-
ฺข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
:pig2: Black Heart : หัวใจสีดำ :pig2:
แนะนำ หัวใจสีดำ Black Heart
อนาคิน กิจสุนทรวิริยะกุล
ทายาทคนโตจากพี่น้องหกคน อายุ 30ปี เขาผ่านการแต่งงานมาแล้วกับ นิรมล หญิงสาวผู้โชคดีที่สุดและน่าอิจฉาที่สุดสำหรับผู้หญิงทั้งประเทศ แต่ในความโชคดีกลับเป็นโชคร้ายเพราะเธอต้องมาเสียชีวิตไปเพราะโรคมะเร็ง อนาคินเสียใจมากและนับจากนั้นมาเกือบห้าปีแล้วที่เขาปล่อยตัวเองให้อยู่กับความรักที่ไม่มีทางจะกลับมาอีก เขาปล่อยให้หัวใจของเขาเป็นสีดำตลอดมา จนทุกคนคิดว่าไม่มีใครที่จะมาทำให้หัวใจสีดำของอนาคินกลายเป็นสีอื่นได้ แล้วใครหล่ะที่จะมาทำให้หัวใจของอนาคินเป็นสีอื่นได้?
นิลฬกาล
ชายหนุ่มที่แสนอาภัพ พี่น้องฝาแฝดของนิรมลเขาไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วพี่เขยของเขาเป็นคนแบบไหน เพียงแค่เห็นรูปถ่ายหัวใจของนิลกาฬก็เต้นรัวแต่มิอาจจะคิดอะไรได้มากกว่านี้ เมื่อครั้งต้องมีเหตุต้องย้ายมาอยู่ร่วมช่วยคาเดียวกับพี่เขย เขายิ่งรู้สึกหวั่นไหวจนวันหนึ่งมันก็เกิดความรู้สึกที่ต้องห้าม คือเขาหลงรักพี่เขยตัวเองโดยไม่รู้ตัว แต่รู้เพียงว่าพี่เขยของเขารักพี่สาวฝาแฝดของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น และไม่อาจมีใครมาแทนที่พี่สาวของเขาได้ แม้แต่ตัวเขาเอง จึงต้องปล่อยให้หัวใจและความรู้สึกนั้นเป็นสีดำตลอดกาล หรือเขาจะทำให้หัวใจนั้นเป็นสีอื่นได้หรือไม่?
-
หัวใจสีดำ 1 : เข้าบ้าน (อนาคินxนิลกาฬ)
ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาว จมูกที่ได้รูป ริมฝีปากบางที่เม้มเข้าหากัน กำลังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าหลุมศพ ดวงตาคู่สวยที่จ้องไปยังรูปภาพหน้าหลุม ความรู้สึกที่ผ่านสู่ดวงตาคู่สวยนั้น มันรู้สึกเจ็บปวดนักที่เขาไม่ได้มาเจอพี่สาวฝาแฝดจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
“พี่นิ่ม ปีนี้นิลเอาของอร่อยมาฝากเหมือนทุกปี พี่นิ่มเป็นไงมั้งสบายดีหรือเปล่า”
นิล หรือนิลกาฬน้องชายแท้ๆของนิรมล หญิงสาวที่เคยถูกอิจฉาทั้งประเทศ เมื่อเธอได้ถูกชายหนุ่มที่เพียบพร้อมอย่าง อนาคิน กิจสุนทรวิริยะกุล บุตรชายคนโตของเจ้าสัวระดับต้นๆของประเทศ นิลกาฬกลับจากอเมริกาหลังจากบ้านที่อเมริกากำลังถูกยึด สาเหตุจากพ่อเขาติดการพนันจนบ้านต้องถูกยึดและพ่อของเขาก็มาฆ่าตัวตายเพื่อหนีหนี้
“น้านิลฮะ ฝนทำท่าจะตกแล้วเรากลับโรงแรมกันเถอะ”เสียงใสของเด็กน้อยวัยสิบหกเอ่ยขึ้น นิลกาฬยกมือโอบไหล่บางก่อนจะแนบกับอกตัวเอง
“น้าขอโทษนะ ที่ทำให้รอยด์ลำบาก”นิลกาฬเอ่ยขึ้นพร้อมโอบกอดร่างของหลานชายตัวเองไว้แน่น
“น้านิลอย่าร้องสิฮะ รอยด์ไม่ลำบากเลยสักนิด เรากลับกันเถอะฮะฝนกำลังมาแล้ว”
ร่างสองร่างกำลังทำท่าจะเดินออกจากหน้าหลุมศพแต่ก็ต้องสะดุดกับร่างสูงใหญ่ที่สวมสูทสีดำใบหน้าดูดุดันจนรอยด์นึกกลัวจนต้องเดินหลบอยู่ด้านหลังของนิลกาฬ
“นิลกาฬ...”
“คุณอนาคิน...”
ทั้งสองต่างเอ่ยเรียกชื่อกันและกัน อนาคินถึงกับนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้เจอนิลกาฬอีกครั้ง เพราะความที่นิลกาฬคือฝาแฝดของนิรมล ใบหน้าสวยได้รูปที่เขาคิดถึงตลอดเวลาชองนิรมลกลับฉายมาอยู่ตรงหน้าของเขาอีกครั้ง
“คุณอนาคินสบายดีไหมครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถามหลังจากที่อนาคินพาทั้งสองมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง สายฝนที่กำลังกระหน่ำลงมา สายตาของอนาคินมองมายังเด็กน้อยที่กำลังนั่งทานอาหารตรงหน้าก่อนจะละสายตามองไปยังนิลกาฬ
“สบายดี ว่าแต่มาเมื่อไหร่หรอ”น้ำเสียงนิ่งๆเอ่ยถาม นิลกาฬเม้มปากเข้าหากันแน่น นับตั้งแต่ที่รู้จักกันมาพี่เขยของเขาไม่เคยจะยิ้มเลยสักครั้ง ถ้าไม่ใช่กับพี่สาวฝาแฝดของเขา
“เมื่อคืนครับ”นิลกาฬเอ่ยตอบ พร้อมยกแก้วกาแฟจรดริมฝีปากเบาๆ อนาคินเผลอมองตามริมฝีปากบางนั้น
“แล้วกลับเมื่อไหร่ มีที่พักหรือยัง”อนาคินเอ่ยถาม นิลกาฬสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย
“ไม่กี่วันก็กลับแล้วครับ ขอบคุณคุณอนาคินมากนะครับเราสองคนมีที่พักแล้ว”นิลกาฬไม่อยากจะกวนอดีตพี่เขยนัก เพราะเขาและอนาคินก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกันอีกต่อไปแล้ว
“น้านิลไม่บอกไปหล่ะฮะ ว่าเรากลับมาอยู่เมืองไทยแล้วเพราะบ้านที่อเมริกาถูกยึดไปแล้ว”เสียงของคนตัวเล็กข้างๆเอ่ยขึ้น นิลกาฬรีบยกมือจับที่แขนรอยด์ทันทีเพื่อเป็นเชิงบอกว่าอย่าพูดอะไรมาก แต่อนาคินไม่ใช่คนโง่เขาพอจะรู้ความหมายของรอย์ที่พูดขึ้น
“เอ่อ...”นิลกาฬพูดไม่ออก เมื่อตอนนี้ดวงตาคม ที่แฝงไปด้วยเสน่ห์แถมความดุดันกำลังมองมาที่เขา
“รอยด์ช่วยเล่าให้อาฟังหน่อยได้ไหมว่าที่บอกว่าบ้านที่อเมริกาถูกยึดหมายถึงอะไร”น้ำเสียงดูอ่อนโยนเอ่ยถาม รอยด์หันมองนิกาฬที่ทำตาดุใส่แต่อนาคินบอกว่าไม่ต้องสนใจ
“นิล...”อนาคินเอ่ยดุคนตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ
“ให้รอยด์เล่า”นิลกาฬหลบสายตาของอนาคินทันที ก่อนจะนั่งฟังเสียงเจื้อแจ้วของรอยด์ที่เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้อนาคินฟังอย่างละเอียดแทบจะไม่มีพื้นที่วางให้นิลกาฬได้เอ่ยอะไรต่อ สองมือที่ชุ่มเหงื่อของนิลกาฬมันฟ้องว่าเขาไม่อยากให้อนาคินต้องมาช่วยเหลืออะไรอย่างน้อยทั้งสองก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
“ลำบากแล้วทำไมไม่บอก”อนาคินเอ่ยถามนิ่งๆ
“ที่จริงเราสองคนก็ไม่ได้เป็นญาติกัน ผมเกรงใจครับ”นิลกาฬเอ่ย
“แต่คุณเป็นน้องของนิรมล ภรรยาของผม”อนาคินเอ่ยตรงๆ ใครๆก็รู้ดีว่าอนาคินรักภรรยาเขามากแค่ไหน ใจเดียว รักมั่นคงไม่เปลี่ยน ขนาดว่านิรมลเสียไปเกือบห้าปีแล้วเขาก็ยอมมีใครมาแทนที่ภรรยาที่รักของเขาได้
“พี่นิ่มก็เสียไปนานแล้วนะครับ”นิลกาฬเอ่ย อนาคินจ้องไปยังใบหน้าที่ถอดแบบมาจากภรรยาสาวก่อนจะเอยขึ้น
“ถึงนิรมลจะเสียไปแล้ว แต่เขาไม่เคยหายไปจากหัวใจของฉัน ยังไงเขาก็คือภรรยาของฉัน คนเดียวของฉันเท่านั้น”อนาคินเอ่ยขึ้นด้วยความเด็ดเดี่ยว
สุดท้ายแล้วอนาคินก็เอ่ยเป็นเชิงบังคับนิลกาฬและรอยด์ไปอยู่ที่บ้านของตัวเอง ในฐานะญาติคนหนึ่ง โดยที่ยื่นข้อเสนอให้นิลกาฬช่วยเขาทำงานเพื่อตอบแทน เพราะไม่เช่นนั้นนิลกาฬเองก็ไม่ยอมรับข้อเสนอที่จะมาอยู่ด้วย
“ทุกคนมาพร้อมกันหรือยัง”น้ำเสียงที่ดูน่าเกรงขามถูกเอ่ยขึ้นเมื่ออนาคินเรียกทุกคนในบ้านมารวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่ โดยมีบริวารและน้องๆมารวมตัวกัน นิลกาฬและรอยด์นั่งตัวลิบแบนอยู่บนโซฟาข้างๆ สายตาไม่กล้ามองใครทั้งสิ้นในบ้านหลังใหญ่นี้ เพราะเขากลัวมาก กลัวว่าคนที่นี่จะไม่ตอนรับเขาเหมือนอย่างที่พี่สาวของเขาเคยบอกไว้ว่าคนที่นี่ดีกับเธอเพียงใด
“เฮีย เรียกพวกเราทุกคนมามีเรื่องอะไรหรอ”เสียงนาคินน้องชายคนที่ห้าเอ่ยถามก่อนจะหันมองเห็นสมาชิกใหม่ที่นั่งอยู่
“ถ้าไม่มีเรื่องจะไม่กลับบ้านเลยใช่ไหมเจ้าบลู”เสียงพี่ชายคนโตเอ่ยขึ้นจนคนอื่นๆที่เดินเข้ามาสมทบต่างก็จ้องมองไปยังสมาชิกใหม่ทั้งสอง
“เมื่อมากันพร้อมหมดแล้ว วันนี้เฮียมีเรื่องจะบอกทุกคนว่า...”อนาคินเอ่ยขึ้นก่อนจะปรายตามมองไปยังนิงกาฬและรอยด์ที่นั่งอยู่
“นิลกาฬและรอยด์จะมาอยู่กับเราที่นี่”อนาคินเอ่ยขึ้น ทั้งห้าพี่น้องและบริวารคนอื่นๆเองก็ยังคงสงสัยว่านิลกาฬมาอยู่ในฐานะอะไร แลเวทั้งสองเป็นใครกันเพราะงานแต่งงานของอนาคินและนิรมล นิลกาฬติดสอบครั้งยังเรียนอยู่ที่อเมริกา เขาไม่สามารถมาร่วมงานได้ทำให้ทุกคนไม่รู้จักนิลกาฬเลย
“แล้วพี่เขาเป็นใครฮะเฮีย”เสียหวานเล็กๆของน้องชายคนเล็กของบ้านเอ่ยถามพี่ชายคนโตด้วยรอยยิ้ม
“นิลกาฬเป็นน้องชายฝาแฝดของนิรมล และรอยก็เป็นลูกพี่ชายของนิรมลทั้งสองจะมาอยู่กับเรา ใครข้องใจอีกไหม”เสียงเอ่ยแสนจะเด็ดขาดเอ่ยถาม และไม่เคยที่ใครจะกล้าเถียงอนาคินได้ถ้าอนาคินได้ตัดสินใจอะไรไปแล้ว
...
..
ร่างโปร่งเดินมองรอบๆห้องนอนที่ถูกจัดไว้ทันทีที่อนาคินเอ่ยบอก ช่างดูเป็นระเบียบและใหญ่โตนัก และที่สำคัญห้องนอนห้องนี้ติดกับห้องนอนของอนาคินด้วย ซึ่งจะแยกกับห้องอื่นๆออกมาอีกด้าน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญครับ”เสียงเอ่ยบอกเจ้าของเสียงเคาะ ประตูถูกเปิดเข้ามองพร้อมร่างสูงของอีกคน ร่างสูงใหญ่สง่าพอๆกับอดีตพี่เขยของเขาเอง ใบหน้าหล่อเหลาเดินเข้ามาพร้อมกับร่างสูงโปร่งออกจะบางเล็กน้อยแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“คุณ...”นิลกาฬเอ่ยขึ้น เขาจำชื่อทุกคนไม่ได้แน่นอน
“ผมชื่อไวท์นะครับ และนี่พี่เกรย์พอดีว่าเราแค่เข้ามาถามว่ามีอะไรขาดเหลืออะไรหรือไม่”เสียงเองอย่างเป็นมิตรพร้อมรอยยิ้มทำให้นิลกาฬค่อยผ่อนคลายไปบ้าง แต่ก็ยังคงเกร็งกับใบหน้านิ่งๆของเกรย์อยู่บ้าง
“เอ่อ ไม่มีครับแค่นี้ก็เกรงใจแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น สองพี่น้องยืนคุยสักพักก็ขอตัวกลับและก็ตามมาด้วยพี่น้องอีกสามคนอย่างกรีน บลูและพิ้งค์ซึ่งทั้งสามคนหลังดูจะทำให้นิลกาฬยิ่งผ่อนคลายไปมาก
เวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืน ร่างโปร่งพลิกไปพลิกมาบนที่นอนแสนนิ่ม เพราะเขาอาจจะแปลกที่แปลกเวลาทำให้นอนไม่ค่อยหลับหรือเพราะเมื่อตอนค่ำเขาทานข้าวไปนิดเดียวทำให้เขาเองนอนไม่หลับ
“จะไปหารอยด์ก็เดินตั้งไกล เอาไงดีเรา”นิลกาฬเอ่ยขึ้นแต่ก็พยายามข่มตาให้หลับแต่มันก็ไม่ได้จริงๆเขาจึงลุกขึ้นเพื่อจะไปหาน้ำดื่ม
ทางด้านอนาคินที่ยังคงนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน แม้จะนั่งทำงานอยู่แต่ใจเขากลับมองไปที่ประตูด้วยไม่รู้ว่าทำไมต้องรู้สึกว่ากังวลอะไร
แกร๊ก!...กุกกัก
อนาคินชงักมือที่กำลังอยู่ที่คอมพิวเตอร์ เขาหันมองนาฬิกาที่บอกเกือบตีหนึ่งอยู่เสียงบางอย่างข้างนอกก็ดังขึ้น เขาจึงค่อยๆเดินย่องไปที่ประตู ถ้าดึกขนาดนี้บรรดาน้องๆของเขาไม่มีทางออกมาแน่
“กล้าเหยียบกรงเสือหรอว่ะ”อนาคินเอ่ยในใจเพราะคิดว่าโจรกล้าที่จะขึ้นบ้านของตัวเอง เสื้อคลุมถูกยกมาสวมใส่ก่อนที่มือขวาจะเอื้อมเปิดลิ้นชักออก อนาคินหยิบปืนเล็กออกมาก่อนจะดิ่งลงไปยังข้างล่าง อนาคินเดินไปยังห้องรับแขกแต่ยังไม่พบวี่แววของโจร ก่อนจะหันไปตามเสียงเหมือนคนสองคนสนทนากันอยู่ที่ห้องครัว
“คุณเกรย์รอแปบนะครับ เดี๋ยวผมทำแซนวิสให้แล้วกันจะได้ไม่หนักท้องมาก”เสียงใสของนิลกาฬที่บังเอิญจะลงมาดื่มน้ำ เขาก็มาเจอกับเกรย์ที่ลงมาหาอะไรทานเช่นกัน
“ขอบคุณนะครับ”น้ำเสียงนิ่งๆแต่แฝงด้วยความนุ่มนวล นิลกาฬยกยิ้มหวานออกมาก่อนจะเปิดตู้เย็นทำแซนวิสอย่างแสนคุ้นเคยแบบง่ายๆ เกรย์มองแผ่นหลังบางที่กำลังทำอาหารอย่างคล่องแคล่วจนเขาเอ่ยถาม
“คุณนิลดูคล่องแคล่วจังนะครับ”
“อ่อ พอดีผมทำอาหารให้รอยด์ทุกวันอ่าครับ นับตั่งแต่พ่อแม่ของรอยด์เสีย เอ่อพี่ชายกับพี่สะใภ้ของผมอ่ะครับเกิดอุบัติเหตุตั้งแต่รอยด์เล็กๆ ผมจึงเลี้ยงรอยด์มาตลอด จึงกลายเป็นทุกอย่างของรอยด์ไปซะแล้ว อะไรที่ทำไม่เป็นก็ต้องทำเป็นอ่ะครับ”นิลกาฬเผลอพูดออกมาซะยืดยาว ที่จริงแล้วนิลกาฬเป็นคนมีเสน่ห์มากทั้งรอยยิ้ม คำพูดคำจาที่ดูจะอ่อนโยน
“อื้ม แต่ที่จริงคุณนิลก็คล้ายพี่นิรมลมากเลยนะครับ”เกรย์เอ่ยขึ้น
“อ่อ เราฝาแฝดกันนี่ครับ”นิลกาฬเอ่ยพร้อมยกแซนวิสมาเสริฟ
“มาแล้วครับ ไม่อร่อยอย่าว่ากันนะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวาน รอยยิ้มที่ทำให้ผู้ชายที่คิว่าไม่มีใครมาทำให้เขาหลงไหลได้อีกอย่างเกรย์เผลอยิ้มอ่อนๆออกมา
“งั้น ผมทานนะครับ”เกรย์เอ่ยขึ้น แต่กำลังนั่งทานแซนวิสอยู่เสียงของบุคคลที่สาม ร่างสูงของพี่ชายคนโตอย่างอนาคินเดินเข้ามาใบหน้านิ่งแสนเย็นชาตามแบบของอนาคิน ทั้งนิลกาฬและเกรย์ที่กำลังนั่งคุยกันหันมองตามอย่างตกใจเล็กน้อย
“มื้อดึกหรอ”น้ำเสียงแม้จะเรียบแต่มันรู้สึกเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูกสำหรับนิลกาฬ แค่ไม่กี่ชั่วโมงผู้ชายคนนี้ทำให้นิลกาฬรู้สึกหลากหลายอารมณ์ในเวลาเดียวกันจริงๆ
"กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว"
2be>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
-
จิ้มๆๆๆๆๆ
ตามอ่านจ้า
-
ตอนจบบทนี้นี่ยังไงๆ :serius2:
ตามคร้าบบบ
-
หลานชายอายุ 16 (ลูกของพี่ชาย)
อนาคินอายุ 30 ถ้านิรมล(และนิลกาฬ)อายุเท่าอนาคิน ก็จะห่างจากหลานชาย 14 ปี
อืม สงสัยลูกบ้าน น. จะอายุห่างกันหลายปี
รอตอนต่อไปค่ะ
-
Black Heart : เลขาคนใหม่ (อนาคินxนิลกาฬ)
อนาคินให้นิลกาฬจัดการเรื่องโรงเรียนของรอยด์ให้เรียบร้อย ก่อนที่จะพานิลกาฬมาที่ทำงานด้วยในวันนี้เพื่อจะได้เริ่มงาน ซึ่งนิลกาฬเองก็กังวลนักเพราะไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน งานที่เขาถนัดที่สุดคือการทำอาหารและคอยคิดสูตรอาหารมากกว่าแต่เขาเองก็ไม่มีทางเลือกนัก
“นี่โต๊ะทำงานของนาย”อนาคินเอ่ยหลังจากเดินเข้าห้องทำงานมา
“ในห้องนี้หรอครับ”นิลกาฬเอ่ย ร่างสูงที่นั่งลงที่โต๊ะทำงานของตัวเองซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานใหม่ของนิลกาฬ ปรายตามองมายังนิลกาฬที่ยืนมองมาทางอนาคินเช่นกัน
“ใช่ ห้องนี้ มีปัญหาอะไรไหม”น้ำเสียงที่ดูดุดันทำเอานิลกาฬรู้สึกหวั่นๆ
“ไม่มีครับ”นิลกาฬเอ่ยก่อนจะนั่งลงกวาดสายตาไปมาอย่างเก้ๆกังๆเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มอะไรก่อน มองไปทางอนาคินก็ยังคงนั่งอ่านเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะมากมาย
เวลาผ่านไปเกือบสิบเอ็ดโมง นิลกาฬก็ยังคงนั่งนิ่งๆไม่ได้ทำอะไรและเขาเองก็เป็นคนที่อยู่นิ่งๆไม่ได้เสียด้วย เมื่อไม่มีอะไรให้ทำเขาก็ต้องหางานมาทำเองโดยไม่ต้องรอให้คนที่กำลังทำหน้านิ่งๆตอนนี้สั่ง
“คุณมีอะไรให้ผมทำบ้างครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถาม อนาคินละสายตาจากเอกสารมองไปยังคนข้างหน้าก่อนจะมองนาฬิกาบอกว่าสิบเอ็ดโมงแล้วจึงวางเอกสารลงและเอ่ยขึ้น
“หิวหรือยัง”อนาคินถาม
“ยังครับ คุณหิวหรอ จะให้ผมออกไปซื้อหรือสั่งอะไรให้ไหมครับ”นิลกาฬถามขึ้น เขาอยากจะช่วยอนาคินบ้างเพราะนับจากที่เข้ามาอยู่บ้านนี้ เขาแทบจะไม่ได้ตอบแทนอะไรอนาคินเลย
“เดี๋ยวฉันมีประชุม อยากจะให้นายไปหาอะไรกินก่อนก็ได้”อนาคินเอ่ย เพราะตลอดเวลาเขาเองก็แอบมองนิลกาฬเช่นกันและมันทำให้เขาคิดถึงนิรมลมาก ใบหน้าค่อนทางหวานของนิลกาฬยิ่งทำให้อนาคินคิดถึงนิรมล ที่ตรงนั้น โต๊ะทำงานตัวนั้นเมื่อก่อนมันคือที่ของนิรมล
“อ้าว แล้วไม่ให้ผมเข้าไปจดหรือบันทึกการประชุมด้วยหรอครับ”นิลกาฬเอ่ยถาม เพราะเขามาเป็นเลขานี่ทำไมเขาไม่ได้เข้าประชุมด้วยหล่ะ
“ไม่เป็นไรหรอก นั่งแท็กซี่กลับเองได้ใช่ไหม”อนาคินเอ่ย เพราะขืนให้นิลกาฬนั่งอยู่เขาต้องอดเศร้าและคิดถึงนิรมล ตลอดห้าปีที่เขาไม่เคยลืมว่าเขารักผู้หญิงอย่างนิรมล ผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด
“ได้ครับ ว่าแต่...”ยังไม่ทันที่นิลกาฬจะเอ่ยถามอะไร อนาคินก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่หันมามองนิลกาฬที่มองตามแผ่นหลังกล้างอย่างไม่เข้าใจ
นิลกาฬเดินลงมาข้างล่างตึก ช่วงเที่ยงคนเริ่มเดินลงมาเพื่อทานอาหารกลางวันแต่นิลกาฬกลับมองซ้ายมองขวาเพื่อจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านแต่ไม่รู้จะบอกแท็กซี่ว่ายังไงดี ท่าทางเก้ๆกังๆของนิลกาฬทำให้ชายหนุ่มร่างสูงในสูทสีเทาที่มองเขาผ่านกระจกด้านในของตึกสูงก่อนจะเดินเข้ามาหาร่างโปร่งนั้น
“คุณจะไปไหนหรอครับ ผมเห็นยืนอยู่นานแล้ว”เสียงเอ่ยถามจากด้านหลัง นิลกาฬหันมองร่างสูงกว่านั้นด้วยความที่ไม่รู้จักเขาจึงพยายามไม่ตอบอะไรและเดินหนี แต่ชายร่างสูงก็ยังคงตามเข้าอยู่
“ไม่ต้องหนีครับ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก แค่เห็นคุณยืนตรงนี้นานแล้วและตรงนี้รถเมล์ก็ไม่จอดรับหรือแท็กซี่ก็ไม่จอดอยู่แล้ว ผผมจึงอยากจะช่วยคุณครับ”ชายร่างสูงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงดูจริงใจทำให้นิลกาฬผ่อนคลายลงมาก ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมจะไปบ้าน กิจสุนทรวิริยะกุล แต่ผมไม่รู้จะบอกแท็กซี่ยังไงว่าที่นั้นคือที่ไหน”นิลกาฬเอ่ยขึ้น ชายร่างสูงขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลนี้หรอกแต่เขาสงสัยว่าผู้ชายคนนี้เป็นอะไรกับตระกูลนี้
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งนะครับ ไม่มีใครไม่รู้จักหรอกครับตระกูลกิจสุนทรวิริยะกุล มีชื่อเสียงมาก”นิลกาฬทำท่าลังเลอยู่ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงล้วงอะไรบางอย่างขึ้นมาและยื่นให้เขา
“นี่นามบัตรผม โทรเช็คได้ครับว่าผมเป็นใคร ผมอยากช่วยคุณจริงๆ”นิลกาฬก้มอ่านนามบัตรนั้นก่อนจะชำเลืองมองคนตัวสูง
“ชยางกูร อิทธิเทพ โปรดิวเซอร์”นิลกาฬเอ่ยก่อนจะยกยิ้มหวานออกมา
“ครับ เรียกผมว่ากูร ก็ได้นะครับ”นิลกาฬยกยิ้มอีกครั้งพร้อมพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น
“นิลกาฬครับ เรียกนิลก็ได้ ขอบคุณคุกูรมานะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
นิลกาฬที่ยังๆม่สนิทใจเท่าไหร่นักสำหรับชยางกูร แต่เขาก็ยอมนั่งรถให้ชยางกูรมาส่งถึงที่บ้านจนได้ นิลกาฬบอกว่าเขาคือผู้อยู่อาศัยเท่านั้น ซึ่งชยางกูรเองก็เคยเสนองานให้กับบริษัทของตระกูลนี้อยุ่บ้างแต่ก็ยังไม่ผ่าน ชยางกูรเองก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้โดยที่นิลกาฬเองไม่ทันทสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากเล็กๆของชยางกูร
“รอสักครู่นะครับ”นิลกาฬเอ่ยก่อนจะเดินไปยังห้องครัว นิลกาฬเข้ากับคนที่บ้านได้ดี เพราะพี่สาวของเขาเองก็เป็นที่รักของทุกคนอยู่แล้ว
“ป้าครับ ขอน้ำให้แขกนิลสักแก้วได้ไหมครับ”เสียงเอ่ยอย่างถ่อมตัวเอ่ยถามหัวหน้าแม่บ้านในครัว
“รอสักครู่นะคะคุณนิล เดี๋ยวป้าให้เด็กเอาไปให้นะคะ”รอยยิ้มอบอุ่นทำให้นิลกาฬยิ่งเกรงใจ
นิลกาฬเดินเข้ามา รอยยิ้มหวานของนิลกาฬทำให้ชยางกูรแอบมองหลายครั้ง เขาไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกันก็จริงแต่กับนิลกาฬเขากลับรู้สึกว่าเขาหลงใหลผู้ชายคนนี้มาก
“คุณนิลอยากลองไปแคสติ้งดูไหมครับ”ชยางกูรเอ่ยถามขึ้น
“ห๊ะ...อะไรนะครับ แคสติ้งหรอครับ”นิลกาฬเอ่ยอย่างปฏิเสธ
“ครับ คุณนิลหน้าตาดี รูปร่างดี ผมว่าลองเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าสักตัวสองตัวผมว่าดังระเบิดแน่ๆเลย ฮ่าๆๆ”ชยางกูรเอ่ยพร้อมหัวเราะออกมา
“โอ๊ย จะทำให้สินค้าเขาขายไม่ได้หล่ะสิครับ ฮ่าๆๆ”นิลกาฬหัวเราะออกมา ใบหน้าสดใสของนิลกาฬที่แสดงออกมาต่อหน้าชายแปลกหน้าสำหรับคนบ้านนี้อย่างเจ้าของบ้านที่บังเอิญวันนี้อยากกลับบ้านไว
อนาคินเดินหยุดเล็กน้อยมองไปยังสนามหน้าบ้านที่ตอนนี้มีเสียงหัวเราะดังเล็ดรอดมายังหน้าบ้าน ใบหน้านิ่งมองไปยังนิลกาฬและชยางกูร รอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์ แสนหวานราวกับหญิงสาวที่เขารักมากที่สุดทำให้เขาเผลอกำหมัดแน่น
“คุณแบล็คคะ”เสียงเอ่ยของสาวใช้กระตุ้นให้เขาหลุดจากภวังค์ทันที
“ใครหรอ”น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยขึ้นถามพร้อมปรายตามองไปยังคนทั้งสองกลางสนาม
“อ่อ เพื่อนคุณนิลคะ”
“มานานหรือยัง”
“สักพักแล้วคะ”สาวใช้เอ่ยก่อนจะขอตัวเดินเข้าบ้านไป อนาคินมองทั้งสองสักพักก่อนจะเดินขึ้นบ้านไป
ทางด้านนิลกาฬและชยางกูรก็ยังคุยกันสักพักก่อนที่ชยางกูรจะขอตัวกลับ นิลกาฬเดินมาส่งชยางกูรที่รถแต่เขาก็ยังสังเกตได้ว่ารถของอนาคินมาจอดแล้ว แสดงว่าพี่เขยเขากลับมาจากที่ทำงานแล้ว
“เอาไว้ผมโทรหาได้ไหมครับ”ชยางกูรเอ่ยขึ้น
“ได้ครับ แต่ถ้าไม่ได้รับแสดงว่าผมไม่ว่างจริงๆ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นตรงๆ
“ได้ครับ งั้นผมกลับก่อนนะครับ”ชยางกูรเอ่ยก่อนจะสอดตัวขึ้นรถคัยสวยและขับออกไป นิลกาฬยกมือโบกเล็กน้อยพร้อมยกยิ้มหวาน การกระทำของนิลกาฬอยู่ในสายตาของคนบนตึกตลอดเวลา ใบหน้าอาจจะดูนิ่งเฉย แต่ใครไม่อาจจะรู้ว่าข้างในใจของอนาคินกำลังคิดอะไรอยู่
นิลกาฬเดินขึ้นตึกมาเขาเดินมาที่ห้องทำงานของอนาคินทันที อนาคินมีไม่กี่ที่สำหรับบ้านหลังนี้ที่เขาจะอยู่ประจำตามที่คนในบ้านบอก คือห้องนอนและห้องทำงาน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูบานหรูของห้องทำงาน อนาคินที่ยังคงยืนล้วงกระเป๋าอยู่ที่หน้าต่างหันมองก่อนจะเอ่ยเชิญให้คนข้างนอกเข้ามา
“เชิญ...”
“ขอโทษนะครับที่มารบกวนคุณ แต่เห็นรถคุณจอดอยู่เลยขึ้นมา อยากถามว่าจะรับอะไรไหมครับ”นิลกาเอ่ยขึ้น สายตาหวานไม่กล้าที่จะสบตาสายตาคมคู่นั้น เพราะมันน่ากลัวและทำให้หัวใจเขาเต้นแรงบอกไม่ถูก
“แล้วไม่ให้เด็กขึ้นมาถามหล่ะ นายไม่ใช่คนรับใช้ที่จะต้องขึ้นมาถามฉัน”น้ำเสียงเรียบที่เอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินเข้ามาหาร่างโปร่งที่ยืนอยู่กลางห้องทำงาน มือที่ชุ่มเหงื่อของนิลกาฬบีบกันไปมาอย่างตื่นเต้น กลิ่นกายหอมๆตามแบบผู้ชายที่น่าค้นหาอย่างอนาคินทำให้นิลกาฬเผลอหลงใหลอย่างไม่รู้ตัว
“ฉันถามว่า ทำไมไม่ใช้เด็กให้ขึ้นมาถาม”อนาคินเอ่ยแม้เสียงจะไม่ดุดันอย่างที่เคยแต่มันกลับแผ่วเบาจนน่าหลงใหล
“เอ่อ เห็นว่าทุกคนยุ่งๆผมพอช่วยอะไรได้ผมก็ช่วยครับ...วะ...ว่าแต่คุณอนาคินจะรับอะไรไหมครับ”นิลกาฬเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก ร่างสูงที่เดินอ้อมด้านหลังนิลกาฬใช้ไหล่เบียดไล่เล็กอย่างจงใจก่อนจะเอ่ยขึ้น
“งั้น เอาชามาให้ฉันก็พอ”อนาคินเอ่ยพร้อมกับเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานอย่างเดิม นิลกาฬค่อยๆเดินออกจากห้องไป หัวใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ระหว่างที่เดินเข้าครัว อนาคิมหรือกรีนลูกชายคนที่สามของบ้านก็เดินเข้ามาอย่างหัวเสีย
“สวัสดีครับคุณกรีน ทานอะไรมาหรือยังครับ”น้ำเสียงนิลกาฬเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ขมวดคิ้วตั้งแต่เข้ามาก็คลายออกก่อนจะยกยิ้มขึ้น
“ขอน้ำมะนาวได้ไหมครับพี่นิล”กรีนเอ่ยขึ้น นิลกาฬไม่รีรอที่จะหันไปเทน้ำมะนาวใส่แก้วและยิ้มหวานขึ้น
“หงุดหงิดอะไรมาหรอครับ หน้าไม่ค่อยดีเลย”นิลกาฬเอ่ย
“ก็ไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้อ่าดิ ขับรถเบียดรถผมอ่ะ เกือบตกถนนแถมยังไม่ขอโทษอีกด้วยนะ หงุดหงิดจริงๆ”กรีนเอ่ยขึ้นพร้อมยกน้ำมะนาวขึ้นจิบ
“เอาเถอะครับ เราอาจจะเจอเขาแค่ครั้งเดียวก็ได้ถือว่าวันนี้เราเจอคนบ้าไปแล้วกัน ทานขนมด้วยไหมครับเดี๋ยวผมเตรียมให้”นิลกาฬเอ่ยขึ้น กรีนยกยิ้มขึ้นอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พี่นิลเหมือนพี่นิรมลมากเลยนะครับ เอาใจเก่ง ใส่ใจคนอื่น”กรีนเอ่ยขึ้น จานขนมหวานถูกเสริฟตรงหน้า นิลกาฬยิ้มหวานก่อนจะยกถาดชาให้คนข้างบน
“ผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วเจอกันที่โต๊ะอาหารเย็น”นิลกาฬเอ่ยก่อนจะเดินขึ้นข้างบน รอยยิ้มยังคงติดบนใบหน้าเพราะรู้สึกดีใจอย่างน้อยคนที่นี่ก็รักพี่สาวของเขามาก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ผมเข้าไปนะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึงห้องทำงานของอนาคิน ร่างโปร่งเดินเข้าห้อง สายตามองไปทางโต๊ะทำงานแต่ไม่พบอนาคิน อนาคินวางถาดน้ำชาลงก่อนจะกวาดสายตาไปรอบห้องก็พบว่าอนาคินนอนหลับอยู่โซฟายาว ร่างสูงเหยียดตัวนอนอยู่บนโซฟานิลกาฬเดินเข้าไปตั้งใจจะเรียกให้ตื่นเพราะนอนตอนนี้คงไม่ดีแน่ๆ แต่เพียงแค่โน้มหน้าลงต่ำลงใบหน้าที่หล่อเหลายามหลับตาช่างดูมีเสน่ห์นัก
“คุณเหมาะกับพี่นิ่มจริงๆครับ”นิลกาฬเอ่ยในใจ แต่คนที่นอนเพียงเพราะพักสายตาเท่านั้นก็ลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามีคนจ้องมองตัวเอง
พรึบ!
“อ๊ะ...”ทันทีที่อนาคินลืมตาขึ้น นิลกาฬก็ตกใจดีดตัวเองออกทันที แต่กลับสะดุดเท้าตัวเองล้มลงกองกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า
ปึก!
“โอ๊ยยย..”นิลกาฬร้องออกมาเบาๆ อนาคินรีบลุกขึ้นมาเพื่อช่วยประคองร่างของนิลกาฬให้ลุกขึ้น
“เป็นไงมั้ง...”อนาคินเอ่ย เพียงมือหนาสัมผัสต้นแขนและไหล่ของนิลกาฬก็รู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งใบหน้าขาวที่เงยหน้ามองเขา ดวงตาแสนหวานของนิลกาฬช่างเหมือนกับนิรมลเหลือเกิน เหมือนเสียจนอนาคินคิดว่าคนในอ้อมกอดตอนนี้คือนิรมล
“คุณนิ่ม...”อนาคินเอ่ยขึ้นเบาๆ นิลกาฬที่รู้สึกตัวว่าคนตัวสูงกำลังเข้าใจผิดจึงเอ่ยขึ้นเพื่อนเตือนสติ
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับแค่สะดุดเล็กน้อย ผมเอาชามาให้วางอยู่ที่โต๊ะนะครับ”นิลกาฬเอ่ยก่อนจะเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของอนาคินและเดินออกจากห้องทำงานของอนาคินทันที
“เราเป็นอะไรไปว่ะ”อนาคินเอ่ยเมื่อเสียงประตูห้องทำงานปิดลง เขายกสองมือที่โอบกอดและสัมผัสนิลกาฬเมื่อสักครู่ มันช่างคล้ายกับนิรมลผู้หญิงที่เขารักที่สุด
“คุณอนนาคินคือคนรักของพี่นิ่ม ท่องไว้หัวใจอย่าเต้นแรงนักสิ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นเบาๆเมื่อเข้าห้องนอนของตัวเอง หัวใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกปั่นป่วนไปหมด เขาเสียความเป็นตัวเองทุกครั้งที่อยู่กับอนาคิน
...........................
"ไม่มีใครแทนที่ใครได้ ถ้ายังไม่มีที่ว่าง"
2be>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
-
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
เหมือนจะเห็นตัวร้ายโผล่อ่ะ ใช่มะๆๆๆ
-
Black Heart : ไม่มีเหตุผล (อนาคินxนิลกาฬ)
ที่โต๊ะอาหารค่ำวันนี้ มีเพียงไวท์และบลูเท่านั้นที่ไม่ได้มาร่วมโต๊ะด้วย เพราะเป็นเรื่องปกติของไวท์ที่มักนอนที่โรงพยาบาลหรือคลีนิค แต่สำหรับบลูเขามีคอนโดต่างหากอยู่แล้วจึงไม่บ่อยที่จะมาร่วมโต๊ะอาหารครบทุกคน เว้นแต่วันศุกร์ ที่ต้องมาทานข้าวร่วมกัน
“ว้าว อาหารเยอะมากเลยครับ”เสียงของพิ้งค์น้องชายคนเล็กที่แม้จะอายุยี่สิบแล้วแต่ก็ยังทำตัวเหมือนเด็กน้อยสำหรับพี่ๆทุกคน
“แหมเห็นของกินแล้วแก้มบวมเชียวนะ”กรีนที่ออกจะเป็นคนอารมณ์ดี แฟรนลี่หน่อยๆเอ่ยหยอกน้องชายตัวเองก่อนจะยกมือจับหัวกลมโยกไปมาเบาๆ
เวลาไม่กี่นาทีเกรย์ก็เดินเข้าสมทบ ใบหน้ายังคงนิ่งเรียบแต่ไม่ดุดันเท่าอนาคิน แม้จะเป็นคนพูดน้อยแต่สำหรับนิลกาฬแล้วเกรย์อยู่ใกล้แล้วจะดูไม่เกร็งเลยสักนิด
“เฮียหล่ะ”เสียงเกรย์เอ่ยถามน้องทั้งสอง ก่อนที่นิลกาฬจะเดินเข้ามาพร้อมกับรอยด์
“รอยด์มานั่งข้างๆพี่มา”เสียงพิ้งค์เรียกเด็กน้อยที่สุดในโต๊ะอาหาร รอยด์และพิ้งค์สนิทกันไวมากอาจเพราะทั้งคู่วัยใกล้เคียงกันจึงมักจะคุยภาษาเดียวกัน
“เดี๋ยวผมไปตามให้นะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น ซึ่งทุกคนมองมายังนิลกาฬเป็นจุดเดียวกัน เพราะมันเหมือนแดจาวูวนมาอีกครั้ง พี่สะใภ้ของพวกเขาก็เอ่ยแบบนี้เสมอและร่างโปร่งก็หายลับขึ้นไปทันที
“เหมือนพี่นิรมลเลยอ่ะ”เสียงกรีนเอ่ยขึ้น เกรย์เม้มปากเข้าหากันเน้น สายตาที่มองแผ่นหลังที่หายขึ้นไปข้างบนมันรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก
ทางด้านอนาคินที่เพิ่งจะละสายตาจากหน้าคอมก็หันมองนาฬิกาก็รู้ว่าที่โต๊ะอาหารน่าจะพร้อมแล้ว ธรรมดาเขามักทำงานจนเพลินแบบนี้และเมื่อถึงเวลาจะมีหญิงสาวเดินขึ้นมาตามเขาเสมอ สายตามองไปยังประตูห้องในหัวก็คิดถึงร่างระหงเคาะประตูพร้อมเปิดเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวาน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณแบล็คคะ ได้เวลาอาหารแล้วคะ ทุกคนพร้อมแล้วนะคะ”ร่างหญิงสาวเดินเข้ามาโอบกอดจากด้านหลังใบหน้าหวานวางคางเล็กเกยที่ไหล่หนาของอนาคิน มือหนาเอื้อมมาลูบที่ใบหน้าเนียนก่อนจะกดจูบที่ปลายคางเล็กน้อย
จุ๊บ
“ขอบคุณครับที่รักของผม วันนี้ทำอะไรให้ผมทานบ้างเนี้ย”อนาคินเอ่ยพร้อมยกยิ้มกว้าง ที่จริงเขาเป็นคนที่ชอบยิ้มและหัวเราะมาก เพราะนิรมลมักทำให้เขาไม่เคยเครียดเลยสักครั้งแม้งานจะเครียดอย่างไรก็ตาม
“ผมคิดถึงคุณครับ คุณนิ่ม”อนาคินเอ่ยเมื่อลืมตามองความเป็นจริงในปัจจุบัน และเขาก็ต้องตื่นจากความคิดอีกครั้งเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณอนสคินครับ ได้เวลาอาหารแล้วครับ ทุกคนพร้อมแล้วครับ”อนาคินขมวดคิ้วเข้าหากัน มันเหมือนภาพเก่าที่วนกลับมาฉายอีกครั้งเมื่อคนที่เปิดประตูเข้ามาใบหน้าหวานเช่นเดียวกับคนในความคิดเมื่อสักครู่กำลังเดินเข้ามาแต่ไม่ใช่สวมกอดเขาแต่กลับยินนิ่งมองมายังเขา แต่อนาคินกลับมองเห็นภาพนั้นเป็นร่างหญิงสาวที่เขาเพ้อหา
“คุณนิ่ม...”อนาคินเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหานิลกาฬที่ตอนนี้อนาคินมองเป็นหญิงสาวคนรักของเขา หรือพี่สาวของนิลกาฬ ร่างสูงโถมเข้ากอดร่างโปร่งนั้นอย่างรวดเร็ว จนนิลกาฬตกใจพยายามเบี่ยงตัวแต่ไม่ทันแล้ว
หมับ
“คุณนิ่ม...”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬพยายามผลักอนาคินออกแต่สู้แรงของคนตัวสูงไม่ไหว
“คุณอนาคินครับ ผมนิลกาฬไม่ใช่พี่นิ่มครับ ช่วยปล่อยผมเถอะ”นิลกาฬเอ่ย พยายามเรียกสติของอนาคินกลับมาและก็เป็นผล อนาคินค่อยๆคลายอ้อมกอดและมองไปยังนิลกาฬ ใบหน้าหวานที่แม้จะคล้ายกันแต่ความแตกต่างของทั้งคู่คือความรู้สึกของอนาคินมากกว่า
“เอ่อ ฉันขอโทษนะ ฉันคงคิดถึงพี่สาวนายมากไป”อนาคินเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้นิลกาฬยืนนิ่งอยู่ในห้องสักพัก
“คงไม่มีใครแทนพี่นิ่มได้ สำหรับคุณ”นิลกาฬเอ่ยเบาๆก่อนจะเดินลงไป
ที่โต๊ะอาหารเป็นแฉกเช่นทุกวันคือทั้งหมดจะนั่งทานอาหารไปเงียบๆ ไม่พูดคุยอะไรกันมากนัก มีแต่เสียงของพิ้งค์และรอยด์ที่คุยกันอยู่บ้างเล็กน้อย
“ผัดปลากรอบสามรสครับ”มือหนาของเกรย์เอื้อมตักผัดปลากรอบสามรส ใส่จานข้าวของนิลกาฬพร้อมยกยิ้มให้
“ขอบคุณมากครับ”นิลกาฬเอ่ยพร้อมยกยิ้มหวานให้เช่นกัน แต่คนที่นั่งหัวตกกลับวางช้อนและรวบช้อนไว้เช่นเดิม ก่อนจะยกน้ำขึ้นจิบเล็กน้อย
“อ้าวเฮีย อิ่มแล้วหรอครับ”เสียงของน้องชายคนที่สามเอ่ยขึ้น
“อื้ม...”อนาคินเอ่ยขึ้น สายตากลับมองไปยังนิลกาฬ
“เฮียขอตัวก่อนนะ”อนาคินเอ่ยพร้อมลุกขึ้นเดินออกไป นิลกาฬมองตามหลังอย่างไม่เข้าใจแต่เกรย์กลับเข้าใจว่านิลกาฬกำลังมองพี่ชายตัวเองด้วยสายตาผิดแปลกไป
“เฮียก็เป็นแบบนี้หล่ะครับ”เกรย์เอ่ย นิลกาฬยกยิ้มออกมาก่อนจะนั่งทานอาหารต่อ
ทางด้านอนาคินที่เดินเข้าห้องนอนส่วนตัว เขามองไปยังควันบุหรี่ที่ถูกพ่นจากริมฝีปากของตัวเอง ควันที่ล่องลอยออกไกลออกไป ในหัวคิดแต่เรื่องที่โต๊ะอาหารเมื่อสักครู่ ถามว่าทำไมถึงไม่พอใจเมื่อเห็นเกรย์ตักอาหารให้นิลกาฬตัวเขาเองยังไม่เข้าใจตัวเองนัก แต่รู้เพียงว่าเขารู้สึกยุบยิบหัวใจ
“คุณนิ่ม ทำไมคุณใจร้ายนัก ทำไมต้องทิ้งให้ผมเหงาขนาดนี้”อนาคินเอ่ยออกมากับคนในรูปถ่าย รอยยิ้มแสนสดใส ดวงตาแสนหวานที่มองมาทำให้อนาคินกลับคิดถึงนิลกาฬขึ้นมา
...
..
นิลกาฬนอนลืมตามองเพดานในความมืด เขานอนไม่หลับไม่รู้ว่าตอนนี้ในหัวมันทำไมคิดแต่เรื่องของอนาคิน ร่างโปร่งนอนดิ้นไปมา ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง เข้ามองเห็นแสงไฟที่ลอดผ่านขอบประตูพอจะเดาได้ว่ามีคนเดินผ่านห้องของเขา และจะเป็นใครได้ที่อยู่ฝั่งนี้นอกจากเขาและอนาคิน
“จะไปไหนของเขานะ”นิลกาฬเอ่ยกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจออกจากห้องเพื่อตามลงไป
นิลกาฬเดินตามแสงไฟที่เปิด เขาเห็นร่างสูงนั่งอยู่ที่โซฟากลางบ้าน ใบหน้านิ่งเรียบอย่างใช้ความคิด นิลกาฬมองดูหอนาฬิกาจำลองกลางบ้านบอกเวลาตีหนึ่งแล้ว ยังไม่ทันที่นิลกาฬจะเอ่ยถามว่าอนาคินจะรับอะไรไหม ร่างสูงก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้าน
“คุณอนาคินครับ”นิลกาฬตัดสินใจเรียก อนาคินหันมองต้นเสียงด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย
“ทำไมยังไม่นอน”อนาคินเอ่ยถาม นิลกาฬเดินเข้ามาหาอนาคิน แม้จะเกร็งนิดหน่อยแต่ก็รวบรวมความกล้าที่เดินเข้าไปหาอนาคิน
“ผมเห็นไฟเปิดเลยลงมาดู แล้วคุณอนาคินหล่ะครับทำไมยังไม่นอน”นิลกาฬเอ่ยถาม อนาคินเดินเข้าใกล้นิลกาฬ ร่างโปร่งถอยหลังเล็กน้อยแต่เท้ากลับชิดที่กำแพงเสียงก่อน ร่างสูงโน้มหน้าลงก้มถามนิกาฬด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงมาถามฉันแบบนี้”อนาคินเอ่ย นิลกาฬหน้าเสียเล็กน้อย ที่จริงอนาคินก็พูดถูกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนอกจากพี่เขยและน้องเมีย ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะต้องถาม
“ขอโทษครับ ผมแค่ถามในฐานะที่คุณเป็นสามีพี่สาวเท่านั้น ถ้ามันทำให้คุณอนาคินไม่พอใจ ผมต้องขอโทษด้วย”นิลกาฬเอ่ยขึ้น ก่อนจะย่อตัวลอดออกจากวงแขนของอนาคินที่ยันกำแพงไว้
นิลกาฬรีบเดินขึ้นข้างบนทันทีด้วยความรู้สึกที่หน่วงเล็กน้อย ที่จริงเขาจะโกรธอนาคินมันก็ไม่ถูก เพราะอนาคินกับเขาไม่ได้รู้สึกอะไรต่อกันมากกว่าคนที่รู้จัก
“คุณนิลครับ”น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้นในมุมหนึ่งของบ้าน ร่างสูงของเกรย์เดินออกมาจากมุมมืดนั้น ไม่แน่ใจนักว่าเขาได้เห็นอะไรบนใบหน้านิลกาฬหรือไม่
“อ่ะ...คุณเกรย์ ยังไม่นอนอีกรหอครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ผมจะลงไปดื่มน้ำครับ และเห็นคุณกับเฮียคุยกันอยู่เลยไม่กล้ากวน”เกรย์เอ่ย ซึ่งก็พอเข้าใจอยุ่บ้างว่านิลกาฬอาจรู้สึกกับพี่ชายของตัวเองเป็นพิเศษ แต่เขาเองก็รู้สึกกับนิลกาฬมากเป็นพิเศษเช่นกัน
“อ่อ แล้วดื่มน้ำหรือยังครับ เดี๋ยวผมลงไปเอาให้ก็ได้”นิลกาฬเอ่ยขึ้น อาจเพราะเป็นคนที่ขี้เกรงใจอีกทั้งนิลกาฬมักจะช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ คุณนิลไปนอนเถอะนี่ก็ดึกมากแล้ว ผมลงไปดื่มเองก็ได้”เกรย์เอ่ยขึ้น
“ผมไปเอาให้ดีกว่านะครับ”แต่นิลกาฬก็อยากจะช่วยเกรย์จริงๆจึงรั้งแขนเกรย์ไว้แต่ทว่าแรงของเกรย์จะมากกว่าทำให้นิลกาฬเซ แต่ถูกเกรย์ประคองไว้ทัน
“อ๊ะ...คุณนิลเป็นไงมั้งครับ”นิลกาฬที่อยู่ในอ้อมกอดของเกรย์ สายตามมองกันและกัน ใบหน้าของเกรย์กลับโน้มต่ำลงเล็กน้อย เมื่อรู้สึกถึงไอร้อนของร่างกาย อ้อมกอดของเขากับคนที่อยู่ในอ้อมกอดทำให้ไม่อยากคิดอะไรต่อจากนี้
“คิดว่าทำกันในห้องจะดีกว่านะ”เสียงเอ่ยเรียบๆ และนิ่งๆของเจ้าของบ้านที่เดินขึ้นมาเจอกับภาพของนิลกาฬและเกรย์ยืนกอดกันอยู่ น้ำเสียงแข็งทื่อค่อนจะเหน็บเล็กน้อย อนาคินเอ่ยเสร็จก็เดินออกไป นิลกาฬเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของเกรย์และหันไปมองเกรย์พร้อมเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“งั้น ผมว่าเราลงไปดื่มน้ำด้วยกันเลยก็ได้ครับจะได้มาต้องเกี่ยงกัน”เกรย์เอ่ย นิลกาฬเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ทั้งสองเดินลงไปด้วยกันโดยมีสายตาของคนที่แอบอยู่อีกด้าน ใบหน้าเรียบเฉยแต่ด้านในกลับปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูกก่อนจะเดินเข้าห้องไป
เช้าวันรุ่งขึ้นนิลกาฬที่เดินมาที่โต๊ะอาหาร เมื่อเวลาอาหารเช้ามาถึงมีเพียงเกรย์ พิ้งค์และรอยด์เท่านั้น นิลกาฬกวาดสายตามองไปยังหัวโต๊ะ ที่นั่งประจำที่ตอนนี้มีกาแฟถ้วยเดียวตั้งอยู่
“เฮียยังไม่ตื่นหรอเนี้ย”พิ้งค์เอ่ยถามเมื่อเดินมาพร้อมกับรอยด์ ทั้งสองสนิทกันมากอาจเพราะวัยที่ใกล้เคียงกันด้วย
“เฮียออกไปแต่เช้าแล้ว ว่าแต่เราเหอะวันนี้จะขับรถไปเองหรือจะให้พี่ไปส่ง”เกรย์เอ่ยขึ้น
พี่ไปส่งหน่อยได้ม่ะ รถพิ้งค์มันเกกร วันนี้จะให้ลุงผลพาไปเข้าอู่”พิ้งค์เอ่ยอ้อนๆ
“อื้ม งั้นรีบทาน รอยด์ด้วย”เกรย์เอ่ยขึ้น นิลกาฬที่นั่งอยู่ในหัวมีแต่คำถามว่าอนาคินไปทำงานแล้วหรอ ทำไมไปตั้งแต่เช้า มีธุระด่วนหรือยังไง ทำไมไม่บอกเขาสักนิดในเมื่อเขาเป็นเลขาไม่ใช่หรอไง
“คุณนิลไปด้วยกันเลยนะครับ”เกรย์เอ่ยชวน นิลกาฬยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมเอ่ย
“ครับ”
เวลาไม่นานที่นิลกาฬมาถึงที่ทำงาน เขารีบตรงไปยังห้องทำงานทันทีหลังจากที่เกรย์ขอตัวไปที่ห้องทำงานของตัวเอง นิลกาฬเดินมาที่ห้องทำงานเขาเห็นแก้วกาแฟและแซนวิสวางอยู่บนโต๊ะทำงานของอนาคิน ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังโซฟาที่ตอนนี้ร่างสูงเหยียดตัวยาวอยู่เช่นกัน
“ทำไมถึงมาแล้วไม่บอกผมครับ”นิลกาฬเอ่ยตำหนิอย่างลืมตัว ทำให้ที่หลับอยู่สะดุ้งตื่นทันที
อนาคินไม่ได้นอนเกือบทั้งคืนเช้ามาก็รีบออกจากบ้าน โดยให้เหตุผลว่าต้องมาเคลียงานก่อนไปดูงานที่อิตาลี แต่ที่จริงแล้วกลับต้องการหนีบางอย่างที่เขาเองก็อธิบายไม่ได้เช่นกันว่า หนีอะไร
“เสียงดังอะไรแต่เช้า”อนาคินเอ่ย ก่อนจะลุกนั่งมองไปยังคนร่างโปร่ง ใบหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจนัก
“ก็คุณมาทำงานแต่เช้าทำไมไม่บอกผมครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“แล้วนายเป็นใคร ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬเองก็ทำหน้าเปลี่ยนสีทันที ก่อนจะเม้มริมฝีปากเข้าหากันและเอ่ยขึ้น
“ก็ผมเป็นเลขาคุณ...”ยังไม่ทันที่นิลกาฬจะเอ่ยต่อ อนาคินก็เอ่ยขึ้นซึ่งมันเป็นประโยคที่ทำให้นิลกาฬร้อนวูบวาบไปหมด
“เป็นแค่เลขา ไม่ใช่เมีย ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องบอก”อนาคินเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานไป ทิ้งให้นิลกาฬยืนหน้าแดงเห่ออยู่ ทั้งโกรธ ทั้งอายและไม่เข้าใจว่าอนาคินเป็นอะไรของเขา
..................
"ยิ่งหนี ยิ่งเจอ ยิ่งไม่แสดง ยิ่งชัดเจน"
[/size]
2be>>>>>>>>>>>
-
:pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:
-
Black Heart : ไม่มีคำอธิบาย (อนาคินxนิลกาฬ)
อนาคินนั่งรออาหารที่สั่งนิลกาฬไว้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนช่วงเที่ยงแบบนี้เขาจะต้องพานิรมลไปทานอาหารแสนอร่อยสองต่อสอง แต่หลังจากที่นิรมลเสียชีวิตอนาคินแทบไม่ได้ไปกินอาหารกลางวันที่ไหนเลยนอกจากให้เลขาสั่งมาไว้ให้ ซึ่งวันนี้ก็เช่นกันเขาให้นิลกาฬสั่งอาหารมาทานที่ทำงาน
“เป็นสเต๊กราดน้ำกีวี่นะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นบอก ใบหน้ายังคงนิ่งเรียบพอๆกับเจ้าของบริษัทที่นั่งทำหน้านิ่งเช่นกัน
“แล้วของนายหหล่ะ”อนาคินเอ่ยถามเมื่อเห็นว่านิลกาฬสั่งมาเพียงชุดเดียว
“ผมจะลงไปทานข้างล่างครับ เชิญคุณอนาคินตามสบายเลย”นิลกาฬเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่พอใจบางอย่าง
“ฉันถามว่าทำไมไม่สั่งมาทานด้วยกัน”อนาคินเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ผมแค่ลูกจ้างครับ ทานข้างล่างดีกว่า เชิญตามสบายนะครับ”นิลกาฬเอ่ย อันที่จริงนิลกาฬเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน ทุกครั้งที่เขาอยู่กับอนาคินเขามักจะไม่เป็นตัวของตัวเอง
นิลกาฬเอ่ยเสร็จก็เดินออกห้องไปแต่ยังไม่ทันจะลงมาทานอาหารข้างล่างร่างสูงของเกรย์ก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนและอบอุ่น แม้แววตาจะดูเศร้าไปบ้าง
“คุณนิลไปทานข้าวกันนะครับ”เกรย์เอ่ยขึ้น นิลกาฬที่กำลังคลำหากระเป๋าเงิน เขาคิดว่าเขาลืมไว้ที่โต๊ะทำงานแน่นอน
“เอ่อ เดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าเงินก่อนนะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเลี้ยงดีกว่า”
“ไม่ดีหรอกครับ ผมว่าเราต่างคนต่างออกดีกว่า”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“โธ่ คุณนิลทำอาหารให้ผมทานตั้งหลายมื้อแล้ว เลี้ยงแค่นี้จะเป็นไรไป นะครับให้ผมเลี้ยงนะครับ”เกรย์เอ่ยขึ้น นิลกาฬเองก็เถียงไม่ออก
“ก็ได้ครับ แต่แค่มื้อนี้นะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ที่จริงผมอยากเลี้ยงตลอดชีวิตเลยด้วยซ้ำ”เกรย์เอ่ยขึ้น ทำเอานิลกาฬนิ่งไปเล็กน้อยใบหน้ากลับแดงเห่อออกมา เหมือนกับว่าเขากำลังถูกเกรย์จีบ
“พูดเหมือนจะจีบผมเลยนะครับ ฮ่าๆๆ”นิลกาฬเอ่ยแกมหยอกพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ
“ครับผมกำลังจีบคุณนิลอยู่ ได้ไหมครับ”เกรย์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจากหัวเราะเริ่มดูจริงจัง
“เอาไว้ให้คุณเกรย์คิดใหม่อีกทีดีกว่านะครับ ผมอ่ะเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย บ้านก็ไม่มี ครอบครัวก็ไม่มี อย่าเพิ่งตัดสินใจเลยครับ”นิลกาฬเอ่ยพร้อมเดินเข้าลิฟท์ไปโดยมีเกรย์เดินตามหลังไป
“ที่แท้ก็รอไปกับเจ้าเกรย์ หึ...”รอยยิ้มมุมปากเล็กๆที่แปะอยู่บนใบหน้าของเจ้าของบริษัทอย่างอนาคิน
ช่วงบ่ายวันนี้ อยู่ๆอนาคินก็เรียกทุกฝ่ายประชุมเรื่องงานใหม่ที่ร่วมงานกับทางอิตาลี อนาคินบอกให้นิลกาฬมานั่งข้างๆตัวเองเพื่อจดบันทึก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่นิลกาฬได้ทำหน้าที่เหมือนตัวเองได้ทำงานสมกับเงินสักที
“มาครบกันหรือยัง”อนาคินเอ่ยขึ้น
“คุณเกรย์ยังไม่มาครับ”เสียงเอ่ยของคนข้างๆบอก อนาคินปรายตามมองพร้อมเอ่ยขึ้น
“หึ จำได้แค่เจ้าเกรย์หล่ะสิ”อนาคินเอ่ยเบาๆแต่ก็นิลกาฬเองก็ได้ยิน เพราะอนาคินก็ตั้งใจให้คนข้างๆได้ยิน
“หมายความว่ายังไงครับ”นิลกาฬเอ่ยถามกลับ อนาคินทำหน้านิ่งไม่ได้พูดอะไร นิลกาฬขยับเก้าอี้หมายจะมาใกล้ๆอนาคินเพื่อจะถาม แต่กลับเสียหลักเซเกือบล้มลง
“อ๊ะ...”
หมับ
ร่างของนิลกาฬถูกอนาคินรวมตัวไว้เพื่อไม่ให้ล้ม ซึ่งคนทั้งห้องประชุมต่างมองกันเป็นจุดเดียวซึ่งก็เช่นเดียวกับเกรย์ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณครับ”นิลกาฬเอ่ย ใบหน้ที่ร้อนผ่าวและที่สำคัญมันคงจะแดงเห่อแน่ๆ เพราะเมื่อสักครู่จมูกและริมฝีปากของอนาคินกดทับที่แก้มนิลกาฬเต็มๆเหมือนจงใจแต่ไม่มีใครเห็นเพราะมันไวมาก
“มากันครบแล้วใช่ไหม เริ่มประชุมกันได้”อนาคินหันไปเอ่ยกับทุกคนหน้าตาเฉย ไม่ได้สนใจเรื่องเมื่อสักครู่เลยสักนิด แต่ปลายจมูกกลับยังมีกลิ่นหอมติดอยู่จนอนาคินยกยิ้มเล็กน้อย
“ที่เรียกทุกคนมาวันนี้ ผมจะส่งพนักงานของเราไปดูงานทีอิตาลี”สิ้นเสียงอนาคินทุกคนในห้องประชุมส่งเสียออกมา เพราะทุกคนอยากไปกันมาก
“ผมจะให้ทางการตลาดไป โดยมีคุณธนาคิมเป็นคนนำทีม ใครมีปัญหาอะไรไหม”อนาคินเอ่ยขึ้นถาม น้ำเสียงดูจะรู้สึกดี หางตามองมายังคนข้างๆที่กำลังนั่งบันทึกการประชุมก่อนจะปรายตามองไปยังน้องชายที่นั่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
“กำหนดการกี่วันครับ”เกรย์เอ่ยถามพี่ชาย
“อาทิตย์หนึ่ง นายโอเคใช่ไหม”อนาคินเอ่ยถาม
“โอเคครับ แต่ผมขอยืมตัวเลขาเฮียหน่อยนะครับ เพราะคุณมาลัยเพิ่งไปคลอด ผมไม่มีเลขาเพราะไปที่โน้นคงจะต้องมีอะไรให้ทำอีกมากมาย เฮียอยู่ทางนี้ไม่น่าจะจำเป็นใช้เลขามากนัก”เกรย์เอ่ยขึ้น ใบหน้าอนาคินที่ว่าอมยิ้มกลับหุบยิ้มทันที ก่อนจะคิดอะไรบางอย่าง
“อื้ม ได้สิคุณมธุรสก็ว่างอยู่เหมือนกัน เอาไปได้เลย”อนาคินเอ่ยขึ้น ซึ่งเขาเองมีเลขาอยู่ก่อนแล้วที่จะมีนิลกาฬ ซึ่งเกรย์เองก็ลืมคิดไป รอยยิ้มของอนาคินผุดขึ้นอีกครั้ง
“ผมขอเป็นคุณนิลได้ไหมครับ”เกรย์เอ่ยขึ้น นิลกาฬเงยหน้ามองเกรย์และหันมองอนาคินที่ใบหน้านิ่ง
“ไม่ได้หรอก นิลกาฬยังไม่เก่งพอให้คุณมธุรสไปนั้นหล่ะ ดีแล้วเพราะงานที่อิตาลีมันเป็นงานสำคัญมาก”อนาคินเอ่ยขึ้น ซึ่งก็จริงอย่างที่อนาคินพูดเกรย์จึงไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เลิกประชุมได้...คุณนิลตามผมไปที่ห้องด้วยนะผมจะสั่งงาน”อนาคินเอ่ย นิลกาฬได้แต่พยักหน้าและมองตามคนตัวสูงเดินออกไป
“อดพาคุณนิลไปเที่ยวอิตาลีเลย”เกรย์เอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ครั้งนี้คุณไปทำงานนี่ คุณอนาคินพูดถูกนะว่างานนี้สำคัญมากให้คุณมธุรสไปอ่ะดีแล้ว”
“แต่...”เกรย์เอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับเอาไว้โอกาสหน้า ผมสัญญาว่าจะไปเที่ยวกับคุณ”นิลกาฬเอ่ยเพื่อไม่อยากให้เกรย์คิดมาก มือหนาของเกรย์เอ้อมมาจับมือบางกว่าของนิลกาฬ ในห้องประชุมที่มีเพียงเกรย์และนิลกาฬเท่านั้นที่ยังคงอยู่
“จริงๆนะครับ”เกรย์เอ่ยถามย้ำ นิลกาฬก้มมองมือของตัวที่ถูกมือของเกรย์กุมไว้พร้อมยกยิ้มขึ้น
“ครับ ผมสัญญา”นิลกาฬเอ่ย สายตาที่แสนจะอบอุ่นและอ่อนโยนของเกรย์ที่ส่งมา บวกกับรอยยิ้มหวานของนิลกาฬที่ส่งผ่านใบหน้าแสนหวานกลับต้องหายไปทันทีที่เสียงเอ่ยของบุคคลที่เข้ามาใหม่
“ฉันบอกให้รีบเข้าไปหาฉันไง ทำไมยังไม่ไปอีก”เสียงอนาคินเอ่ยขึ้น ดวงตาที่จ้องมองมาที่มือของนิลกาฬและเกรย์ก่อนจะเดินออกไป
“งั้นเอาไว้เจอกันที่บ้านนะครับคุณเกรย์”นิลกาฬเอ่ยก่อนจะวิ่งตามคนร่างสูงไป ด้วยใจที่เต้นแรงเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนอะไรบ้าง
ใบหน้าที่ดูนิ่งราวกับรูปปั้น รอยยิ้มที่เหมือนจะเคยเห็นตอนนี้ก็หายไป มีเพียงใบหน้าที่เดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ อนาคินนั่งมองคนร่างโปร่งที่กำลังพาตัวเองเดินเข้ามาในห้อง มือหนาที่กำลังหมุนปากกาไปมา อีกมือกำลังใช้นิ้วเคาะที่แก้มตัวเองเบาๆ
“ฉันบอกให้ตามฉันมา ทำไมถึงไม่รีบตามมา”อนาคินเอ่ยขึ้น
“ขอโทษครับ พอดีว่าผมแค่...”นิลกาฬเอ่ยขึ้น หวังจะบอกว่ามันผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีเองนะ
“หึ แค่อ่อยเจ้าเกรย์หน่ะหรอ”อนาคินเอ่ยขึ้น เมื่อภาพของนิลกาฬและเกรย์ที่กำลังจับมือกันอยู่ทำให้เขานึกหงุดหงิดใจ
“คุณว่าอะไรนะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถาม เพราะไม่เชื่อหูตัวเองที่อนาคินพูดแบบนี้ออกมาก่อนจะเดินดิ่งเข้าไปหาอนาคินที่โต๊ะด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจนัก
“ทำไมหรอ”อนาคินเอ่ยขึ้น พร้อมลุกขึ้นสองมือยันโต๊ะทำงานไว้และโน้มตัวเข้าหานิลกาฬที่จ้องใบหน้าอนาคินอยู่
“ผมไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจ แต่ถ้าคุณจะมาดูถูกผมขนาดนี้ผมขอออกจากบ้านคุณก็ได้นะครับ เพราะถึงยังไงพี่นิ่มก็ไม่มีชีวิตอยู่ให้เราทั้งสองมีอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเหลือผมและหลาน แต่ถ้าการช่วยเหลือของคุณทำให้คุณคิดว่าจะพูดยังไงกับผมก็ได้แบบนี้ ผมขอออกจากบ้านคุณดีกว่า”นิลกาฬเอ่ยขึ้นอย่างโมโห ซึ่งทำให้อนาคินพอจะได้สติอยู่บ้างที่พูดแบบนั้นกับนิลกาฬไปเพราะตัวเองกำลังคิดอะไรกับน้องเมียตัวเองมากกว่าน้องเมียหรือยังไร
“เดี๋ยว!...”อนาคินเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงกดต่ำลงเล็กน้อย เมื่อเห็นนิลกาฬหันหลังทำท่าจะเดินออกไป นิลกาฬหยุดแต่ไม่ได้หันหลังมองอนาคิน
“มีอะไรอีกครับ จะว่าอะไรผมอีก”นิลกาฬเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาเล็กน้อย
“ขอโทษ...”อนาคินเอ่ยขึ้น แม้จะสั้นๆแต่มันทำให้คนได้ยินนิ่งไปนานหลายนาที อนาคินเอ่ยเสร็จก็รีบเดินออกจากห้องไป โดยไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ นิลกาฬได้แต่มองตาหลังคนร่างสูงที่หายออกจากไป จนมีข้อความจากอนาคินเข้ามา
ติ้ง ติ้ง
อนาคิน : ขอโทษ ฉันไม่เข้าออฟฟิตแล้ว สอนจะพานายกลับบ้านเอง ไปกับสอนเท่านั้น
นิลกาฬอ่านข้อความที่ถูกส่งมา ใบหน้าที่โกรธและน้อยใจกลับเปลี่ยนไปเป็นมุมปากที่ยกยิ้มเล็กน้อย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ามันหายได้ไวขนาดนี้เลยหรอ สำหรับแค่คำว่า ขอโทษ
...
..
ที่บ้านช่วงค่ำ วันนี้โต๊ะอาหารไม่มีคนตัวสูง เจ้าของบ้านนั่งอยู่อย่างที่เคยเป็นและไม่มีคนที่นั่งนิ่งๆอย่างเกรย์อยู่ร่วมโต๊ะ มีเพียงพิ้งค์และรอยด์เท่านั้นที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับนิลกาฬ
“ยังไม่นอนอีกหรอ”เสียงเรียบของอนาคินเอ่ยถาม เมื่อเดินเข้ามาในบ้านยังพบว่านิลกาฬยังนั่งอยู่ที่โซฟา
“กลับดึกจังนะครับ ทานอะไรมาหรือยัง”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถาม
“นี่มันจะตีหนึ่งแล้ว ถ้าฉันบอกว่ายังไม่กิน นายจะหาให้ฉันมั้ย”อนาคินถาม
“ถ้าคุณหิวผมก็จะหาให้ทานครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“อื้ม หาอะไรก็ได้ ง่ายฉันจะรอ”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬเองก็ยกยิ้มเล็กน้อยที่อย่างน้อยอนาคินก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
เวลาไม่นานนักอาหารจานด่วนก็มาเสิร์ฟตรงหน้า แม้ว่าจะดูเป็นข้าวผัดง่ายๆแต่มันก็ดูน่าทานนัก อนาคินมองไปยังอาหารตรงหน้า และร่างโปร่งของนิลกาฬในชุดผ้ากันเปื้อนสีขาว ช่างน่ามองและดูดีอะไรเช่นนี้ นิลกาฬเหมือนนิรมลมาก เหมือนมากเสียจนอนาคินคิดชั่วออกมา
“ข้าวผัดหน่ะครับ เมื่อเย็นยังพอมีของอยู่บ้างพอทานได้นะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ก็ดีกว่าหิวตอนดึก”อนาคินเอ่ย นิลกาฬนั่งมองคนตรงหน้าจนทานอาหารในจานหมดเกลี้ยงจนคนทำยิ้มหวานออกมาอย่าลืมตัว
“อร่อยไหมครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ก็พอกินได้ ว่าแต่ทำไมยังไม่นอน”อนาคินเอ่ยถาม
“ผมยังไม่ง่วงครับ อีกอย่างคุณกับคุณเกรย์ก็ยังไม่กลับทั้งคู่ ผมจึงนั่งรอครับ” นิกาฬเก็บจานมาล้างเรียบร้อย อนาคินมองแผ่นหลังบางที่กำลังล้างจานอยู่ เมื่อได้ยินว่านิลกาฬรอเขาและน้องชายก็อยากจะถามว่าที่จริงแล้วนิลกาฬอยากรอใครมากกว่ากัน
ร่างสูงที่เดินเข้ามาประชิดแผ่นหลังบาง ถ้าเกรย์ไม่กลับตอนนี้แสดงว่าน้องชายของเขาต้องไปนอนที่คอนโดแน่นอน นิลกาฬเมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนมาประชิดข้างหลัง ไอร้อนจากด้านหลังจนรู้สึกได้จึงค่อยๆเช็ดมือและพยายามหลีกตัวออก
“ที่จริงนายรอฉันใช่ไหม”อนาคินก้มเอ่ยกระซิบข้างหูของนิลกาฬด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนนิลกาฬร้อนวูบวาบไปหมด
“เอ่อ รอทั้งสองอ่าครับ...”นิลกาฬเอ่ยขึ้น แต่นิลกาฬน่าจะลืมไปว่าตัวเองยังคงมีอนาคิมซ้อนด้านหลังอยู่ เมื่อหันหน้ามา วงแขนของอนาคินครอบครองร่างนั้นทันที
“เมื่อกลางวัน แก้มนายหอมดีนะ”อนาคินเอ่ยขึ้น ที่จริงอนาคินไม่ใช่คนที่จะพูดกรุ่มกริ่มแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาไปนั่งดื่มมาพอประมาณ
“เอ่อ...อ่า...ผมว่าคุณไปพักผ่อนเถอะครับตีสองแล้ว ผมเองก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน”นิลกาฬเอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆแต่อ้อมแขนของอนาคินยังคร่อมร่างของนิลกาฬอยู่ และมันก็ถูกตีวงแคบลงเรื่อยๆจนใบหน้าของอนาคินและนิลกาฬห่างกันแค่ปลายนิ้วก้อย
“กลัวหรอ...”อนาคินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ใช่อนาคินคนเดิม คือมันแฝงไปด้วยความเร้าร้อนและเสน่หา
“คุณดื่มมาด้วยหรอครับ”นิลกาฬเอ่ย อนาคินยกยิ้มเล็กน้อยก่อนใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งจับที่คางแหลมเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น
“นายหน้าสวยเหมือนคุณนิ่มจัง ฉันคิดถึงคุณนิ่ม นายพอจะทำให้ฉันหายคิดถึงพี่นายได้ไหม”อนาคินเอ่ยขึ้นมันเป็นประโยคที่ทำให้นิลกาฬไปไม่ถูกจริงๆ
.......................
"ความรู้สึกเก็บได้แต่อย่าฝืน"
2be>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
-
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
อนาคิน คิดถึงนิรมลมาก ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาทำอะไรตามใจกับนิลกาฬได้หรอกนะ แหมมม
ถ้ายังสับสนในความรู้สึกแบบนี้ ระวังเกรย์จะเอาไปรับประทานนะ 5555+
-
Black Heart : ไม่มีตัวแทนของใคร (อนาคินxนิลกาฬ)
“ผมไม่ใช่ตัวแทนของใครนะครับ พี่นิ่มก็คือพี่นิ่ม ผมก็คือผม”นิลกาฬเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินขึ้นชั้นบน อนาคินเองก็รู้สึกผิดแต่จะทำยังไงได้หล่ะ ในเมื่อเขารักนิรมลมากแต่หัวใจเขากลับสับสนมากเช่นกัน
นิลกาฬเดินเข้าห้องนอนก็เจอกับรอยด์ที่นั่งรอเขาอยู่ที่ห้องแล้ว ใบหน้าของเด็กหนุ่มกำลังเศร้า ทั้งๆที่รอยด์เป็นเด็กที่อารมณ์ดีมาก
“อานิล...”เสียงรอยด์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นนิลกาฬเดินเข้ามา รอยด์สวมกอดผู้เป็นน้าทันที
“เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไมบอกอาสิ”นิลกาฬเอ่ยถามพร้อมกอดรอยด์ไว้แนบอก
“รอยด์คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ครับ”นิลกาฬลูบหัวหลานเบาๆ ทำให้คิดถึงอนาคิน ก็คงคิดถึงพี่สาวของตัวเองเช่นเดียวกับรอยด์ที่คิดถึงพี่ชายและพี่สะใภ้ตัวเอง แต่รอยด์มีเขากอดปลอบอยู่จึงคลายความคิดถึงได้บ้างแต่อนาคินหล่ะไม่มีใครเลย นิลกาฬคิดแบบนั้น
รอยด์หลับไปเรียบร้อยแล้ว นิลกาฬกลับนอนไม่หลับเพราะยังรู้สึกห่วงอนาคิน เขาจึงเดินออกจากห้องไปเพื่อไปที่ห้องของอนาคินช่วงเวลาตีสาม เขามองลอดไปตามช่องประตูยังพบว่ามีแสงไฟลอดผ่านออกมา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณอนาคินครับ ผมเข้าไปได้ไหม”นิลกาฬเอ่ยขึ้น รอสักพักประตูก็เปิดออกมา
“มีอะไร...”น้ำเสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย
“ผมขอเข้าไปได้ไหม”นิลกาฬเอ่ยขึ้น อนาคินเบี่ยงตัวให้นิลกาฬเข้าไปในห้อง
นิลกาฬมองไปยังโต๊ะกลางห้องที่มีแก้วเหล้าและโหลเหล้าชั้นเยี่ยมอยู่ สายตาออกไม่พอใจนักที่เห็นอนาคินดื่มเหล้าตอนนี้
“ทำไมถึงดื่มอีกหล่ะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถาม อนาคินที่ล้มตัวลงบนโซฟามองมายังนิลกฬที่ยืนอยู่ด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าโหยหาเหลือเกิน
“ฉันคิดถึงพี่สาวนาย ฉันเมาฉันจะได้หลับไงแล้วจะไม่ได้ฟุ้งซ่านคิดถึงแต่พี่สาวนาย”อนาคินเอ่ย นิลกาฬก็เปลี่ยนสีหน้า แววตาของอนาคินเหมือนรอยด์เมื่อสักครู่
“เหล้าไม่ได้ทำให้หายคิดถึงหรอกหน่ะครับ เลิกดื่มและนอนเถอะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น และรีบเก็บของบนโต๊ะเพื่อเอาไปเก็บ และยังไม่ทันทีนิลกาฬจะเดินต่อร่างของนิลกาฬก็ถูกอนาคินรวบตัวไว้จากด้านหลังและก็ต้องตกใจเมื่อ คนข้างหลังกำลังร้องไห้ออกมา
“ฮึกๆ อย่าเพิ่งได้ไหม อยู่กับฉันก่อน”อนาคินเอ่ยออกมา นิลกาฬนิ่งไปเล็กน้อยก่นอจะวางของไว้
“แต่...”นิลกาฬเอ่ยขึ้นยังไม่ทันจะเอ่ยต่อก็ต่อหยุดลง
“ฉันไม่ได้คิดว่านายคือตัวแทนของใคร แต่ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหม”อนาคินเอ่ย นิลกาฬรวบรวมความกล้ายกมือเรียวค่อยๆยกสวมกอดแขนแกร่ง
“งั้นคุณสัญญากับผมนะครับ ว่าต้องนอน”นิลกาฬเอ่ยขึ้น อนาคินก็พยักหน้าอย่างว่าง่ายจนนิลกาฬพ่นลมหายใจเบาๆก่อนจะเดินมาที่เตียงนอนตามที่อนาคินพามา
“นอนเป็นเพื่อนจนกว่าฉันจะหลับได้ไหม”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แค่นอนไม่ต้องกอดได้ไหมครับ”นิลกาฬเอ่ย หลังล้มตัวลงนอนอนาคินก็สวมกอดนิลกาฬทันที ใบหน้าที่ร้อนวูบวาบร้อนผ่าวไปหมด
“ขอโทษนะ ลืมไปว่านายอาจรังเกียจฉัน”อนาคินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตัดพ้อจนนิลกาฬต้องผ่อนร่างกายที่เกร็งอยู่ตอนนี้
“เปล่าครับ คุณหลับเถอะครับผมไม่ไปไหนหรอก”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
ดวงตาใสยังคงนอนลืมตามองไปยังเพดานห้องที่ปกคลุมไปด้วยความมืด มีเพียงแสงจากโคมไฟด้านนอกเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา แต่มันก็ไม่ทำให้สว่างมากนัก แต่มันก็ไม่ทำให้นิลกาฬหลับตาลงได้เช่นกัน
“อื่อออออ”เสียงครางเบาๆของคนที่นอนอยู่ข้างๆ ใบหน้าคมเข้มกำลังหลับตาพริ้มแสนสบาย มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนกำลังฝันหวานอยู่ อ้อมแขนยาวโอบกอดร่างโปร่งของนิลกาฬไว้ อนาคินเองก็ไม่ได้หลับลึกและฝันหวานแบบนี้มานานแล้ว
“อบอุ่นแต่ก็เยือกเย็นในเวลาเดียวกัน”นิลกาฬคิดในใจ พยายามข่มตาลง ไม่เคยนอนโดยมีใครมานอนกอดแน่นขนาดนี้ แม้แต่รอยด์ยังไม่เคยนอนกอดเขาแน่นแบบนี้เลย ลมหายใจสม่ำเสมอของทั้งคู่บ่งบอกว่าได้เข้านิทราที่แสนหวาน เพราะความอบอุ่นที่มอบให้กันตอนนี้มันแปลกใหม่เสียจนไม่อยากให้เช้า
...
..
แสงแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาไม่ได้มีผลต่อสองร่างที่กำลังสวมกอดกันแน่นอยู่บนเตียง กว่าจะได้นอนเกือบตีห้าทั้งอนาคินและนิลกาฬวันนี้จึงเกเร
“อื่ออออ”เสียงครางเบาๆของนิลกาฬที่บิดตัวพลิกกายเพื่อให้ตัวเองนอนสบายตัวที่สุด ก่อนที่ร่างหนาของอนาคินจะโอบกอดจากด้านหลังไว้ ความอบอุ่นที่ได้รับมันช่างวิเศษที่สุดสำหรับทั้งคู่ แต่นิลกาฬก็กลับรู้สึกตัวได้ว่าที่นอนแสนนุ่มนี้ไม่ใช่ของตัวเอง
“อ๊ะ...”นิลกาฬอุทานเบาๆ แต่ก็ทำให้อนาคินสะดุ้งตื่นเช่นกัน
“มีอะไรหรอ...อือออ”เสียงเอ่ยถามอย่างงัวเงียไม่ได้ดูตกใจเลยสักนิด กลับคว้าตัวของนิลกาฬมากอดอีกครั้ง
“สายแล้วครับ ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น เขาไม่เคยตื่นสายได้ขนาดนี้เลยและที่สำคัญเขาทิ้งรอยด์ไว้ที่ห้องคนเดียว
“สิบโมงแล้ว ไม่ต้องไปทำงานหรอกวันนี้ฉันให้ลาพักร้อนได้”อนาคินเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ อนาคินวางนาฬิกาไว้ก่อนจะสวมกอดนิลกาฬไว้อีกครั้ง สายตามองไปยังใบหน้าขาวที่ทำหน้าตากังวลอยู่
“เอ่อ...”นิลกาฬเอ่ย ที่จริงเขาก็อยากที่จะนอนแบบนี้กับอนาคินแต่อ้อมกอดของอนาคินคิดว่านิลกาฬคือนิรมล เขาจึงไม่อยากมีความรู้สึกที่มันมากกว่านี้แล้ว
“วันนี้อยู่บ้านนะ...ด้วยกัน นอนต่อเถอะฉันยังง่วงอยู่เลยอ่ะ”อนาคินเอ่ยพร้อมดึงนิลกาฬเข้าไปกอดแน่น จมู
“ผมว่าผมลุกดีกว่าครับ เดี๋ยวผมไปเดี๋ยวน้ำให้อาบแล้วกันแล้วไปทำอะไรให้ทานนะครับ”นิลกาฬเอ่ยอ้างทำให้อนาคินยอมปล่อยให้นิลกาฬออกจากอ้อมกอด
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงที่อนาคินเดินลงมาจากชั้นบน ที่บ้านเงียบมากอาจเพราะทุกคนออกจากบ้านกันไปหมดแล้ว อนาคินเดินมาที่ครัวเพราะคิดว่านิลกาฬต้องอยู่ที่ครัวแน่นอนคิดได้แบบนั้นเขาก็พาร่างสูงดิ่งไปที่ห้องครัวทันทีจนคนในห้องครัวแอบตกใจเล็กน้อย
“อ๊ะ...!คุณผู้ชาย”เสียงมาลัยเอ่ยขึ้น สาวใช้ต่างพากันนั่งกันอย่างเรียบร้อยเพราะรู้ดีว่าอนาคินเป็นคนเจ้าระเบียบมากแค่ไหน
“จะรับอะไรคะ เรียกเด็กๆก็ได้คะ”ป้าสมัย ป้าแม่บ้านของที่นี่เอ่ยถามขึ้น นิลกาฬที่กำลังทำอาหารอยู่ก็หันมากมองคนตัวสูง นิลกาฬรีบหลบสายตาคมทันทีเมื่ออนาคินยังจ้องไปยังร่างโปร่งนั้น
“หิวแล้วครับ”น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากเดิม ดูไม่น่ากลัวและเยือกเย็นจนทุกคนตกใจ นิลกาฬอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“รอแปบนะครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”นิลกาฬเอ่ย แต่อนาคินก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมจนป้าสมัยเอ่ยบอก
“คุณแบล็คกับคุณนิลไปนั่งรอเถอะคะที่เหลือป้ากับเด็กๆทำต่อเอง”
“เอางั้นหรอครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้ย
“นะคะ อีกห้านาทีนะคะ”ป้ามสมัยเอ่ยบอก นิลกาฬหันมองอนาคินก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออกและเดินเข้าไปหาอนาคิน
“ไปรอข้างนอกเถอะครับ”นิลกาฬเอ่ย อนาคินพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ทุกคนในครัวต่างมองตามหลังไปก่อนจะหันมาซุบซิบกัน
“คุณนิลเหมือนคุณนิ่มเลยอ่ะ ทั้งหน้าตาและท่าทาง แต่เสียอย่างเดียวคุณนิลเป็นผู้ชาย”
“ผู้ชายแล้วไงว่ะ ความรักอ่ะไม่ไม่ได้แบ่งเพศเว้ย”
“นี่ๆ ยัยทั้งสองคนนั่นอ่ะมาเตรียมของขึ้นโต๊ะให้เจ้านายได้แล้ว มัวแต่เม้าส์เจ้านายกันอยู่ได้”ป้าสมัยเอ่ยดุเด็กทั้งสองแต่ใบหน้ากลับเปื้อนยิ้ม เพราะเนื้อแท้แล้วลูกชายคนโตของบ้านหลังนี้เป็นคนใจดีแค่ไหน
อนาคินและนิลกาฬนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร นิลกาฬหลบสายตาที่กำลังจ้องตนอยู่ตอนนี้ ความเงียบปกคลุมอยู่ก็จริงแต่กลับเป็นความเงียบที่แสนจะรู้สึกดีนัก
“เมื่อกี้ทำอะไรอยู่หรอ”อยู่ๆอนาคินก็เอ่ยถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“ห๊ะ...ห๊า ว่าอะไรนะครับ”นิลกาฬที่จับใจความอะไรไม่ได้เลยเพราะมัวแต่เขินกับสายตาของอนาคิน
พรึ่บ
“ฉันถามว่า เมื่อกี้ทำอะไรให้ฉันกิน”อนาคินเอ่ยขึ้นพร้อมขยับเข้ามาใกล้ๆนิลกาฬ
“คะ...แค่ต้มจืดธรรมดาครับ ว่าแต่ไม่ร้อนหรอครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถามเมื่อคนตัวสูงกำลังนั่งเบียดเสมือนว่าโซฟานี้ช่างแคบเหลือเกิน
“ไม่เห็นร้อนเลย นายร้อนหรอ”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬเหมือนถูกแกล้งจากคนตัวสูง วันนี้ดูอนาคินจะดูแลและใกล้ชิดนิลกาฬเกินความจำเป็น ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วอนาคินแทบจะพูดคุยกับเขาน้อยมาก
หลังจากทานอาหารเช้าและเที่ยงในเวลาเดียวกัน อนาคินชวนนิลกาฬมาที่ห้องดูหนังชั้นล่างของบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของอนาคินเอง เขาไม่ชอบที่จะไปดูหนังข้างนอก เพราะนิรมลเป็นภูมิแพ้ เธอมักจะจามทุกครั้งที่เข้าโรงหนังและมันก็ทำให้เธอไม่สบายบ่อยๆ อนาคินจึงสร้างห้องดูหนังไว้ข้างล่างเพื่อที่เขาและนิรมลจะได้มีเวลาดูหนังด้วยกันเหมือนคู่รักคนอื่นๆ
“นายชอบดูหนังแนวไหนหล่ะ”อนาคินเอ่ยขึ้นถาม
“ได้หมดครับ ผมไม่ค่อยมีแนวของตัวเองนัก”นิลกาฬเอ่ย เขานั่งอยู่ข้างๆอนาคิน เบาะนิ่มๆ บรรยากาศมืดสลัวๆเหมือนโรงหนังทั่วไปแต่ติดที่ว่าตอนนี้ทั้งโรงมีเพียงเขาและอนาคินเท่านั้น
“งั้นดูเรื่องนี้แล้วกันเนอะ เพราะเป็นเรื่องโปรดของคุณนิ่ม”อนาคินเอ่ยก่อนจะกดให้เครื่องโปรเจคเตอร์ด้านหน้า นิลกาฬกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าเรื่องราวและความรู้สึกของอนาคินมีนิรมลอยู่ตลอดเวลา
นิลกาฬนั่งดูหนังไปเงียบๆ หนังรักโรแมนติก แนวนี้หล่ะที่พี่สาวเขาชอบและมันก็คงไม่ใช่แนวของอนาคินแน่นอน แต่อนาคินก็ดูจนไม่ละสายตา
“คุณคงรักพี่นิ่มมากนะครับ เพราะหนังแบบนี้รสนิยมอย่างคุณคงไม่ชอบมันแน่ๆ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น สายตามองคนที่นั่งข้างๆที่สายตาจ้องไปยังจอหนัง นิลกาฬหลบสายตาทันทีที่อนาคินหันมา แต่อนาคินกลับใช้มือรั้งใบหน้าหวานนั้น แม้จะอยู่ในความมืดแต่อนาคินก็มองออกว่านิลกาฬทำสายตาเศร้าออกมา
“นายพูดเหมือนกำลังงอนหรือน้อยใจฉันอยู่เลย”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เพราะอนาคินคิดถูกแล้ว นิลกาฬกำลังเผลอหัวใจตัวเองตัดพ้ออนาคินอยู่จริงๆ
“คะ...คือ อุ๊ปห์...”ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรต่อ เสียงที่เปล่งออกมาก็ถูกกลืนลงคอไปแล้ว ริมฝีปากหนาของอนาคินกำลังกดทับริมฝีปากบางของนิลกาฬ จากแค่กดทับเบาๆ อนาคินกลับกดน้ำหนักให้แรงกว่าเดิม แถมยังค่อยๆบดขยี้เบาๆเมื่อลิ้นหนากำลังสอดเข้าสู่โพรงปากแสนหอมหวานนั้น ความวาบหวามของจูบแรกที่นิลกาฬได้รับ และความรู้สึกที่แปลกใหม่ นิลกาฬยอมเผยอปากให้ลิ้นหนานั้นเข้าไปชิมความหวานได้โดยลืมไปเลยว่าอนาคินคือพี่เขยของตัวเอง
“อื้มม~~”เสียงครางท้วงในลำคอเบาๆของนิลกาฬ บวกการรุกล้ำของอนาคินที่ตอนนี้กลับห้ามใจที่จะไม่ให้สัมผัสผู้ชายที่ได้ชื่อว่าน้องเมียคนนี้
หลายปีมานี้เขาไม่เคยได้ปลดปล่อยความเป็นชายเลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะเขาไม่มีอารมณ์กับใครทั้งสิ้นนับตั้งแต่นิรมลเสียชีวิต แต่กลับกันผู้ชายร่างผอมโปร่งคนนี้กลับทำให้เขามีความต้องการตลอดเวลา แค่ได้กลิ่นกายของนิลกาฬก็ทำให้ฟีโรโมนมันแตกพล่านไปหมด
“นายสวยจัง...อ่าห์~~”อนาคินเพ้อออกมาเมื่อร่างสูงกำลังคร่อมร่างของนิลกาฬไว้ แรงกดเน้นกลางกายที่พยายามให้อีกคนร่วมรู้สึก มันได้ผลเพราะในหัวของนิลกาฬมันกระเจิงไปหมดแล้วสำหรับความคิด หรือความผิด ชอบ ชั่ว ดี ว่าผู้ชายคนนี้คือพี่เขย
“อ่าห์~”เสียงครางออกมา เมื่ออนาคินเลิกเสื้อขึ้นเผยให้เห็นยอดอกสวยก่อนจะใช้ริมฝีปากชิมมัน ก่อนจะใช้บิ้นดุนไปมาจนนิลกาฬแทบบ้า
“อื่อออ คุณอนาคิน เสียว~”นิลกาฬเอ่ยออกมาอย่างไม่อาย มือเรียวโอบรอบคอแกร่งก่อนที่อาภรณ์ของทั้งสองจะหายไปองอยู่ที่พื้น ดนตรีในหนังและข้างนอกกำลังบรรเลงแข่งขันกัน นิลกาฬดูเหมือนจะระทวยไปหมด เขายอมให้อนาคินทำแบบนี้กับตัวเองได้ยังไงกัน หรือว่าทั้งที่จริงแล้วเขาก็ต้องการแบบนี้อยู่แล้ว
“เรียกพี่แบล็คสิ อ่าห์~”อนาคินเอ่ยขึ้นก่อนจะหยัดตัวขึ้นเพื่อกดบางอย่างเข้าสู่ช่องทางที่ฝืนธรรมชาตินั้น ช่องทางที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อกิจกรรมของความสุขนี้แต่นิลกาฬก็ยินยอมให้บางอย่างแทรกกายเข้าไป
“อ่าห์...เจ็บครับ....พี่แบล็ค”เพียงแค่นิลกาฬเอ่ยแค่นี้ อนาคินที่กดบางอย่างเข้าสู่ช่องทางสีสวยนั้นแทบบ้า ผนังนุ่มกำลังตอด บีบรัดสิ่งแปลกปลอมนั้น เสียงที่เหมือนบางอย่างฉีกขาดดังขึ้นเล็กน้อย อนาคินจูบซับที่หน้าผากมนสองครั้งเพื่อปลอบขวัญ
จุ๊บ จุ๊บ
“ไม่เจ็บนะครับ พี่จะไม่ยอมให้เราเจ็บ อ่าห์...”น้ำเสียงแสนละมุน สัมผัสแสนอ่อนโยนและความนุ่มนวลที่ได้รับกลับทำให้นิลกาฬลืมความเจ็บนั้นเป็นปลิดทิ้ง และปล่อยตัวเองตามบทเพลงรักของอนาคินไปทุกท่วงท่า ไม่ว่าอนาคินให้ทำอะไรนิลกาฬไม่เคยจะปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
แฮ่กๆ
“อ่าห์...”นิลกาฬหลับตาพริ้มสวมกอดคนที่หมดแรงอยู่บนร่างกาย ที่ตอนนี้หายใจหอบอยู่ไม่แพ้กันก่อนที่อนาคินจะกดจูบที่หน้าผากนิลกาฬเบาๆ ก่อนจะพลิกกายนอนหมดแรงอยู่ข้างๆนิลกาฬ ผ้าคลุมโซฟาผืนเล็กถูกดึงมาห่มให้นิลกาฬก่อนที่ร่างของนิลกาฬจะถูกดึงเข้าไปซุกที่อกอนาคิน ทั้งสองเผลอหลับกันไปทั้งคู่อย่างหมดแรง
“วิเศษที่สุดเลย...คุณนิ่ม”
"ไม่รัก ไม่มีทางได้สัมผัส"
2be>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
-
:hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
-
เฮ้อ...
-
เมื่อรู้สึกตัว จะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ..
-
ตัวแทนเลยอ่ะตอนนี้
รอๆๆๆๆ
-
Black Heart 6 : เสียงที่ไม่มีเสียง (อนาคินxนิลกาฬ)
อนาคินปรือตาตื่นขึ้นมาหลังจากทำกิจกรรมอย่างว่ากับนิลกาฬรอยยิ้มฝุดขึ้นที่มุมปาก อนาคินไม่เคยมีเซ็กส์ครั้งไหนจะสุขเท่าครั้งนี้ เขากำลังสำรวจใบหน้าที่แสนหวาน ยามหลับนิลกาฬเหมือนเด็กน้อยที่ต้องคอยปกป้อง
“นิล...นิลกาฬ”เสียงเอ่ยเรียกของอนาคินปลุกคนที่นอนหลับอยู่ให้ตื่นขึ้น เพราะเวลาตอนนี้บอกว่าเกือบสี่โมงเย็นแล้ว เขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ในห้องนี้เกือบสี่ชั่วโมงโดยมีกิจกรรมอย่างว่ามาทำให้เวลามันผ่านไปไวเหลือเกิน
“หื้ม...ครับ”เสียเอ่ยพร้อมปรือตาขึ้นมา ทันทีที่ลืมตาขึ้นนิลกาลก็หน้าแดงเห่อทันที ทั้งรู้สึกเขินอายและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน
“จะสี่โมงเย็นแล้ว ฉันว่านายไปนอนพักที่ห้องดีกว่านะ เดี๋ยวทุกคนจะกลับแล้ว”อนาคินเอ่ย นิลกาฬเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ประโยคที่เขาได้ยินมันไม่ใช่ฝัน เพราะอนาคินไม่ได้คิดกับเขามากไปกว่าน้องเมียจริงๆ
“ครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นพร้อมค่อยๆพาตัวเองใส่เสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ตอนนี้ อนาคินเองก็เช่นกัน
วันนี้วันศุกร์ทุกคนจะต้องมารวมตัวกันทานข้างที่บ้าน และมันก็ใกล้เวลาที่ทุกคนจะกลับมาแล้ว นอลกาฬพาตัวเองเดินออกจากห้องใต้ดินนั้นโดยไม่ได้รอหรือมองอนาคินเลย
“ฮึกๆ นายมันบ้า...ฮื่อๆๆ บ้าที่ยอมเข้าเพียงเพราะคิดไปเองว่าจะทำให้เขาลืมพี่นิ่มได้”น้ำเสียงด่าท้อตัวเองเบาๆของนิลกาฬเมื่อเข้าห้องนอนตัวเอง
สายน้ำที่กำลังกระจายทั่วจากฝักบัว รดเข้าที่หัวกลมของนิลกาฬ สองมือกำลังสวมกอดเข่าตัวเองที่ยกขึ้นมารองใบหน้าและน้ำตาที่กำลังไหล เขาปล่อยกายและปล่อยใจให้กับอนาคินไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงยอมให้อนาคินทำแบบนี้กับตัวเองทำไม
ที่โต๊ะอาหารของวันนี้ ช่วงทุ่มของวันศุกเป็นวันที่พี่น้องทั้งหกจะมาทานอาหารร่วมกัน วันนี้ก็เช่นกันแต่วันนี้ที่โต๊ะอาหารกลับไม่มีนิลกาฬเหมือนอย่างเคยจนคนที่ร้อนใจที่สุดน่าจะเป็นอนาคินและเกรย์
“รอยด์ พี่นิลไม่สบายหรอเปล่า”เสียงบลูเอ่ยถามรอยด์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่รู้ฮะ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“ไม่รู้ได้ยังไง อาตัวเองแท้ๆไม่คิดจะห่วงเลยหรอไง ทุกครั้งคุณนิลจะมาประจำโต๊ะก่อนใคร ถ้าไม่มาแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ”เสียงโวยของเกรย์เอ่ยออกมาจนทุกคนบนโต๊ะนึกสงสัย เช่นเดียวกับอนาคินที่รู้ดีว่าเกรย์ชอบนิลกาฬอยุ่แล้ว
“เปล่าฮะ ธรรมดาอานิลจะไม่ค่อยป่วย อาจะเป็นคนที่ดูแลสุขภาพมาก งั้นผมขึ้นไปตามนะฮะ”รอยด์เอ่ยขึ้น อนาคินจึงเอ่ยท้วงไว้
“ไม่เป็นไรหรอก รอยด์ทานข้าวเถอะ...และทุกคนก็ทานข้าวด้วย สำหรับนิลกาฬเดี๋ยวให้คนเอาอาหารยกไปให้แล้วกัน”น้ำเสียงเด็ดขาดของอนาคินเอ่ยบอกทุกคน เกรย์เองก็ไม่พอใจนักแต่เขาก็เชื่อฟังอนาคินเสมอ
“เกรย์พรุ่งนี้ขึ้นเครื่องกี่โมง”อนาคินเอ่ยถามน้องชายคนรองที่กำลังจ้องเด็กน้อยอีกมุมของต๊ะอาหารอย่างไม่พอใจ
“เกรย์...เฮียถามนายว่าพรุ่งนี้ขึ้นเครื่องกี่โมง”อนาคินเอ่ยย้ำอีกครั้งเพื่อเรียกสติน้องชาย
“ทุ่มครับ”เกรย์เอ่ยั้นๆ
“พี่เกรย์ซื้อของมาฝากด้วยนะครับ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหวาน เกรย์ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
“อยากได้อะไรหล่ะ”เกรย์ถามขึ้น
“เฮียดูหนังสือแปลเกี่ยวกับโอเปร่าและการละครให้ผมด้วยได้ไหม”เสียงไวท์เอ่ยขึ้น เกรย์ขมวดคิ้ว
“หมอจะเอาไปทำอะไร ทุกทีจะเอาแต่กายวิภาคมากกว่า”อนาคินเอ่ยถามน้องชาย
“อ่า...เอาไปให้เพื่อนครับ”ไวท์เอ่ยบอกพร้อมหลบสายตา
“แหมไม่ต้องไปซื้อเป็นหนังสือหรอกเฮีย มาเรียนกับเค้านี่มา เรื่องการแสดงถนัดนัก”กรีนเอ่ยขึ้น
“แหม เฮียอ่ะแค่ถ่ายแบบก็เอาคิวว่างก่อนม่ะจะมาสอนการละครและที่สำครัญเฮียยังไม่เคยเล่นละครจะเอาอะไรปสอนใครได้”บลูเอ่ยแซวพี่ชายตัวเองก่อนจะพากันหัวเราะออกมา
“เอ่อ คุยเรื่องถ่ายแบบก็ดีแล้ว เฮียจะเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของเราที่ไปร่วมทุนครั้งนี้ เฮียจะให้กรีนมาเป็นพรีเซนเตอร์ให้นะ วันจันทร์เข้าบริษัทกับเฮียด้วยแล้วกันเพราะจะนัดเจอกับโปรดิวเซอร์ที่จะมาทำโฆษณาให้เรา”
“ว้าว เฮียแบล็คตาถึงที่สุดเลยครับ ฮ่าๆ”
“เปล่า แค่งบน้อยอ่ะ ใช้บริการแกไม่ต้องจ่ายค่าจ้างไง ฮ่าๆ”เสียงอนาคินเอ่ยพร้อมหัวเราะออกมา ทั้งโต๊ะพากันหัวเราะพร้อมรอยยิ้ม
“โธ่...นี่ถ้าพี่นิ่มยังอยู่พี่นิ่มจะบอกว่า เฮียอ่ะงกที่สุด ให้ๆน้องไปเถอะ”กรีนเอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือปิดปากตัวเอง ซึ่งไวท์ก็ช่วยอีกแรงโดยใช้มือตะบบปากนั้นไว้ ใบหน้าอนาคินหุบยิ้มทันทีแต่ก็ไม่มากนัก ไม่รู้ว่าทำไมถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาต้องลุกออกจากโต๊ะอาหารไปแล้ว
“เป็นไร ทานข้าวดีกว่าวันนี้เหมือนป้าสมพรจะเอาใจทุกคนจริงๆทำอาหารเกือบสิบหย่างแหน่ะ”อานคินเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมาทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อยๆผ่อนคลายอย่างน่าสงสัย ทั้งหมดต่างทานนไปคุยไป หัวเราะบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
เสียงหัวเราะที่ดังต่อเนื่องของคนบนโต๊ะอาหาร มันต่างกันกับคนที่นอนอยู่บนเตียงตอนนี้น้ำตาไหลไม่หยุด ตอนแรกนิลกาฬเองก็ไม่อยากเสียมารยาทที่ไม่ร่วมโต๊ะอาหาร แต่เมื่อเขายังไม่ทันก้าวไปชั้นล่าง เขาได้ยินประโยคที่อนาคินเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก รอยด์ทานข้าวเถอะ...และทุกคนก็ทานข้าวด้วย สำหรับนิลกาฬเดี๋ยวให้คนเอาอาหารยกไปให้แล้วกัน”
ประโยคที่ดูเหมือนตัวนิลกาฬไม่มีความสำคัญอะไรเลยกับอนาคิน หรือว่าที่จริงเขาเองก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับอนาคินอยู่แล้ว
“ก็แค่ตัวแทนของพี่นิ่ม ไม่มีทางได้เป็นตัวจริงสำหรับเขา”นิลกาฬเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังมือถูกกดที่ริมฝีปากเพื่อกลั้นความเจ็บปวดในหัวใจนั้น
เวลานานเท่าไหร่ที่นิลก่ฬหลับไป ที่จริงเขาเองก็ครั่นเนื้อครั้นตัวไม่สบายอาจเป็นผลจากการที่เขาทำเรื่องแบบนั้นกับอนาคินเมื่อบ่ายนี้ทำให้เป็นไข้
“อื่อออออ”เขารู้สึกได้ว่ามีหลังมือเย็นๆมาแตะที่หน้าผากของเขา แต่ไม่รู้ว่าเป็นใค หนักงาบนที่แสนหนักอื้อไม่สามารถปรือตามองได้
“รอยด์หรอ...”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถาม
“เปล่าครับ ผมเกรย์เอง ผมมาดูคุณนิลและเอาข้าวขึ้นมาให้”เกรย์เอ่ยขึ้น นิลกาฬค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นแต่มันหนักื้อเหลือเกิน
“ไม่ต้องลุกครับ นอนไปเถอะ”เกรย์เอ่ยขึ้นก่อนจะรั้งที่ไหล่นิลกาฬไม่ให้ลุกขึ้น
“คุณเกรย์นี่เอง ว่าแต่กี่โมงแล้วครับ”นิลกาฬเอ่ยถามเพราะเขานอนไปนานเท่าไหร่แล้ว
“สี่ทุ่มครับ ผมขึ้นมาดูคุณนิลสองรอบแล้วเห็นข้างยังไม่ถูแตะผมเลยเอามาเปลี่ยนให้”
“ขอบคุณนะครับ”นิลกาฬเอ่ยอยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมา แสดงมาช่วงเวลาที่รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาก่อนหน้านี้คือคุณเกรย์เองหรอ แล้วความรู้สึกว่ามีคนจูบซับที่หน้าผากแล้วบอกว่าห่วงนะคือคุณเกรย์เองหรอ
“คุณนิล ร้องไห้ทำไมครับ”เกรย์เอ่ยขึ้นอย่างตกใจที่เห็นน้ำตาของนิลกาฬไหลออกมา
“อ่อ เปล่าร้องครับ น่าจะปวดหัวจากพิษไข้อ่ะ เลยทำให้น้ำตาไหล ขอบคุณคุณเกรย์มากนะครับที่มาดูแลผม”นิลกาเอ่ยขึ้น
“ผมเต็มใจครับ พรุ่งนี้ผมต้องไปอิตาลีแล้ว ตั้งอาทิตย์หนึ่งถึงจะได้เจอกัน”เกรย์เอ่ยบอก นิลกาฬยิ้มอ่อนๆด้วยพิษไข้ทั้งเพลียทั้งปวดหัว
“แปบเดียวเองครับ...”นิลกาฬเอ่ยด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวจนเกรย์นึกเกรงใจ
“คุณนิลทานข้าวก่อนนะครับแล้วจะได้กินยา”เกรย์เอ่ยขึ้นพร้อมขยับร่างของนิลกาฬให้พิงกับหมอนไว้ ก่อนจะยกข้าวต้มขึ้นมา
“เอ่อ...คุณเกรย์ผมทานเองได้ครับ”นิลกาฬเอ่ยอย่างเกรงใจ แต่คนตัวสูงกลับทำหน้าดุใส่เล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ให้ผมป้อนนะครับ อย่าดื้อกับผมเลย”เกรย์เอ่ยพร้อมตักข้างต้มมาเป่าไล่ความร้อนออกเล็กน้อย นิลกาฬมองใบหน้าหล่อเหลานั้น ความอบอุ่นและอ่อนโยนนี้ถ้าเป็นพี่ชายคนโตของบ้านนี้ทำแบบนี้ก็คงดี แต่ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดขนาดนิลกาฬไม่สบายอนาคินยังไม่มาดูแลเลยสักนิด ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เขาทั้งสองเพิ่งเปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์กันมากกว่าพี่เขยน้องเมีย
นิลกาฬทานข้าวและทานยาเขาก็หลับทันทีด้วยพิษไข้ หลังจากเกรย์กลับรอยด์และพิ้งค์ก็เข้ามาดูนิลกาฬแต่ถูกเกรย์ดักไว้ว่าไม่ให้ไปกวนนิลกาฬจะพักผ่อน ทำให้นับจากนั้นก็ไม่มีใครเข้ามากวนนิลกาฬอีกเลย จนช่วงเวลาเกือบตีหนึ่งประตูห้องอีกด้านของห้องนอนนิลกาฬถูกเปิดออก ตู้หนังสือในห้องนอนของนิลกาฬมันสามารถเชื่อมต่อไปอีกห้องได้ ซึ่งห้องนั้นเป็นห้องของอนาคินนั้นเอง แต่นิลกาฬเองไม่มีทางรู้เลยว่ามีประตูลับนี้
จุ๊บ
“หายไวๆนะ”อนาคินเอ่ยหลังจากกดจูบที่หน้าผากของนิลกาฬเบาๆ มือหนาลูบไล้กลุ่มผมนิ่มไปมาก่อนจะดึงร่างของนิลกาฬเข้าไปสวมกอดไว้ ใบหน้าเล็กซุกเข้าที่อกอุ่น ริมฝีปากเพ้อหาแต่คำว่าทำไม
“ทำไม...”อนาคินจูบซับที่หขมับขาวอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เพ้อเชียว ขอโทษนะที่ทำให้ต้องเจ็บ”อนาคินเอ่ยก่อนจะสวมกอดนิลกาฬไว้ คืนนี้เขาตั้งใจจะนอนกอดนิลกาฬไว้ตลอดคืน
...
..
ร่างกายเหมือนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ นิลกาฬปรือตาขึ้นเพื่อปรับแสงจากด้านนอกแต่ทว่าตอนนี้เข้าอบอุ่นเหลือเกินอบอุ่นเสียจนว่าวันหนึ่งความอบอุ่นนี้จะหายไป
“อ่ะ...ตื่นแล้วหรอ เป็นไงมั้ง ปวดหัวอยู่ไหม”น้ำเสียงเอ่ยอย่างห่วงใยของอนาคิน ทำให้หัวใจของนิลกาฬมันเต้นแรงปั่นป่วนไปหมด มือหนายกแตะที่หน้าผากไปมาก่อนจะจับหัวกดกดเข้าที่หน้าผากตัวเอง
“เอามือแตะแล้วไม่รู้สึกเลย ฉันว่าแบบนี้น่าจะชัดกว่า นายว่าม่ะ”อนาคินเอ่ยขึ้น หน้าผากที่แนบชิดกัน ปลายจมูกที่เกือบชนกันจนรู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดกัน หัวใจของอนาคินเต้นแรงจนลืมไปว่าเขากำลังป่วยอยู่
จุ๊บ
“ตัวยังรุมๆอยู่ วันนี้วันเสาร์ฉันว่านอนพักอยู่ที่ห้องนี่หล่ะ เดี๋ยวฉันให้เด็กเอาข้าวต้มมาให้นะ”อนาคินเอ่ยขึ้น สองแขนยังคงกอดร่างโปร่งไว้แน่น เหมือนว่านิลกาฬจะหายไป
“ครับ...”นิลกาฬเอ่ย รอยยิ้มที่ฝุดขึ้นมุมปากของนิลกาฬ เขามีความสุขมากแม้ว่าความสุขนี้จะไม่มีทางได้เป็นตัวจริงของอนาคินก็ตาม
ระหว่างที่อนาคินและนิลกาฬยังนอนกอดกันอยู่บนเตียง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของมาลี สาวใช้ในบ้าน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณนิลคะ มาลีเองคะ”อนาคินหันมองที่ประตู ก่อนจะมองมายังนิลกาฬที่มองไปยังประตูทำท่าจะเอ่ยขึ้นแต่อนาคินไม่อยากให้สาวใช้มากวนเวลาความสุขของเขาและนิลกาฬจึงส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอร้อง นิลกาฬอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะแกล้งอนาคินเขาแค่จะแกล้งอ้าปากเท่านั้นไม่ได้ออกเสียงอะไร
“อ๊ะ...อุ๊ปห์”เสียงของนิลกาฬกลับกลืนเข้าสู่ลำคอสวยไปเรียบร้อย นิลกาฬหลับตาลงช้าๆรับกับจูบนั้น เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่เสียงข้างนอกกลับเงียบลงแล้ว
“อื้มมมม”เสียงครางในลำคอเบาๆท้วงทำให้อนาคินผละจูบออกอย่างเสียดายนัก
“ไม่กลัวติดไข้หรอครับ”นิลกาฬเอ่ยถาม ทั้งๆที่เขาอยากจะถามอนาคินว่า กลัวมีคนรู้ว่าอนาคินอยู่กับเขาหรอไง แต่ไม่กล้าจะถามตรงๆ
“ไม่อ่ะ ฉันยอมเป็นไข้”อนาคินเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา แต่นิลกาฬกลับยิ้มไม่ออก
“คุณกลัวคนที่บ้านรู้หรอครับว่าเราสองคน...”นิลกาฬเอ่ยขึ้นเบาๆแต่ก็ต้องเงียบลงเพราะตัวเองไม่มีสิทธ์ที่จะเป็นได้มากกว่าการเป็นตัวแทนของพี่สาวตัวเอง
“นายพูดอะไรนะ”อนาคินเอ่ยถามด้วยเสียงไม่พอใจ
“เปล่าครับ ว่าแต่สายแล้วคุณจะกลับห้องหรือยัง”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถามทั้งๆที่ตัวเขาเองยังคงอยู่ในอ้อมกอดของอนาคินอยู่
“รีบไล่ฉัน ไม่ใช่ว่านายกลัวเจ้าเกรย์มาหรอกหรอ”อนาคินเอ่ยขึ้น
“แล้วแต่คุณอนาคินจะคิดครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นพร้อมหลับตาลง
“นายอ่ะเมียฉัน อย่าคิดปันใจมาให้ใคร”อนาคินเอ่ยขึ้นอย่างฉุนๆ
“เมียหรอครับ คุณเคยบอกผมว่าคุณมีเมียแค่คนเดียวคือพี่นิ่ม”นิลกาฬเอ่ยก่อนจะนอนหันหลังให้อนาคินด้วยความน้อยใจ อนาคินเองก็หงุดหงิดใจเพราะเขาเองเป็นคนบอกแบบนั้นจริงๆ
“เดี๋ยวฉันให้เด็กเอาอาหารเช้าขึ้นมาให้นะ”อนาคินเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไป นิลกาฬที่นอนนิ่งอยู่น้ำตาก็ไหลออกมา มันเจ็บที่รักเขาทั้งๆที่รู้ว่าเขารักใครแต่นิลกาฬเองก็รักไปแล้ว
“ถ้าผมยอมเจ็บและรอให้คุณมีแค่ผม ผมต้องรออีกนานแค่ไหนครับช่วยบอกผมที”
............................
"รู้ว่าข้างหน้าเหว แต่ก็จะข้ามันไป"
2be>>>>>>>>>>>>>>>>>>
-
:เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
-
นิลต้องรอนานขนาดไหนน่ะ
ส่งคู่มาให้เกรย์ด้วยยยยย
-
ไม่ยอมพูดกันตรงๆ ..
-
Black Heart 7 : แอบสงสัย (อนาคินxนิลกาฬ)
นิลกาฬก้มหน้าก้มตาทำงานไปเรื่อยๆทั้งๆที่งานไม่ได้ยุ่งอะไร เขาเองทำตัวเองยุ่งเองเพราะขืนนั่งนิ่งๆเขาต้องถูกคนตรงหน้าเรียกเข้าไปหาแน่นอน
“งานเสร็จยัง”อนาคินเอ่ยถามคนตรงหน้าที่ตอนนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว แต่คนตัวเล็กกว่ายังคงทำตังยุ่งๆอยู่
“อีกนิดครับ คุณอนาคินมีอะไรจะใช้ผมหรือเปล่าครับ”นิลกาฬเอ่ยทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่
“แค่งานรายการเดียวนายทำมันตั้งแต่เช้ายังไม่เสร็จถ้าจะใช้นายอีกสงสัยได้กินข้าวบ่ายโมงแน่ๆ”อนาคินเอ่ยขึ้น
“คุณหิวแล้วหรอครับ ให้ผมโทรสั่งอะไรให้ดีไหมครับ”นิลกาฬเอ่ยเพราะมันคือเรื่องปกติอยู่แล้วที่ใกล้เวลาเขาจะสั่งอาหารกลางวันไว้ให้อนาคิน
“ใช่ฉันหิว และก็หิวมากด้วยแต่ฉันไม่อยากกินกลางวันที่นี่”อนาคินเอ่ยขึ้น เหมือนดั่งคนเอาแต่ใจ นิลกาฬเอยหน้าจากคอมพิวเตอร์ ใบหน้าหวานต้องตกใจเล็กน้อยเมื่อใบหน้าคมเข้มกำลังจ้องเขาอยู่ตรงหน้าเพียงแค่คืบตอนนี้
“เอ่อ งั้นคุณอนาคินจะออกไปทานข้างนอกหรอครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“อื้ม และนายก็ต้องไปกับฉันด้วย”อนาคินเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มเล้กน้อยที่มุมปาก
“อ่า คือว่างานผมยังไม่เสร็จเลยนะครับ คุณอนาคินหิวก็ออกไปทานได้เลยนี่ครับ ผมทานข้างล่างตึกจะดีกว่า”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“จะทานข้างล่างตึกได้ยังไง เจ้าเกรย์ก็ไม่อยู่แล้วนายจะกินกับใคร หรือมีคนกินด้วยนอกจากเจ้าเกรย์อีก มันเป็นใครบอกฉันมา”อนาคินขึ้นเสียงเล็กน้อยจนนิลกาฬตกใจกับความคิดของอนาคินที่มักจะคิดเองเสมอ
“ไม่มีใครทั้งนั้นหล่ะครับ และเลิกคิดไปเองได้แล้ว”นิลกาฬเผลอตะคอกออกมาเล็กน้อยอย่างลืมตัว ใบหน้าหวานกลับบึ้งเล็กน้อย อนาคินเองก็จ้องหน้านิลกาฬเช่นกัน
“เซฟงานแล้วลุกขึ้นไปทานข้าวกับฉันตอนนี้”อนาคินเอ่ยสั่งนิลกาฬที่จ้องใบหน้าของอนาคินเช่นกัน แต่ในใจกลับเต้นแรง
“เวลางานผมเข้าใจว่าผมคือเลขาคุณที่จะทำตามคำสั่ง แต่เวลาพักคือเวลาส่วนตัวผมไม่ใช่เลขาคุณนะครับ จะมาสั่งให้ไปไหนมาไหนด้วยอ่ะ”
“ก็ถูกเวลางานนายคือเลขา เวลานอกงานนายคือเมียไง แล้วตอนนี้มันสิบเอ็ดโมงครึ่งยังเป็นเวลางานฉันสั่งนายในฐานะเจ้านายให้ไปทานข้าวกลางวันกับฉัน”อนาคินเอ่ยด้ยใบหน้านิ่ง แต่ต่างกันกับนิลกาฬที่ตอนนี้ใบหน้ามันกลับร้อนผ่าวไปหมด ใบหูเขาคงแดงน่าดูตอนนี้เพราะความเขินกับคำพูดของอนาคิน
เวลาเพียงไม่นานอนาคินก็พานิลกาฬมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากทีทำงานมากนัก ในร้านตกแต่งด้วยโทนสีดำแต่แต้มด้วยหลากหลายสีทำให้ดูไม่น่ากลัวนัก
“ทำไมพาผมมาร้านนี้ครับ”นิลกาฬเอ่ยพร้อมมองไปรอบๆร้านที่ตกแต่งด้วยสีสันที่มีพื้นหลังเป็นสีดำก็ตาม
“พามาทานข้าวง่ะ ชอบบรรยกาศของร้านม่ะ”อนาคินเอ่ยถาม นิลกาฬยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“มองข้างนอกเหมือนร้านจะดูน่ากลัวนะครับ สีออกโทนดำไปหมดแต่พอเข้ามาแล้วดูสบายไม่อึดอัดเลยสักนิด ทั้งๆที่แอบกลัวว่าจะทานอาหารอร่อยไหมถ้าตกแต่งร้านแบบนี้”นิลกาฬเอ่ยขึ้น รอยยิ้มหวานฝุดขึ้นกว้างจนอนาคินเองยิ้มมุมปากอย่างพอใจ
“บางครั้งสีดำก็ไม่จำเป็นตัวแทนของสีที่จะเป็นสีน่ากลัวและอึดอัดหรอกนะ เพราะสีดำมันก็หมายถึงความมั่นคงเช่นกัน”อนาคินเอ่ยขึ้นมือหนาเอื้อมกุมมือขาวที่วางอยู่ นิลกาฬมองหน้าอนาคินก่อนจะปรายตามองที่มือของทั้งคู่ที่ยังกุมกันอยู่ก่อนเอ่ยขึ้น
“ครับ ผมทราบว่าสีดำหมายถึงความมั่นคง เพราะตลอดเวลาผมก็เชื่อว่าคุณก็รักพี่นิ่มอย่างมั่นคงเช่นกัน”นิลกาฬเอ่ยขึ้น รู้ว่ามันเจ็บก็ยังจะเอ่ยออกมานิลกาฬคิดในใจ อนาคินขมวดคิ้วเข้าหากันมองไปยังใบหน้าหวานของนิลกาฬที่จ้องมองเขาเช่นกัน
“สีดำ ไม่จำเป็นจะเป็นสีดำเสมอนะ เพราะถ้าสีดำเจอกับสีขาวก็สามารถเปลี่ยนเป็นสีเทาได้”อนาคินเอ่ยสายตาจับต้องมายังนิลกาฬไม่วางสายตา จนบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟทั้งสองจึงผละสายตาจากกัน
ทั้งสองนั่งทานอาหารกลางวันไม่นานนัก อนาคินก็ชวนนิลกาฬไปนั่งย่อยที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ตอนแรกนิลกาฬไม่อยากจะไปแต่ถูกอีกคนบังคับ
“นายชอบกาแฟแบบไหน สั่งเลยนะ”อนาคินเอ่ยถามนิลกาฬ
“ผมไม่ดื่มกาแฟครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น อนาคินเงยหน้ามองคนตรงหน้าก่อนจะวางเมนูลง
“อ้าว หรอฉันเห็นว่าคุณนิ่มชอบดื่มกาแฟมาก ฉันก็คิดว่านายก็ชอบเหมือนกัน”อนาคินเอ่ยออกมาอย่างไม่คิด เพราะคิดว่านิลกาฬเป็นฝาแฝดนิรมลทำให้คิดว่าน่าจะชอบอะไรเหมือนกัน
“ฝาแฝดกัน ไม่จำเป็นต้องชอบอะไรเหมือนกันไปทุกอย่างหรอกนะครับ ถ้าคุณคิดว่าผมชอบอะไรเหมือนพี่นิ่ม คุณน่าจะคิดผิดเพราะผมไม่ได้ชอบอะไรทุกอย่างที่พี่นิ่มชอบ”นิลกาฬเอ่ยอย่างหงุดหงิดใจ ทำไมอนาคินไม่ถามเขาก่อนนะว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร แล้วยังจะเอานิรมลมาเป็นบรรทัดฐานตัดสินนิลกาฬแบบนี้
นิลกาฬเดินออกจากร้านมาอย่างไม่สนใจอนาคิน เขาโมโหนักที่ในหัวอนาคินมีแต่นิรมล แล้วในหัวของอนาคินไม่มีเขาบ้างเลยหรอไงนะ อนาคินเดินตามออกมาติดๆ
“รถอยู่ทางนี้”อนาคินเอ่ยพร้อมดึงแขนเล็กกว่าเดินออกไป นิลกาฬที่ขืนเล็กน้อยแต่ก็แพ้ออนาคินที่ร่างสูงใหญ่กว่า ร่างโปร่งถูกจับยัดใส่รถด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
“นี่ไม่ใช่ทางกลับออฟฟิตนี่ครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าเส้นทางกลับที่ทำงานไม่ใช่ทางเดิม
“ใครบอกว่าฉันจะกลับออฟฟิต”อนาคินเอ่ยขึ้น พร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยใบหน้านิ่งๆยังคงขับรถไปเรื่อยๆโดยไม่ได้หันไปมองคนตัวเล็กกว่าที่กำลังกระฟัดกระเฟือดอยู่ตอนนี้
“นายรู้ตัวไหม ว่าเดี๋ยวนี้นายทำหน้าเหมือนงอนฉันบ่อยมากเลยนะ”อนาคินเอ่ยพร้อมใช้มือหนาจับมือเล้กของนิลกาฬมาวางไว้ที่ตักตัวเอง
“งอนยังไงครับ ผมมีสิทธิ์งอนคุณด้วยหรอ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น ใบหน้าหงิกงอแต่ยังแฝงไปด้วยความน่ารักอยู่
“แบบนี้ไง รู้ไหมว่านายกับคุณนิ่ม...”ยังไม่ทันที่อนาคินจะเอ่ยต่อ นิลกาฬก็รีบดึงมือกลับทันทีแต่ไม่เป็นผลเพราะอนาคินยังคงดึงกลับมาวางไว้ที่ตักเช่นเดิม
“ทำไมครับ ผมกับพี่นิ่มไม่เหมือนกัน หรือต่างกันยังไงครับ ถ้าคุณจะเปรียบเทียบผมกับพี่นิ่ม ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่า เราสองคนเป็นคนละคนกันครับ พี่นิ่มคือพี่นิ่ม ผมคือผม...”
เอี๊ยดดดดดดดด
อนาคินเบรครถเข้าข้างทางทันที แม้ว่าข้างทางจะเป็นถนนสายหลักเพื่อเข้าสู่หัวหินก็ตามแต่รถก็ไม่มากนัก อนาคินยกมือโอบที่เบาะคนนั่งข้างๆ อนาคินโน้มหน้าต่ำลงเขาใช้มือเชยคางของนิลกาฬเพื่อให้ใบหน้าเชิดขึ้นก่อนจะกดทับริมฝีปากนิ่มนั้นทันที
“อ๊ะ...”เสียงนิลกาฬดังขึ้นในลำคอเล็กน้อยก่อนจะถูกกลืนหายเข้าลำคอไปเรียบร้อย แรกๆนิลกาฬยังขืนเล็กน้อยไม่ยอมเผยอริมฝีปากแต่เพราะน้ำเสียงครางเบาๆของอนาคินทำให้นิลกาฬรู้สึกดีนัก
"นายกับคุณนิ่มไม่เหมือนกันกันสักนิด และเวลาฉันอยู่กับนายและคุณนิ่มความรู้สึกมันก็ต่างกัน"อนาคินเอ่ยก่อนะออกรถ นิลฬกาลได้แต่คิดว่า มันจะเหมือนกันได้ยังไงกัน และความรู้สึกของคนที่รักและไม่รักจะเหมือนกันได้ยังไงกัน แต่ที่เหมือนกันอย่างเดียวคือ อนาคินเป็นคนที่นิลกาฬและนิรมลรัก
รถคันหรูจอดอยู่ข้างทางเพียงแค่สิบนาทีก่อนจะขับต่อออกไปเพื่อเข้าสู่หัวหิน บ้านพักตากอากาศของครอบครัวกิจสุนทรวิริยะกุล นิลกาฬที่เงียบตลอดทางหลังจากถูกจูบไปนานเกือบห้านาที อนาคินชำเลืองมองไปยังคนข้างๆพร้อมยกยิ้มมุมปาก มือหนายังจับมือบางแน่นที่หนาตัก
“คุณพาผมมาที่นี่ทำไม”นิลกาฬเอ่ยถามเมื่อรถจอดที่หน้าบ้านแล้ว
“ไม่มีเหตุผล แค่ฉันอยากอยู่กับนายแค่สองคนก็เท่านั้น”อนาคินเอ่ย มือหนาโอบเข้าที่ไหล่บางนั้นก่อนจะพาขึ้นบ้าน
“สองคน...”
“อื้ม สองคน ที่นี่ คืนนี้”
“แต่ผมไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนนะครับ ถ้าเราจะค้างคืน”นิลกาฬเอ่ย อนาคินไม่ได้สนใจอะไรพานิลกาฬเดินเข้าไปโดยทำเป็นหูทวนลม
"สนทำไมเสื้อผ้า สนว่าตอนนี้เราอยู่กันสองคนดีกว่า"อนาคินเอ่ย
"คุณมันบ้า"นิลกาฬสบถในใจก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย
“อ่าห์ สบายจัง”อนาคินเอ่ยขึ้นพร้อมล้มตัวลงนอนราบบนที่นอน นิลกาฬทำหน้าไม่พอใจออกมาแต่กลับถูกอนาคินรวบตัวเข้าไปสวมกอด
หมับ!
“อ๊ะ...ปล่อยนะครับ คุณจะทำอะไรอ่ะ”นิลกาฬทำหน้าค้อนใส่คนใต้ร่างแต่ใช่วิอนาคินจะสะทกสะท้านกลับกดจมูกที่แก้มขาวทันที
ฟอดดดดดดด
“คุณอนาคิน...”นิลกาฬเอ่ยเบาๆ ใบหน้าที่แดงเห่ออย่างเห็นได้ชัด อนาคินอมยิ้มออกมาก่อนจะจับใบหน้าของนิลกาฬกดหอมแก้มอีกข้าง
ฟอดดดดดด
“คุณ...”นิลกาฬเอ่ยยังไม่จบน้ำเสียงของเขาก็ถูกกลืนเข้าสู่ลำคอไปเรียบร้อยแล้วและก็จุดเริ่มต้นของไฟราคะที่กำลังครุกรุ่นขึ้นตอนนี้
“อ่าห์...ปล่อยผมเถอะ...อื่อ”นิลกาฬเอ่ยขอร้องด้วยเสียงกระเส่า แม้ริมฝีปากจะเพิ่งได้เป็นอิสระได้ไม่นายก็ถูกปิดอีกครั้งหลังจากที่อนาคินเอ่ยประโยคที่นิลกาฬแทบจะเอาหน้ามุดลงกับที่นอน
“ไม่ปล่อย เรียกพี่แบล็คหน่อยสิ น้องนิล...อ่าห์”อนาคินเอ่ยเสร็จก็กดริมฝีปากทับริมฝีปากบางอีกครั้ง ใบหน้าหวานแสดงออกด้วยความเสียวซ่านเมื่ออนาคินไล่มือมาที่กลางยุทศาสตร์ ลิ้นชื้นร้อนที่กำลังวนอยู่ในโพรงปากหวานนั้นหลายครั้งต่อหลายครั้งจนนิลกาฬเผลอแอ่นกายช่วงล่างให้กับอนาคินโดยไม่รู้ตัว
“อื่อ...อย่าครับ”นิลกาฬใช้มือจิกเข้าที่กลุ่มผมดำขริบ
“อ่าห์ เรียกพี่แบล็คสิครับ คนดี”อนาคินเอ่ยออีก ร่างกายที่มีแต่ความต้องการตอนนี้ทันประทุออกมาแทบบ้า กลางกลายที่พองโตแสนคับภายในกางเกงยิ่งส่งผลให้ปวดหนึบไปหมด
“นายสวยมากรู้ไหม นิลกาฬ”อนาคินเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า ทำให้คนที่นอนหลับตาพริ้มตอนนี้ยิ่งรู้สึกว่าเขาจะฝืนความรู้สึกของตัวเองไม่ไหวอยู่แล้ว
มือหนาจับมือบางไว้ก่อนจะย้ายมาที่เป้าของตัวเอง ทันทีที่นิลกาฬได้สัมผัสทำให้รู้สึกว่าของตัวเองมันดูด้อยไปทันทีทีถ้าเทียบกับของคนบนร่างตอนนี้ และนิลกาฬก็แพ้อนาคินอย่างสิ้นเชิงเพราะเสื้อผ้าอาภรณืที่ติดร่างกายตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว ร่างกายเปลือยเปล่าสองร่างกำลังทำให้บนเตียงตอนนี้มันร้อนแรงยิ่งกว่าพระอาทิตย์ยามบ่ายที่กำลังสาดส่องลงมา
“อ๊า~อ๊า~ อ๊า...พี่แบล็ค นิลเจ็บครับ”ยิ่งเสียงหวานเอ่ยประโยคนี้อนาคินเองยิ่งกระแทกช่วงล่างเข้าไปเน้นๆจนบางครั้งนิลกาฬแอบกลัวว่าเขาเองก็นึกชอบเซ็กส์แบบนี้ของอนาคิน ทุกครั้งที่อนาคินผ่อนแรงนิลกาฬจะเอ่ยเรียกชื่อเล่นของอนาคินออกมา ยิ่งทำให้อนาคินกระแทกความรักใส่คนตัวบางมากยิ่งขึ้น
“อื่อ~~อื่อ~~...นิลจ๋า ทำไมถึงได้สวยแบบนี้”เสียงหวานอนาคินเอ่ยออกมา ลิ้นชื้นและริมฝีปากทำงานอย่างสัมพันธืกำลังไล่วนไปมาทียอดอกสวยนั้น
“อ่า...พี่แบล็คครับ...นิลจะไปแล้ว อ่า~~”นิลกาฬเอ่ยขอเมื่อช่องทางสีหวานกำลังบีบรัดและเสียวซ่านจากแท่งร้อนทีตอนนี้เข้าสู่ร่างกายจนมิดด้าม แรงเสียดสีเข้าออกจากเจ็บสู่ความเสียวซ่านกระตุ้นให้มีความต้องการมากแค่ไหน อนาคินยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะกระแทกกายของตัวเองเข้าออกอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ... ~~”
“อื่อ... ~~พร้อมกันนะ ที่รัก...”อนาคินเอ่ยพร้อมกระแทกสุดแรงตามอารมณ์ของตัวเองจนร่างเล้กกว่าสั่นสะท้านไปทั่วร่าง
“อ่าห์...~~”
แฮ่กๆๆๆๆ
ร่างสูงนอนล้มพักอยู่บนตัวขาวของนิลกาฬ ริมฝีปากจูบพรหมไปทั่วหน้าผากและขมับเพื่อซับเหงื่อที่ชุ่มอยู่นนี้ทั้งๆที่กลางกายของอนาคินยังคงเชื่อมอยู่ที่ช่องทางสีหวานของนิลกาฬอยู่
“เอาออกได้แล้วครับ”นิลกาฬเอ่ยพร้อมหายใจโรยแรง มือบางพยายามดันร่างสูงให้ออกจากตัวแต่กลับไม่มีแรงจะผลักอนาคินออกจากร่าง เพราะน้ำเสียงอ้อนๆของอนาคินที่กระซิบอยู่ข้างหูตอนนี้
“ขออยู่แบบนี้สักพักนะครับ ในตัวนิลอุ่นจัง”นิลกาฬได้แต่หลับลงพร้อมยกยิ้มเล็กน้อยซึ่งอนาคินเองกึงไม่รู้ว่าใบหน้าที่แสนหวานกำลังยิ้มอย่างมีความสุขแค่ไหน ก่อนที่ทั้งคู่จะหลับไปทั้งๆที่ร่างกายยังเชื่อมต่อกัน
...
..
อนาคินและนิลกาฬพากันออกมาหาอะไรทานช่วงค่ำหลังจากที่อนาคินตื่นขึ้นมาและจัดนิลกาฬในห้องน้ำอีกยก ขาที่ออกจะสั่นเล็กน้อยของนิลกาฬค่อยๆฝืนตัวเองมาให้ถึงร้านอาหาร
“ทานเยอะๆรู้ไหม”อนาคินเอ่ยหลังจากแกะกุ้งและปูใส่จานให้คนตรงหน้าที่มองค้อนเล็กน้อยแต่ใบหน้ากลับมีร้อยยิ้มบางๆ
“ก็กินเท่าที่จะกินได้หล่ะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ก็กินเยอะกว่าเดิมจะเป็นไรไป เผื่อคืนนี้ต้องใช้แรงอีก”อนาคินเอ่ยหยอก นิลกาฬยกหมัดเล็กฟาดเข้าที่แขนแกร่งทันที แต่อนาคินกลับรวมมือเอาไวทันพร้อมกุมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“คุณอนาคิน ช่วยปล่อยมือผมด้วยครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นแต่อนาคินก็ยังไม่ปล่อย นิลกาฬถอนหายใจเบาๆ
“แล้วผมจะทานข้าวยังไงครับ ในเมื่อคุณไม่ยอมปล่อยมือผม”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“อื้ม งั้นอ้อนก่อนแล้วจะปล่อย”อนาคินเอ่ยเขามีความสุขมากที่ได้แกล้งคนตรงหน้า ที่จริงแล้วอนาคินเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนมาก มุมนี้ไม่มีคนรู้มาก่อนนอกจากคนใกล้ชิดมากๆเท่านั้น
“อะ...อ้อน อ้อนอะไรครับ”นิลกาฬทำหน้าตาตื่นทันที รอยยิ้มมุมปากของอนาคินช่างน่ากลัวและมีเสน่ห์เหลือเกิน
“ก็อ้อนให้ฉันปล่อยมือไง แค่เรียกว่าพี่แบล็คปล่อยมือนิลก่อนได้ไหมครับ แบบนี้อ่ะ”อนาคินลอยหน้าลอยตาเอ่ยขึ้น ทำให้นิลกาฬหัวเราะออกมาทันทีเพราะหน้าตาของอนาคินดูช่างน่ารักไปหมด
“ฮ่าๆๆ ถ้าเป็นน้องพิ้งค์หรือรอยด์ทำจะน่ารักมากกว่านี้ครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“แล้วฉันไม่น่ารักหรอไง”อนาคินเอ่ยออกมา
“ดูตลกมากกว่า ว่าแต่ปล่อยผมเถอะนะครับเดี๋ยวผมจะได้แกะปูให้คุณทานบ้าง”นิลกาฬเอ่ยออกมา รอยยิ้มหวานทำให้อนาคินค่อยๆยกมือลูบไปที่ใบหน้าของนิลกาฬ พร้อมเอ่ยขึ้น
“ป้อนให้ด้วยได้ไหม พี่อยากให้นิลป้อนพี่ด้วย”อนาคินเอ่ยออกมา หัวใจของนิลกาฬเต้นแรงขึ้นหัวใจจมันพองโตขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“ทำไมคุณ...”นิลกาฬยังพูดไม่จบอนาคินยกมือขึ้นแตะริมฝีปกาบางนั้นก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ระหว่างที่เราอยู่ที่นี่ เรียกฉันว่าพี่แบล็คและแทนตัวเองว่านิล ได้ไหม ฉันขอร้อง”อนาคินเอ่ยใบหน้าดูเว้าวอนแต่กลับกันนิลกาฬทำหน้านิ่งเหมือนไม่พอใจนัก จนอนาคินเองหลบสายตาลงและทำท่าจะปล่อยมือของนิลกาฬออก แต่ก็ต้องหยุดชะงักก่อนจะกลายเป็นยกยิ้มออกมา
“จะให้คนอื่นเรียกพี่แต่ตัวเองยังแทนตัวว่าฉันอยู่ได้ แล้วใครจะกล้าเรียกพี่หล่ะ”สิ้นเสียงนิลกาฬจากใบหน้าที่เศร้ากลับยิ้มหวานออกมาก่อนจะโน้มใบหน้ากดจมูกที่แก้มเนียนของนิลกาฬ
ฟอดดดดด
“ทานข้าวครับน้องนิล แกะปูให้พี่ด้วยนะ”
........................
"บางครั้งสิ่งที่เราคิดอาจจะไม่เป็นสิ่งที่เราเห็น"
[/size]
-
แหม ทำเหมือนอยู่ในฝันหวาน หวังว่าคงไม่กระชากนิลออกมาเจอความเป็นจริงที่โหดร้ายนะ
ว่าแต่... เรื่องต่อไปนี่จะเป็น หัวใจสีเทา หัวใจสีขาว หัวใจสีเขียว หรือเปล่าคะ (แซ็ว)
-
มี 10 ตอนจบของแต่ละคู่คะ มี 6 สี ฝากตืดตามด้วยนะคะ
-
น่ารักเชียว ..
-
Black Heart 8 : ก็แค่เปิดใจ (อนาคินxนิลกาฬ)
อนาคินพานิลกาฬไปหัวหินสองคืนสามวัน ระหว่างที่อยู่หัวหินเรียกว่าทั้งสองพูดคุยกันมากขึ้น และรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งนิลกาฬก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าให้อนาคินเห็นตัวเองอยู่ในสายตา
“พรุ่งนี้ต้องแวะไปรับคุณเกรย์ที่สนามบินไหมครับ”นิลกาฬเอ่ยถามคนข้างๆที่หุบยิ้มทันทีที่นิลกาฬเอ่ยถาม
“ทำไม นิลอยากไปรับเจ้าเกรย์มันหรอ”น้ำเสียงดูงอนๆทำเอานิลกาฬกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว
“โธ่ อย่าทำน้พเสียงแบบนั้นสิครับ นิลแค่ถามเฉยๆ”นิลกาฬเอ่ยง้อคนตัวสูง อนาคินเองก็ไม่ได้งอนจริงจังอะไรนักเขายกมือที่ประสานกันอยู่กดจูบหลังมือของนิลกาฬเบาๆ
“พี่ให้เจ้ากรีนไปรับแล้วหล่ะ”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬพยักหน้าและยิ้มหวานออกมา
ทั้งสองใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงบ้านหลังใหญ่ ตอนนี้ดูช่างเงียบนักเพราะพี่น้องทั้งหมดต่างคนต่างออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง
“หิวไหม”อนาคินเอ่ยถามคนที่เดินตามหลังมา
“ไม่ไหวแล้วครับ กินมาตลอดทางแล้ว”นิลกาฬเอ่ยขึ้น อนาคินโอบไหล่บางเดินเข้าบ้านมองไปรอบบ้านก็ไม่เห็นใคร
“ไปไหนกันหมดนะ บ้านเงียบเชียว”อนาคินเอ่ย
“เดี๋ยวนิลไปเอาน้ำมาให้แล้วกันนะครับ”นิลกาฬเอ่ย อนาคินพยักหน้าเล็กน้อย
เวลาไม่นานนิลกาฬก็เดินออกจากครัวมาพร้อมน้ำและผ้าเย็น สายตาคู่สวยมองไปยังคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟา ใบหน้าหล่อเหลาช่างน่าดึงดูดนัก
“นิลอิจฉาพี่นิ่มจังครับ ที่เป็นคนที่พี่รัก”นิลกาฬเอ่ยกับตัวเองในใจก กอนจะค่อยๆปลุกอนาคิน
“พี่แบล็คครับ ขึ้นไปอาบน้ำและพักผ่อนบนห้องดีไหมครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“อื้ม ก็ดีนะ นิลช่วยถูหลังให้พี่ด้วยนะ”อนาคินเอ่ยขึ้นพร้อมดีดตัวเองลุกขึ้นจากโซฟาแต่ยังไม่ลุกออกไปเพราะอนาคินกลับรั้งตัวของนิลกาฬมารวบไว้ในอ้อมกอด
หมับ
ฟอดดดด
“อ๊ะ...พี่แบล็ค”นิลกาฬเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเม่อร่างของตัวเองกำลังถูกรวบลงบนตักของอนาคิน
“ทำไมหรอ ถูหลังให้พี่ด้วยนะ”อนาคินเอ่ยอ้อนพร้อมวางคางลงบนไหล่บางของนิลกาฬ
“โตแล้วอาบเองก็ได้นี่ครับ”นิลกาฬเอ่ยอย่างเขินๆ
“พี่อยากให้นิลอาบให้ อยากแช่ในอ่างสองคน นะๆ”อนาคินเอ่ยอ้อนๆ แต่นิลกาฬเองก็เขินมากเช่นกันไม่เคยอาบน้ำกับใครในอ่าสองคน นอกจากตอนที่รอยด์เพิ่งได้สามขวบเท่านั้น
“ขึ้นไปอาบน้ำได้แล้วครับ อย่าให้นิลต้องบ่นสิ นะๆคนดีของนิล”นิลกาฬเอ่ยขึ้น อนาคินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้น
“ได้ครับ งั้นพี่ของีบเลยแล้วกันนะ”อนาคินที่ดูหน้าไม่พอใจนักกับน้ำเสียงนิลกาฬเองก็รู้สึกว่าตัวเองอาจจะทำให้อนาคินไม่พอใจหรือเปล่านะ
“ครับ งั้นเดี๋ยวนิลตามไปถูหลังให้นะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นพร้อมเดินถือถาดน้ำเข้าครัวอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มหวานมันแทบจะหุบไม่อยู่ เขินแสนเขิน อายแสนอายไม่รู้ว่าขึ้นไปแล้วจะทำยังไงต่อไป
....
..
ร่างสูงใหญ่ กล้ามแขนและแผ่นอกแสนสวย มันเป็นลอนสวยสมกับเป็นชายชาตรีนัก อนาคินรูปร่างดีมากความสูงของเขาร้อยเก้าสิบกว่าก็พอดูออกว่าจะดูดีแค่ไหน ต่างกับร่างโปร่งบางกล้ามเนื้อมีเพียงไม่กี่เปอร์เซนต์ของมวลร่างกายทำให้ดูบอบบางนัก
“ไหนจะให้นิลถูกหลังให้หล่ะครับ”นิลกาฬเอ่ย ทั้งๆที่ตัวเองยังอยู่ในอ้อมกอดของอนาคินในอ่างน้ำที่มีฟองครีมอาบน้ำละเอียดอ่อนรอบตัว
“งั้นหันหน้ามาเดี๋ยวพี่หันหลังให้”อนาคินเอ่ย มันเป็นประโยคสองแง่สองง่ามเกินไปแล้วสำหรับนิลกาฬ
“อะ...อ่าครับ”นิลกาฬเอ่ยใบหน้าแดงฉ่า อนาคินหันหลังให้นิลกาฬพร้อมแอ่นหลังแนบที่อกของนิลกาฬ มือเล็กกล้าๆกลัวๆแต่กลับต้องยิ่งเขินกว่าเดิมเม่ออนาคินจับมือบางนั้นมาถูกที่แผ่นอกกว่าของตัวอนาคินเอง
“อื่ออออ”เสียงครางในลำคออย่างพอใจเมื่อนิลกาฬค่อยๆถูแผ่นอกไปมา กลางกายของนิลกาฬกับฝืนธรรมชาติไม่ได้
“นิล อยากไหม”อยู่ๆอนาคินก็เอ่ยถาม นิลกาฬอ้าปากค้างทันทีก็คำถามมันช่างรุนแรงกับหัวใจนัก
“อะ...อะไรนะครับ”นิลกาฬเอ่ยถาม แต่ร่างของนิลกาฬกลับไปอยู่บนตักของอนาคินเรียกร้อย และจะไม่ตกใจอะไรมากเลยถ้าริมฝีปากของนิลกาฬกดปิดทับจากริมฝีปากหนาไปเรียบร้อย อ่างน้ำอุ่นที่แสนจะสบายตอนนี้กำลังเป็นอ่างน้ำร้อนที่มันรุ่มร้อนไปหมดสำหรับไฟราคะที่กำลังปะทุขึ้น
“อ๊า...พี่แบล็ค นิลเสียวครับ”เสียงหวานเอ่ยออกมาเมื่อตอนนี้ร่างของเขากำลังถูกอนาคินจับตรึงให้หันหลังเข้าหา สะโพกสวยกำลังถูกยกขึ้นเพื่อรับกับแก่นกายแสนใหญ่ของอนาคินแต่กลับเข้าสูงร่างกายนิลกาฬไปได้ง่าย อาจเป็นเพราะครีมอาบน้ำช่วยไว้ด้วย
“อ่าห์...วิเศษชะมัด”อนาคินครางออกมาด้วยเสียงแสนจะต้องการ
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ เบาๆครับ”นิลกาฬเอ่ยบอกอีกคนให้เบาๆแต่ตัวเองกลับเผลอยกสะโพกขึ้นเพื่อรับกับกลางกายที่แสนจะยั่วยวนตอนนี้
“นิลจ๋า โยกหน่อยนะ อ่าห์...”อนาคินเอ่ยออกมารั้งสะโพกขาวกระแทกเข้าอย่างแรงไหล่เนียนขาวถูกเม้มกัดจนเกิดรอยจ้ำแดง
“พี่แบล็ค...แรงอีกนะครับ นิลขอ อ่าห์”นิลกาฬเอ่ยด้วยเสียงกระเส่าก่อนที่เพลงรักจะบรรเลงไปจนจบเกมส์
“นิลกาฬ...”อนาคินเพ้อเรียกชื่อของนิลกาฬก่อนจะหลับไปด้วยความเพลีย
ใบหน้าหล่อเหลา ริมฝีปากได้รูปราวกับผู้ชายที่นอนอยู่ตอนนี้กับนิลกาฬคือซาตานที่กลับใจเป็นเทพบุตรที่แสนรักของนิลกาฬ เขาอิจฉาพี่สาวฝาแฝดของตัวเองนักที่ได้หัวใจผู้ชายคนนี้ไปหมดหัวใจ
“ถึงพี่แบล็คจะนอนกอดนิลตอนนี้ แต่หัวใจพี่ก็มีพี่นิ่มเสมอ”นิลกาฬเอ่ยเบาๆก่อนจะหลับตาลงพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา
“นิลจะใช้เวลาทั้งหมดตอนนี้ให้คุ้มค่า แม้ว่านับจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม นิลยอมถ้านิลทนไหวนะ”นิลกาฬคิดในใจอ้อมกอดเล็กกระชับที่เอวหนาไว้แน่จนอนาคินสะดุ้งและมองตามคนตัวเล็ก มือหน้าลูบไปยังกลุ่มผมนิ่มไปมาก่อนจะกดริมฝีปากที่หน้าผากเนียนเน้นๆ
จุ๊บ
...
..
ทั้งคู่หลับไปนานมากอาจจะเพราะความเพลียจากการเดินทางและกิจกรรมรักของทั้งคู่ที่อนาคินไม่ยอมให้นิลกาฬได้พักผ่อนเลย
“อื้อ...”อนาคินปรือตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกระพริบถี่ขึ้น ตอนนี้มืดสนิทไม่ว่าจะในห้องหรือข้างนอก มีเพียงแสงไฟจากสนามหน้าบ้านที่ส่องเข้ามาเล็กน้อยเท่านั้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันนักเพราะสิ่งที่เขาสนใจคือคนที่กำลังหลับตาพริ้ม ใบหน้าหวานที่แม้แต่ความมืดก็ทำลายความน่ามองนี้ไม่ได้
“นิลกาฬ ยังไงก็เป็นนิลกาฬ”อนาคินเอ่ยเบาๆ ยอมรับว่าตอนแรกเขาไม่อยากจะเข้าใกล้นิลกาฬได้แต่แอบมองห่างๆ เพราะเขาไม่อยากคิดถึงนิรมลแต่เขาฝืนความรู้สึกตัวเองไม่ได้ เขาทำทุกอย่างเพื่อให้เกรย์น้องชายของเขาห่างจากนิลกาฬ ทั้งๆที่อนาคินได้ชื่อว่ารักน้องๆมากแค่ไหนแต่ถ้าเป็นนิลกาฬเขาเองยองขัดใจน้องชายตัวเอง
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
“งื้ออออ”เสียงครางในลำคออย่างรำคาญของนิลกาฬก่อนจะปรือตามองสิ่งที่มาทำให้เวลานอนแสนมีความสุขของเขา
“พี่แบล็ค”เสียงเอ่ยอ้อนๆ ก่อนจะมุดหน้าเนียนที่อกแน่นๆของอนาคินจนเจ้าของอกแกร่งยกยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก
“ครับผม เรียกทำไมหรอ หรือว่า...”อนาคินเอ่ยทะเล้นโมเมนต์นี้บอกได้เลยนอกจากนิรมลแล้วไม่มีใครที่จะเคยเห็นแม้แต่น้องๆของเขา
“อย่าทะเล้นสิครับ...”นิลกาฬเอ่ยพร้อมสางสายตาหวานให้กับคนข้างหน้า อนาคินก้มกดจูบที่ริมฝีปากนิลกาฬเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พี่ทะเล้นอะไร ไหนบอกหน่อยสิ”อนาคินเอ่ยแกล้งคนที่นอนยิ้มหวานอยู่ นิลกาฬได้แต่ยิ้มเขินอาย
“อย่าแกล้งนิลสิครับ”นิลกาฬเอ่ย
“น่ารักจัง ว่าแต่หิวไหม”อนาคินเอ่ยถาม
“พี่หิวแล้วหรอครับ เดี๋ยวนิลไปทำอะไรให้ทานนะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ไปทานข้างนอกไหม พี่ไม่อยากให้นิลเหนื่อยอะ”
“นี่มันก็สี่ทุ่มแล้ว นิลว่ากินที่บ้านเถอะครับ นิลไม่เหนื่อยหรอกถ้าทำให้พี่ทาน”นิลกาฬเอ่ยพร้อมลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินลงมาที่ครัว
นิลกาฬทำอาหารง่ายๆเท่าที่วัตถุดิบมี เวลาไม่นานเสียงฝีเท้าของอีกคนก็เดินเข้ามาประชิดแผ่นหลังเล็ก ใบหน้าหล่เหลายื่นเข้ามาทางหน้าก่อนจะวางที่ไหล่บางของนิลกาฬ
“หอมจัง...ฟอดดดด”อนาคินเอ่ยพร้อมกดจมูกที่แก้มนิลกาฬ
“ไปนั่งรอก่อนนะครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”นิลกาฬเอ่ยขึ้น อนาคินเหมือนพูดง่านเขาเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารก่อนที่นิลกาฬจะถือกับข้าวเข้ามา
“หื้ม น่าทานทั้งนั้นเลย พี่ว่าพี่ให้นิลทำกับข้าวให้ทานทุกวันรับรองพี่เป็นหมูแน่ๆเลย”อนาคินเอ่ยบอก
“แหม ไม่หรอกครับพี่ทำงานหนัก กลางวันแทบไม่ได้กิน เช้าก็ดื่มแค่กาแฟ จะเอาที่ไหนอ้วนหล่ะครับ”นิลกาฬเผลอบ่นคนตรงหน้าอย่างลืมตัว
“พี่ชอบจัง”
“ชอบอะไรครับ”
“ชอบที่มีเมียขี้บ่นแบบนิลกาฬไง”อนาคินเอ่ยออกมา ทำเอาอีกคนแทบบ้ากับรอยยิ้มและความเขินแต่ระหว่างที่นิลกาฬยิ้มหวานไม่หุบอยู่นั้นอนาคินเองก็เอ่ยขึ้นต่อ
“ไม่เหมือนคุณนิ่มที่ไม่เคยบ่นพี่เลย เอาแต่ตามใจพี่ทุกอย่าง...”อนาคินเอ่ย ใบหน้าหวานกลับเศร้าเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงมองที่จานข้าวของตัวเอง อนาคินที่ลืมตัวว่ากำลังคุยแต่เรื่องนิรมลแถมยังเปรียบเทียบกับนิลกาฬอีก เขามองไปยังคนตัวเล็กตรงหน้าก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเล็กของนิลกาฬไว้
“พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงคุณนิ่ม”อนาคินเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ นิลรู้ดีว่ายังไงพี่ก็ไม่มีทางลืมพี่นิ่มได้หรอกครับ แม้ว่านิลจะดีแค่ไหนก็ตาม”อนาคินดึงมือขาวเข้าไปกดแตะที่ริมฝีปากก่อนจะเอ่ยขึ้น
“นิลกาฬ ยังไงก็เป็นนิรกาฬพี่คงมองเป็นนิรมลไม่ได้หรอก”อนาคินเอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันทีทั้งสองจะคุยอะไรกันมากกว่าเดิมเสียงรถที่เข้ามาจอดที่โรงรถ และเวลาไม่นานก็เห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เหมือนหมดแรง
“หมอ...”
“คุณหมอ”
“พี่แบล็ค คุณนิล ยังไม่นอนอีกหรอครับ”หมอไวท์ที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เคยแสนสดใส อบอุ่นมันดูหมองๆไป
“หมอเพิ่งกลับหรอ ไม่สบายหรือเปล่าดูหน้าตาไม่ดีนัก”อนาคินเอ่ยถามน้องชาย
“เปล่าครับ แค่เหนื่อยๆว่าแต่ทำไมทานข้างดึกจังครับ แล้วทำไม...”ยังไม่ทันหมอไวท์จะเอ่ยต่อนิลกาฬก็เอ่ยขึ้นทันที
“หมอทานอะไรมาหรือยังครับ”
“ขอบคุณมากครับ แต่ผมขอตัวก่อนดีกว่าผมอยากพักหน่ะครับ ขอตัวนะครับคุณนิล พี่แบล็ค”หมอไวท์เดินขึ้นข้างบนทันทีด้วยหน้าตาเศร้าๆ เหนื่อยๆ
“หน้าตาเหมือนนิลตอนนี้เลยนะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้นเก็บจานของตัวเองเดินเข้าครัวไป อนาคินเองก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะรู้ว่าเป็นเพราะเขาเองทำให้ความสดใสของนิลกาฬกลับหายไป
อนาคินนอนอยู่บนที่นอนกว้างหลังจากเดินย่อยอาหารได้สักพัก นิลกาฬขอไว้ว่าวันนี้ขอไปนอนที่ห้องของตัวเองโดยให้เหตุผลว่าไม่อยากยังไม่คุ้นชินกับการนอนร่วมเตียงกับใคร ทั้งๆที่ทั้งรู้ดีว่านับจากวันนั้นเขาไม่มีอนาคินนอนอยู่ข้างๆเขานอนไม่เคยจะหลับเลยสักคืน
“คุณนิ่ม ผมจะต้องทำยังไงช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่าผมจะทำยังถึงจะไม่ให้น้องชายคุณคิดว่าผมรักแต่คุณ ทั้งๆที่ผมรักเขาเท่ากับคุณ”อนาคินเอ่ยกับรูปถ่ายอดีตภรรยาของตัวเอง สายตาคมหันมองไปยังประตูลับที่อยู่หลังตู้หนังสือซึ่งสามารถผ่านไปยังอีกห้องได้ สายตาเว้าวอนอยากจะเข้าไปนอนกอดคนในห้องนั้นนัก
“คุณนิ่ม ผมขอโทษนะครับที่ผมรักนิลและผมก็ไม่อยากให้นิลต้องรู้สึกว่าเป็นตัวแทนของใครอีก”อนาคินเอ่ยก่อนจะเก็บรูปของอดีตภรรยาใส่กล่องไว้ทั้งหมดก่อนจะเอ่ยขึ้น
“นิล พี่รักนิลนะ”อนาคินเอ่ยขึ้นก่อนจะล้มตัวลงนอนบนที่นอนกว้าง หมอนหนุนที่นิลกาฬเพิ่งหนุนไปเมื่อหัวค่ำถูกอนาคินสวมกอดไว้แน่น เหมือนนิลกาฬตอนนี้ที่กำลังสวมกอดเสื้อคลุมของอนาคินที่เขาสวมออกมาสองแขนโอบกอดร่างกายตัวเองไว้แน่นพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา ไม่ได้เจ็บปวดที่อนาคินรักพี่สาวตัวเองมากแต่เจ็บที่เขาไม่สามารถทำให้อนาคินรักได้
“นิลพยายามแล้ว พยายามจะไม่น้อยใจแต่นิลก็ทำไม่ได้...ฮึกๆ”
.........................
"ไม่ได้เจ็บที่เขาเคยรักใคร แต่เจ็บที่เขาไม่เคยรักเรา"
[/size]
-
:hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
-
น้อยใจกันอีกละ ..
-
Black Heart 9 : เลือกอีกครั้ง (อนาคินxนิลกาฬ)
อ้อมกอดและไออุ่นของอนาคินมักทำให้นิลกาฬได้ใจอยากจะครอบครองพี่เขยตัวเองแทบขาดใจ อยากจะเห็นแก่ตัวแต่ก็ได้แค่คิดเพราะอนาคินเองยังไม่มีท่าทีว่ายังไง
“คิดค่ามองนะ”อนาคินเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่ามีอีกคนกำลังจ้องมองอยู่
“ถึงคิดนิลก็ไม่มีเงินจ่ายหรอกครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นพร้อมทำหน้าตาน่ารักออกมา แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ตัวจริงแต่เขาก็มีความสุขที่ได้อยู่กับอนาคิน
จุ๊บ
“ไม่มีเงินก็ใช้หัวใจจ่ายแทนสิ”อนาคินเอ่ยหลังจากกดจูบที่หน้าผากของนิลกาฬพร้อมกดศรีษะกลมแนบที่อกแกร่งไว้แน่น
“นิลให้ไปนานแล้วครับ”นิลกาฬเอ่ยเบาๆแต่อนาคินไม่ได้ยินก่อนจะมุดหน้าซบทีอกของอนาคินอย่างแสนอ้อน
“ถ้าให้นิลใช้หัวใจจ่ายแทนแล้วจะเอาหัวใจนิลไปไว้ตรงไหนครับ”นิลกาฬเงยหน้าเอ่ยถาม อนาคินยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้น
“ไปอาบน้ำกันจะได้ไปทำงานนะ เย็นนี้พี่เรียกทุกคนมาทานข้าวที่บ้านพร้อมกัน พี่มีเรื่องจะบอกทุกคน”อนาคินเอ่ยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป นิลกาฬได้แต่มองตามหลังไป
เมื่อคืนทั้งอนาคินและนิลกาฬต่างคนก็นอนไม่หลับเพียงเพราะทั้งสองต่างคิดถึงกันและกัน อนาคินที่อดทนไม่ไหวจึงย่องเข้ามาหานิลกาฬซึ่งก็รออนาคินอยู่เช่นกัน เมื่อทั้งสองต่างคนต่างเปิดใจกันมากขึ้นว่าคิดถึงกันและกัน ก็จบที่เตียงของนิลกาฬจนถึงเช้านี้
“แค่นี้ก็ดีแล้วครับ นิลรักพี่ข้างเดียวก็พอ”นิลกาฬเอ่ยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างจงใจจะยั่วคนที่กำลังอยู่ในห้องน้ำตอนนี้
“อ่าห์...ยั่วพี่แบบนี้รู้ไหมว่าไม่ปลอดภัย”อนาคินเอ่ยขึ้นเมื่อรวบคนตัวเล็กกว่าเข้าไปใต้ฝักบัวที่มีสายน้ำกำลังเร่งความรู้สึกบางอย่างเข้ามา
“รู้ครับและก็ยอมเสี่ยงกับความไม่ปลอดภัยนี้ด้วย”สองมือโอบรอบคอแกร่งก่อนที่ใบหน้าหน้าจะยื่นเข้าไปกดจูบที่ริมฝีปากหนานั้นเอง เพลงรักบรรเลงขึ้นอีกครั้ง
กว่าที่ทั้งสองจะออกมาทำงานก็เกือบสายแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตอนนี้หายไปได้เลย อนาคินนั่งดูเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะมากมายแต่กลับไม่ได้รู้สึกเครียดอะไรเพราะมืออีกข้างกำลังโอบเอวบางของนิลกาฬไว้
“พี่แบล็คปล่อยนิลก่อนไหม เดี๋ยวจะได้ช่วยเอาแฟ้มไปให้พี่ศรีด้วย”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ไม่เอาอ่ะ ให้คุณศรีรอก่อนสิ นิลนั่งให้กำลังใจพี่เซนต์เอกสารก่อนเดี๋ยวค่อยออกไปพร้อมกัน พี่จะพาไปกินของอร่อยกัน”อนาคินเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา นิลกาฬก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อทำได้เพียงยอมนั่งให้อนาคินลูบคลำไปทั่วเอวและสะโพกกลมไปเรื่อยๆ
เวลาไม่นานนักอนาคินก็ขอหอบเอกสารเดินออกมาพร้อมนิลกาฬ ทำเอาทุกคนแปลกใจเล็กน้อยเพราะการกระทำแบบนี้อนาคินเคยทำมาก่อนเมื่อครั้งนิรมลยังอยู่
“คุณศรีเอกสารชุดนี้ดำเนินการได้เลยนะ ผมกับคุณนิลออกไปทานข้าวก่อน แล้วคงไม่กลับเข้ามาแล้ว”อนาคินเอ่ยขึ้นก่อนจะโอบไหล่นิลกาฬไว้จนนิลกาฬตกใจเล็กน้อยที่อนาคินกล้าทำแบบนี้ในออฟิตของตัวเอง
“คุณอนาคินครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นเพื่อเตือนสติเพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าเขาทั้งสองเป็นอะไรกัน เขาไม่ได้ห่วงตัวเองที่จะโดนนินทาแต่เขาห่วงอนาคินมากกว่าจะโดนถูกนินทาว่าผิดเพศแถมผู้ชายคนนั้นก็ยังเป็นน้องเมียของตัวเองอีก
“เรียกพี่ว่าอะไรนะ”อนาคินเอ่ยพร้อมรั้งตัวของนิลกาฬแนบที่อกตัวเองพร้อมโน้มใบหน้าอันหล่อเหลาเข้าใกล้ใบหน้าขาวที่เบี่ยงหลบแทบไม่ทันจนนิลกาฬแทบบ้าด้วยความเขิน
“คะ...คุณอนาคิน”นิลกาฬเอ่ย อนาคินทำหน้าดุใส่นิลกาฬเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เป็นเมียเรียกผัวว่าคุณได้ไง หิวแล้วไปกันเถอะ”อนาคินเอ่ยขึ้นทำเอาทั้งออฟฟิตเงียบไปทันทีแม้แต่เสียงเครื่องปริ้นยังหยุด
นิลกาฬใบหน้าแดงฉ่าตั้งแต่อยู่บนออฟฟิตจนตอนนี้ก็ยังแดงอยู่แถมยังพูดอะไรไม่ออกจริงๆ ความเงียบบนโต๊ะอาหารตอนนี้ทำให้อนาคินที่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยกับท่าทางของนิลกาฬที่ยังคงอึ้งอยู่
“จะเงียบอีกนานไหม ทานข้าวได้แล้วครับ”อนาคินเอ่ยพร้อมยกยิ้มให้คนตรงหน้า
“คะ...คือเรื่องเมื่อกี้...”นิลกาฬเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถามอนาคิน
“เรื่องอะไรหล่ะ มีตั้งหลายเรื่อง”อนาคินเอ่ยยียวน
“พี่แบล็คอย่าแกล้งนิลสิครับ ก็เรื่องที่พี่บอกคนทั้งออฟฟิตไงเรื่องผัวเมียอ่ะ ป่านนี้ไม่เม้าส์กันแย่แล้วหรอ”นิลกาฬเอ่ยอย่างเป็นห่วง เขาแคร์อนาคินมาก
“ก็มันคือเรื่องจริง หรือว่าที่จริงนิลไม่ใช่เมียพี่”อนาคินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออกน้อยใจเล็กน้อย นิลกาฬจึงรีบง้อทันที แม่อนาคินจะดูเงียบขรึมภายนอกแต่ที่จริงแล้วอนาคินขี้อ้อนมากๆและยิ่งเห็นนิลกาฬตามง้อแบบนี้เขายิ่งได้ใจ
“พี่แบล็คอย่างอนสิครับ นิลแค่เป็นห่วงพี่นะกลัวว่าจะมีคนเอาพี่ไปนินทาเท่านั้น”นิลกาฬเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงอนาคินยกมือกุมที่มือขาวไว้ก่อนจะลูบไปมา
“เมื่อก่อนพี่อาจจะคิดแบบนั้น ที่อยู่ๆพี่ก็ลุกมามีเมียเป็นผู้ชายทั้งๆที่ใครๆก็รู้ว่าพี่รักคุณนิ่มมากแค่ไหน”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬสีหน้าเศร้าเล็กน้อยแต่ก็ทำใจไว้บ้างแล้วว่าอนาคินรักนิรมลมากแค่ไหน
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ นั้นมันเมื่อก่อนแต่นับจากที่พี่เจอนิล รู้ไหมว่าพี่ฝืนกับความรู้สึกมากแค่ไหน สับสนมากแค่ไหนที่พี่ต้องนั่งบอกกับรูปคุณนิ่มทุกวันว่าขอโทษ ขอโทษที่รักนิลมากกว่าจะยับยั้งหัวใจตัวเองได้ แต่พี่เองก็พยายามที่จะไม่อยู่ใกล้นิลแต่พี่กลับทำไม่ได้ พี่ห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬที่นั่งนิ่งมองคนคนตรงหน้าพูดด้วยความรู้สึกที่ดีใจมาก
“พี่แบล็ค”นิลกาฬเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พี่รักนิลนะ และเย็นนี้พี่ก็จะบอกทุกคนว่าพี่จะแต่งงานกับนิล”อนาคินเอ่ยบอก นิลกาฬกลับน้ำตาไหลออกมาทันที มือหนาเช็ดน้ำตาเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ร้องไห้นี่ดีใจหรือเสียใจ หรือกลัวเจ้าเกรย์อกหักหล่ะ หื้ม”อนาคินเอ่ยขึ้นเป็นเชิงหยอกเพราะยังไงก็รู้ดีว่านิลกาฬเป็นของเขาคนเดียว
“พี่แบล็ค พูดอะไรออกมานิลกับคุณเกรย์เป็นแค่เพื่อนกันนะครับ”
“นิลอ่ะคิดแบบนั้น แต่เจ้าเกรย์อ่ะมันไม่คิดแบบนั้นหล่ะสิ แล้วนี่ถ้ารู้ว่านิลไม่โสดแล้วคงโกรธพี่น่าดู”อนาคินเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะเบาๆ
รอยยิ้มของทั้งสองกว่าจะได้มามันผ่านอะไรมากมายนัก กว่าจะได้เจอกันถือว่าพรหมลิขิตเพราะตั้งแต่ที่อนาคินแต่งงานกับนิรมลมาตั้งนานทั้งอนาคินและนิลกาฬยังไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง
...
...
ที่โต๊ะอาหารวันนี้เต็มไปด้วยอาหารมากมาย เสียงเอ่ยหวานของพิ้งค์ที่ชมอาหารที่เต็มปากว่าอร่อยอย่างไม่ขาดปาก
“อร่อยจริงๆเลย”เสียงหวานเอ่ยออกมา
“แหม ปากมันเชียวนะ น้อยๆหน่อยอ้วนจะแย่อยู่แล้ว”เสียงบลูเอ่ยแซวน้องชายก่อนที่เสียงกรีนจะเอ่ยขึ้น
“เฮียมีอะไรจะบอกพวกเราหรอครับ วันนี้ไม่ใช่วันศุกร์สักหน่อย”กรีนเอ่ยขึ้นถาม
“ทานข้าวกันก่อนแล้วกัน ว่าแต่เกรย์เป็นไงมั้งงานที่อิตาลี ราบรื่นดีไหม”อนาคินเอ่ยก่อนจะตักอาหารให้นิลกาฬทำเอาทุกคนมองตามเป็นจุดเดียวพร้อมยกยิ้มออกมา เพราะนานเท่าไหร่แล้วที่พี่ชายคนโตของตัวเองไม่มีรอยยิ้มแบบนี้ ยกเว้นเกรย์ที่มองออกตั้งแต่แรกว่านิลกาฬมีใจให้กับบพี่ชายตัวเองแค่ไหน
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย ทั้งหมดพากันนั่งทานผลไม้ล้างปาก อนาคินจึงเอ่ยเรื่องสำคัญให้กับทุกคนทราบเกี่ยวกับเขาและนิลกาฬ
“ที่เรียกทุกคนมาวันนี้ เฮียมีเรื่องสำคัญจะบอก”อนาคินเอ่ยก่อนจะรั้งไหล่ของนิลกาฬเข้ามาแนบอก ทำเอาทุกคนร้องอุทานออกมาเล็กน้อยพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มยกเว้นเกรย์
“ไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่าเรื่องอะไร พิ้งค์ดีใจที่สุดเลยอ่ะที่เห็นเฮ๊ยยิ้มได้แบบนี้”พิ้งค์เอ่ยพร้อมเดินมาสวมกอดพี่ชายคนโตไว้
“ผมก็ดีใจมาก เฮียจะได้ยิ้มได้แบบนี้ตลอดไป รู้ไหมว่าเวลาเฮียยิ้มเฮียอ่ะเป็นผู้ชายที่หล่อมากนะรู้ไหม ฮ่าๆ”กรีนเอ่ยแซวพี่ชายตัวเอง ทางด้านหมอไว้และบลูก็เดินเข้ามาสมทบอีกคนก่อนจะพากันยินดีกับทั้งสอง
“เกรย์ เฮียขอโทษนะ”อนาคินเอ่ยขึ้น เมื่อเดินตามหลังน้องชายคนรองออกมา หลังจากแสดงความยินดีกับอนาคินและนิลกาฬ
“ขอโทษทำไมครับ ผมรู้อยู่แล้วว่ายังไงคุณนิลก็รักพี่ผมดูออกครับ ยินดีด้วยนะครับ คุณนิลเป็นคนดี”เกรย์เอ่ยพร้อมสวมกอดพี่ชายคนโตไว้อย่างรู้ผู้ชายแม้จะเจ็บมากก็ตาม
...
นิลกาฬเดินออกจากห้องน้ำ เป็นคืนแรกที่เขาต้องนอนที่ห้องนี้ในฐานะคนรักของเจ้าของบ้าน อนาคินที่นอนอ่านแพดอยู่เมื่อเห็นนิลกาฬเดินเข้ามาก็ยกยิ้มหวานให้พร้อมกางแขนออก
“มานั่งข้างๆพี่มา”อนาคินเอ่ย นิลกาฬเดินเข้ามาซุกตัวที่อกกว้างของอนาคิน มืหนาลูบไล้ไปทั่วเอวบางและสะโพกกลมนั้นมาพร้อมกดจูบซับที่ขมับของนิลกาฬเล็กน้อย
“ทำไมไม่อยากแต่งงานหล่ะ”อนาคินเอ่ยถามเมื่อเขาขอนิลกาฬแต่งงานแต่นิลกาฬกลับไม่ต้องการ อยากจะอยู่แบบนี้
“อย่าเลยครับ การแต่งงานมีได้แค่ครั้งเดียวคือกับคนที่รัก และที่นิลไม่แต่งกับพี่ไม่ใช่ไม่ได้รักพี่นะครับ แต่นิลมาคิดดูแล้วที่พี่แต่งงานกับพี่นิ่มเพราะพี่รักพี่นิ่มและน่าจะเคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่แต่งงานกับใครอีก นิลคิดว่าไม่แต่งดีกว่า”นิลกาฬเอ่ย อนาคินกระชับกอดขึ้น
“แต่พี่เองก็รักนิลนะ แล้วนิลเองก็ยังไม่เคยแต่งงานกับใครให้พี่เป็นคนแรกของนิล และนิลเป็นคนสุดท้ายของพี่ได้ไหม”อนาคินเอ่ยขึ้นอย่างอ้อนวอน เขาอยากให้นิลกาฬเชื่อมั่นเขามากที่สุดตอนนี้
“แค่พี่รักนิลตอนนี้ นิลก็พอใจแล้วครับ นิลไม่ต้องการอะไรแล้ว”นิลกาฬเอ่ยขึ้น อนาคินกอดกระชับนิลกาฬไว้แน่นอีกครั้ง เขาคิดอยากจะขอบคุณนิรมลที่มาเจอเขาและทำให้เขาได้เจอนิลกาฬ
อ้อมกอดของคนที่เรารักมันช่างอบอุ่นแบบนี้นี่เอง นิลกาฬหลับสนิทไปนานท่ำหร่ไม่รู้แต่รู้เพียงว่าตอนนี้ร่างสูงที่กำลังสวมกอดเขาอยู่กำลังลุกขึ้นเดินออกไป
“อื้อ...พี่แบล็คจะไปไหนครับ”นิลกาฬงัวเงียถามคนตัวสูงที่กำลังสวมเสื้อคลุมอยู่ อนาคินเดินเข้ามาลูบผมนิ่มเบาๆก่อนจะกดจูบที่หน้าผากนิลกาฬ
จุ๊บ
“นอนต่อเถอะ พี่ได้ยินเสียงโครมครามข้างนอกจะออกไปดูหน่อย”อนาคินเอ่ย
“นิลไปด้วยนะครับ”นิลกาฬเอ่ย
“ไม่ต้องหรอก นอนต่อเถอะพี่ไปแปบเดียวเอง”อนาคินเอ่ยปราม แต่ยังไม่ทันที่นิลกาฬจะดื้อต่อเสียงโครมครามก็ดังขึ้นอีก
โครม...!
“ไปใส่เสื้อคลุมไปแล้วตามพี่มานะ”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬรีบไปสวมเสื้อคลุมก่อนจะเดินตามอนาคินออกมา ทั้งอนาคินและนิลกาฬก็รีบดิ่งไปที่ต้นเสียงทันที พบว่าน้องๆทุกคนมาที่ห้องนอนของเกรย์เรียบร้อย แต่ไม่พบเจ้าของห้องพบเพียงข้าวของที่เกลื่อนกลาดไปทั่วห้อง
“มีอะไรกันหรอหมอ”อนาคินเอ่ยถามน้องชายคนที่สามที่นั่งอยู่
“ไม่รู้เหมือนกันครับเฮีย พอเข้ามาก็เป็นแบบนี้แล้ว”หมอไวท์เอ่ยบอก
“แล้วเฮียเกรย์ไปไหนแล้วอ่า”เสียงบลูเอ่ยขึ้น
“ใช่ เกรย์ไปไหน”อนาคินเอ่ยถามทุกคนที่ตอนนี้เอาแต่เงียบไปหมด จนอนาคินพอจะเข้าใจสถานการณ์แล้วว่าน้องชายหายไปไหน นิลกาฬเดินเข้ามาจับมือหนาไว้และบีบแรงๆ
“ทุกคนไปนอนเถอะ เฮียจัดการเอง เฮียพอรู้แล้วว่าเพราะอะไร”อนาคินเอ่ยขึ้น
ทุกคนพากันเดินออกจากห้องไป นิลกาฬค่อยๆเก็บของที่เกลื่อนตอนนี้ จนมาเจอสิ่งหนึ่งเขาเองก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเปิดข้างในดู สมุดบันทึกไดอารี่เล่มสีเทาบันทึกเอาไว้ถึงความรู้สึกของเจ้าของบันทึก
“เจ้าเกรย์หลงรักนิลตั้งแต่แรกเห็นแล้วหรอ”อนาคินอุทานออกมาเล็กน้อย
“นิลก็คิดว่าคุณเกรย์แค่ล้อเล่น ไม่คิดจะจริงจังขนาดนี้ เพราะนิลที่ทำให้คุณเกรย์เป็นแบบนี้หรือเปล่า”นิลกาฬเอ่ยโทษตัวเอง อนาคินดึงร่างโปร่งเข้ามาสวมกอดและจูบซับอย่างปลอบใจ
“นิลไม่ผิดหรอก ไม่มีใครผิดทั้งนั้น ความรักมันกำลังเล่นเกมส์กับเรา”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬเงยหน้ามองอนาคินก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พี่แบล็ค ถ้าคุณเกรย์กลับมานิลขอนั่งคุยกับคุณเกรย์สองคนนะครับ นิลอยากคุยกับเขา อยากขอโทษ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“อื้ม ตามใจนิลเลยพี่ยังไงก็ได้”อนาคินเอ่ยออกมาพร้อมสวมกอดนิลกาฬไว้
เวลาผ่านไปเพียงสองวันที่เกรย์หายไปก่อนจะโทรมาบอกอนาคินว่าอยากอยู่คนเดียวสักพักแล้วจะกลับมา ซึ่งอนาคินก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะรู้จักน้องชายดีพอว่าที่จริงเกรย์มีเหตุผล
“พี่แบล็ค ทุกคนพร้อมที่ห้องประชุมแล้วนะครับ”นิลกาฬเอ่ยบอกเจ้านายของตัวเองที่เงยหน้าละจากเอสารกองโตด้วยรอยยิ้ม
“นิลเข้ามาใกล้ๆพี่หน่อยสิ”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬรีบเดินเข้ามาหาทันทีกลัวว่าอนาคินจะใช้อะไรเพิ่มเติมแต่ไม่ใช่อย่างที่คิด เมื่อนิลกาฬเดินเข้าไปร่างโปร่งก็ถูกรวบเอวมานั่งที่ตักอย่างรวดเร็ว
หมับ...!
ฟอดดดดดดดด
“อ๊ะ...พี่แบล็ค ปล่อยนะครับที่นี่ที่ทำงานนะ เดี๋ยวคนอื่นเห็น”
“ไม่เห็นหรอก ใครจะกล้าเข้าห้องประธานโดยไม่ได้รับอนุญาติหล่ะ”อนาคินเอ่ยขึ้นอย่างเห็นแก่ตัวก่อนจะกดจมูกที่แก้มซ้ายขวาของนิลกาฬหลายครั้ง
ฟอด ฟอด
“ชื่นใจจังเลย แค่นี้ก็มีกำลังใจแระ”อนาคินเอ่ยขึ้น เขาหลงใหลใบหน้าแสนน่ารักจนหมดหัวใจไปแล้ว
ผั๊วะ...
“เฮีย เรียกเค้ามาประชุมแล้ววววว...”เสียงบุคคลที่สามที่พรวดเข้ามาอย่างไม่ถูกกาละเทศะตอนนี้ยืนนิ่งไปทันที ของที่หอบหิ้วมาก็ร่วงลงพื้นทันทีจนสองร่างที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มกลางห้องทำงานผละออกจากกัน
“ทำไมไม่เคาะประตูก่อนเจ้ากรีน”อนาคินดุน้องชายไปเล็กน้อย ใบหน้าของนิลกาฬแดงฉ่า ร้อนผ่าวไปหมดด้วยความเขิน
“อ้าว ใครจะรู้หล่ะว่าเฮียกับพี่สะใภ้กำลัง...”
“พอๆ ไปเตรียมประชุม เฮียก็จะไปแล้วเหมือนกัน”อนาคินเอ่ยพร้อมจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่ก่อนจะเดินผ่านหน้าน้องชาย มือหนาใช้กำปั้นเคาะที่หน้าผากน้องชายเบาๆ
“ถ้าไม่ใช่น้องโดนไล่ออกไปแล้ว...”อนาคินอ่ยก่อนจะเดินออกไป กรีนยกมือกุมที่หน้าผากตัวเองก่อนจะหันไปมองนิลกาฬ
“พี่นิลต้องจัดการเฮียให้กรีนนะ เจ็บนะเนี้ย แดงไหมอ่า”กรีนเอ่ยขึ้นอย่างอ้อนๆ นิลกาฬยกยิ้มหวานออกมาใช้มือบางลูบที่แขนกรีนเบาๆ
“ไม่แดงครับ ยังหล่อเหมือนเดิม ไปประชุมกันเถอะ”นิลกาฬเอ่ยพร้อมกับเดินไปกับกรีนด้วยรอยยิ้ม และข้างในหัวใจที่เรียกว่าความสุข
.......................
"If i could choose again i'd still choose you."
-
คู่พี่ใหญ่สีดำลงตัวแล้ว น่ารัก
รออ่านทุกคู่น่ะ
-
รอตอนต่อไปค่ะ
-
:ling3: :ling3:
-
ยิ้มหวานเชียว ..
-
Black Heart 10 : สีดำ (อนาคินxนิลกาฬ) -The End-
ที่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัททุกคนมาพร้อมหน้ากัน วันนี้แปลกใจกับท่านประธานที่ยิ้มไม่ยอมหุบ โดยมีเลขาคนสนิทนั่งอยู่ข้างๆ
“แล้วโปรดิวเซอร์ของเรามาหรือยัง”อนาคินเอ่ยถามการตลาด
“อ่อ กำลังมาคะ”
“มาช้าแบบนี้จะเอาบริษัทนี้หรอครับเฮีย”เสียงกรีนเอ่ยขึ้น
“บริษัทนี้มีชื่อเสียงมากนะ รออีกนิดแล้วกันอย่าทำเป็นดาราใจร้อนสิ หน้างอไม่น่ารักเลย”อนาคินเอ่ยตำหนิน้องชายอย่างน่ารัก สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนในห้องหลังจากที่ไม่มีโมเมนต์ว่ท่านประธานเอ่ยแซวเล่นกับคนอื่นๆแบบนี้มานานแล้ว
สักพักร่างสูงของใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ร่างสูงที่ทำให้นิลกาฬตาคาง แถมอนาคินเองนึกหงุดหงิดหัวใจเล็กน้อยแต่เขาก็ต้องวางตัวให้เหมาะกับการเป็นนักธุรกิจ
“คุณชยางกูร”นิลกาฬเอ่ยขึ้นเสียงหลง อนาคินปรายตามองอย่างไม่พอใจนักก่อนจะขยับเท้าไปชนเท้าของนิลกาฬ
“คุณนิล”ชยางกูรดีใจมากที่เจอนิลกาฬที่นี้
“ไอ้ๆๆ”เสียงหนึ่งโดดขึ้นมา ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่กลับเป็นเสียงกรีนที่ดังขึ้นกลางหองประชุม
“กรีนมีมารยาทหน่อย นั่งลง”อนาคินเอ่ยปรามน้องชาย
“คุณชยางกูร เจ้าของบริษัท CY โปรดิวเซอร์ ที่ผ่านการประมูลโปรเจคตัวใหม่ของเราคะ”เสียงผู้จัดการการตลาดเอ่ยขึ้นแนะนำ
“สวัสดีครับคุณอนาคิน และคุณนิล ดีใจจังครับที่ได้เจอคุณนิลอีก”ชยางกูรเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัวเพราะความดีใจ อนาคินเห็นท่าไม่ดีนักก็สายตาไอ้โปรดิวเซอร์หนุ่มกำลังหวานหยาดเยิ้มอยู่ มือหนากวาดโอบที่ไหล่ของนิลกาฬทันที
“อื้ม นิลจ๊ะช่วยโทรไปร้านอาหารที่เราสองคนจะไปดินเนอร์กันคืนนี้อีกทีสิ ว่าเขายังมีเมนู"**จับชู้ลงหม้อ"**อยู่ใหม”
“ห๊ะ!...อะไรนะครับ มันมีเมนูนี้ด้วยหรอครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นอย่าง งงๆ
“มีสิครับ ไปสั่งให้หน่อยนะครับที่รัก”อนาคินเอ่ยขึ้น สายตากลับมองมายังชยางกูรก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อื้ม งั้นผมว่าเรามาคุยเรื่องงานกันเลยไหม ผมรีบอ่ะต้องพาเมียไปกินข้าว...”อนาคินเอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจใครจะพูดอะไร ตอนนี้แค่อยากจะให้โปรดิวเซอร์หนุ่มตรงหน้ารู้ว่าคนที่คุณกำลังมองคือเมียผมเอง
...
..
ไม่มีอะไรที่เรียกว่าแน่นอนกับความรัก ถ้าคิดว่าหัวใจหนึ่งดวงจะรักคนหนึ่งได้เพียงคนเดียว นั่นคุณกำลังคิดผิดเพราะการที่คิดว่าตัวเองจะรักใครมากที่สุดได้แค่คนเดียวมันเป็นเรื่องโกหกสำหรับความรัก
“พี่แบล็คว่าพี่นิ่มจะให้อภัยนิลไหม และพี่นิ่มเขาจะโกรธนิลไหมครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถามคนข้างๆ ที่ตอนนี้ยืนมองรูปหญิงสาวหน้าหลุมศพมือหนึ่งถือช่อดอกไม้ส่วนอีกมือจับมือของนิลกาฬไว้แน่น สายตามองไปยังหญฺงสาวที่เขาคิดว่าเขารักมากที่สุดและคงไม่มีใครจะมาแทนที่นิรมลได้ แต่เมื่อโชคชะตาพาเขามาเจอกับนิลกาฬเขากลับต้องมองความรักใหม่
“ไม่หรอก ถ้าคุณนิ่มคิดแบบนั้นเธอคงไม่ส่งนิลมาเจอกับพี่หรอก”อนาคินเอ่ยขึ้นก่อนจะวางดอกไม้บนหลุมฝังศพพร้อมนิลกาฬ
“ขอบคุณนะคุณนิ่ม ที่พานิลกาฬมาเจอกับผม ผมคิดว่าไม่ใช่แค่โชคชะตาที่พาให้เรามาเจอกันและรักกันแต่มันคือพรหมลิขิตที่ลิขิตให้ผมได้มีคุณและนิลกาฬได้ดูแล”อนาคินเอ่ยออกมา สายตคมละจากหลุมฝังศพตรงหน้าก่อนจะหันมองนิลกาฬที่ละสายตามามองอนาคินเช่นกัน
“นิล ต่อไปนี้พี่จะดูแลนิลให้ดีที่สุด และจะรักนิลมห้มากที่สุดเท่าที่ชีวิตพี่จะหายใจอยู่”อนาคินเอ่ยเสร็จนิลกาฬรีบยกมือปิดปากหนาทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ นิลไม่ได้เรียกร้องอะไร แค่ได้รักพี่ก็ไม่ต้องการอะไรแล้วครับ”
“นิลกาฬ...”อนาคินเอ่ยพร้อมใช้นิ้วเชยคางสวยนั้นให้เชิดขึ้นแล้วกดจูบที่ริมฝีปากนั้นทันทีอยางไม่ลังเล
“เราจะรักกันตลอดไป”อนาคินเอ่ย
ที่บ้านหลังใหญ่วันนี้มีงานเลี้ยงเล็กๆที่ถูกจัดขึ้นเฉพาะครอบครัว เป็นงานเลี้ยงระหว่างอนาคินละนิลกาฬ รอยยิ้มของทั้งสองช่างแทงใจอีกคนนัก เกรย์เดินเลี่ยงออกมานั่งอยู่ริมสระน้ำ สายตามองไปยังนิลกาฬที่กำลังยิ้มและหัวเราะออกมาด้วยความสุข
“เดี๋ยวนิลมานะครับ”นิลกาฬเอ่ยบอกอนาคินที่กำลังนั่งพูดคุยกับน้องๆ เป็นครั้งแรกที่อนาคินปล่อยตัวเองให้เมามายได้ขนาดนี้ ซึ่งนิลกาฬก็ไม่ได้ห้ามอะไ
“จะไปไหนอ่า...”อนาคินเอ่ยอ้อนๆ ใบหน้าหล่อเหลาคลอเคลียคนข้างๆไปมา
“โธ่ เฮียไอ้โรคติดเมียอ่ะ เลิกได้แล้วพี่นิลไม่ได้ไปไหนสักหน่อย”เสียงบลูเอ่ยแซวพี่ชาย
“นิลขอไปคุยกับคุณเกรย์สักแปบนะครับ”นิลกาฬเอ่ยบอก
“ให้แปบเดียวนะ พี่หวง”อนาคินเอ่ยกระซิบเบาๆจนอีกคนหน้าแดงฉ่าออกมา
“บ้าแระ เดี๋ยวนิลมานะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นพร้อมกับเกินตรงไปยังอีกฝั่งของสระน้ำ
อีกด้านของสระ ใบหน้าคมเข้มกำลังนั่งเหมอมองไปยังน้ำใสสระที่มันกระพึ่มเพราะแรงลม ไม่อยากจะให้สายตาต้องเห็นแล้วทำให้ใจต้องเจ็บ
“นั่งด้วยได้ไหมครับ”เสียงเอ่ยจากด้านหลัง เกรย์เองรู้ว่าเป็นใคร
“เชิญครับ”เกรย์เอ่ยขึ้นพร้อมขยับที่ให้นิลกาฬนั่งรอยยิ้มแห้งๆที่ยกยิ้มขึ้นดูยังไงก็ไม่มีความสุข เหมือนยังมีอะไรแฝงอยู่
“หายไปไหนมาครับ”นิลกาฬเอ่ยถามเมื่อความเงียบเข้ามาปกคลุมเป็นเวลาเกือบสิบนาที
“ไปทำให้หัวใจแข็งแรงครับ หัวใจผมมันรู้สึกอ่อนแออย่างบอกไม่ถูก”
“เพราะผมใช่ไหม”
“ไม่ใช่หรอก เพราะตัวผมเองต่างหาก คุณนิลไม่ผิดอะไรเลย เพราะผมทั้งหมดที่ทำให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้น”เกรย์เอ่ยขึ้น สายตากลับมองไปยังใครคนหนึ่งที่เดินมาจากในบ้าน
“ผมไม่รู้ว่าคุณเกรย์คิดยังไงกับผม แต่ผมเองก็ขอขอบคุณที่คุณรู้สึกดีๆกับผมมาตลอด แต่ความรักมันห้ามกันไม่ได้จริงๆ แม้แต่แรกผมรู้ว่าพี่แบล็คไม่มีทางรักผม แต่ผมก็ไม่ได้เสียใจ”
“แต่ตอนนี้เฮียก็รักคุณมาก เหมือนที่คุณรักเฮียมาตลอดแล้วไม่มาทางรักผม”เกรย์เอ่ยออกมา นิลกาฬจับมือหนาที่กำลังกุมแก้วเหล้าอยู่ไว้ สื่อออกไปถึงมิตรภาพ
“ผมขอโทษนะครับ คุณพอจะยกโทษให้ผมได้ไหม”นิลกาฬเอ่ยออกมา เกรย์หันมองนิลกาฬด้วยสายตาตัดพ้อเล็กน้อย แต่จะทำยังไงได้ก็ในเมื่อนิลกาฬเลือกแล้วที่จะเป็นพี่สะใภ้ของตัวเอง
“หึ ผมไม่ยกโทษใหเหรอก เพราะไม่รุ้จะยกโทษเรื่องอะไร ในเมื่อคุณไม่ผิดอะไรเลยนี่ครับ”เกรย์เอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ
“คุณเกรย์...”นิลกาฬเอ่ยออกมาเบาๆ
“คุณนิล ผมขออะไรอย่างได้ไหมครับ”เกรย์เอ่ยขึ้นสายตเป็นเชิงขอร้อง นิลกาฬยกยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยถามกลับ
“ขออะไรหรอครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ผมขอกอดคุณนิลได้ไหม ฐานะเพื่อนก่อนที่เราสองคนจะเปลี่ยนสถานะ”เกรย์เอ่ย นิลกาฬยกยิ้มออกมาก่อนจะพยักหน้า
“ได้สิครับ”นิลกาฬอ้าแขนกว้างออกมา เกรย์สวมกอดนิลกาฬไว้แน่น
ทั้งสองสวมกอดกันนานพอสมควร นานพอที่สายตาของใครคนหนึ่งจะเห็นภาพนั้น น้ำตาไหลออกมาผ่านม่านตาสีสวย แววตาแสนเศร้ากำลังบ่งบอกว่ามันเจ็บแค่ไหนก่อนจะตกใจและรีบเดินจ้ำออกไปจากจุดนั้น
“เจ้าเกรย์กอดเมียเฮียนานไปแล้วนะ”เสียงเอ่ยของอนาคินที่เดินเข้ามา ก่อนจะหันมองอะไรบางอย่างที่หลังพุ่มไม้เคลื่อนไหวไวๆออกไป
“ใครอ่ะ...”เสียงอนาคินเอ่ยขึ้นทั้งนิลกาฬและเกรย์จึงผละออกจากกันและเดินเข้ามาสมทบ อนาคินเดินอ้อมไปหลังพุ่มไม้ปต่ไม่พบใคร
“อะไรครับเฮีย”เกรย์เอ่ยขึ้นถาม
“เมื่อกี้เฮียเห็นใครยืนอยู่ตรงนี้ แต่ช่างเหอะคงจะเป็นเด็กๆในบ้านเดินไปมามั้ง ว่าแต่นี่กอดเมียเฮียนานไปแล้วไหม”อนาคินเอ่ยแซวน้องชาย
“ถ้าเฮียทำให้คุณนิลเสียใจ ผมจะโกรธเฮียมากๆด้วย เข้าใจไหมครับ”เกรย์เอ่ยขึ้นกอ่นะจยิ้มออกมา
“ไม่มีทางแน่นอน เพราะคนนี้เฮียรักมาก รักจนถวายชีวิตให้ได้เลยหล่ะ”อนาคินเอ่ยพร้อมโอบไหล่นิลกาฬไว้
“กับพี่นิ่ม เฮียก็พูดแบบนี้”เกรย์เอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้อนาคินกับนิลกาฬที่ยืนอยู่
“ไอ้น้องบ้า”อนาคินสบถเบาๆ นิลกาฬหันมองอนาคินเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้โกรธและงอนอะไรเพราะรู้ดีว่าตอนนี้อนาคินรักตัวเองมากแค่ไหน
“เมียจ๋า”อนาคินเอ่ยอ้อนๆ นิลกาฬแอบอมยิ้มเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ยิ้มออกมาก่อนจะแกล้งเดินออกไป อนาคินก็รีบเดินตามทันที
“นิล อย่างอนพี่สิ”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬแอบหัวเราะเบาๆออกมาจนอนาคินคิดว่าตัวเองถูกนิลกาฬแกล้งจึงรวบร่างโปร่งนั้นขึ้นทันที
หมับ!
“อ๊ะ...พี่แบล็คจะทำอะไรอ่ะ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าอนาคินกำลังจะทำอะไรตอนนี้
“ไม่ปล่อย พี่กำลังจะทำโทษคนที่แกล้งพี่ เตรียมตัวนะครับเมียรัก”อนาคินเอ่ยขึ้นก่อนจะอุ้มนิลกาฬมาที่ริมสระ พร้อมตะโกนบอกน้องๆอีกด้านให้ดู
“ทุกคน เล่นน้ำกันไหม ถ้าอยากเล่นก็ลงมาเลย...”อนาคินเอ่ยเสร็จก็กระโดลงสระน้ำทั้งๆที่อุ้มนิลกาฬอยู่ในมือ
โครม...
“เฮีย อย่าแกล้ง ฮ่าๆๆ”เสียงหัวเราะออกมาดังทั่วสระน้ำของบ้าน เมื่อเสียงกระโดลงสระตามมาอีกหลายชีวิต
รอยยิ้มและความสุขกำลังบังเกิดกับบ้านหลังนี้อีกครั้งนับจากที่เจ้าของบ้านปิดตายเรื่องหัวใจมานานหลายปี นับจากนี้บ้านหลังใหญ่ที่คิดว่ามีแต่ความมืดมนจะมีแต่ความสุข ทุกคนคิดแบบนั้น
...
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ พี่แบล็ค...เบาๆหน่อย นิลจุกครับ อ่าห์”เสียงหวานเอ่ยร้องขออย่างแสนหวาน เมื่อใบหน้าหวานกำลังซุกอยู่กับหมอนใบโต สะโพกกลมถูกยกขึ้นจากฝ่ามือหนาที่กำลังบีบเค้นสะโพกนั้น
“อ่าห์...นิลจ๋า พี่มีความสุขเหลือเกิน”อนาคินสอบกายเข้าออกตามจังหวะรัก ปากก็พร่ำแต่ความสุขที่กำลังบังเกิดขึ้น จากผู้ชายที่เขากำลังรักจนหมดใจ
เกือบสามชั่วโมงที่คู่ข้าวใหม่ปลามันกำลังมีความสุข ความสุขที่แสนจะเกินคำบรรยายแต่มันต่างกันกับคนอีกห้องที่ตอนนี้มันมีเพียงความหม่นหมอง และค้างคาในใจ
“จะนอนได้หรือยัง หรือจะให้ฉันต้องเอานายอีกยกสองยกถึงจะนอนได้”
“ฮึกๆ”
“หยุดร้องได้แล้ว น่ารำคาญ”
....The End...
"ความรักไม่ว่าจะอยู่ในสีอะไร ยังไงมันก็คือความรัก"
-
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
ขอบคุณค่ะ
-
รอ คู่ ตอนต่อไป
-
เฮียแบล็คสายหื่นจัดนิลซะ ฮ่าๆๆๆๆ คู่นี้แฮปปี้แล้ว
คู่ต่อไปจะเป็นใคร เกรย์ หรือ กรีน รออออ
-
:katai3: :katai3: :katai3:
-
Gray Diary ไดอารี่สีเทา
[/size]
ธนาคิม กิจสุนทรวิริยะกุล ทายาทคนรอง อายุ 28ปี เขาคอยช่วยพี่ชายคนโตบริหารกิจการของครอบครัวเพราะอายุห่างกันไม่มากนักทั้งสองจึงดูจะเข้าใจกัน ธนาคิมเป็นคนพูดน้อย ชีวิตนี้นอกจากพี่น้องของเขาแล้ว เขาไม่เคยจะยิ้มให้ใครเกินห้าครั้ง หรือไม่เคยมีใครได้ยินเสียงหัวเราะของเขาเลย เขาไม่อยากมีความรักเขาไม่อยากเป็นเหมือนเพื่อนรักของเขาที่ถูกผู้หญิงหลอกไปวันๆ การไม่มีพันธะอะไรนั้นคือสิ่งที่เขาคิดว่ามันคือชีวิตของเขา ความรักไม่มีอยู่จริงในหญิงชายหรือชายชาย แต่เขากลับหลงรักพี่สะใภ้ตัวเอง
-
รอยด์ หนุ่มน้อยวัย 16 ปี เด็กกำพร้าหลานชายของนิลกาฬ ด้วยความเป็นเด็กกำพร้าใบหน้าที่แสนน่ารักถูกบดบังด้วยความเศร้าหมอง จะมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับอาและพี่พิ้งค์พี่ชายคนใหม่ รอยด์หลงรักพี่พิ้งค์ผู้แสนดีแต่ชีวิตกลับเล่นตลก เมื่อถูกผู้ชายใจร้ายอย่างธนาคิม ข่มขืนจากที่เป็นเด็กไม่คิดอะไร อยากจะให้เรื่องราวนี้หายไปแต่ในเมื่อตราบาปนั้นยังคงหลอกหลอนเขา อีกทั้งความใกล้ชิดกลับทำให้รอยด์หลงรักธนาคิมโดยไม่รู้ตัว
-
บทนำ ตอนใหม่ มาแล้ว ..
-
คืนนี้มาต่อให้นะ
-
Gray Diary 1 : บันทึกสีเทา (ธนาคิมxรอยด์)
ทะเลกว้างที่ถูกจับจ้องมองจากสายตาแสนเศร้าของผู้ชายร่างสูงตัวค่อนไปทางสูงใหญ่อย่าง ธนาคิม หรือทุกคนเรียกว่าเกรย์ บุตรชายคนรองของเจ้าสัวระดับต้นๆของประเทศ เขาขับรถออกมาจากบ้านตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่เขาทำเรื่องบ้าบอนั้นไป สองมือที่ประสานกันแน่นโอบกอดเข่าแกร่งเมื่อเขายังนั่งอยู่ริมหาดทรายขาวนั้นตั้งแต่เมื่อคืน
เมื่อสี่ชั่วโมงก่อนหน้า
“ถ้าไม่ใช่เฮียผมไม่มีทางที่จะยอมให้คุณนิลเป็นของใคร”เสียงสบถกับตัวเองพร้อมแก้วเหล้าในมือ สายตาเจ็บปวดจ้องมองไปยังชั้นบน เขานั่งดื่มหลังจากที่ทุกคนพากันขึ้นนอน วันนี้พี่ชายคนโตของบ้านประกาศรักใหม่กับคนที่ธนาคิมหลงรักอย่างนิลกาฬ ทั้งๆที่เขาเองก็ไม่เคยมองใครเลยเพราะไม่อยากเจ็บปวดเหมือนเพื่อนสนิทที่โดนหลอกเพราะความรัก
“อ๊ะ! คุณเกรย์”เสียงเอ่ยของอีกคนที่เดินลงมาจากชั้นบน ธนาคิมมองคนตัวเล็กในชุดนอนที่แสนจะน่ารักสมวัยกับเจ้าของชุดนี้นัก
“ทำไมยังไม่นอน นี่มันกี่โมงแล้ว”ธนาคิมเอ่ยถาม ใบหน้าเศร้าๆเป็นเอกลักษณ์ของรอยด์นับจากที่พ่อแม่เสีย รอยด์เองดูเป็นเด็กที่ไม่ค่อยยิ้มมากนัก ใบหน้าดูเศร้าตลอดเวลา
“ผมหิวน้ำครับ ว่าแต่คุณเกรย์หล่ะครับยังไม่นอนอีกหรอ”เสียงเบาเอ่ยถามกลับ ธนาคิมยิ่งหงุดหงิดใจอยู่เป็นทุนทำให้ตัวเองยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ที่อยู่ๆเด็กน้อยตรงหน้าก็เอ่ยย้อนถาม
“ถ้านอนแล้วจะเห็นไหม พูดไม่คิด”ธนาคิมเอ่ยตอบกลับ รอยด์ก้มหน้าก้มตาเดินไปห้องครัวทันทีเพื่อไปรินน้ำหลังจากที่เอ่ยขอโทษ
“ขอโทษครับ”ธนาคิมมองตามร่างเล็กตัวน้อยเดินหายไปทางครัวจนเวลาไม่นานก็เห็นรอยด์เดินกลับมา ด้วยความที่แอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายไปจำนวนหนึ่งทำให้สติธนาคิมดูไม่นิ่งนัก
หมับ
“อ๊ะ...คุณเกรย์จะทำอะไรครับ”รอยด์เอ่ยถามทันทีที่ธนาคิมคว้าข้อมือเล็กและโอบไหล่เล็กแนบเข้าหาลำตัว
“พาฉันไปส่งห้องหน่อยสิ”ธนาคมเอ่ย กลิ่นแป้งเด็กหอมๆทำให้ธนาคิมก้มกดจมูกที่ซอกคอของรอยด์จนเด็กน้อยนึกสะดุ้ง
“อุ้ย...”
“หึ...”ธนาคิมหัวเราะออกมาเล็กน้อยในลำคอ
รอยด์พาร่างสูงที่โอนไปเอนมาเข้าห้องนอนอีกด้านของตึก ห้องนอนสีเทาถูกตกแต่งทุกอย่างเป็นสีเทาทั้งห้องสมกับชื่อเจ้าของห้อง รอยด์ค่อยๆวางคนตัวสูงกว่านอนบนที่นอนแต่ทว่ากลับล้มลงไปกองอยู่บนที่นอนด้วยกัน อ้อมกอดแสนอบอุ่นที่ตอนนี้กำลังโอบกอดรอยด์อยู่ทำให้รอยด์เผลอซบที่อกแกร่งนั้น
“คุณนิล”เสียงเพ้อของธนาคิมเพ้อออกมา รอยด์เองก็พอรู้ว่าเกรย์หลงรักอาตัวเอง เหมือนที่รอยด์เองก็แอบมองเกรย์อยู่บ่อยๆเพราะท่าทางอ่อนโยนเวลาที่เกรย์แสดงกับพิ้งค์ รอยด์มักจะนึกอิจฉาอ้อมกอดนั้นเสมอ
“คุณเกรย์ปล่อยก่อนนะครับ ผมหายใจไม่ออก”รอยด์เอ่ยเมื่ออ้อมกอดนั้นเริ่มแน่นขึ้นและลมหายใจเริ่มหอบขึ้นถี่รัว มือหนาและใบหน้าเริ่มซุกซนไซร้ไปทั่วซอกคอขาวเนียนของรอยด์
“อื้ออออ”เสียงครางเบาๆในลำคอหนา ใบหน้าแสนจะต้องการบางอย่างของคนตัวสูง
หมับ...
“อ๊ะ...คะ...คุณเกรย์...อย่าครับ”เสียงหวานเอ่ยร้องขอให้ปล่อยเมื่อตอนนี้ร่างของรอยด์กำลังอยู่ใต้ร่างของธนาคิมแล้ว ร่างสูงคร่อมร่างบางไว้ ข้อมือที่ถูกตรึงเหมือนไม้กางเขนสองขาถูกขาเกร่งตรึงไว้เช่นกัน
“ปล่อยผมเถอะ...ขอร้องนะครับคุณเกรย์...”เด็กน้อยวัยสิบหกกำลังถูกพรากบางอย่างไปจากชีวิต ครั้งแรกของเด็กน้อยมันช่างเจ็บปวดเหลือเกินแต่มันก็ไม่เจ็บปวดเท่าคนที่กำลังมีความสุขบนความเจ็บปวดของเขาตอนนี้กำลังเพ้อแต่ชื่อนิลกาฬ
“อ๊ะ อ๊ะ ฮึกๆ ได้โปรด ปล่อยผมนะครับ หื้อๆ”เสียงอ้อนวอนไม่เป็นผล กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วห้องบนที่นอนสีเทาเข้มตอนนี้ดูมันยับยู่ยี่ไปหมด เหมือนร่างกายของเด็กน้อยวัยสิบหกคนนี้มันกำลังแหลกไม่มีชิ้นดีเช่นกัน
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงร่างกายเปลือยเปล่าของรอยด์ที่นอนขดตัวอยู่บนที่นอน น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องเจ็บปวดกายและหัวใจแต่ไม่สามารถร้องออกมาได้เสียงดังไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว โดยมีเกรย์ที่นั่งอยู่ขอบเตียงสองมือกุมไปที่ขมับตัวเองอย่างโมโหเมื่อเขามาคิดถึงสิ่งที่เขาทำไปเมื่อสักครู่ มันบ้าสิ้นดีที่เขาทำกับเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างไม่รู้จักบาปกรรม
“ฮึกๆ...”เสียงร้องไห้สะอื้นจากรอยด์ที่กำลังคอยๆพาตัวเองลงจาดเตียงนอนสีเทาเข้ม เลือดและน้ำรักจากอีกคนไหลหยดตามขาเรียวเล็ก รอยด์ค่อยๆสวมเสื้อผ้าทั้งๆที่ไม่มีแรงจะพูดอะไร
“จะไปไหน...”ธนาคิมเอ่ยถามแต่รอยด์ไม่ได้พูดอะไร พยายามพาตัวเองเดินออกไปจากห้องนี้อย่างไม่หันมองคนที่ยืนอยู่ในห้อง
“รอยด์ ฉันถามว่าจะไปไหน”ธนาคิมเอ่ยถามเสียงแข็ง
“ผมจะกลับห้องครับ”รอยด์เอ่ยพร้อมกับพาร่างตัวเองออกไปทันที ปล่อยให้ธนาคิมที่กำหมัดแน่นอาระวาดกับข้าวของในห้อง
โครม โครม โครม
เสียงข้าวของที่ถูกเทกระจาดสงบลง เสียงรถจากโรงเก็บรถก็ถูกขับออกไปทันที ปล่อยให้คนที่บ้านตอนนี้กำลังอลมานกันน่าดู
…
..
หมอไวท์ที่เดินเข้าห้องมาเป็นคนแรกพร้อมสำรวจห้องที่เกลื่อนไปด้วยของตอนนี้ก่อนจะเจอกับอะไรบางอย่าง เข้าจึงก้มมองและพอจะรู้ว่ามันคืออะไร ทั้งเลือดและคราบน้ำรักมันคลุ้งเล็กน้อย หมอไวท์มองเห็นกระดุมสีฟ้าสองเม็ดกระเด็นอยู่ก่อนที่ทุกคนจะเข้ามาหมอไวท์ก็สำรวจทุกคนพบว่าไม่มีใครใส่เสื้อผ้าที่เป็นสีฟ้าเลยจนคิดได้ว่าเขาเจอรอยด์เมื่อตอนหัวค่ำ เด็กน้อยคนนั้นใส่ชุดนอนสีฟ้า
“เฮียทำอะไรเด็กคนนั้นหรอ”หมอไวท์สบถกับตัวเอง
เสียงคลื่นมันซัดเข้าฝั่งเหมือนดนตรีที่แสนจะไพเราะ แต่ไม่ได้ทำให้คนที่นั่งอยู่ตอนนี้มีความสุขได้ มือถือถูกปิดสนิท
“แม่ง ทำไปได้ยังไงว่ะแล้วจะมองหน้าคุณนิลยังไง แล้วคุณนิลจะโกรธไหม”ธนาคิมเอ่ยด่าทอตัวเองอย่างหัวเสียแต่การกระวนกระวายใจมันไม่ใช่แค่กลัวนิลกาฬโกรธแต่มันคืออะไรบางอย่างที่มันฝังอยู่ในใจของเขาตอนนี้มากกว่า
ทางด้านรอยด์ที่ยังคงนอนซมอยู่บนที่นอนด้วยพิษไข้ ช่องทางหลังที่ฉีกขาดระบมไปทั่วสะโพกทำให้รอยด์เองไม่สามารถไปโรงเรียนได้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสักพักพร้อมร่างสูงของหมอไวท์ที่พาตัวเองเข้ามาดูเด็กน้อยในห้อง หมอไวท์คิดว่าหมอคิดถูกแล้วเรื่องเมื่อคืนนี้เพราะดูจากคนที่นอนอยู่บนเตียงตอนนี้ร่างกายน่าสงสสารนัก
“คุณหมอ...”รอยด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
“ไม่ต้องลุกหรอก พี่แค่มาดูรอยด์แค่นั้นเองเห็นไม่ลงไปทานข้าวและอีกอย่างพิ้งค์ก็กำชับพี่ไว้ว่าอย่าลืมมาดูน้องชายของเขาด้วย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล รอยด์ยกยิ้มหวานออกมาแม้จะไม่มีแรงนักก็ตามแต่เขาก็ดีใจที่พิ้งค์ยังคงเป็นห่วงตัวเองอยู่
“ขอบคุณครับ”หมอไวท์เดินเข้ามาจับที่หน้าผากและจับชีพจรไม่กี่นาทีก็เปิดกะเป๋ายาและจัดยาอะไรไม่รู้ไม่กี่อย่างเตรียมไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ทานข้าวแล้วทานยานี้ให้หมดนะ พี่จัดไว้สองชุด กินตอนกลางวันด้วยแล้วจะทำให้แผลที่จะอักเสษหายไวขึ้น”หมอไวท์เอ่ยทำเอารอยด์หันมองหมอนิ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณหมอพูดอะไรนะครับ”
“รอยด์ พี่อายุมากกว่ารอยด์นะ เรื่องของรอยด์กับเฮียเกรย์พี่รู้ว่าเกิดอะไรและไม่ต้องห่วงว่าพี่จะบอกใคร แต่พี่อยากบอกรอยด์ว่า เฮียน่าจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำแบบนี้”หมอไวท์เอ่ย
“คุณหมอพูดอะไร ผมไม่เข้าใจหรอกครับแต่ก็ขอขอบคุณมากนะครับที่เป็นห่วงผม”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมยกมือไหว้หมอไว้ท์
“เอาไว้อยากจะพูดก็เข้าใจอีกทีแล้วกัน พี่ไปทำงานก่อนนะเอาไว้ตอนเย็นจะมาดูอาการอีกที เอ่อแล้วไลน์บอกพิ้งค์ด้วยเดี๋ยวจะเป็นห่วง”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไป รอยด์ที่กลืนน้ำลายลงคออย่างแสนฝืดเขานอนคิดเรื่องราวมากมายอย่างเด็กสิบหกจะคิดได้ หมอไว้ท์รู้เรื่องของเขา และพิ้งค์หล่ะจะรู้ไหมรอยด์กลัวพิ้งค์จะรู้ว่าเขาเป็นอะไรตอนนี้
เวลาผ่านไปช่วงบ่ายรอยด์นอนตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเมื่อยตัว ได้ยาหมอวท์ไปทำให้เขาเบาตัวขึ้นเยอะ เขาค่อยๆพาตัวเองเดินไปข้างนอกเพื่อจะได้ยืดเส้นยืดสาย แต่เมื่อเขาผ่านห้องนอนสีเทาห้องนั้นก็ทำให้น้ำตาจะไหลออกมา
“มันเลวร้ายเกินไปสำหรับผม ถ้าเมื่อคืนนี้คุณเห็นว่าคนที่คุณกำลังมีอะไรด้วยคือผมไม่ใช่อานิล”รอยด์เอ่ยกับตัวเองก่อนจะเดินกลับห้องนอนตัวเอง แต่ทว่ายังไม่ทันจะเดินเข้าห้องเสียงแมวสาวใช้ก็เรียกรอยด์ขึ้น
“คุณรอยด์คะ ดีขึ้นแล้วหรอคะหรือจะเอาอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ นอนอยู่ในห้องมันเบื่อๆอ่ะครับแล้วพี่แมวจะไปไหนครับ”
“อ่อจะเอาของไปเก็บให้คุณเกรย์คะ คุณนิลฝากไว้”รอยด์เห็นว่าเป็นของที่อาตัวเองฝากไว้ทำให้เขารีบอาสาทันทีเพราะลึกๆก็อยากรู้ว่าของนั้นคืออะไร
“งั้นผมเอาไปเก็บให้ก็ได้ครับ พี่แมวจะได้ไปทำอย่างอื่น”
“รบกวนคุณรอยด์ด้วยนะคะ”รอยด์ยิ้มหวานให้ก่อนจะมองสาวใช้เดินลับออกมา
รอยด์นั่งพินิจไดอารี่สีเทาเล่มสวยอยู่นานที่จริงอยากจะรู้ใจแทบขาดว่าข้างในบันทึกอะไร เพราะอาของเขาฝากให้ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นคนทำลายชีวิตเขาเมื่อคืนนี้
“ฟู่ววววววว”รอยด์พ่นลมหายใจเบาๆก่อนจะเสียมารยาทเปิดอ่านไดอารี่สีเทานั้น เพียงข้อความแรกก็ทำให้หัวใจของรอยด์เต้นไม่เป็นจังหวะ
Gray Diary Page x
“การอยู่คนเดียวไม่ได้ทำให้เราทำอะไรเองไม่ได้สักหน่อย กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ขับรถคนเดียวก็ไม่ได้ทำให้ถึงที่หมายช้าเลย”
รอยด์นั่งอ่านไดอารี่นั้นไปเรื่อยๆ รอยยิ้มค่อยๆผุดออกมาเล็กน้อยกับชีวิตประจำวันของธนาคิม รอยด์เองรู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่อรู้ว่าธนาคิมไม่เคยมีแฟนและไม่เคยมีเดทกับใครมาก่อน แต่เมื่ออ่านไหถึงหน้าท้ายๆใบหน้ายิ้มแย้มกลับหุบยิ้มทันที
Gray Diary Page xxx
“โชคชะตาที่ทำให้ผมไม่อยากเจอใคร แต่มันคือพรหมลิขิตที่ทำให้ผมเจอคุณ ชื่อนิลกาฬ ชื่อนี้คือสิ่งที่ต้องการมาทั้งชีวิต ความสวยงามที่แฝงบนใบหน้าที่แม้จะดูไม่สดใส แต่ก็มีเสน่ห์นัก รักครั้งแรกมันเป็นแบบนี้เองหรอ ทำให้ผู้ชายอย่างเราหลงใหลกับความอ่อนหวาน ความน่ารักและความดีที่มีให้ ผมตกหลุมรักคุณแล้วคุณนิล”
ปึก!
ไดอารี่สีเทาเล่มสวยหลุดมือโดยไม่รู้ตัว ความอ่อนแรงที่จุกอยู่ในอก เมื่อคืนเจ้าของไดอารี่พร่ำแต่ชื่อนี้ตลอดกิจกรรมอย่างว่า ยิ่งคิดถึงเสียงพร่ำเพ้อของความสุขยิ่งทำให้เจ็บ
“เราไม่ได้ชอบคุณเกรย์ เราชอบพี่พิ้งค์ คุณเกรย์แค่ทำให้เราสับสนเท่านั้น แค่สับสนจริงๆ”
หลายวันต่อมาธนาคิมกลับมาจากการทบทบทวนหัวใจตัวเอง แม้จะเจ็บปวดแต่ก็ต้องฝืนเพราะเขาเองก็ไม่มีทางจะแยกคนรักของพี่ชายแน่นอน อีกทั้งนิลกาฬเองก็ไม่ได้มีใจให้กับตัวเอง
“พี่พิ้งค์จะต้องไปทำรายงานที่ห้องพี่เลิฟอีกแล้วหรอครับ”เสียงเอ่ยอ้อนๆของรอยด์เอ่ยถามพี่ชายคนสนิท ที่ตอนนี้กำลังจะเดินลงไปยังบ้านพักด้านหลัง
“อื้ม ต้องทำรายงานส่งอาจารย์อ่ะ รอยด์เป็นอะไรหรือเปล่า”พิ้งค์หนุ่มหน้าหวานแสนใจดี ด้วยความที่เป็นน้องคนเล็กสุดและไม่เคยมีน้องชายเมื่อตอนนี้เขาต้องเป็นพี่ของรอยด์เขาจึงเอาใจใส่รอยด์มาก และก็มาเสียจนเด็กน้อยอย่างรอยด์กลับหลงรัก
“ให้พี่เลิฟมาทำรายงานที่ห้องพี่พิ้งค์ไม่ได้หรอครับ”เสียงอ้อนเอ่ยอีกครั้ง
“ไม่ได้หรอก เฮียแบล็คไม่ชอบให้ใครขึ้นมาบนตึกตอนดึก รอยด์ก็รู้นี่และอีกอย่างหลังสองทุ่มไม่มีใครกล้าขึ้นตึกใหญ่หรอก อย่างอแงสิ”พิ้งค์เอ่ยอย่างใจเย็น
“ก็ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย อานิลกับคุณแบล็คก็ไปงานเลี้ยง คุณหมอก็เข้าเวรแล้วไหนจะคุณบลูและคุณกรีนก็ไม่กลับอีก รอยด์ต้องอยู่คนเดียวบนตึกเนี้ยนะ”น้ำเสียงอ้อนๆเอ่ยออกมาสองแขนเล็กโอบกอดร่างของพิ้งค์ไว้ พิ้งค์เองก็นึกสงสารรอยด์ที่ต้องอยู่คนเดียว
“งั้นเดี๋ยวพี่โทรให้เลิฟขึ้นมาบนตึกก็ได้ แต่ห้ามบอกใครนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมกำชับรอยด์ ใบหน้าน่ารักพยักหน้ารับทราบแต่ยังไม่ทันจะยกมือถือโทรร่างสูงของใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“เฮียเกรย์...”เสียงพิ้งค์เอ่ยอย่างดีใจและยิ้มหวานทันทีด้วยความดีใจที่จะมีคนอยู่กับรอยด์แล้ว แต่คนข้างๆกลับหน้าถอดสีทันที รอยด์เดินไปด้านหลังพิ้งค์อย่างอัตโนมัติ แต่พิ้งค์เองก็ไม่ได้สังเกตอะไร
“เฮียไปไหนมาครับ รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วง”พิ้งค์เอ่ยขึ้นอย่างดีใจ
“ทุกคนเลยหรอ”ธนาคิมเอ่ยถามน้องชายคนเล็ก แต่สาวตากลับมองไปยังคนข้างหลังที่ยืนก้มหน้าอยู่
“ใช่สิ ทุกคนหล่ะ ว่าแต่เฮียมาก็ดีแล้วพอดีเค้าต้องไปทำรายงานกับเลิฟ ต้องส่งพรุ่งนี้แล้วด้วย แล้ววันนี้ไม่มีคนอยู่บ้านเลย รอยด์กลัวอ่ะครับถ้าเฮียไม่ออกไปไหนอีกเค้ารบกวนเฮียอยู่เป็นเพื่อนรอยด์ได้ไหมอ่า เค้าจะรีบกลับมานะ”พิ้งค์เอ่ยเสร็จก็รีบเดินออกไปทันทีทิ้งให้รอยด์ที่กำลังทำหน้าตาร้องไห้อยู่ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
ธนาคิมยืนมองรอยด์อยู่นาน เด็กน้อยก็ยิ่งตัวลีบลงเรื่อยๆเนื้อตัวสันไปหมดเพราะความกลัวและก็โกรธ ภาพคืนนั้นยังคงวิ่งเข้ามาในสมองเรื่อยๆ
“จะไปไหน...”เสียงเข้มเอ่ยขึ้นทันทีที่ร่างเล็กกำลังพาตัวเองขึ้นสู่ชั้นบน ธนาคิมก็รีบวิ่งตามไปติดๆ ที่จริงธนาคิมอยากที่จะขอโทษรอยด์กับเรื่องที่เกิดและก็อยากจะรับผิดชอบกับเรื่องที่มันเกิดขึ้นเช่นกัน
“รอยด์...รอยด์ฉันบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้”เสียงดุธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ก็รีบหยุดอย่างว่าง่ายเพราะความกลัว ธนาคิมเดินเข้ามาประชิดด้านหลังของรอยด์ ความสูงของรอยด์แค่คางของธนาคิมทำให้ดูรอยด์ตัวเล็กน่าปกป้องนัก
หมับ!
“อ๊ะ! คุณเกรย์จะพาผมไปไหน”เสียงรอยด์เอ่ยขึ้นเมื่อธนาคิมโอบไหล่บางของรอยด์ดึงตรงไปยังห้องของเขาเอง
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”ธนาคิมเอ่ยบอก รอยด์ที่ได้แต่เงียบแม้ฝืนก็คงไม่เป็นผล แถมตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรงไปหมดเพราะอ้อมกอดของธนาคิม อ้อมกอดที่ทำไมมันช่างเจ็บปวดและเยือกเย็นเหลือเกิน
.............................
"บันทึกมีไว้จดเรื่องราวที่เป็นความทรงจำเท่านั้นหรอ"
[/size]
-
มาลงแล้วจ้า :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
-
Gray Diary 2 : ห้องนอนสีเทา (ธนาคิมxรอยด์)
“จะร้องไห้ทำไม เสียใจอะไรนักหนา ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะรับผิดชอบนายเอง”ธนาคิมเอ่ยบอกรอยด์ที่ยังคงนอนหันหลังให้กับธนาคิมตอนนี้ เมื่อชั่วโมงก่อนธนาคิมเองก็แค่จะคุยกับรอยด์ให้เข้าใจและจะรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเอง แต่รอยด์กลับไม่ต้องการเพราะไม่อยากให้ธนาคิมมารับผิดชอบตนเพียงเพราะธนาคิมเองก็ไม่ได้รักตัวเองอยู่แล้ว
เมื่อชั่วโมงก่อน
“เรื่องคืนนั้น ฉันจะรับผิดชอบนายเอง ฉันจะบอกเฮียและทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้น”ธนาคิมเอ่ยบอก รอยด์ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนอน มือสองมือบีบกันไปมารู้สึกหน่วงๆกับคำพูดของธนาคิม และข้อความในไดอารี่
“ไม่ต้องหรอกครับ อย่ามารับผิดชอบกับสิ่งที่คุณเกรย์ทำกับผมหรอก ปล่อยให้มันเป็นความลับแบบนี้เถอะครับ และอีกอย่างเราสองคนก็ไม่ได้มีใจให้กันอย่ามาฝืนรับผิดชอบเลยครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆที่ฝืนความรู้สึกหน่วงๆอยู่ข้างใน
“นายพูดเหมือนไม่ใช่เด็กสิบหกเลยนะ แต่ฉันก็ไม่ใช่เด็กสิบหกเหมือนกัน ฉันมีความรับผิดชอบพออยู่กันแบบฝืนๆนี่หล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะบอกเฮียและทุกคนเอง”ธนาคิมเอ่ยขึ้น เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงแม่จะทำเพราะฝืนจะทำเขาเองก็ต้องทำให้ได้อย่างที่รับผิดชอบ
“งั้น ผมขอเวลาหน่อยนะครับ ผมยังไม่อยากให้ใครรู้ โดยเฉพาะพี่พิ้งค์”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมกลั้นน้ำตาไว้ ธนาคิมขมวดคิ้วเข้าหากัน
“อื้ม นายชอบพิ้งค์หรอ แล้วพิ้งค์รู้ไหม”ธนาคิมเอ่ยถาม
“ไม่รู้ครับ คุณเกรย์อย่าบอกนะครับ ผมไม่อยากให้พี่พิ้งค์โกรธผม”รอยด์เอ่ยขึ้นอย่างขอร้อง ใบหน้าน่ารัก สายตาเว้าวอนทำให้ธนาคิมรู้สึกวูบวาบในอกแปลกๆ
“แล้วรู้ไหม ว่าพิ้งค์ชอบเลิฟ”ธนาคินเอ่ยบอกคนที่นอนอยู่ตอนนี้ ใบหน้าดูตกใจเล็กน้อยพร้อมกับแววตาที่ดูเศร้าทันที ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ฟันบนที่ขบริมฝีปากล่างอย่างเจ็บปวด
“เจ็บมากไหม หึ...ฉันก็เจ็บแบบนี้หล่ะเมื่อรู้ว่าอาของเธอกลายเป็นพี่สะใภ้ของฉัน นายว่ามันเจ็บไหมหล่ะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น พร้อมล้มตัวลงนอนราบบนที่นอน หัวใจเจ็บปวด
รอยด์แอบมองใบหน้าที่หันมาเพียงเสี้ยวด้านข้าง บางครั้งธนาคิมก็อาจจะมีความรู้สึกเดียวกันกับตัวเองก็ได้ที่รักใครคนหนึ่งเพียงข้างเดียว รอยด์ค่อยๆพากตัวเองลุกขึ้นแต่ถูกธนาคิมเอ่ยทัก
“จะไปไหน”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมรั้งแขนเรียวเล็กไว้
“ผมจะกลับห้องครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“จะรีบกลับไปไหน นอนที่นี่หล่ะ”ธนาคิมเอ่ยพร้อมรั้งร่างเล็กกว่าเข้ามาสวมกอด แต่รอยด์กลับขืนตัวเองเล็กน้อย ธนาคิมเองก็ยังคงรั้งรอยด์ไว้แน่นก่อนจะเอ่ยขึ้น
“นอนที่นี่ ถ้าไม่อยากให้ฉันบอกทุกคน”ธนาคิมเอ่ยขู่
“จะให้ผมนอนที่นี่ทำไมกัน ในเมื่อคุณก็ได้ไปแล้วนี่หรือคุณยังไม่พอกับร่างการของผม”รอยด์เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบ ถ้าไม่ได้พูดคุยกันมาก่อนว่ารอยด์หลงรักพิ้งค์ ธนาคิมคงคิดว่ารอยด์กำลังงอนและน้อยใจตัวเองอยู่
“ฉันบอกว่าให้นอนที่นี่ก็ต้องนอนที่นี่ แล้วไอ้น้ำตาที่กำลังทำท่าจะไหลออกมาเก็บมันซะเพราะมันใช้ไม่ได้กับฉัน”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนจะสวมกอดรอยด์ไว้แน่นและบังคับให้รอยด์หลับไป ลัรอยด์เองก็เหนื่อยจะฝืนอีกแล้วตอนนี้ตัวเขาเองก็เพลียมากพอแล้วเช่นกัน
เช้าวันต่อมาร่างเล็กซุกตัวอยู่ที่อกของธนาคิม สองร่างสวมกอดกันดั่งคนรักกัน รอยด์ปรือตาขึ้นมองไปด้านนอกหน้าต่างที่มีแสงอ่อนๆกำลังสาดส่องเข้ามา ก่อนจะมองใบหน้าของธนาคิมยามโด
นแสงแดดตอนเช้าช่างดูดีเหลือเกิน รอยด์ค่อยๆพาตัวเองกลับห้องยามเช้าแบบนี้คงยังไม่มีใครตื่นแน่นอน เขารีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะออกจากบ้านให้ไวที่สุดแม้ช่องทางหลังจะรู้สึกว่ายังระบมอยู่
“รอยด์...”เสียงวายเพื่อนร่วมคลาสเอ่ยเรียกเมื่อรอยด์กำลังเดินลงจากแท็กซี่
“หวัดดีวาย”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมฝืนตัวเองเดินปกติเข้าโรงเรียนพร้อมเพื่อน
“ทำไมวันนี้มาแท็กซี่หล่ะฎวายเอ่ยถาม
“อ่อ พี่พิ้งค์มีสอบอ่ะ เราเลยมาแท็กซี่ดีกว่า”รอยด์เอ่ยบอก วายเองก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
ตลอดวันที่เรียนรอยด์ไม่สบายตัวเลยสักนิด เขาปวดเมื่อยไปหมด ทั้งง่วงทั้งเพลีย แถมยังจะเจ็บช่องทางหลังที่ยังระบมอยู่
“ไปนอนห้องพยาบาลเถอะ ดูหน้าตาสิซีดเซียวหมดแล้ว”วายเอ่ยถามเพื่อนอย่างเป็นห่วงนัก
“ไม่เป็นไร เราโอเค”รอยด์เอ่ยขึ้น ถ้าไปห้องพยาบาลตอนนี้พยาบาลเวรวันนี้ต้องถามเยอะแน่นอน เขาไม่อยากโดนซักมากนัก
“งั้นเย็นนี้ที่บ้านมารับไหม หรือให้เราไปส่งดี”วายเอ่ยอย่างเป็นห่วง รอยด์ที่วันนี้ทั้งวันก็ฝืนพออยู่แล้วเขาจึงพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้วายไปส่งที่บ้าน
“ขอบใจมากนะวาย เดี๋ยวเราโทรหาอานิลก่อนแล้วกันว่าเย็นนี้กลับกับวาย”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมยกมือถือขึ้นมากดโทรหาอาตัวเอง
ทางด้านธนาคิมที่ฝืนพาตัวเองไปทำงานเช้านี้หลังจากที่หงุดหงิดเรื่องที่ตื่นมาไม่เจอรอยด์นอนอยู่ เขาตั้งใจจะบังคับเด็กน้อยให้นอนพักผ่อน เพราะเมื่อคืนเขาเองก็ห้ามตัวเองไม่ได้กับเรื่องที่ทำรักรอยด์ไปหลายรอบ
“มีเรื่องอะไรจะคุยกับเฮียหรอ”อนาคินเอ่ยถามน้องชายที่เดินเข้ามาเพื่อจะขอคุยเรื่องของตัวเองกับรอยด์
“ให้นิลออกไปก่อนไหมครับ”น้ำเสียงแสนจะนิ่มนวลเอ่ยขึ้น หัวใจธนาคิมแทบจะบ้า เขาแสนเสียดายนิลกาฬนักและใบหน้าแสนหวานทำให้เขาเกิดอาการขี้ขลาดขึ้นมาก
“ไม่เป็นไรครับคุณนิล พอดีผมแค่จะคุยกับเฮียเรื่องโปเจคที่ออิตาลี คุณมอแกนด์ตอบกลับมาแล้วว่าจะร่วมทุนกับเราครับ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น อนาคินยกยิ้มมุมปากทันทีด้วยความดีใจ
“ว้าว นี่สิถึงจะเป็นน้องเฮีย เก่งจริงๆเจ้าเกรย์”อนาคินสวมกอดน้องชายแน่น
“ได้เฮียช่วยด้วยผมเลยทำสำเร็จ”ธนาคิมเอ่ยอย่างถ่อมตัว สายตามองไปยังอีกคนมุมห้องที่ยกยิ้มหวานเช่นกัน ในใจนึกอยากขอโทษนิลกาฬที่ทำกับหลานชายของนิลกาฬแบบนั้น
กริ๊งงงงงงงง
ทั้งสามหันมองมือถือเครื่องสวยของนิลกาฬที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน อนาคิมที่ดูจะห่วงเมียนักหลังจากเปิดตัวว่าคบหากัน ร่างสูงของอนาคิมรีบเดินไปหานิลกาฬและเอ่ยถาม
“ใครโทรมาอ่ะ”เสียงเชิงดุเล็กน้อยแต่ไม่ได้มีอะไรเลยสักนิด ใครๆน่าจะมองออก ธนาคิมเห็นว่าตัวเองน่าจะเป็นส่วนเกินของห้องนี้จึงเอ่ยขึ้น
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับเฮีย...คุณนิล”ธนาคิมเอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากห้องก็ต้องหยุดเท้าทันทีเมื่อได้ยินเสียงสนทนาของนิลกาฬกับคนปลายสาย
“ว่าไงครับรอยด์”
(“อานิล วันนี้รอยด์กลับกับวายนะฮะ พอดีรอยด์ไม่ค่อยสบาย”)
“อ้าวไม่สบายหรอ แล้วเป็นอะไรมากไหม ให้อาไปรับดีไหม”
(“ไม่เป็นไรฮะ ยังไหวอยู่เย็นนี้รอยด์จะไปส่งนะฮะ”)
“แต่วายขับมอเตอร์ไซด์ อาเป็นห่วงอ่ะเดี๋ยวอาไปรับดีกว่านะ”
(“ครับอานิล”)
เสียงสนทนาจบลงอนาคิมที่รู้ว่าปลายสายคือรอยด์ก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่ารอยด์ไม่สบายเป็นอะไรมากไหม
“ให้เจ้าแจ้งไปรับไหม วันนี้เราก็ไม่ได้ไปไหนแล้วนี่”อนาคินเอ่ยบอก
“ก็ดีนะครับ”นิลกาฬเสริมขึ้น แต่คนที่ยังคงหยุดฟังอยู่ก็เลยเอ่ยขึ้นบ้าง
“เดี๋ยวผมจะต้องออกไปทพธุระข้างนอก น่าจะแถวๆโรงเรียนรอยด์ เดี๋ยวผมแวะรับให้แล้วกันครับ”ธนาคิมเอ่ยเสนอ นิลกาฬยิ้มหวานให้ทันทีเพราะอย่างน้อยก็คนกันเองที่จะไปรับรอยด์
“งั้นรบกวนด้วยแล้วกันนะเจ้าเกรย์”อนาคินเอ่ย
“ขอบคุณมากนะครับคุณเกรย์”นิลกาฬเอ่ยพร้อมยิ้มหวาน ธนาคิมได้แค่ยิ้มอ่อนๆและเดินออกไป เพราะไม่อยากเจอสายตาและรอยยิ้มหวานแบบนี้ของนิลกาฬอีก
ธนาคิมขับรถออกมาแถวหน้าโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง เขาจอดรออยู่ลานจอดรถผู้ปกครองอยู่นานนับจากออกจากบริษัท ที่จริงไม่ได้มีธุระอะไรเลย เขาแค่อยากจะแสดงความรับผิดชอบที่ทำให้รอยด์ไม่สบายเท่านั้น
“อานิลมารับหรอ แล้วจอดรถที่ไหนหล่ะ”เสียงวายเอ่ยขึ้นเมื่อเดินลงจากตึกเรียน วายนึกเสียดายที่ไม่ได้พารอยด์กลับเอง ไม่ได้ให้รอยด์ซ้อนมอเตอร์ไซด์คันใหม่ราคาค่อนแสนตามแบบลูกคนมีเงิน นับตั้งแต่ซื้อมา
“วายกลับก่อนก็ได้ เดี๋ยวเรานั่งรออานิลเอง”รอยด์เอ่ยบอก ก็ตอนนี้วายกลับประคองร่างของรอยด์ไว้เพราะความเป็นห่วง
“ไม่เอาหรอก เราจะทิ้งรอยด์ไว้ได้ไงกัน เรารอเป็นเพื่อนนะ”วายเอ่ยอย่างแสนดื้อ รอยด์ยิ้มและถอนหายใจกับความดื้อของเพื่อนสนิทคนนี้ แต่รอยยิ้มที่ยกขึ้นบนใบหน้าทำให้คนที่นั่งอยู่ในรถเผลอจับพวงมาลัยแน่นอย่างลืมตัว
“บ้าชะมัด หลายใจชะมัด ไหนบอกชอบเจ้าพิ้งค์หนักหนาไง และนี่ออกจากบ้านมาก็มีอีกคน ร่านชะมัด”ธนาคิมสบถกับตัวเอง สายตาจ้องมองไปยังทั้งคู่ที่กำลังคุยหยอกล้อกันอยู่ห่อนจะเดินลงจากรถและดิ่งไปหาเด็กผู้ชายทั้งคู่
“กลับบ้านหรือยัง”เสียงเอ่ยดุของธนาคิมเอ่ย น้ำเสียงคุ้นๆทำให้รอยด์เงยหน้าขึ้น จากรอยยิ้มที่คุยหัวเราะกับวายกลับหุบยิ้มทันทีพร้อมหัวใจที่เต้นแรง เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอธนาคิมที่นี่
“คะ...คุณเกรย์ มาได้ไงครับ”รอยด์เอ่ยถามเบาๆ
“มารับกลับบ้าน คุณนิลสั่งไว้”ธนาคิมเอ่ยบอก รอยด์เม้มริมฝีปากเข้าหากันพร้อมพยักหน้ากับหัวใจที่หน่วงๆ
“ถ้าอานิลไม่สั่งก็คงไม่มารับใช่ไหมครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นโดยไม่รู้ว่าคำพูดของตัวเองใครๆที่ฟังอยู่ก็คงรู้ว่ากำลังงอนหรือน้อยใจอยู่ วายเองก็รู้สึกยุบยิบหัวใจมองไปยังคนร่างสูงที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร
“แล้วแต่จะคิด ฉันไปรอที่รถ ร่ำลาแฟนก่อนก็ได้ แค่ห้านาทีนะ”ธนาคิมเอ่ยบอกก่อนจะเดินตรงไปที่รถ ทิ้งให้รอยด์มองตาม ตอนนี้ร้อนหน้าตาไปหมดอยากโกรธผู้ชายตัวสูงคนนี้นัก
“เขาเป็นใครอ่ะ น่ากลัวจัง”วายเอ่ย
“น้องอาเขยเราเองหล่ะ เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้วาย เรากลับหล่ะ บายๆ”รอยด์พร้อมโบกมือลากเพื่อนสนิท ใบหน้าจากยิ้มแย้มหุบยิ้มทันทีที่เข้ามานั่งในรถ
“หึ ดีนะที่เจ้าพิ้งค์ไม่รู้ว่านายแอบชอบ เพราะถ้าเจ้าพิ้งค์ก็ชอบนายด้วยสงสัยน้องฉันต้องชีช้ำแน่ๆ หลายใจชะมัด ฉันคิดว่ามีแต่ผู้หญิงนะที่เขาทำกัน”รอยดหันมองธนาคิมตาขวาง
“มีสิทธิ์อะไรมาว่าผมแบบนี้ ผมจะหลายใจยังไงมันก็เรื่องของผม”รอยด์เอ่ยขึ้นอย่างโมโห ธนาคิมมองไปยังใบหน้าที่หงิกงอ ไม่ได้แปลกอะไรเลยจากที่เห็นทุกวัน เพราะรอยด์ไม่เคยยิ้มให้ธนาคิมเลยสักครั้ง ก็พอๆกับที่ธนาคิมไม่เคยยิ้มให้รอยด์เลยสักครั้งเช่นกัน
ความเงียบเกือบชั่วโมงครึ่งที่อึดอัดอยู่บนรถกับการกลับมาถึงบ้าน เมื่อรถจอดสนิทร่างเล็กก็ตัวปลิวลงรถทันทีโดยไม่มีแม้คำขอบคุณจากปากของรอยด์ ธนามคิมเองก็มองอย่างขัดใจ
“จะลองดีกับฉันหรือไง”ธนาคิมสบถกับตัวเองเบาๆก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนตามรอยด์ไป
“รอยด์...เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เปิดฉันจะพังเข้าไป”เสียงธนาคิมเริ่มดังขึ้น รอยด์เองก็นึกกลัวว่าคนในบ้านจะได้ยิน รอยด์จึงเปิดประตูให้ธนาคิมเข้ามา
“มีอะไรหรอครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“ทำไมไม่ขอบคุณสักคำ”ธนามคิมเอ่ยขึ้นถาม
“อ่อ ต้องการคำขอบคุณหรอครับ แต่เท่าที่ผมเข้าใจคือคุณไปรับผมเพียงเพราะอานิลสั่งไม่ใช่หรอกหรอ”รอยด์เอ่ยขึ้นอย่างตัดพ้อแต่เขาไม่รู้ตัวจริงๆว่ากำลังแสดงความรู้สึกแบบนั้นอยู่
“รอยด์...ปากดีนักนะ”ธนาคิมเอ่ยพร้อมพลักร่างเล็กของรอยด์ล้มลงบนที่นอน ก่อนจะทาบด้วยร่างตัวเอง มือหนาที่จับลายคางแหลมไว้ สายตาหวานที่จ้องมองกลับอย่างไม่กลัวเช่นกัน
“ผมคิดเสมอว่าคุณเป็นคนอ่อนโยน นึกอิจฉาพี่พิ้งค์และก็นึกอิจฉาอานิลแต่เอาเข้าจริงๆผมเองโชคดีแล้วที่คุณไม่อ่อนโยนกับผม เพราะผมจะได้ไม่หลงใหลว่าคุณคือเทพบุตร เพราะที่จริงแล้วคุณมันก็ซาตาน”คำพูดของรอยด์มันคือคำพูดของเด็กวัยสิบหกจริงๆ แต่เป็นเด็กวัยสิบหกที่เจอเรื่องราวมากมายจนตัวเองเหมือคนวัยยี่สิบหก
“หรอ แล้วแต่จะคิดแล้วกันเพราะว่ายังไง นายก็เป็นของฉัน จะมองฉันเป็นเทพบุตรหรือซาตานนายก็เป็นของฉันอยู่ดี”ธนาคิมเอ่ยขึ้น พร้อมกดจูบที่ริมฝีปากนั้นจากที่ตอนแรกมันดูจะรุนแรงนักแต่เพียงแค่ไม่กี่นาทีเมื่อร่างเล็กที่กำลังขืนตัวอยู่กลับเผลอจูบตอบไป ความนุ่มนวลค่อยๆเพิ่มมาขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“อื่ออออ”เสียงครางเบาๆในลำคออยากจะผลักร่างสูงใหญ่ออกจากร่างกายนัก แต่กลับได้แค่คิดเท่านั้นมือเล็กกลับยอมให้อีกคนประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกันก่อนจะพาร่างกายและความรู้สึกแปลกๆลอยล่องไปในอากาศ
“ทำไมเป็นผมหล่ะครับ...อ่าห์”รอยด์เอ่ยขึ้นหลังจากที่ล่องลอยไปแล้วในอากาศโดยมีธนาคิมกำลังสวมกอดอยู่
“ไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันเลือกแล้ว”ธนาคิมเอ่ยเสียงสุดท้ายก่อนจะหลับไปหลังกิจกรรมแห่งความเร้าร้อนนั้น
................................
"ถ้าเลือกแล้วที่จะใช้สีเทา ทุกอย่างก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสีเทาเสมอ"
[/size]
-
หาเจอล่ะ
ไล่อ่านล่ะ
-
คุณเกร์ยใจร้ายกับรอยด์อ่ะ ชิๆๆ
รอลุ้นจะรักกันจริงๆๆเมื่อไร
-
มีงอนกันตลอดเลย ..
-
Gray Diary 3 : อารมณ์สีเทา (ธนาคิมxรอยด์)
[/size]
นับจากนั้นมาธนาคิมและรอยด์ก็มักจะมานอนด้วยกันเสมอ ไม่สินะธนาคิมต่างหากที่มักจะบังคับรอยด์ให้นอนด้วยเสมอ ซึ่งการกระทำของทั้งสองไม่พ้นสายตาหมอไวท์ได้เลย ทำให้หมอไวท์เองก็ทนเห็นพี่ชายตัวเองทำผิดไม่ไหวแล้ว
“เฮีย หมอขอคุยด้วยหน่อยสิ”หมอไวท์เอ่ยบอกพี่ชายที่นั่งอยู่สนามหญ้า
“ว่าไงหมอ นั่งก่อนสิ”ธนาคิมเอ่ยบอกน้องชาย วันนี้ทั้งหมดพากันมารวมตัวที่บ้านเพราะพี่ชายคนโตมีงานเลี้ยงแต่งงานเล็กๆในครอบครัวตัวเอง บรรยากาศในสนามหญ้าอ้อมไปทางสระว่ายน้ำตอนนี้ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม สวยจนธนาคิมรู้สึกจุกไปทั้งหน้าอก
“ช่วงนี้เราสองคนไม่ค่อยได้คุยกันเลย ว่าไหมเฮีย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มและหันมองร่างเล็กของรอยด์ที่กำลังช่วยทุกคนตกแต่งสถานที่อยู่ตอนนี้ด้วยรอยยิ้ม เช่นเดียวกับที่ธนาคิมมองไปเช่นกัน
“เฮียว่ารอยด์เป็นไงมั้ง”อยู่ๆหมอไวท์ก็เอ่ยขึ้น
“เป็นไง คืออะไร”ธนาคิมเอ่ยขึ้นทันทีเหมือนคนร้อนตัว
“จะเสียงดังทำไมครับ ก็แค่ถามว่าเป็นไงมั้งก็แค่นั้นเอง”หมอไวท์มองพี่ชายออกแล้วว่ากำลังรู้สึกยังไง แม้จะยังไม่ชัดเจนนักก็ตาม
“ก็ไม่เข้าใจไง อยู่ๆหมอก็มาถามเฮียแบบนี้ หรือว่าหมอชอบเด็กคนนั้น”ธนาคิมเอ่ยถาม หมอไวท์จึงยกยิ้มขึ้นอย่างมีอะไรบางอย่าง ใบหน้าหล่อเหลาของหมอหนุ่มกำลังหันไปมองรอยด์ที่กำลังนั่งอยู่กับพิ้งค์และเลิฟ สายตาอบอุ่น รอยยิ้มที่แสนจะดูดีทำให้ธนาคิมนึกกลัวอะไรบางอย่าง
“หมอเอ็นดูรอยด์ เด็กน้อยที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ มีเพียงแค่คุณนิลที่ยอมสละชีวิตอีกครึ่งเพื่อหลาน แต่รอยด์ก็ต้องยอมรับว่าคุณนิลต้องมีใครสักคนดูแล และตอนนี้ก็เหมือนหมอไง หมอก็อยากดูแลรอยด์ เฮียว่าไงเห็นด้วยกับหมอไหม”หมอไวท์เอ่ยถามพี่ชายที่ตอนนี้นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เหมือนจะตั้งใจฟังน้องชายพูดแต่สายตาและจิตใจกลับเพ่งไปยังร่างบางตัวเล็กของรอยด์ จนหมอไวท์ต้องเอ่ยย้ำถามอีกครั้ง
“เฮียครับ เฮียเห็นด้วยไหม”หมอไวท์เอ่ยถาม ธนาคิมหลบสายตาลงก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาจรดที่ริมฝีปาก สายตามองไปทางอื่นแทนพร้อมเอ่ยขึ้น
“แล้วแต่สิ แต่เท่าที่รู้รอยด์อ่ะชอบเจ้าพิ้งค์ ถ้าหมอจะจีบก็ตามใจแล้วกัน เฮียไม่ขอออกความคิดเห็น”ธนาคิมเอ่ยขึ้น หมอไวท์ยิ้มอ่อนๆเพราะท่าทางของพี่ชายเริ่มหงุดหงิดเห็นได้ชัด
“ไม่แปลกที่รอยด์จะชอบเจ้าพิ้งค์ เพราะทั้งสองตัวติดกันตลอด ถ้ารอยด์กับเจ้าพิ้งค์ห่างกันบ้างหมอว่าไม่นานหรอกที่รอยด์จะชอบหมอได้ในไม่ช้า”หมอไวท์ยังคงเอ่ยยั่วพี่ชายตัวเองอยู่
**“ไม่มีทาง”**อยู่ๆธนาคิมก็เอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว หมอไวท์จึงยกยิ้มขึ้นและย้ำพี่ชายอีกครั้ง
“เฮียว่าไงนะครับ ไม่มีทางหรอ...ไม่มีทางที่รอยด์จะมาชอบหมอ หรือไม่มีทางที่เฮียจะปล่อยให้รอยด์มาชอบหมอหล่ะ”ธนาคมิหันมองน้อยชายทันที เขาไม่โกรธที่น้องชายกล้ารู้ความรู้สึกตัวเองแต่เขาแปลกใจที่น้องชายกลับรู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไรและรู้ความลับอะไรระหว่างเขาและรอยด์
“หมอ ว่าอะไรนะ นี่หมอรู้อะไรมา”ธนาคิมเริ่มร้อนลนมากขึ้น หมอไวท์จึงยิ้มออกมาสมกับใบหน้าที่ดูหล่อเหลาจึงเอ่ยขึ้นตรงๆออกไป
“เฮีย หมอรู้นะว่าเฮียทำอะไรรอยด์ และหมอก็อยากจะให้เฮียบอกคุณนิลและบอกเฮียแบล็คด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับรอยด์ หมอรู้นะว่านี่ไม่ใช่นิสัยเฮียที่ไม่มีความรับผิดชอบ”ใบหน้าเครียดเล็กน้อยของธนาคิมทำให้อนาคินที่เดินเข้ามาหาน้องชายทั้งสอง
“คุยอะไรกันหน้าเครียดเชียว”อนาคินเดินมานั่งลงข้างๆธนาคิมที่กำลังนั่งนิ่มอยู่
“เปล่าครับเฮีย พอดีเฮียเกรย์อยากจะบอกอะไรเฮียอ่ะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มให้ธนาคิมที่ถลึงตาใส่น้องชาย
“หมอไวท์ เงียบไปเลย”
“อะไรๆ เสียงดุแบบนี้ต้องมีอะไรฟ้องเฮียแน่เลยใช่ไหมหมอไวท์”อนาคินรู้นิสัยน้องทั้งสองดีถ้าหมอไวท์จะฟ้องอะไรหรือธนาคิมทำอะไรผิดจะทำเสียงดุหมอไวท์เสมอ
“เฮียถามเฮียเกรย์เองดิ”หมอไวท์ยกยิ้มขๆอย่างสะใจ
“เฮ้อออ แพ้เจ้าหมอทุกทีสิหน่า”ธนาคิมเอ่ยขึ้น ทนแรงกดดันจากพี่ชายและสายตาน้องชายไม่ได้จริงๆ
“งั้นมีอะไรก็ว่ามา เราทั้งหมดไม่เคยมีความลับต่อกันไม่ใช่หรอ คุณป๊าเคยบอกไว้ว่าให้รักกันและให้เฮียดูแลพวกนายทุกคน”อนาคิมเอ่ยขึ้นทุกครั้งที่เขาจะสอนน้องๆจะต้องอ้างชื่อบิดาก่อนเสมอ
“ตรงนี้คงไม่สะดวก ผมว่าเข้าไปข้างในกันครับ และตามเมียเฮียด้วยเพราะเกี่ยวกับเขา”ธนาคินเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าบ้านไป อนาคินที่ยังงงๆกับน้องชายคนรองก็หันมองน้องชายอีกคน
“พี่ชายหมอเป็นไรว่ะ แปลกๆแล้วก็เกี่ยวกับเมียเฮียด้วย”อนาคิมเอ่ยถามหมอไวท์
“เข้าไปเถอะเฮีย เดี๋ยวผมตามคุณนิลเองครับ”หมอไวท์เอ่ยก่อนจะเดินไปยังนิลกาฬที่กำลังนั่งคุยกับบลูและกรีนอยู่
....
..
เวลาไม่นานทั้งสี่คนก็มาพร้อมกันที่ห้องนั่งเล่น บรรยากาศในห้องที่ดูจะตึงเครียดเล็กน้อยเมื่อธนาคินเอ่ยเล่าเรื่องราวและความในใจออกมา นิลกาฬที่ตอนนี้มืนไปหมดแล้วไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนทำลายหลานตัวเอง หยาดน้ำตาอุ่นๆที่ไหลออกมา
“คุณนิลผมขอโทษ และทุกคนด้วยผมยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่างแต่ว่ารอยด์เองไม่ยอมให้ผมรับผิดชอบตัวเขา”ธนาคิมเอ่ยขึ้น อนาคินโอบไหล่เมียรักไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พี่ขอโทษแทนน้องชายพี่ด้วยนะ พี่รับประกันได้ว่าเจ้าเกรย์เป็นคนมีความรับผิดชอบและเป็นคนดี”อนาคินเอ่ยบอก เขามั่นใจแบบนั้น แม้ว่าจะโมโหธนาคิมก็ตาม
“ผมรับประกันได้ครับว่าพี่ชายผมเป็นคนดี”หมอไวท์เอ่ยย้ำ นิลกาฬเองก็ไม่ได้โกรธธนาคิมเลยเขากำลังโกรธตัวเองที่พารอยด์มาที่นี่
“ผมรู้ครับว่าคุณเกรย์เป็นคนดี และผมก็ไม่โกรธคุณเกรย์เลยสักนิด แต่รอยด์ถึงจะเป็นเด็กแค่สิบหก รอยด์มีความคิดความอ่านออกจะเป็นผู้ใหญ่สักนิดเพราะว่าเขาต้องช่วยเหลือตัวเองมาตั้งแต่เด็กยังไงผมเองก็เป็นห่วงความรู้สึกของหลานครับ”
“แล้วเราจะทำยังไงหล่ะครับ”หมอไวท์เอ่ยถามทุกคนดูจะเครียดทันทีโดยเฉพาะธนาคิมที่รู้สึกไม่โอเคเลยสักนิดแทนที่เปิดเผยเรื่องราวแล้วเขาน่าจะสบายใจ
“เดี๋ยวผมพูดกับรอยด์เองครับ รอยด์เชื่อฟังผมอยู่ ยังไงรอยด์ก็หลานของผม”นิลกาฬเอ่ยขึ้น ธนาคิมเดินเข้ามาประชิดตัวนิลกาฬที่กำลังยืนมองธนาคิมอยู่ แววตาที่โกรธแต่ทำอะไรไม่ได้นั้นแต้มอยู่บนใบหน้าที่ดูดีของนิลกาฬ
“นายจะทำอะไรอ่ะ”อนาคินเอ่ยถามน้องชายเพราะรู้ดีวาน้องชายชอบเมียรักตัวเองอยู่
“หึงดูเวลาด้วยครับเฮีย ผมแค่จะบอกว่า คุณนิลไม่ต้องพูดกับรอยด์หรอกครับ เดี๋ยวผมพูดกับเขาเอง”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไป
...
..
งานเลี้ยงที่เริ่มขึ้นด้วยความสุขและรอยยิ้ม มีแต่ธนาคิมที่นั่งจ้องมองไปยังอีกฝังของสระน้ำ สายตาไม่ได้จ้องเพียงนิลกาฬเท่านั้นแต่สายตาจับจ้องไปยังร่างบางที่กำลังถือของมากมายไปเสิร์ฟให้กับน้องชายคนเล็กของเขาอย่างพิ้งค์
“นั่งด้วยได้ไหมครับ”เสียงเอ่ยจากด้านหลัง ธนาคิมเองรู้ว่าเป็นใคร
“เชิญครับ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมขยับที่ให้นิลกาฬนั่งรอยยิ้มแห้งๆที่ยกยิ้มขึ้นดูยังไงก็ไม่มีความสุข เหมือนยังมีอะไรแฝงอยู่ ทั้งสองนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ
ทางด้านรอยด์ที่แอบมองธนาคิมเรื่อยๆก็รู้สึกใจเต้นแรง หัวใจดูเหมือนหน่วงๆเมื่อเห็นธนาคิมนั่งพูดคุยกับนิลกาฬ ยิ่งไม่รู้ว่าคุยอะไรกันยิ่งทำให้รอยด์กระสับกระส่าย
“เดี๋ยวรอยด์ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับพี่พิ้งค์”รอยด์เอ่ยบอก
“อื้ม...รีบๆมานะ”พิ้งค์ยิ้มให้
รอยด์เดินเข้าบ้านไป แทนที่เขาจะเดินเข้าห้องน้ำ แต่เขากลับย้อนมาอีกด้านของสระน้ำ อยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคุยกับอาตัวเองว่าอะไร จะบอกเรื่องราวของเขากับอาหรือไม่ แต่ยิ่งฟังประโยคสนทนากลับยิ่งหน่วงๆและจุกที่อกอย่างบอกไม่ถูก
“คุณนิล ผมขออะไรอย่างได้ไหมครับ” ธนาคิมเอ่ยขึ้นสายตเป็นเชิงขอร้อง นิลกาฬยกยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยถามกลับ
“ขออะไรหรอครับ” นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ผมขอกอดคุณนิลได้ไหม ในฐานะเพื่อนก่อนที่เราสองคนจะเปลี่ยนสถานะ” ธนาคิมเอ่ย นิลกาฬยกยิ้มออกมาก่อนจะพยักหน้า
“ได้สิครับ” นิลกาฬอ้าแขนกว้างออกมา ธนาคิมสวมกอดนิลกาฬไว้แน่น ทั้งสองสวมกอดกันนานพอสมควร นานพอที่สายตาของใครคนหนึ่งจะเห็นภาพนั้น น้ำตาไหลออกมาผ่านม่านตาสีสวย แววตาแสนเศร้ากำลังบ่งบอกว่ามันเจ็บแค่ไหน ยังไม่ทันที่รอยด์จะหันเดินออกไปเสียงของอนาคิน
“เจ้าเกรย์กอดเมียเฮียนานไปแล้วนะ” เสียงเอ่ยของอนาคินดังขึ้น ทำเอารอยด์ตกใจรีบวิ่งออกไปทันที
รอยด์วิ่งขึ้นบ้านทันที น้ำตาที่ไหลออกมามันคือความรู้สึกแปลกๆว่าที่จริงเขาร้องไห้เพราะอะไร เจ็บปวดเพราะอะไร แค่ภาพที่ธนาคิมกอดนิลกาฬรอยด์ก็รู้สึกหน่วงๆแล้ว
“เราต้องไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดสิ เพราะเราไม่ได้รู้สึกกับผู้ชายคนนั้น”รอยด์เอ่ยกับตัวเอง ใบหน้าเล็กมุดที่หมอนใหญ่ของตัวเอง
ทางด้านธนาคิมหลังจากงานเลี้ยงเลิกลา พี่น้องทั้งหมดพากันเข้าห้องเรียบร้อย มีแต่ธนาคิมที่ยังนั่งอยู่เพราะตอนนี้กำลังส่ายสายตามองหาร่างบางตัวเล็กของรอยด์
“ไปไหนว่ะ”ธนาคิมสบถออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าบ้านและตรงไปยังห้องนอนแต่ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเอง ห้องนอนของรอยด์กลายเป็นห้องประจำของธนาคิมไปแล้ว
ร่างสูงตรงเข้าไปยังงเตียงนอน เขาพินิจใบหน้าที่มีคราบน้ำตาอยู่บนเตียง ยามหลับไหลรอยด์คือเด็กน้อยคนหนึ่ง ธนาคิมยกมือลูบไล้ไปยังใบหน้าของรอยด์เบาๆจนคนที่นอนหลับไหลอยู่ตกใจตื่นขึ้นมา
“อ๊ะ...คุณ เข้ามาได้ยังไง”รอยด์เอ่ยหน้าตื่นพร้อมลุกขึ้นทันทีแต่ก็ช้ากว่าอ้อมแขนของธนาคิมที่คร่อมร่างของตัวเองไว้ กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ส่งกลิ่นอ่อนๆกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัว แต่ภาพที่ธนาคิมเพิ่งกอดกับนิลกาฬก็แล่นเข้ามา รอยด์รีบผลักธนาคิมออกทันที
ผลั่ก...
“อ๊ะ...เป็นบ้าอะไรอีก”ธนาคิมเอ่ยขึ้นอย่างฉุนที่มือเล็กกล้าผลักตัวเองออก
“ไปนอนที่ห้องคุณได้แล้วครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ใบหน้าหวานเบือนหน้าที่ออก เหมือนกำลังไม่พอใจ
“ไม่ไป ฉันจะนอนที่นี่”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมรวบร่างของรอยด์เข้ามาแนบที่อ้อมกอด ก่อนจะจับรอยด์คร่อมไว้บนร่างตัวเอง
“ปะ...ปล่อยนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“หึ อยู่ในอ้อมกอดเสือ กวางน้อยอย่างนายยังจะกล้าร้องขอชีวิตอีกหรอ”ธนาคิมเอ่ย พร้อมกดจูบที่ริมฝีปากของรอยด์ ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในโพรงปากเล็กนั้นอย่าช่ำชอง มือหนาล๊อคท้ายทอยไว้แน่น รอยด์แทบจะสติกระเจิงเมื่อตอนนี้ลมหายใจของเขามันกำลังจะขาดใจ
“อื้อ...”เสียงครางท้วงในลำคอของรอยด์ยิ่งทำให้ธนาคิมกดย้ำอีกครั้ง ความอุ่นของริมฝีปากที่ประกบกันกลายเป็นความเร้าร้อนของความต้องการของร่างกาย
“อ่าห์...รอยด์”ธนาคิมเพ้อเรียกชื่อของรอยด์ออกมา ชุดนอนตัวบางของรอยด์ถูกถอดออกอย่างง่ายดายด้วยมือหนาของธนาคิม
“อื้ม...อ๊ะ...ปล่อยผมเถอะ อ่าห์”รอยด์เอ่ยครางพร้อมแอ่นกายเข้าหาธนาคิมอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“อ่าห์...คุณนิล...”เสียงธนาคิมเอ่ยครางขึ้นอย่างแหบพร่า แค่ชื่อของนิลกาฬก็ทำให้เขามีความสุขได้หรอ ธนาคิมคิดและอยากจะลองใจตัวเองดูและมันก็เป็นผลข้างเมื่อรอยด์ที่กำลังพาตัวเองโยกตัวขึ้นลงตามจังหวะของตัณหา ราคะที่กำลังบังเกิดตอนนี้ขยุ้มมือเล็กไว้แน่นที่หน้าอกของธนาคิน น้ำตากำลังไหลออกมาเป็นทางพร้อมเสียงที่ครางออกมาไม่เป็นภาษา
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ถ้ารักอานิลมาก อื้อ แล้วมาเอากับผมทำไม ฮึกๆ”เสียงสะอื้นปนเสียงครางออกมา มือหนาประคองหัวกลมของรอยด์ไว้แน่นก่อนจะพลิกร่างเล็กนอนราบลง สะโพกหนาสอบเข้าออกตามจังหวะของความต้องการ มืออีกข้างค่อยๆเช็ดน้ำตาของเด็กน้อยคนนี้ไว้โดยไม่รู้ว่ารอยด์ร้องไห้เพราะเสียใจหรือเจ็บ
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ พอเถอะ ได้โปรด ผมเจ็บ อ่าห์”รอยด์เอ่ยขึ้น รอยด์ไม่ได้เจ็บร่างกายเลยสักนิดตอนนี้เขาชินกับร่างกายที่ถูกกระทำแล้ว แต่หัวใจที่ถูกกระทำตอนนี้ด้วยเสียงครางของผู้ชายที่บอกว่าเป็นสามีของเขาเอง
“อ่าห์...”เสียงครางพร้อมหายใจที่หอบเมื่อตอนนี้เขาได้ปลดปล่อยเข้าสู่ร่างกายของรอยด์ไปแล้ว
“ไปล้างเนื้อตัวป่ะ เดี๋ยวจะได้นอนกัน”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ที่ค่อยๆพาตัวเองไปชำระร่างกายแต่กลับถูกธนาคิมรวบตัวอุ้มเข้าห้องน้ำไป
“อ๊ะ คุณปล่อยผมนะเดี๋ยวผมร่วง”รอยด์เอ่ยขึ้น รีบโอบกอดต้นคอของธนาคิมเข้าห้องน้ำไป
“ขืนรอนายเดินไปเองคงจะได้นอนเช้าหล่ะมั้ง ฉันทำความสะอาดให้เอง”ธนาคิมเอ่ยพร้อมดึงรอยด์ที่เข่าแทบพับเพราะความเพลียมาก
“มะ...ไม่ต้องครับ ผม...”มือที่พยายามดึงมือของธนาคิมออกแต่ไม่เป็นผล
“เงียบๆได้ไหม ฉันง่วงแล้ว”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ได้แต่ปล่อยให้อีกคนทำตามใจ ยิ่งเห็นธนาคิมก้มถูกสบู่ให้เขายิ่งร้องไห้ออกมา มันคือความรู้สึกของความสุขไม่ใช่ความทุกข์แต่ธนาคิมได้คิดแบบนั้น ธนาคิมคิดว่ารอยด์ร้องไห้เพราะที่ต้องเสียงสิ่งนั้นให้ธนาคิม
“จะนอนได้หรือยัง หรือจะให้ฉันต้องเอานายอีกยกสองยกถึงจะนอนได้”
“ฮึกๆ”
“หยุดร้องได้แล้ว น่ารำคาญ”ธนาคิมเอ่ยดุก่อนจะดึงรอยด์เข้ามสวมกอด
“รำคาญก็ไปนอนที่ห้องคุณสิครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียน้อยใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดจนธนาคิมที่ได้ยินแอบยกยิ้มเล็กน้อย
“ไม่...จบนะ นอนได้แล้วพรุ่งนี้จะพาไปดูหนัง”รอยด์รีบหันไปมองธนาคิมทันที ไปดูหนังหรอไม่เคยจะรู้สึกว่าธนาคิมอยากดูหนังกับเขาเลยสักครั้ง แล้วนี่คืออะไรกัน
“ไม่ต้องมองหน้าแบบนั้น ก็แค่อยากไปดูหนังด้วยก็แค่นั้น นอนได้แล้วฉันง่วงมากหรือจะให้เอากันอีกสักยกถึงจะนอนได้”ธนาคิมเอ่ยออกมาทำเอารอยด์รีบหุบปากและนอนหลับตาลงทันทีอย่างว่าง่าย วันนี้รอยด์ปรับอารมณ์ผู้ชายคนนี้ไม่ถูกจริงๆ มันคืออะไรกันแน่นะ
.....................
"อารมณ์สีเทา เราเดาไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไร"
[/size]
-
พี่เกรย์จะทำดีกับรอยด์ได้จริงๆๆใช่ไหมเนี่ย
ลุ้นต่อ
-
น่ารัก น่าปลอบ
-
Gray Diary 4 : เดทแรก (ธนาคิมxรอยด์)
ธนาคิมพารอยด์มาห้างแถวชานเมือง เพราะตามนิสัยแล้วธนาคิมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย ไม่ชอบคนวุ่นวาย ไม่ชอบรถติด และไม่ชอบเสียงดัง อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขามาดูเดินห้างเวลานี้
“จะกินก่อนหรือจะดูหนังก่อนหล่ะ”ธนาคิมเอ่ยถามคนตัวเล็กกว่าที่เดินข้างๆ
“แล้วแต่คุณเกรย์เลยครับ”รอยด์เอ่ย ไม่บ่อยที่เขาจะออกมาแบบนี้ ที่จริงรอยนิสัยก็คล้ายๆกับธนาคิมคือไม่ชอบคนเยอะและไม่ชอบคนวุ่นวาย
“เอ้า...วันนี้ฉันให้เป็นวันของนาย จะกินจะทำอะไรก็บอกได้เลย”ธนาคิมเอ่ยขึ้น ใบหน้างอแสนน่ารักหันมองหน้าธนาคิมก่อนจะทำปากหมุบหมิบเล็กน้อย
“อย่านินทา จะพูดก็พูดมาต่อหน้า ฉันไม่ชอบให้นินทาลับหลัง”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้นินทาสักหน่อยครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นรอยยิ้มกลับผุดที่มบหน้าของตัวเองเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้
“ไม่ได้นินทาได้ไงกัน เมื่อกี้ฉันยังเห็นนายทำปากหมุบหมิบว่าฉันอยู่เลย ถ้าไม่บอกว่านินทาอะไร ฉันจะจูบนายตรงนี้หล่ะนะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นทำท่าจะจูบรอยด์จริงๆ เด็กน้อยถึงกับหันมาด้วยใบหน้าแดงก่อนจะเอ่ยขึ้น
“กะ...ก็แค่ว่า ไม่ใช่แฟนกันสักหน่อยทำไมต้องตามใจผมหล่ะ”รอยด์เอ่ยขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด ตอนแรก็กลัวธนาคิมโกรธที่กล้าคิดแบบนี้ กลัวคำพูดที่เจ็บปวดเวลาถูกธนาคิมเหน็บแต่ละครังก็ตาม
“วันนี้ฉันตามใจนาย และนายก็ไม่ใช่แฟนฉันด้วย เข้าใจใหม่เสียด้วย”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ที่รู้สึกเจ็บแปลบทันที กับคำพูดของธนาคิม รู้ทั้งรู้ว่าคำตอบเป็นแบบนี้รอยด์เองก็ไม่ได้หวังอะไรมาก
“รู้ครับว่าผมไม่ใช่แฟนคุณ เพราะหัวใจคุณมีแต่อานิล”รอยด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาลงและความน้อยใจมันก็มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากเดิม จนธนาคิมเองก็เริ่มมั่นใจในบางอย่าง
“น้อยใจหรอ ถ้าน้อยใจก็บอกทุกคนว่าเป็นอะไรกับฉัน และก็บอกทุกคนว่านายเต็มใจเป็นของฉัน”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมเอ่ยขึ้น
“เพื่ออะไรหล่ะครับ แม้จะบอกคนอื่นแบบนั้น ผมก็ยังไม่ใช่แฟนคุณอยู่ดี”รอยด์เอ่ยขึ้นถามกลับ
“ไม่ใช่แฟน แต่นายเป็นเมียไง เป็นเมียของฉันเข้าใจไหม”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปที่ตู้กดตั๋วหนังเพื่อซื้อตั๋ว รอยด์มองตามอย่างนิ่งๆ คือเสียงเพลงด้านนอกตอนนี้มันฟังยังไงก็ไม่ดังเลยสักนิดเพราะตอนนี้หูของรอยด์ก้องเพียงประโยค เมียของฉัน เท่านั้น
ในโรงหนังที่มืดเล็กน้อย ระหว่างที่รอหนังเริ่มฉายรอยด์นั่งกอดตัวเองเล็กน้อย อย่างที่รู้ว่าโรงหนังอากาศเย็นมากเพียงใด รอยด์ที่ทั้งรู้สึกหนาวและรู้สึกอบอุ่นในเวลาเดียวกัน นี่คือเดทแรกของรอยด์กับผู้ชายหัวใจสีเทาคนนี้ช่างดูอึดอัดและแฝงด้วยความอบอุ่นเหลือเกิน
“เดี๋ยวฉันมานะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ที่กลัวว่าจะถูกทิ้งให้อยู่ที่โรงหนังนี้จึงรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
“ไปไหนครับ หนังจะฉายแล้วนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ธนาคิมยกมือจับหัวกลมของรอยด์ขึ้นจนหัวใจรอยด์หล่นวูบทันที ช่างแปลกและรู้สึกดีจัง
“เดี๋ยวมาหน่า อย่าทำเสียงเหมือนเด็กโดนถูกทิ้งสิ”ธนาคิมเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ เขาไม่ทำเสียงแข็งและเสียงดุแต่อย่างใด
“ที่จริงผมน่าจะทำให้ชินนะครับ วันไหนถูกทิ้งจริงๆผมจะได้ไม่รู้สึกกลัว”รอยด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ธนาคิมจึงรีบตัดบททันที
“เดี๋ยวฉันมานะ”ธนาคิมเอ่ยพร้อมกับเดินออกไป รอยด์มองตามหลังกว้างออกไป คนเริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆ หนังเริ่มฉายตัวอย่าง แต่คนข้างๆรอยด์ก็ยังไม่เห็นมาสักที
“หรือเราจะถูกทิ้งนะ”รอยด์เอ่ยในใจเบาๆมองไปทางเข้าก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนร่างสูงที่คุ้นเคยเลย
ปึก!
“โอ๊ะ!...ขอโทษครับ”ก็การที่รอยด์หันซ้ายหันขวามองหาธนาคิมทำให้แขนของเขาไปชนกับผู้ชายข้างๆ
“ไม่เป็นไรครับ”เสียงนุ่มหล่อเอ่ยกลับ แม้จะมืดแต่รอยด์ก็มองเห็นว่าผู้ชายข้างๆเขาหน้าตาดีใช้ได้
“แน่ใจนะครับ ให้ผมไปซื้อบ๊อปคอร์นให้นะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ หกไม่เยอะเลยและผมเองก็กินคนเดียวไม่หมดหรอก หกบ้างก็ดีครับ ฮ่าๆๆ”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ รอยด์เองก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ผมซีครับ”
“รอยด์ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”รอยด์ยิ้มหวานออกมา
“เช่นกันครับ”รอยด์เอ่ย
“แล้วมาคนเดียวเหมือนกันเลยนะครับ”ซีเอ่ยขึ้นถาม แต่ยังไม่ทันที่รอยด์จะเอ่ยต่อ ไฟก็ปิดลงมืดสนิทและหนังก็เริ่มฉาย ทั้งซีและรอยด์จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ รอยด์เองก็คิดว่าธนาคิมคงไม่อยากจะดูหนังกับเขาหรอกมั้งถึงหายไปนานขนาดนี้
“ก็น่าจะยอมรับตั้งแต่แรกนะ รอยด์”รอยด์คิดในใจสองแขนโอบกอดตัวเองไว้ แม้คนจะอยู่เต็มโรงหนังแต่ตอนนี้รอยด์กลับคิดว่าตัวเองเหมือนนั่งคนเดียว
“อ่ะ บ๊อปคอร์นและน้ำ”รอยด์หันตามเสียงที่เอ่ย ร่างสูงที่ดูเหมือนหายใจแรง รอยด์แม้ตกใจเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกใจเต้นแรงนัก
“ไม่รู้ว่านายชอบรสอะไรหรือน้ำอะไร ฉันเลยซื้อมาทั้งสามแบบเลย”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมบ๊อบคอร์นสามถังใหญ่
“คุณออกไปซื้อของพวกนี้มาหรอครับ”รอยด์เอ่ยถามด้วยใจเต้นแรง
“อื้ม ต่อคิวยาวมากเลย คนแน่นจริงๆเลย”ธนาคิมเอ่ยโดยไม่คิดอะไร รอยด์จึงดึงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมายื่นให่ธนาคิม
“เช็ดเหงื่อหน่อยไหมครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ธนาคิมโน้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะกระซิบบอกรอยด์เบาๆ
“เช็ดให้หน่อยสิ มือฉันถือบ๊อบคอร์นอยู่”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์อึกอักเกน้อยก่อนจะยกผ้าเช็ดน้ำซับที่หน้าผากเบาๆ
“ขอบใจนะ ป้อนบ๊อบคอร์นฉันด้วยนะ มือฉันไม่ว่าง”ธนาคิมเอ่ยออกมา ยิ่งทำให้ใบหน้าของรอยด์ร้อนวาบไปหมดจากที่เมื่อสักครู่หนาวจับใจ
“คุณเกรย์ครับ ผมขอบ๊อบคอร์นถังหนึ่งได้ไหมครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น เขาอยากจะเอาไปใช้คืนซีที่นั่งอยู่ข้างๆตอนนี้
“เอาไปทำอะไร ฉันถือไว้ก็ดีแล้วนี่”ธนาคิมเอ่ยขึ้นบอก รอยด์จึงโน้มใบหน้าลงกระซิบที่หูของธนาคิมเบาๆ
“พอดีผมเผลอไปชนคนข้างๆทำบ๊อบคอร์นเขาหกครับ อยากจะใช้คืนเขา”รอยด์เอ่ยขึ้น ธนาคิมหันหน้ามาทางรอยด์อย่างจงใจทำให้แก้มของธนาคิมโดนที่จมูกและริมฝีปากของรอยด์ไปเน้นๆ
จุ๊บ
“อ๊ะ ขอโทษครับ”รอยด์เอ่ยเมื่อจมูกและริมฝีปากของรอยด์ไปโดนที่แก้มของธนาคิมเต็มๆ
“ไม่เป็นไร เธอหอมฉันบ้างจะเป็นไรไป”ธนาคิมเอ่ยพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ เอารอยด์ไปไม่ถูกจริงๆก่อนจะถือถังบ๊อปคอร์นหันไปทางอีกคน
“คุณซีครับ ผมเอามาใช้คืน”รอยด์เอ่ยเบาๆ ธนาคิมมองตามทันทีว่ารอยด์คุยกับใครแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
“เอามาคืนทำไมครับ แล้วคุณพ่อจะอิ่มหรอครับ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมปรายตามองธนาคิมที่จ้องมองอยู่
“ห๊ะ...! ว่าอะไรนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นอย่างตกใจกับประโยคของซี
“ดูหนังนะครับ กรุณาอย่าเสียงดัง เกรงใจคนอื่นบ้าง”ธนาคิมเอ่ยขึ้น มือหนาโอบไหล่บางของรอยด์ไว้พร้อมดึงเข้ามาหาตัวเอง
“ดูหนังเสร็จช่วยบอกด้วยว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์เงยหน้ามองธนาคิม ไม่ได้โกรธเลยที่เสียงดุเอ่ยถาม แต่กำลังใจเต้นแรงเมื่อคิดว่าธนาคิมกำลังหึงตัวเองอยู่
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงกว่าที่รอยด์อยู่ในอ้อมกอดของธนามคิมจนหนังจบ มันช่างเป็นนาทีที่แสนวิเศษจริงๆ ธนามคิมแอบหอมแก้มรอยด์เป็นบางครั้งที่ขยับตัว ทั้งสองเดินออกจากโรงหนังทันที
“หนังสนุกไหม”ธนาคิมเอ่ยถาม
“สนุกครับ ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีภาคต่อแน่ๆเลย”รอยด์เอ่ยพร้อมหัวเราะออกมา
“เวลานายยิ้มรู้ตัวไหมว่านายสดใสมาก และนายก็น่ารักมากด้วย”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์รีบหลบสายตาทันทีก่อนที่เสียงของใครคนหนึ่งจะดังขึ้น
“คุณรอยด์ครับ”
“อ้าว คุณซี”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มแต่คนที่หุบยิ้มทันทีคือธนาคิม
“ใคร...?”เสียงแข็งเอ่ยออกมาพร้อมมือหนาที่โอบไหล่บางไว้
“สวัสดีครับคุณพ่อ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมยกมือไหว้ธนาคิมจนรอยด์เผลอหัวเราะออกมา
“คะ...ใครพ่อว่ะ แล้วนี่เป็นอะไรกับรอยด์ รู้จักกันหรอ”ธนาคิมเอ่ยถามด้วยเสียงดุๆ ซีทำหน้าเหวอไปเลยเมื่อธนาคิมโอบกอดรอยด์ไว้และกดจมูกที่ขมับของรอย
จุ๊บ
“ตอบพี่มาสิ ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครครับที่รัก”ธนาคิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่แค่ซีที่ทำหน้าเหวอเท่านั้นรอยด์เองก็ทำหน้าเหวอเช่นกัน ไม่คิดว่าธนาคิมจะทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น
“เอ่อ...คือ ซีนี่เป็นคุณเกรย์เป็น...”รอยด์ยังไม่ทันที่จะเอ่ยต่อธนาคิมรีบเอ่ยขึ้นทันที
“แฟน เป็นแฟนอ่ะ ชัดนะแล้วนี่เพื่อนรอยด์หรอ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์จึงเล่าให้ฟังว่ารู้จักซีได้ยังไง กว่าจะคุยกันจบก็เกือบจะสิบนาที
...
..
ธนาคิมพารอยด์มาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง สายตาของธนาคิมยังจ้องไปยังร่างบางตรงหน้าอย่างมีคำถามและเขาเองก็ไม่อยากได้คำตอบ เพราะตอนนี้รอยด์ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรว่าธนาคิมเป็นแฟนของรอยด์
“กลับถึงบ้านเล่าให้ฉันฟังด้วย แบบละเอียด”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“จะฟังเลยก็ได้นะครับ ผมพร้อมจะเล่าให้ฟังได้เลยตอนนี้”
“ไม่ฟังตอนนี้เพราะฉันต้องการทานข้าวอย่างมีความสุข กับนาย”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆครับ ว่าตอนนี้คุณคิดอะไรอยู่”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมจ้องมองไปยังดวงตาของธนาคิม
“ไม่ต้องเข้าใจหรอก เพราะนายต้องอยู่เรียนรู้ฉันอีกนาน ไม่ใช่สิต้องบอกว่าตลอดชีวิต หึๆๆ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมา
“ตลอดชีวิต คำนี้ดีนะครับถ้าใช้สำหรับคนที่เรารัก”รอยด์เอ่ยขึ้นเบาๆเหมือนบ่นกับตัวเองซึ่งธนาคิมเองแทบจะไม่ได้ยิน
“ทานข้าวเสร็จอยากไปไหนอีกไหม”ธนาคิมเอ่ยถาม รอยด์ขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนทุกครั้ง ใบหน้าของรอยแทบจะไม่มีรอยยิ้มเลย และไม่บ่อยที่จะจะเห็นรอยยิ้มจากรอยด์ ธนาคิมใช้มือคลี่หัวคิ้วที่ขมวดอยู่ของรอยด์ออกจากกันก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เป็นเด็กเป็นเล็กทำไมชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้หล่ะ”รอยด์มองไปยังใบหน้าของธนาคิม เขาชอบจังเวลาที่ธนาคิมทำแบบนี้กับตัวเองเพราะมันช่างอบอุ่นนัก รอยด์เผลอจับมือธนาคิมไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ถ้าคุณดีกับผมแบบนี้ตลอดไปก็ดีสินะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ธนาคิมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“รอยด์ ให้ฉันดูแลนายนะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ยกยิ้มหวานออกมา แม้ว่าจะสับสนไปบ้างว่าอยู่ๆธนาคิมทำไมถึงเปลี่ยนไป อารมณ์แตกต่างกับช่วงแรกๆที่ทั้งสองมีอะไรกัน
“คุณเกรย์...”รอยด์เอ่ยออกมา และตอนนี้หัวใจเด็กคนนี้กำลังพองโต ยิ่งแน่ชัดว่าการกระทำของธนาคิมที่โรงหนังมันชัดเจนว่าธนาคิมมีใจให้ตัวเอง ซึ่งเขาไม่ได้คิดไปเอง
“ยังไม่ให้คำตอบฉันก็ได้นะ แต่ว่าวันนี้ฉันก็พยายามที่จะทำให้เราสองคนเข้ากันได้”ธนาคิมเอ่ยขึ้นบอก
“ผมเองก็รู้สึกดีครับสำหรับวันนี้ ถ้าคุณเกรย์คิดว่าคนที่อยู่ข้างคุณเกรย์เป็นผม ซึ่งผมเองก็ไม่ปฏิเสธอะไร”รอยด์เอ่ยขึ้น
“อื้ม ฉันจะพยายามให้มากที่สุดนะ ให้ฉันดูแลนายนับจากนี้นะ รอยด์”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“ครับคุณเกรย์”รอยด์เอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา หัวใจมันพอโตได้เพราะอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นรอยด์ก็จะลองเดินฝ่ามันไป เพราะตอนนี้หัวใจของรอยด์กำลังมีแต่ธนาคิม
ธนาคิมและรอยด์กลับจากเที่ยวช่วงค่ำ ตอนนี้ที่บ้านดูเงียบ อาจเพราะเป็นวันธรรมดาจึงไม่ค่อยมีใครมานอนบ้านนัก ยกเว้นอนาคินและนิลกาฬที่นั่งอยู่ห้องนั่งเล่น
“เจ้าเกรย์ รอยด์ไปไหนกันมา”อนาคินเอ่ยถามเมื่อธนาคิมและรอยด์เดินผ่านห้องนั่งเล่นที่มีอนาคินที่กำลังนั่งอยู่ห้องนั่งเล่น
“ไปดูหนัง กินข้าวมา แล้วยังไม่นอนกันหรอครับ”ธนาคิมเอ่ย รอยด์เองก็ขอตัวขึ้นข้างบน วันนี้ทั้งวันเข้าเพลียน่าดู
“ยัง ว่าแต่ดีกันแล้วหรอ แล้วรอยด์โอเคกับนายไหม”อนาคินเอ่ยถามน้องชาย
“ครับ เราสองคนเข้าใจกันแล้ว และผมก็คงจะดูแลเด็กคนนี้”ธนาคิมเอ่ย
“แล้วรักเค้าไหมหล่ะ ถึงจะขอดูแลเขาอ่ะ”อนาคินถามน้องชาย
“อยู่ๆไปคงรักกันมั้งครับ อนาคตผมบอกไม่ได้หรอก”ธนาคิมเอ่ยพร้อมมองไปยังด้านบน
“อื้ม ไม่รักก็บอกเขาไปนะอย่าฝืนอยู่ทั้งๆที่ไม่ได้รักแล้วสักวันนายจะเสียใจ เฮียไปนอนหล่ะ”อนาคินเอ่ยบอกน้องชายก่อนจะเดินขึ้นห้องไป ทิ้งให้ธนาคิมครุ่นคิดอยู่ว่าที่จริงแล้วเขารู้สึกยังไงกับรอยด์
................................
"ถ้าไม่มีใจให้กัน ไม่มีทางจะฝืนอยู่ด้วยกัน"
-
อ่านแค่ตอนแรกแล้วเห็นรูปตอนท้ายคู่เกรย์รอยด์ คนแต่งนี่แบคฮวีใช่มั้ยคะ--- :o8: :pig4: :pig4: :pig4:
-
ใช่แล้วจ้า #แบคฮวี #มินฮวาน #หลินฮุน #องเนียล อ่า
-
ไม่รัก ไม่ต้อง ..
-
Gray Diary 5 : ความรู้สึก (ธนาคิมxรอยด์)
[/size]
วันนี้รอยด์มาโรงเรียนตามปกติ แต่ที่ดูไม่ปกติดก็คงรถคนสวยที่เคยมารับ-ส่งรอยด์ที่โรงเรียน มันแปลกไปจากเดิมทุกวัน จากมินิคันน่ารักของพิ้งค์ หรือเอคคอสสีดำของบ้านก็มีบีเอ็มสีหมอกของคนตัวสูงใบหน้าหล่อ ทายาทคนรองของนักธุรกิจชื่อดัง
“ตอนเย็นเลิกเรียนแล้ว มารอฉันที่นี่นะ ฉันจะมารับ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นบอกรอยด์ที่ทำหน้าตาเหวอทันที
“คุณจะมารับผมหรอครับ แล้วคุณ...”รอยด์เอ่ยยังไม่เสร็จธนาคิมก็เอ่ยตัดบททันที
“เลิกเรียนสามโมงใช่ไหม รอฉันแล้วกัน”
“คะ...ครับ สวัสดีครับ”รอยด์เอ่ยเบาๆพร้อมยกมือสวัสดี แต่ธนาคิมกลับรั้งแขนเรียวเอาไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หอมแก้มฉันหน่อยสิ เหมือนสามีจะไปทำงานแล้วภรรยาให้กำลังใจอ่ะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นหน้าตาแม้จะดูนิ่งแต่หูของธนาคิมกลับแดงฉ่า ซึ่งไม่แพ้กับใบหน้าของรอยด์ที่แดงฉ่าไม่แพ้กัน
“เอ่อ อ่า คะ...คือ”รอยด์เองก็เคอะเขินกับท่าทีของธนาคิม
ฟอดดดด
“อ๊ะ...”เสียงรอยด์อุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่ออยู่ๆธนาคิมก็กดจมูกที่แก้มของรอยด์
“ถ้ารอให้นายหอมแก้ม สงสัยไม่ได้ไปทำงานพอดี เย็นๆเจอกันนะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“ครับ”รอยด์เอ่ยพร้อมเดินลงจากรถ ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมดจนวายที่เดินเขามาเอ่ยแซว
“หวัดดีรอยด์ เป็นอะไรไปหน้าแดงแต่เช้าเลย”วายเอ่ยพร้อมกอดคอรอยด์ทันทีอย่างคุ้นเคย ซึ่งก็เป็นแบบนี้ประจำ
“เปล่า แล้วนี่ทำไมเดินเข้ามาหล่ะ ไม่ได้เอารถมาหรอกหรอ”รอยด์เอ่ยถามวาย เพราะธรรมดาแล้ววายจะมาพร้อม MSX รุ่นใหม่คู่ใจ
“อ่อ เย็นนี้พี่ชายมารับไปงานวันเกิดแม่อ่ะ”
“อื้ม”รอยด์เอ่ยออกมา
“กินรัยมายัง”วายเอ่ยถามรอยด์
“เรียบร้อยแล้ว วายยังไม่ได้กินหรอ”
“อื้ม พาเราไปกินโจ๊กด้านหน้าหน่อยสิ”วายเอ่ยก่อนจะดึงรอยด์ไปทางร้านโจ๊กหน้าโรงเรียน ทั้งคู่คุยกันเรื่อยเปื่อยด้วยรอยยิ้มยามเช้า
การกระทำทั้งสองไม่พ้นสายตาคมของคนที่กำลังนั่งมองอยู่ ธนาคิมกำพวงมาลัยไว้แม้จะไม่แน่นนักแต่ก็ทำให้รู้สึกว่าเจ็บได้
“คืนนี้เจอกัน”ธนาคิมเอ่ยออกมาก่อนจะขับรถออกไป
ทั้งวันธนาคิมไม่เป็นอันทำงาน แม้แต่ตอนนี้กำลังนั่งประชุมงานกับพี่ชายคนโตก็ตาม ในมือเอาแต่มองโทรศัพท์จะโทรหาก็คิดว่ารอยด์ยังคงเรียนอยู่
“อาทิตย์หน้าเฮียจะให้นายไปอิตาลีอีกครั้ง เพราะเจ้ากรีนต้องไปถ่ายโฆษณาที่โน้น อาทิตย์หนึ่ง”อนาคินเอ่ยบอกในที่ประชุม
“อาทิตย์หนึ่งเลยหรอครับ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“อื้ม ทำไมหรอ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น ในหัวกำลังครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับรอยด์ดี เพราะกลัวว่าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออย่างวายจะทำคะแนนตอนช่วงที่เขาไม่อยู่
ช่วงเวลาบ่ายสามโมงเย็นรอยด์เดินมารอธนาคิมที่เดิม โดยมีวายนั่งรอเป็นเพื่อนเพราะวันนี้พี่ชายรอยด์มารับ ทั้งสองจึงนั่งคุยกันไปและเล่นโทรศัพท์กันไป
“เราถามจิงๆเถอะ ว่าคุณเกยร์อะไรเนี้ยเขาทำไมต้องมารับ มาส่งรอยด์ด้วยทั้งๆที่รอยด์เป็นแค่คนอาศัยของบ้านเท่านั้น”วายเอ่ยขึ้นถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้เหมือนกัน เขาคงเอ็นดูเรามั้ง”รอยด์เอ่ยขึ้น ทั้งๆที่รู้ว้าหตุผลของธนาคิมคืออยากดูแลรอยด์อย่างที่เขาพูดไว้
“หรอ แต่ดูเหมือนเขาไม่ชอบขี้หน้าเราเลย รอยด์ว่าม่ะ”วายเอ่ยขึ้นตรงๆ
“ไม่ใช่หรอกมั้ง คุณเกรย์ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยพูด หน้าตาเลยดูเฉยๆ ดุๆแบบนั้นหล่ะ”รอยด์เอ่ยเถียงแทน ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นรถของพี่ชายรอยด์ก็แล่นเข้ามาเทียบ
“พี่ชายเรามาแล้ว รอยด์อาจจะยังไม่เคยเจอพี่ชายเรา มานี่เราจะพาไปรู้จัก”วายเอ่ยขึ้น รอยด์เดินตามวายไปก่อนจะเห็นว่าคนในรถคือคนเดียวกับคนที่โรงหนัง
“พี่ซี นี่เพื่อนของวาย ชื่อ....”ยังไม่ทันที่วายจะเอ่ยแนะนำรอยด์เสียงซีก็เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มและท่าทางดีใจ
“คุณรอยด์”
“คุณซี”
ทั้งสองทักทายกันอย่างคุ้นเคยจนวายเองสงสัยจึงถามขึ้นว่ารู้จักกันได้ยังไง และพากันมานั่งคุยกันที่ร้ายไอศกรีมข้างๆโรงเรียน ซึ่งตอนแรกรอยด์เองก็ตั้งใจรอธนาคิม แต่ซีบอกว่าใกล้ๆนี่เอง
“ไม่คิดว่าจะเจอคุณรอยด์ที่นี่ และไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนกับเจ้าหัวเล็กด้วย”ซีเอ่ยขึ้น
“เราสองคนเพิ่งเป็นเพื่อนสนิทกันช่วงที่ผมเพิ่งย้ายามานี่หล่ะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“อ้าว แล้วคุณรอยด์เคยเรียนที่ไหนมาก่อนหรอครับ”ซีเอ่ยถาม
“ผมย้ายมาจากซิคาโก้ครับ”
“ว้าว ไกลจังนะครับ แต่เราสองคนก็ได้มาเจอกัน”ซีเอ่ยออกมา เหมือนคนมุขเสี่ยวๆ เพราะซีออกจะเป็นคนตลอกหน่อยๆ งายหันมองพี่ชายทันทีก่อนจะแตะที่เท้าพี่ชายตัวเอง
ปึก
“โอ๊ย ไอ้หัวเล็กมาแตะพี่ทำไมว่ะ”ซีหันไปดุน้องชาย
“รอยด์อ่ะ เพื่อนสนิทเค้าอย่ามารุ่มร่ามนะ”วายเอ่ยบอกพี่ชาย ทั้งสองจึงทำสงสครามขนาดย่อมเล็กน้อยจนรอยด์หัวเราะออกมากับความน่ารักของพี่น้องคู่นี้
“ผมอยากมีพี่ชายแบบคุณซีจังครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ซีจึงยิ้มหวานใหห้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมยินดีครับ แต่ที่จริงไม่อยากเป็นพี่ชายเลย สำหรับคุณรอยด์”ซีเอ่ยขึ้น
อึก
“ว่าอะไรนะครับ”รอยด์เอ่ยย้ำอีกครั้ง
“พูดเล่นอ่ะครับ ว่าแต่วันก่อนที่ผมเจอคุณรอยด์กับผู้ชายที่อ้างว่าเป็นแฟนคุณรอยด์อ่ะ คนนั้นแฟนจริงๆหรอครับ”ซีเอ่ยขึ้น วายรีบหันมามองเพื่อนทันที
“แฟนหรอ แฟนที่ไหน เมื่อไหร่ทำไมเราไม่รู้”วายเอ่ยขึ้น
“ผมว่าผู้ชายคนนั้นโกหกผมแน่ๆเลย เพราะคุณรอยด์เพิ่งสิบหกเอง อีตานั้นแก่แล้วน่าจะเป็นตาแก่อยากป้อเด็กแน่ๆเลยคุณรอยด์ต้องระวังตัวนะครับ”ซีเอ่ยขึ้น ทำเอารอยด์หลุดยิ้มออกมา
“ตาแก่เลยหรอ คราวหน้าไปไหนบอกเรานะเราไปเป็นเพื่อนได้”วายเอ่ยขึ้น สองพี่น้องพากันห่วงใยรอยด์
ระหว่างที่ทั้งสามคุยกันอยู่อย่างสนุกสนาน สายตาของอีกคู่กำลังจ้องมองอยู่ ก่อนจะยกมือถือขึ้นมากดหาคนในร้าน ที่กำลังหัวเราะอยู่ตอนนี้ก็หน้าเปลี่ยนทันทีเพราะคนปลายสายคือคนที่บอกเขาว่าจะมารับ
“ครับ”รอยด์เอ่ยรับสาย
“อยู่ไหน”เสียงธนาคิมเอ่ยดุๆ
“อยู่ร้านไอศกรีมแถวหน้าโรงเรียนครับ”
“ฉันบอกแล้วไงให้รอฉัน ทำไมไม่เชื่อฟังกันเลย”
“ผมขอโทษครับ งั้นเดี๋ยวผมจะรีบไปนะครับ”รอยด์เอ่ยอย่างกลัวๆจนวายเอ่ยขึ้นถาม
“คุณเกรย์มารับแล้วหรอ”วายเอ่ย
“อื้ม วาย คุณซีกลับก่อนนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรต่อเสียงปลายสายก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เร็วๆ ฉันให้เวลาแค่ห้านาที”ธนาคิมเอ่ยพร้อมกดวางทันที
ร่างบางแบกกระเป๋าเป้มาอย่างพะรุงพะรังวิ่งตรงมายังรถคันสวยที่จอดอยู่ ธนาคิมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะปลดล๊อคประตูเพื่อให้รอยด์ขึ้นรถมา
“แฮ่กๆ ขอโทษนะครับมานานแล้วหรอ”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหอบ เหงื่อที่ผุดออกมาเยอะแยะมากมาย ยิ่งทำให้รอยด์ดูน่ารักกว่าเดิม ธนาคิมล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หันหน้ามาสิ...”ธนาคิมเอ่ย รอยด์หันมาทางธนาคิมอย่างว่าง่ายและก็ตกใจเมื่อผ้าเช็ดหน้าของธนาคิมกลับถูกซับที่หน้าผากและขมับเนียนของรอยด์
ฟอดดด
“กลิ่นเหงื่อนายทำไมหอมจัง”ธนาคิมเอ่ยขึ้นหลังจากกดจมูกที่แก้มของรอยด์
“บ้าสิครับ กลิ่นเหงื่อที่ไหนจะหอม”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมหน้าที่คงจะไม่มีที่ว่างให้แดงอีกแล้ว
“นี่กล้าว่าฉันหรอ รู้ไหมว่ายังมีความผิดอยู่นะ เรื่องที่ไม่รอฉันอยู่ที่นี่ แถมยังไปกับผู้ชายคนอื่นอีก”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“เอ่อ แค่ไปกับวายและพี่ชายวายครับ แต่ถ้าทำให้คุณธนาคิมต้องรอผมต้องขอโทษด้วย”รอยด์เอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรับโทษด้วย รู้นะว่าจะต้องรับโทษอะไร และยังไง”ธนาคิมเอ่ยขึ้น ก่อนจะขับรถออกไปอย่างไม่พูดอะไร ทิ้งให้รอยด์นั่งเงียบพร้อมใบหน้าที่แดงฉ่าออกมา
...
..
“อื่อ~~”เสียงครางเบาๆในลำคอ บ่งบอกว่าเจ้าของเสียงกำลังเสียวซ่านแค่ไหน ร่างเปลือยของรอยด์ที่ถูกธนาคิมอุ้มไว้ หลังเนียนแนบที่ฝาผนังก่อนที่จะถูกโยกตาจังหวะของคนตัวสูง
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ คุณเกรย์ อ่าห์”รอยเอ่ยครางออกมาด้วยเสียงที่อารมณ์บ่งบอกว่าสุขแค่ไหน มือเล็กจิกเล็บลงกลาหลัง สองแขนโอบกอดรอบคอแกร่งไว้แน่นเพื่อไม่ให้ร่วงลงมา กล้ามที่แขนของธนาคิมดูแข็งแรงนักเมื่ออุ้มรอยด์ไว้แนบอกตอนนี้
“ฮ่าห์...นายมันดื้อมาก อื่อ อื่อ ดื้อกับฉันเหลือเกิน เพราะฉะนั้นนายต้องโดนแบบนี้”ธนาคิมเอ่ยพร้อมกระแทกตัวของรอยด์ลงอย่างแรง
“อ๊ะ เบาๆครับผมจุก อื่อ”รอยด์ขึ้นทั้งๆที่ตัวเองก็รู้สึกเสียวซ่านนักกับกิจกรรมนี้
ก็ตั้งแต่จอดรถได้ธนาคิมก็ลงโทษรอยด์ด้วยวิธีการทรมานบนเตียง จนตอนนี้กินเวลาไปเกือบสามชั่วโมงแล้วที่ทั้งสองทำกิจกรรมกัน
“อื่ออออ”เสียงครางอย่างหมดแรงของรอยด์ที่นอนซบที่อกของธนาคิมเมื่อเจออีกคนกำลังกวนใจอยู่
“นายเป็นของฉัน กล้าดียังไงถึงไปคุยกับผู้ชายคนอื่น”ธนาคินเอ่ยขึ้นทั้งๆที่ยังลูบไล้มือวนไปทั่วแผ่นหลังเนียนนั้นไปมา รอยด์ที่หมดแรงจะเถียงธนาคิมแล้ว ตอนนี้อยากจะพักผ่อนร่างกายจะแย่
“ผมไม่ได้กล้าดี แต่วายคือเพื่อนรักของผม ไม่ให้ผมคุยกับวายแล้วจะให้ผมคุยกับใคร ผมมีวายเป็นเพื่อนแค่คนเดียวนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยแรง
“แต่นาย...”ยังไม่ทันที่ธนาคิมจะเอ่ยต่อ รอยด์ก็รวบรวมแรงเอ่ยขึ้น
“คุณเกรย์ครับ ผมเหนื่อยจังเลย เรื่องของคนอื่นเอาไว้คุยวันหลังนะครับ ตอนนี้ผมง่วงมากแล้ว”รอยด์เอ่ยอย่างอ้อนๆ ธนาคิมเห็นท่าทางของรอยด์แบบนี้ยิ่งรู้สึกปั่นป่วนกว่าเดิม
“ก็ได้ ฉันจะให้นายพัก เห็นว่าเมียอ้อนหรอกนะเนี้ย”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์เงยหน้าขึ้นมองรับกับจูบที่หน้าผากพอดีก่อนจะหลับตาลงด้วยความเพลีย
วันนี้วันศุกร์ทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านเพื่อทนอาหารค่ำ รอยด์กลับจากโรงเรียนช่วงเย็นวันนี้ธนาคิมไม่ได้ไปรับเพราะมีธุระ แต่ก็มาทันที่จะทานข้าวกับทุกคน รอยด์ยกหม้อซุปออกมาตั้งที่โต๊ะช่วยป้าพรแบบนี้เสมอ
หมับ!
“รอยด์...คิดถึงพี่ไหมไม่อยู่หลายวันเลย”เสียงหวานของพิ้งค์เอ่ยขึ้นเมื่อวิ่งเข้ามากอดร่างบางของรอยด์ไว้
“คุณพิ้งค์...ไปเกือบสองอาทิตย์เลยนะครับ เป็นไงมั้งที่ค่ายสนุกไหมครับ”รอยด์เอ่ยถาม
“สนุกสิ แต่ที่ไม่สนุกก็คือคนไปด้วย น่าเบื่อมาก หน้าตาจะหงิกงอไปไหน”พิ้งค์เอ่ยพร้อมกับปรายตามองเลิฟหลานป้าพรที่อาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด
“พี่เลิฟไปทำอะไรคุณพิ้งค์หรอครับเนี้ย”รอยด์เอ่ยถามเสียงแข็งนิดหน่อย
“พี่เปล่านะ แต่คุณพิ้งค์ของรอยด์เขาเป็นคนฮอตไง พี่ไม่กล้าไปวุ่นวายมากหรอกกลัวความฮอตของคุณพิ้งค์จะหายไป”เลิฟเอ่ยขึ้น
“ก็พอๆกันป่ะ นายก็ฮอตเหมือนกันแระ ไม่งั้นสาวๆคณะอื่นจะมาทั้งขอเบอร์ขอไลน์หรอกหรอ ชิส์”เสียงเอ่ยพิ้งค์ที่ประชดประชันเอ่ยออกมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนรอยด์จะนึกหงุดหงิดที่เห็นพิ้งค์กับเลิฟอยู่ด้วยกัน และทำท่าทีเหมือนหึงหวงกัน แต่ตอนนี้เขากลับไม่คิดแบบนั้นแล้ว
“ทำอะไรกันอยู่เนี้ย ไปล้างไม้ล้างมือมาทานข้าวกันครับ”เสียงนิลกาฬเอ่ยขึ้น อนาคินเดินมาสมทบก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เจ้าเกรย์บอกว่าจะเอาอะไรไหม พอดีกำลังกลับผ่านร้านคุณไหมพอดี”อนาคินเอ่ยขึ้น
“คุณไหมหรอครับ คุณไหมคือใครหรอ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น เสียงบลูที่กำลังเดินเข้ามาเอ่ยขึ้น
“ได้ยินเหมือนชื่อพี่ไหม เฮียเกรย์กับพี่ไหมกลับมาคบกันอีกแล้วหรอครับ”บลูเอ่ยขึ้น นิลกาฬหันมองบลูและเอ่ยขึ้นถามทันที
“อะไรนะครับ คบกันหรอหมายความไงครับพี่แบล็ค”อนาคินเองก็ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องราวของธนาคินกับรอยด์ให้บลูและพิ้งค์ฟัง แต่ถึงเล่าตอนนี้ก็คงจะไม่ทันเสียแล้ว
“พิ้งค์อยากกินเค้กอ่ะ เค้กร้านพี่ไหมอร่อยมาก เมื่อก่อนกินบ่อยมากตั้งแต่เลิกกับเฮียเกรย์ก็อดกินเลย”เสียงพิ้งค์เอ่ยขึ้น
“เฮียว่าไปที่โต๊ะอาหารดีกว่า หมอพาเจ้าบลูกับหนูพิ้งค์ไปล้างมือที่ครัวไป”อนาคินเอ่ยขึ้นอย่างรู้กัน
“อะไร เค้าเพิ่งล้างมานะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“ผมเพิ่งล้างมือมานะเฮีย”บลูเอ่ยขึ้น
“มาเถอะเดี๋ยวเฮียพาไปล้างมือ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะลากน้องทั้งสองเข้าครัว
“เฮียอย่าลืมบอกเฮียเกรย์ว่าชวนพี่ไหมมาทานข้าวที่บ้านนะครับ พิ้งค์อยากกินเค้ก”พิ้งค์ตะโกนออกมา ที่บ้านนี้รู้จักผู้หญิงคนนั้น ยิ่งคิดยิ่งทำให้รอยด์หน้าซีดและอ่อนแรงไปหมด นี่สินะที่เขากำลังเจอ คือรอยด์กำลังรู้สึกว่ารอยด์รักธนาคิมเข้าแล้วเต็มหัวใจ
..........................
"ความรู้สึกดีจะมาพร้อมกับความรู้สึกหน่วงๆ"
-
ตัวกระตุ้นปัญหามาเพิ่มแล้ว นุกหนาน อิอิ
-
เดี๋ยวก็ไป อิตาลี อีก ..
-
Gray Diary 6 : สิ่งสำคัญ (ธนาคิมxรอยด์)
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็ยังคงปกติ เสียงกรีนที่ยังเอ่ยบ่นเรื่องที่ต้องไปอิตาลีล่วงหน้ากับกับโปรดิวเซอร์อย่างชยางกูร ก็ยังคงเอ่ยขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทุกคนก็ยังคงพากันหัวเราะกันเรื่อยๆ ยกเว้นแต่รอยด์ที่นั่งยิ้มเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็ปกติของรอยด์อยู่แล้ว จึงดูไม่ผิดสังเกตอะไร แต่ธนาคิมจับผิดสังเกตได้
“เป็นอะไรไป”ธนาคิมเอ่ยขึ้นถาม
“เปล่าครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นก่อนจะล้มตัวลงนอนที่ประจำตัวเอง โดยมีธนาคิมนอนพิงอยู่ที่อีกด้าน
“เปล่าหรอ ธรรมดานายไม่เงียบแบบนี้นะอย่างน้อยนายก็จะบ่นฉัน หรือน้อยใจที่วันนี้ฉันไม่ได้ไปรับที่โรงเรียน”ธนาคิมเอ่ยขึ้น วันนี้เขามีนัดลูกค้า ต้องเคลียธุระให้เรียบร้อยเพื่อจะไปอิตาลีอาทิตย์หน้า
“เปล่าครับ ผมยังไงก็ได้ คุณจะไปรับไม่ไปรับมันก็ไม่มีผลอะไรกับผมอยู่แล้ว”รอบด์เอ่ยออกมาน้ำเสียงเหมือนน้อยใจ
“พูดแบบนี้ต้องน้อยใจฉันแน่ๆเลย”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนจะกดจมูกที่แก้มของรอยด์ฟอดใหญ่
ฟอดดดดด
“นอนเถอะครับ ผมง่วงแล้ว”รอยด์เอ่ยขึ้น ธนาคิมที่กำลังคลอดเคลียที่แก้มและซอกคอของรรอยด์ก็หยุดทันทีคิดในใจว่ารอยด์คงงอนมากจริงๆ
“การที่ฉันไม่ไปรับนายวันนี้ ฉันผิดมาขนาดนั้นเลยหรอ นายถึงโกรธฉันมากขนาดนี้”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนจะล้มตัวลงนอนมองไปยังเพดานห้อง รอยด์ได้ยินน้ำเสียงของธนาคิมแล้วก็รู้สึกไม่ดีนัก กลัวว่าธนาคิมจะโกรธตัวเองที่ตัวเองงี่เง่าไม่เข้าเรื่อง ทั้งๆที่รู้ว่าที่จริงไม่ใช่เรื่องไม่ไปรับแต่เป็นเรื่องของคนชื่อไหมมากกว่า
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมไม่ได้โกรธหรืองอนคุณเลย การที่คถณไม่มารับที่โรงเรียนก็ไม่ได้คิดมากอะไร ผมไม่ได้กังวลอะไรและผมก็ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น เข้าใจนะครับ”รอยโมโหกับความเซ้าซี้ของธนาคิม จึงหันไปทำหน้าไม่พอใจ แต่ธนาคิมกลับล๊อคใบหน้าน่ารักนั้นไว้อยด์เองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะไม่อยากจะให้ธนาคิมเซ้าซี้จนเขาต้องเอ่ยความจริงออกมา
“แล้วนายเป็นอะไรหล่ะ บอกฉันได้ไหม”ธนาคิมเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนลงและสวมกอดรอยด์ไว้
สายตาของธนาคิม สายตาที่แสนจะอ่อนโยน อบอุ่นของธนาคิมที่มองไปยังใบหน้าของรอยด์ มือหนาลูบใบหน้าเล็กใบมา ความอ่อนโยนที่ธนาคิมกำลังทำอยู่นี้มันช่างน่าหวงแหนนักถ้าวันนึ่งรอยด์ไม่ได้เป็นเจ้าของสัมผัสนี้ แค่คิดรอยด์ก็รู้สึกใจหายแล้ว
“ผมอยากเห็นแก่ตัวจัง ผมอยากเห็นแก่ตัวว่าผมต้องการคุณมากแค่ไหน”รอยด์เอ่ยขึ้นในใจ มือบางลูบที่ใบหน้าของธนาคิม หนวดเคราที่กำลังขึ้นดูเซ็กซี่นัก ใบหน้านิ่งแต่มีเสน่ห์นัก มือเล็กกำลังลูบไล้แก้มและคางหนาก่อนจะหลับตาลงและเอ่ยขึ้น
“คุณเกรย์ จูบผมหน่อยนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ท่าทางของรอยด์ทำเอาธนาคิมเองก็งง ไม่เข้าใจว่าวันนี้เด็กน้อยของเขาเป็นอะไรไปนะ
“ถ้านายไม่บอก ฉันก็จะไม่รู้ว่านายเป็นอะไร แต่ฉันไม่ชอบให้นายเป็นแบบนี้เลย”ธนาคิมเอ่ยขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกห้องไปโดยไม่ได้กดจูบตามที่รอยด์ขอไว้
“ฉันจะกลับไปนอนที่ห้อง เลิกสงครามประสาทเมื่อไหร่ก็บอกฉัน”ธนาคิมทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้รอยด์นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นคนเดียว น้ำตามที่เหมือนอัดอั้นอยู่นาน สองแขนกอดรอบตัวอย่างคนขาดความอบอุ่น
“ไม่มีใครรักเราจริงหรอก ขนาดพ่อแม่ผมเขายังทิ้งผมไปอยู่ด้วยกันบนสวรรค์เลย อานิลก็ทิ้งผมไปอยู่กับคุณแบล็ค พี่พิ้งค์ก็ทิ้งผมไปอยู่กับพี่เลิฟ แล้วคุณก็ทิ้งผม ทิ้งผมไปแล้ว ฮึกๆๆๆ”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมปล่อยน้ำตาออกมาอย่างเดี่ยวดาย
ทางด้านธนาคิมไม่รู้ว่ารอยด์เป็นอะไร เขาเดินออกมาเดินเล่นที่ริมสระน้ำ สายตามองไปยังน้ำไสในสระที่กระทบกับแสงไฟ จนหมอไวท์ที่มักจะนอนดึกเดินลงมาคลายเครียดเดินมาเจอกับพี่ชายตัวเองที่นั่งคีบบุหรี่อยู่
“บุหรี่มันอันตรายนะเฮีย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมนั่งลงข้างๆพี่ชาย
“รู้ครับหมอ แต่ว่ามันเครียดนี่หน่า”ธนาคิมเอ่ยบอกน้องชาย
“เครียดเรื่องอะไรครับ”หมอไวท์ถามขึ้น ธนาคิมกดก้นบุหรี่ทิ้งก่อนจะมองไปบนท้องฟ้าสีดำและเอ่ยขึ้น
“หมอว่าเฮียมีเมียเด็ก ต้องเข้าใจเด็กด้วยไหมว่ะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น หมอไวท์หัวเราออกมาเบาๆกับพี่ชายตัวเองที่กำลังกุ้มใจเรื่องเมียเด็กหรอกหรอ
“ฮ่าๆ อะไรของเฮียเนี้ย”หมอไวท์เอ่ยพร้อมหัวเราะ ธนาคิมหันมองน้องด้วยสายตาดุๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่ขำนะเว้ย อย่ามีแฟนเด็กบ้างแล้วกัน”ธนคิมเอ่ยคาดโทษน้องชาย
“โอ๋ๆ ผมล้อเล่นครับเฮีย ว่าแต่แล้วมีปัญหาอะไรกับรอยด์หรอครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ธนาคิมจึงเล่าให้ฟังว่ารอยด์ดูเปลี่ยนไปตั้งแต่ช่วงเย็น
สองพี่น้องนั่งคุยกันสักพัก หมอไวท์ก็ขอตัวขึ้นข้างบน ธนาคิมเองก็เดินขึ้นห้องใจก็อยากไปนอนกอดรอยด์เพราะตลอดเวลามานี้ ธนาคิมเสพติดการนอนกอดคนตัวเล็กในอ้อมกอดเสมอ
“นี่ฉันหลงรักนายไปแล้วหรอรอยด์ ฉันถึงได้แคร์นายขนาดนนี้”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าห้องตัวเอง อยากจะลองใจตัวเองอีกครั้งว่าที่จริงแล้วแค่หลงเด็กหรือหลงรักเด็กน้อยคนนี้ไปแล้ว
....
..
เช้าวันใหม่ วันนี้เป็นวันเสาร์หลายคนอาจจะออกไปทำกิจกรรมที่เป็นวันหยุด หรือไปพบปะเพื่อนฝูง แต่รอยด์เองไม่ชอบที่จะออกไปไหนมากนัก เขาไม่ชอบความวุ่นวายเลยสักนิด ระหว่างที่นั่งอ่านหนังสืออยู่นั้น เสียงมือถือของรอยด์ก็ดังขึ้น
“หวัดดีวาย”รอยด์เอ่ยทักคนปลายสาย
(“รอยด์ วันนี้ไปดูหนังกันไหม เดี๋ยวเราไปรับพอดีพี่ซีแกจะเลี้ยงหนัง”)
“เราไม่อยากไปไหนเลยอ่ะ วายไปกับพี่ซีเถอะ ฝากบอกพี่ซีด้วยว่าเอาไว้วันหน้านะ”
(“ทำไมอ่ะ พี่ซีแกนานๆจะมีเวลานะ เดี๋ยวเราไปรับนะแต่งตัวรอเลย”)
“วายไม่ต้องเสียเวลามารับหรอก เดี๋ยวเอาไว้เจอกันก็ได้ เกรงใจพี่ซีต้องขับรถอ่ะ”
(“ไม่ทันแล้วหล่ะรอยด์ ตอนนี้เรากับพี่ซีอยู่หน้าบ้านรอยด์แล้ว”)
รอยด์หันมองไปยังนอกบ้านเห็นรถคันสวยจอดอยู่หน้าบ้าน ยังไม่ทันที่จะเอ่ยบอกให้เพื่อนรักรอแปบแต่ไม่ทันแล้วเพราะคนในบ้านกำลังกดประตูรั่วให้รถเข้ามาเรียบร้อย
(“รอยด์ คนที่บ้านรอยด์บอกว่าคุณเกรย์ให้เปิดประตูให้”)
“วายกับพี่ซีรอแปบนะเดี๋ยวเราลงไปหา”รอยด์เอ่ยขึ้นก่อนจะรีบวิ่งออกไป แต่เมื่อเปิดประตูห้องได้ก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างสูงของธนาคิมยืนอยู่หน้าห้อง
“อ๊ะ...! คุณเกรย์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”รอยด์เอ่ยอย่างตกใจ
“จะรีบไปหาเพื่อนหรอ ดูท่าทางดีใจนะ นัดกันไว้หรอ แล้วจะไปไหนกันหล่ะ”เสียงธนาคิมเอ่ยนิ่งๆ
หมอไวท์ที่อยู่ในชุดรำลองปกติวันนี้ไม่มีเวรที่โรงพยาบาลกำลังเดินออกจาห้องมา เห็นพี่ชายตัวเองและพี่สะใภ้ที่ท่าทางจะอายุน้อยของตัวเองยืนคุณกันอยู่ตรงหน้าห้องจึงเอ่ยทัก
“มีอะไรกันหรอครับ”หมอไวท์เอ่ยถาม
“เปล่า ไม่มีอะไร...”ยังไม่ทันที่ธนาคิมจะเอ่ยถามน้องชายต่อเสียงมือถือของธนาคิมก็ดังขึ้น
Truuuuuu
ธนาคิมยกมือถือขึ้นกดรับทันที ชื่อปลายสายที่ถูกเรียกขึ้นทำให้คนที่ยืนอยู่ในห้องหน้าเสียทันที
“ว่าไงคะไหม”รอยด์หลบสายตาหมอไวท์ทันที ทำท่าจะเดินออกห้องแต่ถูกธนาคิมขว้างเอาไว้ หมอไวท์เองก็ไม่รู้จะทำยังไง ตั้งใจว่าจะบอกพี่ชายให้รู้ว่ารอยด์รู้เรื่องของไหมแล้ว
“อ่า...แล้วนี่หมอไม่มีเวรหรอ ธรรมดาก็แทบจะไม่เห็นหน้าอยู่แล้ว”ธนาคิมถามน้องชายหลังวางสายเสร็จ สายตาแอบมองไปยังคนตัวเล็ก
“ไม่มีครับ ว่าแต่ได้ยินเสียงรถใครมาหรอครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“รถเพื่อนของผมเองครับหมอ งั้นผมขอตัวไปหาเพื่อนนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นเมื่อได้โอกาสเลี่ยงธนาคิม ใบบหน้าดูไม่พอใจอะไรบ้างอย่าง มันรู้สึกหน่วงที่ใจนัก
รอยด์เดินลงมาและตรงดิ่งไปยังห้องรับแขกที่ตอนนี้ทั้งซีและวายกำลังนั่งมองบ้านหลังใหญ่อย่างชื่นชม รอยด์ยิ้มให้กับทั้งคู่ก่อนจะยกมือไหว้ซีและทักทายวาย
“สวัสดีครับพี่ซี หวัดดีวาย รอนานไหม”รอยด์เอ่ยขึ้น
“ไม่นานเลย”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้ม
“รอยด์บ้านรอยด์ใหญ่จังเลยอ่ะ”วายเอ่ยขึ้นถาม
“เปล่าเลย นี่บ้านสามีอานิล เราแค่คนอาศัยเอง”
“หรอ ใหญ่มากจริงๆ”วายท่าทางจะตื่นตาตื่นใจนักกับบ้านหลังโตนี้
“รอยด์ว่าเราไปนั่งข้างนอกกันเถอะครับ พอดีวันนี้เจ้าของบ้านอยู่หลายคน รอยด์เกรงใจพวกเขาครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ทั้งซีและวายจึงเห็นด้วย แต่ยังไม่ทันที่ทั้งหมดจะเดินออกไป เสียงของเจ้าของบ้านคนรองก็ดังขึ้น
“จะไปไหนกัน”ธนาคิมเอ่ยด้วยใบหน้านิ่ง ดูท่าทางดุและสายตาก็จับจ้องไปยังใบหน้าของรอยด์ที่มองมาอย่างไม่พอใจเช่นกัน
“เราจะออกไปข้างนอกกันครับ ขอตัวนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นก่อนจะชวนซีและวายออกไปข้างนอก แต่ท่าทีของซีเปลี่ยนไป ร่างแข็งทื่อมองไปยังคนข้างหลังธนาคิมนิ่ง สายตาบอกว่ารู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูกหรือจะดีใจกันแน่
“พี่ซีครับ เราไปกันเถอะครับ”เสียงรอยด์เอ่ยขึ้นบอกซี และควงแขนซีเดินออกไป ทำให้ธนาคิมยิ่งโมโหกว่าเดิมเพราะรอยด์ที่เดินควงแขนผู้ชายคนนั้นเดินออกไป
เมื่อเดินออกมาข้างนอกรอยด์และวายนั่งคุยกันเรื่องหนังไปเรื่อยๆแต่ซีกลับเงียบลงไปถนัดตา และกลับนิ่งไปจนวายเอ่ยถามพี่ชายตัวเอง
“พี่ซีเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”วายเอ่ยขึ้น
“ใช่ พี่ซีหน้าซีดมากเลย เหงื่อเต็มไปหมดเลย ให้คุณหมอดูให้หน่อยนะครับพอดีว่าเจ้าของบ้านคนที่สามเป็นหมออ่ะ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับคุณรอยด์ พี่ว่าพี่ชวนวายกลับดีกว่า”ซีเอ่ยขึ้น
“วายว่าพี่ซีพักก่อนดีกว่า อะไรกันไม่สบายแล้วยังจะชวนไปนั้นไปนี่อีก”วายเอ่ยโวยพี่ชายอย่างเป็นห่วง
“พี่ซีท่าทางไม่ไหว เดี๋ยวรอยด์ไปตามพี่หมอดีกว่า”รอยด์ไม่รอให้ซีเอ่ยอะไรรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
ตอนนี้หมอและธนาคิมกำลังเหมือนแอบมองคนข้างนอกอยู่และเมื่อเห็นรอยด์วิ่งเข้ามาก็รีบเดินเข้าไปหาทันทีโดยไม่รอให้รอยด์เอ่ยอะไร
“จะวิ่งทำไม เดี๋ยวก็ล้มหรอก”ธนาคิมเอ่ยดุรอยด์ด้วยความเป็นห่วงกลัววีรอยด์จะล้มและเจ็บตัว
“ผมดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องทำเป็นห่วงผมหรอกครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้านิ่งๆก่อนจะหันไปทางหมอไวท์
“พี่หมอครับไปดูพี่ชายเพื่อนรอยด์หน่อยครับ ไม่รู้เป็นอะไรหน้าซีดไป...”ยังไม่ทันที่รอยด์จะเอ่ยจบร่างสูงของหมอไวท์ก็เดินหายลิบออกไปแล้ว ทิ้งให้ทั้งรอยด์และธนาคิมยืนอยู่ตรงนั้นเพียงสองคน
หมับ!
“จะไปไหน”เสียงธนาคิมเอ่ยพร้อมกับคว้าต้นแขนของรอยด์เพื่อรั้งไว้เมื่อคนตัวเล็กท่าทางจะเดินออกไป
“ผมจะไปดูพี่ซี ปล่อยผมครับ”รอยด์เอ่ยนิ่งๆ
“เป็นอะไรอ่ะรอยด์ โกรธกันมากขนาดนั้นเลยหรอ นี่มันก็ข้ามคืนข้ามวันแล้วนะ มีอะไรไม่ยอมพูดกันตรงๆหล่ะ โตๆกันแล้วนะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นถาม
“ผมไม่ได้เป็นอะไรเลยครับ และช่วยปล่อยผมด้วยผมจะไปดูพี่ซี”ยังไม่ทันที่ธนาคิมจะปล่อยรอยด์ เสียงรถก็แล่นออกจากบ้านไป พร้อมๆกับมือถือของรอยด์ที่ดังขึ้น
Truuuuuu
“กำลังจะออกไปหา”
(“ไม่ต้องแล้ว พอดีพี่ซีบอกว่าหายดีแล้วตอนนี้กำลังจะกลับบ้าน”)
“อ้าว ทำไมรีบกลับหล่ะ”
(“เอาไว้จะเล่าให้ฟังนะ เอาไว้เจอกันที่โรงเรียน”)
“อื้มๆ ยังไงก็ฝากบอกพี่ซีด้วยว่าหายไวๆนะ”
(“อื้ม เดี๋ยวบอกให้ //พี่ซีพี่หมอตามมาแล้ว//”)
สิ้นเสียงของวายพร้อมปลายสายที่กดตัดสายไปแล้ว รอยด์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินหนีร่างสูงตอนนี้ แต่ธนาคิมก็ยังคงเดินตามขึ้นไปข้างบนอยู่ดี และก็ตาขึ้นถึงห้องนอนจนได้
ปึง!
แกร็ก!
“อ๊ะ...คุณเกรย์ เข้ามาทำไมครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น พยายามเดินถอยหลังหนีแต่ธนาคิมก็เดินตามจนตอนนี้จนมุมแล้ว เพราะด้านหลังของรอยด์คือกำแพงเรียบ เมื่อหลังของเขาแนบกับกำแพงมือสองมือถูกมือใหญ่จับแนบเข้าที่กำแพงแน่น ทำได้เพียงเบี่ยงใบหน้าออกเท่านั้น
“ทำไมหรอ ฉันจะเข้าห้องเมียไม่ได้หรอไง มีกฎข้อไหนห้ามว่าผัวจะเข้าห้องเมียไม่ได้ บอกฉันหน่อยสิ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นถาม รอยด์ช้อนตาหวานมองไปยังดวงตาของธนาคิมก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หรอครับ ผัวเมีย ที่หมายถึงคนรักกันหน่ะหรอครับ ถ้าคุณเกรย์หมายถึงแบบนั้นก็ไม่น่าจะใช่แล้วหล่ะ ถ้าคิดว่าผมคือเมียของคุณ เพราะคุณเองก็ไม่ได้รักผมเลยสักนิด”รอยด์เอ่ยขึ้น
“นายรู้ได้ไงว่าฉันไม่ได้รักนาย”รอยด์นิ่งไปเล็กน้อยกับประโยคของธนาคิม ถ้าความหมายของธนาคิมคือที่จริงธนาคิมรักรอยด์หล่ะ และแฟนเก่าที่ชื่อไหม คนที่เขากำลังกลับไปคบตอนนี้เป็นอะไร
“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”รอยด์ถามขึ้น ธนาคิมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก็หมายความตามที่พูดนั้นหล่ะ ว่าแต่นายเถอะดูท่าทางจะห่วงพี่ชายเพื่อนที่ชื่อซีมากเลยนะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นถามก่อนจะจับมือของรอยด์มาโอบที่ลำคอของตน และเบียดกายเข้าหารอยด์ใบหน้าที่ขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อธนาคิมเอ่ยกระซิบที่หูของรอยด์เบาๆ
“รู้ไหม ว่าฉันหึงมาก”หัวใจเด็กน้อยที่เต้นแรงระรัวอย่างบอกไม่ถูก อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าธนาคิมหึงหวงตัวเอง เพราะรักตัวเอง แม้ไม่บอกว่ารักก็ตาม
“คุณเกรย์ ผมไม่เคยเข้าใจอะไรคุณเลยสักครั้ง ไม่เคยเลยสักครั้งจริงๆว่าคุณคิดอะไรอยู่”รอยด์เอ่ยขึ้น ธนาคิมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะกดริมฝีปากอุ่นแนบริมฝีปากหวานนั้น ลิ้นหนาที่สอดเข้าไปในโพรงปากของเด็กน้อยอย่างง่ายดาย ทั้งสองจูบกอดกันราวกับว่าเรื่องที่ผ่านมามันไม่เคยเกิดขึ้นเลยมาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องของไหมหรือซี
ธนาคิมพาร่างบางของรอยด์มาที่เตียงกว้างก่อนจะวางอย่างถนอมมือ โดยริมฝีปากของทั้งสองยังคงประกบกันอยู่ ลิ้นร้อนของธนาคิมสอดลิ้นหนาเข้าไปคว้านหาความหวานในปากของรอยด์ โดยที่รอยด์เองไม่ได้โวยวายหรือขัดขืนอะไร สองมือของธนาคิมที่ประคองหน้าเรียวก่อนจะเลื่อนมาที่อกแบนราบที่มันยั่วยวน ยอดอกสีสวยของเด็กวัยแรกรุ่นกำลังปรากฏอยู่ตรงหน้า กี่ครั้งต่อกี่ก็ไม่เคยเบื่อสำหรับธนาคิม
“อื้มมม....” เสียงครางในลำคอที่แสนจะมีเสน่ห์ช่างดึงดูดความต้องการของธนาคิมเหลือเกิน
“รอยด์ อ่าห์...” เสียงกระซิบแผ่วเบาของธนาคิมที่ข้างหูก่อนจะกัดเข้าที่ใบหูของรอยด์เบาๆจนรอยด์รู้สึกเสียวซ่านไปหมด
“อ่าาาาห์ อื่ออออ คะ...คุณเกรย์ อ่าห์...” เสียงเสียวซ่านของรอยด์ที่เอ่ยขึ้น พร้อมแอ่นกายให้กับให้กับคนบนร่างเมื่อถูกกัดยอดอกสีทับทิมนั้น
“ อ่าห์ ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันขอเข้าไปนะ” ธนากรเอ่ยอ้อนแต่ปาก เพราะจมูกกำลังซุกไซร้ซอกคอขาวที่แสนจะคิดถึง เมื่อคืนธนาคิมคิดถึงคนในอ้อมกอดแทบขาดใจ
“อื่ออออ อ่าาาา”ไม่มีเสียงเอ่ยใดๆ มีเพียงเสียงครางเท่านั้นที่ถูกเปล่งออกมา
“ฉันเข้าไปหล่ะนะ รู้ไหมว่าฉันคิดถึงนายมากแค่ไหน นายหล่ะนายคิดถึงฉันไหม...อ่าห์” ธนาคิมเอ่ยขึ้นเพื่อให้เด็กน้อยผ่อนคลายและเขาเองก็อยากได้ยินรอยด์เอ่ยว่าที่จริงคนตัวเล็กก็คิดถึงเขาเช่นกัน
“ผมคิดถึงคุณเกรย์ครับ อ่าห์...ผมคิดถึงคุณ อ๊ะ อ๊ะ”รอยด์เอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว เพราะหัวใจของเขาคิดถึงเกรย์จริงๆ
“รอยด์ อ่าห์...ฉันหวง ฉันหึงรอยด์นะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนจะสอบสะโพหนั้นเข้าออกอย่างความรู้สึกที่เรียกว่าต้องการและความสุข
“คุณเกรย์...อ่าห์ ผมอยากเป็นของคุณ และผมอยากเป็นเจ้าของคุณคนเดียว ไม่ใช่พี่ไหมได้ไหมครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นเมื่อตอนนี้เขาและธนาคิมกำลังขึ้นสู่สวรรค์
“อ่าห์ แล้วพี่จะเล่าให้รอยด์ฟัง นะครับที่รัก...”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมปลดปล่อยออกมมาพร้อมกับคนร่างเล็กตอนนี้ ทั้งสองหายใจหอบเมื่อปลดปล่อยออกมาก่อนจะสวมกออดอ้อมกอดของกันและกัน
........................
"การหันหน้าคุยกันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด"
[/size]
-
เวลาคู่นี้เขางอนกันจบที่เตียงเสมอ แซ่บอ่ะ อิอิ
ตอนนี้พี่เกรย์ยกให้เป็นสายหื่นตัวพ่อเลย ฮ่าๆๆๆ
คุยกันเยอะๆๆๆจะได้เข้าใจกัน มีเมียเด็กมันดีแบบนี้เอง
เดาอีกสองคู่ที่จะตามมา คู่ของกรีน แล้วคู่ของหมอ เชียร์คู่หมอต่อคิว อิอิ
-
ขอบคุณจ้า คู่พี่หมอไวท์ต่อคิวนี้เลยจ้า
-
วิธีการขอคืนดี ..
-
Gray Diary 7 : เลือกแล้ว (ธนาคิมxรอยด์)
[/size]
สิบโมงเช้าของวันใหม่ แม้ผู้คนจะริ่มออกมาทำกิจกรรมประจำวันกันบ้างแล้วแต่สองร่างบนเตียงก็ยังมิวายจะนอนสวมกอดกันไปมา ผลัดกันจูบผลัดกันหอมเหมือนกับว่าชีวินี้คงขาดกันไม่ได้แล้ว
ฟอดดดด
“อื้อ...ลุกไปอาบน้ำเถอะครับ สายมากแล้วนะ”เสียงหวานเอ่ยอ้อน รอยด์มีความสุขมากแค่ไหนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ธนาคิมเล่าเรื่องราวของไหมให้กับรอยด์ฟังว่า ไหมเพียงแค่เพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่สนิทกันมาเท่านั้น ความที่สนิทกันมากทำให้คนที่บ้านคิดว่าทั้งสองคบหากัน แต่จริงๆแล้วธนาคิมไม่ได้ชอบไหมแบบนั้นเลย
“ฉันยังไม่อยากลุกจากที่นอนเลยอ่ะ อยากกอดรอยด์แบบนี้ตลอดไป”ธนาคิมเอ่ยขึ้นอ้อนๆบ้าง
“หึๆ เวลาคุณอ้อนคุณรู้ตัวไหมว่าน่ารักมากอ่ะ”รอยด์เอ่ยขึ้น ธนาคิมกระชับอ้อมกอดก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อย่าเรียกฉันว่าคุณสิ นับจากเรียกฉันว่าพี่เกรย์นะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ยกยิ้มหวานให้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แล้วคนในบ้านจะไม่สงสัยหรอครับ ที่อยู่ๆผมก็เอ่ยเรียกคุณเกรย์ว่าพี่เกรย์”
“ไม่สงสัยหรอก เพราะทุกคนในนี้รู้แล้วว่ารอยด์กับพี่เป็นอะไรกัน”ธนาคิมเอ่ยบอก รอยด์รีบทำตาโตทันทีก็มีเพียงเขาคนเดียวตอนนี้ที่ไม่รู้ว่าทุกคนรู้หมดแล้วว่าตัวเองกับธนาคิมเป็นอะไรกัน
“อะ...อะไรนะครับ”
“ตามที่พูดนั่นหล่ะ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่ารอยด์เป็นเมียพี่และที่ทุกคนยังไม่พูดออกมาเพราะพี่ขอไว้ อยากให้รอยด์ยอมรับเองและอยากให้รอยด์เลือก”
“เลือกหรอครับ ยังไงไม่เข้าใจ”
“เลือกที่จะอยู่กับพี่หรือเลือกที่จะไปจากพี่”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนคนไม่เข้าใจ
ฟอดดดด
“ก็อยากให้รอยด์เลือกที่รักหรือเกลียดพี่ไง ที่นี่เข้าใจหรือยัง”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ที่หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ในใจมีเพียงคำถามที่อยากถามกลับธนาคิม
“แล้วที่ยอมให้กอดแบบนี้ ยอมเจ็บเพื่อให้พี่มีความสุขแบบนี้เรียกว่ารักได้ไหมครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นใบหน้าขึ้นสีระรื่อเล็กน้อย แต่ในใจก็ยังมีคำถามอยากย้อนถามกลับธนาคิมบ้าง
จุ๊บ
“นับจากวันนี้เราจะอยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยานะ”ธนาคิมเอ่ยหลังจากกดจูบที่ขมับของรอยด์และสวมกอดแน่น รอยด์ยกยิ้มมุมปากอ่อนๆก่อนจะนอนคิดอะไรในใจจนธนาคิมเอ่ยถามเพราะความเงียบของคนในอ้อมกอด
“เงียบทำไมหรอ คิดอะไรอยู่”ธนาคิมเอ่ยถาม
“รอยด์บอกว่ารอยด์รักพี่ไปแล้ว แต่รอยด์อยากถามพี่ว่า แล้วหล่ะพี่รักรอยด์หรือเปล่าครับ”รอยด์เอ่ยถามเงียบๆใบหน้านิ่งอย่างเจียมตัว ถ้าคำตอบบอกคือไม่รักหรือคิดดูก่อนรอยด์เองก็ไม่เสียใจเพราะเขาถือว่าได้ถามแล้ว
“แล้วคนที่ไม่รักกันมันจะมีสักกี่คนหล่ะที่จะทั้งกอด ทั้งก่าย ทั้งหอมกันแบบนี้หรอก”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมกดจมูกที่แก้มของรอยด์ไปเน้นๆ
ฟอดดดด
“คุณเกรย์...”รอยด์เอ่ยขึ้นเบาๆ มองใบหน้าของเกรย์ที่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะถูกธนาคิมกดจูบ
จุ๊บ
“อ๊ะ...มาจูบรอยด์ทำไมครับ”รอยด์เอ่ยอย่างตกใจ
“ก็บอกให้เรียกพี่เกรย์ แล้วยังจะเรียกคุณเกรย์อีกหล่ะ”ธนาคิมเอ่ยอย่างเอาเรื่องก่อนจะจับรอยด์มานั่งบนร่างตัวเองโดยมีธนาคิมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง
“อ่าห์ พี่มีเมียเด็กแบบนนี้ พี่ต้องเข้าฟิตเนตบ้างแล้วหล่ะ ฮ่าๆๆ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมา
“พี่เกรย์พูดอะไรเนี้ย รอยด์เขินนะครับ”มือเล็กทุบไปยังอกแกร่งก่อนจะถูกอีกคนรวบไว้และดึงเข้ามาหา ริมฝีปากของรอยด์ถูกปิดอีกครั้ง และก็เวลาไม่นานทั้งสองร่างก็พากันขึ้นสวรรค์
ช่วงเที่ยงธนาคิมเดินลงมาจากชั้นบนเห็นพี่สะใภ้ของตัวเองยืนทำอะไรอยู่ในครัวก็เลยเดินเข้าไปหาอย่างสงสัยว่าทำไมถึงไม่ไปทำงานกับพี่ชายตัวเอง
“หวัดดีครับคุณนิล”
“หวัดดีครับคุณเกรย์ วันนี้ไม่ไปทำงานหรอครับ”
“ตื่นสายอ่ะครับ แล้วคุณนิลหล่ะครับไม่ไปกับเฮียหรอครับ”
“พอดีผมอยู่เตรียมกระเป๋าอ่ะครับ”
“เตรียมกระเป๋าหรอ เตรียมไปไหนหรอครับ”
“ก็ไปอิตาลีครับ เย็นนี้”นิลกาฬเอ่ยขึ้นบอก ธนาคิมลืมไปสนิทเลย
“ใช่สิ ผมต้องไปอิตาลีนี่นา”ธนาคิมเอ่ยขึ้น เขาลืมไปเสียสนิทเลยแล้วนี่เขาเองก็ยังไม่ได้บอกรอยด์ที่ตอนนี้กำลังนอนซมอยู่บนเตียง
“งั้นผมขอแซนวิสและน้ำส้มนะครับ เดี๋ยวจะรีบขึ้นไปเตรียมกระเป๋า”ธนาคิมเอ่ยบอกนิลกาฬ
“แล้วรอยด์หล่ะครับ”นิลกาฬเอ่ยถามถึงหลานตัวเองอย่างเป็นห่วง
“ผมกับรอยด์เข้าใจกันดีแล้วครับ กลับจากอิตาลี ผมจะพาไปหาไหมผมไม่อยากให้รอยด์ติดค้างอะไร”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“นิลขอบคุณมากนะครับที่รักรอยด์ เอ็นดูรอยด์”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“จะขอบคุณทำไมครับ ผมรักรอยด์ไปแล้ว รักแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆไปแล้ว ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่ทำให้รอยด์เสียใจแน่นอน ผมสัญญา”ธนาคิมเอ่ยขึ้น นิลกาฬยิ้มหวานแม้รอยยิ้มของนิลกาฬจะทำให้ธนาคิมเสียดายมากก็ตาม แต่เขาก็ไม่เสียใจเลย
“ผมขอกอดทีนะครับ กอดในฐานที่คุณเป็นหลานเขยผม”นิลกาฬเอ่ยขึ้น ก่อนจะสวมกอดธนาคิมไว้ ความรู้สึกต่างกันนักกับครั้งแรกและครั้งนี้ ธนาคิมรู้สึกแล้วว่าตัวเองรักรอยด์ไปแล้วเต็มหัวใจ
สายตาของอีกคนที่จองมองร่างสูงและร่างบางกอดกันอยู่ในครัว มันทำให้ดวงตากลมกำลังคลอไปด้วยน้ำตา สองมือกำเข้าหากันแน่น ก่อนจะเดินจากไปจุดนั้น
“ฝากดูแลรอยด์ด้วยนะครับ รอยด์น่าสงสารเหลือเกินพ่อแม่ก็ไม่อยู่ดูแลตั้งแต่เล็กๆ ฝากดูแลด้วยนะครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
“ครับ ผมจะดูแลรอยด์อย่างดีให้เหมือนกับคุณนิลดูแลรอยด์มาตั้งแต่เด็กๆ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
ธนาคิมเดินถือถาดแซนวิสและน้ำส้มเข้าไปในห้องกะไว้ว่าให้รอยด์ตื่นขึ้นมาได้ทานอะไรบ้าง เขาอยากดูแลรอยด์ให้เหมือนเจ้าหญิงน้อยๆของเขา
“รอยด์จ๋า ตื่นได้แล้วจะบ่ายแล้วนะ”ธนาคิมเอ่ยอย่างนิ่มนวลและอ่อนโยน มือหน้าลูบไปยังคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่
“ผมปวดเนื้อปวดตัวไปหมดเลยครับ ไม่หิวอะไรเลย”รอยด์เอ่ยขึ้น
“ไม่หิวก็ต้องกินอะไรหน่อยนะ พี่เอาแซนวิสมาให้ทานสักนิดแล้วทานยาเนอะ แล้วค่อยนอนต่อ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ลืมตามองใบหน้าอันหล่เหลาของธนาคิม ก่อนจะยกมือลูบไปยังปลายคางที่มีแต่เคราที่ขึ้นอยู่เล็กน้อย
“ตอนเย็นรอยด์โกนหนวดให้นะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมา
“ได้ครับที่รัก”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมลูบไปยังแก้มเนียนของรอยด์อย่างแสนรัก
เวลาผ่านไปช่วงเย็น ทั้งบ้านวันนี้ดูเงียบไปหมดรอยด์ตื่นขึ้นมาหลังจากที่กินยาและนอนหลับไป รอยด์มองหาคนในห้องแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาเขาจึงเดินลงมาข้างล่าง ตอนนี้ที่โต๊ะอาหารยังไม่มีการตั้งโต๊ะอาหารทั้งๆที่ตอนนี้ก็เลยเวลาอาหารมาเล้กน้อยแล้ว
“ป้าพรครับ ทุกคนหายไปไหนหมดครับ”รอยด์เอ่ยถาม
“อ่อ ไปสนามบินคะ พอดีว่าคุณใหญ่ไปทำงานที่อิตาลีคะ คุณรอยด์จะทานข้าวเลยไหมคะ”
“ผมขอนมอุ่นๆก็พอครับ เอ่อ ป้าพรครับแล้วคุณเกรย์หล่ะครับ”รอยด์เอ่ยถาม
“อ่อ ไปกับคุณใหญ่คะ คุณรอยด์จะเอาอะไรเพิ่มอีกไหมคะ”
“ไม่แล้วครับ ขอบคุณครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินออกไปยังสระน้ำค่อยๆนั่งมองไปยังน้ำในสระที่สั่นไหวอยู่ ธนาคิมไปทำงานที่อิตาลี่โดยไม่บอกเขาเลยสักนิด
“ไปทำงานต่างประเทศ ทำไมไม่ยอมบอกผมเลยหล่ะครับ เห็นผมมีตัวตนอยู่ไหม ที่จริงคุณรักผมจริงๆหรือเปล่า”รอยด์เอ่ยขึ้นกับตัวเอง สองแขนโอบกอดตัวเองไว้ เขาต้องเดียวดายอีกครั้งทั้งๆที่ตัวเองคิดว่าได้เจอรักที่แสนอบอุ่นแล้ว
“ผมต้องยอมรับว่าที่จริงแล้ว คุณไม่ได้รักผมเลย คุณยังรักอานิลอยู่ใช่ไหมครับ”
...
..
ช่วงดึกรอยดที่นอนหลับไปอีกครั้ง บ้านหลังใหญ่ตอนนี้มีเพียงรอยด์เท่านั้นที่นอนอยู่ในบ้าน ความหว้าเหว่บังเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า กัดกินหัวใจของเด็กวัยสิบเจ็ด
ฟอด ฟอด ฟอด
“อื้ออออ”เสียงงัวเงียตื่นนอนเช้า วันนี้รอยด์ต้องไปเรียนเช้าวันจันทร์ที่แสนเหงาเพียงแค่คิดว่าธนาคิมไม่อยู่ไปรับส่งเขาเหมือนทุกวัน แต่เขากลับแปลกใจที่เมื่อคืนตัวเองเผลอหลับไปตอนไหนและทำไมหลับสบายเหมือนกับว่ามีคนนอนสวมกอดอยู่ข้างๆ
“เสียงน้ำ...”รอยด์เอ่ยกับตัวเองเมื่อได้ยินเสียงน้ำกระทบกับพื้น รอยด์ใจเต้นแรงทั้งกลัวทั้งนึกดีใจคิดว่าเป็นธนาคิม หรือเป็นโจร
แกร๊ก!
“อ้าว ตื่นแล้วหรอ รีบไปอาบน้ำได้แล้วเดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ”เสียงเอ่ยนุ่มบอกคนที่นั่งหน้าเหวออยู่บนเตียง
“พี่เกรย์ไม่ได้ไปอิตาลีหรอครับ”รอยด์เอ่ยถาม
“ทำไมหรอ อยากให้พี่ไปนักหรอไง”
“เปล่าครับ ไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย”
“งั้นก็ไปอาบน้ำได้แล้วครับ เดี๋ยวสายนะหรือว่าจะให้พี่อาบให้”ธนาคิมเอ่ยแซวก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไปแล้วครับ ไปแล้ว”รอยด์รีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันทีอย่างดีใจ เพราะทั้งคืนรอยด์นอนคิดว่าธนาคิมทำไมไฟอิตาลีแล้วไม่บอกเขา ทั้งน้อยใจ ทั้งเจียมตัว
ที่โรงเรียนช่วงเช้าของวันจันทร์ แม้ว่ารถจะติดอยู่สักหน่อยแต่ธนาคิมและรอยด์ก็ยังคงยิ้มได้อยู่ รอยด์ที่ถูกธนาคิมจับมือไว้แน่นตลอดการเดินทางมาโรงเรียนทั้งรู้สึกเขินและรู้สึกดี
จุ๊บ
“ตอนเย็นพี่มารับนะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นหลังกดจูบที่แก้มขาวของรอยด์
“ครับ รอยด์ไปนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นก่อนจะรวบรมความกล้าของตัวเองกดจูบที่แก้มของธนาคิม
จุ๊บ
“ตั้งใจทำงานนะครับ ตอนเย้นเจอกัน”รอยด์เอ่ยพร้อมเดินลงจากรถไปด้วยรอยิ้ม แอบมองรถของธนาคิมขับลับตาไป รอยยิ้มที่ไม่จางหายไปตลอดจนถึงห้องเรียน
“หวัดดีวาย”
“หวัดดีรอยด์ ยิ้มหวานเชียวนะ”
“หรอ ขัดเจนขนาดนั้นเลยหรอ”
“อื้ม อิจฉาคุณเกรย์เอนะที่มีรอยด์อยู่ข้างๆ ไม่เหมือนเราที่ตอนนี้ไม่มีใครเลย ทั้งรอยด์และพี่ซี”วายเอ่ยพร้อมก้มหน้าลงทำหน้าเศร้า
“บ้าหน่า เราก็ยังอยู่กับวายเสมอหล่ะ อย่าคิดมากสิ”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมกอดคอเพื่อนรักตัวเองอย่างปลอบใจ
ช่วงวิชาพละรอยด์กับวายเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็รีบเดินออกมาเพื่อเรียนพละที่โรงยิม ก็เหมือนทุกๆวันและก็เหมือนทุกๆครั้งที่เคยเรียน
“กระโดให้มันสุงๆหน่อยนักเรียนทุกคน”อาจารย์ตะโกนบอกทุกคน นักเรียนต่างกระโดกวอร์มร่างกายกันบ้างก็กระโดเหมือนไม่มีแรงบ้างก็กระโดเหมือนพวกบ้าพลัง
ผลัก!
“โอ๊ย! เจ็บ...ซี๊ดดดดด”เสียงเอ่ยของวายเอ่ยขึ้นเมื่อเขาพลาดที่จะกระโดลงมาแล้วข้อเท้าแพลง ด้วยความเหม่อลอยที่เหมือนตัวเองถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว
“วายเป็นไงมั้ง”รอยด์เอ่ยถามเพื่อนรัก ก่อนที่อาจารย์จะวิ่งเข้ามาดูนักเรียน
“ไหนดูสิ อย่ามุงนะนักเรียนทุกคน”อาจารย์เอ่ยขึ้นก่อนจะจับข้อเท้าของวายเบาๆ
“โอ๊ะ...โอ๊ยยยย อาจารย์ครับเบาๆดิ ผมเจ็บนะ อุ้ยยยย”วายเอ่ยพร้อมก้มมองข้อเท้าตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองอาจารย์หนุ่มก่อนจะหน้าขึ้นสีเล็กน้อย
“เดี๋ยวอาจารย์พาไปห้องพยาบาลนะ ท่าทางจะเท้าแพลง”อาจารย์ฐกรกิจเยขึ้น แม้จะเป็นอาจารย์ฝึกสอนแต่ก็มีจิตสำนึกของความเป็นอาจารย์ รอยด์ยกยิ้มเล็กน้อยเพราะท่าทางห่วงใยของอาจารย์ทำให้รอยด์รู้สึกว่าวายน่าจะมีใครสักคนบ้าง
ช่วงเย็นของวันรอยด์ที่เดินออกมาจากโรงเรียนเพื่อมารอธนาคิมที่จุดนัดพบเดิม ระหว่างที่รอยด์นั่งรออยู่นั้นอาจารย์ฐกรกิจก็เดินเข้ามาหารอยด์อย่างจงใจ
“รอยด์”
“สวัสดีครับอาจารย์”
“อื้ม อาจารย์ถามหน่อยสิ”
“ถามอะไรหรอครับ”
“พอจะรู้จักบ้านของวายไหม”
“บ้านวายหรอครับ...”รอยด์มองหน้าอาจารย์หนุ่มก่อนจะยกยิ้มออกมา
“อาจารย์ถามทำไมหรอครับ”
“เอ่อ อาจารย์แค่จะไปเยี่ยมวายอ่ะ ในฐานะอาจารย์”อาจารย์หนุ่มเอ่ยขึ้น
“อ่อ บ้านวายอยู่แถวดินแดงครับ ถ้าอาจารย์ไปเยี่ยมก็ฝากบอกวายด้วยนะครับว่าผมจะตามไปเยี่ยมพรุ่งนี้”รอยด์เอ่ยขึ้น ระหว่างการสนทนากันรถของธนาคิมก็แล่นเข้ามาทันที บวกกับรถมอเตอร์ไซด์แล่นเข้ามาเกือบเฉี่ยวรอยด์ทำให้ร่างของรอยด์เซเข้ามาหาอาจารย์ฐกรกิจทันที ดีว่าอาจารย์รับไว้ได้ทันไม่อย่างงั้นรอยด์ต้องล้มไม่เป็นท่าแน่ๆ
ปึง!
“ไอ้บ้า ปล่อยเมียกูเดี๋ยวนี้...”
อึก!
“พี่เกรย์”
"ไปคุยกันที่บ้าน ฉันจะลบรอยของไอ้ผู้ชายเมื่อกี้ให้หมดทุกซอกทุกมุม"
"จะบ้าหรอครับ นั่นอาจารย์ของผมนะครับ"
"ไม่สนอะไรทั้งนั้น กลับบ้าน"
"พี่เกรย์ พี่จะบ้าหรอปล่อยผมสิครับ ไม่อายเขาบ้างหรอไง อย่าแบกรอยด์แบบนี้นะ"
"ไม่อาย ผัวแบกเมียไม่ได้หรอไง"
..........................
"เลือกแล้วที่จะรัก และเลือกแล้วคือเธอ"
-
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
พี่เกรย์พอชัดเจนแล้ว อาการออกมาก คนหวงเมีย อิอิ
มีเมียเด็กก็งี้แระ ต้องฟิตทุกวัน ชอบเลวาหึงคู่นี้จัง คิกๆๆ
-
ถึงขั้นแบกกันเลย ..
-
Gray Diary 8 : ผิดสัญญา (ธนาคิมxรอยด์)
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊าห์ ...”เสียงครางเอ่ยท้วงเมื่อตอนนี้ธนาคิมสอบสะโพกไม่ยั้งจริงๆ
“ทำไมให้ไอ้บ้านั่นกอด...อ่าห์”เสียงธนาคิมเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์แต่เขาไม่ได้โกรธคนตัวเล็กเลยสักนิด เขาแค่อยากจะสั่งสอนคนตัวเล็กจำไว้ว่า ต่อไปนี้อย่าให้ใครกอดอีก
“เบาๆครับ พี่เกรย์ อื่อ อื่อ...”รอยด์เอ่ยด้วยเสียงกระเส่า แทบคลั่งที่คนตัวโตโถมเข้าหาแต่ละครั้ง ทั้งสุขและจุกไปพร้อมๆกัน
จุ๊บ จุ๊บ
“ร่างกายของรอยด์เป็นของพี่ หัวใจของพี่เป็นของรอยด์แล้ว รักษามันด้วย อย่าให้ใครมากอดอีกจำไว้ อ่าห์”
“ละ...ลึกไปแล้วนะครับ...หัวใจรอยด์ก็เป็นของพี่เกรย์ครับ”
“เป็นแล้วไง ไหนยังไปกอดกับไอ้หมอนั่นหล่ะ...”
“นั่นอาจารย์ครับ...อ่าห์...ไม่ใช่หมอสักหน่อย”รอยด์เล่นลิ้นเอ่ยกวนๆทั้งที่ตัวเองเป็นรองขนาดไหน ร่างเล็กถูกพลิกขึ้นนั่งคร่อมร่างใหญ่ก่อนถูกจับกระแทกขึ้นลงตามจังหวะรัก
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ พี่เกรย์ รอยด์ไม่ไหวแล้ว”รอยด์เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าก่อนจะใช้มือบจับของตัวเองและชักรูดกี่ครั้งก็ปลดปล่อยออกมาเต็มหน้าท้องแกร่งของธนาคิม
“จะรีบหนีไปไหนหล่ะ พี่ยังลงโทษเราอยู่นะ ข้อหาให้คุณอื่นกอด อ่าห์”ธนาคิมเอ่ย มือหนายึดสะโพกเนียนไว้แน่นพร้อมสวมสะโพกจัวเองขึ้น มือเล็กที่ยันอกแกร่งไว้พร้อมจิกเล็บแน่น
ตับ ตับ ตับ
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ...”
“อ๊า อ๊า จะเสร็จแล้ว อื้ม อื้ม อ่าห์....”
แฮ่กๆ
เสียงร้องเงียบลงมีแต่เสียงหอบเท่านั้นที่ตอนนี้ดังก้องไปทั่งห้องนอนใหญ่ ไม่มีใครยอมใครเลยสักนิดต่างคนต่างปรนเปรอกันและกัน ธนาคิมกดจูบที่ขมับชื้นของรอยด์อย่างถนอม
“อย่าให้ใครกอดอีกรู้ไหม”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“หวงหรอครับ”รอยด์เอ่ยยั่งเชิงเพราะอยากจะได้คำตอบที่ทำให้เขาหายเจ็บช่องทางเมื่อสักครู่
“หวงสิถามได้ เมียทั้งคนนะจะให้ยืนมองผู้ชายคนอื่นกอดเมียหน่ะหรอ ไม่ใช่อ่ะ”ธนาคิมเอ่ยพร้อมกระชับอ้อมกอด รอยด์ยกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะอ้อนให้ธนาคิมพาไปล้างตัว
เช้าวันต่อมาธนาคิมมาส่งรอยด์เป็นปกติ ก่อนจะไปทำงานเสมอ ช่วงเย็นนี้เขากำลังคิดอยู่ว่าจะพาคนตัวเล็กไปทานอาหารเย็นนอกบ้านที่ไหนดี
“บอสคะ คุณคิมมาถึงแล้วคะอยู่ที่ห้องรับรอง”เลขาสาวเอ่ยบอก วันนี้ธนาคิมมีนัดกับลูกค้าชาวเกาหลีเพื่อจะไปสร้างตลาดที่เกาหลีด้วย
“อ่อ เดี๋ยวผมตามไปครับ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นบอกก่อนจะส่งข้อความบอกรอยด์ว่าเย็นนี้จะรับไปทานข้าวนอกบ้าน
ธนาคิมเดินมาที่ห้องรับรอง สายตาคู่คมสะดุดเข้ากับลูกค้าที่เข้ามา ร่างสูงระหงของหญิงสาวสวยนามว่าคิมแตฮยอน สาวสวยของบริษัทคู่ค้ารายใหม่ของธนาคิม
“สวัสดีครับคุณคิม”ธนาคิมเอ่ยขึ้นด้วยเสียงนุ่มและอ่อนโยนตามแบบของธนาคิม
“สวัสดีคะคุณธนาคิม”หญิงสาวเอ่ยออกมาเป็นภาษาไทยแม้จะไม่ชัดบ้างแต่เธอก็พยายาม
“คุณโอ๋บอกผมว่าคุณคิมพูดภาษาไทยได้บ้างแต่ไม่คิดว่าจะชัดขนาดนี้นะครับ ชัดจนผมอึ้งไปเลย”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมาทำเอาหญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อยกับความมีเสน่ห์ของธนาคิม
“ก็ดิฉันชอบเมืองไทยมากคะ และก็ชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับเมืองไทยเลยหัดเรียนภาษาและวัฒนธรรมของไทยเผื่อว่า...”หญิงสาวเอ่ยทิ้งท้ายไว้ธนาคิมที่ยกยิ้มอยู่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเอยถาม
“เผื่อว่าอะไรหรอครับ”ธนาคิมเอ่ยพร้อมจ้องหน้าหญิงสาว
“ก็เผื่อว่าจะมีแฟนเป็นคนไทยไงค่ะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มหวานออกมา เธอดูมีเสน่ห์นักรอยยิ้มหวานๆ ใบหน้าหวานร่างเล็ก ผิวขาว รูปร่างหน้าตาดูดีไปหมดไม่มีที่ติ
“คุณคิมยังไม่มีแฟนหรอครับ ไม่น่าเชื่อนะครับสวยๆอย่างคุณคิมหน่อหรอครับที่ยังไม่มีแฟน”ธนาคิมเอ่ยออกมา
“ทำไมหล่ะคะ ขนาดคุณธนาคิมหล่อและดูดีขนาดนี้ได้ข่าวว่ายังโสดไม่ใช่หรอคะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้น ธนาคิมเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อก่อนจะเข้าเรื่องงานทันที
ทางด้านรอยด์ที่นั่งมองไปยังข้อความน่ารักและห่วงใยจากธนาคิมตลอดเวลา ไม่ว่าธนาคิมจะทำอะไรก็จะรายงานรอยด์เสมอ
พี่เกรย์ : กำลังคุยงานกับลูกค้า คิดถึงจัง
รอยด์ : ตั้งใจทำงานนะครับ สู้ๆ
พี่เกรย์ : สติ๊กเกอร์จูบ
รอยด์ยกยิ้มหวานใบหน้าแดงเห่ออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ก่อนจะมองไปยังไลน์ของวายเพื่อนรักของตัวเองที่ยังเจ็บหยุดอยู่ที่บ้าน
วาย : ทำรัยอยู่ คิดถึงเราไหม
รอยด์ : คิดถึงดิ เป็นไงมั้ง
วาย : ไม่เจ็บแล้ว แต่ว่าเหงามาก
รอยด์ : เลิกเรียนจะไปเยี่ยมนะ
วาย : มาดิ คิดถึงมากเลย มีเรื่องเมาส์ด้วย
รอยด์ : เรื่องอะไร
วาย : มาก่อนเดี๋ยวบอก ว่าแต่คุณเกรย์จะปล่อยนายมาหรอ
รอยด์ : ก็ชวนไปด้วยไง เอาไว้เจอกัน
ทางด้านธนาคิมเมื่อคุยงานเรียบร้อย ลูกค้าแสนสวยอย่างคิมแตฮยอนก็ชวนชายหนุ่มไปทานอาหารกลางวัน ซึ่งธนาคิมก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพราะถือว่าเป็นงาน
“ทานอะไรดีครับ หรือคุณคิมชอบทานอะไรเป็นพิเศษครับ”ธนาคิมเอ่ยพร้อมเปิดเมนู หญิงสาวที่นั่งตรงหน้าไม่ได้เอ่ยอะไรเพราะสายตาเอาแต่มองธนาคิมตรงหน้า ธนาคิมเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้าที่เอาแต่มองตัวเองอยู่
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณคิมครับ ทานอะไรหรือชอบทานอะไรดีครับ ผมจะได้สั่งให้”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“ชอบคุณธนาคิมได้ไหมคะ”หญิงเอ่ยขึ้นเป็นเชิงหยอกแต่ในใจแอบคิดจริง
“อะ...อะไรนะครับ”ธนาคิมเอ่ยย้ำถามอีกครั้ง
“เอ่อ พูดเล่นคะ เอาแซลมอนอบเกลือแล้วกันคะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา ธนาคิมหันไปสั่งอาหารไม่นานก็ยกมือถือขึ้นมาดูข้อความของรอยด์ที่ส่งมาให้
รอยด์ : ทานข้าวด้วยนะครับ เป็นห่วง
พี่เกรย์ : รอยด์ก็ทานข้าวเยอะๆนะ จะได้มีแรวไว้คุยกับพี่คืนนี้
รอยด์ : สติ๊กเกอร์เขิล
รอยด์ : เย็นนี้ไปเยี่ยมวายกันนะครับ
พี่เกรย์ : ครับผม จุ๊บๆ
รอยด์ : ไม่คุยด้วยแล้ว ทานข้าวเถอะครับ
ธนาคิมยกยิ้มแก้มแทบจะแตก บางทีเขายังคิดว่าเขาดูแก่ไปไหมสำหรับการที่มีเมียเพิ่งอายุ17ปีตอนนี้ คิมแตฮยอนมองไปยังรอยยิ้มของชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“คุยกับใครหรอคะ ดูท่าทางมีความสุขจัง”หญิงสาวเอ่ยขึ้น
“อ่อ คนพิเศษหน่ะครับ ว่าแต่คุณคิมจะกลับเลยหรือว่าไปไหนต่อครับผมจะได้ไปส่งถูก”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“รีบไล่เลยนะคะ”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงงอนๆอย่างไม่จริงจังนัก
“เปล่าครับ แค่ถามเฉยๆครับ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“งั้นคุณธนาคิมพาดิฉันไปส่งที่โรงแรมก็พอคะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้น
“โอเคครับ งั้นผมขอตัวไปห้องน้ำแปบนะครับ”ธนาคิมเอ่ยก่อนจะเอ่ยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ
ทางด้านรอยด์ที่ตอนนี้เลิกเรียนไว้ เขาตั้งใจจะไปบ้านวายก่อนและโทรบอกธนาคิมให้ตามไปรับที่นั้นเพราะอาจารย์ปล่อยเร็วถ้าจะนั่งรอก็ใช้เวลานานกลัวเสียเวลา รอยด์จึงตัดสินใจนั่งรถแท็กซี่ไปบ้านวายเองพร้อมกดโทรศัพท์เพื่อบอกธนาคิมให้ตามไป
(“สวัสดีคะ...”) เมื่อรอสายไม่นานนักเสียงปลายสายห็ดังขึ้นทำเอารอยด์ไม่แน่ใจนัก ถ้าเป็นเลขาของธนาคิมก็ไม่ใช่เพราะเธอคงไม่กล้ารับโทรศัพท์ธนาคิมแน่ๆ
“เอ่อ...นี่เบอร์คุณธนาคิมไหมครับ”รอยด์เอ่ยถาม
“อ่อ ใช่คะพอดีคุณธนาคิมไปเข้าห้องน้ำ มีอะไรฝากไว้ไหมคะ”เสียงหญิงสาวเอ่ยด้วยสำเนียงแปลกๆ
“แล้วววว คุณเป็นใครครับ”รอยด์เอ่ยถาม หัวใจตัวเองกลับเต้นแรง เหงื่อชุ่มเต็มมือทันทีแต่รอยด์ยังคงเชื่อใจธนาคิมอยู่
“ไม่น่าถามนะคะ ถ้ารับโทรศัพท์ของเขาได้แสดงว่าฉันก็ไม่ใช่คนอื่นคนไหล ว้าแต่แล้วคุณเป็นใครคะ”หญิงสาวเอ่ยย้อนถาม
“อ่อ บอกคุณธนาคิมว่ารอยด์โทรมานะครับ และช่วยบอกคุณธนาคิมด้วยว่าผมกลับบ้านเอง อาจจะค่ำหน่อย ขอบคุณครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมวางสายทันที รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเจ็บปวดไปหมด หรือว่าหญิงสาวคนนั้นจะเป็นพี่ไหมหรือเป็นใครคนอื่นที่ธนาคิมซ่อนไว้อีก
รอยด์ใช้เวลาไม่นานักก็มาถึงบ้านวายโดยมีรถของอาจารย์ฐกรกิจอยู่ก่อนแล้ว รอยด์พยายามปรับสีหน้าให้ดูปกติเมื่อเข้าไปในบ้าน ที่ตอนนี้เพื่อนรักของเขากำลังหน้าบึ้งอยู่เพราะถูกอาจารย์หนุ่มก่อกวน
“บอกว่าไม่ต้องไงครับ”
“ต้องสิ ก็ยังเจ็บอยู่ไม่ใช่หรอไง”
“นี่มันเท้าผมนะครับ อาจารย์ยุ่งจัง”
“ที่ยุ่งเพราะห่วงนะ”
อึก!
“ห่วงหรอครับ”วายทำเสียงอ่อนลงอย่างรู้สึกเขิน มือหนาของอาจารย์ที่รวบข้อเท้าเล็กของวายไว้แล้วค่อยๆนวดไปมา วายมองอาจารย์อย่างรู้สึกใจเต้นแรงทั้งๆที่ไม่ชอบอาจารย์สักเท้าไหร่
“ใช่ ห่วงมากเพราะเธอเป็นลูกศิษย์อาจารย์ง่ะ”อาจารย์ฐกรกิจเอ่ยขึ้นย้ำขึ้น
“จะพูดให้ดูดีและขยี้ให้จมดินทำไมว่ะ”วายเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนจะหันไปเห็นเพื่อนรักที่ยืนยิ้มหวานอยู่ตรงประตูบ้าน
“อ้าวรอยด์มาตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ”วายเอ่ยขึ้นก่อนจะก้มบอกอาจารย์หนุ่ม
“พอแล้วครับ”วายเอ่ยขึ้น อาจารย์หนุ่มค่อยๆยกเท้าของวายลง
“สวัสดีครับอาจารย์”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมยกมือไหว้อาจารย์
“หวัดดี มายังไงอ่ะ”
“แท็กซี่ครับ แล้วอาจารย์มานานยังครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ทันอาจารย์หนุ่มจะเอ่ยขึ้นวายรีบเอ่ยขึ้นทันที
“มานานแระ แล้วสมควรกลับได้แล้วด้วย”วายเอ่ยขึ้น
“วายพูดไม่น่ารักเลยนะครับ ไล่อาจารย์แบบนั้นได้ยังไงกัน”เสียงเอ่ยหวานหูของผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นพร้อมยกย้ำมาให้รอยด์
“สวัสดีครับแม่”รอยด์ยกมือไหว้แม่ของวายพร้อมยิ้มหวานขึ้น
“แม่อ่ะ นี่วายเองนะ วายลูกแม่ไม่ใช่อาจารย์ที่เป็นลูกแม่นะ งื้อๆ”วายเอ่ยออกมาอย่างน่ารัก
“อาจารย์ก็มาเป็นลูกแม่สิค่ะ จะได้ไม่ต้องมาน้อยใจกัน ดีไหมคะ”แม่ของวายเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะออกมา
“ลูกชายหรอครับ เป็นลูกเขยได้ไหมครับคุณแม่”อาจารย์เอ่ยขึ้นอย่างหยอกๆยิ่งทำวายหน้าแดงออกมา
“จะดีหรอค่ะอาจารย์”แม่วายเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะ
“แม่จะถามทำไมเนี้ย วายอ่ะผู้ชายนะครับ”
“หนูรอยด์ว่าแม่น่าจะมีลูกเขยดีไหมลูก”แม่ของวายหันมาถามรอยด์ที่นั่งยิ้มอยู่
“แม่อ่ะ จะงอนแล้วนะ”วายเอ่ยพร้อมงอแงออกมา รอยด์หัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เสียงมือถือของรอยด์จะดังขึ้น คนปลายสายคือธนาคิม
“ขอตัวนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“รอยด์ทานข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับนะลูก”แม่ของวายเอ่ยขึ้น
“ครับแม่ ขอตัวนะครับ”รอยด์เอ่ยพร้อมเดินไปด้านนอกและกดรับสายธนาคิมทันที
(“รอยด์อยู่ไหน”)
“บ้านวายครับ”
(“ทำไมไม่รอพี่ก่อน”)
“ผมก็ฝากผู้หญิงของคุณไปแล้วนี่ครับ”
(“ว่าอะไรนะ”)
“ตามที่ได้ยินหล่ะครับ ผมกลับค่ำหน่อยนะครับวันนี้จะทานข้าวบ้านวาย”
(“รอยด์ เป็นอะไรโกรธพี่หรืองอนอะไรพี่หรอ”)
“เปล่าครับ แค่นี้นะครับ อ่อเดี๋ยวผมกลับบ้านเองครับ”
(“รอยด์อย่าดื้อกับพี่นะ รู้ใช่ไหมว่าผลจะเป็นยังไง”)
“รู้ครับและผมเองก็ไมได้ดื้ออะไรเลย ผมแค่อยากให้คุณได้อยู่กับคนของคุณมากกว่า แค่นี้นะครับ”
(“รอยด์ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”)
รอยด์ไม่ได้ฟังเสียงธนาคิมเลยเขากดวางสายทันทีด้วยความรู้สึกโกรธ แค่คิดว่าเมื่อสักครู่มีเสียงหญิงสาวเล็ดลอดเข้ามายังในสายนั้น
“คุณผิดสัญญากับผมเองว่าจะมีแค่ผม”
........................
-
งอนง้อ กันอีกละ ..
-
ชอบๆ ขอติดตามนะ่ :katai2-1: :katai2-1:
-
เมียเด็กงอน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เอาน่าพี่คิม รีบไปง้อน้อง น้องยังเด็กอยู่ ค่อยๆสอนเรียนรู้ไป เดี่ยวน้องก็โตขึ้น แต่เรื่องบนเตียงสอนทุกวันเลย สายหื่นตัวพ่อ อิอิ
-
:z1: :z1: :z1:
-
รอยด์ดูงี่เง่านะ เฮ้อ เข้าใจอ่ะ แต่ก้ควรเข้าใจพี่เกรย์หน่อย ทั้งที่การกระทำก็ชัดเจนอยู่อ่ะ
-
Gray Diary 9 : ก็มีแค่เรา (ธนาคิมxรอยด์)
[/size]
นาฬิกาตู้ไม้จากยุโรปราคาแสนแพง รูปร่างสวยแสนคลาสิกที่มีลูกตุ้มแกว่งไปมาตอนนี้บอกเวลาว่าสี่ทุ่มแล้ว แต่ร่างของรอยด์ก็ยังไม่ปรากฏอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ มีเพียงธนาคิมเท่านั้นที่นั่งอยู่ ในมือถือแก้วเหล้าสายตามองไปยังประตูบ้าน ทุกคนในบ้านต่างพากันเข้าห้องส่วนตัวกันหมดแล้ว
“หึๆ อยากไปกับไอ้คูบ้านี่เองหรอ”เสียงสบถเบาๆจากริมฝีปากของธนาคิมเมื่อเสียงรถมาเทียบจอดที่หน้าบ้าน ร่างสูงเดินออกไปที่หน้าประตูมองตามร่างบางที่กำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นหุบยิ้ม
“ยิ้มร่าเชียวนะไปกับผู้ชายคนอื่นเนี้ย”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ที่มองด้วยสายตาไม่พอใจตัดพ้ออยู่ก็เอ่ยขึ้น
“ก็น่าจะเหมือนกันนะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น รอยด์รู้สึกน้อยใจและโมโหที่ธนาคิมปล่อยให้ผู้หญิงอื่นมารับโทรศัพท์ที่เป็นส่วนตัวได้ เพราะธนาคิมเองก็ได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูงอยู่ง
“เหมือนอะไร เหมือนยังไง”ธนาคิมเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินตามรอยด์เข้าไป
“ก็เหมือนกันกับตอนที่คุณอยู่กับผู้หญิงคนอื่นยังไงครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นอย่างโมโห เมื่อธนาคิมคว้าแขนเล็กนั้นไว้พร้อมดึงมาสวมกอด
“ผู้หญิงที่ไหน พี่ไม่เข้าใจและทำไมต้องเรียกคุณ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นอย่างฉุนๆกับท่าทางของรอยด์วันนี้
“แล้ววันนี้คุณ”ปกับใครหล่ะครับ...ปล่อยผมได้แล้วผมเจ็บ”รอยด์เอ่ยขึ้นก่อนจะสะบัดแขนออกและเดินขึ้นห้องไป ธนาคิมที่ยืนทบทวนอยู่เล็กน้อยก่อนจะคิดออกและเดินตามขึ้นไป
“รอยด์ รอยด์ เปิดประตูให้พี่เดี๋ยวนี้นะ”ธนาคิมเอ่ยพร้อมเคาะประตูเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
ปึง ปึง ปึง
“เฮีย เสียงดังอะไรกันฮะ”เสียงพิ้งค์ที่อยู่ห้องใกล้ๆโผล่หน้ามาเอ่ยขึ้นถามพี่ชายตัวเอง
“เปล่า หนูพิ้งค์ไปพักเถอะนะ เฮียจะคุยกับรอยด์เฉยๆ”น้ำเสียงเอ่ยเรียบๆแสนอบอุ่นของธนาคิมเอ่ยบอกน้องชายคนเล็ก
“ทะเลาะกันหรอฮะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เพราะรู้แล้วว่าสถานะของพี่ชายและรอยด์เป็นอะไรกัน
“เปล่าทะเลาะครับคุณพิ้งค์”เสียงรอยด์เอ่ยขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงพิ้งค์จากหน้าห้อง รอยด์แคร์พิ้งค์มาก เขารักพิ้งค์เหมือนพี่ชายแท้ๆแม้ว่าจะเคยรักแบบคนรักก็ตาม
“อ้าว เห็นเฮียเคาะดังเชียวคิดว่าทะเลาะกัน”พิ้งค์เอ่ยพร้อมยกยิ้มหวานออกมา
“เปล่า เรารักกันดีเหมือนเดิม...ใช่ไหมรอยด์”ธนาคิมเอ่ยพร้อมโอบไหล่เล็กของรอยด์ไว้แนบกับลำตัว รอยด์เองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเพราะกลัวว่าพิ้งค์จะกังวล
“ครับ ว่านแต่คุณพิ้งค์ไปนอนเถอะครับเดี๋ยวขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้านะ”รอยด์เอ่ยขึ้นหยอกเพราะรู้ว่าอีกคนรักษาสุขภาพให้สมกับเป็นเดือนมหาวิทยาลัยมากแค่ไหน
“อ้าวหรอ งั้นพิ้งค์ไปนอนแระเดี๋ยวไม่หล่อ กู๊ดไนท์ฮะเฮีย”พิ้งค์เอ่ยพร้อมกดจูบที่แก้มของพี่ชายก่อนจะหันมาทางรอยด์
“กู๊ดไนท์นะรอยด์ บายๆ”
“กู๊ดไนท์ครับคุณพิ้งค์”
“กู๊ดไนท์หนูพิ้งค์”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมมองตามน้องชายคนเล็กเข้าห้องไป เมื่อประตูถูกปิดลงสิ่งที่ตอนนี้ต้องทำคือธนาคิมต้องคุยกับคนที่กำลังเบี่ยงตัวออก
“เดี๋ยว...จะไปไหน”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพร้อมรั้งร่างเล็กไว้ก่อนจะดันตัวเข้าห้องไปทั้งๆที่ยังสวมกอดจากด้านหลังอยู่
“ผมเหนื่อย ผมจะอาบน้ำพักผ่อนแล้วครับ”รอยด์เอ่ยด้วยใบหน้านิ่งๆ ที่จริงรอยด์เป็นคนที่ไม่เคยประชดประชันใครเลยสักครั้ง คิดดีมาตลอดตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับธนาคิม ได้เป็นของผู้ชายคนนี้ทั้งตัวและหัวใจ รอยด์กลายเป็นคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ความน้อยใจ ความขี้งอน ความประชดประชันตอนนี้รอยด์กลับมีนิดสัยแบบนั้นทั้งหมดไปแล้ว
ฟอดดดด
“อ๊ะ...คุณ...”รอยด์เอ่ยอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆธนาคิมก็หอมแก้มเนียนแรงๆ และช้อนตัวรอยด์ขึ้นมาวางบนที่นอน
“อยากจะคุยด้วย และหยุดเรียกคุณได้แล้ว ขืนเรียกคุณอีกทีคืนนี้พี่ไม่ปล่อยรอยด์แน่”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ที่นอนมองหน้าธนาคิมนิ่งแววตาที่ใครๆก็ดูออกว่ามีอะไรมากมายในใจ
“พี่เกรย์ วันนี้ไปกับใครครับ”เสียงหวานของรอยด์เบาลงและอ่อนหวานลงเมื่อตอนนี้แพ้ใจตัวเองมากแล้ว เพราะมือหนาที่กำลังลูบไล้แก้มเนียนไปมาอย่างแสนรัก
“พี่พอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าเมียเด็กของพี่เป็นอะไร”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนจะพลิกตัวให้รอยด์มาแนบอกข้างๆพร้อทจูบที่ขมับเล็กนั้นเบาๆ
จุ๊บ
“วันนี้พี่ไปทานข้าวกับลูกค้าชาวเกาหลีมา เธอเป็นผู้หญิงสาว สวยด้วยนะ”ธนาคิมเอ่ยแกล้งคนในอ้อมกอด รอยด์ที่ได้ยินแบบนั้นก็เคืองเล็กน้อยพยายามเบี่ยงตัวออก แต่ธนาคิมก็รั้งเอาไว้และยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจกับท่าทีของคนตัวเล็ก
“สวยจนยอมให้เธอมารับโทรศัพท์ที่เป็นส่วนตัวได้ด้วยสินะ หึ...”น้ำเสียงดูประชดประชันอย่างน่ารักเอ่ยออกมา ธนาคิมยิ้มกว้างออกมาก่อนจะเข้าใจแล้วทุกอย่าง
“รู้ได้ไงว่าคุณคิมรับโทรศัพท์พี่”ธนาคิมเอ่ยถามทั้งๆที่พอเดาออกว่าคนตัวเล็กที่งอนตอนนี้งอนเรื่องอะไร
“ก็รอยด์โทรไปหาพี่ เพื่อจะบอกให้ไปรับที่บ้านวาย แต่คุณคิม คุณแคมนี่ก็มารับสายเฉยเลย”
“อ้าว ทำไมคุณคิมไม่เห็นบอกพี่เลยว่ามีสายเข้า”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“หึ สงสัยคุณคิมนี่เธอคงชอบพี่มั้งครับ ชิส์...”
“อ๋อ ที่แท้ก็งอนเรื่องนี้นี่เอง”
“ใช่...”รอยด์หลุดปากออกมาอย่างไม่อายว่าเขางอนจริงๆ ธนาคิมหัวเราะออกมาก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องรอยด์และอาจารย์ฐกรกิจ
“ก็เลยประชดโดยการมากับอาจารย์นั่น อย่างงั้นหรอ”น้ำเสียงธนาคิมที่จะแกล้งรอยด์ดูเข้มขึ้นจนรอยด์รู้สึกเสียวหลังเล็กน้อยเพราะมันคือเรื่องจริงตามที่ธนาคิมเอ่ย
“ไม่ได้ประชดครับ ก็อาจารย์ไปเยี่ยมวาย”รอยด์เอ่ยเบาลง
“แล้วทำไมมาด้วยกัน”ธนาคิมน้ำเสียงเข้มขึ้นเมื่อได้ทีเมื่อรอยด์เปลี่ยนน้ำเสียงลง
“ก็จะให้รอยด์กลับยังไงหล่ะ ทางบ้านอาจารย์กับทางบ้านเราก็ทางเดียวกันอาจารย์ก็เลยอาสามาส่ง และถูกวายบังคับให้มาส่งด้วย”รอยด์เอ่ยขึ้น กลักลายว่ารอยด์ต้องถูกธนาคิมซักเสียเอง
“แล้วมีผัวอย่างพี่ไว้ทำไม ทำไมไม่โทรหาพี่ให้ไปรับ”ธนคิมเอ่ยขึ้นก่อนที่จะค่อยๆใช้มือลูบไปยังสะโพกกลมที่อยู่ภายใต้กางเกงนักเรียน
“ก็โทรแล้วไง ถึงรู้ว่าพี่อยู่กับใครไง”รอยด์เอ่ยขึ้นอย่างงอนๆ ก่อนที่จะสะดุ้งเมื่อมือหนากำลังสอดเข้าไปในชายเสื้อนักเรียนผืนบางของรอยด์
“อื่อ...อย่าครับ”เสียงครางเบาๆที่เอ่ยออกมา บ่งบอกว่ามันเสียวซ่านมากแค่ไหน
“อย่าอะไรหรอ อย่าช้าหรืออย่าหยุด”ธนาคิมเอ่ยอย่างเอาแต่ใจเมื่อตอนนี้เขาอยากจะครอบรองคนตัวเล้กที่กำลังนั่งบิดกายไปมา
“อ่าห์ อย่าสิครับ พรุ่งนี้รอยด์มีเรียนนะ”เสียงหวานเอ่ยขึ้นบอก แต่ร่างกายก็ยังคงตอบสนองคนตัวโตอยู่ดี
“บอกว่าอย่า แต่รู้ไหมว่าร่างกายของเมียมันตอบสนองตรงข้ามกับคำพูดเหลือเกิน”ธนาคิมเอ่ยออกมาพร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“อ่าห์...พี่เกรย์อย่าทำตรงนั้นครับ”เสียงเอ่ยบอกของคนตัวเล็กที่เอ่ยบอกความรู้สึกตอนนี้ว่าตัวเองเสียวซ่านแค่ไหนเมื่อริมฝีปากของธนาคิมตอนนี้ครอบครองที่กลางกายนั้นเรียบร้อย
“ยะ...อย่าครับ รอยด์ยังไม่ได้...ทำความสะอาดมันเลย”รอยด์เอ่ยบอกคนตัวโตกว่าที่ตอนนี้กำลังลิ้มรสแก่นกายเล็กนั้นจนมันปูดบวมขึ้นมาเต็มที่แต่มันก็ยังไม่ใหญ่เท่าคนที่กำลังคร่อมร่างเล็กตอนนี้
“อ่าห์...”
“อ่าาาา”
“ไม่ต้องหรอกยังไงก็เป็นของเมีย”ธนาคิมเอ่ยขึ้นแต่ก็ไม่ได้ลดละการที่ยังคงสนุกและอร่อยกับแก่นกายเล็กนั้น
“อื่อ เร็วหน่อยครับ อ่าห์”อยู่ๆเสียงครางบ่งบอกว่าต้องการให้อีกคนให้เร่งจังหวะเพราะตอนนี้รอยด์กำลังจะขึ้นสวรรค์แล้ว
“อ่าห์...”รอยด์ปลดปล่อยออกมาเต็มปากของธนาคิม ซึ่งก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแต่น้อยก่อนที่จะยกยิ้มขึ้น
“รอยด์ทำให้พี่นะครับ”ธนาคิมเอ่ยบอกคนที่กำลังหายใจรวยรินตอนนี้สายตามองมายังคนที่กำลังทำหน้ากลั้นความเสียวซ่าน รอยด์ค่อยๆยกขาขึ้น ทำเอาธนาคิมตกใจเล็กน้อย
“เข้ามาเลยก็ได้ครับ รอยด์พร้อมแล้ว”เสียงหวานของรอยด์เอ่ยเชื้อเชิญพร้อมช่องทางหลังที่กำลังเต้นรอให้กลางกายของธนาคิม
“เพราะรอยด์น่ารักแบบนี้ไง พี่ถึงต้องห่วง”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนที่จะจับกลางกายของตัวเองออกมาจ่อที่ช่องทางหลังนั้น
“ซี๊ดดดด ทั้งรักทั้งหวงรู้ไหม อ่าห์”ธนาคิมเอ่ยเพ้อออกมาไม่เป็นภาษาเมื่อช่องทางหลังนั้นกำลังกลืนกินแก่นกายนั้นเข้าไปทีละนิด ทีละนิดจนเข้าไปสุดด้ามแล้ว
“อ๊ะ...อย่าเพิ่งขยับนะครับ อ่าห์”รอยด์เอ่ยยั้งไว้ มือเล็กกำลังลูบไล้ไปทั่วไหล่กว้าง ก่อนที่จะลูบมาที่อกแน่นนั้นอีกครั้ง
จังหวะรักของทั้งสองที่กำลังปรนเปรอกันและกัน แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นก็ตามแต่ธนาคิมและรอยด์ก็ยังคงเข้าใจกันเสมอ
หลังกิจกรรมเข้ากังหวะรักของทั้งครู่ตอนนี้ก็คงจะเป็นขั้นตอนอธิบาย หลังจากออกจากห้องน้ำได้ธนาคิมก็รับสวมกอดรอยด์ไว้แน่น
“ต่อไปนี้อย่าคิดอะไรไปเองอีกรู้ไหม”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“เป็นใครก็คิด และผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้บอกนี่ครับว่าเป็นลูกค้าอ่ะ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“แล้วรอยด์ไม่บอกหล่ะว่ารอยด์เป็นใครอ่ะ”ธนาคิมเอ่ยบอก
“กะ...ก็โกรธอยู่นี่ครับ ก็เลยคิดอะไรไม่ออก”รอยด์เอ่ยขึ้น
จุ๊บ
“คราวหน้าถ้ามีคนเกิดมารับสายอีกให้บอกไปเลยนะว่ารอยด์คือใคร”ธนาคิมเอ่ยขึ้นรอยด์ยิ้มหวานทันทีก็เขาชอบวิธีของธนาคิมที่สุดก่อนจะจับมือถือของธนาคิมขึ้นมา
“พี่เกรย์ก็ตั้งชื่อรอยด์ใหม่สิครับ ว่าที่รัก”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมาอย่างชอบอกชอบใจ
“เอ คำว่าที่รักหรอ ไม่เอาอ่ะ พี่ว่าชื่อนี้ดีกว่าเนอะ”ธนาคิมเอ่ยก่อนจะกดอะไรเล็กน้อยที่มือถือ
“เมียหรอ คำนี้มัน...”รอยด์เอ่ยขึ้น ธนาคิมจับมือถือจากมือรอยด์ออกก่อนที่จะกดจูบที่มือของรอยด์
จุ๊บ
“ใช่แล้วชื่อนี้หล่ะชัดเจนดี แล้วนับจากนี้เลิกขี้งอน ขี้ประชดมาทำตัวหึงหวงสามีบ้างก็ได้นะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยยิ้มหวานออกมาก่อน
“บ้าดิครับ รอยด์ขอโทษนะครับต่อไปนี้รอยด์จะไม่ขี้งอนแล้ว”รอยด์เอ่ยอย่างอ้อนๆ
“พรุ่งนี้พี่มีงานเลี้ยง แต่ไม่ต้องห่วงนะเพราะงานนี้พี่พารอยด์ไปด้วย”ธนาคิมเอ่ยขึ้นบอก
“งานเลี้ยงหรอครับ รอยด์ไม่ไปได้ไหมอ่า งานเลี้ยงต้องมีแต่ผู้ใหญ่ นักธุรกิจแน่ๆเลยอ่ะ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“ไม่ได้ครับ ต้องไปเพราะงานนี้คุณคิมไปด้วยหน่ะสิ”รอยด์เบือนหน้าหนีทันที
“แล้วไงครับ”รอยด์เอ่ยถาม
“ก็ไม่แล้วไง พี่อยากมีเมียไปคุ้มบ้างกลัวว่าสาวๆในงานจะไม่รู้ว่าพี่มีเมียแล้ว ถ้าไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“ไปสิครับ สาวๆเยอะด้วยไม่ใช่หรอไง”น้ำเสียงเอ่ยน่ารักออกมา ธนาคิมยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยขึ้น
“รอยด์ พี่รักรอยด์นะ”
“รอยด์ก็รักพี่ครับ”
“ไม่ว่าอะไรจะผ่านเข้ามา หรือนับจากนี้ไปรอยด์จะเจอใครในอนาคต พี่ก็อยากให้รอยด์รู้ไว้ว่าพี่รักรอยด์นะ”ธนาคิมเอ่ยอย่างจริงจัง เมื่อเขาเองมาคิดๆดูบางครั้งวัยของเขาเองกับรอยด์มันดูสวนทางกันนัก
“รอยด์ไม่มีทางเจอใครที่ดีเท่าพี่เกรย์อีกแล้วครับ รอยด์ไม่มีทางรักใครเท่าพี่เกรย์อีกแล้วครับ”รอยด์เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกจริงๆ แม้ยังเด็กมากนักแต่รอยด์บอกได้คำเดียวว่าธนาคิมคือทุกอย่างของเขาเอง
...
..
รอยด์รีบออกจากโรงเรียนทันทีที่เลิกเรียน เพื่อรีบไปที่ห้างแห่งหนึ่งธนาคิมนัดรอยด์ไว้ที่นั้นเพื่อจะไปซื้ออเสื้อผ้าไปงานคืนนี้ ธนาคิมไม่เคยคิดเลยว่าจะควงผู้ชายด้วยกันไปงานเลี้ยงแบบนี้ แต่นับจากที่มีรอยด์เข้ามาในชีวิตเขากลับอยากจะชัดเจนกับทุกอย่างกับรอยด์
“มันดูเป็นทางการไปไหมอ่า”รอยด์เอ่ยขึ้นเมื่อลองชุดเพื่อไปงานคืนนี้
“ไม่หรอก ใครๆก็แต่งแบบนี้กัน”ธนาคิมเอ่ยพร้อมยกยิ้มอย่างพอใจ
“ทำไมน่ารักขนาดนี้ครับเมีย”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์หน้าแดงเห่อออกมา
ทั้งสองเลือกเสื้อผ้าเรียบร้อยก็พากันกลับบ้านทันที เพราะต้องเตรียมตัวออกมางานช่วงเย็น แต่ช่วงเวลานี้เสียงมือถือของธนาคิมก็ดังเรื่อยๆจนรอยด์รำคาญ
“ก็กดรับดิครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“รับหน่อยสิ พี่ขับรถอยู่”ธนาคิมเอ่ยขึ้น รอยด์ค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบมือถือขึ้นมา
“คุณคิมครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“รับสิ”ธนาคิมเอ่ยบอก
“สวัสดีครับ”รอยด์เอ่ยหลังกดรับสาย หญิงสาวปลายทางดูจะตกใจเมื่อได้ยินเสียงหวานของผู้ชายเอ่ยออกมาจากปลายสายที่ไม่ใช่ธนาคิม
“เอ่อ ใครอ่ะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้น รอยด์เองก็ไม่พอใจนักเมื่อหญิงสาวโทรมาหาธนาคิม
“แล้วคุณโทรหาใครครับ”รอยด์เอ่ยถามขึ้น ธนาคิมขมวดคิ้วเข้าหากันแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
“คุณธนาคิมไม่อยู่หรอ แล้วนายเป็นใครมารับโทรศัพท์นี้ได้ไง”หญิงสาวเอ่ย
“พี่เกรย์ขับรถอยู่ครับ...”รอยด์เอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปทางธนาคิม
“พี่เกรย์ เดี๋ยวแวะร้านข้างหน้าก่อนเข้าบ้านหน่อยนะครับ พอดีเมื่อคืนสบู่หมดพอดีเลย”เสียงรอยด์เอ่ยขึ้นหวานหู ธนาคิมยกยิ้มขึ้นเขาชอบนักที่เด็กน้อยของเขากำลังหึงและหวงเขาอยู่
“นี่นาย...”หญิงสาวเอ่ยขึ้น
“ครับ...”รอยด์เอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“บอกคุณธนาคิมด้วยนะว่าฉันจะรอที่งาน”
“ครับผมเดี๋ยวผมบอกพี่เกรย์ให้นะครับ...”รอยด์เอ่ยขึ้นและรีบเอ่ยต่อทันทีเหมือตั้งใจ
“พี่เกรย์ปล่อยมือรอยด์ก่อนนะครับเดี๋ยวรอยด์จะไปซื้อของนะ”รอยด์เอ่ยขึ้นเขายังไม่ได้กดสาย คาดว่าปลายคงจะได้ยิน
“ร้ายมากเมียเรา”ธนาคิมเอ่ยขึ้นเบาๆ
“สามีใคร ใครก็หวงครับ รอรอยด์แปบนะครับเดี๋ยวมา”รอยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแสนหวาน จนธนาคิมนึกกลัวเมียเด็กแล้วสิ
“เอาว่ะได้เมียเด็กนี่หว่า และเสือกรักเขามากด้วยจะให้ทำยังไงหล่ะก็หลงไปแล้ว”ธนาคิมเอ่ยกับตัวเองระหว่างรออยู่ในรถ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นธนาคิมก็ไม่มีทางเสียใจและเสียดายกับสิ่งที่เขาเลือกไว้แล้ว
....................
"ไม่ว่าของของใคร ใครก็หวง"
[/size]
-
รอยด์ ร้ายไม่เบานะเนี่ย 55555 ชักสงสารพี่เกรย์แล้ว
-
ทั้งร้าย ทั้งรัก ..
-
ต้องอย่างนี้ซิรอยด์ อิอิ
มีเมียเด็กต้องฟิต ฮ่าๆๆๆๆฟ
-
ร้านนะเนี่ยคิคิ :hao6:
-
Gray Diary 10 : บันทึกสีเทา (ธนาคิมxรอยด์)
[/size]
รอยด์มองไปยังร่างระหงในชุดราตรีสีโอรสที่เว้าหลังจนเผยให้เห็นหลังเนียนขาวตามแบบสาวเกาหลี ต่างเป็นที่สนใจต่อสายตาชายหนุ่มนัก
“ดูยายคนนั้นสิ จะใส่มาล่อตะเข้หรอไง”เสียงสาวๆในงานที่ไม่ชอบใจนักที่คิมแตฮยอนดูสวยเจิดกว่าใครในงานตอนนี้ และก็มีหลายสายตาที่จ้องมองไปยังร่างระหงนั้นเป็นจุดเดียวกัน
“ไปทานอะไรก่อนไหม”เสียงนุ่มของธนาคิมเอ่ยบอกคนตัวเล้กข้างๆที่ยืนยิ้มหวานอยู่ก่อนจะจับมือหนานั้นไว้
“คุณคิมนี่สวยจริงๆนะครับ พี่เกรย์ว่ามั้ย”รอยด์เอ่ยบอกเชิงประชดเล็กน้อย ก็ธนาคิมเพิ่งผละจากร่างระหงนั้นมาไม่นานก่อนจะเดินมาหารอยด์
“สวยแล้วไง ยังไงพี่ก็มีรอยด์คนเดียวจำไว้ แล้วต่อไปนี้อย่ามาพูดแบบนี้อีก ไม่งั้นจะโดนดี”ธนาคิมเอ่ยกระซิบที่หูรอยด์เบาๆ ใบหน้าของรอยด์แดงเห่อทันที
“ขอให้มันจริงเถอะครับ”รอยด์เอ่ยพร้อมเดินไปยังโซนเครื่องดื่ม โดยมีธนาคิมเดินตามเข้ามา
ระหว่างที่ธนิมพารอยด์ไปรู้จักกับผู้ใหญ่ที่รู้จักอยู่นั้น ร่างระหงหญิงสาวสวยอย่างคิมแตฮยอนก็เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างธนาคิมและรอยด์ทันที
“Hi MR JOHN”เสียงหวานสำเนียงอังกฤษใช้ได้เอ่ยทักฝรั่งตัวสูงตรงหน้า ธรรมเนียมฝรั่งเธอยื่นหน้าให้อีกคนแตะทันทีโดยไม่ได้เก้อเขินอะไร และรอยด์เองก็ดูธรรมดานักเพราะเขาโตจากเมืองนอกสิ่งที่หญิงสาวแสดงดูธรรมดานักเมื่อเธอเองก็ยืนเกาะแข้งเกาะขาธนาคิมไว้เหมือนเป็นเจ้าของ
“รอยด์หิวไหม”เสียงธนาคิมเอ่ยถามคนตัวเล็กกว่าเมื่อพยายามเบี่ยงมืออกจากมือของคิมแตฮยอน
“ครับ”รอยด์เอ่ยอ้อนๆ หญิงสาวเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยขึ้น
“งั้นคุณเด็กน้อยก็ไปโซนอาหารได้เลยนะ เพราะโซนเครื่องดื่มนี่ส่วนใหญ่จะเป็นของต่ำกว่า18ห้ามแตะ”เธอเอ่ยขึ้น รอยด์ไม่ชอบนักคนที่มาดูถูกเขาแบบนี้
“ต่ำกว่าแล้วไงครับ ผมอ่ะ18แล้วนะ”รอยด์เอ่ย
“อ้าวหรอ หน้าตาดูไม่น่าจะ18เลยนะ อย่ามาโกหกหน่อยเลยคะ ดูยังไงก็เด็กน้อย แต่ท่าทางดูแก่แดดไปนิดนะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้นไม่ได้สนใจว่าประโยคนั้นจะแรงแค่ไหน
“ที่ว่าผมโกหกนี่คือผมหน้าเด็ก ผมเด็กกว่าคุณ ผิวผมดูอ่อนเยาว์กว่าคุณ...”ยังไม่ทันที่รอยด์จะเอ่ยต่อธนาคิมก็รีบเอ่ยดักไว้
“เดี่ยวพี่พาไปทานของอร่อยนะ”ธนาคิมเอ่ยขึ้นพยายามจะลากรอยด์ไปแต่นอยด์กลับพยายามรั้งตัวเองไว้
“ถ้าคิดว่าโตแล้วลองกับฉันสักแก้วสองแก้วไหมหล่ะ เด็กน้อย”หญิงสาวเอ่ยขึ้น คำว่าเด็กน้อยทำเอารอยด์ร้อนหน้าผ่าวทันทีก่อนจะสบัดตัวออกและเดินมาประชันหน้าหญิงสาว
สองสายตาประชันกันอยุ่เล็กน้อยจนธนาคิมนึกกลัวร่างนี้ของรอยด์เสียแล้วสิ เพราะรอยยิ้มุมปากของรอยด์ตอนนี้มันช่างน่ากลัวนัก
“เชิญครับ”รอยด์เอ่ยเมื่อยกแก้วพั้นช์สีสวยยื่นให้คิมแตฮยอนก่อนจะยกขึ้นชูเล็กน้อยและกระดกมันรวดเดียว
“รอยด์...”เสียงธนาคิมเอ่ยขึ้นเชิงเตือนสติ เมื่อรอยด์ยกขึ้นมาอีกแก้ว
“เป็นไรครับพี่เกรย์ รอยด์โตแล้วและอย่าคิดว่ารอยด์เป็นเด็กอีก”รอยด์เอ่ยขึ้นพร้อมกระดกพั้นช์อีกแก้ว และอีกแก้ว จนผ่านไปเกือบสิบแก้ว คิมแตฮีที่ไม่คุ้นเคยกับพั้นชไทยมากนัก เธอเองก็เริ่มมืนหัวมากแล้ว จนเลขาส่วนของเธอต้องมาหิ้วกลับไป
...
..
ธนาคิมหันมองใบหน้าหวานแก้มแดงที่คอพับคอเหวี่ยงตอนนี้กำลังเพ้อเจ้ออะไรมากมาย จากเด็กที่เรียบร้อยเงียบๆตอนนี้โวยวายเสียงดังเหมือนคนบ้า
“หึ...คนเก่ง เป็นไงหล่ะ”เสียงของธนาคิมเอ่ยพร้อมยกมือลูบหัวกลมของรอยด์ไปมา
“งื้ออออ อย่าาาา มาท้านะ อื่อออออ”เสียงเพ้อออกมามือไม้ปัดป่ายไปทั่ว
“ครับๆ”ธนาคิมเอ่ยพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ
“งื้อออออ ขำอารายยยย รู้ม้ายยยยยว่าพี่เกรย์ของครายยยยย”รอยด์เอ่ยเพ้อออกมา ธนาคิมอดขำกับความน่ารักไม่ไหวแล้วสิ
ธนาคิมอุ้มร่างบางขึ้นบ้านโดยไม่รีรออะไร เพราะเสียงโวยวายยังคงค่อยๆดังขึ้นอยู่เรื่อยๆ ธนาคิมกลังว่าหนูพิ้งค์จะตื่นแล้วจะบ่นที่ปล่อยให้รอยด์ดื่มมากขนาดนี้
“จุ๊ๆๆครับเมีย เบาๆหน่อยเดี๋ยวคนที่บ้านก็ตื่นหมดหรอก”ธนาคิมเอ่ยดุเบาๆแต่คนัวเล็กก็ยังคงโวยวายขึ้น อาจเพราะเป็นครั้งแรกที่ตัวเองดื่มน้ำเมาพวกนี้จึงทำให้สติหายไป
“งื้ออออย่ามายุ่งงงง”รอยด์โวยขึ้น ธนาคิมเห็นท่าไม่ดีนักจึงก้มลงกดริมฝีปากทับริมฝีปากเล็กทันที ก่อนจะพาขึ้นห้องไป
“อื่ออออ”เสียงครางของธนาคิมที่ครางออกมาเพราะลิ้นนุ่มเล็กของรอยด์สอดเข้าสู่โพรงปากนั้นทันที กลิ่นแอลกอร์ฮอล์ละมุนลิ้นนั้นกำลังโลมเลียอยู่ในโพรงปาก ธนาคิมไม่ปล่อยให้คนตัวเล็กที่แสนยั่วหลุดมือไปง่ายๆแล้ว
“อ่าห์...”รอยด์ครางออกมายั่วๆ ร่างเล็กปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเองและของธนาคิมออกโดยไม่รีรอหรือทักท้วงอะไร
“อย่าไปดื่มที่ไหนอีกรู้ไหม”ธนาคิมเอ่ยขึ้นเพราะรู้แล้วว่ารอยด์เมาแล้วจะยั่วอารมณ์และกระตุ้นอารมณ์ความต้องการขนาดไหน
“อ่าห์...พี่เกรย์ เข้ามาเถอะ เสียวววอ่า”รอยด์เอ่ยขึ้น สองมือจิกไหล่กว้างแน่นพร้อมแอ่นกายเสียดสีกับกลางกายคนตัวโตกว่าที่พร้อมจะเข้าสู่ภายในกายของคนร่างเล็กนั้นแล้ว
“ทำไมยั่วเก่งนักนะ เด็กน้อยของพี่”ธนาคิมเอ่ยขึ้น และก็ไม่รีรอที่จะให้รอยด์ยั่วอะไรมาก ธนาคิมแทรกกายเข้าสู่ร่างกายเล็กนั้นทันที
จังหวะรักที่เริ่มต้นขึ้นและไม่รู้ว่าที่สิ้นสุดอยู่ที่ไหน ตอนนี้กำลังบรรเลงจังหวะรักอย่างร้อนแรงอย่างไม่มีใครยอมใคร รอยด์เองที่ทั้งรักและหวงธนาคิมมากต้องทำทุกอย่างให้ธนาคิมหลงใหล
“รักมากรู้ไหม”เสียงเอ่ยของธนามคิมเอ่ยบอกร่างเลือยเปล่าที่ยังคงซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ธนาคิมใช้นิ้วเกลี่ยที่แก้มเนียนไปมา
Gray Diary Page x
ขอบคุณคุณนิลนะที่ส่งเด็กผู้ชายคนนี้มาให้ผม ครั้งแรกที่เห็นรอยด์คือเด็กที่น่าสนใจ รอยด์คือคนที่อยากจะดูแล ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เข้าใกล้เด็กคนนี้เราจะต้องทำแม้ว่าจะดูเป็นคนใจร้ายในสายตาเขาก็ตาม ตอนนี้ เวลานี้ เด็กคนนี้คือหัวใจ ลมหายใจและชีวิตของเรา
รอยด์ชื่อที่ต้องทำให้เรามีกำลังใจและต้องสู้เพื่อเขาคนที่รัก ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง จะต้องเจอเรื่องราวอะไรอีกมากมาย เราจะไม่มีวันทิ้งและละเลยเด็กผู้ชายคนนี้ รอยด์
ขอบคุณที่ทำให้ผู้ชายสีเทาคนนี้ด้กลับเป็นสีชมพูอีกครั้ง รักนิรันด์
-เกรย์-
สมุดบันทึกสีเทาถูกปิดลงและถูกเก็บใส่ในลิ้นชักไว้ นับจากนี้ธนาคิมคงไม่มีเวลามานั่งเขียนบันทึกสีเทาเล่มนี้อีกแล้ว เพราะเรื่องราวที่เขาบันทึกในเล่มสีเทาได้ปิดตัวลงพร้อมความรักสีชมพูที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาและเด็กน้อยอย่างรอยด์
ช่วงเวลาผ่านไปเกือบเดือนเมื่อโปรเจคที่อิตาลีผ่านพ้นไปและตอนนี้ธนาคิมเองก็ถูกส่งไปดูแลกิจการที่อิตาลี วันนี้อนาคินจึงจัดงานเลี้ยงส่งน้องชายและน้องสะใภ้
“นายต้องสไกด์กับเราทุกวันเลยนะ”วายเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ว่าเพื่อนรักต้องไปอยู่เมืองนอกแล้ว
“อื้ม สัญญาเลยหล่ะ เราจะส่งข้อความหาวายตลอดเลย”รอยด์เอ่ยขึ้น
“สัญญานะ”วายเอ่ยพร้อมใบหน้าที่ดูเศร้าๆ
“สัญญา และนี่มายังไงเนี้ย มากับอาจารย์ฐกรกิจหรือเปล่า”รอยด์เอ่ยขึ้น
“เปล่า พี่ซีมาส่งอ่ะ”วายเอ่ยก่อนจะหันมองพี่ชาย แต่จะซ้ายและขวาก็ไม่เจอพี่ชายตัวเอง
“แล้วพี่ซีอยู่ไหนอ่า”รอยด์เอ่ยถาม
“ไม่รู้อ่ะ เมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนะ”วายเอ่ย
“ไม่เป็นไรหรอก พี่แกคงเดินเล่นรอบบ้านหล่ะมั้ง”รอยด์เอ่ยขึ้น ระหว่างที่สองหนุ่มคุยกันอยู่ธนาคิมก็เดินเข้ามาตามรอยด์
“มานั่งที่นี่เอง ไปที่โต๊ะอาหารกันเถอะเฮียกับซ้อรออยู่”ธนาคิมเอ่ยขึ้น
“ป่ะวาย ไปทานข้าวกันเถอะ”รอยด์เอ่ยก่อนจะเดินเข้าบ้านไปโดยมีธนาคิมเดินโอบไหล่เล็กนั้นอย่างแสดงคงามเป็นเจ้าของ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูจะมีความสุขนัก โดยมีแขกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มาร่วมงาน และจุดเด่นน่าจะเป็นกรีนและชยากูรที่ดูจะไม้เบื่อไม้เมากันตั้งแต่เริ่มโปรเจคนี้จนจบโปรเจค
“เดือนหน้าถ้าจะต้องไปโปรโมทสินค้าอีก เค้าขอไปคนเดียวได้ป่ะเฮีย”กรีนเอ่ยขึ้น เพราะตัวเองเป็นแอมบาสเดอร์ของแบรนด์นี้จึงต้องโปรโมทแบรนด์ตลอดปีนี้
“ไม่ได้นะ ไม่มีโปรดิวเซอร์ไปด้วยได้ไงกัน”อนาคินเอ่ยขึ้นพร้อมปรายตามองน้องชายคนที่สี่และโปรดิวเซอร์ฝีมือดีที่ท่าทางอยากจะมาดองกับครอบครัวนี้แล้ว
“ไม่ต้องไปก็ได้ม่ะ แค่มีพี่เต๋อ ผู้จัดการเค้าไปด้วยก็พอแล้ว คนอื่นไม่ต้องเจ๋อ”กรีนเอ่ยขึ้น ชยางกูรดูหน้าเสียเล็กน้อย คนรอบข้างคงมองออกว่าตอนนี้ทั้งสองเหมือนมีอะไรงอนกันอยู่
“พอๆ เฮียจะให้คุณกูรไปด้วย จบนะอย่างอแงกับเฮีย โอเค๊”อนาคินเอ่ยเสียงสุดท้ายก่อนจะเงียบลงทันที
“คุณเกรย์เห็นหมอไวท์ไหมครับ”เสียงหวานของซ้อใหญ่เอ่ยถาม
“ใช่ๆ พี่หมอไปไหนเนี้ย”เสียงของบลูน้องชายอีกคนเอ่ยขึ้น เพราะห้องของทั้งสองติดกันและทั้งสองเองก็มักจะสนิทกันมาก
“พี่ซีไปไหนหรอวาย”รอยด์เอ่ยถามบ้างเมื่อไม่เห็นพี่ชายของเพื่อนสนิทเช่นกัน
ศาลากลางสวนหลังบ้านปรากฏสองร่างที่กำลังยืนคุยกันอยู่ด้วยใบหน้าที่ดูติงๆและดูเครียดนัก เมื่อคนตัวเล็กกว่า ใบหน้ากำลังมีแต่น้ำตา
“ซี ร้องไห้ทำไม”เสียงนุ่มของหมอไวท์เอ่ยถาม
“เปล่า ไม่ได้ร้องสักหน่อย ตรงนี้มันมืด แมลงมันบินมาเข้าตาเฉยๆ”ซีเอ่ยขึ้นแต่นำตาก็ยังคงไหลอยู่
“หรอ งั้นไปล้างตาดีกว่านะเดี๋ยวอักเสบไปแย่เลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะดึงซีออกจากศาลากลางสวนนั้นเพื่อพาไปล้างตา แต่ใครจะรู้เท่าในใจของซีว่าที่จริงแล้วไม่มีแมลงตัวไหนผ่านเข้ามาในสายตานี้เลย นอกจากคำที่หมอไวท์เอ่ยบอกกับเขาว่า
“ซี ช่วยพี่หมอจีบเบนซ์หน่อยสิ เขามีแฟนหรือยัง”
........The End…..
"บันทึกจะเล่มสีอะไรมันก็แค่บันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น"
[/size]
ตอนหน้าชื่อ The Color of Love : White Lie คำโกหกสีขาว
-
สุขสมหวัง ไปอีก 1 คู่ ..
-
ปลื้มปริ่มคู่เฮียเกรย์น้องรอยด์ ขอยกให้เลยสานหื่น ตัวจี๊ด อิอิ
ตอนนี้รอคู่หมอไวท์น้องซีน่ะ^^
-
ต่อไปคู่พี่หมอไวท์กะซีสินะ
-
White Lie คำโกหกสีขาว
[/size]
ธนาคิน กิจสุนทรวิริยะกุล ตัวแทนของความรักสีขาว หมอไวท์ ทายาทคนที่สาม อายุ 26 ปี ชายหนุ่มที่เกิดมาพร้อมความเพียบพร้อมทั้งรูปร่าง หน้าตา และการศึกษา ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดเขาเป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดจนเป็นหมอที่อายุยังน้อย ด้วยความที่เป็นคนมองโลกในแง่ดี เข้ากับคนง่าย พูดจานุ่มนวลทำให้พี่น้องทุกคนยกให้เขาเป็นจุดศูนย์กลางของบ้าน เขาเป็นผู้ชายที่ดูเรียบร้อย รักสะอาดทำให้ถูกมองว่าเป็นเกย์ทำให้มีแต่เพศเดียวกันที่เข้ามาจีบ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเพราะเขาอยากดูแลพี่น้องของเขาให้ดีที่สุด แต่โบราณว่าไว้ คนที่พร้อมทุกอย่างมักจะสนใจคนที่ไม่มีอะไรสักอย่างเช่นกัน
..............
-
มาแล้วววว ..
-
White Lie คำโกหกสีขาว
[/size]
ภัทรกร สุนทรวิกุล อายุ 22 ปี นักศึกษาเทคนิคการแพทย์ รักสบาย คนเรียบง่าย พูดจากวนๆ ขยันทำเรื่องปวดหัว แม้จะพูดมากแต่การแอบรักแฟนเพื่อนมันเจ็บมากกว่าที่จะเปิดปากพูดออกมา ยอมเจ็บเพราะรัก ยอมรักเพราะรัก ทุกครั้งที่ได้ใกล้หรือได้อยู่ด้วยเป็นความสุขที่สุด ไม่ว่าคนคนนั้นจะเห็นเขาเป็นแค่น้องหรือทางผ่าน แต่ใครจะรู้ว่าการแอบรักของเขาจะทำให้เขาเองที่ลำบากใจ อีกคนก็เพื่อนอีกคนก็คนที่รัก จึงแต่คำว่า ไม่เป็นไร กลายเป็น White Lie คำโกหกสีขาว
.....................
-
น่ารักกกก ..
-
รออออออ
-
White Lie 1 : รุ่นพี่ (ธนาคินxภัทรกร)
ธนาคินหรือหมอไวท์ของทุกคน ร่างสูงสง่าในชุดสีขาว หมอหนุ่มที่เพียบพร้อมไปทั้งหน้าตา การศึกษา หน้าที่การงานแม้แต่ฐานะทางบ้าน เรียกว่าไม่มีอะไรที่เป็นที่ติได้เลย
“หมอคะ วันนี้มีบรรยายพิเศษที่มหาวิทยาลัยXXXตอนบ่ายโมงนะคะ”พยาบาลสาวเอ่ยบอก หมอไวท์เป็นอาจารย์บรรยายพิเศษด้านเส้นประสาทให้กับนักศึกษาแพทย์ด้วย และด้วยความที่เป็นคนใจเย็นทำให้นักศึกษาแพทย์ชอบที่จะเข้าฟังบรรยายของหมอไวท์
“อ่อ ขอบคุณมากนะครับ”เสียงเอ่ยสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่แสนจะขยี้ใจสาวนัก
ร่างสูงในชุดกาวน์สีขาวพาตัวเองเข้าห้องทำงานมาก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปมหาวิทนาลัยที่อยู่ใกล้ๆ แต่ระหว่างที่กำลังเดินไปตึกสอนหมอไวท์ก็ถูกนักศึกษาสองคนชนเข้าไปเต็มแรงจนหนังสือกระจายลงพื้น
ปึก!
“โอ๊ะ...ขอโทษครับ”ชายหนุ่มตัวขาวร่างโปร่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มลงเก็บหนังสือช่วยแต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อหญิงสาวที่วิ่งมาด้วยเอ่ยเรียก
“ไอ้ซีเร็วๆ เดี๋ยวอาจารย์หมอเข้าก่อนมึงจะเจอดี”หญิงสาวเอ่ยขึ้น
“ทำไมว่ะ เดี๋ยวช่วยพี่เขาก่อน เราวิ่งชนเขานะเว้ย”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะหันมองหมอไวท์ที่ตอนนี้ยกยิ้มหวานให้กับความเป็นคนดีของนักศึกษาคนนั้น
“งั้น เร็วๆเลย”หญิงสาวเอ่ยพร้อมทำหน้ารนๆจนหมอไวท์นึกขำ
“ไม่เป็นไรนะครับ ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น หมอไวท์ยังคงยกยิ้มหวานอยู่จนคนตรงหน้านิ่งไปกับความหล่อของหมอไวท์
“ไอ้ซีเร็วๆ อาจารย์หมอมาแล้วมั้ง”เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้น
“เอ่อๆ อาจารย์หมอจอมดุน่าจะยังไม่เข้าหรอกมั้ง”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะหันมาทางหมอไวท์
“แล้วคุณเรียนห้องไหนครับ หรือห้องเดียวกัน มาฟังอาจารย์หมอจอมเก๊กบรรยายหรือเปล่าครับ”ซีเอ่ยขึ้นถามก่อนที่หญิงสาวจะเดินมา
“ใช่ ไม่คุ้นหน้าพี่เลยคะ พี่เรียนปีไหนคะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้น หมอไวท์เองยังไม่ทันตอบอะไรทั้งนั้น ก็มีเสียงเพื่อนในคลาสตะโกนออกมา
“เร็วๆมึง ไอ้แจ็คบอกว่ารถของอาจารย์มาจอดแล้ว”
“รีบไปครับ เดี๋ยวโดนอาจารย์ขี้เก็กบ่นเอา”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงมือหมอไวท์เข้าห้องไปโดยไม่รู้เลยว่าอาจารย์คนที่ว่าคือคนเดียวกับคนที่นั่งข้างๆตอนนี้
“ถามหน่อยดิ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นถาม
“ว่า...”ซีที่นั่งมองไปยังข้างหน้าอย่างโล่งใจเพราะอาจารย์ยังไม่เข้า
“รู้ได้ไงว่าอาจารย์คนนี้ขี้เก๊กอ่ะ”หมอไวท์เอ่ยถาม
“เขาพูดต่อๆกันมาอ่ะ ที่จริงเราก็เพิ่งมาฟังบรรยายครั้งแรกเหมือนกัน”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา
“ว่าแต่นายชื่ออะไรหรอ เราชื่อเบนซ์นะส่วนไอ้หน้าอ้วนนี้ชื่อซี เราสองคนเรียนเทคนิคการแพทย์คะ แต่อาจารย์อยากให้มาเข้าฟังบรรยายด้วย แล้วนายหล่ะ”เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้น
“ไอ้บ้า กูอ่ะไม่ได้อ้วนเว้ย แบบกูเรียกกำลังน่ากอด ไม่ได้ผอมแห้งแรงน้อยอย่างมึงหรอก”เสียงของซีเอ่ยขึ้นอย่างน่ารักแต่หมอไวท์กลับมองไปยังหญิงสาวมากกว่าที่ดูจะห้าวๆทำให้เขาคิดถึงหนูพิ้งค์น้องชายของเขาแต่ยังไม่ทันที่หมอไวท์จะเอ่ยบอกชื่อตัวเอง เสียงมือถือของซีก็ดังขึ้น
“ไปคุยโทรศัพท์ก่อนนะ”เสียงซีเอ่ยบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หมอไวท์จึงหันไปคุยกับเบนซ์แทนเพราะด้วยความที่หญิงสาวดูจะตรงสเปคทั้งดูมั่นใจ ท่าทางคล่องแคล่วและรอยยิ้มหวานที่แสนจะน่ารัก
“เรียนเทคนิคการแพทย์แล้วทำไมมาเข้าฟังบรรยายเรื่องเส้นประสาทของปีห้าหล่ะ”หมอไวท์เอ่ยถาม
“ที่จริงอ่ะอยากมาดูหมอธนาคินต่างหากหล่ะ”เสียงหวานเอ่ยบอก หมอไวท์ยิ้มหวานขึ้นเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง
“อยากดูทำไมหรอ ไหนว่าขี้เก๊กไม่ใช่หรอไง”หมอไวท์เอ่ย
“อย่าไปเชื่อไอ้อ้วนมัน ไอ้นี่เห็นใครหล่อกว่าตัวเองไม่ได้ง่ะ ชอบว่าคนนั้นคนนี้ที่ดูดีกว่า 555”หญิงสาวเอ่ยขึ้น หมอไวท์มองไปยังใบหน้าหวานเขาตกหลุมความน่ารักของนักศึกษาคนนี้แล้วสิ
“เบนซ์กับซีสนิทกันจังเลยเนอะ แบบนี้...”ยังไม่ทันที่หมอไวท์จะเอ่ยต่อเสียงของซีก็ดังขึ้น
“เบนซ์ ไอ้โฟนเรียกกลับภาคอ่ะ บอกมีเรื่องด่วนมาก”เสียงซีเอ่ยขึ้น
“อ้าว ไม่รอฟังอาจารย์พิเศษมาบรรยายหรอ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“ฝากนายเลคเชอร์ให้หน่อยสิ”ซีเอ่ยขึ้น
“แล้วเราจะติดต่อพวกนายยังไงหล่ะ”หมอไวท์เอ่ย ซีจึงยกมือถือขึ้นและยื่นให้หมอไวท์
“อ่ะ นี้ไลน์เราแล้วค่อยติดต่อกันอีกทีนะ”ซีเอ่ยขึ้น หมอไวท์กดสแกนไอดีเรียบร้อยก็พยักหน้าก่อนมองตามร่างสองร่างในชุดนักศึกษาเดินออกไป
“น่ารักจริงๆ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเดินอ้อมไปด้านหน้าเพื่อจะเข้าบรรยายในคลาสเรียน เสียดายที่ไม่ได้เปิดตัวว่าที่จริงแล้วเขาคือใคร
....
อีกวันหนึ่งที่คณะเทคนิคการแพทย์ ซีกับเบนซ์กำลังนั่งทำรายงานอยู่ที่ใต้ตึกโดยไม่ได้สนใจว่าตอนนี้รอบข้างกำลังฮือฮากับร่างสูงของหมอไวท์ที่กำลังเดินเข้ามา
“ซีมีคนมาหาอ่ะ”เสยงก้อยเพื่อนในคณะของซีเอ่ยบอกเพราะอาสาพาหมอไวท์มาหา ทั้งซีและเบนซ์หันมาพร้อมกันทันที และก็ทันทีเช่นกันที่ใบหน้าของซียกยิ้มขึ้น
“อ้าว พี่หมอ”เสียงหวานของเบนซ์เอ่ยขึ้น
“อย่าเรียกพี่หมอเลยครับ เรียกพี่ไวท์ก็ได้”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“แหม ศึกษาแพทย์ทุกคนใครๆก็เรียกพี่หมอกันทั้งนั้นหล่ะคะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มหวานทำให้หมอไวท์มองแล้วรู้สึกดี
“แล้วรู้ได้ไงว่าพวกเราอยู่นี่”ซีเอ่ยถาม หมอไวท์เดินมานั่งข้างๆซีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ก็นายบอกว่าเรียนเทคนิคการแพทย์ พี่ก็เลยสุ่มๆมาและถามเขามาเรื่อยๆอ่ะ”
“เก่งจังเลยอ่ะ”เสียงหวานเอ่ยขึ้น หมอไวท์มองหญิงสาวด้วยสายตาที่เอ็นดู เธอช่างสดใสนัก
“ว่าแต่เลิกเรียนกันหรือยังหล่ะ”หมอไวท์เอ่ยถาม
“เลิกแล้วหล่ะ”ซีเอ่ยขึ้น
“งั้นไปทานข้าวกันม่ะ ทั้งหมดเลยเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีมองรอยยิ้มของหมอไวท์หนุ่มยิ่งรู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าทำไมเห็นรอยยิ้มนี้แล้วถึงหลงชอบนัก
ทั้งสามพากันมาที่ร้านหมูกะทะใกล้ๆมหาวิทยาลัย ร้านอาหารที่แสนดีและถูกของชาวมหาวิทยาลัยแต่เป็นอาหารที่หมอไวท์แทบไม่เคยได้กินเลย
“มันเป็นของย่างแบบนี้ไม่อันตรายหรอกหรอ”หมอไวท์เอ่ยถามคนที่กำลังเคี้ยวหมูเต็มปากตอนนี้
“อันนี้หล่ะดีที่สุดแล้ว อร่อยที่สุดด้วย”ซีเอ่ยบอกก่อนจะคีบหมูสามชั้นของโปรดมายื่นให้หมอไวท์ แต่หมอไว้กลับจับมือค้างที่คีบหมูของซีไว้
หมับ
“อย่ากินเยอะเลย ของพวกนี้ไม่ดีกับสุขภาพหรอก”หมอไวท์เอ่ยก่อนจะยกยิ้มหวานออกมาและคีบผักบุ้งยื่นให้ซีแทน
“ทานผักดีกว่า อ้าปากครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น เบนซ์เองกลับหน้าแดงออกมาทันทีโดยไม่รู้สาเหตุ รู้เพียงว่ารู้สึกดีมากที่เห็นหมอไวท์เทคแคร์เพื่อชายตัวเอง
อึก...
“เอ่อ...เดี๋ยวผมกินเองครับ”ซีเอ่ยขึ้น แต่หมอไวท์กลับเอ่ยขัดขึ้น
“ไม่เป็นไร เร็วๆสิพี่จะได้ป้อนเบนซ์ด้วย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีหน้าเสียเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากงับผักบุ้งและมองไปยังเบนซ์ที่หน้าแดงออกมา
“เป็นอะไรเบนซ์ หน้าฟินเลยนะแก”ซีเอ่ยแซวเพื่อที่ตอนนี้ยิ้มแกมปริ
“งื้อๆๆเขินอ่า ทำไมพี่หมอน่ารักจังเลยอ่ะ มีแฟนยังเนี้ย”เบนซ์เอ่ยถาม
“ยังครับ ใครจะมาสนใจนักเรียนแพทย์ที่เวลาก็ไม่ค่อยมี วันๆเอาแต่เรียนและก็เรียน ไม่มีเวลาหรอก”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมา สายตาที่หมอไวท์มองเบนซ์กลับทำให้ซีรู้สึกแปลกๆแต่ก็บอกไม่ถูกนักเพราะไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
หลังจากกินหมูกะทะเรียบร้อยซีที่ต้องขับรถมาส่งเพื่อนรักอย่างเบนซ์เป็นประจำแต่วันนี้เขาต้องไปส่งเพื่อนใหม่อีกคนด้วยอย่างหมอไวท์
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่หมอจะอยู่คอนโดใกล้ๆกัน”ซีเอ่ยขึ้น
“นั้นสินะ งั้นทุกวันที่มีเรียนพี่รบกวนซีแวะรับพี่ด้วยนะ พอดีพี่ไม่มีรถอ่ะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“ได้สิครับ”ซีเอ่ยขึ้นด้วยหัวใจที่เต้นแรง
“แล้วซีต้องไปรับเบนซ์ทุกวันเลยหรือเปล่า”หมอไวท์เอ่ยถาม ซีหุบยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ทุกวันที่มีเรียนหรือไม่มีธุระอ่าครับ ไอ้เบนซ์มันไม่ชอบขับรถ มันชอบเป็นคุณนายนั่งข้างๆมากกว่า”ซีเอ่ยเผาเพื่อน
“อ่อ ซีกับเบนซ์สนิทกันจังเลยเนอะ”หมอไวท์เอ่ย
“ครับ ก็รู้จักกันตั้งแต่มัธยมแล้วหล่ะ”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะเลี้ยวรถเข้าคอนโดสูงใหญ่ ซีเงยหน้ามองถึงกับร้องอู้หู้ออกมา
“โอ้โห้ว คอนโดนี้แพงนะครับ”ซีเอ่ยขึ้น
“ก็เงินพ่อแม่ทั้งนั้นหล่ะ ว่าแต่ขอบคุณมากนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือถือขึ้นมาและยื่นให้ซี
“ขับรถดีๆหล่ะ”หมอไวท์เอ่ย
"เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ"ซีเอ่ยขึ้นพร้อมปลดล๊อครถให้หมอไวท์ลงจากรถ
“โอเค งั้นถึงบ้านไลน์มาบอกด้วยนะ เอาไว้เจอกัน”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะลงรถไป ร่างสูงสง่า หมอไวท์เป็นคนที่มีเสน่ห์นักทั้งรูปร่างหน้าตาจนซีเองก็มองหมอไวท์จนสุดลูกตาเช่นกัน
“ท่าจะบ้านะกู เห็นผู้ชายแล้วใจเต้นแรง”ซีเอ่ยกับตัวเองก่อนจะขับรถออกไปแต่ยังไม่พ้นคอนโดเสียงข้อความจากไลน์ก็ดังขึ้น
ติ้ง ติง
White : ถึงบ้านแล้วไลน์บอกด้วยนะ พรุ่งนี้เจอกัน
White : สติ๊กเกอร์นอนฝันดี
“เชี่ยแระ ใจกูเสือกเต้นแรงทำไมว่ะ”ซีสบถกับตัวเองใบหน้าเองก็เห่อร้อนออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ซีเองก็รู้ตัวเองดีว่าที่จริงตัวเองมีสเปคที่ชอบอย่างหมอไวท์
ทางด้านหมอไวท์ที่ชำระร่างกายเรียบร้อย เขายกมือถือขึ้นมากดดูรูปถ่ายที่แอบถ่ายมารอยยิ้มกลับผุดขึ้นยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นเบาๆ
“คนอะไรน่ารักชะมัดเลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น เขาเองก็ไม่เคยจะเป็นแบบนี้เลย ไม่เคยมีโมเม้นเพ้อหาใครสักครั้ง เพราะหมอไวท์ไม่เคยมีใครในหัวใจเลย ทุกคนที่เข้ามาเป็นแค่เพื่อนทั้งนั้นและเขาเองก็ไม่ใช่เกย์ด้วย
.....................
"การไม่ยอมบอกความจริงตั้งแต่เริ่่มต้นมันบทสรุปของตอนสุดท้าย"
-
รักกันชุลมุน แน่ๆ ..
-
:pig4:
-
หมอไวท์ถ่ายรูปซีใช่ป่ะ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
White Lie 2 : แอบมอง (ธนาคินxภัทรกร)
เสี้ยวใบหน้าอันหล่อเหลาของหมอไวท์ ริมฝีปากสีชมพู ผิวเนียนขาวสมกับเป็นลูกผู้ดีช่างน่าหลงใหล ซีเองก็ชำเลืองมองคนข้างๆเป็นบางครั้ง
“สวัสดีคะพี่หมอ”เสียงหวานของเบนซ์เอ่ยขึ้นเมื่อขึ้นรถได้
“สวัสดีครับน้องเบนซ์”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะชำเลืองตามองไปยังด้านหลัง ซีเองก็แอบมองปฏิกิริยาคนข้างๆเช่นกัน
“พี่หมอทานรัยยังคะ”เบนซ์เอ่ยถามพร้อมยกกล่องแซนวิสที่แม่ทำมาให้เป็นประจำ
“ยังครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ก่อนที่เบนซ์จะยื่นแซนวิสแบคอนรมควันให้กับหมอไวท์
“นี่คะ คุณแม่เบนซ์ทำมา อร่อยนะคะ”เบนซ์เอ่ยขึ้น หมอไวท์ยกยิ้มหวานขึ้นก่อนจะรับแซนวิสไว้แต่หมอไวท์ไม่ชอบแบคอนสักนิดเลยเขาเกลียดแบคอนที่ดูยังไงก็แทบจะไม่มีประโยชน์ แต่แซนวิสนี้เป็นของที่เบนซ์ให้ทำให้หมอไวท์จึงไม่กล้าปฏิเสธ
“เบนซ์ชอบเบคอนหรอ ไม่กลัวอ้วนหรือไง”หมอไวท์เอ่ยถาม
“เปล่าคะ แต่ที่คุณแม่ทำมาเพราะลูกรักของแม่ชอบกิน หนูเลยต้องจำใจชอบกินไปด้วย เพราะถ้าไม่ชอบกินก็อดอ่าคะ”เสียงเบนซ์โวยขึ้นอย่างน่ารัก
“หรอ เบนซ์มีพี่หรือน้องหล่ะแม่ถึงได้รักมากอ่ะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“หนูอ่ะลูกคนเดียวคะ”เบนซ์เอ่ยขึ้นพร้อมกับยืนหน้ามาระหว่างหมอไวท์และซีที่นั่งด้านหน้า จนหมอไวท์เองหน้าแดงฉ่าออกมา
“แต่ไอ้ที่บอกลูกรักของคุณแม่คือไอ้อ้วนนี่ไงคะ ไอ้อ้วนนี่แม่งชอบเบคอนเข้าเส้นคะ แดกอะไรมักจะไม่พ้นเบคอน”เบนซ์เอ่ยขึ้นพร้อมหันมองซีที่ทำหน้ายักษ์ใส่เพื่อสาว
“ก็คนมันชอบนี่นา”ซีเอ่ยขึ้น
“ก็เพราะชอบง่ะ มึงถึงได้อ้วนขนาดนี้อ่ะ”เบนซ์เอ่ยขึ้น ซียกมือตีหัวเบนซ์เบาๆไม่จริงจังนักเพราะทั้งสองมักจะเล่นกันแบบนี้เสมอ หมอไวท์มองทั้งสองแล้วยกยิ้มออกมากับความน่ารักของทั้งสอง
“สองคนสนิทกันจังเลยนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“เราสองคนอ่ะยิ่งกว่าสนิทอีกคะ ไอ้อ้วนอ่ะมันเป็นเหมือนทั้งเพื่อน ทั้งพี่และก็พ่อของหนูไปแล้วหล่ะ”
“เพราะมึงเป็นซะอย่างงี้ไง กูกลัวว่ามึงจะไม่มีผัวก่อนจะโดนฆ่าตาย”ซีเอ่ยขึ้น เบนซ์ยกมือขยี้หัวซีไปมาเมื่อโดนว่า
“โอ๊ยๆๆ ไอ้เบนซ์กูขับรถอยู่ เดี๋ยวเหอะ”ซีเอ่ยออกมา เบนซ์ก็ย้ายตัวไปนังข้างหลังอย่างว่าง่ายก่อนจะยกแซนวิสจ่อที่ปากให้ซีอย่างที่เคยทำประจำ
“กลางวันนี้พี่มีเรียนยาวจนถึงค่ำเลย เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นเมื่อซีมาส่งที่คณะแพทย์
“แล้วกลับยังไงครับ ให้ผมรอไหม”ซีเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ เขาเองก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วและที่สำคัญซีเองอยากจะอยากมารับหมอไวท์ด้วยเป็นเพราะอะไรไม่มีใครรู้
“ไม่เป็นไรครับ พี่กลับดึกอ่ะเอาไว้เจอกันนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะรีบลงรถไป ทั้งซีและเบนซ์ก็ไม่ได้ติดใจอะไรก่อนจะขับรถออกไป
ทางด้านหมอไวท์ที่รีบเดินเข้าคณะแพทย์และดิ่งเข้าไปที่ห้องน้ำเพื่อรอให้ทั้งสองขับรถออกไปก่อนเขาจึงพาร่างสูงเดินออกมาและเรียกแท็กซี่เพื่อตรงไปยังโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลนัก
เวลาผ่านไปเกือบสองทุ่มที่หมอไวท์เคลียงานเสร็จ ที่อยู่เคลียงานก็เพราะเขาจะได้มีเวลามากขึ้นที่จะได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อนใหม่ทั้งสอง
“สองทุ่มแล้วหรอเนี้ย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นเมื่อยกนาฬิการาคาแพงขึ้นมาดู ก่อนจะยกมมือถือขึ้นมาดูเช่นกัน
“หึ...น่ารักชะมัดเลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์กลับให้ปลายทางที่ส่งมาเมื่อตอนทุ่มกว่าๆ ก่อนจะยกมือถือกดเข้าหาที่บ้าน
“หนูพิ้งค์ อยู่ไหนครับ”เสียงหมอไวท์เอ่ยถามน้องชายคนเล็กเมื่อรับสายทันที
(“อยู่มหาลัยอยู่เลยอ่า เฮียมีอะไรหรือเปล่าฮะ”)
“เจ้าเลิฟขับรถให้มั้ย”
(“อื้ม ก็อยู่ข้างๆเนี้ย”)
“งั้นบอกเจ้าเลิฟมารับเฮียที่โรงพยาบาลด้วยนะ เฮียไม่ได้เอารถมา”
(“ได้ฮะ เฮียรอแปบนะอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงนะ”)
หมอไวท์วางสายจากน้องชายเรียบร้อยก็กดสายหาซีเพื่อที่พรุ่งนี้จะไม่ต้องให้ชายหนุ่มไปรับที่คอนโดเพราะวันนี้เขาจะกลับไปนอนบ้าน
(“ครับ”)
“ซี พี่หมอเองนะ”
(“อ่าครับ เลิกเรียนแล้วหรอครับ จะให้ซีไปรับหรือยังไง”)
“เปล่าๆ พี่จะบอกว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมารับพี่ที่คอนโดนะ”
(“อ้าว ทำไมครับ”)
“พอดีพี่มีเรียนเช้ามากอ่ะ”
(“ผมไปรับได้ครับ ว่าแต่เช้ากี่โมงครับ”)
“เช้ามากๆเลย พี่เกรงใจเดี๋ยวพี่ไปเองดีกว่าเนอะ เอาไว้ตอนเที่ยงพี่ไปหาที่คณะนะ”
(“เอางั้นหรอครับ”)
“อื้ม ฝากบอกเบนซ์ด้วยนะ”
(“ครับ”)
ซีวางสายจากหมอไวท์ด้วยความรู้สึกหน่วงแปลกที่ใจ ตอนแรกก็ดีใจที่หมอไวท์โทรมาหาแต่เมื่อคิดๆดูคือหมอไวท์อยากจะบอกผ่านตัวเองเพื่อให้เบนซ์รู้
“นี่อย่าบอกว่ากูหลงรุ่นพี่อย่างหมอไวท์อ่ะ ไม่ใช่แน่นอน”ซีเอ่ยกับตัวเองก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไปแต่ก็ต้องตกใจที่ตอนนี้ห้องเขากลับสะอาดสะอ้านเพราะความเป็นจริงแล้วซีเป็นคนที่ไม่เรียบร้อยเลยสักนิด
“เชี่ยแระ...”ซีเอ่ยพร้อมวิ่งออกไปที่หน้าประตูห้องเพื่อดูว่าเป็นห้องตัวเองหรือเปล่า
“ก็ใช่นี่หว่า แล้วนี่อะไรกันว่ะ”ซีสบถกับตัวเองเบาๆพร้อมเกาหัวแล้วเดินเข้าห้องไปอย่างงวยงง
“เซอร์ไพร์สสสสส...”เสียงหวานของคนในห้องเอ่ยขึ้น จากมุมห้องพร้อมกระโดดกอดร่างสูงโปร่งของซี
หมับ
ฟอด ฟอด ฟอด
“อื้อ คิดถึงจังเลยเจ้าแก้มยุ้ยของมัมมี๊”ซียกยิ้มกว้างทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่มาจัดเก็บห้องให้ตอนนี้คือใคร แม่แท้ๆของเขานี่เอง ซึ่งแม่ของเขาต้องไปทำงานที่เมืองนอกหลายเดือนกว่าจะกลับและทุกครั้งที่กลับมาจะต้องแวะหาซีก่อนเสมอก่อนจะไปที่บ้านเพื่อหาลูกคนเล็กที่ตอนนี้อยู่กับอดีตสามีของเธอ
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับแล้วมากี่วัน”ซีเอ่ยถามผู้เป็นแม่
“เพิ่งกลับมา ไม่อยากบอกซีหรอก เดี๋ยวซีก็ต้องขับรถไปรับมัมมี๊อีกเสียเวลา”
“โธ่ ไม่ลำบากเลยครับ”ซีเอ่ยอ้อนแม่ของตัวเอง หัวกลมหนุนที่ตักนุ่มของผู้เป็นแม่มือแสนอบอุ่นกำลังลูบไล้ไปทั่วกล่มผมนุ่มนั้นไปมา
“เจ้าวายรู้ยังครับว่ามัมมี๊มาอ่ะ”
“ยังเลย เอาไว้เซอร์ไพร์สพรุ่งนี้ แล้วป๋าเป็นไงมั้งหล่ะ”
“ก็ดีครับ ดูแลเราสองคนดีมากและกำลังรอสาวสวยลาออกจากงานเพื่อจะได้มาอยู่ด้วยทั้งชีวิตอยู่ครับ”ซีเอ่ยบอกผู้เป็นแม่
“หึๆ แล้วเลิกบ้างานแล้วหรอไงถึงจะรออยู่กับมี๊ตลอดชีวิตอ่ะ”
“ไปดูเอาเองครับ เพราะป๋าอ่ะเปลี่ยนไปเยอะนับจากที่มัมมี๊ไปทำงานต่างประเทศอ่ะ”
“เอาไว้มี๊คิดดูก่อนดีกว่า ว่าผู้ชายที่บ้างานขนาดนั้นจะมีเวลาให้มี๊บ้างหรือเปล่า” ซียกยิ้มหวานออกมาก่อนที่แม่จะจับที่แก้มพร้อมลูบไปมา
“แก้มยุ้ยไปแระ อ้วนไปไหมเราสงสัยเจ้าเบนซ์เลี้ยงดี”
“เปล่าเลย ไอ้บ้านั่นเอาแต่แย่งกินสิไม่ว่า แต่แม่งกินยังไงมันก็ไม่อ้วนเลยสักนิด”
“เบนซ์เป็นแฟนได้หรือยังหล่ะลูก มัมมี๊ว่าหนูเบนซ์น่ารักที่สุดแล้วนะ”ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น ซียิ้มอ่อนๆออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“มี๊ครับ ถ้าซีไม่ได้เป็นอย่างที่มี๊คิดและหวัง มี๊กับป๋าจะเสียใจไหม”ซีเอ่ยขึ้นจนผู้เป็นแม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจว่าที่ลูกชายคนโตพูดคือเรื่องอะไร
“หมายความว่ายังไงหรอ”ซีลืมตามองผู้เป็นแม่ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เปล่าครับ ซีแค่เพ้อเจ้อไปงั้นหล่ะ หิวแระไปหารัยทานดีกว่าครับพรุ่งนี้ไปรับตัวแสบที่บ้านป๋ากัน” ซีเอ่ยขึ้นอย่างกลบเหลื่อน
“เดี๋ยวครับ เป็นแบบนี้ทุกทีถ้าซีมีอะไรปิดบังมี๊”ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันก่อนที่ซีจะซบใบหน้าลงที่ตักอีกครั้ง
“สมกับเป็นมัมมี๊ของลูกจริงๆ รู้ทันไปหมด”ซีเอ่ยขึ้น
“งั้นว่ามา ว่าเรื่องอะไรที่ป๋าและมี๊จะรับได้หรือไม่ได้อ่ะ”ผู้เป็นแม่คาดคั้นเอาคำตอบจากลูกชายคนโต ซีลุกขึ้นนั่งพร้อมถอนหายใจออกมาดังๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“มี๊ จะเสียใจไหมถ้าซี...ชอบ”ยังไม่ทันที่ซีจะเอ่ยต่อ เสียงผู้เป็นแม่ก็เอ่ยสวนกลับทันที
“ชอบผู้ชายอ่าหรอ...”
“มี๊ รู้...”ซีเอ่ยขึ้นอย่างตกใจที่แม่ของตัวเองรู้ว่าที่จริงแล้วเขาชอบผู้ชาย ซีไม่กล้าจะบอกพ่อกับแม่เพราะกลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจ
“รู้สิ อยากรู้ไหมว่ารู้ตั้งแต่ตอนไหน”
“มี๊รู้ตั้งแต่ตอนไหนครับ”
“ก็ตั้งแต่ที่ลูกชายแม่เพ้อหาพี่ชายคนหนึ่งที่เคยเจอตอนเรียนว่ายน้ำไง ตอนเด็กๆวันที่แม่พาไปเรียนว่ายน้ำที่สโมสรของคุณป๋าไง” ซีหวนคิดถึงวันนั้น และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เขาหลงชอบผู้ชายด้วยกัน และต้องเป็นรุ่นพี่ที่เรียนว่ายน้ำคนนี้คนเดียวเท่านั้น ที่ทำให้หัวใจเขาเพ้อหาและตอนนี้รุ่นพี่คนนั้นจะเป็นยังไงมั้ง จะทีแฟนหรือเรียนอยู่ที่ไหนหรือยังนะ
สิบสามปีก่อน สระว่ายน้ำสโมสรทหารอากาศ
“พี่เก้งฝากลูกชายน้องด้วยนะคะ พอดีน้องซีไม่ค่อยสบาย เป็นภูมิแพ้บ่อยๆ น้องเลยอยากให้ออกกำลังกายบ้างคะ”
“ได้เลยยุรี เดี๋ยวพี่จะดูแลให้เอง”
“เดี๋ยวมี๊รอที่ข้างสระด้านโน้นนะครับ”
“ฮะ มี๊”ซีเอ่ย ร่างกลม ตัวขาว แก้มที่ยุ้ยแสนน่ารักของซีทำให้พี่ๆเพื่อนๆรอบสระยกยิ้มให้
“ใครอยู่ตรงนั้นอ่ะ มารับน้องใหม่ไปที่ห้องแต่งตัวหน่อยแล้วพามาที่สระว่ายน้ำนะ”อาจารย์สอนว่ายน้ำเอ่ยขึ้น ร่างสูงข้างสระวิ่งเข้ามาหา ใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มบาดใจนักทำให้เด็กน้อยอย่างซีปลื้มใจนัก เพราะความที่ตัวเองตัวเตี้ยทำให้เก็บของที่ล๊อเกอร์ไม่ได้
“มาพี่เก็บให้ แล้วเวลาเสร็จแล้วบอกพี่นะ เดี๋ยวพี่มาเอาให้เอง เพราะพี่ตัวสูงกว่าแก้มยุ้ยเยอะเลย”
“เค้าไม่ได้ชื่อแก้มยุ้ยนะ เค้าชื่อน้องซี”
“ครับๆ ว่าแต่รีบไปเถอะ เดี๋ยวอาจารย์บ่น”
เรื่องราววันนั้นเป็นอะไรที่ซีตรึงในใจมาตลอด และประทับใจเสมอ ซีไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครอีกนับจากวันนั้น จนวันที่เขาได้เจอหมอไวท์เขากลับรู้สึกว่าเขาต้องขอโทษพี่ชายนั้นเสียแล้ว เพราะความรู้สึกที่มีให้พี่ชายตัวสูงคนนั้นถูกผู้ชายตัวสูงอย่างหมอไวท์วันนี้กลบไปแล้ว
“พี่ชาย ซีขอโทษนะครับ ที่แอบนอกใจพี่”ซีเอ่ยขึ้นกับรูปภาพสมัยเด็กที่ถ่ายร่วมกันที่ข้างสระน้ำ รุ่นพี่ร่างสูงคนนั้นยังคงยืนกอดคอเด็กแก้มยุ้ยอยู่ ซึ่งตอนนี้ซีก็ยังคงไว้ซึ้งแก้มยุ้ยนี้เพื่อให้รุ่นพี่คนนั้นได้จับมันอีกครั้งถ้ามีโอกาส
หลายวันแล้วที่ซีไม่ได้เข้าไปรับหมอไวท์ เพราะหมอไวท์มักจะไลน์มาบอกเขาเสมอว่ามีเรียนเช้าและเลิกเลปดึก ซีเองก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร เพราะบางครั้งพี่หมอไวท์ก็แวะมาทานข้าวที่คณะอยู่บ้าง
“พี่มีรายงานเยอะมากช่วงนี้คงไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยนะ”หมอไวท์เอ่ย วันนี้เขาแวะมาทานข้าวกลางวันกับซีและเบนซ์
“ไม่เป็นคะ แค่คุยไลน์กลุ่มของเราสามคน แค่นี้ก็โอเคแล้ว พี่หมอพักผ่อนและดูแลสุขภาพด้วยนะคะ”เบนซ์เอ่ยขึ้นเสียงหวาน
“ครับผม น่ารักที่สุดเลยนะเรา อ่ะพี่ยกหมูกรอบให้ครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมตักหมูกรอบให้เบนซ์ โดยมีซีนั่งมองอยู่ด้วยรอยยิ้มแห้งๆที่แปะบนใบหน้า
“เบนซ์อ่ะไม่ชอบสามชั้นอ่า ไขมันมันและทำให้อ้วนอ่ะ พี่หมอใจร้ายจริงๆเลยฮ่าๆๆ”หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมา
“ไม่อ้วนหรอก แบบนี้หล่ะกำลังน่ารักเลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมา
“ไม่เอาอ่ะ พี่หมอกินเถอะ หนูเอาคะน้าดีกว่าเนอะ ไม่อ้วนด้วย”หญิงสาวเอ่ยพร้อมตักคะน้าใส่ปากตัวเอง ท่าทางของทั้งสองดูสนิทกันมาก สนิทเสียจนคนที่สามอย่างซีรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินไปซะแล้ว
“ไอ้เบนซ์ พี่หมอเอาน้ำอะไรไหมเดี๋ยวจะไปซื้อน้ำ”ซีเอ่ยขึ้น เพราะขืนนั่งอยู่เขากลายเป็นส่วนเกินไปเลย
“เอาน้ำเปล่า”หมอไวท์เอ่ย
“กูเอาน้ำแดงนะ”เบนซ์เอ่ยขึ้น
“อย่ากินน้ำอัดลมหรือน้ำหวานมากรู้ไหม ซีเอาน้ำเปล่ามาให้เบนซ์และซีด้วยก็ดื่มน้ำเปล่านนะ พี่ไม่อยากให้กินน้ำอัดลม”หมอไวท์เอ่ยขึ้นความใส่ใจและอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดมาจากหมอไวท์ทำให้ซีรู้สึกว่าตัวเองตกหลุ่มรุ่นพี่คนนี้ไปเสียแล้ว
สายตา รอยยิ้มและใบหน้าที่ดูดีไปทุกกระเบียดนิ้วของหมอไวท์ที่กำลังหัวเราะร่าเริงอยู่กับเพื่อนสาวคนสนิทช่างดูสมกันดี ซีคิดแบบนั้น ให้ตัวเองคิดว่าหมอไวท์คือคนดีที่เข้ามาให้รู้จักก็พอแล้ว
.......................
"เคยถามหัวใจตัวเองไหมว่าแค่แอบมองเขามีความสุขแล้วหัวใจมีความสุขตามหรือไม่"
-
โธ่ ชักสงสารซี
-
ตกหลุมรักว่าไม่ง่าย แอบรักนี้โครตจะยาก ฮ่าๆๆๆๆๆ
เอาพี่ชายของแก้มยุ้ยออกโรงมาหน่อย อิอิ
-
White Lie 3 : โกหก (ธนาคินxภัทรกร)
[/size]
รถคันสวยวิ่งเข้ามาเทียบหน้าโรงเรียนดังแห่งหนึ่ง ซีที่วันนี้มาส่งน้องชายตัวเองเพราะวันนี้ต้องไปทานข้าวกับพ่อและแม่ที่ทั้งคู่หันกลับมาคุยกันอีกครั้ง
“เย็นนี้พี่มารับนะ”ซีเอ่ยบอกน้องชาย
“ครับผม แล้วย่าลืมไปเอาของที่ป๋าสั่งไว้นะครับ”วายเอ่ยย้ำพี่ชายอีกครั้ง
“เอ่อ รู้แล้วรีบๆไปได้แล้ว เดี๋ยวพี่จะสาย”ซีเอ่ยบอกน้องชาย
“เจอกันเย็นนี้ครับ”วายเอ่ยขึ้นพร้อมกับวิ่งเข้าโรงเรียนไป ซีมองน้องชายตัวเองเดินเข้าโรงเรียนจนลับตาก่อนจะขับรถออกไป
ซีขับรถมาจอดที่คณะตัวเอง ที่ประจำของเขาวันนี้เขาไม่ได้ไปรับเบนซ์และหมอไวท์เพราะว่าต้องไปรับไปส่งวาย ระหว่างที่ซีเตรียมตัวลงรถพลันสายตาก็ไปเห็นร่างสูงของหมอไวท์ที่กำลังยกหนังสือกองโตให้หญิงสาว รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าทั้งคู่ทำให้ซีเข้าใจตัวเองมาขึ้นว่าอย่าหลงรุ่นพี่คนนี้ใหมากกว่านี้
“ไอ้ซี มานานยังว่ะ”เสียงหวานที่เอ่ยจากเพื่อนรัก ซีที่พยายามเดินเลี่ยงไม่อยากเจอภาพที่รู้สึกเจ็บมากกว่านี้ แต่ก็รอดพ้นสายตาของเพื่อนรักไปได้
“เพิ่งมาอ่ะ สวัสดีครับพี่หมอ”ซีเอ่ยพร้อมยกมือไหว้รุ่นพี่ สายตาพยายามหลบสายตาของหมอไวท์ให้มากที่สุด
“กินรัยยังมึง แม่กูฝากแซนวิสมาให้ลูกรักอย่างแก อ่ะ”เบซ์เอ่ยขึ้น ซีรับกล่องแซนวิสไปและยกยิ้ม
“ฝากขอบคุณคุณแม่ด้วยนะ ว่าแต่มากับพี่หมอหรอ”ซีเอ่ยถาม
“เปล่า เพิ่งเจอกันตรงข้างหน้าเนี้ยอ่ะ ว่าแต่คุณมี๊มึงกลับมาอยู่ไทยถาวรแล้วหรอ”
“อื้ม ดีใจชะมัดเลยอ่ะ”ซีเผลอเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ รอยยิ้มที่ยกยิ้มขึ้นเป็นอะไรที่จริงใจมากเวลาซีดีใจจะเผลอยิ้มน่ารักแบบนี้ออกมาเสมอ
“เวลามึงทำท่าดีใจ มึงนี่ตุ๊ดชะมัดเลย ฮ่าๆๆ”เบนซ์เอ่ยหยอกเล่นเพื่อนรักก่อนจะที่ซีจะยกมือยีหัวกลมของเบนซ์ไปมาพร้อมเสียงหัวเราะของทั้งคู่
“พี่ว่า เดี๋ยวพี่ไปคณะก่อนนะ เอาไว้เที่ยงๆพี่มาทานข้าวด้วย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น เขายืนตรงนี้นานไม่ไหวแล้วเพราะวีนนี้มีเคสช่วงเก้าโมงด้วย ขืนยืนอยู่เขาต้องละลายเพราะใบหน้าน่ารักและรอยยิ้มหวาน
“ได้คะ ไอ้ซีมายกหนังสือที่กูเอามาทำรายงานที่พี่หมอดิ”เบนซ์เอ่ยสั่ง เป็นแบบนี้เสมอสำหรับซีและเบนซ์ ซีเดินไปหอบหนังสือจากอ้อมกอดของหมอไวท์
อึก
กลิ่นน้ำหอมที่แสนยั่วยวน ชาเนลราคาแพงซีสัมผัสได้ ใบหน้าของซีร้อนขึ้นกว่าเดิมเมื่อหมอไวท์โน้มตัวเพื่อยกหนังสือให้ซี แต่ปลายจมูกของหมอไวท์กลับชนเข้าที่หน้าผากของซี แม้ไม่จงใจนักแต่ก็รู้สึกว่าหมอไวท์สูดกลิ่นนั้นเช่นกัน
“ร้อนหรอมึง ไม่สบายหรือเปล่า”เบนซ์เอ่ยขึ้นถามเพื่อนรักเมื่อเห็นหน้าซีแดงมาก
“ไหนพี่ดูสิ”เสียงหมอไวท์เอ่ยขึ้น ไม่เอ่ยเปล่าเมื่อมือของหมอไวท์กำลังแตะที่หน้าผากของซี ลำคอที่แห้งผาดของซีมันดูเจ็บไปหมดพอๆกับใจที่เต้นแรง ฝามือนิ่มแสนอบอุ่นทำเอาซีใจเต้นแรง
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับสงสัยอากาศมันร้อนครับ”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะเบี่ยงตัวออกเล็กน้อยเพราะขืนอยุ่แบบนี้หัวใจทำงานหนักแย่เลย
“งั้นเอาไว้เจอกันตอนเที่ยงนะครับ ป่ะไอ้เบนซ์”ซีเอ่ยพร้อมเดินจ้ำอ้าวไปทันที
“ไอ้อ้วนรอกูด้วย”เบนซ์เอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปบอกหมอไวท์ที่ยืนงงอยู่
“เอาไว้เอจกันตอนเที่นงนะคะพี่หมอ”เบซ์เอ่ยพร้อมวิ่งตามเพื่อนรักออกไป
“ไอ้อ้วนรอกูด้วย...”เสียงโวยของเบนซ์เอ่ยพร้อมพาร่างบางวิ่งตามเพื่อนไป
“น่ารักจัง”หมอไวท์เอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะเดินออกไป
เที่ยงกว่าแล้วหมอไวท์เองยังคงตรงคนไข้อยู่ วันนี้คนไข้เยอะมากจริงๆจนหมอไวท์ลืมเวลาที่จะไปทานข้าวกับรุ่นน้องสองคนนั้น
“อ้า...คนไข้เหลืออีกเยอะไหมครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นถามพยาบาลเวร
“เหลืออีกสองรายคะ คุณหมอจะให้สั่งข้าวเลยไหมคะ”พยาบาลเวรเอ่ย
“ไม่ต้องครับเดี๋ยวผมลงไปทานที่โรงอาหารก็ได้ครับ ผมขอพักสักห้านาทีแล้วเรียกคนไข้เข้ามาเลยนะครับ”
“คะคุณหมอ”พยาบาลเวรเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไป หมอไวท์ยกมือถือขึ้นมากดเบอรืหารุ้นน้องทันที กลัวว่าทั้งสองจะรอ
(“ครับพี่หมอ”)
“ซีหรอ”
“ครับพี่หมอ พี่หมอจะทานอะไรครับซีจะได้สั่งไว้ให้”ซีเอ่ยขึ้นเพราะธรรมดาหมอก็มักจะโทรหาซีเสมอ
“พี่จะบอกว่าวันนี้พี่คงไปทานข้าวด้วยไม่ได้นะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น เสียงปลายสายเงียบลงทันทีก่อนจะ
“ครับ”ซีเอ่ยขึ้น
“เอาไว้เย็นนี้ไปทานข้าวกันไหม”หมอไวท์เอ่ยขึ้นถาม
(“เย็นนี้ซีมีนัดทานข้าวกับที่บ้านอ่ะครับ”)
“หรอ งั้นพรุ่งนี้จะไปรับพี่ไหม”หมอไวท์เอ่ยถาม
(“วันนี้ซีต้องไปนอนที่บ้านครับ”)
“อ่อ งั้นไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่นั่งแท็กซี่มาก็ได้”หมอไวท์เอ่ยขึ้นเสียงเบาลงจนซีรู้สึกแปลกๆว่าอยากแคร์ผู้ชายคนนี้
(“เอางี้ดีกว่า พี่หมอรอซีที่ห้องนั้นหล่ะเดี๋ยวซีไปรับพี่ที่คอนโดนะครับ”)
“ซีสะดวกหรอ ไม่สะดวกไม่เป็นไรนะพี่ไปเองได้”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
(“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้เช้านะครับ”)ซีเอ่ยก่อนจะวางสายไปเพราะกลัวว่าหมอไวท์จะเปลี่ยนใจ
รอยยิ้มที่ผุดขึ้นหลังจากที่หน้าดูไม่สบอารมณ์เมื่อสักครู่ทำเอาเพื่อสนิทเอ่ยถามอย่างกวนๆขึ้นมาหลังจากไปซื้อข้าวกลับมา
“ใครโทรมาว่ะ ทำไอ้หน้าอ้วนหงิกเมื่อกี้หายไปเลย”
“ไอ้บ้า แล้วซื้ออะไรมาแดกเนี้ย”ซีเอ่ยขึ้นถามอย่างอารมณ์ดี
“นี่ของกูกับพี่หมอ ของมึงไปซื้อเองเว้ย”เบนซ์เอ่ยขึ้น ซีหุบยิ้มเล็กน้อยเมื่อเพื่อนเอ่ยถึงอีกคน
“ไอ้เบนซ์มึงชอบพี่หมอหรอว่ะ”ซีเอ่ยถามเพื่อนตรงๆ
“เอ่อดิ กูว่าพี่หมอเป็นผู้ชายที่แม่ง ทั้งหล่อ ทั้งสุภาพและโคตรอบอุ่นเลยอ่ะ สาวๆที่ไหนก็ชอบป่าวว่ะ”เบนซ์เพ้อขึ้นทำให้ซียิ่งหน่วงที่อกอย่างบอกไม่ถูก
“พี่หมอไวท์โทรมาบอกว่ามาไม่ได้ มีธุระด่วนอ่ะ”ซีเอ่ยบอก
“อ้าวหรอ นี่กูซื้อผัดผักโมของโปรดพี่หมอไว้เลยนะเนี้ย”เบนซ์เอ่ยขึ้น
“แฟนพันธ์แท้นะมึง รู้ได้ไงเขาชอบผักโขมอ่ะ”
“ไม่รู้อ่ะเห็นพี่หมอชอบบ่นมึงว่าแดกแต่มันๆหมูๆกูก็คิดว่าพี่แกชอบผักอ่าดิ”เบนซ์เอ่ยขึ้นพร้อมทำหน้าเซ็งทันที
“แล้วนี่กูจะแดกหมดไหมว่ะ”เบนซ์เอ่ยขึ้นเพราะรู้ดีว่าเพื่อนรักคนนี้คงไม่กินผักแบบนี้แน่ๆ
“เอามากูแดกเอง”ซีเอ่ยพร้อมดึงจานข้าวมาก่อนที่จะตักเข้าปากไป แม้ไม่อร่อยกับผักที่แสนเกลียดเพียงแค่คิดก็แทบอ้วกแล้วแต่เขาคิดว่าพี่หมอคงชอบให้เขากินผักมากกว่า
“เห้ย มึงแดกได้จริงอ่ะ”เบนซ์เอ่ยถามอย่างไม่เชื่อว่าเพื่อนรักจะกินผักเข้าไปได้ และก็แทบไม่เชื่อกับใบหน้าที่ตอนนี้แสดงออกมาเมื่อซีตักผักเข้าปาก
“กิน...ห้ามคายนะมึงฮ่าๆๆ”เบนซ์เอ่ยออกมาและบังคับซีกินจนหมด
“เอ้อวันก่อนมึงไปดูหนังคนเดียวเป็นไงมั้งว่ะ หนังสนุกไหม”เบนซ์เอ่ยถามเพื่อนรัก
“สนุกดี แต่กูมัวแต่มองหน้าคนข้างๆว่ะ แม่งน่ารักมากเลยว่ะแต่เสียดาย มีผัวแระ ฮ่าๆๆ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราออกมา
“มึงนี่ก็เนอะเจอแต่คนที่มีแฟนตลอดเลย”เบนซ์เอ่ยขึ้นเพราะมันคือเรื่องจริง ซีไม่ว่าจะถูกใจใครสักคนก็มักมีแฟนแล้วเสมอ
ช่วงเย็นซีขับรถมารับน้องชายของตัวเองที่โรงเรียนและวันนี้เขากลับเจอกับเพื่อนของน้องชายอย่างรอยด์ เขาชอบความน่ารักของรอยด์คนที่เขาเคยเจอที่โรงหนัง
“พี่ซี นี่เพื่อนของวาย ชื่อ....”ยังไม่ทันที่วายจะเอ่ยแนะนำรอยด์เสียงซีก็เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มและท่าทางดีใจ
“คุณรอยด์”
“คุณซี”
ทั้งสองทักทายกันอย่างคุ้นเคยจนวายเองสงสัยจึงถามขึ้นว่ารู้จักกันได้ยังไง และพากันมานั่งคุยกันที่ร้ายไอศกรีมข้างๆโรงเรียน ซึ่งตอนแรกรอยด์เองก็ตั้งใจรอธนาคิม แต่ซีบอกว่าใกล้ๆนี่เอง
“ไม่คิดว่าจะเจอคุณรอยด์ที่นี่ และไม่คิดว่าจะเป็นเพื่อนกับเจ้าหัวเล็กด้วย”ซีเอ่ยขึ้น
“เราสองคนเพิ่งเป็นเพื่อนสนิทกันช่วงที่ผมเพิ่งย้ายมานี่หล่ะครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น
“อ้าว แล้วคุณรอยด์เคยเรียนที่ไหนมาก่อนหรอครับ”ซีเอ่ยถาม
“ผมย้ายมาจากซิคาโก้ครับ”
“ว้าว ไกลจังนะครับ แต่เราสองคนก็ได้มาเจอกัน”ซีเอ่ยออกมา เหมือนคนมุขเสี่ยวๆ เพราะซีออกจะเป็นคนตลอกหน่อยๆ งายหันมองพี่ชายทันทีก่อนจะแตะที่เท้าพี่ชายตัวเอง
ปึก
“โอ๊ย ไอ้หัวเล็กมาแตะพี่ทำไมว่ะ”ซีหันไปดุน้องชาย
“รอยด์อ่ะ เพื่อนสนิทเค้าอย่ามารุ่มร่ามนะ”วายเอ่ยบอกพี่ชาย ทั้งสองจึงทำสงสครามขนาดย่อมเล็กน้อยจนรอยด์หัวเราะออกมากับความน่ารักของพี่น้องคู่นี้
“ผมอยากมีพี่ชายแบบคุณซีจังครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ซีจึงยิ้มหวานใหห้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมยินดีครับ แต่ที่จริงไม่อยากเป็นพี่ชายเลย สำหรับคุณรอยด์”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมา
ซีขับรถพาน้องชายมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทั้งสองดีใจมากที่พ่อและแม่ของเขากำลังคืนดีกันและครอบครัวของเขาก็กำลังกลับมามีความสุขอีกครั้ง
“วายมีความสุขที่สุดเลยรู้ไหม”เสียงน่ารักของน้องชายของซีเอ่ยออกมา
“มี๊ก็มีความสุขมาก”หญิงสาวคนเดียวของโต๊ะเอ่ยก่อนที่ซีจะเอ่ยขึ้น
“งั้นมาถ่ายรูปกันหน่อยครับ ป๋ากอดเมียหน่อยสิ ใกล้ๆกันหน่อย”
“ก็ป๋าเขินนะเนี้ย”
“จะเขินอีกหรอมีซีกับเจ้าวายสองคนแล้วยังจะเขินอีกหรอครับเนี้ยฮ่าๆๆ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมาก่อนจะถ่ายรูปไว้เป็นที่เตือนความจำว่าเคยมีความสุขที่สุดของชีวิต
เวลาเกือบห้าทุ่มซีขับรถมาถึงคอนโดของตัวเอง ซึ่งที่บ้านก็บอกให้เขาค้างที่บ้านแต่เขากลับไม่ยอมค้างเพราะพรุ่งนี้เขาต้องไปรับหมอไวท์
ติ้งติง
ซี : พรุ่งนี้ให้ผมไปรับกี่โมงครับ
White : สักแปดโมงไหวไหม
ซี : ไหวครับ
White : ต้องไปรับเบนซ์ด้วยไหม
ซี : ไอ้เบนซ์ไปเองครับ พรุ่งนี้มันมีเข้าชมรมเช้าก่อน
White : งั้นแปดโมงเจอกันนะ
ซี : ครับพี่หมอ
White : ฝันดีนะ
ซี : ฝันดีเช่นกันครับ
White : สติ๊กเกอร์ จุ๊บ จุ๊บ
ทำเอาซีตกใจเล็กน้อยหน้ากลับขึ้นสีทันที ร้อนผ่าวไปหมดก่อนที่จะยกรูปถ่ายหัวเตียงขึ้นมาและเอ่ยกับรูปถ่ายนั้นก่อนนอนเช่นกัน
“แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันครับ”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะเอารูปถ่ายมากอดแนบอก
“พี่ครับ ผมหลงรักพี่ชายคนนี้ไปแล้ว พี่อย่าเพิ่งโกรธแก้มยุ้ยนะครับ”ซีเอ่ยขึ้นกับรูปถ่ายก่อนจะหลับไป
...
..
หลายวันแล้วที่ซีดูจะมีความสุขกับครอบครัวและพี่หมอไวท์เพราะเขาได้อยู่ใกล้พี่หมอคนที่เขาเผลอแอบหลงรักโดยไม่รู้ตัวแต่รู้เพียงว่าถ้าเบนซ์ชอบพี่หมอเขาก็ควรหลีทางให้เพื่อนรัก
“ซีเลี้ยวซ้ายตรงหน้านะและก็จอดที่รั้วสีเงินนั้นนะครับ”เสียงวายเอ่ยบอกพี่ชาย
“ว้าว บ้านคุณรอยด์ใหญ่จังเลยอ่ะ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมทำตาโต
“พี่ซี พี่ซี ประตูเปิดแล้ว”เสียงตื่นเต้นของวายเอ่ยขึ้นเมื่อประตูค่อยๆเปิดออก
“คุณเกรย์ให้เชิญคุณเข้าไปครับ”รปภ หน้าหน้าบ้านเอ่ยบอก ซีขับรถเข้าไปในบ้านและเดินตามสาวใช้เข้าไปในบ้านระหว่างที่รอรอยด์เดินลงมา
“ว้าว ว่าข้างนอกสวยแล้วนะ ข้างในสวยกว่าอีกอ่ะ”วายเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินดูรอบๆบ้านที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
“อย่าซน อย่าจับดิวาย เดี๋ยวของเขาแตกหรอก”ซีเอ่ยบอกน้องชาย
“พี่ซีดูนี่ดิ รูปนี้เหมือนของพี่ซีเลย”วายเอ่ยขึ้นพร้อมชี้มือไปยังรูปถ่ายที่ตั้งโชว์อยู่ ซีรีบเดินไปดูทันทีก่อนที่จะตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อรูปถ่ายถัดมาคือรูปถ่ายของใครคนหนึ่งที่ซีรู้จักดี เขาควรดีใจที่เจอบ้านพี่หมอไวท์แต่ที่ต้องนิ่งสนิทคือ รูปถ่ายชุดครุยแพทย์มหาวิทยาลัยของอเมริกทำให้ซีกลืนน้ำลายลงคอแสนฝืด ก่อนที่รอยด์จะเดินลงมาจากชั้นบน และพากันไปนั่งที่ศาลาข้างนอกบ้าน
“รอยด์ว่าเราไปนั่งข้างนอกกันเถอะครับ พอดีวันนี้เจ้าของบ้านอยู่หลายคน รอยด์เกรงใจพวกเขาครับ”รอยด์เอ่ยขึ้น ทั้งซีและวายจึงเห็นด้วย แต่ยังไม่ทันที่ทั้งหมดจะเดินออกไป เสียงของเจ้าของบ้านคนรองก็ดังขึ้น
“จะไปไหนกัน”ธนาคิมเอ่ย ซีหันมองตามก่อนที่จะหลบสายตาเมื่อเห็นหมอไวท์เดินเข้ามาด้วย ซีใบหน้าซีดทันทีหัวใจกลับเต้นแรงเกินกว่าจะรับได้ ไม่ได้สนใจรอยด์และธนาคิมที่กำลังลากกันขึ้นข้างบน
“กลับกันเถอะวาย พี่ปวดหัวใจ”ซีเอ่ยขึ้น ไม่ได้มองหมอไวท์เลยสักนิดจนวายเอ่ยขึ้น
“ครับพี่ซี พี่หมอกลับก่อนนะครับ”วายเอ่ยขึ้นพร้อมยกมือไว้หมอไวท์ที่กำลังเดินดิ่งเข้าไปหาซี แต่ซีกลับเดินหนีขึ้นรถก่อนจะขับออกไป
“พี่ซีเป็นอะไรไป พี่ซีรู้จักพี่หมอใช่ไหมครับ”วายเอ่ยขึ้นถามพี่ชาย
“อย่ารู้เลย เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้านนะ”
“อ้าวแล้วไม่เข้าบ้านหรอ”
“พี่มีธุระต่ออ่ะ เอาไว้พี่จะมาค้างด้วยบอกป๋ากับมี๊ด้วยนะ”ซีเอ่ยขึ้น วายเองก็ไม่ได้ถามอะไรพี่ชายต่อนักก่อนจะกดรับโทรศัพท์เพื่อนรักอย่างรอยด์ที่โทรมาถามด้วยความเป็นหวง
“พี่ซีพี่หมอตามมาแล้ว”วายเอ่ยขึ้นก่อนจะวางมือถือ ซีเองก็เร่งเครื่องเต็มที่พยายามหลบให้ไกลที่สุด ซีอยากจะอยู่คนเดียวเงียบๆอยากจะทบทวนว่าพี่ชายตัวสูงที่เขาสนิทและหลงรักเมื่อสิบสามปีก่อนกับพี่หมอไวท์ที่เขาคิดว่าเรียนแพทย์อยู่นั้นคือคนคนเดียวกับคนที่เขามอบหัวใจให้แล้ว และก็เป็นคนที่เพื่อนรักของเขาชอบมาเสียด้วยสิ
“ไอ้คนหลอกลวง แก้มยุ้ยเกลียดพี่ครับ”
..........................
"เจ็บแค่ไหนเมื่อคนที่เรารักโกหกเรา แต่ยังไม่เจ็บเท่าคนที่เรารักไม่รักเรา"
[/size]
-
อยากบอกว่าเจ็บอะไรไม่เท่าคนที่เรารักไปรักเพื่อนสนิท เจ็บสุดๆเพราะไรท์เคยโดนแบบนั้นมาแล้ว
-
หน่วงนิดๆ ..
-
เริ่มแล้วซิ
-
White Lie 4 : ความจริง (ธนาคินxภัทรกร)
[/size]
เอี๊ยดดดดด
เสียงเบรกของรถคันหรูที่วิ่งตามกันเข้ามาที่คอนโดสูงสง่าใจกลางมือหลังจากที่ซีไปส่งวายเรียบร้อย หมอไวท์ตามซีมาติดๆตอนแรกก็จะเคลียกันให้จบแต่ว่าวายเอ่ยบอร้องหมอไวท์ไว้ไม่อยากให้พ่อและแม่ของตัวเองกังวล เพราะเพิ่งจะคืนดีกัน
หมับ!
“ปล่อยผม!”เสียงซีเอ่ยขึ้นพร้อมสะบัดมืออกอย่างแรง ใบหน้าแดงฉ่าไปด้วยความโกรธ ก่อนจะวิ่งไปกดลิฟท์ทันที หมอไวท์เองก็ไม่เคยรู้ว่าซีอยู่ห้องอะไร ชั้นอะไร เขายืนหัวเสียอยู่ด้านหน้าจน รปภ เดินเข้ามา
“มีเรื่องอะไรกันหรอครับ”หมอไวท์หันมอง รปภ ไม่รู้จะตอบยังไงดีถ้าเขาทำตามหน้าที่คือหมอไวท์ต้องโดนไล่ออกไปแน่นอน
“เอ่อ...”หมอไวท์ตามนิสัยแล้วไม่ค่อยจะโกหกใคร ถ้าจะโกหกเขามักมีเหตุผลแต่ตอนนี้เขาแทบไม่มีเหตุผลเลยว่าเขามาที่นี่เพราะอะไร
“ว่าไงครับคุณ มีเรื่องอะไรกันครับ”หมอไวท์กลืนน้ำลายลงคอก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เอ่อ คือผมเป็นแฟนกับน้องซีครับ และตอนนี้เราทะเลาะกันนิดหน่อย ผมขอขึ้นไปง้อน้องซีได้ไหมครับ”หมอไวท์เอ่ยอย่างสุภาพ ใบหน้าพี่ รปภ ดูจะรังเลเล็กน้อยเพราะเท่าที่รู้สึกว่าซีไม่เคยพาใครมาที่คอนโดเลยสักครั้ง
“อย่าลังเลเลยนะพี่ ผมอ่ะอยากง้อแฟนจะแย่แล้ว”หมอไวท์ทำหน้าตาอ้อนวอนขึ้นจนพี่ รปภ ใจอ่อน
“ผมจะให้คุณขึ้นไป ถ้าคุณบอกว่าคุณซีอยู่ห้องไหน ถ้าคุณบอกถูกผมจะให้คุณขึ้นไป”หมอไวท์ดูลังเลเล็กน้อย เขาจะรู้ได้ไงล่ะก็ไม่เคยถามหรือไม่เคยรู้เลยว่าซีอยู่ห้องไหน
“เอ่อ คือว่า...”หมอไวท์อึกอักพร้อมกลืนน้ำลายลงคออีกครั้งก่อนจะเดาไปเรื่อยอย่างมากเขาก็โดนไล่ออกจากคอนโดนี้แต่เขาเองก็ไม่ยอมแพ้แน่นอนเขาต้องการอธิบายให้ซีเข้าใจเรื่องราวนี้
“ห้อง 446 ครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นมั่วๆ เอาตามเบอร์ท้ายมือถือของซีนั้นเอง หมอไวท์นิ่งอยู่นานลุ้นว่าพี่ รปภ จะว่ายังไงทั้งที่เตรียมแผนต่อไปคือโทรหาเบนซ์
“โอเค อย่าง้อกันเสียงดังรบกวนห้องพักอื่นๆหล่ะครับไม่งั้นผมจับคุณส่งตำรวจแน่นอน”หมอไวท์ยกยิ้มทันที ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเดาได้ถูกขนาดนี้
หมอไวท์ขึ้นลิฟท์มาชั้นที่สี่เพียงแค่เดาว่าจะอยู่ชั้นนี้ตามที่คอนโดทั่วไปทำกัน หมอไวท์มองไปยังเลขที่ห้องตามที่ปรากฏหน้าห้อง และเขาก็มาหยุดที่ห้อง D446 ก่อนจะยกมือเคาะตามมารยาท
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ซีที่กำลังโมโหอยู่ ใบหน้าเศร้าๆยังคงซบที่หมอนใบโตตอนนี้ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ไม่เคยที่เขาจะลังเลว่าเป็นใครนอกจากคนในครอบครัวหรือเบนซ์เพื่อนรักของเขาเท่านั้น
แกรก
“ซี...”เสียงหมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมแทรกตัวเข้าไปในห้องทันที เพราะตอนนี้ซีกำลังจะปิดประตูเช่นกัน
“พี่หมอไวท์ พี่ขึ้นมาได้ยังไง”ซีเอ่ยขึ้นใบหน้าเหวอ อ้าปากค้างออกมาเพราะไม่คิดว่าหมอไวท์จะมาห้องตัวเองถูก
“ก็ขึ้นลิฟท์มา ทำไมหรอ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“คอยดูนะ ผมจะร้องเรียน รปภ ที่นี่คอยดูนะ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำหน้าบึ้งออกมา เวลาซีทำหน้าบึ้งแก้มของซีจะพองลม ซีเป็นคนที่มีแก้มเยอะมาตั้งแต่เด็กจนได้ชายาแก้มยุ้ย
“รปภ เข้มงวดอยู่แล้ว กว่าพี่จะขึ้นมาได้เขาก็สัมภาษณ์พี่ใหญ่เลยเหมือนกัน”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“แล้วพี่ขึ้นมาได้ไง แล้วมาถูกห้องได้ไงถ้าพี่ รปภ ไม่บอกอ่ะ”ซีเอ่ยพร้อมกับหันมองค้อนหมอไวท์
“พี่เก่งไง พี่เดาเอา”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีเองก็เริ่มฉุนเล็กน้อย ยิ่งโมโหยิ่งโกระในเวลาเดียวกันเมื่อรู้ว่าหมอไวท์โกหกเรื่องที่ยังเรียนแพทย์อยู่ทั้งๆที่หมอไวท์เรียนจบหมอตั้งนานแล้ว
“ชิส์ ยกหางตัวเองชะมัด”ซีเอ่ยขึ้นเบาๆ หมอไวท์หันมองคนตัวเล็กกว่าทันทีก่อนจะเดินเข้าหาซีที่ตอนนี้พยายามเดินถอยหลัง หนึ่งก้าวหน้าต่อหนึ่งถอยหลัง
“พะ...พี่หมอ”ซีเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกกลัว ที่กลัวคือหัวใจที่เต้นแรงนัก
“หื้ม ว่าไง”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะเดินเข้าหาซีอีกครั้ง
“พะ...พี่จะทำอะไรอ่ะ”ซีเอ่ยขึ้นเมื่อตอนนี้เท้าของเขาจนมุมแล้วที่ผนังห้องของตัวเอง หมอไวท์โน้มตัวลงพร้อมก้มหน้าลงเกือบชิดหน้าขาวแก้มยุ้ยของซี ใบหน้าของซีที่ตอนแรกแดงฉ่าเพราะความโมโห แต่ตอนนี้มันแดงเห่อร้อนผ่าวเพราะความเขิน
“เปล่า พี่แค่อยากจะดื่มน้ำหน่อยได้ไหม แล้วพี่จะเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง”หมอไวท์เอ่ยขึ้น พร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแต่ซีกลับหน้าบึ้งทันทีก่อนจะหลับตาลงเหมือนค้อนและผลักอกหมอไวท์ออก
ปึก!
“งั้นรอเดี๋ยว...”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปที่ครัว หมอไวท์ยกยิ้มและมองตามหลังบางของซีที่ตอนนี้กำลังเขย่งเท้าเพื่อเปิดตู้เอาแก้วน้ำ หมอไวท์ยกยิ้มขึ้นและหัวเราะเบาๆก่อนจะเดินมาคร่อมร่างเล็กของซีด้านหลังและเอื้อมหยิบแก้วให้ซี
ตึก ตึก ตึก
เสียงหัวใจที่เต้นแรงและรัวอยู่ที่แกของซี ตอนนี้ถ้าหมอไวท์หมอไวท์ตาไม่ฝาดหรือหูไม่หนวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวใจของคนตัวเล็กตอนนี้และใบหูที่แดงอย่างเห็นได้ชัด
“พี่หยิบให้เอง ล้างเสร็จแล้วบอกพี่นะ เดี๋ยวพี่มาเก็บให้เพราะพี่ตัวสูงกว่าแก้มยุ้ยเยอะเลย”ประโยคนี้กลับมาอีกครั้ง ซีที่ก้มหน้าลงทันทีในหัวที่ตอนนี้พี่ชายคนนั้นกำลังแล่นเข้ามาในหัว ใบหน้าร้อนผ่าวกับดวงตาที่ร้อนตอนนี้
ฮึกๆๆ
เสียงสะอื้นเบาๆ ไหล่บางที่สั่นเทาตอนนี้ทำให้หมอไวท์มองออกว่าคนที่อยู่ตรงหน้ากำลังร้องไห้ หมอไวท์วางแก้วลงและค่อยๆจับไหล่ซีให้หันหน้ามาหาตัวเอง
“อย่าร้องไห้สิ ดูสิน้ำตาเปื้อนแก้มยุ้ยหมดแล้ว”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกมือเช็ดที่แก้มยุ้ยของซีเบาๆ
“ฮื่ออออ ฮึก ฮึก พี่...รู้ก่อนแล้ว...ฮื่อ...ใช่ไหม...ฮึก”ซีเอ่ยออกมาพร้อมสะอื้นเหมือนเด็กน้อยจนหมอไวท์นึกเอ็นดู
“อื้ม พี่ขอโทษนะที่ไม่บอกแก้มยุ้ย และพี่ก็ขอโทษที่พี่ไม่ได้บอกแก้มยุ้ยเรื่องที่พี่เรียนจบแล้ว”หมอไวท์เอ่ยอย่างนุ่มนวล และอ่อนโยนจนความโกรธและโมโหของซีเมื่อสักครู่มันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ฮึก...แล้วพี่มาโกหกซีทำไม ทำไมไม่บอกซีตั้งแต่แรกว่าพี่คือพี่ชาย”ซีเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตากก่อนที่หมอไวท์จะจับหัวกลมนั้นซบที่อกของตัวเองถ้าเทียบกับความสูงของหมอไวท์และซี
“พี่ขอโทษนะ พี่มีเหตุผลที่ไม่ได้บอกความจริงกับซี”หมอไวท์เอ่ยพร้อมลูบหัวซีเบาๆก่อนที่ซีจะพยายามเบี่ยงตัวออกเพราะความรู้โกรธที่หมอไวท์โกหกตัวเอง
“เหตุผลอะไรครับ เหตุผลบ้าบออะไรของพี่ เหตุผลของคนขี้โกหกหรอครับ”ซีเอ่ยพร้อมกับพยายามดิ้นให้หลุด แต่ยิ่งดิ้นเหมืออ้อมกอดของหมอไวท์ยิ่งแน่นอัตโนมัติ
“จะหนีไปไหน พี่มาขอโทษแก้มยุ้ยนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมดึงร่างของซีมานั่งที่ตักตัวเองอย่างที่เขาเคยทำสมัยเด็กๆ
ที่สระน้ำสโมสรเมื่อสิบสามปีก่อน
“ทุกคนรวมตัวกันหน่อย ครูมีเรื่องจะบอก”เสียงจอแจของเด็กๆที่เรียนว่ายน้ำวิ่งมารวมตัวกันที่หน้าโค้ชสอนว่ายน้ำ
“พี่ชายรอน้องซีด้วยฮะ”เสียงเด็กน้อยตัวอ้วนแก้มยุ้ยเอ่ยเรียกพี่ชายตัวสูงที่สนิทที่สุดตอนนี้
“แก้มยุ้ยมานั่งกับพี่มา”เสียงเด็กตัวสูงเอ่ยขึ้น ร่างอ้วนป้อมเดินเข้ามาและถูกฉุดให้นั่งลงที่ตักของพี่ชายคนโต สองมือโอบเอวเล็กนั้นแน่น ก่อนจะวางคางตัวเองที่ไหล่เล็กนั้น
“แก้มยุ้ยพุงนิ่มจังเลย”เสียงพี่ชายตัวสูงเอ่ยขึ้นพร้อมใช้มือจับที่พุงอ้วน
“คริ คริ คริ อย่าจับดิฮะ มันจั๊กจี้ ฮ่าๆๆ”เสียงหัวเราะของเด็กน้อยตัวอ้วนหัวเราะออกมาจนโค้ชเก้งเอ่ยดุทั้งสอง
“นี่ๆๆ ฟังครูด้วยอย่าเล่นกันครับ”เสียงโค้ชเอ่ยดุ
“ชู่วววว”พี่ชายตัวโตยกนิ้วจรดริมฝีปากออกเสียงให้คนน้องเบาๆเสียง
“อุ๊ปห์”มือเล็กป้อมสองมือปิดปากนิ่งแต่ก็แอบหัวเราะออกมากันสองคนเบาๆ
ภาพวันนั้นเหมือนเดจาวูเมื่อสิบสามปีก่อนเมื่อมือขาวของหมอไวท์ที่โอบอยู่ที่เอวของของซีกำลังลูบวนไปมาจนซีเองรู้สึกขนลุก
“รบกวนช่วยปล่อยผมด้วย”ซีเอ่ยเสียงแข็งข่มทั้งๆที่ตัวเองกำลังระทวยไปหมดแล้ว
“ไม่ปล่อย จนกว่าแก้มยุ้ยจะหายโกรธพี่และยกโทษให้พี่”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ก่อนจะจงใจเอาคางวางที่ไหล่บางของซี
“ผมไม่ได้โกรธคุณ และผมคิดๆดูแล้วผมจะโกรธคุณทำไม ใช่ม่ะเราสองคนไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันมากกว่าคนรู้จักและเพิ่งจะรู้กันไม่นาน ผมไม่โกรธคุณหรอก”ซีเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกโกรธและน้อยใจ น้ำเสียงของซีไม่เคยปกปิดอะไรได้เลย
“ไม่โกรธแล้วทำไมทำเสียงแบบนั้นหล่ะ เราสองคนไม่ใช่แค่เพิ่งรู้จักกันสักหน่อย เรารู้จักกันตั้งสิบกว่าปีแล้วนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีที่พยายามดิ้นไปมาให้หลุดจากอ้อมกอดและตักของหมอไวท์ ไม่ทันระวังแก้มของซีจึงไปชนกับปลายจมูกโด่งของหมอไวท์เต็มๆ
ฟอด
“อ๊ะ...!”เสียงของซีเอ่ยอุทายขึ้นพร้อมยกมือจับแก้มตัวเอง
“เอ่อ...!”หมอไวท์เองก็เช่นกันอุทานออกมาเช่นกัน ความรู้สึกกลับเต้นแรงอย่างบอกไม่ได้ เหมือนกับครั้งนั้นที่เขาเคยรู้สึกแบบนี้
“ปล่อยผม ช่วยปล่อยผมด้วย”เสียงของซีเอ่ยขึ้นแม้จะพยายามจะเน้นเสียงแข็งแต่มันกลับระทวยขึ้นเมื่อกลิ่นกายหอมๆของหมอไวท์ตอนนี้กำลังแผ่กระจายออกไปทั่วแล้ว
โครกกกก
ระหว่างที่ทั้งห้องกำลังเข้าสภาวะที่ดูจะตึงเครียดเล็กน้อยอยู่ๆเสียงท้องร้องของซีก็ดังขึ้น เพราะยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้าและนี่ก็บ่ายแล้วด้วย
“ไปหาอะไรทานกันไหม”เสียงหมอไวท์เอ่ยขึ้น
“หิวก็ไปทานเองสิครับ”ซีเองยังปากแข็งอยู่ทั้งๆที่ท้องตัวเองแท้ๆที่ร้องออกมา
“ใครหิวนะ เมื่อกี้ท้องของแก้มยุ้ยร้องไม่ใช่หรอไง แล้วพี่หรือแก้มยุ้ยที่หิวกันแน่”หมอไวท์เอ่ยขึ้นทำเอาซีไปไม่เป็นเลยทีเดียวก็เขาเองไหมที่หิวมากตอนนี้
“คุณออกไปจากห้องผมได้แล้ว ผมอยากอยู่คนเดียว”ซีพยายามเปลี่ยนเรื่องทันที แต่หมอไวท์เองก็รู้ดีว่าซีพยายามที่จะกลบเกลื่อน เขายกมือถือขึ้นกดโทรสั่งอาหารจานด่วนมาทันที แต่ก็ไม่ยอมปล่อยซีลงจากตักตัวเอง
“สวัสดีครับสั่งพิซซ่าหน่อย เอ่อ...”หมอไวท์เอ่ยค้างไว้ก่อนจะหันมาถามคนบนตัก
“แก้มยุ้ยเอาหน้าอะไร”ซีหันมามองหมอไวท์ทันทีอย่างไม่เข้าใจ
“ผมไม่อยากกินพิซซ่า ผมบอกให้คุณออกจากห้องผมเดี๋ยวนี้ไง”เสียงของซีเอ่ยขึ้น แต่ถูกหมอไวท์เอ่ยขึ้น
“ชู่ววววว เบาๆพนักงานรออยู่นะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกมือจรดที่ริมฝีปากและเอ่ยขึ้น ซีเองก็เผลอลืมตัวยกมือสองข้างปิดปากทันที
“เร็วๆ กินอะไร หน้าเบคอนชีสเนอะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะสั่งอาหาร
“ที่นี่เลขที่อะไร และชื่ออะไรหรอพี่จะให้เขามาส่ง”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะยกมือลูบที่เอวของซีเมื่อคนบนตักไม่ยอมเอ่ยอะไรเลยตอนนี้
“จิ๊ ไดมอน คอนโดพาเลส เลขที่xxx”ซีเอ่ยขึ้นออกมาแม้จะไม่เต็มใจนักแต่หมอไวท์ก็ยกยิ้มออกมาก่อนจะโทรสั่งอาหารเรียบร้อย
“สั่งเสร็จแล้วก็ช่วยปล่อยผมได้แล้ว”ซีเอ่ยขึ้น
“ไม่ปล่อย พี่ยังไม่ได้เล่าเรื่องของพี่ให้แก้มยุ้ยฟังเลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีเองก็เงียบและหยุดดิ้นไปก่อนจะนั่งฟังหมอไวท์อธิบายเรื่องราวตั้งแต่ตอนจนจบ
...
..
“หายโกรธพี่หรือยัง พี่ขอโทษนะ พี่ยอมรับผิดทุกอย่างที่โกหกแก้มยุ้ย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบทิชชู่ให้กับคนตรงหน้าที่ตอนนี้ทั้งพิซซ่าชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกยัดเข้าปาก อย่างลืมตัวว่าตอนนี้ตัวเองต้องเก๊กหน้าไว้
“กินดีๆดิ เลอะหมดแล้ว”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกทิชชู่ซับที่ริมฝีปากเล็กของซี
อึก!
ซีมองตามมือหนาที่เช็ดริมฝีปากให้กับตัวเอง ช่างอ่อนโยนและช่างละมุนเสียจนทำให้ใจแทบหยุดเต้นได้ ซีเองไม่ได้คิดอะไรแล้วตอนนี้เพราะสมองของเขาตอนนี้กำลังขาวโพลนไปหมดแล้วเพราะหมอไวท์ที่เผลอใช้นิ้วโป้งลูบริมฝีปากอวบอิ่มของซีไปมา
“ริมฝีปากนี้ยังไม่มีใครได้สัมผัสใช่ไหม แก้มยุ้ย”
........................
"เพียงแค่ได้สัมผัสก็ทำให้หัวใจพองโต"
[/size]
-
น่ารัก น่าชัง ..
-
ทำขนาดนี้ พูดขนาดนั้น จูบเลยพี่หมอ ฮ่าๆๆๆๆ
-
White Lie 5 : อบอุ่น (ธนาคินxภัทรกร)
[/size]
“ริมฝีปากนี้ยังไม่มีใครได้สัมผัสใช่ไหม แก้มยุ้ย”หมอไวท์เอ่ยถามคนตรงหน้า ดวงตากลมมองผ่านม่านดวงตาสีน้ำตาลเข้มมายังใบหน้าของคนตรงหน้านั้น ต่างคนต่างจ้องมองกันอยู่
ใบหน้าอันหล่อเหลาของหมอไวท์ค่อยๆเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ แต่ทว่าคนแก้มยุ้ยตรงหน้ากลัววูบวาบไปหมด ไม่สามารถจะดิ้นไปไหนได้แล้วเหมือนโดนมนต์สะกดอยู่ตอนนี้ ริมฝีปากของหมอไวท์ค่อยๆกดปิดริมฝีปากของซีที่เผลอลืมตัวหลับตาและยื่นใบหน้าให้กับคนตรงหน้าง่ายดาย เพียงแต่สัมผัสเท่านั้นไม่ได้รุกล้ำแต่อย่างใด แต่กลับดูเหมือนหยุดเวลาตรงนี้ไว้
“อื้มมมม”เสียงครางท้วงในลำคอเล็กน้อย เมื่อหมอไวท์ที่กำลังสอดลิ้นเข้าไป สัมผัสที่เนิบนาบแต่กลับน่าดึงดูดนัก แต่ยังไม่ทันที่หมอไวท์จะจับซีมานั่งที่ตักตัวเอง เสียงมือถือก็ดังขึ้นเหมือนเป็นระฆังเพื่อตีบอกพักยก
Rrrrrrrrrrrrrrr
“เอ่อ...พี่ขอโทษนะ แก้มยุ้ย”หมอไวท์เอ่ยขอโทษซีที่เมื่อสักครู่ล่วงเกินซีไป ใบหน้าแดงเห่อก้มลงตักตัวเองด้วยความอาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรจนหมอไวท์เอ่ยขอตัวรับโทรศัพท์
“ว่าไงครับ น้องเบนซ์”
.....
แก้มยุ้ยที่เหมือนพองลมอยู่บนใบหน้าขาวของซี เมื่อร่างสูงอย่างหมอไวท์ยกมือถือคุย ซึ่งปลายสายคือเพื่อนรักของเขาเอง ซีพยายามเดินออกจากโต๊ะอาหารเพราะไม่อยากจะได้ยินการสนทนาของทั้งคู่
“ซีขอตัวนะครับ”ซีเอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันทีจะลุกจากตรงนั้นมือยาวของหมอไวท์ก็รวบที่เอวของซีไว้พร้อมดึงเข้ามานั่งที่ตักตัวเอง
หมับ!
“อ๊ะ...!”
“จะไปไหนหล่ะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น พร้อมกับกดวางปลายสายไป ใบหน้าได้รูปของหมอไวท์วางอยู่ที่ไหล่อของซี
“ก็ไม่อยากจะกวน”น้ำเสียงห้วนๆ
“น้องเบนซ์โทรหาแก้มยุ้ยไม่ติด เลยโทรมาถามพี่ แก้มยุ้ยปิดเครื่องทำไม”หมอไวท์เอ่ยถาม ริมฝีปากที่ขยับอยู่ที่ใบหูเล็กนั้นที่ตอนนี้มันแดงเห่อไม่ต่างกับใบหน้าขาวที่ตอนนี้แดงเห่อเช่นกัน
“เอ่อ...นั่นสิ งั้นผมขอไปดูมือถือก่อนนะครับ”ซีอุทานออกมาเบาๆ เขาเป็นคนปิดมือถือเองเพราะไม่อยากให้หมอไวท์ติดต่อตัวเองได้ ซีพยายามดิ้นให้หลุดจากตักของหมอไวท์เพื่ออ้างว่าจะไปดูมือถือ
“หึ น่ารักจัง”หมอไวท์สบถออกมาเบาๆ
วันนี้ทั้งวันหมอไวท์เองก็วอแวซีตลอดทั้งวัน กว่าจะกลับได้ก็เกือบสามทุ่มถ้าไม่มีสายเข้าของพี่ชายหมอไวท์ ป่านนี้หมอไวท์เองก็คงเซ้าซี้ที่จะนอนที่ห้องนี้แน่นอน แต่ซีเองก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรกลับมีความสุขด้วยซ้ำไปแม้ว่าจะรู้สึกยังไม่เข้าใจในตัวหมอไวท์นักก็ตาม
...
..
นับจากวันนั้นหมอไวท์เองกลับที่ไปรับซีเองเพื่อมาเรียนตอนเช้าเกือบทุกวันถ้าไม่มีเคสที่เร่งด่วน และช่วงนี้เบนซ์เองก็ยังอยู่ที่เบลเยี่ยมเพราะไปเยี่ยมพ่อที่ทำงานอยู่ที่นั่น
“เย็นนี้ทานข้าวกันนะ เย็นๆพี่มารับ”หมอไวท์เอ่ยพร้อมยกยิ้มอย่างละมุนอย่างที่เคยทำ
“ก็ดีครับ ผมก็มีเรื่องจะถามคุณเหมือนกัน”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินลงรถไป หมอไวท์มองตามหลังบางนั้นอย่างเข้าใจเพราะรู้ว่าแก้มยุ้ยของเขายังคงโกรธหรืองอนเขาอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น
“แล้วแก้มยุ้ยจะเข้าใจพี่หมอ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะขับรถออกไป
ซีที่ยืนมองรถคันสวยของหมอแล่นผ่านไปจนลับตา หัวใจที่ยังคงเต้นแรงอยู่เพราะต้องระงับความรู้สึกและความดีใจของตัวเองเมื่อได้อยู่กับพี่ชายคนที่ตัวเองหลงรักมานาน
“ทำไมพี่ไม่ยอมบอกว่าโกหกแก้มยุ้ยเพราะอะไร”ซีเอ่ยขึ้น เพราะเรื่องราวที่หมอไวท์อธิบายซีเมื่อวันก่อนมันก็แค่เรื่องที่ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นหมอ ไม่ใช่นักเรียนหมออย่างที่เข้าใจ
หลังเลิกคลาสเรียนซีเดินออกมาเรียกแท็กซี่เพื่อไปหาหมอไวท์ที่โรงพยาบาลตามที่นัดกันไว้ ซีเดินเข้ามานั่งรอหมอไวท์ที่โซนมุมกาแฟของโรงพยาบาล
“บ่ายสามเอง คงยังไม่เลิกงานหรอกมั้ง”ซีเอ่ยเมื่อยกข้อมือดูนาฬิกาบอกเวลา ก่อนจะเดินไปสั่งเครื่องดื่มเพื่อนั่งรอหมอไวท์
ซี : ผมรอที่หน้าคอฟฟี่ช้อปนะครับ
ซีส่งข้อความไลน์ไปบอกหมอไวท์ก่อนจะยกมือถือกดเล่นไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างนั้นก็มีทั้งพยาบาลและหมอเข้ามานั่งดื่ม
“วันนี้หมอไวท์เป็นอะไรว่ะแก บ้าพลังชะมัด”เสียงพยาบาลสาวตะข้างๆเอ่ยขึ้น
“ใช่ ไม่บ้าพลังอย่างเดียวนะแถมยังอารมณ์ดีด้วย”เสียงพยาบาลอีกคนเอ่ยขึ้น
“แต่เวลาบ้าพลังรู้ไหมหมอไวท์ โคตรหล่อเลยอ่ะ”
“ใช่ๆ โอ๊ยคนอะไรไม่รู้หล๊อ หล่ออ่ะ”
“แต่แปลกอ่ะ ที่หมอไวท์ไม่เคยคบใครเลย”
“หรือว่าคุณหมอจะเป็น...”
“ไม่ใช่อย่างที่หล่อนคิดหรอก เท่าที่เขาเมาส์กันคือคุณหมอรอใครคนหนึ่งที่เคยรู้จักกันสมัยเด็ก”
“หรอ โอ๊ยโมเมนต์น่ารักจังเลย แล้วคุณหมอได้เจอคนนั้นหรือยังอ่ะ”
“ไม่รู้สิ แต่ฉันว่าคนที่คุณหมอรอคงจะน่ารักแน่ๆเลยหล่อนว่าไหม”
“ไปทำงานเถอะ หมดเบรกแล้ว”พยาบาลสาวทั้งสองเดินจากไป ทิ้งให้ซีที่ตั้งใจฟังตั้งแต่แรกก็รู้สึกปั่นป่วนในอกเพราะคำว่าหมอไวท์รอใครคนหนึ่ง
“ใครคนหนึ่งอย่างงั้นหรอ”ซีเอ่ยขึ้นเบาๆ ไม่ได้อยากจะคิดว่าคนที่หมอไวท์รอนั้นคือตัวเอง ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น เสียงนุ่มแสนคุ้นเคยก็เอ่ยขึ้น
“มานานยัง รอพี่นานไหม”ซีเงยหน้ามองเจ้าของเสียง รอยยิ้มหวานที่บาดใจ น้ำเสียงที่แสนอบอุ่น
“ไม่นานครับ”ซีเอ่ยขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปโดยมีหมอไวท์ตามหลังไปติดๆ
หมอไวท์พาซีมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง หมอไวท์มักจะเทคแคร์คนเสมอไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร นี่คือนิสัยของหมอไวท์ และนี่ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ใกล้หมอไวท์จะหลงรักหมอเสมอ
“กินเยอะๆ ร้านนี้อาหารอร่อยนะ”หมอไวท์เอ่ยพร้อมตักอาหารให้ซี
“คงพาใครมากินบ่อยหล่ะสิ”อยู่ๆซีก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนคนกำลังงอนอะไรอยู่ หมอไวท์ได้ยินก็ไม่ได้โกรธอะไรหลับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ก็ไม่บ่อยหรอกนะ เฉพาะคนที่คิดว่าพิเศษ”ซีเบะปากเล็กน้อยก่อนจะตักข้าวเข้าปากและเคี้ยวตุ้ยๆ หมอไวท์ยกนิ้วโป้งเช็ดที่มุมปากเลอะของซีโดยไม่ลังเลเมื่อเห็นว่าปากของซีเลอะ
อึก!
“แก้มยุ้ย กินเลอะตลอดเลยนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มขึ้นอย่างอบอุ่น ซีเองได้แค่ยิ้มอ่อนๆ
“พรุ่งนี้จะให้พี่มารับกี่โมง”หมอไวท์เอ่ยถาม เพราะพรุ่งนี้ที่บ้านของหมอไวท์มีงานเลี้ยงส่งพี่ชายคนรอง
“ผมไปเองครับ เพราะต้องไปรับวายด้วย พอดีคุณรอยด์ชวนวายไปด้วย”ซีเอ่ยบอกอย่างนิ่งๆ ท่าทางของซีตอนนี้ทำให้หมอไวท์อยากจะถามคนตรงหน้าว่ายังไม่หายโกรธตนอีกหรอไง
“คืนนี้พี่นอนที่ห้องแก้มยุ้ยได้ไหม”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“นอนหรอครับ จะนอนได้ยังไงกัน เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”ซีเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ร้อน
“หรอ แล้วต้องทำยังไงพี่หมอถึงจะเป็นอะไรกับแก้มยุ้ยได้หล่ะ”อยู่ๆหมอไวท์ก็เอ่ยขึ้นเมื่อจอดรถเทียบที่คอนโดของซี เอาอีกคนกลอกตาไปมาอย่างไปไม่ถูก
“เอ่อ...”ซีอ้ำอึ้งเล็กน้อย หมอไวท์เห็นท่าทางแบบนั้นก็อยากจะแกล้งนัก เพระการได้แกล้งแก้มยุ้ยของเขามันเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ใบหน้าที่โน้มต่ำลงหลังจากที่ยกแขนคร่อมร่างคนข้างๆไว้
ปึก!
“อ๊ะ...พี่หมอจะทำอะไรอ่ะ”ซีเอ่ยขึ้น พยายามเบี่ยงหน้าหนีให้ห่างจากใบหน้าของหมอไวท์ให้มากที่สุด เพราะตอนนี้หัวใจเขากำลังเต้นแรงระรัวไปหมด ขืนยังคงให้หมอไวท์ใกล้อีกกว่านี้รับรองเขาต้องยอมให้พี่หมอไวท์สัมผัสอีกครั้งเหมือนกับคืนนั้นอีกแน่ ซีรีบดีดตัวออกทันทีไม่ได้กลัวว่าหมอไวท์จะจูบแต่เขากลัวว่าตัวเขาเองจะอดใจไม่ไหวที่จะปล่อยให้พี่หมอของเขาทำตามอำเภอใจมากกว่านี้
“เอ่อ ขอตัวก่อนนะครับ เอาไว้พรุ่งนี้เจอกันนะครับ”ซีเอ่ยเสร็จก็รีบเดินลงจากรถทันทีอย่างร้นๆก็เพราะกลัวใจตัวเองต่างหาก
...
..
ช่วงหัวค่ำนี้ซีขับรถมารับวายที่บ้านเพื่อไปงานเลี้ยงส่งรอยด์เพื่อนรักของวาย ทั้งวันมานี้หมอไวท์และซียังไม่ได้คุยหรือโทรหากันเลย เพราะอาจจะยุ่งและซีเองก็ไม่อยากจะโทรไปกวนหมอไวท์นัก
“พี่ซี วายเอาของไปหารอยด์ก่อนนะ”วายเอ่ยบอกพี่ชายเมื่อจอดรถเรียบร้อย
“อื้ม...จะกลับก็โทรบอกพี่นะ”ซีเอ่ยบอกน้องชาย
“ครับ”ซีมองตามน้องชายจนหายเข้าไปในบ้านก่อนจะเดินดูไปรอบๆบ้าน เขาเป็นคนนอกสำหรับบ้านหลังนี้ ยังไม่เคยได้รู้จักใครที่นี่มากนัก นอกจากรอยด์แล้วก็คงมีแต่หมอไวท์เท่านั้นที่เขาพอจะรู้จัก
“นั่งรอตรงนี้ดีกว่า เงียบดี”ซีเอ่ยกับตัวเองเมื่อพาตัวเองมาที่ศาลาหลังบ้าน กดตอบข้อความน้องชายเรื่องที่คุณอนาคินชวนไปทานอาหารด้วย แต่เขาไม่อยากไปจริงๆจึงให้น้องชายบอกว่าติดธุระ
“เขาคงไม่ว่าอะไรหรอกมั้ง”ซีเอ่ยขึ้นคนเดียว แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเสียงนุ่มของหมอไวท์ดังขึ้น
“ว่าสิ ทำไมไม่เข้าไปในบ้าน”หมอไวท์เอ่ยถาม ซีรีบลุกขึ้นทันที
“เอ่อ คือ...ผมคิดว่าผมเป็นแค่คนนอกอ่ะครับ ไม่กล้าไปร่วมโต๊ะด้วยหรอก”ซีเอ่ยขึ้น หมอไวท์เดินเข้ามาประชิดตัวซี ยิ่งก้าวเข้าหา ยิ่งเดินถอยหลังก้าวต่อก้าว
ปึก
“จะหนีพี่ไปไหน แก้มยุ้ย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น สองแขนคร่อมร่างของซีไว้ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้าหาใบหน้าขาวอย่างจงใจ
“เปล่าหนีครับ”ซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงในลำคอจนหมอไวท์ค่อยๆโน้มหน้าลงมาที่ใบหู และเอียงหูตัวเองมาจ่อที่ปากของซี
“หื้ม ว่าอะไรนะ พี่ไม่ได้ยินเลย”หมอไวท์เอ่ยถาม ซีเองก็รู้ว่าหมอไวท์กำลังแกล้งตัวเองอยู่แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะหัวใจและสมองกำลังสัมพันธ์กันในกรทำงานว่าอยากอยู่ในอ้อมกอดนี้ แต่หัวใจมันกลับบอกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้ชอบตัวเอง ซีจึงเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง
“อย่าแกล้งผมสิครับ ผมรู้ว่าคุณหมอรู้ว่าผมพูดอะไร”ซีเอ่ยขึ้น พยายามคุมน้ำเสียงให้ปกติที่สุด หมอไวท์ก้มมองใบหน้าของซีที่เวลานี้กำลังบึ้งและแก้มก็ยังคงพอลมอยู่แสดงว่างอนอะไรสักอย่าง
“แก้มยุ้ยเป็นอะไรบอกพี่ได้ไหม หรือยังโกรธพี่อยู่ที่พี่โกหกเรา”หมอไวท์เอ่ยขึ้นถามก่อนจะดึงซีเข้ามานั่งที่ตักตัวเอง แต่ซีก็พยายามฝืนเพราะกลัวมีคนมาเห็น
“อย่าดิ้นสิ พี่กำลังจะให้แก้มยุ้ยสอบสวนพี่อยู่”หมอไวท์เอ่ย ซีที่คิดว่ายิ่งดิ้นยิ่งทำให้อ้อมกอดของหมอแน่นกว่าเดิมนั้นก็ไม่ฝืนแล้วจึงปล่อยตัวตามสบาย
“สอบสวนอะไรครับ คุณหมอก็บอกผมไปหมดแล้วนี่”ซีเอ่ยขึ้น
“หึ คำว่าคุณหมอที่เอ่ยเรียกนี่ไม่ธรรมดาแล้วหล่ะ งอนอะไร อยากถามอะไรบอกพี่มาครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีที่จนมุมทุกทางไม่ว่าจะพูดอะไรหมอไวท์ก็ดักทางได้หมด จนซีต้องยอมแพ้ทั้งหมอไวท์และใจตัวเอง
“เฮ้อ...พี่หมอชอบไอ้เบนซ์ใช่ไหมครับ”ซีตัดสินใจเอ่ยออกมาหมอไวท์ทันที หมอไวท์ยกยิ้มอย่างเข้าใจว่าแก้มยุ้ยของเขากำลังรู้สึกยังไงกับตัวเขาเอง
“อื้ม พี่เองก็จะคุยเรื่องนี้กับแก้มยุ้ยเหมือนกัน ไหนๆแก้มยุ้ยก็ถามมาแล้ว”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะจับซีนั่งลงข้างๆและหันหน้าเข้าหากัน ซีมองเข้าไปในดวงตาของหมอไวท์อย่างกลัวคำตอบที่หมอจะเอ่ยออกมา
“แล้วไงครับ ถามแล้วก็ต้องตอบดิ”อยู่ๆซีก็เดือดขึ้นมาเพราะหมอไวท์โยกโย้อยู่ได้
“ใจเย็นๆสิครับแก้มยุ้ย จะดุพี่ทำไมกัน”หมอไวท์เอ่ยในใจแอบยกยิ้มออกมา
“เปล่าดุสักหน่อย”ซีเอ่ยพร้อมหลบสายตาหมอไวท์ทันที เมื่อมือของหมอกำลังจับปลายคางของซีไว้ และคงรู้ตัวว่าขั้นตอนต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าซีไม่รีบปฏิเสธ
“โอเค งั้นตั้งใจฟังนะพี่จะตอบคำถามของแก้มยุ้ย ตั้งแต่วันแรกที่ที่เจอแก้มยุ้ยและน้องเบนซ์พี่รู้สึกได้ว่าพี่ได้เจอคนที่รอแล้ว ความน่ารัก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะทำให้พี่มีความสุขมากทุกครั้งที่ได้เห็นและได้ยิน”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีเข้าใจว่าหมอไวท์พูดถึงเบนซ์
“จะเข้าเรื่องได้หรือยังว่าพี่ชอบไอ้เบนซ์ใช่ไหม ถ้าชอบผมจะบอกมันให้เพราะไอ้เบนซ์มันก็ชอบพี่เหมือนกัน”ซีเอ่ยขึ้นอยู่ๆน้ำตาก็ดันไหลออกมา หมอไวท์เองก็เริ่มรู้สึกฉุนหน่อยๆ ทำไมแก้มยุ้ยของเขาไม่รับฟังอะไรบ้างนะ
“หรอ แก้มยุ้ยจะเป็นพ่อสื่อให้พี่หรอ ดีสิน้องเบนซ์ก็น่ารักดี ใครอยู่ด้วยก็มักจะมีแต่ความสุข”หมอไวท์เอ่ยประชด ซีที่ได้ยินก็ยิ่งน้ำตาไหลออกมา
“ช่วยพี่หมอจีบเบนซ์หน่อยสิ เขามีแฟนหรือยัง”หมอไวท์เอ่ยขึ้นเพื่อยากจะลองใจดูว่าแก้มยุ้ยของเขาจะว่ายังไงต่อ และมีท่าทียังไง
“ฮึกๆ...”เสียงสะอื้นที่พยายามกลั้นไว้ดันเล็ดรอดออกมาจนได้
“แก้มยุ้ย ร้องไห้ทำไม”เสียงนุ่มของหมอไวท์เอ่ยถาม
“เปล่า ไม่ได้ร้องสักหน่อย ตรงนี้มันมืด แมลงมันบินมาเข้าตาเฉยๆ”ซีเอ่ยขึ้นแต่น้ำตาก็ยังคงไหลอยู่
“หรอ งั้นไปล้างตาดีกว่านะเดี๋ยวอักเสบไปแย่เลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะดึงซีออกจากศาลากลางสวนนั้นเพื่อพาไปล้างตา แต่ใครจะรู้เท่าในใจของซีว่าที่จริงแล้วไม่มีแมลงตัวไหนผ่านเข้ามาในสายตานี้เลย นอกจากคำที่หมอไวท์เอ่ยบอกกับเขาว่า
“ซี ช่วยพี่หมอจีบเบนซ์หน่อยสิ เขามีแฟนหรือยัง”
“อยากจีบมากก็ไปจีบเองดิ ไอ้พี่หมอบ้า ไม่รู้หรอไงว่าคนมันหึง มันหวง ยังจะบอกให้ช่วยจีบอีก”เสียงก้องกังวานในหัวของซีตอนนี้ ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะถึงพูดออกไปหมอไวท์ก็บอกว่าเบนซ์ไปแล้ว
“ลืมตาขึ้น เดี๋ยวพี่หยอดตาให้นะ”หมอไวท์เอ่ยพร้อมกับหยอดตาให้กับซี สายตาสองสายตาประสานกันอยู่ ยิ่งมองตายิ่งอบอุ่น ยิ่งสัมผัสยิ่งอยากจะครอบครอง ซีมองที่ผ่านไปยังดวงตา ใบหน้าและริมฝีปากของหมอไวท์อย่างแสนเสียดายถ้าเขาไม่คิดจะลองสัมผัสมันอีกครั้ง
หมับ!
จุ๊บ....
....................
"ถ้าไม่เคยลองทำตามหัวใจ. จะรู้ได้ไหมว่าเราจะไปได้ไกลสักเท่าไร"
[/size]
-
ซีบุกแล้วววววววว ฟินเบาๆ
ยังไงๆๆๆต่อๆๆๆ
-
ขี้งอน ..
-
White Lie 6 : ไม่ลอง ไม่รู้ (ธนาคินxภัทรกร)
“ลืมตาขึ้น เดี๋ยวพี่หยอดตาให้นะ”
หมับ
จุ๊บ...
ใบหน้าของหมอไวท์แม้จะตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ทำให้ริมฝีปากของเขาที่ตอนนี้ถูกกดทับสนิทอยู่ผละออกเลยสักนิด กลับกดย้ำเข้าหาคนตัวเล็กแก้มยุ้ยที่กล้าจูบเขาโดยไม่ได้บอกกล่าว
“อื่ออออ”เสียงครางในลำคอเอ่ยท้วงขึ้น เมื่อหมอไวท์สอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากนั้น ลิ้นเล็กที่กำลังถูกตะวัดด้วยลิ้นหนา น้ำเชื่อมสีใสที่เยิ้มออกจากมุมปาก เสียงดังจ๊วบจ๊าบของริมฝีปากที่เสียดสีกันไม่ได้ทำให้หมอไวท์อ่อนโยนกับซีเลย
“อ่า...”เสียงหายใจหอบยิ่งหนักขึ้น หมอไวท์ยกมือโอบที่หลังศีรษะของซีไว้ ล๊อคไม่ให้ใบหน้าของอีกคนหนีไปไหน ซีเองอยากจะโกรธตัวเองที่เผลอทำตัวเองแท้ๆ เผลอจูบหมอแบบนั้นเขาก็ถือว่าอ่อยและสมยอมเต็มประดาแล้ว
“อ่าห์...พี่หมอ...”เสียงครางเอ่ยเรียกชื่อเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระแล้ว แต่ซอกคอกลับถูกหมอซุกไซร้ไปทั่ว แรงดูดเม้มซอกคอจะเกิดเป็นรอยแดงช้ำขึ้นชัดเจน ซีจับไหล่หมอไวท์ไว้แน่น ยิ่งบีบเหมือยิ่งเร่งให้อีกคนดูดเม้มซอกคอนั้น ก่อนจะถูกบังคับให้ถอดอาภรณ์ที่มีออก
“แก้มยุ้ยของพี่ รู้บ้างไหมว่าพี่รอแก้มยุ้ยมานานแค่ไหน...”หมอไวท์เอ่ยขึ้นจากหัวใจจริงๆ เขารอผู้ชายคนนี้ เด็กผู้ชายคนนี้มานานเพียงเพราะอยากจะบอกว่า เขารักแก้มยุ้ยมากแค่ไหน
“พะ...พี่หมอพูดอะไรครับ”เสียงเอ่ยกระท่อนกระแท่นของซี สองขาถูกแยกออกโดยไม่ต้องบอก หมอไวท์แทรกกายเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แม้ยังไม่ได้รุกล้ำอะไรมากนักซีก็แทบคลั่งแล้ว
“ก็พูดว่า...พี่รักแก้มยุ้ยนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ยิ่งทำให้ซีสับสน ก็หมอไวท์เพิ่งบอกให้ช่วยจีบเพื่อนรักของเขาเมื่อสักครู่นี้เอง
“อ๊าห์...เสียวครับ”ซีเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้น เมื่อหมอไวท์ซุกหน้าต่ำมาที่หน้าท้องแบนราบของซี ร่างกายที่ตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติกำลังทำให้อีกคนยกยิ้มอย่างพอใจ
“แล้วพี่จะเล่าให้ฟังนะ แก้มยุ้ยพี่หมออยากเป็นของแก้มยุ้ย ได้ไหม”หมอไวท์เอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระเส่า ทว่าตอนนี้ความต้องการมันมากกว่าความรู้สึก และความรู้สึกก็ยังมากกว่าเหตุผลใดๆตอนนี้
“พี่หมอ...อย่า...”ซีเอ่ยบอกเมื่อหมอกำลังกดริมฝีปากที่กลางกายนั้น ด้วยความที่คิดว่าหมอคือคนที่เพียบพร้อม หมอก็คนที่ไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้ได้ และที่สำคัญตอนนี้ซีกำลังปล่อยกายปล่อยใจให้กับหมอไวท์ ทั้งๆที่คนที่บ้านกำลังมีงานเลี้ยงกันอยู่
“อ่าห์...”
“อย่าห้ามพี่เลย พี่รอแก้มยุ้ยมานานแล้วนะ”หมอเอ่ยขึ้นจบก็ครอบริมฝีปากที่กลางกายนั้นทันทีโดยไม่ได้รังเกียจอะไร ซีหลับตาสนิททั้งอายและเขิน เขากำลังจะเป็นของคนที่เขารัก พี่ชายตัวโตที่เขาเพ้อมานาน
“พี่ชาย อ่า..แก้มยุ้ยรักพี่ครับ...อื่อ...”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมจิกมือลงที่ไหล่ของหมอไวท์เต็มแรง เมื่อกำลังถึงจุดที่เรียกว่าความสุข
“อ่าห์...”ซีครางออกมากพร้อมปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นเต็มปากของหมอไวท์ สายตาหวานปรือมองคนที่กำลังบ้วนน้ำรักสีขาวออก รอยยิ้มหวานที่ส่งมาให้ซีทำให้ซีไม่คิดอะไรแล้วนอกจากยกขาที่แยกจากกันขึ้นและเอ่ยขึ้น
“พี่หมอ เป็นของแก้มยุ้ยเถอะนะ”ซีเอ่ยขึ้น คำพูดของซีทำให้หมอไวท์ยิ่งอยากจะครอบครอง
“ทำไมแก้มยุ้ยถึงได้น่ารักแบบนี้”หมอไวท์เอ่ยขึ้น สายตาที่มองไปยังอีกคนที่กำลังยั่วเขาอยู่ มือเล็กกำลังลูบวนไปทั่วหน้าท้องของหมอไวท์ จนถึงแก่นกายของหมอที่พองนูนขึ้น
“น่ารักกว่าไอ้เบนซ์ไหมครับ”อยู่ๆซีก็เอ่ยขึ้นถาม หมอไวท์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะกดจูบที่ริมฝีปปากของซี
จุ๊บ
“ไม่รู้สิ แต่พี่หมอรักแก้มยุ้ยก็น่าจะพอมั้ง ไม่ต้องรู้หรอกว่าใครน่ารักกว่ากัน”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้ม
“พี่หมอ...”ซีเอ่ยได้แค่นี้จริงๆ เพราะตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นระรัว สมองบอกแค่ว่าต้องได้ผู้ชายคนนี้มาครอบครองให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม
“เอาไว้หลังจากนี้เราสองคนค่อยคุยกันนะ ตอนนี้พี่หมอใจจะขาดอยู่แล้ว”หมอไวท์เอ่ยอย่างไม่อายเพราะมันคือเรื่องจริง ตอนนี้เขาอยากจะเข้าไปในตัวของแก้มยุ้ยจะแย่อยู่แล้ว
“พี่หมอ มันจะเจ็บไหมอ่า”เสียงเอ่ยอ้อนๆของซีเอ่ยออกมาพร้อมหลับตาปี๋ทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มของหมอไวท์ ทั้งเขินและอายเมื่อคิดว่าตรงนั้นของหมอไวท์กำลังจะเข้าไปในร่างกายของตัวเอง
“แรกๆมันจะเจ็บนิดหน่อย แต่แค่แปบเดียวเท่านั้น พี่หมอสัญญาว่าจะไม่ทำรุนแรงกับแก้มยุ้ยแน่นอน”หมอไวท์กระซิบบอกก่อนจะจูบปลอบอีกครั้ง
“อื้ออออ”เสียงครางออกมาพร้อมสะโพกเร้าไปมาเมื่อปลายนิ้วของหมอไวท์ถูไถเข้าที่จุดอารมณ์ข้างใน ใบหน้าขาวแก้มยุ้ยหลับตาปี๋ทันทีก่อนจะแอ่นกายรับกับนิ้วของหมอไวท์
“อ๊าห์...”เสียงครางหวานหูกำลังเปล่งออกมา เมื่อนิ้วที่สองกำลังสอดใส่เข้าไปเพื่อเป็นการเบิกทาง
“เจ็บมากไหม...จุ๊บ”หมอไวท์เอ่ยถามคนใต้ร่างพร้อมกดจูบซับเพื่อปลอบใจ ก่อนที่จะดึงเข้าออกสองสามครั้ง
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า...”เสียงครางตามจังหวะเดินดึงเข้าออก ยิ่งครางดังขึ้นหมอไวท์ก็แทบจะทนไม่ไหว
“พี่หมอไม่ไหวแล้ว เป็นของพี่นะครับ แก้มยุ้ย”หมอไวท์เอ่ยโดยไม่อีกคนพูดอะไร มือขาวของหมอจับกลางกายตัวเองจ่อเข้าที่ช่องทางสีหวานที่เขาต้องการมานาน และเขาต้องการที่จะครอบครองร่างกายนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ซีทั้งเจ็บและสุขในเวลาเดียวกัน ไม่เคยแม้จะคิดว่าตัวเองจะต้องมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน แต่เขาก็มีความสุขที่คนแรกของเขาเองคือผู้ชายที่เฝ้ารอมานาน ทุกจังหวะรัก และเสียงร้องที่เปล่งออกมายิ่งโหมเปลวราคะให้ลุกโชนขึ้น จากหนึ่งเป็นสองและสามตามมา จวบจนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง มือถือที่ดังต่อเนื่องระหว่างที่ทั้งสองบอกรักกันไม่ได้ขัดจังหวะของทั้งคู่แต่อย่างใด
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
“เจ็บมากไหม หื๊ม”หมอไวท์เอ่ยถามซีที่นอนหลับตาอย่างหมดแรงอยู่ที่อกของเขา คนตัวเล็กที่ซุกอยู่ที่อกกว้างนั้นมันน่าถนอมยิ่งนัก
“นิดหน่อยครับ...”ซีเอ่ยอย่างเขินๆ ใบหน้าแดงเห่อไปหมด มือเรียวยังคงสวมกอดที่เอวของหมอไวท์ไว้แน่น
“แก้มยุ้ยเป็นของพี่หมอแล้วนะ และจะเป็นตลอดไป”หมอไวท์เอ่ยขึ้นอย่างละมุน ไม่รู้จะบอกรักคนตัวเล็กยังไงดีให้รู้ว่าเขารักคนนี้มากแค่ไหน
“พี่หมอ บอกแก้มยุ้ยหน่อยได้ไหมว่าทำไมต้องโกหกเรื่องของเรา และอธิบายเรื่องของเบนซ์ให้แก้มยุ้ยฟังด้วย”น้ำเสียงเชิงบังคับเล็กน้อย หมอไวท์หัวเราะออกมาเบาๆอย่างชอบใจ
“ชอบจังเลยที่แก้มยุ้ยดุแบบนี้”หมอไวท์เอ่ย ซีเงยหน้ามองคนที่นอนสวมกอดตัวเองอยู่ด้วยแก้มที่พองลม
“พี่หมอท่าจะบ้า โรคจิตหรอครับที่ชอบให้แก้มยุ้ยดุอ่ะ”ซีเอ่ยขึ้น
“ใช่ พี่ชอบแก้มยุ้ยแบบที่แก้มยุ้ยเป็น รู้ไหมครั้งแรกที่เจอแก้มยุ้ย พี่ชอบตั้งแต่แรกเห็น เด็กอะไรก็ไม่รู้น่ารักชะมัดเลย ตัวอ้วนกลม แก้มยุ้ยน่ารัก พี่อาสาครูเพื่อจะเป็นพี่เลี้ยงแก้มยุ้ยเลยนะ แต่พอพี่ต้องได้ไปเรียนที่อเมริกาพี่ก็ไม่ได้ไปที่สโมสรเลย และก็ไม่ได้ขอเบอร์แก้มยุ้ยไว้ พี่เสียใจมาก หวังว่าวันหนึ่งจะได้เจอแก้มยุ้ยอีก”หมอไวท์เอ่ยยาวออกมา ซีกระชับอ้อมกอดไว้แน่น
“พี่หมอรู้ไหมว่าแก้มยุ้ยก็รอแต่พี่ชายตัวโต เพ้อหาพี่ชายตัวโตแถมเป็นรักแรกที่แก้มยุ้ยมี นับจากวันนั้นก็ไม่เคยที่จะคบใครไม่ว่าหญิงหรือชายเพราะหวังว่าจะเจอพี่ตัวโตอีก”ซีเอ่ยขึ้นมา
“เหมือนกันเลย พี่ก็รอแต่ก้ามยุ้ยของพี่ ไปที่สโมสรทุกครั้งที่มีโอกาส ถามครูเก้งเสมอว่าเจอแก้มยุ้ยไหมจนครูบอกว่าแก้มยุ้ยก็มาถามหาพี่ตัวโตเช่นกัน พี่ถึงรอไงรอแก้มยุ้ยของพี่ จนวันหนึ่งพี่ได้เจอแก้มยุ้ย ตอนแรกก็ดีใจมากแต่แก้มยุ้ยกลับจำพี่ไม่ได้ ตอนแรก็ทำใจแล้วเพราะคิดว่าแก้มยุ้ยมีแฟนแล้วและลืมพี่ชายคนนี้ไปแล้ว”
“คิดเองเออเอง เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีที่คิดเองเออเองนะครับ ใครจะไปลืมรักแรกได้หล่ะ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมา
“ก็นั่นสิ พี่ถึงได้ตามแก้มยุ้ยและวอแวแก้มยุ้ยตลอดเวลา จนวันหนึ่งพี่เริ่มแน่ใจว่าแก้มยุ้ยรักพี่”
“ขี้ตู่ ใครรักพี่กันครับ”ซีเอ่ยอย่างเขินอาย
“แล้วกล้าปฏิเสธไหมว่าที่พี่ขอให้ช่วยจีบน้องเบนซ์ แก้มยุ้ยไม่ได้รู้สึกโกรธและโมโหพี่เลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีรีบมุดหน้าที่อกของหมอไวท์อย่างปฏิเสธไม่ได้
“นั้นไง ที่จริงแก้มยุ้ยไม่อยากให้พี่จีบเบนซ์ใช่ไหม”
“แล้วพี่หมอจะจีบไอ้เบนซ์หรอครับ”ซีเอ่ยอย่างเสียงงอนๆจนหมอไวท์เริ่มสนุกขึ้นมาก
“แล้วแก้มยุ้ยว่าไงหล่ะ พี่ควรจะจีบน้องเบนซ์ดีไหม”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“ไม่ได้นะครับ พี่หมอได้แก้มยุ้ยเป็นเมียแล้วนะ”ปากไวกว่าความคิด ซีเอ่ยขึ้นอย่างเสียงดังและหน้าตาดูไม่พอใจนัก หมอไวท์ยกยิ้มหวานขึ้นมาอย่างพอใจ
“โอ๊ย โอ๊ย ครับผมพี่หมออ่ะได้แก้มยุ้ยเป็นเมียแล้ว ข้อนี้รู้ครับ”หมอเอ่ยแซวๆ
“พี่หมออ่ะ แซวแก้มยุ้ยหรอครับ”ซีเอ่ยขึ้นหมอไวท์หัวเราะออกมาก่อนจะสวมกอดร่างเล็กแน่นและกระซิบเบาๆ
“มีความสุขมากรู้ไหม พี่หมอรักแก้มยุ้ยนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ก่อนที่มือจะเริ่มซุกซนไปเรื่อยๆ แต่ทว่ายังไม่ทันที่เพลงรักจะเริ่มขึ้นอีกเสียงมือถือของซีก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ว่าไงวาย”ซีเอ่ยขึ้นทันทีที่กดรับสายน้องชาย
(“พี่ซีอยู่ไหน วายจะกลับบ้านแล้วนะ”)
“อ้าว ทำไมรีบกลับหล่ะ”
(“นี่มันห้าทุ่มแล้วนะ งานเลี้ยงเค้าเลิกแล้วป่ะ และนี่พี่อยู่ไหนวายโทรหาตั้งหลายสาย คนที่งานก็ถามหากันอยู่หายไปทั้งพี่ซีและพี่หมอเลย”)
“เออ...”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะหันมองหมอไวท์ที่นอนยิ้มอยู่
“รอพี่ที่รถนะเดี๋ยวพี่ตามไป”ซีเอ่ยบอกน้องชาย
(“ไม่ต้องแล้ว อาจารย์กิจมารับแล้ว เจอกันที่บ้านแล้วกัน”)
“โอเค ถึงแล้วไลน์มาบอกด้วยนะ”
(“อื้ม...บาย”)
จบสนทนาซีหันมาทางหมอไวท์ที่ยังคงนอนตะแคงมองซีอยู่ สายตาที่อ่อนโยนและละมุนจนซีรู้สึกใจเต้นแรงอีกครั้ง อยากจะครอบครองหมอไวท์คนนี้ไว้คนเดียว ไม่คิดเปล่าซีกลับคร่อมร่างของหมอไวท์ไว้ ทั้งๆที่ตัวเองยังคงเจ็บช่องทางนั้นอยู่แต่ก็ฝืนจะทำ
พรึบ
“อ๊ะ...แก้มยุ้ย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นแม้จะตกใจ แต่มันก็เล็กน้อยเพราะเขาชอบให้แก้มยุ้ยของเขาอ้อนแบบนี้จัง
“พี่หมอ พอจะมีที่นอนให้แก้มยุ้ยค้างที่นี่คืนนี้ไหมครับ”เพียงแค่ประโยคนี้ก็ทำให้หมอไวท์จับอีกคนพลิกได้ง่าย และก็ตามด้วยจังหวะรัก เริ่มต้นตอนนี้ตาจบเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้เลยแม้แต่คนสองคนที่กำลังกอดรัดกันอยู่ตอนนี้
....
..
ช่วงเช้าของวันใหม่ หมอไวท์โทรไปลาป่วยที่โรงพยาบาลแต่เช้า ทั้งๆที่ตอนนี้หมอไวท์เองกำลังขับรถพาซีออกมาข้างนอกตั้งแต่เช้าเช่นกัน
“เรากำลังจะไปไหนกันครับ”ซีเอ่ยถามคนขับ
“เดี๋ยวก็รู้ ว่าแต่ยังตัวร้อนอยู่ไหม”หมอไวท์เอ่ยถามพร้อมยกมือแตะที่หน้าผากของซี
“งื้อออ ก็ปวดหัวนิดหน่อยครับ แต่ดีกว่าเมื่อเช้าเยอะเลย”ซีเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงที่แขนของหมอไวท์
“งั้น เดี๋ยวแวะทาข้าวกันก่อนเนอะ แล้วทานยานะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซียกยิ้มหวานขึ้น
“ดีใจจังมีแฟนเป็นหมอเนี้ย”ซีเอ่ยขึ้น
“ใครแฟน นี่อ่ะสามีนะครับไม่ใช่แฟนสักหน่อย”หมอไวท์โวยขึ้นทันที ซียิ้มกว้างออกมาพร้อมหัวเราะ
“ครับ สามีก็สามียังไงก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้วครับ”ซีเอ่ยออกมา เขามีความสุขมากที่หมอไวท์ก็คิดเช่นเดียวกัน
หมอไวท์พาซีมาแถวชานเมืองแถวๆเขาใหญ่ ช่วงนี้ใกล้เขาฤดูหยาวแล้วหมอไวท์มักจะมาที่นี้ประจำ ซีมองไปรอบๆบ้านพักแม้จะเข้าสู่ช่วงบ่ายแล้วแต่อากาศก็ไม่ร้อนมากนัก
“อ่า...สดชื่นจังเลยนะครับ”ซีเอ่ยขึ้นเมื่อมายืนอยู่หน้าบ้านมองไปยังภูเขากว้าง หมอไวท์เดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังวางใบหน้าหล่อเหลานั้นลงบนไหล่เล็กของซี
“แก้มยุ้ยชอบไหม”หมอไวท์เอ่ยถาม
“ชอบสิครับ ชอบมากเลยหล่ะเค้าชอบภูเขาและต้นไม้มาก”ซีเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา
“ระหว่างพี่กับภูเขาและต้นไม้ แก้มยุ้ยชอบอะไรมากกว่ากัน”หมอไวท์เอ่ยถาม ทำเอาซีหน้าแดงระรื่อขึ้นมาทันทีก่อนจะหันมามองหน้าหมอไวท์
“มุขนี้คิดได้ไงครับคุณหมอไวท์”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะยกสองมือกุมที่ใบหน้าหมอไวท์ไว้
“ก็คิดได้ตอนที่มีแก้มยุ้ยนี่ล่ะครับ จะตอบพี่หมอมาได้หรือยังว่าชอบอะไรมากกว่ากัน”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“แหม ถ้าตอบว่าภูเขาและต้นไม้ รับรองว่าคนแถวนี้ต้องหน้าหงิกแน่ๆเลยใช่ไหมครับ”
“ก็รู้นี่แล้วยังจะตอบว่าภูเขาและต้นไม้อีกหรอครับที่รัก”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมกระชับวงแขนที่เอวของซีแน่น
“พี่หมอรู้ตัวไหมว่าพี่หมอน่ารักมาก เค้ารักพี่หมอนะครับ”ซีเอ่ยขึ้น
“พี่หมอก็รักแก้มยุ้ยนะ แต่ยังไม่ได้ตอบพี่หมอเลยว่าชอบอะไร”หมอไวท์เซ้าซี้ถามจนซีอดจะหัวเราะไม่ได้จริงๆ
“ก็ต้องเป็นพี่หมออยู่แล้วครับ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนที่จะรู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้น
“เหวอออ พี่หมอครับเดี๋ยวเค้าตก”ซีเอ่ยขึ้นเมื่อหมอไวท์อุ้มร่างเล็กลอยขึ้นก่อนจะพาเข้าไปในห้องนอน
เตียงนุ่มๆกลางห้อง หมอไวท์ค่อยๆวางร่างขาวอย่างนิ่มมือ ใบหน้าแสนน่ารัก แก้มอูมขาวเหมือนพองลมตลอกเวลาทำให้หมอไวท์หลงใหลมาก
จุ๊บ
“พี่มีความสุขมากรู้ไหม ที่เราสองคนได้เจอกันและเข้าใจกัน”หมอไวท์เอ่ย
“เค้าก็มีความสุขครับ ที่ได้เจอพี่และรู้ว่าพี่เองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน”ซีเอ่ยขึ้น
“กลับจากนี้แก้มยุ้ยพาพี่ไปกราบพ่อกับแม่ด้วยนะ พี่อยากจะจองลูกชายท่านทั้งสองไว้ก่อน”หมอไวท์เอ่ย
“พี่หมอ แก้มยุ้ยรักพี่หมอครับ”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นใบหน้ากดจูบที่ริมฝีปากของหมอไวท์เองโดยไม่รีรออะไร และเพลงรักของคนรักกันก็เริ่มขึ้น และไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่
....................
"ไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าเรารักกันมากแค่ไหน"
-
รวดเร็วทันใจ
เสร็จหมอไวท์ไวท์ไปแล้ว อิอิ แต่ซันเปิดก่อนน่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ
(((ความหื่นตอนนี้หมอไวท์ได้ที่ 3 คิกๆๆๆ)))
-
น่ารักกันยาวๆ ..
-
White Lie 7 : เพื่อน (ธนาคินxภัทรกร)
[/b]
หลังจากวันนั้นหมอไวท์และซีก็เป็นเงาตามตัวกันเกือบตลอด ยกเว้นช่วงเวลาทำงานและเรียนเท่านั้น เบนซ์เพื่อนรักของซีรู้สึกแปลกใจนัก นับจากที่กลับจากเบลเยี่ยมมาเขาแทบจะไม่เจอหมอไวท์เลย
“ไอ้ซี ทำไมช่วงนี้ไม่เจอพี่หมอเลยว่ะ”เบนซ์เอ่ยขึ้น
“ช่วงนี้ของมึงคือช่วงไหน มึงเพิ่งกลับจากเบลเยี่ยมได้สองวันเองป่ะ”ซีเอ่ยขึ้น
“ก็จริงนะ มึงช่วยโทรหาพี่หมอชวนไปกินข้าวกันเถอะ”เบนซ์เอ่ยบอกเพื่อนรัก
“ไอ้เบนซ์ กูถามอะไรหน่อยดิ”ซีเอ่ยถามเพื่อนรัก เพราะรู้สึกได้ว่าเบนซ์จะชอบพี่หมอของเขา
“ว่า...”เบนซ์หันมาย้อนถามเพื่อนรัก
“มึงชอบพี่หมอหรอ”ซีเอ่ยถาม ในใจก็เต้นแรงกลัวกับคำตอบนักว่าเพื่อนจะตอบอะไรออกมา
“อื้ม กูชอบพี่หมอ มึงรู้ป่ะว่ากูเล่าเรื่องพี่หมอให้พ่อฟังแล้วนะ แม่กูบอกว่าว่างๆให้ชวนพี่หมอไปกินข้าวที่บ้านด้วย มึงว่ากูชวนพี่หมอไปทานข้าวที่บ้านจะดีไหมว่ะ”เบนซ์เอ่ยขึ้น
“งั้นกูถามมึงอีกที ถ้าพี่หมอโกหกมึงหล่ะ”
“โกหกหรอ โกหกอะไรหล่ะ กูไม่เข้าใจว่ะ”
“ช่วงที่มึงไม่อยู่ กูเพิ่งรู้ว่าพี่หมอที่จริงแล้วไม่ใช่นักศึกษาแพทย์”
“ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์หรอ ไม่เข้าใจอ่ะ”
“อาจารย์ธนาคิน อาจารย์พิเศษที่มาบรรยายเรื่องระบบเส้นประสาทวันก่อน...”
“มึงอย่าบอกนะว่านั่นคือพี่หมออ่ะ”
“อื้ม นั่นหล่ะคือพี่หมอ เขาโกหกเรา แต่เหตุผลที่โกหกมึงไปถามเขาเองนะ”
“แล้วมึงไม่ถามเขาหล่ะ ว่าโกหกเพื่ออะไรอ่ะ”
“กูถามแล้ว สำหรับของกูตาสำหรับมึงกูไม่รู้”
ระหว่างที่ซีและเบนซ์คุยกันไปเรื่อยๆ เสียงนุ่มของหมอไวท์ก็เอ่ยดังขึ้นจากด้านหลัง รอยยิ้มแสนอ่อนโยนทำให้ทั้งซีและเบนซ์ใบหน้ากลับแดงเห่อเพราะรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้ โดยเฉพาะซี
“สวัสดีครับ คุยอะไรกันอยู่หรอ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้างๆซี
“พี่หมอ...”ซีเอ่ย
“กำลังคิดถึงพี่หมอเลยอ่ะ”
“หรอ พี่ก็คิดถึงน้องเบนซ์เหมือนกัน ไม่เจอนานเลยนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นเชิงหยอกเล่น ซีรีบทำหน้าบึ้งออกมาทันที
“ว้าว จริงหรอคะ ดีใจจัง”เบนซ์เอ่ยออกมาอย่างใสซื่อตามแบบธรรมชาติของเธอ แต่ซีกลับทำหน้าเหวี่ยงใส่คนข้างๆทันที
“ไม่มีคนไข้หรอครับ ถึงมาที่นี่ได้”ซีเอ่ยขึ้นเพื่ออยากให้เบนซ์ถามเรื่องที่หมอโกหก หมอไวท์หันมองซีอย่างงงๆว่าซีเป็นอะไร ใบหน้าบึ้งแก้มพองลมแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆเลย
“พี่หมอคะ เรื่องที่ไอ้อ้วนมันเล่า เรื่องจริงหรอคะ”เบนซ์เอ่ยถาม
“เล่าหรอ เล่าเรื่องอะไร”หมอไวท์เอ่ยขึ้นถามกลับ และเอื้อมมือไปจับมือซีที่อยู่ใต้โต๊ะก่อนจะหันมองซี
หมับ...
“เล่าเรื่องที่พี่หมอโกหกเราสองคนว่าเป็นนักศึกษาแพทย์ ทั้งที่พี่หมอทำงานแล้ว พี่หมอช่วยเล่าให้เบนซ์ฟังหน่อยว่าเพราะอะไรถึงโกหกค่ะ”เบนซ์เอ่ยขึ้นถาม หมอไวท์ยกยิ้มอ่อนๆ
“จะให้พี่เล่าแบบไหนหล่ะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นถาม
“มีหลายแบบหรอคะพี่หมอ”เบนซ์เอ่ยถาม หมอไวท์หันมองซีและพยายามดึงมือซีเอามาหาตัวเองไว้ แต่ซีก็ยายามดึงออกจนเบนซ์เห็นท่าทางผิดสังเกต
“พี่หมอกับไอ้อ้วนทำอะไรกันคะ”เบนซ์เอ่ยถามพร้อมจ้องสองหนุ่มตรงข้าม
“เปล๊า...ไม่ทำอะไร๊”เสียงสูงของซีเอ่ยออกมาจนหมอไวท์อดขำกับความน่ารักของซีไม่ได้
“ไอ้อ้วน ถ้ามึงจะเสียงสูงขนาดนั้น มึงแม่งมีพิรุธว่ะ”เบนซ์เอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปทางหมอไวท์ที่นั่งมองซีด้วยสายตาแสนรัก
“พี่หมอ ช่วยบอกเหตุผลมาหน่อยคะ ว่าทำไมถึงโกหกเรา”เบนซ์เอ่ย พร้อมจ้องหน้าหมอไวท์เขม่งเหมือนคั้นเอาคำตอบอย่างจริงจัง
“อย่าทำเหมือนพี่เป็นผู้ต้องหาแบบนั้นสิ ดูจ้องเขา”หมอไวท์เอ่ยพร้อมยกมือจับหัวเบนซ์ไปมา
“งื้อๆ เดี๋ยวผมเสียทรงหมดคะ จะบอกได้หรือยังคะ”เบนซ์คั้นเอาคำตแบ ซีมองการกระทำของทั้งสองยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจนัก ก่อนจะลุกขึ้นและเอ่ยบอกทั้งสอง
“เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”ซีเอ่ยขึ้น หมอไวท์มองไปยังร่างเล็กของซีที่ตอนนี้ทำแก้มพองลมเดินออกไปแล้ว
“ไอ้อ้วนมันเป็นไรอ่ะ”เบนซ์เอ่ยขึ้น สายตามก็มองตามหลังเพื่อนรักไป
“ไม่รู้สิ สงสัยเมนส์จะไม่มามั้ง ฮ่าๆๆ”หมอไวท์เอ่ยเล่นก่อนจะหัวเราะออกมา ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มและความคิดที่ว่าเวลาแก้มยุ้ยของเขาหึง เขาชอบจัง
ช่วงค่ำของวันเดียวกันเบนซ์ชวนหมอไวท์และซีมาทานข้าวที่บ้าน ซีเองยังคงนั่งหน้างออยู่ จนแม่ของเบนซ์ที่มองว่าเพื่อนลูกสาววันนี้ผิดสังเกตนัก
“หมูอ้วนของแม่ วันนี้อาหารไม่อร่อยหรอลูก”แม่ของเบนซ์เอ่ยถามอย่างคุ้นเคย
“เปล่าครับ คุณแม่ทำอาหารอร่อยที่สุดอยู่แล้ว แต่ช่วงนี้ซีไดเอทครับ”ซีเอ่ยขึ้น
“แหม อย่างมึงเนี้ยนะไดเอท หรือว่ามงมีแฟนแล้วว่ะ”เบนซ์เอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจ เพราะซีเคยบอกว่าถ้าได้เจอคนที่ชอบและคนที่ใช่เขาจะลดความอ้วนเพื่อผู้ชายคนนั้น
“หื้ม น้องเบนซ์รู้ได้ไงครับ”เสียงหมอไวท์เอ่ยถามขึ้น ตอนนี้หมอไวท์เองกลับใบหน้าเริ่มตึงเล็กน้อย
“ก็มันเล่าให้ฟังว่ามันอ่ะหลงรักใครคนหนึ่งสมัยเด็ก และก็ไม่ได้เจอเขานานมากแล้ว มันบอกว่าถ้าได้เจอคนนั้นมันจะลดความอ้วน เพราะถ้ามันผอมตอนนี้มันกลัวพี่คนนั้นจะจำมันไม่ได้คะ ฮ่าๆๆ ตรรกะอะไรของมันก็ไม่รู้คะ ฮ่าๆๆ”เบนซ์เอ่ยขึ้น หมอไวท์จึงยกยิ้มขึ้นมาเพราะรู้ดีว่าพี่คนนั้นคือตัวหมอไวท์เอง
“เราก็หัวเราะเพื่อนนะ ว่าแต่คุณหมอมีแฟนหรือยังค่ะ”แม่ของเบนซ์หันมาเอ่ยถามสมาชิกใหม่ที่ลูกสาวเพิ่งแนะนำเมื่อสักครู่ เธอเองก็ชอบคุณหมอคนนี้นัก ทั้งรูปร่างหน้าตา หน้าที่การงาน แต่ประโยคแม่ของเบนซ์ทำเอาซียิ่งนิ่งไปกว่าเดิม หมอไวท์หันมองซีแต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไรเสียงเบนซ์ก็ดังขึ้น
“แม่ ทำไมถามพี่หมอแบบนั้นหล่ะคะ”
“แม่แค่ถามดู เผื่อว่าคุณหมอยังไม่มีแฟน แม่จะได้ชงลูกสาวของแม่บ้างคะ”แม่ของเบนซ์เอ่ยขึ้น ซีค่อยๆรวบช้อนและเอ่ยขึ้นกลางวง
“ซีขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”ซีเอ่ยขึ้นไม่รอให้ใครได้ถามจึงเดินออกไปก่อน หมอไวท์ทำท่าจะเดินตามไปแต่ก็ถูกแม่ของเบนซ์เอ่ยท้วงไว้
“คุณหมอทานแกงเผ็ดนะค่ะ ไม่รู้ว่าทนเผ็ดได้ไหม”แม่ของเบนซ์เอ่ยพร้อมกับหันไปบอกลูกสาว
“เบนซ์ตักแกงให้พี่หมอสิลูก”
“ไม่เป็นไรครับ ผมตักเองได้”หมอไวท์เอ่ยขึ้นแต่เบนซ์ก็ตักมาวางใส่จานเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เป็นไรคะ ทานเยอะๆนะค่ะพี่หมอ”เบนซ์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา ซีที่แอบมองอยู่ก็รู้สึกปั่นป่วนถ้าเขาบอกเพื่อนรักตอนนี้ว่าพี่หมอไวท์เป็นอะไรกับซี เบนซ์จะรู้สึกยังไงแล้วจะโกรธตัวเองไหมถ้าไม่ยอมบอกเพื่อนรักไป
หลังจากทานอาหารเรียบร้อยทั้งหมดก็นั่งคุยเล่นไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่แม่ของเบนซ์ก็จะคุยแต่เรื่องลูกสาวให้หมอไวท์ฟัง จนซีเองกลับรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเคืองคุณแม่สุดที่รักของเบนซ์แล้วสิ
“ตอนเด็กๆนะ น้องเบนซ์กับน้องซีอ่ะเขาซี้กัน วีระกรรมเยอะมาก เยอะจนแม่จะจับไปอยู่ค่ายทหารซะแล้ว”
“โธ่ แม่ครับไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย ซีอ่ะเป็นเด็กดีหรอก ไอ้เบนซ์ต่างหากที่พาซีซนอ่ะ”
“ไอ้อ้วน แกอ่ะตัวดีเลยม่ะ ไม่งั้นคุณป้าไม่เอาแกมาทิ้งไว้บ้านกูหรอก”
“ท่าทางสองคนจะสนิทกันมากเลยนะครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา
“เรียกว่าคู่หูจอมซนเลยคะ แต่ว่าทั้งคู่ยังไม่มีแฟนเลย น่าแปลกใจมากเลย”
“แม่อ่ะ นี่ชมลูกหรือขายลูกกันแน่คะ”เบนซ์เอ่ยขึ้นอย่างเขินๆ
“หมอไวท์จะรับเด็กดื้อไปลองเลี้ยงดูไหมคะ แม่ยกให้เลยคะ ฮ่าๆๆๆ”ยู่ๆแม่ของเบนซ์ก็เอ่ยขึ้น ทำเอาซีเงรยบไปทันที ใบหน้าจากยิ้มๆกลับหุบลง แม่ของเบนซ์รักซีมากเหมือนกับลูกและซีก็รักแม่ของเบนซ์มากเช่นกัน ถ้าซีบอกว่าหมอไวท์คือคนที่ซรรักและรักซี แล้วแม่ของเบนซ์ที่หวังกับหมอไวท์จะเสียใจไหม เพียงแค่ความคิดเท่านั้น
“ดีเลยครับ รีบๆเอามันไปเลยจะได้ไม่ต้องมีคนแย่งของอร่อย เวลาแม่ทำของอร่อยให้กินฮ่าๆ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมา หมอไวท์รีบหันมองซีทันทีก่อนจะเอ่ยขอตัวกลับ
“ผมว่าดึกแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ซีกลับพร้อมพี่เลยนะ”หมอไวท์เอ่ยพร้อมยกมือลาแม่ของเบนซ์ตามด้วยซีทีรู้ดีว่าหลังจากนี้ไม่กี่นาทีเขาต้อองโดนพี่หมอซักแต่นอน
...
..
บรรยากาศในรถที่แสนจะอึดอัดและเงียบตลอดทางกลับบ้าน ซียังคงเงียบตลอดทางในหัวกำลังคิดอะไรมากมายจนหมอไวท์เองก็อึดอัดใจที่ถามคนรักครับตอบคำแบบนี้
“พี่ถามแก้มยุ้ยว่าทำไมทำแบบนี้”
“ทำอะไรครับ”
“ก็เรื่องที่ยัดเยียดพี่ให้กับน้องเบนซ์ไง ทำไมทำแบบนี้”
“ก็ดีไม่ใช่หรอไง ท่าทางคุณแม่ก็ชอบพี่หมอ ไอ้เบนซ์มันก็ชอบพี่หมอ แล้วพี่หมอก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ใช่หรอไง”ซีเอ่ยขึ้นอย่างงอนๆ ที่จริงเขาโกรธที่หมอไวท์ไม่คิดจะปฏิเสธต่างหากหล่ะ
“เราต้องคุยกันสักหน่อยนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าคอนโด ทันทีที่รถจอดได้ซีก็รีบเดินขึ้นห้องทันทีโดไม่ได้รอหมอไวท์เลย
“แก้มยุ้ย...!”หมอไวท์เอ่ยเรียกตามหลังแต่ซีก็ไม่หยุดเดิน
“แก้มยุ้ย...!หยุดเดี๋ยวนี้นะ”หมอไวท์ตะโกนเรียกแต่ซีก็ไม่หยุด
ปึง
“แก้มยุ้ย...!พี่บอกให้หยุดไง”หมอไวท์ตะคอกออกมาแต่ซีกลับเดินเข้าห้องไปอย่างไม่สนใจ
ปัง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“แก้มยุ้ย เปิดประตูให้พี่หมอเดี๋ยวนี้นะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมเคาะประตูห้องนอนรัว
“แก้มยุ้ย เป็นอะไรไป อย่างอนพี่แบบไม่มีเหตุผลนะ ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้”หมอไวท์เอ่ยเขาเองก็เริ่มจะโมโหแล้ว เพราะอยากจะเคลียเรื่องที่แก้มยุ้ยของเขา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อย่าให้พี่ต้องโมโหนะแก้มยุ้ย ออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง พี่จะรอที่โซฟา อีกห้านาทีถ้าไม่ออกมาอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างเงียบๆ ทิ้งให้ซีที่ไม่กล้าจะออกมาเผชิญกับหมอไวท์นั่งอยู่ในห้อง
“ถ้าออกไปก็ต้องโดนดุสิ แล้วพี่หมอก็จะว่าซีเป็นพวกงี่เง่า แต่ถ้าไม่ออกไปพี่หมอก็ดุมึงอยู่ดีป่าวว่ะ”ซีคิดในใจ ในสมองตีกันมั่วไปหมด
“แล้วมึงโกรธเขาเรื่องอะไร แล้วมึงประชดเขาทำไม แล้วมึงรักเขาไหม”ซีเอ่ยในใจก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เฮ้ออออ เอาไงดีว่ะ”ซียกมือขยี้หัวตัวเองไปมาก่อนจะจะลุกขึ้นและเดินไปยังประตู
“เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาตัวเองออกหนึ่งเม็ดอย่างจงใจ
เสียงประตูดังขึ้น หมอไวท์ยังคงนั่งนิ่งโดยไม่หันมองไปยังร่างเล็กแก้มยุ้ยที่กำลังเดินเข้ามา หมอไวท์แอบชำเลืองมองซีเล็กน้อยในใจยกยิ้มกับตัวเองว่าเด็กน้อยของเขาน่ารักมากจริงๆ น่ารักเสียจนอยากจะทำโทษกับคำว่าที่ไล่เขาไปชอบคนอื่น
“นั่งสิ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นนิ่งๆ ซีค่อยๆนั่งลงข้างๆหมอไว้ด้วยใบหน้าที่สลดเล็กน้อย
“รู้ใช่ไหมว่าทำอะไรอยู่”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีพยักหน้า
“รู้ใช่ไหมว่าพี่กำลังโกรธแก้มยุ้ยอยู่”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับนั่งจับมือตัวเองไปมา
“รู้ใช่ไหมว่าพี่ไม่พอใจที่แก้มยุ้ยทำแบบนี้”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีพยักหน้ารับอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“แก้มยุ้ยขอโทษครับ ”ซีเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ หมอไวท์หันมองคนข้างๆก่อนจะเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“ขอโทษหรอ โตแล้วนะไม่ใช่ทำอะไรออกไปโดยไม่คิดแบบนี้”หมอไวท์เอ่ยเสียงนิ่งๆ น้ำเสียงที่ซีรู้สึกกลัวขึ้นมาจนเสียวหลังขึ้นมา
“ก็ขอโทษแล้วไง แล้วจะให้เค้าทำยังไงหล่ะพี่หมอถึงจะหายโกรธอ่ะ”ซีเอ่ยขึ้นถาม หมอไวท์จึงหันมองคนข้างๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“มานั่งตรงนี้มา แล้วพี่หมอจะบอกว่าต้องทำยังไง”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมใช้มือตบที่ตักตัวเอง ซีที่ใบหน้าแดงก่ำออกมาทันทีทั้งอายและเขินแต่เขากลัวคนตัวสูงโกรธมากกว่า ซีจึงค่อยๆพาตัวเองไปนั่งคร่อมที่ตักของหมอไวท์ ใบหน้าที่ว่าร้อนวูบวาบแต่มันก็ไม่เท่าใจที่เต้นแรงจนรู้สึกเจ็บไปหมดตอนนี้ ถ้าหมอไวท์ไม่เอามือหน้าประคองที่ก้นของเขาตอนนี้ สองมือเรียบถูกรวบขึ้นมาโอบรอบคอขาวตอนนี้
“นั่งแบบนี้สักพักนะ”หมอไวท์เอ่ยบอกคนบนตักที่ใบหน้าแดงยิ่งกว่าอะไร
“พี่หมอหายโกรธแก้มยุ้ยแล้วใช่ไหมครับ”ซีเอ่ยเสียงอ่อนออกมา หมอไวท์ยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คิดดูก่อนว่าแก้มยุ้ยจะทำให้พี่หมอหายโกรธสนิทหรือเปล่า”หมอไวท์เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งซีเองก็รู้สึกได้ว่ากลางกายของหมอไวท์กำลังดุนดันชนกับก้นของเขา และอกขาวๆของซีก็ถูกใบหน้าหล่อๆของหมอไวท์ค่อยๆซุกไซร้ไปมา และก็ไล่ไปที่คอสวยนั้น
“อ่าห์...พี่หมอ เค้าเสียววว”เสียงครางเอ่ยบอกพร้อมร่างกายที่แอ่นให้อีกคนโดยไม่มีเงื่อนไขใด
“แก้มยุ้ย พี่หมอรักแก้มยุ้ยมากรู้ไหม”หมอไวท์เอ่ยออกมาทั้งๆที่ตอนนี้แทบจะจับคนบนตักกลืนกินไปทั้งตัวแล้ว แก้มยุ้ยแดงๆกำลังเชิดหน้าขึ้นเพื่อให้อีกคนได้ลิ้มลองไปทั่วร่างเพียงเพราะความต้องการและความพอใจของกันและกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรต่อไปนี้ซีคงไม่กลล้าที่จะไล่พี่ชายที่รักให้ใครอีกแล้ว ถึงแม้ว่าคนนั้นจะเป็นเพื่อนรักก็ตาม
“แก้มยุ้ยจะไม่ไล่พี่หมอให้ใครอีกแล้ว...อ่าห์ พี่หมอเป็นของแก้มยุ้ยฮะ...”เพลงรักกลับบรรเลงขึ้นทั้งๆที่เมื่อสักครู่สถานการณ์ตึงเครียดเหลือเกินแต่กลับแพ้ความรักและความต้องการของกันและกัน
................
"เรื่องบางเรื่อง เพื่อนก็ไม่สามารถทำแทนได้"
-
ง้อคืนดี ..
-
ใช่เลย อิอิ
รีบบอกเบนซ์ได้แล้วว
-
White Lie 8 : พี่ข้างห้อง (ธนาคินxภัทรกร)
[/size]
เกือบสองเดือนแล้วที่หมอไวท์และซีคบหากัน คืนนี้ทั้งสองจึงอยากจะฉลองครบรอบสองเดือนที่ห้องของซี ซึ่งกำลังตั้งใจทำอาหารมื้อพิเศษอยู่ตอนนี้ ระหว่างที่กำลังทำอาหารอยู่เสียงมือถือของซีก็ดังขึ้น
Rrrrrrrrrrrr
“มาแล้วครับ”เสียงจากในครัววิ่งมาที่โต๊ะโซฟา ก่อนจะกดสายรับเมื่อรู้ว่าปลายสายคือใคร
“ครับพี่หมอ ถึงไหนแล้วครับ”
(“แก้มยุ้ย พี่อาจจะไปเลทนะ”)
“...”
(“อย่าเงียบสิ พี่มีเคสผ่าตัดด่วนมากจริงๆ”)
“ครับ”
(“อย่างอนนะ พี่รักแก้มยุ้ยนะครับ”)
“แก้มยุ้ยก็รักพี่หมอนะครับ ถ้ามาตอนไหนก็โทรมาบอกด้วยนะครับ”
(“ครับผม คุณเมียที่รัก”)
“บ้าจริงๆเลย ไปทำงานเถอะครับ แก้มยุ้ยจะรอนะครับ”
(“ครับผม คืนนี้เตรียมตัวฉลองพิเศษด้วยนะ”)
“พี่หมออ่ะ...”
(“พี่ไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน”)
เสียงสนทนาแม้จะดูรู้สึกไม่ดีนักสำหรับคนที่กำลังรออยู่ แต่มันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่เข้าใจกันและกัน ซียกมือถือขึ้นมากดโทรหาเพื่อนรักอย่างเบนซ์ ซีอยากจะบอกเบนซ์เรื่องของตัวเองกับหมอไวท์
(“ว่าไงอ้วน”)
“มึงอยู่ไหน”
(“กูพาแม่มาซื้อของอ่ะ มึงอ่ะทำไรอยู่”)
“ไม่ได้ทำอะไร”
(“อ่อ...”)
“เบนซ์...กูมีเรื่องจะบอกมึง”
(“เรื่องอะไรว่ะ”)
“คือกู...กับพี่หมอ...”
(“อ้วนๆ เดี๋ยวกูโทรหานะตอนนี้แม่กูเรียกไปถือของแล้วอ่ะ”)
“เอ่อๆๆ”
เมื่อวางสายจากเบนซ์เรียบร้อย ซีก็นั่งถอนหายใจออกมาสายตามองไปยังด้านนอกระเบียง ก่อนจะหันไปที่ประตูห้องตัวเองเมื่อได้ยินเสียงกุกกักที่หน้าห้องพร้อมเสียงคีย์การ์ดดังขึ้นเป็นระยะ
“ใครว่ะ...”ซีอุทานออกมาเบาๆก่อนจะเดินส่องตาแมวดูก็เห็นผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งกำลังพยายมก้มทำอะไรสักอย่างดูเหมือนว่ากำลังจะพยายามเปิดห้องของซีอยู่
แกร๊ก!
“คุณกำลังทำอะไรอ่ะ”ซีรวบรวมความกล้าเปิดประตูออกทันที
“อ๊ะ...คือ...”ร่างสูงตรงหน้าหน้าตาตื่นทันทีก่อนจะขมวดคิ้วหากันก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ขอโทษด้วยครับ ผมจำหมายเลขห้องผิดแน่ๆเลย”ชายหนุ่มตรงหน้าก้มมองที่คีย์การ์ดก่อนจะรู้ว่าที่จริงเขาอยู่ห้องข้างๆไม่ใช่ห้องนี้แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรต่อจมูกของชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังรับกลิ่นกลับได้กลิ่นไหม้ๆจากในครัว
ฟิด ฟิด ฟิด
“คุณไอ้กลิ่นอะไรไหม”
“กลิ่นหรอ กลิ่นอะไร”
“กลิ่นไหม้อ่ะครับ...”ยังไม่ทันที่จะเอ่ยต่อ ร่างสูงของคนที่อยู่ด้านนอกก็วิ่งตรงมาที่ครัวทันที ซีเองก็ตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทันห้ามเพราะครัวโขมงที่กำลังกระจายไปทั่วห้องแล้ว
“เชี่ย!...”เสียงอุทานออกมาเสียงดังก่อนจะวิ่งไปที่ครัวตามร่างสูงนั้น ทั้งสองช่วยกันดับควันที่ฟุ้งอยู่ตอนนี้ โดยใช้เวลาไม่นานนัก
“แค่กๆๆ โอ๊ยยยยเกือบตายแล้วเรา”เสียงบ่นงุบงิบของซีบ่นขึ้นก่อนที่จะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นพร้อมๆกับชายร่างสูงคนนั้น
“อ่า เกือบไหม้ทั้งตึกแล้วนะครับ”เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะหันมองมายังใบหน้าขาวของซีที่หายใจหอบอยู่
“แก้มคุณเปื้อนอ่ะ”ซีหันมองร่างสูงข้างๆก่อนจะใช้มือเช็ดที่แก้มตัวเอง แต่คนข้างๆก็ยังอดขำไม่ได้ที่เช็ดยังไงก็เช็ดไม่ตรงจุดสักที
“ไม่ใช่ครับ ตรงนี้ครับ”คนข้างๆก็ยังพยายามให้เช็ดตรงจุด
“ตรงนี้หรอครับ”ซีเองก็พยายามเช็ดให้ตรงที่บอกแต่ก็ไม่ใช่สักที
“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้เองดีกว่า”ความพยายามของซีไม่สำเร็จสักทีจนคนข้างๆยกมือขึ้นมาเช็ดบริเวณให้เองและความอ่อนโยนและนุ่มนวลทำให้ซีคิดถึงหมอไวท์ขึ้นมา
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมไปล้างหน้าทีเดียวก็ได้ครับ”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้น
“ผมชยางกูรครับ เพิ่งย้ายมาอยู่ แต่ว่าห้องข้างๆคุณนะครับและต้องขอโทษด้วยที่รบกวนคุณ...”ชยางกูรเอ่ยขึ้นค้างไว้เพราะไม่รู้ว่าคนตัวเล็กกว่าแก้วยุ้ยคนนี้คือใคร
“อ่อ ซีครับ ไม่เป็นไรครับยินดีตอนรับสมาชิกคอนโดคนใหม่นะครับ”ซีเอ่ยขึ้น
“ถ้าดูไม่ผิดคุณซีน่าจะอายุน้อยกว่าผม พอดีผมทำงานแล้วหน่อครับแล้วคุณซีหล่ะ”
“อ้อ ผมเรียนอยู่ปีสามแล้วครับ ว่าแต่คุณชายางกูรทำงานอะไรครับ”ซีเอ่ยถามกลับ ชยางกูรนั่งลงที่โซฟาก่อนจะยกยิ้มให้ซี
“อยากเรียคุณเลยเรียกพี่กูรก็ได้ พี่ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์อ่ะ”ชยางกูรเอ่ยพร้อมยกยิ้มหวานออกมา
“ว้าว งั้นก็ได้เจอดาราหลายคนเลยอ่ะสิครับ”ซีเอ่ยออกมาหน้าตาตื่นเต้นอย่างน่ารักออกมา
“ก็หลายคนนะ ว่าแต่น้องซีชอบใครหล่ะถ้าพี่ได้ร่วมงานกับเขาพี่จะได้ขอลายเซ็นมาให้ไง”ชยางกูรเอ่ยออกมา
“จริงๆหรอครับ งั้นดีเลยผมชอบ....”ยังไม่ทันที่ซีจะเอ่ยต่อ เสียงมือถือของซีก็ดังขึ้น
Rrrrrrrrrrrrr
“ขอตัวแปบนะครับ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินไปรับสาย
(“แก้มยุ้ยจ๋า พี่หมอขอโทษจริงๆคืนนี้ต้องดึกแน่ๆเลย”)
“ไม่เป็นไรครับ ดึกแค่ไหนแก้มยุ้ยก็จะรอ พี่หมอดูแลตัวเองด้วยนะ”
(“รักแก้มยุ้ยที่สุดเลยอ่ะ”)
“แก้มยุ้ยก็รักพี่หมอครับ มาถึงเมื่อไหร่ค่อยทานข้าวกันก็ได้”
(“พี่หมอจะรีบกลับนะครับ”)
“ครับ”
ซีวางสายเรียบร้อยก็เดินออกจากครัวมาพร้อมน้ำดื่มเย็นๆให้แขกคนใหม่ ที่ตอนนี้ดูจะยิ้มแก้มปริอยู่เมื่อเห็นความน่ารักของซี
“มาตั้งนานยังไม่เอาน้ำให้เลย...น้ำครับ”ซีเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ น้องซีอยู่กับใครหรอ”ชยางกูรเอ่ยถาม
“อ่อ คนเดียวครับนานทีคุณมัมและป๋าจะมาทีครับ”ซีเอ่ยขึ้น
“แล้วน้องซีมีแฟนหรือยัง โทษทีนะที่พี่ถามแบบนี้ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกัน”ชยางกูรเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ คือซี...”เสียงมือถือของชยางกูรดังขึ้นบ้างซีจึงหันไปยิ้มให้เมื่อชยางกูรขอตัวรับสาย ซีมองตามหลังเล็กน้อยและก็ไม่นานที่ชยางกูรรับสายเขาก็เดินเข้ามา
“พี่ขอตัวก่อนดีกว่า นี่ก็รบกวนน้องซีมากแล้วพี่เองก็ยังไม่ได้จัดของอะไรเลย”
“งั้นเดี๋ยวซีไปช่วยดีไหมครับ”ซีเอ่ยเสนอขึ้น ชยางกูรยกยิ้มให้อย่างละมุนก่อนจะพาซีไปที่ห้องของตัวเองที่อยู่ข้างๆ ทั้งซีและชยางกูรแปลกใจนักที่ทั้งคู่กลับสนิทสนมกันในเวลาไม่นาน
“ว้าว ห้องพี่ปต่งสวยจังนะครับ นี่คงไม่ได้จ้างทางคอนโดมาแต่งให้หรอกใช่ไหมครับ เพราะมันแต่กต่างจากห้องซีจัง”ซีเอ่ยขึ้นเพราะห้องของชยางกูรดูสวยและมีคลาสมากแค่ไหน
“อ่อ ไม่ใช่หรอก พี่แต่งเองหล่ะ สวยไหม”
“สวยมากครับ...แล้วพี่จะเอารูปวาดนี้ไว้ตรงไหนครับ”ซีเอ่ยขึ้น เมื่อกำลังแบกรูวาดขนาดใหญ่พอประมาณขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แอ่นไปแอ่นมาจนตัวเองสะดุดเท้าตัวเองจะล้ม
“อะ อ๊ะ เอ้ยยยยย”
“ระวังงงงง”
หมับ!
ปึก!
“อ๊ะ...”ร่างของซีตอนนี้หล่นลงเรียบร้อยแต่อยู่ในอ้อมกอดของชยางกูรเต็มๆ อ้อมกอดที่นุ่มนวลและร่างกายที่อบอุ่นชยางกูรสนใจคนตัวเล็กผิวขาวคนนี้ซะแล้วสิ
“ระวังหน่อยสิ”ชยางกูรเอ่ยขึ้นก่อนที่จะค่อยๆปล่อยซีจากอ้อมกอด
“ขะ...ขอบคุณครับ แต่ว่าซีทำรูปพี่พังแล้วอ่ะ ซีขอโทษครับ”ซีทำเสียงอ่อนลงเมื่อตัวเองทำรูปวดของชยางกูรตกและภาพก็เสียหาย
“เป็นไรหรอกน้องซี แค่นี้เองเดี๋ยวหาซื้อใหม่ก็ได้”ชยางกูรเอ่ยขึ้น ซีมองไปที่ลาดเซนต์เป็นรูปวาดของนักวาดชื่อดังเสียด้วยสิ
“แต่ว่า รูปวาดนี้เป็นของคุณพิเศกนักวาดชื่อดังเลยนะเนี้ย บอกซีหน่อยราคาเท่าไหร่ครับ”ซีเอ่ยถามอย่ารู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกหน่า นิดหน่อยเอง ซีไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”ชยางกูรเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้ครับ บอกซีมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”อยู่ๆซีก็เอ่ยออกมาอย่างน่ารักแบบลืมตัว เขาแสดงออกมาได้น่ารักเกินไปจนชยางกูรควบคุมหัวใจไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ
“อ่าๆ มันก็หลายตังค์อยู่นะ”ชยางกูรเอ่ยขึ้น
“หลายตังค์คือเท่าไหร่ครับ บอกเป็นหลักก็ได้นะๆ ซีอยากรู้จริงๆอยากจะชดใช้ให้อ่ะครับ”ซีเอ่ยขึ้น ชยางกูรจึงยกยิ้มขึ้นและเอ่ยบอกจำนวนเลขราคาภาพนั้น
“หกหลักอ่ะ แต่ไม่บอกเท่าไหร่นะ”
“โห้วววว แล้วซีจะหาเงินที่ไหนมาใช้พี่กูรเนี้ย งื้อๆ”ซีทำท่าทางน่ารักออกมา ยิ่งทำให้ชยางกูรเลยว่ารักแรกพบมันเป็นยังไง
“ซีทำไมน่ารักจัง”อยู่ๆชยางกูรก็เอ่ยขึ้นแต่ไม่ดังมากนัก
“อะไรนะครับ”ซีเอ่ยขึ้นถามเมื่อเขาได้ยินไม่ชัดนัก
“ปะ...เปล่าอ่ะ ว่านี่สามทุ่มกว่าแล้วซีหิวหรือยัง”ชยางกูรเอ่ยขึ้นถาม ที่จริงซีเองก็มีนัดทานข้าวกับหมอไวท์แต่จยบัดนี้หมอไวท์ยังไม่โทรมาเลย ก่อนจะยกมือถือมาดูข้อความของหมอไวท์
White : คืนนี้ดึกแน่ๆเลย พี่หมอขอโทษแก้มยุ้ยด้วยนะ
ซี : ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้เจอกันนะครับพี่หมอ
White : ครับที่รัก
ซีหน้าเสียไปเล็กน้อย รู้สึกน้อยใจนักที่หมอไวท์มาทานข้าวในวันที่ครบรอบสองเดือนไม่ได้ แต่ซีก็เข้าใจว่าอาชีพหมอต้องอุทิศตนเพื่อส่วนร่วมเสมอ คิดจะเป็นแฟนหมอก็ต้องทำใจ ซีคิดแบบนั้น
“น้องซี เป็นอะไรไปครับ”ชยางกูรเอ่ยถาม
“เปล่าครับ กำลังคิดอยู่ว่าจะหาเงินที่ไหนมาชดใช้ค่ารูปวาดของพี่กูรดี”
“ฮ่าๆๆไม่ต้องคิดเลย”ชยางกูรเอ่ยขึ้น
“งั้น ซีเลี้ยงข้าวพี่กูรดีกว่าเนอะ”
“ก็ดีนะ พี่กินจุนะเตรียมเงินไว้เลย”
“แหม จะกินมากสุดได้เท่าไหร่เชียวครับ งั้นพรุ่งนี้ไปทานข้าวกันนะครับ”ซีเอ่ยบอก
“พรุ่งนี้พี่ต้องไปทำงานที่อิตาลีหน่ะสิ”ชยางกูรเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย
“แย่จังครับ”ซีเอ่ยขึ้นก่อนที่ที่ชยางกูรจะเอ่ยขึ้น
“งั้นก็วันนี้เลยสิ ดีม่ะ”ชยางกูรเอ่ยขึ้น
“สามทุ่มเนี้ยนะครับ”
“อื้ม แต่ถ้าน้องซีไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ”ชยางกูรเอ่ยขึ้น ไม่ใช่ว่าซีไม่สะดวกอะไรแต่ซียังมีความหวังว่าหมอไวท์จะกลับห้องวันนี้
“เอ่อ ไม่มีปัญหาครับ งั้นเราไปทานแถวนี้ดีไหมครับ ซีมีร้านแนะนำอยู่นะ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมา
“จริงดิ ได้เลย พร้อมไปกันเลยมั้ย”ชยางกูรเอ่ยขึ้น ก่อนจะพากันออกจากคอนโดก็ร่วมจะสามทุ่มครึ่งแล้ว
ซีพาชยางกูรมาร้านแถวๆคอนโด เป็นร้านอาหารแบบนั่งชิวสบายๆ เมื่อทั้งสองพากันมาถึงร้านก็สั่งอาหารอย่างที่ตัวเองอยากจะทาน เพราะที่จริงต่างคนต่างหิวมากกว่า
“สั่งมาขนาดนี้ต้องสั่งให้หมดนะครับ”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ได้เลย มีเงินจ่ายหรือเปล่าหล่ะเราอ่ะ”ชยางกูรเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ
ทางด้านหมอไวท์ที่เพิ่งเสร็จจากงานผ่าตัดเคสด่วนก็รีบชำระร่างกายและเก็บของทันที เขาไม่อยากให้แก้มยุ้ยของเขาเสียใจที่วันนี้เบี้ยวนัด
“แก้มยุ้ยคงโกรธแย่เลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น กะจะเซอร์ไพรส์ซีด้วยทีเดียวจึงไม่ได้โทรหาซี
“คุณหมอ กำลังจะกลับแล้วหรอคะ”เสียงพยาบาลสาวที่เป็นผู้ช่วยในการผ่าตัดเอ่ยขึ้น
“ครับ คุณวิวมีอะไรหรือเปล่าครับ”หมอไวท์เอ่ยถามพยาบาลสาว
“วิวจะขอติดรถไปด้วยได้ไหมคะ”เสียงพยาบาลสาวเอ่ยขึ้นเพื่อขอติดรถไปด้วย
“อ่อ ได้ครับ รบกวนรีบหน่อยนะครับพอดีผมนัดแฟนไว้”หมอไวท์เอ่ยบอก
หมอไวท์ขับรถออกมา แม้จะสามทุ่มกว่าแล้วแต่รถบนท้องถนนก็ยังติดอยู่บ้าง ทำให้หมอไวท์ที่ต้องทำเวลากลับหงุดหงิดใจนัก แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาเพราะเขาเป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดี
“หมอคะ รบกวนไปส่งวิวที่คอนโดได้ไหมคะ เพราะซอยเข้าคอนโดวิวมันเปลี่ยวเล็กน้อยคะ อีกอย่างนี่ก็ดึกแล้วด้วย”หญิงสาวเอ่ยบอก หมอไวท์เองก็เป็นสุภาพบุรุษพอ อีกอย่างหญิงสาวก็เป็นเพื่อนร่วมงานของหมอไวท์ด้วย
“ได้ครับ งั้นบอกทางมานะครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ก่อนจะขับรถไปตามทางที่หญิงสาวบอก
“คุณหมอหิวไหมคะ เราแวะทานอะไรก่อนดีไหมคะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้น เพราะตั้งแต่บ่ายช่วงมีเคสผ่าตัด หมอไวท์และเธอก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย
“เอ่อ...คือผม”หมอไวท์เอ่ยอึกอักออกมา
“นะคะ แปบเดียวเอง พอดีวิวหิวมากเลยคะ”หมอไวท์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ก็ทำยังไงได้หล่ะ เขาเป็นผู้ชายจะปฏิเสธยังไงดี แค่กินแปบเดียวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
ระหว่างที่เดินเข้ามาในร้านอาหาร ทั้งสองกวาดสายตาหาที่นั่ง แต่สายตาของหมอไวท์กลับเห็นร่างเล็กตัวขาวแก้มยุ้ยที่คุ้นตาที่กำลังหันมาสบตากับเขาเองที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมหญิงสาว
“แก้มยุ้ย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีเองก็คงอุทานเรียกชื่อหมอเช่นกันก่อนที่ซีจะรีบลุกออกไปทันที หมอไวท์เองก็รีบตามไปทันทีเช่นกัน
“แก้มยุ้ยหยุดก่อน....”เสียงของหมอไวท์ที่เออ่ยขึ้นพร้อมวิ่งตามซีออกไป
“คุณหมอคะ...”เสียยงพยาบาลสาวเอ่ยเรียกตามหลัง
“น้องซี...น้องซีครับ”เสียงของชยางกูรที่เดินกลับมาจากไปห้องน้ำก่อนจะยกมือถือโทรหาซีทันที แต่ซีก็ไม่รับสายก่อนจะมีข้อความของซีเข้ามา
น้องซี : ซีขอโทษนะครับที่วิ่งออกมาแบบนั้น
ชยางกูร : มีอะไรเล่าให้พี่ฟังได้ไหม เดี๋ยวพี่ไปหาที่ห้องนะ
น้องซี : พี่กูร เอาไว้ซีพร้อมซีจะเล่าให้ฟังนะครับ ครั้งนี้ซีขอจริงๆ
ชยางกูร : ครับ พี่กลับจากอิตาลีพี่จะแวะไปหานะ
ข้อความเงียบไปเพราะซีกำลังเจ็บและปวดเมื่อได้เจอหมอไวท์ที่ร้านอาหารและก็เจ็บมากแค่ไหนที่หมอไวท์มาทานข้าวกับผู้หญิงอื่น ทั้งที่คืนนี้เขาทั้งสองคนต่างสัญญาว่าจะมาทานข้าวด้วยกันในวันครบรอบสองเดือน นี่หรอคือสิ่งที่คนรักกันกำลังทำอยู่
...............
"การวิ่งหนีปัญหาคือทางแก้ที่ผิด"
[/size][/pre]
-
ใจเย็นซีๆๆๆ รอหมอไวท์คนเก่ง
-
เข้าใจกันผิด ..
-
White Lie 9 : ความรักชนะทุกอย่าง (ธนาคินxภัทรกร)
[/size]
หมอไวท์วิ่งเข้าห้องได้ก็กวาดสายตาไปทั่วห้องและก็ตรงไปที่ห้องนอนทันทีเพราะรู้ว่ายังไงซีก็ต้องอยู่ที่นั้นแน่นอน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“แก้มยุ้ย อยู่ข้างในใช่ไหม เปิดประตูให้พี่หมอหน่อย”หมอไวท์เอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยความห่วง
“ฮื่อๆๆ ทำไมถึงโกหกกันด้วย”ซีปล่อยโฮออกมาทันทีที่เข้าห้องได้ ซีค่อยๆหันมองที่ประตูห้องนอนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเลย
“แก้มยุ้ย แก้มยุ้ย...”หมอไวท์ก็ยังคงเรียกคนในห้องอย่างต่อเนื่อง
“อย่ามายุ่งกับผม ออกไป”เสียงของซีตะโกนออกไป หมอไวท์เองก็พอจะรู้บ้างว่าเด็กน้อยของเขาดื้อมากแค่ไหน
“แก้มยุ้ย เราสองคนมาคุยกันดีๆ ดีไหม โตๆกันแล้วอย่าทำตัวเป็นเด็กเลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“อย่ามายุ่งกับผม ถึงผมจะเด็กแล้วไงหล่ะ”ซีเอ่ยขึ้น
“แก้มยุ้ย พี่บอกให้เปิดประตูเดี๋ยวนี้ อย่ามางี่เง่ากับพี่นะ”หมอไวท์เองก็เริ่มจะโมโหซีเองโมโหจัดที่ถูกหมอไวท์ต่อว่า เขาไม่อยากให้หมอไวท์ว่าเขางี่เง่า ซีรีบเปิดประตูพร้อมเผชิญหน้ากับหมอไวท์
“อย่ามาว่าผมงี่เง่านะ...”ซีเอ่ยขึ้น สายตาจ้องมองไปยังสายตาของหมอไวท์ที่จ้องมายังสายตาสวยของซีเช่นกัน
หมับ
“อ๊ะ...พี่หมอปล่อยผมนะ”หมอไวท์ไม่ยอมให้คนตัวเล็กตีงหน้าจ้องเขาอีกนานต่อไปแล้ว เพราะเขาแคร์คนตัวเล็กมากและอยากจะอธิบายให้เข้าใจ
“ไม่ปล่อย และแก้มยุ้ยก็เลิกเรียกตัวเองว่าผมสักที”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีพยายามดิ้นสุดแรงด้วยความโกรธ
“อย่ามาสั่งผม ปล่อยผมเดี๋ยวนี้”ซีเอ่ยขึ้น
“แก้มยุ้ยก็อย่ามาสั่งพี่หมอเหมือนกัน อย่าดิ้นและก็ตั้งใจฟังพี่”หมอไวท์เอ่ยเมื่อพาร่างของซีที่อยู่ในอ้อมกอดมาที่เตียงพร้อมคร่อมร่างซีไว้
“จะให้ผมฟังคุณเรื่องอะไรหรอครับ แล้วมาแบบนี้ผู้หญิงของคุณไม่ว่าเอาหรอไง”ซีเอ่ยอย่างประชดพร้อมเบี่ยงหน้าหลบ ขืนฝืนดิ้นยังไงก็สู้แรงหมอไวท์ไม่ได้อยู่ดี
“หันมาคุยกับพี่และมองพี่เดี๋ยวนี้”หมอไวท์เอ่ยพร้อมดึงใบหน้าของซีหันมาหาตัวเอง ซีก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเอาแต่หลบสายตาของหมอไวท์
“คุณวิวเป็นแค่พยาบาลที่โรงพยาบาล เธอขอติดรถมาด้วยวันนี้มีเคสเลิกดึก อย่างที่พี่บอกแก้มยุ้ย...”ยังไม่ทัที่หมอไวท์จะเอ่ยต่อ ซีก็เอ่ยขัดขึ้น
“พอเถอะครับ ไม่ต้องเล่าหรอก เห็นผมเป็นเด็กมากหรอไงที่จะเล่าเรื่องโกหกพวกนี้แล้วผมจะเชื่ออ่ะ”ซีเอ่ยขึ้น หมอไวท์เองก็เริ่มจะฉุนขึ้นอีกครั้งที่ซีดูไม่ทีเหตุผลเอาซะเลย
“ทำไมถึงไม่มีเหตุผลแบบนี้นะ”หมอไวท์เอ่ยตำหนิ ยิ่งทำให้ซีโมโหขึ้นพยายามดิ้นสุดแรง แต่หมอไวท์ก็พยายามปราบซีอยู่
“ปล่อยผมนะ...”
“ไม่ปล่อย แกม้ยุ้ยมีสติหน่อยสิ”
“ผมบอกให้ปล่อยผมไง...”
เพี๊ยะ...
ใบหน้าของหมอไวท์หันไปเล็กน้อยตามแรงฟาดของฝ่ามือเล็กของซี ดวงตาที่ฉ่ะน้ำตาของซีกำลังเอ่อล้นออกมา มือเล็กสั่นเทาร้อนวูบวาบไปหมด เพราะซีไม่ได้ตั้งใจที่จะตบหน้าหมอไวท์เลยสักนิด
“พะ...พี่หมอ...”ซีเอ่ยเบาๆ อยากจะบอกขอโทษแต่ปากลับพูดอะไรไม่ออก หมอไวท์เป็นคนที่ใจเย็นและมักมีเหตุผลเสมอ แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกสติไม่มีแล้วอาจเป็นเพราะคนที่เขารักไม่ยอมเข้าใจเขา และเขาทำให้คนที่เขารักร้องไห้เสีย
“แก้มยุ้ย โตแล้วน่าจะมีเหตุผลมากกว่าใช้กำลังนะ”หมอไวท์พยายามกลั้นความโกรธไว้
“ผมมันเด็กครับ ผมมันงี่เง่า ผมมันเป็นคนไม่มีเหตุผล แต่ถ้าพี่หมอลองมาเป็นผมดูจะรู้ว่าการที่รอคนที่เรารักมาทานข้าวด้วยทั้งๆที่นัดกันเพื่อวันครบรอบของเรา แต่กลับเจอคนที่เรารักไปกับผู้หญิงอื่น พี่หมอจะรู้สึกยังไงครับ ถ้าทำไม่ได้ไม่ต้องสัญญานะครับ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมเบี่ยงหน้าออกทั้งน้ำตา แต่หมอไวท์กลับรั้งใบหน้าขาวแก้มอุ้มนั้นไว้
“ฟังพี่นะ...ว่าพี่รักแก้มยุ้ย”หมอไวท์เอ่ยและไม่รอให้ซีเอ่ยอะไรต่อริมฝีปากของซีกลับถูกปิดสนิทไม่มีแม่แต่เสียงใดเล็ดลอดออกมา มีเพียงเสียงริมฝีปากและลิ้นที่สัมผัสกันอย่างดุเดือด
“อ่อยยย (ปล่อย)”ซีพยายามจะเอ่ยออกมา มือเล็กทุบตีที่หน้าอกของหมอไวท์แต่ก็ไม่เป็นผล มือหนากลับรวบข้อมมือเล็กไว้เหนือศรีษะก่อนที่หมอไว้จะกวดลิ้นไปทั่วโพรงปากหวานนนั้น
“อื่ออออ”
“อ่าห์...”
เวลาไม่นานนักจากเสียงโวยวายที่ร้องออกมา กลับเป็นเสียงครางที่บอกว่าเขาทั้งสองต้องการกันและกัน อาภรณ์ที่มีอยู่กลับค่อยๆถูกถอดออกจนหมด ร่างกายสองร่างกายต่างมอบความรักและความอบอุ่นให้กัน
“อ่าห์...แก้มยุ้ย พัรักแก้มยุ้ยมากนะ”เสียงเอ่ยเพ้อของหมอเมื่อความต้องการมันกำลังเพิ่มมากขึ้น มือหนาจับมือเล็กของซีขึ้นมาก่อนจะย้ายมาจับที่กลางกายของตัวเอง
“อ่าห์...”
“อื้ม...”
“กะ...แก้มยุ้ย ทำให้พี่หน่อย”หมอไวท์กระซิบบอกคนใต้ร่างที่กำลังหน้าแดงเห่อ ซีทั้งอายทั้งโกรธที่ตัวเองแพ้ทุกอย่างที่หมอไวท์กำลังทำอยู่ตอนนี้
มือเล็กกำลังจับรูดแก่นกายขนาดใหญ่ขึ้นลงอย่างชินมือ ใบหน้าเล็กเชิดขึ้นด้วยความเสียวพร้อมๆกับใบหน้าหล่อเหลาของหมอไวท์ที่เชิดขึ้นเพราะความเสียวซ่าน
“อ่าห์...พี่หมอ”เสียงครางออกมาอย่างอ้อนวอนเมื่อมือของหมอไวท์กำลังขยี้เข้าที่ตุ่มไตสีทับทิมนั้นอย่างนุ่มนวลแต่มันช่างเสียวสุดใจเหลือเกิน
“แก้มยุ้ย...จำเอาไว้นะว่าหัวใจของพี่หมอมีแค่แก้มยุ้ยเท่านั้น”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมกดจูบที่ขมับของซีก่อนจะแทรกกายตัวเองเข้าไปทันที
อึก
“อ่าห์...”
“ซี๊ดดดดด แน่นชะมัดเลย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นตรงๆอย่างลืมตัว จนซีเองหน้าแดงฉ่าออกมากขึ้นกว่าเดิม สองมือเล็กจับที่ไหล่กว้างแน่นก่อนจะหลับตาลงพร้อมรับกับความเจ็บและความสุขในเวลาเดียวกัน
เสียงครางทั่วห้องต่างคนต่างไม่ยอมกัน เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงสองร่างเปลือยที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อกำลังกอดรัดกันอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวแก้มยุ้ยซุกอยู่ที่อกกำลังเม้มปากเข้าหากันก่อนจะกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างครุ่นคิดว่าจะเอ่ยอะไรต่อจากนี้
“แก้มยุ้ย พี่หมออยากให้แก้มยุ้ยเชื่อใจพี่หมอ ไม่มีใครมาทำให้หัวใจพี่หมอเปลี่ยนไปได้เพราะหัวใจพี่หมอมีแต่แก้มยุ้ย นานเท่าไหร่ที่เรากันและกัน เวลานานท่ำกร่ที่เราเฝ้ารอที่ได้เจอกัน แก้มยุ้ยจะให้เวลานั้นมันสูญเปล่าหรือไง”หมอไวท์เอ่ยขึ้น และมันก็คือเรื่องจริงอย่างที่หมอไวท์พูด
“เอ่อ...”ซีเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ได้แต่ซุกหน้าที่อกของหมอไวท์ มือหนาลูบไล้ไปมาทั่วแผ่นหลังและไหล่เนียน
“คุณวิวเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาล เธอขอติดรถมาด้วยด้วยการที่ต้องผ่าตัดหลายชั่วโมงเธอจึงขอแวะทานอาหารก่อน ซึ่งพี่เป็นหมอและเป็นผู้ชายจะปฏิเสธก็กลายเป็นขี้ปากได้ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้หล่ะ แก้มยุ้ยจะยังไม่เชื่ออีกก็ได้นะ พี่หมอไม่รู้จะห้ามความคิดของแก้มยุ้ยได้ยังไง แต่พี่หมอห้ามใจตัวเองไม่ให้มีใครนอกจากแก้มยุ้ยได้”หมอไวท์เอ่ยขึ้น แม้ว่าประโยคจะดูเสี่ยวนักแต่ก็ทำให้คนที่ซุกอยู่ที่อกยิ้มได้
“เสี่ยวชะมัดเลยฮะ”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมเงยหน้ามองหมอไวท์ที่ก้มลงมากดจูบที่หน้าผากเมื่อรู้ว่าซีไม่ได้โกรธเขาแล้ว
จุ๊บ
“ก็เสี่ยวกับแก้มยุ้ยคนเดียวนี่หล่ะ...”หมอไวท์เอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ
“แล้วหายงอนพี่หรือยังครับ”ซียิ้มอ่อนๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หึ ถ้าไม่หายโกรธจะยอมให้นอนกอดแบบนี้หรอฮะ”หมอไวท์กระชับอ้อมกอดและค่อยๆคร่อมร่างของซีอีกครั้ง
หมับ
“อ๊ะ...พี่หมอจะทำอะไรอ่ะ”ซีเอ่นขึ้น สองมือเล็กยัดอกแกร่งไว้ หมอไวท์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ในเมื่อแก้มยุ้ยหายโกรธแล้ว ตอนนี้พี่หมอจะถามแก้มยุ้ยกลับบ้าง ว่าไปทำอะไรที่ร้านนั้น”หมอไวท์ถาม ซีรีบหลบสายตาทันที มาถึงคิวตัวเองแล้วรู้สึกหน้าชาไปหมด ถ้าซีจะบอกว่าไปทานข้าวกับพี่ชายข้างห้องที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง
“เอ่อ...คือว่า...”ซีอึกอัก หมอไวท์ค่อยๆละเลียดริมฝีปากที่ใบหูเล็กนั้นจนซีเองรุ้สึกเสียวซ่านไปหมด เสียวซ่านจนเอ่ยครางออกมา
“อื่ออออ”หมอไวท์ชอบนักกับเสียงครางนี้ ก่อนจะเอ่ยกระซิบเบาๆที่ใบหูเล็กนั้น
“แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”เพียงแค่นี้ซีก็ตาโตทันที เพราะไม่คิดว่าหมอไวท์จะรู้ว่าเขาไปกับพี่ชายข้างห้องคนนั้น
“พี่หมอรู้...”ซีเอ่ยขึ้น
“อื้ม และไม่ต้องเล่าหรอกนะ เพราะพี่เชื่อใจแก้มยุ้ย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีทำหน้ารู้สึกผิดเล็กน้อยที่ตัวเขาเองไม่เชื่อใจหมอไวท์ก่อน
“พี่หมอ...”ซีเอ่ยเบาๆ ก่อนจะปล่อยกายให้กับหมอไวท์ทันทีที่หมอไวท์เอ่ยบอก
“ไม่ต้องบอกว่าคนนั้นเป็นใคร แค่ตอนนี้บอกแค่ว่าพี่หมอคือคนที่แก้มยุ้ยรักก็พอ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“ครับ...พี่หมอคือผู้ชายที่แก้มยุ้ยรักมากที่สุด...อ่าห์”เสียงครางออกมาอีกครั้งและเนิ่นนานเกือบชั่วโมงกว่าศึกรักจะสงบลง
...
..
โต๊ะอาหารภายใต้แสงเทียนด้านหลังประกอบด้วยแสงของกรุงเทพยามราตรี ที่เป็นฉากที่เข้ากับบรรยากาศของความรักตอนนี้
“ได้ฟิวส์ดีเหมือนกันเนอะ กินข้าวตอนตีสองเนี้ย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“ก็เค้าบอกแล้วว่าเอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้ ตอนนี้เค้า ง๊วงง่วง แถมเหนื่อยอีกต่างหาก”เสียงเอ่ยบ่นของซีทำเอาหมอไวท์หลงรักมากยิ่งขึ้นก่อนจะตักอาหารมาจ่อที่ปากของซี
“ก็พี่อยากกินอาหารฝีมือเมียนี่ อร่อยมากรู้ไหม”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ส่งสายตาบอกให้ซีกินาหารที่กำลังป้อนให้ตอนนี้ ซีค่อยๆอ้าปากกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าแต่ยังไม่ทันที่จะเคี้ยว ริมฝีปากก็ถูกปิดสนิทก่อนที่หมอไวท์จะใช้ลิ้นละเลียดไปที่ริมฝีปากของซี
“อย่ากินเลอะนักสิ...”หมอไวท์เอ่ยพร้อมหัวเราะออกมาในลำคอ ซีหน้าแดงฉ่าอยู่ตอนนี้อยากจะบ้าตายนักกับท่าทางหวานๆแสนจะอบอุ่นของหมอไวท์คนนี้
“พี่หมออ่ะ”ซีทำน้ำเสียงน่ารักออกมา ใบหน้าก็แสนจะน่ารักของซียิ่งทำให้หมอแทบบ้าไปแล้ว
“แก้มยุ้ย อย่าทำตัวน่ารักไปมากกว่านี้ไหม”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“งื้อ เปล่าทำสักหน่อยฮะ”ซีเอ่ยขึ้น แก้มยุ้ยยังคงเคี้ยวอาหารไปเรื่อยๆ
“เปล่าได้ไง นี่ไงกำลังทำอยู่เนี้ย พี่หมอจะบ้าตายเพราะรักแก้มยุ้ยแล้วเนี้ย”หมอไวท์เอ่ยขึ้น นับวันเขาก็ยิ่งรักแก้มยุ้ยของเขามากขึ้นและก็เช่นกันที่ซีกรักหมอไวท์ของเขามาขึ้นเช่นกัน ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาสองคนเลิกรักกันได้ ทั้งสองคิดแบบนี้
ครืดดด
พี่กูร : พี่ขึ้นเครื่องตอน ตีสาม เห็นไฟห้องซีเปิดอยู่ เคาะแล้วคงไม่ได้ยิน พี่กลับจากอิตาลีแล้วจะรีบมาหานะ ครับ เป็นห่วงซีมากรู้ไหม อยากดูแล...พี่กูร
..................
"ความรักชนะทุกอย่าง"
[/size]
-
โดนง้อซะ หลายรอบ ..
-
หมอไวท์เสี่ยวมาก ฮ่าๆๆๆๆ มีเมียเด็กต้องฟิต อิอิ
พี่ข้างห้องเนี่ยมีคู่ด้วยไหมน่ะ
-
White Lie 10 : ความรักสีขาว (ธนาคินxภัทรกร)
[/b][/size]
ร่างแรงนอนเหยียดกายไปกับโซฟา สองมือกำลังเล่นกดมือถือเล่นเกมส์อย่างสนุก หัวกลมที่กำลังหนุนอยู่ที่ตักนุ่มของหมอไวท์ ที่ตอนนี้มือข้างหนึ่งกำลังยกหนังสือขึ้นอ่าน อีกข้างกำลังลูบไปยังใบหน้าแก้มยุ้ยของซี
“พี่หมอ หิวแล้วอ่า”เสียงของซีเอ่ยขึ้นบอก วันนี้วันหยุดของหมอไวท์และก็ซีทั้งสองเลือกที่จะไม่ไปไหน อยากจะอยู่ด้วยกันเป็นส่วนตัวที่ห้องของตัวเอง
“งั้น พี่หมอทำสปาเก๊ตตี้ให้กิน”หมอไวท์เอ่ยอย่างอบอุ่นแต่ซีกลับทำหน้างอแงออกมา
“ไม่เอาอ่ะ เค้ากำลังงดแป้งอยู่นะ เอาอย่างอื่นนะครับ”ซีเอ่ยอ้อนๆ หมอไวท์อดที่จะกดจูบที่หน้าผากไม่ได้จริงๆกับความน่ารักของแฟนหนุ่ม
จุ๊บ
“งั้นพี่หมอโทรสั่งอาหารไทยมากินแล้วกันเนอะ แก้มยุ้ยอยากกินอะไรหล่ะ”หมอไวท์เอ่ยถามมือยังคงลูบที่แก้มยุ้ยของซีไปมา
“แล้วแต่พี่หมอหล่ะครับ พี่หมออยากกินอะไรเค้าก็กินอันนั้นหล่ะ”ซีเอ่ยขึ้นอย่างเอาใจ
“ไม่ได้สิ จะมากินตามพี่หมอได้ไง”หมอไวท์เอ่ยพร้อมทำหน้าไม่พอใจ ซีได้ยินแบบนั้นก็รีบลุกขึ้นและเอ่ยถาม
“อ้าว ทำไมไม่ได้หล่ะครับ”หมอไวท์ยกยิ้มให้กับซีที่ทำหน้าตื่นได้น่ารักเสียจริงก่อนจะยกสองมือประคองใบหน้าของซีไว้และกดจูบที่ริมฝีปากของซีหนึ่งทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
จุ๊บ
“ก็แก้มยุ้ยจะกินตัวเองได้ไงหล่ะ หื้ม”หมอไวท์เอ่ยออกมา ซีเองยังคงไม่เข้าใจประโยคของหมอไวท์
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย กินตัวเองยังไงหรอครับ”ซีเอ่ยถามหมอไวท์ด้วยความซื่อ
“เด็กน้อยของพี่หมอ ก็แก้มยุ้ยบอกพี่หมอว่า พี่หมออยากกินอะไรเค้าก็กินอันนั้นหล่ะ พี่หมออยากกินแก้มยุ้ย พี่หมอชอบกินแก้มยุ้ย พี่หมอโปรดอาหารมื้อนี้ที่สุด แล้วแบบนี้แก้มยุ้ยจะกินตามพี่หมอได้ยังไงกัน หื้ม”หมอไวท์เอ่ยขึ้นเสร็จใบหน้าของซีแดงฉ่าออกมาทันที แดงแทบไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อยก่อนจะยกยิ้มและกดจูบที่ริมฝีปากของซีอย่างห้ามใจไม่อยู่ ลินร้อนที่สอดเข้าสู่โพรงปากหอมหวานกำลังหยอกล้อลิ้นเล็กอยู่
“อื่ออออ”เสียงครางในลำคอท้วงขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามือของหมอไวท์กำลังซุกซนภายใต้ร่มผ้าของตน
“อื้อออ...พี่หมอพอแล้วครับ”ซีเอ่ยขึ้น สายตาฉ่ำที่มองผ่านมายิ่งทำทำให้หมอไวท์อยากจะจับคนตัวเล็กกระแทกอีกครั้งและอีกครั้ง
“หื้ม ทำไมอ่า พี่หมออยากอ่ะ”หมอไวท์เอ่ยอย่างไม่อาย นับวันความเป็นผู้ชายสุภาพบุรุษแสนอบอุ่นของพี่หมอไวท์จะหายไปกลับกลายเป็นผู้ชายที่แสนหื่นขึ้นทุกวัน
“พี่หมอ รู้ตัวไหมว่าหื่นขึ้นทุกวันเลยนะครับ”
“หรอ ไม่รู้ตัวเลยนะเนี้ย”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มทะเล้นออกมา ซีเองหน้าร้อนผ่าวไปหมดก่อนจะเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดหมอไวท์และหยิบมือถือขึ้นมายื่นให้
“หิวแล้ว โทรสั่งอาหารเถอะนะ เดี๋ยวเค้าไปหุงข้าวไว้ก่อน”ซีเอ่ยขึ้นก่อนจะรีบดีดตัวไปในครัวทันที เพราะขืนนั่งต่อรับรองได้ว่าเขาโดนหมอไวท์จับกินแน่นอน
“หึๆ ร้ายนักนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะกดโทรสั่งอาหาร ขณะสั่งสายตาก็ยังคงจ้องไปยังซีที่กำลังขมักเขม้นอยู่ในครัว หมอไวท์เดินเข้ามาพร้อมสวมกอดด้านหลัง คางเรียวของหมอไวท์เกยที่ไหล่เล็กของซีสองแขนโอบกอดรอบเอวบาง
“พรุ่งนี้ไปนอนบ้านใหญ่กันนะ พอดีกรีนกลับจากอิตาลีแล้ว”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“อ้าว ไหนบอกว่าจะไปอาทิตย์หนึ่งไม่ใช่หรอครับ ทำไมกลับเร็วจัง”ซีหันมาเอ่ยถาม เพราะตามที่หมอไวท์บอกคือคุณกรีนไปทำงานอิตาลี พร้อมธนาคิมและรอยด์กำหนดกลับก็เป็นสัปดาห์หน้า
“ก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าทำไมกลับมาเร็ว แต่เฮียโทรมาบอกให้กลับบ้านพรุ่งนี้อ่ะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นพร้อมคลอเคลียจมูกไปที่แก้มยุ้ยของซี
“งื้อ พี่หมออย่าครับ”ซีเอ่ยขึ้นแม้ปากบอกว่าอย่าแต่ร่างกายกลับตอบรับการกระทำนั้น แต่ยังไม่ทันที่การแบ่งปันความรักของทั้งคู่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“หื้อ ทำไมอาหารมาไวจังครับ”ซีหันไปเอ่ยถามหมอไวท์ที่ทำหน้างงเช่นกัน
“นั่นสิ เดี๋ยวพี่หมอไปเอาอาหารก่อนนะ”หมอไวท์เอ่ยก่อนจะลุกขึ้นไปอย่างเสียดาย เขากะฟัดคนแก้มยุ้ยก่อนอาหารกลางวันสักหน่อย
แกร๊ก
“บริการรวดเร็วจังนะครับ...”หมอไวท์เอ่ยขึ้นหลังจากเปิดประตูแต่ก็ต้องหยุดชะงักทันที เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือหญิงสาวที่คุ้นเคย ถือว่าเป็นหญิงสาวที่หมอไวท์และซีสนิทมาก
“พะ...พี่หมอ”
“เบนซ์...”
หญิงสาวหน้าซีดทันทีเมื่อเห็นหมอไวท์อยู่ที่นี่ ห้องของเพื่อนรักเธอและที่สำคัญบนโซฟาตอนนี้มีเพื่อนรักของเขานอนอยู่
“ไอ้อ้วน...”หญิงสาวเอ่ย ซีรีบลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาเพื่อนรักทันที
“เข้ามาก่อน แล้วกูจะเล่าให้ฟัง”ซีเอ่ยพร้อมดึงมือเบนซ์เข้าไปในห้อง หมอไวท์เองก็มองตามหลังก่อนจะปิดประตูและเดินตามไป
ซีเล่าเรื่องราวของตัวเองและหมอไวท์ให้เพื่อนรักฟัง เบนซ์ที่ยังอึ้งและงวยงงจับต้นชนปลายแทบไม่ได้ เสียใจไหมที่หมอไวท์เป็นของเพื่อนรักก็เสียใจ แต่ก็ดีใจที่เพื่อนรักของเธอได้เจอผู้ชายคนที่รอมานาน
“ฮื่อๆๆๆ ไอ้อ้วนไอ้เลว ไอ้บ้ามึงเห็นกูเป็นอะไร”เบนซ์เอ่ยทั้งที่ปล่อยโฮออกมา ซีดึงเพื่อนเข้าไปสวมกอดก่อนจะเอ่ยขึ้น
“โอ๋ๆๆมึง กูขอโทษอยู่นี่ไง อย่าร้องดิว่ะกูรู้สึกผิดนะมึง”ซีเอ่ยขึ้น เบนซ์เองก็เอาแต่ร้องไห้ที่อกของซีจนหมอไวท์เดินเข้ามาและสะกิดซีเบาๆ
“แก้มยุ้ย...”ซีเงยหน้ามองใบหน้าที่ดูไม่พอใจของหมอไวท์ก่อนจะรู้สึกได้ว่าซีกอดเพื่อนสาวตัวเองนานไปแล้ว
“น้องเบนซ์คะ พี่หมอกับแก้มยุ้ยต้องขอโทษน้องเบนซ์ด้วยนะที่ไม่ได้บอกว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”หมอไวท์เอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวลจนเบนซ์นึกเสียดาย แต่ทำยังไงได้ก็เธอเป็นผู้หญิงมั่นนี่ แค่ผู้ชายที่แอบรักไม่ได้รักเราก็ไม่ได้เสียใจมากเท่าไหร่
“ที่เบนซ์ร้องไห้อ่ะ คือดีใจต่างหากที่ไอ้อ้วนมันมีผัวสักที มันจะได้เลิกตัวติดเบนซ์และเบนซ์จะได้หาแฟนสักทีต่างหากหล่ะ ฮื้อๆๆ”หญิงสาวเอ่ยทั้งน้ำตาและหัวเราะออกมาทั้งน้ำตาเช่นกัน
“ไอ้บ้า...”ซีเอ่ยว่าเพื่อนก่อนจะหัวเราะออกมาเช่นกัน
เสียงหัวเราะบังเกิดขึ้นในห้องครั้งแล้วครั้งเล่า จนเวลาผ่านไปหลังจากที่ทานข้าวเรียบร้อยก็ขอตัวกลับแต่ยังมิวายที่จะเหน็บเพื่อนรักของตัวเอง
“มีผัวแล้วนะมึง อย่ามาสวยแข่งกับกูนะ”
“ไอ้บ้า สวยอะไรมึง”
“พี่หมอคะ ฝากเพื่อนเบนซ์ด้วยนะคะ ถึงแม้นไอ้อ้วนมันจะหล่อก็ไม่หล่อ น่ารักก็ไม่น่ารักแถมอ้วนหน่อยๆแต่มันก็เป็นคนดีนะคะ แต่อย่าตามใจมันมากนะคะ”เบนซ์เอ่ยขึ้น
“คะ พี่จะดูแลเพื่อนน้องเบนซ์เป็นอย่างดี ขับรถกลับดีๆนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาส่งเบนซ์ข้างล่างคอนโด
“ขอบคุณคะ...เจอกันที่มหาลัยนะ”เบนซ์เอ่ยกับหมอไวท์ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนรัก
“เอ่อ ขับรถดีๆนะ”ซีเอ่ยบอกเพื่อนก่อนจะโบกมือบ๊ายบาย เบนซ์ขับรถออกไปสุดสายตาหมอไวท์ก็หันมาทางซีที่ตอนนี้โล่งใจไปมากที่ได้บอกเบนซ์ไป
“สบายใจแล้วหล่ะสิ”หมอไวท์เอ่ยพร้อมโอบไหล่ซีเพื่อเดินขึ้นคอนโดไป
“ครับ”ซีเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา หัวกลมซบที่ไหล่หมอไวท์เล็กน้อยก่อนจะเดินตามกันไป
...
..
หมอไวท์พาซีมาถึงบ้านใหญ่ช่วงเย็นเห็นรถของพี่ชายคนโตและน้องๆจอดอยู่แล้ว จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะเรื่องที่ได้ยินมาจากพี่ชายคนรองนั้นมันยากจะเข้าใจได้ว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องมาเกิดกับน้องชายคนถัดมาของเขา
“เรื่องใหญ่เลยหรอครับพี่หมอ”ซีเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาเห็นทุกคนอยู่ครบด้วยใบหน้าที่ดูตึงๆ
“ซีไปหารอยด์ก่อนไป เดี๋ยวพี่ขอเคลียกับพี่น้องแปบนะ”หมอไวท์เอ่ยขึ้น ซีเองก็ว่าง่ายเดินไปห้องเตรียมอาหารไม่แปลกที่ซีจะเข้าออกบ้านนี้ปกติ เพราะทั้งสองเปิดตัวกับทั้งสองบ้านนานแล้ว
“สวัสดีครับคุณนิล รอยด์มีอะไรให้ช่วยไหม”ซีเอ่ยทักทายทั้งสองที่กำลังง่วนกับการจัดอาหารมื้อค่ำ
“สวัสดีครับพี่ซี มานานยังครับ”รอยด์เอ่ยทักทาย
“สวัสดีครับคุณซี”นิลกาฬเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา
“เพิ่งมาครับ แต่ว่าพอจะรู้ไหมครับว่าในห้องใหญ่มีเรื่องเครียดอะไรกัน”ซีเอ่ยถาม รอยด์มองไปยังน้าของตัวเองเป็นเชิงโยนคำถามให้
“อ่อ คุณกรีนมีเรื่องนิดหน่อยครับ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นเพียงแค่นั้น ยิ่งทำให้ซียิ่งอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“คะ...คือมีเรื่อง แล้วเรื่องที่ว่าคือเรื่องอะไรครับ คุณนิลพอจะบอกได้ไหม”ซีเอ่ยขึ้น รอยยิ้มของซีทำให้นิลกาฬเองพอจะเข้าใจว่าที่ย้ำถามคือซีอยากรู้เรื่องมากกว่านี้
ทางด้านห้องโถงใหญ่ตอนนี้พี่น้องทั้งหมดกำลังนั่งอยู่พร้อมหน้าด้วยใบหน้าที่ดูตึงเครียด อนาคินที่เป็นพี่ชายคนโตนั่งมองไปยังน้องชายคนที่สี่ที่ตอนนี้นั่งนิ่งมานานแล้วนับจากลับมาจากสนามบิน
“กรีนพอจะบอกเฮียได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไอ้ระยำนั่นมันทำอะไรแกบอเฮียมาเดี๋ยวนี้”อนาคินเอ่ยถามน้องชายด้วยน้ำเสียงเข้มและนี่คือนี้เสียงที่ทุกคนในบ้านรู้ดีว่าอนาคินกำลังโมโห
“เฮีย อย่าคั้นอะไรเจ้ากรีนมากนักเลยครับ ไหนๆไอ้ผู้จัดการนั้นมันก็ถูกจับแล้ว”เกรย์เอ่ยขึ้นบอกพี่ชายตัวเอง
“ใช่ครับเฮีย ไหนๆเฮียกรีนก็ไม่ได้เสียหายอะไรและก็ปลอดภัยทุกอย่างเราควรจะดีใจมากกว่าโกรธนะครับ”บลูเอ่ยบอกพี่ชายคนโต
“ดีนะครับที่คุณกูรมาช่วยไว้ทัน ไม่งั้นนะ...”หมอไวท์เอ่ยขึ้นทิ้งไว้ยังไม่ทันที่จะเอ่ยต่อเสียงของแขกคนสำคัฐของบ้านหลักนี้ก็เดินเข้ามา
“ขอโทษนะครับ ผมมารบกวนหรือเปล่า”เสียงนุ่มของชยางกูรเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาและเห็นความตึงเครียดของคนในบ้าน
“อ่อ คุณกูรมาแล้วหรอเชิญครับ”อนาคินเอ่ยขึ้นทุกคนยกยิ้มยินดีที่ชยางกูรมาเป็นแขกพิเศษของบ้านนี้ยกเว้นกรีนที่เอ่ยปากบอกตั้งแต่แรกว่าไม่ชอบชยางกูร แต่ตอนนี้สายตากลับหมองลง กรีนรีบหลบสายตาทันที
“ถ้าคุณกูรมาแล้ว เราไปที่โต๊ะอาหารดีกว่า”อนาคินเอ่ยขึ้น ทุกคนพากันเดินมาที่โต๊ะอาหารที่ตอนนี้อาหารถูกวางขึ้นโต๊ะเรียบร้อย
“เชิญครับ”เสียงหวานของซ้อคนโตของบ้านที่ยืนยิ้มหวานอยู่ไม่ต่างกับรอยยิ้มสดใสของรอยด์ที่ยืนข้างๆ แต่ช่างแตกต่างกับอีกคนนัก ทันทีที่ซีได้เห็นชยางกูรก็นิ่งไปทันทีและก็ไม่ต่างกับชยางกูรเช่นกันที่สายตาจัลจ้องไปยังซีทำให้หมอไวท์เองนึกฉุนเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปโอบไหล่ของซีและเดินเข้ามาเพื่อแนะนำให้ชยางกูรรู้จัก
“คุณกูรครับ นี่ซีแฟนผมเอง ซีนี่คุณกูรโปรดิวเซอร์โปรเจคของบริษัทและอนาคตก็จะมาเป็นผู้จัดการของกรีน”หมอไวท์เอ่ยขึ้นแม้น้ำเสียงจะนิ่งๆและสุภาพแต่ท่าทางของหมอกลับผิดจากเดิมที่ท่าทางแสดงความเป็นเจ้าของอย่างขัดเจน
“สวัสดีครับ”ซีเอ่ยพร้อมยกมือสวัสดี ชยางกูรยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“สวัสดีครับ น้องซี”เพียงเอ่ยประโยคแค่นี้ก็ทำให้มีคำถามมากมายในหัวของหมอไวท์
ชยางกูรเองก็เล่าเรื่องที่เขารู้จักซีมาก่อน ยิ่งทำให้อาการของหมอไวท์ยิ่งนั่งแทบไม่ติด อยากจะคุยกับคนแก้มยุ้ยเหลือเกิน
“ขึ้นห้องแล้วช่วยเล่าให้พี่หมอฟังให้หมดเปลือกเลยนะ”น้ำเสียงแม้จะเรียบๆแต่มันก็ทำให้ซีหน้าสันหลังทันที
“ทานแกงหน่อยนะครับ”อยู่ๆเสียงของชยางกูรก็ดังขึ้นพร้อมช้อนที่กำลังตักแกงใส่จานข้าวของซี ทำให้หมอไวท์ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น
“แก้มยุ้ยไม่กินของเผ็ดครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ”หมอไวท์เอ่ยขึ้นก่อนจะเขี่ยยแกงไปที่ขอบจาน ซีทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียวเพราะไม่ค่อยเห็นโมเม้นหมอไวท์หึงแรงแบบนี้แต่ซีก็ชอบ
“หึ เห็นเงียบๆเวลาหึงนี่ก็ร้ายใช่เล่นนะเฮีย”เสียงเล็กของน้องชายคนเล็กของบ้านเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมาเป็นเชิงแซวพี่ชายตัวเอง ทุกคนต่างพากันยกยิ้มออกมาแต่ต่างจากอีกมุมหนึ่งของโต๊ะที่ช่างเงียบเหลือเกิน
เวลาอาหารผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับคนบางคนและก็สำหรับคนบางคนที่คิดว่ามันเร็วเหลือเกินที่ได้เจอกัน ชยางกูรกลับไปแล้ว ทุกคนต่างพากันขึ้นห้องนอนของตัวเอง เช่นเดียวกับหมอไวท์และซีที่พากันขึ้นห้อง และทันทีที่เข้าห้องได้ร่างของซีก็ถูกพามาที่เตียงทันที
หมับ!
ปึก!
“อ๊ะ!...พี่หมอ เค้าเจ็บนะ”เวียงซีเอ่ยขึ้นปากบอกเจ็บแต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มออกมาเมื่อหมอไวท์ดึงมาสวมกอดแน่นพร้อมกดจมูกที่แก้มยุ้ยของซีเน้นๆ
ฟอดดดดด
“เข้าห้องหมอนั่นมาแล้วทำไมไม่บอกพี่หมอสักคำ”หมอไวท์เอ่ย
“เค้าขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอก ที่เค้าไม่อยากบอกเค้าคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่สำคัญ จึงไม่ได้บอกพี่หมอ”ซีเอ่ยขึ้น เขาพูดเรื่องจริง เพราะเรื่องของชยางกูรซีไม่ได้คิดว่าสำคัญสำหรับเขานัก ก็แค่คนที่รู้จักกันเท่านั้น หมอไวท์เองก็ไม่ได้โกระซีแม้แต่น้อยแต่โมโหที่ชยางกูรทำเหมือนว่าอยากจะจีบซีและอยากจะได้ซีผู้ชายที่เขาเรียกว่าความรักและก็เป็นความรักสีขาวที่เขามอบให้ผู้ชายแก้มยุ้ยคนนี้
“อ่าห์...แก้มยุ้ยเป็นของพี่หมอ ไอ้บ้านั่นมันชอบซีใครๆก็ดูออก”หมอไวท์เอ่ยขึ้นทั้งๆที่ตอนนี้กำลังซุกไซร้ไปทั่วซอกคอขาวนั้นอยู่
“อื่อ...แล้วไงครับ อ่าห์ เค้าไม่ได้ไปชอบพี่กูรสักหน่อยนี่...”เสียงครางหวานหูครางออกมา สองมือจิกที่กลุ่มผมดกดำของหมอไวท์ ใบหน้าหล่อเหลากำลังเลื่อนต่ำลงมาที่จุดท้องน้อย
“ก็ลองชอบดูสิ พี่หมอจับขังแน่ๆ พี่หมอหวงนะครับรู้ไหม”หมอไวท์เอ่ยออกมา คำบางคำแม้ไม่ใช่คำหวานหูแค่เป็นคำที่ทำให้เราพอใจมันก็ทำให้เรามีความสุขได้เช่นกันขอให้ความสุขของเราบังเกิดจากคนที่เรารักความรักของเรามันก็จะกลายเป็นความรักสีขาวโดยปริยาย
เสียงครางหวานหูที่ครางออกมา ไม่รู้ว่าดังมาจากทิศทางไหนแต่มันทำให้อีกห้องหนึ่งกำลังปล่อยน้ำตาออกมา สองมือกอดเข่าตัวเองแน่นเงามืดของร่างที่สั่นเทา น้ำตาของความรู้สึกเดียวดายกำลังแล่นเข้ามา สายตาของผู้ชายคนนั้นช่างน่ารังเกียจนัก
“หึๆ ดูถูกกันนักทำไมไม่ปล่อยให้ฉัน....ไอ้บ้า! ฮื้อๆๆ”เสียงสะอื้นออกมา ใบหน้าฟุบที่เข่าตัวเอง มุมหนึ่งของห้องนอนกว้างตอนนี้มืดสนิทมองไม่ออกว่าห้องนี้แต่แต้มด้วยสีเขียว
ทางด้านหนึ่งของกรุงเทพยามราตรี รถคันสวยกำลังแล่นสู่ท้องถนนที่ยังคงมีผู้คนมากมายสัญจรอยู่ แม้จะดึกมากแล้วก็ตาม
ฟู่วววววว
“นี่สินะ รักแรกพบที่มันจบทั้งๆที่ยังไม่ได้รัก”ควันสีขาวอมเทาที่พ่นออกมาจากริมฝีปาก พร้อมคำสบถกับตัวเองที่พบกับรักที่เขาเรียกว่าแรกพบ แต่มันเพิ่งจบไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มจะรัก
........The End........
"คำโกหกแม้จะโกหกแต่โกหกเพราะอยากให้คนฟังได้รู้สึกดี"
[/b][/size]
-
ชอบเรื้องเกรย์ สายเมียเด็ก 555555 เอะอะฟิตๆๆ
-
มาลงให้แล้วนะคะ
-
พี่หมอสายหึง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ จบไปแล้วหนึ่งคู่ น่ารักน่าฟัด อิอิ รอคู่กรีนกูรต่อจ้าาาา
-
น่ารักจริงๆเลย
รอคู่ที่เหลือขอรับ
-
เรื่องน่ารักๆ จบไปอีก 1 เรื่อง ..
-
:pig4: :pig4:
-
อ่านบทนี้แล้วรู้สึกแปลก ๆ ตรงตักแกงใส่จาน แล้วก็เขี่ยแกง นี่ล่ะค่ะ คือถ้าบอกว่าเป็นแกงเผ็ดก็พอจะเข้าใจอยู่ หรือพวกผัดหรือยำอะไรอย่างนั้นก็น่าจะพอเขี่ยออกได้ ถ้าบอกว่าแกงเฉย ๆ นี่เรานึกถึงพวกที่มีน้ำเยอะ ๆ อ่ะ จะเขี่ยออกได้ยังไง
รอตอนของกรีนจ้า
-
ตอนที่ตักแกงแล้วเขี่ยออกนั้นชี้แจ้งนิดหน่อย เป็นแกงจำพวกแกงเผ็ดเป็ดย่างหรือเก็งเผ็ดไก่ที่จะเป็น้ำขลุกขลิกจ้า
-
Green Light เพียงแค่ผ่าน
[/size]
-
ชยางกูร อิทธิเทพ อายุ 28 ปี
[/size]
ชายหนุ่มที่สร้างรากฐานการทำงานด้วยตัวเอง จากคำดูถูกของคนรักเก่าที่ทิ้งเขาไปเพียงเพราะเขาไม่มีอะไร เขาต้องการพิสูจน์ให้เธอได้รู้ว่า คนจนอย่างเขาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ การที่ต้องสู้ชีวิต ดิ้นร้นกับความพยามยามในการทำงาน เมื่อเขาได้มาเจอกับกรีน ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมทุกอย่าง เขาเองก็รู้สึกว่าผู้ชายอย่างกรีนคงไม่มีทางประสบความสำเร็จอะไร เขาไม่ชอบกรีนเลยสักนิด แต่ยิ่งไม่ชอบเขาก็ยิ่งต้องใกล้ชิด และยิ่งใกล้ชิดเขายิ่งรู้จักตัวตนของกรีนมากขึ้น จนวันหนึ่งเขาก็รู้ว่าที่จริงกรีนน่าสนใจมากแค่ไหน
อนาคิม กิจสุนทรวิริยะกุล อายุ 24ปี
[/size]
ทายาทคนที่สี่ หนุ่มเจ้าสำราญรักการแสดงและร้องเพลง เขาจึงหันเหไปทางวงการบันเทิงมากกว่า เขาเป็นหนุ่มอารมณ์ดี ยิ้มง่ายไม่เคยมีอะไรที่ทำให้เขาหงุดหงิดใจเลยสักครั้ง อาจเป็นเพราะเขาเป็นหนุ่มเจ้าชู้จึงไม่รู้สึกว่าความรักเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึกมาก แต่ใครหล่ะที่จะทำให้หนุ่มเจ้าสำราญ มองโลกเป็นเรื่องสนุกคนนี้รู้ว่าความรักมันต้องใช้ความรู้สึกและหัวใจ ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกาย แต่เมื่อการที่เขามองโลกในแง่ดีเกินไปจนถูกคนใกล้ชิดทำร้าย และทำลายอนาคต เขากลับเจอผู้ชายคนหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเขาทั้งๆที่ครั้งแรกที่เจอเขาเกลียดผู้ชายคนนี้เหลือเกิน ยิ่งเกลียด ยิ่งต้องผูกพัน จนกลายเป็นความรัก
-
รอเลยค่ะ
-
สีใหม่มาแล้ว ..
-
Green Light 1 : พบเจอ (ชยางกูรxอนาคิม)
[/size]
อนาคิม พาร์ท
[/b]
ผมชื่อ อนาคิม กิจสุนทรวิริยะกุล เป็นพี่น้องคนที่สี่ของบ้านหลังใหญ่นี้ บ้านเราทำกิจการพวกแพนติ้งพ่อแม่ของพวกเราจึงตั้งชื่อลูกๆตามสี ผมชื่อกรีน ที่แปลว่าสีเขียว นิสัยผมนะหรอใครๆก็มักว่าผมเป็นคนเจ้าชู้ แต่ที่จริงไม่เลยผมไม่ได้เจ้าชู้แต่คนที่เข้าหาผมส่วนใหญ่จะมาเพื่อหวังเงินมากกว่า ลืมบอกไปเลยผมเป็นดารานะ เพราะความชอบส่วนตัว เฮียแบล็คก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมชอบที่จะทำงานนี้เสียด้วยสิ
“พี่เต๋อ พรุ่งนี้มีคิวที่ไหนไหมครับ”ผมเอ่ยถามผู้จัดการส่วนตัว พี่เต๋อคือรุ่นพี่ที่เรียนมาด้วยกันผมชวนเขามาทำงานด้วยเพราะสนิทและผมเชื่อใจเขา
“คุณแบล็คบอกให้ยกเลิกงานทั้งหมดและสั่งให้กรีนเข้าบริษัทด้วย”ผมหันมองพี่เต๋อ
“ห๊า...ยกเลิกหมดเลยหรอ”
“ใช่ ทั้งหมด”
“งานถ่ายแบบกับคริสตินที่ปาริสด้วยหรอ”
“อื้อ หื้อ”
“โอ๊ยยย เฮียนะเฮียทำไมทำกับเค้าแบบนี้นะ แล้วจะเข้าบริษัทกี่โมงครับ”
“สิบโมง”
“สิบโมง...นี่มันจะเก้าโมงแล้วนะครับ”ผมทำหน้าตื่นทันที เฮียแบล็คเป็นคนตรงต่อเวลามากถ้าผมสายไปนี่ สงสัยโดนตัดค่าปันผลหุ้นเดือนนี้แน่เลย
“ใช่ครับ เพราะฉนั้นรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าครับ เดี๋ยวสายนะ”พี่เต๋อเอ่ยขึ้น ผมรีบวิ่งไปเข้าห้องทันทีก่อนจะยกยิ้มออกมา เมื่อเสื้อผ้าของผมถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
“พี่เต๋อนี่สุดๆไปเลย”ผมสบถกับตัวเองก่อนจะรีบแต่งตัวเพื่อออกไปบริษัท
ผมกับพี่เต๋อออกมาเก้าโมงกว่าแล้ว ยังไงผมก็คิดว่าไม่ทันแน่นอนเพราะรถที่กำลังจอดนิ่งเหมือนภาพนิ่งตอนนี้ทำเอาผมหงุดหงิดนัก
“จะทันไหมครับพี่เต๋อ”ผมหันไปถามคนขับ
“ไม่น่าจะทันนะ เดี๋ยวพี่โทรไปบอกเลขาคุณแบล็คก่อนนะว่าเราจะช้า”
“ก็ดีครับ”ผมเอ่ยออกมา พี่เต๋อจัดการโทรบอกเลขาพี่ชายของผมเรียบร้อยอย่างไม่มีปัญหาอะไร ผมก็ยังคงนั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆจนเผลอหลับไป
“คุณกรีนตื่นเถอะครับ ถึงแล้ว”เสียงพี่เต๋อเอ่ยเรียกผมที่กำลังนอนหลับสบาย ผมตื่นขึ้นอย่างงัวเงียปรายตามองไปทั่วก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นดู
“สิบเอ็ดโมงแล้วหรอ ตายแล้วเฮียด่าตายแน่เลย”ผมเอ่ยก่อนจะรีบออกจากรถและรีบขึ้นตักไป
“เดินช้าๆเดี๋ยวล้มครับ”เสียงพี่เต๋อเอ่ยทักผม
“เฮียบ่นแย่เลย”ผมเอ่ยบอกแต่พี่เต๋อก็ยังคงเดินตามผมมา แม้จะบ่นผมบ้างพี่เต๋อก็อดทนกับผมดี ผมคิดแบบนั้น ผมรีบไปที่ห้องทำงานเฮียทันทีเมื่อมาที่ห้องประชุมแล้วไม่เห็นใคร
แกรก
“เฮีย เค้าขอโทษที่ช้าไปนิด”ผมเปิดประตูได้ก็เอ่ยขอโทษเฮียที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ตอนนี้ก่อนจะปรายตาพิฆาตมาทางผม
“ช้าไปนิดหรอ ไม่นิดแล้วหล่ะมั้งเนี้ย”เสียงเฮียเอ่ย น้ำเสียงเหมือนโกรธใครมาก่อนหน้านี้แล้ว ผมจึงรีบเข้าไปเกาะแข็งเกาะขาเฮียตามแบบที่เคยทำ
“โธ่เฮียอ่า ก็รถมันติดนี่ครับ ว่าแต่ไม่เห็นมีใครที่ห้องประชุม เลิกประชุมแล้วหรอเนี้ย”ผมยังมีน่าไปถามเฮียให้เฮียด่าอีกนะ
“ใครเขาจะรอนายกันหล่ะ นัดสิบโมงมาเกือบเที่ยงแบบนี้ แล้วนี่กินอะไรมายัง”เฮียเอ่ยถามผม เฮียยังไงก็คือเฮียรักน้องเสมอ ผมนับถือเฮียเป็นพ่อเลยหล่ะ
“แฮ่ๆ ยังเลย เฮียจะเลี้ยงป่ะ”ผมเอ่ยขึ้น เฮียทำหน้าเบื่อโลกกับผมก่อนจะถอนหายใจและลุกจากเก้าอี้กลางห้องทำงาน
“คุณเต๋อวันนี้เจ้ากรีนมีงานที่ไหนอีกไหม”เฮียหันไปถามพี่เต๋อ
“ไม่มีแล้วครับ หลังจากคุณแบล็คสั่งผมก็แคนเซิลงานหมดแล้ว”พี่เต๋อรายงานเฮียยังกับเฮียเป็นเจ้านายยังงั้นหล่ะ แต่มันก็ใช่นะคนจ่ายเงินคือเฮียนี่นา
“งั้นคุณกลับไปพักเถอะ พรุ่งนี้ค่อยไปรับเจ้ากรีนที่บ้านแล้วกันนะ ผมนัดประชุมอีกทีบ่ายพรุ่งนี้”
“ครับคุณแบล็ค”พี่เต๋อเอ่ยก่อนจะเดินออกไป
เมื่อพี่เต๋อเดินออกไปแล้ว เฮียก็หันมาทางผมด้วยสายตานิ่งตามแบบที่เฮียเป็น ผมจึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเพราะตั้งแต่พี่นิลกาฬฝาแฝดพี่นิ่มมาอยุ่ที่บ้าน ผมว่าเฮียดูแปลกๆไป
“เฮียเป็นไรหรือเปล่า”
“เปล่า ว่าแต่เดี๋ยวไปทานข้าวกันแล้วเฮียจะไปทำธุระต่อ เฮียจะให้นายไปเอารถหนูพิ้งค์ที่ศูนย์ให้หน่อย”
“โธ่ เฮียจะให้ดาราดังอย่างเค้าเนี้ยนะไปเอารถที่อู๋ จะบ้าหรอไง”ผมเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว เฮียหันมาหน้านิ่งแบบน่ากลัวชะมัดเลย ไม่รุ้พี่นิ่มหลงรักได้ยังไงนะผู้ชายดุๆแบบเฮียเนี้ย
“โอเค โอเค ไปครับไป”ผมเอ่ยอย่างจำยอม ใครจะสู้เฮียได้หล่ะแค่สายตาผมก็จะหายใจไม่ออกแล้วเนี้ย
เวลาไม่นานที่ผมกับเฮียทานข้าวกัน เราสองคนพี่น้องมักจะมาทานข้าวกันแบบนี้ไม่บ่อยนัก อาจเพราะตารางงานถ่ายแบบผมแน่นมากด้วยหล่ะมั้งทำให้ผมไม่ค่อยมีเวลา
“เจอกันที่บ้านนะ”เฮียบอกเมื่อมาส่งผมที่ศูนย์
“ครับเฮีย”ผมเอ่ยก่อนจะเดินไปทำเรื่องรับรถ แต่กว่าจะทำเรื่องเสร็จสาวๆที่ศูนย์ก็ขอถ่ายรูป ขอรายเซนต์กันเยอะเชียว ก็คนมันฮอตอ่านะ
เกือบชั่วโมงกว่าจะออกมาได้ ผมขับรถหนูพิ้งค์มาที่บ้าน วันนี้คงมาค้างที่บ้าน ดีเลยอยากกินกับข้าวอร่อยๆบ้าง ระหว่างที่ผมขับรถจะเข้าซอยบ้านนั้นก็มีรถคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็ว
เอี๊ยดดดดด
“มันจะบ้าหรอไง ซอยหมู่บ้านก็แค่นี้ป่ะมึงคิดว่าเป็นสนามแรลลี่หรือไง”ผมสบถกับตัวเองด่ามันนะ ผมก็พยายามเบี่ยงรถหลบแต่แม่งก็มาเบียดผมจนได้ แต่ดีนะไม่ชนไม่งั้นรถหนูพิ้งค์ได้เข้าศูนย์อีกรอบแน่ๆ
“ไอ้บ้า ขับรถแบบนี้อยากตายหรอไง”ผมเอ่ยขึ้นเมื่อลงรถได้ ผมมองไปยังรถคู่กรณก่อนที่ร่างสูงของคนขับจะเดินลงมาจากรถ ผมอาจจะนิ่งไปเล็กน้อย แค่เล็กน้อยนะย้ำเลยว่าไอ้คู่กรณีมันสูงหล่อจัง
“ผมขับมาถูกทางของผม คุณนั่นหล่ะที่ขับกินเลนคนอื่น”ดูไอ้บ้านี่สิ ผิดแล้วยังมาว่าผมอีก
“อย่ามามั่วนะ...ไหนๆ ผมผิดตรงไหน”ผมรีบไปหาหลักฐานก่อน ยังไงล้อมผมก็ต้องอยู่เลนผมแน่นอนผมมั่นใจ แต่ทันทีที่ผมเห็นว่าล้อของผมกินเลนไปครึ่งหนึ่งหน้าผมจะเหลืออะไรหล่ะ ผมกรอกตาไปมาก่อนจะแถไป
“หึ...ใครผิดหล่ะคราวนี้”โยเกลียดขี้หน้าไอ้บ้านี่แล้วสิ เกลียดรอยยิ้มกับสายตามันจัง
“แต่คุณขับไวเกินไปนะ นี่มันเขตชุมชน ในหมู่บ้านเขาไม่ให้ขับเกินสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง”เอาสิคนอย่ากรีนไม่มีทางยอมแพ้
“หึ วันนี้ผมรีบผมไม่อยากเถียงกับคนขี้แถแบบคุณหรอก”ดูมันสิ ไม่พูดเปล่าไอ้บ้านั่นก็รีบขึ้นรถขับออกไปทันที ทิ้งให้ผมนี่หล่ะยืนกำหมัดแน่น มันขัดใจกรีนจริงๆ
“อย่าได้เจออีกนะมึง เจ็บแน่”ผมตะโกนบอกตามหลังรถที่แล่นไปไหนต่อไหนแล้ว โอ๊ยทำไมต้องได้เจอคนแบบนี้ด้วยนะ ผมบ่นกับตัวเองก่อนจะขับรถกลับบ้านอย่างฉุนๆ
+++++++
ชยางกูร พาร์ท
[/size]
ชยางกูร ชื่อนี้ผมชอบมากเพราะเป็นชื่อที่แม่ผมเป็นคนตั้งให้ก่อนที่จะเสียไป ชีวิตผมใช้ชีวิตตามลำพังมาตลอดแม่ผมจากไปตั้งแต่ผมเกิด พ่อเลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เล็กและเหมือนผมมีกรรม พ่อมาจากไปอีกทำให้ผมต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังช่วงมัธยม ผมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เรียนหนังสือ จนจบมหาวิทยาลัยและไม่เคยเกี่ยงว่าตัวเองจะทำงานอะไร ขอให้ได้เงินและประสบการณ์มาเพื่อสร้างตัวเองให้ผู้หญิงคนหนึ่งรู้ว่าคนอย่างผมก็ประสบความสำเร็จได้
“กูร เราเลิกกันเถอะ”
“แคทว่าอะไรนะ”
“แคทว่า เราเลิกกันเถอะ”
“ทะ...ทำไมหล่ะ เราสองคนรักกันมาเกือบเจ็ดปีแล้ว ทำไมแคทมาบอกเลิกกูรแบบนี้หล่ะ”
“แคททนอยู่กับคนที่ไม่อะไรเลยอย่างกูรไม่ได้หรอกนะ ดูบ้านสิก็เก่า โทรมก็โทรม รถก็ไม่มีขับแถมกูรเองก็เป็นแค่ลูกจ้างบริษัทรายวันแบบนี้ แคทมองหาอนาคตไม่เจอเลย แคทว่าเราเลิกกันเถอะ”
“แล้วรักของเราหล่ะ”
“ความรักมันไม่ทำให้อิ่มท้องหรอกนะ ปล่อยแคทไปเถอะ”
ผมคิดเรื่องนี้มาเกือบตลอดห้าปีนี้ ผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักเธอทิ้งผมไปเพียงเพราะผมไม่มีอะไรให้เธอมากกว่า เธอต้องการของหรูๆราคาแพงๆ แต่ผมไม่สามารถหาให้เธอได้ในตอนนั้น แต่ตอนนี้ผมกลับมีพร้อมทุกอย่างบริษัทที่ผมสร้างกับมือ แม้จะมีทีมงานเพียงห้าคนเท่านั้นแต่บริษัทของผมกลับได้รับความสนใจ อีกทั้งบ้านหลังเก่าของครอบครัวผมที่ตกแต่งใหม่ แต่ผมคงปล่อยให้อยู่แบบนั้น ตัวผมตอนนี้หน่ะหรอกำลังจะย้ายไปอยู่คอนโดที่ซื้อไว้
“พี่กูรคะ โทรกลับคุณอนาคิน บริษัทกิจสุนทรแพนติ้งด้วยนะ”มิวน้องที่ทำงานเอ่ยบอกผมเมื่อผมเข้ามาในออฟฟิตเช้านี้
“อื้ม ขอบใจมาก ก้องเตรียมโปรคเจคที่คุยกันวันก่อน ดรัมไปช่วยก้องด้วยนะแล้วตามพี่ไปที่ห้อง”ผมเอ่ยสั่งลูกน้อง เพราะคิดว่างานใหญ่กำลังจะมาแล้ว ผมยิ้มรับกับงานนี้ด้วยความสุขเพราะมันหมายถึงเงินเจ็ดหลักที่ผมจะได้
“ครับพี่กูร”เสียงสองหนุ่มเอ่ยรับ ผมเดินเข้าห้องทำงานได้ก็รีบคว้ามือถือโทรหาคุณอนาคิน เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ใครๆก็อยากจะเป็นพันธมิตรด้วย
“สวัสดีครับคุณอนาคิน ผมชยางกูรจาก ชยางกูรโปรดิวซ์ครับ”ผมเอ่ยแนะนำตัวเมื่อปลายสายรับสาย
(“สวัสดีครับคุณกูร ต้องขอโทษเรื่องเมื่อวันก่อนด้วยที่ทำให้มารอเก้อ”)
“โอ๊ะ ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีและเต็มใจมากที่คุณอนาคินไว้ใจที่ให้ผมทำงานให้”
(“วันนี้ผมเลยขอแก้ตัวครับ ช่วงบ่ายผมขอนัดอีกทีนะครับ”)
“ยินดีครับ ครั้งนี้ผมเข้าไปนำเสนอคอนเซปคร่าวๆไปเลยแล้วกันนะครับ”
(“ดีเลยครับ แล้วเจอกันนะครับ”)
ผมวางสายพร้อมยกยิ้มขึ้น น้อยนักที่จะได้เจอเจ้าของโปรเจคที่ดีแบบนี้ ผมชอบนะและผมคิดว่าผมจะคุยกับคุณอนาคินเพื่อขอรับโปรเจคทุกงานของกิจสุนทรแพนติ้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตครับพี่กูร”ก้องรุ่นน้องที่คณะของผม เราสองคนสนิทกันผมเลยชวนมาทำงานด้วย
“เข้ามาเลย งานช้างมาแล้วพวกเรา”ผมเอ่ยบอกน้องๆก่อนจะยิ้มออกมา
“ว้าวๆ ฉลองเลยไหมพี่”ดรัมเอ่ยขึ้น ดรัมก็เป็นน้องที่มาของานทำกับผมทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบแต่ผมเชื่อว่าฝีมือของน้องไม่แพ้คนเรียนจบมาแน่นอน และที่ผมตัดสินใจรับดรัมเข้าทำงานเพราะเจ้านี่กับแฟนมาทะเลาะกันและผมมาเห็นเหตุการณ์พอดี เพียงเพราะผู้หญิงบอกเจ้าดรัมว่าจน ไม่มีอนาคต เพียงแค่นี้ผมก็รีบชวนมันมาทำงานซะเลย
“เดี๋ยวๆ มึงดื่มเหล้าเป็นหรอ”ไอ้ก้องมัยหันไปถามรุ่นน้อง
“ไม่อ่ะ กินโค้กก็ได้ครับ”ลืมบอกไปเจ้าดรัมมันแพ้แอลกอฮอล์ ผมเคยพาน้องๆที่บริษัทไปเลี้ยงและเจ้าดรัมมันก็ดื่มเหล้าเข้าไป ใครจะรู้ว่ามันเกือบตายต้องพาไปโรงพยาบาลแทบไม่ทัน
“ฮ่าๆๆ ให้งานจบก่อนพี่เลี้ยงฉลองใหญ่แน่นอน”ผมเอ่ยบอกน้องๆ ก่อนจะคุยงานต่อจนจบ และผมก็เตรียมตัวจะไปนำเสนอโปรเจคนี้ช่วงบ่ายพอดี
“วันนี้ผมจะได้เจอคุณไหม คุณนิล”ผมเอ่ยออกมา เมื่อเดินขึ้นรถ ก็เมื่อวานผมเพิ่งได้เจอผู้ชายคนหนึ่ง บอกได้เลยนะว่าผมไม่ได้เป็นเกย์ แต่ผมกลับสนใจผู้ชายคนนี้และผมเองก็รู้สึกว่าเขามีอะไรน่าสนใจ แต่เวลาเดียวกันในหัวผมก็มีภาพผู้ชาย ตัวขาวผมทอง หน้าตากวนๆ ปากแม้จะแดงอวบอิ่มแต่แม่งปากจัดฉิบหาย
“เชี่ย ทำไมคิดถึงไอ้บ้านั้นว่ะ คนอะไรปากจัดฉิบแถมไม่มีมารยาทด้วย ต่างกับคุณนิลฟ้ากับเหวเลย ทำไมในหัวกูมีไอ้บ้านั้นว่ะ แม่งขอเจอแค่ครั้งเดียวนะคนแบบนี้”ผมสบถกับตัวเองก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดและไอ้บ้าตัวขาวปากแดงนั้นออกไป และมุ่งหน้าสู่โปรเจคทองของผม
ผมเดินยิ้มมาที่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท ทุกอย่างดูหรูดูแพงไปหมดสำหรับบริษัทนี้ ทำให้ผมเองต้องลงมือทำเอง ตรวจงานเองและมานำเสนอเองเช่นกัน
“แล้วโปรดิวเซอร์ของเรามาหรือยัง”ผมยกยิ้มกับเสียงนุ่มของคุณอนาคินที่เอ่ยถามหาผม
“อ่อ กำลังมาคะ”ผมจัดเสื้อผ้า หน้าผมให้ดูดีเอาไว้อย่างน้อยก็ต้องดูดีจากข้างนอกด้วย
“มาช้าแบบนี้จะเอาบริษัทนี้หรอครับเฮีย”ผมหุบยิ้มทันทีเมื่อได้ยินใครบางคนในห้องเอ่ยขึ้น อยากรู้นักว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกล้าดียังไงมาประเมินผมที่ยังไม่เคยรู้จักกัน
“บริษัทนี้มีชื่อเสียงมากนะ รออีกนิดแล้วกันอย่าทำเป็นดาราใจร้อนสิ หน้างอไม่น่ารักเลย”ดาราหรอ ถ้าผมฟังไม่ผิดคือคนที่พูดเป็นดารา หรือจะเป็นคนที่ผมต้องร่วมงานด้วยนะ ถ้าใช่แบบนี้ไม่ดีเลย ผมรีบเปิดประตูห้องเข้าไปทันที และทันทีที่เปิดเข้าไปสายตาผมมองไปรอบๆห้อง ผมถึงกลับนิ่งไปทันทีเมื่อได้เห็รคุณนิลกาฬ ผมยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อคุณนิลเบาๆ
“คุณนิล”ผมเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ แต่ก็ต้องหัวเสียทันทีเมื่อเสียหนึ่งดังขึ้น และก็เป็นเสียงของคนที่ผมไม่อยากคิดถึงเลย
“ไอ้ๆๆ”เสียงหนึ่งโดดขึ้นมา ผมหันมองไปต้นเสียงและก็จ้องไปยังใบหน้าของผู้ชายคนนั้น
“กรีนมีมารยาทหน่อย นั่งลง”คุณอนาคินเอ่ยบอก ท่าทางจะสนิทกันมากแถมไอ้ปากปีจอนั้นก็ดูจะกลัวคุณอนาคินด้วยสิ
“คุณชยางกูร เจ้าของบริษัท CY โปรดิวเซอร์ ที่ผ่านการประมูลโปรเจคตัวใหม่ของเราคะ”เสียงผู้จัดการการตลาดเอ่ยขึ้นแนะนำ ผมยกมือสวัสดีกับทุกคนก่อนจะนั่งลง
“สวัสดีครับคุณอนาคิน และคุณนิล ดีใจจังครับที่ได้เจอคุณนิลอีก”ผมเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัวก่อนจะมองไปยังคุณนิลกาฬ แต่ก็รู้สึกหน่วงไปบ้างที่รู้ว่าที่จริงคุณนิลกาฬมีเจ้าของแล้ว แถมเจ้าของดูดีไปหมดไม่มีที่ติแบบคุณอนาคิน ผมยอมแล้วหล่ะ
การนำเสนอโปรเจคของผมเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ที่ดูจะไม่ราบรื่นก็แค่นายแบบที่ต้องมาร่วมงานด้วยนี่สิ ขัดผมทุกอย่าง ไม่ชอบทุกอย่างที่เป็ยโปรเจคของผม แต่ผมโชคดีที่คุณอนาคินสนใจ
“เดี๋ยวก่อน คุณโปรดิวเซอร์”ผมหันไปมองต้นเสียง ท่าทางกร่างน่าดู กวนตีนชะมัดคนอะไรไม่รู้ ผมคิดแบบนั้น
“คุณกรีนมีอะไรหรอครับ หรือจะให้ผมบรีฟงานที่ต้องทำเพิ่มเติม”ผมเอ่ยถามยียวน เขาทำหน้าหุบยิ้มทันทีเหมือนเด็กถูกขัดใจ
“ผมอ่ะมืออาชีพ ไม่ต้องมีใครมาบงมาบรีฟงานให้หรอกนะ แต่ที่ผมเรียกคุณเมื่อกี้ ก็แค่อยากจะบอกว่า โปรคเจคคุณห่วยแตกชะมัดเท่าที่ผมทำงานมา แค่นี้หล่ะฮาๆๆ”ผมกัดฟันกรามแน่น คนบ้าอะไรพูดจาไม่เข้ากับหน้าตาเหลือเกิน ผมสัญญาเลยจริงๆว่าจะไม่ขอร่วมงานกับผู้ชายคนนี้ ถ้าไม่จะเป็น
.........................
"ไม่ต้องถามว่าเริ่มต้นยังไง ถ้าตอนจบสวยมันก็โอเค"
[/size]
-
มาลงตอนแรกให้แล้วนะ
-
ฮ่าๆๆๆๆๆ ท่าทางคู่นี้จะคู่กัด อิอิ
กรีนกวนแค่นี้ก็เข้าไปวิ่งในหัวกรูแล้วอ่ะ คิกๆๆๆ
กรูโดนใจ หญิงสาวนิรนาม (อนาคตตัวร้ายแน่ๆๆ)นิล ซี แต่มาจบที่กรีน อิอิ ตามติดจ้า
-
Green Light 2 : เดินทาง (ชยางกูรxอนาคิม)
[/size]
ชยางกูร พาร์ท
[/b]
นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว ผมค่อยๆละงานจากหน้าคอมก่อนจะเดินไปที่ระเบียงของออฟฟิต ผมยกบุหรี่ขึ้นมาจุดพร้อมพ่นควันสีขาวเทาไปข้างหน้า ช่วงเวลากลางคืนของกรุงเทพตอนนี้มันช่างนาพิสมัยนักสำหรับนักท่องเที่ยวราตรี
ฟู่วววววว
“แค่คิดว่าคุณมีใครแล้ว ผมก็ไม่อยากจะทำอะไรต่อเลย”ผมพูดออกมาลอยๆกับผู้ชายคนนั้น คุณนิลเป็นผู้ชายน่ารักมาก ผมถูกใจรอยยิ้มของเขานัก แม้ว่าผมจะไม่ใช่เกย์ก็ตามแต่ผมว่าผมหลงรักผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น
“แต่เห็นรอยยิ้มและแววตาของคุณเวลาคุณอยู่กับคุณอนาคิน ผมก็รู้แล้วว่าคุณรักเขามากแค่ไหน”ผมเองก็เพ้อไปเรื่อย ก่อนจะหลับตาลงหลังเขี่ยก้นบุหรี่ทิ้ง แต่ในหัวกลับมีใบหน้าขาวนั้นผ่านเข้ามา
“ต่างกับผู้ชายบางคน ปากจัด นิสัยคงจะเอาแต่ใจน่าดู คงจะนิสัยแย่สุดๆเลยมั้ง”ผมเอ่ยขึ้นกับคนในภาพที่อยู่ในหัวผมตอนนี้
“นี่ต้องไปอิตาลีด้วยกันอีก จะอดใจไม่ด่าน้องชายเจ้าของงานได้ไหมว่ะเนี้ย”ผมสบถออกมา ก่อนจะไล่ความคิดนั้นออก และเตรียมเก็บของกลับบ้าน
ผมขับรถไปตามท่องถนนยสมราตรีแบบนี้ มันช่างดีนัก โล่งจนผมชอบที่จะกลับบ้านตอนดึกๆ ระหว่างที่ขับรถรอไฟเขียวอยู่นั้น ผมก็มีรถคันหรูมาจอดเทียบผม เปิดเพลงเสียงกระหึ่มแทบไม่เกรงใจใคร คงเป็นพวกนักเที่ยวหล่ะมั้ง เพราะจอดรถได้ก็รีบนัวเนียกับสาวข้างๆทันที แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรนัก มันก็ปกติทั่วไปแต่ผมกลับต้องหันกลับไปอีกครั้งเมื่อไอ้คนขับที่กำลังถูกแม่สาวนุ่งน้อยห่มน้อยเอ่ยเรียกชื่อนั้นเป็นคนที่ผมจำในสมอง
“อ่าห์...อย่าซนสิคะกรีน นี่มันกลางไฟแดงนะ”
“อื่อ...แล้วไง ใครจะสนหล่ะ”หน้าด้านไม่มีที่ติเลยจริงๆ ผู้ชายคนนี้ผมคิดในใจก่อนจะกดแตรเสียงดังๆเมื่อสัญญาณไฟเริ่มจะบอกว่าเขียวแล้ว
ปรี๊ดดดดด
“รอถึงโรงแรมดีกว่าไหมครับคุณกรีน ที่นี่มีกล้องหลวงนะ”ผมลดกระจกลงพร้อมเอ่ยบอกคนในรถที่หันมาทางผม ใบหน้าบอกว่าตกใจแต่ก็คงจะรู้สึกโกรธอยู่บ้างแต่ผมไม่สนใจเพราะผมขับรถออกมาก่อนแล้ว
“ฮ่าๆๆ ป่านนี้หัวร้อนน่าดูหล่ะมั้ง”ผมเอ่ยพร้อมหัวเราะออกมาอย่างที่ไม่เคยหัวเราะแบบนี้มานานมากแล้ว
ผมกลับถึงบ้านก็เกือบตีสองกว่าจะอาบน้ำเรียบร้อย ผมยกมือถือขึ้นมาดูหน้าจอที่ยังคงเป็นรูปของแคท ไม่ใช่ว่าผมยังไม่ลืมเธอนะ แต่ที่ผมยังคงเอารูปเธอขึ้นหน้าจอเพราะจะได้เตือนผมว่า ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ดูถูกผมไว้และมันก็จะทำให้ผมรู้สึกว่าผมต้องสู้
“วันที่ห้าย้ายคอนโด”ผมยกปากกามาขีดที่ปฏิทิน ผมจะต้องย้ายคอนโดก่อนไปอิตาลี เพราะช่างต้องเข้ามาทำบ้านให้ผมน่าจะเป็นเดือนกว่าที่ผมจะได้กลับมาอยู่ที่บ้าน
...
..
ผมกับทีมงานใช้เวลาเกือบสัปดาห์เพื่อเตรียมโปรเจคไปอิตาลี ไม่อยากให้เสียชื่อบริษัทและความไว้ใจของคุณอนาคิน วันนี้ผมจึงนัดคุณธนาคิมหรือคุณเกรย์ เจ้าของบริษัทอีกคนที่ต้องไปอยู่อิตาลีเพื่อคุยงานที่ต้องเตรียมในวันเดินทาง
“คุณชยางกูรมองหาอะไรครับ”เสียงนิ่งๆแต่มันแฝงไปด้วยความดุดันของคุณเกรย์เอ่ยถามผม เมื่อผมมองซ้ายมองขวาเพื่อมองหาใครบางคน
“อ่อ เปล่าครับ เรามาคุยงานต่อดีกว่า”ผมบอกปัดไป สายตาพี่น้องบ้านนี้ไม่รู้เป็นไง ผมว่าเวลามองเข้ามาแล้วผมรู้สึกร้อนวูบวาบบอกไม่ถูก
ระหว่างที่ผมคุยงานกับคุณเกรย์อยู่นั้น ผมก็เห็นคุณนิลและคุณอนาคินเดินผ่านห้องประชุมไป ใจผมมันว่าทำใจได้แล้วแต่ก็ไม่เป็นผลก็ยังรู้สึกหน่วงอยู่ดี แต่ผมว่าไม่ใช่แค่ผมที่เป็นแบบนั้น คุณเกรย์เองก็เช่นกัน จนเสียงหนึ่งที่ดังเข้ามาทำเอาผมและคุณเกรย์หันไปมองยังจุดเดียวกัน
“เฮีย ไปกินข้าวกันเถอะ หิวแล้ว”เสียงเอ่ยอ้อนๆของคนที่กำลังเปิดประตูเข้ามาพร้อมผู้จัดการส่วนตัว
“เสียมารยาทมากเจ้ากรีน เฮียคุยงานอยู่”เสียงเอ่ยดุของคุณเกรย์ทำเอาอีกคนหน้าเสียซึ่งผมเองกลับยกยิ้มมุมปากออกมา คนอะไรไม่มีมารยาทจริงๆ
“อย่ามายิ้มเยาะผมนะ”อยู่ๆเสียงนั้นก็เอ่ยอีกครั้งและท่าทางจะหันมาทางผมเสียด้วยสิ
“เจ้ากรีน อย่าเสียมารยาทกับคุณกูร”ผมยิ่งยกยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนที่ใบหน้าขาวของคนไม่มีมารยาทนั้นจะบึ้งตึงก่อนที่คุณเกรย์จะเอ่ยเรียก
“ไหนๆก็มาแล้ว เข้ามาดูงานอีกนิดก่อนที่มะรืนนี้จะไปอิตาลีกัน”
“เฮีย ค่อยไปคุยที่โน้นไม่ได้หรอไงอ่ะ”
“ไม่ได้ ทำงานต้องวางแผนก่อนสิ คุณเต๋อพาเด็กดื้อของคุณมานั่งตรงนี้เลยครับ”น้ำเสียงเด็ดขาดของคุณเกรย์เอ่ยขึ้น ผมยกยิ้มไม่หุบจริงก่อนที่ผู้จัดการของเขาจะพามานั่งที่โต๊ะ
“งานแบบนี้ ผมทำมาไม่รู้จักกี่งานแล้ว กระจอกแบบนี้ไม่บรีฟก็ทำได้ป่ะ”น้ำเสียงเอ่ยอย่างดูถูกผม ก่อนที่ผู้จัดการของเขาจะตีที่แขนของเขาไม่แรงนัก
แปะ
“นี่แน่ ทำไมพูดแบบนั้นหล่ะครับ ไม่น่ารักเลย”
“อุ้ย พี่เต๋อมันเจ็บนะครับ มาตีผมต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ผมงอนแล้วนะ”ผมพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมถึงเป็นคนขี้เอาแต่ใจนัก
“จะเถียงกันอีกนานไหมครับ ผมมีงานอีกเยอะนะที่ต้องทำ”ผมเอ่ยขึ้น ทำเอาทั้งคู่หันมองแม้ผู้จัดการจะยกยิ้มอย่างรู้สึกผิด แต่ต่างกับอีกคนที่มองผมแบบจะกินเลือดกินเนื้อ
“คุณกูรพูดถูก รีบๆคุยงานอย่าเล่นให้มากนัก เฮียก็มีงานเยอะเหมือนกัน และคุณเต๋อก็อย่าตามใจเจ้ากรีนมากนัก”ผมยกยิ้มยิ้มปากเล็กน้อยเมื่อรู้สึกสะใจที่เขาถูกพี่ชายดุ
“ครับคุณเกรย์”ผมมองผู้จัดการของเขาแล้วก็รู้สึกว่า ความสนิทสนมของทั้งคู่มันแปลกๆนัก ถ้าวันก่อนผมไม่เห็นว่าเขานัวเนียกับผู้หญิงผมเองก็คงจะเข้าใจว่าทั้งคู่ต้องมีซัมติงกันแน่ๆ
ผมคุณงานไปเกือบชั่วโมงก่อนจะขอตัวกลับ ที่จริงคุณเกรย์ก็ชวนทานข้าวเที่ยงด้วยแต่ผมเองไม่อยากทานกับคนหน้าบึ้งกลัวว่าจะทานไม่อร่อย
“คนอะไร ไม่น่าจะเป็นดาราได้เลย มนุษยสัมพันธ์แย่มากๆ มีดีแค่หน้าตาที่น่ารักหล่ะมั้ง”ผมคิด ห๊ะ ผมคิดแบบนั้นหรอ ผมว่าไอ้บ้านั้นมันน่ารักอย่างนั้นหรอ
“เราว่าไอ้บ้านั่นน่ารักอย่างงั้นหรอ นี่เราท่าจะนอนน้อยไปหรือเปล่าว่ะ”ผมเอ่ยด่าตัวเองก่อนจะขับรถออกไป เพราะวันนี้ผมต้องรีบไปเตรียมของเพื่อย้ายเข้าคอนโดใหม่
...
..
ผมจัดการเรื่องห้องกับทางคอนโดเรียบร้อยก็เดินเข้าลิฟท์เพื่อขึ้นมาชั้นที่ห้องของผม ผมก็สำรวจห้องตามที่พนักงานคอนโดบอก ผมลากกระเป๋ามาใบเดียว สมัยนี้สะดวกสบายจริงๆแค่มีเสื้อผ้าและเงินก็เข้าอยู่ได้แล้ว
“หกเก้า หรือหกแปดว่ะ”ผมบ่นกับตัวเอง ก็คีย์การ์ดที่คอนโดให้มามันก็สี่เหลี่ยมธรรมดาและตอนผมเองก็เพลียมาก ผมจึงจัดการรูดคีย์การ์ดที่หน้าห้อง แต่ทำยังไงก็เปิดไม่ออก
“เชี่ย อะไรว่ะ หรือว่าไม่ใช่”ผมก็ยังบ่นกับตัวเองและก็ยังคงรูดคีย์การ์ดอยู่แบบนั้น และแล้วประตูก็เปิดออกไม่ใช่เพราะคีย์การ์ดนะ แต่เป็นคนตัวขาวแก้มอุ้มเจ้าของห้องต่างหาก
แกร๊ก!
“คุณกำลังทำอะไรอ่ะ”
“อ๊ะ...คือ...ขอโทษด้วยครับ ผมจำหมายเลขห้องผิดแน่ๆเลย”ผมเองตกใจมาก เมื่อหันไปมองหมายเลขห้องจริงๆแล้วผมว่าผมจำเลขห้องผิดมากกว่า ผมเอ่ยพร้อมยกยิ้มอย่างรู้สึกผิด แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปที่ห้องของตัวเอง ผมก็ได้กลิ่นอะไรสักอย่าง
ฟิด ฟิด ฟิด
“คุณได้กลิ่นอะไรไหม”ผมเอ่ยพร้อมฟูดฟิดจมูก
“กลิ่นหรอ กลิ่นอะไร”เสียงหวานน่ารักเอ่ยย้อนถามผม ไอ้ผมก็รู้สึกได้ว่ามันคือกลิ่นไหม้
“กลิ่นไหม้อ่ะครับ...”ผมเอ่ยก่อนที่จะรีบดีดตัวเข้าไปที่ครัวเพราะตอนนี้ควันจากกระทะกำลังเริ่มโขมงขึ้น ผมรีบหาผ้าชุบน้ำมาคลุมไว้ทันที แต่ก็ทุลักทุเลพอสมควรแต่ก็สามารถดับมันได้ ผมทรุดตัวนั่งลงก่อนที่คนตัวเล็กกว่าผมจะทรุดตัวนั่งลงข้างๆผม
“แค่กๆๆ โอ๊ยยยยเกือบตายแล้วเรา”
“อ่า เกือบไหม้ทั้งตึกแล้วนะครับ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะหันมองมายังใบหน้าขาวของคนข้างๆ น่ารักจังแก้มอุ้มๆหน่อยผมว่าเขาน่ารักมากเวลายิ้มยิ่งน่ารักผมคิดแบบนั้น ก่อนจะเห็นแก้มของเขาเปื้อนจึงเอ่ยบอก
“แก้มคุณเปื้อนอ่ะ”ผมเอ่ย มือขาวก็ค่อยๆเช็ดที่แก้มของตัวเอง แต่ก็ยังไม่ถูกจุด ผมก็ชี้บอกว่าไม่ใช้ตรงนั้นแต่เป็นตรงนี้ เขาก็ยังเช็ดไม่ถูกอีก ผมจึงเอ่ยเสนอขึ้น
“ขอโทษนะครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้เองดีกว่า”ผมกำลังจะยื่นมือเข้าไปเช็ดให้แต่ใบหน้าขาวก็เบี่ยงหลบออก ผมเองไม่ได้รู้สึกอะไรเลยเพราะคิดว่าเราเพิ่งจะเจอกันจะมาให้ถูกเนื้อต้องตัวมันก็ยังไงอยู่ ผมเข้าใจเขา
ผมใช้เวลาไม่นานนักกับการช่วยน้องซีเก็บของ และผมเองก็ชวนน้องซีมาที่ห้อง อย่างน้อยเราสองคนก็เป็นเพื่อนข้างห้องกันแล้ว ผมชอบเวลาน้องซีพูดช่างเจื้อแจ้วจนผมมองความน่ารักนั้นเพลินไปเลย และผมเองก็น่าจะสังเกตว่าเขาเองก็น่าจะมีแฟนอยู่แล้ว
“พรุ่งนี้พี่ต้องไปทำงานที่อิตาลีแต่เช้า เอาไว้กลับมาพี่จะพาไปกินของอร่อยๆหลายๆที่เลยนะ”ผมเอ่ยบอกคนตรงหน้า
“ครับ”น้องซีน่ารักชะมัดเลย แค่พูดและอมยิ้มออกมาก็ทำผมใจละลายแล้ว
“งั้นสั่งอาหารไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำแปบ”ผมเอ่ยบอก ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ผมรู้สึกแปลกๆกับตัวเองถามว่าผมชอบผู้ชายไหม ผมบอกเลยว่าไม่เคยคิดอยู่ในสมองแต่ถ้าเป็นผู้ชายที่น่ารักๆ รอยยิ้มหวานๆแบบคุณนิลหรือน้องซีผมว่าผมหลงรักผู้ชายได้ไม่ยากเลย
“คนอะไร น่ารักชะมัดเลย ภาวนาขออย่าเพิ่งมีใครเลยนะ”ผมเอ่ยในใจก่อนจะล้างมือและเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่เมื่อเดินออกมาก็เห็นร่างเล็กนั้นวิ่งออกไปแล้ว และที่สำคัญผมเห็นร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตามไปพร้อมเรียกชื่อ น้องซี
“น้องซี...น้องซีครับ”ผมเอ่ยเรียกชื่อของเขา เผื่อว่าจะหันมาบ้างแต่ผมว่าผมน่าจะมองออกว่าคนที่วิ่งตามนั้นน่าจะเป็นคนสำคัญของเขา ผมยกมือถือโทรหาเขาตลอดแต่ก็ไม่รับสายจนเสียงข้อความดังขึ้น
น้องซี : ซีขอโทษนะครับที่วิ่งออกมาแบบนั้น
ชยางกูร : มีอะไรเล่าให้พี่ฟังได้ไหม เดี๋ยวพี่ไปหาที่ห้องนะ
น้องซี : พี่กูร เอาไว้ซีพร้อมซีจะเล่าให้ฟังนะครับ ครั้งนี้ซีขอจริงๆ
ชยางกูร : ครับ พี่กลับจากอิตาลีพี่จะแวะไปหานะ
ผมเก็บมือถือใส่กระเป๋าและออกจากร้านมา ผมเดินผ่านห้องของเขาใจก็อยากจะเคาะเรียกถาม แต่อีกใจก็คิดว่าอย่าดีกว่า ถ้าเขาต้องการผมจริงๆเขาจะไม่วิ่งหนีออกมาแบบนี้
...
..
ผมออกมาจากห้องเช้ามืด ในใจคิดเป็นห่วงแต่น้องซีแต่ผมก็ต้องมีหน้าที่ของตัวเอง ผมมาถึงสนามบินก่อนใคร ก่อนที่คุณธนาคิมจะตามาสมทบและทีมงาน
“เจ้ากรีนอยู่ไหน ป่านนี้ทำไมยังไม่มา”เสียงเอ่ยโวยของคุณธนาคิมที่บ่นน้องชายตัวเองอยู่ เพราะทุกคนมากันครบแล้วรอเพียงแต่ดารานายแบบชื่อดังอยู่ ที่ป่านนี้ยังไม่เห็นหัวเลย
“ทุกคนไปขึ้นเครื่องรอได้เลย เดี๋ยวผมรอเจ้ากรีนเอง”เสียงคุณธนาคิมเอ่ยบอก แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเดินไปเสียงโวยจากอีกด้านก็ดังขึ้น
“เฮียยยย ขอโทษทีครับ แฮ่กๆๆ”ผมหันมองคนเสียงหอบนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่หรอดารานายแบบที่ว่าหล่อนักหล่อหนา ใบหน้าเหมือนแมวง่วงนอนเลย ผมคิดในใจมองคนตัวบางกว่าแล้วเผลออมยิ้มออกมา
“ถ้าจะยิ้มเยาะกันขนาดนี้ ด่าเลยดีไหม”อยู่ๆริมฝีปากอวบอิ่มนั้นก็เอ่ยประชด
“ด่าได้ด้วยหรอครับ ถ้าได้ผมขอด่าเลยแล้วกัน...”ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยด่าออกมา เสียโวยของเขาก็ดังขึ้นทันที
“ประชด...รู้จักไหม”เขาเอ่ยออกมาก่อนจะชวนผู้จัดการส่วนตัวเดินไป แต่มิวายจะหันมาทำหน้ายักษ์ใส่ผมอีก
“คนอะไร นิสัยแย่ชะมัด”ผมเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะเดินตามไปเป็นคนสุดท้าย ผมว่าทริปนี้ผมต้องเหนื่อยมากแน่ๆ กับดารานายแบบคนนี้
................
"การเดินทางที่แสนน่าเบื่อ บางครั้งอาจจะเป็นการเดินทางที่แสนหวานก็ได้"
[/size]
-
กัดกันเบาๆๆๆ รอการเดินทาง จะหวานแบบไหน อิอิ
-
การเดินทาง ที่แสนหวานชื่น ..
-
Green Light 3 : คนของผม (ชยางกูรxอนาคิม)
[/size][/b]
อนาคิม พาร์ท
การที่นอดึกตื่นสายเป็นเรื่องปกติของผม และเช้านี้ผมก็ต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่ พี่เต๋อลากผมขึ้นแท็กซี่ได้ผมก็หลับสลบ และขึ้นเครื่องได้ผมก็หลับสลบไปเลยอีกเช่นกัน
“อื้ออออ”ผมครางออกมาเบาๆ เมื่อรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ปรือตาได้ก็มองไปรอบๆมองหาพี่เต๋อเพื่อจะให้พาไปเข้าห้องน้ำ
“เฮีย เค้าปวดฉี่อ่ะ ไปส่งเขาหน่อย”ผมหันไปปลุกเฮียเมื่อไม่เห็นพี่เต๋อ
“อ้าว คุณเต๋อหล่ะ”เฮียหันมาถามผม
“ไม่รู้เหมือนกันครับ นะเฮียเค้าปวดฉี่อ่า”อ้อนเข้าไป เฮียเกรย์กับเฮียแบล็คมักจะใจอ่อนกับการอ้อนของน้องๆเสมอ
“ใส่สื้อคลุมด้วย เสื้อนี่บางชะมัด”เฮียเอ่ยขึ้นก่อนจะหยิบเสื้อแขนยาวให้ผม แต่ยังไม่ทันที่ผมและเฮียจะเดินไปยังห้องน้ำของเครื่อง ร่างสูงของไอ้บ้าหน้านิ่งก็ลุกขึ้นเดินนำผมไป เฮียจึงเอ่ยถาม
“คุณกูร จะไปห้องน้อเหมือนกันหรอครับ”ผมรีบหันไปมองเฮียทันที อย่านะเฮีย อย่าทำแบบนี้
“ครับ คุณเกรย์มีอะไรหรือเปล่าครับ”แหม กูกับเฮียพูดเสียงดังซะขนาดนั้นมึงจะถามเอาอะไรเนี้ย ผมคิด
“อ่อ ฝากเจ้ากรีนไปห้องน้ำด้วยนะครับ”
“เฮีย…ไหนเฮียจะไปส่งเค้าไง”ผมเอ่ยขึ้น
“เอาหน่า ไหนๆคุณกูรก็จะไปอยู่แล้วนี่ ยังไงก็มีคนไปด้วยนะ”ผมทำหน้าอ้อนวอนเฮีย
“อย่าดื้อได้ไหม”เฮียเอ่ยเสียงแข็ง ผมทำหน้าบึ้งออกมา
“จะไปได้หรือยัง ฉี่จะราดแล้ว”เสียงเอ่ยไม่เสนาะหูเอาเสียเลยเอ่ยบอกผม ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยอะไรหรืองอแงอะไรมือไอ้บ้านั้นก็คว้ามาที่มือของผมแล้วดึงไป
หมับ
“อ๊ะ…ปล่อยดิ”ผมเอ่ยพร้อมบิดมือออก แต่เขากลับจับมือผมแน่น
“ไม่อยากจะจับนักหรอกนะ แต่ที่จับเพราะไม่อยากให้เกรย์ว่าได้”ไอ้นี่ ตีสองหน้าเก่งนักว่ะ
“ตอแหลเก่งจังว่ะ”ผมเอ่ยก่อนจะรีบเข้าห้องน้ำทันทีโดยลืมไปว่า ห้องน้ำบนเครื่องมันจำกัดบริเวณเหลือเกิน ผมหันมองไปรับๆห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆนั้น
“อื้อ อื้อ อื้อ…”เสียงหายใจของผมที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ผมรีบปลดกางเกงเพื่อทำธุระ เพราะไม่อย่างงั้นผมต้องตายก่อนแน่ๆ
“คะ…คุณ”ผมเอ่ยขึ้นเรียกคนที่อยู่ข้างนอก ผมกลัวว่าจะติดอยู่ในห้องน้ำนี้ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ ผมจึงเคาะประตูเรียกอีกครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณ ยังอยู่ไหม…”ไอ้บ้านั่นทิ้งเราไปแล้วหล่ะสิ เอาไงดีตอนนี้หายใจแทบไม่ออกแล้วด้วย ยังไม่ทันที่ผมจะใส่กางเกงเรียบร้อย เครื่องบินก็ไฟตกและสั่นเล็กน้อย อาจเป็นเพราะตกหลุมอากาศ แต่ผมกลับกลัวมาก การอยู่ที่แคบแบบนี้ทำให้ผมคิดถึงครั้งนั้น
แกร๊ก
“อะไรว่ะ…”เชี่ยแระ เมื่อผมจะออกจากห้องน้ำ ประตูกลับเปิดไม่ออก จะดันออกหรือดึงเข้าก็ไม่ออก ผมเริ่มกังวลแล้ว และเริ่มหายใจไม่ออกอีกครั้ง ยิ่งคิดว่าไม่มีคนอยู่ข้างนอกยิ่งทำให้ตกใจ
แกร๊ก แกร๊ก
“มีใครอยู่ข้างนอกบ้างครับ…”ผมตะโกนออกมาเสียงดัง พยายามเปิดประตู น้ำตาเริ่มจะไหลออกมาแล้วเพราะความกลัว เฮียจะรุ้ไหมว่าผมติดอยู่ที่นี่ พี่เต๋อจะรุ้ไหมว่าผมมาเข้าห้องน้ำคนเดียวโดยไม่มีแก และไอ้บ้านั้นมันไปไหนกันนพ ไหนรับปากเฮียจะดูแลเราไง
“มีใครอยุ่ข้างนอกไหมครับ ช่วยผมที ผมติดอยู่ในนี้”ผมเอ่ยทั้งน้ำตาละความหวาดกลัว เมื่อครั้งนั้น ภาพครั้งนั้นมันแล่นเข้ามาอีกครั้งจนผมสั่นไปหมด ก่อนที่จะได้ยินเสียงของคนข้างนอก
“คุณกรีน…”ผมยกยิ้มออกมาทันทีก่อนจะเอ่ยขานรับ
“คุณกูร คุณใช่ไหม”ผมเอ่ยอย่างดีใจ
“ใช่ครับ เดี๋ยวผมมานะ ผมไปบแกเจ้าหน้าที่บนเครื่องให้”
“ไม่เอา อย่าไปไกลผมนะ คุณอยู่ตรงนี้หล่ะผมกลัว…ฮื้อๆๆ”ผมแสดงความกลัวออกมา ผม้จะกลั้นสะอื้นแต่ก็คิดว่าคนข้างนอกก็คงได้ยินบ้าง
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไปไม่นานหรอก”เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มันทำให้ผมรู้สึกว่าเขาห่วงผมมาก
“รีบกลับมานะ อย่าทิ้งผมแบบเขานะ”ผมเอ่ยออกมา ไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ผมเพ้ออะไร และไม่รู้ว่าไอ้บ้านนั่นจะถามไหมว่าแบบเขาคนนั้นเป็นใคร
เวลาไม่นานนัก ผมก็ได้ยินเสียงงัดประตูจากด้านนอก เพียงแค่ไม่กี่นาทีแต่มันทำให้ผมแทบบ้า ผมกลัวที่แคบข้อนี้ที่บ้านรู้ดี คนใกล้ชิดผมอย่างพี่เต๋อก็รู้ดี
ครืดดดด
หมับ
“คุณกูร…”เมื่อประตูเปิดได้ สิ่งแรกที่ผมเห็นตรงหน้า และสิ่งที่ผมรีบโผเข้าหาคือร่างสูงของโปรดิวเซอร์ ผมลืมอายและทิฐิไปเลยตอนนี้ผมขอเพียงอย่างเดียวคือสิ่งที่ปกป้องผมได้
“ไม่ต้องกลัวนะครับ ไม่มีอะไรแล้ว”เสียงปลอบและมือหนาที่ลูบที่หลังผมเบาๆ
ตอนนี้พวกเราถูกเชิญมานั่งอยู่ห้องรับรองของเครื่อง เพื่อที่ทางสายการบินแสดงการขอโทษ ที่จริงผมเองก็ไม่ได้จะผูกใจอะไร ที่ทางสายการบินบอกว่าห้องน้ำจะล๊อคเองถ้าเครื่องเกิดปัญหา และจะปลดล๊อคเองเช่นกันถ้าเครื่องอยุ่ในภาวะปกติ แต่ครั้งนี้ประตูกลับไม่ปลดล๊อคเองสงสัยจะเสีย
“ทางเราต้องขอโทษผู้โดยสารด้วยนะครับที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ทางเรายินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”เสียงกัปตันเครื่องเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ ผมเองที่ยังนั่งอยู่ข้างๆร่างสูงของเขา มือหนายังคงกุมมือผมไว้แน่น
“แค่ขอโทษ แค่รับผิดชอบ ผมว่ามันไม่คุ้มกันหรอกนะถ้าเกิด คนที่ติดอยู่ในนั้นไม่ใช่คนของผม แต่เป็นเด็กขึ้นมาคุณคิดว่าเด็กจะทำยังไง จะรอคนมาช่วยไหวไหม แม้แต่คนของผมเอง้าผมไม่ได้อยู่แถวนั้นคุณคิดว่าคนของผมจะเป็นยังไง”น้ำเสียงเอ่ยดุขึ้นจนผมเองตกใจ และที่ผมยิ่งหูดับและตกใจมากก็คือ คนของผมหรอ
“ต้องขอโทษจริงๆครับ คุณจะให้เราชดใช้ยังไงก็บอกมาเลยครับ ทางเรายินดี”ผมหันไปมองคนข้างๆที่ดูเหมือนจะโกรธ
“คุณกูร ผมไม่เป็นไรแล้ว ผมว่าเรากลับที่นั่งกันดีกว่านะครับ”ผมเอ่ยไม่อยากจะมีเรื่องอะไร เพราะผมเองก็เป็นดารากลัวเป็นข่าว
“อื้ม…”เขาหันมาตอบผมแบบห้วนๆก่อนจะหันไปเอ่ยต่อ
“ผมอยากให้ทางคุณพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งนะครับ ขอให้เหตุการณ์คนของผมครั้งนี้เป็นบทเรียน”เขาเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นและโอบไหล่ผมเดินออกไป
บางทีผมว่าผมคงต้องมองเขาใหม่แล้วหล่ะ ผมกับเขาเดินมายังโซนผู้โดยสาร ผมรีบเบี่ยงตัวออกทันทีเมื่อเห็นเฮียและพี่เต๋อกำลังทำหน้าเครียดๆ ซึ่งกำลังห่วงผมอยู่
“เฮีย….”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะรีบผละออกจากอ้อมกอดของเขาและวิ่งไปกอดเฮียทันที
“ไม่มีอะไรแล้วนะ ปลอดภัยก็ดีแล้ว”เฮียเอ่ย ผมทำหน้างงๆว่าเฮียรู้เรื่องได้ยังไงกันว่าผมไปเจออะไรมาก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆเฮีย และเฮียก็เล่าให้ผมฟังว่าเขาคนนั้นโทรหาเฮียและถามเฮียว่าผมเป็นอะไร ทำไมถึงหายใจเสียงดังและน้ำเสียงหวาดกลัวเมื่อเข้าห้องน้ำ และเฮียก็เล่าให้เขาฟังไปหมดว่าเพราะอะไรผมถึงกลัวที่แคบ
“ขอบคุณนะ”เป็นคำขอบคุณในใจ
++++++++
ชยางกูร พาร์ท
ผมเองก็ไม่ได้อยากยุ่งกับนายแบบเจ้าปัญหามากนักหรอก ถ้าไม่ใช่คุณเกรย์ขอให้ช่วย ตอนแรกผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเข้าห้องน้ำเองไม่ได้ ทำไมต้องมีคนไปส่ง ครั้งแรกเลยคือผมทิ้งเขาไว้ที่ห้องน้ำเพราะคิดว่าเขาเป็นคนเอาแต่ใจและคงจะถูกตามใจจนเคยตัวทำให้เวลาไปไหนต้องมีคนตามไปด้วย
“คุณกูร เจ้ากรีนหล่ะครับ”เสียงของคุณเกรย์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมเดินกลับมาเพียงคนเดียว สีหน้าดูตื่นเล็กน้อย
“เข้าห้องน้ำอยู่ครับ”ผมเอ่ยเรียบๆ
“อ้าว คุณไม่ได้อยู่กับเจ้ากรีนหรอกหรอ”ผมขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถามคุณเกรย์
“ไม่ครับ ผมแค่คิดว่าคุณเกรย์ให้ผมพาไปเฉยๆ”ผมเอ่ยเหมือนคนไม่รู้อะไร จนคุณเกรย์สบถออกมา
“ตายห่าล่ะ คุณเต๋อไปไหนเนี้ย”ผมเห็นคุณเกรย์ดูเป็นกังวล ไม่รู้ว่าผมเองทำผิดอะไรไป หรือมันมีอะไรกันายแบบคนนั้นที่ผมไม่รู้
“คุณเกรย์มีอะไรหรือเปล่าครับ”ผมเอ่ยถาม
“คือผมคิดว่าคุณจะอยู่กับเจ้ากรีนจนเสร็จธุระเสียอีก”
“คือผมไม่เข้าใจครับ ช่วยอธิบายผมที”ผมเอ่ยถามย้ำอีกที จนคุณเกรย์เล่าเรื่องของน้องชายของเขาให้ฟังว่า คุณกรีนนายแบบจอมเอาแต่ใจของผมนั้นเป็นโรคกลัวที่แคบ เคยกลัวมากจนหมดสติไปทำให้ผมรู้สึกผิดมาก
ผมจึงรีบเดินไปที่ห้องน้ำทันที แต่ระหว่างนั้นเครื่องเกิดตกหลุมอากาศและทำให้ระบบความปลอดภัยของเครื่องบินทำงาน จนเกิดเรื่องนี้ และตอนนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดมากเมื่อเห็นเขากลัวจนตัวสั่นไปหมด
“ขอโทษนะ”ผมเอ่ยในใจเมื่อหันไปมองเขาที่นั่งข้างๆคุณเกรย์และผู้จัดการของเขา สายตาที่มองมาทางผมตอนนี้ ผมรู้สึกแปลกๆมันเป็นสายตาที่ดูน่าถนอม
เมื่อมาถึงอิตาลี พวกเราทั้งหมดเข้าเช็คอินโรงแรมหรู ทางบริษัทจ่ายให้หมดข้อนี้ผมชอบมากอยากที่จะทำงานกับบริษัทใหญ่ๆก็เพราะแบบนี้หล่ะ
“อ่าห์…สวยชะมัดเลย”ผมเอ่ยออกมาเมื่อล้มตัวลงบนที่นอนกว้าง ผมพักคนเดียวเพราะคุณเกรย์บอกว่าอยากให้พักสบายๆไม่อยากให้มีคนมากวนมากนัก เพื่อที่ผมจะได้คิดอะไรใหม่ๆเข้ามา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมหันมองไปยังประตู ก่อนจะลุกไปส่องดูที่ตาแมวก็เห็นเป็นผู้จัดการของคุณกรีน ผมเองก็งวยงงเล็กน้อยแต่ก็เปิดประตู
“คุณผู้จัดการมีอะไรหรือเปล่าครับ”ผมเอ่ยถาม
“อ่อ ผมเข้าไปได้ไหม”เขาเอ่ย ผมเองจะปฏิเสธยังไงได้ ในเมื่อเขาแทรกตัวเข้ามาแล้ว ผมเองก็เดินตามเข้าไปนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกของห้อง
“คุณผู้จัดการมีอะไรหรือเปล่าครับ”ผมเอ่ยถาม
“อ่อ ผมแค่อยากจะมาขอบคุณ คุณกูรอ่ะครับที่ช่วยคุณกรีนไว้ ผมเองก็ติดธุระเรื่องเคลียงานเลยไม่ได้ไปดูแลเขา คุณกรีนอ่ะเป็นคนน่าสงสารนะครับ ดูภายนอกจะดูเป็นคนไม่มีความทุกข์อะไร ดูเหมือนจะไม่มีหลักอะไรกับชีวิต แต่ส่วนลึกของเขาน่าสงสารมาก…”ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าคุณผู้จัดการนี่จะพูดเอาอะไร ผมขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ที่มาหาผมคือเรื่องคุณกรีนน่าสงสารหรือมาขอบคุณผมครับ”ผมเอ่ยตรงๆ ที่จริงผมเองก็ไม่ชอบนะคนที่จะมานินทาเจ้านายให้คนอื่นฟังแบบนี้
“อ่อ ผมแค่อยากจะมาขอบคุณ คุณแค่นั้น และอยากจะบอกคุณอีกอย่างว่า คุณกรีนอ่ะ ของผมครับ ไม่ใช่ของคุณ”ผมไม่เข้าใจไอ้ผู้จัดการนี่เลยให้ตายเถอะ
“อ้าวหรอครับ ขอโทษนะครับผมเองก็ไม่ได้คิดว่าคุณกรีนของคุณจะเป็นของผมสักหน่อย”ผมเอ่ยขึ้น ก็ไม่รู้ว่าผมไปพูดตอนไหนกันที่บอกว่าคุณกรีนเป็นของผม แล้วไอ้ผู้จัดการนี่เอามาจากไหนกัน
“หรอครับ เมื่อสักครู่ มีคลิปของคุณและคุณกรีน ที่ห้องรับรองบนเครื่อง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน…”มือขาวยกมือถือขึ้นมากกดและยื่นให้ผมดู เป็นคลิปของผมและคุณกรียกำลังพูดคุยกับสายการบินอยู่ เหมือนมีคนแอบถ่ายไว้ได้
“ทางเราต้องขอโทษผู้โดยสารด้วยนะครับที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ทางเรายินดีรับผิดชอบทุกอย่าง
“แค่ขอโทษ แค่รับผิดชอบ ผมว่ามันไม่คุ้มกันหรอกนะถ้าเกิด คนที่ติดอยู่ในนั้นไม่ใช่คนของผม แต่เป็นเด็กขึ้นมาคุณคิดว่าเด็กจะทำยังไง จะรอคนมาช่วยไหวไหม แม้แต่คนของผมเอง้าผมไม่ได้อยู่แถวนั้นคุณคิดว่าคนของผมจะเป็นยังไง”
“ต้องขอโทษจริงๆครับ คุณจะให้เราชดใช้ยังไงก็บอกมาเลยครับ ทางเรายินดี
“คุณกูร ผมไม่เป็นไรแล้ว ผมว่าเรากลับที่นั่งกันดีกว่านะครับ”
“อื้ม…”
“ผมอยากให้ทางคุณพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งนะครับ ขอให้เหตุการณ์คนของผมครั้งนี้เป็นบทเรียน”
ผมดูคลิปจนจบ แถมกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่เชียว ผมลืมตัวขนาดนั้นเลยหรอ และผมเองก็จำไม่ได้ด้วยว่าผมพูดแบบนั้น
“แล้วไงครับ”ผมเอ่ยถามคนตรงหน้า
“ไม่แล้วไงหรอก แค่ผมอยากจะบอกคุณไว้ว่าคุณกรีนเป็นของผมก็แค่นั้น”ผมทำหน้านิ่งๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หึ ผมอ่ะนะไม่ใช่เกย์ และไม่ได้ชอบผู้ชายคุณจำเอาไว้ และก็รบกวนออกจากห้องส่วนตัวผมด้วยครับ”ผมเอ่ยอย่างเสียมารยาท
“ก็ดีครับ งั้นคุณก็จำเอาไว้ว่าผมไม่มีทางให้คุณกรีนไปสนใจคุณแน่นอนเช่นกัน คงจะเป็นงานเดียวที่ผมให้คุณกรีนร่วมงานกับคุณ”เขาเอ่ยเสร็จก็เดินออกจากห้องไป ผมรีบปิดประตูทันทีก่อนจะรีบมากดมือถือตัวเองเพื่อดูคลิปที่แชร์นั้น
“เชี่ย…คนดูเป็นหมื่นแล้วหรอว่ะ”ผมสบถเบาๆ เมื่อคลิปลงไปไม่ถึงชั่วโมงคนกดเข้ามาดูเป็นหมื่นแล้ว อาจเป็นเพราะคุณกรีนนั่นเป็นดาราด้วยหรือเปล่า
“เพิ่งรู้ว่าพี่กรีนเป็นเกย์…แต่ก็ยังรักพี่กรีนเสมอคะ”
“ว้าวววว แฟนพี่กรีนหล่อจัง”
“อิจฉาพี่กรีนจังเลย มีแฟนปกป้อง”
“กรี๊ดดดดด พี่กรีนแฟนหล่อมาก”
“พี่ขา ดูแลพี่กรีนของพวกหนูด้วยนะคะ…”
“คนของผม…กรี๊ดดดดด”
ผมเหงื่อซึมเป็นเม็ดออกมาทันทีกับคอมเม้นแต่ละคอมเม้น ตายแล้วกู อยากจะตายนักเมื่อไอ้น้องที่ทำงานส่งข้อความเข้ามาถามผม
“พี่กูร ทำไมพี่ไม่อ่อนโยนกับความรู้สึกสาววายอย่างพวกหนูเลย…อร๊ายยยย”
“พี่กูร เรื่องจริงหรอครับ…”
“พี่กูร พี่กูร พี่กูร…”
“ไอ้พวกบ้า กลับไปกูจะเอาหน้าไปไว้ไหนว่ะเนี้ย”ผมสบถกับตัวเองก่อนจะนอนราบกับที่นอนพร้อมหลับตาลง
“แล้วต้องเจอกับเขาอีก กูจะทำไงต่อว่ะ”ผมเอ่ยออกมาก่อนจะกลิ้งไปมากับที่นอน ไม่ได้โมโหแต่อย่างใด แต่ผมกำลังรู้สึกแปลกๆกับตัวเอง มันคืออะไรกันว่ะ
…………………….
"คำบางคำที่พูดออกไป ไม่สามารถลบออกได้"
[/size][/b]
-
คนของผม :katai2-1: :katai2-1:
-
ปกป้อง คุ้มครอง ..
-
น้องกรีนสะดุดคำนี้น่ะ
พี่กูรสายรู้ใจตัวเองช้า
-
Green Light 4 : รอย (ชยางกูรxอนาคิม)
[/size]
[/b]
อนาคิม พาร์ท
[/b]
ผมโยนมือถือลงบนเตียงอย่างฉุนๆกับคริปที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ฉุนอย่างเดียว คริปนี้มันทำให้ผมหน้าแดงออกมาอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าของเขาคนนั้นตอนที่เอ่ยบอกว่าผมคือคนของเขา มันทำให้ผมยิ่งหน้าร้อยผ่าว ใจเต้นแรงไปหมด
“โอ๊ยยยย พรุ่งนี้จะต้องทำงานด้วย ต้องเจอกันตลอดทั้งวันแล้วกูจะทำหน้ายังไงว่ะเนี้ย”ผมเอ่ายพร้อมนอนราบกับเตียงนอนนุ่ม สองมือปิดหน้าตัวเองอย่างรู้สึกเขินก่อนที่เสียงข้อความผมจะดังขึ้น
ติ้ง ติ้ง
บลู : เฮีย...
กรีน : รัย
บลู : คริปของเฮียอ่ะ เรื่องจริงป่ะ
หนูพิ้งค์ : เฮีย เรื่องจริงป่ะ
กรีน : เอ่อ...
เกรย์ : ตามนั้นเลย 5555
กรีน : เฮียอ่ะ ทำเอาเข้าใจผิดหมด เปล่าสักหน่อยนะ
หมอไวท์ : ว้าววววว
เฮียแบล๊ค : พอกันได้แล้ว ตั้งใจทำงานหล่ะ
กรีน : ขอบคุณครับเฮีย
เฮียแบล๊ค : กลับมาพาน้องเขยเฮียมาทานข้าวด้วยนะ ฮ่าๆๆ
กรีน : เฮียอ่ะ ไม่ช่วยเลย
จบการสนทนาไลน์กลุ่มของครอบครัวผม ตอนนี้ผมกลายเป็นทอคออฟเดอะทาวน์สำหรับครอครัวไปแล้ว แต่แปลกธรรมดาผมเองก็เป็นคนขี้หงุดหงิดง่ายถ้าโดนล้อในสิ่งที่ไม่ชอบแบบนี้ แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกแปลกๆ ไม่หงุดหงิดแถมรู้สึกใจเต้นแรงเหลือเกิน
“เขาจะรู้สึกแบบเราหรือเปล่านะ”ผมเอ่ยในใจ ก่อนที่จะหันมองไปยังประตูที่ตอนนี้เกิดเสียงเคาะจากคนด้านนอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณกรีน พี่เต๋อเองนะ”ผมเดินไปเปิดประตูให้พี่เต๋อทันที เพราะเราสองคนสนิทกันไม่ได้กังวลหรือกลัวอะไร
แกรก!!
“เชิญฮะ”ผมเอ่ยและเชิญพี่เต๋อเข้ามา ก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนที่นอน พี่เต๋อเองก็ค่อยๆนั่งลงข้างๆผมเช่นกัน
“เห็นคริปแล้วใช่ไหม”พี่เต๋อถามผม
“อื้ม...”ผมตอบไปสั้นๆ
“แค่นี้เองหรอ”พี่เอ่ยถาม ผมหันมามองพี่เต๋อก่อนจะเอ่ยขึ้นถาม
“ทำไมอ่า”
“ก็ไม่ทำไม ก็ธรรมดาคุณกรีนต้องโวยวายมากถ้าเจอข่าวแบบนี้”
“ไม่รู้จะโวยวายไปทำไม ก็ในเมื่อในคริปก็ไม่ได้ทำให้ผมเสียหายอะไรนี่”ผมเอ่ยออกมา มันก็จริงนะคริปนั้นไม่ได้ทำให้ผมเสียหายอะไรเลย ยิ่งมีแต่คนให้กำลังใจมากกว่า แต่ก็ยังน้อยกว่าคนที่แซวผมว่า แฟนผมหล่อจัง ยิ่งคิดยิ่งอดหน้าร้อนไม่ได้เลย
“คุณกรีนเป็นอะไรครับ”พี่เต๋อเอ่ยขึ้นถามผม
“ปะ...เปล่าครับ พี่เต๋อมีอะไรอีกไหมครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน อยากพักมาเลย”
“โอเค งั้นพรุ่งนี้พี่โทรปลุกแต่เช้าแล้วกัน”
“ครับผม ฝันดีนะครับ”ผมเอ่ยบอก
“ฝันดีครับ”พี่เต๋อเอ่ยขึ้นก่อนจะวางมือที่กลางศีรษะผมและขยี้ไปมา และเดินออกจากห้องไป ผมเองก็ไม่ได้อะไรนัก พี่เต๋อเอ็นดูผมเสมอ ผมคิดแบบนั้น
...
..
ช่วงเช้าของวันเริ่มงานวันแรก พี่เต๋อทำหน้าที่ผู้จัดการที่ดีมาก จัดแจงทุกอย่างให้ผมเรียบร้อย ผมกับพี่เต๋อเดินลงมาที่ห้องอาหารของโรงแรม เฮียเองก็มาถึงก่อนแล้วผมกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นทีมงานเองก็นั่งทานอาหารเช้ากัน แต่ผมกลับไม่เห็นเขา
“เอาแยมแล้วกันนะ”ผมพยักหน้ารับทราบ ก่อนที่พี่เต๋อจะเดินไปตักอาหาร ผมนั่งข้างๆเฮียที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ตอนนี้
“หวัดดีตอนเช้าฮะเฮีย”ผมเอ่ยทัก สายตาเองก็ยังกวาดมองไปทั่ว
“อื้ม...แล้วนี่มองหาอะไรอ่ะ”เฮียนี่ช่างสังเกตน้องชายจริงๆนะ ธรรมดาแทบจะไม่สนใจแต่วันนี้กลับมาสนใจ
“เปล๊า...แล้วนี่เราเริ่มกันกี่โมงฮะ”ผมเปลี่ยนเรื่องทันที กลัวว่าเฮียอ่ะจะรู้ว่าผมกำลังมองหาใครอยู่
“เสียงสูงจังเลยนะ เก้าโมงก็เริ่มแล้วหล่ะ รถตู้มารอที่หน้าโรงแรมแล้วหล่ะ”ผมพยักหน้า อยากจะถามเฮียจังว่าโปรดิวเซอร์เฮียอยู่ไหน
“น้ำส้ม และขมปังทาแยมนะ และซุปร้อนๆ”เสียงพี่เต๋อเอ่ยพร้อมวางอาหารตรงหน้าผม
“ขอบคุณครับ”ผมเอ่ยพร้อมยกยิ้มให้พี่เต๋อ ก่อนจะนั่งทานอาหารเรื่อยๆจนมีทีมงานเดินเข้ามาหาเฮีย ตอนแรกก็จะไม่สนใจนักหรอกถ้าไม่มีชื่อหนึ่งที่ทำผมวางช้อนซุปทันที
“คุณเกรย์ครับ คุณชยางกูรโทรมาบอกว่า สถานที่เรียบร้อยแล้วครับ”
“อื้ม ขอบใจบอกเขาว่าอีกยี่สิบนาทีพวกเราไปถึง”ผมมองตามเฮีย อยากจะถามนะแต่กลัวโดนล้อว่าอยากรู้เรื่องของเขา
“เฮีย...”ผมยังไม่ทันเอ่ยอะไร เฮียก็สมเป็นเฮียของผมจริงๆเอ่ยตัดบทผมทันที
“ไม่ต้องถามมาก คุณกูรขอไปดูสถานที่ถ่ายงานวันนี้ ตั้งแต่เช้าแล้วหล่ะ”
“ใครอยากจะรู้จะหล่ะฮะ แค่จะบอกว่าเราไปกันได้หรือยังต่างหากหล่ะ”ผมเอ่ยพร้อมหลบสายตาของเฮียก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปที่รถ โดยมีพี่เต๋อวิ่งตามผมมา
เราทั้งหมดใช้เวลาไม่นานนักตามที่เฮียบอก เรามาถึงสถานที่ถ่ายโฆษณา ทันทีที่ลงรถได้ผมก็ส่ายสายตาไปยังร่างสูงของเขาเวลาทำงาน เขาดูจริงจังและดูมีเสน่ห์ ผมคิดแบบนั้น
“คุณกรีนครับไปแต่งหน้าแต่งตัวทางโน้นครับ”เสียงพี่เต๋อเอ่ยบอกผม แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมยังคงอยากจะยืนมองเขาจัดนั้นจัดนี้อยู่เลย
“คุณกรีนครับ”คราวนี้ผมกลับรู้สึกเจ็บที่แขนเล็กน้อยเมื่อพี่เต๋อเรียกผมและจับที่แขนผม
“พี่เต๋อ ทำไมบีบแขนผมแรงนั้นหล่ะครับ”ผมหันไปเอ่ยถามพี่เต๋อ ใบหน้าดูแข็งกร้าวจ้องมองผมตอนนี้ค่อยๆอ่อนลงเมื่อผมเอ่ยถาม
“ก็พี่เรียกคุณนานแล้วแต่คุณดื้อกับพี่อ่ะ แต่พี่ก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”พี่เต๋อเอ่ยพร้อมทำหน้าเศร้าออกมา ผมเองก็แคร์พี่เต๋อนะ ยังไงเขาก็ดูแลผมมาตลอด
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็คงดื้อกับพี่จริงๆ”ผมเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา ก่อนจะเดินไปพร้อมพี่เต๋อที่เต้นท์ เพื่อให้ช่างแต่งหน้าทำผมได้เตรียมตัวกับผม
เราใช้เวลาไม่นานกับการเตรียมตัว พี่เต๋อเข้าไปในเต้นท์เปลี่ยนเสื้อผ้ากับผมด้วยซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ พี่เต๋อกับผมเราเคยแม้กระทั่งอาบบน้ำด้วยกัน ผมนับถือแกเป็นเหมือนพี่ชายอีกคน
“ทำไมนังพวกนั้นถือปิดรอยตรงนี้ไม่เนียนเลยนะ”เสียงพี่เต๋อเอ่ยบ่น รอยแผลเป็นที่แขนของผม มันคือรอยที่ผมเองก็ไม่อยากจำนัก
“พี่เต๋อ ผมอยากจะลบมันออกไม่ให้เหลือซาก พี่เต๋อหาหมอดีๆให้ผมหน่อยสิ”ผมเอ่ยขึ้น
“เราพยายามลบมาหลายรอบแล้วนะ แต่ว่ามันเกินจะลบแล้ว ปล่อยมันเถอะอย่าสนใจมันเลย”พี่เต๋อเอ่ยพร้อมกับใช้มือของแกปิดรอยนั้นไว้ ก่อนจะเอาเมคอัพมาปิดมันอีกที
เรียวมือขาวของพี่เต๋อเหมือนค่อยๆลูบไปที่แผลนั้น พร้อมไล่มาที่แผงอกของผม แม้ผมจะดูสูงโปร่งแต่ผมก็ดูไม่มีกล้ามเนื้ออะไรที่เรียกว่าซิกแพ็คนัก
หมับ
“พี่เต๋อจะทำอะไรอ่ะ”ผมเอ่ยถามเมื่อตะปบมือพี่เต๋อไว้ เพราะตอนนี้กำลังไล่มาที่หน้าท้องของผม
“ก็จะเกลี่ยเมคอัพให้เสมอกันไง อย่ามองพี่แบบนั้นสิ เรารู้จักกันมานานแล้วนะ ยังไม่รู้อีกหรอว่าพี่เป็นคนยังไง พี่ไม่ใช่ไอ้เชี่ยนั่นนะ”พี่เต๋อเอ่ยขึ้น ผมหลบสายตาทันทีในหัวกลับคิดถึงเมื่อห้าปีก่อนนั้น
“ผมขอโทษครับ”ผมเอ่ย ก่อนที่เสียงเอ่ยจากด้านนอกจะดังขึ้น
“นายแบบของเราพร้อมหรือยังครับ หรือจะรอให้บ่ายโมงก่อน”เสียงคุ้นๆ ทำเอาผมหัวใจเต้นแรงนักแต่กลับนึกงอนเล็กน้อยกับประโยคของเขา
“ไปเถอะครับ เดี๋ยวโปรดิวเซอร์บ้าอำนาจจะบ่นเอา”ผมเอ่ยบอกพี่เต๋อที่ยกยิ้มออกมา
“ดูเข้า ไปว่าเขาแบบนั้นนะ”
“ก็จริงนี่ คอยดูนะผมจะป่วนให้งานไม่เสร็จแล้วฮียก็บ่น แถมเฮียแบล็คก็จะไม่ชอบเขาเลยคอยดูสิ”ผมเอ่ยออกมาก่อนจะเดินออกจากเต้นท์ไป หวังจะทำหน้าดื้อใส่เขาแต่เมื่อผมเดินออกมาเผชิญหน้ากับเขา ใจผมเองต่างหากที่แม่งเต้นแรง แถมหลบสายตาเขาเฉยเลย
“จะไปได้หรือยัง”เสียงเขาเอ่ยเบาลง
“ก็ไปสิ จะยืนขวางทำไมหล่ะ”ผมเอ่ยขึ้น ที่จริงผมว่าเขาก็ไม่ได้ขว้างนะ แต่ผมเองกลับไม่หลบเขาเอง ก็เท้ามันสาวไปไม่ถูกแล้วตอนนี้
“เชิญ…”เขาหลีกทางให้ผมก่อนจะเอ่ยขึ้น ผมเดินผ่านเขาไปโดยไม่กล้ามอง แต่ถ้าดูไม้ผิดผมว่าเขาเองก็หน้าแดงนะ หรือผมคิดไปเอง
..
..
วันนี้โปรแกรมถ่ายเป็นเพียงภาพนิ่งเท่านั้น ผมนึกเขินนักที่ต้องมีซีนถอดเสื้อออก และละเลงสีของบริษัทผมบนตัวผมเอง ถามว่าผมกลัวเปื้อนไหม ผมบอกเลยว่าไม่กลัวนะแต่ที่กลัวคือสายตาของโปรดิวเซอร์ที่มอองมาต่างหาก
“พี่เต๋อไปไหนครับ”ผมถามทีมคอสทูม เพราะต้องเปลี่ยนชุดแล้วทำไมพี่เต๋อไม่รีบมาหาผม
“พี่เต๋อหรอ เมื่อสักครู่บอกว่าจะรีบไปซื้อน้ำกีวี่ให้คุณกรีนนะคะ เห็นบอกว่าถ้าร้อนๆแบบนี้คุณกรีนจะต้องดื่มน้ำกีวี่แทนน้ำแร่”ผมพยักหน้ารับพร้อมเดินเข้าเต็นท์ไป แต่ไม่ทันที่จะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ร่างสูงของเขาก็เข้ามาในเต็นท์
พรึบ
“อ๊ะ…”ผมรีบเปิดเสื้อคลุมทันทีและรีบหันไปหาเขาที่ยืนนิ่งเช่นกัน
“คะ…คุณ เข้ามาทำไมเนี้ย”ผมเอ่ยถาม ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด
“เอ่อ คือคุณเกรย์โทรมาเร่งอ่ะ บอกว่าให้ถ่ายซีนนี้ให้จบภายในบ่ายนี้ ผมเลย…”เขาเองก็ยังพูดติดๆขัดๆแถมไม่มองหน้าผมด้วย ไม่รุ้ว่าไม่อยากคุยกับผมหรืออะไร
“อ่อ งั้นเดี๋ยวพี่เต๋อมาผมจะให้พี่เต๋อรีบจัดการเลยครับ เพราะให้ผมและพี่แหม่มทำเอง คงทำไม่ได้”ผมเอ่ยขึ้น หมายถึงสีที่ต้องละเลงบนตัวผมตอนนี้ ซึ่งพี่เต๋อเองมักจะจัดการเรียบร้อย
“แล้วคุณเต๋ออยู่ไหน ผมเองก็รีบนะ”
“ไปซื้อน้ำให้ผม”
“น้ำในกองก็มีทำไมต้องไปซื้อให้ยุ่งยากหล่ะ”ผมนึกฉุน
“ก็พี่เต๋อเขาใส่ใจผมไง เขาเขารู้ว่าเมื่อผมได้ดื่มน้ำกีวี่แล้วผมจะทำงานได้ดีและไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าคนไม่รู้อะไรเขาก็คิดว่ามันยุ่งยาก”ผมเอ่ยอยากงอนๆ ก่อนจะหันหลังไปมองสีที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่สนใจเขา แต่กลับทำผมตกใจเมื่ออยู่ๆมือหนาก็จับไหล่ผมไว้
หมับ
“เอ้ย…คุณจะทำอะไรอ่ะ”ผมโวยขึ้น เมื่อเขาเปิดเสื้อคลุมผมออกและก็ทำหน้านิ่งๆโดยไม่ตอบอะไร
มือหนากำลังจุ่มที่สีและละเลงบนตัวผม สัมผัสนี้แม้จะเจ็บไปบ้างแต่ผมกลับรู้สึกวาบหวามไปหมด มือหนาค่อยๆป้ายสีไปทั่วตัวตามแบบที่เขาเองเป็นคนคิดออกมา
“เดี๋ยวๆคุณ เบาๆสิมันเจ็บนะ”ผมเอ่ยขึ้น แม้เมื่อจะบ่นแต่ผมกลับเสียงสั่นออกมา ใบหน้าเขาเองก็แดงเห่อออกมาเช่นกัน
“คนดื้อต้องเจอแบบนี้หล่ะ”เอาเอ่ยออกมาแม้ไม่ดังนักผมก็พอรู้บ้าง
“ใครดื้อ ผมอ่ะไม่เคยดื้อเลยจะบอกให้ และก็นี่ลายอะไรไม่ทราบ ห่วยแตกชมัด”ผมเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ ริมฝีปากของเขายกยิ้มออกมาเล็กน้อย
“หรอ มันก็เขากับตัวบางๆ ขี้ก้างแบบคุณมากนะครับ”เขาเอ่ย ผมเองอยากจะซัดหมัดลงที่หน้าเขานัก แต่ก็ทำไม่ได้
“อ๊ะ…”ผมเองร้องออกมาเบาๆ ตอนเขาลูบที่แขนของผม เขากลับนิ่งและค่อยๆลูบพื้นที่ตรงนั้น ผมเองก็ลืมไปเลยว่าที่ตรงนั้นเป็นที่ที่ผมเกลียดและไม่อยากให้ใครเห็น
“นี่คือ…”ยังไม่ทันที่เขาจะถามอะไรผมมาก ผมเองก็รีบเบี่ยงตัวทันทีและก็ทันทีที่พี่เต๋อเข้ามาพอดี
“คุณกรีน น้ำกีวี่ครับ”พี่เต๋อเอ่ยขึ้นและหยุดนิ่งไป ผมเองก็รีบคว้าเสื้อคลุมเดินออกไปทันทีเช่นกัน โดยไม่รอให้สองคนข้างในเอ่ยเรียกหรือตามมา และก็ยกมือถือหาเฮียเกรย์
(“เสร็จแล้วหรอ”)
“เฮีย ไม่ถอดเสื้อได้ไหม เค้าไม่อยากให้ใครเห็นรอยนั้น”
…………………….
"รอยอดีตก็แค่อดีต"
[/size]
-
พี่เต๋อนี่ต้องก่อเรื่องแน่
-
อดีต ถ้าไม่ดี อย่าไปจำ ..
-
Green Light 5 : คืนนั้น วันนี้ (ชยางกูรxอนาคิน)
[/size]
ชยางกูร พาร์ท
[/size]
ยิ่งรู้จัก ยิ่งรู้สึกว่าเขาคนนั้นมีอะไรมากมายที่น่าค้นหา ภายใต้ความดื้อ ความปากเสียและการเอาแต่ใจของเขา มันซ่อนความลับมากมาย ตัวตนที่แท้จริงและความรู้สึกหลายๆอย่างที่ผมเองกลับอยากรู้ว่ามันคืออะไร
“พรุ่งนี้เราจะไปถ่ายทำกันที่ไหนครับคุณกูร”เสียงคุณเกรย์เอ่ยขึ้นถามผม ตอนนี้เรากำลังทานอาหารเย็นกันอยู่หลังจบการถ่ายภาพนิ่ง พรุ่งนี้เราจะมีการถ่ายภาพเคลื่อนไหว
“เมืองชิงเกว แตร์เร ครับ ขอให้ทุกคนตื่นแต่เช้าด้วยนะครับ เราจะออกเดินทางแต่เช้าเลย”ผมเอ่ยขึ้นสายตาก็ปรายมองคนที่นั่งนิ่งอยู่เหมือนกำลังคิดอะไร
“คุณเต๋อก็ปลุกเจ้ากรีนแต่เช้าแล้วกันนะ หรือกรีนจะไปนอนกับเฮียหล่ะ”คุณเกรย์เอ่ยขึ้น แต่ใบหน้านั้นยังนิ่งอยู่จนคุณเกรย์ย้ำอีกครั้ง
“เจ้ากรีน…”เสียงดุพอสมควรจนเขาเองตกใจ
“ฮะ…ฮะ เฮียว่าอะไรนะ”ผมรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาแล้วสิ ความรู้สึกเป็นห่วงนั้นมันไม่ได้หมายความว่าผมชอบเขานะแต่ผมเป็นห่วงว่าสิ่งที่เขาเป็นตอนนี้มันจะทำลายความดื้อและน่ารักของเขา
“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”คุณเกรย์เอ่ยถามย้ำอย่างเป็นห่วง
“เปล่าครับ”
“ถ้าคุณกรีนไม่สบายก็ไปพักก่อนก็ดีนะครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย”ผมเสริมขึ้น สายตานั้นหันมองผมทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“กลัวผมจะทำงานห่วยแตกของคุณพังหรอ เสียใจนะครับคนอย่างอนาคิมไม่เคยทำงานใครพัง ถึงแม้ว่างานนั้นจะห่วยแตกแค่ไหนก็ตาม”เขาเอ่ยเสร็จก็เดินออกไปทันที โดยมีผู้จัดการส่วนตัวทำท่าจะวิ่งตามออกไป แต่เขาก็หันมาเอ่ยบอก
“พี่เต๋อไม่ต้องตามมาหรอกครับ ผมอยากอยู่คนเดียว”เขาเอ่ยเสร็จก็เดินออกไป
“เอ่อ…”เสียงผู้จัดการพูดอะไรไม่ออก คุณเกรย์จึงพยักหน้าให้รู้ว่าให้ทำตามที่น้องชายเขาบอก
“ผมต้องขอโทษแทนน้องชายผมด้วยนะครับ”คุณเกรย์หันมาขอโทษผม
“ไม่เป็นไรครับ คุณกรีนคงจะเหนื่อย”ผมเอ่ยขึ้น แต่ผู้จัดการของเขาก็สวนขึ้นทันที
“คุณกรีนไม่เคยที่จะเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบนะครับ แม้ว่าจะเหนื่อยหรือนอนดึกแค่ไหน คุณกรีนก็ต้องทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด ผมอยากให้คุณทราบไว้แค่นี้ครับ ขอตัวนะครับ”ผู้จัดการนั่นก็ร่ายยาวเชียวก่อนจะเดินออกไป ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรนักก่อนจะคุยงานกับคุณเกรย์และทีมงานอิตาลีต่อ
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงที่ผมขอตัวขึ้นห้อง เมื่อขึ้นห้องได้ผมก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอน ในหัวคิดอะไรมากมายแม้แต่ร่างบางตัวขาว และคนตัวขาวแก้มอุมนั้น ผมว่าตัวผมต้องมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปแล้วแน่ๆเลย ในหัวของผมคิดถึงแต่คุณนิลกาฬและน้องซี ยิ่งคิดยิ่งมีความสุข แต่กลับกันที่ผมยิ่งคิดถึงเขาผมกลับอยากจะค้นหา อยากจะอยู่ด้วยและอยากจะดูแลเขา
“คุณมีอะไรซ่อนอยู่นะ”ผมสบถออกมาก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักสายตา แต่กลับได้ยินเสียงแปลกๆดังมากจากอีกห้อง แต่ไม่แน่ใจนักว่าเป็นห้องของใคร ชั้นนี้มีเพียงผม คุณเกรย์และเขาเท่านั้น
“ปล่อยยยย”เสียงเริ่มดังขึ้น ผมเองก็ไม่แน่ใจนักก่อนจะเดินออกไป และหยุดที่ห้องพักของเขาและมันก็แน่ใจขึ้นเมื่อเสียงข้างในเอ่ยชื่อกันออกมา
“พี่เต๋อ…ปล่อยผมนะ พี่มันบ้าไปแล้ว”ผมกระวนกระวายใจมาก จะลงหันไปโทรหาพนักงานโรงแรมก็กลัวไม่ได้การ ผมทำได้แค่ส่งข้อความหาคุณเกรย์ ก่อนที่จะตัดสินใจเคาะเรียก
ก๊อก ก๊อ ก๊อก
“คุณกรีนครับ ผมกูรเองนะ”ผมเอ่ยออกมา พยายามฟังเสียงในห้องที่ตอนนี้เงียบลงแต่ผมเองก็ไม่ละความพยายาม
“คุณกรีนครับ ผมอยากจะมาคุยเรื่องงานและมาขอโทษเรื่องเมื่อสักครู่ คุณกรีนอยู่ไหม”ตอนนี้เองก็ยังเสียงเงียบจากในห้อง ผมเองก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าข้างในต้องมีอะไร
“ถ้าคุณไม่เปิดให้ผม ผมเองก็จะยืนรออยู่ตรงนี้หล่ะนะ”ผมเองก็ยังดื้ออยู่จนได้ยินเสียงคนข้างในเอ่ยขึ้น
“คุณกรีนไม่สบาย หลับไปแล้วมีอะไรเอาไว้คุยพรุ่งนี้นะครับ”ผมเองมั่นใจเต็มร้อยว่าข้างในต้องมีอะไรแน่ๆผมจึงยังคงดื้อดึง
“หรอครับ งั้นผมขอเข้าไปดูหน่อยนะครับ ถ้าคุณเต๋อไม่ว่าอะไร”ผมเอ่ยขึ้น และในที่สุดประตูห้องก็เปิดออกแต่เพียงแงมๆเท่านั้น ผมไม่มีโอกาสได้เห็นข้างในเลย
แกรก
“คุณมีอะไรหรอ จะเยอะไปไหม ผมบอกว่าคุณกรีนไม่สบาย หลับไปแล้วทำไมคุณถึงไม่มีมารยาทแบบนี้”ผมมองไปยังคนตรงหน้าที่ตอนนี้หัวดูยุ่งเหยิงไปหมด แม้เสื้อผ้าจะใส่เรียบร้อยแต่ผมว่ามันก็ยังยับอยู่จนเห็นชัดว่าเมื่อสักครู่ข้างในต้องมีอะไรแน่ๆ
“คุณเต๋อไปโดนอะไรมาครับ เหมือนมีเลือดออก”ผมเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเลือดที่ซิบอยู่ที่คอจากรอยเล็บ
“โดนอะไร ผมไม่ได้โดนอะไรและคุณเองก็กลับห้องไปได้แล้ว”เขาเอ่ยขึ้น และผมเองก็เห็นความกระวนกระวายของเขาเมื่อรู้สึกได้ว่าข้างในห้องกำลังมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ตุ๊บ
“เสียงอะไรครับ ผมขอเข้าไปดูหน่อย”ผมเอ่ยพร้อมเบียดตัวแทรกเข้าห้องไป แต่ไอ้ผู้จัดการนั้นก็รีบมาขวางผมอีกแต่ผมเองก็พยายามดันตัวเข้าไปจนได้
“คุณ…”เสียงเอ่ยของไอ้ผู้จัดการนั่นเอ่ยขึ้นก่อนจะเงียบลงเมื่อสิ่งที่ผมเข้ามาเห็นคือร่างของคุณกรีนที่ถูกมัดอยู่หล่นอยู่บนพื้นห้อง ปากที่ปิดสนิท มือของข้างและขาสองข้างถูกมัดเข้าด้วยกัน ขาทั้งสองข้าก่อนถูกรวบกับมือมันอ้าออกจนเห็นหมด และยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือร่างของคุณกรีนไม่มีอะไรปกปิดเลยสักนิด
“คุณทำอะไรกับเขา”ผมเอ่ย ก่อนจะรีบไปรวบตัวของคุณกรีนขึ้นมาพร้อมดึงเทปที่ปากออก พยายามจะแก้เชือกให้ แววตาที่แดงกล่ำ ฉ่ำไปด้วยน้ำตานั้นผมยิ่งเห็นยิ่งสงสารและเจ็บปวดแทน
“มึงมันเสือกไม่เข้าเรื่อง กูทนอยู่รับใช้คุณกรีนมาตั้งนานเพื่อที่จะได้ครอบครองเขา แต่เมื่อมึงเข้ามาไม่นานคุณกรีนกลับมองว่ามึงดีและปกป้องเขาได้ และก็คิดจะเปลี่ยนจากกูไปเป็นมึง หึ…พี่ต่างหากหล่ะคุณกรีนที่ปกป้องคุณกรีนได้ ไม่ใช่เพราะพี่หรอกหรอที่ช่วยคุณกรีนจากการถูกข่มขืนในลิฟท์ที่มหาลัย ไม่ใช่พี่หรอกหรอคือฮีโร่ของคุณกรีนอ่ะ”ผมเงยหน้ามองตามเสียงนั้น ก่อนจะตกใจเล็กน้อยเมื่อปลายกระบอกปืนกำลังเล็งมาที่ผม และผมเองก็รีบหันตัวเองบังร่างขาวนั้นพร้อมดึงเขาไว้ในอ้อมอก
“ผมไม่เคยเห็นใครดีกว่าพี่หรือมาแทนพี่เลยนะครับ ผมก็แค่อยากให้พี่เต๋อได้พักบ้าง ได้เจอใครบ้าง ไม่ใช่มาทนอยู่กับผม เพราะพี่ต้องมีครอบครัว…”น้ำเสียงเบาๆที่เอ่ยออกมาอย่างหมดแรงนั้นเอ่ยบอก
“หึ ก็ไม่ใช่เพราะพี่อยากอยู่กับคุณกรีนตลอดชีวิตหรอ พี่ถึงต้องยอมจ้างคนไปข่มขืนคุณกรีนละไปช่วยคุณ พี่ทำสถานการณ์นี้ขึ้น เพื่อที่จะได้ถูกมองว่าพี่ปกป้องคุณกรีนได้ลี่สามรถดูแลคุณกรีนตลอดชีวิต”เพียงแค่ประโยคเดียวที่ทำเอาผมและคนในอ้อมกอดอึ้งไปเลย
“พี่เต๋อ ทำไมทำแบบนี้หล่ะ ทำไมทำลายมิตรภาพของเราแบบนี้”ผมมองแววตาของเขาที่หมดความเชื่อมั่นกับผู้ชายคนนั้น และแววตาของความผิดหวัง
“ก็เพราะกูรักมึงไง กูรักมึงไง แต่มึงเสือกรักมัน”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ”
“คุณกำลังเข้าใจผิดนะคุณเต๋อ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนที่จะรู้ตัวว่ายังไงไอ้ผู้จัดการนั่นต้องไม่เชื่อแน่
“หึ เข้าใจผิดหรอ มึงกอดกันกลมขนาดนั้น มึงปกป้องกันขนาดนั้น คิดว่ากูเชื่อหรอ รักกันมากใช่ไหม ได้สิกูจะให้มึงทั้งสองไปลงนรกด้วยกัน…”เพียงแค่นั้นผมเองก็รีบดึงร่างของเขามาแนบที่อกแน่นก่อนจะเอาตัวบังเขาไว้ ก่อนที่เขาและผมจะเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณนะครับ”เขาเอ่ยพร้อมหลับตาลง ผมที่มองเข้าไปยังสายตาของเขาก่อนจะเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“ผมขอโทษนะครับ”ผมเอ่ยก่อนจะหลังตาลงกดหัวเขามาซบที่อกผม
เปรี้ยง…
“อึก…”ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกสะกดด้วยกระสุนที่ตอนนี้น่าจะเจาะที่ไหล่ของผมหรืออก หรือแขน หรือหลังนะ แต่ผมเองก็ไม่รู้สึกว่ามันเจ็บปวดเลยเมื่อได้ยินเสียงของคนในอ้อมกอดตะโกนเรียกชื่อผม
“คุณกูร…”ผมยกยิ้มมุมปากให้กับคนในอ้อมกอด ก่อนที่เสียงของคุณเกรย์และคนอื่นๆจะตามเข้ามา ผมรีบดึงผ้าห่มมาคลุมที่ร่างเปลือยเปล่านั้นก่อนจะหันมองทุกคน
“กรีน…คุณกูร”เสียงคุณเกรย์เอ่ยขึ้น ก่อนที่จะหันมองไปยังไอ้ผู้จัดการนั่นที่ตอนนี้รีบวิ่งหนีออกไปแล้ว
“คุณกูร ผมฝากน้องชายผมด้วยนะ เดี๋ยวผมขอไปจัดการเขาก่อน”คุณเกรย์เอ่ยขึ้นก่อนจะวิ่งตามออกไป
ผมมองประตูบานสวยหรูที่ปิดลงก่อนจะก้มมองคนในอ้อมกอดที่สั่นสะท้าน น้ำตายังคงไหลเป็นทางอยู่ ผมค่อยๆกุมใบหน้านั้นก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ คุณปลอดภัยแล้ว”ผมเอ่ยขึ้น ริมฝีปากที่ยังกัดกันแน่น สายตายังคงสำรวจที่ไหล่และแขนของผม
“คุณโดนยิงไหม พี่เต๋อยิงโดนคุณหรือเปล่า”ผมยกยิ้มออกมา ที่จริงผมว่าเขาน่ารักมา มีเสน่ห์มากเมื่อเขารุ้สึกห่วงคนอื่นแบบนี้
“ไม่ครับ ดีว่าเขายิงปืนไม่แม่น ไปโดนผนังซะก่อน หวงผมหรอ”ผมเอ่ยขึ้น ใบหน้าแดงเห่อออกมา ตัวสั่นไปหมด ผมค่อยๆพาเขาขึ้นมานั่งบนเตียงแต่ใช้มือลูบไปยังริมฝรปากที่เป็นแผลตอนนี้
“อุ้ย…”เขาสะดุ้งเล็กน้อย
“มันทำใช่ไหม”ผมเอ่ยถาม สายตาหวานหลบตาผมทันทีและผมเองก็น่าจะรู้ว่าเป็นฝีมือไอ้หมอนั่น ผมเชยคางของเขาขึ้นให้ใบหน้าเฉิด แววตาเหนื่อยล้ายังคงมองผมอยู่
“ถ้าไม่รังเกียจ จะให้ผมช่วยลบมันไหม”ไม่รู้ว่าผมเป็นเชี่ยอะไร ทำไมถึงพูดแบบนั้นกับเขานะ เขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์อย่างว่ามาแท้ๆ แล้วผมเองกลับมาทำแบบนี้กับเขาอีกน่ะหรอ
“เอ่อ คือผมขอโทษนะ ผมพูดออกไปโดยไม่ได้คิด”ผมเอ่ยออกมา เมื่อได้สติว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ผมเบี่ยงตัวออกเล็กน้อย แต่ก็ต้องตกใจเมื่อมือขาวรั้งผมไว้ ก่อนที่จะดึงผ้าห่มออกจากร่างเปลือยตัวเอง และเอ่ยขึ้นจนผมเองตกใจ
“ช่วยลบมันออกทั้งหมดได้ไหม ทั้งหมดเลย”เขาเอ่ยพร้อมก้มหน้าลง ใบหน้าแดงกล่ำ อีกทั้งร่างกายเปลือยที่แต้มด้วยสีแดงและรอยเชือกนั้น
“คุณกรีน”ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ สายตาสวยหลับตาลงพร้อมยื่นใบหน้าให้ผม ริมฝีปากที่อวบอิ่มแม้จะมีรอยแผลเล็กๆแต่ก็ไม่ทำให้ความน่าสนใจมันหายไป
“ช่วยลบมันออกให้หมดเลยได้ไหมครับ”น้ำเสียงเอ่ยอย่างแสนเศร้า ผมรู้ว่าเขาเสียใจมากแค่ไหน คนที่เขาไว้ใจและคิดว่าปกป้องเขาได้มาทำแบบนี้การถูกหักหลังมันเจ็บนัก ผมเข้าใจดี
“คุณจะไม่เสียใจใช่ไหม”ผมเอ่ยย้ำถามอีกครั้ง
“ไม่…”สั้นๆที่หลุดออกจากริมฝีปากนั้น และเป็นคำสุดท้ายที่ได้เปล่งเสียงออกมา เมื่อเขาเองกลับยื่นจูบนั้นให้ผม และผมเองก็กลับปฏิเสธไม่ได้ ไม่ใช่เพราะผมถูกบังคับแต่อย่างใดแต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ริมฝีปากนั้นช่างดึงดูดผมมากกว่า
เรือนร่างของเขาแม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมกลับรู้สึกว่าเขาคือคนที่ผมต้องการในเวลานี้ ทุกสัดส่วนช่างลื่นมือไปหมด ผมกดจูบไปทุกร่องรอยที่บังเกิด เรียวขาของเขาสมกับเป็นนายแบบนัก ไขมันแทบไม่ต้องพูดถึง สองมือจิกที่หัวผมแน่นเมื่อผมกดย้ำริมฝีปากและลิ้นลงไปที่ยอดอกของเขา
“อ่าห์…”
“อื่ออออ”
ผมจับเรียวขาแยกออก ไม่ได้สนใจว่าตรงนั้นจะผ่านอะไรมา ผมคิดแค่เพียงผมต้องการลบมันออกไปเท่านั้น เลือดที่ยังคงเกรอะอยู่ที่ช่องทางหลังยิ่งทำให้ผมโมโหไอ้ผู้ชายคนนั้นนัก
“ผมจะดูแลคุณเองนะ”ผมเอ่ยออกมาก่อนจะก้มกดย้ำที่ริมฝีปากและหน้าฝากของเขา น้ำตาที่ยังคงไหลเป็นทางอยู่ ทำให้ผมยิ่งสงสารเขานัก
“ฮึก…”เสียงสะอื้นออกมาเบาๆ พร้อมเสียงครางออกมาเล็กน้อยเมื่อผมกดปลายหัวป้านเข้าที่ช่องทางนั้น ผมเองก็ใช่จะทำเป็น นี่คือครั้งแรกของผมกับผู้ชาย แต่ผมกลับมองเขาไม่ใช่เพศไหนเลย กลับมองเขาคือคนที่ผมอยากปกป้องมากกว่า
“อ่าห์…”
“อื่อออออ”
“อ๊ะ…”
เวลานานเกือบชั่วโมงเมื่อผมพยายามลบทุกอย่างตอนนี้ออกจากตัวเขา ทุกรอยนั้นถูกผมลบมันด้วยริมฝีปกาอุ่นๆของผมไปหมดแล้ว หลังผมชำระร่างกายเขาเรียบร้อยผมก็พาเขามานอนที่เตียง ร่างกายที่เพลียแสนเพลีย หลับเหมือนเด็กน้อยตอนนี้ ผมค่อยๆลูบไปยังกลุ่มผมนิ่มและสวมกอดคนที่ซุกหน้าอยู่ที่ออกผม
“ทำไมไม่บอกล่ะครับ ว่าไอ้ระยำนั่นยังไม่ได้รุกล้ำคุณเลยสักนิด”ผมเอ่ยออกมากับคนที่นอนหลับอยู่ตอนนี้ เมื่อผมเองกลับรู้ว่าที่จริงแล้วไอ้บ้านั่นยังไม่ได้เข้าไปในตัวของเขาเลย เป็นผมต่างหากที่ได้เข้าไปเป็นคนแรก จังหวะรักและจังหวะของความสุขเมื่อสักครู่ สายตาของเขากลับแปลกไปเหมือนมีอะไรซ่อนอยู่
ติ้ง ติ้ง
คุณอนาคิม : ผมจองตั๋วกลับไทยไว้แล้ว พรุ่งนี้ช่วยพากรีนกลับด้วยนะครับ
ชยางกูร : ทำไมหล่ะครับ แล้วงงานหล่ะ แล้วไอ้ระยำนั่นหล่ะ
คุณอนาคิม : ไม่ต้องห่วง ผมจัดการเอง ช่วยดูแลน้องผมด้วย
ชยางกูร : ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลเขาอย่างดี ขอบคุณที่ไว้ใจผม
นี่คือข้อความของผมและคุณเกรย์ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาคนที่อยู่แนบอกผมตอนนี้จะว่ายังไง เราสองคนจะดำเนินชีวิตยังไงต่อ ในเมื่อผมเองกลับหลงใหลเขาไปแล้ว
“ให้ผมเป็นคนที่ปกป้องคุณได้ไหม”
………………….
"การที่เราไม่ได้สัมผัสตัวตนของเรา เราจะไม่รู้เลยว่าเขาน่าสนใจเพียงใด"
[/size]
-
เข้าได้กันแล้ววววววว
-
ได้ปกป้องกันแล้ว ..
-
Green Light 6 : สายตา (ชยางกูรxอนาคิม)
[/size][/b]
อนาคิม พาร์ท
[/size]
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ผมพยายามที่จะหลบสายตาของเขา ทุกครั้งที่เขาเอ่ยถาม ผมจะตอบไปคำตอบเดียวสั้นๆ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังโกรธ หรือรู้สึกอายที่เอ่ยร้องขอให้เขาทำแบบนั้นกับตัวเอง
“คุณกรีนหิวไหมครับ”น้ำเสียงอบอุ่นนัก ผมหันมองเขาก่อนจะส่ายหน้าไปมาและหันไปมองนอกหน้าตา
ท้องฟ้าสวยนัก เมฆขาวสวยจัง ป่านนี้ที่เมืองไทยคงจะกำลังหลับใหลกันอยู่ ผมก้มมองที่ข้อมือตัวเอง รอยนั้นยังอยู่ ผมเจ็บปวดนักไม่ใช่เพราะแผลจากรอยเชือกที่มัดมือผมไว้เมื่อคืนแต่มันเจ็บจากคนที่มัดผมมากกว่า ตลอดเวลาหลายปีมานี้ผมเชื่อใจเขาทุกอย่าง ความไว้ใจ ความเชื่อใจและผมก็ชื่นชมพี่เต๋อว่าเป็นคนที่ดูแลผมได้
หมับ
“อ๊ะ…”ผมหันมองเจ้าของมือหนานั้น
“ทานอะไรสักหน่อยนะครับ ตั้งแต่เช้าแล้วคุณยังไม่ได้ทานอะไรเลย”ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ แต่กลับถูกเขาทำหน้าดุใส่
“แซนวิสครับ”ดูเขาจะบังคับผมจังเลย แต่ผมกลับไม่หงุดหงิดนัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมต้องวินแตกแน่ๆถ้ามาบังคับผมแบบนี้ ผมหยิบแซนวิสจากเขาและกัดมันไปหนึ่งคำ สายตาก็ยังคงหันไปมองที่นอกหน้าต่างอยู่ดี
“ทานเยอะๆสิครับ”เขาเร้าผม มาแค่สองคนเองนะ ดูจะบงการผมเหลือเกิน
“ผมอิ่มแล้วครับ คงทานต่อไม่ได้จริงๆ”ผมเอ่ยขึ้น
“ทานอีกสักคำสองคำนะครับ จะได้ทานยา”ผมมองไปยังใบหน้าเขา ดูคำพูดและการบังคับของเขาช่างดูห่วงใยผมนัก หรือที่เขาทำไปเพราะเฮียสั่งเขามา
“ผมไม่ได้เป็นอะไร ทำไมต้องกินยาด้วย”ผมเอ่ยอย่างปากแข็ง ทั้งๆที่ตอนนี้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นบ้าเลย แถมตอนนี้ผมเจ็บตรงนั้นมาก
“แน่ใจนะครับ อย่ามาโกหกผมนะ”เขาพูดเหมือนรู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไง
“ก็ได้ครับ”ผมเอ่ยก่อนจะกัดแซนวิสไปสองคำและขอยาจากเขา
“ทานยาแล้วนอนพักนะครับ อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเมืองไทย”ผมมองเขาและมือของเขาตอนนี้ลูบอยู่บนกลุ่มผมนิ่มของผม เมื่อเขาจัดให้ผมนอนเรียบร้อย
“อย่าทำดีกับผมเพราะสงสารผมหรอกนะ”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมหลับตาลง ผมไม่อยากให้เขาทำดีกับผมเพราะสงสารผม หรือเพราะเราสองคนมีอะไรกันแล้ว
“แล้วแต่จะคิดนะครับ ผมห้ามความคิดคุณไม่ได้อยู่แล้ว แต่อยากบอกว่าที่ผมทำอยู่ตอนนี้ผมทำโดยไม่ได้หวังอะไรทั้งสิ้น”เขาเอ่ยแค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นไป ผมค่อยๆหันมองตามหลังของเขาเดินไปด้านหลัง
“แต่ผมหวัง…”ผมเอ่ยเบาๆก่อนจะหลับตาลง ดวงตากลับร้อนผ่าวอีกครั้งพยายามไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา
เวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมหลับสบายมาก เมื่อได้ยินเสียงคนข้างๆเอ่ยปลุกผมว่าเครื่องกำลังจะลงแล้ว
“คุณกรีนครับ เตรียมตัวนะเครื่องจะลงแล้ว”เขาเอ่ยพร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้า หน้าผมให้ผมเรียบร้อยราวกับผมเป็นเด็กอย่างนั้นหล่ะ
เราทั้งสองเดินออกจากผู้โดยสารขาเข้า ร่างสูงของเขาก็รีบดึงกระเป๋าจากมือผม โดยไม่พูดอะไรสักคำ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเจ็ดโมงเช้าของที่นี่
“เดี๋ยวไปคอนโดคุณก่อนนะ แล้วค่อยกลับบ้าน”เขาเอ่ย คอนโดหรอ คอนโดที่มีแต่เรื่องราวของพี่เต๋อนั่นหน่ะหรอ ผมรีบเอ่ยทันที
“เดี่ยวผมนั่งแท็กซี่กลับบ้านเลยดีกว่าครับ”
“ทำไมล่ะ นี่ยังเช้าอยู่เลยนะ”เขาเอ่ย ผมทำหน้าตาลังเลจนเขาเองพอจะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร และทำไมผมถึงไม่อยากไปคอนโด
“อ่อ งั้นเดี๋ยวผมพาคุณไปเอง”เขาเอ่ยก่อนที่จะจับมือผมและดึงออกไป
เราทั้งสองนั่งแท็กซี่มาที่คอนโดสูงแห่งหนึ่ง ผมมองไปยังตึกสูงนั้นอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันไปถามเขาที่ตอนนี้จัดแจงเรื่องค่าแท็กซี่เรียบร้อย
“ที่นี่ที่ไหนครับ”ผมเอ่ยขึ้น
“คอนโดผมเอง เดี๋ยวคุณพักผ่อนก่อนนะ ช่วงเย็นๆเดี๋ยวผมไปส่งที่บ้านคุณ”
“แต่ว่า…”ผมเอ่ยออกมา ที่จริงผมกลัวเฮียแบล๊คและทุกคนเป็นห่วงมากกว่า เพราะเรื่องของผมเฮียเกรย์คงจะบอกทุกคนและจัดการให้จบไปแล้ว
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมโทรบอกคุณอนาคินไปแล้ว และคุณอนาคินก็บอกให้ผมดูแลคุณด้วย”ผมเงยหน้ามองเขา แม้น้ำเสียงจะดูจริงจังแต่ผมก็กลัวคำห่วงใยพวกนี้จริงๆ กลัวว่ามันจะซ้ำรอยอีกครั้ง
ผมเดินเข้าห้องใหญ่เข้ามา ห้องดูสะอาดและเรียบร้อย โทนสีนี้สบายตาจังแต่สำหรับผม สีที่ผมชอบที่สุดคือสีเขียว ผมว่ามันสบายตากว่าสีอื่นๆและที่สำคัญมันคือสีของผมเอง
“คุณอาบน้ำก่อนนะครับ ผมเตรียมน้ำไว้ให้แล้ว นอนแช่สักหน่อยและค่อยมาทานข้าวกัน”เขาเอ่ยออกมา ท่าทางของเขาที่ปฏิบัติกับผมดูมันสบายๆเกินไป ทั้งๆที่เราสองคนเพิ่งผ่านเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาเมื่อคืนนี้
เขากับผม เราสองคนมีอะไรกันทั้งๆที่เราสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่ สัมผัสทุกสัมผัส ทุกท่าทางของเขาที่ขยับเข้าออกและมีความสุขบนร่างกายผมเมื่อคืน ทุกท่าทางที่เขาสั่งการให้ผมทำและผมเองก็เต็มใจ ความสุขที่ผมได้รับมีแค่ข้ามคืนเท่านั้น เพราะตั้งแต่ตื่นมาเขาไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนเลยสักคำ
“เราเป็นคนขอร้องเขาเองนี่ จะมาเสียใจทำไมกัน”ผมสบถออกมา เมื่อน้ำอุ่นๆกำลังไหลออกมาจากดวงตา ปล่อยร่างที่กำลังนอนแช่อยู่ในอ่างค่อยๆจมไปกับความคิดนั้น ช่องทางหลังที่ยังคงเจ็บอยู่ มันกำลังเตือนผมว่า ถึงแม้จะรู้สึกอะไร เขาเองก็คงไม่ได้รู้สึกตอบกลับ มันเป็นเพียงความสัมพันธ์ข้ามคืนเท่านั้น นับจากนี้เขาคนนั้นก็ลืม
“ผมจะพยายามลืมมันเหมือนกัน”ผมเอ่ยในใจก่อนจะหลับตาลงและจมอยู่ในอ่างอย่างไม่ได้คิดอะไร อยากจะหลับไปและจากโลกนี้ไปนัก
หมับ
“ทำอะไรของคุณเนี้ย…”ร่างของผมลอยขึ้นจากน้ำเมื่อมือหนาจับผมดึงขึ้นมาจากก้นอ่างจนผมตกใจ
“แฮ่กๆๆๆ อะไรของคุณ”ผมหันไปโวยเขา เพราะผมเองก็ตกใจมาก
“ก็นี่ไง กำลังทำอะไรของคุณ”เขาเอ่ยเสียงดังใบหน้าดูเครียดและแดงไปหมดเหมือนกำลังโกรธ
ผมรีบนั่งงอตัวทันทีเมื่อร่างเปลือยของผมกำลังดูเขามองด้วยสายตาเหมือนคืนนั้น ใบหน้าหล่อของเขากำลังนิ่งเหมือนโมโหผมมาก มือหนายังคงจับที่ต้นแขนผมอยู่ ก่อนที่เขาจะโน้มใบหน้าลงมาต่ำลง ผมรู้ว่าเขากำลังจะจูบผม ถ้าผมยอมให้เขาจูบคือผมต้องยอมเจ็บอีก ผมจึงเบี่ยงใบหน้าออกและเอ่ยขึ้น
“ผมหนาวแล้ว และอยากจะพักด้วย”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงเสื้อคลุมมาคลุมและเดินออกไป ผมเห็นอาหารที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย ตั้งแต่ออกจากอิตาลีผมเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรนอกจาแซนวิส สองสามคำนั้น
“ทานข้าวก่อนนะครับ แล้วค่อยพักผ่อน”เขาเอ่ยตามหลังผม เมื่อเขาเองก็สวมชุดคลุมสีขาวเดินออกจากห้องน้ำมา เพราะเมื่อสักครู่เขาเองก็เปียกไปหมดเช่นกัน
“ผมไม่หิวครับ เดี๋ยวผมโทรบอกน้องชายให้มารับที่นี่ก็ได้ ผมไม่อยากรบกวนคุณมาก”ผมเอ่ยขึ้น ถามว่าผมอยากไปไหมตอนนี้บอกได้เลยว่าสองจิตสองใจมาก แต่ผมกลัวมากกว่ากลัวว่าเขาดีกับผมเพียงเพราะพี่ชายของผมฝากให้ดูแลหรือเพราะเขาสงสารผม
“รบกวนเขาใช้กับคนที่ไม่ได้เป็นอะไรกันมากกว่านะ สำหรับเราสองคนคุณว่าเราควรใช้คำนี้หรือเปล่า”เขาเอ่ยขึ้นหน้าตาเฉยทั้งๆที่มือก็ยังจัดช้อนและส้อมอยู่
“คุณ…”ผมเอ่ยออกมาแค่นั้น เพราะตอนนี้มือหนาจับตัวผมมานั่งที่โต๊ะอาหารแล้วเรียบร้อย
“ทานข้าวและไปนอนพักผ่อนนะครับ ผมสั่ง”เขาเอ่ยออกมาหน้าตาเฉย
“ที่คุณพูดเมื่อกี้ หมายความว่ายังไงครับ”ผมเอ่ยถามแต่ไม่กล้าสบตาเขาที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมตอนนี้
“หมายความแบบนั้นหล่ะ ทานข้าวนะครับอย่าพูดมากได้ไหม”เขาเอ่ยบ่นผม เขาเป็นคนแรกนะที่บ่นผมมากแบบนี้ ธรรมดาแล้วไม่มีใครบ่นผมมากแบบนี้มาก่อน
“คือ…”ยังไม่ทันที่ผมจบ ปลาหมึกก็ถูกยัดเข้าปากผมมาแล้ว ใบหน้าผมกลับเห่อขึ้นเมื่อนิ้วโป้งของเขากลับค่อยๆเช็ดที่มุมปากของผม
“ทิชชู่ก็มีไหมครับ”ผมเอ่ยขึ้นสายตาก็ไม่กล้าจะมองคนตรงข้าม ตอนนี้หน้ามันร้อนไปหมดผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำหน้ายังไง แต่เท่าที่ผมรู้คือตอนนี้อาหารกลับถูกตักมาจ่อที่ปากผมเรื่อยๆ
หลังจากผมทานข้าวเรียบร้อย เขาก็บังคับผมทานยาอีกครั้ง ผมหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาไม่รู้ว่าหลังจากที่ผมหลับเขากำลังทำอะไรต่อ แต่ผมหลับไปน่าจะนานมากผมค่อยๆปรือตาขึ้น พยายามมองไปรอบๆตอนนี้ดูน่าจะบ่ายแล้ว
“อ๊ะ…”ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นแขนที่พาดผ่านลำตัวมา ผมค่อยๆจับแขนของเขาออกแต่ทว่าเขากลับกระชับแขนและดึงผมเข้าไปกอดแนบอก
“อื้ออออ”เสียงครางเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเขาช่างรู้สึกดีจัง แต่ผมก็ต้องพยายามออกจากอ้อมกอดเขาให้ได้ไม่ยังงั้นผมเองจะลำบากกับความรู้สึกตัวเอง
“จะไปไหนครับ”เขาเอ่ยขึ้นเมื่อผมพยายามดิ้น
“ผมอยากเข้าห้องน้ำครับ”ผมเอ่ยขึ้น
“ให้ผมไปส่งนะ”เขาเอ่ยขึ้น ทำให้ผมคิดถึงวันนั้นที่บนเครื่อง ทำให้ผมยกยิ้มออกมา
“ไม่ต้องหรอก ห้องน้ำบ้านคุณกว้างชะขนาดนั้นผมเข้าได้”ผมเอ่ยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ผมต้องไม่ปล่อยให้หัวใจผมเต้นแรงแบบนี้สิ ผมต้องไม่รู้สึกดีแบบนี้กับเขาสิ ผมเพิ่งรู้จักเขาเพียงไม่นานเท่านั้น
“เขาเพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น”ผมคิดในใจกับสมองของตัวเองที่กำลังตีกันวุ่นวานอยู่
“แต่เขาคือคนแรกของมึงนะ แต่เขากับมึงก็มีอะไรกันแล้ว”ผมคิดกลับ
“แต่มึงขอร้องเขาป่าวว่ะ เขาถึงยอมมีอะไรกับมึง ที่จริงแล้วเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงด้วยซ้ำ”ผมคิดกลับอีก ตอนนี้ปวดหัวจะแย่แล้วสิ ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลกับผมมากขนาดนี้เลยหรอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณกรีนครับ เป็นอะไรหรือเปล่า ผมเห็นว่าเข้าห้องน้ำนานแล้ว”เสียงเอ่ยเคาะประตูเรียกผม นานตรงไหนว่ะเพิ่งจะเข้าป่ะ ผมคิดก่อนจะขานกลับ
“เสร็จแล้วครับ”ผมเอ่ยก่อนจะจัดการทำความสะอาดและเดินออกจากห้องน้ำ เห็นเขาเก็บที่นอนเรียบร้อยแล้ว
“ผมเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว คุณจะอาบน้ำก่อนไหมแล้วค่อยกลับ”ผมนิ่งไปกับประโยคของเขาทันที นี่คงอยากจะไล่ผมกลับมากล่ะสิท่า ผมหน้าหงิกอย่าลืมตัวก่อนจะหยิบเสื้อผ้าบนเตียงขึ้น
“คงไม่อาบหรอกครับ เดี๋ยวผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยแล้วกันจะได้รวดเร็ว ไม่เสียเวลาและรบกวนคุณ”ผมเอ่ยพร้อมเดินเข้าห้องน้ำทันที ท่าทางของผมดูยังไงก็เหมือนงอนเขาใช่ไหม เพราะผมกำลังงอนและน้อยใจเขาจริงๆ
ผมเดินออกจากห้องน้ำมา เห็นเขาเองก็แต่งตัวเรียบร้อย ผมเดินไปเก็บเสื้อคลุมและเดินออกจากห้องนอนทันที ก่อนจะหันมาหยิบกระเป๋าลากของตัวเองอย่างฉุนๆ
หมับ
“ผมถือให้เอง”เขาเอ่ยขึ้นเมื่อคว้ากระเป๋าของผมและมือของผม
“งั้นก็ปล่อยมือผมได้แล้ว”ผมเอ่ย สายตากลับหลบสายตาของเขา ใบหน้าหล่อนั้นคงยกยิ้มเยาะผมล่ะสิที่หน้าผมคงแดงเห่อสุดๆ
“งอนอะไรผมหรอ”เขาเอ่ยถามผมตรงๆ ผมว่าข้อดีของเขาคือการพูดตรงๆ แต่มันทำให้คงฟังรู้สึกไม่ชอบนัก
“งอนหรอ งอนอะไรครับ ผมไม่มีสิทธิ์งอนคุณหรอก”ผมเอ่ยออกมา
“คุณรู้ตัวไหม เวลาคุณแสดงท่าทางแบบนี้คุณน่ารักกว่าเวลาคุณทำหน้าเศร้าๆอีกนะ”เขาเอ่ยขึ้นจนผมเองสะอึก จุกในลำคอทันที น่ารักหรอ เขาบ้าหรือเปล่านี่ผมกำลังดื้อกับเขาอยู่นะ
“คุณท่าจะบ้า เราจะไปได้หรือยัง ผมอยากกลับบ้านแล้ว”ผมเอ่ยขึ้น เขาพยักหน้าก่อนจะพาผมออกจาห้องไป ระหว่างที่เดินไปที่ลานจอดรถ ผมเองรู้สึกว่าผมเห็นรถพี่หมอไวท์ แต่ว่าพี่หมอมาทำอะไรที่นี่นะ
เวลาไม่นานผมก็มาถึงบ้าน เขาไม่ได้เข้าไปในบ้านกับผม บอกผมแค่ว่าจะรีบไปเคลียงานที่บริษัท เรื่องเปลี่ยนแผนงานของโปรเจคนี้หลังจากมันล่มไม่เป็นท่า ผมเดินหน้าเข้าห้องพร้อมล้มตัวลงนอนที่เตียง
“คงจะไปหาแฟนหล่ะมั้ง หรือเขาไม่อยากจะอยู่กับเรา”ผมคิดในใจ มันก็แน่อยู่แล้วใครจะมาอยากมาอยู่กับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร แถมเป็นผู้ชายที่ยอมให้ผู้ชายด้วยกันมีอะไรด้วย แค่ผิดธรรมชาติแบบนี้ใครเขาอยากจะสนใจ ผมคิดแบบนั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เฮียฮะ พิ้งค์กับเฮียบลูเอง เราขออนุญาตเข้าไปนะฮะ”ผมหันมองตามเสียงหวานของน้องชายคนเล็ก ผมรีบเช็ดน้ำตาและยกยิ้มหวานให้กับหนูพิ้งค์และน้องชายคนรองจากผมอย่างเจ้าบลู
“เข้ามาสิ”ผมเห็นหน้าของน้องชายทั้งสองแล้วก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ ทั้งสองเองก็เช่นกัน เมื่อผมบ่อน้ำตาแตกมีหรอเจ้าจองเกลอของผมจะไม่ร้องตามรีบมาสวมกอดผมทันที
หมับ
“เฮีย เป็นไงมั้ง ฮื่อๆๆ”เสียงโฮของหนูพิ้งค์น่าจะมากกว่าใคร เพราะหนูพิ้งค์เป็นน้องคนเล็กที่พวกเราถนอมที่สุด
“ไม่เป็นไรแล้วหล่ะ เฮียโอเค”ผมเอ่ยทั้งที่ยังสวมกอดน้องทังสอง
“ถ้าเค้าเป็นคุณกูร เค้าเอามันตายแน่ ไม่ปล่อยมันแค่เข้าคุกหรอก”เสียงของบลูเอ่ยขึ้นอย่างโมโห
“ช่างเขาเถอะตอนนี้เขาก็ได้ชดใช้กรรมแล้วหล่ะ ว่าแต่อย่าร้องไห้สิ เฮียก็ร้องตามพอดี”ผมเอ่ยออกมาพร้อมเช็ดน้ำตาให้น้องทั้งสองคนก่อนจะเงยหน้ามองคนที่เดินเข้ามาใหม่
“คุณกรีน พี่ทำซุปร้อนๆมาให้ ทานก่อนนะ”ใบหน้าหวานของพี่สะใภ้คนโตของผม พี่นิลดีกับเราทุกคนและรักเราทุกคน พวกเราเองก็รักพี่นิลมากเช่นกัน
“ขอบคุณครับพี่นิล”ผมยกมือขอบคุณพร้อมยกยิ้มหวานขึ้น
“อย่าขอบคุณเลย ทานและพักผ่อนนะครับ เย็นนี้พี่ทำของโปรดให้ทาน เย็นนี้ทานข้าวพร้อมหน้ากันนะครับ คุณหมอจะพาแฟนมาด้วย”พี่นิลเอ่ยเรื่องแฟนพี่หมอ ผมเองก็นึกขึ้นได้ว่าผมเห็นรถพี่หมอ
“งั้นเฮียพักผ่อนนะฮะ”เจ้าบลูเอ่ย ผมพยักหน้าตอบทุกคนก่อนที่ทุกคนจะออกจากห้องไป ผมยกยิ้มกับถ้วยซุปก่อนจะหันซ้ายขวาเพื่อหามือถือตัวเอง แต่ผมคงทิ้งมันไปแล้วที่อิตาลี
“เขาคงไม่คิดถึงเราหรอกมั้ง”ผมคิดแบบนั้น
+++++++
ผมเดินเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ เฮียแบล็คกลับมาก็เรียกหาผมทันที พวกเราทั้งหมดเดินมานั่งที่ห้องรับแขก ไม่บ่อยนักที่เราทั้งหมดจะมารวมตัวกัน
“สวัสดีครับเฮีย เฮียเกรย์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”ผมหันไปถามพี่ชายคนรองที่น่าจะเพิ่งกลับมา
“เพิ่งมาถึงอ่ะ เรามาถึงกี่โมง”
“เจ็ดโมงเช้าครับ”ผมตอบกลับไป ก่อนจะนั่งลงข้างๆเฮียแบล็คที่ทำหน้านิ่งอยู่จนผมเองใจเต้น กลัวว่าเฮียจะสั่งเก็บไอ้เลวคนนั้น ผมไม่อยากให้เฮียของผมทำอะไรผิดอีก
“เจ้าหมอยังไม่มาใช่ไหม”เสียงเฮียแบล็คเอ่ยขึ้น
“ยังครับ”เจ้าบลูรีบตอบกลับ จนสักพักร่างสูงขาวของพี่หมอไวท์ก็เดินเข้ามา ผมเองก็เห็นหน้าแฟนพี่หมอไม่ชัดนัก เห็นแค่หลังไวๆ
“กรีนพอจะบอกเฮียได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไอ้ระยำนั่นมันทำอะไรแกบอกเฮียมาเดี๋ยวนี้”เฮียแบล็คเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเข้มและนี่คือเสียงที่ทุกคนในบ้านรู้ดีว่าเฮียกำลังโมโห
“เฮีย อย่าคั้นอะไรเจ้ากรีนมากนักเลยครับ ไหนๆไอ้ผู้จัดการนั้นมันก็ถูกจับแล้ว”เฮียเกรย์เอ่ยขึ้น
“ใช่ครับเฮีย ไหนๆเฮียกรีนก็ไม่ได้เสียหายอะไรและก็ปลอดภัยทุกอย่างเราควรจะดีใจมากกว่าโกรธนะครับ”เจ้าบลูเอ่ย
“ดีนะครับที่คุณกูรมาช่วยไว้ทัน ไม่งั้นนะ...”หมอไวท์เอ่ยขึ้นทิ้งไว้ยังไม่ทันที่จะเอ่ยต่อเสียงคุ้นๆที่เอ่ยขึ้น ผมเองก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าของเสียงนั้น
“ขอโทษนะครับ ผมมารบกวนหรือเปล่า”เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตู ผมเงยหน้ามองเสียงนั้น หัวใจกลับเต้นแรงเขามาได้ยังไงกัน
“อ่อ คุณกูรมาแล้วหรอเชิญครับ”เฮียแบล็คเอ่ยขึ้น ผมหันมองเฮียทันที นี่พวกเขารู้กันแล้วหรอว่าผู้ชายคนนี้จะมาที่บ้านเย็นนี้
“ถ้าคุณกูรมาแล้ว เราไปที่โต๊ะอาหารดีกว่า”เฮียเอ่ยขึ้น ทุกคนพากันเดินมาที่โต๊ะอาหารที่ตอนนี้อาหารถูกวางขึ้นโต๊ะเรียบร้อย
“คุณกูร”
“น้องซี”
ผมอยากจะหายจากตรงนั้นจริงๆ ที่ได้เห็นสายตาของเขามองไปยังแฟนพี่หมอไวท์ มันคนละสายตากับที่มองผมมันช่างแตกต่างจนผมรู้สึกเกลียดสายตานั้น และยิ่งรู้ว่าทั้งสองรู้จักกันมาก่อนยิ่งทำให้ผมรู้สึกเกลียดสายตาของเขา และเกลียดตัวเองนักที่กลับรู้สึกกับเขามากเกินไป
............................
"ยิ่งรู้สึก ยิ่งเจ็บ"
[/size]
-
คิดไปเองใหญ่เลย
-
มโนแจ่ม ..
-
ช่วงดึงอารมณ์ อิอิ จะได้ชัดเจนไวไว
รออออออออ
-
Green Light 7 : ขอดูแล (ชยางกูรxอนาคิม)
[/b][/size]
ชยางกูร พาร์ท
หลังจากที่ผมไปส่งเขาที่บ้านเสร็จ แม้ว่าผมจะอยากอยู่กับเขาและอยากดูแลเขามากก็ตามแต่ผมก็ต้องขอตัวมาทำธุระต่อ ผมมาที่ออฟฟิตทันทีเมื่อส่งเขาเสร็จ เพราะอยากจะมาสะสางงานและแก้งานของคุณอนาคินใหม่ ผมอยากให้งานของครอบครัวนี้เสร็จสมบูรณ์และดูดีมากกว่าที่ผมเคยเสนอไป
“สวัสดีทุกคน”ผมเอ่ยขึ้นเมื่อถึงออฟฟิต ทันทีที่ลูกน้องของผมทั้งสี่คนหันมามองผม รอยยิ้มที่แสนจะดีใจ และคำถามมากมายที่ต่างจอแจไม่มีที่ว่างจะให้ผมตอบนั้นมันมีแต่คำถามของคลิปนั้น
“พี่กูร มาไวจัง งานเสร็จเร็วหรอคะ”
“แหม ทำงานกับคนรู้ใจก็แบบนี้หล่ะนะ”
“โอ๊ย ไม่น่าเชื่อพี่กูรของหนูจะเป็นของคนอื่น”
“พี่กูร ขอลายเซ็นพี่กรีนให้หน่อยสิคะ”
“พี่กูร ใช่จริงๆหรอครับเนี้ย”
“พี่กูรโคตรเซอร์ไพรส์เลยอ่ะ”เสียงจอแจจนผมปวดหัวแล้วเนี้ย อะไรกันนักกันหนา ผมจึงโวยขึ้นกลางวงสนทนาทันที
“โอ๊ยยยยยย คิดว่าตลาดสดนะเนี้ย แล้วแทนที่จะถามพี่ว่างานโอเค ไหม แล้วนี่อะไรถามอะไรกันเนี้ย”ผมเอ่ยออกมาเสียงดังแต่ไม่ใช่น้ำเสียงดุเลย เพราะผมเองกลับชอบที่จะให้ลุกน้องผมถามถึงเรื่องนี้
“เรื่องงานอ่ะ พวกเรารู้คะ ว่าพี่กูรทำเรียบร้อยอยู่แล้ว แต่เรื่องของพี่กับคุณกรีนนี่สิ มันยังไงกันแน่คะ”
“หยุดเลยนะมิว เราอ่ะตัวดีทำงานกับพี่ตั้งนานแล้วยังจะแซวพี่อีก เอาขนมไปกินและอีกสิบนาทีไปไประชุมกัน”ผมเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา เดินเข้าห้องทำงานไปก่อนจะนั่งมองไปยังนอกหน้าต่าง และยกมือถือขึ้นมาดู
“เวลาคุณยิ้ม คุณน่ารักมากรู้ไหม ผมไม่อยากให้คุณเศร้าเลย”ผมเอ่ยกับคนในหน้าจอมือถือ เมื่อก่อนหน้าจอของผมจะมีรูปถ่ายของผู้หญิงคนนั้น เพื่อที่จะเตือนผมว่าผมต้องทำให้เขารู้ว่าผมต้องทำความสำเร็จด้วยมือของผม แต่ตอนนี้รู้ถ่ายของเขา เตือนให้ผมรู้ว่าผมต้องปกป้องเขาและทำให้เขายิ้มได้
เวลาไม่นานที่ผมกับลูกน้องประชุมกัน ก็เกือบจะห้าโมงเย็น ทันทีที่เลิกผมก็รีบขับรถมาที่บ้านหลังใหญ่นั้นทันที
(“คุณกูรอย่าลืมมาให้ได้นะครับ ผมอยากเลี้ยงขอบคุณคุณ”)
“ไม่ลืมหรอกครับ ผมเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับคุณอนาคินเช่นกัน”
ผมอยากจะบอกคุณอนาคินเรื่องของผมกับเขา อยากจะทำให้มันถูกต้อง ไม่อยากให้เป็นปมอยู่แบบนี้ แม้ว่ามันจะรวดเร็วเกินไป แต่ผมเองก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่มันเกิดมาแล้ว
“ผมว่า มันไม่ใช่เรื่องที่จะบังเอิญเลยสักนิดที่ทำให้เราได้รู้จักกัน”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะขับรถตรงไปบ้านหลังใหญ่
เวลาไม่นานผมก็มาถึงบ้านหลังใหญ่ ตอนนี้รถมากมายจอดอยู่ ผมเองก็รู้สึกได้ว่าครอบครัวนี้ทำไมช่างดูอบอุ่นนัก ผมเดินมาหยุดที่ห้องโถงใหญ่ได้ยินเสียงสนทนาของพี่น้องทั้งหมด ก็ยกยิ้มขึ้น ผมว่าที่จริงเขาเองมีพื้นฐานครอบครัวที่อบอุ่นมาก
“ขอโทษนะครับ ผมมารบกวนหรือเปล่า”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมเดินเข้าไป สิ่งแรกที่ผมมองคือร่างขาวสูงโปร่งของเขาที่นั่งอยู่ข้างคุณอนาคิน เมื่อเขาเห็นผมเขาถึงกับหน้าเหวอออกมา ผมแอบพอใจเพราะเขาน่ารักมาก
คุณอนาคินพาพวกเรามาที่โต๊ะอาหาร เหมือนทุกคนจะรู้ว่าวันนี้ผมจะมาทานข้าวที่บ้านหลังใหญ่นี้ และเหมือนจะมีการเปิดตัวแฟนของพี่น้องคนที่สามอย่างคุณหมอไวท์อีกด้วย แต่ทันทีที่ผมเข้าไปที่ห้องอาหาร ผมกลับตกใจมากที่ผมเจอน้องซีก่อนที่คุณหมอไวท์จะแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของอย่างเห็นได้ชัดเจน
“คุณกูรครับ นี่ซีแฟนผมเอง ซีนี่คุณกูรโปรดิวเซอร์โปรเจคของบริษัทและอนาคตก็จะมาเป็นผู้จัดการของเจ้ากรีน”ผมยกยิ้มให้น้องซีเมื่อเขาเอ่ยสวัสดีผม ที่จริงผมเองก็รู้ว่าน้องซีกลัวว่าคุณหมอจะรู้ว่าเรารู้จักกัน แม้ผมเองจะรู้สึกหน่วงไปบ้างที่รู้ว่าน้องซีมีแฟนอยู่แล้ว แต่ผมกลับไม่มากเท่าที่ผมเห็นใบหน้าของเขากำลังเศร้าอยู่ตอนนี้
“สวัสดีครับ”น้องซีเอ่ยพร้อมยกมือสวัสดี ผมยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“สวัสดีครับ น้องซี”ผมเอ่ยขึ้น ทำเอาน้องซีหน้าเสียเล็กน้อย ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวให้ฟังว่าเรารู้จักกัน และอยู่คอนโดเดียวกัน คนอื่นๆก็ไม่ได้พูดหรือถามอะไรต่อ แต่สายตาของเขาคนนั้นกลับมีแววตาที่ไม่อยากจะได้คำตอบจากผม แม้ผมอยากจะให้เขาถามมากเพียงใด
หลังจากทานอาหารค่ำเรียบร้อย ผมจึงขอคุณธุระกับคุณอนาคินและคุณเกรย์เรื่องของผมกับเขา ผมเองก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะพูดตามตรง
“ผมไม่ได้จะมาพูดให้คุณกรีนเสียหายอะไรหรอกนะครับ ที่ผมมาพูดกับคุณทั้งสองก็เพราะผมต้องการรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นครับ”ผมเอ่ยตรงๆไปเมื่อเล่าเรื่องราวให้ทั้งสองฟัง
“ฟังจากเรื่องที่เกิด ผมคิดว่าคุณกูรไม่ต้องรับผิดชอบอะไรหรอกครับ เพราะสิ่งที่เกิดคือเจ้ากรีนบอกให้คุณทำ ซึ่งคุณเองก็ไม่ได้ขืนใจเจ้ากรีน”คุณเกรย์เอ่ยขึ้น
“ผมเห็นด้วยกับคุณเกรย์ ผมไม่โกรธและไม่โทษอะไรคุณหรอก เพราะถ้าไม่ได้คุณวันนั้นเจ้ากรีนก็ไม่รู้จะเป็นยังไง”คุณอนาคินเอ่ยขึ้น แทนที่ผมจะดีใจที่ครอบครัวนี้ไม่โกรธ ไม่ว่าอะไรผมที่ผมทำให้น้องของเขากลายเป็นผู้ชายที่มีอะไรกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้ แต่ผมกลับหน่วงเฉยเลยถ้าแบบนี้เขาจะเป็นยังไงต่อ ถ้าพี่ชายทั้งสองของเขาไม่ได้ต้องการให้ผมดูแลน้องเขา
“ไม่ได้หรอกครับ แม้คุณกรีนจะยอม แต่ถ้าวันนั้นผมไม่ทำแบบนั้นคุณกรีนก็ไม่มีมลทินผิดธรรมชาติแบบนี้”ผมเอ่ยออกมา
“แล้วคุณกูรชอบผู้ชายแบบเจ้ากรีนจริงๆหรอครับ”คุณเกรย์เอ่ยถามผมตรงๆ ถามว่าผมชอบแบบเขาไหมบอกเลยว่าผมไม่ได้ชอบแบบเขาเลย ผมชอบคนอ่อนหวาน คนยิ้มสวยและคนที่พูดเพราะแต่ถ้าเป็นเขาที่ตรงกันข้าม ผมว่าผมยอมฟังเสียงคนที่พูดจาเอาแต่ใจ ไม่มีความอ่อนหวานอย่างเขา
“พูดตามตรง คุณกรีนไม่ใช่สเปคผมเลย…”ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยต่อ อยู่ๆก็มีเสียงดังจากข้างนอกเหมือนมีอะไรตกแตก
เพล้ง!!
“เสียงอะไรอ่ะ”คุณเกรย์เอ่ยพร้อมลุกเดินออกไปดูที่หน้าห้องทันที ผมกับคุณอนาคินก็เดินตามออกไป ผมเห็นร่างสูงโปร่งของเจ้าของเรื่องกับสาวใช้ยืนนิ่งอยู่ โดยมีเศษแก้วที่ตกลงพื้นกระจายอยู่ข้างๆ
“มีอะไรกันหรอ”เสียงเอ่ยของคุณอนาคินเอ่ยขึ้น สาวใช้ที่ทำหน้าตกใจกลัวมากที่ทำข้าวของแตกเสียหาย
“มะลิขอโทษคะ พอดีมะลิเอาน้ำมาให้คุณๆแต่ไม่ทันเห็นคุณกรีนที่ยืนอยู่ มะลิเลยทำถาดหลุดมือคะ มะลิขอโทษจริงๆคะ”สาวใช้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่น ผมไม่ได้สนใจสาวใช้เลยแต่ผมสนใจคนที่ยืนนิ่งอยู่ตอนนี้มากกว่า น้ำตาที่กำลังจะไหลยิ่งทำผมรู้สึกได้ว่าเขาได้ยินทุกอย่างในห้องนั้น
“เก็บกวาดให้เรียบร้อย และเจ้ากรีนก็ระวังด้วย เดี๋ยวจะโดนแก้วบาดเอา”เสียงคุณอนาคินเอ่ยขึ้น
“แล้วเจ้ากรีนมีอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่พักผ่อน”คุณเกรย์เอ่ยขึ้น เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะหันหลังเดินออกไป ผมเองก็กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดจึงเอ่ยขึ้น
“สิ่งที่คุณได้ยิน ไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังเข้าใจนะครับ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปทางคุณอนาคินและคุณเกรย์
“ผมขอเคลียได้ไหมครับ”ผมเอ่ยถามเป็นเชิงขออนุญาต
“ผมรู้จักน้องชายผมดี ผมคิดว่าคุณกูรกลับก่อนดีกว่านะครับ”คุณเกรย์เอ่ยขึ้น ผมมองหน้าทั้งสองอย่างเข้าใจก่อนจะมองไปยังชั้นบน
“พรุ่งนี้ค่อยมารับเจ้ากรีนไปที่บริษัทก็แล้วกัน เรามีประชุมโปรเจคที่เพิ่งพังไป”คุณอนาคินเอ่ยขึ้น ผมยกยิ้มขึ้นทันที อย่างน้อยผมก็มีคนหนุนผมแล้ว
“ครับ งั้นผมกลับก่อนนะครับ”ผมเอ่ยก่อนจะกลับ
ระหว่างทาง ผมคิดอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องของเขา ผมส่งข้อความไปหาเขาเพื่ออธิบายว่าสิ่งที่เขากำลังคิดและที่ได้ยินนั้นมันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
ชยางกูร : เมื่อสักครู่คุณได้ยินแล้วใช่ไหม
ชยางกูร : ถ้าได้ยิน สิ่งที่ผมพูดมันคือเรื่องที่ผมต้องการจะบอก
ชยางกูร : จะไม่ถามหน่อยหรอว่าผมต้องการจะบอกอะไร
ไม่มีสถานะกดอ่านข้อความ ไม่มีสัญญาณตอบกลับ ไม่มีแม้แต่อะไรเคลื่อนไหวทั้งสิ้น ผมลองยกมือถือกดโทรออก แต่ปลายสารกลับไม่มีสัญญาณตอบรับ
ผมมาถึงคอนโดเกือบจะเที่ยงคืน สิ่งแรกที่ผมหันไปมองคือห้องตรงข้ามของผม ที่ตอนนี้ปิดไฟสนิท เพราะเจ้าของห้องตอนนี้กำลังนอนกอดอยู่กับคนที่เขารักอยู่ แต่สำหรับผมต้องนอนกอดตัวเองทั้งๆที่ผมอยากนอนกอดคนที่เคยนอนเตียงเดียวกับผมเมื่อเช้าก็ตาม
ฟู่วววววว
“นี่สินะ รักแรกพบที่มันจบทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่ม”ควันสีขาวอมเทาที่พ่นออกมาจากริมฝีปาก พร้อมคำสบถกับตัวเองที่พบกับรักที่เขาเรียกว่าแรกพบ แต่มันเพิ่งจบไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มจะรัก
“ตอนนี้คุณรู้สึกแบบผมไหม คิดถึงผมเหมือนที่ผมคิดถึงคุณไหม”ผมเอ่ยออกมาสายตาก็ยังไม่ละจากหน้าจอมือถือก่อนที่
++++++++++++
เช้าวันนี้ผมขับรถมาที่บ้านหลังใหญ่ คุณอนาคินโทรมาบอกแต่เช้าว่าให้ไปรับเขาที่บ้านด้วย และอยากให้ผมดูแลเขาในฐานะผู้จัดการส่วนตัว ซึ่งข้อนี้ผมเองก็ยอมรับข้อเสนอของคุณอนาคินโดยไม่รีรอหรือไตร่ตรองอะไร
“คุณกรีนยังไม่ลงมาเลย คุณกูรรอแปบนะคะเดี๋ยวป้าไปตามให้”ป้าแม่บ้านเอ่ยบอกผมก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบน ผมได้แต่มองตาม เขาจะทำหน้าตายังไงเมื่อได้เห็นผมเช้านี้ ผมนั่งรอสักพักป้าแม่บ้านก็เดินลงมา
“เอ่อ คุณกรีนแกไม่ยอมเปิดห้องคะ”ผมเงยหน้ามองไปชั้นบนเมื่อป้าแม่บ้านเอ่ยบอก ก่อนจะคิดอะไรออกจึงกดมือถือโทรหาใครคนหนึ่ง
(“ครับคุณกูร”)
“ผมมารับคุณกรีนที่บ้านแล้วนะครับ แต่ท่าทางคุณกรีนจะงอแง ไม่ยอมลงมา”
(“หรอครับ ถ้ายังงั้นคุณกูร…”) ผมไม่รอปลายสายบอกอะไร ตอนนี้ผมขอเสนอตัวเพื่อได้ขึ้นไปห้องนั้นก่อน
“ถ้าคุณอนาคินไม่ว่าอะไร ผมขอขึ้นไปตามคุณกรีนที่ห้องได้ไหมครับ”
(“เอ่อ…เอางั้นหรอครับ”)
“เมื่อคืน ผมบอกคุณไปว่าผมจะรับผิดชอบทุกอย่าง และขอดูแลคุณกรีน วันนี้ผมเองก็จะขอยืนยันคำนั้นครับ”ผมพูดด้วยใจแนวแน่ ก่อนที่จะยื่นมือถือให้กับป้าแม่บ้าน
ผมเดินขึ้นมาหยุดที่หน้าห้องตามที่แม่บ้านบอก ผมมาหยุดที่หน้าห้องหนึ่ง หน้าประตูเขียนว่า Green ผมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะยกมือเคาะที่ประตูนั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงยังคงเงียบอยู่ ผมจึงเคาะดังขึ้นและถี่ขึ้นกว่าเดิม เพราะข้างบนนี้ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะไปทำงานหรือไปเรียนกันแล้ว ผมจึงคิดว่าจะขอเคลียกับเขาวันนี้ให้จบ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะรัวของผมมันได้ผลจริงๆ เมื่อบานประตูสวยนั้นถูกเปิดออกพร้อมร่างสูงโปร่งที่ทำหน้าตกใจเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้
แกรก!!
“บอกว่าไม่…”เขาเงียบไป ผมทำหน้านิ่งๆก่อนจะดันเขาเข้าห้องพร้อมปิดประตูล๊อคทันที
“คุณมาได้ยังไง และทำไมถึงขึ้นมาที่นี่ได้”เขาเอ่ยถามผมรัวเช่นกัน
“ผมมารับคุณไปบริษัท และผมเองก็มีเรื่องจะคุยกับคุณด้วย”ผมเอ่ยขึ้น เขายามยามบิดขอมือของเขาออกจากข้อมือของผมที่กำไว้แน่น
“ปล่อยผมนะครับ ไม่งั้นผมจะร้องให้คนช่วย”เขาเอ่ยขู่ผม
“ร้องสิครับ ร้องไปก็ไม่มีคนช่วย เพราะที่ผมได้ขึ้นมาที่นี่ก็เพราะคุณอนาคินอนุญาต คงไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของคุณอนาคินหรอกว่าไหม”ผมเอ่ยออกมาพร้อมยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อใบหน้าเขานิ่งไป
“เดี๋ยวผมบอกเฮียเองแล้วกันว่าวันนี้ผมไม่สบาย ผมไม่ขอเข้าบริษัท”เขาเอ่ยขึ้นขึ้น ผมเองก็มองตามเขาที่กำลังเดินไปที่เตียงแต่ก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเขากำลังหาอะไรสักอย่าง
“หาอะไรหรอครับ”ผมเอ่ยถามขึ้น แต่เขาเองก็ไม่ตอบ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาเองก็ระวังตัวอยู่มากพยายามจะเบี่ยงตัวหนี แต่กลับถูกผมรวบร่างของเขาไว้
หมับ
“อ๊ะ…ปล่อยผมนะ”เขาเอ่ยขึ้น ดวงตาเริ่มขึ้นสีแดงจากเดิมที่ดวงตาสวยนั้นมันก็บวมแดงอยู่แล้ว
“รังเกียจและเกลียดผมมากขนาดนั้นเลยหรอครับ”ผมเอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงเบาลง เขาเองก็หยุดดิ้น หายใจแรงขึ้นพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง
“คุณอย่าทำแบบนี้เลยนะครับ อย่ามารับผิดชอบกับสิ่งที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้แบบนี้เลย ผมเองไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย ผมไม่ได้โกรธคุณเลย ไม่ได้ต้องการให้คุณมารับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”เขาเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา ผมพอจะรู้แล้วว่าเขาได้ยินทุกอย่างที่ผมพูดกับพี่ชายของเขาเมื่อคืนนี้
“แล้วไงต่อครับ”ผมเอ่ยสั้นๆ เขาหันหน้ามองผม ทั้งที่เขายังอยู่ในอ้อมกอดผมอยู่ ผมค่อยๆลูบไปที่แผ่นหลังและค่อยๆลูบที่ใบหน้าของเขา
“แม้เราสองคนจะอยู่ด้วยกัน แต่คุณไม่ได้ชอบผู้ชายแบบผม เพราะฉะนั้น…อุ๊ปห์”ผมไม่อยากให้เขาเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้แล้ว
ริมฝีปากของเขาถูกผมกดทับสนิท แม้จะตกใจนิดหน่อยสำหรับเขาแต่เขากลับให้ผมสอดลิ้นเข้าไปอย่างง่ายดาย เหมือนเขาเองก็ต้องการมันเช่นกัน ริมฝีปากล่างถูกผมกัดงับเบาๆ เสียงหายใจหอบเริ่มดังและถี่ขึ้นพร้อมกับเสียงสะอื้นในลำคอเล็กน้อย ผมค่อยๆผละจากริมฝีปากนั้นก่อนจะยกสองมือประคองใบหน้านั้น หน้าผากของเขาถูกผมชนแนบกับหน้าผากผม
“รู้ตัวไหม เวลาพูดมากและมีเสน่ห์มาก แต่ถ้าพูดจาไม่เพ้อเจ้อนะ”ผมเอ่ยขึ้น พร้อมเช็ดน้ำตาให้เขา
“อย่าทำแบบนี้กับผมเลยนะ ผมข้อร้อง”เขาเอ่ยขึ้น ผมกดจูบเขาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อย่าดื้อกับผมสิ และเชื่อฟังผม และเชื่อใจผม เชื่อใจว่าผมจะดูแลคุณได้ ผมอยากดูแลคุณ ได้ไหม”ผมเอ่ยขึ้น สายตาที่ฉ่ำน้ำกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจ ผมไม่รอให้เขาเข้าใจอะไรแล้วตอนนี้ ไม่อยากให้เขาร้องไห้ ผมว่าเขาร้องไห้มามากพอแล้ว คนอย่างเขาต้องมีรอยยิ้มเท่านั้นที่จะเหมาะสมกับใบหน้าของเขา
จุ๊บ…
“อื่ออออ”ริมฝีปากที่กดทับกัน ผมบดขยี้ไปเบาๆก่อนจะค่อยๆหนักหน่วงขึ้น เมื่อเขาเองก็ตอบสนองผมเช่นกัน มือหนาของผมกลับเผลอลูบไปที่สะโพกของเขา และก้อนเนื้อกลมสองก้น ไม่รู้ว่าเขายังเจ็บตรงนั้นอยู่หรือเปล่า แต่ผมกลับหยุดไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงครางของเขา
“อ่าห์…”
ผมวางเขาลงบนเตียงแสนนุ่มนั้นอย่างเบามือ ซอกคอที่งามระหงของเขากลับถูกผมระดมจูบไปทั่วซอกคอ มือบางจับที่กลุ่มผมของผมไว้แน่น
“ยะ…อย่าทำแบบนี้กับผมเลยนะครับ อ่าห์…ได้โปรด”เขาเอ่ยออกมา เสียงครางหวานหูเอ่ยครางข้างหูผมจนตอนนี้แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
“คุณกรีน คุณบอกผมได้ไหมว่าเมื่อคืนคุณไม่ได้คิดถึงผมเลย”ผมเอ่ยขึ้น ก่อนจะไล่ลิ้นมาที่ยอดอกสีสวยนั้น
“มะ…ไม่เลย ผมไม่ได้คิดถึงคุณเลย”เขาเอ่ยขึ้น ผมสอดมือทั้งห้านิ้วประสานเข้าด้วยกัน
“หรอครับ แต่ทำไมผมถึงคิดถึงแต่คุณ ได้โปรดให้ผมดูแลคุณนะครับ”ผมเอ่ยออกมา เขาเองก็พยายามดิ้นจากพันธการที่ผมผูกมัดด้วยอ้อมกอดตอนนี้ ก่อนจะหยุดดิ้นและผมเองก็หยุดที่ริมฝีปากของเขาอีกครั้ง
“ทำไมถึงอยากดูแลผมครับ ทั้งๆที่ผมเองก็ไม่ใช่คนที่คุณต้องการ”เขาเอ่ย
“ผมบอกตอนไหนครับว่าผมไม่ต้องการคุณ”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องใบหน้าขาวของเขา ดวงตาฉ่ำน้ำส่งผ่านมายังผม ผมอยากจะดูแลเขาเหลือเกิน ผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมกำลังหลงใหลเขาเข้าแล้ว
“คุณรู้ได้ไงว่าผมไม่ต้องการคุณ คุณรู้ได้ไงว่าผมแค่อยากจะรับผิดชอบในสิ่งที่ผมได้ทำลงไป และคุณรู้ได้ไงว่าผมแค่สงสารคุณ”ผมเอ่ยย้ำถาม
“ก็เมื่อคืนผมได้ยินคุณพูด และคุณก็บอกเฮียแบบนั้น”เขาเอ่ย
“หึ คุณได้ยินแค่นั้นคุณก็คิดเอง เออเองแล้วก็คิดว่าผมต้องคิดแบบนั้น คิดแบบนี้”ผมเอ่ยขึ้น
“ก็พูดซะขนาดนั้น จะให้คิดว่าที่คุณพูดเพราะคุณรักผม และอยากดูแลผมอย่างนั้นหรอ”เขาเอ่ยพร้อมเบี่ยงหน้าหนี ผมเองจับใบหน้าเขาหันมาหาตัวเองก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แล้วทำไมไม่คิดแบบนี้บ้างล่ะครับ คิดว่าผมกำลังหลงรักคุณ และที่อยากดูแลคุณเพราะผมอยากปกป้องคุณ ทำไมแค่นี้คิดไม่ได้ล่ะครับ”ผมเอ่ยออกมา เขาอ้าปากเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อว่าผมจะพูดออกมาแบบนั้น
ริมฝีปากของผมกดขยี้เข้าที่ริมฝีปากของเขา เรากำลังตกอยู่ในภวังค์ของความรู้สึกดี ความอบอุ่นที่ผมมอบให้เขา ไม่ใช่เพราะผมจะรังแกเขาเพียงเพราะเขาเคยมีอะไรกับผมมาก่อน แต่ที่ผมอยากสัมผัสและอย่างมีอะไรกับเขา ก็เพราะผมอยากจะสื่อให้เขารู้ว่า ผมอยากดูแลเขาจริงๆ
……………
"ถ้าไม่รักจะยอมแบบนี้หรือไง"
[/size]
-
หวานอ่ะ แต่ มันค้างงงงงง อ่ะ อิอิ
ตัดฉากหนีเลยน่ะ
-
ให้ฉันได้ดูแลตัวเธอได้ไหม ..
-
จะได้ไปทำงานไหมวันนี้ ฮา
-
Green Light 8 : ยอมเจ็บ (ชยางกูรxอนาคิม)
[/size][/b]
อนาคิม พาร์ท
ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำไมต้องยอมเขามากขนาดนี้ ยอมให้เขาเข้ามาได้ถึงขนาดนี้ สัมผัสของเขาทำให้ผมลืมเจ็บ ความอ่อนโยนของเขาทำให้ผมลืมเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดนั้นได้
“อ่าห์…”เสียงครางของเขาที่ยังคงเปล่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ผสมผสานกับเสียงครางของผมเองที่ไม่สามารถบังคับอารมณ์ของความสุขไม่ได้
“อื่ออออ”ผมแอ่นกายให้เขาเองโดยไม่ต้องรอให้เขาบอก ทุกท่าทางที่เขาส่งมาทางอารมณ์ ผมเองก็ทำตามทุกอย่าง
“อื่อ อื่อ อ่าห์”
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊าห์”
มือทั้งห้านิ้วประสานกันแน่น เมื่อตัวผมกำลังถูกพลิกกายขึ้นมาคร่อมร่างของเขา ลืมไปเลยว่าตอนนี้เป็นตอนเช้า เรือนร่างของเขาและผมที่เปลือยเปล่าไม่นึกอายกันและกัน กลางยุทธศาสตร์ของผมกำลังชี้ผงานอย่างไม่อายสายตาของเขา น้ำสีใสเป็นน้ำเชื่อมถูกเขาใช้มือบดขยี้มันเบาๆ
“อะ…อ่า อื่อออ”ปากบอกว่าอย่า แต่ผมกลัแอ่นช่วงล่างให้เขาอย่างไม่อาย ก่อนที่ช่องทางนั้นของผมกำลังกลืนกินกลางกายของเขาเข้าไป ครั้งที่สองของผมมันก็ยังเจ็บอยู่ดี แม้เขาจะหาตัวช่วยมาช่วยแล้วก็ตาม
จุ๊บ
“เชื่อใจผมนะ…อ่าห์”เขาเอ่ยบอกผมหลังจากกดจูบที่ริมฝีปากของผมอย่างปลอบใจเพื่อให้คลายความเจ็บ แต่ตอนนี้ผมเองกลับต้องการมากกว่าเจ็บด้วยซ้ำ
“อ่าห์…”ผมครางออกมา พร้อมขยับก้นของผมช้าๆขึ้นลงอย่างรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะบ้าตายไปแล้ว
“อ่าห์…ซี๊ดดดด นี่คือคำตอบใช่ไหมครับ”เอาเอ่ยขึ้นพร้อมมือหนาที่จับที่เอวผมแน่นเพื่อยกตัวผมขึ้นลงตามจังหวะความต้องการ ผมไม่พูดอะไรก่อนจะโน้มตัวลงตามแรงรั้งของเขาให้มากดจูบที่ริมฝีปากนั้น จากนิ่มนวลอ่อนโยน ค่อยๆแรงขึ้นเรื่อยๆและมันก็ทำให้ผมขยับสะโพกขึ้นลงตามแรงจูบของเขา
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมกับเขาต่างสวมกอดกัน และมีอะไรกัน เราไม่ได้สนใจโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเกือบชั่วโมงนั้นเลย เพราะคิดว่าน่าจะเป็นเฮียแบล็คที่โทรตามมากกว่า ผมหลับไปด้วยความเพลียในอ้อมกอดของเขาหลังจากที่เขาพาผมไปล้างเนื้อตัวเรียบร้อย
จุ๊บ จุ๊บ
“วันนี้ผมต้องเคลียกับพี่ชายคุณให้เรียบร้อย เพราะผมคงไม่ปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวแน่นอน”ผมได้ยินเขาเอ่ยอะไรบางอย่างออกมาแบบนี้ แต่ก็ไม่เข้าใจอะไรนักหรอกเพราะตอนนี้ผมเพลียมากจริงๆ
เกือบช่วงบ่ายแล้วที่เสียงดังกุกกักในห้องของผม และแรงยวบบนที่นอนของผมทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้น ผมปรือตามองไปยังร่างสูงของคนที่กำลังกึ่งนอนกึ่งนั่ง มือข้างหนึ่งลูบกลุ่มผมนิ่มของผมไว้และอีกข้างหนึ่งกำลังยกมือถือคุยกับใครบางคน
“ผมจะรอครับ”ผมได้ยินเพียงแค่นี้ ก่อนที่จะหลับตาลงเมื่อเขาวางมือถือแล้ว
“ไม่รู้หรอกว่าเริ่มเมื่อไหร่ แต่ผมไม่ให้มีตอนจบหรอก เพราะตอนจบมันใช้กับเรื่องราวที่จะไม่มีตอนต่อไปอีก แต่สำหรับผมมันจะมีแต่เรื่องราวดีๆเรื่อยๆกับคุณ เพียงคนเดียว”ผมแอบยกยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อคนที่กำลังลูบแก้มผมอยู่เอ่ยขึ้น
“คุณกรีนครับ ตื่นได้แล้ว”เขาเอ่ยปลุกผมอย่างอ่อนโยน ผมรู้สึกดีชะมัดเลย พี่เต๋อเองก็เคยปลุกผมแบบนี้แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไร แต่กับผู้ชายคนนี้ผมกลับรู้สึกชอบให้เขาเอาใจและปราบพยศผมจัง
“คุณกรีนครับ”เขาเอ่ยย้ำอีกครั้ง ผมค่อยๆแกล้งปรือตาขึ้นและกระพริบตาเล็กน้อย ทั้งอายทั้งเจ็บและก็เขินมาก ก็เมื่อสักครู่ผมกับเขาทำรักกันอย่างลืมตัวว่าเราสองคนเป็นแค่คนที่รู้จักกันเท่านั้น
“คุณยังอยู่หรอ”ผมเอ่ยถามเขา ที่จริงก็รู้ว่าเขายังอยู่กับผมตั้งแต่เช้า
“อยู่สิ จะให้ผมไปไหนล่ะ”เขาเอ่ยพร้อมยกยิ้มขึ้น ช่างอบอุ่นนัก ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆพยุงตัวขึ้น เขาเองก็รีบเข้ามาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้นเช่นกัน
“จะไปไหนครับ”เขาเอ่ยถาม
“ไปห้องน้ำครับ และคุณก็ควรกลับไปได้แล้ว ป่านนี้แล้วเฮียคงไม่รอเราเข้าบริษัทหรอก”ผมเอ่ยขึ้นและพยายามเบี่ยงตัวออก แต่เขาก็ยังคงรั้งผมไว้
“เดี๋ยวผมไปส่งที่ห้องน้ำนะ และผมลงไปบอกป้ามณีแล้วให้เตรียมอาหารไว้ให้แล้ว”เขาเอ่ยอย่างไม่รู้สึกอะไร ผมขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ทำแบบนี้ทำไมครับ ไม่สงสารผมหรอครับ”ผมเอ่ยถามเขาตรงๆ ที่จริงผมน่าจะเข้าใจตั้งแต่แรกที่เขาบอกว่าเขาจะรับผิดชอบที่ทำกับผมไว้ และเขาก็ดื้อที่จะพยายามรับผิดชอบผม
“ไปอาบน้ำนะครับ อย่าดื้อกับผม เพราะนับจากวันนี้ผมคือเจ้าของคุณและคุณคือคนของผม และที่สำคัญคุณและผมเป็นของกันและกัน โอเคนะครับ”ผมกำลังจะอ้าปากเพื่อจะบ่นเขาแต่กลับถูกเขาเอ่ยขัดขึ้น
“และอีกครึ่งชั่วโมงคุณอนาคินจะมาถึง ผมจะบอกคุณไว้ก่อนนะครับ ว่าคุณหนีผมไม่พ้นหรอกคุณอนาคิม”ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนจะถอนหายใจและเดินเข้าห้องน้ำไปโดยไม่พูดอะไรเพราะขืนหันไปพูดอะไรกลัวเขาจะรู้ว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงมากกว่า
ผมใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นาน มองตัวเองในกระจก สำรวจร่างกายที่ตอนนี้มีรอยจ้ำสีแดงอยู่บนร่างกาย แม้ไม่กี่รอยแต่ผมกลับรู้สึกไม่รังได้รังเกียจเลยสักนิด ไม่เหมือนครั้งที่พี่เต๋อเคยทำมัน รอยพวกนั้นผมนึกรังเกียจและขยะแขยงมันนัก
แกรก
“อ้าว ยังไม่กลับอีกหรอ”ผมเอ่ยหลังจากเดินออกจากห้องน้ำมา ยังเห็นเขานอนเล่นมือถืออยู่บนเตียง
“จะให้กลับไปไหนหล่ะ ยังไม่ได้กินข้าวและคุยกับคุณอนาคินเลย”เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้สึกอะไร ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมและดึงผ้าขนหนูออกจากมือของผม
“คุณจะทำอะไร ปล่อยผม”ผมเอ่ยถามเขาที่ตอนนี้ดึงผมเข้าไปนั่งที่ตักตัวเอง ผมกลับรู้สึกเขินๆที่เขากำลังเช็ดผมให้ ทำให้ผมคิดถึงคุณแม่ ผมจำได้ดีว่าเวลาที่ใครสระผมเสร็จคุณแม่จะไล่ให้มาเช็ดผมทีละคน
“คุณอย่าดื้อนักสิ”เขาเอ่ยขึ้นเรียกสติผมที่ตอนนี้กำลังมีความสุขกับความอ่อนโยนนี้
“คุณรู้ไหม ว่าคุณเองก็ดื้อกว่าผมเสียอีก ผมไล่แล้วก็ยังไม่ไปอีก”ผมเอ่ยออกมาแต่น้ำเสียงอาจไม่จริงจังนักเพราะผมกำลังมีความสุขอยู่ลึกๆ
“ทำไมถึงชอบไล่ผมจังครับ คุณก็รู้ว่าถึงไล่ผมยังไงผมก็ไม่ไปอยู่ดี”เขาเอ่ยแบบไม่รู้สึกอะไร หรือว่าที่จริงแล้วเขารู้สึกแบบนั้นกับผมจริงๆ ผมหันไปมองเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หน้าด้าน”ผมเอ่ยก่อนจะหันไปอมยิ้มกับตัวเอง
“ครับ หน้าด้าน รู้แบบนี้แล้วก็อย่าไล่ผมไปไหนจากคุณให้เปลืองน้ำลายเลย”เขาเอ่ยขึ้น ผมถูกเขาจับให้หันเข้าหาตัว ประโยคของเขาเองก็ทำให้ผมใจอ่อนไปเยอะ มันดูจริงจังและจริงใจจนผมเองกลับเอ่ยถามเขาเอง
“คุณจริงจังกับผมมากขนาดนั้นเลยหรอ หรือแค่คุณต้องการรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิด หรือเพราะคุณแค่สงสารผม”ผมเอ่ยถามเขาเบาๆ มือของผมถูกเขาค่อยๆจับขึ้นมากุมไว้ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้น
“มาถึงขนาดนี้แล้ว สัมผัสเมื่อกี้ของผมยังบอกคุณไม่ได้อีกหรอว่าผมจริงจังกับคุณมากแค่ไหน”เขาเอ่ยพร้อมกระชับอ้อมกอดไว้ ผมยังคงมองไปยังดวงตาคู่คมของเขา
“แต่คุณไม่ได้รักผมมาก่อนนะ เราสองคนแทบจะเรียกว่าคู่กัดกันเลยก็ว่าได้ แล้วทำไม...”เสียงผมหายเข้าไปในลำคอทันที เมื่อริมฝีปากนั้นกดลงมาที่ริมฝีปากของผม แม้ไม่ได้รุกล้ำอะไรแต่กลับทำให้ผมเองที่สอดลิ้นนั้นเข้าไปเอง ผมรู้สึกว่าเขากระตุกตัวเล็กน้อย คงตกใจที่ผมกล้าที่จะสอดลิ้นเข้าไปเอง ไม่ถึงนาทีที่เราจูบกันก่อนจะผละจูบออก
“คุณกรีน คุณบอกผมได้ไหมว่าตอนนี้คุณรู้สึกกับผมยังไง”เขาเอ่ยถามผม แล้วจะให้บอกยังไงได้หล่ะ ว่าตอนนี้ผมรู้สึกดีกับเขา อยากให้เขาปกป้องผม และผมอยากให้เขาเป็นคนที่อยู่ข้างผมตลอดไป แต่ที่ผมไม่ยอมให้มันเกิดตั้งแต่แรกเพราะผมกลัว ผมกลัวว่าผมจะผิดหวังเพราะเขาไม่ได้ชอบผม
“เอ่อ...”ผมอ้ำอึ้งอยู่ ไปไหนไม่ถูกจริงๆ เขากุมใบหน้าผมไว้ก่อนจะเอ่ยกับผมอีกครั้ง
“ตั้งแต่แรก ผมอาจจะไม่ได้ชอบคุณ เพราะคุณไม่ใช่แบบที่ผมชอบ แต่เมื่อผมได้รู้จักคุณ ผมบอกได้เลยว่าผมอยากดูแลคุณ แม่ตอนแรกจะสงสารคุณมากที่มาเจอเรื่องแบบนี้ แต่ความสงสารกลับทำผมอยากดูแลคุณ”ผมกลอกตาไปมาก่อนจะยกมือกุมใบหน้าเขาไว้ และเอ่ยขึ้น
“คุณกูร ช่วยดูแลผมด้วยนะครับ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นหน้าไปกดจูบเขาเองโดยไม่ลังเลอะไร และเมื่อเขาจูบตอบผม ยิ่งทำให้ผมไม่กลัวอะไรอีกแล้วถ้าอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“อื่อออออ”เสียงครางเบาๆของผมที่หลุดออกมาด้วยความรู้สึกดี ก่อนที่เขาจะจับผมนอนลงที่เตียงอีกครั้ง
“ผมจะดูแลคุณอย่างดี เชื่อใจผมนะครับ ผมสัญญาจะดูแลคุณอย่างดี”เขาเอ่ยออกมา ผมยกยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะหลับตาลงเมื่อรู้ว่าผมและเขากำลังต้องการขึ้นอีกครั้ง แต่ทว่าเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณกรีน คุณกูรคะ คุณแบล็คกับคุณนิลมาถึงแล้วคะ”เสียงมาลีเอ่ยบอก เราสองคนที่ยังคงนอนกอดกันอยู่หันมองกันและยกยิ้มให้กัน
“เดี๋ยวลงไป บอกเฮียว่ารอหน่อย”ผมเอ่ยบอก ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับคนบนร่างของผม
“พร้อมนะครับ”เสียงเขาเอ่ยบอกผม ผมพยักหน้าตอบเขาและยกยิ้มให้เขา
++++++
ผมนั่งมองหน้าเฮียและเขาที่ตอนนี้ยังคงไม่เอ่ยอะไรกัน หลังจากที่เราทานอาหารเสร็จ ผมนั่งบีบมือไปมากลัวว่าเฮียจะย้อนถามผมว่าจะยอมให้เขาดูแลผมไหม ซึ่งที่กลัวคือผมอายเฮีย ก็ทำกับเขาไว้เยอะเหลือเกินนี่ แถมทำงานของเฮียล่มอีก
“ว่าไงเจ้ากรีน ที่คุณกูรขอเฮียไว้ นายโอเคไหม”เสียงเฮียเอ่ยถาม ผมสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มแห้งๆออกมา
“เอ่อ...คือ...”
“เอาสิ เป็นใบ้ไปเลยหรอไง”เฮียยังคงเอ่ยแซวผม ตอนนี้ใบหน้าผมแดงเห่อออกมาจนซ้อใหญ่เอ่ยแซวผมอีกคน
“คุณก็ไปแซวน้องนะครับ ดูสิคุณกรีนหน้าแดงหมดแล้ว ถามตรงๆแบบนี้คุณกรีนก็เขินหมดสิครับ”
“ซ้อ กรีนไม่ได้เขินสักหน่อย”ผมเอ่ยออกมา รอยยิ้มผมคงติดอยู่ใบหน้ายังนั้น
“อะไรกัน ฉันแค่ถามเฉยๆ ถ้าฉันบังคับเจ้ากรีนนายก็จะดุฉันสิ”เสียงเฮียจะหวานอ้อนเมียไปถึงไหนกัน สงสัยลืมตัวมั้งว่ายังมีผมและคุณกูรอยู่ตรงนี้ ผมหันไปยิ้มให้กับคนข้างๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เฮีย จะหวานไปไหนเนี้ย แล้วเค้ากับคุณกูรยังจำเป็นอยู่ม่ะ”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา
“นายเห็นไหมว่าเราได้คำตอบแล้ว”อยู่ๆเฮียก็เอ่ยขึ้นบอกซ้อ และยกยิ้มออกมา
“คุณกูร ยินดีตอนรับสู่ครอบครัวของเราครับ”ซ้อใหญ่ของผมเอ่ยขึ้นบอก ผมรีบหันมองและอ้าปากออกมาทันที แต่ไม่ได้พูดอะไร
“งั้นพรุ่งนี้ช่วยเข้าไปคุยกับโปรเจคของที่เหลือกับผมด้วยนะครับ และนายแบบของเฮียด้วย อย่าเบี้ยวงานหล่ะ ไม่งั้นเฮียจะเบี้ยวจ่ายเงิน”โอ๊ย มีความบ้าอำนาจกับน้อง แต่กับเมียอ้อนซะหงอเลยนะเฮีย ผมแอบคิดและยกยิ้มขึ้น
“คร๊าบบบบบ”ผมเอ่ยออกมา อยู่ๆเสียงเอ่ยทางประตูก็ดังขึ้น จากที่ผมยกยิ้มอยู่กลับหุบยิ้มเล็กน้อย เมื่อร่างสูงของพี่หมอและร่างบางของแฟนพี่หมอเดินเข้ามา
“สวัสดีครับทุกคน”เสียงแสนนุ่มนวลของพี่หมอและรอยยิ้มหวานของแฟนพี่หมอทำเอาคนข้างๆผมนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มขึ้นและเอ่ยทักทายทั้งพี่หมอและคุณซี
“สวัสดีครับคุณหมอ น้องซี”เขาเอ่ยขึ้น ผมปรายตามองเขาเล็กน้อย ใจกลับรู้สึกแปลกๆ
“อ้าวหมอกับซีมาแล้วหรอ”เฮียเอ่ยขึ้น ผมไม่ค่อยเข้าใจกับประโยคของเฮียนัก
“ครับ เฮียยังคุยธุระอยู่ เดี๋ยวผมกับแก้มยุ้ยขึ้นไปก่อน เดี๋ยวตอนเย็นค่อยคุยกันก็ได้”
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้เราคนกันเอง ว่าแต่แหวนที่ไปดูมาสวยไหมเอามาดูหน่อยสิ”ผมงงไปหมดแล้ว ผมหันมองเขาที่หน้าเสียเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าพี่หมอกับคุณซีกำลังจะหมั้นกัน
“ยินดีด้วยนะครับ”เสียงเขาเอ่ยบอกพี่หมอ แต่สายตากลับจ้องไปยังคุณซี ผมว่าเขาเองยังคงอาวรณ์คุณซีอยู่ ก็คุณซีคือสเปคของเขาเลยนี่ สำหรับผมก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นที่เขารู้สึก
“ขอบคุณมากครับ”พี่หมอเอ่ยพร้อมโอบไหล่คุณซีอย่างเป็นเจ้าของ
“ผมว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า”เขาเอ่ยขึ้น ผมหันมองเขาทันที คงจะรับไม่ได้หล่ะมั้งที่คนที่เขาชอบกำลังจะเป็นพี่สะใภ้ของผม ผมหลบสายตาทันที
“อ้าว จะรีบไปไหนหล่ะครับ”เฮียแบล็คเอ่ยขึ้นถามทันที
“ผมว่าจะเข้าไปที่ออฟฟิตครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาโปรเจคไปคุยกับคุณอนาคินที่บริษัท”เขาเอ่ย คงจะรับไม่ได้จริงๆหล่ะสินะ สายตาที่เขามองไปยังแฟนพี่หมอผมไม่ชอบเลยจริงๆ เขาขอดูแลผมแต่สายตาเขากลับยังอาวรณ์ผู้ชายคนนั้นอยู่ ผมจึงเอ่ยขึ้นตัดบทไป
“เฮีย เค้าขอตัวก่อนนะ ปวดหัวจัง”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกออกไปโดยไม่ได้รอให้ใครเอ่ยตอบอะไร และไม่ได้สนใจเขาที่กำลังจะคว้ามือผมไว้
ผมนั่งอยู่ที่ศาลาหลังบ้านหลังจากที่เฮียแบล็คขอขึ้นไปพักและพี่หมอก็พาคุณซีขึ้นห้องไป ช่วงเย็นถึงจะนัดเจอกันอีกครั้ง ผมปลีกตัวออกมาเมื่อเขาขอตัวที่จะไปเคลียท่ำงานเพื่อนำฌปรเจคมาคุยพรุ่งนี้
“มานั่งตรงนี้เอง ผมก็ตามหาแทบแย่”เสียงเอ่ยขึ้นพร้อมวงแขนที่กำลังสวมกอดผมจากด้านหลัง
“อ้าว คุณยังไม่กลับหรอครับ”ผมเอ่ยถามเขา แต่ไม่ได้สบตาเขา
“จะให้กลับไปไหนหล่ะ”เขาย้อนถามผม
“ก็คุณขอไปเคลียงานไม่ใช่หรอไง”ผมเอ่ยขึ้นงอนๆ ตอบได้เต็มปากเลยว่าผมกำลังงอนเขาและน้อยใจเขาที่ยังคงอาวรณ์แฟนของพี่หมออยู่
“ใช่...”ผมหันมองเขา แต่ลืมไปว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของเขาทำให้แก้มของผมไปชนกับจมูกของเขา
ฟอดดดดด
“ก็รู้นี่ แล้วทำไมถึงไม่รีบไปแต่งตัวหล่ะ”
“แต่งตัว ทำไมผมต้องแต่งตัวด้วยหล่ะ”ผมเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“อ้าว ผมจะออกไปออฟฟิตไง คุณอย่าบอกนะว่าจะให้ผมไปคนเดียวอ่ะ”ผมอมยิ้มเล็กน้อย รู้สึกว่าที่งอนไปมันหายไปหมดเลย
“คุณจะให้ผมไปกับคุณหรอ”ผมเอ่ยถาม
“ก็ใช่หน่ะสิ สามีไปไหนเมียควรไปด้วยไม่ใช่หรอไง”ผมอึ้งไปกับพูดของเขา หน้าผมร้อนผ่าวทันที
“อะ...อะไร ผัวเมียอะไรกันเล่า คุณพูดบ้าอะไรของคุณ เสียใจจนเพี้ยนหรือเปล่าเนี้ย”ผมเอ่ยออกมาอย่างเขินๆ
“หึ คุณไงเมีย ผมอ่ะผัว หรือคุณจะเถียง”เขาเอ่ยออกมา ผมยิ่งหูดับไปเลยก่อนจะรีบลุกขึ้นและเอ่ยขึ้นก่อนจะวิ่งออกไป
“ไม่คุยกับคุณแล้ว ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า”ผมเอ่ยเสร็จก็รีบวิ่งออกไป แต่กลับยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในรอบหลายวันหลัวจากเกิดเรื่อง
“ลองดูอีกครั้ง แม้จะเจ็บอีกก็ยอมรับมัน เพราะเราเลือกเอง”ผมเอ่ยกับตัวเองในกระจกพร้อมยกยิ้มกับตัวเอง และค่อยๆลูบที่รอยแผลเป็นนั้นเบาๆ
................................
"ถ้าหากเป็นเธอฉันจะยอม ช้ำก็จะยอมทุกข์ก็จะยอม ฉันจะไม่กลัวถ้าหากต้องเสียใจ"
[/b][/size]
-
จ๊ะ อย่าท่าดีอย่างเดียวแล้วกันนะกูร
-
:impress3: :impress3: :impress3:
-
โอ๊ยๆๆๆๆๆเขินเบาๆๆแอบห่วงด้วยอ่ะ
-
ยอมเพราะความรัก
-
เขินนน :o8:
-
Green Light 9 : กลับมาอีกครั้ง (ชยางกูรxอนาคิม)
[/size][/b]
ชยางกูร พาร์ท
นับจากวันนั้น ผมกลายเป็นผู้จัดการนายแบบชื่อดังไปแล้ว งานการของผมไม่ต้องพูดถึง ถ้าผมไม่มีลูกน้องดีและทีมงานดี รับรองบริษัทผมเจ๊งแน่ ก็อาทิตย์หนึ่งผมเข้าบริษัทแค่วันเดียวคือวันที่จะต้องเซนเงินเดือนเท่านั้น
(“พี่กูร เข้าออฟฟิตไหมคะวันนี้”)
“ไม่รู้เลย คุณกรีนมีถ่ายแบบช่วงเช้าอ่ะ มิ้นมีอะไรหรือเปล่า”
(“มีคนมาขอพบพี่กูรคะ”)
“ใครหรอ เขามีธุระสำคัญไหม ถ้าไม่สำคัญให้เขารอก่อนหรือนัดอีกวันได้ไหม พอดีคุณกรีนยังถ่ายแบบไม่เสร็จเลย”
(“แหมมมม พี่กูร งั้นมิ้นนัดเขาเป็นพรุ่งนี้ตอนสิบโมงนะคะ”)
“อื้ม ตามนั้นนะ พี่ฝากด้วย แค่นี้นะ”ผมเอ่ยเสร็จจากน้องที่ทำงานก็จับมือถือยัดใส่กระเป๋า พร้อมหันไปยิ้มให้กับนายแบบที่กำลังโพสต์ท่าอยู่ตอนนี้ เขาดูดีมาก รอยยิ้มของเขา ใบหน้าหล่อเหลาของเขาผมบอกได้เต็มปากเลยตอนนี้คือผมรักเขา รักมากเสียด้วย
“ดื่มน้ำหน่อยนะครับ”ผมเอ่ยพร้อมยื่นน้ำให้เขาเมื่อเขาต้องมาเปลี่ยนชุดเพื่อถ่ายต่อไป
“ใครโทรมาครับ”เขารับน้ำและเอ่ยถามผม อยากแกล้งเมียจัง เวลาเขางอนเขาจะน่ารักมากเพราะผมต้องง้อเขาได้หนักหน่วงและเขาก็จะเป็นใจกับผมให้ง้อ
“น้องที่ทำงานอ่ะ เดี๋ยวต้องไปถ่ายอีกมุมป่ะ”ผมเอ่ยถามเขาที่ทำหน้างอนๆอยู่ที่ผมไม่ยอมบอกว่าน้องที่ทำงานคือใคร
“น้องที่ทำงานหรอครับ ใครหรอคุณก้อง คุณมิ้นหรือคุณดรัม”ผมยกยิ้มออกมาเล็กน้อย
“หื๋ม ถามแบบนี้เหมือนกำลังจับผิดผัวอยู่เลยอ่ะ ชอบจัง”ผมเอ่ยแซวเล่นก่อนจะยกยิ้มกว้างออกมาเมื่อเขาเองก็รู้ว่าผมแกล้งเขา
เพี๊ยะ!
“โอ๊ย...เจ็บนะครับ มาตีผมทำไมเนี้ย”ผมเอ่ยขึ้นใช้มือลูบที่แขนเบาๆก่อนจะโอบที่ไหล่เขาไว้
หมับ
“อ๊ะ....อย่าครับ เดี๋ยวมีคนมาเห็น”เขาเอ่ยบอก ปากบอกอย่าแต่กลับเบียดกายเข้าหาอกผม
“ในห้องแต่งตัวไม่มีใครเข้ามาหรอก ถ้าเราไม่เรียก”ผมเอ่ยก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าหาเขาหวังจะกดจูบที่แก้มสักหน่อย ก็เขาน่ารักเกินไปแล้ว
“อย่าครับ...”เขาเอ่ยพร้อมดันผมไว้ก่อนจะเอ่ยถามผม
“สรุปว่าใครโทรมาครับ”เขายังย้ำคำถามเดิมอีก โอ๊ยสมกับเป็นคุณกรีนของผมจริงๆเลย
“มิ้นอ่ะ โทรมาบอกว่ามีคนมาหา...”ผมเอ่ยยังไม่ทันจบ เสียงเขาก็โวยขึ้น โอ๊ยน่ารักจริงๆ เวลาเขาดุผมช่างน่ารักจริงๆ
“อ้าว มีงานแล้วทำไมไม่รีบไปหล่ะครับ”
“รีบไปทำไม ตอนนี้ผมก็ทำงานอยู่นี่ไง อย่าลืมนะว่าผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวคุณนะ”ผมเอ่ยขึ้น เขารีบหันมาพร้อมทำหน้าไม่พอใจ
“ก็เข้าใจว่าเป็นผู้จัดการผม แต่ว่าอาทิตย์นี้คุณยังไม่ได้เข้าออฟฟิตเลยนะครับ และนี่มีงานด้วย สำคัญหรือเปล่าครับ ไปก่อนก็ได้นะแล้วค่อยมารับผม หรือเดี๋ยวผมให้เจ้าบลูมารับก็ได้”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงผม ใบหน้าดูจริงจังมาก ผมยกมือกุมใบหน้าขาวของเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคุณหรอกนะครับ เรื่องของคุณ งานของคุณ สำคัญที่สุดสำหรับผม และไม่ต้องห่วงนะ ผมบอกมิ้นให้เลื่อนนัดเขาเป็นพรุ่งนี้แล้วหล่ะ”ผมเอ่ยขึ้น เขาเองก็ยกยิ้มหวานออกมา ใบหน้าดูมีความสุขนักเหมือนผมตอนนี้
“คุณกูร...”เขาเอ่ยเรียกผมเบาๆ โอ๊ยน่ารักจนอยากจะพากลับบ้านแล้วเนี้ย
จุ๊บ
“ถ่ายเสร็จเรากลับบ้านกันเลยเนอะ ไม่ต้องไปกินแล้วพิชซ่าอ่ะ”ผมเอ่ยบอกเขา ก็ตอนแรกผมบอกเขาว่าจะพาเขาไปกินพิซซ่าแถวทองหล่อ ร้านต้นตำหรับ เขาเองบ่นอยากกิน แต่ตอนนี้ผมอยากกินเขามากกว่า
“อ้าว ทำไมหล่ะ คุณไม่อยากกินพิซซ่ากับผมหรอครับ”โอ๊ย น่ารักเวลาอ้อนน่ารักจริงๆ ทำน้ำเสียงเหมือนโดนขัดใจ
“เปล่าครับ ผมอยากกินคุณมากกว่าพิซซ่าอ่ะ”เอาสิ ผมแม่งเล่นมุขเสี่ยวๆแบบนี้ ถามว่าผมเคยมีโมเมนต์แบบนี้ไหม แม้แต่กับแคทผมว่าก็ไม่น่าสนใจเท่าเขา
“บ้า...ผมไปทำงานก่อนนะ”น่ารักจริงๆ หูที่แดงเห็นได้ชัด ผมรีบรั้งมือเขาไว้ก่อนจะดึงเข้ามาหาตัวเองและกดจูบที่ริมฝีปากของเขา ไม่ได้รุกล้ำอะไรและมันก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น
จุ๊บ
“ตั้งใจทำงานนะครับที่รัก เดี๋ยวเราจะได้รีบไปกินกัน”ผมเอ่ยด้วยประโยคสองแง่สองง่ามออกมา เขารีบผลักผมออกและเดินออกจากห้องแต่งตัวไป
ผมนั่งรอเขาทำงานเกือบถึงบ่าย ผมเก็บของขึ้นรถเรียบร้อยหลังจากคุยเรื่องเช็คกับเจ้าของงาน ผมนั่งรอคนของผมที่กำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวาน
“รอนานไหมครับ”โอ๊ย เสียงจะหวานไปไหนเนี้ย ผมหันไปยกมือกุมที่ใบหน้าของเขาพร้อมลูบไปมา
“ไม่นานเลย แล้วนี่เหนื่อยไหม”ผมเอ่ยถามเขา ปลายนิ้มโป้งของผมลูบไล้ไปที่ริมฝีปากอวบอิ่มของเขาเบาๆ
“ไม่เหนื่อยเลยครับ”เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหวาน
“งั้นเดี๋ยวผมพาคุณไปที่ที่หนึ่งนะครับ”ผมเอ่ยขึ้น
“แต่ขอไปกินก่อนได้ไหมอ่า คือตอนนี้ผมหิวมากเลยอ่ะ”เขาเอ่ยพร้อมลูบท้องไปมา ผมจึงยกมือลูบไปที่ท้องของเขาเบาๆ แต่ผมกลับลูบลงที่หน้าท้องน้อยนั้นและมันก็ค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆ
หมับ!
“อย่าครับ คนเยอะแยะ”เขาหันมาดุผม น่ารักชะมัด ถ้าคนไม่เยอะก็แสดงว่าผมล้วงได้มากกว่านี้นะสิ ผมจึงยกยิ้มขึ้นและเอ่ยออกมา
“งั้น ไปที่คนไม่เยอะกันเถอะครับ”ผมเอ่ยออกมา นี่ผมกลายเป็นคนหื่นตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
“นี่คุณกลายเป็นคนหื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี้ย”เขาเอ่ยขึ้น ผมยกยิ้มออกมาก่อนจะขึ้นรถออกไป
ผมพาเขามาทานอาหาร พิซซ่าที่เขาอยากกิน ไอศกรีมรสชาเขียวที่เขาชอบ ผมพาเขาไปกินหมดไม่ว่าจะอยากกินอะไรผมก็พาเขาไปหมด ผมกลายเป็นคนตามใจแฟนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนผมไม่ชอบที่เขาเป็นคนเอาแต่ใจ พูดจาก็ไม่เพราะ เอาใจใครก็ไม่เป็นจนผมเองก็เคยนึกสงสารไอ้ผู้จัดการจอมชั่วคนนั้นนะที่ต้องมาเอาใจเขา
“กินเลอะไปหมดแล้วเนี้ย กินเป็นเด็กๆไปได้นะครับ”ผมเอ่ยพร้อมยกนิ้วปาดที่ริมฝีปากเล็กของเขา ก่อนจะมากดที่ริมฝีปากตัวเอง จนเขาเองใบหน้าแดงเห่อออกมา
จุ๊บ
“อะไรของคุณเนี้ย”เขาเอ่ยทั้งๆที่หน้าแดง ผมว่าที่ไอ้ผู้จัดการนั้นหวงเขา อยากครอบครองเขาก็เพราะเขาเป็นคนแบบนี้หล่ะมั้ง ทั้งน่ารัก ทั้งขี้อ้อนและขี้ยั่วด้วย ผมคิดแบบนั้น
“อย่าทำเสียงแบบนั้นสิ รู้ไหมว่ามันทำให้ผมอยากกลับบ้านจะแย่แล้ว”ผมกระซิบบอกเขา ใบหน้าที่แดงเป็นทุน ยิ่งแดงเห่อเข้าไปกันใหญ่
“บ้าสิ ไหนบอกจะพาผมไปที่ไหนหรอครับ”เขาเอ่ยขึ้น จริงสิผมว่าจะพาเขาไปที่บ้านของผม ตอนนี้ไอ้เก้ามันคงจะแต่งบ้านผมเกือบเสร็จแล้วล่ะ ที่จริงน่าจะเรียกว่าเสร็จแล้วเพราะไอ้เก้าเพื่อนของผมมันโทรมาบอกตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว
“ทานให้เรียบร้อยก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”ผมเอ่ยบอกเขา ใบหน้าน่ารักของเขาพยักหน้าทั้งๆที่ยังเคี้ยวอาหารเต็มปาก
ผมเดินออกมาเข้าห้องน้ำ ยังไม่ทันที่จะทำธุระเสร็จเสียงมือถือของผมก็สั่นขึ้น ผมยกมือถือขึ้นมาดูหน้าจอตอนแรกก็รู้สึกรำคาญนัก มือถือผมมันสั่นอยู่ตลอดเวลาและไหนจะข้อความอีกมากมายที่ถูกส่งเข้ามา
“ไอ้เก้า โทรมาทำไมว่ะ”ผมสบถกับตัวเองเมื่อปลายสายคือเพื่อนรักของผมเอง ผมกดรับสายทันทีเมื่อรู้ว่าคือไอ้เก้า
“ว่าไงมึง มีอะไรว่ะ”
(“ไอ้กูร มึงจะมาดูบ้านได้ยังว่ะ กูตกแต่งเสร็จตั้งแต่สามวันก่อนแล้วนะ และก็ได้เช็คแล้ว แต่แม่งมึงก็ไม่ยอมมาดูสักทีว่ะ ทีเมื่อก่อนเร่งกูจัง อยากให้เสร็จไวๆ แต่เสร็จแล้วมึงเสือกไม่มาดูนะ กูงานเยอะนะมึง ไหนจะต้องไปเป็นอาจารย์พิเศษอีก”)
“เออๆ วันนี้กูกำลังจะเข้าไป มึงเองก็รอกูอย่างที่บ้านนั่นหล่ะ เดี๋ยวตามไป”
(“มึงจะพาแฟนมาให้กูรู้จักใช่ม่ะ”)
“เออ แล้วนี่มึงถึงบ้านกูยัง”
(“กำลังจะถึง”)
“กำลังจะถึง หรือกำลังจะออกจากบ้าน”
(“มึงนี่สมกับเป็นเพื่อนกูชะมัด เออๆกูกำลังจะออกจากบ้าน”)
“มึงรอกูแปบแล้วกัน เดี๋ยวเจอกัน”
ผมวางสายจากไอ้เก้า ซึ่งไอ้เก้ากับผมเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยม พอเรียนมหาวิทยาลัยเราสองคนก็ยังคงเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกันแต่คนละสาขาแค่นั้นเอง ผมขับรถพาคุณกรีนมาที่บ้านของผม ที่เคยบอกว่ากำลังซ่อมแซมและตกแต่ง มันเป็นแค่บ้านไม้หลังไม่ใหญ่นัก บ้านไม้สีเขียวอ่อน ด้านหน้าเป็นคลองมีศาลาริมคลอง ร่มรื่น เย็นสบายไปด้วยต้นไม้ที่ผมชอบปลูก
“นี่บ้านใครครับ”เขาเอ่ยถามเมื่อผมจออดรถและพาเขาเข้ามา เขาดูชอบมันมาก อาจเพราะความเงียบสงบด้วยหล่ะมั้ง
“เรือนหอของเราไง”ผมเอ่ยขึ้น เขาหันมามองผมอย่างไม่เชื่อ ที่จริงมันก็ไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด บ้านหลังนี้เป็นของแม่ผมและแม่ผมก็อยากให้ผมใช้เป็นเรือนหอตอนรับสะใภ้ของท่าน ซึ่งเมื่อก่อนผมเองเคยคิดให้มันเป็นสีอื่นไม่ใช่สีเขียวเหมือนตอนนี้
“ยังจะล้อเล่นอีกนะครับ”เขาเอ่ย
“เข้าไปข้างในกันครับ”ผมเอ่ยพร้อมโอบไหล่ของเขาเข้าบ้านไป ทันทีที่เขาเห็นข้างในยิ่งยิ้มออกมากว้างก่อนที่ไอ้เก้าจะเดินเข้ามา หลังจากที่ผมได้ยินเสียงรถของมัน
“ไอ้กูร...”
“ไอ้เก้า มาช้านักนะมึง เดี๋ยวก็หักเงินเลย”ผมเอ่ยแซวเพื่อที่เดินเข้ามาก่อนที่จะพาคุณกรีนมาแนะนำกับเพื่อนรักของผม
“หักอะไร แค่มึงเปลี่ยนใจกะทันหันกับสีบ้านนี่กูไม่คิดเงินเพิ่มก็บุญเท่าไหร่แล้ว ไอ้ห่านี่”ดูปากมันสิ แถมยังจะมองเมียผมตาหวานเชียว
“นี่ๆๆ มองอะไรเบอร์นั้น มองแทบจะแดกเมียกู”ผมเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว
กึก!
อึก!
“ไอ้ห่า มึงพูดอะไรให้เกียรติคุณกรีนด้วยดิ”ดูมันพูดดิ ด่าผมเฉยเลยและที่สำคัญท่าทางมันจะเอาใจเมียผมเหลือเกินและเมียผมก็ท่าทางจะชอบมันด้วยสิ
“เดี๋ยวๆ มึงมาด่ากูเพื่อ...”ผมหันไปด่ามัน
“เพื่อคุณกรีนง่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณกรีน เห็นแต่ในทีวีว่าหล่อแล้วนะครับ แต่เห็นตัวจริงแล้วผมว่าไม่หล่อเลย”ไอ้นี่ มันกวนตีนผมมากไปแล้ว ผมรีบโอบไหล่เขาไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไอ้หล่อก็ช่างแต่ผมว่าคุณ....”ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยอะไรเสียงไอ้เพื่อนรักของผมก็เอ่ยขึ้นตัดบท
“แต่คุณกรีนอ่ะ น่ารักมากกว่าหล่อเสียอีก เสียดายนะครับที่มาหลงไอ้เฒ่าแถวนี้”
“ไอ้ห่าปากดีนะมึง แล้วนี้กูจะเข้ามาอยู่ได้เลยใช่ม่ะ”ผมเอ่ยถามมัน
“อื้ม ได้เลย ว่าแต่มึงจะพาคุณกรีนมาอยู่อย่างลำบากกับบ้านไม้เก่าๆนี้หรอว่ะ”ปากหรอนั้น แต่ก็จริงนะบ้านของเขาใหญ่ยังกับวัง แล้วดูบ้านผมสิ
“ผมชอบนะ ผมว่ามันเล็กๆน่าอยู่ดี ร่มรื่นมากด้วย ว่าแต่ทำไมตกแต่งเป็นสีนี้หมดหล่ะครับ มันดูกลืนไปกับต้นไม้ข้างนอกมากเลย
“ก็ผมชอบสีเขียวนี่ครับ”ผมเอ่ยขึ้น แต่ก็ต้องหันไปมองไอ้เพื่อนรัก ตอนนี้ผมว่าจะเริ่มไม่รักมันแล้วหล่ะ
“ไอ้ตอแหล มึงชอบสีม่วงกูรู้ แล้วมึงชอบสีเขียวตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ”
“ตั้งแต่ตอนที่เจอคุณกรีนนี่หล่ะ ทำไมหรอมึงจะทำไม”ผมเอ่ยว่ามันก่อนจะวิ่งไล่เตะเพื่อนรักของผมออกไป รอยยิ้มที่แปะอยู่บนใบหน้าของเขาและของผม
“คุณจะอยู่ดื่มกับคุณเก้าก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมให้เจ้าบลูมารับ”
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวผมไปส่งคุณก่อนค่อยกลับมาก็ได้”
“โธ่ จะขับไปขับกลับทำไมกันครับ ผมเป็นห่วงนะ พอดีเจ้าบลูก็อยู่แถวนี้ด้วยผมเห็นพิกัด เดี๋ยวให้เจ้าบลูมารับก็ได้ครับ”
“เอางั้นหรอ”
“อื้ม แต่ว่าอย่าดื่มมากนะครับ พรุ่งนี้นัดลูกค้าไว้”
“ครับผม พรุ่งนี้ผมไปรับนะ ไปออฟฟิตกัน”
“ผมขับรถไปก็ได้ครับ”
“ผมรักคุณครับ คุณกรีน”ผมเอ่ยออกมา ทำเอาเขาเขินไปเลยก่อนจะรีบยกจานกับแกล้มไปที่โต๊ะ คืนนี้ผมชวนเขานอนที่บ้านเขาเองก็ไม่ยอมนอน บอกว่าอยากให้ผมอยู่กับเพื่อนบ้าง ผมรักเขาจัง ผมว่าที่จริงเขามีอะไรที่น่ารักเสมอ
“คุณเก้ายังไม่มีแฟนหรอครับ”เมียผมถามผู้ชายแบบนี้ได้ไงกัน ผมรีบกระแอมออกมา
“แฮ่มมม ทำไมหรอ จะหาให้มันหรอไง บอกไว้ก่อนนะไอ้เก้าอ่ะมันเสือผู้หญิง”
“แล้วไงว่ะ มึงยังไม่รู้จักชีวิตที่มีรสชาติเว้ย กูอ่ะเป็นพวกหาประสบการณ์ไม่เหมือนมึงหรอกทั้งชีวิตก็คงมีคุณกรีนหล่ะมั้งเป็นคนที่สองที่มึงหยุด”ผมรีบหันไปทางคนข้างๆทันที เขาเองก็หันมาทางผม สายตาที่มองทำเอาผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดทันที
อึก...
“คนที่สองหรอครับ แสดงว่ามีคนแรกใช่ไหมครับ”โอ๊ยนี่หล่ะเขาเรียกว่าเซ้นต์เมียแรง แต่ไอ้เพื่อนเวรมันจุดไฟมันก็ต้องดับไฟได้สิ ผมเตะไปที่ขามันแรงๆเพื่อเรียกสติ
ปึก!
“อ่อ นานแล้วครับ น่าจะห้าหกปีแล้วหล่ะ ตอนนี้มันก็มีแต่คุณนี่หล่ะ”ค่อยยังชั่ว อย่างน้อยมึงก็เพื่อนกู ซึ่งรอยยิ้มที่ถูกส่งมาก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาเองก็มีเหตุผลพอ ก่อนที่เสียงรถของน้องชายของเขาก็แล่นมาจอดหน้าบ้าน
“รถคุณบลูหรือเปล่าครับ”ผมเอ่ยถาม
“อ่อ ใช่ครับ”เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะหันมองน้องชายของเขาที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวานก่อนจะยกมือไหว้ผม
“สวัสดีครับพี่กูร เฮีย แล้ววววว”
“อ๋อ นี่เพื่อสนิทพี่เองชื่อพี่เก้า คุณบลูน่าจะต้องเรียกพี่เก้าอ่ะ ถูกแล้ว”ผมเอ่ยแนะนำ
“สวัสดีครับพี่เก้า...”ไอ้เก้าเองกลับนิ่งไป อ้าปากจนเมลงวันจะบินเข้าปากแล้ว
“ไอ้เชี่ยเก้า น้องเขาสวัสดีมึงอ่ะ”ผมเอ่ยด่ามันเบาๆ
“อ่อ สวัสดีครับ”
“เฮียกลับกันเลยไหม”
“อื้ม งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณเก้า และคุณก็อย่าดื่มมากนะครับ พรุ่งนี้มีนัดลูกค้า”ดูเมียผมสั่งสิ โอ๊ยไม่อยากให้กลับเลยอ่ะ อยากให้นอนที่นี่จริงๆ
“ครับผม เดี๋ยวผมไปส่งหน้าบ้าน”ผมเอ่ยก่อนจะเดินออกไปส่งเขา ก่อนจะกลับมานั่งดื่มกับเพื่อนรักของผมต่อ สรุปคือคืนนี้ผมต้องมีไอ้เก้านอนเป็นเพื่อนแทน ไม่ต้องการเลยจริงๆ
เช้าวันรุ่งนี้ ไม่เช้าหรอกผมคิดน่าจะสายมากกว่า เกือบแปดโมงที่เสียงมือถือผมดังขึ้นตื่น ข้อความจากคุณกรีนที่ส่งมาบอกให้ผมรีบตื่นและรีบไปทำงานได้แล้ว
“อื้อออออ ไอ้เก้าตื่นได้แล้ว ไปทำงานได้แล้วมึง”ผมเตะเพื่อนรักที่นอนอยู่ที่พื้นห้องอีกฟาก
“งื้ออออ มึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูล๊อคบ้านให้เอง”เอากับมันสิ นี่หล่ะผมว่ามันควรจะใช่ชีวิตเสเพลคนเดียวแบบนี้เหมาะที่สุด
ผมออกจากบ้านเก้าโมง และกว่าจะถึงออฟฟิตก็เกือบสิบโมงตามเวลานัด แต่คนที่มารอผมก่อนหน้าที่คือลมหายใจของผม เสียงออฟฟิตผมคึกคักเป็นพิเศษที่ตอนนี้มีดาราดังมานั่งอยู่ให้สาวๆแทะโมมอย่างสนุก
“คุณกรีนคะ รับกาแฟไหมคะ”
“คุณกรีน มีขนมด้วยนะคะ”
“คุณกรีน กลางวันนี้ไปทานข้าวกับพวกเราไหมคะ”
“คุณกรีนขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ จะเอาอวดเพื่อน”
เสียงจอแจของสาวๆออฟฟิตผมทำเอาผมอยากจะโยนมือถือลงตรงกลางวงจัง งานการไม่ต้องทำกันแระ แล้วนี่ผมจะต้องให้คนอื่นแทะโมเมียตัวเองอีกนานไหมเนี้ย
ปึง ปึง ปึง
“นี่ๆ งานการไม่ต้องทำกันแล้วใช่ปะ เจริญหล่ะออฟฟิตฉัน”ผมเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“โธ่ พี่กูรอ่ะ แค่น้ำจิ้มหน่า พอหอมปากหอมคอ นานๆทีจะมีคนหล่อมาออฟฟิต วันๆเห็นแต่ไอ้หน้าโหดอย่างไอ้ก้องและไอ้หน้าจืดอย่างไอ้ดรัม มันน่าเบื่ออ่ะ”
“อะไร อะไรเจ๊...”
“ไม่ต้องพูดมากเลย แกอ่ะตัวดีเจ้ามิ้น แล้วนี่ลูกค้าที่นัดมาหรือยัง”ผมเอ่ยขึ้นถามก่อนจะหันไปบอกคนข้างๆให้เข้าไปในห้อง
“เมื่อสักครู่โทรมาบอกว่าถึงแล้วคะ”
“อ่อ งั้นคุณกรีนมาถึงนานยังครับ แล้วทานอะไรมาหรือยัง”เสียงและใบหน้าผมเปลี่ยนไปจากที่ดุมาเป็นเสียงหวานอ่อนโยน
“พี่กูรนี่สองมาตรฐานสุดๆเลยอ่ะ ทีกับลูกน้องนี่ดุชะมัดแต่ทีกับแฟนนี่เสียงหวานเชียว”
“แล้วไงอ่า อยากให้เสียงอ่อนเสียงหวานด้วย ก็เกิดเป็นคุณกรีนสิ ฮ่าๆๆ”ผมหัวเราะออกมาเสียงดังจนคนข้างๆฟาดมือมาที่แขนผมเบาๆ
“โอ๊ย เจ็บนะครับ ตีผมทำไมเนี้ย”
“คุณอ่ะ ชอบแกล้งน้องๆนะครับ ว่าแต่ทานอะไรหรือยังผมเอาอาหารเช้าจากที่บ้านมาให้ด้วยอยู่ในห้องทำงาน”เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินเข้าห้องทำงานผมไป
“ผมรักคุณจังเลยอ่ะ รักที่สุด”ผมเอ่ยคำหวานออกมาก่อนที่จะหันไปชี้หน้าลูกน้องในออฟฟิตที่ตอนนี้ทำหน้าตาทะเล้นกับผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินเข้าห้องทำงานเสียงของเจ้ามิ้นก็ดังขึ้น
“พี่กูร ลูกค้ามาแล้วคะ จะให้มิ้นพาไปห้องทำงานหรือห้องประชุมคะ”ผมหันไปทางเจ้ามิ้นกะจะบอกให้พาไปห้องประชุมแต่แขกที่มาหาผมกลับทำให้ผมนิ่งไปทันที
“สวัสดีคะกูร สบายดีนะคะ”เสียงหวานหู ดวงตาที่สวยงาม ใบหน้าขาวสวยดูสง่า ริมฝีปากแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดี ผมไม่เคยลืม
“แคท...”ผมเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะหันไปทางห้องทำงาน เพราะตอนนี้ร่างสูงโปร่งตัวขาวที่จัดอาหารให้ผมอยู่ในห้อง กำลังเปิดประตูออกมา
“คุณกูร จะทานข้าวเลยไหมครับ”เสียงเอ่ยบอกผมเงียบลง แต่ผมไม่ได้ตอบอะไร ก่อนจะหันไปบอกมิ้น
“มิ้นพาคุณแคทไปที่ห้องประชุมก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป”ผมเอ่ยขึ้นสายตาไม่สบตาแคทเลย เพราะผมกลัวว่าคนที่เดินมาข้างๆผมจะรุ้ว่าเธอเป็นใคร แต่ผมอยากรู้ว่าเธอมาทำไมที่นี่
“กูรคะ ถ้าไม่สะดวกแคทไปก่อนก็ได้คะ แค่ผ่านมาแถวนี้เลยอยากมาทักทายคนคุ้นเคยก็แค่นั้นเอง ไปก่อนนะคะแล้วแคทจะโทรหา”เธอเอ่ยเสร็จก็เดินออกไปทันที ผมไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร และรู้อะไรมาแต่ที่แน่ๆตอนนี้ผมเห็นคนข้างๆของผมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“จะทานข้างไหมครับ หรือว่าไม่หิวแล้ว”เขาเอ่ยถามผม
“เข้าไปข้างในนะครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะพาเขาเข้ามาในห้องทำงาน ใบหน้าที่ดูฝืนยิ้มของเขามันเป็นคำถามที่อยากถามผมมาก และผมเองก็ไม่ปิดบังอะไรเขา ผมเล่าเรื่องราวให้เขาฟังทั้งหมด ไม่มีน้ำตาเลยสักนิด และผมเองก็ไม่ได้อยากให้เขามีน้ำตา
“เชื่อใจผมนะครับ ผมรักคุณ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะกดจูบที่ริมฝีปากและหน้าผากของเขาเพื่อบอกความในใจของผม
“ครับ ผมเชื่อใจคุณ ผมรักคุณครับ”ผมยกยิ้มออกมา แม้จะดูคลุมเครือแต่ผมก็จะทำให้เขาเห็นว่าผมรักเขาจริงๆ และมีเขาเพียงคนเดียว
............................
"ของเก่าไม่รับรีเทิร์น"
[/size]
-
:L2: :L1: :pig4:
-
มาแบบนี้มีแผนแน่ะๆๆ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
เหมือนมีแผนการณ์
-
Green Light 10 : หยุด (ชยางกูรxอนาคิม)
ชยางกูร พาร์ท
ผมเดินเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมจำได้ดีว่าร้านนี้ผมเองไม่อยากจะเข้ามาก่อน เพราะราคาอาหารที่แสนจะแพงลิ่ว แถมมีแต่คนไฮโซทั้งนั้นที่มานั่ง นับจากครั้งที่แพทเคยชวนผมมาทานครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ไม่ใช่คนที่มีเงินมากมายนัก
“จองไว้ครับ”ผมเอ่ยบอกบริกรที่เดินเข้ามา เมื่อผมเดินเข้าร้าน
“คุณชยางกูรใช่ไหมครับ”
“ครับ”
“ทางนี้ครับ”ผมเดินตามบริกรมาที่มุมร้าน เป็นมุมวีไอพีของร้าน ร่างหญิงสาวในชุดเดรสสีน้ำเงินคราม ไหล่และหลังที่กำลังเผยออกมาจากชุดที่เว้าจนเห็นชัดนั้น ผมเองยอมรับว่าแพทยังสวยเหมือเดิม
ผมนั่งลงตรงหน้าหญิงสาว ใบหน้าขาวเรียว ริมฝีปากแสนจะได้รูป แต้มไปด้วยลิปสติกสีสวย แววตาและแววตาที่ผมเคยหลงใหล สายตาที่มองมายังผมแสนยั่วยวนนัก
“แพท”ผมเอ่ยทักเธอ เมื่อช่วงบ่ายเธอโทรหาผมบอกว่าธุระจะคุยด้วย ผมเองก็ไม่ได้บอกคุณกรีนว่าจะมาหาเธอ และอีกอย่างวันนี้เขาต้องไปทานข้าวที่บ้านใหญ่ด้วย ผมจึงไม่ได้บอกเธอ
“กูร มาแล้วหรอคะ ทานอะไรหรือยัง ให้แพทสั่งให้ไหม”เธอเอ่ยขึ้น ผมมองหน้าเธอนิ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณธุระอะไรก็ว่ามาเถอะ”ผมเอ่ยขึ้น กลัวว่าคุณกรีนจะโทรมาตอนนี้เพราะผมเองบอกเขาว่าจะรีบตามออกไป วันนี้พวกเราต้องไปทานข้าวที่บ้านหลังใหญ่
“หึ ดูห่างเหินจังนะคะ คุณแพทหรอ คำนี้ช่างไม่ลื่นหูเอาเสียเลยนะคะ”เธอเอ่ยแหนบ
“ไม่ลื่นหูก็ไม่ลื่นหูครับ ว่าแต่คุณมีธุระอะไรก็พูดมาเถอะครับ เดี๋ยวผมต้องมีธุระต่อ”ผมเอ่ยขึ้น
“ธุระอะไรหรอคะ สำคัญกว่าแพทไหม”เธอเอ่ยแบบนี้คืออะไร ต้องการอะไรกันแน่
“ครับ สำคัญกว่าคุณ และเขาก็สำคัญกับชีวิตผมมาก”
“มากหรอคะ มากกว่าที่คุณเคยมีกับแพทหรอคะ”ผมปรายสายตามองเธอ ก่อนจะยกยิ้มให้
“ครับ มากกว่า”ผมเอ่ยอย่างไม่คิด เพราะมันคือเรื่องจริง ผมว่าผมรักคุณกรีนมากกว่าตอนที่ผมรักแพทเสียอีก ผู้ชายอย่างคุณกรีนคือคนที่ผมต้องการที่จะถนอมและปกป้องเขา
“หึ น่าอิจฉาผู้ชายคนนั้นนะคะ แพทคิดไว้อยู่แล้วว่าคุณต้องพูดออกมาแบบนี้”ผมขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะมองหน้าเธอที่ยกยิ้มหวานออกมา พร้อมกับร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินเข้ามา
“แพทริค”ผมงงไปหมดแล้ว ยิ่งเห็นแพทและชายหนุ่มที่เธอเรียกกำลังหวานชื่นกันผมยิ่งไม่เข้าใจ
“นี่มัน...”ผมเอ่ยออกมา
“ไม่มีอะไรคะ ที่แพทนัดคุณมาวันนี้แค่จะเชิญคุณไปงานแต่งของแพทแค่นั้นเอง”ผมได้ยินประดญคนี้ก็หัวเราะออกมาทันที
“นี่มันอะไรกันเนี้ย ทำไมไม่บอกผมดีๆหล่ะ เอาผมตกใจหมด”ผมเอ่ยอย่างโล่งใจ
“ก็แพทอยากแน่ใจก่อนนี่คะ ว่าคุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับแพทแล้ว”
“โธ่ ยินดีด้วยนะ ผมไปแน่นอน”ผมเอ่ยพร้อมกับมองการ์ดที่กำลังยื่นมาให้ผม
“พาเขาไปด้วยนะคะ แพทออยากบอกเขาว่าคุณดีแค่ไหน”
“แน่นอนครับ ว่าแต่คุณแพทริคต้องเหนื่อยหน่อยนะครับที่มาเจอผู้หญิงบ้างานสังคม ฮ่าๆๆ”
“โธ่ กูรก็...”ผมหัวเราะออกมาพร้อมรอยยิ้ม ที่เรียกว่าความสุขที่แท้จริง ผมไม่มีอะไรค้างคากันอีกต่อไป
ผมขับรถมาที่บ้านหลังใหญ่ บ้านหลังที่ผมเพิ่งได้เป็นสมาชิกคนล่าสุด บ้านที่ผมกลับหลงรักสะใภ้ของที่นี่ตั้งสองคน ผมจอดรถเทียบรถอีกหลายคนที่จอดอยู่ แม้ว่าคุณเกรย์และคุณรอยด์จะไปอยู่เมืองนอกแล้วแต่บ้านนี้ยังคงคึกคักน่าดู
“สวัสดีครับ”ผมเอ่ยทักทุกคนที่ตอนนี้กำลังนั่งคุยกันอยู่
“อ้าว ไหนว่าจะมาดึกหน่อยครับ”ร่างโปร่งของคุณกรีนเอ่ยพร้อมยกจานอาหารเข้ามา เวลาเขาเป็นแม่บ้านแม่เรือนผมว่าเขาน่ารักมาก
“ก็จะดึกนั้นหล่ะ แต่เพราะคิดถึงคุณมากเลยรีบทำธุระให้เสร็จ”ผมเอ่ยหยอดเขา บางทีผมว่าไอ้เก้ามันก็พูดถูกนะที่บอกว่า ผมไม่เหมาะกับเล่นมุขอะไรเลยเพราะมันเสี่ยวเกินไป
“โอ๊ย หวานไปไหมฮะ เดี๋ยวจะทานข้าวไม่ได้กันซะก่อน”
“อิจฉาหรอไงเจ้าบลู”เสียงของคุณหมอไวท์เอ่ยแซวเมื่อทุกคนมานั่งประจำที่
“จริงสินะ มีเจ้าบลูกับหนูพิ้งค์ที่ยังไม่เคยพาใครมาแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก”คุณแบล๊คเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้หนูพิ้งค์ไม่มีหรอกฮะ แต่น่าจะเร็วๆนี้นะ ฮ่าๆๆ”เสียงหวานเอ่ยขึ้นก่อนที่พวกเราจะหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้น
เคร้ง..!
“เจ้าเลิฟ เป็นอะไรเนี้ย ของคุณๆเลอะหมด หลบๆเดี๋ยวเศษจานบาดเอา”เสียงป้าลินโวยวายขึ้นด้านหลัง
“เสียงอะไรอ่ะป้าลิน”เสียงคุณแบล๊คเอ่ยขึ้นถาม
“ไม่มีอะไรคะนายท่าน แค่เจ้าเลิฟทำจานตกอ่าคะ”พวกเราก็ไม่ได้สนใจอะไรก่อนจะทานอาหารไปด้วย คุยกันไปด้วย
ผมและคุณกรีนเดินมาย่อยอาหารด้านริมสระน้ำของบ้าน มันก็เรื่องปกติสำหรับเราสองคน แต่วันนี้ผมเองกลับอยากจะบอกอะไรบ้างอย่างกับเขา บางอย่างที่เรียกว่า การใช้ชีวิต
“คุณกรีน”ผมเอ่ยเรียกเขา มือทั้งสองของเรายังคงประสานกันทั้งห้านิ้วไว้แน่น
“ครับ”เขาหันมาถามผม สายตาที่หันมาทางผม ริมฝีปากอวบอิ่มที่ผมหลงใหล ผมยกมือเชยที่ปลายค้างของเขาให้เชิดขึ้นก่อนทีจะกดจูบที่ริมฝีปากนั้นเบาๆ แต่ไม่มีการรุกล้ำใดๆทั้งนั้น
“อื่ออออ”เสียงครางเบาๆในลำคอ ผมผละจูบออกและเอ่ยขึ้น
“คุณกรีน แต่งงานกันนะครับ”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับคุกเข่าลง มืออีกข้างล้วงกล่องกำมะหยี่สีเขียวขึ้นมา
“นี่มันอะไรกันครับ”ผมยกยิ้มขึ้นก่อนจะมีเสียงตะโกนดังขึ้นจากอีกทาง เมื่อผมจับแหวนขึ้นมาเพื่อจะขอมือเขามาเพื่อสวมแหวนที่นิ้ว
“อย่าเล่นตัวดิเฮีย เดี๋ยวพี่กูรเปลี่ยนใจ จะมานั่งร้องไห้ให้เค้าปลอบไม่เอานะ”
“ไอ้เด็กบ้า เล่นตัวที่ไหนกันเล่า แค่กำลังอึ้งอยู่ว่าเราต้องยื่นมือข้างไหนต่างหากหล่ะ”น่ารักที่สุดเลย ผมยิ้มออกมาก่อนจะดึงมือซ้ายและนิ้วนางข้างซ้ายที่ผมกำลังจะสวมแหวนให้กับเจ้าของหัวใจ
“ผมรักคุณนะครับคุณกรีน”
“ผมก็รักคุณครับ คุณโปรดิวเซอร์ ผู้จัดการชีวิตของผม”เราสองคนสวมกอดกันแน่น ก่อนจะยกมือทั้งสองมาทาบกันโดยมีแหวนที่นิ้วเป็นพยานว่าเขาเป็นของผมแล้ว
+++++++++
อนาคิม พาร์ท
จะถามผมว่า ผมทำไมถึงยอมผู้ชายคนนี้นักทั้งๆที่ปากบอกเกลียดตั้งแต่แรกพบ แต่ตอนนี้กลับยอมเขาทุกอย่าง ก็เพราะความรัก ความหวังดี ละความจริงใจที่เขาแสดงออกมา และตอนนี้ผมก็ย้ายมาอยู่บ้านใหม่ของเราสองคน มันคือเรือนหอของผมและเขา
“บ้านน่ารักมากเลยอ่ะ ร่มรื่นด้วย”เสียงหนูพิ้งค์เอ่ยออกมา
“อากาศดีมากเลยนะ”เฮียแบล๊คเอ่ยขึ้นพร้อมโอบไหล่ซ้อใหญ่ของเราไว้แน่น จนเจ้าบลูต้องแซว
“เฮียไมม่ต้องกอดซ้อแน่นขนาดนั้นหรอก คุณกูรเขาไม่สนใจซ้อแล้วหล่ะ”
“อะไร เฮียแค่เคยชินเฉยๆ ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นคือใครอ่ะ”เพวกเราหันมองตามเฮียไปยังผู้ชายร่างสูง ผมยกยิ้มออกมา
“อ่อ นั่นคุณเก้าครับเป็นคนตกแต่งบ้านหลังนี้ เป็นเพื่อนสนิทคุณกูร”ผมเอ่ยก่อนจะยกมือบอกคุณกูเป็นเชิงบอกให้พาคุณเก้ามา
“สูงมากเลยนะครับ”เสียงหวานของซ้อผมเอ่ยขึ้น ก่อนที่สองร่างสูงบจะเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร วันนี้มีแต่ครอบครัวของเราเท่านั้นที่มาร่วมงานของเรา เป็นเพียงงานแต่งเล็กๆหลังจากเมื่อเช้าเราไปที่วัดเพื่อทำบุญและสวมแหวนต่อหน้าเฮียเท่านั้น
“สวัสดีครับทุกคน”เสียงเอ่ยของคุณกูรเอ่ยขึ้น ก่อนจะดึงมือเพื่อนรักของเขาเข้ามา
“ไอ้เก้านี่คุณ....”เขาเอ่ยเรียกเพื่อนเขาก่อนจะแนะนำว่าพี่น้องผมมีใครบ้างและตัวเพื่อนเขาเป็นใคร ซึ่งดูท่าทางเฮียแบล๊คจะชอบด้วยสิ เห็นคุยเรื่องตกแต่งที่ทำงานใหม่
......
“คุณเก้านี่เก่งนะครับ ไม่ได้เรียนด้านมัฑนาฯมาก่อนแต่สามารถตกแต่งได้สวยงามมาก”
“คุณอนาคินก็ชมเกินไปครับ เมื่อตอนเด็กๆผมชอบเรียนและเขียนแบบมาก แต่เพราะสอบไม่ติดเลยมาเรียนนิเทศฯ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความในนะครับ ก็ยังเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ก็พอทำได้บ้าง”
“ถ่อมตัวนะครับ แต่เห็นคุณบอกว่าชอบการเขียนแบบ งั้นดีเลยเจ้าบลูเราเรียน Interior Design แถมจะจบแล้วนี่เรา ไปเรียนรู้กับคุณเก้าไหม”
“ไม่เป็นไรเฮีย เค้า...”ผมหันไปมองเจ้าบลูที่เอ่ยขึ้นแต่ยังเอ่ยไม่จบคุณกูก็เอ่ยสวนขึ้นมา
“เจ้าเก้าเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยด้วยนะครับ ปรึกษาได้เลยนะ”
“จริงหรอครับ งั้นตามนั้นเลยเจ้าบลู”คุณหมอเอ่ยขึ้นก่อนที่เสียงหวานของซ้อและน้องซีจะเอ่ยขึ้นตัดบท
“อาหารมาเพิ่มเล็กน้อยนะครับ พอดีว่าป้ารินแกเห็นด้านหลังบ้านมียอดตำลึงเยอะมากเลยอ่ะ เลยทำแกงจืดลูกรอกมาให้”เสียงหวานของซ้อเอ่ยขึ้น พวกเรายกยิ้มขึ้นก่อนที่เฮียจะเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวเฮียให้บัวมาอยู่ด้วยนะ ที่นี่ไม่ใครเลยจะได้ช่วยทำกับข้าวและทำความสะอาดบ้านให้”
“ไม่เป็นไรครับคุณอนาคิน บ้านก็ไม่ได้หลังใหญ่มาก และอีกอย่างเราสองคนก็กลับบ้านไม่เป็นเวลาด้วย”คุณกูรเอ่ยขึ้น ก็เรื่องจริงอย่างที่เขาว่า
“ใช่ ให้บัวช่วยที่บ้านนั่นดีแล้ว ส่วนที่นี่...”ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยต่อเฮียก็ตัดบทผมซะแล้ว
“เฮียถามอะไรหน่อย ว่าตั้งแต่เกิดมาแกเคยจับไม้กวาดม่ะ เคยเปิดเตาแก๊สม่ะ และที่สำคัญ รู้ไหมว่าเครื่องซักผ้าของบ้านอยู่ตรงไหนแล้วต้องกดอะไรก่อน”เอาผมอ้าปากค้างเลย ก็ที่เฮียเอ่ยมาคือผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆตามที่เฮียพูดมา
“โธ่ เฮียอ่ะอย่ามาขายกันแบบนี้ดิ เค้าออกเรือนแล้วนะ ยังไงเค้าก็จะลองทำหรอกหน่า”ผมเอ่ยออกมา มือหนาโอบไหล่ผมไว้ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวมือของคุณจะด้านซะเปล่า ผมทำให้เอง”คำพูดดูไม่หวานมากแต่ทำให้ผมเขินได้มากขนาดนี้เลยหรอ ผมหันไปยิ้มหวานให้ก่อนที่เสียงเล็กของหนูพิ้งค์จะเอ่ยขึ้น
“วุ้ยยยยย แกงจืดนี่หวานไปนะฮะ”ใบหน้าน่ารักเอ่ยขึ้น พวกเราจึงพากันหัวเราะออกมากับความน่ารักของหนูพิ้งค์
“จริงหรอครับ ไหนผมลองหน่อยนะ”เสียงนุ่มของคุณเก้าเอ่ยขึ้นพร้อมตักแกงจืดขึ้นมาซด ก่อนจะทำหน้าตาบ่งบอกว่ามันหวานมากจริงๆ
“อื้อ จริงๆด้วยครับ หวานจนเลี่ยนเลยว่าไหมน้องพิ้งค์...”พวกเราเริ่มรู้แนวแล้วว่าเราคงได้สมาชิกใหม่เพิ่มอีกคน เพราะความชัดเจนของคุณเก้าที่บ่งบอกว่าชอบหนูพิ้งค์ของเรามาก
“เพื่อนบ้า อย่ามาล้อกันดิ”เสียงเอ่ยของคุณกูรเอ่ยขึ้น
งานเลี้ยงของเรา งานเลี้ยงของผมและคู่ชีวิตของผม หลังงานเลี้ยงเลิกราคืนนี้คือคืนแรกที่ผมมาอยู่ที่นี่ในฐานะเจ้าของบ้าน หลังจากที่เราเข้ามาไหว้แม่ของเขาแล้ว เราทั้งสองก็พากันมาที่ห้องนอนของเรา
หมับ!
“อ๊ะ...คุณกูร อย่าเพิ่งสิครับ ผมยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะและคุณเองก็ควรจะไปอาบน้ำได้แล้วครับ”
“ไม่อ่ะ อยากกับคุณก่อน”ดูเขาพูดสิ ไม่อายเลยสักนิด ผมหน้าร้อนเห่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“พูดไม่อายเลยนะครับ หึ ว่าแต่อยากอะไรอ่ะ”ผมเอ่ยออกมาแบบยียวนเพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผมเองพูดอะไรไม่ออกนอกจากเสียงร้องครางออกมาเท่านั้น
ร่างเปลือยเปล่าของเราทั้งสองที่กำลังขยับเบียดเข้าหากันอยู่บนเตียงสีเขียว ห้องนอนสีเขียว ผมได้รับความอบอุ่นและอ่อนโยนจากเขา เป็นความรู้สึกที่บอกได้เพียงคำเดียวว่ามันคือความรัก
จุ๊บ จุ๊บ
“อ่าห์...ผมพร้อมแล้ว คุณกูรของผม”เสียงนี้ผมเอ่ยบอกเขาเอง เอ่ยบอกและยั่วยวนเขา ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นผมเพิ่งไล่เขาไปอาบน้ำไม่ใช่หรอไง
“ร่างกายนี้เป็นของผมใช่ไหมที่รัก”
“อ่าห์...”
“ริมฝีปากนี้เป็นของผมใช่ไหม”
“อื่อ...”
“อกสวยนี้ มือนี้และตรงนี้เป็นของผมใช่ไหมครับ คุณกรีนของผม”
“อื้มมมม”
“หัวใจนี้เป็นของผมใช่ไหม...”ผมได้แต่เพียงครางออกมาทุกครั้งที่เขากดย้ำที่จุดต่างๆของผม ผมมอบทุกอย่างให้เขาไปหมด ทั้งๆที่ไม่เคยคิดว่าเราเพียงผ่านเข้ามาเจอกันในวันที่เราไม่รู้เลยว่าเราสองคนจะลงเอ่ยกันแบบนี้ได้ บางทีผมน่าจะขอบคุณประสบการณ์ที่ผมได้พบเจอมา เพราะถ้าไม่มีเรื่องราวของวันนั้น คงไม่มีเรื่องราวของวันนี้ เรื่องราวของคนที่ผมรักและรักผมแบบนี้
.....The End...
อีกมุมหนึ่งของบ้าน ที่ตอนนี้น้องคนเล็กสุดของบ้านอย่างหนูพิ้งค์ที่กำลังเดินมาส่งแขกอย่างเก้า ใบหน้าคมมองไปยังใบหน้าหวานสมกับชื่อของคนตัวเล็ก
"ขอบคุณมากนะครับที่มาส่งพี่"
"ไม่เป็นไรครับ เพราะยังไงหนูพิ้งค์ก็กลับกับเฮียบลูอยู่แล้ว ว่างไปเที่ยวที่บ้านได้นะครับ"
"ได้ครับ น้องพิ้งค์น่ารักจัง"
"หนูพิ้งค์ ขึ้นรถได้แล้ว และรีบลาคุณลุงเก้าด้วย"เสียงบลูเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
"ลุงเลยหรอ เจ้าเด็กบ้านี่"เสียงเอ่ยในใจพร้อมสายตาที่หันไปมองคนที่ยืนอยู่ที่รถ
"ถ้าคุณจะจีบหนูพิ้งค์ ผมจะบอกอะไรให้นะครับว่าน้องผมยังเล็กอยู่"
"งั้นจีบคุณได้ไหมหล่ะ ในเมื่อคุณก็จะจบมหาวิทยาลัยแล้วนี่"
"ฝันไปเถอะครับ เพราะผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ถึงชอบก็ไม่ได้ชอบผู้ชายแก่ๆ"บลูเอ่ยเสร็จก็เดินขึ้นรถและขับออกไปทิ้งให้ชายแก่ๆที่ตอนนี้กำลังกำหมัดแน่น
"ไม่ชอบผู้ชายหรอ แถมแก่ด้วย เอาสิคอยดูสักตั้งพ่อหนุ่มน้อย สีฟ้า"
"วันหนึ่งคนที่เดินผ่านเราอาจจะเป็นคนที่เราจะอยู่ด้วยตลอดชีวิตก็ได้"
-
เดาผิด อิอิ ดีใจทุกอย่างลงตัว
รอคู่บูลน่าจะกัดกันบ่อย อิอิ
-
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ อีก 1 เรื่อง ..
-
Blue Lyrics ทำนองรักสีฟ้า
[/b][/size]
นพเก้า นิโสรมย์
[/b]
อาจารย์พิเศษแสนเจ้าเล่ห์และแสนยียวน อายุ 28 ปี เพราะเขาต้องไปช่วยงานเพื่อนสนิท ทำให้เขามาเจอผู้ชายคนหนึ่ง แรกเห็นกลับหลงใหล แรกสัมผัสกลับต้องการ เพียงเพราะคิดว่าหลงรักผู้ชายที่ทำอะไรดูจะขัดตาไปหมด ยิ่งโกรธยิ่งรัก ยิ่งงอนยิ่งง้อ ยิ่งด่ายิ่งหลงใหล และยิ่งเกลียดกลับต้องการ นพเก้าทำทุกอย่างเพื่อให้นาคินไปไหนมาไหนด้วย ยิ่งนาคินกันน้องชายคนเล็กจากนพเก้า ยิ่งทำให้ใกล้ชิดกัน ไม่เคยคิดว่าผู้ชายหน้านิ่งๆ ปากร้ายแต่ดูอ่นไหวเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอด
นาคิน กิจสุนทรวิริยะกุล
[/b]
ทายาทคนที่ห้า อายุ 22ปี ชายหนุ่มที่มาด้วยความเท่ห์ เรียนปีสุดท้ายด้านออกแบบ เพราะถูกพี่ชายคนโตบังคับให้เรียนทั้งๆที่เขาอยากเรียนนิเทศาสตร์มากกว่า แต่ก็รู้ว่าพี่ชายหวังดีกับเขา และสิ่งที่คิดว่าไม่ชอบกลับเป็นชอบ ด้วยความที่เป็นคนนิ่งๆ ไม่เคยจะโกรธใครเลยและเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงทำให้คนรอบข้างมองว่าเขาอยากเด่น อยากดังจึงไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก แต่เขาก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเลยเพราะเขามีพี่น้องที่รักกันมาก จนวันหนึ่งเขากลับมีคนเข้ามาในชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งคน คนที่เป็นทุกอย่างที่ไม่อยากจะเจอ ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ ยิ่งไม่ชอบยิ่งรัก
-
:L2: :L1: :pig4:
-
มาติดตาม สี ต่อไปกันต่อ ..
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
รอๆๆๆๆๆๆๆ
คู่นี้ท่าจะฟัดกันน่าดู อิอิ
-
Blue Lyrics 1: เผชิญ (นพเก้า xนาคิม)
นาคิน พาร์ท
ผมชื่อ นาคิน กิจสุนทรวิริยะกุล เป็นพี่น้องคนที่ห้าของตระกูล สีที่ผมชอบคือสีฟ้า เพราะชื่อของผมคือสีฟ้า ผมเรียนดีไซน์ ปีสุดท้ายแล้ว เฮียแบล็คอยากให้ผมไปช่วยงานที่บริษัท ชีวิตผมไม่มีอะไรที่น่าหวือหวานัก ผมอาจเป็นคนเรียบง่ายในบรรดาพี่น้อง ผมจะสนิทกับเฮียกรีนและหนูพิ้งค์มาก ในบรรดาพี่น้องของผม คงมีแต่ผมเท่านั้นที่ยังไม่รู้สึกว่าอยากจะมีใคร
“พี่บลูคะ”ผมหันมองตามเสียงเรียก
“อ้าวน้องฟาง มีอะไรหรอครับ”ผมเอ่ยพร้อมยิ้มให้กับรุ่นน้อง เธอชื่อน้องฟางเป็นน้องปีสอง เราสองคนมักจะถูกมองว่าเป็นแฟนกัน เพราะเธอจะมาหาผมบ่อยๆถามว่าเธอน่ารักไหม บอกเลยว่าเธอคืออดีตดาวมหาวัทยาลัยปีที่แล้ว
“อยากให้พี่ช่วยอธิบายวิชานี้ให้หน่อยคะ”ผมยกยิ้มและพาเธอเดินมาที่นั่งใต้ตึก ก่อนจะติววิชาที่เธอเองไม่เข้าใจ
เราใช้เวลาไม่นานนัก เธอเองก็บอกว่าเข้าใจแล้ว แต่ที่ไม่เข้าใจเธอทำไมไม่ไปสักที ผมเองได้แต่ยิ้มอย่างเดียวอาจเป็นคนพูดน้อยผมจึงไม่มีอะไรจะคุยต่อ
“ฟางว่าเราไปหาอะไรกินกันไหมคะ”
“เอ่อ พอดีพี่ไม่ค่อยหิวอ่ะ น้องฟางไปทานคนเดียวได้ไหมคะ”ผมเอ่ย ก่อนจะเห็นคนตัวสูงที่กำลังเดินยิ้มเข้ามา ไม่อยากเจอก็ต้องเจอแล้วมาทำอะไรที่นี่ว่ะ ผมคิด
“ว้าว นี่ใช่ไหมอาจารย์พิเศษของคณะเราอ่ะ”ผมหันไปมองสาวๆที่กำลังชื่นชมผู้ชายที่เดินเข้ามา ผมคสดว่าเขามองเห็นผมแต่ผมเองไม่ได้ใส่ใจ ก่อนจะคว้ามือเล็กของน้องฟางและเดินออกจากตรงนั้น
“ไปทานข้าวกันคะ ไปที่ตึกสองนะ”ผมเอ่ย
“ทำไมต้องตึกสองคะ ตั้งไกลเรากินที่ตึกนี้ไม่ได้หรอคะ”จะมาดื้ออะไรตอนนีเนี้ยสาวน้อย ไปกินด้วยก็บุญแล้วมั้ย ผมคิด
“ตึกโน้นอร่อยกว่าคะ เดี๋ยวพี่พาไปกินของอร่อย”ผมเอ่ยพร้อมดึงมือหญิงสาวออกไปแต่ไม่ทันเท่าไอ้คนที่กำลังเอ่ยเรียกชื่อผม
“น้องบลู…น้องบลูใช่ไหม”เรียกดังขนาดนี้ไม่ใช่ไมค์เลยล่ะ ผมหยุดเท้าทันทีไม่ทันเท้ายาวของอีตาลุงนั่นจริงๆ
“นี่อาจารย์กับพี่บลูรู้จักกันด้วยหรอคะ”เรียกชื่อถูกขนาดนี้ น้องฟางคิดว่าเราคงไม่รู้จักกันมั้ง
“แค่เผินๆอ่ะ”ผมเอ่ยก่อนจะหันไปมองคนตัวสูงกว่า ผมว่าผมสูงตั้งร้อยแปดสิบกว่าแล้ว อีตาลุงนี่สูงแค่ไหนว่ะ ขายาวยังกับเปรต
“ไม่เผินๆนะ เพื่อนสนิทพี่เป็นผัวพี่ชายน้องบลูและพี่เองก็กำลังจีบ…”ไม่รอให้อีตาลุงบ้านี่พูดจบผมก็สวนขึ้นทันที
หมับ
อึก…
“ไม่มีทางที่ผมจะให้คุณจีบน้องชายผมหรอกนะ”ผมเอ่ยขึ้นสวนทันที ทำเอาสาวน้อยข้างๆนิ่งเล็กน้อยคงคิดว่าผมกับไอ้ลุงนี้ทำไมต้องทะเลาะกัน
“เอ่อ…คือ…”สาวน้อยข้างๆอึกอักน่าดูเพราะมือของผมมันกำลังอุดปากผู้ชายตัวสูงตรงหน้า ใบหน้าผมกลับแดงเห่อขึ้นเมื่อมือของอีตาลุงนั่นมันอยู่ที่เอวของผม
“ปล่อยเอวผมเดี๋ยวนี้นะ”ผมเอ่ยขู่ขึ้นเบาๆ อีตาลุงนี้ท่าจะเป็นพวกสวนกระแสหรอไง บอกให้ปล่อยเสือกกอดกูแน่นเชียว
“เอ่อ…คือ…”เสียงของน้องฟางยังคงอึกอักอยู่ แต่ผมกลับได้ยินแต่เสียงหัวเราะในลำคอของอีตาลุง
“เห็นตัวสูงๆ เอวเล็กจัง”โอ๊ย ต่อยปากคนแก่จะบาปไหมว่ะ ผมรีบสะบัดตัวหนีออก
“คุณ…”ผมเอ่ยออกมาแค่นั้นก่อนที่อีตาลุงจะหันไปหาสาวน้อยข้างๆผมที่ตอนนี้ยืนทำหน้าแดงอยู่
“นี่แฟนน้องบลูหรอ น่ารักจังเลยนะ”วุ่นวายฉิบหายเลย ผมรีบเอ่ยขึ้นทันที
“อย่าพูดพล่อยๆสิ น้องเขาจะเสียหายได้ ไปเถอะพี่หิวแล้ว”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปบอกหญิงสาวที่ยืนอยู่
“จะไปไหนกันหรอ ผมไปด้วยได้ไหม”ยังจะหน้าด้านตามมาอีกหรอ ผมทำท่าจะให้ไปบอกว่าไม่ต้องตามมา แต่กลับถูกน้องฟางตัดหน้าทันที
“เรากำลังจะไปทานข้าวที่ตึกสองคะ อาจารย์ไปด้วยกันไหมคะ”ผมอยากจะเดินหนีจากตรงนั้นจริงๆ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะตอนนี้ร่างสูงของอีตาลุงเดินลิ่วไปกับร่างบางของน้องฟางเรียบร้อยแล้ว
“อะไรของเขาว่ะ”ผมสบถกับตัวเองเบาๆ นับตั้งแต่วันที่ผมได้รู้จักอีตาลุงวันนั้น ช่างไม่ถูกชะตากับความเจ้าชู้และพูดไม่มีหลักการของเขาเลย คนแบบนี้หรอที่จะมาเป็นอาจารย์
ผมนั่งมองอีตาลุงที่ตอนนี้ดูท่าทางจะคุยเข้าขาดีกับน้องฟางเหลือเกิน ผมเบ้ปากเล็กน้อยเมื่อเห็นเขากำลังตักอาหารใส่จานของน้องฟาง
“ร้านนี้อร่อยอย่างที่พี่บลูบอกเลยนะคะ”ผมยกยิ้มอ่อนๆ
“ใช่ งั้นเรากินกินด้วยกันบ่อยๆดีไหม”ผมเบ้ปากใส่คนตรงหน้า
“ดีคะอาจารย์ ว่าแต่อาจารย์จะมีบรรยายปีสองด้วยไหมคะ หรือแค่ปีสี่อย่างเดียว”
“ปีสี่อย่างเดียวครับ เพราะว่าเด็กปีสี่ต้องมีพี่เลี้ยงและคนดูแลเพื่อที่จะจบออกไปสู่ตลาดภายนอก”
“ไม่จำเป็น”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะก้มลงตักอาหารใส่ปาก
“น้องเมียเพื่อนนี่ตัวดีครับ คุณกรีนเขาฝากฝังผมเอาไว้และผมก็รับปากคุณกรีนเรียบร้อยแล้ว”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมอยู่ของผมแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ต้องมาดูแลอะไรผมเลย”ผมรีบโวยวายขึ้นทันทีก่อนที่เสียงหวานของน้องฟางจะดังขึ้น
“ดูๆไปอาจารย์กับพี่บลูไม่น่าจะแค่รู้จักกันเพียงเผินๆเลยนะคะ ดูเหมือนคู่รักกันมากกว่าดูสนิทกันจัง”
“ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะน้องฟาง พี่กับอีตาลุง…เอ่อ อาจารย์นพเก้าเราแค่รู้จักกันจริงๆ”
“งั้น เรามาสนิทกันก็ได้นะ สนิทตอนนี้เลยแล้วกัน”อีตาบ้านี่ ไม่พูดเปล่ายังจะย้ายก้นมานั่งข้างๆผมอีก โอ๊ยคนอะไรโตไม่รู้จักโต
ปึก
“อ๊ะ…คุณจะทำอะไรเนี้ย”ผมเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ เมื่อร่างสูงตรงหน้าหย่อนก้นมานั่งข้างๆผมแล้ว
“ก็เริ่มสนิทไง เริ่มตอนนี้เลยนะ”ผมจะพูดอะไรออกได้หล่ะ ก็อีตาลงมันเล่นถ่ายรูปผมกับเขาพร้อมส่งไปให้เฮียกรีนดู พร้อมกับบอกว่าอยู่กับผมและกำลังเทคแคร์ผมอยู่
“เฮ้อออออ”ผมถอนหายใจออกมา ในเมื่อตอนนี้อีตาลุงมันตักนั่นตักนี่ให้ทั้งผมและน้องฟาง เกลียดอีตาบ้านี่จริงๆ ผมคิดแต่ก็ต้องนั่งกินต่อ
++++++++++
ผมขับรถมาถึงคอนโดก็เกือบจะสองทุ่ม เหนื่อยใจกับอีตาลุงมากไม่รู้ว่าผมทำเวรทำกรรมอะไรกับเขาไว้เมื่อชาติปางก่อนหรือเปล่า
“คนแก่อะไรว่ะ ดื้อชิบ”ผมสบถเบาๆกับข้อความที่ดังขึ้นต่อเนื่องก่อนจะทิ้งมือถือไว้ที่เตียงและคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป
ผมใช้เวลาไม่นานกับการอาบน้ำแต่ก็นานกว่าทุกครั้งที่ผมเคยทำ เพราะอยากจะพักสายตาและสมองในอ่างน้ำอุ่นๆมากกว่า
ติ้ง ติ้ง ติ้ง ติ้ง
“น่ารำคาญว่ะ”ผมสบถกับตัวเอง ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยสนใจอะไรมากนักถ้าไม่ใช่เรื่องของครอบครัวผม ส่วนตัวผมเองจะชอบสันโดมากกว่า แต่เจออีตาลุงนี่แล้วผมอยากจะบ้าตายจริง
“ไม่รู้ว่าพี่กูรไปคบคนแบบนี้ได้ยังไง น่ารำคาญชะมัด”ผมเอ่ยขึ้นสายตาก็ยังคงมองข้อความนั้นอยู่กำลังจะกดปิดมือถือแต่กลับมีสายเข้ามาพอด ผมกดรับสายทันที
“ครับเฮีย”
(“ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”) เอาผมงงไปทันที
“เป็นอะไร หมายถึงอะไรอ่ะเฮีย”
(“ตอนนี้อยู่ไหน”)
“คอนโดไง เฮียเป็นอะไรเนี้ย”
(“ก็คุณเก้าโทรมาหาคุณกูร บอกว่าส่งข้อความไปหานายตั้งหลายครั้งแล้วไม่เห็นอ่าน โทรไปตั้งหลายสายไม่เห็นตอบเลย”)
“ยุ่งอะไรด้วย…”
(“ว่าอะไรนะ”)
“เปล่าๆ เค้าไม่ได้ว่าอะไรเฮียนะ แค่ว่าไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวเค้าโทรกลับอาจารย์เอง”
(“อื้มๆ เขาเป็นห่วงนายมากนะ คุณกูรฝากฝังไว้อย่างดี”)
“อ่อ กลัวพี่กูรว่านี่เอง เดี๋ยวเค้ารับสายอีตา…เอ้ย อาจารย์ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะรู้สึกผิดจนฆ่าตัวตายซะก่อน”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะกดวางสายพี่สายตัวเอง และก็ถอนหายใจขึ้นพร้อมกดรับสายที่กำลังร้องโหยหวนอยู่ตอนนี้
“ครับ”
(“สั้นจังเลย ทำไมไม่รับสายหล่ะ ทำไมไม่อ่านไลน์ครับ แล้วนี่ถึงบ้านหรือยัง อาบน้ำหรือยัง”) โอ๊ย ถามเป็นชุดแบบนี้ใครจะตอบทันว่ะ
“อื้อ ค่นี้นะจะนอนครับ”ผมเอ่ยเสร็จก็กดวางสายอย่างคนไม่มีมารยาท ก่อนจะปิดมือถือทันที ผมดิ่งไปที่โต๊ะคอมและเปิดมันขึ้นมาท่องอินเตอร์เนตตามที่ผมชอบ แต่ก็ทำให้ผมหงุดหงิดใจอยู่ดี เมื่อไลน์ที่อยู่ในคอมยังคงเด้งต่อเนื่อง แถมคราวนี้กลับเป็นวีดีโอคอลด้วย
อีตาลุง : ปิดมือถือทำไมครับ พี่โทรบอกเจ้ากูรและคุณกรีน ให้ขออนุญาตคุณแบล็คแล้ว ว่ากำลังจะไปหาคุณที่คอนโด เดี๋ยวพี่โทรหาเมื่อถึงแล้ว
ยังไม่ทันจะตอบว่าไม่ต้อง กลับมีวีดีโอคอลขึ้นทันที ผมไม่รู้จะทำยังไง เรื่องถึงเฮียแบล็คแล้วด้วย ไอ้บ้านี่ต้องการอะไรกันแน่เนี้ย ผมก็ชัดเจนไปแล้วว่าผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ถึงชอบก็ไม่ใช่ตาแก่นี่แน่นอน
“จะมาทำไมครับ ผมกำลังจะนอนแล้ว”
(“ก็น้องบลูอ่ะกดวางสายพี่ทำไมหล่ะครับ พี่คิดว่าเป็นอะไรไปเสียอีก แถมยังจะโทรไม่ติดอีก”)
“คุณเป็นอะไรมากมั้ยครับ ผมอยากอยู่เงียบๆ ได้ไหม”
(“ได้ๆ เดี๋ยวพี่ไปถึงแล้วพี่จะเงียบๆนะ”)
“โอ๊ยยยย คนแก่อะไรเนี้ย ดื้อชะมัดเลย ผมบอกว่าผมจะนอนแล้วและผมก็มีเรียนพรุ่งนี้เช้า ไม่ต้องมาหรอก แค่นี้นะครับ”
(“โอเคๆ ถ้าไม่ให้พี่ไปหาตอนนี้ ถ้ายังนั้นพรุ่งนี้พี่ไปรับนะ มีเรียนกี่โมงครับ”)
“จิ๊…อะไรเนี้ย บอกว่า…” ยังไม่ทันผมจะเอ่ยขึ้นต่อเขาก็สวนขึ้นทันที
(“งั้นพรุ่งนี้พี่ไปรับหนูพิ้งค์ก็ได้ครับ เพราะพี่บอกคุณแบล็คไว้แล้วว่าจะขออนุญาตรับส่งน้องชายของเขา แต่ยังไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ยังไงถ้าน้องบลูไม่ให้พี่ไปรับเดี๋ยวพี่ไปรับน้องพิ้งค์เองก็ได้”)
“ก็ได้ พรุ่งนี้มารับผมตอนเจ็ดโมงครึ่ง แค่นี้นะจะนอนแล้ว”ผมเอ่ยออกมาเสร็จก็กดวางทันที ใบหน้าผมมันร้อนผ่าวออกมาเพราะความโกรธ แต่เวลาผมโกรธผมไม่ค่อยน่าร้อนนะ
++++++++
ผมเดินลงจากคอนโดช่วงเจ็ดโมงตรง กะว่าจะรีบออกไปก่อนที่อีตาลุงจะมา และผมก็จะบอกเขาว่าผมลืมนัดเขา แต่ยังไม่ทันจะมาที่รถของตัวเอง อยู่ๆร่างสูงของอีตาลุงก็มาขวางหน้าผมพอดี
“จะไปไหนครับน้องบลู เรานัดกันเจ็ดโมงครึ่งไม่ใช่หรอครับ”โอ๊ย จะมาทำไมแต่เช้าว่ะ
“โอ๊ะ…มาไงเนี้ย”ผมเอ่ยขึ้นถามคนตรงหน้าอย่างตกใจ
“ก็ขับรถมาสิ ว่าแต่เรานัดกันเจ็ดโมงครึ่งนี่ นี่เพิ่งเจ็ดโมงเองนะ”ผมทำหน้าเลิกลั่กออกมาก่อนจะมองซ้ายมองขวา และเห็นพี่ รปภ.ตรงป้อมกำลังนั่งกินปาท่องโก๋อยู่พอดี
“เอ่อ จะไปหารัยกิน”ผมเอ่ยพร้อมเดินออกไป แต่กลับถูกอีตาลุงดึงแขนไว้
“ไปด้วยสิ”ผมทำหน้าเบื่อหน่ายออกมาก่อนจะสะบัดมือออกและเดินนำไปที่ร้านโจ๊กด้านหน้าคอนโด
ผมกับตาลุงนั่งทานโจ๊กกันไม่นานนัก ผมเป็นพวกกินเร็ว อิ่มเร็ว ผมวางช้อนทำท่าจะจ่ายเงินให้พ่อค้าเสียงของคนตรงหน้าผมเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องจ่ายหรอก เดี๋ยวพี่จ่ายเอง”
“ไม่ต้อง กินเองก็จ่ายเองได้ครับ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะส่งเงินให้กับพ่อค้าก่อนจะเดินออกไป
“น้องบลูรอพี่ด้วยสิครับ”ผมเองก็ไม่ได้สนใจ น่ารำคาญชะมัดเลยผมคิดแต่ก็ไม่ได้หยุดรอเขา
“ที่รักครับ รอเค้าด้วย”
เอี๊ยดดดดดดดด
“ใครที่รักคุณ”ผมเบรกเท้าทันทีก่อนจะหันไปแว๊ดใส่เขาอย่างลืมตัวก่อนจะหน้าแดงออกมา
“อ้าว ไม่ใช่หรอกหรอ ขอโทษทีลืมไปเลยว่าน้องบลูเคยบอกว่าไม่ชอบผู้ชายนี่นา”โอ๊ยหน้าตายียวนกวนตีนเหลือเกิน ผมโมโหสุดๆก่อนจะตรงเข้าไปหวังจะแค่ผลักเขาแต่ถนนเมืองไทยทำไมทำออกมาไม่เท่าว่ะ เท้าผมกลับสะดุดพื้นถนนและพาตัวเองไปสู่อ้อมอกของอีตาลุง
หมับ
“โอ๊ะ.…”
ฟอดดดดดด
“แก้มหอมจัง”ผมตาโตทันที และพยายามสะบัดตัวเองออกจากอ้อมกอดของเขา
“คุณมันบ้า”ผมพูดแค่นี้ก่อนจะเดินออกไป เขาก็วิ่งเขามาคว้ามือผม
“เดี๋ยวสิ รถอยู่ทางนี้”ผมหน้าแดง หูแดงไปหมดแล้ว อายแสนอายคนเยอะแยะเดินไปเดินมา จนผมเองทำตัวไม่ถูกแล้วตอนนี้ ทำได้เพียงนั่งนิ่งๆให้เขาเป็นคนขับรถไป ก็แค่นั้น ผมจะเจออะไรกับผู้ชายคนนี้อีกไหมเนี้ย และเพื่อที่เขาจะไม่ต้องไปยุ่งกับหนูพิ้งค์ผมก็ต้องกันเขาแบบนี้เรื่อยๆหรือไง
……………….
"ช่วยน้องแต่ทำไมลำบากเรา"
-
พี่เก้า รุกไวมากๆๆๆ เขาว่าอนาคตเข้าชมรมคนติดเมีย อิอิ
-
ตอนแรกก็ตามติดน่าดู ..
-
Blue Lyrics 2: อยากกวน (นพเก้า xนาคิม)
นพเก้า พาร์ท
ผมชื่อ นพเก้า นิโสรมย์ อายุปีนี้ก็ 28 ปีแล้ว ผมทำงานเป็นนักตกแต่ง แต่ถามว่าจบสถาปัตย์หรือมัฑณาศิลป์ไหม ไม่เลยอาศัยความชอบและความสามารถพิเศษของตัวเองล้วนๆ และก็ถามว่าทำไมยังไม่แต่งงาน ตอบตรงนี้เลยว่าผมไม่ชอบการผูกมัด ไม่ชอบความจำเจ ผมชอบที่จะเป็นหนุ่มเจ้าสำราญแบบนี้ เจอใครถูกใจก็จีบ ถ้าใช่ก็จบกันเพียงแค่นั้น แต่ถามว่าบางครั้งผมเหงาบ้างไหม มันก็มีบ้างที่ผมรู้สึกเหงาทำให้ผมต้องออกเที่ยวกลางคืนแทบทุกวัน มีคู่นอนแทบไม่ซ้ำหน้า แต่ไม่ต้องห่วงผมเป็นครู้จักป้องกันและรู้จัดพอ
ผมเป็นอาจารย์พิเศษสอนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง วันแรกที่มารายงานตัวเข้าเป็นอาจารย์ ผมจอดรถข้างๆกับรถบีเอมสีขาวคันสวยกะว่าคนที่เดินลงรถมาต้องเป็นสาวสวย นักศึกษากระโปรงสั้นๆเสื้อฟิดๆแน่ๆเลย แต่ผมกลับรู้สึกใจเต้นแรงเมื่อคนที่เดินลงรถมา คือผู้ชายผมสีทองหน่อยๆ ใบหน้าขาว ริมฝีปากแดงฉ่ำ ดวงตาหวาน รอยยิ้มก็หวานเมื่อเห็นเขากำลังยิ้มกับมือถือที่กำลังหนีอยู่
“ทำไมดูดีจังว่ะ”ผมเอ่ยกับตัวเอง ก่อนจะเห็นเขาขึ้นตึกไป
“แสดงว่าเรียนที่นี่”ผมเอ่ย หัวใจกลับเต้นแปลกๆกับผู้ชายด้วยกันเองหรอเนี้ย หรือผมเองจะเริ่มเหมือนเพื่อนรักผมแล้ว ที่ตอนนี้มันกำลังหลงรักผู้ชายด้วยกันถึงขนาดที่ให้ผมตกแต่งบ้านของมันใหม่ เพียงเพราะคนที่มันรักชอบสีเขียว
“นี่กูกำลังเป็นเหมือนไอ้กูรหรอว่ะ แต่ว่าผู้ชายคนเมื่อกี้น่ารักชะมัดเลย”ผมเอ่ยกับตัวเองก่อนจะเดินขึ้นตึกไปเพื่อรายงานตัว และเริ่มสอนอาทิตย์หน้า
หลังจากรายงานตัวเรียบร้อย ผมก็ยกมือถือหาเพื่อนรักเพื่อที่จะโทรหาไอ้กูรให้มาดูบ้านมันหน่อย มันปล่อยให้ผมตกแต่งจนเสร็จแถมจ่ายเงินผมเรียบร้อย ป่านนี้มันยังไม่เข้าไปดูบ้านมันเลย เอาแต่หลงเมีย ผมคิดแบบนั้น และวันนี้ผมเองก็นัดมันไปดูบ้านด้วยสิ
“กกเมียอยู่หรือไงว่ะ ไม่รับสายสักทีนะมึง”ผมเอ่ยบ่นเพื่อนเบาๆก่อนจะสอดตัวเขาไปนั่งในรถ สายตาก็มองไปยังรถคันสีขาวข้างๆ อยากเจอเจ้าของรถจังเลยว่ะ ผมคิดแบบนั้น ก่อนจะสนใจไอ้เสียงเพื่อนรักที่มันทักทายผมด้วยคำยินดีที่ว่า มีอะไรว่ะ มันน่าไหมเนี้ย
(“ว่าไงมึง มีอะไรว่ะ”) เสนาะหูกูเหลือเกิน รู้งี้ไม่รับปากเปลี่ยนสีบ้านให้ใหม่ซะเลยนี่ แก้แล้วก็แก้อีกเนี้ย
“ไอ้กูร มึงจะมาดูบ้านได้ยังว่ะ กูตกแต่งเสร็จตั้งแต่สามวันก่อนแล้วนะ และก็ได้เช็คแล้ว แต่แม่งมึงก็ไม่ยอมมาดูสักทีว่ะ ทีเมื่อก่อนเร่งกูจัง อยากให้เสร็จไวๆ แต่เสร็จแล้วมึงเสือกไม่มาดูนะ กูงานเยอะนะมึง ไหนจะต้องไปเป็นอาจารย์พิเศษอีก” ผมเอ่ยบอกมัน
(“เออๆ วันนี้กูกำลังจะเข้าไป มึงเองก็รอกูอย่างที่บ้านนั่นหล่ะ เดี๋ยวตามไป”)
“มึงจะพาแฟนมาให้กูรู้จักใช่ม่ะ”
(“เออ แล้วนี่มึงถึงบ้านกูยัง”)
“กำลังจะถึง”
(“กำลังจะถึง หรือกำลังจะออกจากบ้าน”)
“มึงนี่สมกับเป็นเพื่อนกูชะมัด เออๆกูกำลังจะออกจากบ้าน”
(“มึงรอกูแปบแล้วกัน เดี๋ยวเจอกัน”)
ผมวางสายจากไอ้กูรเสร็จก็นั่งอยู่ในรถสักพัก กะว่าเจ้าของรถสีขาวข้างๆอาจจะเดินกลับมาก็ได้ แต่รอเกือบห้านาทีผมก็ยังไม่เห็นวี่แวว สงสัยเรียนหรือเปล่านะ เพราะเท่าที่สังเกตคือเขาใส่เสื้อนักศึกษา น่าจะเป็นนักศึกษาอยู่แน่ๆ
“ไม่รอแล้วหล่ะ ถ้าคู่กันแล้วคงได้เจอกันนะครับน้องบีเอ็ม”ผมเอ่ยขึ้นกับตัวเองก่อนจะขับรถออกไป เพราะไอ้เพื่อนรักของผมมันกำลังโทรตามจิ๊กผมอย่างกับไก่แล้ว
ผมขับรถมาถึงที่บ้านริมคลองของเพื่อนรัก ผมมองไปยังบ้านหลังสีเขียวอย่างภูมิใจก่อนจะเห็นไอ้กูรมันโอบไหล่ผู้ชายอีกคนไว้ ผมรู้สึกว่าความรักมันมีอะไรที่เราต้องเรียนรู้อีกเยอะ ถ้าได้รักไม่ว่าเขาจะเป็นใครหรือเป็นเพศไหน ผมไม่เคยเห็นไอ้กูรมันยิ้มกว้างแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่เลิกกับแคทไป ผมเดินเข้าไปทักทั้งสองเพื่อขัดความหวานของทั้งคู่นิดหน่อย
“ไอ้กูร...”ผมเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา สายตาผมกลับมองเห็นใบหน้าของเพื่อไอ้กูร ผมกลับคิดถึงน้องบีเอ็มคนนั้นทันที โอ๊ยอยากให้น้องคนนั้นเป็นญาติของเมียไอ้กูรจัง
“ไอ้เก้า มาช้านักนะมึง เดี๋ยวก็หักเงินเลย และนี่คุณกรีนแฟนกูเอง และนี่ไอ้เก้าเพื่อนรักผมที่เล่าให้ฟังครับ”หักเงินก็ไม่ทันแล้วเพื่อรัก เพราะกูใช้จะหมดแล้ว ผมคิดก่อนจะยิ้มทักทายแฟนไอ้กูรที่มันแนะนำ
“หักอะไร แค่มึงเปลี่ยนใจกะทันหันกับสีบ้านนี่กูไม่คิดเงินเพิ่มก็บุญเท่าไหร่แล้ว ไอ้ห่านี่
“นี่ๆๆ มองอะไรเบอร์นั้น มองแทบจะแดกเมียกู”
“ไอ้ห่า มึงพูดอะไรให้เกียรติคุณกรีนด้วยดิ”
“เดี๋ยวๆ มึงมาด่ากูเพื่อ...”
“เพื่อคุณกรีนง่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณกรีน เห็นแต่ในทีวีว่าหล่อแล้วนะครับ แต่เห็นตัวจริงแล้วผมว่าไม่หล่อเลย”
“ไครหล่อก็ช่างแต่ผมว่าคุณ....”
“แต่คุณกรีนอ่ะ น่ารักมากกว่าหล่อเสียอีก เสียดายนะครับที่มาหลงไอ้เฒ่าแถวนี้”
“ไอ้ห่าปากดีนะมึง แล้วนี้กูจะเข้ามาอยู่ได้เลยใช่ม่ะ”
“อื้ม ได้เลย ว่าแต่มึงจะพาคุณกรีนมาอยู่อย่างลำบากกับบ้านไม้เก่าๆนี้หรอว่ะ”
“ผมชอบนะ ผมว่ามันเล็กๆน่าอยู่ดี ร่มรื่นมากด้วย ว่าแต่ทำไมตกแต่งเป็นสีนี้หมดหล่ะครับ มันดูกลืนไปกับต้นไม้ข้างนอกมากเลย”
“ก็ผมชอบสีเขียวนี่ครับ”
“ไอ้ตอแหล มึงชอบสีม่วงกูรู้ แล้วมึงชอบสีเขียวตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะ”
“ตั้งแต่ตอนที่เจอคุณกรีนนี่หล่ะ ทำไมหรอมึงจะทำไม”
“คุณจะอยู่ดื่มกับคุณเก้าก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมให้เจ้าบลูมารับ”
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวผมไปส่งคุณก่อนค่อยกลับมาก็ได้”
“โธ่ จะขับไปขับกลับทำไมกันครับ ผมเป็นห่วงนะ พอดีเจ้าบลูก็อยู่แถวนี้ด้วยผมเห็นพิกัด เดี๋ยวให้เจ้าบลูมารับก็ได้ครับ”
“เอางั้นหรอ”ผมยิ้มกับทั้งสอง ผมว่าน่ารักดีเท่าที่คบกับไอ้กูรมาผมไม่เคยเห็นมันเป็นมากขนาดนี้เลยนะ การได้รักใครสักคนมันช่างดีขนาดนี้เลยหรอ
“คุณเก้ายังไม่มีแฟนหรอครับ”ผมยกยิ้มออกมาก่อนจะโดนไอ้กูรมันดักทาง มันจะหวงอะไรของมันนักว่ะ
“แฮ่มมม ทำไมหรอ จะหาให้มันหรอไง บอกไว้ก่อนนะไอ้เก้าอ่ะมันเสือผู้หญิง”มึงมันเลว ขายเพื่อนชะมัด
“แล้วไงว่ะ มึงยังไม่รู้จักชีวิตที่มีรสชาติเว้ย กูอ่ะเป็นพวกหาประสบการณ์ไม่เหมือนมึงหรอกทั้งชีวิตก็คงมีคุณกรีนหล่ะมั้งเป็นคนที่สองที่มึงหยุด”ผมเอ่ยบอกไป ก่อนจะเอาคืนมันบ้าง
“คนที่สองหรอครับ แสดงว่ามีคนแรกใช่ไหมครับ”
“อ่อ นานแล้วครับ น่าจะห้าหกปีแล้วหล่ะ ตอนนี้มันก็มีแต่คุณนี่หล่ะ”ผมเอ่ยแก้ไป ไม่งั้นมันโดนเมียมันงอนแน่ๆ ก่อนที่จะหันไปทางหน้าบ้านเมื่อไอ้กูรมันเอ่ยขึ้น
“รถคุณบลูหรือเปล่าครับ”ผมมองตามรถบีเอ็มคันสีขาวที่จอดเทียบอยู่นอกรั้ว เห้ยโลกกลมไปไหนเนี้ย เพราะคนที่เดินลงมาตอนนี้คือน้องบีเอ็มคนนั้น ผมอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะคิดอะไรบางอย่างได้
ร่างสูงตัวขาว หน้าขาวปากแดงเดินเข้ามาพร้อมยกมือไหว้ทักทายไอ้กูรและคุณกรีน ก่อนจะหยุดอยู่ที่ผม สายตาหวานน่ารักชะมัดเลย ผมชักจะชอบแล้วสิ
“สวัสดีครับพี่กูร เฮีย แล้ววววว”
“อ๋อ นี่เพื่อสนิทพี่เองชื่อพี่เก้า คุณบลูน่าจะต้องเรียกพี่เก้าอ่ะ ถูกแล้ว”
“สวัสดีครับพี่เก้า…”เสียงก็เพราะ หน้าก็หวาน รูปร่างก็ดี โอ๊ยดูดีไปหมด ผมเหมือนตกอยู่ในมนต์ของผู้ชายด้วยกัน จนไอ้กูรมันตะโกนเรียกผม
“ไอ้เชี่ยเก้า น้องเขาสวัสดีมึงอ่ะ”
“อ่อ สวัสดีครับ”
“เฮียกลับกันเลยไหม”
ผมมองใบหน้าขาวนั้นอย่างต้องมนต์ โอ๊ยน่ารักจัง ฝันที่เป็นจริงจากบรีสจริงๆที่ผมได้เจอน้องอีกครั้ง และแถมน้องบีเอ็มเป็นนักศึกษาปีสี่ ถ้ายังนั้นเขาต้องเป็นนักศึกษาของผมนะสิ
“ไอ้กูร น้องเมียมึงมีแฟนยังว่ะ”ผมเอ่ยถามเพื่อนเมื่อผมกับไอ้กูรยังคงนั่งดื่มกันต่อ
“ทำไมว่ะ”มันถามผม ผมยิ้มออกมาอย่างมีอะไรบางอย่างจนมันเองรีบพูดขึ้น
“ไอ้ห่า อย่าแม้แต่จะคิดนะ อย่ายุ่งกับน้องเมียกูนะมึง”
“ทำไม มึงจะเก็บไว้เคลมเองหรือไง”ผมรีบสวนมันทันที ถ้าจริงผมจะต่อยปากมันตรงนี้หล่ะ
“ไอ้เลวคิดเรื่องอุบาทว์ กูอ่ะรักคุณกรีนยิ่งกว่าอะไร ที่บอกคือไม่อยากให้มึงไปเล่นๆกับคุณบลูเขาแค่นั้นเอง”
“กูไม่ได้เล่นๆนะมึง กูว่ากูชอบน้องเมียมึงว่ะ”เรื่องจริง ผมว่าผมชอบน้องเมียไอ้กูรจริงๆ เพราะไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ดูดีไปหมด
“อย่ามาตอแหล ครั้งที่แล้วมึงก็บอกแบบนี้ตอนที่เจอกับน้องหวาน แล้วเป็นง่ะ ไม่ถึงเดือนมึงก็ทิ้งเขา”กูต่างหากที่ถูกทิ้งป่ะ ก็น้องมันไม่ชอบกูที่กูจนง่ะ แต่กูจะบอกมึงตรงๆว่ากูโดนทิ้งก็กลัวมึงล้อกูง่ะ
“นั้นมันนานมาแล้ว แต่นี่กูสัญญาว่ากูจะดูแลน้องเมียอย่างดีเลย มึงช่วยกูจีบน้องบลูหน่อยสิ นะชยางกูรเพื่อนเลิฟ”สัญญาจริงๆนะเพื่อนรัก ผมทำหน้าตาอ้อนวอนสุดๆแต่ไอ้เพื่อนเวรกลับยกเท้าให้ผมอย่างใจดำ
“นี่อะไร กูจะถีบมึงลงเก้าอี้ อย่างกูเนี้ยจะช่วยมึงจีบคุณบลู ฝันไปเถอะมึง”ผมทรุดตัวลงเกาะแข้งเกาะขาเพื่อนรักก่อนจะเอาหน้าถูไถไปมาที่ขาของมัน
“นะๆชยางกูรเพื่อนรัก ถ้ามึงช่วยกู กูสัญญาว่ากูจะไม่เอาเรื่องที่มึงเคยบอกว่าคุณกรีนเป็นนายแบบเรื่องมาก เอาแต่ใจและเป็นคนที่ไม่เอาไหน....”
อุ๊ป...
“ไอ้เลว เล่นแบบนี้เลยหรอมึง”มือเค็มๆของมันปิดที่ปากผมก่อนที่มันจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อ ช่วยก็ช่วย วันศุกร์นี้กูจะขึ้นบ้านใหม่และครอบครัวคุณกรีนก็มาทั้งบ้าน ถ้ามึงอยากจะทำคะแนนมึงต้องเข้าหาคุณแบล็ค...”
“คุณแบล็คหรอก ใครว่ะ พ่อน้องบลูหรอ”
“ไอ้ห่านี่ พ่อบ้านมึงดิ พี่ชายคนโตเว้ย คนนี้ฟันธงได้ทุกอย่างเว้ย เข้าหาเขารับรองมึงได้น้องเขาเหมือนกูง่ะ ฮ่าๆๆ”มึงหัวเราะได้โจรมากไอ้เพื่อนรัก ผมยกยิ้มออกมาอย่างมีแผนการ
++++++++++
คืนวันศุกร์ที่ผมรอคอยก็มาถึง เพราะนับตั้งแต่วันนั้นที่เจอน้องบลู ผมเองก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลยเกือบสองวันแล้วเนี้ย และวันนี้ผมเองก็ได้เจอเขา และก็ได้เจอครอบครัวของเขาทำไมน่ารักอย่างนี้นะ
“คุณเก้านี่เก่งนะครับ ไม่ได้เรียนด้านมัณฑนาฯมาก่อน แต่สามารถตกแต่งได้สวยงามมาก”
“คุณอนาคินก็ชมเกินไปครับ เมื่อตอนเด็กๆผมชอบและสนใจเรียนและเขียนแบบมาก แต่เพราะสอบไม่ติดเลยมาเรียนนิเทศฯ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความฝันนะครับ ก็ยังเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ก็พอทำได้บ้าง”
“ถ่อมตัวนะครับ แต่เห็นคุณบอกว่าชอบการเขียนแบบ งั้นดีเลยเจ้าบลูเราเรียน Interior Design แถมจะจบแล้วนี่เรา ไปเรียนรู้กับคุณเก้าไหม”
“ไม่เป็นไรเฮีย เค้า...”
“เจ้าเก้าเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยเดียวกับคุณบลูด้วยนะครับ ปรึกษาได้เลยนะ”ขอบใจเพื่อนรักมาก ผมยิ้มกว้างออกมาแต่ใบหน้าขาวกลับเฉยๆ
“จริงหรอครับ งั้นตามนั้นเลยเจ้าบลู”พี่ชายของเขาที่เป็นหมอเอ่ยขึ้น ผมเองยังไม่หุบยิ้มเพราะกำลังดีใจที่ครอบครัวของน้องบลูกำลังตอนรับผมอย่างดี และดีมาที่สุด
ผมพยายามที่จะเดินตามและนั่งใกล้เขา แต่ท่าทางเขาเป็นคนที่โลกส่วนตัวจะสูง เพราะเขาชอบที่นั่งนิ่งๆฟังพี่ๆพูดมากกว่า ไม่เหมือนคนตัวเล็กรูปร่างยังกับผู้หญิงที่กำลังจ้ออยู่ไม่หยุดปาก
“เฮียบลู ตักไข่เจียวให้หน่อย”เสียงหว๊านหวานของน้องคนเล็กที่ใครๆก็เรียกหนูพิ้งค์
“เดี๋ยวพี่ตักให้นะครับ”เสนอนิดหนึ่งจะได้มีแนวร่วมเพิ่มอีกคน ผมกำลังจะตักไข่เจียวให้หนูพิ้งค์อยู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ผมตักให้น้องผมเอง”ผมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง ไม่รู้จักนพเก้าซะแล้ว แบบนี้ก็ง่ายหล่ะสิ ผมคิด
นับจากที่นั่งทานอาหาร จนนั่งจิบกาแฟเรื่อยๆผมเองก็ขอตัวกลับ เพราะอยากให้เจ้าของบ้านได้พักผ่อน และอีกอย่างครอบครัวของน้องบลูก็ขอตัวกลับเช่นกัน ผมจึงหันทางหนูพิ้งค์และเอ่ยขึ้น
“พี่กลับก่อนนะ หนูพิ้งค์จะกลับยังไครับเห็นคุณอนาคินและคุณหมอขับรถไปแล้ว”ก็จริงนะ ทั้งสองมีแฟนแล้ว ต่างคนต่างพากันกลับ
“หนูพิ้งค์ กลับบ้านเจ้าเลิฟรออยู่ที่รถแล้ว”ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อเสียงไม่ลื่นหูของคนที่ตะโกนออกมานั้น ผมจึงเดินเข้าไปหาหนูพิ้งค์พร้อมร่างสูงหน้าขาวนั้นเดินเข้ามา
“ตามนั้นเลยครับ เดี๋ยวหนูพิ้งค์เดินไปส่งนะครับ”โอ๊ยน่ารักชะมัด แต่ผมอยากจะจีบพี่ชายหนูพิ้งค์มากกว่า
“งั้นเราเดินไปพร้อมกันที่หน้าบ้านเนอะ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปยังหน้าบ้าน
"ขอบคุณมากนะครับที่มาส่งพี่"
"ไม่เป็นไรครับ เพราะยังไงหนูพิ้งค์ก็กลับกับเฮียบลูอยู่แล้ว ว่างไปเที่ยวที่บ้านได้นะครับ"
"ได้ครับ น้องพิ้งค์น่ารักจัง"
"หนูพิ้งค์ ขึ้นรถได้แล้ว และรีบลาคุณลุงเก้าด้วย"เสียงบลูเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
"ลุงเลยหรอ เจ้าเด็กบ้านี่"โอ๊ยอยากจับตีก้นจริงๆ ลุงที่ไหนจะหล่อขนาดนี้นะ เดี๋ยวเหอะจะทำให้เรียกพี่ไม่หยุดเลย
"ถ้าคุณจะจีบหนูพิ้งค์ ผมจะบอกอะไรให้นะครับว่าน้องผมยังเล็กอยู่"
"งั้นจีบคุณได้ไหมหล่ะ ในเมื่อคุณก็จะจบมหาวิทยาลัยแล้วนี่ ไม่น่าจะเล็กนะ"
"ฝันไปเถอะครับ เพราะผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ถึงชอบก็ไม่ได้ชอบผู้ชายแก่ๆ"
"ไม่ชอบผู้ชายหรอ แถมแก่ด้วย เอาสิคอยดูสักตั้งพ่อหนุ่มน้อย สีฟ้า"ผมชี้หน้าเขาผ่านกระจกมองหลังถ้าเขามองมา เอาสิเจอคนแก่สักครั้งสองครั้งรับรองจะไม่พูดแบบนี้แน่
ผมขับรถมาเรื่อยๆ ในมือกำลังกดส่งข้อความไปยังใครคนหนึ่งที่ผมเพิ่งอ้อนวอนเพื่อนรักเพื่อแลกกับการที่ไม่ให้ผมบอกคุณกรีนว่าเมื่อก่อนมันนินทาเมียตัวเองมากแค่ไหน
นพเก้า : ขับรถดีๆนะครับ เป็นห่วง
บลู : ใครอ่ะ
นพเก้า : คนที่ห่วงใย แค่คนมีใจที่ห่วงคุณ
บลู : ถามว่าใคร
นพเก้า : ไม่ต้องรู้ว่าผมเป็นใคร แค่รู้ว่าในใจผมมีแค่คุณ
บลู : โรคจิตใช่ไหม ถ้าใช่ผมแจ้งตำรวจนะ
นพเก้า : พี่เก้าเองนะครับน้องบลูผู้น่ารัก
บลู : เอาไลน์มาจากไหน
นพเก้า : ไลน์ได้มาจากไหนไม่จำเป็น ตอนนี้แค่รู้ว่าห่วงใยก็พอ
บลู : ลุงถ้าจะมุขเสี่ยวขนาดนี้เป็นตลกดีไหม
นพเก้า : ไม่ดีอ่ะ พี่อยากเป็นแฟนน้องบลูอ่ะ ได้ม่ะ
บลู : ><
นพเก้า : ไม่ให้จีบน้องพิ้งค์ พี่จีบน้องบลูนะครับ
บลู : ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบผู้ชาย แถมเป็นคนแก่ด้วยยิ่งไม่ชอบ โปรดเข้าใจนะครับ
นพเก้า : ไม่อ่ะ
บลู : ไม่คุยด้วยแล้ว ผมขับรถอยู่ และไม่ต้องส่งข้อความมาอีกนะ เพราะถึงบ้านแล้วผมจะเข้านอนเลย
นพเก้า : โอเค ขับรถดีๆ ฝันดีนะครับที่รัก จุ๊บๆ อาบน้ำด้วยนะครับอย่ารีบเข้านอนทันที จุ๊บๆ
ผมวางมือถือลงพร้อมยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ อย่าคิดว่าผมบ้านะที่โดนน้องด่าแล้วผมยังยิ้ม เพราะผมคิดว่าผมกำลังทำให้เขาสนใจผมได้ระดับหนึ่งแล้ว ก่อนจะส่งข้อความไปให้เพื่อนรักของผม
//“ไอ้กูร พรุ่งนี้พิกัดบ้านว่าที่เมียให้กูหน่อย”//
..................................
"ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก"
-
:L2: :pig4:
-
ตื้อกับด้านใกล้เคียงกัน อิอิ
-
ตามติดเลย ...
-
Blue Lyrics 3 : จูบ (นพเก้า xนาคิน)
[/size]
นาคิน พาร์ท
เกลียดไอ้คนตรงหน้านักตอนนี้ จะก่อกวนผมไปไหนนะ เกือบสามเดือนแล้วที่ผมได้มีโอกาสได้พบกับไอ้ผู้ชายจอมกวนคนนี้ วันนี้วันศุกร์ครอบครัวเราจะต้องมาทานข้าวพร้อมหน้าตา แม้ว่าเฮียเกร์ยและน้องรอยด์จะอยู่เมืองนอกแต่เราก็มีซ้อใหญ่และคุณซี ตอนนี้ก็มีคุณกูรมาร่วมโต๊ะด้วย ทำให้ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่มาก แต่จะมีแค่อีตาลุงกาฝากนี่หล่ะที่มานั่งเป็นส่วนเกินตอนนี้
“ทานเยอะๆนะครับคุณเก้า”เสียงหวานซ้อใหญ่เอ่ยเชิญ ดูท่าทางบ้านผมจะชอบอีตาลุงนี่มาก เข้ากับใครได้ทุกคน
“ขอบคุณมากนะครับที่เชิญผมทานอาหารเย็นวันนี้ด้วย”น่าไม่อายจริงๆ ตัวเองเสนอตัวมาเองนี่
“ใครเชิญ”ผมเอ่ยขึ้นเบาๆแต่ก็น่าจะดังพอที่เฮียกรีนจะได้ยิน
“พูดอะไรเนี้ย”
“ก็มันจริงนี่ครับ ตัวเองเสนอตัวมาเองอ่ะ”ผมเอ่ยกับเฮียกรีนจนพี่หมอเอ่ยขึ้น
“ไม่น่ารักเลยนะเจ้าบลู ขอโทษคุณเก้าซะ”กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยไหมหล่ะ พี่หมอนะพี่หมอพูดซะดังเชียว
“ขอโทษทำไมครับ ก็เสนอตัวมาเองไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบ้านนี้เลยนี่”ผมเอ่ยขึ้นอย่างโมโหเมื่ออีตาลุงทำหน้าตาสลดจนน่าเอ็นดู
“ขอโทษอาจารย์ซะ เฮียไม่เคยสอนให้พูดแบบนี้ไม่ใช่หรอ”เฮียแบล็คเอ่ยดุผมและผมก็ต้องแพ้ให้กับไอ้คนตรงหน้าที่ทำหน้าตาตอแหลใส่ผม
“ขอโทษครับ”ผมเอ่ยก่อนจะยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรครับ คุณบลูยังเด็กอยู่ผมไม่ถือหรอกครับ”โอ๊ย พระเอกไปไหน ผมจ้องหน้าเขาอย่างโมโห แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่จ้องใบหน้านั้นแต่สายตาที่มองกลับมาทำเอาผมเองที่รู้สึกร้อนวาบไปหมด และผมเองก็แพ้เขาอีกครั้งผมหลบสายตานั้นทันที
เราทั้งหมดยังคงนั่งทานอาหารต่อไปเรื่อยๆ คู่ใครก็คู่มันสินะ ผมคิดเมื่อบรรดาเฮียๆของผมหวานไม่เกรงใจของหวานที่กำลังจะมาขึ้นโต๊ะเลยตอนนี้
“เฮียแบล็ค วันอังคารนี้หนูพิ้งค์ต้องไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆที่คณะ เฮียอนุญาตไหมอ่า”เสียงของหนูพิ้งค์เอ่ยขออนุญาต นี่คือบ้านของผม ครอบครัวของผมเราเคารพเฮียเสมอแม้เราอาจจะมีโลกส่วนตัวบ้างแต่เฮียแบล็คก็ต้องมาก่อนเสมอ
“ไปที่ไหน กี่วัน”เสียงเรียบๆของเฮียเอ่ยถาม
“ไปกระบี่ ไปสามวันครับ”
“แล้วเลิฟไปด้วยไหม”เฮียเอ่ยถามอีกครั้ง เลิฟคือหลานป้าลิน ที่โตมาพร้อมหนูพิ้งค์ เกิดวันเดียว ปีเดียวกัน ทำให้ทั้งสองจะสนิทกันมาก
“ไม่รู้สิ”เสียงหนูพิ้งค์เอ่ยสั้นๆ ก่อนจะนั่งทานอาหารต่อไป ผมเองสังเกตเห็นน้องชายผมเศร้าไป คืนนี้ต้องเข้าไปคุยด้วยสักหน่อย
“หรอ ถ้าเลิฟไม่ไปเฮียไม่ไห้ไปได้ไหม”
“เฮีย เค้ากับเลิฟมันคนละคนกันนะ เลิฟเขาอาจจะอยากมีเวลาของตัวเองบ้างก็ได้ไม่จำเป็นต้องมาตามเค้าหรอก”เสียงหนูพิ้งค์ดังขึ้นเล็กน้อย
“เฮียไม่อยากให้…”ยังไม่ทันที่เฮียแบล็คจะเอ่ยต่อ เสียงนุ่มของคนตรงหน้าผมก็เอ่ยขึ้น
“เอางี้ครับคุณแบล็ค เดี๋ยวผมไปด้วยก็ได้ พอดีว่าคณะของหนูพิ้งค์เองผมก็รู้จักอาจารย์ที่นั่นอยู่บ้าง เดี๋ยวผมช่วยดูแลหนูพิ้งค์ให้ครับ”ผมเงยหน้ามองอีตาลุง อาหล่ะสิผมจะไม่ยอมให้เขามีโอกาสอยู่กับหนูพิ้งค์แน่นอน
“ไม่ได้นะครับ”ผมเอ่ยขึ้นเสียงดัง จนโต๊ะอาหารหันนมองผม
“ทำไมจะไม่ได้หล่ะครับ หรือคุณบลูมีอะไร”ดูหน้าตายียวนกวนผมเหลือเกิน ผมมองหน้าเขาก่อนจะหันมองเฮียแบล็ค
“ก็อาจารย์บอกผมว่าอาจทิตย์นี้จะต้องเข้ามาแนะนำผมตลอดสัปดาห์ไม่ใช่หรอไง และอีกอย่างเรายังไม่ได้ถามเลิฟเลยว่าจะไปหรือไม่ไปนี่ครับ”ผมเอ่ยขึ้น ใบหน้าผมร้อนผ่าวไปหมดเมื่อไอ้คนตรงหน้ามันยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยจนผมนึกกลัว
“ใช่สิครับ เรายังไม่ได้ถามเลิฟเลยนะ และเชิญทุกคนไปที่ห้องนั่งเล่นดีกว่านะ”เสียงซ้อใหญ่เอ่ยขึ้น
“งั้นป้าลินเรียกเลิฟเข้าไปพบผมที่ห้องนั่งเล่นนะครับ”เฮีนแบล็คเอ่ยก่อนจะเอ่ยชวนทุกคนไปที่ห้องนั่งเล่น
“คะคุณท่าน”ป้าลินเอ่ยก่อนจะหลีกทางให้พวกเราเดินออกไป
เรานั่งอยู่ห้องนั่งเล่นไม่นาน เฮียกรีนและคุณกูรก็ขอตัวกลับเพราะพรุ่งนี้เฮียต้องไปถ่ายแบบแต่เช้า ส่วนพี่หมอกับคุณซีก็ขอตัวขึ้นห้อง หนูพิ้งค์ที่ไม่รู้เป็นอะไรเมื่อเลิฟบอกว่าเขาไปด้วยได้ก็ขอตัวขึ้นห้องไปทันที
“ผมว่าผมขอตัวก่อนดีกว่า”อีตาลุงเอ่ยขึ้น
“น่าจะไปตั้งนานแล้ว”ผมเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว จนเฮียแบล็คหันมาดุผม
“เอาไว้คราวหน้ามาทานข้าวด้วยกันอีกนะครับ”ซ้อใหญ่ของผม ดีแสนดีจริงๆ
“ขอบคุณมากเลยนะครับ คุณแบล็คนี่โชคดีนะครับที่มีคุณนิลเป็นภรรยา ทั้งอ่อนหวานและก็ทำอาหารอร่อยด้วย สำคัญเลยน่ารักด้วยสิ”ไอ้ขี้หลีผมคิดในใจ
“ชมเกินไปแล้วครับ”ซ้อใหญ่ผมก็น่ารักจริงอ่ะ ดูเฮียจะยิ้มภูมิใจนักก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ใช่สิ คุณเก้ามากับเจ้าบลูนี่นะ งั้นเจ้าบลูไปส่งอาจารย์ก่อนดีไหม”
“ห๊า…เฮียว่าอะไรนะ”ผมหันไปถามเฮียอย่างตกใจ ผมลืมไปเลยว่าอีตาลุงจอมหน้าด้านเขาโดขึ้นรถผมมาโดยไม่สนใจคำบ่นของผมเลยสักนิด เพื่อที่จะมาทานข้าวที่บ้านผม
“จะตกใจอะไรขนาดนั้น เฮียแค่บอกให้แกไปส่งอาจารย์หน่อย”
“เฮีย นี่มันสี่ทุ่มแล้วนะ จะให้น้องชายสุดที่รักขับรถกลางคืนอีกหรอ”ผมเอ่ยขึ้น
“แล้วจะให้คุณเก้ากลับยังไงหล่ะ”
“อยากมาเองก็กลับเองได้ดิ”ผมเอ่ยขึ้นแต่กลับถูกเฮียทำหน้าดุใส่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่กลับเองก็ได้”พระเอกอีกแล้ว นี่ผมกลับเป็นคนใจร้ายไปแล้วหรอเนี้ย
“งั้นคืนนี้นอนที่นี่ก็ได้ครับ เดี๋ยวให้คนจัดห้องไห้”
“เฮียยยย”ผมเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ก็เฮียไม่น่าให้ท้ายอีตาลุงนี้เพื่ออะไร
“อะไร นี่แกดุเฮียหรอ”โอ๊ย นี่คือพี่ชายผมหรือพี่ชายอีตาลุงกันแน่ว่ะ
“เปล่าสักหน่อย ก็ได้เดี๋ยวเค้าไปส่งอาจารย์เอง”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้นทำหน้างอๆ
“นี่สิถึงจะเป็นเจ้าบลูของเฮีย”
“ครับคุณเฮียของผม งั้นเค้านอนที่คอนโดเลยแล้วกัน”ผมเอ่ยพร้อมลุกขึ้นเดินออกไป
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ เอาไว้โอกาสหน้าผมจะมาฝากท้องอีก”น่าไม่อายอีตานี่ ผมหันมาตะโกนเรียกเขาเมื่อเอากุญแจมาเรียบร้อย
“จะกลับไหมครับอาจารย์ เกรงใจเจ้าของบ้านหน่อยสิ”ผมเอ่ยขึ้น เฮียหันมาทำหน้าดุใส่ผมก่อนที่ผมจะรีบเดินออกมาก่อน ไม่งั้นผมต้องโดนสวดยาวแน่ๆ
ด้วยความเร็วไม่มากนัก เมื่อรถกำลังวิ่งไปตามท้องถนน ที่จริงสี่ทุ่มสำหรับผมมันไม่ได้ดึกเลยสักนิด แต่ที่ผมไม่อยากออกมาก็เพราะไอ้คนที่นั่งมองผมตอนนี้ จะมองอะไรนักหนา
“มองถนนสิครับ จะมองอะไรผม”ผมเอ่ยถามเมื่อไฟเขียวขึ้น แต่อีตาลุงก็ยังมองผมอยู่
“ก็น้องบลูน่ามองกว่าถนนนี่”
“ผมยังไม่อยากเป็นอะไรไปหรอกนะ มองถนนโน้นไป”ผมเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญ
“หึ เวลาโมโหน่ารักชะมัดเลย”ผมหน้าร้อนวาบทันที อีตาลุงนี่มันปกติไหมว่ะอยากจะพูดอะไรก็พูด
“ปกติไหมเนี้ย ที่ชมผู้ชายน่ารักอ่ะ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรอไง”ผมเอ่ยถามตรงๆ จนตอนนี้ผมเองก็ยังคิดว่าอีตาลุงนี้คงไม่คิดอะไรกับผมหรอกคงแค่อยากจะกวนผมมากกว่า
“ปกติดิ ก็น้องบลูน่ารักจริงๆนี่”โอ๊ยอยากจะบ้าตาย ผมปวดหัวกับอีตานี่จริงๆเมื่อไหร่จะถึงบ้านเขาสักทีนะ
ระหว่างที่ผมยังคงเภาวนาให้ถึงบ้านของเขาเร็วๆ เสียงฟ้าที่กำลังส่งเสียงคำรามบ่งบอกว่ากำลังจะส่งสายน้ำชุ่มฉ่ำลงมาอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านั้น ใจผมกำลังคิดว่าอย่าตกนะ ถ้าตกเมื่อไหร่ผมลำบากแน่
ครื้นนนนนน
“ฝนกำลังจะตก…”ผมไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรต่อ ผมจึงรีบสวนขึ้นทันที
“ก็รีบๆเร่งเครื่องดิครับ จะได้ถึงไวๆ”
“น้องบลูรู้อะไรไหม ถนนในเมืองเขาพิกัดแค่หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงนะ ขืนพี่ขับเร็วกว่านี้ตำรวจจับพี่แล้วจะว่ายังไงหล่ะ”ผมหันมองคนขับทันทีอย่างขัดใจ
“ก็ไม่ว่าไง เดี๋ยวไปเยี่ยมส่งข้าวผัด โอเลี้ยงด้วย”ผมเอ่ยไปส่งๆ
“โถ่ๆ คนสวยมักใจร้ายจริงๆเลย”โอ๊ยปวดกระบาลกับอีตานี่จริงๆ เขาไม่พูดเปล่าก็ยังคงขับรถแค่ห้าสิบหกสิบอยู่จนผมเองโมโหคว้ามือเขาที่พวงมาลัยเพื่อจะให้หักเข้าข้างทาง
“อ๊ะ…จะทำอะไรอ่ะ”เขาดูตกใจเล็กหน่อย
“ก็เลี้ยวรถเข้าข้างทางดิ เดี๋ยวผมขับเองขืนคุณขับต่อ ฝนตกแน่ๆ”ผมเอ่ยขึ้น
“ไม่ทันแล้วมั้ง น้องบลูมองไปข้างหน้าสิ ฝนลงเม็ดแล้ว”อีตาบ้านี่ทำไมต้องยิ้มได้น่าเกลียดขนาดนี้ว่ะ
“งั้นก็ขับไปสิ”ผมเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดใจ รอยยิ้มของคนข้างๆมันทำให้ผมกลับขนลุก
ฝนที่กระหน่ำลงอย่างแรงตอนนี้ แทบจะทำให้รถขับไปเร็วมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมนั่งทำหน้าบึ้งหันมองไปยังนอกหน้าต่างรถ กระจกที่ด้านนอกเกาะไปด้วยหยดน้ำฝนทำให้ผมกลับคิดถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา
“ตอนนี้คุณจะมองเห็นผมไหม”ผมเอ่ยขึ้นเบาๆจะกระชับอ้อมกอดไว้ด้วยความหนาว
“ห่มหน่อยนะ เดี๋ยวไม่สบาย”ผมตกใจเล็กน้อยเมื่อคนข้างๆยกเสื้อคลุมมาคลุมให้ผมแต่ผมกลับดึงมันออกและยื่นให้เขาคืน
“ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้บอบบางขนาดนั้น และเมื่อไหร่จะถึงบ้านคุณสักทีเนี้ย”ผมเอ่ยขึ้น แต่เขาก็กลับจับเสื้อมาโยนให้ผม
“อีกนิดเดียว และก็ห่มซะ”อยู่ๆเขาก็เสียงแข็งใส่ผม ท่าทางจะวัยทองหล่ะมั้ง
“ไม่ต้องหรอก ผมไม่...”
“ห่ม...บอกให้ห่มก็ห่มไปเถอะ”สั้นๆแต่น้ำเสียงกลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
ผมเงียบปากตลอดทาง อีตาลุงจอมกวนก็เงียบไปเช่นกัน ผมปรายตามองไปยังคนข้างๆเล็กน้อยแต่เห็นเขาคงนิ่งๆ กูทำอะไรผิดว่ะ ผมคิดในใจก่อนจะแกล้งหลับตาเมื่อเห็นเขาหันมามองผมก่อนจะหันไปขับรถต่อ
“ถึงแล้วบอกด้วยแล้วกัน ถ้าจะคลานขนาดนี้”ผมเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังหลับตาอยู่ อากาศเย็นๆ เพลงเบาๆ ฝนตกปรอยๆแบบนี้ โอ๊ยบรรยากาศจะชวนเสียตัวไปไหน อุ๊ต๊ะ...ผมคิดถึงเรื่องเสียตัวหรอเนี้ย ไม่นะผมจะคิดแบบนั้นไม่ได้ เพราะผมกำลังคิดถึงกลิ่นหอมๆของเจ้าของเสื้อนี้
นานเท่าไหร่ผมไม่รู้หรอกรู้ได้เพียงว่าผมหลับสบายมากเหมือนได้นอนเต็มอิ่มยังไงไม่รู้ หลังของผมเหมือนอยู่บนที่นอนแสนนุ่มอยู่ตอนนี้
“อื้ออออ”เสียงครางในลำคอของผมเบาๆ เมื่อรู้สึกยุบยิบที่จมูก
“จิ๊...อื้ออออ”ผมยกมือปัดป่ายไปบนจมูกพร้อมพลิกตัวไปสวมกอดหมอนข้าง
หมับ!
อึก...
เฮ้ย...เดี๋ยวนะ ผมไม่เคยมีหมอนข้างนี่ เพียงแค่คิดผมก็รีบลืมตาขึ้น แต่ก็ต้องรีบหลับตาลงทันทีเมื่อแสงที่กำลังสาดส่องเข้ามากระทบดวงตาของผม ยิ่งรู้สึกใจเต้นแรงเมื่อผมพอจะจับใจความอะไรได้ว่าสิ่งที่ผมเห็นเมื่อสักครู่มันไม่ใช่ความฝัน
“เชี่ย...เช้าแล้วหรอว่ะ”ผมสบถเบาๆ ทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ใจก็ยังคงเต้นแรงเรื่อยๆ คำถามมากมายที่มันอยู่ในหัวผมตอนนี้คือ กูมานอนที่นี่ได้ยังไง แล้วเมื่อคืนอีตาลุงทำอะไรกูไปหรือยัง และที่สำคัญกูเป็นอะไรของกูเนี้ยทำไมหน้าร้อนไปหมด
“ใช่ เช้าแล้ว”เสียงเอ่ยข้างหู มันใกล้ไปไหมผมรีบลืมตาและหันไปมองเจ้าของเสียงที่ตอนนี้โน้มใบหน้าลงมา สองแขนกำลังคร่อมผมไว้อยู่
“เฮ้ย! คุณจะทำอะไรอ่ะ”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมผลักเขาออกห่างทันที โอ๊ยไปไหนไม่ถูกเลยกู หน้าร้อนไปหมดแล้ว
“ไม่ได้ทำอะไร แต่มาปลุกให้มาทานอาหารเช้าครับ”ไม่พูดเปล่าผมเห็นเขาถือถาดอาหารเช้ามาทางที่เตียงนอน
“คุณจะบ้าหรอไง นี่มันที่นอนนะ”ผมเอ่ยโวยขึ้นทันทีแต่อีตาลุงนี่กลับหัวเราะออกมา
“หึๆๆ แล้วไง ที่นอนก็กินได้ป่ะ”
“คนแก่เอาแต่ใจตัวเองชะมัด”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะก้มมองอาหารเช้าตรงหน้า โอ๊ยอีตาทะลึ่งทำไมทำไส้กรอกและไข่ดาวออกมาแบบนี่เนี้ย
“แล้วไง ไม่ใช่แค่เอาแต่ใจตัวเองนะ เอาใจคนที่ชอบด้วยจะบอกให้”
“แหวะ...จะอ๊วก”
“ทำไมหรอ แค่นอนด้วยกันคืนเดียวท้องแล้วหรอเนี้ย”ผมรีบหันขวับไปมองอีตาลุงทันที
“ท้องอะไร จะบ้าหรอไง...หลีกครับผมจะเข้าห้องน้ำ”ผมเอ่ยขึ้นพยายามใช้มือดันเขาออกแต่เขากลับดันตัวเขาไว้ก่อนจะก้มหน้ากระซิบบอกผม
“จะรีบไปไหนหล่ะ ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลย”ใบหน้าลุงใกล้กูมากไปแล้วนะ อีกนิดเรียกจูบเลยนะมึง โอ๊ยอยากจะบ้าตาย
“ไปล้างหน้า แปรงฟัน หรือจะให้ผมกินทั้งๆที่ยังไม่ได้แปรงฟันหรอไง”ผมเอ่ยขึ้นทำให้เขายอมปล่อยผมเข้าห้องน้ำไป ไม่รู้ว่าผมทำไมยอมให้อีตาลุงมีอำนาจกับตัวเองขนาดนี้ คือผมกำลังใจเต้นแรงเมื่อเห็นแปรงสีฟันอีกอันถูกบีบยาสีฟันเรียบร้อย
“เพื่อหนูพิ้งค์ เฮียยอม เพราะเฮียไม่ให้หนูพิ้งค์เจอคนแบบนี้แน่นอน”ผมเอ่ยกับตัวเองในกระจกก่อนจะล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย
ผมเดินออกจากห้องน้ำก็ไม่พบอีตาลุงนั่นแล้ว ที่นอนถูกเก็บเรียบร้อย ผมค่อยๆเปิดประตูห้องเพื่อจะเดินออกไปข้างนอก เขาอยู่บ้านหรอ ผมคิดว่าเขาอยู่คอนโดซะอีก ผมเดินลงมาจากชั้นบน บ้านแม้จะหลังไม่ใหญ่มากแต่ก็ไม่เล็กจนเกินไปผมพยายามสำรวจตั้งแต่บันไดจนถึงห้องรับแขก ไม่เห็นจะมีรูปถ่ายของเขาเลย หรือแม้ของใครเลย มีแต่รูปวาดที่ติดตามฝาผนัง
“อ้าว ลงมาแล้วหรอ มาทานอาหารเช้ากันสิ”
“ผมว่าผมกลับดีกว่า สายแล้วและอีกอย่างผมไม่กินข้าวเช้า”ผมเอ่ยพร้อมมองหากุญแจรถของตัวเอง
“กุญแจรถผมอยู่ไหนครับ”
“ทานข้าวกันเถอะ”โอ๊ย ไม่สนใจที่กูพูดเลยหรอไง ผมถูกฉุดให้เดินไปที่โต๊ะอาหารก่อนจะถูกบังคับให้นั่งลง
“ทานอาหารกันก่อนนะ แล้วจะคืนกุญแจให้”ผมทำหน้าหงิกออกมา ตาแก่นี่เจ้าเล่ห์นักนะ
“คุณมันเจ้าเล่ห์ ยังไงผมไม่ยอมให้คุณจีบหนูพิ้งค์หรอกนะ”
“หรอ ไม่ยอมให้จีบหนูพิ้งค์ งั้นพี่จีบน้องบลูได้นะ”ครั้งที่ร้อยแล้วมั้งไอ้คำว่าจะจีบผมเนี้ย
“ไม่ได้เหมือนกัน คุณนี่ท่าทางจะผิดปกติมากเนอะ ผู้ชายเหมือนๆกันทำไมถึงชอบนักนะ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะตักอาหารเช้าเข้าปาก
“ความรักไม่มีหรอกที่เรียกว่าผิดปกติ ขึ้นชื่อว่าความรัก ถ้าได้รักแม้จะผิดแปลกแค่ไหน ถ้าได้รักก็ถือว่าไม่แปลก”ผมนิ่งไปทันทีกับคำพูดของเขา ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกถึงความรักแบบนี้หรอกนะ ผมรู้สึกเพราะผมเคยผ่านแบบนี้มาครั้งหนึ่งแต่มันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทำให้ผมเจ็บปวดมากจนเข็ดเรื่องความรัก
“เมื่อคืนพี่ได้ยินน้องบลูพูดถึงใครหรอ”อยู่ๆเขาก็ถามผม น้ำเสียงแปลกๆที่ดูมันจริงจังนัก
“ใคร พูดถึงใครหรอ”ผมเอ่ยขึ้นถาม
“ตอนนี้คุณจะมองเห็นผมไหม ประโยคนี้อ่ะที่เมื่อคืนน้องบลูพูดออกมา เขาเป็นใครหรอ”ผมวางช้อนและส้อมลงทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมอิ่มแล้ว และนี่ก็สายมากด้วยผมขอกลับบ้านก่อนนะครับ และขอกุญแจผมด้วย”ผมเอ่ยขึ้นนิ่งๆพร้อมยื่นมือขอกุญแจจากเขา
“เขาคนนั้นเป็นใคร เขาสำคัญกับน้องบลูมากเลยหรอ”น้ำเสียงเหมือนต้องการคำตอบมาก
“เรื่องส่วนตัวครับ ผมคงไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่นถูกต้องไหมครับ”ผมเห็นสีหน้าเขาเสียเล็กน้อย หรือผมเองพูดแรงไป สีหน้าแบบนี้ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนหรอก แต่ผมไม่อยากให้ใครพูดถึงเรื่องของคนนั้นอีก ผมอยากให้เขาคือความทรงจำของผมมากกว่า
อ่อ...ครับ พี่คือคนอื่นแต่ที่พี่ถามก็เพราะพี่ชอบน้องบลูจริงๆนะ หลายเดือนที่พี่วอแวกับน้องบลู กวนใจน้องบลูเพียงเพราะพี่อยากอยู่ใกล้น้องบลู พี่ชอบน้องบลูจริงๆ”ผมนิ่งอึ้งไปเลย และยิ่งมีมือหนาของเขากุมที่มือผมไว้ ใจผมแทบหยุดเต้น ก่อนที่มันจะหยุดเต้นแล้วจริงๆเมื่อริมฝีปากอุ่นๆของเขากดทับริมฝีปากของผมอย่างไม่ได้ตั้งตัว เอาผมกำมือแน่นเมื่อมือของเขาก็ประสานกับมือผม
“คุณ!...”ผมเอ่ยได้แค่นี้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยขอโทษ
“ขอโทษนะ...คือพี่...”ผมผลักเขาออกก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ขอกุญแจรถผมด้วยครับ”ผมเอ่ยขึ้นจ้องมองไปยังใบหน้าของเขา
“อื้ม กุญแจอยู่ที่โต๊ะนั่นหล่ะ”ผมไม่รอให้เขาพูดลจบก็รีบเดินไปหยิบกุญแจที่โต๊ะและเดินออกจากบ้านไปทันที ไม่ได้มองหันหลังกลับไปอีก เพราะผมโกรธหรือเพราะผมกำลังรู้สึกแปลกๆกับริมฝีปากนั้นกันแน่ ริมฝีปากที่เขาเป็นอีกคนที่ได้สัมผัสมัน
จุ๊บ
“ริมฝีปากนี้ เป็นของพี่คนเดียวได้ไหมน้องบลู”
“ได้ครับ ผมจะไม่ยอมให้ใครได้มันไปนอกจากพี่”
“พี่รักบลูนะ”
“บลูก็รักพี่กี้ครับ”
“บลูขอโทษนะครับที่บลูยอมให้อีกคนได้จูบนั้น”
.....................
//รักแรกแยกยาก รักมากยากที่จะแยก//
-
จูบกันแล้ว ..
-
พี่เก้าลุย อิอิ
-
Blue Lyrics 4: คนนั้น (นพเก้า xนาคิน)
นพเก้า พาร์ท
“ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่นักหรอกว่าในใจของเขามีใครมาก่อน ไม่ได้แคร์เลยสักนิด แต่ที่ผมต้องมานั่งๆนอนๆครุ่นคิดว่าเขามีอะไรในใจอยู่ และคนนั้นคือใครที่ทำให้ในใจเขาไม่กล้าที่จะเปิดรับคนใหม่อีก
“เฮ้ออออ ใครว่ะ”ผมสบถกับตัวเอง นับจากที่เขาออกจากบ้านไป ผมก็มานั่งคิดอยู่ว่าทำไมเขาได้โกรธมากขนาดนั้น
“โอ๊ยยยย คิดไม่ออก”ผมขยี้หัวตัวเองหลายครั้งก่อนจะยกมือถือโทรหาตัวช่วยอย่างไอ้กูรและคุณกรีน ที่จริงผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้วที่ต้องโทรหาตัวช่วย
“ไอ้กูรอยู่ไหนว่ะ”
(“เฝ้าเมียถ่ายแบบแถวสาทร มึงมีอะไรว่ะ”)
“เสร็จกกี่โมง กูอยากเจอเมียมึง”
(“ไอ้เพื่อนเลว โทรหากูแล้วบอกว่าเจอเมีกู เดี๋ยวกูถีบผ่านสี่จีหรอก”)
“ไอ้บ้า ไม่ใช่แบบนั้น กูแค่อยากจะถามอะไรคุณกรีนนิดหน่อย”
(“เรื่องอะไร”)
“อย่าเผือก กูจะถามเมียมึง ไม่ใช่มึง”
(“งั้นมึงฝันไปเถอะ ว่าจะกูจะให้มึงเจอเมียกู”)
“เอ้อๆ เรื่องน้องบลู”
(“เรื่องอะไร บอกกูหน่อยสิ”)
“ไม่บอก เอาไว้เจอกันที่ร้านเดิมเราแถวสาทรก็ได้ กูจะไปรอนะ”
(“เออๆ สี่โมงเย็นเจอกันนะ”)
ผมวางสายเพื่อนรักเรียบร้อย ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งให้คนที่ทำผมร้อนรนอยู่ตอนนี้ ผมแคร์เขามากเกินไปไหมแต่ถ้าผมไม่แคร์ใจผมก็วุ่นวายมาก ผมว่าผมหลงรักน้องบลูจริงๆ
นพเก้า : ขอโทษนะที่จูบน้องบลูเมื่อกี้
นพเก้า : น้องบลูพี่ขอโทษนะ พี่จริงใจกับน้องบลูนะ
นพเก้า : ให้โอกาสพี่ได้ขอโทษจริงๆได้ไหม อ่านข้อความพี่หน่อย
ผมส่งข้อความไปหลายข้อความแต่ปลายทางก็ยังไม่ได้อ่านมันสักข้อความ ไม่รู้ว่าผมทำผิดร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอ แค่จูบเองนะ
“แค่จูบ…”เสียงดังสุดแสนจะดังของไอ้คนที่ทวนคำพูดของผม เมื่อผมเล่าให้ไอ้กูรและคุณกรีนฟัง
“มึงจะเสียงดังทำไมว่ะ คนในร้านมองกันใหญ่แล้ว”ผมเอ็ดมันเบาๆ ก่อนจะหันมองคุณกรีนอย่างขอโทษ
“คุณเก้าจูบเจ้าบลูหรอครับ”เสียเอ่ยขึ้นนิ่มๆ จนผมรู้สึกผิดชะมัด อย่าทำเสียงแบบนั้นเลยผมขอร้องจะด่าก็ด่ามาเลยครับ
“ผมขอโทษนะครับ ผมห้ามใจไม่ได้จริงๆ”ผมเอ่ยขึ้น
“คุณชอบเจ้าบลูหรอครับ”ไม่อยากจะบอกว่าชอบเลย บอกว่ารักเลยดีไหมอ่า
“ไม่รู้หรอกนะครับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนแรกก็อยากจะป่วนๆเท่านั้น แต่เมื่อได้รู้จักและสัมผัส…”
“อะไรนะครับ…สัมผัสหรอ”
“อ่อ สัมผัสแค่จูบอ่ะครับ ผมว่าผมชอบน้องบลูมาก ผมอยากดูแลเขาคุณกรีนจะว่าอะไรไหม”ผมเอ่ยขึ้นตรงๆอย่างไม่อาย
“ผมจะว่าอะไรได้หล่ะครับ มันเป็นเรื่องของคุณและเจ้าบลู แต่ผมอยากจะบอกอะไรคุณเก้าอย่างนะครับ ว่าเจ้าบลูไม่เคยมีใครนับจากวันนั้น”นับจากวันนั้นหรอ วันไหน กับใคร
“เอ่อ คุณกรีนพอจะเจาะลึกกว่านี้อีกนิดได้ไหมครับ”
“ไอ้นี่ได้คืบจะเอาศอก อยากรู้ก็ไปถามน้องบลูเองสิว่ะ”ไอ้เพื่อนเลวไม่เข้าใจเพื่อนอย่างกูเลยนะ ถ้ากูถามได้กูจะมาถามเมียมึงหรือไง
“อยากจะถามแต่น้องบลูไม่ยอมรับสายผมและไม่ตอบข้อความผมเลยอ่ะ”ผมเอ่ยไปตรงๆ คุณกรีนทำหน้าเหมือนเห็นใจผมก่อนจะยกมือถือขึ้น ผมกับไอ้กูรก็ยังคงงงๆ ก่อนที่จะได้ยินเสียงสนทนาขึ้น
“เจ้าบลูอยู่ไหน”ผมยกยิ้มขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปกระซิบบอกไอ้กูร
“เมียมึงแม่งสุดยอด กูรักเมียมึงว่ะ”ผมเอ่ยอย่างดีใจก่อนที่ไอ้กูจะใช้มือตบที่หัวผม
โป๊ก
“อุ้ย…ไอ้กูรมึงมาตึกูทำไมว่ะ”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมจับที่หัวลูบไปมา
“มึงจะมารักเมียกูได้ยังไง ไอ้นี่คนนี้ชีวิตกูเลยนะมึง”อยากจะแหมถึงดาวอังคาร ไอ้ห่ากูมึงจะเวอร์วังอะไรเบอร์นั้น ระหว่างที่ผมกับไอ้กูรยังคงเถียงกันอยู่นั้น คุณกรีนก็เดินเข้ามาพร้อมยื่นอะไรบางอย่างให้ผม
“อ่ะ…คุณเก้าไปถามเจ้าบลูเองนะครับ ถ้าอยากรู้อะไร”ผมมองไปยังกระดาษและก็คีย์การ์ดที่อยู่ในมือของคุณกรีน พอจะเข้าใจแล้วว่าคุณกรีนหมายถึงอะไร ผมคลี่รอยยิ้มออกมากว้างแสนกว้างก่อนจะลึมตัวกดจมูกที่แก้มของคุณกรีนไปหนึ่งที
ฟอดดดด
“ขอบคุณมากนะครับ”ผมเอ่ยพร้อมกับวิ่งออกไปทันที ไม่รอให้ไอ้กูมันวิ่งไล่เตะผมหรอก ตอนนี้หน้ามันคงแดงเพราะโกรธผมมากแน่ๆเลย
“ไอ้เชี่ยเก้า มึงมาหอมเมียกูทำไม และคุณกรีนก็อย่าเคลิ้มกับมันนะครับ”ผมได้ยินเพียงแค่นี้จากเพื่อนรักของผม เพราะนับจากเวลานี้ผมเองไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้นเพราะตอนนี้ผมคิดแค่ว่า ผมอยากจะไปถึงจุดหมายปลายทางจะแย่แล้ว
+++++++++
ลิฟท์กำลังพาตัวผมขึ้นไปชั้นที่สิบสองอย่างใจจดจ่อ ไม่รู้ว่าถ้าเขาเปิดประตูมาแล้วเห็นผมเขาจะทำหน้ายังไง และเขาจะด่าผมไหม แล้วเขาจะไล่ผมหรือเปล่า
“เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน”ผมเอ่ยกับตัวเองก่อนจะค่อยๆแตะการ์ดที่คุณกรีนให้ไว้ ก็พี่ชายเขาอนุญาตแล้วนี่ผมจะกลัวอะไร ผมคิด
แกร๊ก...
ผมเดินเข้าไปในห้องที่ตกแต่งด้วยสีฟ้าอ่อนๆ การตกแต่งห้องของเขาดูมีสไตล์ รูปภาพวาดมีแต่ทะเลผมคิดว่าเขาคงชอบทะเลแน่ๆ ผมค่อยๆเดินเลาะไปยังห้องอีกห้องน่าจะเป็นห้องนอนแน่ๆ และเจ้าของห้องคงอยู่ที่นี่แน่นอน เพราะตั้งแต่ผมเดินเข้ามายังไม่เห็นมีใครเลย ผมใจกล้าที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนนั้น
“น่ารักชะมัด”ผมอุทานออกมาเมื่อเข้ามาเห็นคนบนเตียง เวลานอนเขาน่ารักมากจริงๆ เมื่อคืนผมเองก็แทบไม่ได้นอนเพราะมัวแต่มองเขาหลับ ผมไม่อยากกวนคนหลับจึงค่อยๆเดินดูรอบๆห้อง และผมเองก็ต้องมาสะดุดกับรูปถ่ายที่วางอยู่ รอยยิ้มหวานตาแทบปิดของเจ้าของห้องที่กำลังสวมกอดผู้ชายอีกคนจากด้านหลัง
“คนนี้หรือเปล่า คือคนนั้นของน้องบลู”ผมเอ่ยออกมาก่อนจะหยิบรูปนั้นเดินออกมานั่งที่ห้องรับแขกนั่งพินิจรูปถ่ายนั้นจนตัวผมเองหลับไป
ผั๊ว...
ปึก ปึก ปึก
“โอ๊ย...โอ๊ย...อะไรเนี้ย”ผมเอ่ยอย่างตกใจเมื่อกำลังหลับสบายกลับมีอะไรมาฟาดเข้าที่ตัวและหน้าผมอย่างรัว แทบไม่ให้ผมได้พูดอะไรเลย
“คุณเข้ามาได้ยังไง ออกไป”ไม่พูดเปล่ารัวหมอนใส่ผมเป็นชุดเลย ผมพยายามพาตัวเองลุกจากโซฟาก่อนจะรวบมือของเขาไว้เพื่อที่จะไม่ต้องมาตีผม แต่กลับเป็นเขาที่เสียหลักล้มลงทับผม
ตุบ
อุก...
จุ๊บ
“จูบที่สองของวัน”ผมคิดในใจ ก่อนที่เขาจะลืมตาโตขึ้นและพยายามดีดตัวออกจากผม แต่ผมมันมือตุ๊กแกพยายามให้ตายก็ไม่หลุดออกไปหรอก ผมจึงรั้งเขาไว้แน่นก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้าจริงจัง
“อย่าดิ้นสิ พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”ผมเอ่ยขึ้น ใบหน้าที่แดงจัดมองผมนิ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ก็ปล่อยก่อนสิ”ผมยกยิ้มเล็กน้อยแต่เขากลับหน้าตึงๆ ผมค่อยๆคลายอ้อมแขนที่โอบกอดเขาไว้ออก และก็จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งมองคนอีกโซฟาหนึ่ง
“ทำไมนอนตะวันพลบแบบนี้หล่ะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”ผมเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“คุณมาได้ยังไง และเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”เขาเอ่ยขึ้นใบหน้ายังคงแดงอยู่ ไม่รู้โกรธหรือเขินนะ
“พี่อยากคุยกับน้องบลู พี่อยากขอโทษเรื่องเมื่อเช้า”ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะตอนนี้ผมว่าผมกำลังจริงจังกับเขาอยู่
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมไม่ถือ แต่ผมอยากรู้ว่าคุณเข้ามาได้ยังไงกัน”เขาเอ่ยถามผมอย่างคั้นเอาคำตอบ
“เอ่อ...คุณกรีนให้ไอ้นี่มา”ผมเอ่ยก่อนจะโชว์การ์ดในมือแต่ก็ต้องรีบเอามาซ่อนด้านหลังเพราะร่างโปร่งของเจ้าของห้องกำลังโถมเข้าหาผม และมันก็เป็นอะไรที่ผมชอบเพราะใบหน้าของเขาจ่ออยู่ใบหน้าของผม เรียกว่าชิดสนิทเลยก็ว่าได้ เพราะลมหายใจของเขากำลังรดที่ริมฝีปากของผมอยู่ มือสองข้างของเขาอ้อมมามารอบตัวผมเพื่อจะแย่งเอาการ์ด
“เอามานะ”น้ำเสียงหวานหูเหมือนเด็กโดนขัดใจก่อนที่ผมจะอดใจไม่ไหวกดจมูกที่แก้มของเขา
ฟอดดดดด
“คุณ..!”เขาเอ่ยอย่างตกใจ พร้อมยกมือลูบที่แก้มของตัวเอง ใบหน้าแดงเห่อของเขา น้ำเสียงน่ารักของเขา มือเล็กกว่าของเขาถูกผมรวบไว้ก่อนจะดึงเข้าหาตัวเอง
อึก!
“น้องบลู พี่ขอโทษนะแต่เรื่องเมื่อเช้าพี่พูดจริงๆที่พี่ชอบน้องบลูและอยากดูแลน้องบลู ให้พี่ดูแลน้องบลูได้ไหม แทนผู้ชายในรูปนี้”ผมเอ่ยพร้อมปรายตามองไปยังรูปที่ผมวางไว้ เขาเองก็ตาโตเล็กหน่อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณไม่มีสิทธิ์มาแทนเขา เพราะผมไม่มีทางให้ใครมาแทนเขาได้”อยู่ๆเขาก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงดูเปลี่ยนไปจนผมเองตกใจว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า ผมค่อยๆคลายมือของเขาออกและขยับตัวออกเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“แล้วพี่จะต้องทำยังไง พี่ถึงจะมาแทนที่เขาได้”ผมเอ่ยออกมาพร้อมกับกระชากเขาเข้ามากดลงไปที่โซฟาพร้อมกดจมูกที่ซอกคอเขาอย่างลืมตัวว่าผมกำลังทำอะไรอยู่อย่างคนขาดสติ ก่อนที่สติผมจะ
“ต่อให้คุณมีอะไรกับผม คุณก็ไม่มีทางที่จะได้แทนที่เขาได้”ผมหยุดทุกอย่างทันทีเมื่อได้สติก่อนจะรีบลุกขึ้นและเอ่ยขึ้น
“ขอบใจมากนะที่พูดตรงๆ พี่เข้าใจแล้วต่อให้พี่วอแวน้องบลูมากแค่ไหน อยากใกล้ชิดมากแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้น้องบลูหันมาสนใจพี่ได้เพราะน้องบลูมีคนนั้นอยู่เสมอ คนที่ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่พี่รู้สึกอิจฉาเขาที่ได้อยู่ในใจของน้องบลู พี่ขอโทษนะที่ทำเรื่องบ้าบอกับน้องบลูตั้งหลายครั้ง พี่ขอโทษจริงๆ ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะวางการ์ดไว้บนโต๊ะ
“ผมฝากขอบคุณคุณกรีนด้วยนะครับ และฝากคืนให้คุณกรีนด้วยนะครับ”ผมเอ่ยเสร็จก็เดินออกไปจากห้องนั้นทันทีโดยไม่ได้หันมามองข้างหลังอีก
ผมขับรถไปตามท้องถนน ตอนนี้น่าจะสักตีสองได้หลังจากที่ผมออกจาคอนโดนั้นและมานั่งดื่มที่ผับ ในหัวผม มันมีเรื่องราวมากมายกับเรื่องที่เกิดหลังจากที่ผมได้พบกับเขา ผมหลงรักเขาอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
“ก็คนมันรักนี่หว่าจะให้กูทำยังไงว่ะ”ผมเอ่ยขึ้นกับตัวเอง อยากจะบอกเขาว่าผมรักเขาทำให้ผมต้องทำอะไรบ้าบอนี้
+++++++
เกือบสัปดาห์มานี้ผมเองก็ทำงานปกติ สอนปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือผมเองไม่ได้ไปวุ่นวายกับเขาอีก มีบ้างบางครั้งที่ผมแอบมองร่างโปร่งนั้นเสมอหลังเลิกคลาส
“อาจารย์คะ”เสียงหวานเอ่ยขึ้นจากด้านหลังเมื่อผมกำลังยืนมองร่างโปร่งใบหน้านิ่งๆและที่ผมรู้สึกคือดูเศร้าๆไปบ้าง
“อ้าว…ฟาง มีอะไรกับอาจารย์หรือเปล่า”ผมเอ่ยถามพร้อมยกยิ้ม
“ฟางมีเรื่องอยากจะถามอาจารย์คะ”หญิงสาวแสนน่ารักเอ่ยพร้อมกับดึงผมไปนั่ง
“มีอะไรจะถามหรอ อาจารย์ยังไม่ได้สอนปีสองเลยนะ”ผมเอ่ยขึ้น
“เปล่าเรื่องเรียนคะ”
“อ้าว แล้วเรื่องอะไรหล่ะ”
“อาจารย์กับพี่บลูทะเลาะกันหรอคะ”ผมขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะยกยิ้มขึ้น
“อะไรกัน ทะเลาะอะไรอาจารย์ไม่เข้าใจ”ผมเอ่ยขึ้น
“อย่ามาไม่เข้าใจเลยคะ ก็พักนี้หนูเห็นอาจารย์กับพี่บลูไม่ไปกินข้าวด้วยกัน และไม่ตัวติดกันแล้ว แถมพี่บลูก็ดูเงียบๆ และอาจารย์ก็ไม่ค่อยป่วนพี่บลูด้วย นี่ไงคะคือการทะเลาะ”เอาสิ ผมว่าผมกำลังเจอสาวน้อยผู้น่ารักที่กำลังจิ้นผู้ชายสองคน และมีความสุขที่ได้เห็นผู้ชายสองคนรักกัน นี่คือสาววายใช่ไหม
“อะไรกัน อาจารย์ไม่คุยด้วยแล้ว เพราะอาจารย์ไม่มีเรื่องอะไรที่จะทะเลาะกับน้องบลู และไม่มีอะไรจะบอกหนูฟางหรอก ไปเรียนคลาสต่อไปได้แล้วครับ”ผมเอ่ยขึ้นวางที่กลุ่มผมนิ่มของหญองสาวก่อนจะขี้ไปมาอย่างเอ็นดูอย่างน้อยผมก็มีแฟนคลับแล้ว
ผมเดินมาที่ห้องพักอาจารย์เพื่อที่จะเตรียมตัวกลับบ้าน กะว่าจะไปนั่งดื่มก่อนเข้าบ้านสักหน่อยไม่งั้นผมเองคงจะนอนไม่หลับแน่ๆ
“อาจารย์นพเก้าคะ”ผมหันตามเสียงหวานก่อนจะยกยิ้มขึ้น
“อาจารย์แป้ง ยังไม่กลับอีกหรอครับ”
“กำลังจะกลับคะ อาจารย์หล่ะคะ”
“กำลังจะกลับเช่นกันครับ”
“งั้นเดินลงไปพร้อมกันเลยนะคะ”ผมพยักหน้าก่อนจะช่วยเธอถือของลงจากตึก
“หอบหิ้วอะไรกลับไปเยอะแยะครับเนี้ย”ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเธอชอบหอบงานกลับบ้านบ่อยๆ
“งานเตรียมสอนคะ ของนักศึกษาปริญญาโท”
“อ่อ อาจารย์นี่เก่งนะครับ ทั้งน่ารัก ทั้งเก่งแบบนี้อิจฉาแฟนอาจารย์น่าดู”ผมเอ่ยขึ้นหยอกๆ เธอกลับหน้าแดงขึ้นก่อนจะเอ่ย
“แป้งยังไม่มีแฟนคะ”
“จริงดิ ใครช่างปล่อยหญิงสาวผู้เพียบพร้อมอย่างอาจารย์แป้งได้นะ”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะออกมา ก่อนจะเดินเข้าลิฟท์ไปพร้อมกันก่อนที่เสียงของบุคคลที่สามเอ่ยเรียก อาจารย์แป้งจึงกดลิฟท์เปิดไว้
“รอด้วยครับ”ผมจ้องมองไปยังคนที่กำลังเข้ามาและเดินมายืนเทียบกับผม โดยมาจารย์แป้งยืนอยู่ข้างหน้าผมอีกที เหงื่อที่แตกพล่านที่เกาะอยู่ค่อยๆไหลออกมา ผมอยากจะซับให้เขานัก ใบหน้าครึ่งเสี้ยวแสนน่ายั่วยวน กลิ่นน้ำหอมที่ผสมผสานกับกลิ่นเหงื่อเล็กน้อยผมพยายามไม่มองเขา
“นาคิม ยังไม่กลับอีกหรอ อาจารย์คิดว่ากลับไปแล้ว”หญิงสาวเอ่ยขึ้นถาม
“ยังครับ ผมลืมของเลยขึ้นมาเอา”เขาเอ่ยขึ้น แต่ผมไม่ได้มองว่าเขามองผมหรือไม่
“อ่อ…”หญิงสาวขานเบาๆ
“อาจารย์หล่ะครับ เพิ่งกลับกันหรอครับ แล้วนี่กลับพร้อมกันหรอครับ”เขาเอ่ยนิ่มๆ ผมไม่ชอบเสียงของเขาเลยมันทำให้ผมใจสั่นและมันทำให้ผมคิดถึงวันนั้น ริมฝีปากนั้น ซอกคอนั้น และคนคนนั้นของเขา
“อาจารย์แป้งไปทานข้าวร้านไหนกันดีครับ”ผมเอ่ยขึ้น ทำเอาหญิงสาวทำหน้างงๆ ก่อนที่ลิฟท์จะเปิดออก
“ผมกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ”อยู่ๆเขาก็รีบพรวดออกไปโดยไม่ได้รอให้ลิฟท์เปิดออกหมด
“สวัสดีคะ ขับรถดีๆนะ”ผมมองตามหลังกว้างสูงโปร่งของเขา ถ้ามองไม่ผิดเขากำลังหน้าแดงหูแดง แต่คงไม่ใช่หึงผมหรอกผมรู้ เขาคงอึดอัดที่ต้องเจอผมมากกว่า ผมคิดแบบนั้น
“อาจารย์คะ พอดีวันนี้แป้งมีธุระคะคงไปทานข้าวด้วยไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”ผมยกยิ้มให้เธอ
“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้วันหน้าก็ได้ ขับรถดีๆนะครับ”ผมเอ่ยขึ้น ที่จริงก็ไม่ได้อยากไปไหนเลยอยากจะรู้แค่ว่าเขาคิดยังไง รู้สึกยังไงมากกว่า
“น้องบลูคงไม่รู้สึกหรอกใช่ไหม”ผมเอ่ยออกมาก่อนจะขับรถออกไป โดยไม่ได้รู้สึกกว่าผมกำลังถูกสายตาคู่หนึ่งมองอยู่
……………
-
:mew1: :mew1:
-
น้องบูลแน่ๆๆ
ลุ้นต่อ
-
น่ารัก น่าชัง
-
กรีนกับเกรย์ ชื่อจริงใช้ชื่อเดียวกันหรอ อนาคิม
-
Blue Lyrics 5 : หงุดหงิด (นพเก้า xนาคิน)
นาคิน พาร์ท
ยิ่งจะเรียนจบยิ่งไม่มีอะไรต้องทำมาก โปรเจคจบผมกับเพื่อนๆก็ทำเรียบร้อยรอพรีเซนต์อย่างเดียว ตอนนี้ทำได้เพียงไปช่วยเฮียที่บริษัทบ้าง นอนอยู่ที่คอนโดบ้าง บ้านบ้างยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่ ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรที่ต้องวุ่นวายเลย
“ว่าไงหนูพิ้งค์”
(“เฮียอยู่ไหนครับ”)
“อยู่คอนโด มีอะไรหรือเปล่า”
(“พอดีอยากจะชวนเฮียมาที่บ้านหน่อยอ่ะ”)
“มีอะไรหรือเปล่า คืนนี้ก็เจอกันที่งานเลี้ยงแล้วนี่ หรือทะเลาะกับเลิฟหล่ะ”
(“เปล่าฮะ พอดีว่าพี่เก้า…”)
“ไอ้บ้า ยังไม่เลิกยุ่งกับหนูพิ้งค์อีกหรอ ไหนบอกว่าชอบเรา ไหนจะจีบอาจารย์แป้งอีก ไอ้เลว…”
ผมรีบวางหูทันที ก็เกือบเดือนแล้วที่ผมไม่ได้ยินชื่อนี้นับจากวันนั้น เขาเองก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับผมอีกเลย แม้แต่ข้อความที่เคยมีก็ไม่มีสักข้อความ
“คุณจะทำอะไรของคุณอีกนะ”ผมสบถกับตัวเองก่อนจะดิ่งรถไปที่บ้านของตัวเอง แต่ท่าทางผมจะช้ากว่าคนที่กำลังคิออยู่ในหัว เพราะรถของเขาจอดอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
ผมรีบเดินเข้าไปในบ้าน แต่ไม่พบใครก่อนจะเดินไปที่ห้องหนูพิ้งค์ ก็ยังไม่พบใครอยู่ดี ผมดิ่งไปที่ห้องครัวก็ยังไม่เห็นใคร ก่อนจะได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น
“มองหาใครครับ”ผมหันมองเจ้าของเสียง ร่างสูงที่เกือบสัปดาห์ที่ผมไม่เจอเขา ผมแอบใจเต้นแรงเมื่อเห็นใบหน้าของเขาและรอยยิ้มของเขา
“เปล่า แล้วคุณมาที่นี่ได้ยังไง แล้วมาทำไมไม่ทราบ แล้วทุกคนไปไหนกันหมด”ผมเอ่ยถามเป็นชุด
“เอาทีละคำถามไหมครับ”เขาเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา ผมกวาดสายตามองไปรอบบ้านก่อนจะเจอพี่มะลิ สาวใช้ในบ้าน
“พี่มะลิ ทุกคนไปไหนหมด แล้วนี่ปล่อยคนอื่นเข้ามาในบ้านแบบนี้ได้ยังไงครับ”ผมเอ่ยเป็นเชิงตำหนิเล็กน้อย
“เอ่อ คุณแบล็คกับคุณนิลออกไปเตรียมงานเลี้ยงเย็นนี้คะ ส่วนคุณหมอกับคุณซียังไม่กลับคะ”
“แล้วหนูพิ้งค์หล่ะ”ผมเอ่ยถาม
“คุณพิ้งค์ไปเอาชุดกับน้องเลิฟคะ”ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบให้พี่มะลิเดินออกไป ก่อนจะหันมองคนตรงหน้า
“แล้วคุณหล่ะ หายไปตั้งนานแล้วมาทำไมที่บ้านนี้อีกไม่ทราบครับ”ผมเอ่ยอย่างหงุดหงิดอย่างลืมตัว และยิ่งรู้ว่าเขามาที่นี่เพราะหนูพิ้งค์ผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิดไปใหญ่
“คุณกรีนวานให้ผมมารับคุณไปงานคืนนี้”ผมหันมองเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่จำเป็น ผมไปเองได้ แล้วเฮียจะวานคุณทำไมในเมื่อคุณเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบ้านหลังนี้”ผมเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ก็ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่ตั้งนานแล้วและอีกอย่างเขาเองก็มีอาจารย์แป้งอยู่แล้ว ทำไมต้องมาวุ่นวายด้วย
“ก็แค่คุณกรีนวานผมก็เท่านั้น ชุดคุณผมเอาไว้บนห้องให้แล้ว”ผมตาโตทันที นี่เขาขึ้นไปบนห้องนอนของผมหรอ ครั้งก่อนก็ขึ้นคอนโดผมทีหนึ่งแล้วและนี่ยังจะเข้าห้องนอนส่วนตัวผมอีกหรอเนี้ย งั้นก็เห็นทุกอย่างที่เป็นผมหมดหล่ะสิ
“นี่คุณ ใครให้คุณเข้าห้องโดยไม่ขอเจ้าของห้องก่อน”ผมโวยขึ้น ใบหน้าเขาเองก็ยังคงนิ่งๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมรับรองได้ว่าเขาต้องยียวนกวนประสาทผมแน่ๆ แต่ครั้งนี้เขากลับนิ่งยิ่งทำผมหงุดหงิด
“คุณขึ้นไปแต่งตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะรอคุณตรงนี้”เขาเอ่ยขึ้นนิ่งๆ ก่อนที่เสียงมือถือของเขาจะดังขึ้น ผมมองตามคนที่กำลังคว้ามือถือเดินเลี่ยงออกไป แต่ก็ยังพอได้ยินว่าปลายสายน่าจะเป็นอาจารย์แป้งเพราะเสียงเอ่ยเรียกชื่อดังขึ้นเป็นระยะ
“หึ ก็มีแฟนอยู่แล้วนี่ยังจะมาทำไมบ้านหลังนี้อีก”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินขึ้นห้องไป มันช่างหงุดหงิดนัก
ผมเดินเข้าห้องน้ำอย่างไม่ได้สนใจอะไร ชุดที่วางอยู่บนเตียงนอนผมก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะตอนนี้ผมอยากจะทิ้งกายลงในอ่างน้ำ ดวงตากลมของผมที่ซ่อนภายใต้เปลือกตาบาง ผมเองไม่อยากจะคิดถึงเรื่องราววันนั้น แต่ยิ่งห้ามผมกลับคิดถึงมันตลอดเวลา ริมฝีปากนั้นมันทำผมแทบบ้าทุกครั้งที่ผมคิดถึงมัน
“อ่าห์...อื้มมมม”เสียงครางในลำคอของผมเบาๆ เมื่อผมกำลังลูบไล้ไปทั่วร่างกายของตัวเองเมื่อคิดถึงจูบนั้น และมันก็เป็นแบบนี้เสมอเมื่อผมคิดถึงจูบนั้น มือขาวของผมกำลังหยุดที่กลางกายของผม มันกำลังแข็งขืนขึ้น
“อ่า...อ๊ะ อ๊ะ อ่าห์...”ผมครางออกมาค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ปลายเท้าจิกลงอยู่ที่ก้นอ่างแน่น เมื่อมือกำลังชักรูดขึ้นลงตามความต้องการของตัวเอง มันน่าอายมากที่ผมกำลังคิดถึงใบหน้าผู้ชายคนนั้น และคิดถึงสัมผัสนั้นของเขา ผมถึงจุดหมายในไม่ช้า น้ำสีขาวขุ่นที่ไหลออกมาเสียงของผมค่อยๆเบาลงและหอบขึ้นเล็กน้อย
“แฮ่กๆ...”ผมหลับตาพร้อมพ่นลมจากริมฝีปากออกไปเบาๆก่อนจะตกใจเมื่อได้ยินเสียงดังจากข้างนอก
แกรก!
“อ๊ะ...พี่มะลิหรอครับ”ผมตะโกนออกไป แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบอะไร ผมรีบล้างตัวและสวมเสื้อคลุมเดินออกจากห้องน้ำ มองไปรอบๆห้องตอนนี้ไม่เห็นมีใครก่อนที่จะตกใจอีกครั้งเมื่อประตูห้องของผมก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมร่างสูง ผมรีบกระชับเสื้อคลุมทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณขึ้นมาได้ยังไง...”ผมเอ่ยอย่างโมโห
“เห็นคุณขึ้นมานานแล้ว ผมกลัวไม่ทันเลยขึ้นมาเรียก”เขาเอ่ยนิ่งๆ บางทีนิ่งจนผมเองรู้สึกเกลียดเขา
“งานเริ่มตั้งสองทุ่ม และนี่มันก็เพิ่งหกโมงเย็นป่ะ”ผมเอ่ยขึ้น
“หกโมงสี่สิบแล้วต่างหากครับ”โอ๊ย เกลียดกับใบหน้านิ่งๆแบบนี้นัก ทำไมเมื่อก่อนไม่นิ่งแบบนี้บ้างว่ะ
“นั่นหล่ะ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะหันหลังไปหยิบชุดที่วางอยู่บนที่นอน ก่อนที่ใบหน้ามันจะแดงขึ้นเมื่อผมได้ยินเขาเอ่ยขึ้น
“ผอมไปนะ ทานข้าวบ้างสิ”ผมยืนนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่มือหนาจะจับไหล่ผมให้หันมาหาตัวเอง เขาต้องการอะไรจากตัวผม ผมมองหน้าเขาที่ตอนนี้ปลดเสื้อคลุมของผมออก และผมก็บ้าที่ยอมให้เขาทำแบบนั้น ผมว่าผมต้องการเขา ผมต้องการความวุ่นวาย ผมต้องการความป่วนจากเขา เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกสวมใส่เข้ามา กระดุมทีละเม็ดที่เขาบรรจงติดให้ผมทีละเม็ด ใจผมมันสั่นสะท้านไปหมด
“ใครจะเหมือนคุณหล่ะครับ คงทานข้าวได้เยอะหล่ะสิ มีอาจารย์แป้งทานด้วย คงทานด้วยเกือบทุกวันหล่ะสิ”ผมเอ่ยขึ้น ยิ่งพูดเหมือนยิ่งเอาอะไรตอกที่อกของตัวเอง
“แล้วแต่จะคิดนะ สำหรับฉันเคยคิดยังไงก็ยังเหมือนเดิม”เขาเอ่ยขึ้น ตาลุงจอมโวยวายหายไปไหนนะ เขาเอ่ยแบบนิ่งๆเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ผมจับมือเขาไว้เมื่อถึงกระดุมเม็ดสุดท้ายก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พอเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”ผมเอ่ยขึ้น มือของผมถูกมือหนาจับไว้ก่อนจะย้ายมาที่ปลายคางของผมที่กำลังหลบสายตาของเขาอยู่
“ผมเคยพูดอย่างไง ผมก็จะพูดเหมือนเดิมว่าผมชอบคุณ”เขาเอ่ยขึ้น ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะพูดมันอีกครั้ง แต่จะมีประโยชน์อะไรหล่ะ ในเมื่อเขาก็มีอาจารย์แป้งอยู่แล้วนี่
“อย่าเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัวนักเลยครับ เพราะอาจารย์แป้งไม่ได้ผิดอะไรที่คุณจะหักหลังเธอ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะเบี่ยงตัวหนีออกและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“คุณออกไปได้แล้วครับ เดี๋ยวผมจะรีบแต่งตัว”ผมเอ่ยขึ้น โมโหที่เขาเป็นผู้ชายเห็นแก้ตัว หรือผมโมโหที่เขาไม่ปฏิเสธว่าเขากับอาจารย์แป้งไม่ได้เป็นอะไรกัน
“ผมจะไปรอข้างล่างนะ”เขาเอ่ยเสร็จก็เดินออกห้องไป ปล่อยให้ผมเองกลับหงุดหงิดออกมา ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนธรรมดาผมเองจะเป็นคนใจเย็นที่สุดในบรรดาพี่น้อง
“หึ ปากบอกเหมือนเดิมแล้วทำไมไม่ปฏิเสธหล่ะว่าอาจารย์แป้งเป็นแค่เพื่อนอ่ะ”ผมเอ่ยออกมา
++++++++
เกือบทุ่มครึ่งที่เราอยู่บนท้องถนน ต่างไม่มีเสียงใครเอ่ยอะไรทั้งนั้น ผมแอบมองเสี้ยวใบหน้าของเขาที่มันดูนิ่งๆ บางทีนิ่งเสียจนผมเองกลับใจหาย
“ผมไม่รู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไรหรือทำอะไร วันหนึ่งคุณมาป่วนผม ป่วนครอบครัวผม และวันหนึ่งคุณก็หายไป และมาวันนี้คุณก็กลับมา คุณกำลังคิดหรือทำอะไรกันแน่”ผมเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์เสีย มันอึดอัดชะมัดที่อยู่ๆเขาก็ป็นแบบนี้
“ก็ดีไม่ใช่หรอครับ ผมจะได้ไม่กวนคุณมาก คุณจะได้ไม่ต้องรำคาญ”เขาเอ่ยขึ้น แหมมาทำให้เรารำคาญจนเป็นนิสัยแล้วยังจะปากดีอีก
“ไม่ใช่ว่าคุณมีแฟนหรอกหรอ ถึงหายหน้าไป”อยู่ๆผมก็เอ่ยขึ้นเป็นเชิงประชด รถที่จอดเทียบลานจอดรถของโรงแรม ตอนนี้ดูเงียบมาก เขาหันมามองผมเมื่อดับเครื่องเรียบร้อย
“แล้วแต่จะคิดครับ ว่าแต่ว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาดูเหมือนคุณจะประชดผมนะครับ เหมือนคุณกำลังหึงหวงเลย”ผมรีบกลอกตาไปมาก่อนจะหลบสายตาเขา
“บ้าสิ…พูดอะไรบ้าๆ”ผมเอ่ยขึ้น
“ผมก็แค่พูดเล่นไปอย่างนั้นเองครับ เพราะรู้ดีว่าในใจคุณไม่มีทางที่จะมีใครได้อีกนอกจากผู้ชายคนนั้น”เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินลงรถไป แต่มิวายจะหันมาบอกผม
“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวทุกคนจะรอ”เขาเอ่ยเสร็จก็เดินออกไป ผมเองก็เดินตามเขาไป
ในงานพี่น้องผมทุกคนมาถึงก่อนแล้ว นี่มันก็สองทุ่มกว่าๆแล้ว ขนาดแต่เฮียเกรย์และรอยด์เท่านั้น งานเลี้ยงเปิดตัวสีตัวใหม่ของบริษัทเรา งานนี้ผมเองก็มีส่วนช่วยในเรื่องเทคนิคของสีด้วย โดยมีเฮียกรีนเป็นนายแบบฟีนาเล่ให้เรา
“ทำไมทำกับเค้าแบบนี้”ผมเอ่ยงอนเฮียแบล็คที่ยอมให้เขาไปรับผมที่บ้าน
“อะไร…”ตั้งแต่เฮียมีเมียนี่ผมว่าเฮียของผมดูกวนๆขึ้นทุกวันแล้วนะ
“เฮียบลูมาแล้วหรอ ช้าจัง”เสียงหวานของน้องชายคนสุดท้องของบ้าน เจ้าตัวแสบของผมอย่างหนูพิ้งค์
“มานี่เลยเจ้าตัวดี ทำไมยอมให้เขาไปรับเฮียหล่ะ”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมลากหนูพิ้งค์มาหา
“ก็พี่เก้าเขาขอไว้นี่”
“ขอไว้ คืออะไร”ผมเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คุณเก้ามาขอเฮียว่าอยากจะไปรับแก และอยากจะคุยกับแก เฮียไม่รู้ว่าแกกับคุณเก้ามีเรื่องอะไรกัน แต่หลายวันมานี่เขาเองก็มาคุยกับเฮียเรื่องของแก”
“เรื่องของเค้าหรอ”
“อื้ม แต่เฮียไม่อยากยุ่งเพราะเป็นเรื่องของแกกับคุณเก้า”เฮียแบล๊คเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไปเมื่อซ้อเดินมาบอกให้เตรียมตัวขึ้นเวที
“เฮียกินรัยยัง ไปหารัยกินกันเถอะ”เสียงหวานหนูพิ้งค์เอ่ยขึ้น
“ยังไม่หิวอ่ะ”ผมเอ่ยสายตาก็กวาดมองหาร่างสูงของเขา ที่ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหนแล้ว
“งั้นเค้าไปหาอะไรกินก่อนนะ หิวแล้ว”ผมพยักหน้าแต่ก็ไม่ได้มองน้องชายหรอก สายตาก็กวาดไปทั่วก่อนจะยกมือถือขึ้นมา แต่ลืมไปว่าผมเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ ข้อมูลของเขาผมเองก็ลบไปหมดแล้ว
งานเริ่มไปได้สักพัก ผมเองก็หันมองหาเขา ก่อนจะเดินไปหาเฮียแบล็คที่ตอนนี้กำลังเคลียบริเวณงานอยู่ ส่วนหนูพิ้งค์ขอกลับก่อนแล้ว พี่หมอกับซีก็กลับแล้ว ถ้าผมจะไปหาเฮียกรีนเพื่อให้ไปส่งก็จะกลายเป็นว่าเฮียต้องวนไปวนมา ผมตัดสินใจเดินไปที่ลานจอดรถ จุดจอดรถที่เขาจอดรถไว้เมื่อหัวค่ำ
“หึ…ไอ้คนบ้า”ผมสบถกับตัวเอง เมื่อมาถึงจุดจอดรถแต่ผมกลับไม่เห็นรถเขา เขาทิ้งผมไป เขาไม่ได้ต้องการผมเหมือนที่เขาพูดเลยสักนิด
“นี่หรอว่ะ คนที่บอกว่าเหมือนเดิมอ่ะ”ผมเอ่ยออกมาก่อนจะนั่งย่องๆอยู่ลานจอดรถ สองมือกุมที่หัวตัวเองก่อนจะตัดสินใจที่จะโทรเรียกแท็กซี่ แต่เสียงมือถือผมก็ดังขึ้นปลายสายบอกเบอร์แปลกๆผมจึงกดรับสาย
“สวัสดีครับ”ผมเอ่ยรับสายอย่างไม่รู้สึกอะไรก่อนที่เสียงปลายสายจะทำให้ผมอ้าปากค้างทันที
“คุณอยู่ไหน คุณแบล็คบอกผมว่าคุณจะกลับแล้ว ผมก็...”ผมไม่รอให้เขาเอ่ยอะไรแล้ว เพราะผมเองอยากจะด่าเขาว่าทำไมถึงโทรมาหาผมทั้งๆที่ทิ้งผมไปแล้ว
“แล้วไงครับ ถ้าผมจะกลับแล้วตอนนี้คุณอยู่ไหนหล่ะ”ผมเอ่ยขึ้นถามอย่างหงุดหงิด
“ผมก็รออยู่ที่รถนี่ไงครับ แล้วคุณอยู่ไหน”เขาเอ่ยขึ้น
“อย่ามาตลกนะ ผมถามว่าคุณอยู่ไหน”
“ก็รออยู่ที่เดิมนี่ไงครับ ผมนั่งรออยู่ที่รถ”ผมเริ่มหงุดหงิด
“ผมไม่ตลกนะครับ”ผมเอ่ยเสียงดังขึ้น
“เอางี้ คุณบอกผมหน่อยว่าคุณอยู่ชั้นอะไร”เขาเอ่ยถามผม และผมเองก็เริ่มมองไปยังเสาที่เรียงรายกันอยู่ตอนนี้ ก่อนจะทำหน้าเสียเล็กน้อย
“4B”ผมเอ่ยขึ้น
“เราจอดรถที่ชั้น 4B/1 ครับ”เขาเอ่ยขึ้น ผมลดเสียงเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าผมเองมาชั้นผิด ก่อนที่เสียงรถจะแล่นขึ้นมาจากชั้นล่าง ผมยืนอยู่กลางทางเดินรถพร้อมมองไปยังรถคันสวยนั้น
เอี๊ยดดดดด
“ขึ้นรถครับ”เขาเอ่ยขึ้น ผมพยักหน้าก่อนจะเดินขึ้นรถไป เขาเองก็ไม่ได้ว่าอะไรผมเลยสักนิด ผมเองดีใจมากที่ได้เจอเขา
“ไปส่งผมที่คอนโดเลยนะครับ”เขาไม่พูดอะไร
“กลัวมากไหม เมื่อกี้”อยู่ๆเขาก็เอ่ยถามผม
“กลัวอะไร ไม่ได้กลัวสักหน่อย”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะหันหน้าไปยังนอกหน้าต่างรถ
“หรอ แต่เมื่อกี้ตอนผมวนรถไปรับคุณ ดูหน้าตาคุณดีใจมากเลยนะ”เขาเอ่ยขึ้น
“คุณนี่คิดเองเออเองทุกอย่างเลยนะครับ”ผมเอ่ยทั้งที่ใจกลับเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ครับ ผมคิดเองเออเองทุกอย่างแต่มีบางอย่างที่คิดแล้วมันเออเองไม่ได้...”ผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
“พอเถอะครับ ถ้าคุณจะหมายถึงเรื่องของเรา เพราะตอนนี้คุณก็มีอาจารย์แป้งอยู่แล้ว ผมว่าคุณคงไม่ต้องคิดมันแล้วมั้งครับ”ผมเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแม้จะดูเรียบๆแต่มันแฝงไปด้วยความรู้สึกว่าผมกำลังน้อยใจ
“เรื่องของเรา มันยังคงเป็นเรื่องของเรา คำว่าเราคือคนสองคน มันหมายถึงคุณกับผมคนอื่นไม่เกี่ยว”เขาเอ่ยขึ้น ผมหันมองเขา ไม่เขาใจเลยสักนิดว่าเขาทำไมต้องทำให้ผมไม่เป็นตัวเองแบบนี้ เขาทำผมเหมือนคนบ้าที่อารมณ์ขึ้นลงเหมือนคนสติแตก
“อื้มมมมม”เสียงครางเบาๆในลำคอของผม เมื่อริมฝีปากของเขากลับประกบที่ริมฝีปากของผมอย่างตั้งตัวไม่ได้ ลิ้นร้อนของเขากลับทำให้ผมตอบสนองเขาอย่างลืมตัว และก็ลืมหัวใจของตัวเองไปด้วยว่าผมกำลังปิดกั้นมันอยู่ เพียงเพราะผมรักพี่กี้มาก แต่เมื่อวันนี้ผมไม่มีเขามากวนใจ ผมกลับไม่มีพี่กี้อยู่ในใจเช่นกัน ผมคิดถึงแต่เขา และก็ต้องการเขา
“ผมยังเหมือนเดิม เหมือนวันแรกที่ผมบอกคุณว่าผมชอบคุณ ผมต้องเจ็บแค่ไหนที่รู้ว่าคุณไม่คิดจะเปิดใจให้ผมเลย ผมพยายามที่จะไม่ยุ่งกับคุณ แต่เชื่อไหมผมทำไม่ได้ ผมทำไม่ได้ที่จะไม่คิดถึงคุณ ไม่มีเวลาไหนที่ไม่คิดถึงคุณเลยสักวินาที แม้จะรู้ว่าคุณเองไม่มีทางคิดถึงผม”เขาเอ่ยขึ้นหลังจากผละจูบ ผมมองไปยังดวงตาของเขาที่มองมาทางผม มีคำถามมากมายที่อยู่ในหัวแต่มันพูดออกมาไม่ได้ เพราะผมไม่อยากจะพูดออกมาแล้ว
“ความรู้สึกนี้คิดว่าคุณเป็นคนเดียวหรือไง”ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินไหมแต่ผมกลับดึงใบหน้าเขาเขามากดจูบเสียเอง และผมเองก็เป็นคนยื่นคีย์การ์ดให้เขาเอง พร้อมเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาในห้องและนอนบนที่นอนของผม พร้อมร่างกายของผมเพราะหัวใจของผมเขาคงขโมยมันไปนานแล้ว
...............................
-
ค้างๆๆๆๆๆๆ ต่อด่วนเลย ยังไงต่อน่ะ อิอิ
-
มอบหัวใจกันแล้ว ..
-
Blue Lyrics 6 : ความกลัว (นพเก้า xนาคิน)
นพเก้า พาร์ท
แม้ว่าเมื่อคืนผมและเขาจะมีอะไรเกินเลยมากกว่าจูบก็ตาม แต่ใจกลับไม่กล้าที่จะแทรกเข้าไปมากกว่าแค่ทำรักกันภายนอก เพราะผมกลัวเขาเจ็บ กลัวเขาไม่ประทับใจและกลัวเขาเพ้อเรียกชื่อใครคนนั้นแทนที่จะเป็นผม
“อื่ออออ”เสียงครางในลำคอของคนที่กำลังซุกตัวอยู่ที่อกของผม
ฟอดดดด
“พี่รักน้องบลูนะครับ”ผมเอ่ยขึ้นหลังจากกดจมูกที่ขมับของเขา ดวงตาที่ซ่อนเปลือกตาบางกำลังพักผ่อนอยู่ตอนนี้ ผมใช้นิ้วเกลี่ยที่แก้มขาวของเขาไปทั่วจนเจ้าเองรู้สึกเหมือนรำคาญนักเมื่อมือขาวปัดป่ายไปทั่ว แต่ผมว่าน่ารักชะมัดเลย
“หึๆ ตื่นได้แล้วครับ”ผมเอ่ยบอกคนที่พยายามกระพริบตาเพื่อปรับกับแสงจากข้างนอกก่อนจะหันมองผมและหลบสายตาทันที ใบหน้าแดงเห่อเมื่อผมเองยกยิ้มให้พร้อมกระชับอ้อมกอดไว้
“เป็นอะไร ทำไมไม่อยากมองหน้าพี่หรอ”ผมเอ่ยขึ้น เพราะตอนนี้เขากลับหลบสายตาผมทันทีที่สบตากัน
“ปะ...เปล่านี่ครับ”เขาเอ่ยอย่างไม่เต็มปาก ผมอดยิ้มกว้างไม่ได้เพราะเขาน่ารักเกินไปแล้ว
“เปล่าแล้วทำไมไม่มองหน้าพี่หล่ะ”ผมเอ่ยถาม
“คือ...ผมแค่รู้สึกผิด”ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาจะรู้สึกผิดเรื่องอะไร
“รู้สึกผิดเรื่องอะไร หื้ม”ผมถามเขาอย่างอ่อนโยน
“ก็เรื่องที่เกิดขึ้นกับเราสองคน เราไม่ได้ทำผิดกับอาจารย์แป้งใช่ไหมครับ”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาลงพร้อมซุกหน้าที่อกของผม
“อาจารย์แป้งเกี่ยวอะไรกับเราด้วยหรอ”ผมถามกลับเขา ผมยกยิ้มก่อนที่จะกดจูบที่ริมฝีปากของเขาหลังจากที่เอาเอ่ยออกมาเพียงคำเดียว
“ก็...”ลิ้นร้อนของผมแทรกเข้าสู่โพรงปากหวานนั้น โดยไม่รีรอให้ลิ้นเล็กของเขาหนีผม น้ำเชื่อมสีใสที่เยิ้มอยู่มุมปากของเราทั้งสอง
“อื่ออออ”เสียงครางท้วงเหมือนต้องการอากาศหายใจ ผมผละริมฝีปากออกแต่ไม่ได้ปล่อยให้ริมฝีปากเขาว่างนานเกิดวินาที ผมงับที่ริมฝีปากล่างของเขาและริมฝีปากบนอย่างห้ามอารมณ์ไม่อยู่ ถ้าผมอยากจะทำมากกว่าจูบและสัมผัสภายนอก
“อื้มมมมม”เสียงครางของผมเองที่ห้ามใจไม่ได้จริงๆ มือหนาของผมกลับสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อบางของเขาก่อนจะลูบไล้ไปยังอกแบนราบนั้น แม้จะแบนราบผมก็ชอบนะ หลงใหลเลยก็ว่าได้ เม็ดทับทิมที่แปะอยู่บนอกนั้นยิ่งทำให้ผมอยากจะกัดมันอีกครั้ง
“อ๊าห์...”เสียงครางดังขึ้นสลับกันไปมาของผมและเขา เหมือนเพลงรักจะเริ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากเมื่อคืนผมกับเขาได้ทำกันเมื่อคืนนี้ แต่ผมมันโลภผมอยากทำมากกว่านี้
ร่างขาวบิดกายไปมาเมื่อลากลิ้นมาที่หน้าท้องแบนราบ ก่อนที่มือผมจะซนเพราะสมองมันสั่งผมว่าลองสัมผัสที่ช่องทางนั้นดู และมือผมก็กดเข้าที่ช่องทางนั้นจนตัวเขากระตุกตัว
“อ๊ะ...อย่าครับ”เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ มือขาวจับที่ไหล่ผมแน่นและเป็นเชิงบอกให้ผมหยุดมัน
“พี่ขอโทษนะ”ผมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ก็เขาเพิ่งบอกผมเมื่อคืนนี้ว่าขอเวลาเขาทำใจสักหน่อย ผมเองที่มันบ้าบอไปเอง
“ผมก็ขอโทษครับ ที่ไม่สามารถให้พี่ได้มากกว่านี้”ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“พี่เข้าใจครับ พี่เองก็ต้องขอโทษด้วยที่ห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ พี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ พอดีพี่มีสอนบ่าย”ผมเอ่ยขึ้นบอก ที่จริงถามว่าน้อยใจไหมก็น้อยใจอยู่บ้างที่ผมเปิดใจกับเขาและเขาเองก็เปิดใจกับผมเรื่องของการคบกัน แต่ผมกลับรู้สึกน้อยใจ หรือที่จริงผมกำลังกลัวบางอย่างกันแน่
...
..
เกือบเดือนแล้วที่ผมและน้องบลูตกลงเป็นแฟนกัน แต่มันก็แค่สถานะแฟนที่ผมและเขาอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น เขาขอร้องให้ผมอย่าเพิ่งบอกใคร รอให้เขารับปริญญาเรียบร้อยก่อน ข้อนี้ผมเองก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก จะรับไม่รับมันไม่เห็นเกี่ยวกับการเปิดตัวว่าเราสองคนเป็นอะไรกันไม่ใช่หรือไง
“ทำไมวันนี้อาจารย์เก้ามากับพี่บลูได้หล่ะคะ”เสียงของฟางเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมเดินลงจากรถมาพร้อมกับเขา
“อ่อ พอดีว่าอาจารย์เก้าเป็นอาจารย์โปรเจคของพี่ไง เลยมาด้วยกัน”เขาเอ่ยตัดบททันที
“อ้าว ไม่ใช่อาจารย์วรรษาหรอคะ”หญิงสาวเอ่ยถามย้ำ ผมยืนมองร่างสูงโปร่งข้างๆกำลังแก้ตัวอยู่นานจนผมนึกรำคาญว่าทำไมไม่บอกไปตรงๆหล่ะ หรือกลัวว่าคนอื่นจะมองเขาไม่ดี
“อ่อ พี่เพิ่งเปลี่ยนอ่ะ อาจารย์วรรษาท่าไม่ค่อยว่าง...”ผมส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปจากจุดสนทนาอย่างรู้สึกหงุดหงิด
“อาจารย์คะ”เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้น ผมไม่ได้หันมองทั้งคู่เลย เดินดิ่งขึ้นตึกไปทันที
“แค่บอกว่าคบกันมันยากตรงไหนว่ะ”ผมสบถกับตัวเองออกมา ดีว่าไม่มีอาจารย์ท่านใดเข้ามาตอนนี้
ติ้ง ติ้ง
น้องบลู : บลูทำอะไรให้พี่โกรธหรอครับ
ผมยกยิ้มออกมาทันที ไอ้ที่โกรธมันก็เสือกหายไปชะงั้นเมื่อได้เห็นข้อความของเขา แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไร อยากให้เขารู้ว่าผมรู้สึกยังไงตอนที่เขาไม่ยอมบอกใครว่าผมเป็นอะไรกับเขา
น้องบลู : พี่เก้าครับ ตอบบลูหน่อยสิ
“เฮ้ออออ ก็เพราะรักนะถึงยอมทุกอย่างแบบนี้”ผมยกยิ้มออกมา หลังจากเอ่ยขึ้นกับตัวเองและกดส่งข้อความออกไป
พี่เก้า : เย็นนี้อยากกินสเต๊กอ่ะ ทำให้กินหน่อยสิ
น้องบลู : ครับ บลูไปทำเรื่องจบที่คณะเสร็จแล้วจะไปรอที่ห้างข้างๆนะครับ
ผมยกยิ้มออกมาอย่างมีความสุขถ้าตัดเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกใครว่าผมกับเขาเป็นอะไรกัน ผมเองยิ่งมีความสุขมากกว่านี้
“พี่อยากรู้ว่าน้องบลูลืมผู้ชายคนนั้นได้จริงๆหรอ”ผมสบถกับตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้มานานนับตั้งแต่เราสองคนเปิดใจให้กัน และผมเองก็สงสัยเช่นกัน เวลามีอะไรกันผมไม่เคยได้เข้าไปข้างในร่างกายของเขาเลยสักครั้ง ทุกครั้งเขาก็จะบอกผมว่าเขายังไม่พร้อม
หลังจากเลิกสอนช่วงสิบเอ็ดโมงผมก็รีบยกมือถือโทรหาน้องบลูทันที
“อยู่ไหนครับ”
(“อยู่ซูปเปอร์โซนใต้ดินครับ”)
“อิ้ม เดี๋ยวพี่ตามลงไปนะ”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะจับมือถือยัดใส่กระเป๋าและเดินไปชั้นใต้ดิน
ผมเห็นร่างสูงโปร่งตัวค่อนไปทางบางกว่าตัวผมกำลังเข็นรถเข็นอยู่ ผมยกมือขึ้นทันทีที่เราสองคนสบตากันต่างยกยิ้มออกมา ผมยกมือทักเขาและเดินตรงไปยังเขาทันที
“ซื้ออะไรไปบ้างแล้วหล่ะ”ผมเอ่ยถามเขาพร้อมกับจับรถเข็นมาเข็นเอง
“ก็วัตถุดิบทำสเต๊กอ่ะครับ พอดีป้าลินบอกว่าต้องหมักเองจะถึงเครื่องที่สุด”
“อ่อ...”ผมยิ้มออกมา
“พี่เก้าครับ ของใช้ที่บ้านก็หมดแล้ว เราซื้อไปพร้อมๆกันเลยนะครับ”
“ใช่สินะ งั้นน้องบลูจัดการเลยนะ พี่ยกตำแหน่งแม่บ้านให้น้องบลูไปแล้วนี่”ผมเอ่ยขึ้น ดูเขาหน้าจะขึ้นสีเล็กน้อย ผมโน้มใบหน้าลงต่ำอยากจะหอมแก้มเขาสักทีในฐานะที่เขาน่ารักเกินไป น่ารักเสียจนผมอดใจไม่ไหวแล้ว
“พี่เก้าอย่าสิครับ นี่มันห้างนะ”เขาเอ่ยอย่างเขินอาย
“ไม่มีหรอก พี่มองซ้ายขวาแล้ว ขอหอมทีดิ”ผมเอ่ยขึ้น มือบางยกหอมแดงขึ้นมาเป็นเชิงกวนๆ ผมยกยิ้มและชี้นิ้วไปที่หน้าเขาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หึ ร้ายชะมัดเลยนะ อย่าเผลอแล้วกัน”ผมเอ่ยขึ้น
“ไม่มีทางเผลอให้เห็นครับ”เขาลอยหน้าลอยตาทำน่ารักออกมาอีก ผมรวบเอวบางของเขาไว้แต่ยังไม่ทันที่ผมจะทำอะไรต่อจากนี้ เพราะเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ
“อ้าว อาจารย์นพเก้ามาซื้อของหรอคะ”
“อาจารย์แป้ง”ผมเอ่ยออกมา แต่ร่างผมกลับเซตามแรงผลักของคนข้างๆ ผมหันมองเขาทันทีอย่างตกใจ นี่เขากลัวคนรู้ถึงขนาดนี้เลยหรอ เขาเองก็มองผมเช่นกัน สายตาจ้องมองไปยัง
“แล้วนี่มากับนาคินได้ยังไงคะเนี้ย”ผมละสายตาจากเขาก่อนจะหันไปหาอาจารย์แป้ง
“บังเอิญเจอกันครับ อาจารย์แป้งมาซื้อของหรอครับ”ผมหันมองตามเขาทันที บังเอิญหรอ เขาใช้คำนี้เพราะอะไร ผมชักสีหน้าทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ครับ พอดีเราสองคนบังเอิญเจอกัน แล้วอาจารย์แป้งก็มาซื้อของหรอครับ”แม้ผมเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าแต่สายตาผมก็ยังคงมองไปยังคนข้างๆที่ยังคงหลบตาผมอยู่
“คะ พอดีมาซื้อของใช้คะ”ผมยกยิ้มหวานให้เธอ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีผมมีธุระ”ผมเอ่ยขึ้น ปรายตามองไปยังคนข้างๆ
“เธอจะกลับกับอาจารย์ไหม”ผมเอ่ยขึ้นถามเขา
“ครับ ผมขอตัวนะครับอาจารย์”เขาเอ่ยพร้อมเดินตามหลังผมมา รถเข็นถูกผมลากมากเข็นเองก่อนจะมาจุดจ่ายเงิน
“หนึ่งพันแปดร้อยบาทคะ”ผมยื่นเงินให้พนักงาน คนข้างๆก็ยังคงนิ่งอยู่ ผมถือของทั้งหมดมาใส่ท้ายรถก่อนจะขึ้นมานั่งบนรถ มือผมกำพวงมาลัยไว้แน่นก่อนที่มือขาวของคนข้างๆผมจะมากุมมันอีกที
“ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลของบลูคืออะไร แม้พี่จะพยายามยอมรับสถานะแบบนี้แต่ก็ขอเวลาพี่บ้างก็ดีนะ”ผมเอ่ยขึ้น หน้าผากของผมซบที่พวงมาลัยรถ ก่อนที่หัวกลมจะซบมาที่ไหล่ผมอีกที
“บลูขอโทษครับ บลูมันขี้ขลาดเอง”ผมหันมองคนข้างๆ ก่อนจะดึงเขาเข้ามาสวมกอด
“พี่ไม่รู้หรอกว่าบลูกลัวอะไร หรือเคยเจออะไรกับความรักมาก่อน และพี่เองก็ไม่อยากคิดว่าที่บลูทำแบบนี้เพราะบลูยังรักผู้ชายคนนั้นอยู่ แต่พี่อยากบอกบลูกไว้อย่างนะ พี่รักบลู”ผมเอ่ยขึ้นสายตามองไปยังใบหน้าขาวที่ดวงตาฉ่ำไปด้วยน้ำตาแล้วตอนนี้
“พี่เก้า บลูขอโทษ”เขาเอ่ยขึ้น ผมกระชับกอดเขาแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พี่ไม่รู้ว่าบลูจะให้ความรักพี่เต็มร้อยได้ตอนไหน แต่แค่นี้พี่ก็โอเคแล้วแม้จะมีบ้างที่พี่เองก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่จะมีวันนั้นมั้ย วันที่บลูจะรักพี่หมดหัวใจ”ผมเอ่ยขึ้น
--ห้าเดือน ต่อมา--
ความรักของผม ดูเหมือนมันมีอะไรซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ผมเองก็ไม่อยากคิดมันแล้ว จากเดือนเป็นสองเดือนและตอนนี้ผมเองก็กำลังมองไปยังใบหน้าขาว รอยยิ้มหวานของคนที่ผมเรียกว่าลมหายใจของผม
“ไม่ไปถ่ายรูปกับเจ้าบลูหน่อยหรอ”ผมหันไปทางต้นเสียงของคุณกรีนที่เดินมาพร้อมไอ้กูรเพื่อนรักของผม
“ไม่ดีกว่าครับ ให้เขาได้ยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ดีแล้ว”ผมเอ่ย สายตาก็ยังคงจับจ้องไปยังเขา
“จะครึ่งปีอยู่แล้วนะ มึงยังจะคิดมากอีกหรอเรื่องนั้นอ่ะ”ไอ้กูรเอ่ยถามผม
“คุณเก้าครับ ที่จริงเจ้าบลูรักคุณนะครับ แม้จะไม่กล้าบอกใครต่อใครว่าเขามีคุณ แต่พวกเรารู้ดีว่าเจ้าบลูมันมีความสุขมากแค่ไหนที่มีคุณ”ผมนิ่งไปกับคำพูดของคุณกรีน แต่ก็แค่คุณกรีนพูด ที่จริงผมอยากให้เขาพูดเองมากกว่าว่าเขารักผม และเขาเป็นของผม เป็นของผมแค่คนเดียวไม่ใช่มีใครคนนั้นอีก
ริมสระน้ำบ้านหลังใหญ่ งานเลี้ยงเล็กๆถูกจัดขึ้นมีเพียงบรรดาพี่น้องเท่านั้นที่มาร่วมงาน ผมเองก็ถูกเชิญมาด้วย และผมเองก็ยังคงจำคำของเขาได้ดีว่า เมื่อเขาเรียนจบ เขาจะบอกเรื่องของเราทั้งสองกับพี่น้องของเขา ผมเองกำลังรอช่วงเวลานั้น
“โตแล้วนะ เรียนจบแล้วรับผิดชอบตัวเองได้แล้วนะเรา”
“โธ่ เฮียก็ เค้าก็รับผิดชอบตัวเองอยู่นี่ไงครับ”
“นี่จะเรียนต่อหรือจะทำงานก่อนหล่ะครับ”ไอ้กูรมันเอ่ยถามขึ้น
“ว่าจะไปช่วยเฮียที่บริษัทก่อนนะครับ เรื่องเรียนต่อยังไม่ได้คิดเลย”เขาเอ่ยขึ้น ผมยกยิ้มกับความน่ารักของเขากอ่นที่เสียงหวานของหนูพิ้งค์จะเอ่ยขึ้น
“งั้นเฮียก็หาพี่สะใภ้ให้เค้าก่อนสิ แล้วค่อยคิดจะเรียนต่ออ่ะ”
“ใช่สินะ ตั้งแต่กี้จากไป เจ้าบลูก็ไม่มีใครเลยนี่ ว่าแต่เรามีใครบ้างหรือยัง”เสียงของคุณอนาคินเอ่ยขึ้น ผมใจเต้นแรงทันทีเมื่อเขาส่งสายตามาทางผม ไม่รู้จะทำหน้าตาแบบไหนดี เมื่อถึงเวลาที่ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าผมกับเขาเป็นอะไรกัน
“ไอ้เก้า มือมึงเย็นมากเลยว่ะ”เสียงไอ้กูรกระซิบบอกผม มีแค่คุณกรีนและไอ้กูเท่านั้นที่ผมเล่าเรื่องราวของผมและเขาให้ฟัง
“ตื่นเต้นว่ะ”ผมกระซิบบอกเพื่อนรักก่อนจะยกยิ้มให้กับเขา
“เฮียแบล็คถามก็ตอบไปสิ หรือว่ายังตัดใจจากกี้ไม่ได้”คุณหมอเอ่ยขึ้น ใจผมมันเต้นแรงกกว่าเดิม และมันก็หน่วงหนักกว่าเดิมเมื่อคิดๆดูแล้ว ครอบครัวของเขารู้จักผู้ชายคนนั้น แสดงว่าเขาก็คงเปิดเผยตั้งแต่คบกันหล่ะสิ แต่กับผมเกือบครึ่งปีที่เขาปิดบังครอบครัวเขา ผมยืนที่นี่ในฐานอาจารย์นพเก้า เพื่อนของแฟนคุณกรีนเท่านั้นหรอ
“โธ่ พี่หมอก็ พี่กี้ออกจะแสนดีขนาดนั้น เป็นใครจะลืมได้ลงล่ะ ใช่ป่ะเฮียบลู”เสียงหวานหนูพิ้งค์เอ่ยขึ้น คุณกรีนกับไอ้กูรหันมองผมที่ตอนนี้ใบหน้าจากยิ้มเป็นซีดเผือก มือกำเข้าหากันแน่น เขาหันมองผมที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาอย่างลังเลใจ
“เอ่อ...คือ...”เขายังคงอ้ำอึ้งอยู่ ผมเริ่มจุกที่อกแล้วตอนนี้ เขาไม่กล้าที่จะบอกทุกคนว่าผมกับเขาเป็นอะไรกัน นี่ผมยอมเขามาเกือบครึ่งปีกับการหลบๆซ่อนๆ กับการที่ได้สัมผัสกันแค่จูบกอด เท่านั้นหรอ ผมไม่รีนอให้เขาเอ่ยต่อผมจึงเอ่ยขึ้นกลางวงสนทนาทันที
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะครับ เห็นทีผมจะต้องขอตัวก่อน พอดีผมนึกขึ้นได้ว่ามีธุระอ่ะครับ”ผมไม่รอให้ใครอนุญาต พาร่างของตัวเองดิ่งไปที่รถทันที
“ไอ้เก้า...”ไอ้กูรมันตะโกนเรียกผม แต่ผมไม่ได้สนใจ เพราะผมรู้สึกหูอื้อไปหมด ไม่อยากจะทำอะไรแล้ว
“พี่เก้าครับ”เสียงหวานของเขาที่ผมจำได้ดีเอ่ยเรียกผมเมื่อผมมาถึงที่รถแล้ว แต่ผมไม่ได้เปิดประตูหรือกระจกรถแต่อย่างใด แววตาของเขาที่รู้สึกผิดแต่มันก็แค่ภาพลวงตาที่ผมเห็นเท่านั้น
“ในใจของบลูไม่เคยมีพี่เลยสักครั้ง พี่ไม่มีทางได้หัวใจบลูเลยสักนิด”ผมเอ่ยออกมาก่อนจะขับรถออกจากบ้านหลังใหญ่นั้นไป และก็น่าจะพอแล้วสำหรับความรักที่ผมหวังเพียงข้างเดียวแบบนี้
“ไม่มีทางจะรักพี่ได้ ทำไมถึงให้ความหวังพี่หล่ะ ทำไมใจร้ายกับพี่นัก”
................................................
"จงอย่ากลัวความรัก"
-
สู้ๆ กับ ความรัก ..
-
ลุ้นต่อ
-
:katai1: :katai1: :katai1:
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
Blue Lyrics 7 : ผลที่ได้ (นพเก้า xนาคิน)
นาคิน พาร์ท
ผมไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้เลยจริงๆ ผมมันพวกขี้ขลาดที่ไม่กล้าเอ่ยออกมาว่าพี่เก้ากับผมเป็นอะไรกัน ไม่กล้าที่จะให้เขาล้ำเส้นเข้ามาถึงขั้นนั้น และไม่กล้าที่จะเอ่ยว่าเขาคือชีวิตของผม ลมหายใจของผม
“มานั่งทำอะไรตรงนี้ หื้ม”ผมหันมองเฮียกรีนที่เดินถือของว่างเข้ามา ผมมาหาเฮียตั้งแต่เช้าหลังจากที่ผมแวะไปหาพี่เก้าบ้าน แต่ผมก็ไม่พบเขา
“เฮีย พี่เก้าต้องโกรธเค้ามากแน่ๆเลย เขาไม่ยอมรับสาย ไม่ยอมอ่านข้อความ ไม่ยอมออกมาพบและหลบหน้าเค้า เกือบสองเดือนแล้วนะ”ผมกังวลทำอะไรไม่ถูกจริงๆ หลังจากวันนั้น
--วันเกิดเหตุ--
“ใช่สินะ ตั้งแต่กี้จากไป เจ้าบลูก็ไม่มีใครเลยนี่ ว่าแต่เรามีใครบ้างหรือยัง”
“เฮียแบล็คถามก็ตอบไปสิ หรือว่ายังตัดใจจากกี้ไม่ได้”
“โธ่ พี่หมอก็ พี่กี้ออกจะแสนดีขนาดนั้น เป็นใครจะลืมได้ลงล่ะ ใช่ป่ะเฮียบลู”
“เอ่อ...คือ...”
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะครับ เห็นทีผมจะต้องขอตัวก่อน พอดีผมนึกขึ้นได้ว่ามีธุระอ่ะครับ”
“พี่เก้าครับ”ผมวิ่งตามเขาออกมาแต่สายตาเขาที่มองผมผ่านกระจกรถนั้นมันแฝงไปด้วยความผิดหวัง ใช่ว่าผมไม่อยากจะบอกว่าเขาเป็นคนที่ผมรักมากที่สุดตอนนี้หรอกนะ แต่ผมยังคงอ้ำอึ้งอยู่นั้น เพราะความรู้สึกกลัว ผมกลัวว่าถ้าผมเสียเขาไปเหมือนที่ผมเสียพี่กี้ไปผมจะทำยังไง
“เจ้าบลู…”เสียงพวกพี่ๆผมวิ่งตามเข้ามาสมทบ
“ผมต้องขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ”พี่กูรเอ่ยขึ้น ผมที่น้ำตากำลังไหลออกมาหันมองพี่ๆทุกคนก่อนจะซบหน้าลงที่อกเฮียกรีน
“ฮึกๆ เขาจะทิ้งบลูไปเหมือนที่พี่กี้ทิ้งบลูไปใช่ไหม”
“ไม่หรอก เฮียว่าคุณเก้าคงกำลังโกรธมากกว่า เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปปรับความเข้าใจกับเขานะ”
“สรุปแล้ว เรื่องราวมันเป็นยังไงกัน เจ้าบลูเล่าให้เฮียฟังหน่อย”เฮียแบล็คเอ่ยขึ้น
ผมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกพี่น้องผมฟัง สิ่งที่มันน่ากลัวที่สุดคือการจากลา ผมกับพี่กี้เคยรักกันมาก พี่กี้เป็นรุ่นพี่สมัยมัธยม ผมอยู่โรงเรียนประจำพี่กี้ช่วยเหลือผมดีกับผมเสมอต้นเสมอปลายแต่เราไม่กล้าที่จะเปิดเผยให้ใครรู้ เพราะพี่กี้กลัวว่าที่บ้านของเขาจะทราบเรื่อง จนวันหนึ่งผมชวนพี่กี้ไปทานข้าวที่บ้าน และแนะนำให้ลูกจักกับครอบครัวของผม ในฐานะแฟนซึ่งพ่อแม่ผมไม่ได้ว่าอะไร ครอบครัวผมรับได้แต่ใครจะรู้ว่าวันนั้น แขกที่พ่อและแม่ผมเชิญมาทานข้าวด้วยจะเป็นพ่อแม่ของพี่กี้เอง ทำให้เรื่องของเราเปิดเผย และสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงคือพี่กี้ฆ่าตัวตาย เพราะโดนที่บ้านและสังคมรอบข้างมองพี่กี้เหมือนเชื้อโรค นี่คือสิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือถ้าผมกับพี่เก้าบอกคบกัน และต่อจากนี้ชีวิตเราจะเป็นยังไง และผมต้องเสียพี่เก้าไปอีกคน
+++
“ฮึกๆ บลูกลัว กลัวว่าเขาจะทิ้งบลูไปเหมือนพี่กี้”ผมซบหน้าที่อกของพี่ชายตัวเอง
“เชื่อเฮียสิ ว่าคุณเก้าไม่มีทางทำแบบกี้แน่นอน กี้มันขี้ขลาดเกินไป”
“เหมือนเค้าตอนนี้ไง ที่มันขี้ขลาด เค้ามันบ้าไงเฮีย น่าจะเชื่อมั่นคนที่รักเรา แต่เฮียดูสิ ดูว่าน้องชายเฮียทำอะไรออกไป พี่เก้าทิ้งบลูไปแล้วทิ้งทั้งๆที่ยังหายใจอยู่ บลูคิดถึงเขาอ่ะเฮีย”ผมเอ่ยขึ้นจากใจ น้ำตาที่เอ่อออกมามันกำลังล้นออก ก่อนที่เสียงของพี่เขยผมจะเอ่ยขัดขึ้น
“คุณบลู ทราบเรื่องหรือยัง”ผมหันมองตามเสียงที่เอ่ยหน้าตาตื่นของพี่กูร
“เรื่องอะไรครับ”ผมเอ่ยขึ้นถามทันที
“เรื่องของไอ้เก้า”ผมใจหล่นวูบทันที ผมกลัวว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง ผมรีบวิ่งไปหาพี่กูรและคั้นเอาคำตอบ
“เรื่องของพี่เก้า เรื่องอะไรหรอครับพี่กูร พี่เก้าเป็นอะไร พี่กูรบอกผมสิครับ”ผมเอ่ยออกจาอย่างใจร้อนจนเฮียบลูเอ่ยขึ้น
“ใจเย็นๆบลู”ผมหันมองพี่ชายตัวเองก่อนจะร้องไห้ออกมา ผมกลัวแล้วจริงๆกลัวว่าผมจะไม่มีเขาอยู่แล้วตอนนี้
“ไอ้เก้าไม่ได้เป็นอะไร แต่ว่า...”พี่กูรลากเสียงค้างไว้จนผมเองกลัวยิ่งกว่าเดิม
“แต่ว่าอะไรครับ”เสียงเฮียกรีนเอ่ยถามบ้าง ซึ่งผมเองก็ยังคงบีบมือตัวเองไปมาอย่างรู้สึกกลัว น้ำตาก็ยังไหลเป็นทาง
“แต่ว่าไอ้เก้ามันกำลังจะแต่งงาน”สิ้นเสียงพี่กูร ผมเองจับจุดไม่ถูกเลยว่าตัวเองต้องโกรธ โมโห หรือเสียใจดี ผมเดินไปนั่งทั้งๆที่เข่าอ่อนแรงหมด
“แต่งงานหรอ...”ผมอุทานออกมาเบาๆพร้อมจับแหวนที่นิ้วของตัวเองไปมา แหวนที่พี่เก้าซื้อให้ผมและก็เป็นแหวนที่พี่เก้าบอกว่าจองผมไว้ก่อน ผมกับพี่เก้ามีแหวนแบบเดียวกันคนละวง มันคือแหวนแทนใจของผมและเขา
“แต่งงานหรอ แต่กับใคร?”เสียงเฮียกรีนเอ่ยขึ้น แต่ผมกลับไม่ไม่ได้ยินเพราะตอนนี้ผมเหมือนกำลังตกลงไปในหลุมดำ
“เห็นไอ้เบียร์มันบอกว่า กับอาจารย์ที่ทำงานด้วยกันอ่านะ แต่ผมก็ไม่แน่ใจหรอกเพราะตอนนี้ผมยังไม่เจอไอ้เก้ามันเลย”พี่กูรเอ่ยออกมา ผมขมวดคิ้วเข้าหากันทั้งน้ำตา อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอย่างงั้นหรอ
“อาจารย์แป้ง”ผมสบถออกมาเบาๆ ยิ่งคิดได้แบบนั้นใจผมมันก็หน่วงจนเจ็บไปหมด
“บลู...”
“คุณบลู”เสียงพี่ชายและพี่เขยของผมเอ่ยเรียก ผมยังคงนั่งนิ่งอยู่ก่อนที่เอ่ยขึ้น
“เฮีย คืนนี้เค้าขอค้างที่นี่นะครับ”ผมเอ่ยขึ้น
“อื้ม เดี๋ยวเฮียไปเตรียมห้องให้แล้วกัน”ผมพยักหน้าก่อนจะหันไปมองสายน้ำนั้นดังเดิม น้ำตามันยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมเจ็บร้าวไปหมดแล้ว
“ไหนพี่บอกว่ารักบลูไงครับ แล้วทำไมพี่ถึงไปแต่งานกับคนอื่นหล่ะครับ”ผมเอ่ยออกมากับรูปที่อยู่ในมือถือ ข้อความที่ผมส่งไป เขาไม่อ่านเลยสักครั้ง
ช่วงค่ำผมนั่งเขี่ยข้าวในจานไปมา กลืนก็กลืนไม่ลง มันหน่วงไปหมด พูดอะไรไม่ออก ทั้งพี่กูรและเฮียกรีนก็ยังคงปลอบผมอยู่เรื่อยๆ
“แค่ไอ้เบียร์มันพูดนะ ไม่รู้จริงหรือเปล่า”พี่กูรเอ่ยขึ้น
“ใช่สิ ถ้าคุณเก้าจะแต่งงานก็ต้องมาบอกเราสิ อย่างน้อยกูรก็เป็นเพื่อนสนิทของคุณเก้า”เฮียบลูเอ่ยออกมา มันก็จริงนะ ผมเองทำไมคิดไม่ได้นะ พรุ่งนี้ผมจะไปหาเขาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง
….
..
ผมขับรถมาที่มหาวิทยาลัย จอดรถในพื้นที่คุ้นเคยและยกยิ้มทันทีที่ผมเห็นรถของเขามาจอดเทียบข้างๆ ผมรู้ว่าเขาเองก็รู้ว่าผมอยู่ในรถ ผมกำลังจะลงจากรถเพื่ออยากไปเคลียกับเขา
“พี่เก้า”ผมเอ่ยเรียกเขา ตั้งใจจะเดินเข้าไปสวมกอดเขาโดยไม่อายใคร แต่เขากลับถอยออกจากผม ขาผมสั่นหน้าร้อนไปหมด
“ทำไมพี่เก้าหนีบลูหล่ะครับ”ผมเอ่ยถามเขา
“บลูไม่กลัวอายคนอื่นหรอ ที่มากอดผู้ชายด้วยกัน”ถามว่าเจ็บไหม บอกเลยว่าเจ็บมากแต่โทษเขาก็ไม่ได้เพราะผมเองที่มันขี้ขลาด แต่นั่นมันเมื่อก่อน สำหรับตอนนี้ผมอยากกอดเขา คิดถึงเขามาก
“ไม่เลย บลูรู้แล้วว่าบลูแคร์พี่เก้า บลูไม่อายใครทั้งนั้นแล้ว”ผมเอ่ยขึ้น น้ำตามันออหน่วยออกมา
“แน่ใจหรอ”เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้าดูเยาะเย้ยไม่เชื่อผม ยิ่งทำให้ผมวูบไปทั่วร่างผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แน่ใจสิครับ จะให้ผมทำอะไรผมก็ยอม”ผมเอ่ยขึ้น
“ให้ทำอะไรก็ยอมหรอ ทุกอย่างเลยใช่ไหม”เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ครับ ทุกอย่างแล้วแต่พี่เก้าบอก ขอแค่พี่เก้าอย่าหนีบลูอีกก็พอ”ผมเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง ลืมคำถามที่ว่าเขาจะแต่งงานไปเสียสนิท
“งั้นทุ่มตรงไปพบพี่ที่โรงแรมXXX แล้วค่อยคิดว่าจะทำได้ไหม”ผมพยักหน้าก่อนจะมองเขาเดินออกไป
ช่วงทุ่มของวันเดียวกัน ผมขับรถมาตามนัดที่พี่เก้านัดผมไว้ ผมยกมือถือขึ้นมากดหาพี่เก้าเพื่อจะบอกว่ามาถึงแล้ว
“พี่เก้าครับ บลูมาถึงแล้ว โรงแรมXXXใช่ไหมครับ”
(“ใช่ เข้าไปรอพี่ที่ห้องอาหารก่อน เดี๋ยวพี่ตามเข้าไป”)
ผมวางสายเรียบร้อยก็เดินเข้าไปห้องอาหารของโรงแรม เอ่ยบอกบริกรว่าจองไว้ เขาก็พาผมเข้าไปนั่งรอ บรรยากาศดีชะมัดเลย ผมยกยิ้มออกมา ที่จริงผมน่าจะเอ่ยออกไปตรงๆตั้งแต่แรก เพราะยังไงพี่เก้าก็ชัดเจนกับผม
“เรามันโง่เอง ที่กลัวไม่เข้าเรื่อง”ผมเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะตกใจเสียงคุ้นเคยเล็กน้อย
“สั่งอะไรหรือยัง”เขาเอ่ยถามผม ผมหันมองเขาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหุบยิ้มทันทีเพราะเขาไม่ได้มาแค่คนเดียว เขาพาอาจารย์แป้งมาด้วย นี่สินะที่เขาอยากจะบอกผมและให้ผมรู้
“หวัดดีจ๊ะนาคิน แหมไม่คิดว่าจะเจอเธอเลยนะ ตอนนี้ทำงานเป็นไงมั้งเห็นเก้าบอกว่าเธอทำงานกับบริษัทที่บ้าน”เก้าหรอ เรียกชื่อกันสนิทขนาดนี้ผมเองไม่น่าต้องเดาอะไรอีกแล้ว แบบนี้ใช่ไหมที่เขากำลังจะบอกผม
“ครับ แล้วอาจารย์กับพี่เก้ามาด้วยกันหรอครับ”ผมเอ่ยขึ้น สายตาองไปยังเขาที่นั่งยกยิ้มมุมปากอยู่
“อ่อ ใช่จ๊ะพอดีมาดูสถานที่จัดงานอ่ะ”ใจผมยิ่งเต้นแรง ผมลืมเรื่องที่เขาจะแต่งงานไปสนิท มือชาหน้าชาไปหมด ผมมองไปยังทั้งสองตรงหน้าน้ำตาเจ้ากรรมมันกำลังจะไหลออกมา แต่ผมต้องพยายามข่มมันไว้ สักพักเสียงมือถือของอาจารย์แป้งดังขึ้น
Rrrrrrrrrrrrr
“ขอตัวแปบนะ”ผมยังคงจองไปยังคนตรงหน้าไม่ได้สนใจว่าอาจารย์แป้งจะออกไปตอนไหน มือผมกำกันไว้แน่นก่อนจะเอ่ยขึ้น
“นี่สินะครับ เรื่องที่พี่จะบอกบลู ขอให้พี่มีความสุขมากๆนะครับ”ผมเอ่ยออกมาอย่างแสนลำบาก เขาเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรยิ่งทำให้ผมเจ็บมาก
“ขอโทษทีนะเก้า พอดีมีธุระด่วนมากอ่ะ ต้องกลับก่อนนะ อาจารย์กลับก่อนนะนาคิน ยังไงอาจารย์เรียนเชิญงานแต่งอาจารย์ด้วยนะ”อาจารย์แป้งเอ่ย ผมตอบกลับไปเบาๆก่อนที่คนตรงหน้าผมจะเอ่ยขึ้น
“งั้นเดี๋ยวไปส่ง”ไม่เอ่ยเปล่า มือหนาดึงกระเป๋าของอาจารย์แป้งไปถือและเดินออกไปทันทีโดยไม่ทันมามองผมนั่งนิ่งเหมือนตัวเองเป็นอากาศ
“นี่หรอสิ่งที่พี่จะบอกบลู นี่หรอสิ่งที่เราต้องการ”ผมเอ่ยออกมากับตัวเอง ผมไม่ได้ลุกไปไหนยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นเกือบสิบนาที ก่อนที่จะเรียกบริกรเพื่อเก็บเงิน
“น้องครับ…”ผมเอ่ยขึ้น แต่ร่างสูงของพี่เก้ากลับปรากฏอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้
“จะสั่งอะไรเพิ่มหรอ ที่มีอยู่ยังไม่ได้กินเลยไม่ใช่หรอไง”ผมอ้าปากค้าง มองไปยังคนข้างหน้า นี่เขาไม่ได้กลับกับอาจารย์แป้งหรอกหรอ
“อ้าปากขนาดนั้น เดี๋ยวแมลงวันก็เข้าไปในปากหรอก”เขาเอ่ยขึ้น ใจผมเต้นแรงกว่าเดิมเมื่อเขานั่งข้างๆผมและยกอาหารของตัวเองมานั่งทานข้างๆผม
“ไม่ได้ไปส่งอาจารย์แป้งหรอครับ”ผมเอ่ยถาม
“ไม่อ่ะ เธอเอารถมา”เขาเอ่ยพร้อมยังตักอาหารทานต่อ
“อ้าว ไม่ได้มาด้วยกันหรอครับ”ผมถามขึ้น
“บลูไปส่งพี่ที่บ้านได้ไหม”เขาเอ่ยขึ้น ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันมองไปยังใบหน้าเสี้ยวหนึ่งของเขา
“ได้ครับ”ผมเอ่ยขึ้น
ผมนั่งมองถนนที่เคยคุ้นเคย ทางกลับบ้านของเขา ในใจมีคำถามมากมายจะถามเขา ทำไมเขาถึงเลือกแต่งงานกับอาจารย์แป้ง ทำไมเขาถึงโกรธผมมากกับความไม่ชัดเจนของผม
“พี่เก้าไม่คิดจะบอกบลูสักนิดหรอครับ เรื่องแต่งงาน”ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรถมาจอดเทียบหน้าบ้านของเขา
“แล้วทำไมพี่ต้องบอกบลูด้วยหล่ะ”ผมน้ำตาคลอเบ้าพร้อมจะไหลออกมา
“พี่เก้า โกรธบลูมากหรอครับ ที่บลูมันขี้ขลาดไม่กล้าที่จะเปิดเผยเรื่องของเรา”ผมเอ่ยขึ้นทั้งๆที่น้ำตามันไหลออกมาแล้ว
“พี่ไม่โกรธบลู แต่พี่โกรธตัวเอง โกรธตัวเองที่คิดว่าเรารักกัน”เขาเอ่ยก่อนจะเดินลงจากรถไป ผมหลับตาพร้อมพ่นลมหายใจออกมา
ฟู่วววววว
“บลูรักพี่นะครับ รักมากด้วย”ผมเอ่ยบอกรักเขาในวันที่เขาไม่ได้รักผมแล้ว
“ฮึกๆ…”ผมสะอื้นออกมาเบาๆ ผมคงไม่มีวันได้เข้าไปนั่งในหัวใจเขาอีกแล้ว ผมไม่มีวันที่จะได้กอดเขาและมีเขามากวนหัวใจอีกแล้ว มันก็สมแล้วกับความขี้ขลาดของผมเอง
……………………
-
:hao4: :hao4:
-
ความจริงเจ้าบ่าวของอาจารย์แป้งไม่ใช่เก้าหรือเปล่า
-
มางานของอาจารย์แป้ง ..
-
พี่เก้ามีแผนแน่ๆๆๆ
อย่าปล่อยให้น้องบลูกลับ
ลุ้นนนน
-
Blue Lyrics 8 : แกล้ง (นพเก้า xนาคิน)
[/size]
นพเก้า พาร์ท
ติ๊ดๆๆๆ ติ๊ดๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ดังอย่างต่อเนื่อง ผมกระชับอ้อมกอดคนที่ซุกกายเข้าหาผมตอนนี้ แต่ผมเองก็ยังไม่ปิดเสียงรำคาญนั้น จนเสียงงัวเงียคนในอ้อมกอดผมเอ่ยขึ้น
“งื้อออ ปิดเสียงเร็ว” ร่างบางที่อยู่ในอ้อมอกพูดเบาๆอย่างงัวเงีย และยังคงซุกไซร้หาความอบอุ่นต่อไป
“อือ” ผมหยีตาขึ้นมาดูหน้าจอโทรศัพท์ พบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า ปิดนาฬิกาปลุกอย่างลวกๆแล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ก่อนจะกระชับร่างในอ้อมกอดในแน่นขึ้น หลับตานอนต่อ
“งือออ ปล่อยบลูก่อนได้ไหมครับ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างน่ารัก ผมกระชับอ้อมกอดพร้อมยกยิ้มออกมา
“ปล่อยบลูนะครับ บลูอยากอาบน้ำ”เขาเอ่ยขึ้นพร้อมเบือนหน้าออก แก้มแดงที่ออกสีระเรื่อของเขาทำให้ผมหลงใหลเขายิ่งกว่าเดิม
เมื่อคืน หลังจากที่ผมเดินลงมาเปิดประตูบ้าน ผมแอบสังเกตเห็นว่าเขากำลังร้องไห้ ผมเองก็ไม่ได้ใจร้ายกับเขาเลยสักนิด ที่แกล้งเขาแบบนั้น ไม่ได้ตั้งใจอยากให้เขามีน้ำตา แต่อย่างที่คุณกรีนบอกผมว่าอย่างน้องบลูต้องทำให้รู้สึกว่าเสียของรักไป ถึงจะกล้าที่เอ่ยหรือทำอะไรออกมา
“พี่ไปอาบด้วยสิ”ผมเอ่ยขึ้น แอบเห็นว่าเขาอมยิ้มใบหน้าแดงจัดอีกครั้ง
“จะบ้าหรอครับ”น้องบลูน่ารักมาก ผมรักเขามากข้อนี้เขาเองก็รู้ดี และผมเองก็มั่นใจว่าเขาเองก็รักผมมากเช่นกัน เพราะเมื่อคืนเขาเอ่ยกับผมหลังจากที่เราทำรักกันเสร็จ ว่าเขารักผม และรักมากด้วย
“อายหรอ อายทำไมกัน เห็นกันมาหมดแล้วนี่”ผมเอ่ยขึ้น
“พอเลยครับ จะพูดให้อายทำไมกัน บลูยังโกรธเรื่องที่พี่เก้าโกหกบลูอยู่เลยนะ”เขาเอ่ยขึ้น พร้อมผละออกจากอกผม แต่ผมก็ยังรั้งเขาเข้ามาสวมกอดอยู่ดี
ฟอดดดด
“ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้พี่จะรู้หรอว่าน้องบลูรักพี่แค่ไหน พี่จะได้เห็นมุมของน้องบลูที่กล้าตะโกนบอกรักพี่หน้าบ้านหรอ”ผมเอ่ยขึ้นดูท่าทางเขาจะเขินมากทีเดียว เมื่อคืนกว่าจะเคลียกันได้ ผมแกล้งเขาจนร้องไห้เสียน้ำตาเป็นปิ๊บหน่ะ แต่มันก็คุ้มกับการแกล้งครั้งนี้ เพราะมันได้มาซึ่งคนที่ผมรักและเขาก็รักผม
“พี่เก้าครับ...”เขาเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาลงพร้อมซบหน้าที่อกของผม
“หื้ม...เป็นอะไรอีกหล่ะ พี่ขอโทษนะที่แกล้งเราแบบนั้น”ผมเอ่ยขึ้นขอโทษ กลัวว่าเขาจะนอยด์เรื่องที่ผมแกล้งจริงๆ
“เปล่าเรื่องแกล้งครับ”เขาเอ่ยขึ้น ผมกระชับกอดแน่น
“แล้วเรื่องอะไรหรอ ดูท่าทางหนักใจ”ผมเอ่ยขึ้นตามตรง
“พี่เก้าโกรธบลูไหม ที่บลูไม่กล้าจะให้สิ่งนั้นกับพี่ ไม่กล้าให้พี่ทำรักมากกว่านั้น”ผมจับเขามาเผชิญหน้าและมองใบหน้าขาวของเขา ก่อนจะกดจูบที่หน้าผากเขาเบาๆ
จุ๊บ
“อย่าคิดมากสิ เรื่องนั้นมันไม่สำคัญสำหรับพี่เลยสักนิด แค่บลูอยู่ข้างๆพี่ ยอมรับกับทุกคนว่าพี่คือใคร และเราสองคนรักกัน แค่นี้พี่ก็พอใจแล้ว”ผมเอ่ยขึ้น เขายกยิ้มออกมา ผมกดหน้าผากทับหน้าผากเขาพร้อมถูจมูกไปมาที่ปลายจมูกเขา
“พี่รักน้องบลูนะ”ผมเอ่ยขึ้น มือเรียวขาวจับที่ใบหน้าผมไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“บลูก็รักพี่เก้าครับ”ผมยกยิ้มก่อนที่เขาจะรั้งใบหน้าผมเข้าไปกดจูบ ผมแอบตกใจเล็กน้อยที่ลิ้นร้อนของเขากำลังสอดเข้าสู้โพรงปากของผม ลิ้นเล็กที่จูบยังไงก็ไม่ชำนาญนักแต่ก็ทำให้ผมพอใจ ผมดึงร่างของเขาเข้ามานั่งที่ตักของผมอย่างอัตโนมัติ เสียงครางเบาๆที่หลุดรอดออกมาทำให้ผมเองรู้สึกต้องการนัก
“อ่าห์...”
“ยังไม่ต้องอาบน้ำเนอะ...”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มกับคนบนตัก เรียวแขนโอบรอบคอผมแน่น รอยยิ้มเชื้อเชิญบางอย่างทำให้ผมใจเต้นแรง และก็รู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มนี้
“พี่เก้า บลูรักพี่ครับ”เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกดจูบผมทันที แล้วผมจะรออะไรหล่ะ ผมจับเขานอนราบกับที่นอน แสงตะวันที่สาดแสงเข้ามาในห้อง ยิ่งทำให้ผิวขาวๆของเขา และผมเองก็แอบตกใจครั้งที่สอง เมื่อเขากลับพลิกผมมานอนใต้ร่างแทน
“อ๊ะ...”ผมสบถออกมา สายตามองไปยังคนจอมยั่วที่อยู่ข้างบน เขายกยิ้มหวานออกมา ทำเอาผมใจเต้นระรัว ผมเองก็ยกยิ้มอย่างพอใจเช่นกัน
“จัดการพี่เลยสิ ที่รัก”ผมเอ่ยออกมายั่วๆ ในใจอยากจะให้เช็กส์ครั้งนี้เป็นเซ็กส์ที่ผมได้ครอบครองเขาถึงข้างใน ผมคงจะฟินน่าดู แต่แค่ริมฝีปากนุ่มนิ่มออรัลให้ผมเองก็เสียวจับใจแล้ว จะยังไงก็ได้ถ้าเป็นเขา ผมยอมทั้งนั้น
มือบางของเขาประสานมือเข้ากับมือผม สายตาที่มองมามันเปี่ยมด้วยความรัก ปากอิ่มค่อยๆเลื่อนเข้าไปจูบอีกครั้ง ซึ่งผมเองก็ตอบสนองได้เร็วเสียเหลือเกิน ผมค่อยๆคลายมือตัวเองออกจากฝ่ามือของเขา และโอบกอดเอวบางเอาไว้ ส่วนเขาก็ประคองใบหน้าผมอาไว้ด้วยมือเรียวนั้น ผมชอบวินาทีนี้ชะมัด มันไม่เหมือนเซ็กส์ครั้งก่อนๆเลยสักนิด เราต่างคนต่างจูบกันอยู่อย่างนั้น นานเท่าไรก็จำไม่ได้ แต่รู้ว่าทุกสัมผัสตอนนี้มันทำให้ผมหวังมากกว่านั้น
จุ๊บ จ๊วบ
เสียงจูบกันไปมาของเขาและผมมันไม่ลดลงเลยสักนิด ก่อนที่จะคลายจูบออกจากกัน สบตาเพียงชั่วครู่ เหมือนตอนนี้ทั้งผมและเขากำลังถูกดึงดูดเข้าหากันและกัน ร่างขาวของเขากำลังนั่งคร่อมลงที่หน้าท้องแกร่งของผม มือขาวลากไล้ไปตามลอนกล้ามสวยพรมจูบไปทั่วทั้งตัว
“อ๊าห์...ทำไมเก่งจัง”ผมเอ่ยชม และยิ่งได้รับคำชมเป็นเสียงครางเบาๆทำให้ลิ้นทเล็กวนรอบยอดอกของผมอย่างสนุกลิ้น ก่อนจะลากลิ้นและขยับกายมาหยุดที่กึ่งกลางของผม ยิ่งทำผมใจเต้น
“วิเศษจริงๆ อ่าห์…”ผมเอ่ยออกมา เขาใช้ฝ่ามือจับแกนกายที่ตั้งชันขึ้นก่อนจะใช้ลิ้นตวัดไปทั่วมุมหยักอย่างนึกสนุก
“อ๊า! น้องบลู จะฆ่าพี่ให้ตายหรือไงกัน”ผมเอ่ยออกมาด้วยเสียงกระเส่า สองมือผมขยุ้มที่กลุ่มผมนิ่ม ผมแอ่นกลางกายเข้าออกโพรงปากนุ่มนั้นอย่างใจต้องการ
“อื่อ อื่อ อื่อ…”เสียงครางตามจังหวะเรียวลิ้นร้อนแลบเลียไปทั่วทั้งโคนพร้อมๆกับฟันเรียงสวยที่ครูดกลางกายต้องร้องเสียวของออกมา
“พะ..พอแล้ว พี่จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว อ่าห์…”ผมเสียวซ่านไปหมด ไม่เคยอยู่สถานการณ์แบบนี้มาก่อน น้องบลูทำผมแทบบ้า เขาจะลงโทษผมด้วยวิธีนี้หรอไง ผมพร้อมจะปลดปล่อยแล้ว
แต่คนที่กำลังสนุกกับกลางกายของผมไม่ได้สนใจอะไรยังคงสนุกอยู่กับการออรัล ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ก่อนจะลืมตัวลุกขึ้นนั่งและยกตัวตัวเขาออกจากกลางกายของผม ขอบมุมปากยังคงช้ำไปด้วยน้ำเชื่อมใสที่เยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะจับเขานั่งและรวบแก่นกายที่ยังคงตั้งชันของเขากับผมไว้ เพื่อทำการชักรูดให้ถึงฝั่งอย่างที่เคยทำ เพราะยังไงผมก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปในร่างกายของเขาแน่
“อ๊ะ…นะ…น้องบลูจะทำอะไรอ่ะ”ผมเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อเขาค่อยยกตัวขึ้น และจับกลางกายของผมจ่อที่ช่องทางหลังของเขา เรื่องนี้และท่านี้ผมไม่ได้คิดไว้เลยว่าจะรับมือยังไงดี เขาโน้มตัวลลงมาก่อนจะกระซิบบอกผม
“บลูยอมแล้วครับ บลูอยากให้พี่เก้าเป็นของบลูจริงๆสักที”โอ๊ย ผมจะบ้าตายรู้งี้ผมแกล้งแบบนี้ตั้งนานแล้ว ผมใจเต้นแรง ปวดหนึบตรงนั้นแทบบ้า ถ้าผมเขาไปแค่ครึ่งทางแล้วผมปลดปล่อยออกมา ผมจะทำยังไงเนี้ย
“ตะ…แต่มันเจ็บนะครับ”ผมเอ่ยขึ้น แม้จะบอกเขาว่าเจ็บแต่ผมก็รั้งสะโพกเขาไว้ กลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ
“เจ็บ ดีกว่าเสียพี่ไปอีก บลูยอมเจ็บดีกว่าครับ”อ๊ากกกก รักเลย รักมากมาย รักแทบจะถวายชีวิตเลย ผมยกยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนหื่น
“เสียบลงมาเลยสิครับ ลองคุมเกมดูสินะ ที่รักของพี่”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะปล่อยตัวตามสบายและให้คนบนร่างที่ตอนนี้ใบหน้าแดงจัดจัดการผม
“เอาอย่างนั้นเหรอครับ ทำไม่ดีอย่าว่ากันนะ”เขาเอ่ยขึ้น ไม่ดีพี่ไม่รู้หรอก แต่ที่สำคัญพี่แทบแตกแล้ว แค่ปลายหัวป้านของผมโดนช่องทางนุ่มนั้น ผมก็เสียวจะแย่แล้ว
“ถ้าเจ็บก็เอาออกได้เลยนะ”ผมเอ่ยขึ้น ยิ่งทำให้เขาหน้าแดงจัดอีกครั้ง
“บ้า…”เขาเอ่ยอย่างเขินอายแต่ก็ค่อยๆกดร่างของตัวเองลงบนกลางกายที่ตั้งชูชันอยู่ด้านล่าง ริมฝีปากอิ่มร้องซี๊ดด้วยความเสียว
“อ๊ะ ซี๊ดดด”ผมมองใบหน้าที่บูดเบียวของเขา แม้ว่าผมจะใช้โลชั่นช่วยในการล่อลื่นแต่ผมเชื่อว่าครั้งแรกขอคนเรามันก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา
“อืม ลองยกตัวและกดลงมาใหม่สิ” ผมเอ่ยบอกเขา เขายกสะโพกขึ้น ผมชะโลมโลชั่นไปอีกรอบก่อนจะจับก้นกลมของเขาค่อยๆกดลงอีกครั้ง ครั้งนี้มันเข้ามาง่ายกว่าเดิม เมื่อโดนปุ่มกระสันก็เผลอร้องออกมาเบาๆ
“อ๊ะ!”เขากระตุกเล็กน้อย ใบหน้าเชิดขึ้นพร้อมกับข่มความเจ็บ แต่ผมกลับชอบ
“ขยับขึ้นลงนะ แล้วจะหายเจ็บครับ”ผมเอ่ยขึ้นบอกเขาเมื่อเขาค่อยๆขยับกายเพื่อบรรเทาความเจ็บและความเสียวซ่าน
“อ๊า...อื่อออ”เสียงครางเบาๆที่กำลังขยับกายขึ้นลงอย่าเก้ๆกังๆ ผมแอบพอใจกับครั้งแรกของเขาอย่างน้อยผู้ชายคนนั้นคงยังไม่ได้สัมผัสมันแน่นอน ผมมั่นใจ
“อ๊าห์...อย่างนั้นแหละ ลองขย่มแรงๆดูสิ” ผมเอ่ยขึ้นพร้อมประสานฝ่ามือเอาไว้ มองเขาอย่างให้กำลังใจ แม้ว่าผมอยากจะจับเขากดลงจมเตียงและขย่มเขาแทนสักแค่ไหน แต่ผมอยากให้เขาเป็นฮีโร่ของเช็กส์ครั้งแรกของเราสองคน
“อ๊า! อ่ะ เสียวชิบ!” อยู่ๆเขาก็เผลอสบถออกมา แต่ร่างกายก็เริ่มขยับเคลื่อนไปตามจังหวะรักที่เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งขย่มแรงขึ้นก็ยิ่งเสียว เสียงร้องออกมาอย่างแสนหวานหูและแสนมีเสน่ห์ เขาครางออกมาพร้อมเชิดหน้าขึ้นด้วยความสุขสม แรงขย่มเริ่มจากเบาเป็นแรงขึ้น จนผมเองก็เผลอสวนสะโพกกระแทกขึ้นไปอย่างห้ามไม่อยู่จนเขาร้องออกมาเสียงดัง เวลาไม่นานน้ำขาวอุ่นๆจากกลางกายเล็กของเขาก็ถูกปลดปล่อยเลอะหน้าท้องของผม
“เสร็จแล้วหรอ...”ผมเอ่ยถามเขาที่กำลังหายใจหอบแฮ่กทั้งๆที่ยังคงนั่งทับอยู่บนร่างของผม เวลาเขาถึงจุดหมายปลายทางทำไมเขาถึงได้มีเสน่ห์นัก ผมเองก็อยากจะถึงจุดหมายแล้วเช่นกัน ผมเขาจับเหวี่ยงลงบนเตียงทั้งๆที่ร่างเราเชื่อมอยู่อย่างนั้น ผมจับขาเรียวของเขาถูกพาดขึ้นไหล่
“อ่าห์...วิเศษสุดๆ”ผมเอ่ยออกมา ผมกดจูบที่ซอกคอของเขา เสียงลมหายใจของเขาดังขึ้น พร้อมๆกับของผมประสานกัน ผมขยับกายเขาออกอย่างห้ามใจที่จะทำรุนแรงกับเขาไม่ได้
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ”เสียงครางหวานหูตามจังหวะที่ผมกระแทกเข้าออก
“ขอบคุณนะ ที่ให้สิ่งนี้กับพี่...อ๊าห์”ผมดึงกลางกายออกก่อนกดเข้าไปใหม่อีกครั้ง เสียงครางร้องออกมาอย่างสุขสม สองมือที่ใช้เล็บจิกแผ่นหลังของผมเพื่อระบายความเจ็บปวด ผมกระแทกสะโพกเข้าออกตามจังหวะเร่าร้อน ก่อนจะปลดปล่อยน้ำรักสีขาวเข้าไปในช่องทางนั้น
“อ๊า อ๊า “ผมกดจูบที่ขมับที่ชุ่มเหงื่อของเขา พร้อมฟุบหน้าลงที่ซอกคอขาวของเขา หายใจหอบออกมาทั้งเขาและผม
“ขอบคุณนะ พี่รักบลู”ผมเอ่ยออกมาที่ข้างหูเขา เสียงหายใจหอบเช่นกันพร้อมเสียงที่แหบพร่าเอ่ยออกมาเช่นกัน
“บลูก็รักพี่เก้าครับ เป็นของบลูแล้วนะครับ”ผมอดขำไม่ได้กับคำพูดของเขา ช่างไร้เดียงสาเสียจริง
“ฮ่าๆๆ ครับผมพี่เป็นของน้องบลูแล้ว อย่าทิ้งพี่นะ”ผมเอ่ยแซวกลับ เขาเองก็อายหน้าแดงใบหน้างุดที่อกของผม
“พี่เก้าอ่ะ อย่าแซวกันสิครับ”เขาทุบที่อกผมเบาๆ ผมกระชับอ้อมกอดเขาแน่นกว่าเดิมก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ขอบคุณนะที่ให้พี่เป็นคนแรก แม้พี่จะเซอร์ไพรส์มากก็ตามแต่พี่ก็ดีใจมากเหมือนกัน”ผมเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“พี่กี้คือผู้ชายคนแรกที่บลูรัก แต่เขาไม่ใช่คนแรกที่ได้ทั้งตัวและหัวใจของบลูพร้อมๆกัน พี่เก้าเป็นคนเดียวที่ได้ทั้งสองนี้ไป และพี่เก้าก็จะเป็นคนสุดท้ายที่บลูรักครับ”
ฟอดดดดด
“ขอบคุณนะครับ ที่เลือกพี่และก็มอบสองสิ่งนี้ให้พี่ นับจากนี้พี่จะรักษาสองสิ่งนี้อย่างดีที่สุด ให้สมกับที่บลูให้มา พี่ขอโทษนะที่แกล้งน้องบลูแบบนั้น ที่จริงแล้วพี่เองก็ไม่ได้อยากแกล้งเลยสักนิด แต่...”ผมหยุดไว้แค่นั้น เพราะมือบางปิดริมฝีปากผมไว้
“เรื่องที่ผ่านมาแล้ว ช่างมันเถอะครับ เรามาเริ่มใหม่กันดีกว่า”ผมยกยิ้มออกมา ลูบไปที่ใบหน้าเนียนของเขา ดวงตาที่เหมือนปิดสนิทยามที่เขายิ้ม ผมชอบที่สุด
“เจ็บมากไหม พี่ทำแรงไปหรือเปล่า”ผมเอ่ยขึ้น ใบหน้าเขาแดงฉ่าทันทีก่อนจะก้มหน้าลง
“เจ็บนิดหน่อยครับ แต่บลูไหว”เขาเอ่ยขึ้นแบบนั้น ผมรีบคร่อมร่างเขาทันที เขาเองตกใจเล็กน้อย
“พะ...พี่เก้าจะทำอะไร บลูยังเจ็บอยู่เลยนะครับ”เขาเอ่ยเสียงอ้อนๆออกมา ผมกดจูบที่ริมฝีปากเขา สองมือทีรวบไว้ตอนนี้กลับมาประสานกันอีกครั้ง
จุ๊บ
“ไหนใครบอกว่ายังไหวไง พี่เองก็ยังไหวนะ”ผมเอ่ยพร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ใบหน้าหวานเบี่ยงหนีผมพร้อมรอยยิ้ม
“พี่เก้าอ่ะ น้องบลูหิวแล้วครับ”ผมอดขำกับความเอาตัวรอดของเขาจริงๆ ผมเองก็ไม่คิดจะทำเขาต่อหรอก ทั้งที่ใจอยากจะทำเหลือเกิน ภาพที่เขาร้องครางอย่างสุขสมอยู่บนร่างผมนั้น ทำให้ผมยิ่งอยากจะขย่มเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
“งั้นเดี๋ยวไปอาบน้ำกันเนอะ เดี๋ยวพี่ทำอาหารให้ทาน”ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะรวบร่างเขาเพื่ออุ้ม
หมับ!
“อ๊ะ! พี่เก้าปล่อยบลู ไม่ต้องอุ้มหรอกครับ”เขาเอ่ยสองแขนโอบรอบคอผมแน่น
“ทำไมหรอ พี่อุ้มไม่ได้หรอ หรือกลัว...”ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงงอนๆ เขารีบเอ่ยขึ้นทันที
“เปล่านะครับ แค่บลูตัวหนักอ่ะ”เขาเอ่ยขึ้น ผมยกยิ้มออกมา
“หึ เมื่อกี้น้องบลูทับพี่ แถมขย่มอีกต่างหากพี่ไม่รู้สึกว่าหนักเลย”ผมเอ่ยออกมา ก่อนจะพาเขาเข้าไปอาบน้ำ และจัดการกับน้ำที่อยู่ในตัวเขาออก ยังไงวันนี้เขาและผมคงไปไหนไม่ได้แน่ๆ ต้องเฝ้าบ้านกันแบบนี้หละ และก็จะอยู่แบบนี้ตลอดไป ผมสัญญา
...............................
-
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai5: :katai5: :katai5:
-
ในที่สุดก็ได้กันแล้ว บูลนำ อิอิ
-
:pig4: :pig4: :L2:
-
เป็นของน้องบลูแล้ว ..
-
Blue Lyrics 9 : คนโง่ (นพเก้า xนาคิน)
นาคิม พาร์ท
ผมกลายเป็นคนติดแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆผมมานอนบ้านพี่เก้าอาทิตย์ละสามวัน จนเฮียแบล็ค บอกให้ผมขนเสื้อผ้ามาอยู่ที่บ้านพี่เก้าซะเลย
“แต่งงานกันนะ”เสียงเอ่ยถามผมแบบนี้นับตั้งแต่เราสองคนออกตัวว่าคบกัน
“บลูขอเวลาหน่อยนะครับ อยากช่วยเฮียทำงานก่อน”ผมเอ่ยขึ้น
“พี่อายุก็มากแล้ว พี่อยากมีครอบครัวสักที”เขาเอ่ยขึ้น ผมมองหน้าเขาอย่างเข้าใจก่อนจะสวมกอดเขาจากด้านหลัง
“บลูเข้าใจครับ แต่บลูขอเวลาหน่อยนะครับ พี่เก้ารอบลูได้ไหม”ผมเอ่ยถามเขาพร้อมกระชับอ้อมกอดแน่น จมูกค่อยๆคลอเคลียไปยังซอกคอของเขา
“หึๆ รอได้สินานแค่ไหนพี่ก็รอได้ รอจนแก่พี่ก็รอได้”ผมรู้ว่าเขาเอ่ยประชดเพราะความน้อยใจ ข้อนี้ผมก็รู้แต่ผมกลัวว่าที่เขาอยากแต่งงานกับผมเพราะตอนนี้เขาแค่รักผม ถ้าเขาต้องการมีลูกหละผมจะทำยังไง
“แหม ดูพูดเข้า อย่าน้อยใจนะครับ...จุ๊บ”ผมเอ่ยพร้อมกดจูบ
“ไม่น้อยใจหรอก ถึงน้อยใจจะให้พี่ทำยังไงได้หละ”เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะเบี่ยงตัวออกเล็กน้อย ผมยกยิ้มอ่อนๆพร้อมกับนอนมองไปยังเพดานห้องนอนก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พี่เก้า การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่นะครับ”ผมเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง เพราะทนกับความงอนของคนแก่แถวนี้ไม่ไหวแล้วสิ
“แล้วไง”
“พี่เก้ารู้ไหมว่าพี่อ่ะ เอาแต่ใจชะมัด”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมอมยิ้มออกมา
“พี่เอาแต่ใจตรงไหน พี่แค่อยากแต่งงาน อยากมีครอบครัว พี่อยากมีคนอยู่ด้วยตลอดชีวิต”ผมหันมองไปยังคนที่นอนข้างๆ ก่อนจะลุกขึ้นมองไปยังเขา ผมยกมือลูบไปยังใบหน้าที่หนวดเครากำลังขึ้นเล็กน้อย
“บลูรู้ครับ ไม่ใช่บลูไม่อยากมีครอบครัวนะ บลูอยากเป็นครอบครัวกับพี่ แค่บลูกลัว”ผมเอ่ยขึ้นตามตรง
“กลัวหรอ กลัวอะไร”เขาหันมาถามผมพร้อมสวมกอดผมกลับเมื่อผมเองเป็นฝ่ายเอ่ยน้ำเสียงเบาลง
“ครับ บลูกลัวความกลัวของบลูไม่ใช่การแต่งงานหรือการมีครอบครัว แต่ที่บลูกลัวคือการมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบครับ”ผมเอ่ยขึ้น ตอนนี้กลายว่าผมถูกพี่เก้าคร่อมร่างผมไว้
“กลัวความสมบูรณ์หรอ คืออะไร”เขาโน้มใบหน้าเอ่ยถามผมที่ตอนนี้ความกลัวของผมมันอยู่ที่ความเขินอายมากกว่า
“ครอบครัวสมบูรณ์ ต้องมีพ่อ แม่และลูก บลูมีลูกให้พี่ไม่ได้หรอกนะครับ”ผมเอ่ยขึ้นอย่างเรื่องจริง
“หึ กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ครั้งที่แล้วก็กลัวเรื่องอาจารย์แป้ง แล้วเป็นไงหละ คิดไปเองทุกอย่าง”ผมซบหน้าลงที่อกของพี่เก้าแก้เขินทันที ก่อนจะเอ่ยเรื่องอื่นแทน
“อาจารย์แป้งย้ายไปอยู่กับสามีที่อเมริกาเลยหรอครับ”ผมเอ่ยถามคนที่มอบอกกว้างให้ผมได้ซบตลอดชีวิต
“อื้ม ถามทำไมหรอ”พี่เก้าเอ่ยถามกลับก่อนจะกดจูบที่ขมับของผม
“เปล่าครับ”ผมเอ่ยออกมาเสียงเบาๆ กลัวเขาจะดุผมที่ยังพูดเรื่องอาจารย์แป้งอยู่
“วันนี้พี่ไม่ได้ไปรับที่ทำงานนะ และคงไม่ได้ไปทานข้าวที่บ้านใหญ่ด้วย น้องบลูนอนที่บ้านใหญ่ได้ไหม”ผมขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเอ่ยถาม
“ได้ครับ ว่าแต่พี่จะไปไหนหรอครับ”
“พอดีพี่มีธุระอ่ะ เอาไว้พรุ่งนี้พี่ไปรับที่บ้านใหญ่นะ”ผมพยักหน้า ผมไม่ได้เซ้าซี้อะไรเขามาก ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน แม้จะรู้สึกนอยด์ๆบ้างก็ตาม ก็ทุกครั้งผมกับเขาต้องไปบ้านใหญ่ด้วยกันเสมอ นับตั้งแต่ที่ผมทำตามหัวใจตัวเองมากกว่าความกลัว
ผมนั่งหงุดหงิดทั้งวัน ก็ตลอดวันนี้พี่เก้าไม่โทรหาผม ไม่มีข้อความตอบกลับ แม้ผมจะโทรหาและส่งข้อความหลายข้อความก็ตาม
“จิ๊!...เฮ้อออออ”ผมนั่งถอนหายใจหลายรอบ นั่งมองไปยังด้านนอกห้องทำงาน ก่อนที่เสียงมือถือผมจะดังขึ้น
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr
ผมรีบคว้ามือถือขึ้นมากดทันที เพราะคิดว่าเป็นสายของคนที่ผมกำลังรออยู่ แต่ผมก็ต้องผิดหวังเพราะคนปลายสายไม่ใช่พี่เก้า
“พี่เก้า...”
(“ไม่ใช่พี่เก้าครับเฮีย หนูพิ้งค์เองครับ”)
“อ่อ หนูพิ้งค์ มีอะไรหรือเปล่า”
(“เฮียมาบ้านกี่โมง มารับหนูพิ้งค์หน่อยสิครับ”)
“แล้วเลิฟหล่ะ”
(“เขาก็ไปกับแฟนเขาสิจะมาอะไรกับคนอย่างหนูพิ้งค์หล่ะ”)
“ทะเลาะอะไรกันอีกหล่ะ”
(“เปล่าทะเลาะนะ เค้ารอที่หน้าคณะนะ”)
“อื้ม...”
ผมวางสายจากหนูพิ้งค์ สงสัยจะทะเลาะกับเลิฟอีกตามเคย ผมถอนหายใจก่อนจะคว้ากุญแจรถออกไป มิอยากจะโทรหาพี่เก้ามมากก็ตามแต่ผมเองก็ไม่อยากกวนเขามาก แต่ผมเองก็อยากรู้ว่าเขามีธุระอะไรถึงมาทานข้าวกับผมไม่ได้และมารับผมไปค้างที่บ้านไม่ได้
“รอนานไหม”ผมเอ่ยขึ้นถามคนที่หน้าหงิกอยู่ตอนนี้
“ไม่ครับ หนูพิ้งค์คิดว่าเฮียจะมากับพี่เก้าซะอีก กะว่าจะให้พาไปกินไอศกรีมหน่อย”ตั้งแต่พี่เก้าคบกับผม พี่เก้าเข้ากับครอบครัวผมได้ดีมาก
“พอดีพี่เก้าติดธุระอ่ะ วันนี้เลยไม่ได้มาทานข้าวที่บ้าน”ผมเอ่ยเสียงเบาลง
“ปาท๋องโก๋อย่างเฮียนี่นะจะแยกกันได้”
“แหม ก็ต้องปล่อยบ้างสิ จะให้เขามาขลุกอยู่กับเราตลอดก็ไม่ไหวหรอกนะ ต้องปล่อยให้เขามีเวลาส่วนตัวมั้งสิ”ผมเอ่ยบอกน้องชายตัวเอง ทั้งๆที่ใจผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด
“นั่นสินะ เราจะให้เขาตัวติดเราตลอดเวลาได้ยังไง เขาก็ต้องมีเวลาของเขาบ้าง เวลาที่เขาไม่มีเราแล้วเขามีความสุข”ผมหันมองน้องชายตัวเองที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย ผมยกมือจับที่หัวกลมของน้องชายลูบเบาๆ
“ทะเลาะกับเลิฟจริงๆด้วย”ผมเอ่ยขึ้นเมื่อรถยังติดไฟแดงอยู่
“เค้าอาจจะบังคับเลิฟให้มาอยู่กับตัวเค้ามากเกินไป บางทีเลิฟเขาต้องการที่จะไปจากเขาทุกเมื่อก็ได้”ผมยกยิ้มเล็กน้อย บางครั้งผมว่าน้องชายผมก็เริ่มโตแล้วจริงๆ
“ไม่เอาหน่า เลิฟอ่ะห่วงหนูพิ้งค์มากนะรู้ไหม”ผมเอ่ยขึ้นก่อนสายตาผมจะเห็นรถคันคุ้นเคยกำลังขับผ่านไปทางด้านหน้าของผม ทะเบียนนี้และสีนี้ผมจำได้ดี
“เฮีย นั่นรถของพี่เก้าไหมครับ”เสียงเอ่ยของหนูพิ้งค์บอกผม
“คงมาทำธุระอย่างที่บอกหล่ะมั้ง”ผมเอ่ยขึ้นบอกน้องชายตัวเองทั้งที่ใจก็รู้สึกแย่มาก
“แต่ไม่นะ ดูนั่นสิพี่เก้ากำลังเลี้ยวรถไปที่ร้านอาหารใบตองแล้วอ่ะ เราตามไปไหมครับ”ผมไม่ได้ฟังหนูพิ้งค์เท่าไหร่นักหรอก ตอนนี้ใจผมมันเต้นแรง มือเย็นไปหมดก็ผมแค่ชะลอรถมองไปยังรถคันสวยที่จอดอยู่ ร่างของสูงของเขาเดินมาเปิดประตูรถอีกด้าน ผมจอดรถหน้าร้านมองไปยังร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินลงจากรถ
“ลงรถเลยไหมครับ”เสียงหนูพิ้งค์เอ่ยอย่างเลือดร้อน ผมจับแขนหนูพิ้งค์ไว้เป็นเชิงว่าอย่าเลย
“เรากลับบ้านกันดีกว่า เดี๋ยวเฮียกับซ้อจะรอนาน”ผมเอ่ยบอกน้องชายก่อนจะขับรถออกไป ไม่รู้ว่าเขาทำแบบนี้เพื่ออะไร เขาทำไปเพราะอะไรและเขาทำกับผมได้ยังไง
ตลอดเวลาที่ผมเปิดใจเพราะความกลัว ผมรักเขามาก เขาเองก็รักผมมาก เราสองคนไม่เคยแยกออกจากันเลยนับจากวันนั้น แต่วันนี้เขาบอกผมว่าเขามีธุระ นี่หรอธุระของเขาคือการมากับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเป็นใครและมากับเขาได้ยังไง
“ทำไมทานน้อยจังเลย”เสียงพี่หมอเอ่ยถามผม เมื่อผมรวบช้อนเข้าหากัน
“วันนี้พี่เก้าไม่มา คุณบลูเลยทานน้อยหล่ะสิ”ผมยกยิ้มให้กับซี แฟนพี่หมอที่เอ่ยแซวผม
“ไม่ใช่แบบนั้นครับพี่ซี คือว่า...”
“หนูพิ้งค์...”ผมรีบเอ่ยยั้งหนูพิ้งค์ไว้ ทำเอาทุกคนที่โต๊ะอาหารหันมามองผมเป็นตาเดียว
“มีอะไรหรือเปล่า”เสียงเฮียกรีนเอ่ยถามผม
“ไม่มีอะไรครับ หนูพิ้งค์อยากสร้างความตื่นเต้นเฉยๆ”หนูพิ้งค์เอ่ยขึ้น ผมยกยิ้มตามก่อนที่ร่างสูงของเลิฟจะเดินเข้ามา ซ้อใหญ่รีบเอ่ยขึ้น
“อ้าวเลิฟ เพิ่งกลับหรอ มาทานข้าวด้วยกันสิ”ผมหันมองหนูพิ้งค์ที่รีบวางช้อนทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เฮีย เค้าปวดหัวจังเค้าขอขึ้นข้างบนก่อนนะครับ”ไม่รอให้เฮียแบล็คเอ่ยอนุญาต
“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมทานกับยายในครัวก็ได้ครับ”เลิฟเอ่ยเสร็จก็เดินเข้าข้างในอย่างเจียมตัว
เรานั่งทานอาหารไม่นาน ผมบอกคนทุกคนว่าปวดหัวก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้อง ส่วนใหญ่ผมเองก็เป็นคนเก็บตัวอยู่แล้ว
“ฟู่วววว เอาไงดีว่ะ รักเขาต้องเชื่อใจเขาไหมว่ะ”ผมเอ่ยกับมือถือตัวเอง ก็อยากจะโทรหาเขานะ แต่ผมกลัวจะเหมือนเคสอาจารย์แป้งอีก
หลังจากผมอาบน้ำเตรียมเข้านอน เสียงมือถือผมก็ยังไม่ดังเลยสักครั้ง ผมบอกตัวเองว่าต้องเชื่อใจ และเชื่อมั่นในตัวเขาให้มากที่สุด ผมหลับตาลงก่อนจะเสียงมือถือจะดังขึ้น
“พะ...” ผมรับสายปลายทางกลับเป็นเสียงเพื่อนของผม
(“ไอ้บลู อยู่ไหนว่ะ”)
“อยู่บ้าน มึงอยู่ไหนโทรมาซะดึกขนาดนี้”
(“กูอยู่กับไอ้เต้ แถวสีลมว่าแต่มึงทำไมอยู่บ้านว่ะ กูคิดว่ามึงมากับอาจารย์เก้าซะอีก”) ผมขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเอ่ยขึ้น
“มึงว่าอะไรนะ”
(“ก็กูเห็นอาจารย์เก้ามาที่นี่ไง คิดว่ามึงมากับอาจารย์ ธรรมดาตัวติดกันนี่หว่า”)
“อ่อ เปล่า” ในใจอยากรู้ว่าเขาไปทำอะไรที่นั้นนะ ใจผมเต้นแรงไปหมด นี่หรอธุระที่เขาบอก
(“กูไปก่อนนะ ไอ้เต้เรียกแล้ว”)
“อื้ม...อย่าเมามากนะมึง”
(“โอเค...บาย”)
ผมวางสายจากเพื่อนเรียบร้อยก็กดมือถือหาพี่เก้าทันที ทว่าปลายสายกลับปิดมือถือ ยิ่งทำผมร้อนรนกว่าเดิม
“พี่เก้ากำลังทำอะไรอยู่ครับ บอกบลูหน่อยได้ไหม”ผมเอ่ยกับตัวเองก่อนจะหลับตาลง
ตลอดคืนผมแทบนอนไม่หลับ ในใจกังวลและกลัวบางอย่างแต่ก็พยายามข่มตาและข่มใจเอาไว้ ไม่อยากมีปัญหาเพราะความกลัวของตัวเอง
“อื้อออออ”ผมบิดกายเล็กน้อย แสงสว่างที่ส่งเข้ามาบอกว่ามันเช้าแล้ว ผมปวดหัวไปหมดเพราะกว่าจะหลับได้ก็เกือบเช้า
“บลูจะทำยังไงกับความกลัวของตัวเองครับ พี่เก้สช่วยบอกบลูหน่อย”ผมเอ่ยก่อนจะออกจากห้องน้ำ แต่งตัวเพื่อจะออกไปที่บ้านของพี่เก้า อยากจะถามเขาว่าเมื่อคืนไปทำอะไรที่นั้น
“ดูยังไงเลิฟก็รักหนูพิ้งค์”ผมเอ่ยเมื่อเห็นร่างสูงของเลิฟที่แอบอยู่มุมต้นไม้มองไปยังหนูพิ้งค์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สนาม
...
..
ผมขับรถมาที่บ้านของพี่เก้า บ้านที่จะใช้เป็นเรือนหอของเรา ผมเห็นรถของพี่เก้าจอดอยู่ในบ้าน ในเมื่อเขาก็อยู่บ้านทำไมไม่ไปรับผมเมื่อคืนนี้
//“แหม ก็ต้องปล่อยบ้างสิ จะให้เขามาขลุกอยู่กับเราตลอดก็ไม่ไหวหรอกนะ ต้องปล่อยให้เขามีเวลาส่วนตัวมั้งสิ”//
//“นั่นสินะ เราจะให้เขาตัวติดเราตลอดเวลาได้ยังไง เขาก็ต้องมีเวลาของเขาบ้าง เวลาที่เขาไม่มีเราแล้วเขามีความสุข”//
“นั่นสินะ เขาก็ต้องอยากมีเวลาของเขาสิ”ผมเอ่ยกับตัวเองก่อนจะเอารถเข้าบ้าน ผมจะไม่โกรธเขา ผมจะนอยด์เขาและผมจะเชื่อใจเขา ผมสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
“พี่เก้า...”
ปึก!
“พี่บลู...”
เคร้ง!
เพล้ง!
เสียงของที่ร่วงหล่นไม่ว่าในมือผมและในมือของคนที่เดินออกมาจากในครัว เสียงดังโครมครามทำให้คนที่อยู่ข้างบนเดินลงมาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
“เสียงอะไรดังโครมครามอ่ะ...”ชุดลำลองและกางเกงขาสั้นสีขาวพร้อมเสียงของคนที่เดินลงมา ผมนิ่งอึ้งไปพร้อมๆกับเขาเองที่นิ่งไปเช่นกัน
“น้องบลู...”
“พี่เก้า...ทำไมทำกับบลูแบบนี้ครับ”ผมเอ่ยออกมาก่อนจะวิ่งออกจากบ้านไป โดยไม่ฟังว่าเขาจะเอ่ยเรียกอะไร และไม่รอให้หญิงสาวคนนั้นจะเอ่ยเรียกผมเพื่ออธิบาย
“พี่บลู...”
“น้องบลู ฟังพี่ก่อน”
หมับ!
พลั่ก!
“อย่ามายุ่งกับผม อย่ามาแตะต้องตัวผม ทำไมพี่ทำกับผมแบบนี้ ผมทำผิดอะไรช่วยบอกผมทีเถอะครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ พี่อธิบายได้นะ”ผมหันมองใบหน้าของเขาผ่านม่านน้ำตาของผม แม่งเจ็บชะมัด ผมไม่ดีตรงไหน
“มันจบแล้วใช่ไหม นี่หรอสิ่งที่บลูสู้กับความกลัว ผลของการต่อสู้คือสิ่งนี้เองหรอก บลูเคยบอกพี่แล้วใช่ไหมว่าบลูกลัว บลูกลัวความรัก กลัวว่ามันจะทำให้บลูเจ็บ พี่เคยบอกบลู...ฮึกๆ พี่เคยบอกว่าพี่จะทำให้บลูเลิกกลัว”ผมปล่อยเสียงสะอื้นออกมา ก่อนที่ร่างสูงของเขาจะเดินเข้ามาหาผม หนึ่งก้าวเข้ามาของเขาคือหนึ่งก้าวถอยหลังของผม
“อย่าเข้ามานะครับ...”ผมเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา ก่อนจะหันมองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆเขา
“ไม่รู้หรอกนะว่าพี่เก้ากับฟางคบกันตอนไหน ทำอะไรลับหลังกันไปแล้วบ้าง แต่นับจากนี้ไม่ต้องกลัวนะครับ ไม่ต้องทำอะไรลับหลังกันอีกแล้ว โชคดีนะครับ พี่เก้า และน้องฟาง”ผมเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตาก่อนจะขึ้นรถและขับออกไปโดยไม่สนใจทั้งสอง ผมอ่อนแอชะมัด ความกลัวผมหายไปหมดไม่มีเหลือให้กลัวแล้วแต่ผมมีแต่ความเจ็บ เท่านั้น
“ฮื่ออออๆ ฮึกๆ ไอ้เชี่ยยยย”ผมตะโกนออกมาพร้อมจับพวงมาลัยแน่นเมื่อจอดรถได้หลังจากขับออกมาได้สักพัก ความรักมันช่างเลวร้ายนักกับผมคนนี้
“ฮึกๆๆ เฮียอยู่บ้านไหม เค้าไปหานะ”
(“เป็นอะไร ให้เฮียไปรับไหม”)
“ไม่เป็นไรครับ พี่กูรอยู่ไหม”
(“ไม่อยู่”)
“ฮื่อๆๆๆ เฮียเค้าเจ็บ เค้าเจ็บจริงๆ ฮื่อๆๆ”
(“อยู่ที่ไหน เฮียไปรับ”)
“....”
(“ไม่ต้องทำอะไร แชร์โลเคชั่นมาเดี๋ยวเฮียไปหา”)
ผมกดแชร์โลเคชั่นให้พี่ชายตัวเอง ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาอย่างต่อเนื่องเมื่อสายเรียกเข้าในมือถือของผมมันดังต่อเนื่อง พร้อมข้อความที่มันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผมกดเสียงและโยนมือถือทิ้งทันทีโดยไม่สนใจอะไร ผมเจ็บเหลือเกิน เจ็บที่ผมแม่งเป็นไอ้โง่ตั้งนาน
...........................
-
เข้าใจอะไรผิดหรือป่าว
-
ต้องเข้าใจผิดแน่ๆๆ
-
:serius2 :serius2:
-
:pig4: :pig4:
-
Blue Lyrics 10 : ทำนองรักสีฟ้า (นพเก้า xนาคิน)
นพเก้า พาร์ท
ผมขับรถมาที่บ้านสวนไอ้กูรทันทีหลังจากที่มันเพิ่งโทรมาบอกว่าคุณกรีนมารับน้องบลูไปที่บ้านสวน ผมใจจดจ่ออยู่หลังพวงมาลัย รถจะมาติดอะไรขนาดนี้
“จะติดอะไรนักหนาว่ะ รู้ไหมว่าเมียกูจะเลิกกับกูแล้วเนี้ย”ผมบ่นกับตัวเองเมื่อยังคงติดไฟแดงอยู่ ก่อนที่เสียงมือถือของผมจะดังขึ้น ผมยกมือถือขึ้นมากดรับสายทันที
“ฮัลโหล”
(“อาจารย์ถึงหรือยังคะ”)
“ยังเลย ฟางถึงบ้านหรือยัง”
(“ถึงแล้วคะ อาจารย์จะให้ฟางไปอธิบายกับพี่บลูไหมคะ”)
“ไม่ต้องหรอก”
(“แต่ฟางเป็นต้นเหตุให้พี่บลูเข้าใจอาจารย์ผิดนะคะ”)
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเชื่อว่าบลูเขามีเหตุผล แต่ถ้าเขาไม่ต้องการอาจารย์แล้วมันก็เป็นกรรมของอาจารย์แล้วหล่ะ”
(“อาจารย์อยากให้ฟางช่วยก็รีบบอกนะคะ เพราะอาจารย์ช่วยเรื่องของฟางถึงทำให้เกิดปัญหานี้”)
“อื้ม ถ้าต้องขอความช่วยเหลือยังไงอาจารย์จะโทรหานะ”
ผมวางสายจากฟางเรียบร้อย ตรงเข้าซอยบ้านไอ้กูรทันที ละก็ทันทีเช่นกันที่ผมจอดรถพร้อมเดินตัวปลิวไปในบ้าน
“น้องบลู...”ผมตะโกนเอ่ยเรียกชื่อเขาทันที ก่อนที่คุณกรีนจะเดินออกมา
“คุณเก้าเบาๆครับ”
“คุณกรีน น้องบลูหละครับ”ผมร้อนรนมากอยากเจอและอธิบายให้เขาฟัง
“ร้องไห้จนหลับไปแล้วครับ คุณเก้าไปคุยกับผมหน่อยนะครับ”ผมพยักหน้าก่อนจะเดินตามหลังคุณกรีนไปที่ศาลาริมน้ำ ผมเข้าใจว่าเขาอยากจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะเขาคือพี่ชายแต่ก็อยากให้เขาเข้าใจแลไว้ใจผมด้วยว่าผมไม่มีทางทำให้น้องชายเขาผิดหวังแน่นอน
“คุณรู้ใช่ไหมว่าผมจะถามอะไร”
“ครับ ผมรู้และผมเองจะไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น”ผมเอ่ยขึ้นตรงๆ ผมจะแก้ตัวอะไรได้หล่ะ ก็ผมไม่ได้ทำผิดอะไร
“คุณหมายความว่า คุณยอมรับว่าคุณนอกใจน้องชายผม”น้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย
“เปล่าครับ ที่ผมไม่มีอะไรแก้ตัวคือผมไม่ได้นอกใจน้องบลูเลยสักนิด และที่ผมมาที่นี่คือผมจะมาตามเขากลับบ้านของเรา”ผมเอ่ยขึ้น
“แล้วที่น้องผมร้องไห้ออกมา แถมเอาแต่บอกว่ารักจบแล้ว มันคืออะไรครับ”
“คุณกรีนก็น่าจะเคยเข้าใจไอ้กูรผิดบ้างเรื่องของแคท มันก็เหมือนกันหละครับ แต่แค่ฟางไม่ใช่แฟนของผม”ผมเอ่ยบอกคุณกรีนไป เมื่อครั้งหนึ่งแคทแฟนเก่าของไอ้กูรมาขอให้ไอ้กูรช่วยเหลือเรื่องสามีไปมีคนอื่น หลายวันเลยทีเดียวกว่าที่ไอ้กูรกับคุณกรีนจะเข้าใจกันได้
“เจ้าบลูอ่ะ เป็นคนที่กลัวความผิดหวัง กลัวความรักที่จะไม่สมหวังและกลัวว่าคนที่เขารักจะไม่รัก ทำให้กลายเป็นคนขี้กลัว คุณเก้าเข้าใจใช่ไหม”
“ผมเข้าใจครับ และผมเองก็จะเป็นคนที่ทำให้เขาหายกลัวทุกอย่างเอง ผมเคยขอเขาแต่งงาน แต่เพราะความกลัวเขาจึงปฏิเสธข้อนี้ผมไม่คิดอะไรมาก แต่ถ้าให้เขากลัวที่จะไม่รักผมต่อไปนั้นผมรับไม่ได้ครับ ผมรับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ น้องบลูคือทุกอย่างของผม และผมเองก็จะไม่มีทางเสียเขาไปแน่นนอน”ผมเอ่ยออกมาจากใจตัวเอง หนักแน่นพอที่จะพูดออกมาอย่างไม่คิดอะไร
“เป็นทุกอย่างแล้วทำไมมีอะไรไม่เคยบอกกันบ้างหละครับ”น้ำเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านหลังของผม ทั้งผมและคุณกรีนหันมองไปยังต้นเสียงนั้น ดวงตาคู่สวยที่ยังคงบวมแดงอยู่จากร่องรอยของน้ำตา
หมับ!
“น้องบลู...”ผมเอ่ยพร้อมวิ่งเข้าไปสวมกอดเขาทันที มือหนาผมกดศีรษะเขาแนบอกและไหล่แน่นอย่างคิดถึงและแสนห่วง
“เจ้าบลู...”
“เฮีย เค้าโอเคครับ เค้าขอคุยกับพี่เก้าตามลำพังหน่อยนะครับ”ผมใจเต้นแรงขึ้น
“อื้ม งั้นเฮียไปเตรียมอาหารเย็นก่อนแล้วกัน”คุณกรีนเอ่ยพร้อมเดินออกไปจนลับหลังไป
ผมรีบจับใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาหันมาจ้องหน้าผม ดวงตาคู่สวยที่ผมหลงใหลตอนนี้ผมทำให้มีน้ำตา ผมเองอยากจะฆ่าตัวเองนักที่ทำให้เขาร้องไห้
“พี่ขอโทษนะ ที่ไม่ได้บอกเรื่องของฟาง พี่กลัวว่าบลูจะรู้สึกกลัวเมื่อเจอปัญหาแบบฟาง พี่กลัวว่าบลูจะรู้สึกแย่ถ้าเจอเรื่องแบบนั้น พี่กลัวว่า...อุ๊ปห์”ผมยังเอ่ยไม่จบเสียงของผมก็หายกลืนเข้าไปในลำคอทันที เพราะริมฝีปากของผมถูกริมฝีปากเล็กกดทับเรียบร้อย แม้จะตกใจเล็กน้อยแต่ผมก็ไม่ยอมให้ริมฝีปากนั้นผละออกง่ายๆ ลิ้นร้อนของผมกำลังสอดเข้าโพรงปากนั้น ยังหวานแสนหวานและละมุน
“อื่ออออ”เสียงครางท้วงในลำคอเปล่งออกมาเมื่อต้องการอากาศหายใจ พร้อมกดจูบที่แก้มซ้ายขวาและหน้าผากก่อนจะผละจูบออกอย่างเสียดาย
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
“น้องบลูพร้อมจะฟังพี่หรือยังครับ”ผมเอ่ยขึ้น สองมือประคองใบหน้าของเขาไว้ นิ้วโป้งของผมค่อยๆปากน้ำตาของเขาออก แต่นิ้วเรียวของเขากลับแตะที่ริมฝีปากของผมและส่ายหน้าไปมา
“ไม่ฟังครับ”เขาเอ่ย ผมขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเห็นเขายกยิ้มออกมา
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นครับ ฟางโทรมาเล่าให้ฟังหมดแล้ว”
“เล่าให้ฟังหรอ”ผมย้ำอีกครั้ง
“ครับ ฟางโทรมาหลายครั้งมาก จนบลูคิดว่าที่จริงบลูก็กลัวเกินไป ความจริงสิ่งที่บลูเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่บลูคิดก็ได้ทำให้บลูยอมกดรับสาวของฟางและเธอก็เล่าให้ฟังทั้งหมด”ผมโล่งใจมาก ก็ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ยิ่งฟางอธิบายเขาก็ยิ่งจะไม่ฟังแต่ถ้าเรื่องเป็นแบบนี้แล้วผมก็โล่งใจ
“บลูขอโทษนะครับที่ไม่ฟังพี่เก้าเลย ทั้งๆที่พี่เก้ารักบลูมากแค่ไหน”ผมสวมกอดเขาไว้ยิ่งแน่นกว่าเดิมพร้อมยกยิ้มออกมา
“ถ้าอยากขอโทษ คืนนี้ต้องตามใจพี่นะ”ผมกระซิบบอกที่ใบหูที่ตอนนี้แดงจัด
“พี่เก้าอ่ะ”เขาเอ่ยอย่างน่ารัก บางครั้งเราก็ไม่ต้องอะไรมากความรักจะพาให้เราเข้าใจกันเอง ผมเชื่อว่าความรักและความจริงใจ ความซื่อสัตย์ของผมจะทำให้ผมและเขารักกันตลอดไป
หลังจากที่ผมและน้องบลูเข้าใจกัน ตอนนี้ได้ข่าวว่าฟางเองก็ให้โอกาสแฟนแล้วลองคบกันใหม่อีกครั้ง การดำเนินชีวิตของผมก็ยังคงปกติ
(“พี่เก้า รอบลูแปบนะครับ พอดีว่าหนูพิ้งค์ให้แวะไปรับ”)
“พี่ว่าเจอกันที่บ้านเลยดีไหม จะได้ไม่ต้องวนไปวนมา”
(“เอาอย่างนั้นหรอครับ พี่เก้าจะโกรธไหมอ่าทั้งที่เรานัดกันไว้ก่อน”)
“อย่าคิดมากสิ ก็หนูพิ้งค์กำลังเศร้าเรื่องเลิฟอยู่ พี่ว่าน้องบลูอยู่กับหนูพิ้งค์ไปก่อนเอาไว้เดี๋ยวเจอกันก็ได้ คืนนี้นอนที่บ้านใหญ่ก็ได้”
(“ครับที่รักของบลู เดี่ยวเจอกันนะครับ”)
ผมยกยิ้มกับมือถือก่อนจะเดินไปที่ร้านเพชรที่ผมสั่งแหวนไว้ เพราะผมตั้งใจจะดูแหวนให้น้องบลูในนี้ คือวันเกิดของเขา ผมอยากขอเขาแต่งงานมากแต่ก็รู้คำตอบดี
“สวัสดีครับคุณปลา ผมมารับแหวนครับ”
“เรียบร้อยแล้วคะ เช็คดูก่อนนะคะ”ผมยกยิ้มให้เจ้าขอร้านก่อนจะเปิดกล่องเพื่อดูแหวนข้างใน แหวนคู่ที่เหมือนกันต่างเพียงขนาดเท่านั้น มันมีอักษรภาษอังกฤษอยู่ด้านในว่า N&N ผมยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจกับอหวนนี้ ผมจะขอเขาแต่งงานอีกครั้งในคืนนี้
....
..
ผมยืนมองรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนที่ผมรัก วันเกิดของเขาที่มีเพียงพี่น้องเท่านั้นแต่ก็ทำให้เขาดูมีความสุขมาก
“มายืนทำไมตรงนี้ว่ะ”ผมหันมองไอ้กูรเพื่อรักของผมที่เดินเข้ามา
“กูกำลังทำใจกับคำตอบอยู่ว่ะ รู้ก็รู้ว่าเขาต้องปฏิเสธแต่ก็ก็เสือกจะลอง”ผมเอ่ยออกมา
“มึงว่าแต่คุณบลูกลัวนั่นกลัวนี่ แต่ผมเองเหอะที่ขี้กลัวกว่า”
“ก็มันรู้อยู่แล้วนี่หว่าว่าคำตอบมันคืออะไรอ่ะ”ผมเอ่ยออกมา ก่อนจะหันไปเมื่อคุณกรีนเอ่ยเรียกเพื่อเป่าเค้ก
“คุณกูร คุณเก้า ได้เวลาเป่าเค้กแล้วครับ”
“ไปมึง และก็อย่ากลัว เพราะไม่งั้นมึงจะอดได้เมีย”ไอ้กูรเอ่ยบอกผมก่อนจะพากันเดินไปยังกลางงาน ผมมายืนอยู่ข้างๆเจ้าของวันเกิด รอยยิ้มของทุกคนทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะ
Happy Birth Day to you.
Happy Birth Day to you.
Happy Birth Day Happy Birth Day Happy Birth Day to Blue.
สิ้นเสียงร้องเพลง ดวงตาสวยของเขาก็หลับตาลงเพื่ออธิฐาน ผมมองทุกคนที่กำลังลุ้นให้ผมยกแหวนขึ้นมา ผมพยักหน้าบอกทุกคนก่อนจะยกกล่องแหวนมาวางกลางเค้กที่อยู่ต่อหน้า ดวงตากลมที่กำลังหลับตาและอธิฐานอยู่นั้นค่อยๆลืมตาขึ้นเพื่อจะเป่าเค้ก แต่ดูเขาตกใจเล็กน้อยเมื่อลืมตาขึ้นและเห็นแหวนอยู่ตรงหน้า
“นี่มันอะไรกันครับ”เขาเอ่ยถามผมและมองไปยังทุกคน ผมดึงแหวนออกมาก่อนจะคุกเข่าตรงหน้าเขาพร้อมเอ่ยขึ้น
“น้องบลู แต่งงานกับพี่นะ พี่จะไม่รอคำตอบของน้องบลูอีกต่อไปแล้ว”ผมเอ่ยพร้อมกับจับมือข้างซ้ายของเขาขึ้นมา สวมแหวนเข้าไปบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรทำให้ผมแอบยิ้มอย่างพอใจเพราะนั้นคือคำตอบของเขา
หมับ!
“พี่เก้า...”น้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อยพร้อมสวมกอดผมไว้แน่น ผมเองกระชับกอดเขาแน่นเช่นกันไม่ได้สนใจทุกคนที่กำลังยิ้มอยู่รอบๆเลยตอนนี้
“ฝากดูแลน้องผมด้วยนะครับอาจารย์”เสียงคุณอนาคินเอ่ยขึ้น
“ไม่มีปัญหาครับ คุณอนาคินไว้ใจได้ ผมจะดูแลน้องบลูเป็นอย่างดี”ผมเอ่ยก่อนจะกระชับอ้อมกอดแน่นกดจมูกที่ขมับขาวนั้นเน้นๆ ก่อนที่เสียงหวานของน้องคนเล็กของบ้านจะเอ่ยขึ้น
“หนูพิ้งค์อยากกินเค้กแล้วครับ”พวกเราทุกคนจึงหันมองคนตัวเล็กและพากันหัวเราะออกมา
“เอ่อๆ ลืมเลย งั้นบลูเป่าแล้วนะครับ”เสียงของคนข้างๆผมเอ่ยพร้อมก้มหน้าเป่าเค้กตรงหน้า
งานเลี้ยงวันเกิดได้เสร็จสิ้นลงช่วงห้าทุ่ม ผมกับน้องบลูนอนที่บ้านหลังใหญ่สำหรับคืนนี้ ดูท่าทางเขาจะมีความสุขมากกับคืนนี้
“อ๊ะ...พี่เก้า เบาๆครับ…อ่าห์”ทันทีที่ขึ้นข้างบนผมรีบรวบตัวเข้ามาสวมกอดและกดจูบทันที แม้จะยังไม่เข้าห้องผมก็ไม่สนใจ
สองร่างที่ยังคงไม่ผละออกจากกันแม้จะเข้ามาในห้องนอนแล้ว ผมค่อยๆวางร่างผอมลงบนเตียงแม้ว่าเราทั้งสองจะเชื่อมติดกันด้วยริมฝีปาก ตอนนี้สติของน้องบลูผมว่าน่าจะขาดหายไปแล้ว มือเล็กกดหลังท้ายทอยผมไว้ ผมแอบยกยิ้มในใจ ผมสอดปลายลิ้นร้อนลากวนที่ริมฝีปากอิ่มอย่างลุ่มหลง ใบหน้าขาวเชิดขึ้นเพื่อให้ผมซุกไซร้ลงมาที่ซอกคอขาวอย่างถนัด
“งื้ออออ” เสียงครางเบาๆ เมื่อรู้สึกถูกปลุกอารมณ์ขึ้นมาโดยง่าย ริมฝีปากหนาลากไล้ทั่วใบหน้า ซอกคอ กกหู จนร่างบางอ่อนระทวยไปหมด ผมรีบยกมือขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ของมันอย่างชำนาญ เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกปลดกระดุมออกอย่างรวดเร็ว ร่างบางเผลอแอ่นอกรับริมฝีปากหนาอย่างลืมตัวเมื่อผมกดริมฝีปากลงที่ยอดอกสวยนั้น ลิ้นร้อนของผมวนไปรอบตุ่มไตไปมาจนเผลอใช้ฟันกัดเข้าไปที่ยอดอกนั้น
“อ๊ะ...อ่าห์” ร่างบางสะดุ้งเบาๆพร้อมบิดร่างไปมาอย่างเร้าร้อน ผมไม่ยอมให้มืออีกข้างว่าง กำลังเขี่ยเม็ดตุ่มไตที่เริ่มแข็งขืนขึ้น พร้อมกับกดมันจนร่างบางบิดกายร้องครางออกมา
“อื่อออออ”
“อ่า...ถอดเสื้อให้หน่อยสิ...ที่รักของพี่…”
ผมล้มตัวนอนลงบนที่นอน พลิกร่างของเข้าขึ้นข้างบน ก่อนจะนอนให้เขาปลดเสื้อผ้าให้ผม แต่ดูเหมือนมือบางจะทำงานไม่ทันใจผมเหลือเกิน ผมปลดกระดุมเสื้อตัวเองพร้อมกับถอดกางเกงเขาและกางเกงของเขาให้พ้นทาง เมื่อความต้องการมันพุ่งสูงขึ้น
“อึก…พะ…พี่เก้า...บลูจะไม่ไหวแล้วอ่า...”น้ำเสียงเอ่ยอ้อนจนผมแทบบ้า
เสียงเอ่ยพร้อมเสียงครางของร่างบาง ที่ตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรติดกายทั้งผมและเขา ผิวขาวสะอาดแสนลื่นมือ ร่างกายที่ผมหลงรักและหลงใหลช่างสวยงามนัก ผมพลิกกายของเขานอนราบก่อนที่จะจับแก่นกายเล็กนั้นมาครอบครองที่โพรงปากของผมอย่างไม่รีรอ
“อื่ออออ…อย่าครับ…”มือเล็กจับที่ไหล่ผมแน่น ผมไม่ได้สนใจก่อนที่จะใช้ริมฝีปากชัดรูส่วนนั้นไปมา
เพียงแค่รูดรั้งไม่กี่ครั้งร่างบางแอ่นกายให้ผมพร้อมกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่น้ำสีข้นจะถูกกลืนกินลงลำคอของผมอย่างไม่นึกรังเกียจ ผมยกยิ้มให้กับคนที่นอนหายใจหอบแฮ่กๆ สายตาฉ่าไปด้วยความรัก
“ตาพี่บ้างนะ ที่รัก”ผมเอ่ยขึ้น ใบหน้าจากที่แดงยังคงแดงขึ้นอีก ผมสบดวงตากลมหวานอย่างร้อนแรง ก่อนจะพลิกร่างบางของเขาให้นอนคว่ำลง แล้วใช้ลิ้นร้อนละเลงลงไปยังช่องทางรักนั้น ยิ่งทำให้เขาบิดเร่าจนกายแดงไปทั้งตัว ผมอยากจะถ่ายคลิปให้เขาดูจังว่าเขาดูเซ็กซี่มากแค่ไหน
“อึก...อ่า...อ่ะ!” เขาร้องเสียงหลง เมื่อผมกำลังจะสอดนิ้วเข้าไปเพื่อเบิกทาง
“โอ๊ยยยย ซี๊ดดด ทำไมมันแน่นชะมัด”ผมครางออกมาอย่างไม่รู้สึกเขิน ช่องทางนั้นบีบรัดนิ้วผมแน่นเพียงแค่เขาเข้าไปนิ้วเดียว ผมกดจูบที่ขมับของเขาอย่างปลอบในเบาๆ เพื่อให้เขาได้ผ่อนคลาย แม้จะมีอะไรกันหลายครั้งแต่ผมก็คิดว่าช่องนี้ของเขายังแน่นและยั่วยวนผมเสมอ เหงื่อผุดพรายเต็มกรอบใบหน้าช่างเซ็กซี่นัก
“น้องบลูจ๋า เวลาพี่อยู่ในตัวน้องบลูช่วยครางชื่อพี่อออกมาหน่อยนะ พี่อยากได้ยินมัน” ไม่พูดเปล่าผมก็ยกสะโพกมนขึ้น พร้อมกับกลางกายที่เตรียมสอดใส่แต่แรกอยู่แล้ว กลางกายที่ค่อยๆสอดเข้าไปตามช่องทาง มันแน่เป็นบ้าเลย ผมกัดฟันแน่นเมื่อช่องทางนั้นกำลังบีบรัดผมจนปวดหนึบไปหมด
“เจ็บมากก็บอกพี่นะที่รัก”ผมเอ่ยขึ้นพร้อมดันหัวป้านของตัวเองเข้าช่องทางหลังเข้าไปช้าๆ
“อ๊ะ อ๊ะ พี่เก้าเข้ามาเลยครับ บลูไม่ไหวแล้วจริงๆ เสียวจะแข่อยู่แล้ว”น้ำเสียงเอยขึ้นเหมือนมีความต้องการมาก สะโพกสวยลอยเด่นจนผมแทบคลั่ง
“พี่กลัวบลูเจ็บจัง...”ผมเอ่ยขึ้น เพราะครั้งนี้ไม่มีอะไรเป็นตัวช่วยเลยสักนิด
“กระแทกเลย บลูไม่ไหวแล้ว อึก อ่ะ!” สิ้นคำอนุญาตผมรีบจัดจังหวะไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ควบจังหวะรักไม่หยุดจนร่างบางสั่นคลอนไปทั่วร่าง
“เรียกชื่อพี่หน่อย...นะที่รักจ๋า”
“อ๊ะ...พี่เก้า อึก อ๊ะ อ๊ะ พี่เก้า บลูไม่ไหวแล้วช่วยกระแทกบลูแรงๆทีเถอะ” เสียงร้องระงม เสียงหวานๆยิ่งทำให้ผมเพิ่มแรงมากขึ้น ก่อนที่ผมจะปลดปล่อยของเหลวขุ่นคาวลงไปในช่องทางพร้อมๆกับที่เขาจะปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง
ร่างบางที่ปลดปล่อยออกมาตอนนี้ตัวอ่อนยวบลงเมื่อปลดปล่อยไปถึงสองครั้ง ร่างบางเหงื่อโชกไปทั้งหมด ผมโอบกอดคนตัวบางไว้ในอ้อมอก ถอนกายแกร่งออกมา จนน้ำขาวขุ่นนั้นไหลออกมาจากช่องเปรอะไปทั้งระหว่างขา มือหนาสอดเข้าไปแล้วควงเอาน้ำคาวออกมา
ฟอดดดด
“เหนื่อยไหม เจ็บหรือเปล่า”ผมเอ่ยถามหลังกดจูบที่ขมับขาวชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ไม่เลยครับ”เขาเอ่ย ผมจับมือที่มีแหวนยกขึ้นมาเทียบกับแหวนของผม มือทั้งสองที่ถูกยกมาเทียบกัน ผมกระชับอ้อมกอดเขาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เราจะทำให้ทุกวันของเราคือความสุข พี่รักบลูนะ”
“บลูก็รักพี่เก้าครับ ดูแลบลูตลอดไปนะครับ”
ความรักผม้จะมีกระทบกระทั้งกันบ้างแต่ผมก็เชื่อว่าความรักไม่เคยทำร้ายใคร นอกจาเราเองที่จะใช้ความรักไปในทิศทางไหนก็ตาม
.....The End....
เพล้ง!
ผมที่กำลังนอนสวมกอดอยู่กับภรรยาที่รัก ก็ต้องตกใจเสียงที่ดังขึ้นตอนนี้ เหมือนมีอะไรตกแตกที่ห้องข้างๆ ซึ่งคือห้องของหนูพิ้งค์นั้นเอง
“เสียงอะไรครับพี่เก้า”
“ไม่รู้สิ แต่เสียงมาจากห้องหนูพิ้งค์”ผมเอ่ยก่อนจะลุกไปสวมเสื้อคลุมและเดินออกไป ผมก็พบกับพี่ๆทุกห้องเดินออกมา
“เสียงอะไรครับพี่หมอ”เสียงหวานของน้องบลูเอ่ยถามพี่ชายตัวเอง
“ไม่รู้สิ...”ทุกคนพากันมาอยู่ที่หน้าห้องหนูพิ้งค์ เพียงไม่นานร่างสูงของเลิฟเดินออกมาพร้อมกับเลือดที่อายเต็มไปด้วยเลือด
“เลิฟ!...”เสียงคุณนิลซ้อใหญ่ของบ้านเอ่ยขึ้น คุณหมอรีบวิ่งเข้ามาดูทันทีก่อนที่ร่างของน้องบลูจะวิ่งไปหาหนูพิ้งค์
“หมอพาเลิฟไปทำแผล ส่วนบลูพาหนูพิ้งค์ลงไปที่ห้องโถง เราต้องคุยกัน”เสียงคุณอนาคินพี่ใหญ่ของบ้านเอ่ยขึ้น และทุกคนก็ไปรวมตัวกันที่ห้องโถงทันที ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เท่าที่พอรู้คือเลิฟเข้าไปห้องหนูพิ้งค์ทำไมกันนะ
............
-
:oo1: :oo1:
-
เรียบร้อย พี่เก้า ..
-
พี่เก้ายังกอดน้องบูลไม่อิ่นเลย อิอิ
คู่ต่อไปรอๆๆๆๆๆๆ
-
เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง
-
Pink Loved 1: ต้นตอ (สุดรัก x นาคิม)
“หลับสบายเลยนะ”เสียงเอ่ยของคุณหญิงของบ้านบอกลูกชายคนเล็กของบ้าน รอยยิ้มที่แสนรักของผู้เป็นพ่อแม่มันช่างอบอุ่นและมีความสุขนัก แม้จะอยากได้ลูกสาวมากแค่ไหน แต่ทั้งสองก็พอใจแล้วสำหรับลูกชายคนที่หกของเขา
“หนูพิ้งค์นี่เลี้ยงง่ายมากเลยนะคุณ”ผู้เป็นสามีเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปทางหน้าบ้าน จากเสียงที่ดังขึ้นดั่งคนทะเลาะกัน
“อย่าทำแบบนี้นะนังลี มึงจะทิ้งลูกแกแบบนี้ได้ยังไงกัน มึงไม่สงสารลูกมึงเลยหรือไง”เสียงโวยวายจากข้างนอกทำให้คนข้างในอย่างเจ้าของบ้านรีบเดินออกมาดู
“เสียงอะไรกันคะคุณ”
“ไม่รู้สิ เดี๋ยวผมไปดูเอง”
“ฉันไปด้วยคะ”
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวหนูพิ้งค์จะตื่น”คุณคิมคิน เจ้าสัวใหญ่เจ้าของธุรกิจเรื่องสีชื่อดัง ท่าทางเดินอย่างสง่าออกไปก็พบกับรวยลิน แม่บ้านของบ้านหลังนี้ เป็นคนเก่าแก่ที่อยู่กับเขามานาน
“นังลี! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ นังลี! นังลี!”เสียงรวยลิน หรือป้าลินของเด็กๆทุกคนที่กำลังอุ้มเด็กน้อยในอ้อมกอดอย่างรู้สึกสงสาร
“มีอะไรหรอพี่ลิน”คุณคิมคินเอ่ยถาม
“ก็นังลี ลูกสาวของฉันนะสิคะ มันเอาลูกชายของมันมาทิ้งให้กับฉัน น่าสงสารเจ้าเลิฟมันนักที่พ่อมันก็ตายตั้งแต่เกิด แถมแม่มันดันมาทิ้งมันอีก น่าสงสารมันนัก ลำพังฉันเองก็ไม่ได้จะไม่อยากเลี้ยงมันหรอกนะคะ แต่ว่า...”ยังไม่ทันที่ป้าลินจะเอ่ยอะไรต่อ เสียงหวานหูอย่างคุณมัลลิกา คุณหญิงของบ้านเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูกชายคนเล็กของบ้าน
“เราก็เลี้ยงเด็กไว้สิคะคุณ ดูท่าทางเด็กนี่ก็อายุน่าจะเท่าหนูพิ้งค์นะคะ”
+++++++
เพียงวันนั้น เวลาผ่านไปสิบเจ็ดปีบ้านหลังใหญ่ที่ยังคงมีแต่ความรักและความสุขอยู่เสมอ
“ยาย เลิฟไปโรงเรียนก่อนนะครับ”ร่างสูงใหญ่ของเลิฟ ที่ป้าลินเลี้ยงดูมา
“ไม่ทานข้าวก่อนหรอลูก”ป้าลินเอ่ยถาม
“ไม่ครับ เดี๋ยวคุณหนูพิ้งค์รอ พอดีวันนี้คุณหนูต้องไปรายงานตัวแต่เช้า”เลิฟไม่รอให้ยายพูดต่อเขาต้องรีบมาที่รถเพราะกลัวคุณหนูของเขาจะรอ
พิ้งค์ต้องไปรายงานตัวในการไปตอบคำถามวิชาการที่เยอรมัน ทำให้ต้องออกเช้าหน่อย ซึ่งเลิฟเองก็อยากจะไปกับพิ้งค์แต่เช้า
“คุณหนูต้องไปวันไหนครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นถามคนข้างหลัง เขานั่งหน้ากับลุงพล คนขับรถด้านหน้าส่วนพิ้งค์นั่งอยู่ด้านหลัง
“วันพุธหน้าอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นใบหน้าตัวเองมาทางด้านหน้าอย่างแสนซน แต่ใครจะรู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้ทำให้เลิฟใจเต้นแรงแค่ไหน แถมกลิ่นน้ำหอมจากตัวพิ้งค์ทำให้เลิฟยิ่งรู้สึกรักและหวงพิ้งค์มาก
“ไปแค่สามวันเอง เลิฟก็อย่าคิดถึงพิ้งค์มากหละ คริคริ”การที่พูดไม่คิดอะไรทำให้อีกคนคิดจริงจังไปแล้ว
“เอ่อ...” เลิฟที่ทำหน้าตกใจเล็กน้อยที่พิ้งพูดแบบนั้น พิ้งค์เห็นเลิฟทำหน้าเหวอไปก็หัวเราะออกมา
“ฮิ ฮิ พิ้งค์พูดเล่นอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยออกมาพร้อมกลับไปนั่งอยู่ด้านหลังเหมือนเดิม สายตาก็มองไปยังมือถือเครื่องสวยอย่างไม่คิดอะไร
“เฮ้อ...”เสียงถอนหายใจเล็กน้อยแทบจะเบาแสนเบาของเลิฟที่พ่นออกมา “ทำไมเขาจะไม่คิดถึงคนข้างหลังหละ ในเมื่อตลอดเวลาที่จำความได้ในหัวใจเขามีแต่คุณหนูพิ้งค์คนนี้เท่านั้น”
เมื่อพิ้งค์มารายงานตัวและยื่นเอกสารเรียบร้อย ก็รีบเดินมาหาเลิฟทันที ปีหน้าทั้งคู่ก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว และที่สำคัญ พิ้งค์ก็ได้โควตาในการเข้าเรียนคณะเศรษฐศาสตร์จากการเข้าร่วมกิจกรรมตอบคำถามครั้งนี้
“โชคดีชะมัดเลยที่ได้โควตาด้วย อย่างน้อยเราก็ได้อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับเลิฟ”พิ้งค์ยิ้มหวานออกมา การที่พิ้งค์เข้าร่วมกิจกรรมนี้เพื่อต้องการอยู่กับเลิฟ คนที่อยู่กับตัวเองมาตั้งแต่จำความไม่ได้
เลิฟด้วยความที่เป็นคนสูงใหญ่ ร่างกายแข็งแรง มวลร่างกายของเลิฟดีที่สุดแถมเพอร์เฟคที่สุดทำให้เขาได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียน และได้โควตาเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา
“จริงหรอครับ ผมดีใจจังที่ได้ดูแลคุณหนู”เลิฟเอ่ยพร้อมยิ้มแก้มปริอย่างดีใจ อย่างน้อยเขาก็ได้ดูแลดวงใจของเขาอีกสี่ปี ก่อนที่คุณหนูคนนี้จะมีใครคนอื่นที่เข้ามาดูแล
“อย่าเอาแต่ดีใจดิ พิ้งค์หิวแล้วอ่ะ ไปโรงอาหารกันเถอะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“คุณหนูอยากทานอะไรครับวันนี้”เลิฟเอ่ยพร้อมยกกระเป๋าเป้สองใบขึ้นไหล่ตัวเอง
“เอาข้าวผัดพริกเผาได้ไหมอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยอ้อน เขาเองก็อยากกินอะไรที่ดูจัดจ้านกว่าที่เคยกิน
“แต่มันเผ็ดนะครับ เอาเป็นข้าวผัดหมูดีกว่านะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่าคนข้างๆทานเผ็ดไม่ได้
“ไม่อะ พิ้งค์อยากกินเผ็ดๆบ้าง ทีเลิฟยังกินผัดกระเพาได้เลย พิ้งค์เคยแอบตักของเลิฟมาชิมด้วย แม้จะเผ็ดหน่อยแต่มันก็อร่อยดี”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะเอ่ยถาม
“ตักทานตอนไหนครับ ทำไมตักจานเดียวกับของผมหละ”
“ทำไมจะตักไม่ได้ เลิฟหวงหรอ”
“เปล่าครับ แต่มันเป็นจานที่เหลือจากผม ทำไมไม่ให้ผมสั่งให้ใหม่หละ”
“ถ้าบอกแล้วเลิฟจะสั่งให้ไหมหละ”น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างยอกย้อน เลิฟแอบยกยิ้มในใจเพราะอย่างน้อยก็เคยได้กินข้าวจานเดียวกับคนที่เขาแอบชอบ
“งั้น เดี๋ยวผมสั่งมาให้นะครับ แต่ถ้าปวดท้องอย่างมาบ่นกันนะ”เลิฟเอ่ยขึ้นเป็นเชิงขู่
“จิ๊! เอาข้าวผัดหมูมาก็ได้ นายนี่มันจริงๆเลย”พิ้งค์เอ่ยพร้อมทำหน้าง้อเพราะโดนขัดใจ เลิฟเองก็ชอบกับใบหน้าน่ารักแบบนี้
“คุณหนูรู้ป่ะว่าทำหน้าตาน่ารักมาก”เลิฟเอ่ยก่อนจะเดินออกไปสั่งข้าว
โรงเรียนของทั้งคู่เป็นโรงเรียนชายล้วน และดูจะเป็นโรงเรียนระดับพรีเมียม คือมีแต่คนที่มีเงิน มีธุรกิจและมีหน้ามีตาทางสังคม ซะส่วนใหญ่
“เย็นนี้เราไปเดินสยามกันนะ”พิ้งค์เอ่ยบอกคนข้างๆ
“ต้องโทรบอกคุณแบล็คก่อนนะครับ”เลิฟเอ่ย เพราะเขาถูกผู้มีอุปาการะสั่งมาว่าให้ดูแลหนูพิ้งค์คนนี้อย่างดี
“อื้ม…”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟยกมือถือขึ้นมากด แต่ก็ต้องกดวางลงทันทีเมื่อชาม เพื่อนในห้องเดินเข้ามาพร้อมขนมในมือ ชามชอบพิ้งค์มานานแล้ว และทั้งสองก็เป็นคู่จิ้นกันในโรงเรียนด้วย
“หนูพิ้งค์ เราซื้อขนมมาฝาก”ขนมสีหวานถูกยื่นมาตรงหน้าของพิ้งค์ รอยยิ้มหวานถูกยิ้มขึ้นอย่างน่ารัก
“พิ้งค์ไม่กินขนมปัญญาอ่อนแบบนี้ มึงเก็บไปเถอะ”พอร์ชเพื่อนสนิทของเลิฟเอ่ยพร้อมหยิบขนมขึ้นมาพร้อมจับยัดเข้ามาปากตัวเองทันที
พอร์ชคือเพื่อนในทีมบาสเกตบอลของเลิฟ ทำให้ทั้งสองสนิทกันมากอาจจะเพราะทั้งสองกำพร้าพ่อแม่เหมือนกันหละมั้ง ทำให้เขาทั้งสองสนิทกัน แต่เลิฟจะโชคดีกว่าพอร์ชตรงที่เลิฟมียาย แต่พอร์ชกลับอยู่ตัวคนเดียวมีเพียงเงินเดือนที่ได้จากเงินบำนาญของพ่อแม่เลี้ยงดูตัวเอง เขาทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟเพื่อเลี้ยงตัวเองตามลำพังนับจากพ่อแม่ของเขาเกิดอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อน
“ไอ้เชี่ยพอร์ช นี่มันขนมของกูนะ กูซื้อมาให้หนูพิ้งค์”เสียงโวยของชามเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงขนมจากปากของพอร์ช แต่พอร์ชกลับหลบหน้าหนี เพราะความสูงกว่าทำให้พอร์ชได้เปรียบมาก
“พอทั้งคู่เลย อาจารย์มาแล้ว”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมส่ายหัวไปมาก่อนจะหันมาทางเลิฟที่หัวเราะออกมาเบาๆกับเพื่อนทั้งสอง เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาเพื่อสอน
“ขำอะไร อย่ายิ้มแบบนั้นสิ”อยู่ๆพิ้งค์ก็เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเลิฟยิ้มหวานอย่าที่เขาแสนหวง
“ทำไมหละครับ”เลิฟเอ่ยกระซิบเบาๆกับคนข้างๆ ใบหน้าน่ารักของพิ้งค์เห่อแดงออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่ากำลังรู้สึกเขิน
“นี่ๆ ข้างหลังอ่ะเสียงดังอะไรกัน”เสียงอาจารย์เอ่ยขึ้น ทั้งห้องหันมองด้านหลังห้อง ไม่ใช่คู่เลิฟและพิ้งค์แต่เป็นคู่ของพอร์ชและชาม ทั้งสองมักจะทะเลาะกันบ่อยๆจนอาจารย์จับมานั่งด้วยกันเพื่อที่จะได้สามัคคีกัน แต่อาจารย์น่าจะคิดผิดมากกว่า เพราะตอนนี้พอร์ชจับชามล็อคคอไว้แน่น
“เปล่าครับ”พอร์ชเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลง
หลังเลิกเรียนช่วงเย็นเลิฟที่โทรขออนุญาตอนาคิมพาพิ้งค์มาที่สยาม ทั้งสองพากันเดินไปเรื่อยเปื่อยตามประสาวัยรุ่น แต่ที่ดูจะน่าหงุดหงิดก็คือชามที่คอยเกาะแกะพิ้งค์ตลอดเวลา
“หนูพิ้งค์กินไอศกรีมไหม”ชามเอ่ยพร้อมยื่นไอศกรีมโคนที่แวะซื้อก่อนจะวิ่งตามมา
“ขอบใจมากนะ”พิ้งค์เอ่ยพร้อมยกไอศกรีมสตอเบอรี่แตะที่ลิ้น มันช่างยั่วชายหนุ่มทั้งสองข้างๆนัก
“พิ้งค์น่ารักจังเลยอ่ะ”ชามรุกอย่างแสดงออกว่าตัวเองชอบพิ้งค์มากขนาดไหนจนเลิฟรู้สึกหมั่นใส้
“ทานมากเดี๋ยวจะกลับไปทานข้าวฝีมือยายไม่ได้นะครับ”เลิฟเอายายมาอ้างเพราะพิ้งค์จะติดยายของเลิฟมากเช่นกัน
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”พิ้งค์เอ่ย เขาชอบไอศกรีมสตอเบอรี่มาก ข้อนี้ใครๆก็รู้ดี
“แล้วแต่นะครับ”เลิฟเอ่ยอย่างงอนๆ ก่อนจะเดินไปเรื่อยๆ ในมือก็ยกมือถือขึ้นมากดส่งข้อความหาพอร์ช
เลิฟ : ไอ้พอร์ชมึงอยู่ไหน?
พอร์ช : กำลังทำงาน มึงมีอะไรว่ะ
เลิฟ : เปล่า กูแค่หาเพื่อนคุย
พอร์ช : อ้าว ไหนไปสยามกับพิ้งค์ไม่ใช่หรอง่ะ
เลิฟ : คุณหนูคุยกับชามอยู่
พอร์ช : เห้ย! ไอ้เผือกไปด้วยหรอว่ะ
เลิฟ : อื้ม คุยกันหนุงหนิงสองคนนี่หละ
พอร์ช : เชี่ย! ไม่บอกกูว่ะ กูจะได้ลางานไปช่วยมึง ไอ้เผือกมันต้องเจอกู
เลิฟ : ไม่ต้องหรอกมึง ทำงานไปเถอะ แค่นี้ก่อนนะ
เลิฟละจากมือถือมองไปยังด้านหลังของพิ้งค์และชามที่กำลังเดินคู่กันอยู่ ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดหัวใจนักและที่สำคัญคือพิ้งค์เองก็ดูไม่ได้รังเกียจหรือไม่ชอบอะไรชามเลย ดูท่าทางจะชอบคุยกับชามเสียด้วย
“คุณพิ้งค์ควรจะคู่ควรกับคนที่มีฐานะเท่ากัน ไม่ใช่คนที่ไม่มีใครต้องการอย่างเรา”เลิฟเอ่ยในใจก่อนจะเดินตามหลังทั้งสองจนพิ้งค์หันมามอง
“เลิฟ ทำไมเดินช้าจัง รีบๆเดินสิ”พิ้งค์เดินเข้ามาคว้าข้อมือของเลิฟพร้อมกับดึงเข้ามาข้างๆ
“อึก…”เสียงดังในลำคอของเลิฟ ที่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ มือนิ่มๆของพิ้งค์ที่ยังคงจับข้อมือของเลิฟไว้แน่นโดยไม่ยอมปล่อย แถมยิ่งจับแน่นกว่าเดิมจนเลิฟรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
ระหว่างที่เดินเพื่อไปร้านหนังสือ เสียงมือถือของชามก็ดังขึ้น
“แปบนะพิ้งค์”ชามเอ่ยพร้อมยกมือถือขึ้นมาและเดินเลี้ยงออกไป “ครับหม๊า” พิ้งค์มองตามหลังชามจนเดินออกไปก่อนจะหันมามองหน้าเลิฟ
“เป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าแบบนั้นหละ”พิ้งค์เอ่ยถาม เพราะสังเกตเห็นเลิฟท่าทางไม่ยิ้มแย้มเท่าไหร่
“เปล่าครับ ว่าแต่คุณหนู…”ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ ชามก็เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเจือๆ
“พิ้งค์ เราคงไปซื้อหนังสือด้วยไม่ได้แล้วอ่ะ พอดีหม๊าเราให้รีบกลับ”
“เป็นไร เอาไว้วันหน้าก็ได้”พิ้งค์เอ่ยพร้อมยิ้มหวานออกมา
“งั้นเรากลับแล้วนะ บายเลิฟ”ชามยกมือบ๊ายบายทั้งสองก่อนจะเดินออกไป
“บาย”เลิฟบกมือเอ่ย พร้อมกับพิ้งค์ที่ยกมือโบกลาชามเช่นกันก่อนจะหันมองกัน
“ไปร้านหนังสือกันเหอะ”พิ้งค์เอ่ย มือเล็กจับที่ข้อมือของเลิฟเข้าร้านหนังสือ ตลอดเวลาที่เลือกหนังสือสายตาของพิ้งค์ก็มองไปยังกลุ่มนักเรียนสาวกลุ่มหนึ่งที่มองมาทางเขาทั้งสอง
“จะมองอะไรนักหนา”พิ้งค์คิดในใจ พร้อมจับมือเลิฟไว้แน่นจนเลิฟรู้สึกได้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เอ่อ คุณหนูครับ”เลิฟกระซิบบอกพิ้งค์ที่ทำหน้าดูบึ้งเล็กน้อย สายตาของพิ้งค์ยังคงจ้องไปยังกลุ่มนักเรียนสาวที่ส่งยิ้มมายังเลิฟ
“คุณหนูครับ”เลิฟเอ่ยย้ำอีกครั้งจนพิ้งค์รู้สึกตัว
“ว่าไง”
“เป็นอะไรไปครับ บีบมือผมแน่เชียว”
“อ่อ…คือว่า”ยังไม่ทันที่จะเอ่ยตอบอะไรเสียงหวานของนักเรียนหญิงกลุ่มนั้นก็เอ่ยขึ้น
“เธอๆ เราขอเบอร์ ขอไลน์เธอได้หรือเปล่า”ใบหน้าน่ารักสมวัย พร้อมผมเปียที่ถักสวยลงมามือขาวยื่นมือถือตรงหน้าเลิฟ
“เอ่อ…คือ…”เลิฟไม่รู้จะทำยังไง มองไปยังพิ้งค์และหญิงสาวสลับกันไปมา
“เราชื่อแป้งนะ เราขอไลน์นายนะ นะ นะ นะ”เสียงเอ่ยอ้อนของหญิงสาวช่างน่ารัก เลิฟเองก็ไม่กล้าจะปฏิเสธอะไร
“โทษนะ”เลิฟเอ่ยพร้อมหยิบมือถือของหญิงสาวมาเพื่อกดเบอร์ให้ พิ้งค์ที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกไม่ชอบ เขาไม่ชอบให้เลิฟเห็นใครสำคัญมากกว่าตัวเขาเอง
“พิ้งค์อยากกลับบ้านแล้ว”พิ้งค์เอ่ยอย่างเอาใจ ก่อนจะเดินออกจากร้านไป
“เดี๋ยวครับคุณหนู”เลิฟที่กลัวว่าพิ้งค์จะงอนจึงรีบยื่นมือถือให้หญิงสาวตรงหน้าทันที ก่อนจะรีบวิ่งตามหลังเลิฟไป
ตลอดทางกลับบ้านพิ้งค์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เลิฟที่คอยมองพิ้งค์อยู่อย่างกังวลจนถึงบ้าน พิ้งค์ยังคงนิ่งอยู่ทั้งสองไม่คุยกันตั้งแต่นั้นมา จนเวลาเกือบห้าทุ่ม เลิฟที่ยังคงนอนดิ้นไปดิ้นมา เขาไม่รู้ว่าพิ้งค์เป็นอะไร และทั้งสองก็โกรธกันไม่เคยนานขนาดนี้
“เฮ้อออ ไม่อยากเข้าข้างตัวเองเลยจริงๆว่าคุณหนูหึงคนอย่างผม”เลิฟเอ่ยกับตัวเอง
ไม่ต่างกันกับพิ้งค์ที่ยังคงนอนดิ้นไปมาบนที่นอนสีชมพู สีโปรดของตัวเอง ในใจก็มีคำถามมากมายว่าตัวเขาจะโกรธเลิฟทำไม และทำไมต้องโกรธด้วย ไม่เข้าใจตัวเองนัก
“ฮื้ออออ เราเป็นอะไรไปเนี้ย ที่จริงเลิฟไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ ทำไมเราต้องไม่พอใจเลิฟด้วยนะ”พิ้งค์เอ่ยกับตัวเอง พร้อมยกมือขยี้หัวตัวเองไปมาอย่างไม่เข้าใจตัวเองนัก
……………………
-
น้องเล็กมาแล้ว
-
น่ารัก มากมาย
-
โลกนี้สีชมพู
-
สีสุดท้ายก่อนจบแล้วนะ
-
:L2: :pig4:
-
Pink Loved 2 : เดือน (สุดรัก x นาคิม)
เวลาผ่านไป ทั้งเลิฟและพิ้งค์ก็เข้ามหาวิทยาลัย เลิฟเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา ส่วนพิ้งค์เรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ซึ่งมีชามที่ตามมาเรียนกับพิ้งค์ด้วยแต่คนละสาขาแค่นั้นเอง
“หนูพิ้งค์ เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันไหม”ชามเอ่ยชวนหลังจากกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยเรียบร้อยช่วงเย็น
“เราคงไปไม่ได้หรอก เราต้องกลับกับเลิฟอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เพราะอนาคิม ซื้อรถให้พิ้งค์หลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และให้เลิฟเป็นคนขับรถไปในตัวด้วย
“แล้วเลิฟไปไหนหละ ชวนไปกินด้วยกันเลย”ชามเอ่ยขึ้น
“เลิฟต้องซ้อมประกวดเดือนคณะอ่ะ น่าจะอีกชั่วโมง”
“โห้ววว เดือนคณะหรอ แต่เลิฟก็น่าได้ประกวดอยู่หรอก หุ่นก็ดี หน้าก็หล่อแค่หล่อน้อยกว่าเรานิดหน่อยเอง”
“หึๆ ยังงั้นหรอ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นหลังหัวเราะเบาๆที่ชามแอบชมตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“งั้นเราไปรอเลิฟกันก่อนก็ได้ เดี๋ยวไปด้วยกัน”ชามเอ่ยขึ้น ก่อนจะชวนพิ้งค์ไปที่คณะวิทยาศาสตร์
ทั้งพิ้งค์และชามเดินมาที่คณะวิทยาศาสตร์ที่ไม่ไกลนัก เลิฟที่เห็นพิ้งค์เดินมาก็ยกยิ้มขึ้นแต่ก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นชามเดอนมาด้วย
“เลิฟ...”พิ้งค์เอ่ยพร้อมยกยิ้มขึ้นโบก รอยยิ้มหวานที่ถูกยกขึ้นทำให้เลิฟยิ่งเจียมตัว
“คุณหนูเลิกแล้วหรอครับ”เลิฟวิ่งเข้ามาพร้อมเอ่ยถาม
“อื้ม...”
“ผมต้องซ้อมอีกนิดอ่าครับ คุณหนูรอได้ไหม”เลิฟเอ่ยถามขึ้น
“ฉันชวนพิ้งค์ไปทานข้าวร้านเปิดใหม่แถวหน้ามหาวิทยาลัย แต่พิ้งค์ไม่ยอมไปบอกว่ารอนายก่อน แล้วนี่อีกนานไหมเนี้ย”ชามเอ่ยขึ้น
“ข้าวบ้านไม่มีกินหรอไง”ไม่ใช่เสียงอื่นใดถ้าไม่ใช่เสียงคู่ปรับของชามอย่างพอร์ชที่เดินเข้ามากอดคอเลิฟไว้ด้วยหน้าตายียวน
“เสือก!”ชามเอ่ยขึ้นก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่พอใจพอร์ช
“พอใจ...”พอร์ชเอ่ยพร้อมลอยหน้าลอยตาให้กับชามที่ทำหน้าโมโหก่อนจะหันไปทางเลิฟและพิ้งค์
“ไอ้เลิฟไปกันเถอะพี่ฝนเรียกแล้ว พิ้งค์จ๋าเดี๋ยวมานะรอแปบ เหลือแค่บอกตำแหน่งเล็กน้อยเองจ๊ะ”พอร์ชเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ไม่แปลกสำหรับทุกคนเพราะพอร์ชมักจะพูดเล่นแบบนี้เสมอ
“ไม่เป็นไร เรารอได้”พิ้งค์เอ่ยพร้อมยกยิ้มหวานออกมา
“งั้นคุณหนูรอผมแปบนะครับ เดี๋ยวมานะชามฝากคุณหนูแปบ”เลิฟเอ่ยขึ้น ชามพยักหน้าก่อนที่พอร์ชจะเอ่ยขึ้น
“ทนหิวหน่อยนะ อย่าไล่ไปกัดคนอื่นเขาเข้าหละ”พอร์ชเอ่ยพร้อมวิ่งตามหลังเลิฟไป ชามที่โดนว่าแบบนั้นก็ยกทั้งหมดและเท้าขึ้นทันที
“ไอ้บ้า กูไม่ใช่หมานะมึง ไอ้พอร์ช ไอ้เลว”ชามเอ่ยขึ้น พิ้งค์ที่อดขำไม่ได้ก็รีบดึงแขนชามไว้
“เราไปนั่งรอตรงนั้นกันดีกว่า”พิ้งค์พร้อมดึงชามไปนั่งที่ม้าหินอ่อน
เลิฟที่ไม่ได้ตั้งใจฟังรุ่นพี่ที่กำลังแนะนำเรื่องการประกวดเลยสักนิด สายตากลับมองแต่พิ้งค์และชามที่กำลังนั่งคุยกัน รอยิ้มที่แสนหวงทุกครั้งที่พิ้งค์ยิ้ม เลิฟไม่ชอบนักเพราะรอยยิ้มนั้นเขาอยากเก็บไว้คนเดียว
“ดอกฟ้ากับหมาวัด แม่งใช้กับมึงได้ดีจริงๆเลยว่ะ”เสียงพอร์ชเอ่ยขึ้นบอกเพื่อนรักตัวเอง เลิฟหันหน้ามองพอร์ช ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ขอให้มึงได้เจอแบบกูบ้างเถอะ ไอ้หมามองเครื่องบิน”เลิฟหันไปตะคอกใส่เพื่อน
“ไม่มีทางอ่ะ อย่างกูนะ อยู่คนเดียวดีกว่า กูไม่มีทางรักใครหรอกเพราะลำพังแค่ตัวกูเองแม่งยังเอาตัวไม่รอด กูไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดเรื่องพวกนี้แล้ววะ ต้องหาเงิน เงิน และเงินเท่านั้น”
“สาธุ...ขอให้มึงตกหลุมรักลูกเจ้าของร้านกาแฟของมึงเถอะ คอยดูกูจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลยมึง ฮ่าๆๆ”เลิฟเอ่ยขึ้น พอร์ชเคยเล่าว่าเจ้าของร้านกาแฟที่เขาทำงานอยู่นั้นมีลูกแล้ว
“โน โน โน๊ว ไม่มีทางหรอกเพราะกูอยู่มาตั้งแต่เรียนมอสี่ จนบัดนี้กูยังไม่เคยเห็นลูกเจ้านายกูเลย”พอร์ชเอ่ยขึ้น เลิฟที่ส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะตั้งใจฟังรุ่นพี่พูด แต่สายตาก็ยังแอบมองไปยังพิ้งค์
+++++++
เกือบทุ่มที่ทั้งสี่ออกจากมหาวิยาลัย ตอนแรกทั้งหมดจะมาด้วยกันแต่ชามลืมไปว่าตัวเองเอารถมา จึงต้องขับรถตามเลิฟและพิ้งค์ไปโดยมีพอร์ชนั่งมาด้วย
“เราคิดถูกแล้วใช่ไหมอ่า ที่เราให้สองคนนั้นมาด้วยกันอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟทำหน้าบึ้งทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ทำไมหรอครับ หรือคุณหนูจะไปนั่งคันโน้นหละ”อยู่ๆเลิฟก็เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ทำไมพูดแบบนั้นหละ หรืออยากให้เราไป”พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เพราะคิดว่าเลิฟอยากจะให้เขาไปพ้นๆ
“ก็เห็นคุณหนูพูดว่าเราคิดดีแล้วหรอที่ให้สองคนนั้นมาด้วยกัน ผมก็คิดว่าคุณหนูไม่อยากให้สองคนนั้นมาด้วยกัน”เลิฟเอ่ยเสียงอ่อนลง เขายอมพิ้งค์เสมอตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าพิ้งค์จะถูกหรือผิด
“ที่พูดก็เห็นว่าทั้งสองไม่ค่อยกินเส้นกัน กลัวว่าจะเกิดสงครามก่อนได้กินข้าวหนะสิ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟแอบยิ้มในใจเล็กน้อยก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างจากกระเป๋ามายื่นให้พิ้งค์
“MIDI*”เสียงหวานพร้อมรอยยิ้มหวานของคนข้างๆที่แสดงออกมาเมื่อเห็นของโปรดของตัวเอง เลิฟเก็บเงินค่าขนมตัวเองเพื่อซื้อสิ่งนี้ให้กับพิ้งค์ รู้ว่าคุณหนูของเขาชอบกินขนมนี้มากแค่ไหน
“จะทานก่อนหรือทานข้าวก่อนก็ได้นะครับ ผมอนุญาต”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มออกมา แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่เขาพูดเสร็จสิ่งที่ไม่คิดคิดก็เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองหลังจากที่เคยเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาคิดเกินเลยกับคุณหนูคนนี้
ฟอดดดด
“อึก”
“เลิฟเป็นคนเดียวที่รู้ใจพิ้งค์ที่สุดอ่ะ ขอบใจมากนะ พิ้งค์จะเก็บไว้กินหลังกินข้าวเสร็จ”
“คะ...ครับ”เลิฟแทบจะหมดแรงขับรถต่อ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่รู้ใจ แต่คงไม่ได้เป็นคนรู้ใจเพียงคนเดียวของพิ้งค์ได้ เขาได้แต่ยิ้มจนมาถึงร้าน
ตลอดเวลาที่นั่งทานอาหารอยู่นั้นสงครามบนโต๊ะอาหารของพอร์ชและชามก็บังเกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เป็นสีสันสำหรับบนโต๊ะอาหารนี้ การรับส่งของทั้งคู่แทบทำให้อาหารมือนี้ร้อนเป็นไฟได้
“คงไม่เคยกินหละสิท่า สเต็กเนื้อวากิว*อ่ะ”เสียงเอ่ยเหน็บของชามเอ่ยขึ้นบอกพอร์ชที่พิ้งค์แนะนำให้ทาน
“ไม่นึกพิศวาส สู้หมาล่าป้าพรหน้ามหาลัยไม่ได้”พอร์ชเอ่ยขึ้น ชามทำหน้ายี้ใส่ทันทีเพราะหมาล่าของป้าพรใครๆก็รู้จักว่าเป็นอาหารที่นักศึกษาควรต้องไปชิมกัน แต่ชามเองก็ยังไม่เคยชิมสักครั้งเพราะกลัวว่าท้องจะเสีย
“มึงก็ไปกินหมาล่ามึงดิ จะมากินตามกูทำไม”
“ใคร๊ ใครกินตามมึง กูกินตามเพื่อนกูต่างหาก”พอร์ชเองใช่จะยอมชามซะที่ไหน ทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานแล้ว แถมต่างคนต่างไม่ยอมกันอีกด้วยสิ
“พอทั้งคู่หละ วันนี้เราจะได้กินไหมเนี้ย”พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหวาน ก่อนจะหันไปสั่งอาหารต่อ
ระหว่างที่สงครามน่าจะสงบช่วงกำลังอาหารอยู่ในปากอยู่นั้น อยู่ๆเสียงโวยวายจากนอกร้านก็ดังขึ้นก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งจะวิ่งเข้ามาในร้านและตรงเข้ามายังโต๊ะทั้งสี่ที่กำลังนั่งอยู่
ปึก!
หมับ!
“นายช่วยเราหน่อยสิ...”หญิงสาวไม่พูดเปล่า หลังจากที่วิ่งเข้ามาและนั่งลงข้างงๆเลิฟ มือบางของหญิงสาวจับใบหน้าเลิฟและดึงเข้าไปกดจูบทันที ทุกอย่างมันเร็วมาก เร็วจนทุกคนตังตัวไม่ได้ เลิฟเองก็ถูกดึงเข้าไปจูบอย่างง่ายดายโดยมีพอร์ช ชามและพิ้งค์ที่กำลังอึ้งไปกับเหตุการณ์ดังกล่าว
“อึก...”เสียงอึกอักของเลิฟดังเล็กน้อยก่อนที่จะมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาและทำท่าจะร้องไห้อยู่
“คุณโม...ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ มีแฟนแล้วทำไมไม่บอกผมครับ”ชายคนนั้นเอ่ยขึ้น ทำเอาคนทั้งร้านหันมามอง ก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะผละจูบออกและยืนขึ้นตอบชายตรงหน้าอย่างไม่สนใจว่าชายหนุ่มทั้งสี่จะอึ้งอยู่ตอนนี้
“ก็บอกไปแล้วไงนายไม่เชื่อเองว่าฉันมีแฟนแล้ว และนี่...”ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ หญิงสาวก็ดึงเลิฟขึ้นมาพร้อมจับมือประสานทั้งห้านิ้วแล้วชูขึ้นมา
“นี่คือแฟนฉัน ถ้ารู้แบบนี้ก็เลิกตามตื้อฉันได้แล้ว”หญิงสาวเอ่ยก่อนที่ชายหนุ่มคนนั้นจะส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่เชื่อ ผมไม่เชื่อ...”ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยก่อนจะกระชากมือหญิงสาวออกจากมือของเลิฟอย่างแรงจนเธอถลาล้มลง
หมับ!
“อ๊ะ...ปล่อยฉันนะ ฉันเจ็บนะ”หญิงสาวเอ่ยอย่างเจ็บปวดจริงๆ เพราะแรงกระชากของชายหนุ่มตรงหน้า เลิฟเมื่อเห็นแบบนั้น เขาเองยอมไม่ได้แน่นอนเมื่อเห็นแบบนี้ เขาจึงเอ่ยขึ้น
“ปล่อยมือเธอออกเดี๋ยวนี้ครับ ถ้าผู้หญิงไม่รักก็อย่าฝืนเธอเลยครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนที่พอร์ชจะยืนขึ้นสมทบตาม ร่างสูงของนักกีฬามหาวิทยาลัยคงไม่กล้านักจะมีใครต้านทาน
“คุณคือแฟนโมหรอ”ชายหนุ่มเอ่ยถาม เลิฟเห็นสายตาอ้อนวอนของหญิงสาวก็เอ่ยขึ้น
“ครับ ช่วยปล่อยแฟนผมด้วยครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่คนที่รู้สึกไม่นิ่งเลยคือพิ้งค์ที่ค่อยๆวางช้อนลง แม้จะรู้ว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุ แต่เขากลับรู้สึกแปลกๆว่ารับไม่ได้กับเรื่องนี้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่สุดวิสัย หญิงสาวที่เป็นต้นเรื่องอย่างโมเม ก็เอ่ยขอบคุณเลิฟไปด้วยรอยยิ้มหวานยังคงติดตาพิ้งค์อยู่
“วันนี้เป็นไงมั้งครับ เหนื่อยไหม”เลิฟถามพิ้งค์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าบึ้งเล็กน้อย เลิฟหันไปมองพิ้งค์เมื่อไม่ได้รับคำตอบก่อนจะเอ่ยขึ้นถามอีกครั้ง
“คุณพิ้งค์เป็นอะไรหรอครับ”
“เปล่า ฉันง่วงแล้วอยากกลับบ้าน”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟเองก็ไม่เซ้าซี้อะไรเพราะรู้ดีว่ายังไงพิ้งค์ก็ชนะเสมอ
ตลอดทางกลับมาถึงบ้าน เลิฟจอดให้พิ้งค์ลงที่ตึกใหญ่ก่อนจะเอารถไปจอดที่โรงรถ วันนี้เป็นวันพุธพี่น้องหลายคนไม่ได้กลับบ้านมีเพียงพี่ชายคนโตและพี่สะใภ้ของเขาเท่านั้น
“ทำไมยอมให้คนอื่นจูบด้วย ทำไมยอมให้คนอื่นจับมือ ทำไมยอมช่วยคนอื่นว่าเป็นแฟนทั้งๆที่ไม่รู้จักด้วย”พิ้งค์บ่นกับตัวเอง
เลิฟหลังจากเอารถไปเก็บเรียบร้อย ก็เดินมาสวัสดียายก่อนจะไปที่ห้องส่วนตัวด้านหลังตึก เขารู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะพิ้งค์แปลกๆไป รอยยิ้มหวานที่มักจะหยิบยื่นให้เขาก่อนนอนหายไป
“เลิฟจะต้องทำยังไงถึงจะรู้ใจคุณหนูว่าคุณหนูต้องการอะไร และเป็นอะไร”เลิฟเอ่ยขึ้น
พิ้งค์หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยก็มานั่งอยู่ที่เตียงสีชมพูหวาน ในมือกำลังก้มมองโซเชียลหัวสีน้ำเงินที่ตอนนี้กำลังถูกอัพเดตสถานะตัวเอง
Pink Color : ไม่ชอบตัวเองที่มีความรู้สึกแบบนี้เลย
ยังไม่ทันที่จะอัพเดตถึงนาที ทั้งกดไลค์และคอมเม้นถามต่างถูกกระหน่ำมามากมาย และเลิฟเองก็รู้สึกแย่ทันทีก่อนจะส่งข้อความให้กับพิ้งค์
เลิฟ : คุณหนูเป็นอะไรไปครับ
พิ้งค์ : เปล่า ยังไม่นอนหรอ
เลิฟ : ยังครับ นอนไม่หลับ
พิ้งค์ : เพราะ?
ไม่มีข้อความตอบกลับจากเลิฟ พิ้งค์กลับหน่วงที่อกเล็กน้อยแต่ทำยังไงได้ก็เลิฟไม่ตอบกลับข้อความ ก่อนที่จะวางมือถือไว้ที่หัวเตียง ก่อนจะหันมองไปทางประตู
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แกรก!
ร่างสูงของเลิฟเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ต้องรอให้เอ่ยอะไร ก่อนจะเดินเข้ามาหาพิ้งค์ที่นั่งอยู่บนที่นอนตอนนี้
“เลิฟ ดึกป่านนี้แล้วทำไมมาตึกใหญ่หละ”หลังสามทุ่ม คนที่นี่จะถูกห้ามไม่ให้ขึ้นมาที่ตึกใหญ่
“ผมนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าคุณหนูเป็นอะไร ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าคุณหนูเป็นอะไรครับ ทำไมถึงตั้งสเตตัสแบบนั้น”เลิฟเอ่ยขึ้น ทั้งสองมักไม่มีอะไรบิดบังกันเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง จะต้องเคลียกันให้จบ เหมือนวันนี้เลิฟเองก็ต้องเคลียให้จบ พิ้งที่ทำหน้าบึ้งอยู่ไม่รู้จะพูดอะไรที่เป็นคำอธิบายว่าเขากำลังหวงเลิฟ
“ไม่มีอะไรหรอก แล้วทำไมไม่รีบนอนหละ จะประกวดเดือนคณะแล้วไม่ใช่หรอไง”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“ยังหลับไม่ได้ครับ ถ้าผมไม่รู้ว่าคุณหนูเป็นอะไร ถ้ายังเห็นผมเป็นเพื่อนคุณพิ้งค์ก็ต้องบอกผมครับ ว่าเป็นอะไร”เลิฟเอ่ยขึ้น เพื่อนหรอ เลิฟคิดกับพิ้งค์คือเพื่อน แล้วพิ้งค์หละคิดกับเลิฟเป็นเพื่อนหรือไม่ ทำไมถึงรุ้สึกหวงเลิฟขนาดนี้
“ไม่รู้สิ เราไม่ชอบเลยที่เห็นเลิฟจูบกับคนอื่น ไม่ชอบให้เลิฟจับมือกับคนอื่น ไม่ขอบให้เลิฟโอบคนอื่นและไม่ชอบ...ไม่ชอบเลยจริงๆ”พิ้งค์เอ่ยพร้อมก้มหน้าลงเล็กน้อย เลิฟลืมไปเลยว่าเมื่อช่วงหัวค่ำมีเหตุการณ์อะไรขึ้น เลิฟค่อยๆจับมือเล็กนั้นอย่างกล้าหาญ กล้าที่ไม่กลัวพิ้งค์จะโกรธ
“ผมขอโทษนะครับที่จูบคนอื่น ผมขอโทษที่จับมือคนอื่น คุณพิ้งค์ช่วยลบมันหน่อยนะครับ”เลิฟเอ่ยก่อนกดจูบที่ริมฝีปากของพิ้งค์
“อ๊ะ...” เสียงของพิ้งค์ก็หลุดเข้าไปในลำคอสวยก่อนจะริมฝีปากจะถูกปิดสนิท มือหนาของเลิฟล๊อคที่หลังศีรษะของพิ้งค์ไว้ ส่วนอีกมือของเลิฟกลับจับที่มือเล็กที่วางอยู่บนตักเล็กนั้น ลิ้นร้อนที่กำลังสอดเข้าสู่โพรงปากแสนหวานนั้น ก่อนจะโลมเลียไปทั่วโพรงปาก
“อื่อออออ”เสียงครางในลำคอของพิ้งค์เอ่ยท้วงอกมา แต่ไม่เป็นผลเพราะเลิฟกลับอยากได้มากกว่าที่จะจูบนั้น เขาอยากครอบครองมากกว่าริมฝีปากนั้น
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
“เลิฟ...”พิ้งค์เอ่ยขึ้นเมื่อเลิฟผละจูบออก ที่จริงทั้งสองก็เคยจูบกันมาหลายครั้ง เพราะการห้ามใจตัวเองไม่ได้ของเลิฟ
“ต่อไปนี้ ริมฝีปากนี้เป็นของคุณหนูนะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมจับมือพิ้งค์มาลูบที่ริมฝีปากตัวเองเบาๆ ก่อนจะจับมือของกันและกันประสานกันทั้งห้านิ้ว
“มือนี้ก็เป็นของคุณหนู ชีวิตนี้ของผมเป็นของคุณหนูตั้งนานแล้ว”เลิฟเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่จริงจัง พิ้งค์ใบหน้าแดงเห่อขึ้นมาชัดเจนไม่รู้ว่าหัวใจกลับเต้นแรงอะไรขนาดนั้น
“ถ้าเป็นของเรา ต่อไปนี้ก็อย่าให้ใครจูบและจับมืออีกรู้ป่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมา รอยยิ้มหวานที่ทำเอาเลิฟอยากจะครอบครองหัวใจนั้นจริงๆ
“รู้และรับทราบครับ”เลิฟเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมาก่อนจะหันมองนาฬิกาบ่งบอกว่าสี่ทุ่มกว่าแล้ว
“คุณหนูนอนพักเถอะนะครับ ดึกแล้ว”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนจะจัดแจงผ้าห่มให้กับพิ้งค์ที่นอนลงอย่างว่าง่าย
หมับ!
“เลิฟ”พิ้งค์เอ่ยหลังจากจับมือของเลิฟไว้ พิ้งค์มองหน้าเลิฟ
“ครับ”
“เอ่อ...คือ”
“คุณพหนูมีอะไรหรือเปล่าครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น ในใจก็อยากให้พิ้งค์รั้งเขาเพื่อให้เขาอยู่ด้วยคืนนี้เหมือนหลายครั้งที่เคยเป็น
“เลิฟนอนเป็นเพื่อนเรานะคืนนี้”พิ้งค์เอ่ยขึ้นก่อนจะหลบสายตาของเลิฟ รอยยิ้มถูกยกขึ้นจากริมฝีปากเข้มของเลิฟ
“ครับคุณหนู”
ความอบอุ่นที่ถูกสวมกอดจากด้านหลังตอนนี้ของพิ้งค์ แม้จะเป็นความอบอุ่นของเพื่อนรัก แต่ไม่รู้ว่าความอบอุ่นนี้จะอยู่อีกนานไหม เพราะยังไงทั้งสองก็ต้องโตขึ้น
......................
-
เพื่อนกันเค้าไม่จุ๊บๆ กันขนาดนี้นะลูกกกกก
ปล.อย่าลืมเปลี่ยนหัวกระทู้นะคะ
-
ขอบคุณมากจ้า
-
จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ
-
หวานเลย อิอิ
-
:pig4: :pig4:
-
Pink Loved 3 : เธอคนนั้น (สุดรัก x นาคิม)
Pink Loved 3 : เธอคนนั้น (สุดรัก x นาคิม)
ดวงตาที่ซ่อนภายใต้เปลือกตาสวยนั้น ทำให้เลิฟอยากจะจูบสัมผัสย้ำๆอย่างเป็นเจ้าของ เลิฟใช้นิ้วลูบไล้ไปยังเปลือกตาสวยก่อนจะไล้มาหยุดที่ริมฝีปากอวบอิ่มนั้น
“อื่ออ”เสียงครางในลำคอเมื่อมีคนมาก่อกวนเวลานอน พิ้งค์น่ารักเสมอในสายตาเลิฟ
“ผมรักคุณหนูครับ”เลิฟเอ่ยออกมาแต่เป็นการเอ่ยที่ไม่มีเสียง แม้คนที่อยู่ใกล้ๆก็ไม่สามารถได้ยิน
เลิฟเดินลงจากตึกเกือบตีห้า เขารีบเข้าห้องตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่ทุกคนจะเห็น เป็นแบบนี้เสมอถ้าครั้งไหน พิ้งค์อ้อนให้เขานอนด้วย
“เมื่อไหร่เราจะได้เดือนอยู่ในมือบ้างว่ะ”เลิฟเอ่ยขึ้นเมื่อล้มตัวลงนอนบนเตียงมองไปยังเพดานห้องที่เขาประดับรูปเดือน ดาวเรืองแสงอยู่บนนั้น
ช่วงหกโมงเช้าเลิฟเดินมาช่วยยายจัดอาหารบนโต๊ะ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มาร่วมโต๊ะ ถ้าเป็นวันศุกร์บ้านหลังใหญ่นี้จะครึกครืนเสมอ
“ไปกินข้าวก่อนไป เดี๋ยวคุณหนูพิ้งค์ทานเสร็จจะได้ไปกันเลย”ยายลินเอ่ยบอกหลานชาย
“เดี๋ยวก็ได้ยาย”เลิฟเอ่ยบอก เขาอยากเห็นหน้าพิ้งตอนเช้าก่อนไปกินข้าว
“อย่าดื้อสิ อย่าให้เจ้านายรอเรามันแค่คนใช้จะให้เจ้านายรอได้ยังไงหล่ะลูก”เลิฟได้ยินแบบนั้นก็รับคำและเดินไปที่ครัว เขาเจียมตัวเสมอพอๆกับยายที่ย้ำเขาทุกครั้ง
ยายลินเองก็รู้ดีว่าหลานชายตัวเองรู้สึกยังไงกับคุณหนูคนเล็กของบ้าน แต่ยายลินมักจะย้ำกับหลานชายเสมอว่าตัวเองเป็นใครและคุณหนูพิ้งค์เป็นใคร
-มหาวิทยาลัย-
พิ้งค์เดินมาที่คณะวิทยาศาสตร์เพื่อมาหาเลิฟ ช่วงนี้เลิฟดูเหมือนจะไม่ว่างนัก พิ้งค์เองก็ไม่ได้งอแงอะไรมาก เขาเองก็เข้าใจเลิฟอยู่บ้าง
“หนูพิ้งค์”เสียงเอ่ยเรียกที่คุ้นเคยของเพื่อนสนิทที่ไม่อยากจะสนิทแบบเพื่อนอย่างชาม
“อ้าวชาม หอบอะไรมาพะรุงพะรังแบบนี้หละ มาเราช่วย”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นชามหอบหิ้วถุงขนมมากมายในมือ
“หึ จะอะไรหละ เราแพ้พนันไอ้พอร์ชมันหนะสิ”ชามเอ่ยขึ้น เมื่อคืนพอร์ชขอติดรถชามกลับบ้าน ด้วยความที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทั้งคู่จึงพนันกัน
“แพ้พนันหรอ พนันอะไรกัน”พิ้งค์เอ่ยขึ้นถาม ชามจึงทำหน้าโมโหก่อนจะเล่าเรื่องราวเมื่อคืนให้ฟัง
เหตุการณ์เมื่อคืน
“หนูพิ้งค์อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เป็นอะไรหรือเปล่า”ชามเอ่ยถามเมื่อพิ้งค์ทำหน้าไม่โอเคนัก
“ไม่เป็นอะไรหรอก กลับถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกด้วยนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มอ่อนๆก่อนจะเดินไปขึ้นรถ
ชามเดินมาที่รถก็เห็นว่าพอร์ชยืนรออยู่แล้ว ชามไม่พูดอะไรมากก็กดปลดล๊อคประตูรถเพื่อจะขึ้นรถ แต่กลับตกใจเมื่อพอร์ชเข้ามานั่งข้างๆ
“เฮ้ย! ขึ้นมาได้ไงวะ ลงไป”ชามทำหน้าตกใจเมื่อพอร์ชขึ้นมานั่งข้างๆ
“ก็เปิดประตูขึ้นมา ทำไมหรอ”พอร์ชเอ่ยพร้อมทำหน้าไม่รู้ร้อน
“ลงไปจากรถกูเลยนะ ลงไปสิ”ชามเอ่ยพร้อมพยายามผลักพอร์ชออก แต่พอร์ชมือไวกว่ารีบล็อกเข็มขัดทันที
“ไม่ลง มึงจะใจดำให้เพื่อนกลับรถเมล์เองหรอไงว่ะ”
“ใครเพื่อนมึง”
“ก็มึงไง”
“ตอนไหนไม่ทราบ กูเกลียดมึงจะตายไป”
“หรอ กูทำไมไม่รู้สึกว่ามึงเกลียดกูเลยวะ”
“ความรู้สึกมึงมันไม่ได้เรื่องไง ไอ้เชี่ยพอร์ชมึงลงจากรถกูเร็วๆเลยนะ กูอยากกลับบ้านแล้ว”
“มึงก็ขับรถไปสิ เดี๋ยวถึงที่กูอยากลงก็ก็ลงเองหละ ถ้ามึงช้ามึงก็ถึงช้านะ”
“ไอ้หน้าด้าน มึงจะไม่ลงใช่ไหม”ชามเอ่ยขึ้นอย่างถอดใจเพราะคิดว่ายังไงพอร์ชก็ไม่ยอมลงจากรถแน่นอน
“เออ...”พอร์ชเอ่ยขึ้น ชามที่มองไปรอบๆตอนนี้อย่าเหนื่อยใจก่อนจะเห็นผู้ชายคู่หนึ่งเดินมาด้วยกัน ใบหน้าจะดูตกใจเล็กน้อยแต่ก็คิดออกว่าจะไล่พอร์ชลงรถไปยังไงโดยไม่ต้องหัวเสีย
“เอางี้ มึงเห็นผู้ชายสองคนที่กำลังเดินมานั่นไหม”พอร์ชมองตามที่ชามชี้ ก่อนจะหันมองหน้าชามอย่างไม่เข้าใจ
“เห็น...แล้วไงเกี่ยวอะไรกับการที่กูติดรถไปกับมึงว่ะ”พอร์ชเอ่ย
“เกี่ยว...มึงกับกูมาพนันกันว่าผู้ชายสองคนนั้นมั้ยหล่ะ มึงกับกูพนันกันว่าเขาสองคนเป็นแฟนกันหรือไม่เป็น”ชามเอ่ยเสร็จก็ยกยิ้มให้พอร์ช
พอร์ชหันมองชายสองคนที่กำลังเดินมาที่รถ พอร์ชเม้มริมฝีปากเข้าหากันพร้อมยกยิ้มและหันไปทางชามก่อนจะโน้มหน้าเข้าหาชามจนเกือบชิด ลมหายใจร้อนๆเป่ารถแกมของชามอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เชี่ยพอร์ช มึงจะทำอะไรอ่ะ”ชามเอ่ยพร้อมเบี่ยงหน้าหนี ใบหน้ากลับร้อนผ่าว
“ถ้ากูตอบถูกมึงจะต้องเป็นเบ๊กูหนึ่งอาทิตย์และมึงก็ไปรับไปส่งกูที่บ้านและที่มหาลัย แถมที่ทำงานอีก โอเคม่ะ”พอร์ชเอ่ยขึ้น ชามโมโหจัดแต่ก็รู้ดีว่าตัวเองต้องชนะแน่ๆ เพราะผู้ชายหนึ่งในสองคนนั้นเขารู้จักเพราะเป็นพี่ข้างบ้านของเขาเอง
“หึ ได้เลย แต่ถ้าถึงทายผิด มึงต้องลงจากรถกูทันที และมึงก็เลิกกวนตีนกูหนึ่งอาทิตย์เช่นกัน”
“โอเค มาเกี่ยวก้อยสัญญา”พอร์ชเอ่ยพร้อมยกนิ้วก้อยของตัวเองขึ้นมาเพื่อให้ชามสัญญากับตัวเอง ใครจะรู้ว่าชามนั้นหละที่กลับใจเต้นแรงเกิน
“เร็วๆ เกี่ยวก้อยสัญญา”พอร์ชเอ่ยเร้า เพราะกำลังพอใจที่ได้แกล้งชาม
“ไอ้ปัญญาอ่อน”ชามเอ่ยขึ้น พอร์ชเห็นท่าว่าชามไม่ยอมเกี่ยวก้อยจึงจับมือของชามขึ้นและเกี่ยวก้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเขินๆ
“แล้วมึงว่าเขาเป็นแฟนกันหรือไม่เป็น”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“กูว่าไม่เป็น”ชามเอ่ยอย่างมั่นใจ
“แต่กูว่าเป็น และอีกเดี๋ยวเขาก็จะจูบกัน มึงเชื่อกูม่ะ”พอร์ชเอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ทันจบประโยค ชามเอก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจ
“เชี่ย!...”เสียงเอ่ยตกใจของชามเอ่ยขึ้นจนพอร์ชเองตกใจก่อนจะหันมองตามพร้อมยกยิ้มขึ้น
-ที่หน้าตึกกิจกรรมคณะวิทยาศาสตร์-
“ตอนนี้ชามก็เลยต้องมาเป็นเบ๊ให้พอร์ช”พิ้งค์กี้เอ่ยขึ้น
“อื้ม...”ชามพยักหน้า
“อย่าบอกนะว่าต้องไปรับไปส่งด้วยอะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“อื้ม...ชวยชิบเลย พี่มิวนะพี่มิวทำกันได้ ไอ้เราก็คิดว่าเป็นผู้ชาย อุตส่าห์มั่นใจ”ชามเอ่ย พิ้งค์หัวเราะออกมาอย่างน่ารัก
เลิฟเห็นพิ้งค์หัวเราะอยู่กับชามก็คิดว่าพิ้งค์มีความสุขมากที่ได้อยู่กับชาม ทุกครั้งที่เห็นพิ้งค์จะหัวเราะแบบนี้เสมอ ต่างกับที่อยู่กับเขาพิ้งค์จะหน้าบึ้งบ้าง งอนบ้างดูไม่ค่อยมีความสุขเลยสักนิด
“มองเข้าไป มองแบบนี้ตั้งแต่อนุบาลแล้วมั้ง"พอร์ชเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนรักยังคงเป็นหมามองเครื่องบินแบบนี้
“มึงรู้ได้ไงว่ากูมองตั้งแต่อนุบาล เสือกจริงๆ”เลิฟเอ่ยขึ้นติดตลกพร้อมหัวเราะออกมา
“กูอ่ะ แฟนคลับคู่มึงง่ะ ว่าแต่ว่ามึงได้บอกพิ้งค์ไปบ้างหรือเปล่าว่ามึงคิดยังไงกับเขา”พอร์ชเอ่ยถามกลับ
“ไหนมึงบอกเป็นแฟนคลับคู่กูง่ะ”
“ก็ใช่ไง แล้ว...”พอร์ชทำหน้าไม่เข้าใจ
“แล้วทำไมมึงไม่รู้ว่ากูอ่ะ หลานคนใช้ส่วนคุณหนูพิ้งค์อ่ะลูกเจ้าของบ้าน ใครเขาจะให้ลูกหลานตัวเองมารักกับคนใช้ว่ะ”เลิฟเอ่ยขึ้น
“ไอ้โบราณ เดี๋ยวนี้เขาไม่คิดแบบนั้นกันหรอก ถ้ารักกันซะอย่างจะรวยจะจนมันไม่สำคัญหรอก”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“มึงเหมือนจะพูดดีเนอะ แต่ไม่สุดว่ะ”
“ยังไง ก็มึงรักพิ้งค์ก็บอกเขาไปตรงๆก็จบป่าวว่ะ”พอร์ชเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจเพื่อน
“จบถ้าคุณหนูรักกู ที่ไม่จบเพราะกูไม่รู้ว่าคุณหนูรักกูไหมและที่ไม่จบคือกูไม่ยอมให้คุณหนูลำบากกับกู มึงเข้าใจกูไหมไอ้คนเข้าใจยาก”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินมาหาพิ้งค์และชาม
“ทานข้าวเที่ยงแล้วหรอครับคุณหนู”เลิฟเอ่ยถาม
“ยังเลย เรารอเลิฟอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟมองนาฬิกาก็เที่ยงกว่าแล้ว เขาเองก็ลืมไปเลยว่าพิ้งค์ไม่ค่อยไปทานข้าวที่โรงอาหารเองโดยไม่มีเลิฟไปด้วย
“ทำไมไม่ไปทานที่ร้านแถวห้างข้างๆมหาวิทยาลัยหละครับ ไม่น่ารอผมเลย”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งค์หุบยิ้มทันทีเพราะคิดว่าเลิฟไม่อยากทานข้าวกับตัวเองแล้วก่อนจะลุกยืนขึ้น
“โอเค เราก็แค่รอเลิฟ แต่ถ้าเลิฟไม่อยากทานข้าวกลางวันกับเรา เดี๋ยวเราไปทานเองก็ได้”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินออกไป
“คุณหนูครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมวิ่งตามหลังพิ้งค์ไป
“หนูพิ้งค์ รอเราด้วย”เสียงชามเอ่ยขึ้นแต่ถูกพอร์ชรั้งไว้
“จะไปไหน นายเป็นเบ๊ฉันอยู่นะ นายต้องไปกินข้าวกลางวันกับฉัน”พอร์ชเอ่ยพร้อมลากมือชามออกไป
“ไอ้เชี่ยพอร์ช กูเป็นแค่เบ๊ไม่ใช่ทาส มึงจะบังคับกูทำไมว่ะ”เสียงโวยวายของชามและพอร์ชก็ดังไปอีกทาง
“ไอ้ชามอย่ามาแต่ตัว ถือถุงขนมมาด้วย”พอร์ชเอ่ยสั่ง ชามหอบหิ้วขนมและตามพอร์ชไป
เลิฟที่เดินตามหลังพิ้งค์จนทัน เขาถือดีคว้าข้อมือของพิ้งค์ไว้และดึงเข้าหาตัวเองอย่างลืมตัวจนใบหน้าหวานของพิ้งค์บูดเบี้ยวด้วยความเจ็บ
หมับ!
ปึก!
“โอ๊ย!...เราเจ็บนะ ทำไมทำกับเราแบบนี้หละ”พิ้งค์โวยขึ้น เลิฟเองก็ตกใจที่ตัวเองทำรุ่นแรงเกินไป
“คุณหนู ผมขอโทษครับเจ็บมากไหม ผมมันบ้าจริงที่ทำให้คุณหนูเจ็บ”เลิฟทำหน้าเสียออกมา หวงคนข้างหน้าอย่างจับใจ
“ใช่ นายมันบ้า นายมันบ้าที่ทำแบบนี้ บ้าที่ไล่เราให้ไปทาข้าวคนเดียว”
“คุณหนู”เลิฟเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นเลิฟทำท่าจะร้องไห้ก็รีบพายังห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา ที่ไม่ค่อยมีใครเข้าไปนัก
เมื่อมาถึงในห้อง เขาก็รีบหายามาทาที่ข้อมือให้พิ้งค์ แม้จะไม่เจ็บมากนักสำหรับพิ้งค์แต่สำหรับเลิฟมันคือความเจ็บปวดที่เขายอมไม่ได้
“ผมขอโทษนะคุณหนู เจ็บมากไหมครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น พร้อมยกข้อมือพิ้งค์ขึ้นมาเป่า ทุกการกระทำของเลิฟทำให้พิ้งค์หลงใหลนัก เขาชอบที่จะอ้อนเลิฟ ชอบที่จะงอนให้เลิฟง้อและชอบให้เลิฟปลอบเขา
“ไม่เจ็บแล้ว”พิ้งค์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงแสนหวานแบบนี้เลิฟพอจะรู้ว่าคุณหนูของเขาหายงอนแล้ว เลิฟลุกขึ้นมานั่งข้างๆ
“ผมขอโทษนะครับคุณหนู คุณหนูจะด่าจะว่า จะตีผมยังไงก็ได้”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยกมือข้างที่เจ็บของพิ้งค์มาวางแก้มของเขาเอง
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าทำแบบนี้สิ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น ก่อนจะลูบไปยังใบหน้าของเลิฟและเอ่ยขึ้น
"ไม่ได้ครับ ผมทำคุณหนูเจ็บ"เลิฟดูทีท่าว่าจะไม่ยอม
“ถ้าอยากให้หายโกรธก็รีบๆพาเราไปทานข้าวสิ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น ทำให้เลิฟหลุดยิ้มออกมาทันทีก่อนจะลุกขึ้นยืนและยื่นมือให้กับพิ้งค์
“ป่ะ ไปทานข้าวที่โรงอาหารเศรษฐศาสตร์บ้างดีกว่านะครับ วันนี้ผมอนุญาตให้คุณหนูกินหมูกรอบผัดพริกเผา”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งค์ยิ้มรับพร้อมยื่นมือไปจับมือของเลิฟ
“พูดแล้วนะ”พิงค์เอ่ยพร้อมยกยิ้มหวานออกมาก่อนจะยื่นมือไปจับมือเลิฟแน่น
“ครับผม”รอยยิ้มหวานของพิ้งค์ทำให้เลิฟยิ่งกลัวกับความรักที่ตัวเองมอบให้กับคุณหนูของเขา
ที่โรงอาหารคณะเศรษฐศาสตร์ คู่ของเลิฟและพิ้งค์ยังคงเป็นที่สนใจของคณะอยู่เสมอ เพราะทั้งสองดูเหมาะสมกันดี ถ้าไม่มองถึงฐานะของทั้งสอง ในที่นี่แทบไม่มีคนรู้เท่าไหร่ว่าพิ้งค์และเลิฟเป็นเพียงเจ้านายและลูกน้อง
“น้ำหน่อย น้ำๆ”เสียงร้องขอน้ำจากพิ้งค์ ช่างน่ารักจริงๆจนเลิฟเองแอบอมยิ้มออกมา
“อร่อยไหมครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นน้ำให้คนข้างๆ
“อร่อยสิ แต่เผ็ดไปนิดอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“หน้าแดงแบบนี้คงไม่นิดนะครับ หึๆ”เลิฟแอบขำคนตรงหน้าพร้อมยื่นทิชชู่ไปจ่อที่ริมฝีปากของพิ้งค์ก่อนที่จะสะดุดเสียงหวานของผู้มาเยือนใหม่อย่างคาดไม่ถึง
“อ้าว เลิฟเจอกันอีกแล้วนะคะ”
“โมเม...”
“เฮ้อ....”เสียงอุทานเบาๆของพิ้งค์ก่อนจะรวบช้อนเข้าหากันอย่างลืมเผ็ดและหมดอร่อย พิ้งค์ไม่ค่อยชอบหญิงสาวคนนี้เลย เพราะตอนนี้กำลังยกยิ้มหวานให้กับเลิฟ
......................
-
ต้นเหตุความเข้าใจผิดสินะ งื้อออออ
-
น่ารักเชียว ..
-
ตัวกระตุ้รมาแล้ว
-
เลิฟเจียมตัวเหลือเกิน บอกรักหนูพิงค์ไปเลย
-
Pink Loved 4 : บังเอิญ (สุดรัก x นาคิม)
“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าจะเจอเลิฟและพิ้งค์อ่ะ”เสียงเอ่ยขึ้นหญิงสาวคนเดียวที่นั่งอยู่ตอนนี้
“แล้วโมเมมาที่นี่ได้ไง หรือเรียนที่นี่”เสียงเลิฟเอ่ยถาม พิ้งค์ทำหน้าไม่พอใจออกมาชัดเจน
“เราไม่ได้เรียนที่นี่หรอก เรามาหาเพื่อนอะ”หญิงสาวเอ่ยพร้อมยิ้มหวานออกมา
“บังเอิญเนอะ”เสียงพิ้งเอ่ยขึ้นลอยๆ
“โมเมว่าน่าจะพรหมลิขิตมากกว่านะ”หญิงสาวเอ่ยขึ้น เลิฟไม่พูดอะไรได้แต่ยกยิ้มออกมาจนพิ้งค์ลำคาญ จึงลุกขึ้นทำท่าจะไป
“คุณหนูจะไปไหนครับ”เลิฟจึงเอ่ยถามพร้อมทำหน้าอย่างตกใจ
“จะไปหาอะไรกินแก้เลี่ยน”พิ้งค์เอ่ยก่อนจะเดินออกไป
“ทำไมเลิฟเรียกพิ้งค์ว่าคุณหนูหล่ะ”โมเมเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ยายเราเป็นแม่บ้านอยู่ที่บ้านคุณพิ้งค์อ่ะ แล้วเราก็ต้องดูแลคุณพิ้งค์ด้วย”เลิฟเอ่ยขึ้น สายตายังคงจับจ้องไปยังคนตัวเล็กที่กำลังยืนซื้อผลไม้อยู่
“อ่อ แล้วเย็นนี้เลิฟว่างไหมหละ เราอยากจะเลี้ยงข้าวขอบคุณที่ช่วยเราวันนั้น”โมเมเอ่ยขึ้น พอดีกับที่พิ้งค์เดินกลับมาพร้อมมะม่วงในมือ
“ระวังท้องเสียนะครับคุณหนู”เลิฟเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจฟังโมเมเลย
“ไม่เป็นไรหรอก ท้องของเรา เรารับผิดชอบเอง”พิ้งค์เอ่ยขึ้น ท่าทางแบบนี้เลิฟรู้ดีว่าโดนงอนแล้ว
“เมื่อกี้เห็นชวนกันไปไหนนะ”พิ้งค์เอ่ยถามโมเม
“โมเมจะเลี้ยงข้าวเลิฟอ่ะ ที่ช่วยโมเมวันก่อน”หญิงเสาวเอ่ยขึ้น
“คุณหนูไปด้วยกันนะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งจ้องไปยังเลิฟก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่ไปอ่ะ เลิฟไปเถอะเดี๋ยวเราให้เฮียบลูมารับเอง”
“แต่ว่า…”เลิฟเอ่ยขึ้นแต่ไม่ทันจะเอ่ยต่อเสียงของหญิงสาวข้างๆก็ดังขึ้น
“เราจะไปกินร้านไหนกันดี ไปเลยไหม”เสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับดึงแขนของเลิฟไว้ ซึ่งเลิฟเองก็ไม่กล้าที่จะดึงมือของหญิงสาวออก เพราะมันดูไม่เป็นสุภาพบุรุษนัก
“งั้นโมเมรอผมที่นี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมมา”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มให้หญิงสาวก่อนจะวิ่งตามหลังพิ้งค์ไป
พิ้งค์เดินออกมาอย่างหัวเสีย รู้ทั้งรู้ว่าจะหวงมากก็ไม่ได้ เพราะยังไงเลิฟก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง บางครั้งสิ่งที่พิ้งค์คิดอาจนั้นอาจจะไม่ใช่อย่างที่หวังก็ได้ พิ้งค์ยกมือถือขึ้นโทรหาพี่ชายตัวเอง
(“พี่เก้า...”)
“ไม่ใช่พี่เก้าครับเฮีย หนูพิ้งค์เองครับ”
(“อ่อ หนูพิ้งค์ มีอะไรหรือเปล่า”)
“เฮียมาบ้านกี่โมง มารับหนูพิ้งค์หน่อยสิครับ”
(“แล้วเลิฟหล่ะ”)
“เขาก็ไปกับแฟนเขาสิจะมาอะไรกับคนอย่างหนูพิ้งค์หล่ะ”
(“ทะเลาะอะไรกันอีกหล่ะ”)
“เปล่าทะเลาะนะ เค้ารอที่หน้าคณะนะ”
พิ้งค์วางสายจากพี่ชายก่อนจะหันมองร่างสูงที่กำลังวิ่งเข้ามาหา ใบหน้งอนอย่างน่ารักแต่ก็แค่ได้งอนในใจ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะงอนไปเพื่ออะไร
“คุณหนูให้ผมไปส่งก่อนนะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องหรอก เราโทรหาเฮียบลูแล้ว”น้ำเสียงเอ่นงอนๆ
“คุณหนู อย่าทำแบบนี้สิครับ”เลิฟเอ่ยพร้อมกับจับที่แขนของพิ้งค์เพื่อรั้งไว้แต่พิ้งกลับสะบัดมันออก
“คุณหนูครับ อย่างอแงแบบนี้สิครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น
“ทำไม เรางอแงยังไง”เสียงเลิฟเอ่ยดังขึ้นจนคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มมอง เลิฟจึงค่อยๆเอาน้ำเย็นเข้าลูล
“เปล่าครับ แล้วคุณหนูจะให้ผมทำยังไงหละ”เลิฟเอ่ยขึ้นถาม เขายอมพิ้งค์ทุกอย่าง
“ถ้าเราไม่ให้เลิฟไปกินข้าวกับโมเมหละ เลิฟทำได้ไหม”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟเองที่ยอมพิ้งค์ทุกอย่างเขาเองก็ไม่อยากจะไปนักหรอก แต่ยังไม่ทันที่เลิฟจะเอ่ยต่อเสียงหวานของหญิงสาวก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เลิฟ เรากลัวรถติดอ่ะ ไปกันเลยไหม”
“นายไปทานข้าวกับโมเมเถอะ เราให้เฮียบลูมารับแล้วหละ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้เลิฟถูกหญิงสาวรั้งแขนเอาไว้แน่น
...
พิ้งค์ยืนรอพี่ชายอยู่ข้างสนามเทนนิสของมหาวิทยาลัย ในมือกำมือถือแน่นทั้งเสียงสายรับเข้าและเสียงข้อความดังขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่เขาก็ไม่ยอมรับสาย จนบลูพี่ชายของพิ้งค์มารับ
“รอนานไหม”
“ไม่ครับ หนูพิ้งค์คิดว่าเฮียจะมากับพี่เก้าซะอีก กะว่าจะให้พาไปกินไอศกรีมหน่อย”
“พอดีพี่เก้าติดธุระอ่ะ วันนี้เลยไม่ได้มาทานข้าวที่บ้าน”พิ้งค์ฟังเสียงน้ำเสียงพี่ชายของตัวเองเศร้าๆไป
“ปาท๋องโก๋อย่างเฮียนี่นะจะแยกกันได้”
“แหม ก็ต้องปล่อยบ้างสิ จะให้เขามาขลุกอยู่กับเราตลอดก็ไม่ไหวหรอกนะ ต้องปล่อยให้เขามีเวลาส่วนตัวมั้งสิ”พิ้งค์เองก็คิดได้ว่าเรื่องของเลิฟกับเขา
“นั่นสินะ เราจะให้เขาตัวติดเราตลอดเวลาได้ยังไง เขาก็ต้องมีเวลาของเขาบ้าง เวลาที่เขาไม่มีเราแล้วเขามีความสุข”
“ทะเลาะกับเลิฟจริงๆด้วย”
“เค้าอาจจะบังคับเลิฟให้มาอยู่กับตัวเค้ามากเกินไป บางทีเลิฟเขาต้องการที่จะไปจากเขาทุกเมื่อก็ได้”
“ไม่เอาหน่า เลิฟอ่ะห่วงหนูพิ้งค์มากนะรู้ไหม”พิ้งค์พยักหน้าก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่ระหว่างพี่ชายและพี่เขยของเขา
พิ้งค์ใจเต้นรัวไปหมด ถ้าเกิดเหตการณ์แบบนี้กับเขาจะทำยังไงต่อ ก็ขนาดพี่เขยและพี่ชายรักกันมากขนาดนี้ ยังมีโมเมนต์ของการนอกใจเลย
…
..
ที่โต๊ะอาหารคนในครอบครัวต่างพากันสงสัยบลูที่ตอนนี้ดูแปลกๆ พิ้งเองก็สงสารพี่ชายตัวเองมาก แต่ทำยังไงได้ขนาดตัวเองยังไปไม่รอดเลย
“ทำไมทานน้อยจังเลย”
“วันนี้พี่เก้าไม่มา คุณบลูเลยทานน้อยหล่ะสิ”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับพี่ซี คือว่า...”
“หนูพิ้งค์...”ผมโดนดุเล็กน้อย เพราะอยากจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับพี่ๆฟัง ระหว่างที่คุยอยู่นั้นร่างสูงของเลิฟก็เดินเข้ามาพิ้งค์รีบวางช้อนทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เฮีย เค้าปวดหัวจังเค้าขอขึ้นข้างบนก่อนนะครับ”
“ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวผมทานกับยายในครัวก็ได้ครับ”เลิฟเอ่ยเสร็จก็เดินเข้าข้างในอย่างเจียมตัว แม้ในใจอยากจะเดินขึ้นไปเคลียกับพิ้งค์จะแย่แต่ก็ต้องรอให้ทุกคนขึ้นห้องกันเรียบร้อยก่อน
“สวัสดีครับยาย”
“ทำไมกลับค่ำหล่ะลูก กินอะไรมาหรือยัง”ยายลินเอ่ยถามหลานชายที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยโอเคนัก
“ทานมาแล้วครับ เลิฟขอตัวก่อนนะครับ”เลิฟเอ่ยพร้อมกับเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อเข้าห้องของตัวเอง
ทันทีที่เดินเข้าห้องได้เขาล้มตัวลงนอนบนที่นอน สายตามองไปยังเพดานที่มีดวงดาวหลายดวงแปะอยู่ เขาเอ่ยกับตัวเองเบาๆ
“ทำไมดูเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับผมเลยครับ หรือที่จริงแล้วคุณหนูไม่เคยคิดอะไรกับผมเลย”เลิฟเอ่ยกับตัวเองพร้อมหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ตลอดเวลาตั้งแต่จำความได้ เขาอยู่กับพิ้งค์มาตลอด ความผูกพันที่เลิฟมีต่อพิ้งค์มันมากเกินจะบรรยายได้ว่าเลิฟจะไม่แคร์และรักพิ้งค์
...
..
เกือบสองอาทิตย์แล้วที่เลิฟและพิ้งค์ไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยด้วยกัน พิ้งค์จะติดรถพี่ชายไปเรียนตลอด และให้บลูไปรับเสมอ จนเลิฟเองรู้สึกกังวลและแย่มากๆ
“ไอ้เลิฟไปแดกข้าวกัน”พอร์ชเอ่ยพร้อมกอดไหล่เพื่อนรักไว้
“มึงไปกินก่อนเลย กูรอคุณหนูก่อน”เลิฟเอ่ยขึ้น
“ไอ้ชามพาไปกินข้าวข้างนอกแล้ว ไม่ต้องรอหรอก”พอร์ชเอ่ยอย่างเซ็งๆ เลิฟหันไปถามเพื่อนทันที
“ว่าอะไรนะ แล้วมึงทำไมไม่ห้ามหละว่ะ ไหนมึงจะช่วยกูไง”เลิฟเอ่ยขึ้น พิร์ชสะบัดตัวออกก่อนจะเอ่ยขึ้น
“กูก็ช่วยมึงอยู่ไง แต่พิ้งค์มาขอไอ้ชามจากกูเอง ว่าจะให้พาไปกินข้าว แล้วมึงจะให้กูทำยังไง มึงก็รู้ว่ากูแพ้ลูกอ้อนขนาดไหน”พอร์ชเอ่ยบอก เลิฟถอนหายใจออกมา สองอาทิตย์นี้เขาแทบไม่ได้คุยกับพิ้งค์เลย แถมไม่ได้เจอหน้าอีกด้วย
“อื้ม กูเข้าใจมึง”เลิฟเอ่ยออกมา ก่อนที่มือถือจะดังขึ้น เขารีบกดรับทันทีเพราะคิดว่าเป็นพิ้งค์
“คุณหนู”
(“เลิฟ โมเมเองคะ”)
“โมเม มีอะไรหรอครับ”
(“เลิฟช่วยมาหาโมเมที่ห้องหน่อยได้ไหมคะ พอดีผู้ชายคนนั้นมาก่อกวนโมเมอีกแล้ว”)
“โมเมอย่าออกจากห้องนะครับ และส่งพิกัดห้องมาเดี๋ยวผมไป”
เลิฟวางสายทันทีก่อนจะหันมาทางพอร์ชที่ทำหน้าตาอยากรู้อยากเห็น และก็อยากจะเสือกเต็มแก่แล้ว เลิฟจึงเล่าให้พอร์ชฟังก่อนจะรีบออกไป
“มีอะไรโทรหากูนะ”พอร์ชตะโกนบอกเลิฟ และก็พอดีกับชามที่มาพร้อมพิ้งค์
“มีอะไรหรอวะ เลิฟรีบไปไหน”เสียงเอ่ยของชามถามพอร์ช
“จะอยากเสือกเรื่องของเพื่อนกูทำไม”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“อ้าว ไอ้พอร์ชกูถามดีๆป่ะ”ชามหันมาแว๊ดใส่พอร์ช ซึ่งดูเหมือนพอร์ชจะชอบแบบนี้มาก ถ้าชามด่าแล้วเขาจะรู้สึกโล่งใจบอกไม่ถูก
“อ้าวหรอ กูแค่ตอบในฐานคนไม่ชอบเผือกง่ะ”
“แหม ไม่ชอบเผือก มึงอ่ะตัวดีเลย”
ระหว่างที่ชามและพอร์ชยังคงทะเลาะกันอยู่ พิ้งค์เองกลับมองตามหลังเลิฟไป เขาอยากรู้นักว่าเลิฟไปไหนและไปทำอะไร ก่อนจะได้ยินแว่วๆจากพอร์ชว่าเลิฟรีบไปหาโมเมที่ห้อง
ทางด้านเลิฟที่รีบมาหาโมเมที่ห้อง เขากลับไม่พบชายหนุ่มที่โมเมอ้าง ซึ่งเขาคิดว่าคงจะกลับไปแล้ว เลิฟเคาะประตูห้องเบาๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แกรก!
หมับ!
“ฮื่อๆ เลิฟโมเมกลัวจังเลย”หญิงสาวเปิดประตูได้ก็รีบสวมกอดเลิฟทันที จนเลิฟเองก็ตกใจ
“ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่นี่แล้ว”เลิฟเอ่ยพร้อมยกมือลูบหัวหญิงสาวเพื่อปลอบใจเบาๆ วินาทีนี้เขากลับคิดถึงร่างเล็กตัวบาง ใบหนน้าอ้อนๆแสนหวานของพิ้งค์ ทุกครั้งที่พิ้งค์กลัวอะไรหรือเสียใจอะไร พิ้งค์จะสวมกอดเขาแบบนี้และเขาก็จะปลอบพิ้งค์แบบนี้เช่นกัน
เวลาผ่านไปเกือบสามทุ่มเลิฟออกจากห้องโมเมเพื่อเรียกแท็กซี่กลับบ้าน เขาส่งข้อความคุยกับพอร์ชตลอดว่ากำลังทำอะไรและกำลังจะไปไหน และเขาเองก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความหาพิ้งค์เช่นกัน
เลิฟ : คุณหนูทานข้าวหรือยัง นอนห่มผ้าด้วยนะครับ
ข้อความถูกอ่านแต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับของพิ้งค์เลย ซึ่งเลิฟเองก็ทำใจไว้แล้ว ช่วงสองอาทิตย์นี้พิ้งค์กับชามไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แม้แต่วันก่อนพิ้งค์เองขอไปนอนค้างที่บ้านของชามด้วย ทำให้เลิฟยิ่งเข้าใจว่าที่พิ้งค์ชอบชามไม่ใช่หึงเขากับโมเมอย่างที่เคยเข้าใจ
“ถ้าปล่อยไว้อาจจะไม่เคลียก็ได้ คืนนี้เป็นไงเป็นกัน”เลิฟเอ่ยขึ้น เขาไม่อยากจะค้างคาอะไรอีกแล้วสิ
ช่วงเวลาดึกเมื่อคนอื่นๆเข้านอนกันหมดแล้ว เลิฟแอบเดินขึ้นตึกมา เขามาหยุดที่ห้องคุ้นเคย กุญแจสำรองถูกใช้ไขเข้าไปในห้องนอนสีชมพู ตอนนี้มีเพียงแสงไฟจากด้านนอกเท่านั้นที่สาดส่องเขามา เลิฟเดินมาที่เตียง ร่างบางของพิ้งนอนอยู่บนที่นอน
“คุณหนูไม่สบายเป็นอะไรมากไหมครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมสอดตัวเองภายใต้ผ้าห่มนั้นอย่างที่เคยทำประจำ แต่ทว่าครั้งนี้พิ้งค์กลับรู้สึกตัวและไม่ยอมให้เลิฟกอดอีกด้วยความโกรธที่เลิฟไปกับโมเมเมื่อตอนเย็น
หมับ!
“โอ๊ะ...คุณหนูครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นเมื่อพิ้งค์พยายามดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมกอดของเลิฟ
“คุณหนูครับ อย่าดิ้นเลยครับ”
“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นและยังคงพยายามดิ้นสุดแรงอยู่
“คุณหนูครับ ให้ผมได้อธิบายก่อนจะไล่ผมออกไป”เลิฟเอ่ยขึ้นและยังสวมกอดพิ้งค์จากด้านหลัง เขากดศีรษะลงที่หลังศีรษะพิ้งค์พร้อมเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“ตั้งแต่จำความได้ เราสองคนไม่เคยจะห่างกัน เราสองคนไม่เคยที่จะทะเลาะกันถึงขนาดนี้ เราสองคนมีอะไรก็จะคุยกันเสมอ ผมเองมันต่ำต้อยที่ไม่กล้าจะถามคุณหนูว่าคุณหนูเป็นอะไร ต้องการอะไรและคิดยังไง แต่ถ้าคุณหนูจะกรุณาก็ช่วยบอกผมหน่อยเถอะว่าผมจะต้องทำยังไงถึงจะรู้ใจคุณหนูว่าเป็นอะไร”
เลิฟเอ่ยถามพิ้งค์ที่ยังคงสะกดอารมณ์และความรู้สึกตัวเองว่าคิดยังไงกับเลิฟ เขาไม่ใช่เป็นคนที่แบ่งชั้นวรรณะอะไร แต่เขาแค่กลัวว่าเลิฟไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับตัวเอง ตลอดเวลาเลิฟเองดูแลเขาดีมากก็จริงแต่ในฐานะที่เป็นคนดูแลเขาตามคำสั่งเท่านั้น ข้อนี้ใครๆก็รู้ดี
“นับจากนี้ นายไม่ต้องขับรถให้เราแล้วนะ และนายเองก็ไม่ต้องตามเราแล้วด้วย”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“ทำไมหละครับ”เลิฟตกใจรีบลุกขึ้นและดึงพิ้งค์หันมาทันที
สายตาสองสายตาประสานกัน พิ้งค์เองไม่อยากจะเห็นแก่ตัว จากเหตุการณ์เมื่อตอนเย็นของพี่ชายของเขา บางครั้งพิ้งค์เองก็น่าจะปล่อยให้คนที่เขารักได้เป็นอิสระ
“นายตัวติดเรามากเกินไปแล้ว เราอยากให้นายได้เป็นอิสระ นายจะได้ไปไหนต่อไหนกับแฟนได้”พิ้งค์เอ่ยขึ้น ก่อนจะรั้งใบหน้าของเลิฟไว้และกดจูบที่ริมฝีปากเลิฟเน้นๆ น้ำตาพิ้งค์ๆค่อยไหลออกมาจนเลิฟนึกโกรธตัวเองว่าทำให้พิ้งค์ต้องมีน้ำตา
“คุณหนูทำไมพูดแบบนี้หละครับ ทำไมถึงเสือกไสไล่ส่งผมไปหาคนอื่นแบบนั้น คุณหนูช่วยบอกผมทีว่าคุณหนูคิดอะไรอยู่ คิดยังไงกับผม รู้สึกยังไงกับผมบ้าง”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งค์เองก็น่าจะยอมรับว่าช่วงที่เขาประชดเลิฟ ไม่ยอมมาเรียนกับเลิฟ ไม่ยอมมาทานข้าวด้วยและไม่ยอมกลับด้วยจะทำให้เลิฟกังวล แต่วันนี้เขาเห็นเลิฟไปหาโมเม เขาก็รู้แล้วว่าเลิฟชอบโมเม
“เราไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเลิฟเลยสักนิด เราชอบชาม”พิ้งค์เอ่ยขึ้น ใจมันเจ็บแทบเจ็บกับคำพูดของตัวเอง แต่เขาต้องทำแบบนี้
“อ่อ ผมแม่งก็บ้านะครับ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองแม่งต่ำต้อยแค่ไหน แต่เสือกคิดอยากจะเด็ดดอกฟ้า หมาวัดอ่ะนะดอกฟ้าที่ไหนแม่งจะมาสนใจ ชามเขาทั้งรวยและดูดี ทุกอย่างก็สมกับคุณหนูแล้วครับ”เลิฟเอ่ยทั้งน้ำตาพร้อมพาตัวเองลงมาจากเตียง ซึ่งพิ้งค์เองก็น้ำตาไหลเป็นทางไม่แพ้กันก่อนที่จะตกใจเมื่อเลิฟคว้าแจกันขึ้นมา
“ผมรักคุณหนูนะครับ รักตั้งแต่จำความได้และผมก็จะรักคุณหนูตลอดไป อย่าหวังยัดเหยียดผมให้ใคร เพราะผมรักคุณหนูแม้คุณหนูจะรักคนอื่น”เลิฟเอ่ยพร้อมผาดแจกันลงบนหัว
“อย่านะเลิฟ”เสียงเอ่ยของพิ้งค์ดังขึ้นแต่มันดังพร้อมกับเสียงแจกันและหัวของเลิฟที่เลือดกำลังไหลออกมา
เพล้ง!
สิ้นเสียงดังนั้นคนในบ้านก็กรูมาที่ห้องของพิ้งค์ทันทีก่อนที่พี่ชายคนโตจะสอบสวนสาเหตุที่เกิดขึ้น
“หมอพาเลิฟไปทำแผล ส่วนบลูพาหนูพิ้งค์ลงไปที่ห้องโถง เราต้องคุยกัน”เสียงคุณอนาคินพี่ใหญ่ของบ้านเอ่ยขึ้น และทุกคนก็ไปรวมตัวกันที่ห้องโถงทันที
..................
-
ไม่รู้ใจ กันทั้งคู่
-
แล้วเลิฟเอาแจกันฟาดหัวตัวเองทำไม? ถ้าเลิฟยังกลัวไม่เป็นสุภาพบุรุษไม่กล้าปฏิเสธโมเมก็เอาเหอะไม่ได้หนูพิงค์หรอก :hao3:
-
แล้วเลิฟเอาแจกันฟาดหัวตัวเองทำไม? ถ้าเลิฟยังกลัวไม่เป็นสุภาพบุรุษไม่กล้าปฏิเสธโมเมก็เอาเหอะไม่ได้หนูพิงค์หรอก :hao3:
-
ตื่นกันทั้งบ้านแล้ว เรื่องใหญ่
รอต่อจ้า
-
เออออ เอาแจกันฟาดหัวตัวเองทำไมอ่ะเลิฟ
-
:pig4: :pig4:
-
Pink Loved 5 : เวลา (สุดรัก x นาคิม)
[/size]
ที่ห้องโถงตอนนี้ใบหน้าอนาคิน พี่ชายคนโตของบ้านยังคงตึงเครียดอยู่กับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ สายตามองไปยังนิลกาฬที่นั่งปลอบใจป้าลิน แม่บ้านของที่นี่ก่อนจะปรายตามองไปยังน้องคนเล็กที่ตอนนี้ได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ น้ำตายังคงไหลออกมาเรื่อยๆ
“เล่ามาสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเลิฟถึงหัวแตก”อนาคินเอ่ยถาม พิ้งค์ยังคงนั่งเงียบอยู่ จนเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากประตูทางเข้า
“ผมใช้แจกันตีหัวตัวเองเองครับ คุณหนูพิ้งค์ไม่ได้ทำอะไรผมเลย คุณแบล็คอย่าดุคุณหนูเลยนะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปหายายลิน
“เป็นไงมั้งลูก”ยายลินเอ่ยถามหลานชายอย่างเป็นห่วง จนพิ้งค์เองรู้สึกแย่เพราะตัวเขาเองก็รักป้าลินมากเช่นกัน
“แล้วนายไปทำอะไรที่ห้องหนูพิ้งค์ดึกๆดื่นๆขนาดนี้”กรีนเอ่ยถาม ทำให้เลิฟไปไม่ถูกอยากจะพูดความจริงไปก็กลัวจะถูกสั่งห้ามไม่ให้อยู่กับพิ้งค์อีก ถ้าไม่พูดพิ้งค์ก็จะเสียหายและยายเองก็จะเสียใจ
“คือเลิฟเอาของมาให้พิ้งค์ฮะ”เสียงหวานเอ่ยขึ้น เลิฟเองก็เข้าใจดีว่พิ้งค์ไม่อยากให้ที่บ้านรู้เรื่องของเขาทั้งสองว่าเป็นยังไง
“เอ่อ...คือคุณหนูลืมหนังสือที่จะสอบไว้ที่รถอ่ะครับ ผมเลยเอามาให้”เลิฟเอ่ยขึ้น สายตามองไปยังพิ้งค์ที่ตอนนี้ก้มหน้าลงอย่างไม่อยากสบตา
“แล้วทำไมต้องตีหัวตัวเองด้วย”เก้าเอ่ยถามกลับ และเป็นคำถามที่ทุกคนอยากถามเช่นกัน
“ผมโกรธตัวเองครับ โกรธที่ทำให้คุณหนูไม่เชื่อใจอะไรได้เลย โกรธที่ทำให้คุณหนูลำบากใจ โกรธที่ทำให้คุณหนูไม่ต้องการสิ่งที่ผมบอก ผมเลยอยากให้แผลนี้เป็นความทรงจำเตือนไว้ว่าผมทำอะไรไม่ดีกับคุณหนู"
ทุกคนต่างขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจที่เลิฟพูด แต่น้ำตาของเลิฟและพิ้งค์ไหลออกมา นิลกาฬพอจะเข้าใจอยู่บ้างว่าที่เลิฟเอ่ยออกมาคืออะไร และก็เข้าใจความรู้สึกของเลิฟจึงเอ่ยขึ้นตัดบท
“เลิฟก็ไม่เป็นไรแล้ว ผมว่าทุกคนไปพักผ่อนเถอะนะครับ เลิฟเองก็จะได้พักผ่อนด้วย”
“อื้ม งั้นป้าลินดูแลเลิฟด้วยนะครับ หนูพิ้งค์ไปนอนพักได้แล้ว ทุกคนด้วย”อนาคินเอ่ยขึ้น
ทุกคนแยกย้ายกันกลับห้องพักของตัวเอง แต่สายตาของพิ้งค์และเลิฟยังมองกันจนสุดทาง พิ้งค์เองก็รู้สึกแย่มากจริงๆที่เกิดเรื่องแบบนี้
//“ผมรักคุณหนูนะครับ รักตั้งแต่จำความได้และผมก็จะรักคุณหนูตลอดไป อย่าหวังยัดเหยียดผมให้ใคร เพราะผมรักคุณหนูแม้คุณหนูจะรักคนอื่น”//
คำนี้ยังก้องอยู่ในหูของพิ้งค์ตลอดเกือบทั้งคืน ไม่ต่างกับเลิฟแม้จะปวดแผลที่หัวแต่เลิฟก็ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดี ก่อนจะหันมองหลังยายลินที่นอนอยู่ข้างๆ
“ยาย เลิฟขอโทษนะ ยายอย่าโกรธเลิฟนะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น ยายลินที่นอนนิ่งอยู่ในใจก็เห็นใจหลานนัก แต่ก็ไม่อยากให้หลานเจ็บปวดเพราะรู้ดีว่าคุณหนูพิ้งค์ของบ้านอยู่สูงแค่ไหน
“ยายไม่อยากให้เลิฟต้องเสียใจเหมือนแม่ของเลิฟ”ยาลินเอ่ยขึ้น ทำให้เลิฟเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าที่ยายพูดนั้นคืออะไร
“เหมือนแม่ ยายหมายความว่าพ่อของเลิฟ…”เลิฟเอ่ยถาม แต่ยายลินรีบตัดบททันที
“นอนได้แล้ว อย่าถามอะไรมากตอนนี้เลิฟเป็นหลานยายคนเดียวก็พอ”ยายลินเอ่ยขึ้นพร้อมกับจับหลานชายนอนพร้อมลูบหัวหลานชายเบาๆ
“พรุ่งนี้คืออนาคต จำไว้ว่าเรากำหนดอะไรไม่ได้ ให้เวลาเป็นตัวตัดสินก็พอ”ยายลินเอ่ยขึ้น
“เลิฟรักคุณหนูมากครับ แต่เลิฟรู้ว่าเลิฟต่ำต้อยแค่ไหน แต่อย่าห้ามเลิฟที่จะรักคุณหนูเลยนะครับยาย”เลิฟเอ่ยขึ้น
“นอนได้แล้ว”ยายลินเอ่ยพร้อมลูบหัวหลายชายเบาๆ ในใจยสยลินมีเรื่องราวมากมายที่เก็บซ่อนไว้ในใจ เพราะยังไงยายลินจะไม่ยอมให้เลิฟไปยุ่งกับครอบครัวนั้นแน่นอน
//“เพราะความจนไงถึงทำให้คนพวกนั้นมันดูถูกเรา ยายไม่มีทางให้หลานไปรู้จักคนพวกนั้นแน่นอน”//
ยายลินคิดอยู่ในใจ สักพักก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอของหลานชายจึงล้มตัวลงนอนตาม
เช้าวันรุ่งขึ้น พิ้งค์ตื่นแต่เช้าพร้อมวิ่งเข้าไปในครัวเหมือนต้องการหาใครสักคน แต่เมื่อเข้ามาในครัวกลับไม่เจอเลิฟ
“สงสัยจะไม่สบายหรือเปล่า ธรรมดาต้องมาช่วยป้าลินแล้วนะ”พิ้งค์เอ่ยก่อจะย่องๆไปหลังบ้านใจก็กล้าๆกลัวๆที่จะเข้าไปดูเลิฟ มือเล็กค่อยๆเปิดประตูเข้าไปในห้องของเลิฟ พิ้งค์เห็นคนเจ็บนอนอยู่บนที่นอน
“ถ้าเลิฟหมายความอย่างที่พูด เราก็จะทำตามอย่างที่เราคิด”พิ้งค์เอ่ยขึ้นเบาๆก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยและรีบเดินไปที่ห้องครัวทันที
“ป้าลินครับ”น้ำเสียงเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิด ที่เมื่อคืนตัวเขาเองทำให้หลานชายยายลินต้องเจ็บ
“ตื่นแต่เช้าเลยนะคะคุณหนู แล้วเข้ามาถึงในครัวนี้ต้องการอะไรไหมคะ เรียกป้าหรือมะลิก็ได้”ป้าลินรักพิ้งค์มาก และไม่เคยที่จะโกรธหรือเกลียดคุณหนูผู้น่ารักนี้เลยสักครั้ง
“พิ้งค์มีเรื่องจะคุยด้วยครับ”งค์ทำน้ำเสียงเศร้าๆ
“ไม่เคยปกปิดอะไรได้เลยสักครั้ง”ป้าลินเอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจว่าตอนนี้คุณหนูคนเล็กของบ้านจะพูดอะไร
“พิ้งค์ขอโทษนะครับที่เป็นต้นเหตุให้เลิฟเจ็บ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น ป้าลินค่อยๆจับที่แขนเล็กนั้นก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฮึ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ ดูสิไม่น่ารักเลยนะ”ป้าลินเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้สึกโกรธอะไร ยิ่งทำให้พิ้งค์ยิ่งรู้สึกผิดก่อนจะนั่งก้มหน้านิ่งอยู่จนป้าลินเห็นว่าพิ้งค์น่าจะมีอะไรบางอย่าง
“ถ้าอยากขอโทษป้า งั้นช่วยอะไรป้าหน่อยได้ไหมคะ"ป้าลินเอ่ย พิ้งค์ยกยิ้มออกมาทันทีก่อนจะลุกขึ้น
“ว่ามาเลยครับ พิ้งค์ยินดีช่วยป้าลินทุกอย่างถ้าป้าลินยกโทษให้พิ้งค์”
“ช่วยเอาข้าวต้มไปให้เลิฟหน่อยได้ไหมคะ พอดีป้ามีงานต้องทำอีกมากมายเลย”ป้าลินเอ่ยขึ้น พิ้งค์เองก็ลังเลอยู่บ้างแต่ก็เป็นทางเดียวที่ช่วยป้าลินได้
“ได้เลยครับ”พิ้งค์เอ่ยพร้อมยกถาดข้าวต้มดิ่งไปยังห้องเลิฟทันที โดยมีป้าลินมองตามหลังไปด้วยความกังวลบางอย่าง
“อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด บางเรื่องเราก็ฝืนโชคชะตาไม่ได้”ป้าลินเอ่ยกับตัวเองก่อนจะทำงานต่อ
พิ้งค์ถือถาดข้าวต้มตรงมาที่ห้องนอนของเลิฟ ในใจคิดว่าถ้าเลิฟตื่นขึ้นมาเขาจะพูดอะไรกับเลิฟบ้าง และจะเริ่มต้นยังไงถ้าเลิฟไม่อยากคุยกับเขาแล้ว
“ตัวร้อนไหมอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยหลังจากวางถาดข้าวต้มลงเบาๆ ร่างเล็กนั่งอยู่ข้างๆคนเจ็บที่ตอนนี้ยังคงหลับใหลอยู่ แต่ในฝันกำลังเจ็บปวดเมื่อฝันร้ายเมื่อคืนยังฝังที่ใจของเขา
“อื่ออออ”เสียงงัวเงียของเลิฟทำให้พิ้งค์ตกใจ รีบโดออกจากเตียงและยืนมองเลิฟที่กำลังปรือตาเพื่อปรับแสงจากข้างนอกและเหมือนดั่งฝัน หรือตัวเองยังอยู่ในฝันเพราะตอนนี้เขาเห็นพิ้งค์ยืนอยู่ในห้องด้วยตอนนี้
“กูยังไม่ตื่นอีกหรอว่ะ ทำไมคุณหนูมาอยู่ที่นี่ได้”เลิฟคิดในใจก่อนจะหลับตาลงและร้องเมื่อรู้สึกเจ็บแผลที่หัวอยู่
“ซี๊ดดดด”
“เป็นไงมั้ง”เสียงตื่นตระหนกของพิ้งค์ที่วิ่งเข้ามาหาเลิฟด้วยความเป็นห่วงทำให้เลิฟคิดว่าเขาไม่ได้ฝันไป แต่ทำไมคุณหนูมาอยู่ที่นี่ได้
“คะ...คุณหนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ แล้ว...”เลิฟเอ่ยถาม
“ไม่ต้องพูดมาก เราว่าเลิฟทานข้าวก่อนนะและจะได้ทานยา พอดีพี่หมอสั่งไว้ว่าต้องทานยาแก้ปวดตัวนี้เพราะรู้ว่าเลิฟตื่นมาแล้วต้องระบมที่แผลแน่ๆ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นก่อนจะประคองเลิฟไว้อย่างลืมตัวว่าตัวเองกับเลิฟเพิ่งมีเรื่องกันอยู่
“คุณหนู เรื่องเมื่อคืน...”เลิฟไม่ใช่คนที่ชอบค้างคาใจกับเรื่องใดๆ เขาชอบที่จะเคลียให้จบโดยเฉพาะเรื่องของพิ้งค์ เขาต้องเคลียให้จบโดยเร็วที่สุด
“เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง นายทานข้าวก่อนเถอะจะได้ทานยา”พิ้งค์เอ่ยขึ้นก่อนจะขยับถาดข้าวต้มและทำท่าจะเดินออกจากห้องไป เพราะหมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว
“แล้วคุณหนูจะไปไหนครับ”เลิฟเอ่ยถาม
“จะกลับห้อง นายรีบทานข้าวทานยาเถอะ เราไปแล้วนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นใบหน้ากลับแดงเห่อขึ้นเพราะรู้ว่าเลิฟจะต้องคุยเรื่องเมื่อคืนและก็มีเรื่องที่เลิฟบอกรักพิ้งค์แน่ๆ
พิ้งค์วิ่งออกจากห้องเลิฟด้วยใบหน้าที่อมยิ้ม ในมือทาบที่อกตัวเองเพราะใจกำลังเต้นแรงไปหมด ยิ่งทำให้เขาคิดถึงเรื่องเมื่อคืนหลังจากมีเรื่อง นิลกาฬซ้อใหญ่ของเขาและซีเดินเข้ามาคุยด้วย
ย้อนเมื่อคืน
“หนูพิ้งค์พอจะเล่าเรื่องราวให้พี่ฟังได้ไหม”นิลกาฬเอ่ยถาม สองมือยังปลอบคนในอ้อมกอดไว้อยู่
“ถ้าเล่าออกมา พี่สองคนจะได้อธิบายเรื่องราวหลายๆอย่างให้หนูพิ้งค์ฟังได้ไง”ซีเอ่ยขึ้นพร้อมลูบกลุ่มผมนิ่มนั้นเบาๆ
“พิ้งค์ไม่รู้จะเริ่มยังไงดีครับ”พิ้งค์แอ่ยขึ้นทั้งน้ำตากับความสับสน
“ถ้างั้น พี่ขอถามหนูพิ้งค์สักอย่างนะ ว่ารู้สึกยังไงกับเลิฟ”นิลกาฬเอ่ยอย่างคนรู้ทุกอย่าง เพราะเขาสัเกตพิ้งค์และเลิฟมาตลอด
“รู้สึกยังไง หมายความว่ายังไงครับ”พิ้งค์เอ่ยถามย้อนกลับ
“รู้สึกยังไงเมื่อใกล้เลิฟ รู้สึกยังไงเมื่อเลิฟไม่อยู่ด้วย รู้สึกยังไงเมื่อเลิฟคุยกับคนอื่น รู้สึกยังไงถ้าเลิฟสนใจคนอื่นมากกว่าหนูพิ้งค์”
“ฮึกๆ ไม่รู้ครับ แต่พิ้งค์ไม่ชอบให้เลิฟเห็นใครดีกว่าพิ้งค์ เลิฟสัญญาว่าจะอยู่กับหนูพิ้งค์ตลอดไป แต่ถ้าวันไหนเลิฟต้องมีแฟน หนูพิ้งค์ก็ต้องยอมไม่ใช่หรอครับ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา
“ใช่ ก็ต้องยอมแล้วทำไมเลิฟถึงหัวแตกหละ”ซีเอ่ยถามกลับ
“ก็...หนูพิ้งค์ไล่ให้เลิฟไปมีแฟน แต่ทำไมเลิฟถึงต้องใช้แจกันตีหัวตัวเอง หนูพิ้งค์ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น กรีนเข้ามาสวมกอดน้องชายก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ก็เลิฟไม่อยากไปมีคนอื่นไง ก่อนเลิฟจะทำร้ายตัวเอง เลิฟได้พูดอะไรทิ้งท้ายไหม”กรีนถาม พิ้งค์พยักหน้าเพราะคำทิ้งท้ายคือคำที่พิ้งค์รู้สึกว่าตัวเองผิดทุกอย่าง
“เฮียจะไม่ถามว่าเลิฟพูดว่าอะไร แต่เฮียจะถามว่าหนพิ้งค์จะปล่อยเลิฟไปได้หรอ”กรีนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พิ้งค์หันมองทุกคนทั้งน้ำตาที่ให้กำลังใจเขามาตลอด แถมไม่รังเกียจถ้าเลิฟจะเป็นแค่หลานคนใช้ก็ตาม
“แต่เลิฟ...”พิ้งค์เอ่ยขึ้น อยู่ๆเสียงอนาคินก็ดังขึ้น
“บ้านเราไม่ได้สอนให้ดูถูกคนนะ ถ้าเลิฟเป็นคนดีเฮียก็ยินดีมอบน้องชายให้เขาดูแล”รอยยิ้มที่ผุดออกมา น้ำตาที่ปริ่มไปด้วยความรัก
ตอนนี้พิ้งค์เองที่ลุกขึ้นนั่งลงอย่างกระวนกระวายใจ หลังจากกลับจากห้องเลิฟเมื่อเช้าเขาก็มานั่งอ่านหนังที่ห้องนั่งเล่น ทุกครั้งจะมีเลิฟมานั่งอ่านด้วย
“พี่มะลิครับ ป้าลินอยู่ไหนครับ”พิ้งค์เอ่ยถามสาวใช้ที่ยกขนมมาให้
“ป้าลินออกไปข้างนอกกับคุณนิลคะ คุณหนูจะเอาอะไรเพิ่มไหมคะ”สาวใช้เอ่ยขึ้นถามกลับ
“ไม่มีแล้วครับ พี่มะลิไปทำงานต่อเถอะครับ”พิ้งค์เอ่ยบอก
“ถ้าคุณหนูต้องการอะไรเพิ่มก็เรียกพี่นะคะ พี่ขอไปดูละครย้อนหลังก่อนนะคะ”สาวใช้เอ่ยขึ้นบอก พิ้งค์ยกยิ้มพร้อมยกหนังสือมาอ่านต่อ แต่ในใจกำลังคิดจะทำอะไรสักอย่าง
หลังจากที่มะลิเดินออกไปสักพักเขาก็รีบไปที่ครัว เพราะพี่สะใภ้ของเขาออกไปช่วงก่อนเที่ยงแสดงว่าป้าลินอาจจะยังไม่ได้หาอะไรให้เลิฟกินแน่ๆ
“พี่หมอครับ ยาก่อนอาหารนี่เราต้องทานก่อนอาหารนานไหมอ่า”
(“หนูพิ้งค์เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายหรอ”)
“เปล่าครับ คือเพื่อนหนูพิ้งค์ถามมาอ่ะ”
(“อ่อ ยาก่อนอาหารให้ทานก่อน 30 นาทีนะและหลังอาหารก็ 15 นาที”)
“ขอบคุณครับ”
พิ้งค์วางหูเรียบร้อยก็ย่องๆไปที่ห้องของเลิฟ พิ้งค์แอบมองเข้าไปในห้องเห็นเลิฟนั่งอยู่หน้าจอคอมก็อยากจะบ่นนักว่าไม่สบายแล้วยังจะจ้องคอมอีก
ตึก! แกรก!
เสียงดังจากที่พิ้งค์แอบอยู่ทำให้เลิฟหันไปมองตามเสียงพร้อมยกยิ้มให้กับพิ้งค์
“คุณหนูมีอะไรหรอครับ แอบตรงนั้นทำไม”เลิฟเอ่ยถาม พิ้งค์ที่เขินๆเล็กน้อยท่าทางน่ารักทำให้เลิฟยิ่งหลงรักคุณหนูของเขามากขึ้น ตอนนี้ไม่คิดจะปกปิดอะไรอีกแล้วเพราะเมื่อคืนเขาได้พูดไปแล้วทั้งหมด
“คือ...ป้าลินไปกับซ้ออ่ะ...แล้วป้าก็ฝากให้เราเอาอาหารกลางวันมาให้เลิฟ...”พิ้งค์เอ่ยน้ำเสียงติดๆขัดๆจนเลิฟนึกขำ
“ขอบคุณครับ”เลิฟเอ่ยพร้อมเดินเข้าไปประชิดร่างเล็กนั้น สองมอจับถาดที่พิ้งค์ถืออยู่ มือของเลิฟและพิ้งค์ที่จับกันแน่นยิ่งคิดถึงกันมากขึ้น เลิฟยกยิ้มอ่อนๆจนหัวใจคนตัวเล็กเต้นแรงนัก พิ้งค์ถอยห่างเล็กน้อยพร้อมหลบสายตาของเลิฟก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ทานยาหรือยัง ก่อนและหลังอาหารอ่ะ ก่อนต้อง30 นาทีก่อนอาหารนะ หลังต้อง 15 นาทีหลังทานอาหารเสร็จนะ”พิ้งค์เอ่ยก่อนจะรีบปล่อยถาดอาหารนั้นแต่เลิฟกลับไม่ยอมปล่อยมือพิ้งค์ เอาจับถามดอาหารวางก่อนจะรวบมือของพิ้งค์ไว้ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นนิ้วสวยนั้นมีแต่พลาสเตอร์ติดแผลอยู่หลายนิ้ว
“นี่อะไรครับ...”ยังไม่ทันที่เลิฟจะถามจบเสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย ใบหน้าของพิ้งค์เริ่มบึ้งทันทีเพราะคิดว่าปลายสายคือโมเม
“เดี๋ยวครับ ผมยังถามคุณหนูไม่จบเลย”เลิฟเอ่ยบอกคนตัวเล็กและดึงมือของพิ้งค์ไว้ก่อนจะหันมารับโทรศัพท์
(“เลิฟยายมากับคุณนิลข้างนอก ยายไม่ได้ทำอะไรไว้เลยเลิฟหาอะไรกินไปก่อนนะ”)
“ครับยาย”เลิฟเอ่ยขึ้น ทำให้พิ้งค์ยกยิ้มเล็กน้อยเพราะรู้ว่าปลายสายไม่ใช่โมเม
เลิฟวางสายเสร็จก็หันมายิ้มให้กับพิ้งค์และมองไปยังถาดอาหารที่หน้าตามันดูจะแปลกไปนิดหน่อย คือไข่เจียวหัวหอมของโปรดของเลิฟมันดูเกรียมเล็กน้อย
“มือไปโดนอะไรมาครับ”เลิฟเอ่ยพร้อมยกยิ้มหวานออกมาจนพิ้งค์รู้สึกร้อนผ่าวไปหมด
“เอ่อ พอดีกระดาษทำรายงานบาดอ่ะ นายรีบทานข้าวทานยาและพักผ่อนเถอะ เราจะไปอ่านหนังสือต่อแล้ว”พิ้งค์เอ่ยขึ้นอย่างเขินๆก่อนจะรีบเดินออกจากห้องของเลิฟทันที
“คุณหนูทำแบบนี้แล้วเมื่อไหร่เลิฟจะลืมคุณหนูได้”เลิฟเอ่ยกับตัวเองพร้อมกับนั่งทานอาหารจานพิเศษ แต่ยังก็ไม่ลืมถ่ายรูปเก็บไว้
“ถ้าต้องกินไข่เจียวไหม้แบบนี้ทุกวัน ยอม”
มันคือแคปชั่นของบันทึกของเลิฟ
เลิฟเอาถาดมาเก็บที่ครัว เขาเดินมาที่ห้องนั่งเล่น ห้องที่เขามักจะมานั่งทำรายงาน การบ้านที่นี่เสมอกับพิ้งค์ เขาเดินเข้ามาในห้องหวังจะขอบคุณพิ้งค์ แต่เมื่อเข้ามากลับเห็นพิ้งค์กำลังหลับพร้อมกองหนังสือเลิฟจึงนั่งลงและใช้นิ้วเกลี่ยไปที่แก้มของพิ้งค์อย่างถือดี
“ต่อให้ไล่ผมไปหาใคร หรือมีใครเข้ามาหาผม แม้แต่คนที่คุณหนูบอกรักเขาเข้ามาตอนนี้ ผมก็รักคุณหนูแค่คนเดียว”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนจะแอบกดริมฝีปากที่หน้าปากของพิ้งค์
จุ๊บ
“เราเคยสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ใช่ไปไหมครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งค์ที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องตอนนี้เหมือนกำลังฝันว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่น ก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าถูกใครอุ้มขึ้นมานอนบนที่นอนนุ่มของตัวเอง
“เวลาอาจจะเป็นตัวตัดสินเราสองคน”เลิฟเอ่ยขึ้นเมื่อวางพิ้งค์นอนบนที่นอนเรียบร้อย
“แล้วทำไมเราต้องรอเวลาหละ พิ้งค์ไม่รอหรอกนะ พิ้งค์ตัดสินเองเลยแล้วกัน”พิ้งค์เอ่ยก่อนจะจับมือของเลิฟไว้แน่น รอยยิ้มหวานยกยิ้มขึ้นอย่างแสนหวานก่อนจะหลับตาลงและรั้งท้ายทอยของเลิฟไว้
“อื้อออ ครับคุณหนู”
.........................
-
ดีจังที่พี่ๆ หนูพิ้งค์เข้าใจ
แบบนี้ดับเครื่องชนเลยสินะหนูพิ้งค์ 555
-
น่ารักจริงเชียว
-
:pig4: :pig4: :3123:
-
หนูพิงค์รุกแล้ว อิอิ
-
:pig4: :pig4: :pig4:
-
:L1: :L1: :pig4:
-
Pink Loved 6 : เข้าใจ (สุดรัก x นาคิม)
[/size]
จุ๊บ
“เลิฟกลับห้องก่อนนะครับคุณหนู ตีห้าแล้ว”เลิฟเอ่ยขึ้นหลังจากที่เมื่อคืนเขามาปรับความเข้าใจกับพิ้งค์ และก็นอนค้างที่ห้องของพิ้งค์ สำคัญคือเมื่อคืนเขากับพิ้งค์เพิ่มความสัมพันธ์ขึ้นมากเดิม แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม
“อื้ม แล้วมาปลุกเราอีกทีนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยหน้าที่งัวเงีย เลิฟกดจูบที่หน้าผากก่อนจะเอ่ยขึ้น
จุ๊บ
“ครับ จะทานข้าวข้างบนไหมครับ เดี๋ยวผมเตรียมไว้ให้”
“ไม่ดีกว่า เราไปกินกับเลิฟนะเช้านี้ เพราะเฮียๆไม่มีใครอยู่เลย”พิ้งค์เอ่ยขึ้นก่อนจะหลับต่อ
เลิฟเดินออกจากห้องนอนสีชมพู และเดินเข้ามายังห้องตัวเองด้วยหน้าตาที่อารมณ์ดี แต่ยังไม่ทันจะเข้าห้องนอนเสียงของยายลินก็ดังขึ้น
“เลิฟ มาช่วยยายเตรียมของไปวัดหน่อย”เลิฟหันมองยายลิน อยากจะเอ่ยบอกแต่ยายลินทำท่าทางวุ่นๆอย่างไม่สนใจ
“ครับยาย”เลิฟเดินตามยายของตัวเองไปในครัว ไม่มีคำถามหรือคำพูดอะไรเลยระหว่างสองยายหลานจนเตรียมของเสร็จ
“พุดซ้อน แกไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว เผื่อคุณแบล็คและคุณนิลลงมาจะได้ไปกันเลย”
“คะคุณป้าลิน”พุดซ้อนเอ่ยก่อนจะเดินออกไป ยายลินก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ จนเลิฟเองที่เป็นคนเอ่ยขึ้นเองด้วยความอึดอัด
“ยายไม่ถามเลิฟหรอครับว่าเลิฟไปไหนมา”
“ไม่หล่ะ เพราะยายรู้ว่าเลิฟคิดดีแล้ว ยอมเอาแจกันตีหัวตัวเองขนาดนี้ คงไม่มีอะไรที่จะห้ามความรักของหลานได้ แล้วยายจะพูดอะไรได้หล่ะ”ยายลินเอ่ย เลิฟเงยหน้ามองผู้เป็นยายก่อนน้ำตาจะไหลออกมา
“ยาย เลิฟรักยายครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมสวมกอดยายตัวเองไว้แน่น
“ยายเชื่อว่าประวัติศาสตร์มันจะไม่ซ้ำรอยอีก”ยายลินเอ่ยพร้อมสวมกอดเลิฟไว้แน่น
ช่วงสายของวันนี้ เลิฟเดินขึ้นมาบนตึก ที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากพิ้งค์ที่ยังคงนอนขี้เซาอยู่ในห้อง เลิฟเปิดประตูเข้ามาได้ก็รีบเดินเข้าไปสวมมกอดพิ้งค์ทันที
ฟอดดดดด
“คิดถึงผมไหมครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น
“อื้อออ”เสียงงัวเงียน่ารักเอ่ยออกมา เลิฟมานาฬิกาก็ปาเข้าไปแปดโมงแล้วจึงจับพิ้งค์พลิกเข้ามาหาตัวเอง
หมับ
พรึบ
“อ๊ะ...เลิฟจะทำอะไรอ่ะ”พิ้งค์เอยขึ้นอย่างตกใจ
“ก็กำลังจะปลุกคนขี้เซายังไงหล่ะครับ”เลิฟไม่เอ่ยเปล่า เขาดึงพิ้งค์ขึ้นและอุ้มพิ้งค์พาดไหล่ทันที
“เหวออออ เลิฟปล่อยเรานะ เดี๋ยวตก”พิ้งค์เอ่ยและพยายามดิ้นให้หลุด
“อย่าดื้อสิครับ เดี๋ยวผมอาบน้ำให้”เลิฟเอ่ยขึ้น
“เลิฟ ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นจะงอนจริงๆด้วย”พิ้งค์เอ่ยออกมา ทุกครั้งที่พูดแบบนี้เลิฟจะทำตามพิ้งค์เสมอ แต่วันนี้เลิฟกลับเป็นคนที่ไม่เชื่อฟังพิ้งค์อีกแล้ว
เพี๊ย!
เสียงมือหนาฟาดเข้าที่ก้นเล็กของพิ้งค์จนคนถูกฟาดกลับหน้าแดงออกมาทันที ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดแต่ที่หน้าแดงเพราะความเขินมากกว่า
“เลิฟ ไอ้คนบ้า ปล่อยเราลงเดี๋ยวนี้”พิ้งค์เอ่ยด่าเพราะความเขิน
“ปล่อยแน่ครับ แต่ต้องในห้องน้ำนะ เพราะขืนคุณหนูไม่ยอมอาบน้ำ เราสองคนก็ยังไม่ได้ทานข้าวเช้ากันนะครับ”
“งั้นก็ปล่อยเราก่อนสิ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟค่อยๆปล่อยร่างของพิ้งค์ลงและยกยิ้มให้กับคนหน้าแดงตรงหน้า
“เราขอเวลาสิบห้านาที แล้วกัน”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
เลิฟเดินลงจากชั้นบน พร้อมเดตรียมตั้งโต๊ะอาหารให้กับพิ้งค์และตัวเอง วันนี้ที่บ้านไม่มีใครอยู่ ระหว่างที่เลิฟเตรียมอาหารอยู่นั้นเสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น
Rrrrrrrrrrrr
(“ไอ้เลิฟ อยู่บ้านป่ะ”)
“อยู่ มึงจะทำไม”
(“ไปดูหนังกัน”)
“มึงก็ไปดิ จะชวนกูทำไมกันว่ะ”
(“ก็กูอยากชวนมึง เพราะมึงคือเพื่อนกู แล้วมึงก็มีพิ้งค์ที่เป็นเพื่อนไอ้ชามง่ะ”)
“ไอ้เวร บอกแต่แรกก็จบม่ะ ว่าให้ชวนคุณหนูไปด้วยเพื่อนจะได้ชวนไอ้ชาม มึงแม่งร้ายนะไอ้พอร์ช”
(“เหอะน่า เอาเป็นว่าเจอกันที่โรงหหนังเดิมตอนบ่ายโมงนะ”)
“ไอ้พอร์ช!”เสียงของเลิฟเอ่ยดังพอจะทำให้คนที่เดินเข้ามาตกใจ
“เสียงดังอะไรกัน” พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหวานเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร
“ไอ้พอร์ชนะสิครับ มันชวนไปดูหนังวันนี้ คุณหนูไปด้วยกันนะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น
“พอร์ชนึกยังไงถึงชวนเลิฟหล่ะ”
“ก็ถ้าชวนผมไป ผมต้องชวนคุณหนูไป และคุณหนูก็จะได้ชวนชามไปไงครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นทำให้พิ้งค์ร้องอ๋อขึ้นมาอย่างเข้าใจ
“อ๋อ...แล้วก็ไม่ชวนเองนะ วางมาดเหลือเกิน”พิ้งค์เอ่ยก่อนจะนั่งทานอาหารตรงหน้า
“คุณหนูครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น เพราะตอนนี้เขารู้สึกมีความสุขมาก
“หื้ม ว่าไง”พิ้งค์ที่กำลังนั่งทานพร้อมกำลังนั่งเขี่ยมือถือไปเรื่อยๆ ไม่ได้เขี่ยมือถือตัวเอง แต่เป็นมือถือของเลิฟที่ยกให้พิ้งค์สำรวจมือถือได้ตามสบาย
“เจออะไรบ้างหรือยังครับเนี้ย กินก่อนไหมครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นบอก
“ทำไม กลัวเราเจออะไรหรือไง”พิ้งค์เอ่ยขึ้นอย่างงอนๆ เลิฟเอื้อมมือไปจับมือเล็กที่กำลังเขี่ยมือถืออยู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เปล่าครับ คุณหนูมีเวลาทั้งชีวิตที่จะได้ดูมันนะครับ ตอนนี้ทานก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะไปดูหนังไม่นัดไอ้พอร์ชและชาม”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้ม
“ก็ได้ งั้นตักอันนี้ให้หน่อยสิ”พิ้งค์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ เลิฟทำตามอย่างว่าง่ายทุกอย่าง ก็เขารักพิ้งค์มาก
ช่วงบ่ายที่หน้าโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งของใจกลางเมืองหลวง ร่างสูงของพอร์ชกำลังยืนมองซ้ายมองขวาหาเพื่อนรักของตัวเอง แต่ไม่น่าจะตื่นเต้นเท่าการที่ได้เจอกับชามอีกครั้งหลังจากวันนั้น วันที่เขารู้ว่าที่จริงแล้วชามคือใครและเขาคือใคร
“พอร์ช”เสียงเอ่ยจากริมฝีปากของชามเบาๆ ก่อนจะทำท่าจะเดินหนีแต่ก็ถูกพิ้งค์รั้งเอาไว้
“จะไปไหนหล่ะชาม”พิ้งค์เอ่ยพร้อมควงแขนชามไว้ เลิฟเองก็ไม่พอใจนัก เพราะยังหวงพิ้งค์กับชามอยู่
“เปล่า ก็กำลังจะโทรตามพิ้งค์ไง”ชามเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา
เลิฟเดินเข้ามาหาพอร์ชที่ยืนอยู่ด้วยหน้าตางอนๆเล็กน้อย ก็ตอนนี้พิ้งค์กับชามกำลังเดินคุยกันมาด้วยรอยยิ้มที่น่ารักและมีความสุข
“ไอ้พอร์ช มานานยังว่ะ”
“เพิ่งมาเหมือนกัน”พอร์ชเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม สายตามองไปยังเพื่อนทั้งสองที่กำลังเดินเข้ามา
“หวัดดีพิ้งค์ และ…ชาม”พอร์ชเอ่ยทักเพื่อนทั้งสอง สายตากลับมองแค่ชามอย่างเดียว
“หวัดดีพอร์ช วันนี้แต่งตัวหล่อจังเลยนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นชม
“คุณหนูครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเข้มอย่างลืมตัว
“ไอ้นี่ หึงแม้กระทั่งกูหรอกว่ะ”พอร์ชเอ่ยขึ้นหยอก
“เออ ก็วันนี้มึงแม่งจัดเต็มไปไหนว่ะ ไอ้เสื้อเชิ้ตคอเต่าแสนสุภาพแบบนี้มันไม่ใช่มึงเลยสักนิด”เลิฟเอ่ยขึ้น ก็จริงอย่างที่ว่า เพราะสำหรับพอร์ชแค่เสื้อยืดกางเกงยีนส์มันคือสไตล์ของเขามากกว่าแบบนี้ แต่ต้องแต่งแบบนี้เพราะเขามีเหตุผลบางอย่าง
“ก็ลองเปลี่ยนบ้าง เผื่อสาวๆจะมอง”พอร์ชเอ่ยขึ้นไปส่งๆแก้เขิน แต่กลับทำให้ชามไม่พอใจขึ้นมาอย่างลืมตัว
“ผู้หญิงเขาไม่มองหรอกนะไอ้ผู้ชายที่แต่งตัวยังกับเกย์แบบนี้”ชามเอ่ยขึ้นทันที
“ถ้าผู้หญิงไม่มองก็ให้เกย์มันมองก็แล้วกัน”พอร์ชเอ่ยขึ้นก่อนจะดึงเลิฟไปที่ตู้ซื้อตั๋ว
ทั้งสี่พากันนั่งดูหนัง แม้จะมาสี่คนแต่กลับมีแค่เลิฟและพิ้งค์ที่ดูจะคุยกันแค่สองคน เพราะถามชามและพอร์ชก็ไม่มีใครยอมตอบอะไร
“สองคนนี้แปลกๆเนอะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“อย่าไปสนใจเลยครับ คุณหนูกินป๊อบคอนนะครับ ผมป้อน”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมหยิบบ๊อปคอร์นมาป้อนใส่ปากพิ้งค์ จนชามที่แอบชำเลืองมองผ่านไปยังพิ้งค์และเลิฟ เพื่อจะมองหาคนตัวสูงข้างๆเลิฟ
“เราว่าเรานั่งผิดที่หรือเปล่านะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นถามเลิฟ เมื่อหันมองพอร์ชเองที่ก็แอบชำเลืองมองชามเช่นกัน
“นั้นสินะครับ หรือเราจะเปลี่ยนที่ให้พอร์ชมานั่งตรงนี่”พิ้งค์เอ่ยบอกเลิฟ ก่อนที่เลิฟจะหันไปบอกเพื่อนรักที่ตอนนี้คอน่าจะยาวหลายเซนแล้ว
“ไอ้พอร์ชมึงไปนั่งตรงคุณหนูไป”
“ทำไมว่ะ”
“คุณหนูบอกกูมา เขากลัวคอมึงจะยาวเป็นกระเหรี่ยงคอยาวหล่ะมั้ง”เลิฟเอ่ยก่อนจะหันมองพิ้งค์และให้พิ้งค์มานั่งแทนที่พอร์ช
ฟุบ
“นาย...มานั่งที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”ชามเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อนั่งลงหลังจากยืนเคารพเพลงสรรเสริญเสร็จ
“อื้ม ทำไม นั่งไม่ได้หรอไง”พอร์ชเอ่ยขึ้นกวนๆ
“ก็ไม่ได้ทำไม อยากนั่งก็นั่งสิ”ชามเอ่ยขึ้นก่อนจะหันมองหน้าจอต่อ ไม่ได้สนใจอะไรคนข้างๆเลยแต่ชามเป็นที่ดูหนังได้ไม่นานก็หลับ
ปึก!
“อือออ”เสียงครางในลำคอเบาๆแทบจะไม่ได้ยินถ้าไม่ใช่เจ้าของไหล่ที่เป็นหมอนให้ชามได้อิงตอนนี้ พอร์ชค่อยๆจับหัวของชามให้หนุนถนัด ก่อนจะค่อยๆลูบใบหน้าเล็กนั้นเบาๆโดยที่ชามเองไม่รู้ตัว
“ผู้ชาย แล้วไงว่ะ”พอร์ชเอ่ยขึ้นในใจก่อนจะดูหนังต่อ
จนเวลาหนังจบ ชามก็ถูกพอร์ชปลุก แต่การปลุกของพอร์ชทำให้คนที่กำลังนอนหลับอยู่รู้สึกดี เพราะมือของพอร์ชกำลังลูบที่แก้มของชามเบาๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แมวน้อย ตื่นได้แล้ว”เสียงเอ่ยกระซิบเบาๆ
“อื่อออ”เสียงครางเบาๆก่อนจะซุกหน้าที่ไหล่ของพอร์ชอีกครั้ง และเมื่อไฟสว่างขึ้น ก็รู้ว่ามือทั้งสองประสานกันไว้แน่นจนพิ้งค์แอบอมยิ้ม
“ว่าแล้วไง สองคนนี้ต้องมีซัมติงกันแน่ๆ”พิ้งค์หันไปบอกเลิฟ ก่อนที่สายตาของเลิฟจะเห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินไปกับหญิงสาว
“คุณพิ้งค์ว่าไอ้นั่นคือแฟนเก่าของโมเมไหมครับ”เลิฟเอ่ย พิ้งค์เองก็มองตามก่อนที่เลิฟจะหันไปเรียกเพื่อน
“ไอ้พอร์ช มึงตามกูไปหน่อยดิ”เลิฟเอ่ยขึ้น เหมือนเลิฟต้องการรู้อะไรบางอย่างก่อนจะปล่อยมือของพิ้งค์และเดินตามไปอย่างไว พิ้งค์เองก็ตกใจเล็กน้อยว่าทำไมเลิฟต้องสนใจผู้ชายคนนี้หรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับโมเม เลิฟต้องรู้เรื่องทั้งหมดหรือยังไงกัน
“เลิฟ...”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“คุณหนูกับชามไปรอที่ร้านเดิมนะครับ เดี๋ยวผมกับไอ้พอร์ชตามไป”เลิฟเอ่ยพร้อมกับเดินออกไป ทิ้งให้พิ้งค์ไม่เข้าใจอะไรเลย ทั้งที่โกรธก็โกรธแต่ก็ต้องเชื่อใจเลิฟ
“หนูพิ้งค์ เราว่าเราไปรอสองคนนั้นที่ร้านเดินกันก่อนเถอะ เดี๋ยวทั้งสองกลับมาค่อยซักฟอกทีเดียว”ชามเอ่ยขึ้น
“อื้ม...”พิ้งค์พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับชาม
ทางด้านเลิฟและพอร์ชเดินตามชายหนุ่มที่เลิฟมั่นใจว่าใช่แฟนเก่าของโมเม คนที่มาก่อกวนจนโมเมอยู่แทบไม่ได้ แต่วันนี้ทำไมไอ้หมอนี่มากับผู้หญิงอื่นนะ
เมื่อสัปดาห์ก่อน
(“เลิฟ โมเมเองคะ”)
“โมเม มีอะไรหรอครับ”
(“เลิฟช่วยมาหาโมเมที่ห้องหน่อยได้ไหมคะ พอดีผู้ชายคนนั้นมาก่อกวนโมเมอีกแล้ว”)
“โมเมอย่าออกจากห้องนะครับ และส่งพิกัดห้องมาเดี๋ยวผมไป”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แกรก!
หมับ!
“ฮื่อๆ เลิฟโมเมกลัวจังเลย”
“ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่นี่แล้ว”
“เลิฟอยู่เป็นเพื่อนโมเมหน่อยนะ”
“เอ่อ คือ...”
“นะ นะ โมเมกลัวไอ้บ้านั่นจะกลับมาอีก”
“ครับ”
เลิฟส่งข้อความหาคุณหนูของเขา กังวลว่าคุณหนูเขาต้องโกรธมากแน่ๆ แต่โมเมคือเพื่อนอีกคนที่ได้รับความเดือดร้อน เขาก็ต้องช่วยเพื่อนเหมือนกัน
เลิฟ : ไอ้พอร์ช ถ้าข้อความกูหายมึงรีบมาที่คอนโดxxx และห้อง xx ด้วยนะกูกลัวเอาไม่อยู่
พอร์ช : ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูไปที่คอนโดนั้นเดี๋ยวนี้หล่ะ
เวลาผ่านไปเกือบทุ่มกว่า โมเมที่ขอไปอาบน้ำและขอร้องให้เลิฟอยู่เป็นเพื่อน เพราะกลัวว่าผู้ชายคนนั้นจะย้อนกลับมาอีก
โครม!
“ว๊าย!...”เสียงร้องของหญิงสาวที่ร้องดังมาจากห้องน้ำดังออกมาจนเลิฟตกใจก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำอย่างไม่คิดอะไร แต่ใครจะรู้ว่าในห้องนั้นร่างของหญิงสาวที่ไม่ได้สวมอะไรเลยกำลังคู้อยู่ในอ่างน้ำนั้น
“โมเม...”
“เลิฟ โมเมกลัวคะ เมื่อกี้เขาโทรเข้ามา...ฮื่อๆ”หญิงสาวที่ร่างเปลือยเปล่าร้องให้สะอื้นตัวโยนหลังจากที่โผเข้าสวมกอดเลิฟ
“ไม่มีอะไรหรอกนะ ผมอยู่นี่แล้วเขาไม่มีทางมาทำอะไรคุณได้หรอก”เลิฟเอ่ยขึ้น
//”ไอ้ห่า พระเอกชะมัด”//เสียงของพอร์ชเอ่ยขึ้น เพราะเลิฟไม่ยอมวางสายโทรศัพท์หลังจากที่พอร์ชบอกว่ามาถึงแล้ว
“เลิฟ...”เสียงหวานกระเส่าหู แถมริมฝีปากของหญิงสาวกำลังกดจูบเข้าที่ซอกคอของชายเลิฟ
จุ๊บ
“โมเม...”เสียงเอ่ยขึ้นของเลิฟดูไม่พอใจนัก ก่อนที่จะผละหญิงสาวออก
“โมเมไม่ได้ตั้งใจ แค่ตกใจมากและกลัวมากแค่นั้นเอง”หญิงสาวเอ่ยแก้ตัว
“ไม่เป็นไร งั้นโมเมอาบน้ำและเตรียมเข้านอนเถอะสามทุ่มแล้ว เขาคงไม่มาแล้วหล่ะ”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำและยกสายขึน
“ไอ้พอร์ช กูกำลังลงไป”
(“เอ่อ กูอยู่ที่หน้าคอนโดเป็นชั่วโมงยังไม่เห็นคนมีพิรุธเลยนะมึง กูเลยเข้าไปถามพี่ยามดู เขาบอกว่าโมเมมีผู้ชายขึ้นไปหาไม่ซ้ำหน้า เขาจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร”พอร์ชเอ่ยขึ้น ทำเอาเลิฟยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ก่อนจะเดินลงมาจากคอนโด
“มึงว่าโมเมเป็นคนยังไงว่ะ”เลิฟเอ่ยถามเพื่อน
“ไม่รู้เว้ย แต่กูว่าเรื่องนี้มันแปลกๆว่าไหม”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“อื้ม แล้วนี่มึงไปไหนมา ทำไมมาหากูไวจังว่ะ”เลิฟเอ่ยขึ้นถามเพื่อน
“กูก็พร้อมรบกับมึงไง ย่ามาสงสัยกูเลยตอนนี้มึงเตรียมตัวง้อคุณหนูของมึงดีกว่า เมื่อกลางวันหน้าแทบพับได้แล้ว”เลิฟถอนหายใจเล็กน้อย เขาเองก็รู้ดีว่าต้องเจอคุณหนูของเขาโกรธแน่ๆ
ที่ร้านอาหารประจำของทั้งสี่คน ตอนนี้พิ้งค์และชามกำลังนั่งมองไปทางประตูทางเข้าร้านด้วยใจจดจ่อ โดยเฉพาะพิ้งค์ ใจจริงเขาทั้งโกรธ ทั้งงอนและหงุดหงิดที่เลิฟสนใจเรื่องของผู้หญิงคนนั้นมากจนต้องตามไป
“ใจเย็นๆสิ ถ้าเลิฟกลับมาเราค่อยถามก็ได้ว่าทำไมต้องตามผู้ชายคนนั้นไป และมันเรื่องอะไรกันแน่ดีกว่านะ”ชามเอ่ยขึ้น
“ชาม เราถามอะไรหน่อยสิ”
“ว่ามาเลย”
“ชาม ยังชอบเราอยู่ไหม”
“อะไรนะ!”
“เราถามชามว่า ชามยังชอบเราอยู่ไหม อยากจะคบกับเราอยู่ไหม”พิ้งค์เอ่ยขึ้นถาม ก็พอดีกับที่เลิฟและพอร์ชเดินเข้ามาพอดี
“ไอ้เลิฟ!”เสียงพอร์ชเอ่ยเรียกเลิฟที่เดินออกจากร้านไป
“หนูพิ้งค์!”พิ้งค์เองก็วิ่งตามไป ทิ้งให้ชามและพอร์ชมองหน้ากันไปมา
“อย่าเพิ่งไป แมวน้อย”พอร์ชเอ่ยขึ้นพร้อมรั้งแขนชามไว้
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยนะ”ชามเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งหงออยู่ตอนนี้
“ยังไม่ได้ถาม อย่าร้อนตัว”
“อ้าว ก็นาย...”
“จะถามว่าหิวหรือยัง”พอร์ชเอ่ยถามกลับ
“บ่ายสามโมงแล้วเนี้ย ใครมั้งจะไม่หิว ใช่หุ่นยนต์นะที่ต้องไม่กินอะไรอ่ะ”
“ถามนิดเดียวเอง ตอบซะยาวเลย งั้นสั่งมาเดี๋ยวกินเสร็จไปส่งที่ร้าน”พอร์ชเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเมนูให้กับคนตัวเล็กข้างๆ
“แล้วเราไม่ตามสองคนนั้นไปหรอ”ชามเอ่ยขึ้น
“ไม่เอา ไม่เผือก”
“ไอ้...”
“เรียกไอ้หรอ”
“เปล่า แค่จะถามว่าไอ้นี่คืออะไรต่างหาก”ชามเอ่ยขึ้นพร้อมชี้นิ้วไปที่เมนู พอร์ชยกยิ้มออกมาก่อนจะสั่งอาหารต่อ ยังไงเขาก็คิดว่าเพื่อนรักของเขาน่าจะปรับความเข้าใจกับพิ้งค์ได้แน่นอน
......................
-
มองบนใส่โมเมได้ไหม
-
ยัยโมเมนี่ร้ายอยู่นะ //จัดการด่วนเลยครับ
-
ร้ายนะ ..
-
เลิฟใจน้อยแล้ว ไปง้อหวานๆๆเลยน่ะพิงค์ อิอิ
มีคู่เพิ่ม พอร์ชชาม
โมเมร้ายนักน่ะ
-
Pink Loved 7 : เป็นทุกอย่างให้เธอ (สุดรัก x นาคิม)
ความเงียบปกคลุมรถคันสวยอยู่นาน พิ้งค์ทำหน้าหงิกตลอดทาง เพราะถามอะไรคนข้างๆก็ไม่ตอบทั้งๆที่รู้ว่าเลิฟโกรธเรื่องอะไร และทั้งๆที่พิ้งค์ก็อธิบายให้ฟังว่าที่พูดแบบนั้นเพราะอะไร
“เลิฟจะไม่พูดกับเราจริงๆใช่ไหม”พิ้งค์เอ่ยขึ้นอย่างงอนๆ เมื่อใช้ไม้ตาย แต่เลิฟก็ไม่ตอบอะไรยิ่งทำให้พิ้งค์โมโห
“จะเอาแบบนั้นก็ได้ ต่อไปนี้ไม่ต้องมาคุย ไม่ต้องมานอน ไม่ต้องมากอดและไม่ต้องมาหอมเราแล้วนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมหันหน้าไปนอกหน้าต่าง แต่เลิฟก็ไม่พูดอะไร
จวบจนถึงบ้าน เมื่อจอดรถได้พิ้งค์ก็วิ่งเข้าบ้านทันทีโดยไม่สนใจเลิฟ หางตาขมมองตามหลังบางนั้นพร้อมยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“แล้วเลิฟจะรอคุณหนูที่ห้องนะ”เลิฟเอ่ยขึ้น ถ้าพิ้งค์ไม่เอาแต่ใจมากนักจะรู้ว่าที่จริงแล้วเลิฟไม่เคยโกรธอะไรพิ้งค์ได้เลยสักครั้ง มีงอนบ้าง ไม่พอใจบ้างแต่ก็ไม่เคยนานเลยเพียงแค่คุณหนูมาง้อก็หายแล้ว
ทางด้านพิ้งค์เข้าห้องได้ก็ทิ้งตัวลงบนที่นอน ใบหน้าหงิกงอแสนน่ารักยังคงอยู่บนใบหน้านั้นทั้งที่ใจอยากจะให้เลิฟมาง้อใจจะขาดอยู่แล้ว
“ไอ้คนบ้า ไหนรักไงทำไมไม่มาง้อหล่ะ”พิ้งค์คิดในใจ ก่อนจะนอนหลับไป
เกือบช่วงทุ่มเลิฟออกมาเพ่อจะดูว่าคุณหนูของเขาลงมาทานข้าวหรือไม่ แต่เมื่อไปที่ห้องอาหารกลับไม่พบว่าพิ้งค์ลงมาทานอาหารจึงเข้าไปช่วยยายลินและจะอาสาขึ้นไปตามคุณหนูให้ทุกคนอย่างที่เคยทำ
“เลิฟ วันนี้พาหนูพิ้งค์ไปไหนมา”เสียงอนาคินเอ่ยถาม
“ไปดูหนังมาครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น ในใจมีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
“สงสัยจะติดหวัดที่โรงหนังครับ นิลจัดข้าวต้มกับยาให้หนูพิ้งค์เรียบร้อยแล้ว มะลิเอาขึ้นไปหน่อยนะ”นิลกาฬเอ่ยขึ้นบอกสาวใช้ เลิฟที่เพิ่งรู้ว่าคุณหนูของเขาไม่สบายก็กังวลใจ จึงรีบเอ่ยอาสา
“เดี๋ยวผมเอาไปให้คุณหนูเองครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น อนาคินพยักหน้าเป็นคำตอบ เลิฟยกยิ้มและก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะรีบเดินไปในครัวและยกถาดอาหารขึ้นไปทันทีโดยไม่ได้สนใจใคร อนาคินและนิลกาฬมองหน้ากันอย่างเข้าใจ
“เขารักของเขา อย่าห้ามอะไรเลยนะครับป้าลิน”นิลกาฬเอ่ยขึ้น
ไม่ใช่ว่าเรื่องราวทั้งสองจะไม่มีใครรู้ ทั้งบ้านรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองมากเกินกว่าที่จะเรียกว่าคุณหนู กับพี่เลี้ยง
“ขอบคุณคุณแบล็คและคุณนิลมากนะครับที่ไม่รังเกียจเจ้าเลิฟมัน”ป้าลินเอ่ยขึ้น
“โธ่...ป้าลินอย่าพูดแบบนั้นสิครับ เลิฟโตมากับหนูพิ้งค์ก็เหมือนน้องชายของผมเหมือนกัน”อนาคินเอ่ยขึ้น นิลกาฬยิ้มให้กับสามีตัวเองด้วยความชื่นชม
“นิลรักคุณจังครับ”นิลกาฬเอ่ย ทำเอาโต๊ะอาหารกลับเป็นสีชมพูทันที
เลิฟเดินขึ้นมาหยุดที่ห้องของพิ้งค์ เขาไม่เคาะให้เสียเวลาถือวิสาสะเปิดประตูเดินเข้าไปอย่างไม่กลัวเจ้าของห้องจะโกรธแต่อย่างใด
“คุณหนูครับ ลุกมาทานข้าวได้แล้วจะได้กินยาครับ”เลิฟเอ่ยเพราะรู้ว่าคนที่นอนอยู่บนที่นอนไม่ได้หลับจริง
“คุณหนูครับ คุณหนู”เลิฟเอ่ยย้ำแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆเอ่ยออกมา เขาจึงเดินไปอีกด้านของเตียงพร้อมนั่งลงข้างๆคนที่นอนอยู่ พิ้งค์เองก็พยศน่าดู ก็เล่นสงครามเงียบแบบนี้
“ต้องเป็นผมไหมที่ต้องงอนคุณหนู ไหนเราสองคนเป็นแฟนกันไง ทำไมถึงไปถามชามแบบนั้น ไม่คิดว่าผมจะเสียใจบ้างหรือไง หรือที่จริงแล้วคุณหนูก็ไม่ได้รักผมจริงๆ”
“ใครบอกว่าไม่รักหล่ะ ถ้าไม่รักจะโกรธไหมที่เห็นนายสนใจผู้ชายคนนั้นมากกว่าเรา”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมหันมาทางเลิฟก่อนจะถูกเลิฟคร่อมร่างไว้
“ผู้ชายคนไหนครับ”เลิฟเอ่ยถาม
“ก็ที่โรงหนังไง แฟนเก่าของโมเม ทำไมเลิฟต้องสนใจเขาขนาดนั้นด้วย”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟแอบอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มลงกดจูบที่หน้าผากนั้นเบาๆ
จุ๊บ
“ไหนบอกจะเชื่อใจทุกอย่าง ฟังเหตุและผลจากผมก่อนไงครับ โตแล้วนะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งค์มองหน้าเลิฟพร้อมกระพริบตาปริบๆเมื่อโดนเลิฟดุก่อนจะจะยู่ปากให้
“แล้วไง...”พิ้งค์เอ่ยอย่างคนเอาแต่ใจ แต่ที่จริงในใจเข้าใจทุกอย่างแล้ว
“ไม่แล้วไง ว่าแต่ที่จริงไม่ได้ป่วยใช่ไหมครับ”เลิฟเอ่ยอย่างรู้ทันคนปดตอนนี้
"ป่วยสิ ใครบอกว่าไม่ป่วยหล่ะ แค่กๆๆ”พิ้งค์เอ่ยพร้อมแกล้งไอออกมาเมื่อโดนจับได้ว่าแกล้งป่วย
“อย่าแกล้งครับ”
“ไม่ได้แกล้ง ไม่สบายจริงๆ แค่กๆ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เพราะตอนนี้ทุกอย่างเคลียก็อยากจะอ้อนเลิฟบ้าง แต่ใครจะรู้ว่าเลิฟที่ตอนแรกจ้องมายังใบหน้าขาวอยู่นั้นก็ก้มลงกดจูบที่ริมฝีปากของพิ้งค์ทันที
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เลิฟกับพิ้งค์จูบกัน แต่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เลิฟตัดสินใจทำแบบนี้กับพิ้งค์ ริมฝีปากที่ถูกกดแน่นพร้อมลิ้นร้อนที่สอดเข้าไปในโพรงปากแสนหวานนั้น ความวาบหวามบังเกิดขึ้นกับพิ้งค์อีกครั้งเมื่อเลิฟกระซิบบอกข้างหูด้วยเสียงแผ่วเบา
“ผมจะเป็นของคุณหนูแค่คนเดียว ให้ผมได้สร้างความเชื่อมั่นนะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น แม้จะไม่รู้ว่าความหมายที่แท้จริงมันคืออะไรแต่พิ้งค์ก็ยอมที่จะทำตามเลิฟทุกอย่าง
“อื้อ!”เสียงเอ่ยครางเหมือนเป็นเชิงอนุญาต
เลิฟขยี้จูบลงบนริมฝีปากนุ่มของพิ้งค์ รู้ว่าจูบไม่เก่ง จูบไม่เป็นแต่พิ้งค์ก็ยอมทุกอย่างเพราะมันเหมือนเป็นสัญชาตญาณที่จะลิ้มรสริมฝีปากนี้ จากที่เบากลับขยี้ลงไปหนักหน่วง แต่ยิ่งสัมผัสยิ่งมีแต่ความต้องการ เหมือนว่าอยากจะเติมเต็มกันและกันมากขึ้น เลิฟใจเต้นแรงเมื่อวันนี้เขาได้สัมผัสคุณหนูมากเกินที่เขาต้องการและเขาก็ได้ทำแล้ว สัมผัสทุกรสชาติของริมฝีปากนี้และร่างกาย จากบทรักที่รุนแรงค่อยๆ ผ่อนแรงที่บดขยี้ลง
มือของหนาที่ล็อกหลังศีรษะค่อยๆ เลื่อนเป็นสัมผัสต้นคอมันแผ่วเบา ปลายนิ้วลูบไล้ผิวเนียและขยุ้มนิ้วทั้งห้านิ้วที่กลุ่มผมนิ่มของพิ้งค์ เลิฟรู้สึกได้ว่ากำลังเผยอริมฝีปากทีละน้อยเหมือนผ่อนคลาย เลิฟสอดปลายลิ้นเข้าไปหาความหวานในโพรงปากครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่รู้สึกเบื่อ
“อืม~ อาห์” เสียงครางของพิ้งค์ช่างน่ารัก ลิ้นร้อนสองลิ้นกำลังหยอกเย้า รับรู้ถึงความนุ่มนิ่มภายใน และความหวานที่ซึมซับผ่านน้ำใสที่กำลังแลกเปลี่ยนกันอยู่
ตอนนี้ยิ่งกว่าติดใจรสชาติปากของกันและกัน เลิฟทั้งดูดริมฝีปากบน และล่าง สลับกับสอดปลายลิ้นเข้าไปในปาก สัมผัสมันทุกที่เท่าที่จะทำได้
เฮือก!
“อะ...เอ้...ยะ...อย่า...” เสียงเอ่ย เมื่อช่วงล่างของร่างกายทั้งสองสัมผัสโดนกัน เลิฟและพิ้งค์ต่างรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด เพราะความร้อนที่สัมผัสกันอยู่บ่งบอกว่าอารมณ์ของทั้งคู่มันคุกรุ่น
มือของเลิฟค่อยๆลูบขอบกางเกงผ้าฝ้ายเนื้อดีของร่างเล็กออกโดยอัตโนมัติ สายตาเลิฟมองหน้าคุณหนูของเขาที่กำลังแดงระเรื่อ และเหนือสิ่งอื่นใด ดวงตาที่กำลังคลอไปด้วยหยดน้ำใสยิ่งเร่งเร้าฝ่ามือของเลิฟให้ล้วงเข้าไปสัมผัสบางอย่างภายใต้กางเกงนั้นจนอีกคนสะดุ้งเฮือกทันที
อึก
“คุณหนูน่ารักจังครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมา เมื่อเห็นพิ้งค์กำลังสะดุ้งสุดตัว หลับตาแน่น เมื่อเลิฟกำลังสัมผัสส่วนนุ่มนิ่มในกางเกงตอนนี้
“พะ...พอแล้ว...ยะ...อื้อ...ได้โปรด...เฮือก!”
เสียงเอ่ยท้วง ร้องขอบอกให้พอ แต่มือกลับรั้งไหล่หนาไว้แน่นและส่วนั้นกลับโป่งพองอย่างเห็นได้ชัดว่ามีความต้องการมากเพียงใด
“พอที่มือใช่ไหมครับ คุณหนูพิ้งค์”เลิฟเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ายวน รู้ว่าคุณหนูของเขาต้องการให้เขาเข้าไปในร่างกายนั้นมากแค่ไหน พิ้งค์บิดกายไปทั่วร่างสิ่งที่ปวดหนึบในร่างกายตอนนี้อยากจะปลดปล่อยออกมามากแค่ไหน
“อ๊ะ...อ่าห์ เลิฟจะทำมันจริงๆหรอ”เสียงเอ่ยกระเส่าเอ่ยถามเมื่อเลิฟปลดอาภรณ์ของทั้งสองออกหมด
“แล้วคุณหนูจะให้ผมทำได้ไหม”
“เอ่อ...”พิ้งค์อ้ำอึ้งเล็กน้อย เลิฟจึงหยุดทุกอย่างแต่พิ้งค์กลับรั้งเอวของเลิฟไว้
“ไม่ใช่แบบนั้น แต่...”พิ้งค์เอ่ย เขากลัวเลิฟจะงอนเขาอีก แต่ไม่กล้าที่จะบอกว่าเขาไม่มีอะไรเป็นตัวช่วยเลยตอนนี้ เขากลัวเจ็บ เลิฟขมวดคิ้วเหมือนมีคำถาม
“เรากลัวเจ็บ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เลิฟยิ้มหวานออกมา ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบโลชั่นในห้องแต่งตัว
“คุณหนูจะไม่เจ็บแน่นอน ผมสัญญา”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มกว้างออกมา แต่พิ้งค์ก็รู้สึกกลัวมืออุ่นๆของเลิฟที่กุมใบหน้าของพิ้งค์ไว้อย่างปลอบใจ
“ไว้ใจผมนะครับ คุณหนู”เลิฟเอ่ยขึ้น มือหนาลูบไปที่แก้มเนียนอย่างปลอบใจ พิ้งค์ยกยิ้มหวานออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“งั้น เราพร้อมแล้ว”พิ้งค์หลับตาลง พร้อมบีบมือตัวเองที่เอวของเลิฟแน่น แต่เลิฟไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดเพราะกำลังอยากจะเข้าไปในตัวของคุณหนูของเขาแล้วตอนนี้
“อ่าห์...เจ็บบอกนะครับ”เลิฟเอ่ยพร้อมกดหัวป้านเข้าไปในช่องทางสีสวยนั้น
“เลิฟ ต้องเป็นของเราคนเดียวนะ รู้ไหม อื่ออออ”เสียงเอ่ยพร้อมครางหวานหูบอก
“ครับ แค่คนเดียว คนเดียวจริงๆ”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนจะกดกลางกายเข้าจนสุดลำก่อนที่เสียงร้องจะหวีดขึ้นแต่มันเป็นเสียงหวีดที่ไม่ได้เจ็บปวดอะไรเพราะมันต่อจากนี้คือเสียงของความสุข
จังหวะรักครั้งแรกของเลิฟและพิ้งค์ใช้เวลาไม่นาน เพราะมันคือครั้งแรกของทั้งสอง ร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งคู่นอนกอดก่ายกันไปมา พิ้งค์ฟุบหน้าแนบอกกว้างของเลิฟที่กำลังลูบไล้ไหล่เนียนไปมา
“ทำไมคุณหนูถึงถามชามแบบนั้นหล่ะครับ”
“ก็เราสงสัยไง สงสัยว่าที่จริงชามยังคิดกับเราเหมือนเดิมอยู่ไหม เพราะถ้าชามยังคิดอยู่เราจะบอกชามไงว่าเรา...”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมความเขินอาย
“ว่าอะไรหรอครับคุณหนู”เลิฟเอ่ยพร้อมยกยิ้มเล็กน้อย
“เรารู้ว่าเลิฟรู้ว่าเราจะพูดอะไรอ่ะ อย่ามาแกล้งเรานักเลย แค่นี้ก็เขินจะแย่แล้วอ่า”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมซบหน้าที่อกของเลิฟนิ่ง
“รู้ไหมว่าไอ้พอร์ชมันชอบชามอ่ะ”
“ก็พอรู้ แล้วชามหล่ะชอบพอร์ชไหม”
“นั่นสินะ...”เลิฟทำเป็นแกล้งพูดขึ้น
“ก็นั่นง่ะ เรากำลังจะถามชามอยู่เลย เลิฟก็งอนเราซะก่อน”
“โทษผมใช่ป่ะเนี้ย”
“ใช่อ่าดิ”
“ได้ทีเชียวนะ ฮึๆ”เลิฟเอ่ยพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพลิกคร่อมร่างของพิ้งค์อีกครั้ง
“เลิฟ จะทำอีกหรอ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“คุณหนูเจ็บอยู่หรอครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นถาม
“หึ...ไม่เจ็บ”น้ำเสียงเอ่ยเบา แบบเขินๆก่อนจะปล่อยให้เลิฟทำทุกอย่างเหมือนหัวค่ำอีกครั้ง ไม่ว่าจะยังไงเลิฟจะดูแลพิ้งค์ตลอดไปแน่นอน
เช้ารุ่งขึ้นเลิฟก็ออกจากห้องของพิ้งค์ปกติ ตั้งใจจะเข้าไปคุยกับยายเพื่อให้คุยกับอนาคินเรื่องของตัวเองกับพิ้งค์ แต่วันนี้เกิดมีเรื่องสำคัญซะก่อนคือ ธนาคิมและรอยด์กลับมาจากอิตาลี เลิฟจึงพักเรื่องของตัวเองไว้ก่อน
“เลิฟ มาช่วยเราตรงนี้ก่อนสิพิ้งค์เอ่ยขึ้นเมื่อกำลังปีนขึ้นผูกลูกโป่ง เลิฟที่รีบวิ่งเข้ามาหาทันที
“คุณหนู ลงมาครับเดี๋ยวขึ้นไปติดเองครับ”พิ้งค์ยกยิ้มหวานก่อนจะค่อยๆโน้มตัวให้เลิฟอุ้มลงจากบันได
หมับ
“อ๊า...จุ๊บ”พิ้งค์หน้าแดงทันทีเมื่อเลิฟกดจูบที่หน้าผาก
“เรารักเลิฟจัง”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“เลิฟก็รักคุณหนูครับ”รอยยิ้มหวานที่ส่งให้กัน
ช่วงค่ำของวัน คืนนี้ที่บ้านมีงานเลี้ยงเล็กๆเพื่อตอนรับการกลับมาของเกร์ยและรอยด์ หลังจากไปทำงานที่อิตาลี
หมับ!
“คิดถึงจังฮะ”เสียงเล็กหวานหูเอ่ยขึ้น น้องเล็กของบ้านตอนนี้ดูน่ารักที่สุด
“คิดถึงหนูพิ้งค์เหมือนกัน”ธนาคิมเอ่ย
“แล้วรอยด์หล่ะครับ”พิ้งค์เอ่ยหาพี่สะใภ้และเพื่อนรักก่อนที่ร่างบางจะเดินเข้ามาพร้อมใครคนหนึ่ง
“ผมอยู่นี่ครับ”
“รอยด์...”
สองร่างเล็กเอ่ยพร้อมสวมกอดกัน รอยยิ้มของทุกคนผุดขึ้น พิ้งค์ที่กอดรอยด์อยู่ก็มองไปยังด้านหลังของรอยด์ที่ตอนนี้
“แล้ว...”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“อ่อ...”ธนาคิมเอ่ยขึ้นก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ทุกคนครับ นี่แพทริค เพื่อนบ้านและรุ่นพี่ของรอยด์ที่อิตาลีครับ เขามาขอเที่ยวเมืองไทยด้วย”
“สวัสดีครับ”แพทริคเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มกับทุกคนและก็มาหยุดที่พิ้งค์ที่ยกยิ้มอยู่ตอนนี้ จะรู้ไหมว่ารอยยิ้มของพิ้งค์ทำให้แพทริคสนใจรอยยิ้มนี้มาก และมากเสียจนเลิฟเริ่มไม่พอใจ
.................
-
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คู่แข่งมาแล้ว อิอิ
-
มีคนสนใจมากขึ้นแล้ว
-
:pig4: :pig4:
-
Pink Loved 8 : ต่างรู้สึก (สุดรัด x นาคิม)
[/size]
พิ้งค์รีบวิ่งออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว วันนี้เขาสายมากแล้วเพราะเมื่อคืนเขาเอาแต่นอนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเลิฟเกือบทั้งคืน และลืมไปว่าเลิฟต้องมีเรียนช่วงเช้า
“เอาของมาให้ผมครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งค์เชื่อฟังอย่างว่าง่ายก่อนที่จะยื่นกระเป๋าสะพายให้เลิฟและสอดตัวขึ้นรถทันที
“ขอโทษนะที่ทำให้ช้าอ่ะ จะทันไหมอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นอ้อนๆ เมื่อรู้ตัวว่าเลิฟต้องสายแน่ๆ เพราะเลิฟเองมีเรียนเช้า
“ทันครับ ถ้าไม่ทันไอ้พอร์ชก็เช็คชื่อให้อยู่แล้ว”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มให้กับพิ้งค์ที่ตอนนี้ทำหน้าบึ้งแสนน่ารักออกมาด้วยความรู้สึกผิด
“แต่...”
“ไม่ต้องแต่ครับ ดูซิทำหน้างอไม่น่ารักเลยนะครับ ยิ้มสิคนดีของผม”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยกมือจับที่แก้มของพิ้งค์ อย่างเบามือก่อนจะค่อยๆโน้มตัวกดจูบเพื่อปลอบใจ จนพิ้งค์เองนึกเขิน
จุ๊บ
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวก็สายมากหรอก”พิ้งค์เอ่ยทั้งๆที่ใบหน้าแดงเห่อ เลิฟยิ้มกว้างออกมาพร้อมกับขับรถออกไป
รถคันสวยของพิ้งค์แล่นออกไปจนลับตา สายตาคู่คมของแพทริคมองจนลับตาก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างมีความคิดบางอย่าง
“ผมชอบคุณจัง บาร์บี้ของผม”
-ที่มหาวิทยาลัย-
เลิฟมาเข้าเรียนสายไปสิบนาทีแต่ว่ายังโชคดีที่อาจารย์ยังไม่เข้าเขาจึงเข้าเรียนทัน เลิฟมุ่งมั่นอยากเรียนให้จบ เขาอยากทำงานที่โรงงานของตระกูลกิจสุนทรวิริยะกุล เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดู ส่งเสียเขาเรียน
“บ่ายนี้ไม่มีเรียนแล้ว มึงไปไหนต่อว่ะ”พอร์ชเอ่ยถาม
“ไปหาคุณหนู มึงหล่ะไปหาชามม่ะ”เลิฟเอ่ยถามกลับ
“ไปหามันทำไม กูจะไปหาส่องสาว”เลิฟขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะยกยิ้มให้เพื่อนรัก
“ทะเลาะอะไรกันอีกว่ะ คู่มึงสองคนนี่น่าจะลูกดกนะเนี้ย”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนพร้อมพอร์ช
“ลูกอะไร ไอ้เวรต่อให้กูทำไอ้ชามให้ตายมันก็ไม่มีลูกหรอก...”
อุก!
“ไอ้พอร์ช...”เลิฟเอ่ยถามพร้อมหยุดเดินทันที แต่ต่างกันกับพอร์ชที่เผลอพูดอะไรออกมาจนทำให้เลิฟสงสัย
“อะไร กูจะไปแดกข้าว”พอร์ชเอ่ยขึ้นทั้งๆที่เดินหนี
“ไอ้พอร์ช! ไอ้เชี่ยพอร์ชอย่าเดินหนีกูดิ”เลิฟเดินตามไปติดๆ
“กูไม่ได้หนี แต่กูหิวข้าวเข้าใจไหม”พอร์ชเอ่ยขึ้นทั้งที่เดินออกไปโดยมีเลิฟที่เดินตามออกไป
-ที่คณะเศรษฐศาสตร์-
“ชามไปทานข้าวกับเราไหม”เสียงของพิ้งค์เอ่ยถามเพื่อนที่นั่งข้างๆ วันนี้ดูเหม่อเป็นพิเศษ
“ชาม...ชาม”พิ้งเอ่ยเสียงดังขึ้น จนชามเองก็ตกใจ
“ว่า...ว่าไงนะ”ชามเอ่ยถาม
“ชามเป็นอะไร ดูเหม่อๆนะวันนี้”
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก ว่าแต่เมื่อกี้พิ้งค์ว่าไงนะ”
“เราถามว่าไปทานข้าวกับเราไหม”
“อ่อ ไปสิ”
ทั้งสองพากันมาที่โรงอาหารคณะเศรษฐศาสตร์ เพราะพิ้งค์นัดกับเลิฟไว้ เมื่อพิ้งค์เห็นเลิฟเดินมากก็ยกไม่ยกมือพร้อมรอยยิ้มแต่ชามกลับหน้าไม่สู่ดีนักเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้ายและเจอตำรวจอย่างนั้นล่ะ
“หนูพิ้งค์ คือเราไม่หิวแล้วอ่ะ เราไปห้องสมุดนะ”ชามเอ่ยพร้อมทำท่าจะลุกขึ้นแต่พิ้งค์ก็รั้งไว้
หมับ!
“เดี๋ยวสิ นี่ชามเป็นอะไรกันแน่อ่ะ วันนี้ดูลุกรี้ลุกรนมีพิรุธยังไงไม่รู้”พิ้งค์เอ่ยขึ้นแต่ยังไม่ทันที่ชามจะเอ่ยขึ้น เสียงของพอร์ชก็เอ่ยขึ้น
“ก็คนมันมีความผิดง่ะ เลยดูมีพิรุธแบบนี้”
“ใครมีความผิด ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำอ่ะ”อยู่ๆเสียงทะเลาะของพอร์ชและชามก็ดังขึ้นแต่ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้เลิฟและพิ้งค์อยากรู้เรื่องราวของเพื่อนทั้งสองแล้วสิ
“เดี๋ยว ก่อนมึงทั้งจะทะเลาะกัน มึงทั้งสองช่วยเล่าเรื่องราวให้ฟังหน่อยได้ไหม”เลิฟเอ่ยขึ้น
“เรื่องราวอะไร ไม่มี๊!”พอร์ชเอ่ยเสียงสูง
“แหม เสียงสูงเชียวนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้มหวานออกมา
“เล่ามาเถอะที่จริงกูกับคุณหนูพอจะรู้หรอกว่ามึงทั้งสองแอบกิ๊กกั๊กกันอยู่”เลิฟเอ่ยขึ้น
พอร์ชที่งอนชามอยู่ก็เล่าหมดทุกอย่างแม้ว่าชามจะคอยขัดก็ตาม จนเรื่องราวทั้งหมดถูกเล่าออกมาทั้งเลิฟและพิ้งค์พยักหน้าให้กันด้วยรอยยิ้ม
“มึงอย่าล้อกูนะเว้ย”พอร์ชเอ่ยขึ้นด้วยความเขิน
“ล้อทำไม ก็มึงบอกว่ายังโกรธชามอยู่นี่ แต่ที่กูอยากรู้คือมึงโกรธอะไรชาม”เลิฟเอ่ยขึ้น
“ใช่สิ วันนี้ชามดูเหม่อๆนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“หนูพิ้งค์ จะพูดทำไม”ชามเอ่ยท้วงพิ้งค์ไว้แต่ก็ทำให้พอร์ชยกยิ้มออกมาก่อนจะแกล้งเอ่ยขึ้น
“เหม่อด้วยหรอ เหม่อหาไอ้หมอนั่นนะสิ”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“ไอ้บ้า!ไม่รู้อะไรก็อย่าเสือกพูด”ชามเอ่ยก่อนจะลุกออกจากกลุ่มเดินออกไป
“รอกูด้วย”พอร์ชเอ่ยพร้อมวิ่งตามออกไปเช่นกัน ปล่อยให้เลิฟและพิ้งค์นั่งหัวเราะอยู่
“พอร์ชนี่ที่จริงรักชามมากเลยนะ”พิ้งค์เอ่ย
“อื้ม ธรรมดามันยอมใครที่ไหนคุณหนูก็รู้นี่”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งค์พยักหน้าเข้าใจเพราะเขาทั้งสี่เป็นเพื่อนกันสมัยมัธยมมานาน
“เลิฟ วันนี้เราขอกินขนมหวานได้ไหมอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยอ้อน เลิฟยกยิ้มหวานให้ทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ได้ รอเดี๋ยวนะครับ”เลิฟเอ่ยก่อนจะเดินไปที่ร้านขนมหวาน
พิ้งค์เองก็ยกยิ้มหวานมองตามหลังกว้างของเลิฟ แต่ระหว่างรอนั้นเสียงข้อความในมือถือของพิ้งดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะหลายข้อความ
Patrick : Hi, Patrick.
Patrick : Did you eat lunch?
Patrick : See you dinner.
Patrick : Miss You.
ทางด้านเลิฟที่หันมองมาทางพิ้งค์ที่ตอนนี้กำลังสนใจมือถือซึ่งทำให้เลิฟเองอยากรู้ว่าคนตัวเล็กของเขากำลังสนใจอะไรที่หน้าจอมือถือตอนนี้
“คุณหนูทำอะไรครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นถามเมื่อยกถ้วยขนมหวานมาวางให้ตรงหน้า ใบหน้าแอบงอเล็กน้อย พิ้งยกยิ้มหวานให้ก่อนจะยกมือถือให้เลิฟดู
“แพทริคอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยตรงๆเพราะเขาเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเลิฟอยู่แล้ว
“แล้วเขาได้เบอร์และไลน์คุณหนูได้ไงครับ”เลิฟยังทำน้ำเสียงงอนอยู่
“จะไปรู้หรอ รอยด์ให้มั้ง”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“เขาดูสนใจคุณหนูนะครับ”เลิฟเอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยใจเล็กน้อย
“แล้วไง เราไม่ได้สนใจเขาด้วยสักหน่อย”
“เขาก็ดูหล่อดีนี่ครับ แถมรวยอีกต่างหาก”เลิฟเอ่ยขึ้นเชิงประชดอีกครั้ง
“พูดมากจัง หรืออยากจะให้เราไปชอบเขาล่ะ นายจะไปได้ไปหาโมเมใช่ม่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นบ้าง ทำเอาเลิฟที่ตอนแรกงอนพิ้งค์อยู่กลับต้องมาง้อพิ้งค์แทน
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยนะคุณหนู ผมแค่หวงคุณหนู”
“หวงได้ หึงได้แต่ต้องเชื่อใจ รู้ป่ะ”พิ้งค์เอ่ยก่อนจะยกยิ้มออกมาให้กับเลิฟที่ยิ้มออกมาเช่นกัน
ทางด้านพอร์ชและชามที่ตอนนี้มานั่งที่ห้องสมุด แม้ทั้งสองจะทะเลาะกันอยู่แต่ทั้งสองก็ยังคงนั่งนิ่งต่างคนต่างหาหนังสือมาอ่าน
“เย็นนี้กลับด้วยนะ”พอร์ชเอ่ยขึ้น เพราะพอร์ชตัวคนเดียวเขาจึงไม่มีรถขับเหมือนคนอื่นๆเขา ด้วยความที่ฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยเหมือนชาม
“เสียใจ”ชามเอ่ยเบาๆ ก่อนจะยกหนังสือขึ้นมาอ่าน แต่พอร์ชก็ดึงหนังสือที่บังหน้าอยู่ลงเพื่อให้เห็นหน้าชามชัดๆ
“อยู่ในฐานะที่ปฏิเสธได้หรอ มึงอ่ะมีความผิดอยู่นะ”พอร์ชเอ่ยขึ้นก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากเนียนของชามจนหน้าแทบหงายเนื่องจากยังไม่ทันตั้งตัว
“งุ้ย! ไอ้เชี่ยพอร์ชมันเจ็บนะมึง กูก็ขอโทษแล้วไงและอีกอย่างกูก็บอกแล้วไงว่ากูกับพี่โต้งไม่ได้มีอะไรกัน”ชามเอ่ยขึ้น อ้างอิงไปยังบุคคลที่สามที่ทำให้พอร์ชงอนชามเมื่อวันก่อนที่ร้านกาแฟ
“มึงไม่มี แต่ไอ้โต้งมันมี”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“แล้วมึงจะให้กูทำยังไง ก็เขามาชอบกูเองนี่หว่า กูก็เสือกน่ารักมากเสียด้วยสิ”ชามเอ่ยขึ้นตรงโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ประโยคของชามกลับทำให้พอร์ชเอ่ยขึ้น
“เออ รู้ก็ดีว่ามึกเสือกน่ารัก ถ้ามึงไม่น่ารักกูจะไม่หึงมึงขนาดนี้หรอก”พอร์ชเอ่ยขึ้นก่อนจะเงียบปากทันทีก่อนจะหันมองซ้ายและขวาอย่างเขินๆ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาพอร์ชเองยังไม่เคยพูดอะไรหวานๆกับชามเลยสักครั้ง
“มึงว่าอะไรนะ”ชามเอ่ยถามด้วยความดีใจ ที่จริงเขาต้องกการคำนี้มานานแล้ว
“อะไร๊ กูไปหาหนังสือทำรายงานก่อนนะ”พอร์ชเอ่ยพร้อมกับเดินไปยังชั้นหนังสือ ชาทเองก็รีบเดินตามไปติดๆ
“ไอ้พอร์ช มึงว่าอะไรนะ บอกกูก่อนดิ”ชามเอ่ยขึ้นเมื่อเดินตามหลังพอร์ชมาที่โซนหนังสือด้านใน ก่อนที่พอร์ชจะดึงชามมาที่ซอกตู้หนังสือ
หมับ!
“อ๊ะ...ไอ้พอร์ช...มึงอย่านะ”ชามเอ่ยเมื่อตอนนี้เขาอยู่ในอ้อมแขนของพอร์ช ร่างสูงกว่าของพอร์ชกำลังโน้มใบหน้าตัวเองต่ำลงก่อนจะเอ่ยขึ้น
“อย่าอะไร จำเลยห้ามมีปากเสียงกับศาลรู้ป่ะ ยอมทำตามศาลซะ”พอร์ชเอ่ยขึ้น มือหนาจะเอื้อมขึ้นเรื่อยๆ ชามที่รู้ว่าตัวเองจะโดนอะไรก็หลับตาปี๋มือเล็กกำกันแน่นจนทำให้พอร์ชอดขำกับความน่ารักไม่ได้ก่อนจะเอื้อมไปหยิบหนังสือก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“เย็นนี้กูค่อยทำ ไปเถอะกูได้หนังสือแล้ว”พอร์ชเอ่ยขึ้น ชามที่หน้าแดงจัดทั้งเขินและก็โมโห แม้จะโมโหแต่ก็ทำอะไรพอร์ชไม่ได้เพราะชามยอมพอร์ชทุกอย่างเพียงเพราะรักพอร์ชไปเต็มหัวใจแล้ว
ช่วงค่ำของบ้านวันนี้เป็นวันศุกร์ทุกคนมาทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน ธรรมดาเลิฟเองก็จะไปร่วมโต๊ะด้วยเพราะอนาคินอนุญาตให้เลิฟมาร่วมโต๊ะด้วย อย่างน้อยก็เป็นคนในครอบครัวและคนที่น้องสุดท้องของบ้านรัก
“วันนี้เลิฟไม่มาร่วมโต๊ะหรอครับป้าลิน”นิลกาฬเอ่ยถาม
“อ่อ วันนี้เจ้าเลิฟขอทานในครัวคะ”
“ทำไมหล่ะครับ”เสียงพิ้งค์เอ่ยขึ้นเพราะที่ข้างๆตัวเองจะมีเลิฟนั่ง
“พอดีว่าดิฉันเองเห็นมีแขกคะ เกรงจะไม่เหมาะให้เจ้าเลิฟทานในครัวนั่นหล่ะดีแล้วคะ เชิญคุณๆรับประทานอาหารได้เลยนะคะ”ป้าลินเอ่ยก่อนจะเดินไปมุมเดิม
พรึ่บ
อยู่พิ้งค์ก็ทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อไปตามเลิฟ แต่ทว่ามือของซีพี่สะใภ้คนที่สามจับไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้นและปรายตามมองด้านข้างของพิ้งค์
“หนูพิ้งค์ โต๊ะเต็มแล้วจริงๆ”พิ้งค์มองตามร่างสูงของแพทริคที่มานั่งข้างๆ พิ้นที่ของเลิฟพิ้งค์เองดูหงุดหงิดนักแต่ก็ต้องยอมนั่งลงเพราะยังไงแพทริคก็เป็นแขก ใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานนัก
“งั้นทานกันเลยแล้วกันนะ”อนาคินเอ่ยเชิญทุกคน
“Where did you go Patrick?”นิลกาฬเอ่ยขึ้นถาม
“I have not gone anywhere.”แพทริคเอ่ยขึ้น
“อ้าว รอยด์ยังไม่พาไปเที่ยวไหนอีกหรอ อีกสองวันก็จะกลับแล้วนี่”หมอไวท์เอ่ยขึ้น
“รอยด์ยังไม่ได้พาไปเที่ยวเลยครับ พอดีต้องเคลียเอกสารกับคุณเกรย์เลยลืมแพทริคไปเลย ขอโทษนะแพทริค”เสียงหวานของรอยเอ่ยเพื่อนตัวเอง
“Nevermind.”แพทริคเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา
“งั้น หนูพิ้งค์พรุ่งนี้เฮียรบกวนพาแพทริคไปเที่ยวหน่อยได้ไหม”เกรย์เอ่ยขึ้น พิ้งค์ที่ไม่รู้จะทำยังไงนานๆพี่ชายคนที่สองจะขอร้องจะไม่ทำให้ก็ดูน่าเกลียด
“อ่อ ได้ครับ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งทานอาหารต่อ
หลังอาหารค่ำเรียบร้อย พิ้งค์เดินมาที่ห้องของเลิฟเพราะอยากจะบอกว่าพรุ่งนี้เขาคงไปดูหนังกับเลิฟไม่ได้แน่ เพราะต้องพาแพทริคไปเที่ยวก่อนกลับอิตาลี
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เราเข้าไปนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นหลังเคาะประตูเรียบร้อย เขาเดินเข้าไปในห้องของเลิฟแต่ไม่พบกับเลิฟ
“ไปไหนของเขานะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น แต่ก็พอจะรู้ว่าเลิฟกำลังอาบน้ำอยู่เมื่อได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้น เขาจึงนั่งอยู่ที่เตียงอย่างคุ้นเคยก่อนจะเอนตัวลงในท่าสบาย
เลิฟใช้เวลาไม่นานนักเพื่อชำระร่างกาย เขาไม่ได้ทานข้าวเย็นเพราะวันนี้เขาได้ได้ทานข้าวกับคนที่เขารัก เลิฟเดินออกจากห้องน้ำมาด้วยผ้าขนหนูพันกายเพียงชิ้นเดียว ผมที่เปียกอยู่ทำให้เขาดูเซ็กซี่นัก มัดกล้ามที่สะสมมานานเพราะเป็นนักกีฬาเมื่อมีหยดน้ำเกาะอยู่ยิ่งทำให้คนที่นอนมองอยู่ถึงกับหน้าแดง
อึก!
“อ้าวคุณหนู มาตอนไหนครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น แต่พิ้งค์ยังคงมองเลิฟไม่วางตา ใจเต้นแรงใบหน้าแดงเห่อ
“คุณหนูครับ มองจนผ้าผมจะหลุดแล้วนะ”เลิฟเอ่ยขึ้นหยอก ก่อนจะยกยิ้มออกมาเขาโน้มใบหน้าตัวเองมาที่ใบหน้าขาวก่อนจะค่อยๆกดจูบที่ริมฝีปากนั้นจนพิ้งค์ตกใจ
จุ๊บ
“อ๊ะ!...”พิ้งค์อุทานออกมา เลิฟหัวเราะเบาๆ
“หึ หึ นี่มาทำไมครับ”
“ทำไมหรอ เรามาที่นี่ไม่ได้หรอไง”
“เปล่าสักหน่อย คุณหนูจะไปไหนมาไหนได้หมดหล่ะครับ ที่ถามคือโทรเรียกผมไปหาก็ได้”เลิฟเอ่ย
“ก็นายอ่ะทำไมไปทานข้าวหล่ะ รู้ไหมว่าวันนี้เราทานข้าวไม่หมดจานโดนซ้อบ่นเลย”พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าหงิกงอ เลิฟโอบกอดคนตัวเล็กกว่าไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมมันคนใช้ ให้เจ้านายนั่งทานกันเถอะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาลง
“ขืนพูดแบบนี้อีกเราจะโกรธแล้วนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยคาวมโกรธ
“คุณหนูโตได้แล้วนะครับ บางครั้งเราก็ต้องอยู่กับความจริง แค่คุณๆทุกคนรับผมได้ผมก็ดีใจแล้ว”เลิฟเอ่ยขึ้น
“เลิกพูดได้แล้ว เราจะไม่คุยกับเลิฟแล้ว”พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ เขาไม่ชอบเลยที่เลิฟพูดว่าตัวเองแบบนี้
หมับ
ฟอดดด
“ขอโทษครับ อย่างอนผมเลยนะครับคุณหนู”เลิฟเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าตัวให้คุณหนูของเขาโกรธจริงๆ
“งั้นต่อไปนี้ก็อย่าพูดแบบนี้อีกรู้ไหม”
“ครับ ว่าแต่คืนนี้จะให้ผมไปนอนด้วยไหมครับ”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมยกยิ้ม
“ไปดิ ถ้าไม่ไปเราจะนอนหลับหรอ แต่พรุ่งนี้เราต้องพาแพทริคไปเที่ยวอ่ะ เฮียเกรย์ขอไว้คงไปดูหนังกับเลิฟไม่ได้แล้วอ่ะ”เลิฟหุบยิ้มทันทีแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมามากมายเพราะกลัวพิ้งค์จะโกรธ
“อ่อ ครับ”
“งั้นเดี๋ยวเราไปรอเลิฟที่ห้องนะ”พิ้งค์เอ่ยก่อนจะกดจมูกที่แก้มของเลิฟและเดินออกห้องไป เลิฟไม่ได้กลัวว่าพิ้งค์จะรักใครเพราะไว้ใจแต่เขาไม่ไว้ใจแพทริคมากกว่า
.....................
-
เอาแพคทริคถวายให้พี่โต้งไปเลย
-
อะไรล่ะแพทริค หนูพิ้งค์มีเลิฟอยู่แล้วจ่ะะะ
-
มีงานเข้า
-
Pink Loved 9 : เวลา (สุดรัก x นาคิม)
สยามเมืองยิ้ม ข้อนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้ดีว่าเป็นชื่อเรียกของประเทศนี้และก็เป็นจริงอย่างที่ใครๆได้เข้ามาเที่ยว พิ้งค์พาแพทริคมาเที่ยวแถววัดต่างๆซึ่งดูจะเป็นที่ชื่นชอบของแพทริคมาก
“หิวหรือยังครับคุณแพทริค”พิ้งค์เอ่ยแพทริคที่เหงื่อไหลไคลย้อย
“นิดหน่อย”แพทริคเอ่ยเป็นภาษาไทยแม้ไม่ชัดแต่ก็พอฟังออก
“แล้วเลิฟล่ะ หิวหรือยัง”เสียงหวานของพิ้งค์เอ่ยขึ้นถาม ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมพิ้งค์ถึงถามเลิฟได้เพราะเมื่อเช้าก่อนจะออกจากบ้าน เลิฟอาสาขับรถพาพิ้งค์และแพทริคไปเที่ยวเอง
“แล้วแต่คุณหนูเลยครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น แม้จะน้อยใจบ้างที่พิ้งค์หันไปถามแพทริคก่อนแต่เลิฟก็ไม่เคยแสดงออกว่าตัวเองน้อยใจ
“งั้น แพทริคอยากทานอะไรล่ะ เดี๋ยวพิ้งค์พาไปทาน อาหารจีน ไทย หรือญี่ปุ่นดี”พิ้งค์เอ่ยด้วยความน่ารักตามแบบที่เป็น แพทริคนั่งมองพิ้งค์ไม่วางตาจนเลิฟเองรู้สึกหงุดหงิดนัก
“ไปร้านกาแฟชามกันไหมครับ ที่นั่นก็มีอาหารด้วย”เลิฟเสนอ
“จริงสินะ งั้นไปร้านชามดีกว่า”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“ตามใจคุณพิ้งค์ครับ”แพทริคเอ่ยขึ้น
ทั้งสามพากันมาที่ร้านกาแฟของที่บ้านชาม อย่างน้อยเลิฟเองก็ได้มีเพื่อนอย่างพอร์ชคอยกันท่าแพทริคให้ได้บ้าง เพราะตอนนี่พิ้งค์และแพทริคกำลังเดินคู่กันอยู่ข้างหน้าเหมือนว่ามากันแค่สองคน
ที่ร้านกาแฟตอนนี้พอร์ชกำลังวุ่นวายกับการจัดแจงให้ชามออกห่างกับบาริสต้าของร้านอย่างโต้ง แม้จะเชื่อใจชามแต่พอร์ชไม่เคยเชื่อใจโต้งเลยสักนิด
“ไปนั่งมุมโน้นเลยไป”เสียงของพอร์ชเอ่ยบอกชามที่ตอนนี้ยืนมองโต้งทำกาแฟ เพราะอย่างน้อยในอนาคตร้านนี้ก็ต้องเป็นของชามอยู่ดี
“อะไรของมึงเนี้ย มีหน้าที่เสิร์ฟก็เสิร์ฟไปดิ”เสียงชามเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด โต้งที่กำลังมองไปยังพอร์ชอย่างรู้สึกสะใจ
“ตามใจมึง กูเตือนมึงแล้วนะ”พอร์ชเอ่ยก่อนจะหันมองประตูร้านเมื่อเสียงหวานของพิ้งค์เอ่ยขึ้น
“พอร์ช ชาม...”
“ไอ้เลิฟ พิ้งค์ และนี่ใครอ่ะ”เสียงของพอร์ชเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักกำลังเดินเข้าร้านมาก่อนจะหันไปทางชามและใช้นิ้วชี้ไปยังหน้าของชาม
“คืนนี้เจอกูแน่...”พอร์ชเอ่ยกระซิบเบาๆใส่ชามที่กำลังทำหน้าทะเล้นใส่ก่อนจะเดินไปยังพิ้งค์และชาม
“หวัดดี ทำไมวันนี้แวะมาได้อ่ะ”ชามเอ่ยขึ้นก่อนจะชายตามองไปยังคนตัวสูงอย่างแพทริค
“พอดีเราพาแพทริคมาเที่ยวอ่ะ ลืทแนะนำไปเลยว่านี่แพทริคเพื่อนของพี่สะใภ้เรา มาจากอิตาลี และนี่ก็ชามและพอร์ชเพื่อนของพิ้งค์เอง”พิ้งค์เอ่ยแนะนำ
“หล่ออ่ะ”เสียงของชามกระซิบบอกพิ้งค์
“นี่กล้าชมผู้ชายหล่อตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ย”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เพราะภายนอกชามอาจจะดูแมนๆ ห้าวๆ
“ซุบซิบอะไรกัน”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“เปล่า ว่าแต่จะทานอะไรกันดีล่ะ”ชามเอ่ยขึ้นถามพิ้งค์ พอร์ชเดินมาหาเลิฟที่ยืนมองพิ้งค์และแพทริคอยู่ตอนนี้
“นี่มันอะไรกันว่ะ ไอ้ฝรั่งนี้มาจากไหนแล้วทำไมดูสนิทกับหนูพิ้งค์จังว่ะ”
“เขาเป็นเพื่อนคุณรอยด์ และคุณเกรย์ก็วานคุณหนูพาเที่ยวก่อนกลับอิตาลีพรุ่งนี้ ก็แค่นั้น”เลิฟเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ
“หร๊อ...ก็แค่ไหนหรอ แหมแล้วมึงจะนั่งคอตกตาละห้อยทำไมกันว่ะ”พอร์ชเอ่ย เพราะมองออกว่าเพื่อนกำลังรู้สึกยังไงตอนนี้
“กูอ่ะเชื่อใจคุณหนู ว่าแต่มึงเหอะไอ้บาริสต้ามองไอ้ชามแทบจะแดกแล้วนั้น”เลิฟเอ่ยขึ้นบอกก่อนจะบุ้ยปากไปทางเคาน์เตอร์ที่ตอนนี้ชามกำลังสั่งออเดอร์ตามที่พิ้งค์ออเดอร์
“ไอ้เชี่ยโต้ง”พอร์ชเอ่ยอย่างหัวเสียก่อนจะรีบเดินไปที่เคาน์เตอร์ ทำเอาเลิฟหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะหันมองไปยังพิ้งค์และแพทริคที่ตอนนี้กำลังนั่งดูรูปถ่ายในมือถือพร้อมรอยยิ้ม เลิฟจึงเดินเข้าไปนั่งข้างๆโดยไม่พูดอะไร
“เลิฟ เราสั่งสเต็กปลาให้แล้วนะ เหมือนเรา”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“คับ”เลิฟเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะนั่งรออาหารโดยไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้พิ้งค์และแพทริคยังคงนั่งดูรูปถ่ายไปเรื่อยๆ ซึ่งพิ้งค์เองก็สังเกตเห็นเลิฟเงียบๆไป
“เลิฟดูนี่สิ รูปนี่เลิฟหล่อจังอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมยื่นหน้าและมือถือให้เลิฟดูบ้าง ซึ่งเลิฟก็อมยิ้มออกมา
“แล้วคุณหนูชอบไหมครับ”เลิฟกระซิบถามพิ้งค์เบาๆ ใบหน้าขาวค่อยๆแดงเห่อเล็กน้อยแต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยตอบเสียงของแพทริคก็เอ่ยขึ้น
“พิ้งค์ ผมอยากเข้าห้องน้ำพาผมไปหน่อยได้ไหม”เลิฟถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างหงุดหงิดซึ่งพิ้งค์ก็รู้ดี
“เฮ้อออ”
“เอาหน่า พรุ่งนี้เขาก็กลับแล้ว ไม่อยากให้เขาตำหนิเฮียและรอยด์...เดี๋ยวเรามานะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นก่อนจะพาไปห้องน้ำด้านหลังร้าน
“มองตามหลังตาละห้อยเลยนะมึง”พอร์ชเอ่ยเมื่อเอาอาหารมาเสิร์ฟ
“ตาละห้อยอะไรกันเล่า มึงนี่”เลิฟเอ่ยขึ้น
“มึงอย่าว่ากูไม่รู้นะว่ามึงกำลังคิดอะไรอยู่ หนูพิ้งค์รักมึงมากนะเว้ย เขาต้องเสียใจแน่ๆถ้ามึงคิดจะยอมหลีกทางให้ใครเพียงเพราะเขารวยกว่า ดูดีกว่าและมีอนาคตกว่า”
“มึงเพ้อเจ้ออะไรของมึง”
“อย่ามาด่ากู มึงจำไว้ว่าพิ้งค์อ่ะรักมึง เขาไม่มีทางไปหาใครหรอกและรู้ว่ามึงอยากจะให้เขาไปได้คนอื่น รับรองเขาไปแน่เพราะประชดมึงง่ะ”เลิฟเองก็ไม่ได้คิดถึงข้อนี้ว่าที่จริงแล้วพิ้งค์จะมีความสุขจริงๆไหม
ทางด้านพิ้งค์และแพทริคที่ตอนนี้กำลังชลมุนกับเสื้อที่เปียก เนื่องจากเกาะน้ำเกิดแตกพอดี เสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อน เมื่อโดนน้ำเล็กน้อยก็ดูบางเฉียบทันที
“ผมเช็ดให้นะครับ ด้านหลังคุณพิ้งค์คงมองไม่เห็น”แพทริคเอ่ยขึ้น พิ้งค์พยักหน้าก่อนจะหันหลังให้แพทริคเช็ดด้านหลัง จนที่ผ่านมาเห็นกลับยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยออกมา
แชะ!
เลิฟที่รอกำลังนั่งเล่นมือถือรอพิ้งค์และแพทริค แม้ใจจะหงุดหงิดแต่ก็ต้องเชื่อใจพิ้งค์ จนกินเวลาเกือบห้านาทีเขาตั้งใจจะไปตามพิ้งค์ที่ห้องน้ำ ก่อนจะมีข้อความเข้า
ติ้ง ติ่ง
“โมเม”เลิฟเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อข้อความถูกส่งมายังโมเม ซึ่งที่จริงเขาเองก็ยังไม่ได้เคลียเรื่องนี้เลย เลิฟกดดูข้อความที่หญิงสาวส่งมา
“คุณหนู...”รูปถ่ายจากด้านหลังที่แผ่นหลังใหญ่ของแพทริคกำลังยืนซ้อนพิ้งค์อยู่ ไม่รู้ว่าด้านหน้ามันคืออะไร แต่ท่าทางในภาพมันทำให้ชวนคิด
“เลิฟ ทำไมไม่ทานก่อนหล่ะ”เสียงหวานของพิ้งค์ที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม เลิฟมองไปยังรอยยิ้มของพิ้งค์และมองแพทริคที่ตอนนี้ดูใบหน้าชุ่มไปด้วยน้ำ
“รอคุณหนูครับ”เลิฟเอ่ย แต่ยังไม่ทันจะสนทนาอะไรมากมายเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“หวัดดีเลิฟ”หญิงสาวเดินเข้ามานั่งข้างๆเลิฟทันที ก่อนจะหันไปทักทายพิ้งค์
“โมเม”เลิฟเอ่ยขึ้น ก่อนจะให้ไปมองพิ้งค์ที่ทำหน้าไม่พอใจนัก
“บังเอิญจังนะคะ ว่าแต่นี่ใครคะเนี้ย แฟนพิ้งค์หรอ”หญิงสาวเอ่ยขึ้น ทำเอาทุกคนในโต๊ะทำหน้าไม่ถูก
“พิ้งค์ไม่หิวแล้วอ่ะ เรากลับกันเถอะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น ซึ่งพิ้งค์มักจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แพทริคและพิ้งค์ทำท่าจะลุกขึ้น แต่เลิฟกลับเอ่ยขึ้นเมื่อคิดถึงรูปนั้น
“คุณหนูเอารถไปเถอะครับ บางครั้งผมว่าคุณหนูอาจจะอยากไปกับแพทริคสองคน”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งค์ทำหน้าเหวอทันที
“อะไรของนายอ่ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น เพราะคิดว่าเลิฟจะรู้ว่าเขาไม่ชอบโมเม
“บางทีวันนี้ผมมาด้วยอาจจะทำให้คุณหนูอึดอัดใจ ที่จริงแล้วคุณหนูอาจจะอยากอยู่กับแพทริคสองคนก็ได้”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งคืพยักหน้าทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาก่อนจะมองไปยังหญิงสาวที่บอกว่าบังเอิญมาเจออย่างโมเม
“หึ เข้าใจแล้วหล่ะที่บอกว่าบังเอิญมาเจอก็คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่ไหม ที่จริงนายก็นัดโมเมมา และนายก็พยายามไล่เราไปให้คนอื่น บอกกันตรงๆก็ได้นี่ไม่เห็นต้องลงทุนขนาดนี้เลย”พิ้งค์เอ่ยขึ้น ทำเอาคนในร้านเริ่มมองกัน ทางด้านชามและพอร์ชก็รีบวิ่งเข้ามา
“มีอะไรกันว่ะ”พอร์ชเอ่ยขึ้นถาม แต่เลิฟก็ไม่ได้ตอบอะไร ก่อนที่โมเมจะยื่นอะไรบางอย่างให้พอร์ช
“นี่ไงคำตอบ”โมเมเอ่ยพร้อมยื่นมือถือให้พอร์ช
“พอดีโมเมมาหาเพื่อน ไม่คิดว่าจะเป็นร้านของชามและเมื่อเข้าห้องน้ำ สายตาก็ไปเจอกับพิ้งค์และคุณคนนี้”หญิงสาวเอ่ยขึ้น ทุกคนพุ่งความสนใจมาที่มือถือนี้มากกว่า ชามเองรีบวิ่งเข้ามาทันที แต่พิ้งค์เองไม่ได้สนใจอะไรก่อนจะคว้ามือแพทริคไว้
“เรากับแพทริคจะไปเอง และนับจากวันนี้เราก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก”พิ้งค์เอ่ยด้วยความโกรธพร้อมกับดึงแพทริคออกจากร้านไป
“เลิฟไม่ตามหนูพิ้งค์ไปหล่ะ”ชามเอ่ยขึ้น
“เลิฟไม่ต้องตามหรอก เขาคงอยากไปกับแฟนเขาหล่ะมั้ง ว่าแต่...”ยังไม่ทันที่โมเมจะเอ่ยเสร็จ เลิฟก็สะบัดมือเธอออกก่อนจะเอ่ยขึ้น
“โมเมกลับไปก่อนเธอ เราอยากอยู่คนเดียว”เลิฟเอ่ยขึ้น
“ให้โมเมอยู่เป็นเพื่อนนะ”หญิงสาวยังคงเซ้าซี้ทำให้เลิฟเกิดความรำคาญจึงเอ่ยขึ้นเพื่อเคลียกับโมเมตรงๆ
“อย่าเซ้าซี้เราเลยนะโมเม เพราะยังเราก็ไม่มีทางชอบโมเมได้ เราไม่สามารถรักคนโกหกอย่างโมเมได้”เลิฟเอ่ยขึ้นตรงๆ
“โกหกหรอ โกหกอะไรคะ เลิฟพูดเรื่องอะไรโมเมไม่เห็นเข้าใจเลย”หญิงสาวเอ่ยขึ้นทำท่าทางซื่อๆ จนพอร์ช นึกโมโหขึ้นมาจึงเอ่ยขึ้น
“ก็ไอ้เรื่องผู้ชายที่เธอบอกว่าเขามาตอแยเธอไง แถมยังโกหกว่าเขาตามเธอไม่หยุดแล้วหรอกให้เพื่อนของเราไปหาเธอที่ห้อง เราจะบอกให้นะว่าผู้ชายคนนั้นมันสารภาพมาหมดแล้วหล่ะ”พอร์ชเอ่ยขึ้น ชามที่ไม่รู้อะไรเลยจึงหันไปกระซิบถามพอร์ช
“ทำไมกูไม่รู้ว่ะ”
“เดี่ยวกูเล่าให้ฟังนะ ที่รัก”
“สัส...”
“อะไร มันไม่ใช่แบบนั้นนะเลิฟ”หญิงสาวยังยืนกรานปากแข็งอยู่
“พอเถอะโมเม เราขอร้องนะ เรารักคุณหนูของเรา”หญิงสาวปากคอสั่นระริกไปหมด เหมือตนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ที่ผู้หญิงแท้อย่างเธอแพ้ให้กับผู้ชาย
“กรี๊ดดดด”เสียงร้องกรี๊ดดังออกมาจนลูกค้าในร้านหันมองตามเป็นจุดเดียว พอร์ชที่ยกมือปิดหูชามไว้และมองตามโมเมเดินจ้ำเท้าออกไปนอกร้านก่อนจะหันมาทางเลิฟที่นั่งหน้าเครียดอยู่
โป๊ก!
“โอ๊ย! ไอ้เวรมึงมาตบหัวกูทำไมว่ะ”เลิฟเอ่ยขึ้นเมื่อพอร์ชตบไปที่หลังศีรษะของเลิฟเพื่อเตือนสติ
“กูอยากจะเอาไม้ฟาดมึงด้วยซ้ำ ทำไมพูดกับพิ้งค์แบบนั้นว่ะ”
“ใช่ และรูปทีนังยบ้าโมเมส่งมานายกล้าเชื้อได้ยังไงกันว่าหนูพิ้งค์จะทำแบบนั้นอ่ะ”
“ใช่ ไหนมึงบอกว่าเชื่อใจพิ้งค์ไง ทำไมมึงทำแบบนี้กับพิ้งค์ว่ะ”
“ใช่ รู้ไหมว่าเรื่องที่ห้องน้ำ เราก็อยู่ด้วยแต่นังนั้นมันถ่ายมาไม่หมดต่างหาก ที่จริงเรายืนอีกมุมเพื่อถือผ้าให้พิ้งค์ เพราะก๊อกน้ำในห้องน้ำมันพัง นายมันโง่”
“ใช่...”
“พอทั้งสองผัวเมียนั่นหล่ะ จะใช่อีกนานไหมเวลาด่ากูนี่แทคทีมกันน่าดูเลยนะ”เลิฟเอ่ยขึ้นเมื่อโดนเพื่อนทั้งสองกระหน่ำกันใหญ่ แถมมารู้ความจริงว่าที่จริงแล้วเป็นยังไงก็ยิ่งละอายแกใจ
“แล้วจะไปเอาไงต่อว่ะ”
“ชามช่วยเราหน่อยสิ”เลิฟหันไปหาชามที่ทำหน้าเมินใส่ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไม่ช่วย ฉันโกรธนายที่ทำให้หนูพิ้งค์เสียใจ”ชามเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปหลังร้าน
“ช่วยเพื่อนกูหน่อยดิ”พอร์ชเอ่ยอ้อนวอนก่อนจะเดินตามไปแต่มิวายจะหันมาทางเลิฟแล้วเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวกูกล่อมมันเอง กูว่าตอนนี้มึงหาวิธีได้คุยกับพิ้งค์ดีกว่า”พอร์ชเอ่ยก่อนจะรีบเดินไปตามชาม
ทางด้านพิ้งค์ที่พยายามข่มน้ำตาไว้ ถึงบ้านได้ไม่ได้สนใจแพทริคเลย วิ่งเข้าห้องได้ก็ฟุบหน้าลงกับหมอนใบใหญ่ของตัวเอง น้ำตาที่พยายามข่มไว้ค่อยๆไหลออกมา ไม่ได้เสียใจที่เลิฟนัดโมเมมาหา ไม่ได้เสียใจที่เลิฟเข้าใจผิด แต่ที่เสียใจมากที่สุดคือ เลิฟไม่เคยเชื่อใจเขาเลยต่างหาก
“เลิฟไม่เคยเชื่อใจเราเลยสักครั้งไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร”พิ้งค์เอ่ยตัดพ้อกับตัวเอง ก่อนจะหันไปทางประตูห้องเมื่อมีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พิ้งค์ ผมเข้าไปได้ไหม ผมเป็นห่วงคุณ”เสียงแพทริคเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง พิ้งค์ค่อยๆปาดน้ำตาออกก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้กับแพทริค
แกรก
“คุณโอเคไหม”แพทริคเอ่ยขึ้นถาม พิ้งค์ยกยิ้มเล็กน้อยแม้ใจจะไม่โอเคเลยสักนิดก็ตาม
“เราโอเค แพทริคมีไรหรือเปล่า”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“ผมเห็นคุณมีเรื่องอยู่และคิดว่าคงไม่สบายใจมาก ผมอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ”แพทริคเอ่ยขึ้น พิ้งค์
“ขอบใจมากนะ แต่เรามาเป็นไรจริงๆ เราโอเคทุกอย่าง”พิ้งค์เอ่ยขึ้น น้ำตาที่ว่าไม่ไหลกลับกำลังจะออหน่วยออกมาเมื่อมือหนาของแพทริคกำลังประคองที่แก้มของพิ้งค์ ความอ่อนโยนนี้ทำให้พิ้งค์คิดถึงเลิฟทำให้พิ้งค์เบี่ยงหน้าออกทันที อย่างน้อยพิ้งค์ก็ชัดเจนกับแพทริค
อึก
“เราขออยู่คนเดียวนะ และพรุ่งนี้เราอาจจะไม่ได้ไปส่ง เราขอส่งแพทริคตรงนี้เลยแล้วกัน โชคดีนะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น แพทริคที่เข้าใจทุกอย่างก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนประตูห้องจะถูกปิดลงและต่างคนก็ต่างเข้าห้องของตัวเอง ทิ้งให้ความเงียบคือตัวตัดสินว่าเวลาจะเดินต่อไปเหมือนชีวิตของคนเรา
“ผมคงไปแทนที่เขาไม่ได้ ใช่ไหม”
............
-
:fire: :fire: :fire:
-
เลิฟนิ ง้อพิงค์ไวๆๆเลย
-
:pig4: :L2: :L2:
-
เลิฟต้องหนักแน่นกว่านี้นะ
-
งอนกันอีกละ
-
Pink Loved 10: ความรักสีชมพู (สุดรัก x นาคิม)
เกือบสามวันแล้วที่พิ้งค์หลบหน้าเลิฟ แม้ว่าเลิฟจะโทรหาหรือไลน์หาก็ตาม จนเลิฟเองกลัวว่าพิ้งค์จะอึดอัดจึงทำได้แค่มองดูอยู่ห่างๆเท่านั้น
“อยากคุย อยากเจอก็ไปหาเขาสิว่ะ”พอร์ชเอ่ยบอกเพื่อนรักที่ตอนนี้กำลังแอบมองพิ้งค์อยู่
“คุณหนูไม่อยากเห็นหน้ากูหรอก สามวันแล้วเนี้ยที่เขาไม่คุยกับกู”
“สมน้ำหน้า มึงทำตัวเองล้วนๆ”พอร์ชเอ่ยพร้อมใช้นิ้วดันที่หน้าผากของเลิฟจนแทบหงายท้อง แต่เลิฟก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรเพราะมันคือเรื่องจริง ถ้าวันนั้นเขาไม่บ้าบอพูดแบบนั้นออกไป ไม่บ้าบอที่จะไม่เชื่อมั่นในตัวพิ้งค์เขาคงมีความสุขมากกว่านี้
“เอ่อ กูรู้ตัวดีว่ากูผิด แต่การที่มึงมาด่ากู สมน้ำหน้ากู มึงช่วยกูง้อหนูพิ้งค์ก่อนได้ไหม”
“กูไม่อยากจะช่วยมึงเลย แต่เห็นว่ามึงคือเพื่อนหรอกนะเดี๋ยวคืนกูขอไปปรึกษาไอ้ชามก่อนว่ามันมีวิธีอะไรบ้าง”
“ปรึกษาตอนนี้เลยไม่ได้หรอว่ะ ทำไมต้องคืนนี้ด้วย”
“ไม่ได้ ถ้ามึงจะให้กูช่วยก็ต้องรอกู เข้าใจไหม”
“เอ้อ...”
ช่วงค่ำที่โต๊ะอาหาร มีเพียงอนาคิน นิลกาฬ และพิ้งค์ที่นั่งทานอาหารอย่างปกติ นิลกาฬที่แอบมองน้องสามีที่กำลังนั่งเขี่ยข้าวในจานไปมา
“หนูพิ้งค์ กับข้าวไม่อร่อยหรอ”นิลกาฬเอ่ยถาม พิ้งค์เงยหน้ามองพี่ชายและพี่สะใภ้
“เปล่าครับ หนูพิ้งค์ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ครับ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“เราผอมลงนะเฮียว่า ว่าแต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นเลิฟเลย เมื่อก่อนตัวติดกันจนแทบจะเป็นแฝด”อนาคินเอ่ยบอกน้องชายที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่
“ทะเลาะกันหรอ”นิลกาฬเอ่ยถาม
“เปล่าครับ”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“ดีแล้วหล่ะ อย่าทะเลาะกันเลย คนเรานะกว่าจะได้รู้จักกันและกว่าจะได้รักกันมันเหมือนโชคชะตาและฟ้าลิขิต เมื่อได้มาเจอกันแล้ว และได้รักกันก็ทำความรักที่มีให้กันมันยั่งยืนอย่าให้หายไปไหน”อนาคินเอ่ยบอกน้องชายตัวเองก่อนจะจับมือนิลกาฬไว้แน่น พิ้งค์เงยหน้าขึ้นและยกยิ้มหวานให้กับอนาคินและซ้อใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ครับ...”
เกือบสามทุ่มแล้วที่พิ้งค์นอนดิ้นไปมา ช่วงสามวันนี้เขานอนไม่ค่อยหลับจริงๆ เพราะในหัวคิดแต่เรื่องของเลิฟไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการเลิฟนะ แต่อยากจะให้เลิฟรู้ว่าเขาไม่ใช่สิ่งของที่อยากจะยกให้ใครก็ได้
“เรารู้ว่าเลิฟหวังดี อยากให้เราเจอคนที่ดีและทำให้เรามีความสุข แต่นายรู้ไหมว่า เลิฟเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เรามีความสุข”พิ้งค์เอ่ยกับตัวเอง เมื่อเดินมายืนที่ริมระเบียงห้องก่อนจะคิดอะไรบางอย่างได้และยกยิ้มกับตัวเองพร้อมยกมือถือขึ้นมารับสาย
“ว่าไงชาม โทรมาซะดึกเลย”
(“เรื่องที่หนูพิ้งค์ถามเราเมื่อเช้าอ่ะ ว่าควรจะใจอ่อนกับเลิฟดีไหม ถ้าเลิฟมาง้ออีกครั้ง”)
“อื้ม แล้วไงอ่ะชามมีวิธีหรอ”
(“มีสิ พิ้งค์จะยอมทำตามเราหรือเปล่า”)
“ก็เล่ามาก่อนสิ”
(“แล้วจะยอมไหมหล่ะ”)
“ถ้าทำให้เลิฟสำนึก และไม่อยากผลักไสเราให้ใครอีก เรายอม”
“ผมอยากกอดคุณหนูจัง ตอนนี้”เลิฟเองที่กำลังบ่นกับตัวเอง และสายตากำลังมองมายังร่างโปร่งของพิ้งค์ที่ยืนอยู่ตอนนี้ เขามักจะมายืนมองคุณหนูของเขาบ่อยๆ
ช่วงเช้าของวันใหม่ พิ้งค์มักจะออกสายกว่าเลิฟเสมอเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอเลิฟ นั้นมันเมื่อก่อนเพราะหลังจากเมื่อคืนที่ได้คุยกับชามแล้วก็เริ่มแผนของทั้งคู่
“คุณหนู”เลิฟเอ่ยขึ้นเมื่อเดินออกมาจากห้องก็พบว่าพิ้งค์ยืนรอยู่
“วันนี้ขับรถให้เราหน่อย...อ๊ะ”พิ้งค์เอ่ยขึ้นพร้อมยื่นกุญแจรถให้เลิฟที่ทำหน้าเหวออยู่ตอนนี้
“เอ่อ...”
“เร็วๆดิ เรามีเรียนเช้านะ”
“ครับ”เลิฟเอ่ยพร้อมกับรับกุญแจรถและเดินตามพิ้งค์ไปที่รถ
ระหว่างทางไปหมาวิทยาลัย พิ้งค์เอาแต่นั่งแชทอยู่กับมือถือโดยไม่คุยอะไรกับเลิฟเลยจนเลิฟเองรู้สึกหงุดหงิดที่พิ้งค์เอาแต่สนใจมือถือ แทนที่จะคุยกับตัวเองเพื่อเคลีย
“อะแฮ่ม!”เลิฟกระแอมเล็กน้อยเพื่อให้คนข้างๆได้ยิน ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เรื่องวันก่อน ผมต้องขอโทษคุณหนูด้วยนะครับ ผมมันบ้าที่คิดกับคุณหนูแบบนั้น คุณหนูอย่าโกรธผมเลยนะครับ”เลิฟเอ่ย
“ไม่แล้วหล่ะ เราไม่โกรธเลิฟหรอก เราห้ามความคิดใครไม่ได้หรอกนะ”พิ้งค์เอ่ยทั้งๆที่มือและตายังก้มอยู่กับแชท เลิฟเองก็อยากรู้นักว่าตอนนี้คนข้างๆกำลังสนใจอะไรอยู่มากกว่าจะสนใจตัวเขา
เลิฟจอดรถที่คณะเศรษฐศาสตร์ พิ้งค์ลงจากรถทันทีโดยไม่ได้เอ่ยอะไรกับเลิฟเลย ซึ่งมันต่างกับทุกครั้งที่พิ้งค์จะต้องบอกเลิฟให้เลิฟรอทานข้าวกลางวันด้วย
“คุณหนูครับ”
“ห๊า มีอะไรหรอ”
“กลางวันนี้...”ยังไม่ทันที่เลิฟจะเอ่ยถาม เสียงนุ่มแสนสุขภาพก็เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง
“พิ้งค์มาแล้วหรอ เรารออยู่ ขึ้นตึกพร้อมกันนะ”พิ้งค์ยกยิ้มหวานออกมา เลิฟที่มองตามชายหนุ่มแสนดูดีคนนั้น ใบหน้าหล่อเหลาจนเลิฟนึกอิจฉาเพราะดูเหมาะสมกับคุณหนูของเขาเหลือเกิน
“เย็นนี้ไม่ต้องรอรับเรานะ เดี๋ยวเราจะไปดูหนังกับดิว”พิ้งค์เอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปกับดิว เลิฟมองตามพิ้งค์ที่กำลังยื่นหนังสือให้ดิวถือ รอยยิ้มสดใสจากเดิมมาก จนเลิฟเองรู้สึกหงุดหงิด
+++++
ปึก!
“เฮ้ย! อะไรของมึงว่ะ”เลิฟเดินเข้ามาในคณะด้วยท่าทางเหวี่ยงๆ ก่อนจะโยนกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะที่พอร์ชกำลังนั่งเขี่ยมือถืออยู่ตอนนี้
“แดกรังแตนมาหรอไง หน้าอะไรจะบูดบึ้งขนาดนี้”พอร์ชเอ่ยถามกลับ
“ไอ้ดิวคือใครว่ะ”เลิฟเอ่ยขึ้นลอยๆ พอร์ชที่มองหน้าเลิฟอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเอยขึ้นถาม
“มึงถามใคร ถามกูป่ะ”พอร์ชเอ่ยถาม เลิฟหันมองเพื่อนอย่างเหวี่ยงๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ไอ้ดิวคณะเศรษฐศาสตร์ คณะเดียวกับคุณหนูและชามอ่ะ มันเป็นใครว่ะ”
“อื้ม ไอ้ดิว ไอ้ดิว ไอ้ดิวหรอ”พอร์ชเอ่ยทวนชื่อพร้อมนั่งคิด ก่อนจะจะร้องอ๋อออกมา
“อ๋อออ ไอ้ดิวเดือนคณะเศรษฐศาสตร์หน่ะหรอ”
“ไม่รู้ กูรู้แต่ว่ามันชื่อดิว และก็ก็รู้ว่ามันกำลังจีบคุณหนูของกู”
“หึ คุณหนูของกู มึงอ่ะชอบผลักไสพิ้งค์ไปให้คนอื่นตลอดหล่ะแล้วมาเรียกว่าคุณหนูของกู ว่าแต่ไอ้ดิวจีบพิ้งค์ก็ดีนะมึง หล่อก็หล่อ บ้านก็รวย เรียนก็เก่ง แถมเป็นคนดังอีกกูว่าเรามายุให้พิ้งค์ได้กับไอ้ดิวกันดีกว่าม่ะ”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้!”เลิฟตะโกนออกมาอย่าพลันควันจนพอร์ชเองตกใจก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น
“มึงจะตะโกนทำหอกอะไรเนี้ย แล้วทำไมจะไม่ได้ว่ะ ในเมื่อไอ้ดิวมันมีทุกอย่างที่มึงต้องการเลยนะเว้ย”
“กูไม่ได้ต้องการ ใครบอกมึงว่ากูต้องการ”เลิฟเหวี่ยงใส่พอร์ชด้วยเสียงแข็ง
“ก็มึงง่ะ ตั้งแต่คบกันมามึงต้องการให้คุณหนูของมึงเจอคนที่เหมาะสม เจอคนที่ทำให้คุณหนูมึงสบาย ยกเว้นไอ้ชาม”พอร์ชเอ่ยขึ้น และก็คือเรื่องจริง
“นั้นมันเมื่อก่อน ตอนนี้คุณหนูกูต้องเป็นของกู ไม่ใช่ของคนอื่น”เลิฟเอ่ยขึ้น ทำเอาพอร์ชยกยิ้มออกมาก่อนที่เสียงข้อความในมือถือจะดังขึ้น
ติ้ง ติ้ง ติ้ง
พอร์ชยกมือถือขึ้นมากดดูข้อความจากชาม ซึ่งเป็นรูปถ่ายของพิ้งค์และดิวที่นั่งข้างๆกัน พอร์ชยกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะยื่นมือถือให้เลิฟดู
“อ่ะ มึงดูนี่”
“ดูอะไร กูไม่มีอารมณ์ดูรูปโป๊ะ คลิปโป๊ะหรอกนะ”เลิฟเอ่ยขึ้น เพราะพอร์ชชอบทะลึ่งตลอดตั้งแต่คบกันมา
“ไม่ชารูปโป๊ะ มึงเห็นกูลามกขนาดนั้นเลยหรอ”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“เออ...”เลิฟเอ่ยกระแทกใส่หน้าเพื่อนก่อนจะรับมือถือมาดู
“ไอ้เลิฟมึงจะไปไหน อาจารย์จะเข้าแล้วนะมึง”
“เช็คชื่อให้กูด้วย”เลิกตะโกนบอกก่อนจะวิ่งออกไปทันที เป็นครั้งแรกที่เขาโดดเรียน เพราะรูปถ่ายจากชามที่ส่งมาคือ ดิวกำลังนั่งโอบไหล่พิ้งค์อยู่ตอนนี้
“ไอ้ดิว มึงกล้าแตะของของกูหรอ เดี๋ยวได้เจอกับกู”เลิฟเอ่ยด่าดิวกับตัวเองก่อนจะวิ่งมาถึงที่คณะเศรษฐศาสตร์และรีบเดินหาห้องเรียนที่พิ้งค์เรียน
“เรียนห้องไหนว่ะ”เสียงเอ่ยบ่นกับตัวเองบ่นไปเรื่อยๆ เลิฟไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ใจมันร้อนรนไปหมดเมื่อเห็นคนอื่นมาสัมผัสพิ้งค์
ทางด้านพิ้งค์ที่ตอนนี้กำลังนั่งรออาจารย์เข้าสอนก็นั่งคุยเรื่อยเปื่อยไปกับชามและดิว การสนทนาที่มีแต่เสียงหัวเราะออกมา
“อีกไม่กี่นาทีก็มา เชื่อดิ”ชามเอ่ยขึ้น
“ทุกคน พร้อมเรียนนะ”เสียงอาจารย์ที่เข้ามาจากประตูด้านหน้าเอ่ยขึ้น นักศึกษาทุกคนรีบนั่งประจำที่ก่อนที่จะหันไปทางประตูทางเข้าเป็นตาเดียวเช่นกัน
“คุณหนู...”เลิฟที่วิ่งมาด้วยเสียงหอบเหนื่อย แต่ก็ต้องหน้าแดงออกมา
“นี่นายเป็นใคร เป็นนักศึกษาเรียนวิชานี้หรือเปล่า”
“ครับ....”เลิฟพยักหน้ารับ พิ้งค์แอบยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแต่ก็ยังคงทำหน้านิ่งไว้
“งั้นก็รีบมานั่งที่ ฉันจะสอนแล้ว”
“ครับ”เลิฟรีบเดินหาที่นั่ง ก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆพิ้งค์
“มาทำอะไรที่นี่”พิ้งค์ถาม
“ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณหนูครับ”
“เอาไว้ตอนเย็นก็ได้นี่”
“ไม่ได้หรอกครับ เรื่องของคุณหนูรอไม่ได้ เพราะผมจะไม่ยอมเสียเวลาอีกแล้ว”เลิฟเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง พิ้งค์หันมองไปยังชามและดิวพร้อมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน
“งั้นก็กลับไปเรียนก่อนไป จบชั่วโมงแล้วเราจะโทรหา”พิ้งค์เอ่ยขึ้น แต่ยังไม่ทันที่เลิฟจะเอ่ยต่อ ดิวก็เอ่ยขึ้น
“พิ้งค์ช่วยดูตรงนี้ให้ดิวหน่อยสิว่าดิวทำมาถูกไหม”ดิวเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ เลิฟมองตาขวางออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นายสุดรัก คนเจียมตัวหายไปไหน เหลือเพียงสายสุดรักจอมงอแง เห็นอะไรก็ขัดขวางไปหมดจนชามเอ่ยขึ้นเมื่อตอนนี้กำลังนั่งทานอาหารกลางวันกันที่ร้านกาแฟของชามหลังเลิกเรียนภาคเช้า
“หนูพิ้งค์คงอึดอัดแย่เลยเนอะ มีผู้ชายนั่งเบียดด้วยขนาดนั้น”
“มึงก็ขยับให้พิ้งค์นั่งสบายหน่อยก็ได้ ไอ้ดิวมึงด้วยก็จะนั่งเบียดเป็นแซนวิสกันอยู่ได้”พอร์ชเอ่ยพร้อมยกยิ้มออกมา ทั้งคู่จึงขยับให้พิ้งค์นั่งสบายๆแต่เล็กน้อย
“เดี๋ยวพิ้งค์กับดิวไปดูหนังที่ไหนหรอ”ชามเอ่ยขึ้น เลิฟที่นั่งอยู่ข้างๆหันมองพิ้งค์ทันทีเขาลืมไปเลยว่าวันนี้คุณหนูของเขามีนัด
“วันนี้วันศุกร์ ที่บ้านมีนัดทานข้าวนะครับ”เลิฟเอ่ยขึ้น
“เลิฟก็ทำแบบทุกครั้งสิ รายงานเฮียว่าเราไปไหนกับใคร และคนนั้นดีแค่ไหน เหมาะกับเราขนาดไหนไง”พิ้งค์เอ่ยขึ้นเชิงประชด เพราะทุกครั้งมักจะเป็นแบบนั้นแม้ไม่บ่อยก็ตาม
“ไม่ครับ”เลิฟเอ่ยทันที
“ทำไมหล่ะ เมื่อก่อนก็ทำแบบนี้ไม่ใช่หรอไง”
“นั้นมันเมื่อก่อน ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“เดี๋ยวนะ พูดยังกับนายเป็นเจ้าของพิ้งค์อย่างนั้นหล่ะ พิ้งค์โตแล้วจะมาไหนไปไหนก็เรื่องของเขาไหมว่ะ นายมันก็แค่คนรับใช้ไหมว่ะ”อยู่ๆดิวก็เอ่ยขึ้น
หมับ!
“อ๊ะ...”
“ไอ้เชี่ย!”เลิฟเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระชากคอเสื้อของดิวอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ดีว่าวันที่ร้านคนน้อย
“เลิฟปล่อยดิวเดี๋ยวนี้นะ”เสียงหวานของพิ้งค์เอ่ยขึ้น
“ทำไมครับ ทำไมต้องปกป้องมันด้วยหรือคุณหนูชอบมันจริงๆ”เลิฟเอ่ยขึ้น พิ้งค์กำมือแน่นก่อนจะฟาดเข้าที่ใบหน้าของเลิฟไปฉาดใหญ่
เพี๊ยะ!
“ใช่ เราชอบดิว ชอบที่เขามีพร้อมทุกอย่าง ตามที่นายอยากจะยัดเหยียดเราให้คนแบบนี้ไง ไม่ดีหรอไง สมใจนายไม่ใช่หรอไง”พิ้งค์เอ่ยขึ้นด้วยทั้งน้ำตา ทั้งน้อยใจ เสียใจที่เลิฟคอยแต่จะจับเขายกให้คนอื่นเสมอ ไม่เคยจะแสดงออกว่าตัวเองเป็นใครในหัวใจของพิ้งค์เลยสักครั้งทั้งๆที่บ้านรู้เรื่องของพวกเขาแล้วก็ตาม
“ไอ้เชี่ยเลิฟ สองครั้งแล้วนะมึง...”พอร์ชเอ่ยขึ้น
“รีบตามพิ้งค์ไปดิ ถ้านายไม่อยากเสียเขาไปอีก”ชามเอ่ยขึ้นบ้างทำเอาเลิฟเริ่มไม่เข้าใจก่อนที่ดิวจะเอ่ยขึ้น
“แสดงออกว่าหวงและรักขนาดนี้ยังจะยัดเหยียดให้คนอื่นอีกหรอ ระวังนะครับระวังว่าการแสดงครั้งนี้จะเป็นจริง”ดิวเอ่ยขึ้น เลิฟยิ่งงงเข้าไปใหญ่ก่อนที่พอร์ชจะเอ่ยขึ้น
“รีบตามไป แล้วกูจะเล่าให้ฟัง แต่อยากบอกมึงไว้อย่างนะว่าพิ้งค์อ่ะรักมึงมาก”
“เดี๋ยวกูโทรหา เล่าให้หมดเปลือกเลยนะทั้งผัวทั้งเมียเลย และมึงไอ้ดิวนับจากนี้อย่าหวังว่าจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างกูกับพิ้งค์ได้อีก”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนจะวิ่งออกจากร้านไป
แผ่นหลังบางในชุดนักศึกษาที่กำลังยืนอยู่ข้างถนนเพื่อโบกแท็กซี่ แม้จะเสียใจพยายามข่มไม่ให้ตัวเองตื่นเต้นและกังวลขนาดไหน ในใจนับเลขในใจเพื่อผลลัพธ์ที่กำลังวิ่งออกมาจากร้าน
“ห้า”
“สี่”
“สาม”
“สอง”
“คุณหนูครับ...”รอยยิ้มมุมปากยกยิ้มเล็กน้อยอย่างคนชนะ ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าผ่านหลังของตัวเองปะทะกับอกกว้างของคนที่รัก
“ปล่อยเรานะ”พิ้งค์พยายามดิ้นเพื่อให้หลุดแต่อ้อมแขนของเลิฟก็ยิ่งแน่นกว่าเดิม
“ไม่ปล่อยครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่ปล่อยคุณหนูไปไหนอีกแล้ว คุณหนูเป็นของผม”
“เลิฟ ปล่อยเรานะ นี่มันริมถนนนะไม่อายหรอไง”พิ้งค์เอ่ยดุทั้งๆที่ตัวเองยกยิ้ม
“แล้วไงครับ ไม่สนหรอกผมจะไม่ยอมให้คุณหนูไปไหนอีกแล้ว”เลิฟเอ่ยออกมา พิ้งค์แอบหัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่ก็พอทำให้คนที่กอดเขาอยู่ตอนนี้รู้ว่าอีกคนกำลังหัวเราะ
“คุณหนู...”เลิฟเอ่ยขึ้นก่อนจะจับพิ้งค์หันมาเผชิญหน้ากับตัวเองก่อนจะกดจูบที่ริมฝีปากบางนั้นอย่างไม่อายใครที่เดินผ่านไปผ่านมา จนพิ้งค์รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าด้วยความเขินอาย
“เลิฟ...”
“ผมรักคุณหนูนะครับ”เลิฟและพิ้งค์สวมกอดกันกลมด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะหันไปในร้านที่ตอนนี้เสียงโวยวายจากในร้านออกมา
“มีอะไรกันอ่ะ หรือชามกับพอร์ชตีกันอีก”พิ้งค์เอ่ยขึ้น
“ไปดูกันครับ”เลิฟฉุดมือของพิ้งค์วิ่งไปที่ร้าน
โครม!
คราม!
“ไอ้เชี่ย นี่มันร้านกูนะ”พอร์ชเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปยกยิ้มให้ชามและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ร้านเมียกู แฮ่ๆ”พอร์ชเอ่ย ทั้งพิ้งค์และเลิฟวิ่งเข้ามายังไม่ทันจะเอ่ยถามอะไรก็ต้องหลบหมอนอิงที่ถูกขวางมาจากดิว
“คุณหนูหลบครับ”เลิฟดึงพิ้งค์เข้ามาสวมกอดเพื่อหลบ
“นี่มันอะไรกันว่ะ”เลิฟถามพอร์ช
“ไม่รู้ดิ ก็ไอ้หน้าหล่อมันออกจากห้องน้ำมา มันก็ทะเลาะกับบาริสต้าคนเก่งของร้านเมียกูทันที ทำยังกับรู้จักกันมาก่อนอย่างนั้นหล่ะ” ทั้งสี่ยืนมองสงครามที่กำลังสงบแล้วมันก็กำลังกดดันกันด้วยสายตาของทั้งคู่ตอนนี้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นถูกเล่าออกมาจากปากของพิ้งค์เรียบร้อยว่าที่จริงแล้วดิวคือเพื่อนในคณะแค่นั้น และด้วยความที่เป็นคนเพียบพร้อมทุกอย่างทำให้ชามคิดแผนออกมา ดิวเองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรยินดีช่วย อยากให้เลิฟเชื่อมั่นในตัวเอง มั่นใจในตัวเองว่าที่จริงแล้วไม่ได้อยากให้พิ้งค์เป็นของใคร
“อ่าห์...”
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อื่อออออ”
“ผมรักคุณหนูนะครับ”เลิฟเอ่ยทั้งๆที่ตัวเองกำลังสอบร่างเข้าหาพิ้งที่ตอนนี้นอนคว่ำหน้าอยู่
“เราก็รักเลิฟ...อ่าห์ อย่าทำรอยเยอะสิ งื้อๆ”พิ้งค์เอ่ยอ้อนๆเมื่อเลิฟทำรอยรักเต็มร่างกายไปหมด
“แสดงความเป็นเจ้าของไว้ก่อนครับ ใครหน้าไหนจะได้ไม่มายุ่งกับของของผม”
“เลิฟอ่ะ”
ความรักและหัวใจไม่ใช่จะยกให้ใครได้ง่ายๆ เพราะในใจรักแล้วก็ยิ่งรักเลยโดยไม่สามารถให้ใครมาเป็นเจ้าของแทนกันและกันได้
....The End….
-
ต้องเจอแผนเลิฟถึงจะเข้าใจ ชมพูสักที
จบทุกสีแล้ว แต่แอบอยากรู้อีกสองคู่ที่ทิ้งท้ายไว อิอิ
-
อีกสองคู่ที่ทิ้งท้ายไว้ มีเรื่องแยกต่างหากจ้า แต่ยังไม่ได้เปิดเรื่องเลยแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะคะ หรือติดตามไรท์ได้ที่
https://www.facebook.com/paisirisuck/?ref=aymt_homepage_panel (https://www.facebook.com/paisirisuck/?ref=aymt_homepage_panel)
-
ตัดเข้าเตียงเร็วจัง ..
-
:pig4: :pig4: :3123:
-
:pig4: :pig4: :L2: :3123: :L1: :pig4:
-
:impress2: :impress2: :impress2: