พิมพ์หน้านี้ - ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: BlueSora ที่ 26-09-2017 17:04:50

หัวข้อ: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 26-09-2017 17:04:50
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - บทนำ [26/09/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 26-09-2017 17:05:08
✤† Đemon’s Ħouse †✤
คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ



::: บทนำ :::



[ ห้องว่างแบ่งให้เช่า 1,000.- / เดือน สนใจ ติดต่อด้านใน ]

คำประกาศแบ่งห้องให้เช่าด้วยราคานี้เป็นเรื่องน่าสนใจและควรรีบไขว่คว้าเอาไว้สำหรับคนที่ไร้บ้านและไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเช่าด้วยราคาที่สูงกว่านี้ เฉกเช่นเดียวกับชายวัยกลางคนในสภาพมอมแมม หนวดเคราดกเฟิ้มราวกับไร้การดูแลมาร่วมเดือน ใบหน้ากร้านแดดโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคล กระเป๋าเป้ใบใหญ่บนหลังแบกสัมภาระทั้งหมดที่เจ้าตัวมีเอาไว้

ดวงตาคมเข้มดูแสนอิดโรยมองดูแผ่นป้ายประกาศขนาดเอสี่บนเสาประตูรั้ว เพียงแค่คิดว่าน่าสนใจ ประตูคฤหาสน์รูปทรงสไตล์โรมันก็เปิดออกอย่างช้าๆ ปรากฏให้เห็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวครีมยกคอสูงมีริบบิ้นสีดำเส้นเล็กผูกไว้หลวมๆ กับกางเกงสีดำทรงฟักทองดูน่ารักน่าเอ็นดู มือข้างหนึ่งอุ้มตุ๊กตาหมีขนปุยปอนๆ เหมือนไม่เคยถูกนำไปทำความสะอาดมาก่อน เด็กคนนั้นก้าวลงมาจากบันไดตรงเข้าหาชายหนุ่มวัยกลางคนแล้วเอื้อนเอ่ยถามเสียงเบาแต่ทว่าฟังดูไพเราะ น่าหลงใหล

“จะมาเช่าห้องใช่ไหมครับ”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเข้ามาก่อนครับ”

“เอ่อ... แต่ผมมีปัญหาเรื่องเงิน”

ชายคนนั้นเอ่ยถึงปัญหาทางการเงินของตัวเองที่ตอนนี้ก็ยังแก้ไม่ตก มันฟังดูเป็นเรื่องน่าอายที่แม้แต่เงินค่าเช่าห้องราคาถูกยังไม่มีจ่าย เขาไม่ได้หวังจะให้เจ้าของคฤหาสน์เห็นใจหรือผ่อนผันให้แต่เพียงแค่ต้องการแจ้งให้ทราบเอาไว้ก่อน

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาครับ”

“แต่...”

“คุณคิดว่าคฤหาสน์หลังโตขนาดนี้แบ่งให้เช่าด้วยราคาเท่านี้มันคุ้มแล้วเหรอครับ”

จริงอย่างที่เด็กคนนั้นว่า ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งมากมายอย่างนี้แต่ยังเก็บค่าเช่าในราคาถูกแสนถูกจนแทบจะหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ชายวัยกลางคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยถามถึงสัญญาการเช่าหรือแม้แต่การจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย

“แล้วเรื่องสัญญาเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ลุงต้องทำยังไง”

“ไม่ต้องทำอะไรครับ ถ้าลุงอยากจะพักวันนี้เลยก็ได้”

“ได้เหรอ”

“ครับ แต่ขอแค่ปฏิบัติตามกฎของที่นี่ก็พอ”

“กฎ?”

กฎที่เด็กหนุ่มตัวน้อยพูดถึงก็คงจะเป็นกฎทั่วๆ ไปเหมือนตามห้องเช่าที่อื่นๆ อาทิ เวลาเปิดปิดของสถานที่พักหรือไม่ก็ถ้าหากทำข้าวของเสียหายต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนเงินเท่าไร เป็นต้น แต่ชายผู้นั้นคงนึกไม่ถึงว่ากฎพวกนั้นไม่จำเป็นสำหรับคฤหาสน์หลังนี้

“ครับ กฎข้อแรก... หลังเที่ยงคืน ห้ามออกจากห้อง ห้ามส่องกระจก หากได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรไม่ต้องสนใจ กฎข้อที่สองคือปฏิบัติตามกฎข้อแรกอย่างเคร่งครัด”

ชายคนนั้นพยักหน้าเข้าใจแต่ก็ยังมีอีกหลายคำถามที่อยากจะถาม สัญญาเช่าก็ไม่ต้องเขียนแถมค่าเช่าก็ยังถูกแสนถูกกับกฎประหลาดประจำคฤหาสน์หลังนี้ทำให้เขายอมเก็บเรื่องที่จะถามเอาไว้ในใจเงียบๆ แต่เหมือนเด็กหนุ่มในชุดอันแสนน่ารักน่าเอ็นดูจะอ่านใจออกจึงพูดออกมาเสียเอง “ถ้าหากลุงมีธุระให้ต้องกลับหลังเที่ยงคืน มาถึงแล้วก็รีบเข้าห้องทันทีนะครับ”

“ที่นี่มีผีไหม”

“ถ้าลุงคิดว่ามีมันก็มี แต่ถ้าลุงคิดว่าไม่มีมันก็ไม่มี”

“แล้วหนูชื่ออะไร ลุงชื่อมิ่ง”

เด็กคนนั้นกอดตุ๊กตาหมีในอ้อมแขนเอาไว้แน่นแล้วหันมาอย่างช้าๆ ดวงตาสีเพลิงจ้องมองชายวัยกลางคนนิ่งงัน เพียงไม่นานเหมือนได้สติ ใบหน้ากลมมนสีไข่มุกก็ระบายไปด้วยรอยยิ้มที่พยายามแสดงความเป็นมิตรมากที่สุด “จ้าว ผมชื่อจ้าว”

“หนูจ้าวแล้ว... พ่อแม่ของหนูล่ะ”

“เสียหมดแล้วครับ”

จ้าวไม่ใช่ผู้ที่มีความอดทนมากพอที่จะต้องมาตอบคำถามที่เริ่มจะละลาบละล้วงถึงเรื่องส่วนตัว เขาหันไปจ้องหน้าลุงมิ่งด้วยแววตาโกรธเคืองระคนไม่พอใจ มือเล็กกำแขนตุ๊กตาหมีขนปุยมอมแมมในอ้อมแขนแน่นเสียจนเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ท่อนแขนกลมๆ ของตุ๊กตาตัวนั้นเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ

“เราไปดูห้องพักกันดีกว่าครับ”

จ้าวตัดบทดื้อๆ ด้วยการเอ่ยพาไปชมห้องพักที่อยู่บนชั้นสอง เขาพาเดินขึ้นบันไดเวียนที่ตั้งอยู่ตรงกลางคฤหาสน์เมื่อยามที่เดินเข้ามาถึงด้านในแล้ว บันไดเวียนหินอ่อนถูกแยกออกเป็นสองฝากฝั่งทั้งซ้ายและขวาเมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เด็กหนุ่มร่างเล็กพาเดินเลี้ยวไปยังฝั่งซ้ายมือและกำชับอย่างดิบดีว่า “ถ้าไม่จำเป็น อย่าไปเดินฝั่งนั้น”

“มันมีอะไรเหรอหนูจ้าว ลุงรู้ได้ไหม”

“ไม่รู้จะดีกว่าครับ”


*** to be continued ***

เรื่องนี้อาจจะนำมาลงไม่บ่อยเท่าเรื่องตุ๊กตาไขลานนะคะ แต่ก็จะเอามาลงเรื่อยๆ (เอ๊ะ! ยังไง)
แถมสุดท้ายคือ... นิยายเรื่องนี้ไม่มีดราม่า น้ำตาไม่ท่วมและเป็นนิยายที่ไม่มีสาระนะคะ อ่านได้เรื่อยๆ ไม่เครียด
ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 1 [26/09/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 26-09-2017 19:04:11
::: ตอนที่ 1 :::
จันทร์เอ๋ย จันทร์จ้าว




จันทร์เอ๋ย จันทร์จ้าว ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า

เสียงร้องเพลงดังก้องกังวานมาตามทางเดิน คงจะดีถ้าหากว่าลุงมิ่งไม่ได้อยู่คนเดียวในห้อง ถึงแม้การตกแต่งภายในจะค่อนข้างงดงามสักเท่าไรก็ตามแต่บรรยากาศบริเวณโดยรอบกลับชวนให้นึกถึงสมัยทำงานรับใช้คุณนายอยู่ในบ้านเรือนไทยที่ต่างจังหวัดแล้วได้ยินเสียงเพลงไทยเดิมเป็นเสียงประกอบลอยมาตามลม

ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน


ขนแขนลุกเกรียวกราวโดยไม่ต้องเรียกร้องใดๆ ความรู้สึกเหมือนอีกไม่นานตัวเองจะถูกผีหลอกมันหลั่งไหลเข้ามา เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวออกห่างจากเตียงนอนแม้เพียงก้าวเดียว ไม่กล้าแม้แต่จะซุกตัวนอนภายใต้ผ้าห่มผืนหนา สองแขนเกาะเกี่ยวกันแน่นราวกับกลัวว่าร่างนี้จะหายไป ลุงมิ่งกลัวผีเสียยิ่งกว่าอะไร

ขอละครให้น้องข้าดู ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด

โชคดีที่ลุงมิ่งไม่ได้เกิดเป็นผู้หญิง ไม่อย่างนั้นคงคิดไปแล้วว่าเพลงที่ร้องดังอย่างโหยหวนอยู่นี่คงกำลังหมายถึงตัวเขาเอง เสียงเพลงดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะเรียกได้ว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องที่ลุงมิ่งพักอยู่แล้ว เสียงนั้นเงียบไปอยู่ชั่วอึดใจแต่บรรยากาศภายในห้องกลับเย็นยะเยือกจนเสียวสันหลังวูบวาบ   

ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง

เสียงให้ชวนขนลุกขนพองและยานคางหยุดลงที่หน้าประตูห้องพักของลุงมิ่ง เขาจำคำเตือนของเด็กน้อยคนนั้นได้ดี... ‘ได้ยินเสียงอะไรอย่าตอบกลับและห้ามออกจากห้องหลังเที่ยงคืน’ นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงคืนคงไม่เป็นไร ลุงมิ่งก้าวลงจากเตียงอย่างช้าๆ ด้วยใจที่กำลังเต้นโครมครามอย่างหวาดกลัว ถ้าได้ยินเสียงร้องและหยุดลงที่หน้าประตูห้องนั่นก็แปลว่าคงมีใครสักคนเดินมาหา

ชายวัยกลางคนหมุนลูกบิดประตูห้องด้วยมืออันสั่นเทาและหวังเพียงว่าขอแค่ให้มีใครสักคนยืนอยู่หลังประตูบานนั้น ประตูไม้บานไม่ใหญ่มากนักแต่ดูเหมือนจะหนักอึ้งเกินกว่าที่จะเปิดออกอย่างง่ายดาย

‘สวัสดีครับ ขอโทษที่มารบกวนกลางดึก’

ชายหนุ่มลูกครึ่งวัยยี่สิบปีในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่พับแขนเสื้อขึ้นมาจนเกือบจะถึงข้อศอก สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำสนิท ดูเหมือนจะเปรอะคราบดำอะไรสักอย่างบนเสื้อกั๊กตัวนั้นด้วยแต่ลุงมิ่งไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก เขารู้สึกโล่งอกที่เมื่อเปิดประตูออกมาแล้วยังพบใครก่อนที่จะตอบออกไปว่า “ไม่เป็นไร”

‘ผมชื่อเจต เป็นพี่ชายของจ้าว ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง ผมไม่ค่อยแข็งแรงน่ะครับ’

“อ๋อครับ ลุงก็นึกว่าหนูจ้าวอยู่ที่นี่คนเดียวซะอีก โล่งอกไปที” ฝ่ามือหยาบกร้านยกขึ้นทาบอกตัวเองแล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ “เข้ามาข้างในก่อนไหม”

‘ไม่เป็นไรครับ ผมรบกวนลุงแค่นี้ดีกว่า พักผ่อนให้สบายนะครับ’


“เดี๋ยว! หนูเจต ลุงขอถามอะไรหน่อยสิ”

‘ครับ’

“ที่นี่มีคนอื่นมาพักไหม”

‘ที่นี่นอกจากผมและจ้าวก็มีแค่ลุงคนเดียวครับ’

“แล้ว...”

‘พักผ่อนเถอะครับ ลุงคงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวผมจะมาคุยด้วยใหม่’

“ครับ”

ลุงมิ่งปิดประตูห้องลง แต่เหมือนจะลืมกล่าวราตรีสวัสดิ์และขอบคุณที่ใจดีให้ที่พักที่นอนจึงเปิดประตูออกไปอีกครั้งแต่ทว่าเมื่อเปิดออกไปแล้วกลับพบเพียงความว่างเปล่า พื้นทางเดินที่มองออกไปจนสุดทั้งซ้ายขวาไม่มีแม้ใครสักคนและลุงมิ่งก็มั่นใจว่าแค่เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งนาทีเท่านั้นที่ตัดสินใจเปิดประตูออกดู เด็กคนนั้นไม่น่าจะหายไปได้และถ้าหากหูไม่ได้ฝาดไป เขาเองก็ยังมั่นใจอีกว่าหลังจากที่ประตูปิดลงไปแล้ว ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือเสียงคนเดินเลย

เพราะลุงมิ่งเชื่อในคำเตือนของจ้าว เขาจึงรีบเข้านอนและลืมเรื่องที่สงสัยในวันนี้ทิ้งไป

----------------------------

เด็กชายตัวน้อยบนเก้าอี้ม้าโยกแสดงสีหน้าไม่พอใจเมื่อรับรู้ว่าพี่ชายของตัวเองไม่ยอมจัดการเรื่องนี้ให้จบๆ ไปแต่ยังรั้งรอเวลา เขาไม่ชอบที่ต้องปล่อยให้พี่ชายจากไปแม้เพียงสักเสี้ยววินาที มือเล็กกำแขนตุ๊กตาหมีไว้แน่นก่อนจะเค้นเสียงถาม “รออะไรครับ”

‘จ้าว... พี่ขอโทษ พี่แค่อยากทำเหมือนที่จ้าวทำ’

“พี่เจตก็รู้ว่าจ้าวไม่ชอบห่างจากพี่แล้วทำไมถึงยังทำ”

‘พี่ขอโทษนะจ้าว พี่ขอเวลาอีกสามวันได้ไหม’


“ถ้าพี่รับปากว่าจะทำให้เสร็จ จ้าวจะให้โอกาสพี่”

โอกาสที่จ้าวไม่เคยหยิบยื่นมันให้ใครง่ายๆ แต่สำหรับพี่ชายผู้ที่เด็กคนนี้รักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนโลกใบนี้ เขายอมที่จะให้พี่ชายได้ทำตามที่ตัวเองพูด หากแต่เมื่อใดก็ตามที่ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ก็รู้เอาไว้ว่าเรื่องนี้คงจบลงไม่สวยแน่

‘พี่รับปาก จ้าวเป็นเด็กดีและพี่ก็รักจ้าว’


คำพูดหวานหูของวิญญาณเจตรินที่อยู่ในตุ๊กตาหมีฝุ่นเขรอะทำให้จ้าวเริ่มใจอ่อน คงไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงนักหากพี่ชายรับปากเป็นหมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะเป็นคนจัดการมันด้วยตัวเองให้เรียบร้อย เขาหวังว่ามันคงจะเรียบร้อยอย่างที่พูดเอาไว้จริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเป็นจ้าวที่ออกโรงเอง

“จ้าวเป็นเด็กดี พี่เจตควรฟังที่จ้าวพูด”

‘พี่ฟังจ้าวอยู่แล้ว พี่ไม่เคยไม่เชื่อที่จ้าวพูดนะ’

“ก็ดีครับ” 

‘ขอพี่ไปดูลุงแกอีกทีได้ไหม จ้าว’

“ไปทำไมอีกครับ” น้ำเสียงกดต่ำ แววตาสีเพลิงดุดันจ้องมองไปยังตุ๊กตาที่อยู่ในอ้อมแขนราวกับจะเค้นหาคำตอบที่ตัวเองอยากได้ยินได้ฟัง มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลับไปรบกวนลุงมิ่งอีกในเวลานี้ในเมื่อยังมีเวลาเหลืออีกตั้งสามวันตามที่เจ้าตัวได้ขอเอาไว้

‘เขาไม่มีเงินไม่ใช่เหรอ พี่ก็จะไปหางานให้เขาทำไง มีงานก็มีเงินมาเช่าห้องพักของเราได้แล้ว’


“ใช่ครับ แต่จ้าวคิดว่าพี่คงไม่ใช่ไปแค่หางานให้ลุงหรอกใช่ไหมครับ”

‘จ้าวปล่อยพี่ไปได้ไหม’

“ได้สิครับ”

สิ้นเสียงนุ่มแสนไพเราะของเด็กน้อย ตุ๊กตาหมีที่เต็มไปด้วยฝุ่นก็ถูกปล่อยทิ้งไว้บนพื้นข้างตัว... ไปแล้ว วิญญาณของเจตรินออกจากตุ๊กตาหมีตัวนั้นไปแล้ว ตรงไปตามทางเดินที่เงียบสงบ มืดมิดและอับชื้น เงาสีดำแผ่ขยายเป็นวงกว้างก่อนปรากฏขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง เด็กหนุ่มผมสีบลอนทองในชุดเสื้อเชิ้ตที่ทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำอีกตัวหยุดลงตรงหน้าประตูห้องเดิมที่เคยแวะเวียนมาก่อนหน้านี้แล้วบรรจงเคาะลงบนบานประตูไม้เบาๆ

เพียงไม่นานเท่าไรนัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก เขารับรู้ได้ว่าเจ้าของห้องกำลังหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง

“อ๊ะ! อ้าว... หนูเจต”

‘ขอโทษนะครับที่มารบกวนอีกแล้ว พอดีว่าผมลืมถามอะไรบางอย่างน่ะครับ ลุงพอจะสะดวกคุยไหม’

“ได้สิ เข้ามาข้างในก่อนไหม”

ลุงมิ่งเชื้อเชิญให้เจตรินเข้ามาข้างในห้องก่อน เขาจำได้ดีถึงกฎของที่นี่เพราะอย่างนั้นแล้วจึงไม่อยากให้เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่นอกห้องนานนัก เขากลัวว่ามันจะมีอะไรที่มองไม่เห็นอยู่ที่นี่หลังเที่ยงคืน

‘ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากมาถามเรื่องงานนิดหน่อย คือ... ลุงยังว่างงานอยู่ใช่ไหมครับ’


“ใช่ๆ ลุงว่าพรุ่งนี้จะไปหางานทำน่ะ”

‘ถ้าผมมีงานให้ลุงทำ ลุงสนใจไหม’

“งานอะไรหรือ หนูเจต ลุงทำได้ทุกอย่างเลยนะ”

‘ช่วยเป็นคนสวนของที่นี่ได้ไหมครับ พอดีคนงานเราขาด’

“ได้สิ”

‘ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยคุยรายละเอียดกันนะครับ ดึกมากแล้ว อย่าลืมสิ่งที่น้องชายผมพูดไว้ล่ะ’

“เดี๋ยว หนูเจต เสื้อเลอะน่ะ”

‘อ๋อครับ พอดีผมทำซอสสตรอเบอร์รี่หกใส่น่ะครับ’

เจตรินก้มมองดูคราบเปื้อนบนเสื้อกั๊กแล้วยกยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนที่จะขอตัวไปพัก เขารู้ดีว่าถ้าอยู่ตรงนี้นานกว่านี้จะต้องถูกจ้าวดึงตัวกลับไปอย่างแน่นอน งานนี้แผนที่วางไว้เสียดิบดีคงได้พังลงมาไม่เป็นท่า

‘ลุงไปพักเถอะครับ ผมไม่กวนแล้ว’


“ถ้างั้นก็ฝันดีนะ หนูเจต”

คล้อยหลังคำกล่าวราตรีสวัสดิ์ของวันนี้ไปได้ไม่นาน ร่างของเจตรินก็อันตรธานหายไป ลุงมิ่งหันกลับไปดูก็ไม่พบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ตรงนี้แล้วเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่เมื่อพอหันไปก็ไม่พบใครสักคนจนเขารู้สึกแปลกใจเหมือนกับว่าเจตรินมีความสามารถในการหายตัวได้

ตึก... ตึก... ตึก...

เวลาเที่ยงคืนเศษแล้ว เสียงฝีเท้าคนเดินอยู่ด้านหลังบานประตูห้องราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม ลุงมิ่งรับรู้แต่ด้วยเพราะสิ่งที่จ้าวเคยพูดเอาไว้เลยทำให้เขาเลือกที่จะไม่สนใจมันเสียแล้วเดินไปยังเตียงนอนแม้ในใจลึกๆ จะยังหวาดหวั่นกับเสียงนั้นก็ตาม

ตึก... ตึก... ตึก... กริ๊ก!

เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งหยุดลงที่ห้องพักข้างๆ ห้องของลุงมิ่ง ตามด้วยเสียงไขประตูห้องแต่ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้าไปเลยแม้เพียงนิดเดียว ท่ามกลางความเงียบสงัดยามดึกดื่นและบรรยากาศชวนขนหัวลุก เขานั่งขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาและพยายามข่มตาลงให้หลับ หากแต่มันเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกินที่จะลบเรื่องราวที่กำลังรบกวนจิตใจในเวลานี้ออกไปได้

ซ่าาาาาา ซ่าาาาาาาาาาา

เสียงน้ำไหลออกจากฝักบัวที่ดังอยู่ในห้องข้างๆ ที่ลุงมิ่งจำได้ดีว่าเจตรินเคยบอกว่าที่นี่ไม่มีใครนอกจากเขา ลุงมิ่งและน้องชายเท่านั้นแล้วเสียงที่ดังมาจากห้องข้างๆ นั่นเป็นของใคร ใครที่นึกอุตริมาอาบน้ำเอาตอนเที่ยงคืนกว่าๆ แบบนี้ อยากจะเดินออกไปถามแต่คำเตือนของจ้าวก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัว

ท่ามกลางบรรยากาศราวกับอยู่สุสาน ยากจะข่มตาให้หลับลงได้ ทุกสิ่งรอบข้างดูจะไม่น่าพิสมัยไปเสียหมดเมื่อลุงมิ่งยังคงได้ยินทั้งเสียงฝีเท้า เสียงน้ำที่ไหลออกมาจากฝักบัวข้างห้อง รวมไปถึงเสียงของคนคุยกันดังแผ่วมาจากที่ไกลๆ

ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ไม่ทำงานและพระจันทร์กำลังส่องแสงสว่างเจิดจ้า คงไม่มีใครพากันมาจัดงานเลี้ยงสังสรรค์แน่ แต่ลุงมิ่งกลับมั่นใจว่าสิ่งที่เขาได้ยินผ่านสองหูนั้นคือสิ่งที่กำลังคิดถึงอยู่ในเวลานี้ เคยมีคนบอกว่าถ้าอยากหลับให้สบายก็ต้องสวดมนต์ก่อนนอน แต่แม้แต่คำว่านะโมตัสสะก็ยังนึกไม่ออก

ลุงมิ่งไม่คิดจะหลับอีกแล้ว... หากยังคงได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยินในเวลาแบบนี้

เสียงเพลงดนตรีไทยดังคลอมาเบาๆ เคล้าเสียงพูดคุยชวนให้ขนลุกขนพอง บรรยากาศเงียบสงัดกลางดึกดูช่างเข้ากันได้ดีกับเสียงดนตรีไทยเดิมนั่นเสียจริง โชคดีที่ไม่ใช่เพลงธรณีกรรแสง ไม่อย่างนั้นลุงมิ่งคงรีบเตรียมตัวเก็บข้าวของลงกระเป๋าแล้วเผ่นออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด

ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
 
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ลุงมิ่งสะดุ้งเฮือก สองจิตสองใจระหว่างจะเดินไปเปิดประตูหรือจะอยู่เฉยๆ บนเตียงนอน คำเตือนของจ้าวยังคงสะท้อนก้องอยู่ในหัวแต่ก็มีทางเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเจตรินที่มาเคาะประตูยามดึกดื่นเกินเที่ยงคืนไปแล้วอย่างนี้ แต่ถ้าหากยังนั่งอยู่ตรงนี้แล้วอีกฝ่ายเป็นเจตรินจริงๆ ลุงมิ่งไม่รอช้ารีบตะโกนถามออกไป “นั่นใคร”

ลุงมิ่งคงลืมกฎของคฤหาสน์หลังนี้ไปข้อหนึ่งนั่นก็คือ... ได้ยินเสียงอะไรก็ตาม อย่าสนใจ

‘ผมเองครับ’

“หนูเจตเหรอ”

‘ครับ เปิดประตูให้หน่อยได้ไหมครับ’

“รอเดี๋ยวนะ ลุงกำลังไป”

ลุงมิ่งคงลืมกฎของคฤหาสน์หลังนี้ไปหมดสิ้นแล้วล่ะมั้ง ถึงได้กระวีกระวาดรีบไปเปิดประตูต้อนรับ

“หนูเจตมาทำไมดึกดื่นป่านนี้”

‘ขอโทษนะครับ ผมมีธุระต้องทำให้เสร็จ’


“ธุระอะไรเหรอ เกี่ยวกับลุงหรือเปล่า”

‘ครับ’
ยังไม่ทันที่เจตรินจะได้พูดอะไรต่อ ลุงมิ่งก็สังเกตเห็นเสื้อกั๊กสีดำสนิทตัวนั้นโชกชุ่มไปด้วยอะไรบางอย่างที่เหนียวเหนอะสีแดงสด ลุงมิ่งรีบให้ชายหนุ่มเข้ามานั่งในห้องเพราะดูท่าแล้วน้ำเหนียวๆ สีแดงสดนั่นไม่น่าจะใช่ซอสสตรอเบอร์รี่อย่างที่เจ้าตัวได้บอกไว้ก่อนหน้านี้

“หนูเจต! นี่มันเลือด... เลือดใช่ไหม”

เจตรินก้มมองรอยที่เปรอะเสื้อแล้วเอามือแตะลงไป เขาเอียงคอดูฝ่ามือที่มีน้ำข้นเหนียวเหนอะสีแดงอยู่เต็มพลางแสยะยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้ารับว่าสิ่งที่ลุงมิ่งคิดนั้นไม่ได้ผิดไป ลุงมิ่งพาเจตรินเข้ามาในห้องและให้นั่งลงบนเตียงนอน เขาตั้งใจจะทำแผลให้แม้ว่าจะไม่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาล รอยแผลนั้นดูยาวและใหญ่ราวกับโดนมืดหั่นเนื้อแทงเข้าไปลึกพอประมาณ ด้วยบาดแผลขนาดนั้นแต่เจ้าตัวกลับไม่มีทีท่าเจ็บปวดใดๆ ให้เห็นเลย ยังคงนั่งนิ่งๆ และเอามือกดแผลนั้นไว้

“แผลมันใหญ่ขนาดนั้น... ลุงว่าเรียกรถพยาบาลดีไหม”

‘ไม่เป็นไรครับ’


“ไม่เป็นไรได้ยังไง”

‘ไม่เป็นไรครับ ชินแล้ว’

หยดเลือดไหลจากบาดแผลเป็นทางยาวเปรอะเสื้อกั๊กตัวนั้นจนโชกชุ่ม ยิ่งปล่อยไว้นานก็ดูเหมือนเลือดจะทะลักออกมามากขึ้นเรื่อยๆ คำว่าชินแล้วสำหรับเจตรินก็คงจะชินจริงๆ เพราะเจ้าตัวไม่รู้สึกเจ็บปวดหรือทุกข์ร้อนอะไรกับแผลบริเวณหน้าท้อง หากแต่ลุงมิ่งไม่ชินและกลัวว่าเด็กหนุ่มจะเลือดหมดตัวเสียก่อน

“ถ้าอย่างนั้นให้ลุงทำแผลให้ก่อนดีกว่า”

เจตรินไม่ตอบอะไร เขาปล่อยให้ลุงมิ่งเข้ามาใกล้... ใกล้มากขึ้น ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะทำแผลให้ จู่ๆ กลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วทั้งห้องจนฉุนติดจมูก เล่นเอาลุงมิ่งเกือบจะอาเจียนออกมา หากแต่ในวินาทีนั้นของมีคมปลายแหลมก็เสียบแทงเข้าไปที่ยังร่างของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับบิดหมุนเป็นวงกลม ความเจ็บปวดแล่นปราดเข้ามาเพียงเสี้ยววินาที

“นะ... หนูเจต...”

‘ขอโทษนะครับลุง พอดีเราไม่ต้องการรับคนเป็นมาทำงาน’


“อะ... อะไรนะ หนูเจต...”

มือหยาบกร้านคว้าข้อมือของเจตรินเอาไว้ก่อนที่มีดเล่มนั้นจะแทงเข้ามาลึกมากกว่านี้ ความเย็นเฉียบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายคล้ายสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไร้ชีวิต... ไร้เรี่ยวแรงต้านทานใดๆ ลุงมิ่งไม่สามารถรั้งให้ใบมีดกรีดแทงลึกลงไป ลึกลงไปจนมิดด้าม
ดวงตาสีเฮเซลนัทดูเยือกเย็นราวกับเป็นคนละคนก่อนหน้านี้จ้องมองไปยังบาดแผลที่ถูกกว้านลึกเป็นวงกว้างแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างเลือดเย็น ร่างที่อยู่ข้างใต้พยายามใช้แรงของตัวเองที่มีทั้งหมดเพื่อผละร่างของเจตรินให้ออกห่างจากตัวแล้ววิ่งออกไปจากห้อง แม้มันจะทุลักทุเลอยู่บ้างแต่ลุงมิ่งก็ตัดสินใจออกมา ดีกว่าการปล่อยให้ตัวเองต้องตายอยู่ตรงนั้น

“ลุงมิ่ง ออกมาทำอะไรดึกดื่นครับ”

“หนูจ้าว... หนูจ้าว ช่วยลุงด้วย!”

จ้าวรีบรุดตรงเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มือเล็กช่วยประคับประคองร่างนั้นเอาไว้อย่างมั่นคง ไม่ให้ทรุดตัวลงไปกับพื้น ดวงตากลมโตจ้องมองด้ามมีดที่ถูกแทงลึกลงไปบนหน้าท้องจนมิดด้วยแววตาที่ยากจะบรรยาย เลือดสีแดงสดไหลอาบจนชุ่มและหยดเป็นทางยาวจากห้องลากมาจนถึงตรงนี้ ดูท่าว่าถ้าหากดึงมีดที่ปักอยู่เล่มนั้นออกมาเลือดคงกระเซ็นเปรอะเปื้อนโถงทางเดินหมดแน่

“จ้าวต้องทำยังไงครับลุง”

“พาลุงส่งโรง... พยาบาลที หนูจ้าว”

“เลือดออกเยอะขนาดนี้ ไม่ทันแน่ครับ” น้ำเสียงกระวนกระวายแสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจนไม่ปิดบัง เด็กหนุ่มรู้ว่านี่เป็นฝีมือของใคร พี่ชายของเขาชอบเล่นอะไรโหดร้ายแบบนี้เสมอและมันก็เป็นรูปแบบเดิมๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนไป

“จ้าวจะดึงมีดออกก่อนแล้วลุงคอยกดปากแผลเอาไว้นะครับ”

อย่าเรียกว่าค่อยๆ ดึงเลย เรียกว่ากระชากออกจะดูฟังเข้าใจง่ายกว่า เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นทันทีหลังจากที่มีดเล่มนั้นหลุดออกมาแล้ว ดวงตากลมโตสีแดงดุจเพลิงในนรกจ้องมองไปยังเลือดที่ไหลทะลักออกมาจากบาดแผล รอยยิ้มที่เคยเป็นมิตรบัดนี้กลับมีแต่ความน่าสะพรึงกลัว ทุกสิ่งทุกอย่างแห่งความชั่วร้ายปรากฏต่อหน้าชายวัยกลางคนผู้นี้ ด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่แล่นริ้วไปทั่วร่างกายไม่อาจทำให้เขาขยับเขยื้อนไปไหนได้ง่ายๆ

“หนู... จ้าว”

“จ้าวบอกแล้วใช่ไหมครับ อย่าออกจากห้อง อย่าสนใจเสียงอะไร”

“หนูจ้าว ลุง... ลุงขอโทษ”

ลุงมิ่งทรุดตัวลงนั่งกับพื้น กล่าวขอโทษซ้ำไปซ้ำมากับความผิดพลาดของตัวเอง ใบหน้าที่กร้านแดดเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เลือดที่ไหลนองท่วมพื้นเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าตัวเองกำลังจะต้องจบชีวิตลงในอีกไม่ช้านี้ มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้นั่นคือการร้องขอชีวิตต่อหน้าเด็กคนนี้เท่านั้น

“หนูจ้าว ช่วย... ช่วยลุงด้วย... นะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับ ในขณะเดียวกันนั้นเจตรินที่เดินออกมาจากห้องสร้างความหวาดกลัวให้กับลุงมิ่งเป็นอย่างมาก เขาพยายามตะเกียดตะกายให้ตัวเองพ้นจากที่ตรงนี้ ฆาตกรเลือดเย็นอย่างเจตรินกำลังเดินตรงเข้ามาเพื่อจัดการกับเขา

“พี่เจต! อย่านะ! จ้าวขอร้อง”

‘พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย... พี่แค่ปักมีดเฉยๆ ลุงมิ่งก็ยังไม่ตายไม่ใช่เหรอ’

“แต่เขากำลังจะตาย”

เจตรินไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มให้ลุงมิ่งอย่างเยือกเย็นเท่านั้นและไม่ได้เดินตรงเข้าไปหาหรือทำอะไรอย่างอื่นอีก เพียงแค่ยืนมองน้องชายที่ประคองร่างของชายวัยกลางคนอย่างทุลักทุเลเดินจากไป ไม่แม้แต่จะเข้าไปช่วย เมื่อถึงมือจ้าวแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง

“ลุงมิ่งอดทนไว้ก่อนนะครับ”

ลุงมิ่งพยายามอดทนไว้อย่างที่จ้าวบอก แต่เลือดที่ไหลออกจากร่างกายมากมายขนาดนี้ เขาไม่แน่ใจว่าจะทนไปได้อีกนานเท่าไรกัน อาจจะสิ้นลมไปก่อนถึงโรงพยาบาลก็ได้

“ลุง... ลุง... ไม่ไหวแล้ว”

“อดทนอีกนิดนะลุง เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

จ้าวพาลุงมิ่งออกมาจากตัวคฤหาสน์จนเกือบจะถึงประตูรั้วแล้ว อาการของลุงมิ่งดูจะหนักหนาสาหัสเอาการ เลือดที่ไหลมาตลอดทางพรากเอาเรี่ยวแรงที่ควรมีไปจนหมดสิ้น แต่จ้าวก็ยังคงประคับประคองร่างนั้นเอาไว้ไม่ให้ต้องล้มลงไป จิตใจของเด็กคนนี้ดีเหลือแสน ลุงมิ่งอยากจะเอ่ยขอบคุณแต่ทว่าก็พูดออกไปได้เพียงเบาๆ เพราะแม้แต่แรงที่จะขยับตัวยังไม่มี ประสาอะไรกับแรงที่จะขยับปาก

“ลุงมิ่ง ยินดีต้อนรับนะครับ”

ลุงมิ่งไม่เข้าใจว่าจ้าวต้องการสื่ออะไร ทว่ายังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ ความเจ็บปวดก็แล่นริ้วเข้าสู่กลางหลังเป็นทางยาวจนทรุดลงกับพื้นทั้งร่าง ลมหายใจเริ่มรวยรินใกล้ขาดห้วงเข้าไปทุกที... ทุกที เขาแทบจะไม่รับรู้อะไรแล้ว รู้แต่เพียงว่าร่างกายกำลังถูกพลิกขึ้นอย่างยากลำบาก

“เจ็บไหมครับ ลุง”

เจ็บสิ เจ็บมาก เจ็บจนเหมือนตัวเองกำลังจะตายเข้าจริงๆ แต่ลุงมิ่งไม่มีแรงที่จะพูดออกไป

“ทนอีกนิดนะครับ ใกล้แล้ว”

จ้าวทรุดตัวลงนั่งข้างลุงมิ่ง แสยะยิ้มชวนขนหัวลุกก่อนที่จะยกมือข้างที่ถือมีดที่ดึงออกมาจากบาดแผลของลุงมิ่งปักลงไปบนต้นคอจนมิดด้าม ตัดผ่านเส้นเลือดใหญ่จนเลือดไหลทะลักออกมาอย่างท่วมท้น ชายวัยกลางคนเบิกตาโผลงด้วยความตกใจ พยายามสูดเอาอากาศที่มีอยู่รอบตัวเข้าไปแต่กลับกลายเป็นการยากเมื่อมีดเล่มนั้นแทงทะลุหลอดลม อาจจะไม่ทำให้ตายในทันทีหากแต่เพราะบาดแผลฉกรรจ์ได้รับทำให้ท้ายสุดแล้วลมหายใจก็ขาดห้วงจนสิ้นใจในที่สุด

“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์คัลเลนนะครับ”



*** to be continued ***


เห็นบทนำมันน้อยมาก ดูเหมือนอ่านแล้วยังไม่มีอะไรเลยคิดว่าเอาตอนที่ 1 มาแปะเพิ่มดีกว่า
พระเอกยังมาไม่ถึงนะคะ (รถติดอยู่บนทางด่วนค่ะ) กลัวเข้าใจกันผิด คิดว่าลุงมิ่งเป็นพระเอกของเรื่องกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สนุกหรือไม่สนุกยังไง บอกได้เลยค่ะ
สุดท้ายนี้ก็ขอฝากเด็กดีอย่างหนูจ้าวด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 1 [26/09/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-09-2017 19:26:11
เปิดตัวน้องจ้าวแล้วนึกถึง ciel black butler ค่ะ คงจะตัวเล็กๆ สไตล์การแต่งตัว ความลึกลับ แถมอยู่คฤหาสน์ รวมๆ น้องจ้าวคงแนวประมาณนี้ น่าเอ็นดูววว  :impress2:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 1 [26/09/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-09-2017 19:30:29
 :katai2-1: :mc4: :katai2-1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 1 [26/09/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-09-2017 21:16:12
 :ling3:  :ling3: หลอนดี คนแก่ชอบ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 2 [07/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 07-10-2017 11:33:08
::: ตอนที่ 2 :::
ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังใหม่





“เฮ้ย!! มันอยู่นั่น!! ตามไปเร็วสิวะ!” 

เสียงตะโกนโหวกเหวกริมถนนยามวิกาล ตามมาด้วยเสียงฝีเท้านับสิบวิ่งกวดเข้ามาเรื่อยๆ เด็กเทคนิคที่นึกครึ้มยกพวกตีกันและดันวิ่งมาทางที่ชายหนุ่มในชุดนักศึกษากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าร้านมินิมาร์ท เขาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเขวี้ยงมวนบุหรี่ที่ดูดไปได้ยังไม่ถึงครึ่งลงพื้น ไม่มีเวลามากพอที่จะใช้เท้าเหยียบเพื่อดับไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ที่ปลายแท่งลง สาวเท้าวิ่งสุดกำลังแรงเกิด ถึงจะไม่ได้ทำผิดอะไรแต่ถ้ายังขืนอยู่ตรงนั้นต่อมีหวังได้โดนลูกหลงเข้าแน่

วิ่งมานานเท่าไรไม่รู้ แต่เสียงฝีเท้ายังคงไล่กวดตามหลังมาติดๆ ชายหนุ่มพยายามออกแรงวิ่งให้เร็วกว่านี้จนในที่สุดก็เหมือนจะหลุดมาได้ระยะหนึ่ง พอที่จะได้หยุดพักหายใจ ไม่รู้ทำเวรกรรมอะไรไว้แต่ชาติปางก่อน ทั้งที่มองดูรอบๆ อย่างดีแล้วแท้ๆ ว่าไม่น่าจะมีการยกพวกตีกันตอนเกือบจะเที่ยงคืนแบบนี้ในสถานที่ที่มีแต่บ้านพักอาศัย

ครืดดด ครืดดดดด

เสียงเหมือนเหล็กถูกครูดไปตามพื้นคอนกรีตเรียกให้ชายหนุ่มคนนั้นหันมอง ประตูรั้วเก่าๆ ที่สีถูกกร่อนไปมากแล้วเปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อย เขาตัดสินใจแล้วว่าจะขอเข้าไปหลบอยู่ข้างในก่อนที่คนพวกนั้นจะวิ่งมาถึงตรงนี้ อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าเด็กพวกนั้นจะตีกันเสร็จหรือไม่ก็ตำรวจมาพอดี

ชายหนุ่มทรุดตัวหลบอยู่หลังกำแพง คอยเงี่ยหูฟังเสียงตีรันฟันแทงของเด็กเทคนิคที่ดังระงมอยู่ข้างนอก แล้วก็นึกขำตัวเองที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งมาตั้งไกลขนาดนี้เหมือนกับว่ากำลังถูกตามล่าทั้งที่เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยกับการทะเลาะวิวาทกันในครั้งนี้

“พ่อหนุ่ม ออกไป”

ชายหนุ่มหันไปตามเสียงที่ดังขึ้นแล้วพบว่าเป็นชายวัยกลางคน หนวดเคราดกเฟิ้ม เห็นหน้าไม่ชัดเจนมากนักด้วยเพราะแสงไฟที่มีจากริมถนนไม่ได้มากพอที่จะแสดงรายละเอียดให้เห็น รู้แต่เพียงว่าชายคนนั้นกำลังถือกรรไกรตัดหญ้ายืนคร่อมหัวเขาอยู่ ดวงตาสีดอกเลาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หดหู่

“ขอผมหลบอยู่ที่นี่สักพักได้ไหม ข้างนอกยังตีกันอยู่เลย”

“ไม่ได้! ออกไปเดี๋ยวนี้!”

“นะ... ลุง แค่อยู่ตรงนี้ ไม่เข้าไปข้างในหรอก”

“บอกแล้วว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ฟังไม่เข้าใจเหรอ”

ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาคนนั้นฟังเข้าใจทุกคำทุกตอน หากแต่ถ้าออกไปตอนนี้มีหวังได้โดนลูกหลงแน่ เพราะเสียงเฮโลตีกันดังอยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนี้เท่าไรนัก จำต้องขอร้องคุณลุงไม่ให้ไล่เขาออกไปจากที่นี่ ขอเวลาเพียงไม่นาน แค่ไม่กี่นาทีจนกว่าเสียงทะเลาะวิวาทพวกนั้นจะจบลง

“ลุงชื่ออะไรครับ”

“ถามทำไม”

“ผมชื่อตฤณครับ วิ่งหนีพวกที่ตีกันจนมาถึงนี่แล้วเห็นประตูเปิดอยู่ ผมขอแค่แปบเดียวนะลุง...” ตฤณเงียบเสียงลงตรงช่วงท้ายประโยค พยายามคิดหาคำพูดต่างๆ มาเพื่อพูดถ่วงเวลาเอาไว้ก่อน พูดไปเรื่อยๆ จนเสียงที่ดังอยู่นั้นเงียบลงนั่นล่ะคือทางออกใหม่ที่เขาเพิ่งจะนึกมันออกมาได้

“มิ่ง ลุงชื่อมิ่ง”

“ลุงมิ่ง”

ตฤณมองไปตามเสียงเรียกชื่อชายวัยกลางคนคนนี้ ปรากฏเป็นร่างของเด็กผู้ชายสวมชุดสไตล์โลลิต้า มือข้างหนึ่งกอดตุ๊กตาไว้แนบอกกำลังส่งยิ้มหวานอย่างเป็นมิตรมาให้เขา ผู้ที่กำลังร้องขอสถานที่หลบภัยให้แก่ตัวเอง เด็กคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาแล้วเอ่ยบอกกับชายวัยกลางคนว่า “ลุงมิ่งทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ”

งาน?.... เดี๋ยวนะ! งานอะไรทำตอนเกือบจะเที่ยงคืน ใบหน้าของตฤณแสดงความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน

“ยังครับ”

“ถ้ายังก็ไปทำสิครับ เดี๋ยวตรงนี้จ้าวจัดการเอง” 

“ครับ”

เด็กหนุ่มในชุดสีขาวดำฉีกยิ้มหวานให้อีกครั้งแล้วจึงเอื้อนเอ่ยถาม “พี่อยากจะหลบอยู่ที่นี่สักพักใช่ไหมครับ”

ตฤณพยักหน้ารับ ... ใช่สิ! ถ้าออกไปตอนนี้มีหวังได้ตายแน่

“ถ้าอย่างนั้นจ้าวมีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย สนใจไหมครับ พี่ตฤณ”

ตฤณไม่ได้แปลกใจนักหรอกถ้าเด็กคนนี้จะเรียกชื่อเขา บางทีอาจจะได้ยินตอนที่เขากำลังแนะนำตัวเองกับลุงมิ่ง และที่นี่ก็เงียบมาก เงียบเสียจนแค่พูดเบาๆ ก็ยังดังก้องกังวาน แต่ที่น่าสนใจคือข้อแลกเปลี่ยนอะไรนั่นต่างหาก เด็กคนนี้ดูไม่ธรรมดาเลยในสายตาของเขา

“จ้าวให้พี่ตฤณหลบอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ แต่หลังจากนี้ไปพี่ตฤณต้องย้ายมาอยู่ที่นี่กับจ้าว”   

“ให้ย้ายมาอยู่นี่” ตฤณทวนคำ

“ครับ อยู่ฟรี เพียงแค่พี่ตฤณต้องปฏิบัติตามกฎของที่นี่อย่างเคร่งครัด”

ตฤณทำหน้าครุ่นคิด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องย้ายจากหอในของมหาวิทยาลัยแล้วมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ เขาแปลกใจที่ว่าทำไมเด็กคนนั้นถึงได้ให้เขามาอยู่ที่นี่ด้วย คฤหาสน์หลังใหญ่ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย ออกจะเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำที่ค่าเช่าห้องก็ไม่ต้องจ่าย ค่าน้ำค่าไฟหรือก็ปล่อยผ่านแต่รู้สึกไม่ดียังไงชอบกล 

“แต่...”

“จ้าวมีแค่สองทางให้พี่ตฤณเลือก ถ้าไม่ตกลงก็คงให้ที่หลบไม่ได้ครับ”

“ตกลง ตกลง”

ตฤณไม่มีทางเลือกให้กับตัวเองมากนัก ถ้าออกไปตอนนี้มีหวังได้โดนลูกหลงเข้าแน่ เขาพยายามคิดในแง่ดีว่าการย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้จะพอช่วยลดค่าใช้จ่ายของตัวเองลงไปได้บ้าง แม้ว่ามันจะไกลจากมหาวิทยาลัยมากกว่าหอพักที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้ก็ตาม

เด็กหนุ่มยิ้มหวาน ก่อนเชิญให้ตฤณเข้าไปข้างในคฤหาสน์เพื่อพักผ่อน “คืนนี้พี่ตฤณก็พักอยู่ที่นี่ก่อน ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปขนของย้ายมาอยู่กับจ้าวที่นี่นะครับ”   

ตฤณอยากจะถามเหลือเกินว่าเหลือทางเลือกอะไรให้กับเขาบ้าง

“พี่ตฤณตามจ้าวมาครับ เดี๋ยวพาไปดูห้องพัก”

ตฤณเดินตามจ้าวเข้าไปภายในคฤหาสน์ บรรยากาศข้างนอกน่าวังเวงชวนขนหัวลุกแม้จะยังคงได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังอยู่ข้างนอกก็ตาม เพียงครู่เดียวหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดูจะเงียบลงทันตาเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ของพวกนักเลงหัวไม้

“เฮ้ย!! พวกมึงหยุดก่อน!!!”

ตฤณชะงักฝีเท้าเพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังเรียกให้เขาหยุดแต่เปล่าเลย คนพวกนั้นพร้อมใจกันมองมาที่คฤหาสน์หลังนี้เป็นตาเดียวกันก่อนที่จะเปลี่ยนจากศัตรูกลายเป็นมิตร แยกย้ายหายหัวกันไปทันควันราวกับว่าพวกเขาพบเจอสิ่งที่น่ากลัวกว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้

“พี่ตฤณคงกลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอกครับ ดึกขนาดนี้แล้ว... ข้างนอกอันตราย ยังไงพี่ตฤณก็ค้างที่นี่คืนนี้ก่อน จ้าวให้เขาเตรียมห้องไว้แล้ว”

ตฤณดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกเลยจริงๆ เขาจำต้องยอมตามเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปในคฤหาสน์ แม้ในใจลึกๆ จะรู้สึกว่ามันน่ากลัว

“พี่รบกวนหรือเปล่า”

“ไม่เลยครับ”

“ถ้าพี่เข้าไป พ่อแม่จ้าวจะไม่ว่าอะไรเหรอ”

เรียวแขนเล็กๆ ที่กกอดตุ๊กตาหมีปอนๆ เอาไว้ดูแข็งเกร็งยามที่ได้ยินคนถามถึงพ่อและแม่

“พ่อกับแม่เสียไปนานแล้วครับ พี่ตฤณตามจ้าวเข้ามาข้างในเถอะครับ ดึกแล้วอากาศเย็น เดี๋ยวจะไม่สบายไป”

ตฤณพยักหน้ารับ เขายอมเดินตามเด็กหนุ่มคนนั้นเข้าไปภายในคฤหาสน์ ทันทีที่ก้าวเท้าแรกเหยียบย่างพ้นประตูคฤหาสน์เข้ามาด้านใน ขนแขนของเขาก็พร้อมใจกับลุกเกรียวทั้งที่บรรยากาศด้านในนั้นดูไม่น่ากลัวเท่าไรนัก เพียงแค่มันเงียบเฉียบดูวังเวงราวกับสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครอยู่สักคน

“พี่ตฤณ จ้าวมีเรื่องจะขอสักสองเรื่องได้ไหม” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาเดินมาหยุดลงที่หน้าประตูห้องหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากบันไดทางขึ้นมากนัก ไม่ใช่ห้องพักเดียวกับที่จ้าวพาลุงมิ่งไปแต่เป็นอีกห้องซึ่งเขามีความตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะให้ตฤณพักอยู่ที่ห้องนี้

“ครับ”

“เรื่องแรก ถ้าพี่ตฤณเข้าห้องไปแล้วอยากออกมาเดินข้างนอก ให้เรียกจ้าวนะครับ เรื่องที่สอง ห้ามส่องกระจกหลังเที่ยงคืนเด็ดขาด โบราณว่าจะเห็นผี”

ตฤณพอจะเข้าใจเรื่องกฎข้อแรก อาจเป็นเพราะกลัวหลงทางจึงไม่อยากให้ออกมาเดินข้างนอกเพียงลำพัง แต่กฎข้อที่สองนับว่าเป็นกฎได้ด้วยอย่างนั้นหรือ บางทีสถานที่แห่งนี้อาจมีสิ่งที่มองไม่เห็นอาศัยอยู่ เขาไม่อาจเข้าใจมันได้ง่ายๆ ว่าเพราะเหตุอะไรถึงต้องห้ามส่องกระจกหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เขาเชื่อแค่ว่าตอนนี้เป็นยุควิทยาศาสตร์ไม่ใช่ยุคไสยศาสตร์

“อย่าลบหลู่สิ่งที่มองไม่เห็นดีกว่าครับ”

จ้าวตอบยิ้มๆ แต่ตฤณกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มที่ดูจริงใจนั้นราวกับมีความเย็นเยือกแอบแฝงอยู่ ตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หลังนั้นจนถึงตอนนี้เขาบอกได้เพียงคำเดียวว่าอยากเดินกลับออกมาไปมากกว่า ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับเหล่าอันธพาลพวกนั้นแล้วโดนลูกหลงล่ะก็คงจะดีกว่าที่จะยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นในขณะที่ขนแขนยังลุกเกรียวไม่หยุด

“พี่ตฤณหนาวเหรอครับ จ้าวว่าเข้าไปในห้องกันเถอะ เดี๋ยวเดินไปส่งครับ”

อากาศข้างนอกก็ไม่ได้เย็นมากนักแต่ขนแขนของตฤณยังคงตั้งชัน เขาเดินตามเด็กหนุ่มเข้าไปในห้อง ภายในนั้นมืดสนิท มองอะไรไม่เห็นแม้เพียงอย่างเดียว แสงจันทร์ที่ส่องสว่างข้างนอกหน้าต่างไม่ได้ช่วยให้อะไรชัดแจ้งขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าหูเขากลับได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงหนึ่งอยู่ตรงหน้า ส่วนอีกเสียงอยู่ด้านหลังบานประตูที่ปิดไปแล้ว ก้าวเดินอย่างช้าๆ เป็นจังหวะวนไปมาอยู่หน้าห้อง ทีละก้าวทีละก้าวราวกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง

แสงสีเหลืองอ่อนจากเชิงเทียนที่อยู่ห่างออกไปประมาณสามเมตร พอจะทำให้เห็นเค้าลางจางๆ ของห้องนอนห้องนี้ได้บ้าง

“ขอโทษด้วยนะครับ ไฟในห้องนี้มันเสีย ยังไม่ได้ให้ใครมาเปลี่ยน คงต้องใช้ตะเกียงไปก่อน”

“พี่ได้ยินเสียงใครเดินอยู่หน้าห้อง”

“พี่ตฤณคงหูฝาดไปน่ะครับ ไม่มีใครขึ้นมาบนนี้ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต” 

ตฤณอาจจะหูฝาดไปจริงๆ เขาคงคิดมากไปเองเพียงเพราะบรรยากาศรอบข้างเป็นใจให้นึกถึงบ้านผีสิงที่เคยดูผ่านทางโทรทัศน์จึงเผลอคิดว่าสถานที่แห่งนี้คงมีวิญญาณด้วย จ้าวถือเชิงเทียนที่ถูกจุดไฟแล้วตรงไปยังโต๊ะกลมตัวเล็กๆ มุมหนึ่งของห้องแล้วยื่นเปลวไฟดวงเล็กที่กำลังลุกโชติช่วงเข้าไปจ่อกับหัวเทียนหล่อน้ำมันในตะเกียงแก้ว

“ให้จ้าวอยู่เป็นเพื่อนรอพี่ตฤณอาบน้ำนะครับ ในห้องไม่ค่อยสว่างเท่าไรเดี๋ยวพี่ตฤณจะหาของไม่เจอ”

ถ้าเด็กคนนั้นไม่บอก ตฤณก็คงต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากร้องขอให้อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนหรือไม่ก็คืนนี้ไม่อาบน้ำแล้วเข้านอนเลย เอาจริงๆ เขาคงหลับไม่ลง ทุกสิ่งอย่างรอบข้างช่างเป็นใจให้นอนมากมายเสียเหลือเกิน ดวงจันทร์คืนนี้ไม่ทอแสงแรงมากนัก มองลอดผ่านช่องหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้าออกไปก็เห็นเพียงแต่ต้นไม้สูงใหญ่ ความเงียบเข้าปกคลุมคฤหาสน์หลังนี้ที่แม้เพียงลมหายใจของตัวเองยังได้ยิน

“พี่ว่า... คืนนี้ไม่อาบดีกว่า มันดึกมากแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้วด้วย”

“ตามใจนะครับ ถ้ายังไงก็... ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีครับ”

จ้าวเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเชิงเทียนที่ติดไฟ แสงจากในตะเกียงมุมหนึ่งของห้องไหววูบทั้งที่ไม่มีลม เงาของเปลวไฟที่ทาบทับลงบนผนังห้องเพียงครู่หนึ่ง ตฤณเห็นว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่าแค่เงา เขารีบสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนา จ้องมองเปลวสีส้มในตะเกียงน้ำมันราวกับว่าจะจับผิด

ซ่าาาาาา ซ่าาาาาาาาาาา

เสียงน้ำที่ไหลออกมาจากฝักบัวดังอยู่ไกลๆ ถ้าหากตฤณยังคงจำคำพูดของจ้าวได้ เขาคงรู้ว่าใครเป็นคนทำให้เกิดเสียงนั่น คนเราเมื่อความหวาดกลัวเข้าครอบงำ สติมักจะเลือนรางลง ความทรงจำที่เคยมีอยู่อาจจะถูกลืมไปบางส่วน และสำหรับตฤณ เขาคงลืมไปว่าคฤหาสน์หลังนี้ไม่มีใครอยู่

----------------

“พี่เจต... เหมือนจ้าวจะลืมอะไรบางอย่างนะ” จ้าวก้มหน้าลงพูดกับตุ๊กตาที่อยู่ในอ้อมแขน เขาลืมอะไรบางอย่างไปจริงๆ ลืมไปเสียสนิทเกี่ยวกับกฎข้อสำคัญของคฤหาสน์หลังนี้ .... อย่าสนใจเสียงใด

 เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับรอยยิ้มเยาะหยันจากตุ๊กตาตัวนั้น เขาไม่เคยพลาดให้กับสิ่งใด ไม่เคยทำให้ผู้มาเยือนต้องผิดหวัง แต่คราวนี้กลับลืมกฎข้อสำคัญไปเสียได้ อยากจะย้อนกลับไปเพื่อเตือนแต่ดูเหมือนทุกอย่างมันกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
 
‘ไม่กลับไปเตือนเขาสักหน่อยล่ะ จ้าว หรืออยากให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว’

“พี่เจตไม่ชอบหน้าเขาใช่ไหม”

‘ทำนองนั้น พี่แค่รู้สึกเหมือนถ้าเขาอยู่ที่นี่ ความลำบากจะมาเยือนเรา’

“จ้าวเชื่อว่าในความลำบากนั้นมีความโชคดีแฝงอยู่”

‘ถ้าอย่างนั้นให้พี่ไปทักทายเขาสักหน่อยดีไหม ไหนๆ จ้าวก็เชิญให้เขาอยู่ที่นี่กับเราแล้ว พี่ควรไปแนะนำตัว’

“ก็ได้ครับ แต่รอให้ถึงห้องก่อน จ้าวไม่อยากยืนรอพี่เจตตรงนี้” เด็กหนุ่มบอกกับตุ๊กตาหมีเก่าๆ ที่อยู่ในมือก่อนเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ทางฝั่งขวามือ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าโยกก่อนปล่อยตุ๊กตาที่ถือเอาไว้ให้ร่วงลงสู่พื้น... วิญญาณเจตรินออกจากตุ๊กตาตัวนั้นไปแล้ว จ้าวนั่งรออยู่ที่เดิมตรงเก้าอี้ม้าโยกตัวเดิมในห้องเดิมๆ

----------------

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

เสียงเคาะห้องดังขึ้นสามครั้ง เว้นระยะห่างเท่ากันดังก้องกังวานเมื่อทุกอย่างเงียบสงบ ดวงไฟในตะเกียงแก้วไหววูบชวนขนหัวลุก ตฤณยังคงนั่งขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา บรรยากาศยากแก่การข่มตาให้หลับลงได้ง่ายๆ เขาไม่สนิทใจเลยจริงๆ ที่จะนอนไปทั้งที่ยังรู้สึกวังเวง

“คะ... ครับ”

“.....”

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

“ครับ!! สักครู่ครับ!!” ตฤณตะโกนกลับไปก่อนที่จะลุกออกจากเตียงนอน เดินตรงไปยังประตูห้องพลางนึกในใจว่าเด็กคนนั้นจะมาเคาะห้องเอาอะไรป่านนี้ทั้งที่น่าจะรู้ว่านี่เป็นเวลาเข้านอนแล้ว

เมื่อเปิดประตูห้องออกไป คนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เด็กหนุ่มร่างเล็กอย่างที่คิดแต่กลับเป็นผู้ชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ ไม่ยักรู้ว่าคฤหาสน์หลังนี้จะมีใครอยู่อีกนอกเสียจากจ้าวกับลุงมิ่ง

‘สวัสดีครับ ขอโทษด้วยที่มารบกวนกลางดึก ผมชื่อเจต เป็นพี่ชายของจ้าวครับ’

“ครับ”

‘อยู่สบายดีไหมครับ’

“กะ... ก็ดีครับ”

ตฤณคิดว่ามันก็ดี เตียงนุ่มน่านอน ห้องใหญ่กว้างขวางแต่แอบมีกลิ่นอับราวกับเป็นห้องที่ไม่เคยถูกเปิดใช้งานมาก่อน บรรยากาศรอบข้างดูวังเวงและเย็นยะเยือกคล้ายกับสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่พักอาศัยของคนแต่คงเป็นเพราะมันอยู่ท่ามกลางเหล่าหมู่มวลต้นไม้สูงใหญ่รอบอาณาบริเวณด้วยล่ะมั้งเลยทำให้รู้สึกว่าที่นี่เหมือนเป็นสุสานเสียมากกว่า

‘อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านยามวิกาลนะครับ’

“ทะ... ทำไมครับ”

‘ผมกลัวคุณหลงทาง’

“อ๋อ ครับ”

‘ถ้ายังไงคืนนี้ก็หลับฝันดีนะครับ’

ตฤณก็อยากจะหลับฝันดี แต่ทว่าเสียงน้ำไหลและบรรยากาศชวนสยดสยองนี่กลับทำให้เขาหลับไม่ลง ยิ่งไปกว่านั้นเสียงฝีเท้าที่เขาได้ยินยังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึก ทุกย่างก้าวราวกับจะฝังลึกลงไปในจิตใจ

“เอ่อ... ถามอะไรอย่างสิครับ”

‘ครับ’

“ที่นี่มีใครอยู่อีกไหมครับ คือ... ผมได้ยินเสียงคนเดินอยู่หน้าประตูห้อง”

‘ก็มีแค่ผมกับน้องชายเท่านั้นล่ะครับ อาจเป็นเพราะบรรยากาศของที่นี่เลยทำให้คุณรู้สึกเหมือนมีคนอื่นอยู่ด้วย’

ตฤณพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าเขาเข้าใจแล้ว แต่ทั้งที่เข้าใจทำไมใจถึงได้สั่นไม่หยุดอยู่อย่างนี้ เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องไม่มีอะไรจะถามหรือพูดคุยอะไรอีก เจตรินจึงคิดว่าควรจะจากไปเสียที ‘งั้นผมไปก่อนดีกว่าครับ ไม่รบกวนแล้ว ฝันดีนะครับ’
บานประตูถูกปิดลง ตฤณหันกลับไปยังเตียงนอนอย่างช้าๆ ด้วยความหวาดระแวง เสียงน้ำไหลออกจากฝักบัวยังคงดังมาจากที่ไกลๆ เปลวไฟในตะเกียงไหววูบเล็กน้อยราวกับมีใครสักคนเดินผ่านมันไป บานกระจกที่อยู่ข้างกันสะท้อนเงาดำบางอย่างที่เขาไม่ได้ทันได้สังเกตว่าเป็นสิ่งใด ถ้าหากว่ามีเสียงหมาหอนดังขึ้นมาด้วยล่ะก็คราวนี้สิ่งที่เขาคิดกลัวคงกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาทันที

ตฤณนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนหรือบางทีที่หลับก็เป็นเพราะเปลือกตาทนต่อแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ไหวแต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เสียงเก้าอี้ลากกับพื้นไปมาคลอด้วยเสียงพูดคุยราวกับกำลังกระซิบกระซาบกันดังอยู่ไม่ไกลจนรู้สึกเหมือนอยู่แค่เอื้อมมือทั้งที่ภายในห้องนั้นมีแต่เขาอยู่เพียงผู้เดียว คนที่เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์อย่างเขาทำไมถึงได้รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจขนาดนี้

“พี่ตฤณครับ! ตื่นหรือยังครับ”

เสียงที่ดังอยู่หน้าประตูห้องนอนปลุกเขาให้ตื่นจากความกลัว ตฤณไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามกันแล้ว รู้เพียงแค่ว่าพระอาทิตย์ยังคงไม่ออกทำงาน เขาก้าวลงจากเตียงด้วยสภาพของคนที่อดหลับอดนอนไปเปิดประตู เห็นเด็กน้อยในชุดเดิมยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่หน้าประตูห้อง มือข้างหนึ่งกอดตุ๊กตาหมีขนปุยเอาไว้แนบอก

“พี่ตฤณไม่ได้นอนเหรอครับ ตาคล้ำเชียว”

“นิดหน่อยน่ะ มันแปลกที่เลยไม่ค่อยหลับ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณจะกลับไปนอนต่อไหมครับ”

ตฤณส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ ให้เขากลับเข้าไปอยู่บนเตียงนอนอีกครั้งยังไงก็หลับไม่ลงอยู่ดี

“งั้นพี่ตฤณจะไปอาบน้ำก่อนหรือว่าจะทานข้าวเช้าก่อนดีครับ”

“พี่จะกลับเลย”

“ให้จ้าวเดินไปส่งที่หน้าประตูนะครับ”

ตฤณพยักหน้ารับ ให้อยู่ต่อก็คงไม่ไหว บรรยากาศในคฤหาสน์หลังนี้หลอนเกินคำบรรยายแม้กระทั่งว่าเด็กคนนั้นยังยืนอยู่ต่อหน้า ขนแขนของเขากลับลุกเกรียวพร้อมใจกันตั้งชันขึ้นมา ในขณะเดียวกันนั้นความเย็นยะเยือกของมวลอากาศรอบกายยังแล่นปราดเข้าสู่กระดูกไขสันหลัง ทั้งที่เสียงที่เขาได้ยินตลอดแทบจะทั้งคืนเงียบลงไปแล้วแต่ทำไมถึงยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เขาควรจะกลัวอยู่อีก

“เอ่อ... ตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอ พอดีโทรศัพท์พี่แบตหมดแล้วอีกอย่างพี่ก็ไม่ได้ใส่นาฬิกามาด้วย”

“ไม่ทราบครับ แต่พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้วล่ะ ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว”

ตฤณตอบรับในลำคอพร้อมกับเดินตามจ้าวออกไป เขาหันหลังกลับไปมองยังที่ที่เขาเดินจากมาราวกับรู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจถึงมันได้ทันที ไม่ว่าจะก้าวเดินไปไกลแค่ไหน สายตาคู่นั้นยังคงจับจ้องมองแผ่นหลังกว้างอย่างไม่ละจาก จนมีหลายครั้งที่เจ้าตัวเหลียวหลังกลับไปมองด้วยความแคลงใจแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

“จ้าว รู้สึกไหมว่าเหมือนมีใครมองเราอยู่”

“พี่ตฤณคิดมากไปหรือเปล่าครับ เดินอยู่กับจ้าวแค่สองคน จะไปมีคนอื่นอยู่ได้ยังไง”

จริงอยู่ว่าตอนนี้ตฤณกำลังเดินลงจากชั้นสองของคฤหาสน์กับจ้าวเพียงแค่สองคนแล้วจะมีใครอยู่อีก แต่เขากำลังรู้สึกอยู่ตลอดว่าเหมือนมีสายตาจ้องมองมาที่เขา แม้ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า แม้ไม่ได้เห็นรูปร่าง แต่เขากลับสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาจเรียกง่ายๆ ว่าดวงวิญญาณ

“ถ้านั่น... ไม่ใช่คนล่ะ”

“พี่ตฤณจะบอกว่าที่นี่มีผีเหรอครับ”

“ก็... ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วจะให้พี่เรียกว่าอะไร”

เด็กตัวน้อยที่กำลังเดินนำหน้าหันหลังกลับมายืนเผชิญหน้ากับผู้ชายร่างสูงกว่าอย่างตฤณ แววตาที่มองมาเพียงครู่เดียวที่เขาเห็นคือความไม่เป็นมิตรก่อนจะแปรเปลี่ยนไป เด็กคนนั้นฉีกยิ้มหวานจนเขารู้สึกเหมือนสายตาที่เห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ฝันไป เด็กอย่างจ้าวไม่มีทางที่จะมองใครด้วยสายตาร้ายกาจแบบนั้น

“เรียกว่าวิญญาณตามติด”

“.......”

ดูเหมือนตฤณจะช็อคไปแล้ว เขานิ่งงันไปชั่วครู่กับคำตอบที่ได้ยินก่อนเสียงใสที่ตอบคำถามเขาจะเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างขบขันระคนสะใจที่แกล้งให้เขากลัวได้ “พี่ตฤณคิดเยอะไปแล้วครับ”

“งะ... งั้นเหรอ”

“พี่ตฤณครับ จ้าวขอส่งแค่หน้าประตูนะครับ พอดีว่าจ้าวมีงานที่ต้องทำอีกเยอะน่ะครับ”

ตฤณพยักหน้าพร้อมกับส่งเสียงตอบรับ

“จ้าวจะรอพี่ตฤณอยู่ที่นี่นะครับ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พี่ตฤณสบายใจได้แล้วล่ะครับ”

ตฤณพยักหน้ารับอีกครั้ง เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าประโยคที่จ้าวทิ้งท้ายไว้ให้นั่นหมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อได้ก้าวเท้าลงจากบันไดคฤหาสน์ทีละขั้น เขาถึงเพิ่งได้รู้ถึงความหมายของประโยคสุดท้ายที่เด็กคนนั้นพูดถึง แสงแดดอ่อนยามพระอาทิตย์ออกทำงานส่องลงมายังพื้นดินอย่างเบาบางอาบไล้รอบตัวเขาด้วยความอบอุ่น บรรยากาศที่ชวนให้เขาหวาดกลัวมาตลอดทั้งคืนจางหายไปแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยให้รู้สึกอะไรได้อีก แต่ทว่าพอหันกลับไปเพื่อจะกล่าวลา ประตูคฤหาสน์ฝุ่นเขรอะปิดสนิทราวกับว่ามันไม่เคยเปิดต้อนรับใครมานานมากแล้วจวบจนถึงตอนนี้


*** to be continued ***


พ่อพระเอกของเราโผล่มาแล้วค่ะ พี่ตฤณของหนูจ้าว มารอดูกันว่าพี่ตฤณจะอยู่คฤหาสน์หลังนี้รอดไหม
เจอหนูจ้าวได้ช่วงอาทิตย์เว้นอาทิตย์นะคะ
ฝากเพจด้วยนะคะ พูดคุย ทวงถามนิยายกันได้ค่ะ FANPAGE (https://www.facebook.com/Bluesora28/)


rockiidixon666
ใช่ค่ะ จ้าวประมาณนั้นเลยค่ะ แต่เรื่องนี้ไม่มีพ่อบ้านปีศาจอย่างเซบาสเตียนเท่านั้นเอง
แล้วก็... จริงๆ เรานึกภาพแบบตัวละครจ้าวที่เป็นคนจริงเอาไว้ อย่าง chinen yuri (Hey! Say! JUMP)
แบบว่าความสูงมันได้พอดีเลย ตัวเล็กๆ สูงไม่เกิน 160 ประมาณนี้
ฝากรักจ้าว เอ็นดูจ้าวด้วยนะคะ

ommanymontra
ขอบคุณนะคะ

areenart1984
ขอบคุณนะคะ จริงๆ เราลุ้นมากเลยว่ามันจะหลอนไหม น่ากลัวหรือเปล่าแต่ได้ยินแบบนี้แล้วดีใจค่ะ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 2 [07/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-10-2017 11:58:49
 o13

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 2 [07/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-10-2017 16:26:44
เอิ่ม

ถ้าเรื่อง ตุ๊กตาไขลานคือพระอาทิตย์ เรื่องนี้ก็คืนเดือนมืดสินะ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 2 [07/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-10-2017 19:11:53
พระเอกโผล่แล้ว ลุงมิ่งก็อยู่ด้วย รอดูความหลอนต่อไป :sad3: o21
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 2 [07/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-10-2017 21:18:44
ลุงมิ่งแกคงหวังดีถึงได้ไล่พี่ตฤณ  แอบสงสารลุงจัง
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 2 [07/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 08-10-2017 11:03:00
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 3 [22/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 22-10-2017 12:44:37
::: ตอนที่ 3 :::
แขกไม่ได้รับเชิญ





ตั้งแต่เช้าที่ตฤณออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเข้ามาอีก คนที่เป็นฝ่ายร้อนรนกลับกลายเป็นวิญญาณเจตรินที่อาศัยอยู่ในตุ๊กตาฝุ่นเขรอะตัวนั้นแทน แต่จ้าวกลับนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นบนเก้าอี้ม้าโยกในห้องของเขาราวกับเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ไม่เห็นหน้าตฤณจนกระทั่งพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว

‘จ้าวไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยเหรอ คนคนนั้นโกหกจ้าวนะ’

“เขามาแน่แต่ไม่ใช่วันนี้ และต่อให้เขามาวันนี้ จ้าวจะไม่ให้เขาเข้ามาหรอก”

‘หมายความว่ายังไง’

“วันนี้เรามีแขกไม่ได้รับเชิญ”

สิ้นคำพูดของจ้าว กลิ่นควันธูปก็ลอยเข้ามาแตะจมูก จากนั้นไม่นานบทสวดพุทโธธายะก็ดังเข้าหูเป็นจำนวนสามจบ ถือเป็นบทอัญเชิญดวงวิญญาณในบริเวณนั้นเข้าไปสิงสถิตในถ้วยแก้ว คงจะมีพวกอยากลองของเข้ามาลองดีในคฤหาสน์หลังนี้อีกแล้ว

“พี่เจตสนใจจะไปเล่นสนุกสักหน่อยไหมล่ะครับ จ้าวจองที่ไว้ให้แล้ว”

ตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมกอดถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างตัว วิญญาณของเจตรินลอยไปตามทางเพื่อไปสิงสถิตในถ้วยแก้วตามเทียบเชิญ รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความมุ่งร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มวัยยี่สิบปี เขาจะทำให้เด็กพวกนั้นสนุกกันจนลืมวันนี้ไม่ลงเลยทีเดียว


---------------------


“เฮ้ย! ทำไมแก้วยังไม่ขยับอีกวะ”

เด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของกระดานผีถ้วยแก้วตะโกนถามเพื่อนในกลุ่มที่มาด้วยกันหกคน พวกเขาทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณเรียบร้อยแล้วแต่แก้วที่ถูกนิ้วมือแตะอยู่ทั้งสี่มุมไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน ยังคงอยู่ที่เดิมนิ่งๆ อย่างนั้น

“ลองเชิญเขาดูใหม่อีกทีสิวะ เป้”

ถูกเพื่อนร่วมวงกดดันแบบนี้ เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่นั่งอยู่ข้างกันถึงกับถอนหายใจออกมาเบาๆ เขารวบรวมสมาธิและตั้งจิตให้มั่น กล่าวเชิญดวงวิญญาณที่ยังคงวนเวียนอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ให้เข้ามาสถิตให้ถ้วยแก้วใหม่อีกครั้ง เป็นไปได้ว่าเขาอาจกล่าวเชิญวิญญาณที่ไม่เฉพาะเจาะจงจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ขอเชิญดวงวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มาสถิตที่แก้วใบนี้ด้วยครับ”

แก้วที่พวกเขาทั้งสี่แตะอยู่เริ่มขยับไปมา วิ่งพล่านสะเปะสะปะไปทั่วอย่างไร้ทิศทาง เช่นเดียวกับใจของบางคนที่นั่งอยู่ในบริเวณนั้นเริ่มที่จะไม่แข็งพอ

“ถ้าคุณมาแล้ว ขอเชิญไปหยุดอยู่ที่พัก”

แก้วใบนั้นวิ่งอย่างรวดเร็วไปหยุดอยู่ที่คำว่าพักบนกระดานแต่สายตาของเป้ไม่ได้มองไปยังกระดานผีถ้วยแก้ว ไม่ได้สนใจว่าแก้วใบนั้นหยุดลงตรงไหน เขากำลังจดจ้องใบหน้าของผู้มาใหม่ที่ยืนโน้มกายคร่อมหัวเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามราวกับอยากมีส่วนร่วมในครั้งนี้

“เป้ ถามต่อสิวะ! เงียบทำไม”

เสียงของเพื่อนในกลุ่มดึงสติเขากลับมา สายตาที่จับจ้องผู้ชายคนหนึ่งย้ายมามองกระดานไม้ที่พวกเขาบรรจงสร้างขึ้นมาแล้วเคลื่อนกลับไปมองหน้าผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง

“คุณชื่ออะไรครับ”

แก้วเคลื่อนที่ไปยังตัวอักษรบนกระดานอย่างรวดเร็วจนนิ้วที่แตะสัมผัสแทบจะหลุดออกมา ปรากฏเป็นคำที่อ่านรวมกันแล้วได้คำว่า ‘เจต’

“เชี่ยๆ ไอ้โม มึงดันแก้วเหรอวะ”

คนที่เร่งให้เป้ถามต่อโวยวายออกมาที่เห็นแก้ววิ่งไปบนกระดานอย่างรวดเร็วคล้ายกับมีคนดันมันอยู่ตลอดพร้อมกับชี้หน้า เป้หันไปมองหน้าโมผู้ซึ่งมีใครบางคนโน้มกายคร่อมหัวอยู่ด้วยแววตาที่ไม่หวาดกลัว อาจเป็นเพราะเห็นบ่อยจนชินตาไปแล้วและเขาก็คิดว่าตัวเองรู้ว่าใครเป็นผู้ทำให้มันขยับ

“โมไม่ได้ทำหรอก กันต์ เขามาแล้วต่างหาก”

“มึงถามเขาสิว่าเขาอยู่ไหน”

อันที่จริงเป้ก็อยากบอกไปตรงๆ เลยว่าเขาอยู่ข้างหลังโม แต่เขาก็กลั้นใจถามออกไปให้ตามที่เพื่อนต้องการ “ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณเจตอยู่ที่ไหนเหรอครับ”

สายตาของเป้ยังคงจ้องมองไปยังผู้ชายคนนั้น เขาจึงเห็นว่าชายคนนั้นชี้กลับไปที่ตัวเองเป็นการบอกนัยว่าเขาอยู่นี่ไง เพียงแค่นั้นขนแขนของเขาก็ลุกเกรียว ถึงจะเคยเห็นวิญญาณมามากมาย ทั้งเร่ร่อน ทั้งตามติด แต่วิญญาณที่ถามปุ๊ปตอบปั๊ปนี่ยังไม่เคยเจอมาก่อน

“ทอ สระอี ไม้เอก ที่”

 เป้อยากจะชักมือตัวเองกลับออกมาแล้วหอบเอากระดานผีถ้วยแก้วกลับบ้านพอได้ยินเสียงเพื่อนอ่านตัวอักษรที่ถ้วยแก้วนั้นวิ่งไปหยุด เขาคิดว่าคำตอบที่วิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในแก้วใบนั้นคงจะตอบว่าที่นี่ แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อยเมื่อตัวอักษรต่อไปคือตัวตอเต่า

“ตอ รอ งอ ตรง.... ตรงเชี่ยอะไร!!”

กันต์ถึงกันหันซ้ายหันขวา สายตาลอกแลกไม่ไว้วางใจหลังจากที่โผล่งคำหยาบคายออกมา อีกสองคนในกลุ่มที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเอามือแตะแก้วเข้ากอดกันกลมพร้อมกับจ้องมองไปยังถ้วยแก้วที่อยู่บนกระดานไม่วางตาราวกับกำลังลุ้นว่าตัวอักษรต่อไปจะเป็นอักษรตัวแรกในชื่อของพวกเขาหรือเปล่า

แก้วใบนั้นวิ่งไปหยุดอยู่ตรงตัวอักษรขอไข่ ตามด้วยไม้โท สระอาและจบที่มอม้า

“ตรงข้าม... ข้ามใครวะ!! มึง กู เชี่ยโม หรือไอ้อัฐ”

เป้ยังคงนั่งตัวแข็งทื่อ ปิดปากนิ่งสนิท ยิ่งเห็นรอยยิ้มของชายที่กำลังยืนคร่อมหัวเพื่อนของเขาด้วยแล้ว อยากจะบอกแต่ก็พูดไม่ออกราวกับว่าถ้าพูดออกไป วิญญาณเขาได้หลุดออกจากร่างแน่

“คอ... สระอุ นอ คุณ”

อัฐไล่สายตาอ่านตามตัวอักษรที่แก้วใบนั้นเคลื่อนที่ไปเสียงเบา แต่ไม่ว่าจะเบาแค่ไหนก็ยังชัดเจนในทุกคำที่พูดออกมา ทุกคนต่างพร้อมใจหันมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย มีเพียงแค่เป้ที่ยังมองไปตรงหน้าราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าดวงวิญญาณดวงนั้นอยู่ตรงไหน

“คุณไหนอ่ะ เป้ ถามเขาอีกทีได้ไหม”

“อยู่หน้ากูเอง”

ไม่ต้องเสียเวลาถามให้วิญญาณดวงนั้นเปลืองพลังงาน เป้ก็เลือกที่จะตอบออกมาเองและทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่โมผู้ซึ่งตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองด้านข้างหรือไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เขาอยากจะชักมือกลับออกมาจากถ้วยแก้วแต่ถ้าทำแบบนั้นจะเท่ากับเป็นการเสียมารยาทต่อดวงวิญญาณที่อัญเชิญมา

“ไอ้เป้ ไอ้เป้~ ข้างไหนของกู มึงไม่ต้องถามเขา มึงตอบกูมาเลย ข้างไหน”

“คร่อมหัวมึงอยู่อ่ะ”

“ถ้า... ถ้ากูเงยหน้าขึ้นไปจะเห็นไหม”

โมนั่งก้มหน้างุด เอาแต่จ้องมองแผ่นกระดานที่อยู่ตรงหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะเงยขึ้นมาสบตากับเพื่อนคนอื่น

“มึงอยากเห็นเหรอ”

“กูกลัวจะเห็นเลยถามมึง กูไม่อยากเห็นนะ กูกลัว”

“มึงไม่เห็นแล้วล่ะ เขาไปแล้ว”

โมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่คนที่หายใจหายคอไม่คล่องเหมือนตอนแรกกลับกลายเป็นเป้เสียเองที่ตอนนี้วิญญาณดวงนั้นย้ายที่มานั่งอยู่ทางฝั่งขวามือของเขาแทน

“ต่อเลยไหม หรือจะเชิญเขาออก”

“มึงเชิญเขามา ถามชื่อ ถามว่าอยู่ที่ไหนแล้วเชิญออกนี่โคตรเสียมารยาทอ่ะ มึงต้องถามต่อว่าเขาตายยังไง”

กันต์ใช้มือข้างที่ว่างตบเข้าที่หัวของเป้ซึ่งเป็นจังหวะที่มือสะบัดผ่านวิญญาณดวงนั้น เพียงเสี้ยววินาทีเหมือนแขนเขาปะทะเข้ากับความเย็นยะเยือกจนไม่เพียงแค่ขนแขนจะตั้งชันขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุแล้วยังทำให้เขารู้สึกสัมผัสได้ถึงพลังงานอะไรบางอย่าง

“มึงเปลี่ยนคำถาม!! ถามเขาอีกทีว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน”

“ถามซ้ำระวังเขาไม่พอใจนะ กันต์”

เป้พยักหน้าเป็นเชิงว่าเห็นด้วยกับคำพูดของอัฐ ถามมากและถามซ้ำเป็นอะไรที่ควรต้องระวังมากที่สุด ถ้าทำให้เขาไม่พอใจหรือโกรธขึ้นมาจะพากันซวยยกวง วิญญาณพวกนี้จะตามอาฆาตจนกว่าเขาจะพึงพอใจถ้าไม่ทำการขอขมาแต่ทว่าวิญญาณเจตไม่น่าจะโกรธง่ายๆ เพราะเขาเห็นใบหน้านั้นยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างนึกสนุกผ่านทางปลายหางตา

“ขอโทษนะครับ คุณเจตเป็นอะไรตายครับ”

ถ้วยแก้วใบนั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ไปพักหนึ่งก่อนจะเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ จนมาหยุดอยู่ที่ตัวอักษร ฆ. เพียงแค่นี้ก็เดาได้ลางๆ แล้วว่าถ้าไม่ใช่คำว่าฆ่าก็คือฆาตกรรม และยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อตัวอักษรถัดไปคือสระอา เป้ถึงกับหันไปมองหน้าดวงวิญญาณที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกนิดเดียวคือสิงร่างเขาแล้ว ใบหน้านั้นไม่ได้แย้มยิ้มเหมือนก่อนหน้านี้คล้ายกับว่าไม่พอใจที่จะต้องตอบคำถามนี้

ยังไม่ทันที่ถ้วยแก้วจะเคลื่อนที่ไปถึงตัวอักษรต่อไปก็มีมือเล็กๆ ยื่นเข้ามาแตะบนถ้วยแก้ว

“ขอเล่นด้วยนะ”

เสียงใสเอ่ยขึ้นมาอย่างกับระเบิดที่ถูกทิ้งลงมากลางวง ทุกคนต่างสะดุ้งเฮือกจนกระจายไปคนละทิศคนละทาง แม้ว่าเป้จะตกใจแค่ไหนแต่เขาขยับไม่ได้เพราะวิญญาณดวงนั้นยังคงนั่งอยู่ข้างๆ หันหน้ามองมาที่เขาราวกับจงใจจ้อง

“ได้ไหม” เสียงใสถามย้ำอีกครั้ง

“เป้ กู...กู... กูไม่อยู่แล้วนะ!!!”

กันต์เป็นคนแรกที่โผล่งขึ้นมากลางวงแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมวิ่ง ทว่าแม้จะพยายามก้าวเท้าออกจากที่ตรงนั้นก็เหมือนกับจะติดอะไรบางอย่างเข้า เขาจึงค่อยๆ ก้มลงไปมองอย่างช้าๆ เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่อากาศออกจะเย็นจนน่าขนลุก ข้อเท้าของเขากำลังถูกมือเล็กพันธนาการเอาไว้ มือเล็กข้างนั้นที่คล้ายกับมือที่แตะอยู่บนถ้วยแก้ว เพียงแค่มือเท่านั้น... แค่มือ นอกเหนือจากนั้นคือความว่างเปล่าที่แม้กระทั่งวิญญาณของเขาก็คล้ายจะหายไปด้วยเช่นกัน

“รีบไปไหนเหรอ เล่นด้วยกันก่อนสิ”
 
กันต์พยายามออกแรงขยับแต่เท้าเขากลับไม่หลุดจากข้อมือที่เกาะไว้ ยิ่งพยายามเท่าไรก็คล้ายกับว่ามันจะรัดเขาแน่นขึ้นเท่านั้น หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติตอนนี้มันแทบจะหยุดเต้นไปแล้ว จนสุดท้ายเขาต้องจำใจนั่งลงที่เดิมแล้วเอามือแตะลงไปบนถ้วยแก้วอย่างที่เสียงเจ้าของมือนั้นต้องการ พันธนาการที่ข้อเท้าเขาจึงหายไป เช่นเดียวกับทุกคนที่เอื้อมมือกลับมาแตะที่ถ้วยแก้วตามเดิมแม้ในใจลึกๆ แล้วไม่มีใครอยากเล่นมันต่อ

“เออ... เออ... ขอโทษที่เราทุกคนเสียมารยาทกับคุณเจต ไม่โกรธใช่ไหมครับ ถ้าใช่ให้ไปที่ใช่”

ถ้วยแก้ววิ่งวนไปรอบๆ แผ่นกระดานหลังจากที่เป้ถามจบก่อนที่มันจะพลิกหงายขึ้นมา ควันธูปที่อยู่ในถ้วยแก้วลอยออกมาจางๆ จนสุดท้ายก็ละลายหายไปในอากาศ ทุกคนต่างผงะแล้วนึกในใจว่าซวยแล้ว การเล่นผีถ้วยแก้วหากแก้วหงายนั่นแปลว่าเขากำลังไม่พอใจ หากควันธูปออกนั่นหมายความว่าวิญญาณอาจกำลังไปเข้าสิงใครสักคนที่จิตอ่อน

“ชิบหาย!!”

เด็กวัยรุ่นทั้งหกคนกรูกันไปที่ประตูทางออกด้วยความหวาดกลัว ทิ้งกระดานผีถ้วยแก้วและทุกสิ่งทุกอย่างไว้ตรงนั้น แต่ทว่าเพียงแค่ก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าว ประตูคฤหาสน์ที่ปิดสนิทกลับส่งเสียงดังปังราวกับว่ามีใครกระแทกประตูให้ปิดลงทั้งที่มันไม่ได้เปิด พวกเขาเกาะกลุ่มกอดกันกลมอย่างตื่นตระหนกพลางมองไปรอบทิศทางก่อนที่จะมีคนใจกล้าวิ่งไปเปิดประตูแต่มันกลับแน่นสนิท ไม่ว่าจะเขย่าเท่าไรบานประตูทั้งสองก็ไม่แยกออกจากกัน

“มึง! เปิดไม่ออกว่ะ”

“ไอ้วุฒิ มึงเป็นนักกีฬา มึงไปช่วยไอ้โดมเปิดหน่อย เดี๋ยว... เดี๋ยวพวกกูจะหาทางออกอื่น” 
   
ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่กันต์ก็ยังคงเกาะเพื่อนแน่นไม่มีทีท่าว่าจะไปหาทางออกอื่นอย่างที่ว่า บรรยากาศเย็นยะเยือกหนาวจับขั้วหัวใจ ลมพัดไหววูบพาให้กระจกหน้าต่างส่งเสียงร้องทั้งที่ข้างนอกนั่นนิ่งสงบ แม้กระทั่งใบไม้สักใบยังไม่กระดิก แต่ภายในกลับรู้สึกเหมือนมีพายุเข้า

วิญญาณของเจตรินปรากฏกายให้ทุกคนได้เห็น ใบหน้าของเขาไม่ได้ยิ้มแย้มแต่ทว่าก็ไม่ได้เกรี้ยวกราดอะไร ดวงตาสีเฮเซลนัทจ้องมองไปยังร่างของคนๆ เดียวที่อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยความถูกอกถูกใจ ก่อนจะแสยะยิ้มชวนขวัญผวาอีกรอบ ‘อยากออกเหรอ’

ไม่มีใครกล้าตอบแต่ทุกคนต่างพร้อมใจกันพยักหน้า

‘จะเปิดประตูให้ก็ได้แต่ต้องทิ้งไว้ที่นี่หนึ่งคน เลือกดีๆ นะ’

เด็กวัยรุ่นต่างพากันมองหน้าเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจทิ้งใครเอาไว้ดี จะทิ้งเพื่อนไว้คนหนึ่งก็เท่ากับทรยศในความเป็นเพื่อนแต่ถ้าจะออกหน้าเสนอตัวอยู่แทนทุกคนเองก็เกรงว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับออกไป ระหว่างความเป็นเพื่อนกับความเห็นแก่ตัวมันมีเพียงแค่เส้นบางๆ คั่นไว้อยู่เท่านั้น จนท้ายที่สุดกันต์ก็ตัดใจสินพูดขึ้นมา เขาไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ให้ใครได้ชื่นชม “เดี๋ยวกูอยู่เอง”

“ไม่ กันต์ เดี๋ยวกูอยู่เอง” โมเสนอตัวเองแทน

“กูเป็นคนชวนพวกมึงมาเล่น กูก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบชีวิตพวกมึงด้วย เพราะฉะนั้นกูจะอยู่เอง”

“แต่ที่พวกกูตามมึงมานั่นเท่ากับพวกกูยอมรับสิ่งที่จะเกิดนะโว้ย!” โมกล่าวแย้งขึ้นมา

“เออ... คือจะเป็นอะไรไหม ถ้าผมคิดว่าเราควรถามเขาว่าอยากให้ใครอยู่”

ทุกคนเงียบกริบหลังจากที่อัฐเสนอความคิดเห็นออกมา เป็นความคิดเห็นที่เหมือนจะดีแต่เอาเข้าจริงๆ แล้วมันไม่ดีสำหรับใครเลย ทุกคนในที่นี่มีสิทธิ์ถูกเลือกด้วยกันทั้งหมด งานนี้จึงมีคนไม่เห็นด้วยอย่างโดม “กูไม่โอเคว่ะ กูกับวุฒิแค่มาดู ทำไมกูต้องเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้นด้วยวะ”

“ทำไมมึงมันเห็นแก่ตัววะ ไอ้โดม! มึงอยากเสือก อยากรู้อยากเห็นแต่พอต้องรับผิดชอบ มึงกลับปอดแหกเอาตัวรอดคนเดียวเหรอวะ!”

‘ถ้าตัดสินใจกันไม่ได้ เดี๋ยวจะเลือกให้เอง’   

สิ้นเสียงของเจตริน ปลายนิ้วก็ชี้มายังเป้ ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงถนัด ถึงแม้จะเคยเห็นวิญญาณมาก็มาก เจอะเจอในหลายรูปแบบแต่ไม่เคยมีวิญญาณดวงไหนที่คิดจะเอาชีวิตเขาเลยแล้วทำไมถึงกลายเป็นเขาไปได้ที่ถูกเลือก ทั้งที่ไม่เคยหลบลู่ดูหมิ่น ขอขมาลาโทษทุกครั้งที่เคยทำล่วงเกิน

“เป้ ทำไมเป็นมึงวะ มึงไปทำอะไรเขาไว้”

โมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนที่มีมารยาทดีต่อวิญญาณทุกดวงถึงได้ถูกเลือก ทำไมถึงไม่ใช่กันต์ที่ชอบพูดจาโผงผางหาเรื่อง

“กะ... กูไม่รู้”

“หรือเขาถูกใจเป้เหรอ”   

ในใจเป้นึกค้านคำถามของอัฐ ทั้งที่ตัวเขาเองก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้พูดจาให้รู้สึกว่าต้องมารักมาชอบเลยแท้ๆ

“กูจะไปรู้ได้ไง”

“แล้วคือ... ต้องทิ้งมึงไว้เหรอ มึงโอเคไหมวะ”

ความลำบากใจปรากฏชัดบนใบหน้าของโม เขาไม่อยากให้เป้กลายเป็นตัวตายตัวแทนของเพื่อนทุกคนที่อยู่ในนี้ ไม่อยากกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ต้องตัดใจทิ้งเพื่อนเอาไว้ในคฤหาสน์หลังนี้ทั้งที่เขาจะเอ่ยปากอาสาออกมาแทนก็ได้แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้พูดไม่ออก

“โอเคสิ ตอนที่พวกมึงออกไปได้แล้วอย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลแล้วก็ขอขมาดวงวิญญาณที่อยู่ในนี้ด้วยนะ”

“มึงพูดเหมือนมึงจะไม่ได้ออกมา”

เป้ไม่ได้พูดอะไร เขาพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้ออกไปได้แล้ว

เสียงกลอนดังกริ๊กก่อนที่บานประตูทั้งสองจะเปิดออกกว้าง ทุกคนต่างก้าวเท้าเดินออกจากคฤหาสน์ไปด้วยใจหดหู่ การทิ้งเพื่อนไว้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาอยากทำแต่ก็ไม่มีใครอยากถูกทิ้งให้อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้โดยไม่รู้ว่าเช้าวันพรุ่งนี้จะได้มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตข้างนอกไหม เขาทอดสายตามองตามแผ่นหลังเพื่อนทุกคนไปด้วยความรู้สึกเสียใจจนกระทั่งประตูบานนั้นกลับมาปิดตายเหมือนเดิม

“พักสักหน่อยไหมครับ ท่าทางเหมือนพี่จะดูเหนื่อยๆ”

เสียงใสๆ นั่นช่างคุ้นหูเช่นเดียวกับมือเล็กที่ถือเชิงเทียน เปลวไฟดวงจ้อยไหววูบเล็กน้อยส่องให้เห็นใบหน้ากลมมนของเด็กชายในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงทรงฟักทองสีดำดูน่ารักน่าเอ็นดู

“หรือจะทานอะไรสักหน่อยไหมครับ”

เป้ไม่รู้จะตอบยังไง แต่สายตาที่ส่งมาก็เป็นเชิงบังคับว่าให้เขาต้องเดินตามเด็กผู้ชายที่ถือเชิงเทียนนั้นไปอย่างเลือกไม่ได้


---------------------



หลังจากที่เด็กวัยรุ่นพวกนั้นออกมาจากคฤหาสน์แล้วและใจพวกเขาสงบพอ วุฒิที่เอาแต่เงียบตลอดทั้งที่เขาไม่ใช่คนเงียบขรึมพูดขึ้นมากลางวง “พวกมึงรู้ไหม กูกับโดมเห็นอะไร”

“ก็เห็นเหมือนที่กูเห็นไม่ใช่เหรอวะ มือแตะถ้วยแก้วไม่พอมาจับขากูอีก เสียงที่ขอเล่นด้วย หลอนชิบหาย!”

พูดไปแล้วกันต์ยังกลัวไม่หาย ไม่โดนกับตัวนี่ไม่เข็ดไม่หลาบจริงๆ เขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่เล่นผีถ้วยแก้วอีกแล้ว ไม่เล่นอะไรสักอย่างที่ต้องเอาตัวเองไปข้องเกี่ยวกับดวงวิญญาณที่ไหนไม่รู้ เขากลัวว่าถ้าเล่นอีกสักครั้งอาจจะทำให้ใครถึงฆาต ถูกดวงวิญญาณปองร้ายหมายเอาชีวิต

“ถ้ากูเห็นเหมือนที่มึงเห็นก็ดีสิ”

“มึงเห็นอะไร วุฒิ”

“มึงว่าใครเลื่อนถ้วย”

“ก็ต้องเป็นผีที่ชื่อเจตนั่นแหละ” โมบอกขึ้นมา ดวงวิญญาณที่อยู่ในถ้วยแก้วชื่อเจตเพราะฉะนั้นพลังงานที่ใช้ดันแก้วให้ขยับก็ต้องเป็นของดวงวิญญาณดวงนั้น

“ตอนแรกกูกับโดมก็คิดแบบนั้นจนกระทั่งตอนที่เป้ถามว่าอยู่ตรงไหน แล้วเขาตอบว่าอยู่ตรงข้ามคุณ วินาทีนั้นกูกับโดมหันมองหน้ากันเพราะกูเห็นเด็กผู้ชายในชุดสีขาวดำใช้มือเลื่อนแก้วซึ่งเขานั่งอยู่ฝั่งขวาของเป้ ถ้าวิญญาณที่ชื่อเจตนั่นอยู่ตรงข้ามเป้แล้วที่กูกับโดมเห็นคืออะไร”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ พวกเขากำลังทบทวนสิ่งที่แต่ละคนเจอะเจอในขณะที่เล่นผีถ้วยแก้วในคฤหาสน์หลังนั้น

“ตะ... แต่กูเห็นมือนั่นตอนกูได้ยินเขาพูดว่าขอเล่นด้วยกับตอนที่เขาเอามือมาจับขากู” กันต์บอกออกมาเป็นคนแรกเมื่อรวบรวมสติคิดทบทวนอย่างดี แล้วเหมือนเพิ่งจะนึกได้ถึงตำแหน่งที่นั่งของแต่ละคนจึงพูดขึ้นมาต่อ “ถ้าหากว่าโมนั่งตรงข้ามเป้ กูนั่งอยู่ฝั่งขวาของเป้จะอยู่ตรงข้ามกับอัฐที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของเป้ และเด็กในชุดสีขาวดำอย่างที่วุฒิพูดถึงปรากฏกายให้แค่มึงกับโดมเห็นนั้นอยู่ทางฝั่งซ้ายของเป้ซึ่งเท่ากับว่าเด็กคนนั้นอยู่ระหว่างเป้กับอัฐ แล้วใครจับขากู!”

เกิดความเงียบขึ้นอีกระลอก ไม่เพียงแค่ความสงสัยที่ว่าใครจับขายังรวมไปถึงว่าวิญญาณของเด็กคนนั้นเป็นใคร ทำไมถึงปรากฏให้วุฒิและโดมเห็นเต็มตัวในขณะที่คนอื่นเห็นเพียงแค่มือ

“แล้ว... ทำไมเป้ที่มีเซ้นส์เรื่องนี้ถึงไม่เห็นเด็กคนนั้นเลย”

อัฐฟังแล้วก็นึกสงสัย ถ้าหากเด็กคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้นตลอดและแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้มีจิตสัมผัสเรื่องแบบนี้แรงกล้าอย่างโดมและวุฒิทำไมถึงได้มองเห็นแต่กลายเป็นว่าเป้เห็นเพียงแค่วิญญาณของเจตเท่านั้น

“กูไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย! สับสนไปหมดแล้วเนี่ย!! ใครก็ได้เรียงไทม์ไลน์ให้กูที” กันต์ถึงกับเอามือทึ้งหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด

“ตอนนี้? ตรงนี้? ไม่ดีมั้ง” โดมแอบเหลือบมองไปยังคฤหาสน์ที่ขนาดวิ่งออกมาห่างๆ แล้วยังรับรู้ถึงความมีอยู่ของมันได้ บรรยากาศตอนเลยเที่ยงคืนไปแล้วชวนให้หลอนพอๆ กันเพราะทั้งถนนแทบจะไม่มีรถสักคันแล่นผ่าน ไม่มีผู้คนเดินผ่านแถวนี้แม้เพียงคนเดียว

“เออ! ต้องตอนนี้ ตรงนี้ด้วย กูจะรอให้พระอาทิตย์ขึ้นก่อนแล้วจะกลับเข้าไปหาเป้ กูไม่ทิ้งมันไว้ที่นั่นคนเดียวหรอก ไม่ใช่มันที่ต้องเสียสละเพื่อเพื่อนแต่ควรจะเป็นกู”

“โอเคๆ งั้น... ขอกูเรียบเรียงสติก่อน ใครก็ได้บันทึกที่กูพูดไว้ด้วยนะ”

วุฒิสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาพยายามเรียบเรียงสติ ไล่ลำดับไปทีละขั้นอยู่ในใจ

“พวกเราแอบเข้าไปที่นั่นตอนเกือบเที่ยงคืน เตรียมของพร้อมทำพิธีอะไรเสร็จก็เที่ยงคืนครึ่ง หลังจากนั้นแก้วเคลื่อน เป้ถามชื่อ ถามว่าเขาอยู่ตรงไหน คำตอบคืออยู่ตรงข้ามเป้เพราะมันเห็นวิญญาณดวงนั้น หลังจากนั้นก็ถามต่อว่าเป็นอะไรตาย แก้วเคลื่อนที่แต่ตอบไม่เสร็จก็มีมือเล็กๆ แตะไปที่แก้วพร้อมกับทุกคนได้ยินเสียงว่าขอเล่นด้วยใช่ไหม”

ทุกคนในที่นั้นพยักหน้า

“แล้วกันต์ มึงก็โวยวายออกมาว่าไม่อยู่แล้ว ไม่เล่นแล้วทำนองนี้แต่สักพักมึงก็กลับลงมานั่ง ตอนนั้นมึงบอกว่าเหมือนมีใครจับขามึงอยู่ แก้วหงายแล้วทุกคนก็แตกกระเจิง โอเค... จบเรื่องที่พวกเราทุกคนเห็นกันแล้ว มาต่อที่เรื่องของวุฒิกับโดม มึงบอกว่ามึงเห็นเด็กผู้ชายในชุดขาวดำอะไรนั่นตั้งแต่ตอนไหน”

“กูกับวุฒิเห็นตั้งแต่ตอนที่เป้บอกว่าถ้ามาแล้วให้ไปที่คำว่าพัก ปรากฏเป็นร่างให้กูกับมันเห็นเลยแบบจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา มีหันหน้ามายิ้มให้พวกกูด้วย พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย”

โดมลูบแขนตัวเองไปมาท่าทางหวาดกลัวอย่างแท้จริง ตอนที่เห็นใบหน้านั่นครั้งแรกเขายอมรับเลยว่าน่ารักมากแต่พอยิ้มให้เท่านั้นล่ะ เรียกได้ว่าถ้าทำอะไรหลบหลู่ดูหมิ่น ไม่เคารพแล้วล่ะก็มีโอกาสถูกพาไปอยู่ด้วยแน่

“งั้นก็แสดงว่าเด็กคนนี้อยู่มาตั้งแต่เริ่มเล่นเกมและก็น่าจะเป็นคนดันแก้วใบนั้น ตอบทุกคำถามที่เราถาม ถ้าอย่างนั้น... วิญญาณที่เป้เห็นเป็นใครหรือวิญญาณเด็กคนนั้นเป็นใคร แล้วมีมากกว่าสองใช่ไหม เพราะตอนที่กันต์บอกว่ารู้สึกเหมือนมีมือมาจับขาเอาไว้ ถ้าเป็นมือของเด็กคนนั้นก็ควรจะจับขาเป้ไม่ก็อัฐ”

โมทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักแต่นึกเท่าไรก็หาเหตุผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ออก เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ จวบจนกระทั่งโดมโวยวายออกมา  “โอ๊ย!! ไม่ไหวแล้วโว้ยยยย กูนอนก่อนล่ะ พวกมึงจะนั่งถกอยู่นี่รอจนเช้าก็ได้”
“มึงกล้านอนทั้งที่เพื่อนมึงยังอยู่ในนั้นเหรอวะ”

“แล้วจะให้กูทำยังไง กันต์ มึงจะให้กูนั่งหาเหตุผลกับมึงทั้งคืน คิดไปก็คิดไม่ออกหรอก สู้มึงกลับเข้าไปพรุ่งนี้ตอนเช้า ถ้าเจอวิญญาณเจตอะไรนั่นหรือเด็กคนนั้นอีก มึงก็ลองไปถามเขาดูว่าใครจับขามึง มึงไม่รู้ พวกกูก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะฉะนั้นเลิกหาเหตุผล เลิกถามว่าทำไมได้แล้ว!”

ที่โดมพูดมาก็ฟังดูเข้าท่าแต่ใครจะใจกล้าบ้าบิ่นเข้าไปถามให้รู้เรื่องอีกรอบทั้งที่เพิ่งจะเจอเรื่องราวที่เกือบจะเอาชีวิตกันไม่รอดอยู่แล้ว


*** to be continued ***

ตอนนี้พี่ตฤณไม่อยู่นะคะ แวะไปเก็บของที่หอพักแปปนึง เดี๋ยวกลับมาแน่นอนค่ะ
ส่วนเรื่องการเล่นผีถ้วยแก้วนั้นเรายังแอบหวั่นใจจะว่าเขียนได้ไม่ดีพอ แถมยังกลัวไม่หลอนและยังมาแบบสั้นๆ อีก แหะๆ


-----------------------------------------------


ommanymontra
ขอบคุณนะคะ

alternative
จะว่าไปประมาณนั้นก็ได้ค่ะ มันเป็นนิยายที่ระบายความเก็บกดจากเรื่องนั้นของเราเองค่ะ แหะๆ ขอบคุณนะคะ

areenart1984
ไม่แน่ใจว่าตอนต่อไปจะหลอนมากน้อยขนาดไหน แต่จะพยายามนะคะ ขอบคุณค่ะ

rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ

ซีเนียร์
ฝากนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ


หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 3 [22/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-10-2017 19:49:09
ต๊ายยยยย เด็กพวกนี้!

แล้วตกลงมันมีมากกว่าสองใช่ป่ะ

บรื๊ออออออ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 3 [22/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-10-2017 20:59:44
 :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 3 [22/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 23-10-2017 00:17:29
สงสารเป้ ดูเป็นเด็กดีมีมารยาท จะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่รึเปล่านะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 3 [22/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-10-2017 01:45:04
พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ขอให้หลานเป้อยู่รอดปลอดภัยด้วยเถอะ สาธุ  :m5:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 3 [22/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 23-10-2017 13:05:45
น้องจ้าวก็ไม่ได้จะหาเพื่อนให้พี่ตฤณใช่มั้ยคะ? แต่ถ้าไม่ใช่ก็น่าจะเป็นเพื่อนลุงมิ่ง ...
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 3 [22/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 23-10-2017 18:22:20
ครบคู่แระ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 3 [22/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 30-10-2017 18:58:20
ชอบๆๆๆๆ
รออ่านน่ะ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 4 [05/11/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 05-11-2017 12:11:10
::: ตอนที่ 4 :::
จะดูแลเธอเป็นอย่างดี




เป้เดินตามเด็กผู้ชายในชุดสีขาวดำดูน่ารักเหมือนตุ๊กตาตัวน้อยไปเรื่อยๆ อย่างจนใจ จะออกไปไหนไม่ได้ถ้าเจ้าของคฤหาสน์ไม่ยินยอมเลยมีแต่ทางนี้เท่านั้นที่ยังพอรักษาชีวิตของตัวเองได้อยู่ หากคิดหนีหรือพยายามหาทางออก วิญญาณดวงนั้นคงคว้าเอาตัวเขาไปอยู่ด้วยแน่

“พี่ชื่ออะไรเหรอครับ”

“เออ... เป้ ชื่อเป้”

“พี่เป้ยังไม่ได้ตอบจ้าวเลยนะครับว่าอยากจะพักแล้วหรือว่าอยากจะทานอะไรสักหน่อย”

ท่าทางของเป้ดูจะอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย เขาตอบไม่ถูกว่าจะเลือกคำว่าพักหรือทานดี ถ้าเลือกพักแล้วเป็นพักแบบไหน พักชั่วครั้งคราวหรือพักถาวรตลอดชีพ ถ้าหากเลือกทานแล้วจะได้ทานอะไร ของดิบของสด ตับไตไส้พุงเลือดม้ามหรืออะไรอย่างอื่นที่เขาอาจจะจินตนาการภาพไม่ออก

“ถ้างั้นจ้าวว่าพี่เป้ทานอะไรสักหน่อยดีกว่านะครับ พอหนังท้องตึง หนังตาก็จะหย่อน คืนนี้พี่เป้จะได้หลับสบาย”

บรรยากาศวังเวงชวนขนหัวลุกกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์สยองขวัญมามาดๆ เป้ไม่อยากปักใจเชื่อว่าจะได้กินอิ่ม นอนหลับสบายเหมือนอย่างที่เด็กคนนั้นพูดเอาไว้ เขาเดินตามไปเรื่อยๆ โดยไม่พูดอะไรแต่น่าแปลกที่ว่าทั้งที่เด็กคนนั้นมีใบหน้าอันน่ารักน่าเอ็นดูเรียกได้ว่าใครเห็นเป็นต้องหลงรักแต่ทว่ากลับมีบรรยากาศรอบกายที่บ่งบอกว่าควรอยู่ห่างเอาไว้

“จ้าวเห็นว่าพี่เป้มาเลยสั่งให้เขาทำสเต๊กเนื้อมีเดี่ยมแรร์มาให้ เลือดนี่ไหลเยิ้มน่ากินเชียวล่ะครับ”

“งะ... งั้นเหรอครับ”

“เอ๊ะ! หรือว่าพี่เป้อยากกินอะไรที่เบากว่านี้ไหมครับ อย่างเช่นแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ พี่ชายของจ้าวทำซอสสตรอเบอร์รี่อร่อยนะครับ ถ้าพี่เป้ได้ลองชิมดู รับรองเลยครับว่าจะต้องติดใจแน่นอน”

จะเป็นแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่หรือสเต๊กเนื้อมีเดี่ยมแรร์ เป้ก็คิดว่าไม่มีอะไรน่าอร่อยสักอย่าง เขากอดแขนตัวเองแน่นคล้ายกับว่าบรรยากาศรอบข้างทำเอาเขาหนาวสั่นแต่ทว่าความจริงแล้วมื้ออาหาร ของว่างนั่นต่างหากที่ทำเอาเขาหวาดกลัว

“แหะๆ เหรอครับ”

“พี่เป้ไม่อยากกินเหรอครับ น้ำเสียงเหมือนไม่มีความสุขเลย”

จ้าวหันหน้ากลับมามอง เรียวคิ้วงามขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เปลวไฟสีส้มอ่อนจากเชิงเทียนถูกยื่นมาตรงหน้าใกล้กับเป้ นั่นยิ่งทำให้เขาเริ่มคุ้นตากับเรียวมือเล็กสีขาวซีดข้างนั้นขึ้นทุกที มันคล้ายกับมือข้างหนึ่งที่แตะลงบนถ้วยแก้วเมื่อตอนที่เขานั่งเล่นผีถ้วยแก้วอยู่กับเพื่อน

“มัน... คือ... มันดึกแล้ว”

“เหรอครับ เสียดายจังครับ ถ้าอย่างนั้นให้จ้าวไปส่งพี่เป้ที่ห้องพักนะครับ”

“แล้วคือ... เอ่อ... เจต วิญญาณที่ชื่อเจตล่ะครับ รู้จักไหม”   

จ้าวส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแต่ทว่าดวงตาสีเพลิงคู่นั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย สิ่งที่แฝงอยู่ในแววตาคือความชั่วร้ายคล้ายปีศาจ เขาหันหลังกลับไปและเดินนำไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ให้พร้อมแล้วสำหรับการนอนในคืนนี้โดยไม่คิดที่จะตอบคำถามนั่นเลย

เป้คิดว่าบางทีเขาควรจะเงียบเสียบ้างถ้าไม่อยากทำให้เด็กคนนั้นโมโห แววตาที่สะท้อนกลับมายามจ้องมองมายังเขาดูน่ากลัวเกินกว่าจะถามอะไรต่อ เขาเดินตามเด็กคนนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่ง เชิงเทียนที่อยู่ในมือของเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนั้นถูกยื่นมาให้เขาพร้อมกับคำพูดเพียงประโยคสั้นๆ “พี่เป้พักห้องนี้นะครับ”

“อ่า...”

“รับไปครับ ในห้องไม่มีไฟ”

เป้ยอมรับเชิงเทียนมาถือเอาไว้แต่เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าความสว่างอยู่ที่ตัวเขาแล้วเด็กคนนั้นจะเห็นอะไรตอนเดินกลับไป แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามอะไรออกไปก็ดูเหมือนว่าจ้าวจะรับรู้ความคิดนั้น เขาจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง “พี่เป้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ จ้าวชินทางแล้ว นอนหลับพักผ่อนให้สบายนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจ้าวจะมาปลุก”

เป้พยักหน้าพร้อมกับเดินเข้าห้องไป ชั่ววินาทีแรกที่ปลายเท้าเหยียบย่างเข้าไปในห้องราวกับไอความเย็นแผ่ซ่านอยู่รอบตัว แม้กระทั่งเชิงเทียนที่ถืออยู่ในมือก็ยังเย็นเฉียบคล้ายกับว่ามีใครนำมันไปแช่ไว้ในช่องแช่แข็งก่อนที่จะส่งมอบมาให้

ภายในห้องนั้นมืดสนิทด้วยเพราะวันนี้เป็นคืนเดือนมืดที่เขาว่ากันว่าดวงวิญญาณจะมีอิทธิฤทธิ์แรงกล้าที่สุดในช่วงเวลาแบบนี้ เป้เชื่อในเรื่องวิญญาณแต่ไม่ใช่คนกลัวผีสักเท่าไรเพราะอย่างนั้นแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังทำให้เขาหลับได้อย่างสบาย เป้เชื่อว่าหากเราไม่ไปรบกวนเขาก่อน เขาก็จะไม่มารบกวนเรา

เป้สวดมนต์ แผ่ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรและวิญญาณสัมภเวสี ผีเร่ร่อนในทุกคืนก่อนเข้านอนเสมอนั่นจึงทำให้เขาไม่เคยกังวลว่าจะมีวิญญาณดวงไหนมารบกวนเวลาเข้านอน และแม้ว่าคืนนี้จะอยู่ในต่างที่ต่างถิ่นแต่เขาก็ไม่อยากหลบหลู่ดูหมิ่นจึงรีบทำเหมือนที่ทำทุกครั้งแล้วซุกตัวลงใต้ผืนผ้าห่มที่ส่งกลิ่นเหม็นอับคล้ายของเน่าของเสีย

เสียงกึกกักคล้ายกับใครกำลังรื้อหาของอยู่ข้างหัวเตียงดังตลอดทั้งคืนจนน่ารำคาญ เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่นอนอยู่บนเตียงพลิกซ้ายทีขวาทีอย่างหงุดหงิด เขาอยากจะลุกขึ้นมาถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหมแต่เกรงว่าถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมาไม่ใช่แค่ให้หาของแต่ต้องการดวงวิญญาณเขาไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วล่ะก็ที่พยายามรักษาชีวิตตัวเองมาจนถึงตอนนี้ได้คงสูญเปล่า

เป้ลุกขึ้นมานั่งพิงกับหัวเตียง เชิงเทียนที่ไฟยังไม่ดับส่องให้เห็นบรรยากาศข้างนอกอันแสนน่ากลัว ใบไม้พลิ้วไหวเสียดสีกันไปมารุนแรง กิ่งก้านลู่ไปตามลมที่พัดกรรโชกอย่างหนักแต่ทว่าภายในห้องกลับเงียบสงัด ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมพัดที่ควรจะดังมากราวกับพายุเข้า ตอนนี้เขาได้ยินแค่เสียงลมหายใจของตัวเองที่ถูกผ่อนออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะเท่านั้น

คนที่สามารถเห็นดวงวิญญาณที่เดินไปมาตามท้องถนนหรือสถานที่ต่างๆ มักจะไม่เป็นสุขเท่าไรนักในวันเดือนดับที่ดวงวิญญาณหรือแม้กระทั่งผีสางทั้งดีและชั่วสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสรเสรี ไม่เพียงแต่จะได้ยินเสียง เขายังเห็นวิญญาณพวกนั้นได้อย่างชัดเจน ทุกตัวทุกตนราวกับเป็นคนที่อยู่ในภพเดียวกันจนบางครั้งก็นึกว่าเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง

เสียงที่คล้ายกับใครกำลังรื้อของยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น ตามมาด้วยเสียงเปิดปิดลิ้นชักโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้นทำให้เป้ต้องหันไปมอง ช่วงจังหวะหนึ่งที่เพียงแค่เบือนสายตาไปหา เขาเห็นผู้หญิงในชุดนอนของชาวตะวันตกสีขาวครีมหันมามองหน้า สบตาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวก่อนจะกวาดทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะทิ้ง เสียงข้าวของตกกระทบพื้นแตกกระจายแต่สิ่งที่เขาเห็นเต็มสองตาคือความว่างเปล่าที่อยู่บนโต๊ะเช่นเดียวกับบนพื้นที่ไม่เห็นแม้กระทั่งของสิ่งใด พอเคลื่อนสายตาไปมองยังจุดที่ผู้หญิงคนนั้นควรจะยืนอยู่กลับไม่พบอะไรแม้แต่น้อยราวกับว่าที่ตรงนั้นไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนหน้า

เมื่อกวาดสายตามองไปโดยรอบ เขาเห็นเงาตะคุ้มๆ บนบานกระจกแต่งตัวแต่ไม่แน่ใจว่าคือสิ่งใด บางทีอาจเป็นเพียงแค่เขาที่ตาฝาดไปหรือเป็นเพราะความสว่างที่มีอยู่น้อยนิดจากเทียนเล่มเดียวบนเชิงเทียนที่วางอยู่ข้างหัวเตียงในมุมหนึ่งของห้องและความไม่แน่ใจนั้นจึงทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น มือข้างหนึ่งคว้าเอาเชิงเทียนมาถือไว้แล้วค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงนอนอย่างระมัดระวัง มุ่งหน้าตรงไปยังกระจกบานนั้นทันทีด้วยความแคลงใจ

แสงไฟดวงเล็กถูกยื่นไปข้างหน้าเพื่อพิสูจน์ความจริงที่ว่าสิ่งที่เห็นคือมโนภาพหรือเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ตอนนี้เป้ยืนอยู่ตรงหน้าบานกระจกนั้นแล้วและเห็นเพียงแค่เงาของตัวเองที่สะท้อนกลับมา ไม่กี่ชั่วอึดใจที่รู้สึกเบาใจว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพหลอนจากการคิดไปเอง ใบหน้าของเขาที่ปรากฏอยู่บนบานกระจกค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จนกลายเป็นใบหน้าของเด็กผู้หญิงวัยรุ่นชาวตะวันตกคนหนึ่งที่มีใบหน้าตกกระสีซีด ดวงไฟอันน้อยนิดจากเชิงเทียนไหววูบพร้อมที่จะดับลงได้ทุกเมื่อ วินาทีนั้นจู่ๆ เขาก็เกิดอาการหายใจหายคอไม่สะดวกราวกับมีใครบางคนเอาเชือกป่านมารัดไว้ที่คอจนเซถอยหลังไปแต่ไม่นานอาการนั้นก็หายไป มือข้างที่ว่างนั้นสัมผัสไปยังลำคอของตัวเองคล้ายกับจะพยายามดึงอะไรบางอย่างที่ทำให้หายใจไม่ออก ดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนนั้นที่สะท้อนอยู่บนบานกระจก

สุดท้ายแล้วเป้ก็เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้หายใจไม่ออกอย่างนี้เมื่อสิ่งที่เขาเห็นเพิ่มคือเชือกป่านที่รัดรอบคอเด็กคนนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา เธอดิ้นทุรนทุรายเหมือนที่เขาเป็นเมื่อครู่แต่อาการหนักกว่านั้นมาก สองแขนสองขาป่ายปัดไปทั่ว มีเลือดไหลออกมาจากจากทวารทั้งห้า ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองมายังเขาอย่างเคียดแค้น  ร่างกายของเด็กสาวคนนั้นกระตุกวูบอยู่สองสามครั้งก่อนที่สุดท้ายแล้วเธอคนนั้นจะสิ้นใจและภาพที่ปรากฏอยู่บนบานกระจกอีกครั้งก็เป็นร่างของเขาในเวลานี้ที่กำลังทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพร้อมกับสัมผัสไปยังบริเวณรอบคอของตัวเองอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาแต่ที่รอบคอของเขากลับมีร่องรอยของเชือกป่านที่รัดคอหญิงสาวคนนั้นปรากฏอยู่จางๆ     

ถึงเป้จะเป็นคนที่เคยชินกับการเห็นดวงวิญญาณคนตายมานับต่อนับแต่สิ่งที่เขาเจอะเจอวันนี้นั้นน่ากลัวกว่าการเจอวิญญาณที่หน้าตาเละเทะตามท้องถนนมากนัก เขารีบสาวเท้าอย่างรวดเร็วกลับไปยังเตียงนอน วางเชิงเทียนไว้บนโต๊ะหัวเตียงตามเดิมแล้วซุกตัวอยู่แต่ในผืนผ้าห่มโดยไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หน้าขึ้นมาอีก


---------------------------------


“พี่เจต!!”

ทันทีที่จ้าวกลับเข้ามาในห้องของตัวเอง เขาก็แผดเสียงดังลั่นด้วยความโมโห ตุ๊กตาหมีขนปุยถูกหยิบขึ้นมากอดเอาไว้แนบอกก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ม้าโยก ไม่ว่าวิญญาณของเจตรินจะอยู่แห่งหนใดในอาณาบริเวณของคฤหาสน์หลังนี้จะต้องกลับเข้ามาสิงอยู่ที่ตุ๊กตาหมีตัวนั้นทันทีที่จ้าวแตะสัมผัสมัน

‘จ้าวโกรธอะไรพี่เหรอครับ’

“พี่เจตพาใครมา”

‘ก็เด็กที่อยากลองของไง เด็กคนนั้นไม่ถูกใจจ้าวเหรอ’

จ้าวอยากจะปาตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมกอดทิ้งลงพื้น แต่ถ้าทำแบบนั้นวิญญาณของเจตรินก็จะสามารถออกจากตุ๊กตาตัวนั้นไปไหนต่อไหนได้และเขาขี้เกียจตามกลับมา

“ไม่ใช่คนนี้! จ้าวอยากได้อีกคน! คนที่ปากกล้าอยากลองดีคนนั้น จ้าวจะทำให้เขาได้รับประสบการณ์ที่ต้องจำไปจนวันตายเลยล่ะ แต่นี่อะไร! พี่เจตเลือกเพราะถูกใจใช่ไหม”

‘ถ้าไม่ถูกใจ จ้าวก็ปล่อยเขาไปสิ’

“ได้ ถ้าพรุ่งนี้เขายังอยู่ครบสามสิบสองรวมถึงสติด้วย จ้าวจะปล่อยเขาไป แต่ถ้าจ้าวดูแล้วว่าเขาไม่ปกติ จ้าวจะรับเขามาเป็นคนงานเพิ่ม ตกลงตามนี้นะครับ พี่เจตจะไปปกป้องเขา จะไปไหนก็ไปเถอะครับ จ้าวอยากพักผ่อนแล้ว”

จ้าวปล่อยตุ๊กตาหมีปอนๆ ทิ้งไว้ข้างตัว วิญญาณของเจตรินถึงได้เป็นอิสระ เขาลอยออกมาจากตุ๊กตาที่ใช้กักขังวิญญาณของเขาเอาไว้มายืนอยู่ข้างเก้าอี้มาโยกที่น้องชายของเขานั่งอยู่แล้วเอื้อมมือออกไปลูบแก้มนุ่มนั้นเบาๆ ด้วยความเอ็นดูรักใคร่ การทำให้จ้าวโกรธไม่เป็นผลดีต่อทั้งตัวเจตรินหรือวิญญาณอื่นที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เลย

‘หายโกรธพี่เถอะนะครับ เด็กดี’

“ขอจ้าวอยู่คนเดียวครับ”

‘จ้าว...’

“พี่เจต คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด อยากปกป้องเขาก็รีบหน่อยนะครับก่อนที่เขาจะไม่เหลืออะไรไว้ให้พี่ปกป้อง”

เจตรินรู้แล้วแต่เขาเลือกที่จะไม่ไปไหน ยอมที่จะอยู่ในตุ๊กตาตัวนั้นต่อหรือไม่ก็ขอให้ได้อยู่เคียงข้างจ้าวก็พอ







>>>  ต่อข้างล่างค่ะ

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 4 [05/11/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 05-11-2017 12:12:18
>>> ต่อจากข้างบนค่ะ




ในห้องนอนที่ยังคงเย็นเฉียบจนเสียวสันหลัง เสียงฝีเท้าหลายคู่เดินวนไปวนมาอยู่รอบเตียงราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง เป้ไม่กล้าแม้แต่จะโผล่หัวออกมาจากผืนผ้าห่ม ยิ่งวันนี้เป็นวันที่พวกวิญญาณทุกประเภทออกเร่ร่อนไปมาได้ตามใจด้วยแล้วล่ะก็ไม่ควรทำตัวให้อยู่ในจุดเสี่ยง

แสงสว่างวาบเข้าตาในขณะที่เขายังคลุกตัวอยู่ใต้ผืนผ้าห่มจนต้องหลับตาเพราะความจ้าที่มากเกินไป เมื่อเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พยายามปรับสายตาให้เข้ากับทุกสิ่งรอบกาย ความเย็นเฉียบที่สัมผัสได้ทุกรูขุมขนแผ่ขยายเป็นวงกว้างอยู่ให้วงล้อมผ้าผืนเดียวกัน


ปัง! ปัง! ปัง!


เสียงเคาะประตูห้องด้วยความเกรี้ยวกราด เป้ไม่กล้าที่จะแง้มสายตามองออกไปดู แค่เท่าที่เจอมาตลอดตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาอยู่ในห้องก็หลอนจนเกือบขวัญเสียอยู่หลายหน หากพบเจอหลายครั้งเข้าก็เกรงว่าสติน่าจะหลุดออกจากร่างไปเลยทันที แต่ยังไม่ทันจะได้หายใจหายคอให้คล่องก็ปรากฏภาพของผู้ชายวัยกลางคน ผมสีดอกเลา ใบหน้าเปรอะไปด้วยคราบเลือดปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งที่เขายังคลุมโปงอยู่ห่างออกไปแค่เพียงหนึ่งไม้โปร

“ว๊ากกก”

เป้ตกใจจนต้องเลิกผ้าห่มออก ทันทีทันใดนั้นที่ใบหน้าของเขาหลุดออกมาจากผืนผ้าก็สบเข้ากับผู้หญิงในชุดนอนแบบตะวันตกสีขาวครีมตัวเดิม คนเดิมที่เขาเคยเห็นว่าเธอกวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงพื้นจนหมดกำลังจ้องมองมาทางเขาด้วยความโมโหคล้ายกับว่าเขาไปนอนทับที่ของเธอเข้า

“ขะ... ขอโทษ”

ในขณะที่กำลังจะขยับตัวออกมา เขารู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังทับผ้าห่มที่คลุมอยู่เพียงครึ่งร่างของเขาเอาไว้ไม่ให้ตัวเขาได้ออกจากผ้าห่มผืนนั้นง่ายๆ ราวกับว่าจะกักขังเขาเอาไว้บนเตียงนอน หัวใจที่เคยเต้นอย่างเป็นสุขกลับรัวเร็วราวกับดนตรีร็อก

“นะ... นะ... นะโม... ฮืออออ”

เป้ยกมือขึ้นเตรียมจะสวดมนต์ อาราธนาศีลหรือบทสวดอะไรก็ได้ที่ทำให้เขาได้ออกจากห้องนี้ แต่ทว่าคำสวดหลังจากนั้นกลับถูกกลืนหายไปเพราะหางตาเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบสวมชุดนอนสีพาสเทลนอนท้าวคางจ้องมองเขาอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสผิดกับผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นที่ยืนจ้องเขาเขม็งไม่วางตา

ถูกวิญญาณล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนี้ อย่าว่าแต่จะสวดมนต์จนครบบทได้ แม้กระทั่งทำใจให้สงบยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาทั้งหวาดกลัว ทั้งนึกถามตัวเองว่าเพราะอะไรถึงได้มาเจอวิญญาณมากมายขนาดนี้ราวกับกำลังประชุมเพลิง

“นะโม นะโม นะโม ตัสสะ.... ฮืออออ ภัควะโต อา.... ฮือออ”

แม้ว่าเป้จะเห็นวิญญาณบ่อยจนชินตา ถูกรบกวนบ้างเป็นบางเวลาแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ถูกวิญญาณห้อมล้อม จ้องมองราวกับว่าเขาเป็นของแปลกหรือสิ่งที่น่าสนใจอย่างนี้ และดูเหมือนว่าบทสวดที่ไม่ปะติดปะต่อนั่นจะใช้ไม่ได้ผลกับดวงวิญญาณที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพราะไม่เพียงแต่จะไม่ขยับหนี ยังดูเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย

“เช้า... เช้าเร็วๆ สิวะ!!!”   

อยากจะเร่งให้พระอาทิตย์ทำงานไวๆ แต่ดูเหมือนว่าเวลาในแต่ละวินาทีจะเดินช้าเสียเหลือเกิน เมื่อทำอะไรไม่ได้แถมยังถูกล้อมทุกทิศทางอย่างนี้ จะขยับตัวหนีก็ติดเด็กผู้ชายที่ยังนอนท้าวคางจ้องหน้าเขาไม่วางตา จะลุกลงไปทางปลายเตียงก็เจอผู้หญิงวัยกลางคนจ้องเขาด้วยความโกรธเคือง จะหลบไปทางขวาเพื่อวิ่งออกไปข้างนอกห้องก็เกรงว่าจะเจอหนักกว่านี้

“โว้ย!! เอาเลย! ตามสบายเลย! นอนแล้วนะ! ง่วงมาก!!”

เป้พยายามจะไม่สนใจอะไรแล้วเพราะยิ่งเขาสนใจมากเท่าไรก็ยิ่งกลัวมากเท่านั้น เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิดหัวแล้วหลับตาลง สัญญากับตัวเองว่าถ้าเด็กคนนั้นไม่มาเคาะประตูเรียกก็จะไม่มีวันลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อเจอกับบรรยากาศน่าขนลุกอีก

แม้จะบอกออกไปว่าจะนอนแต่อันที่จริงแล้วในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่มีใครหลับตาลงได้อย่างสนิทใจ เป้เพียงแค่หลับตาเพื่อเลี่ยงการรับรู้ พยายามปิดหูเพื่อทอนเสียงที่ได้ยิน แต่ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจขณะนี้ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มีทางที่จะปลดปล่อยมันออกมาได้ เขาพยายามฝืนใจตัวเองต้องอยู่ให้ได้ ต้องรอดในสถานการณ์ที่วิญญาณพร้อมจะออกจะร่างได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าเขาซุกตัวอยู่ในท่านั้นนานแค่ไหน แต่เสียงเคาะประตูห้องทำเอาเป้สะดุ้งโหยง ยังไม่กล้าที่จะโผล่หน้าขึ้นมาเพราะเกรงว่าผู้ที่อยู่หน้าห้องนั้นจะไม่ใช่คน จวบจนกระทั่งได้ยินเสียงตามมา เขาจึงคลายใจลงได้บ้าง “พี่เป้ครับ! จ้าวเองนะครับ ตื่นหรือยังครับ” 

เป้เลื่อนผ้าห่มที่คลุมร่างจนมิดออก หลังจากนั้นจึงขยับตัวที่เริ่มจะเมื่อยขบลงจากเตียงอย่างช้าๆ เมื่อมั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินมาจากหน้าห้องนั้นใช่เสียงของจ้าวจริงๆ เขาไม่เห็นดวงวิญญาณทั้งหลายที่ห้อมล้อมอย่างกับเขาเป็นของใหม่ที่น่าสนใจแล้วแม้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์จะยังไม่ขึ้นก็ตาม

“เฮ้อ~”

“พี่เป้! อยู่ไหมครับ”

“อ๊ะ! ครับ”

เป้ตอบรับพร้อมกับรีบรุดไปเปิดประตูต้อนรับ เด็กที่ชื่อจ้าวยืนฉีกยิ้มกว้างรออยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับมือเล็กข้างหนึ่งถือเชิงเทียน ความสว่างของไฟดวงเล็กส่องให้เห็นอย่างชัดเจนเพียงแค่มือ แต่เพียงเท่านั้นเขาก็ได้บทสรุปของคำถามที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ มือเล็กสีไข่มุกข้างนั้นช่างเหมือนกับนิ้วมือที่แตะสัมผัสอยู่บนถ้วยแก้วเมื่อคืนนี้จนรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไม่มีสาเหตุคล้ายว่ากำลังพูดคุยอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

“เมื่อคืนหลับสบายดีไหมครับ”

“ก็… สบายดีครับ”

จะให้เป้ตอบว่าไม่สบายก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจเอาเสียก่อน

“ถ้าอย่างนั้นเราไปทานแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่กันดีกว่าครับ จ้าวอยากให้พี่เป้ลองชิมดูจริงๆ นะ มันอร่อยจนลืมไม่ลงเลยล่ะครับ”

ลืมไม่ลง… พูดแล้วก็ให้เป้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน นั่นก็เป็นเรื่องที่เขาจะลืมไม่ลงไปชั่วชีวิตเช่นกัน

“อ๋อ! จริงสิ หรือพี่เป้อยากทานเมื้อเช้าแบบไข่ดาวที่ไข่แดงไม่สุกกับแฮม ไส้กรอก ขนมปังอะไรแบบนี้ไหมครับ จ้าวจะได้ให้เขาเตรียมให้เป็นกรณีพิเศษ”

“เออ… จะเป็นอะไรไหม ถ้าพี่ขอกลับเลย”

“ได้สิครับ ให้จ้าวเดินไปส่งนะครับ”

เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ถึงกับทำให้เรียวคิ้วงามขมวดเข้าหากัน ทั้งที่เมื่อคืนวิญญาณของเจตเลือกให้เขาเป็นตัวตายตัวแทนของเพื่อนทั้งห้าคนแต่ในเวลานี้กลับปล่อยให้ออกไปอย่างง่ายดาย

“เอ่อ... พี่ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม”

“ได้สิครับ” จ้าวตอบกลับพร้อมกับยิ้มให้อย่างละมุน

“เอ่อ... จ้าวใส่ชุดนี้ตลอดเลยหรือเปล่าครับ มีคนอื่นใส่ด้วยไหม ชุดแบบนี้น่ะ”

จ้าวก้มมองชุดที่ตัวเองใส่ก่อนจะทำท่าคิด จับชุดของตัวเองไปมาคล้ายว่ากำลังตรึกตรองในใจว่านอกจากตัวเขาเองแล้วมีใครใส่ชุดลูกไม้ สวมกางเกงฟักทองแบบนี้อีกหรือไม่ แต่ทว่าคำตอบที่เป้ควรจะได้รับกลับกลายเป็นคำถามที่เขาต้องตอบแทน “พี่เป้ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้ว่ายังไงบ้างเหรอครับ”

“เอ่อ...” เป้พยายามนึกถึงคำพูดเพื่อนที่เล่าถึงสรรพคุณของคฤหาสน์หลังนี้ตอนที่ถูกชวนมาเล่นผีถ้วยแก้ว “เขาเล่ากันว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ร้าง ไม่มีคนอยู่อาศัยแล้วก็ขึ้นชื่อเรื่องผีดุประมาณนั้น ถ้าใครเข้ามาลองดี ส่วนมากจะไม่ได้กลับออกไปหรือถ้าออกไปได้ก็จะกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน พี่ว่า... มันก็แค่ข่าวลือเกินจริงนิดหน่อย เพราะที่นี่ก็ยังมีคนอยู่ จริงไหม”

“แล้วแต่พี่จะคิดเถอะครับ เพราะยังไงคำตอบที่พี่ต้องการก็อยู่ในข่าวลือนั่น”

เป้ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงคำตอบที่เด็กคนนั้นตอบกลับมา ถ้าหากคฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ร้างจริง ไม่ว่าใครก็ตามที่ใส่ชุดเหมือนจ้าวย่อมไม่ใช่คน และนั่นก็ย่อมหมายความว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นย่อมไม่มีลมหายใจด้วยเช่นกัน จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอีกระลอกพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนหัวใจจะหยุดทำงานไปชั่วขณะ เสี้ยววินาทีหนึ่งในหัวสมองของเขามีบางสิ่งบางอย่างแล่นเข้ามา และยิ่งได้ยินประโยคที่จ้าวกล่าวต่อไปด้วยแล้ว “ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืนนะครับ จ้าวกับพี่ชายสนุกมาก วันหลังถ้าอยากเล่นอีกก็แวะมาได้นะครับ ที่นี่ยินดีต้อนรับคนอยากลองของเสมอ”

เป้ไม่รู้จะพูดอะไรต่อหรือแม้จะหายใจต่อยังไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไง ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงถนัด สติของเขาคล้ายจะดับวูบลงเมื่อลองทบทวนดูในหลายๆ เรื่องแล้วเขาพบว่าเด็กผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากับมือที่แตะสัมผัสไปบนแก้วใบนั้นเป็นมือเดียวกันไม่ผิดแน่

“ใกล้จะสว่างแล้ว ข้างนอกคงน่าอยู่กว่านี้ ยังไงจ้าวขอส่งแค่นี้ดีกว่า รบกวนพี่เป้เดินออกไปเองนะครับ”

ตอนนี้เป้หมดคำพูด แค่คำตอบรับธรรมดาที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรยังทำให้เขาพูดไม่ออก

“อ้อ แล้ว... รบกวนอีกเรื่องนะครับ ฝากบอกเพื่อนของพี่ด้วยว่าคราวหน้าคราวหลังถ้าจะมาเล่นอะไรที่นี่อีก ขากลับ ช่วยเก็บของกลับไปด้วยนะครับ จ้าวไม่อยากได้ของที่ระลึก”

ไม่รู้เมื่อไรที่เชิงเทียนในมือของจ้าวแปรเปลี่ยนเป็นกระดานผีถ้วยแก้วพร้อมด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในพิธีกรรม เขายื่นมันคืนกลับไปให้กับเจ้าของเดิม เป้เอื้อมมืออันสั่นเทาออกมารับมันไว้ ตอนนี้แค่จะก้าวเท้าออกจากจุดที่ยืนอยู่ก็เหมือนจะก้าวไม่ออก ทั้งที่ไม่มีใครรั้งเอาไว้แต่ก็กลัวเกินกว่าจนร่างกายไม่ยอมทำตามสิ่งที่สมองสั่งการ

“รีบไปเถอะครับ เพื่อนพี่รออยู่”

หลังจากที่จ้าวพูดจบ เป้ก็รีบสาวเท้าออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมกับถือกระดานผีถ้วยแก้วนั่นกลับไปด้วย 


------------------------------

   
“ไอ้เป้!! มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหมวะ!”

เป้ไม่ได้ตอบอะไรเมื่อกันต์ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการเล่นกระดานผีถ้วยแก้วตะโกนถาม เขาอยากวิ่งออกมาให้หลุดจากบริเวณคฤหาสน์ หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็คือต้องไม่เห็นตัวคฤหาสน์หลังนี้เลย เขาวิ่งผ่านพวกเพื่อนที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์พร้อมกับกวักมือเรียกให้ตามมา

“ไอ้เป้! มึงเป็นอะไรวะ!”

“กู... กูเจอ...”

ไม่มีเพื่อนคนไหนแปลกใจเพราะต่างก็รู้ดีว่าเป้เป็นคนที่มันสัมผัสพิเศษ เห็นพวกผี พวกวิญญาณได้จนเป็นเรื่องปกติไปแล้วแต่ทว่าทีท่าที่เห็นในตอนนี้กลับทำให้พวกเขาอยากรู้ว่าที่เจอนั่นเจออะไรมากกว่า

“เจออะไร มึง”

“เจ้า... เจ้าของมือนั่น ที่... ที่แตะบนถ้วยแก้ว”

วุฒิกับโดมหันหน้ามองกันก่อนที่จะตัดสินใจถามออกไปว่าเจ้าของมือที่ว่านั่นใช่คนเดียวกับที่พวกเขาเห็นตั้งแต่เริ่มเล่นเกมเลยหรือไม่ “เป็นเด็กผู้ชายใช่ไหม”

เป้ไม่ได้ตอบอะไรแต่เขาพยักหน้าให้อย่างถี่รัว

“สีตาเป็นยังไง สีอะไร มึง... เขียนคำตอบไว้ในมือถือก็ได้ กูอยากรู้ว่าใช่คนเดียวกับที่กูกับโดมเจอไหม”

ทุกคนในกลุ่มต่างลุ้นกับคำตอบที่ถูกเขียนไว้ในมือถือว่าจะใช่คนเดียวกับที่พวกเขาเจอกันหรือไม่ ใช่มือที่จับข้อเท้าของกันต์เอาไว้หรือไม่ แต่ก่อนที่จะได้เห็นคำตอบจากเป้ สิ่งที่วุฒิพูดขึ้นมาก็ทำให้เขาสะดุ้งเฮือก “ตาสีแดงใช่ไหม”

คำตอบที่เป้เขียนถูกยื่นไปให้กับทุกคนในที่นั้นได้เห็น ไร้ซึ่งคำพูดคุยแต่ทุกคนกลับเข้าใจกันได้เป็นอย่างดีในสิ่งที่แต่ละคนได้เจอมา คำว่า ‘สีเพลิง’ บนหน้าจอนั่นก็ไม่ได้ต่างไปจากคำว่า ‘สีแดง’ ที่ถูกพูดถึงเท่าไรนัก ไม่จำเป็นต้องถามถึงชุดที่ใส่ อาภรณ์ที่สวม   

“อ้อ! พวกมึง เขาฝากบอกมาด้วยว่าถ้าจะมาเล่นอีกก็ยินดีต้อนรับ แล้วก็... บอกอีกว่าช่วยเอาของคืนไปด้วย เขาไม่อยากได้ของที่ระลึก”

กระดานผีถ้วยแก้วพร้อมอุปกรณ์ทั้งหลายถูกยื่นมาตรงหน้า วินาทีนั้นไม่มีใครอยากเอื้อมมือออกไปรับมันกลับมา ไม่มีใครอยากลองของอีกแล้วเพราะกลัวจะเจอดี แค่คืนที่ผ่านมาก็นับว่าวิญญาณที่อยู่ในนั้นปราณีพวกเขามากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครได้กลับออกมาโดยไม่เป็นอะไรสักอย่าง นอกจากเสียขวัญจนแทบเสียสติเท่านั้น




** ติดตามตอนต่อไป **


ไม่รู้ว่าตอนนี้จะถูกใจกันบ้างหรือเปล่านะคะ แต่น่าจะพอรู้คร่าวๆ แล้วเนอะคะว่าใครเป็นอะไรกันบ้าง
ส่วนตอนหน้านั้น.... พี่ตฤณจะคัมแบ็คค่ะ พี่ตฤณบอกว่าเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมย้ายสัมมะโนครัวได้แล้วค่ะ มีใครรอพี่ตฤณของหนูจ้าวบ้างคะ

แต่.... มีเรื่องแจ้งให้ทราบด้วยค่ะว่า....

เนื่องจากผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ซึ่งคือตัวเราเองจะออกไปท่องโลกกว้าง ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัยเป็นเวลา 11 วัน ตีว่าสองสัปดาห์
และซึ่งมันต้องเตรียมตัว เตรียมความพร้อมจิปาถะมากมาย เช็คของ เช็คแพลน คอนเฟิร์มที่พัก บลาๆๆๆ อีกเป็นรอบสุดท้ายก่อนออกเดินทาง
อีกทั้งหลังจากที่กลับมาแล้วคาดว่าตัวเองคงจะกลายเป็นซอมบี้เดินได้ตามเคย + เม้าท์มอยหอยสังข์อีก 3 วัน 7 วัน
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนั้น จึงขออนุญาตผู้อ่านทุกท่านว่า "ของดอัพนิยายเป็นระยะเวลา 1 เดือนนะคะ"
สุดท้ายนี้ก็อย่าเพิ่งลืมกันนะคะ ขอบคุณค่ะ


-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-

alternative

ขอบคุณนะคะ แหะๆ มันมีมากกว่าสองไหม อันนี้ขอไม่เฉลยนะคะ ปล่อยให้เป็นปริศนากันต่อไป

ommanymontra
ขอบคุณนะคะ

rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ อันนี้รู้แล้วจิ่นะว่าเปเป้รอดแล้วค่ะ เปเป้ไม่ใช่เป้าหมายของหนูจ้าว

areenart1984
ขอบคุณนะคะ สาธุๆ เปเป้รอดแล้วค่ะ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ น้องจ้าวไม่ได้หาเพื่อนให้ใครเลยค่ะ น้องไม่ถูกใจซะก่อน

GBlk
ขอบคุณนะคะ แหะๆ เปเป้ไม่ใช่คู่กับพี่เจตน๊าาาาา แต่พี่เจตจะมีคู่ไหมนั้น.... เอิ่มมมมม ต้องรอดูค่ะ

kun
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 4 [05/11/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 05-11-2017 12:40:46
นึกว่าเป้จะคู่พี่เจตสะอีกนะคะเนี่ย  :laugh:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 4 [05/11/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-11-2017 23:09:13
 :mc4: หลานเป้รอดแล้ววววววว

รอความสยองตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 4 [05/11/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 08-11-2017 19:58:08
เป้โชคดีที่รอดมาได้อน่างครบถ้วน หรือว่าจะไม่รอดซะแล้ว ตอนหน้าพี่ตฤณ มาแล้ววววววว ไม่รู้จะเกิดไรขึ้นบ้าง รอออออออิ
เที่ยวให้สนุกน่ะ^^
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 5 [10/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 10-12-2017 13:14:42
::: ตอนที่ 5 :::
คนพิเศษย่อมต้องได้รับการดูแลอย่างพิเศษ




หลังจากที่เป้ออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้แล้วความสงบจึงเข้ามาเยือนอีกครา จ้าวกำลังเฝ้ารอเวลาที่ตฤณจะกลับเข้ามาอย่างใจจดจ่อ เขาสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะปกป้องผู้ชายคนนี้เป็นอย่างดีตราบจนกระทั่งอีกฝ่ายสิ้นลมหายใจ ภายในห้องจึงคละคลุ้งไปด้วยความอบอุ่นที่อบอวลไปทั่วห้อง แม้กระทั่งเจตรินที่อยู่ในตุ๊กตาหมีฝุ่นเขรอะตัวนั้นยังจับสัมผัสได้

‘จ้าวดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยนะ เรื่องเมื่อคืนทำให้ยิ้มได้เหรอ’


“เรื่องเมื่อคืนก็ส่วนเรื่องเมื่อคืนครับ”

‘หายโกรธพี่แล้วใช่ไหม’

“จ้าวไม่ใช่พวกที่จะอาฆาตแค้นกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ว่าแต่น่าเสียดายนะครับที่พี่เป้รีบร้อนออกไป ไม่ยอมอยู่ชิมซอสสตรอเบอร์รี่ฝีมือของพี่เลย ทั้งที่จ้าวอุตส่าห์นำเสนออย่างดี ไม่อย่างนั้น... พี่เจตคงได้เจอเขาบ่อยขึ้น”

‘พี่จะได้เจอเขาหรือไม่มันขึ้นอยู่กับจ้าว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับซอสสตรอเบอร์รี่ที่พี่ทำ’

จ้าวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย สิ่งที่เจตรินพูดมาคือเรื่องจริง ถ้าหากฝ่ายนั้นไม่เดินเข้ามาหาด้วยตัวเองก็จะไม่มีวันได้พบเจอ ถ้าหากจ้าวไม่อนุญาตต่อให้ต้องร้องขอจนตายแล้วตายเล่า คำตอบที่ได้รับจากเขาก็คือคำปฏิเสธ อำนาจของจ้าวยิ่งใหญ่เกินกว่าที่วิญญาณตนอื่นในคฤหาสน์หลังนี้คิดแข็งข้อ

“แต่ซอสสตรอเบอร์รี่ของพี่เจตก็อาจจะมีส่วนทำให้เขาติดใจได้นะครับ”

‘…….’

ดูเหมือนวันนี้จ้าวจะอารมณ์ดีจนน่ากลัว ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนี้กำลังคิดวางแผนอะไรอยู่ในหัวกันแน่

“พี่เจตว่าจ้าวให้พี่ตฤณได้ลองชิมฝีมือซอสสตรอเบอร์รี่ของพี่เจตดูดีไหมครับ จ้าวว่าเขาต้องชอบมันมากแน่ หรือจะเป็นสเต๊กสีเลือด ไม่สิ... สเต๊กเนื้อมีเดี่ยมแรร์ที่ยังเห็นน้ำสีแดงไหลอยู่บนชิ้นเนื้อด้วยฝีมือจ้าว พี่ตฤณจะชอบแบบไหนมากกว่ากันนะ จ้าวไม่อยากลุ้นเลยครับ” 

‘แบบไหนมันก็มีค่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ’   

“จะบอกว่าเหมือนกันก็ได้ เพราะยังไงผลลัพธ์ที่ออกมามันก็ไม่ได้ต่างกันอยู่ดี อ๊ะ! พี่ตฤณกลับมาแล้ว”

จ้าวกอดตุ๊กตาหมีตัวนั้นไว้แนบอก ลุกจากเก้าอี้ม้าโยกตัวประจำที่เขามักชอบนั่งเล่นวิ่งออกไปต้อนรับตฤณ ผู้ชายที่รู้สึกถูกชะตาจนอยากเชิญให้อยู่ที่นี่ตลอดชีวิตอย่างอารมณ์ดี ใบหน้ากลมถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มหวานละมุนที่ใครเห็นต่างเป็นต้องหลงเสน่ห์ ดวงตาสีเพลิงที่เคยใช้มองผู้อื่นอย่างไม่เป็นมิตรถูกบดบังด้วยความโอบอ้อมอารี

“พี่ตฤณครับ!!”

เสียงตะโกนดังลงมาถึงข้างล่างก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งลงบันไดมาหาด้วยความคิดถึง เขากอดตุ๊กตาหมีไว้แนบอก หยุดยืนอยู่ตรงหน้าตฤณแล้วใช้สายตาช้อนมองผู้ชายที่สูงกว่าอยู่หลายเซนติเมตร

“พี่ตฤณไปไหนมาเหรอครับ เมื่อคืนนี้จ้าวรอทั้งคืนเลย”

“เอ่อ... พี่มีธุระน่ะแล้วคิดว่าน่าจะกลับดึกเลยไม่ได้มา ขอโทษทีนะ”

“งั้นเดี๋ยวจ้าวให้ลุงมิ่งเอาของไปเก็บไว้ในห้องนะครับ”

แค่คำว่าจ้าวจะให้ลุงมิ่งเอากระเป๋าสัมภาระและข้าวของบางส่วนที่ตฤณหอบหิ้วมาไปเก็บไว้ในห้องก็ไม่จำเป็นต้องเรียกขานให้เปลืองพลังงาน ลุงมิ่งเดินมาจากข้างหลังแล้วรับของที่ตฤณถือมาโดยที่เจ้าตัวเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าลุงมิ่งโผล่มาจากที่ตรงไหน แต่ได้เพียงแค่คิดเมื่อจ้าวเอ่ยปากชวนด้วยน้ำเสียออดอ้อน

“วันนี้จ้าวลองทำแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ อยากให้พี่ตฤณลองชิมดู ช่วยจ้าวชิมหน่อยนะครับ”

“เอ่อ...”

“นะครับ พี่เจตก็ไม่อยู่ด้วย พี่ตฤณชิมให้จ้าวหน่อยนะครับ”

ดูเหมือนตฤณจะไม่มีทางเลือกใดๆ เมื่ออีกฝ่ายทั้งทำน้ำเสียงอ่อนหวาน ส่งสายตาออดอ้อนเชิงเว้าวอนขอร้องให้ช่วยชิมแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ที่เพิ่งทำครั้งแรก จะปฏิเสธก็กระไรอยู่ ฝ่ายนั้นลงทุนขอร้องเขาถึงขนาดนี้แล้ว

“ก็ได้ครับ”

“งั้นพี่ตฤณตามมาเลยครับ”

จ้าวคว้าข้อมือแกร่งเอาไว้แล้วจูงให้เดินตามมา เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ฝ่ามือเล็กแตะสัมผัสลงบนผิวหนังราวกับถูกก้อนน้ำแข็งเข้าปะทะจนเกือบจะชักมือกลับ แต่พอได้เห็นร่างตรงหน้า เขาก็รู้แค่เพียงว่าความรู้สึกนั้นอาจเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเองด้วยเพราะบรรยากาศโดยรอบช่างเงียบเหงาวังเวงจนน่าขนลุก

“พี่ตฤณชอบกินอะไรเป็นพิเศษไหมครับ ไว้คราวหน้าจ้าวจะได้ลองทำให้”

“จริงๆ พี่กินมาจากข้างนอกก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ให้จ้าวทำให้เถอะนะครับ พี่ตฤณจะได้ไม่ต้องเปลืองเงินไปซื้อข้าวกินข้างนอกแล้วอีกอย่างจ้าวจะได้ถือโอกาสฝึกมือไปด้วยในตัว จ้าวแค่… อยากทำอะไรอร่อยๆ ให้พี่ตฤณน่ะครับ”

เด็กคนนี้ใจดีจนตฤณเกรงใจ น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความห่วงใยอย่างไม่เสแสร้งทำเอาเขาใจอ่อน ยอมตกปากรับคำง่ายๆ

“เอาอย่างนั้นก็ได้”

จ้าวพาตฤณเดินมาถึงห้องหนึ่งที่มีโต๊ะตัวยาวพอจะนั่งร่วมกันได้ยี่สิบสามสิบคน เทียนไขสีดำบนโคมไฟระย้าที่ติดอยู่บนเพดานส่องแสงสว่าง แม้จะไม่มากนักแต่ก็พอจะช่วยทำให้เห็นอะไรภายในได้มาก สุดปลายทางของห้องที่ตฤณเห็นนั้นมีรูปครอบครัว พ่อแม่และลูกอีกสองคน เมื่อลองเพ่งมองให้ดีแล้วเขาพบว่าเด็กผู้ชายทั้งสองนั้นคือสองพี่น้องเจตจ้าว ใบหน้าบนรูปวาดประดับอยู่ดูงดงามราวกับภาพเหล่านั้นจะมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ

“นั่นรูปพ่อกับแม่ของจ้าวเองครับ พวกท่านเสียไปนานมากแล้ว”

“ทำไมสีตาของจ้าวถึงได้ไม่เหมือนพวกท่านเลย”

ไม่ต้องให้ตฤณเดินเข้าไปใกล้จนสามารถพินิจพิจารณารายละเอียดได้อย่างถี่ถ้วน เขาก็รับรู้ได้ว่าสีนัยน์ตาของจ้าวนั้นแปลกกว่าใคร

“จ้าวก็เคยสงสัยเหมือนกัน แต่พ่อบอกว่าที่สีตาของจ้าวเหมือนเพลิงในนรกนั้นทำให้จ้าวดูพิเศษกว่าคนอื่น มันก็แค่คำปลอบใจเพราะไม่อยากให้เรารู้สึกแย่ พี่ตฤณคิดแบบนั้นไหมครับ”

ในขณะที่ตฤณกำลังจะตอบ สาวใช้คนหนึ่งก็เดินนำถาดแพนเค้กพร้อมซอสสตรอเบอร์รี่เข้ามาวางไว้บนโต๊ะก่อนที่เธอจะเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร จ้าวเดินไปเลื่อนเก้าอี้ให้ตฤณได้มานั่ง เขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร จะเห็นด้วยหรือไม่เพราะสิ่งที่เขาอยากรู้ในตอนนี้มีเพียงแค่ว่าแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่ที่ถูกจัดวางอยู่บนจานขาวอย่างงดงามนั้นจะถูกปากหรือเปล่า

“พี่ตฤณลองชิมดูครับ”

ตฤณนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกเลื่อนให้ เขามองไปยังแพนเค้กสองแผ่นที่อยู่ตรงหน้า วิปครีมสีขาวลูกกลมฟูฟ่อง มือเล็กสีไข่มุกหยิบถ้วยซอสสตรอเบอร์รี่ราดลงไปบนนั้นอย่างช้าๆ เส้นสายเล็กๆ ไหลลงมาบนเนื้อแพนเค้ก บางส่วนถูกราดทับวิปครีมสีขาวนวลจนยุบตัวลงเล็กน้อย

“ให้จ้าวป้อนด้วยไหมครับ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่กินเองดีกว่า”

แพนเค้กชิ้นขนาดพอดีคำถูกตักเข้าปาก ทันทีที่สัมผัสลิ้นมันช่างนุ่มราวกับปุยเมฆจะแทบจะละลาย กลิ่นเนยหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วแต่ทว่าจู่ๆ เขาก็รู้สึกเฝื่อนลิ้น กลิ่นแปลกๆ ฉุนกึกติดจมูกจนต้องขมวดคิ้ว เพียงไม่นานความรู้สึกนั้นก็ค่อยจางหายไปแทนที่ด้วยความหอมหวานที่เขาอยากลิ้มลองมันอีกเรื่อยๆ ไม่หยุดปาก

“พี่ตฤณชอบไหมครับ แพนเค้กสูตรพิเศษของจ้าว”

“พี่รู้สึกเหมือนซอสมันฝาดๆ กลิ่นแปลกๆ มันคือซอสสตรอเบอร์รี่แน่เหรอ”

“แน่สิครับ”

จ้าวหยิบช้อนที่ตฤณวางไว้บนจานขึ้นมา เหลือบมองมันก่อนเลื่อนสายตาไปยังผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ลากปลายลิ้นเลียคราบซอสที่ยังหลงเหลืออยู่บนนั้น สายตาที่ส่งไปให้ราวกับกำลังเชิญชวนให้ลิ้มลอง หากแต่มันไม่ได้หมายความถึงแพนเค้กสีเหลืองทอง

“กินไหมครับ”

“จ้าว...”

“อ๊ะ! ขอโทษครับ จ้าวขอไปดูก่อนนะครับว่ามีใครเตรียมน้ำให้พี่ตฤณอาบหรือยัง เดี๋ยวกลับมาครับ”

จ้าวเดินเลี่ยงออกมาพร้อมกับตุ๊กตาหมีขนปุยที่ยังอยู่ในมือ ปล่อยให้ตฤณจมจ่ออยู่กับแพนเค้กรสชาดประหลาดที่จะติดใจไปอีกนานแสนนานจนยากจะถอนตัว เมื่อเขาออกมาได้ไกลพอสมควรที่ตฤณจะไม่ได้ยินเรื่องที่พูดคุยกันต่อจากนี้ วิญญาณของเจตรินที่อยู่ในร่างของตุ๊กตาหมีเห็นทุกการกระทำของน้องชายตลอดเวลา เขาออกจะหงุดหงิดและไม่เข้าใจในการกระทำนั้นจนอดที่จะโผล่งออกมาอย่างอารมณ์เสียไม่ได้

‘จ้าว ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่’      

“พี่เจตครับ จ้าวก็แค่พยายามต้อนรับเขาอย่างดีเป็นพิเศษ พี่จะโกรธอะไรครับ”

‘ต้อนรับอย่างดี! จ้าวใส่อะไรลงไปในซอสสตรอเบอร์รี่ให้เขากิน’

“เอ๋? ใส่อะไร เปล่านี่ครับ มันก็แค่ซอสธรรมดาฝีมือพี่เจต”

‘ไม่ใช่ มันแปลกตั้งแต่ที่จ้าวพยายามชวนเป้กินแล้ว มันหลายครั้งเกินจนพี่ว่ามันต้องมีอะไร ตอบพี่มานะ’ 

รอยยิ้มเย็นแฝงไปด้วยความชั่วร้ายที่ไม่พยายามปกปิด มือเล็กยกตุ๊กตาหมีตัวนั้นขึ้นมาให้จ้องหน้า ดูสายตา จดจำความรู้สึกที่ต้องเผชิญหน้ากับความน่ากลัวก่อนที่จะใช้แรงทั้งหมดที่มีบีบลงไปยังแขนตุ๊กตาหมีจนมันเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำก่อนจะเขียวแล้วกลับเป็นสีแดงดั่งเลือด

‘จ้าว~ ปล่อย พี่เจ็บ’

“จะเจ็บกว่านี้ถ้าพี่พยายามอยากรู้อยากเห็น”

แรงมือที่บีบลงบนแขนของตุ๊กตาทั้งสองข้างถูกคลายออกแต่มันยังต้องอยู่เผชิญหน้ากับสายตาที่จะพาลงนรกได้ตลอดเวลาถ้าหากทำอะไรไม่คิดอีก

‘คนนั้นมีอะไรดีให้จ้าวสนใจ ปกป้องได้ขนาดนี้’

“พี่เจต”

น้ำเสียงกดต่ำแสดงถึงความไม่พอใจ แต่เจตรินไม่มีทีท่าว่าจะกลัว เขากลับถามย้ำในคำถามเดิมอีกครั้ง ‘ทำไมคนนั้นถึงได้พิเศษนัก ตอบพี่ได้ไหม แค่คำถามนี้แล้วพี่จะไม่ถามเรื่องเขาอีก จ้าวจะทำอะไรกับเขาก็แล้วแต่เลย พี่จะไม่สนใจ’
“จ้าวก็ไม่รู้ แต่เขาคือคนพิเศษ คนที่จ้าวจะไม่ยอมให้ใครหรือวิญญาณตนไหนมาทำร้าย”

‘พี่หมดข้อสงสัยแล้ว แต่พี่แค่เป็นห่วงว่าถ้าเขารู้ว่าเราเป็นอะไรแล้วเขาจะทำให้น้องพี่เสียใจ’

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจ้าวเตรียมวิธีรับมือไว้อยู่แล้ว พี่เจตอยากจะไปเดินเล่นที่ไหนสักหน่อยไหมครับ”

‘พี่ไม่ไปไหนหรอก วางพี่ทิ้งไว้ในห้องก็ได้’


----------------------------------------


แพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่รสชาดประหลาดแต่กลับเชิญชวนให้ลิ้มลองจนสุดท้ายแล้วตฤณก็กินมันจนหมด ไม่เหลือแม้กระทั่งซอสติดถ้วย เขานั่งรออยู่ตรงนั้นในระหว่างรอจ้าวเดินกลับมา ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกสายตาของใครบางคนจ้องมองเช่นเดียวกับเช้าวันนั้น มองมาที่เขาอย่างไม่วางตา พอเหลียวกลับไปมองรอบกายก็พบเพียงแค่ว่ามีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่ในห้องนี้ รูปภาพของครอบครัวเจ้าของคฤหาสน์ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าจะมีชีวิตที่สัมผัสได้เข้าไปทุกทีราวกับว่าถ้าเดินเข้าไปใกล้ เราอาจได้พูดคุยกันแต่รูปภาพก็ยังเป็นเพียงรูปภาพ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำเอาตฤณสะดุ้งสุดตัว เขากรอกเสียงของตัวเองลงไปทันทีที่รับสาย

“เนตร ว่ายังไง”

[ ตฤณ เรื่องรายงานจะเอายังไง พรุ่งนี้มาทำที่บ้านเนตรไหม ]

“ถามยุ้ยกับลีหรือยัง พวกเขาตกลงจะไปทำรายงานที่ไหน”

[ ถามแล้ว พวกเขาบอกว่ายังไงก็ได้ เนตรเลยคิดว่ามาทำกันที่บ้านเนตรดีไหม ตฤณกับลีก็อยู่หอ ส่วนยุ้ยอยู่คอนโดกับน้อง อีกอย่างบ้านเนตรก็กว้างพออยู่ได้สบายเลย จะค้างคืนก็ได้นะ ที่บ้านยังมีห้องว่างเหลืออีกตั้งหลายห้อง ]

“เอ่อ...”

ในขณะที่ตฤณกำลังคิดหาคำตอบ เขาก็ได้ยินเสียงใสๆ พูดขึ้นมา “พี่ตฤณครับ จ้าวเตรียมน้ำให้อาบเรียบร้อยแล้วนะครับ”

“เอ่อ... เนตร เดี๋ยวโทรกลับนะ”

[ ตฤณ! เดี๋ยว! นั่นเสียงใคร ]

“เดี๋ยวโทรกลับ แค่นี้ก่อนนะ”

ตฤณวางสายลงทันทีเมื่อเห็นว่าจ้าวเดินตรงเข้ามาหา เขาอยากออกไปจากห้องนี้จะแย่แล้ว ยิ่งอยู่เหมือนยิ่งถูกเพ่งเล็ง ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เนตรโทรเข้ามาและเขารับสาย ความรู้สึกในวินาทีนั้นเหมือนกำลังถูกใครแอบฟังบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ขอโทษนะครับ จ้าวมาขัดจังหวะหรือเปล่า”

“อ๋อ ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ค่อยโทรกลับไป”

“งั้นพี่ตฤณไปอาบน้ำดีกว่าครับ อาบดึกกว่านี้แล้วเดี๋ยวจะไม่สบายซะก่อน”

ตฤณพอจะเข้าใจถึงความเป็นห่วงของเด็กตัวเล็กคนนี้แต่ยังไม่ชินที่จะมีใครสักคนมาคอยเอาอกเอาใจ หานู้นนี่นั่นให้ คอยบริการทุกอย่างราวกับเขาเป็นพระราชา

“ไปกันเถอะครับ พี่ตฤณ”

“ก็ได้ครับ”


----------------------------------------


จ้าวเพียงแค่ชวนตฤณไปอาบน้ำแต่ไม่ได้เข้าไปอาบด้วย เขานั่งรออยู่บนเก้าอี้วิคตอเรียที่ถูกจัดวางไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องสำหรับพักผ่อนจิบชายามบ่าย ในมือเล็กไม่ได้โอบกอดตุ๊กตาหมีเอาไว้เหมือนเช่นทุกครั้ง เขาปล่อยให้เจตรินได้มีอิสระบ้างแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรับรู้ได้ว่าพี่ชายของเขาไม่ได้ไปไหนไกล ยังคงวนเวียนอยู่ในห้องและดูไม่มีทีท่าว่าจะออกมาขัดขวางการกระทำอื่นใดของน้องชายเลย

เสียงโทรศัพท์ของตฤณดังอยู่หลายครั้งจนจ้าวถือวิสาสะเดินไปแอบดูรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอก่อนจะกลับมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อตฤณเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยการพันผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวเฉพาะตรงส่วนล่างของลำตัวเพื่อไปรับโทรศัพท์สายนั้น

“เนตร”

[ ตฤณ เนตรอยากรู้ว่าจะมาได้ไหม ]

“เดี๋ยวให้คำตอบได้ไหม ตอนนี้ยังไม่ว่างเลย”

[ ได้ๆ งั้นเนตรจะรอนะ ]

“อืม เดี๋ยวโทรไปนะ”

ตฤณวางสายจากเนตรผู้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนไปแล้วหันไปมองหน้าจ้าวที่มองมายังเขาด้วยความสงสัยแต่ช่างดูน่ารักเอาเสียมากๆ จนรู้สึกเหมือนจะหลงใหลในเสน่ห์แห่งความน่ารักนั้นเข้าเสียแล้ว

“พี่ตฤณครับ จ้าวไม่กวนแล้วนะครับ หลับฝันดีครับ”

ในขณะที่จ้าวกำลังหมุนตัวหันหลังเดินกลับออกจากห้องไปก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ก่อน ริมฝีปากเรียวเป็นกระจับยกยิ้มเล็กน้อยราวกับนี่คือหนึ่งในแผนที่เจ้าตัววางเอาไว้ เขาหันกลับไปแล้วส่งสายตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ตั้งคำถามอีกฝ่ายว่าที่ยังรั้งเอาไว้นั้นต้องการอะไร

“จ้าว คือ... พรุ่งนี้พี่อาจจะไม่กลับนะ”

“เอ๋? พี่ตฤณจะไปไหนเหรอครับ แต่... ไม่เป็นไรนะครับ ไม่ต้องบอกก็ได้ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่”

“ก็แค่ไปทำรายงานบ้านเพื่อนน่ะ ถ้ามันต้องอยู่ดึกมากก็คงค้างที่นั่นเลย”

ใบหน้ากลมมนดูเศร้าสลดลงไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าตฤณจะไม่อยู่พรุ่งนี้และอาจจะกลายเป็นว่าต้องลากยาวถึงเช้าวันใหม่ด้วยเลยก่อนจะเงยขึ้นสบตา ตีหน้าซื่อเล่าความเท็จ เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจหรืออะไรก็ได้ที่รั้งให้ตฤณอยู่ที่นี่ “งั้นเหรอครับ พี่เจตก็ยังไม่กลับจากทำงานที่ต่างจังหวัดด้วยสิ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ จ้าวอยู่คนเดียวได้ พี่ตฤณจะอยู่ค้างที่บ้านเพื่อนอีกสักคืนก็ได้นะครับ ถ้าทำรายงานไม่เสร็จ”

“งั้นพี่โทรไปบอกเพื่อนให้มาทำรายงานที่นี่ได้ไหม จ้าวอนุญาตหรือเปล่า”

ดวงตากลมโตสีแดงเพลิงเป็นประกายด้วยความดีใจ ริมฝีปากรูปกระจับสีกุหลาบฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ไม่มีทางที่เขาจะปฏิเสธเรื่องนี้ การให้ตฤณได้อยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้เป็นความต้องการของตัวเองเช่นเดียวกับการที่อยากให้ผู้หญิงที่ชื่อเนตรซึ่งเป็นชื่อที่ตฤณพูดถึงและปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์เมื่อครู่ได้แวะมาที่นี่ เขายินดีที่จะตอนรับอย่างเต็มที่จนอีกฝ่ายต้องประทับใจไม่ลืม

“เอาสิครับ งั้นจ้าวไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

จ้าวเดินออกจากห้องไปเมื่อพูดจบ เขาไม่ได้หวังว่าจะให้ตฤณรั้งเอาไว้อีก ในเมื่อหนึ่งสิ่งที่ต้องการนั้นได้มาอยู่ในมือแล้ว ขาดเพียงแค่ค่อยๆ ช่วงชิงบางสิ่งบางอย่างมาทีละเล็กทีละน้อยจนท้ายที่สุดแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

แค่เพียงก้าวเท้าออกมาจากห้อง แค่เพียงบานประตูปิดลง วิญญาณของเจตรินก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าน้องชาย เขาปล่อยให้จ้าวเดินห่างออกมาจากห้องที่ตฤณพักอยู่จนมั่นใจแล้วว่าผู้ที่อยู่ในห้องนั้นจะไม่ได้ยินเสียงบทสนทนาใดๆ ที่เกิดขึ้น

‘พรุ่งนี้ต้องการมื้อพิเศษหรือโปรแกรมพิเศษอะไรไหม พี่ช่วยได้นะ’

“พี่เจตช่างรู้ใจจ้าวจังเลยครับ แต่เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราไปคุยกันในห้องดีกว่าไหมครับ ถ้าพี่ตฤณได้ยินเข้ามันคงหมดสนุกแน่เลย” 

‘ก็ได้ พี่อยากให้รู้ไว้นะว่าอะไรที่ทำให้จ้าวมีความสุข พี่ยอมทำทุกอย่าง’


----------------------------------------


ตฤณอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อขออนุญาตเจ้าของคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อย เขาจึงโทรกลับไปหาเนตรที่กำลังรอฟังคำตอบอยู่รอสายเพียงไม่นาน เสียงหวานใสจากปลายสายก็ดังเข้าหู

[ ตฤณ ว่ายังไง ตกลงไปทำรายงานที่บ้านเนตรใช่ไหม ]

“คงไม่ได้หรอกเนตร ผมเพิ่งย้ายที่อยู่ใหม่ ยังมีของต้องจัดอีกเยอะแยะ เปลี่ยนมาทำรายงานที่ห้องผมไหม”

[ เอ๊ะ? ย้ายหอ? ย้ายทำไมอ่ะ อยู่ตรงนั้นสะดวกจะตาย แล้วย้ายตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเนตรไม่รู้เลย ]

“จริงๆ ต้องย้ายมาเมื่อวานแล้ว มาทำรายงานที่นี่ได้ไหม”

[ อืม ก็... ตฤณว่ายังไงก็คงต้องว่าตามนั้น แต่เนตรไม่เข้าใจจริงๆ นะว่าทำไมตฤณถึงย้าย ]

ตฤณนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ค่อยอยากบอกออกไปเท่าไรนักว่าเพราะความกลัวตายของตัวเองล้วนๆ ที่ทำให้ต้องรับปากกับเด็กคนนั้นว่าจะอยู่ที่นี่โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใดๆ อีกทั้งเด็กคนนั้นก็อยู่กับพี่ชายแค่สองคน ถ้าหากเขาทิ้งไปแม้เพียงคืนเดียวก็เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายน้ำใจที่อีกฝ่ายให้ที่พักพิงเกินไป

“ผมอยู่ฟรีน่ะ”

[ เดี๋ยวนี้ยังมีคนใจดีแบบนี้อยู่อีกเหรอ แล้วถ้าเนตรบอกว่าเนตรก็ใจดีเหมือนกัน ให้ตฤณมาอยู่บ้านเนตรฟรีๆ ตฤณจะมาไหม ] 

“มันไม่เหมือนกัน”

[ ไม่เหมือนกันตรงไหน ]

“ไม่เหมือนตรงที่คนใจดีคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายน่ะสิ”

[ เนตร... เนตรขอโทษ เนตรแค่เผลอคิดว่าตฤณอยู่กับผู้หญิงคนอื่น ]

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ อีกแปปจะส่งที่อยู่ไปให้ ฝากโทรบอกคนอื่นด้วย”

หลังจากที่วางสายของเนตรไปแล้ว เขาก็กลับมารู้สึกหนาวเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งร่างกายทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน ทั้งที่ประเทศตั้งอยู่ใกล้แถบเส้นศูนย์สูตรและตอนนี้เป็นหน้าร้อน อันที่จริงก็ร้อนทุกฤดูจนแยกไม่ออกว่าตอนไหนร้อนแท้ร้อนเทียม แต่ถึงจะร้อนหรือหนาวก็ไม่ควรจะรู้สึกไปถึงกระดูกขนาดนี้

ความรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้องมองอยู่กลับมาอีกครั้งแล้วทั้งที่ไม่มีใครแต่ทำไมเขายังรู้สึกแบบนี้อยู่อีก ไม่เพียงแค่รู้สึกเท่านั้น เขายังได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินย่ำไปมาวนเวียนอยู่หน้าห้องเป็นจังหวะคล้ายกำลังรออะไรบางอย่าง ตฤณยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน บางทีคฤหาสน์หลังนี้ก็น่ากลัวเกินกว่าที่จะอาศัยอยู่ ยิ่งโดยเฉพาะเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินด้วยแล้ว


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


เสียงเคาะประตูห้องในขณะที่บรรยากาศเงียบกริบทำเอาตฤณสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปเปิดประตู

“อ้าว~ จ้าว”

“พี่ตฤณ ขอโทษนะครับที่มารบกวน คือ... จ้าวนอนไม่หลับ”   

ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จคงกลายเป็นงานอดิเรกของจ้าวไปแล้วตั้งแต่ที่ตฤณรับปากว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยกันและดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้รู้สึกระแคะระคายอะไรเลย กลับรู้สึกเป็นห่วงเด็กน้อยตัวเล็กคนนี้เสียด้วยซ้ำ พ่อแม่ก็เสียไปแล้วเหลือเพียงแค่พี่ชาย ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าต้องอยู่คนเดียวอีก

“เข้ามานอนกับพี่ไหม”

“ได้เหรอครับ จ้าวทำพี่ตฤณลำบากใจหรือเปล่าครับ”

“ไม่นะ เข้ามาสิ”

จ้าวเดินเข้าห้องไปตามคำเชิญ ในจังหวะนั้นเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มแห่งความชั่วร้ายที่ตฤณไม่อาจคาดการณ์ได้ว่ามันจะเลวร้ายไปอีกมากเท่าไรกันก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ากลับมา ทำทีน่าสงสาร เรียกร้องความเห็นใจและเอื้ออาทร

“พี่ตฤณใจดีกับจ้าวจังเลยครับ จริงๆ แล้วจ้าวต้องนอนกอดพี่ชายทุกคืนแต่คืนนี้พี่ชายไม่อยู่ จ้าวพยายามแล้วนะครับแต่ว่าทำยังไงมันก็ยังนอนไม่หลับถ้าไม่มีคนกอด พี่ตฤณกอดจ้าวตอนนอนด้วยได้ไหมครับ จ้าวอยากหลับฝันดี”

“ได้สิ”

แค่กอดตอนนอนคงไม่มีอะไรมาก แค่กอดที่เด็กคนนั้นอยากได้คงเป็นเพราะขาดความอบอุ่น การตอบแทนอีกฝ่ายด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงตฤณไปสักเท่าไร เขาจึงไม่คิดสงสัยในสิ่งใด อีกทั้งการได้จ้าวมานอนอยู่ในห้องเป็นเพื่อนก็ถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งเพราะอย่างน้อยเขาก็รู้ว่าค่ำคืนนี้อาจจะไม่ต้องนอนผวาไปทั้งคืนเพียงลำพังอีกแล้ว

“พี่ตฤณ จ้าวอยากบอกว่าขอบคุณนะครับ”

ตฤณไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะกล่าวขอบคุณ เขาต่างหากที่ควรจะขอบคุณที่อุตส่าห์มานอนด้วยมากกว่า

“พี่ตฤณนอนฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวาครับ ชอบติดประตูหรือติดหน้าต่างมากกว่ากัน”

“เอ่อ... ตรงไหนก็ได้”

ไม่ว่าจะเป็นฝั่งประตูห้องหรือฝั่งหน้าต่างของห้อง ฝั่งไหนก็ไม่น่านอนทั้งนั้น ถ้าให้เลือกที่นอนติดประตูก็อาจจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องจนอาจทำให้เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ถ้าเลือกที่นอนติดหน้าต่างก็จะเห็นบรรยากาศด้านนอกที่ชวนให้ขนหัวลุก สภาพที่เหมือนคฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางสุสานชวนให้เขาหลับตาลงได้อย่างสนิทใจจริงๆ

“งั้นพี่ตฤณนอนริมหน้าต่างนะครับ เดี๋ยวจ้าวจะนอนฝั่งประตูเอง”

ทันทีที่พูดจบ จ้าวในชุดนอนตัวยาวคล้ายกระโปรงลูกไม้แขนยาวฟูฟ่องสีขาวกับกางเกงผ้าห้าส่วนสีเดียวกันกระโดดก้าวขึ้นเตียงนอน มือเล็กกระชับปกคอเสื้อเข้าหากันก่อนที่จะทิ้งตัวลงนอน ดวงตาสีเพลิงจ้องมองร่างสูงอย่างเชิญชวน มือข้างหนึ่งตบลงบนฟูกนอนเรียกให้ตฤณลงมานอนข้างเขาได้แล้ว

“พี่ตฤณครับ นอนกันเถอะ จ้าวง่วงแล้ว”

ตฤณทิ้งตัวลงนอนบนเตียงข้างๆ จ้าวแต่ทว่าหมอนหนุนที่มีอยู่ในห้องนั้นมีเพียงใบเดียว ใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงแค่คืบเมื่อจำต้องใช้หมอนร่วมกัน เมื่อเห็นสายตาอันร้อนแรงดั่งเพลิงจ้องมองมา วินาทีนั้นราวกับถูกมนต์สะกดให้หลงใหล ทั้งที่เป็นเด็กตัวเล็กที่อายุน่าจะไม่ถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำแต่ทว่าทั้งใบหน้า รูปร่างและท่าทางที่เห็นราวกับมีแรงดึงดูดให้เขาเข้าหามากขึ้นเรื่อยๆ

“พี่ตฤณ กอดจ้าวด้วยสิครับ”

“ต้องกอดด้วยเหรอ”

“ครับ ไม่อย่างนั้นจ้าวนอนไม่หลับนะครับ”

ถ้าให้ตฤณกอดร่างเล็กที่อยู่ห่างกันยังไม่ถึงเอื้อมมือ เขารู้สภาพตัวเองเลยว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายนอนไม่หลับ ยิ่งขยับตัวเข้าใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นบางอย่างเด่นชัดขึ้น มันหอมหวานแต่ไม่ถึงกับฉุนเข้าจมูกชวนให้เคลิบเคลิ้ม ยิ่งได้สบตาสีเพลิงดั่งไฟในโลกันต์ยิ่งรู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองจะร้อนรุ่มขึ้นมาราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา

“กอดจ้าวสิครับ พี่ตฤณ”

ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเอาใบหน้าของตัวเองซุกลงกับแผงอกกว้าง

“เอ่อ...”

“พี่ตฤณลำบากใจเหรอครับ ไม่เป็นไร ขอแค่ให้จ้าวนอนอยู่อย่างนี้ก็ได้ครับ”   

“ขอโทษนะ”

จ้าวเกือบจะถอดใจไปแล้วแต่ทว่าหลังจากคำขอโทษนั้นมือแกร่งก็เอื้อมขึ้นมาโอบรอบร่างของเขาเอาไว้ แค่เท่านี้... ที่เขาอยากได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น ในเมื่อตฤณให้ในสิ่งที่เขาต้องการ จ้าวก็จะตอบแทนด้วยการมอบความสงบในค่ำคืนนี้กลับไปบ้าง แน่นอนว่าหลังจากนั้นทั้งเสียงและบรรยากาศรอบๆ ที่ตฤณเคยประสบพอเจอมาก่อนหน้านี้พลันหายไปทันที



---- ติดตามตอนต่อไป ---

กลับมาแล้วค่าาาาาาาา หลังจากหายไปเป็นเดือนเลย ไม่รู้ว่าจะมีใครลืมพี่ตฤณกับหนูจ้าวไปแล้วบ้างหรือเปล่า
ตอนนี้จะดูซอล์ฟๆ นิดนึงนะคะ เก็บความหลอนไว้ตอนอื่นบ้างค่ะ เดี๋ยวหลอนทุกตอนมันจะไม่ลุ้นเอา แหะๆ
ขอบคุณสำหรับทุกคำคอมเม้นท์ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกันนะคะ


+++++++++++++


rockiidixon666
ขอบคุณนะคะ ไม่ใช่เป้คู่กับพี่เจตแน่นอนค่ะ เป้นี่ไปแล้วไปลับเลยค่ะ ^^

areenart1984

ขอบคุณค่ะ ตอนที่ห้านี่ยังไม่หลอนเนอะคะ

kun
ขอบคุณค่ะ พี่ตฤณคัมแบ็คแล้ว พี่ตฤณก็จะคัมแบ็คยาวๆ ไปเลยค่ะ
ไปเที่ยวมาสนุกมากค่ะ แต่ก็ป่วยกลับมาด้วยเช่นกันแต่ตอนนี้หายดีแล้วค่ะ

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 5 [10/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 10-12-2017 17:29:42
อ้าว นุ้งเป้มาแค่รับเชิญหรอว์
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 5 [10/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 10-12-2017 22:14:02
อะไรอยู่ในขนมที่ตฤณกินไปอ่ะ คืนนี้ตฤณโชคดีไปนอนสบาย พรุ่งนี้เพื่อยๆๆจะมา ท่าทางขนลุกแน่ๆๆ รออออ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 5 [10/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-12-2017 22:31:36
ตอนนี้หนูจ้าวเดินหน้าอ่อยพี่ตฤณเต็มที่เลยนะ ตอนหน้ารู้สึกเสียว ๆ กับหนูเนตรแฮะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 5 [10/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 10-12-2017 22:40:52
เอ่ จะยังไงต่อน๊่
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 5 [10/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 11-12-2017 10:40:54
สงสัยจังเป้จะกลับมามั้ย
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 5 [10/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 11-12-2017 23:49:19
รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างค่ะ .... พลังงานนี้บอกว่าจะมีคนโดนดีค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 6 [16/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 16-12-2017 12:33:06
::: ตอนที่ 6 :::
เชิญตามสบาย #1





​ค่ำคืนนั้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตฤณนอนหลับสบายเมื่อยามที่มีจ้าวอยู่ด้วยแตกต่างกับครั้งก่อนหน้าที่ต้องเผชิญกับความน่ากลัวของคฤหาสน์นี้เพียงลำพัง แต่พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าร่างเล็กๆ ที่เขานอนกอดเอาไว้ทั้งคืนได้หายไปแล้ว หายไปโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ

ตฤณเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหัวเตียงขึ้นมาดู เนตรส่งข้อความเข้ามาในไลน์เยอะมากและถี่มากด้วยเช่นกัน พอได้อ่านข้อความพวกนั้นก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ารับปากกับเพื่อนไว้แล้วว่าจะส่งตำแหน่งที่อยู่ของคฤหาสน์หลังนี้ไปให้แต่ปรากฏว่าเมื่อจ้าวเดินเข้ามาในห้อง หัวสมองของเขาก็ขาวโพลนไปหมดจนลืมไปแล้วว่าต้องทำอะไรต่อ

ข้อความสั้นๆ ของที่อยู่ถูกส่งไปแล้ว

แสงแดดอันอบอุ่นอาบไล้ผืนโลกโอบทับความน่ากลัวของเมื่อคืนไปจนสิ้นราวกับว่าอยู่กันคนละผืนพิภพ ตฤณลุกขึ้นจากเตียงนอนเดินไปหยุดอยู่ตรงริมหน้าต่าง แหวกผ้าม่านผืนหนาออกจนสุด มองดูสภาพโดยรอบของคฤหาสน์ที่เขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันไปอีกนาน ยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืน ตอนที่พระอาทิตย์ออกทำงานแม้ว่าพื้นที่โดยรอบจะดูรกไปบ้างแต่ไม่รู้สึกถึงความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย ผิดกับช่วงเวลาที่ไร้แสงราวกับหน้ามือถูกพลิกกลับเป็นหลังมือ

ตฤณเผลอมองมันนานไปหน่อยจนไม่รู้ตัวว่าจ้าวเดินมายืนอยู่ข้างๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงใสจึงหันกลับไปมอง

“พี่ตฤณคิดอะไรอยู่เหรอครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

“แล้วเพื่อนพี่ตฤณจะมากันกี่โมงเหรอครับ ทันมื้อเที่ยงไหม จ้าวจะได้บอกให้เขาเตรียมชุดอาหารเพิ่ม”

“ไม่รู้เหมือนกัน พี่เพิ่งไลน์ไปบอกที่อยู่เขาเมื่อกี้เอง”

จ้าวพยักหน้าเข้าใจ อันที่จริงเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยด้วยซ้ำว่าเพื่อนของตฤณจะมาถึงเมื่อไร ที่ถามไปก็แค่ต้องการแสดงให้รู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน บางทีมันอาจจะมากจนกลายเป็นความอยากได้ อยากครอบครอง

“จ้าวอายุเท่าไรเหรอ”

“พี่ตฤณลองทายสิครับ”

“สิบห้าหรือเปล่า”

จ้าวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับตฤณตรงๆ อาจเป็นเพราะเขาเกิดมาตัวเล็ก ส่วนสูงเลยขยับช้าจึงดูเหมือนว่าเขาจะอายุเพียงเท่านี้เลยอดที่จะขำไม่ได้กับคำตอบนั้น

“ผิดครับ”

“เอ๋? ผิดเหรอ จ้าวหน้าเด็กจะตาย ตัวก็เล็กนิดเดียว”

“จ้าวน่ะอายุเป็นร้อยปีแล้วนะครับ”

“อำพี่เล่นหรือเปล่าเนี่ย”

ตฤณมองเด็กน้อยที่เตี้ยกว่าเขาเกือบฟุตแล้วหลุดหัวเราะออกมา เด็กตัวแค่นี้ สูงยังไม่เกินไหล่ของเขาจะอายุเป็นร้อยปีได้ยังไงกัน มันคงเป็นเรื่องตลกที่ฝ่ายนั้นต้องการอยากให้เขาอารมณ์ดีล่ะมั้ง

“ครับ จ้าวอำพี่ตฤณเล่น จ้าวตัวเล็กแค่นี้จะไปมีอายุเป็นร้อยได้ยังไงกันเนอะ ก็แค่อายุสิบหกเอง”

ถึงจ้าวจะหัวเราะออกมาตามแต่สายตาของเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเขาเป็นเพียงเด็กที่มีอายุแค่สิบหกปีคงไม่มีอำนาจควบคุมสถานที่แห่งนี้มากที่สุดแน่ เขาอยู่มานานกว่านั้นมาก มากจนกระทั่งหล่อหลอมให้เขาไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนหน้าตา

“พี่ตฤณ จ้าวว่าพี่ตฤณอาบน้ำก่อนดีกว่าไหมครับ”

“ตัวพี่เหม็นเหรอครับ”

จ้าวก้าวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้นจนห่างจากร่างสูงเพียงไม่ถึงหนึ่งช่วงมือ แกล้งโน้มตัวเข้าไปทำท่าทางเหมือนจะสูดดมกลิ่นเพื่อพิสูจน์ความจริงว่าร่างกายนั้นมีกลิ่นดั่งที่ถูกกล่าวถึงหรือไม่ก่อนจะช้อนสายตามองพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม “ตัวพี่ตฤณเหม็นมากเลยครับ เหม็นความหอม”

“เหม็นความหอม?”

“ถึงตัวพี่ตฤณจะเหม็น จ้าวก็จะบอกว่าหอมยังไงล่ะครับ”

“จ้าว...”

คำพูดของจ้าวทำเอาหัวสมองของตฤณเบลอไปหมด เขาถูกชมว่าหอมแถมสายตานั่นก็พยายามเชิญชวนเขาตลอดเวลา น่าแปลกที่ทั้งที่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ความรู้สึกต้องการตัวของเด็กคนนั้นแทบจะไม่มีอยู่เลยด้วยซ้ำแต่ทำไมตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเก็บข้าวของจากห้องพักใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อมาอยู่ที่นี่ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้ เขาถึงได้รู้สึกอยากอยู่ใกล้ อยากให้จ้าวมองอ้อน

“พี่ตฤณไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวจ้าวไปเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ เสร็จแล้วก็ลงมาทานนะครับ”

“ครับ จ้าว คือ...”

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ตฤณเรียบเรียงคำพูดของตัวเองเอาไว้ในหัว เขาบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกโหยหา อยากให้เด็กคนนั้นอยู่ใกล้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ตอนไหนและทำไมถึงเกิดขึ้นได้ทั้งที่เขาไม่เคยคิดพิศวาสใดๆ ในร่างกายของเด็กผู้ชายหรือแม้แต่คนเพศเดียวกันเลยด้วยซ้ำ

“มีอะไรครับ พี่ตฤณ” จ้าวถามย้ำอีกครั้ง

“เออ... ทำไมพี่ถึงรู้สึกอยากอยู่ใกล้จ้าวขนาดนี้นะ”

“เพราะจ้าวน่ารักมั้งครับ พี่ตฤณไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวเพื่อนพี่ก็มาแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

ตฤณได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอม เดินเข้าห้องน้ำไปตามที่บอก ในขณะที่จ้าวยังคงยืนมองร่างสูงเดินจากไปด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง แผนที่เขาวางมันไว้เริ่มขยับขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ในเมื่อมันเริ่มดำเนินไปในทางที่เขาขีดไว้แต่แรกก็ดูจะไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง ร่างของจ้าวจึงหายไปจากที่ตรงนั้น


----------------------------------------


ทันทีที่กลับเข้าห้องของตัวเอง มือเล็กก็คว้าเอาตุ๊กตาหมีขนปุยปอนๆ ตัวเดิมขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก ใบหน้ากลมบนระบายไปด้วยรอยยิ้มสดใส บรรยากาศรอบกายดูอบอุ่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาจนวิญญาณของเจตรินต้องถามถึงสาเหตุนั้นด้วยความแปลกใจ น้องชายที่เป็นดั่งปีศาจในยามค่ำคืนกลับอารมณ์ดีได้ถึงเพียงนี้

‘อะไรทำให้จ้าวยิ้มได้ขนาดนี้นะ’


“ทำไมเหรอครับ หรือพี่เจตอิจฉาที่ผมไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้พี่”

‘…..’

“อย่าร้องขออะไรที่มันเป็นไปไม่ได้สิครับ”

‘จ้าว เคยรักพี่บ้างไหม’


คำถามของเจตรินทำเอาจ้าวนิ่งไปชั่วครู่ ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยพูดว่ารักพี่ชายคนนี้เลยสักครั้ง จะมีก็แต่เจตรินที่เป็นฝ่ายบอกเขาก่อน บอกทุกครั้งที่มีโอกาส ทำทุกอย่างให้แม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องไม่ดีโดยไม่เคยนึกสงสัยหรือตำหนิอะไร

“รักสิครับ พี่ชายของจ้าวยังไงจ้าวก็รัก”

‘รักเหรอ’

“ใช่สิครับ พี่เจตคิดว่าจ้าวไม่รักพี่เหรอ”

‘สิ่งที่จ้าวทำนั่นเรียกว่ารักเหรอ’

“พี่เจตต้องการจะพูดอะไรกันแน่ครับ พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า จ้าวไม่อยากโมโห”

‘กักขังพี่และทุกคนให้อยู่กับจ้าวนั่นเรียกว่ารักเหรอ พาคนนั้นมาอยู่ที่นี่แล้วยื่นข้อเสนอกึ่งบังคับนั่นเรียกว่ารักเหรอ คิดให้ดีก่อนที่จะพูดว่ารักนะ จ้าว’


มือเล็กพลิกร่างของตุ๊กตาให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา แววตาสีเพลิงคู่นั้นไม่ถึงกับโกรธเกรี้ยวเท่าไรนักแต่ทว่าก็ยังแฝงความไม่พอใจเอาไว้ลึกๆ ที่พี่ชายของเขาสงสัยในความรักที่มีให้ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่พยายามกักเก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ภายในใจ “ที่ถามแบบนี้เพราะพี่เจตคิดถึงพ่อกับแม่ อยากทิ้งจ้าวไปอยู่กับพวกเขาเหรอครับ”

‘พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่พี่แค่อยากให้จ้าวรักใครจริงๆ บ้าง’

“จ้าวรักพี่ถึงได้ให้พี่อยู่ข้างกายตลอด และถ้าพี่ไม่คิดจะทำแบบนั้นกับจ้าวก็คงไม่ได้กลายเป็นวิญญาณที่ต้องอาศัยตุ๊กตาตัวนี้อยู่หรอก พี่เจตเป็นคนเดียวที่อยู่กับจ้าวไม่ว่าจ้าวจะเป็นอะไรเพราะฉะนั้นก็อยากให้พี่เจตเข้าใจด้วยว่าพี่เองก็เป็นคนเดียวที่ไม่ว่าจะทำผิดต่อจ้าวอีกกี่ครั้ง จ้าวก็จะให้อภัยพี่เสมอ”

เจตรินพูดอะไรไม่ออก หรือบางทีมันก็เป็นเพราะคำตอบของจ้าว แม้จะเคยคาดหวังคำว่ารักหรือการกระทำที่เรียกว่ารักของน้องชายแต่พอได้ยินคำตอบนั้น เขาก็รู้แล้วว่าคำว่ารักมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว คำว่าให้อภัยที่จ้าวพูดมาตอบได้ทุกอย่างเพราะเด็กคนนั้นไม่เคยให้อภัยกับอะไรหรือแม้แต่กับใครได้ง่ายๆ

“พี่เจต จ้าวอาจไม่ใช่เด็กดีเหมือนที่เคยพูด จ้าวมันก็เป็นได้แค่ปีศาจในคราบเด็กเท่านั้น ปีศาจที่ใครต่างก็รังเกียจ หวาดกลัว ฉะนั้น… อย่าได้คาดหวังว่าจ้าวจะทำตัวเหมือนเด็กทั่วไป”

‘พี่ไม่เคยมองเห็นจ้าวเป็นปีศาจเลยนะ’

“ครับ เพราะอย่างนั้นจ้าวถึงได้รักพี่ไง”

‘จ้าว...’

“จ้าวไปก่อนดีกว่าครับ พี่ตฤณกำลังจะออกจากห้องน้ำแล้ว และก็... พี่เจตอย่าเพิ่งออกไปให้เขาเห็นหน้าสักสองสามวันนะครับเพราะจ้าวบอกเขาไปว่าพี่ไม่อยู่”

‘พี่ขอไปด้วยได้ไหม’


“ได้สิครับ พี่เจตอยากไป จ้าวก็ให้ไป”

จ้าวปรับเปลี่ยนสีหน้าของตัวเองให้ยิ้มแย้มแจ่มใส กอดตุ๊กตาหมีขนปุยตัวเก่าเอาไว้แนบอก เดินลงไปชั้นล่างเพื่อรอตฤณอยู่ในห้องรับประทานอาหารที่มีรูปของครอบครัวคัลเลนประดับอยู่บนฝาผนัง อาหารมื้อเช้าถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพร้อมกับแพนเค้กสูตรพิเศษที่เขาตั้งใจทำให้อย่างสุดความสามารถ

‘จ้าว... ทำไมถึงมีแค่ชุดเดียว ไม่คิดจะนั่งกินกับเขาเหรอ’

“ไม่คิดครับ”

‘ถ้าเขาถามล่ะ ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ ปล่อยให้เขากินไปแล้วจ้าวก็นั่งดูน่ะ’


“จ้าวก็บอกสิครับว่ากินเรียบร้อยแล้ว อ๊ะ! พี่ตฤณกำลังจะมาแล้ว”

จ้าวยืนอยู่ข้างเก้าอี้ที่เตรียมไว้ให้สำหรับตฤณได้นั่ง เขาส่งยิ้มหวานไปให้ทันทีที่เห็นว่าตฤณเดินตรงมาพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้รอ การปฏิบัติราวกับอีกฝ่ายเป็นพระราชาแบบนี้สร้างความไม่พอใจให้กับพี่ชายอย่างเจตรินก็จริงอยู่แต่เขาก็พอจะรู้อยู่บ้างว่ามันมีนัยยะแอบแฝง เป็นการกระทำที่หวังผล

“พี่ตฤณครับ นั่งก่อนๆ”

ตฤณเดินเข้ามาหาแต่เมื่อเห็นอาหารเช้าเพียงชุดเดียววางอยู่บนโต๊ะก็อดแปลกใจไม่ได้จึงถามออกไป “แล้วจ้าวไม่กินด้วยเหรอ”

จ้าวยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดีก่อนจะก้มลงมองตุ๊กตาหมีที่อยู่ในอ้อมกอดแล้วสลับมองไปยังชุดอาหารที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้บนโต๊ะ “จ้าวกินเรียบร้อยแล้วล่ะครับ ที่อยู่บนโต๊ะนั่นก็ทำพิเศษให้กับพี่ตฤณโดยเฉพาะเลย”

คำว่าพิเศษที่ได้ยินไม่กี่ครั้งก็ชวนให้ตฤณหลอนหู แม้ว่าแพนเค้กราดซอสสตรอเบอร์รี่สุดท้ายแล้วมันจะอร่อยจนอยากกินให้หมดแต่วินาทีแรกที่สัมผัสปลายลิ้น เขายังจำมันได้ดี ทั้งขมทั้งเฝื่อนลิ้นเฝื่อนคอไปหมดคล้ายกับใครกวาดยาน้ำใส่ลงมาแทนแต่เพียงไม่นานความรู้สึกนั้นก็หายไป

“วันหลังพี่ขอแบบธรรมดาบ้างได้ไหม พี่เกรงใจน่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจจ้าวหรอกครับ พี่ตฤณยอมตกลงอยู่ที่นี่แล้วจ้าวก็ต้องดูแลอย่างดีเป็นพิเศษเพื่อตอบแทนพี่ยังไงล่ะครับ จ้าวว่าพี่ตฤณลองชิมดูดีกว่า มื้อเช้าแบบนี้อาจจะดูหนักไปหน่อยแต่ว่า... จ้าวทำมันสุดฝีมือเลยนะครับ”

สเต๊กเนื้อแรร์ที่ยังเห็นเลือดไหลออกมาเนื้อสีแดงสดด้านในเมื่อถูกหั่นออกมาเป็นชิ้นทำเอาตฤณถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ไม่ใช่เพราะความอยากแต่เพราะเห็นเลือดที่ยังเป็นเลือดนั่นล่ะ

“พี่ว่า... มันดิบไปหน่อยนะ”

“อ้าว~ พี่ตฤณไม่ชอบเหรอครับ จ้าวว่าสเต๊กเนื้อแบบแรร์นี่น่าอร่อยที่สุดแล้วนะ เห็นเนื้อที่ยังแดงฉ่ำแบบนั้นแล้วอยากกินขึ้นมาเลยแต่จ้าวไม่แย่งพี่ตฤณกินหรอก มันเสียมารยาท เอาเป็นว่าเดี๋ยวจ้าวไปทำให้มันสุกกว่านี้อีกหน่อยก็แล้วกันนะครับ พี่ตฤณจะได้กินอร่อยขึ้นมาหน่อย” 

มือเล็กหยิบจานสเต๊กเนื้อที่อยู่ตรงหน้าตฤณมาถือเอาไว้ ตั้งใจจะเดินกลับเข้าไปทำให้มันสุกมากกว่านี้แต่ทว่ากลับถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน จานใบนั้นจึงถูกวางไว้ที่เดิม ใบหน้ากลมประดับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

“ไว้คราวหน้าที่จ้าวทำก็ได้”

“งั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษ ให้จ้าวได้ป้อนพี่ตฤณนะครับ”

มือเล็กเลื่อนเก้าอี้มานั่งแต่ยังคงไม่ยอมปล่อยตุ๊กตาหมีตัวนั้นให้เป็นอิสระจนตฤณต้องเป็นฝ่ายบอกให้วางมันลงก่อนเพราะดูท่าว่าน่าจะหั่นชิ้นเนื้อแล้วป้อนเขาลำบากพอตัว “วางตุ๊กตาลงก่อนดีไหม”

ในขณะที่กำลังจะวางตุ๊กตาหมีในอ้อมกอดลงบนเก้าอี้อีกตัวข้างกัน ความรู้สึกบางอย่างก็บอกเขาว่าแขกที่ตฤณเชิญมาได้มาถึงแล้ว จ้าวจึงเปลี่ยนทีท่าและเลือกที่จะกอดตุ๊กตาตัวนั้นเอาไว้แนบอกเหมือนเคย มือข้างหนึ่งจับส้อมขึ้นมาจิ้มลงไปบนชิ้นเนื้อที่ถูกหั่นไว้แล้วส่งมันเข้าปากผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าอาหารมื้อนั้นอย่างช้าๆ

ความรู้สึกแรกที่ชิ้นเนื้อแตะสัมผัสลิ้น ตฤณอยากจะอาเจียนออกมาในทันที กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วปากจนรู้สึกผะอืดผะอมแต่เขาจำต้องฝืนใจกินไปทั้งอย่างนั้น นี่คือความตั้งใจของเด็กคนนั้นแม้มันจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบแต่ก็ต้องทำเป็นว่ายินดีที่จะกลืนมันลงไป

“พี่ตฤณครับ เป็นยังไงบ้าง มันแย่มากเลยใช่ไหม”

“มันก็...”

ตฤณไม่รู้จะตอบออกไปยังไงดี เขากลัวว่าคำตอบของเขาจะทำร้ายความรู้สึกของเด็กคนนั้น

“ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนเลยครับ เดี๋ยวจ้าวบอกให้คนครัวทำให้ใหม่ดีไหมครับ”

“ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นความผิดของจ้าวเอง จ้าวไม่รู้ว่าพี่ตฤณชอบความสุกของเนื้อแบบไหน”

เด็กตัวน้อยอย่างจ้าวกอดตุ๊กตาหมีในมือแน่นพลางก้มหน้างุดราวกับกำลังสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปก่อนจะช้อนสายตาแห่งความเรียกร้องขอความเห็นอกเห็นใจและให้อภัยในสิ่งที่เขาได้ทำผิดพลาดลงไปมองไปยังใบหน้าของตฤณที่ก็รู้สึกผิดเช่นเดียวกันที่ทำให้จ้าวรู้สึกไม่ดี

“อ๊ะ! พี่ตฤณรออยู่นี่นะครับ เดี๋ยวจ้าวจะไปเรียกให้คนครัวมายกออกไปทำให้ใหม่ แล้วก็... รู้สึกเหมือนเพื่อนพี่จะมาถึงแล้วล่ะครับ ในฐานะเจ้าของที่นี่ จ้าวขอออกไปต้อนรับแทนนะครับ”

จ้าวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ฟังคำตอบจากตฤณเลย


------------------------------------


หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์หลังโต ชายหนึ่งหญิงสองกำลังจดๆ จ้องๆ เข้าไปข้างในแต่ทว่าพวกเขากลับไม่เห็นอะไร ประตูคฤหาสน์ปิดนิ่งสนิทและดูเหมือนว่าที่นี่ไม่น่าจะมีใครอาศัยอยู่ด้วยซ้ำเมื่อมองดูโดยรอบที่เต็มไปด้วยหญ้ารกรุงรังไร้การตัดตกแต่งให้เรียบร้อย

“เพื่อนพี่ตฤณหรือเปล่าครับ”

จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านข้างของประตูรั้ว พวกเขาต่างหันไปมองหน้ากันราวกับจะถามกันเองว่าได้ยินเหมือนกันไหม แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบอะไร ร่างเล็กๆ ก็โผล่มาจากด้านข้างของรั้วพลางส่งยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตรโดยที่ในมือเล็กนั่นยังกอดตุ๊กตาหมีปอนๆ ตัวนั้นเอาไว้แนบอกเช่นเคย

“มาหาพี่ตฤณใช่ไหมครับ”

“เอ่อ...”

“พี่ตฤณอยู่ข้างในครับ เข้ามาก่อน”

จ้าวทำทีเหมือนเปิดประตูแต่มือยังไม่ทันได้สัมผัสถึงสนิมของรั้วเหล็ก มันก็เปิดออกเองจนผู้มาเยือนทั้งสามคนชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็คิดว่าตัวเองคงตาฝาดหรือไม่ก็คิดมากไปเอง พวกเขาเดินตามจ้าวเข้าไปข้างในโดยพยายามไม่คิดอะไรแต่บรรยากาศรอบข้างกลับชวนให้รู้สึกว่าที่นี่ไม่น่าอยู่เลยแม้แต่น้อย

“ขอโทษด้วยนะครับที่ข้างนอกมันดูรกแบบนี้ คนงานเราน้อย ทำไม่ทันน่ะครับ”

เหมือนว่าจ้าวจะรู้ว่าพวกเขาทั้งสามคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่จึงพูดขึ้นมาลอยๆ ในขณะที่ใบหน้าของเขากลับแฝงไปด้วยความมุ่งร้ายที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ภายใน ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรับรู้เพียงเพราะเขากำลังเดินนำเพื่อนของตฤณอยู่ เว้นเพียงแต่วิญญาณของเจตรินที่อาศัยตุ๊กตาเก่าๆ เป็นที่สิงสถิต

“พวกพี่อยู่รอตรงนี้ก่อนนะครับ พี่ตฤณเพิ่งตื่น ตอนนี้กำลังกินข้าวอยู่” จ้าวบอกเมื่อพามายืนรออยู่ตรงบริเวณโถงทางเดินก่อนจะเดินหายไปในมุมหนึ่ง

“ฉันไม่ชอบที่นี่เลย ให้ตายเถอะ!!”

หญิงสาวตัวเล็กในชุดเอี๊ยมหมีผ้ายีนส์หันไปมองรอบๆ ห้องโถงที่ดูเหมือนจะไร้การดูแลมานานหลายปี แล้วแสดงสีหน้าที่บ่งบอกว่าเธอเกลียดสถานที่แบบนี้ เพราะมันทั้งอับชื้นและยังมีกลิ่นแปลกๆ ที่ชวนให้รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องใต้ดิน

“ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน ตฤณคิดยังไงถึงได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ บ้านฉันยังดีกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า”

น้ำเสียงเหยียดสถานที่ดังออกมาจากริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกเนื้อแมตสีแดงสด สายตาที่มองไปรอบๆ แสดงถึงความรังเกียจและรับไม่ได้ที่ต้องอยู่ในที่ที่ไม่อาจเรียกมันได้ว่าบ้าน แต่ก่อนที่เธอจะได้พล่ามหรือบ่นอะไรต่อก็เป็นลี เพื่อนผู้ชายในกลุ่มของตฤณเสียเองที่ออกปากห้ามปราม “ยุ้ย เนตร ถึงจะไม่ชอบก็เก็บไว้ในใจก็ได้ เกรงใจเจ้าของบ้านมั่ง”

“ก็มันจริง นี่เหรอที่ที่ตฤณอยู่ บ้านน้องหมาของฉันยังดีกว่านี้เลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าทนอยู่เข้าไปได้ยังไง ทั้งเหม็นอับ ทั้งน่าอึดอัด บอกตรงๆ เลยว่าฉันรังเกียจที่นี่”

เนตรเป็นฝ่ายทนไม่ได้ จะไม่ให้เธอพล่ามบ่นอะไรได้ยังไงกันในเมื่อก็เห็นอยู่เต็มสองตาว่าสภาพคฤหาสน์ที่แท้จริงแล้วมันเป็นยังไง บ้านของเธอออกจะใหญ่โตแม้จะเทียบกับที่นี่ไม่ได้แต่มันดีกว่านี้มากแน่นอน

“เนตร!”

“อะไร! ทำไม! หรือจะเถียง ฉันแค่พูดความจริงตามที่ฉันเห็น ฉันรู้สึก มันผิดด้วยหรือยังไง”     

“ก็แล้วแต่ล่ะกัน”

ลีจนใจที่จะต่อความยาวสาวความยืดด้วยในเมื่ออีกฝ่ายก็ดูเหมือนตัวเองจะต้องถูกต้องเสียเต็มประดา พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า อีกทั้งยังไงก็ไม่มีทางเถียงชนะเธอแน่ต่อให้ต้องยกเหตุผลร้อยแปดประการขึ้นมาพูดเพราะคนที่เธอฟังจริงๆ ก็มีแค่ตฤณเท่านั้น ไม่ว่าตฤณจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยเสียหมด

พวกเขายืนอยู่กับความเงียบได้ไม่นาน ตฤณก็เดินตรงเข้ามาหา

“เอ่อ... ตฤณ”

“มีอะไร ลี”

“พวกเราต้องไปทำตรงไหนวะ แล้วเด็กคนนั้นไปไหนแล้ว”

“ไปทำในห้องกูนั่นแหละ เด็กคนนั้นชื่อจ้าว เห็นบอกว่ามีงานต้องไปจัดการ”

ลีพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจและเขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อผิดกับเนตรที่เธอนึกสงสัยก็ถามออกมาตรงๆ เลย และตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน

“ตฤณ เนตรถามจริงๆ เถอะ ที่นี่มีอะไรดีเหรอ”

ตฤณก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่มีอะไรดีให้เขาต้องอยู่ ก็แค่คำสัญญากับเด็กคนนั้นที่เขาเริ่มหลงใหลเข้าไปทุกที มันคงเป็นเหตุผลที่พอเพียงสำหรับการเลือกที่จะอยู่แต่คงพูดออกไปไม่ได้เพราะมันอาจทำให้เนตรไม่พอใจ

“อยู่ฟรีไง ผมก็บอกเนตรไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

“พอๆ ขึ้นไปทำรายงานกันเถอะ เดี๋ยวไม่เสร็จ นี่มันก็เกือบเที่ยงแล้วด้วย”

ลีรีบปรามก่อนที่เนตรจะได้พูดอะไรขึ้นมาอีก เขาอยากเคลียร์รายงานพวกนี้ให้เสร็จไวๆ ใจจะขาดเช่นเดียวกับยุ้ยที่คงไม่อยากอยู่ที่นี่นานเกินไป แต่ทว่าท้องของเขากลับส่งเสียงร้องขึ้นมาเสียก่อน

“เดี๋ยวๆ ก่อนไปกูขอสั่งพิซซ่านะ ไม่ไหวล่ะ หิวมาก”

เพื่อนในกลุ่มพยักหน้าและยืนรอให้ลีได้สั่งพิซซ่ามากิน ในจังหวะนั้นเนตรจึงพูดขึ้นมาเรื่องที่เธอยังไม่หายแคลงใจ “ตฤณจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม”

“ไม่รู้สิ คงจนกว่าจะเรียนจบเลยมั้ง”

“ย้ายออกได้ไหม เนตรหาที่อยู่ใหม่ ให้อยู่ฟรีเลยก็ได้”

“เนตร” ยุ้ยปรามเบาๆ พร้อมกับกระตุกแขนเพื่อนยิกๆ เห็นสีหน้าของตฤณแล้วเธอกลัวจริงๆ

“ลี! มึงสั่งเสร็จยังวะ!”

ตฤณเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เขาทำเป็นหันไปสนใจลีมากกว่าเพราะอยากตัดรำคาญ แต่ลีกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยังคงพล่ามกับโทรศัพท์ไม่หยุดอย่างหงุดหงิดพนักงานรับโทรศัพท์คนนั้น กว่าจะเคลียร์กันรู้เรื่อง ตฤณก็ถูกเนตรจ้องจนเกือบพรุนไปทั้งร่างแล้ว

“โอ๊ย! นี่มันนอกอวกาศหรือไงวะ! ไม่ได้จะบังคับมึงนะ แต่มึงย้ายที่อยู่ใหม่เถอะ พนักงานบอกกูว่าไงรู้ไหม ขอโทษนะคะ… ถ้าเป็นช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วจะของดส่งบริเวณแถวนั้นทุกกรณีค่ะ แบบนี้อ่ะ คืออะไร”

“เห็นไหม ลียังเห็นด้วยกับเนตรเลย”

ตฤณนิ่งเงียบไปอยู่พักหนึ่งอย่างใช้ความคิดก่อนจะพูดขึ้นมา “เขาอาจเข้าใจผิด มึงบอกที่อยู่ถูกหรือเปล่า”

“ถูกสิ ก็บอกตามที่มึงบอกเนตรนั่นแหละ ที่นี่มันก็ไม่ใช่ถิ่นทุรกันดารนะ แต่คือแบบ… พนักงานพูดเหมือนที่นี่บ้านนอกมาก กลัวรถน้ำมันหมดแล้วกลับไม่ได้หรือกลัวสัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึงวะ”

คำถามนี้ ตฤณเองก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเพราะเขาเองก็เริ่มรู้สึกคลางแคลงใจด้วยเช่นกัน ทำไมถึงไม่มาส่งทั้งที่สามารถโทรสั่งได้ถึงเที่ยงคืน หรือเป็นไปได้ว่าแถวนี้มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้

“ช่างมันเถอะ กูว่ารีบไปทำรายงานเถอะ เดี๋ยวไม่เสร็จ”





** ติดตามตอนต่อไป **


ตอนนี้มาแบบเบาๆ ยังไม่มีอะไรให้น่ากลัว....
แต่ดูที่จ้าวทำสิ เหมือนแกล้งตฤณเลย เอาสเต๊กแรร์ให้กิน
คือ... เราว่าถ้าใครกินไม่ได้นี่อาจมีออกปากเลยอ่าาาา แอบสงสารตฤณหน่อยๆ   

ขอบคุณสำหรับทุกคำคอมเม้นท์ และทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


GBlk
ขอบคุณนะคะ ใช่แล้วค่ะ เป้มาแค่รับเชิญเฉยๆ ค่ะ เรื่องนี้มีตัวละครรับเชิญหลายตัวเลยค่ะ มาแล้วไป มาแล้วไป

kun
ขอบคุณนะคะ อะไรอยู่ในขนมที่ตฤณกินเข้าไป ขอยังไม่เฉลยตอนนี้นะคะ ตอนที่6 นี่เพื่อนๆ มาแล้วนะคะ อาจจะยังไม่น่ากลัวเท่าไร มันแค่เริ่มต้นค่ะ

areenart1984
ขอบคุณนะคะ หนูจ้าวอ่อยเบาๆ และอาจจะอ่อยเรื่อยๆ ก็พี่ตฤณของเขา เขาอยากได้

wanirahot
ขอบคุณนะคะ จะเป็นอย่างไรต่อไปต้องคอยติดตามเรื่อยๆ ค่ะ

cocoaharry
ขอบคุณนะคะ เป้ไม่กลับมาอีกแล้วจนกระทั่งจบเรื่องเลยค่ะ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ ลองทายดูไหมคะว่าใครจะได้โดนดีในเรื่องเป็นคนแรกเลย

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 6 [16/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 16-12-2017 14:22:54
เนตรเป้าแรกแน่ๆๆเลย
รอออออ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 6 [16/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 16-12-2017 16:51:10
โดนแน่ๆ ปากไม่ดี
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 6 [16/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-12-2017 00:57:50
ยุ้ย กับ เนตร เตรียมตัวโดนหนูจ้าวจับมาตบปาก  :sad3:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 6 [16/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 17-12-2017 01:45:15
ขอเทคะแนนว่ายุ้ยคนแรกค่ะ เพราะนางพูดคนแรก ต้องโดนคนแรก 55555 :a5:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 7 [24/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 24-12-2017 16:20:29
::: ตอนที่ 7 :::
เชิญตามสบาย #2




ตฤณและเพื่อนนั่งทำรายงานอยู่สักพักจนพนักงานร้านพิซซ่าโทรมาเรียกให้ไปรับพิซซ่าที่บ้านข้างๆ ซึ่งเลยจากคฤหาสน์คัลเลนไปอีกสองหลัง เป็นตฤณที่เสนอตัวออกไปรับแทนโดยปล่อยให้เพื่อนช่วยกันนั่งทำรายงานอยู่ในห้อง

“ฝากซื้อน้ำเข้ามาด้วยนะ”

ตฤณพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องไป มีพิซซ่าแต่ไม่มีน้ำอัดลมมันจะไปอร่อยได้ยังไง เขาต้องซื้อน้ำเข้ามาด้วยอยู่แล้ว

พอตฤณออกไปได้ไม่ถึงห้านาที เนตรก็เริ่มเรื่องชวนคุยถึงความรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในตัวคฤหาสน์ เธอรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่สถานที่ของคนอยู่ตั้งแต่แรก

“มีใครรู้สึกเหมือนกันไหมว่าพอเข้ามาแล้วมันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก”

“ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกแค่แบบว่ามันไม่น่าอยู่ ดูเก่าๆ โทรมๆ”

ลีปล่อยให้สองสาวเขาคุยกันไป ส่วนตัวเองนั้นเปิดหาประวัติของคฤหาสน์หลังนี้หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับบริเวณนี้ทั้งหมดแล้วมันก็แทบจะไม่มีอะไรขึ้นมาให้น่าสืบหาต่อเลยราวกับว่าแถวนี้ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก่อน แต่มีเวปไซต์หนึ่งที่กล่าวถึงเรื่องราวประวัติของคฤหาสน์คัลเลนเอาไว้

คฤหาสน์คัลเลน เจ้าของชื่อฟาเบกัส คัลเลน เขาเป็นชาวตะวันตกที่เข้ามาทำการค้าขายในประเทศไทย เขาแต่งงานกับภรรยาชาวไทย โดยทั้งคู่มีบุตรด้วยกันสองคน ลูกชายคนโตชื่อโจเซฟ ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อวินเซ้นท์

ยังไม่ทันที่ลีจะได้อ่านบทความพวกนั้นจนจบ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นสามครั้งพร้อมกับเสียงใสๆ ที่เขาจำได้ว่าเป็นเสียงของเด็กคนนั้น “พี่ตฤณครับ จ้าวทำน้ำปั่นมาให้ครับ”

ลียังคงนิ่ง คอยดูท่าทีของเพื่อนสาวทั้งสองคนแต่เห็นว่าไม่มีใครยอมขยับไปไหน เขาจึงต้องวางโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วลุกไปเปิดประตูห้องเอง

“พี่ตฤณล่ะครับ”

“อ๋อ ตฤณมันออกไปเอาพิซซ่าน่ะ นั่นน้ำอะไรเหรอ”

น้ำในเหยือกนั้นทั้งสีแดงทั้งดูข้นคลั่ก แล้วพอรวมกับบรรยากาศแบบนี้ด้วยแล้วทำเอาลีอดคิดไม่ได้ว่านั่นอาจจะมาจากเลือดสดๆ ที่คั้นออกมาจากศพคนตาย

“น้ำมะเขือเทศน่ะครับ จ้าวทำเองกับมือเลย รับไปสิครับ ฝากบอกพี่ตฤณด้วยนะครับว่าทานเยอะๆ พวกพี่จะเอาไปแบ่งกันชิมดูก็ได้นะ จ้าวไม่หวง”

ลียื่นมือออกมารับถาดใบใหญ่จากมือจ้าว มันหนักเอาการอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเด็กตัวเล็กแค่นั้นถือไหวได้ยังไง

“ถ้าพวกพี่ทำรายงานยังไม่เสร็จ จะอยู่ค้างที่นี่สักคืนก็ได้นะครับ เดี๋ยวสักพักใหญ่ๆ รอให้พระอาทิตย์ตกดินก่อนแล้วจ้าวจะมาขอคำตอบนะครับ”

พระอาทิตย์ตกดิน เป็นคำที่ลีได้ยินมาถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกมาจากพนักงานร้านพิซซ่า ส่วนครั้งที่สองมาจากปากของเด็กคนนี้ซึ่งมันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลบางอย่างแน่

“ทำไมต้องรอให้พระอาทิตย์ตกดินด้วย”

จ้าวร้องอ๋อเบาๆ ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย “ถ้าจ้าวถามตอนนี้แล้วพี่ให้คำตอบจ้าวได้ไหมล่ะครับว่าพี่จะทำรายงานเสร็จภายในวันนี้หรือเปล่า จ้าวเลยคิดว่าน่าจะมาเอาคำตอบตอนเย็นๆ ไปแล้วดีกว่า อีกอย่าง... ช่วงเวลาแบบนั้นมันทำให้จ้าวแน่ใจขึ้นว่าควรจัดเตรียมอะไรบ้างน่ะครับ พี่อย่าคิดมากสิครับ”

อันที่จริงแล้วลีเองก็ไม่อยากคิดมากแต่พอได้ยินคนพูดถึงช่วงเวลาแบบนั้นถึงสองครั้งติดกัน อีกทั้งพนักงานร้านพิซซ่าที่รับสายก็ยังพูดให้รู้สึกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากจะแวะมาแถวนี้ถ้าไม่จำเป็น เหมือนกับว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นก่อนหน้านี้และพวกเขายังไม่รู้

“จ้าว พี่ขอถามหน่อยสิว่าเมื่อก่อนแถวนี้มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ พี่โทรไปสั่งพิซซ่าแล้วเขาไม่ค่อยอยากมาส่งเท่าไร”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ จ้าวเพิ่งจะอายุสิบหกเอง ถ้าพี่อยากรู้อะไรคงต้องอาศัยถามคนแถวนี้เอาแล้วล่ะครับ” 

ลีไม่ได้ถามอะไรต่อและจ้าวก็เดินจากไปแล้ว เขาวางถาดที่รับมาลงบนโต๊ะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียงนอนแล้วกลับไปสนใจเวปไซต์ที่พูดถึงคฤหาสน์คัลเลนต่อ พอจะเลื่อนอ่านบรรทัดต่อไปก็กลายเป็นว่าโทรศัพท์มือถือของเขาดับไปเสียดื้อๆ ทั้งที่ยังเหลือแบตอยู่เกินครึ่ง พยายามเปิดเท่าไรก็เปิดไม่ติด

“เนตร ขอยืมสายชาร์จหน่อยสิ เอามาหรือเปล่า”

“ฉันชาร์ตมาเต็มแล้วก็ไม่ได้คิดจะค้างที่นี่ด้วย ทำไมฉันต้องพกมันมา”

“งั้นขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหม ใช้แปปเดียว อยากหาข้อมูลอะไรนิดหน่อยน่ะ” 

เนตรส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองไปให้ด้วยความรำคาญ เธอกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำรายงานด้วยการสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เนตในโน๊ตบุ๊คที่พกมาด้วย เช่นเดียวกับยุ้ยที่เปิดหาข้อมูลจากหนังสือที่ขอยืมมาจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ถึงพวกเธอสองคนจะดูน่ารำคาญไปบ้างแต่เรื่องเรียนก็พึงพาได้เสมอ

ลีพิมพ์ข้อความเซิร์ทหาในกูเกิ้ลเหมือนที่เคยพิมพ์ลงในโทรศัพท์มือถือของตัวเอง มีเพียงเวปไซต์เดียวที่พูดถึงประวัติของคฤหาสน์คัลเลน เขาจึงกดเข้าไปเพื่ออ่านมันต่อ แต่ทว่าพอเลื่อนหน้าลงมาจนถึงบรรทัดที่อ่านค้างไว้ก็เห็นเพียงไม่กี่คำกี่ประโยคก่อนที่หน้าจอจะสั่นคล้ายมีคลื่นรบกวน

หลังจากที่ลูกชายคนเล็กเกิดได้ไม่นาน เรื่องราวประหลาดก็พากันเกิดขึ้นในคฤหาสน์จนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ อาทิ แจกันตกแตกทั้งที่ในห้องไม่มีใครอยู่, ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ในห้องใต้ดินแต่ห้องนั้นเป็นห้องปิดตาย, ผู้คนในบ้านล้มป่วยและตายอย่างไร้สาเหตุ เป็นต้น

“เนตร โทรศัพท์ใกล้จะพังแล้วหรือเปล่า ทำไมจอมันสั่นๆ”

“จะพังบ้าอะไร! ฉันเพิ่งซื้อเมื่อเดือนที่แล้วเอง”

จอโทรศัพท์มันสั่นจริงๆ และยิ่งสั่นมากขึ้นเมื่อลีเลื่อนหน้าลงมาอีกแต่ยังไม่ทันได้อ่านอะไรต่อ มันก็ดับไปเหมือนกับเครื่องของเขาที่ดับไปทั้งที่ยังมีแบตเหลือพอที่จะใช้ได้อีกหลายชั่วโมง แต่โทรศัพท์ของเนตรเหลือแบตมากกว่านั้นมากก็ยังดับโดยไร้สาเหตุ เขาลองกดเปิดอีกครั้งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับว่ามันไม่เหลือพลังงานให้โทรศัพท์กลับมาใช้งานได้ตามเดิมอีกแล้ว

“เนตร โทรศัพท์มันดับแล้วก็เปิดไม่ติดอ่ะ”

โทรศัพท์ดับยังเป็นเรื่องพอเข้าใจได้ว่าระบบของเครื่องอาจจะรวนไปบ้างแต่เปิดไม่ติดนี่ลีคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับความรวนของระบบ อีกทั้งมันก็ยังเป็นเครื่องที่เพิ่งซื้อมาใช้เพียงไม่นาน

“นายทำโทรศัพท์ฉันพังเหรอ!! เอามาดูเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”

เนตรยื่นมือมาขอรับโทรศัพท์ของตัวเองคืนไป เธอพยายามกดเปิดเครื่องใหม่อีกหลายต่อหลายครั้งก็พบว่ามันเปิดไม่ติดเหมือนที่ลีพูด สีหน้าของเธอดูเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อเปิดเท่าไรก็ไม่ติดแต่ยังดีที่ยุ้ยพกพาวเวอร์แบงค์มาด้วย เธอจึงลองเสียบชาร์ตดูและเปิดเครื่องใหม่ ปรากฏว่าก็เปิดไม่ติดเช่นเดียวกันทั้งที่กระแสไฟจากเครื่องชาร์ตแล่นเข้าโทรศัพท์

“แปลกนะว่าไหม”

จู่ๆ ลีก็พูดขึ้นมา จากบรรทัดสุดท้ายที่เขาได้อ่านในหน้าเวปไซต์นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์คัลเลนได้ด้วยหรือไม่ โทรศัพท์ที่มีแบตเหลือพอที่จะใช้ไปได้อีกหลายชั่วโมงกลับมาดับลงเพราะอ่านประวัติของคฤหาสน์หลังนี้

“แปลกอะไร”

“ก็แปลกที่มันเกิดเหตุการณ์เดียวกันกับโทรศัพท์สองเครื่องในเวลาไล่เลี่ยกันน่ะสิ”

ยิ่งลีพูด ยุ้ยกับเนตรก็ยิ่งไม่เข้าใจ โทรศัพท์ดับแล้วมันแปลกตรงไหน บางทีมันอาจจะเป็นที่เครื่องตั้งแต่แรกแต่ตอนนั้นยังไม่แสดงอาการจนมาถึงตอนนี้อาการมันเพิ่งออก

“ผมเข้าไปอ่านเวปไซต์หนึ่ง แล้วพออ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด โทรศัพท์มันก็ดับไปเลย เมื่อกี้ก็เอาเครื่องเนตรไปลอง มันก็เป็นแบบเดียวกัน ผมพยายามจะเปิดใหม่หลายทีแล้วแต่มันก็เปิดเครื่องไม่ได้เลยเหมือนมันพังไปแล้ว”

“คิดอะไรอยู่ย่ะ!! เอาโทรศัพท์ฉันไปลอง!!”

พวกเขากำลังถกกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับโทรศัพท์ของทั้งคู่ แต่ว่าก็เป็นอันต้องหยุดชะงักไปเมื่อตฤณกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดพิซซ่าที่ลีโทรสั่งและเครื่องดื่มที่ยุ้ยวานให้ซื้อเข้ามาด้วย พวกเขาทั้งสามคนมองหน้ากันราวกับจะขอพับเก็บเรื่องที่คุยค้างเอาไว้ก่อน เมื่อเวลาพร้อมจะเปิดประชุมกันอีกครั้ง

“ตฤณ ทำไมไปนานจัง”

ตฤณวางถาดพิซซ่าลงกับพื้นแล้วหันไปสบตากับเนตรที่มองตรงมายังเขา “พอดีคนแถวนี้เขาเรียกเข้าไปคุยด้วยน่ะ เห็นว่าผมเดินออกมาจากคฤหาสน์ล่ะมั้ง”

“เขาพูดอะไรกับมึงวะ”

ลีหยิบพิซซ่าขึ้นมากัดลงไปหนึ่งคำ เขาอยากรู้ว่าคนในละแวกนี้จะพูดถึงคฤหาสน์แปลกๆ หลังนี้ว่ายังไงกันบ้าง

“เขาแค่เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนก่อนมีเด็กวัยรุ่นมาแอบเล่นพิเรนทร์ในคฤหาสน์หลังนี้แล้วก็เหมือนว่าน่าจะเจอดี เลยถามกูว่าเจออะไรบ้างไหม กูก็ไม่เจออะไรนะ แค่บางทีรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยแต่มันก็อยู่ได้”

ทั้งสามต่างหันไปสบสายตากันอย่างไมได้นัดหมาย ราวกับต่างฝ่ายต่างรู้ความในใจซึ่งกันและกัน ลีจึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นลองเลียบเคียงขอยืมโทรศัพท์มาใช้งานเปิดหน้าเวปไซต์นั้นที่ทั้งโทรศัพท์ของเนตรและเขาต่างก็ประสบปัญหาเดียวกัน

“ตฤณ กูขอยืมโทรศัพท์หน่อย โทรศัพท์กูมันดับ”

 ไม่เพียงแค่พูด ลียังหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมาเปิดให้ดูว่ามันใช้การไม่ได้จริงอย่างที่ว่าเอาไว้แต่ทว่าแค่นิ้วกดลงไปบนปุ่มเปิดปิด โทรศัพท์ก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติไม่เหมือนก่อนหน้าที่พยายามเท่าไรมันก็ยังเปิดไม่ได้อยู่อย่างนั้น เนตรจึงลองเปิดโทรศัพท์ของตัวเองดูอีกครั้ง ปรากฏว่ามันก็กลับมาเปิดได้ราวกับตัวเครื่องไม่ได้มีปัญหาอะไรมาตั้งแต่ทีแรก

“อ้าว~ โทรศัพท์มึงก็ใช้ได้แล้วจะขอยืมของกูทำไม”

“ตอนแรกมันใช้ไม่ได้ เปิดไม่ติดเลย เนตรกับยุ้ยก็เป็นพยานได้”

เนตรและยุ้ยพร้อมใจกันพยักหน้าว่าสิ่งที่ลีพูดมานั้นเป็นความจริง โทรศัพท์ทั้งสองเครื่องเปิดไม่ติดอยู่ตั้งนาน ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรมันก็ไม่เป็นผล เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนั้นตฤณจึงยื่นโทรศัพท์ของเขาไปให้กับลีได้ทดสอบ ถ้าหากว่ามันเป็นอย่างที่ลีพูดมาจริงก็น่าคิดอยู่ว่าจู่ๆ มันจะดับไปได้อย่างไร

“งั้นมึงเอาไปลอง”

ลีรับโทรศัพท์ของตฤณมาแล้วเปิดเข้าไปในเวปไซต์เจ้าปัญหาที่ทำให้เครื่องดับถึงสองครั้งสองครา แต่ปรากฏว่าเมื่อเปิดเข้าไปแล้วกลับไม่พบข้อความอะไรเลยหรือแม้แต่บทความที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์คัลเลน ทั้งที่เขาได้อ่านมันถึงสองครั้งแต่พอเป็นโทรศัพท์ของตฤณ มันกลับไม่มีอะไรให้เขาอ่าน อีกทั้งอาการที่เหมือนถูกคลื่นแทรกก็ไม่มีให้เห็นอีกด้วย

“กูว่าที่นี่มันแปลกๆ ว่ะ”

“ตฤณ เนตรว่าย้ายออกเถอะ จริงๆ นะ” เนตรกล่าวสำทับคำพูดของลีอีกแรง

“คิดกันไปเองหรือเปล่า มันไม่มีอะไรหรอก”

“งั้นกูขอถามนะ ถ้ามันไม่มีอะไรจริงอย่างที่มึงพูด ทำไมโทรศัพท์กูกับเนตรถึงเปิดไม่ติดเลยแต่พอมึงกลับมา ทุกอย่างก็เป็นปกติ แล้วหน้าเวปนั่นอีก ทั้งที่กูนั่งอ่านมากับตาถึงสองครั้งแต่พอใช้โทรศัพท์มึงกลับกลายเป็นหน้าว่าง แล้วทำไมพนักงานร้านพิซซ่าถึงไม่ยอมมาส่งหลังพระอาทิตย์ตกดิน มึงตอบกูได้ไหมว่าทำไม”

ตฤณนิ่งเงียบ เขายอมรับว่าเขาตอบไม่ได้ว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือบางทีมันอาจเป็นแค่เหตุบังเอิญที่โทรศัพท์ทั้งสองเครื่องจะมาเสียพร้อมกัน อาจเป็นได้ว่าที่พนักงานร้านพิซซ่าไม่มาส่งหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็คงเพราะแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แทบจะไม่มีร้านค้า ไม่มีปั๊มน้ำมัน จะมีก็แค่มินิมาร์ทเล็กๆ ที่อยู่เลยไปอีกแยกหนึ่ง       

“กู... ไม่รู้ว่ะ มึงลองถามจ้าวดูไหม”

“กูถาม เขาคงไม่ตอบหรอกว่ะ เรื่องแปลกๆ แบบนี้ ยิ่งเกิดในที่ของเขา ใครมันจะไปบอก”

“จะถามหรือไม่ถาม เนตรไม่สนหรอก รีบมาทำรายงานให้เสร็จไวๆ ดีกว่าไหม เนตรอยากกลับแล้ว”

เนตรไม่อยากเก็บมันมาใส่ใจเท่าไรนัก เธออยากรีบทำรายงานพวกนี้ให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดินหรือเมื่อไรก็ได้ที่ไม่ทำให้เธอต้องอยู่ค้างคืนที่นี่ บรรยากาศโดยรอบในเวลานี้อาจจะไม่น่ากลัวเท่าไรนักแต่เมื่อไร้แสงสว่างจากฟากฟ้าจะมีใครรับประกันได้ว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งสภาพคฤหาสน์ที่ดูเหมือนไร้การเหลียวแลมานานหลายปียิ่งทำให้เธออยากจัดการมันให้เสร็จโดยเร็ว

“อ่อ ตฤณ จ้าวเอาน้ำมะเขือเทศปั่นมาให้ด้วยน่ะ เขาบอกให้มึงกินเยอะๆ”

ลีชี้ไปตรงที่เขาวางถาดน้ำที่รับจากเด็กคนนั้นมา

“แล้วจะกินด้วยกันไหม”

“ไม่ว่ะ น้ำมะเขือเทศปั่น สีอย่างกับเลือด กูกินไม่ลงจริงๆ”

แค่เห็นสีน้ำที่คล้ายกับสีเลือดก็นึกสยอง ยิ่งได้บรรยากาศของตัวคฤหาสน์หล่อหลอมความรู้สึกด้วยแล้วยิ่งไม่อยากกินเข้าไปใหญ่

ในเมื่อไม่มีใครอยากกินก็เป็นตฤณที่ต้องจัดการกับมันคนเดียว ในระหว่างนั้นเพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็ช่วยกันทำรายงานพร้อมกับกินพิซซ่าที่ลีสั่งมาด้วย


----------------------------------------


วิญญาณของเจตรินเป็นอิสระเมื่อตุ๊กตาถูกปล่อยวางไว้บนเก้าอี้ในห้องหนึ่งทางฝั่งขวามือของคฤหาสน์แต่เขากลับไปไหนไม่ได้เมื่อถูกสั่งห้ามไม่ออกไปให้ตฤณเจอหน้าจึงได้แต่นั่งเล่นอยู่แถวนั้น อาหารมื้อเช้าที่เขาบรรจงรังสรรค์ขึ้นมากลับไม่ถูกปากชายคนนั้นเข้าจนเกือบจะถูกจ้าวโกรธใส่แต่ดีที่เด็กคนนั้นไม่ได้ติดใจเอาความอะไรมาก เขาจึงรอดตัวไป

“พี่เจต เย็นนี้เราหาอะไรทำกันดีไหม”

‘อย่างเช่น?’

“จ้าวจะทำให้พวกพี่เขาต้องพักอยู่กับเราที่นี่ คืนนี้ พี่เจตว่าดีไหมครับ”

‘ดีหรือไม่ดี ความคิดเห็นของพี่มันคงไม่สำคัญเท่าไร เพราะยังไงในหัวของจ้าวก็มีคำตอบให้กับคำถามนี้อยู่แล้ว’

เจตรินพูดถูก ในหัวของจ้าวมีคำตอบให้กับตัวเองอยู่แล้ว เรื่องที่ถามออกไปก็แค่ต้องการให้พี่ชายของเขามีส่วนร่วมบ้าง

“พี่เจต คืนนี้เรามาสนุกกันอีกสักคืนเถอะครับ”

จ้าวคว้าเอาตุ๊กตาหมีตัวปอนขึ้นมากอดแนบอก ยกยิ้มมุมปากราวกับว่าในหัวของเขาวางแผนเรื่องสนุกสำหรับคืนนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าตรงไปยังห้องของตฤณ ดูเหมือนเวลาจะผ่านมานานหลายชั่วโมงและตอนนี้ก็ถึงเวลาไปทวงคำตอบคืน

“พี่เจตว่าพวกพี่เขาจะยอมอยู่ที่นี่ไหมครับ แหม... จ้าวก็ดันสร้างวีรกรรมไว้แล้วด้วยสิ”

‘พี่รู้ว่าจ้าวมีวิธีทำให้เขาอยู่ที่นี่’

“เพราะพี่เจตรู้ใจจ้าวแบบนี้ยังไงล่ะครับ จ้าวถึงได้รักพี่”

คำว่ารักฟังดูเหมือนไม่ค่อยจะจริงใจเสียเท่าไรแต่นั่นก็เป็นคำที่เจตรินเฝ้าอยากได้ยินมาโดยตลอด จ้าวจึงพูดเอาอกเอาใจเสียบ้างเพราะดูท่าว่าราตรีนี้จะยาวนานนักและเขาคงต้องให้พี่ชายผู้แสนดีคอยช่วยเหลือในบางเรื่อง

‘เป็นพรายกระซิบบอกพี่บ้างได้ไหมว่าวางแผนอะไรไว้’

“ไม่ได้หรอกครับ ถ้าพี่เจตรู้แล้วมันจะไปตื่นเต้นตรงไหนล่ะครับ เก็บไว้ให้จ้าวรู้คนเดียวก็พอแล้ว”

ใบหน้ากลมมนประดับไปด้วยรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขานิ่งเงียบแล้วปรับสีหน้าของตัวเองให้เป็นปกติดูยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยังไม่ค่อยประสาเท่าไรนักต่อโลกใบนี้ วิญญาณของเจตรินในตุ๊กตาหมีตัวนั้นเงียบเสียงลงและตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาจะพูดคุยกัน

มือเรียวเล็กเคาะลงบนประตูห้องเป็นจำนวนสามครั้งเหมือนเช่นทุกครั้ง

“พี่ตฤณครับ นี่จ้าวเองนะครับ”

ประตูห้องถูกเปิดออกโดยตฤณ เขายืนยิ้มให้กับจ้าวที่อยู่ตรงหน้า

“ว่าไงครับ”

“พี่ตฤณได้ชิมน้ำมะเขือเทศปั่นที่จ้าวทำให้หรือยังครับ”

“อ๋อ ยังเลย กำลังยุ่งๆ น่ะ พี่อยากรีบทำรายงานให้เสร็จไวๆ”

“แล้วจ้าวขอเข้าไปได้ไหมครับ อยากเห็นเวลาพี่ตฤณทำหน้ายุ่ง เครียดกับงานน่ะครับ”

ตฤณเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้จ้าวได้เดินเข้ามาข้างในได้สะดวกขึ้น เด็กน้อยคนนั้นเดินเข้ามานั่งบนเตียง แกว่งเท้าไปมาอย่างอารมณ์ดี ดวงตาสีเพลิงเหลือบมองไปยังร่างของหญิงสาวสองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาปั่นรายงาน

“พี่ตฤณครับ อีกนานไหมกว่าจะทำรายงานเสร็จ”

“ไม่รู้เหมือนกัน นี่ก็ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย”

จ้าวนิ่งไปสักพักราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ท่าทางที่ทำให้รู้สึกเหมือนทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ได้ถูกวางแผนมาตั้งแต่แรก

“ถ้ามันไม่เสร็จก็อยู่ค้างที่นี่สักคืนก็ได้นะครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเทียวไปเทียวมา”

หันไปสบตากับตฤณทันทีที่เด็กคนนั้นพูดจบ เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ เป็นไปได้ก็อยากจะรีบทำรายงานที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จไวๆ “ตฤณ เนตรไม่ค้างนะ”

“ถ้าเนตรไม่อยู่ ฉันก็ไม่อยู่เหมือนกัน”

“แต่ถ้างานไม่เสร็จจริง กูคงต้องค้างว่ะ ไม่อยากปล่อยให้งานมันคาราคาซัง”

จ้าวก้มหน้าลอบยิ้มเย็นอย่างชั่วร้าย หนึ่งคนยอมอยู่ที่นี่เพื่อรายงาน ส่วนอีกสองคนที่เหลือคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงเขามากนัก เด็กน้อยตัวเล็กลุกจากเตียง เดินตรงไปยังเหยือกน้ำมะเขือเทศปั่นที่ยังไม่ถูกเทใส่แก้ว เขาจับแก้วใสทรงสูงหมุนเล่นไปมาในมือก่อนจะเทน้ำสีแดงที่ใครเห็นก็ว่ามันเหมือนสีเลือดเสียมากกว่าใส่ลงไปค่อนแก้ว

“พี่ตฤณครับ ลองชิมดูหน่อยนะครับ ให้จ้าวป้อนด้วยนะ”

ดวงตาสีเพลิงมองไปยังร่างสูงใหญ่ของตฤณที่ยังคงยืนอยู่หน้าประตูห้อง เขาส่งยิ้มหวานไปให้อย่างหวังผล แน่นอนว่าผลนั้นเกิดขึ้นทันทีที่เขาพูดจบ สายตาที่มองมาอย่างไม่เป็นมิตรของเนตรทำให้รู้ว่าแค่เพียงพยายามอีกนิด เธอก็จะเดินมาตกหลุมพรางที่ขุดเอาไว้เอง

“จ้าวทำมันสุดฝีมือเลยนะครับ เพื่อพี่ตฤณโดยเฉพาะเลย”

ตฤณเดินเข้ามาหาแล้วก้มลงจิบน้ำปั่นสีแดงที่จ้าวค่อยๆ บรรจงป้อนให้อย่างช้าๆ ริมฝีปากรูปกระจับจึงยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่าสายตาสีเพลิงยังแอบเหลือบมองร่างของผู้หญิงชื่อเนตรอยู่เป็นระยะในขณะที่เอียงแก้วทรงสูงแล้วปล่อยให้น้ำสีแดงไหลเข้าปากของผู้ชายที่โน้มตัวลงมาเล็กน้อย

เนตรทนเห็นภาพบาดตาบาดจิตต่อไปไม่ไหว ยิ่งเห็นสายตาที่ตฤณใช้มองเด็กคนนั้นแล้วเธอยิ่งอยากจะเดินเข้าไปขัดจังหวะแต่ถ้าทำแบบนั้นเธออาจจะถูกโกรธแทน “ตฤณ เนตร... เนตรว่าเนตรจะอยู่ค้างที่นี่”

“อ้าว~ เมื่อกี้เนตรบอกว่าไม่อยากอยู่ไง”

ยุ้ยถึงกับออกอาการเหวอที่เห็นเพื่อนเธอจู่ๆ ก็มาเปลี่ยนใจกะทันหัน ทั้งที่ตอนแรกก็ดูเหมือนจะอยากกลับบ้านมากกว่าจะทนอยู่ที่นี่ต่อเสียด้วยซ้ำไป

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เธอจะอยู่ไหมล่ะ”

“แล้วฉันเลือกได้ไหมล่ะ เธออยู่ ฉันก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนอยู่แล้ว”

“ถ้างั้น... เดี๋ยวจ้าวให้เขาจัดห้องไว้สามห้องสำหรับพี่สามคนนะครับ”

จ้าวเอาแก้วไปที่ไม่เหลือน้ำมะเขือเทศปั่นแล้วไปวางไว้บนถาดก่อนจะถือมันมาและแอบปรายตามองไปยังตฤณอย่างมีเลศนัย เขาจงใจปล่อยตุ๊กตาหมีตัวปอนที่ยังคงมีวิญญาณเจตรินทิ้งไว้ในห้องก่อนจะเดินจากไปอย่างอารมณ์ดีที่สุดในรอบหลายวันที่ผ่านมา




** ติดตามตอนต่อไป **


 kun, ♥lvl♀‘O’Deal2♥, areenart1984, Nekosama

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ค่ะ ขอตอบรวบทีเดียวเลยนะคะ
ว่า... เฉลยอยู่ตอน 9 (ฮ่าๆๆๆ) ใครจะโดนก่อนกันแน่ ระหว่างลี เนตรและยุ้ย
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 7 [24/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-12-2017 02:03:54
เดาจากท่าทางและกิริยา ยกให้กับเนตรเต็งหนึ่ง ในการรับน้องของหนูจ้าวเลย  o14
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 7 [24/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 26-12-2017 19:28:43



ได้เวลาสนุกแล้วซิ อิอิ

อยากอ่านประวัติคฤหาสน์ต่ออย่างแรงงงงงง

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 7 [24/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 28-12-2017 03:00:05
จ้าวทิ้งพี่เจตไว้ในห้องเพื่อสอดแนมหรอ? หรือเพราะให้พี่เจตก่อกวนให้งานไม่เสร็จ? 5555555
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 8 [08/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 08-01-2018 20:36:11
::: ตอนที่ 8 :::
กฏมีไว้ให้ปฏิบัติตาม






กฎย่อมต้องเป็นกฎ และกฎมีไว้ให้ปฏิบัติตาม เมื่อใครไม่รับฟังและไม่อยู่ในกฎจะได้รับบทลงโทษ

จ้าว... เป็นกฎที่ว่านั่น


หลังจากที่ตกลงกันแล้วว่าเพื่อนของตฤณทั้งสามคนจะอยู่ที่คฤหาสน์คืนนี้ นั่นเป็นไปตามแผนที่จ้าววางเอาไว้และมันก็ดูเหมือนจะราบรื่นไปเรื่อยจนกระทั่งถึงมื้ออาหารเย็นที่เนตรไม่ยอมนอนคนละห้องกับยุ้ยไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร มันทำให้แผนของจ้าวเริ่มสะดุดเพราะถ้าไม่แยกแต่ละคนออกจากกัน แผนที่เขาวางเอาไว้ตั้งแต่แรกมันคงลำบากและหมดสนุกขึ้นอีกเป็นกอง

“ทำไมพี่เนตรไม่นอนคนละห้องกับพี่ยุ้ยล่ะครับ ที่นี่มีห้องว่างอยู่อีกตั้งหลายห้อง อีกอย่างจะได้ไม่ต้องนอนเบียดกันให้รู้สึกอึดอัดด้วยนะครับ”

“ไม่ดีกว่า”

“ครับ น่าเสียดายจัง ห้องในคฤหาสน์นี้มีตั้งมากแต่แทบจะไม่ได้เปิดใช้งานเท่าไรเลย” จ้าวเหลือบมองร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ เนตรแล้วรู้สึกเหมือนการที่เธอต้องอยู่ห้องเดียวกับเนตรนั่นเป็นเพราะไม่มีทางเลือก “แล้วพี่ยุ้ยไม่อยากได้ความเป็นส่วนตัวบ้างเหรอครับ”

การอยู่กับเนตรก็ใช่ว่าจะดีเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเอาแต่ใจแต่ยุ้ยเลือกที่จะปล่อยให้เนตรอยู่ลำพังไม่ได้ เมื่อคฤหาสน์หลังนี้ค่อยๆ ไร้แสง รัตติกาลมาเยือนพร้อมบรรยากาศเยือกเย็นที่สร้างความน่ากลัวให้กับทุกอณูรูขุมขนทำให้เธอเลือกที่จะเกาะติดเนตรมากกว่าปล่อยให้ตัวเองต้องอยู่คนเดียว

“อยู่กันสองคนก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจัดห้องเพิ่ม”

“ครับ เดี๋ยวอีกสักพักจ้าวจะให้ลุงมิ่งมาพาไปห้องพักนะครับ”

เมื่อได้บทสรุปแล้ว จ้าวจึงเดินจากไป ใบหน้ากลมมนประดับด้วยรอยยิ้มเย็น ดูเหมือนช่วงนี้จะมีเรื่องสนุกให้เขายิ้มบ่อยเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลุงมิ่ง ตฤณ หรือแม้แต่เด็กวัยรุ่นที่เข้ามาเล่นพิเรนทร์ในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ช่วงชีวิตในหลายร้อยปีที่ผ่านมาของจ้าวดูมีสีสันขึ้นอีกมากทีเดียว

พอพ้นสายตาและการรับรู้ของคนที่นั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหารแล้ว วิญญาณของเจตรินก็รีบตรงมาหาจ้าวทันที เขารู้ว่าหลังจากนี้จะต้องมีเรื่องให้ทำอีกมากมาย ในขณะที่คนพวกนั้นยังนั่งอยู่ในห้อง นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดคุยกับจ้าวได้อย่างสะดวก

‘จ้าว คืนนี้จะให้พี่ทำอะไร’

เด็กน้อยกระตุกยิ้มมุมปาก “ฝากไปบอกทุกคนที่อยู่หลังกระจกเงาด้วยว่าหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วสนุกกันให้เต็มที่ จ้าวอนุญาต แต่อย่าเพิ่งเล่นกันจนถึงขั้นเอาชีวิตล่ะ”

‘แค่นี้เหรอ แล้วพี่ล่ะ’

“พี่เจตไปรอจ้าวในตุ๊กตาได้เลย ตอนนี้มีปัญหานิดหน่อย ขอจ้าวจัดการให้เรียบร้อยก่อนนะ”

‘ให้พี่ช่วยไหม’


“ไม่ดีกว่า จ้าวมีแผนของจ้าวอยู่แล้ว พี่เจตแค่ไปรอเงียบๆ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วจ้าวจะบอกเองว่าให้ทำอะไร”

เจตรินไม่ค่อยอยากขัดคำสั่งจ้าวเท่าไรนักเช่นเดียวกับที่จ้าวไม่ชอบให้ใครขัดคำสั่ง

“พระจันทร์กำลังขึ้นแล้ว พี่เจตรีบไปเถอะครับ แต่... เอ๊ะ! เหมือนจ้าวจะลืมอะไรบางอย่างไปนะ” จ้าวทำท่าครุ่นคิดในขณะที่เดินไปตามทางที่พาออกไปนอกคฤหาสน์แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็พูดขึ้นมาเองก่อนที่เจตรินจะได้เตือนสติว่าน้องชายของเขาลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป “จ้าวลืมบอกกฎของที่นี่ได้ยังไง แบบนี้มันจะไปสนุกตรงไหนล่ะ จริงไหมครับ พี่เจต”

‘จ้าวว่ายังไง พี่ก็ว่าตามนั้น’


“หวังว่าลุงมิ่งคงยังไม่พาพวกเขาไปส่งที่ห้องแล้วหรอกนะ บอกตรงๆ ว่าจ้าวขี้เกียจไปเคาะทีละห้อง”

‘ให้พี่ช่วยไหม’

“ยังก่อนครับ จ้าวยังไม่อยากให้ใครเห็นพี่ตอนนี้ พี่เจตเป็นวิญญาณก็ต้องรับบทเป็นวิญญาณสิครับ”

‘พูดอย่างกับจ้าวไม่ใช่’

เด็กน้อยที่แสนดีของเจตรินนิ่งไปชั่วครู่ จะให้ตอบรับว่าใช่ก็ไม่เชิงแต่ถ้าให้ตอบปฏิเสธ พี่ชายก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้น “ถ้าจ้าวบอกว่าจ้าวเป็นปีศาจจริงๆ ล่ะครับ พี่เจตจะเชื่อไหม”

‘น้องชายของพี่ไม่ใช่ปีศาจ ก็แค่ร้ายกาจกว่าเด็กทั่วไปเท่านั้น’

“นี่ถือเป็นคำชมไหมครับ”

จ้าวหัวเราะน้อยๆ เพราะถ้านั่นเป็นคำชมก็แปลว่าเขาร้ายกาจจริงๆ แต่ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสิ่งชั่วร้ายตนนี้เท่านั้น มันยังมีอะไรมากกว่านี้ที่ใครหลายคนอาจคาดไม่ถึงรวมถึงตัวเจตรินเองด้วย เขาเพียงแค่ต้องเก็บมันเอาไว้ในร่างของเด็กชายตัวเล็กคนนี้

'พี่ก็ต้องชมจ้าวอยู่แล้วล่ะ พี่มีน้องชายอยู่คนเดียวนะ’

“จริงๆ พี่เจตก็ร้าย ไม่ใช่ไม่ร้ายแต่พี่เลือกที่จะแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนดีใช่ไหมล่ะครับ มันก็เหมือนกับจ้าวที่พยายามทำให้คนอื่นเห็นว่าเด็กตัวเล็กๆ คนนี้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แต่ถ้าไม่ระวังตัวล่ะก็จะถูกมีดที่แอบซ่อนอยู่ข้างหลังคร่าเอาจนถึงชีวิตได้”

‘พี่อยู่กับจ้าวมากี่ปี ถึงจะไม่อยากร้ายแต่ก็ต้องร้ายให้เป็น ยังไงก็ตามพี่คงสู้จ้าวไม่ได้อยู่แล้ว’

จ้าวกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แน่นอนว่าคงไม่มีใครจะร้ายกาจไปกว่าปีศาจอีกแล้ว “พี่เจตไปได้แล้วล่ะครับ จ้าวก็ต้องรีบไปทำหน้าที่เจ้าของคฤหาสน์ที่ดี เตือนพวกพี่เขาบ้างแล้วล่ะ”

วิญญาณของเจตรินที่ลอยตามจ้าวต้อยๆ หายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว เช่นเดียวกับร่างของจ้าวที่ก็หายไปจากที่ตรงนั้นด้วย มาปรากฏกายให้เห็นอีกทีก็ที่หน้าประตูห้องพักของลี เสียงประตูห้องดังขึ้นสามครั้งโดยที่มือเล็กนั่นยังไม่ทันได้เคาะลงไปบนบานประตูด้วยซ้ำ

“ครับ!” เสียงตอบรับดังมาจากในห้องก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก

“พี่ลี จ้าวมารบกวนหรือเปล่าครับ”

“อ๋อ ไม่ๆ มีอะไรหรือเปล่า”

“จ้าวลืมบอกกฎของที่นี่ไปน่ะครับว่าหลังเที่ยงคืนไปแล้วห้ามออกจากห้อง ห้ามส่องกระจกหรือถ้าได้ยินเสียงอะไรก็อย่าไปใส่ใจครับ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็จ้าวอยากให้พี่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดนะครับ”

ดูเหมือนลีจะเข้าใจมันดีทีเดียว สิ่งที่เป็นคำถามคอยรบกวนจิตใจมาตลอดตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้พอจะคลายตัวลงบ้างแล้ว เหตุผลของการที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้บริเวณนี้แม้แต่พนักงานร้านพิซซ่าก็ยังปฏิเสธที่จะมาส่งหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เหตุผลของการที่ทำไมตอนอ่านประวัติของครอบครัวคัลเลนถึงได้เกิดเรื่องประหลาดขึ้น

“ที่นี่มีอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากคนอย่างเราๆ ใช่ไหม”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ จ้าวก็แค่มาเตือนเอาไว้ ไม่อยากให้พี่ไปไหนมาไหนตอนกลางคืนเพราะมันอันตราย อีกอย่างที่นี่ก็กว้างด้วย ถ้าเกิดพี่หลงทางแล้วกลับห้องไม่ถูก พี่ตฤณคงไม่สบายใจแน่ครับ”

น้ำเสียงที่จ้าวใช้พูดออกมาแฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแต่ทว่าใบหน้ากลมสีไข่มุกยังคงเรียบเฉย

“แล้วทำไมต้องห้ามส่องกระจกหลังเที่ยงคืนด้วย”

“พี่ลีครับ โบราณเขาว่าเอาไว้ว่าส่องกระจกหลังเที่ยงคืนมักจะเห็นผีนะครับ”

“ผะ... ผี?”

“จ้าวล้อเล่นหรอกครับ แค่อยากจะบอกว่าคนโบราณเขาเชื่อว่าตอนกลางคืนมันมืดแล้วพอส่องกระจก เห็นหน้าตัวเองไม่ชัดแล้วจะนึกว่าเจอผีน่ะครับ พี่ลีอย่าคิดมากไปเลย แค่ทำตามที่จ้าวบอกก็พอครับ”

เจอคำเตือนแบบนี้ก็ทำเอาลียิ้มไม่ออกได้เหมือนกัน ยิ่งมาเห็นสภาพคฤหาสน์ที่ชวนให้นึกถึงบ้านผีสิงด้วยแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่าถ้าละเมิดกฎตามที่เด็กคนนั้นบอกมาก็อาจจะมีภัยมาถึงตัวได้ แต่เขาก็ยังทำเป็นนิ่งและพร้อมรับฟังแต่ไม่แน่ใจตัวเองว่าจะปฏิบัติตามได้ไหม

“จ้าวมาบอกแค่นี้แหละครับ ไม่รบกวนพี่แล้ว”

จ้าวเดินออกมาจากหน้าประตูห้องตรงไปยังอีกห้องที่อยู่ถัดไปเพื่อพูดบอกประโยคเดียวกันกับที่พูดเมื่อครู่นี้ ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูมันก็ดังก๊อกๆ ถึงสามครั้ง รอไม่นานเท่าไรนักประตูห้องจึงเปิดออก เนตรกำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่บนเตียงนอน หนีไม่พ้นต้องให้ยุ้ยเป็นคนมันเปิดมัน

“ขอโทษนะครับ พี่ยุ้ย พี่เนตร จ้าวรบกวนไม่นานหรอกครับ”

“มีอะไรเหรอ”

“คือ... จ้าวลืมบอกกฎของที่นี่น่ะครับ คือว่ามันเป็นกฎสำคัญมาก อยากให้พี่ช่วยปฏิบัติตามด้วยนะครับ หลังเที่ยงคืนไปแล้วอย่าออกไปไหนเด็ดขาดเลยนะครับ กระจกก็ห้ามส่อง ได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามทัก ห้ามสนใจ”   

“ที่ว่าห้ามออกไปไหนก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ห้ามส่องกระจก ห้ามสนใจเสียงอะไรนั่นมันคืออะไร ที่นี่มันมีอะไรเหรอ”

จ้าวส่งสายตาอันเป็นมิตรที่เคลือบแฝงความชั่วร้ายไปให้ก่อนจะทำเสียงประหนึ่งเป็นห่วงเป็นใยพี่สาวทั้งสองคนมากมาย “ที่นี่ชอบมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคฤหาสน์ร้างแถมยังมีผีสิง แล้วคนก็มักชอบมาลองของกันตอนดึกๆ ดื่นๆ บางทีก็มีหัวขโมยด้วย จ้าวกลัวว่าถ้าพวกพี่สนใจเสียงพวกนั้นแล้วจะทำให้พวกมันรู้ตัว พวกพี่ก็อาจจะเป็นอันตรายได้ คนงานของที่นี่ก็มีไม่มากคงดูแลได้ไม่ทั่วถึง ที่จ้าวพูดแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของพี่ยุ้ยกับพี่เนตรนะครับ”

คำพูดของจ้าวฟังดูแปลกๆ ยุ้ยไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่ามันจะมีแค่นั้นจริงๆ แต่เธอก็ทำเป็นนิ่งเงียบและตั้งใจฟัง

“มีอะไรอีกหรือเปล่า”

“อ๋อ! ไม่มีแล้วครับ จ้าวมาบอกแค่นี้ ขอตัวไปหาพี่ตฤณก่อนนะครับ”

“ตฤณพักอยู่ห้องไหน”

“ห้องที่อยู่เยื้องกับกับบันไดน่ะครับ งั้นจ้าวไปแล้วนะครับ”

“อืม” ยุ้ยพยักหน้าก่อนที่จะปิดประตูห้องลง

กับดักชิ้นโตอันหอมหวานถูกวางเอาไว้แล้ว เหลือแค่เพียงจะมีใครเดินมาติดกับนั้นไหม จ้าวกำลังเฝ้ารอมันอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียวล่ะ


-----------------------------------------



“พี่ตฤณครับ นี่จ้าวเองนะครับ อยู่ในห้องหรือเปล่า”

แน่นอนว่าจ้าวรู้ว่าตฤณอยู่ในนั้น

“จ้าวขอเข้าไปนะครับ”

บานประตูถูกเปิดเข้ามา เขาปรายตามองตุ๊กตาหมีขมปุยที่วางอยู่บนเตียงนอนในห้อง ตอนนี้ใกล้ได้เวลาแล้ว รอเพียงแค่เหยื่อเดินเข้ามาติดกับ คืนนี้คงกลายเป็นคืนหฤหรรษ์อีกคืนหนึ่งแน่นอน มือเล็กคว้าเอาตุ๊กตาที่มีวิญญาณเจตรินสิงสถิตอยู่ขึ้นมากอดแนบอกแล้วกระซิบเบาข้างหู “ถ้าพี่เนตรมาแล้ว พี่เจตช่วยพาผู้หญิงที่อยู่ในห้องที่มีกระจกไปเที่ยวในโลกของเราหน่อยนะครับ”

ตุ๊กตาหมีขนปุยตัวเก่าถูกวางไว้บนเก้าอี้วิคตอเรียและวิญญาณของเจตรินก็ออกไปแล้ว เขาไปหลบซ่อนอยู่ใต้เงามืดที่ใดที่หนึ่ง ณ คฤหาสน์หลังนี้ รอเวลาที่จะได้ลงมือทำให้สิ่งที่จ้าวอยากให้ทำ สิ่งที่เด็กคนนั้นนึกสนุกอยากให้แขกผู้มาเยือนได้ความทรงจำที่ดีกลับไป

“พี่ตฤณครับ”

“.....”

“พี่ตฤณครับ จ้าวขอนอนด้วยคนได้ไหม”

“.....”

ตฤณไม่ยอมตอบแต่จ้าวได้ยินเสียงน้ำที่กำลังไหลออกจากฝักบัวที่อยู่ในห้องน้ำ เขาเดาว่าเพราะเสียงน้ำที่ดังเกินไปจนกลบเสียงใสๆ ไปจนสิ้น ดวงตาสีเพลิงฉายแววแห่งความเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกตัวน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนอยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ซุกตัวอยู่อย่างนั้นจนกว่าตฤณจะออกมาจากในนั้นแล้วแสร้งทำเป็นหลับสนิท

กว่าตฤณจะออกจากห้องน้ำ จ้าวก็แสร้งหลับจนเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมดแต่ทว่ามันก็คุ้มค่าเมื่อได้ยินเสียงตฤณพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยนเพราะนั่นหมายความว่าฝ่ายนั้นคงกำลังเริ่มหลงใหลในตัวเขาเข้าไปทุกทีแล้ว

“ตอนหลับทำไมน่ารักแบบนี้นะ เสียดายที่คราวที่แล้วไม่ทันได้สังเกต”

“ตฤณ!! เปิดประตูให้เนตรหน่อย ตฤณ!”

เสียงตะโกนร้องเรียกของหญิงสาวดังอยู่หน้าห้องพร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังถี่รัวเหมือนมีเรื่องอะไรร้อนใจ

“ตฤณ!! ได้ยินเนตรไหม เปิดประตูให้เนตรหน่อย”

ตฤณขยับตัวออกห่างจากเด็กตัวน้อยที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เดินไปเปิดประตูให้กับเนตรที่ร้องเรียกอยู่หน้าห้องอย่างเร่งรีบ เขากลัวว่าถ้าเนตรยังคงส่งเสียงดังอยู่อย่างนี้จะทำให้คนที่หลับสนิทต้องตื่นขึ้นมา

“ว่ายังไง เนตร”

“เนตร... เนตรขอนอนด้วยได้ไหม”

ตฤณถึงกับนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมา “แล้วยุ้ยล่ะ เนตรนอนกับยุ้ยไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ แต่เนตรมานอนด้วยไม่ได้เหรอ ทีเด็กคนนั้นยังอยู่บนเตียงนอนตฤณได้เลย”

“มันไม่เหมือนกันไหม จ้าวเป็นผู้ชายแต่เนตรเป็นผู้หญิงแล้วจะให้มานอนห้องเดียวกันได้ยังไง”

เนตรทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ตั้งแต่ที่ตฤณย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ก็ดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจและเอาใจจ้าวมากเป็นพิเศษกว่าใคร ทั้งที่เธอก็เป็นทั้งเพื่อนและคนที่รักตฤณมาก รู้จักมาก็นานกว่า มีอะไรหลายๆ อย่างที่ดูเหมือนว่าเธอจะได้ภาษีดีกว่าด้วยซ้ำ

“แล้วทำไมถึงให้เด็กคนนั้นอยู่ในห้องได้”

“พี่ชายเขาไม่อยู่ ผมที่อายุมากกว่าก็ต้องดูแลเขาสิ”

“แค่ดูแล เนตรก็ไม่อยากว่าอะไรนะ แต่ตฤณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเนตรคิดยังไงกับตฤณน่ะ”

“ผมรู้”

แค่คำว่ารู้ของตฤณไม่ได้ทำให้เนตรดูจะพอใจขึ้นมาเท่าไร เพราะคำว่ารู้มันก็แค่รู้แต่ไม่พยายามเข้าใจความรู้สึกของเธอเลยที่พอเห็นคนที่รักมีใครอีกคนนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่เพียงเด็กผู้ชายก็ตาม

“งั้นตฤณไปส่งเนตรที่ห้องได้ไหม”

ตฤณชำเลืองมองไปยังร่างเล็กที่อยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ร่างนั้นขยับตัวเล็กน้อยคล้ายจะตื่นแต่ทว่าความจริงแล้วจ้าวไม่ได้หลับ เขาเพียงแค่หลับตารอจังหวะและตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะค่อยๆ ลุกขึ้น ทำหน้าตาสะลืมสะลือคล้ายกับเพิ่งตื่นเพราะถูกปลุกจากเสียงที่คุยกันอยู่หน้าห้อง

“พี่ตฤณ...”

“ครับ”

“เสียงดังอะไรกันเหรอครับ” จ้าวพูดพลางขยี้ตาตัวเอง ส่งสายตาเป็นประกายเชิงออดอ้อนไปให้กับชายที่อยู่ตรงหน้า

“ไม่มีอะไรหรอก จ้าวหลับเถอะ เดี๋ยวพี่ขอไปส่งเนตรที่ห้องก่อนนะ”

“พี่ตฤณ... จ้าวคงนอนไม่หลับแน่เลยถ้าพี่ตฤณไม่กอด”

ริมฝีปากรูปกระจับถูกขบกัดเล็กน้อย สายตาที่แสดงความอ้อนถูกเปลี่ยนไปเป็นการเรียกร้องความน่าสงสารและเห็นใจให้ตฤณเลือกที่จะอยู่กับเขาแทนที่จะเดินไปส่งเนตรที่ห้อง ไม่อย่างนั้นแผนที่วางไว้อาจยังไม่ทันสำเร็จดีก็ถูกจับได้เสียแล้ว

“ตฤณ”

“พี่ตฤณครับ อยู่กับจ้าวก่อนนะ”

“เอ่อ... พี่ขอไปส่งเนตรก่อนแล้วเดี๋ยวจะกลับมา”

ความไม่สบอารมณ์แสดงอยู่บนใบหน้ากลมมนอยู่เพียงครู่ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกออกมาจากเตียงนอน เดินตีหน้าเศร้าเข้าไปหาตฤณ กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายราวกับจะเรียกให้หันมาสนใจเขาหน่อย เมื่อตฤณก้มลงมาใกล้ก็ถูกจ้าวขโมยหอมแก้มไปหนึ่งครั้งแต่เป็นหนึ่งครั้งที่ทำให้เนตรเดือนพล่านแต่ทว่าเธอกลับแสดงออกมากไม่ได้

“ถือว่าเป็นค่าไถ่โทษนะครับ”

จ้าวหันหลังเดินกลับลงไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยแววตามุ่งร้ายที่แอบซ่อนเอาไว้

“ตฤณ! ไปส่งเนตรที่ห้อง”

สิ้นเสียงของเนตรและฝีเท้าสองคู่ที่เดินจากไปพร้อมกับประตูห้องที่ปิดลง จ้าวลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เคาะนิ้วไปมาเป็นจังหวะลงบนฟูกนอน นับถอยหลังไปเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี แม้จะอยากออกไปจัดการเรื่องบางเรื่องแต่ก็ต้องรอจนกว่าตฤณจะกลับเข้าห้องมา

โชคดีที่ในห้องมีกระจก จ้าวจึงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกยาวบานหนึ่ง ภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่สะท้อนเงาอยู่ในกระจกบานนั้นค่อยๆ หายไปแม้กระทั่งสิ่งที่อยู่เป็นฉากหลังก็ยังดำมืด เรียวขาเล็กก้าวเข้าไปในกระจกยาวบานนั้นพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความชั่วร้าย

ทางที่จ้าวเดินไปไร้แสงรอบทิศทาง มองไม่เห็นอะไรในความมืดมิดนั้นแต่ดวงตาสีเพลิงแห่งปีศาจย่อมมองเห็นทุกอย่างในโลกของตัวเอง

“คุณวินเซ้นท์”       

“เธอคนนั้นมาหรือยัง”

“มาแล้วค่ะ กำลังเตรียมการต้อนรับเป็นอย่างดีตามที่คุณวินเซ้นท์สั่ง”

“ดีมาก อย่าเพิ่งเล่นสนุกจนถึงตายล่ะ”

จ้าวสั่งกับวิญญาณตนหนึ่งที่อยู่ในกระจกเงาเสร็จก็รีบก้าวออกมา เขารับรู้ว่าตฤณส่งเนตรถึงหน้าห้องแล้วกำลังจะปลีกตัวเดินกลับมา ก่อนที่จะได้รู้ว่าเขาไม่อยู่ในห้องแต่อยู่ในบานกระจกแทน

เมื่อจ้าวก้าวเท้าออกมาแล้วก็รีบแทรกตัวเข้าไปในผืนผ้าห่ม หันหน้ามองประตูห้องอย่างคนกำลังรอคอย พอได้จังหวะและรับรู้ว่าตฤณเดินมาถึงหน้าห้องแล้วก็รีบปรับสีหน้า แววตาให้ตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยที่ดูน่าสงสาร ผู้ที่กำลังเฝ้ารอการกลับมาของอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น

ทันทีที่ได้ยินเสียงกลอนประตูห้องขยับ จ้าวยิ่งจ้องเขม็งไปยังประตูห้องเพื่อให้รู้ว่าเขากำลังรอคอยการกลับมา

“พี่ตฤณ จ้าวนอนไม่หลับเลย”

“ทำไมนอนไม่หลับ”

“ไม่มีใครให้กอดเลยนอนไม่หลับ จ้าวคิดถึงพี่เจต”

น้ำเสียงที่เศร้าสลดชวนเชื่อเรียกความเห็นอกเห็นใจจากตฤณได้ เขาเดินลงมานั่งข้างเตียง เอื้อมมือที่ใหญ่กว่าขึ้นไปลูบหัวเบาๆ คล้ายจะปลอบประโลมให้คลายเศร้าแต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของจ้าวในตอนนี้เป็นเพียงแผนการหนึ่งและมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

“พี่ตฤณกอดจ้าวอีกนะครับ กอดของพี่มันอบอุ่นมากเลย”

ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น มือเล็กยังคงกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายยิกๆ เป็นเชิงเรียกร้องให้ทำตามที่ขอ

“นะครับ พี่ตฤณ”

ตฤณไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน วางหัวลงหมอนใบเดียวกันโดยที่ใบหน้ากลมนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ ใกล้กันยิ่งกว่าเมื่อวาน ชิดกันจนรับรู้ถึงความเย็นที่แผ่กระจายอย่างบางเบาออกมาจากร่างเล็ก เขาดูจะนิ่งไปเล็กน้อย ร่างกายที่อยู่ใต้ผ้าห่มไม่ควรจะเย็นขนาดนี้

“ทำไมตัวจ้าวเหมือนจะเย็นๆ”

“ก็จ้าวหนาวไงครับ พี่ตฤณต้องกอดจ้าวให้แน่นๆ เลยนะครับ”

ตฤณกลัวว่าถ้ากอดร่างเล็กที่นอนอยู่ใกล้เพียงแค่นี้แล้วกลัวว่ามันจะเลยเถิดกันไปใหญ่ คราวที่แล้วก็เกือบจะรั้งอารมณ์และสติของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งใกล้ชิดยิ่งเหมือนถูกดึงดูดให้เข้าหา ยิ่งแนบแน่นยิ่งอยากจะถลำลงไปให้ลึกกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร พอได้ย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้จริงๆ ก็ดูเหมือนจะยิ่งหลงเสน่ห์เด็กตัวน้อยคนนี้เข้าอย่างจัง

“พี่... พี่ไม่กล้ากอดจ้าวแน่น กลัวอึดอัด”

“จ้าวไม่อึดอัดหรอกครับ แต่ถ้าพี่ตฤณลำบากใจ จะให้จ้าวกอดก็ได้นะครับ”

ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยพอจะให้ซอกคอที่ถูกปิดด้วยปกคอเสื้อสูงได้อยู่ใกล้กับตำแหน่งปลายจมูกของตฤณอย่างพอดิบพอดี นิ้วเรียวเล็กแอบสอดเข้าไปข้างในนั้นแล้วจิกเล็บเข้าที่เนื้อของตัวเองด้วยลักษณะท่าทางที่ตฤณเห็นว่าเป็นแค่การขยับปกคอเสื้อคอให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น

“ทำไมตัวจ้าวหอมแบบนี้”

“ถ้าพี่ตฤณชอบ จะอยู่แบบนี้นานๆ เลยก็ได้นะครับ”

จ้าวเองก็หวังว่าตฤณจะยอมอยู่ในท่านี้ไปนานๆ นานพอที่เลือดจากบาดแผลเล็กๆ จะไหลลงมาให้ได้ลิ้มรสที่จะทำให้ลืมไม่ลงและติดใจไปอีกนานแสนนาน

“ถ้าพี่ตฤณคิดว่าตัวจ้าวหอม จะลองชิมดูก็ได้นะครับ”

น้ำเสียงยั่วยวนเกือบจะพาให้ตฤณตกหลุมพราง ดีที่เขาได้สติมาก่อนจึงขยับตัวออกห่างเล็กน้อยพอให้มีระยะระหว่างกันไว้บ้าง สีหน้าของจ้าวดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยทั้งที่เขาพยายามขนาดนี้แล้วแต่ใช่ว่ามันจะหมดหนทางเสียทีเดียว เขายังคงพยายามต่อ

“จ้าวคงทำให้พี่ตฤณลำบากใจจริงๆ สินะครับ งั้นจ้าวกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองก็ได้” 

ริมฝีปากรูปกระจับหงิกง้ำลง ดวงตาสีเพลิงทอดต่ำและดูหมองลงกว่าเดิม จ้าวทำท่าจะลุกออกจากเตียงนอน เตรียมก้าวเท้าลงแตะพื้นแต่ถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน เส้นประสาทบริเวณริมฝีปากเผลอกระตุกเบาๆ หนึ่งครั้ง

“พี่... พี่ไม่อยากเผลอทำอะไรที่ไม่ให้เกียรติจ้าว”

“ไม่เป็นไรครับ จ้าวไม่ถือ ถ้าพี่ตฤณจะทำแค่กอดหรือซุกหน้าลงบนคอจ้าว”

ถ้าแค่กอด ตฤณก็กลัวว่ามันอาจจะเป็นมากกว่าแค่กอด ถ้าแค่ซุกซอกคอสีไข่มุกก็กลัวว่ามันอาจจะมีร่องรอยบางอย่างที่เขาฝากมันเอาไว้ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะอดใจไม่ไหวเข้าไปทุกที มือแกร่งดึงร่างเล็กให้ลงมานอนบนเตียงก่อนที่จะซุกสันจมูกเข้าซอกคอขาวเนียนที่กำลังเชิญชวนให้เขาได้ลิ้มลอง มันช่างหอมหวานราวกับพรมน้ำหอมมาทั่วร่าง

“พี่ตฤณ...”

“พี่ชักจะหลงจ้าวเข้าไปทุกทีแล้วสิ เพราะอะไรกัน”

“เพราะจ้าวเป็นเด็กน่ารักล่ะมั้งครับ”

“งั้น... หืม?”

ในขณะที่กำลังซุกปลายจมูกสูดดมความหอมที่ค่อยๆ กระจายออกจากร่างเล็กๆ ริมฝีปากของตฤณก็รับรู้ถึงรสชาดฝาดเฝื่อนของอะไรบางอย่างที่ไหลเข้าปาก กลิ่นคาวคล้ายเลือดคละคลุ้งไปทั่วปากจนแน่ชัดแล้วว่าที่ปลายลิ้นได้สัมผัส ความรู้สึกที่รับรู้ได้นั่นคือเลือดของแท้ เลือดที่ไหลออกมาจากซอกคอขาวเนียนที่ตฤณพยายามฝังใบหน้าของตัวเองลงไป

“เลือดจ้าวอร่อยไหมครับ”

“จ้าว...”

“มันต้องอร่อยแน่อยู่แล้วล่ะครับ เลือดของจ้าวเป็นของหายากจะตาย”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของปีศาจร้ายปรากฏชัดเจนบนใบหน้ามน ถ้าตอนนี้ตฤณจะไม่ชอบมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ถ้าเลือดของเขาได้ไหลลงคอไปแล้วล่ะก็ต่อจากนี้กลิ่นคาวเลือดก็จะกลายเป็นกลิ่นที่หอมที่สุด ความฝาดลิ้นที่ได้รับรู้ยามลิ้นได้สัมผัสมันจะกลายเป็นความอร่อยราวกับตับห่านฟัวกราที่ถูกขุนมาอย่างดี

“จ้าว...”

ตฤณพูดอะไรไม่ออก แต่เขารู้สึกเหมือนเจอสิ่งที่โหยหามานานแม้ว่าเขาจะรู้แก่ใจว่านั่นคือเลือดที่ไหลออกมาจากลำคอเรียวแต่เขากลับรู้สึกติดใจอย่างบอกไม่ถูก คำถามที่ว่าได้แผลมาจากไหนถูกกลืนหายไป

“ถ้าพี่ตฤณชอบมัน จ้าวยกให้ก็ได้ครับ แต่ขอเพียงให้พี่ตฤณเชื่อฟังจ้าวก็พอ ตกลงไหมครับ”

“อืม... พี่ขอนะ”

“เชิญสิครับ”

ปลายลิ้นลากไล้ไปตามลำคอขาวเนียน พยายามดูดเอาน้ำสีแดงที่ไหลออกมาจากบาดแผลเล็กๆ เป็นของตัวเอง จากสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะเกลียดกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา จากกลิ่นคาวเลือดที่ชวนให้อยากอาเจียนในครั้งแรกกลับกลายเป็นกลิ่นหอมที่ดอมดมได้นานเท่านาน

“อ๊า~ พี่ตฤณเบาๆ สิครับ อย่าดูดแรง จ้าวเจ็บนะ”

จ้าวสะดุ้งเล็กน้อย ไม่คิดว่าผลของการให้ดื่มเลือดสดจากซอกคอจะส่งผลได้แรงขนาดนี้ แต่ยิ่งแรงนั่นก็ยิ่งดีและดูเหมือนว่าตฤณจะไม่หยุดแค่นั้น มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปข้างใต้เสื้อลูบหน้าท้องที่แบนราบและเย็นเฉียบวนไปมาอย่างเบามือและรุ่มร้อนราวกับไฟกามอารมณ์กำลังจะลุกโชน

“พี่ตฤณ พอก่อนครับ พอก่อน”

มือเล็กแตะลงบนหลังมือที่อยู่ข้างใต้เสื้อตัวบาง ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับทำเรื่องแบบนั้น

“จ้าว... พี่ขอนะ”

“ไม่ได้ครับ พี่ตฤณ มันไม่ใช่ตอนนี้ จ้าวง่วงแล้วครับ”

“งั้นพี่ขอกอดจ้าวแบบนี้นะ พี่จะกอดจ้าวเอาไว้แน่นๆ”

“แล้วแต่พี่ตฤณเลยครับ”

จ้าวปล่อยให้ตฤณได้กอดเขาเอาไว้อย่างที่ใจอยาก ได้เก็บเกี่ยวความสุขจากร่างกายของเขาได้อย่างที่ต้องการโดยไม่คิดที่จะว่าอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าเลือดของเขาส่งผลกระทบกับร่างกายมนุษย์อย่างไรบ้างและมันย่อมไม่จบลงที่ตรงนี้แน่ มันแค่เพิ่งเริ่มต้น ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก




** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนหน้าจะได้รู้กันแล้วนะคะว่าใครจะโดนจ้าวจัดก่อนคนแรกเลย .... อยากบอกใบ้มาก แต่ก็อยากให้ลุ้นเอาเองเหมือนกันค่ะ แหะๆๆ




-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-




areenart1984
ขอบคุณค่ะ รอลุ้นกันตอนหน้าได้เลยค่ะว่าใครจะได้โดนดีก่อนคนแรกเลย

kun

ขอบคุณนะคะ ประวัติคฤหาสน์หลังนี้... ได้รู้แน่นอนค่ะแต่ว่ามันไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้ขอยกให้หนูจ้าวไปก่อนนะคะ ^^

Nekosama
ขอบคุณนะคะ ทิ้งพี่เจตไว้ในห้องมันมีเหตุผลค่ะ แต่ยังไม่บอก 555+

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 8 [08/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-01-2018 21:20:01
จะเป็นเนตร หรือ ยุ้ยนะ  เชียร์เนตรจ้า   นางสมควรได้ก่อนใคร  :laugh:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 8 [08/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 14-01-2018 20:32:52
::: ตอนที่ 9 :::
ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี






ตฤณหลับไปแล้วและหลับสนิทด้วยเพราะจ้าวทำให้เขาไม่ตื่นขึ้นมากลางคัน ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้คืนนี้ของเขาหมดสนุกเอาเสียก่อน รายแรกสำหรับค่ำคืนหฤหรรษ์นี้ควรเริ่มต้นที่เพื่อนชายคนเดียวของตฤณ ไม่รอช้าร่างของจ้าวก็มาปรากฏอยู่ที่หน้าประตูห้องที่ลีพักอยู่

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูสามครั้งเป็นจังหวะที่จ้าวชอบมันที่สุด ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป ตอนที่อยู่กับตฤณในห้องนั้นก็พอจะรู้คร่าวๆ จากความสามารถส่วนบุคคลว่าไม่ว่าลีจะถูกรบกวนด้วยวิธีการไหน กฎที่เขาพูดไปก็ยังไม่ถูกละเมิดสักข้อและนั่นเป็นเหตุให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกสามครั้งในเวลาถัดมาเมื่อยังไม่มีการตอบรับจากคนที่อยู่ในห้อง ดูเหมือนลีจะเป็นคนที่รักษากฎดีเสียเหลือเกินจนเขาต้องออกแรงเองเพื่อให้กฎนั้นถูกละเมิดเสียบ้าง แต่ยังไม่ทันไร วิญญาณของเจตรินก็มาโผล่อยู่ข้างๆ เพียงแค่สบตาสีเฮเซลนัท จ้าวก็รู้ว่าพี่ชายต้องการอะไร เขาจึงหายไปจากพื้นที่ตรงนี้เพื่อไปเล่นสนุกกับอีกที่หนึ่งที่มีความสนใจมากกว่า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องสามครั้งดังขึ้นเป็นจังหวะเหมือนที่จ้าวทำ เพียงแต่ว่ามันแรงและถี่กระชั้นกว่าเท่านั้น การเคาะแบบนี้ดังอยู่หลายครั้งเพื่อเรียกความสนใจ และสุดท้ายมันก็ได้ผล ลียอมเปิดประตูออกมาดูด้วยอารมณ์หงุดหงิดแต่ทว่าหน้าห้องนั้นว่างเปล่า เจตรินหายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว

‘รู้ไหม… ว่าการเปิดประตูให้กับเสียงเคาะประตูที่ไม่ธรรมดานั่นจะเกิดอะไรขึ้น’

ลีรีบหันกลับมามองในห้องตามเสียงที่ได้ยิน เห็นชายแปลกหน้ายืนอยู่บนเตียงนอนสี่เสาด้วยสภาพเท้าไม่ติดพื้น หัวใจก็พานจะหยุดเต้นกะทันหันเสียอย่างนั้น

‘แล้วรู้หรือเปล่าว่ากฎนั่นมีอยู่จริง แต่น่าเสียดายนะ ดูเหมือนจ้าวจะพูดผิดไปเล็กน้อยเพราะค่ำคืนนี้มันมีผลตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน’

วิญญาณของเจตรินอันตรธานหายไปจากบนเตียงก่อนจะมาโผล่ตรงหน้าลีซึ่งห่างออกไปไม่ถึงคืบ มือเท้าของเขาเริ่มเย็นแต่เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เรียวขาสั่นเทา จะก้าวก็ก้าวไม่ออก จะกรีดร้องก็ดูเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกแน่นอยู่ที่คอ

‘เป็นอะไรเหรอ ก้าวเท้าไม่ออกเหรอ ให้ช่วยไหม’

ความเย็นเฉียบราวกับแท่งเหล็กที่จมหิมะทาบทับมาที่ข้อเท้าของลีอย่างรวดเร็วในขณะที่ดวงตาสีเฮเซลนัทยังคงจ้องมองเขาอย่างไม่ให้คลาดสายตา

“อ๊ากกกกก! ปล่อย!! ปล่อย!!”

ลีพยายามสะบัดขาตัวเองแต่ความเย็นจนขนลุกที่เขาสัมผัสได้มันยังอยู่ตรงนั้น ก่อนที่จะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต พอเจอบันไดก็วิ่งลงไปเพราะคิดแค่อยากจะออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่ยิ่งวิ่งก็ดูเหมือนมันจะวนกลับมาที่เดิม ไม่ว่าจะวิ่งไปไกลแค่ไหนมันก็ยังไม่หลุดพ้นจากบันไดนี้ราวกับกำลังตกอยู่ในวังวนที่พาตัวเองออกมาไม่ได้

‘จะไปไหนเหรอ’

ใครจะไปมีกะจิตกใจตอบคำถามของผี!! ลีเอาแต่ออกแรงวิ่งและเจตรินก็เอาแต่ลอยตามหลังไปเรื่อยๆ คล้ายกับจะไล่กวดแต่เขาแค่อยากตามดูอยู่ใกล้ๆ เท่านั้น

‘ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าใครก็ออกไปไม่ได้ทั้งนั้น’

“……”

‘ชอบวิ่งลงบันไดเหรอ เดี๋ยวจะเอาไปเสนอเขาให้ไหมว่าให้รับคนงานเพิ่ม มาช่วยขัดบันไดสักหน่อย’

“……”

‘ไม่ตอบกันสักหน่อยเหรอ กำลังชวนคุยอยู่นะ’

ใครมันจะอยากไปคุยกับผี ผีเชียวนะ อีกอย่างลีกำลังเอาความสนใจที่ตัวเองมีไปลงกับการทำอย่างไรก็ได้ให้ได้ออกจากคฤหาสน์หลังนี้โดยสวัสดิภาพ

‘ทำเป็นเงียบ’

“ปล่อย ปล่อยผมไปเถอะ”

‘กำลังฝันอยู่หรือเปล่า ถ้าเป็นเขาจะต้องพูดแบบนี้แน่ แต่... เอาเถอะ จะปล่อยก็ได้ แต่ว่าปล่อยให้วิ่งอยู่แบบนี้ไปสักพักน่ะ หวังว่าคงชอบนะ’

วิญญาณของเจตรินหัวเราะทิ้งท้ายก่อนที่จะเลิกไล่ตามร่างของลี ดวงหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดลงเพราะกำลังจะหมดแรง แม้ใจอยากจะหยุดวิ่งแต่เขาไม่สามารถบังคับร่างกายตัวเองให้เป็นไปตามที่ต้องการ แม้ว่ามันจะเหนื่อยล้าแค่ไหนแต่เท้าของเขาก็ยังคงขยับไม่หยุด

 

--------------------------------------


“พี่เนตรครับ เปิดประตูให้จ้าวหน่อย”

ประตูห้องถูกเปิดด้วยความไม่พอใจ เนตรยืนอยู่ตรงนั้นแต่ไม่ยอมเชิญให้เข้าไปในห้อง

“มีอะไรก็ว่ามา”

“จ้าวขอเข้าไปข้างในได้ไหมครับ”

“จะเข้ามาทำไม”

ดูเหมือนเนตรจะไม่ค่อยไว้ใจจ้าวเท่าไร เธอว่ามันกำลังมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล เพื่อนของเธอก็หายออกไปจากห้องโดยที่ข้าวของของเจ้าตัวยังอยู่ครบ ความเงียบสงัดแลชวนสยองกับบรรยากาศรอบๆ ที่ทำให้หลอนเข้าไปทุกทีรวมถึงเสียงนกกากรีดร้องดังระงมไปทั่วบริเวณ

“แค่มีธุระจะคุยด้วยนิดหน่อย”

ทันทีที่จ้าวก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ประตูที่อยู่ด้านหลังก็ปิดลงอย่างแรง ผ้าม่านที่ถูกเปิดทิ้งไว้เพียงครึ่งปิดตัวลงราวกับถูกกระชากเข้าหากัน อุณหภูมิภายในห้องที่เย็นอยู่แล้วกลับเย็นเข้าไปอีกจนเสียวซ่านถึงไขสันหลัง เนตรชักเท้าถอยกลับด้วยความหวาดกลัว

“จ้าวหวังว่าพี่เนตรคงพร้อมจะรับฟังนะครับ”

เนตรไม่ตอบอะไร เธอก้าวเท้าถอยหลังไปเรื่อยๆ เมื่อจ้าวพยายามเดินเข้ามาใกล้อย่างใจเย็น

“แต่จ้าวว่าเราน่าจะใช้เวลาคุยกันอีกนาน นั่งลงแล้วค่อยคุยกันดีกว่านะครับ”

ในจังหวะที่เนตรก้าวถอยหลัง ร่างของเธอก็คล้ายกับถูกอะไรบางอย่างดึงให้ล้มลง เก้าอี้ที่อยู่สุดปลายห้องเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วมารองรับร่างที่เริ่มจะสั่นเทาขึ้นเล็กน้อยเอาไว้ เธอพยายามจะยันตัวลุกขึ้นแต่เหมือนว่าร่างนี้จะถูกพันธนาการด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นจนมันติดแน่นอยู่กับเก้าอี้วิคตอเรีย

เรียวเท้าเล็กค่อยๆ ก้าวเข้าหาร่างของผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นอย่างช้าๆ ทีละก้าวราวกับกำลังตรวจเช็คความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผ่านแววตาที่มองมา

“พี่เนตรกลัวจ้าวเหรอครับ”

“......”

“จ้าวเป็นเด็กน่ารัก ไม่มีอะไรให้กลัวสักหน่อย พี่เนตรจะกลัวไปทำไมล่ะครับ”

“......”

“อันที่จริงแล้วจ้าวได้ยินมาว่าพี่เนตรเกลียดที่นี่ เกลียดสภาพที่คฤหาสน์หลังนี้เป็น จ้าวไม่ถามหรอกนะครับว่าทำไม แต่ถ้าพี่เนตรได้อยู่ที่นี่อีกสักพักหนึ่งก็คงจะเปลี่ยนมุมมองของพี่ได้ อีกอย่างพี่เนตรอาจจะได้อะไรดีๆ หรือประสบการณ์ที่งดงามกลับไปเป็นของขวัญก็ได้นะครับ”

“ตฤณ!! ช่วยเนตรด้วย!! ตฤณ!!”

จ้าวเดินเข้ามาใกล้จนหยุดอยู่ตรงหน้าเนตรที่กำลังตะโกนร้องเรียกหาคนมาช่วยซึ่งไม่มีทางที่ใครจะมาช่วยเธอได้ ในเมื่อที่นี่ถูกควบคุมด้วยอำนาจมืดของจ้าว มีเพียงจ้าวที่มีสิทธิ์จัดการทุกอย่างที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้หรือบริเวณรอบๆ ถ้าเพียงจ้าวบอกให้อยู่ต่อให้ใกล้ตายยังไงก็รอด แต่ถ้าจ้าวบอกให้ตายต่อให้พยายามเท่าไรยังไงก็ตาย

“พี่เนตรรู้หรือเปล่าครับว่ามนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความกลัว และตอนนี้พี่เนตรก็กำลังกลัว จ้าวไม่ปลอบหรอกนะครับเพราะถือว่ามันเป็นบทเรียนแรกสำหรับสิ่งที่พี่พูดเอาไว้”

“ปล่อยฉันออกไปนะ ไอ้เด็กเปรต!! ไอ้ปีศาจ!!”

จ้าวยังคงนิ่งเฉยกับคำที่เนตรสบถออกมา เขาหันหลังแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียงตรงข้ามกับเนตร

“ไม่คิดนะครับว่าพี่เนตรจะรู้ด้วยว่าจ้าวเป็นปีศาจ ถ้าอย่างนั้นก็ยินดีต้อนรับสู่โลกของปีศาจเลยก็แล้วกันนะครับ”

“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!! ตฤณ!! ลี!! ยุ้ย!!”

เนตรตะโกนลั่นห้อง เธอพยายามใช้กำลังที่มีทั้งหมดดึงตัวเองให้หลุดออกจากเก้าอี้แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรมันก็ยังติดแน่นเหมือนถูกทากาวเอาไว้ กลับกลายเป็นว่ายิ่งพยายามออกแรงก็ยิ่งทำให้เก้าอี้นั้นโยกไปมา เอียงซ้ายที เอียงขวาที ไปข้างหน้าบ้าง ไปข้างหลังบ้างจนจ้าวหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

“พี่เนตรทำอะไรน่ะครับ ตลกชะมัดเลย”

เนตรไม่สนใจที่จะต่อปากต่อคำหรือแม้จะฟังสิ่งที่จ้าวพูดอีกต่อไป เธอพยายามออกแรงให้มากเพื่อให้ตัวเองหลุดออกมาแต่ยิ่งออกแรงมากเท่าไรเก้าอี้ตัวนั้นก็ยิ่งสั่นคลอนมากเท่านั้นจนสุดท้ายแล้วมันก็ล้มลงกับพื้น

“จ้าวว่าเรามาเข้าประเด็นกันดีกว่าครับ”

“ตฤณ!!! ช่วยเนตรด้วย!!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!”

เนตรพยายามตะโกนร้องสุดเสียงจนแสบคอไปหมดแล้ว ในเมื่อมันไม่ยอมหลุด เธอก็จำต้องหาใครสักคนมาช่วย เห็นดวงตาสีเพลิงคู่นั้นจ้องมองมาเหมือนกำลังสนุกกับสิ่งที่เห็นแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา เธอพยายามแล้ว พยายามที่จะออกไปจากห้องนี้ พยายามที่จะร้องให้ใครมาช่วยแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีใครได้ยินเธอเลย 

“เสียงของพี่มันน่ารำคาญมากนะ”   

“จับพี่มาทำไม ทำแบบนี้กับพี่ทำไม ปล่อยพี่ไปได้ไหม”

“นี่พี่กำลังร้องขอชีวิตจากจ้าวอยู่หรือเปล่าครับ” จ้าวพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

เนตรไม่ตอบ จะบอกว่าเธอกำลังร้องขอชีวิตอยู่ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว เธอไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย ทำไมถึงเป็นเธอที่กลายเป็นผู้โชคร้ายคนนั้น ทำไมแค่คำพูดดูถูกคฤหาสน์ที่สกปรกซอมซ่อหลังนี้ถึงได้กลายเป็นเหตุให้ตัวเธอต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำ

“จ้าวว่าพี่ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีๆ ดีกว่า เห็นสภาพพี่แบบนี้แล้วมันน่าสมเพชนิดๆ”

เก้าอี้ที่ล้มกะเท่เร่ลงกับพื้นกลับมาอยู่ในสภาพปกติแล้วโดยที่จ้าวไม่ได้แตะต้องอะไรเลย เขากระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวทั้งหวาดผวา ทั้งจิตตก แต่อย่างที่จ้าวพูดไปว่ามันเพิ่งแค่เริ่มต้นเท่านั้น ความน่ากลัวที่อยากให้จดจำไปชั่วชีวิตยังไม่ได้หมดเพียงเท่านี้

“พี่เนตรได้ยินเสียงการ้องไหม”

เนตรได้ยินมาตั้งแต่ที่ตฤณพามาส่งที่ห้องและดูเหมือนนกกาพวกนั้นจะบินวนอยู่ใกล้ๆ ห้องพักของเธอเสียด้วย

“เขาว่ากันว่าถ้าการวมกลุ่มกันร้องหรือถ้ามันบินชนกระจกนั่นแปลว่าบริเวณนั้นมีสิ่งชั่วร้ายอาศัยอยู่ พี่เนตรจะลองดูให้แน่ใจสักหน่อยไหมครับว่าที่เขาว่ากันว่านั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”   

เก้าอี้ที่เนตรนั่งอยู่ถูกหมุนให้หันหน้าออกไปทางด้านนอกคฤหาสน์ ผ้าม่านที่ถูกดึงจนชิดกันบดบังทัศนียภาพรอบนอกถูกทำให้แยกออกจากกันด้วยฝีมือของจ้าวโดยที่เจ้าตัวเพียงแค่ก้าวลงมาจากเตียงนอนแล้วหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ที่เนตรนั่งอยู่ นกกาหลายสิบตัวที่บินวนอยู่นอกหน้าต่าง ส่งเสียงร้องระงมไม่หยุดในตอนนี้บางตัวก็เปลี่ยนทิศทางมาเป็นที่ที่เนตรนั่งอยู่ มันบินกระแทกกระจกเข้าอย่างจังแล้วก็ร่วงลงไป เนตรสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับกรีดร้องด้วยความตกใจ หวาดผวาเพราะดวงตาของนกกาพวกนั้นตอนที่มันบินตรงมายังบานหน้าต่างนั้นเป็นสีแดงกล่ำคล้ายสีเลือด

“ทีนี้พี่เนตรว่ามันเป็นเรื่องจริงไหมครับ”

ไม่ว่าเนตรจะเชื่อหรือไม่แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ผืนผ้าม่านสีทะมึนถูกดึงเข้าหากันอีกครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจแต่ทว่าเสียงของบางอย่างที่กระแทกเข้ากับบานหน้าต่างยังคงดังไม่หยุด ร่างของเนตรสั่นสะท้านไปด้วยความกลัวจนเกือบถึงขีดสุด หยาดหยดน้ำตาหลั่งรินลงมาเป็นสาย

“พี่เนตรรู้ไหมครับว่าเพราะอะไรถึงต้องมาเจอแบบนี้”

“......”

“เพราะพี่หลบหลู่สถานที่ด้วยคำพูดยังไงล่ะครับ”

“พี่... พี่ขอโทษ ปล่อยพี่ไปเถอะนะ พี่สัญญาว่าจะไม่ทำอีกแล้ว” 

น้ำเสียงของเนตรฟังดูสั่นเครือ เช่นเดียวกับหัวใจที่ยังคงเต้นระรัวไม่หยุด ถ้าต้นเหตุมันอยู่ที่คำพูดของเธอเอง เธอก็อยากจะขอโทษที่ได้พูดจาล่วงเกินไป

“แต่จริงๆ แล้วเรื่องแค่นั้น จ้าวไม่ถือสาเอาความอะไรหรอกครับ”

เนตรนิ่งไปชั่วครู่ ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของเธอเป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ขึ้น เธอก็ไม่รู้แล้วว่ามันเป็นเพราะอะไร อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่พาตัวเองออกมาไม่ได้หรือแม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ยังทำไม่ได้

“พี่เนตรลืมเหรอครับว่าจ้าวเป็นปีศาจ ปีศาจคือความชั่วร้าย ก็คล้ายๆ กับที่เขาว่ามนุษย์ที่ชั่วร้ายก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจที่มาจากขุมนรก”

“ปล่อยพี่ไปเถอะนะ”

“ปีศาจไม่ใช่พระเจ้า ถ้าพี่เนตรอยากได้ความปราณีก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรนิดหน่อย”

ไม่ทันได้ฟังว่าสิ่งที่จ้าวอยากจะแลกเปลี่ยนด้วยนั้นคืออะไร เนตรก็พยักหน้ายอมรับข้อตกลงนี้เพราะอย่างน้อยๆ ที่ปลายทางหลังจากนี้ก็คือคำว่ารอดชีวิต

“อยู่เป็นของเล่นให้จ้าวสักสองสามวันนะครับ แล้วจ้าวจะปล่อยพี่เนตรไป” 

จ้าวพูดเพียงเท่านั้นแล้วหายไปจากห้อง ปล่อยทิ้งเนตรไว้กับความกลัวที่เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ โดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆ เพราะไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ไม่มีทางหลุดออกไปได้ เธอมองไปรอบๆ กายที่ความมืดมิดแผ่ปกคลุมลงมา ทั้งที่ในห้องยังมีความสว่างจากเชิงเทียนที่ถูกทิ้งไว้ให้แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย เปลวไฟที่ส่องสว่างดับลงทันทีที่ความมืดมิดจากเบื้องบนอาบไล้ลงมาถึง


------------------------------------

ลีวิ่งขึ้นลงบันไดอยู่เกือบร้อยรอบเห็นจะได้ ถ้าหากได้หยุดก็คงจะทรุดลงกับพื้นในทันทีแต่เขาหยุดตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นอัตโนมัติเหมือนถูกใครบางคนควบคุมเอาไว้ ในตอนนี้ร่างกายนี้ไม่ได้เป็นของเขาแล้ว

“พี่ลี”

“จ้าว จ้าวช่วยพี่ด้วย” ลีรีบบอกในขณะที่ขาของเขากำลังพาร่างกายนี้ผ่านหน้าจ้าวไป

“จ้าวต้องทำยังไงครับ พี่ลี”

ดวงหน้าของเด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ฉายแววแห่งความหวั่นวิตก แสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้ว่าควรจะหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ยังไงดี

“ช่วยหยุดที ขาพี่มัน...”

“ขาพี่ทำไมเหรอครับ”

จ้าวยังคงตีหน้าซื่อ ไม่เข้าใจว่าลีกำลังพูดถึงเรื่องอะไรและขานั้นเป็นอะไร

“มัน... มัน... พี่บังคับไม่ได้เลย จ้าวช่วยพี่ด้วย”

ร่างของลีวิ่งผ่านหน้าจ้าวไปเป็นครั้งที่สาม ใบหน้าซีดเผือดดูเหนื่อยล้าเต็มที ถ้าร่างนั้นหยุดลงมันคงเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออก

“แล้วจ้าวต้องช่วยยังไงล่ะครับ”

ร่างของลีหยุดชะงักลงเมื่อวิ่งผ่านหน้าจ้าวเป็นครั้งที่สี่แต่ทว่าถึงจะหยุดวิ่งไปแล้วแต่เขากลับไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้เลยเหมือนกับว่ามันยังคงถูกควบคุมด้วย อีกทั้งยังถูกดึงกระชากให้มาเผชิญหน้ากับดวงตาสีเพลิงที่มองมาอย่างมีนัยยะแอบแฝง

“จ้าว... ช่วยพี่ด้วยนะ”

“ถ้าจ้าวช่วยพี่แล้วจ้าวจะได้อะไรครับ”

“อยากได้อะไร พี่ยกให้หมดเลย แต่ได้โปรด... ช่วยพี่ด้วยนะ”

ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มเล็กน้อยอย่างชั่วร้ายจนลีรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำพลาดไปแล้วแต่อย่างน้อยๆ ก็ยังดีกว่าที่จะต้องวิ่งไปถึงเมื่อไรไม่รู้ จะให้เขาแลกกับอะไรก็ได้ทั้งนั้นแต่เขาไม่อยากวิ่งไปจนตายหรอกนะ

“คิดให้ดีก่อนพูดสิครับ พี่ลี ถ้าจ้าวบอกว่าจ้าวขอชีวิตพี่เป็นของแลกเปลี่ยน พี่ตกลงเหรอครับ”

สีหน้าและแววตาของจ้าวดูจริงจังจนไม่อาจคิดได้ว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นของเด็กคนหนึ่ง

“คือ...”

“ถ้าพี่ไม่ตกลง คราวหลังก็หัดคิดดีๆ สิครับ เพราะถ้าจ้าวยื่นข้อเสนอที่มันอาจถึงชีวิต พี่ลีจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้นะครับ แต่เอาเป็นว่าคำตอบนั้นจ้าวจะไม่ถือก็แล้วกัน ให้โอกาสพี่ลีได้ตอบใหม่ว่าจ้าวจะได้อะไรเป็นของแลกเปลี่ยน”

ลีไม่เสียเวลาคิดหนักหรือนานนักเลย เขาสามารถให้ได้ทุกสิ่งที่จ้าวต้องการถ้ามันจะพาเขาออกมาจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้ เว้นเพียงแต่ชีวิตนี้เท่านั้น เพราะถ้ายกชีวิตให้แล้วสิ่งที่เด็กคนนั้นช่วยเอาไว้มันจะไปมีประโยชน์อะไร

“ทุกอย่าง ยกเว้นชีวิตพี่”

“ครับ ถือว่าเราแลกเปลี่ยนข้อตกลงกันแล้วนะครับ คำขอร้องหนึ่งอย่างแลกกับสิ่งที่จ้าวอยากได้ในตัวพี่”

จ้าวไม่เคยให้อะไรกับใครโดยที่ตัวเองจะไม่ได้รับสิ่งตอบแทน

“ได้ๆ ช่วยพี่ด้วย พี่ไม่ไหวแล้ว”

“ครับ แต่ก่อนจะช่วย จ้าวอยากไขข้อสงสัยให้กับพี่สักหน่อย ที่พี่ลีเคยถามว่าเมื่อก่อนมันเกิดอะไรขึ้นแถวนี้ แล้วทำไมคนสั่งพิซซ่าถึงไม่ยอมมาส่งหลังพระอาทิตย์ตกดิน พี่ยังอยากรู้คำตอบอยู่ไหมครับ”

จ้าวไม่รู้และไม่รอฟังว่าลีจะอยากรู้คำตอบนั้นไหมแต่เขาพร้อมที่จะบอก ร่างของลีถูกดึงให้โน้มต่ำลงมาด้วยมือเล็ก ใบหน้ากลมมนสีไข่มุกอยู่ห่างเพียงแค่ลมหายใจรดริน เขากำลังถูกเด็กคนนี้บังคับให้จ้องเข้าไปในดวงตาสีเพลิงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้

ลีไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นผ่านดวงตาคู่นั้น เขารู้เพียงแค่ว่ามันเป็นสิ่งที่เรียกว่าความชั่วร้ายที่อาจจะมีความดีอยู่บ้าง เพียงแค่ความดีที่ว่านั่นก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร รู้ว่ามีแต่หาไม่เจอ เด็กคนนั้นคือความชั่วร้ายที่ไม่ควรคิดจะต่อกรด้วย

“หวังว่าพี่ลีคงรู้แล้วนะครับ เอาเป็นว่า... ช่วยเก็บมันเป็นความลับด้วย โดยเฉพาะกับพี่ตฤณ ถ้าจ้าวรู้ว่าพี่ตฤณรู้เรื่องนี้ เราคงจะได้เจอกันอีกที่บันไดนี้ และถึงตอนนั้นถ้าพี่ลีร้องขอให้จ้าวช่วย สิ่งที่จ้าวจะขอแลกเปลี่ยนด้วยคงเป็นชีวิตของพี่”

ลีพูดอะไรไม่ออก แค่สิ่งที่เห็นผ่านดวงตาสีเพลิงคู่นั้นก็น่ากลัวเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้ จ้าวเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าปีศาจโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่วิญญาณร้ายอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจกัน ปีศาจที่ไม่มีแม้แต่ความปราณี อยากได้ต้องร้องขอ เมื่อร้องขอต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน

“ถ้าพี่ลีอยากกลับก็กลับเถอะครับ จ้าวปล่อยแล้ว”

ถึงลีจะอยากกลับแต่เขาก้าวเท้าไม่ออกเหมือนมันหมดแรง เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยเพราะจ้าวเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายไปไกล

“ต้องให้พาไปส่งด้วยไหม แต่คิดค่าตอบแทนเพิ่มนะ”

ดวงตาสีเพลิงทอดมองร่างที่ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ค่อยๆ กระเสือกกระสนพาร่างกายของตัวเองลงไปบันไดทีละขั้น ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจจะให้อธิบายอย่างไรมันคงไม่หมด แต่ตอนนี้ลีรู้แล้วว่าเขาไม่ควรจะทำตัวอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้อีกต่อไป ถ้าจะให้ดีก็คงไม่ควรแวะผ่านมาแถวนี้อีกเลย

“แต่จ้าวใจดี เอาเป็นว่าจะเดินตามพี่ลีไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันนะครับ”

ลีใช้แขนข้างหนึ่งเกาะราวบันไดในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน พยุงตัวเองให้พอจะทรงตัวอยู่ได้แล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงบนแขนทั้งสองข้างไล่ไปตามบันไดวนโดยไม่หันกลับไปมองข้างหลัง ไม่สนใจเสียงของจ้าวเพราะเขารู้ตัวว่าไม่ควรที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป

ทันทีที่ปลายเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้น เสียงประตูที่คฤหาสน์ที่อยู่ตรงหน้าปิดลงอย่างแรงก็ดังสนั่นกึกก้องไปทั่ว จนลีสะดุ้งเฮือก ชะงักมองปลายทางที่โอกาสเหมือนถูกปิดตาย

“จ้าวยังไม่ได้สิ่งตอบแทนจากพี่ลีเลยนะครับ ลืมไปแล้วเหรอ”

“.......”

ลีพูดไม่ออก แม้ว่ามวลอากาศภายในจะเย็นจนเกือบหนาวแต่เหงื่อกาฬกลับแตกพลั่กราวกับกำลังถูกไฟนรกสุมอยู่รอบกาย

“ก็... ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับจ้าวสักพักนะครับ”

รอยยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีของปีศาจในคราบเด็กพรากเอาสติที่ควรมีอันน้อยนิดของลีให้จากไป ร่างนั้นถูกดึงกระชากกลับขึ้นมายังชั้นบนอย่างรวดเร็วราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้เขาไปจากที่นี่ง่ายๆ เสียงกรีดร้องดังลั่นไปทั่วอย่างคนใกล้เสียสติ สีหน้าของลีดูตื่นตระหนก หวาดกลัวที่ไม่อาจรู้ได้ว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองอีก 



** ติดตามตอนต่อไป **
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 9 [14/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-01-2018 07:26:21
โดนไปสอง เหลือยุ้ย  ยุ้ยอยู่หนายยยยยยย  o21
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 9 [14/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 16-01-2018 19:42:22
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย กระชากอารมณ์แล้ว
อยู่เป็นของเล่น ขาออกจะกลับไปครบไหม 
ลี เนตร ขาดยุ้ย โดนจับไว้ไหน
รู้สึกไม่อยากรู้ประวัติคฤหาสแล้วอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
รออออออออออ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 9 [14/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 17-01-2018 01:23:59
คดีพลิก ลีโดนคนแรกเลย 555555 จ้าวอาจจะลืมไปแล้วว่ายังมียุ้ยอีกคน ลีน่าสงสารเนอะ คงหลอนไปอีกนานเลย เขาคงไม่กล้าเหยียดที่นี่อีกเลยก็เป็นได้ ....
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 10 [21/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 21-01-2018 17:29:37
::: ตอนที่ 10 :::
ลงโทษเบาๆ





หลังจากที่จัดการกับลีเรียบร้อยแล้ว จ้าวจึงกลับเข้าห้องไปพบเนตรอีกครั้ง เขาไม่ยอมให้ความสนุกสำหรับค่ำคืนนี้จบลงง่ายๆ ยังอยากให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้รับความทรงจำที่ไม่อาจลืมได้เลยตลอดชีวิตกลับไป

เมื่อความมืดที่โรยตัวมาจากเบื้องบนบดบังสภาพแวดล้อมรอบตัวจนทำให้มองไม่เห็นอะไรแม้กระทั่งมือที่ยื่นออกไปตรงหน้า เนตรก็ได้แต่ต้องใช้หูฟังเสียงทุกอย่าง แต่กับจ้าวนั้นต่างกันมากนัก ต่อให้ในห้องจะไร้แสงสว่างจนมองไม่เห็นอะไรแต่ดวงตาสีเพลิงของปีศาจนั้นย่อมมองเห็นทุกอย่าง

ตึก.. ตึก... ตึก...

เสียงฝีเท้าย่ำใกล้เข้ามาเรื่อยและดูเหมือนว่าจะหยุดอยู่ตรงหน้า เนตรพยายามมองลอดผ่านความมืดนั้นเข้าไปแต่ไม่สามารถเห็นอะไรได้นอกจากสีดำ เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ถูกจับเอียงไปข้างหลัง ไม่ว่าจะพยายามขัดขืน ฝืนรั้งร่างกายอย่างไรก็ไร้หนทางที่จะพาตัวเองออกมาจากที่นั่น เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนลากมัน ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ใด และด้วยความไม่รู้นั้นนำพาให้ความคิดต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองจนเกินเป็นความหวั่นวิตก

ครืดดด ครืดดดดด ครืดดดดดด

เสียงลากเก้าอี้ไปกับพื้นทางเดินยิ่งทำให้เนตรรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะก้าวเข้าสู่ความตายอยู่ทุกลมหายใจ ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องแต่ก็ยังไม่มองไม่เห็นอะไร เธอหันซ้ายมองขวาอย่างคนหวาดระแวงไปกับทุกสิ่ง เสียงลากเก้าอี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และเธอก็ยังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเมื่อยามเก้าอี้เลื่อนไปตามพื้น

“ตฤณ!!! ได้ยินเนตรไหม!!! ตฤณ!!! ช่วยเนตรด้วย!!!”

เนตรตะโกนเรียกสุดเสียงจนแสบคอไปหมดแล้วก็ยังไร้วี่แววใดๆ ของการตอบกลับ

“ช่วยเนตรด้วย!! ใครก็ได้ช่วยที!!”

ครืดดด ครืดดดดด ครืดดดดดด

“กลัวเหรอครับ”

เสียงที่ดังอยู่รอบกายคล้ายกับจะถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยนั้นเป็นเสียงของจ้าว เนตรจำมันได้ขึ้นใจและจะไม่มีวันลืมอย่างเด็ดขาด

“ความกลัวเป็นอะไรที่จ้าวชอบนะครับ ยิ่งกลัวมากเท่าไรจ้าวก็อารมณ์ดีมากเท่านั้น”

เนตรไม่รู้ว่าควรจะกลัวเพื่อให้จ้าวอารมณ์ดีหรือควรจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำให้เธอกลัวแต่อาจต้องแลกมากับอารมณ์อันร้ายกาจของจ้าว อย่างไหนถึงจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่ากัน และนั่นทำให้เธอยิ่งหวาดกลัวและสับสนมากขึ้นไปอีก

“พี่เนตรรู้หรือเปล่าครับว่าเรากำลังจะไปที่ไหนกัน”

เนตรยอมรับว่าเธอไม่รู้ว่าเก้าอี้ที่เธอถูกพันธนาการไว้กับมันจะถูกลากไปที่ไหน เพราะรอบข้างไม่ได้บอกอะไรแก่เธอเลยสักอย่างแต่แล้วมันก็หยุดลงตรงที่ไหนสักที่ในคฤหาสน์หลังนี้ เธอได้ยินเสียงลูกบิดประตูหมุนก่อนจะเห็นแสงไฟสลัวออกมาจากกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า

“เราย้ายห้องกันหน่อยนะครับ ห้องนั้นมันไม่ค่อยดีเท่าไร”

เนตรไม่เห็นรู้สึกว่ามันจะมีห้องไหนดีทั้งนั้นถ้ายังต้องอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ต่อไป เก้าอี้ที่เธอนั่งอยู่ถูกหมุนและลากไปตามทางเข้าไปในห้องที่เห็นเพียงแสงอ่อนๆ ลอดผ่านออกมา เธอพยายามมองไปรอบตัวอย่างยากลำบากและดูเหมือนว่าจะโชคดีเล็กน้อยที่พอจะเห็นเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในห้องได้บ้าง อย่างน้อยๆ ก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวในความมืดมิด

“พี่เนตรหิวไหมครับ”

“……”

“หรือพี่เนตรอยากดื่มอะไรแก้กระหายสักหน่อยไหมครับ”

“……”

“ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าจ้าวได้ยินเสียงของพี่ จ้าวว่าน่าจะลองวิชาการฝีมือเย็บปัดถักร้อยสักหน่อย”

“จะ… จะทำอะไร”

น้ำเสียงสั่นเครือแลหวั่นวิตก เธอไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าต่อจากนี้ไปจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธออีกบ้าง

“จ้าวมีเข็มกับด้าย คิดว่าจะเอาไปทำอะไรดีล่ะ”

มีเข็มกับด้ายอยู่ในมือก็คงจะเอาไปทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากปะ ชุน เย็บ แต่จ้าวคงไม่นั่งเย็บผ้าแน่ ในหัวของเนตรมันขาวโพลนไปหมด ไม่รู้ว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นกำลังสื่อคืออะไร

“จ้าวควรจะตอบตอนนี้หรือเก็บมันไว้ทำเซอร์ไพร์สพี่เนตรดีนะ” จ้าวแสร้งทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะพูดต่อในทันทีว่า “บอกตอนนี้มันจะไปสนุกอะไร จริงไหมครับ พี่เนตร”

จ้าวปล่อยให้เนตรอยู่กับความหวาดกลัว ความไม่รู้และความหวาดระแวงมันคงน่าจะสนุกพิลึก การมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างในแต่ละวินาทีที่ผ่านไปยิ่งส่งผลเร่งให้จิตเตลิดฟุ้งซ่านจนท้ายที่สุดแล้วแทนที่เราจะได้ควบคุมมันจะกลับกลายเป็นว่าเราถูกมันควบคุม

“เป็นเด็กดีจังเลยนะครับ ถามอะไรก็ไม่ตอบ กลัวจ้าวทำอะไรหรือยังไงครับ”

เนตรนิ่งไปแต่สีหน้าของเธอยังความแสดงถึงความหวาดหวั่น

“นี่ก็ใกล้จะสว่างแล้ว เดี๋ยวจ้าวหาข้าวหาน้ำให้กินสักหน่อยก่อนดีกว่า”

ข้าวกับน้ำ ฟังดูเหมือนจะใจดีแต่เนตรกลับไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นความใจดีของจ้าวที่เผื่อแผ่มาถึงตัวเธอ มันอาจจะเป็นข้าวกับน้ำที่เคลือบไปด้วยยาพิษเหมือนแอปเปิ้ลที่สโนว์ไวท์ได้รับจากหญิงชราที่แสนมีเมตตาแบ่งปัน

หลังจากที่จ้าวออกไปจากห้องแล้วเนตรพยายามส่งเสียงร้องเรียกหาคนช่วยแต่ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ในความเงียบ ไม่ว่าจะพยายามเสียงแหบเสียงแห้ง จนเหนื่อยล้าแต่กลับไม่มีใครสนใจเธอเลยแม้แต่คนเดียวราวกับว่ามันถูกกั้นให้อยู่ในอีกมิติหนึ่งที่ไม่สามารถสื่อสารกับใครได้

“ตฤณ!! ช่วยเนตรด้วย!! ตฤณ!!”

เนตรพยายามร้องเรียกแม้จะรู้ว่าเสียงของเธออาจส่งไปไม่ถึงใครแต่อย่างน้อยเธอก็ได้พยายามแล้ว เธอออกแรงโยกตัวไปมาเพื่อให้เก้าอี้ที่นั่งอยู่ขยับเข้าไปใกล้ประตูมากขึ้นแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เป็นผลเมื่อมันยังอยู่ที่เดิม แทบจะไม่เคลื่อนที่ไปไกลอย่างที่ใจต้องการ

“ฮืออออ ช่วยเนตรด้วย ใครก็ได้ช่วยเนตรที”

เสียงสะอื้นไห้คลอเสียงร้องเรียก ยิ่งฟังก็ยิ่งจับใจความไม่ได้เข้าไปทุกที

“ฮืออออ เนตรไม่อยากอยู่ที่นี่ ช่วยด้วย ช่วยด้วย”

เก้าอี้ที่เนตรนั่งอยู่จู่ๆ ก็ถูกดึงให้ออกมาจากกลางห้องตรงไปยังข้างเตียงนอน ประตูห้องไม่ได้ถูกเปิดแต่เธอกลับเห็นจ้าวนั่งอยู่บนเตียงนอนพร้อมถาดอาหารและน้ำ ดวงตาสีเพลิงของเด็กคนนั้นราวกับไฟในขุมนรกกำลังเตรียมพร้อมจะแผดเผาร่างกายของเธอให้กลายเป็นจุล

“จ้าวปล่อยพี่ไปเถอะนะ พี่ขอร้อง”

“ขอร้องก็ต้องมีของแลกเปลี่ยน พี่เนตรยินดีไหมล่ะครับ”

แน่นอนว่าเนตรไม่ยินดีเพราะมันไม่มีอะไรให้น่ายินดีสักเรื่อง

“จ้าวว่าพี่เนตรกินข้าว กินน้ำสักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวจ้าวป้อนให้นะครับ”

มือเล็กหยิบช้อนตักข้าวผัดหน้าตาธรรมดาจนเกือบเต็มช้อนยื่นไปตรงหน้าเนตร เขาหวังว่าเธอจะกินมันสักหน่อย เพราะถ้าปล่อยให้ท้องร้องคงจะทรมานน่าดู แต่เนตรกลับปิดปากตัวเองเสียแน่น ไม่ว่าช้อนคันนั้นจะอยู่ตรงหน้านานแค่ไหน ไม่ว่ากลิ่นอาหารจะหอมชวนให้น้ำลายสอมากเท่าไรก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมให้สิ่งที่จ้าวหยิบยื่นมาให้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ

“กินสักหน่อยสิครับ จ้าวเป็นห่วงพี่นะครับ กลัวว่าพี่จะหิวแล้วมันจะเป็นการทรมานตัวเองเสียเปล่าๆ”

เนตรส่ายหน้าแต่สายตายังคงจ้องมองไปยังข้าวผัดสีเหลืองที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรพิเศษอยู่ในนั้นหรือเปล่า

“พี่เนตรเห็นจ้าวเป็นเด็กใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ เราก็แค่เล่นสนุกกันเอง แล้วเมื่อถึงเวลา จ้าวก็จะปล่อยไปตามที่เราได้ตกลงกันไว้ยังไงล่ะครับ อีกอย่างจ้าวเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องทำให้พี่ถึงตายด้วยสักหน่อยนี่ครับ ยกเว้นแต่ว่าพี่จะทำตัวพี่เอง อันนั้นจ้าวก็ไม่รับประกันว่าพี่จะรอดหรือพี่จะตาย อย่าให้ความเอ็นดูของจ้าวที่มีต่อพี่มันต้องสูญเปล่าสิครับ”

เนตรยังคงปิดปากของเธอให้แน่นสนิทแม้ว่าช้อนคันนั้นจะถูกจ่อเข้ามาจนชิด เธอส่ายหน้าปฏิเสธอยู่หลายครั้งเมื่อช้อนคันนั้นพยายามจะเข้าไปในปากให้ได้ แต่บางครั้งมันก็พลาดจนทำให้เศษข้าวที่อยู่ในช้อนนั้นหกกระจายลงพื้นห้อง จ้าวไม่ใช่ประเภทที่มีความอดทนมากเท่าไรนักแต่เขาก็ยังฝืนยิ้มอย่างใจเย็น

“พี่เนตร ความอดทนจ้าวไม่ได้มีมากเท่าไรนะครับ”

“พี่ไม่หิว”

“ไม่หิวก็ต้องกินครับ”

“พี่ไม่กิน”

“จ้าวบอกให้กินก็ต้องกิน”

มือเล็กยกขึ้นโบกสะบัดเพียงเล็กน้อย วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากทางประตูห้อง ร่างนั้นของเธอโปร่งแสงจนมองทุละเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลัง ค่อยๆ ลอยตรงมาหาเนตร ก้มลงเก็บกวาดเศษข้าวที่ตกพื้น เนตรหลับตาแน่น ไม่กล้ามองร่างของหญิงคนนั้น ริมฝีปากรูปกระจับแอบยกยิ้มเล็กน้อย

“พี่เนตรกลัวเหรอ เขาไปแล้วล่ะครับ”

น้ำเสียงของจ้าวฟังดูอ่อนโยนผิดกับแววตาที่ใช้มองมาเนตรที่หลับตาอยู่อย่างนี้ยังสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนนั้นแต่ทว่ามันเป็นเพียงแค่กลลวงของปีศาจเท่านั้น เมื่อเหยื่อติดกับ ความอ่อนโยนนั่นก็เป็นแค่ภาพลวงตาที่หลอกล่อมาให้ตกอยู่ในหลุมพรางที่ไม่อาจพาตัวเองกลับขึ้นมาได้

“พี่เนตรครับ จ้าวเอาใจพี่แบบนี้แล้วพี่ยังไม่ชอบอีกเหรอครับ”

                “......”

“หรือว่าพี่ไม่อยากให้จ้าวใจดีด้วยครับ”

“.......”

เนตรไม่รู้จะตอบว่าอะไร จะถูกทำดีหรือไม่ สุดท้ายแล้วเธอก็เป็นเพียงแค่ลูกไก่ในกำมือที่จะบีบก็ตาย จะคลายก็ตาย

“ตามใจพี่ก็แล้วกันครับ ไม่อยากได้ จ้าวก็ไม่ทำให้”

จ้าวลุกขึ้นจากเตียงที่นั่งอยู่ เดินตรงไปยังริมหน้าต่างแล้วก็หันกลับมา ใบหน้ากลมมนของเด็กตัวน้อยประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานที่ใครเห็นเป็นต้องหลงรักแต่คงใช้ไม่ได้กับเนตรที่รู้แจ้งเห็นจริงในธาตุแท้ของเด็กคนนี้แล้ว

“ประโยชน์ของปากก็มีแค่เอาไว้พูดกับกิน ถ้าพี่ไม่ใช้ปากกินก็ไม่รู้ว่าจะมีมันไว้ทำไม อีกอย่าง... ผมรำคาญเวลาพี่กรีดร้องมาก มันแสบแก้วหูจนปวดหัวไปหมดเลยแล้วพานจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดด้วย”   

เนตรไม่รู้ว่าเข็มกับด้ายที่จ้าวแค่พูดถึงมันไปอยู่ในมือของเด็กคนนั้นตั้งแต่เมื่อไร เข็มกับด้ายที่มันควรจะใช้สำหรับเย็บผ้า เธอหวังว่านั่นมันคงไม่ใช่อุปกรณ์ที่จะเอามาเย็บปากเธอเพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันคงโหดร้ายเกินไปแล้ว ร่างกายของเนตรสั่นเทามากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าจ้าวค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ๆ และหยุดลงตรงหน้า รอยยิ้มที่ดูเหมือนว่ามันเคยเป็นมิตรมาก่อนหน้านี้ไม่หลงเหลือให้เธอได้ผูกมิตรด้วยอีกแล้ว

“หึ! พี่บอกเองนะครับว่าไม่อยากให้จ้าวใจดีด้วย”

“จ้าว... พี่ขอโทษ อย่าทำกับพี่แบบนี้เลยนะ”

จ้าวทำเป็นไม่สนใจเสียงขอร้องที่ดังออกมาจากปากของผู้หญิงที่เคยพูดว่าเกลียดคฤหาสน์หลังนี้ เขาหมุนเข็มที่อยู่ในมือไปมาพลางฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“มันคงให้ความรู้สึกดีมากแน่ๆ เวลาที่ค่อยๆ ดึงด้ายขึ้นมา แล้วไหนจะเลือดที่ไหลออกมาจากรูตอนที่ถูกเข็มเจาะอีก จ้าวตื่นเต้นจังเลยครับ พี่เนตรรู้หรือเปล่าว่านี่เป็นครั้งแรกเลยนะครับที่จะได้เย็บปากคนจริงๆ ปกติก็เย็บแต่คอตัวเอง”

เนตรอยากจะพูดออกไปว่าอย่าทำเธอเลยแต่ปากของเธอกลับแน่นสนิทราวกับมีใครเอากาวมาทาไว้ เธอพยายามขยับปากแล้วแต่มันกลับไม่ขยับเขยื้อนเลย จู่ๆ ความกลัวก็ถาโถมเข้ามาอย่างทันทีเมื่อเห็นปลายเข็มจรดลงบนผิวปาก หยาดหยดน้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลลงมาเป็นทาง

“อื้อออ อื้ออออ”

“พี่เนตรกลัวเหรอครับ จ้าวจะทำเบาๆ นะ”

“อื้อออ อื้ออออ”

เนตรขืนหน้าหนี พอหันซ้าย ปลายเข็มก็ตามไปซ้าย พอหันขวา ปลายเข็มก็ตามไปขวา ไม่ว่าจะหันไปทางไหน จ้าวก็พาเข็มตามไปด้วยทุกที่จนสุดท้ายแล้วปลายคางของเธอก็ถูกมือเล็กจับและบีบเบาๆ ไม่ถึงขนาดทำให้เจ็บแต่ก็หันหนีไปไหนไม่ได้อีก

“อื้อออ อื้ออออ”

แววตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววความหวาดกลัวอย่างที่สุด เนตรพยายามดิ้นรน ฝืนหน้าตัวเองไม่ให้ปลายเข็มที่พร้อมจะปักเข้ามาที่เนื้อของเธอที่ทิ่มแทงลงไป ร่างกายแข็งเกร็งสุดขีด เธอไม่เคยกลัวกับอะไรมากมายเท่านี้มาก่อนในชีวิต ยิ่งเห็นสายตาที่จ้าวมองมายิ่งทำให้รู้ว่าเธอควรจะอยู่เฉยๆ และเชื่อฟังในสิ่งที่จ้าวพูดตั้งแต่แรก

“อืมมมมม อื้อออออ”

ปลายเข็มปักแทงเข้าเนื้อบริเวณริมฝีปากสร้างความเจ็บปวดให้กับเนตรเป็นอย่างมาก น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วกลับไหลมาขึ้นไปอีก เธออยากจะกรีดร้องแต่ปากของเธอที่ปิดสนิทไม่สามารถทำให้เปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้นอกเสียจากเสียงร้องอื้ออึงที่แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวและเจ็บปวดมากมายเหลือแสน

“อย่าขยับนะครับ พี่เนตร เดี๋ยวรอยเย็บมันจะไม่สวย”

แรงจากมือเล็กที่กำลังบีบคางอยู่นั่นมากขึ้นจนเนตรรู้สึกปวดร้าวไปหมดแต่มันคงเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดจากปลายเข็มที่แทงทะลุเนื้อขึ้นมา ความรู้สึกขณะที่เส้นด้ายเคลื่อนตัวผ่านไปมันช่างทรมานเหลือแสน เธอร้องไห้แต่ไม่สามารถพูดอ้อนวอนขอร้องจ้าวได้อีก

“เดี๋ยวพี่เนตรจะหาว่าจ้าวใจร้ายเกินไป จะช่วยเย็บแบบไม่ถี่ก็แล้วกันนะครับ”

เนตรไม่สามารถสรรหาคำพูดใดออกมาพูดได้อีกแล้ว หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความกลัว

“พี่เนตรรู้ไหมครับว่าสีหน้าของพี่ตอนนี้มันงดงาม ถูกใจจ้าวมากเลยนะ เดี๋ยวจ้าวจะจัดหาของขวัญพิเศษมามอบให้นะครับ หวังว่าพี่คงจะชอบมันนะ”

เนตรพยายามเบือนหน้าหนีเมื่อปลายเข็มแทงเข้าที่เนื้อบริเวณริมฝีปากอีกครั้ง ความเจ็บปวดแล่นริ้วเข้ามาอย่างรวดเร็วเป็นระลอก หยาดหยดน้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่จบไม่สิ้น จากความเจ็บปวดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความชา กลิ่นคาวเลือดเมื่อไหลลงคอมันอวลไปทั้งปาก รสชาดปะแล่มๆ จนอยากอาเจียนออกมา

“อีกเข็มเดียวก็เสร็จแล้วครับ พี่เนตรทนอีกนิดนะ”

เข็มสุดท้ายที่จ้าวพูดถึง เขาจงใจปักมันเข้าไปแรงๆ จนเนตรกรีดร้องออกมาไม่เป็นภาษา ยิ่งเห็นสีหน้าทุกข์ทรมานและหวาดกลัวยิ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขแต่ก็ยังแสร้งปั้นหน้าเป็นว่าตกใจที่ตัวเองทำแรงเกินไป

“อ้าว~ ขอโทษนะครับ จ้าวทำพี่เนตรเจ็บใช่ไหม”

“อื้อออออ”

“อ๊ะ! พี่ตฤณใกล้จะตื่นแล้ว สายของจ้าวบอกมา พี่เนตรคงต้องอยู่คนเดียวไปก่อนนะครับ ทำตัวเป็นเด็กดีที่ว่านอนสอนง่ายด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้น...”

จ้าวพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้แล้วปล่อยให้เนตรอยู่กับความกลัวที่เกิดขึ้นในใจของตัวเองต่อไป เขาคาดว่าถ้าหากว่าเธอไม่กลายเป็นบ้าหรือเสียสติไปก่อนก็คงเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมากทีเดียว


-------------------------------------------------

“พี่ตฤณตื่นแล้วเหรอครับ เสียดายจังเลย จ้าวคิดว่าน่าจะได้เข้ามาทำเซอร์ไพร์สพี่พอดี”

จ้าวที่เปิดประตูห้องเข้ามา เห็นตฤณทำท่าทางสะลืมสะลือนิ่งพิงหัวเตียง เขาก็ยกยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรที่สุดพร้อมกับวางถาดอาหารและน้ำดื่มที่ไปยกขึ้นมาไว้บนโต๊ะกลมตัวหนึ่งในห้องก่อนที่จะเดินมานั่งริมเตียง

“จ้าวตื่นนานแล้วเหรอ”

“ครับ จ้าวตื่นเช้าเป็นปกติอยู่แล้ว ว่าแต่พี่ตฤณเถอะครับ เมื่อคืนหลับสบายดีไหม อากาศในห้องเย็นไปหรือเปล่าครับ ถ้ามันเย็นเกินไปจนพี่ตฤณนอนไม่สบาย เราจะได้ย้ายห้องนอนกัน อีกห้องที่จ้าวเพิ่งให้เขาไปทำความสะอาดมามีเตาผิงด้วยนะครับ แล้วห้องมันก็กว้างกว่านี้อีกหน่อยด้วย พี่ตฤณจะได้ไม่อึดอัดยังไงล่ะครับ”

“ไม่เป็นไร พี่อยู่ได้”

ตฤณคิดว่าไม่ว่าจะเป็นห้องไหนในคฤหาสน์หลังนี้มันก็คงมีบรรยากาศไม่ค่อยแตกต่างกันสักเท่าไรนัก

“แต่จ้าวเตรียมห้องใหม่ให้พี่ตฤณแล้วนะครับ”

จ้าวกระเถิบเข้าไปใกล้กับตฤณพร้อมส่งสายตาเป็นประกายระยับเชิญชวนให้ตฤณเปลี่ยนใจย้ายห้องนอน และมันก็ได้ผลเมื่อตฤณดูจะใจอ่อนลงเล็กน้อย เขาพยักหน้าช้าๆ ยอมที่จะย้ายห้องนอนตามที่จ้าวขอเอาไว้

“งั้นพี่ตฤณกินข้าวเช้าสักหน่อยนะครับ จ้าวทำข้าวผัดเอาไว้ให้แล้ว”

“พี่ว่าจะไปหาเพื่อนก่อนน่ะ”

“จ้าวว่าพี่ตฤณกินข้าวก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวจ้าวไปดูให้แล้วจะบอกให้ว่าพี่ตฤณถามหา”

จ้าวรีบรั้งร่างสูงเอาไว้ก่อนที่จะได้เดินไปถึงหน้าประตูห้อง สายตาเชิงออดอ้อนของเขามันยังได้ผลกับตฤณอยู่ ฝ่ายนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยอมเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่คู่กับโต๊ะกลมตัวเล็ก งานหนักจึงกลายเป็นว่าต้องมาตกที่จ้าว มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมแต่ไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรงเท่าไรนัก

“พี่ตฤณทานข้าวให้อร่อยนะครับ เดี๋ยวจ้าวกลับมา”

จ้าวเดินออกจากห้องไปหาลีที่อยู่ในอีกห้องหนึ่งซึ่งเมื่อคืนเขาพาไปไว้อย่างดี ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นและจะไม่มีใครหาเจอ ห้องที่เหมือนกับคฤหาสน์นี้ทุกประการ เพียงแค่มันอยู่ต่างมิติกันเท่านั้น เป็นเหมือนดั่งโลกที่จ้าวสร้างขึ้นมาเพื่อให้มันใกล้เคียงกับโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่เขาเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในนั้น

“พี่ลีครับ~ พี่ลี~ เปิดประตูให้จ้าวหน่อยสิครับ พี่ตฤณถามหาน่ะ”

ไม่ต้องรอให้ลีเดินมาเปิดประตู มันก็เปิดออกของมันเอง ที่ตรงข้ามกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีร่างของผู้ชายนั่งขดตัว กอดเข่าตัวเองแน่นอย่างหวาดกลัว ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด โชกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคลจากการวิ่งขึ้นลงบันไดอย่างไม่หยุด เขาไม่ยอมหันมามองด้วยซ้ำว่าใครเปิดประตูเข้ามา

“พี่ลีเป็นอะไรครับ ไม่สบายเหรอ”

“.......”

ลียังคงทำเป็นไม่รับรู้ต่อคำพูดของจ้าว แต่ถึงจะถูกเมินเฉย ใบหน้ากลมมนก็ยังประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็นที่พร้อมจะฆ่าคนตายได้ทุกเมื่อ

“ลุกออกมาได้แล้วครับ อย่าให้จ้าวต้องเปลืองแรงลากไปเลยนะครับ”

ลีนั่งซุกตัวอยู่ภายใต้อ้อมแขนของตัวเอง เขาไม่ยอมขยับ อีกทั้งยังทำเป็นไม่สนใจต่อคำพูดใดของจ้าวอีกด้วย เอาแต่ทอดมองออกไปตรงหน้าด้วยแววตาที่ดูเหมือนจะเลื่อนลอย ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจของเขาเกือบสมบูรณ์แบบแล้ว

“พี่ลีครับ เอาเป็นว่าเรามาทำสัญญากันสักหน่อยดีไหมครับ งานนี้คนที่ได้เปรียบเห็นๆ ดูน่าจะเป็นพี่มากกว่าจ้าวด้วยนะครับ สนใจไหม” 

ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องยื่นข้อเสนองามๆ ที่อีกฝ่ายไม่อาจปฏิเสธได้ลง จ้าวเดินเข้าไปใกล้และนั่งลงยองๆ ทำเหมือนเป็นเด็กเล่นขายของเล่นที่มีการยื่นข้อต่อรองเล็กน้อย

“พี่ลีฟังดูก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยตัดสินใจ ข้อเสนอของจ้าวก็ง่ายๆ ครับ ถ้าพี่ลียอมไปหาพี่ตฤณกับจ้าวแล้วทำเป็นว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ลียังสบายดี และไม่ทำให้พี่ตฤณระแคะระคายอะไร จ้าวจะปล่อยพี่ลีทันทีโดยถือว่าคำพูดที่จ้าวพูดก่อนหน้านั้นเป็นโมฆะ จ้าวจะไม่รั้งพี่ลีไว้ที่นี่และให้พี่ลีได้พบกับสิ่งที่เรียกว่าอิสระ”

ลีหันมามองหน้าแต่ยังไม่ยอมตอบในทันที

“รีบตอบก่อนจ้าวจะเปลี่ยนใจนะครับ”

“เนตรกับยุ้ยล่ะ”

จ้าวหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “ช่างเป็นคนที่มีจิตใจดีอะไรอย่างนี้นะ เป็นห่วงพี่เนตรกับพี่ยุ้ยเสียด้วย เอาตัวเองให้รอดก่อนดีไหมครับ”

“โดนเหมือนกันสินะ” ลีพำพึมกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ว่ายังไงครับ ขอคำตอบด้วย”

“พวกเขาแย่มากไหม”

จ้าวลุกขึ้น หมุนตัวหนึ่งครั้งก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนนุ่มๆ แสร้งทำเป็นครุ่นคิดถึงสภาพของเนตรและยุ้ย ก่อนจะตีหน้าเศร้าเล่าความจริงอันแสนโหดร้ายออกมา “จ้าวไม่รู้ว่าพี่ยุ้ยเป็นยังไงบ้าง แต่สำหรับพี่เนตร... เมื่อคืนนี้พี่เขาได้รับการต้อนรับที่ดีจากจ้าวไปเยอะเลยล่ะครับ สิ่งที่พี่ลีเจอยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่พี่เนตรเจอเลยด้วยซ้ำ น่ายินดีไหมครับ”

“อยากไปเจอเนตร”

“ฮั่นแน่! ได้คืบจะเอาศอกเหรอครับ จ้าวไม่ให้ฟรีๆ หรอกนะ อยากได้ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกันหน่อย”

ลีอยากไปเห็นกับตาตัวเองว่าเนตรแย่กว่าเขามากแค่ไหน แต่ไม่ได้ไปเพื่อต้องการเยาะเย้ยถากถางในสภาพที่พบเห็น เขาเพียงแค่อยากให้เนตรรู้ว่าไม่ใช่เธอคนเดียวที่เจอเรื่องราวอันแสนเลวร้าย แต่เป็นเราทุกคนยกเว้นตฤณที่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝัน

“หรือพี่ลีอยากให้จ้าวใจดีด้วยครับ แต่ว่าพี่ลีก็ต้องทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังที่จ้าวพูดนะครับ”

การเป็นเด็กดีและเชื่อฟังในสิ่งที่จ้าวพูดไม่ใช่เครื่องยืนยันได้ว่าเขาจะไม่พบเจอกับเรื่องเลวร้ายอย่างเช่นเมื่อคืนอีก มันก็แค่สิ่งที่จะทำให้เด็กคนนั้นสนุกโดยที่เราขัดขืนไม่ได้อีก

“ว่ายังไงครับ ถ้าพี่ลีไม่ตอบ เดี๋ยวจ้าวจะตัดสินใจให้เองแล้วนะ”

“ตกลง”

คำพูดอันแสนเบาหวิวที่คล้ายกับจะจางหายไปในสายลม เรียกรอยยิ้มจากมุมปากของจ้าวได้อย่างดีทีเดียว

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะครับ พี่ตฤณกำลังรออยู่”




** ติดตามตอนต่อไป **


areenart1984
ขอบคุณนะคะ ยุ้ยเป็นคนไม่สำคัญก็เลยถูกลืมเป็นธรรมดาค่ะ ฮ่าๆๆๆ

kun
ขอบคุณนะคะ ประวัติของคฤหาสน์ไม่น่ากลัวเลยน๊าาาาาา ฮ่าๆๆๆ

Nekosama
ขอบคุณนะคะ ลีนี่โดนแบบหลอนๆ ด้วย

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 10 [21/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 21-01-2018 21:42:17
สยองขวัญกันไปเลย
คำเดียว หลอน
สองคำ ตามติด
รอออออออ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 10 [21/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-01-2018 21:58:20
เนตร โดนเต็ม ๆ เลย หลอนดี ส่วนลีกับยุ้ยลุ้นว่าใครจะโดนเบากว่ากัน  :sad3:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 10 [21/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 22-01-2018 00:02:12
เนตรโดนอะไรน่ากลัวมาก .... ตฤณไม่รู้สึกสงสัยอะไรเลยรึไงกัน ...  :ruready
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 11 [28/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 28-01-2018 14:16:17
::: ตอนที่ 11 :::
ที่ (รัก) ร้าย





จ้าวพาลีมาหาตฤณอย่างที่ได้รับปากเอาไว้แต่สภาพลีที่ตฤณเห็นแทบจะไม่สามารถเรียกได้ว่าคน ทั้งโทรม ทั้งขอบตาดำคล้ำเหมือนคนอดหลับอดนอนมามากกว่าหนึ่งคืน อีกทั้งก็ดูคล้ายกับจะหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนลีคนเก่าที่เคยเป็นเลยสักนิด

“เออ... แล้วเนตรล่ะ มึงเจอเนตรบ้างไหม”

“เนตร...” ลีชำเลืองมองจ้าวอยู่แวบหนึ่งแต่ก็เงียบเสียงลงเมื่อเห็นสายตาที่ดูราวกับว่าถ้าหากเขาพูดอะไรที่ไม่เข้าหูล่ะก็น่าจะได้อยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต

“จ้าวเจอพี่เนตรเมื่อกี้ครับ เขาบอกว่าจะรีบกลับบ้าน มีธุระด่วนน่ะครับ จ้าวเลยไม่ได้ถามอะไร”

คำโกหกคำโตของจ้าวดูแนบเนียนมากจนลียังทึ่ง ทั้งน้ำเสียงและท่าทางดูไปในทิศทางเดียวกันอย่างน่าเหลือเชื่อทั้งที่เรื่องนั้นไม่เป็นความจริงเลยสักนิดเดียว เนตรยังคงอยู่ที่นี่ ที่ไหนสักแห่งหนึ่งในคฤหาสน์หลังนี้ภายใต้อำนาจของจ้าว

“งั้นจ้าวไม่กวนแล้วดีกว่าครับ พี่ตฤณจะได้คุยกับพี่ลีได้อย่างสบายใจ”

จ้าวทำเป็นเดินออกจากห้องไปแต่ยังไม่วายส่งสายตาเชิงข่มขู่ไปให้กับลีว่าถ้าพยายามทำอะไรให้ตฤณรู้ เขาไม่พลาดที่จะส่งเทียบเชิญให้อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเล่นกันถาวรแน่ และเมื่อจ้าวเดินออกไปแล้วลีจึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยท่าทีเหมือนจะผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย

“เป็นไรวะมึง ทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์”

“ถ้ามันเป็นแค่ทุกข์ก็ดีสิวะ”

คำตอบของลีก็แค่คำเปรยที่คล้ายกับจะพูดกับตัวเอ ถ้ามันเป็นแค่ทุกข์ เราก็แค่หาทางดับทุกข์ แต่ถ้ามันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เราควรจะทำยังไงให้มันหายไปจากชีวิตของเรา

“แล้วตกลงมึงเป็นอะไร”

“เป็นคนที่ใกล้บ้าเต็มทีละ”

ลีตอบเนิบๆ แต่ก็พยายามคุมน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ให้ตฤณสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นในตัวเขา มาลองคิดดูแล้วมันไม่ใช่แค่เขาใกล้บ้าแต่จวนเจียนจะบ้าเต็มทีแล้วถ้าหากเขายังได้อยู่ที่นี่ต่อ อยู่กับวิญญาณร้ายที่คอยแต่เล่นสนุกกับร่างกายเขาโดยไม่สนถึงจิตใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ทำไมพูดแบบนั้นวะ”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่เครียดกับรายงานนิดหน่อย”

แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ตฤณที่ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะแค่เห็นสภาพของเพื่อนก็ดูน่าเป็นห่วงมากแล้วกับลีที่มีเรื่องจะพูดอยู่เต็มไปหมดแต่กลับพูดออกมาไม่ได้แม้เพียงประโยคเดียวเพราะถ้าหากพลาดแล้วล่ะก็นั่นหมายถึงชีวิตของเขาที่ต้องแลกมันมา

“ตฤณ กูถามจริงๆ นะ มึงมีความสุขไหมเวลาอยู่ที่นี่”

ตอนแรกที่ตฤณย่างก้าวเข้ามาที่คฤหาสน์หลังนี้ยังดูหวาดกลัวอยู่หน่อยๆ ด้วยซ้ำเพราะทั้งบรรยากาศที่แสนหลอน ทั้งความมืดมิดกับแสงไฟสลัว ทั้งความรู้สึกที่เหมือนมีคนเดินตามอยู่ตลอดเวลาแต่พอได้อยู่กับจ้าวแล้วเขากลับรู้สึกว่ามันปลอดภัยที่สุด การได้อยู่กับจ้าวที่นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดแม้ไม่รู้ว่าทำไม

“ก็มี มึงถามทำไม”

“เปล่า กูเห็นเด็กคนนั้นดูแลเอาใจใส่มึงดี กูเลยอยากรู้ว่าที่เขาทำให้มึงขนาดนี้ มึงมีความสุขไหมก็เท่านั้น”

“จ้าวเป็นเด็กที่ดูเอาใจใส่ดีนะ แล้วเขาก็น่ารักมากด้วยเวลายิ้มน่ะ”

“เหรอ”

ลีไม่อยากจะเชื่อว่ารอยยิ้มของจ้าวมันจะน่ารัก จากประสบการณ์ที่เจอมาตลอดทั้งคืนนั้นการันตีได้เลยว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา รอยยิ้มที่แสนงดงามและน่ารักนั้นไม่อยู่จริงในตัวของเด็กคนนั้นอย่างเด็ดขาด

“นี่มึงไม่เชื่อเหรอ”

ลีไม่ยอมตอบว่าเขาเชื่อหรือไม่ “มึงชอบเขาเหรอ”

“ไม่แน่ใจว่ะ เขาเป็นเด็กดีจะตายแถมยังน่ารัก น่าเอ็นดูอีกด้วย ใครอยู่ใกล้ก็ต้องรักต้องชอบกันทั้งนั้นแหละ หรือว่า... มึงจะบอกว่าเขาไม่คู่ควรกับกู”

ท่าทางของลีดูละล่ำละลักเหมือนมีเรื่องที่จะพูดแต่ก็พูดไม่ออก แน่นอนว่าเขาไม่มีทางที่จะพูดความจริงออกไปเพราะนั่นย่อมหมายถึงชีวิตของเขาเอง

“ก็ไม่คู่ควร มึงอายุเท่าไร น้องเขาอายุเท่าไร คิดจะพรากผู้เยาว์เหรอ”

ที่ลีพูดมาก็เป็นเรื่องจริงอยู่ อย่างจ้าวก็ไม่น่าจะอายุถึงขั้นบรรลุนิติภาวะสักเท่าไร อีกอย่างตัวเขาก็เป็นเด็กมหาวิทยาลัย ถึงเอาเข้าจริงแล้วจะมีอายุห่างกันไม่มากนักแต่ด้วยความที่ยังไงจ้าวก็ยังเป็นแค่เด็ก ถ้าใครมองมาก็คงต้องคิดว่าเป็นพวกพรากผู้เยาว์แน่

“แล้วกูควรทำยังไง”

“มึงตัดใจจากเขาแล้วย้ายกลับไปอยู่หอเดิมเหมือนที่เนตรเคยพูดได้หรือเปล่าวะ คือ... กูไม่ได้จะบังคับนะ แต่เท่าที่ดูแล้วเวลาที่มึงอยู่ที่นั่นมันสะดวกกว่า พวกเราอยู่ปีสามแถมทั้งรายงานทั้งเรียนก็หนักๆ ทั้งนั้น มึงเทียวไปเทียวกลับแบบนี้ กูกลัวว่ามึงจะเหนื่อยเกินไปนะ”

“กูไปไม่ได้ กูรับปากกับเขาแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ตอบแทนที่เขาช่วยกูไว้เมื่อหลายวันก่อน”

ลีไม่ถามอะไรต่อและเขาก็เข้าใจแล้ว การที่ตฤณอยู่ที่นี่ก็เหมือนเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เขาเคยเจอมาก่อนเหมือนอย่างที่จ้าวพูดเอาไว้ว่าเมื่อร้องขอก็ย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน และการที่เด็กคนนั้นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก็ย่อมต้องได้รับสิ่งตอบแทนกลับไป สิ่งตอบแทนที่ว่านั่นคือการอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ ว่ากันตามตรงแล้วลีรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่แปลก

“มึงขอให้เขาช่วยเรื่องอะไรวะ”

“วันก่อนนู้นกูมาทำธุระแถวนี้แล้วบังเอิญเจอพวกเด็กนักเรียนยกพวกตีกัน กูก็เลยต้องวิ่งหาที่หลบเพราะไม่อยากโดนลูกหลงแล้วทีนี้ ประตูคฤหาสน์หลังนี้มันก็เปิด กูเลยเข้าไปซ่อนตัว กูเถียงกับลุงมิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วจ้าวก็เดินเข้ามาเจอเลยยื่นข้อเสนอให้กูว่าถ้ากูอยากได้ที่หลบ กูต้องย้ายมาอยู่ที่นี่กับเขา กูเลยตกลงเพราะตอนนั้นไม่ทันได้คิดอะไรแถมกูยังกลัวจะโดนลูกหลงตายไปก่อนด้วย เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ”

“แล้วมึงไม่คิดอยากออกไปจากที่นี่บ้างเหรอวะ”

ตฤณเคยคิดอยากจะออกไปจากที่นี่ตั้งแต่ก้าวเท้าแรกเหยียบย่างเข้ามาแล้วแต่จิตใต้สำนึกของเขากลับบอกว่าให้ตอบแทนบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตเอาไว้ก่อน อีกทั้งตอนนี้เด็กคนนั้นยังต้องอยู่ที่นี่คนเดียวเพราะพี่ชายยังไม่กลับจากต่างจังหวัด นั่นล่ะที่ทำให้เขารู้สึกว่าควรจะต้องอยู่ไปอีกสักพัก

“กูต้องตอบแทนเขาก่อน”

“มึงนี่เป็นคนดีที่น่าชื่นชมจริงๆ”

“ชมแบบนี้ กูก็เขินเป็นนะ”

ลียิ้มเล็กน้อย ได้อยู่กับตฤณแบบนี้ เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ ไม่อึดอัด ไม่หวาดระแวง ไม่รู้สึกกลัวเหมือนตอนที่มีจ้าวอยู่ด้วย

“ตฤณ ขอกูถามอีกไม่กี่คำถามนะแล้วกูจะไม่ถามเรื่องนี้อีกเลย ความรู้สึกจริงๆ ของมึงตอนนี้ มึงรัก ชอบหรือหลงเขา”

“ก็ไม่รู้ว่ะ บางทีมันก็คงเริ่มมาจากหลง แล้วตอนนี้ก็กลายเป็นรัก”

“แน่ใจนะ มึงพูดว่ามึงรักเขาทั้งที่มึงใช้เวลากับเขาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แล้วถ้าเขาไม่ใช่คนดี ไม่ได้น่ารักเหมือนอย่างที่มึงรู้สึกมาตลอด ถ้าเขาเป็นเหมือนนางร้ายในละครหลังข่าว มึงจะยังรักเขาอยู่อีกไหมวะ”

ตฤณนิ่งไปชั่วครู่ เขาตอบคำถามนี้ไม่ได้ว่าถ้าจ้าวเป็นเด็กที่ร้ายกาจขนาดนั้นแล้วเขาจะยังรักอยู่อีกไหม ในหัวสมองของเขามีเพียงแค่คำว่าจ้าวเป็นเด็กดีที่น่ารักมาก คอยดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง คอยถามไถ่นู้นนั่นนี่โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย

“กูไม่รู้ว่ะ กูรู้แค่ตอนนี้ความรู้สึกที่กูมีให้เขามันเกินกว่าคำว่าชอบไปแล้ว”

“กูหมดคำถามแล้ว”

“แล้วมึงเป็นอะไรวะ จู่ๆ ก็ถามอะไรแบบนี้”

“กูแค่อยากรู้เฉยๆ”

“พี่ตฤณ พี่ลีครับ! จ้าวขอเข้าไปข้างในนะครับ”

เสียงของจ้าวที่ดังอยู่หน้าห้องพาให้ลีสะดุ้งโหยง เขารีบเด้งตัวขึ้นมานั่งด้วยแววตาที่ดูเหมือนจะตื่นตระหนก แต่พอเห็นจ้าวเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาข้างในโดยที่ไม่มองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อยนั่นพอจะทำให้โล่งใจได้บ้าง เพราะมันคงจะหมายความว่าตัวเขาไม่ได้อยู่ในสายตาของเด็กคนนั้นเลยและสิ่งที่เขาพูดกับตฤณไปไม่ได้เป็นภัยกับตัวเอง

ร่างของเด็กวัยสิบกว่าปีเดินไปหยุดลงข้างตฤณพลางส่งยิ้มกว้างที่พาเอาลีเสียวสันหลังวูบ

“วันนี้พี่ลีบอกกับจ้าวไม่ใช่เหรอครับว่ามีธุระ ต้องกลับก่อน”

“เอ่อ... อืม งั้นพี่กลับก่อนนะ จ้าว”

ลีทำท่าจะลุกขึ้นแต่ถูกตฤณเรียกเอาไว้ก่อน “อ้าว~ ไหนมึงว่าจะอยู่ทำรายงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับไง”

“เอ่อ... รายงาน เดี๋ยวกูทำที่เหลือต่อเอง กูไปนะ มีธุระด่วนจริงๆ”

“งั้นจ้าวเดินไปส่งนะครับ”

ความเอื้ออาธรณ์ของจ้าว ลีไม่อยากรับมันไว้เลยจริงๆ ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนแอปเปิ้ลเคลือบยาพิษ ทำเป็นหวังดีแต่แท้จริงแล้วประสงค์ร้าย และความหวังดีที่แฝงนัยยะนั่นเขาเองก็ไม่มีทางปฏิเสธเสียด้วย ไม่อยากรับแต่จำต้องรับแต่ก่อนจะรับ เขาขอเสี่ยงดวงดูสักครั้ง

“ถ้า... พี่บอกว่าเกรงใจ”

“พี่ลีจะเกรงใจจ้าวทำไมล่ะครับ เพื่อนพี่ตฤณทั้งคน จ้าวต้องดูแลให้ดีเป็นพิเศษอยู่แล้ว อย่าปฏิเสธจ้าวเลยนะครับ”

ยิ่งได้ยินคำพูดสุดท้ายของจ้าวแล้วลีรู้สึกเหมือนมันเป็นการบังคับที่ถ้าไม่ทำตามแล้วโอกาสที่จะได้กลับออกไปพบกับสิ่งที่เรียกว่าอิสระข้างนอกคฤหาสน์นั่นคงลิบหรี่ลงไปมากทีเดียว เขาจึงทำแค่พยักหน้ารับอย่างจำยอมและเป็นฝ่ายให้จ้าวเดินนำหน้าออกไปก่อน พออยู่ในระยะที่คิดว่าห่างออกมาจากห้องนั้นพอสมควรแล้วจ้าวจึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ทว่าแววตาสีเพลิงนั้นกลับแฝงไปด้วยความดุดัน “จ้าวจะบอกอะไรให้พี่ลีฟังสักอย่างนะครับ ทุกคำพูดที่พี่ลีพูดกับพี่ตฤณนั้นจ้าวได้ยินหมด แต่ก็ยังดีที่พี่เอาตัวรอดมาได้เพราะถ้าทำให้พี่ตฤณระแคะระคายในตัวตนของจ้าวแล้วล่ะก็ต่อให้พี่ลีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้แล้วจ้าวก็พากลับมาได้เหมือนกัน”

ลีถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ ใบหน้าของเขาเผือดสีลงเล็กน้อย แน่นอนว่าคำพูดนั้นไม่ใช่แค่คำขู่แต่มันเป็นคำจริงที่เชื่อถือได้ ถึงจ้าวจะร้ายกาจแค่ไหนแต่เขาไม่เคยผิดคำพูด ฆ่าคือฆ่า ปล่อยคือปล่อย

“จ้าวไม่ได้คิดจะขู่ให้พี่ลีกลัวหรอกนะครับ ถ้าพี่ลีทำตัวดีก็มั่นใจได้เลยว่าพี่ลีจะได้ใช้อิสระที่จ้าวมอบให้อย่างมีความสุข แต่ถ้าพี่ลีพยายามจะบอกพี่ตฤณอีก จ้าวคงต้องขออิสระคืนนะครับ”

น้ำเสียงอันแสนเรียบเฉยของจ้าวที่ฟังดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่กลับแฝงไปด้วยความมุ่งร้ายอยู่ในทุกคำพูด

“จ้าวส่งพี่ลีแค่ที่หน้าประตูนะครับ จ้าวไม่ค่อยชอบแดดน่ะ มันร้อน”

ลีไมได้หวังว่าจ้าวจะแสดงความใจดีด้วยการเดินไปส่งถึงหน้าประตูรั้วและเขาก็ไม่ได้หวังว่าจะได้รับความใจดีนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อลีก้าวเท้าลงจากบันไดหน้าคฤหาสน์ทีละขั้น เขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับเลยตลอดการอยู่ใต้ชายคาคฤหาสน์หลังนั้น มันเป็นความอบอุ่นที่เขารอคอยมานานแสนนาน แสงแดดที่มันส่องลงมาจากผืนฟ้าเบื้องบนแม้จะแรงแค่ไหนก็ตาม เขากลับชอบมันสุดหัวใจราวกับตัวเองได้เกิดใหม่

“หวังว่าถ้ามีโอกาส เราคงได้เจอกันอีกนะครับ พี่ลี”

หลังจากที่จ้าวได้ส่งลีออกไปแล้ว ดูเหมือนเขาจะลืมตัวละครสำคัญในเรื่องนี้อีกตัวไปเสียสนิท นั่นก็คือยุ้ย

“พี่เจตครับ”

ทันทีที่ถูกเรียกขานชื่อ วิญญาณของเจตรินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“จ้าวลืมพี่ยุ้ยไปเลยครับ เธอเป็นยังไงบ้าง ยังสบายดีอยู่ในโลกของเราใช่ไหมครับ”

‘ยังอยู่ดีแต่ไม่แน่ใจว่าจะมีสุขไหม จ้าวอยากไปดูหน่อยไหมล่ะ’

“ไม่ล่ะครับ เรื่องนี้จ้าวปล่อยให้พี่เจตเป็นคนจัดการดีกว่า จ้าวมีเรื่องต้องไปทำต่ออีกนิดหน่อย”

‘ทำไมถึงยอมปล่อยให้คนนั้นออกไป ไม่สมกับเป็นจ้าวเลยนะ’ 

“มีปัญหาอะไรเหรอครับ จ้าวแค่อยากสวมบทบาทเป็นคนดีบ้าง หรือพี่เจตอยากให้จ้าวร้ายกับเขามากกว่านี้”

ถ้าให้จ้าวร้ายกว่านี้ก็ย่อมได้เพราะมันเป็นเรื่องถนัดสำหรับเขาอยู่แล้ว แต่การปล่อยลีไปก็แค่หวังผลอะไรบางอย่างและผลที่ว่านั่นก็คือลดความสงสัยของตฤณเกี่ยวกับการติดต่อเพื่อนที่เหลือไม่ได้เลย

‘​จะร้ายกว่านี้หรือไม่ พี่ไม่มีสิทธิ์สั่งจ้าวได้อยู่แล้ว’

“อารมณ์เสียอะไรมาอีกล่ะครับ”

‘เปล่า แล้วพี่จะไปให้ตฤณเห็นหน้าได้ตอนไหน’

“อีกไม่นานครับ แล้วจ้าวจะบอกพี่อีกที พี่เจตมีอะไรก็ไปทำเถอะครับ จ้าวขอไปดูพี่ตฤณสักหน่อย”

วิญญาณของเจตรินหายไปแล้ว จ้าวจึงเดินเข้าห้องของตฤณไปโดยไม่ได้เคาะประตูเหมือนอย่างที่ทำทุกครั้ง ตฤณไม่อยู่ในนั้นแต่เขาได้ยินเสียงน้ำที่กำลังไหลออกมาจากฝักบัว เขาจึงเดินออกจากห้องไปยังสถานที่ที่เนตรอยู่ เรื่องราวจากค่ำคืนนั้นไม่มีทางจบลงง่ายๆ ที่เธอพยายามเฝ้าร้องขอมาโดยตลอด จ้าวยังไม่ทันจะได้มอบของขวัญอันแสนล้ำค่าให้เลยด้วยซ้ำ

 

--------------------------------------


เนตรที่ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ในห้องอย่างเดียวดายพยายามพาตัวเองออกมาจากเก้าอี้ตัวนั้นอย่างไม่ย่อท้อแม้จะรู้ว่ามันอาจเป็นการกระทำที่สูญเปล่า ริมฝีปากที่ถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีสดถูกเย็บให้ติดกันแน่นด้วยเข็มกับด้าย การฝีมือเย็บปักถักร้อยของจ้าวไม่เป็นรองใครเลยทีเดียวเพราะมันไม่ใช่แค่แต่ละจุดที่ถูกเข็มปักลงไปจะเรียงตัวเป็นเส้นตรงในระนาบเดียวกันแล้ว ระยะห่างระหว่างด้ายในแต่ละเส้นที่ถูกร้อยลงไปยังเท่ากันอย่างไร้ที่ติ

“อื้ออออ อื้ออออ”

เนตรพยายามส่งเสียงร้องเรียกให้คนมาช่วย แต่ผู้ที่เข้ามาในห้องนั้นกลับไม่ใช่คนที่เธอต้องการเห็นหน้า

“นี่จ้าวไม่ได้บอกพี่เนตรเหรอครับว่าเสียงร้องของพี่เนตรน่ะมีแค่จ้าวเท่านั้นที่ได้ยิน”

เสียงเย็นเฉียบของจ้าวทำเอาเนตรช็อคไปทันที ที่เธอตะโกนเรียกคนนู้นคนนี้มาตลอด ที่เธอพยายามทุกวิธีทางเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่และถูกขังอยู่ในห้องนี้มันเป็นการกระทำที่สูญเปล่าจริงๆ แล้วจู่ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาเป็นทางอีกระลอกด้วยความเจ็บปวด

“แล้วจ้าวยังไม่ได้บอกพี่เนตรด้วยใช่ไหมครับว่าวันนี้จ้าวมีเรื่องมาเซอร์ไพร์สด้วย”

“......”

“จ้าวไม่ได้บอกพี่อีกใช่ไหมครับว่าพี่ตฤณถามถึง แต่ว่าจ้าวบอกพี่เขาไปแล้วล่ะว่าพี่เนตรกลับไปแล้วเพราะมีธุระด่วน”

“อื้ออออ”

“พี่เนตรพูดอะไรเหรอครับ จ้าวฟังไม่รู้เรื่องเลย”

ท่าทางของจ้าวในเวลานี้ทำให้เนตรอยากกรีดร้อง อยากโวยวายหรือแม้กระทั่งด่าทอออกมาแต่ทำไม่ได้เมื่อริมฝีปากของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยด้ายสีแดงที่มีคราบเลือดติดอยู่จากฝีมือของจ้าว เธอทำได้แค่โยกตัวเองไปมาเพื่อระบายความโกรธแค้นจนเก้าอี้ที่นั่งอยู่สั่นคลอนเล็กน้อย

“อื้อ อื้อ อื้ออออ”

“น่าสงสารจังเลย ให้จ้าวช่วยเลาะที่เย็บออกให้ไหมครับ”

เนตรพยักหน้าถี่รัว ถึงจะต้องเจ็บตัวอีกสักรอบก็จะอดทน ดีกว่าอยากพูดอะไร อยากขอร้องใครแล้วทำไม่ได้เลยเพราะเสียงที่ดังอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์

“ขอสิครับ”

รอยยิ้มแสนเยือกเย็นของจ้าวพร้อมกับคำพูดนั้นพาให้เนตรเงียบเสียงลง เธอไม่อยากขออีกแล้วเพราะกลัวข้อเสนอที่ว่าให้อยู่ที่นี่ต่อไปอีก มันทั้งแสนโหดร้ายและน่ากลัวเกินกว่าที่หัวใจดวงน้อยจะทานทนไหวและที่ประสบพบเจออยู่ในขณะนี้ก็มากเต็มที ถ้าหากว่าต้องเจอสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้ เกรงว่าตัวเธออาจกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน

“ก็ได้ครับ งั้นจ้าวจะเป็นคนดี ยอมเลาะด้ายออกให้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนก็ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะครับ ขอเป็นหลังจากจ้าวพาของขวัญชิ้นใหญ่มาเซอร์ไพร์สพี่เนตรก็แล้วกันนะ”

จ้าวหันหลังกลับออกจากห้องทันทีโดยที่เสียงร้องเรียกฟังไม่ได้ศัพท์ของเนตรยังคงตามหลังมาติดๆ เขาทำทีเป็นหันมาสนใจอยู่เพียงไม่กี่วินาทีแล้วก็หันกลับไป พอดีกับที่ตฤณเปิดประตูห้องข้างๆ ออกมา

“พี่ตฤณ”

“พี่เหมือนได้ยินเสียงจ้าวในห้อง แต่พอออกมาแล้วไม่เจอก็เลยว่าจะเดินหา มาหาพี่ที่ห้องมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“จ้าวแค่อยากอยู่ใกล้ๆ พี่ตฤณ ไม่รู้ทำไมเวลาที่อยู่ใกล้พี่ตฤณแล้วจ้าวรู้สึกหวั่นไหว หรือมันเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน เรามาสานต่อกันดีไหมครับ”

คำถามเชิญชวนของจ้าวสะกิดความทรงจำเมื่อคืนวานของตฤณเข้า แล้วจู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้ยังไงทั้งที่เขาควรจะได้เกียรติเด็กคนนั้นมากกว่านี้ แต่ร่างกายเล็กนั่นกลับส่งกลิ่นหอมหวานชวนให้เขาได้เข้าใกล้และลิ้มรสสัมผัส

“คือ... จ้าว...”

“มีอะไรเหรอครับ พี่ตฤณ”

“ทำแบบนั้นมันไม่ดีนะ”

“ไม่ดีตรงไหนครับ หรือพี่ตฤณไม่อยาก”

แววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ยังคงเป็นแววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์แต่ทว่าท่าทางของจ้าวนั้นเริ่มต่างออกไปเหมือนปีศาจตัวน้อยที่คอยจะตะครุบเหยื่อ เขาเดินเข้าไปใกล้มาขึ้นอย่างเชื่องช้าและท่าทีที่มีต่อตฤณก็เปลี่ยนไป เขาแสร้งทำเป็นยิ้มหัวเราะให้กับเรื่องที่พูดเมื่อครู่ “จ้าวล้อเล่นหรอกครับ เอาเป็นว่าเราไปดูห้องใหม่ของพี่ตฤณกันดีกว่า จ้าวให้เขาเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

“พี่ขอโทรหายุ้ยก่อนได้ไหม”

“เดี๋ยวค่อยโทรก็ได้ครับ แค่ไปดูห้องใหม่แปปเดียวเอง ไม่เสียเวลาเท่าไรหรอกครับ”

มือเล็กสอดเข้าควงแขนแกร่งข้างหนึ่งเอาไว้พร้อมกับออกแรงกระตุกเล็กน้อย ตฤณยิ้มอย่างอ่อนใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้แพ้เด็กคนนี้ตลอดเวลา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะขออะไรแม้ว่าจะปฏิเสธไปแต่มันก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง

“ก็ได้”

“พี่ตฤณดีแบบนี้ จ้าวรักตายเลยล่ะครับ”

เด็กน้อยอย่างจ้าวส่งยิ้มหวานที่แฝงเอาความเยือกเย็นไว้ภายใน

“แล้วจ้าวเจอยุ้ยบ้างไหม”

จ้าวชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเสแสร้งปั้นยิ้มหวานอีกครั้ง “ไม่เห็นเลยครับ ตั้งแต่เช้าแล้ว จ้าวไม่รู้ว่าพี่ยุ้ยไปไหน อาจจะไปกับพี่เนตรก็ได้ครับ เดี๋ยวอีกสักพักพี่ตฤณลองโทรไปถามดูสิครับ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้”

“เอ่อ... พี่ตฤณเข้าไปคนเดียวก่อนได้ไหมครับ จ้าวลืมตุ๊กตาไว้ที่ห้องเก่าของพี่”

“ให้พี่ไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ จ้าวเดินไปตรงนี้แปปเดียวเอง พี่ตฤณจะได้มีเวลาเดินสำรวจห้องแบบไม่เกร็งเหมือนเวลาที่จ้าวอยู่ด้วย แล้วอีกอย่างจ้าวอยากรู้ด้วยครับว่ามีอะไรในห้องที่พี่ตฤณอยากให้เปลี่ยนใหม่ไหม”

จ้าวชักแม่น้ำทั้งห้าพยายามปิดทางไม่ให้ตฤณตามเขาไปด้วย ไม่อย่างนั้นแผนการที่เพิ่งวางไว้เมื่อครู่มันคงได้ล้มเหลวก่อนที่จะเริ่มต้นขึ้นเสียด้วยซ้ำ และเพื่อเป็นการย้ำชัดอีกครั้งว่าเจ้าตัวต้องการเดินไปเพียงลำพัง รอยยิ้มหวานอย่างเอาอกเอาใจจึงประดับอยู่บนใบหน้ากลมมนได้รูป ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่ตฤณไม่อาจปฏิเสธได้ “พี่ตฤณรอจ้าวแปปเดียวนะครับ”

จ้าวทิ้งตฤณไว้ที่ห้องนอนใหม่เพียงลำพังแล้วเดินออกมา เสียงร้องอู้อี้ของเนตรที่อยู่ในห้องนั้นตฤณไม่ได้ยินมันเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เนตรอยู่ตรงหน้าแต่เขากลับเดินผ่านเหมือนว่ามองไม่เห็นราวกับว่าคนทั้งคู่อยู่ต่างภพภูมิ ห้องใหม่ที่จ้าวจัดเตรียมไว้ให้ดูน่าอยู่กว่าห้องก่อนหน้านี้เยอะจนเขารู้สึกว่ามันผ่อนคลายขึ้นมาก เขาเดินสำรวจดูเรื่อยๆ แล้วพบว่าห้องนี้มีทั้งเตาผิงและขนาดของเตียงก็ใหญ่กว่า มีกลิ่นหอมกว่าและไม่อับเหมือนห้องเก่า 

ตฤณหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง กดโทรออกหายุ้ย โทรติดแต่กลับไม่มีใครรับสาย พอตั้งใจจะโทรไปอีกครั้ง จ้าวก็เดินเข้ามาในห้องพอดี

“พี่ตฤณโทรหาพี่ยุ้ยเหรอครับ ติดไหม”

“อ่า... ไม่รับสายน่ะ”

ตฤณมองดูโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ เขาเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกไป เนตรไม่เคยจากไปโดยไม่ล่ำลา ยุ้ยผู้ที่ติดต่อง่ายที่สุด รับโทรศัพท์ไวที่สุดกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มกลับไม่รับสายเขาเลย

“เดี๋ยวอีกสักพักพี่ตฤณค่อยโทรกลับไปใหม่นะครับ แต่ตอนนี้...”

แววตาสีเพลิงดูเป็นประกายระยิบระยับคล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังมีเรื่องสนุกอยู่ในหัว เรียวแขนเล็กเอื้อมออกไปจับมือแกร่งข้างหนึ่งเอาไว้ น้ำเสียงอ่อนหวานอันแสนไพเราะถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับ “จ้าวรักพี่ตฤณนะครับ”

เสียงกรีดร้องของเนตรด้วยความเจ็บปวดดังอื้ออึ้งไปทั่วทั้งห้องและมีเพียงจ้าวเท่านั้นที่ได้ยินมันหลังจากที่เขาสารภาพรักกับผู้ชายร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า คำบอกรักของจ้าวนำพาให้ใบหน้าของตฤณร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง เขาเบือนหน้าหนีไปยังทิศทางอื่น หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติกลับเต้นรัวเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขามันประหลาดนัก ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับเด็กคนนี้มาก่อนเลยด้วยซ้ำแต่พอยิ่งได้ชิดใกล้กลับยิ่งหลงใหล ยิ่งได้ลิ้มรสเลือดที่ไหลออกมาจากซอกคอที่ควรจะเหม็นคาวกลับอร่อยและหอมหวาน ทั้งที่เขาควรจะเว้นระยะห่างแต่กลับถูกดึงดูดให้เข้าใกล้ทุกครั้งที่เจอหน้า

“พี่ตฤณไม่ได้คิดแบบเดียวกับจ้าวก็ไม่เป็นไรครับ จ้าวเข้าใจดีเพราะเราก็เพิ่งเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง แทบจะยังไม่รู้จักกันดีด้วยซ้ำ ไม่แปลกหรอกครับถ้าพี่ตฤณจะไม่ได้คิดแบบเดียวกับที่จ้าวคิด ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณก็พักผ่อนเถอะนะครับ จ้าวไม่รบกวนแล้ว”

จ้าวแสร้งทำเป็นเดินหันหลังกลับไปในขณะที่เขารู้ดีว่าตฤณจะหันกลับมารั้งเขาเอาไว้นั่นทำให้รอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายผุดขึ้นที่มุมปาก ตฤณเดินมารั้งร่างของเขาเอาไว้อย่างที่คาดการณ์ ใบหน้ากลมมนนั่นหันกลับไปหาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลคลอดวงตาคู่งาม “พี่ตฤณไม่ต้องปฏิเสธจ้าวตรงๆ ก็ได้ แค่นี้จ้าวก็เข้าใจแล้ว”

“คือ... พี่...”

“ถ้ามันทำให้พี่ตฤณต้องลำบากใจ จ้าวขอเป็นแค่พี่น้องกับพี่ตฤณก็ได้ครับ”   

“คือ... มันไม่ใช่แบบนั้น คือ... พี่ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ารู้สึกกับจ้าวยังไง แต่เอาเป็นว่าพี่ไม่ได้รังเกียจจ้าวเลยนะ”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณกอดจ้าวหน่อยนะครับ กอดให้แน่นๆ เลยนะครับ”

แค่กอดคงไม่มีอะไรมาก ตฤณจึงโน้มตัวเข้าสวมกอดร่างที่เล็กกว่าอย่างที่ฝ่ายนั้นต้องการ ดวงตาสีเพลิงจ้องมองไปยังร่างของเนตรที่ถูกพันธนาการไว้กับเก้าอี้วิคตอเรียแล้วแสยะยิ้มมุมปาก ยิ่งเห็นเธอกรีดร้องทุรนทุรายคล้ายคนเจ็บปวดใกล้ตายเข้าไปทุกทีแต่ทำอะไรไม่ได้ จ้าวยิ่งมีความสุข

หลังจากที่จ้าวพาตฤณไปดูห้องเป็นที่เรียบร้อย เขาก็ปล่อยให้ตฤณได้อยู่เพียงลำพังบ้างพร้อมกับกำชับเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอย่าลืมโทรหายุ้ยด้วย ตฤณจึงกดโทรศัพท์ไปหายุ้ยอีกครั้ง

“ยุ้ย”

[ ตะ... ตฤณ ]         

เสียงของยุ้ยฟังดูแปลกๆ เธอพูดตะกุกตะกักเหมือนกับกำลังหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง

“เนตรอยู่ด้วยหรือเปล่า”

[ เปล่า ตฤณช่วย... ]

จู่ๆ เสียงของยุ้ยก็เงียบหายไปแล้วก็มีคลื่นแทรกเข้ามาเป็นเสียงผู้ชายที่เขาฟังจับใจความไม่ได้

“ยุ้ย! อยู่หรือเปล่า! ได้ยินไหม”

[ อืม อยู่ ]

“เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ฟังไม่ค่อยถนัด มันมีคลื่นแทรกเข้ามาพอดี”

[ ไม่... ไม่มีอะไร แค่จะบอกว่า... ฉันไม่ได้อยู่กับเนตร ]

“แล้วอยู่ไหน เดี๋ยวจะไปหา พอดีมีเรื่องอยากจะคุยด้วยนิดหน่อย”

[ ไว้... วันหลังนะ วันนี้ไม่สะดวกจริงๆ ]

เสียงของยุ้ยที่ดังมาจากโทรศัพท์คล้ายกับว่าเธอพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองเอาไว้ซึ่งตฤณก็จับสังเกตในจุดนี้ได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

[ เปล่า แค่เป็นหวัดนิดหน่อย ]

“ให้ไปเยี่ยมไหม”

[ อย่ามานะ!! ]

ยุ้ยตะโกนลั่นจนตฤณคิดว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ เขาจึงถามกลับไปด้วยอาการร้อนใจ “ยุ้ย! เป็นอะไร”

[ เปล่า แค่ไม่อยากให้นายติดหวัดน่ะ แค่นี้ก่อนนะ ]

สายของยุ้ยถูกตัดไป พอตฤณโทรกลับไปอีกครั้งก็พบว่ามันไม่มีใครรับสาย และพอโทรกลับไปอีกเป็นรอบที่สองก็กลับกลายเป็นว่าสายไม่ว่าง ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ เขาเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะยังไงอยู่เสียแล้ว




** ติดตามตอนต่อไป **



ที่ยุ้ยหายไปเพราะจ้าวลืมยุ้ยนี่เอง 555+
ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ให้กับนิยายเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 11 [28/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-01-2018 21:25:38
นี่ลืมยุ้ยแล้วนะเนี่ย อาการยุ้ยท่าทางจะแย่น่าดูเชียว  :ling3:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 11 [28/01/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 29-01-2018 01:46:37
จ้าวแลดูเกลียดเนตรมาก ... ไอ้ปากที่เย็บติดกันนี่มันคุ้นๆมากเลย ถามยังน่ากลัวสุดๆด้วย .... พี่เจตน่าสงสารนะเราแอบคิดว่าจ้าวเป็นคนฆ่าเจตด้วยนะเนี่ยพอได้อ่านตอนที่จ้าวทรมานเพื่อนตฤณ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 12 [04/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 04-02-2018 16:43:51
::: ตอนที่ 12 :::
ซ่อนหา ซ่อนหาย







โบราณกล่าวว่ายามมืดค่ำห้ามเล่นซ่อนหา มิเช่นนั้นจะถูกผีซ่อน



หน้าคฤหาสน์คัลเลนมักจะมีพวกอยากลองของแวะมาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน มีมาเป็นหมู่คณะวัยรุ่นที่อยากลองดีในแบบที่โบราณท่านห้ามเอาไว้ไม่ให้เล่นซ่อนแอบกลางดึกกลางดื่น

“มิกซ์ เอาจริงเหรอ”

ในจำนวนผู้กล้ามักมีพวกปอดแหกเวลาเจอสถานที่จริงอยู่ด้วยเสมอ

“หวาน มึงจะมากลัวอะไรตอนนี้วะ มึงเองก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอวะที่ว่าข่าวลือที่เขาลือกันมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ส่วนพวกกูก็แค่อยากรู้ว่าคำโบราณที่เขาว่ากันมันเป็นเรื่องจริงหรือแค่คำขู่ ก็วินๆ กันทั้งสองฝ่าย”

พวกเพื่อนในทีมต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยแม้ว่าคฤหาสน์นี้จะดูหลอนเกินคำบรรยาย ลมเย็นพัดผ่านมาเป็นระลอกแต่พวกเขาไม่รู้สึกว่ามันสบายเลยแม้แต่นิดเดียวกลับรู้สึกเย็นวูบถึงไขสันหลัง เสียวซ่านไปทั่วร่างกายแต่เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป

“แต่... ดูสิ มันน่ากลัวมากเลยนะ เราไม่ไหวหรอก”

ผู้ชายวัยยี่สิบต้นๆ รูปร่างสูงโปร่งทิ้งมวนบุหรี่ที่ดูดอยู่ลงกับพื้นแล้วใช้เท้าดับไฟที่ยังติดอยู่บนปลายแท่งให้มอดดับลงก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “เอาอย่างนี้ มาโอน้อยออกกันก่อนแต่หวานไม่ต้อง กูจะให้มึงเป็นคนซ่อน”

ในตอนนี้หวาน ผู้หญิงรูปร่างเล็กในชุดกางเกงยีนส์ขาสั้นที่ปิดเพียงแค่แก้มก้นชักเริ่มหวั่นใจแต่ก็ปฏิเสธเกมที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ เธอยืนมองเพื่อนที่เหลืออีกหกคนโอน้อยออกหาคนที่จะเป็นคนซ่อนตัวในคฤหาสน์และอีกหนึ่งคนที่จะเป็นคนหาเพื่อนที่หายไป

“สรุปโอม มิกซ์ หวาน แพรว จักร พวกมึงซ่อน ส่วนกูจะหา”

“ไผ่ ให้พวกกูเข้าประตูไปก่อนแล้วมึงค่อยนับหนึ่งถึงยี่สิบนะ ตอนนี้ห้าทุ่มครึ่ง เกมจบเวลาตีสอง ถ้าถึงตีสองแล้วให้แยกย้ายออกมากันได้เลย ส่วนเรื่องหาครบไม่ครบค่อยว่ากันทีหลัง ตกลงไหม”   

“เออ!”

เพื่อนที่เหลือยกเว้นไผ่ทยอยกันเดินเข้าไปยังด้านในของคฤหาสน์ เป็นการแอบย่องเข้าโดยที่คนในละแวกนั้นไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าจะมีใครเข้าหรือใครออก ขอเพียงแค่ไม่ไประรานหรือสร้างความวุ่นวายให้กับสิ่งที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนั้นพวกเขาก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

เสียงประตูปิดตามหลังทันทีที่คนทั้งห้าเดินเข้ามาหยุดอยู่กลางห้องโถง แต่ทว่าในจังหวะนั้น ไผ่ที่รออยู่ด้านนอกบริเวณสวนรกร้าง เขาเห็นผู้ชายวัยเดียวกันในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวคลุมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ ดวงสีเฮเซลนัทเป็นผู้ปิดประตูบานนั้นอย่างแรงและเร็วจนเกิดเสียงลมพัดผ่านหู

ไผ่ยืนนับหนึ่งถึงยี่สิบตามที่ตกลงกันไว้อย่างใจคอไม่ค่อยดี บรรยากาศที่ดูวังเวงและน่ากลัวกลับยิ่งเพิ่มขึ้นเท่าทวีคูณเมื่อยามต้องอยู่เพียงลำพังด้านนอก นี่เป็นการนับหนึ่งถึงยี่สิบที่รวดเร็วกว่าเข็มวินาทีที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกา พอนับจนครบตามจำนวนแล้วเขาก็รีบวิ่งไปเปิดประตูแต่ทว่าไม่ว่าจะออกแรงมากเท่าไร ประตูบานนั้นที่เขาเห็นว่าจักรเป็นคนเปิดมันออกอย่างง่ายดายในตอนนั้นกลับแข็งเสียจนไม่ยอมขยับเขยื้อนออกมาจากที่เดิมเลย

“อะไรวะ!”

ไผ่ไม่ย่อท้อ เขาลองดูอีกครั้งแต่ก็พบว่ามันยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น

“เข้าทางอื่นก็ได้วะ!”

ไผ่ต้องยอมเดินอ้อมคฤหาสน์ไปหาทางเข้าอื่น แม้ว่ามันจะน่ากลัวกว่าตอนที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เพียงลำพัง ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไรยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในป่าช้าเข้าไปทุกที ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นแสงจันทร์ที่เล็ดลอดผ่านเข้ามา เขาจึงใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์คอยส่องทางพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง

เมื่อเดินอ้อมมาถึงด้านหลัง ไผ่เห็นแสงไฟสลัวเล็ดลอดออกมาจากบานหน้าต่างที่ถูกปิดด้วยผ้าม่านผืนบาง ประตูไม้สีดำที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนักถูกเปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปใกล้มากกว่านี้ เสียงใบไม้แห้งที่คล้ายกับถูกเหยียบย่ำก็ดังขึ้น

สวบ!สวบ!สวบ!

พอหันหลังไปดูกลับไม่พบใครในความมืดมิดนั้น แต่เสียงฝีเท้าที่ย่ำลงบนใบไม้แห้งยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เขาเบนแสงไฟฉายส่องเข้าไปในความมืดนั้นแต่ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอยู่ท่ามกลางต้นไม้สูงใหญ่ที่ขึ้นปกคลุม ไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่แสงไฟส่องถึง

สวบ!สวบ!สวบ!

เสียงจังหวะฝีเท้าดังกระชั้นชิดขึ้นและดูเหมือนจะมีมากกว่าหนึ่ง ในขณะที่ไผ่ตัดสินใจจะก้าวเข้าไปหลบในห้อง ข้อเท้าของเขาก็ถูกล็อคเอาไว้ด้วยมือที่มีแต่กระดูก ไผ่ไม่อยากก้มลงไปมองแต่มันก็อดไม่ได้ พอได้เห็นมือที่ไร้เนื้อหนังที่กำลังจับข้อเท้าของเขาเอาไว้แล้วหัวใจแทบหยุดเต้น แขนเขาสั่นเทาหมดเรี่ยวแรง แต่แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจับขาอีกข้างแต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้มลงไปมองก็ถูกลากเข้าสู่ความมืดมิดใต้เงาไม้ที่อยู่ด้านหลัง

“อ๊ากกกกก”

เขาพยายามดิ้นเพื่อให้ขาของตัวเองหลุดออกจากการจับกุม แต่มือที่มีเพียงกระดูกกลับติดแน่นเหมือนถูกทากาวเอาไว้

“ม่ายยยยยย”

-------------------------------


หลังจากทั้งห้าคนเข้ามาในคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้างในนั้นทั้งมืดและอับชื้นจนส่งกลิ่นเหม็นแปลกๆ แสงไฟจากไฟฉายขนาดเล็กใหญ่ทั้งห้าดวงส่องดูรอบตัวแล้วพบว่ามันช่างเต็มไปด้วยฝุ่นและคราบสกปรกราวกับไร้การเหลียวแลมานานนับหลายสิบปี เมื่อดูจนเป็นที่พอใจแล้วต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายไปกันหาที่ซ่อนตัว หวานกับแพรวเลือกที่จะไปซ่อนด้วยกัน ส่วนผู้ชายที่เหลืออยู่นั้นจึงแยกย้ายกันไปทางซ้ายบ้าง ทางขวาบ้าง ขึ้นไปยังชั้นบนของคฤหาสน์บ้าง กระจายกันหลบซ่อนตัว

แพรวกับหวานเลือกที่จะหลบอยู่ในห้องครัว จักรเลือกห้องในมุมหนึ่งทางขวามือชั้นบน โอมเลือกสถานที่อย่างห้องน้ำเป็นที่หลบซ่อนและสุดท้ายนั้นมิกซ์เลือกห้องหนึ่งทางซ้ายมือชั้นบนไว้หลบผู้หาอย่างไผ่

แพรวกับหวานที่เลือกอยู่ในห้องครัวใช้แสงไฟจากไฟฉายเดินสำรวจดูรอบๆ ห้องแล้วพบว่ามันสะอาดสะอ้านกว่าห้องโถงกลางที่พวกเธอเพิ่งเดินผ่านมา จานและช้อนส้อมถูกวางไว้ในตะแกรงรอสะเด็ดน้ำดูราวกับว่ามีคนใช้งานเมื่อไม่นานมานี้ แพรวลองเอามือปาดลงบนเค้าท์เตอร์ทำครัวแล้วยกขึ้นมาดู มันแทบจะไม่มีฝุ่นเกาะเลยด้วยซ้ำ

“หวาน แกว่าที่นี่มีคนอยู่หรือเปล่าวะ”

“ก็คงมีมั้ง น่าจะเป็นพวกไร้บ้านแอบเข้ามาใช้พื้นที่ เพราะจากที่เราได้ยินข่าวมา เขาบอกว่าที่นี่ไม่มีคนอาศัยอยู่มาเป็นร้อยๆ ปีแล้วนะ แถมยังขึ้นชื่อเรื่องผีดุอีก ใครมันจะไปอยากซื้อที่ดินผืนนี้ต่อ”

เสียงกึกกักจากนอกห้องครัวทำให้พวกเธอทั้งสองคนรีบปิดไฟฉายแล้วแอบซ่อนอยู่ในตู้ใต้ซิงก์ที่เปิดบานประตูแง้มเอาไว้คอยดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก แสงไฟสลัวไหววูบตามแรงลมพัดอ่อนๆ สาดส่องเข้ามาในห้องครัวตามด้วยเสียงพูดคุยที่คล้ายกับกำลังสั่งงาน

“ลุงมิ่งข้างนอกเรียบร้อยดีไหมครับ”

“เกือบจะเรียบร้อยดีครับ”

“งั้นลุงมิ่งไปจัดการข้างนอกเถอะครับ เดี๋ยวจ้าวขอเก็บกวาดห้องครัวให้สะอาดสักหน่อย”     

หวานออกอาการตัวสั่น เธอคาดไม่ถึงว่าจะมีใครอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้จริงแถมยังเป็นเด็กตัวเล็ก หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแต่บรรยากาศรอบตัวเด็กคนนั้นมันทำเอาเธอกลัว

“จ้าวเจอหนูบ้านสองตัวเพ่นพ่านอยู่ในห้องครัว จะฆ่าให้ตายหรือปล่อยให้ค่อยๆ ทรมานจนตายอย่างช้าๆ ดีนะ”

ไม่ใช่คำถามที่ถามขึ้นมาลอยๆ แต่คำถามนั้นราวกับจงใจจะถามพวกเธอสองคนที่แอบอยู่ใต้เค้าท์เตอร์โดยเฉพาะแต่ใครเล่าจะกล้าตอบ ถ้าตอบกลับไปก็เท่ากับยอมรับว่าหนูที่ถูกกล่าวถึงนั้นคือพวกเธอเอง

ปึง!

ประตูเค้าท์เตอร์ใต้อ่างล่างจานถูกปิดลงอย่างแรงจนหวานและแพรวสะดุ้งโหยง พยายามกลั้นเสียงร้องด้วยความตกใจเอาไว้แต่ก็พอมีเล็ดลอดออกไปให้ได้ยินบ้าง แสงสว่างสีนวลลอดผ่านช่องว่างระหว่างประตูราวกับว่าเด็กคนนั้นกำลังส่องไฟเข้ามาข้างในเพื่อตามหาต้นตอของเสียงที่เกิดขึ้น

“หนูบ้านนี่หายใจเสียงดังจัง”

วงแสงสลัวจากเชิงเทียนคู่ค่อยๆ ถอยห่างออกไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เบาลงเรื่อยๆ ดูราวกับว่าเด็กคนนั้นจะออกจากห้องครัวไปแล้ว เนตรจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ส่วนแพรวนั้นก็หายใจหายคอได้คล่องขึ้นมาบ้างเล็กน้อยก่อนที่เธอจะกระซิบถามเสียงเบาเพราะกลัวว่าเด็กคนนั้นอาจจะยังอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไร “เอายังไงต่อดี”

“แง้มประตูไปดูกันไหม อยู่ในนี้นานๆ เรารู้สึกหายใจลำบากนิดหน่อย”

แพรวลองดันประตูออกไปอย่างที่หวานเสนอมาแต่มันกลับเปิดไม่ออก ไม่ว่าจะออกแรงมากแค่ไหนประตูที่ควรจะเปิดออกอย่างง่ายดายกลับปิดแน่นสนิทราวกับว่ามันถูกล็อคจากด้านนอกแต่ประตูเค้าท์เตอร์ที่ไม่มีกลอนแต่ใช้วิธียึดติดกันด้วยแรงดึงดูดของแม่เหล็ก ไม่มีทางที่มันจะถูกล็อคจากข้างนอกได้อย่างเด็ดขาด

“เปิดไม่ออก หวานส่องไฟที”

แสงไฟถูกส่องไปโดยรอบ อากาศหายใจเริ่มหมดไปเพราะห้องที่ปิดตายแต่ก็ยังพออยู่ได้ไปอีกสักพักใหญ่

“กลอนก็ไม่มีแล้วทำไมเปิดไม่ได้”

“แพรว~ ทำยังไงดีอ่ะ เรายังไม่อยากตายอยู่ในนี้นะ”

หวานเริ่มกระวนกระวายใจ อยู่ไม่สุขแต่ขยับมากไม่ได้เพราะติดแพรวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เธอเริ่มหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรนใจ ใช้มือทั้งสองข้างผลักประตูให้เปิดออกแต่มันไม่ขยับไปไหนเลย ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของบานประตู มีเพียงแค่เสียงมือของเธอที่กระทบกับไม้เท่านั้น

“ใจเย็นก่อน มันต้องมีวิธี”

แพรวมองดูไปรอบๆ อย่างมีสติ เธอกำลังหาทางที่จะออกไปจากที่แคบๆ ชวนให้อึดอัดแต่มันกลับไม่มีอะไรพอที่จะช่วยทุ่นแรงในการเปิดประตูเค้าท์เตอร์ นอกเสียจากกระบอกไฟฉายขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือ เธอจึงลองใช้มันกระทุ้งประตูแต่กลับนิ่งสนิทเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าจะลองอีกสักกี่ครั้งก็ไม่เห็นผลจนเริ่มใจเสีย

“แพรว~ เราจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ใช่ไหม”

ไม่ใช่แค่แพรวที่รู้สึกใจเสียแต่หวานก็เช่นกัน เธอเริ่มร้องไห้ น้ำตาคลอเบ้า พูดเสียงสั่นเครือ

“บ้าน่ะ! เข้ามาได้ก็ต้องออกได้”

“ฮึก! ถ้า... เรื่องผีดุมันเป็นเรื่องจริง ถ้าข่าวลือของคฤหาสน์นี่มันเป็นเรื่องจริง เรา... ฮึก! ต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ ใช่ไหม” 

ยิ่งได้ยินคำพูดของหวานก็ยิ่งทำให้แพรวใจไม่ดีแต่เธอก็เชื่อว่ามันต้องมีทางออก เรื่องประตูที่ปิดและเปิดไม่ได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เรื่องที่เด็กคนนั้นเดินมาตรงหน้าเค้าท์เตอร์ที่พวกเธอซ่อนตัวอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่เป็นไปได้คือมันต้องถูกล็อคหรือทำให้เปิดไม่ได้จากทางด้านนอก

“ไม่ตายหรอก มันต้องมีทางออก ใจเย็นแล้วตั้งสติหน่อย”

แพรวบอกกับทั้งตัวเองและหวานให้มีสติมากกว่านี้ เธอลองใช้ด้ามกระบอกไฟฉายกระทุ้งไปบนประตูอีกหลายครั้งแต่มันกลับไม่ขยับเลยสักนิดเหมือนก่อนหน้านี้จนเริ่มถอดใจ แต่ทว่าเมื่อเธอกำลังถอดใจและดูเหมือนจะเริ่มสิ้นหวัง ประตูเค้าท์เตอร์บานหนึ่งในฝั่งของเธอก็แง้มเปิดออกอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ทันได้ทำอะไร

“หวาน รอนี่นะ ให้ฉันออกไปดูก่อน”

“อื้อ”

แพรวค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดูซ้ายดูขวาก็ไม่มีอะไรจึงคลานออกมาได้ครึ่งตัว สายตาของเธอเหลือบไปเห็นรองเท้าสีขาวคู่หนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า มีแค่รองเท้าเท่านั้นแต่มันกลับขยับก้าวถอยหลังไปทีละก้าว... ทีละก้าว ร่างของเธอดูแน่นิ่งไปชั่วครู่ รองเท้าหุ้มข้อส้นเตี้ยที่ไม่มีคนสวมกลับขยับได้

“แพรว”

“หวาน... อย่าออกมา!!”

เสียงของแพรวขาดห้วงไปแล้วร่างของเธอก็ถูกดึงหายไปอย่างรวดเร็วในความมืดที่โรยตัวอยู่ด้านนอก

“แพรว!!”

หวานตะโกนเรียกเมื่อเห็นว่าอีกครึ่งของเพื่อนที่ยังอยู่ใต้เค้าท์เตอร์จู่ๆ ก็หายไปจากสายตาโดยที่เธอยังไม่ทันจะได้เอื้อมมือออกไปคว้าร่างเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเพื่อนถูกดึงหายไป เธอจึงกลัวและเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นจนกว่าจะถึงเวลาเลิกเล่นเกมบ้าๆ นี่


---------------------


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเหมือนใครกำลังเคาะอะไรสักอย่างอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล โอมที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำห้องหนึ่งที่ชั้นล่างของคฤหาสน์สะดุ้งเล็กน้อย เขามองจ้องไปยังประตูห้องเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงหน้า เสียงเคาะอะไรบางอย่างดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้กลับใกล้เหมือนอยู่ในห้องเดียวกัน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ถ้าการเคาะประตูบ่งบอกว่ามีผู้มาเยือน แต่ถ้าเป็นเสียงที่คล้ายกับของแหลมคมกรีดลงบนแผ่นกระจกจนปวดแก้วหูจะหมายความว่าอย่างไร โอมขยับตัวถอยหลังจนแผ่นหลังชิดกับผนังห้องน้ำ คอยจ้องมองไปยังประตูห้องอย่างไม่วางตา แสงไฟจากไฟฉายดวงโตดับลงไปตั้งแต่ที่เขาได้ยินเสียงเคาะประตูครั้งแรกแล้ว

ท่ามกลางความมืดมิดในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก มองเห็นเพียงแค่เค้าลางจางๆ ของสิ่งที่อยู่รอบตัว เสียงปลายเล็บเคาะลงบนแผ่นกระเบื้องดังอยู่รอบทิศทางเป็นจังหวะที่ชวนให้ขนหัวลุก โอมตัดสินใจเปิดไฟฉายอีกครั้ง ถ้าหากเป็นไผ่ที่ออกมาเดินหา เขายอมให้เจอเป็นคนแรกแต่ถ้าหากว่ามันไม่ใช่...

กี๊ดดดด กี๊ดดดดด

รอยกรีดบางๆ ปรากฏขึ้นบนบานกระจกเป็นเส้นยาวแล้วจางหายไปแต่โอมไม่ทันได้สังเกตมัน เขาเอาแต่จับจ้องไปที่หน้าประตูแต่ยังไร้วี่แววของผู้คน มีเพียงเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัวทำให้เขาหวาดกลัวอยู่บ้างเท่านั้น เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่องจนสร้างความรำคาญ เขาถึงกับสบถออกมา “ไอ้ไผ่! มึงไม่เล่นแบบนี้นะโว้ย”

“.......”

“ไอ้ไผ่!!”

“.......”

ตะโกนเรียกก็แล้ว เอาไฟฉายส่องไปหน้าประตูก็แล้วยังคงเงียบ มีทางเดียวที่โอมยังไม่ได้ลองนั่นก็คือเปิดประตูออกไปดู ในขณะที่กำลังก้าวเท้าจะไปเปิดประตู โทรศัพท์มือถือของเขาที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดๆ จนเขาเกือบหยุดหายใจ โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมา รายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้คิ้วของเขาขมวดน้อยๆ ‘Whan’

[ โอม... ช่วยเราด้วย ]

“เป็นอะไร หวาน”

[ ช่วยเราด้วย เรากลัว ]

น้ำเสียงสั่นเครือขาดๆ หายๆ แต่ยังพอฟังจับใจความได้อยู่บ้าง

“อยู่ที่ไหน”

[ ห้องครัว มาเร็วๆ นะ เรากลัว ]

“อืม เดี๋ยวจะไปหาเดี๋ยวนี้แหละ รอก่อนนะ”

โอมรีบวางสายแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากห้องสี่เหลี่ยมนี้ไปไหนก็มีเสียงอันสดใสของผู้หญิงดังขึ้นมาคล้ายกับกระซิบอยู่ข้างหู “ไปไหนเหรอจ๊ะ” ไม่เพียงเท่านั้นเขายังรู้สึกเหมือนมีอะไรมาลูบเบาๆ ที่ท้ายทอย มันเย็นเฉียบเหมือนก้อนน้ำแข็งก่อนที่จะรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนถูกของแหลมทิ่มแทงลงมา

“โอ๊ย!”

พอเอามือลูบตรงบริเวณท้ายทอยก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เป็นของเหลว ยิ่งสัมผัสมากเท่าไรก็คล้ายกับว่ามันจะเป็นของเหลวที่เหนียวเหนอะ เขาจึงเอาไฟส่องดูสิ่งที่เปรอะอยู่ที่มือแล้วแทบจะล้มทั้งยืน ภาพที่ปรากฏต่อสายตามีสีแดงเลือดหมูและคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในหัวก็หนีไม่พ้นคำว่า...

“เลือด!”

“ขอโทษทีนะ พอดีเล็บยาวไปหน่อย”

เสียงใสของผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว โอมจึงหันมองไปรอบๆ แต่กลับไม่พบใครหรืออะไร เขาไม่ใช่พวกที่จะตื่นกลัวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ยิ่งเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ที่ขึ้นชื่อว่าผีดุ เขายิ่งต้องเตรียมใจมาพร้อมรับมือกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ที่เขากลัวคือเลือด

“อยู่ไหน! แน่จริงก็โผล่มาซึ่งๆ หน้าสิวะ!”

“หันซ้ายมาสิจ๊ะ”

โอมหันซ้ายไปตามคำแนะนำ ได้เห็นภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในกระจกเงาและดูเหมือนมันจะไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัว เขาจึงผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก บางทีเสียงที่ได้ยินคล้ายกับมันกระซิบอยู่ข้างหูคงเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองและข่าวลือที่ว่าคฤหาสน์หลังนี้ผีดุคงเป็นเพียงแค่ข่าวลือทั่วๆ ไปที่ไม่มีมูลความจริงก็เพราะบรรยากาศที่ชวนให้ขวัญผวากับความเก่าที่สร้างความขลังให้กับสถานที่แห่งนี้เท่านั้น

“กูว่ามันต้องติดลำโพงในห้องน้ำไว้หลอกคนแน่เลยว่ะ”

“เหรอจ๊ะ”

โอมแค่บ่นกับตัวเองแต่ไม่คิดว่าจะมีใครตอบ เขาจึงหันมองกลับไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงนั้นแต่ไม่พบอะไรอีกเช่นเคย

“ถ้าอยากเห็นนักก็หันซ้ายมาอีกทีสิ”

โอมไม่เชื่อว่ามันจะมีผีคอยหลอกหลอนอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้จริง เขาจึงหันกลับไปมองยังบานกระจกที่อยู่ตรงหน้าอ่างล้างมือแต่ทว่าภาพที่ปรากฏบนกระจกบานนั้นไม่ได้เหมือนที่เขาคาดเอาไว้ ผู้หญิงคนนั้นยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง ผมของเธอสีดำมันขลับยาวกระเซอะกระเซิงปกปิดใบหน้าเรียวยาวเพียงครึ่ง ดวงตาสีนิลฉายแววโกรธเคืองจ้องมองมายังเขา ริมฝีปากเรียวบางฉีกกว้างลากยาวเกือบถึงใบหูทั้งสองข้าง มือเหี่ยวแห้งถือมีดพกเล่มเล็กจ่อคอหอยของเขาเอาไว้

“ทีนี้เจอหรือยัง”

ขาของโอมสั่นเทาขึ้นมาเสียเฉยๆ ในห้องนี้ที่มีเพียงเขานั่งเฝ้าอยู่ลำพังกลับปรากฏว่ามีผู้หญิงอีกคนอยู่ในห้องร่วมด้วย ร่างกายทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรงแต่เงาที่สะท้อนอยู่ในบานกระจกยังคงอยู่อย่างนั้น ผู้หญิงไร้ชื่อคนนั้นยังถือมีดจ่อที่คอของเขาเอาไว้

“เคยมีใครเตือนหรือเปล่าว่าอย่าส่องกระจกหลังเที่ยงคืน”   

ไม่เคยมีใครเตือนเรื่องนี้แต่โอมก็เคยได้ยินคำโบราณกล่าวเอาไว้ว่าห้ามส่องกระจกหลังเที่ยงคืนเพราะอาจจะเจอดี และนี่คงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่ฟังคำเตือนนั้น เขาคว้าเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลาที่อยู่บนหน้าจอ มือข้างนั้นสั่นเทิ้มพอๆ กับหัวใจที่เริ่มหลุดการควบคุม เวลาที่ปรากฏอยู่บนนั้นคือเที่ยงคืนกับอีกสองนาที

“อึก!”

ปลายมีดทีจ่อลงบนคอของโอมในกระจกเงาบานนั้นค่อยๆ กดลึกลงจนรู้สึกเจ็บแปล๊บ เขาเอามือที่แทบจะยกไม่ขึ้นแตะลงบนคอของตัวเอง หยาดหยดเลือดเม็ดเล็กติดมือจนสัมผัสได้และยิ่งสัมผัสได้มากกว่านั้นคือความเจ็บปวดที่กรีดลึกลงบนลำคอเป็นทางยาว เขาตะเกียดตะกายตัวขึ้นเกาะอ่างล้างมือเอาไว้ พยายามทรงตัวให้อยู่

ริมฝีปากเรียวบางสีแดงสดที่ฉีกกว้างจนเกือบถึงใบหูค่อยๆ ยกยิ้มอย่างเย้ยหยันในขณะที่มือข้างนั้นยังคงถือมีดปาดลำคอผ่านหลอดลมอย่างช้าๆ ให้รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานราวกับตายทั้งเป็น

“ยะ... อย่า... ขอ...”

โอมพยายามเปล่งเสียงพูดร้องขอชีวิตที่มีเพียงหนึ่งเดียวของเขาเอาไว้แต่กลับพูดออกมาได้อย่างกระท่อนกระแท่นจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ มือข้างหนึ่งเลื่อนจากอ่างล้างมือมากดบาดแผลบริเวณลำคอของตัวเองเพื่อห้ามเลือดที่ไหลออกมาอย่างกับก๊อกน้ำที่เปิดจนเกือบสุด     

ร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง มือข้างหนึ่งค่อยๆ ตะกายพื้น ส่วนอีกข้างคอยกดบาดแผลเอาไว้ ขาทั้งสองข้างขยับไปมาเพื่อดันตัวเองให้ออกไปจากห้องน้ำนี้เมื่อเห็นว่าบานประตูที่ปิดอยู่ตั้งแต่แรกเปิดแง้มออกมาเล็กน้อย ความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีอยู่ตรงหน้าแล้วแต่มันกลับหายไปเมื่อประตูบานนั้นปิดลงอีกครั้ง

“อื้อ!”

เลือดไหลออกมาราวกับเขื่อนที่เริ่มร้าวเจิ่งนองอยู่รอบตัว โอมพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อหอบเอามวลอากาศเข้าไปหล่อเลี้ยงสมองและส่วนต่างๆ ของร่างกาย แขนขาใกล้หมดเรี่ยวแรงไปทุกทีจนทำได้เพียงแค่นอนนิ่งๆ แล้วภาวนาให้ใครสักคนมาช่วยก่อนที่สติจะหลุดลอยหายไป

“ขอให้โชคดี”

หญิงไร้ชื่อคนนั้นเอ่ยก่อนที่จะหายไปจากกระจกและปล่อยโอมทิ้งไว้กับปลายทางแห่งความตายที่ยมทูตเตรียมง้างเคียวเกี่ยววิญญาณที่อยากลองของให้ลงสู่นรกภูมิ




** ติดตามตอนต่อไป **

ตอนนี้ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไรเนอะว่ากันไหมคะ?

--------------------

areenart1984
ขอบคุณค่ะ เราเองก็ลืมยุ้ยไปเหมือนกันค่ะ คือแบบ... นึกถึงแค่ลีกับเนตร

Nekosama
ขอบคุณนะคะ ปากที่เย็บติดกันนี่จำได้คร่าวๆ เหมือนเคยดูจากเรื่อง SAW4 น่ะคะ (คิดว่านะคะ เพราะไม่ได้ดูหนังแนวนี้มานานมากแล้ว)

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 12 [04/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-02-2018 03:30:57
ไม่หลอนเลยซักกะนิด  แค่ขนลุกกับเย็น ๆ ที่หลังคอ  o21
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 12 [04/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 05-02-2018 12:46:48
คนหาโดนเก็บคนแรกเลยจ้า...
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 13 [10/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 11-02-2018 17:48:46
::: ตอนที่ 13 :::
ฉันก็รักของฉัน




เมื่อยามที่มนุษย์เรายังอยู่ในวัยเยาว์ก็จะมีการละเล่นกันแบบเด็กๆ หนึ่งในการละเล่นนั้นคือตะล๊อกต๊อกแต๊ก


ตะล๊อกต๊อกแต๊กมาทำไม      มาซื้อดอกไม้
ดอกอะไร                        ดอกจำปี
ยังไม่มี                           ดอกจำปา
ยังไม่มา                          ดอกกุหลาบ
ยังไม่ทราบ                      ดอกมะลิ
ยังไม่ผลิ                         ดอกเจ้าชู้
ยังไม่รู้                           ไปดูหนังไหม
เรื่องอะไร                       เรื่องผีดิบ
ไม่มีสตางค์                      จะออกให้
ไม่มีเสื้อผ้า                      จะหาให้
ไปก็ไป

หวานที่กำลังแอบซ่อนตัวด้วยความหวาดกลัวและกำลังสวดมนต์ภาวนาให้มีใครพาเธอออกไปจากที่นี่โดยเร็ว เมื่อได้ยินเสียงใสๆ ร้องเพลงตะล๊อกต๊อกแต๊กอยู่ข้างนอกไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เธอกำลังใช้เป็นสถานที่หลบซ่อนตัว ร่างกายอันแสนบอบบางก็สั่นเทามากขึ้นกว่าเดิม หยาดหยดน้ำตาดวงเล็กไหลออกมาจากดวงตากลมโตอย่างเชื่องช้า เธอพยายามกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกไปให้ใครได้ยิน และเสียงที่ดังขึ้นหลังจากที่บทเพลงนั้นจบลงคือเสียงหมาที่แข่งกันหอนเกรียวกราว

หมาทำไมถึงหอน             มันเห็นผี
ผมเธอทำไมถึงยาว           ฉันปล่อยไว้
เล็บเธอทำไมถึงยาว          ฉันปล่อยไว้
หน้าเธอทำไมถึงขาว          ฉันผัดหน้า
ตาเธอทำไมถึงโบ๋             ฉันเป็นผี

สิ้นประโยคสุดท้าย เสียงสะอื้นไห้ก็ถูกปิดเอาไว้ไม่มิด มันดังเล็ดลอดออกมาจากตู้ใต้ซิงก์

“เจอแล้ว อยู่นี่เอง หาตั้งนาน”

บานประตูเค้าท์เตอร์ที่หวานใช้หลบซ่อนตัวแง้มเปิดออกอย่างช้าๆ เพียงเล็กน้อย ถึงแม้เธอจะร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นสายเปรอะพวงแก้มทั้งสองข้าง ถึงแม้เธอจะหวาดกลัวมากเท่าไรแต่ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใสก็ยังพยายามจดจ้องออกไปด้านหน้า มือเล็กอันแสนน่ารักดูนุ่มนิ่มน่าจับถูกยื่นเข้ามาตรงหน้าเธอ

“ออกมาเถอะครับ”             

หวานไม่กล้าที่จะยื่นมือออกไปจับ เธอกลัวว่ามันจะเป็นเหมือนแพรวที่แค่คลานออกไปเพียงครึ่งตัวก็ถูกลากหายไปในความมืดที่โรยตัวอยู่รอบๆ

“พี่ครับ อยู่ในนั้นนานๆ เดี๋ยวจะขาดอากาศหายใจไปซะก่อน ออกมาข้างนอกดีกว่าครับ”

หวานยังคงนั่งขดตัวนิ่งอยู่ในนั้นแต่สายตายังไม่ละไปจากมือที่ยื่นเข้ามา เธอพยายามมองอย่างพินิจพิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนว่าถ้าหากยอมที่จะจับมือเล็กข้างนั้นแล้วเป็นเหมือนเพื่อนของเธอที่หายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่รู้ว่าถูกพาไปที่ไหน เธอจะทำอย่างไร อีกอย่าง... เธอเพิ่งโทรไปเรียกให้โอมมาหา คงอีกไม่นาน

“รออะไรอยู่เหรอครับ”

หวานไม่กล้าตอบคำถามนั้น เธอเอาแต่นั่งนิ่ง พยายามกลืนเสียงร้องไห้ลงคอ

“เอ๋? หรือว่าจ้าวจะเข้าใจผิด นึกว่ามีใครอยู่ในนี้ซะอีก ถ้าไม่มีใครออกมาจริง ขออนุญาตปิดตายเค้าท์เตอร์ทำครัวนะครับ”

หวานสะดุ้งเฮือก ถ้าหากเค้าท์เตอร์ที่เธอใช้หลบซ่อนอยู่ถูกปิดตายขึ้นมาและโอมหาไม่เจอ คนที่จะตายจริงๆ อาจเป็นตัวเธอเองก็ได้ สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจค่อยๆ คลานออกมาแต่ร่างนั้นยังคงสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว เธอเพียงแค่อยากรู้ว่าข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้เป็นจริงหรือไม่และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเธอได้คำตอบนั้นมาแล้ว เพราะเมื่อคลานออกมาอย่างช้าๆ กลับกลายเป็นว่าไม่พบใครเลยทั้งที่เธอคอยจ้องมองดูฝ่ามือเล็กนั่นอยู่ตลอดแท้ๆ


แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!


เสียงคล้ายกับช้อนสแตนเลสเคาะลงบนชามกระเบื้องเคลือบดังอยู่เหนือหัว หวานค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองอย่างเชื่องช้า แสงจันทร์ที่สาดส่องลอดผ่านบานกระจกเข้ามาข้างในบอกกับเธอว่ามีช้อนและชามอยู่จริงบนเค้าท์เตอร์ทำครัว แต่ช้อนที่กำลังเคาะบนชามข้าวมันกำลังลอยอยู่กลางอากาศ

“กรี๊ดดดดดดดด!”

หวานรีบคลานออกมาจากห้องให้ไวที่สุด แม้จะหวาดกลัวแค่ไหนก็ต้องพาตัวเองออกมาจากที่ตรงนี้ให้ได้ก่อน ไม่รู้ว่าหาเรี่ยวแรงมาจากไหน เธอวิ่งออกไปอย่างสุดแรงเกิด ไม่มองซ้ายมองขวา ขอเพียงแค่หลุดออกมาจากห้องที่ชวนให้ประสาทเสียเท่านั้นเป็นพอ แต่เพราะวิ่งอย่างไร้ทิศทางจนไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมาหยุดอยู่ตรงไหนของคฤหาสน์ เธอจึงเลือกที่จะหาที่หลบซ่อนตัวอีกครั้ง บานประตูสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกเปิดออก ไฟฉายขนาดเล็กที่เธอพกมาด้วยส่องสว่างเข้าไปข้างในห้องแล้วเธอก็กรีดร้องอย่างเสียสติอีกครั้ง

“กรี๊ดดดดดดดดด!!”

ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือร่างของโอมที่นอนจมกองเลือดอยู่หน้าประตู

ร่างกายของเธอหมดเรี่ยวแรงลงอีกครั้ง น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วยังไหลต่อเนื่อง เธอทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ร้องห่มร้องไห้เศร้าเสียใจกับการจากไปของเพื่อนที่เพิ่งจะพูดคุยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ในตอนนี้กลับกลายเป็นศพอยู่ต่อหน้าต่อตา

“โอม!!! ฮืออออออ”

ไม่ว่าหวานจะตะโกนเรียกชื่อเพื่อนดังเท่าไร ร่างนั้นก็ยังคงนอนแน่นิ่งจมกองเลือดที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นกระเบื้องสีขาว เธอค่อยๆ คลานเข้าไปใกล้อย่างไม่สนใจว่าทั้งมือและขาทั้งสองจะเลอะเปรอะคราบเลือด มือเล็กพลิกร่างสูงใหญ่ของเพื่อนขึ้นมาอย่างยากลำบาก ช้อนศีรษะที่โงนเงนตามแรงโน้มถ่วงของโลก ประคองมันอย่างเบามือให้มาหนุนตักของเธอ

“เราขอโทษ! เราขอโทษนะ โอม เราขอโทษ!” 

ถึงจะพร่ำเอ่ยขอโทษแต่เจ้าของร่างนั้นไม่อยู่ฟังแล้ว

“ฮึก! โอม เราขอโทษ เราขอโทษ”

หวานซบใบหน้าของเธอลงบนร่างที่ไร้วิญญาณ หยาดหยดน้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ขาดสาย หัวใจของเธอแทบแหลกสลายลงเมื่อเห็นเพื่อนที่รักไม่มีชีวิตอยู่อีกเอา เธอเอาแต่พร่ำขอโทษและนึกโทษตัวเอง ถ้าหากไม่เป็นเพราะเธออยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับข่าวลือของคฤหาสน์หลังนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะเธอพยายามโน้มน้าวใจทุกคนให้มาร่วมสืบหาความจริงด้วยกันผ่านการละเล่นก็คงไม่มีใครตาย

บานประตูที่เปิดค้างเอาไว้ตอนที่หวานคลานเข้ามาหาร่างของโอมในห้องน้ำปิดฉับลงเสียงดัง เธอสะดุ้งสุดตัวแล้วเงยหน้าขึ้นมามอง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่มีอะไรให้กลัวเว้นเพียงแค่ประตูบานนั้นที่ปิดลงราวกับถูกลมพัดอย่างแรงแต่ลมคงไม่พัดในที่ร่ม

หวานร่ำไห้อย่างหนัก ในตอนนี้เธอทั้งกลัวทั้งลนลาน ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นดี มองไปรอบตัวก็มีแต่กองเลือดกับไฟฉายตกอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวที่นึกขึ้นมาได้ก็มีแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นแต่จะอ้อนวอนขอร้องอย่างไรในเมื่อพวกเธอพาตัวเองเดินมาสู่ขุมนรกเอง


-------------------------


จ้าวเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพักของตฤณ เคาะลงไปเบาๆ บนบานประตูห้องเหมือนเช่นทุกครั้งในขณะที่เจตรินยังไม่กลับมาจากการไปทำงานที่ต่างจังหวัด เขายืนรออยู่หน้าห้องไม่นานก็ได้ยินเสียงคนก้าวลงจากเตียงนอน สาวเท้าอย่างช้าๆ มาเปิดประตู

“พี่ตฤณ จ้าวมารบกวนพี่อีกแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอก เข้ามาสิ”

ตฤณเริ่มชินแล้วกับการที่จ้าวมาเคาะประตูห้อง ขอนอนด้วยและนี่เป็นครั้งที่สามที่ได้นอนร่วมเตียงเดียวกัน เขาไม่รู้สึกแปลกๆ เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้วแต่ทว่ายิ่งรู้สึกอยากอยู่ใกล้ในทุกช่วงเวลา เมื่อเห็นดวงตาสีเพลิงมองมา ปลุกเร้าความร่อนรุ่มดั่งไฟให้แผดเผาทั้งกายและใจ

“คืนนี้อากาศหนาว พี่ตฤณกอดจ้าวแน่นๆ หน่อยนะครับ”

“ไม่บอก พี่ก็จะกอดจ้าวให้แน่นอยู่แล้วล่ะ”

รอยยิ้มหวานหยดแลเจ้าเล่ห์เพทุบายปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลมมน แต่ทว่าดวงตาสีเพลิงกลับมองผ่านร่างของตฤณไปยังร่างของผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้วิคตอเรียที่อยู่ด้านหลัง เขาได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่ถูกเย็บติดกัน แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเนตรเพียงแค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้จ้าวมีความสุขได้สักเท่าไร

“พี่ตฤณ นอนกันดีกว่าครับ จ้าวง่วงแล้ว”

จ้าวก้าวขึ้นเตียงนอนแล้วกลิ้งไปทางฝั่งขวา เลือกที่จะให้ตฤณนอนฝั่งซ้ายซึ่งอยู่ติดกับประตูห้องโดยที่กลางห้องนั้นยังมีร่างของเนตรที่ถูกพันธนาการติดกับเก้าอี้และโดนบังตาเอาไว้ด้วยอำนาจของจ้าว เขาสอดตัวเข้าใต้ผืนผ้าห่มและแสร้งทำเป็นหลับตาลง นอนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น เสียงกรีดร้องของเนตรที่แสดงความไม่พอใจดังเข้าหูอยู่เป็นระยะ น่าเสียดายที่ตฤณไม่ได้ยินมันเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าหลับแบบนี้แล้วพี่จะกอดยังไงล่ะ”

เสียงคมเข้มกระซิบเบาข้างหู ตฤณที่โน้มกายลงมาคล้ายกับจำขึ้นคร่อมร่างเล็กที่อยู่ใต้ผืนผ้าห่มสร้างความเจ็บปวดให้กับเนตรที่ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองดูอยู่ห่างๆ เจ็บปวดจนน้ำตาที่หลั่งออกมาแทบกลายเป็นสายเลือด หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติคล้ายกับใครเอามือมาบีบมันเอาไว้แน่น

“ถ้าพี่ตฤณกอดไม่ได้ ให้จ้าวกอดพี่ดีกว่าครับ”

ตฤณคิดว่าจ้าวหลับไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าเด็กตัวน้อยคนนั้นยังไม่หลับแถมพลิกตัว หันมาเผชิญหน้ากับเขาในระยะที่ห่างกันเพียงแค่คืบเดียว เขาชะงักไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะถอยออกมาก็ถูกมือเล็กดึงรั้งเอาไว้ก่อน สายตาที่ส่งผ่านมาทั้งเย้ายวน เชิญชวนเหมือนคราวก่อนหน้าไม่มีผิด เพียงแค่มันได้ผลชะงักกว่าที่ผ่านมาก็เท่านั้น

“จ้าว...”

“พี่ตฤณอยากลองชิมสักหน่อยไหมล่ะครับ จะชิมตรงไหนก็ได้ จ้าวยินดี”

“เอ่อ...”

ตฤณขยับตัวออกมาเล็กน้อย กลืนน้ำลายลงคอพลางหักห้ามใจไม่ให้คิดเลยเถิดไปไกล แม้ว่ารู้ว่ามันยากเมื่อภาพตรงหน้านั้นพาให้หัวใจเขาหลงใหลในรูปกายภายนอก หลงใหลในน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมา อีกทั้งยังหลงใหลในทุกสิ่งที่เด็กคนนั้นเป็น

“พี่ตฤณกลัวใจตัวเองเหรอครับ”

ตฤณไม่กล้าตอบว่ามันใช่ เขาได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

“ไม่เห็นจะต้องกลัวเลยนี่ครับ ปล่อยให้ความรู้สึกมันเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นเถอะครับ”


ปล่อยให้ความรู้สึกเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น


ถ้าตฤณทำแบบนั้นจริงๆ เขาไม่แน่ใจว่ามันจะดีจริง ถ้าหากพี่ชายของจ้าวรู้เข้าว่าเขาได้ล่วงเกินน้องชายคนนี้ อะไรจะเกิดขึ้น

“ลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ”

จ้าวขยับตัวขึ้นเล็กน้อยให้อยู่ในท่าที่ถนัดกว่า ดวงตาสีเพลิงจ้องไปยังดวงตาของอีกฝ่ายอย่างเร้าร้อน เชิญชวนไม่สมกับความเป็นเด็กวัยสิบห้าปีแต่เรื่องนั้นคงไม่สำคัญอีกแล้วเมื่อร่างที่ใหญ่โตกว่าแนบกายทาบทับลงมา

“พี่ตฤณ… เบาหน่อยนะครับ จ้าวไม่เคย”

ถ้าบอกว่าไม่เคยก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่เชื่อยาก แต่ใช่ว่าตฤณจะใส่ใจในเมื่อร่างที่อยู่ข้างใต้นั่นน่าสนใจกว่ากันเยอะ

“จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกของจ้าวเหรอ พี่ควรเชื่อดีไหมนะ”

“จ้าวไม่โกหกพี่หรอกครับ นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ พี่ตฤณช่วยถนุถนอมจ้าวด้วยนะครับ”

ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวระหว่างกันและกันขึ้น เจ้าบ้านอย่างจ้าวก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มันช่างขัดขวางความสนุกระหว่างพวกเราสามคนได้ดีทีเดียวแต่เขาจากไปไม่ได้ ตฤณที่กำลังตกอยู่ในเส้นทางที่เขาบังคับให้เดิน เนตรที่กำลังกรีดร้องอย่างไม่หยุดด้วยความทุกข์ทรมานที่ค่อยๆ กัดกินจิตใจเธออย่างช้าๆ และความสนุกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นคือสิ่งที่เขาอยากให้เป็น

“พี่ตฤณครับ ขอจ้าวเข้าห้องน้ำแปปนึงนะครับ”

ตฤณพยักหน้าพร้อมกับตอบรับในลำคอเบาๆ จ้าวจึงรีบลุกออกจากเตียงแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไป เมื่อเข้ามาแล้วเขาเปิดก๊อกน้ำที่อ่างล้างหน้าจนสุดและปล่อยให้เสียงน้ำที่ไหลแรงกลบคำพูดของตัวเองให้ได้มากที่สุด

“พี่เจต จ้าวรู้ว่าพี่ได้ยิน”

เด็กตัวน้อยยืนจ้องมองกระจกหน้าอ่างล้างมือเขม็ง ภาพเจตรินเพียงครึ่งตัวปรากฏขึ้นมาทันทีที่ถูกเรียก

‘มีอะไรเหรอ พี่กำลังเล่นสนุกอยู่เลย’


“พักเรื่องสนุกของพี่ไว้ตรงนั้นก่อนเถอะครับ แวะไปดูห้องของเราบ้างก็ดีนะครับ มันน่าจะสนุกกว่าสิ่งที่พี่กำลังทำอยู่ตอนนี้”

‘จ้าวไปเองน่าจะดีกว่านะ’


“จะขัดคำสั่งเหรอครับ! จ้าวให้ไปก็ควรไปดูสักหน่อยนะครับ”

‘ก็ได้ พี่ไปดูก็ได้ แต่จ้าวกำลังจะทำอะไร’

“ทำให้พี่ตฤณเป็นของจ้าวยังไงล่ะครับ ไปได้แล้วล่ะครับ อ้อ! ฝากพี่จัดการเก็บกวาดซากหนูข้างล่างด้วยนะครับ”

จ้าวสาดน้ำที่ไหลอยู่ให้เปียกรดกางเกงนอนขาสามส่วนแล้วเดินออกมา ปั้นยิ้มหวานให้ประดับอยู่บนใบหน้ากลมมนอันแสนน่ารักดวงนั้น เขาผ่านเก้าอี้ที่เนตรได้แต่นั่งส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างไม่แยแส ยิ่งเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยการวิงวอนขอร้องยิ่งทำให้เขากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจลึกๆ

“พี่ตฤณ”

เสียงเรียกหงอยๆ กับใบหน้าที่เศร้าสลดเล็กน้อย ดวงตาสีเพลิงจ้องมองไปยังกางเกงที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำแล้วไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดี

“อ้าว~ ทำไมกางเกงเปียก”

ตฤณลงจากเตียงนอนที่เขาเพิงเอนหลังพิงหัวเตียงไปได้ไม่นาน ลุกขึ้นมาดูสภาพที่ช่วงล่างของเด็กตัวน้อยเปียกปอนแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าหากนอนไปทั้งอย่างนี้ก็กลัวว่าจะไม่สบายไปเสียก่อนแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร จ้าวก็โผล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิวคล้ายกับจะร้องไห้ที่ตัวเองอาจจะกลายเป็นภาระให้ “คือ... ตอนที่จ้าวล้างมือ ไม่ทันระวัง น้ำมันเลยกระเด็นใส่”

“กลับห้องไปเปลี่ยนก่อนไหม เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“แต่จ้าวง่วงแล้ว ถ้าให้เดินไปที่ห้องคงหลับกลางทางแน่เลยครับ”

“แล้ว... จะทำยังไงดี”

“จะเป็นอะไรไหมครับ ถ้าจ้าวขอถอดกางเกงแล้วตากเอาไว้บนเก้าอี้ก่อน”

มันคงไม่เป็นอะไรถ้าแค่ถอดเพื่อเปลี่ยนตัวใหม่ แต่ถ้าถอดแล้วไม่มีอะไรมาสวมทับ ตฤณก็กลัวใจตัวเองจะเตลิดเปิดเปิงไปเสียก่อน เรียวขาเล็กสีไข่มุกที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กางเกงผ้าเนื้อดีคงงดงามจนยากจะห้ามใจไม่ให้เผลอไผลไปสัมผัส เขานิ่งเงียบไปอยู่ชั่วอึดใจ ไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปว่าอย่างไรดี

“งั้น... จ้าวไปถอดในห้องน้ำก็ได้ครับถ้าพี่ตฤณไม่อยากมอง”

“มะ... ไม่ใช่แบบนั้น คือ... พี่...”

“ถ้าพี่ตฤณไม่ได้รังเกียจก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ อีกอย่างจ้าวก็ใส่ชั้นในเอาไว้”

จ้าวยกยิ้มหวานเมื่อเห็นว่าตฤณพยักหน้ายอมให้เขาถอดเปลี่ยนจนเหลือแต่ชั้นในเพียงตัวเดียวกับเสื้อผ้าฝ้ายตัวยาวโปร่งบางที่ยกปกคอสูง ผูกมัดด้วยริบบิ้นเอาไว้หลวมๆ เขาเผลอปรายตามองร่างของเนตรที่นั่งร้องไห้ เจ็บปวดทรมานใจแต่ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้แม้กระทั่งจะตะโกนบอกให้ตฤณรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นปีศาจ

กางเกงที่เปียกชื้นด้วยฝีมือของเจ้าตัวถูกวางพาดไว้บนพนักเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง ร่างเล็กก้าวเท้าอย่างเชื่องช้า ท่าทางกระมิดกระเมี้ยนราวกับเขินอายที่จู่ๆ ก็เผยส่วนเนื้อหนังมังสาให้ชายผู้ยังไม่รู้จักมักคุ้นดีได้เห็น ใบหน้ากลมมนขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยพลางก้มหน้างุด เอาแต่มองปลายเท้าตัวเองเวลาเดินไปขึ้นเตียงนอน

“ทำไมเดินแบบนั้นล่ะ”

“จ้าวก็เขินเป็นเหมือนกันนะครับ ยิ่งอยู่ต่อหน้าพี่ตฤณแล้ว...”

จ้าวไม่กล้าพูดอะไรต่อ เขารีบสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแล้วเอาหน้าซุกลงกับหมอนหนุน ตฤณยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ท่าทางเขินอายของจ้าวดูน่ารักน่าเอ็นดูไม่หยอกจนเขาอยากเข้าไปกอดฟัดให้หนำอกหนำใจ เขาสอดตัวเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแล้วดึงให้ปลายผ้าห่มด้านบนปิดคลุมหัวทั้งคู่จนมิด

“พี่ตฤณทำอะไรครับ”

“จ้าวอยากให้พี่ทำอะไรล่ะครับ”

จ้าวไม่ยอมตอบว่าอยากให้ตฤณทำอะไร เอาแต่ซุกหน้ากับหมอนหนุนอยู่อย่างนั้น

“ใครบอกกับพี่นะว่าปล่อยให้ความรู้สึกเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น”

“.......”

การเล่นตัวควรต้องเป็นส่วนหนึ่งของแผนแต่ทำไมถึงได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ อยากเล่นตัว เขินอายเวลาถูกมอง เขาใช้ชีวิตอยู่ในร่างของเด็กมาเป็นเวลาร้อยกว่าปีแต่ทว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่หัวใจจะถูกชักจูงได้ แต่ทว่าทำไมยิ่งมองดวงตาคมเข้มคู่นั้นยิ่งเห็นความอ่อนโยนส่งผ่านมา แม้ว่าเขาจะเชิญชวนให้ลิ้มรสร่างกายนี้แต่อีกฝ่ายกลับไม่เคยล่วงเกินไปไกล ถ้าหากเจตรินอยู่ตรงนี้ด้วยคงถูกล้อไม่เลิกราแน่ จ้าวผู้มีอำนาจเหนือใครแต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่หัวใจตัวเอง

“นอนเถอะ เดี๋ยวพี่จะกอดเอาไว้แน่นๆ เหมือนทุกครั้งนะ”

จ้าวพยักหน้า ยอมให้ตฤณใช้แขนแกร่งโอบกอดร่างของเขาเอาไว้ภายใต้ผืนผ้าห่ม สันจมูกคมกดลงเน้นๆ บนสันไหล่ผ่านเนื้อผ้าผืนบางที่ปกปิดเรือนร่างเล็ก สูดกลิ่นหอมหวานจากผิวพรรณเนียนนุ่มที่เขาแอบสัมผัสมันตอนเคลื่อนมือผ่านต้นขาเรียวเล็กมาโอบกอดเอวบาง

“พี่ตฤณ~”

เสียงร้องครวญครางของร่างที่อยู่ในอ้อมกอดสร้างความตื่นตัวให้กับสิ่งที่อยู่ใต้หว่างขาของตฤณแต่เขาต้องสงบจิตสงบใจของตัวเองลงให้ได้ ในเมื่อบอกแค่ว่าจะกอดก็จะทำเพียงแต่กอดเอาไว้เฉยๆ โดยที่จะไม่ล่วงเกินร่างกายนี้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว

“ตัวจ้าวหอมจัง หอมทุกวันเลย”

“ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณก็กอดจ้าวทุกวันเลยสิครับ”

ทันทีที่พูดจบ เสียงกรีดร้องของเนตรก็ดังขึ้นมาอีกระลอก พวกเขากำลังพลอดรักกันต่อหน้าต่อตาเธอที่รักตฤณสุดหัวใจ ยิ่งได้ยินเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจระบายได้ รอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายราวกับปีศาจปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลมมน นี่คือสิ่งที่จ้าวคาดหวังจะได้รับแต่มันยังไม่เพียงพอ ความเจ็บปวดที่เนตรมีตอนนี้ยังไม่สาแก่ใจเขา

“จ้าวจะมาให้พี่กอดทุกวันเลยเหรอ แล้วพี่ชายจ้าวจะไม่โกรธเอาเหรอ”

“ฮ่าๆ พี่เจตไม่โกรธหรอกครับ จ้าวรับรอง”

จ้าวขยับตัวพลิกเข้าหาแผ่นอกกว้างแล้วซุกหน้าลงไป อยู่ในท่านั้นพักใหญ่แต่ก็ไม่หลับ งานในค่ำคืนนี้ยังไม่จบ เขาจะหลับไม่ได้อย่างเด็ดขาด ท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างกันและกัน จู่ๆ ตฤณก็เอ่ยถามอะไรบางอย่างขึ้นมาจนใบหน้ากลมมนสีไข่มุกเกือบจะถอดสี

“ก่อนที่จ้าวจะเข้ามาหาพี่ พี่ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องด้วย พี่ว่าจะลงไปดูแต่ก็ไม่ได้ไป เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ พี่ตฤณคงหูฝาดไป แล้วอีกอย่างที่นี่ก็ไม่มีผู้หญิง”

เสียงของจ้าวฟังอู้อี้จนเกือบจะจับใจความไม่ได้แต่ตฤณก็พอจะเข้าใจ เมื่อจะถามอะไรต่อ เขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาจึงกระชับอ้อมกอดของตัวเองแล้วหลับตาลงบ้าง ในเมื่อคนให้คำตอบไม่อยู่ตอบคำถามแล้ว เขาจะยังตื่นอยู่อีกทำไม

จ้าวไม่ได้หลับจริง เขาแสร้งทำเป็นหลับเพื่อเลี่ยงการตอบคำถามอีกทั้งเขายังต้องการให้ตฤณหลับไวๆ แล้วจะได้มีเวลาลงมือจัดการเก็บกวาดพวกหนูตัวน้อยที่เข้ามาสร้างความรำคาญใจ เขาลองขยับตัวดูเล็กน้อยแล้วลอบสังเกตปฏิกิริยาของร่างที่นอนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าไร้การตอบสนองเมื่อยามขยับกายจึงค่อยๆ พาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดแล้วลงมาเหยียบพื้นห้องอย่างเบาเสียงที่สุด เขาเดินตรงไปยังเก้าอี้ที่เนตรนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตาปูดบวมช้ำแล้วโน้มตัวลงกระซิบข้างหู “เป็นยังไงครับ ของขวัญที่จ้าวมอบให้ ถูกใจหรือเปล่าครับ”

เนตรทำท่าจะตอบแต่จ้าวกลับเอามือแตะริมฝีปากที่เปรอะทั้งคราบเลือดและคราบลิปสติกเบาๆ “จุ๊ๆ อย่าเสียงดังนะครับ เดี๋ยวพี่ตฤณจะตื่น แต่... อย่างว่าล่ะ ยังไงพี่ตฤณก็มองไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงพี่เนตรอยู่แล้ว”

เสียงอู้อี้อย่างเจ็บใจของเนตรเรียกรอยยิ้มที่มุมปากของจ้าวได้อีกครั้ง

“เราเปลี่ยนห้องกันดีกว่าครับ จ้าวมีเซอร์ไพร์สอีกชิ้นให้พี่เนตรด้วย”

เก้าอี้ที่เนตรนั่งอยู่เอียงไปข้างหลังเหมือนครั้งที่เธอถูกลากให้ย้ายไปอีกห้องหนึ่ง จิตใจของเธอตอนนี้ทั้งหวาดกลัว ทั้งไม่รู้ว่าอะไรจะรออยู่เบื้องหน้า ทั้งเสียใจที่ตฤณเอ็นดูและถนุถนอม เอาอกเอาใจเด็กคนนั้นมากกว่าตัวเธอที่มาก่อน เธออยากหลุดพ้นออกไปจากที่นี่แต่เกรงว่าก่อนที่จะได้ออกไป สติสัมปชัญญะที่มีอยู่จะหลุดลอยไปเสียก่อน

เนตรได้ยินเสียงลากเก้าอี้ไปตามทาง ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องแต่ไม่ยักกะทำให้ตฤณตื่นจากห้วงนิทรา

“จ้าวว่าพี่เนตรคงกำลังแปลกใจสินะว่าทำไมพี่ตฤณถึงไม่ตื่นขึ้นมาเลย แม้ว่าเสียงจะดังแค่ไหน”

“......”

“นั่นสินะครับ จ้าวเองก็สงสัยเหมือนกัน พี่ตฤณคงต้องเป็นคนที่หลับลึกมากแน่เลย”

เสียงหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ดังอยู่เหนือหัวเนตร ถ้าหากว่าเธอสามารถออกไปจากที่นี่ได้ เธอจะต้องเตือนให้ตฤณรู้ถึงความร้ายกาจ เจ้าเล่ห์แสนกล มารยาร้อยเล่มเกวียนของเด็กคนนี้ให้จงได้ 



** ติดตามตอนต่อไป **


หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 13 [10/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 12-02-2018 00:45:26
จ้าวร้ายอะ น่ากลัวด้วย ตฤณหลับลึกจริงๆ หลายรอบละ มันน่าเอาน้ำมาสาดให้ตื่นมาดูโลกตอนกลางคืนมากเลย 555555
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 13 [10/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-02-2018 00:59:49
จ้าวพาเนตรไปหาลีแน่ๆ  ส่วนพี่เจตจะไปจัดการหวานชัวส์  :teach:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 13 [10/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 12-02-2018 10:10:51
น่ากลัว
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 14 [25/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 25-02-2018 13:01:42
::: ตอนที่ 14 :::
สวัสดีค่ำคืนแห่งความสนุก






คืนแห่งความสนุกคงไม่จบลงที่ต่างฝ่ายต่างเข้านอน


จ้าวพาเนตรเข้ามาที่ห้องหนึ่งใกล้กับบันไดทางลงไปชั้นล่างแต่ยังคงอยู่ทางปีกขวามือ ไม่ใช่ห้องเก่าที่ตฤณเคยพักแต่อยู่ติดกัน เขาปล่อยเธอไว้ในห้องนั้นลำพังโดยไม่ได้พูดอะไร

กึก! กึก!

ร่างของเนตรสั่นสะท้านด้วยความกลัวที่ไม่รู้ว่าการถูกปล่อยไว้ในห้องนี้จะเจอะเจอกับอะไรอีก แค่เพียงที่ผ่านมา สติก็แทบจะหลุดลอยออกไปจากร่างอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างขยับ เธอยิ่งดิ้นทุรนทุรายแต่ในขณะที่ดิ้นก็คล้ายกับว่าร่างของเธอไม่ได้ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นอีกแล้ว เธอหลุดพ้นออกมาแล้วแต่ทว่าเรี่ยวแรงที่มีเหือดหายไปกับกาลเวลา ร่างนั้นทรุดลงกับพื้นทันทีแต่ยังพอมีแรงที่จะกระเสือกกระสนพาตัวเองออกมาจากที่ตรงนั้น

เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระทบกันดังเล็ดลอดออกมาจากใต้เตียงนอน เนตรไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปดูให้แน่ชัดว่ามันคืออะไรแต่แล้วแสงไฟสีนวลก็สาดส่องเข้าใส่ร่างของเธอจนต้องหรี่ตา

“คุณ!”

เสียงเรียกที่ไม่คล้ายว่าจะเป็นมิตรพาให้เธอต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีขยับร่างกายให้ออกห่าง

“คุณ!”

เนตรพยายามออกแรงให้ได้มากที่สุดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ แสงไฟสีนวลยังคงสาดส่องลงมาที่ร่างของเธอจนอยากจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่ว่าพยายามเปล่งเสียงออกมาเท่าไรมันก็กลายเป็นเพียงแค่เสียงแหบแห้งอันแสนแผ่วเบา

“เดี๋ยวก่อน! จะไปไหนครับ!”

เนตรไม่อยากหยุดอยู่กับที่แต่เสียงเรียกนั้นทำให้เธอต้องหันกลับไปดูให้แน่ชัดว่าเป็นอะไร แน่นอนว่าความหวาดกลัวยังคงฝังอยู่ในทุกอณูความรู้สึก ซ่อนตัวอยู่ทั่วทั้งร่างแต่สิ่งที่เธอได้ยินมันอาจจะเลวร้ายแต่คงไม่มีอะไรจะร้ายไปกว่าที่เธอได้พบเจอมาตลอดทั้งคืนอีกแล้ว 

ต่างฝ่ายต่างชะงักด้วยกันทั้งคู่เมื่อหันมาสบตากัน ร่างของเนตรทั้งโทรมทั้งเปรอะไปด้วยคราบเลือดแถมยังมีเชือกร้อยอยู่บนริมฝีปาก ดวงตาอ่อนล้าบวมช้ำ พวงแก้มทั้งสองข้างเปรอะคราบน้ำตาที่ไหลลงมาแทบจะตลอดเวลาที่เธอถูกพันธนาการไว้กับเก้าอี้วิคตอเรียตัวนั้น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงปกปิดใบหน้าบางส่วนเอาไว้ ชายเจ้าของไฟฉายสีนวลถึงกับปล่อยให้กระบอกไฟฉายร่วงหล่นกระแทกพื้น ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อได้มาเห็นในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“เอ่อ....”

“อื้อออ อื้มมม”

นิ้วเรียวบางแตะริมฝีปากตัวเองคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ เนตรหมดแรงที่จะก้าวต่อไปแล้วแถมยังหิวน้ำ ลำคอแห้งผาก หยาดหยดน้ำตาที่ควรจะหลั่งรินออกมาจากดวงตาที่ปูดบวมอีกระลอกกลับเหือดแห้งหายไป หัวใจของเธอเต้นระส่ำไม่เป็นสุขแต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ความน่ากลัวเหมือนที่เคยเจอ

“อื้ออออ!!”

“เอ่อ...”

“อืมมมมมมม!!”

เนตรพยายามส่งเสียงร้องให้ดังที่สุดแม้รู้ว่าตัวเองจะเปล่งเสียงออกมาแทบจะไม่ได้แล้วก็ตาม ดวงตาที่แสนอิดโรยบวมช้ำนั้นแสดงถึงความเป็นมิตรและเว้าวอนขอร้องให้ช่วยเหลือ น่าเสียดายที่เธอไม่มีแรงไปมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงวิ่งออกไปด้วยตัวเองเพื่อไปช่วยตฤณให้ออกมาจากขุมนรกบ้าๆ นี่

“ดะ... ดะ... ได้ยินไหม”

ชายผู้นั้นยังคงยืนตัวแข็งทื่อ พอหายจากความตกใจที่เห็นใบหน้าของเนตรอย่างชัดเจนแล้วเขาก็นิ่งไป มีเสียงฝีเท้ากำลังเดินตรงมาทางนี้ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับห้องที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากัน เนตรพยักหน้าถี่รัวแต่ไม่สามารถพาตัวเองให้ลุกขึ้นมาก้าวขาได้อีกครั้ง ความกลัวรวมกับเรี่ยวแรงที่หดหายไปทำให้แขนขาของเธออ่อนแรงไปหมด แต่เธอก็ยังพยายามที่จะใช้นิ้วอันสั่นเทาชี้ไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่ในห้องเป็นการบอกใบ้

“เร็วเข้า! ลุกไหวไหม”

ชายคนนั้นคว้าไฟฉายที่ตกพื้นขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม แต่เนตรส่ายหน้าให้แทนคำตอบ แรงเธอไม่เหลือพอที่จะให้ก้าวไปไหนได้อีกแล้ว

“งั้นซ่อนใต้เตียงก่อน มาเร็ว!”

กระบอกไฟฉายถูกเสียบไว้ที่กระเป๋าด้านหลังของกางเกง มือแกร่งช่วยพยุงร่างอันบอบบางของเนตรให้ลุกขึ้นยืน ประคองร่างนั้นเดินตรงไปยังเตียงนอนสี่เสาแล้วดันให้ร่างของเธอเข้าไปอยู่ข้างในก่อนที่จะรีบสอดตัวเข้าไปหลบตาม เสียงฝีเท้าที่ได้ยินก่อนหน้านี้หยุดลงที่หน้าประตูห้อง

“ผมมีกรรไกรตัดด้าย เดี๋ยวจะช่วยตัดให้นะ”

“อืม”

เสียงฝีเท้าที่หยุดอยู่หน้าประตูห้องกลับมาดังขึ้นอีกครั้งแล้วค่อยๆ เบาจนจางหายไปกับสายลม คนทั้งคู่ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชายคนนั้นค่อยๆ คลานออกมาจากใต้เตียง เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้วจึงเอื้อมมือเข้าไปดึงร่างของเนตรที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นออกมาและพาเธอขึ้นมานั่งบนเตียงนอน

“ผมชื่อจักร”

ชายคนนั้นบอกในขณะที่หยิบกล่องอุปกรณ์เย็นผ้าขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าคาดเอว กรรไกรอันจิ๋วสีฟ้าอ่อนถูกหยิบออกมาตัดด้ายที่ร้อยปากออกทีละเส้น เนตรส่งเสียงร้องเบาๆ อย่างเจ็บปวดทุกครั้งที่ด้ายแต่ละเส้นถูกดึงออกมา น้ำตาเธอไหลจนไม่เหลือที่จะไหลต่อไปได้อีกแล้ว เรียวปากงามที่ถูกปิดสนิทมานานค่อยๆ ขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ มันเจ็บปวดจนเธอไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อระบายสิ่งที่กักเก็บไว้ข้างในออกมา

“นะ... เนตร”

“เด็กคนนั้นเป็นใครเหรอ คนที่พาเนตรเข้ามาในห้องน่ะ”

“จ้าว... อย่า... ไปยุ่ง... กับ... เขา... นะ”

น้ำเสียงของเนตรฟังดูกระท่อนกระแท่นและแหบพร่า กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำ เธอก็จำต้องใช้พลังงานอย่างมากก่อนที่จะไอออกมาอย่างหนัก ในตอนนี้เธอทั้งหิวน้ำและหิวข้าวจนไม่มีแรงที่จะขยับเขยื้อนร่างกายส่วนใดอีกแล้ว เธอทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียง อยากจะออกไปจากที่นี่ใจจะขาดแต่ร่างกายกลับร้องประท้วงจนต้องยอมแพ้

“ทำไมเหรอครับ”

“เขา... ปี... สะ...”

ยังไม่ทันที่เนตรจะได้พูดจนจบ ประตูห้องพักก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะยันตัวขึ้นมานั่ง เด็กคนนั้นที่พวกเขากำลังพูดถึง เดินเข้ามาใกล้แล้วส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรแต่เนตรรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ความเป็นมิตรไม่มีอยู่ในตัวของเด็กคนนั้นจริง

“พี่เนตร ใครตัดด้ายให้พี่เนตรเหรอครับ จ้าวเพิ่งไปหยิบกรรไกรมา”

กรรไกรตัดกระดาษอันใหญ่ถูกชูขึ้นมาให้เห็นว่าเขาหยิบกรรไกรมาด้วยจริงๆ

“ผมเอง มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมเธอเป็นแบบนั้น”

“พี่อยากรู้เหรอครับ”

เนตรอยากจะเอ่ยปากห้ามเมื่อเห็นแววตาสีเพลิงมองมาแต่ไม่ทันเสียแล้ว จักรพยักหน้าด้วยความอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเนตร อาการของเธอสาหัสสากรรจ์จนดูน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยรออยู่ที่นี่สักครู่นะครับ ขอจ้าวพาพี่เนตรไปพักก่อนแล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังครับ”

จ้าววางกรรไกรตัดกระดาษทิ้งเอาไว้บนเตียงแล้วค่อยพยุงร่างของเนตรให้ลุกขึ้น เธออยากจะขัดขืนแต่เรี่ยวแรงไม่เหลือพอที่จะให้ทำแบบนั้นได้อีกแล้ว ในขณะที่เด็กตัวน้อยค่อยๆ ประคองร่างกายอันบอบช้ำของเนตรขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาก็เอ่ยกระซิบที่ข้างหู “พี่เนตรกลับได้แล้วล่ะครับ จ้าวปล่อยแล้ว”

เนตรแทบกลั้นน้ำตาด้วยความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ คำว่า ‘ปล่อยแล้ว’ ที่ถูกพูดออกมามีค่ากับเธอมากมายมหาศาล อิสรภาพที่ขาดหายไปในช่วงสองวันที่ผ่านมาราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าที่เธอเฝ้ารอมานานแสนนาน

“พี่เนตรเดินระวังนะครับ เดี๋ยวจ้าวพาออกไปเอง”

ในน้ำเสียงที่ได้ยินจากริมฝีปากรูปกระจับนั้นไม่ได้มีความมุ่งร้ายแฝงอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นคำจริงที่เนตรสามารถเชื่อในคำพูดนั้นได้ แต่ทว่าเธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเพราะเหตุอะไรทำให้ต้องเจอเรื่องราวอันแสนเลวร้ายในคฤหาสน์หลังนี้ ถ้าเพียงแค่คำพูดหลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่ เธอก็ขอโทษไปแล้ว

จ้าวประคองร่างของเนตรเดินออกมาจากห้องไปตามทางเดินจนกระทั่งถึงบันไดกลาง เขาก็หยุดลงแล้วหันไปมองใบหน้าซีดเซียวเหนื่อยล้าด้วยความเสียดาย “แย่จังเลยนะครับ ถ้าเขาไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยก่อน เราคงจะได้สนุกกันนานกว่านี้ จ้าวอุตส่าห์เตรียมเซอร์ไพร์สไว้ให้พี่เนตรอีกตั้งหลายอย่าง”

เนตรไม่เคยอยากได้หรือเรียกร้องเซอร์ไพร์สใดๆ ทั้งนั้น แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดอะไร จ้าวก็พูดต่อขึ้นมาทันทีแกมบังคับ “หวังว่าพี่เนตรจะไม่มายุ่งกับพี่ตฤณของจ้าวอีกนะครับ”

เนตรชะงักไปเล็กน้อย เธอเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรถึงได้โดนขนาดนี้

“จ้าวไม่ใจร้ายถึงขั้นให้พี่เนตรเลิกเป็นเพื่อนกับพี่ตฤณหรอกนะครับ เพียงแต่... ถ้าจ้าวรู้สึกว่ามันมากเกินไป จ้าวคงไม่ใจดีกับพี่เหมือนวันนี้อีกแน่ ขอให้โชคดีนะครับ พี่เนตร จ้าวส่งแค่นี้ล่ะ”

จ้าวหันหลังกลับเดินจากไปโดยไม่สนใจเนตรอีก เขาไม่เคยผิดคำสัญญา เมื่อรับปากแล้วว่าจะปล่อยก็คือปล่อย ไม่เคยเล่นตุกติกอะไรและก็ถึงเวลาประจวบเหมาะพอดิบพอดี ผู้ชายคนนั้นพอจะเป็นตัวตายตัวแทนเนตรให้เขาได้เล่นแก้เหงาไปได้อีกสักพัก ความสนุกที่เกิดในค่ำคืนนี้คงดำเนินไปอีกยาวไกล

ประตูห้องพักที่จักรนั่งรออยู่ถูกเปิดออก เขารีบกุลีกุจอเดินไปถามอาการเนตรด้วยความเป็นห่วง “เนตรเป็นยังไงบ้างครับ”

“พี่เนตรหลับแล้วล่ะครับ เอ๊ะ! เรื่องที่เราคุยค้างเมื่อกี้นี้เรื่องอะไรนะครับ ใช่เรื่องที่เกิดอะไรขึ้นกับพี่เนตรหรือเปล่าครับ จ้าว... จ้าวเป็นห่วงพี่เนตรมากไปหน่อยเลยจำอะไรไม่ค่อยได้น่ะครับ”

ดวงตาสีเพลิงเศร้าสลดโป้ปดความรู้สึกที่แท้จริง

“ครับ”

“แต่ก่อนที่จ้าวจะตอบคำถาม ขอถามอะไรพี่สักอย่างสองอย่างสิครับ อย่างแรก... พี่ชอบพกอุปกรณ์ตัดเย็บเหรอครับ”

“ครับ ผมพกติดตัวเป็นประจำ”

จักรดูจะงงๆ กับคำถามที่ถูกถามแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากกว่านี้

“อีกคำถามนะครับ ทำไมพี่ถึงแอบเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ล่ะครับ ไปได้ยินข่าวลืออะไรมาเหรอครับ” 

น้ำเสียงเรียบเรื่อยของจ้าวไม่แสดงถึงพิรุธใดๆ อีกทั้งใบหน้ากลมมนนั้นยังปรกดับไปด้วยรอยยิ้มหวานที่เต็มไปด้วยความเป็นมิตรจนจักรไม่ทันได้สังเกตว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังคำถามนั้นคือมีดเล่มใหญ่ที่พร้อมจะจ้วงแทงได้ทุกเมื่อ

“ข่าวลือ... เอ่อ...”

จักรไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ข่าวลือที่ว่านั่นก็มีแต่ข่าวลือเสียๆ หายๆ บ้างก็ว่าคฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยดวงวิญญาณ สัมภเวสีผีเร่ร่อนที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิด บ้างก็ว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ร้างที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เพราะเหตุฆาตกรรมเมื่อหลายสิบปีก่อนเป็นเหตุให้ตายยกครัว บ้างก็ว่าคฤหาสน์หลังนี้มีความชั่วร้ายอาศัยอยู่ หากผู้ใดเข้ามาก็อาจจะไม่ได้ออกไปอีกเลยหรือถ้าออกไปได้ก็จะกลายเป็นบ้า สติฟั่นเฟือน เอาแต่เพ้อถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตนและเห็นภาพหลอน

“ดูเหมือนพี่จะตอบลำบากนะครับ งั้นจ้าวขอถามใหม่ พวกพี่มาพิสูจน์อะไรกันที่นี่เหรอครับ”   

คำถามนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งคำถามที่จักรรู้สึกว่ามันตอบยากเช่นกัน

“พิสูจน์ว่าข่าวลือเป็นจริงไหม”

“แล้วจริงไหมล่ะครับ”

จ้าวยังส่งคำถามอย่างใจเย็น มีดที่เขาซ่อนไว้ข้างหลังนั้นคมกริบพร้อมที่จะเสียบแทงทะลุร่างแล้วเพียงแต่ว่าถ้าลงมือทำเลยจะไปน่าตื่นเต้นตรงไหน

“ผมยังไม่เจออะไรเลย”

“อ้อ! อย่างนั้นเหรอครับ แล้วเพื่อนพี่ไปไหนล่ะครับ ทำไมถึงมาอยู่ในห้องนี้คนเดียว กำลังเล่นซ่อนแอบกันอยู่เหรอครับ”

จักรไม่กล้ายอมรับว่าเขาเข้ามาเล่นซ่อนแอบกับเพื่อนที่นี่เพื่อพิสูจน์ความจริง อีกอย่างเขาเองก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร มาจากไหนด้วยซ้ำ อาจเป็นเด็กที่แอบเข้ามาเล่นพิเรนทร์เหมือนที่พวกเขากำลังทำอยู่ได้

“จ้าวอยากเล่นด้วย ขอเล่นด้วยนะครับ”

น้ำเสียงกระตือรือร้น แววตาที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายวาววับ ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มฉีกกว้างราวกับดีใจที่หาเพื่อนเล่นได้ แต่จักรก็ยังไม่ไว้ใจเท่าไร พูดคุยได้ ถามได้แต่เขาไม่อยากเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเด็กที่ไม่รู้จักแม้แต่หัวนอนปลายเท้า เขาชักปลายเท้าถอยหลังอย่างวางเชิงดูท่าทีของเด็กคนนั้นก่อนที่จะตั้งคำถามถามกลับไปบ้าง “ชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน”

“ไม่ไว้ใจจ้าวเหรอครับ ไม่เป็นไรครับ งั้นจะแนะนำตัวให้ฟัง ผมชื่อจ้าว อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มานานแล้วครับ เห็นพวกพี่เข้ามา น่าจะมีเรื่องสนุกเลยอยากขอเล่นด้วยก็เท่านั้นเองครับ แต่ถ้าพี่ไม่อนุญาตให้เล่นด้วยก็ไม่เป็นไรครับ จ้าวไม่รบกวนแล้ว”

จ้าวพูดจบก็หันหลังเตรียมเดินจากไปแต่ยังไม่วายทิ้งมีดเล่มหนึ่งจ่อท้ายทอยของจักรเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ให้เขาเล่นด้วยก็จะไม่รบกวนแต่มันจะไปสนุกได้อย่างไร หากเล่นซ่อนหาแล้วหาเจอ รอยยิ้มราวกับปีศาจตัวน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลมมนสีไข่มุกเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ตั้งแต่ที่ตฤณรับปากว่าจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วย

“เดี๋ยวก่อน!”

เรียวเท้าเล็กชะงักลงแล้วหันกลับมามองหน้าจักรอย่างมีความหวัง

“ผมชื่อจักร จะ... จะมาเล่นด้วยกันก็ได้ แต่แค่ตีสอง พวกพี่ก็เลิกแล้วนะ”

“ครับ ขอบคุณครับ แล้วตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอครับ พี่จักร”

“ตีหนึ่ง”

“ยังมีเวลาให้สนุกอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนงานเลี้ยงจะเลิกสินะครับ ถ้าอย่างนั้นจ้าวมีที่ซ่อนตัวดีๆ แนะนำพี่จักรด้วยล่ะ รับรองเลยว่ายังไงเพื่อนพี่ก็ไม่มีทางหาพี่เจอแน่นอน”

นิ้วเรียวเล็กชี้ไปยังตู้เสื้อผ้าไม้แกะสลักที่อยู่ในห้อง แต่จักรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตู้เสื้อผ้าถึงเป็นที่ที่จะหาไม่พบทั้งที่แค่เปิดประตูตู้เสื้อผ้าทั้งสองบานออกพร้อมกันก็เจอตัวแล้ว แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดูเมื่อนานมาแล้ว ‘ตู้ซ่อนผี’ ช่วงนั้นทำเอาเขาหลอนจนไม่กล้าเปิดประตูตู้เสื้อผ้าตอนกลางคืนไปอีกนานเลย

“ตู้เสื้อผ้า?”

“ครับ ซ่อนในตู้นั้น มันมีทางลับ พอเพื่อนพี่เปิดเข้าไปดูยังไงก็ไม่เจอพี่หรอก เชื่อจ้าวสิครับ จ้าวอยู่ที่นี่มานานกว่าพี่จักรตั้งเยอะ เรื่องทางหนีทีไล่หรือช่องทางลับอะไรพวกนี้ถูกจ้าวสำรวจมาหมดแล้วล่ะครับ”

 จักรทำท่าเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อว่าทางลับมีอยู่จริง มันคงไม่ใช่ว่าพอเข้าไปข้างในนั้นแล้วสามารถทะลุไปยังห้องข้างๆ ได้หรอกนะ แบบนั้นมันคงไม่เรียกว่าทางลับแต่เขาก็ยอมที่จะเข้าไปดีกว่าที่จะหลบอยู่ใต้เตียงนอนเพราะแค่ผู้หาอย่างไผ่โน้มตัวลงต่ำแล้วส่องไฟเข้ามาก็คงเจอเขาเข้าแล้ว

“ไปสิครับ เดี๋ยวจ้าวจะไปซ่อนที่อื่นเอง”

ท่าทางของจักรดูลังเล จ้าวจึงย้ำอีกครั้งให้เข้าไปข้างใน ฝ่ายนั้นลังเลจริงๆ ที่จะเข้าไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าแต่แล้วเขาก็เลิกลังเลเพราะถ้ามันดูไม่โอเคจริง เขาก็สามารถหาที่ซ่อนใหม่ได้อยู่แล้วจึงยอมเข้าไปแอบอยู่ในนั้น จ้าวรอจนแน่ใจแล้วว่าประตูตู้เสื้อผ้าปิดลงและมันจะไม่ถูกเปิดออก เขาจึงเดินจากไปแต่ยังไม่วายที่จะฝากประโยคเด็ดทิ้งท้ายเอาไว้ให้จักร “ข่าวลือบางเรื่องมันก็เป็นจริงนะครับ พี่จักร”

จบจากเรื่องของจักรแล้วก็ใช่ว่าจ้าวจะได้พักอย่างสบายเสียเมื่อไร ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาต้องจัดการให้จบก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและก่อนที่ตฤณจะตื่นขึ้นมา เท้าทั้งสองข้างก้าวยาวๆ อย่างเร่งรีบตรงไปยังห้องน้ำที่หวานถูกขังอยู่ในนั้น เขาแสร้งทำเป็นเด็กดีมาเคาะประตูช่วยเหลือพร้อมกับหมุนลูกบิดประตูเข้ามาดู ยิ่งไปกว่านั้นยังแสร้งทำเป็นตกใจที่เห็นกองเลือดท่วมพื้นห้องน้ำเต็มไปหมด ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งกับพื้นคล้ายว่าแขนขาเขานั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกะทันหัน

“ละ... เลือด”

“ช่วยด้วย ฮือออ ช่วยด้วย”

จ้าวไม่รู้จะช่วยอย่างไรเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาเขาลนลานไปหมด

“พี่... พี่ออกมาก่อนดีกว่าไหมครับ”

หวานเอาแต่ร่ำไห้เสียใจ อยากจะออกแต่เธอก็กลัวว่าจะมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นรออยู่ข้างนอกและเธอไม่สามารถทิ้งโอมไว้ที่นี่เพียงลำพังได้

เมื่อจ้าวตั้งสติได้ เขาจึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าที่จะไม่ทำอะไรไปมากกว่าแค่ช่วยเหลือให้ออกมาจากที่ตรงนั้น นับว่าเขามีความปราณีให้กับผู้บุกรุกมากพอแล้ว “ออกมาเถอะครับ ไปตามหาคนมาช่วยกัน”

หวานยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่แต่จ้าวไม่รีบร้อน เขารอให้เธอคิดตกเอง แต่เพียงไม่นานเธอก็ยอมก้าวเท้าออกมาจากห้องแล้วทิ้งศพของเพื่อนไว้ตรงนั้น สายตายังคงความอาลัยอาวรณ์เอาไว้มองกลับไปยังร่างที่นอนจมกองเลือด เธอไม่มีทางเลือก ถ้าหากไม่ออกไปตามคนมาช่วย บางทีก็อาจจะต้องติดอยู่ในนี้ไปตลอดกาลเพราะหลังจากที่ประตูห้องน้ำปิดใส่หน้าดังลั่นและร้องไห้เศร้าเสียใจกับการจากไปของเพื่อนอยู่พักหนึ่ง เธอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาเปิดประตูเพื่อจะออกไปแต่มันกลับเปิดไม่ออก ไม่ว่าจะพยายามหาอะไรมางัดหรือใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกระชากบานประตูก็ไม่มีผลอะไรจนกระทั่งเด็กคนนี้เดินมา

“เดี๋ยวจ้าวเดินไปส่งที่หน้าประตูคฤหาสน์นะครับ แล้วพี่รีบไปตามคนมาช่วยนะ”

หวานได้แต่พยักหน้ารับ ในหัวสมองของเธอนั้นขาวโพลนไปหมด มันไม่มีความคิดอะไรอยู่ในนั้นเลย

“พี่ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนที่เหลือนะครับ เดี๋ยวจ้าวจะช่วยตามหาให้”

หน้าคฤหาสน์อยู่ไมไกลจากหน้าห้องน้ำที่หวานออกมาเท่าไรนัก ให้อย่างมาก็ไม่เกิดร้อยเมตรด้วยซ้ำแต่เธอกลับรู้สึกว่ากว่าจะเดินไปแต่ละก้าวมันช่างยาวนานนัก บรรยากาศรอบข้างเย็นเยือกขึ้นมาทันตา รังสีอำมหิตแฝงความร้ายกาจแผ่พุ่งออกมาจากร่างของเด็กที่เดินอยู่ด้วยกัน

“อ้อ! อีกเรื่องนะครับ ช่วยเตรียมโลงศพไว้สักสองหรือสามโลงด้วยครับ”

“......”

“สำหรับเพื่อนพี่ที่เหลือยังไงล่ะครับ แล้วก็... มาช่วงบ่ายๆ แดดแรงๆ นะครับ ตอนเช้าจ้าวไม่ว่างมาเปิดประตูต้อนรับ ส่วนถ้ามาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็เกรงว่าน่าจะต้องซื้อโลงศพเพิ่ม นี่ถือเป็นคำเตือนด้วยความปรารถนาดีจากจ้าวนะครับ โชคดีนะที่เกมซ่อนหาที่พวกพี่เล่นกันทำเอาจ้าวอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย”

และแล้วเท้าของหวานที่เตรียมจะก้าวไปข้างหน้าก็ชะงักลง เธอเริ่มประมวลผลเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์หลังนี้ได้บ้างแล้ว หนึ่งสิ่งที่เธอรู้นั่นก็คือไม่ว่าจะได้ยินข่าวลืออย่างไรเกี่ยวกับคฤหาสน์นี้อย่าได้คิดอยากรู้อยากเห็น เข้ามาพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกเพราะนั่นหมายถึงการนำชีวิตของตัวเองมายืนอยู่ตรงปากเหว ถ้าไม่พลาดตกลงไปก็รอดแต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะตกลงไปในเหวลึกกันทั้งนั้น

“ส่งแค่นี้นะครับ”

หวานยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพียงชั่วอึดใจก่อนที่จะเร่งฝีเท้าวิ่งออกไปให้พ้นจากบริเวณคฤหาสน์โดยที่ไม่หันหลังกลับมามองอีก


-----------------------------

คงมีหลายคนตั้งคำถามว่าแพรวถูกลากไปไหน โดยใครและตอนนี้เป็นอย่างไร เธอไม่ได้สุขสบายดีเท่าไรนักเมื่อเทียบกับจักรแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เท่าไร เธอได้เพื่อนเล่นน่ารักน่าดูชมเชียวล่ะ เป็นเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบที่กำลังอยากได้ตุ๊กตามาเล่นแต่งตัวและตุ๊กตาที่ได้รับมาจากจ้าวก็ทั้งสวยถูกอกถูกใจจนอยากจะยึดไว้เป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว

“คาเรน ของที่พี่พามาให้ถูกใจไหมครับ”

“ถูกใจค่ะ พี่วินเซ้นท์ ขอหนูเก็บไว้เลยได้ไหมคะ”

“ไม่ได้ๆ เป็นเด็กดีต้องรู้จักมีใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ของชิ้นนี้จะอยู่กับคาเรนได้แค่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นนะ พี่ให้เวลาได้เท่านี้”

จ้าวแวะมาบอกแค่นี้ เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าระหว่างนี้ผู้หญิงที่ถูกพาตัวมาคนนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ในเมื่อเขายกให้เล่นแล้วก็จงเล่นให้เต็มที่

“แต่หนูอยากได้”

“คาเรน”

น้ำเสียงกดต่ำแกมบังคับทำให้เด็กน้อยก้มหน้างุด ไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอกลับไปยืนหน้ากระจกแล้วสนใจแต่ตุ๊กตาสวยงามที่อยู่ตรงหน้า ภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาบานโตหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีเพียงผู้หญิงผมสีบลอนทองที่กำลังนั่งบนเก้าอี้อย่างหวาดกลัวกับโครงกระดูกเด็กสาววัยแปดขวบ

“ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น นำของเล่นมาคืนพี่ด้วย”




** ติดตามตอนต่อไป **


หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 14 [25/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 25-02-2018 23:15:40
 :z3: น้องจ้าวผู้น่ารักของพี่  โหดๆพอประมาณก็ได้เนอะ หุหุหุ :jul1:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 14 [25/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-02-2018 23:29:49
จักรจะรอดไหมเนี่ย แต่ใจแข็งเอาการอยู่นะ เห็นเนตรถูกเย็บปาก ยังอุตส่าห์เข้าไปช่วย เป็นคนแก่นี่วิ่งจนลืมตายไปแล้ว  :ling3:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 14 [25/02/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 26-02-2018 09:47:47
จักรแลดูว่านอนสอนง่ายเกิ๊น จ้าวพูดไรก็เชื่อ จะรอดจนเกมจบมั่ยน้อ .... :ruready
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 15 [06/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 06-03-2018 11:15:32
::: ตอนที่ 15 :::
เธอ + ฉัน = เรา







เมื่อจัดการพวกหนูที่บุกรุกคฤหาสน์หลังนี้จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จ้าวก็รีบกลับเข้าไปในห้อง โชคดีอีกครั้งที่ตฤณไม่ได้ตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่อย่างนั้นเขาคงนึกคำโกหกอะไรไม่ออกแน่ก็เพราะคืนที่ผ่านมาถึงจะสนุกแต่มันก็ทำเอาเหนื่อยได้เรื่องอยู่เหมือนกัน จ้าวเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงแล้วเอื้อมมือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกอย่างช้าๆ ผมของตฤณไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป อีกทั้งมันยังนุ่นมือมากด้วย เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าหากตฤณรับรู้ร่างที่แท้จริงแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขามีวิธีรับมือกับทุกสถานการณ์เอาไว้อยู่แล้ว

“อื้อ”

ร่างของตฤณขยับเล็กน้อย จ้าวจึงชักมือกลับแล้วนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

“จ้าว…รัก…”

เสียงพึมพำดังออกมาจากปากของคนที่นอนอยู่แล้วจู่ๆ ริมฝีปากรูปกระจับก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จ้าวไม่เคยมีความสุขกับสิ่งที่เรียกว่ารักเพราะเขาไม่เคยรักใครยกเว้นตัวเองและพี่ชายเท่านั้น ชั่วชีวิตที่ผ่านมานั้นจ้าวมีความสุขกับความทุกข์ของผู้อื่น ยิ่งเห็นความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมาทางสายตา ยิ่งได้ยินคำขอร้องอ้อนวอนขอชีวิต หัวใจเขายิ่งสูบฉีดแต่ทว่าทำไมคำว่ารักที่หลุดออกมาจากปากของผู้ชายที่นอนหลับฝันหวานถึงได้ทำให้ใจเขารู้สึกแปลกๆ

ร่างที่นอนอยู่ขยับตัวอีกเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา จ้าวที่นั่งอยู่ไม่ห่างเตรียมพร้อมส่งยิ้มให้

“จ้าว… ตื่นแล้วเหรอ”

“ครับ ตื่นนานแล้ว ได้นั่งมองหน้าพี่ตฤณเพลินเลยล่ะครับ”

“กี่โมงแล้วเหรอ”

“ไม่รู้ครับ แต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น พี่ตฤณนอนต่อเถอะครับ”

“มานอนด้วยกันสิ”

จ้าวแสดงท่าทีกระมิดกระเมี้ยนเขินอายเล็กน้อยแต่ก็ยอมทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ เขายังคงอยู่ในชุดนอนของเมื่อคืนวานที่เกือบจะเปรอะเปื้อนคราบเลือด สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มและซุกตัวอยู่กับแผงอกกว้างของอีกฝ่ายเหมือนทุกครั้งที่ทำเวลานอนร่วมกัน

“จ้าวสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายพี่ตฤณนะครับ”

น้ำเสียงกระอ้อมกระแอ้มราวกับพูดอยู่ในลำคอทำให้ตฤณฟังไม่ค่อยชัดเท่าไรนักจนต้องถามร่างที่อยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง “เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ พี่ได้ยินไม่ถนัด”

“พี่ตฤณเป็นคนเดียวที่จ้าวจะทำดีด้วย”

“แล้วกับคนอื่น จ้าวไม่คิดจะทำดีด้วยเหรอ”

จ้าวไม่ตอบอะไรแต่แสร้งทำเป็นหลับตา ขยับตัวเล็กน้อยให้อยู่ในท่านอนที่สบาย ขาข้างหนึ่งกอดก่ายร่างสูงที่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหมอนข้าง ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาเข้าสู่ห้างนิทราไปแล้วเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตอบคำถามนั้น

ตฤณเห็นว่าจ้าวหลับไปแล้วจึงค่อยๆ ขยับตัวออกอย่างช้าๆ แกะขาที่พาดอยู่เกือบจะกลางลำตัวออกอย่างเบามือและเงียบที่สุด ในขณะที่กำลังจะลุกลงจากเตียงนอน มือเล็กก็คว้าเอาไว้แล้วกำแน่นอยู่อย่างนั้นเป็นเชิงบอกให้เขาต้องอยู่บนเตียงโดยที่ยังไม่ลืมตา เขาถอนหายใจออกมาแล้วก้มลงกระซิบข้างหู “หลับเถอะ พี่แค่จะไปเข้าห้องน้ำ” มือเล็กข้างนั้นจึงยอมปล่อยไป

เมื่อตฤณก้าวลงจากเตียงไปแล้วเด็กน้อยที่แสนว่าง่ายก็ลืมตาขึ้นมอง เขาไม่ได้หลับและไม่ง่วงด้วยซ้ำ เพียงแค่เหนื่อยที่ต้องวิ่งวุ่นจัดการเก็บกวาดพวกหนูที่ลักลอบเข้ามา ปลายเท้าคู่เล็กก้าวลงแตะสัมผัสพื้นมุ่งหน้าตรงไปยังห้องน้ำ ทุกย่างก้าวที่เดินนั้นเงียบกริบ บานประตูห้องน้ำที่ตฤณเพิ่งจะเข้าไปถูกผลักให้เปิดออกอย่างง่ายดายแม้ว่ามันจะล็อคอยู่ก็ตาม

“จ้าวอยากเข้าห้องน้ำด้วย”

ร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อยในขณะที่กำลังยืนหันหลังให้กับประตู ปลดทุกข์เบา เขาแทบจะดึงกางเกงขึ้นไม่ทัน

“เปิด... เปิดเข้ามาได้ยังไง พี่ว่าพี่ล็อคอยู่”

“อ้าว~ จ้าวลืมบอกพี่เหรอครับว่ากลอนห้องน้ำมันเสีย มันล็อคไม่ได้”

จ้าวทำหน้าเหลอหลาแต่ประเด็นหลักมันก็ไม่ควรอยู่ที่ประตูห้องน้ำเสียหรือไม่ แต่ควรจะไปโฟกัสที่คำว่ารู้ทั้งรู้แล้วทำไมถึงยังเปิดเข้ามาอีก

“จะเข้าห้องน้ำใช่ไหม เดี๋ยวพี่ออกไปรอข้างนอก”

“ครับ”

จ้าวพยักหน้า รอให้ตฤณเดินออกไปข้างนอกห้องก่อนแล้วจึงปิดประตูลง เขาเปิดน้ำก๊อกที่อ่างล่างหน้าให้แรงที่สุดกลบเสียงบางอย่างที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ “พี่เจต” หลังจากคำเรียก ร่างของเจตรินก็ปรากฏบนบานกระจกที่อยู่ตรงหน้าในทันที ใบหน้าของเขาดูนิ่งเฉยแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย

“จัดการหนูในห้องของเราหรือยังครับ”

‘เอ่อ... พี่ขังไว้ รอให้จ้าวมาจัดการเอง’

“จ้าวบอกให้พี่จัดการไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมถึงยังไม่ทำ”

น้ำเสียงของจ้าวฟังดูโกรธเคืองอยู่เล็กน้อยแต่กลับไม่ได้ทำให้เจตรินรู้สึกหวาดกลัวไปมากกว่านี้

‘จ้าวบอกให้พี่แค่ไปดูไม่ใช่เหรอ พี่ก็แค่ดูแล้วหลังจากนี้อยากให้จ้าวมาจัดการเองดีกว่า’

“ถ้าอย่างนั้นก็ขังเอาไว้ให้ดี แล้วไปจัดการหนูที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าให้จ้าวด้วย จะทำอะไรก็สุดแล้วแต่พี่เจตแล้วกัน”

จ้าวผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะโบกมือไล่ให้กลับไปจัดการหนูที่เหลืออยู่อีกสองตัว แต่เจตรินยังคงอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหนคล้ายกับว่ามีเรื่องบางเรื่องที่อยากจะพูดต่อ

‘จ้าว กับตฤณนี่ยังไง รักเขาแล้วใช่ไหม’

“พี่เจตก็รู้ จ้าวไม่เคยรักใครนอกจากตัวเองและพี่”

‘ลองรักคนอื่นดูบ้าง เผื่อว่ามันจะทำให้หัวใจของจ้าวอ่อนโยนขึ้น’

จ้าวไม่ได้ตอบอะไรกับคำพูดที่ทำให้ชะงักค้างไป เขากระแทกมือลงบนบานกระจกเงาระบายโทสะที่อยู่ในใจออกเป็นการกระทำ ... อ่อนโยน ... สิ่งนี้มันไม่เคยมีอยู่ในจิตวิญญาณของเขาอยู่แล้ว 

มือเล็กกวักน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกล้างมือ ล้างหน้าจนปรอยผมเปียกน้ำลู่ลงมาด้านข้างแต่ไม่ลืมที่จะทำให้เสื้อนอนเปียกปอนด้วย ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มเล็กน้อยให้กับตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาอย่างพึงพอใจแล้วเปิดประตูออกไปหาตฤณที่รออยู่ข้างนอกด้วยแววตาเศร้าสลด

“พี่ตฤณ จ้าวทำเสื้อเปียกอีกแล้ว”

กางเกงนอนขาสามส่วนตัวนั้นเปียกก็ว่าแย่แล้ว มาคราวนี้เสื้อนอนที่สวมอยู่กลับเปียกน้ำอีกแล้วตฤณจะทำอย่างไรกับหัวใจของตัวเองในเมื่อมันเอาแต่เต้นโครมครามไม่หยุด เสื้อนอนที่เปียกน้ำบางส่วนแนบไปตามลำตัวจนเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนผ้าเป็นเงาจางๆ เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อหลบเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้คิดอกุศล

“จ้าวผิดเองล่ะครับ ไม่ทันระวังตอนล้างหน้าเลยทำให้เสื้อเปียกหมดเลย” 

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหยิบเสื้อให้นะ ห้องจ้าวอยู่ไหน” ตฤณรีบเสนอตัวไปหยิบเสื้อมาให้ก่อนที่อะไรๆ จะทำเอาสติเขาเตลิดเปิดเปิง

“มะ... ไม่เป็นไรครับ จ้าวนอนทั้งเปียกๆ แบบนี้ก็ได้”

จ้าวรีบเดินขึ้นเตียงนอนแล้วสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มอีกครั้ง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจว่าเสื้อที่เปียกจะส่งผลอะไรบ้างแต่ที่คาดไม่ถึงคือสิ่งที่เขาทำลงไปจะทำให้ตฤณดุด้วยนี่สิ “ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง ทำไมไม่เป็นห่วงตัวเองบ้าง”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวมันก็แห้ง”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อก่อน ให้พี่เดินไปที่ห้องเป็นเพื่อนก็ได้”

ตฤณเลิกดึงผ้าห่มออกจากร่างที่พยายามนอนซุกตัวอยู่ข้างในแล้วจับแขนที่แทบจะมีแต่กระดูกเอาไว้แล้วดึงขึ้นมา แต่กลับกลายเป็นว่าไม่รู้ว่าตัวเองพลาดที่ตรงไหนถึงได้ล้มไปทับร่างเล็กเข้า ฝ่ายนั้นดิ้นขลุกขลักอยู่ข้างล่างจนปลายเสื้อที่ปิดช่วงต้นขานั้นถลกขึ้นมาถึงสะโพกเผยให้เห็นเรียวขายาวสีไข่มุก เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะขยับตัวถอยออกมา

“พี่ตฤณ~”

นิ้วเรียวเล็กรีบจับชายเสื้อนอนแล้วดึงลงให้กลับไปปิดบังต้นขาขาวเนียนเอาไว้ตามเดิม

“พะ... พะ... พี่ขอโทษ”

“รับผิดชอบด้วยเลยครับ”

ตฤณยังคงอยู่ห่างจากร่างนั้นแต่ยังอยู่ในลักษณะขึ้นคร่อม ดวงตาสีเพลิงจ้องมองมาราวกับจะเรียกร้องค่าเสียหายที่ทำให้เกิดความรู้สึกอับอาย เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกเสียจากต้องรับผิดชอบแต่จะต้องรับผิดชอบอย่างไร

“เอ่อ...”

“จ้าวล้อเล่นหรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้น...”

ตฤณโน้มตัวลงมาใกล้ ใบหน้าแทบจะแนบชิดจนสามารถรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกันได้ จ้องมองดวงตาสีเพลิงที่จู่ๆ ก็เป็นประกายราวกับเปลวเพลิงที่พร้อมจะหลอมละลายใจเขาให้กลายเป็นสถานะของเหลวอ่อนยวบ เขายกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะก้มใบหน้าลงจรดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากรูปกระจับ กดเน้นเบาๆ อย่างไม่รุกล้ำแล้วถอนใบหน้าขึ้นมา ทิ้งตัวเองลงนอนข้างกายของร่างเล็กที่จู่ๆ ใบหน้าก็ร้อนผ่าวราวกับถูกไฟสุม หัวใจเต้นโครมครามด้วยจังหวะแปลกที่จ้าวไม่เคยสัมผัสมาก่อน 

“พี่รับผิดชอบแล้วนะครับ”

“ระ... รับผิดชอบ?”

“พี่ก็รับผิดชอบด้วยการเสียจูบของพี่คืนให้จ้าวยังไงล่ะครับ”

จ้าวไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เป้าหมายของเขาเปลี่ยนไป “แบบนี้จ้าวก็เสียเปรียบแย่เลยสิครับ พี่ตฤณจูบจ้าวก็เหมือนจ้าวจูบพี่ตฤณ ไม่แฟร์เลย” เขาพลิกตัวขึ้นทับร่างสูงที่อยู่ข้างๆ ให้เสื้อผ้าฝ้ายตัวยาวส่งผ่านความเปียกชื้นไปถึงอีกฝ่ายด้วยการให้ร่างกายของตัวเองแนบชิดกับร่างที่อยู่ข้างใต้

“จะ... จ้าวทำอะไร”

“จ้าวก็จะทำให้พี่ตฤณเปียกเหมือนจ้าวยังไงล่ะครับ”

ไม่ใช่แค่เสื้อที่จะเปียกแต่ตฤณยังรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ระหว่างขาของตัวเองมันเริ่มตื่นตัวขึ้นมาด้วย สถานการณ์แบบนี้เริ่มไม่ดีเสียแล้ว ถ้าหากเขาอดใจไม่ไหวกับการยั่วยวนของร่างเล็กแล้วล่ะก็อีกฝ่ายคงช้ำไปทั้งตัวแน่ เขารีบเบือนหน้าหนีก่อนที่สายตาที่ถูกส่งมาจะแผดเผาหัวใจของเขาให้ร้อนรุ่มดั่งไฟปรารถนาที่กำลังจะลุกโชติช่วง

“คิดจะยั่วพี่เหรอครับ”

“แล้วพี่ตฤณไม่ชอบเหรอครับ จ้าวบอกแล้วนะว่าอยากกินก็กินได้”

“แต่...”

“จ้าวยินดีทำให้พี่ตฤณมีความสุขครับ”

จ้าวขยับตัวขึ้นเล็กน้อยพอให้มีที่ว่างระหว่างกัน มือเล็กสอดเข้าใต้เสื้อยืดที่ชื้นน้ำลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นก่อนไล้วนไปรอบสะดือเป็นวงกลมสร้างความเสียวซ่านให้กับร่างที่กำลังถูกรุกรานอิสรภาพ ดวงตาสีเพลิงช้อนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปรารถนาแล้วยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ภาพนั้นมันช่างเซ็กซี่ชวนเชิญเสียเหลือเกินจนตฤณห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ตวัดกายพลิกขึ้นคร่อมร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะระดมจูบไล่ไปตามซอกคอขาวเนียน ขบเม้มริมฝีปากรูปกระจับสีกลีบกุหลาบเบาๆ อย่างหยอกล้อ

“พี่ตฤณ~”

มือแกร่งพันธนาการข้อมือเล็กทั้งสองข้างเอาไว้เหนือหัว อีกข้างที่ว่างอยู่สอดเข้าใต้เสื้อผ้าฝ้าย ความเปียกชื้นทำให้ผิวสัมผัสนั้นเยียบเย็นแต่ไม่อาจเทียบเท่ากับเปลวเพลิงแห่งตัณหาที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจของเขาตอนนี้ได้

“ทำไมตัวจ้าวถึงได้หอมกว่าครั้งไหนๆ นะ”

จ้าวไม่ได้ตอบอะไร เขาทำเพียงแค่บิดร่างกายไปมาตามการเล้าโลมของอีกฝ่าย ถ้าเขาออกแรงขยับข้อมือของตัวเองมากกว่านี้อีกนิดก็หลุดออกจากการจับกุมได้อย่างง่ายดายแต่กลับไม่ทำ เขากำลังเดินไปตามเส้นทางที่ตฤณขีดขึ้นในขณะที่ตฤณก็เดินไปตามเส้นทางที่เขากำหนดเอาไว้เช่นกัน

“อ๊ะ! พี่ตฤณ อย่า...”

คำร้องของจ้าวดูจะไม่เป็นผล เมื่อนิ้วมือที่อยู่ใต้เสื้อคลึงวนรอบตุ่มไตไปมา

“อย่าอะไรครับ”

จ้าวไม่รู้ว่าอย่าอะไร ทำไมร่างกายถึงได้ตอบสนองไปตามแรงสัมผัสนั้น ทำไมหัวใจของเขาถึงได้เต้นเป็นจังหวะที่แปลกขึ้นทุกที ทำไมความรู้สึกของเขาถึงได้โหยหาสิ่งที่มากกว่าที่ได้รับอยู่ตอนนี้ อยากถูกสัมผัสให้แรงมากกว่านี้ อยากให้ตฤณได้ครอบครองร่างของเขาจนอดรนทนไม่ไหว

“พี่ตฤณ~”

“ครับ”

ตฤณตอบรับแต่ก็ยังไม่หยุดที่จะควานหาความหวานจากริมฝีปากสีกลีบกุหลาบ เขาประกบปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากของฝ่ายนั้นก่อนที่จะขบเม้มเบาๆ แล้วรุกล้ำเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัว ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดไปทั่วทั้งโพรงปาก พยายามตามหาความหวานที่อยู่ลึกลงไป ลากไล้ปลายลิ้นผ่านตามซี่ฟันเก็บเกี่ยวทุกอณูภายในที่สามารถช่วงชิงมาเป็นของตัวเอง

“อืมมมมมม”

ตฤณถอนริมฝีปากออกมาเมื่อรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับ ริมฝีปากรูปกระจับวาววับไปด้วยน้ำลายของทั้งสอง ใบหน้ากลมมนขึ้นสีแดงระเรื่อ ตลอดการใช้ชีวิตมาเป็นศตวรรษของจ้าว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ถือเป็นครั้งแรกของเขาทั้งสิ้น

ชั้นในตัวเดียวที่จ้าวสวมใส่อยู่ในตอนนี้ไม่นับเสื้อนอนตัวยาวถูกปลดเปลื้องลงสู่เบื้องล่างโดยที่เจ้าของมันให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในขณะที่เสื้อนอนตัวยาวกำลังจะถูกถอดออก จ้าวก็รีบร้องห้ามเอาไว้ “พี่ตฤณ อย่าครับ จ้าวอาย”

ตฤณยอมที่จะปล่อยให้เสื้อนอนตัวนั้นเป็นสิ่งที่ปกปิดความงดงามของร่างกายนี้เอาไว้ตามคำร้องขอ เขาปล่อยมันลงเช่นเดียวกับที่ปลดพันธนาการข้อมือเล็กออกด้วยเช่นกันแล้วจับให้คนตัวเล็กนอนคว่ำหน้าลง สอดนิ้วเรียวเล็กเข้าสู่เส้นทางด้านหลังเป็นใบเบิกทาง

“อ๊ะ!”

เส้นทางที่ตฤณกำลังบุกเบิกด้วยนิ้วของตัวเองมันช่างคับแน่น ยากที่จะแทรกผ่านเข้าไปได้โดยง่ายจนร่างที่อยู่ข้างใต้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“พี่... พี่ขอโทษ”

 ตฤณถอนนิ้วที่เข้าไปได้เพียงข้อออกมาตั้งต้นใหม่ ปลายนิ้วคลึงวนอยู่รอบดอกตูมในขณะที่โน้มตัวลงขบเม้มติ่งหูนุ่มเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ใบหน้ากลมมนที่อยู่ข้างใต้นั้นร้อนผ่าวราวกับกาน้ำที่พร้อมจะเดือดจัด สิ่งที่ร่างกายของเขากำลังได้รับจากร่างสูงนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ทั้งชีวิตไม่เคยได้สัมผัสสร้างความเสียวซ่านจนร่างหดเกร็ง

“อย่าเกร็งสิครับ” 

จ้าวก็อยากจะผ่อนคลายแต่มันทำไม่ได้เมื่อเขารู้สึกในทุกสัมผัสที่ตฤณมอบให้

“ใจเย็นนะ พี่จะทำเบาๆ จะถนุถนอมอย่างดี พี่สัญญา”

ตฤณลองสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านหลังอีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะแน่นขนัดแต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่มาก ร่างกายที่เขากำลังจะครอบครองหลังจากนี้เริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว เขาสอดนิ้วเข้าออกอยู่สามสี่ครั้งให้ช่องทางนั้นได้คุ้นชินกับสิ่งแปลกปลอม เสียงร้องของจ้าวยามเขาชักนิ้วเข้าออกช่างไพเราะจนอยากได้ยินเรื่อยๆ เขาแกล้งเด็กคนนั้นด้วยการบีบเค้นตุ่มไตบนหน้าอกที่กระเพื่อมเป็นจังหวะพร้อมกับสอดนิ้วเข้าไปจนสุด

“อ๊าาาาาา” 

เสียงกรีดร้องของจ้าวทำให้ตฤณมีความสุขแต่มันจะสุขมากกว่านี้ถ้าหากเขาได้ฝังตัวเข้าไปรับความอบอุ่นในร่างกายนั้น

“พี่เข้าไปได้ไหม”

“ไม่ๆ พี่ตฤณห้ามเข้า แค่นี้ก็เจ็บจะแย่แล้ว”

ใช่ว่าตฤณจะยอมรับฟังเสียงร้องขอของจ้าวที่ฝังหน้าลงกับหมอนหนุนเสียเมื่อไร ความเสียวซ่านที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดมันไม่ใช่สิ่งที่จะเรียกว่าความสุขได้เลยเพราะนั่นมันคือสิ่งที่จ้าวรู้สึกว่าร่างทั้งร่างเริ่มทรมาน เรียกร้องหาการปลดปล่อย   

ไม่รู้ว่างานนี้ใครจะได้กลายร่างเป็นปีศาจกันแน่ ระหว่างตฤณที่เตรียมพร้อมจะกินอาหารมื้อโอชะกับจ้าวที่อีกไม่นานจะได้กลายเป็นอาหารมื้อพิเศษในตฤณได้ติดใจไปอีกนานแสนนาน

“พี่รับปากว่าจะทำให้เบาที่สุด ให้จ้าวมีความสุขที่สุดนะครับ”

“ไม่เอา!”

จ้าวรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการมีเพียงทางนี้ทางเดียวที่จะได้ครอบครองมันแต่ไม่คิดว่าเพราะเป็นทางนี้ที่ทำให้เขาต้องเจ็บตัว ถ้ารู้แต่แรกก็คงไม่อยากได้ทว่าจะกลับลำตอนนี้ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เมื่อเขาทั้งเป็นฝ่ายเชิญชวนและยังอนุญาตให้กินได้ตามใจต้องการ

“ทำไมตอนแรกไม่เห็นดื้อกับพี่แบบนี้เลยล่ะ”

น้ำเสียงของตฤณที่กระซิบเบาๆ ข้างหูเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในกายออกมา จ้าวไม่ได้ตอบอะไรเพราะเขาเอาแต่ฝังหน้าตัวเองลงกับหมอนหนุน เมื่อฝ่ายนั้นไม่ตอบ ตฤณจึงถือโอกาสนี้สานต่อสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้เรียบร้อย   

มือแกร่งจับขาเรียวเล็กให้แยกออกจากกันก่อนที่จะสอดสิ่งสำคัญของตัวเองที่แข็งขึงเข้าไป แม้เส้นทางจะถูกเปิดแล้วแต่มันก็ยังคับแคบอยู่มากกว่าจะเข้าก็ทำเอาร่างข้างใต้ร้องระงมด้วยความเจ็บปวดเพราะสิ่งนั้นมันมีขนาดใหญ่กว่านิ้วเป็นไหนๆ เมื่อเข้าไปแล้วตฤณกลับกลั่นแกล้งด้วยการค้างมันไว้อย่างนั้น

“พี่ตฤณ~”

“ครับ”

“จ้าวอึดอัด เอาออกไปได้ไหม”

“ได้สิ”

จ้าวได้ยินแบบนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เขาหวังว่าตฤณจะถอนแท่งนั่นออกจากร่างให้เร็วที่สุดแต่กลับไม่ใช่อย่างที่คาดเอาไว้ เมื่อตฤณทำเพียงแค่ขยับออกแต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งติดค้างอยู่ที่ปลายทางออก ใบหน้ากลมมนแสดงความทุกข์ทรมานออกมาอย่างเห็นได้ชัดเพราะสิ่งนั้นก็ยังอยู่ในร่างอีกตั้งเกือบครึ่ง

“พี่ตฤณ~ เอาออกให้หมดสิครับ จ้าวทรมานจะแย่แล้ว”

“ได้สิ”

ตฤณดันแก่นกายของตัวเองกลับเข้าไปจนมิดอีกครั้งพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของร่างเล็กด้วยเสียงกระเส่า “พี่จะเอาออกให้หมดแล้วฝากไว้ที่จ้าวนะครับ”

ดวงตาสีแดงเพลิงเบิกกว้างทันทีที่ได้ยิน ทั้งที่จ้าวมีอำนาจเหนือผู้ใดในที่นี้มาโดยตลอดแต่ทว่าเมื่อมาอยู่บนเตียงแล้วอำนาจที่เคยครอบครองกลับสูญหายไปจนหมดสิ้น ร่ายกายของเขากำลังถูกครอบครองอย่างเอาแต่ใจ น้ำหนักที่กระแทกกระทั้นลงมายังบั้นท้ายมันช่างสร้างความเจ็บปวดไปทั่วทั้งเบื้องล่างแต่ถึงกระนั้นเส้นสายแห่งความสุขกลับไหลไปยังทุกส่วนของร่างกายรวมถึงหัวใจดวงน้อยที่เต้นไม่เป็นจังหวะดวงนั้นด้วย

“อ๊า~ พี่ตฤณ”

“มีความสุขไหมครับ”

จ้าวได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ ความเจ็บปวดที่แล่นริ้วถาโถมเข้ามาทำเอาต้องกัดฟันข่มไว้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับที่ถูกขบกัดจากร่างที่ทาบทับอยู่ ตฤณพลิกร่างข้างใต้ให้นอนหงายในขณะที่ส่วนหนึ่งของร่างกายเขายังคงอยู่ในตัวของเด็กคนนั้น จังหวะที่ร่างกายถูกจับให้หงายขึ้น เสียงร้องของจ้าวก็ดังขึ้นมาอีกระลอกด้วยเพราะช่องทางอ่อนนุ่มนั้นถูกเสียดสี

“งั้นพี่ขอกินทั้งตัวเลยนะครับ”

ตฤณไม่รอฟังคำตอบใด มือแกร่งจับเรียวขางามให้แยกห่างออกจากกันก่อนจะกระแทกกายเข้าออกกระชั้นถี่จนร่างที่อยู่ข้างกระตุกเป็นบางช่วง มือเรียวเล็กขยุ้มผ้าปูจบยับเยินแต่ใบหน้านั้นสุขสมราวกับกำลังถูกชักจูงให้ขึ้นสวรรค์แต่เมื่อสิ่งนั้นหยุดนิ่งก็คล้ายกับความรู้สึกกำลังถูกกระชากให้ตกลงมายังนรก

“อ๊า~ อย่าหยุดสิครับ”

ร่างเล็กบิดเร่าอย่างทุกข์ทรมาน การถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ไม่เป็นผลดีอะไรเลยเพราะนั่นทำให้ความต้องการในร่างการเพิ่มสูงขึ้น นิ้วเรียวเล็กลูบไล้ไปตามแผงอกที่อยู่ใต้เสื้อ ดวงตาสีเพลิงที่ดูเร่าร้อนกลับยิ่งร้อนเร่ามากขึ้น จ้าวทนไม่ไหวกับอาการแบบนี้อีกแล้ว เขาอยากถูกปลดปล่อย

“แล้วจ้าวอยากให้พี่ทำอะไรล่ะ”

ได้ที ตฤณก็กระเซ้าเย้าแหย่ถามเสียหน่อยแต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการอะไรในเวลานี้ เช่นเดียวกับที่เขาเองก็ต้องการด้วยเหมือนกัน แต่ทว่าถ้าเอาแต่เป็นฝ่ายกระทำอยู่ผู้เดียวมันจะไปสนุกอะไร

“เอ่อ...”

“บอกพี่สิครับ พี่จะทำให้”

จ้าวไม่ได้ตอบแต่เขากลับขยับช่วงล่างของตัวเองเป็นการบอกนัยๆ ว่าให้เริ่มทำต่อจากที่ค้างไว้ได้แล้ว ตฤณยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนท่าบ้างด้วยการให้คนตัวเล็กอยู่ด้านบน ส่วนเขานั้นอยู่ข้างล่าง ด้วยท่านี้ทำให้เขากระแทกกระทั้นแก่นกายเข้าสู่ช่องทางอันคับแคบและเปียกชื้นได้อย่างถนัดถนี่

เสียงร้องครวญครางเจือเสียงหอบกระเส่าเร่งเร้าให้ตฤณกระแทกแก่นกายเร็วและแรงขึ้น มันสร้างความเสียวกระสันให้กับร่างที่ขึ้นคร่อม ปลายเล็บที่วางอยู่บนหน้าท้องกดจิกเบาๆ คล้ายกับต้องการบรรเทาสิ่งที่อัดแน่นอยู่ภายใน

“พี่... อ๊า~ จะออกแล้ว จ้าว”

“ไม่ อย่า... อ๊า~ ปล่อย”

ไม่ทันที่จ้าวจะได้เอ่ยปราม ร่างที่นอนอยู่ข้างใต้กระตุกวูบ น้ำอุ่นสีขาวขุ่นก็ฉีดพุ่งจากแก่นกายไหลทะลักเข้าสู่ช่องทางอันคับแคบอย่างสมปรารถนา ใบหน้าคมคายอิ่มเอมไปด้วยความสุขที่แทบจะล้นทะลักผิดกับเด็กน้อยที่นอนซบแผ่นอกกว้างทำหน้ามุ่ย ตฤณมีความสุขสบายกับการได้ปลดปล่อยมันออกมาต่างจากอีกฝ่ายที่ยังทรมานกาย

“พี่ตฤณ”

“พี่มีความสุขมากเลยนะ”

“ครับ แต่จ้าวกำลังทุกข์”

นิ้วเล็กบิดตุ่มไตบนแผงหน้าอกของอีกฝ่ายหวังคลายความทรมานนี้ออกไป เพราะไม่เพียงแต่ตัวเองจะยังขึ้นไม่ถึงสวรรค์ชั้นสูงสุดแล้วฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอมถอนกายออกจากร่างเขาแม้ว่าจะปลดปล่อยออกไปจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับปีศาจปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคาย เขาค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นโดยที่ยังฝังแก่นกายของตัวเองอยู่ในช่องทางอันอุ่นร้อนมาเผชิญหน้ากับใบหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความอึดอัดที่ยังไม่ถูกระบาย มือแกร่งสัมผัสเบาไปยังแก่นกายอันน้อยที่แข็งขึง รูดขึ้นลงช้าๆ ดวงตาเรียวยาวปรือปรอยราวกับกำลังดื่มด่ำความสุขที่ไม่เคยพบเจอ ช่วงจังหวะที่ฝ่ามือไล้ผ่านแก่นกายช่างมีน้ำหนักพอเหมาะพอเจาะ มือเรียวเล็กเอื้อมไปคล้องรอบคอหวังช่วงประคองร่างของตัวเองเอาไว้ให้มั่นคง

“เร็วกว่านี้ อ๊า~”

ตฤณแอบแกล้งร่างเล็กด้วยการปล่อยมือออก ใบหน้ากลมมนนั้นถึงกับบิดเบี้ยว เรียวคิ้วงามขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด ริมฝีปากบางขยับคล้ายกับจะก่นด่าแต่ก็เงียบไปเมื่อแก่นกายรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมา

“ไม่ถึงแล้วทำไมไม่บอกล่ะครับ”

จะให้จ้าวเอาเวลาไหนไปพูดบอกเมื่อถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว

“อ๊า~ พี่ตฤณเร็วๆ สิครับ”

ช่วงจังหวะการขยับมือของตฤณยังไม่มากพอที่จะช่วยปลดปล่อยความทุกข์ทรมานที่สุมอยู่ในกายออกไปได้ ดวงหน้ามนเชิดขึ้นพร้อมกับขยับตัวขึ้นลงอย่างช้าๆ แก่นกายที่ยังคงค้างอยู่ในนั้นเสียดสีกับช่องทางรักเบาๆ ปลุกเร้าความต้องการของตฤณขึ้นมาอีกระลอก

“ทำแบบนี้หมายความว่า... อยากให้พี่ต่อใช่ไหมครับ”

“พี่ตฤณช้า”       

ตฤณหลุดหัวเราะเล็กน้อย ปล่อยมือจากสิ่งที่กำลังกอบกุมอยู่แล้วเคลื่อนย้ายไปประคองแก้มก้นงามงอนก่อนจะขยับกายเข้าออกเสียเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นจ้าวจึงต้องปล่อยมือที่โอบรอบคอแกร่งเอาไว้แล้วมาสัมผัสกับส่วนสำคัญของตัวเองแทน ขยับเข้าขยับออกตามจังหวะชักจูงของร่างที่สูงกว่าจนท้ายที่สุดแล้วต่างฝ่ายต่างก็พากันขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกัน

“อ๊า~ พี่ตฤณ”

“จ้าว” 

ร่างเล็กทรุดตัวลงพิงแนบกับแผงอกของอีกฝ่ายอย่างหมดเรี่ยวแรง หอบหายใจจนตัวโยน

“จ้าวเป็นของพี่ตฤณแล้วนะครับ”

น้ำเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์แต่ตฤณกลับได้ยินชัดทุกถ้อยคำ เขายกยิ้มอย่างมีความสุขพลางโอบกอดร่างเล็กเอาไว้แอบอกแล้วถอนกายออกมา เอื้อมมือออกไปลูบไล้ใบหน้าที่โชกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อด้วยความเอ็นดูรักใคร่ ไม่ใช่เพียงแค่จ้าวเป็นของตฤณแล้วแต่หัวใจของเขาก็เป็นของเด็กคนนั้นไปแล้วด้วยเช่นกัน

“ครับ เป็นของพี่แล้ว พี่จะดูแลอย่างดีเลย”

“พี่ตฤณก็เป็นของจ้าวแล้วด้วยเหมือนกัน จ้าวก็จะมีแค่พี่ตฤณคนเดียว”     







>> ต่อด้านล่าง <<
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 15 [06/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 06-03-2018 11:16:53
>> ต่อจากข้างบน <<







หลังจากที่ได้ร่วมรักกับตฤณแล้ว จ้าวก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายได้เข้าไปชำระล้างร่างกายก่อนโดยที่ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ตามเข้าไปเพราะกลัวว่ามันจะไม่ได้จบลงแค่ที่บนเตียงนอนแต่อาจจะยังต้องไปต่อรอบสองในห้องน้ำอีก

สิ่งที่จ้าวต้องการนั้นได้ครอบครองแล้วเพียงครึ่ง ขาดอีกครึ่งก็จะครบถ้วนสมบูรณ์โดยที่ไม่มีใครจะมาพรากมันไปจากเขาได้อีก หากแต่ยังคงไม่ใช่เวลานี้เพราะเขาเหนื่อยเกินจนแค่ขยับตัวเล็กน้อยก็ปวดร้าวไปหมด เขาซุกตัวลงใต้ผืนผ้าห่ม กอดหมอนหนุนแน่น ถ้าสุดท้ายแล้วเขารู้ว่าปลายทางของความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นคือความสุขสมที่หาจากที่ไหนไม่ได้ เขาคงรีบลงมือทำมันเสียตั้งแต่ทีแรก ตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้าตฤณเลยด้วยซ้ำ

ตฤณออกจากห้องน้ำแล้วเดินตรงมายังเตียงนอนที่เราเคยได้พลอดรักกัน โน้มกายลงต่ำ จุมพิตข้างกกหูพลางกระซิบด้วยน้ำเสียงที่จ้าวได้ยินแล้วใจสั่น “เหนื่อยก็พักสักหน่อยนะ แล้วพี่จะรีบกลับนะครับ สุดที่รัก”

จ้าวได้แต่พยักหน้าให้แทนคำตอบ เขารอให้ตฤณเดินออกไปจากห้องแล้วค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง

“พี่เจต!!”

รอไม่นาน วิญญาณของเจตรินก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าตามคำเรียกเชิญ ใบหน้าลูกครึ่งของพี่ชายที่รักสุดหัวใจเต็มไปด้วยความสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วน้องชายอันเป็นที่รักน่าจะได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าความอ่อนโยนได้จากผู้ชายคนนั้นบ้าง

‘มีอะไรหรือเปล่า’

“ปล่อยทุกคนออกไปให้หมด”

'ปล่อยเหรอ ปกติจ้าวไม่เคยใจดีแบบนี้นี่’

“จ้าวใจดีบ้างแล้วไม่ดีเหรอครับ พี่เจตก็อยากให้จ้าวใจดีไม่ใช่เหรอไงครับ”

เป็นความจริงที่เจตรินอยากให้น้องชายของเขาใจดี มีเมตตาและอ่อนโยนบ้างแต่ก็น่าแปลกอยู่ไม่น้อยที่วันนี้จู่ๆ เด็กคนนั้นก็นึกใจดีมีเมตตายอมปล่อยพวกที่ชอบลองของ อยากเจอดีให้ออกไปได้อย่างง่ายดายโดยที่แทบจะไม่ได้ฝากอะไรไว้ให้เป็นของที่ระลึกเลย

‘ก็ใช่ แต่มันก็น่าแปลก เป็นเพราะตฤณหรือเปล่านะที่ทำให้น้องของพี่เปลี่ยนไปนิดหน่อย’

 “จ้าวก็แค่อารมณ์ดีจนขี้เกียจจะไปเล่นสนุกแล้ว”

‘กับตฤณนี่ สรุปหลงรักเขาแล้วหรือยัง’

“จะรักหรือไม่ จ้าวก็ได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว ขาดอีกแค่ครึ่งเท่านั้น พี่เจตมีอะไรจะทำไปก็ไปเถอะครับ จ้าวอยากพักผ่อนสักหน่อย เหนื่อยมาหลายคืนแล้ว”

เจตรินปล่อยให้จ้าวได้พักผ่อนตามต้องการ ส่วนเขาก็ต้องไปจัดการเรื่องที่เหลือที่ได้รับคำสั่งมา เก็บกวาดศพคนสองศพกับปล่อยคนอีกสามคนให้กลับไปพบกับแสงแดดและอากาศอันบริสุทธิ์อีกครั้ง





** ติดตามตอนต่อไป **
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 15 [06/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-03-2018 03:41:36
ได้ครึ่งหนึ่ง ยังขาดอีกครึ่งหนึ่ง มันคืออะไร  :confuse:
จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่า พระเอกเรื่องนี้จะไม่ตายตอนจบ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 15 [06/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: XXX ที่ 11-03-2018 19:54:42
สุดยอดดดดด อิอิ รอมาต่อนะค้าาา

 :-[ :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 16 [11/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 11-03-2018 20:18:08
::: ตอนที่ 16 :::
อีกครึ่งของวิญญาณที่หายไป





​ตฤณมาถึงมหาวิทยาลัยในช่วงสายของวัน ยังไม่ทันจะได้หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ยาวในซุ้มของคณะ เขาก็ถูกรุ่นพี่ปีสี่ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเอ่ยทักด้วยเรื่องไม่เป็นมงคลเข้าเสียก่อน

“ตฤณ อย่าหาว่าพี่สอดเลยนะ วิญญาณอีกครึ่งหายไปไหน”

“พี่เมฆถามอะไร วิญญาณหาย? ก็ไม่หายนี่ครับ”

เมฆเป็นรุ่นพี่ที่ค่อนข้างจะสนิทสนมกับตฤณและเพื่อนในกลุ่มอยู่มาก อีกทั้งยังมีสัมผัสพิเศษเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วเขาจึงไม่โกรธที่ถูกถามอะไรแบบนี้

“แล้วตอนนี้ไม่ได้อยู่หอแล้วเหรอ”

“ครับ พอดีผมได้ที่พักฟรี ถึงจะไกลจากมหาวิทยาลัยไปหน่อยแต่ก็โอเคนะ”

“จริงๆ พี่ถามลีแล้วล่ะ อยู่ที่คฤหาสน์หลังนั้นใช่ไหม”

ตฤณพยักหน้ารับพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเมฆ วางกระเป๋าและหนังสือเรียนลง เขาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนั้นจริงแถมเด็กที่เป็นเจ้าของก็ยังอัธยาศัยดีมากด้วยจนเขาอยากแนะนำให้เพื่อนทุกคนได้รู้จัก

“แล้วเคยได้ยินข่าวลืออะไรเกี่ยวกับที่นั่นบ้างไหม”

ข่าวลือ... ตฤณก็พอจะได้ยินมาบ้างจากการที่วันนั้นออกไปซื้อน้ำข้างนอก มีคนถามถึงว่าเจอเหตุการณ์อะไรแปลกๆ ในคฤหาสน์หลังนั้นหรือไม่ แล้วอยู่สบายดีไหมราวกับเป็นห่วงเป็นใยในชีวิตของเขา แต่ตฤณกลับส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ เขาเองก็อยากรู้จากปากของรุ่นพี่ว่ามันมีข่าวลืออะไรที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์หลังนั้นบ้างนอกเหนือจากที่ได้เจอมา

“แล้วอยากฟังไหม แต่พี่บอกก่อนนะว่าที่จะพูดมันไม่ใช่แค่ข่าวลือ”

ตฤณพยักหน้ารับคำ เขาพอรู้อยู่บ้างว่าครอบครัวของรุ่นพี่กำลังศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับบางอย่างอยู่ ไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะมาเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์หลังนี้เข้า 

“คฤหาสน์ที่แกอยู่น่ะเป็นของครอบครัวชาวอังกฤษ ฟาเบกัส คัลเลน พ่อค้าวานิชที่เข้ามาทำการค้ากับไทย เขาแต่งงานกับภรรยาชาวไทยและมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนคือ โจเซฟ คัลเลน แต่อยู่มาวันหนึ่งพ่อค้าวานิชคนนี้ก็เกิดไปถูกอกถูกใจเด็กน้อยคนหนึ่งวัยห้าขวบเข้าจึงรับมาเลี้ยงและมอบชื่อใหม่ว่าวินเซ้นท์ เด็กคนนี้มีนัยน์ตาสีแดงฉานเหมือนสีเลือดจึงถูกรังเกียจเพราะคิดว่าเป็นปีศาจ”

เมฆหยุดเล่าเพียงเท่านี้แล้วหยิบสมุดภาพเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย วางมันลงตรงหน้าของตฤณแล้วพลิกไปยังหน้าที่มีรูปภาพของครอบครัวนี้อยู่ซึ่งครอบครัวของเขาเก็บมันมาจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อนานมากแล้วตอนที่กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของคฤหาสน์ที่ใครหลายคนต่างก็กล่าวกันว่าเป็นสถานที่ที่ผีดุ

ภาพจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่เหลืองจนกรอบทำเอาตฤณตกใจอยู่ไม่น้อย สองคนในภาพนั้นเป็นคนที่เขารู้จักและมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ เด็กน้อยที่เขาเพิ่งจูบลาก่อนจากมากับพี่ชายของเขา ‘เจต’

“นี่คือครอบครัวคัลเลน เด็กสองคนในภาพคือโจเซฟกับวินเซ้นท์”

“เดี๋ยว! นี่พี่เล่นตลกอะไร อำกันเล่นใช่ไหม”

“ดูวันที่ของหนังสือพิมพ์สิ คิดว่าพี่อำเล่นเหรอ”

ตฤณเบนสายตามองไปยังวันที่และปีพุทธศักราชตรงมุมบนของหน้าหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดทอนมาด้วย วันที่กับเดือนที่ปรากฏอยู่ตรงนั้นยังไม่ทำให้เขารู้สึกช็อคไปมากกว่าตัวเลขที่ต่อท้ายอักษรย่อว่า พ.ศ. มันขึ้นต้นด้วยเลขสองและตามมาด้วยเลขสี่ เขาไม่ดูต่อว่ามันจะเป็นปีพุทธศักราชที่เท่าไรแต่กลับเบือนสายตาไปยังภาพถ่ายที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์นั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“สมัยนี้อะไรๆ ก็ทำได้ ขนาดของเก่ายังทำให้เป็นของใหม่ได้เลย แล้วถ้าของใหม่มันจะทำให้เป็นของเก่าไม่ได้เหรอ”

“ตฤณ”

“ไม่ใช่ผมไม่เชื่อนะพี่ แต่เมื่อเช้าผมยังคุยกับเขาอยู่เลย”

แค่พวกเขาเริ่มต้นคุยเรื่องประวัติของคฤหาสน์หลังนั้นก็คล้ายกับว่ากำลังจะเปิดศึกทะเลาะกันแล้ว ยังไม่นับเรื่องราวอีกมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนี้

“คฤหาสน์หลังนั้นมันมีอะไรที่อยู่เหนือการควบคุมเรานะ พูดตรงๆ ว่าพี่เป็นห่วงแก ออกจากมาที่นั่นก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินไปเถอะ”

ทั้งเนตร ลี รวมถึงพี่เมฆ ทำไมถึงได้มีแต่คนอยากให้เขาออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นทั้งที่มันไม่ได้มีเรื่องอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับตัวเขาเลยสักอย่าง จ้าวออกจะเป็นเด็กดีที่แสนน่ารักและข่าวลือมันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ตฤณเชื่ออย่างนั้น

“แล้วมันมีอะไรล่ะ”

“ตามข่าวที่พี่อ่านมาหรือสืบหาเอาจากคนที่พอรู้เรื่องเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้อ่ะนะ เขาบอกว่าหลังจากที่เด็กคนนี้ย้ายเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ได้พักใหญ่ ทุกคนในครอบครัวก็ถูกฆ่าตาย ไม่มีใครรอดชีวิต แม่บ้าน คนรับใช้ รวมถึงเด็กทั้งสองคนนั้นด้วยก็ไม่รอด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าฆาตกรเป็นใคร แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแค่วันเดียว ตอนที่กำลังจะเคลื่อนย้ายศพไปฝังก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น ทุกศพที่อยู่ในนั้นเคลื่อนย้ายไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้กี่คนลากก็ยังไม่ขยับ จะหาเครื่องทุ่นแรงมาใช้ยกศพไปมันก็ไม่ขึ้นจนสุดท้ายก็ต้องล้มเลิกไป แล้วปล่อยให้มันเป็นปริศนาอยู่อย่างนั้น”

“พวกข่าวแบบนี้บางทีมันก็ใส่สีตีไข่ เขียนเอาสนุกกันทั้งนั้นแหละ”

“แกจะบอกว่าไม่เชื่อเหรอ”

“ไม่ใช่แบบนั้นนะ คือ... ผมแค่คิดว่าเด็กคนนั้น วินวินอะไรนั่นคงไม่ใช่คนเดียวกับที่ผมรู้จักหรอก ก็เป็นแค่เด็กหน้าเหมือนแล้วอีกอย่างตอนที่ผมอยู่ที่คฤหาสน์หลังนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย อาจจะมีความรู้สึกแค่แบบ... เหมือนมีคนจับตามองอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไร”

เมฆไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ตฤณยอมย้ายออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้น เขาได้เองได้ยินได้ฟังข่าวลือเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นมาบ้าง โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับลี ที่นั่นมีความชั่วร้ายแอบแฝงอยู่และเขาต้องพาตัวรุ่นน้องคนนี้ออกมาจากสถานที่เลวร้ายแบบนั้นให้ได้

“แล้วเคยได้ยินข่าวลือที่เขาบอกว่าใครที่เข้าไปที่นั่นแล้วอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับออกมาหรือถ้าออกมาได้ก็จะกลายเป็นบ้า สติฟั่นเฟือน”

“ข่าวลือมันก็คือข่าวลือน่ะพี่ แล้วนี่ผมก็อยู่ที่นั่นมาตั้งห้าวัน ถ้าข่าวลือเป็นจริง ป่านนี้ผมคงกลายเป็นศพหรือเป็นบ้าไปตั้งนานแล้ว”

นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากที่สุดเท่าที่เมฆเคยได้ยินมา ไม่เคยมีใครรอดชีวิตจากคฤหาสน์หลังนั้นแล้วสามารถใช้แบบปกติสุขราวกับไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นในนั้นให้ต้องขวัญผวา

“ห้าวันเลยเหรอวะ!”

“อืม แล้วเด็กคนนั้นก็นิสัยดีมากด้วย พี่จะไปเจอเขาหน่อยไหมครับ”

“ก็ดีเหมือนกัน พี่ก็อยากรู้ว่าวินเซ้นท์กับเด็กคนนั้นใช่คนเดียวกันจริงๆ หรือเปล่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เดี๋ยวตอนเลิกเรียนแล้วพี่จะขับมอเตอร์ไซค์ไปส่ง ตกลงไหม”

“ครับ”

“เอ่อ... งั้นเดี๋ยวพี่ไปเรียนล่ะ แล้วเดี๋ยวเรียนเสร็จก็โทรมาหาพี่นะ”

“ครับ”

 

---------------------------------


หลังจากหมดคาบเรียนแล้วตฤณก็กลับคฤหาสน์มาพร้อมกับเมฆ ตลอดทั้งวันที่เข้าเรียนนั้นเขาไม่เจอเนตร ไม่เห็นยุ้ย โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ พอถามเอาความจากลี ฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอมตอบว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนอีกสองคน ถึงมันจะแปลกไปสักหน่อยที่ติดต่อทั้งสองคนไม่ได้แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก

คฤหาสน์หลังโตที่อยู่ตรงหน้าในช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้จะเลิกทำงานดูวังเวงอยู่เล็กน้อย ถนนที่อยู่ข้างหน้ายังพอเห็นรถวิ่งสวนไปมาบ้างประปราย บรรยากาศเยือกเย็นโรยตัวลงมาจากเบื้องบนจนเกือบจะครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ ความเงียบสงัดทำให้พวกเขาราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกใบหนึ่ง

“พี่ตฤณ~”

เด็กน้อยในชุดเดิมเหมือนเช่นครั้งแรกที่ตฤณเจอวิ่งถลาจากหน้าประตูคฤหาสน์ที่เปิดกว้างอยู่แล้วเข้ามาหาเขา ใบหน้ากลมมนได้รูปนั้นประดับไปด้วยรอยยิ้มอันแสนงดงามและเป็นมิตรแต่ทว่าเมฆกลับไม่รู้สึกถึงความเป็นมิตรนั้นเลย ดวงตาสีเพลิงตวัดมองเขาอยู่ครู่หนึ่งด้วยแววแห่งความไม่พอใจ

“เดินลงมาไหวเหรอ”

“พอไหวครับ แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ แล้วนี่ใครเหรอครับ”

จ้าวเอ่ยถามถึงผู้ชายอีกคนที่ติดสอยห้อยตามตฤณมาด้วย เขาเงยหน้ามองร่างที่อยู่สูงกว่าแล้วปั้นหน้าที่แสดงถึงความอ่อนโยนและเป็นมิตรให้ได้มากที่สุดแต่แววตาที่ส่งผ่านมานั้นมีแต่ความมุ่งร้ายที่หมายมาดเอาชีวิต ถ้าหากเผลอทำอะไรที่ไม่ถูกใจเข้าล่ะก็อาจไม่มีโอกาสได้เอาชีวิตที่เหลืออยู่กลับไปใช้

“อ้อ! รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยน่ะ ชื่อเมฆ”     

“เพื่อนพี่ตฤณนี่เอง ผมชื่อจ้าวครับ เข้ามาข้างในก่อนสิครับ”

“ไม่เป็นไร แค่มาส่งเฉยๆ ก็กลับแล้ว”

เมฆรีบเอ่ยปฏิเสธ แน่นอนว่าที่เขามาที่นี่ก็เพื่อต้องการยืนยันว่าเด็กที่ตฤณพูดถึงกับวินเซ้นท์คนนั้นเป็นคนเดียวกันหรือไม่ และตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าถ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในรูปถ่ายบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็คงจะเป็นร่างโคลนนิ่งที่คัดลอกออกมาทุกกระเบียดนิ้ว ไม่เว้นแม้แต่ชุดที่สวมใส่อยู่นี่ก็ยังเป็นชุดเดียวกับของวินเซ้นท์ คัลเลน

“น่าจะเข้ามานั่งจิบชาสักหน่อยนะครับ จ้าวเพิ่งให้เขาเตรียมไว้เมื่อครู่เอง”

“นั่นสิ พี่เมฆเข้ามานั่งก่อนก็ได้ พักให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยกลับ”

เมฆนิ่งไปชั่วครู่ราวกับกำลังคิดทบทวนว่าควรเอาตัวเองเข้าไปในพื้นที่ของเด็กคนนั้นหรือไม่ แค่เขายืนอยู่หน้าประตูรั้ว ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปเหยียบลงบนส่วนหนึ่งของคฤหาสน์ตระกูลคัลเลนก็ยังรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวที่แผ่ขยายออกมาจนขนแขนแทบจะลุกเกรียว และน่าแปลกที่รุ่นน้องของเขากลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

“เกรงใจน่ะ ไม่อยากรบกวน”

“ไม่ได้รบกวนอะไรเลยครับ จ้าวยินดีต้อนรับทุกคนที่เป็นเพื่อนของพี่ตฤณ”

“ไม่เป็นไร พี่มีธุระต้องรีบไปต่อน่ะ ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะ”

เมฆยืนกรานปฏิเสธอีกครั้ง และเขาก็รู้แล้วว่าวิญญาณอีกครึ่งของตฤณหายไปไหนจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ต่อ

“ก็ได้ครับ พี่เมฆรับปากกับจ้าวแล้วนะครับว่าโอกาสหน้าจะมานั่งจิบน้ำชากัน”

  “อืม งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ พี่”

ตฤณกับจ้าวยืนส่งเมฆจนลับสายตา เมื่อเห็นว่าแถวนั้นไม่มีใครแล้วจ้าวจึงเข้าไปคล้องแขนทำทีเหมือนการเดินลงมาต้อนรับนั้นทำให้เบื้องล่างของเขาเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง อันที่จริงมันก็เจ็บแน่อยู่แล้ว เพียงแค่เขาเก็บอาการตอนที่เมฆยังอยู่เอาไว้

“ให้พี่ช่วยอุ้มขึ้นไปไหม”

“เอาสิครับ มันเริ่มระบมจนเดินไม่ไหวแล้ว”

ตฤณยกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะช้อนร่างเล็กขึ้นมาอุ้มในท่าเจ้าหญิงเข้าไปข้างในคฤหาสน์ พอวางร่างเล็กลงบนเตียงนอน โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ส่งเสียงเป็นระรอกคล้ายกับว่ามีใครส่งข้อความเข้ามาในไลน์อย่างถี่รัว เขาจึงหยิบขึ้นมาเปิดดู เป็นข้อความที่ส่งมาจากลี ยิ่งไล่อ่านข้อความที่ถูกส่งมาเรื่อยๆ เรียวคิ้วงามก็ยิ่งขมวดเข้าหากันจนแทบจะกลายเป็นโบว์ชิ้นโตกลางหน้าผาก

“มีอะไรหรือเปล่าครับ พี่ตฤณ”

“จำเนตร เพื่อนพี่ได้ใช่ไหม”

“ครับ”

แน่สิ! ทำไมจ้าวจะจำไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นทำให้เขามีความทรงจำที่แสนสนุกตั้งหลายเรื่อง

“เธอเข้าโรงพยาบาล”

“เอ๋? พี่เนตรเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

ดวงหน้ากลมมนฉายแววความตกใจ ดวงตาสีเพลิงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแต่ริมฝีปากที่ยกขยับกลับเหยียดหยันขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังเยาะเย้ยในความโชคร้ายของเธอคนนั้น

“ลีบอกว่าอาการหนัก เอาแต่เพ้อว่าขอโทษกับช่วยด้วยตลอดเวลาเลย ไม่รู้ไปเจออะไรมา”

“น่าสงสารพี่เนตรนะครับ จ้าวอยากไปเยี่ยมจังเลยแต่... ดูเหมือนพี่เนตรไม่ชอบหน้าจ้าวสักเท่าไร ไม่รู้ว่าเขาจะอยากเจอหน้าจ้าวหรือเปล่า ถ้าพี่ตฤณไปเยี่ยมพี่เนตรก็ฝากบอกด้วยนะครับว่าขอให้หายไวๆ จ้าวเป็นห่วง”

ตฤณวางโทรศัพท์ไว้ข้างโต๊ะหัวเตียงนอนแล้วก้าวขึ้นไปนอนข้างกัน

“ไม่เป็นห่วงพี่บ้างเหรอครับ”

“ให้จ้าวห่วงอะไรล่ะครับ พี่เนตรสิน่าเป็นห่วงกว่า”

มือแกร่งสอดเข้าใต้ผืนผ้าห่มแล้วไล้มือไปตามเรือนร่างเล็ก ปลดกระดุมเสื้อแต่ละเม็ดออกอย่างช้าๆ จ้าวรู้ว่าตฤณกำลังจะทำอะไรแต่ไม่มีทางที่มันจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองในเวลานี้แน่นอน เขายังไม่พร้อมและมันก็เร็วเกินไปที่จะยึดครองอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมาเป็นของตน

“เป็นห่วงว่าพี่ทรมาน อยากปลดปล่อยอีกหรือเปล่าน่ะ”

“พี่ตฤณ! ไม่เอาแล้ว จ้าวเจ็บนะครับ”

มือเล็กตีเข้าบนมือที่แสนซุกซนสอดเข้าไล้วนตุ่มไตยอดอกเล่นอย่างสนุกมือ

“เจ็บนะครับแต่ก็ยังปล่อยให้พี่ทำถึงขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะว่าก็อยากเหมือนกันเหรอครับ”

“พี่ตฤณ~ เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า เรื่องพี่เมฆคนนี้ยังไงเหรอครับ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม จ้าวอยากรู้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่ดีของพี่ตฤณหรือเปล่า แล้วพี่สนิทกับพี่เมฆมากไหม จ้าว... จ้าวอยากรู้อะไรเกี่ยวกับพี่ตฤณไว้บ้างน่ะครับ ไหนๆ เราก็... กันแล้ว”

ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยให้ใบหน้ากลมมนได้อิงแอบแนบซบกับแผ่นอกกว้าง ฟังเสียงลมหายใจเข้าออก

“รู้จักกันมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งแล้วล่ะ พี่เมฆเป็นรุ่นพี่ที่ดีนะ ดูเอาใจใส่ คอยเป็นห่วงเป็นใย”

“แล้วดีกว่าที่จ้าวทำให้พี่ตฤณหรือเปล่าครับ”

ตฤณยกยิ้มเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปลูบเรือนผมเส้นเล็กอย่างเบามือ ระหว่างรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยกับเด็กน้อยคนนี้คงเทียบอะไรกันไม่ได้เพราะสำคัญกันคนละแบบ เมฆเป็นรุ่นพี่ที่ตฤณเคารพรัก ส่วนจ้าวเป็นเด็กน้อยที่เขาหลงรักจนพร้อมที่จะมอบทุกอย่างและทำทุกสิ่งให้ตามที่ต้องการ

“จะมีใครดีไปกว่าเด็กคนนี้อีกล่ะ”

มือแกร่งยกบีบจมูกโด่งเป็นสันเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว เด็กคนนี้ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้แล้วเขาจะไม่เลือกได้อย่างไร

“ได้ยินแบบนี้ จ้าวก็สบายใจแล้วล่ะครับ ไม่อยากให้ใครมาแย่งที่ที่ควรจะเป็นของจ้าวน่ะครับ”

“ว่าแต่พี่ชายจ้าวกลับมาหรือยัง เห็นไปทำงานที่ต่างจังหวัดตั้งหลายวัน ไม่ติดต่อกลับมาเลย”

“กลับมาแล้วล่ะครับ บ่นว่าเหนื่อยมากเลยพักอยู่ที่ห้อง”

ตฤณพยักหน้าเป็นเชิงว่าเขาได้รับรู้แล้วแต่มันก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาใจ เรื่องที่เมฆพูดถึง ประวัติของคฤหาสน์ตระกูลคัลเลน เด็กที่ชื่อโจเซฟและวินเซ้นท์ และเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นตอนที่เกิดโศกอนาถกรรมของครอบครัวจนกระทั่งถึงเรื่องที่เขาเล่าลือกับเกี่ยวกับความชั่วร้ายที่แฝงกายอยู่ที่นี่

“จ้าว พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”

“ครับ”

“รู้จักเด็กที่ชื่อโจเซฟกับวินเซ้นท์ คัลเลนไหม”

ร่างที่ซบอยู่ในอ้อมกอดแน่นิ่งไป ใบหน้ากลมมนเผือดสีลงเล็กน้อย แววตาสีเพลิงดุดันคล้ายกับจะไม่พอใจที่ถูกถามถึงเรื่องนี้แต่แล้วใบหน้าดวงนั้นก็กลับมาประดับด้วยรอยยิ้มหวานอีกครั้ง น้ำเสียงอันแสนไพเราะไร้พิรุธถูกเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นเป็นที่สุด แม้ภายในอกจะร้อนรุ่มดั่งไฟที่พร้อมแผดเผาทุกความเท็จจริงให้มอดไหม้

“พวกเขาเป็นใครเหรอครับ จ้าวไม่รู้จักเลย”

“ไม่รู้จักเลยเหรอ”

“ครับ จ้าวอายุสิบห้าเองนะครับ แล้วพ่อกับแม่ก็เสียไปตั้งนานแล้ว เราเลยมีกันแค่สองคนพี่น้อง พี่เจตกับจ้าวแค่นั้นครับ ถ้าคนที่พี่ตฤณพูดถึงคนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับจ้าวก็คงเป็นเรื่องที่นานมากแล้ว อาจจะเป็นบรรพบุรุษของครอบครัวก็ได้ครับ ถ้าพี่ตฤณอยากรู้ข้อเท็จจริงว่าเด็กทั้งสองคนเป็นใครก็คงต้องไปรบกวนพ่อกับแม่ที่หลุมศพ ปลุกพวกเขาขึ้นมาถามเอาแล้วล่ะครับ”

หนึ่งข้อสงสัยที่มีถูกปัดตกไปแม้ว่าคำตอบของจ้าวจะไม่ค่อยกระจ่างสักเท่าไรแต่เขาคงถามอะไรมากไม่ได้ ในเมื่อเด็กน้อยที่อยู่ข้างกายมีอายุน้อยกว่าเขาแค่ห้าปี ส่วนคนที่ถามถึงกลับอยู่ในยุคที่พวกเขายังไม่ทันจะได้ปฏิสนธิเลยด้วยซ้ำ

“ทำไมพี่ตฤณถึงอยากรู้ล่ะครับ”

“พี่เห็นรูปถ่ายของครอบครัวคัลเลนในหนังสือพิมพ์เมื่อร้อยกว่าปีก่อนน่ะ แล้วเด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนจ้าวเลยอยากรู้ว่าเป็นอะไรกันหรือเปล่า”

“บางทีหน้าจ้าวอาจจะไปเหมือนกับคนยุคก่อนก็ได้นะครับ แบบ... กลับชาติมาเกิดอะไรแบบนี้”   

“อาจเป็นแค่คนหน้าเหมือนเนอะ”

ตฤณก็พอจะเห็นด้วยว่ามันอาจจะเป็นความบังเอิญที่มีใบหน้าเหมือนกับคนในอดีตแต่กลับลืมไปว่าคงไม่มีอะไรที่เหมือนกันจนถึงขนาดเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังเป็นแบบเดียวกันด้วย

“ครับ หน้าจ้าวก็แค่บังเอิญเหมือน”

“แล้วเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์นั่นล่ะ มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

จ้าวนิ่งเงียบอีกครั้ง แน่นอนว่าคำถามนี้ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตฤณกำลังระแวงในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่และอาจจะรวมถึงตัวเขาเองด้วยที่ตฤณจะไม่ไว้ใจ

“พี่ตฤณคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“มันคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอก เพราะถ้ามันเป็นจริง พี่ก็คงไม่อยู่ได้ถึงวันนี้แล้วอีกอย่างที่นี่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องกลัว จะมีก็แค่...” ตฤณแกล้งเงียบลงให้จ้าวได้ลุ้นแต่เด็กคนนั้นไม่ลุ้นไปด้วยเพราะถ้าสิ่งที่ตฤณพูดออกมาต่อจากนี้ทำให้เขาไม่พอใจ เรื่องราวอาจจบลงไม่สวยสักเท่าไรนัก “คนน่ารักที่พี่รักอย่างจ้าว”

ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมากพลางฝังใบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างคล้ายกับจะออดอ้อนเอาอกเอาใจ

“พรุ่งนี้พี่จะไปเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลนะ ไปด้วยกันไหม”

“ไม่เอาหรอกครับ ยังเจ็บไม่หายเลย ถ้าต้องเดินบ่อยๆ สงสัยจะระบมไปอีกนาน”

“นั่นสิเนอะ รอให้หายก่อนแล้วพี่ค่อยพาไปเยี่ยมเนตร เสร็จแล้วเราก็มาทำให้มันระบมใหม่ดีไหม”

“ทะลึ่ง! จ้าวไม่คุยกับพี่ตฤณแล้ว ไปหาพี่เจตดีกว่า”

มือเล็กตีลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนที่จะขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ตฤณยกยิ้มเล็กน้อย มองตามร่างเล็กที่เดินออกจากห้องไปจนสุดสายตา แล้วกลับมาสนใจข้อความที่ลีทิ้งไว้ให้ในมือถือต่อ ในนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาเอ่ยถามเจ้าของคฤหาสน์คนนั้นไม่ได้... ‘สิ่งที่เกิดขึ้นกับเนตรและยุ้ยมันเหมือนข่าวลือที่เขาพูดกัน’





** ติดตามตอนต่อไป **


หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 16 [11/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-03-2018 00:43:13
พี่เมฆไปแล้ว ไปให้ตลอดนะ  :call:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 16 [11/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 12-03-2018 19:13:46
ดูเหมือนจ้าวจะได้กินพี่ตฤณมากกว่า
พี่เมฆของเล่นชิ้นใหม่ของจ้าว
ตามต่อไป^^
((ฉากบนเตียงอ่านแล้วระทึก มากกว่าหื่นอ่ะ อิอิ))
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 16 [11/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 14-03-2018 09:57:26
พี่เมฆจิตสัมผัส .....
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 17 [19/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 19-03-2018 17:48:51
::: ตอนที่ 17 :::
เยี่ยมเยียน







ตฤณแวะมาเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลก่อนไปเรียนที่มหาวิทยาลัย สภาพของผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงนั้นดูน่ากลัว รอยแผลเป็นจุดๆ รอบริมฝีปากยังไม่ตกสะเก็จ ขอบตาดำคล้ำลึกโบ๋เป็นวงกว้าง ทั้งแขนและขาถูกมัดด้วยผ้าตรึงไว้กับเตียงนอนทั้งสี่ด้าน เธอเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ริมฝีปากขมุบขมิบคล้ายกับจะพูดอะไรอยู่ตลอดเวลา

“ทำไมเนตรเป็นแบบนี้ล่ะครับ”

ตฤณทนไม่ไหวกับสภาพของเพื่อนที่เห็นอยู่ตรงหน้า เอ่ยถามนางจิตตราผู้เป็นแม่ที่ได้แต่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ เพียงเพราะแค่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ เธอจะกรีดร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่งแล้ววิ่งไปหลบซุกตัวอยู่มุมหนึ่งของห้องด้วยท่าทางหวาดกลัว แววตาตื่นตระหนกคล้ายกับเห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัวเข้าจนต้องมัดร่างเอาไว้แบบนี้

“แม่ไม่รู้เหมือนกัน เพื่อนของเนตร ลูกน้ำน่ะ พามาส่งที่บ้านตอนเช้าวันจันทร์ บอกว่าเจออยู่กลางทาง”

“เมื่อวานเหรอครับ”

“จ๊ะ เมื่อวานแต่อาการดีกว่านี้ ยังยอมให้ใครเข้าใกล้บ้าง”

เนตรออกจากคฤหาสน์หลังนั้นไปตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์แล้วทำไมถึงมาเจอในสภาพนี้ตอนเช้าวันจันทร์ ตฤณไม่เข้าใจเลยว่าเนตรไปเจอกับอะไรมาบ้าง สภาพถึงได้กลายเป็นแบบนี้

“แล้ว... หมอบอกว่ายังไงบ้างครับ”

“สภาพร่างกายน่ะไม่เท่าไร แต่สภาพจิตใจ...” นางจิตตราเงียบลง กลั้นเสียงสำอื้นไห้ พอพูดถึงเรื่องสภาพจิตใจของลูกสาว เธอก็แทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ มันย่ำแย่เสียจนเธอไม่อาจทำใจยอมรับมันได้โดยง่าย ลูกสาวที่แสนน่ารักกลับมาเป็นอย่างนี้ไม่ว่าใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น “ถ้าไม่รักษา เธอจะกลายเป็นบ้า”

“แม่ทำใจดีๆ ไว้นะครับ ผมเชื่อว่าเนตรต้องหาย”   

ตฤณรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก การรักษาผู้ที่มีสภาพจิตไม่ปกติต้องใช้เวลา

“ขอบใจนะ คือ... หมอบอกว่าถ้าไม่รู้ว่าอะไรไปกระทบกระเทือนจิตใจของเธอ มันก็ทำการรักษายากอยู่ ตฤณพอจะรู้ไหมว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับลูกของแม่ มีอะไรผิดสังเกตหรือเปล่า”

ตฤณเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเนตร ทุกอย่างดูปกติ ไม่มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันแปลกไป เนตรก็ยังเป็นเนตรที่เอาแต่ใจอยู่เหมือนเดิมจนกระทั่งที่ได้รับข่าวจากลีว่าเธออยู่โรงพยาบาลและอาการหนักมาก เขายังหาสาเหตุไม่ได้แต่รู้แค่ว่าเช้าวันอาทิตย์ที่เนตรออกจากคฤหาสน์หลังนั้นไปเป็นเพราะมีธุระด่วนและคนที่บอกประโยคนั้นก็คือเด็กคนนั้น จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงเล็กน้อยเมื่อคิดว่าคนที่ทำอะไรแบบนี้กับเนตรอาจเป็นจ้าว

“มะ... ไม่มีนี่ครับ”

“งั้นเหรอ... เฮ้อ~ แม่คงหมดหวังซะแล้วล่ะมั้ง”

แม้แต่ตฤณก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของนางจิตตรา

“เอ่อ... ขอผมเดินเข้าไปหาเนตรใกล้ๆ ได้ไหมครับ อยากลองถามดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“เอาสิ ใครเข้าใกล้ก็ไม่ได้ ถามอะไรก็เอาแต่พูดว่าขอโทษ ปล่อยไปเถอะนะ กับช่วยด้วย แต่ถ้าเป็นตฤณ ลูกสาวแม่อาจจะยอมตอบอะไรออกมาบ้าง”

ตฤณรอให้เนตรดูจะสงบลงเล็กน้อยแล้วจึงค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปหาช้าๆ คอยระวังไม่ทำให้เธอหวาดกลัว ถึงจะเดินเข้าไปใกล้แต่ก็ยังเว้นระยะห่างเอาไว้ซึ่งกันและกัน เนตรหันมามองและหยุดนิ่งราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ยิ่งพอมาเห็นใกล้ๆ แล้วตฤณยิ่งรู้สึกสงสาร ใบหน้าอิดโรยบวมน้ำเกลือ ริมฝีปากแห้งผากและยังมีแผลอยู่รอบๆ ริมฝีปากด้วยนั้น

“เนตร”

“ตฤณ...”

“เกิดอะไรขึ้น”

เนตรไม่ตอบ เธอเอาแต่เงียบแล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้อย่างหนัก แววตาที่สะท้อนออกมาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ระแวงและเสียใจ ตฤณยังคงยืนมองอยู่อย่างนั้น เขาไม่อยากเร่งเร้าถามหาความจริงที่เกิดขึ้นหลังจากออกจากคฤหาสน์ไปแล้วและกำลังรอให้เนตรเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง เขารออยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร เอาแต่มองหน้าด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่สุดท้ายแล้วเนตรจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาเองอีกครั้ง “ออกมา... น่ากลัว... อย่ายุ่ง... เนตร”

เป็นคำพูดเพียงสี่คำที่ตฤณไม่เข้าใจความหมายแต่เขาจดจำมันไว้อย่างดี

“พักเถอะนะ แล้วเดี๋ยวไว้จะมาเยี่ยมใหม่”

ตฤณหันหลังเดินออกมาจากเตียงนอนผู้ป่าวแล้วล่ำลานางจิตตราก่อนที่จะออกจากห้องไป คำพูดของเนตรฟังดูออกจะแปลกๆ หนึ่งคำแรกเขาเข้าใจดีว่ามันหมายถึงอะไรแต่ทว่าสามคำที่เหลือนั้นเขากลับไม่รู้เลยว่าเนตรต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ มีอะไรบางอย่างน่ากลัวและสั่งให้เขาห้ามยุ่งกับอะไร อีกทั้งมันยังเกี่ยวพันอะไรกับตัวเนตรเอง ทั้งหมดยังเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถปะติดปะต่อออกมาเป็นรูปร่างร้อยเรียงเรื่องราวใดๆ ได้ เขาจึงตัดสินใจโทรหาเมฆ

“พี่เมฆ ผมรบกวนหน่อยสิ”

[ เรื่องอะไร ]

“คือ... พี่รู้แล้วใช่ไหมว่าเนตรอยู่โรงพยาบาลน่ะ”

[ อืม ลีบอกแล้ว คิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปเยี่ยมสักหน่อยอยู่เหมือนกัน ]

“ผมมาเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลแล้วผมถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เธอตอบแค่สี่คำเป็นคำว่าออกมา น่ากลัว อย่ายุ่งและเนตร พี่พอจะเดาได้ไหมว่ามันเกิดอะไร นี่ผมลองคิดแล้วนะแต่ก็ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เลย”

[ แล้วมาถามพี่ที่ไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ ]

“อ๋อ! ลืมไป... เอายังไงดี นัดคุยกันหน่อยไหมพี่ ผมอยากช่วยให้เนตรหายไวๆ”

[ เย็นนี้คงไม่ได้ว่ะ ติดซ้อมดนตรี ไว้อีกวันสองวันแล้วกัน พี่พอจะว่างอยู่ ]

“โอเค งั้นพี่สะดวกตอนไหนก็โทรมาคอนเฟิร์มอีกทีแล้วกันนะ เดี๋ยวผมต้องไปเรียนล่ะ คลาสกำลังจะเริ่ม”

พอวางสายจากรุ่นพี่อย่างเมฆไปก็มีสายใหม่เข้ามาทันที ชื่อปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์นั้น... ‘ลี’

“มีอะไร ลี”

[ คือ... มึงทำใจดีๆ นะ ]

แค่เรื่องที่เนตรประสบอยู่ตอนนี้ ตฤณก็ไม่อาจทำใจให้สงบได้เลย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รักเนตรเหมือนที่เธอรักเขาแต่เนตรก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง แล้วยังต้องให้ทำใจดีๆ เรื่องอะไรอีก

“เรื่อง?”

[ ยุ้ย... ยุ้ยตายแล้ว ] 

“ห๊ะ! มึง... มึง... ว่าอะไรนะ”

หัวสมองของตฤณขาวโพลนว่างเปล่า โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือสั่นคลอนเบาๆ ต่อจากเรื่องเนตรก็ยังมีเรื่องยุ้ย เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอทั้งสองคนกันแน่ และมันยิ่งทำให้เขาอยากหาคำตอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างน้อยๆ ก็อาจจะช่วยอีกคนที่เหลือได้บ้าง

[ ยุ้ยตายแล้ว เมื่อเช้านี้ ]

“คือ... อีกทีได้ไหม”

[ ยุ้ยตายแล้วเมื่อเช้า ฆ่าตัวตาย ]

“เดี๋ยว! คือ...”

ตฤณพูดอะไรไม่ออก ยุ้ยไม่มีทางฆ่าตัวตายเพราะมันไม่มีเหตุผลหรือแรงจูงใจอะไรให้เธอต้องทำแบบนั้นเลย เธอที่ไม่มีแฟนคงไม่ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องฉันท์ชู้สาว เธอที่ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือและมีความเป้าหมายในชีวิตอย่างชัดเจน ครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมพ่อแม่ลูกเอ็นดูรักใคร่ ฐานะทางบ้านไม่ได้ย่ำแย่จนถึงขั้นต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร

[ โยโทรมาบอกเมื่อกี้ว่าพี่สาวเธอตายแล้ว ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับให้พวกเรา ]

“ยุ้ยเขียนว่าอะไร”

[ ไม่รู้เหมือนกัน โยบอกให้มาเอาที่บ้านเอง กูก็กำลังจะไปเนี่ยแหละ วันนี้คงโดดเรียนว่ะ ]

“งั้นเดี๋ยวกูตามไป กูคงถึงในอีกสิบห้านาที มึงรอกูก่อนนะ”

[ มึงอยู่ไหน ]

“มาเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาล”

[ งั้นมึงรอที่หน้าโรงพยาบาล เดี๋ยวกูขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับ ]

“อืม”

ตฤณวางสายจากลีไปแล้ว เขาคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นและนั่นคงไม่ใช่ความบังเอิญแต่ข่าวลือที่พูดถึงกันอาจเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยๆ เขาก็เชื่อไปครึ่งหนึ่งแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่ทว่าอีกครึ่งกลับปฏิเสธในสิ่งที่คิดว่ามันคงไม่มีทางเป็นไปได้เพราะถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเนตรและยุ้ยจริงตามที่เขาเล่าลือกันก็ย่อมต้องเกิดกับตัวเขาด้วยเช่นกัน


------------------------------


ตฤณและลีมาถึงบ้านของยุ้ยแล้ว โยผู้เป็นน้องสาวเป็นคนมาเปิดประตูต้อนรับและเชิญให้เข้าไปข้างในแต่พวกเขาเกรงใจเพราะตอนนี้ทุกคนต่างล้วนกำลังโศกเศร้ากับการจากไปของผู้ที่รักยิ่ง เขารับจดหมายที่ยุ้ยเขียนทิ้งไว้ให้แล้วถามอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับยุ้ยหลังจากที่กลับมาจากการไปทำรายงานที่คฤหาสน์หลังนั้น

“โย พวกพี่ขอถามอะไรนิดหน่อยได้ไหม”

“อืม”

“ยุ้ยกลับมาวันไหน”

“พี่ยุ้ยกลับมาเมื่อวานตอนบ่ายแก่ๆ  พอมาถึงก็เข้าห้องแล้วเก็บตัวเงียบอยู่ในนั้น ไม่พูดไม่จากับใครเลย เรียกลงมากินข้าวก็ไม่กิน พอเปิดประตูเข้าไปดูก็เห็นพี่นั่งซุกตัวอยู่บนเตียงท่าทางอิดโรยแล้วก็เหมือนจะหวาดกลัวกับอะไรก็ไม่รู้ ไม่ยอมให้ปิดไฟแล้วก็เอาผ้าคลุมกระจกทุกบานในห้อง ถามอะไรก็ไม่ตอบ ทุกคนเป็นห่วงพี่มาก จะพาไปโรงพยาบาลก็ไม่ยอมไปจนนั่นแหละ ตอนเช้าแม่เปิดประตูเข้าไปดูก็เห็นพี่...”

โยเงียบลงแทนด้วยเสียงสะอื้นไห้ หัวใจเธอเจ็บปวดเกินกว่าที่จะพูดต่อไปได้อีกแล้ว พี่สาวที่แสนดีของเธอจากโลกใบนี้ไปโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีแม้กระทั่งลางบอกเหตุว่าเมื่อวานจะเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบเจอเห็นหน้า ลีเอื้อมมือออกไปลูบหัวเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ น้องสาวของยุ้ยก็เหมือนน้องสาวของพวกเขาเช่นกัน

“พี่ยุ้ย ฮึก! เป็นคนดี...”

“อืม... ยุ้ยเป็นคนดีและเป็นเพื่อนที่ดี มันต้องมีเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจแบบนั้น พวกพี่จะเป็นคนหาสาเหตุนั้นให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยว่าพวกพี่มาหาแล้วก็เสียใจด้วยแต่ที่ไม่เข้าไปเพราะรู้ว่าพวกท่านยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียลูก มันไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาต้อนรับแขกน่ะ”

“ค่ะ เดี๋ยวโยจะบอกให้”

“ไปก่อนนะ เข้มแข็งเข้าไว้”       

ตฤณทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วเดินจากไป เขาไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ทันทีหรือไปมหาวิทยาลัยเพื่อนเข้าเรียนคลาสต่อไปแต่เลือกที่จะหาพื้นที่สงบ ปะติดปะต่อเรื่องราวและหาสาเหตุที่เกิดขึ้นกับเนตรและยุ้ยโดยมีลีตามไปด้วย สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวเป็นแน่แต่ลีก็ไม่ลืมที่รับปากกับจ้าวเอาไว้ สิ่งไหนแพร่งพรายไม่ได้ก็จะไม่พูด

ที่สงบที่ว่านั่นก็คือสวนสาธารณะ

“ลี มึงคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเนตร ยุ้ย มันเป็นเพราะอะไรวะ”

เพราะอะไร ลีย่อมรู้อยู่แก่ใจแต่เขาพูดไม่ได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของใครหรือของอะไร

“ลี!! มึงจะช่วยกูคิดไหมเนี่ย”

“มึงเปิดจดหมายที่ยุ้ยเขียนทิ้งไว้ให้ก่อนดีไหม จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ตฤณลืมไปเสียสนิทว่ายุ้ยทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้กับพวกเขา เพราะเอาแต่คิดหมกมุ่นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสาวทั้งสองคน เขารีบหยิบจดหมายที่อยู่ในกระเป๋าหนังสือออกมาเปิดอ่าน จดหมายที่ยุ้ยเขียนไว้ให้ถูกใส่ซองปิดผนึกอย่างดีจึงต้องฉีกออก มือแกร่งคลี่กระดาษเอสี่ที่ถูกพับสามทบอย่างรวดเร็ว กวาดสายตาอ่านสิ่งที่ถูกถ่ายทอดไว้ในนั้นซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คำเหมือนเช่นที่ได้ยินจากปากของเนตร

‘ออกมา ตาย เป็นจริง’

นี่มันปริศนาคำใบ้อะไรกัน!!

“แบบนี้อีกแล้วเหรอวะ”

ตฤณถึงกับสบถออกมาเมื่อเห็นคำใบ้ปริศนาที่เขาต้องไปหาเอาเองว่าแต่ละคำมันมีความหมายว่าอย่างไรและเชื่อมโยงกับอะไรได้บ้าง แต่ทว่าคำว่าออกมาที่ถูกเขียนอยู่บนกระดาษเป็นคำซ้ำที่เนตรก็พูดแบบเดียวกันนี้

“คืออะไรวะ”

ลีดูจะไม่เข้าใจว่าที่ตฤณพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่คำว่าอีกแล้วที่หลุดออกมานั่นก็คงหมายความว่าเคยมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว

“ตอนที่กูไปเยี่ยมเนตร เธอพูดกับกูว่าออกมา น่ากลัว อย่ายุ่งและเนตร แต่กูก็พอเดาได้นะว่าคำแรกหมายถึงให้กูออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้น กูรู้ว่าที่นั่นอาจจะดูไม่ค่อยน่าอยู่แต่กูรับปากกับเขาไว้แล้ว ยังไงก็ออกมาตอนนี้ไม่ได้”

“น่ากลัวก็คงหมายถึงคฤหาสน์นั่นแหละ ตอนที่เข้าไปรอมึงตรงห้องโถง เนตรก็พูดว่าเธอไม่ชอบที่นั่น มันน่ากลัว แต่คำว่าอย่ายุ่งกับคำว่าเนตรนี่กูไม่รู้นะว่าอยากพูดเรื่องอะไรกันแน่”

ตฤณไม่เห็นแย้งกับคำพูดของเพื่อน แต่บางเวลาที่อยู่ร่วมกับจ้าวมันช่างเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วคำที่ยุ้ยทิ้งไว้ให้ล่ะ”

“กูไม่รู้ว่ะ ตฤณ กูว่ามึงค่อยๆ กลับไปคิดทบทวนดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อไร ยังไงดีกว่า แล้วกูว่ามันคงจะได้คำตอบไม่ยาก”

“ไม่ช่วยกูแล้วเหรอ ไม่อยากให้เนตรหายเหรอวะ”

“กูก็อยากช่วย ไม่ใช่ไม่อยากแต่มึงอยู่ที่นั่น มึงน่าจะเป็นคนหาคำตอบได้ดีกว่าคนนอกอย่างกู ทำไมมึงไม่ลองถามเด็กคนนั้นดูล่ะ”

“กูถามแล้ว บางเรื่องอ่ะนะ แต่ถ้ากูถามอีก เขาคงไม่ยอมพูด อีกอย่างจ้าวก็ยังเป็นแค่เด็ก คงไม่ทำให้เนตรกับยุ้ยเป็นแบบนี้ไปได้หรอก”

ลีแอบลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ “มึงกำลังปกป้องเขาอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า”

“กูไม่ได้ปกป้องเขาแต่กำลังพูดความจริง เด็กตัวแค่นั้นจะไปทำอะไรใครได้ เขาออกจะเป็นเด็กดี น่ารักจะตาย ไม่โหดร้ายถึงขั้นทำให้เนตรกับยุ้ยเป็นแบบนี้ได้หรอก ตอนที่มึงไปค้างที่นั่นก็น่าจะเห็นนะว่าเขาเอาใจใส่ทุกคนแล้วคนแบบนั้นจะไปลงมือทำร้ายใครได้”

ลีอยากจะเถียงหัวชนฝาแต่เขาพูดไม่ได้ เพราะถ้าหากเด็กอย่างจ้าวรู้เข้าล่ะก็อิสรภาพที่ได้รับมาอาจถูกลิดรอนไป เด็กคนนั้นที่ตฤณเห็นว่าดีแสนดีก็เป็นเพียงแค่ความดีที่แสร้งหยิบยกมาบังหน้าและมีแต่ความหลงใหลในตัวเด็กคนนั้นจนไม่ลืมหูลืมตา เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็นพูดคุยเพียงเพราะไม่อยากผิดใจกัน

“กูจะช่วยมึงหาความจริงเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือคือมึงต้องจัดการด้วยตัวเอง แล้วเรื่องรายงานที่ทำกันเมื่อวันก่อน กูเอาไปส่งที่ห้องพักอาจารย์แล้วนะ”

“อืม ขอบใจ”

“งั้นกูไปล่ะ จะแวะไปดูเนตรที่โรงพยาบาลอีกหน่อยแล้วก็กลับบ้านแล้ว” 

“มีอะไรก็ส่งข่าวมาบอกกูบ้างนะ เดี๋ยวกูจะนั่งไขปริศนาคำใบ้อยู่ตรงนี้สักพักก่อนแล้วจะกลับเหมือนกัน”

ลีพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ตฤณได้ทิ้งความคิดทุกอย่างลงไปกับคำทั้งเจ็ดที่เพื่อนได้มอบให้ คำพวกนี้ต้องเชื่อมโยงถึงอะไรบางอย่างและมันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์หลังนั้นซึ่งเขายังไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องได้อย่างไร หนึ่งสิ่งที่รู้ด้วยคำพูดที่เหมือนกันทำให้เขาตัดคำออกไปได้ถึงสองคำ นั่นก็คือคำว่าออกมาและคำว่าน่ากลัว เมื่อตฤณลองจับมารวมกันแล้ว ความหมายที่เขาได้นั่นก็คือให้เขาออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นเพราะมันน่ากลัว

“อย่ายุ่ง? อย่ายุ่งกับอะไรวะ? กับเนตร?”

ตฤณหยิบดินสอออกมา เขียนสิ่งที่เขาได้รับมาจากเนตรและยุ้ยแยกออกมาเป็นคำๆ เผื่อว่าจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

เนตร : ออกมา / น่ากลัว / อย่ายุ่ง / เนตร

ยุ้ย : ออกมา / ตาย / เป็นจริง


โอกาสในสิ่งเนตรต้องการจะสื่อและทำให้ตฤณตีความออกมาเป็นสองประโยคด้วยกันนั้นมีสูงมาก อย่างประโยคแรกที่ลองคาดเดาดูก็ยังเป็นประโยคเดียวกับที่ยุ้ยอาจจะอยากบอกและเป็นประโยคเดียวกับที่ลีเคยพูดกับเขา นั่นก็คือ ‘ออกมาจากคฤหาสน์ที่น่ากลัวหลังนั้น’ กับอีกหนึ่งประโยคที่ลองตีความแบบมั่วๆ ดู ‘อย่ายุ่งกับเนตร’

แต่ทว่าพอตฤณลองทวนดูคำใบ้ที่ยุ้ยเขียนไว้ให้ เขากลับไม่เข้าใจอะไรเลยว่าแต่ละคำมีความหมายที่เชื่อมโยงกันอย่างไร และต้องการจะสื่ออะไรให้เขาได้รับรู้กันแน่ คำว่า ‘เป็นจริง’ ซึ่งเขาคาดเดาไม่ได้เลยว่าอะไรเป็นจริง ความตายเป็นจริงหรือ?

“ไม่เข้าใจเลยว่ะ ทำไมไม่พูดอะไรที่มันเป็นประโยควะ”

ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดเพราะหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้

“โว้ยยยยยย”

ทางสุดท้ายที่นึกขึ้นมาได้ในตอนนี้มีเพียงแค่ต้องกลับไปถามเด็กคนนั้นเกี่ยวกับคฤหาสน์คัลเลนอีกรอบ แม้จะทำให้จ้าวไม่พอใจและถูกโกรธก็ยอม ยิ่งนึกถึงสภาพที่เนตรเป็น ยิ่งคิดถึงยุ้ยที่ฆ่าตัวตายโดยไร้สาเหตุแล้วหัวใจก็ปวดหนึบขึ้นมา เพื่อนที่แสนดีทั้งสองคนต้องมาพานพบกับเรื่องเลวร้าย หนึ่งคนเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเอง ส่วนอีกคนยังมีชีวิตอยู่ราวกับตายทั้งเป็น

ตฤณเก็บข้าวของลงกระเป๋าแล้วรีบกลับไปคฤหาสน์หลังนั้นให้เร็วที่สุด ด้วยเพราะถ้าแก้ปริศนาคำใบ้ที่เนตรและยุ้ยให้มาได้เร็วมากเท่าไร เขาก็จะรู้สาเหตุว่าอะไรทำให้พวกเธอกลายสภาพเป็นแบบนี้ไปได้

คฤหาสน์ในวันนี้ที่ตฤณกลับมาถึงในช่วงที่พระอาทิตย์ยังคงทำงานอยู่กลับดูอบอุ่นอย่างประหลาดแต่ทว่าเมื่อย่างเท้าเหยียบลงบนส่วนหนึ่งของตัวคฤหาสน์แล้วไอเย็นกลับแผ่ซ่านออกมาจากทุกทิศทางจนขนแขนตั้งชัน ความเงียบสงัดรอบข้างดูไม่สงบเอาเสียเลยราวกับกำลังอยู่ท่ามกลางสุสานอีกครั้ง ผิดกับช่วงเวลาที่มีจ้าวอยู่ข้างกายเหมือนเช่นทุกครั้งมันทำให้เขากลัว

“จ้าว! พี่กลับมาแล้ว”

‘จ้าวหลับอยู่ครับ’

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกให้ตฤณหันกลับไปมอง เป็นเจตรินที่ยืนส่งยิ้มอยู่ตรงนั้น

“เอ่อ... พี่เจต”

‘เรียกผมว่าเจตเฉยๆ ก็ได้ อายุเราคงไม่ห่างกันมากเท่าไร’


“จ้าวหลับเหรอ? ตอนบ่ายสอง?”

‘ครับ แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็ตื่นแล้ว มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า ผมจะได้ไปปลุกให้’

อันที่จริงแล้วตฤณมีเรื่องสำคัญที่จะถามอยู่หลายคำถาม แต่ในเมื่อจ้าวกำลังพักผ่อนอยู่ เขาจึงไม่อยากเข้าไปรบกวน เด็กคนนั้นอาจกำลังฝันหวานอยู่ก็ได้ คนที่จะถามได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่เจตรินเท่านั้น แต่เขากลับลังเลที่จะถามมันออกไปเหมือนกับว่าคำถามของเขา มีเพียงจ้าวเท่านั้นที่ให้คำตอบมันได้

‘มีอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าดูไม่ค่อยดี’


“คือ...”

แน่นอนว่าตฤณมีคำถามอีกเป็นกระบุงโกยแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นถามที่ตรงไหน

‘มีอะไรอยากพูด อยากถามก็ถามมาเถอะครับ เก็บเอาไว้ในใจนานๆ แล้วมันจะอึดอัดเปล่าๆ’


“คือ... ที่นี่เคยมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”

‘มี’   

จู่ๆ ใบหน้าของตฤณก็ไร้สีเลือดฝาด ฝ่ามือเย็นเฉียบ ชั่ววินาทีหนึ่งราวกับหัวใจหยุดเต้นไปเสียเฉยๆ คำพูดของเจตรินเพียงสั้นๆ แต่กลับสร้างความสะเทือนใจให้เขาได้มากทีเดียว

“มี... มีอะไร”

‘ไม่แน่ใจว่าเคยได้ยินข่าวนี้ไหม ฆาตกรรมครอบครัวคัลเลนตายยกครัว ไม่เหลือผู้รอดชีวิต’

ตฤณนิ่งไปเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เจตรินพูดจะเป็นเรื่องนี้เพราะอย่างน้อยๆ ในหัวของเขามันมีแต่เรื่องลี้ลับ สิ่งมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ อย่างเช่นพวกภูติ ผี ปีศาจ วิญญาณเร่ร่อนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอะไรทำนองนั้น

“ฆาตกรรม?”

ยังไม่ทันที่เจตรินจะได้ตอบอะไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ตรงหัวบันได “พี่เจตกำลังแกล้งให้พี่ตฤณกลัวเหรอครับ ฆาตกรรมอะไรมันไม่มีหรอก แต่ถึงจะมีก็แล้วยังไงล่ะครับ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว อ๋อ! จ้าวจำได้ว่าพี่เจตบอกว่าตอนที่จ้าวนอนอยู่จะไปทำขนมอร่อยๆ มาให้กินไม่ใช่เหรอครับ ทำเสร็จหรือยัง”

คำพูดหลุดออกมาเป็นพรวนขนาดนี้ ถ้าเจตรินยังไม่รู้ตัวว่าควรทำอย่างไร เห็นทีจ้าวคงต้องแสดงให้ดูเสียแล้ว แต่เจตรินรู้ว่าเขาควรเงียบลงเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นแม้แต่เขาที่เป็นพี่ชาย จ้าวก็คงจะไม่ละเว้นด้วยเช่นกัน

‘งั้น... พี่ขอตัวไปจัดการให้เสร็จก่อนแล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวจะยกขึ้นไปให้’

“ครับ ขอบคุณนะครับ”

คำขอบคุณที่จ้าวหมายถึงไม่ได้ขอบคุณสำหรับขนมอร่อยๆ ที่ทำให้แต่หมายถึงขอบคุณที่เข้าใจว่าควรทำตัวอย่างไร เขารอให้เจตรินเดินจากไปจนลับสายตาก่อนที่จะสอดแขนเล็กเข้าคล้องแขนแกร่งของอีกฝ่ายเอาไว้พลางซบใบหน้าลงบนต้นแขนที่พอจะมีกล้ามเนื้อแน่นๆ

“พี่เนตรเป็นยังไงบ้างครับ”

“อาการไม่ดีเลย หมอบอกว่าถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุก็คงจะไม่หาย”

“ถ้าอย่างนั้นจ้าวคงต้องไปเยี่ยมบ้างแล้วล่ะครับ อยากให้พี่เนตรรู้ว่าจ้าวเองก็เป็นห่วง”

“งั้นพรุ่งนี้เราไปเยี่ยมเนตรกัน พี่เองก็ลืมบอกไปด้วยว่าจ้าวเป็นห่วง ไว้ให้จ้าวไปบอกด้วยตัวเองดีกว่าเนอะ”

“ครับ”

จ้าวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พรุ่งนี้คงไม่ใช่แค่ความเป็นห่วงที่เขาจะมอบให้ แต่อาจจะมีของขวัญสุดพิเศษที่จะจดจำไปอีกนานแสนนานมอบให้อีกหนึ่งชิ้นด้วยเช่นกัน





** ติดตามตอนต่อไป **



หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 17 [19/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: XXX ที่ 19-03-2018 18:38:57
สนุกมากกกกก อ่านไปลุ้นไป5555

 :hao3: o18 :katai1:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 17 [19/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-03-2018 02:10:47
ลีออกมาแล้ว จะตายไหมเนี่ย  ส่วนเมฆจะกลับไปยุ่งกับจ้าวหรือเหรอ ไม่เข็ดหรือไง  :hao3:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 18 [28/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 28-03-2018 17:43:07
::: ตอนที่ 18 :::
คำใบ้ส่งความตาย





ในห้องพักของตฤณยังคงอวลไปด้วยความอบอุ่นที่จ้าวบรรจงสร้างขึ้นมากลบเกลื่อนบรรยากาศอึมครึมที่เคลือบแฝงไปด้วยความชั่วร้ายรอบบริเวณคฤหาสน์หลังนี้ สองร่างนอนกอดก่ายกันอย่างมีความสุข ตฤณเป็นสุภาพบุรุษเกินกว่าที่เขาคาดหมายไปไกล เด็กน้อยไม่ได้คาดคิดว่าเมื่อตฤณได้สมปรารถนาแล้วจะไม่พยายามล่วงเกินเขาอีกแม้ในใจลึกๆ ความปรารถนาที่ว่านั้นจะยังไม่ดับมอดไปก็ตาม

“พี่ตฤณรักจ้าวไหมครับ”

“ถามอะไรแบบนั้น พี่ก็ต้องรักจ้าวแน่อยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้นคงทิ้งไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

เด็กน้อยอย่างจ้าวปั้นหน้าใสซื่อ แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าวันนั้นที่อีกฝ่ายพูดถึงคือวันไหน

“วันไหนเหรอครับ”

“ไม่ต้องเลย รู้แล้วมาแกล้งทำเป็นไม่รู้เนี่ย”

มือแกร่งบีบเข้าที่สันจมูกโด่งอย่างเบามือคล้ายกับจะหมั่นไส้ที่เด็กคนนั้นก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรถึงทำให้เขารักได้มากขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะความอ่อนโยน ความเอาใจใส่ ความใสซื่อและสิ่งที่จ้าวเป็นทุกอย่างหล่อหลอมให้เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นในใจและดูท่าว่ามันจะเพิ่มมากขึ้นทุกวันจนแทบจะถอนตัวไม่ขึ้นเอาเสียแล้ว

“ก็ไม่รู้จริงๆ นี่ครับ”

“เอ๊า! บอกก็ได้ มันไม่ใช่วันแรกที่เราได้เจอกันหรอกนะ แต่เป็นวันที่พี่เก็บข้าวของย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่”                         

“โห~ จ้าวคิดไม่ถึงเลยว่ามันตั้งแต่ตอนนั้น”

บทสนทนาของทั้งคู่หยุดลงเพียงเท่านี้เมื่อเจตรินเคาะลงที่ปะตูห้องเบาๆ แล้วเดินถือถาดใส่คุกกี้อัลมอนด์เข้ามาวางเอาไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงโดยที่ไม่พูดอะไร มองดูใบหน้ากลมมนที่เหมือนจะไล่ให้เขาออกจากห้องไปแล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้ก็เป็นได้เพียงแค่ส่วนเกินของคนสองคนที่กำลังหวานชื่นกันอยู่

“ขอบคุณนะครับ พี่เจต”

‘มีอะไรก็เรียกนะ พี่ไปพักก่อนล่ะ’

“พี่เจต... อยู่ก่อนสิครับ”

เจตรินนิ่งไปชั่วครู่ สิ่งที่บอกผ่านสายตาสีเพลิงดวงนั้นคืออยากให้เขาไปให้ไกลๆ แต่ทว่าริมฝีปากรูปกระจับกลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางเอื้อนเอ่ยชวนให้อยู่ เขาไม่เข้าใจน้องชายคนนี้เลยจริงๆ แต่ก็จำต้องอยู่ตามความต้องการ

“พี่เจตไม่คิดจะพรีเซนต์ผลงานของตัวเองหน่อยเหรอครับ”

‘มันก็แค่คุกกี้อัลมอลด์ที่พี่เพิ่งหัดทำ ถ้ามันไม่อร่อย จะโยนทิ้งไปเลยก็ได้’


“ครับ ถ้ามันไม่อร่อยหรือไม่ถูกปาก จ้าวก็จะโยนทิ้งเหมือนของไร้ค่า พี่เจตไปพักเถอะครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

คำตอบของจ้าวแฝงนัยยะที่เข้าใจกันได้แค่เพียงพี่น้อง เจตรินดูจะพึงพอใจแล้วกับคำตอบที่ได้รับ เขาจึงยิ้มออกมาได้บ้าง การที่น้องชายพูดแบบนี้ก็เท่ากับยืนกรานแล้วเรื่องหนึ่ง ถ้ารสชาติของสิ่งที่ได้ลิ้มชิมรสเป็นครั้งแรกมันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกปาก จะให้จ้าวโยนทิ้งเหมือนขยะข้างถนนก็ไม่เสียดายแม้เพียงเศษเสี้ยว

‘งั้นพี่ไปล่ะ’

ตฤณรอให้เจตรินเดินออกจากห้องไปก่อนแล้วจึงขยับตัวลุกขึ้นมานั่งในท่าที่สบายขึ้นโดยที่ยังมีคนตัวเล็กกว่านอนทับอยู่บนหน้าอก ไม่ยอมขยับออกไปไหนเหมือนลูกจิงโจ้น้อยที่ซุกตัวหาความอบอุ่นอยู่ในกระเป๋าหน้าไม่มีผิดไม่มีเพี้ยน เขายกยิ้มเล็กน้อยด้วยความเอ็นดูพลางลูบหัวกลมนั้นเล่นอย่างเบามือ

“พี่ตฤณ ทำไมถึงได้ถามเรื่องข่าวฆาตกรรมครอบครัวคัลเลนกับพี่เจตเหรอครับ”

“อ๋อ! พี่แค่อยากรู้ว่าเมื่อก่อนมันมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่หรือเปล่าน่ะ”

“แล้วรู้หรือยังครับ”

ตฤณรู้แล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วบ้างเผื่อว่าอาจจะได้รู้อะไรที่ไม่เคยได้รู้จากปากของเด็กคนนี้ เขาส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างอ่อนใจ ปกปิดสิ่งที่ตนเองรู้เอาไว้ภายในและพร้อมที่จะรับฟังเรื่องราวใหม่

“แล้วจ้าวต้องบอกไหมครับ”

“มีอะไรต้องบอกพี่หรือเปล่า”

“ไม่มีนี่ครับ อดีตก็คืออดีต ถึงจะมีหรือไม่มีมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว รื้อฟื้นขึ้นมามันก็ไม่ได้อะไร รู้ไปแล้วก็ช่วยให้คนตายฟื้นคืนชีพกลับมาไม่ได้หรอกครับ สู้เอาเวลาที่มีอยู่มาใช้ไปกับปัจจุบันและวันที่เหลือให้มีความสุขดีกว่า พี่ตฤณว่าจริงไหมครับ”

ตฤณเห็นด้วยว่าการทำปัจจุบันให้มีความสุขที่สุดคือเรื่องสำคัญกว่า แต่อดีตของคฤหาสน์หลังนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่เขาต้องค้นหาเพราะมันเกี่ยวพันกับเพื่อนทั้งสองคน ความเห็นพ้องต้องกันของคนสามคนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเนตรและยุ้ยก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นกับคนทั่วไป

“พี่ตฤณดูเครียดๆ นะครับ ไม่ค่อยยิ้มเท่าไรเลยตั้งแต่กลับมาจากเยี่ยมพี่เนตร”

“มันมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก”

“ไม่ให้ห่วงได้ยังไงครับ ดูสิ คิ้วผูกกันจนจะเป็นโบว์อยู่แล้ว”

นิ้วเล็กจิ้มไปตรงหว่างคิ้วที่เครียดขึงสองสามครั้งให้รู้ว่าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นคืออะไรกันแน่แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ รอยขมวดที่เกือบจะเป็นปมถูกคลายออกอย่างช้าๆ ด้วยรอยยิ้มที่แสนงดงาม ดวงหน้ากลมมนกับดวงตาสีเพลิงที่ดูเหมือนจะร้ายกาจแต่กลับน่ารักเมื่อยามที่ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มกว้างอย่างจริงใจ

“อยากช่วยให้คิ้วพี่เลิกผูกกันเป็นโบว์ไหมล่ะ”

“จ้าวช่วยได้เหรอครับ”

ร่างเล็กยันกายลุกขึ้นมานั่งอย่างจริงจังและดูจะตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษสำหรับความช่วยเหลือที่อีกฝ่ายร้องขอมา

“ไขปริศนาให้พี่หน่อยสิ”

“ได้สิครับ จ้าวชอบปริศนา”

ตฤณกางสมุดที่ใช้จดคำพูดของเนตรและสิ่งที่ยุ้ยเขียนไว้ในจดหมายฉบับนั้นออก คำพูดที่ถูกเขียนอยู่ในนั้นเรียกรอยยิ้มตรงมุมปากจากเด็กน้อยคนนี้ได้ชะงักนักเชียว ดวงตาสีเพลิงที่ใช้มองตฤณเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง ความสนุกอีกระลอกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว

“เอ๋? นี่มันอะไรเหรอครับ จ้าวไม่เข้าใจ”

“ช่วยพี่แกะปริศนาคำใบ้พวกนี้หน่อยสิ อย่างคำว่า... ออกมาเนี่ยมันจะหมายถึงอะไร แล้วคำว่าน่ากลัวคือน่ากลัวอะไร อะไรน่ากลัว”

“มีแค่นี้เหรอครับ จ้าวคงช่วยไม่ได้หรอก ถ้าพี่ตฤณไม่ขยายความให้มากกว่านี้”   

จ้าวรู้ว่ามันไม่ได้มีแค่นี้และเขาก็รู้ด้วยเช่นกันว่าคำพวกนี้ที่มาจากเนตรและยุ้ยหมายถึงอะไร แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นเด็กไร้เดียงสาที่ไม่เข้าใจความหมายและต้องการคำอธิบายมากกว่านี้ ดวงหน้ากลมมนช้อนมองแล้วจึงกระเถิบตัวเข้าไปนั่งเบียดร่างสูงจนเนื้อแขนแนบชิดติดกัน

“แล้วพี่จะอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย”

“มันเป็นคำที่พี่เนตรกับพี่ยุ้ยทิ้งไว้ให้เหรอครับ”

ตฤณตอบรับในลำคอ ก่อนที่จะเสริมต่อคำถามของจ้าว “เนตรบอกพี่ตอนที่พี่ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลน่ะ ส่วนคำพูดของยุ้ยมันอยู่ในจดหมายที่เธอทิ้งไว้ให้พวกพี่ก่อนที่จะฆ่าตัวตาย พี่เลยอยากไขคำใบ้ปริศนาพวกนี้ให้ได้เร็วที่สุดเผื่อว่าจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“อะ... อะไรนะครับ! พี่ยุ้ยฆ่า... ตัวตาย?”

น้ำเสียงของจ้าวราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแต่ทว่าแววตากลับสวนทางกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะปรับเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้า ดวงตากลมโตเอ่อล้นไปด้วยหยาดหยดน้ำใสราวกับสั่งได้ หัวใจของเขาไม่ได้เจ็บปวดรวดร้าวกับการจากไปของยุ้ยอย่างที่แสดงออก

“อืม พี่ถึงได้อยากรู้ไงว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“จ้าว... เสียใจด้วยนะครับ พี่ตฤณ”

“ขอบใจนะ เรามาหากันเถอะ คำตอบของปริศนาคำใบ้”

“ครับ มาหาคำตอบกันเถอะครับ จ้าวอยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกพี่สองคน”

ดูจ้าวจะตั้งอกตั้งใจค้นหาคำตอบให้กับคำใบ้ปริศนาพวกนี้เสียเหลือเกินด้วยการคว้าเอาปากกาด้ามหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋าดินสอใบเล็กออกมาขีดๆ เขียนๆ ลงไปบนนั้นโดยไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยปากขอเจ้าของสมุดเลยด้วยซ้ำ พลันนั้นสายตากลับเหลือบไปเห็นตัวหนังสือยาวเป็นพรืดเขียนไว้ตรงด้านล่างของกระดาษ ‘ออกมาจากคฤหาสน์ที่น่ากลัว’

“ที่พี่ตฤณถามพี่เจตเรื่องคฤหาสน์ก็เพราะแบบนี้เองเหรอครับ จริงอยู่ว่าที่นี่ดูน่ากลัวแล้วก็มันก็เคยมีเรื่องฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงแต่มันผ่านมานานมากแล้ว พ่อกับแม่ของจ้าวก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรด้วย จ้าวจึงไม่รู้และที่สำคัญ จ้าวคิดว่าการที่เรามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับอดีตมากเกินไปมันจะพาให้ปัจจุบันไม่มีความสุขเอานะครับ”

“สรุปว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงสินะ”

“ครับ จ้าวยอมรับว่าตอนแรกอาจจะพูดคลุมเครือไปหน่อย มันมีฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงแต่อย่างที่พี่ตฤณน่าจะรู้ มันเกิดขึ้นก่อนที่จ้าวจะเกิดหลายสิบปีมากแล้ว จ้าวถึงได้บอกพี่ตฤณยังไงล่ะครับว่าบางทีอดีตมันก็ไม่ควรจะไปขุดคุ้ย”

“ช่างมันเถอะ พี่ว่า... เราพักเรื่องเครียดๆ พวกนี้แล้วมาลองชิมคุกกี้ดีกว่าไหม”

“ก็ดีเหมือนกันครับ ยิ่งคิดยิ่งเครียด จ้าวก็ไม่อยากเห็นพี่ตฤณเครียดด้วย มัน... ทำให้จ้าวไม่มีความสุข”

ดวงหน้ากลมแอบอิงพิงซบลงบนหน้าอกของฝ่ายนั้น ตีบทเศร้าเสียแตกกระเจิง จ้าวแสร้งทำเป็นขยับตัวข้ามผ่านร่างของตฤณเพื่อเอื้อมไปหยิบเอาคุกกี้อัลมอนด์ชิ้นโตที่เจตรินเป็นคนทำขึ้นมาจากจานหนึ่งชิ้นแล้วป้อนเข้าปากอีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ

“อร่อยไหมครับ”

“ไม่อร่อยเลย”

“ว้า~ พี่เจตฝีมือตกเหรอเนี่ย”

“ถ้าจะให้อร่อยมันต้องกินจากปากของจ้าว”

พูดยังไม่ทันขาดคำ ตฤณก็โน้มตัวลงมาประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากสีกลีบกุหลาบที่เผยอออกเล็กน้อย เชิญชวนให้เขาลิ้มลองมากกว่าคุกกี้ชิ้นโตฝีมือของเจตรินเสียอีก แม้จะไม่จาบจ้วงและเนิบนาบแต่ก็พาให้ใบหน้าสีไข่มุกดวงนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย แต่ตฤณมองไม่เห็นเพราะไม่มันใช่รูปธรรม

“กินแบบนี้หวาน อร่อยกว่าตั้งเยอะ”

“พี่ตฤณ~ คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ จ้าวตกใจหมด”

“เขาบอกว่ากินหวานมันจะช่วยทำให้หายเครียด แค่ให้พี่กินจ้าวก็หายเครียดแล้วนะ”

ตฤณยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หวังจะกินลูกแกะตาแดงตัวน้อยอีกครั้ง แต่จ้าวกลับเบี่ยงตัวหลบแล้วคว้าเอาสมุดจดของตฤณขึ้นมาบังหน้า กระเถิบตัวหนีไปนั่งอีกมุมหนึ่งของเตียง อยู่ให้ห่างไกลจากผู้ชายสุภาพบุรุษที่กลายร่างเป็นหมาป่า รอคอยตะครุบเหยื่อ

“จ้าวช่วยพี่ตฤณไขปริศนาอีกหน่อยดีกว่า”

ดวงตาสีเพลิงไล่ไปตามคำต่างๆ ที่ถูกเขียนอยู่ในสมุดเล่มนั้นอีกครั้ง ทุกคำที่อยู่ในนั้นมีคำตอบที่จ้าวรู้ดีแต่เขาแสร้งทำเป็นไม่แน่ใจว่าคำตอบที่มีอยู่ในหัวนั้นจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่

“พี่ตฤณ จ้าวว่าคำว่าเป็นจริงนี่หมายถึงข่าวลือที่เขาพูดกันมันเป็นจริงหรือเปล่าครับ จ้าวไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร”

“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มันไม่ใช่คำว่าความตายเป็นจริงเหรอ ลองดูที่คำข้างหน้าสิ”

“แต่ถ้าแต่ละคำที่เขียนมามันไม่ใช่คำที่ต้องเอามาเรียงเป็นประโยคเดียวกันล่ะครับ ถ้าแต่ละคำมันมีประโยคของมันเอง คำว่าตายกับคำว่าเป็นจริงมันก็คงไม่เกี่ยวข้องกัน พี่ตฤณลองดูคำแรกสิครับ ถ้าคำว่าออกมา ตายและเป็นจริงต้องรวมเป็นประโยคเดียวกัน มัน... เรียงลำบากนะครับ” 

ตฤณลองดูแต่ละคำแล้วพบว่าสิ่งที่จ้าวพูดก็ดูจะมีเค้าโครงความเป็นจริงอยู่บ้าง มีจ้าวอยู่เป็นตัวช่วยดูเหมือนเขาจะได้คำตอบมากขึ้นจึงอดเอ่ยชมไม่ได้ “จ้าวเก่งจริงๆ พี่ยังคิดไม่ออกเลย”

“พี่ตฤณก็ชมเกินไปครับ จ้าวแค่ลองเดาๆ ดู แล้วอีกอย่างพี่เจตก็บอกว่าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้ด้วย ประมาณว่าเป็นคฤหาสน์ผีดุ น่ากลัว หลอนมากตอนเวลากลางคืน หรือทำนองว่าใครลอบเข้ามาที่นี่แล้วจะต้องพบเจอจุดจบของชีวิต ไม่ตายก็เป็นบ้า สติไม่ดีอะไรแบบนี้น่ะครับ”

 คำพูดของจ้าวในช่วงท้ายของประโยคทำให้ตฤณฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ข่าวลือนั่นตรงกับสิ่งที่เนตรและยุ้ยพบเจอ นั่นเท่ากับว่า... เขาไม่อยากคิดต่อเลยว่าคฤหาสน์หลังนี้จะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการ

“แต่พี่ตฤณเชื่อเหรอครับ เพราะถ้ามันเป็นจริงแล้วทำไมพี่ตฤณถึงไม่เป็นอะไรเลย”

จ้าวพูดให้ตฤณได้คิดตามแต่กลับปิดความคิดต่อจากนั้นของเขาด้วยประโยคที่ทำให้เขาเห็นด้วยทุกประการ ถ้าหากข่าวลือนั่นเป็นความจริง มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขาด้วยเช่นกัน แต่ทว่าเวลาที่ผ่านเลยมาเกือบหนึ่งสัปดาห์บ่งบอกว่าชีวิตของเขายังปลอดภัยดีอยู่ที่ได้อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้และข่าวลือนั่นก็อาจเป็นเพียงแค่ข่าวลือทั่วๆ ไปที่ใครก็สามารถกุขึ้นมาพูดได้

“ก็จริงนะ จ้าวก็ยังอยู่นี่ได้ ไม่เห็นจะเป็นอะไร แล้วข่าวลือนั่นจะเป็นจริงได้ยังไง”

“ครับ ส่วนคำว่าตายของพี่ยุ้ยก็คงจะหมายถึงว่าเธอกำลังจะฆ่าตัวตายหรือไปตายหรือเปล่าครับ”

“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มันตอบยากนะกับคำใบ้พวกนี้โดยที่ไม่รู้อะไรเลย”

“พรุ่งนี้ พี่ตฤณก็ไปถามพี่เนตรอีกนิดสิครับ เผื่อพี่เขาจะบอกอะไรมาบ้าง”

แน่นอนว่าพรุ่งนี้ตฤณจะไปเยี่ยมเนตรอีกครั้งและจะพาจ้าวไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้อาจเป็นวันที่เขาจะได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากกว่านี้

“อืม ไว้พี่เลิกเรียนแล้วจะมารับนะ”

“ครับ จ้าวคิดจนเหนื่อยแล้ว ขอไปนอนพักที่ห้องก่อนดีกว่า เผื่อพี่ตฤณจะได้ทำธุระส่วนตัวของพี่ได้สบายๆ”

จ้าวไม่ได้สนใจว่าตฤณจะเอ่ยรั้งอะไรเขาไว้อีก เขาแค่อยากไปนอนพักเพื่อเอาแรงเตรียมรับศึกหนักในวันพรุ่งนี้ 


-------------------------------------


ตฤณกลับมารับจ้าวหลังเลิกเรียน แม้ว่าตฤณจะพูดว่าเป็นตอนเย็นแต่แดดก็ยังส่องแสงสว่างอยู่ ในขณะที่พวกเขากำลังจะก้าวออกจากคฤหาสน์เพื่อไปเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลแต่เจตรินกลับไม่เห็นด้วยที่จะให้น้องชายออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้วางใจผู้ชายคนนี้แต่เขาเป็นห่วงจ้าวมากกว่าอะไรทั้งสิ้น เด็กที่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากคฤหาสน์ เด็กที่ใช้ชีวิตอยู่แค่ในพื้นที่ของเขา

‘จ้าว พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อย’

“ครับ”

เจตรินดึงตัวจ้าวให้เดินห่างออกมาจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่พวกเขาคุยกันจะไม่มีทางหลุดรอดออกไปให้ตฤณได้ยินแน่นอน

‘จะให้พี่ไปแทนก็ได้นะ แต่จ้าวไม่ควรออกไป’

“ไม่ได้หรอกครับ ของขวัญชิ้นนี้ จ้าวต้องไปมอบให้เองกับมือ”

‘จ้าว... พี่ต้องทำยังไงถึงทำให้จ้าวไม่ต้องออกไปข้างนอกได้ รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงนะ’


จ้าวเอื้อมมือออกไปจับมือของพี่ชายเอาไว้แน่น ถึงเขาจะร้ายใส่อย่างไรแต่ก็รู้ดีว่าพี่ชายรักเขามากและเป็นห่วงมากเช่นกัน ถ้าหากเขาปล่อยให้เจตรินออกไปพร้อมกับตฤณนั่นจะเท่ากับว่าโอกาสที่เจตรินจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกมีสูงมากจนหวั่นใจ

“รู้ครับ แต่พี่เจตเองก็ออกไปไม่ได้ รู้ใช่ไหมครับว่าข้างนอกมีอะไร”

‘พี่รู้ ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ ถ้าเขาไม่ให้เข้าก็อย่าฝืน ไม่ไหวก็รีบกลับมา พี่จะรออยู่ที่นี่นะ’

“ครับ”

จ้าวละออกมาจากเจตรินแล้วเดินตรงไปหาตฤณที่ยืนรออยู่ห่างๆ เขาหันมาส่งสายตาเพื่อบอกว่าจะไม่เป็นอะไรให้พี่ชายได้คลายกังวลลงไปบ้างแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ข้างนอกนั่นเป็นสถานที่อันตรายสำหรับพวกเรา

“พี่ตฤณ... รู้ไหมครับว่าจ้าวไม่เคยออกไปข้างนอกเลย”

จ้าวเดินเข้าไปคล้องแขนแล้วส่งยิ้มหวานไปให้แต่ทว่าในใจกลับหวาดกลัวเมื่อยอมต้องก้าวเท้าออกนอกพื้นที่

“กลัวเหรอครับ”

“นิดหน่อย พี่ตฤณก้าวช้าๆ นะครับ ขาพี่ตฤณยาว จ้าวเดินตามไม่ทันแน่เลย”

“งั้นจ้าวค่อยๆ เดินตามมานะ เดี๋ยวพี่ไปเรียกรถแท็กซี่ให้ก่อน”

ตฤณผละออกไปโดยมีสายตาคู่หนึ่งคอยมองดูอยู่ตลอด รถแท็กซี่แถวนี้เรียกยากเรียกเย็นเสียเหลือเกิน เขาแค่ยกมือยกเรียกแต่กลับไม่มีคันไหนยอมจอดทั้งที่ไฟว่างหน้ารถก็ยังสว่างไสวพร้อมรับผู้โดยสาร เบาะข้างหลังและข้างคนขับก็ยังว่าง

“พี่ตฤณไปเรียกตรงนู้นไหมครับ เขาน่าจะจอด”

นิ้วเรียวเล็กชี้ไปยังหน้าบ้านของใครบางคน อย่างน้อยๆ ตรงนั้นก็ไม่ใช่หน้าคฤหาสน์ที่ถูกกล่าวขานถึงความน่ากลัว อาจมีแท็กซี่ใจดียอมจอดรับผู้โดยสารสักคัน ตฤณพยักหน้าพร้อมกับลองย้ายที่เรียกรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าเพียงแค่ย้ายออกไปจากที่เดิมหนึ่งหลัง รถแท็กซี่ที่โบกเรียกคันแรกกลับจอดเสียอย่างนั้น

“ไปโรงพยาบาลXXX ครับ”

คนขับพยักหน้า ตฤณจึงหันไปมองจ้าวพลางเปิดประตูหลังรอให้เด็กคนนั้นเดินเข้าไปนั่งข้างในก่อนแล้วจึงตามเข้าไป ปิดประตูลงแต่ขับคนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้เปิดประตูค้างเอาไว้ตั้งนานในเมื่อก็มีอยู่แค่คนเดียว

ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างนั้น ตฤณก็เงียบ จ้าวก็เงียบ คนขับรถยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่แต่ในใจกลับกำลังตั้งคำถามถึงข้อสงสัยที่ผู้โดยสารคนนั้นเปิดประตูค้างเอาไว้เสียนาน แถมยังหันไปมองอะไรบางอย่างหน้าคฤหาสน์หลังนั้นด้วย อะไรบางอย่างที่เขาเผลอคิดไปว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

“คุณอยู่แถวคฤหาสน์นั่นเหรอครับ”

ตฤณที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งเล็กน้อย เขารีบตอบกลับไปทันที “ห๊ะ! อ้อ ครับ”

“แถวนั้นตอนกลางคืนน่ากลัวมากเลยนะ ผมไม่กล้าขับรถมาแถวนี้ตอนดึกๆ เลย ดีที่ตอนนี้ยังมีแสงอยู่ ไม่อย่างนั้นผมคงเลี้ยวตั้งแต่แยกนู้นแล้วล่ะครับ เอ่อ... ว่าแต่อยู่แถวนี้เคยเจออะไรบ้างหรือเปล่า”

“อืม ก็ไม่มีอะไรนะ”

“แล้วไปทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอครับ”

“ไปเยี่ยมเพื่อนน่ะ”

“อ้อ! แล้วเพื่อนเป็นอะไรถึงต้องเข้าโรงพยาบาลล่ะ”

ตฤณแอบทำหน้าเซ็งอยู่เล็กน้อยแต่จ้าวกลับยิ้มขำ “ป่วยครับ”

“เป็นโรคอะไรล่ะ”

“มะเร็งครับ ใกล้ตายล่ะ”

ตฤณตอบส่งๆ ออกไปและประโยคท้ายเขาก็หมายถึงตัวเองที่ใกล้จะตายแล้ว ใกล้จะหมดความอดทนกับการตอบคำถามของคนขับรถแล้ว

“ระยะสี่เหรอ แย่หน่อยนะ เนี่ย... เมียลุงก็เป็นมะเร็งเหมือนกันแต่โชคดีที่แค่ระยะสอง ไปตรวจทันน่ะ”

“อ้อ ครับ”

“แล้วนี่จะให้ไปจอดข้างในเลยไหม”

“ข้างหน้าก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินเข้าไปเอง” 

โชคดีที่พอตอบเสร็จก็ถึงโรงพยาบาลพอดี ไม่อย่างนั้นตฤณเชื่อว่าเขาคงได้กลายเป็นอีกรายที่นอนโรงพยาบาล

รถแท็กซี่คันนั้นจอดตรงหน้าโรงพยาบาล เขาจ่ายเงินค่าโดยสารแล้วลงจากรถ รอให้จ้าวได้ก้าวลงจากรถก่อนแล้วจึงปิดประตู

ศาลพระภูมิเจ้าที่หน้าโรงพยาบาลทำให้จ้าวชะงักเท้าลงทันที เขาเข้าไปในนั้นไม่ได้แน่ อำนาจที่พระภูมิเจ้าที่มีอยู่นั้นมากกว่าอำนาจที่เขามีหลายเท่าตัวนัก อีกทั้งคำยืนกรานอย่างหนักแน่นจากชายชราในชุดสีขาวล้วนที่มีเพียงจ้าวเท่านั้น ที่ได้ยินก็การันตีแล้วว่าสถานที่แห่งเป็นสถานที่ต้องห้าม

“พี่ตฤณ ตรงนั้นมีพระภูมิเจ้าที่อยู่ด้วย เราต้องแสดงความเคารพเขาด้วยการไปขออนุญาตเข้าไปข้างใน พี่ตฤณไปขอให้เราสองคนเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ”

จ้าวชี้ชวนให้ตฤณไปขออนุญาตจากพระภูมิเจ้าที่ และตฤณก็ยอมทำตาม เขากำลังมีเรื่องวิงวอนร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนไทยหลังน้อยพอดี จึงไม่รีรอที่จะทำตาม ยกมือขึ้นพนมส่งคำอธิษฐาน ดวงหน้ากลมสีไข่มุกประดับไปด้วยรอยยิ้มทันทีที่พระภูมิเจ้าที่ที่กำลังยืนดักหน้าอยู่ ตรงทางเข้าโรงพยาบาลยอมถอยหนี หลบทางให้จ้าวได้เข้าไปแม้ในใจลึกๆ จะไม่อยากต้อนรับแต่มีมนุษย์ผู้หนึ่งเอ่ยขอแทนให้แล้ว คงปฏิเสธคำขอนั้นไม่ได้

“ไปกันเถอะครับ”

ตฤณเดินเข้าไปจูงมือเล็กเมื่อถูกชวนให้เข้าไปข้างใน จ้าวไม่สะบัดมือทิ้งแต่กลับกระชับแน่น ส่งยิ้มหวานให้อย่างจริงใจที่สุดในรอบหลายครั้งที่ผ่านมา

“ว่าแต่ทำไมต้องให้พี่ไปพูดอะไรแบบนั้นด้วย”

“จ้าวเคารพสถานที่น่ะครับ เวลาไปที่ไหนถ้าเราบอกกล่าวเขาก่อน เขาก็อาจจะคุ้มครองเราก็ได้ จริงไหมครับ”

“ให้พี่คุ้มครองจ้าวแทนได้ไหม”

“พี่ตฤณ~”

จู่ๆ จ้าวก็รู้สึกเขินขึ้นมา แค่คำพูดสั้นๆ ก็คล้ายกับจะทำให้เลือดในกายวิ่งพล่านไปทั่ว

“ได้ไหม”

“ได้สิครับ สัญญาแล้วนะว่าจะปกป้องจ้าว”

“ครับ”




** ติดตามตอนต่อไป **
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 18 [28/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-03-2018 19:57:35
จ้าวออกมาข้างนอก ก็แสดงว่าคนอื่นมองไม่เห็นจ้าวซินะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 18 [28/03/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: XXX ที่ 29-03-2018 14:29:51
โอ้ววว น้องจ้าวออกมาข้างนอก จะเป็นไรไหมนะ

 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 19 [04/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 04-04-2018 15:53:05
::: ตอนที่ 19 :::
โรงพยาบาล






เนตรยังคงนอนผวาไม่ได้สติอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ข้อมือถูกพันธนาการเอาไว้กับขอบเตียงทั้งสองข้าง ตลอดเวลาที่ถูกส่งมาอยู่โรงพยาบาลทำได้เพียงแค่กึ่งหลับกึ่งตื่น เธอกลัวว่าถ้าหลับไปแล้วสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์หลังนั้นจะตามมาหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้น แค่ลืมตาก็ยังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดตลอดเวลาที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น

นางจิตตรานั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างด้วยความเป็นห่วงแต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ลูกสาว กลัวเธอจะกรีดร้องโวยวาย ขนาดหมอเดินและนางพยาบาลเดินเข้าไปตรวจอาการ เธอก็คุ้มคลั่งขึ้นมาราวกับมองเห็นเหล่าคนพวกนั้นคือสิ่งชั่วร้ายในคฤหาสน์

ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออกอย่างช้าๆ และเบาเสียงที่สุด เป็นตฤณที่เดินเข้ามา เขายกมือไหว้ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ตรงโซฟาใกล้กับประตู

“เนตรเป็นยังไงบ้างครับ”

ตฤณไม่จำเป็นต้องถามก็พอจะรู้ว่าเนตรเป็นอย่างไร สภาพของเนตรไม่ได้ดีขึ้นไปจากวันนั้นที่เขามาเยี่ยมเลยแม้แต่น้อยและดูเหมือนจะทรุดหนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อดวงตาแสนอิดโรยคู่นั้นหันมองมา เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งคล้ายกับกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างก็ดังลั่นไปทั่วทั้งห้องจนนางจิตตราตกใจ

“ออกไป!! บอกให้ออกไป!!”

“เนตร...”

ตฤณไม่รู้จะทำอย่างไร เขาไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้จึงได้แต่มองดูด้วยความเป็นห่วงอยู่ตรงนี้

“ช่วยด้วย... ฮืออออ ช่วยด้วย! ตฤณช่วยเนตรด้วย”

แขนทั้งสองข้างพยายามออกแรงดึงให้ผ้าที่ผูกกันไว้หลุดออก แต่ยิ่งดึงก็ยิ่งรัดแน่น ดวงตาอิดโรยนั้นเบิกโพลงไม่ยอมหลับ ไม่แม้แต่จะกระพริบเสียด้วยซ้ำ เอาแต่จ้องมองไปยังเด็กที่ยืนอยู่ข้างหลังตฤณอย่างไม่วางตา

“เนตร ผมอยู่นี่แล้ว มีอะไรก็บอกผมได้นะ”

ตฤณเดินเข้าไปใกล้เตียงนอนผู้ป่วยแต่เนตรกลับกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อได้เห็นดวงหน้ากลมมนใบหน้าที่ซ่อนอยู่ข้างหลังตฤณ พยายามดิ้นขลุกขลักอยู่บนเตียง หยาดหยดน้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสาย ยิ่งตฤณเดินเข้าไปใกล้มาเท่าไรเธอยิ่งถอยหนีแต่ก็ได้แค่บนเตียง เธอไปไกลกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

“ยอมแล้ว... ขอโทษ ขอโทษนะ ฮือออออ”

“เนตรขอโทษใคร”   

นิ้วชี้ที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกชี้ไปยังที่ข้างๆ ตฤณ เธอไม่กล้าพูดออกมาว่าเป็นใคร ไม่กล้าแม้แต่จะให้เข้ามาใกล้มากกว่านี้อีกเพียงก้าวเดียว เธอกลัวว่าเด็กคนนั้นจะเดินเข้ามาแล้วพรากเอาชีวิตที่เหลืออยู่ไปจากร่างกายนี้ ไปจากตฤณที่กำลังเป็นห่วงเป็นใยในตัวเธอเวลานี้

“ใคร เนตร”

ยังไม่ทันที่เนตรจะได้พูดตอบอะไร จ้าวที่ยืนซ้อนท้ายตฤณอยู่ข้างหลังก็ยกนิ้วเล็กๆ ของตัวเองปาดคอเป็นเชิงข่มขู่

“ตฤณ ขะ... ขอโทษตฤณ”

“ผม? ผมเหรอ?”

เนตรไม่ตอบ เธอหลับตาลง เบือนหน้าหนีออกไปอีกทางทำทีเป็นว่าอยากพักผ่อนแล้ว ตฤณถึงได้ยอมถอยออกมา ในเมื่อเพื่อนไม่อยากพูด เขาก็ไม่อยากจะไปดึงรั้งเซ้าซี้ถามให้มากความ

“เนตรได้นอนบ้างหรือเปล่าครับ เธอดูโทรมมากเลย”

“ไม่ได้นอนหรอก กรีดร้องทั้งวัน หวาดผวาตลอดเวลา ใครเข้าไปใกล้ก็คุ้มคลั่ง หมอต้องฉีดยานอนหลับให้แต่กว่าจะฉีดยาให้ได้ก็ทำเอาเข็มหักไปหลายอันอยู่เหมือนกัน อาการไม่ดีขึ้นเลยตั้งแต่ที่พาเข้าโรงพยาบาล หรือว่าแม่ควรพากลับไปดูอาการที่บ้านดี”

นางจิตตราพูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พาลูกสาวมาโรงพยาบาลก็ยังมีคุณหมอและนางพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิดแต่อาการของเธอก็ไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว การพากลับบ้านไปพบกับสภาพแวดล้อมที่คุ้นตาอาจจะช่วยเยียวยาความบอบช้ำที่เกิดขึ้นภายในจิตใจได้บ้าง

“แต่ถ้าแม่พาเนตรกลับไปบ้านแล้วมันช่วยให้อาการเธอดีขึ้นมันก็เป็นทางเลือกที่ดีนะครับ แต่... ผมเป็นห่วงเนตร อยากให้เธอได้อยู่ใกล้หมอ”

“แม่ก็อยากให้เนตรได้อยู่ใกล้ชิดหมอ แต่เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้วแม่อดสงสารไม่ได้ ถ้าจะทำให้อาการเธอดีขึ้นมาได้บ้าง แม่ก็ยอมเสียเงินจ้างนางพยาบาลให้มาคอยดูอาการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนะ”

นางจิตตรารู้ว่าการจ้างนางพยาบาลให้มาคอยดูอาการนั้นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยแต่เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับครอบครัวของเธอเลย ไม่ว่าจะต้องใช้จ่ายมากเท่าไรก็ตาม ขอเพียงแค่ให้เธอได้ลูกสาวคนเดิมกลับมาก็พอ

“ผมก็พยายามอยู่ครับ อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้มันยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้เลย ยิ่งเนตรไม่ยอมพูดหรือบอกอะไร ผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเธอได้มากน้อยแค่ไหน”

“ขอบใจนะ”

“งั้น... ผมกลับก่อนนะครับ ไว้วันหลังจะพาจ้าวมาเยี่ยมใหม่”

“หา? ใครนะ”

จ้าวเดินออกมาจากด้านหลังตฤณแล้วยกมือไหว้พร้อมกับส่งยิ้มไปให้ นางจิตตรารับไหว้แต่เธอกลับมีความรู้สึกแปลกๆ เด็กคนนั้นเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเธอถึงไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเด็กคนนี้เลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งที่ตฤณพูดขึ้น เธอถึงได้เห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้ด้วย

“อ้าว~ นี่หนูก็อยู่ในห้องด้วยเหรอ ทำไมป้าไม่เห็นรู้เลย”

“คงเป็นเพราะจ้าวตัวเล็กมั้งครับ คุณป้าเลยมองไม่เห็น”

เด็กน้อยร่างเล็กส่งยิ้มให้แป้นแล้นพร้อมกับเข้าไปเกาะแขนตฤณเอาไว้ไม่ยอมห่าง เมื่อมองเทียบขนาดระหว่างเพื่อนของลูกสาวกับเด็กคนนั้นแล้วถึงได้รู้ว่าจ้าวเป็นเด็กที่ตัวเล็กมากจริงๆ เหมือนเด็กประถมที่อยู่ในช่วงกำลังเติบโต

“จริงด้วยเนอะ สูงแค่หน้าอกของตฤณเอง แล้วหนูอายุเท่าไรแล้วล่ะ”

“สิบเจ็ดแล้วครับ”

“สิบเจ็ดแล้วเหรอ ตัวเล็กจัง กินเยอะๆ นะ จะได้โตไวๆ”

“ครับ”

จ้าวตอบรับแกนๆ ส่งยิ้มเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว แต่จะให้เขากินเท่าไรยังไงก็ไม่มีทางโตไปมากกว่านี้ได้อีก ร่างกายนี้หยุดโตมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว

ในขณะที่ตฤณกับจ้าวกำลังจะเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยหลังจากที่ล่ำลากับนางจิตตราเรียบร้อยแล้ว เสียงตะโกนเรียกของเนตรแม้ว่ามันจะไม่ดังเท่าไรแต่ตฤณได้ยินเต็มสองหู “ตฤณ! อย่าไป” แล้วเสียงร้องไห้ของเธอก็ดังต่อจากนั้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด จนเขาต้องรีบเดินเข้าไปหา

“เนตร ผมอยู่นี่”

“ฮืออออ ตฤณ ออกมา ออกมานะ ตฤณ”

“ให้พี่ตฤณออกมาจากอะไรเหรอครับ พี่เนตร”

จ้าวเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของตฤณพร้อมกับเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาสีเพลิงจ้องมองร่างนั้นด้วยแววแห่งความอาฆาต หากตอบผิดแม้เพียงนิดก็จะช่วงชิงสิ่งที่รักยิ่งไปในทันที เนตรที่รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวนั้นเอาแต่ปิดปากเงียบและไม่กล้าแม้เพียงแต่จะสบสายตาคู่นั้นอีก

“ออกมานะ ต้องออกมา”

“ให้ผมออกมาจากอะไร เนตร ถ้าไม่พูดก็ไม่รู้หรอกนะ”

“น่ากลัว ชั่วร้าย ออกมานะ ตฤณ เชื่อเนตร”   

“อืม ผมเชื่อเนตร พักสักหน่อยนะ แล้วจะกลับมาเยี่ยมใหม่”

ตฤณผละออกมา ดูเหมือนเนตรจะยอมสงบลงบ้างแล้วที่เห็นว่าเขาเชื่อในคำพูดของเธอ จ้าวทำเพียงแค่เมียงมองร่างบนเตียงนอนแล้วยกยิ้มมุมปากด้วยความเห็นอกเห็นใจก่อนที่ริมฝีปากรูปกระจับนั้นจะเอื้อยเอ่ยถ้อยคำอันอ่อนหวานที่เคลือบแฝงไปด้วยพิษร้าย ประโยคที่เธอจะต้องจดจำมันไม่จนวันตาย “หลับให้สบายนะครับ พี่เนตร”

คล้อยหลังคำพูดจ้าวไปได้เพียงครึ่งนาที ร่างของเนตรก็กระตุกชักตัวเกร็งอยู่บนเตียงนอน ลิ้นจุกปาก ท่าทางทุรนทุรายคล้ายกับจะขาดอากาศหายใจ จ้าวจึงรีบคว้าปุ่มฉุกเฉินกดเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการแต่ทว่าเขากลับไม่กดในทันทีแต่เลือกที่จะถือเอาไว้อย่างนั้น ดึงเวลารอให้ยมทูตมาคว้าวิญญาณดวงนี้ไปแล้วจึงค่อยกดย้ำๆ ลงไปที่ปุ่มฉุกเฉิน

“พี่เนตร!! จ้าวกดเรียกพยาบาลให้แล้วนะ จ้าวกดแล้ว รอก่อนนะ”

“เนตร!!”

ทั้งตฤณและนางจิตตราประสานเสียงร้องเรียก ทั้งคู่วิ่งเข้ามาดูอาการ พยายามหาอะไรมายัดปากเพื่อไม่ให้เนตรกัดลิ้นตัวเองจนขาด มือเท้าแข็งเกร็ง ดวงตาเบิกกว้างจ้องเขม็งไปข้างหน้าอย่างหวาดกลัว นางพยาบาลรีบเข้ามาดูอาการแล้วแต่ไม่ทันทีที่จะยื้อร่างนี้เอาไว้ได้ เธอสิ้นใจไปก่อนที่จะทำการช่วยเหลือได้สำเร็จ ยมทูตใช้เคียวเกี่ยวรั้งวิญญาณดวงนั้นไปสู่อีกภพภูมิแล้ว

“เนตร!!”

นางจิตตราทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องอย่างหมดแรง ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด ลูกสาวที่เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ลูกสาวที่เธอรักดั่งแก้วตาดวงใจจากไปนิรันกาลโดยไม่มีแม้กระทั่งคำลา ไม่รู้แม้แต่สาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่มีลาบอกเหตุว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ได้นั่งมองหน้าลูกสาวเพียงคนเดียว

“พี่เนตร!”   

จ้าวร้องลั่นเมื่อเห็นร่างของเนตรแน่นิ่งไป น้ำตาหลั่งรินด้วยความเสียอกเสียใจที่ไม่อาจช่วยผู้หญิงคนนี้เอาไว้ได้ เขาหันหลังกลับไปซบลงกับหน้าอกของตฤณ ปากก็เอาแต่พร่ำโทษตัวเองที่กดเรียกนางพยาบาลเข้ามาดูอาการช้าเกินไป แต่แววตาและรอยยิ้มบนใบหน้าที่ฝังอยู่บนแผ่นอกกว้างกลับเต็มไปด้วยความสุขใจ

“พี่ตฤณ จ้าวผิดเอง ถ้าจ้าวกดเรียกพยาบาลเร็วกว่านี้ พี่เนตร... พี่เนตร...”

ตฤณไม่พูดอะไร เขาได้แต่ลูบหัวปลอบใจแต่หัวสมองกลับครุ่นคิดถึงพูดที่ย้ำแล้วย้ำอีกด้วยคำเดิมซ้ำซากของเนตร ดวงตาเบิกโพลงของหญิงสาวไม่สามารถปิดลงได้ราวกับเธอยังมีเรื่องไม่สบายใจจึงไม่อาจจากไปทั้งอย่างนั้นได้

“เนตรไปสบายแล้ว”

ในที่สุดนางจิตตราก็พูดขึ้นมา บางทีการปล่อยให้เนตรได้จากไปก็อาจจะทำให้เธอไม่ต้องทนทุกข์ทรมานใจโดยที่ยังหาทางช่วยเหลือใดๆ ไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าโลกหลังความตายเป็นอย่างไรแต่ก็น่าจะสุขสบายกว่า

“พี่เนตร จ้าวขอโทษ... ขอโทษ ฮืออออ”

ดวงหน้าที่ซบลงกับแผงอกกว้างยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจกับการจากไปของเนตรอย่างกะทันหันเป็นเพียงเรื่องราวเสแสร้งของจ้าวเท่านั้น คำขอโทษที่ไร้ความจริงใจ น้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความปลื้มปิติเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาในสถานการณ์อันโศกเศร้า

“จ้าวทำเต็มที่แล้ว ไม่มีใครโทษหรอก”

“จ้าว... จ้าว... ฮึก! ก็ยังรู้สึกผิด”

ใช่! จ้าวกำลังรู้สึกผิดและผิดเอามากเสียด้วยที่ไม่ทันได้ออกจากห้องพักผู้ป่วยไปก่อนที่ยมทูตที่เขาเรียกมาจะมาถึง ผิดที่ไม่ได้ปล่อยให้วิญญาณดวงนั้นได้ไปอย่างสบายแต่กลับปล่อยให้ทุกข์ทรมานก่อนตาย ผิดที่ปล่อยให้เนตรได้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาตั้งมากมาย มากจนถึงว่าถ้าหากใสใจในคำพูดนั้นอีกสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ว่าต้องการสื่อถึงอะไรกันแน่

“จ้าว... ฮึก! จ้าวขอโทษ จ้าวขอ...”

ร่างเล็กร้องไห้จนหมดสติ โชคดีที่ได้ตฤณประคองเอาไว้ก่อนที่จะร่วงลงพื้น พาไปนอนพัก หายาดมมาให้จนจ้าวได้สติฟื้นคืนกลับมา อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้หมดสติไปแต่เพียงแค่อยากหลุดออกไปให้พ้นจากที่นี่ พลังงานที่เขาใช้คงสภาพตัวเองให้ผู้อื่นมองเห็นได้เริ่มจะมีไม่มากแล้ว ถ้ายังขืนอยู่ต่อไป ร่างกายนี้จะโปร่งแสงและโปร่งใสในที่สุดจนรู้สถานะที่แท้จริง

“จ้าว!”

“พะ... พี่ตฤณ จ้าวมึนหัวจังเลยครับ อยากกลับไปพักแล้ว”

“อืม พี่จะพากลับเดี๋ยวนี้ล่ะ”

ตฤณบอกพร้อมกับผละออกมาเพื่อไปล่ำลานางจิตตราอีกครั้งแล้วจึงกลับมาประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน จ้าวทำท่าเหมือนจะเดินไม่ไหว เขาหมดพลังงานไปมากกับการออกมาช้างนอกคฤหาสน์และนี่ก็เป็นครั้งแรกเสียด้วย ประกอบกับการดึงเอาวิญญาณของเนตรให้ออกจากร่างจำต้องใช้พลังงานเยอะกว่าการฆ่าใครสักคนด้วยมือตัวเอง นี่จึงเป็นเหตุให้เขาเหมือนจะหมดแรงไปเสียดื้อๆ 

“พี่ตฤณ จ้าวไม่ไหว”

“งั้นขึ้นมาขี่หลังพี่นะ”

เด็กน้อยพยักหน้า ยอมให้ตฤณอุ้มขึ้นหลัง เขาซบลงกับไหล่กว้างทันทีที่ถูกประคองขึ้นไป ความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานกับการพลังงานที่สูญเสียไปเกือบจะทำให้เขาเผลอวูบหลับ

“เดี๋ยวเรานั่งแท็กซี่กลับกันนะ จ้าวจะได้พักผ่อน”

“ครับ”

ตฤณอุ้มร่างของจ้าวออกไปทั้งอย่างนั้น ในขณะที่กำลังเดินผ่านศาลพระภูมิเจ้าที่ ขวดน้ำแดงหนึ่งขวดซึ่งเป็นแก้วตั้งอยู่บนโต๊ะด้านหน้าเป็นของเซ่นไหว้ก็ล้มลงกับโต๊ะก่อนที่จะกลิ้งตกแตกกระจายเกลื่อนพื้น ผู้คนในบริเวณนั้นต่างหันมามองกันเป็นตาเดียว แต่จ้าวรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร เขาจึงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเป็นเชิงท้าทาย

// ข้าเป็นพระภูมิเจ้าที่ เจ้าทำแบบนี้ก็เท่ากับหลบหลู่ข้าที่ดูแลปกปักษ์รักษาพื้นที่แห่งนี้ //

เสียงหนึ่งดังขึ้นคล้ายกับจะก้องอยู่ในหัวของจ้าว เขาจึงใช้ความคิดของตัวเองตอบกลับไป

// รู้ //

// ถ้ารู้แล้วทำไมถึงยังทำ เป็นเด็กเป็นเล็กทำตัวร้ายกาจแบบนี้ไม่น่ารักเอาเสียเลยนะ //

// ถ้าท่านพระภูมิใจดี ยอมให้เข้าตั้งแต่ทีแรกก็ไม่ทำหรอก //

// สถานที่แบบนี้วิญญาณเข้าไม่ได้ แต่ข้าไม่โกรธหรอก มีคนใจดีขออนุญาตแทนแล้วนี่ จะบอกอะไรไว้อย่างว่าการพรากชีวิตผู้อื่นมันบาปนะ แล้วบาปนั้นก็หนักหนามากด้วย หมั่นทำบุญทำกุศลเสียบ้างเถิด จะได้หลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่ //

จ้าวไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก เขาเอาแต่ซบหน้าลงกับต้นคอของตฤณ บุญกุศลก็อยากทำอยู่หรอกแต่พวกมนุษย์ที่อยากลองของ ลองวิชาก็มักมีมาไม่หยุดไม่หย่อนแล้วจะให้เขาว่างเว้นจากการทำสิ่งอกุศลได้อย่างไร

 // จำเอาไว้นะ!! ยิ่งเจ้าปล่อยวางได้เท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง!! //

คำทิ้งท้ายของพระภูมิเจ้าที่ที่แสนดี จ้าวได้ยินทั้งหมด แต่ว่าเขาไม่อาจปล่อยวางทุกสิ่งไว้เบื้องหลังได้ ใบหน้ากลมมนฉายแววเศร้าอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ   


----------------------------


กว่าตฤณจะพาจ้าวกลับมาที่คฤหาสน์ได้ก็ใช้เวลาไปมากอยู่พอสมควร ดูเหมือนจะไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมขับพามาส่งที่หน้าคฤหาสน์เลยสักคันเดียวเมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้วจนสุดท้ายก็ต้องยอมให้ไปส่งแค่ที่สี่แยกไฟแดงซึ่งอยู่ก่อนถึงคฤหาสน์หลังนั้น ระยะทางจากจุดที่ลงรถไปถึงคฤหาสน์ก็เกือบจะครึ่งกิโลเมตร อีกทั้งตฤณยังต้องคอยอุ้มจ้าวเดินข้ามถนนที่แทบจะไม่เห็นรถวิ่งผ่านแล้ว บรรยากาศที่เงียบสนิทเมื่อข้ามมาถึงอีกฝั่งของถนนราวกับอยู่ในละภพทำเอาขนแขนของตฤณลุกเกรียว เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวกับอะไรมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต คล้ายกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในเกมเอาชีวิตรอดจากศพคนตายที่ไล่ตามมาท่ามกลางสุสานที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

“พี่ตฤณ กลัวไหมครับ”

“กลัวสิ ทำไมวันนี้มันน่ากลัวขนาดนี้ก็ไม่รู้”

“ขอโทษด้วยนะครับที่วันนี้จ้าวปกป้องพี่ตฤณไม่ได้”

คำพูดแปลกๆ ทำเอาตฤณสับสน ในสถานการณ์แบบนี้แล้วคนที่จะต้องเป็นฝ่ายถูกปกป้องไม่ใช่จ้าวหรืออย่างไร

“พี่ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายปกป้องจ้าว พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะเป็นคนปกป้องจ้าวเอง”

“ครับ”

จ้าวรู้ดีว่าในเวลาแบบนี้ตฤณปกป้องเขาไม่ได้แน่ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ปกป้องตฤณไม่ได้ด้วยเช่นกัน การออกมานอกคฤหาสน์ดูดเอาพลังงานที่มีอยู่ไปจนเกือบหมด และการพักผ่อนคือทางออกเดียวที่จะทำให้ได้พลังกลับคืนสู่ร่างกายนี้แต่ทว่าเขาก็ยังต้องปกป้องตฤณด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นเหมือนเช่นวันแรกอีก

“คืนนี้... พี่ตฤณนอนกับจ้าวอีกสักคืนนะครับ”

“แล้วพี่ชายจ้าวจะไม่ว่าอะไรเอาเหรอที่จ้าวมานอนกับพี่อีกแล้วน่ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พี่เจตเข้าใจดี พี่ตฤณปล่อยจ้าวลงตรงนี้เถอะ จ้าวพอเดินเองไหวแล้ว”

ตฤณไม่ยอมปล่อยให้ร่างเล็กที่เกาะอยู่ข้างหลังลงพื้น เขายังมีแรงพอที่จะแบกต่อไปไหว พวกเขาผ่านประตูรั้วเข้ามาแล้วเหลือเพียงแค่อีกไม่เท่าไรก็จะถึงประตูคฤหาสน์ จะมาถอดใจตรงนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก ทำอะไรแล้วก็ควรจะทำให้ถึงที่สุด

“พี่ตฤณ จ้าวลงเดินเองได้แล้วครับ”

“ทำไมถึงดื้อจัง”

“ก็... จ้าวกลัวพี่ตฤณหนักนี่ครับ”

ถึงจ้าวจะตัวหนักแค่ไหน สำหรับตฤณแล้วมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเขาสักเท่าไร มือแกร่งกระชับร่างที่อยู่ข้างหลังก่อนก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าคนตัวเล็กจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อ

‘จ้าว!! กลับมาแล้วเหรอ พี่เป็นห่วงมากนะ รู้ไหม’


ร่างของเจตรินปรากฏขึ้นที่หน้าประตูคฤหาสน์พร้อมกับร้องเรียกด้วยความดีใจที่เห็นน้องชายกลับมาอย่างปลอดภัย เขาเป็นกังวลตลอดเวลาที่จ้าวไม่อยู่ที่นี่ กลัวว่าจ้าวจะเป็นอะไรไปหรือเกิดอาการบาดเจ็บเพราะต้องต่อสู้กับเจ้าที่เจ้าทางเพื่อเข้าไปในโรงพยาบาล แต่เท่าที่เห็นก็ไม่มีอะไรให้น่าวิตกกังวลเสียเท่าไร จะมีก็แค่ร่างกายนี้สูญเสียพลังงานในการคงสภาพร่างกายเอาไว้ไปมากก็เท่านั้น

“กลับมาแล้วครับ”

‘มา เดี๋ยวพี่พาขึ้นไปพักที่ห้องของเรานะ’

“วันนี้จ้าวจะนอนกับพี่ตฤณครับ”

‘อะไรนะ! มัน... ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด สภาพจ้าวเป็นแบบนี้ พี่ให้นอนห้องเดียวกับตฤณไม่ได้’


“พี่ตฤณครับ ไม่โทรไปบอกพี่ลีเรื่องพี่เนตรหน่อยเหรอครับ”

ตฤณลืมไปสนิทเลยว่าต้องโทรไปบอกลีเรื่องที่เนตรเสียแล้ว เขามัวแต่เป็นห่วงจ้าวมากเกินไป

“เดี๋ยวพี่ค่อยโทรบอกก็ได้ ให้พี่พาจ้าวขึ้นไปพักก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ตฤณรีบโทรไปบอกพี่ลีเถอะ เดี๋ยวจ้าวให้พี่เจตพาขึ้นไปพักเองแล้วพี่ตฤณค่อยตามขึ้นมาทีหลังก็ได้ครับ”

เห็นตฤณไม่พูดอะไรต่อ จ้าวก็คิดเอาว่าอีกฝ่ายคงตกลง เขาจึงให้เจตรินประคองขึ้นไปพักข้างบนห้อง ร่างกายของจ้าวถึงจะดูจากภายนอกไม่ออกว่าอ่อนล้าแค่ไหนเพราะความที่ต้องฝืนคงสภาพร่างกายให้เหมือนมนุษย์เอาไว้ให้ได้มากที่สุดโดยที่ไม่ทำให้ตฤณเกิดความสงสัย แต่เจตรินรู้ดีเป็นที่สุดว่าน้องชายเริ่มไม่ไหวแล้ว หลังจากพ้นสายตาของตฤณไปแล้วสภาพที่แท้จริงจึงปรากฏขึ้น ร่างที่แทบจะทรุดลงกับพื้นมองทะลุเห็นอีกฝากฝั่งหนึ่งที่อยู่ข้างหลังบ่งบอกได้ดีที่สุด

‘จ้าว...’

“ไม่เป็นไรครับ พี่เจต ไม่ต้องเป็นห่วง แค่นอนพักสักระยะก็คงหายเป็นปกติ”

‘เกิดอะไรขึ้นที่ข้างนอกนั่น คงไม่ได้ไปออกฤทธิ์กับท่านเจ้าที่มาหรอกใช่ไหม’


“ไม่หรอกครับ พี่เจตวางใจได้ จ้าวไม่ได้โง่ขนาดเอาตัวเองไปเสี่ยงกับเรื่องแบบนั้นทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางสู้ได้หรอกครับ”

‘รู้แบบนั้นก็ดีแล้ว พี่มีน้องชายอยู่คนเดียวนะ’


“ครับ จ้าวรู้ จ้าวเองก็มีพี่ชายอยู่คนเดียวเหมือนกัน”

แต่ทว่าเจตรินก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้ไปต่อกรกับเจ้าที่เจ้าทางที่นั่นมาก็ไม่มีทางที่จะทรุดหนักได้ขนาดนี้ อำนาจของจ้าวและพลังในร่างกายนี้มีมากเกินกว่าที่จะทำให้กลายสภาพเป็นแบบนี้ไปได้

‘แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้’

“หึ! พี่เจตน่าจะรู้นะครับว่าเกิดอะไรขึ้น มันเดาได้ไม่ยากเลย”

‘พี่รู้ๆ เข้าไปนอนพักในห้องของเราเถอะ แล้วเดี๋ยวเรื่องอื่นๆ พี่จะจัดการให้เอง’


“ไม่ได้ จ้าวอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่มีแรงมากพอที่จะจัดการควบคุมสิ่งอื่นที่อยู่ที่นี่นอกจากคนของเราได้หรอกนะ แล้วยิ่งต้องปล่อยให้พี่ตฤณอยู่คนเดียวยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ใครจะจัดการความสงบตลอดทั้งคืน ยิ่งจ้าวอยู่ห่างมันก็ยิ่งควบคุมลำบาก และพี่เจตก็ไม่มีทางทำได้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องพักผ่อนน่ะยังมีเวลาให้จ้าวได้พักอีกตลอดทั้งเช้า”

เจตรินไม่รู้จะแย้งอย่างไร สิ่งที่จ้าวพูดขึ้นมานั้นถูกต้องทุกประการ เจตรินไม่มีอำนาจหรือพลังมากพอที่จะควบคุมทุกสิ่งที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ เขาไม่สามารถปกป้องผู้ชายคนนั้นจากวิญญาณผีตายโหงที่มีจิตอาฆาตมุ่งร้าย

 ‘แต่พี่อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ’


“ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงเลย แต่ถ้าพี่เจตเป็นห่วงจริงๆ แล้วอยากจะช่วยก็ช่วยเป็นหูเป็นตารอบห้องให้จ้าวด้วยนะครับ เผื่อจ้าวเผลอหลับไปซะก่อน”

‘อืม ได้ พี่จะคอยดูให้’


ได้ยินแบบนี้ ทั้งจ้าวและเจตรินก็ได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย คนหนึ่งก็เบาใจที่ให้เขาได้คอยปกป้องอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ส่วนอีกคนก็ยินดีที่จะมีคนคอยสังเกตการณ์ข้างนอกให้อีกแรง

‘งั้นพี่ไปก่อนนะ แล้วจะกลับมาอีกที’

“ครับ”

จ้าวเดินเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง คำพูดของพระภูมิเจ้าที่ตนนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว หมั่นทำบุญทำกุศลเสียบ้างจะได้หลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่  ถ้ามันง่ายเหมือนกับการปลอกกล้วยเข้าปาก เขาคงทำมันไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้เวลาล่วงเลยมานานถึงขนาดนี้ แต่เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าบาปที่ทำเอาไว้หนักหนาสาหัสเพียงใด จะมาลบล้างด้วยบุญกุศลเท่าไรก็ไม่มีวันหมด

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ล่ะก็... ก็ทำบาปอยู่ดี”

จ้าวเผลอถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย บางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ตนต้องคอยสร้างบาปมากกว่าทำบุญทำกุศลนั้นไม่ใช่เพราะมนุษย์หรอกหรือ เข้ามารนหาที่ตายด้วยตัวเองแล้วทำไมความผิดนั้นถึงได้มาตกที่ตัวเขาเสียได้ แต่ยังคิดไปได้ไม่ไกลเท่าไร ตฤณก็เปิดประตูห้องเข้ามาแล้วสอดตัวเข้าไปนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“พี่ตฤณ~ เข้ามาทำไมครับ จ้าวยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

“คิดถึง”

“ครับ แล้ว... พี่ลีว่ายังไงครับ”

“พรุ่งนี้พี่ต้องไปงานศพเนตร อาจจะกลับมาดึกหน่อยนะ หรือจ้าวจะไปด้วยกันไหม”

“ไม่ดีกว่าครับ จ้าวยังมึนหัวอยู่เลย ขอนอนพักอยู่ที่นี่ดีกว่า”

จ้าวรีบหาทางปฏิเสธ ให้เข้าวัดมันก็เหมือนกับการเอาตัวเองจุ่มลงในกระทะที่มีน้ำมันเดือดพล่าน อาจจะไม่ถึงตายแต่ก็ต้องได้บาดแผลกลับมาอย่างแน่นอน

“งั้น... พี่จะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดนะ”

“ครับ จ้าวขอนอนพักหน่อยนะ เหนื่อยมากเลยวันนี้”

ตฤณยอมปล่อยให้จ้าวได้นอนพักผ่อนตามที่ต้องการโดยที่ตัวเขาก็เอาแต่จ้องมองใบหน้ากลมมนสีไข่มุกอย่างหลงใหล เอ็นดูและรักใคร่มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา


-------------------------


ตลอดค่ำคืนที่ผ่านมานั้นถือว่าทั้งตฤณและจ้าวค่อนข้างจะมีโชคอยู่บ้าง ไม่มีผีสางตนใดที่คิดจะมาหาเรื่อง

เมื่อจ้าวตื่นขึ้นมาก็พบว่าตฤณไม่อยู่บนเตียงนอน ไม่อยู่ในห้อง ไม่อยู่ในที่ไหนสักแห่งในรอบคฤหาสน์หลังนี้ เขาจับไม่ได้ถึงสัมผัสของวิญญาณอีกครึ่งที่เหลืออยู่ ร่างกายอันแสนบอบบางนั้นสั่นเทิ้ม เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งราวกับถูกสิ่งที่รักยิ่งถูกช่วงชิงไปดังก้องไปทั่วทั้งคฤหาสน์จนเจตรินต้องปรากฏกายขึ้นมาในห้อง รีบรุดเข้าไปดูอาการของน้องชายด้วยความเป็นห่วง

‘เป็นอะไร จ้าว... เป็นอะไร’

“พี่เจต พี่ตฤณไม่อยู่”

ร่างเล็กกอดพี่ชายเอาไว้แน่น สะอื้นไห้ไม่หยุดราวกับตื่นตกใจจากฝันร้าย เจตรินถึงกับอมยิ้มเล็กน้อย

‘เขาแค่ไปเรียน เดี๋ยวก็กลับ ร้องไห้แบบนี้ คิดถึงเขาเหรอ’   


“ปะ... เปล่า มะ... ไม่ใช่สักหน่อย”

ใบหน้ากลมมนเบือนหนี หลบซ่อนความจริงที่ปรากฏอยู่ในดวงตาสีเพลิง

‘รู้หรือเปล่า เวลาที่จ้าวได้อยู่กับเขาน่ะดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ อย่างน้อยๆ จ้าวก็ไม่เคยเป็นห่วงใครมากเท่านี้มาก่อน’

“ก็ต้องเป็นห่วงสิ เพราะเขามีอีกครึ่งที่จ้าวต้องการ”

‘ลองตัดเรื่องนั้นออกไปสิ ถ้าไม่ใช่เพราะมีอีกครึ่งที่ต้องการ จ้าวก็ใจดีกับเขามาตลอดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ’


“พี่เจต! จ้าวไม่คุยด้วยแล้ว ขอนอนพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่า”

จ้าวสอดตัวมุดเข้าใต้ผืนผ้าห่มแล้วหลับลงอีกครั้ง




** ติดตามตอนต่อไป **
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 19 [04/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-04-2018 00:27:50
ลี นายน่าจะเป็นรายต่อไปนะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 20 [11/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 11-04-2018 17:14:03
::: ตอนที่ 20 :::
สืบหาความจริง






ในช่วงบ่ายของวัน ตฤณพอจะมีเวลาว่างอยู่บ้าง เขาหยิบสมุดจดขึ้นมาอ่านทบทวนสิ่งที่ได้จากเนตรและยุ้ย และหนึ่งคำใหม่ที่เขาได้มาจากเนตรคือคำว่า ‘ชั่วร้าย’ แต่น่าแปลกที่ว่าเนตรเอาแต่ย้ำคำว่าออกมาอยู่หลายครั้งจนอดคิดไม่ได้ว่าคฤหาสน์หลังนั้นคงต้องมีอะไรบางอย่างอยู่จริง

“ไง ตฤณ”

ตฤณเงยหน้าอันแสนเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่อถูกเรียก เมฆทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับดึงเอาสมุดจดเล่มนั้นมาอ่าน

“พี่เมฆรู้แล้วใช่ไหมเรื่องเนตรกับยุ้ยน่ะ”

เมฆพยักหน้าพร้อมกับตอบรับในลำคอเบาๆ เขารู้เรื่องนี้มาจากลี รู้ทุกเรื่องแม้กระทั่งสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในสมุดเล่มนั้นด้วยแต่ที่ไม่เข้าใจคือเกิดอะไรขึ้นกับเนตรและยุ้ยตอนที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนั้นกันแน่ คำใบ้พวกนี้จะนำทางพวกเขาไปสู่ความจริง

“นั่นเป็นคำพูดของเนตรกับสิ่งที่ยุ้ยทิ้งไว้ให้ในจดหมายใช่ไหม”

“ครับ แต่ผมยังปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้เลย มีบางเรื่องที่ผมพอเดาได้บ้างแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นแบบที่คิดหรือเปล่า พี่เมฆพอจะช่วยได้ไหม”

“อืม ได้สิ”

เมฆอ่านทวนข้อความที่ปรากฏอยู่ในหน้าสมุด ค่อยๆ ครุ่นคิดถึงแต่ละคำเพราะมันจะต้องมีความหมายแน่ ไม่อย่างนั้นทั้งเนตรและยุ้ยคงไม่พูดออกมา อีกทั้งคำพวกนี้ก็จำเป็นต้องมาปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอง นั่นอาจจะหมายความว่าทั้งเนตรและยุ้ยไม่สามารถพูดมันออกมาได้ตรงๆ

“ผมรู้แค่ว่าออกมามันหมายความว่ายังไง แต่ผมไม่รู้เลยว่าคำอื่นมันหมายความว่ายังไงกันแน่ ถามจ้าวดูแล้วเขาก็บอกว่าเรื่องฆาตกรรมที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ที่พี่เมฆเอาให้ผมดูวันก่อนมันเป็นเรื่องจริง แต่เขาบอกว่าเขาไม่ใช่วินเซ้นท์อะไรนั่นหรอก เขาก็แค่เป็นคนหน้าเหมือนคนในอดีตเท่านั้น”

“กะ... แกเอาไปถามเขามาเหรอ”

เมฆพอจะเดาได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเนตรและยุ้ยเป็นเพราะอะไร ถ้าไม่ผิดจากที่คาดไปเท่าไรนัก นั่นต้องเป็นฝีมือของเด็กคนนั้นแน่แต่เขายังไม่มีหลักฐานพอที่จะชี้ตัวผู้ร้ายคนนั้นได้

“อืม”

“แล้วเขาได้บอกอะไรอีกไหม”

“อ้อ! เรื่องข่าวลือที่เกี่ยวกับคฤหาสน์นั่น เขาบอกเหมือนที่เราคุยกันวันนั้นเลย ถ้าข่าวลือเป็นจริงแล้วล่ะก็ทำไมผมถึงไม่เป็นอะไรเลย ทำไมผมถึงยังอยู่ดีมีสุขได้จนถึงตอนนี้” 

เมฆพยักหน้า เขากำลังทวนข้อมูลที่มีอยู่ในหัว คอยเรียบเรียงปะติดปะต่อเรื่องราวเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็ยังไม่พบเจออะไรที่พอจะนำมาเป็นหลักฐานหรือบ่งบอกได้ว่าการตายของเนตรและยุ้ยเป็นฝีมือของจ้าว หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่ทำให้ตฤณยอมออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นได้เลย

“เด็กคนนั้นปิดช่องโหว่จนมิดเลยแฮะ”

“หา? พี่เมฆว่าอะไรนะ”

ตฤณทวนถามอีกครั้ง เขากำลังนั่งคิดอะไรเพลินเกี่ยวกับสิ่งที่เนตรพูดถึงครั้งสุดท้าย

“เปล่า แค่บอกว่าเด็กคนนั้นได้ไปเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลบ้างไหม”

“ไปกับผมเมื่อวานนี้ ช่วงบ่ายๆ ”

“เข้าได้เหรอ”

“ไอ้พี่เมฆ! จ้าวเป็นคนนะ ยังไงก็เข้าได้อยู่แล้ว ถามอะไรแปลกๆ ทำไม? กลัวเจ้าที่เจ้าทางเขาไม่ให้เข้าเหรอ เอ่อ... จะว่าไป ตอนนั้นจ้าวก็ขอให้ผมไปขออนุญาตกับเจ้าที่ที่ศาลพระภูมิด้วยนะ หรือพี่จะบอกว่า... จ้าวไม่ใช่คนงั้นเหรอ ตลกแล้วล่ะพี่!”

ตฤณไม่เชื่อและไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด ต่อให้นั่นเป็นเรื่องจริงก็ตาม เด็กที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูอย่างจ้าว เด็กที่สามารถทำให้เขาตกหลุมรักแทบจะในทันที เด็กอายุสิบเจ็ดปีที่ดูแลเขาเป็นอย่างดีตลอดการพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น

“ใจเย็น พี่ก็ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ใช่คน เอาอย่างนี้ พักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วมาดูสิ่งที่เนตรกับยุ้ยพูดกันต่อดีกว่า” เมฆรีบเปลี่ยนเรื่อง อะไรที่ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัด เขาเองก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อ “อืม... คำว่าตายที่ยุ้ยพูดถึงมันคงจะหมายถึงว่าพวกเธอกำลังจะตายก็ได้ อาจจะโดนอะไรบางอย่างหรือใครบางคนตามเล่นงานอยู่ก็ได้”

“แล้วอะไรบางอย่างที่ว่าคือ...”

“ไม่รู้ว่ะ แต่มันมีบางอย่างค้างคาใจ แกว่างไปโรงพยาบาลด้วยกันไหม”

“ตอนนี้เหรอ คลาสกำลังจะเริ่มอีกครึ่งชั่วโมงนี้แล้วอ่ะ ไว้พรุ่งนี้ได้ไหม เมื่อวานก็ขาดเรียนไปแล้วด้วย”

ตฤณแสดงสีหน้าลำบากใจ เขาเองก็อยากไปเป็นเพื่อนเมฆแต่จะต้องเข้าเรียนในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้ เรื่องเรียนอาจไม่สำคัญเท่าไรแต่เพราะวันนี้มีสอบด้วย นั่นจึงทำให้เขาโดดคลาสไม่ได้

“พรุ่งนี้เหรอ... พี่ไม่ว่างนี่สิ มีเล่นดนตรีที่ผับตอนค่ำ แถมช่วงเช้าก็ต้องพาแม่ไปหาหมอ ตกบ่ายไปเยี่ยมหลานอีก”

“เอายังไงดี”

“เดี๋ยวพี่ไปโรงพยาบาลเอง แกก็อยู่สอบไปก่อน ยังไงตอนเย็นก็ไปงานศพเนตรอยู่แล้วใช่ไหม ไว้ค่อยไปคุยกันตอนนั้นก็ได้ หรือว่าแกไม่สะดวก จะรีบกลับ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ พี่”

“งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะ”


----------------------------------------


เมฆแยกย้ายกับตฤณตรงนั้นแล้วมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่เนตรเคยพักรักษาตัวอยู่ที่นั่นในทันที เพียงเพราะอยากสืบให้รู้ถึงสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัวนั้นเป็นความจริงหรือไม่

เมฆไม่ได้มีจิตสัมผัสถึงขั้นที่สามารถสื่อสารกับวิญญาณหรือภูตผีได้ เขาทำได้แค่รับรู้ว่าสิ่งลี้ลับพวกนี้มีอยู่จริง สัมผัสได้แต่มองไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ไม่ว่าจะด้วยตานอกหรือตาใน ศาลพระภูมิที่หน้าโรงพยาบาลก็เช่นกัน เขารู้ว่าที่ตรงนั้นมีเจ้าที่เจ้าทาง เทพาอารักษ์สิงสถิตอยู่จริงแต่ทว่าไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านี้ได้

เมฆนึกถึงคำพูดของตฤณที่ว่าเด็กคนนั้นมาโรงพยาบาล ถ้าหากความคิดของเขาไม่ได้ผิดไป ถ้าหากเด็กคนนั้นไม่ใช่มนุษย์อย่างที่ตฤณเข้าใจหรือเป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือจากโลกของเรา สิ่งนั้นอาจไม่ปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลแน่

การจะเข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดจากทางโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่มีทางที่ผู้รักษาความปลอดภัยจะยอมเปิดให้ดูโดยง่าย อย่างน้อยก็ควรพกหมายศาลขอดูกล้องวงจรปิดมาด้วย แต่เด็กมหาวิทยาลัยปีสี่อย่างเมฆไม่ได้มีน้ำยาหรือเส้นสายใหญ่โตที่จะไปอวดเบ่งขอให้ออกมาได้ง่ายๆ โดยไม่มีสาเหตุ และแน่นอนว่าทางเดียวที่เลือกได้คือการติดสินบนเจ้าหน้าที่

เมฆรู้ว่าเรื่องการติดสินบนเจ้าที่หน้ามันเป็นเรื่องไม่ดีแต่ถ้าหากไม่ทำแบบนี้ เขาจะไม่สามารถหาข้อพิสูจน์อะไรได้เลย

“ขอดูหน่อยเดียวเอง”

“ไม่ได้จริงๆ ครับ ถ้าจะดูก็ต้องมีหมายศาลมา”

ถูกผู้รักษาความปลอดภัยพูดแบบนี้แล้วมีทางเดียวทีเมฆจะงัดขึ้นมาใช้ได้เท่านั้น เขาวางธนบัตรสีแดงลงบนโต๊ะ

“คือ... ยังไงก็ไม่ได้หรอกครับ”

ธนบัตรสีแดงถูกวางเพิ่มไปอีกหนึ่งใบ

“อย่าทำให้ผมลำบากใจเลย”

เมฆตัดสินใจวางธนบัตรสีแดงลงบนโต๊ะเพิ่มอีกสามใบ ถ้าฝ่ายนั้นพูดแบบนี้ย่อมแสดงว่ามีความลังเลอยู่ในใจ

“เอ่อ... ให้ได้แค่บางช่วงเท่านั้นนะครับ”     

“ผมก็ไม่ได้จะดูทั้งหมดอยู่แล้ว จะขอดูแค่ช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้เท่านั้น”

ผู้รักษาความปลอดภัยคนนั้นหยิบเงินที่วางอยู่บนโต๊ะใส่เข้ากระเป๋าของตัวเองแล้วเปิดภาพของกล้องวงจรปิดในวันเมื่อวานช่วงบ่ายให้ดู มีหลายอยู่หลายมุมตามจุดต่างๆ ของโรงพยาบาล ไล่ตั้งแต่หน้าโรงพยาบาล ทางเข้าและส่วนที่เป็นภายในอาคาร เมฆไม่แน่ใจว่าเป็นบ่ายที่เท่าไรของวัน เขาจึงนั่งดูไปเรื่อยๆ อยู่หลายนาทีกว่าจะพบว่าช่วงเวลาที่ตฤณมาโรงพยาบาลคือบ่ายสามโมง

แค่ผู้ชายคนหนึ่งมาโรงพยาบาล ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ไม่มีอุบัติเหตุ ทุกอย่างดูปกติเหมือนเช่นทุกวันแต่สีหน้าของเมฆกลับบ่งบอกได้ถึงว่ามันไม่ปกติที่สุด ในภาพธรรมดาที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันเป็นภาพที่มีอะไรและตอบคำถามในใจเขาได้อย่างดีทีเดียว

“ขอก๊อปไฟล์หน่อยได้ไหม เอาแค่ไม่กี่นาที”

ผู้รักษาความปลอดภัยเงียบไปราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนกระทั่งธนบัตรสีแดงอีกใบถูกวางลงบนโต๊ะ เขาแสดงท่าทีลังเลใจออกมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บธนบัตรใบนั้นลงใส่กระเป๋าตัวเอง ยอมให้เมฆได้คัดลอกไฟล์บางส่วนออกไป ไฟล์บางส่วนที่อาจทำให้ตฤณเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อจ้าว

“ขอบคุณครับ”

เมฆเดินออกมาจากห้องรักษาความปลอดภัยหลังจากที่เอ่ยขอบคุณที่ยอมให้เขาได้ดูไฟล์พวกนั้น ได้เก็บหลักฐานที่มากพอที่จะทำให้อะไรหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรออกหาตฤณในทันที เวลาที่ใช้ไปกับการเดินทางมาโรงพยาบาล เวลาที่ใช้ไปกับการนั่งดูไฟล์กล้องวงจรปิดพวกนั้นมากพอที่ตฤณน่าจะสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว

[ พี่เมฆ ว่าไงครับ ]

“พี่มีอะไรให้แกดู แล้วแกจะได้หูตาสว่างสักที”

[ เรื่องอะไร พี่ ]

“ไว้เจอกันที่งาน หรือแกจะออกมาเจอกันก่อนแล้วค่อยไปงานพร้อมกัน ยังพอมีเวลาอยู่สักชั่วโมงสองชั่วโมงก่อนงานเริ่ม”

[ เจอกันข้างนอกดีกว่า พี่นัดมาเลย ]

“เจอกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆ วัดก็แล้วกัน เดี๋ยวส่งพิกัดไปให้ในไลน์ อีกยี่สิบนาทีน่าจะไปถึงแล้วล่ะ ขอกลับไปเอาโน๊ตบุ๊คก่อน ถ้าแกถึงก่อนก็ไปนั่งรอก่อนก็ได้”

[ โอเคครับ พี่ ]

เมฆวางสายจากตฤณไปแล้วรีบตรงกลับหอพักเพื่อนำโน๊ตบุ๊คออกมา ถ้าไม่มีมันแล้วตฤณจะรู้ความจริงได้ยังไง


----------------------------------

ความจริงที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ๊คทำเอาตฤณนิ่งไปอยู่พักใหญ่ ภาพที่เขาเดินเข้าโรงพยาบาลคนเดียว อยู่ที่นั่นเพียงลำพังทั้งที่จ้าวก็ตามไปด้วยแท้ๆ แต่ภาพที่เห็นกลับมีเพียงแค่เขาเท่านั้นถือเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ

“วันนั้นแกไปกับใคร” เมฆถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“จ้าว”

“แล้วแกเห็นเขาในนั้นไหม”

“ไม่”

“ถ้าอย่างนั้นแกเชื่อที่พี่พูดหรือยัง เด็กคนนั้นไม่ใช่คนและบางทีก็อาจเป็นเด็กที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ที่พี่เอาให้ดูเมื่อวันก่อน” 

ในใจตฤณเกิดความลังเล เขาไม่อยากเชื่อว่าเด็กคนนั้นที่จับต้องได้ เด็กที่เขารู้สึกรักทั้งหัวใจจะเป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่มีตัวตนจริงบนโลกใบนี้อย่างที่เมฆเคยพูดเตือน เขาพยายามหาเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลมาแก้ต่างสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงนี้ “พี่ บางทีมันอาจเกิดอะไรผิดพลาดก็ได้นะ”

“อธิบายคำว่าผิดพลาดให้พี่ฟังที”

“อย่างแบบว่า... ที่ถ่ายไม่ติดอาจจะไม่ใช่แค่จ้าวคนเดียวก็ได้ กล้องมันอาจจะมีปัญหาก็ได้”

“แล้วมันมีปัญหาทุกตัวเลยเหรอ”

คำถามของเมฆทำเอาตฤณนิ่งไปอีกครั้ง เหตุผลต่างๆ นาๆ ที่พยายามยกขึ้นมาปฏิเสธความเป็นจริงที่เกิดขึ้นไม่มากหรือหนักแน่นพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่าภาพในกล้องวงจรปิดเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดของระบบ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวของจ้าวเลยแม้แต่น้อย

ยิ่งไล่ดูภาพจากกล้องวงจรปิดทุกตัวที่ได้มา ในนั้นมีตฤณอยู่ด้วยตลอดแต่กลับไม่มีคนข้างกาย ตฤณที่ทำท่าเหมือนพูดคุยกับใครบางคนที่มองไม่เห็นตัวตน ตฤณที่กำลังแบกอะไรบางอย่างที่ว่างเปล่า ตฤณที่เปิดประตูห้องผู้ป่วยรอให้ใครเดินเข้าไปก่อนทั้งที่ตรงนั้นไม่มีใคร แต่เขากลับรู้แก่ใจดีว่าความว่างเปล่าเหล่านั้นคืออะไร

“พี่... คือ...”

“พี่อยากให้แกได้ลองคิดทบทวนดูให้ดี ถ้ากล้องวงจรปิดมันจะเสียก็ควรจะเสียตัวเดียว ถ้าระบบของกล้องวงจรปิดมีปัญหามันก็ควรจะรวนทั้งหมดไม่ใช่หายไปแค่คนเดียว แกเคยได้ยินเรื่องถ่ายติดวิญญาณไหมล่ะ สิ่งลี้ลับที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่ปรากฏเป็นเงาจางๆ หรือกลุ่มควันอะไรสักอย่างอยู่ในภาพถ่าย อันนี้ก็คงทำนองเดียวกันแต่แทนที่มันจะติดอยู่ในกล้องแล้วมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า”

เมฆพูดไปพลางเปิดให้ดูกล้องวงจรปิดตัวหนึ่งที่อยู่หน้าโรงพยาบาล ตอนนั้นเป็นช่วงที่ตฤณกำลังแบกจ้าวขึ้นหลังเพื่อไปเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน ในขณะที่ขวดน้ำแดงบนโต๊ะตั้งเครื่องเซ่นไหว้บูชาเทพาอารักษ์ล้มลงปรากฏเป็นเงาสีดำแล่นผ่านขวดน้ำนั่นไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะล้มแล้วกลิ้งตกพื้นแตก ถ้าหากไม่สังเกตก็จะไม่ทันได้เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้เลย

“ดูที่ขวดน้ำแดง แกเห็นเงาดำๆ นั่นไหม”

“อืม”

ตฤณพยายามเพ่งมองและเขาก็ได้เห็นเงาดำที่เมฆกล่าวถึงจริงๆ แต่เป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ ถ้าแค่กวาดตามองดูรอบๆ ก็จะไม่มีทางได้เห็นมันอย่างแน่นอน

“เงาดำนั่นเอาจริงๆ มันก็คือสิ่งลี้ลับที่กล้องจับได้”

“แล้วมันเกี่ยวกับจ้าวยังไง”

“แกจำได้ไหมที่บอกว่าเด็กคนนั้นให้แกไปขออนุญาตกับเจ้าที่น่ะ”

ตฤณพยักหน้ารับแล้วจากนั้นเมฆจึงพูดต่อ “แกรู้หรือเปล่าว่าดวงวิญญาณหรือสัมภเวสีจะเข้าไปข้างในไม่ได้เลยเพราะมีเจ้าบ้านเจ้าเรือนปกป้องอยู่หรือพูดง่ายๆ ถ้ามีพระภูมิเจ้าที่ก็นั่นล่ะ ถ้าจะเข้าก็ต้องได้รับอนุญาตก่อน แล้วเขาก็บอกให้แกขออนุญาตใช่ไหม พี่คิดว่าถ้าหากแกไม่ไปขออนุญาตให้เขา เขาจะเข้าไปข้างในไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ทำไมพี่ปักใจเชื่อขนาดนั้นว่าจ้าวไม่ใช่คน”

“ตฤณ มันไม่ใช่คำว่าปักใจเชื่อแต่เซ้นท์พี่มันบอกแบบนั้น เด็กคนนั้นไม่ใช่คนจริงๆ”

“หลักฐานแค่นี้มันไม่เพียงพอที่จะไปตัดสินเขาได้นะ มันอาจจะบางสิ่งบางอย่างตามติดจ้าวมาตั้งแต่แรกแล้วก็พยายามบังตาหรือทำให้กล้องวงจรปิดพวกนั้นถ่ายภาพไม่ติดก็ได้”

สิ่งที่ตฤณพูดขึ้นมันอาจเป็นไปได้ แต่การขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางเพื่อเข้าไปข้างในโรงพยาบาลนั่นคือสิ่งที่ปฏิเสธคำพูดของตฤณเกือบทั้งหมด ถ้าหากเป็นคนจริงก็สามารถเข้าไปข้างในนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องไปขออนุญาตใครแต่ทำไมสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นตนนั้นถึงยังเข้าไปบังตาทำให้กล้องวงจรปิดถ่ายภาพไม่ได้ ถ้าหากจ้าวไม่ได้เป็นสิ่งลี้ลับที่ถูกกล่าวถึงเสียเอง

“ต่อให้มันเป็นสิ่งที่ตามติดเด็กคนนั้นมา ถ้าอยู่คนละภพภูมิยังไงก็เข้าไปข้างในไม่ได้อยู่แล้ว”

“แต่พี่ก็เห็นเขาแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นวิญญาณจริง เท้าก็ต้องไม่ติดพื้นหรือตัวก็จะต้องโปร่งแสง เห็นเป็นเงาๆ แล้วอีกอย่างตอนที่พี่ไปส่งผมกลับบ้านนั่นก็ยังไม่มืดค่ำ วิญญาณพวกนี้คงไม่ปรากฏตัวตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกหรอก”

เรื่องนี้... เมฆหาข้อโต้แย้งไม่ได้จริงๆ

“นั่นมันก็จริง”

“แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริง พี่ยังคิดว่าเขาไม่ใช่คนอีกเหรอ”

“ตฤณ...”

เมฆหมดคำพูด ทางเดียวที่จะพอพิสูจน์ความจริงได้ก็คือถามเอาจากเจ้าตัว แต่ใครเล่าจะยอมพูดความจริงออกมาในเมื่อสิ่งที่ถูกถามคือสิ่งที่กล่าวหาว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

“ถ้าแกลองไปถามเขาดูล่ะ เอาภาพจากกล้องวงจรปิดพวกนี้ไปให้เขาดู”

ตฤณรับแฟลชไดร์มาจากเมฆ เขาเห็นด้วยกับการไปถามเอาจากเจ้าตัวโดยตรงแม้ว่าจะเสี่ยงกับการที่ไม่ได้คำตอบอะไรเลยก็ตาม

“ถ้าเขาไม่ยอมตอบล่ะ พี่”

“อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ถ้าเด็กคนนั้นจะไม่ยอมตอบ เมฆเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกันแต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็พากันเข้าไปในบริเวณวัด งานศพของเนตรจัดขึ้นวันนี้เป็นวันแรก ผู้คนที่รู้ข่าวก็ยังไม่ค่อยมาก จะมีก็แต่ญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทไม่กี่คน ทุกคนล้วนแล้วแต่ใส่ชุดสีดำ ไม่มีใครแย้มยิ้มและยังถกกันเกี่ยวกับการจากไปของเนตรที่ผิดปกติ

ตฤณและเมฆเดินเข้าไปทักทายนางจิตตราที่หน้างาน

“แม่ครับ สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ๊ะ จริงๆ รอมาวันเผาเลยก็ได้นะ แม่จัดสวดไม่กี่วันก็จะเผาแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ แล้ว... แม่เป็นยังไงบ้าง”

นางจิตตรายิ้มเจื่อน ถ้าถามเรื่องจิตใจคงไม่มีใครตอบว่าสบายดี ถ้าถามเรื่องสภาพร่างกายมันก็คงจะป่วยพอๆ กับใจของเธอตอนนี้ ลูกสาวเพียงคนเดียวที่เธอมี ลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำลา ทิ้งเธอไว้กับความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้อีก ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไม่อยู่ให้เธอกอด ไม่อยู่ให้เธอได้ห่วงหาอีกตลอดกาล ไม่ว่าใครย่อมเสียใจไม่ต่างกัน

“ก็... ยังทำใจไม่ได้หรอก แต่แม่พยายามจะเข้าใจว่าเขาไปอยู่ในที่สบายแล้ว”

“ครับ เนตรไปสบายแล้ว”

ตฤณไม่สามารถพูดคำอื่นได้อีกนอกจากคำนี้ เนตรไปสบายแล้วจริงเพราะถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ คนที่ทุกข์ทรมานจะไม่ได้มีเพียงแค่เธอคนเดียว ยังรวมถึงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขา ยังรวมถึงคนที่รักเธออีกมากมายที่จะต้องเจ็บปวดไม่แพ้กัน เนตรอาจไม่ใช่ผู้หญิงที่แสนเพอร์เฟ็ค เธออาจไม่ใช่ผู้หญิงในอุดมคติของใครหลายคน เธอที่เป็นผู้หญิงเอาแต่ใจและถูกเลี้ยงมาอย่างลูกคุณหนูบ้านรวยแต่เธอไม่ได้มีจิตใจดำมืดจนถึงกับต้องมาพรากชีวิตไป

“งั้นเข้าไปข้างในกันก่อน แต่ถ้าหิวก็กินได้นะ แม่ให้เขาทำก๋วยเตี๋ยวเลี้ยง”

“ครับ งั้นผมเข้าไปข้างในก่อนนะครับ”

ตฤณขอตัวเข้าไปจุดธูปไหว้ศพ บอกกล่าวว่าเขามาแล้วแต่เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในศาลาห้องแอร์ก็รู้สึกเหมือนมีลมเย็นไหลวูบมาปะทะเข้าร่างอย่างแรงจนขนลุกไปหมดทั้งร่าง ไม่เพียงแค่ตฤณเท่านั้นที่รู้สึกแต่เมฆเองก็ยังรู้สึกด้วยเช่นกันว่าวิญญาณของเนตรไม่ได้ไปไหนไกล เธอยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ร่างของเธอเอง

“พี่รู้สึกไหม”

“อืม”

“แอร์แรงมากเลยนะ ดูดิ่ พี่ ขนผมลุกหมดแล้ว”

ตฤณยกแขนตัวเองให้ดูว่าขนแขนตั้งชันจริงอย่างที่ว่า แต่พอเข้ามาได้สักพักก็ไม่ได้รู้สึกเย็นเหมือนตอนที่เปิดประตูแล้วลมตีหน้า เมฆถึงกับแอบถอนหายใจ รุ่นน้องของเขาช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

พวกเขาเดินไปนั่งยังหน้าโลงศพ ก้มลงกราบไหว้พระพุทธรูปที่ประดิษฐานเยื้องออกไปด้านข้างแล้วรับธูปจากพ่อของเนตรที่ยื่นมาให้คนละดอก ตฤณพนมมือแล้วเอ่ยกล่าวในใจถึงเพื่อนผู้จากไป ‘หลับให้สบายนะ เนตร ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ผมขอขมาและอโหสิกรรมในเรื่องต่างๆ ที่เราเคยทำแก่กันไว้ อย่าผูกเวรจองเวรกันเลยนะ’ 

ทันทีที่ตฤณกล่าวจบในใจ รูปของเนตรก็ล้มลงกับพื้น ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นถึงกับมองหน้ากับเลิ่กลั่ก ตฤณกับเมฆประสานสายตากันก่อนจะรีบปักธูปลงบนกระถาง ทำความเคารพศพแล้วถอยหลังออกมา เจอกับลีที่เพิ่งเดินเข้ามาแล้วเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าพอดี ยังไม่ทันจะได้พูดทักทายอะไร ทั้งตฤณและเมฆต่างก็ถูกลีลากออกมาข้างนอกด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไรนัก

“มีอะไรวะ ลี” ตฤณเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ แต่ลีกลับไม่ตอบในทันทีและพอเห็นว่าที่บริเวณนั้นไม่ค่อยมีใครก็รีบพูดออกมาอย่างร้อนอกร้อนใจ “เนตร… เห็นรูปที่ตกนั่นไหม”

ตฤณและเมฆต่างตอบรับในลำคอเบาๆ แล้วตั้งใจฟังต่อ “กูว่าเขายังมีเรื่องที่ทำให้ไปไหนไม่ได้ว่ะ มันเหมือนแบบ... ยังมีบางเรื่องที่ติดอยู่ในใจ รูปนั่นถึงได้ตกลงมาแรงเหมือนมีใครผลักแบบนั้น”

“ลีพอจะรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้เนตรไม่ไปไหน”

เมฆรู้อยู่แล้วว่าเนตรยังคงวนเวียนอยู่ใกล้นี้ เขาถึงได้ลองเลียงเคียงถามดูให้กระจ่าง หากตฤณไม่รู้ บางทีเพื่อนอย่างลีอาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้

“เอ่อ... ไม่... ไม่แน่ใจนะ แต่น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตฤณ” 

“กู?”

“เอ่อ... อืม เนตรเป็นห่วงมึงมากนะ ตอนกูไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลก็เอาแต่พูดถึงมึงตลอด บอกให้กูมาบอกมึงด้วยว่าให้ออกมา ที่นั่นมันอันตรายอะไรทำนองนี้แล้วพูดย้ำประโยคเดิมๆ จนกูออกมา กูก็ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วเนตรก็...”

ตฤณสะดุดตรงคำว่า ‘ออกมา’ ไม่ว่าฝ่ายที่รับฟังจะเป็นลีหรือตัวเขาเอง ในประโยคที่พูดออกมาก็ต้องมีชื่อของเขาและคำๆ นี้ด้วยเสมอ นั่นย่อมแสดงว่าที่คฤหาสน์หลังนั้นต้องมีอะไรบางอย่างอยู่จริงและเขาต้องพิสูจน์มันให้ได้เหมือนอย่างที่เมฆต้องการ

“ตฤณ... กูจะไม่บอกให้มึงต้องออกมาหรอกนะ เพราะเรื่องนั้นมึงควรต้องตัดสินใจเอาเอง แต่กูแค่อยากให้มึงเชื่อที่พี่เมฆพูดบ้าง พี่เมฆมีสัมผัสเรื่องพวกนี้มากกว่ากูกับมึงถึงจะมองไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างก็เถอะ”

“กูรู้ๆ เอาเป็นว่าไว้กลับไปที่นั่นแล้วจะลองไปถามเขาดูก็แล้วกันว่าเรื่องมันเป็นมายังไง มีพวกวิญญาณหรือผีร้ายอะไรพวกนี้สิงสถิตอยู่ในคฤหาสน์นั่นหรือเปล่า แล้วเดี๋ยวได้เรื่องยังไงจะมาบอกอีกทีแล้วกัน”

ลีได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อตฤณรับปากแล้วว่าจะไปลองถามดูก็ไม่มีเรื่องอะไรน่าให้กังวลสักเท่าไรแล้ว เกรงก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมพูดความจริงออกมาก็เท่านั้น เด็กคนนั้นอาจจะยินดีรับฟังถามและตอบได้แต่จะตอบแค่ในสิ่งที่อยากให้รู้

“งั้นเข้าไปข้างในกันเถอะ เนตรคงได้ยินแล้วสบายใจขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ”

เมฆพูดขึ้นลอยๆ เขาไม่แน่ใจว่าเนตรได้ยินมันแล้วจะสบายใจขึ้นมาไหม แต่เขารู้เพียงแค่ว่าตั้งแต่ที่เข้าไปในศาลาวัด เนตรก็คอยตามตฤณไม่ห่างและตอนนี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกันเท่าไรเหมือนว่าเธอยังคงเป็นห่วงตฤณอยู่ลึกๆ จนแม้กระทั่งว่ากลายเป็นวิญญาณไปแล้วก็ยังไม่ยอมไปไหน

พวกเขาทั้งสามคนเดินกลับเข้าไปในงานศพอีกครั้ง ใกล้ได้เวลาพระเริ่มสวดแล้วแต่ทว่าเมื่อเมฆเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ราวกับได้ยินเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาทแผ่วเบาราวกับกระซิบมาจากที่ไกล ‘ฝากตฤณด้วย’





** ติดตามตอนต่อไป **


หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 20 [11/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-04-2018 20:28:56
แคล้วคลาดๆ ทั้ง 3 คนเลยนะ  :amen:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 21 [22/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 22-04-2018 17:28:58
::: ตอนที่ 21 :::
เพียงพลิกมือ





ตฤณกลับมาคฤหาสน์ตอนเกือบจะห้าทุ่มแล้ว เขาพบเจอความวังเวงและเปล่าเปลี่ยวราวกับสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีใครอยู่เหมือนเช่นทุกครั้งแต่เมื่อได้พบกับจ้าวที่ยืนรออยู่หน้าประตูคฤหาสน์ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ แม้จะไม่ได้อบอุ่นและคลุ้งเคล้าไปด้วยแสงตะวันรุ่งแต่ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกประหลาดราวกับสถานที่แห่งนี้อวลไปด้วยความอณูอบอุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาจางๆ

รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้ากลมมนจะกล่าวว่าเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งก็ว่าได้แต่ทว่าพอรับรู้ว่าเป็นรอยยิ้มของจ้าว ตฤณกลับรู้สึกว่านั่นเป็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นที่มอบให้เขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

“พี่ตฤณกลับดึกมากเลยนะครับ”

น้ำเสียงตัดพ้อของเด็กชายผู้กอดตุ๊กตาขนปุยตัวปอนเอาไว้แนบอกเรียกรอยยิ้มตรงมุมปากจากตฤณได้เป็นอย่างดี “เป็นห่วงพี่เหรอครับ”

“ครับ จ้าวเป็นห่วงพี่จนนอนไม่หลับแล้ว”

ตฤณเดินเข้าไปหาแล้วเอื้อมมือลูบเส้นผมอ่อนอันอ่อนนุ่มนั้นอย่างเบามือก่อนจะจูงมือเล็กให้เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน

“แล้วพี่ต้องทำยังไงให้จ้าวหลับล่ะครับ”

“นอนกอดจ้าวเหมือนทุกคืนได้ไหม หรือไม่ก็... ทำแบบนั้นอีกครั้งก็ได้ครับ”

“จ้าว...”

ตฤณพูดอะไรไม่ออก เขาพยายามไม่ใส่ใจในประโยคสุดท้ายนั่นและจ้าวก็ดูเหมือนจะไม่เซ้าซี้อะไรต่อ เด็กคนนั้นทำท่าปิดปากหาวหวอดๆ พลางขยี้ตาที่ฉ่ำเยิ้มคล้ายว่าคงถ่างตารอให้กลับมานานมากแล้ว

“ง่วงแล้วใช่ไหม ทำไมไม่นอนก่อน”

น้ำเสียงคล้ายว่าจะดุแต่ก็สงสารที่อดตาหลับขับตานอนรอเขากลับมา ตฤณไม่กล้าทำเสียงเข้มไปมากกว่านี้อีกแล้วด้วยเพราะใบหน้ายามง่วงเหงาหาวนอนของคนที่เดินอยู่ข้างๆ นั้นช่างน่ารักน่าชังเสียจนอยากจับมาฟัดให้แก้มช้ำไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ก็... จ้าวคิดถึงพี่ตฤณนี่ครับ”

“พี่ก็คิดถึงจ้าวเหมือนกัน แล้วพี่ก็มีเรื่องอยากถามด้วยเหมือนกันแต่เห็นว่าจ้าวง่วงขนาดนี้แล้ว ไว้พี่ค่อยถามพรุ่งนี้ก็ได้”

“ถามตอนนี้ก็ได้ครับ จ้าวตอบได้”

จ้าวไม่รู้หรอกว่าคำถามที่ตฤณจะถามนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร แต่ถ้าลองคาดเดาดูแล้วล่ะก็คำถามนั้นคงวกกลับไปเรื่องเดิมๆ อาทิ ปริศนาคำใบ้, ประวัติคฤหาสน์ตระกูลคัลเลน เป็นต้น แต่พอได้ยินสิ่งที่ตฤณถามออกมาจริงๆ เข้ากลับทำเขาชะงักไปเสียดื้อๆ “จ้าวช่วยอธิบายให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมภาพในกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลถึงไม่มีจ้าวอยู่ในนั้นเลย”

“เอ่อ... พี่ตฤณพูดเรื่องอะไรครับ”

“ตามพี่ขึ้นมาบนห้อง เดี๋ยวจะเปิดไฟล์ให้ดู”

จ้าวเดินตามตฤณขึ้นไปบนห้องเงียบๆ คิดหาทางให้ภาพวงจรปิดนั้นมีตัวเขาอยู่ให้ได้แต่มันเป็นไปไม่ได้ เครื่องมืออิเลคทรอนิกส์กับสิ่งลี้ลับมันไปด้วยกันไม่ได้ มีทางเดียวที่พอจะเคลื่อนปัญหานี้ให้ออกไปก่อนได้ นั่นคือ... หาเรื่องเบี่ยงประเด็นซะ!

“พี่ตฤณครับ”

“ครับ”

“ทำไมพี่ตฤณต้องทำเสียงดุใส่จ้าวด้วย จ้าวทำอะไรไม่ดีตรงไหนเหรอครับ”

ดวงตาสีเพลิงเอ่อคลอด้วยหยาดหยดน้ำใสเต็มหน่วยช้อนมองร่างที่อยู่ข้างๆ ความเศร้าสลดที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้นทำให้ตฤณชะงักไปชั่วครู่ น้ำเสียงราวกับตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ ริมฝีปากรูปกระจับขบกัดกันจนเกิดเป็นรอยแนวฟัน

“เอ่อ...”

“พี่ตฤณไม่รักจ้าวแล้วเหรอครับ”

“คือ... ไม่ใช่แบบนั้นนะ”

ตฤณพยายามอธิบายเหตุผล เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ดุดันอะไรเลย เป็นแค่น้ำเสียงราบเรียบแตกต่างจากทุกครั้งที่ใช้พูดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วไหงถึงได้ถูกอีกฝ่ายน้อยใจอย่างนั้น               

“เอาเป็นว่าคืนนี้จ้าวจะไปนอนกับพี่เจตนะครับ ฝันดีครับ”

เด็กน้อยหมุนตัวเตรียมเดินหนีจากแต่ทว่ากลับถูกฝ่ามือใหญ่ดึงรั้งเอาไว้ก่อน รอยยิ้มเยียบเย็นราวกับผู้ถือชัยชนะไว้ในมือถึงครึ่งหนึ่งปรากฏอยู่บนใบหน้ากลมมนเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นง้ำงอ เขาเบือนหน้าหนีเล็กน้อยเมื่อถูกมือหนาประคองใบหน้าให้สบสายตา

“โกรธพี่เหรอ”

“เปล่าครับ จ้าวจะไปโกรธพี่ตฤณเรื่องอะไรได้”

“ไม่โกรธแล้วทำไมคืนนี้ถึงไม่ยอมนอนกับพี่อีกล่ะ ไม่ใช่ว่าที่ยืนรออยู่นี่เพราะคิดถึงอ้อมกอดพี่หรอกเหรอ” 

“ไม่อยากนอนกอดพี่ตฤณแล้วครับ”

“แต่พี่อยากนอนกอดจ้าวนี่ครับ”

จ้าวทำหน้ามุ่ย ขยับตัวเล็กน้อยแสดงอาการฮึดฮัดไม่พอใจออกมา เบี่ยงตัวหลบอ้อมกอดอันแข็งแกร่งที่ทำท่าจะเข้ามาโอบกอดร่างเขาเอาไว้

“แล้วพี่ต้องทำยังไงถึงทำให้จ้าวอยากกอดพี่ล่ะ”

“พูดจากับจ้าวด้วยน้ำเสียงเพราะๆ เชื่อในสิ่งที่จ้าวพูด แค่นี้ก็พอแล้วครับ”

ดวงหน้ากลมมนกลับมาประดับด้วยรอยยิ้มได้อีกครั้งเมื่อตฤณพยักหน้าพร้อมกับตอบรับในลำคอเสียงเบา จ้าวไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่เพียงตฤณไม่ระแคะระคายสงสัยในสิ่งที่เขาเป็นเพียงเท่านี้ เขาก็สามารถรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ดีมีสุขอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างปลอดภัย

“แล้วพร้อมที่จะให้พี่นอนกอดหรือยังครับ”

“ยัง พี่ตฤณต้องไปอาบน้ำก่อน เหม็นเหงื่อ”

จ้าวพลิกตัวหันกลับแล้วเดินขึ้นเตียงไปนอนรออยู่ใต้ผ้าห่มโดยที่มือข้างหนึ่งยังคงกอดตุ๊กตาหมีขนปุยแนบอกเอาไว้แน่น เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนี้แล้วตฤณก็มีแต่ต้องเดินเข้าห้องน้ำไป ไม่อย่างนั้นคงอดที่จะได้กอดเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มราวกับตุ๊กตาที่พรมน้ำหอมกลิ่นหวานตัวนั้นแน่

จ้าวนอนรออยู่นิ่งๆ บนเตียงจวบจนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำไหลออกมาจากฝักบัว เขาจึงก้มหน้าลงแนบชิดกับตุ๊กตาหมีขนปุยตัวเก่าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยกระซิบเสียงเบา “จ้าวรู้นะครับว่าพี่เจตมีเรื่องอยากพูด”

‘คิดว่าเขาเริ่มสงสัยแล้วหรือเปล่า’

“ไม่แน่ใจ แต่ถ้าเขาอยากได้คำตอบ จ้าวก็จะตอบ”

‘แล้ว... เริ่มรักเขาบ้างแล้วใช่ไหม’

“พี่เจตพูดเรื่องอะไร จ้าวจะรักใครได้นอกจากตัวเองกับพี่เจต”

‘ไม่ได้รักงั้นเหรอ แล้วที่ทำถึงขนาดนี้เรียกว่าอะไร’

จ้าวตอบไม่ได้ ที่ทำขนาดนี้กับผู้ชายคนหนึ่งเรียกว่าอะไรนั้นเจ้าตัวเองก็ไม่สามารถตอบได้ แต่เขารู้แค่ว่าตั้งแต่ที่พบเจอหน้าครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก แรกเริ่มเดิมทีก็แค่อยากชักชวนให้อยู่ด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรอื่นไกลจนกระทั่งความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัว

“จะเรียกว่าอะไรไม่สำคัญหรอกครับ”

 ‘แต่พี่ก็ยังอยากบอกว่าจ้าวดูเปลี่ยนไปนะ ตอนที่อยู่กับเขา... เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น’


“พี่เจตจะไปไหนก็ไปเถอะครับ”

‘งั้นก็ปล่อยพี่สิ’


จ้าววางตุ๊กตาหมีเอาไว้ข้างหัวเตียง แต่วิญญาณของเจตรินก็ยังไม่ไปไหน ถึงแม้จะบอกให้จ้าวปล่อยแต่เจตรินก็เลือกที่จะอยู่ในตุ๊กตาหมีตัวนั้น

“บอกให้จ้าวปล่อย แล้วทำไมไม่ไปล่ะครับ”

‘เป็นห่วง’

“ไม่ต้องห่วงหรอก จ้าวดูแลตัวเองได้”

ไม่ต้องเป็นห่วง อย่างไรเจตรินก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี เขาไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในความคิดของน้องชายบ้าง ถ้าจะบอกว่าจ้าวเป็นเด็กร้ายกาจนั่นก็ใช่แต่ในบางครั้งเด็กคนนั้นก็เป็นเด็กดี มีใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทว่าความดีที่มีอยู่กลับถูกบดบังด้วยสิ่งชั่วร้ายที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ

‘จ้าว... รับปากพี่ได้ไหมว่าจะไม่ทำร้ายตฤณ’

“จ้าวเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าพี่ตฤณจะเป็นคนเพียงคนเดียวที่จ้าวจะทำดีด้วย เป็นคนเพียงคนเดียวที่จ้าวคิดจะปกป้องจากทุกสิ่งทุกอย่าง จ้าวไม่ผิดคำพูดของตัวเองแน่นอน พี่เจตมีอะไรจะไปทำก็ไปเถอะครับ จ้าวอยากพักแล้ว”

มือเล็กดึงเอาปลายผ้าห่มมาคลุมจนมิดหัวแล้วทำทีเป็นไม่สนใจเจตรินอีก แต่ทว่าภายในใจกลับยังมีเรื่องราวมากมายให้ต้องคิดทบทวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พระภูมิเจ้าที่หน้าโรงพยาบาลได้พูดเอาไว้ หรือแม้แต่สิ่งที่เจตรินพูดกับเขาเมื่อครู่นี้ ยังรวมไปถึงคำตอบที่จะต้องตอบตฤณอีกมากมายเกี่ยวกับข้อสงสัยนั้น

การเอาตัวเองไปยุ่งกับสิ่งที่อยู่คนละภพภูมิไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ

แรงยวบบนเตียงนอนทำให้จ้าวรู้ว่าตฤณกลับมาแล้ว เขาแสร้งทำเป็นหลับตาอยู่อย่างนั้นคล้ายว่าทนต่อความง่วงเหงาหาวนอนที่พยายามดึงรั้งให้สติหลุดลอยไปเอาไว้ไม่อยู่ จังหวะลมหายใจแผ่วเบาบอกให้อีกฝ่ายรู้ได้ว่าคนตัวเล็กที่อยู่อีกฝากของเตียงนอนนั้นเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

ตฤณสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน โอบกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างถนุถนอมพลางซุกหน้าลงกับท้ายทอย ปรอยผมนุ่มนิ่มแตะสัมผัสลงบนปลายจมูกส่งกลิ่นหอมชวนให้จิตเตลิดอีกครั้งแต่เขาต้องหักห้ามใจแล้วทำได้เพียงแค่กล่าวกระซิบ “พี่รักจ้าวมากนะ หายโกรธพี่เถอะนะ คนดี”

‘จ้าวไม่ใช่คนดี’ นี่เป็นคำตอบที่จ้าวกล่าวตอบในใจ

เด็กน้อยในอ้อมกอดขยับตัวเล็กน้อยแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับตฤณ ดวงตาสีเพลิงสะท้อนแววแห่งความตัดพ้อช้อนมองใบหน้าคมคายที่อยู่เหนือขึ้นไป ริมฝีปากรูปกระจับขมุบขมิบเปล่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อยจนจับใจความสำคัญแทบไม่ได้

“บอกพี่ได้ไหมว่าหายโกรธแล้ว”

ดวงตาสีเพลิงเสมองไปทางอื่น น้ำเสียงที่ติดจะแข็งกระด้างอยู่เล็กน้อยผิดกับคำพูดที่ถูกกล่าวออกมา “จ้าวบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธ”

“งั้นก็หายงอนพี่เถอะนะครับ”

“จ้าวไม่ได้งอน”

“ถ้าอย่างนั้น... บอกพี่ได้ไหมว่าเรื่องอะไร”       

เด็กน้อยในอ้อมกอดผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ปรับน้ำเสียงให้สั่นเครือคล้ายว่าจะร้องไห้แต่ก็ยังไม่ได้ร้อง “จ้าวไม่ได้โกรธแล้วก็ไม่ได้งอน แต่แค่น้อยใจ พี่ตฤณเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาถามจ้าวว่าทำไมในนั้นถึงไม่มีจ้าวอยู่ แม้ว่าจ้าวจะยังไม่เห็นภาพแต่พี่ตฤณทำแบบนี้ก็เหมือนว่าพี่ตฤณกำลังสงสัยในตัวจ้าว พี่ตฤณพูดมาตรงๆ เลยดีกว่าครับ”

“คือ... พี่ไม่ได้สงสัย แค่แปลกใจเฉยๆ”

“แล้วพี่ตฤณไม่คิดว่ากล้องวงจรปิดนั่นมันจะเสียบ้างเหรอ พี่พูดแบบนี้เหมือนพี่คิดว่าจ้าวไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ กล้องวงจรปิดนั่นมันถึงจับภาพไม่ได้ พี่ตฤณไม่คิดบ้างเหรอครับว่าจ้าวได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของคนที่รักแล้วมันสะเทือนใจแค่ไหน”   

น้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสายฉับพลันราวกับสั่งได้ นิ้วเรียวเล็กรีบยกขึ้นปาดมันออกจากใต้ขอบตาแล้วซุกหน้าลงกับหน้าอกของอีกฝ่าย 

“พี่ก็คิดว่าระบบกล้องวงจรปิดมันอาจจะมีปัญหา แต่พี่ไม่ได้คิดว่าจ้าวไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้เลยนะ”

เพียงแค่เห็นน้ำตาของคนตัวเล็กกว่าไหลออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นไห้เพียงเบาๆ หัวใจของตฤณนั้นเจ็บปวดแทบเจียนตาย เพราะเด็กคนนี้เป็นคนที่เขารักและเพราะรักจึงเข้าข้างปกป้องทุกอย่าง ไม่คิดว่าแค่ข้อสงสัยของเมฆจะทำให้เขากับจ้าวต้องมาทะเลาะกันอยู่อย่างนี้

“แล้วถามแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ตฤณรู้สึกสงสัยในตัวจ้าว”

“เชื่อพี่หรือเปล่าว่าพี่ไม่เคยสงสัยอะไรเลย”

“ไม่เชื่อ! จ้าวไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น”

จ้าวขยับตัวหนีไปอีกทาง ดวงตาสีเพลิงฉายแววแห่งชัยชนะที่เหนือกว่าแต่น้ำตากลับหลั่งออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นไห้ยังคงมีให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบเอื้อนเอ่ยความน้อยอกน้อยใจที่พรั่งพรูอยู่ในอกราวกับเขื่อนที่เริ่มแตกร้าว “พี่ตฤณใจร้ายกับจ้าวมากเลย จ้าวให้พี่ตฤณอยู่ที่นี่โดยไม่เคยถามหรือสงสัยอะไรในตัวพี่เลยสักอย่าง แล้วดูสิ... ดูสิ่งที่พี่ทำกับจ้าวสิ แค่เรื่องกล้องวงจรปิดไม่จับภาพของจ้าว พี่ก็เอามาตั้งคำถามใส่แล้ว ถ้าไม่ให้คิดว่าพี่ไม่เชื่อในตัวตนของจ้าวแล้วจะให้คิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไง”

ตฤณขยับตัวตามแล้วโผเข้ากอดจากทางด้านหลังแล้วซุกจมูกลงบนเรือนผมนุ่มสีน้ำตาล จ้าวไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด เขายอมให้ตฤณนอนกอดอยู่อย่างนั้น

“พี่ขอโทษ”

“ขอโทษเหรอครับ พี่ตฤณทำลายความจริงใจที่จ้าวมีด้วยมือของพี่เอง รู้ตัวหรือเปล่าครับ”     

เป็นตฤณเสียเองที่อยากจะร้องไห้ออกมา ถ้าหากเขาไม่รับปากกับเมฆว่าจะเอาเรื่องนี้มาถามก็คงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้ เขาที่ทั้งปวดใจที่เห็นดวงตาสีเพลิงคู่นั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำแห่งความน้อยอกน้อยใจ ริมฝีปากรูปกระจับที่สั่นเครือคล้ายกับพยายามกลั้นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเอาไว้ภายใน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นความผิดของเขาทั้งสิ้น

“พี่ขอโทษ”

“พี่ตฤณพูดว่าขอโทษถึงสองครั้ง ถามจริงๆ เถอะ... คำขอโทษที่พูดออกมามันลบคำถามที่อยู่ในใจพี่ไปด้วยหรือเปล่า”

ตฤณชะงักไปเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ได้สงสัยในตัวตนที่แท้จริงของจ้าวแต่คำถามที่เมฆตั้งขึ้นมามันก็ยังคงอยู่

“ถ้ามันลบคำถามตั้งแง่ของพี่ออกไปไม่ได้ มันจะไปต่างอะไรกับคำขอโทษที่พูดออกมาเพื่อหวังความจริงใจกลับคืน”

“จ้าว...”

จ้าวลุกขึ้นจากเตียงนอน ยืนหันหลังให้ด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายอย่างปิดไม่มิด เกมนี้คนที่จะชนะและดูเหมือนว่าจะถือไพ่เหนือกว่าไม่ใช่ตฤณอีกแล้ว “คืนนี้พี่ตฤณก็นอนไปคนเดียวเถอะครับ จ้าวจะย้ายไปนอนกับพี่เจต”

“จ้าวนอนกับพี่นะ” 

“ไม่ดีกว่าครับ จ้าวไม่อยากนอนกับคนที่ระแวงสงสัยในตัวจ้าวอีกแล้ว”

“จ้าว...”

ตฤณร้องเรียกพร้อมกับคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ แต่ฝ่ายนั้นกลับสะบัดทิ้งอย่างไม่ใยดี ไม่หันมองหน้า ไม่มีแม้แต่คำพูดราตรีสวัสดิ์ก่อนเข้านอนเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่มีหน้าผากกลมมนให้จูบ ไม่มีร่างเล็กอยู่ในอ้อมแขน ไม่มีอะไรเหลือให้ตฤณอีกแล้วในห้องนี้ นอกจากความเสียใจที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของตัวเอง


----------------------------------


จ้าวกลับเข้าห้องของตัวเองก็เห็นว่าเจตรินยืนรออยู่ที่ริมหน้าต่างด้วยสีหน้าวิตกกังวล ไม่มีใครหยั่งรู้ความคิดของเด็กคนนี้ได้แม้แต่พี่ชาย นึกอยากจะดีก็ดีเสียจนน่าใจหาย เวลาจะร้ายก็ร้ายเสียจนต้องร้องขอชีวิต

‘ไหนว่าจะดีกับเขา แล้วที่ทำไปนี่มันยังไง’

“ดึงเกม”

เจตรินไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องชายได้ทำลงไปเลยจริงๆ วันนี้ทั้งวันตั้งแต่ที่ตฤณกลับเข้ามาก็เจอทั้งโหมดน่าสงสารของน้องชาย โหมดน่ารักจนอยากเข้าไปงับแก้มเบาๆ โหมดร้ายที่ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างเลือดเย็น

“อยากให้เขาอยู่ด้วยตลอดไปก็ต้องทำให้เขารู้ว่าขาดไปไม่ได้”

‘พี่ก็หวังนะว่าเขาจะรู้ ไม่ใช่คนที่รู้จริงๆ จะกลายเป็นคนแถวนี้แทน’

“พี่เจต!!”           

จ้าวตะโกนลั่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวแต่เจตรินกลับไม่สนใจ เขายังคงยืนพิงขอบหน้าต่างอย่างใจเย็น

‘ถ้าหากเขารู้ว่าจ้าวเป็นอะไรขึ้นมา จะรับมือยังไง ปล่อยเขาหรือให้เขาอยู่ที่นี่กับเราตลอดกาล’ 

“จ้าวอยากให้พี่เจตลุ้นเอาเอง”

เจตรินจนปัญญาที่จะพูดด้วยจริงๆ ตราบใดที่จ้าวไม่บอกออกมาเองก็จะไม่มีวันได้รู้ เด็กคนนี้จากที่ดีแสนดีสามารถกลายเป็นร้ายเหลือคณานับได้เพียงแค่ชั่วพริบตา ใครดีมาก็ย่อมดีตอบแต่หากใครร้ายมาก็จะร้ายกลับ นั่นคือสิ่งที่เด็กอย่างจ้าวเป็น ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็ไม่เคยเปลี่ยนไป แต่ทว่าคนที่ทำให้เปลี่ยนไปได้แม้เพียงน้อยนิดกลับเป็นตฤณ ผู้ชายคนนั้นที่บังเอิญผ่านทางมา

‘จ้าว...’

“พี่เจตอยู่เฉยๆ เถอะครับ จ้าวรู้ว่าควรทำยังไง ถ้าเขาสงสัยขึ้นมาจริงๆ คำตอบที่จะให้เขามันก็อยู่ในสิ่งที่จ้าวทำไปทั้งหมดอยู่แล้ว และถ้าเขาคิดได้มันก็คงจะทำให้เขาหมดข้อสงสัยไปเอง พี่เจตว่าจริงไหม”

‘คือ... ยังไง’

“มีวิญญาณที่ไหนจับต้องได้ เห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขนาดนี้ แล้ววิญญาณที่ไหนเขาออกไปไหนต่อไหนตอนกลางวันกัน ใครๆ ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าช่วงเวลากลางวันเป็นของคนเป็น ส่วนช่วงเวลากลางคืนเป็นของคนตาย แล้วพี่เจตเห็นแบบนี้จะยังสงสัยอะไรอยู่อีกไหมล่ะครับ”

เจตรินไม่สงสัยเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าน้องชายเป็นอะไร แต่ถ้าเป็นคนที่พยายามหาข้อกังขาได้ทุกเรื่องนั่นย่อมต้องมีคำถามตามมาอีกเป็นพรวนแน่

‘พี่ไม่สงสัยแล้วจ้าวคิดว่าเขาจะไม่สงสัยอะไรเพิ่มอย่างนั้นเหรอ’

“ไม่หรอกมั้งครับ”

‘แล้วถ้าเขาต้องการจะพิสูจน์ขึ้นมาจริงๆ คนที่จะแย่ที่สุดก็คือจ้าวเองนะ ระวังเรื่องนี้เอาไว้ด้วย’

จ้าวนิ่งไปอยู่ชั่วอึดใจ เขาเผลอนึกถึงตอนที่ตฤณชวนเข้าวัดไปงานศพเนตรแล้วรู้สึกใจคอไม่ดี วัดเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับวิญญาณ สัมภเวสีผีเร่ร่อนอยู่แล้ว แม้ว่าวิญญาณตนนั้นจะมีอำนาจแกร่งกล้ามากเพียงใดแต่ก็ต้องยอมสยบแก่อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยทั้งปวง

“ครับ”

‘ที่พี่พูดมาทั้งหมดก็เพราะว่าเป็นห่วง’

“จ้าวรู้ครับ พี่เจตดีกับจ้าวเสมอ”

ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบยกยิ้มน้อยๆ อย่างจริงใจที่สุด แล้วเดินตรงไปยังเตียงนอนที่มีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น ร่างกายที่เหลือเพียงแค่โครงกระดูกไม่อาจระบุตัวตนได้ว่าเป็นใคร มือเรียวเล็กเอื้อมออกไปลูบไล้โครงหน้านั้นอย่างเบามือ ดวงตาสีเพลิงทอดมองร่างนั้นด้วยความรัก ร่างที่เคยเป็นของเขาแต่บัดนี้ไม่อาจครอบครองมันได้อีก

“ถ้าวันนั้นพี่เจตไม่ทำกับจ้าวแบบนี้ บางทีจ้าวอาจต้องอยู่คนเดียวบนโลกก็ได้”

คำพูดของจ้าวทำเอาเจตรินสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบเดินเข้ามาหาแล้วกอดปลอบจากทางด้านหลัง

จู่ๆ ก็รู้สึกถึงรังสีแห่งความอำมหิตไร้ปราณี กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอบอวลไปทั่วทั้งคฤหาสน์ในคืนวันที่ไร้แสงจันทร์ ค่ำคืนงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดสิบหกปีของจ้าวหรือที่ใครมักเรียกว่าวินเซ้นท์ เพียงแค่ชั่วข้ามคืนคฤหาสน์ที่บอกเล่าถึงความสุขของผู้คนในนั้นก็กลายเป็นที่กล่าวขานถึงความน่ากลัว สถานที่ที่มีแต่ศพคนตายนอนเกลื่อน สถานที่ที่ในที่สุดก็รกร้างไร้ผู้คน

“ถ้าพี่เจตไม่เอาขวานจามคอ...” ราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ จ้าวนิ่งไปอยู่ชั่วครู่ก่อนพูดขึ้นต่อ “จ้าวก็คงไม่ต้องมานั่งมองศพตัวเองอย่างนี้”

‘ยังโกรธพี่อยู่เหรอ’

“เรื่องมันผ่านมาตั้งร้อยกว่าปี หายโกรธไปนานแล้ว แต่พอเห็นร่างนี้ทีไรมันก็อดนึกถึงวันนั้นไม่ได้”

เจตรินได้แต่นิ่งเงียบอีกครั้ง เขาพูดอะไรไม่ได้เพราะคนที่ทำให้จ้าวตายก็คือเขา ถ้าเหตุการณ์วันนั้นไม่พาไปจนกระทั่งถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกัน จ้าวอาจไม่ติดอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้

‘พี่เสียใจที่ทำแบบนั้น’


“ความเสียใจไม่สามารถทดแทนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้หรอก คราวหลังจะทำอะไรก็ไตร่ตรองให้ดีก่อนนะครับ”

‘จ้าว...’

“พอเถอะครับ ไม่ต้องโทษตัวเองอีกแล้วเพราะยังไงสิ่งที่เกิดไปแล้วมันก็ไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้อีก มีแต่ปัจจุบันที่เราสองคนยังคงต้องอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ไปชั่วนิรันดร์”

ไม่มีอะไรเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจหรือความรู้สึกผิด จะกลับไปแก้ไขอดีตก็ไม่ได้อีกแล้ว

‘ทิ้งเขาไว้ในห้องแบบนั้นคนเดียวจะดีเหรอ’

คำพูดของเจตรินเหมือนเสียงระฆังเริ่มยก จ้าวเงยหน้าจากโครงกระดูกบนเตียงนอนแล้วออกไปดูที่ระเบียงทางเดิน ถ้าตฤณไม่ก้าวเท้าออกมาจากห้องก็จะไม่เป็นอะไรแต่มันกลับไม่ใช่อย่างทีหวังเอาไว้ เพียงครู่เดียวที่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองจึงเผลอทิ้งการรับรู้ตัวตนของตฤณในคฤหาสน์นี้ไป


-----------------------------------


ตฤณออกมาที่ระเบียงทางเดินตามหาจ้าวเพื่อกล่าวขอโทษอีกครั้ง แต่สิ่งที่เขาพบเจอคือความว่างเปล่าที่แสนเงียบเหงาราวกับมันไม่เคยมีใครอยู่ เขาเดินไปตามทางที่มืดมิด มีเพียงแสงจากไฟฉายทางโทรศัพท์ส่องให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้บ้าง “จ้าว!! จ้าว!!”

แค่เพียงเรียกชื่อไม่กี่คำ ขนแขนของเขาก็ตั้งชันราวกับมีแม่เหล็กขนาดใหญ่ดูดมันขึ้นฟ้า ในขณะที่ก้าวเดินไปแต่ละก้าว บ่าข้างซ้ายดูเหมือนจะหนักอึ้งราวกับมีอะไรบางอย่างกดทับจนปวดไปหมด จะขยับเขยื้อนทีก็ยังลำบาก แต่แล้วขาขวาก็คล้ายกับถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นจับเอาไว้ มันเย็นเสียจนสะดุ้งเล็กน้อย ตฤณส่องไฟลงที่เท้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่อากาศเย็นจับขั้วหัวใจ ที่ปลายเท้าของเขายังคงไว้ซึ่งความว่างเปล่า

“จ้าว!! อยู่ไหน!! พี่ขอโทษ”

จ้าวเปิดประตูออกมาจากห้องหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า ตฤณไม่ทันได้สังเกตว่าห้องนั้นเป็นห้องที่อยู่ในฝั่งที่ห้ามเข้าทุกกรณี เด็กคนนั้นรีบสาวเท้าตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเพลิงคู่นั้นยังคงส่องสว่างในความมืดจนดูคล้ายกับปีศาจตนหนึ่งแต่ตฤณไม่เคยนึกกลัว

เมื่อจ้าวก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พลันนั้นมวลอากาศรอบตัวก็ดูจะอบอุ่นขึ้น บ่าซ้ายที่คล้ายว่าจะมีอะไรบางอย่างคอยกดทับเอาไว้ก็หายไป ข้อเท้าที่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งสัมผัสก็หลงเหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยจางๆ

“พี่ตฤณเข้าห้องเดี๋ยวนี้เลยครับ”

“จ้าว... ฟังพี่พูดก่อน”

“เข้าห้องเดี๋ยวนี้!  แล้วค่อยไปคุยกันข้างใน”

ระเบียงทางเดินในคฤหาสน์คือสิ่งต้องห้ามสำหรับมนุษย์เพราะมันเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณที่ตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด เช่นเดียวกับในแต่ละห้องที่มีเจ้าของของมัน ต่างแค่เพียงว่าห้องที่ตฤณพักอยู่นั้น เจ้าของเดิมเป็นเด็กผู้หญิงน่าตาน่าเอ็นดูที่มีจิตใจดีคนหนึ่งมันจึงไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก

ตฤณยอมเดินกลับเข้าห้องไปแต่ยังไม่วายหันหลังกลับมามอง

เมื่อตฤณลับตาไปแล้ว ความน่ากลัวของวิญญาณทั้งตายโหง ทั้งตายเพราะถูกฆาตกรรมก็ฉับพลันหายไปจากหน้าห้องพักของตฤณ เพียงแค่จ้าวใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือข่มขู่ ความชั่วร้ายที่แฝงเร้นกายอยู่ในร่างเด็กวัยสิบหกคือหายนะอันใหญ่หลวงของเหล่าดวงวิญญาณพวกนั้นเมื่อคิดจะต่อกรลองดี

“ถ้าคิดจะรบกวนคนของจ้าวอีก จ้าวจะทำให้แม้แต่นรกก็จะไม่ยอมรับวิญญาณของพวกแก”

จ้าวถอนหายใจออกมา คืนนี้ดูเป็นคืนที่ยุ่งยากวุ่นวายจนรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจไปหมด เขาเปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นว่าตฤณยังคงยืนรออยู่ไม่ห่างจากหน้าประตูเท่าไรจนรู้สึกกลัวว่าตฤณจะได้ยินสิ่งที่พูดอยู่ข้างนอกนั่นทั้งหมด แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นไม่ได้คิดอะไร ตีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่ายังคงทีท่าของความไม่พอใจเอาไว้

“พี่ตฤณออกมาข้างนอกห้องทำไม ไม่มีใครบอกเหรอว่าห้ามออกจากห้องหลังเที่ยงคืน”

“จ้าว... ข้างนอกห้องนั่นมัน...”

จ้าวแสดงสีหน้าลำบากใจที่เห็นว่าตฤณยังคงตกใจไม่หายกับเหตุการณ์แค่ไม่ถึงนาทีที่เกิดขึ้น เขาแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไรดี

“ข้างนอก... ข้างนอกมีอะไร”

“พี่ตฤณ จ้าวขอโทษที่ปิดบังพี่มาตลอด จ้าวกลัวว่าถ้าพี่ตฤณรู้ความจริงเข้าแล้วจะไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป... คฤหาสน์หลังนี้มีวิญญาณอยู่จริง เป็นวิญญาณที่ตายมานานแล้วตั้งแต่อดีตแต่ยังไม่ไปผุดไปเกิด”

ตฤณนิ่งงันไปชั่วครู่ ข่าวลือที่เขาลือกันมันคือเรื่องจริง คฤหาสน์หลังนี้มีสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาอยู่จริง

“ถ้าพี่ตฤณได้ยินแบบนี้แล้วจะไม่อยากอยู่ก็เข้าใจครับ จ้าวไม่ห้ามหรอกถ้าพี่ตฤณจะย้ายออกไป พี่ตฤณจะเก็บของแล้วออกไปตอนนี้เลยก็ได้นะครับ เดี๋ยวจ้าวเดินไปส่งที่หน้าประตูเอง มีจ้าวอยู่ด้วย พี่ตฤณจะปลอดภัยแน่นอนครับ”

“ไม่... พี่จะอยู่”

“ถ้าพี่ตฤณตัดสินใจแน่แล้วว่าจะอยู่ จ้าวก็จะนอนเป็นเพื่อนครับ”     

แม้ว่ามันจะผิดจากที่คาดไปนิดหน่อย แต่ตฤณก็ยังทิ้งจ้าวไม่ลง นั่นนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี 

“จ้าวจะไม่ทิ้งพี่ไปอีกใช่ไหม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่พี่รักจ้าวมากนะ แค่คิดว่าวันหนึ่งจะไม่ได้นอนกอดจ้าว จะไม่ได้จูบหน้าผากราตรีสวัสดิ์ จะไม่ได้ยินเสียงจ้าวอีก ใจพี่มันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีเข็มนับพันทิ่มแทงไปทั่ว มันเจ็บมากเลยนะ”

“จ้าวไม่ทิ้งพี่ตฤณไปหรอกครับ จะกลัวก็แต่ว่าคนที่ถูกทิ้งจริงๆ จะเป็นจ้าวเองมากกว่า”

จ้าวเดินขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย ซุกตัวลงในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเหมือนเช่นหลายวันที่ผ่านมา เขาได้รับรอยจูบที่หน้าผากเหมือนอย่างที่พูด ได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่นของคนตรงหน้าที่หาไม่ได้จากพี่ชาย ได้รับรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้จะยอมในทุกสิ่งที่เขาพูด เพียงเท่านี้... จ้าวก็อิ่มเอมและนอนหลับได้อย่างสบายแล้ว


** ติดตามตอนต่อไป **

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 21 [22/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-04-2018 23:12:23
อ้าว.... พี่เจตฆ่าจ้าว ไมจ้าวไม่แค้นพี่เจตนะ. :ruready
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 21 [22/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 23-04-2018 20:07:15
ตฤณหลุดไปจ้าวไม่ได้แล้วแน่ๆๆๆ
รอลุ้นต่อ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 21 [22/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 25-04-2018 21:33:08
 :mew1: :mew2: น้องเจ้าน่ารักแบบโหดๆ :mew5:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 21 [22/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 29-04-2018 01:22:23
คงไม่ใช่ว่าพี่เจตฆ่าคนในครอบครัวแล้วจ้าวพอตายปุ๊บดันเป็นวิญญาณอาฆาตฆ่าเจตทีหลังหรอกนะ เมื่อไหนพี่ตฤณจะตาสว่างซะที T T ลุ้นนานจนเหนื่อยแทนลีกับเมฆแล้วอะ พยายามบอกจะปากเปียกปากแฉะ...
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 21 [22/04/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 05-05-2018 11:09:25
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 22 [06/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 06-05-2018 16:17:18
::: ตอนที่ 22 :::
ความลับไม่มีในโลก







“ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น”

เสียงเพลงคลอเสียงกีต้าร์เบาๆ จากเพื่อนในคณะที่กำลังร้องจีบสาวไม่ได้หวานซึ้งกินใจหรือทำให้หัวใจได้รู้สึกวาบหวามแต่เป็นท่อนหนึ่งของเพลงที่ผู้ชายสามคนต่างเข้าใจมันดีกว่าที่มันเป็นแค่เพลงบอกรัก

“ตฤณ สรุปเรื่องเมื่อวานเป็นยังไง ได้ถามไหม”

“ถามแล้ว แต่เพราะพี่นั่นแหละเกือบทำให้ผมกับจ้าวทะเลาะกัน”

“ยังไงวะ”

“เขาบอกว่าผมสงสัยว่าเขาเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง เขาเสียใจที่ผมคิดแบบนั้น ก็นั่นแหละน้อยอกน้อยใจ ร้องไห้ยกใหญ่ ถ้าไม่เป็นเพราะพี่ให้ไปถาม ผมกับเขาก็ไม่ต้องผิดใจกันหรอก”

เมฆขมวดคิ้วคิดหนัก เด็กคนนั้นท่าทางจะดูร้ายไม่ใช่เล่น ขนาดที่ว่าเขาให้ตฤณไปพูดเรื่องที่จับได้ว่ากล้องวงจรปิดไม่มีภาพปรากฏอยู่ในนั้นทั้งที่ไปด้วยกันแต่ก็ยังทำเป็นกล่าวโทษตฤณกลับมาได้โดยที่ความจริงก็ยังถูกปิดบังอยู่อย่างนั้น

“รับมือยากจริงๆ”

“ถ้าอยากพิสูจน์ให้รู้ชัดไปเลย ทำไมไม่ชวนเขาไปงานศพเนตรล่ะ”

ลีลองเอ่ยถามดู อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้เอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เพราะเข้าใจถึงจุดจบของชีวิตที่จะได้รับเป็นอย่างดี มีตัวอย่างให้เห็นถึงสองรายแล้วใครจะกล้าเอาตัวเองไปยืนอยู่ในจุดนั้นทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายแล้วปลายทางคืออะไร

“เอ่อ! นั่นสิ ทำไมคิดไม่ได้ตั้งแต่แรกวะ”

“งั้นพี่เมฆไปชวนนะ ผมไม่เอาด้วยหรอก ไม่อยากไปทะเลาะกันอีก”

คราวนั้นตฤณก็เคยชวนจ้าวไปงานศพแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาเพราะร่างกายยังไม่พร้อม และตอนนี้ก็เพิ่งเกือบจะทะเลาะกันไป เขาจึงกลัวว่าถ้าหากทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหรือไม่พอใจก็จะต้องทะเลาะกันอีกแน่ เขาไม่อยากทะเลาะด้วยเพราะกลัวที่จะเห็นน้ำตา น้ำเสียงที่ตัดพ้อน้อยใจ แววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ

“พี่? เออๆ งั้นเดี๋ยวก่อนไปงาน พี่จะแวะไปชวนเขาแล้วกัน แกก็ไปด้วยนะ ลี”

“เอ๊า! แล้วทำไมต้องให้ผมไปด้วยเนี่ย เย็นนี้ว่าจะไปงานยุ้ย”

เมฆไม่อยากไปคนเดียว เช่นเดียวกับที่ลีก็ไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกครั้ง

“พี่ก็ไปกับผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง”

เมฆพยักหน้าแต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้ไปกับตฤณเลยสักนิดเหมือนวันก่อน ทั้งที่มีรุ่นน้องคนนี้ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่เขากลับรู้สึกได้เพียงแค่ว่า ณ ที่ตรงนั้นมีเพียงเขากับจ้าวอยู่กันแค่เท่านั้น

“แล้วเอาไง จะไปเลยไหม พี่” ตฤณถาม

“แล้วแต่เลย” เมฆตอบแล้วจึงหันไปพูดกับลีต่อ “ฝากบอกแม่ยุ้ยด้วยนะว่าพี่คงไปอีกทีวันงานเผาเลย”

หลังจากที่ลีรับคำว่าจะไปบอกให้ ตฤณกับเมฆก็ลุกออกจากโต๊ะของซุ้มสาขาตรงกลับคฤหาสน์ของตระกูลคัลเลนในทันที   

“จำที่พี่เคยบอกแกเรื่องวิญญาณที่หายไปครึ่งหนึ่งได้ไหม”

เมฆพูดขึ้นในระหว่างทางที่พวกเขามุ่งหน้าตรงกลับคฤหาสน์ เขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าจะได้ยินคำตอบแบบไหน กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตัวอักษรขยุกขยิกคล้ายว่าถูกเขียนด้วยลายมือเพียงลวกๆ ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับคำสำทับ “อ่านดู”

ตฤณกวาดสายตาไล่อ่านตัวอักษรชุ่ยๆ พวกนั้นแล้วพลันสะท้านไปทั้งร่าง ข้อความที่อยู่ในนั้นล้วนแล้วแต่เคยเกิดขึ้นกับเขาทั้งสิ้น

วิธีผูกวิญญาณคนเป็นคนตาย

- เลือดเพียงหนึ่งหยดในอาหารนั้นคือเฝ้าคำนึง

- ใกล้ชิดกายลิ้มชิมรสสีเลือดหมูจากสิ่งคล้ายกายหยาบนั้นคือลุ่มหลง

- ผูกพันแนบชิดร่วมเป็นหนึ่งเดียวสองคราคือผูกพันตราบนิรันดร์


“นี่มัน…”

“แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่นี่คือวิธีผูกวิญญาณทั้งสองภพเอาไว้ด้วยกัน เป็นวิธีโบราณนานมา แต่ก่อนจะทำสิ่งพวกนี้ก็ต้องท่องคาถาบทสวด ทำพิธีกรรม แต่ตอนนี้ไม่มีใครรู้บทสวดนั่น มันหายสาบสูญไปนานมากแล้ว”

“พี่จะบอกว่าจ้าวเป็นวิญญาณงั้นเหรอ”

เมฆพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ที่เห็นรุ่นน้องทำท่าทางไม่อยากเชื่อว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงราวกับว่าทุกครั้งที่ค้นพบความจริงก็จะพยายามหาข้อโต้งแย้ง เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เห็นทีว่าถ้าเด็กคนนั้นไม่ยอมเปิดปากพูดขึ้นมาเองก็ดูท่าว่าจะไม่ยอมปักใจเชื่อแต่โดยดี

“แกก็เห็นภาพในกล้องวงจรปิดนั่นแล้วไม่เชื่อ พี่ก็ไม่ว่า แต่พี่เอาเรื่องนี้มาบอกก็อยากให้ระวังเอาไว้บ้าง แล้วถ้าวันหนึ่งแกรู้ว่าสิ่งที่พี่พยายามเฝ้าบอกแกมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง…”

“ไม่! มันจะเป็นเรื่องจริงได้ยังไงในเมื่อพี่บอกเองว่าบทสวดอะไรนั่นมันหายไปนานแล้ว”

เมฆแสดงท่าทีอ่อนอกอ่อนใจ เขาแทบจะจนปัญญาที่ทำให้ตฤณเชื่อได้ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเริ่มปลงตกแล้ว “ถ้าเด็กคนนั้นอยู่มานานก่อนที่บทสวดนั่นจะหายไปล่ะ”

“เด็กอายุสิบหกจะไปอยู่นานขนาดนั้นได้ยังไง ถ้าอยู่มานานขนาดนั้นป่านนี้คงแก่หงำหรือไม่ก็ลงโลงไปตั้งนานแล้ว”

“ไม่คิดเอ๊ะใจอะไรบ้างเลยเหรอ ถ้าเขาตายตอนอายุสิบหกมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีที่แล้วล่ะ หน้าตาละม้ายคล้ายลูกชายบุญธรรมของตระกูลคัลเลนขนาดนั้น ต่อให้เป็นคนหน้าคล้ายจริงก็คงไม่เหมือนถึงขั้นก๊อปวาง แถมวินเซ้นท์คนนั้นก็เสียชีวิตในคฤหาสน์ตอนงานเลี้ยงวันเกิดอายุครบรอบสิบหกปีเหมือนกัน”

ยิ่งพูดเหมือนยิ่งใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีจนตฤณแทบจะหาข้อโต้แย้งใดๆ ไม่ได้ ในใจเฝ้าภาวนาขอให้เรื่องพวกนี้เป็นเพียงแค่เรื่องโจ๊กในหมู่วัยรุ่นด้วยเถอะ

“พี่รู้ว่าแม้แกจะพยายามถาม เขาก็จะไม่ยอมรับง่ายๆ มันก็เหมือนพวกทำความผิดที่พอถูกถามตรงๆ ก็จะตอบปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ และทางที่จะพิสูจน์ว่าเขาใช่หรือไม่ใช่ก็มีแค่ทางนี้ทางเดียว แล้ว… ถ้าสรุปแล้วว่าเป็นอย่างที่พี่คิดจริงๆ แกจะทำยังไง”

ตฤณไม่เคยคิดว่าจะต้องทำอย่างไรจนแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังเฝ้าค้านสิ่งที่รุ่นพี่พูดอยู่ในใจลึกๆ เสมอ แม้จะเคยเคลือบแคลงสงสัยแต่พอได้ถามและรู้คำตอบนั้นจากปากของจ้าว เขาก็เชื่อมันอย่างเต็มอก

“ไม่รู้ ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย”

บทสนทนาของทั้งคู่หยุดลงเพียงเท่านี้เมื่อใกล้ถึงคฤหาสน์หลังนั้นที่ใคร่ต่างก็กล่าวขานถึงความน่ากลัว แม้ช่วงกลางวันที่ยังเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนผืนดินจะมีชีวิตชีวาไม่แตกต่างไปจากที่อื่นใดบนโลกใบนี้แต่พอตกเย็นเมื่อไร แถวนี้ก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงัดในฉับพลัน ยิ่งด่ำดึ่งสู่ความมืดมิดมากเท่าไรก็ยิ่งเปล่าเปลี่ยว วังเวง ราวกับหน้ามือพลิกกลับเป็นหลังมือ แต่ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงเวลานั้น พระอาทิตย์ยังคงทำงานส่องแสงเจิดจ้าอย่างแข็งขัน

“พี่ตฤณ”

เสียงอันคุ้นเคย ใบหน้ากลมมนที่ประดับด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจไม่แต่งแต้มความโป้ปดใด เพียงแต่เจ้าของเสียงนั้นหยุดอยู่แค่หน้าประตูคฤหาสน์ ไม่ก้าวข้ามผ่านสวนที่รกร้างเข้ามาหา แต่พอได้กวาดตามองให้ดีแล้วก็พบว่ามีใครอีกคนมาด้วย เขาจึงเปลี่ยนทีท่า ก้าวลงบันไดคฤหาสน์ทีละขั้น ร่างกายที่กระทบต้องแสงอาทิตย์คล้ายกับมันจะโปร่งแสงแต่ก็ไม่เสียทีเดียว อาการของเขาไม่ได้ดีขึ้นจนถึงขั้นว่าจะสามารถคงสภาพร่างกายให้ทึบแสงเหมือนเช่นมนุษย์ทั่วไปได้ แต่เขาพยายามมันอย่างสุดความสามารถเพื่อกลบเกลื่อนคำถามบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นในใจ

“ไม่บอกจ้าวก่อนล่ะครับว่าจะพาพี่เมฆมาด้วย”

“ตอนแรกพี่กับพี่เมฆจะไปงานศพเนตรด้วยกันเลย แต่พอเห็นว่ามันยังพอมีเวลาอยู่เลยคิดจะมารับจ้าวไปด้วยกัน ไปกับพี่นะ”

จ้าวชะงักค้างไปชั่วครู่ หัวใจเขาเหมือนกับถูกใครสาดน้ำเย็นใส่ มันชาจนเกือบจะไม่รู้สึกก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแล้วปั้นยิ้มหวาน “จ้าวคงไปด้วยไม่ได้หรอกครับ รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย คนป่วยไปวัดมันคงไม่ดีหรอกมั้งครับ”

แต่เมฆกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น จ้าวเจ้าเล่ห์แสนกล คนที่รักหัวปักหัวปำอย่างตฤณย่อมมองไม่ออกแน่ว่าคำตอบนั้นก็เพียงเพื่อเลี่ยงที่จะเข้าวัด

“ไม่สบายตรงไหน มีไข้เหรอ”

ตฤณยกหลังมือแตะหน้าผาก เขาสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ยอมชักมือกลับในทันที ไอที่แผ่ออกมาตอนมือสัมผัส… มันควรจะอุ่นจนร้อนไม่ใช่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง

“ปวดหัวนิดหน่อยครับ พี่ตฤณพาพี่เมฆเข้ามาคุยกันข้างในดีกว่า”

จ้าวหมุนตัวหันหลังกลับ ใบหน้านั้นไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ไร้ซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตน คงไว้ซึ่งความเย็นชาราวกับไร้ความรู้สึก เขารู้ตัวดีว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้เป็นอย่างไร ยังไม่นับว่าเมื่อถึงตอนไปวัด เขาคงวิญญาณแตกดับทั้งที่ยังก้าวไม่พ้นธรณีประตูเข้าไปเสียด้วยซ้ำ

‘กลับมาแล้วเหรอ ตฤณ’

การปรากฏตัวที่เชิงบันไดทางขึ้นของเจตรินทำให้เมฆที่เพิ่งก้าวเดินเข้ามาชะงักเท้าไปจังหวะนึง

“ครับ”

‘พาเพื่อนเข้าไปนั่งรอในนั้นก่อนสิ เดี๋ยวจะไปหาอะไรมาให้ดื่ม’

เจตรินพูดพลางยกยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้กับเมฆที่ยืนอยู่ข้างหลัง สีหน้าของฝ่ายนั้นดูเหมือนจะตกใจอยู่เล็กน้อยแต่เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกลับเดินตรงไปหาจ้าวแล้วแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยพลางกล่าวเอ็ดเบาๆ ในเรื่องที่น้องชายเพิ่งกุขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ‘พี่บอกแล้วว่าอย่าออกไปเจอแดด เป็นยังไงล่ะ ปวดหัวใช่ไหม’

“ขอโทษครับ”

ไม่พลาดที่จ้าวจะตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ

‘อ้อ!’ เจตรินร้องเบาๆ คล้ายว่าเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ‘ผมลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชื่อเจตรินครับ เป็นพี่ชายของจ้าว จะเรียกว่าเจตเฉยๆ ก็ได้ครับ’

คนๆ นั้นในสายตาของเมฆ แทบทุกกระเบียดนิ้วไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่คือโจเซฟ คัลเลน แต่เขาทำเพียงแค่ยิ้มรับแล้วบอกชื่อตัวเองเบาๆ “เมฆครับ”

จ้าวกระตุกแขนเสื้อของเจตรินสองสามครั้งทำนองว่ามีเรื่องต้องการจะพูดด้วย

‘ทำตัวตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมขอพาน้องไปพักก่อน’

เจตรินพาจ้าวเดินเลี่ยงออกมาอีกทางแต่ก็ยังไม่ลืมกำชับลุงมิ่งที่จ้าวเรียกเข้ามาข้างในคฤหาสน์ด้วยจิตของเขาให้หาอะไรมาต้อนรับแขก พวกเขาสองคนหยุดในที่ที่คิดว่าจะไม่มีใครได้ยินบทสนทนาพวกนี้

“พี่เจต จ้าวมาคิดดูแล้ว จ้าวควรไปงานพี่เนตร”

‘อะ… อะไรนะ!’


คนโง่ยังเข้าใจ… สิ่งชั่วร้าย วิญญาณสัมภเวสี ผีเร่ร่อนไม่อาจเข้าวัดได้ แล้วทำไมน้องชายของเขาถึงได้โง่งมขนาดนี้

“ถ้าไม่ทำแบบนี้ พวกเขาได้สรรหาเรื่องมาให้ไม่หยุดแน่ จ้าวขี้เกียจจะไปนั่งอธิบายให้พี่ตฤณฟังแล้ว ถ้าจ้าวยังอยู่ในนั้นได้มันจะเป็นผลดีหลังจากนี้”

‘พี่เคยพูดแล้วว่าสักวันเขาจะทำความเดือดร้อนให้เรา จะเข้าวัดทั้งที่รู้ว่ามีโอกาสที่วิญญาณจะแตกดับอย่างนั้นเหรอ’

น้ำเสียงของเจตรินเครียดขึงขึ้นทันที แววตาไม่มีคำว่าอ่อนข้อ เขาไม่มีวันยอมปล่อยให้จ้าวไปเจออันตรายอย่างนั้น

“พี่เจต…”

‘ห้ามไป! ถ้าเห็นแก่ความเป็นพี่น้องของเรา พี่… พี่ไม่เคยห้ามจ้าวสักอย่าง แต่ขอแค่เรื่องนี้เถอะนะ’

“พี่… บางทีมันก็ไม่มีทางเลือก”

‘ไม่มีทางเลือก? ใครว่าไม่มี บอกความจริงเขาไปแล้วจบกับเขาเพียงแค่นี้’

แค่ประโยคสั้นๆ ของเจตรินกลับสะเทือนถึงขั้วหัวใจ มือเล็กทั้งสองข้างสั่นสะท้านราวกับพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้เอาไว้… ไม่รู้ทำไม เขาถึงไม่อยากปล่อยตฤณไป

จ้าวไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หัวสมองขาวโพลนไปหมดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พอคิดว่าถ้าตฤณรู้ความจริงทั้งหมดเข้าคงจากที่นี่ไปโดยไม่มีความลังเลใดๆ แน่ แล้วพลันนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

‘น้องพี่ผูกพันกับเขามากขนาดนี้เลยเหรอ’


“….”

‘นั่นยิ่งต้องจบเรื่อง พี่จะไปบอกความจริงทุกอย่าง’

“อย่า จ้าวจะไป”

‘ทำไมดื้อขนาดนี้ ไปที่นั่นก็มีแค่สองทางเลือก ถ้าไม่เจ็บปวดจนคล้ายกับวิญญาณจะแตกดับกลับมาก็คือ… จ้าวจะไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ว่านรก สวรรค์หรือโลกหลังความตายและพี่ยอมให้น้องที่พี่รักเป็นแบบนั้นไม่ได้’

“ถ้าวิญญาณแตกดับจริง มันคงเป็นจุดจบที่สวยน่าดูเลยนะ พี่ว่าไหม เมื่อถึงตอนนั้นวิญญาณของจ้าวคงกลายเป็นเกล็ดหิมะระยิบระยับที่ร่วงลงมาจากฟ้าแน่”

เจตรินดึงตัวจ้าวเข้ามากอดเอาไว้แน่น วิญญาณที่ทำกรรมชั่วไว้มากไม่มีทางที่จะพบจุดจบที่สวยงามอย่างที่วาดฝันเอาไว้แน่ ดวงหน้าของจ้าวที่ฝังอยู่บนไหล่ไม่ประดับด้วยความรู้สึกใดเว้นเพียงแต่ยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดต่อจากนี้ไป

‘ให้พี่ไปแทนเถอะนะ’

“จ้าวไม่ได้จะไปตายสักหน่อย ถ้าโชคดีก็จะได้กลับมา พี่เจตรอจ้าวอยู่ที่นี่ดีกว่า”

‘ถ้าจ้าวไม่กลับมา พี่อยู่ไม่ได้นะ’


“จ้าวรับปากว่าจะกลับมา พี่เจตรอจ้าวนะ”

‘พี่รักจ้าวที่สุด จำไว้ให้ดีนะว่าพี่รักจ้าวที่สุด’

ในที่สุดเจตรินก็ยอมปล่อยแล้วแม้ในใจจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วที่เหลืออยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้จะมีเพียงแค่เขากับวิญญาณดวงอื่นที่ตายในคืนวันเฉลิมฉลอง


----------------------------------


หลังจากที่จ้าวยอมตกลงไปงานศพเนตรด้วยกัน ตฤณกลับรู้สึกใจคอไม่ดีทั้งที่นี่จะเป็นสิ่งพิสูจน์ทุกข้อกังขาว่าจ้าวไม่ใช่สิ่งลี้ลับหรืออะไรที่อยู่ต่างภพภูมิอย่างที่เมฆเข้าใจ เขาทอดสายตามองร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ บนรถแท๊กซี่คันเดียวกันโดยที่เมฆนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ

“มีอะไรหรือเปล่าครับ พี่ตฤณ”

ตฤณส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ

ยิ่งเข้าใกล้อาณาเขตวัดมากเท่าไร จ้าวยิ่งรู้สึกร้อนรนแต่ยังแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย ไม่ยี่หระกับความรู้สึกนี้ เขาลอบมองร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ ผ่านกระจกมองหลัง แม้จะเห็นเงาตัวเองสะท้อนเคียงคู่กันแต่มันกลับว่างเปล่าในสายตาผู้อื่น

รถแท๊กซี่จอดลงตรงข้ามเยื้องๆ กับทางเข้าวัด เพียงแค่นั้นร่างเล็กๆ ก็สั่นสะท้านไปทั่ว ความเรืองรองด้วยอำนาจบริสุทธิ์ขององค์พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ที่นั่นอาบไล้มาจนถึงปลายเท้าของเขา

“พี่ตฤณ ขอ… ขอเวลาจ้าวสักครู่ได้ไหม มันเริ่มปวดหัวอีกแล้ว”

ดวงหน้ากลมมนเผือดสีลง สีหน้าและแววตาดูเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง ตฤณพยักหน้าพร้อมกับเอื้อมมือประคองร่างเล็กเอาไว้ คิดเข้าใจว่าคงเป็นเพราะปวดหัวมากจริง

“ประคองจ้าวแบบนี้ไปจนถึงฝั่งนู้นได้ไหมครับ”

จ้าวกลัวตัวเองจะหมดแรงไปกลางทาง พลังแห่งความบริสุทธิ์สามารถขจัดได้ทุกสิ่งที่ชั่วร้าย ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้รับรู้ถึงพลังอำนาจนั้นจนปลายเท้าสั่นไหวเล็กน้อยขณะก้าวข้ามถนนแต่ก็ยังฝืนใจกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่กำลังแล่นริ้วผ่านทุกพื้นที่ของร่างกาย ห้วงจังหวะหายใจถี่กระชั้นบ้างขาดหาย เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เนื้อตัวเย็นเฉียบเข้าใกล้คำว่าคนตายเข้าไปทุกที แม้แต่ตฤณเองก็ยังรับรู้ถึงความผิดสังเกตนี้ได้

“กลับกันดีไหม ไว้คราวหลังค่อยมา”

“มะ… ไม่เป็นไรครับ”

“แต่หน้าซีดแบบนี้ พี่ว่ากลับเถอะ”

เมฆไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่ยืนฟังบทสนทนาเป็นห่วงเป็นใยของตฤณอยู่อย่างเงียบๆ

“ไม่เป็นไร จ้าว… ไหว พี่ตฤณปล่อยก่อนเถอะครับ”

จ้าวแกะมือที่กอดประคองออก ขยับตัวเล็กน้อยเว้นระยะห่างระหว่างเขากับตฤณเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมเสียงไม่ให้สั่นเครือก่อนที่พลังในร่างจะหมดจนไม่เหลือไว้คงสภาพร่างกายตัวเองเอาไว้ได้อีกจนสุดท้ายวิญญาณดวงนี้ก็เดินทางถึงจุดจบของมัน

“พี่ตฤณกับพี่เมฆ เข้าไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจ้าวตามเข้าไป”

ความอบอุ่นของแสงสีทองจากโบสถ์ด้านในฉาบร่างของจ้าวให้เริ่มขาวซีด ถ้าหากความอบอุ่นโอบอ้อมอารีนี้สำหรับผู้อื่นนั้นคือสิ่งดีงาม แต่ทว่าสำหรับเขามันคือเงาของมัจจุราชในคราบเทวทูต แล่เนื้อเชือนใจให้ปวดแสบปวดร้อน ทุรนทุราย

“ทำไมไม่เข้ามาด้วยกันล่ะ ถ้าไม่ไหว พี่ช่วยประคองอีกแรงก็ได้”

เมฆพูดขึ้นอย่างเนิบนาบแสดงความเป็นห่วงแต่ทว่าใจกลับรู้ดี

“ไม่ต้องหรอกครับ พวกพี่เข้าไปก่อนเถอะ”

เมื่อจ้าวยืนกรานแบบนั้นเมฆจึงดึงร่างตฤณในก้าวเข้ามาอยู่ในอาณาเขตวัด

ใบหน้ากลมมนสีซีดชื้นเหงื่อไม่มีความรู้สึกใดปรากฏขึ้นมา เว้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่รอยยิ้มแห่งความชิงชังกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายนี้ใกล้จะถึงขีดจำกัดของมันแล้ว อีกไม่นานตฤณจะได้พบกับความจริงที่แสนโหดร้าย

“ให้พี่ประคองเถอะ”

ตฤณทำท่าจะเดินเข้าไปหาจ้าวแต่กลับถูกเมฆดึงรั้งเอาไว้

“อย่าเลยครับ ขอแค่ฟังจ้าวพูดสักสองสามเรื่องก่อนแล้วจะตามเข้าไป”

จ้าวกัดฟันทนข่มความเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกเข็นพันเล่มหมื่นเล่มทิ่มแทงเอาไว้ภายใน เขารู้ดีว่าทุกอย่างเริ่มหลุดจากการควบคุมแล้ว ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุด แค่ยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปข้างในก็คล้ายกับวิญญาณจะแตกสลายเสียตรงนี้

“ยินดีกับพี่เมฆด้วยนะครับ ความพยายามของพี่สัมฤทธิ์ผลแล้ว”

สีหน้าของเมฆเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเข้าใจในประโยคนั้นดีแต่ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“จากนี้ไปจะไม่มีคำว่าจ้าว จะมีก็เพียงแค่…”

จ้าวหันไปยิ้มกับตฤณทั้งน้ำตา รอยยิ้มที่จริงใจที่สุด งดงามที่สุด เขาขืนกายที่สั่นเทาไม่หยุดก้าวเข้าอาณาเขตวัด ความเจ็บปวดแล่นริ้วผ่านกายราวกับถูกจับโยนลงกระทะทองแดงที่กำลังเดือดปุดๆ ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวด ใบหน้ากลมมนเหยเกแต่กระนั้นก็ยังพยายามฝืนยิ้ม

ตฤณนิ่งค้างไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อยากเข้าไปประคองกอดร่างนั้นให้คลายความเจ็บปวดแต่ส่วนหนึ่งของจิตใจกลับร้องห้าม เขายืนดูจ้าวที่ทุรนทุราย ร่างกายเริ่มโปร่งแสงพร้อมที่จะจางหายไปทีละส่วน

จุดจบชีวิตตัวเองไม่ได้งดงามอย่างที่คาดฝัน ไม่เพียงแค่ตฤณมองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปจากทุกที ร่างกายนี้ยังรวดร้าวเข้าไปยังไขกระดูกจนแทบจะฉีกทึ้งออกมาเป็นชิ้นๆ ความเจ็บปวดที่แม้จะกรีดร้องเสียงดังเท่าไรก็ไม่สามารถบรรเทาลงไปได้

จ้าวฝืนยิ้ม มองหน้าตฤณเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายของเขา วิญญาณดวงนี้กำลังสลายไปกับอากาศธาตุ “จ้าว… โง่… เหมือนที่… พี่เจต… พูด”

ร่างที่อยู่ตรงหน้าอันตรธานหายไป เหลือเพียงแค่ละอองเกล็ดหิมะพร่างพรมอยู่ตรงนั้นเป็นนัยว่าก่อนที่มันจะว่างเปล่า เคยมีอะไรอยู่มาก่อน

“จ้าว… นี่มัน…”

หลากหลายความรู้สึกปนเปกันไปหมดจนแยกเยอะไม่ออกว่าอะไรคืออะไร เขามองที่ที่เคยมีคนที่รักสุดหัวใจแต่บัดนี้พบเพียงความว่างเปล่า หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติกระตุกวูบอยู่หลายทีราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช๊อต ไม่เพียงแค่นั้นความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในใจขับเคลื่อนให้ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสเต็มหน่วย 

หนึ่งสิ่งที่ตฤณสัมผัสได้คือความสูญเสีย

ร่างสูงทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง เด็กน้อยที่ดีแสนดี เด็กที่เขาหลงรักหมดทั้งใจ เด็กที่เขาพยายามปกป้องจากคำกล่าวหาทุกอย่าง แท้จริงคือดวงวิญญาณดวงหนึ่งที่ทำให้เขาเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเป็นอะไรที่ไม่ต่างจากเรา

ตฤณนั่งอย่างนั้นอยู่นาน เอาแต่จ้องมองไปยังสถานที่ที่เคยมีร่างของเด็กน้อยนามว่าจ้าวอยู่ตรงนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาไม่นานที่เคยได้ใช้ไปด้วยกัน จ้าวก็เป็นเด็กดีที่คอยดูแลเขาทุกอย่าง หากตัดความรู้สึกที่ว่าจ้าวไม่ใช่คน สิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับการที่ได้สูญเสียคนรักไปอย่างกะทันหัน แต่แล้ว... ร่างนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา

“ไอ้พี่เมฆ!”

ตฤณพุ่งตรงเข้ากระชากคอเสื้อของเมฆ เงื้อหมัดตั้งท่าจะต่อยแต่ก็ชักมือกลับ สบถคำหยาบคายออกมาเสียงดังอยู่หลายคำ ท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงคล้ายกับมีบางสิ่งกำลังวิ่งพล่านอยู่ในใจแต่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่ามันคืออะไร

“เขาไปแล้ว… เขาไปแล้ว… เพราะพี่คนเดียว”

เมฆไม่อยากเชื่อว่ารุ่นน้องของเขาจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่รู้ความจริงแล้วแต่ดูท่าคล้ายว่าจะตัดไม่ขาด

“อาลัยอาวรณ์เขาขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งที่เขาเป็นแค่วิญญาณที่จะเอาชีวิตแกนะ”

ตฤณหันไปมองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “พี่ว่าอะไรนะ!”

“สิ่งที่เขาทำกับแกคือพิธีผูกวิญญาณ ถ้ามันสำเร็จ วิญญาณแกกับเขาจะผูกติดกันชั่วนิรันดร์ เขาไปไหนก็จะต้องมีแกไปด้วย ไม่ว่าจุดจบของชีวิตแกคือได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าเขาได้ลงนรก แกก็จะต้องลงนรกอย่างเขา”

ตฤณนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว “ยอม”

เมฆถอนหายใจออกมาเบาๆ แม้ความจริงจะเปิดเผยแต่ตฤณยังคงยอมให้มันเป็นอย่างนั้น เขาจนปัญญาที่จะพูดแล้วจริงๆ จึงบอกแค่เพียงสั้นๆ ว่า “เข้าไปข้างในกันเถอะ”



** ติดตามตอนต่อไป **



หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 22 [06/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 06-05-2018 16:53:02
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 22 [06/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-05-2018 17:36:01
จ้าวจะไปง่ายๆ แบบนี้หรือ ไม่ใช่มัง  :hao4:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 22 [06/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 06-05-2018 20:16:08
จ้าวไม่น่าจะไปง่ายๆ น่ะ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 22 [06/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 18-05-2018 23:28:13
รอออ จ้าววว  กลับ มา    :katai5:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 23 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 20-05-2018 16:26:34
::: ตอนที่ 23 :::
ห้วงแห่งความคิดถึง








ตฤณไม่คาดคิดว่ามันจะมีวันนี้ วันที่ความสงสัยของคนอื่นกลายเป็นความจริง

ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นก็ผ่านมาแล้วสองวัน เขาไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นอีกเลย ไม่รู้ว่าถ้ากลับไปแล้วจะพูดกับเจตริน พี่ชายของจ้าวว่าอย่างไรดี ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำใจได้ไหมเมื่อกลับไปเห็นสถานที่ที่เคยมีเด็กคนนั้นออกมายืนต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่หน้าประตูคฤหาสน์

เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นรบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา แม้จะง่วงแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยหลับลง จิตใจว้าวุ่นกระสับกระส่าย เวลาเข้าเรียนก็เหมือนจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ตฤณไม่ได้เจอเมฆเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา แม้จะเจอแต่ก็ทำเป็นพยายามหลบเลี่ยง เขารู้สภาพจิตใจของตัวเองตอนนี้ดีพอ

ย่างเข้าวันที่สี่ ตฤณตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลคัลเลนหลังนั้นด้วยเพราะทนต่อแรงที่อยู่ในใจไม่ไหว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือแม้แต่อาจถูกเจตรินด่าทอ แสดงความโกรธเคือง เขาก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้

ตอนค่ำของวันนั้น ตฤณจึงมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์คัลเลนตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่ามันแปลกกว่าทุกครั้ง บรรยากาศที่รู้สึกน่ากลัวแต่ทว่าอบอุ่นได้จางหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ความน่ากลัวที่นับวันจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ กับความเงียบสงบราวกับสถานที่นี่เป็นที่เก็บรวบรวมคนตายจำนวนมากเอาไว้

ตฤณกัดฟันทนข่มความรู้สึกเอาไว้แล้วเปิดประตูรั้วที่แง้มเอาไว้นิดๆ ออก เห็นเงาตะคุ้มๆ อยู่ใกล้บริเวณต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้จะยืนต้นแห้งตายคล้ายว่าจะเป็นลุงมิ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินเข้าไปเรียก ฝ่ายนั้นก็แสดงตัวให้เห็นก่อน ดวงหน้าของลุงมิ่งหมองคล้ำไม่สู้ดี

'กลับมาอีกทำไม'


“เอ่อ... มาหา... เจตครับ” ตฤณละล่ำละลักตอบกลับไป

'กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นานๆ'

ตฤณกลับไปไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดกับเจตรินเสียก่อน เขามีเรื่องมากมายที่จะพูด มีสิ่งที่จะสารภาพ มีเรื่องที่อยากขอให้อีกฝ่ายให้อภัย เพียงแค่คิดหาคำตอบที่จะขอให้เขาได้อยู่ก่อน เจตรินก็เดินออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นตรงมาทางนี้ เขาจึงยิ้มออกมาได้บ้างว่าคนที่อยากเจอนั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว

‘มีธุระอะไรที่นี่’ น้ำเสียงของเจตรินฟังราวกับไม่ใส่ใจถึงตัวตนของตฤณ ถามออกไปห้วนๆ   

“คือ... อยากคุยเรื่องจ้าว”

เจตรินโบกมือไล่ให้ลุงมิ่งกลับไปทำงานของตน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้วจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอย่างรู้ว่าตฤณมาที่นี่ ต้องการจะพูดเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับจ้าว ‘สิ่งที่เกิดขึ้นกับจ้าว ผมไม่โกรธ’

“.....”

‘รู้แล้วใช่ไหมว่าจ้าวเป็นวิญญาณ ไม่ใช่คนเหมือนคุณ’

ตฤณไม่ตอบอะไร เขาพยักหน้าแค่เล็กน้อย แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกปั่นป่วนยังไงชอบกลทั้งที่เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่รู้อยู่เต็มอกแล้วแท้ๆ

‘แล้วรู้ใช่ไหมว่าเขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว’


“ครับ”

‘แล้วมาเพื่ออะไร ต้องการแค่มาย้ำความคิดของตัวเองเหรอ’

สิ่งที่เจตรินพูดมา บางทีมันก็อาจใช่แต่ในใจลึกๆ แล้วเขาอยากมาเพื่อได้ยินว่าสิ่งที่เห็นมันเป็นเพียงแค่ความฝันมากกว่า

“จ้าว... ไม่อยู่แล้วจริงๆ เหรอ”

‘อืม’

“แล้วทำไมถึงปล่อยให้เขาไปทั้งที่รู้ว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีก”

นั่นสิ! ทำไมเจตรินถึงยังยอมให้น้องชายจากไปแม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาสองคนอาจไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก นั่นก็คงเป็นเพราะเขาตามใจน้องมากเกินไป อยากได้อะไรก็หามาให้ อยากทำอะไรก็ไม่เคยขัดใจ

‘ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว’


“ไม่เหมือนเดิม?”

เจตรินถอนพรั่งพรูลมหายใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ‘อืม มันไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ามีธุระจริง พรุ่งนี้จะให้โอกาสแค่ครั้งเดียว จะมาก็มาตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น ห้ามมาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วเป็นอันขาด ตอนนี้ขอให้กลับไปก่อน’   

ท่าทางของตฤณดูลังเลใจเหมือนอยากจะเข้าไปแต่เจ้าของที่ยังไม่พร้อมต้อนรับ เขาทำได้แค่ทอดสายตามองไปยังคฤหาสน์ที่อยู่ด้านหลังด้วยความคำนึงถึง ไม่ว่าจ้าวจะเป็นอะไร จะไม่ใช่คนเหมือนอย่างที่เขาเป็น หัวใจก็ยังตอบว่ารักอยู่ดี

‘ออกไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ผมปกป้องคุณอย่างที่เขาทำไม่ได้’

“ปกป้อง? ปกป้องจากอะไร?”

‘พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ออกไปก่อน เร็ว’ เจตรินดูรีบร้อน ลุกลี้ลุกลนแต่น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย

“ก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะมาหาแต่เช้า”

เจตรินรอให้ตฤณเดินออกไปจนแน่ใจแล้วว่าพ้นจากบริเวณคฤหาสน์ แล้วจึงหายไปจากที่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน มาปรากฏกายอีกครั้งก็ในห้องของนอน ข้างเตียงที่มีโครงกระดูกของน้องชายอยู่บนนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ แม้จะทำใจกับการจากไปตลอดกาลของน้องชายแล้วก็ตามแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ ยิ่งรับรู้ว่าวิญญาณของจ้าวไม่ได้หายไปไหนแต่ทว่าก็หาไม่เจอนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม

‘จ้าว บอกพี่ได้ไหมว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน’

โครงกระดูกเด็กวัยสิบหกปีไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำตอบใดๆ ได้

‘พี่กลัวนะ ดวงจิตของจ้าวที่ไม่แข็งแรงอาจเจอพวกหมอผีนำไปทำไสยศาสตร์มนต์ดำก็ได้’

เจตรินทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง เหม่อมองร่างกายที่ไม่เหลือเนื้อหนังมังสาด้วยความคิดถึง หวนนึกถึงคราวนั้นที่ได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก จ้าวเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ที่แท้จริงรังเกียจเดียดฉันท์เพียงเพราะมีดวงตาสีแปลกกว่าผู้อื่น ในวันหนึ่งวันนั้นถ้าไม่เป็นเพราะบิดารับจ้าวเข้ามาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม เขาคงไม่มีวันได้รู้จักเด็กที่แสนน่ารักอย่างจ้าว

‘จ้าว กลับมาไวๆ นะ พี่คิดถึง’

ไม่รู้ว่าความคิดถึงจะส่งไปถึงดวงวิญญาณดวงนั้นไหม ไม่แน่ใจว่าเสียงอันแผ่วเบาของตัวเองจะลอยตามสายลมไปกระทบกับโสตประสาทของเด็กคนนั้นไหม แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่แน่ใจ นั่นคือตฤณยังคงไม่ทิ้งหนีไปไหนเมื่อรับรู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วนั้นจ้าวเป็นเพียงแค่วิญญาณดวงหนึ่ง

เจตรินนั่งมองโครงกระดูกที่อยู่บนเตียงเนิ่นนาน ผ่านไปเท่าไรไม่รู้ตั้งแต่ที่ตฤณมาถึงและกลับไป พอรู้ตัวอีกทีก็รับรู้ได้ถึงแสงแดดอุ่นๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามา แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังร่างของเขาทำให้เกิดละอองสีขาวขึ้นรอบกาย แต่ถ้าหากเปลี่ยนจากเขาเป็นจ้าวคงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น

‘พี่อยากให้จ้าวกลับมา รู้หรือเปล่าว่าตั้งแต่ที่จ้าวไม่อยู่ ที่นี่มันก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปหมด’


“.....”

‘เมื่อวานตฤณทำพี่แปลกใจมากเลยนะ พี่คิดว่าถ้าเขาได้รู้ความจริงแล้วก็คงจะไม่กลับมาที่นี่อีก’


เจตรินขยับตัวเล็กน้อย ลุกขึ้นจากข้างเตียงแล้วเดินไปยังตุ๊กตาหมีฝุ่นเขรอะที่แทบจะมองไม่ออกว่าแต่เดิมแล้วตุ๊กตาตัวนี้มีสีอะไรมาก่อน ‘ตุ๊กตาที่พี่ทำให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบเก้าขวบของจ้าว จ้าวไม่เคยทิ้งมันไว้ห่างกายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำไมตอนนั้นพี่ถึงได้โง่ถามอะไรแบบนั้นออกไป ทั้งที่คำตอบมันก็อยู่ตรงนี้แล้วแท้ๆ’ เขาฝืนยิ้มออกมาอย่างข่มขื่นก่อนกล่าวต่อ ‘จ้าวจะไม่รักพี่ได้ยังไง จริงไหม’

พระอาทิตย์ยังขึ้นไม่สูงเท่าไร ตฤณก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์เสียแล้ว

‘พี่ไปต้อนรับคนที่รักจ้าวสุดหัวใจก่อนนะ’


เจตรินมาปรากฏกายอีกทีที่ด้านหลังประตูคฤหาสน์ เขาไม่กล้าเดินออกไปมากกว่านี้เพราะยังไม่แน่ใจว่าตฤณจะรู้หรือเปล่าว่าเขาก็เป็นเหมือนที่จ้าวเป็น เขารอให้ตฤณเดินเข้ามาข้างในเองแล้วจึงเอ่ยทักทาย

‘มาแต่เช้าเลย ได้นอนบ้างหรือเปล่า’

“ครับ”

แต่จากสภาพที่เจตรินเห็น คงอดหลับอดนอนมาหลายคืนน่าดู ไม่เพียงแต่ดวงตายังอิดโรย ขอบตาดำคล้ำ ท่าทางเหมือนคนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักอย่าง บอกได้เพียงคำเดียวว่าเขาสงสารที่น้องชายทำให้คนคนหนึ่งเป็นได้ถึงขนาดนี้

‘เข้ามาข้างในก่อน ผมรู้ว่าคุณคงมีเรื่องอยากจะถามอีกเยอะ’


ตฤณพยักหน้าแล้วเดินตามเข้าไปด้านใน เจตรินพาไปยังห้องรับแขกซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของคฤหาสน์ เชิญให้ตฤณนั่งลงที่โซฟา โต๊ะกาแฟด้านหน้านั้นมีเพียงความว่างเปล่าและเขาก็ปล่อยให้มันว่างอยู่อย่างนั้น ตฤณคงไม่สนใจอะไรอย่างอื่นนอกเสียจากเรื่องของจ้าว

‘มีอะไรจะถามเกี่ยวกับจ้าวก็ถามมาเถอะครับ’


“เอ่อ...” ตฤณไม่รู้จะเริ่มถามยังไง เขาอธิบายความรู้สึกในเวลานี้ไม่ถูก มันมีเรื่องที่ทั้งอยากรู้และอยากได้คำอธิบายในเวลาเดียวกัน

‘ถามเรื่องที่อยากรู้ก่อนก็ได้ครับ’

“เมื่อคืนคุณบอกว่าปกป้องผม ปกป้องผมจากอะไร”

เจตรินยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยออกมา ‘ถ้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้มาบ้าง น่าจะเดาได้ไม่ยากนะครับว่ามันเป็นเพราะอะไร ถ้าคุณถามจ้าว เขาต้องตอบคุณแบบนี้แน่ แต่ถ้าถามผม ผมก็จะตอบว่าที่นี่มีวิญญาณของผีหายโหง วิญญาณที่มีความอาฆาตแค้นแต่ตอนที่คุณอยู่ที่นี่แล้วจ้าวยังอยู่ เขาเป็นคนควบคุมทุกอย่าง ปกป้องคุณจากทุกสิ่งที่ชั่วร้ายหรือวิญญาณตนอื่นที่ต้องการเอาชีวิตคุณเพราะอยากได้ตัวตายตัวแทน’

ตฤณไม่อยากเชื่อว่าจ้าวจะพยายามปกป้องเขาจากสิ่งพวกนั้นมาโดยตลอดแต่เขากลับทำให้อีกฝ่ายเสียใจด้วยการสงสัยในตัวตนของจ้าวเหมือนที่คนอื่นสงสัย เขานิ่งงันไปเล็กน้อยราวกับกำลังนึกทบทวนถึงเหตุการณ์วันนั้นและหลังจากนั้นไปมาอยู่ในใจ

‘จ้าวอาจไม่ใช่เด็กที่ดีนักในสายตาของคนอื่นแต่เขาก็ทำเพื่อคุณ วันที่คุณชวนเขาเข้าวัดไปงานศพ จริงๆ แล้วเขาจะยืนกรานปฏิเสธก็ได้แต่ไม่ทำทั้งที่รู้ว่าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น นั่นก็เพราะเป็นคุณที่พูดชวน’

ตฤณพูดอะไรไม่ออกเหมือนว่าความผิดที่ทำให้จ้าวหายไปนั้นเกิดขึ้นเพราะเขาคนเดียว

‘เด็กคนนั้นรู้ว่าตรงหน้าคือกองไฟที่จะทำให้วิญญาณของตัวเองมอดไหม้ก็ยังกระโดดเข้าไปเพราะเห็นแก่คุณ แต่เขากลับไม่นึกโทษว่าเป็นความผิดของคุณ ผมเองก็ไม่โทษว่าเป็นเพราะคุณถึงทำให้เขาหายไป’

“เขา... เขาอยู่ไหน”

‘ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าจ้าวอยู่ไหน แต่ถ้าเมื่อไรที่ดวงวิญญาณแตกดับ มันจะไม่มีที่ไหนให้เขาได้ยืน ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือโลกหลังความตาย จ้าวจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่และจะถูกกล่าวถึงแค่ในนาม’

คำพูดของเจตรินในเวลานี้เหมือนกับกำลังบอกเขากลายๆ ว่าอาจไม่ได้เจอจ้าวอีกชั่วนิรันดร์ ไม่รู้ทำไมความเสียใจถึงได้พรั่งพรูออกมาราวกับน้ำป่าไหลหลาก ไหลออกมาไม่หยุดและไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหนตราบเท่าที่ฝนยังไม่หยุดตกในใจ

“จะ... จะไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกใช่ไหม”

‘ผมตอบไม่ได้ว่าจะได้เจออีกไหม’

ตฤณพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า

‘ทำไมคุณถึงกลับมาที่นี่อีกทั้งที่ก็น่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นอะไร’

“คงเพราะผมรักเขาล่ะมั้ง ตอนที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นแค่วิญญาณมันสับสนไปหมด ทั้งรัก ทั้งไม่อยากเชื่อ หลายสิ่งหลายอย่างมาปนเปอยู่ในความคิด ผมนอนไม่หลับอยู่หลายคืน เอาแต่คิดถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้คำตอบอะไรนอกจากรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังรัก”

ความจริงใจที่สื่อผ่านคำพูดทุกคำ เจตรินเข้าใจทั้งหมด เพียงแต่ว่าถ้าจ้าวยังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน เด็กคนนั้นจะพยายามทำความเข้าใจมันหรือเปล่า

‘มีไม่กี่คนที่รู้ว่าจ้าวเป็นอะไรแล้วยังรัก’


“ทำไมถึงไม่บอกผมเลย”

‘ถ้าผมบอกคุณตั้งแต่แรก คุณจะยังอยู่ที่นี่อีกไหม’


ตฤณตอบไม่ได้ว่าถ้าตัวเองล่วงรู้ตั้งแต่แรกที่เหยียบย่างเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ว่าจ้าวเป็นสิ่งที่อยู่ในอีกภพภูมิหนึ่งแล้วเขาจะทำอย่างไร บางทีอาจจะตอบปฏิเสธข้อแลกเปลี่ยนของจ้าวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วจากไปโดยไม่หวนกลับมาอีก แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจ้าวเป็นดวงวิญญาณดวงหนึ่งและเขาก็ยังยอมรับมันได้

‘บอกตอนนี้กับบอกตอนนั้นมันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ ถ้าคุณรู้ตั้งแต่แรกก็อาจจะจากไปโดยไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ แต่บอกตอนนี้ในขณะที่คุณได้รู้จักเขาในระดับหนึ่งแล้ว อะไรหลายๆ อย่างมันย่อมต้องเปลี่ยนไปรวมทั้งความคิดของคุณเองด้วย’


“อืม มันก็อาจจะใช่”

‘คุณรู้แบบนี้แล้วยังยืนยันที่จะรักเขาอยู่อีกไหม’

“รัก”

‘ถ้าหากว่าเขาเคยทำสิ่งที่เลวร้ายกับคุณ คุณจะยังรักเขาอยู่อีกไหม ขอให้ตอบมาตรงๆ เพราะมันสำคัญมาก ผมอยากรู้ว่าถ้าเขาไม่ใช่เด็กดีที่น่ารัก คุณจะโกรธ จะเกลียดเขาหรือเปล่า จะให้อภัยในสิ่งที่เขาทำลงไปได้ไหม ผมรักน้องของผมมากนะ และตอนนี้ผมกำลังทำหน้าที่พี่ที่ดี ปกป้องน้องจากทุกสิ่งทุกอย่าง’

ตฤณนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดออกมา “ผมรักเขาแค่นั้นมันก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ”

‘ผมไม่รีบร้อนขอคำตอบจากคุณ กลับไปคิดให้ดีอีกรอบก็ได้’

ตฤณตอบรับในลำคอเพียงสั้นๆ “แล้วผมจะกลับมาที่นี่อีกได้ไหม”

‘ได้ อยากมาก็มาได้ แต่อย่ามาหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็แล้วกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ตอนนั้นถึงจะเรียกให้ใครช่วยก็คงช่วยไม่ได้แล้ว’

ตฤณพยักหน้าอย่างเข้าใจ

‘จะขึ้นไปเอาของไหม’

“ครับ”

ตฤณเดินตามเจตรินขึ้นไปข้างบน ความรู้สึกที่คฤหาสน์หลังนี้ไม่มีจ้าวอยู่แล้วมันช่างแตกต่างจนรับรู้ได้เป็นอย่างดี ทั้งวังเวงและเงียบเหงาในเวลาเดียวกัน พอเดินใกล้จะถึงห้องที่เคยอยู่แม้จะเป็นเพียงไม่กี่วัน ใจมันสั่นแปลกๆ ราวกับว่าลึกๆ แล้วยังคงว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเจอร่างอันคุ้นตาส่งยิ้มทักทายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะว่ากลับมาแล้วเหรอครับ

‘เข้าไปเก็บของเถอะ เดี๋ยวผมรออยู่ข้างนอก’

เจตรินอยากให้ตฤณได้ใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นเพียงลำพังสักพัก เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไรน้องชายจะกลับมาหรือบางทีอาจจะหายไปตลอดกาล

ตฤณเดินเข้าไปข้างในห้อง พอได้เห็นเตียงนอนที่เคยได้ให้คนตัวเล็กได้ซุกไออุ่นแล้วใจกระตุกวูบ อยากจะร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก อยากจะเอ่ยขอโทษแต่เจ้าตัวก็ไม่อยู่ฟัง เขาทำได้เพียงแค่ลูบไล้ไปตามผืนผ้าปูเตียงที่เคยมีร่างของคนที่รักอยู่ตรงนั้น

“จ้าว... พี่ขอโทษ”

ตฤณนึกคำที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว นอกจากคำว่าขอโทษก็ไม่มีอะไรที่สื่อความรู้สึกของเขาในเวลานี้ได้ เขาเดินไปเก็บข้าวของของตัวเองรวมถึงบางสิ่งบางอย่างใส่กระเป๋าเป้ที่ถือมาด้วยครั้งแรก บางอย่างที่ไม่มีตัวตนแต่สัมผัสได้ นั่นคือ... ทุกสิ่งทุกอย่างที่จ้าวทำให้ภายในคฤหาสน์หลังนี้ ทั้งความหวังดี ทั้งความเป็นห่วงและเอาใจใส่

“จ้าว พี่ขอโทษนะ” ตฤณเอ่ยย้ำคำขอโทษอีกครั้ง

แม้จะอาลัยอาวรณ์มากเท่าไรแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะอยู่ในห้องนั้นนานเกินไป เขามองไปรอบห้องเพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำที่เคยมีจ้าวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่รู้เมื่อไรที่เด็กคนนั้นจะได้กลับมาอีกครั้ง หรือบางทีมันอาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว

ตฤณเก็บข้าวของของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง

“งั้นผมไปก่อนนะ แล้วจะมาใหม่”

‘ให้ผมไปส่งที่หน้าประตูนะ’

ตฤณพยักหน้า ทั้งคู่เดินลงไปข้างล่างพร้อมกัน เจตรินหยุดยืนส่งแค่ที่หน้าประตูคฤหาสน์อย่างที่บอกแต่ยังมิวายกำชับเรื่องการแวะมาที่นี่อีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ‘ถ้าจะมาก็อย่ามาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วนะ’

เจตรินรอให้ตฤณเดินจากไปจนลับสายตา ประตูคฤหาสน์หลังนี้จึงกลับมาปิดตายอีกครั้ง เขายืนอยู่ตรงนั้นที่เดิม ถ้าหากวันนั้นคำพูดของเขามันหนักแน่นมากกว่านี้ ถ้าเขาไม่ใช่คนใจอ่อนที่ยอมน้องชายอยู่เสมอ บางทีวันนี้จ้าวอาจจะยังยืนอยู่ข้างกัน

คฤหาสน์หลังนี้เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่จ้าวไม่อยู่ จากหน้ามือกลายเป็นหลังมือ วิญญาณผีตายโหงและพวกสัมภเวสีที่มีความอาฆาตแค้นคล้ายจะลุกฮือขึ้นมาก่อกบฏ ช่วงชิงอำนาจปกครองไป ในเวลากลางคืนหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วมันจึงไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะไม่เกินเรื่องราวเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม วิญญาณพวกนั้นถ้าไม่ต้องการเพียงแค่เล่นสนุกก็มักจะอยากได้ตัวตายตัวแทน ผู้ที่จะมาติดอยู่ที่นี่แล้วตนจะได้หลุดพ้นไปผุดไปเกิดใหม่

‘พี่รอจ้าวอยู่นะ ทุกคนก็กำลังรอจ้าวอยู่ ตฤณก็รออยู่ด้วยนะ ได้ยินไหม’


-----------------------------------


หลังจากที่ตฤณออกจากคฤหาสน์ของตระกูลคัลเลนมาแล้วก็มุ่งหน้าไปมหาวิทยาลัยทันที เขาคอยหลบเลี่ยงไม่เจอหน้าเมฆมาตลอดหลายวันแต่วันนี้เห็นทีคงไม่ได้เสียแล้ว

“ตฤณ”

ตฤณไม่ตอบแต่ทว่าหูก็ยังตั้งใจฟังในสิ่งที่เมฆจะพูดถึง

“พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

ตฤณเงียบ ยังไม่ยอมพูดอะไรด้วยอีก

“ตฤณ พี่ขอคุยเรื่องเด็กคนนั้นหน่อย ถ้าเห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญก็ฟังพี่พูดบ้าง”

“ผมฟังพี่มาเยอะแล้ว”

“ตฤณ เรื่องนี้อาจจะสำคัญกับแกนะ ถ้าแกรักเขา”

“งั้นพี่ก็พูดมา”

ตฤณยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของรุ่นพี่ที่ไม่มีแม้แต่ความล้อเล่น นั่นหมายถึงว่าสิ่งที่เมฆจะพูดนั้นคงเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ ดั่งว่า แต่เมฆกลับยังไม่ยอมพูดอะไรออกไป เขามองซ้ายมองขวาคล้ายว่าอยากต้องการที่ที่สงบเงียบกว่านี้

“พี่เมฆ”

“ไปคุยกันที่อื่นได้ไหม”

“ผมมีเวลาไม่นานนะ”

เมฆพยักหน้า เขาเองก็มีเรื่องที่จะพูดไม่นานเช่นกัน ทั้งคู่เดินออกจากซุ้มคณะตรงไปยังซอกมุมหนึ่งใกล้ลานจอดรถของคณะ ที่นี่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านมากนักและค่อนข้างเงียบสงบ ถึงจะมีคนอยู่บ้างก็แค่เดินผ่านมาและผ่านไป ไม่มีใครสนใจฟังเรื่องที่พวกเขาสองคนพูดคุยกันอยู่แล้ว

“พี่เมฆจะพูดอะไร”

“ขอพี่ถามสักสองสามเรื่องก่อนได้ไหม”

ตฤณพยักหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้น เมฆจึงคิดถามย้ำเรื่องราวเดิมๆ อีกครั้ง “แกคิดอะไรกับเด็กคนนั้นใช่ไหม”

เสียงตอบรับในลำคอแม้จะไม่ได้ดังแต่มันก็หนักแน่นทำให้เมฆผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็คิดว่าถ้าหากรุ่นน้องคนนี้ได้รับรู้ความจริงว่าจ้าวเป็นผู้อยู่ต่างภพต่างภูมิกันแล้วจะตัดใจจากได้ แต่ทว่ากลับไม่ยอมปล่อยมือแม้แต่น้อย

“พี่ไม่รู้นะว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ วิญญาณอีกครึ่งของแกยังไม่กลับมา”

ตฤณชะงักค้างไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าจ้าวยังอยู่ เพียงแต่ไม่มีใครหาพบแม้กระทั่งพี่ชายก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ดวงวิญญาณนั้นหายไปอยู่ที่ไหน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ได้เชื่อเรื่องที่เมฆพูดเกี่ยวกับจ้าวสักครั้งแต่ทว่าครั้งนี้หัวใจกลับเชื่อมันอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ วิญญาณของเขาอีกครึ่งยังอยู่ที่จ้าวนั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะอย่างน้อยก็ยังมั่นใจได้ว่าวิญญาณดวงนั้นยังไม่แตกดับไป เพียงแค่อ่อนแรงจนไม่สามารถปรากฏร่างให้ใครเห็นได้

“รู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง ถ้าเมื่อไรที่วิญญาณอีกครึ่งของแกกลับมาอยู่ที่ร่างก็มั่นใจได้เลยว่าเขาจากไปอย่างถาวรแล้ว”

“อืม รู้”

“แล้ว... เขาเป็นยังไงบ้าง”

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตฤณตอบไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ให้คำตอบไม่ได้ทั้งนั้น เขาส่ายหน้าอย่างจนใจ

“ถ้าอยากเจอเขา มันก็พอมีวิธี แค่ตามหาวิญญาณอีกครึ่งของแกพบก็จะได้พบเขาเอง”

พลันนั้นหัวใจของตฤณก็พองโตขึ้นมาเล็กน้อย ขอเพียงแค่ได้พบหน้าจ้าว ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์ก็ยอม

“แล้วต้องทำยังไง”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยได้ยินว่ามันมีวิธีนี้อยู่ มันเป็นวิธีโบราณที่พี่ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันมันสาบสูญไปแล้วหรือยัง ให้อย่างมากวิญญาณคนเราออกจากร่างก็ต้องออกไปทั้งดวง ไม่ใช่ออกไปครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้”

เพียงเสี้ยววินาที หัวใจของตฤณก็กลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้ง รู้ว่ามีวิธีแต่ไม่อาจนำมาใช้การได้จะต่างอะไรกับการที่ไม่รู้เลยสักอย่าง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ การจะได้พบเจอกับจ้าวอีกครั้งทำไมถึงได้เป็นเรื่องยากขนาดนี้ ถ้าเขาสามารถล่วงรู้อนาคตว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนั้นจะหายไปจากวงจรชีวิต เขาจะโอบกอดเอาไว้ให้แน่นจนกว่าจะหมดแรง

“ถ้ามันไม่รู้จะทำยังไงก็คงต้องรอให้เขากลับมาเอง”

คำพูดนี้ไม่ใช่ของเมฆแต่เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของตฤณ ในเมื่อตามหาไม่ได้ก็ทำได้เพียงแค่รอเขาอยู่ตรงที่เดิม รอจนกว่าเขาจะวนกลับมาเจอกับเราอีกครั้ง

“ตฤณ หายโกรธพี่ได้ไหม”

ตฤณไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นโกรธเคืองอะไรเมฆเลย แค่รู้สึกว่าถ้าไม่ใช่เพราะเมฆต้องการพิสูจน์ความจริงที่เขาพยายามไม่เชื่อ จ้าวก็คงไม่หายไปอย่างนี้ แต่คงโทษเมฆทั้งหมดไม่ได้ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความผิดนั้นก็เกิดจากตัวเขาด้วยเช่นกัน

“ไม่ได้โกรธอะไรพี่ขนาดนั้น”

“แล้วทำไมถึงไม่คุยด้วย”

“พี่คิดว่าเกิดเรื่องแบบนั้นแล้วมันจะทำตัวเป็นปกติได้เหรอ”

เมฆเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องไม่คาดฝันและยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่รัก ไม่ว่าใครก็คงไม่มีใครทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆ เขาจึงเงียบและไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก

“พี่เมฆว่างกลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นกับผมไหม”

“ห๊ะ!”

ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากเหยียบย่างเข้าไป เจ้าของคฤหาสน์อย่างจ้าวไม่อยู่ก็ใช่ว่ามันจะสงบสุขเสียเมื่อไรและเขาไม่อยากพบเจออะไรที่อาจจะเป็นการนำเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น

“ไปคฤหาสน์หลังนั้นกับผมนะ”

“เหอๆ... วันอื่นนะ ไม่ใช่วันนี้”

“อีกห้าวัน เราไปที่นั่นกัน”

เมฆพยักหน้ารับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เขาทำผิดกับเด็กคนนั้นเอาไว้ บางทีก็ควรจะต้องไปขอโทษบ้าง



** ติดตามตอนต่อไป **

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 23 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-05-2018 18:36:29
จ้าว  ไปอยู่ที่ไหนหว่า  :hao4:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 23 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 21-05-2018 19:11:04
พี่เฆมคือตัวช่วย หรือ พี่เฆมจะกลายเป็นเหยื่อ
ลุ้นอย่างเดียว รออออออ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 23 [20/05/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 02-06-2018 06:15:00
รอจร้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 24 [02/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 02-06-2018 18:00:13
::: ตอนที่ 24 :::
หมอผีผู้นั้น (1)






กว่าตฤณจะกลับมาที่คฤหาสน์หลังนั้นอีกครั้งก็ผ่านไปห้าวันอย่างที่เคยได้เอ่ยชวนเมฆและครั้งนี้เมฆเองก็ตามมาด้วย แต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแม้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์จะยังไม่ลาลับขอบฟ้าไปเสียทีเดียว ความปลอดภัยที่เจตรินเคยพูดถึงเมื่อก่อนหน้านี้นั้นเขาไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้อีกแล้วราวกับว่าไม่ว่าจะเป็นเมื่อไร ความน่ากลัวของคฤหาสน์ก็ไม่ต่างกันนัก

“ตฤณ พี่ว่าอย่าเพิ่งเข้าเถอะ”

“มี... มีอะไรเหรอ พี่”

เมฆมองลอดผ่านรั้วเข้าไป แม้จะเป็นเพียงความว่างเปล่าที่รกร้างแต่เขากลับสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาฆาตมุ่งร้ายรออยู่เบื้องหน้า ถ้าหากเหยียบย่ำเข้าไปยังอาณาเขตนั้นก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าหลังจากนี้จะได้เจอกับอะไร

“พี่รู้สึกไม่ดีเลย มันแย่กว่าตอนที่เจอเด็กคนนั้นอีก”

ตฤณเองก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนว่าถ้าจากไปแล้วจะมีเรื่องราวเลวร้ายเกิดขึ้นที่คฤหาสน์หลังนี้และนั่นจะนำพาให้เขาไม่ได้พบเจอกับจ้าวอีกเลยชั่วชีวิต เขาจึงค่อนข้างลังเลไม่น้อยที่จะเดินจากมาทั้งที่ตอนนี้ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูรั้วแล้ว

“ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ผม... ไม่อยากกลับไปเลย”

“เอ๊า! เข้าก็เข้า แต่ถ้าเข้าไปแล้วพี่รู้สึกว่าเราควรจะต้องออกก็ต้องออกมานะ เข้าใจที่พูดใช่ไหม”

ตฤณแค่ตอบรับในลำคอเบาๆ ยื่นมืออกไปผลักประตูรั้วให้เปิดออกเล็กน้อย เพียงแค่ส่วนหนึ่งของแขนเข้าไปอยู่ภายใต้อาณาเขตของคฤหาสน์ก็รับรู้ได้ถึงความเย็นเฉียบที่แผ่พุ่งตรงเข้ามาแต่แขนส่วนอื่นที่ไม่ได้ย่างเข้าไปในเขตพื้นที่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย

“พี่เมฆ มันแย่กว่าวันนั้นที่ผมมาอีก”

ตฤณรีบชักมือกลับ

“เดี๋ยวค่อยกลับมาดีกว่า ให้พี่ไปเตรียมของบางอย่างก่อน เข้าไปทั้งอย่างนี้ถ้าไม่กลายเป็นผีก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว วันนี้พี่รู้สึกไม่ดีกับที่นี่จริงๆ”

“ของอะไรวะ พี่”

“พระไง จะให้เตรียมอะไร”

“ไม่ต้องเตรียมเลย เข้าไปทั้งอย่างนี้แหละ”

ตฤณลากเมฆให้เข้าไปทั้งอย่างนั้น กลั้นใจเดินผ่านสวนร้าง ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยวไร้การเหลียวแลหน้าคฤหาสน์ที่ชวนให้ขนแขนพร้อมใจกันลุกเกรียวมากกว่าครั้งไหนๆ ทั้งที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินแท้ๆ แม้แต่เมฆยังรู้สึกถึงความผิดสังเกตนี้ได้ เขาจับสัมผัสถึงเหล่าดวงวิญญาณอาฆาตแค้นที่ยืนอยู่บริเวณสวนร้าง

“พี่นึกว่าเขาจะทำอะไรเราแต่มันไม่ใช่ เหมือนวิญญาณพวกนั้นกำลังรออะไร”

เมื่อได้ยินรุ่นพี่พูดขึ้นมาอย่างนั้น ตฤณพลันนึกถึงจ้าวขึ้นมา “เป็นไปได้ไหมว่ารอจ้าว”

เมฆส่ายหน้า เขาไม่รู้ว่าวิญญาณพวกนั้นกำลังรออะไร รู้แค่ว่าแรงอาฆาตมาดร้ายรุนแรงมากถึงขนาดฆ่าคนตายได้โดยไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่เป้าหมายของพวกนั้นกลับไม่ใช่พวกเขาสองคนเท่านั้น

ประตูคฤหาสน์ด้านหน้าเปิดออกราวกับล่วงรู้ว่าพวกเขาจะมาเยือน เจตรินยืนรออยู่ข้างในเพียงลำพังโดยไม่มีจ้าวยืนรออยู่ด้วยพาให้หัวใจของตฤณสั่นไหวแปลกๆ คล้ายว่าจะบอกเป็นนัยว่าสุดท้ายแล้วจ้าวจะจากพวกเขาไป เขาไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไปใกล้มากกว่านี้เพียงเพราะกลัวว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริงขึ้นมา

‘มาทำอะไรกันวันนี้’ 

ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะก้าวเยียบบันไดหน้าคฤหาสน์ เจตรินก็ถามขึ้นมาเสียก่อนทำให้พวกเขาหยุดชะงักไปเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจในบางสิ่ง โดยเฉพาะตฤณที่จำได้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอีกฝ่ายเป็นคนบอกเองให้มาก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป

“จ้าวอยู่หรือเปล่า”

เจตรินเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของตฤณแต่กลับพูดในสิ่งที่ควรต้องพูดในเวลานี้ออกไปแทน ‘กลับไปก่อนเถอะ วันนี้เป็นวันไม่ดี ไม่ควรอยู่นาน’

ตฤณก้าวเข้าไปหาเจตรินโดยมีเมฆเดินตามหลังมา “อยากถามเรื่องจ้าวหน่อยได้ไหม”

‘ถ้าจะถามก็ขอเป็นวันอื่นได้ไหมที่ไม่ใช่วันนี้ ขอร้องล่ะ ออกไปเถอะ เขาจะมาแล้ว’

“ใครจะมา”

‘หมอผี เมื่อสองวันก่อนมันส่งโหงพรายมาสอดแนมที่นี่ วิญญาณที่อยู่หน้าคฤหาสน์ถึงได้เฝ้าไม่วางตาเพราะถ้าหมอผีนั่นมาที่นี่ วิญญาณทุกตนในนี้เดือดร้อนแน่’


“แล้วจ้าวล่ะ”

เจตรินยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินตฤณถามถึงน้องชายของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก ‘ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องห่วง กลับออกไปก่อนที่เขาจะมาถึงเถอะ ไม่อยากให้ต้องมาโดนร่างแหไปด้วย’

ตฤณหันไปมองหน้าเมฆราวกับอยากจะถามว่าควรทำอย่างไรดีในตอนนี้ จะออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปตามที่เจตรินบอกแล้วปล่อยให้พวกเขาต้องเจอกับหมอผีคนนั้นเพียงลำพังหรือจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนดี เรื่องแบบนี้เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพราะไม่รู้ถึงความร้ายกาจของหมอผีคนนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อหมอผีมาแล้วจะลงมือทำอะไรบ้าง

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเราจะอยู่เป็นเพื่อน”

เจตรินพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่เขาพยายามไล่ให้ออกไปอย่างสุภาพแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงยังยืนกรานที่จะอยู่ที่นี่ต่อ แต่ทว่าเขากลับไม่มีเวลามานึกถามหาเหตุผลนานเท่าไรนักก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างมุ่งตรงมายังคฤหาสน์หลังนี้อย่างรวดเร็วในขณะที่พระอาทิตย์กำลังฉายแสงสุดท้าย

‘เขามาแล้ว ตามผมมา’

ตฤณกับเมฆยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่จนเจตรินต้องเรียกซ้ำอีกครั้ง พวกเขาถึงได้ตามไป เจตรินพาขึ้นไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ เลี้ยวไปทางฝั่งต้องห้ามสำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่แต่ตฤณไม่มีเวลาคิดจึงไม่ได้ถามอะไรออกไป ประตูห้องบานหนึ่งถูกเปิดออกโดยที่เจตรินยังไม่ทันได้สัมผัสกับลูกบิดประตู

‘เข้าไปที่ห้องนั้นแล้วอย่าออกมาจนกว่าผมจะมาตาม’

“แล้วคุณจะไปไหน”

‘วิญญาณพวกนั้นรับมือกับหมอผีไม่ไหวแน่’


เจตรินตอบคำถามของเมฆเพียงเท่านั้นแล้ววิ่งหายไป เหลือทิ้งไว้แค่ตฤณกับเมฆและประตูที่เปิดค้างไว้บานนั้น พวกเขามองหน้ากันอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปในห้องที่มีเพียงแค่แสงริบหรี่ของดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้าเต็มทีเท่านั้น

เมื่อยามที่เท้าข้างแรกสัมผัสพื้นส่วนหนึ่งของห้อง ตฤณกลับพบว่ามันอบอุ่นอย่างน่าประหลาดเหมือนตอนที่มีจ้าวอยู่ด้วยไม่มีผิด แล้วพลันนั้นก็เผลอนึกถึงเด็กคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เด็กที่เขาบอกกับตัวเองว่าไม่ว่าจะดีหรือร้ายอย่างไรก็จะยังรัก

“ตฤณ... นั่น”

เมฆพยักพเยิดให้ดูอะไรบางอย่างบนเตียงนอนและเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่จะเห็นหลังจากนี้คืออะไรกันแน่ เขาจึงเปิดไฟฉายที่ติดมากับโทรศัพท์มือถือส่องไปยังเตียงนอนหลังเก่า เห็นเพียงแค่ผ้าห่มสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่ถูกฝุ่นจับหนาเป็นนิ้วห่มคลุมบางสิ่งบางอย่างที่อยู่บนเตียงนอนนั่นที่มีรูปร่างคล้ายคน

ตฤณก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยความระแวดระวังตรงเข้าไปดูว่าสิ่งที่เมฆเรียกให้ดูนั้นเป็นอะไรกันแน่ แต่แล้วก็ต้องผงะไปเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่บนเตียงนอนหลังเก่าคือโครงกระดูกของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง หัวใจของเขาหล่นวูบไปถึงตาตุ่มแล้วจมหายไปกับพื้นดิน “จ้าว”

“ร่างนี้ใช่เขาแน่เหรอ”   

ตฤณไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ เขาถึงได้เงียบไปอย่างใช้ความคิด

“ถ้าเด็กคนนั้นเพิ่งตายได้ไม่กี่ปี ศพนี้ก็น่าจะไม่เหลือแต่โครงกระดูกแบบนี้หรอก” เมฆพูดขึ้นต่อจากนั้นราวกับว่าเขาต้องการย้ำว่าความจริงแล้วจ้าวก็คือวินเซ้นท์ เด็กผู้ชายที่เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้เก็บมาเลี้ยงดู แต่ดูเหมือนตฤณจะยังไม่เข้าใจ เขาจึงพูดย้ำสำทับความคิดเห็นของตัวเองเพิ่มเติม “ดูหยากไย่พวกนี้ก่อน จับกันเป็นก้อนขนาดนี้ มันต้องอยู่มานานกี่สิบปีกัน”

ตฤณพูดอะไรไม่ออก ถ้านั่นเป็นความจริงจะเท่ากับว่าข่าวที่อยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อนานมาแล้วก็จะกลายเป็นเรื่องจริงด้วยเช่นกัน เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ถ้าหากนั่นเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เขาไม่แน่ใจว่าจะรับได้อีกมากเท่าไรกัน

“พี่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำใจยาก มนุษย์กับวิญญาณสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่คู่กันอยู่ดี สิ่งที่อยู่ต่างภพต่างภูมิต่อให้มองเห็นซึ่งกันและกันได้ สัมผัสกันได้แต่มันก็มีเส้นบางๆ ที่แบ่งแยกมันออกจากกัน นั่นคือเส้นที่เรียกว่าความจริง”

“พี่เจต!!”

เสียงของใครบางคนลอยมากระทบเข้าหูแต่มันช่างคุ้นเคยเหมือนเสียงที่ห่างหายไปหลายวันก่อน... เสียงของจ้าว ร่างของตฤณนิ่งชะงักไปเหมือนตายแล้วได้เกิดใหม่ แม้จะมีแค่เสียงแต่ไม่เห็นร่าง เพียงเท่านั้นหัวใจพลันกลับมาสูบฉีดเลือดตามปกติ

“จ้าว...”

ตฤณพยายามส่องไฟจากมือถือไปทุกที่รอบตัวอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่พบใคร บางทีอาจเป็นเขาที่หูฟาดไปเองมากกว่าแต่แล้วก็รู้สึกเย็บวูบที่ด้านหลังจึงหันแสงไฟส่องกลับไป เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าซีดเผือด ไม่ยิ้มแย้มใดๆ ร่างนั้นโปร่งแสงเล็กน้อยจนมองทะลุถึงกำแพงที่อยู่ข้างหลัง เขาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไปจนกระทั่งทั้งหมดตกอยู่ภายใต้ความเงียบที่น่าอึดอัด

“อยู่แต่ในห้องนี้ ห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาดนะครับ พี่ตฤณ”

“จ้าว หมอผีนั่น...”

วิญญาณโปร่งแสงท่าทางอิดโรยราวกับยังฟื้นฟูพลังของตัวเองกลับมาได้ยังไม่ครบจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของตฤณคล้ายว่ากำลังหงุดหงิดใจที่อีกฝ่ายเอาแต่ซักไซ้ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา “เพราะหมอผีนั่นเป็นศัตรูเก่าและจ้าวอาจเผลอทำตัวร้ายกาจออกไป พี่ตฤณกับพี่เมฆช่วยอยู่ที่นี่ก่อนจนกว่าพี่เจตจะมาเถอะครับ”

วิญญาณโปร่งแสงของจ้าวเดินทะลุผ่านประตูห้องออกไป เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังสถานะของตัวเองอีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นจ้าวออกจากห้องไปแล้วตฤณก็รีบเปิดประตูออกไปในทันทีแม้ว่าเมฆพยายามห้ามปรามแล้วแต่กลับไม่ฟัง เขาจึงจำต้องวิ่งตามออกไปอีกคน แอบมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างล่างอยู่ตรงมุมหนึ่งใกล้กับบันไดชั้นสอง

“กล้ามากทีเดียวนะที่มาวางวงสายสิญจน์ในคฤหาสน์หลังนี้”





// ต่อข้างล่าง //
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 24 [02/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 02-06-2018 18:00:41
หมอผีเฒ่าหัวเราะหึๆ อยู่ในวงสายสิญจน์ที่วางเอาไว้กลางโถงใหญ่ ดวงตาสีดอกเลาจ้องมองเด็กผู้ชายที่หน้าตาไม่เคยเปลี่ยนแม้เวลาจะผ่านมานานกว่าสิบปีด้วยแววอาฆาตมาดร้าย

จ้าวก้าวลงบันไดมาอย่างเชื่องช้าด้วยสภาพที่ใครต่อใครก็คงคาดเดาได้ไม่ยอมว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่จะรับมือได้อย่างง่ายดาย คราวที่แล้วหมอผีเฒ่าก็พ่ายแพ้ให้กับพลังอำนาจอันร้ายกาจของเด็กคนนี้จนตนต้องสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักไปต่อหน้าต่อตา

“เพราะแก! ทำให้ลูกชายฉันตาย!”

“ไม่ได้เป็นเพราะรนหาที่ตายเองหรอกเหรอ ตอนนั้นจ้าวก็แค่ช่วยสงเคราะห์ให้ไปพบยมบาลเร็วขึ้นเท่านั้น ไม่คิดจะขอบคุณแล้วยังจะมากล่าวโทษกันอีก”

หมอผีเฒ่าไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรให้ยืดยาวเสียเวลา เขากวักมือเรียกลูกศิษย์ให้หยิบหุ่นปั้นควายธนูออกมาจากกระเป๋าย่าม พึมพำท่องคาถาอยู่ครู่หนึ่งแล้วปล่อยให้ควายธนูตัวนั้นวิ่งพุ่งเข้าทำร้ายดวงวิญญาณของจ้าว มันวิ่งมาอย่างเร็วรี่ ดวงตาสีแดงก่ำของมันเต็มไปด้วยความโกรธแต่จ้าวกลับใช้มือเพียงข้างเดียวปัดออกก่อนที่จะมาถึงตัว ร่างของควายธนูเปลี่ยนทิศทาง ชนเข้ากับกำแงปูนแล้วแตกออกเป็นผุยผงจางหายไปพร้อมกับฝุ่นที่คละคลุ้งไปทั่ว   

“แก!!” หมอผีเฒ่าไม่ยอมลดราวาศอก สบถออกมาอย่างเคียดแค้นชิงชัง

จ้าวเดินลงมาถึงชั้นล่าง ยืนอยู่เคียงข้างกับเจตรินรอดูเชิงอีกฝ่ายที่กำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ สายสิญจน์นั่นแม้จะไม่ได้มีพลังแรงกล้าเหมือนเช่นอาณาเขตวัดที่จ้าวได้ประสบพบเจอมาแต่ก็ประมาทไม่ได้อย่างเด็ดขาด

‘ปล่อยพวกเราไปได้ไหม’

เจตรินไม่อยากมีเรื่องราวแต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาอาจปล่อยให้ทำตามอำเภอใจแต่ทว่าจ้าวในตอนนี้น่าเป็นห่วงกว่ากันมาก ดวงวิญญาณที่ยังไม่แข็งแรงดีย่อมมีพลังอำนาจไม่มากพอที่จะต่อกรกับหมอผีคู่แค้นคนนั้นได้อย่างมั่นอกมั่นใจว่าตนจะเป็นฝ่ายชนะ

“ปล่อย? ตอนนั้นฉันขอร้องอ้อนวอนน้องแกแทบเป็นแทบตายให้ปล่อยลูกชายฉันไป แกปล่อยไหม”

ย้อนนึกถึงช่วงเวลาเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นคฤหาสน์หลังนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคฤหาสน์ผีดุ ใครเข้ามาหลบหลู่ลองดีมักจะไม่รอดทุกรายไป หมอผีเฒ่าในสมัยที่ยังไม่แก่ชราเหมือนในตอนนี้ได้พาลูกศิษย์กับลูกชายเข้ามาทำการปราบผี ส่งวิญญาณร้ายให้กลับสู่ที่เดิมของมัน หมอผีในวัยกลางคนยังร่ำเรียนวิชามาไม่มากพอจึงทานทนต่อฤทธิ์ของวิญญาณชั่วร้ายในที่นี้ไม่ได้ ซมซานกลับไปพร้อมกับหอบเอาความแค้นที่ฆ่าลูกชายตนไปด้วย เวลาผ่านพ้นไปเป็นสิบปี หมอผีผู้นั้นกลับมาแก้แค้น

‘แล้วรู้หรือเปล่าว่าถ้าเข้ามาที่นี่จะพบกับอะไร’

“รู้ วิญญาณของพวกแกที่รอให้ฉันส่งไปขอโทษลูกชายฉันไง!”

‘แบบนั้นเรียกว่าไม่รู้อะไรเลยต่างหาก...’


เจตรินเงียบลงเมื่อถูกจ้าวห้ามปรามไม่ยอมให้พูดต่อ ใบหน้าของเจตรินจึงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจแต่แล้วก็รู้ว่าต่อให้ตนเองอธิบายจนน้ำลายแตกฟอง หมอผีคนนั้นก็ไม่มีวันละทิ้งความแค้นที่ฝังอยู่ในใจไปได้ เพียงจ้าวกวักมือเรียก วิญญาณสิบกว่าตนก็โผล่มายืนขนาบข้าง

“กับคนประเภทนี้ พี่เจตอย่าเสียเวลาพูดให้เหนื่อยเลยครับ เขามาที่นี่ก็ไม่ได้ต้องการมาเจรจาด้วยแต่แรกอยู่แล้ว”

จะจัดการหมอผีที่อยู่ในวงล้อมสายสิญจน์ที่พวกภูตผีวิญญาณไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้นั้นท่าทางจะยากเอาเรื่อง ยิ่งจ้าวอยู่ในช่วงฟื้นฟูพลังของตนยิ่งต้องคิดหาทางให้มากและแยบยลขึ้น ไม่อาจต่อสู้ด้วยการปะทะตรงๆ ซึ่งๆ หน้าได้

“หึ! แก!”

หมอผีเฒ่าหยิบข้าวสารที่ถูกร่ายคาถาปาใส่ร่างของจ้าว เขาแอบขยับกายเล็กน้อยบังร่างของพี่ชายเอาไว้แล้วปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นโล่กำบัง หนึ่งเพื่อต้องการปกป้องพี่ชาย สองเพื่อนต้องการปกป้องความจริงจากตฤณกับเมฆที่กำลังแอบมองอยู่ข้างบน แม้ร่างกายจะปวดแสบปวดร้อนด้วยอาคมแต่จ้าวก็ยังตีสีหน้านิ่งหยิ่งยโส เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ภายใน

“ฝีมือยังไม่พัฒนาขึ้นจากเดิมเลยนะ เวลาที่ผ่านไปมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือยังไงครับ”

หมอผีเฒ่ากัดฟันกรอดที่สิ่งที่ตนมีไม่อาจทำให้วิญญาณตนนี้ระคายเคืองได้เลยจึงสั่งเรียกลูกศิษย์ให้หยิบของชิ้นสำคัญออกมาจากกระเป๋าย่าม ในขณะที่ดวงวิญญาณที่จ้าวเรียกมาก็พร้อมสู้เช่นกัน ไม่ใช่เพื่อผู้เรียกแต่เพื่อตนเอง หาไม่แล้วก็คงได้กลายเป็นวิญญาณรับใช้หมอผีเฒ่าคนนั้นแน่

จ้าวเดินถอยหลังออกมาพร้อมเจตริน ปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นที่หวังต้องการตัวตายตัวแทนได้อยู่เป็นทัพหน้าคอยจัดการ จะบอกว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ไม่ผิดแต่เขากำลังเก็บไพ่ใบสุดท้ายเอาไว้อยู่ในมือ ไพ่ของเดวิลที่พร้อมมอบความตายให้กับทุกคน

จ้าวเดินตรงไปหาตฤณและเมฆที่แอบอยู่หลังกำแพงปูน

“พี่เมฆ พี่ตฤณ จ้าวขอความร่วมมืออะไรสักอย่างได้ไหมครับ”

เมฆหันไปมองหน้าตฤณด้วยความลังเลใจแต่ในสายตาของรุ่นน้องที่เขาเห็นนั้นมีแต่ความยินดีที่จะทำตามคำขอร้อง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม

“ลงไปข้างล่างด้วยกันหน่อยสิครับ แล้วอยู่เฉยๆ ยังไม่ต้องทำอะไร”

“ไม่ต้องทำอะไรคือ...”

จ้าวไม่ยอมตอบ เมฆจึงหันไปถามหาคำตอบจากเจตรินแต่ก็ยังไม่ได้อะไรกลับมาเช่นกัน เขาไม่รู้ความคิดของน้องชาย ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ไม่รู้ว่าแผนการที่วางเอาไว้คืออะไร สรุปอย่างง่ายๆ คือเขาไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว

“ตกลงรับคำขอของจ้าวไหมครับ”

ตฤณพยักหน้ารับคำแล้วเอื้อมมือออกไปเพื่อกอบกุมมือเล็กนั้นเอาไว้แต่กลับคว้าได้เพียงแค่อากาศ มือของเขาทะลุมือของจ้าวลงไป ไม่ว่าเขาจะพยายามอีกกี่ครั้งร่างกายนั้นก็ได้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ไปแล้ว พลันนั้นถึงได้รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง หัวใจของเขาราวกับใครสาดน้ำเย็นเฉียบเข้าใส่ แม้จะรับรู้ความจริงแล้วแต่เมื่อมาเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่ามันยากที่จะยอมรับง่ายๆ

“มันเป็นเรื่องปกติที่วิญญาณทั่วไปจะจับต้องไม่ได้อยู่แล้ว ยกเว้นพวกที่มีพลังกล้าแข็ง”

จ้าวหันหลังกลับ ก้าวลงบันไดไปเผชิญหน้ากับหมอผีเฒ่าคนนั้นหลังรับรู้แล้วว่าวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นไม่รอดพ้นเงื้อมมือหมอผีคนนั้นไปได้

หมอผีเฒ่ายืนรออยู่ในวงสายสิญจน์อยู่นานแล้ว พอเห็นว่าศัตรูคู่แค้นเดินมาก็ไม่รอช้าที่จะขว้างสายสิญจน์ที่ลงอาคมแล้วไปข้างหน้า ครอบร่างวิญญาณของจ้าวเอาไว้แล้วท่องบทสวดคาถาอาคมทำให้ร่างที่อยู่ในนั้นร้อนรุ่มทรมานกายดั่งถูกเปลวเพลิงแผดเผาทุกส่วนของร่างกายคล้ายว่าถูกลากลงนรกกระทะทองแดงให้ตายทั้งเป็น

‘จ้าว!’

“พี่เจต!! อย่า!!” จ้าวรีบร้องห้ามเมื่อเห็นว่าเจตรินกำลังจะทำอะไรโง่ๆ อย่างเช่นกระชากสายสิญจน์ให้ขาดออกจากกัน

ตฤณกำลังจะเอื้อมมือเข้าไปช่วยแกะสายสิญจน์นั้นออกแต่ร่างของจ้าวกลับถูกดึงกระชากให้เข้าไปใกล้กับหมอผีเฒ่าผู้นั้น จ้าวยังคงนิ่งเฉย ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแต่ภายในกับปวดร้าวจนเกินจะทานทน เขากัดฟันแน่น อดทนต่อความเจ็บปวดที่เพิ่มเท่าทวีคูณเมื่อหมอผีเฒ่าท่องบทสวดคาถา ตฤณรีบวิ่งเข้าไปใกล้กับร่างของจ้าวแล้วลงมือดึงกระชากสายสิญจน์ที่พันร่างของคนที่รักเอาไว้แต่มันเหนียวเสียจนเขาเกือบหมดแรง

“ไม่คิดว่าจะมีใครทำอะไรโง่ๆ สายสิญจน์นั่นจะขาดได้ก็ต้องใช้อาคม!”

เจตรินที่กำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงเชิงบันไดเพิ่งจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปกระซิบกระซาบเชิงขอร้องกับเมฆที่พยายามไม่เอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกลากเข้าไปร่วมด้วยอยู่ดี

เมฆเดินเข้าไปใกล้กับวงล้อมสายสิญจน์ของหมอผีเฒ่าด้วยท่าทางหวาดผวาต่อสิ่งที่พบเห็น “พ่อหมอ! ผม... ผมกลัว... ขอผมเข้าไปอยู่ด้วยได้ไหม” 

หมอผีเฒ่าตอบรับอย่างไม่เต็มเสียงนักคล้ายว่ากำลังรู้สึกรำคาญที่ถูกขัดจังหวะ “จะเข้าก็เข้ามา ก้าวระวังด้วยล่ะ อย่าสะดุดสายสิญจน์”

เมฆพยักหน้าพร้อมกับก้าวเข้าไปในวงล้อมสายสิญจน์อย่างระมัดระวังที่สุด

“พี่เมฆ!!” ตฤณตะโกนขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่ารุ่นพี่ของเขาจะปอดแหก คิดย้ายฝั่งไปอยู่ข้างเดียวกับหมอผีเฒ่าคนนั้นที่พร้อมจะเอาวิญญาณของจ้าวได้ทุกเมื่อ

“หยิบกริซออกมา”

กริซที่ลูกศิษย์คนหนึ่งหยิบออกมาจากกระเป๋าย่ามตามคำสั่งมีฤทธานุภาพค่อนข้างร้ายกาจ สามารถทำให้ดวงวิญญาณที่ไม่กล้าแข็งนั้นแตกสลายได้และมันอาจจะคร่าเอาวิญญาณของจ้าวที่ยังไม่แข็งแรงดีในเวลานี้ไปได้ด้วยเช่นกัน หน้าที่ของเมฆก็มีเพียงแค่แฝงตัวเข้าไปแล้วทำให้พิธีกรรมล่ม เพียงแต่ยังหาจังหวะโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้

หมอผีเฒ่ารับกริซเล่มนั้นมาจากลูกศิษย์ ท่องบทสวดคาถาอาคมใส่กริซที่อยู่ในมือ ร่างวิญญาณของจ้าวที่อยู่ใต้อาณัติของเขากำลังจะเดินทางมาถึงจุดจบแล้วแต่ทว่ากลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้เมื่อเมฆเดินเข้าไปใกล้แล้วเสนอสิ่งที่ดีกว่ากริซเล่มนั้นให้ “พ่อหมอ ผมมีอะไรจะเสนอ อานุภาพมันร้ายแรงกว่ากริซที่พ่อหมอมีอีกนะ”

ไม่มีสิ่งใดที่มีอานุภาพร้ายแรงกว่ากริซเล่มนี้ หรือต่อให้มีก็คงไม่ตกอยู่ในมือคนธรรมดาที่แม้แต่วิธีใช้งานยังไม่รู้ หมอผีเฒ่าอยากแก้แค้นให้ลูกชายจนลืมนึกถึงความจริงในข้อนี้ไป เขาพยักหน้าแล้วกวักมือเรียกให้เมฆเดินเข้าไปหา

“ไหนล่ะ ของที่ว่า”

“ไม่มีหรอก”

ในขณะที่เมฆตอบคำถามของหมอผีเฒ่าก็ยกเท้ายันหิ้งบูชาเล็กๆ เบาๆ ก่อนจะทำเป็นตกใจแต่ใครก็มองออกว่านั่นเป็นความจงใจมากกว่า ลูกศิษย์คนหนึ่งที่มองเห็นเหตุการณ์ทำท่าจะพุ่งเข้าไปชกให้เลือดกบปากแต่ถูกหมอผีเฒ่าปรามเอาไว้เสียก่อน

ถ้าพิธีกรรมถูกทำลาย อาณาเขตภายในสายสิญจน์ย่อมไม่มีความหมาย หมอผีเฒ่าเริ่มรู้ถึงชะตากรรมของตัวเอง ขืนยังปล่อยให้เมฆยังอยู่ในนี้ ชีวิตของเขาจะยิ่งเข้าใกล้ปรโลกมากขึ้นทุกทีแต่ก็ยังไม่อยากทำตัวใจไม้ไส้ระกำ ผลักไสออกไปนอกเขตสายสิญจน์

“พี่ตฤณอย่าพยายามเลยครับ”

จ้าวรับรู้ถึงความอยากช่วยของตฤณแต่มันไม่เกิดผลอะไร สิ่งที่ถูกลงอาคมเอาไว้ถ้าไม่แก้ด้วยอาคมก็อาจต้องแก้ด้วยของต่ำ แต่สายสิญจน์ที่พันร่างอยู่นั้นจะให้ยกเท้าขึ้นมาเหยียบก็คงลำบากพอดู ความเจ็บแสบจากฤทธิ์คาถาอาคมแม้จะเทียบเท่ากับเมื่อครั้งที่เจอความบริสุทธิ์ของวัดไม่ได้แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถทำร้ายเขาได้เลย

จ้าวพยายามครุ่นคิดหาทางออกในขณะที่ยังพอมีเวลาเหลือ ถ้าเขาพ่ายแพ้ให้กับหมอผีเฒ่าผู้นี้ วิญญาณดวงอื่นที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ก็คงไม่รอดพ้นด้วยเช่นกัน

“กริซเล่มนั้นของแกคงไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลยสินะ ถึงได้เชื่อคำพูดที่ว่ามีของที่มีอานุภาพมากกว่านี้”

หมอผีเฒ่าชะงักไปเล็กน้อย ถ้าบอกว่ากริซที่เขามีอยู่นั้นก็นับว่าดีแต่ไม่ที่สุด เป็นแค่กริซลงอาคมใหม่เมื่อหลายปีก่อน ไม่ใช่ของเก่าแก่หายากอะไร

“หึ!”

จ้าวยกยิ้มมุมปากอย่างหยิ่งผยอง ถึงจะตกอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไมได้แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาถือไพ่เหนือกว่าไปแล้ว มีเมฆอยู่ข้างหมอผีเฒ่านับว่าดี มีเจตรินอยู่ข้างหลังคอยมองสถานการณ์ มีตฤณอยู่ข้างกาย ผู้คนรายล้อม

“อาคมของแกไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลยจริงๆ ผ่านไปเป็นสิบปีดูเหมือนจะพัฒนาไปได้แค่นิดเดียวเองนะ”

ถ้อยคำดูถูกดูแคลนของจ้าวได้ผลชะงักนัก หมอผีเฒ่าเรียกให้ลูกศิษย์หยิบกริซที่ถูกพูดถึงมาให้ ยิ่งเข้าทางของจ้าวพอดิบพอดี เพียงแค่จ้าวออกแรงขยับตัวมากหน่อย สายสิญจน์ที่พันธนาการร่างเอาไว้ก็ขาดออกจากกัน หมอผีเฒ่าตื่นตระหนกตกใจด้วยคาดไม่ถึงว่าวิญญาณตนนี้แม้จะถูกฤทธิ์บริสุทธิ์ทำร้ายไปแล้วยังเหลือพลังในร่างกายมากพอที่จะทำให้สายสิญจน์ที่ลงคาถาอาคมเอาไว้ขาดออกจากกันได้

“จ้าวรู้ว่าแกคงแปลกใจ” จ้าวปัดเนื้อปัดตัวราวกับกำลังไล่เอาความเจ็บแปลบบนร่างกายให้ออกไปแล้วจึงพูดต่อโดยไม่ขยับไปไหน “คงได้ยินข่าวมาบ้างสินะว่าจ้าวเอาตัวเข้าไปต่อกรกับอำนาจบริสุทธิ์ในวัดมาจนวิญญาณอาจจะแตกดับไปแล้ว ก็จริง... มันเกือบไปแล้ว ดีที่ออกมาได้ทันเวลา แต่ถือว่าบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับว่าทำไมเวลาแค่ไม่กี่วันถึงได้กลับมาในสภาพเกือบสมบูรณ์ใช่ไหมล่ะ”   

หมอผีเฒ่าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวลาเพียงไม่กี่วัน วิญญาณคู่อริแค้นเก่าดวงนี้จะสามารถกลับมายืนหยัดได้อย่างสง่างามและผ่าเผย ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ หลงเหลืออยู่ในดวงตาสีแดงฉานคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย

“จ้าวก็มีคนของจ้าว คนที่พอรู้ว่าจ้าวเดือดร้อนก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยโดยไม่ต้องพูดอะไร”

รอยยิ้มจริงใจไม่โป้ปดบนใบหน้ากลมมนนั้นตอบได้อย่างดีว่าสิ่งที่จ้าวพูดออกไปทึกอย่างนั้นคือเรื่องจริง

“สายสิญจน์กับบทสวดนั่นทำเอาเจ็บแทบตายแต่พอแกหยุดสวด สายสิญจน์ของแกมันก็แค่ได้แค่รู้สึกแสบๆ คันๆ... อย่าลืมว่าจ้าวเป็นอะไร ของแค่นี้ทำอะไรจ้าวได้ไม่มากนักหรอก”

จ้าวเดินเข้าไปใกล้ ใบหน้าของหมอผีเฒ่าที่มั่นใจในความสามารถของตัวเองนักหนาว่าจะจัดการวิญญาณคู่แค้นของตนได้นั้นเผือดซีดเป็นหน้ากระดาษขาว แต่ทว่าลืมไปว่าไม่ใช่มีแค่ตัวเองที่พัฒนาฝีมือ จ้าวเองก็พัฒนาอำนาจของตัวเองขึ้นมาด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในมือได้ทั้งหมด

ดวงตาสีแดงเพลิงดิ่งเปลวไฟในนรกโลกันต์พร้อมแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่ดวงวิญญาณก็จะไม่เหลือไว้ให้กลับร่างได้อีก เมฆที่ยืนอยู่เยื้องไปข้างหลังหมอผีเฒ่าคนนั้นเห็นชัดเต็มสองตา ความโหดร้ายไร้ซึ่งความปราณีผิดกับเวลาที่สายตาคู่นั้นใช้มองตฤณซึ่งมันเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนทำให้เขาตระหนักแล้วว่าต่อให้เด็กคนนี้จะร้ายกาจมากแค่ไหนแต่สำหรับรุ่นน้องของเขานั้นถือเป็นข้อยกเว้น

“ถ้ามั่นใจว่ากริซนั่นทำอะไรจ้าวได้ก็ลองดู”

หมอผีเฒ่ายื่นมือออกไปรับกริซที่ลูกศิษย์ส่งมาให้แต่เมฆกลับแกล้งชนมือที่ยื่นมาด้านข้างเขาในขณะที่กริซเล่มนั้นกำลังจะเปลี่ยนมือจนมันกระเด็นหลุดออกไปนอกวงล้อมสายสิญจน์ ไม่ได้ไกลมากนักแต่หมอผีเฒ่ามัวแต่ตกใจจึงไม่ทันได้คว้าเอาไว้ ตฤณเห็นแบบนี้จึงรีบฉกฉวยโอกาสนี้หยิบกริซมาถือเอาไว้ในมือเสียเอง

หมอผีเฒ่าถึงกับเหงื่อซึม กริซของเขาตกอยู่ในมือของผู้ที่เข้าข้างวิญญาณดวงนั้น “เอามา... เอามาให้ฉัน”

ตฤณไม่ลังเลใจที่จะไม่ยื่นคืนไปให้ ถ้ากริซเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือของหมอผีนั่นจะเป็นการยื่นความตามให้กับคนที่รัก อีกทั้งเมฆยังช่วยทำให้กริซเล่มนี้กระดอนหลุดมือออกมานอกวงสายสิญจน์ เขาจะทำให้ใครผิดหวังไม่ได้ 

“พี่ตฤณ ถ้าอยากช่วยจ้าวก็ทำลายอาคมในกริซนั่นซะ”

ต่อให้นี่ไม่ใช่คำขอจากปากของจ้าว ตฤณก็ยินดีที่จะช่วยเต็มที่อยู่แล้ว เขาทิ้งกริซเล่มนั้นลงพื้นโดยมีระยะห่างจากวงล้อมสายสิญจน์อยู่พอสมควรเพื่อไม่ให้ใครเอื้อมมือมาหยิบมันกลับไปได้

“อย่า!! อย่าทำแบบนั้น!!”

คำตะโกนร้องอย่างหวั่นวิตกของหมอผีเฒ่าเพิ่มความมั่นใจให้กับตฤณว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เขายกขาข้างหนึ่งขึ้นเตรียมพร้อมจะเหยียบมันลงไปบนกริซเล่มนั้น หมอผีเฒ่ายิ่งรนลานมากเป็นพิเศษ เขาไม่รอช้า... เหยียบย่ำลงไปเต็มที่ คาถาอาคมที่ถูกลงไว้เสื่อมสลายไปในพริบตาเดียวพร้อมกับเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งของหมอผีเฒ่า

จ้าวยกยิ้มอย่างผู้มีชัยเหนือกว่าหลายขุม

“ม่ายยยย ม่ายยย!!”

หมอผีเฒ่าหันไปกระชากเสื้อตัวต้นเหตุอย่างเมฆด้วยความเดือดดาล ชกเข้าไปบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเมฆเสียเต็มแรงจนร่างนั้นเซถอยหลังไปหลายก้าว ในจังหวะเพียงเสี้ยววินาทีนั้นเขาแสร้งทำเป็นล้มลงเพราะแรงชกแล้วลุกขึ้นยืน จับมุมปากที่รู้สึกปวดเล็กน้อย ยกเท้าเกี่ยววงสายสิญจน์จนมันพังไม่เป็นท่า และเขาไม่แน่ใจว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้พิธีกรรมล่มได้หรือไม่แต่ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือความโกรธเคืองที่ปะทุออกมาเป็นลาวาภูเขาไฟของหมอผีเฒ่า

เมฆรีบวิ่งออกมาจากวงล้อมสายสิญจน์ก่อนที่จะถูกประเคนเข้าอีกหมัด เขาไม่ได้วิ่งไปข้างหลังแต่กลับวิ่งชนโต๊ะทำพิธีตัวเตี้ยๆ ทำล้มระเนระนาดพังไม่เป็นท่า หมอผีเฒ่าถึงกับผงะไปชั่วขณะ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เริ่มรับรู้ชาตะของตัวเองได้ลางๆ

“พี่เจต”

ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของจ้าว เจตรินก็รู้หน้าที่ของตัวเอง เขาเดินเข้าไปหาเมฆกับตฤณแล้วชวนให้ไปนั่งเล่น จิบน้ำชารอที่ห้องพักรับรองแต่ตฤณกับเมฆต่างปฏิเสธ อีกทั้งยังไม่วางใจที่จะจากไป ใจของเมฆไม่ได้อยากจะช่วยนักแต่ถ้ารุ่นน้องของเขาไม่ไปไหน เขาเองก็คงไปไม่ได้

หมอผีเฒ่ายกมือพนม ท่องคาถาเรียกโหงพรายออกมาให้จัดการกับวิญญาณของจ้าวให้สิ้นซากไป แต่ฤทธิ์ของโหงพรายไหนเลยจะทำอะไรวิญญาณของผู้ที่เป็นเจ้าของพื้นที่นี้ได้

“โหงพรายเหรอ ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าเราก็พอจะรู้จักกัน”   

หมอผีเฒ่าชะงักไปครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าวิญญาณที่นำมาทำเป็นโหงพรายจะรู้จักกับจ้าวมาก่อน พลันนั้นร่างกายอันแก่ชราของเขาก็สั่นสะท้านไปทั่ว เผลอนึกไปว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเด็กคนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

“แก! ไอ้เด็กปีศาจ! ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”

จ้าวหัวเราะร่วน เขาไม่เคยหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและสะใจเท่านี้มาก่อน “ใครๆ ก็มักกล่าวหาว่าจ้าวเป็นปีศาจ ก็เป็นเหมือนที่อยากให้เป็นแล้วทำไมยังต้องโกรธขนาดนั้นด้วยล่ะ”

“แกรู้จักโหงพรายตนนี้ของฉันได้ยังไง!!”

“หึ! จำได้ไหม คราวก่อนนู้นที่จ้าวเผลอทำร้ายโหงพรายตนเก่าของแกจนบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นดวงวิญญาณแตกสลาย” จ้าวเว้นช่วงเล็กน้อย หันไปมองหน้าโหงพรายตนนั้นครู่หนึ่ง “ไม่ยากเลย แค่ผูกสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ เธอก็ยอมช่วยเหลือ คิดดูสิ โหงพรายที่ร้ายกาจยอมช่วยเหลือ จ้าวจะต้องใช้วิธีการแบบไหนนะ”

จ้าวก้มลงหยิบกริซที่ไร้พิษสงบนพื้นขึ้นมาหมุนเล่นก่อนจะพูดต่อไปอย่างเนิบนาบ “เวลาที่แกส่งโหงพรายมาดูลาดเลา เราก็ทักทายกันนิดหน่อยตามประสาคนรู้จักกัน ได้เลือดกลับไปบ้างเล็กน้อยให้แกตายใจว่าโหงพรายที่แกส่งมาตั้งตนเป็นศัตรูกับจ้าวตั้งแต่แรก”

หมอผีเฒ่าพูดอะไรไม่ออก นอกจากกัดฟันกรอดด้วยความโมโห คาดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเป็นจ้าววางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

“พี่เจต ฝากด้วย”

เจตรินพยักหน้า เขารู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

‘ไปกันเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงจ้าวหรอกครับ’ 

หมอผีเฒ่าเห็นทางสว่างรำไร ออกคำสั่งโหงพรายให้ไปจัดการกับเจตรินแทนศัตรูคู่แค้น “จัดการเด็กนั่นซะ!”

“ไม่!! อย่าทำพี่เจต!!” จ้าวร้องลั่น พยายามพุ่งตัวเข้าไปหาร่างของพี่ชายแต่ช้ากว่าโหงพรายตนนั้น

เจตรินขยับตัวเบี่ยงหลบการโจมตีแต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะช้าเกินไป ร่างนั้นกระเด็นลอยทะลุผ่านเมฆและตฤณที่อยู่ข้างไปจนเกือบชนเข้ากับกำแพง สร้างความเดือดดาลให้กับจ้าวเป็นอย่างมาก เขาพุ่งตัวเข้าหาโหงพราย แม้จะพอรู้จักกันบ้างแต่ก็ไม่อาจให้อภัยผู้ที่ทำร้ายพี่ชายได้ ซัดมือเข้าเต็มแรงโกรธแล้วรีบเข้าไปประคองร่างของเจตรินให้ลุกขึ้นยืน

จ้าวไม่อยากเอาความแต่ก็ปล่อยให้หมอผีเฒ่าบงการโหงพรายต่อไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจตรินอาจต้องเจ็บตัวอีก เขาหายตัวไปปรากฏอยู่ต่อหน้าหมอผีเฒ่าคนนั้น แสยะยิ้มอย่างเลือดเย็นขนาดนี้หมอผีเฒ่ายังไม่เคยเห็นความน่ากลัวที่แอบแฝงมากกับร้อยยิ้มแบบนี้มาก่อน

“คาเรน!”

ร่างของเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบพลันมาปรากฏอยู่ข้างกาย ผมสีบลอนทองถูกทักเป็นเปียสองข้างยาวถึงกลางหลัง

“ยังอยากได้เพื่อนเล่นอยู่ไหม”

“ค่ะ”

“พี่ยกสองคนนั้นให้ เล่นได้ตามสบายแล้วก็ไปชวนคนอื่นมาเล่นด้วยกันนะ”

“ขอบคุณค่ะ พี่วินเซ้นท์”

คนเรียกชื่อของเด็กผู้หญิงคนนั้นพาให้ใจของตฤณชาวาบ สิ่งที่เมฆพยายามพูดกรอกหูเขาคือเรื่องจริง ถ้าจ้าวเป็นวินเซ้นท์ คัลเลน นั่นก็หมายความว่าเจตรินที่เป็นวิญญาณก็คือโจเซฟ คัลเลน สองพี่น้องตระกูลคัลเลนที่ถูกกล่าวถึงในโศกอนาถกรรมเมื่อเกือบร้อยปีก่อน

คาเรนพุ่งเข้าหาลูกศิษย์ทั้งสองคนของหมอผีเฒ่า ดึงให้เหลือจ้าวกับหมอผีเฒ่าเพียงแค่สองคนในบริเวณนั้น แม้จ้าวจะรู้จักโหงพรายอยู่บ้างแต่ใช่ว่าจะทำลายคาถาอาคมที่คอยควบคุมวิญญาณผีตายโหงตนนั้นได้ เธอเข้าทำร้ายเจตรินอีกเป็นครั้งที่สอง ความโกรธแค้นเริ่มสุมเป็นไฟกองโตอยู่ในใจ

“แก!!”

จ้าวพุ่งตัวเข้าหา ยึดร่างหมอผีเฒ่าที่ไม่ทันระวังตัวติดกับผนังแล้วจึงยกยิ้มแสนชั่วร้าย “รู้อะไรไหม จ้าวน่ะเป็นเด็กดีนะ เชื่อฟังทุกอย่างเลย ใครบอกว่าจ้าวเป็นปีศาจก็เป็นให้แล้ว น่าจะพอใจแล้วนะ หรือยังอยากให้จ้าวร้ายกว่านี้ ส่งให้แกไปเจอกับลูกชายในนรกด้วยดีไหม”

ในแววตาที่สะท้อนมาตรงหน้ามีแต่ความจริง เด็กคนนี้ไม่ได้โกหก ถ้าหากหมอผีเฒ่าพลั้งพลาดไปคงจะได้ลงนรกไปพบลูกชายเร็วๆ นี้แน่ ร่างกายก็สั่นสะท้านไปทั่วด้วยเพราะรู้ฝีมือของตัวเองดีว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ต่อให้ฝึกปรือวิชามนต์ดำมานานแค่ไหน ความร้ายกาจของเด็กคนนี้ก็เป็นสิ่งที่รับมือยาก

‘จ้าว! อย่าฆ่าใครอีกเลยนะ พี่ขอร้อง’

เสียงตะโกนของเจตรินในขณะที่กำลังต่อสู้กับโหงพรายแทบจะไม่เข้าหูของจ้าวเลยแม้แต่น้อย ความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกทำให้จ้าวหูหนวกตาบอด เขาหมุนกริซที่อยู่ในมือเล่นไปมาอีกครั้ง

‘จ้าว!! อย่าทำอีกเลยนะ’


เจตรินร้องบอกก่อนที่จะหายไปจากห้องโถงกลางของคฤหาสน์ หลบหนีโหงพรายที่ตามเอาชีวิตเขา

“ตฤณ! อยู่นี่นะ พี่จะตามเขาไป”

เมฆพูดจบก็ใช้จิตสัมผัสเรื่องภูติ ผี วิญญาณรับรู้การมีอยู่ของพลังงายอันเกรี้ยวกราดของโหงพรายตนนั้นโดยปล่อยรุ่นน้องทิ้งไว้กับจ้าวที่กำลังเตรียมลงมือจัดการกับหมอผีผู้นั้น

ตฤณรู้ตัวว่าคำพูดของตนเองคงไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำของจ้าวได้ แม้กระทั่งเจตรินยังไม่สามารถหยุดเด็กคนนี้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับตัวเขาที่ไม่รู้ว่าอยู่ในสถานะอะไรสำหรับจ้าวกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง ถ้ามันทำให้จ้าวไม่ต้องฆ่าใครได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี

“จ้าว!”

จ้าวหันไปตามเสียงเรียก และจังหวะนั้นเองหมอผีเฒ่าก็รีบใช้ช่วงเวลานี้ร่าคาถาอาคมที่ร่ำเรียนมาใส่ร่างที่อยู่ตรงหน้าจนมือเล็กที่ยึดร่างเขาเอาไว้คลายออก ร่างเล็กกระเด็นออกไปราวหนึ่งเมตร สีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อยกับสิ่งที่หมอผีเฒ่าทำกับร่างกายของตน และในขณะที่จ้าวไม่ทันระวัง หมอผีเฒ่าจึงถือโอกาสนี้วิ่งออกมาโดยไม่สนใจลูกศิษย์อีกสองคนว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“จ้าวไม่เคยคิดจะฆ่าใครก่อน มีแต่คนพวกนั้นที่เดินเข้ามาหาความตายเอง”

“แต่...”

“พี่ตฤณอย่าห้ามเลยครับ ถ้าวันนี้จ้าวไม่ทำอะไรสักอย่าง วันหนึ่งหมอผีนั่นก็ต้องกลับมาเอาคืนอยู่ดี”

จ้าวรีบตามหมอผีออกไป แม้ร่างกายจะปวดแสบปวดร้อนแต่คงไม่เท่ากับหัวใจของเขาในเวลานี้




** ติดตามตอนต่อไป **

หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 24 [02/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 03-06-2018 02:06:41
รอลุ้นๆๆๆๆๆ :ling1:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 24 [02/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-06-2018 02:56:01
ห่วงพี่เจตจังเลย จะเป็นอะไรมากไหมเนี่ย  :ling1:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 25 [18/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 18-06-2018 16:56:49
::: ตอนที่ 25 :::
หมอผีผู้นั้น (2)






เมฆตามกระแสจิตอาฆาตชั่วร้ายของโหงพรายออกไปทางด้านหลังคฤหาสน์ เขาอาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือ ก้าวเดินอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะไปสะดุดอะไรเข้า ด้านหลังคฤหาสน์ช่างเงียบสงัดและวังเวง บรรยากาศรอบข้างเย็นยะเยือกซึมลึกเข้าถึงไขสันหลังราวกับตนเองกำลังอยู่ท่ามกลางสุสานคนตายจำนวนมาก หากไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรก็ไม่ควรเหยียบย่างมาสถานที่แห่งนี้เพียงลำพังอย่างเด็ดขาดเพราะไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้กลับออกไปแม้กระทั่งวิญญาณ

เมฆเดินเข้ามาลึกประมาณหนึ่งและเขารับรู้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้มีอันตรายบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ เขารู้สึกถึงดวงตาหลายคู่กำลังจับจ้องอย่างไม่วางตา ไม่ว่าจะก้าวไปซ้ายหรือเอี้ยวไปขวาก็ยังรับรู้ว่าตนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลาจนไม่กล้าก้าวขาเข้าไปลึกมากกว่านี้อีกแล้วแต่จะกลับก็กลับไม่ได้ คล้ายว่าขาทั้งสองข้างของเขากำลังถูกบางสิ่งบางอย่างยึดครองอยู่ เพียงแค่ชั่วอึดใจที่ตัดสินใจส่องไฟ ก้มลงดูปลายเท้าของตัวเองก็เหมือนว่าระบบการทำงานของร่างกายจะหยุดทำงานไปชั่วขณะเสียดื้อๆ

โครงกระดูกที่ไร้เนื้อหนังมังสากำลังยึดข้อเท้าของเมฆไว้มั่นจนแค่เพียงขยับเท้าเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บแปลบไปหมด เขาไม่ใช่คนที่ขวัญอ่อนกับเรื่องแบบนี้มากนัก สติจึงยังอยู่กับตัวเกือบครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ได้กรีดร้องโวยวายจนบ้าคลั่ง ขาดก็แต่เขาไม่รู้วิธีรับมือกับโครงกระดูกที่เอาแต่ยึดตรึงร่างเขาเอาไว้ให้อยู่กับที่

พอยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตั้งใจว่าจะโทรไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคน เมฆคงทำบุญมาน้อยนัก เจ้ากรรมนายเวรถึงได้ดลบันดาลให้ไร้สัญญาณโทรศัพท์แม้แต่ขีดเดียว

“บ้าเอ๊ย!”

เมฆนึกหาคำสบถที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว เขายืนหัวเสียกับตัวเองได้ไม่นานก็รับรู้ถึงแรงดึงที่ข้อเท้าแล้วพลันนั้นร่างของเขาก็ล้มหงายหลังลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้งจนมันกระจายฟ่อน ร่างของเขาถูกลากไปตามเส้นทางที่มืดมิด แม้แต่แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือก็ไม่เป็นใจให้เขาเห็นอะไรนอกจากปลายเท้าของตัวเอง เสียงใบไม้แห้งกรอบแตก บ้างเสียดสีกันดังสนั่นท่ามกลางความเงียบสงัดจนเขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัวเป็นกลอง

“ปล่อย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”

เสียงของชายวัยกลางคนที่เมฆไม่คุ้นหูดังมาจากที่ไกลๆ เขาจึงรีบส่องไฟไปรอบทิศแต่กลับไม่พบใครและดูท่าว่ามือโครงกระดูกจะยังไม่ยอมหยุดลากง่ายๆ

“หนูจ้าวบอกให้ปล่อย! จะทำร้ายคนๆ นี้ไม่ได้!”

มือโครงกระดูกที่ลากขาของเมฆอยู่หยุดชะงักกึกแล้วคลายนิ้วทั้งห้าออก ปล่อยให้ข้อเท้าของเขาได้เป็นอิสระแต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นยืนตรงตัวให้ดีก็เห็นชายวัยกลางคน หนวดเคราดกเฟิ้ม ผมสีดอกเลายืนอยู่ห่างจากเขาไปแค่ไม่ถึงเมตร

“ออกไปจากตรงนี้”

“แล้วเจตล่ะ ผมกำลังตามหาเจตอยู่”

เมฆลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว รู้สึกเจ็บข้อเท้าอยู่นิดหน่อย เป็นไปได้ว่ามันอาจระบมเพราะแรงลากนั้นไม่ได้เบาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเลิกขากางเกงขึ้นแล้วส่องไฟดูก็พบว่ามันมีรอยแดงเถือกอยู่รอบข้อเท้า ยังไม่นับรอยบาดเล็กๆ น้อยๆ ตามเนื้อตัวอีก

“ไม่ต้องเป็นห่วง หนูเจตไม่เป็นอะไร เป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่า”

“แล้วมือนั่นมัน...” เมฆยังไม่วายถามถึงมือปริศนาที่ลากเขาเข้ามาข้างในจนไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากตัวคฤหาสน์มากเท่าไร

“มือของคนสวน เขาหวงที่นี่มาก ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามายุ่งย่าม โชคดีที่ได้วิญญาณตนอื่นเอาเรื่องไปรายงานหนูจ้าว ไม่อย่างนั้นคุณคงได้กลายเป็นคนเฝ้าสวนอีกคนแน่”

อีกคน... หมายความว่ายังไงที่ว่าอีกคน แต่ยังไม่ทันที่เมฆจะได้เอ่ยปากถามอะไร เขาก็เข้าใจคำว่าอีกคนที่ลุงมิ่งพูดแล้ว ร่างที่อยู่ข้างกันอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา ถึงจะเป็นคนที่สัมผัสสิ่งลี้ลับได้แต่ใช่ว่าจะเคยพบเจอการหายตัวไปซึ่งๆ หน้าแบบนี้มาก่อน ร่างของเขาชาวาบคล้ายกับจะไร้เรี่ยวแรงทรงตัว สองตาทอดมองความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าชั่วขณะหนึ่ง

กว่าเมฆจะได้สติกลับมาอยู่กับตัวจริงๆ ก็ผ่านไปหลายนาที เขาออกตามหาร่างของเจตรินทันทีที่ได้สติ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงเป็นใย ไม่ใช่ว่ารู้สึกอะไรเกินเลยแต่เขากลัวว่าถ้าเจตรินเป็นอะไรไปแล้วจะส่งผลให้จ้าวคลุ้มคลั่ง มันคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ถ้าการคลุ้มคลั่งนั้นจะลามมาถึงรุ่นน้องของเขาด้วย

ถึงแม้ร่างกายจะบาดเจ็บอยู่บ้างแต่ความสามารถของเมฆไม่ได้หายไปไหน ความชั่วร้ายของโหงพรายตนนั้นเคลื่อนที่ไปมา ไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป พอเมฆจับสัมผัสนั้นได้และกำลังจะมุ่งไปหา โหงพรายตนนั้นก็หลอกล่อให้เจตรินย้ายที่ราวกับรู้ว่ากำลังถูกติดตาม

เมื่อเมฆมาถึงบริเวณลานกว้างรกร้างหน้าคฤหาสน์ ใช่ว่าจะเจอแต่เจตรินกับโหงพรายเพียงเท่านั้น ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นจ้าว ตฤณ หรือแม้แต่หมอผีเฒ่าคนนั้นก็ด้วยราวกับว่าสถานที่ตรงนี้จะเป็นตอนจบของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้

ตฤณ จ้าวและหมอผีเฒ่าอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนเมฆ เจตรินและโหงพรายอยู่อีกฝั่งหนึ่ง หากมีใครสักคนกำลังดูอยู่ตอนนี้คงคิดว่าหลังจากนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะต้องน่าสนุกแน่นอนแต่กลับไม่คาดคิดว่าเรื่องสนุกพวกนี้จะเกิดขึ้นเพียงไม่นาน

ฝั่งจ้าวที่กำลังยืนดักหน้าหมอผีเฒ่ายื่นกริซที่ไร้พิษสงใดๆ ไปตรงหน้าคล้ายกับว่ากำลังชี้หน้าด้วยอาวุธที่เคยมีอานุภาพ “นี่! รับไปสิ ของแกไม่ใช่เหรอ”

จู่ๆ น้ำเสียงของจ้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นสุภาพนอบน้อมขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ดูเป็นมิตรจนหมอผีเฒ่าหวาดระแวงจึงก้าวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว การทำดีแบบนี้ย่อมต้องหวังผลแต่เขาไม่รู้ว่าในใจของเด็กคนนี้ต้องการอะไร ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดหรือสนทนาแต่เขาควรออกจากพื้นที่คฤหาสน์หลังนี้ให้ไวที่สุด .... ‘แก้แค้น สิบปียังไม่สาย’

“คืนให้แล้วทำไมไม่รับล่ะ”

“ต้อง... ต้องการอะไรกันแน่”

จ้าวไม่ตอบ ยังคงยื่นด้านปลายแหมของกริซเล่มนั้นไปตรงหน้าเป็นเชิงให้รับคืนกลับไปแต่หมอผีเฒ่ายังคงนิ่งเฉย ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะมาไม้ไหนกันแน่ เขายังไม่กล้าร่ายคาถาอาคมอะไรใส่

“รับไว้สิครับ หรือว่าจ้าวหันผิดด้าน”

จ้าวส่งยิ้มไปให้อย่างจริงใจที่สุดแต่หมอผีเฒ่าคิดว่ามันเป็นเพียงคำหลอกลวง ถอยหลังไปอีกหลายก้าวจนมั่นใจว่าตนจะไม่โดนกริซของตัวเองทำร้ายได้ เตรียมพร้อมอยู่ในท่าที่จะร่ายอาคมใส่ทันทีที่จ้าวก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว

เมฆลบสงบ ทะเลไร้คลื่นลมฉันท์ใด พายุย่อมพัดโหมกระหน่ำฉันท์นั้น

ตฤณที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง คนรักของเขาน่าจะคิดได้แล้วจึงพยายามหาทางปรองดองด้วยอยู่แต่ทว่าเพียงแค่เขาวางใจยังไม่ทันจะครบนาที หมอผีเฒ่าก็แอบร่ายคาถาอาคมใส่ร่างของจ้าว พอให้ได้รู้สึกเจ็บจี๊ดตามเนื้อตัวเล็กน้อยก่อนที่จะร่ายคาถาอีกชุดใส่ร่างของเด็กผู้ชายตัวเล็กวัยสิบหกปีคนนั้นอีกครั้ง นอกจากมันจะทำให้ปวดแสบปวดร้อนตามร่างกายแล้วยังสร้างรอยแผลจางๆ เอาไว้ด้วย เพียงเพื่อต้องการป้องกันตัวเขาเองเอาไว้ก่อน

ร่างของจ้าวทรุดลงเล็กน้อย สองแขนโอบรอบร่างกายตัวเองเอาไว้คล้ายกับจะพยุงร่างกายนี้ แต่บนใบหน้ากลมมนที่แสนน่ารักนั่นยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มแห่งความเหี้ยมโหด ที่เขาทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อรอเวลานี้ เวลาที่หมอผีเฒ่าหวาดระแวงและชิงลงมือก่อน

“ทำไมทำกับจ้าวแบบนี้ อึก!”

“แกควรต้องโดนมากกว่านี้! แกสมควรลงนรกไปขอโทษลูกชายฉันซะ!”

หมอผีเฒ่าตะโกนเสียงดังลั่นด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด พร้อมลงมือกับดวงวิญญาณร้ายตนนี้ได้ทุกขณะ พร้อมกันนั้นยังตั้งท่าเตรียมต่อสู้หากแม้จ้าวขยับกายมุ่งตรงมาแม้เพียงก้าวเดียว เขาในตอนนี้ทั้งหวาดระแวง ทั้งรนลานอยู่บ้างเล็กน้อยที่ไม่อาจล่วงรู้ความคิดว่าเด็กคนนั้นต้องการทำอะไรต่อไปกันแน่

“จ้าว... ฮึก! จ้าวสำนึกผิดแล้ว จ้าวเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสา อย่าได้ทำร้ายกันอีกเลยนะ”

สองมือยกขึ้นแนบใบหน้า ร่ำไห้จนน้ำตาจะกลายเป็นสายเลือดแต่รอยยิ้มมุมปากก็ยังคงแฝงไปด้วยความชั่วร้ายที่เจ้าตัวพยายามปกปิดเอาไว้

“อย่ามาโกหก! อย่างแกน่ะเหรอจะรู้สึกผิด!”

จ้าวช้อนตามองร่างของหมอผีเฒ่า ไม่ได้คิดว่าหมอผีนั่นจะเชื่อในคำพูดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงแสร้งบีบน้ำตาสำนึกผิดในสิ่งที่ตนเคยได้กระทำลงไปซึ่งมันเรียกความน่าสงสารและเห็นใจจากตฤณได้อยู่มากทีเดียว

“เขารับผิดแล้ว จะให้อภัยไม่ได้เลยเหรอ”

หมอผีเฒ่าเข่นยิ้มหัวเราะ การยอมรับผิดของจ้าวไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ขอแค่เพียงเอาชีวิตหรือดวงจิตวิญญาณที่ยังมีอยู่ของจ้าวไปกล่าวขอโทษ ขอขมาลูกชายตนได้ แค่นั้นก็พึงพอใจแล้ว

“ถ้ามีคนมาฆ่าแม่แกตาย แกจะให้อภัยไหมล่ะ!”

ตฤณชะงักไปเล็กน้อย เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงให้อภัยกันไม่ได้ง่ายๆ

หมอผีเฒ่าก้าวถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว แววตาเคียดแค้นชิงชังจ้องเขม็งไปยังร่างของเด็กผู้ตลบตะแลง เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วเขาไม่มีทางปล่อยให้ความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกกลายเป็นเปลวเพลิงที่ไม่มีวันมอดไหม้ หมอผีเฒ่าร่ายเวทย์คาถาดึงโหงพรายกลับมาอยู่ข้างกายตนแล้วสั่งให้โจมตีจ้าวในทันที

ในขณะที่จ้าวไม่ทันได้ระวังจึงโดนโหงพรายโจมตีเข้าที่หน้าอกจนเกือบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด ร่างวิญญาณนี้ไม่ได้ทานทนต่อทุกความเจ็บปวด ไม่ได้รักษาบาดแผลให้หายได้ภายในชั่วพริบตา ทันทีที่ถูกแรงกระแทก ร่างเล็กจึงลอยถลาไปไกล

‘จ้าว!’

เจตรินพุ่งเข้าใส่ร่างของโหงพรายที่ทำร้ายน้องชายตนให้บาดเจ็บ

การต่อสู้เกิดขึ้นพลันวัน หมอผีเฒ่าจึงใช้โอกาสนี้ออกคำสั่งให้โหงพรายจัดการกับเจตรินให้สิ้นซาก

ตฤณรีบเข้าไปประคองร่างของจ้าวเอาไว้ด้วยสองมือของตนแต่กลับลืมไปว่าร่างนี้ไม่สามารถสัมผัสคนรักได้อีกแล้ว มือทั้งสองข้างขึงลอดผ่านร่างวิญญาณของจ้าวไปเสียเฉยๆ ใบหน้าคมคายตื่นตระหนกไม่น้อยเมื่อพบว่าร่างกานนั้นโปร่งแสงจนเกือบจะโปร่งใสและพร้อมหายไปได้ในพริบตา

“จ้าว นี่มัน...”

“พี่ตฤณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ จ้าวยังอยู่ดี”

แรงฤทธิ์ของโหงพรายตนนั้นหนักไม่ใช่เล่น ทำเอาจ้าวสั่นไปชั่ววูบ เขายันกายลุกขึ้นมาก่อนลอบยิ้มมุมปาก บางทีตอนนี้อาจถึงเวลาชำระแค้นกันจริงๆ เสียที กริซของหมอผีเฒ่ายังอยู่ในมือของเขา กริซที่สิ้นฤทธานุภาพแต่น่าจะมีฤทธิ์กับมนุษย์ด้วยกันเอง

จ้าวหายตัวไปยืนอยู่ต่อหน้าหมอผีเฒ่าในระยะประชิดตัว จ้องมองดวงตาสีดอกเลาอย่างไร้ซึ่งความหวาดหวั่น ไม่กลัวแม้กระทั่งว่าหมอผีเฒ่าจะร่ายอาคมอะไรใส่ตนอีก ยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตรที่สุด มิตรภาพลวงหลอกที่เขาสร้างมันขึ้นมา

มือเล็กยกกริซขึ้นเตรียมปักเข้าบนเส้นเลือดแดงที่อยู่ตรงลำคอแต่กลับถูกหมอผีเฒ่ายกมือขึ้นปัดป้องเอาไว้ก่อนที่มันจะได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ภายในร่างกาย จ้าวจิ๊ปากเล็กน้อยแล้วถอยออกมา

เจตรินพยายามจะเข้าไปช่วยจ้าวแต่ยังติดโหงพรายตนนั้นอยู่ เหลือเพียงแค่ตฤณ เมฆที่ยังพอยื่นมือเข้าไปช่วยได้บ้างแต่พวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา จะไปต่อกรอะไรกับผู้มีวิชาอาคมอย่างหมอผีเฒ่านั่นได้ ทั้งหวังพึ่งได้สุดท้ายก็ไม่พ้นตัวเอง

“พี่เจตไม่ต้องหรอกครับ ตรงนี้จ้าวจัดการได้”

‘แต่...’

“ไม่เชื่อมือจ้าวหรือยังไงครับ”

จ้าวหมุนกริซในมือเล่นไปมาแล้วถอยหลังออกไปอีกหลายก้าวคล้ายว่าจะยอมถอย ใช่! เขายอมถอยแต่ไม่ใช่ถอยที่หมายความว่าตนพร้อมยกธงขาว แค่ถอยเพียงเพื่อรอบางอย่างที่กำลังจะมาตามคำสั่งที่เอ่ยเรียกไปในใจ “จ้าว... ยอมแพ้แล้วก็ได้ ฝีมือหมอผีอย่างแกนี่รับมือไม่ไหวจริงๆ”

กริซที่อยู่ในมือถูกปล่อยให้ร่วงลงสู่พื้นดิน นั่นคงหมายถึงว่าเด็กคนนี้คงไม่คิดต่อสู้และยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงบุกเข้ามาหมายมั่นเอาชีวิตหมอผีเฒ่าคนนี้ไปตามเป้าหมายเดิมตั้งแต่แรก

“แกยอมจริงๆ งั้นเหรอ! ไม่ใช่หลอกให้ตายใจแล้วชิงลงมือเอาวิญญาณฉันเหรอ!”

จ้าวพยักหน้ารับ เขายอมแพ้แล้วจริงๆ ถึงได้ทิ้งกริซเล่มนั้นลงกับพื้นต่อหน้าต่อตา

“งั้นแกก็เตรียมตัวลงนรกไปรับใช้กรรมที่ฆ่าลูกชายฉันได้เลย”

หมอผีเฒ่าหยิบของบางอย่างในกระเป๋าย่ามออกมาทำพิธีกรรมเล็กๆ ในขณะที่จ้าวยืนเฉยเป็นหุ่นนิ่ง รอให้จับไปต้นยำทำแกงอะไรสารพัดตามแต่ใจอยาก ตฤณพุ่งตัวเข้ามาข้างหน้าขวางกั้นระหว่างคนรักกับผู้ที่กำลังเตรียมพิธีพรากวิญญาณ

“อย่าทำอะไรเขา! จะทำก็ทำผมนี่! ผมยอมรับผิดทุกอย่างแทนเขา!”

หมอผีเฒ่าหัวเราะเย้ยหยัน ดูถูกดูแคลน มีอย่างที่ไหน! มนุษย์ยื่นมือเข้ามาช่วยสิ่งที่อยู่ต่างภพต่างภูมิแถมยังมีแต่ความชั่วร้ายซึ่งนั่นไม่คุ้มค่าเลยที่จะเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงกับวิญญาณที่ไร้ลมหายใจไปนานแล้ว

“ตฤณ! อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ!” เมฆตะโกนห้าม

“อย่าทำแบบนี้เลยครับ พี่ตฤณ ชีวิตของพี่ไม่ควรจะเอามาเสี่ยงเพื่อจ้าว”

ตฤณยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ใช่ว่าเขาจะฟังในสิ่งที่จ้าวพูดไม่เข้าใจ ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าการทำแบบนี้มีแต่ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น แต่ทว่าถ้าเขาไม่ทำแล้วใครจะทำ ต่อให้จ้าวเป็นแค่เพียงสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในภพเดียวกันแต่จ้าวก็เป็นเด็กดีในสายตาของเขาเสมอ

“ฮ่าๆ มีแต่คนโง่ๆ เท่านั้นล่ะที่คิดจะทำแบบนี้ อยากให้ฉันช่วยสงเคราะห์ให้แกตายตกตามกันไปกับเด็กคนนั้นหรือยังไง”

หมอผีเฒ่าอยากจะหัวเราะจนถึงรุ่งสางแต่น่าเสียดายที่เวลาของตอนจบของเรื่องใกล้มาถึงแล้ว มือข้างหนึ่งที่กำผงกระดูกคนตายร้อยศพเอาไว้กำลังจะกางออกก่อนที่จะร่ายคาถาอาคม แต่แล้วความเจ็บปวดก็แล่นริ้วมากจากกลางหลัง เจ็บปวดเสียจนร่างกายทรุดลงกันพื้น เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากบาดแผลที่ถูกของมีคมปักจนเกือบทะลุออกมาข้างหน้า เผยให้เห็นร่างของเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบ

“ดีมาก คาเรน ขอบใจนะ” จ้าวขยับตัวออกมายืนอยู่ข้างๆ ตฤณที่แข็งค้างคล้ายวิญยาณจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว

“ค่ะ พี่วินเซ้นท์ หนูทำทุกอย่างตามคำสั่งของพี่เสมอ”

“แก! แก!”

หมอผีเฒ่าแทบกระอักเลือดตาย มีดที่ปักลงมานั้นลึกพอดู พอขยับตัวทีความเจ็บปวดก็แล่นริ้วไปทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งหายใจยังทรมาน เขาพยายามควบคุมสติของตัวเองให้มั่นแต่ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดนั้นจะทำให้เห็นภาพหลอน เขาเห็นลูกชายที่ตายจากไปนานแล้วยืนอยู่ตรงหน้ากำลังยื่นมือมาหาราวกับจะบอกเป็นนัยให้ละทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลังแล้วไปอยู่ด้วยกัน

แม้จ้าวจะยืมมือคาเรนฆ่าคนแต่นั่นก็เป็นคำสั่งของเองจึงรับรู้ได้ในทันทีว่าหลังจากนี้ไปความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตฤณจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป ตฤณคงเกลียดเขาที่ฆ่าคนโดยไม่เลือกวิธีไปแล้ว

“มีแต่คนโง่ๆ เท่านั้นล่ะที่หลงเชื่อในคำพูดของจ้าว... จริงไหม”

จ้าวสาวเท้าเข้าไปยืนประจันหน้ากับหมอผีเฒ่าที่เริ่มไม่มีแรงขยับปากตอบคำถามแล้วนั่งยองๆ ลงตรงหน้าดวงตาสีเพลิงฉายแววของสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ ความชั่วร้ายในแววตาคู่นั้นดูไร้ซึ่งความปราณีใดๆ หมอผีเฒ่าถึงได้เข้าใจชะตากรรมของตัวเอง

“ถ้าแกไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก ชีวิตก็คงจะยืนยาวมากกว่านี้นะ”

เสียงพูดอันแผ่วเบาของเด็กชายวัยสิบหกปีราวกับต้องการกระซิบกระซาบให้หมอผีเฒ่าได้ยินเท่านั้น

“แก... แกจะทำอะไร”

ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก หมอผีเฒ่าก็พอจะเข้าใจการกระทำของเด็กคนนี้ได้อยู่บ้างแต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะถาม เผื่อว่าความคิดของเขาอาจผิดไป

“จ้าวจะให้เวลาบอกลาชีวิตตัวเองอีกสักหน่อยก็แล้วกันนะครับ”

“แก…” หมอผีเฒ่ากัดฟันกรอด เขาอยากจะทำอะไรมากกว่าแต่มีดที่ปักอยู่กลางหลังทำให้ขยับตัวได้อย่างยากลำบาก แค่พูดแค่นี้ก็รู้สึกเหมือนความคมของใบมีดจะบาดลึกเข้าไปในเนื้ออีกจนไม่รู้ว่าตอนนี้ระหว่างความโกรธแค้นที่อยู่ในอกกับความเจ็บที่ร่างกายได้รับ อะไรจะมากกว่ากัน

“ทำไมครับ”

“แก! แกมันปีศาจร้าย แกมันฆ่าได้แม้กระทั่งคนไม่มีทางสู้!”

พูดได้แค่นี้ หมอผีเฒ่าก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด จ้าวไม่สนใจคำพูดนั้น ไม่สนใจแม้กระทั่งความเป็นความตายของหมอผีเฒ่า เขาเดินจากมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้คำยินดี ไร้ซึ่งความสงสาร “พูดมาได้นะว่าไม่มีทางสู้”

แต่แล้วจู่ๆ หมอผีเฒ่าก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกระลอกแต่คราวนี้สีเดลือดกลับกลายเป็นสีดำ ข้นเหนียวราวกับว่าที่ออกมาจากปากไม่ใช่เลือดจริงแต่เป็นคุณไสยที่หมอผีเคยเล่นทุกชนิด หลังจากนั้นจึงมีควันสีดำพวยพุ่งตามออกมา หมอผีเฒ่าล้มลงกับพื้น ดวงตาเบิกกว้างโปนจนเกือบถลนออกมาจากเบ้าตา ร่างกายแข็งเกร็งกระตุกอยู่สองสามครั้ง

“นี่ต่างหากที่เรียกว่าไม่มีทางสู้ ฝากสวัสดีลูกชายแกด้วยนะ”

โหงพรายที่กำลังต่อสู้กับเจตรินหยุดชะงักลง เป็นสัญญาบอกให้รู้ว่าพันธะสัญญาระหว่างหมอผีเฒ่าได้สิ้นสุดลงไปแล้ว หมอผีเฒ่าได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว แต่วิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ในโหลแก้วซึ่งอยู่ในกระเป๋าย่ามยังไม่ถูกปลดปล่อยออกมาด้วย






// ต่อข้างล่าง //
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 25 [18/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 18-06-2018 16:57:14
“พี่ตฤณ พี่เมฆ”

คำพูดของจ้าวแทบจะไม่เข้าหูคนทั้งคู่ เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นตรงหน้าไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ การฆ่าคนตายอย่างไรมันก็ไม่ควรเกิดขึ้น ความรู้สึกของตฤณในเวลานี้เหมือนหลุดไปอยู่ในดินแดนที่เขาไม่เคยรู้จัก เด็กที่อยู่ต่อหน้าก็ไม่ใช่เด็กที่เขาเคยรู้จัก

จ้าวก้าวเดินเข้าไปหาแต่กลายเป็นว่าตฤณชักเท้าถอยกลับ เขาจึงนิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างสมเพชตัวเอง “เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปจากที่นี่ก่อนไม่มีโอกาส แต่รบกวนช่วยหยิบโหลลงยันต์ในกระเป๋าย่ามของหมอผีออกไปทำลายด้วยนะครับ”

จ้าวไม่สนใจว่าตฤณจะทำตามหรือไม่แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นก็ทำให้รู้แล้วว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นเหมือนเคยอีกต่อไป ตฤณคงเกลียดเขาเข้ากระดูกดำไปแล้ว แม้ว่าจะเดินเข้าไปใกล้ ผ่ายนั้นยังถอยห่างราวกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน

“เดี๋ยว!” เมฆเรียกเอาไว้ก่อนที่จ้าวจะเดินเข้าคฤหาสน์ไป

เด็กชายเอี้ยวตัวกลับมามองหน้ากึ่งตั้งคำถาม

“วิญญาณอีกครึ่งของตฤณ ช่วยคืนมาด้วย”

จ้าวนิ่งชะงักไป แววตาสีเพลิงดูตื่นตกใจอยู่เล็กน้อยด้วยคาดไม่ถึงว่าจะมีใครรู้เรื่องวิญญาณอีกครึ่งที่หายไปของตฤณ หากเมฆเป็นหมอผีหรือผู้ที่เดินมายังเส้นทางประเภทนี้ เขาจะไม่มีวันแปลกใจเลยแม้แต่น้อย แต่เมฆเป็นแค่คนที่มีสัมผัสพิเศษ อาจแค่สัมผัสได้แต่ไม่ได้รู้ลึกรู้จริงอะไร

“พูดเรื่องอะไรเหรอครับ วิญญาณอีกครึ่งของพี่ตฤณ จ้าวจะเอาไปทำอะไรครับ”

“เอาไปทำอะไร พี่ไม่รู้หรอกนะ แต่วิญญาณตฤณหายไปครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่จ้าวเอาไปแล้วจะเป็นใคร”

จ้าวหันหน้ากลับไปแล้วหายเข้าไปในคฤหาสน์

“พี่พูดอะไรของพี่!”

ตฤณหันไปโวยวายใส่เมฆแต่กลับถูกฝ่ายนั้นทำหน้าปั้นปึ่งใส่แล้ววิ่งหายเข้าไปในคฤหาสน์ตามจ้าวไป จนตฤณต้องตามเข้าไปอีกคนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เรียกว่าความห่วงใย

เมื่อก้าวเข้าไปภายในคฤหาสน์ ทั้งตฤณและเมฆก็ไม่เห็นใคร เป็นเพียงห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วยหยากไย่และความสกปรก ช่างดูแตกต่างกับตอนที่เข้ามาเป็นครั้งแรกราวกับเพียงแค่พลิกฝ่ามือ หรือบางทีนี่อาจเป็นสถานที่จริงแต่แรกเริ่มและพวกเขาถูกภาพหลอนลวงตา แต่แล้วก็ปรากฏร่างของจ้าวตรงเชิงบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นบน

“รับไป แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”

ตุ๊กตาดินปั้นสองหัวถูกยื่นไปตรงหน้า มันเป็นตุ๊กตาที่คล้ายตุ๊กตาที่พวกหมอผีชอบนำมาทำคุณไสยแต่ต่างกันตรงที่ว่านี่ไม่ใช่ตุ๊กตาดินปั้นสองตัวชายหญิงหันหน้าชนกันแล้วพันด้วยสายสิญจน์ ดูเป็นตุ๊กตาดินปั้นธรรมดาที่ไม่น่าจะเป็นหนึ่งในพิธีกรรมช่วงชิงดวงวิญญาณไปได้

“เอามันไปทำลายแล้วห่อด้วยผ้าขาวที่อบกลิ่นดอกลั่นทม มัดด้วยเชือกป่านที่พรมน้ำมนต์เก้าวัด จากนั้นจะเอาฝังดินหรือถ่วงทิ้งแม้น้ำก็ได้”

ทั้งเมฆและตฤณยังคงนิ่งอยู่

“รับไปสิครับ อยากให้คืนก็คืนให้แล้ว”

เมฆก้าวออกไปรับตุ๊กตาดินปั้นตัวนั้นคืนแทนตฤณที่ดูคล้ายว่าจะยังตกใจ คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่เมฆพูดให้เขาฟังนั้นจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เมื่อสิ่งที่ถูกขอส่งถึงมือผู้ขอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จ้าวจึงหายไปจากที่ตรงนั้นในทันที

“กลับกันเถอะ ตฤณ เราไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว”

ตฤณยังยืนนิ่งคล้ายว่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว แต่เขาเพียงแค่กำลังสับสนระหว่างความจริงที่ได้เห็นได้รับรู้ด้วยตัวเองกับความรู้สึกในตอนนี้ที่มีต่อเด็กคนนั้น แม้จะหวาดกลัว แม้จะไม่อยากเชื่อว่าเด็กตัวน้อยจะลงมือฆ่าใครได้แต่ทำไมใจเขาถึงยังบอกว่ารัก

“ตฤณ กลับกันได้แล้ว”

“.....”

“ตฤณ”

“อืม”

อยู่ไป... เจ้าของคฤหาสน์ก็คงไม่ต้อนรับแล้วและเขาก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องเอาตัวเองมาผูกพันกับสถานที่ที่มีคนตายนับสิบอีกแล้ว ตฤณจึงหันกลับไปมองดูเบื้องหลังของสถานที่ที่เขาเคยได้ใช้ชีวิตอยู่พร้อมกับกล่าวคำอาลาในใจ ล่ำลาดวงวิญญาณที่รัก ล่ำลาสถานที่ที่เขาเคยคิดจะใช้ชีวิตอยู่ในอนาคตเป็นครั้งสุดท้าย

จ้าวกลับเข้ามาอยู่ในห้องของตัวเอง มองลอดผ่านช่องว่างของหน้าต่างกับผืนผ้าม่านออกไป เขาเห็นภาพตฤณเดินห่างออกไปช้าๆ จนกระทั่งพ้นรั้วของคฤหาสน์ไปแล้วถึงได้เข้าใจในสิ่งที่เจตรินเฝ้าเตือนมาตลอด ถ้าหากวันใดวันหนึ่งตฤณรับรู้ความจริงที่ว่าพวกเขาสองคนมีชีวิตอยู่กันคนละภพภูมิ จุดจบของเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร

“พี่เจต...”

‘ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ’   

“ใครจะร้อง จ้าวก็แค่อยากจะบอกว่าสุดท้ายแล้วเราก็จะได้อยู่อย่างสงบสักที วิญญาณตายโหงที่เข้ามาลองดีที่นี่ก็ถูกหมอผีนั่นจับไปแล้ว ที่นี่ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในอีกไม่นานแล้ว”

เจตรินปรากฏกายขึ้นข้างๆ น้องชาย เขาทอดสายตามองร่างที่น่ารักน่าเอ็นดูแต่กลับรู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก หากแต่เป็นจิตใจที่ดูจะโตขึ้นมาอีกก้าว ในความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นมีสิ่งที่เรียกว่าความเข้มแข็งแอบแฝงอยู่ในนั้น

‘จ้าวไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่ว่ากับใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ไม่คิดจะผูกพันแต่กับตฤณ... พี่รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่เอาเถอะ ต่อให้น้องชายของพี่รู้สึกยังไงก็หนีความจริงไปไม่พ้น ผู้ที่อยู่ต่างภพต่างภูมิไม่มีวันเดินทางมาบรรจบกันได้ เขาเป็นมนุษย์ที่มีโอกาสตามหาคู่ชีวิตของตัวเองในโลกอันกว้างใหญ่ ได้อยู่ในโลกที่ผู้มีลมหายใจอยู่ ต่างกับเราที่ติดอยู่ที่นี่ ไม่มีใครปลดปล่อยเราได้แม้แต่ตัวเราเอง ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรทั้งนั้นนอกเหนือจากชดใช้กรรมของตัวเองจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไป’


เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เกิดมาจนถึงตอนนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่เจตรินพูดเยอะที่สุดและเขาก็รู้ตัวดีว่าคงพูดอะไรมากเกินไป

“พี่นกมาแล้ว ฝากพี่เจตไปบอกให้ด้วยว่าช่วยเก็บกวาดเหมือนเดิมด้วยแล้วก็ขอบคุณที่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ มันช่วยจ้าวในยามขับขันได้มากเลย”

‘ไม่ลงไปพูดเองเลยล่ะ หรือให้พี่ชายตามขึ้นมาก็ได้’

จ้าวส่ายหน้า ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะไปพูดอะไรกับใครทั้งนั้น

‘ตามใจนะ พี่ไม่บังคับ’

“เดี๋ยวจ้าวไปเองก็ได้”

เจตรินถึงกับยิ้มออกมา เขาไม่อยากให้น้องชายจมปลักอยู่กับความคิดของตัวเองเพียงลำพังในห้องเพราะไม่ว่าจะทำยังไง ตฤณคงไม่มีทางกลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่สองแน่

‘ดีแล้ว จะขอบคุณใครก็ควรจะไปพูดด้วยตัวเอง’


“งั้นจ้าวไปนะ”

จ้าวหายออกไปจากห้อง จึงเหลือเพียงแค่เจตรินเท่านั้นที่ยังอยู่ในนี้ เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เขารู้เพียงแค่ว่ามันจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเก่าได้อีก ความเงียบสงบที่กำลังย่างกรายมายังคฤหาสน์หลังนี้แบกเอาความโศกเศร้า เจ็บปวดและโหยหามาพร้อมกัน


------------------------------------------

จ้าวปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนรออยู่แค่หน้าประตูคฤหาสน์ เธอคนนี้ชื่อนกเป็นหนึ่งในคนรับใช้ของคฤหาสน์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยเพราะต้นตระกูลของเธอเคยลั่นคำสัญญาว่าจะอยู่รับใช้ตราบชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม ตระกูลของเธอทุกรุ่นจะคอยตามรับใช้เรื่อยไป

“พี่นก”

“ให้พี่เริ่มจัดการตรงไหนก่อนดีคะ”

“ศพที่อยู่ข้างหน้าก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยเข้ามาเก็บกวาดในคฤหาสน์ จากนี้ไปพี่นกก็ไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้วนะครับ จ้าวขอยุติพันธะสัญญาระหว่างเราเอาไว้แค่ตรงนี้”

“อะ... อะไรนะคะ!”

นกไม่คาดคิดว่าสุกท้ายแล้วตัวเองจะถูกบอกเลิกพันธะสัญญาที่มีมาแต่อดีตกาลลงในวันนี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของการใช้ชีวิตมาครึ่งหนึ่งดูตื่นตระหนกด้วยเพราะคาดไม่ถึงมาก่อน

“พี่นกไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว”

“แต่ว่า... คุณวินเซ้นท์คะ คือ...”

“ไม่มีคุณวินเซ้นท์อีกแล้ว จะมีก็แค่จ้าว เด็กผู้ชายที่ถูกพ่อแม่รังเกียจ กล่าวหาว่าเป็นปีศาจเพราะสีตาแปลกๆ เด็กที่ถูกใครต่อใครทำเหมือนเป็นตัวประหลาด คุณวินเซ้นท์อะไรนั่นได้ตายไปตั้งแต่เหตุฆาตกรรมครั้งนั้นแล้ว”

จ้าวพูดจริง ไม่ได้โป้ปดแม้แต่น้อย วินเซ้นท์ก็เป็นเพียงแค่ชื่อใหม่ที่ครอบครัวนี้ตั้งให้เพราะอยากให้ได้ใช้ชีวิตใหม่แต่ไม่ว่ายังไงสีตาที่ไม่เปลี่ยนไปก็ยังคงทำให้เขาถูกมองว่าเป็นลูกของปีศาจที่เกิดมาจ้องแต่จะทำลายล้างผลาญทุกชีวิตรอบกายให้ดับสิ้น

“คุณจ้าวคะ ทำไมถึงได้พูดแบบนั้นออกมาทั้งที่ตระกูลเราสาบานไว้แล้วว่าจะอยู่รับใช้จนกว่าตระกูลจะสิ้น”

“หลังจากนี้จ้าวคิดว่ามันคงไม่มีอะไรให้ต้องเก็บกวาดอีกแล้ว จ้าวจะปิดตายคฤหาสน์หลังนี้ ไม่ว่าใครที่เข้ามาลองดีก็จะอยู่ได้แค่ที่หน้าประตูรั้ว ถึงตอนนั้นถ้าพี่นกยังอยากทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ก็ยังทำได้ แต่จ้าวคงไม่ให้ใครเข้ามาเหยียบที่นี่อีกแล้ว”

“พี่รู้นะคะว่าไม่มีสิทธิ์เอ่ยถามอะไรหรือแม้แต่บอกว่าคุณจ้าวควรทำอะไร แต่ตัดสินใจดีแน่แล้วเหรอคะเรื่องปิดคฤหาสน์ ถึงคุณจ้าวจะปิดคฤหาสน์ไปแต่คนที่อยากลองของมันไม่ได้หมดไปนะคะ ยังไงก็คงเข้ามาสร้างความรบกวนให้อยู่ดี”

เพราะรู้ดีว่าคนที่ชอบลองของ ท้าทายสิ่งที่จับต้องไม่ได้บนโลกใบนี้ยังมีอยู่อีกมาก ฉะนั้นนี่จึงเป็นหนทางที่จะแสดงให้เห็นว่าการชอบลองดีกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้จะต้องพบเจอกับจุดจบเช่นไรกันแน่

“จ้าวรู้ เรื่องนี้... พี่นกไม่ต้องสนใจหรอกครับ แค่ช่วยเก็บกวาดให้จ้าวก็พอแล้ว และก็ขอบคุณนะครับที่ช่วยอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ได้ทันเวลาพอดี ไม่อย่างนั้นจ้าวคงแย่แน่แต่ไม่ต้องทำมาให้บ่อยนะ จ้าวรับแค่เท่าที่จำเป็นเท่านั้นแล้วก็ไม่อยากไปเบียดเบียนใครด้วย”

“คุณจ้าวไม่ได้เบียดเบียนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ที่พี่คอยรับใช้คุณจ้าวกับคุณโจเซฟมาก็ผ่านมาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว คุณจ้าวเป็นเด็กนิสัยดีเหมือนที่ใครหลายคนที่นี่บอกและคุณจ้าวจะร้ายแค่กับคนสามประเภทเท่านั้น หนึ่งคือพวกชอบท้าทาย สองคือพวกที่ชอบบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวและสามคือพวกที่มาร้าย พี่แค่อยากช่วยให้หลุดพ้นจากสถานที่นี้แล้วได้ไปเกิดใหม่”

จ้าวเข่นยิ้มอย่างสมเพชเวทนาตัวเอง ไม่มีวิญญาณดวงไหนที่ไม่อยากไปผุดไปเกิดใหม่แต่ทุกดวงวิญญาณที่อยู่ที่นี่เป็นเพราะความแค้นในอดีตของตนเองที่สาปแช่งให้พวกเขาคิดอยู่ที่นี่ชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้แต่เจตรินก็ยังเป็นหนึ่งในดวงวิญญาณที่คำสาปแช่งของเขาส่งไปถึง

“เวรกรรมที่ทำมามันลบล้างกันไม่ได้ง่ายๆ หรอกครับ จ้าวคงต้องอยู่ชดใช้กรรมที่นี่ไปอีกนาน”

“คุณจ้าว...”

“พี่นกไปจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยเถอะ อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว”

ดูเหมือนว่านกมีเรื่องอยากจะพูดต่อแต่จ้าวไม่อยู่รับฟัง เธอจึงจำใจเดินออกไปเก็บกวาดซากศพคนตายที่นอนอยู่กลางลานกว้างที่รกร้าง จัดการทำความสะอาดคราบเลือดที่เปรอะพื้นทางเดิน ทำหน้าที่ของคนรับใช้ของคฤหาสน์หลังนี้ให้ดีที่สุดก่อนทุกอย่างจะสิ้นสุดลง




** ติดตามตอนต่อไป **
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 25 [18/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 18-06-2018 21:08:28
ยาวสมกับเวลาที่รอ  อิอิอิอิอิิ
กฤต รีบกลับมาหาจ้าวววนะ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 25 [18/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-06-2018 01:56:21
แล้วจะได้เจอกันอีกไหมเนี่ย  :katai1:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 25 [18/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 21-06-2018 19:31:22
เห็นใจจ้าวจัง
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 27-06-2018 16:36:11
::: ตอนที่ 26  [[ END ]] :::
การกลับมา






ถ้าพูดถึงซากศพ สภาพของตฤณในเวลานี้ก็แทบจะไม่ต่างกันมากนัก

“ตฤณ ทำไมสภาพมึงแย่ขนาดนี้วะ ไปทำอะไรมา”

ตฤณไม่ได้ตอบคำถามที่ลีถามแต่เขาเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วคว้าเอากระเป๋าเป้มาหนุนหัวแทนหมอน เหลือบสายตามองอีกฝ่ายก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาราวกับว่าอยากจะให้มันช่วยนำพาความรู้สึกสับสนวุ่นวายที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้างแล้วออกไปให้ไกลๆ

“ระหว่างความรักกับความถูกต้อง มึงจะเลือกอะไรวะ ลี”

“ถ้ากูเป็นตำรวจก็คงเลือกความถูกต้องมาก่อน แต่ถ้ากูเป็นแค่คนธรรมดาก็อาจจะเลือกความรัก เอาเข้าจริงๆ มันก็เลือกยากอยู่นะ ถ้าสิ่งที่มึงรักมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง มึงจะยอมรับผลที่ตามมาได้ไหม ถ้ายอมรับได้ก็เลือกความรัก แต่ถ้ามึงยังเห็นแก่ความถูกต้อง ยังแคร์สังคมรอบข้างก็ควรปล่อยความรักที่ผิดๆ นั้นไป”

ตฤณพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้วแต่ยังคงนอนแบ๊บอยู่บนกระเป๋าตัวเองอย่างนั้น

“กูรักเขาแต่ก็ก็ยังมีบางเรื่องในตัวเขาที่รับไม่ได้”

“ตฤณ เรื่องนี้กูก็คงช่วยมึงไม่ได้ มึงต้องเป็นคนตัดสินใจเอง แต่กูจะพูดอะไรให้ฟังนิดหน่อยนะว่าถ้าความรักของมึงมีคำว่าแต่หรือเงื่อนไขอื่นๆ เต็มไปหมด ถ้ามึงพูดว่าชอบเขาแต่ รักเขานะแต่... อนาคตความรักของมึงคงจบลงสักวัน มึงเคยได้ยินไหมว่าการรักใครโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้มันคือความสุขที่สุดสำหรับคนทั้งคู่เลยนะ”

ใช่ว่าตฤณจะไม่รู้แต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรในเมื่อจ้าวปิดประตูคฤหาสน์ใส่หน้า ยื่นคำขาดไม่ต้อนรับใครหน้าไหนอีกแล้วทั้งสิ้น

“เฮ้อ~”

“มึงกำลังพูดถึงจ้าวอยู่ใช่ไหมวะ”

ตฤณผงกหัวขึ้นลงช้าๆ เป็นเชิงตอบคำถามของเพื่อน

“เฮ้อ~ ตฤณเอ๋ยตฤณ ความรักของมึงมันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่เริ่มคิดแล้วว่ะ อย่าพยายามดันทุกรังกับสิ่งที่รู้ว่ามันอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกเลย มึงตัดใจจากเขาตอนนี้ยังทันนะ”

พูดจบ ลีถึงได้รู้ตัวว่าพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป ถ้าหากจ้าวรู้ว่าเขาพูดในสิ่งที่ถูกห้ามมาตลอด ชีวิตที่เหลืออยู่คงถูกริบไปเหมือนอย่างที่เนตรกับยุ้ยได้พบเจอแน่ เขาจึงทำท่าคล้ายจะบอกว่าอย่าได้ใส่ใจในคำพูดนั้นเลย

“ตัดใจทั้งที่ยังรักนี่ต้องทำยังไงวะ”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้ามึงลองคิดว่ามึงกับเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่รักแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ สักวันก็คงจะเลิกรักหรือมึงอาจรักเขามากจนตัดใจไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องหาใครสักคนมาดามหัวใจให้แล้วล่ะ”

“ที่มึงพูด กูทำไม่ได้สักอย่าง”

ลีทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนแต่แล้วเขาก็เห็นเมฆเดินตรงเข้ามายังที่ที่พวกเขานั่งกันอยู่จึงถือโอกาสนี้เปลี่ยนเรื่องคุยเสียเลย “พี่เมฆมาพอดี”

“มีเรื่องอะไรกัน”

“จะตัดใจทั้งที่ยังรักต้องทำยังไง”

“มาถามอะไรกับคนไม่มีแฟนอย่างกูวะ”

ลีได้แต่หัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อนอีกครั้ง ที่เขาถามก็ไม่ใช่เพราะอยากรู้แต่เห็นสภาพเพื่อนเข้าใกล้คำว่าซอมบี้เข้าไปทุกทีก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เขาเสียเพื่อนอย่างเนตรและยุ้ยไปในเวลาไล่เลี่ยกันแล้วจึงไม่อยากเสียตฤณไปด้วยอีกคน

เมฆทิ้งตัวลงนั่งข้างตฤณ เอื้อมมือออกไปแตะไหล่เบาๆ “แกใกล้ได้วิญญาณอีกครั้งกลับมาแล้วนะ”

“วิญญาณอีกครึ่งอะไรวะ พี่”

“เด็กคนนั้นเอาวิญญาณอีกครึ่งของตฤณไปและเพิ่งได้คืนมาเมื่อวานนี้แต่มันยังไม่สมบูรณ์ดี”

ลีชะงักไปเล็กน้อย เขากำลังพยายามรวบรวมปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์หลอนหลังนั้นแต่จนแล้วจนรอดก็ยังตอบไม่ได้ว่าเมื่อไรกันที่วิญญาณของเพื่อนถูกฉกชิงไปครึ่งหนึ่งและเขาก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับร่างกายที่วิญญาณอยู่ไม่ครบจำนวน

“เรื่องฉกชิงวิญญาณถือว่าไม่ได้ทำกันง่ายๆ นะ”

ลีนิ่งไปอีกครั้งกับคำพูดของเมฆ ถ้าหากพิธีกรรมนี้ทำกันไม่ได้ง่ายๆ แล้วเด็กคนนั้นต้องเก่งกาจถึงขนาดไหนถึงช่วงชิงวิญญาณของผู้อื่นไปเป็นของตนเองได้ พูดไปแล้วก็น่ากลัวไม่น้อยและดูเหมือนว่าลีจะโชคดีอยู่บ้างที่เด็กคนนั้นยังปล่อยให้เขาได้เป็นอิสระ

“ถ้ามันไม่ง่าย...”

“มันมีพิธีกรรมที่เราไม่รู้มากมายบนโลกใบนี้ แล้วยิ่งเกี่ยวกับดวงวิญญาณสองดวงผูกกัน ยังไงมันก็ต้องเป็นพิธีกรรมขั้นสูงที่ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้”

ลีแอบเหลือบมองหน้าเพื่อนที่ทำท่าทางราวกับกำลังถูกภรรยาขอหย่าแต่ตัวเองไม่ยินยอมแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้เลยว่ะ ตฤณ ลองกลับไปเคลียร์กับเขาดูอีกทีดีไหม ยังไงเขาคงเปิดประตูต้อนรับมึงเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว”

“กูคงกลับไปไม่ได้แล้ว เขาเพิ่งปิดประตูใส่หน้า ใส่กูกับพี่เมฆออกมา”

“พี่เมฆช่วยพูดอะไรหน่อยสิ”

เมฆเองก็จนปัญญา ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาเช่นกัน เขาเห็นเด็กคนนั้นพูดจาให้ตฤณออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นอย่างไร้เยื่อใยแต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในดวงสีสีเพลงนั้นกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แม้น้ำเสียงที่ใช้พูดในขณะนั้นจะราบเรียบแค่ไหนก็ตาม

“ตฤณ...”

“ขอกูอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพักนะ ลี”

สุดท้ายแล้วลีก็จำต้องเงียบลง เขาได้แต่มองร่างของเพื่อนที่นอนฟุบหน้าอยู่กับกระเป๋าของตัวเองแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ ถ้าหากความสัมพันธ์ยังดูคลุมเครืออยู่อย่างนี้ เหมือนว่าจะไปต่อแต่ก็ไปไม่ได้ราวกับว่าเห็นทางข้างหน้าแต่ไม่รู้วิธีก้าวเดิน

“ตฤณ คืนนี้ช่วยไปคฤหาสน์หลังนั้นกับพี่ได้ไหม พี่มีธุระนิดหน่อย”

“อืม”

เสียงตอบรับในลำคอดังออกมาเบาๆ จากร่างที่กำลังนอนก้มหน้าอยู่ แค่นั้นก็พอที่จะทำให้ลีเบาใจและนึกขอบคุณรุ่นพี่อยู่ในใจลึกๆ ที่ช่วยออกตัวเป็นทัพหน้าพาเพื่อนที่พร้อมจะกลายเป็นซากศพได้กลับไปจัดการกับปัญหาหัวใจและความรู้สึกของตัวเอง


-----------------------------------------


ตกดึกของวันนี้ ทั้งเมฆ ตฤณและลีก็พากันเดินทางไปยังคฤหาสน์ของตระกูลคัลเลน ธุระของเมฆที่มีในตอนนี้ก็เป็นเรื่องของตฤณทั้งสิ้น ไม่มีส่วนไหนที่เป็นเรื่องของตัวเขาเลย พอมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์ พวกเขาทั้งสามคนก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป

“ไม่เหมือนวันนั้นเลย คราวนี้มันสงบเงียบจนไม่คิดว่ามันเป็นคฤหาสน์ที่เขาเล่าลือกัน”

ตฤณนิ่งเฉยกับคำพูดของเมฆแต่ทว่าในใจยังคงคิดตาม อาจเป็นไปได้ว่าจ้าวพร้อมตัดขาดจากเขา ตัดขาดจากโลกใบนี้ไปแล้ว มันถึงได้ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งความอบอุ่นอันคุ้นเคยที่ได้รับจากเด็กคนนั้นเมื่อเขาก้าวเข้ามาถึง

‘มาที่นี่ทำไมอีกครับ’

เสียงของใครบางคนดังมาตามสายลมที่พัดเอื่อยแต่ไม่เห็นตัวตนของเจ้าของเสียง

“มีธุระ อยากคุยกับจ้าวนิดหน่อย” เมฆเปิดฉากตอบคำถาม บอกจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของพวกเขา พลันนั้นร่างของเจตรินก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนตรงหน้าจนทั้งสองเกือบจะร้องเสียงหลง

‘ธุระเรื่องอะไรครับ’


“เปิดให้เราเข้าไปได้ไหม”

‘ขอโทษด้วย ถ้าจ้าวไม่อนุญาตก็คงเปิดให้เข้าไปข้างในไม่ได้’

ประตูทางออกที่อยู่ตรงปลายทางถูกปิดลงดังฉับพร้อมกับใส่กลอนไว้อย่างแน่นหนา โอกาสที่ตฤณจะจัดการปัญหาของตัวเองไม่ใช่แค่ว่ามันริบหรี่แค่ไหนแต่มันไม่เหลือให้ได้คาดหวังอีกแล้ว แต่เมฆกลับไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ใดๆ เพราะเขาก็เป็นอีกคนที่ทนเห็นรุ่นน้องอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นแบบนี้ไม่ไหว

“ผมไม่อยากเห็นเขาเป็นแบบนี้”

‘นั่นมันก็เรื่องของเขา น้องชายผมคืนสิ่งที่เอาจากเขาไปแล้ว จากนี้ก็ไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกันอีก และน้องชายผมก็ไม่ต้อนรับใครแล้ว เราปิดตายคฤหาสน์หลังนี้ไปเรียบร้อยแล้ว หวังว่าคงเข้าใจนะครับ คำว่าปิดตายหมายความว่าอะไร’

ปิดตายคฤหาสน์ เมฆเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไรแต่จะไม่ยกเว้นตฤณไว้สักคนเลยหรือ

“พี่เมฆกลับเถอะ ถ้าเขาไม่อยากเจอ เราก็ไม่ควรมา”

ตฤณยอมแพ้แล้ว เขากระตุกแขนเมฆเป็นเชิงบอกให้หยุดแต่ยังไม่ทันไร ประตูรั้วของคฤหาสน์ก็ถูกปลดล็อคแล้วแง้มออกเพียงเล็กน้อยคล้ายกับว่าเจ้าของพื้นที่ยอมให้ใครบางคนเข้าไปข้างในได้แล้ว เจตรินมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

‘ให้เข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น คนที่เหลือให้รออยู่ข้างนอกรั้ว ถ้าตกลงตามนี้ได้ก็จะยอมให้เข้าไปพบจ้าวได้’


เมฆพยักพเยิดให้ตฤณเดินเข้าไปข้างใน ส่วนตัวเขาจะอยู่รอข้างนอกกับลี

“ไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะอยู่นี่กับลีเอง แกไปเคลียร์อะไรให้เรียบร้อย นานเท่าไรพี่ก็รอได้”

เมฆดีกับตฤณขนาดนี้ เขาไม่รู้จะตอบแทนกลับอย่างไรดี เขาหันไปมองหน้าพร้อมกับส่งสายตาเป็นการบอกกลายๆ ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง เขาจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้เรียบร้อยแล้วจึงผลักประตูที่เปิดแง้มอยู่เพียงเล็กน้อยออกกว้างพอให้เดินผ่านเข้าไปข้างในได้อย่างสบาย

บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ ดูรกร้าง ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายอยู่กลางสวนที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขามาเยือนแต่ทำไมในครั้งนี้ถึงได้รู้สึกต่างออกไป มันสงบจนน่าใจหาย เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาของตัวเองดังเป็นจังหวะหรือแม้แต่เสียงของรองเท้าที่สัมผัสลงไปบนใบไม้แห้งกรอบสีน้ำตาลที่เตรียมพร้อมย่อยสลายลงสู่พื้นดิน

ตฤณไม่รู้ว่าการเจอหน้าจ้าวในครั้งนี้ เขาจะพูดอะไรดีแต่หลายสิ่งหลายอย่างระหว่างกันมันไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก คำบอกรักก็เป็นเขาฝ่ายเดียวที่พูดมันออกมา อย่างน้อยๆ ในวันนี้มันควรจะจบลงหรือบางทีอาจเป็นการได้เริ่มต้นใหม่ สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจ้าวทั้งหมด

มือแกร่งผลักบานประตูคฤหาสน์ให้เปิดออก มันส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดจนนกที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นกระพือปีกบินหนีไปด้วยความตกใจ เขาสะบัดมือผ่านหน้าตัวเองสองสามครั้งคล้ายว่ากำลังไล่ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่ตรงหน้าไปให้พ้นทางก่อนที่จะสูดเข้าไปจนพวกมันเข้ามาอยู่เต็มปอด

“จ้าว...”

คำแรกที่ตฤณพูดคือชื่อของคนรัก เด็กคนนั้นยืนนิ่งสงบอยู่ตรงโถงกว้างของคฤหาสน์ แววตาไม่ปรากฏความยินดีหรือรังเกียจแม้แต่น้อย ใบหน้ากลมมนที่แสนน่ารักนั่นนิ่งเฉยจนเขารู้สึกเหมือนว่ามันออกจะเย็นชานิดๆ ด้วยซ้ำ

“พี่ตฤณมาทำไมครับ หรือว่าต้องการคำอธิบาย”

“พี่อยากได้คำตอบสักสองสามเรื่อง”

“ได้ จ้าวจะตอบให้แล้วหลังจากที่พี่ตฤณได้คำตอบไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”

ตฤณก้าวเข้าไปใกล้ร่างเล็กขึ้นอีกเล็กน้อยโดยที่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ขยับหนีหรือแสดงท่าทีรังเกียจในการเข้าใกล้ที่มากขึ้นของเขาแต่กลับยืนนิ่ง รอฟังในสิ่งที่เขาจะถาม

“ทำไมจ้าวต้องฆ่าคนด้วย”

แววตาสีเพลิงดูเปลี่ยนไปทันทีที่ตฤณถามว่าทำไม มันดูเย็นชา เกลียดชังและไร้ความเป็นมิตร

“มีคนสามประเภทที่จ้าวเกลียด พวกชอบท้าทายลองของ พวกที่บุกรุกพื้นที่ของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตและสุดท้ายก็คือพวกที่เข้ามารนหาที่ตายเอง หมอผีนั่นเป็นประเภทสุดท้าย เมื่ออยากได้ จ้าวก็ให้ เมื่อเสนอมา จ้าวก็สนองกลับไป จะให้จ้าวอยู่เฉยๆ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้แล้วยอมให้ถูกจับไปเป็นข้าทาสบริวารอย่างนั้นเหรอ ถ้าพี่ตฤณรู้ว่าทางรอดเดียวที่มีอยู่คือต้องลุกขึ้นสู้ พี่ตฤณยังจะนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้ตัวเองตายไป ไม่รู้สึกเสียดายชีวิตที่เหลือของตัวเองบ้างเหรอครับ”

ที่จ้าวพูดมานั้นถูกต้อง ไม่ว่าใครต่างก็ย่อมต้องรักชีวิตของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น หมอผีเฒ่าคนนั้นก็เช่นกัน แต่เขาเพียงแค่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าเด็กคนหนึ่งที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์จะจับอาวุธฆ่าใครได้ก็เท่านั้น แต่ก่อนที่ตฤณจะได้ถามต่อไป จ้าวก็พูดขึ้นมาเสียเอง “พี่ตฤณ... จ้าวไม่ใช่เด็กดีของพี่อีกต่อไปแล้ว เป็นเพียงแค่วิญญาณร้ายกาจที่รอชดใช้กรรมอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เท่านั้น จ้าวรู้ว่าที่พี่มาวันนี้ต้องการอะไรแต่จ้าวให้พี่ไม่ได้ สิ่งที่อยู่กันคนละภพภูมิไม่ควรผูกพันกันตั้งแต่แรกแล้วเพราะมันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และไม่มีวันเป็นไปได้”

“ตอบพี่แค่คำถามเดียว จ้าวรักพี่ไหม”

จ้าวดูจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ของตฤณแต่เขาก็กลับมาทำสีหน้าเป็นปกติราวกับว่าก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วินาทีนั้นไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขา

“มันไม่สำคัญหรอกครับว่าจ้าวจะรักพี่ตฤณไหม แต่มันสำคัญที่ว่าเราสองไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ต่างหาก”

“พี่อยากรู้แค่ว่าที่ผ่านมาจ้าวรักพี่บ้างไหม”

คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่ตอบยากสำหรับจ้าวเลยสักนิดแต่เขากลับตอบมันออกไปไม่ได้ ไม่ได้ติดที่ตัวเขาเองหรืออีกฝ่ายแต่มันกลับเป็นตรงที่สุดท้ายแล้วเขาก็ค้นพบว่าความรักระหว่างพวกเขาไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้ รักระหว่างสองภพเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้นตั้งแต่แรก

“จ้าวขอไม่ตอบครับ พี่ตฤณกลับไปเถอะ”

คำตอบของจ้าวช่างทำร้ายจิตใจตฤณมาก คำตอบว่าไม่รักยังดีเสียกว่าการไม่ตอบเพราะเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายคิดยังไงกับตัวเอง แต่เขาไม่ทิ้งความหวังเอาไว้เพียงเพราะการไม่ยอมตอบคำถามแบบนี้แน่

“จ้าว...”


// ต่อข้างล่าง //
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: BlueSora ที่ 27-06-2018 16:36:36
“พี่ตฤณอย่าบังคับให้จ้าวตอบอะไรเลยครับ สิ่งที่จ้าวได้ทำกับพี่ตฤณเอาไว้มันไม่น่าให้อภัย จ้าวฆ่าคน จ้าวร้ายกาจกับคนอื่น จ้าวช่วงชิงดวงวิญญาณของพี่มาเป็นของจ้าว จ้าวไม่คู่ควรให้พี่ได้รักด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้วได้โปรดกลับไปอยู่ในที่ของพี่ ส่วนจ้าวจะอยู่ในที่ของตัวเองตรงนี้ ไม่ข้องเกี่ยวกับใคร ไม่ทำร้ายใครถ้าคนพวกนั้นไม่ได้เดินเข้ามาหาเอง”

ตฤณเดินเข้าไปใกล้อีกหลายก้าว คำพูดหลายประโยคของจ้าวแทบจะไม่เข้าหูเลยสักนิด หัวสมองของเขาหมุนคว้างราวกับเกลียวคลื่นในมหาสมุทร มันกำลังควานหาคำตอบที่ควรจะได้รับมันกลับไม่เจอแม้แต่คำเดียว

“จ้าว พี่...”

“จ้าวขอร้องนะ พี่ตฤณ” 

ดวงตาสีเพลิงคล้ายว่าจะปริ่มน้ำ น้ำเสียงที่ตฤณได้ยินเริ่มสั่นเครือราวกับเจ้าตัวกำลังเก็บงำบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในใจ ตฤณตัดสินใจก้าวเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าจนร่างทั้งสองห่างกันเพียงแค่หนึ่งท่อนแขน สองมือเอื้อมประคองใบหน้าเล็กแต่เขากลับสัมผัสมันไม่ได้เลย เขาชะงักค้างอยู่ในท่านั้นโดยมีรอยยิ้มที่แสนเจ็บปวดของคนตัวเล็กอยู่ตรงหน้า

“ทีนี้พี่ตฤณเข้าใจหรือยังครับ คำตอบของจ้าวมันไม่ได้สำคัญเท่ากับความจริง”

“ความจริงคือพี่รักจ้าว”

ดวงหน้ากลมก้มต่ำเล็กน้อย ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบถูกเม้มแน่น เรียวขาเล็กถอยหลังออกไปอีกหนึ่งก้าวเพื่อให้รอดพ้นจากระยะที่มือของตฤณจะเอื้อมมาถึง “แต่ความจริงของจ้าวคือจ้าวไม่ได้รักพี่ ไม่เคยรักเลย ที่ทำไปก็แค่หลอกใช้ความเชื่อใจของพี่เท่านั้น ทุกสิ่งที่จ้าวเคยพูดกับพี่มันคือคำโกหกที่พี่ตฤณไม่ควรเชื่อตั้งแต่แรก”

“งั้นเหรอ”

จ้าวบอกไม่ถูกว่าคำว่าเหรอที่ตฤณพูดออกมานั้นพูดด้วยความรู้สึกไหนกันแน่ สีหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดระหว่างเชื่อในคำพูดของเขาหรือไม่เชื่อนั่นยิ่งทำให้จ้าววิตกกังวล แต่เพียงไม่นานเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ปิดซ่อนความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดเอาไว้ภายใน

“ครับ จะถามจ้าวอีกพันครั้ง จ้าวก็จะตอบว่าจ้าวไม่เคยรักพี่ตฤณเลย”

“อย่างนั้นสินะ”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นจ้าวจะบอกความจริงอะไรบางอย่าง มันคงทำให้พี่ตฤณตัดใจจากจ้าวได้ง่ายๆ”

จ้าวยกยิ้มอย่างขมขื่น นี่อาจเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้ตฤณตัดใจจากเขาได้แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้รับอาจเป็นความเกลียดชังที่ไม่มีวันให้อภัย แต่ในวันนั้นทำให้เขาได้ตระหนักแล้วว่าอะไรที่ไม่ใช่ของคู่กัน ต่อให้มาอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมก็ไม่สามารถคู่กันได้อยู่ดี

“ถ้าจ้าวบอกว่าการตายของพี่เนตรกับพี่ยุ้ยเป็นฝีมือของจ้าวเอง พี่ตฤณจะเชื่อไหม”

ตฤณดูจะอึ้งไปพักใหญ่กับคำพูดนี้ ในหัวของเขาไม่เคยคิดว่าการตายของเพื่อนทั้งสองคนจะเป็นฝีมือของวิญญาณตัวน้อยที่แสนน่ารักอย่างจ้าว และมันดูไม่มีเหตุผลอะไรเลยด้วยซ้ำที่ถึงขั้นต้องมาพรากเอาชีวิตไป เมื่อประมวลผลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วนั้นเขาก็สรุปได้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

“เป็นไปไม่ได้”

“มันเป็นไปแล้ว”

“มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย”

จ้าวหัวเราะเบาๆ อย่างเสแสร้ง เขาแค่พูดความจริงในบางเรื่องและโกหกในบางเรื่องเพื่อตัดขาดจากตฤณอย่างถาวร “มีเหตุผลสิ เพราะจ้าวเกลียดพี่เนตรและพี่ยุ้ยก็แค่ดวงซวยโดนลูกหลงไปด้วยเท่านั้น ใครใช้ให้พวกเขาทำตัวติดกันล่ะ อีกอย่าง... คนที่ไม่ทำตามกฎของที่นี่ จ้าวก็ไม่รับรองความปลอดภัยอยู่แล้ว ถ้าเขาจะตาย ครึ่งหนึ่งก็ต้องโทษตัวเอง ได้ยินแบบนี้แล้วพี่ตฤณยังจะบอกว่ารักจ้าวอยู่อีกไหม”

ตฤณตอบไม่ได้ เขาไม่ยอมรับว่าการตายของเนตรและยุ้ยจะเป็นฝีมือของจ้าวเอง เขาไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้ทำลงไปเพราะความเกลียดชัง มันอาจเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้เขาตัดใจจากไปก็ได้

“กลับไปเถอะครับ เราสองคนไม่มีอะไรที่คู่ควรกัน พี่ตฤณเป็นคนดียังมีโอกาสได้พบเจอคนอีกมากมายและหนึ่งในคนเหล่านั้นอาจเป็นเนื้อคู่ของพี่ก็ได้ อย่าได้เอาชีวิตที่เหลือของพี่มาผูกติดกับวิญญาณอย่างจ้าวเลยครับ มันไม่คุ้มกันหรอก”

จ้าวเอ่ยปากไล่อย่างสุภาพที่สุดแล้วแต่ตฤณกลับยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้วก็เป็นจ้าวเองที่จนปัญญาจะทำให้ตฤณยอมจากไปแต่โดยดี เห็นทีว่างานนี้เขาคงต้องยกธงขาวยอมแพ้แล้ว

“พี่กำลังคิดว่าถ้าจ้าวฆ่าเนตรกับยุ้ยจริง ทำไมถึงไม่ฆ่าพี่ไปด้วย”

“.....”

“นั่นก็เพราะว่าจ้าวรักพี่เลยฆ่าทิ้งไม่ลงหรือเป็นเพราะว่าจริงๆ แล้วจ้าวไม่ได้ทำให้เนตรกับยุ้ยตายแต่เป็นฝีมือของวิญญาณตนอื่นที่อยู่ที่นี่”

จ้าวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับชะตาชีวิตของตัวเองดี เขาได้แต่เม้มปากแน่นแล้วมองดูร่างของผู้ชายที่ไม่สะดุ้งสะเทือนใดๆ กับความจริงที่เขาได้พูดออกไป

“พี่ตฤณ... ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”

“ให้พี่เข้าใจอะไร”

จู่ๆ จ้าวก็อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนี้แต่เขาก็ต้องใจเย็นแล้วฝืนยิ้มออกไป

“เข้าใจว่าเราไปด้วยกันไม่ได้ ชีวิตของเราไม่ได้ถูกกำหนดมาให้คู่กัน”

ตฤณเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมา “พี่อยากรู้แค่ว่าจ้าวรักพี่ไหม ขอความจริง ไม่ใช่คำโกหก”

น้ำเสียงและสีหน้าของตฤณในตอนนี้ดูจริงจังมากจนจ้าวไม่กล้าพูดโกหกอีก แต่เขาก็ไม่ได้ตอบมันออกไปในทันที ทำทีเป็นลังเลที่จะตอบมัน ในขณะนั้นก็คอยลอบมองปฏิกิริยาของตฤณไปด้วย แต่พอเห็นว่ามันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากตอนก่อนถาม เขาถึงได้ถอนหายใจออกมา

“จ้าวรักพี่ตฤณครับ”

จ้าวคิดว่าแค่ตอบก็คงจบเรื่องแต่กลับกลายเป็นว่าตฤณพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วแสงจนเขาตกใจ ถอยหลังไปหลายกาวแล้วสะดุดขาตัวเองล้มลง ก้นกระแทกพื้น

“จ้าว! พี่ขอโทษ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

ตฤณรีบเข้าไปประคองร่างเล็กแต่มือของเขากลับผ่านร่างนั้นไปได้อย่างง่ายดาย รู้ทั้งรู้ว่าจ้าวเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ทำไมถึงไม่ชินเลยสักที เขารีบชักมือกลับแต่ยังไม่หนีไปไหน

“ไม่เป็นไรครับ พี่ตฤณได้คำตอบแล้วก็กลับไปเถอะครับ”

“พี่ไม่ไปไหนทั้งนั้น ต่อให้จ้าวเป็นวิญญาณที่พี่จับต้องไม่ได้อีก ต่อให้จ้าวฆ่าคนมาเป็นร้อยเป็นพัน ต่อให้จ้าวจะร้ายกาจแค่ไหน พี่จะอยู่ตรงนี้ จะเอ่ยปากไล่พี่ พี่ก็ไม่ไป”

จ้าวอยากจะบอกว่าตฤณเป็นคนดื้อด้านเสียเหลือเกินแต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งมองอย่างมึนงง หัวสมองตื้อตึงไปหมด สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นมันไม่ผ่านเข้าหูของตฤณเลยหรือว่าฝ่ายนั้นไม่ยอมรับฟังกันแน่ถึงได้ทึกทักเอาเองอย่างนี้

“เอ่อ... ถ้า... ถ้าพี่ตฤณไม่ไป งั้น... งั้นจ้าวไปเอง”

จ้าวลุกขึ้นยืน ปัดตามเนื้อตัวแล้วหันหลังกลับ ก้าวไปได้สองสามก้าวก็ชะงักไปเหมือนว่าตัวเองเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วใบหน้าของเขาก็แดงซ่าน ขึ้นสีเลือดด้วยความเขินอาย เขาหายตัวไปจากตรงนี้ย่อมได้อยู่แล้วแต่การเดินจากไปเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์คนหนึ่งต่อหน้าตฤณ ไม่เท่ากับว่าเขากำลังรอให้ตฤณได้มาง้ออย่างนั้นหรือ

“จ้าว อย่าทิ้งพี่ไปได้ไหม”

คิดว่าคำพูดแค่นี้ของตฤณจะทำให้จ้าวใจอ่อนอย่างนั้นหรือ แน่นอน! อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งของความรู้สึก

“ใครกันแน่ที่คิดจะทิ้ง ไม่ใช่พี่ตฤณหรอกเหรอครับ โอกาสที่พี่จะได้เจอคนอื่นๆ ผู้หญิงสวยๆ มันมากกว่าจ้าวที่อยู่ได้แค่ในนี้อยู่แล้ว”

“ถ้าพี่ทิ้งจ้าวแล้วพี่จะกลับมาอีกทำไม... หันหน้ามาพูดกันสิ”

ใครจะกล้าหัน! ป่านนี้ใบหน้าของจ้าวคงแดงเถือกไปหมด บางทีมันอาจจะลุกลามไปถึงใบหูแล้วก็ได้และตฤณก็คงสังเกตเห็นถึงได้ให้เขาหันหน้ากลับไปพูดด้วย

“พี่ตฤณก็แค่กลับมาดูว่าจ้าวร้ายกาจแค่ไหน”

ตฤณอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา ที่เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำตัวซังกะตายเหมือนวิญญาณพร้อมหลุดออกจากร่างได้ทุกเมื่อในหลายวันที่ผ่านนั้นเป็นเพราะเขาแค่อยากกลับมาดูให้แน่ใจอย่างนั้นเหรอว่าจ้าวเป็นวิญญาณที่ชั่วร้ายมากแค่ไหน

“ไม่ใช่เลย พี่กลับมาเพื่อจะบอกว่าพี่รักจ้าว ไม่ว่าจ้าวจะเป็นอะไร จะเป็นวิญญาณที่ดีหรือไม่ พี่ก็รักจ้าว”

จ้าวหันกลับมาเผชิญหน้า แม้จะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วแต่ยังไม่สามารถปิดบังสีแดงระเรื่อที่อยู่บนใบหน้าได้ “ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณควรรอให้ได้วิญญาณอีกครึ่งกลับมาให้ครบก่อนแล้วมาบอกว่ารักจ้าวมันก็ยังไม่สายนะครับ”

“พี่ไม่รอ”

“......”

จ้าวถึงกับไปต่อไม่ถูก เขายืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นด้วยเพราะสรรหาคำที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว

“ถ้าพี่กลับมาอีกครั้งแล้วจ้าวไม่เปิดประตูต้อนรับพี่ล่ะ ต่อให้พี่จะได้วิญญาณอีกครึ่งกลับมาหรือไม่ พี่ก็รักจ้าว รักในสิ่งที่จ้าวเป็น รักตัวตนจริงๆ ของจ้าว รักความอ่อนโยนและเอาใจใส่ ความรู้สึกของพี่ทั้งหมดมีให้แค่จ้าวเท่านั้น แล้วยังจะไล่ให้พี่ไปจากจ้าวอีกเหรอ”

ถ้าตฤณจะพูดกับเขาถึงขนาดนี้ ไม่เปิดทางให้จ้าวได้ตอบปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งสายตาที่ใช้มองมานั้นช่างเต็มไปด้วยความจริงใจที่ไม่โป้ปด ไม่ใช่เสแสร้งโกหกเพียงเพื่อให้เขายอมรับหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เขาตายใจ

“พี่ตฤณ...”

“จะให้พี่ง้ออีกกี่รอบก็ได้ ถ้ามันทำให้จ้าวใจอ่อนบ้าง”

“พี่ตฤณ...”

“นะครับ”

“คือ... พี่ตฤณ จ้าวใจอ่อนตั้งนานแล้วครับ”

จ้าวขยับตัวเข้าไปใกล้ตฤณอีกนิดในขณะที่พูด เขารวบรวมพลังทั้งหมดของตัวเองที่มีอยู่ทำให้ร่างกายกลับมาจับต้องได้อีกครั้งเพื่อตฤณ เพื่อคนที่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายอย่างไร แล้วเดินเข้าไปหาในระยะที่มือเอื้อมถึง สีหน้าของตฤณในตอนนี้มันช่างดูตลกมากจนเขาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว

“จ้าว...”

จ้าวจับมือข้างหนึ่งของตฤณขึ้นมากุมเอาไว้ ส่งยิ้มอ่อนโยนและหวานหยดไปให้ “จ้าวแค่ไม่อยากให้พี่ตฤณต้องมาจนปลักอยู่ที่นี่กับจ้าว จ้าวเป็นเด็กนิสัยไม่ดีที่ไม่มีค่าพอให้พี่ตฤณได้รักด้วยซ้ำ ขอบคุณนะครับที่ยังรักจ้าว”

ตฤณไม่รู้จะตอบคำขอบคุณนั้นยังไงดีเพราะในตอนนี้เขารู้สึกมากกว่านั้นไปไกลแล้ว มือที่จับสัมผัสอยู่แม้ว่ามันจะไม่อบอุ่นเท่ากับมือของมนุษย์ทั่วไปแต่มันกลับทำให้ดอกไม้เบ่งบานขึ้นในใจของเขาได้ เขาอยากจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดเอาไว้เสียได้ด้วยซ้ำแต่กลัวว่าเมื่อกอดไปแล้วจะคว้าได้เพียงแค่อากาศ

“พี่ตฤณอยากกอดจ้าวก็กอดสิครับ”

ตฤณรีบดึงร่างเล็กเข้ามากอดเอาไว้แนบแน่นทันที ร่างเล็กๆ ที่เขาโหยหามาตลอดหลายวันที่ผ่านมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่หมุนวนอยู่รอบกายทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่

“พี่ตฤณกอดจ้าวแน่นเกินไปแล้วนะครับ เดี๋ยวจ้าวก็ให้กอดแค่อากาศซะเลยดีไหมครับ”

“อย่าทำแบบนั้นนะ”

“ถ้าไม่อยากให้ทำ พี่ตฤณไปตามพี่เมฆ พี่ลีเข้ามาข้างในดีกว่าไหมครับ ข้างนอกอากาศเย็นแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายไปซะก่อน”

“ให้พี่ได้จูบจ้าวสักครั้งก่อนได้ไหมล่ะ”

จ้าวหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะดันร่างของตฤณให้ห่างออกไปเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูเขินอายเวลาที่ตฤณพูดคำว่าจูบเพราะในหัวสมองมันปรากฏเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาในทันที “พี่ตฤณ~”

“แค่จูบเอง จูบเท่านั้น”

ยิ่งตฤณพูดย้ำซ้ำๆ ในคำว่าจูบ ใบหน้าของจ้าวก็เริ่มร้อนผ่าว เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อต้องการหลบซ่อนใบหน้าที่น่าอายนี้ให้พ้นจากสายตาอันเร่าร้อนแกมหยอกล้อของตฤณ แต่ยิ่งหันหนีเท่าไรก็ยิ่งรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมายังเขาอย่างไม่วางตา

“ไปชวนพี่เมฆกับพี่ลีเข้ามาก่อนเลยครับ”

“พวกเขารอได้”

“แต่จ้าวรอไม่ได้นี่ครับ ถ้าพี่ตฤณไม่ไป จ้าวบอกให้พี่เจตเชิญเข้ามาเองก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงให้พี่เดินไปชวนพี่เมฆกับลีเข้ามาล่ะครับ”

จ้าวทำเพียงแค่ยิ้มแหยๆ แล้วเดินเลี่ยงไปที่หน้าประตู ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าใจจดใจจ่ออยู่เพียงไม่นานก็เห็นเจตรินเดินนำเมฆและลีตรงเข้ามา เขาจึงเดินไปหาแล้วส่งยิ้มทักทายตามมารยาท “จ้าวว่ามันดึกแล้ว พี่เมฆกับพี่ลีพักที่นี่สักคืนดีไหมครับ”

ใครจะอยากไปพัก! เมฆและลีต่างพร้อมใจกับปฏิเสธเป็นเสียงเดียว

“ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณคงต้องพักอยู่ที่นี่คนเดียวซะแล้วล่ะมั้ง”

สิ้นคำพูดของจ้าวดูเหมือนว่าเมฆจะอยากได้คำอธิบายเอาเสียมากๆ พอเขาขยับปากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป จ้าวก็ชิงพูดขึ้นมาแทนเสียก่อน “ดูเหมือนพี่เมฆมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่ตฤณนะครับ ถ้าอย่างนั้นฝากพี่เจตช่วยไปจัดการเรื่องห้องให้ที จ้าวเองก็มีเรื่องอยากจะพูดกับพี่ลีเหมือนกันครับ เราไปหาที่คุยกันสักหน่อยดีไหม”

ถึงลีจะไม่อยากไปแต่เขาปฏิเสธไม่ได้

“ขอบคุณนะครับ พี่ลี” จ้าวพูดขึ้นในขณะที่เดินนำไปยังมุมหนึ่งของห้องโถงและเขามั่นใจว่าตรงนี้จะไม่มีใครได้ยินเสียงพูดคุยกัน

“เรื่องอะไร”

“ขอบคุณที่พี่ลีทำตามสัญญาของเรา แต่จากนี้ไปพี่ลีจะหลุดเรื่องพี่เนตรกับพี่ยุ้ย หรือจะเป็นเรื่องที่พี่ลีพบเจอในคฤหาสน์หลังนี้ให้พี่ตฤณฟัง จ้าวก็จะไม่โกรธเลยสักนิด... จ้าวพูดจริงนะครับ”

ลีไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้มาไม้ไหนกันแน่ ดวงหน้าที่เรียบเฉยประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดูคล้ายจะเป็นสิ่งที่เสแสร้งขึ้นมาแต่มันก็ไม่ใช่ เขาไม่แน่ใจอะไรในตัวเด็กคนนี้เลยแม้แต่อย่างเดียว

“ต้องการอะไรกันแน่”

จ้าวหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้นพี่ลีไม่มีสิทธิ์ถามด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้จ้าวจะบอกให้ก็ได้ว่าต้องการอะไร จ้าวไม่ได้ต้องการอะไรเลยเพราะจ้าวได้มันมาแล้ว ความรักจากพี่ตฤณ ความเอ็นดูของพี่ตฤณ มันเลยไม่มีอะไรที่จ้าวอยากได้อีกแล้วนอกจากความสงบสุข จ้าวเองก็เบื่อที่จะฆ่าใครแล้วเหมือนกัน”

สิ่งที่จ้าวพูดออกมาทำให้ลีพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อ้าปากค้างคล้ายว่ามีสิ่งที่อยากจะพูดแต่เรียบเรียงออกมาเป็นคำไม่ได้ ความร้ายกาจของจ้าวยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่แต่มาตอนนี้จ้าวกลับกลายเป็นเพียงแค่วิญญาณเด็กธรรมดาที่ไม่มีพิษสงอะไรเลย

“พี่ลีแปลกใจเหรอครับ”

“.....”

“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกครับ”

“แล้วพี่...”

“จะพักอยู่กับพี่ตฤณสักคืนก็ได้นะครับ จ้าวไม่เล่นแรงเหมือนคราวนั้นหรอกครับ วางใจได้ แต่ถ้าพี่ลียังอยากสนุกแบบตอนนั้นอีกก็บอกได้นะครับ จ้าวจะได้จัดหนักจัดเต็มให้แบบไม่เกรงใจเลย”

ดวงตาสีเพลิงฉายแววขี้เล่น มุมปากรูปกระจับกระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่เจ้าของร่างจะหายไปจากที่ตรงนั้นต่อหน้าต่อตาลีแล้วไปปรากฏอยู่ข้างกายตฤณ ทิ้งลีที่วิญญาณเกือบหลุดออกจากร่างเอาไว้เพียงลำพัง เขาไม่รู้จะทำยังไงต่อไปเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนดีแต่ดูท่าว่ามันจบได้สวยและกำลังไปได้ด้วยดี แม้ทั้งคู่จะอยู่ต่างภพต่างภูมิกันก็ตาม อีกทั้งเมฆก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอะไรให้เห็น นั่นคงหมายความได้ว่าไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือเพื่อนต่างก็เริ่มยอมรับในตัวจ้าวหรือยอมปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้แล้วแม้เพียงเล็กน้อย




***** END *****


​ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่อ่านกันมาจนถึงตอนจบ ​ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์มากค่ะ
อาจมีบางช่วงบางตอนที่เขียนได้ไม่ต่อกันหรือเขียนภาษาไทยผิด ตกๆ หล่นๆ ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ



หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 27-06-2018 21:38:21
จบแล้วดีมากๆเลยค่ะ​  เราลุ้นตลอดเลยตอนอ่านเรื่องนี้​ ลุ้นๆหลอนๆควบคู่​กัน​ไป :katai2-1: จบแบบใ่ห้เราคิดต่อเอาเองว่าตัวละครจะเป็นไงต่อไปขอบคุณ​มากๆนะคะ o13
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: pharm ที่ 28-06-2018 00:33:39
คิดว่าจะมีฉากสวีทกว่านี้ :hao6:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-06-2018 02:29:05
ให้ความรู้สึกว่าเหมือนจะไม่จบ แต่จบจริง ๆ รอเรื่องต่อไปเด้อ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 29-06-2018 07:01:26
สนุกกก ชอบเรื่องแหวกแนวดี
รอคู่พี่ จะมีไหมน้าาาา
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 29-06-2018 11:50:51
สนุกกก ชอบเรื่องแหวกแนวดี
รอคู่พี่ จะมีไหมน้าาาา
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 29-06-2018 16:45:58
จะมีตอนพิเศษหวานอีกนิดมั่ยนะ ขอบคุณนะครับ ลุ้นตอนจบแทบแย่ กลัวจบแบบเศร้าๆ จบแบบนี้ดีแล้วครับ มีความสุขกันดี
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 01-07-2018 22:45:05
 :pig4:

จะมีพิเศษไหมนะ?
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Janemera ที่ 12-07-2018 16:58:27
เอ็นดูน้องงงงหน่อยยยนะะะ น้องก็แค่เด็กคนนึงเอ้งงงงงง :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-09-2018 19:17:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 09-09-2018 18:46:52
รอคู่พี่เจต

สนุกมากตื่นเต้นตลอด
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 19-09-2018 20:26:24
สนุก ตื่นเต้นๆ ขอบคุณ ผู้แต่ง จร้า
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 21-09-2018 10:26:56
ถึงแม้มันจะน่ากลัวหน่อยๆ แต่ มีพาร์ทชาติหน้าไหมอ่ะ แฮะๆ
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:53:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 08-07-2025 16:26:55
ขอบคุณครับ