฟราน?”  ข้าแค่พึมพำออกไปแต่โซแวนนั้นถามไปตรงๆ  สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสน  ท่านลูซิฟรานถอนหายใจขึ้นแล้วถามกลับ

“ทำไมทำหน้าเหมือนคิดว่าตรงหน้าเจ้าไม่ใช่ข้ากันล่ะ”  คำถามนั้นทำให้โซแวนเป็นฝ่ายชะงัก  ท่านลูซิฟรานยกมือขึ้นแตะแผงอกของตัวเองแล้วยืนยันขึ้นว่า  “ข้าคือลูซิฟรานตัวจริงเสียงจริง  แต่นี่เป็นร่างจิตที่หลงเหลือเพื่อถ่ายทอดอำนาจของประตู”

“ไม่ใช่วิญญาณหรอกเหรอ?”  ข้าพึมพำขึ้นด้วยความสงสัย  และเมื่อเขาได้ยินเขาก็หันมาตอบด้วยรอยยิ้มว่า 

“ไม่เชิงเสียทีเดียว  วิญญาณข้าไปสู่สวรรค์แล้วยังลงมาไม่ได้เลยต้องแบ่งจิตที่กุมอำนาจประตูไว้ลงมา  ส่วนวิญญาณจริงๆ  กำลังหวานกับสามีเก่าอยู่”

ข้าไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป  พอรู้ว่าตรงหน้าไม่เชิงว่าเป็นวิญญาณจริงๆ  ก็ทำให้รู้สึกโล่งใจขึ้น  และแม้ประโยคหลังจะตอบแบบกวนๆ  แต่สีหน้าของเขาตอนนี้ก็มีความสุขดีจนข้าไม่อยากขัดอะไร

“พวกท่านดูมีความสุขกันดีนี่”  แต่โซแวนกลับแค่นเสียงขึ้นก่อนจะตรงเข้าไปหาท่านลูซิฟราน  “มีความสุขกันดีเหลือเกิน...”

“โซแวน  ไม่ได้เจอกันนานเลย  เป็นยังไงบ้าง”  ท่านลูซิฟรานถามขึ้น  ประกอบกับอารมณ์ที่สั่งสมมานานทำให้โซแวนฉุนจัด  เขาเหวี่ยงมือเอาไปแต่ย่อมทะลุผ่านตัววิญญาณก่อนที่จะตะคอกเสียงดัง 

“เป็นยังไงน่ะเหรอ  จะให้ข้าพูดว่ามีความสุขหรือยังไง!?”

“โซแวน...”  ข้าพยายามเข้าไปใกล้แต่เสียงที่ดังมากของเขายังคงระบายออกมาอย่างอัดอั้น

“ท่านใช้ข้าตามใจมาตลอด  เว้นระยะห่างของพวกเรา  ขนาดตอนท่านตายยังไม่มีโอกาสให้ข้าร่ำลา!  ท่านเห็นข้าเป็นแค่หุ่นเชิดหรือยังไง!!” 

ท่านลูซิฟรานนิ่งเงียบไป  แม้แต่ข้ายังไม่กล้าพูดอะไร  โซแวนยังคงเอ่ยออกมาอีกทั้งที่น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่น  “ทั้งๆ  ที่ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่านอีกแท้ๆ  แต่ยังอุตส่าห์โผล่มานี่...ท่านคิดจะทรมานข้าไปถึงไหนกัน”

“โซแวน  เจ้าใจเย็นๆ  ก่อน”  เมื่อเห็นว่าโซแวนไม่มีท่าทีจะคุมความโกรธของตัวเองลงได้ข้าจึงลองเข้าไปปรามแต่กลับถูกสะบัดมือทิ้ง 

“เจ้าไม่ต้องยุ่ง”

“ไม่ได้  ข้าไม่ยุ่งไม่ได้  จะปล่อยให้เจ้าอาละวาดไม่ได้  สงบลงก่อนเถอะ”  ข้ายืนยันก่อนจะทำใจแข็งตำหนิเขาไปหนึ่งครั้ง  “ถึงเจ้าจะโกรธยังไง  แต่ตรงหน้าเจ้าก็เป็นแค่วิญญาณนะ  เจ้าจะทะเลาะกับคนที่ตายไปแล้วต่อหรือ”

“แต่คนที่ตายไปแล้วคนนี้ทิ้งความเจ็บช้ำให้ข้า”  เขาหันกลับมาตะคอกใส่ข้า  แต่เพราะดวงตาทั้งสองข้างของเขารื้นไปด้วยน้ำ  ข้าจึงไม่สามารถจะพูดอะไรได้

“ถูกอย่างที่ทีอารีนว่า  ข้าตายไปแล้ว  แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”  ท่านลูซิฟรานเอ่ยขึ้น  “ถ้าเจ้ายังอยากจะโหยหาความรักมากไปกว่านี้ละก็จะทำให้การรับบททดสอบของพวกเจ้าคลาดเคลื่อน  พอได้แล้ว”

“ท่านเห็นข้าเป็นลูกหรือเปล่า!?”  โซแวนตะคอกขึ้นอีกครั้ง  ท่านลูซิฟรานนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยด้วยสิ่งที่เย็นชามากที่สุด 

“สำหรับข้า  เจ้าก็เป็นแค่กาฝากที่อาศัยร่างกายข้าเติบโตเท่านั้นแหละ”

โซแวนเบิกตากว้างและก้มหน้านิ่งกัดฟันกรอด  เขากำหมัดทั้งสองแน่น  แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร  ท่านลูซิฟรานก็ยกมือขึ้นแตะที่แผงอกของอีกฝ่ายแล้วบอกว่า  “แต่ในฐานะคนที่เลี้ยงดูเจ้ามา  เจ้าเองก็ถือเป็นเด็กที่น่ารักคนหนึ่ง”

เขาเงยหน้าด้วยความตกใจ  ดวงตาของท่านลูซิฟรานนั้นจริงจังจึงแน่ใจได้ว่าเรื่องที่พูดไม่ใช่การโกหกเพื่อเอาใจ

“แต่ข้าถูกเกลียดชังมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว  กว่าที่เจ้าจะเติบโตขึ้น  ข้าก็ลืมไปหมดแล้วถึงวิธีการแสดงความรักนอกจากการร่วมเตียง  แถมยังคิดแค่ว่าให้เจ้าเป็นเครื่องมือขัดขวางลูซัส  ข้าจึงไม่สามารถให้ความรักแบบที่เจ้าต้องการได้หรอก”

ท่านลูซิฟรานละมือจากโซแวนก่อนจะบอกว่า  “เอาล่ะ  การทดสอบของเจ้าจะยังไม่เริ่มจนกว่าเจ้าจะสงบสติอารมณ์ได้  แต่เจ้า...ทีอารีน”

ข้าชะงักตามเสียงที่เรียกขึ้น  เขาขยับตัวแล้วบอกว่า  “ตามข้ามา”

ท่านลูซิฟรานเดินเข้าไปยังประตูด้านหลังห้องโถงฝั่งซ้าย  ข้าคิดจะเดินตามไปในทันทีแต่ก็อดห่วงโซแวนไม่ได้  พอหันไปก็เห็นเขายืนนิ่ง  อีกฝ่ายนั้นหลับตาก้มหน้าหนีแล้วเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ

“แม้แต่ตอนนี้...ท่านก็ไม่เลือกข้า”

ข้านิ่งไปพักหนึ่ง  โซแวนที่เป็นแบบนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเท่าไร  และยังกังวลว่าคำพูดเหล่านั้นและความคิดของเขาที่มีต่อท่านลูซิฟรานจะทำให้เขาได้รับอันตราย  แต่ไม่รู้ว่าคำปลอบใดดีที่สุดในสถานการณ์แบบนี้

เขายังคงนิ่งเงียบ  ข้าจึงสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้ววิ่งกลับไปกอดเขาทีหนึ่ง  โชคดีที่ไม่ถูกสะบัดออกมา  เมื่อสองแขนโอบกอดตัวเขาจนแน่นพอจึงได้กล้าพูดขึ้นว่า  “ข้าอยู่ข้างเจ้านะ  ทั้งเร็น...ทั้งทุกคนก็อยู่ข้างๆ  เจ้า”

โซแวนไม่ได้พูดอะไรออกมา  อาจจะเพราะยังตกใจ  ข้าละกอดจากเขาแล้วส่งยิ้มก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า  “แล้วเจอกันนะ”

จากนั้นจึงวิ่งเข้าไปในประตูฝั่งซ้าย  เมื่อข้ามพ้นผ่านเขตประตูมันก็ปิดลง  ในห้องนั้นทั้งพื้นและกำแพงเป็นหินอิฐทั้งหมด  และไม่มีสิ่งใดอยู่  ท่านลูซิฟรานยืนอยู่ตรงกลางแต่ตอนนี้ราวกับว่าเขามีร่างเนื้อขึ้นใหม่

“ล่ำลากับโซแวนอยู่หรือไง  ถึงช้าแบบนี้”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะยืนดาบเล่มหนึ่งมาให้  “แต่ก็ดี  ยังไงซะเจ้าก็คงให้ความรักกับเจ้านั่นได้ดีกว่าข้า”

“ท่านนี่เป็นพ่อที่แย่จริงๆ”  ข้าเอ่ยขึ้นก่อนจะหยิบดาบนั่นขึ้นมา  เขาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกระชับดาบในมือแล้วตั้งท่าต่อสู้ 

“เห็นด้วย  แต่ว่า...ข้าก็เป็นครูฝึกที่ดีคนหนึ่งนะ”  มุมปากของอีกฝ่ายยกยิ้มขึ้นเสริมความน่าเกรงขามในตัวของท่านลูซิฟรานมากกว่าเดิม  “จะขอบอกสักหน่อย  หากเจ้าอ่อนแอเกินไป...ก็คงต้องขอให้นอนตายอยู่ที่นี่ละนะ”
-------------------
TBC
โซแวนผู้น่าสงสาร แต่ตอนต่อไปคงต้องให้กำลังใจฝ่าบาทแล้วล่ะค่ะ เรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 26>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 24-04-2018 23:13:47
โซแวนขี้น้อยใจ พระเอกเปล่านิ

ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 27>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 25-04-2018 20:41:37
บทที่ 27
การทดสอบของทั้งสอง

ในวิหารโบราณเหลือเขายืนอยู่เพียงผู้เดียว  โซแวนนิ่งค้างไปหลายนาทีแม้ทีอารีนจะเข้าไปในประตูนานแล้วก็ตาม  อ้อมกอดนั้นพอจะเรียกสติกลับมาได้บ้าง

ใช่แล้ว...ตอนนี้เขามีพวกพ้อง  มีคนที่อยู่เคียงข้างได้

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าช้าๆ  ก่อนที่จะยืดตัวขึ้นเดินเข้าไปในประตูที่เปิดรอรับอยู่  ในห้องนั้นมีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงข้างๆ  กำแพง

โซแวนยืนนิ่งและระวังตัวรอบด้าน  มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาแต่ไม่สามารถจำแนกออกว่าจากทิศทางใดเพราะเสียงสะท้อนก้องไปหมด  น่าแปลกยิ่งกว่าคือตาสัตว์ของเขากลับใช้การได้ไม่ดีในนี้  ความมืดที่อยู่รอบๆ  ราวกับเป็นม่านสีดำกั้นไว้จนมองเห็นอะไรไม่ชัด

“นี่...”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมสัมผัสที่แขน  ฉับพลันนั้นโซแวนรีบสะบัดออกทันทีแล้วหันกลับไปก่อนที่จะเบิกตากว้าง

“เจ้าตกใจอะไรขนาดนั้น?  โซแวน”  อีกฝ่ายตั้งคำถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้น  เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจนโซแวนจึงลดความระแวงลงเปลี่ยนเป็นความแปลกใจแทน 

“ทีอารีน  ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”  อีกฝ่ายตอบด้วยสีหน้างุนงง  “พอท่านลูซิฟรานมอบพลังมาให้ก็ถูกย้ายมาที่ห้องนี้เลย”

ตรงหน้าโซแวนคือทีอารีนที่ยังคงงุนงงอยู่  เด็กหนุ่มหันไปมองรอบๆ  ก่อนจะถามว่า  “เจ้าได้รับการยอมรับหรือยัง”

“ยอมรับ?”

“จากท่านลูซิฟรานไง  หรือว่าเขายังไม่มาเจอเจ้าอีก”  ทีอารีนถามขึ้นทำให้โซแวนชะงัก  คำพูดนั้นราวกับเข็มทิ่มแทงใจ 

เมื่อเห็นเขาไม่ตอบทีอารีนก็เดินเข้ามาใกล้แล้วปลอบขึ้น  “อย่าเศร้าใจไปเลย  ถึงเขาจะไม่รักเจ้า  แต่เจ้ายังมีข้าอยู่”

เรียวแขนขาวยกขึ้นโอบล้อมคอเขาไว้  ใบหน้าเยาว์วัยนั้นประดับรอยยิ้มชวนน่าค้นหาก่อนที่จะออกแรงโน้มเขาให้เข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า  แล้วแลกเปลี่ยนจูบซึ่งกันและกัน

จูบนั้นหวานล้ำแต่โซแวนกลับรับรู้ถึงความผิดปกติ  สองมือจับไหล่ของอีกฝ่ายไว้บีบแน่นและผลักออก  ดวงตาคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและแสดงความเจ็บปวดออกมาเด่นชัดเพราะเขาไม่ออมแรงให้  “ทำอะไรน่ะ  มันเจ็บนะ”

“เจ้าเป็นใคร  คิดว่าทำแบบนี้แล้วข้าจะไม่รู้เหรอ”  โซแวนเอ่ยถามขึ้นเสียงขุ่น  แต่อีกฝ่ายเพียงแค่ระบายยิ้มแล้วสะบัดมือเดินถอยห่างออกมา

ตรงหน้าเขาคือทีอารีนตัวปลอม  พอเข้ามาใกล้แล้วกลิ่นผิดแปลกยิ่งชัดเจน  และโซแวนก็มั่นใจได้ว่าตัวจริงนั้นจูบไม่เก่งแบบนี้

“แย่จัง  ความลับแตกแต่แรกแบบนี้ไม่สนุกเลย”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนจะขยับเข้ามาใกล้  “เกลียดใช่ไหมล่ะ?”

“หะ?”  เขาขมวดคิ้วและเอนตัวถอยหลังกลับมา  เจ้าตัวปลอมแสยะยิ้มยกมือแตะหน้าอกของตัวเอง  และชี้ย้ำให้เห็นใบหน้าของทีอารีน 

“เกลียดใช่ไหมล่ะ  เด็กคนนี้น่ะ  เขาแย่งความรักจากเจ้าไปจนหมด  เห็นไหม...ลูซิฟรานรักเด็กคนนี้มากกว่าเจ้าเสียอีก”

คำพูดนั้นราวกับโซ่รัดตรึงหัวใจของโซแวน  เขาชะงักไปหลายนาทีท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของอีกฝ่าย 

“นี่  ทำไมเจ้าไม่ฆ่าเขาล่ะ  ถ้าเจ้าฆ่าทีอารีน  ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นของเจ้า”

โซแวนสบตาอีกฝ่าย  มองดูใบหน้าที่เป็นทีอารีนก่อนจะเข้าใจบางอย่าง  ในความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวล  เขาก็เคยอิจฉาและเกลียดทีอารีนจริงๆ  แต่แน่นอนว่าแค่เคย...

“น่าเสียดายนะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นในมือปรากฏดาบคู่ใจออกมา  เขาตวัดหนึ่งทีแล้วพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย  “เจ้าใช้แผนนี้ช้าไปนิดเดียวเอง”

อีกฝ่ายเบิกตากว้างก่อนที่จะกระโดดหลบคมดาบนั้น  พื้นที่ยืนอยู่เมื่อครู่แตกแยกออก  โซแวนยืนขึ้นเต็มความสูงต่อหน้าตัวปลอมที่ยังสับสน 

“หมายความว่ายังไง!?”

ทั้งอ้อมกอดที่ให้กำลังใจนั้น  และความรู้สึกที่ถูกส่งมอบมาทำให้โซแวนเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง

“ข้าเพิ่งรู้ตัวเองว่ารักทีอารีนจนแทบคลั่งน่ะสิ”  คิเมร่าหนุ่มแสยะยิ้มออกมาก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีใส่อีกฝ่ายทันทีจนตัวปลอมนั้นต้องเรียกอาวุธออกมาป้องกัน  “เพราะฉะนั้นคงทนเห็นคนอื่นแอบอ้างเป็นเขาไม่ได้หรอก”

โซแวนตวัดดาบอีกครั้งโจมตีร่างปลอมที่ยังตั้งตัวไม่ทัน  ฟาดฟันไม่ยั้งก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงความร้อนสูง  เขาเบิกตากว้างก่อนที่จะรีบกระโดดออกมาขณะที่ตรงที่ยืนอยู่เมื่อครู่เกิดการระเบิดเสียงดังสนั่น

ตูม! ตูม!

เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  โซแวนรีบกระโดดหลบออกมาจนถึงกลางห้อง  ฝุ่นควันตลบอบอวลไปทั่วก่อนที่มันจะจางหาย  ร่างของทีอารีนตัวปลอมหายไปแล้วเหลือเพียงลูกไฟสีฟ้าอ่อนที่ลอยอยู่  และรอบๆ  ตัวเขาก็เต็มไปด้วยลูกไฟเช่นเดียวกัน

พวกมันพากันลุกโหมขึ้นและกลายสภาพเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ซึ่งสวมใส่ชุดเหมือนชนชั้นสูง

“เราคือเหล่าจิตวิญญาณของคาร์ไลน์”  วิญญาณตรงหน้าโซแวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนก้อง  “เจ้าผู้มีสายเลือดปฐมกษัตริย์เอ๋ย  หากอยากได้พลังที่ยิ่งใหญ่ก็จงเอาชนะกษัตริย์เหล่านี้ให้ได้สิ”

สิ้นเสียง  วิญญาณทั้งหลายก็พุ่งเข้าหาโซแวนทันที  เขารีบยกดาบขึ้นฟาดฟันอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการโจมตีทั้งหมด

สิ่งที่อยู่รอบตัวโซแวนคือจิตวิญญาณของกษัตริย์ผู้เคยปกครองคาร์ไลน์มาเนิ่นนาน  เมื่อสวรรคตไปแล้วจิตแห่งการปกปักรักษาก็มาอยู่ที่นี่  เฝ้ารอวันคืนที่จะมอบพลังให้แก่ผู้ที่สามารถผ่านบททดสอบไปได้

“อึก!”  โซแวนกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้หลังจากถูกวิญญาณกษัตริย์ดวงหนึ่งลอบฟันไหล่จากด้านหลัง  ชายหนุ่มรีบตวัดตัวหันกลับไปแล้วฟันดาบใส่ก่อนจะกระโดดหนีออกมาจากวง  เขากำจัดไปได้แล้วสาม...สามจากสี่สิบดวง  แถมยังเป็นสี่สิบดวงที่เปี่ยมไปด้วยพลังต่อสู้ล้นเหลือสมเป็นกษัตริย์คาร์ไลน์

และยิ่งเขาได้รับบาดเจ็บเท่าไร  มันก็จะแข็งแกร่งขึ้น  เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นเพื่อหลอกล่อ  “ยอมแพ้ดีกว่าน่า  แล้วเจ้าจะได้กลับออกไปแต่โดยดี”

“ยอมแพ้เหรอ?  ไม่มีทางหรอก”  เขาแสยะยิ้มก่อนจะยืนหยัดขึ้นอีกครั้ง  “มีคนที่รอข้ากลับไป  เพราะฉะนั้นข้าก็จะต้องกลับไปอย่างเต็มภาคภูมิ”

วิญญาณที่ตายไปแล้วสี่สิบดวง  หากให้เทียบกับที่ต้องสู้กับพ่อแท้ๆ  ของตนแล้ว  แค่นี้ไม่คณามือนัก  “ก็แค่วิญญาณสี่สิบดวง  ข้าจะส่งไปสู่สุคติให้หมด!”

การทดสอบของประตูแห่งอำนาจนั้นคือการต่อสู้กับเหล่ากษัตริย์ของคาร์ไลน์ที่สืบทอดพลังต่อๆ  กันมา  แม้ว่าทีอารีนจะเป็นกษัตริย์คนที่  42  แต่ก็ยังไม่ถือว่าจะผ่านในทันที  เขาเองก็ต้องได้รับการทดสอบ  และบททดสอบของเขาก็คือการสู้กับปฐมกษัตริย์  ผู้มีพลังมากกว่ากษัตริย์ทั้งสี่สิบคนที่โซแวนกำลังต่อสู้อยู่อย่างเทียบไม่ติด

ตูม! ตูม! ตูม!

ทางด้านของทีอารีนเองก็เพิ่งหลบโซ่เวทมนตร์ที่มีอานุภาพระเบิดพื้นที่มันพุ่งเข้าใส่จนระเบิดออกได้พ้น  เด็กหนุ่มกลิ้งขลุกอยู่บนพื้นก่อนที่จะคว้าคทามาถือไว้อีกครั้ง  ตรงหน้าปรากฏร่างของลูซิฟรานที่ลอยลงมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม 

“ว้า  น่าเสียดายจัง  เมื่อกี้ถ้าหลบไม่พ้นจะเป็นการตายครั้งที่สามของเจ้านะ”

เด็กหนุ่มกัดฟันกรอด  สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นมีความหมายตรงตัว  เขาตายไปแล้วสองครั้งเป็นความตายที่แสนเจ็บปวด  แต่ก็ฟื้นขึ้นมาได้  นั่นเพราะพลังผู้ถูกเลือกของเขาผสานกับพลังอมตะที่ลูซิฟรานมอบให้เมื่อครั้งถอนคำสาปทำให้ฟื้นตัวได้เร็ว

แต่การตายมาแล้วสองครั้งนับว่าตัวเขายังแย่และอ่อนแอเกินไป  หนำซ้ำยังเสียพลังเวทไปมาก

ทีอารีนวาดคทาไปด้านข้าง  ลูกไฟน้ำแข็งก่อตัวขึ้นและพุ่งเข้าโจมตีลูซิฟรานอีกครั้ง  อีกฝ่ายจึงลอยขึ้นเพื่อหลบ  เด็กหนุ่มตวัดคทาอีกครั้ง  รอบตัวเกิดวงเวทขนาดเล็กจำนวนมากและลำแสงสีทองก็พุ่งออกมาโจมตีไม่หยุด  เขาไม่อยู่เฉยและเริ่มออกวิ่งบ้างจึงสามารถหลบลูกไฟโจมตีของลูซิฟรานได้

ทีอารีนไม่ใช่สายต่อสู้โดยตรง  ที่ผ่านมานั้นก็มีแค่ใช้พลังรักษากับเพิ่มพลังให้คนอื่น  น้อยครั้งนักที่จะออกมาโจมตี  หากให้นับแล้วนี่อาจเป็นครั้งที่สองเห็นจะได้  เด็กหนุ่มกลิ้งหลบสายฟ้าขนาดใหญ่ที่พุ่งตรงมาก่อนจะตวัดตัวกลับไปเผชิญหน้าลูซิฟราน  ปักคทาลงบนพื้นและสร้างวงเวทขนาดใหญ่ขึ้นมาป้องกันลำแสงเวทยักษ์ที่พุ่งมาอีกรอบ

“อึก!”  ทว่าพลังนั้นรุนแรงเกินกว่าที่พลังเวทของเขาจะต้านไหวและพังไป  ร่างของทีอารีนกระเด็นไปติดกำแพง  เด็กหนุ่มทรุดฮวบลงกับพื้น  กระอักเลือดออกมาคำใหญ่  ตรงหน้าเขา  ลูซิฟรานกำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมดาบเล่มหนึ่ง  เสียงถอนหายใจดังขึ้น

“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?”  ลูซิฟรานตั้งคำถามขณะเงื้อดาบขึ้น  และเตรียมแทงลงมา  ทีอารีนเบิกตากว้างก่อนจะรีบยกคทาขึ้นป้องกัน

บททดสอบของเขาคือการเรียกประตูออกมาพร้อมๆ  กับที่สามารถโค่นลูซิฟรานลงให้ได้  แต่จนถึงตอนนี้ประตูแห่งอำนาจก็ยังไม่ตอบรับกับทีอารีน

“เจ้าสู้ไปเพื่ออะไร” 

คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มชะงัก  แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น  ทีอารีนกัดฟันแน่นก่อนจะออกแรงผลักลูซิฟรานออกไป

สู้ไปเพื่ออะไร?  ใช่แล้ว  เขามาที่นี่ได้  มีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะเจตจำนงของตนเอง

เพื่อช่วยครีออน

เพื่อเป็นพลังให้แก่ผู้ที่เคารพเขา

เพื่อปกป้องทุกคน

และในตอนนี้มีคนที่เขาต้องไปรอรับอยู่ 

“ข้าจะ...ไม่ยอมแพ้ท่านเด็ดขาด!”  ทีอารีนกำคทาแน่น  สูดลมหายใจเข้าก่อนที่จะปักคทาลงบนพื้นอีกครั้งเพื่อเรียกมหาเวทออกมา  ด้านหลังของเขาเกิดวงแหวนเวทขึ้นมากมาย  ลูซิฟรานเห็นดังนั้นจึงอดแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาไม่ได้

“ดีนี่  แบบนั้นแหละ” 

ลูซิฟรานหัวเราะขึ้นก่อนจะวาดมือทั้งสองออกไปด้านข้าง  วงเวทมากมายก็เกิดขึ้นด้านหลังของเขาเช่นเดียวกัน  ทั้งคู่ไม่มีใครคิดถอยและทุ่มให้กับการโจมตีนี้จนหมดหน้าตัก  โดยเฉพาะทีอารีนที่สละเวทที่แบ่งไว้ป้องกันตัวเองมาเพิ่มพลังให้กับมหาวงเวท  ทุ่มพลังที่มีทั้งหมดให้กับการโค่นอีกฝ่าย

เมื่อวงเวทสะสมพลังเรียบร้อยแล้วจึงปลดปล่อยออกมา  เกิดเสียงดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วเมื่อพลังของทั้งสองเข้าปะทะกัน  ทั่วห้องเต็มไปด้วยแสงสว่างจ้าจนมองไม่เห็นสิ่งใด

คทาของทีอารีนแหลกสลายลงไปแล้วแต่เขาไม่ยอมแพ้  ใช้เพียงมือทั้งสองฝืนรับพลังไว้  ความมุ่งมั่นที่จะปกป้องทุกคนทำให้แรงใจของเขาเพิ่มขึ้น  และถ้าหากไม่สามารถโค่นลูซิฟรานลงได้ก็ไม่สามารถจัดการลูซัสได้

เหนือวิหารขึ้นไปบนท้องฟ้า  เกิดเสียงดังครืนขึ้นเจือมาด้วยเสียงกระดิ่งก้องกังวาน  ประตูสีขาวบานยักษ์ปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางการจับตามองของทุกคน

สัญญาณการตอบรับจากประตูเริ่มต้นขึ้น

“ดีมาก”  เมื่อการโจมตีครั้งใหญ่ของทั้งสองจบลง  ลูซิฟรานก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ร่างวิญญาณนั้นกำลังสลายไป  “จงทำตามเจตนารมณ์ของเจ้าเถิด  แล้วประตูจะมอบพลังอันมีค่าให้แก่เจ้า  ลูกหลานของข้า”

นั่นคือคำแนะนำของอีกฝ่าย  ก่อนที่ร่างนั้นจะหายไปจนหมด  คำสั่งเสียสุดท้ายก็ดังขึ้น  “ฝากลาโซแวนแทนข้าด้วยล่ะ  ขอให้พวกเจ้าโชคดี”

“...ขอรับ”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นแม้จะยังรู้สึกเหนื่อยหอบ  เด็กหนุ่มพยายามหยุดร่างที่โงนเงนของตนให้ตรงก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า  “ข้าจะ...ปกป้องโลกใบนี้ให้ได้”

ลูซิฟรานยิ้มส่งทิ้งท้ายก่อนที่จะหายไปเพื่อกลับสู่สรวงสวรรค์อีกครั้ง  เมื่อทุกอย่างสงบลงทีอารีนก็ทรุดตัวลงกับพื้น  หอบหนักยิ่งกว่าเมื่อครู่  การโจมตีสุดท้ายเขาทุ่มเทพลังทั้งหมด  ตอนนี้ร่างกายไม่มีเวทหล่อเลี้ยงจึงรู้สึกกระหายขึ้นมา

“เป็นอะไรหรือเปล่า?”  เสียงคุ้นหูดังขึ้น  เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็เจอโซแวนกำลังเดินเข้ามาใกล้  ทีอารีนสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะส่ายหน้า 

“ไม่ไหว  พลังเวทหมดแล้ว”

“เจ้าฝืนตัวเองเกินไปหรือเปล่า”  ชายหนุ่มตั้งคำถามก่อนจะเข้ามาใกล้  สภาพของทีอารีนนั้นเรียกได้ว่าอ่อนปวกเปียกอย่างแท้จริง  เพราะที่ผ่านมาเด็กคนนี้ใช้พลังเวทเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจึงไม่แปลกอะไรที่จะมีสภาพเช่นนี้

เด็กหนุ่มหอบหายใจแรง  ใบหน้าแดงระเรื่อเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะถามว่า  “เจ้าไม่ได้เสียพลังเวทไปมากใช่ไหม”

“แทบไม่ใช้เลยมากกว่า”  โซแวนตอบตามความจริง  เขาใช้ทักษะด้านกายภาพมากกว่าเวทจริงๆ

เมื่อได้ยินดังนั้นทีอารีนจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับแก้มของโซแวนแล้วโน้มเข้ามาใกล้  อีกฝ่ายนั้นตกใจเล็กน้อยแล้วยอมถูกจูบแต่โดยดี  คราวนี้เขาจึงแน่ใจว่าตรงหน้าคือทีอารีนอย่างแน่นอน  เพราะถึงแม้จะเป็นจูบที่ตะกละตะกลามเพียงใดแต่ทักษะนั้นห่วยสมกับเป็นเด็กไร้ประสบการณ์

รสจูบนั้นหอมหวานและให้ความรู้สึกลึกล้ำ  โซแวนเป็นฝ่ายตวัดลิ้นไล่จูบอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องขณะกดอีกฝ่ายลงนอนบนพื้น  เด็กหนุ่มกำเสื้อแน่นทำให้เขาถอนจูบออก

“สีหน้าดีนี่”  โซแวนยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ  ทีอารีนไม่อาจปิดบังสีหน้าขัดเขินของตัวเองได้  แม้จะได้รับจูบไปแต่พลังของเขายังไม่คืนกลับมา

“ยัง...ไม่พอ”  ทีอารีนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า  โซแวนได้ยินดังนั้นจึงโน้มตัวลงมาใกล้แล้วกระซิบถาม 

“ถ้างั้นให้ข้ามอบพลังให้มากกว่านี้ไหม...”

นิ้วมือเรียวลูบไล้ลงมาตามทรวดทรงจนหยุดลงที่ส่วนน่าอาย  “ถ้ามีเพศสัมพันธ์กันจะช่วยเพิ่มพลังให้เจ้าเร็วขึ้น”

เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง  อยากจะร้องห้ามแต่ร่างกายของเขาตอนนี้มันย่ำแย่ลงถ้าไม่ได้รับพลังเวทเพียงพอ  แต่ก็ยังต้องการถามเพื่อความแน่ใจ  “เจ้าจะทำงั้นเหรอ?”

“แน่สิ  ถูกเจ้าจูบขนาดนั้นมีใครจะทนไว้”  โซแวนตอบอย่างเรียบเฉยก่อนที่จะเลิกเสื้อของทีอารีนขึ้นเผยให้เห็นร่างกายที่ปิดซ่อนไว้  “ถ้าเจ้าไม่ห้ามตอนนี้ข้าจะไม่หยุดมือแล้วนะ”

ชายหนุ่มสบตากับอีกฝ่าย  ไม่มีเสียงร้องห้ามออกมานับว่าเป็นการเชิญชวน  สำหรับคนที่ต้องการพลังเวทอย่างรวดเร็ววิธีนี้ก็เหมาะสมที่สุดแล้ว

บนผิวเนื้อเนียนขาวนั้นปรากฏรอยแผลเป็นจากการถูกเฆี่ยนตีนับสิบแผล  แม้จะจางลงตามกาลเวลาแต่ยังติดตรึงอยู่  ชี้ชัดให้เห็นถึงความทรมานที่เด็กคนหนึ่งเคยข้ามผ่านมา 

“นี่  แค่ตอนนี้  ลืมไปให้หมดทุกสิ่งอย่าง...ความทรมานทั้งหมดที่เจ้าแบกรับไว้”  โซแวนกระซิบขึ้นข้างหูอีกฝ่ายก่อนที่จะขบกัดเบาๆ  หนึ่งครั้งแล้วเลื่อนลงมาต่ำลงเรื่อยๆ  ประทับจูบลงบนรอยแผลทุกแผลอย่างอ่อนโยน

“ฮึก...”  ทีอารีนสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกขบที่หน้าอกทำให้เกิดความเสียวซ่าน  ภูษาด้านล่างถูกปลดออกจนหมดเผยให้เห็นส่วนน่าอายที่ตื่นตัวอยู่  โซแวนไม่พูดพร่ำทำเพลงถอดชุดของตัวเองออกและจัดการให้อีกฝ่ายซึ่งไม่มีประสบการณ์  ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นเกร็งด้วยความกังวลจนเขารับรู้ได้

“ไม่ต้องกลัว  ข้าจะอ่อนโยนกับเจ้า”  โซแวนพูดปลอบด้วยรอยยิ้มขณะเลื่อนมือลงต่ำไปที่ช่องทางด้านหลัง  เพราะทีอารีนไม่เคยทำอะไรแบบนี้เขาจึงต้องเตรียมพร้อมให้อีกฝ่ายด้วยนิ้ว

“อ๊ะ...”  เสียงกระเส่าหลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มที่พยายามสะกดกลั้นเสียงไว้แม้จะรู้สึกดีมากเท่าไรก็ตาม  เพราะตัวเขายังเขินอาย  แต่การทำแบบนั้นโซแวนรู้ดีว่ามันทรมานและค่อนข้างทำให้เขาเสียอารมณ์จึงใช้มืออีกข้างง้างปากออก 

“ไม่ต้องกลั้นสิ  ร้องออกมาให้เต็มที่เลย”

“บ้าสิ”  แต่ทีอารีนดันต่อว่ากลับมาเพราะยังไม่กล้า  โซแวนกระตุกยิ้มก่อนที่จะถอนนิ้วออกเมื่อร่างกายของอีกฝ่ายพร้อมแล้ว  ชายหนุ่มโน้มตัวลงจูบที่ริมฝีปากเด็กหนุ่มเบาๆ  ก่อนจะบอกว่า  “ไม่ต้องห่วง  เพราะต่อจากนี้เดี๋ยวเจ้าก็อยากร้องออกมาเอง”

เขาจับขาทั้งสองข้างของทีอารีนแยกออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไปอย่างช้า  เด็กหนุ่มตัวสั่นเกร็งด้วยความเจ็บเป็นความเจ็บปวดที่ปนไปด้วยความสุข  เสียงครางหวานหลุดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่กับการร่วมรักครั้งนี้  แม้ช่วงแรกนั้นโซแวนพยายามอ่อนโยนกับเขา  แต่ด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่าทำให้ชายหนุ่มมักจะควบคุมตัวเองไม่ได้  และกระทำรุนแรง  ขบกัดตามร่างกายด้วยตัณหา  ลุ่มหลงไปในความสุขของกามารมณ์  เพื่อครอบครองร่างกายนี้ไว้แต่เพียงคนเดียว

ทีอารีนเองก็ไม่ได้ขัดขืน  เป็นความยินยอมแต่แรก  หนึ่งคนที่วารันดูออกนั้นก็คือคนตรงหน้านี้  เขาตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัวและกลายเป็นความโหยหา  คนที่จงใจเริ่มชักชวนก่อนก็คือเขา  และยอมตามมาโดยตลอด  ลืมทุกความทรมานที่แบกรับไว้

แต่มีเรื่องหนึ่งที่ทีอารีนไม่สามารถสะบัดออกจากหัวได้

หากเขามีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้ว  ครีออนจะตัดใจได้หรือเปล่า...เขาอยากให้เด็กคนนั้นมีความสุข  มีความสุขกับคนที่รักครีออนอย่างแท้จริง

...

ห่างออกไป  ปราสาทคาร์ไลน์ยามค่ำคืนนั้นเงียบสงบยิ่งกว่าทุกที  บัดนี้มีห้องห้องหนึ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้าไปได้ยกเว้นก็แต่ลูซัส  ห้องนั้นมีเพียงแสงเทียนจากตะเกียงที่ให้ความสว่างสลัวๆ  ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง  เช่นเดียวกับลูซัสที่ยืนอยู่ที่ระเบียง  สายตาจับจ้องไปยังจุดที่เคยมีประตูสีขาวซึ่งแสดงออกมาครู่หนึ่งก่อนจะหายไป

ร่างสูงกระตุกยิ้มก่อนจะหันมาหาเด็กหนุ่มที่นั่งเก้าอี้อยู่  “ฝ่าบาท  ถึงเวลาที่ท่านจะออกโรงแล้วขอรับ”

ครีออนไม่ได้พูดอะไรแต่การลุกจากเก้าอี้คือสัญญาณตอบรับ  รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยควันสีดำลอยเอื่อยอยู่รอบๆ  บรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากตัวเขา  ดวงตานั้นราวกับไร้ซึ่งชีวิตพอๆ  กับใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา  เด็กหนุ่มจับดาบราชาที่อยู่บนโต๊ะมาเหน็บไว้ข้างเอวก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ไปกันเถอะ”

“น้อมรับคำสั่งขอรับฝ่าบาท”  ลูซัสโค้งตัวลงน้อมรับคำสั่งของอีกฝ่าย  แล้วเดินตามหลังไป  ใบหน้าเจ้าเล่ห์นั้นแสยะยิ้มออกมาโดยที่ไม่มีใครเห็น

-----------------
ฝั่งตัวร้ายออกโรงแล้ว  :hao5:
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 27>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 26-04-2018 09:08:51
ชอบวิธีมอบพลัง 555
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 30>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 29-04-2018 20:11:13
บทที่  28
จงลงดาบนั้นเสีย
“นี่ข้า...ทำอะไรลงไป”

เป็นคำแรกที่ข้าเริ่มเอ่ยขึ้นแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าหลังจากได้สติ  แม้ว่าข้าจะไม่สามารถหลับได้ก็จริง  แต่เมื่อครู่นี้ก็ราวกับตนเองไม่มีสติจริงๆ  ถึงจะไม่ได้รังเกียจแต่ก็รู้สึกอายขึ้นมา

เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเมื่อจอมเวทสูญเสียพลังจนถึงจุดอันตรายก็จะเกิดอาการกระหายจนไม่มีสติ  ต้องการจะสูบพลังคืนมาให้เร็วที่สุดโดยไม่เลือกวิธีการ

แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะไม่มีสติจนทำอะไรเตลิดแบบนี้!

“ถ้ารออีกสักพักพลังเวทก็คงฟื้นกลับมาแล้วแท้ๆ”  ข้าปิดหน้าพึมพำขึ้นอย่างละอายใจ  พยายามไม่คิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ยังสลัดไม่ออกจากหัว

“ถึงขั้นนี้ไม่ต้องเขินอายแล้วน่า”  โซแวนเอ่ยเสียงราบเรียบขณะลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย 

“อย่างน้อยก็ให้ข้าเตรียมใจก่อนสิ”  ข้าเอ่ยกลับไปในสิ่งที่ต้องการ  อย่างน้อยการนอนร่วมรักกันก็ต้องเป็นความยินยอมทั้งสองฝ่ายสิ

“หืม?  แต่คนที่เรียกร้องมาก่อนก็คือเจ้านะ”  เขาหยอกเย้ากลับมาเสียงเรียบ  แต่รอยยิ้มที่มุมปากนั้นทำให้ข้าถึงกับสะอึกแล้วรีบลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม  จริงๆ  ตอนที่ได้สติขึ้นมานั้นก็เห็นโซแวนกำลังเช็ดทำความสะอาดให้ข้าอยู่  แต่เขากลับไม่ยอมสวมเสื้อผ้ากลับให้ข้าสักชิ้น

“ร่างกายไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ?”  เขาถามขึ้นพร้อมกับขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่รดอยู่ด้านหลัง 

ข้านิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อตรวจดูอาการของตัวเองก่อนจะตอบ  “ไม่เป็นอะไรแล้ว  ไม่เจ็บตรงไหน”

“เวทฟื้นฟูของเจ้าดีกว่าที่ข้าคิดนะ  เราเพิ่งทำกันเสร็จไปเมื่อสิบนาทีที่แล้วเอง  ครั้งแรกเห็นว่าจะเจ็บระบมเอามากๆ  แต่เห็นเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”  โซแวนยังไม่หยุดพูดเรื่องนั้นแม้จะรู้ว่าข้าอาย  หนำซ้ำยังยกมือขึ้นมาโอบเอวไว้แล้วกระซิบขึ้นข้างหู  “งั้นก็ทำครั้งที่สองต่อได้น่ะสิ”

“หยุดเลยนะ  เจ้าบ้า”  ข้ารีบร้องปรามก่อนที่จะเลยเถิดไปกันใหญ่พร้อมกับผลักตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขา  ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ดีเท่าไร  “โซแวน  เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เจ้าสูบพลังข้าไปเยอะ  เลยเพลียนิดหน่อยน่ะ”  เขาพึมพำขึ้นพลางถอนหายใจ  แม้ว่ามันจะดูคล้ายกับพูดเล่น  แต่นั่นย่อมเป็นความจริงที่โกหกไม่ได้  ข้าคงเผลอสูบพลังของเขามาเยอะเกินไป

“ไหวหรือเปล่า?”  ข้าถามย้ำขณะเดินเข้าไปใกล้  ยกมือขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ  แต่กลับถูกดึงตัวเข้าไปกอดแน่น

“อ๊ะ...นี่”

“ขอพักสักครู่หนึ่งสิ”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะซุกหน้าลงบนไหล่ของข้าแล้วนิ่งอยู่แบบนั้น  ข้าเองก็ทำตัวไม่ถูกเลยปล่อยไปเลยตามเลย  ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“เป็นอะไรหรือเปล่า”  ข้าเอ่ยถามขึ้นหลังจากยืนเกร็งอยู่พักหนึ่ง 

เขาเงียบไปสักพักก่อนจะถามกลับ  “เจ้าได้รับพลังของประตูแห่งอำนาจแล้วใช่ไหม”

“ใช่  แล้วเจ้าล่ะ”

“ไม่รู้สิ”

“หา?”  ข้าขมวดคิ้วให้กับคำตอบของเขาแล้วละกอดจากเขา

สีหน้าโซแวนดูมีความสับสนก่อนที่เขาจะบอกว่า  “ข้าไม่รู้สึกถึงพลังอะไรเลย”

“ทำไมล่ะ  ทีข้ายังรับรู้ได้เลยนะ  ตอนที่สู้กับท่านลูซิฟรานสำเร็จ”  ข้าเองก็เป็นฝ่ายสับสนด้วย  แม้จะไม่ชัดเจนจนเป็นรูปร่าง  แต่ร่างกายย่อมรับรู้ได้ถึงพลังเวทใหม่ที่เข้ามา  ข้ารับรู้ถึงพลังของประตูแห่งอำนาจได้  โซแวนที่ถูกวางตัวไว้ก็น่าจะได้รับเหมือนกัน

เขาเงียบไปสักพัก  ก่อนที่จะพึมพำบางอย่างขึ้นมา  “ผู้ถือประตูทั้งสองคน...พลังจะถ่ายทอดไปสู่คนอื่นได้ก็ต่อเมื่อสิ้นชีพ...”

“หากเจ้าได้รับพลังจากลูซิฟรานแล้วก็หมายความว่าข้าก็ต้องได้รับพลังจากอีกคนหนึ่ง...และอีกคนที่ว่าก็คือเจ้าใช่ไหม  ผู้วิเศษ”  ดวงตาของโซแวนไปจดจ้องอยู่ที่ด้านหลังของข้าแทน  เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นผู้วิเศษที่ยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

เขาส่งยิ้มให้ก่อนจะชมขึ้น  “ถูกต้อง  เพราะข้ายังอยู่เจ้าจึงไม่มีสิทธิ์ทำอะไรกับประตู  เข้าใจง่ายดีนี่”

“เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร?” 

ข้าเดินไปหาและถามขึ้นด้วยความสงสัย  เขาหันมาหาก่อนจะบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า  “ไม่ต้องห่วงขอรับ  มาหลังจากที่ท่านกับโซแวนร่วมรักกันเสร็จแล้ว”

ฉับพลันนั้นหน้าข้าถึงกับชาวาบ  มือทั้งสองข้างตรงเข้ากระชับที่คอของเขาทันที  “บอกข้าสิว่าเจ้าไม่ได้แอบดู!”

“วางใจได้  ข้าไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นหรอก”  เขาตอบขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม 

“แล้วที่สู้กับราชาของคาร์ไลน์เมื่อครู่นี้คืออะไร?”  โซแวนถามขึ้น  “เมื่อกี้ไม่ใช่การทดสอบหรอกหรือ?”

“เป็นหนึ่งในการทดสอบขอรับ  เพราะผู้ที่จะถือครองประตูได้นั้นจะต้องสัมผัสกับศาสตราเทพเจ้าได้เสียก่อน  ปัจจุบันมีเพียงกษัตริย์ของคาร์ไลน์เท่านั้นที่ทำได้  เพราะฉะนั้นการทำให้สิทธิ์ขั้นต้นของเจ้าสมบูรณ์ก็ต้องได้รับการยอมรับจากวิญญาณกษัตริย์เสียก่อน”  ผู้วิเศษอธิบาย 

นั่นหมายความว่าโซแวนยังไม่เข้าบททดสอบจริงๆ  แล้วบททดสอบจริงๆ  จะเป็นแบบไหน?

“แล้วเขาต้องทำอะไรต่อล่ะ?”  ข้าถามขึ้น  ผู้วิเศษเมื่อหันมาหาข้าอีกรอบก็ยกยิ้ม  ก่อนจะยื่นมือมาแตะแก้มของข้า  ในช่วงที่กำลังมึนงงอยู่นั้น  ผู้วิเศษก็เริ่มหยิกแก้มของข้า

“ถึงจะดีใจที่ท่านสามารถผ่านการทดสอบของลูซิฟรานก็เถอะ  แต่เล่นใช้  ‘มหาเวท’  แบบนั้นมันอันตรายนะขอรับ”  เขาตำหนิก่อนจะปล่อยแก้มของข้าแล้วถอนหายใจออกมา  ยกมือขึ้นจับไหล่ทั้งสองของข้าอีกครั้งแล้วเตือนว่า  “คราวหน้าอย่าใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้าอีกนะขอรับ  ครั้งนี้ท่านแค่สูญเสียพลังเวทไปเกือบหมด  แต่ปัญหาร้ายแรงของมันไม่ได้หมดแค่นั้น  ท่านอาจจะกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปเลยก็ได้ถ้าฝืนใช้อีก”

“เข้าใจแล้ว  ข้าจะพยายามมันใช้อีก”  ข้ารับปากขณะที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบแก้มที่โดนหยิกจนแดง

“ไม่ใช่จะพยายาม  ต้องไม่ใช้เด็ดขาด”  ผู้วิเศษท้วงขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังทำให้ข้าชะงักแล้วยอมพยักหน้าตกลง

“ได้  ข้าจะไม่ใช้อีก”

“เชิญฝ่าบาทพักผ่อนก่อนเถอะขอรับ  ข้ามีเรื่องจะพูดกับโซแวนก่อน  ไม่ทราบว่าจะขอไปตรงนู้นกันแค่สองคนได้หรือไม่”  ผู้วิเศษดันข้าลงนั่งกับโขดหินแล้วขออนุญาต  ท่าทีแปลกใจของโซแวนทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ได้เรื่องนี้ด้วย  แต่ดูท่าจะเป็นเรื่องสำคัญข้าเลยไม่คัดค้าน

“ได้สิ”

“ขอบพระคุณฝ่าบาท”  เขายกยิ้มขึ้นแล้วจับมือทั้งสองข้างของข้าไว้  “จงแข็งแกร่งขึ้น.มากขึ้นและมากขึ้นนะขอรับ”

ข้าขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา  แต่ยังไม่ทันถามอะไรผู้วิเศษก็ผละจากไปพร้อมกับโซแวน  ข้าเลยต้องนั่งรออยู่ที่โขดหินเพื่อพักฟื้น  ทว่าครู่หนึ่งกลับรู้สึกผิดแปลก

ข่ายเวทที่ป้องกันวิหารไว้อยู่กำลังสั่นคลอน  ข้ารีบยันตัวลุกขึ้นแต่กลับช้าไป  เมื่อตรงหน้าปรากฏร่างของคนที่คุ้นเคยขึ้น  ข้ารีบผลักตัวเองไปด้านหลังแต่ไม่ทันและล้มลงไปเมื่อถูกอีกฝ่ายคว้าคอไว้

“ไม่ได้เจอกันนานนะ  องค์ชาย”  ลูซัสแสยะยิ้มน่าขนลุกขึ้น  แม้ใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่กลับดูเย็นยะเยือกจนน่าหวาดกลัว  ข้าพยายามแกะมือของเขาออกจากลำคอแต่ไม่ได้ผล

“อึก...ปะ...ปล่อยข้า”

“ไม่ได้หรอก  ปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังกลางป่าแบบนี้เป็นอันตรายนะ  รู้ไหม”  เขาแสยะยิ้มขึ้นก่อนจะออกแรงกระชากข้าให้ลุกขึ้น  และพันธนาการด้วยโซ่ไว้

“แต่ถ้าต้องอยู่กับเจ้า  ข้าขออยู่คนเดียวดีกว่า”  ข้าสวนกลับไปขณะใช้เวทคลายมนตร์โซ่  แต่เพราะพลังยังไม่ฟื้นตัวดีเลยไม่สามารถทำได้  ลูซัสหัวเราะเย็นๆ  ออกมาก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างตรึงข้าเอาไว้ 

“เอาล่ะ  เดี๋ยวข้าจะพาไปดูอะไรดีๆ  เอาไหม”

ข้าเบิกตากว้างด้วยความสับสน  ขณะนั้นเองที่ลูซัสใช้พลังเคลื่อนย้ายโผล่มาในสถานที่แห่งหนึ่ง  ยังคงเป็นป่าต้องห้ามส่วนลึก  ตรงหน้ามีร่องรอยการต่อสู้อยู่  ทุกอย่างดูเงียบชะงักลงก่อนที่เสียงของผู้วิเศษจะดังขึ้น

“ฝ่าบาท!?  เจ้า...ลูซัส”  ผู้วิเศษทำท่าจะวิ่งเข้ามาหา  ทว่ากลับถูกใครบางคนโผล่เข้ามาขวางแล้วฟาดดาบใส่เขาอย่างรวดเร็วโชคดีที่สามารถป้องกันไว้ได้  แต่ตัวของเขานั้นก็ไถลจนไปอยู่ข้างๆ  โซแวน

ผู้ที่โผล่มายืนตรงหน้าทำให้ข้าเบิกตากว้างแล้วเผลอตะโกนเรียกออกมา  “ครีออน!”

น้องชายของข้าเหลือบสายตามามอง  ในดวงตาที่เยือกเย็นคล้ายกับอยู่อย่างโดดเดี่ยวและตัดขาดจากทุกสิ่งทำให้ข้าชะงักไป

นี่ไม่ใช่น้องชายที่ข้ารู้จัก...แต่เป็นครีออนจริงๆ  เขาที่เปลี่ยนไปมาก

“ไม่เลวเลยนี่  คิดจะมาหาสถานที่ที่ห่างตาจากเขา  แต่ว่านะ...อย่าคิดว่าข้าเดาความคิดของเจ้าไม่ออกล่ะ”  ลูซัสเอ่ยขึ้นกับผู้วิเศษ  ก่อนจะขยับมือที่ปรากฏมีดเล่มเล็กขึ้นมาใกล้ลำคอของข้า  “วางใจเถิด  รอบนี้ข้าเป็นแค่คนดูเท่านั้น”

“ปล่อยเขาซะ”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ 

แต่ลูซัสกลับไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า  “ฝ่าบาท  เชิญทำตามที่ท่านต้องการเถิด”

“ไม่ต้องมาสั่งข้า”  ครีออนสวนกลับไปเสียงเรียบ  ก่อนจะกระชับดาบในมือ  ซึ่งทำให้ข้าอดกังวลใจไม่ได้เพราะมันคือศาสตราศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังทำลายล้างสูง  เขาย่อตัวลงก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีทั้งสองคน  ผู้วิเศษรีบกางเวทป้องกันก่อนที่โซแวนจะเรียกอาวุธของตนออกมาโจมตีสวนกลับ

ทั้งสองคนเข้าฟาดฟันกันโดยมีผู้วิเศษและลูซัสสนับสนุนฝ่ายของตนอยู่  แต่อาวุธของโซแวนนั้นไม่ได้ทนทานต่อพลังของศาสตราเทพเจ้าสักเท่าใด  ไม่กี่นาทีก็เริ่มร้าวและแตกออก  ผู้วิเศษต้องขยับเข้ามาช่วยขณะซ่อมแซมดาบของอีกฝ่ายไปด้วย  กลายเป็นสองคนรุมหนึ่ง

แต่ครีออนตอนนี้ไม่เหมือนกับคนที่ข้ารู้จักเลยสักนิด  เขาเยือกเย็นขึ้นคล้ายกับไร้หัวใจไปเสียแล้ว  รอบข้างเต็มไปด้วยไอมืดของการตกต่ำลง  แต่พลังของเขากลับแข็งแกร่งขึ้น  ทั้งยังได้กลิ่นของอสูรเข้มข้นขึ้น

ในตอนนี้แม้แต่ผู้วิเศษกับโซแวนเองยังมีสีหน้าตึงเครียด  แต่เดิมนั้นพวกเขาใช่ว่าจะรับมือลูซัสไม่ไหว  แต่ทว่าเมื่อมีครีออนมาช่วยตัวแปรกลับทำให้ผลลัพธ์อาจผันผวนไป

ทุกย่างก้าวและการตวัดดาบฟาดฟันของครีออนทำให้ข้ารับรู้ได้

เขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่ากลัว

“หากท่านสามารถโค่นผู้วิเศษลงได้  สิทธิ์ประตูแห่งอำนาจครึ่งหนึ่งจะเป็นของท่าน  ราชาครีออน”  ลูซัสเอ่ยขึ้นกับครีออน  นั่นทำให้ข้ารู้ถึงจุดประสงค์ของเขา  และเมื่อเงยหน้ามองคนที่จับกุมข้าไว้อยู่  เขาก็กำลังแสยะยิ้มออกมา

“ผู้ที่ถือครองทั้งสองประตูในคราเดียว  ข้าอดใจรอชมผลลัพธ์ไม่ไหวแล้วสิ”

นี่มันแย่มาก...แม้ข้าจะไม่รู้เรื่องการถือประตูมากนัก  แต่การที่ได้รับสิทธิ์ประตูมาย่อมรับรู้ได้ว่าการถือครองนั้นมันใช้พลังมหาศาลและสูญเสียพลังกายไปมากเท่าไร  หากพลังเวทไม่แข็งแกร่งพอก็ยากที่จะต้านทานอำนาจที่คล้ายกับเครื่องประหารของประตูได้  เพราะเหตุนั้นผู้วิเศษถึงบอกให้ใช้ผู้ถือสิทธิ์สองคน

คนหนึ่งคนถือสิทธิ์สองประตู...แค่คิดก็รู้แล้วว่ามันอันตรายเพียงใด

“อึก!” 

ขณะที่ข้ากำลังกังวลเกี่ยวกับคำพูดของลูซัส  โซแวนที่ผลัดเปลี่ยนการโจมตีครีออนต่อจากผู้วิเศษก็เสียหลักล้มไป  น้องชายข้าเตรียมง้างศาสตราเทพเจ้าขึ้นสูงเตรียมฟาดฟันลงมา  ผู้วิเศษเองก็อยู่ห่างเกินไปที่จะช่วยได้ทัน  หัวใจของข้าคล้ายกับหล่นวูบลงไปทันที

“ครีออน  หยุดเดี๋ยวนี้!!”  ข้าตะโกนออกไปทันทีเสียงสั่นเครือ  ทั้งจากความหวาดกลัวและความโกรธจนอยากจะร้องไห้ออกมา  “หยุดสักที!  พอได้แล้ว!!”

ร่างของครีออนชะงักไปคล้ายกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ  โซแวนใช้จังหวะยันตัวลุกขึ้นแล้วถีบไปที่หน้าท้องของเขา  ใช้กำลังแย่งศาสตราวิญญาณมาอยู่ในมือสำเร็จ

ครีออนซวนเซจะล้ม  ใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมศีรษะคล้ายกับกำลังเจ็บปวด  ลูซัสเห็นดังนั้นจึงผละจากข้าไปประคองเขาไว้

ข้าที่พลังกลับมาจนสามารถคลายมนตร์โซ่ได้แล้วจึงรีบสลายมันออกแล้วหันไปทางพวกโซแวน  คิดจะวิ่งไปหาทว่าพวกเขากลับทำให้ข้าเบิกตากว้าง

โซแวนที่ได้ดาบศักดิ์สิทธิ์มาแล้วหันเข้าหาผู้วิเศษ  กระชับดาบแน่นและใช้มันโจมตีใส่อีกฝ่ายทันที

ฉึก!

เสียงนั้นไม่ได้ดังกังวานแต่มันกลับสะท้อนอยู่ในหูของข้าที่ยืนตัวแข็งค้าง  ภาพของผู้วิเศษที่ถูกโซแวนแทงหน้าอกจนทะลุไปด้านหลังกลายเป็นภาพติดตาที่ไม่อยากจะเชื่อ  ใบหน้านั้นไร้ความเจ็บปวดและคล้ายกับยอมรับชะตากรรมนี้

ข้าไม่เห็นใบหน้าที่ก้มนิ่งอยู่ของโซแวน  แต่ในวาระสุดท้ายของผู้วิเศษเขาก็ยังส่งยิ้มมาให้ข้า  ดวงตาแสนวิเศษนั้นค่อยๆ  หลับลงพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ  ที่มุมปากก่อนที่จะเอ่ยคำพูดสุดท้ายออกมา

“หน้าที่ของข้าจบลงแล้ว  ลาก่อน...”

“ฮึก...ไม่!!” 

ร่างของผู้วิเศษกำลังเลือนหายไปพร้อมกับแสงสีทองที่ค่อยๆ  ออกมาจากร่างของเขาลอยขึ้นสู้ฟ้า  ข้ากรีดร้องเสียงดังลั่นขณะวิ่งไปหาเขา  พยายามคว้าเอาไว้อย่างไร้ความหมาย  สุดท้ายได้แต่ความว่างเปล่า

ข้าล้มลงนั่งกับพื้นข้างๆ  โซแวนที่ค้างอยู่ในท่าสังหารผู้วิเศษไปเมื่อครู่  เขายืดตัวขึ้นช้าๆ  ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองฟ้า

เสียงก้องกังวานของกระดิ่งลมดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงอึกทึกที่มาจากการปรากฏตัวของประตูแห่งอำนาจ  มันกำลังตอบสนองต่อโซแวนซึ่งมีสิทธิ์ต่อจากผู้วิเศษ

ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้กัน...การรับสิทธิ์ต่อจากผู้ถือครองประตูนั้น  มีแค่การสืบทอดจากความตาย

ข้าได้รับสืบทอดจากท่านลูซิฟรานด้วยดาบศักดิ์สิทธิ์  และหากต้องการให้โซแวนมาช่วยข้าถือครองประตูก็ต้องกำจัดผู้ถือประตูคนก่อน...ซึ่งก็คือผู้วิเศษ

ผู้วิเศษย่อมรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก  นั่นหมายความว่าเขายินยอมให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว  ตั้งแต่แรก...แต่ข้าไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อน

ทั้งโซแวนและผู้วิเศษต่างเป็นคนที่ข้า  ‘รัก’  แต่กลับต้องมาสังหารกันเองเพื่อสนับสนุนให้ข้าจบสงครามครั้งนี้ให้ได้

ความรู้สึกมากมายเอ่อล้นออกมาจากในอกจนทำให้ข้าหายใจไม่ออก  หยดน้ำมากมายไหลรินออกมาจนห้ามไม่อยู่  ข้าไม่กล้าแม้จะขยับไปไหน  ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาโซแวน

ข้ากลัว...กลัวที่จะเห็นใบหน้ายินดีกับพลังใหม่ของเขา  กลัวว่าจะเห็นใบหน้าที่ไม่ได้รู้สึกรู้สากับการตายไปของผู้วิเศษ  ข้าไม่กล้าแม้แต่จะรับรู้สิ่งใด

กลายเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่อยากยอมรับความจริงในตอนนี้...

ข้าที่ได้ยินเสียงโซแวนสูดลมหายใจเข้าเจือมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ  ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียงที่คล้ายกับกำลังสั่นอยู่

“แบบนี้...สาแก่ใจเจ้าหรือยัง...”

...

ช่วงก่อนหน้านั้น

“เป็นเรื่องที่พูดให้เขาฟังไม่ได้เหรอ”  เมื่อเดินห่างออกมาจนแน่ใจว่าทีอารีนจะไม่ได้ยินแล้วเขาก็เอ่ยถามขึ้น  ทำให้คนที่เดินนำอยู่หยุดชะงักแล้วหันมายิ้มให้

“ถูกต้อง”  ผู้วิเศษส่งสายตาชื่นชมให้  อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ยังคิดถึงทีอารีนมากกว่าใคร  “หากรู้ความจริง  เขาในตอนนี้จะต้องขัดขวางเป็นแน่”

โซแวนขมวดคิ้วก่อนจะถามกลับด้วยความรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี  “หมายความว่ายังไง  เจ้าจะส่งทอดประตูด้วยวิธีไหน”

“อย่างที่เจ้าเข้าใจ  ประตูจะถูกส่งผ่านเมื่อผู้ถือสัญญาสิ้นอายุขัยไป  หรือถ้าจะให้พูดให้เข้าใจ”  ผู้วิเศษกล่าวพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้  ยกมือแตะหน้าอกของตัวเองไว้แล้วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ฆ่าข้าซะ”

“อย่าพูดบ้าๆ!”  ชายหนุ่มสวนกลับไปทันที  นี่มันเกิดการคาดการณ์ของเขาไปอย่างมาก  ดวงตาสีทองเหลือบแดงนั้นมองไปทางทีอารีนครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาสบกับอีกฝ่าย  “เจ้าควรคิดถึงจิตใจของทีอารีนมากกว่านี้”

“ข้าคิดถึงอยู่เสมอ”

“แล้วทำไมถึงตัดสินใจเช่นนี้!  เจ้ารู้ว่าเขารักเจ้า  รักเจ้ามากกว่าใคร  มากกว่าข้า  แต่เจ้าก็ยังกล้าที่จะ...ทำร้ายความรู้สึกของทีอารีน”  โซแวนโวยวายด้วยความรู้สึกหลากหลายทั้งสับสน  โกรธ  และเจ็บปวด

เขารู้ตัวมาตลอดว่ายังไม่ใช่ที่หนึ่งในใจของทีอารีน

เพราะอีกฝ่ายรักผู้วิเศษ  ยังมีเยื่อใยให้อีกฝ่ายอยู่

ผู้วิเศษยกยิ้มขืน  ก่อนจะสารภาพออกมา  “ข้าเสียใจ  จริงอยู่ว่าอาจจะทำให้ท่านทีอารีนเสียใจ  แต่ว่าตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

“หมายความว่ายังไง”  โซแวนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ท่านครีออนกำลังมุ่งมาที่นี่พร้อมศาสตราศักดิ์สิทธิ์  อาวุธที่สามารถสังหารข้าได้  หากเขาทำสำเร็จสิทธิ์การถือครองประตูจะเป็นของเขาทันที”  ผู้วิเศษอธิบายขึ้นทำให้โซแวนเข้าใจในทันที

หากเขาไม่ฆ่า  ครีออนก็จะเป็นคนฆ่าผู้วิเศษเอง  ไม่ว่าหนทางไหนอีกฝ่ายก็ต้องหายไป  ตอนนี้สิ่งที่ต้องเลือกคือทางใดจะทำให้ทีอารีนเจ็บน้อยกว่ากัน

“เป็นไปไม่ได้  คนเดียวถือสิทธิ์สองประตูมัน...”  โซแวนกัดฟันกรอด  รู้ถึงจุดประสงค์ของผู้วิเศษทันที  หากถือสองประตูนั่นหมายความว่าภาระก็จะเพิ่มขึ้น  ร่างกายจะรับสภาพไว้และแตกสลายไป  เช่นนั้นแล้วการตัดสินใจต่อจากนี้มีผลกับสภาพจิตใจของทีอารีน

ในฐานะสายเลือดเดียวกันแล้วทีอารีนย่อมรักครีออนมากกว่าใคร  หากทั้งครีออนและผู้วิเศษตายไปจะไม่เหลือแสงแห่งความหวังอะไรแล้ว  เด็กคนนั้นจะตกสู่ความมืดด้วยความทุกข์ทรมาน

“เป็นแผนการของลูซัสหรือ”  โซแวนเอ่ยถามขึ้น  อีกฝ่ายเองก็คงรู้อยู่แล้ว

“ถูกต้อง” 

“ไม่มีทางเลือกอื่นเลยหรือ”  โซแวนถามย้ำเพื่อค้นหาความหวัง  ไม่เช่นนั้นสถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย

“ไม่มีแล้ว”  ผู้วิเศษเอ่ยออกมาเสียงเรียบ  นั่นทำให้โซแวนรู้สึกเจ็บในอกขึ้นมา  เขาไม่ต้องการเห็นทีอารีนทรมานไปมากกว่านี้  แต่หากทำตามสิ่งที่ผู้วิเศษบอกย่อมถูกเกลียดได้

“หากข้าตายไปแค่คนเดียวเขาคงไม่ทรมานเท่าสูญเสียครีออนไปด้วย”

“เจ้าจะทำให้ข้าถูกเกลียด”

“จะยอมถูกเกลียดหรือเห็นเขาทรมานจนลงไปสู่ความมืดล่ะ  เจ้าเป็นคนเลือกเอง”  ผู้วิเศษตั้งคำถามทำให้โซแวนกัดฟันกรอด  ชายหนุ่มกำหมัดแน่น  นั่นทำให้เขาหัวเราะออกมา  แม้ใบหน้าจะยกยิ้มเหมือนปกติแต่ดวงตาทอความเศร้าอย่างปิดไม่มิด 

“บางทีข้าคงเป็นคนเลวที่สุดที่ไม่สามารถให้อภัยได้”

โซแวนไม่ได้ปริปากตอบโต้  เขามองคนตรงหน้าซึ่งยังคงมีแววตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยน  แต่แฝงไปด้วยการเตรียมใจเรียบร้อยแล้ว  ทุกการตัดสินใจของอีกฝ่ายผ่านการตระเตรียมมาแล้ว  ไม่มีสิทธิ์จะปฏิเสธหรือห้าม

ฉับพลันนั้น  โซแวนก็สัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์ประหลาดกำลังพุ่งมาทางพวกเขา  มันน่าขนลุก  แต่เคยพบมาก่อนจึงแน่ใจว่าไม่มีเวลาอีกแล้ว

ผู้วิเศษยกยิ้มแล้วเอ่ยออกมา  “ถึงเวลาแล้วสิ”

------------------
ไม่ได้ลงมาหลายวัน เพื่อเป็นไถ่โทษขอลงรวดสามตอนเลยค่า
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 30>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 29-04-2018 20:11:38
บทที่  29
กรีดร้องไร้เสียง

ข้าปล่อยให้ตัวเองนั่งร้องไห้อยู่ที่เดิมแม้จะรู้ดีว่าสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายดี  แต่ตอนนี้ราวกับว่าไม่มีใครขยับตัว  จนกระทั่งได้ยินเสียงไอโขลกขึ้น  ข้าจึงได้รีบหันไปมอง

ครีออนทรุดตัวลงอยู่ที่พื้นและยังไอเอาเลือดสีดำออกมาไม่หยุด  นั่นทำให้ข้าชะงักและปวดร้าวอยู่ในอก  ความตายเมื่อครู่ของผู้วิเศษยังคงไม่จางหายไปจากความคิด  ข้าจึงไม่ต้องการเห็นคนที่รักเป็นอะไรอีก

“ครีออน!”  ข้ารีบเอ่ยเรียกเขา  ลุกขึ้นคิดจะเข้าไปหา  วินาทีที่น้องชายได้ยินเสียงก็เงยหน้าซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาและความเจ็บปวดขึ้นมา  ทว่าครู่เดียวเขาก็ถูกหิ้วให้ยืนขึ้นพร้อมกับลำแสงสีดำที่พุ่งตรงเข้ามาหาข้า

เคร้ง!

แต่โซแวนเองก็ไวเช่นกัน  เขารีบวิ่งมาขวางหน้าข้าไว้แล้วใช้ดาบกันลำแสงของลูซัสออกไป  เมื่อสลายแล้วจึงตวัดดาบลง  ข้าขยับตัวเล็กน้อยไปยืนอยู่ข้างๆ  เขาเพื่อมองครีออน  สีหน้าของน้องชายข้าไม่สู้ดีนักจนอดเป็นห่วงไม่ได้  แม้รู้ว่าจะอยู่ในอ้อมกอดลูซัสแต่ข้าก็ยังคิดหาทางจะช่วยเขาออกมา

“เจ้าควบคุมเขาอยู่ใช่ไหม?”  คำถามหนึ่งดังขึ้นจากโซแวน  ข้าจึงได้กล้าเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าที่เรียบเฉยของเขา  ดวงตานั้นพุ่งตรงไปยังลูซัสคล้ายกับคาดคั้น

“หึ  ทำไงได้  ถ้าไม่ทำเขาก็จะวิ่งไปหาพี่ชายสุดที่รักน่ะสิ”  ลูซัสตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ชวนมอง  เมื่อรู้ว่าเขาจงใจกักขังครีออนไว้ก็ทำให้ข้ารู้สึกโกรธขึ้นมาแต่โซแวนกลับห้ามไว้

ในวันนี้พอได้เห็นครีออนแล้วข้าจึงสัมผัสได้  เขากำลังถูกควบคุมและถูกกัดกินจากกลุ่มไอหมอกสีดำที่อยู่รอบๆ  จนทำให้ร่างกายย่ำแย่  เพราะเราเกิดจากมารดาคนเดียวกัน  ข้าจึงรู้ดีว่าร่างกายของเขาก็ไม่ได้แข็งแรงไปกว่าข้าสักเท่าไร

“คืนเขามา  เดี๋ยวนี้” 

ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ  แต่ลูซัสกับหัวเราะในลำคอ  “คืน?  อย่ามาพูดตลกๆ  น่า  เด็กคนนี้เลือกที่จะมาทางนี้เอง  แต่ดันโลเลเพราะเจ้าเสียได้  อย่างกับคนที่ไกวชิงช้าอยู่ท่ามกลางสีขาวและสีดำ  จะตกไปทางไหนก็ได้  ข้าก็แค่ดึงเขามาทางสีดำเท่านั้นเอง”

“เจ้า!  ปล่อยครีออนเดี๋ยวนี้!?”  ข้าย้ำขึ้นอีกพลางเรียกวงเวทออกมา  แต่ลูซัสกลับไปไม่รู้สึกหวั่นเกรงแต่อย่างใดแถมยังเย้ยหยันด้วยการใช้มือข้างหนึ่งบีบเข้าที่ลำคอของครีออน  สีหน้าที่ทรมานของน้องชายทำให้ข้าชะงัก 

“อย่าคิดทำร้ายข้าดีกว่า  ไม่งั้นฝ่าบาทคนนี้จะเป็นยังไงข้าก็ไม่รู้ด้วยนะ”

ข้ากัดฟันกรอด  พยายามคิดหาทางให้ลูซัสปล่อยครีออนให้ได้  แต่จู่ๆ  โซแวนก็พูดขึ้นว่า  “จะต้องทำยังไงให้เจ้ายอมปล่อยเขา”

“หืม?”  ลูซัสเลิกคิ้ว  ก่อนจะยกยิ้มขึ้น  “งั้นเอาดาบศักดิ์สิทธิ์คืนมาสิ  ข้าอาจยอมมอบตัวเขาให้ก็ได้นะ” 

“อย่ามาตลกน่า  ดาบนี่มีแต่คนที่เป็นกษัตริย์เท่านั้นที่จะถือครองไว้ได้  ข้างเจ้าก็มีแค่เขาเท่านั้น”  โซแวนสวนกลับไปเสียงเรียบ 

แต่ลูซัสกลับหัวเราะขึ้น  “หึๆ  น่าขำจริงๆ  ที่ได้ยินเจ้าพูดแบบนั้นออกมา  อย่าลืมสิว่าเจ้าเองก็ไม่ได้เป็นกษัตริย์ของคาร์ไลน์เหมือนกัน” 

“แต่ก็ไม่เหมือนเจ้าที่ถือไม่ได้นี่”  เขายังคงสวนกลับไปอย่างไม่ยี่หระ  เมื่อลูซัสรู้ว่ายังไงโซแวนก็ไม่ยอมส่งดาบศักดิ์สิทธิ์ให้ไปเป็นกำลังเสริมของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนข้อแลกเปลี่ยน

“ถ้างั้น...องค์ชาย  ท่านจะยอมแลกตัวเองเพื่อช่วยน้องชายหรือไม่”  คำเสนอของเขาทำให้ทั้งข้าและโซแวนชะงักไปชั่วขณะ  แต่ชายข้างๆ  ข้าก็ปฏิเสธในทันที 

“นั่นไม่ได้เด็ดขาด”

“อะฮะ  กะไว้แล้ว  แต่ข้าคิดว่าข้ากำลังถามเจ้าชายทีอารีนอยู่นะ  เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตอบแทนกันล่ะ?  เจ้าคิเมร่า”  ลูซัสหรี่ตาลงมองคล้ายกับกำลังจับข้อสงสัยบางอย่างจากคนที่ไม่แสดงอารมณ์บนใบหน้าตอนนี้อย่างโซแวน  ข้าเตรียมจะแก้ต่างทว่าอีกฝ่ายกลับเอ่ยขึ้นแทรกมาก่อน

“อ้อ  เข้าใจล่ะ  เจ้าได้ร่วมรักกับเจ้าชายทีอารีนแล้วใช่ไหม  น่าอิจฉาจังน้า”  เขาเอ่ยขึ้นในสิ่งที่ข้าและโซแวนยังไม่ได้บอกใคร  แต่ท่าทีของพวกเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนอกเสียจากจะแปลกใจที่จู่ๆ  ลูซัสก็พูดขึ้นมา

ข้าพลันนึกถึงบางเรื่องได้จึงรีบร้องห้ามไปในทันที  “อย่าคิดเอาเรื่องนั้นมายุยงครีออนเด็ดขาด”

“ทำไมล่ะ  นี่เป็นวัตถุดิบชั้นดีที่จะผลักเขาให้ตกไปในความมืดเชียวนะ  พี่ชายอันเป็นที่รักร่วมรักกับสัตว์ประหลาดที่ไม่ชอบหน้า  ใครๆ  ก็เจ็บปวดทั้งนั้น”  ลูซัสแสยะยิ้มราวกับผู้ที่อยู่เหนือกว่า  คำพูดของเขาทำให้ข้ากัดฟันกรอดแล้วยกมือขึ้นร่ายเวทโจมตีใส่เขา  แต่ก็ถูกห้ามไว้

“ใจเย็น  เจ้าอย่าลืมสิว่าน้องชายเจ้ากลายเป็นตัวประกันอยู่”  โซแวนรีบจับข้อมือข้ายั้งไว้แล้วเตือนขึ้นด้วยความเป็นห่วง  เพราะคนที่จะเจ็บปวดมากที่สุดหากครีออนเป็นอะไรไปก็คือข้า  ข้าจึงได้ลดมือลงท่ามกลางเสียงหัวเราะของลูซัส

“ฮะๆ  แย่จังน้า  องค์ชาย  ที่ท่านไม่สามารถทำอะไรข้าได้”  เขายิ้มเย้ยขึ้นก่อนที่จะกวาดมืออีกข้างที่ว่างอยู่ไปด้านข้างแล้ววงเวทอัญเชิญมากมายก็ปรากฏขึ้นพร้อมร่างของอสูรที่ค่อยๆ  คลานออกมา  “แต่ว่าทางนี้น่ะ  จะทำอะไรก็ได้  ก็ถือว่าเปิดตัวอสูรที่ข้าเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งไปในตัวละกัน  ต่อให้เป็นพวกท่านที่ได้รับสิทธิ์ประตูแห่งอำนาจมาก็คงฝืนกันอยู่ดี”

“เจ้า!”  ข้ากัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ  แต่ลูซัสกลับยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะพาครีออนหันหลังกลับไปยังประตูเวทที่อยู่ด้านหลัง 

“ลาก่อน  ไม่ต้องห่วงหรอก  น้องชายของท่าน  เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาจะเป็นปีศาจที่ฆ่าคนไม่เลือกหน้า  ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรแล้ว”

“ไม่...หยุดนะ  อย่าทำอะไรเขา!”  เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูซัสพูดข้าก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกรีดมากไปกว่าเดิม  พยายามวิ่งเข้าไปหาเขาแต่ถูกอสูรห้อมล้อมไว้ 

ก่อนที่เขาจะหายไปในประตูก็ได้พูดขึ้นมาว่า  “ลาก่อน  แค่สองคนคงเป็นได้แค่เหยื่อของเจ้าพวกนี้เท่านั้นแหละ”

“แล้วถ้าไม่ได้มีกันแค่สองคนล่ะขอรับ?”  เสียงหนึ่งที่คุ้นหูดังขึ้น  พร้อมกับที่อสูรตรงหน้าข้าจะถูกฟันขาดครึ่ง  ร่างหนึ่งก้าวมายืนตรงหน้าอย่างองอาจ  และรอบๆ  ก็ล้อมไปด้วยผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตา

เร็น  อาคีรัส  วารัน  นอร์ธวินด์  และคาร์ริต้า  แม้กระทั่งซีวาลเองก็มาด้วย  พวกเขาพร้อมด้วยอาวุธคู่กายยืนประจันหน้ากับอสูร  ด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นมามากทำให้ลูซัสเองก็แปลกใจ  แต่เขาก็ไม่ได้สนอีกต่อไปและหายไปในวงเวท

เร็นที่ยืนอยู่หน้าข้าหันมาส่งยิ้มอ่อนโยนให้ก่อนจะบอกว่า  “ฝ่าบาท  พระองค์เหนื่อยมามากพอแล้ว  พักสักหน่อยเถิดขอรับ  แล้วเจ้าพวกนี้พวกกระหม่อมจะเป็นคนจัดการเอง”

สิ้นเสียงที่เขากล่าว  เจ้าตัวก็หันไปฟันอสูรด้วยสีหน้าจริงจังต่างกับตอนที่พูดเมื่อกี้ลิบลับ  เมื่อหันไปมองรอบๆ  คนอื่นๆ  ก็เริ่มจัดการอสูรแล้ว  แม้จะลำบากกว่าการกำจัดอสูรทั่วๆ  ไปแต่ทุกคนก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากหลังจากจัดการอสูรตัวสุดท้ายได้แล้ว

เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างแผ่วเบาก่อนที่ต่างคนต่างทรุดนั่งลงไป

“เฮ้อ  เหนื่อยชะมัด  รีบมาที่นี่ด้วยความเร็วสูงสุดเลย”  นอร์ธวินด์บ่นพึมพำขึ้นมา  ก่อนที่จะลุกพรวดขึ้นมาหาข้า  “ฝ่าบาท  บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าขอรับ”

“ไม่...ข้าไม่เป็นอะไร”  ข้าตอบไปโดยที่ไม่คิดจะสำรวจตัวเองว่ามีส่วนไหนบาดเจ็บไหม  เพราะดูแล้วแผลทุกอย่างก็สมานตัวเองเรียบร้อยแล้ว  ข้าสบตากับทุกคนก่อนจะพูดว่า  “ข้าจะรักษาให้พวกเจ้านะ”

ไม่พูดเปล่า  ข้ากางมือออกทั้งสองข้างและร่ายคาถารักษาพวกเขาทุกคน

แสงสีขาวทองสว่างวาบก่อนที่จะหายไปพร้อมกับร่องรอยบาดแผลบนตัวพวกเขาที่ได้รับการรักษา  ไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งข้าถามขึ้นว่า  “ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

“พวกข้าได้รับการติดต่อจากผู้วิเศษขอรับ  ว่าเมื่อเห็นประตูแห่งอำนาจเปิดแล้วให้มุ่งมาที่นี่ทันที”  เร็นตอบขึ้น  เมื่อได้ยินชื่อของคนที่ถูกเอ่ยถึงก็ทำให้ข้ารู้สึกหน่วงในอก  และเมื่อได้ยินอาคีรัสถามถึงก็ยิ่งรู้สึกปวดมากขึ้น

“จะว่าไป…ผู้วิเศษไปไหนหรือขอรับ”

“ไม่อยู่แล้ว…”  เสียงราบเรียบดังขึ้นจากโซแวน  ข้าเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเห็นว่าเขาที่เป็นคนพูด…ไร้ความรู้สึกใดๆ

หนำซ้ำยังยอมรับสิ่งที่แม้แต่ข้าก็ไม่กล้าบอก  “ข้าเป็นคนสังหารเขากับมือ”

“เจ้า!”  เสียงซีวาลตวาดลั่นขึ้นทำให้ข้ารีบเงยหน้าขึ้น  เขาทำท่าจะพุ่งเข้าหาโซแวนแต่ถูกวารันยั้งไว้

“เจ้าไม่น่าจะทำอะไรแบบไม่คิด”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้นก่อนจะถามว่า  “เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ”

ข้าหันไปทางโซแวน  เขายังคงยืนนิ่งสู้กับสายตาของทุกคนที่จ้องมองเขาก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ข้าแล้วโค้งตัวลงพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า  “ขอโทษ...”

ข้าเบิกตาที่ร้อนชื้นกว้างกว่าเดิมด้วยความตกใจ  การที่เขาเอ่ยขึ้นแบบนี้ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกทรมานกว่าเดิม

ข้ารักผู้วิเศษ...แต่เพราะไม่สามารถก้าวล้ำความสัมพันธ์ไปได้มากกว่านี้จึงยอมถอยออกมา  ถ้าหากให้พูดในบรรดาคนที่ข้ารู้จักทั้งหมด  เขาเป็นคนที่ข้าต้องการร่วมหลับนอนมากที่สุดแม้มันจะไม่มีทางเป็นไปได้  ทว่าตัวข้าก็ไม่กล้าพูดว่าไม่รักโซแวนจริงๆ

ในสถานการณ์ที่ข้ากำลังสับสนหรือทรมานใจ  เขาก็มักจะอยู่ข้างๆ  เป็นหลักพิงให้ข้า  เป็นความสัมพันธ์ที่ข้ากับเขาสามารถพัฒนาไปเรื่อยๆ  ได้

แต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะฆ่าคนที่ข้ารักมากที่สุดไป  ทั้งๆ  ที่เขาเองก็น่าจะรู้...ว่าข้าจะทรมานกับการจากไปของผู้วิเศษ

โซแวนเงยหน้าขึ้นมองข้าทำให้ข้าเห็นแววตาที่กำลังลำบากใจ  และอ้อนวอนขอให้เข้าใจ  ข้ากำหมัดแน่น  ไม่ใช่ว่าแค้นเคือง  แต่เป็นเพราะเกลียดตัวเองที่ไม่พยายามเข้าใจเขา  ไม่พยายามเข้าใจเจตนาของผู้วิเศษ

“เก็บคำขอโทษไปบอกเขาที่หลุมศพเถอะ”  ข้าดันศีรษะเขาให้ยืดตัวตรงขึ้นแต่ก็ไม่กล้าสบตา  ข้าปาดน้ำตาที่ล้นออกมาแล้วสูดลมหายใจเข้าพยายามทำจิตใจให้สงบก่อนจะถามขึ้นว่า  “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าคุยกันอยู่  เล่ามาสิว่าผู้วิเศษบอกอะไรเจ้าบ้าง”

โซแวนนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่ง  แต่ในที่สุดก็กล้าเอ่ยขึ้นมาว่า  “เจ้าเองก็น่าจะรู้  การสืบทอดประตูจำเป็นจะต้องสังหารผู้มีสิทธิ์เปิดประตูคนเก่าเสียก่อน  ผู้วิเศษอธิบายหลายๆ  อย่างให้ข้าฟังก่อนจะบอกให้ข้าฆ่าเขา”

“แล้วทำไมต้องฆ่า  ผู้วิเศษเคยบอกว่าเวลาเขาเหลืออยู่อีกสามวัน  ถ้าตัดช่วงที่เราแยกออกมานี่เพิ่งผ่านไปแค่วันเดียว”  ข้าถามสวนกลับไป

“เรื่องนั้นเป็นเพราะน้องชายเจ้า”  เมื่อรับรู้ว่าคนที่โซแวนกล่าวถึงคือครีออนก็ทำให้ข้ายิ่งแปลกใจ  ยังไม่ทันถามอะไรต่ออีกฝ่ายก็เล่าออกมา  “ลูซัสรู้เรื่องการรับสิทธิ์ดี  ดังนั้นแล้วเขาจึงยุยงให้ครีออนฆ่าผู้วิเศษเพื่อที่จะทำให้เจ้าหนูนั่นเป็นผู้ถือครองประตู  แต่ถ้าเป็นแบบนั้นร่างกายของครีออนจะทนไม่ไหวและอาจตายได้”

ข้านิ่งเงียบไป  เรื่องนี้ทราบตั้งแต่ที่ลูซัสบอก

“เพราะแบบนั้นผู้วิเศษเลยบอกให้ข้าชิงตัดหน้าฆ่าเขาก่อนที่ครีออนจะทำได้สำเร็จ”  โซแวนสรุปสั้นๆ  ขณะที่ข้ากล้าเผชิญหน้ากับเขา  พวกข้าทั้งสองคนสบตากันอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะยื่นมือทั้งสองข้างมาดึงข้าไปกอด  กระซิบข้างหูขณะที่ซุกหน้าลงมาบนไหล่ว่า

“ขอโทษนะ  จะเกลียดข้าไปเลยก็ได้  แต่อยากให้รู้ไว้ว่าที่ข้าทำไปเพราะไม่อยากให้เจ้าทรมานไปมากกว่านี้”

ครีออนเป็นคนสำคัญ...เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของข้า  แล้วเป็นเด็กที่ไร้เดียงสา  เขาถูกความมืดหล่อเลี้ยงมาจนแยกแยะดีชั่วไม่ออก  แม้ว่าเขาจะเป็นสาเหตุของความวุ่นวาย  แต่ข้าก็ทำใจเกลียดเขาไม่ลง

ทั้งครีออนและผู้วิเศษต่างเป็นคนสำคัญ  ไม่ว่าจะเป็นการตายของคนไหนก็ทำให้ข้าทรมาน  โซแวนแค่พยายามเลือกทางที่ทำให้ข้าทรมานน้อยลงก็เท่านั้น

เขาที่เหมือนจะไม่สนใจอะไร  กลับใส่ใจข้าแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้มีความสุขในตอนนี้  แต่ในใจนั้นก็สัมผัสได้ว่าความทรมานทั้งหมดจะถูกปลดเปลื้องออกในเร็ววันหากมีโซแวนอยู่เคียงข้าง

เขายอมให้ข้าเกลียดเพื่อปกป้องตัวข้าและครีออน  ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ข้าก็ไม่อยากเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว

“พูดอะไรน่ะ...”  ข้าเอ่ยขึ้นเสียงสั่นเครือ  โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อและมีท่าทีราวกับยอมรับชะตากรรมที่เขาคิดเอง  “ถ้าเกลียดเจ้าไปแล้วจะได้อะไรคืนมาล่ะ  มีแต่สูญเสียไม่ใช่หรือ  พอแล้ว...ข้า...ไม่อยากสูญเสียใครไปอีกแล้ว”

ข้ากำมือทั้งสองข้างแน่นก่อนจะเริ่มปล่อยโฮออกมาไม่อายใคร  ในตอนนี้ข้าแค่อยากปลดปล่อยความทุกข์ทรมานที่อัดอั้นในใจมาออกไปบ้าง 

“ฝ่าบาท...ฮึก...ฝ่าบาทยังมีพวกข้าอยู่ด้วยนะ”  อาคีรัสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ก่อนที่เขาจะมาโผกอดข้าด้วยคนทำให้ข้าตกใจอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร  ส่วนคนอื่นๆ  เมื่อเห็นว่าทำได้ก็เข้ามากอดด้วย

“ใช่แล้ว  ฝ่าบาทยังมีพวกเราอยู่นะขอรับ”  นอร์ธวินด์เสริมคำพูดของอาคีรัสขณะที่แทรกตัวมากอดแนบชิดกับข้า  พวกเขาพากันพูดปลอบใจข้าจนทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นได้

หลังจากที่ข้าหยุดร้องไห้และขอร้องให้พวกเขาถอยห่างออกไป  เร็นเป็นคนแรกที่เอ่ยถามขึ้นว่า  “แล้วต่อจากนี้จะให้พวกข้าทำอย่างไรหรือขอรับ”

เขาจั่วเข้าประเด็นสำคัญทันที  ทำให้ข้ารีบตั้งสติและเก็บปัญหาส่วนตัวต่างๆ  ไปก่อน  ข้าเหลือบมองโซแวนก่อนที่จะบอกว่า  “กลับไปที่วิหารก่อนเถอะ”

“ขอรับ/เจ้าค่ะ”  พวกเขาขานรับพร้อมกันก่อนที่จะรีบออกเดินทาง  วารันแปลงร่างเป็นมังกรตัวขนาดมหึมาโดยให้พวกข้าขึ้นไปเพื่อเร่งเวลาเดินทาง

เขาใช้เวลาไม่นานในที่สุดก็บินมาถึงวิหารอันเป็นจุดรวมพลชั่วคราวของพวกข้า  ที่แห่งนั้นนอกจากสัตว์ตัวอื่นๆ  ที่แห่งนั้นนอกจากสัตว์บริวารของโซแวนก็ยังมีผู้ถูกเลือกคนอื่นอยู่ด้วย

“นั่น...ฝ่าบาท!  ฝ่าบาทใช่ไหม”  เสียงร้องของชายคนหนึ่งที่เป็นผู้ถูกเลือกดังขึ้นทันทีเมื่อข้าลงจากหลังมังกร  เขาไม่ใช่คนเดียวที่จำข้าได้  ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความดีใจอย่างล้นเหลือเหมือนกับคนอื่น  “ขอบคุณพระเจ้า  ท่านยังปลอดภัย  ตอนนี้ในเมืองมีแต่เรื่องบ้าอะไรเต็มไปหมดก็ไม่รู้”

“ข้ายินดีที่พวกเจ้าทุกคนปลอดภัย”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  แต่ใบหน้าของพวกเขากลับหมองลง  ชายที่วิ่งออกมารับหน้าข้าเมื่อครู่เป็นคนพูดขึ้นเสียงเศร้า

“ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีเหมือนพวกข้าหรอก”

“หมายความว่ายังไง...”

“น้องชายของท่าน...ราชาครีออนเข้าข้างพวกอสูร  สั่งกวาดล้างผู้ถูกเลือกทั้งหมด  คนที่หนีรอดมาได้ก็มีแต่กระจัดกระจายกันไปหมด  ที่พวกข้ามาอยู่ที่นี่เพราะได้ท่านผู้ถูกเลือกระดับสีทองช่วยไว้  แต่สหายหลายคนก็...”  เขาเว้นช่วงไปในประโยคท้าย  แววตาเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด  ดูจากท่าทีของพวกเขาแล้วก็พอเข้าใจได้

“จริงสิ  แล้วผู้วิเศษล่ะ  ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นคนสั่งให้พวกท่านนอร์ธวินด์ไปรวบรวมผู้ถูกเลือกที่เหลือรอดมา”  หญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นถามด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง  สวนทางกับข้าและพวกโซแวนที่รู้ความจริงอยู่แล้ว  แวบแรกข้าคิดจะไม่พูดออกไปแต่ชายที่ยืนอยู่เคียงข้างข้าก็บอกทันที

“เขาตายแล้ว”

“โซแวน!”  เร็นตวาดขึ้นแต่เพียงครู่เดียวเสียงของเขาก็ถูกกลบไปในบรรดาเสียงเซ็งแซ่ของผู้ถูกเลือกเมื่อรู้ว่าเสาหลักของพวกเขาได้หายไปแล้ว  แววตาของพวกเขาสิ้นหวังอย่างชัดเจน  บางคนถึงกับกรีดร้องตะโกนออกมา  “จบสิ้นแล้ว  โลกนี้ถึงการอวสานแล้ว”

“ไม่มีผู้วิเศษแบบนี้แล้วเราจะทำยังไง”

“หรือว่า...พลังจะหายไป”

“อ๊า  ข้าไม่อยากตาย”

สิ้นหวัง...คำคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวข้า  ที่ผ่านมาผู้ถูกเลือกล้วนได้รับการชี้นำการผู้วิเศษ  ไม่สิ  โลกนี้เคยได้รับการชี้นำจากผู้วิเศษจนสามารถลุกขึ้นต่อกรกับอสูรได้

แสงสว่างที่เคยส่องทางพวกเขาไปสู่ความหวัง  บัดนี้ดับมอดลงจนทำให้คนพวกนี้มองไม่เห็นทาง

ข้าเองก็เคยได้รับการชี้นำจากผู้วิเศษ  เคยทำใจได้บ้างยามเขาออกปากว่าจะตายในไม่กี่วัน  แต่การจากไปกะทันหันแบบนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้ 

“นี่...”  โซแวนเอ่ยเรียกขึ้นก่อนที่จะกระซิบถาม  “ไม่คิดจะทำอะไรหรือ  หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป  เราจะสูญเสียความเชื่อใจและกำลังรบไปมากกว่านี้นะ”

“เรื่องนั้นข้ากำลังคิดอยู่เหมือนกัน”  ข้าตอบเขาไปแล้วยิ้มบางๆ  ให้  อาจเพราะความเหนื่อยล้าทำให้ข้าไม่สามารถยิ้มอย่างเต็มที่ให้ได้  ก่อนที่จะหันไปหาผู้ถูกเลือกที่ยังโวยวายไม่เลิก  เมื่อสูดลมหายใจเข้าจนพอจะคิดคำพูดได้บ้างแล้วจึงตะเบ็งเสียงออกมา

“เงียบซะ!”  สิ้นเสียงคำสั่งของข้า  ราวกับทุกสิ่งหยุดชะงัก  เสียงทุกเสียงพากันเงียบลง  ทุกสายตาจ้องมองมาที่ข้า  ข้าจึงเริ่มพูดทันที

“ถึงแม้ผู้วิเศษจะจากไปแล้วแต่เขาไม่ได้ดับความหวังของพวกเราไปเสียหน่อย  หากเจ้ารู้จักผู้วิเศษก็น่าจะรู้  คนคนนั้นไม่เคยไม่เตรียมการใดๆ  ไว้  เขารู้ว่าตัวเองจะต้องตาย  ดังนั้นแล้วจึงเตรียมความพร้อมให้พวกเราอย่างสุดความสามารถ  เท่าที่เขาจะทำได้”

ข้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ  ทั้งอยากแก้ต่างให้เขาที่ล่วงลับไปและทิ้งความสับสนให้คนพวกนี้กับต้องการปลุกกำลังใจพวกเขา  “ทั้งข้าและโซแวน  ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ  นี้ได้รับสิ่งที่เขาเตรียมการให้แล้ว  พลังอำนาจที่จะนำไปสู่ชัยชนะของมนุษย์อยู่กับพวกเราแล้ว  ดังนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล”

เป้าสายตาของพวกเขาตกไปอยู่ที่โซแวนครู่หนึ่ง  แต่ชายคนนี้ก็ไม่ได้มาสนใจอะไรมากนัก  และยืนนิ่งอยู่เหมือนเดิมเพื่อรอข้าพูดต่อ

“เหล่าผู้ถูกเลือกระดับสีทองที่ยืนอยู่ด้านหลังข้านี้ก็ล้วนแต่เป็นบุคลากรชั้นดีที่เขาเตรียมไว้ให้  และที่สำคัญที่สุดคือพวกเจ้า  พวกเจ้าที่ผู้วิเศษเชื่อว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการกอบกู้สันติสุขคืนได้”  ข้าจ้องมองไปที่พวกเขาทุกคนอย่างเชื่อมั่น  พยายามทำให้พวกเขามั่นใจในตัวเอง  “เพื่อให้เหล่าผู้ที่เสียสละเพื่อกอบกู้โลกนี้ได้หลับอย่างสงบ  โปรดเชื่อมั่นในตัวข้า  ข้า...ทีอารีนผู้นี้แม้จะไม่ได้เป็นราชาแล้วแต่จะกอบกู้โลกนี้ให้ได้”

ข้ายกมือขึ้นแตะที่หน้าอกตนเองก่อนจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงแน่วแน่ว่า  “พวกเจ้าจงลืมความหวังเก่าไปเสีย  และยอมรับข้าเป็นความหวังใหม่ของพวกเจ้า  ไม่ใช่แค่ข้า  แต่ทั้งโซแวน  ทั้งผู้ถูกเลือกระดับสีทอง  และพวกเจ้า  พวกเราทุกคนคือความหวังที่จะกอบกู้โลกนี้จากเงื้อมมืออสูร  หากต้องการโลกที่สงบสุขคืน  จงลุกขึ้นสู้เสีย!”

ดวงตาของพวกเขาค่อยๆ  แจ่มใสขึ้น  เต็มไปด้วยความหวังและประกายไฟ  ชายคนที่อยู่ด้านหน้าสุดจะลุกขึ้นแล้วกำหมัดแน่นชูขึ้นพร้อมตะโกนว่า  “กอบกู้โลก!”

“กอบกู้โลก!!”  พวกเขาทุกคนต่างกู่ร้องขึ้น  ราวกับความหวังได้จุดประกายขึ้นอีกครั้ง  เมื่อเห็นว่าคำพูดของตัวเองไม่ได้เสียเปล่าก็ทำให้ข้าโล่งใจจนอดยิ้มออกมาไม่ได้

“ดีแล้ว  สมเป็นเจ้าจริงๆ”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วยิ้มชม  “รู้ไหมว่าเมื่อกี้เจ้าดูเท่มากๆ  เลยนะ”

“ก็ดีสิ  เอ๊ะ...”  ข้าชะงักไปก่อนที่จะได้เห็นชอบคำพูดเขาไปมากกว่านี้เพราะใบหน้าเขาเลื่อนมาใกล้พร้อมกับที่มือที่พาดอยู่บนไหล่ขยับมาเชยคางข้าขึ้น  ให้เด็กมองก็รู้ว่าโซแวนคิดจะจูบทำให้ข้าเบิกตากว้าง

ข้าไม่ได้รังเกียจจูบจากเขา  แต่นี่คือที่สาธารณะ!  กลางลานที่มีทั้งคนและสัตว์อยู่เยอะ!

“อื้มๆ  พอจะรู้ว่าเพิ่งข้าวใหม่ปลามันแต่อย่ามาทำอะไรประเจิดประเจ้อต่อหน้าธารกำนัลได้ไหมขอรับ”  ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้จูบ  เร็นก็โผล่เข้ามาแทรกกลางจงใจใช้มือดันหน้าโซแวนออกไปแล้วบังตัวข้าไว้  ดูจากน้ำเสียงแล้วก็รู้ว่าคงหงุดหงิดอยู่กลายๆ

แว่วเสียงโซแวนสบถออกมาเพราะขัดใจดังขึ้น  แต่ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของเร็นมากกว่าจึงกระตุกเสื้อคนที่อยู่ด้านหน้า  “เดี๋ยว  ที่เจ้าพูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง”

“ก็...”  เร็นหันมาพูดค้างไว้  เขากวาดตาหาอะไรบางอย่างก่อนที่เจ้าภูตหยดน้ำสีฟ้าที่พวกเขาใช้ติดต่อกันจะลอยมาหา  “ตอนที่พวกท่านร่วมรักกันไม่ได้ปิดเสียงสัญญาณจากเจ้าตัวนี้ก็เลยมีได้ยินบ้าง...”

น้ำเสียงเขาเบาลงเมื่อพูดประโยคท้าย  ผิดกับหัวใจข้าที่เต้นโครมครามหนักขึ้น  เร็นยิ้มเขินก่อนจะรีบแก้ตัว  “อ๊ะ  แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ  พอได้ยินเสียงท่านครางมาข้าก็รีบปิดแล้ว  ไม่ได้รบกวนอะไรท่านเลย  เนอะ  ใช่ไหมทุกคน”

“ใช้ได้นี่  เจ้าหนู”  วารันแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย  ข้างๆ  เป็นนอร์ธวินด์ที่ยืนปาดน้ำตาป้อยๆ 

“ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้เลยถ้าครั้งแรกของท่านเป็นข้าไม่ใช่โซแวนก็คงทำให้ข้าตายตาหลับแล้ว”

“อ๊ะ  ข้าเองก็ปิดทันทีเลยนะขอรับ”  แม้แต่อาคีรัสเองก็ยังตะโกนแก้ตัวแม้ใบหน้าจะขึ้นสีแดง  ทว่าคนที่อายกว่าเขาคือข้า  ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าของข้าแดงเถือกยิ่งกว่าอะไร  รู้สึกเลือดในตัวมันพุ่งมาสูบฉีดอยู่ที่หน้าอย่างเดียว  แถมก้อนเนื้อในอกก็เต้นแรงจนเหมือนจะหลุดมาอยู่ข้างนอก

ถึงพวกเขาจะแก้ตัวว่าปิดเสียงไปทันที  แต่แค่ได้ยินว่าพวกข้าจะทำอะไรกันก็น่าอายมากพอแล้ว

แต่คนที่อายกลับมีข้าอยู่เพียงคนเดียว  โซแวนเพียงแค่มองพวกเขานิ่งๆ  และยกมือขึ้นลูบหัวปลอบข้า  “ไว้คราวหน้าข้าจะตรวจสอบให้ดีก่อนล่ะกันว่าไม่มีใครแอบดู”

“คราวหน้าอะไร!  ไม่มีอีกแล้ว!  ไม่มีเด็ดขาด!!”  ข้าหันไปตะคอกใส่เขาก่อนที่จะเดินหนีกลุ่มคนประหลาดพวกนี้  ตั้งใจจะฝ่ากลุ่มผู้ถูกเลือกออกไปแต่กลับผิดสังเกตบางอย่าง

ข้าหันไปมองรอบๆ  ก่อนที่จะเข้าไปถามซีวาลที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด  “ท่านพี่กับพวกเด็กๆ  ล่ะ”

“เรื่องนั้น...”  ชายตรงหน้าข้าไม่ตอบในทันที  แต่ผู้ถูกเลือกที่ได้ยินพอดีก็ตอบให้แทน  “พวกเขาเป็นกลุ่มที่โดนเพ่งเล็งแต่แรก  พระราชาจับพวกเขาไปขังไว้ในปราสาท  จนตอนนี้ไม่มีใครทราบชะตากรรมขอรับ”

ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  ผู้ถูกเลือกคนเดิมยังเสริมขึ้นด้วยว่า  “มีผู้ถูกเลือกบางคนที่ยอมจำนนแต่แรกและถูกขังไว้ในปราสาทด้วยขอรับ”

“ยังงั้นหรือ...”  ข้าหลุบตาลงเพื่อใช้ความคิดก่อนที่ซีวาลจะถามขึ้นว่า  “ฝ่าบาท  ท่านจะทำเช่นไรหรือ?”

“ข้าจะไปช่วยพวกเขา”  ข้าตอบซีวาลแทบจะทันทีทำให้เขาหน้าซีดลง  “แต่ฝ่าบาท...ปราสาทตอนนี้มีแต่พวกของครีออน  เขาเป็นศัตรูไปแล้ว...”

“แล้วไงล่ะ  คนที่รู้เรื่องในปราสาทดีที่สุดในหมู่พวกเราตอนนี้ก็คือข้า  และหากปล่อยไว้นานๆ  มีสิทธิ์ที่ลูซัสจะใช้พวกเขาเป็นเครื่องต่อรองแผลงๆ  อีก  อีกอย่างหนึ่งมีของที่ข้าต้องไปนำมาด้วย”

ข้าหันหลังเดินกลับไปยังทางเดิม  ซีวาลรีบร้องเตือนผู้ถูกเลือกสีทองที่เหลือทันที  “พวกเจ้าเองก็ห้ามฝ่าบาทไว้สิ” 

ข้าหยุดยืนตรงหน้าพวกโซแวน  ก่อนจะเงยหน้าถามเหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนรออยู่  “พวกเจ้าจะไปกับข้าด้วยไหม”

“บ้าหรือเปล่า...”  โซแวนแค่นยิ้ม  “เรื่องอะไรจะปล่อยให้เจ้าไปคนเดียวกันล่ะ” 

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 30>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 29-04-2018 20:11:58
บทที่  30
แผนบุกปราสาท

ข้าตัดสินใจจะบุกเข้าไปในปราสาทเพื่อช่วยผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  หลังจากพักฟื้นกำลังและรอจนพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วจึงเริ่มเคลื่อนกำลังพล

ในตอนนี้ที่ปราสาทคงไม่ได้มีแค่พวกทหารอย่างเดียว  ลูซัสอาจส่งลูกน้องของตัวเองมาแทรกซึมด้วย  และนั่นจะทำให้การบุกเข้าไปยากขึ้นด้วย

เพราะข้าคุ้นชินเส้นทางในปราสาทมากกว่าใครในที่นี้จึงต้องเป็นคนวางแผนการทั้งหมด  เส้นทางหลังปราสาทไม่ค่อยมีใครใช้ผ่าน  และมีทหารเฝ้ายามอยู่น้อยจึงเหมาะที่จะเป็นทางเข้าไป  ซ้ำยังใกล้กับทางไปคุกใต้ดินมากที่สุด  ผู้ที่จะร่วมบุกกับข้าในครั้งนี้มีแค่พวกโซแวน  คาร์ริต้ากับซีวาลทำหน้าที่เฝ้าอยู่ที่นี่ 

แผนการคือแบ่งคนเป็นสามฝ่าย  ข้า  โซแวน  และเร็นเป็นคนบุกเข้าไปก่อน  นอร์ธวินด์จัดการดึงความสนใจจากทหารด้านนอกกับวารันที่รอทำหน้าที่เป็นพาหนะ  ส่วนอาคีรัสนั้นเป็นกำลังเสริมที่จะเข้าไปก็ต่อเมื่อใครคนหนึ่งเจอปัญหาที่คาดไม่ถึง

“เตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม”  โซแวนถามข้าขึ้นเมื่อใกล้ถึงเวลา  ข้าที่ยืนคิดแผนการอื่นอยู่จึงได้หันไปมองก็พบความประหลาดอย่างหนึ่ง

เขาไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์  เป็นสัตว์ประหลาดที่รูปลักษณ์เป็นสิงโตผสมแพะ  และมีหางเป็นงู  สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคิเมร่า

“แปลกตาจัง”  ข้าพึมพำขึ้นพลางส่งยิ้มให้  แล้วเดินเข้าไปลูบแผงคอของเขา  ความอ่อนนุ่มของมันทำให้รู้สึกหลงใหลขึ้นมา  เจ้าตัวพอโดนลูบแล้วก็ส่ายศีรษะไปมา 

“อย่าลูบสิ”

“แย่จัง  ขนเจ้าออกจะนุ่มแท้ๆ”  ข้าเอ่ยอย่างเสียดายก่อนที่จะหันไปมองตามเสียงย่ำเท้าที่ใกล้เข้ามา  พวกนอร์ธวินด์ก็เตรียมตัวเสร็จแล้ว  และเดินเข้ามาสมทบ

อีกคนหนึ่งที่ข้าแปลกใจก็คือเร็น  เคยรู้มาว่าเขาเป็นยูนิคอร์นแต่ก็เพิ่งเคยเห็นตอนเขาแปลงกายอย่างนี้

เร็นเป็นม้าขนสีขาวสะอาดทั้งตัว  แผงคอเป็นสีทองสวย  ดวงตาสีทอง  แต่เขาบนหัวกลับหายไปหรือแต่ตอทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้ 

“เร็น  เขานาย...”

“หักไปตอนโดนทำร้ายน่ะขอรับ  แต่ก่อนมีความเชื่อว่าเขาของยูนิคอร์นสามารถนำไปปรุงยาอายุวัฒนะได้”  เขาตอบเสียงเรียบ  ข้าอดลูบหัวเขาด้วยเป็นห่วงไม่ได้แต่เจ้าตัวก็ยืนยันกลับมาว่า  “แต่ไม่เป็นไรหรอกขอรับ  เสียพลังไปส่วนหนึ่งแต่ข้าเชื่อว่าถ้าอยู่กับท่านก็ไม่เป็นอะไรแน่นอน”

“ข้าจะพยายามไม่ทำให้เจ้าผิดหวังนะ”  ข้าเอ่ยขึ้นแล้วยิ้มให้ม้าตรงหน้า  ก่อนที่จะถูกคิเมร่าตัวหนึ่งเดินเข้ามาชนแขนแล้วออกคำสั่งใส่

“รีบไปได้แล้ว”

“อื้ม”  ข้าตอบรับแล้วขึ้นขี่หลังเร็น  ทั้งโซแวนและเร็นต่างก็เป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ได้เร็วและไม่ได้เป็นจุดสนใจบนท้องฟ้ามากนัก  เพราะซีวาลบอกว่าหลังจากวารันไปอาละวาดทำลายปราสาทในครั้งนั้น  พวกทหารก็เพิ่มความระวังในส่วนของท้องฟ้ามากขึ้น

ข้าขี่หลังเร็นไปพร้อมกับอาคีรัส  ส่วนนอร์ธวินด์กับวารันขี่โซแวนไป  จริงๆ  แล้วสองคนหลังไม่ค่อยพอใจเท่าไรโดยเฉพาะโซแวน  แต่เร็นให้เหตุผลว่าตามธรรมเนียมแล้วยูนิคอร์นนั้นยอมให้ขี่แต่ผู้บริสุทธิ์เท่านั้น  อาคีรัสนั้นถึงจะมีอายุหลายช่วงคนแต่ตอนนี้ก็นับว่าไร้เดียงสากว่าคนอื่น  ส่วนข้า...ตอนที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา  คิดว่าจะต้องขี่โซแวนแต่เขาบอกว่าให้ข้าขี่ได้  พอถามเหตุผลก็ตอบแค่ว่า  “เพราะเป็นฝ่าบาท  ไม่ว่าจะบริสุทธิ์หรือเปล่าข้าก็เต็มใจให้ขี่”

“ไอ้ม้าสองมาตรฐาน”  เป็นคำสรรเสริญจากโซแวนและวารัน  แต่ดูแล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

เมื่อพร้อมแล้วทั้งสองก็ควบทะยานออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว ออกจากป่าต้องห้ามมุ่งสู่ป่าหลังปราสาท  แสงไฟวูบไหวและเงาร่างของสิ่งก่อสร้างที่คุ้นตาทำให้ข้ารู้สึกคิดถึงขึ้นมา  ข้าลงจากหลังเร็น  แล้วทั้งสองคนก็แปลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์

“ดูเหมือนวันนี้เวรยามจะน้อยเหมือนที่เจ้าพูดจริงๆ”  วารันเอ่ยขึ้นขณะทอดสายตามองไปยังปราสาท  ประตูเล็กด้านหลังนั้นมีทหารยามแค่สี่คนนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่  และไม่มีคนอื่น 

“ถ้างั้นตามแผนเลยไหมขอรับ”  นอร์ธวินด์ถามขึ้น  ข้าเลยพยักหน้าเป็นคำตอบ  เขาจึงได้เตรียมนำผงเวทมนตร์ออกมา  เจ้าตัวถนัดเวทสายลมอยู่แล้วจึงสามารถนำผงยาสลบพวกนั้นไปหาทหารได้อย่างง่ายดาย

ฤทธิ์ของยานั้นเพียงแค่สูดดมก็จะทำให้รู้สึกวิงเวียนและหลับไป  พวกข้ารอไม่นานในที่สุดทหารยามคนสุดท้ายก็หมดสติไปจึงรีบออกมาจากที่ซ่อน  ประตูล็อกไว้อย่างแน่นหนาแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไรเมื่ออยู่กับสัตว์ประหลาดพวกนี้ที่จัดการพังได้ในลูกถีบเดียว

ข้าสามคนรีบเข้าไปข้างในทันที  ทหารยามแถวนี้มีน้อยจึงอาศัยหลบตามมุมอับสายตาได้  แต่ทางลงไปยังคุกใต้ดินนั้นมีกำลังทหารอยู่เฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา

“เอายังไงดี”  ข้าหันมาพึมพำกับคนที่เหลือหลังจากโผล่หน้าไปสังเกตการณ์จากที่ซ่อนตัว  เร็นกับโซแวนรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสีย  แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทหารในปราสาทแต่ก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“ผงยาสลบใช้การไม่ได้หรือ”  โซแวนถามขึ้น 

“ข้าควบคุมลมไม่เก่งเหมือนนอร์ธวินด์  อีกอย่างที่นี่เป็นที่ปิด  แน่นอนว่าฤทธิ์ยามันจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่พวกเราก็จะโดนไปด้วย”  ข้าอธิบาย  โซแวนเลยกลับไปครุ่นคิดเหมือนเดิม  ตอนนั้นเองที่มีทหารคนหนึ่งโวยวายว่าเจอพวกที่สลบอยู่ด้านนอกทำให้พวกข้าตื่นตระหนก

ทหารที่เฝ้าอยู่ต่างตกใจแล้วรีบตรวจสอบกันทันที  เร็นกับโซแวนเห็นท่าไม่ดีจึงคิดจะพาข้าหนี  แต่จู่ๆ  ตรงหน้าก็มีทหารนายหนึ่งมาดักไว้

“ผู้บุกรุก!”  เขาตะโกนขึ้นทำให้ทหารคนอื่นมาล้อมดักทางพวกเราไว้  ข้ายืนนิ่งแต่ในใจยังคงกังวลอยู่  เพราะก่อนจะเริ่มแผนได้บอกไว้  จะทำร้ายพวกทหารได้ก็ต่อเมื่อเข้าตาจนเท่านั้น

แล้วดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีทางเลือกอื่น...

“ฝ่าบาท...ไม่สิ  องค์ชายทีอารีน...”  ทว่าทหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้ากลับเบิกตากว้างเมื่อเห็นข้า  คำพูดของเขาทำให้ทุกคนหยุดชะงักแล้วมีสีหน้าตื่นตะลึงไม่ต่างกัน  ก่อนที่จะรีบคุกเข่าลง

“ค่อยยังชั่ว  ท่านยังปลอดภัย  พวกกระหม่อมดีใจจริงๆ”  น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตื้นตันทำให้ข้าอดแปลกใจไม่ได้  จนกระทั่งนายทหารคนเดิมพูดขึ้นมา  “ตอนนี้ข้าหลวงคนคนสำคัญต่างถูกผู้ชายคนนั้นควบคุมหมด  พวกข้าแม้จะไม่เห็นด้วยแต่ไม่อาจทำอะไรได้เพราะเป็นเพียงผู้น้อยเท่านั้น ดีจริงๆ  ที่ท่านมาที่นี่”

“ผู้ถูกเลือกที่ถูกจับมาขังอยู่ที่ไหน”  โซแวนเอ่ยขึ้นทันทีทำให้พวกทหารเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่พวกข้ามา 

“ท่านมาช่วยพวกเขาใช่ไหม  พวกเขาถูกขังไว้ที่ชั้นใต้ดิน”

“นำทางข้าไปหน่อยได้ไหม”  ข้าลองเอ่ยถามขึ้น  ทหารผู้นั้นพยักหน้าด้วยความยินดี  หันไปสั่งนายทหารให้เฝ้าสังเกตการณ์ไว้แล้วนำทางลงไปชั้นใต้ดิน  โซแวนเดินตามลงไปก่อนที่เร็นจะให้ข้าเดินต่อแล้วเขาปิดท้าย  ระหว่างนั้นข้าก็ได้ถามชื่อนายทหารคนนั้น  “เจ้าชื่ออะไร”

“เอ็ดมอนต์ขอรับ”  เขาหันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม  ดูแล้วก็ยังคงเป็นหนุ่มที่ดูกระตือรือร้น

“ท่านมาช้าไปสักหน่อย”  เอ็ดมอนต์พึมพำขึ้นขณะที่ลงมาถึงชั้นที่เขาบอกว่าเป็นชั้นที่ไว้ขังพวกผู้ถูกเลือก  “เมื่อวาน  ชายคนที่อยู่กับพระราชาครีออนกลับมาแล้วมีสีหน้าโกรธใหญ่  เขาเลยสั่งพวกทหารให้จับผู้ถูกเลือกบางส่วนไป  ข้าไม่แน่ใจนักแต่ได้ยินเขาบอกว่าเอาไปให้พวกอสูรกิน”

ข้าชะงักไปวูบหนึ่งทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น  นั่นหมายความว่ามีบางส่วนที่ถูกสังหารไปแล้ว  และตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ลูซัสพาครีออนกลับมา  เพราะพวกข้า  เขาระบายความแค้นใส่ผู้ถูกเลือกที่เหลือ

“เจ้าสารเลวนั่น”  ข้ากัดฟันกรอดแล้วกำหมัดแน่น  หากสามารถช่วยคนที่เหลือได้เรียบร้อยแล้วจะกลับมาจัดการลูซัสอย่างแน่นอน

“ทางนี้ขอรับ”  เอ็ดมอนต์พาข้ามาหยุดอยู่หน้ากรงขังใหญ่กรงหนึ่ง  ในนั้นค่อนข้างมืดสลัวแต่ยังพอเห็นเงาร่างของคนอยู่บ้าง  เมื่อนายทหารจุดคบเพลิงที่อยู่ริมกำแพง  ทั่วทั้งบริเวณก็สว่างขึ้นมา  ภายในกรงนั้นมีทั้งชายและหญิงนั่งอยู่ร่วมกัน  เมื่อพวกเขาเห็นแสงสว่างก็หันมามองแล้วมีสีหน้าตกตะลึง

“ฝ่าบาท!?”  พวกเขาอุทานขึ้นเสียงเบาก่อนจะถลามาข้างหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือ 

ข้าเข้าไปหาแล้วบอกกับพวกเขาเสียงเบา  “ไม่ต้องกังวลนะ  จะช่วยพวกเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้แหละ”

เมื่อกล่าวเช่นนั้นเสร็จ  ข้าก็ถอยห่างออกมา  โซแวนก้าวมายืนอยู่ข้างหน้าข้าแทนแล้วบอกให้พวกผู้ถูกเลือกที่ถูกขังอยู่ถอยห่างออกไป  จากนั้นก็เรียกดาบออกมาฟันประตูจนซี่กรงเหล็กขาดออกจากกัน  เมื่อมีช่องกว้างพอจะให้เดินออกได้แล้ว  พวกเขาก็ทยอยเดินกันออกมา

เร็นกับทหารส่วนหนึ่งนำทางพวกเขาออกไปข้างนอกทันที  เอ็ดมอนต์บอกว่าผู้ที่ถูกจับมาขังไว้ในคุกใต้ดินหมดแล้ว  โซแวนจึงคิดจะกลับไปข้างบน  แต่เพราะข้ายังยืนนิ่งเขาจึงเดินเข้ามาถาม  “เป็นอะไรไป”

“ท่านพี่กับพวกเด็กๆ  ล่ะ”  ข้าหันไปถามเอ็ดมอนต์  อีกฝ่ายจึงนึกออก  “จริงด้วย...ปกติแล้วพวกเด็กๆ  กับท่านหญิงอีกท่านหนึ่งจะถูกขังแยกอยู่ที่ด้านบนขอรับ”

“ว่ายังไงนะ”  ข้าชะงักก่อนที่จะขมวดคิ้ว  มีที่ไหนที่จะใช้ขังพวกเขาได้บ้าง  แต่ระหว่างนั้นเอ็ดมอนต์ก็พูดขึ้นมาทันที

“ห้องที่อยู่ในสุดของปีกปราสาทฝั่งตะวันตกขอรับ”

“ข้าจะไปที่นั่น  โซแวน...จะมากับข้าใช่ไหม”  ข้าตัดสินใจในทันที  แล้วถามความเห็นกับคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า  การมีเขาไปด้วยจะทำให้ข้าอุ่นใจมากขึ้น  แต่หากโซแวนปฏิเสธข้าก็คิดจะไปคนเดียว  เพราะยังไงก็ต้องช่วยพวกเด็กๆ  หากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว  เมื่อลูซัสรู้ความจริงก็จะฆ่าพวกเขาอย่างแน่นอน

“มันก็แน่นอนอยู่แล้วน่ะสิ”  โซแวนตอบก่อนที่จะเข้ามาจับมือข้าไว้แล้วหันไปบอกอ็ดมอนต์  “ไปหาผู้ชายที่มากับพวกข้าซะ  แล้วบอกเขาว่าให้พาคนไปส่งก่อนแล้วรีบกลับมาที่นี่”

“ขอรับ”  เมื่อเอ็ดมอนต์รับทราบแล้วโซแวนก็พาข้าวิ่งขึ้นไปข้างบน  ปีกปราสาทฝั่งตะวันตกนั้นอยู่ไม่ไกลจากประตูด้านหลังปราสาทเท่าไรจึงวิ่งไปไม่นานก็ถึง  แต่ที่แปลกใจคือบริเวณนี้ไม่มีทหารยามเลย

“เกิดอะไรขึ้น”  ข้าชะลอฝีเท้าลงเพื่อดูสถานการณ์รอบๆ  ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อสังเกตเห็นบางสิ่งที่พื้นด้านหน้า

ร่างไร้ลมหายใจของทหารหลายคนนอนเกลื่อนอยู่บนพื้น  คราบเลือดสดใหม่ชโลมไปทั่วจนกลิ่นเหม็นคาวจนแทบจะอาเจียน  ข้ารีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้มีเสียงร้องเมื่อเห็นสภาพตรงหน้าครั้งแรก  จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็ลดมือลง

“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”  ข้าถามขึ้นด้วยความแปลกใจ  ก่อนที่จะมองไปที่โซแวน  เขาทำสีหน้าเครียดจัดก่อนที่จะวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว  ข้าจึงรีบวิ่งตามไป  ตามทางยังคงมีศพของทหารอยู่เรื่อย  ล้วนแล้วแต่ถูกสังหารด้วยอาวุธที่มีความคม

ขณะที่ใกล้ถึงด้านในสุดของทางเดิน  เสียงหวีดร้องของเด็กๆ  ดังขึ้นจึงเข้าใจว่าทำไมโซแวนถึงได้รีบวิ่งมา  เขารีบพังประตูเข้าไปด้านในทันที

ข้าชะงักไปทันทีเช่นเดียวกับโซแวน  ภาพเบื้องหน้าคือครีออนที่กำลังเงื้อดาบขึ้น  แม้จะกระตุกไปครู่หนึ่งเพราะโซแวนพังประตูเข้ามาแต่ก็เตรียมลงดาบใส่เด็กๆ  ที่นั่งกอดกันอยู่ตรงหน้า

หัวใจข้าพลันหล่นวูบไป  เพราะไม่ต้องการให้ครีออนฆ่าคนไปมากกว่านี้  ข้าจึงรีบวิ่งเข้าไปขวางทันที  “ครีออน  หยุดเดี๋ยวนี้!”

“ทีอารีน  อย่า!”

ฉัวะ!

โซแวนพยายามตะโกนร้องห้ามและจะคว้าตัวข้าไว้  แต่ข้าวิ่งเข้าไปรับคมดาบแทนพวกเด็กๆ  ได้เสียก่อน  แม้ความเจ็บจะแล่นไปทั่วแต่ข้าก็กัดฟันฝืนใจยืนขวางไว้อยู่  สองมือกางออกเผื่อปกป้องพวกเด็กๆ  และท่านพี่  เมื่อเห็นดวงตาของครีออนก็คล้ายจะวูบไหวอยู่

“ครีออน  เลิกทำอะไรบ้าๆ  แบบนี้เสียที!”  ข้าตะโกนขึ้นจากความโมโหที่เก็บอยู่ข้างใน  ตัวเขาตรงหน้าข้าราวกับไม่ใช่น้องชายที่ข้ารู้จัก  ไอหมอกสีดำที่ลอยอยู่รอบๆ  คล้ายจะเข้มขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เจอกัน  เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด  ดูก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่ฆ่าพวกทหารที่อยู่ด้านนอกนั่น 

“ทีอารีน  เจ้าทำบ้าอะไร  แผลเจ้า...”  โซแวนรีบเข้ามาอยู่ข้างข้าแล้วตำหนิขึ้น  แผลที่ถูกครีออนฟันจากไหล่ขวาลงไปถึงเอวซ้ายไม่ใช่ตื้นๆ  มันลึกพอจะทำให้ตอนนี้เลือดยังไม่หยุดไหล  แต่สำหรับข้าแล้วมันไม่เป็นไร  ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือการคุยกับคนตรงหน้าจึงหันไปบอกเขาว่า  “ไม่ต้องห่วง  เจ้าดูแลพวกเด็กๆ  กับท่านพี่ไปก่อน”

ข้าลดแขนทั้งสองข้างลงแล้วเดินเข้าไปใกล้ครีออน  เขาชะงักไปในทันที

“ครีออน  ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยความสับสน  เขายังคงจับดาบแน่นเหมือนพร้อมทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ได้ทุกเวลา

“ทำไม...ทำไม...ท่านถามว่าทำไมงั้นหรือ”  เขาเริ่มเอ่ยขึ้น  ดูแล้วน่าจะยังมีสติพอที่จะคุยด้วยได้อยู่  ครีออนกัดฟันแน่นก่อนจะแผดเสียงออกมา  “เพราะข้าอยากช่วยท่านน่ะสิ!”

ข้าชะงักไปชั่วขณะ  ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอีก  “ทั้งๆ  ที่ข้าทำให้ท่านเห็นตั้งหลายครั้ง  แต่ท่านก็ไร้เดียงสาสำหรับโลกนี้เสียจริง...”

“เจ้าจะพูดอะไร”

“มนุษย์ทุกคนล้วนโหดร้าย  ไม่ควรค่าแก่การปกป้องสักนิด  ท่านก็เห็น  ยามที่ท่านถูกคำสาปไม่มีใครเห็นหัวท่านสักคน  แต่ท่านก็ยังก้มหน้ารับมันต่อไป  ยังยืนยันจะปกป้องพวกมัน  ยังรักพวกมัน  ทำไม...ทำไมถึงไม่เกลียดพวกมัน!”  เขาเอ่ยถามขึ้นราวกับอัดอั้นตันใจมานาน  ข้ายังไม่ทันได้ตอบอะไรเขาก็แผดเสียงขึ้นมา  “ทั้งๆ  ที่ข้าอยากปกป้องท่าน!  ทั้งๆ  ที่ข้าไม่ต้องการให้ท่านไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น  แต่ท่านก็ยังไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพวกนี้  ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์ทุกคน  คิดว่าตัวเองประเสริฐมาจากไหนกัน!”

“ครีออน...เจ้า”  ข้ามองคนตรงหน้านิ่งเมื่อทำอะไรไม่ถูก  เขากำลังสับสนและร้องไห้ออกมา 

“ท่าน...ท่านเกลียดข้าสินะ  เพราะท่านเกลียดข้าใช่ไหมถึงได้หนีออกไป”

ครีออนเงยหน้าขึ้นมาถามข้าแบบนั้นขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง  ก่อนที่เขาจะร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วกุมศีรษะแน่น

  ครีออนกำลังสู้กับตัวเอง  ตัวเองที่ถูกลูซัสควบคุม  เขาเองแม้จะถูกสังคมรอบข้างทำร้ายมาตั้งแต่เด็กๆ  จนเกลียดมนุษย์ไปก็ยังไม่ได้ทิ้งความเป็นมนุษย์ไปเสียทั้งหมด  และความเป็นมนุษย์นั้นจะช่วยผลักดันเขาขึ้นมา

“โซแวน  พาพวกเด็กๆ  กับท่านพี่ออกไปก่อน”  ข้าเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันไปบอกโซแวนที่อยู่ด้านหลัง  เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะยอมตอบรับในที่สุด

“ข้าจะรีบกลับมา”

“ไม่ต้องกลับมา  ข้าจะเป็นคนออกไปพบเจ้าเอง”  ข้ายิ้มให้เขาก่อนที่จะปล่อยให้โซแวนแปลงร่างเป็นคิเมร่าแล้วพาพวกเด็กๆ  ออกไป

“หยุดนะ!”  ครีออนที่ยังมีท่าทีปวดหัวอยู่กัดฟันเงยหน้าขึ้นมาตะโกนสั่งแล้วทำท่าจะวิ่งตามไป  แต่ข้าก็รีบใช้เวทแสงยิงดักหน้าเขาไม่ให้วิ่งออกไปและกลับมาสนใจข้า

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”  ข้าเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เขา  ครีออนชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงสั่นอย่างบ้าคลั่ง 

“อย่าเข้ามา”  เขากัดฟันแน่น  เอ่ยซ้ำๆ  อย่างคนหวาดกลัว  “อย่าเข้ามา  อย่าเข้ามา  อย่าเข้ามา!!”

“ทำไมล่ะ?”  ข้าถามขึ้นเสียงเรียบ  ครีออนกระชับดาบในมือแน่นก่อนที่จะบอกด้วยแววตาสับสน

“ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้  ข้าต้องการที่จะสังหารทุกคน  ถ้าท่านเข้ามา...”

“ต่อให้เจ้าสับร่างข้าเป็นชิ้นๆ  ข้าก็จะไม่ตาย”  ข้าบอกกลับไปเสียงเรียบ  เพราะได้รับพลังของท่านลูซิฟรานมาทำให้ข้าตายไม่ได้  เขาชะงักไปครู่หนึ่ง  เนื่องจากเขาพยายามสู้กับตัวเองอย่างหนักทำให้ร่างกายของเขาเริ่มไม่ไหวและทรุดลงนั่งกับพื้น

“เจ้าคิดว่าข้าเอาแต่หนีเจ้าใช่ไหม  ไม่ว่าจะพยายามจับข้าไว้มากเท่าไร  ข้าก็จะเดินหนีเจ้าไปมากยิ่งขึ้นใช่ไหม”  ข้าเอ่ยถามขึ้น  เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ  ข้าเดินเข้าไปใกล้เขามากขึ้นและเอ่ยต่อ  “ถ้าทำให้เจ้ามีความสุขได้  งั้นข้าก็จะเดินกลับมาหาเจ้าก็ได้”

ข้าหยุดลงตรงหน้าเขาแล้วคุกเข่าลงนั่ง  ดวงตานั้นวูบไหวไปชั่วขณะ  “แล้วจะทำอะไรข้าต่อล่ะ?  จะใช้ดาบนั้นฆ่าเลยไหม”

“อึก”  เขากัดฟันแน่นคล้ายกับฝืนตัวเองอยู่  ข้าจึงเริ่มพูด

“งั้นก็ฟังข้าซะครีออน  ก่อนอื่น  เจ้าเองก็ไร้เดียงสาสำหรับโลกใบนี้”  ข้ามองเขา  มองลึกไปในดวงตาที่น่าสงสารนั้น 

“เติบโตมาโดยรู้จักโลกเพียงด้านเดียว  จริงๆ  แล้วเจ้าก็คือคนโชคร้ายคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ดีสำหรับเจ้า  เสด็จพ่อทำร้ายเจ้า  ทุกคนทำร้ายเจ้า  เจ้าถึงได้กลายเป็นแบบนี้”

เขาชะงัก  แต่เหมือนกับว่าจะไม่มีใจจะสังหารข้าแล้ว  “ตั้งแต่จำความได้  ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นน้องชายที่น่าสงสาร  ‘จะทำยังไงให้เจ้ายิ้มได้’  ข้าตั้งคำถามนี้กับตัวเองทุกเช้า  ข้าอยากช่วยเจ้าให้หลุดพ้นจากความมืด  แต่ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งทำให้เจ้าก้าวล้ำมันไปสินะ...”

ข้าไม่ได้คำนึงถึงความคิดที่เขาได้รับมาตั้งแต่เด็กมา  ยิ่งข้าทำดีกับเขามากเท่าไร  ครีออนก็ยิ่งอยากจะครอบครองข้า  และนั่นก็ยิ่งทำให้เขาตกไปอยู่ในความมืดมากขึ้น

“เจ้าทำให้คนทั้งโลกเกลียดข้า  แสดงให้ข้าดูว่ายามที่ตกต่ำก็ไม่มีใครมาช่วย  แต่ข้าก็ยังช่วยพวกเขา  รักพวกเขา  เจ้าคิดอย่างนี้ใช่ไหม?”  ข้าถามเขากลับไป  ครีออนไม่ตอบอะไรกลับมาซึ่งก็เป็นส่วนที่ข้าก็คิดไว้แล้วจึงได้พูดต่อ  “ทั้งหมดที่เจ้าคิดก็ไม่ผิดเสียทีเดียว  ไม่รู้ทำไม  แต่ก่อนอื่นข้าก็ไม่ได้รักมนุษย์เสียเท่าไร  จะบอกว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะไม่ต้องการเห็นใครเดือดร้อนก็ว่าได้”

ข้ามองเขาอีกครั้ง  ครีออนกำลังหลบตาอยู่  แต่เขาไม่ได้ลุกหนีหรือคิดจะทำร้ายข้าแล้ว  อาจจะยังสับสนอยู่  “แต่เจ้ารู้ไหม  ข้าไม่ไว้ใจมนุษย์คนไหนเลยหลังจากที่โดนคำสาปมา”

ข้าหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะสวมกอดเขา  อ้อมกอดนั้นออกจะกะทันหันจนครีออนเองก็ไม่ทนตั้งตัว  เขานิ่งค้างไปขณะที่ฟังข้าพูด  “มนุษย์คนเดียวที่ข้าเคยไว้วางใจก็คือเจ้า...ครีออน  ต่อให้เจอกับสถานการณ์แบบไหน  แต่ถ้ามีเจ้าอยู่ข้างๆ  ก็จะไม่มีปัญหาอะไร  ข้าเคยคิดแบบนั้น”

ข้าละกอดจากเขาขณะสูดลมหายใจเข้า  น้ำเสียงของข้าเริ่มสั่นเมื่อคิดถึงความรู้สึกที่มากมายในอกนี้  ครีออนเองก็มีท่าทีตกใจและสับสน  เขาก็คงรู้ดีในสิ่งที่ข้าจะสื่อ

ข้าพยายามทำให้ตัวเองไม่แสดงความรู้สึกที่เก็บอยู่ออกมา  แต่ไม่เป็นผล  เมื่อน้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาก็ยากที่จะห้ามหยดน้ำตาอื่นๆ  ให้ไหลออกมาด้วย

“ข้าเคยไว้ใจเจ้า  แต่ตอนนี้เจ้าเป็นคนทำลายความเชื่อใจนั้นไป”  ข้าสะอื้นไห้ตรงหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว  ความรู้สึกทั้งหมดที่อยู่ด้านในมันเต็มไปด้วยความเสียใจ  “แต่ว่า...แต่ว่า...ต่อให้เจ้าทรยศข้า  ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ลงดาบใส่ข้า  ข้าก็เกลียดเจ้าไม่ลงเลยสักครั้ง  ไม่เคยเลย”

ครีออนยังคงเงียบอยู่  แต่แววตาที่สับสนนั้นคล้ายจะทอความเจ็บปวดมาด้วย

เมื่อตัวข้าเองเริ่มควบคุมอารมณ์ได้บ้างแล้วจึงถามต่อแม้เสียงจะยังสั่นเครือ  “ครีออน...เจ้าอยากนำความเชื่อใจนั้นกลับมาหรือเปล่า”

เขาเบิกตากว้างทันทีด้วยความตะลึง  ข้าอาศัยจังหวะที่เขายังไม่ทันตั้งตัวนั้นมอบจูบไปหนึ่งครั้ง  แม้จะรู้ตัวว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องแต่ตอนนี้ข้าคิดว่าสิ่งที่จะปลอบใจเด็กคนนี้ก็มีเพียงแค่นี้

เมื่อคิดว่าเหมาะสมแล้วข้าจึงถอนจูบนั้นออกแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน  “กลับมาสิ  กลับมาเป็นครีออนที่ข้ารู้จัก  กลับมาเป็นน้องชายของข้า  ให้ข้าได้ปกป้องเจ้าในฐานะพี่ชาย”

“เสด็จ...พี่...”  เขาเอ่ยออกมาสั้นๆ  ก่อนที่จะร้องไห้ออกมาในที่สุด  เขาระเบิดอารมณ์ผ่านน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา  “เสด็จพี่...ฮึก...ข้าอยาก...อยากอยู่เคียงข้างท่าน  แบบนี้มัน...ฮึก  ทรมาน  ทรมาน  ข้า...ช่วยข้าด้วย”

“ครีออน”  ข้าเอ่ยเรียกเขาด้วยความใจหาย  ดูเหมือนว่าเขาจะปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการที่สับสนได้แล้ว  ข้าจึงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของเขาออกแล้วกอดปลอบไว้  “ไม่เป็นอะไรแล้ว  ไม่เป็นอะไร  ข้าจะอยู่ข้างๆ  เจ้า  ปกป้องเจ้า”

ครีออนยกมือที่สั่นเทาขึ้นมากอดปลอบข้า  ข้าคิดจะพาเขาหนี  ทว่าเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างหนักแน่นก่อนที่ร่างหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้อง

“เป็นละครชีวิตที่น่าประทับใจจริงๆ  พี่น้องกลับมาอยู่พร้อมหน้า  น่าประทับใจจริงๆ  หึๆ”  เสียงหัวเราะอันแสนเยือกเย็นดังขึ้นจากลูซัสที่ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ  ข้ารีบดึงครีออนให้ลุกขึ้นแล้วยืนขวางหน้าเขาไว้

“ลูซัส”

“กล้ามากที่เข้ามาในปราสาท...ไม่สิ  กล้ามากที่มาคนเดียวแบบนี้”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะผายมือมาข้างหน้าแล้วมองไปทางครีออน  “ฝ่าบาท  มาหาข้าสิ”

ครีออนชะงักไปชั่วขณะ  ข้ารีบยกมือขึ้นปกป้องเขาไว้ก่อนที่จะบอกกับลูซัสว่า  “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายครีออนไปมากกว่านี้แล้ว”

“โอ้  ช่างเป็นคำพูดที่สมกับฐานะพี่ชายจริงๆ”  เขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยิ้มเยาะออกมา  ก่อนที่กระแสพลังรอบตัวเขาจะเริ่มก่อตัวขึ้น  “งั้นก็แสดงพลังในฐานะพี่ชายดูสิ”

เขาปลดปล่อยพลังเวทออกมาอย่างมหาศาลทำให้ข้าเองยังขนลุกขึ้นมา  ตัวข้าในตอนนี้ยังไม่สามารถต่อกรกับเขาได้  ต้องหาทางหนี

ลูซัสพุ่งเข้ามาทันทีในขณะที่ข้ายังตั้งตัวไม่ได้  แต่ขณะนั้นภูตสีฟ้าที่ไว้ใช้ติดต่อกันก็เด้งตัวขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อของข้าแล้วเสียงอันคุ้นหูก็ดังขึ้น

“กำลังไปช่วยเดี๋ยวนี้ล่ะขอรับ!”

ตูม! 

โครม!

เสียงคล้ายระเบิดดังกึกก้องขึ้น  ก่อนที่ลูซัสจะกระเด็นไปติดกำแพงอีกฝั่ง  ข้ารับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนและเศษอิฐที่ปลิวมาทำให้ต้องรีบกดครีออนลงนั่งเพื่อหลบมัน  ฝุ่นสีน้ำตาลลอยคลุ้งไปทั่วห้อง

ข้าเงยหน้าขึ้นมองตามที่มาของเสียง  พบว่ากำแพงของห้องนี้กลายเป็นรูกว้างจนเห็นทิวทัศน์ข้างนอก  เมื่อฝุ่นจางลงไปแล้วจึงได้เห็นคนที่ยืนตรงหน้า

เด็กหนุ่มผู้มีเปลวไฟลอยวนอยู่รอบๆ  บนแผ่นหลังของเขาปรากฏปีกเพลิงขนาดยักษ์อยู่  อาคีรัสรีบหันมากลับมาหาพวกข้าแล้วร้องถามว่า  “ไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนนะขอรับ”

“อื้ม  ไม่ได้เป็นอะไร”  ข้าตอบกลับไปแม้จะยังอึ้งอยู่  จริงๆ  ตอนแรกก็เตรียมอาคีรัสไว้ช่วยในกรณีฉุกเฉินข้างนอกถ้าถูกไล่ตาม  จึงกำหนดให้เขาอยู่ไกลจากปราสาทเสียหน่อย  ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะมาด้วยการพุ่งมาทำลายกำแพงแบบนี้

“ถ้างั้นหนีกันเถอะขอรับ”  เขาเอ่ยขึ้นแล้วเดินตรงมาโอบกอดข้าไว้ด้วยแขนอีกข้างหนึ่ง  ส่วนอีกข้างก็คว้าเอวครีออนไว้  จากนั้นก็ยกขึ้นอุ้มพวกข้าอย่างง่ายดาย

“หึ  ฝ่าบาท”  เสียงเย็นเยือกของลูซัสดังขึ้น  เมื่อข้าหันไปมองก็เห็นเขายืนนิ่งอยู่ตรงจุดที่อาคีรัสต่อยส่งไป  แต่ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธมากกว่าปกติ  “ถ้าเจ้าคิดจะหนีไป  เจ้าจะต้องพบกับความเจ็บปวดถึงที่สุด”

ครีออนกับข้านั้นงุนงงกับคำกล่าวนั้น  หากเป็นคนทั่วไปอาจจะคิดว่านี่เป็นประโยคตัดพ้อ  แต่ถ้าออกมาจากปากลูซัสก็อาจแฝงความหมายอะไรไว้  แต่ตอนนั้นอาคีรัสก็กระโดดออกมาจากปราสาท  กางปีกเพลิงที่แผ่สยายไปกว้างกว่าเดิมแล้วโผบินออกไปท่ามกลางราตรีที่ปราสาทเริ่มวุ่นวาย

เขาใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดรวมตัวที่ที่อยู่ในป่าต้องห้าม  อาคีรัสวางข้ากับครีออนลง  ข้ารีบเข้าไปหาน้องชายทันที  แต่ตอนนั้นเองที่คล้ายกับตัวเขาแข็งค้างไปชั่วขณะแล้วทรุดลงกับพื้น  ไอโขลกออกมายกใหญ่จนมีเลือดสีดำออกมา

ข้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  ร่างกายของเขาตอนนี้โดนความมืดกัดกินไปมากจนมีอาการย่ำแย่  และตอนนี้เหมือนกับว่าไอความมืดที่ลูซัสมอบให้ครีออนเองก็เริ่มทำร้ายเขา

น้องชายของข้าไอโขลกด้วยความเจ็บปวดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะล้มลงไปท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนโดยเฉพาะข้าที่คล้ายกับถูกบีบหัวใจให้แหละละเอียด

“ครีออน!  ครีออน!”

หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 30>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 01-05-2018 18:46:03
หูยย นางเองก็เจ็บไม่น้อยนิ ยังห่วงน้อง
ถ้าหาย ควรส่งครีออนไปบวช
ความมืดจะได้หมดไป
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 30>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 01-05-2018 20:37:59
บทที่ 31
เพลิงขจัดมาร

“ครีออน!”

เมื่อเห็นครีออนล้มลงไป  หัวใจข้านั้นก็เหมือนจะถูกบีบให้แหลกลง  ข้ารีบวิ่งเข้าไปหาเขา  แล้วประคองขึ้นมาท่ามกลางความตกใจของทุกคน

ครีออนมีสีหน้าซีดเผือดดูทรมาน  มือของเขาเย็นจัด  และหอบหายใจถี่  เหงื่อกาฬผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า  “ครีออน  ทำใจดีๆ  ไว้  จะรีบช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!”

“เดี๋ยวก่อนทีอารีน  เจ้าจะใช้พลังเวทของเจ้าไม่ได้นะ”  ทว่าโซแวนกลับหยุดมือที่เตรียมจะร่ายเวทของข้าไว้  ก่อนที่เขาจะเสริม  “พลังของเจ้าจะเข้าไปตีกับมนตร์ดำพวกนั้นแล้วทำให้ร่างกายของเขายิ่งแย่ไปกันใหญ่”

“แต่จะให้ทำยังไงล่ะ!”  ข้าร้องตะโกนขึ้นด้วยความสับสน  ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลออกมา 

“อึก...อ้าก!”  ครีออนร้องขึ้นอย่างทรมาน  ร่างกายของเขาบิดไปบิดมาด้วยความเจ็บปวด  ดูแล้วยิ่งทำให้ข้ารู้สึกเจ็บหัวใจไปด้วย  ข้ากุมมือของเขาไว้เพื่อให้เขารู้สึกปลอดภัย  อีกฝ่ายบีบมือแน่นยิ่งรับรู้ได้ว่าเขาเจ็บปวดมากเท่าไร

“ฝ่าบาท  ให้ข้าช่วยนะ”  ข้าหันไปตามเสียงก็เห็นอาคีรัสกำลังนั่งลงอยู่ข้างๆ  เขามีสีหน้ากังวลและเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด  เพราะเห็นข้ามีท่าทีสับสนเขาเลยบอกต่อว่า  “ข้าคิดว่าข้าจัดการได้”

“เจ้าจะทำอะไร”  ข้าถามขึ้น  เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะอธิบาย 

“ไฟของข้าสามารถกำจัดความมืดได้...ผู้วิเศษเคยบอกเช่นนั้น  ถึงข้าจะยังควบคุมมันไม่ค่อยเก่งเท่าไรแต่เพื่อช่วยเขาล่ะก็  ข้ายินดีทำทุกอย่าง”

แม้ว่าจะมีท่าทีไม่แน่ใจแต่ดวงตาของอีกฝ่ายมุ่งมั่นกับสิ่งที่จะทำอย่างมาก

“เจ้าช่วยเขาได้หรือ”  ข้าถามย้ำอีกครั้งด้วยความดีใจ  เขาพยักหน้ายิ่งทำให้ข้าใจชื้นรีบขอร้องอาคีรัสว่า  “ขอร้องล่ะ  ช่วยเขาด้วย  ได้โปรด”

“ข้าทราบแล้ว”  อาคีรัสพยักหน้าก่อนจะยื่นมือมาประคองครีออนไปจากข้าแล้วบอกว่า  “ท่านต้องไปอยู่ห่างๆ  ก่อน  ข้าไม่แน่ใจว่าไฟจะไปทำร้ายคนอื่นไหม”

“ได้  แต่เขาจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม”  ข้ามองหน้าครีออนก่อนจะถามอาคีรัส  เขาพยักหน้าตอบรับทำให้ข้าพอจะเชื่อใจได้ 

“ถอยออกมาก่อนเถอะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นก่อนจะจับข้าให้ลุกขึ้นแล้วถอยห่างออกมาเหมือนคนอื่นๆ  เมื่อคิดว่าจะไม่มีใครได้รับอันตรายแล้วอาคีรัสจึงยกครีออนขึ้นมากอดไว้  รอบๆ  ตัวพวกเขามีไฟลุกขึ้นมาจากพื้น  บ้างก็ก่อตัวในอากาศ  หมุนวนไปรอบๆ

“อ้าก...ฮึก  อ้าก!!”  ครีออนกรีดร้องขึ้นเมื่อร่างกายของเขาถูกเผาด้วยไฟ  ร่างนั้นพยายามดิ้นไปมาแต่ถูกอาคีรัสกอดรั้งไว้เลยสลัดไปไม่ได้  เวลาผ่านไปราวสามสิบนาที  ในที่สุดไฟของอาคีรัสก็ดับมอดลงพร้อมกับเสียงของครีออนที่เงียบลง

อาคีรัสปล่อยให้ครีออนล้มไปนอนกับพื้น  น้องชายของข้าสลบไปแล้ว  ส่วนเขาก็ใช้แขนยันพื้นไว้แต่ดูท่าทางแล้วก็คงเหนื่อยเอาการ  ข้ากับโซแวนจึงเข้าไปหาพวกเขา

“ไหวหรือเปล่า”  โซแวนหันไปถามอาคีรัสขึ้น  ฝ่ายหลังขืนยิ้มให้ทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อแล้วขยับถอยไปจากครีออน 

“สบายมาก...ขอรับ”

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามโกหกแบบนั้นแต่สุดท้ายร่างของอาคีรัสก็โงนเงนแล้วล้มลงไป  แต่ดีที่โซแวนคว้าไว้ได้  เขาสลบไปแล้ว  พวกข้าจึงรีบพาทั้งสองคนไปพักผ่อน

อาคีรัสนั้นว่ากันจริงๆ  แล้วแค่หลับไปเพราะใช้พลังเยอะ  คาร์ริต้าบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ต้องเป็นกังวล

ก็มีเพียงแค่น้องชายของข้า  แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว  แต่ดูเหมือนว่ายังต้องพักฟื้นอีกสักพัก

จนกระทั่งผ่านมาสองวันแล้วก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา  ข้าที่นั่งเฝ้าอยู่ตลอดก็อดเป็นกังวลไม่ได้

“เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ”  ข้าพึมพำขึ้นขณะที่ลูบแก้มของเขา  สีหน้าครีออนดีขึ้นมากกว่าตอนแรก  แต่คงเพราะเหนื่อยมากเลยยังหลับอยู่

“เจ้านี่แข็งแกร่งอยู่แล้ว  ไม่เป็นอะไรหรอก”  เสียงหนึ่งดังขึ้น  ข้าจำได้อยู่แล้วว่าเป็นโซแวน  เพราะนี่เป็นที่พักพิเศษของเขาจึงมีแค่พวกข้าที่เข้ามาได้ 

ข้าต้องขอร้องเขาอยู่พักหนึ่งถึงจะยอมให้ครีออนมาพักได้โดยมีข้อแลกเปลี่ยน

สาเหตุที่ข้าอยากให้เขาพักที่นี่นั้นเพราะกังวลว่าลูซัสจะตามหาจนเจอ  ที่นี่มีผนังเวทมนตร์ที่ต้านทานการค้นหาทุกอย่างทำให้ปลอดภัยกว่าข้างนอก

“แล้วทำไมเขายังไม่ฟื้นล่ะ”  ข้าหันไปถามเขา  ยังไงก็ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบอยู่แล้ว  โซแวนเดินเข้ามาใกล้แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ข้า

“ไม่รู้สิ  เจ้าหนูนี่อาจจะอยากให้ข้าทำกับเจ้าก็ได้”  เขาว่าพร้อมกับแสยะยิ้มเล่นเอาข้าชักสีหน้าออกมา  จะว่าไปแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดกับนิสัยแบบนี้ของโซแวนขึ้นมา  แต่คนที่ผิดก็คงเป็นข้าที่ไปรับปากแบบนั้นกับเขา

จนกว่าครีออนจะฟื้น  ข้าจะต้องยอมนอนกับเขาทุกวัน  สองคืนที่ผ่านมาข้าก็อยู่กับเขาจนเช้า  พอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วข้าก็คิดว่าโซแวนเป็นผู้ชายที่หิวกระหายแถมหน้าไม่อาย เหมือนเช่นตอนนี้...

“เอามือออกไป”  ข้าสั่งเสียงเรียบขณะจับมือที่ยื่นมาโอบเอวข้าไว้  ถ้าแค่โอบก็ไม่ได้ว่าอะไร  แต่การเลื่อนต่ำลงไปกว่านั้นก็รู้แล้วว่าไม่มีเจตนาดีอยู่เลย

“มาเขินอายอะไรตอนนี้  ที่ผ่านมาเจ้าก็ทำหน้าที่ได้ดีเลยนี่”  เขาบอกพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม  หากว่าไม่ลงมือหยิกไปก็คงไม่ชักมือกลับ 

ข้าถอนหายใจออกมาก่อนจะบอกว่า  “ไม่ได้อายแต่นี่ยังไม่ถึงกลางคืนสักหน่อย”

“ใครบอกว่าข้าจะทำแต่ตอนกลางคืน”  เขาเลิกคิ้วใส่แล้วถามเช่นนั้นทำให้ข้าชะงัก  นั่นเป็นความจริงที่เขาไม่เคยบอก 

“แต่มันควรรู้ได้ด้วยตัวเองนี่”

“หนุ่มน้อย  การร่วมรักกันไม่เคยมีข้อจำกัดว่าต้องเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นนะ”  เขาว่าพร้อมขยับมือกอดข้าไว้แน่นแล้วซุกหน้าลงที่ไหล่ขวา  “อยากเมื่อไรก็ทำ”

“ข้าว่านั่นเป็นตรรกะของเจ้าคนเดียวมากกว่า”  ข้าย้อนกลับไปแล้วดันเขาออก  ไม่ใช่ว่ารังเกียจแต่ถ้าอยู่แบบนั้นไปนานๆ  ก็คงจะไม่ได้จบที่กอดเป็นแน่

โซแวนมีท่าทีหงอยไปทันทีแล้วถอยออกไป  แต่ข้าพยายามทำเป็นไม่สนใจแล้วหันไปเฝ้าครีออนต่อ  เขายังคงหลับอยู่เหมือนเดิม

“หรือว่า...ครีออนจะไม่อยากตื่นมาเห็นหน้าข้ากันนะ”  ข้าพึมพำขึ้น  ถ้ามาลองคิดดู  ตัวข้าก็มีส่วนเต็มๆ  ในการทำให้เขาต้องมาทรมานแบบนี้  หากว่าข้าไม่ทำให้เขายึดติดมากขนาดนี้...ครีออนก็จะไม่เจ็บปวดอะไร

“มีหรือที่เจ้าคนแบบนี้จะไม่ตื่นมาหาคนที่รัก”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะเดินเข้ามาใกล้  แม้ว่าจะมีท่าทีหงุดหงิดทุกครั้งที่เข้ามา  แต่เขาก็มักจะมานั่งอยู่ข้างหลัง  คอยช่วยข้าเฝ้าครีออนอยู่เสมอ  แม้ว่าเจ้าตัวจะอ้างจุดประสงค์ว่ารอตกกลางคืนเพื่อที่จะได้นอนกับข้าก็เถอะ

ข้าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป  ขณะที่เขาเข้ามาใกล้เพื่อโอบไหล่แล้วถามว่า  “นี่  ขอจูบได้ไหม”

“หา?”  ข้าร้องขึ้นด้วยความสงสัย  แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรโซแวนก็ฉวยโอกาสนั้นจับใบหน้าแล้วก้มลงมาจูบทันที

จูบนั้นเหมือนเช่นทุกครั้งที่พวกข้าเคยทำกัน  ยิ่งเนิ่นนานเพียงใดก็ยิ่งทำให้ลุ่มหลง  ยิ่งตวัดพันลิ้นกันมากเท่าใดไฟราคะในอกก็ยิ่งลุกไหม้  ข้าเกร็งตัวจนเผลอบีบแขนทั้งสองข้างของเขาแน่น  นิ้วมือเรียวนั้นลูบต่ำลงอยู่ในสาบเสื้อยิ่งทำให้ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด

ข้าฝืนตัวดันเขาออกก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น  “บอกแล้วไงว่าตอนนี้ไม่ได้”

“หืม?  ทำไมล่ะ”  โซแวนเลิกคิ้วถามย้ำ  “หรือเพราะอยู่ตรงหน้าน้องชายเจ้าเลยไม่อยากทำงั้นเหรอ  ไม่เอาน่า  สองคืนที่ผ่านมาเราก็ทำกันที่นี่ไม่ใช่หรือ?”

“แล้วเจ้าคิดว่าที่ผ่านมาข้าเต็มใจหรือเปล่าล่ะ”  ข้าถามกลับ  สองคืนที่ผ่านมา  เพราะข้าไม่ยอมออกจากห้องนี้  เขาก็เลยร่วมรักกับข้าในห้องนี้  ข้าทั้งกังวลทั้งอายว่าถ้าเกิดครีออนตื่นขึ้นมาเห็นภาพแบบนั้นจะเป็นยังไง  นั่นทำให้ข้าไม่มีอารมณ์ร่วมเลย

“ให้ตายสิ  ข้าชักหึงเจ้าขึ้นมาทุกทีแล้ว”  เขาว่าเสียงเรียบก่อนจะหันไปทางครีออนแล้วบ่นพึมพำ  “ดูสิ  เพราะเจ้าไม่ยอมตื่นมา  ทีอารีนเลยไม่ยอมทำตัวดีๆ  กับข้าเลย”

“เจ้าพูดไปเขาก็ไม่ได้ยินหรอก  หืม?...”  ข้าบอกกับเขาก่อนจะสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างได้  นิ้วมือของครีออนกระตุกครั้งหนึ่งขณะที่หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทำให้ข้าเบิกตากว้าง

“ครีออน!”  ข้าแทบจะพุ่งตัวไปหาน้องชายที่นอนอยู่ทันที  เขาค่อยๆ  ลืมตาขึ้นมา  สีหน้าดูสบายดีไม่เจ็บปวดตรงไหนก็ทำให้ข้าสบายใจขึ้นมาก  ครีออนมองข้าโดยไม่พูดอะไรก่อนจะกวาดสายตาไปมองรอบๆ  แล้วตาของเขาก็กระตุกเมื่อเห็นโซแวน

“เจ้า...”  เขาเอ่ยค้างไว้  สีหน้าเต็มไปด้วยคำถามแต่ไม่ได้พูดออกมา  ข้าประคองครีออนให้นั่งแล้วถามด้วยความเป็นห่วงว่า  “ครีออน  เจ้าไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนอีกใช่ไหม?”

“...ขอรับ”  ครีออนขานรับเสียงแหบแห้ง  เมื่อเห็นเขายกมือขึ้นคลำลำคอตัวเองก็ทำให้ข้านึกได้แล้วรีบวิ่งไปหยิบแก้วรินน้ำใส่มาให้ทันที 

“ค่อยๆ  จิบนะ”

ข้าค่อยๆ  ประคองแก้วน้ำให้อีกฝ่ายจิบไปเรื่อยๆ  ขณะที่โซแวนก็พูดแซะขึ้นมา  “โห  ตื่นมาได้ขัดจังหวะพอดีเลยนี่  น่าเสียดายจัง  ถ้าเจ้ายังหลับอยู่  ทีอารีนก็คงเสร็จข้าไปอีกรอบแล้ว”

“โซแวน!” 

“อึก...แค่ก”  เพราะฟังที่โซแวนพูด  ครีออนเลยสำลักน้ำทันทีข้าเลยหันไปตวาดใส่โซแวนยกใหญ่  แต่ก่อนหน้าที่จะลุกไปหาเขา  ครีออนก็ดึงข้าไว้แล้วมองลอดคอเสื้อข้าเข้าไปแล้วก็ไอออกมาอีกเฮือกหนึ่งยิ่งทำให้ข้าตกใจมากกว่าเดิม  โซแวนเลยหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ

พอหายไอแล้วครีออนก็ลุกขึ้นมาทะเลาะกับโซแวนต่อส่งผลให้ห้องเกิดเสียงอึกทึกวุ่นวายจนข้างนอกเข้ามาดู  น้องชายข้าโมโหอยู่ยกใหญ่ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งแล้วยกมือขึ้นกุมศีรษะ

“เจ้าไหวหรือเปล่า”  ข้าถามด้วยความเป็นห่วงขณะนั่งข้างเขา  แต่ครีออนก็มิวายโดนโซแวนแซะต่อว่า  “ลุกขึ้นมาทะเลาะได้ขนาดนี้ก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะมั้ง”

“หุบปากเจ้าคนชั้นต่ำ...ข้าไม่เป็นอะไร  เสด็จพี่  แค่เวียนหัวนิดหน่อย”  ครีออนเค้นเสียงตะคอกใส่อีกฝ่ายที่ยืนอยู่ด้านหน้าแล้วหันมามองกับข้าด้วยน้ำเสียงปกติ  ข้าพยายามจะไม่สนใจความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนในเวลานี้แล้วยิ้มอย่างโล่งอก 

“ค่อยยังชั่ว  เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

“เสด็จพี่ต่างหาก  ไม่เป็นอะไรใช่ไหม  ไม่ได้ถูกเจ้าสัตว์ประหลาดบ้านี่ทำร้ายใช่ไหม”  ครีออนถามข้าด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะหันไปมองโซแวนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“ข้าไม่เป็นอะไร  สบายดี”  ข้าตอบเขาไปเช่นนั้นแต่ครีออนกลับทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ สายตาของเขาหยุดมองที่คอข้าทำให้รู้สึกตัวแล้วหันไปมองโซแวนตาขวาง

เขาชอบทิ้งรอยไว้บนตัวข้า  แล้วกำชับว่าห้ามลบออก  ทีแรกก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร  แต่พอเห็นเขาทำสีหน้าสะใจใส่ครีออนก็พอจะเดาสาเหตุได้แล้วเลยลุกขึ้นไปตีเขาหนึ่งครั้ง 

“หยุดแกล้งน้องชายข้าได้แล้ว”

“ไม่ได้แกล้งสักหน่อย...”

“โกหกชัดๆ”  ข้าสวนกลับไปก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหันไปหาเร็นที่ยืนรออยู่ที่ประตู  “เร็น  ขอโทษนะ  ช่วยเตรียมอาหารให้หน่อยสิ”

“รับทราบขอรับ  รอสักครู่นะขอรับ”  เร็นก้มหัวลงน้อมรับคำสั่งแล้วเดินออกไป  กลุ่มที่ยืนมุงอยู่ก็สลายไปทำหน้าที่ของตน  ข้าชะโงกหน้าออกมาดูก็พบคนบางคนอยู่

เขามักจะมาเฝ้าอยู่ข้างนอกเสมอตั้งแต่รู้สึกตัว  อาคีรัสนั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ  ประตู  ดูแล้วคงเพลียจัดจนผล็อยหลับไป  ข้าเลยลองเดินเข้าไปปลุกดู

“งืม...ฝ่าบาท”  เขางึมงำขึ้นเมื่อลืมตามาเห็นข้าก่อนที่เปลือกตาจะปิดลงไปอีกรอบทำให้ข้านึกขำ 

“ตื่นได้แล้ว  ถ้าเจ้าเหนื่อยมากก็กลับไปพักผ่อนเถอะ  ครีออนตื่นแล้ว  ไม่จำเป็นต้องเฝ้าแล้ว”

“ขอรับ...หืม?  ครีออนตื่นแล้วหรือขอรับ?”  อาคีรัสดีดตัวขึ้นมายืนด้วยสายตาประหลาดใจ  พอข้าพยักหน้าเป็นคำตอบดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีแล้วพุ่งตัวไปดูหน้าห้องแล้วร้องขึ้นด้วยความดีใจ  “ตื่นแล้วจริงๆ  ด้วย!”

อาคีรัสนั้นแสดงความดีใจออกมาอย่างล้นพ้น  เขาที่เคยปฏิบัติตามกฎที่ว่าห้ามเข้าไปในห้องตอนนี้ก็ไม่สนใจอะไรแล้วพุ่งเข้าไปทันทีท่ามกลางความตกใจของครีออนจากนั้นก็กระโดดกอดอีกฝ่ายด้วยความดีใจ

“ฟื้นแล้ว!  มันได้ผล!  ฮะๆ”

“เฮ้ย  อาคีรัส  เดี๋ยวคุณหนูผู้อ่อนแอก็กระดูกหักหรอก”  โซแวนเตือนขึ้นทำให้อาคีรัสได้สติ  เขารีบละกอดครีออนแล้วก้มลงไปขอโทษขอโพยใหญ่ 

“ขอโทษนะ!  ข้า...ลืมตัวไปหน่อย  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“ไม่หรอก”  ครีออนตอบเสียงเรียบ  ก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจ  “เจ้าคือคนที่เข้ามาคุยกับข้าบ่อยๆ  ใช่ไหม”

“อาคีรัสเป็นคนที่ช่วยเจ้าไว้น่ะ  จำได้หรือเปล่า”  ข้าเสริมขึ้นทำให้ครีออนนึกอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายหน้า 

“ข้านึกไม่ออกว่าก่อนที่จะหมดสติไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“งั้นเหรอ”  ข้าพึมพำเบาๆ  ก่อนที่ครีออนจะหันไปถามอาคีรัสว่า  “เจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้งั้นสินะ  ทำไมล่ะ?”

“ก็...”  อีกฝ่ายกลอกตาไปมาหลังจากถูกถามแบบนั้น  “ก็คงเพราะเจ้ายอมรับข้าเป็นเพื่อนนี่  อีกอย่าง...ฝ่าบาทก็ไม่อยากเสียเจ้าไป  ข้าก็ไม่อยากเสียเจ้าไปด้วย”

อาคีรัสพูดเช่นนั้นพร้อมกับที่ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ  ครีออนเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเช่นนั้น  เขาเงียบไปสักพักก่อนจะยิ้มบางๆ  ออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง  “ขอบใจนะ”

นั่นทำให้อาคีรัสเผยยิ้มไร้เดียงสาออกมา  ข้ามองดูครีออนอย่างพิจารณา  ดูเหมือนตอนนี้เด็กคนนั้นจะเป็นคนเดียวที่ครีออนยอมเข้าหาอย่างเต็มใจ

บรรยากาศในห้องตอนนี้เลยดูเหมือนมีดอกไม้เล็กๆ  บานอยู่...พอเห็นครีออนอยู่กับเพื่อนแล้วข้าก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“ขอโทษที่ทำให้รอขอรับ  อาหารพร้อมแล้ว”  เร็นเอ่ยขึ้นขณะนำถ้วยใส่ซุปเดินเข้ามาในห้องแล้วยื่นให้แก่ครีออน  อีกฝ่ายรับไปถืออยู่พักหนึ่ง  เหมือนเขาอยากจะมั่นใจว่าไม่มีพิษก่อนแล้วค่อยกิน

“ถ้างั้นพวกข้าออกไปดูข้างนอกสักครู่นะ  อาคีรัส  เจ้าอยู่กับครีออนที่นี่เถอะ”  โซแวนเป็นคนเอ่ยขึ้นขณะเดินมาลากข้ากับเร็นออกไปข้างนอกทิ้งให้ครีออนอยู่กับอาคีรัส

“ฝ่าบาท”  และเมื่อข้าออกมาข้างนอกก็พบผู้ถูกเลือกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาทันทีด้วยสีหน้าเครียดจัด 

“ข้าได้ข่าวว่าครีออนฟื้นแล้ว”

“ใช่”  ข้าตอบไปสั้นๆ  และสังเกตดูท่าทีของเขา  อีกฝ่ายไม่รอช้ารีบพูดต่อทันที 

“แบบนี้อันตรายนะขอรับ  ทางที่ดีเราควรรีบกำจัดเขา”

“ทำไมล่ะ?”  ข้าถามกลับเสียงเรียบ  “เคยบอกไปแล้วนี่ว่าก่อนหน้านี้เขาถูกควบคุมอยู่”

“แต่เขาก็เป็นต้นเหตุให้มันเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ขึ้นนะขอรับ  ท่านจะทำเมินไม่เห็นความผิดเพราะเขาเป็นน้องชายของท่านไม่ได้นะ”  เขาเอ่ยขึ้นโดยมีผู้ถูกเลือกคนอื่นเห็นด้วย  พวกโซแวนเองก็ยังไม่ได้พูดอะไร  ไม่มีท่าทีเห็นด้วยกับเขาแต่ก็ไม่ได้จะเข้าข้างข้า

ครีออนเป็นหนึ่งในต้นเหตุของหายนะครั้งนี้ก็จริง  แต่สาเหตุหลักนั้นหากมองให้ลึกกว่านั้นก็เป็นเพราะลูซัสหว่านล้อมชุบแนวคิดแบบนั้นให้เขาตั้งแต่เด็กจนแยกแยะผิดถูกไม่ออก

“ข้าไม่ได้เข้าข้างเขาเพราะเขาเป็นน้องชายของข้า”  ข้าตอบกลับไปเสียงเรียบ  “ข้าแค่เห็นว่าเขาเป็นเด็กไร้เดียงสาที่แยกแยะผิดถูกไม่ออก  ลองให้การอภัยดูก็ไม่เสียหาย”

“แต่ว่า...”

“ถ้าครีออนทรยศเจ้าขึ้นมาอีก  เจ้าจะทำยังไงล่ะ”  จู่ๆ  วารันก็ถามขึ้น  ทำให้คนที่พยายามพูดอยู่เงียบลง  ทุกสายตาหันมามองข้าคล้ายกับรอคำตอบ  “เจ้าจะฆ่าเขาไหม”

“ถ้าวันนั้นมันมีจริง  ข้าจะเป็นคนลงมือปิดปัญหานี้เอง”  ข้าตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจังแล้วเดินไปทางอื่น  พวกโซแวนเดินตามมาห่างๆ  พอพ้นระยะสายตาพวกผู้ถูกเลือกแล้วข้าก็เลือกที่จะนั่งบนโขดหินรอพวกเขาพูด

“ข้าบอกแล้วว่าครีออนจะไม่ได้รับการยอมรับ”  โซแวนเอ่ยขึ้นคล้ายกับจะตำหนิ  “แล้วอยู่ดีไม่ว่าดีเจ้าก็ดันเอาตัวเองไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายอีก”

“เจ้าหมายถึงที่ข้าพูดเมื่อกี้น่ะเหรอ”  ข้าถามกลับ  เขาจึงพยักหน้าตอบกลับมาแล้วบอกว่า  “ใช่  ถ้าครีออนมาได้ยินเข้าจะไม่ทำให้เขาอยากกลับไปร่วมมือกับลูซัสชิงตัวเจ้าไปหรือไง”

“ถึงเมื่อกี้ข้าจะบอกว่าเขาเป็นเด็กไร้เดียงสา  แต่ข้าคิดว่าครีออนก็โตพอจะแยกแยะเรื่องแบบนี้ออกนะ”  ข้าบอกกับเขาเช่นนั้นก่อนที่จะส่งยิ้มให้  “ไม่ต้องห่วง  เขาจะไม่มีวันกลับไปร่วมมือกับลูซัสแน่นอน  เพราะทางนี้น่ะมีข้าอยู่  แล้วถ้าพวกเจ้าต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นล่ะก็  เด็กคนนั้นต้องประทับใจแน่ๆ”

“เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีบางคนไปชวนคุณชายนั่นทะเลาะอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”  วารันพึมพำขึ้นทำให้โซแวนสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมองตาขวาง 

“ก็นะ  โซแวนน่ะเป็นข้อยกเว้น  ต่อให้ผ่านไปสักกี่ร้อยปีท่านครีออนก็ไม่มีทางญาติดีกับโซแวนแน่นอนขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงมั่นใจจนทำให้เพื่อนที่อยู่ข้างๆ  หันมามองแล้วโดนทำตาขวางใส่ไปอีกคน

“แต่ข้าคิดว่าแค่ให้เขาอยู่กับพี่ชายอันเป็นที่รักแล้วก็คงไม่ทรยศกลับข้างอีกหนหรอก”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นหลังจากวิเคราะห์อยู่นาน  ซึ่งคาร์ริต้าเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าก็มั่นใจเช่นนั้น”  ข้าตอบกลับไปก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วบอกว่า  “ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปดูอาการของเขาหน่อย  ถ้าหากหน่วยสอดแนมที่ส่งไปกลับมาก็บอกข้าด้วยละกัน”

“ขอรับ”

สภาพร่างกายของครีออนกลับมาเป็นปกติแล้ว  ไม่ถึงครึ่งวันดีเขาก็สามารถเดินออกมาข้างนอกได้  แม้ว่าพวกเร็นจะปฏิบัติอย่างดี  แต่สายตาของผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  ที่มองครีออนนั้นก็รับรู้ได้ชัดเจนว่ารังเกียจ  น้องชายข้านิ่งเงียบขึ้นมากกว่าปกติจนข้าคิดว่าให้เขาอยู่ตรงลานที่ชุมนุมต่อไปคงไม่ดีเลยพาแยกออกมาทางป่า

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”  ข้าถามขึ้นหลังจากห่างพวกผู้ถูกเลือกมาแล้ว  ครีออนที่ก้มหน้ามาตลอดจึงเงยหน้าขึ้นแล้วตอบเรียบ

“ข้าไม่เป็นอะไร”

“งั้นเปลี่ยนคำถาม  เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”  ข้าไม่ใช่ว่าจะดูไม่ออกว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจ  ครีออนเงียบไปอยู่นานจนในที่สุดก็พูดขึ้นมา

“ท่านคิดดีแล้วหรือที่จะให้ข้ามาอยู่ที่นี่  ร่วมมือกับพวกท่านปราบลูซัส”  เมื่อได้ยินครีออนพูดแบบนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าเด็กคนนี้คิดกังวลไปถึงขนาดไหน

“คิดดีแล้วสิ  เจ้าเองก็แข็งแกร่ง  ข้าเชื่อว่าถ้าเจ้ามาร่วมรบด้วยต้องชนะลูซัสอย่างแน่นอน”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“แต่พวกเขาไม่ต้อนรับข้า”  ครีออนพึมพำขึ้น  นั่นคงหมายถึงผู้ถูกเลือกคนอื่น 

“ไม่ต้องห่วง  ถ้าพวกเขาคิดจะทำอะไรเจ้า  ข้าจะปกป้องเอง”

“ท่านพี่...”

“หากว่าพวกเขาไม่ยอมรับเจ้าล่ะก็  พิสูจน์ตัวเจ้าเองสิ  ว่าเจ้าต้องการอยู่ข้างนี้  ต้องการเคียงคู่กับข้า”  ข้าบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ครีออนพยักหน้าตอบรับ  ดูเหมือนเขาจะตัดปัญหาเรื่องนี้ไปจากใจแล้ว  แต่ต่อว่าก็ถอนหายใจอีกทำให้ข้าอดแปลกใจไม่ได้  “เป็นอะไรไป”

“ข้าทำใจไม่ได้”  เขาเอ่ยขึ้นทำให้ข้าขมวดคิ้ว  “เรื่อง?”

“เรื่องที่ท่านไปลงเอยกับเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น”  เขาบอกขึ้นน้ำเสียงเจือไปด้วยความเจ็บใจแล้วดึงข้าไปกอดไว้  “มันดีกว่าข้าตรงไหน”

“จะให้ข้าบอกไหมล่ะ?”

“อย่า”  เขาร้องห้ามเสียงเบาทำให้ข้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้  ครีออนยังคงกอดข้าไว้ข้าจึงลูบหลังเบาแล้วบอกว่า  “ครีออน  เพราะเจ้าเป็นน้องชายที่น่ารักข้าเลยไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น  อย่ามายึดติดกับข้าเลย  ข้าไม่เหมาะกับเจ้าหรอก  หาคนที่เหมาะสมและพร้อมจะใช้ชีวิตร่วมไปกับเจ้าเถอะ”

“จะมีจริงๆ  เหรอ?”

“มีสิ  อย่างน้อยข้าก็คิดว่าคนหนึ่ง  เราเป็นพี่น้องกันย่อมสื่อกันได้เข้าใจใช่ไหม?  คนที่เข้ามาในใจเจ้าได้ก็ย่อมพัฒนาเป็นคนรักได้”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ครีออนละกอดจากข้าแต่เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ  ดูเหมือนว่าจะใช้ความคิดอยู่  ก่อนที่เขาจะเบิกตากว้าง

“สัมผัสนี้...อึก!”  เขาพึมพำขึ้นก่อนที่จะเบิกตากว้างแล้วคว้ามือของข้าไว้ก่อนที่จะบอกว่า  “เสด็จพี่  รีบกลับเร็ว!”

ท้องฟ้ารอบข้างแปรปรวนเปลี่ยนเมฆเป็นสีดำครึ้มปกคลุมไปทั่ว  เส้นทางที่ครีออนจะพาข้าหนีกลับไปยังจุดรวมพลพลันมีคลื่นแสงสีดำก่อตัวขึ้นทำให้พวกข้าต้องหยุดชะงัก  ไอเวทนั้นแปรเปลี่ยนเป็นประตูมิติเพื่อให้ใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา

“สวัสดี  องค์ชายทั้งสอง”  น้ำเสียงอันคุ้นหูนั้นทำให้ทั้งข้าและครีออนเบิกตากว้าง  ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของท้องฟ้า  ลูซัสคลี่ยิ้มเย็นเยือกขึ้น  “ข้ามารับกลับแล้ว  ครีออน”

เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นมือหนึ่งมาหาครีออน  น้องชายของข้าชะงักไปทันที  มือที่กุมมือข้าไว้อยู่บีบแน่นด้วยความกังวล  พอเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้วข้าถึงสัมผัสได้  ลูซัสยังสามารถควบคุมครีออนได้อยู่  เวทมนตร์ของเขาไม่ได้จางหายไปด้วยไฟของอาคีรัส  นั่นทำให้ตอนนี้ครีออนแสดงสีหน้าทรมานจัดเพราะสู้กับตัวเองขณะที่มือข้างหนึ่งก็ยื่นไปหาอีกฝ่ายด้วยความสั่นเทา

เพี้ยะ!

มือที่ยื่นไปหาอีกฝ่ายของครีออนปัดเต็มแรงจนเกิดเสียงดังขึ้น  ก่อนที่เขาจะประกาศกร้าว 

“ข้าไม่มีวันกลับไปให้เจ้าทำร้ายเสด็จพี่อีกแล้ว”
-----------------------
TBC
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 31>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 01-05-2018 21:15:39
ครีออน คู่ของเจ้า คือคนที่ช่วยเจ้านะ
มิใช่พี่ชายของเจ้า
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 32>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 02-05-2018 18:29:53
บทที่ 32
ปฏิเสธความมืด

“ข้าไม่มีวันกลับไปให้เจ้าทำร้ายเสด็จพี่อีกแล้ว”

ครีออนตะเบ็งเสียงดังลั่นส่งผลให้ลูซัสนิ่งไป  ชั่วอึดใจหนึ่งเสียงระเบิดหัวเราะก็ดังก้องขึ้นจากอีกฝ่าย 

“หึๆ  ฮ่าฮ่าฮ่า!”

ข้ากับครีออนชะงักไป  ไม่ใช่เพราะเสียงของลูซัส  แต่กระแสเวทที่อยู่รอบตัวของอีกฝ่ายนั้นกำลังผันผวนดูแล้วไม่ใช่ลางที่ดีสักเท่าไร

เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยกับพวกข้าพร้อมรอยยิ้มน่าขนลุก  “น่าเสียดายนะ  ข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีความรักที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้เสียอีก”

“หา?”  ครีออนขมวดคิ้ว  อีกฝ่ายจึงพูดต่อ 

“รักพี่ชายของเจ้าไม่ใช่เหรอ  ครอบครองเขาสิ  กักขังเขาไว้  อย่าได้ให้ใครมาแตะต้อง  ให้โลกนี้เป็นโลกที่มีเพียงเจ้าและเขา”

“หยุดกรอกความคิดประหลาดให้ครีออนได้แล้ว”  ข้าตวาดขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นก่อนจะก้าวมากันครีออนไว้  “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้ามายุ่งกับเขาอีกแล้ว”

“หึๆ  คุณพี่ชายที่แสนดี  เพราะแบบนี้ครีออนถึงรักเจ้าหัวปักหัวปำไง  ข้าล่ะอิจฉาจริงๆ”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโทนนุ่มลื่นแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกน่าขนลุกอย่างประหลาด 

“ถ้างั้นข้าจะสนองให้เอาไหม”  เขาเอ่ยขึ้นแล้วยื่นมือมาข้างหน้า  กระแสเวทสีดำเริ่มรวมตัวที่ปลายนิ้วของลูซัสขณะที่ฝ่ายนั้นเปล่งเสียงพูด  “ให้ตายไปพร้อมกันเสียเลย!”

ลูซัสยิงลำแสงเวทออกมา  ข้ารีบกางข่ายเวทป้องกันไว้  เพียงครู่เดียวลำแสงนั่นก็หายไปแต่ร่างของลูซัสพุ่งตรงมาโจมตีแทน  ข้าไม่ทันได้ตั้งหลักดีจึงถูกต่อยกระเด็น  ครีออนตะโกนเรียกด้วยความตกใจ  ขณะที่ข้าหันกลับไปก็เห็นเขาชักดาบออกมาสู้กับลูซัสอยู่

แต่เพราะตอนนี้พลังของครีออนยังเทียบกับลูซัสไม่ติดเขาจึงยื้อไว้ได้ไม่นาน  แต่ขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะฟันดาบใส่น้องชายข้า  ร่างหนึ่งก็พุ่งมาตั้งรับไว้ได้

เคร้ง!

“โซแวน” 

ข้าเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความดีใจ  โซแวนใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ป้องกันการโจมตีของลูซัสได้ก่อนที่จะผลักเขาออกไป  ข้ารีบลุกขึ้นไปหาโซแวนกับครีออนทันที

“ให้ตายสิ  เจ้านี่มันตัวอิจฉาที่เห็นพี่น้องเขารักกันแบบธรรมดาไม่ได้เลยนะ”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะกระชับดาบในมือ  “แต่มาก็ดี  จะได้ตัดสินกันตรงนี้”

“ไม่เอาน่า  อย่าใจร้อนสิ”  ทว่าลูซัสกลับแย้งเช่นนั้นพลางยกยิ้มแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นคล้ายยอมแพ้  “สู้กันตอนนี้ข้าก็เสียเปรียบกันหมด  ไม่เอาน่า”

“เกรงว่าจะไม่ได้”  ชายหนุ่มตรงหน้าข้าเอ่ยขึ้นแล้วพุ่งตัวไปโจมตีลูซัสทันที  แต่เมื่อฟันโดน  ร่างนั้นก็สลายกลายเป็นหมอกไปทันที

“อีกไม่นานหรอก  ศึกครั้งสุดท้ายจะได้เริ่มต้นขึ้น  เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะนำกองทัพอสูรมาถล่มพวกเจ้าให้สิ้นซาก”  เสียงของลูซัสดังก้องขึ้น  ก่อนที่กระแสเวทของอีกฝ่ายจะหายไป

เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีอันตรายอะไรแล้ว  โซแวนก็เก็บดาบทันที  แล้วหันมาหาข้า 

“พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“ถูกต่อยนิดหน่อยแต่ไม่เป็นอะไรหรอก”  ข้าเอ่ยขึ้นขณะลูบคลำแก้ม  พลังฟื้นตัวของข้าไม่ได้แย่ฉะนั้นตอนนี้จึงไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไร

“ถูกต่อยที่หน้าหรือ?  ไม่เป็นแผลใช่ไหม”  โซแวนถามย้ำขณะเดินเข้ามาเชยคางขึ้นแล้วยื่นหน้ามาตรวจสอบดูใกล้ๆ  ทำให้ข้าชะงัก  ไม่รู้ทำไมหน้าถึงร้อนวูบขึ้นมา

“เสด็จพี่ก็บอกแล้วนี่ว่าไม่เป็นอะไร”  แต่แล้วครีออนก็เอ่ยขึ้นขณะเลื่อนตัวเองมาแทรกกลางระหว่างข้ากับเขา  จากนั้นก็เอ่ยขึ้นช้าๆ  อย่างไม่สบอารมณ์  “อย่าหาเรื่องมาแตะต้องตัวเสด็จพี่นะ”

“หา?  คนรักกันแตะตัวกันย่อมเป็นธรรมดานี่”  โซแวนเลิกคิ้วถามสวนกลับไปด้วยแววตาเย้ยหยันทำให้ครีออนกัดฟันกรอด 

“เจ้าเป็นข้อยกเว้น  ห้ามแตะต้องเสด็จพี่ต่อหน้าข้า”

“หืม  แสดงว่าลับหลังก็ได้สิ”

“เจ้า!”

“พอกันได้แล้ว  ทั้งคู่นั่นแหละ”  ข้าเอ่ยห้ามขึ้นขณะแยกพวกเขาที่พร้อมจะโจมตีใส่กันออกไปห่างๆ  ทิ้งท้ายด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่  “นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันนะ”

“นั่นสินะ”  โซแวนพึมพำขึ้นก่อนที่จะบอกว่า  “รีบกลับไปรวมพลเถอะ  ดูเหมือนว่าเรามีเรื่องที่จะต้องทำอีก”

“ได้”  ข้าตอบรับสั้นๆ  ก่อนที่จะเดินตามโซแวนไปพร้อมกับครีออน  เมื่อมาถึงลานของวิหารโบราณแล้วก็พบว่าผู้ถูกเลือกทุกคนกำลังล้อมวงกันอยู่  ทุกสายตาหันมามองที่พวกข้าเป็นจุดเดียว

“ทั้งสองท่าน  ไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ”  เร็นรีบเข้ามาถามด้วยความกังวล  ข้ากับครีออนแทบจะส่ายหน้าช้าๆ  เป็นคำตอบพร้อมกันทำให้พวกเขาโล่งใจ

“เมื่อครู่ที่จับสัญญาณของลูซัสได้  พวกข้ากังวลแทบตาย”  หลังจากถอนหายใจอย่างโล่งอกไปแล้วเร็นก็เอ่ยขึ้นทำให้ข้าชะงัก  เขาพูดขึ้นต่อน้ำเสียงหดหู่  “แต่ตัวข้าในตอนนี้ไปช่วยท่านก็มีแต่เป็นตัวถ่วงเปล่าๆ  โซแวนเลยอาสาไปคนเดียว”

“ไม่เป็นอะไรหรอก  ลูซัสก็ถอยทัพไปแล้ว”  ข้าพยายามเอ่ยขึ้นให้กำลังใจเขากับคนอื่นๆ

“ถึงคราวนี้จะถอยไปแล้วแต่ก็มีโอกาสที่จะกลับมาอีกไม่ใช่หรือขอรับ”  เร็นท้วงขึ้น  “เจ้านั่นจ้องจะเล่นงานท่าน  เล่นงานท่านครีออน  ท่านทั้งสองนั้นเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของโลกใบนี้  แม้ว่าตอนนี้พวกข้านั้นจะอ่อนแอกว่าท่าน  แต่ข้าอยากปกป้องท่านให้ได้  อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ท่านสามารถปกป้องโลกนี้ตามความตั้งใจของท่าน  เพราะฉะนั้นฝ่าบาท...”

สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจบางอย่าง  ชายหนุ่มตรงหน้าข้านั่งคุกเข่าลงก่อนที่จะขอร้องว่า  “ได้โปรดให้ข้าได้เป็นพลังหนึ่งของท่านด้วยเถิด  ให้ข้าได้ติดตามปกป้องท่านไปจนถึงวาระสุดท้าย”

“เร็น...”

“ข้าด้วยเจ้าค่ะ”  คาร์ริต้าเอ่ยขึ้นขณะพยายามลุกจากรถเข็นมานั่งอยู่บนพื้นโดยมีซีวาลช่วยประคอง  “ข้าไม่อยากเป็นภาระไปมากกว่านี้  อยากช่วยท่าน  ช่วยทุกคน”

“ฝ่าบาท  ข้าก็ด้วยขอรับ”  ซีวาลเองก็เสริมด้วย  ก่อนที่อาคีรัสเองก็คุกเข่าตามลงไป 

“ข้าเอง...แม้ว่าพลังในตอนนี้จะยังไม่แข็งแกร่งพอ  แต่ก็อยากจะติดตามช่วยท่านกับครีออนไปตลอดนะขอรับ”

“ข้าก็ด้วย!  ข้าน่ะ...ไม่อยากเห็นท่านต้องทุกข์ทรมานไปมากกว่านี้แล้ว  แล้วก็อยากเป็นกำลังให้ท่านมากกว่านี้ด้วย”  นอร์ธวินด์เอ่ยขึ้นก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงตามคนอื่น  วารันที่ยืนอยู่ด้านหลังเขามองข้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

“เจ้าเด็กไม่รู้จักโต  ข้าเป็นมังกรผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ...และเจ้าก็เป็นคนที่ทำให้มังกรอยู่ใต้บังคับบัญชาได้  หัดใช้ข้าให้คุ้มกว่านี้หน่อยสิ  อย่าทิ้งพวกข้าไว้เบื้องหลังแล้วไปต่อสู้กันไม่กี่คน  เข้าใจไหม”  เขากล่าวเชิงตำหนิแล้วคุกเข่าลงไปเช่นเดียวกับคนอื่น 

ผู้ถูกเลือกที่เหลือเองก็คุกเข่าและกล่าวคำขอเช่นเดียวกัน 

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถช่วยโลกนี้ได้

“จะทำยังไงดีล่ะ  ดูท่าแล้วลูซัสคงใช้เวลาไม่นาน  อีกเดี๋ยวก็คงยกทัพกองอสูรมาแล้ว  พวกเร็นน่ะยังพอว่า  แต่มนุษย์ที่เหลือ...ข้าคิดว่าเวลาระยะสั้นแบบนี้คงหาวิธีมาเพิ่มพลังให้ไม่ได้”  โซแวนเอ่ยขึ้นหลังจากพิจารณา  ข้าเองก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด

“จริงๆ  แล้วก็มีอีกวิธีหนึ่ง”  ข้าเอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามอง  “ประตูแห่งอำนาจสามารถมอบพลังที่จะสามารถกำจัดอสูรได้  ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถือครอง  แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่ภักดีต่อผู้ถือประตูด้วย”

“หมายความว่า...”

“เราจะเปิดประตูแห่งอำนาจกัน”  ข้าเอ่ยความตั้งใจขึ้น  “อย่างไรเสียก็ต้องใช้ประตูแห่งอำนาจต่อกรกับอสูรอยู่แล้ว”

“เข้าใจแล้ว”  โซแวนตอบรับสั้นๆ  ก่อนที่จะถามว่า  “งั้นจะเริ่มเลยไหม”

“ยัง”  ข้าตอบสั้นๆ  ก่อนที่จะหันไปหาผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ

“ทุกคนฟังข้า”  ข้าเอ่ยเรียกพวกเขา  “ในตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่าประตูแห่งอำนาจนั้นจะมอบพลังให้เพียงใด  แต่ว่า...จงน้อมรับพลังนั้น  จงใช้มันให้เป็นประโยชน์ในสงครามกับพวกอสูรที่กำลังจะมีขึ้น  ข้าขอชื่นชมในความมุ่งมั่นของพวกเจ้าเมื่อครู่นี้  แต่ว่า...นี่คือสงครามครั้งใหญ่  มีสิ่งที่ต้องเสียสละแลกมา  ขอให้พวกเจ้าคิดดูให้ดี  ว่าเจ้าต่อสู้ไปเพื่ออะไร  ใครที่คิดว่าไม่พร้อมให้อยู่ที่นี่  ส่วนใครที่คิดจะเข้าร่วมสงครามสุดท้ายนี้ให้มาเจอกับพวกข้าที่ริมทะเลสาบในเย็นวันนี้”

เสียงของข้าดังก้องไปทั่วบริเวณ  พวกเขาต่างนิ่งชะงักไป  เมื่อสิ้นสุดการประกาศแล้วข้าก็หันหลังเดินตรงไปที่ทะเลสาบทันที  มีเสียงฝีเท้าเดินตามมาพอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นพวกโซแวน

เมื่อมาถึงทะเลสาบข้าก็นั่งลงบนโขดหินมนๆ  ที่คล้ายเก้าอี้  ส่วนคนอื่นๆ  กระจัดกระจายกันอยู่รอบๆ  เหมือนว่าบางคนเองก็กำลังคิดอยู่ว่าตัวเองสู้ไปเพื่ออะไร

และในตอนนี้แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงทางไหนก็คล้ายจะเห็นคนมีความรักกำลังเข้าหากันอย่างสนิทสนม  สำหรับข้านับว่าเป็นเรื่องดี  ตำแหน่งคนรักมีแค่โซแวนคนเดียวก็พอแล้ว

“เจ้ามองเหมือนจะอิจฉาพวกเขา”  โซแวนเอ่ยขึ้นทำให้ข้าหลุดหัวเราะออกมา 

“ไม่ได้อิจฉาสักหน่อย  ชื่นชมต่างหาก”

“งั้นเหรอ”  เขาพึมพำขึ้นก่อนที่จะปิดท้ายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  “ถ้าเจ้าอิจฉา  ข้ายินดีทำให้เจ้าพวกนั้นหันมาอิจฉาความรักของเราได้เลยนะ”

“ขอปฏิเสธ”  ข้าตัดบทและตีมือที่ยื่นมาอย่างไม่ไยดีก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปมองรอบๆ  “ข้าคิดถูกหรือเปล่านะ”

“เรื่องอะไร?”  โซแวนเลิกคิ้วถาม  ข้าจึงบอกสิ่งที่กังวลอยู่ 

“เรากำลังจะทำสงคราม  สงครามย่อมมีการสูญเสีย  ข้าไม่อยากพรากใครออกจากกัน”

“อย่าแช่งคนอื่นไปทั่วสิ”  กลายเป็นว่าโซแวนตำหนิข้าแทนก่อนที่จะบอกว่า  “พรรคพวกของเจ้าตอนนี้น่ะแข็งแกร่งจะตาย”

“หืม?”

“ข้าคิดว่า  พอได้ร่วมสนามรบกับคนรักแล้วล่ะก็  ความอยากจะชนะ  อยากจะปกป้องคนที่รักมันจะเพิ่มขึ้นนะ”  เขาบอกเสียงเรียบแม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ดูดีก็ตาม  “ข้าเชื่อว่าทั้งเร็น  คาร์ริต้า  อาคีรัส  นอร์ธวินด์  วารัน  ซีวาลหรือแม้กระทั่งครีออนต่างก็มีความมุ่งมั่นที่จะชนะสงครามและมีชีวิตรอดต่อไปแน่ๆ”

“ข้าก็ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น”  ข้าพึมพำขึ้นขณะมองรอบๆ  พวกเขาล้วนเป็นคนที่ข้านับถือ  เคารพ  และเชื่อมั่น  พวกเขาต่างเป็นคนที่ต้องมาเผชิญกับปัญหาสงครามนี้  ข้าเองก็อยากให้พวกเขาได้มีความสุขหลังจากชัยชนะมาถึง

ข้ายินดีทำทุกอย่าง  เพื่อให้พวกเขาได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามปกติ

“นี่  ทีอารีน”  ข้าตื่นจากภวังค์แล้วหันไปมองตามเสียงเรียกของโซแวน  อีกฝ่ายเข้ามาใกล้แล้วสวมกอดข้าทันทีทำให้ข้าตกใจเล็กน้อย 

“เดี๋ยวสิ  ทำอะไรของเจ้า”

“แค่อยากกอดน่ะ”  โซแวนเอ่ยเสียงเรียบทำให้ข้าเกือบโวยวายให้เขาปล่อย  แต่เจ้าตัวกลับพูดขึ้นต่อว่า  “อย่าฝืนตัวเองเลยนะ”

“หา?”

“ข้าสังหรณ์ใจแปลกๆ  อยู่นานแล้ว  คนอย่างเจ้า...ถ้าได้ทำเพื่อคนอื่นแล้วชีวิตตัวเองจะเป็นยังไงก็ไม่สน  ข้าล่ะกังวลจริงๆ”  เขาพึมพำขึ้นเสียงอ่อนทำให้ข้าชะงัก  “อย่าลืมว่ายังมีข้าอยู่ล่ะ  ยังมีข้าที่ต้องการใช้ชีวิตเคียงข้างกับเจ้าอยู่”

“ข้าไม่ลืมหรอก  ข้าไม่บ้าพอจะเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็นหรอก”  ข้าบอกกับเขาขณะเลื่อนมือไปกุมไว้  “ข้าจะกลับมา...”

โซแวนไม่ได้พูดอะไรต่อ  ระหว่างพวกเราพลันเกิดความเงียบขึ้น  ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง  จวบจนกระทั่งเร็นกับคาร์ริต้าเดินเข้ามาจึงทำตัวตามปกติ  คนอื่นๆ  ก็ทยอยเดินกันเข้ามาเพื่อพูดคุยตามปกติเพื่อคลายความตึงเครียด  โซแวนกับครีออนก็เริ่มทะเลาะกันอีกแล้ว  แถมครั้งนี้น้องชายข้าก็มีนอร์ธวินด์เป็นลูกผสมคอยตีกับอีกฝ่าย

เพราะนอร์ธวินด์มาเอี่ยวด้วย  คนห้ามทัพรอบนี้จึงเป็นวารัน  ดูเหมือนว่าครีออนเองก็ยังมีความเกรงใจมังกรตัวนี้บ้างเลยเลิกตี  ทำให้ข้าโล่งใจขึ้นมา

“ฝ่าบาท  หลังจบสงครามแล้วก็ช่วยสะสางเรื่องนี้ด้วยนะขอรับ”  เร็นเอ่ยขึ้นพลางอมยิ้ม  แม้ท่าทีจะพูดเล่นแต่ก็ทำให้ข้าหนักใจอยู่เหมือนกัน

ครีออนตอนนี้ก็ยังคงตั้งแง่กับโซแวนอยู่  ดูแล้วเกรงว่าถ้าให้โซแวนไปอยู่ในปราสาทต้องได้เกิดเรื่องทะเลาะกันแน่  หรือข้าควรออกมาอยู่กับเขา...ไม่ดีกับครีออนแน่ๆ  ในปราสาทเขาอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้

เสียงพูดคุยดังใกล้เข้ามา  พวกผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  ทยอยกันเข้ามาใกล้ทำให้ข้าหยุดคิดเรื่องไร้สาระแล้วลุกขึ้นจากโขดหิน  แต่ตอนนั้นเองที่มีเสียงดังก้องขึ้นทั่วฟ้า  เมื่อหันไปมองตามเสียงก็พบว่าข่ายเวทที่กั้นประตูอสูรไว้สลายไปแล้ว  อสูรกำลังออกมาจากประตูนั้นเพิ่ม  เป็นสัญญาณของสงคราม

“ฝ่าบาท!”

อาณาจักรที่อยู่ใกล้ที่สุดคือคาร์ไลน์  ซึ่งในตอนนี้ไร้ผู้นำยิ่งจะทำให้อาณาเขตอ่อนแอ  ไม่รอช้าข้ารีบแจ้งทันทีว่า  “รีบไปที่คาร์ไลน์  ตอนนี้ลูซัสคงไม่อยู่ในปราสาทแล้ว  เมื่อไร้ผู้นำข่ายเวทจะยิ่งอ่อนแอลง  ต้องปกป้องเมือง”

“ขอรับ!”  พวกเขาต่างขานรับก่อนที่จะรีบวิ่งไปทันที  จากตรงนี้ไปถึงประตูที่ใกล้กับประตูอสูรก็ไม่ไกลเท่าไร  วารันเปลี่ยนเป็นร่างมังกรพาพวกข้าไปก่อน  อสูรต่างกรูกันมาที่อาณาจักรราวกับถูกเชื้อเชิญ

ร่างที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกนั้นก็คือลูซัส  รอบๆ  ข้างเขายังมีอสูรรูปร่างมนุษย์อยู่อีกหลายตน 

“ข้าเริ่มสงครามไวไปหรือเปล่า  องค์ชาย  แต่ขอโทษทีนะ  เจ้าพวกนี้ไม่ยอมรอนานไปมากกว่านี้หรอก”  เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  ก่อนที่คำรามดังกึกก้องจากพวกอสูรจะดังไปทั่ว

“ต่อให้เริ่มไวกว่านี้  หรือช้ากว่านี้  พวกข้าก็พร้อมขยี้พวกเจ้าให้หายไปเสมอ”  ข้าสวนกลับไปก่อนที่จะชูมือขึ้นข้างหนึ่ง  เพียงหลับตาครู่เดียวเสียงกระดิ่งก็ก้องกังวานเป็นการตอบรับ  สัมผัสได้ถึงพลังเวทอันมหาศาลที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ  เมื่อข้าลืมตาขึ้น  ประตูแห่งอำนาจก็ปรากฏขึ้น

ทั้งประตูอสูรและประตูแห่งอำนาจหันหน้าชนกัน  คล้ายกับมีพลังงานบางอย่างไหลวนอยู่รอบ

“พวกเจ้าจงฟัง  นี่เป็นพลังที่ข้าจะบอกให้  อำนาจของพระเจ้า  จงใช้มันเพื่อต่อกรกับอสูรตรงหน้านี้”  ข้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังเพื่อให้พวกผู้ถูกเลือกที่มาถึงแล้วได้ยิน  ก่อนที่โซแวนจะยกมือขึ้นมาประสานกับมือที่ข้าชูไว้  เมื่อผู้ถือครองสิทธิ์ทั้งสองอยู่ครบ  ประตูจึงเปิดออก  แสงสีขาวสว่างจ้าขึ้นไหลย้อมผู้คนที่เข้าร่วมสงครามนี้  แปรเปลี่ยนเป็นพลังที่เสริมให้แก่ตัวพวกเขา  ทั้งร่างกาย  และพลังต่างก็แข็งแกร่งขึ้น

อาการบาดเจ็บต่างๆ  พลันหายไป  ประตูแห่งอำนาจเองก็มีผลทำให้คำสาปต่างๆ  หายไป  ข้าเห็นผลของมันก็เมื่อคาร์ริต้าสามารถกลับมายืนด้วยขาของตัวเองได้อีกครั้ง

ลูซัสที่ยืนอยู่ตรงหน้ายกยิ้มขึ้น  ก่อนที่จะวาดมือมาข้างหน้า  พวกอสูรก็กรูกันเข้ามาทันที  ข้าทิ้งแขนลงมาตั้งฉากกับพื้นดินก่อนที่จะออกคำสั่ง

“โจมตี!”

เหล่าผู้ถูกเลือกจึงได้โห่ร้องเรียกขวัญกำลังใจแล้วตรงเข้าต่อสู้กับอสูรทันที

----------------------------
ใกล้ถึงจุดสุดท้ายของเรื่องแล้วค่ะ มาเป็นกำลังใจให้ฝ่าบาทกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 32>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 02-05-2018 22:47:46
อยากได้กำลังเสริมบางจากประตูแห่งอำนาจ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 33>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 03-05-2018 20:23:19
บทที่  33
สงครามอสูร
บรรยากาศนอกกำแพงเมืองคาร์ไลน์คุกรุ่นไปด้วยจิตสังหาร  เพื่อป้องกันประชาชนไม่ให้โดนลูกหลง  เหล่าทหารของคาร์ไลน์จึงต้องออกมาต้านทัพอสูร  เพราะถือว่าเป็นข้างเดียวกันจึงได้รับผลของประตูแห่งอำนาจไปด้วย

เหล่าอสูรและมนุษย์ต่างรบราฆ่าฟันกัน  หนึ่งโดยสัญชาตญาณและความกระหายอันไร้ที่สิ้นสุด  อีกพวกหนึ่งต่อสู้เพื่อทวงคืนความสงบสุขและความอยู่รอด

ในวงสงครามนั้น  มีจุดต่อสู้ที่เกิดการปะทะรุนแรงอยู่ไม่กี่จุด  ล้วนแล้วแต่เป็นการปะทะกันของเหล่าสัตว์ประหลาดผู้ภักดีต่อทีอารีนกับเหล่าอสูรรูปร่างมนุษย์

แม้ว่าจะเคยสู้กันมาก่อนในตอนที่ลูซัสบุกเข้าไปในป่าต้องห้าม  แต่ครั้งนี้เหล่าอสูรพวกนั้นกลับแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

“อะไรกัน  ยัยพิการเดินได้ด้วยเหรอ”  อสูรสาวตนหนึ่งเอ่ยขึ้น  เธอเคยเจอกับคาร์ริต้ามาแล้วเพราะฉะนั้นจึงแสยะยิ้มสะใจ  ผู้หญิงตรงหน้าคงมีดีแค่หน้าตาเหมือนเดิมต่อให้จะเดินได้แล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่าง  “คราวนี้ข้าจะฉีกหน้าสวยๆ  ของแกให้เสียโฉมไปเลย”

คาร์ริต้ายกยิ้มบางๆ  ขึ้นก่อนที่จะเอียงหัวไปข้างๆ  “ตายจริง  ให้ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ”

“หนวกหู!”  อสูรตนนั้นแผดเสียงขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้ามาโจมตีคาร์ริต้าทันที  หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่คิดหลบหลีก  ในขณะที่ปลายเล็บอันแหลมคมนั้นใกล้เข้ามา  ม่านน้ำพลันปรากฏขึ้นมาจากด้านหลังของเงือกสาวห่อหุ้มร่างของเธอเพื่อปกป้องเอาไว้

ทันทีที่ร่างของอสูรสัมผัสโดนม่านนั้น  น้ำที่ไหลวนอยู่ก็เคลื่อนย้ายมาห่อหุ้มตัวของมันไว้ทันทีโดยไม่มีทางหลีกหนีไปไหนได้  อสูรสาวนั้นเบิกตากว้างพยายามขัดขืนดิ้นรนหนี 

“ยัยพิการนี่  ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

“คงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”  คาร์ริต้าเอ่ยพลางแย้มยิ้ม  “ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ  ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน  ข้าจะเลือกวิธีการตายที่ทำให้เจ้าดูสวยที่สุดเอง”

เมื่อกล่าวเช่นนั้นจบร่างของอสูรสาวก็จมหายไปในกรงน้ำนั่น  แต่ยังมิวายดิ้นรนขัดขืน  สีหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ  คาร์ริต้าไม่คิดจะสนใจและใช้เวทเยือกแข็งสังหารอีกฝ่ายทันที

จากลูกบอลน้ำเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นน้ำแข็งสี่เหลี่ยมคล้ายโลงศพที่ผนึกร่างอสูรนั้นไว้ข้างใน  มันแน่นิ่งไปด้วยใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวจนน่าเกลียด

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความผิดหวัง  ก่อนจะพึมพำอย่างเสียดาย  “ไม่สวยงามแล้ว  มีตัวตนไปก็เปล่าประโยชน์นะคะ”

คาร์ริต้ากางมือออกแล้วบีบลูกแก้วที่ซ่อนไว้ในฝ่ามือ  เมื่อมันแตกออก  โลงน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้าก็พลันแตกสลายตามไปด้วย  เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ  ท่ามกลางสมรภูมิที่วุ่นวาย  หญิงสาวก้าวเดินต่อไปด้วยท่าทีที่งดงาม

“เอาล่ะค่ะ  ใครจะเป็นรายต่อไปดีเจ้าคะ”



“ตรงนู้นมีผู้หญิงท่าทางน่ากลัวอยู่ด้วยล่ะ”  นอร์ธวินด์พึมพำขึ้นหลังจากเหลือบไปเห็นสถานการณ์ทางฝั่งคาร์ริต้าเพราะอสูรตนเมื่อครู่แม้จะจัดได้ว่าหุ่นดีแต่เสียงแหลมดังมาไกล  และจากความสนใจนั่นก็ทำให้เขาเห็นเหตุการณ์ต่อจากนั้น  ดูแล้วยังเสียวแทน  นี่ถ้าสาวเจ้าจับได้ว่าเขาเคยแอบมองหน้าอกจะโดนแบบนั้นหรือเปล่านะ

“คนที่ควรกลัวคือข้าสิ”  เร็นพึมพำขึ้นจนเกือบจะไม่ได้ยิน  เจ้าตัวก็เห็นเหมือนที่นอร์ธวินด์เห็น  และมีความรู้สึกกลายๆ  ว่านอกจากความรักแล้ว  คาร์ริต้าก็คงมีความโกรธต่อตัวเขาปนอยู่ด้วย

“นายกลัวเหรอ  แบบนี้จะยิ่งคบหากันลำบากก็ได้”

“ไม่หรอก...”  เร็นปฏิเสธเสียงเรียบขณะปัดศัตรูให้ออกไป  เขาคิดถึงช่วงเวลาที่เห็นทำเรื่องน่ากลัวทั้งที่ยังยิ้มอยู่แล้วใจเต้นดีไม่หยอก  “อาจจะไม่เลวก็ได้”

“หา?”  อีกฝ่ายที่กำลังตั้งรับอสูรตัวใหญ่ที่พุ่งเข้ามาถึงกับงุนงงไปชั่วขณะ  เพราะต้องการคลายความข้องใจเลยรีบจัดการล้มอสูรยักษ์นั่นแล้วหันมา  “หมายความว่ายังไง”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ  แต่ว่าคุณน่ะ  ไม่ไปดูทางวารันจะดีจริงๆ  เหรอ”  เมื่อถูกถามแบบนั้น  นอร์ธวินด์ก็หน้าบูดไปทันที  ขณะที่ปัดอสูรที่พุ่งมาออกไปก็พูดขึ้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ 

“เจ้านั่นก็ไล่ข้ามาทางนี้  เจ้ายังจะไล่ข้ากลับไปอีกเหรอ!”

เร็นเหลือบไปมองทางวารันซึ่งอยู่ในร่างมังกรขนาดยักษ์กำลังต่อสู้กับอสูรที่ขนาดตัวพอๆ  กันแล้วไม่สามารถพูดอะไรได้  รอบๆ  ตัวมังกรนั่นไม่มีใครอยู่ในรัศมีหางที่ฟาดไปมาเลย  ดูท่าอีกฝ่ายจะไล่ทุกคนออกไปให้ห่างจริงๆ

ตอนนั้นเองที่เสียงกรีดร้องของผู้ถูกเลือกคนอื่นดังขึ้น  เมื่อเร็นและนอร์ธวินด์หันไปมองก็เห็นควันดำมืดพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว  จัดการผู้ที่ต่อสู้อยู่ไปหลายคนและคิดจะเข้ามาทำร้ายพวกเขา

เร็นรีบตั้งท่าป้องกันไว้ทันทีแต่ความแรงจากการปะทะทำให้ตัวเขาไถลไปด้านหลังก่อนจะถูกถีบจนเสียหลักล้มไป

“เร็น!”  เมื่อเห็นท่าไม่ดี  นอร์ธวินด์ที่ยืนอยู่จึงวิ่งเข้าไปหาแล้วรีบหยิบดาบที่ตกอยู่มากั้นคมเคียวของอีกฝ่ายไว้ให้เร็น  อีกฝ่ายเป็นอสูรรูปร่างดำคล้ำที่มีแขนทั้งสองข้างเป็นอาวุธเคียว  มันแสยะยิ้มก่อนที่จะกระโดดออกไป  เร็นใช้ช่วงเวลานั้นในการพลิกตัวกลับขึ้นมายืน

อสูรตนนั้นพุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง  คราวนี้เร็นจึงโจมตีสวนกลับไป  แต่เพราะอีกฝ่ายรวดเร็วราวสายลมทำให้ชายหนุ่มได้บาดแผลมาขณะเข้าปะทะ  และยิ่งเขาบาดเจ็บเท่าไรอีกฝ่ายก็ยิ่งได้ใจมากเท่านั้น

เร็นกัดฟันกรอด  ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนที่ทำได้แค่ป้องกันการโจมตีไว้ให้ได้  แต่เดิมตนนั้นก็ไม่ถนัดการต่อสู้กับคนที่มีความเร็วเป็นหลักอยู่แล้ว  เพราะแบบนั้นเขาเลยค่อนข้างเสียเปรียบถ้าจับคู่ฝึกซ้อมกับนอร์ธวินด์

ชายที่สามารถเรียกว่าเป็นเพื่อนกับสายลม

“เร็น  ตอนนี้แหละ!”  นอร์ธวินด์ตะโกนขึ้นทำให้เร็นที่มีสีหน้าเครียดจัดอยู่แสยะยิ้มได้เสียที  เขากำดาบในมือแน่นและปล่อยพลังออกมาผลักอีกฝ่ายออกไป  จากนั้นก็อาศัยเวทของตนกระโดดกลับไปด้านหลังของเพื่อนที่ยืนโก่งคันธนูไว้อยู่

เพราะเวทนี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการร่ายทำให้เร็นต้องคอยถ่วงเวลาไว้  แต่ในตอนนี้มันเสร็จสมบูรณ์แล้ว

นอร์ธวินด์ปล่อยศรสีฟ้าออกไป  เพียงแค่แหวกผ่านอากาศไปมันก็เริ่มแตกกระจายออกไปหลายร้อยลูก  กลายเป็นห่าฝนธนูที่โจมตีใส่เป้าหมายซึ่งไม่มีทางหลบหนี

แต่ขณะที่เขากำลังดีใจที่สามารถจัดการศัตรูไปได้แล้ว  ตรงหน้ากลับปรากฏอสูรอีกตนหนึ่งขึ้นซึ่งแข็งแกร่งกว่าตนแรก  นอร์ธวินด์เบิกตากว้างเมื่ออีกฝ่ายง้างดาบเตรียมจะฟันมาแล้วในระยะที่ไม่สามารถหลบได้

ฉัวะ!

เสียงดาบกรีดแทงเนื้อเข้าไปทำให้นอร์ธวินด์เบิกตากว้าง  ร่างของเขาถูกกระชากออกมาอย่างรุนแรงจนล้มกลิ้งอยู่บนพื้น  พอยันตัวลุกขึ้นมาเห็นร่างของใครบางคนยืนรับคมดาบแทนที่อยู่

“วารัน!”  นอร์ธวินด์เรียกชื่อของอีกฝ่ายทันทีด้วยความตกใจ  สภาพของมังกรหนุ่มนั้นเรียกได้ว่าสะบักสะบอมจากการต่อสู้กับอสูรยักษ์ที่ตอนนี้ล้มไปแล้ว  เลือดสีแดงไหลออกมาจากปากแผลที่ถูกฟันตั้งแต่ไหล่ซ้ายยาวไปจนถึงหน้าท้องขวา  แม้จะกระโดดถอยออกมาแล้วแต่ก็ไม่เหลือแรงที่จะลุกขึ้นยืนจนคุกเข่าลง

เร็นรีบเข้าไปขวางอสูรตนนั้นไม่ให้เข้ามาทำร้ายซ้ำสองได้อีก  ส่วนนอร์ธวินด์ก็เข้าไปดูแลวารันทันที

“เจ้าทำบ้าอะไร!”  นอร์ธวินด์ตะเบ็งเสียงสั่นด้วยความตกใจ  แต่วารันกลับถอนหายใจเฮือก 

“อย่าห่วงสิ  ไม่เป็นอะไรมากหรอก  แผลตื้นแค่นี้  หนังข้าหนาจะตาย”

“ไอ้เจ้าบ้า  ใครใช้ให้เจ้ามาขวางแบบนี้”  นอร์ธวินด์โวยวายด้วยความตื่นตระหนก  อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกเสียงเรียบ 

“พอดีคิดได้น่ะว่าถ้าเจ้าโดนคงเจ็บกว่าโดนเองเยอะ”

แล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืน  ทิ้งให้นอร์ธวินด์ถลึงตาใส่ด้วยความโมโห  วารันซึ่งรู้วิธีรับมือดีอยู่แล้วจึงยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ  “ไม่ต้องห่วง  สัญญาไว้แล้วนี่ว่าจะไม่ตายไปก่อน”

เพียงวารันยกมือขึ้นสัมผัสบาดแผล  เลือดก็ค่อยๆ  หยุดไหลแม้จะยังไม่สมานดี  แต่ก็พอจะทำให้เขาไปร่วมมือกับเร็นจัดการเจ้าอสูรตนนั้นต่อ  ด้วยความโมโหที่อีกฝ่ายคิดจะทำร้ายคนที่รัก  การโจมตีทุกกระบวนท่าจึงหนักหน่วงและทำให้เป็นฝ่ายได้ชัยในที่สุด

“ทั้งสองคน  อยู่ช่วยกันตรงนี้นะขอรับเดี๋ยวข้าไปช่วยทางคาร์ริต้าก่อน”  เร็นเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นว่าทั้งสองคนพอจะรับมือกับอสูรทางนี้ได้จึงวิ่งไปช่วยหญิงสาวที่ตอนนี้กำลังจับศัตรูแช่แข็งไปเรื่อยๆ  อย่างน่ากลัว

สนามรบฟากหนึ่งกลายเป็นน้ำแข็งเพราะคาร์ริต้า  แต่อีกฝ่ายหนึ่งนั้นกำลังร้อนระอุไปด้วยเปลวเพลิงของนกฟินิกซ์  อาคีรัสใช้ไฟพวกนั้นแผดเผาอสูรที่เข้ามาต่อสู้กับครีออนและซีวาล  เพราะเขาไม่ต้องออกแรงอะไรมาก  อสูรพวกนี้แพ้ไฟของเขาอยู่แล้วจึงมีเวลายืนดูอยู่เฉยๆ  และพบว่ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าสองคนนี้ก็น่ากลัวไม่แพ้พวกตนเลย

ที่ผ่านมาเขามักจะอยู่คลุกคลีกับสัตว์ประหลาดตนอื่นๆ  ไม่ค่อยได้มารวมกับมนุษย์เพราะพื้นฐานแล้วพลังของพวกเขาต่างกันมาก  แต่มนุษย์สองคนนี้แม้จะมีพลังเวทไม่เท่าทีอารีน  แต่ด้านกำลังรบนั้นจัดได้ว่าเป็นปีศาจ

ซีวาลนั้นนับถือทีอารีนสุดใจ  เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าให้ใช้ประโยชน์จากพลังของประตูแห่งอำนาจให้ได้มากที่สุดก็ทำ  บัดนี้ตัวเขาซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเทพร้อยศาสตราตอนนี้สามารถเรียกอาวุธออกมาได้ราวห้าร้อยอัน  และควบคุมมันโจมตีอสูรได้เป็นอย่างดี

ส่วนครีออนนั้นเพราะเป็นคนสนิทของซีวาลจึงสามารถหยิบยืมอาวุธบางอย่างได้  จริงๆ  ซีวาลอนุญาตให้ใช้ได้ทุกอัน  แต่เขาเลือกที่จะใช้ดาบอันหนึ่งซึ่งมีความทนทานสูง  ศิลปะการใช้ดาบของเด็กหนุ่มนั้นจัดได้ว่ายอดเยี่ยม

ทุกท่วงท่าที่โจมตีอสูรนั้นราวกับกำลังร่ายรำ  เป็นการร่ายรำที่ทั้งแข็งแกร่งและน่ามอง  ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับอสูรระดับไหนก็สามารถจัดการได้  เห็นแล้วอาคีรัสเองก็มีความรู้สึกอยากจับดาบมาสู้บ้าง  ตอนนั้นที่เห็นอสูรตนหนึ่งกระโดดเข้ามาคิดจะทำร้ายครีออนที่ถูกอสูรอีกตนล็อกไว้ไม่ให้หันหลังไปได้ทำให้เขารีบเข้าไปช่วย 

ดาบยักษ์ซึ่งเป็นของถนัดของอาคีรัสปรากฏขึ้นมาจากเปลวเพลิง  เขาใช้มันจัดการอสูรตนนั้นเพื่อปกป้องครีออนซึ่งก็สามารถจัดการอสูรอีกตนได้แล้วและหันมาทางเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆ 

“ขอบคุณ”

เมื่อถูกชมอาคีรัสก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างอย่างดีใจแล้วอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายช่วยกันปราบอสูรที่เหลือ

ท่ามกลางการต่อสู้จากทุกสารทิศ  ตรงกลางระหว่างประตูทั้งสองนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างลูซัสกับทีอารีนและโซแวน  ทีแรกพวกเขานั้นค่อนข้างได้เปรียบเมื่อได้รับพลังของประตูแห่งอำนาจแล้ว  แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย

“ฝ่าบาท”  ลูซัสเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  “ข้าจะไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ  ว่าทำไมถึงทำเพื่อมนุษย์ขนาดนี้”

ทั้งๆ  ที่เคยถูกเกลียด  ทั้งๆ  ที่ถูกหักหลัง  แต่กลับเลือกที่จะปกป้องมนุษย์ 

“ไม่รู้สิ”  ทีอารีนตอบสั้นๆ  ก่อนที่จะขยายความในสิ่งที่ตนเชื่อ  “คงเพราะข้าสืบนิสัยมาจากท่านลูซิฟรานกระมัง”

เพียงแค่ได้ยินชื่อนั้น  ลูซัสก็กัดฟันกรอดทันทีด้วยความเจ็บใจ  ก่อนที่จะฟาดดาบใส่เด็กหนุ่มทันทีแต่เขาสามารถป้องกันแล้วถามกลับไปด้วยความสงสัย

“เหตุใดถึงโกรธขนาดนั้น”

“หึ  น่าสมเพช  ทั้งเจ้า  ทั้งลูซิฟราน  ต่างก็เห็นแล้วนี่ว่ามนุษย์ไม่ได้น่าปกป้องเลยสักนิด”  อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเสกมนตร์ดำเข้าโจมตีทีอารีน  เด็กหนุ่มสามารถปัดมันไปได้

“จริงอยู่ที่ว่ามีมนุษย์ที่ชั่วร้ายอยู่  แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะไม่ดี  มีคนเกลียดก็ย่อมมีคนรัก  มีคนที่พร้อมเคียงข้างเรา  มีคนที่เคารพ  มีคนที่ต้องการปกป้อง  ข้าเลือกที่จะปกป้องพวกเขา  ไม่ใช่มนุษย์ทุกคน”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นขณะเรียกคทาออกมาต่อสู้กับอีกฝ่าย  โซแวนเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วยเมื่อเห็นลูซัสโจมตีรุนแรงขึ้น 

ด้วยพลังของดาบศักดิ์สิทธิ์ที่โซแวนถืออยู่ทำให้สามารถสร้างรอยแผลให้แก่ลูซัสได้  อีกฝ่ายรีบถอยไปตั้งหลักทันที  ก่อนจะไอเอาเลือดออกมาเป็นกองหย่อมๆ

“แค่ก  พวกแก”  ลูซัสสบถออกมาด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาล 

“ดูเหมือนร่างกายของแกจะมาถึงขีดจำกัดแล้วสินะ”  โซแวนเอ่ยขึ้น  ในฐานะคนที่อยู่มาหลายร้อยปีย่อมสามารถจำอาการได้  ยิ่งมีอายุยืนเท่าไร  ร่างกายก็ยิ่งผุพังง่ายขึ้นเท่านั้นแม้ภายนอกจะไม่แสดงอาการใดๆ

“ประตูอสูรก็ค่อยๆ  สูบพลังแกไปเรื่อยๆ  ถ้าพวกข้าถ่วงเวลาไว้  แกก็ยิ่งสูญเสียพลังไปจนหมด  ใช่ไหม?”  เขาเฉลยกึ่งถามกลับอีกฝ่าย  ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นลูซัสก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะแสยะยิ้ม

“หึ  สูบพลังยังงั้นหรือ”  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองประตูอสูรที่ลอยอยู่เหนือศีรษะแล้วผายมือออกทั้งสองข้าง  “ไม่จำเป็นแล้ว...”

“หืม?”  โซแวนขมวดคิ้วเมื่อคล้ายจะได้ยินอีกฝ่ายพึมพำอะไรออกมา  ทีอารีนขยับมายืนข้างเขาคล้ายจะจับสังเกตได้เช่นกัน

ลูซัสยกยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า  “อสูรพวกนี้  ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว”

ทันใดนั้นเขาก็ร่ายมนตร์บางอย่างออกมา  เมื่อเห็นกระแสไอเวทแล้วทีอารีนถึงกับชะงัก  รอบข้างเกิดเสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นจากทุกหนแห่ง  ร่างของอสูรพวกนั้นค่อยๆ  บิดเบี้ยวแล้วแปรสภาพเป็นพลังงานเวทส่งมาหาลูซัสทันที

“เขากลืนกินอสูรเพื่อเพิ่มพลังของตนเอง”  ทีอารีนตีสีหน้าเครียดจัดเมื่อเห็นเช่นนั้น  “ขัดขวางเขา!”

โซแวนรีบพุ่งเข้าไปคิดจะใช้ดาบขัดขวางอีกฝ่าย  ทว่าม่านพลังสีดำก็ก่อตัวขึ้น  ปกป้องลูซัสจากทุกสรรพสิ่งที่เข้าใกล้ 

อสูรทุกตนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างถูกพลังไปเพิ่มให้แก่เขาเรื่อยๆ  จนกระทั่งตนสุดท้ายล้มลง  ที่ที่ลูซัสยืนอยู่ก็ระเบิดพลังออกแผ่กระจายเป็นคลื่นอากาศไปรอบๆ  โซแวนรีบกอดทีอารีนไว้ไม่ให้ไถลออกไปไกล  ร่างของอีกฝ่ายนั้นคล้ายกับมีปีกสีดำแผ่สยายออกมาแล้วโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ฝ่าบาท  โซแวน  เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ”  เร็นตะโกนถามขึ้นขณะวิ่งเข้ามาใกล้เหมือนกับพวกครีออน  ทีอารีนมองพวกเขาก่อนที่จะหันกลับไปบนท้องฟ้า  กระแสเวทที่กำลังก่อตัวขึ้นทำให้เขาเบิกตากว้าง

“โก...หกน่า”  ทีอารีนอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตาทำให้ทุกคนหันมามองเขา  “ลูซัสคิดจะใช้มหาเวทสูงสุด”

“มหาเวทสูงสุด?”

“เป็นพลังเวทที่ใช้ทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมี  ความจริงแล้วเป็นศาสตร์ต้องห้ามที่ไม่ควรใช้  มันเป็นอันตรายต่อทั้งคนอื่นและผู้ใช้เอง  อาจถึงแก่ความตายได้  แล้วยิ่งเป็นมนตร์ดำของลูซัสแล้ว  อานุภาพการทำลายมันคงสูงจนเรียกว่าฝันร้ายเลยทีเดียว”  ทีอารีนอธิบายขึ้นด้วยสีหน้าเครียดจัด  กระแสเวทพวกนั้นเป็นตัวยืนยันได้ว่าที่เขาคิดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

“แล้วเราจะทำยังไงดีขอรับ”  อาคีรัสเอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวล 

ทีอารีนเงียบไปสักพักก่อนจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว  “อพยพคนอื่นเข้าไปในเมืองก่อน  ข้าจะขึ้นไปจัดการเขา”

“ฝ่าบาท...”

“ไม่ต้องกังวล  ข้ามีพลังอมตะอยู่  ไม่ตายหรอกน่า”  ทีอารีนหันมาแล้วยกยิ้มให้ทุกคน  เพื่อหวังคลายความกังวลที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนเหล่านั้น 

เมื่อเห็นคนรักคิดจะไปสู้  โซแวนก็รีบเอ่ยขึ้นทันที  “งั้นข้าจะช่วยเจ้าด้วย”

“ข้าจะไปคนเดียว”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทำให้อีกฝ่ายเบิกตากว้าง  ครู่หนึ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแล้วตรงเข้ากระชากแขนคนตัวเล็กกว่าทันที 

“ทีอารีน!”

“มีเพียงข้าที่จะหยุดเขาได้  โซแวน  ขอร้องล่ะ  เจ้าไปก็มีแต่ต้องตาย  ข้ายังมีร่างเนื้ออมตะอยู่  ไม่ต้องห่วง”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยสายตาเว้าวอน  นิ้วมือเรียวสวยยกขึ้นดึงอีกฝ่ายให้ก้มต่ำลง  “ข้าจะกลับมา  ข้าสัญญา”

แล้วมอบจูบอันแผ่วเบาให้  “รอรับข้าด้วยนะ”

โซแวนไม่ได้ตอบอะไร  เพียงแค่ก้มหน้านิ่งขณะที่อีกฝ่ายก้าวถอยหลังไป 

“ไม่มีเวลาแล้ว  พวกเจ้า  ฝากที่เหลือด้วยนะ” 

ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันหลังไป  ประตูแห่งอำนาจทอดบันไดแสงลงมาให้เขาขึ้นไป  เมื่ออยู่ใกล้ประตูมากเท่าไร  พลังที่ได้รับก็ยิ่งมากขึ้น

ทีอารีนอ่านกระแสเวทของลูซัสแล้วถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ  ศึกนี้ยากลำบากเหมือนที่เขาคาดไว้จริง 

เด็กหนุ่มมองลงไปเบื้องล่าง  พวกโซแวนเริ่มอพยพคนอื่นไปแล้ว  เขาจึงได้วางใจ

‘...อย่าฝืนตัวเองเลยนะ’ 

จู่ๆ  คำอ้อนวอนของโซแวนก็ดังขึ้นมาในโสตประสาทดื้อๆ  ทำให้ทีอารีนอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ทำไม่ได้  จะว่าไปแล้วหวนนึกถึงคำต่อว่าด้วยความเป็นห่วงของผู้วิเศษเหมือนกัน 

‘อย่าฝืนใช้มหาเวทอีก’

“ขอโทษนะ”  เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา  แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินแต่ก็อยากจะเอ่ยออกไปเพื่อความสบายใจ  “ดูเหมือนว่าข้าจะทำตามที่พวกเจ้าขอไว้ไม่ได้แล้วล่ะ”

ทีอารีนสลายคทาที่ถือไว้เพื่อเพิ่มพลังของตนเอง  ร่ายเวทรักษาพวกคนที่อยู่ด้านล่างระดับหนึ่งแล้วปลดเวทเสริมทุกอย่าง  ก่อนที่จะร่ายคาถาหนึ่งขึ้นมาแข่งกับเวลา

เวทมนตร์ชนิดเดียวที่จะต่อกรกับลูซัสได้

มหาเวทสูงสุด...

--------------------
TBC
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 33>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 03-05-2018 21:35:33
มหาเวทสูงสุด ...
ต้องปลอดภัยนะทีอารีน
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 34>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 04-05-2018 18:42:03
บทที่ 34
แด่ผู้ที่เสียสละ

ท้องฟ้าเบื้องบนมืดครึ้มและปั่นป่วน  เสียงกรีดร้องของมวลเมฆดังก้องไปทั่ว  มองไม่เห็นแม้แต่แสงอาทิตย์หรือดวงจันทร์  ไม่อาจทราบได้ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน

แม้ว่าอสูรที่อยู่ในสนามรบจะไม่มีแล้ว  แต่ด้านหลังประตูอสูรนั้นยังมีเงามืดจำนวนมหาศาลวูบไหวอยู่คล้ายกับรอโอกาสที่จะลงมา 

โซแวนและผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ  รับหน้าที่ป้องกันอาณาจักร  ชาวเมืองและทหารต่างวิ่งวุ่นไปหมด  จอมเวทของทุกอาณาจักรเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าล้วนแล้วแต่อยู่ไม่สุขและเริ่มร่ายเวทป้องกันเมืองไว้

กระแสเวทที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้านั้น  หากให้ประเมินคร่าวๆ  แล้วอานุภาพของมันสามารถทำลายอาณาจักรให้ย่อยยับไปในพริบตาได้  นั่นคือพลังทำลายล้างระดับปกติของมหาเวทสูงสุด

แต่ในตอนนี้  มหาเวทมนตร์ดำที่ดูดกลืนพลังชีวิตไปมากมายนั้น  ขอบเขตการทำลายล้างมันจะเท่าไรก็ไม่มีใครทราบได้  หากปล่อยให้มหาเวทตกลงสู่พื้น  โลกก็คงถึงจุดจบ  ยกเว้นแต่จะมีพลังมาหักล้างกัน

มหาเวทเจอกับมหาเวท  เป็นเรื่องน่าตื่นตาที่จะได้เห็น  เพราะจำนวนคนที่สามารถใช้มันได้นั้นมีน้อยมาก

แสงสีขาวสว่างตัดกับสีดำมืดของท้องฟ้ารอบๆ  ปรากฏอยู่หน้าประตูแห่งอำนาจ  จากกระแสเวทนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นทีอารีนทำให้พวกโซแวนเบิกตากว้าง

“เจ้าบ้านั่น!”  ชายหนุ่มสบถขึ้น  น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ  ในใจเริ่มร้อนรน  เขาย่อมรู้ดีว่าทีอารีนคิดจะทำอะไร  แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย

วงเวทค่อยๆ  ปรากฏขึ้นรอบๆ  ตัวของทีอารีนอย่างรวดเร็วเพื่อแข่งกับเวลา  ลูซัสเองก็ใกล้จะร่ายมหาเวทเสร็จสมบูรณ์แล้ว 

 “มหาเวทงั้นหรือ  องค์ชาย  เจ้ามันก็แค่เด็กน้อยที่พลังเวทยังไม่สมบูรณ์  ไม่มีทางทำอะไรข้าได้หรอก”  ลูซัสเอ่ยขึ้นพลางแสยะยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าอภิรมย์เลย  ทีอารีนไม่มีท่าทีตื่นกลัวหรือคล้อยตามสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเลยสักนิด

เขาแค่มุ่งสมาธิไปที่การทำลายอีกฝ่ายลงไปพร้อมๆ  กับประตูอสูร  หากไม่ทำเช่นนั้น  หลังการยิงมหาเวทของลูซัส  อีกฝ่ายคงปล่อยให้อสูรที่อยู่ด้านหลังลงมาทำลายโลกอีกแน่นอน

“จะทำได้หรือไม่ได้  เดี๋ยวเจ้าก็เห็นอีก”  ทีอารีนแย้งกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง  เขายกมือทั้งสองข้างไปด้านหน้า  เพิ่มพลังของมหาเวทให้สูงขึ้นเรื่อยๆ

จะไม่มีการผ่อนเบา  ไม่มีการลังเล  ต่อให้ร่างเนื้อนี้แหลกไป  สิ่งที่จะต้องทำคือการปกป้องผู้คนที่อยู่ด้านหลัง

เขาตั้งปณิธานเช่นนั้นขณะรวบรวมพลังเวทไว้  เพราะต้องการทุ่มพลังทั้งหมดไว้ที่การโจมตีนี้  แขนและขาจึงเริ่มชา  ประสาทสัมผัสเริ่มไม่ตอบสนองต่อการสั่งการ  เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดนึกบอกตัวเองให้อดทน 

“อวดดีนักนะ!”  ลูซัสสวนกลับคำพูดของเขาด้วยความโกรธก่อนที่จะเริ่มโจมตีด้วยมหาเวทมนตร์ดำ  ทีอารีนจึงโจมตีสวนกลับไป  นับว่ายังดีที่มหาเวทของเขาสมบูรณ์พอดี

ลำแสงสีขาวและสีดำขนาดใหญ่พุ่งเข้าปะทะกัน  เกิดเสียงดังกึกก้องจนแผ่นดินและท้องฟ้าสั่นไหว  อานุภาพของมันทำให้เกิดคลื่นอากาศแผ่ขยายเป็นวงกว้าง  และลำแสงนั้นก็ทำให้ท้องฟ้าสว่างจ้า

ทีอารีนกัดฟันกรอด  รับรู้ได้ว่าร่างกายเริ่มไม่ไหว  พลังเวทของเขาค่อยๆ  หมดลงไปเรื่อยๆ  แต่ยังไม่สามารถทำให้ประตูพังไม่ได้

“พยายามเข้า”  จู่ๆ  เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาใกล้  พร้อมกับมือของใครบางคนที่ยื่นเข้ามาใกล้  เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นร่างวิญญาณของลูซิฟราน  พอเห็นใบหน้าที่ตกใจของเขาอีกฝ่ายก็หัวเราะขึ้น  “เจ้านี่จะทำให้ข้าพักผ่อนอยู่บนสวรรค์นานๆ  ไม่ได้เลยหรือไง”

“ท่านลูซิฟราน...”

“เอาเถอะ  ข้าก็สนับสนุนเจ้ามาตั้งนานแล้ว  เอ้า  จะบอกอะไรดีๆ  ให้  เจ้าปลดการเสริมพลังของประตูแห่งอำนาจซะ  ให้มันส่งผลแค่เจ้าคนเดียว”

“ถ้าทำแบบนั้นแล้ว...คนที่เหลือก็...”

“ถ้าเจ้าคิดจะทำลายประตูแล้วล่ะก็  คนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องมีพลังเสริมอะไรแล้ว”  ลูซิฟรานตอบเช่นนั้นก่อนที่จะหายไป  ทิ้งให้เขาตัดสินใจต่อ

จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า  ถ้าประตูอสูรถูกทำลายไปแล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้พลังของประตูแห่งอำนาจแต่อย่างใด  เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจตัดพลังของประตูแห่งอำนาจที่เสริมให้ทุกคนออกแล้วนำมาเสริมให้แก่ตน  ลำแสงมหาเวทของเขาจึงขยายตัวออก  และมีอานุภาพมากขึ้น

“จบกันสักที  ลูซัส!”  ทีอารีนตะโกนขึ้นขณะอัดพลังเฮือกสุดท้ายโจมตีใส่อีกฝ่าย  ลำแสงมหาเวทสีดำค่อยๆ  ถูกสีขาวกลืนหายไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดมหาเวทของเขาก็เข้าปะทะกับลูซัสและประตูอสูร

เกิดเสียงพังครืนดังก้องขึ้น  ประตูอสูรพังทลายลงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไปพร้อมกับมหาเวท  ท้องฟ้ากลับมาสงบอีกครั้ง  มวลเมฆเริ่มหายไปปรากฏให้เห็นแสงจันทร์และดวงดาวที่เปล่งประกาย  ราวกับทั้งโลกหยุดเคลื่อนไหวไร้เสียงใดเล็ดลอดออกมา

ประตูแห่งอำนาจค่อยๆ  จางหายไปพร้อมกับเสียงกระดิ่งแห่งชัยชนะ  เมื่อนั้นเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของมนุษย์ก็ดังขึ้นอย่างกึกก้อง

ทุกคนต่างร้องยินดีออกมาจากใจ  บ้างร้องไห้  บ้างหัวเราะ  เป็นภาพที่น่าประทับใจหลังจากเผชิญสงครามกันมานาน

ทีอารีนลืมตาขึ้น  ตัวเขาเองยังอยู่บนท้องฟ้า  ตรงหน้าไม่มีทั้งประตูอสูรแล้ว  เช่นนั้นศึกครั้งนี้มนุษย์เป็นฝ่ายชนะ

ทำสำเร็จแล้ว...

รอยยิ้มมุมปากปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เหนื่อยล้าของทีอารีน  เปลือกตาปิดลง  ก่อนที่ร่างนั้นจะเอนไปข้างหลังและถูกแรงดึงดูดให้ร่วงหล่นลงมาพื้นดินอย่างรวดเร็ว  พลังเวทที่เหลืออยู่น้อยนิดช่วยให้เขาไม่ตกกระแทกพื้น  แต่ร่างกายก็ไม่สามารถขยับได้

เด็กหนุ่มนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้นหญ้า  ข้างหน้าปรากฏร่างหนึ่งที่เดินโงนเงนใกล้เข้ามา  อีกฝ่ายกัดฟันกรอด  สบถออกมาด้วยความไม่พอใจ

ลูซัสที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลยังคงเหลือเวทมนตร์ดำมาโจมตีได้อยู่  เช่นนั้นเมื่อเห็นว่าทีอารีนยังมีชีวิตจึงคิดจะสังหารด้วยความแค้น

“แก...เจ้าเด็กโอหัง...”

ฉึก!

เสียงของมีคมแทรกแทงผ่านเนื้อดังขึ้นก่อนที่ลูซัสจะเบิกตากว้าง  ที่หน้าอกนั้นมีดาบเล่มหนึ่งทะลุมาจากด้านหลัง  ดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจนั้นเหลือบมองไปหาผู้ที่ลงมือ

“กลับลงนรกไปซะ”

โซแวนมองอีกฝ่ายด้วยสายตาโกรธเคืองและชักดาบออก  ร่างของลูซัสกระตุกเฮือกก่อนจะล้มลง  กายนั้นกลายเป็นสีดำไหม้และสลายไป

เมื่อศัตรูหายไปหมดแล้ว  โซแวนก็รีบวิ่งเข้าไปประคองทีอารีนทันที 

เมื่อเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นเห็นอีกฝ่ายก็อดยกยิ้มไม่ได้

“มารับจริงๆ  ด้วย”  แว่วเสียงแผ่วเบาดังออกมาริมฝีปากที่แห้งผาก  โซแวนยังไม่พูดอะไรได้แต่มองเขาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนทุกที  แต่ดวงตานั้นทอความเศร้าโศกออกมาจนน่าสงสัย 

“ทำไมล่ะ  ยิ้มหน่อยสิ  เราชนะ...ใช่ไหม”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย  ครั้งจะมองไปรอบๆ  ศีรษะก็หนักเกินกว่าจะเคลื่อนไหวใดๆ

“ใช่  เจ้าทำได้  เราชนะ”  อีกฝ่ายตอบเขาเสียงเรียบ  ก่อนที่จะจัดท่าให้หนุนตักอยู่บนพื้น  เขาคล้ายจะได้ยินเสียงสะอื้นของอีกฝ่ายก่อนที่โซแวนจะเผลอบีบแขนเขาแล้วบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ 

“เจ้าผิดคำสัญญา  ไหนบอกข้าว่าจะไม่ฝืนตัวเองไง”

“ข้าจำได้...ว่าบอกไปแล้ว...ว่าถ้าไม่จำเป็น...ก็จะไม่ฝืน”  เขาเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าฝืนกับการหายใจที่ทำได้อย่างยากลำบาก  “นี่จำเป็น...”

หลังจากพูดออกไปประโยคหนึ่งก็เว้นช่วงเพื่อพักหายใจ  เหนื่อยเหลือเกิน...แต่ไม่อยากหลับไป  หากหลับไปแล้วเขาคงไม่ได้ตื่นมาอีก 

อีกฝ่ายคล้ายจะจำได้แล้วจึงเบิกตากว้างแล้วกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ  แล้วถามเขา  “เจ็บมากไหม  ทรมานหรือเปล่า”

“ไม่...คิดว่าสบายดี”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นพลางยกยิ้มบางๆ  ไม่รู้ว่าตนเองกำลังโกหกหรือพูดความจริง  ความรุนแรงของการสูญเสียของพลังเวททั้งหมดยังส่งผลต่อเขาอย่างต่อเนื่อง  แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บตรงไหน  อาจเป็นเพราะความดีใจที่สามารถจบสงครามนี้ลงได้  หรือเป็นเพราะร่างกายไร้การตอบสนองจนไม่รู้สึกเจ็บอะไร

“โซแวน  ข้ายินดีเหลือเกิน  ยินดีที่สงครามนี้จบลงเสียที  ยินดีที่ได้พบกับทุกคน  ยินดีที่พวกเขาปลอดภัย  และ...ยินดีที่ได้เจอกับเจ้า”  ทีอารีนยกมือที่ชาอยู่สัมผัสเขาอย่างอยากลำบาก  รู้สึกเหมือนการรับรู้ค่อยๆ  เสื่อมลง  แต่ภาพความทรงจำที่เคยอยู่ร่วมกับคนอื่นค่อยๆ  ย้อนกลับมา

“พวกครีออนมาที่นี่ไหม”

“มา  ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว”  โซแวนเอ่ยตอบในขณะที่พวกครีออนวิ่งมาถึงสถานที่แห่งนี้พอดี  ผู้เป็นน้องชายเมื่อเห็นสภาพไร้เรี่ยวแรงของพี่ชายแล้วถึงกลับทรุดตัวลงนั่ง  ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและโศกเศร้า

“งั้นเหรอ  ครีออน...”  เมื่อได้ยินว่าทุกคนอยู่ที่นี่  ทีอารีนก็เอ่ยเรียกน้องชายก่อน  เขาไม่กล้ามองไปที่ไหน  ไม่ใช่ว่าไม่อยากมอง  แต่ดวงตากลับเริ่มพร่าเลือนจนไม่เห็นสิ่งใด

ฝ่ายครีออน  เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของตนก็รีบเข้าไปกุมมือที่ยกขึ้นทันที  น้ำตาเริ่มรินไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเรียกอีกฝ่าย  “เสด็จพี่”

“ไม่...ร้อง  ต่อจากนี้...เจ้าจะต้องปกป้องบ้านเมืองนะ  จงเข้มแข็ง  อย่ายอมแพ้  ถ้าเป็นเจ้า...ต้องทำได้แน่ๆ  เจ้าแข็งแกร่ง...และยิ่งใหญ่ได้มากกว่าข้า”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  เขารับรู้ได้ว่าครีออนกำลังจำมือตนเองจึงบีบแน่น  “อนาคตของคาร์ไลน์  ข้าขอฝากเจ้าด้วยนะ”

“ข้าจะไม่ทำให้เสด็จพี่ผิดหวัง  ข้าสัญญา  ท่านต้องอยู่ดูความสำเร็จของข้า”  ครีออนเอ่ยคำมั่นสัญญา  เมื่อได้ยินเช่นนั้นทีอารีนก็อดยกยิ้มไม่ได้ 

น้องชายของเขาเติบโตได้มากกว่านี้  และมากกว่าเขาอย่างแน่นอน

“อาคีรัส”  เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกชื่ออีกคนที่ได้ยินเสียงสะอื้นของอีกฝ่ายมาสักพัก  อาคีรัสรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาก่อนจะถามเสียงสั่น

“ขะ...ขอรับ”

“เป็นเพื่อนกับครีออนด้วยนะ”  หากเป็นอาคีรัส  เขาก็วางใจ ว่าครีออนจะไม่กลับไปเดินทางที่ผิดอีก  เมื่อได้ยินคำไหว้วานนั้นอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับทันที

“เร็น  คาร์ริต้า” 

เจ้าของชื่อขานรับเบาๆ  เป็นสัญญาณรับรู้  พวกเขารู้แล้วว่าทีอารีนมองไม่เห็นรอบข้างแล้ว

ทั้งคู่สำหรับทีอารีนแล้วเป็นคู่รักที่ดีคู่หนึ่ง  ต่างเสียสละและแบ่งปัน  เกื้อหนุนกัน  สามารถแลกชีวิตเพื่อให้อีกฝ่ายปลอดภัยได้  “ข้านับถือพวกเจ้านะ  รักไปนานๆ  ล่ะ  และจริงๆ  ข้าคาดหวังบางอย่างกับพวกเจ้า...”

“อะไรหรือขอรับ”

“ข้าอยากมีหลาน”  มุมปากของทีอารีนยกยิ้มขึ้นเมื่อพูดประโยคนั้น  ส่วนคนฟังก็อึ้งไปครู่หนึ่งเพราะทำตัวไม่ถูก  ทำให้เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา  “คิดซะว่าข้าพูดเล่นสิ...”

“ฝ่าบาท...”

ยังไม่ทันที่เร็นจะได้พูดอะไร  ทีอารีนก็ไอโขลกออกมาครู่หนึ่งทำให้แต่ละคนล้วนตกใจ  รอสักพักเด็กหนุ่มก็กลับมาเป็นปกติและสูดลมหายใจเข้าก่อนจะเรียกหาสองคนสุดท้าย

“วารัน  นอร์ธวินด์” 

“ฝ่าบาท  ข้าอยู่นี่”  นอร์ธวินด์รีบเข้าไปคุกเข่าข้างทีอารีนและจับข้อเท้าของอีกฝ่ายไว้  ส่วนวารันยืนเงียบๆ  ไม่พูดอะไร  เด็กหนุ่มยกยิ้มขึ้นก่อนจะถามเชิงขอร้อง  “สัญญากับข้าสิ  ปรับความเข้าใจกันซะ  ข้าว่า...หัวใจพวกเจ้าก็เรียกร้องหากัน...”

“ได้  ข้าสัญญา  ฝ่าบาท  ข้าจะไม่ทะเลาะกับหมอ...วารันอีกแล้ว”  อินคิวบัสหนุ่มให้คำสัญญาทั้งน้ำตา  เขาอยากจะเอ่ยต่อ  แต่เสียงสะอื้นก็ตีขึ้นมาจนพูดอะไรไม่ได้

ทุกคนไม่อยากร้องไห้  ไม่อยากให้เห็นด้านอ่อนแอ  แม้แต่คนที่ดูทรมานที่สุดอย่างทีอารีน  ก็ไม่อยากมีน้ำตาให้คนเหล่านี้ทุกข์ใจ

“โซแวน...”  ท้ายที่สุดทีอารีนก็เบนสายตากลับมาหาคนที่ประคองตนเองไว้ในอ้อมกอด  แม้จะไม่เห็นแล้วแต่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่  เขานิ่งไปสักพักก่อนจะตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่อยากบอกมากที่สุด 

“ข้า...อยากอยู่...กับเจ้า”

นั่นเป็นเหตุผลหนึ่ง  พวกเขาเป็นคนรักกัน  และทีอารีนเชื่อว่าตัวเองเป็นคนรักที่แย่  แทบไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่าที่คิด  ซ้ำยังมาทำให้อีกฝ่ายเสียใจอยู่แบบนี้

“ให้...นานกว่านี้”

เขาไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะได้ตื่นมาอีกไหม  จึงพยายามที่จะไม่หลับไป  อยากจะมีเวลาร่วมกับโซแวนมากกว่านี้

โซแวนไม่ได้พูดอะไร  เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนเริ่มหายใจหนักและช้าขึ้น  แต่นั่นเป็นเพราะสูญเสียพลังเวทไป  ชายหนุ่มพอเห็นทีอารีนเป็นเช่นนั้นจึงจับใบหน้านั้นยกขึ้น  เพราะรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดีเลยรีบห้ามไว้ 

“อย่า  ข้าจะทำให้เจ้าตายได้”

“ใครสนกัน  ให้เจ้าปลอดภัยก็พอ”

“ข้าสน”  ทีอารีนตอบกลับไปเสียงเรียบ  ก่อนที่จะยกยิ้มปลอบ  “ไม่ต้องกังวลไป  อีก...ไม่นานก็หายแล้ว”

“จริงเหรอ”  คำพูดนั้นคล้ายกับจะประชดปนค้นหาความจริงด้วยเสียงสั่นเครือ  โซแวนกอดเขาไว้อย่างทะนุถนอมกลัวว่าจะอีกฝ่ายจะหายไป

“จริงสิ  ข้าไม่โกหกหรอก”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นก่อนจะบอกต่อ  “แต่ตอนนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน  โซแวน”

โซแวนกัดฟันกรอด  อยากจะดื้อรั้งไว้แต่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายทรมานไปมากกว่านี้  เขารับรู้ถึงผลเสียของการใช้มหาเวทผ่านความทรงจำของผู้วิเศษที่ส่งต่อมาให้ยามสืบทอดพลังของอีกฝ่าย  ถ้าร่างกายไม่สูญสลายไปก็มีแต่เป็นเจ้าชายนิทรา  หลับไปนานร้อยปีหรือพันปี  หรือจนกว่าจะตาย

เขาอยากอยู่กับทีอารีนให้นานกว่านี้  ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน  อยากพาอีกฝ่ายไปให้รู้จักโลกกว่านี้  โลกที่ไม่ได้เวียนวนแค่การต่อสู้และสงคราม  ไม่มีการทรยศหักหลัง

แต่ก็ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายต้องฝืนทรมานเช่นนี้อีก

“เช่นนั้นก็หลับก่อนเถอะ”  เนิ่นนานกว่าที่โซแวนจะกล้าพูดออกมา  พร้อมกับยื่นมือลูบไล้แก้มของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

“แต่ข้า...ยังมีเรื่องที่จะบอกเจ้า”  ทีอารีนยังคงคิดจะฝืนร่างกายตัวเองไว้  นั่นทำให้โซแวนรีบยกนิ้วมือขึ้นปิดริมฝีปากของเด็กหนุ่มไว้

“เจ้ายังไม่ต้องบอกตอนนี้  อีกกี่สิบกี่ร้อยปีข้าก็รอได้  แต่หลับพักผ่อนก่อนเถอะ  ข้าจะอยู่ข้างเจ้า  แต่สัญญาสิ...สัญญาว่าจะตื่นมาหาข้า”

ทีอารีนมองเขาที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยน้ำตาแล้วยกยิ้มอย่างพึงพอใจ  ก่อนที่จะหลับตาลง  “ข้าสัญญา”

น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาเหมือนลมที่พัดผ่านไปวูบหนึ่ง  ร่างที่อยู่ในอ้อมกอดไม่สามารถรับรู้ถึงเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นตลอดจนกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง  หรือน้ำตาของชายหนุ่มที่ไหลออกมา

ฝูงแมลงเรืองแสงสีทองลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเคล้าคลอไปกับสายลมที่พัดมา  ทอแสงแข่งกับหมู่ดาวบนท้องฟ้าในยามมืดมิด  หวนให้นึกถึงวันคืนในอดีต  วันคืนที่ได้หัวเราะและมีความสุขอย่างเต็มที่ในทุ่งแห่งนี้ด้วยกันสองคน  แต่ครั้งนี้เด็กหนุ่มนั้นไม่สามารถชมความสวยงามนี้ได้ 

ทีอารีนเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนยาวนาน  เสียสละพลังทั้งหมดเพื่อปกป้องผู้คนและโลกใบนี้

สงครามอันยาวนานนี้จึงได้ปิดฉากลงในค่ำคืนอันหนาวเย็นและแสนเศร้า
---------------------------
ก็จบแล้วนะคะสำหรับเนื้อเรื่องหลัก วันพรุ่งนี้จะมาลง True End อีกสองอันให้ค่ะ แล้วเรื่องนี้ก็จะจบสมบูรณ์ ยังไงก็ขอฝากและขอบคุณที่ติดตามกันมาค่ะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 34>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 04-05-2018 20:00:10
ต้องได้กลับมาอยู่ด้วยกันนะ
โซแวน รอทีอารีนด้วย
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 34>
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-05-2018 17:55:21
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 05-05-2018 18:57:19
บทที่  35
เรื่องราวของสัตว์ประหลาด  (Beast’s part)
ครึ่งแรก

...สงครามครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในทุ่งร้าง  มนุษย์และอสูรต่างฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อชิงชัยชนะ  ผู้นำฝ่ายอสูรตัดสินใจจะทำลายทุกอย่างด้วยมหาเวทสูงสุด  แต่วีรบุรุษของมวลมนุษย์ขัดขวางไว้ได้  ในที่สุดจอมบงการของอสูรก็พ่ายแพ้ลง  ส่วนประตูแห่งความวินาศก็ถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของผู้กล้า  โลกกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง

“บันทึกก็จบลงแต่เพียงเท่านี้จ้ะ”  น้ำเสียงหวานใสปิดท้ายหลังจากเล่าเรื่องมาอย่างยาวนาน  เมื่อปิดหนังสือลง  เหล่าเด็กน้อยที่นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อก็เริ่มยกมือถาม

“คุณครูขา  คุณครู”  เด็กน้อยคนหนึ่งยกมือขึ้น  ทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วตอบรับและรอฟังสิ่งที่เธอจะพูด  “หนูเคยได้ยินคุณปู่บอกว่า  นี่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนหรือคะ”

“ใช่แล้วจ้ะ”  นางตอบด้วยรอยยิ้ม  ในดวงตาสีทองคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายเมื่อนึกถึงวันวาน 

เสียงเด็กหลายคนโห่ร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น  มีบางคนหัวไวก็รีบถามต่อทันที  “งั้นแสดงว่าคุณครูก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นพอดีใช่ไหมฮะ”

“ถูกต้องจ้ะ”

“คุณครูได้ร่วมสงครามด้วยหรือเปล่าคะ”

“ใช่จ้ะ”

“คุณครูคาร์ริต้าสุดยอดเลย!”  คาร์ริต้าเพียงแค่ยิ้มรับและหัวเราะเบาๆ  กับคำชมนั้น  “ในสงครามนั้น  มีคนที่สุดยอดกว่าครูตั้งเยอะแยะ”

“หมายถึงเหล่าผู้กล้าที่ร่วมสู้ด้วยกันหรือฮะ”  เด็กชายท่าทางแก่นแก้วคนหนึ่งเอ่ยขึ้น  คาร์ริต้าจำได้ดีว่าเขาคือคนที่ชื่นชอบการฟังเรื่องเล่าในสงครามอสูรมากที่สุด 

“ใช่แล้วล่ะจ้ะ  เหล่าผู้ถูกเลือก  เหล่าผู้กล้าที่เป็นแกนนำรบ  และที่สำคัญคืออดีตราชาผู้หาญกล้า”  หญิงสาวไล่เรียงนามสหายที่แสนคิดถึงก่อนที่จะยกยิ้มบางๆ

“แล้วตอนนี้ท่านอดีตราชาอยู่ที่ไหนหรือคะ”  เด็กหญิงคนหนึ่งถามขึ้นทำให้คาร์ริต้าอดเศร้าไม่ได้  แต่ไม่นานก็สามารถกลับมายิ้มได้ด้วยความหวัง

“ตอนนี้ท่านกำลังพักผ่อนจ้ะ”  หญิงสาวตอบพลางลุกขึ้น  “เอาล่ะ  วันนี้พอแค่นี้ก่อน  พวกเจ้ากลับไปรอที่โรงอาหารเถิด  ใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว” 

“ครับ/ค่า”  เหล่าเด็กหญิงและเด็กชายต่างขานรับด้วยรอยยิ้มแล้ววิ่งไปยังอาคารโรงอาหาร  ยามบ่ายแก่เช่นนี้ผู้คนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน  ในขณะที่คาร์ริต้าเดินไปเก็บหนังสือในอาคารก็พบหญิงสาวอีกคนเดินมาพร้อมเด็กหญิงที่อายุราวสิบขวบ

“วันนี้เหนื่อยหน่อยนะคะ”  อารีแอนนาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  คาร์ริต้าได้ฟังเช่นนั้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“ไม่เลยเจ้าค่ะ  ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากเลย  สนุกมากด้วย”  หญิงสาวหันกลับมาคุยกับนางตรงๆ  หลังจากเก็บหนังสือเข้าที่แล้ว  “ต้องขอขอบคุณท่านหญิงอารีแอนนาจริงๆ  ที่มอบโอกาสให้ข้า”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก  แต่เจ้าเป็นคนหนึ่งที่ช่วยทีอารีนไว้  ข้าก็อยากตอบแทนอะไรบ้าง”  อารีแอนนาตอบ

นับตั้งแต่จบสงคราม  ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริง  หลังจากแลกมาด้วยเลือดเนื้อมากมาย  เหล่าผู้คนที่ตายจากสนามรบต่างได้รับการยกย่อง  ครอบครัวที่ถูกพรากคนสำคัญได้รับการดูแล 

พลังของผู้ถูกเลือกทุกคนหายไป  เหลือเพียงความทรงจำที่ถูกเล่าขาน  ต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปทำอาชีพเดิมหรือหาอาชีพใหม่ทำ  องค์กรที่เคยเป็นที่รวบรวมได้รับคำสั่งจากพระราชาองค์ปัจจุบันให้ปรับเป็นสถานที่พักพิงผู้ไร้ที่อยู่อาศัยและเด็กกำพร้า

ส่วนเหล่าผู้ถูกเลือกระดับสีทองนั้นหลังจากทีอารีนเข้าสู่การหลับใหลต่างก็ตัดสินใจที่จะทำในสิ่งที่ควรทำ  ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคือสัตว์ประหลาดยกเว้นแต่ครีออนและซีวาล

มังกรที่ปรากฏในสนามรบนั้นก็ถูกปั้นแต่งไปว่าหลังจบสงครามก็บินหนีไปที่อื่น  ทั้งที่จริงแล้วยังยืนฟังอยู่ใกล้ๆ

ส่วนใหญ่พวกเขาตัดสินใจอยู่ในคาร์ไลน์ต่อ  ยกเว้นเพียงวารันและนอร์ธวินด์ที่กลับไปป่าต้องห้าม  มังกรนั้นบอกว่าไม่อยากอยู่กับมนุษย์เสียเท่าไร  ส่วนอินคิวบัสนั้นติดตามไปเฉยๆ  หลายครั้งก็แวะเวียนมาเที่ยวเล่นอยู่บ่อยๆ  และถึงแม้ว่าครีออนจะอนุญาตให้อยู่อาศัยในปราสาทได้  แต่เงือกสาวก็คิดว่าเป็นการเอาเปรียบไปหน่อยจึงตัดสินใจออกมาหางานทำ  ในตอนนี้นางได้พบกับอารีแอนนาที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแลเด็กกำพร้าจึงได้อาสาขอทำงานด้วย

ตั้งแต่ตอนนั้นคาร์ริต้าก็ได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนเด็กเล็กๆ  และช่วยอารีแอนนาดูแลสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้

“อุ้ย  ดูเหมือนจะมีคนมารับเจ้าแล้วนะ”  อารีแอนนาเอ่ยขึ้นพร้อมยกมือป้องปากอมยิ้ม  สายตามองไปทางประตูทางเข้าทำให้คาร์ริต้าหันไปมองตาม  กลุ่มเด็กผู้ชายที่ยังวิ่งเล่นอยู่ด้านนอกวิ่งเข้าไปหาผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้ม

“ท่านอัศวิน  สวัสดียามเย็นขอรับ”  เด็กน้อยต่างร้องบอกอีกฝ่ายแล้วโถมเข้าหา  ผู้มาใหม่เองก็ส่งยิ้มกลับแล้วย่อตัวนั่งลง  ชายคนนั้นทักทายกับเด็กๆ  อย่างเป็นกันเองทำให้คาร์ริต้าอดยิ้มไม่ได้  นางเดินเข้าไปหา

เมื่อเห็นคาร์ริต้าเดินมา  เร็นจึงลุกขึ้นยืนแล้วค้อมศีรษะลงเล็กน้อยๆ  ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “ขอโทษที่มาช้านะ  พอดีมีงานด่วนเข้ามา”

“ไม่เลย  ไม่ช้าหรอก”  หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ  ก่อนจะคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้แล้วถามขึ้น  “วันนี้ที่ปราสาทเป็นอย่างไรบ้าง”

“อย่างที่ข้าบอก  วันนี้งานราชกิจเร่งด่วนมาก  ไหนจะงานตามปกติอีก  ฝ่าบาทเพิ่งจะได้พักเสวยมื้อกลางวันเมื่อครู่เอง  แถมยังบ่นพึมพำว่าจะตายแล้วน่าเป็นห่วงจริงๆ”  เร็นเล่าด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้า  แต่พอนึกถึงหน้าของพระราชาองค์ปัจจุบันซึ่งกำลังทรงงานหนักก็อดยิ้มให้กำลังใจไม่ได้  “ส่วนท่านทีอารีนก็ยังไม่มีวี่แววตื่นขึ้นมา”

“ยังงั้นหรือ”  คาร์ริต้ารับคำเสียงเศร้า  “หากท่านทีอารีนตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็คงดีสินะ”

“พูดอะไรน่ะ  ไม่ว่าอย่างไรเดี๋ยวท่านทีอารีนก็ต้องตื่นขึ้นมาอยู่แล้ว”  เร็นท้วงขึ้นเพื่อปลอบโยนอีกฝ่ายทำให้คาร์ริต้ายิ้มได้

“นั่นสินะ  สักวันหนึ่งท่านต้องตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน”  หญิงสาวพึมพำขึ้นขณะเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็น  มือข้างหนึ่งเผลอยกขึ้นกุมหน้าท้องอย่างไม่รู้ตัว  “ถ้าเขาตื่นขึ้นมาก่อนเด็กคนนี้จะลืมตาดูโลกก็คงดี  หึๆ  จริงๆ  ข้าหวังให้ท่านทีอารีนตั้งชื่อลูกของเราด้วยซ้ำ”

“นั่นสินะ”  เร็นเพียงแค่อมยิ้มรับอีกฝ่ายก่อนที่จะโอบเอวของหญิงสาวไว้  หลังจากสงครามสิ้นสุดลง  ชั่วขณะหนึ่งเขาคล้ายกับไร้หลักยึด  เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ที่ผู้วิเศษมอบให้คือการช่วยเหลือทีอารีนจนสามารถทำลายประตูแห่งความวินาศได้  แล้วหลังจากนั้น...หลังจากทุกอย่างจบสิ้นแล้วเขากลับนึกไม่ออกว่าควรทำอะไร

ความทรงจำที่หลงลืมไปในอดีตก็ไม่กลับมา  ในตอนนั้นเองที่คาร์ริต้าชักชวนให้เขาเริ่มต้นใหม่  เป็นการเริ่มต้นทุกสิ่งอย่าง  อาชีพ  ชื่อเสียง  และความรัก

ทีแรกเร็นรู้สึกผิด  ผิดที่ไม่สามารถนึกเรื่องของคาร์ริต้าออกเลยแม้แต่น้อย  ครั้นเอ่ยปากขอโทษไปหญิงสาวก็ไม่ใส่ใจสักนิด  นางคะยั้นคะยอให้เขาเริ่มใหม่

“ต่อให้เรากลับไปเริ่มกันที่ศูนย์อีกครั้ง  ข้าก็ยินดี”  คาร์ริต้าเคยบอกกับเขาเช่นนั้นด้วยรอยยิ้ม  ทำให้เร็นตัดสินใจยอมรับความสัมพันธ์นั้น  ชายหนุ่มรับรู้ส่วนลึกในใจตนเองได้  ไม่ใช่ว่าคาร์ริต้าไม่ปล่อยเขาไป  แต่เป็นตัวเขาต่างหากที่ยังมีเยื่อใยให้อีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว 

อยากดูแล  ห่วงหา  อยากครอบครอง...นั่นคือความรู้สึกที่เขามีต่อคาร์ริต้า  หญิงสาวที่ทำให้เขาตกหลุมรักถึงสองครั้ง

“จะว่าไปทางป่าต้องห้ามเป็นอย่างไรบ้างนะ”  คาร์ริต้าเอ่ยถามขึ้นทำให้เร็นนึกได้  เขาได้รับเลือกให้เป็นอัศวินราชองครักษ์  ด้วยผลงานที่เคยทำไว้ก็ไม่มีใครคิดค้าน  หนำซ้ำยังมีท่านแม่ทัพใหญ่ให้การสนับสนุน  แต่ท่ามกลางการช่วยเหลือนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มลำบากอยู่เหมือนกัน

นอกจากงานในวังที่ท่วมท้นแล้ว  ก็ยังมีป่าต้องห้ามที่เขาต้องไปดูแลบ้าง  เพราะสถานการณ์ในป่ายังไม่สงบ

“ไม่ต้องห่วงหรอก  วารันจัดการได้อยู่แล้ว”  เร็นตอบด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะบอกว่า  “กลับปราสาทกันเถอะ  ไปเยี่ยมท่านทีอารีนกัน”

.....

“วารัน!!”  เสียงตะโกนเรียกที่ทำให้ฝูงนกแตกตื่นตกใจจนบินหนีเรียกให้สายตาของสัตว์ร้ายนับสิบคู่หันไปมอง  ผู้มาใหม่ซึ่งร่อนลงกลางลานนั้นสะดุ้งเฮือกแล้วยิ้มแห้ง  “โอ๊ะโอ  เหมือนข้าจะมาผิดจังหวะไปสินะ”

“เจ้าโง่เอ๊ย”  มังกรสีดำขนาดยักษ์ที่อยู่ด้านหลังคนตัวเล็กนั้นถอนหายใจอย่างเอือมระอาและพึมพำขึ้นเรียกอารมณ์โมโหจากนอร์ธวินด์ได้เป็นอย่างดี

“ว่ายังไงนะ  ข้าอุตส่าห์รีบบินไปที่คาร์ไลน์เพื่อขอยาให้เจ้านะ  รู้ไหมว่าข้าเกือบจะโดนเร็นตัดคออยู่แล้ว!”  อินคิวบัสหนุ่มโวยวายลั่น  ในสองแขนมีถุงยาต่างๆ  ที่หอบหิ้วมาเต็มไปหมด  ก่อนจะหันไปพาลด่าสัตว์ประหลาดรูปร่างเสือหลายตัวที่อยู่รอบๆ  “พวกเจ้าเองก็เหมือนกัน  หัดมาให้เป็นเวลาหน่อยเถอะ  เจ้าหมอนี่ไม่ได้ทำแผลกับกินยาตรงเวลามาสามวันแล้วนะ!  คิดจะฆ่ากันทางอ้อมหรือไง  เล่นวิธีสกปรกนี่หว่า  แน่จริงรอหายดีก่อนเซ่!”

“เดี๋ยวมันก็ตะปบเจ้าด้วยหรอก”  วารันในร่างมังกรเอ่ยเตือนขึ้น  แต่อีกฝ่ายกลับฉีกยิ้มกว้าง

“ไม่ต้องห่วงหรอก  เดี๋ยวเจ้าก็ต้องช่วยข้าอยู่แล้ว”

“มั่นใจเหลือเกินนะ”  วารันเห็นท่าทีนั้นแล้วอดกระตุกยิ้มไม่ได้  ขณะนั้นเองที่สัตว์ประหลาดฝูงตรงหน้าคำรามลั่นแล้วพุ่งเข้าใส่พวกเขา  เป้าหมายคือนอร์ธวินด์ที่อ่อนแอกว่า  มังกรคำรามกลับแล้วใช้กรงเล็บฟาดใส่ตัวที่คิดว่าจะทำร้ายคนของตน  ก่อนจะจัดการกับตัวที่เหลือ

ส่วนนอร์ธวินด์ใช้โอกาสช่วงที่กำลังชุลมุนไปหลบด้านหลัง  รอให้วารันจัดการสัตว์ประหลาดพวกนั้นจนหมดแล้วกลับร่างเป็นคนถึงจะเข้าไปหา  ตามตัวอีกฝ่ายมีแต่บาดแผลเต็มไปหมดทำให้รู้สึกอดห่วงไม่ได้

“เจ้าไหวแน่นะ  ให้ข้าไปตามโซแวนมาจัดการเรื่องนี้ไหม”  นอร์ธวินด์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงขณะพาอีกฝ่ายมาทำแผลในวิหารโบราณ

“ข้าไม่เป็นอะไร  ไม่ต้องไปตามเจ้านั่นมาหรอก  นี่เป็นกฎของป่าแห่งนี้  ช่วยไม่ได้นี่นา”  วารันบอกเสียงเรียบขณะถอดเสื้อผ้าท่อนบนออกให้อีกฝ่ายทำแผล

นอร์ธวินด์เห็นแล้วอดทำสีหน้าเหยเกไม่ได้  บาดแผลทั่วตัววารันเป็นผลมาจากการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดในป่าต้องห้ามที่ไม่ยอมรับเขาเป็นราชาคนใหม่

หลังสิ้นสุดสงครามอสูรแล้วโซแวนก็ไม่อยากห่างจากทีอารีนไปไหน  แต่ก็ทิ้งป่าต้องห้ามไปตลอดไม่ได้  และเพราะแบบนั้นอีกฝ่ายเลยมาก้มหัวขอให้เขามาเป็นราชาแทนตัวเอง  ทีแรกถามกันแค่ลมปากมังกรหนุ่มก็ไม่อยากรับ  แต่พอเห็นอีกฝ่ายยอมก้มหัวให้เขาก็ตกลง

นั่นเพราะวารันนับถือใจโซแวนที่ยอมทิ้งศักดิ์ศรีก้มหัวขอร้องตน  ทั้งที่ตามปกติคิเมร่าไม่ยอมก้มหัวขอร้องใครง่ายๆ

แต่การเป็นราชาของป่าต้องห้ามนั้นไม่ง่าย  เมื่อเขาประกาศตัวจะเป็นราชาย่อมมีแต่คนมาท้าชิง  หากสามารถชนะทุกตนในป่าได้  วารันก็จะขึ้นเป็นราชาทันที  จริงๆ  แล้วมีอีกวิธีที่โซแวนและนอร์ธวินด์เห็นด้วยนั่นคือให้โซแวนซึ่งเป็นอดีตราชากลับมาสละอำนาจและประกาศให้วารันเป็นแทน

วิธีนั้นง่ายก็จริง  แต่เท่ากับว่าเขาและโซแวนจะไม่มีศักดิ์ศรีในฐานะราชา  วารันจึงเลือกที่จะสืบทอดตามธรรมเนียมเก่า

“ข้าล่ะไม่เข้าใจศักดิ์ศรีของพวกมีอำนาจเลย”  นอร์ธวินด์พึมพำขึ้นพลางถอนหายใจขณะลงยาให้วารัน  สัตว์ในป่าต้องห้ามมีนับร้อยเผ่า  และทุกตัวที่รักการต่อสู้ก็ล้วนแต่ต้องการอำนาจ  พอเห็นโซแวนสละอำนาจไปก็คิดมาท้าสู้กับวารันวันต่อวันจนได้แผลมามากมายขนาดนี้ 

“ไม่ต้องเข้าใจก็ได้”  วารันเอนตัวไปด้านหลังหนุนอีกฝ่ายแล้วพึมพำด้วยรอยยิ้มออกมา  “รู้ว่าข้ารักเจ้าก็พอ  โอ๊ย!”

ทันทีที่พูดประโยคนั้นเสร็จมังกรหนุ่มก็ร้องลั่นเพราะโดนป้ายยาอย่างจังจนแสบสะท้าน  ส่วนนอร์ธวินด์นั้นได้ถอนหายใจแล้วบ่นพึมพำขึ้น  “เจ้านี่นะ  สู้มากไปจนสมองเพี้ยนหรือไง  แต่ก่อนยังด่าข้าปาวๆ  อยู่เลย”

“นิดๆ  หน่อยๆ  เองจะอายทำไมกัน”  วารันโต้กลับก่อนจะเผยความจริงออกมา  “ก็ข้ารู้สึกว่าเราไม่ค่อยหวานซึ้งแบบคนอื่นๆ  นี่”

“นี่เจ้าคิดมากเรื่องนี้เหรอ”  นอร์ธวินด์อดขำออกมาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่พอใจ  เห็นชัดว่ากำลังงอน  ดูท่าที่พูดเมื่อกี้คงรวบรวมความกล้ามานาน  พอเป็นแบบนั้นเขาก็อยากง้อขึ้นมาจึงก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากของอีกฝ่าย  “ไม่ต้องคิดมากหรอก  ข้ารักเจ้าอยู่แล้ว”

วารันหลับตาแล้วยิ้มออกมา  ก่อนจะพึมพำ  “ขอโทษนะที่ต้องให้มาอยู่ด้วยแบบนี้”

“หืม?”

“ทั้งที่เจ้าอยากไปเฝ้าทีอารีน  แต่ข้ากลับรั้งให้เจ้าอยู่ด้วยแบบนี้”  วารันลืมตาขึ้น  ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดบางอย่าง

ตอนที่ตัดสินใจกลับมาที่ป่าต้องห้าม  เขาไม่คิดว่านอร์ธวินด์จะตามมาด้วย  ทั้งที่อินคิวบัสนี่ห่วงหาทีอารีนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโซแวน  เป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่เสมอว่าดีแล้วหรือที่ไม่ให้อีกฝ่ายกลับไป

แต่ทว่านอร์ธวินด์กลับหัวเราะขึ้นแล้วบอกอย่างไม่ใส่ใจ  “ข้าก็แวะเวียนไปเฝ้าอยู่เรื่อย  แค่นั้นก็พอใจแล้วล่ะ  อีกอย่าง...ข้าจะปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวได้อย่างไรกัน”

มุมปากของวารันยกยิ้มขึ้น  รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา  ในขณะที่คิดว่ากำลังจะได้พักจู่ๆ  ก็มีเสียงร้องโวยวายดังใกล้เข้ามา  ครึ่งคนครึ่งสุนัขตนหนึ่งวิ่งมาหน้าตาตื่นทำให้มังกรหนุ่มลุกขึ้นแล้วเปลี่ยนปั้นหน้าเรียบเฉย

“มีอะไร”

“นะ...นายท่าน  คือว่า...รังของข้า...ลูกชายของข้าถูกพวกมนุษย์ลักพาตัวไป  ดะ...ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด”  อีกฝ่ายเอ่ยเสียงสั่นจนเกือบพูดไม่เป็นภาษา  วารันได้ฟังแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้  เวลาหวานกับคนรักดูท่าจะหมดแล้ว 

“น่ารำคาญชะมัด”

คำสบถนั้นทำให้ปีศาจสุนัขที่ตัวสั่นอยู่สะดุ้งเฮือกแล้วคอตก  นึกว่าจะได้ไม่ได้รับการช่วยเหลือทว่ากลับถูกถามขึ้น  “พวกมันไปทางไหน”

“ขอรับ?  ทะ...ทางตะวันออกขอรับ”  เจ้าสุนัขเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสับสนก่อนที่จะชี้ไปทางที่พวกมนุษย์มุ่งหน้าไป

“ทีหลังก็อย่าไปสร้างรังไว้ใกล้ชายป่านักสิ”  วารันตำหนิทิ้งท้ายก่อนที่จะแปลงร่างเป็นมังกรแล้วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า  จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกทิ้งให้เจ้าสุนัขยืนงงตาค้าง

“คิดว่า...จะไม่ถูกช่วยแล้วเสียอีก”

“ฮะๆ  วารันก็เป็นแบบนั้นแหละ  เขาแค่หงุดหงิดนิดหน่อยนะ”  คนแก้ต่างให้อย่างนอร์ธวินด์ต้องเดินเข้ามาบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะปลอบ  “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ  เดี๋ยวลูกของเจ้าก็กลับมาแล้ว”

“ขะ...ขอรับ”  เจ้าสุนัขยกมือประสานขึ้นเพื่อภาวนา  ขณะที่นอร์ธวินด์ก็รอวารันกลับมา  ไม่นานเสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นก่อนที่เงาร่างสีดำจะเคลื่อนมาบัดบงท้องฟ้าแล้วร่อนลงมา  วารันกลับไปร่างมนุษย์  ในมือมีลูกสุนัขสองตัวส่งเสียงร้องอยู่  เมื่อเห็นดังนั้นผู้เป็นพ่อก็รีบเข้าไปรับทันที

“ลูกพ่อ!”  ปีศาจสุนัขกอดลูกไว้อย่างทะนุถนอม  ก่อนที่จะรีบหันกลับมาขอบคุณวารันเป็นการใหญ่  “ขอบคุณท่านมากนะขอรับ  ขอบคุณจริงๆ”

“ไม่เป็นไรหรอก  ต่อจากนี้ก็ระวังตัวด้วยนะ”  เป็นนอร์ธวินด์ที่พูดขึ้นแทน  ครอบครัวปีศาจสุนัขจากไป  เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนในวิหารแห่งนี้  พระอาทิตย์ตกแล้ว  รอบข้างจึงเริ่มมืด  มีแสงไฟจากเวทมนตร์เท่านั้นที่คอยให้ความสว่าง  ทั้งคู่กลับเข้าไปในห้องที่ใช้หลับนอน  กินอาหารด้วยกันแล้วพักผ่อน

วารันนั้นดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก  ในฐานะราชาของป่าต้องห้ามแล้วนอร์ธวินด์ก็เห็นว่าเขาทำได้ดี  แม้ว่าจะขึ้นเสียงไปบ้างจนสัตว์อ่อนแอหลายตัวกลัว  แต่ก็ให้ความช่วยเหลือทุกอย่างที่ถูกร้องขอมา  ยิ่งช่วงนี้ต้องต่อสู้กับพวกที่คิดจะแข็งข้อทำให้มังกรหนุ่มเหนื่อยเอาการ

นอร์ธวินด์เลยปีนขึ้นไปนั่งคร่อมอีกฝ่ายก่อนจะจุมพิตอย่างดูดดื่มแล้วผละออกด้วยรอยยิ้มยั่วยวน  “นี่รางวัลสำหรับความเหนื่อยยาก”

วารันเพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก  แล้วเลื่อนมือมาโอบกอดเขาไว้แน่นก่อนจะกดลงบนเตียงอย่างรวดเร็ว  ท่าทีเหมือนคนที่อดใจรอมานาน  ทำให้นอร์ธวินด์นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ป่าต้องห้ามพวกเขาก็ไม่ได้ทำกันเลย

พอเป็นแบบนั้นแล้วอินคิวบัสหนุ่มก็เกิดลังเลขึ้นมา  “ข้าว่าคืนนี้ยัง...อื้อ  เจ้า...บ้า”

วารันไม่สนเสียงค้านแล้วเริ่มทำต่อ  นอร์ธวินด์แค่ลังเลแต่ไม่นานก็ให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี  คืนนั้นทั้งคืนพวกเขาจึงร่วมรักกันจนถึงเช้า

สุดท้ายนอร์ธวินด์ก็นอนซมอยู่ตลอดช่วงเช้าด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง  “ข้าเป็นอินคิวบัสแท้ๆ  แต่ทำไมถึงเหมือนโดนเจ้าสูบพลังไปนะ  เจ้ามังกรหื่นกาม”

วารันไม่ลังเลที่จะรับคำชมนั้นด้วยความภาคภูมิใจก่อนที่เขาจะนึกอะไรได้  “แล้วที่เจ้าไปคาร์ไลน์เมื่อวาน  ทางปราสาทเป็นอย่างไรบ้าง”

“อ้อใช่  โซแวนกับฝ่าบาทยังทะเลาะกันอยู่เลย” 

“นั่นเป็นของตายอยู่แล้ว”  วารันพึมพำขึ้น  ดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างโซแวนและครีออนคงเป็นแบบเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้

“นั่นสินะ  ถ้าท่านทีอารีนตื่นขึ้นมาก็คงดี”  นอร์ธวินด์พึมพำขึ้นด้วยรอยยิ้ม  “ตอนอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าน่ะสนุกจะตาย  เจ้าก็เห็นด้วยใช่ไหม  วารัน”

“ใช่  ถ้าเด็กนั่นตื่นมาก็คงดี” มังกรหนุ่มเหม่อลง  แม้จะไม่ได้ใส่ใจกับชีวิตมนุษย์มากนัก  แต่เขาก็เห็นด้วยที่ทีอารีนควรตื่นมา  ก่อนที่ร่างกายจะหมดอายุขัยไปเสียก่อน

แต่ถึงจะปรารถนาอย่างไร  พวกเขาก็ทำได้เพียงแต่ภาวนา
-----------------
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 05-05-2018 18:58:26
บทที่  35
เรื่องราวของสัตว์ประหลาด  (Beast’s part)
ครึ่งหลัง
“ฝ่าบาท  กำหนดการของวันนี้สิ้นสุดลงแล้วขอรับ”  สิ่งที่คล้ายเสียงสวรรค์ดังขึ้น  ทันทีที่ขุนนางคนสุดท้ายออกไปเหลือเพียงแค่เร็นที่เป็นอัศวินราชองครักษ์  ครีออนก็ฟุบลงกับโต๊ะทันที  ใบหน้าที่แต่เดิมดูไม่สบายก็ยิ่งซีดหนักไปอีก

“เมื่อคืนไม่ได้นอนอีกแล้วหรือขอรับ”  เร็นถามขึ้นต่อ  ราชาหนุ่มได้แต่พยักหน้ายอมรับอย่างจำยอม  ทำให้อัศวินคู่กายอดสงสารไม่ได้  “ข้าจะไปบอกให้คนรับใช้เตรียมของว่างให้นะขอรับ”

“ขอกาแฟด้วยนะ”  ครีออนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับจัดทรงผมของตนให้เข้าที่  ต่อให้กำหนดการของวันนี้จบลงแล้วแต่ก็ใช่ว่างานของราชาจะหมดลง  เขาต้องรับมือกับเรื่องด่วนที่อาจจะเข้ามาทั้งยังต้องสะสางงานที่ค้างคาไว้และเตรียมงานสำหรับวันต่อไป

หลังสงครามสิ้นสุดแล้ว  ครีออนในฐานะสายเลือดราชวงศ์คนสุดท้ายขึ้นเป็นราชา  แม้จะมีบางคนไม่ยอมรับ  แต่เขาก็ได้พิสูจน์ตนเองให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว  เพราะความเสียหายของสงครามมีมากจึงต้องทะนุบำรุงบ้านเมือง  จิตใจของผู้สูญเสียทั้งหลายก็ต้องได้รับการเยียวยา  ทั้งต้องตอบแทนแด่ผู้ที่เสียสละตนในสงคราม

นอกจากนั้นเพราะอาณาจักรคาร์ไลน์อยู่ไม่ได้ถ้าหากไร้มิตรสหาย  ทั้งยังสูญเสียกำลังทหารไปมาก  เพื่อป้องกันบ้านเมืองจากภัยสงครามครีออนจึงพยายามจะสานไมตรีต่ออาณาจักรข้างเคียง  แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ยอมรับกันได้  เพราะความสามารถของราชาแห่งคาร์ไลน์ทำให้อาณาจักรปลอดภัยและกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

แต่ภาระหน้าที่นั้นยิ่งใหญ่เสียจนเด็กหนุ่มที่ยังไม่ยี่สิบดีหักโหม  มีหลายครั้งที่วูบกลางห้องประชุมทำให้คนอื่นใจหายใจคว่ำไปหมด  สุดท้ายแล้วขุนนางหลายคนก็ตัดสินใจจะไม่พยายามเพิ่มงานให้ราชา  หากสามารถจัดการเองได้ก็จัดการไปก่อน

ครีออนจึงได้มีเวลาพักเพิ่มขึ้นมาบ้าง  แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกไม่พออยู่  หลายคืนที่เขาอดนอนก็ทำลายสุขภาพไปเยอะอยู่

“อยากได้รับการเยียวยาจัง...”  ครีออนบ่นพึมพำขึ้นทำให้เร็นได้แต่หัวเราะแห้งๆ  แล้วให้กำลังใจ

“เดี๋ยวก็คงมาแล้วมั้งขอรับ”

“เสด็จพ่อ!”  เสียงร้องเรียกที่ดังขึ้นทำให้ครีออนรีบลุกขึ้นทันทีด้วยใบหน้าสดใส  ประตูห้องประชุมถูกเปิดออกพร้อมร่างเล็กป้อมสองร่างที่วิ่งเข้ามา

ใบหน้าที่คล้ายกันมากซ้ำยังมีสีผมและสีตาเป็นสีดำเหมือนกันนั้นทำให้ทุกคนมองออกได้ว่าทั้งคู่คือฝาแฝด

องค์ชายรัชทายาทของคาร์ไลน์ทั้งสองวิ่งเข้ามากอดผู้เป็นพระบิดาด้วยความคิดถึง  ขณะเดียวกันก็ถามด้วยความห่วงใย  “เสด็จพ่อเหนื่อยไหมขอรับ”

“ขะ...ข้านำดอกไม้มาฝากด้วย”  แฝดคนน้องซึ่งขี้อายกว่าเอ่ยขึ้นเสียงเคอะเขิน  ในมือมีดอกไม้สีสวยอยู่ดอกหนึ่งทำให้ครีออนยิ้มขึ้น

“ขอบคุณนะ  ข้าหายเหนื่อยแล้ว  พวกเจ้า  ดื้อกับอาคีรัสหรือเปล่า”

“ข้าว่าพวกเขาสอนง่ายกว่าท่านเยอะเลย”  น้ำเสียงคุ้นหูนั้นทำให้ครีออนเงยหน้าขึ้นมอง  อาคีรัสลงนั่งตรงหน้าเขาพร้อมกับรอยยิ้ม  แต่คำพูดที่อีกฝ่ายกล่าวเมื่อครู่ทำให้เขาอดไม่พอใจไม่ได้

“ขอโทษแล้วกันที่สอนยาก”

“ข้าบอกแล้วแท้ๆ  ว่าอย่าอดนอน  ตาท่านคล้ำแล้วเห็นไหม”  ฝ่ามือหนาของอีกฝ่ายยกมาลูบแก้มเขาไปมาขณะต่อว่าทำให้ครีออนรู้สึกเคลิ้มขึ้น  เขาปล่อยลูกชายทั้งสองก่อนที่จะล้มตัวลงไปนอนตักอีกฝ่ายโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น

ด้านเร็นที่รู้หน้าที่ดีก็ออกสั่งทหารด้านนอกว่าอย่าเพิ่งให้ใครเข้ามา

“ฝ่าบาท...”

“ขอพักสักประเดี๋ยว”  ครีออนพึมพำขึ้นแล้วเงียบไป  ทั้งห้องก็ไม่มีใครกล้าสั่งเสียงอะไรออก 

แม้ว่าเขาจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่แต่ในฐานะราชาย่อมต้องมีราชินี  ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองบีบคั้นให้ครีออนต้องเลือกคนมาแต่งงานด้วย  ทั้งที่ใจเขารู้ดีว่าไม่สามารถรักผู้หญิงคนไหนได้  หนำซ้ำหลังจากอกหักจากทีอารีน  เด็กหนุ่มก็พบว่าตนดันไปตกหลุมรักผู้ชายท่าทางซื่อบื้อที่เข้ามาเยียวยาจิตใจเขาในช่วงนั้น

ผู้ชายที่มีดีแค่กล้ามเนื้อแต่ซื่อบื้อเสียจนอ่อนใจ  ทว่าก็เป็นคนที่ดึงเขาที่กำลังทุกข์ตรมออกมาได้  ครีออนพบว่าตัวเองรักอาคีรักจนอยากครอบครองหลังจากผ่านไปหนึ่งปี  แต่อีกฝ่ายไม่ได้ประสีประสาเรื่องความรักเอาเสียเลย  จนเขาต้องใช้วิธีต่างๆ  พิสูจน์จนพบว่าอาคีรัสก็ชอบพอกับตน

ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อยเป็นไปค่อยไปอย่างมาก  เคยหลับนอนด้วยกันแค่หนึ่งครั้งแล้วหยุดลงเพราะเหตุผลด้านการเมือง

แม้ไม่อยากแต่งแต่ท้ายที่สุดครีออนก็ต้องเลือกผู้หญิงสักคนขึ้นมาเป็นราชินีเพื่อสืบทายาท

ทีแรกพวกผู้อาวุโสในวังจะจับคลุมถุงชน  แต่เขาออกตัวว่าจะเลือกเอง  ท้ายที่สุดก็เลือกหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่งขึ้นมา  กล่าวกันว่าว่าที่ราชินีคนนั้นมีหน้าตาคล้ายคลึงกับทีอารีนและเป็นคนสุขุมพูดน้อย

ทั้งคู่อภิเษกกัน  ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดคู่หนึ่ง  แต่แล้วราชินีก็ประชวรแล้วจากไป  หน้าที่ดูแลบุตรทั้งสองจึงตกเป็นของอาคีรัส  ผู้ที่นางไว้ใจมากที่สุด

ครีออนไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อองค์ราชินี  หลายคนกล่าวหาว่าเขาไม่รัก  แต่ในใจของเขารู้ว่านางคือผู้หญิงที่ดีที่สุดในชีวิต

ครีออนคล้ายวูบหลับไปครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้น  รอบข้างยังคงมีแค่อาคีรัส  เร็น  และบุตรชายทั้งสองล้อมรอบ  เขาลุกขึ้นก่อนที่จะหันไปส่งยิ้มบางๆ  กับคนที่ยอมให้หนุนตัก  “ขอบคุณนะ  ช่วยได้มากเลย”

“หามิได้ฝ่าบาท”  อาคีรัสฉีกยิ้มกว้างให้ก่อนที่ครีออนจะยืนขึ้นแล้วชักชวนตามปกติ

“ไปกันเถอะ”

ทุกวันหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้วพวกเขาสองคนมีห้องห้องหนึ่งที่จะต้องไปเป็นประจำ  แม้บางครั้งจะจบลงที่การทะเลาะวิวาทของคนเฝ้ากับคนเยี่ยม  แต่พักหลังๆ  แทบไม่มีปากเสียงกันเลย  อาคีรัสคาดเดาเพราะมีเด็กๆ  อยู่ด้วยเลยไม่อยากทำตัวไม่ดีเป็นแบบอยาก

เด็กน้อยสองคนวิ่งมาหน้าห้องแล้วช่วยกันเปิดประตู  ทำให้อาคีรัสต้องเร่งฝีเท้าเดินไป  ตามด้วยครีออน  ห้องนี้คือห้องบรรทมของทีอารีนตั้งแต่แรก  ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างเตียงหันมามองก่อนจะทักขึ้นว่า  “มาแล้วเหรอ?”

“หวัดดีขอรับ”  เด็กน้อยทั้งสองคนทำความเคารพเขาก่อนจะถามอย่างรู้ความว่า  “เสด็จลุงเป็นยังไงบ้างขอรับ”

“พูดตรงๆ  ข้ายังไม่ชินที่พวกเจ้าเรียกเขาว่าลุงเลย”  โซแวนกระตุกยิ้มขึ้นก่อนที่จะหันไปมองร่างที่อยู่บนเตียง  ทีอารีนยังคงหลับอยู่เหมือนเดิม  ช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง  ร่างกายไม่ได้สูงขึ้นไปสักเท่าไร  จะมีแค่ผมที่ยาวขึ้นเรื่อยๆ

“ตามศักดิ์ก็ต้องเรียกแบบนั้นแหละนะ”  ครีออนเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งที่เตียงฝั่งตรงข้ามกับโซแวน  “เสด็จพี่  ข้ามาเยี่ยมแล้วนะครับ  โซแวนไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับท่านใช่ไหม”

“เห็นข้าเป็นคนยังไง”  คนถูกพาดพิงเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเจือความหงุดหงิด  แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ตัวได้  เมื่อก่อนมีครั้งหนึ่งที่ครีออนเข้ามาเยี่ยมแล้วเห็นโซแวนกำลังลักจูบทีอารีนทำให้เกิดปากเสียงกันยกใหญ่  แต่ต่อจากนั้นก็ไม่เคยเกิดเรื่องแนวนั้นขึ้นอีก

ครีออนมักจะมาเยี่ยมทีอารีนทุกวัน  คุยกับโซแวนบ้าง  นั่งเงียบๆ  บ้าง  ก่อนที่จะกลับไป  แม้ว่าจะมองอีกฝ่ายเป็นคู่กัดแต่คนที่เขาไว้ใจให้ปกป้องพี่ชายได้ก็มีแต่โซแวนคนเดียว

หลังจากพูดคุยและปล่อยให้องค์ชายแฝดทั้งสองเล่นกันอยู่ในห้องสักพักครีออนกับอาคีรัสก็กลับไป  ปล่อยให้โซแวนอยู่เฝ้าทีอารีนเหมือนเช่นทุกครั้ง

ชายหนุ่มเหม่อมองดวงจันทร์ที่ลอยนิ่งอยู่นอกหน้าต่าง  ความเงียบของตอนกลางคืนทำให้เขารู้สึกเหงาขึ้นมา  มือใหญ่เลื่อนไปกอบกุมมือของคนที่นอนอยู่มาทาบแก้มของตนเองก่อนจะพึมพำขึ้น

“จะสิบปีแล้วนะ...ผ่านไปไวเหลือเกิน”

วันนั้นเขาโอบอุ้มร่างของทีอารีนไว้โดยตลอดไม่ยอมห่างไปไหน  ไม่มีใครสามารถรักษาอาการนี้ลงได้  แม้จะใช้เวทที่อยู่ในป่าต้องห้ามแล้วก็ไม่เป็นผล  สิ่งที่พวกเขาจะทำได้ก็คือการรอ...รอจนกว่าอีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมา

สำหรับโซแวนแล้วต่อให้เป็นร้อยเป็นพันปีเขาก็รอได้  แต่สิ่งที่ไม่เอื้ออำนวยคือร่างกายของทีอารีน

อีกฝ่ายเป็นมนุษย์  ต่อให้เมื่อก่อนเป็นจอมเวทแต่ตอนนี้ได้สูญเสียพลังทั้งหมดไปจนเป็นคนธรรมดา  ร่างกายค่อยๆ  เติบโตขึ้น  จากเด็กในวันนั้นกลายเป็นชายหนุ่ม  และแก่ตัวลงเรื่อยๆ  สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดคือการที่ทีอารีนไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยจนสิ้นอายุขัย

โซแวนไม่รู้ว่าตัวเองอธิษฐานไปแล้วเท่าไร  กับอะไรบ้าง  แต่ทุกครั้งเขาได้แต่ภาวนาให้ทีอารีนตื่นขึ้นมา 

“รู้ไหมว่าตอนนี้เรื่องราวของเจ้าเป็นนิทานที่เด็กๆ  ชอบกันมากนะ”  เขาเอ่ยขึ้นกับอีกฝ่ายที่ไม่สามารถโต้ตอบเขาได้  ก่อนหน้าที่พวกครีออนจะมาเขาได้เจอกับเร็นและคาร์ริต้าแล้ว  ได้ฟังเรื่องต่างๆ  ข้างนอกแก้เหงาที่ขังตัวเองไว้แบบนี้  “ตอนจบของนิทานคือโลกกลับมาสงบ  ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุข”

เขาเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย  “วันนั้น...วันที่สงครามสิ้นสุดลง  ข้าได้ยินเสียงสรรเสริญยินดีจากพวกมนุษย์  สัมผัสได้ถึงความสุขของพวกเขา  ก็สมกับที่นิทานเขียนไว้ดีนี่นะ”

มุมปากของโซแวนยกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนแรง  “แต่ว่าทำไมข้าถึงไม่ยินดีกัน...”

คำถามนั้นเขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว  “จริงๆ  แล้วตัวละครหลักอย่างเจ้าควรจะได้รับความสุขด้วยสิถึงจะเรียกว่าเป็นตอนจบของนิทาน...ใช่ไหม”

นิทานที่กล่าวถึงการเดินทางกอบกู้โลกของผู้กล้าผู้มีปณิธานแรงกล้า  ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ  จนสามารถต่อกรกับศัตรูได้  เสียสละตัวเองทำลายทุกอย่างลงเพื่อความสงบสุขของโลก  แต่ตอนจบกลับไม่ได้อะไรกลับมาซ้ำยังต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทรา

นั่นคือนิทานที่ทีอารีนเป็นตัวละครหลัก...เป็นโชคชะตาที่เขาได้รับมา

ไม่สิ...นี่ต้องไม่ใช่ตอนจบ

“เจ้ารีบตื่นขึ้นมาสักทีสิ...ทีอารีน”
--------------------------
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 05-05-2018 19:00:03
บทที่  36
แด่ผู้ที่หลับใหล  (His part)
ครึ่งแรก

ทีอารีน...

เสียงใครบางคนเรียกข้าดังขึ้น  ความรู้สึกแรกที่รับรู้คือความอบอุ่นของแสงตะวันและกลิ่นหอมของดอกไม้  เสียงท่วงทำนองเพลงดังแว่วมา  ราวกับว่าได้รับการปลอบประโลมจนรู้สึกผ่อนคลายและสงบสุข

ปลดภาระต่างๆ  ที่แบกรับไว้แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราที่แสนยาวนาน

สติข้าขาดห้วงไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจจำได้  แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นตา

ทั้งที่พยายามนึกทบทวนหลายครั้งข้าก็พบว่าตัวเองนั้นนึกความทรงจำหลังจากชนะลูซัสไม่ออก  และไม่คุ้นสถานที่แห่งนี้ด้วยซ้ำ

ข้าลุกขึ้นจากแท่นหิน  แล้วมองรอบๆ  ก็พบว่าอยู่ในตำแหน่งใจกลางของวิหารแห่งหนึ่ง  เมื่อเดินออกไปก็เป็นทุ่งดอกไม้กว้างสุดลูกหูลูกตาที่ไม่มีใครอยู่

ไม่มีแม้แต่สัตว์หรือแมลงสักตัว

“โซแวน  ครีออน”  ข้าเริ่มเอ่ยเรียกชื่อของคนที่รู้จัก  เสียงนั้นสะท้อนก้องไปไกลแต่ไม่มีผู้ใดขานรับหรือปรากฏตัวออกมา  ในอกข้าเริ่มปวดหนึบคล้ายถูกบีบรัด  แต่ด้วยความหวังในใจลึกๆ  ทำให้ข้าวิ่งและตะโกนเรียกต่อ  “เร็น  คาร์ริต้า  นอร์ธวินด์  วารัน  อาคีรัส  ซีวาล  อยู่ที่ไหนกันน่ะ!”

ข้าไม่รู้ว่าตนเองนั้นวิ่งออกมานานเท่าไร  จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดหอบหายใจ  รอบข้างเหลือเพียงทุ่งดอกไม้ที่เปลี่ยวร้าง

บัดนั้นข้าถึงเข้าใจ  สถานที่นี้มีเพียงข้าเพียงคนเดียว

ไม่เหลือใครแล้ว...ข้าทรุดเข่านั่งบนพื้นอย่างหมดแรง  ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไป  สิ่งที่ข้ากลัวมาตลอดคือการถูกทอดทิ้ง...เหมือนเช่นตอนนี้

“โซแวน...ทำยังไงดี”  ข้าพึมพำเสียงสั่นอย่างไร้หนทาง  หากอยู่ด้วยด้วยกันโซแวนก็คงไม่ปล่อยให้ข้าหวาดกลัวเช่นนี้

“มานั่งอมทุกข์อยู่แบบนี้ไม่ใช่ตัวท่านเลยนะขอรับ”  น้ำเสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยดังขึ้น  ข้าเบิกตากว้างก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น  ตรงหน้ามีร่างสูงโปร่งกำลังย่อตัวลงมาคุกเข่าและส่งยิ้มทักทาย

แม้ว่าจะแตกต่างไปบ้างตรงที่ผมยาวขึ้นและมีปีกสามคู่ด้านหลังของอีกฝ่ายแต่ใบหน้านั้นข้าคุ้นเคยดี  ความรู้สึกประหลาดท่วมล้นขึ้นมาจนทำให้เอ่ยชื่อของอีกฝ่ายอย่างเผลอตัว

“ผู้วิเศษ”

เขาคนนั้นยิ้มรับก่อนจะยื่นมาข้างหน้า  “ลุกขึ้นเถิด  แล้วเราค่อยๆ  คุยกันก็ได้  ยังมีเวลา”

ข้ามองเขาด้วยความสับสน  แต่เพราะผู้วิเศษยังคงยกมือค้างไว้ข้าเลยเอื้อมมือไปจับก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายฉุดให้ลุกขึ้น  ชั่วขณะหนึ่งเหมือนพื้นเอียงลง  รอบข้างบิดเบี้ยว  เมื่อได้สติอีกครั้งก็พบว่าตัวข้ามาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นตาอีกแล้ว

“ที่นี่...”

“วิหารของข้าเอง”  ผู้วิเศษเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพาข้าไปนั่งแล้วหันไปตระเตรียมบางอย่าง  ทิ้งให้ข้ามองรอบๆ  โดยที่ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม  อยากเอ่ยออกไปแต่ก็ยังมีเรื่องแคลงใจ

ตรงหน้าข้าคือผู้วิเศษจริงๆ  หรือ?

“หากท่านอยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ  อย่าทำเป็นคนอื่นคนไกลกันเลย”  คำพูดของเขาทำให้ข้าสะดุ้งเล็กน้อย  เพราะปิดบังอาการไม่อยู่เลยถูกหัวเราะเบาๆ  ใส่  เจ้าตัวเดินมาวางแก้วเปล่าบนโต๊ะตรงหน้าข้าแล้วนั่งลงบ้างก่อนจะพึมพำคล้ายกับน้อยใจด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  “เราไม่ได้เจอกันนาน  ท่านถึงกับจำข้าไม่ได้เลยรึ”

“ใครจะไปคิดล่ะว่าจะได้มาเจอเจ้าอีก”  ข้าบ่นกลับไปด้วยความรู้สึกจากใจจริง  แต่กลับมาคิดได้ว่าตอนนี้ใช่เวลามาต่อล้อต่อเถียงหรือ  ดังนั้นข้าเลยถามเขากลับไปอีก  “เป็นเจ้าจริงๆ  หรือ  ผู้วิเศษ  ก็เจ้า...”

“ข้าคือข้า  ไม่มีใครอื่นหรอก  ต่อให้ทิ้งร่างเนื้อมนุษย์ไปแล้วก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  อ๊ะ  แต่พอไม่มีร่างเนื้อแล้วก็ลงไปโลกมนุษย์ไม่ได้นี่นะ”  เขาอธิบายเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ  ท่าทีสบายๆ  นั้นทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา

แม้จะแตกต่างไปบ้าง  แต่เขาก็คือเขา

“แล้วปีก...”

“เป็นของที่มีติดตัวมาตั้งแต่ถือกำเนิดแล้วขอรับ  จริงๆ  ก็ไม่ค่อยชินกับสภาพนี้เหมือนกัน”  ผู้วิเศษตอบขึ้นทันทีหลังจากข้ามีท่าทีสงสัยเรื่องปีก

“จริงสิ...”  ในที่สุดข้าก็นึกออก  เพราะเห็นปีกของเขา  ความสงบเงียบและพลังด้านบวกมากมาย  สถานที่แห่งนี้คงเป็นที่อื่นไม่ได้  “ที่นี่คือสวรรค์อย่างนั้นหรือ”

“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”  เขาตอบด้วยรอยยิ้ม  ก่อนจะบอกในสิ่งที่ข้าสงสัยมาโดยตลอด  “และท่านเองก็คงสงสัยว่าทำไมตัวท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

ข้าไม่ได้พูดอะไร  ทั้งที่ใจจริงคิดว่าตัวเองตายแล้ว

ระหว่างที่ข้ากำลังจ้องเขาอยู่นั้น  จู่ๆ  ผู้วิเศษก็สบตาด้วยแล้วยื่นมือมาสัมผัสแก้มก่อนจะบีบไว้และดึงออก  ความเจ็บแปลบทำให้ข้าสะดุ้งเฮือกแล้วร้องออกมา

“โอ๊ย!!”

ผู้วิเศษที่ยังคงไม่ปล่อยมือจากข้ายกยิ้มน่ากลัวขึ้นก่อนจะพึมพำพลางถอนหายใจ  “ข้าอุตส่าห์บอกว่าไม่ให้ใช้  ไม่ให้ใช้  แต่ท่านก็ยังฝืนใช้มหาเวทอีก  คิดว่าตัวเองเก่งมาจากไหนกันเชียว”

“เจ็บ!”  ข้าร้องเสียงหลงเมื่อถูกเขาหยิก  อีกฝ่ายทำจนสาแก่ใจแล้วก็ปล่อยมือทำให้ข้ามีโอกาสแก้ตัว  “ก็จะให้ข้าทำอย่างไรเล่า  ลูซัสคิดจะใช้มหาเวททำลายทุกอย่าง  ถ้าไม่ใช้มหาเวทกลับก็ไม่มีทางอื่นสู้ได้แล้ว”

“ท่านนี่เป็นผู้เสียสละซะจริงๆ”  ผู้วิเศษยังคงพึมพำขึ้นพลางถอนหายใจ  “ทำทุกอย่างเพื่อช่วยพวกคนที่ตนรัก”

“มันก็แน่นอนอยู่แล้วนี่”  ข้าตอบอย่างมั่นใจ  “ข้าไม่ยอมให้คนที่รักต้องตายหรอกนะ”

“แล้วไม่คิดหรือขอรับว่าพวกเขาก็ไม่อยากให้ท่านตาย”  คำพูดของผู้วิเศษทำให้ข้าพูดไม่ออก  ในอกรู้สึกเจ็บขึ้นมา

ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของคนอื่น  แต่ก็รับรู้ได้  ไม่มีใครอยากให้คนที่รักจากไปทั้งนั้น  เพราะคิดเช่นนั้นข้าจึงตัดสินใจเสียสละตนเองแบบนี้

ทั้งที่คิดว่าเตรียมใจมาดีแล้ว...แต่กลับรู้สึกเป็นทุกข์

ทั้งที่คิดว่าได้ล่ำลาแล้วก็คงไม่ต้องห่วงอะไร...แต่บัดนี้ข้ากลับพะวงขึ้นมา  ไหนจะครีออนที่ยังเด็กในการปกครอง  ความสัมพันธ์ของผู้ติดตามคนอื่นๆ  สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือโซแวนจะเป็นอย่างไร

“ทำไมจะไม่คิดล่ะ”  ข้ากัดฟันถามกลับไป  ความอึดอัดที่อยู่ในอกค่อยๆ  ขับตัวขึ้นมาจนรู้สึกว่าการจะเอ่ยออกมาแต่ละคำเป็นเรื่องยากลำบาก  ต้องพูดเช่นไรถึงจะห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมากัน  “ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่อยากให้ข้าตาย  แต่ในตอนนั้น...ตอนนั้นไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้วนี่  ทุกอย่างบีบคั้นให้ข้าต้องทำ  เจ้าเองก็ผลักดันข้าให้ทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ”

ข้าสูดลมหายใจเฮือก  นึกตำหนิตัวเองที่สุดท้ายแล้วก็โทษอีกฝ่าย  ผู้วิเศษเองก็ไม่ได้แก้ต่าง  เขาหลับตาลงคล้ายยอมรับก่อนจะพึมพำออกมา

“ก็จริง  พอข้าไม่อยู่แล้วท่านก็ขาดคนชี้แนะดีๆ  ไป  หลายๆ  อย่างก็ผิดพลาดจากที่คาดการณ์ไว้ด้วย”

“แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยไม่ใช่หรือ”  ข้าถามขึ้นเมื่อเขาพูดจบ  ลูซัสถูกกำจัดไปแล้ว  โลกกลับมาสงบสุข  ทุกอย่างก็น่าจะจบลงด้วยดี  “ทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้วใช่ไหม”

“ตำนานของประตูอสูรปิดฉากลงแล้ว”  คำพูดของผู้วิเศษทำให้ข้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ค่อยยังชั่ว”

“จะโล่งใจตอนนี้หรือขอรับ”  แต่ผู้วิเศษกลับขัดขึ้นทำให้ข้าประหลาดใจ  เขายันตัวลุกขึ้นและโน้มหน้าเข้ามาใกล้และบอกบางอย่าง  “ถึงแม้สงครามจะจบลง  แต่ยังมีคนที่ระทมทุกข์เพราะการเศร้ารออยู่  ท่านยอมรับได้หรือขอรับ”

“เจ้าหมายความว่ายังไง”  ข้าขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาบอก  แต่พอคาดเดาได้ว่าวีรบุรุษที่พูดนั้นคงหมายถึงพวกโซแวน  พอได้ยินคำว่าไม่ได้รับความสุขความกังวลก็เกิดขึ้นในอกข้าทันที

“มีคนที่รอท่านตื่นอยู่”  คำพูดของเขาทำให้ข้าชะงัก

“มันจะเป็นไปได้ยังไง  พวกเขาจะรอไปทำไม  ก็ข้า...”  ข้าเลือกที่จะกลืนคำสุดท้ายลงไป  ผู้วิเศษมีสายตาเศณ้าหมองลง  ก่อนจะย้ำเตือนให้ข้าตระหนัก

“เพราะเป็นท่านไงเล่า  พวกเขาถึงรอ  แม้จะไม่รู้ว่าท่านจะตื่นขึ้นอีกไหมแต่ก็จะรอต่อไป”  ผู้วิเศษเน้นย้ำคล้ายจะให้ข้านึกออก  “อีกอย่างกับคนที่ท่านรัก  ท่านก็สัญญาว่าจะกลับไปมิใช่หรือ”

คำพูดของเขาทำให้ความทรงจำที่ถูกปิดไว้แตกออก  ข้าจึงจำเรื่องราวหลังจากต่อสู้กับลูซัสจนชนะได้แล้ว  โซแวนเข้ามารับข้าเหมือนที่สัญญาไว้  แต่ร่างกายตอนนั้นทั้งทรมานจนคิดว่าต้องตายเป็นแน่

แต่ข้ากลับให้สัญญาไว้กับเขา

สัญญาที่คงไม่มีวันเป็นจริง...

เมื่อนึกถึงคนที่เฝ้ารออยู่ก็อดทำให้ข้ารู้สึกเจ็บแปลบไม่ได้  หัวตาร้อนผ่าวจนไม่อาจกลั้นน้ำได้อีกต่อไป  ข้าข่มเสียงสะอื้นที่ตีขึ้นมาขณะยกมือขึ้นปิดใบหน้า

“ข้า...ข้าไม่อยากทิ้งพวกเขา  อยากเจอ...แม้อีกสักครั้ง  อยากเจอโซแวน”  ข้าพร่ำพรรณนาความปรารถนาที่อยู่ในใจ  หากรู้ว่าจะไม่มีโอกาสได้เจออีกแล้วคราวนั้นคงไม่ยอมหลับง่ายๆ

“ฝ่าบาท  ไม่สิ  ทีอารีน  เงยหน้าขึ้นเถอะ”  มือที่อบอุ่นของผู้วิเศษช้อนคางของข้าให้เงยหน้าขึ้น  เขากำลังยิ้มอย่างพอใจอยู่  “อย่าได้ร้องไห้เลย  ในที่แห่งนี้  ไม่ว่าท่านปรารถนาสิ่งใดก็จะได้รับ”

ข้าที่ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ร้องไห้จนดูน่าสมเพช  ขณะนั้นเองที่เขาพูดขึ้นต่อ  “เอ่ยความปรารถนาของท่านมาเถิด  ฝ่าบาท”

สิ่งเดียวที่ปรารถนาอยู่ในตอนนี้

“ข้าอยาก...อยากกลับไป  อยากพบทุกคนอีกครั้ง”  ข้าเอ่ยขึ้นน้ำเสียงปนสะอื้น  อยากคุยกับเขาตรงๆ  ทว่าน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหมดแม้จะยกมือขึ้นปาดเท่าไร  “ข้า...อึก  ข้าไม่อยากทอดทิ้งโซแวน  ไม่อยากทอดทิ้งพวกเขา”

“เช่นนั้นก็กลับเถิด”  ผู้วิเศษเอ่ยขึ้นทำให้ข้าสวนกลับไปอย่างคนหมดหวัง

“จะให้ข้ากลับไปยังไงล่ะ  ก็ข้า...ตายแล้วนี่”

ผู้วิเศษคล้ายจะส่งเสียงประหลาดในลำคอขณะแสดงสีหน้าสับสนสุดขีด  เขาส่ายหน้ารัวๆ  เป็นคำตอบก่อนที่จะถามกลับ  “อะไรทำให้ท่านคิดเช่นนั้นกัน”

คำถามของเขาทำให้ข้าเองก็ชะงักไปด้วย  น้ำตาที่ไหลออกมาหยุดโดยพลันทำให้ข้ามีสติคิดและอธิบายให้เขาฟัง

“ก็เจ้าเป็นเทวดา  แล้วที่นี่คือสวรรค์  คนที่ขึ้นสวรรค์ได้ก็มีแต่คนตาย...ไม่ใช่หรือ”  ผู้วิเศษนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ก่อนที่เขาจะหลุดยิ้มขันให้ข้า

“ไม่ใช่เสียทีเดียว  มีแต่วิญญาณและเทพเท่านั้นที่ขึ้นมาได้  หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ  ในสถานการณ์นี้ก็คือท่านยังไม่ตาย”

ข้าเบิกตากว้างอย่างห้ามไม่อยู่  ร่างเด้งขึ้นจากเก้าอี้ทันทีขณะถามย้ำ  “จริงหรือ?”

“ข้าโกหกไม่ได้  ท่านน่าจะรู้”  เขาแย้มยิ้มให้ทำให้ข้ารู้สึกเข่าอ่อนขึ้นมา  เป็นความโล่งใจและยินดีอย่างเหลือล้น  ผู้วิเศษหัวเราะขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาพยุงข้า

“แล้วทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”  ข้าถามขึ้นด้วยความสงสัย  เขาก็ไม่ลังเลที่จะตอบทันที

“เพราะฝืนใช้มหาเวท  ท่านเลยอยู่ในสภาวะกึ่งมรณา  ร่างกายท่านเรียกได้ตายไปแล้ว  ยังดีที่มีพลังอมตะจากท่านลูซิฟรานช่วยยื้อไว้  ตอนนี้เลยไม่เป็นอะไรแล้ว  แต่พลังอมตะก็หายไปด้วย  ส่วนวิญญาณนั้นเสียหายหนักยิ่งกว่า  เพื่อรักษาชีวิตท่าน  พระเจ้าเลยส่งท่านมารักษาอยู่ที่นี่  การหลับใหลอย่างยาวนานคือการปล่อยให้ดวงวิญญาณฟื้นฟูสภาพ”

ผู้วิเศษอธิบายทำให้ข้ากระจ่างแล้วยังอดพูดย้ำไม่ได้  “ข้ายังไม่ตาย”

“ใช่แล้ว  ท่านยังมีชีวิตอยู่บนโลกได้อีกเกือบร้อยปีกระมัง”  เขาบอกด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะปล่อยมือจากข้า  “เช่นนั้นก็ได้เวลาแล้ว  ข้าจะส่งท่านกลับ”

ข้าพยักหน้าให้เขา  ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นได้  ข้ายังไม่ตาย  แต่เขาไม่มีร่างเนื้อแล้ว  นั่นหมายความว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน

“ฝ่าบาท?”  น้ำเสียงของผู้วิเศษที่เปล่งออกมานั้นดูแปลกใจ  นั้นก็แน่นอนอยู่แล้ว  เขาคงตกใจที่จู่ๆ  ข้าก็กอด

“ผู้วิเศษ  ขอบคุณนะ  สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”  ข้าเอ่ยขึ้นจากใจจริงและละกอดจึงพบว่าเขากำลังยิ้มให้อยู่  ชั่วนาทีหนึ่งไม่มีใครพูดอะไรจึงเกิดความเงียบขึ้น  แต่สุดท้ายแล้วผู้วิเศษก็หันไปเตรียมรินบางอย่างใส่ถ้วยที่เขาเอามาวางตรงหน้าข้า

ผู้วิเศษยื่นแก้วใส่น้ำชามาให้ก่อนจะเอ่ยออกมา  “ฝ่าบาท  ดื่มสิ่งนี้แล้วท่านจะได้กลับไป  หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตต่อให้คุ้มค่านะขอรับ  เส้นทางต่อจากนี้จะต้องไม่มีขวากหนามแน่  ท่านได้รับผลตอบแทนที่ควรได้แล้ว  ข้าขออวยพร”

ข้ารับมันมาขณะส่งยิ้มให้เขา  ครู่หนึ่งเกิดการลังเลสักพักแต่สุดท้ายก็ดื่มไป  และพลันนึกอีกเรื่องออก

“จริงสิ  ผู้วิเศษ  ชื่อจริงๆ  ของเจ้าล่ะ?”  ข้าเอ่ยถามขึ้นหลังจากดื่มยา  เหมือนเขาก็เพิ่งจะนึกได้เลยร้องอ้อ  ชื่อไม่ใช่สิ่งที่เทพต้องปิดบังแล้วเช่นนั้นผู้วิเศษจึงยอมบอกนามพร้อมยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของข้า

ทันใดนั้นรอบข้างตัวข้าก็มีแสงประหลาดมาห่อหุ้มพร้อมความรู้สึกประหลาด  คล้ายกับตัวหดเล็กลงและร่างกายก็พลันล่องลอยออกไป

โบยบินผ่านทุ่งดอกไม้ที่บรรเลงเพลงปลอบประโลม
-------------
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>
เริ่มหัวข้อโดย: sakana04 ที่ 05-05-2018 19:04:08
บทที่  36
แด่ผู้ที่หลับใหล  (His part)
ครึ่งหลัง

โซแวนคิดว่าหลังจบสงครามอสูรแล้วตัวเองจะเกษียรตัวเองออกไปใช้ชีวิตอยู่กับทีอารีนแค่สองต่อสองในที่ที่ไกลออกไป  ไม่ต้องเจอความวุ่นวาย  ไม่ต้องมาวนเวียนอยู่กับเรื่องปวดหัว  แต่น้องติดพี่อย่างครีออนดันไม่ยอมให้พาทีอารีนไปไหน  เขาเลยพาหนีไปไม่ได้  หนำซ้ำยังเจอปีศาจร้ายคอยรังควาญอีก

ใช่...ปีศาจร้ายสองตนที่มาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในห้องแบบนี้

“พวกเจ้าทำไมถึงไม่คิดออกไปเล่นข้างนอกบ้าง”  ในที่สุดโซแวนก็ทนเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากไม่ไหวเลยถามขึ้น

เด็กแฝดสองคนมุดออกมาจากใต้เตียงมองเขาตาแป๋ว  ดูไร้เดียงสา  ทั้งที่มีส่วนคล้ายทีอารีน  แต่สัดส่วนความเป็นครีออนก็ออกมามากกว่าอยู่ดีสมกับที่เป็นพ่อลูก  แต่โซแวนก็อดสงสัยไม่ได้  ทั้งๆ  ที่คนเป็นพ่อพูดน้อยหน้าตายขนาดนั้นแท้ๆ  ทำไมลูกถึงเสียงดังเอะอะแบบนี้

“ก็เสด็จพ่อไม่ให้ออกไปเล่นนี่”  แฝดคนพี่นามคาลอสบอกกับเขาเสียงใสพร้อมคลานออกมาจากใต้เตียง  ซ้ำยังบอกด้วยรอยยิ้มต่อท้ายด้วยว่า  “อีกอย่างแค่ในปราสาทนี้ก็กว้างงงงพอแล้ว  มีอะไรให้ทำตั้งเยอะแยะ”

ถึงแม้จะเป็นคนน่ารำคาญ  แต่ครีออนก็นับว่าเป็นพ่อที่ดี  พอว่างก็จะเรียกหาลูกชายทั้งสอง  และเพราะเด็กสองคนนี้ยังไม่สามขวบดีจึงไม่ยอมให้ออกไปเล่นข้างนอกเนื่องจากกลัวจะเป็นอันตราย

“แล้วทำไมถึงชอบมาเล่นที่ห้องนี้กันจัง”  ชายหนุ่มถามต่อพลางเลิกคิ้ว

“ก็มาเล่นกับท่านลุงไง  เดี๋ยวท่านลุงเหงา”  คาลอสตอบพลางแปะมือที่ขาของเขา  สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจพร้อมมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นทำให้โซแวนอดหัวเราะเบาๆ  ไม่ได้

ถ้าบอกว่าไม่ต้องการก็คงเป็นการทำร้ายจิตใจเด็กเกินไป  แค่นี้เขาก็โดนสาวใช้นินทาว่าร้ายว่าเป็นพวกขบหัวเด็กไปแล้ว

“ให้ตายสิ  ฉันไม่เหงาหรอกน่า”  โซแวนเอ่ยพลางยกยิ้มแล้วเลื่อนมือไปกุมมือของทีอารีนที่นอนหลับอยู่บนเตียงไว้  “มีเขาอยู่ด้วยทั้งเขา”

“นี่  ท่านโซแวน  เมื่อไรเสด็จลุงจะตื่นหรือ”  ทาลอส  แฝดคนน้องเอ่ยถามขึ้นพร้อมขยับเข้ามาใกล้  เด็กคนนี้พูดน้อยกว่าคนเป็นพี่  ออกจะขี้อายด้วยซ้ำเขาเลยรู้สึกเอ็นดูว่าคาลอสจอมโวยวาย

“นั่นสินะ”  ชายหนุ่มพึมพำขึ้นเสียงเบาก่อนจะย้อนถามตัวเอง  “จะตื่นขึ้นมาเมื่อไรกันนะ...ทีอารีน”

“นี่ๆ  ลุงโซแวน  ไปหาอะไรมาให้กินหน่อยสิ”  คาลอสกระตุกขากางเกงโซแวนและเอ่ยสิ่งที่ต้องการ  เสียงท้องร้องโครกครากเป็นตัวกดดันอย่างดีจนทำให้ชายหนุ่มคิ้วกระตุก

“เฮ้อ  เจ้านี่นะ  กินเก่งแบบนี้ระวังอ้วนฉุเป็นหมูเถอะ”  โซแวนพร่ำบ่นอย่างลำบากใจ  สาวใช้เพิ่งนำของว่างมาให้เด็กแฝดเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนไม่ทันไรก็หิวอีก  นับวันเด็กนี่กินจุขึ้นทุกที  แต่ถึงจะบ่นไปเช่นนั้นเขาก็คว้าคาลอสขึ้นมาอุ้มแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้

ขืนทำเมินเดี๋ยวเด็กปีศาจนี่จะวิ่งไปฟ้องผู้เป็นบิดา  แล้วเจ้านั่นจะตามมาใช้อำนาจในทางมิชอบกับเขาอีก

“ทาลอส  ไปด้วยกันไหม”  โซแวนหันไปถามเด็กที่นั่งเงียบๆ  อยู่ข้างเตียง  ทาลอสส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนจะเล่นของเล่นต่อ

“งั้นเดี๋ยวจะเอาขนมมาฝากนะ”  ชายหนุ่มทิ้งท้ายไว้ก่อนจะออกไปนอกห้องพร้อมกับคาลอสด้วยความเร่งรีบ  ปกติแล้วโซแวนไม่เคยออกจากห้องไปไหนนานเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับทีอารีนตอนที่ตนไม่อยู่

“อ๊ะ  ผีเสื้อ”  คาลอสที่ถูกอุ้มกระเตงมาชี้นิ้วป้อมๆ  ไปยังทางเดินตรงหน้า  ผีเสื้อสีดำตัวหนึ่งบินมาทางพวกเขาอย่างไม่กลัวคน  ทีแรกโซแวนไม่คิดอะไรแต่เมื่อมันผ่านตัวไปกลับรู้สึกแปลกๆ

ความรู้สึกคุ้นเคยคล้ายกับทีอารีน...

ชายหนุ่มกังวลใจอย่างประหลาดเลยมุ่งตรงไปยังห้องครัวแล้วหอบหิ้วขนมและของว่างมาพร้อมคาลอส  สั่งให้สาวใช้เตรียมน้ำชาตามไปก่อนที่ตนจะกลับห้องอย่างเร่งรีบ

ขณะใกล้ถึงห้องนั้นเขาพลันได้ยินเสียงร้องของทาลอสดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มรีบวิ่งไปดูทันที

“ทาลอส  เกิดอะไรขึ้น!”  เขาตะโกนถามด้วยความเป็นห่วง  เด็กคนนั้นล้มก้นจ้ำบ้ำอยู่บนพื้นหันหน้ามามองเขาแวบหนึ่งแล้วกลับไปมองที่เตียง

เมื่อโซแวนมองตามไปก็ต้องเบิกตากว้าง   คล้ายกับมือไม้อ่อนปวกเปียกไปชั่วขณะ  เขาเผลอปล่อยให้คาลอสลงไปยืนที่พื้นแล้วนิ่งอึ้งอยู่เช่นนั้น

บนเตียงนั้นร่างของทีอารีนกำลังลุกขึ้นนั่งอยู่  หลังจากลดมือที่ยกขึ้นกุมศีรษะลงแล้วก็มองไปรอบๆ  ก่อนจะหันมาสบตากับเขา

 “ที...อา...รีน”  โซแวนเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า  คล้ายกับไม่อยากจะเชื่อ  ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งลงบนเตียงก่อนจะหยิกแก้มตัวเองตรวจสอบดูว่าไม่ได้ฝันไป

“โซแวน...”  ทีอารีนเอ่ยเรียกชื่อของเขาเสียงแหบขณะขยับตัวจะลุกจากเตียง  ภาพของคนตรงหน้าชัดเจนดังนั้นจึงไม่น่าใช่ภาพฝัน  โซแวนถึงกับยิ้มกว้างทันทีแล้วเข้าไปประคองกอดอีกฝ่ายไว้อย่างแนบแน่น

“เจ้า...เจ้าตื่นแล้ว”  ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจ  หัวตารู้สึกร้อนผ่าวทั้งๆ  ที่เริ่มมีน้ำรื้นออกมา  “ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”

ทีอารีนที่ได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่นตั้งแต่ตื่นขึ้นมาทำให้รู้สึกดีจนยิ้มออกมาได้  เขากอดตอบอีกฝ่ายอย่างโหยหาเช่นเดียวกัน  “ข้ากลับมาแล้ว”

“เสด็จลุงตื่นแล้ว”  คาลอสเอ่ยแทรกขึ้นทำให้ทั้งสองคนรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง  แม้จะเสียดายแต่โซแวนก็ละกอดอีกฝ่ายก่อนจะถามว่า  “ดื่มน้ำก่อนไหม  เจ้านอนหลับไปนานมากคงไม่ค่อยมีแรงเท่าไร”

“อืม”  ทีอารีนพยักหน้ารับทำให้ชายหนุ่มรีบผละไปเตรียมน้ำดื่มทันทีแล้วนำมาให้อย่างรวดเร็วด้วยการป้อนเองกับมือ

“ค่อยๆ  จิบ”

ชายหนุ่มที่ถูกจับป้อนน้ำดันมือของอีกฝ่ายออกเมื่อพอใจแล้วก่อนจะถามว่า  “ข้าหลับไปนานกี่ปี”

โซแวนนิ่งคิดไปสักพักก่อนจะตอบว่า  “สิบปีกว่าๆ  เห็นจะได้”

นั่นทำให้ทีอารีนเบิกตากว้างแล้วพึมพำขึ้นว่า  “นานขนาดนั้นเชียว  ข้าคิดว่าหลับไปแปบเดียวเองนะ”

“อืม  หลับนานจนมีอะไรๆ  หลายอย่างเกิดขึ้นน่ะนะ”  โซแวนตอบ  ทีอารีนที่ยังตะลึงไม่หายเหลือบมองไปที่เด็กแฝดทั้งสองคนที่เกาะเตียงอยู่ก่อนจะถามด้วยความไม่แน่ใจ

“โซแวน  เด็กสองคนนี้คือ...?”

“ลูกชายครีออน”  โซแวนตอบสั้นๆ  แต่ทำให้ทีอารีนตกตะลึงได้  “หะ?  ลูกชาย!?  ของครีออน...เขามีลูกแล้ว?”

“ใจเย็นๆ  ก่อน”  ชายหนุ่มปลอบอีกฝ่ายที่มีสีหน้าคล้ายจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอด

“ข้าพลาดอะไรไปหลายๆ  อย่างเลยสินะ”  ทีอารีนพึมพำขึ้นก่อนจะขยับตัวเปลี่ยนเป็นนั่งกับเตียง  เขายิ้มอ่อนโยนขึ้นก่อนจะทักทายเด็กทั้งสองว่า  “สวัสดี  พวกเจ้าชื่ออะไรกันหรือ?”

“ข้าชื่อคาลอส”

“ส่วนข้าทาลอส”  เด็กน้อยทั้งสองคนแนะนำตัวเองกับทีอารีนพร้อมกับเข้ามาเกาะขาทั้งสองข้างไว้  ก่อนที่จะผละตัวไปเมื่อคนรับใช้นำขนมมาให้  สาวใช้ออกอาการตกตะลึงทันทีที่เห็นเขาตื่นขึ้นมา

“ไปเรียนให้องค์ราชาทราบหน่อย”  โซแวนเอ่ยคำสั่งขึ้นเธอรีบพยักหน้ารับก่อนที่จะออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนทีอารีนนั้นเมื่อปรับร่างกายได้แล้วหลังจากที่นอนนานจนมึนหัวก็ลุกขึ้นมา  พอเห็นเขาเซโซแวนก็รีบมาประคองโดยทันที  องค์ชายที่เพิ่งตื่นมาหันไปมองยังกระจกเพื่อตรวจดูร่างกายของตนเอง

ไม่เปลี่ยนไปเลย...

ทีอารีนขมวดคิ้วยุ่งขณะจ่อหน้ากับกระจกจนแทบจะแนบชิด  เขาไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย  ทั้งที่โซแวนยังดูมีอายุมากกว่าเดิม  อย่างเขาก็คาดหวังให้สูงขึ้นบ้าง  แต่นี่เหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“ข้าเปลี่ยนอะไรตรงไหนไหม  นี่  โซแวน  ข้าเปลี่ยนไปบ้างใช่ไหม”  สุดท้ายเขาก็หันไปขอความเห็นจากชายคนที่อยู่ข้างๆ  โซแวนยกยิ้มขึ้นแล้วเดินเข้ามาโอบกอดเขาไว้ด้วยสองแขน

“อืม...กอดแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

“นั่นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสักหน่อย”  ทีอารีนแย้งด้วยสีหน้าหงุดหงิด  ก่อนจะเหลือบไปมองเด็กสองคนที่จ้องมาตาแป๋ว  การเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้เขาอดพึมพำไม่ได้  “ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเยอะจริงๆ  ด้วย”

“ยังมีหลายอย่างให้เจ้าตกใจ”  โซแวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างที่ไม่ได้ทำมานานหลายปี  ความสุขที่ทะลักอยู่ในอกทำให้เขาไม่อยากละกอดจากอีกฝ่ายเลย

“เสด็จพี่!!”  เสียงเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกอย่างรุนแรง  ร่างสูงของครีออนก้าวเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าตื่นตกใจ

“ครีออน”  เมื่อเห็นน้องชายของตัวเองแล้วทีอารีนก็ถึงกลับยิ้มออกมาด้วยความดีใจแล้วผละจากโซแวนไปหาอีกฝ่าย  ครีออนเองก็พุ่งมาสวมกอดเขาไว้ทันทีพร้อมๆ  น้ำตาที่ไหลออกมาไม่อาจกลั้นไว้ได้

“ท่านตื่นแล้ว...ฮึก  ในที่สุดท่านก็ปลอดภัย”  ทีอารีนถูกสวมกอดไว้แน่น  เนิ่นนานกว่าที่ครีออนจะหยุดร้องแล้วถามด้วยความเป็นห่วง  “เสด็จพี่ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม  มีเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่าขอรับ”

“ไม่เป็นอะไร  ข้าสบายดีแล้ว”  เขาตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะถามกลับหลังจากมองไปรอบห้อง  “แล้วคนอื่นๆ  ล่ะ”

“เดี๋ยวทราบข่าวก็คงมากัน”  โซแวนเอ่ยขึ้นขณะร่ายเวทบางอย่าง  ภูติหยดน้ำสี่ตนเกิดขึ้นที่ฝ่ามือของเขาก่อนที่จะกระจายกันออกไป

“ถ้าองค์ชายฟื้นแบบนี้แล้ว  เราก็ต้องฉลองกันใช่ไหมขอรับ”  อาคีรัสเสนอขึ้นส่วนคนเห็นดีเห็นงามด้วยก็คือครีออน  เมื่อแน่ใจแล้วว่าเสด็จพี่ของตนร่วมงานได้ก็สั่งให้คนรับใช้เตรียมการทันที

ระหว่างนั้นทีอารีนพลันสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

“พวกเขาดูสนิทกันขึ้นนะ”  เขาพูดขึ้นลอยๆ  ขณะมองไปที่ครีออนกับอาคีรัสที่ยืนคุยกัน  ต่างคนต่างก็อุ้มองค์ชายตัวน้อยไว้

“อา  เจ้าไม่รู้สินะว่าตอนนี้พวกเขาคบกันอยู่”  โซแวนเฉลยขึ้นทำให้ทีอารีนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“โกหกน่า”

“ไม่ได้โกหก  เรื่องจริงต่างหาก”  อีกฝ่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  ก่อนที่จะบอกย้ำว่า  “ข้าบอกแล้วว่ามีเรื่องให้เจ้าได้แปลกใจเยอะแยะ”

ทีอารีนฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลย  เขาต้องทำใจไว้ขนาดไหนนะ  จริงๆ  แค่เรื่องครีออนมีลูกแล้วกับคบกับอาคีรัสอยู่ก็น่าตะลึงพอสมควรแล้ว  ไม่รวมกับที่เขาสังเกตได้ว่าตอนนี้น้องชายสูงนำหน้าไปไกลแล้วจนชวนให้รู้สึกช็อกขึ้นมา

หลังจากที่โซแวนแจ้งข่าวไปไม่เท่าไร  เร็นกับคาร์ริต้าก็มาถึงปราสาทในที่สุด  และทีอารีนก็ได้ทราบข่าวใหญ่อย่างที่สาม  เงือกสาวกำลังตั้งท้องอ่อนๆ  ทำให้อดแสดงความยินดีออกมาไม่ได้

ส่วนนอร์ธวินด์และวารันมาถึงในช่วงเย็นเพราะต้องจัดการปัญหาหลายๆ  อย่าง  อินคิวบัสหนุ่มไม่วายพุ่งเข้ามากอดทีอารีนด้วยความคิดถึง  แม้สุดท้ายทั้งสองคนจะโดนคนรักของกันและกันแยกก็ตามที

งานเลี้ยงในคืนนี้นั้นเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดีของทุกคน  อดีตราชาผู้กอบกู้โลกนี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว  เหล่าผู้ที่รอคอยจึงสามารถยิ้มได้อย่างเต็มที่

ทีอารีนก็มีความสุขกับงานนี้เช่นกัน  บรรยากาศที่ไม่ได้สัมผัสมานาน  รอยยิ้มของทุกคนหลังจากโลกสงบสุขแล้ว  การได้กลับมาอยู่กับทุกคนทำให้หัวใจของเขาเบิกบานขึ้น

ความสุขมากมายล้นปรี่ออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาที่จู่ๆ  ก็ไหลออกมาขณะที่ยังยิ้มกว้าง

เขาร้องไห้ราวกับเด็กท่ามกลางอ้อมกอดและคำปลอบโยนจากทุกคน

งานเลี้ยงดำเนินไปจนดึกดื่น  เมื่อเหล่าผู้ที่ดื่มเหล้าไปเริ่มไม่ไหวก็แยกย้ายกันไปนอน  ทีอารีนกลับมาที่ห้องพร้อมกับโซแวน  อีกฝ่ายดื่มไปพอสมควรพอมาถึงเตียงนอนก็ล้มแปะลงทันที

“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”  โซแวนเอ่ยถามขึ้นขณะตัวเองเปลี่ยนมานอนตะแคงจ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น

“สนุกดี  เห็นทุกคนมีความสุขแบบนั้นข้าก็ดีใจ”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม  “เห็นโลกใบนี้กลับมาสงบสุขข้าก็ดีใจแล้ว”

“ดีแล้วสินะ...”  อีกฝ่ายพึมพำขึ้นน้ำเสียงงัวเงียทำให้ทีอารีนร้องห้ามไว้

“นี่  อาบน้ำก่อนสิ”  เขาเตือนขึ้นขณะที่อีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นคำตอบจนต้องถอนหายใจ  ยังไม่ทันที่เขาจะได้ว่าอะไรต่อ  ทีอารีนก็ถูกดึงให้ล้มลงไปนอนด้วย

เมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนกว้างก็ยากที่จะขัดขืน  เลยได้แต่ร้องประท้วงไป  “นี่  ข้าตกใจหมด”

"เหนื่อยหรือเปล่า?"  โซแวนถามขึ้นขณะที่กอดเขาไว้  "เจ้าเพิ่งตื่นมา  ร่างกายไม่เป็นอะไรหรือ"

"ข้าไหวน่า"  ทีอารีนตอบกลับเสียงเรียบ  "ก็ใช่ว่าข้าจะเดินเหินเสียที่ไหน"

เพราะร่างกายทีอารีนยังกลับมาไม่เต็มร้อยเท่าไร  ในงานเลี้ยงเขาจึงนั่งเฉยๆ  มองดูทุกคนสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน  และตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีพลังฟื้นฟูร่างกายอีกแล้ว

"แต่ถ้าทำก็จะไม่ไหวใช่ไหมล่ะ"  โซแวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับเลื่อนมือลงไปและสอดใต้กางเกงของเขาทำให้ทีอารีนสะดุ้งเฮือก 

"ก็ใช่"

ถึงจะน่าอายแต่ทีอารีนก็ตอบกลับไป  อีกฝ่ายเลยถอนหายใจอย่างเสียดายแล้วพึมพำขึ้นว่า  "งั้นข้าจะรอให้เจ้าพร้อม"

"พร้อมแล้วจะทำอะไร?"  ทีอารีนเอ่ยถามขึ้นจากคำพูดคลุมเครือของอีกฝ่าย  แต่โซแวนเพียงยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วขบกัดที่หัวไหล่ซึ่งเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเบาๆ

“ก็น่าจะรู้นี่”

เมื่อถูกส่งยิ้มแฝงเลศนัยมาให้  ทีอารีนก็หน้าแดงขึ้นทันที  ขณะที่อีกฝ่ายยันตัวลุกขึ้นแล้วพึมพำอย่างเอาอกเอาใจ  “พอได้กลิ่นเจ้าแล้วก็รู้สึกหายเมาแล้ว  สมกับเป็นเจ้าจริงๆ”

“ข้าไม่ใช่เครื่องหอมหรือยาอะไรสักหน่อย”  ชายหนุ่มย้อนกลับไปด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะสะดุ้งเพราะถูกอีกฝ่ายซ้อนตัวขึ้นอุ้ม

“ง่วงหรือยัง”  โซแวนถามขึ้นทำให้ทีอารีนขมวดคิ้วงุนงง  เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบทำให้ชายหนุ่มยกยิ้มขึ้นแล้วอุ้มออกไปที่หน้าต่าง  “หนีเที่ยวกันเถอะ”

“หา?”  ทีอารีนหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความงุนงง  แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรออกไปอีกฝ่ายก็พาเขากระโดดออกมาจากทางหน้าต่าง  มุ่งไปยังป่าต้องห้าม

“นี่  จะไปไหนน่ะ”  ทีอารีนถามขึ้นขณะกอดคอโซแวนไว้แน่น  อีกฝ่ายไม่ตอบจนกระทั่งมาถึงที่หมาย  เมื่อเขามองไปรอบๆ  ก็พลันนึกขึ้นได้

“ที่นี่...”  ทีอารีนค่อนข้างจะจำได้ดี  แม้จะมีดอกไม้ขึ้นแทรกบ้าง  แต่ก็ไม่ผิดแน่  เป็นทุ่งหญ้าที่โซแวนเคยพาเขามา  อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ก่อนจะพาเขาเดินลงไปในทุ่งนั้น

ฝูงแมลงเรืองแสงออกจากที่หลบซ่อนบินว่อนรอบตัวพวกเขา  ทีอารีนถูกดึงเข้าไปใกล้ก่อนที่โซแวนจะกอดเขาไว้อีกครั้ง

“ข้ารอเจ้ามาตลอดเลยนะ  รู้ไหม”

“ข้ารู้แล้ว”  ทีอารีนฉีกยิ้มตอบ  อีกฝ่ายยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะบอกสาเหตุที่พาเขามาที่นี่

“เมื่อก่อนเวลาข้าต้องการความสงบก็มักมาที่นี่  มันทำให้รู้สึกดีขึ้น”  โซแวนบอกพร้อมกับซุกหน้าลงบนไหล่เขา  “อยากให้เจ้าเห็น...มากกว่านี้  โลกที่สงบสุขเพราะเจ้า”

“อื้ม  หลังจากนี้ก็พาไปทีนะ  ที่ที่เจ้าอยากไป”  ทีอารีนอดยิ้มออกมาไม่ได้  ราวกับว่าไม่ได้เห็นอีกฝ่ายยิ้มสดใสแบบนี้มานานแล้ว

โซแวนพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนที่จะเงยขึ้นมาถามเขาต่อ  “จริงสิ”

“อะไรหรือ”

“ก่อนที่เจ้าจะหลับไป  มีเรื่องที่ยังไม่ได้พูดกับข้าใช่ไหม”

ทีอารีนนึกขึ้นได้ทันทีว่าก่อนที่จะหลับไปนั้นเขาพยายามเอ่ยบางอย่างกับอีกฝ่ายแต่โซแวนห้ามไว้  แล้วบอกให้มาพูดหลังจากที่ตื่นขึ้นมาแล้ว

ซึ่งก็คือเวลาแบบนี้

“เจ้าจะบอกอะไรข้า”  อีกฝ่ายถามย้ำอย่างตั้งหน้าตั้งตารอ  เด็กหนุ่มอดจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่ได้

ไม่ใช่ว่าเขาจะลืม  ทีอารีนรู้ดีว่าตอนนั้นอยากเอ่ยอะไรกับอีกฝ่าย

เมื่อก่อนตอนที่ความสัมพันธ์ยังไม่แน่นอน  เขาอยากจะบอกไปเพื่อให้มันกระจ่างชัด  เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้  สิ่งที่ได้ฝังลึกลงในจิตใจของเขาไปแล้ว

“นั่นสินะ”  เขาจงใจลากเสียงไว้แล้วกระแทกใส่ด้วยรอยยิ้ม  “ตอนนี้มันจำเป็นจะต้องบอกด้วยหรือ”

“หา?”  โซแวนเป็นฝ่ายขมวดคิ้วไม่เข้าใจทำให้ทีอารีนหลุดหัวเราะออกมา  เขาคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายที่ห่างออกไปแล้วโน้มเข้ามาใกล้

สิ่งที่เขาอยากบอกโซแวนเมื่อตอนนั้น...ตอนนี้มันไม่จำเป็นแล้ว  เพราะพวกเขาต่างรับรู้ได้ด้วยตัวเอง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา...การที่ยังคอยอยู่  ความปรารถนาที่จะกลับมาพบ  นั่นคือคำตอบที่เด่นชัดอยู่แล้ว

รัก...รักจนไม่อยากแยกจากไปไหนอีกแล้ว

“แต่มีที่อยากบอกเจ้าอยู่”  ทีอารีนเอ่ยขึ้นทำให้อีกฝ่ายหันมาตั้งหน้าตั้งตาฟัง

“เจ้าน่ะ...เป็นของข้าได้เพียงคนเดียวนะ”  ชายหนุ่มกระซิบบอกกับอีกฝ่ายก่อนจะมอบจุมพิตที่ห่างหายไปนานให้แก่อีกฝ่าย โซแวนตอบรับเป็นอย่างดี

ทีอารีนโอบกอดอีกฝ่ายไว้คล้ายกลัวจะหนีไปไหน  แต่ในขณะเดียวกันตัวเขาเองก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย

ตัวเขาไม่ต้องทนทุกข์อะไรอีกแล้ว  และได้มีชีวิตปกติสุขเสียที

พ้นจากพันธนาการอันแสนทรมาน  ต่อจากนี้เขาจะได้พบกับความสุขตามคำอวยพรของพระเจ้าเพื่อตอบแทนการเสียสละของอดีตราชาผู้กล้าหาญ

ตำนานนี้จึงได้ปิดฉากลง...
--------------
END
สวัสดีค่า ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบแล้วค่า  :sad4: ดีใจค่า ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมาค่ะ สำหรับเรื่องนี้ตอนนี้เรามีเปิดพรีอยู่ค่ะ สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ Sakana04 ในการพรีก็จะได้รับตอนพิเศษเพิ่มด้วย (เกี่ยวกับเรื่องในอดีตและอนาคตของเหล่าตัวละครหลัก)
ขอบพระคุณที่ให้ความสนใจต่อเรื่องนี้ค่า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>
เริ่มหัวข้อโดย: arjinn ที่ 05-05-2018 20:48:46
จบแล้ว สนุกมาก
แล้วเขาก็กลับมาเจอกัน แน่นอนอยู่แล้ว
แต่อดรู้เลยค่ะว่า ผู้วิเศษมีนามว่าอะไร

ขอบคุณคนเขียนมากๆ
จะรอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 17-04-2020 00:24:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ฮาเร็มอะไรนั่นน่ะ ไม่อยากมีนักหรอก <update:บทที่ 35+36(End)>
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 15-03-2024 18:54:29
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)