บทนำ
มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ต่างก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามชาติพันธุ์ สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ และการอบรมสั่งสอนของผู้ให้กำเนิดที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมและการใช้ชีวิตในวันข้างหน้า ฯลฯ ถึงจะเหมือนๆกันทุกอย่างที่กล่าวมามนุษย์ก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี จากสถานที่เดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน แต่จะมีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือ ความคิด ไม่ว่าจะลักษณะภายนอกหรือภายในก็ตามแต่ สิ่งเหล่านั้นล้วนบ่งบอกได้ว่า ‘เราเป็นคนยังไง’ แต่ก็ไม่เสมอไป
โลกปัจจุบันนี้แบ่งแยกคนยากกว่าในอดีตที่ผ่านมา ถึงในอดีตจะเคยมีแบบในปัจจุบัน แต่มันก็คนละยุคคนละสมัย ยิ่งมีความเจริญมากขึ้นแค่ไหน ความซับซ้อนของสิ่งรอบตัวหรือจิตใจคนก็ยิ่งซับซ้อนมากกว่าเดิมอย่างที่เคยเป็น มันไม่แปลกเลยที่เราจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นยังไง
ค่านิยมที่เห็นภายนอกของบุคคลใดบุคคลหนึ่งทำให้คนส่วนมากมองคนที่ภายนอก ตัดสินที่ภายนอกแทนการพินิจพิจารณา ไม่ได้มองเข้าไปในห้วงลึกของใจคนๆนั้น เราควรจะตัดสินคนที่การกระทำไม่ใช่หรอ? แต่ก็อย่างว่าถึงจะเป็นการกระทำของคนๆนั้น เราก็ไม่สามารถบอกได้หรอกว่า ‘เขาเป็นยังไง’ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราไม่สามารถบอกได้ นอกจากเจ้าตัวจะเป็นคนบอกเอง ยิ่งเป็นคำพูดยิ่งไม่สามารถเชื่อได้ว่าเขาพูดความจริงหรือเปล่า?
นี่แหละความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราควรจะไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใคร
อย่างที่บอกข้างต้น การกระทำไม่สามารถบอกความจริงได้เสมอไป เพราะใครบางคนเขาอาจจะทำดีเพื่อให้ตัวเองดีในสายตาคนอื่น ปกปิดตัวตนที่อยู่ภายในเอาไว้ ไม่ให้ออกมาสู่สายตาคนรอบข้าง
สังคมปัจจุบันที่มีคนสวมหน้ากากเข้าหากัน เขาอาจจะมีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ ซึ่งมันเป็นความลับของแต่ละคนและเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เอ่ยออกมา แต่หารู้ไม่ว่าบางครั้งการสวมหน้ากาก ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่น่ายินดีนัก มันไม่ดีเสมอไป มีทั้งดีทั้งร้ายปะปนกันไปตามการกระทำ แต่เราก็ไม่สามารถหลักเลี่ยงได้บางครั้งอาจจำเป็นที่จะต้องหยิบมันขึ้นมาใส่
เพราะความกลัวทำให้เราทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันซึ่งๆหน้า พยายามหลีกเลี่ยง หลีกหนีปัญหา พยายามปกปิดเอาไว้ดีกว่าจะได้ไม่วุ่นวายในภายหลัง มันเป็นการหนีปัญหาที่อาจจะได้ผลแค่น้อยนิด แต่ก็ไม่ได้ออกมาอย่างที่คิดเสมอไป เพราะฉะนั้นควรมีสติที่จะตัดสินใจทุกครั้ง ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
ถ้าหากเราเลือกใช้มันโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม สิ่งที่เราแสดงออกมาไม่ได้เดือดร้อนใคร มันก็ควรจะทำ แต่อย่าให้เกินขอบเขตที่ตั้งไว้ก็พอ
ผมก็อยากจะคนเหล่านั้นสักครั้งบ้างว่า‘ไม่อึดอัดหรือไง’ แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้น คุณคงจะรู้กันอยู่แล้วล่ะว่าจะเป็นยังไง หรือบางทีผมอาจจะได้ทำแบบนั้นบ้างก็ได้ หากได้เข้าไปในสังคมใหญ่ๆ
เอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่า แต่ก่อนหน้านั้นผมขอแนะนำตัวก่อนนะ ผมชื่อ ปัณณธร อมรผดุงศิลป์ ชื่อเล่น เปอร์ (อ่านออกเสียงเหมือนเตอร์ ของคอมพิวเตอร์) เปอร์ตัวเดียวโดดๆ ไม่มีอะไรต่อท้ายหรืออยู่ข้างหน้าชื่อทั้งนั้น ชื่อแปลกย่อมมีฉายาตามมาจากเพื่อนๆในกลุ่ม โดยไม่ปรึกษาเจ้าของชื่อเลยสักนิด เปอรี่บ้าง เปปเปอร์บ้าง เปเปอร์บ้าง ซุปเปอร์บ้างล่ะ (ซุปเปอร์ ตาเป็นคนเรียก) ปัจจุบันหรือที่พูดบ่อยๆคงหนีไม่พ้นคำว่า ‘อีเปอร์’ เรียกแม่งกันทุกคนเลยนะในกลุ่มน่ะ
ส่วนหน้าตาผมหรอ? ใบหน้าทรงรูปไข่ แต่แก้มเยอะไปนิด ผิวเนียนขาวอมชมพู สันจมูกมีไม่มากแต่ก็ถือว่าโอเคอยู่พอควร ปลายจมูกรูปหยดน้ำแบบของผู้ชาย นัยน์ตาสีน้ำตาลปานกลาง ไม่อ่อนหรือเข้มจนเกินไป ขนตาเป็นแพงอนสวยจนผู้หญิงต้องอิจฉา ฟันเรียงกันไม่ค่อยสมบูรณ์ เพราะกำลังอยู่ในช่วงจัดฟัน ส่วนสูงไม่ได้มาตรฐานชายไทย ก็แค่ 170 ซม.ต้นๆเอง ไม่เตี้ยหรือสูง คิดเอาเองนะ 555
ผมเป็นคนเงียบๆ ถ้าใครไม่สนิทด้วย ก็จะไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียวนอกจากจะมีงานร่วมกัน เวลาทำหน้านั่งนิ่งๆเงียบขรึม เพื่อนมันจะกลัวกันเป็นเอามาก แต่เวลาสนุกก็ร่าเริง ยิ้มบ่อย อย่างกับเป็นคนละคน ซึ่งตอนที่อยู่กับเพื่อนในกลุ่มผมมักจะเป็นคนร่าเริง พออยู่กับคนอื่นก็จะเป็นแบบแรก เหมือนไบโพล่าเลยเนอะ
สิ่งที่ทำให้ผมแตกต่างจากคนอื่นคงหนีไม่พ้นพลังพิเศษ ซึ่งพลังนี้มันเกิดมากับผมและติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ และการที่พิเศษ แตกต่าง หรือประหลาดกว่าคนอื่นนี่แหละ มันทำให้ผมต้องเก็บซ่อนพลังที่ว่านี้ให้พ้นจากสายตาคนรอบข้างหรือแม้แต่บุพการีเองก็ตาม บอกใครไม่ได้เด็ดขาด ผมไม่รู้ว่าถ้าเกิดเขารู้ขึ้นมาเขาจะคิดกับผมเช่นไร กลัวเป็นอย่างมาก
รู้แค่เพียงว่า ‘ถ้าเขาเกิดรู้ขึ้นมา เขาต้องมองว่าผมเป็นตัวประหลาด รังเกียจในสิ่งที่ผมเป็น คนรอบข้างจะค่อยๆ ถอยห่างจากไป’ ผมไม่อยากเสียคนเหล่านั้นไป
แต่ใครจะไปห้ามความคิดคนอื่นได้ล่ะ จริงมั้ย?
ขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่เสียบชาร์ตไว้บนเตียง ผมหันขวับไปมองทางต้นเสียงแล้วลุกออกจากโต๊ะทำงาน มุ่งตรงไปต้นเสียงเพื่อรับโทรศัพท์ให้ทันการ ก่อนปลายสายจะตัดสายไปซะก่อน
พอเห็นปลายสายก็ตกใจขึ้นมานิดหน่อย ที่ตกใจคือเวลาต่างหาก เพราะคนที่โทรมาทุกวันนั่นก็คือแม่ ซึ่งแม่จะโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบประจำ แต่วันนี้แม่ยังไม่โทรมาและเพิ่งจะโทรมาเมื่อครู่
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย แล้วแหงนดูนาฬิกาที่ถูกแขวนประดับไว้บนผนังของห้อง ทำให้ผมคิดอยู่ว่า ปกติแม่ไม่โทรมาดึกดื่นขนาดนี้นี่หว่า ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ถึงครั้งล่าสุดจะดึกไปบ้างก็เถอะ แต่ก็ไม่ดึกขนาดนี้ คิดไปก็ไม่รู้เหตุผลอะไรนอกจากถาม พอคิดได้เช่นนั้น
จากนั้นจึงกดรับในทันที
“ครับแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ใจที่กำลังลุ้นอยู่ว่า จะมีเรื่องอะไรที่ทำให้กังวลถึงขนาดนี้นะ ยังได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง เดี๋ยวนะ! นี่กูกำลังฟังแม่พูดหรือลุ้นหวยอยู่เนี่ย?
[ก็ไม่มีอะไรมากหรอกลูก กินข้าวยัง? ] เสียงแม่ยังคงสดใส เหมือนเสียงของผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองทั่วไปแหละ ค่อยยังชั่ว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลสินะ จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพื่อคลายกังวล
“โหหหแม่! ดึกขนาดนี้ ถ้าเปอร์ไม่กินจะอยู่ได้ยังไง” ดึกจริงๆครับ นาฬิกาที่แขวนไว้ก็ทำหน้าที่ของมัน ซึ่งบอกเวลาตอนนี้ 11:25 pm.แล้ว
[ดีแล้วล่ะ แล้วกินข้าวกับอะไร?]แม่ถามแบบนี้ทุกครั้งที่โทรมาหา แทบจะทุกวันเลยล่ะ ก็ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาเรียนไกลจากบ้านตั้ง 700 กิโลเมตรเลยนี่นา
“ไข่เจียวหมูสับกับผัดผักรวมมิตร” เมนูง่ายๆตามประสาเด็กหอ
[งั้นหรอ! ทำกินเองใช่มั้ยเนี่ย?]แม่เอ่ยถาม
“ต้องแบบนั้นอยู่แล้วล่ะแม่ ขี้เกียจออกไปซื้อหน้าม.อ่ะ”ขี้เกียจเข้าขั้นโคม่าเลยล่ะ หน้าม.อยู่แค่นี้เอง 50 เมตร ไม่ใกล้ไม่ไกล ใช้เวลาเดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง ก็คนมันขี้เกียจเดินอ่ะ ยิ่งใกล้สอบแล้วด้วย เพราะงั้นก็เลยขลุกอยู่แต่ห้อง
“แม่มีอะไรหรือเปล่า? ทำไมโทรมาดึกขนาดนี้” ผมเอ่ยถามทันที ทำให้เสียงของปลายสายหยุดชะงักอยู่พักหนึ่ง
[คือ....]แม่พูดออกมาคำเดียวแถมลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ในใจก็คิดว่า ’อย่าให้ใครเป็นอะไรไปเลยนะ’ จากนั้นจึงพูดต่อ[เปอร์ซิ่วมาเรียนแพทย์ให้แม่ได้มั้ย?]
ผมตกใจกับคำตอบที่ได้ แต่นี่หรอคือสิ่งที่แม่จะบอก คิด คิด คิด..
“เอ่อ...” เสียงเริ่มติดอ่างเหมือนตอนเรียนอนุบาลแล้วสิ “ไอ้เรื่องได้ไม่ได้ ไม่มีปัญหาหรอกครับแม่ แต่ว่า...” เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวลของผมถูกส่งมายังโสตประสาท ทำให้ตอนนี้คิดไม่ตกเลยว่าจะสอบติดแพทย์หรอ? ไอ้เรื่องเรียนน่ะ ผมคิดว่าผมไหวนะ แต่จะสอบติดมั้ย? มันก็อีกเรื่อง
ที่จริงมันก็เป็นความฝันของผมอ่ะแหละ แต่ตอนนั้นผมดันสอบไม่ติดไง ก็เลยล้มเลิกความคิดจะทำในสิ่งที่อยากเป็นแล้วหันมาเรียนในสิ่งที่ชอบแทน ซึ่งสิ่งชอบนั้นมันคนละด้านกับสายที่เรียนมา ดังนั้นตอนนี้เลยตัดสายวิทย์-คณิตออกจากชีวิตแบบที่มันจะไม่หวนกลับมาอีกครั้งแน่ๆ แต่ตอนนี้มันจะกลับมาอีกครั้งแล้วล่ะ
[แต่อะไร?] แม่ถามด้วยความสงสัย
“ก็...มันจะติดหรอแม่? มันไม่ได้สอบติดกันง่ายๆ ซะด้วยสิ” ก็จริงนะ จะต้องล้มลุกคลุกคลานเท่าไรถึงจะสอบติดคณะนี้
[เอาเหอะน่า ลองให้แม่หน่อยได้มั้ยล่ะ?] เอาอีกแล้ว น้ำเสียงแบบนี้ ใครได้ยินเข้าถึงกลับตอบปฏิเสธยากเลยทีเดียว น้ำเสียงออดอ้อนที่บางครั้งผมเคยทำให้เขาผิดหวังมาแล้ว
นับตั้งแต่วันนั้นผมสัญญากับตัวเองเลยว่า ‘จะไม่ทำให้เขาผิดหวังอีกเป็นครั้งสอง’
“ก็ได้ครับ” ผมเอ่ย “แต่มันติดขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ผมเสียดายทุนที่ได้จากมหา’ลัยน่ะสิแม่” โครตเสียดายเลยล่ะ ก็ทุนนั่นน่ะ มันต่อไปจนถึงจบปีสี่เลยนี่นา รวมๆแล้วเงินที่ได้ก็หลักแสนอ่ะ งกไปอี๊กกกกงานนี้!
[ไม่ต้องเสียดายหรอก รอบนี้มันก็เป็นรอบทุนเหมือนกัน] แม่พูดแบบไม่เสียดายจริงๆ [แม่ได้ยินว่าเป็นรอบก่อนแอด ยังไงก็สอบให้แม่หน่อยนะ ถ้าสอบติดขึ้นมาล่ะก็ แม่จะขอร้องให้พ่อเปลี่ยนความคิดเรื่องนั้นให้นะ] อยากรู้ว่าแม่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นว่าผมจะสอบติด
“ฮะ!!!! จริงอ่ะแม่” จากที่กังวลเรื่องจะสอบติดแพทย์ หายไปปลิดทิ้งเลย โครตดีใจเอามากๆ เลยล่ะ ถ้าพ่อเปลี่ยนความคิดเรื่องนั้นได้ อยากจะกระโดดโลดเต้นให้หนำใจไปเลย แต่เกรงใจห้องชั้นล่างเนี่ยสิ
“แต่ถ้าไม่ติดล่ะแม่ แม่จะช่วยพูดให้ผมเปล่าครับ” กลับมาอารมณ์เดิม เข้าสู่โหมดเดิม กังวล หน้านิ่ว คิ้วขมวด เกิดอาการงอลหน่อยๆ ถ้าแม่ไม่ช่วยพูดให้อ่ะนะ
[ติดสิ] น้ำเสียงมั่นใจมากนะแม่ [ลูกแม่ซะอย่าง ต้องติดอยู่แล้ว] พูมันก็ง่ายสิแม่ แต่ทำมันก็อีกเรื่อง
[จะติดไม่ติด แม่ก็จะช่วยพูดให้อยู่แล้วล่ะ เพราะเปอร์เป็นลูกแม่นิ ไม่ให้ช่วยลูกตัวเอง จะให้แม่ช่วยใครล่ะ จริงมั้ย?] ซึ้งอ่ะแม่ น้ำตาลูกผู้ชายถึงกับไหลมาอาบใบหน้า แต่เสียงร้องไห้ซาบซึ้งในคำพูดของแม่กลับไม่เล็ดรอดออกมาให้ปลายสายได้ยิน
พูดแล้วก็อยากกระโดดกอดแม่อีกครั้งจังเลย แต่ทำไม่ได้อ่ะดิ จะให้กระโดดจากภาคเหนือไปภาคอีสานก็ยังไงๆอยู่นะ
แต่ก็มีทางเป็นไปได้นะ แค่ใช้พลังไปหาแม่แค่นี้ไม่เป็นเป็นปัญหาอยู่แล้ว แต่แม่ยังไม่รู้เรื่องที่เรามีพลังนี่หว่า....
ลืมไป!!
“แม่มั่นใจขนาดนั้นเลยหรอ? ว่าผมจะติดอ่ะ” ยิงคำถามใส่แม่ซะเลย อยากรู้เหมือนกัน ว่าแม่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน
30 วินาทีผ่านไป นั่งรอคำตอบ ลุ้นอยู่ว่าจะเป็นอะไร... แต่แล้วแม่ตอบกลับ
[เอาเหอะน่า แม่บอกติดก็ติดสิ อย่าถามเซ้าซี้เลยน่า] อ้าว! ผิดอีก นี่เราเซ้าซี้หรอเนี่ย ก็มันอยากรู้คำตอบนี่นา [ถ้าถามแม่อีกรอบ จะไม่ช่วยพูดให้แล้วนะ] อ้าว! ซะงั้นผิดอีกรอบ เมื่อกี้ยังซึ้งอยู่เลย ราวกับแม่เป็นนางฟ้าอยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้แม่จะเป็นซาตานแล้วล่ะ
ฮือ ฮือ ฮือ แม่อย่าเปลี่ยนขั้วเร็วขนาดนี้สิ ผมกลัว.....
จะไม่ให้กลัวได้ไง เวลาแม่องค์ลงเมื่อไหร่ล่ะก็ คุณได้รู้แน่ๆว่า สวรรค์กับนรกมันต่างกันแค่ไหน ไม่อยากจะเม้าท์เลย วันนั้นน่ะ (นี่ขนาดไม่อยากจะเม้าท์นะ) เป็นวันธรรมดา แต่งเพราะธรรมดานี่แหละทำให้ผมวอนโดนไม้เรียวจนไม้เรียวหัก โหดสัดๆ นี่ยักษ์หรือนางมารกันแน่ T-T พวกคุณอย่าเอาไปบอกแม่ล่ะ ว่าผมนินทาแม่อยู่ ถ้าแม่รู้ขึ้นมาล่ะก็ แค่คิดก็หนาว ขนหัวลุกไปเลยทีเดียว
“ครับ ครับ” ผมตอบกลับเสียงเอื่อยเหมือนคนไม่เต็มใจที่จะพูด “แต่แม่ครับ คือเปอร์ไม่มีหนังสืออ่านอ่ะ” พอพูดจบประโยคก็หันไปเหลียวมองชั้นหนังสือที่มีแต่หนังสือภาษาเต็มชั้นวาง ไม่มีหนังสือที่เกี่ยวกับสายวิทย์-คณิตแม้แต่เล่มเดียว
ถึงกับตามองบน และถอนหายใจออกมาพักใหญ่ๆ จะให้มีได้ไงก็ผมสอบติดสายศิลป์-ภาษานิ หนังสือที่เกี่ยวกับสายวิทย์-คณิตก็เลยทิ้งไว้ที่บ้านซะเลย จะขนมาให้หนักทำไมล่ะ รกห้องอีก ขนาดไม่มีหนังสือพวกนั้นยังรกห้องอยู่เลย คิดดูว่าถ้ามีจะเป็นยังไงไม่ต้องพูดถึง
รังหนูชัดๆ! นี่ถ้ามีพวกเศษผักเศษอาหารคงใช่เลยล่ะ555
[เดี๋ยวแม่จะส่งไปให้เร็วที่สุดเลย อ่อ... แม่สมัครสอบให้แล้วนะ] เร็วที่สุดคงไม่ใช่วันเดียวหรอก คงต้องรอไป 2-3 วันนุ่นแหละ ขณะรอก็อ่านหนังสือภาษาที่จะสอบก่อนละกัน จะไม่ยอมให้วิชานี้ตกเด็ดขาด
[แล้วก็อย่ามัวแต่เล่นล่ะ จำไว้คณะแพทย์ยังรออยู่ คณะแพทย์รออยู่ แพทย์รออยู่] เอาเข้าไป ย้ำซะขนาดนี้คงต้องทำให้ได้เท่านั้น ถ้าไม่ได้คงไม่มีหน้ากลับไปหาแม่อีกหนครั้งแล้วล่ะ
มีอย่างเดียวที่ทำได้ตอนนี้ ทำใจ ทำใจ ทำใจ
แต่ก็ไม่ใช่การบังคับหรอกเพราะอย่างน้อยมันก็เป็นคณะและอาชีพที่ผมอยากจะทำอยากจะเป็นในอนาคตในวันข้างหน้า
“ครับๆ” ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “งั้นเปอร์เข้านอนก่อนนะครับแม่ ฝันดีครับ ดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะ ฝากบอกพ่อกับน้องด้วยนะว่าเปอร์คิดถึง” คิดถึงทุกคนที่บ้าน ก็ไม่ได้กลับนานแล้วนี่ กลับปีละ 2 ครั้ง ตอนนี้ยังคิดอยู่ว่า ‘ใช่ลูกบ้านนั้นหรือเปล่า? คงไม่ถูกตัดจากกองมรดกหรอกนะ’
[จะ เปอร์ก็เหมือนกันนะลูก ถ้าเงินไม่พอก็โทรมาบอกแม่นะ อย่าได้ประหยัดเกินไปล่ะ]แม่รับปากในสิ่งที่ผมบอก
“ครับแม่”หลังจากนั้น แม่ก็วางสายไป พร้อมกับตัวผมที่จะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ที่บอกว่าจะนอกคงไม่ได้นอนเร็วๆนี้แน่ อีไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบไฟนอลแล้ว ถ้าไม่ขยันมากกว่านี้คงสอบไม่ได้แหงๆ
ความคิดที่มีตอนนี้คงต้องเปลี่ยนตารางอ่านหนังสือใหม่ทั้งหมด จากที่จะอ่านสอบไฟนอลอย่างเดียวต้องอ่านที่จะสอบในเดือนถัดไปด้วย งานนี้ก็เลยหนักไปสองเด้ง แทบจะไม่ได้พักเอาเสียเลยหลังจากสอบไฟนอลเสร็จ ก็ต้องลุยอ่านหนังสือที่แม่ส่งมาอีก
คิดแล้วเหนื่อยใจ...เฮ้อออออออ
จากนั้นก็หันไปหยิบกระดาษ A4 มาเขียนตารางอ่านหนังสือใหม่ทั้งหมด คงรู้ใช่มั้ยว่ามีกี่วิชา ไม่อยากจะร่ายยาวเลย มันเยอะ! คิดซะว่าสายวิทย์มีหมดแหละ
แต่พอเขียนเสร็จนี่สิ ‘กูช็อค’ แม่งกูแทบจะไม่มีเวลาทำเฮี้ยไรเลย T-T ความกดดันมันมาหากูแล้ว และจะอยู่กับกูไปอีกเดือนจนกว่าจะสอบแพทย์เสร็จสินะ อยากบอกคำเดียวว่า ‘กูอยากตายยยยยยยย’ ล้อเล่นน่ะ แค่คำสบถในใจเฉยๆ อยากจะระบายก็ระบายใส่กระดาษแล้วกัน ...อิอิ
‘ขอให้คืนนี้เป็นคืนที่อย่าฝันถึงวิชาเลขเลยนะ อย่าเพิ่งมาวันนี้ วันนี้กูขอนอนสบายก่อนจะตายกับวิชาของสายวิทย์-คณิต พรุ่งนี้ค่อยมานะ นัดแล้วอย่าลืม!!! ห้ามมาก่อนวันนัดล่ะ (คนเขียนเริ่มจะปัญญาอ่อนแล้วล่ะ)’
จากนั้นผมจึงหลับตาลงในคืนนั้นและตื่นมาอีกทีก็สายซะแล้ว ยังโชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ไม่ต้องไปเรียน แต่ต้องอ่านหนังสือต่อนี่ดิ ปรากฏว่าคืนต่อมาไม่ได้ฝันถึงเลขให้ปวดหัว แต่ตื่นมากลางคลันตอนดึก
ชีวิตดี๊ดี....แต่ต่อไปจะเปลี่ยนไปเป็น ชีวิตเฮี้ยๆ 5555 ทั้งร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน
********************************************************************************************
จากที่ได้รับหนังสือที่แม่ส่งมาให้อ่าน พอเรียนเสร็จผมก็กลับมาทันทีและขลุกอยู่ห้องเกือบทั้งวันจนเพื่อนมันแซวเล่นๆตามประสามันแหละครับว่า ‘นี่ที่ห้องมึงมีผู้ชายซุกซ่อนอยู่หรือไง ทำไมรับกลับจังวะ แถมยังขลุกอยู่ห้องทั้งวันอีก’ ผมก็ตอบได้แค่ว่าอ่านหนังสือสอบไรงี้ ไกลสอบแล้ว ถ้าพวกมึงมีเวลามาจับผิดกูขนาดนั้น เอาเวลาไปอ่านหนังสือเตรียมสอบไฟนอลเลยไป
อีก 1 สัปดาห์ก็จะสอบไฟนอล ช่างเป็นสัปดาห์แห่งนรกชัดๆ พวกที่อ่านหนังสือมาเนิ่นๆ สิโครตดี เอาคะแนนให้เต็มไปเลยนะมึง! ส่วนพวกที่อ่านไม่ทันก็ต้องดิ้นรนรวมพลหัวสมองกัน แลกเปลี่ยนความรู้ที่มีมาให้กัน
ไม่งั้นก็...หาคนที่จะติวให้
2-3 วันต่อมาหนังสือที่แม่ส่งมาให้ก็มาถึงหอ ในช่วงที่ผมเรียนเสร็จและกำลังจะกลับหอมาพอดี ผมก็เลยมุ่งตรงเข่าไปเอาที่ห้องเก็บพัสดุทันที ไม่อยากให้เพื่อนมาเห็น แต่ยังดีที่วันนี้ผมกลับหอเป็นคนสุดท้ายในกลุ่มเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกัน ไม่รู้ว่าพวกมันจะรู้สึกยังไงถ้าเกิดว่าผมจะซิ่วไปเรียนที่อื่น เพราะผมยังไม่ได้บอกเพื่อนไหนเลย ว่าจะบอกตอนที่สอบติดทีเดียว บอกครั้งเดียวตอนรวมกลุ่มกันไปกินกระทะแล้วกัน
อนาคตที่เราไม่อาจล่วงรู้ บางทีก็บอกไม่ได้ว่าเราจะทำได้เหมือนที่พูดไว้ในอดีตได้ แต่เวลาจะทำให้เราได้ไตร่ตรองและได้ตัดสินใจทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้
[/i]
จากที่อดหลับอดนอนมาหลายวัน ในที่สุดมหกรรมการสอบไฟนอลก็จะจบลงซะทีเหลืออีก 3 วัน กูทนได้ ร่างพังอย่างกับไปฝึกทหารมา(ว่าไปนั่น!) กูอยากพักมากเอาซัก 1 อาทิตย์เลย
แต่แม่ง! กูทำไม่ได้นะสิ ต้องอ่านหนังสือต่อ T-T
เรื่องสอบเป็นไงอ่ะหรอ ตอบได้อย่างเดียวว่า ‘ได้ทำ’ ได้แบบ...แบบล้มลุกคลุกคลาน ถูๆไถๆ ไปให้รอดก็แค่นั้น ข้อสอบก็ง่ายนิดเดียว นอกนั้นยากหมด555 จะให้สอบได้คะแนนเกือบเต็มเหมือนเพื่อนที่เรียนมาแต่ม.ต้น คงจะยากอยู่ ก็คนมันไม่ได้มีอ่านแค่วิชาเดียวนิ หนังสือที่เตรียมจะสอบแพทย์ก็มีอีกเยอะ ดังนั้นก็เลยผลัดกันอ่าน โดยส่วนมากจะเน้นไปที่สอบแพทย์มากกว่า พอคะแนนวิชาเอกออกมา ก็เลยร่อยหรออย่างที่เห็น ขอโทษนะครับเซนเซ
すみません, 先生.
実は, 他の本を読んであります.
本当に, すみません.
หวังว่าเซนเซจะเข้าใจนะ
คงรู้แล้วสิว่าผมเรียนคณะอะไร? ผมเรียนภาษาญี่ปุ่น คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ นี่คือสิ่งที่ผมชอบ แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยากเป็น
“เปอร์” เสียงของเพื่อนในกลุ่มนามว่า อิ๋ม ถามขึ้น ในขณะที่ผมกำลังเก็บเครื่องเขียนที่ใช้สำหรับทำข้อสอบในวิชาสุดท้ายเสร็จ ยัดใส่กระเป๋าสะพายลายใบไม้สีฟ้า น้ำเงิน สีที่ผมชอบรองจากสีเขียว
พอถูกเรียกชื่อแบบนั้น ผมจึงหันไปตามเสียงเรียกชื่อผมในทันทีและตอบกลับ
“มีไรวะ?”ถามไปงั้นแหละ เพราะผมพอจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าที่มันเรียกเมื่อกี้ ‘มันจะบอกอะไร’ แล้วกูจะถามมันกลับทำไมวะ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วนิ งงตัวเองจริงๆ!!! เอาน่า แค่อยากแหย่มันเล่นเฉยๆ555
“อ้าว! อีนี่!” อิ๋มพูดพร้อมกับแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจ น้ำโมโหขึ้นหรือไง? เอ๊ะ! หรือว่าเมนมา? อย่ามาใช้อารมณ์กับกูนะ เดี๋ยวเตะแม่งเลย กูล้อเล่น! กูกลัวมึงจะตายก่อนเห็นตัวเล็กนิดเดียว
“เรื่องหมูกระทะอ่ะ มึงยังจำได้อยู่มั้ยเนี่ย?” เพื่อนอีกคนตะคอกใส่ ผมอยากจะทำตาบ๊องแบ๊วใส่แม่ง อยากจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จำไม่ได้อะไรประมาณนั้น แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละ ดูจากสีหน้าแล้วมาน่าเล่นด้วยกับกูแน่
กูจะจำได้ได้ไง! ก็กูเป็นคนชวนพวกมึงนิ ชวนก่อนที่จะหยุดสงกรานต์ซะอีก
ทฤษฎีที่ว่า ‘ใครเป็นคนชวน จะต้องจำได้เสมอ ใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอกนะ เพราะโดยส่วนมากคนชวนนั้นแหละ คือ คนที่ลืมเป็นคนแรก'
นัดกันตั้งนาน แต่ไม่มีเวลาได้กินด้วนกันซะที พอจะได้กินที บางคนก็ไม่ว่าง ว่าจะกินหลังสงกรานต์ เพื่อนบางคนก็ยังไม่กลับอีก (ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับหรอก แต่พวกนั้นไม่ได้จองตั๋วรถไว้ไง พอจะจองอีกทีตั๋วรถก็เต็มไปหลายวันเลย ทำได้แค่รอ รอ รอ 55555)
สรุปคือ เลื่อน เลื่อน เลื่อน...เลื่อนเป็นเดือน ถ้าพวกมึงไม่ว่างอีกล่ะก็ ‘ได้คอขาดแน่ๆ’
“จำได้ จำได้” เสียงเรียบถูกเปล่งออกมาจากเรียวปากของผม “กูแค่ถามเล่นเฉยๆ กลัวพวกมึงจะลืมไง” ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ดูจากอารมณ์ที่เพิ่งสอบเสร็จ คงจะอารมณ์บ่จอยแน่ ถ้าขืนยังจะแหย่พวกนั้นต่อไปมีหวังโดน....ตีนทั้ง 6 เป็นแน่
“พวกกูจะจำไม่ได้ได้ไง มึงเป็นคนชวนพวกกูนิ” พูดอีกก็ถูกอีแหละ ยังดีนะที่พวกนั้นอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว “ไปกี่โมงวะ? เร็วๆนะ กูหิว! จะกินให้ลืมที่สอบเมื่อกี้ไปเลย” ต้องอย่างนี้สิวะเพื่อน กินหมูให้เต็มเต็มที่ไปเลย!
พวกเราหารกัน (ไม่ใช่กูเลี้ยงนะ ช่วงนี้ยิ่งจนอยู่ T-T)
“ถ้าพวกมึงอยากกินเร็วๆ อ่ะนะ งั้น 6โมงดีมั้ยวะ?” ตามใจพวกมันแล้วกัน ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ จะยังไงก็อยากจอยู่กับพวกมันที่นี่ให้นานที่สุด ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ตามที ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีก
(แหม๊ะ มั่นใจมากกว่าจะสอบติดแพทย์ ทั้งที่ความรู้พวกนั้นทิ้งไว้กับอาจารย์เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ ก็ตาม)
“ดีๆ”หวานเอ่ย “มึงรออีพลอยอยู่ใช่มั้ยวะ? งั้นพวกกูกลับหอก่อนนะ ไว้เจอกันที่ร้าน” พอพูดเสร็จ ก็โบกมือลา เหมือนบอกไว้ว่า ‘ไว้เจอกัน’ และหันหลังเดินจากที่ๆ พวกเรานั่งคุยกัน
ฮ่าๆ...ตลกอะไรน่ะหรอ ก็ตลกที่ทั้งสามคนเดินเรียงตัวเป็นหน้ากระดาน แล้ว...สัดส่วนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ามันเท่ากันหมดนี่ดิ ทั้งสามจึงได้ฉายาที่ตามมาทีหลัง คือ ‘ชะนีแคระ’บ้างล่ะ ศัพท์ที่มีไว้ใช้สำหรับทั้งสามคน อ้อ! พวกนั้นมีอีกฉายานี่หว่า ‘สเมิร์ฟ’ คงรู้จักสเมิร์ฟนะ สามคนนั้นเป็นแบบนั้นแหละ แต่ผมชอบเรียกพวกนั้นว่า ‘ชะนีแคระมากกว่า’
********************************************************************************************
ณ ร้านหมูกระทะแห่งหนึ่งหน้าม.
บรรยากาศตอนเย็นที่เย็นสบาย ที่มีความครึกครื้นให้เห็นตลอดสองฝั่ง ผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาฉลองการสอบเสร็จด้วยหมูกระทะ ต่างก็พากันสนุกสนานแสดงออกทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
ผมที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าร้านและหยุดอยู่พักหนึ่งเพื่อมองหาเพื่อนที่ไม่รู้มาหรือยัง? แล้วจองโต๊ะไหนแล้วบ้าง? ว่าแล้วก็พลางกวาดสายตามองไปทั้งทางซ้ายและขวาของร้านตามลำดับ ก็ร้านนี้คนมันเยอะอ่ะ ดีนะที่ไม่ตะโกนออกไป แต่ใครจะกล้าล่ะเนอะ มีหวังได้หน้าไปตามๆกันพอดี แทนที่จะได้กินหมูกระทะคงจะได้กินตีนแทนแน่
มองหาได้สักพักผมก็เห็นที่ชุมนุมเพื่อนในกลุ่มที่มากันครบหมดแล้วยกเว้นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ พวกเหี้ย! ทำไมมึงถึงจองโต๊ะในสุดเลยวะ? ถึงกลับสบถออกมาด้วยท่าทางตกใจ ร้อนจะตายห่า อึดอัดอีกต่างหาก พวกมึงยังจะจองโต๊ะนั้นอีก(ที่บอกว่าเย็นก็แค่หน้าร้านแต่ในร้านมันคนละขั้วเลย) ได้แค่สบถออกมาแค่นั้น ก่อนที่ก้มหน้าพลางถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ แทน ทำไงได้ล่ะ ก็พวกมันจองโต๊ะไว้แล้วนิ เฮ้อ....
จากนั้นจึงสลัดความคิดเมื่อครู่ทิ้งไป แล้วจึงเดินตรงดิ่งเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว ไปหาโต๊ะของเพื่อนๆ ก่อนที่จะมีบางคนในกลุ่มลูกค้ามองผมด้วยสายตาเป็นมัน ตอนแรกก็คิดว่าเขาคงมองตามปกติที่มีคนเข้ามาในร้านแหละ
แต่มันไม่ใช่อยากนั้นน่ะสิ!
“มาช้าจังนะมึง พวกกูรอตั้งนาน นี่จะกินก่อนอยู่แล้วเนี่ย” อิ๋มเอ่ยประชด ก่อนจะแสดงสีหน้ารื่นรมย์ออกมาแถมยักคิ้วใส่อีกต่างหาก นี่ความเครียดเมื่อตอนบ่ายของมึงหายไปไหนวะ?
“โทษทีว่ะ กูเผลอหลับไปพักหนึ่งอ่ะ” ผมพูด “พอสะดุ้งตื่นมาอีกที กูก็ตรงมาที่นี่อย่างเร็วจี๋ ขอโทษด้วย”
“กูว่าไม่ใช่พักหนึ่งหรอก พักใหญ่ๆเลยล่ะ” ไม่ใช่อิ๋มแต่เป็นหวานพูด
“มัวแต่ขอโทษอยู่นั่นแหละ” แป้งออกความคิดเห็นบ้าง “แล้วก็กองไว้ตรงนั้นแหละคำขอโทษอ่ะ เพราะคำขอโทษของมึง ทำให้พวกกูอิ่มไม่ได้หรอกนะ” แรง! บาดใจกูไปอีก หลังจากพูดเสร็จ มันทำหน้าเบื่อหน่ายทันที
“มาๆ กินๆ” อีกคนที่ชื่อฟางเอ่ยขึ้น
“เออ...เมื่อกี้มีบางคนมองกูด้วยท่าทางแปลกๆด้วยว่ะ” ผมทำหน้าสงสัย ขมวดคิ้วบอกเพื่อนในกลุ่ม เผื่อพวกมันจะรู้ว่าทำไมคนพวกนั้นมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แต่สิ่งที่พวกมันตอบกลับกลับเป็นรอยยิ้มทะเล้นไม่สนใจในสิ่งที่ผมพูด
อะไรของพวกมึงอีกเนี่ย!
“นี่มึงยังไม่รู้สึกตัวอีกหรอวะ?” รู้อะไรอีก ช่วยบอกกูที “มึงอ่ะเริ่มจะฮอตในสายตาหนุ่มๆเข้าแล้วล่ะ” ฮอตหรอ! กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ จะฮอตได้ไง
“ไม่ใช่เริ่มจะฮอตหรอก แต่มันฮอตมานานแล้วต่างหาก” เฟิร์นเป็นอีกคนที่ออกความคิดเห็น หลังจากที่นั่งนิ่งมานาน
“ฮอตหรอ? หน้าอย่างกูนี่นะ” ว่าพลางก็ตบใบหน้าตนเองเบาๆ ลูบๆคลำๆ ไปมาอยู่อย่างนั้น เกือบหน้าถลอก “หน้าตากูดีขนาดนั้นหรอวะ?”
“ยังไม่รู้ตัวอีกนะมึงอ่ะ ก็หน้าอย่างนี้แหละผู้ชายชอบ”พลอยชี้หน้าพลางออกความคิดเห็นกับเพื่อน แล้วชักมือกลับ ทำหน้าเบื่อหน่ายยกกำลังสองส่งมาให้ผม “มึงช่วยรู้สักทีเหอะ มึงอ่ะ หน้าตาดี ไม่ได้ขี้เหล่เหมือนพวกกู จบนะ” พูดจบพลอยก็ก้มหน้าลงมือกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
กูฮอตขนาดนั้นเรอะ แต่ทำไมกูยังโสดอยู่ล่ะ?
พวกเรานั่งกินหมูกระทะเรื่อยๆ พวกมันคงจะหิวจริงๆ กินเหมือนคนที่อดอาหารมาหลายเดือน แต่จะว่าไปผมเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน นั่งสาธยายเรื่องที่เป็นเฟรชชี่มาตลอด 1 ปีเต็ม ทั้งประสบการณ์ห้องเชีย รับน้อง และอะไรก็ตามแต่ พูดกันอย่างออกรส โดยเฉพาะเรื่องฮาๆตอนสมัยปี 1 เสียงหัวเราะของพวกเราถูกปล่อยออกมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ ทำให้บางโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ ถึงขั้นมองแรงทีเดียว
แล้วยังไงล่ะ ไม่แคร์
นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีเรื่องผู้ชายเข้ามาเกี่ยวค่อนข้างมาก ถึงกับอุทานออกมา ‘งานดี แต่มีชะนีเป็นเมีย’ บ้างล่ะ ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ ก็พวกผู้ชายพวกนั้นไม่ได้เกย์นิ แต่บางประเด็นก็บอกว่า ‘งานดี แต่น่าเสียดาย เขามีผัวแล้ว’
ไม่น่าแปลก! เพราะสมัยนี้มันสมัยไหนแล้ว จะมีผัวมีเมียเป็นชายหรือหญิงมันไม่เกี่ยวกันหรอก สำคัญตรงที่ว่า
‘เรารักคนๆนั้นหรือเปล่าต่างหาก’
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แต่นี่มันงานเลี้ยงตัวเองนิ หลังจากที่พวกเราพากินอิ่มหนำสำราญกันเต็มที่ ท้องแทบแตก! แล้วพากันแยกย้ายกับหอของตน โดยมีคำๆหนึ่งที่บอกไว้ก่อนจะแยกกันกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ ด้วยคำว่า ‘ไว้เจอกัน’ ผมไม่ได้พูดหรอกคำนี้ เพราะกลัวว่า จะไม่ได้เจอกันอีกอ่ะดิ แอบเศร้าๆ อยู่พักหนึ่ง แต่จะทำไงได้ล่ะ เพื่อความฝันและความหวังของบุพการี ยังไงผมก็ต้องทำและต้องทำให้ได้
เพื่อนในกลุ่มต่างพากันกลับไปเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวที่จะกลับบ้านที่จากมาเรียนตั้งไกล พูดแล้วก็คิดถึงแม่ขึ้นมาทันที แต่เรายังมีหน้าที่ที่ต้องทำและต้องทำให้ได้ด้วย
กลับมาถึงหอประมาณเกือบจะ 4 ทุ่ม ด้วยมือที่ถือถุงขนมไว้เต็มกำมือเพื่อเตรียมจะอ่านหนังสือในตอนดึกและวันถัดไป ใบหน้าที่เศร้าจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ยังติดตาอยู่เลย ทั้งที่สนุกกับมันให้ถึงที่สุดแล้วแท้ๆ แต่...มันเป็นเหมือนวันจากลา ยิ่งประโยคนั่นอีก เพราะจริงๆ แล้วผมไม่ได้บอกเพื่อนแม้แต่คนเดียวว่าผมจะซิ่วไปเรียนที่อื่น ถึงจะเป็นเวลาแค่ปีเดียว แต่ก็เต็มไปด้วยความทรงจำมันมายมายทั้งสนุก ทั้งเศร้า แต่เพื่อนก็ไม่เคยคิดที่จะทิ้งกัน
ผมแอบร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง วันนี้คงไม่ได้อ่านหนังสือแล้วล่ะในใจก็บอกอยู่เพียงว่า ‘ถ้าจะร้องไห้ก็ร้องไห้ซะให้พอ’ นั่งลูบไล้ใบหน้าที่เปื้อนหน้าตาที่ไหลออกมาเรื่อยๆ เพราะเหตุนี้มั้งที่บางครั้งถูกพวกเพื่อนด่าว่า ‘เย็นชา’ ยิ่งตอนหน้านิ่งๆของผมอีก บางคนถึงกลับบอกว่า ‘เข้าหายากบ้างล่ะ ยิ่งบ้างล่ะ’ ก็ไม่เข้าใจพวกนั้นเหมือน แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพื่อนหรอก เพราะผมเองก็ไม่อยากจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน
แล็ปท็อปที่วางอยู่บนโต๊ะถูกหยิบขึ้นมา แล้วถูกเลื่อนเข้าดูแกลเลอรี่รูปแห่งความทรงจำที่พวกเราเคยเศร้า สนุก สุข ทุกข์มาด้วยกัน มันยิ่งตอกย้ำให้น้ำตาไหลออกมาเพิ่มมากกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่ คิดได้อย่างเดียวว่า
‘ถึงกูจะไม่ได้อยู่ที่นี่กับพวกมึง แต่กูจะไม่มีวันลืมพวกมึงเลยเว้ยไม่ว่าจะยังไงพวกมึงก็คือเพื่อนที่ดีที่สุด ถึงจะเป็นเวลาแค่ 1 ปี ที่รู้จักพวกมึงก็ตาม พวกมึงกับกูจะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน ถ้าพวกมึงไม่ไปหากู กูจะเป็นคนมาหาพวกมึงเอง’
ผมพูดออกมาทั้งน้ำตาอย่างปิดเสียงไม่มิด จึงนับเป็นการร้องไห้ครั้งที่2 ที่ร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต เพราะครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมมาอยู่หอในก่อนจะย้ายออกมาอยู่หอนอกในเทอมที่สอง ซึ่งตอนนั้นต้องจากแม่มาอยู่ไกลบ้านแถมเป็นอ่อนต่อโลกอีกต่างหาก ทุกสิ่งที่ดูแปลกตามันทำให้ความกลัวถูกปลุกขึ้นมาโดยอัตโนมัติอย่างหยุดไม่ได้ และตอนนั้นนั่นเองที่มาส่งแม่ขึ้นเครื่องบิน ผมร้องไห้โฮออกมาโดยไม่แคร์สายตาคนที่อยู่ละแวกนั้นแม้แต่น้อย พร้อมทั้งกอดและยื้อไม่ไว้อย่างนั้น เหมือนเด็กที่วันแรกต้องไปโรงเรียนเลยล่ะ
ผมสนิมกับแม่มากกว่าพ่อ เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง ผมจึงเลือกปรึกษากับแม่แค่คนเดียวไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ติดแม่เหมือนเด็กที่ไม่มีวันโต
ยิ่งเล่าเรื่องตอนเด็ก ก็ยิ่งขำ แต่มันใช่เวลามั้ยล่ะ?
จากที่ร้องไห้เป็นเวลานาน ตอนนี้เริ่มเหนื่อยและคงพอแล้วล่ะกับเรื่องนี้ ผมจึงเหลียวไปดูนาฬิกาที่แขวนติดไว้บนผนังห้องกับร่างกายสั่นเทาไม่หยุดจากการร้องไห้เมื่อครู่ แต่ก็พอทุเลาลงบ้างแล้ว ถึงจะยังหายไปไม่หมดก็ตาม แต่คงต้องใช้เวลาเหมือนกันแหละเนอะ
ผมกลับมาตั้งสติสงบอารมณ์ทุกอย่าง ก่อนที่จะไปอาบน้ำแล้วเข้านอนพลางคิดขึ้นได้ว่า ‘เรายังมีหน้าที่ที่ต้องทำอีก’ แล้วจึงปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆโดยที่ไม่รู้ว่าตอนนี้บวมช่ำไปแล้วแค่ไหน
‘อยากหาคนรู้ใจสักคน เผื่อเวลาที่เป็นแบบนี้อีก จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว’
1 ชม.ผ่านไปกับการรออีกฝ่ายและก้มหน้าเขี่ยโทรศัพท์ ซึ่งเป็นการรอที่ผมแอบงีบหลับไปพักหนึ่ง จากนั้นเพื่อนที่สอบห้องเดียวกันและห้องข้างๆต่างก็ทยอยกันออกจากห้องสอบพร้อมกับเสียงโต้คุยกันเรื่องข้อสอบข้อนี้บ้างล่ะ ข้อโน้นบ้างล่ะ ออกมาให้ได้ยินกันสนั่น และคนที่ผมรอเมื่อไหร่มันจะออกมา
แต่แล้วผมก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าผม ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าก็รู้ทันทีว่าเป็น จะใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ไอ้คนที่บอกให้ผมรอ อีกฝ่ายยืนยิ้มเหมือนตอนที่ยืนยิ้มให้ผมตอนเราคุยกันอยู่ตรงฟุตบาท จึงก้มหน้าสนใจโทรศัพท์ต่อ
“รอนานเปล่าวะ?” อีกฝ่ายถาม
“ไม่น่าถาม” ปากยังพูดออกไป แต่หน้ากลับยังสนใจโทรศัพท์อยู่
“กวนตันนะมึง” อีกฝ่ายทำท่าเกรงขามใส่ แต่ผมก็ยังสนใจโทรศัพท์เหมือนเดิม
“...”
“สนใจกูหน่อย” พอพูดจบ อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาคว้าโทรศัพท์ที่ผมเล่นอยู่ไปไว้ในอุ้งมือนั่นทันที
ทำอย่างนี้กูก็ปี๊ดดดดแตกนะสิ! ถามได้
“อะไรของมึง?” ผมเริ่มโวยวายเหมือนเด็กถูกแย่งของ อันที่จริงก็ถูกแย่งจริงนั่นแหละ จ้องหน้าคนที่แย่งของของผมไปพลางคิดในใจว่า ‘มึงอย่าคิดนะว่า มึงตัวใหญ่แล้วกูจะกลัว ’
ใช่! กูกลัว...
“ปะ” อีกฝ่ายชวน
“ไปไหน? เอาโทรศัพท์กูคืนมาก่อน” ผมได้ทีก็ยื่นข้อเสนอไป
“ไปก่อน เดี๋ยวคืนให้” อีกฝ่ายก็ยื่นข้อเสนอมาให้ผมเหมือนกัน
“ไปไหนวะ?” เงยหน้าขึ้นถามทันที
“เอาน่า! เดี๋ยวกูพาไปที่แจ่มๆเอง”
“เออๆ จะพาไปไหนก็ไป” จะว่าไปกูใจง่ายไปเปล่าวะ เฮ้ย! ไม่ใช่ ไว้ใจคนง่ายไปเปล่าวะ เรายังเป็นแปลกหน้าของกันและกันอยู่ สถานะตอนที่ก็คือ...อะไรหว่า
“แต่กูไม่เลี้ยงนะ”
“ไอ้สัดดด มึงพากูไปมึงก็ต้องเลี้ยงสิ” ผมด่ามันอีกรอบ มันก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาเลย นอกจากยิ้มอย่างเดียว
เหมือนพวกเราจะสนิทกันมาทีละก้าวแล้ว
ไม่รีรอให้ผมด่าอีกรอบ คนตรงหน้าก็เข้ามาจับแขนให้ผมลุกขึ้น แล้วให้ผมเดินตามไป แต่แปลก! แปลกที่ตั้งแต่ตอนแรกและตอนนี้ที่อีกฝ่ายดึงแขนผม แต่ผมกลับไม่เจ็บเลยสักนิด ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่สถานการณ์เดียวกันแต่ผมกลับรู้สึกได้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้แค่ดึงแขนให้ไปตามที่ตัวเองหวังแต่เขากลับถนอมแรงที่จับแขนคนอื่นให้ไม่เจ็บด้วย ถึงจะไม่เจ็บก็ตามแต่ตามแรงดึงนี่ไม่ต้องพูดถึง สามารถเหวี่ยงผมให้ลอยไปถึงดาวอังคารได้แบบสบายๆ
ผมกับอีกฝ่ายเดินมาที่จอดรถที่รถของอีกคนจอดอยู่ พออีกฝ่ายกดปลดล็อครถ ผมก็ถือวิสาสะขึ้นไปนั่งข้างคนขับทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเปิดประตูรถให้หรือบอกให้ขึ้นรถ อีกฝ่ายเห็นผมทำแบบนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากเดินไปฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถออกจากมหาวิทยาลัย
ตลอดการนั่งบนรถมีเพียงคามเงียบเข้าปกคลุมที่เราสองคนรับรู้ได้ ผมไม่ได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็เช่นกัน
ณ ร้านกาแฟดังแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยมากนัก แต่บรรยากาศกลับดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ช่างแตกต่างจากสภาพอากาศเมืองกรุงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่อยู่ในเมืองกรุงแท้ๆ
ผมกับคนข้างๆ กำลังนั่งรอของที่สั่งไว้ ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่เฉยๆ กำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นบ้าง อีกฝ่ายก็เลิกเล่นโทรศัพท์ในทันทีแล้วเงยหน้ามองมาที่ผม
“เอ่อ” เสียงที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดขำนิดๆ “ว่าแต่กูกับมึงก็รู้จักมึงมาสักพัก แล้วมึงชื่ออะไรวะ?” พูดจบอีกฝ่ายก็ส่งสายตาที่เค้นเอาคำตอบจากผม
“ก่อนจะถามชื่อคนอื่น มึงควรบอกชื่อมึงมาก่อนนะ” ผมพูดบอกอีกฝ่ายเสียงเรียบแล้วส่งสายตากวนตีนให้อีกฝ่าย
“ก็ได้” คนตรงข้ามตอบรับ “กูชื่ออาร์ม ซิ่วมาจากคณะบริหาร มหา’ลัยแห่งหนึ่ง ย่านบางเขน อาหารที่ชอบ : ข้าวขาหมู เครื่องดื่มที่ดื่มประจำ : เอสเพรสโซ่ งานอดิเรก : นั่นแซวสาวไปวันๆ ส่วนสเป็กล่ะก็ : ขาว สวย หมวย อึ๋ม” ท่าทางของอีกฝ่ายบ่งบอกได้ชัดว่าภูมิใจกับประโยครองสุดท้ายเอามากๆ
“นี่ถ้ามึงจะร่ายยาวขนาดนี้ เขียนเรียงความมาให้กูเลยมั้ย?” เสียงประชดของผมทำให้มันนั่งนิ่งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็กลับมายิ้มอีกครั้ง เฮ้อ! ยิ้มบ่อยจังนะมึง เหงือกไม่แห้งบ้างหรอวะ?
“เอามั้ยล่ะ?”
“ไม่” ผมตอบกลับเสียงแข็ง
“เอองั้นมึงก็บอกชื่อมึงมาได้แล้วมั้ง กูรอฟังอยู่เนี่ย!” เหมือนความอดทนของคนตรงหน้าจะมาถึงขีดสุด ถึงกับตะคอกประโยคสุดท้ายออกมาแบบนั้นออกมา
พูดออกมาได้ไงว่ารอกู เห็นแต่นั่งส่งสายตาให้เด็กผู้หญิงในร้านอยู่รอมร่อ ทำเอาเด็กผู้หญิงพวกนั้นถึงกับหยิบยาดมยาหม่องขึ้นมาดมในทันที แล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่ๆ เข้าไปในเต็มปอด ราวกับว่าขาดออกซิเจนมาทั้งชีวิตอย่างไงอย่างนั้นเลย
เกินไปว่ะ! ใครก็ได้ช่วยเรียกรถพยาบาลหน่อย
“พูดแค่ครั้งเดียวนะ ถ้าไม่ตั้งใจฟัง ก็อย่ามาถามกูอีกนะ”
“เออๆ”
“กูชื่อเปอร์ ซิ่วมาจากคณะศิลปะศาสตร์ มหา’ลัยแห่งหนึ่งแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ อาหารที่ชอบ : ส้มตำ เครื่องดื่มที่ดื่มเป็นประจำ : นมสดปั่น งานอดิเรก : ดูหนัง ฟังเพลง แล้วก็นอน ส่วนสเป๊กก็ไม่มีหรอก ขอแค่เขาคนนั้นรักกูในตัวตนที่กูเป็นก็พอแล้ว”
“ดราม่าไปอีก”
“...”
“มึงก็เหมือนกันแหละ” อีกฝ่ายย้อนคำ
“แล้วไง” ผมยักคิ้วใส่
“...” มันไม่ตอบอะไรเพราะดูเหมือนของที่สั่งไว้ จะมาเสิร์ฟแล้ว
และแล้วของที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ โดยพนักงานหญิงที่เอาของหวานกับเครื่องดื่มมาเสิร์ฟนั้น มองไอ้หน้าหล่อตรงหน้าผมอย่างไม่กระพริบตา ผมก็ลอบมองปฏิกิริยาของเธอคนนั้นอยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เฮ้อ กูนึกว่าจะมีอะไรซะอีก ในทำนองที่ว่า....
แจกเบอร์ ขอเบอร์ ชวนคุยอะไรประมาณนี้ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะไม่เป็นอย่างที่คิด ว่าจะเอาไว้แซวไอ้คนตรงหน้านี่สักหน่อย
“มึงเป็นคนเหนือหรอ?”
หลักจากที่เงียบเพราะต่างคนก็ต่างลงมือกินของตรงหน้าอย่างไม่มีปริปากอะไรออกมาจะกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยถาม ท่าทางอีกฝ่าย ไม่สิ! ใช้คำว่ามันดีกว่า เพราะถึงขั้นขึ้นมึงกูขนาดนั้นแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ
มันกำลังมองมาที่ผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่วางตา “กูก็ว่า ทำไมถึงตัวเล็กๆขาวๆ ที่จริงมาจากเหนือนี่เอง” คิดเองเออเองอีกแล้วนะมึง แต่ท่าทางมึงกลับดีใจอย่างปิดไม่มิดเลยนะ ก่อนจะหยิบกาแฟขึ้นมาดูดจ๊วบๆ มันก็นั่งยิ้มอีกรอบ
“กูไม่ใช่คนเหนือ กูเป็นคนอีสาน” ผมยิ้มมุมปากตอบกลับเสียงเรียบ
“ห๊ะ!” มันตกใจ อ้าปากค้างสักพัก ลูกตาแทบจะถลนออกมาทีเดียวที่พูดไว้ไม่ถูก
“...”
“จริงหรอวะ?” สงสัยอารมณ์ยังค้างอยู่ “แล้วมึงมีเชื้อสายจีนมั้ย?” ตามันจ้องมองผมแทบไม่กระพริบ นัยน์ตาที่มีความหวังว่าคำถามที่ถามเมื่อครู่นั้นจะถูกต้องตามที่ตัวเองหวัง
“ไม่มีสายไรทั้งนั้นแหละ กูคนไทยแท้เว้ย”
“จริงดิ เสียดายว่ะ” มันคอตกไปในทันที มองของหวานที่ไอศกรีมละลายลงมาจนถึงก้นจาน แล้วกลายเป็นของเหลวข้นไปแล้ว มันถอนหายใจออกมาหลายๆรอบ เฮ้อ!
“จริงสิ แล้วมึงจะถอนหายใจออกมาทำไมตั้งหลายรอบ” คงเห็นผมจับผิดสังเกต เจ้าตัวก็เลยเงยหน้ามาทำสีหน้าปกติ หลังจากที่ตัวเองแน่นิ่งไปตั้งนาน ไม่นานก็กลับไปซึมอีก
กูล่ะไม่เข้าใจมึงจริงจริ๊งงงงงง
“ก็...กูเสียดายอ่ะ” พูดแล้วก็ทำหน้าเศร้าเหงาหงอย บูดเบี้ยวเหมือนหมาที่ตามหาเจ้านายไม่พบอย่างไงอย่างงั้นแหละ “กูอยากมีเพื่อนที่มาจากเชื้อสายจีนบ้างนิ” มันยังทำสีหน้าเหมือนเช่นเคย
จะว่าไปมันก็ไม่เหมาะกับหน้าแบบนี้หรอก มันต้องยิ้มเท่านั้นถึงจะเป็นไอ้อาร์ม แต่จะให้กูเป็นเหมือนดั่งมึงว่าหรือไง? มึงถึงจะหายซึม แต่นั่นก็ไม่ใช่อีกแหละ
“ถ้ากูไม่เป็นอย่างมึงว่า มึงก็จะไม่เป็นเพื่อนกูว่างั้น?” ผมถามกลับเสียงแข็ง
“ก็ไม่ได้ว่างั้นสักหน่อย”
“ก็ดี”
“...”
“คำว่าเพื่อนมันไม่ได้จำกัดแค่ที่ชาติกำเนิดหรอกนะเว้ย” มันอึ้ง “แต่มันอยู่ที่ว่า ใจมึงจะยอบรับเขาเป็นเพื่อนหรือป่าว”มันยังอึ้งอยู่ไปชั่วขณะ นิ่งค้างอยู่นาน ตาก็กระพริบปริมๆ ก่อนที่จะได้สติกลับมา หลังจากที่มาเรียกแล้วไม่ตอบ จึงจัดการใช้ฝ่ามืออรหันต์แม่งซะเลย 5555
เป็นไงล่ะ! หน้ามึงมีรอยมือกูประทับอยู่ด้วย55555
“เออ นั่นดิ” มันเกาหัวแครกๆ หลังจากที่ได้สติกลับคืนมาแล้ว “กูคงจะยึดติดกับพวกนั้นมากไป” มันเปรยคำออกแนวขอโทษ
“ดีแล้ว” พูดจบ ผมก็จ้วงไปตัดไอศกรีมของมันที่ยังไม่ละลายมากินแบบหน้าตาเฉย ไม่ได้อนุญาตด้วยซ้ำ ก็เราสนิทกันแล้วนิ
ของเพื่อนก็เหมือนของๆเรา มุกเสี่ยวแดกอีกและ...
พอผมทำแบบนั้นมันก็ทำสีหน้าโกรธ หน้าแดงลามไปถึงใบหู ที่ไปกินไอศกรีมของโปรดของมัน ผมคิดว่ามันต้องเอาคืน จากนั้นจึงลงมือตักไอศกรีมเข้าปากอย่างเร็วพลางยักคิ้วลิ่วตากวนตีนใส่อีกฝ่ายไป มันก็ไม่ว่าอะไรนอกจากส่งสายตาพิฆาตที่เป็นนัยน์ๆว่า ‘ฝากไว้ก่อนเหอะมึง คราวหน้ามึงเสร็จกูแน่”
ไม่ต้องฝากไว้หรอก มาเอาตอนนี้ก็ยังได้ แต่ถ้าอยากฝากขนาดนั้นล่ะก็...
อย่าลืมทวงทีหลังล่ะ
TBC...
ติดตามกันไปเรื่อยๆนะ ติ ชมได้ตลอด คนเขียนจะได้มีกำลังใจ
ส่วนเรื่องพลังของนายเอกก็รอติดตามกันไปทุกตอนนะ
เพราะคนเขียนจะค่อยๆบอกใบ้ไปเรื่อยๆ ถึง 2 3 ตอนแรกจะยืดเยื้อไปบ้าง
เพราะเป็นการปูเนื้อเรื่องในตอนแรกๆ จะได้เข้าใจกัน ยังไงก็อยากให้ทุกคนรอติดตามตอนต่อไปนะครับ
อ่อ...ตอนหน้าต้องอ่านให้ดีๆอ่านให้เข้าใจนะครับ เพราะอาจมีสับสนกันบ้าง(ขนาดคนเขียนยังสับสนเลยนะ555)
หลังสอบ 2 วันที่ผ่านมา ไอ้อาร์มพาผมไปเที่ยวทุกวันหลังจากสอบเสร็จวิชาสุดท้ายของแต่ละวัน พาไปนั่นพาไปนี่บ้าง เยอะแยะเต็มไปหมด ทุกสถานที่ล้วนเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเจอะเจอที่ไหนมาก่อนในชีวิต ได้เห็นสิ่งดีงามและในทางตรงกันข้ามก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก
มันถึงกลับลั่นวาจาออกมาว่า ‘นี่มึงไม่เคยมากรุงเทพใช่ป่ะ? กูว่าแล้วเชียว ทำไมสีหน้ามึงดูตื่นๆ เวลาที่ไปสถานที่แปลกๆ ไม่เป็นเป็นไร เดี๋ยวกูพาทัวร์เอง’
พอพูดแบบนั้นจบ มันก็เอาแขนอันใหญ่บึ๊กที่เต็มไปด้วยกล้ามมัดและรอยเส้นเลือดปูดมาควงคอผม แล้วพาเดินไป สีหน้าผมก็เหมือนที่มันพูดเอาไว้เป๊ะๆ ผมก็ไม่ว่าอะไรมันหรอก ก็คนมันไม่เคยเข้ามานิ จะแสดงสีหน้าแบบมันก็คงจะไม่ใช่
สอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ผมก็ได้ไปเที่ยวนิดๆหน่อยๆ ตามเคยและคนที่พาไปเที่ยวก็ไอ้อาร์มนั่นแหละ ก่อนที่จะแวะไปส่งผม ไอ้อาร์มก็ได้แวะไปที่บ้านมันก่อน ผมก็นึกว่ามันลืมของไว้ แต่ที่ไหนได้! มันดันพาผมมาทำความรู้จักกับพ่อแม่ของมันซะอย่างงั้น เหมือนพาแฟนไปเปิดตัวกับญาติผู้ใหญ่เลยแฮะ มโนเกินไปแล้วกู
ผมก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณบ้านแบบกล้าๆกลัวๆ โดยมีไอ้อาร์มเดินนำหน้าในระยะที่ไม่ห่างมากนัก ไม่ใช่แค่เดินนำหน้าอย่างเดียวนะ! มันลากผมไปด้วยนี่สิ ลากตั้งแต่ลงมาจากที่จอดอยู่หน้าบ้านแล้ว ถึงผมจะโวยวายยังไงไอ้คนที่ลากผมมันก็ไม่หันมอง ปริปากเอ่ยเลยซักนิด สนใจทางข้างหน้าอย่างเดียว
พอเดินเข้ามาในตัวบ้าน ผมก็ใช้สายตาสำรวจภายในบ้านทันที มันเป็นปฏิกิริยาอาการของการตื่นสถานที่ของผมด้วยแหละ
โหหหห!!! กูว่าบ้านกูใหญ่แล้วนะ บ้านมันใหญ่กว่าอีก ทำเอาบ้านกูกลายเป็นเรือนเล็กไปเลย
ในขณะที่ผมกวาดสายตาสำรวจ อ้าปากค้างอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังขึ้น ผมหยุดเดิน ชะงักอยู่กับที่กับสิ่งที่ได้ยินไปชั่วขณะ ไม้กล้าเดินต่อ ฝ่ายไอ้อาร์มมันเห็นผมยืนนิ่งแข็งตรงหน้า ก็สะกิดไหล่ข้างขวาพร้อมกับเดินเข้ามาถามประชิดตัวด้านหน้า
“มึงเป็นอะไร? ทำไมยืนตัวแข็งแบบนี้?” พูดจบคนตรงหน้าพลางยื่นมือมาแตะหน้าผากผมทันที แต่ก่อนที่มือหนาจะแตะลงกับหน้าผาก ผมก็ใช้มือปัดมือหนานั่นออกไป แล้วเอ่ยตอบ
“กูไม่ได้เป็นอะไร แล้วมึงจะมาแตะต้องตัวกูทำไม”
“ทำไม? กูแตะไม่ได้หรือไง” อาร์มพูดพลางใช้สายตาหยอกล้อมาให้
“...” พอไม่เห็นว่าผมจะตอบอะไร อีกกกฝ่ายจึงถามต่อในทันที
“เก็บไว้ให้ใครไม่ทราบ?”
“ก็...” ผมลากเสียงยาวเว้นช่องว่างไว้ตอบ “คนที่รัก”
“แหมๆ” พูดจบไอ้อาร์มก็เขย่าไหล่ผมซะยกใหญ่
“ก็เออน่ะสิ”
แล้วเสียงแว่วๆนั่นก็ดังขึ้นอีก “นั่นเพื่อนลูกหรอ?อาร์ม” เสียงนั้นเป็นเสียงของแม่ไอ้อาร์ม ท่านดูตกใจไม่น้อย กับเพื่อนที่ลูกหัวแก้วหัวแหวนพามา
ท่านอยู่ในชุดทำอาหารที่มีผ้ากันเปื้อนสวมอยู่ ดูแว็บเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังเตรียมอาหารเย็น เดี๋ยวนะ! บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่มีพ่อครัวล่ะ? แล้วแม่ไอ้อาร์มก็ปลดผ้ากันเปื้อนวางไว้ในครัว ก่อนที่จะเดินมาสมทบกับผมและไอ้อาร์ม
“สวัสดีครับ ผมชื่อเปอร์ เป็นเพื่อนใหม่ของอาร์มครับ” ผมยกมือไหว้พลางพูดอย่างรวดเร็ว เร่งรัดกับคำพูดและกระชับได้ใจความมากที่สุด แล้วสบตากับหญิงวัยทองที่ยังคงสวยสง่าไม่สัมพันธ์กับอายุเลยสักนิด
“ดีเลยจะ งั้นรอทานข้าวเย็นพร้อมกันนะ” แม่ไอ้อาร์มพูดพลางยิ้มไปด้วย มันช่างดูเหมาะกับใบหน้าของท่านยิ่งนัก ผมล่ะคิดถึงแม่จังเลย ถึงจะห่างจากแม่ไม่กี่วันมานี้ก็เถอะ
“ห๊ะ!” เสียงอุทานถูกเปล่งออกมา ผมหันมองลูกชายของบ้านซึ่งยืนอยู่นิ่งๆข้างๆผม แล้วหันสบตากับผู้ให้กำเนิดไอ้อาร์ม กระพริบตา 2 ทีด้วยความเข้าใจผิด คิดในใจแม่คงล้อเล่นแน่เลย แต่เปล่าเลย! แม่ไอ้อาร์มกลับยิ้มให้ไม่มีท่าทีว่าจะรังเกียจคนที่เป็นแขกอย่างผมเลยซักนิด แต่เพราะความเกรงใจท่าน ซึ่งคนอย่างผมจะถือคติเรื่องนี้เป็นเอามาก จึงอยากจะตอบปฏิเสธแล้วจะได้กลับโรงแรมเสียที
ในขณะเดียวกันนั้น ก่อนที่ผมจะตอบปฏิเสธกลับไป ไอ้ลูกชายตัวดีของคนตรงหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เริ่มสนทนา มันก็กระทุ้งสีข้างผมทันที ทำให้ผมสะดุ้งแล้วแอ่นตัวไปทางซ้าย ก่อนคนข้างๆจะส่งสายตามาให้ตามลำดับ
เหมือนจะบอกว่า ‘ห้ามปฏิเสธแม่กูเชียว ไม่งั้นมึงกูตาย’ พร้อมกับยักคิ้วลิ่วตามาให้อีกต่างหาก แถมเท้ามันก็ยังเหยียบปลายเท้าผมพลางบังคับในสิ่งที่ผมรับรู้
ที่รู้อย่างนั้นน่ะ เพราะผมเดาสายตาคนเก่ง แต่ดันเดาใจคนไม่ออกเลยสักนิด ใจคนมันเข้าใจยากนัก ซับซ้อนยิ่งกว่าความลับไหนๆซะอีก
“ครับ” ผมตอบกลับคำเดียว เหลียวมองไอ้คนที่เหยียบเท้าที่ทำให้ผมต้องพูดคำนี้ พร้อมส่งสายตาหมั่นไส้ไปให้ แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับด้วยยิ้มที่กวนตีนประสาท โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อย
ผมออกมานั่งเอามือประสานกันรอข้างนอกบ้าน ซึ่งบริเวณนี้เป็นสวนหย่อมที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป เวลาที่มองทีไรทำให้ผมผ่อนคลายไปเปราะหนึ่ง คิดอะไรเรื่อยเปื่อยในการไปเรียนทำเบเกอรี่ แต่ก็อย่างว่าแหละ! อยากคิดเรื่องนั้น แต่ทำไมถึงคิดแต่เรื่องที่เป็นอยู่ตอนนี้วะ? เฮ้อ!
และในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น หลังจากเสียงได้ดังหายไป แล้วเสียงฝีเท้าของใครบางคนก็เข้ามาแทนที่ จากนั้นเจ้าของเสียงนั้นก็นั่งลงข้างๆผม พอหันไปมองด้านข้างก็เห็นว่ามีใครมานั่งซึ่งนั่นก็คือไอ้อาร์ม สายตาอีกฝ่ายไม่ไดมองมาที่ผมหรอก มันมองไปทางอื่น ไม่รู้ว่าหันบ่อยแค่ไหน หันไปมองทางโน้นบ้าง ทางนั้นบ้าง แต่ไม่ได้มองมาที่ผม
ผมจึงละสายตาจากคนข้างๆ กลับเข้าสู่ความคิดที่ยังค้างคาในหัวสมองอีกครั้ง
จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น “มึงไม่เกร็งขนาดนั้นก็ได้เว้ย พ่อกับแม่กูไม่ได้น่ากลัวอย่างที่มึงคิดหรอกนะ” พูดจบอีกฝ่ายก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ผมหันมองอีกฝ่ายด้วยความสูงที่ต่างกันมากโข ขนาดยืนคู่กันผมแทบจะเป็นหลักกิโลเมตร แต่นี่มึงยืนแล้วกูนั่ง ไม่ต้องพูดถึงเลย ยิ่งกว่าหลักกิโลเมตรก็เสาเข็มนี่แหละ
เจ็บใจ!!!
อีกฝ่ายหันมอง แล้วพูดประโยคถัดมาเพื่อให้ผมสบายใจขึ้น
“อย่าคิดมาก ไปกินข้าวได้แล้ว พ่อแม่กูให้มาตาม” พูดจบไอ้อาร์มก็ตบไหล่สองทีเพื่อให้กำลังใจ เหมือนเสียมารยาทกับเจ้าของบ้านไปยกใหญ่เลยที่ให้มาตามถึงที่แบบนี้ มิหนำซ้ำยังให้รออีกต่างหาก
แต่จะไม่ให้เกร็งตัว เกรงใจ คงเป็นไม่ได้หรอก ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่มันมีกำแพงกั้นที่แบ่งความ...ไว้อยู่
“เออๆ” ตอบกลับเสียงเรียบ
“แล้วอีกอย่างนะ” มันชะงักรอพูดประโยคที่สอง แล้วหันมามองผมก่อนจะพูดต่อ “อย่ามโน!” พูดจบก็ส่งยิ้มตาหยีแล้ววิ่งเข้าไปในบ้านก่อนจะถูกผมไล่เตะ
อีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผมลึกขึ้นจากม้านั่งไม้ สลักความคิด ความเกร็งออกจากตัว สูดเอาอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วถอนหายใจออกอย่างช้าๆ พลางตั้งสติก่อนจะเดินตรงเข้าไปในตัวบ้าน มุ่งตรงไปห้องรับประทานอาหารในทันที
ภาพที่เห็นคือ ครอบครัวๆหนึ่งที่อบอุ่นน่าดู มีครบทั้งพ่อ แม่ น้องสาว และตัวไอ้อาร์ม ผมหยุดเดินและยืนดู เห็นแบบนั้นผมก็ยิ้มออกมาทันที พวกเขากำลังคุยกันอย่างสนุกสนานตามประสาครอบครัวทั่วๆไป ไอ้อาร์มมีหน้าค่าตาเหมือนพ่อเป๊ะ อย่างกับถอดแบบมาเลย ยกเว้นก็ตรงที่พ่อไอ้อาร์มจะล่ำกว่าและสูงกว่าเล็กน้อย น่าจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจล่ะมั้งเท่าที่คิดไว้ตอนนี้
ส่วนแม่ก็ยังสวยสาวเหมือนเพิ่งอายุเข้าเลข 30 ถึงจะมีริ้วรอยไปบ้าง แต่ก็ยังสวยอยู่ดี อาจจะสง่างามไปทั้งตัวและจิตใจก็เป็นได้
จากนั้นจึงตัดสินใจเดินไปสมทบกับทุกคนในนั้น
“ขอโทษครับ ที่ทำให้ทุกคนต้องรอ” ผมเดินเข้าไปพูดขัดวงสนทนาของไอ้อาร์มและน้องสาว จะเรียกว่าเถียงแข่งกันก็ได้ พลางก้มโค้งขอโทษผู้ใหญ่ทั้งสอง
“ไม่เป็นไรจะ” คนเป็นแม่เอ่ย “เข้ามานั่งก่อนสิจ๊ะ” พลางใช้มือบอกตำแหน่งเก้าอี้ข้างๆไอ้อาร์ม
“ครับ” ผมโค้งขอบคุณตอบ ก่อนจะขยับเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่าง มีครบทุกอย่างทั้งทอด แกง ต้ม ผัด สารพัดอาหาร เป็นอาหารไทยที่ทุกคนรู้จักดี จัดเต็มขนาดนี้คงไม่ใช่เพราะลูกชายพาเพื่อนมาที่บ้านหรอกนะ คิดในใจได้สักพัก เสียงของพ่อ ไอ้อาร์มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็ดังขึ้นขัดความคิดผม
“งั้นเรามาเริ่มทานอาหารดีกว่า” พ่อดูตื่นเต้นในการทานอาหารมื้อนี้เป็นอย่างมากที่ได้สมาชิกอีกคนมาร่วมทานอาหาร
หลังจากที่ได้รับสัญญาณจากพ่อไอ้อาร์ม ทุกคนรวมทั้งผมก็ลงมือทานอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย ฝีมือการลงมือทำอาหารเองของแม่ไอ้อาร์มดีมากเลย รอยยิ้มของทุกคนบนโต๊ะบ่งบอกถึงรสชาติได้ดี ทุกอย่างบนโต๊ะเต็มไปด้วยอารมณ์เบิกบานที่แต่ละคนส่งให้กันและกัน
มันช่างมีความสุขอะไรอย่างนี้ จะหาได้จากที่ไหนบ้างนะ ถ้าไม่ใช่ครอบครัวของผมเอง
ท่านถามสารทุกข์สุกดิบ ถามหลายอย่าง พูดคุยกัน แต่ยังดีที่พ่อแม่ไอ้อาร์มเป็นกันเองเอามาก ท่านไม่ว่าอะไรด้วยซ้ำที่ผมกับไอ้อาร์มคุยเรื่องที่ไม่ควรเล่าบนโต๊ะอาหาร พร้อมกับทำหน้าบอกเป็นนัยน์อีกว่า ‘ไม่ต้องคิดมาก’ ท่านคงกลัวว่าผมจะนั่งเกร็ง ไม่พูดอะไรบนโต๊ะอาหารเหมือนก้อนหินโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
การคุยกันแบบนี้ทำให้ผมลดความเกร็งไปได้อย่างมาก จึงกล้าถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับผู้ใหญ่ทั้งสองท่านไปบ้าง
พ่อกับแม่ไอ้อาร์มคุยเก่งมากครับ ไม่แปลกเลยที่คนเป็นลูกที่จะได้การพูดการจาแบบนี้มาจากผู้เป็นพ่อแม่มาติดๆ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ
พวกเราก็คุยกกันไปเรื่อยๆ นานสองนานเลยล่ะ ผมก็เล่าเรื่องครอบครัวบ้าง เรื่องเรียนบ้างและอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเหมือนกับแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ปรึกษาพวกท่านไปในตัวด้วย
หลังจากนั้นผมจึงลากลับที่โรงแรม เพื่อเตรียมตัวเก็บของไปขึ้นเครื่องบินกลับบ้านในวันพรุ่งนี้
ถ้าจะได้เข้ามาที่นี่อีก คงจะเป็นตอนมาสัมภาษณ์และรายงานตัวล่ะมั้ง
ก่อนจะจากกันผมกับไอ้อาร์มเราก็แลกเบอร์กันเพื่อใช้ติดต่อกัน
อันที่จริงเราคงไม่ได้เรียนคณะเดียวกันหรอก เพราะผมกับมันเลือกคนละคณะ มันเลือกวิศวะ ส่วนผมเลือกแพทย์ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันสักทีเดียว
วันเวลาแห่งการรอคอยผลการสอบช่างยาวนานราวกับว่าไม่สามารถระบุได้ การรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมเป็นแบบนี้เสมอ อยู่บ้านผมก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก นอกจากนั่งๆนอนๆ ไม่อยากให้ใครเข้ามาเห็นในสภาพแบบนี้เลย ผมกระเซอะกระเซิงชี้รุงรัง ขี้ตาที่ทั้งแข็งและไม่แข็งก็ยังปรากฏให้เห็น ไหนจะคราบน้ำลายอีก
อากาศข้างนอกโคตรร้อนเลย ไม่อยากออกไปไหนเลย ถ้าไม่ใช่ที่เย็นสบายหูสบายตา จะออกไปช่วยแม่ที่ไร่ผลไม้แต่ก็ถูกสั่งห้าม
แต่ก็ช่างเถอะ!
ผมก็ไม่ได้ขยันขนาดนั้น กลัวผิวคล้ำด้วยแหละ กว่าจะขาวเนียนอมชมพูแบบนี้ได้ มันยากกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขาเสียอีก เพราะฉะนั้นตอนนี้ ก็พักอยู่บ้านในตัวเมืองที่ไม่ใช่บ้านสวนที่มีไร่ผลไม้หลากหลาย เพราะที่มีแอร์ เย็นสบายด้วย เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างมาก นอนเล่นโซเชียลไปเรื่อย นั่งเขี่ยโทรศัพท์ไปอย่างเพลินๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงข้อความจากแอปไลน์ดังขึ้น ปรากฏอยู่บนแถบแจ้งเตือน ผมรีบกดเข้าดูในทันที
เปอร์
มึงรู้ผลสอบยัง
ยัง
มึงรู้แล้วหรอ?
ออกพรุ่งนี้ไม่ใช่หรอวะ
รู้แล้ว
ก็เขาเปลี่ยนกำหนดการอ่ะ
มึงรีบเข้าไปดูเลย
แล้วอย่าลืมทักมาบอกกูล่ะ
เออๆ
ผมปลีกเวลาออกจากโทรศัพท์ เดินไปเปิดแล็ปท็อปที่ถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานที่อยู่อีกฝากของห้อง พอเปิดแล็ปท็อปเท่านั้นแหละ เสียงข้อความจากโซเชียลต่างก็ประดังแข่งกันเข่ามาราวกับห่าฝน ผมกลัวอยู่ว่าแล็ปท็อปสุดที่รักจะค้างหรือเปล่า?
เบื่อหน่ายกับข้อความที่เข้ามาแบบนี้แทบทุกวัน คงหนีไม่พ้นพวกที่ส่งข้อความมาตามจีบแหงๆ จะให้ตอบทุกข้อความผมได้อกแตกตาก่อนพอดี พอเห็นแบบนั้นผมก็เปิดแท็ปใหม่ทันที เพื่อเปิดเข้าเว็บไซต์ของมหา’ลัย กดใส่รหัส พาสเวิร์ดเรียบร้อย แล้วก็เข้าดูรายชื่อเรื่อยๆ เลื่อนไปเลื่อนมา แล้วก็เจอสิ่งที่ตามหาที่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ที่สอบผ่าน
เย้! สอบติดแพทย์แล้ว
อยู่ในอันดับหนึ่งของคณะแพทย์ซะด้วย
อยากจะกรี๊ดดดดดังๆ ให้มันไปถึงดาวอังคารแม่งเลยว่าผมสอบผ่านแล้ว คนแรกที่ผมจะบอกให้รู้คือแม่ เพราะมีแม่ ผมถึงได้มาถึงจุดที่ตัวเองไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นจริงด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีแม่ ผมคงเรียนภาษาตามยถากรรมนั่นแหละ
ผมรีบวิ่งลงจากห้องทีนทีที่รู้ผล เสียงบันไดดัง ตึ้งๆตั้งๆ ส่งเสียงรบกวนคนที่อยู่ข้างล่างเป็นอย่างมาก ทำให้ผมถูกติเตือนในเวลาต่อมา
การขับรถไปบ้านสวนเป็นสิ่งที่ผมหวังเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ถูกสั่งห้ามไว้ ผมคงอยู่ที่นี่ตลอดแหละ การรู้ผลสอบทำให้ผมรีบขับรถไปบ้านสวนเพื่อนำข่าวดีไปบอกผู้เป็นแม่ ไม่ถึง 1 ชม.ก็ถึงที่หมาย เห็นแม่อยู่ระเบียงหลังบ้าน จึงรีบวิ่งไปเข้าไปหาและโผเข้ากอดแม่แล้วร้องไห้โฮ แม่ดูตกใจไม่น้อยที่ผมเข้ากอดโดยไม่ได้ตั้งตัว ไม่รู้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า จึงเอ่ยถาม ก่อนจะผละออก
“เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ยลูกคนนี้” แม่เอ่ยถาม “ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ ผู้ชายคนไหนทำให้ลูกของแม่ร้องไห้แบบนี้” พูดจบพลางใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดออกให้ผม แล้วจ้องมองผมเขม็งราวกับคาดคั้นจะเอาคำตอบนี้ให้ได้
แม่ไม่คิดบ้างหรอว่า อาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้ ส่วนไอ้เรื่องผู้ชายที่เข้ามาหาผมน่ะ มันมีมาตั้งแต่ตอนมัธยมแล้วล่ะ จนผมเริ่มจะชินกับมันซะแล้ว แต่ก็ไม่ได้เลือกใครมาไว้ในใจเลยสักคน แค่คุยด้วยเฉยๆ เพราะเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง แม่ถึงปักใจว่าผมน่าจะชอบผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง
ผมเงยหน้าขึ้นสบตาผู้ให้กำเนิด ท่าทางของแม่ดูสบายใจขึ้นมาไม่น้อยหลังจากได้สังเกตนัยน์ตาผม คงจะรู้แล้วล่ะว่าผมจะบอกเรื่องอะไรให้ฟัง แต่ก็ยังรอฟังคำตอบจากผม
“แม่” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแหบจากการร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อครู่ “เปอร์ติดแพทย์แล้วแม่ เปอร์สอบติดแพทย์แล้ว” เสียงในประโยคแรกที่ว่าดังฟังชัดมากแล้ว เสียงในประโยคที่สองยิ่งมีสปีริตมากกว่า ผมร้องบอกด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปความดีใจที่สุดในตอนนั้น ดีใจที่สุดจึงไม่อาจจะข่มน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ จึงปล่อยมันออกมาซะแบบนั้นเลย
ก่อนที่จะกระโดดกอดแม่อีกครั้ง ครั้งนี้ผมกอดแน่นกว่าเดิม แม่ก็กอดผมกลับ แต่เราของแม่มีแรงมากกว่าผม จึงทำให้ผมหายใจไม่ออกและผมก็เป็นคนผละออกจากอ้อมกอดที่อบอุ่นนั้นด้วยตนเอง แล้วเล่ารายละเอียดให้แม่ฟังในเวลาถัดมา
อ้อมกอดแบบนี้ไม่รู้จะมีอีกสักกี่คน ที่จะทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้อีกครั้ง
ดีใจที่เราจะได้เรียนในสิ่งที่อยากจะเป็น และจะได้ต่อยอดสิ่งที่เกี่ยวกับพลังของผม อาจจะทำให้ได้ไขความลับของพลังนี้ออกก็ได้
หลังจากคุยกับแม่เสร็จสัพเรียบร้อย แม่จึงไล่ผมไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปซื้อของมาทำอาหาร ทำเมนูต่างๆในคืนนี้ ฉลองให้กับลูกคนนี้สอบติดคณะแพทย์ทั้งที ก่อนจะขับรถกลับบ้านในตัวเมือง โดยที่ผมไม่ลืมที่จะแจ้งข่าวดีให้เพื่อนใหม่ทราบ
ในแอปไลน์
มึง
ไร
ผมยังไม่ได้ประโยคถัดไปด้วยซ้ำ ไอ้อาร์มก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนอย่างรวดเร็ว
กูติดแล้วว่ะ
ฮะ!
ไม่ต้องเดาสีหน้าไอ้อาร์ม ผมก็รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เวลาที่มันตกใจ
ติดแพทย์ใช่ป่ะ?
เออ
ก็กูลงแพทย์ไว้
มึงจะให้กูติดบริหารหรือไง
ไอ้สาดดดด
คร้าบบ ค้าบบบ
ผมล่ะอยากได้ยินเสียงนี้ตอนมันพูดคำๆนี้ซะเหลือเกินว่าจะเป็นยังไง ก็จะมีไม่กี่คนที่จะได้ยิน
ง่วงว่ะ
ง่วงก็นอนดิ
จะบอกกูทำเพื่อ!!!
เออๆ
กูนอนละ
เออๆ
นอนแล้วก็ตื่นมาอีกล่ะ
ไอ้สาดดดด
555555
จากนั้นปลายสายจึงตัดไป ส่วนผมก็ล้มพิงกับโซฟาอันแสนนุ่มในระหว่างที่รอแม่อาบน้ำ แต่งตัว เพื่อไปซื้อของมาทำกับข้าวใช้ในงานฉลอง
มีต่อนะ...
วันสัมภาษณ์
วันนี้ผมลงทุนแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นอีกแบบที่ต่างจากตัวตนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ราวกับลบตัวตนในปัจจุบันทิ้งไปแล้วหยิบตัวตนใหม่มาสวมใส่แทน ไม่มีใครจำได้หรอกว่าผมคือเปอร์คนนั้น มีแต่ที่เห็นเป็นอีกอย่างเท่านั้น จนกว่าจะถึงเวลานั้น จนกว่าจะได้รู้สิ่งที่ค้างคาในใจ ผมจะไม่ถอดบุคลิกนี้เด็ดขาด(ถ้าไม่จำเป็นอ่ะนะ) ถึงในภายหลังจะทำให้คนรอบข้างรังเกียจผมก็ตาม ผมก็จะยอมรับมันด้วยใจที่ยึดมั่นในความเชื่อนี้
ผมเดินขึ้นไปบนชั้น 2 ของอาคารแล้วเดินไปตามระเบียงพลางสายตาก็จับจ้องกับแผนที่ห้องสอบสัมภาษณ์บนมือสลับกับลอบมองหมายเลขเลขห้อง จนกระทั่งถึงบริเวณที่มีคนประมาณ 10 คนนั่งรออยู่หน้าห้องที่เป็นหมายเลขห้องสอบที่ผมจะต้องสอบ
เสียงดังเอะอะ ดังไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่ เสียงนั้นมาจากผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่นั่งจับกลุ่มกันเม้าท์มอยเรื่องต่างๆ นานา ซึ่งกลุ่มนี้มี 4 คน ผู้หญิงที่มีรูปร่างอ้วน ท้วม หุ่นดี และผอมตามลำดับ
คิดในใจอยู่ว่า ‘จะเดินเข้าไปคุยด้วยหรือเปล่าน๊า’ ผมว่าคนพวกนั้นเขามีนิสัยแบบหนึ่งที่เหมือนกับผม คือ...
ชอบเม้าท์มอยเรื่องชาวบ้าน หรือจะพูดให้ถูกคือ นินทานั่นเอง
ยืนคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ บอกกับตัวเองขณะเดินไปยังกลุ่มที่ว่านั้นและหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา ทำให้กลุ่มผู้หญิงพวกนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้มาเยือน สังเกตผมอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะพูดทักทายผม
“หวัดดี แกชื่ออะไร ฉันชื่ออัง” ดูท่าคนที่พูดจะรู้จุดประสงค์ที่ผมเข้าหา “ส่วนพวกที่เหลือชื่อ ชาม ทราย และแพร” อังไล่ชื่อจากขวามือไปทางซ้ายมือตามลำดับ ทุกคนในนั้นต่างก็ส่งยิ้มมาให้ผมทั้งนั้น ดูไม่รังเกียจผมแม้แต่น้อย
ตอนนี้รู้สึกผ่อนคลายไปบ้างแล้ว กับเรื่องที่กังวลเมื่อครู่ ก่อนจะนั่งลงแล้วกล่าวทักทายเพื่อนใหม่
“ฉันชื่อเปอร์ มาจากร้อยเอ็ด” ผมเอ่ยแนะนำตัว
“แอลเอ” พวกนั้นตะโกนชื่อจังหวัดที่ผมอาศัยอยู่ออกมาพร้อมๆกัน
“แล้วพวกมึงล่ะ มาจากไหนกัน” ผมเอ่ยถามทุกคนในกลุ่มได้ไม่ทันไร ก่อนจะทำสีหน้าตกใจพลางยกมือข้างถนัดขึ้นมาปิดปากกับสิ่งที่พูดออกไปเมื่อครู่
“...”
“โทษที พอดีเราชินกับคำพวกนี้ไปหน่อย ก็เลยเผลอพูดออกมาน่ะ” ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม สีหน้าของพวกนั้นไม่ติดใจเอาเรื่อง แต่งงนิดหน่อย
“ไม่เป็นไรหรอกมึง” แพรเอ่ย “เรียกกูมึงนั่นแหละ จะได้สนิทกันเร็วๆ” แพรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะหันไปหาเพื่อนที่เหลืออีก 3 คน ทุกคนต่างก็ผงกศีรษะรับทำนองว่า ‘ว่าไงก็ว่าตามกัน’
จากนั้นผมจึงได้เข้าร่วมการสาธยายเรื่องที่คนในกลุ่มค้างคาไว้ เพื่อรอเวลาเข้าสอบสัมภาษณ์ พวกนั้นเล่าว่าตัวเองไม่ใช่คนกรุงเทพทุกคนหรอก ยกเว้น ทราย ที่เหลือก็...อัง มาจากสมุทรปราการ แพรมาจากปทุมธานี ชามมาจากสมุทรสาคร มาคนละทิศคนละทางเลย เวลาไปเยี่ยมพ่อแม่เพื่อนก็ถือโอกาสเที่ยวแบบไม่ซ้ำกันเลย
“นักเรียน” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมกับย่างเท้าเข้ามาใกล้ห้องที่เรารออยู่ “เข้าห้องสอบได้แล้วค่ะ จะเริ่มสอบสัมภาษณ์แล้วค่ะ” ครูพูดกับทุกคนที่นั่งรออยู่หน้าห้อง ก่อนจะชี้นิ้วบอกว่า ‘ไปรออีกห้อง’ แล้วสาวเท้าเข้าอีกห้องที่เป็นห้องสัมภาษณ์
“อ้าว! ห้องที่เรารอไม่ใช่ห้องสัมภาษณ์หรอกหรอวะ?” ผมขมวดคิ้ว ทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผากราวกับคลื่นทะเลที่หยุดนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
เพิ่งมารู้ทีหลังว่า ‘ห้องที่เรานั่งรอกันข้างหน้าเป็นห้องสัมภาษณ์ก็จริง แต่ที่อาจารย์ชี้บอกนั้นเป็นห้องรวมนักเรียนที่ผ่านการสอบ โดยมีอยู่ด้วยกัน 3 คณะที่ห้องห้องนี้เหมือนพวกเรา ได้แก่ แพทย์ ทันตะ และเภสัช’
ผมยังแอบสงสัยอยู่เลย ‘ทำไมเด็กในเมืองกรุงมันหน้าตาดีจัง กินอะไรวะ ทำยังไงถึงจะเป็นแบบทุกวันนี้’
จากที่เล่าไปคร่าวๆ พอละสายตาจากการสำรวจคณะอื่น ผมก็หันมาคุยกับเพื่อนใหม่ทั้ง 4 คน เราคุยกันอย่างออกรสออกท่า โดยมาสนใจคนที่อยู่ในห้องนั้น แต่ดูเหมือนพวกเราจะเสียงดังจริงๆ เพราะคนในห้องต่างก็หันมามองเราอยู่เรื่อยๆ ที่มีเสียงดังดังขึ้น ก่อนที่ใครบางคนจะลุกตะโกนขึ้น
“เฮ้ย!” เสียงจากชายนิรนามตวาดดังลั่นทั่วห้อง ส่งผลให้ทุกคนต่างหันมองที่ต้นเสียง พวกเราก็เช่นกัน ทุกอย่างในห้องเงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงหลุดออกมาให้ได้ยิน ที่จะได้ยินก็มีแค่เสียงลมหายใจของคนข้างๆเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศเมื่อครู่ราวกับอยู่คนละโลก แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้เดินมาทางพวกเราสุมหัวกัน
ถ้าจำไม่ผิดแถวนั้นน่าจะเป็นเด็กทันตะ”เงียบๆ กันหน่อยดิวะ เพื่อนๆเขาต้องการสมาธิ ไม่เห็นหรือไง?” จากที่เงียบกับการตะโกนครั้งแรกเขาก็พูดต่อ เสียงตะคอกที่ดูน่ากลัวบวกกับสีหน้าที่ส่งมาทางพวกเราเด่นชัดจนต้องขนลุกไปตามๆกัน ท่าทางเขาคงไม่โมโหไม่น้อย จ้องมาทางพวกเราตาแทบไม่กระพริบ
ผมว่าคนที่ตะโกนว่าพวกผม ต้องเป็นลูกคุณตีนแดงแน่
หลังจากที่ถูกว่ากล่าว พวกเราก็ไม่ได้สำนึกผิดแม้แต่น้อย ยังคุยกันเหมือนเดิม หากแต่ลดระดับเสียงลงเท่านั้น แทบจะกระซิบกันก็ว่าได้ มันน่าหัวเราะก็ตรงที่...พวกเราเลือกที่จะใช้ภาษาปาก อย่าคิดลึกล่ะ! พูดแบบขยับปาก แต่ไม่มีเสียงใดๆ หลุดออกมาให้ได้ยินก็แค่นั้น
เวลาผ่านไป พวกเราแต่ละคนในกลุ่มต่างก็ทยอยออกไปสอบสัมภาษณ์จนเกือบหมด เหลือแค่ผมคนเดียว (คนที่เข้าสอบสัมภาษณ์คณะแพทย์มี 10 และผมเป็นที่ 10 ) และแล้วก็มีคนมาเรียกให้เข้าสัมภาษณ์
*******************************************************************************************************************************
ตอนสัมภาษณ์
ผมนั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้สัมภาษณ์ได้ไม่ทันไร อาจารย์ก็ส่งความกดดันมาให้ผมทันทีที่นั่งลงเก้าอี้ คงจะเป็นท่าทางและสีหน้าของอาจารย์ที่แสดงออกให้ผมเห็นล่ะมั้ง ผมจึงนั่งเกร็งอยู่ ณ ตอนนี้ มันไม่เหมือนตอนที่ไปบ้านไอ้อาร์ม มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ก่อนจะยื่นพอร์ทฟอลิโอ้ให้อาจารย์ไป อาจารย์รับมัน เปิดดูหน้าสองหน้าและจ้องหน้าผมอยู่สักพัก ก่อนจะอ้าปากถามคำถามออกมา
“ทำไมคุณถึงซิ่วมาเรียนแพทย์” อาจารย์เอ่ยถามอย่างชั่งใจ สายตาก็จ้องมองมองอย่างไม่วางตา
คำถามที่ทำให้ผมหยุดชะงัก ไตร่ตรองสิ่งที่จะพูดออกมา เหงื่อก็เริ่มผุดทั้งที่อากาศในห้องไม่ได้ร้อนแม้แต่น้อย สูดลมหายใจเข้าและถอนออกมาแล้วเอ่ยตอบ...
********************************************************************************************************************************
หลังสอบสัมภาษณ์
ผมเดินคอตกออกจากห้องกับสีหน้าที่บ่งบอกถึงความผิดหวัง ราวกับน้ำตากำลังจะล่วงล่น เข่าแทบทรุดลงกับพื้นตรงหน้า ในขณะเดียวกันเพื่อนใหม่ที่รออยู่หน้าห้อง ต่างก็เดินเข้ามาปลอบประโลมทันทีที่เห็นสีหน้าผมที่เดินออกจากห้อง พวกเขาเข้าใจความรู้สึกตอนนี้ว่าเป็นยังไง เวลาที่เราผิดหวังกับสิ่งที่เรามั่นใจ ผลลัพธ์ที่ออกมาทำได้ไม่ดีพอ มันทำให้เราหมดแรงที่จะเดินต่อ
พวกนั้นเข้ากอดผมพลางใช้มือประโลมศีรษะเบาๆ น้ำตาที่บังคับไม่ให้ไหลก็ทะลักออกมาอย่างฝืนไม่ได้ พวกเขารับรู้ได้จึงอยากจะทำในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ถึงจะยังไม่สนิทกันเท่าไหร่ก็ตาม แต่ยังไงเพื่อนก็คือเพื่อนทั้งที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชม.
รู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกที่เพื่อนใหม่ทำแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่คิดหรอกว่าจะได้เป็นเพื่อนกัน คิดอยู่ว่าแค่เรียนให้จบก็พอ ส่วนเรื่องเพื่อนก็ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่ตอนนี้ผมคิดแล้วล่ะว่าเพื่อนใหม่พวกนี้จำเป็นสำหรับผม
‘ผมจะไม่ทิ้งคนที่คอยอยู่ด้วนกันยามทุกข์แน่นอน’
แต่ผมจะทำเหมือนที่คิดได้หรือเปล่า? ก็ต้องดูกันไปเรื่อยๆ เหมือนกัน ถ้าลางสังหรณ์ผมไม่คิด ผมว่าคนเหล่านี้แหละคือ ‘เพื่อนตาย’
“ไม่เป็นไรนะมึง” เสียงชามปลอบประโลมพร้อมกับลูบศีรษะเบาๆ เพื่อให้หายกังวล “ไม่ต้องกังวลหรอก ยังไงก็ได้อยู่ล่ะ อาจารย์เขาแค่อยากรู้ความคิดของเราแค่นั้นเอง อย่าคิดมากน่ะ” เป็นอีกครั้งที่ชามลูบศีรษะไม่ให้กังวลเหมือนเด็กขี้แยเลยว่ะกู
“มึงรู้ได้ไง?” ผมผละจากการเกาะกุมของร่างท้วมพลางใช้ฝ่ามือเชิดน้ำตาออกให้หมดจรด
“นี่มึงไม่รู้หรือไง?” คนตรงหน้าเอ่ยอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม
“รู้อะไร” ยังคงสงสัยกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูด
“ก็เรื่องสอบสัมภาษณ์นั่นแหละ เขาเลือกพวกเรามา 10 คนพอดี ไม่ได้เลือกมาเผื่อหรือเกิน” ชามชี้แจงที่จะทำให้ผมหมดข้อสงสัย “แล้วอีกอย่างนะ เขารับ 10 คน พวกเรามา 10 คน แล้วทำไมมึงถึงจะไม่ได้ล่ะจริง? จริงมั้ย?”
“เออ จริงด้วยวะ กูลืมไปได้ไงเนี่ย” ผมทำหน้าอ๋อทันทีที่ได้รู้ พอพูดจบผมก็ใช้ฝ่ามือคลึงที่ศีรษะพลางส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่ลืมไปซะสนิทและเพื่อเตือนตัวเองอีกหน
“งั้นพวกเราไปเที่ยวกันดีกว่ามั้ย? ฉลองให้กับเพื่อนใหม่ทุกคนในกลุ่ม” แพรเอ่ยตัดบทแถมยังเอ่ยชักชวนอีกต่างหาก
“จะได้อีเปอร์ไปเปิดหูเปิดตาด้วย” อังพูดพร้อมกับลุกพรวด ใช้มือกวักเพื่อนในกลุ่มให้เข้ามาหาตัวเอง เพื่อปรึกษาที่เที่ยว เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้ยังปลอบกูอยู่เลย มึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วจังวะ
“ไปไหนดีวะ” ทรายเอ่ยถาม “พาอีเปอร์ไปเปิดหูเปิดตาก็ดีเหมือนกันนะ เห็นบอกว่าไม่ค่อยได้เข้ามากรุงเทพ” ท่าทางระริกระรี้อยากไปใจจะขาดของทราย ทำให้เพื่อนๆต่างเหลียวมองกันอย่างเอือมระอา ก่อนจะโดนชามเอ็ดไปทีหนึ่ง
“เราเป็นชะนี ไม่ใช่กะหรี่ เก็บอาการด้วย” พอถูกเอ็ดไปทีหนึ่ง เจ้าตัวถึงกลับสงบสติอารมณ์เข้าสู่โหมดเดิมทันตาเห็น
“ป่ะ ไปกันเถอะ” ชามหมุนตัวมาเรียกขณะกำลังเดินออกจากการสุมหัว
“ไปไหนวะ นี่กูยังไม่รู้เลย ไปปรึกษากันตอนไหน” ผมเอ่ย
“เอาน่า เดี๋ยวมึงก็รู้เอง” อังที่หมุนตัวมาตอบเหมือนหัน ผมงงกับคำพูดพวกนั้น
ไม่นานหลังจากนั้น ผมก็ถูกเพื่อน 2 คน รวบตัวและจูงตาม 2 คน ข้างหน้า แพรกับทรายน่าจะรู้ว่าเราจะไปไหนกัน อังกับชามเลยสั่งมารวบตัวผม ส่วนอีกสองคน ก็เดินนำหน้าไปไม่ไกลจากที่ผมเดินนัก ไม่นานแพรกับทรายก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระขากการเกาะกุม แต่ก็ยังเดินตามสองคนข้างหน้าไป
ผมสลับมองอังกับชาม ผู้ที่มีรูปร่างอ้วนและท้วมตามลำดับ ผมว่า มันเป็นพวกใส่ใจอะไรกับเพื่อนมากเลย ทำให้ผมที่จิตตกกลับมายิ้มได้แบบนี้ ผมล่ะดีใจจริงๆ
พวกมันพาผมไปเที่ยวหลายที่มาก เหมือนที่ไอ้อาร์มเคยพาไป แต่สถานที่ไม่ได้ซ้ำกันแม้แต่น้อย จำไม่ได้หรอกว่าไปที่ไหนบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นที่ใกล้ม.มากกว่า เพราะสภาพอากาศที่ไม่อำนวยบวกกับการจราจรติดขัดของเมืองหลวงทำให้พวกเราตัดสินใจว่า ‘จะไม่ไปเที่ยวไกล ร้อนและอยากตากแอร์’ สามประเด็นที่พวกเราต่างยอมรับ ความคิดอันสุดท้ายเป็นของผมคนเดียวนะ นอกนั้นก็แชร์กัน
ถ้าอากาศร้อนเหมือนที่บ้านหรือที่ม.เก่าที่ผมซิ่วมาจะไม่ว่าอะไรเลยนะ แบบนั้นน่ะพอทนได้ แต่นี่ทั้งร้อนทั้งควัน มลพิษอีก เพราะงั้นพวกเราถึงตัดสินใจไปเฉพาะห้างเท่านั้น
หาอะไรกินดีกว่า อิ่มใจไม่เท่าไหร่ แต่อิ่มท้องต้องมาก่อน
*******************************************************************************************************************************
ห้าวสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ในระหว่างที่พวกเราพากันทัวร์ จะเรียกทัวร์ถูกเปล่าวะ คือเดินอย่างเดียว ของก็ไม่ซื้อ แต่ละชิ้นนี่แพงหูหลับตับไม้ไม่อยากจะพูดถึง ก็ของห้างอ่ะเนอะก็ต้องแพงอยู่แล้ว ผมก็พอมีปัญญาซื้ออยู่หรอก แต่ในเพื่อนไม่เข้ผมก็ไม่เข้า ตามใจเพื่อน อีกอย่างผมหาเงินเอายังไม่ได้ก็เลยยังไม่อยากใช้ฟุ่มเฟือยมากนัก แต่วันไหนหาตังค์ได้ ก็พร้อมเปย์ทุกเมื่อ
วันนี้ไม่ได้ไปเที่ยวแค่อย่างเดียวเท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้นผมได้รับข้อความจากไอ้อาร์ม มันนัดไปหาอะไรกิน คงจะอยากพาผมไปที่ที่มันบอกเมื่อคราวก่อน แต่ไม่ได้ไปกัน ผมตอบปฏิเสธไป บอกมันว่า ‘ไม่ว่าง ไปหาญาติ’ ใครจะกล้าโผล่หน้าไปเสนอหน้าไปให้มันเห็นล่ะ มีหวังฝ่ายนั้นได้วิ่งเตลิดแน่ ดูแว็ปเดียวก็รู้ ก็ตอนนี้ผมหนังหน้ายิ่งดูไม่ได้ ช่างมันละกัน!
ไว้ค่อยเซอร์ไพรท์มันทีหลังแล้วกัน
กระทั่งมาถึงร้านกาแฟแห่งหนึ่ง พวกเราหาที่นั่งให้พอกับคนที่มา กวาดสายตามองภายในร้านเพื่อหาที่ว่าง จนกระทั่งสะดุดตากับโต๊ะที่ว่างนั้น มันยาวพอที่เราทุกคนจะนั่ง
“เฮ้ยพวกมึง!” ผมตะโกนเรียก “โน่นไง โต๊ะนั่นมึง ยังว่างอยู่” ผมพูดพร้อมชี้ไปยังโต๊ะนั้นเพื่อให้พวกมันเหลียวตาทิศทางมือที่ชี้
พอพวกมันเหลียวมองตามมือที่ผมชี้และเห็นสิ่งที่บอก ต่างแย่งกันเดินไปยังโต๊ะที่ว่าให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้จับจองที่นั่งสมดังใจหวัง ตามมาด้วยด้วยเสียงเอะอะอีกระบอก ผมเห็นพวกมันนั่งยิ้มแป้นหลังจากที่นั่งลงเก้าอี้ ไอ้รอยยิ้มนั่นผมพอจะเดาออกว่ามันหมายความว่าไง อีพวกนี้! ที่พากันแย่งที่นั่งเมื่อกี้ เพราะเหตุนี้เองสินะ ‘จะได้ส่องผู้ชายได้สะดวกและใกล้ชิดที่สุด’ เหลืออดกับพวกมันจริงๆ มองตาขวางใส่แม่งเลย แต่พวกมันก็ทำเป็นไม่สนใจที่ผมส่งสายตาให้ เพราะเอาแต่มองผู้ชายโต๊ะข้างๆ
ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลขนาดไหน ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับพวกมัน สามารถเหล่มองได้เสมอ
จากนั้นอังก็รับเมนูจากพนักงานที่เอามาให้เมื่อครู่ และยืนรอลูกค้าสั่งออเดอร์ มันเปิดกลับไปกลับมาหลายรอบ จนในที่สุดก็ได้สิ่งที่จะกินแล้วหันบอกพนักงาน ก่อนจะหันมาถามเพื่อนที่เหลือ
“เอานมสดปั่นกับแพนเค้กผลไม้ครับ” ผมเอ่ยบอกพนักงาน เขาก็ก้มหน้าเขียนในบิล
“กินเหมือนผู้หญิงจังนะมึง” อังเอ่ยแซะ
“แล้วไง” ผมถามเชิงหาเรื่อง
“เปล่า ก็ไม่ได้ว่าอะไร” อังยักไหล่แล้วหันหน้าหนีไปทางกลุ่มผู้ชายข้างโต๊ะ
ส่วนเพื่อนที่เหลือก็ทยอยสั่งของที่ตัวเองจะกิน ในระหว่างที่รอของที่สั่งอยู่นั้น ผมจึงเริ่มเปิดประเด็นคำถามที่ยังค้างคาใจทันที
“มึง” ทุกคนหันมองมาที่ผมทันทีที่เอ่ยขึ้น ทั้งที่กำลังหยอกล้อกับผู้ชายข้างโต๊ะ แต่ก็ยอมละสายตามาจ้องมองผม
“มีไรวะ” แพรเริ่มเอ่ยถาม
“คือ...” ยังไม่มั่นใจในสิ่งที่จะพูด ผมทำได้แค่เอ่ยออกมาแค่คำเดียวพร้อมลากเสียงยาว นิ้วมือทั้งหมดต่างประสานกัน ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือที่ยังคงแข่งกันขึ้นๆลงๆอยู่แบบนั้น มันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับผมตอนตื่นเต้นหรือไม่มั่นใจที่จะพูดคำๆนั้นออกมา ทุกคนต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เหมือนรอให้ผมพูดมากกว่าจึงไม่เอ่ยขึ้นและคาดคั้นเอาคำตอบ “มึงไม่รังเกียจกูใช่ป่ะ ที่เป็นแบบนี้” ผมถามลองใจเชิงปฏิเสธ ทุกคนต่างก็งงทำสีหน้าสงสัยกับคำพูดของผม
“ทำไมต้องรังเกียจด้วยวะ” ชามเอ่ยตอบเชิงถามไปในตัว
“ก็กูขี้เหร่ สิวเขอะเต็มหน้า ผิวคล้ำ ใส่แว่นตาหนาเตอะแถมยังทำตัวเด๋อๆ ซุ่มซ่ามอีก” ผมก้มทำสีหน้าตอกย้ำตัวเอง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาทุกคนบนโต๊ะ แต่ก็กลัวว่าคำตอบที่ได้จะไม่เป็นไปตามที่เราคิด ใครจะรู้ล่ะว่าหน้าตาที่ผมบอกไปนั้น ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของผม
“แล้วจะทำไมวะ” ชามพูดเชิงไม่แคร์ ไม่สนอะไร “ถึงมึงจะเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่ก็ตาม พวกกูก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจมึงหรอกนะ พวกกูดูคนที่ใจไม่ใช่ที่ร่างกาย” พอได้รับคำตอบแรก มันทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นรับรู้และสบตากับสิ่งที่เพื่อนพูดอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ใช่” ทรายเอ่ยเห็นด้วยกับคำตอบของชาม “เพราะมันเป็นสิ่งที่ภายนอก แต่สำหรับสิ่งที่พวกกูต้องการอ่ะ คือ สิ่งที่อยู่ภายในมากกว่าสิ่งที่อยู่ภายนอก ถ้าหน้าตาดี แต่นิสัยเหี้ย พวกกูก็ไม่เอามาเป็นเพื่อนหรอกนะ จริงมั้ยล่ะ?” ผมลอบมองทราย นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ซึ่งคนที่ผมจ้องหน้าอยู่นั้นก็พยักหน้าให้กำลังใจ
“ก็จริง” สีหน้าผมเริ่มรู้สึกดีกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
“ยังไงเราก็เป็นเพื่อกันแล้ว อย่าคิดมาก” แพรลงความเห็นตาม ผมก็พยักหน้ารับความคิดเห็นจากแพร และตามมาด้วยความความคิดเห็นของคนอื่นตามลำดับ ผมก็พยักหน้ารับเช่นเคย รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง ยิ้มออกมาโดยไม่ปิดกั้น ยิ้มออกมาแบบเต็มใจที่จะยิ้ม อย่างน้อยก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง
การที่ได้มาอยู่ที่นี่ อาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้ ชักเริ่มจะสนุกแล้วสิ
แต่ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ขอให้ได้เจอคนที่ใช่ที่นี่ด้วยนะ ใจยังโหยหา...
TBC...
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ดีๆนะครับ ผมรับฟังทุกความเห็นและจะนำไปปรับปรุงในส่วนที่บกพร่องของเนื้อเรื่อง
อยากจะบอกว่าคำถามในแต่ละคอมเมนต์ มีคำตอบหมดนะครับ บอกไม่ได้ว่าจะอยู่ตอนไหน ไม่ตอนไหนก็ตอนนึงแหละครับ
ติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆแล้วก็จะรู้เอง มันจะมีคำตอบไม่มากก็น้อยที่ซ่อนอยู่ในตอนๆนั้น
อ่านให้ดีๆนะครับ :mew1: :mew1: :mew1:
อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ :3123: :3123: :3123:
เสียงกลองดังสนั่นทั่วอาณาบริเวณตึกคณะแพทย์ สถานที่ที่นักศึกษาปี 1 อย่างผมต้องเข้าร่วมกิจกรรม ขณะที่กำลังเดินกับเพื่อนแก๊งใหม่ พวกเราต่างก็เล่าเรื่องรับน้องที่ได้ยินมาจากหลายๆที่ ทั้งในเว็บ จากรุ่นพี่ หรืออื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังอย่างถ้วนหน้า
พวกนี้มันดูตื่นเต้นมากทีเดียวกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นนับต่อจากนี้ ถึงกลับเก็บอาการไว้ไม่อยู่เชียวล่ะ ผมยืนมองพวกมันที่ตัวสั่นไปทั้งตัวและยื่นมือไปจับแขนพวกมันดู แม่งสั่นไม่หยุดเลย! มันสั่นไปหมด ทั้งท่าทางเก้ๆกังๆ ที่คนเดินผ่านย่อมดูออก เสียงที่เปล่งออกมายังจับผิดสังเกตได้เลยว่า คนๆนั้นกำลังตื่นเต้นกับอะไรสักอย่าง
พอเห็นแบบนั้น ผมก็ยิ้มออกมาและหัวเราะในลำคออย่างปิดไม่มิด ก่อนจะหันหน้าไปอีกฝั่งแทน ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกนางหรอก เพราะผมก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ผ่านจุดนี้มาตั้งนานแล้ว แต่พวกมันนี่สิ! เพิ่งจะเคย แต่ที่เคยผ่านมาแล้วมันคนละคณะ คนละมหา’ลัยนี่หว่า! ผมก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปซะสนิท
คิดได้แค่ว่า ‘การรับน้องของแต่ละคณะ แต่ละมหา’ลัย ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว’ ถึงจะบอกว่าเคยผ่านมาแล้ว แต่ก็เหมือนเรากลับมาจุดเริ่มต้นอีกครั้งแหละ ผมเริ่มชักจะกังวลเข้าแล้วสิ
พวกเราเดินคุยกันมาจนถึงที่ที่รุ่นพี่ให้ลงชื่อรับป้าย ก่อนจะไปเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องทีหลัง พวกเราต่างเกี่ยงกันเพื่อที่จะไม่ได้ลงหน้าๆ และอยู่แถวหน้าสุด
จนกระทั่งเดนมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะรับป้ายห้อยคอ
“เปอร์ มึงก่อนเลย สภาพบุรุษก่อน” อังพูดยอกย้อน ยิ้มให้อย่างมีเล่ห์นัยน์ แล้วพักผมไปข้างหน้า แต่ยังดีที่ผมใช้เท้าหยุดตัวเองไว้ได้ซะก่อน ก่อนที่จะไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะรับป้าย ซึ่งมีรุ่นพี่สองสามคนนั่งรออยู่
“เฮ้ย! ไรวะ” ผมตวาดเสียงดังใส่ด้วยความไม่พอใจ จนทำให้รุ่นพี่ที่นั่งรออยู่ถึงกลับหันมาจ้องเข้าที่ผม “ต้องผู้หญิงก่อนสิ เพราะกูเป็นสภาพบุรุษ”
“แหมๆ” อังเบะปากพร้อมมองตาขวาง “ก็เป็นสภาพบุรุษแค่ข้างนอกล่ะวะ”
“หยุด อย่าพูดมาก” ผมกรอกเสียงแข็งใส่อัง “เพราะงั้นมึงก่อนเลยชาม” เปลี่ยนอารมณ์อย่างเร็วพลางหันมองเพื่อนตัวท้วมข้างๆ
“ไม่ล่ะ ให้ชะนีที่สวยที่สุดในกลุ่มเราก่อนดีกว่าเนอะแพร” ชามเอี้ยวตัวไปสบตาแพรพลางส่งกระซิบให้แพร โดยกระพริบตาข้างเดียวให้ แพรเองก็รู้ทันทีจึงตอบกลับ
“ใช่ๆ คนสวยต้องไปก่อน” แพรออกความคิดเห็นของชามทันทีที่พูดจบ ส่วนเจ้าตัวที่ถูกพูดถึงนั้น ก็แสดงสีหน้า ตกใจออกมาให้เพื่อนสะใจ ทำตัวไม่สุขอยู่แล้ว ยิ่งทวีพูนด้วยความกังวลขึ้นไปอีก เกือบจะร้องไห้ล่ะมั้งที่ถูกเพื่อนแกล้ง
“กูหรอวะ” ทรายชี้นิ้วมาที่ตัวเอง เพื่อนคนอื่นรวมทั้งผมก็พยักหน้าตอบรับ ปฏิกิริยาท่าทางของคนที่ถูกแกล้งไม่มีสีหน้ายินดีเลยสักนิด อยากจะปฏิเสธจะแย่ แต่พอเห็นสายตาเพื่อนๆที่เป็นระยิบระยับมันกลับทำให้เธอถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินไปเซนต์ชื่อรับป้ายจากรุ่นพี่
พวกเพื่อนต่างพากันเซนต์ชื่อรับป้ายแล้วแยกย้ายไปนั่งรอเริ่มกิจกรรมจนหมด เหลือผมเป็นคนสุดท้ายอีกแล้วความสุดท้ายนี่เคยนำหายนะมาให้กูแล้วนะ มึงจะมาอีกหรอวะ ผมก้มลงเขียนชื่อตัวเอง ขณะเดียวกันกับที่รุ่นพี่ที่รออยู่ก็เอ่ยถามขึ้น
“ชื่ออะไรอ่ะเรา” พี่เขาเอ่ยถามอย่างเป็น ในมือก็ถือปากกาพร้อมเขียนชื่อเล่นของรุ่นน้อง
“ชื่อจริงหรือชื่อเล่นอ่ะพี่” ผมถามกลับพร้อมกับจ้องลูกตาสีดำขลับ ใบหน้าที่ขาวสว่างออกไปทางซีดซะมากกว่าราวกับหลอดไฟที่เปิดทำงานอยู่ ผมยืนค้างมองคนตรงหน้าอยู่สักพัก ก่อนที่รุ่นพี่คนนั้นจะเรียกชื่อ แต่ผมกลับไม่ได้สติ พี่เขาเลยดีดนิ้วใกล้ใบหน้าผมเพื่อเรียกสติ
ผมส่ายหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกดีดนิ้ว ไล่ความคิดเมื่อครู่ออกไปจากหัว
‘ไม่ได้ๆ เรามาที่นี่เพื่อเรียนและอย่างอื่นที่ไม่ใช่ความรักใคร่ เพราะฉะนั้นจะไม่รักใครง่ายๆเด็ดขาด’
และส่ายหน้าอีกรอบเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา
“ชื่อเล่นดิวะ” พี่เขาเอ่ยสักพัก ก่อนจะถามขึ้นอีก “แล้วนี่มึงชื่ออะไร”
“ชื่อเปอร์ครับ” ผมตอบกลับอย่างเกร็งๆ พลางก้มหน้าไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า หลังจากนั้นพี่เขาก็ก้มหน้าลงเขียนชื่อผม
จากนั้นก็รอให้พี่เขาเขียนชื่อบนป้ายให้ ผมก็รอทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่แบบนั้น จนกระทั่งพี่เขาส่งป้ายชื่อให้ จึงเงยหน้าและรับป้ายไปดูก่อนจะห้อยคอ ผมอึ้งค้างไป จ้องมองป้ายชื่อเขม็งพลางหน้าเงยสบตากับใบหน้าของพี่เขาไปพลาง มองป้ายชื่อไปพลางด้วยความสงสัย ก่อนจะชูป้ายชื่อให้พี่เขาดูแล้วเอ่ยถาม
“เฮ้ยพี่” ผมอุทานออกมา ทำให้คนตรงหน้าละสายตาจากโทรศัพท์มามองผมในทันทีที่เรียก “พี่เขียนชื่อผมผิดอ่ะ” ชี้ไปยังชื่อที่เขียนบนป้ายให้พี่เขาดู
“ผิดตรงไหนวะ” พี่เขาถามกลับอย่างหัวเสียที่รบกวนการเล่นเกมแข่งขัน
“ก็ตรงนี้อ่ะ” ผมเอ่ยพลางชี้ไปยังตัววรรณยุกต์ที่อยู่บนป.ปลา ก่อนจะทำสีหน้าบ่งบอกว่าไม่ถูก
“ไม่ถูกยังไง” ความอดทนของพี่เขากำลังจะหมดสิ้น “ไหนบอกมาดิ๊” พี่เขาเสียงสูงที่คำลงท้ายอย่างหัวเสีย
“ก็ชื่อผมอ่ะ มันไม่มีไม้โท แต่จะมี ร.เรือและตัวการันต์จะอยู่บน ร.เรือด้วย”
“ก็ถูกแล้วไง”
“ไม่ถูกดิพี่”
“ที่กูบอกว่าถูกอ่ะ” พี่เขาเว้นวรรคประโยคก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “ชื่อมึงจะได้ไม่ไปซ้ำกับอีกคนไง”
“ห๊ะ! ว่าไงนะพี่ ผมไม่เข้าใจที่พี่พูด” ผมงงกับคำพูดของอีกคน ในสมองคิดแต่ว่า ‘มีคนชื่อเหมือนกูด้วยหรอ’
“ก็ปีนี้มีคนชื่อคล้ายมึงอยู่คนหนึ่ง เพราะงั้นกูก็เลยเขียนให้มันแตกต่างกันไง จะได้ไม่ซ้ำและคนอื่นเขาจะได้ไม่สับสน” พี่เขาอธิบายยาวเหยียดให้เข้าใจทั้งเหตุและผลทั้งมวล แต่ยังไงล่ะ! ผมไม่สนอยู่แล้ว จะเถียงจนกว่าจะชนะเลยคอยดู
“จะยังไงก็ช่าง แต่พี่ต้องเขียนป้ายใหม่ให้ผม” ผมยืนกรานกับคำพูดอย่างหนักแน่น บ่งบอกว่าจะไม่ยอมแพ้
“เรื่องมากจังวะ” พี่เขาบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะหันไปหยิบป้ายอันใหม่ในกล่อง แล้วบรรจงเขียนชื่อผมลง
“...”
“อ๊ะ” พี่เขาเอ่ยพร้อมกับส่งป้ายชื่อมาให้ผมแล้วเอ่ยเตือนอีกครั้ง “หวังว่ากูจะไม่ได้เขียนแผ่นที่ 3 อีกนะ” คนตรงหน้าพูดอย่างเหลือทนราวกับว่าในใจกำลังบ่นผมอยู่
“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้และรับป้ายชื่อมาห้อยหอ ถึงผมจะกวนตีนหรือขึ้นเสียงกับพี่เขาบ้าง แต่ผมก็ยังคงมีสามัญสำนึก แยกแยะว่าใครคือใคร ใครคือเพื่อน ใครคือรุ่นพี่ ใครคือคนที่เราควรจะเคารพนับถือ
ทันใดนั้นผมกลับจามออกมาและใช้นิ้วชี้ถูจมูกทันที ก็ว่า ‘ทำไมถึงรู้สึกคันจมูกเหมือนจะจามพักหนึ่งแล้ววะ’ ไม่ต้องคิกให้มากเรื่องว่าใครกำลังนินทาผม ผมว่าไอ้รุ่นพี่ตรงหน้านี่แหละที่กำลังนินทาผมอยู่
พอคิดได้แบบนั้น ผมก็จ้องมองไปหาคนคนที่อยู่ตรงหน้าทันทีและเอ่ยถาม
“เมื่อกี้ พี่นินทาผมใช่มั้ย” สายตาจริงจังของผมถูกส่งไปยังคนตรงหน้าที่นั่งเล่นเกมอยู่รอมร่อ พี่เขาไม่สนใจและทำเป็นหลบสายตา ทำหน้าเบื่อหน่ายเอื่อมระอากับตัวผม
“อะไรของมึง” พี่เขาถามอย่างเหลือทน ทำตัวแบบไม่มีเกิดขึ้น ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ว่า ไม่รู้สึกผิดด้วยซ้ำ “พูดดีๆ หน่อย กูเป็นรุ่นพี่มึงนะโว้ย หัดเคารพกันบ้างดิวะ” อ๊ะ! จริงจังกับเขาก็เป็นด้วย
“ขอโทษครับ” หงอยเลยกู นึกว่าจะให้อีกฝ่ายยอมรับสักหน่อย
เซ็งเลย!
“เออๆ” พี่มันตอบรับแบบส่งๆ “นี่มึงจะไม่เข้าร่วมรับน้องกับพวกนั้นหรอวะ มันใกล้ถึงเวลาแล้วนะโว๊ย” คนตรงหน้าพูดพลางใช้ปากกาสีน้ำเงินชี้ไปยังนาฬิกาข้อมือของเจ้าตัว ทำให้ผมก้มลงมองสนใจนาฬิกาข้อมือของตัวเองฉับพลัน
“เหี้ย!!!” อุทานออกมาเสียงดัง ตกใจกับเวลาที่เห็น จนรุ่นพี่สองคนที่อยู่บริเวณนี้ตกใจไปตามๆกัน ไอ้พี่คนนั้นก็หัวเราะในลำคอ แสยะยิ้มสะใจที่หายนะจะมาหาผม
ผมมองไปยังนาฬิกาข้อมืออีกที เพื่อเช็คให้แน่ใจ เผื่อว่าตัวเองจะดูผิดไป แต่ก็เป็นแค่ความหวังที่ไม่เป็นจริง เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีก 3 นาที แม่งเล่นกูเข้าแล้ว!
“ไปก่อนนะพี่” พูดจบผมก็หันหลังขวับ ก่อนจะตั้งท่าวิ่งใส่เกียร์หมาไปยังจุดรวมพล
พี่เขาก็ตอบกลับแค่ว่า “เออๆรีบไปเลยมึง” แต่ผมก็ไม่ได้ยินหรอก เพราะวิ่งมาไกลมากแล้วเกินกว่าจะได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหลังที่ไล่ตามมาจากที่เซนต์ชื่อรับป้าย
**************************************************************************************************************************
ณ ใต้ถุนของคณะแพทย์
ผู้ชายตัวบางที่สูงไม่ถึง 175 ซม. กำลังวิ่งอย่างหอบแดดไปตามรุ่นพี่นัด ซึ่งนั่นก็คือ ผมเอง! พอวิ่งมาถึงที่รุ่นพี่นัดก็เห็นเพื่อนๆทั้งคณะ ต่างก็หันมาดูผมกันราวกับเป็นตัวประหลาด จะไม่หันมาดูก็ไม่ใช่คนแล้วล่ะ เพราะทันทีที่ผมวิ่งเข้าบริเวณนี้ เสียงรองเท้ามันก็ดังก้องจนทำให้คนที่อยู่บริเวณนี้หันมองต้นเสียง
พอถึงหลังแถวสุดท้าย ผมจึงหยุดวิ่งพร้อมกับก้มหน้าเหนื่อยแฮ็กๆ แขนทั้ง 2 ข้างก็กำลังชันอยู่บนหัวเข่า เพื่อพยุงร่างกายไว้ไม่ให้ล้มไปข้างหน้า เหงื่อก็เริ่มผุดออกมาทีละเล็กทีละน้อย ผมจึงใช้หลังมือปาดเหงื่อ เดินไปต่อแถว แล้วนั่งลง
พักหายเหนื่อยได้ยังไม่หายดีเท่าไหร่ แพรหันมาถามทันที
“มึงไปทำอะไรมา” แพรถาม
“มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ” ตอบกลับแบบเสียงที่พอเปล่งออกมาได้ ก็มันยังไม่หายเหนื่อยนิ!
"มึงไปหาเรื่องใครมาล่ะ"
"คนละเรื่องแล้วมั้ย"
“อะไรล่ะ” แพรขมวดคิ้วอย่างอยากรู้
“กูเถียงกับพี่คนหนึ่งอยู่อ่ะ ก็เลยทำให้มาสายน่ะ”
“พี่คนไหนวะ”
“ก็ไอ้พี่ที่หน้าตาดีๆ ที่เขียนชื่อให้พวกมึงนั่นแหละ” พอพูดถึงพี่คนนั้น มันทำให้ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
“อ๋อออออ” เสียงหลงเลยสิมึง “แต่ว่ากู ยังไม่สายนะ” เอ๊ะ! ทำไมมันพูดแบบนี้วะ
“ไม่สายเหี้ยไร มึงก็ดูเวลาสิ” ผมพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือให้เพื่อนดู ที่บ่งบอกว่าตอนนี้เลยเวลามาแล้ว 5 นาที
แต่ทำไมมันแปลกๆวะ ทั้งที่ถึงเวลาเริ่มรับน้องแล้วแท้ๆ ทำไมพี่เขายังไม่เริ่มงานอีก
“กูว่าคำๆนั้น กูควรเป็นคนพูดนะ มึงก็ดูดิ” แพรพูดพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือของตัวเองให้ดู
“ทำไมวะ”
“ก็ดูนี่สิ ยังไม่ถึงเวลานัดเลย เหลืออีกตั้ง 10 นาทีแหนะ มึงดูเวลาผิดหรือเปล่าวะ” แพรชี้ไปยังนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง
“จริงหรอวะ” ผมถามมันอย่างสงสัย แต่อาจจะจริงของมัน
“เออ...” ผมอ้าปากค้างไปกับสิ่งที่พูดเมื่อครู่ “กูลืมไปว่า กูตั้งเวลาเกินกว่าเวลาจริง 15 นาทีว่ะ” เกาหัวอย่างอายๆ หน้าแหกเลยกู แตกไปเท่าไหร่แล้ว จะซ่อมได้ไหมเนี่ย!
10 นาทีต่อจากนั้นไม่มีบทสนทนาใดๆ ให้ได้ยินจากเด็กปี 1 เพราะตอนนี้เริ่มเข้ากิจกรรมรับน้องแล้ว
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย อาจจะมีลำบากรุ่นน้องบ้างเป็นบางฐาน แต่ปี 1 ก็สู้ไม่ถอย มันก็เหมือนๆการรับน้องผ่านๆมา แต่จะว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือนนะ เอ๊ะ! มันยังไงกันแน่ ส่วนเด็กปี 1 ดูท่าจะสนุกสนานไปนะ ก็ตามประสาคนไม่เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มานั่นแหละ แต่ก็ถือว่าไม่สนุกสักทีเดียว จะบอกยังไงดีล่ะ มันครึ่งๆกลางๆ เพราะผมพอจะรู้มาคร่าวๆแล้ว ก็เลยสนุกไม่เต็มที่ อย่าไปบอกรุ่นพี่เชียวนะ เดี๋ยวจะหมดกำลังใจเอาเปล่าๆ แถมไม่รู้จะถูกบ่นให้หูชาหรือเปล่า ถ้าไอ้พี่คนนั้นเกิดรู้เข้า
ความสนุกตอนรับน้องมันหาจากที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว เป็นสิ่งที่น่าจดจำไปตลอดการเป็นเฟรชชี่ การยิ้มและสนุกไปกับเพื่อนๆ พี่ๆ มันทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก
แต่สิ่งที่เด็กปี 1 ยังไม่รู้ก็คือ....ผลลัพธ์ที่ร่างกายจะได้รับจากการรับน้อง สนุกก็สนุกอยู่หรอก แต่...
************************************************************************************************************************
ณ ลานจอดข้างๆตึกคณะแพทย์
ตอนนี้ผมกำลังพาร่างอันใกล้จะพังกลับหอพักอย่างจี๋ ที่เกิดจากการรับน้องมาหมาดๆ ทั้งที่ยังไม่หายเหนื่อยด้วยซ้ำ ถ้าไม่พาร่างตัวเองกลับ ก็คงนอนมันที่นี่แหละ แต่ก็ทำแบบนั้นไม่นั้นไม่ได้ ไม่อาบน้ำไม่ได้ ไม่กินข้าวไม่ได้ เพราะร่างกายนี้จะไม่ใช่คนอีกต่อไป
บรรยากาศตอนนี้ช่างน่าสลบไสลบนเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดที่อยูในห้องให้ดอมดม ทำให้ผมคิดอยากจะไปให้ถึงห้องเร็วๆ จังเลย แต่ร่างกายอันเหนื่อยหอบจะไปถึงหอตอนไหนล่ะ อีกอย่างตอนนี้กูยังบนลานจอดรถอยู่เลย T-T แถมยังไม่มีวี่แววแม้แต่เสียงคนเสียอีก ถ้าไม่มีเสียงก็ไม่มีตัวตนให้เห็นหรอก นอกจากจะเป็น...
อยากจะร้องไห้ จะเอายังไงดีวะ ถึงจะเอาร่างนี้กลับหอได้โดยที่เราไม่ต้องขยับเขยื้อนร่างกาย สิ่งที่พอคิดได้ตอนนี้ก็คือ พลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนี่แหละ การจะไปให้ถึงหอก็ต้องใช้พลังอยู่พอสมควร แต่พลังกับร่างกายก็ต้องสัมพันธ์กันด้วย ต้องไม่เหนื่อยล้าจากอะไรก็ตามแต่ เพราะมันจะทำให้จุดหมายปลายทางเปลี่ยนไป จากที่เป็นหอพักอาจจะเป็นที่อื่น และมีความเป็นไปได้ที่คนอื่นจะเห็นผมใช้พลัง ซึ่งผมก็ไม่ต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วย
จากที่คิดอยู่นานพอดู ผมจึงไม่คิดจะทำอย่างที่ว่านั้น ทางเลือกที่ 2 คือขับรถกลับหอ แต่ก็ยังปัญหาอยู่พอสมควรแค่จะขับรถก็ลำบากพอแล้ว นี่ยังไม่รู้ว่าจะขับถึงหอหรือเปล่า ถ้าให้ขับรถกลับหอในสภาพนี้ มีหวังเกิดอุบัติเหตุแน่ๆเลือกที่จะไปขึ้นรถเมย์แทนดีกว่า
พอความคิดที่ 2 มาเข้าท่า ผมจึงคิดจะกลับหอด้วยทางเลือกที่ 3 แทน นั่นก็คือ รถเมย์หรือแท็กซี่ ปลอดภัยสบายใจหายห่วง แต่อาจจะไม่ได้นั่ง หรืออาจจะเหนื่อยมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ยังไงก็ไปถึงหออยู่ดีล่ะวะ คงต้องปล่อยรถแม่งไว้ตรงนี้ล่ะมั้ง พรุ่งนี้ค่อยมาเอาอีกที
คิดได้แบบนั้น ผมจึงละความพยายามที่จะเอารถกลับ แล้วมองรถอย่างมองลูก ‘รอพ่ออยู่นี่นะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อมารับนะ แค่คืนเดียวเอง หวังว่าลูกจะรอได้นะครับ’ ใบหน้าผมแนบลงกับรถพร้อมกับลูบคลำรถอย่างอาลัยอาวรณ์ ของขวัญชิ้นนี้ผมรักดั่งชีวิต แล้วก็เดินจากไปจากที่จอดรถของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันที่ผมจะสายตาแล้วเดินจากรถไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลังของผม
“นาย นาย” เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นเป็นเสียงผู้ชาย พาให้คนที่ได้ยินอย่างผมหันหลังกลับไปหาเจ้าของเสียงนั้นทันที
สิ่งที่เห็นตอนพลบค่ำ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงกลางคืน เป็นชายร่างสูง คำนวณจากทางสายตาที่เห็น น่าจะสูงกว่าประมาณ 10 กว่าซม. พร้อมกับชุดที่มีร่องรอยจากการรับน้องมาหมาดๆ ตาสีนิลคมที่ถ้าเกิดใครได้สบตาเข้า คนๆนั้นเป็นอันต้องนิ่งค้างกับความหล่อเหลานั้น ราวกับว่าโดนมนตร์สะกดให้ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ จมูกโด่งที่ลับเข้ากับใบหน้าทำให้องค์ประกอบโดยรวมมันช่างเข้ากันได้อย่างลงตัวเหลือเกิน ผิวขาวที่ตอนพลบค่ำไม่ได้ส่งผลให้ออร่าที่ถูกเปล่งออกมา ดับตามบรรยากาศเลยสักนิด
ผมชะงักนิ่งค้างไปกับร่างที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่สักพัก ลองพิจารณาร่างสูงนั้นอีกครั้ง นี่มันอะไรกันวะ หล่อสัดๆ หล่อแบบก็บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้เลย ช่างเป็นบุญตาที่คนระดับกูได้เห็นมากเลยจริงๆ และในสภาพที่หล่อเหลาเช่นนี้
ถ้ามาเปรียบเทียบกับกูในสภาพที่เป็นอยู่แบบนี้ล่ะก็ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ตามธรรมชาติกับคุณชายแหงๆ ยิ่งเป็นสภาพที่ไม่มีใครรู้ด้วยว่า จริงๆแล้ว หน้าค่าตาผมที่แท้จริงเป็นยังไง
“นาย นาย” ร่างสูงเรียกผมอีกครั้ง ครั้งนี้มันทำให้ผมได้สติหลุดจากภวังค์ที่ถูสะกดด้วยสายตาคู่นั้น ผมเรียกสติโดยการตบเข้าที่ใบหน้าตัวเองไปหลายครั้ง (แต่ไม่ได้แรงแบบที่ผู้หญิงตบกันแย่งผู้ชายนะ แค่เบาๆ) แล้วมองไปสบตากับดวงตาคู่คมอีกครั้ง ทั้งที่ในตอนแรกร่างสูงยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ แต่บัดนี้กลับเข้ามาใกล้จนไม่ถึง 2 ก้าวด้วยซ้ำ
“ห๊ะ! ห๊ะ! มีอะไรหรือเปล่า” ผมยังมีสีหน้าตื่นๆที่เพิ่งหลุดจากภวังค์ ต้องพูดสุภาพด้วยละ เดี๋ยวภาพพจน์กูเสียหมด
“เอ่อ...” เจ้าของเสียงอ้ำอึ้งไปกับเสียงที่ถูกเปล่งออกมาเมื่อครู่ของผม ก่อนจะเอ่ยถาม “ มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า” ยังไม่ได้รับคำตอบ อีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกคำถามในเวลาต่อมา เจ้าตัวอมยิ้มกับคำพูดอย่างเต็มใจที่จะช่วย “หรือว่ารถเป็นอะไรหรือเปล่า ให้ช่วยดูให้มั้ย”
เขาถามด้วยความหวังดี ก่อนที่จะเดินไปดูรถที่ผมเพิ่งจากมาไม่กี่ก้าว
อ้าว! สรุปมาดูรถไม่ได้มาดูกู ห่วงรถแต่ไม่ได้ห่วงกูว่างั้น เจ็บจี๊ดไปถึงขั้วใจเลยว่ะ เวลาถูกเมิน
จากนั้นผมจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังดูสภาพภายนอกของรถให้
“อ๋อ” ผมตอบกลับเสียงหลง ยิ่งบวกกับหน้าตาตอนนี้ช่างเหมาะเจาะลงตัวจริงๆ ผีบ้าแหละ! “รภเราไม่ได้เป็นอะไรหรอก เราแค่ไม่มีแรงพอที่จะขับมันกลับหอก็เท่านั้นเอง” ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้าจากการรับน้องมาทั้งวัน
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” เขาพยักหน้าพึมพำกับตัวเองพลางใช้มือเกาศีรษะแก้เขิน “งั้นให้เราไปส่งที่หอให้เอามั้ย ว่าแต่นายอยู่หอในหรือหอนอก” พอได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า มันก็ทำให้ผมคิดไม่ตกทันที
จะเอายังไงดีวะ ถ้าให้เขาไปส่งมันก็ดีอยู่หรอก กูก็ไม่ต้องขึ้นรถเมย์หรือแท็กซี่ให้เหนื่อยไปมากกว่านี้ แต่เขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่รู้ว่าที่เขาเข้ามาหาเรามีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า จะมาดีหรือชั่วก็ยังไม่รู้แน่ชัด ยิ่งมาตอนพลบค่ำด้วย ทุกอย่างมันลงตัวเหมือนเห็นในข่าวสัปดาห์ที่แล้วอีก ความกลัวเริ่มครอบงำและชักนำผมเข้าแล้ว แต่จะให้เราไว้ใจเขาเลยก็ไม่ใช่ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยด้วยซ้ำ เพิ่งเจอกันครั้งแรกอีก
ว่าแต่ใครจะกล้าทำผมอย่างที่ว่าวะ ถึงจะไม่มีทักษะป้องกันตัว ก็พอมีพลังให้อุ่นใจบ้างนะ แต่ร่างกายตอนนี้มันกลับไม่มีแรงพอที่จะทำแบบนั้นหรอก ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากจะทำให้มันเกิดขึ้น
หน้าตาอย่างเขาคงไม่มีพิษมีภัยหรอกมั้งเนอะ!
ไม่ใช่อะไรหรอกนะ! กูอยากกลับหอ! กูเหนื่อย! กูอยากจะแย่อยู่แล้ว! หน้าตาดีแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไปนิ จริงมั๊ย เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ผมเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ต้องการพักและแช่น้ำอุ่นๆ ให้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ต้องการให้หัวถึงหมอนให้เร็วที่สุด
“รบกวนด้วยนะ” ผมเอ่ยพร้อมกับโค้งศีรษะเล็กน้อยตามประสาคนที่เคยเรียนเกี่ยวกับญี่ปุ่นมา เขาก็พยักหน้ารับ แล้วเดินนำผมไปที่รถตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกลจากที่จอดรถของผมเท่าไหร่นัก
ใช้เวลาไม่นาน ผมก็ไปยืนอยู่ตรงหน้ารถของคนแปลกหน้านั้น มันดูสะอาดเอี่ยมเหมือนเจ้ารถไม่มีผิด พอเขาปลดล็อครถ ผมจึงถือวิสาสะขึ้นรถเขาทันที ก่อนเจ้าของรถจะขึ้นรถด้วยซ้ำ ก็มันเหนื่อยนิ จะได้นั่งเบาะนุ่มๆสักที ใครจะอดใจไหวล่ะ พอเขาเห็นที่ผมทำ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากเดินไปอีกฝั่งของคนขับในนาทีต่อมาพลางหันหน้ามองผมพร้อมกับขยับปากพูดอะไรบางอย่าง เหมือนจะพูดอะไรกับผม แต่แย่ที่ผมไม่ได้ยินเพราะเหนื่อยเกินกกว่าจะรับฟังคนข้างๆ จึงทำเป็นไม่สนใจอะไรเพราะพร้อมที่จะหลับอย่างเดียว จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา แต่ผมก็ยังพยายามถามคนข้างๆ
“เมื่อกี้ นายพูดอะไรนะ” ผมถามอย่างสงสัย เพราะเมื่อครู่ไม่ได้ยินที่เขาพูดจริงๆ
“คือเราจะถามว่า นายอยู่หอไหน หอนอกหรือหอใน” เจ้าตัวรอคำตอบอย่างใจเย็น
“อ๋อ...เราอยู่หอนอกน่ะ หอxxx นายพอจะรู้อยู่ใช่มั๊ย”
“รู้จักดิ หอแถวนี้เรารู้จักหมดแหละ”
“จริงดิ งั้นเราขอนอนก่อนนะ ถ้าถึงหอเมื่อไหร่ ก็บอกด้วยแล้วกัน” พูดจบผมก็ดึงเข็ดขัดนิรภัยมากลัดเข้าที่ตัวรับข้างๆเบาะ จากนั้นก็หันไปมองบรรยากาศข้างนอกอีกฝั่งของประตู
“อะเครครับ หลับตามสบายเลย” พูดจบประโยค จากที่ผมบอกกล่าวคนข้างๆไป เขาก็สตาร์ทเครื่องยนต์และขับออกไปยังจุดหมายปลายทางที่ผมบอกเมื่อครู่
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินจากร่างสูง ก่อนที่ผมจะเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อย ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่หลับไป จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงลมร้อนๆที่ตีเข้าปะทะกับแก้มบางๆ ผมค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นแล้วมองไปยังด้านข้าง ก็ปรากฏชายร่างสูงที่ตั้งใจขับรถมาส่ง และก็อมยิ้มให้เล็กน้อย
“ถึงแล้วนะ จะลงเลยมั๊ย”
“อื้อ อื้อ” ผมตอบกลับเสียงครางเพราะตัวเองเพิ่งตื่น อาจจะงัวเงียเล็กน้อย
“โชคดีนะ” เขาเอ่ยอวยพรอย่างห่วงใย
“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรไป แต่กลับส่งยิ้มที่เหนื่อยล้าไปแทน เพื่อเป็นการขอบคุณที่มาส่ง เหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร เขาก็ส่งยิ้มกลับมาให้ รอยยิ้มที่ทำให้ผมมีแรงขึ้นมานิดๆ
จากนั้นจึงลุกจากที่นั่งแล้วเปิดประตูก้าวลงรถ เพื่อจะเดินเข้าหอพัก แต่ในระหว่างที่จะปิดประตูรถ ก็ได้ยินเสียงจากร่างสูง
“เอ่อ...” เขาอ้ำอึ้งอยู่กับคำพูด ก่อนจะพูดประโยคต่อจากนั้น “นายชื่ออะไร เราชื่อเน็ทนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาพูดแนะนำชื่ออย่างเป็นมิตร
คงต้องตอบกลับสินะ ผู้มีพระคุณนิ
ผมหันกลับไปมองที่ต้นเสียงและแนะนำตัวเอง “เราชื่อเปอร์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” พูดจบผมก็เอี้ยวตัวหันหลังกลับเดินเข้าหอ แต่พอหันกลับไปมองข้างหลังอีกที ก็ไม่เห็นรถที่นั่งมาเมื่อครู่จอดอยู่ตรงนั้นแล้ว จากนั้นจึงเดินกลับเข้าหอไป
ในระหว่างทางที่รอลิฟต์ในชั้นที่ 1 ผมกลับคิดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในรถ ใช้มือจับแก้มตัวเองที่ตอนที่อยู่บนรถรู้สึกถึงลนร้อนๆ จากการหายใจออกรดใบหน้า มันทำให้รู้สึกสัมผัสถึงความอ่อนโยนอันแสนอบอุ่นจากคนที่เรารักมากจริงๆ
มันช่างดีเหลือเกิน
ยืนคิดอยู่พักนึง ประตูลิฟต์ก็เปิดและมีเสียงให้ได้ยิน มันดึงสติผมให้กลับจากความรู้สึกอิ่มเอมใจ ผมยิ้มและสลัดความคิดเมื่อครู่ทิ้งไป ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าลิฟต์และรอให้ถึงชั้นที่ห้องตัวเองที่อยากจะพักเต็มแก่แล้ว
‘เมื่อกี้คงจะเป็นความฝันสินะ! ว่าแล้วเชียว คนอย่างเราน่ะหรอ จะมีคนมาชอบ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก แค่ทำดีกับเราก็เกินพอแล้วล่ะ ดูก็รู้ว่าเขาชอบผู้หญิง เข้าข้างตัวเองเกือบจะจมน้ำแล้วไหมล่ะ ’
อยากมีแต่ไม่อยากเจ็บ
ถึงจะเป็นแค่ความฝัน แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกยิ้มออกมาได้อย่างไม่ปิดบังอยู่บ้างนะ
TBC....
ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากครับ พวกเรากินข้าวเสร็จ ก็ออกจากโรงอาหารแล้วไปห้องที่สอนคลาสเคมีในตอนบ่าย การเรียนในห้องก็เหมือนเดิม กินข้าวมาอิ่มๆ หนังตาก็เริ่มหย่อน จะหลับไม่หลับแหล่อยู่แล้ว แต่พวกนั้นนี่สิ หลับๆตื่นๆ จนผมสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เมื่อคืนพวกมันไม่ได้นอนกันมาหรือไง
หลังจากเรียนเสร็จผมก็แวะเข้าห้องน้ำไปปลดทุกข์ เพราะข้าวเมื่อตอนกลางวันทำพิษ ก็เลยบอกให้เพื่อนที่เหลือไปรอที่รอรถ
ในขณะที่เดินไปโรงรถข้างอาคารเรียนรวม ทั้งเดินและเล่นโทรศัพท์ไปด้วยตามระเบียงทางเดิน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กระทบด้วยความเร่งรีบจากทางด้านหลัง ผมจึงขยับไปด้านข้างเพื่อให้คนที่รีบๆนั้น วิ่งได้สะดวก แต่มันก็เป็นอย่างที่ผมคิด
ผลั่ก!
ผมเซล้มไปด้านข้างจากการถูกวิ่งชนไหล่ของบุคคลปริศนา ยังดีที่มือก็ควานหาสิ่งที่พอยึดเกาะได้ ไม่งั้นอาจจะตกลงไปข้างล่างแล้วก็ได้ และต้องขอบคุณความโชคดีที่ยังมีราวเหล็กจากระเบียงให้ยึดเกาะ คนๆนั้นมันชนแรงมาก จนผมไม่คิดว่าเป็นแค่ความบังเอิญ แต่นี่มันตั้งใจชนกันชัดๆ
ผมที่นั่งอยู่บนพื้นจากการ ล้มเมื่อครู่ หันไปหาพวกที่ชนอย่างหาเรื่อง แต่ที่ผมเห็นเป็นชายร่างสูง หน้าตาดีมีสกุลทั้งสามคนยืนจ้องมองมาที่ผมอย่างสะใจ ดูแว๊บแรกก็รู้แล้วว่าพวกนี้ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ผมสลับมองพวกมันทีละคน เผื่อหนึ่งในนั้นจะเป็นคนที่ผมเคยไปหาเรื่อง แต่อย่างผมนี่นะจะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถ้าไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มก่อน
ในใจก็คิดอยู่เพียงว่า ‘กูไปทำอะไรให้แม่งวะ’
ในขณะที่ผมจะชันตัวขึ้น พวกมันคนหนึ่งก็เข้ามาผลักผมให้นั่งลงกับพื้นเหมือนเดิม ตัวผมก็ล้มไปตามแรงผลักนั้นอย่างขัดขืนไม่ได้ แล้วก็ไปกระแทกกับราวระเบียงเหล็ก เจ็บจนอุทานออกมา
“โอ๊ย” เสียงอุทานนั้นถูกเปล่งออกจากปากผมด้วยความเจ็บ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นไปสบตาพวกมัน “กูไปทำอะไรให้มึงวะ ทำไมมาทำกับกูแบบนี้” ผมถามมันไปเพราะอยากรู้เหตุผลของพวกมันจริงๆ
“ก็กูไม่ชอบขี้หน้ามึง มีปัญหามั๊ย” ไอ้คนคนกลางตอบอย่างหาเรื่อง กวนตีนมาก แค่ไม่ชอบหน้ากูแค่นี้ ถึงขนาดต้องทำแบบนี้เลยหรอวะ
“แค่ไม่ชอบ เห็นแล้วมันคันตีน อยากเตะคน รู้สึกขยะแขยงหน้าตามึงไง” ไอ้คนกลางแถยาวโดยเน้นที่ประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เหตุผลแค่นี้ พอมั้ย” พูดจบมันก็เข้ามาผลักหน้าผากให้ล้มไปข้างหลังและมันก็โขลกเข้ากับราวระเบียงเหล็กอีกรอบ
คำตอบที่ได้จากไอ้คนกลางทำให้ตัวผมในตอนนี้ รู้สึกโกรธจนแสดงออกทางสีหน้า มือข้างหนึ่งก็กุมกำปั้นพร้อมกับกัดฟันเสียงกรอดๆ อยากจะลุกขึ้นไปต่อยไอ้คนกลางอย่างเอาเป็นเอาตาย
เกลียดการกระทำและเหตุผลของพวกมันที่สุด
“อะไรวะ แค่นี้ก็ของขึ้นแล้วหรอวะ” คนที่ยืนข้างขวาพูดขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้ม
“จัดการแม่งเลยมั๊ย” คนที่ยืนอยู่ข้างซ้ายออกความคิดเห็นพร้อมกับโชว์หักนิ้วให้ผมได้เห็นตรงหน้า และพร้อมที่จะมีเรื่องทุกเวลา “กูไม่ถูกชะตากับแม่งตั้งแต่แรกแล้วว่ะ” พอไอ้คนด้านขวาพูดจบ ด้านข้าวทั้งสองกูมุ่งหน้าเข้ามาพร้อมที่จะต่อยผม แต่กลับถูกไอ้คนกลางขวางเอาไว้ซะก่อนด้วยแขนทั้งสองที่กางออก ทั้งสองคนหยุดชะงักและหันมองหัวหน้าแก๊งที่ห้ามตัวเองไว้อย่างสงสัย
“มึงจะห้ามกูทำไมวะ” คนขวาเอ่ยถาม
“นั่นดิ”คนซ้ายเอ่ยเสริม
“มึงก็ดูสภาพมันดิ ถ้าเรารุมกระทืบมันจริงๆ มึงคิดว่าจะรอดหรอวะ” คนกลางตอบพลางหันหน้ามาที่ผม แล้วทั้งสองที่เหลือก็หันตาม “และกูไม่อยากเป็นฆาตกร กลัวเสนียดติดตีนด้วยว่ะ” คนตรงหน้าทั้งสองมองผมอย่างน่าสมเพช
“ที่มึงพูดก็มีส่วนถูก กูเห็นด้วย” คนขวาเห็นด้วยกับที่คนกลางพูด
“แล้วจะทำไงกับมันดีวะ” คนทางซ้ายเอ่ยถาม “รีบคิดเร็วๆนะมึง ก่อนที่กูจะได้อักมันซะก่อน” ไอ้นี่! ถ้ามึงอยากจะต่อยกูนัก มึงก็เอาเลยสิ
อย่าคิดว่ากูจะกลัว
“กูว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า” พอไอ้คนกลางพูดจบ มันก็ยื่นไปหยิบกาแฟเย็นในมือจากคนข้างซ้าย ก่อนจะสาดมายังใบหน้าของผม
ใบหน้าผมตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำกาแฟจากคนตรงหน้า น้ำที่ไหลจากใบหน้า เส้นผม ค่อยๆ หยดลงมายังเสื้อนักศึกษา สีของกาแฟค่อยๆซึมเข้าเสื้อ จนตอนนี้เสื้อนักศึกษาสีขาวไม่เหลือความสว่างให้เห็นอีกต่อไป เสื้อสีน้ำตาลคงจะเข้ามาแทนที่เสื้อสีขาวแล้วล่ะ
ผมรู้สึกโกรธเอามากๆ อยากจะลุกขึ้นไปต่อยพวนนั้นอย่างที่สุด แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น ไม่รู้ว่าเวลาที่ตัวเองโกรธจัดแล้วจะคุมสติอยู่หรือเปล่า กลัวอย่างเดียวคือสิ่งที่ผมพยายามปิดซ่อนมันจะออกมาให้คนพวกนี้เห็น
พอคิดได้แบบนั้น ผมจึงสงบสติอารมณ์ ไม่ให้มันพาไปหายนะจะอาจจะเกิดขึ้น ปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไปเหมือนอย่างที่มันจะเป็นดีกว่า ไม่งั้นก็ไม่จบไม่สิ้นกันพอดี ถ้าเกิดเราทำอย่างที่ว่า เรื่องก็ไม่หยุดแค่นี้แน่นอน
ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ ‘เมื่อมีเรื่องในตอนแรก เรื่องต่อจากนั้นก็จะเข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่จบไม่สิ้น ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่หยุด’
เห็นใบหน้าที่แสยะยิ้มของทั้งสามคน คงจะสะใจพวกมึงมากสินะ ที่ทำกับกูแบบนี้
จากนั้นก่อนที่พวกมันทั้งสามจะเดินจากไป ไอ้คนกลางมันก็ทิ้งแก้วน้ำลงกระทบหัวของผม มันกระเด้งลงพื้นพร้อมกับหลอดดูดก่อนจะนิ่งไป มองดูสภาพตัวเองแล้วรู้สึกเจ็บใจอย่างที่สุด ผมทุบกำปั้นลงพื้นอย่างขาดสติ เลือกที่จะระบายทุกสิ่งอย่างที่เผชิญมาบนพื้น แต่ก็ไม่ใช่ขาดสติแบบที่ไม่รู้อะไร เพราะมันยังเหลือบางส่วนที่คุมสติไว้ไม่ให้พลังนั้นเล็ดลอดออกมา ไม่งั้นทางเดินนี้ได้แหลกเป็นฝุ่นผงแน่
นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันที เพราะกลัวในพลังตัวเองน่ะหรอ...
ผมนั่งโทษตัวเองที่กำลังจะกลับไปเป็นคนอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง ใบหน้าที่มีแต่น้ำหวาน ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลรินจากหัวตาและหางตามาสู่คาง แล้วหยดลงบนเสื้อที่เปื้อนไปด้วยสีของกาแฟ จนซึมซับเข้าเป็นเนื้อเดียวกันอย่างหยุดไม่ได้
สบถด่าตัวเองอยู่หลายรอบ จนเกือบจะจมไปกับความรู้สึกนี้แทบจะถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว แต่ที่ทำให้ผมหยุดจนปักกับความรู้สึกนี้คือ เสียงเรียกจากโทรศัพท์ที่สั่นและดังจากบนพื้นที่ผมทำหล่นไปในตอนที่ล้มลงกับพื้น จากนั้นผมจึงเอี้ยวตัวไปหยิบขึ้นมาดูปลายสายว่าเป็นใครที่โทรมาเวลานี้ แล้วก็กดรับ
“อีเปอร์ มึงอยู่ไหน จะให้พวกกูรอนานแค่ไหนเนี่ย มึงจะไม่กลับหอหรือไง รีบมาเร็วๆ เลยนะ กูหิวข้าวแล้ว ด่วน!” โห! นี่มึงจัดมาเป็นชุดเลยนะสาส มึงลองมาเป็นกูตอนนี้มั้ยล่ะ มึงจะได้รู้สึกว่ากูเป็นยังไง
“เออๆ กูกำลังรีบอยู่เนี่ย รอแป๊ปเดียว” พอพูดจบผมก็ชันตัวลุกขึ้น มือปาดน้ำตาที่แสดงความอ่อนแอออกมา ปรับเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด เพื่อไม่ให้ปลายสายจับผิดสังเกตผมได้
“เร็วๆนะมึง กูหิว” เร่งอยู่ได้ ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่นั่นมันรถกู ถ้ากูไม่ไปถึงรถ พวกมึงก็ต้องทนหิวต่อไปอยู่ดี
“เออๆ”
“แค่นี้นะ รีบมาด้วย” คำสั่งของมึง กูไม่ทำตามโว้ย!
จากนั้นผมจึงรีบเดินไปยังที่จอดรถ จัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วก้มลงมองเสื้อและกางเกงที่ตอนนี้ ทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งเหนียวเหนอะหนะตัว ยังไม่มีทีท่าว่าหายไป
จะทำไงดีวะ?
คิดอยู่สักพัก ความคิดดีๆก็ผุดขึ้นในสมองทันที ผมจึงกวาดสายตามองรอบๆตัว ว่ามีคนอยู่แถวนี้หรือไม่ จะเห็นสิ่งที่เราจะทำต่อจากนี้หรือเปล่า ถึงจะไม่อยากใช้ แต่มันก็เป็นทางเดียวที่กลับไปเจอเพื่อนแล้ว พวกนั้นจะได้ไม่สงสัยอะไร
แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่มีวี่แววของคนในบริเวณนี้ที่ผมกำลังเดินอยู่ เพราะเวลานี้เป็นตอนค่ำแล้ว จึงไม่ค่อยมีนักศึกษาเดินเพ่นพ่านให้มันเห็นเหมือนตอนกลางวัน ดังนั้นผมจึงหันกลับมาทางเดินข้างพลางตั้งสมาธิที่จะใช้พลัง แล้วก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น ผมก็ได้ใช้พลังที่ได้มาตั้งแต่กำเนิดให้เป็นประโยชน์ไปด้วย
ฝุ่นธุลีทั้งหลายที่เกิดจากสีและกลิ่นของน้ำหวานลอยออกจากเสื้อสีขาว กางเกงสีดำเป็นวงกว้างและลอยข้ามผ่านอากาศรอบตัวสู่ท้องฟ้าเบื้องบนตามความต้องการของผม ไม่ว่าจะสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน ตราบใดที่ผมยังมีสติก็สามารถได้เสมอ สามารถลบทุกสิ่งอย่างที่ผมต้องการได้อย่างหมดจด ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมทำในวันนี้ก็ไม่ใช่ตัวจริงของพลังทั้งหมด เพราะมันก็ส่วนเดียว ยังเหลืออีกส่วนที่ยังไม่ได้บอกกล่าว
ผมรู้สึกดีขึ้นมากและรู้สึกสบายตัวอย่างที่สุด อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ในสภาพแบบนั้น ตอนนี้ทั้งสี กลิ่น ได้จางหายไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือร่อยรอยที่ไอ้พวกนั้นได้ทำให้เห็นอีกต่อไป จนกลับเข้าสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็นในตอนเช้า ไม่มีสี กลิ่นและความเหนียวจากน้ำหวานให้กังวลอีกต่อไป จนผมต้องยิ้มแก้มปริออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ถ้าเราจะทำจริงๆ เราก็ทำได้
*********************************************************************************************************************************
ลานจอดรถข้างอาคารเรียนรวม
พอเดินมาถึงที่รถเท่านั้นแหละ ก็เห็นสภาพของเพื่อนแต่คนอย่างชัดเจน ดูไม่ได้เอาเสียเลย เห็นแล้วก็อดยิ้มและหัวเราะในลำคออย่างหยุดไม่ได้ ทั้งคนที่ขัดสมาธิเล่นโทรศัพท์รออย่างแพรและทราย นอนหลับพิงประตูอย่างอังและชาม หมดสภาพไปโดยปริยาย ผมเดินเข้าหาก็ไม่วายที่จะถูกต่อว่า
“อีเปอร์ มึงไปทำอะไรมา ปล่อยให้กูรอตั้งนาน มึงเห็นมั้ยอีพวกนั้นนอนหลับตายไป 2 ศพแล้ว” จากที่ถูกต่อว่าทางโทรศัพท์ยังไม่วายถูกด่าต่อหน้าอีก
ยังไม่พอใช่มั้ย ถึงได้จัดชุดสองให้กู จะว่าไปก็ถูกอย่างที่แพรพูดนั่นแหละ เหมือนศพจริงๆนะ ขึ้นอืดแล้วด้วย555
“เออๆ ก็ขอโทษอยู่นี่ไง” ยอมแพ้แม่งละ ขี้เกียจเถียง
“เพราะงั้นมื้อนี้...” มันเว้นช่องว่างคำพูด จนทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้อง “มึงต้องเลี้ยงพวกกูที่ปล่อยให้รออยู่แบบนี้” พูดอย่างกับเป็นเจ้านาย ใช่ซี้! พวกมึงมีเยอะกว่าก็ย่อมชนะอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงอยากจะขัดเท่าไหร่ แต่ก็ขัดไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ
คนที่อยู่ข้างกูก็ไม่มีสินะ ถ้าไม่ใช่กูคนเดียว
“ได้ไง”
“ก็มึงมาไม่ตรงเวลานัด ผิดคำพูด เพราะงั้นมึงเลี้ยง” พูดจบมันก็ยักคิ้วใส่ผมทันที วันนี้คงเป็นวันปราชัยของกูสินะ ยอมก็ยอม ยังไงก็แพ้มาทั้งวันแล้ว แพ้อีกจะเป็นไรไป
“เออๆ ก็ได้” ผมตอบอย่างไม่เต็มใจรับคำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้สองคนที่พิงตัวไปกับประตูรถ ตื่นขึ้นมาทั้งที่เปลือกตายังไม่เปิดด้วยซ้ำ
“อัง ชาม มื้อนี้อีเปอร์มันจะเลี้ยงพวกเรา” ทรายเอ่ยบอกทั้งสองที่ยังงัวเงียอยู่ข้างรถ พอทั้งสองได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างที่ทรายบอก กัลุกพรวดพราดขึ้นมาเขย่าขาทั้งสองข้างของผมในทันที ด้วยคำพูดเดิมๆ
“จริงๆนะมึงๆๆๆๆๆ” พูดแค่คั้งเดียวก็พอแล้วมั้ยล่ะ พูดเยอะอยู่ได้ เริ่มชักจะรำคาญแล้วนะ ยิ่งสายตาที่เปล่งประกายวิ้งวับนั้น กูล่ะหมั่นไส้จริงๆ อยากจะบอกว่ามันช่างปัญญาอ่อนเหลือเกิน 555
ผมจึงตอบกลับไปอีกรอบ
“เออๆ” ผมตอบเพราะตอนนี้มันดูตลกมาก “ปล่อยขากูได้แล้ว ไม่งั้นกูจะทั้งเตะและเปลี่ยนใจนะ” พอได้ฟังที่ผมพูดประโยคสุดท้ายเท่านั้นแหละ ทั้งสองต่างพากันปล่อยขาผมและชันตัวขึ้นยืนอย่างกะทันหัน เกือบจะเซล้มเพราะมันปล่อยแบบกะทันหันนี่แหละ
เป็นกิ้งก่าหรือไง ปรับสภาพได้เร็วมาก
จากนั้นผมจึงหยิบกุญแจรถออกกระเป๋าแล้วกดปลดล็อค พอได้ยินเสียงปลดล็อค ทั้งสี่ต่างถือวิสาสะวิ่งขึ้นรถ จองเบาะที่นั่งทันที สักพักผมจึงขึ้นที่นั่งคนขับ แล้วขับรถออกไปยังจุดหมายปลายทาง
บางทีถ้าจะรังเกียจใครสักคนก็ควรจะหาเหตุผลมากกว่านี้นะ อย่างไรก็ตาม ถ้าคนมันจะเกลียดจริงๆล่ะก็…
ไม่หาเหตุผลมาอ้างหรอก
ขอโทษที่ห่างหายไปนานนะครับ
พอดีเพิ่งสอบเสร็จ เดี๋ยวจะทยอยลงให้เรื่อยๆนะครับ
ติดตามกันไปเรื่อยๆน้าาา :katai4:
พอไม่มีเสียงจากรุ่นพี่ปากดีนั่น ปีหนึ่งก็เริ่มทยอยกันแนะนำตัวเหมือนอย่างเดิมจนหมดรวมทั้งผมด้วย รวมๆแล้วผมได้แนะนำตัว 2 รอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วพี่เฟิร์สก็ไม่ปริปากพูดอีกเลยนับจากนั้น มีเพียงสีหน้าที่เบื่อโลกเท่านั้นที่เราสังเกตได้จากคนๆนั้น
หลังจากผมแนะนำตัวเสร็จ รุ่นพี่ก็เรียกให้ปีหนึ่งคนแรกลุกขึ้นจับฉลากในกล่องสีขาวที่พี่คนนึงถือไปให้หยิบกัน
“น้องอัน รหัสxxxxx ลุกขึ้นมาจับค่ะ” พอผู้หญิงคนนั้นยืนขึ้นจับฉลากขึ้นมา ก็ยื่นให้รุ่นพี่ที่ถือกล่องเป็นคนเปิด แล้วอ่านสิ่งที่ถูกเขียนในกระดาษออกมาให้ทุกคนได้รับรู้กัน
“ได้พี่อายค่ะ” พี่ที่เปิดอ่านพูดขึ้น
“คนต่อไปค่ะ” แล้วพี่เขาก็ยื่นให้คนต่อไป จากนั้นก็จับแบบคนแรกแล้วยื่นให้รุ่นพี่
“ได้พี่โอค่ะ”
การจับฉลากดำเนินไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงคนสุดท้าย ซึ่งนั่นก็คือผม ก็ต้องรอต่อไปจนกว่าจะถึงคิวผม
“มึง” แพรเอี้ยวตัวหันข้างมาคุยกับผม
“อะไรวะ” ผมถาม
“ถ้าจับอย่างนี้ไปตลอดมึงก็ไม่ได้จับอ่ะดิ” ผมขมวดคิ้วทันทีกับสิ่งที่มันพูด
“ทำไมวะ” ผมถามด้วยความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
“ก็รุ่นเรากับรุ่นพี่มีเท่ากันใช่มั้ยล่ะ” แพรมันเอ่ยอธิบาย
“อือฮึ” ผมพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นคนสุดท้ายก็จะไม่ได้จับ เพราะเหลือกระดาษแค่แผ่นสุดท้ายไง”
“เออ จริงด้วยว่ะ” ตกใจซะแบบหน้าเอ๋อเลย “กูลืมคิดเรื่องนี้ไปได้ไง”
“กูจะรู้กับมึงมั๊ย” ย้อนกูอีก “อีกอย่างนะ ใกล้จะถึงแถวเราแล้วด้วย ชื่อพี่เฟิร์สก็ยังไม่ออก กูว่า...”
“มึงอย่าพูดเชียวนะ” ผมชี้นิ้วห้ามปรามอีกคนไม่ให้มันพูดถึงกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“กูแค่จะบอกว่าถึงคราวซวยของมึงแล้วล่ะ”
“คอยดูละกัน กูว่ากูไม่จับได้พี่เขาหรอก”
“ไม่แน่ใบสุดท้ายของมึงอาจจะได้พี่เฟิร์สเป็นพี่รหัส” ดูท่านางจะมั่นใจกับสิ่งที่พูดอย่างมาก
“ไม่หรอก ยังเหลือคนอีกเยอะ มึงอย่าเพิ่งด่วนสรุปเร็วสิ มันไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก”
“คอยดูละกัน”
“เออ กูจะคอยดู” พอผมยืนยันว่า สิ่งนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน แพรมันก็เอี้ยวตัวกลับไปนั่งให้เป็นแบบเดิม เพื่อรอจับฉลากต่อไป
เวลาไม่กี่นาทีต่อจากนี้ ผมก็จะได้พี่รหัสกับคนอื่นเขาแล้ว ตื่นเต้นชะมัด ลนลานไปหมด มือที่จะหยิบก็ยสั่นไม่หยุดพร้อมกับเหงื่อที่เริ่มผุดออกจากฝ่ามือ แต่ทำไมทั้งที่ยังไม่ถึงคิวตัวเอง ใจยังสั่นและเต้นแรงขนาดนี้นะ ทั้งยังกังวล ตุ้มๆต่อมๆกับเรื่องที่แพรพูดเมื่อครู่นี้อีก
ไม่จริงน่า ไม่จริงงงงงงงง ความบังเอิญที่จะได้ไอ้พี่นั่นเป็นพี่รหัสแทบจะเป็น 0 ด้วยซ้ำ ก็ดูสิคนเป็นร้อย พวกแถวหน้ามีโอกาสจับได้มากกว่าแท้ๆ แต่ทำไมยังไม่มีคนจับได้วะ
กูได้ฝันร้ายข้ามปีแน่ ถ้าหากได้ไอ้พี่คนนี้เป็นพี่รหัส
พี่คนที่เดินถือกล่องก็เดินเข้าใกล้เรื่อยๆ ใจก็เริ่มอยู่ไม่กับเนื้อกับตัว มือไม้สั่นเข้าไปทุกขณะที่พี่เขาประกาศว่าใครได้ใครเป็นพี่รหัส แต่ยังไม่มีชื่อพี่เฟิร์สพูดออกมาซักนิด เอาล่ะสิครับความเป็นไปได้ในตอนนั้นที่เป็น 0 ตอนนี้มันกลับกลายเป็น 97 ไปแล้ว เหงื่อสีใสเริ่มผุดขึ้นจากหน้าผากอันเนียนคล้ำที่ปกปิดผิวที่แท้จริง มันกำลังไหลย้อยลงมาเรื่อยๆจนถึงคาง แล้วหยดลงบนพื้น
อากาศก็ร้อนด้วยแหละ555
ชื่อของรุ่นพี่ถูกขานขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่ผมหวัง ความหวังอันริบรี่ที่ไม่เห็นแม้แต่ความเป็นไปได้ จนกระทั่งถึงคิวของแพร นางลุกขึ้นยืน มือขวายกขึ้นไปล้วงหยิบกระดาษในกล่องสีขาว นาทีนี้ผมลุ้นยิ่งกว่าเจ้าตัวที่จับอีกนะ แพรหยิบขึ้นมาแล้วพูดกับพี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“พี่คะ หนูขอพูดเองได้มั้ยคะ” คำขอร้องจากรุ่นน้องถูกส่ง มีหรือที่รุ่นพี่จะปฏิเสธ
“เอาเลยจ้า” เจ้าตัวตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร ผมคิดอยู่ในใจเหมือนกันว่าอยากได้พี่คนนี้เป็นพี่รหัส ดูท่าทางใจดีเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่คนอื่นได้พี่คนนี้ไปเป็นพี่รหัสไปแล้วเนี่ยสิ คิดแล้วผมก็ส่ายหน้าทิ้งความคิดเมื่อครู่ไป แล้วหันหน้ามอง ยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“ได้พี่เฟิร์สค่ะ” พอแพรพูดขึ้น จากที่กำลังเศร้าผมกลับมีรอยยิ้มขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของแพร ในที่สุดคนอื่นก็ได้พี่เขาเป็นพี่รหัสแล้วโว้ยยยย แสงสว่างท่แท้ทรู
ผมลอบมองผ่านด้านข้างใบหน้าของเพื่อน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะผิดหวังกับสิ่งที่คิดอย่างเสียความคาดหมายของตน แอบใจชื้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนแสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้ม ยิ้มด้วยความดีใจ จนปากแทบจะฉีกอยู่แล้ว
หลังจากนั้นก็มีเสียงจากรุ่นพี่รุ่นน้องดังกระหึ่มมาเป็นทอดๆทั่วบริเวณ ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงที่ร้องเสียงโอดครวญด้วยความเสียดาย ส่วนผู้ชายจะมีก็แต่พวกตุ๊ดในคณะเท่านั้นที่ร้องเสียดายกับเขา ไม่งั้นก็กลุ่มเพื่อนพี่เขาต่างแซวพี่เฟิร์สอย่างเมามัน ปากบางคนที่หยุดไป ปากอีกคนก็แซวต่อเป็นระยะๆ
“ไอ้เฟิร์สถูกเปิดซิงแล้วเว้ยยยย”
“อย่ามาพูดพล่อยๆ เฟิร์สเป็นของชั้นคนเดียว ใช่มั้ยคะที่รัก” พี่คนหนึ่งส่งจูบให้กับพี่เฟิร์ส แต่พี่มันกลับหลบการส่งจูบนั้น โดยไปหลบอยู่หลังเพื่อนคนข้างๆ ทำเอาเจ้าตัวที่รับจูบแทน ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยทีเดียว
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากรุ่นน้องที่เห็นเหตุการณ์ ไม่เว้นแม้แต่รุ่นพี่เองก็เช่นกัน ผมเองก็หัวเราะกับเขาด้วยจนลืมตัว ถึงกลับหายใจไม่ทั่วท้องจนเพื่อนข้างๆต้องเอ่ยถาม
“มึงเป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย! หัวเราะจนท้องแข็งหรือไง” ผมไม่ได้สนคำถามของคนข้างๆ ได้แต่ดีใจกับความเป็นห่วงของเพื่อนที่เพิ่งรู้จักไม่ถึงชั่วโมง
ดีใจ หัวเราะ และยิ้มจนปากแทบจะฉีกได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องหุบปากฉับพลัน เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนตัวแสบมันพูดบางอย่างออกมา
“เอ่อ ขอโทษนะคะ คือ...” คำพูดที่พูดยังไม่หมดของแพรทำให้ทุกคนต่างพากันเงียบและพร้อมที่รับฟังสิ่งที่เธอจะพูด “หนูอ่านผิดอ่ะค่ะ” เจ้าของเสียงโน้มตัวกล่าวขอโทษที่อ่านผิด
“ที่จริง หนูจับได้พี่เอิร์ธต่างหาก” ดูท่าเจ้าตัวมันจะสะใจมากทีเดียว ถึงขั้นหันหน้ามาเยาะเย้ย แสยะยิ้ม ส่งสายตาที่ผู้ชนะเขาทำกันพร้อมกับยักคิ้วให้แล้วนั่งลงทันที
“ผมนั่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน หัวเราะไม่ออกเลยทีเดียว จากที่หัวเราะเมื่อครู่แต่ตอนนี้กลับมานั่งเครียดเหมือนเดิม คอตก หน้าบูดอย่างกับแม่ตัดค่าขนม
นั่นสินะที่เขาบอกว่า ‘หัวเราะทีหลังดังกว่า’ เพราะตอนนี้เจ้าตัวที่ทำให้ผมตกอยู่ในสภาวะแบบนี้กำลังหัวเราอย่างชอบอกชอบใจ ถึงจะฟังไม่ชัด แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงนั่นดังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ
ฝากไว้ก่อนเหอะมึง
แล้วพี่คนที่ถือกล่องก็เดินมาตรงหน้าผม ผมต้องลุกขึ้นตามมารยาทที่จับฉลาก แต่ถูกห้ามปรามไว้ซะก่อน ผมก็ยังดึงดันจะลุกขึ้นเผชิญหน้ากับชะตากรรมต่อจากนี้
“ไม่ต้องลุกขึ้นแล้วก็ได้มั้ง เหลือใบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นใคร” พี่คนที่ถือกล่องพูดอย่างมั่นใจ
“ผมว่ายังไงก็ต้องลุกอ่ะครับ ถึงจะเหลือแค่ใบเดียว ก็ไม่แน่หรอกว่า จะได้พี่เฟิร์สเป็นพี่รหัส บางทีพี่เขาอาจจะไม่เอาสายแล้วก็ได้นะครับ” บางทีคำพูดของผมอาจจะมีหวังบ้าง ถึงแม้จะไม่มีก็ตาม คำพูดนี้ทำเอาคนตรงหน้านิ่งไปพักนึง ก่อนจะสาวเรื่องราวต่อ
“พี่ว่า พี่เฟิร์สนั่นแหละ ถ้าไม่เชื่อพี่ล่ะก็ พี่หยิบให้ดูนะ” พูดจบพี่เขาก็หยิบแผ่นกระดาษในกล่องที่เหลืออยู่แผ่นสุดท้ายมายืนยันคำพูด หยิบยื่นให้ผมเป็นคนคลี่ออกดู แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจอีกครั้ง ผมรู้เลยว่ายังไงก็ไอ้พี่เฟิร์สแน่
คงต้องยอมจำนนแล้วสินะ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียงอีกแล้ว
ผมหยิบกระดาษจากมือพี่คนนั้นขึ้นดูแล้วคลี่ออกอย่างชั่งใจ เห็นเป็นตัวอักษรที่ไม่สวยมากนัก แต่ก็ไม่ขี้เหร่จนเกินไป ก็นี่มันลายมือผู้ชาย จะเอาอะไรมากและต้องเป็นลายมือพี่มันแน่ๆ แต่ตัวหนังสือที่ผมเห็นนั้น ไม่ได้เขียนว่า ‘เฟิร์ส’ จนต้องขมวดคิ้วสงสัย แต่กลับเป็นเลขหนึ่งที่เห็นประจักษ์อยู่ตรงหน้าแทน ยิ่งทำให้ผมงงไปกันใหญ่
พี่คนที่ถือกล่องหลุดขำ อมยิ้มออกมาขณะที่ผมใช้ตรรกะ รวบรวมความรู้ที่พอจะนึกได้ตอนนี้มาวิเคราะห์เลขหนึ่งนี่ให้กระจ่าง จะยังไงก็คิดไม่ออกเสียที หรือว่าชื่อหนึ่งวะ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็...เยส! ไอ้พี่เฟิร์สไม่เอาสายรหัส แต่ก็ต้องดีใจได้ไม่นาน จนกระทั่งพี่ตรงหน้าพูดขึ้น
“ให้พี่เฉลยให้มั้ย ทำไมถึงรู้ว่าเป็นพี่เฟิร์ส” เจ้าตัวถามขึ้น คงเห็นผมยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นาน เลยถือโอกาสเฉลย
“ครับ” ผมพยักหน้าอย่างอยากรู้ ไม่รู้จริงๆว่าทำไมเป็นชื่อพี่เฟิร์ส
“ก็ที่ชื่อเฟิร์สอ่ะ คือ เลขหนึ่งตรงนี้” พี่เขาถือวิสาสะ หยิบแผ่นกระดาษจากมือผม จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังกระดาษที่มีเลขหนึ่งเขียนอยู่ในนั้นพลางอธิบายไปด้วย “ในภาษาอังกฤษน่ะหนึ่งจะอ่านได้ 2 แบบ แบบแรกอ่านว่า ‘one’ แล้วแบบที่สองจะอ่านว่า ‘first’ แต่ first มันจะมีตัว st อยู่ข้าบนขวา พี่เฟิร์สน่าจะลองสมองน้องๆดูแหละ ก็เลยไม่ได้เขียนตัวอักษรบนหัวกำกับ
“อ๋อ” ผมตอบรับเสียงยาว ยกมือขึ้นเกาหัวพร้อมกับยิ้มทันที “เป็นอย่างนี้นี่เอง” ตอนแรกก็รู้สึกเอะใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้เนี่ยสิ จึงได้แต่ยิ้มให้พี่เขา เพื่อเป็นการยืนยันว่าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าตัวพูดแล้ว พอเจ้าตัวเห็นดังนั้นก็ไม่ถือสาอะไร นอกจากหมุนตัวแล้วเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อน
ต่อจากนั้น เกิดอะไรขึ้น! อย่าคิดว่าผมคิดมากล่ะ เพราะยังไม่ถึงเวลา ไม่สิ! มันผ่านไปแล้ว
“หลังจากที่ทุกคนจับฉลากเสร็จกันหมดทุกคนและได้รู้ว่าใครเป็นพี่รหัสของตนแล้ว รุ่นพี่ปีสองก็เข้ามาพูดเล่าเรื่องการเรียน การใช้ชีวิตในรั้วมหา’ลัยแห่งนี้ ให้ฟังอย่างมากโขเลยทีเดียว มีอะไรก็ให้ปรึกษารุ่นพี่หรือพี่รหัส อย่าเพิ่งยอมแพ้หรือท้อกับอะไรง่ายๆ บอกให้เข้มแข็งเข้าไว้ เพื่อคนที่อยู่ทางบ้าน
การเล่าเรื่องของรุ่นพี่ทำเอารุ่นน้องบางคนได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ไปแล้ว บางคนถึงขั้นผลิตน้ำเชื่อมในปากเอ่อล้นเห็นแล้วน่าตลกชิบหาย เพราะนัดมาแต่เช้า ก็เลยเห็นสภาพแบบนี้ของรุ่นน้องปีหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าผมจะนั่งเฉยๆนะ นั่งยุ๊กยิ๊กไปมาเปลี่ยนท่านั่งไปหลายท่ามาก
ไม่ใช่อะไรหรอก! ตะคริวแดก
ผมเป็นคนไม่ชอบนั่งขาดสมาธินานๆ เพราะนั่งทีไรตะคริวเจ้าเดิมก็จะถามหาทุกที ยิ่งนั่งอยู่เฉยๆใช่ว่าจะหาย มันกลับร้ายแรงมากกว่าเดิมซะอีก ลามขึ้นไปจนถึงต้นขาเลยล่ะ ขยับทีไรน้ำตาก็จะเล็ดออกมาทันที
ยังดีที่พี่เขาให้นั่งได้ตามอัธยาศัยก็เลยไม่เหมือนคราวที่แล้ว คราวที่แล้วที่เป็นขนาดนั้น เพราะมีพี่ระเบียบมาคุม(ที่ ม.เก่า) นั่งเกร็งตัวตลอด 2 ชม. โคตรของทรมานเลยล่ะ ยิ่งตอนลุกขึ้นยังต้องให้เพื่อนมาช่วยพยุงถึงจะลุกขึ้นและเดินไป
พอถึงเวลาเลิก พวกรุ่นพี่รุ่นน้องต่างเดินแยกออกไปพูดคุยกับพี่รหัสตามที่ถนัดไว้ คุยกันเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะมีเลี้ยงสายรหัสเกิดขึ้นในสัปดาห์ถัดไป
ผมก็ไม่วายถูกไอ้พี่เฟิร์สเรียกไปปรับทัศนคติเหมือนกัน งานนี้ได้เถียงกันจนเรียนจบแน่ สถานที่ที่ถูกเรียกไปเป็นหน้าตึกคณะ ซึ่งพี่เฟิร์สเองก็รออยู่แล้วด้วย ยืนข้างๆหน้ารถอันสวยหรูด้วยมาดคุณชาย ผมว่าถ้าเปลี่ยนพาหนะสี่ล้อนี่เป็นมอไซค์ 2 ล้อ พี่มันก็เป็นจิ๊กโก๋ดีๆนี่เอง555
ตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมถึงเลือกที่นี่ ทั้งๆที่พี่คนอื่นต่างนัดกันในที่ที่เรานัดประชุมกัน จึงถามออกไป
“พี่เฟิร์ส ทำไมถึงเลือกที่นี่อ่ะพี่”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก กูไม่ชอบคนเยอะๆ อยู่ที่นี่สบายใจกว่า” ดูเหตุผลของพี่มัน โคตรน่าเชื่อถือเลยล่ะ ประชด!
ที่จริงก็อยากจะเถียงพี่มันต่ออีกหน่อยอยู่หรอก แต่ยังไงก็เป็นพี่น้องกันแล้ว ดีๆกันไว้น่าจะโอเคที่สุดแล้ว ว่าแล้วพี่เฟิร์สก็ยื่นถุงขนมพร้อมด้วยเครื่องเขียนมาให้เป็นสิ่งแรกที่ปีหนึ่งคณะแพทย์ทุกคนจะได้จากพี่รหัสของตน แต่ของที่ผมได้ทำไมมันเยอะขนาดนี้วะ คนอื่นได้แค่ถุงสองใหญ่ นี่อะไร 5 ถุง ผมถลึงตามองอย่างประหลาดใจใส่ขนมบวกกับเครื่องเขียนมากมายบนมือ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาพี่รหัส กระพริบตาปริ๊งๆ สองสามที ก่อนจะอ้าปากถาม พี่เฟิร์สก็พูดแทรกขึ้นก่อน
“ไม่ต้องมาทำแบบนั้นใส่กู ของป้าของยายของทวดรหัสด้วย พี่เขาติดธุระเลยฝากกูมา กูไม่คิดจะเลี้ยงมึงขนาดนั้นหรอก” จะว่าไปก็ใช่อย่างที่พี่มันพูดนั่น ดูจากท่าทางคงจะไม่ใช่สายเปย์น้องสักเท่าไหร่ นอกจากจะเปย์ผู้หญิงอย่างสุดตัว
จากที่เดาๆไว้ คงจะเป็นเสือผู้หญิงไม่น้อย
“ครับๆ” ผมตอบเสียงเรียบ ตอบได้แค่นั้นแหละ
“เออๆ” พี่เฟิร์สเอ่ยปากอย่างเบื่อหน่าย “อาทิตย์หน้าทำตัวให้ว่างด้วยล่ะ” พอได้ยินดังนั้น ผมก็ทำหน้าสงสัยใส่ทันที “จะงงอะไรนักหนา แค่เลี้ยงสายรหัสเองหรือมึงจะไม่กินหะ” พี่มันเน้นประโยคสุดท้าย พูดอย่างกับหาเรื่องตลอดเวลา
“กินๆ” ผมรีบตอบกลับอย่างเร็วไว กลัวอย่างเดียว
กล้วจะไม่ได้กิน
“เออๆ งั้นกูไปก่อนล่ะ” พอพูดจบ พี่เฟิร์สก็หันหลัง เปิดประตูรถแล้วขับรถออกไปจากที่ๆผมยืนโบกมืออยู่ ผมไหวไหล่ให้ไม่ถ์อสาอะไร คงมีนัดกับสาวแน่ เจ้าตัวถึงได้รีบร้อนซะขนาดนั้น
ขณะที่เดินกลับไปที่จอดรถ ผมมองไปยังท้องฟ้าสีครามที่สดใส เมฆสีขาวที่มีน้อยจนบางตา แสงแดดเจิดจ้า ทำให้รู้สึกร้อนและโดดเดี่ยวไปในเวลาเดียวกัน ใบหน้าเมื่อครู่ยังร่าเริงจากการเถียงกับพี่รหัส แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ช่างแตกต่างจากท้องฟ้าที่มองเมื่อกี้อย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงหันกลับมาที่เดิม เดินขึ้นรถ แล้วขับตรงไปยังที่ๆ จะสามารถสงบสติอารมณ์นี้ได้
*************************************************************************************************************************************
ณ ร้านราเม็งในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ผมนั่งรอราเม็งที่สั่งไปอย่างตื่นเต้น เพราะหลังจากนี้ผมก็จะได้เจอคุณแม่ที่อุปถัมภ์ตั้งแต่ผมยังเล็กแล้ว ไม่ได้เจอกันมา 10 กว่าปี ไม่รู้จะจำกันได้หรือป่าว ในขณะที่นั่งรอผมก็นั่งคุยโทรศัพท์กับแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดว่า จะไปพบแม่คนที่ 2 ในอีก 2 ชม.ข้าง ขณะที่รอราเม็งอยู่นั้น ก็มีคนๆหนึ่งเข้ามาถาม
“ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ พอดีที่นั่งตรงอื่นมันเต็มหมดแล้ว” เสียงจากคนแปลกหน้าดังขึ้น ทำให้ผมหันมองอย่างสงสัย
“อ้าว! เนทนี่นา มาทำอะไรที่นี่อ่ะ” ผมตกใจและยิ้มให้กับผู้มาเยือน
“ก็มากินราเม็งนั่นแหละ ว่าแต่เราขอนั่งด้วยคนนะ” เนทกล่าวขออนุญาตอย่างอ่อนน้อม
“อื้ม ได้สิ นั่งเลยๆ” แล้วเจ้าตัวก็นั่งลงในฝั่งตรงข้าม
“ขอบคุณนะ” เนทยิ้มให้
“ไม่เป็นไร เราเต็มใจ” ผมเองก็ยิ้มให้เช่นกัน
“ราเม็ง เกี๊ยวซ่าเซ็ทมาแล้วค่ะ นี่ค่ะน้ำพันซ์” หลังจากรอมาพักนึง ของที่สั่งก็มาซักที
“ขอบคุณครับ”
“ทานให้อร่อยนะคะ”
“ครับ”
“เดี๋ยวก่อนครับ” เนทเอ่ยเรียกพนักงาน
“คะ”
“คือเอาแบบเพื่อนคนนี้อีกหนึ่งชุด แล้วก็ทาโกะยากิด้วยนะครับ” เนทสั่งไปรวดเดียว ทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูเมนูในแผ่นกระดาษด้วยซ้ำ
“แล้วเครื่องดื่มล่ะคะ” พนักงานเอ่ยถาม
“เอาน้ำพันซ์เหมือนกันครับ”
“คะ รอสักครู่นะคะ” แล้วพนักงานก็เดินจากไป
“เปอร์ทำไมไม่กินราเม็งอ่ะ เดี๋ยวเย็นซะก่อนนะ” ผมล่ะชอบผู้ชายที่อบอุ่น และเป็นห่วงเป็นแบบนี้ที่สุด
“ก็รอเนทไง กินพร้อมกันสนุกกว่าเยอะ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มตาหยีให้กับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่นั่งนิ่งค้าง หลังจากได้ยินคำพูดขอผม
“นั่นสินะ” เจ้าตัวพูดด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความดีใจ โดยปิดบังรอยยิ้มไม่ให้ผมได้เห็นมัน “อื้อ แล้วเปอร์จะไปไหนต่ออ่ะ”
“กินราเม็งเสร็จอ่ะหรอ”
“อื้อ”
“ก็น่าจะเดินเล่นแถวๆนี้ซักหน่อย แล้วก็ไปหาแม่อ่ะ” ผมพูดพลางใช้ความคิด คิดอยู่ว่าจะบอกคนๆนี้หรือเปล่าที่เราจะไปหาท่าน กลัวว่าเขาจะรู้ว่าผมเป็นคนยังไงด้วย เพราะทีจริงตอนไปหาพบแม่ ผมจะลอกคราบภายนอกนี้ออก และจะได้แสดงร่างที่แท้จริงให้ท่านได้เห็น
“แล้วเนทจะไปไหนต่อ” ผมรีบถามก่อนที่เจ้าตัวจะถามสถานที่ที่ผมจะไป
“กลับบ้านไปหาครอบครัวน่ะ” เนทพูดถึงจุดประสงค์
“แล้วบ้านเนทอยู่ไหนอ่ะ” ผมถามอย่างอยากรู้
“อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรxxx ซอยxxx “ เนทพูดอย่างเต็มใจบอกข้อมูล แต่เอ๊ะ! หมู่บ้านนี้ ซอยนี้ มันใกล้กับบ้านแม่ด้วยนิ ดีนะที่เรายังไม่ได้บอกไป
“แล้วเปอร์ล่ะ”
“อ๋อ คือบ้านเราอยู่ต่างจังหวัดน่ะ” ขอโทษด้วยนะที่เราต้องพูดโกหก ขอโทษด้วยจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง อย่างน้อยเรื่องบ้านก็เป็นเรื่องจริง
“อืม” เนทพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แล้วอยู่จังหวัดไหนอ่ะ “
“เอ่อคือ...” นั่งกุมมือเข้าหากัน ไม่รู้จะบอกยังไงดี หรือต้องโกหกต่อไป
ทำไงดี ทำไงดี
“ราเม็งมาแล้วค่ะ” เสียงพนักงานดังขึ้น ทำให้เนทหันไปสนใจของที่สั่ง โดยไม่รอฟังคำตอบจากผม
และแล้วเวลาก็ผ่านไป ตลอดเวลาที่กินราเม็งเราก็คุยกันตลอด โดยแทบจะไม่ได้กินราเม็งเลยล่ะ เนทอ่ะชอบถามคำถามนั่นคำถามนี่อยู่เรื่องและเป็นคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบยังไงเนี่ยสิ จนบ้างครั้งผมต้องพูดตัดบทไปหลายเรื่องเลยล่ะ คิดๆไปแล้วก็เหมือนเดทเลยเนอะ ทั้งที่เป็นแค่ความบังเอิญแท้ๆ ถึงเนทจะไม่คิดเหมือนกันกับเราก็ไม่เป็นหรอก ขอมโนว่าเป็นเดทก่อนแล้วกัน ผมว่า ผมเริ่มจะตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ซะแล้วล่ะ ดีไม่ดีได้ให้ใจไปแล้วส่วนนึง เศษเสี้ยวของใจ แต่ที่เหลือไว้มันคือกำแพงที่ปิดกั้นความรักของบุคคลที่สามที่รั้งให้ใจผมไม่อยากมีแฟน เพราะกลัวจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
ถ้าเนทคิดแบบเดียวกันคงจะดี แต่ก็อย่างว่าแหละ จะมีผู้ชายสักคนกี่ที่จะรับได้ในตัวตนแบบนี้ของเรา
ไม่อยากโกหกคนๆนี้ ขอไว้แค่คนเดียวได้ไหม
แต่เราทำมาขนาดนี้แล้ว จะยกเลิกทั้งหมดอย่างนั้นหรอ ไม่ได้! ไม่ได้!
เมื่อเป็นคนเลวแล้ว ก็ต้องเป็นคนเลวต่อไป
TBC...
***********************************************************************************************************************************
ตอนนี้เหมือนจะยืดเยื้อไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะครับ
พล็อทตอนนี้ถ้าตัดออกก็จะไม่เข้าในตอนต่อๆไป
ยังไงก็ฝากติดตามกันไปเรื่อยๆนะครับ
:mew2:
ตอนนี้ผมกำลังขับรถบนทางด่วนเพื่อมุ่งไปบ้านของอีกครอบครัวที่ผมเคยอยู่กับพวกเขา และไม่ได้ไป 12 ปี นับต่อจากนั้น ไม่รู้ว่าคนที่นั่นจะจำผมได้หรือเปล่า ในสภาพที่ขี้เหร่แบบนี้อะนะ รอเวลานี้มานานแสนนาน ในที่สุดก็จะได้เจอสักทีผมยิ้มระรื่นด้วยความดีใจ พร้อมกับฟังเพลงและขับรถไปด้วยวันนี้เป็น วันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าผมจึงเลือกที่จะมา หาคนเหล่านั้นในวันนี้
เมื่อวาน
อันที่จริงผมเจอกับพวกท่านสองคนเมื่อวันวานนี้ ในตอนนั้นผมเดินห้างเล่นตามประสาคนโสดไร้คู่ เดินเข้าร้านนั่น ร้านนี้บ้าง แต่ก็ เพราะผมรู้ว่าจะเจอท่านสองคนที่นี่ จึงเลือกมาที่ห้างแห่งนี้ และหลังจากที่ผมแยกกับเนท ก็เดินเล่นตามประสาคนโสด เพื่อจะฆ่าเวลาให้หายเหงาได้บ้าง จนได้มาเจอร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ในร้านช่างตกแต่งได้ทันสมัยตามสไตล์วินเทจ บรรยากาศในร้านช่างเหมาะแก่การคุยงานของผู้ใหญ่เอามากๆ ผมเห็นว่ามันสบายดี สงบดี ก็เลยเดินเข้าไปในร้านและมุ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งอะไรรองท้อง
"รับอะไรดีค่ะ" พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ซักถาม
"อืออออออ" ผมค้างเสียงลากยาวครุ่นคิด ระหว่างที่คิดเพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรดีขณะที่มองเมนูที่เขียนไว้ข้างบน " แป๊บนึงนะครับขอเลือกเมนูก่อน" คำพูดในขณะที่ตายังจ้องเมนูบนแผ่น เมนูหน้าเคาน์เตอร์
“ค่ะ” พนักงานตอบรับ แล้วหันไปทำงาน ที่ค้างไว้
ผมเปิดแผ่นเมนูไปเรื่อยๆจนกระทั่งได้เมนูที่จะกินรองท้อง " งั้นเอานมวนิลาปั่น แล้วก็ฮันนี่โทส ไอศกรีมรสช็อกโกแลตชิพและรสมะนาว" อันที่จริงตัวผมก็อยากกินบิงซูอยู่แหละ แต่มาคนเดียวเนี่ยสิ ยังไงก็กินไม่หมดหรอกเสียดายตังค์ด้วย
“ค่ะ งั้น รอสักครู่นะคะ” พนักงานตอบ
ผมพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหาโตที่ว่างหามุมเงียบๆ พี่จะสิงสถิต พอเดินหาอยู่สักพัก ที่แห่งนั้นกับมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมจะไปนั่งใกล้ ผู้ชายและผู้หญิงวัยทองสองคนที่นั่งโต๊ะข้างๆแทน กลุ่มคนนั้นพูดถึงเรื่องธุรกิจอะไรไม่รู้ที่ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ ปวดหัวสุดๆ ไม่ใช่ว่าแอบฟังนะแต่ผมได้ยินเองถึงมันจะเบาไปหน่อยก็เหอะ ก็ได้ยินอยู่ดี
ขณะรอของที่สั่งไว้อยู่นั้น ผมลอบมองคนพวกนั้นอยู่บ่อยครั้งเพราะพวกเขาช่างเหมือนกับคนที่ผมรู้จักอย่างมากถึงจะไม่ได้เจอกันนานแล้วก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าผมจะจำไม่ได้ จำได้ขึ้นใจเลยล่ะ ในขนาดนั้นพนักงานก็เข้ามาขัดจังหวะ ทำให้ผมต้องหันมาสนใจ ของตรงหน้าแทน
“มาแล้วค่ะ” พนักงานตอบเสียงหวาน ถ้าผมชอบผู้หญิงนะ อาจจะขอเบอร์โทรไว้แล้วก็ได้ผู้หญิงอะไรน่ารักชะมัด เอาซักคนที่ไม่ชอบผู้หญิงอย่างผมเคลิ้มไปเลยทีเดียว เธอก็ต้องรู้จักระวังในทันที พอมีสายเรียกเข้า ผมดูแบบเดียว ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร จึงกดรับเพื่อไม่ให้เสียเวลา
“ว่าไงมึง” ผมถามปลายสายอย่างสนิทสนม ก็คนที่โทรมา เป็นนายอามี่ คณะวิศวะ บอกผมเองแหละ
“จะอะไรซะอีกล่ะ กูอยากเจอมึง" มันบอกเสียงอ้อน ครับผมจะใจอ่อนไม่มีทางซะหรอก
“กูไม่ว่าง” ก็ไม่ว่างจริงๆนี่นา อีกอย่างที่ยังไม่อยากให้มึงเห็นสภาพกูแบบนี้หรอก
“ไม่ว่างได้ไง เมื่อกี้กูยังเห็นมึงเดินเล่นคนเดียวอยู่เลย”
"มึงว่าไงนะ!" ผมตะโกนไปยังปลายสาย แล้วหันขวับไปรอบรอบทันที ไม่รู้ว่าที่มันพูดจริงหรือเปล่า เดี๋ยวถ้ามันเข้ามาหาผมล่ะ จะทำยังไงดี สองมือก็กำลังกุมศีรษะอย่างสับสน ไม่รู้จะเอายังไงต่อ เลยถามมันไปอีกครั้ง
"555" มันหัวเราะอย่างชอบใจ จนพูดอีกประโยค กูล้อเล่น มึงอย่าตกใจขนาดนั้นดิ ค่อยโล่งอกหน่อยว่าแล้วเชียว มันต้องล้อเล่นถึงจะอยู่ที่ห้างนี้จริงๆฟันธงเลยว่า ยังไงก็จำผมไม่ได้
“ไอ้ห่า! ใช่เวลาเล่นมั๊ยมึง” ผมด่ามันทันทีที่ทำให้ผมหัวเสีย
“ทำไมวะอยู่กับแฟนสินะ จึงไม่อยากให้กูไปเป็นกอขอคอ”
“แฟนเฟิร์นที่ไหนกัน กูไม่มีหรอก”
“จริงหรอ มึงออกจะดูดีกว่าผู้ชายต้องติดมึงตรึมแน่” มึงมาดูสภาพกูตอนนี้ก่อนเถอะ ถ้าผู้ชายไม่พากันไปทางอื่น
“กูว่ามึงเอาเวลาไปเดทกับแฟนดีกว่ามั้ย”
“ฮึ” มันตกใจ ถึงได้อุทานแบบนั้นออกมา “มึงรู้ได้ไง ว่ากูมาเดทกับแฟน” คงตกใจไม่น้อยที่กูรู้สินะ
“แล้วใช่มั๊ยล่ะ”
“ไม่ใช่เว้ย!” มันตอบกลับเสียงดัง “แค่พาผู้หญิงมาเดินห้าง ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นแฟนกันอีก จริงมั๊ย” มันอธิบาย และตอกย้ำว่าไม่ใช่แฟน
“อ้าว!ก็เห็นๆอยู่ว่าเขาอยากได้มึงเป็นแฟน”
“กูคงให้เขาไม่ได้หรอก” ดูเหมือนเสียงไอ้อาร์มจะแผ่วลง
“ทำไมวะ” ผมถามมันเพราะไม่เข้าใจว่ามันคิดอะไรอยู่กันแน่
“กูมีคนที่กูชอบอยู่แล้ว จะให้กูไปรักคนอื่นได้ไงวะ” ก็จริงของมัน ถ้าเป็นผมก็คงทำแบบมันนั่นแหละ “แต่กูไม่กล้าสารภาพรักกับเขา” ทำไมมันช่างดูโหดจังว่ะ ที่จริงก็อยากว่าขี้ขาดอยู่หรอก แต่กลัวมันจะเสียความรู้สึกซะก่อน
“ใครวะ”
“กูบอกมึงไม่ได้จริงๆเมื่อถึงเวลากูจะบอกมึงเอง”
“เออเออ” ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะผมไม่อยากเซ้าซี้มัน เดี๋ยวถ้ามันอยากบอกก็คงบอกเองนั่นแหละ
“เออมึง แค่นี้ก่อนนะจิ๊บมาแล้วว่ะ” กลัวถูกจับได้ล่ะสิ ว่าคุยกับคนอื่น
“เออๆ อย่าดราม่าให้มาก เดี๋ยววันจันทร์ กูไปหาที่คณะ”
“จริงหรอวะ ห้ามเบี้ยวล่ะมึง” มันน่าดีใจขนาดนั้นหรอวะ ที่เพื่อนจะไปหาที่ขณะ
“เออๆจำกูให้ได้ล่ะมึง แค่นี้แหละ”
พอผมพูดเสร็จก็ตัดสายไปในทันที แล้วหันมาสนใจกับของกินตรงหน้าซึ่งตอนนี้นั้น ไอศกรีมได้ละลายจนเกือบจะหมดแล้ว ส่วนเครื่องดื่มที่สั่ง ก็สื่อจากการละลาย จนแทบจะเป็นน้ำเปล่าไปแล้ว
ผมยังคงมองโต๊ะข้างๆ เงี่ยหูฟัง ซึ่งตอนนี้ยังคุยงานกันไม่เสร็จจึงรีบกินของที่สั่งให้หมดโดยเร็วเพื่อจะได้มีโอกาสเข้าไปหา หลังจากที่สองคนนั้นคุยงานกับลูกค้าเสร็จ
เป็นไปตามความคาดหมายผมกินหมดภายใน 10 นาทีกับการเรียกพี่เลยล่ะแล้วรออีกประมาณ 10 นาทีก็เห็นลูกค้าคนนั่งตรงข้ามลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินออกจากร้าน ผมจึงลุกขึ้น เดินไปยังที่นั่งของลูกค้าคนนั้นที่นั่งเมื่อสักครู่ถือวิสาสะนั่งลงในขณะที่สองคนนั้นกำลังก้มลงเก็บเอกสารบนโต๊ะยัดใส่กระเป๋า ดูเหมือนว่ามีคนมานั่งตรงหน้า ทั้งสองจงเงยหน้าขึ้นสบตาผม
“หนูมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” ผู้หญิงวัยทองเลยถามอย่างเอ็นดูนัยน์ตาสีดำถ้าสังเกตดูดีจะเห็นความห่วงใยซ่อนอยู่ถึงตอนนี้จะมีแค่ความสงสัยและก็ตาม
ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมพูดตอบเพื่อดูว่าท่านทั้งสองจะจำผมได้หรือเปล่า
“งั้นถ้าไม่มีอะไรพวกเราสองคน กลับก่อนนะหนู" ฝ่ายชายเป็นคนพูดถึงหน้าตา ดูแล้วจะโหดและเข้มงวดไปบ้างแต่ความดีใจ นี่ไม่เป็นสองรองใครแม้แต่ภรรยาของตนเองอย่างแน่นอนขณะที่ทั้งสองกำลังลุกขึ้น แล้วเดินออกไป ผมจึงยื่นแขนไปจับมือกับหญิงแทน
“เดี๋ยวก่อนครับ” ทั้งสองหันมาสบตาผมอีกครั้ง “คือ...ผมมีเรื่องจะคุยด้วยอ่ะครับ” พอทั้งสองได้ยินที่ผมพูดก็มองหน้ากันอยู่สักพัก ก่อนจะนั่งลงที่เดิมที่ใช้คุยกับลูกค้าคนก่อน
ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเราทั้งสามคนพวกท่านคงจะรอให้ผมเป็นคนเปิดประเด็นแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก็เลยเงียบไว้ก่อน และก่อนที่พวกท่านทั้งสองจะทนไม่ไหวผมจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วพูดออกไป
“คือ...แม่ จำผมได้หรือเปล่าครับ” ท่านทั้งสองถึงกับตาจะถลนจนเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า แล้วหันมองกันและมุ่งสายตามายังผม
“น้าไม่เข้าใจที่หนูพูดเมื่อกี้ หนูคงจำคนผิดแล้วล่ะ” ทั้งสองท่านคงไม่คิดว่าผมเป็นเด็กที่มาขอให้ท่านอุปถัมภ์หรอกนะ จึงตอบปฏิเสธ
“งั้นเข้าเรื่องกันเลยนะครับ” ผมเอ่ยเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ประเด็นหลักแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด
“จะ” ท่านผู้หญิงยิ้มตั้งหน้าตั้งตารอ ที่ผมจะพูด
“ผมเปอร์ไงครับ” แม่กับพ่อจดจำผมไม่ได้หรือเปล่าฮะ” ประเด็นแรกคือคำถาม จนทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ทั้งสองคนถึงกับมองผมด้วยความสงสัยเด็กคนนี้รู้ชื่อเราได้ไงเข้าหาเราโดยมีผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า
“เปอร์ที่เรารู้จัก เราจำไม่ได้หรอกนะหนู ไม่ได้เจอกันนานแล้วด้วย” ฝ่ายท่านผู้ชายเป็นคนพูด ผู้ชายพูด
“หนูคงไม่ใช่มิจฉาชีพที่มาหลอกเราแล้วเอาชื่อเปอร์ลูกอีกคนของเรามาอ้างหรอกนะ” อ้าวซะงั้น กลับถูกมองเป็นมิจฉาชีพอีกสงสัยจะยังไม่เชื่อครับผมชื่อเปอร์และเป็นตัวจริงสินะ ก็ไม่แปลกหรอก ไม่ได้เจอกันนาน 10 กว่าปีแถมผมยังอยู่ในรูปแล้วแต่แบบนี้อีกจะให้เชื่อคนตรงหน้าก็ยังไงๆอยู่ แต่ผมคงต้องพิสูจน์ให้ท่านรู้
“งั้นถ้าผมบอกว่าคนที่ทำให้พี่หมอกกับน้องเมฆคืนดีกัน ในวันที่พี่หมอกทำของรักของเมฆพังโดยไม่ได้ตั้งใจ คือเปอร์หรือเปล่าครับ” พวกท่านทั้งสองมีสีหน้าตกใจมากเลยทีเดียว เพราะไม่มีคนนอกที่รู้เรื่องนี้นอกจากคนในครอบครัวไม่กี่คนจะหาเหตุผลใดมาแย้งเรื่องที่ผมพูดเมื่อสักครู่ก็ไม่มี
จนเวลาผ่านไป 3 นาทีทุกคนพากันเงียบ คุณที่ผมพูดว่าพ่อเขียวก็พูดขึ้น
“ถ้าเป็นเปอร์ตัวจริง ต้องรู้ว่าทำไงให้สองพี่น้องนั้นคืนดีกันได้” คุณพ่อยังไม่แน่ใจในตัวผม ถึงจะรู้เรื่องนี้ก็ตามก็ไม่ได้แปลว่าเป็นเปอร์ตัวจริง อาจจะซักถามจากเปิดตัวจริงมาอีกทีก็เป็นได้เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ถามคีย์เวิร์ดของเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะไม่รู้ว่าลูกสาวกับลูกชายเอาเรื่องนี้ไปเที่ยวบอกใครหรือเปล่า
ผมยิ้มกริ่มด้วยความดีใจ “ผมใช้เงินเก็บของผมซื้อของเล่นที่เหมือนชิ้นนานที่สุดให้น้อง แล้วใช้จดหมายแทนคำขอโทษส่งให้ทางพี่หมอก น้องเมฆเนื้อความในจดหมายนั้นเขียนไว้ว่า ‘พี่ขอโทษที่ทำของเล่นของเมฆพัง หวังว่า ของขวัญที่พี่ให้คงจะแทนของที่พังได้ไม่มากก็น้อย พี่ไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้ มาคุยกันที่สวนหน้าบ้านหน่อยนะ เวลา 6 โมงเย็นนะ พี่จะรอ’
“...” หลังจากที่ผมพูดจบ ท่านทั้งสองกับสิ่งที่ผมพูด เป็นเอามากถึงกับพูดไม่ออกทีเลยทีเดียว
“จะให้ผมพูดเนื้อความในจดหมายของพี่หมอกด้วยมั๊ยครับ” แม่ส่ายหน้าทันทีพลางเม้มปากหากันใช้มือปาดน้ำใสๆที่กำลังไหลอาบแก้มลงมาทิ้งไป คงไม่คิดหรอกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองจะใช่ลูกอีกคนของเขาที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตามแต่ไม่ถึงก็ถือว่าถือว่าเด็กคนนี้ เป็นคนในครอบครัว เด็กหนุ่มพูดออกมามันตรงไปซะจนแทบไม่อยากจะเชื่อ
คนเป็นแม่น้ำตาปริ่มที่ขอบตาอีกครั้งหน้าใสใสรักที่กำลังจะไหลร่วงส่วนมือขวาก็อย่าเพิ่งปิดตาไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมาดีใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนคนเป็นพ่อก็ขยับเข้าใกล้คนข้างๆให้เอนซบไหล่แล้วปลอบประโลม
ในที่สุดท่านทั้งสองคนจำได้อีกแล้วสินะผมเกือบน้ำตาซึมอยู่เหมือนกันเมื่อเห็นน้ำตาของแม่ที่อยู่ตรงหน้าได้ก็อยากจะขอเข้าเฝ้าเต็มที่แต่สถานการณ์ยังไม่อำนวยลูกค้า ต่างพากันนั่งเต็มร้านจนไม่มีที่นั่งเหลือให้ว่างแต่คุณจะมีแค่ผมเท่านั้นแหละที่คิดแบบนี้เพราะหลังจากนาทีนั้น แม่และพ่อตาพากันลุกขึ้นแล้วเดินมาขอผม ผมจึงต้องลุกตามน้ำตาก็ยังซึมอยู่ก็ไหลอาบแก้มอย่างถ้าไม่ได้โดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ผมจึงปล่อยให้มันไหลออกมาโดยไม่สนใจคนในร้านเลยแม้แต่น้อยแต่คนตรงหน้า คือคนที่สำคัญสำหรับผมของแค่นี้ถ้าทำได้ก็ทำมันไปเหอะเพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเราจะได้ทำแบบนี้อีกหรือเปล่า
อ้อมกอดที่ไม่ได้สัมผัสมานานคิดถึงมาโดยตลอดและเป็นอ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นสบายใจได้ถึงเพียงนี้ผมเห็นน้ำตาของคนตรงหน้าทั้งสองเรามาเหมือนกัน ได้ยินแม่พูดบางอย่างกระซิบข้างหูผมกลับมาหาแม่แล้วอย่าหายเงียบไปอีกนะเพราะผมได้ยินอย่างนั้นผมก็พยักหน้ารับคำพูดให้สัญญาที่ว่ายังไงก็จะไม่ทำผิดสัญญาอีกเป็นครั้งที่ 2
ผมไม่รู้ว่าคนเห็นเยอะหรือเปล่าน่าจะเยอะอยู่แล้วล่ะก็คนเต็มร้านสักขนาดนั้นคิดได้แค่ว่าสิ่งที่ผมทำมันไม่ได้ผิดไม่ต้องอายมันเป็นสิ่งที่คนเป็นลูกทุกคนต้องทำด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นผมจึงร่ำลาบุคคลทั้งสองที่เคารพเพื่อกลับไปพักผ่อนร่างกายที่ห้องหลังจากที่ผ่านกิจกรรมมาทั้งวัน
โดยก่อนจะลานั้นผมก็ไม่ลืมที่จะพูดอวยพรให้เดินทางปลอดภัย
"ราตรีสวัสดิ์นะครับ"ผมพูดด้วยรอยยิ้มเอิบหัวใจที่สุดในตอนนี้
“จะ เปอร์ก็เหมือนกันนะลูกรีบนอนรีบมาหาแม่เร็วๆนะอย่านอนดึกล่ะ” รอยยิ้มนั้นมันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมผ่อนคลายทั้งร่างกายและหัวใจไปพร้อมๆกันไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเหมือนกับพ่อแม่บังเกิดเกล้ามาก่อนจนได้พบกันอีกออมกอดนึง
แต่อ้อมกอดที่เราอยากจะใช้ชีวิตร่วมด้วยนั้น จะได้สัมผัสบ้างไหมนะ
ตลอดทางกลับหอผมเสมองทางด้านในและด้านนอกของรถในหัวข้อคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุดความสุขนี้รอยยิ้มนี้จะรักษาไว้ได้หรือเปล่าไม่สิต้องรักษาไว้ให้ได้จึงจะเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริงอีกไม่นาน ภาพแห่งความสุขก็จะครบองค์ประกอบแล้วเหลือแค่จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย
********************************************************************************************
วันนี้
ผมกวาดสายตามองด้านนอกมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มเมฆตั้งเค้า มีเปอร์เซ็นที่จะตกในไม่ช้าซ้ำกดสวิตซ์ให้บานกระจกเลื่อนลงแล้วเอามือออกไปสัมผัสอากาศข้างนอกกับสายฝนที่กำลังตกไปปอยรู้สึกเย็นทั้งที่ข้างนอกไม่มีแอร์ด้วยซ้ำข้างเย็นนี้ไม่มีผลทำให้ร่างกายจิตใจที่อบอุ่นด้านชาตัวเองแม้แต่น้อยเท่าไฟจราจรให้สัญญาณไฟเขียวผมจึงต้องเก็บมือเข้ารถเข้ามาในรถแล้วขับออกไปทันที ไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวทำให้ผมคิดต่างๆนานาแต่สิ่งที่ผมใจจดใจจ่ออย่างมากก็น่าจะเป็นเสียงของหัวใจที่บอกว่ามันจะมีสักคนไหมที่จะทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้บ้าง
จากที่ขับรถมานานนับหลายชั่วโมงตอนนี้ก็ถึงจุดหมายสักทีผมจอดรถอยู่หน้าบ้านนางหนึ่งแค่มองข้างเดียวก็รู้ว่าเป็นบ้านของใครแต่ถึงจะมีสิ่งที่เปลี่ยนไปบ้างก็เถอะ ผมก็เดินไปกดกริ่งหน้าบ้านทันที
กริ่ง!
ไม่นานคนที่อยู่ในบ้านก็ออกมาเปิดประตูรับแขกข้างนอก คนที่ผมเห็นคือพี่หมอก หญิงสาวอยู่ในชุด Private ที่ธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดางงไหมพรุ่งหน้าที่ได้รูปแถมผิวพรรณที่สว่าง เป็นธรรมดาของคนที่มีเชื้อสายจีนร่วม อยู่ด้วยพี่เมาโดยตรงมาหาผมจ้องมองผมตั้งแต่หัวจดเท้าโดยมีแค่ประตูรั้วเท่านั้นที่กั้นเราไว้ที่คอมเม้นพูดอะไรผมก็นิ่งนิ่งตอบจนกระทั่งอีกฝ่ายทนไม่ไหวจึงเลยทำ
“สวัสดีค่ะ มาหาใครคะ” เสียงก็กล้าๆเกรงๆ ที่ไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้า ถูกเผยออกมา อย่างปิดน้ำเสียงนั้นไม่มิด
“สวัสดีครับพี่หมอก” คนตรงหน้ามีสีหน้าแปลกไปทันทีที่ผมเอ่ยชื่อ รู้จักชื่อเราได้ไงเจ้าตัวคนกำลังจะคิดแบบนี้เหมือนกัน
“ผมมาหาแม่ของพี่อ่ะครับ” พี่เขาผอกหัวตอบรับที่บอกว่ามาหาใครแต่อีกใจก็ยังระแวงตัวผมอยู่
“งั้นเข้าไปรอในบ้านก่อนนะคะ” พี่เขาพูดจบก็เดินมาเปิดประตูสำหรับคนเดินเข้าออกให้แล้วนำทางผมเข้าไปในเขตของบ้าน ผมเองก็มองสำรวจทั้งซ้ายขวา แล้วพูดในใจ 12 ปีถ้าไม่เปลี่ยนไปบ้างก็คงแปลกน่าดู ถ้าไม่ใช่บ้านร้างอ่ะนะ
เดินมาได้สักพักก็ไปในตัวบ้านผมมาสำรวจในบ้านสายตากูไปอยู่ที่รูปภาพหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนตู้โชว์จึงเดินไปดูภาพถ่ายดังกล่าว หยิบขึ้นมาดูอีกครั้งเพราะมองแล้วผมก็ยิ้มอิ่มเอมหัวใจทำให้นึกถึงตอนเด็กขึ้นมาทุกทีภาพถ่ายหนังเป็นภาพถ่ายคลิปผมไทยกับครอบครัวนี้ตอนไปเที่ยวทะเลด้วยกันในตอนที่ผมอยู่กับครอบครัวนี้พวกเรา 5 คนยืนถ่ายรูปบนหาดทรายสีทองรายละเอียดสวยระราน ตา กับสีฟ้าของน้ำทะเล ที่ไส ขนาดมองเห็นผืนทรายที่อยู่ใต้น้ำเลย
ผมเคลิ้มกับการมองดูภาพถ่ายได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกเจ้าของบ้านเรียกคืนสติ
“นี่น้อง! ถ้าจะดูทำไมไม่ขออนุญาตพี่ก่อนล่ะ” เจ้าบ้านรู้สึกไม่พอใจ ที่คนแปลกหน้าถือวิสาสะดูสิ่งสำคัญของตัวเองกับครอบครัวจึงกล่าวตักเตือนแล้วว่ากล่าวที่ไม่ขออนุญาต
“ครับ” ผมพยักหน้า “ขอโทษครับ” จากนั้นจึงวางภาพถ่ายที่ใส่กรอบรูปนั้นไว้ที่เดิม
“ถ้าภาพถ่ายใบนี้พังหรือเสียหายขึ้นมาเราจะชดใช้ยังไง” พี่หมอกล่าวออกมาอย่างหัวเสีย
“ขอโทษครับ” ผมก้มหน้าส่งผิด สำนึกผิดอีกครั้ง
“รู้มั้ยภาพถ่ายนี้มันสำคัญกับพี่ขนาดไหนมันเป็นอีกความทรงจำที่พี่ไม่อยากให้มันหายไปมันทำให้พี่มีกำลังใจในวันที่พี่ท้อ” พี่หมอกร่ายยาวพร้อมทั้งบอก คุณสมบัติของแผ่นกระดาษที่อยู่ในกรอบ ถ้าเกิดมันพังหรือสูญหายขึ้นมาเจ้าตัวจะทำยังไง
“ครับ ผมเข้าใจ” ผมแอบเห็นสีหน้าพี่บอกไม่เป็นมิตรมีอคติ อย่างมากที่ผมทำแบบนั้นแล้วพูดอีกประโยคก่อนจะเดินผละออกไป
“งั้นนั่งรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่ไปตามม้าพี่ก่อน” พูดจบที่เขาก็เดินผละออกไปในทันที ข่มอารมณ์ไม่ให้หัวเสียใส่แขก
“ครับ”
จากนั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ใหญ่สุดของบ้านแต่ได้ยินเสียงเรียกม้าดังก้องไปทั่วบ้าน แล้วไม่นานคนที่ถูกเรียกชื่อก็เดินมาหาแขกพร้อมกับคนในครอบครัว
“เปอร์”
คนที่เรียกชื่อผมคือแม่ แล้วเดินเข้าสวมกอดในทันทีที่เรียกชื่อ ผมก็สวมกอดตอบกลับแล้วยิ้มให้ทำให้สองพี่น้องคู่นั้นตกใจทำอะไรไม่ถูกแล้วงงไปตามตามกันด้วย ส่วนพ่อก็รู้แล้วล่ะว่าผมเป็นใครจึงไม่สงสัยอะไรนอกจากยิ้มให้อย่างเดียวท่านใดนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายจากสองพี่น้อง ก็เอ่ยถามบุพการีของตน
“เดี๋ยวๆนี่มันอะไรกันน่ะม้า” เสียงน้องชายวัยหนุ่ม เสียงแตกเอ่ยถาม
“นั่นสิม้า เด็กคนนี้เป็นใครทำไมมาถึงเรียกชื่อเด็กคนนี้ว่าเปอร์” ความสงสัยเต็มประดาของพี่หมอกมีมากจนแสดงออกมาทางสีหน้า
แม่ผละตัวออกจากการสวมกอดผม ผมเองก็เช่นกันหันไปทางลูกสาวก่อนจะพูดอะไรออกมาท่านก็เอามือมาลูบศรีษะผมเบาเบา
“หมอกเข้าใจถูกแล้วนี่แหละเปอร์ น้องชายอีกคนของหนูไงล่ะ” คนเป็นแม่พูดกับลูกสาวก่อนจะหันมาหาผมเพื่อเป็นการยืนยัน
“หะ! นี่ พี่เปอร์หล่อม้า นี่เปอร์จริงๆหรอม้า” สองพี่น้องทานเสียงดังพร้อมกันตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
“ม้า เมฆไม่เชื่อหรอกว่าเป็นพี่เปอร์” เมฆพูดคัดค้านผู้เป็นมารดา ถึงจะไม่ได้เจอกัน 12 ปี แต่ก็ใช่ว่าเมฆจะไม่รู้นี่ว่าพี่เปอร์จะเป็นยังไง พอพูดความเป็นไปได้หมดเสร็จสรรพ นี่ก็หันมาจ้องมองผมแทน
“ใช่ๆ” พี่หมอกกอดอกพูด
ตอนแรกมาก็คิดเหมือนกับเมฆนั่นแหละ แม่เองก็พูดออกความเห็นบ้าง แต่มาว่าเปอร์ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นหรอก ประโยคสุดท้ายแม่ก็หันมาทางผมแล้วกระพริบตาข้างเดียวให้แล้วยิ้มให้อีกครั้ง
“ถอดหน้ากากออกได้แล้วมั้งลูก” แม่ยิ้มให้ผมเปิดเผยตัวตนที่ซ่อนอยู่แต่ยิ่งทำให้สองพี่น้องงงเข้าไปอีกเต็มขั้น
ผมเองก็ไม่รู้ว่าแม่รู้สิ่งนี้ได้ไงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องทำตามที่แม่บอกคงจะไม่เป็นอะไรหรอกครอบครัวนี้เป็นกี่ครอบครัวที่ผมไว้ใจที่จะไม่เปิดเผยความลับของผมจะยังไงก็ตามผมก็คิดที่จะบอกพวกท่านอยู่แล้วถึงแม้ว่าแม่จะไม่ถามก็ตาม
เป็นไงเป็นกันวะ
ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะพูดเรื่องต่อจากนี้
“ครับแม่ รอผมสักครู่นะครับ” พูดจบผมก็ก้าวเท้าออกจากบทสนทนานี้เดี๋ยวขึ้นไปบนบันได ก่อนจะเอี่ยวตัวหันหลังมาพูดกับน้องชายตัวแสบขณะหยุดอยู่บนบันได “เมฆที่ขอใช้ห้องน้ำเมฆนะ”เจ้าตัวก็ผงกหัวรับ ทั้งที่ยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำ สงสัยยังงงอยู่แน่เลย
จากนั้นไม่นานก็เดินเข้าห้องน้องชายก่อนจะถอดเสื้อผ้าทั้งหมดลงพื้นจัดการธุระให้สรรพเสร็จเรียบร้อย แล้วรีบลงไปพบกับคนข้างล่างที่รอดูคำตอบฟังคำตอบ คนที่พี่น้องคู่นั้นจะอารมณ์เสียไปซะก่อน
30 นาทีในการที่ผมชำระล้างร่างกาย ล้างเครื่องสำอางที่ปกปิดร่างกายที่แท้จริงออกจนหมดจดจนไม่เหลือสิ่งที่บอกว่าเป็นเบอร์เมื่อชั่วโมงที่แล้วให้เห็นอีกต่อไปใครจะรู้แล้วว่า ถึงข้างนอกจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนแต่ข้างในก็อยากจะรู้เหมือนเดิมอยู่
พอทำทุกอย่างเสร็จผมก็มุ่งตรงไปยังห้องรับแขกที่อีกครอบครัวหนึ่งนั่งรอกันอยู่รอมร่อ พ่อผมเดินเข้าไปเท่านั้นแหละทุกคนต่างตกใจดวงตาจ้องมองผมในกระพริบ อาจจะไม่คิดด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ตรงหน้า กับคนที่พูดบอกว่า คือเปอร์ จะเป็นคนๆเดียวกัน
แต่ผมกลับยิ้มให้กับพวกเขา มี่หมอกกับแม่ลุกจากที่นั่งแล้วเดินมาสำรวจผมจับแขนจับตัว ให้หมุนเหมือนผมเป็นตัวอะไรสักอย่าง แต่ผมก็ทำตามที่บอกทุกอย่างอย่างว่าง่ายโดยไม่ขัดอะไร หันสบตากับพ่อที่นั่งอยู่บนโซฟา ท่านเองก็ตกใจไม่ต่างจากทุกคน แต่ก็ไม่พูดอะไร เหมือนจะให้ผมเป็นคนพูดเองมากกว่าที่จะถาม ส่วนน้องชายก็กำลังกดชัตเตอร์ถ่ายรูปผมแบบรัวๆ เพราะเจ้าตัวก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ยัง ไง ความจริงก็คือความจริงจึงยอมจำนน ก่อนจะอ้าปากพูด พี่หมอกก็แทรกขึ้น มาซะก่อน
“เปอร์หรอเนี่ย! พี่ไม่อยากจะเชื่อเลย” พี่หมอกพูดพลางให้ผมหมุนตัวเพื่อให้แน่ใจ “พี่จำแทบไม่ได้ โตขึ้นเยอะเลยนะเรา พี่บอกยังไม่เลิกยุ่ง กับร่างกายของผม
“หล่อมากเลย แม่จำคนที่แม่เห็นเมื่อกี้ไม่ได้แล้ว” แม่พูดติดตลกและหัวเราะทำไมคนที่อยู่รอบรอบระเบิดเสียงหัวเราะไปต่างๆกัน ในขณะที่เราทุกคนต่างหัวเราะกันอย่างนั้นก็ได้ยินเสียงเข้มดังขึ้นขัดจังหวะเสียงหัวเราะจนทำให้พวกเราหยุดหัวเราะแล้วหันไปมองต้นเสียงที่ทำหน้าสงสัย
"พ่อว่าเราเข้าประเด็นก่อนดีกว่านะเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน ไม่ได้ทำอะไรพอดี ถ้าหากสองคนนั้นยังลูบๆคลำๆอยู่อย่างนั้น" พอพ่อพูดขึ้น มันทำให้ผมกับก็สุขความคิดที่ว่าเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ เป็นเหตุผลหรือข้อแก้ตัวกันแน่
ผมนั่งตรงโซฟาที่ว่างซึ่งคนที่นั่งข้างๆจะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากพี่น้องคู่นี้ไปที่โซฟาอีกตัวพ่อกับแม่กำลังนั่งอยู่ท่านจ้องมองหน้าผม จดจ่อรออยู่กับใบหน้าผมว่า ที่จะพูดอะไรออกมา แต่ผมกับก้มหน้าลงไม่กล้าสบตามือไม้สั่นไปหมดทั้งที่เตรียมคำตอบที่จะพูดมาแล้วแท้ๆแต่ทำไมเมื่อถึงเวลากลับไปอีกอย่างแทน
กังวลเอาอย่างมากไม่กล้าพูดไม่กล้าสบตาไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อคนมีครอบครัวกลัวว่าเขาจะคิดอีกแบบมันอย่าพึ่งไปหมดเหลือก็เริ่มพูดขึ้นทั้งที่อากาศภายในบ้านก็ยังเย็นสบายอยู่เลยสักชนมาบตะพุดดีหรือเปล่าแต่ก่อนที่ผมจะคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ก็มีมือสองมือยื่นมากุมมือผมทั้งสองจะห่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจก็คือ มันมีสองมือมากุมด้วยตอนนี้กลายเป็น4ีมือ กำลังกุมมือผมเอาไว้ แขวงไปด้วยความห่วงใยกำลังใจและการยอมรับ ซึ่งเมื่อผมหันมองสบตาก็รู้ทันทีว่า สี่มือที่ว่านั้นมันไม่ได้มาจากคนสองคนแต่กลับมาจากบุคคลทั้ง 4 ที่นั่งอยู่ในห้องผมรับรู้ได้ถึงสิ่งที่บุคคลทั้ง 4 ส่งมาให้แล้วเงยหน้าขึ้น ตั้งสติก่อนจะพูด
ก้มหน้าสูดอากาศเข้าไปอย่างเต็มปอดพลางถอนหายใจออกมาเป็นระลอกระลอก บอกเป็นนัยๆว่า พร้อมที่จะพูดแล้ว
“ที่ผมทำแบบนี้นะผมมีเหตุผลนะครับ ไม่ใช่ว่า แค่อยากแกล้งคนอื่นเล่นเฉยๆ อยากให้พ่อแม่ พี่หมอก เมฆ ฟังให้ดีๆก่อนที่จะมองผมเป็นอีกแบบนะครับ” พูดเกริ่นไปแค่นิดเดียวความกลัวก็แผ่ส่านไปทั่วร่าง จนทำให้ทั้งร่างของผมสั่นไม่หยุด แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครพูดขัด ทุกคนกำลังตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่ๆ “ คือ...” ผมเอ่ยค้างตาหลบต่ำลงได้สักพักก็ได้ยินเสียงแล้วถึงพูด
“ไม่ต้องเกรง หรือกลัวอะไรนะเปอร์ แม่บอกแล้วไงเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าจะยังไง เราก็จะไม่ทิ้งกัน” แม่พูดจบก็ยิ้มกว้างเชิงให้กำลังใจ คนเงยหน้าแล้วพยักหน้าอย่างเราต้องกุมมือเข้าหากันแน่นเพื่อที่ว่าเหตุผล
มีต่อนะ...
การรอคอยอะไรก็ตาม ช่างเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก พร้อมทั้งพิมพ์จากข้าวที่ทานเมื่อครู่ ทำให้ตอนนี้ท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน หาววอดวอดเข้าไปทุกที
“เพื่อนมึงมายังวะ” ชามถามพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ
“ไม่รู้ว่ะ”
“แชทไปถามมันดื๊ ไม่งั้นก็โทรหามันเลย” ชามบอก “เดี๋ยวจะถึงคาบเรียนช่วงบ่ายก่อนนะมึง” แล้วกล่าวเตือนในภายหลัง
“เออๆ” พอเอ่ยอิดออดออกไป มือก็เอื้อมไปหยิบ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา ทำตามที่เพื่อนตัวดีสั่ง แต่โดยดี
แชทไปไม่ถึง 10 วินาที ปลายสายก็ตอบกลับ
มึงอยู่ไหน
รีบมา
ไม่งั้นกูจะกลับไปเรียนก่อนนะ
อยู่ใต้ถุนแล้ว
มึงอยู่ไหน
ไหนวะ
พอเห็นข้อความที่ส่งมา ผมยืดตัวขึ้นแล้วหันมองรอบๆ ไม่นานก็เห็นมันทันทีเด่นซะขนาดนั้นหาไม่ยากหรอก
เห็นแล้วๆ
เดี๋ยวกูเข้าไปหามึงเอง
ไหนๆ
ผมไม่ยอมให้มันเข้ามาหาเพราะยังไงในอนาคตมันอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่จะคุมความรักของผมเอาไว้ในกลุ่มเพื่อนนะแต่ไม่รู้ว่าใครจะรู้อีกบ้างและยังรู้อีกว่าตัวจริงผมเป็นใครแต่มันก็แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น อย่างน้อยก็จนกว่าผมจะถอดหน้ากากนี้ออก
พอเห็นผู้ชายที่หน้าตาคล้ายๆไอ้อาร์ม จึงรีบเดินเข้าไปหาอย่างเร่งรีบโดยเร็ว ผมยื่นมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายที่กำลังมองหาผมเอาไว้แล้วพาจูงไปในที่ๆ ไม่เป็นที่สนใจของผู้คน ซึ่งนั่นเป็นร่มไม้ข้างตึกที่คนไม่ค่อยไปนัก แต่มันเป็นที่สูบบุหรี่เนี่ยสิ ยิ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ชายเยอะที่สุดในม. ยิ่งไว้ใจไม่ได้ ร้อยละ 90 ของผู้ชายคณะนี้ต้องเป็นคนที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว ถึงจะไม่ชอบที่ที่แบบนี้ แต่คงฝืนยืนอีกนานแหละ
เอาวะ! ยังไงเราก็ต้องทน ความอดทนที่หนักหนากว่านี้เราก็เคยผ่านมาแล้ว
ไม่รู้ว่าจะมีคนมาเห็นตอนไหนต้องรีบเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้อีกฝ่าย ฟังก่อนแล้วค่อยมาอธิบายทีหลังแล้วกัน
ถึงที่หมายผมก็เหลียวหน้าเหลียวหลังกวาดสายตามองรอบๆ เผื่อมีคนมาดูความรับเข้าและเห็นว่าไม่มีใครมา ผมจึงหันหน้ามามองอีกฝ่ายเริ่มเข้าประเด็น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังงงอยู่ เพราะสีหน้าแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าคนข้างหน้าเป็นใครแล้วทำไมถึงพาเขามาที่นี่
“เอ่อ...” ไอ้อาร์มเอ่ยขึ้นติดติดขัดขัดๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี เนื่องจากถูกลากมาโดยไม่รู้สาเหตุ ผมจึงเอ่ยแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมา
“มึงจำกูได้ป่ะ” ผมชะโงกหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ถ้าหากมันอยู่ใกล้ๆมันอาจจะคิดออก แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มหน้าเจื่อนแล้วก้าวถอยหลังไปทีละนิด
“จำไม่ได้หรอก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายเป็นใคร” สีหน้าบ่งบอกได้ชัดว่าจำไม่ได้ ผมนี่ถึงกับมองบน จากนั้นจึงก้มลง ถอดแว่นที่อำพรางใบหน้าเอาไว้ออก แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
“แล้วแบบนี้ล่ะ จำกูได้ไหมวะไ ผมถามย้ำอีกรอบ เผื่ออไม่มีแว่นตากรอบหนาสีดำนี้ มันจะจำได้
“เอ่อ...คือ...” มันยังคงทำหน้าสงสัยอีกครั้งพลางใช้นิ้วชี้ข้างหลังหูแก้เก้อ
“มึงลองมองดูดีๆดิ๊ กูว่ามึงทำกูได้นะ” ผมเริ่มขึ้นเสียงกับมัน ทั้งที่ทำขนาดนี้ยังจำไม่ได้อีก อารมณ์ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะดีนะ แต่อีกฝ่ายกลับขยับเข้าใกล้ผมเลยเรื่อยๆ ผมเห็นแบบนั้นก็เริ่มที่จะถอยหลังให้ห่างจากคนตรงหน้า ทันใดนั้นอีกฝ่ายก็ตะโกนเสียงดัง
“ฮึ่ย! เปอร์! นี่มึงใช่ป่ะ” อีกฝ่ายทำเสียงสูง บีบหน้าผมเข้าหากัน
“...” ผมก็พยักหน้าตอบรับ
“จริงๆหรอวะ” พูดจบมันก็ยิ่งบีบก็หากันอีกจนผมไม่สามารถพูดออกมาได้
“เออ ปล่อยกูสักที” ผมพูดเสียงบุ๊จากการที่ถูกบีบหน้าเข้าหากัน
“โทษๆ” ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมวางมือ ทำให้ผมได้มีโอกาสสูญหายใจเข้าทาง ถอนหายใจในภายหลัง
อีกฝ่ายมองสำรวจร่างกายผม ตั้งแต่หัวจดเท้า เหมือนกับครั้งแรกที่เราเจอกันแล้วทำหน้าแปลกๆ
“มึงไปทำอะไรมาวะ” เจ้าของเสียงเอ่ยถามพลางมองสำรวจอีกรอบ
“เอาน่า” ผมตบข้างหัวไหล่อย่างสนิทสนม “ไว้ค่อยอธิบายทีหลังแล้วกัน ถ้าจะอธิบายถึงตอนเย็นก็คงไม่จบหรอก” อีกฝ่ายพยักหน้ารับพลางเอามือมาขยี้กลุ่มผมของผมด้วยรอยยิ้มที่สมกับเป็นเจ้าตัวจริงๆ ผมจึงจับมืออีกฝ่ายออกก่อนที่จะยุ่งไปมากกว่านี้
“มาคุยกับกูแค่เนี๊ย!!!” ไอ้อาร์มถามกับเสียงสูง ไม่รู้ว่ามันต้องการคำตอบแบบไหน จึงได้แต่พยักหน้าไป
“เชี่ย! เกือบลืม!” ผมมองซ้ายมองขวาหาของที่แม่ให้ไอ้อาร์ม ฝากมาไม่เห็น ก็นึกขึ้นได้ว่า ฝากชามไว้ที่โต๊ะอีกที
“อะไรวะ” อีกฝ่ายถามพร้อมกับมองหาของฝากเหมือนกับผม
“มึงรออยู่ตรงนี้แป๊บนะ เดี๋ยวกูไปเอาของก่อน”
ก่อนจะวิ่งด้วยความเร็วเต็มสปีช ผมก็ลืมที่จะหันมาย้ำกับอีกฝ่ายว่า 'ห้ามไปไหน' แล้วจึงวิ่งไปให้ถึงโต๊ะที่ชามนั่งอยู่ให้เร็วที่สุด เพราะเวลาในคาบบ่ายจะเริ่ม ในอีกไม่ถึง 20 นาที ข้างหน้านี้แล้ว โดยไม่ลืมที่จะสวมแว่นที่ถอดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง
พอถึงโต๊ะ ชามก็เงยหน้ามามองจากที่นั่งเขียนโทรศัพท์ไปมาแล้วถาม
“มึงไปไหนมา”
“เดี๋ยวกูมาตอบนะ ตอนนี้กูขอของไปให้เพื่อนก่อน” ผมไม่ได้หยิบถุงที่เป็นหูหิ้วมารวมรวมกัน แล้วยกมาถือด้วยมือทั้งสองข้าง
“อ่าๆ”
“เอานี่” ผมยื่นแว่นตาคู่ใจไปฝากไว้กับชาม
“อะไร" ชามงงกับสิ่งที่ผมยื่นให้
“กูฝากหน่อย” ไม่ทันที่ชามจะพูดอะไร ผมก็วิ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ทางด้านไอ้อาร์มก็นั่งรออย่างสบายใจเฉิบยิ้มหน้าระรื่นอีกนะมึง
“แฮกๆ มึง...” ผมกะจะพูดต่อแต่ดันขาดช่วงไป เพราะความเหนื่อยที่วิ่งไปวิ่งมา เลยทำให้พูดออกมาได้แค่นั้นต้องพักหายใจก่อนอ่ะนะ
มือของผมวางของที่ถูกบรรจุในถุงลง การใช้มืออีกข้างเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออกไป อีกครั้งก็ควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงข้างหลัง แล้วเช็ดในทันที ก็ยังดีที่เครื่องสำอางไม่หลุด ยี่ห้อไหนติดทนนานจริงๆ
“ทำไมรีบจังวะ”
“ไม่รีบได้ไง กูมีเรียนตอนบ่ายอีก”
“เออ เข้าใจ แต่ก็ไม่น่ารีบแบบนี้เลยนี่ เกิดหกล้มขึ้นมาใครจะมาช่วยกันล่ะ” มันพูดด้วยความเป็นห่วง มันเป็นอะไรของมันวะ วันนี้มาแปลก ดูห่วงใยผมเกินคำว่า ‘เพื่อน’
“บ่นจังนะพ่อ ถ้าคณะมึงกับคณะกูห่างกันไม่กี่ก้าว ก็คงไม่รีบขนาดนี้หรอก”
“ครับครับ” ไอ้อาร์มตอบกลับอย่างว่าง่าย
“เอานี่! ของมึง” พูดจบผมก็ยื่นถุงปริศนาให้อีกฝ่ายไป แล้วมันก็ยื่นมือมารับพลางเปิดดูของในนั้นทันที
“แล้วของมึงล่ะ แม่กูบอกว่าฝากให้มึงด้วยนิ”
“กูแยกเอาไว้ก่อนแล้ว”
“จริงดิ ไม่ใช่ว่าหยิบฉวยเอาของกูไปหรอกนะ” ประโยคสุดท้ายทำให้ผมถึงกลับมองบน มึงกล้าพูดได้ไง กูไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้น แต่ก็นิดนึงแหละ
หลังจากมันพูดจบก็เข้ามาพูดใกล้หูผม แถมหน้ายังห่างกันไม่กี่เซนอีก ลมหายใจที่หายใจออกรดต้นคอและข้างหูทำให้ผมขนลุกซู่
น่าขนลุกชิบหาย
“กู... กูจะทำแบบนั้นทำไมวะ ไม่อิ่มก็ซื้อใหม่ได้นิ” ผมพูดตะกุกตะกัก เพราะยังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“นั่นสินะ” มันพูดราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรพลางถอยหลังจากผมออกทีละก้าว
ในนาทีนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาหาไอ้อาร์มด้วยมาความเร็วแสง
“อาร์ม” เสียงของบุคคลปริศนานั้นคือเนท “มึงมาทำอะไรที่นี่วะ” เนทเอ่ยถามทีนทีที่เห็นไอ้อาร์มยืนยืนกับคนต่างคณะ
“คือกูมา...” ไอ้อาร์มพูดไม่จบประโยค เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ชี้เข้าหาตัวเองกับตัวผม
เนทเองก็หันมองคนต่างคณะที่ไอ้อาร์มชี้เข้าหา ถึงกลับตกใจดวงตาแถบจะถลนออกมา
“อ๊าว! เปอร์ มาทำอะไรที่นี่อ่ะ” อีกคนเอ่ยถามอย่างสงสัย ขมวดปมคิ้วเข้าหากัน
“คือ...”
ผมเป็นเหมือนไอ้อาร์มตอนที่เนทถามเลย ไม่รู้จะตอบยังไงดี ด้วยความที่รีบอยู่แล้ว จึงคิดที่จะออกจากสถานการณ์นี้ทันทีโดยเร็ว ว่าจะไม่ให้คนอื่นนอกจากเพื่อนผมรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับไอ้อาร์มแล้วแท้ๆ ดันมีคนมารู้เข้าซะได้ ถ้าหากเป็นคนอื่นผมว่าจะไม่กังแบบนี้หรอก แต่นี่ดันเป็นคนที่ผม...
เรื่องวุ่นๆจะต้องตามมาทีหลังแน่ๆ
“มึง กูไปก่อนนะ แล้วเจอกัน” ผมโบกมือผายลาอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าตัวก็พูดเหมือนกับผมและโบกมือตาม
ซึ่งก่อนที่ผมจากไปจากบทสนาเมื่อครู่ ผมได้ยินเนทถามไอ้อาร์มด้วยว่า ‘มึงกับเปอร์เป็นอะไรกัน’
จากที่ต้องเดินกลับมาเอาของที่โต๊ะและจะได้ไปเรียน กลับกลายเป็นว่า เพื่อนอีกคนหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมจึงโทรไปหาอีกคนที่พูดถึง นางบอกว่า ‘นางไม่อยู่รอ เพราะขี้เกียจรอ แค่นี้แหละเหตุผล จบป่ะ’ ดูมีความเป็นเหตุเป็นผลอย่างมาก ก่อนจะวางสาย ชามบอกให้ผมไปเรียกทรายที่อยู่ใต้ถุนตึกวิศวะมาด้วย ซึ่งนางรออยู่รถแล้ว ย้ำด้วยว่า ‘เร็วๆ’
ระหว่างที่คุยกับชามผมก็เหลียวมองรอบรอบให้ทั่วอย่างเร็วมองซ้ายมองขวาอยู่สักพัก ก็เจอสิ่งที่ตามหาซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งคุยกับผู้ชายอย่างออกรส ผู้ชายพวกนั้นดิบเถื่อนสะด้วยสิ หรือว่ามองผิดไปเองว่ะ แต่พอไม่มีแว่นแล้วมันดูอย่างกับโลกมันกลับตาลปัตร เห็นแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้ที่ทรายเข้ากับคนอื่นได้ง่าย จนรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทุกขณะ
ผมเดินเข้าไปหาตัวที่ทรายกำลังนั่งสนทนา ตอนนี้ในหัวมีแต่เรื่องเรียนและเรื่องที่อิจฉามาปะปนกัน จนทำให้ผมเกิดคิดทำอะไรบ้างขึ้นมา
ตุ๊บ!!!
เสียงตบโต๊ะตรงหน้า ดังสนั่นจนทำให้โต๊ะข้างๆแถวนั้น เหลียวมามองที่โต๊ะที่ผมใช้มือตบลงไป จะว่าไปก็เจ็บเหมือนกันนะ จนทำให้ตอนนี้กลายเป็นจุดสนใจของชาวคณะวิศวะและผู้ที่เดินผ่านเป็นอย่างมาก
น่าอายชิบหาย กูทำลงไปได้ไงวะ
เหล่าชายที่นั่งโต๊ะนั้นหันมามองทันทีที่ผมตบโต๊ะ งงกับการกระทำของผม ทำหน้าสงสัยไปต่างๆกันและถูกสายตาเพ่งเล็งจากคนในโต๊ะทุกคน ก่อนที่ผมเอ่ยเรียกเพื่อน
“ทราย มัวแต่คุยกับผัวอยู่นั่นแหละ ไปเรียนกันได้แล้ว” ผมตะโกนเรียกชื่อเพื่อนออกไป อย่างกับคนเมาเลยกู แต่นั่นยิ่งทำให้คนที่ นั่งร่วมโต๊ะทำหน้าหูเข้าไปอีก งงอีกรอบ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร
“นี่มึงจะไม่ไปเรียนใช่มั้ย” ตะโกนถามออกไปอีกครั้งแต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือความเงียบ ก่อนที่ผมจะตะโกนอีกรอบก็ได้ยินเสียงคนหนึ่งพูดขึ้นจากทางด้านหลัง
“เปอร์ มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย!” ทรายเข้ามาห้ามก่อนที่ผมจะโดนตีนพวกที่ผมไปตะโกน "แว่นก็ไม่ใส่ ขอโทษนะคะพี่ คือเพื่อนหนูมันสายตาสั้นอ่ะค่ะ มันอาจจะมองผิดไปบ้าง ยกโทษให้มันด้วยนะคะ” ทรายร่ายยาวพร้อมกับว่าผมไปด้วย แล้วก้มขอโทษรุ่นพี่ตรงหน้า โดยไม่ลืมที่จะจับหัวผมให้โค้งเหมือนตัวเองทำอยู่พลางทำปากมุ๊บมิ๊บ บ่นผมซะยกใหญ่ จนไม่รู้ว่าพูดอะไรบ้าง
“นี่ไม่ใช่โต๊ะของมึงกับแฟนหรอ” ผมถามออกไปอย่างไม่รู้ ยังไม่รู้สึกผิดด้วยซ้ำ
“ก็ไม่น่ะสิ! มึงนี่ล่ะก็” อีกฝ่ายด่าผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ กูถูกคนรอบข้างคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย
พอได้รู้ว่าตอนที่ผมไปอาละวาดใส่เมื่อครู่ ไม่ใช่เพื่อนตัวดี ผมถึงกลับหน้าซีด เหงื่อแตกพร่าเลยทีเดียว มือไม้ก็สั่นไม่หยุดดด้วยความกลัว เมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นรู้ที่วิศวะทั้งแก๊งเลย
พอถึงคราวซวย ทำไมถึงซวยได้ใจอย่างนี้ว่ะ แม่ง!
คงไม่โดนตีนพวกพี่เขาใช่ไหมเนี่ย...
TBC...
*******************************************************************************************************************************
มาเล้วครับ มาแล้ว ว่าจะเขียนไม่ยาวแต่ดันยาวซะได้
ต้องขอโทษที่ผิดนัดนะครับ อาทิตย์หน้ารอติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
อาจจะอัพ 2 ตอนนะ ถ้าคนเขียนปั่นงานทันนะ
:katai4:
ผมก้มลงหยิบไม้กวาด และที่ตักผง มองดูบริเวณที่จะทำ ถึงกลับอุทานออกมาพร้อมกับบ่นกับตัวเอง 'แม่ง! แค่ตะโกนใส่แค่นี้ ถึงกลับต้องให้ทำแบบนี้เลยหรอวะ' จากที่เคยอยู่สบายๆ ไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้ กลับต้องมาทำหรอเนี่ย!
ผมน่ะก็ไม่อะไรเท่าไหร่หรอก เคยทำมาก็จริงแต่นั่นก็นานมาแล้ว ตั้งแต่ที่ครอบครัวผมตั้งตัวได้ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้อีกเลย อย่างมากก็แค่ทำอาหาร ส่วนงานบ้านก็ให้แม่บ้านทำ พอทำความสะอาดได้สักพักก็ได้ยินเสียงตะกุกตะกักคล้ายกับมาคนวิ่งเข้ามา จึงเงยหน้ามองหลังจากที่ก้มปัดฝุ่นใส่ที่ตักผง ภาพที่เห็นเป็นผู้ชายร่างสูง ผิวพรรณดูโอเค คล้ายคนที่เรารู้จัก แต่ว่าคนที่เรารู้จักจะมาทำอะไรที่นี่ เวลานี้ล่ะ จึงก้มหน้าตั้งหน้าตั้งตาลงทำความสะอาดต่อ เพราะผมเงยหน้าดูแค่ผ่านๆ ภาพที่เลยก็เลยออกมาแบบเบลอหน่อยๆ ผมก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก
เสียงฝีเท้าคนเดินกำลังเดินเข้ามาหาผม แต่ผมกลับไม่สนใจเสียงนั้น เพราะกำลังใจจดใจจ่อกับงานตรงหน้า ผมรู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใช้นิ้วสะกิดไหล่ของผม จึงเอี้ยวตัวเองด้านหลังมือก็กำลังถือทั้งไม้กวาดและที่ตักผง ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นผู้ชายรูปร่างสูง หน้าตาดี รอยยิ้มที่ทำให้ทุกคนอยากยิ้มตามเวลาสบตากับเหงื่อที่ผุดที่ใบหน้า ซึ่งผมก็ไม่ต่างกัน แต่การกระทำกลับทำให้ผมตั้งตัวไม่ติด
คนตรงหน้าคือ เนท นักศึกษาปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ คนที่เคยช่วยเหลือผมไว้ครั้งก่อน ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าตัวมาทำอะไรที่นี่ตอนนี้ ผมนิ่งค้างอยู่นานจนอีกฝ่ายเอ่ยเรียกสติ
"อ้าวเปอร์ มาทำอะไรที่นี่อ่ะ" เนทเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร
"เอ่อ...คือ..." ผมก้มหน้าพลางเกาหัว "เอาความจริงหรือความเท็จอ่ะ"
"เอาความจริงดิ" พอเนทพูดจบ ผมก็หน้าเจื่อนทันที "เราว่าคำโกหกไม่เหมาะกับเปอร์หรอกนะ" อีกฝ่ายยังยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่เราก็กำลังโกหกนายอยู่แล้ว
"นั่นสินะ แต่เราว่ามันก็ไม่เสมอไปหรอก คนเราจะไม่มีสักครั้งเลยหรือไงที่จะไม่โกหก" ผมพูดทั้งที่ยังก้มหน้าสมเพชตัวเองที่โกหกคนรอบข้างอยู่แบบนั้น
"ก็จริงนะ แต่เราไม่อยากให้เปอร์โกหกเลย ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าโกหกเลยนะ" ทำไมถึงไม่อยากให้กูพูดโกหกวะ หรือว่า... ไม่หรอกเขาคงพูดแบบนี้กับทุกคนนั่นแหละ
"เราจะพยายามแต่ไม่รับปากหรือสัญญาหรอกนะ" ผมพูดเสียงแผ่ว เพราะคงรักษาไว้ไม่ได้แน่ๆ
"ทำไมอ่ะ"
เนทยื่นหน้าเข้ามาจนใบหน้าห่างหันไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ผมต้องก้าวถอย ใครจะไปรู้ล่ะว่าข้างหลังมีที่ตักผงตั้งอยู่ ผมเผลอเหยียบมุมจนทำให้เกือบจะล้มหงายหลังกองกับพื้น ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากคนตรงหน้าซึ่งยื่นมือมาจับผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะลงไปนอนกองกับพื้น
กำลังแขนเนทดีมากจนเห็นความเกรงแขน เส้นเลือดตามแขนก็ปูดโปนขึ้นเช่นกัน ขนาดใช้แค่แขนเดียวยังยื้อไม่ให้ผมล้มลงได้ ผมล่ะทึ่งกับปฏิกิริยาที่รวดเร็วของคนตรงหน้า
หรือว่ากูผอมไปเขาก็เลยใช้แรงไม่เยอะ
และนาทีต่อจากนั้น แทนที่เขาจะพยุงให้ผมยืนได้ แต่เขากลับดึงผมเข้าไปใกล้ชิดกับแผงอกแกร่งตรงหน้า หน้าผากผมชนกับเข้าแผงอกนั่นแนบอยู่แบบนั้น จนได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ จนผมต้องยกมือคลำหน้าผาก แล้วผลักคนตรงหน้าให้ออกห่าง
“นายทำอะไรของนาย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ อย่าเต้นนักสิวะหัวใจ กูยังไม่อยากรักใคร ยังไม่อยากพบกับความเสียใจ ยังไม่อยากเจ็บ ขอทีเถอะ
หวังว่าหน้ากูจะไม่แดงจนคนตรงหน้าสังเกตเห็นนะ
“ก็กลัวว่าจะล้มไง” เนทพูดอย่างสบายใจ ราวกับไม่มีเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“ไม่ต้องดึงแรงขนาดนั้นก็ได้มั้ย” เสียงพูดของผมแผ่วลงเมื่อจะจบประโยค
“ขอโทษๆ เราไม่รู้ว่าจะทำให้เปอร์ตกใจแบบนี้” คนตรงหน้าก้มหน้าสำนึกผิด “แล้วที่ถามล่ะ เมื่อไหร่จะตอบซักที” สำนึกผิดได้ไม่กี่นาที เนทก็เงยหน้าขึ้นถาม
“ถามอะไร”
“ก็...ไอ้เรื่องที่จะพยายามไม่โกหกอ่ะ” อีกฝ่ายพูดพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ ยังจำได้อีกหรอวะ แต่มันก็ผ่านมาแค่ สองสามนาทีเองนี่นา จำได้ก็คงไม่แปลกหรอก
"ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ เราก็มีเหตุผลของเรา แต่ก็อยากให้คนใกล้ตัวเข้าใจเราด้วย" เสียงที่หนักแน่นของผมจนทำให้อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"เราเข้าใจนะ" เนทยังแสดงรอยยิ้มแบบเดิมให้ ไม่รู้เหมือนกันนะว่า เวลาได้เห็นรอยยิ้มนี้ทีไร ผมกลับสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
"เราว่ามันเข้าใจยากกว่าที่คิดนะ ก็ไม่ได้ต้องการให้เข้าใจความรู้สึกเราหรอก ขอแค่เข้าใจเหตุผล" อย่างที่พูดแหละ ผมไม่สามารถทำให้ทุกคนเข้าใจเราได้หรอก
"โหหหหห ดราม่าไปอี๊ก" เนทพูดกวนประสาทเพื่อให้ผ่อนคลายอารมณ์ แล้วใครมาบิ้วให้กูเป็นแบบนี้ล่ะ
"แค่อยากระบายอะไรบางอย่าง ขอถามอะไรหน่อยสิ" อีกฝ่ายทำสีหน้าสงสัยทันที
"ตามบายเลย" ช่างเป็นคนที่ยิ้มเก่งจริงๆ
"เนทเกลียดคนโกหกป่ะ" ผมจ้องมองโครงหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่กระพริบตา รอคอยคำตอบที่อาจจะทำให้ผมเลิกทำแบบนี้เสียที ถ้าหากมีใครรักที่ผมเป็น แต่มันก็มาไกลกว่าที่ถอยหลังกลับแล้วล่ะ
"เกลียดสิ เราว่าไม่ใช่แค่เราหรอกที่ไม่ชอบ คนอื่นก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน" อีกฝ่ายพูดจบรอยยิ้มก็หายไปทันที
"ทำไมอ่ะ"
"ไม่รู้สิ มันเหมือนไม่มีความจริงใจต่อกัน ไม่ว่าจะความสัมพันธ์แบบไหนก็ตาม" เนทพูดพลางเงยหน้ามองไปข้างบน บรรยายความรู้สึกได้เป็นอย่างดี
"นั่นสินะ" ผมก้มหน้ามองต่ำ นึกถึงวันหนึ่งที่คนรอบข้างรู้ความจริงเข้า เขาจะมองเรายังไง
"เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูเศร้าๆ " อีกฝ่ายคงจับสังเกตสีหน้าผมได้ ถึงได้ถามออกมา
"เปล่า" ผมส่ายหน้า
"มีอะไรก็บอกเราได้นะ" คนตรงหน้าบอกด้วยความเป็นห่วง
"อืม"
ผมพยักหน้ากลับไปกับรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจอย่างที่สุด มันทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ไม่ว่าคนอื่นจะคิดหรือว่ายังไง ผมก็จะเดินหน้าต่อไปเพื่อพิสูจน์ความสงสัยนี้ ขอแค่คนที่ผมรักไม่คิดแบบคนพวกนั้นก็พอ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีที่พึ่งให้พักในยามล้มแน่
"แล้วนี่ทำอะไรอ่ะ" เนทถามตัดบทพลางมองอุปกรณ์บนมือกับพื้น
"ก็ถูกพี่ว๊ากแกล้งนิดๆหน่อยๆอ่ะ" เผลอพูดออกไปจนได้อุตส่าห์เตรียมคำไว้อย่างดี พังหมดเลยที่คิดไว้ เขาจะหาว่าผมปลักปลำคนอื่นป่าวเนี่ย
"ไม่หน่อยแล้วนะ แล้วพี่ว๊ากคณะแพทย์หรอ" โล่งอก อย่างน้อยเนทก็ไม่แสดงสีหน้าว่าผมใส่ร้ายใคร
"เปล่าหรอก วิศวะอ่ะ" คนตรงหน้าแสดงสีหน้าทันที
"หะ!" เนททำสีหน้าตกใจ ตาแถบถลนจากเบ้า ปากก็ยังค้างอยู่อย่างนั้น "แล้วไปทำอะไรอิท่าไหน ถึงได้ถูกแกล้ง" เขาถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
"ก็ตะโกนใส่พี่เค้าเมื่อวานนี้อ่ะ"
"อ๋ออออ" เนททำสีหน้าเข้าใจทันที "ที่ใต้ถุนอ่ะนะ"
"อืม" ผมพยักหน้ารับ "ว่าแต่ รู้ได้ยังไง" ผมถามกลับทันที เพราะเท่าที่ผมรู้ เนทไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แน่หรือเปล่า ตอนนั้นก็สายตาสั้นด้วยสิ อาจจะเป็นไปได้
"ก็ได้ยินมาอ่ะ" ว่าแล้วชียว
"คงโด่งดังข้ามคืนเลยสินะ" เสียงผมแผ่วลงอีกครั้ง ข่าวแพร่กระจายไปเร็วมาก อย่างนี้จะมีหน้าไปพบไอ้อาร์มหรือ
คนที่ตึกวิศว์ยังไงวะ
"ก็แหงสิ นั่นพี่ว๊ากในตำนานเลยนะ"
"จริงหรอ แล้วคนรู้เยอะป่าว"
"เยอะ ทั้งคณะเลยล่ะ" หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้วล่ะ
"โหหห คนคงเกลียดเราหมดแล้วมั้ง" สีหน้าผมเปลี่ยนไปเป็นความกังวลทันทีที่ได้รับคำตอบ
"ไม่หรอก" เนทพูดตัดบท
"ถึงจะไม่เกลียด แต่จะเอาหน้าที่ไหนไปสู้เขาล่ะ" ผมพูดอย่างเหลืออด
"ไม่มีใครแคร์หรอก ไม่มีใครโกรธด้วย แต่..." เนทลากเสียงยาวคำสุดท้ายที่ยังไม่จบประโยค ทำให้ผมเกิดความ
สงสัยขึ้นมาทันที
"แต่อะไร"
"ก็...มีแต่คนหัวเราะมากกว่า" พูดจบเจ้าตัวก็ระเบิดเสียงหัวเราะ แต่กลับไม่เป็นไปตามบรรยากาศที่อีกคนทำให้มันดีขึ้น
"มันน่าหัวเราะขนาดนั้นเชียว" กำลังใจเริ่มถดถอย เพราะถ้ามีคนรู้เยอะ บางทีตอนกลับจากทำความสะอาด รุ่นพี่พวกนั้น อาจจะเตรียมของแถมไว้ให้ผมแล้วก็ได้
"ก็...นะ เพราะไม่มีใครกล้าขึ้นเสียงพี่ว๊าก ยกเว้นพี่ว๊ากรุ่นก่อนและเปอร์ มันก็กลายเป็นเรื่องตลกไปด้วย" เนทพูดไปพลางหัวเราะในลำคอไปด้วย มันใช่เรื่องที่ต้องหัวเราะมั้ยล่ะ
"น่าอายจังวะ" ผมสยถพลางก่ายมือบนหน้าผาก
"มันก็แน่อยู่แล้ว แต่ไม่ต้องคิดมากหรอก ปล่อยมันผ่านๆไป เดี๋ยวคนก็ลืมเอง" เนทพูดให้กำลังใจ แทนที่ผมจะใจชื้นกลับกลายเป็นว่าต้องพะวงกับการหลบหน้าเด็กวิศวะปีหนึ่งหรอเนี่ย
ผมก้มหน้าหลบสายตาคนข้างๆ คิดว่าจะเอายังไงดี ถ้าเจอเด็กวิศวะ แล้วยิ่งไอ้อาร์มอีก คงถูกล้อยันลูกบวชแน่
"เปอร์"
"ฮี๊" ผมหันตามเสียงเรียก "มีไรป่าว"
"เอามานี่มา เดี๋ยวเราช่วย" ว่าพลางเนทก็ยื่นมือมาหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงจากมือผมไป แล้วยังทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่า คนๆนี้เป็นเดือดเป็นร้อนกับผมถึงได้ทำอะไรแบบนี้ ไม่ได้อะไรตอบแทนด้วยซ้ำ แถมเหนื่อยอีกต่างหาก กลับหอไปพักแล้วรอเรียนพรุ่งนี้จะไม่ดีกว่าหรอ
"อะไร" ผมถามกลับเสียงเรียบ "ไม่ต้องมาช่วยเราก็ได้ นายรีบกลับเหอะ เดี๋ยวมันจะดึกซะก่อน" ผมมุ่งเข้าไปแย่งอุปกรณ์สองอย่างที่ว่า แต่ก็แย่งไม่ได้ซะที เพราะคนตรงหน้านั้นสูงกว่าผมตั้ง 10 ซม. เวลาพูดกันทีไร ต้องเงยหน้ามองทุกที นี่แหละเนอะ คนเตี้ยก็เป็นแบบนี้แหละ
"ไม่เป็นไร เราอยากช่วย" เขาไม่ถือสาอะไรนอกจากยิ้มให้
"มันจะดีหรอ" ผมยังสองจิตสองใจ เพราะไม่อยากให้คนรอบข้างมายุ่งเกี่ยวกับความเดือดร้อนที่ผมก่อ
"ดีสิ" เจ้าตัวยิ้มให้อีครั้ง ก่อนจะแยกจากที่ๆยืน แล้วไปทำความสะอาดตรงที่ผมยังไม่ได้ทำ
"ตามใจแล้วกัน จะทำอะไรก็ทำ" ผมละสายตาจากคนข้างๆ ขี้เกียจที่จะพูดเหมือนกัน ถ้าหากพูดไปแล้วยังดื้อด้านอยู่แบบนี้ แล้วผมหันมามีสมาธิกับงานตรงหน้าแทน
หลังจากนั้นพวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างแข็งขัน โดยจะมีบทสนทนาแทรกตลอดการทำความสะอาด ส่วนมากก็จะคุยเรื่องเรียน เรื่องใช้ชีวิตในมหา'ลัยซะมากกว่า เรื่องอื่นก็มีอยู่ปะปลาย การพูดคุยกันมันทำให้บรรยากาศรอบตัวไม่เงียบจนเกิน แถมยังทำให้รู้สึกเพลิดเพลินไม่รู้สึกเบื่อกับการทำความสะอาดเลยสักนิด ทั้งๆที่เป็นงานที่ผมไม่ชอบแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกอยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด คงเป็นคนๆนี้แหละมั้งที่ทำให้การทำความสะอาดที่แสนเบื่อหน่ายและหนักหนานี้ ดูน่าสนใจขึ้น
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เราทำความสะอาดพื้นโรงยิม ทั้งปัด กวาด เช็ด ถู สารพัดอย่าง จนทำให้ลืมไปว่าตอนนี้กินเวลาไปเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งเหลียวมองนาฬิกา
"เหี้ย!!! นี่มึงมันเที่ยงคืนแล้วนี่หว่า" ผมทำสีหน้าตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะใช้เวลาเยอะขนาดนี้
"ก็แหงสิ" คนที่อยู่ข้างๆเอ่ย
"ฮึ!!!" หลังจากตกใจเมื่อครู่ แต่ตอนนี้กลับมีความสงสัยเจ้ามาแทน "หมายความว่าไงอ่ะเนท"
"ก็...เรามองดูเวลาตลอดแหละ" เจ้าตัวพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นเตือน
"แล้วทำไมไม่บอกเราวะ" ผมเริ่มอารมณ์ไม่ดี เพราะทำให้อีกคนมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระด้วย ถ้าหากมีแค่ผมเดียว ยังไงผมก็ไม่คิดมากอยู่แล้ว แต่นี่กลับทำให้เขามาเหนื่อยกับเราทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ
"ก็เราเห็นเปอร์กำลังสนุกอยู่อ่ะ ก็เลยไม่อยากกวน" อีกฝ่ายหยุดถู ตั้งที่จับขึ้นกุมมือที่ปลายไม้ถูพื้นแล้วใช้คางพักลงที่ปลายอย่างไม่เดือดร้อนกับเวลา
"ไอ้เราไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เนทเหอะ ทางบ้านจะว่าไงบ้างก็ยังไม่รู้"
"ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก เราโทรบอกไว้ก่อนที่จะมาช่วยเปอร์แล้ว" แปลกๆแฮะ ทำไมถึงรู้ล่ะว่าเราจะมาที่นี่
"อย่าบอกนะว่า เนทตามเรามา" ผมชี้นิ้วไปยังคนที่คอยช่วยเหลือผมในยามลำบาก "รู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่าเราจะมาที่นี่"
"ก็ใช่แหละ" เขาเกาท้าทายอย่างเขินอายเพราะถูกจับได้ ที่ผมรู้ว่าการมาของเขาเป็นการตั้งใจ ไม่ใช่บังเอิญ
"ทำแบบนี้ทำไม" ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"เราอยากช่วยเพื่อนของเราเท่านั้น" เจ้าตัวพูดอย่างไม่ได้กังวลหรือปิดซ่อนอะไรไว้ แต่ผมว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่
"แน่นะว่าไม่มีอะไรนอกจากนั้น" ผมเดินเข้าไปใกล้ตัวอีกฝ่าย จับจ้องใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างไม่วางตา ดูซิว่าจะจับผิดสังเกตอะไรได้ แต่แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย คงคิดมากเองแหละเรา
"ไม่มี๊" อีกฝ่ายพยายามพูดแต่เสียงนั่นกลับกลายเป็นเสียงสูงแทนที่จะเป็นเสียงต่ำ พลางยกมือผายโยกไปมา เพื่อให้ผมเข้าใจว่าไม่มีอะไรอย่างที่เจ้าตัวพูด
"ก็ดี" ผมผละออกจากรัศมีความใกล้ตัวอีกฝ่าย
"..." เนทไม่ตอบอะไร นอกจากพยักหน้าพร้อมอมยิ้มตาหยีให้
"งั้นเราเอาของพวกนี้ไปเก็บก่อนนะ"พูดจบผมจึงเดินไปหยิบไม้กวาดและที่ตักผงพร้อมกับไม้ถูพื้นขึ้นจากพื้น ก่อนที่จะเดินเอาของที่ว่าไปเก็บห้องเก็บของ เนทก็พูดขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา
"เดี๋ยวเราช่วยนะ" เขาเข้ามาแย่งไม้ถูพื้นจากการเกาะกุมมือผม
"ไม่เป็นไร"ผมพูดพลางจะปัดมืออีกฝ่ายออก แต่กลับถูกแย่งไปอยู่บนมืออีกฝ่ายเสียก่อนที่จะถูกปัดมือออก
"นะนะนะ" ดีกฝ่ายพยายามอ้อนวอนให้ตกลง
"ตามใจ" ผมเหลืออดกับการบอกม่ได้ผล จนละความพยายามที่จะห้ามปราม
"..." เนทไม่พูดแต่กลับเดินตามผมต้อยๆ อย่างว่าง่าย
จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและเลยเวลามาจนถึงเที่ยงคืนครึ่ง ผมกับเนทออกมาจากโรงยิม มุ่งหน้าไปยังรถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของตึกวิศวะ
ระหว่างทางที่เดินผ่านเนทหาเรื่องคุยเสมอ เพื่อไม่ให้มันเงียบจนเกินไปเหมือนกับบรรยากาศรอบๆทางที่เดินผ่าน
"เปอร์" ผมหันมองด้านข้างที่มีคนข้างๆเดินด้วย
"ว่า"
"เปอร์กลัวผีหรือป่าว" เนทพูดพร้อมกับมองบรรยากาศรอบๆข้างทาง
"ทำไมหรอ หรือว่าเนทกลัว" ผมพูดเปื้อนรอยยิ้มพร้อมกับหัวเราะในลำคอ เมื่อคนข้างๆแสดงทีท่าว่ากลัวอะไรอยู่
"ก็นิดหน่อยน่ะ" อีกฝ่ายกลับเข้าสู่โหมดผู้ชายเข้มแข็งที่ไม่กลัวอะไรอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นผมไม่กลัวมั้ง เจ้าตัวเลยไม่อยากแสดงความรู้สึกป๊อดออกมา
"โห ป๊อดเหมือนกันนะเนี่ยเรา" ผมเอ่ยแซวเพราะเกิดขำเมื่อรู้ว่าผู้ชายตัวสูงใหญ่เกิดกลัวสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น
"ก็หน้ามันเละ ตัวซีด และชอบมาทำให้ตกใจแบบไม่ได้ตั้งตัว" เนทอธิบายลักษณะสิ่งที่ตัวเองกลัวอย่างชัดเจน จนทำให้ผมหัวเราะในลำคอ คนๆนี้ช่างเหมือนเด็กจริงๆ
"..."
"แล้วเปอร์ไม่กลัวหรือไง"
"ก็กลัวนะ แต่ก็ชอบดูอ่ะ" ผมหันมายิ้มให้คนข้างๆ แล้วหันมามองถนนแล้วเดินต่อไป
"แบบนั้นเขาไม่เรียกว่ากลัวแล้วมั้ง" เนทเอ่ยแขวะ
"ก็กลัวอยู่แหละ ถ้ามาแบบที่เนทว่า เราก็กลัวเหมือนกัน แต่ก็นิดนึงนะ” พอพูดมาถึงประโยคสุดท้าย ผมก็ยกนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ที่ปลายประสานเข้าหากันแน่นให้ดู
“เปลี่ยนให้ปลายนิ้วทั้งสองเอียงออกมาจะดีกว่านะ จะได้เป็นรูปหัวใจ” เนทพูดออกมาลอยๆจนแทบจะไม่ได้ยินเสียง แต่ผมก็ได้ยินเสียง แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าเป็นคำว่าอะไร
“เมื้อกี้เนทพูดอะไรนะ” ผมหันไปถามอีกฝ่ายเพราะไม่รู้ว่าพูดอะไร จนฟังไม่เป็นศัพท์
"ไม่ได้พูดอะไร เราแค่จะบอกว่า ‘นั่นสินะ’"
"..." ผมพยักหน้ารับรู้ตามคำพูดของอีกฝ่าย
"จะให้ไปส่งอีกก็ได้นะ" เนทพูดตัดบท
"ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ก็ไม่ได้เหนื่อยแบบตอนนั้น ให้วิ่งยังไหวเลย" ผมทำท่าจะวิ่งให้คนข้างๆดู แต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน
จากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงที่จอดรถ ผมกดปลดล็อคและเปิดประตูออก และก่อนจะเข้าไปในรถ เนทก็มาเคาะกระจกประตูฝั่งคนขับ
"เปอร์ ขับรถไหวแน่นะ" เจ้าตัวถามให้แน่ใจ ทั้งที่แขนอีกข้างยังวางขนานกับหลังคารถ
"อืม" ผมพยักหน้ารับคำ "ไว้เจอกัน"และโบกมือลา
"ไว้เจอกัน" เนทก็โบกมือลาเช่นเดียวกันบวกกับรอยยิ้มที่ทำให้หลายคนหลงเสน่ห์ เมื่อจบบทสนทนาผมกับเนทต่างก็เข้าไปในรถ สตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป
บางทีมันในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างนะ
TBC...
*******************************************************************************************************
ครั้งนี้ไม่ผิดนัด ลงให้ตามสัญญาแล้วนะ
เรื่องจะเป็นยังไงต่อ ติดตามตอนต่อไปนะ
ตอนนี้อาจจะแฮปปี้ ไม่แน่ตอนหน้าอาจจะโซ แซดก็ได้
ผมจิตตกดำดิ่งสู่ความเศร้าหลังจากที่ไอ้อาร์มมาส่งถึงหอและกลับไป ไม่สิ! มันมาส่งถึงห้องก็ว่าได้ มันรู้ความรู้สึกตอนนี้ของผมว่าเป็นแบบไหน แทนที่จะปล่อยให้ผมเล่าในเวลาเหมาะสม แต่มันดันเซ้าซี้เกินมนุษย์มนาคนอื่นๆเขา ยิ่งเซ้าซี้ผมก็ยิ่งรำคาญ รู้สึกโกรธมาแทนเศร้าแล้วเนี่ย พอทนมันไม่ไหว ผมจึงไล่ตะเพิดออกจากห้อง มันก็ยอมไปแต่โดยดี โดยไม่เถียงกลับแม้แต่คำเดียว หากแต่มันมีข้อแม้ด้วยเนี่ยสิ 'มึงต้องไปส่งกูหน้าหอ ไม่งั้นกูไม่กลับ' ผมก็เบิดกะโหลกมันไปทีนึง แต่ก็ยอมไปส่งมันอยู่ดี
คิดอีกแบบ ทำอีกแบบ นี่แหละตัวผม
พอส่งมันเสร็จ กลับมาห้องก็ใช่ว่าจะได้นอนซะทีเดียว กลับเข้าสู่ความคิดเดิมๆอีกครั้ง อยากจะร้องไห้ แต่ก็ปฏิญาณกับตัวเองไว้แล้วว่า จะเสียน้ำตาให้กับคนที่รักผมและคนที่ผมรักเท่านั้น จึงได้แต่กั้นน้ำตาไม่ให้ไหล พอแล้วกับความผิดหวังครั้งนี้ ถ้าหากรู้จะเป็นแบบนี้ ผมจะหยุดตัวเองไว้ตั้งแต่แรก
ความคิดฟุ้งซ่านมันส่งผลทำให้ผมในทางที่ไม่ดีนัก เพราะกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตี4 แล้วนอกจากนั้นก็ยังมีเรียนตอนเช้าอีก จ้าเอามันเข้าไป
ตื๊ด ตื๊ด
ผมคว้าและคลำหาโทรศัพท์ที่ถูกวางไว้อีกที่กับที่คลำหา ในสภาพที่งัวเงียแบบนี้ใครมันบังอาจมาปลุกท่านเปอร์ผู้นี้! ผมน่ะถ้าใครปลุกจะไม่ตื่นง่ายๆหรอก ถ้าหากเป็นเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ที่แสนน่ารำคาญนี้ล่ะก็ รู้สึกตัวเร็วอย่างกับมีเรดาห์อยู่กับตัว จึงคลำเจอในที่สุด ทั้งเสียงนาฬิกาปลุกและเสียงเรียกเข้าผมตั้งเป็นเสียงเดียวกันแหละ
“ว่าไงมึง” ผมพูดออกมาแทบจะเป็นเดียวกัน เพราะยังไม่ตื่นดี เสียงก็เลยออกมาเป็นแบบนี้
[เปอร์ นี่มึงอยู่ไหน คลาสจะเริ่มแล้วนะมึง!] คนปลายสายเอ่ยเสียงแข็ง
“หะ!” ถึงกลับอุทานแล้วลุกพรวดจากที่นอนในทันที หันมองดูนาฬิกาที่ตั้งโต๊ะ เหี้ย! นี่มันแปดโมงสี่สิบห้าแล้วนี่นา อีก 15 นาทีเริ่มคลาสวิชาเอก
ตายยยๆ กูตายแน่ๆ
“ทำไมมึงเพิ่งโทรบอกตอนนี้วะ” ผมตวาดใส่ปลายสายอย่างหัวเสีย
[กูโทรไปหลายสายแล้ว แต่มึงไม่รับเอง ช่วยไม่ได้] มันพูดอย่างเต็มปาก ไม่ห่วงกูบ้างเลย ว่าแต่มันก็โทรมาบอกอย่างที่มันว่าแหละ แล้วทำไมกูไม่รู้สึกตัวอีกวะเนี่ย
“...”
[ว่าแต่มึงอยู่ไหนเนี่ย อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น]
“เพิ่งตื่นห่าไร กูใกล้ถึงแล้วโว้ย” โกหกหน้าตายเอาซะดื้อๆเลยกู ศีลข้อ 4 ไม่ต้องรักษาแม่งแล้วล่ะ พูดโกหกไปทั้งๆที่ตัวเองยังนั่งอยู่บนเตียงจมคราบน้ำลายพร้อมก้อนขี้ตาที่แข็งตัวไปแล้ว
[รีบมาเร็วๆล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเอา]
“จ้าๆ” ผมตอบเสียงเอื่อย แต่มันใช่เวลามานั่งเอื่อยบนเตียงไหม พอคิดได้เช่นนั้น ผมจึงรีบลงจากเตียง วิ่งเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ เชี่ย! ลืมผ้าเช็ดตัว! รีบออกมาเอาที่ระเบียงทันที
รู้ไหมผมใช้เวลาเท่าไหร่ จากที่ต้องใช้เวลาสองชั่วโมง แต่ตอนนี้ผมได้ลดเวลาให้เสร็จแค่ 10 นาที ไม่ใช่ว่าอยากลดเวลา แต่เวลามีจำกัดต่างหาก อาบน้ำ แปรงฟัน 5 นาที แต่งหน้าเมคอัพให้เป็นอีกคนอีก 5 นาที เจ๋งมั้ยล่ะ
พอทำทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย ผมรีบเดินไปกุญแจรถ แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะว่าผมไม่ได้เอารถกลับมานิ เมื่อวานไอ้อาร์มมาส่ง ก็เลยปล่อยทิ้งไว้ที่ตึกวิศวะ มีกุญแจ แต่ไม่มีรถก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ตอนนี้ทางเลือกผมเหลือไม่มากนัก จะให้นั่งรถเมย์เข้าม.ไปก็ยังไงๆอยู่ เวลาก็ไม่ได้มีพอที่จะทำแบบนั้น
นอกจาก...ใช้พลังนั่น
และผลที่ตามก็คือ ความอ่อนแรงจากการใช้พลัง เพราะมันเป็นซะแบบนี้ไง ผมถึงจะไม่อยากใช้ มันผลเสียเมื่อใช้พลังนี่ เพราะไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถ้าหากเราไม่ยอมเสียอะไรไปซะก่อน ก็จะไม่ได้ของอีกอย่างมา
เป็นไปตามความคาดหมาย ผมเข้าห้องเรียนทันแบบเฉียดฉิว ถ้าไม่มีพลังนี้ผมคงตัดใจจากคลาสเรียนวิชานี้ไปแล้ว จะว่าไปมันก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ
“เปอร์ มึงมาทันได้ไงวะ” ชามเริ่มเปิดประเด็น มันคงสงสัยเหมือนกันว่าผมมาถึงที่นี่ได้ทันยังไงกัน
“กูก็คนมั้ย แค่เนี่ย! สบายมาก” ผมพูดอย่างภูมิอกภูมิใจพลางยักไหล่ให้อีกฝ่ายที่ถาม เพราะมันเป็นคนที่โทรปลุกผมเองแหละ ใช่ครับ ชามนั่นเอง แต่แทนที่จะขอบคุณดันยักไหล่ให้ซะนี่
“มันเกี่ยวอะไรกับคนวะ” มันถามอย่างสงสัยพลางขมวดคิ้วเป็นปม
“นั่นสิ” ไม่ต้องถามว่าเป็นใคร แพรนั่นแหละ นางชอบแขวะแบบนี้ และหน้าที่แขวะคือหน้าที่ของนาง
“ไม่เกี่ยวหรอก กูว่ามันเท่ดี ก็เลยพูด”
“ไม่เห็นเท่ตรงไหนเลย กูว่ามันเห่ยมากกว่า”
“อ้าว! เห่ยหรอวะ กูไม่ควรเล่นเล๊ยยยย” ผมพูดพลางหนหน้าหนีไปหน้าชั้นที่อ.เพิ่งเดินมาถึง
“อย่าเล่นอีกล่ะมึง ถ้าใครมาถาม กูจะบอกว่าไม่ใช่เพื่อนนะ”
ผมได้ยินมันพูดทุกคำ แต่ไม่ตอบกลับเฉยๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไป กลัวจะผิดใจกันเอาเปล่าๆ และเวลานี้เป็นเรียน ไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงพวกมันหรอก แถมอารมณ์เมื่อวานยังค้างอยู่ด้วย
ยังดีนะที่ผมไม่แสดงอารมณ์ของเมื่อวานนั้นออกมา ไม่งั้นตอนพักเที่ยงคงต้องนั่งอธิบายให้ฟังแบบยาวเหยียดเชียวล่ะ
ผมยังตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างตั้งใจ ถึงจะอ่อนแรงจากนอนไม่พอและใช้พลังไปบ้าง แต่ก็ต้องนั่งเรียนอย่างหยุดไม่ได้ การสอบก็ของบทเรียนแรกก็เข้ามาเรื่อยๆ จะให้มานั่งน้ำลายยืดก็คงจะทำไม่ได้ ยิ่งเป็นคนที่จะเป็นแพทย์ในอนาคตแล้วล่ะก็ ยิ่งทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด แต่ในขณะที่ผมตั้งหน้าตั้งตาสนใจข้อมูลบนโปรเจคเตอร์อยู่นั้น ไม่ได้สังเกตเลยว่า มีใครคนใดคนหนึ่งนั่งจับจ้องมาที่ผม
จนกระทั่งจบคาบเรียนช่วงเช้าและช่วงบ่าย แทบจะอ้วกออกมาเป็นสิ่งที่เรียนมาเลยทีเดียว นอนก็น้อย อ่อนแรงจากใช้พลัง ถึงจะได้ข้าวเที่ยงมาประทังชีวิตแต่ก็ไม่สามารถช่วยคลายความเหนื่อยอ่อนได้เลยสักนิด แต่ยังไงวันนี้มาจะไปนั่งร้านคาเฟ่สักหน่อย เผื่อจะได้คิดอะไรช่วยพี่หมอกเรื่องร้านคาเฟ่ที่จะเปิดตัวในปีหน้า
แต่ก่อนจะไปถึงร้านคาเฟ่ที่ว่า ผมต้องหอบสังขารไปตึกวิศวะเพื่อไปเอารถเสียก่อน อาจจะเจอคนๆนั้นและภาพบาดตาบาดใจนั่นด้วย
จะทำยังไงดีวะ
“เปอร์”
บุคคลปริศนาเสียงเข้มเดินมาพลางตบไหล่ผมอย่างเป็นสนิทสนม แต่กูไม่สนิทกับมึงโว้ยยยย เพราะมันเป็นเสียงผู้ชายนี่แหละผมถึงไม่สนิท ก็ผมไม่มีเพื่อนผู้ชายในคณะชั้นปีเดียวที่สนิทนิ ส่วนมากก็จะเป็นผู้หญิง แต่ก็จำชื่อผู้ชายพวกนั้นได้หมด
เพราะการปรากฏตัวของบุคคลเสียงเข้มที่ขึ้นชื่อเป็นผู้ชายอย่างกะทันหันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมจึงหันข้างมองอีกฝ่าย ถึงกลับมองบนเลยล่ะเมื่อรู้ว่าเป็นใคร
คนที่ชื่อเหมือนผม เขียนเหมือนกัน แต่อ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน
“ว่าไงเปอร์ มึงมีอะไรหรือป่าว” เหมือนพูดกับตัวเองเลยกู
“มี กูมีอะไรจะคุยด้วย” เจ้าของเสียงเข้มนั้นพูดอย่างจริงจังทั้งใบหน้าและเสียง แถมท่าทางไปด้วยเนอะ
“แต่กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึง แล้วอีกอย่างกูไม่ว่างพอมานั่งฟังที่มึงพูดหรอกนะ” ผมพูดบ่ายเบี่ยงอีกฝ่ายไป เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
กูอยากจะมึงอยู่หรอก แต่ปัญหากูก็เยอะเหมือนกัน ยังแก้ไม่เสร็จไม่หมดด้วยซ้ำ
พอพูดจบผมก็เดินหนีจากไอ้เปอร์ที่ยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉยออกมา ผมไม่สนหรอกว่า มันจะใช้คำพูดอะไรมาทำให้หยุดเดินหนีจากมัน จากที่ดูแล้วไม่น่าจะมีคำพูดแบบนั้นหรอก ผมจึงเดินต่อไป
“เดี๋ยว! ถ้ามึงไม่หยุดเดิน กูจะเอาความลับมึงไปบอกทุกคน” มันตะโกนเสียงดังจนผมต้องหยุดชะงัก
“เอาให้คนทั้งมหา’ลัยรู้เลยมั๊ย” มันพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์ ความลับกูมึงรู้ได้ไง นอกจากไอ้อาร์มแล้วก็ไม่มีใครรู้นี่นา แล้วมันไปเอาข้อมูลมาจากไหนวะ
ลองถามดูก็ไม่เสียหายหรอกมั้ง ทั้งที่คิดว่าจะไม่มีคำพูดไหนมาทำให้หยุดชะงักแล้วเชียว แต่ก็มี...
ผมหันไปถามมันทันที “ความลับอะไร กูไม่มีความลับ” ผมถามเสียงแข็ง แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มเจ้าเล่ห์พลางถอนหายใจสมเพชคนตรงหน้า ซึ่งนั่นก็คือผม
น๋อยยยย บังอาจมาทำกับกูแบบนี้หรอมึง คิดว่าเข้าถ้ำเสือแล้ว มึงจะได้ออกไปง่ายๆหรอวะ
“ก็ไอ้ที่มึงซ่อนจากสายตาทุกคนไง” มันพูดเสียงเรียบพลางจับจ้องมาที่ผมแล้วสังเกตปฏิกิริยา
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง” ผมเองก็ถามกลับเสียงเรียบ
“จะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยว แต่มึงต้องช่วยกู”
“แล้วทำไมกูต้องช่วย”
“นี่ก็เพื่อความลับมึงนะ ไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรือยังไง” พอมันพูดจบผมก็เดินตรงไปหามันทันที
“ความลับที่ว่าคืออะไร บอกกูมา” ผมเข้าไปคว้าคอเสื้อมันเชิงหาเรื่องแล้วผลักมันเข้าชิดกับผนัง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงปฏิกิริยาของมา ได้แต่ยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์นั่น
ผมล่ะเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ที่สุด รอยยิ้มที่เหมือนไอ้อาร์ม จนผมเกือบเผลอให้ใจมันไปอีกคน
“ก็นี่ไง” มันพูดพลางใช้นิ้วปาดบนแก้มขรุขระที่เต็มไปด้วยสิว จนเมคอัพที่ลงบนหน้าหลุดออกมาเผยสีของผิวที่แท้จริงอันสว่าง อีกแล้ว มันยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว
“...” ผมตกใจที่มันรู้ จนพูดอะไรไม่ออก
“แล้วแบบนี้จะช่วยได้ยัง”
“แล้วมึงรู้เรื่องได้ไง!” ผมตะคอกเสียงใส่มันพลางกระแทกมันเข้ากับกำแพงอีกรอบ ดูแล้วน่าจะเจ็บน่าดู ขอโทษนะมึง แต่ตอนนี้กูกำลังโกรธ ถ้าเผลอใช้พลังไปก็อย่าว่ากันล่ะ
“...” มันไม่พูด ยิ่งทำให้ผมโกรธจัด จนเปลี่ยนจากคอเสื้อเชิ้ตที่ยับจากการกุมด้วยแรงแห่งความโกรธมาเป็นคอมันแทน จนเผลอบีบคอมันอย่างขาดสติ
“...” ผมถลึงตาใส่มัน ตอนนี้ถ้ามองผมดีๆล่ะก็ ก็เป็นปีศาจที่กำลังโกรธจัดนี่เอง
“แฮ่กๆ” เสียงไอจากกการถูกบีบคอ และพยายามจะบอกบางอย่างกับขาดช่วงตอน จนไม่สามารถฟังเป็นภาษามนุษย์ได้
“...” ผมถลึงตาจ้องมองมันอีกรอบ ที่กำลังดิ้นทุรนทุราย พยายามแกะมือผมออก แต่ก็ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจตนนี้
“ปะ ปะ ปล่อย ปะ ปะ ปล่อย กะ กะ กู” เสียงของมันขาดช่วง แต่ก็พอฟังรู้เรื่องที่คำสุดท้าย เมื่อได้ยินและเห็นแบบนั้นที่เริ่มจะไม่มีแรงดิ้นเหมือนแต่ก่อน
ทันทีที่รับรู้คำพูดของอีกคน จึงคลายมือจากการบีบคอแล้วดึงออกคนตรงหน้า แต่ก็ปล่อยมันลงอย่างกะทันหันราวกับเพิ่งได้สติ ส่วนคนตรงหน้าก็ล้มลงไปนั่งกับพื้นแล้วไอกระแอมจากการขาดอาศอยู่ช่วงหนึ่ง มันยืนขึ้นมาพูดกับผม
“มึงเอาแรงมาจากไหนวะ” มันพูดอย่างหัวเสีย “กูเกือบตายแล้ว! มึงรู้ไหม!” มันตะโกนว่าอย่างโมโหพร้อมกับพ่นเสียงไอออกมาเป็นระยะๆ เนื่องจากอาการเจ็บคอ
“กูขอโทษ” ผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือพลางก้มมองฝ่ามือที่เกือบจะฆ่าคนตาย เพียงแค่อยากรู้อะไรบางอย่าง ถึงกับต้องฆ่าคนคนเลยหรอเรา
“แล้วจะตอบคำถามกูได้ยัง” ถึงอาการจะเริ่มดีขึ้น ไม่ค่อยไอแล้ว มันก็ยังพยายามเค้นเอาคำตอบจากผมอย่างไม่ลดละ
“กูขอไม่ตอบ แล้วมึงจะให้กูช่วยอะไร” ประโยคแรกที่พูดออกมาเมื่อครู่ผมยังมองทางอื่น โดยไม่ได้ชายตามองแม้แต่นิดเดียว แต่กลับหันมาสบตากับอีกฝ่ายในประโยคคำถาม
“อ้าว! เชี่ยไรอีกวะ แค่นี้ก็บอกกูไม่ได้” มันบ่นใส่อารมณ์เข้าไปอย่างเต็มที่
“มึงไม่ต้องรู้หรอก” ผมบอกเสียงเรียบ “เลือกเอาแล้วกันจะให้กูช่วยโดยไม่รู้เหตุผล หรือรู้ทุกอย่างแล้วไม่มีความช่วยเหลือจากกู”
“มึงนี่ความลับเยอะนักนะ” มันชี้นิ้วมาทางผมอย่างเอื่อมระอา ยอมแพ้ที่จะถาม น้อมรับข้อตกลงข้อแรกอย่างไม่เต็มใจนัก
“แล้วจะให้กูช่วยอะไร” ผมถามย้ำอีกรอบ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่...” คำพูดมันขาดช่วงอย่างสงสัย
“แค่อะไร”
“แค่ติว” มันเอ่ยเสียงแผ่วพลางมองผมด้วยสายตาอ้อนวอนให้ช่วยเหลือ พร้อมกะพริบตาปริ้งๆให้อีกอีกต่าง กูนึกว่าจะอะไรเสียอีก ผมว่าในตอนแรกที่มันไม่กล้าพอที่จะบอก อาจจะเป็นเพราะกลัวเสียฟอร์มตามประสาผู้ชายแน่เลย และผมก็คิดถูกซะด้วย
แค่ติวก็ทำเป็นเรื่องใหญ่
“หะ! ติวเนี่ยนะ” ผมอุทานและสงสัยจนคิ้วขมวดปม มันจะแค่ติวแน่เรอะ
“เยส” มันยืนยันด้วยเสียงจริงจัง จนผมต้องทำทีท่าวะเข้าใจ
“ติวอะไรอีกวะ คนอื่นก็มีตั้งเยอะ ทำไมต้องเป็นกู”
“ข้อแรกนะ คนอื่นเขาไม่มีเวลาว่างพอติวให้กู ข้อสองกูไม่สนิทกับพวกผู้หญิง ส่วนข้อสาม มึงก็รู้อยู่แก่ใจนิ” มันอธิบายยาวเหยียดพร้อมยักคิ้วให้ในข้อที่สาม ผมก็เข้าใจเหตุผลข้อแรกกับข้อสองมันอยู่หรอก สำหรับคณะนี้แล้วถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทจริงๆคงไม่ติวให้หรอก ส่วนข้อสองนี้ผมคิดว่ามันไม่ใช่เหตุผลของมันหรอก อาจจะแถไปเรื่อยเพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม บางทีก็อยากถามว่า ‘กูสนิทกับมึงหรือไง ถึงให้กูติวให้ ทั้งๆที่กูเพิ่งคุยกับมึงแท้’ ส่วนไอ้ตรงข้อสามนี่มันอะไรกัน
อะไรคือกูรู้อยู่แก่ใจ?
“อะไรคือกูรู้อยู่แก่ใจ” พอสงสัยก็ถามขึ้นทันที
“ก็ความลับมึงไง” มันพูดออกมาแบบนั้น ผมถึงกับกรอกตาใส่ แผ่รังสีอาฆาตไปทั่วบริเวณ จนมันยกมือขึ้นปิดปากด้วยความกลัว ยิ่งทำให้ตัวมันรู้ว่าคำนี้เป็น คำต้องห้าม
“...”
“โทษทีว่ะ เผลอตัวไปหน่อย” มันก้มหน้าเกาหลังคอแก้เก้อ “มึงคิดว่าถ้ามึงไม่ช่วยกูเอาความลับไปป่าวประกาศ มันจะเกิดอะไรขึ้นวะ”
“มึงอยากตายอีกรอบมั้ย” ผมทำเสียงขู่
“ล้อเล่น” มันผายมือเชิงปฏิเสธพลางส่ายหน้าไปพร้อมๆกัน
“...” ผมมองบนที่อีกฝ่ายทำทีท่าอย่างนั้น
“นะๆ ช่วยกูหน่อยนะ” มันแทบจะคุกเข่าข้อร้อง จนผมต้องพูดอะไรออกมาหยุดการกระทำของมัน
“เออๆ จะติววันไหนก็บอกก่อนหน่อยละกัน” ผมบอกมันอย่างยอมแพ้ ขี้เกียจต่อความยามสาวความยืดแหละประเด็น
“กูไปละ” พูดจบผมก็เดินออกจากที่ๆเราสนทนากัน
“ไปไหนวะ” ผมถามพร้อมกับเดินตาม
“ไปตึกวิศวะ”
“ไปทำไมวะ”
“ไปเอารถ”
“เดี๋ยวกูไปส่ง” ผมหยุดเดินที่ได้ยินมันบอก แล้วมันก็เดินชนผมในที่สุด
ผมหันหลังกลับ “ก็ดี นำทางไปหารถมึงเลย” ผมยักไหล่อย่างไม่ถือสา ให้อีกฝ่ายทำตามใจ
บทสนทนาบนรถระหว่างไปตึกวิศวะ มีแต่มันเป็นคนถาม ‘มึงเอารถไปจอดทำไมที่ตึกวิศวะ’ ส่วนผมก็แค่ตอบ ‘ลืมตั้งแต่เมื่อวาน’ และมันก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่คำถามในเรื่องลืมรถ แต่มันดันถามโดยโยงเข้าเรื่องส่วนตัวเนี่ยสิ กูกับมึงเพิ่งรู้จักกันมั้ยล่ะหะ! จนบางครั้งผมก็รู้สึกรำคาญไม่อยากจะตอบ
เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ตอบได้ก็ตอบ
*********************************************************************************************************************************
ลานจอดรถ ณ ตึกวิศวะ
ไม่นานก็มาถึงตึกวิศวะ ผมเดินลงจากรถ บอกไอ้เปอร์ไปรอที่ร้านที่ผมจะไปนั่งจิบชาเขียว พอได้รับสาส์นจากผม มันก็ขับรถพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ในบขณะที่ผมเดินไปหารถที่จอดตากอากาศทั้งคืน ผมกลับเห็นบุคคลที่ทำให้ผมไม่ได้นอนทั้งคืนยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถ ราวกับกำลังรอใครสักคน พยายามจะหนีแต่ก็หนีไม่พ้นสินะ ผมจึงสูดหายใจให้กำลังใจตัวเองว่า
‘จะไม่หนี แต่จะเลี่ยงแทน’
พอกดปลดล็อครถจนได้ยินเสียง คนที่ถูกพูดถึงก็เดินเข้ามาทางผมจนผมไม่รู้สึกตัวว่าเขาจะมา และถ้าจะมาหาผมจริงๆ จะอย่างไรก็ตามก็ไม่น่าจะตามทัน แต่เพราะความชะล่าใจของผมเองจนทำให้เขาเดินมาถึงตัวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะเปิดประตูและกำลังจะเข้าไปนั่ง อีกฝ่ายกลับดึงแขนรั้งเอาไว้ซะก่อน
“เปอร์ เดี๋ยวก่อน! ขอคุยก่อนได้มั้ย” น้ำเสียงของอีกฝ่ายช่างดูเว้าวอน จนทำให้ผมเกือบจะใจอ่อนขณะหันหลังมองใบหน้าอีกฝ่าย ไม่ได้! อย่ามองเขา! อย่าเต้นใจ!
ผมนิ่งค้างอยู่สักพัก จนความคิดผุดขึ้น ‘ถ้าเรายังใจอ่อนอยู่อย่างนี้ เราไม่หลุดพันสักทีสิ!’
“โทษทีนะ แต่เรามีธุระ” ผมฝืนพูดอย่างใจเย็น “ขอตัวก่อน” ผมแกะมืออกจากแขน ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่แบบนั้น แล้วผมก็ดึงตัวเองเข้าไปในรถ แล้วขับรถออกไปทันทีโดยที่อีกฝ่ายก็ยังไม่ขยับไปไหน ไม่มีแม้แต่คำพูด ไม่ได้แม้แต่จะรั้งผมไว้ บางทีเขาอาจจะเลิกยุ่งกับผมแล้วก็ได้ จึงไม่ได้ทำอย่างที่ผมคิด
แต่ผมเนี่ยสิจะทำได้อย่างที่คิดหรือเปล่า ถึงจะเลี่ยงหรือหนีแค่ไหนก็ตาม ก็คงไม่พ้นหรอก ถ้าหากเขายังเดินตามผมอยู่อย่างนี้
ทำไมนะ ทำไมคนที่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนอย่างเขา ทำไมถึงต้องมายุ่งกับผมอีก
*********************************************************************************************************************************
ร้านคาเฟ่
“เปอร์ มึงทำอย่างนั้นทำไมวะ” ยังไม่ได้พักหายใจ ไอ้ตัวที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็คำถามที่ติดค้างในทันที ถึงกลับมองบนใส่อีกฝ่าย มึงจะถามอะไรกันนักกันหนาวะ รู้อย่างนี้กูจะบีบคอมึงให้แหลกคามือไปในตอนนั้นยังจะดีกว่า
“นั่นมันเรื่องของกู มึงไม่ต้องเสือก! ” ผมพ่นคำหยาบอย่างหัวเสียใส่อีกฝ่าย แล้วมันก็ทำท่าว่าเข้าใจแล้ว “แล้วจะให้กูติวอะไรให้” ผมพูดเข้าประเด็นหลักของงานที่เกี่ยวกับความช่วยเหลือของอีกฝ่ายทันทีที่มันหุบปากถามถึงเรื่องส่วนตัวของผม
ถ้าหากไม่บอกมันว่า ‘ห้ามเสือก!’ มันคงจะถามต่อ เซ้าซี้จนผมบ่ายเบี่ยงเรื่องที่ว่านั้นไม่ได้ กลัวว่าถ้าถูกต้อนจนมุม แล้วผมจะเผลอพูดความลับนั่นออกมา
“เรื่องนี้ไง” มันพูดพร้อมกับยื่นชีทปึกหนามาให้ดู
ผมถอนหายใจอย่างเบาแรง หยิบชีบเล่มนั้นขึ้นมาดู แล้ววางลงพร้อมกับอธิบายเรื่องที่อีกฝ่ายเข้าใจ จนเวลาล่วงเลยถึงตอนเย็น ชาเขียวหมดไป 3 แก้วเลยทีเดียว ผมต้องขอต้องไปทำธุระที่ค้างไว้ก่อน
จะอะไรอีกล่ะ ก็ช่วยงานพวกพี่วิศวะนั้นแหละ
***************************************************************************************************************************
โรงยิม
การทำความสะอาดของผมเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การประชุมเชียร์จบลง วันนี้ผมคิดว่าต้องได้ทำคนเดียวแน่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะใช้พลังให้มันรีบๆเสร็จรีบๆกลับหอไปนอน แต่ความคิดที่ว่าก็ต้องจบลงเหมือนกับทุกๆครั้ง เนื่องจากบุคคลที่สองปรากฏและเข้ามาช่วยเป็นประจำไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว แต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงเงียบเหงาขนาดนี้ราวกับทำความสะอาดคนเดียวเชกเช่นในสองสามนาทีแรก
หรือทะเละกับผู้หญิงคนนั้น ไม่สิ! ควรเรียกว่าแฟนน่าจะถูกกว่า
บทสนทนาระหว่างเราไม่เกิดขึ้นเลย ผมก็ไม่ถาม เนทเองก็เช่นกัน ไม่มีแววว่าจะปริปากถามกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งเป็นแบบนี้ ผมยิ่งอึดอัด มันทรมานกว่าการเลี่ยงหรือตอนเดินหนีเขาเสียอีก
เมื่อไหร่จะทำเสร็จสักทีวะ! กูอึดอัด! ช่วยเอากูออกไปจากตรงนี้ที
“เปอร์” เสียงสั่นเครือของเพื่อนร่วมงานทำให้ผมต้องหยุดทุกการกระทำ เงยหน้าขึ้นจากพื้นโรงยืมแล้วมองอีกฝ่าย
“...”ผมมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ไม่ปริปากพูด
“โกรธอะไรเราหรือเปล่า” เนทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่แสนหม่นหมอง “ทำไมเรารู้สึกว่าเปอร์กำลังหลบหน้าเราอยู่ หรือว่าเราแค่คิดไปเอง” เสียงของอีกฝ่ายแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดราวกับกำลังน้อยใจผมอยู่
แล้วทำไมเขาต้องน้อยใจผมด้วยวะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย
“เราว่าเนทคิดไปเองมากกว่า” ผมพูดออกไปทั้งๆที่มันสวนกลับการกระทำอย่างมาก “เราน่ะ ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เพียงแต่ช่วงนี้มันเครียดหน่อยๆน่ะ ก็เลยไม่อยากพูดอะไรมาก”
“จริงหรอ” เสียงอีกคนยังดูแผ่วเบาเหมือนเดิม แต่ดีขึ้นมากกว่าเมื่อนาทีที่แล้ว
“อืม” จริงๆผมไม่ได้โกรธเขาหรอก เพียงแค่ต้องการออกจากสถานะมือที่สาม
“มีอะไรก็บอกเราได้นะ เรายินดีช่วยเสมอ” รอยยิ้มเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของเนท สำหรับผมแล้วใบหน้าเหมาะกับเขามากกว่าใบหน้าที่หม่นหมองตลอดเวลาเสียอีก
“อืม” ครั้งนี้ผมยิ้มอย่างไม่ต้องฝืน ผมล่ะชอบตรงนี้ของเขาสุดๆ
หลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดใดอีกนอกจาก “กลับกันเถอะ และ ไว้เจอกัน” มันช่างเงียบและดูห่างเหินราวกับเราเป็นแค่คนรู้จัก ทั้งๆที่เราเป็นมากกว่านั้น ผมไม่เขาใจหรอกว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ถึงยังไงผมก็คิดจะให้มันจบลงเร็วๆนี้แหละ ให้ผมเจ็บแค่คนเดียวก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องเจ็บจนผมเป็นโรคซึมเศร้าหลังจากที่ผมชอบเขาจนไม่สามารถออกจากจุดนั้นได้ เพราะถ้าหากผมรักใครเข้าจริงๆแล้วล่ะก็ จะออกจากจุดนั้นยากเกินจะถอนตัว มันเป็นเรื่องยากที่จะตัดใจและหลังจากตัดใจได้แล้ว ผมอาจจะไม่เชื่อในความรักอีกเลยก็ว่าได้
วันศุกร์ เสียงพ้องที่เหมือนกับ ‘สุข’ แต่กลับไม่มีความสุขเลยสักนิด เพราะมีเรียน เรียนแล้วก็เรียน เรียนตั้งแต่เช้าจนเย็นแทบทุกวัน ได้พักหายใจก็แค่ช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น เหนื่อยจากการเรียนไม่พอ แถมยังเหนื่อยจากเรื่องหัวใจอีก ผมล่ะอยากระเบิดมันออกมาซะตอนนี้ แต่ก็กลัวสิ่งอื่นจะระเบิดแทนอารมณ์ สิ่งรอบตัวจะเละเป็นจุนในเสียววิถ้าหากผมคุมมันไม่ได้ คนรอบข้างอาจจะหายไปตลอดกาลและทิ้งตราบาปไว้ให้ผมรู้สึกผิดจนสิ้นอายุขัย และเรื่องอาจจะไม่จบอยู่แค่นั้นก็ได้ แต่วันนี้ไม่ได้ไปช่วยพวกพี่วิศวะหรอก เห็นบอกว่ามีการชิงธงและรับขวัญน้องอะไรนี่แหละ จึงห้ามคนนอกคณะเข้าไปเด็ดขาด เข้าทางผมล่ะทีนี้ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการอย่างที่สุดจากพวกพี่เขา
ถ้ามีแฟนแล้วก็ไม่ควรมาให้ความหวังคนอื่นเปล่าวะ
ทำแบบนี้โครตเหี้ยเลยว่ะ
ไม่ตัดเพื่อนก็ดีแค่ไหนแล้ว หลบหน้าแค่นี้ไม่ตายหรอกนะ
TBC...
***********************************************************************************************************************
ห่างหายมาเกือบ 2 เดือน ขอโทษที่ไม่ได้ลงให้อ่านนะครับ
ความยุ่งและวุ่นวายไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ
พอจะมาทีก็แทบไม่ได้หายใจ
วันนี้จะอัพให้ 2 ตอน และจะทยอยอัพเรื่อยๆนะครับ
เรื่องนี้จะได้จบและได้เขียนเรื่องใหม่
เดี๋ยวพอร์ทเรื่องที่เหลือจะลืมเอาเสียก่อน
ฝากติดตามด้วยนะครับ
สัปดาห์ต่อมา ที่หมู่บ้านจัดสรร
ทุกวันที่ผ่านมาในหนึ่งอาทิตย์ เป็นสัปดาห์แห่งการเก็บคะแนนสอบย่อยผมยุ่งกับการเรียน ทั้งอ่านเอง ติวให้ไอ้เพื่อนตัวดีที่ชื่อเหมือนผม มิหนำซ้ำยังให้ผมไปติวให้เพื่อนคนอื่นๆของมันอีก
กูอยากจะบ้าตาย จนบางครั้งก็ละเมอเผลอท่องสูตรเคมีโดยไม่รู้ตัว
ทั้งสัปดาห์ที่ผ่านจึงวนลูปอยู่แค่นี้ จนไม่ได้คิดเรื่องที่จะถอยออกจากเนท บางทีถ้าลืมมันลงไปได้ก็คงจะดีกว่านี้
"เปอร์ ลูกจะออกไปวิ่งจริงหรอ" ม๊าถาม ต่อจากนี้ผมจะใช้ชื่อนี้แทนชื่อแม่อีกคนของผม เพราะผมได้ตกลงกับทุกคนแล้ว ทั้งแม่และพ่อจึงกลายเป็นม๊ากับป๊า
"ทำไมล่ะครับ" ผมถามในขณะที่ตัวเองกำลังผูกเชือกรองเท้าสำหรับวิ่ง ซึ่งม๊าเองก็ยืนเกาะประตูอยู่
"ม๊าว่าฝนมีเคล้าว่าจะตก เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก" ม๊าพูดอย่างกังวลและห่วง กลัวว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดอยู่ ณ ตอนนี้
"ไม่เป็นไรหรอกครับม๊า ผมดูแลตัวเองได้" หลังจากผูกเชือกผมจึงลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับม๊า แล้วเบ่งกล้ามแขนที่มีอยู่อย่างน้อยนิดให้นิด “อีกอย่างฝนแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ”
ม๊าถอนหายใจ ไม่ว่าจะเป็นลูกคนไหนก็ทำให้เธอเป็นห่วงแบบนี้เสมอ ช่างไม่คิดถึงความรู้สึกเธอเลย ได้แต่ส่งรอยยิ้มให้ แต่ก็ยังดีที่เธอยังไม่ได้เจอเหตุการณ์ที่ทำให้ลูกเป็นอะไรไป ไม่อย่างนั้นคงจะทำใจยอมรับไม่ได้
"อย่างไรก็ตาม ลูกก็ควรจะถือร่มไปเผื่อด้วยนะ" สายตาอันอ้อนวอนของเธอทำให้ผมถึงกับใจอ่อน ผมหยิบร่มกับน้ำเปล่ามาอย่างละหนึ่ง แล้วสบตาผู้ที่เปรียบดั่งบุพการีอีกคน
"งั้นผมไปก่อนนะครับ" พอว่าแบบนั้นจึงหันหลังแล้วเดินออกจากตัวบ้าน
"ระวังรถด้วยนะลูก" ถึงจะเชื่อลูกคนนี้ดูแลตัวเองได้ แต่มันก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ จิตใจคนเป็นแม่ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น
"ครับ" ผมหันมาพยักหน้าและยิ้มแก้มปริส่งให้คลายกังวล แล้วหันกลับไปดูทางข้างหน้าแล้วเปิดประตู ถึงกับชะงักเลยทีเดียว เพราะคนที่ผมไม่ได้อยู่ในหัวผมมาหนึ่งสัปดาห์ เขามารออยู่ก่อนหน้าแล้ว กำลังยืนพิงกำแพงรั้วซะด้วย
เขาหันมาและเดินตรงหน้าผมแทน มิหนำซ้ำยังทำผมใจเต้นแรงอีกต่างหาก แถมรอยยิ้มแบบนั้นอีกที่ผมหรือใครเองยากที่จะละสายตาจากเขา
"ว่าไงอาต้า มาตามนัดเราด้วย" เนทยิ้มอย่างดีใจที่ผมทำตามสัญญา เอ๊ะ! นัดตอนไหนวะ ที่จำได้ก็คือ 'ไว้คราวหน้ามาวิ่งด้วยกันนะ' หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อหรือพูดกันถึงเรื่องวิ่งอีกเลย แล้วไหงมาบอกแบบนี้ล่ะ
หรือว่าแท้จริงแล้ว เนทมาดักรอหน้าบ้าน แต่ความคิดนี้เหมือนจะเข้าข้างตัวเองไปนะ แต่เขารู้ได้ไงว่าวันไหนเราจะวิ่งหรือไม่วิ่ง
"นัดอะไรอ่ะเนท" ผมถามอย่างไม่รู้
"ไม่มีอะไรหรอก" เนทรีบพูดตัดบท "ไปกันดีกว่า"
"..."
ตลอดทางผมต่างลอบมองอีกฝ่ายโดยไม่ให้เขารู้ตัว แต่ผมก็ไม่รู้ว่ารู้ตัวหรือเปล่า เพราะดูจากปฏิกิริยาแล้ว เนทก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากวิ่งไปข้างหน้า ผมสังเกตรูปร่างของเนท เสื้อผ้าที่กระเพื้อมจาการเคลื่อนไหวร่างกายแล้วกระทบเข้าผิวหนัง เสื้อแขนกุดระบายอากาศที่เหมาะสำหรับวิ่ง ทำให้เขาช่างดูมีเสน่าห์และแซ็กซี่กับกล้ามแขนที่มีบ้างจนไม่ได้ดูน่าเกียจ ถึงจะไม่ได้มีมากเหมือนพวกเพาะกล้ามที่ทำให้ใครต่อใครคนกลัวจนแทบจะวิ่งหนี แต่ก็ถือว่าหุ่นดีใช้ให้ ทำให้ผมรู้ว่าเขาดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
ผมลอบมองจนเพลินแทบไม่ได้มองถนน จนชนเข้ากับสายไฟของสวนสาธารณะ ถึงขนาดล้มลงแล้วใช้มือจับส่วนที่ชนเลยทีเดียว
"โอ๊ยย!!!"
"เป็นไรป่าว" เนทตรงเข้ามาดูอาการแล้วถาม
"ชนเสาไฟขนาดนี้ จะไม่ให้เป็นอะไรได้ยังไง" ผมประชดเพื่อนร่วมทางด้วยความอารมณ์ฉุนเฉียว เนื่องจากยังเจ็บจากการชนเสาไฟ แถมตอนนี้ยังรู้สึกมึนๆอีกต่างหาก
เนทนั่งลงดูอาการพลางเสยผมของผมขึ้นที่ปิดอยู่ขึ้น เพื่อดูบาดแผลอย่างอ่อนโยน ผมมองตามทุกกิริยาของอีกฝ่าย จนเผลอใจเต้นแรงอีกครั้ง เป็นอีกครั้งที่ใจเต้นแรงแต่คราวนี้มันกลับรู้สึกเป็นมากกว่าครั้งที่แล้ว เพราะคราวนี้ผมสัมผัสได้ถึงสัมผัสจากมือของอีกฝ่าย ยิ่งเป็นส่วนที่ทำให้หวั่นไหวแล้วล่ะก็ มันก็ยากจะที่บังคับไม่ให้หวั่นไหว แถมลมหายใจที่เข้าปะทะหน้าอีก ผมล่ะตั้งตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
มันเป็นช่วงเวลาที่ดำเนินเนิบช้าเหมือนถูกชะลอเอาไว้ ผมมองอีกฝ่ายกะพริบตาที่อีกคนมีให้ รับเอาความรู้สึกนั้นเข้าใจในดวงใจน้อยๆดวงนี้
จนกระทั่งความทรงจำที่ผมในวันนั้นได้ผุดขึ้น ภาพของคนตรงหน้ากับ ‘คนรู้ใจ’ ลอยมาปรากฏตรงหน้าแทนใบหน้าของเนท ความรู้สึกทุกอย่างมันกำลังหายไป สัมผัสที่ได้รับกลับกลายเป็นใบมีดที่เข้าแทงให้หยุดทุกการกระทำ
ผมปัดมือเนทออกแล้วพูด แต่อีกฝ่ายกลับจ้องมองด้วยความสงสัย “ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก” หลังจากนั้นก็ทำท่าจะลุกขึ้นในขณะที่อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นไปแล้ว พร้อมส่งมือมาเพื่อที่จะพยุง
ผมมองฝ่ามือหนานั่นที่เขาเต็มใจ ในหัวก็เอาแต่บอกว่า ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ต้องคิดให้นานเสียเวลาอะไรมาก ผมทำตามที่หัวสั่งทันทีเพื่อให้ตัวเองหลุดจากบ่วงแห่งความเจ็บปวดนี้ และมันจะตอกย้ำเมื่อผมใจอ่อน ถ้าหากเอาแต่ทำตามหัวใจ กลัวว่าจะถอนตัวหรือตัดใจจากเนทไม่ได้ จึงตัดสินใจที่จะไม่รับมือนั่น ยันตัวขึ้นโดยใช้เสาไฟข้างๆเป็นตัวพยุง
ในวินาทีนั้นผมก็ลอบมองอีกฝ่ายเหมือนกัน เนทตอบกลับแค่ใบหน้าเรียบนิ่ง ซึ่งผมก็คิดอยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนั้น จึงพยายามที่จะไม่แสดงอาการรังเกียจออกไป แต่กลับยิ้มให้เขาแทน
“วิ่งต่อกันดีกว่า” ผมชวนอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มร่าที่ปิดเอาความเกรงใจเอาไว้ แต่อีกคนกลับตอบรับรอยยิ้มที่ฝืนจนดูออกอย่างง่ายดาย
ถ้าเราไม่ยอมใจร้ายเสียที อีกฝ่ายก็จะไม่หยุด ผมเองก็จะต้องอยู่กับความขมขื่นนี้ไปตลอด
ผมเข้าใจที่อีกฝ่ายตอบกลับอย่างนั้น ถ้าหากเป็นผมก็ทำแบบเดียวกัน แต่ที่ผมยังสงสัยอยู่ ณ ตอนนี้ คือ เขาเข้าหาผมเพื่ออะไร ทั้งๆที่มีแฟนอยู่เคียงข้าง ให้ความหวังผมทำไมทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้
หรือว่าแค่เบื่อจึงหาอะไรใหม่ๆทำแก้เหงา
ถ้าหากเป็นอย่างที่คิด ไอ้หมอนี่ก็โคตรสารเลวเลยล่ะ
เห็นข้างนอกเงียบๆแบบนี้ ข้างในอาจจะร้ายยิ่งกว่าเราจะคิดได้เสียอีก
ผมตั้งท่าจะวิ่งต่อแต่กลับต้องหยุดชะงักหันหลังมองเนท เขามีอาการซึมและค่อนข้างอิดโรยจากความหวัง ซึ่งแตกต่างจากคนที่ผมเห็นเมื่อตอนเช้าตรู่อย่างเห็นได้ชัด
ดีแล้วล่ะที่เป็นแบบนั้น
มึงจะได้สำนึก!
TBC...
*********************************************************************************************************
มาแล้วจ้า ถึงจะข้ามวันมานิดก็อย่าว่าคนเขียนล่ะ
ตอนหน้ามาดูฝั่งพระเอกกัน
จะเป็นใครกันแน่
ฝากติดตามด้วยนะครับ
แต่คงเป็นสัปดาห์นะ ถึงจะอัพให้
:katai5:
บทนำ
มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ต่างก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามชาติพันธุ์ สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ และการอบรมสั่งสอนของผู้ให้กำเนิดที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมและการใช้ชีวิตในวันข้างหน้า ฯลฯ ถึงจะเหมือนๆกันทุกอย่างที่กล่าวมามนุษย์ก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี จากสถานที่เดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน แต่จะมีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือ ความคิด ไม่ว่าจะลักษณะภายนอกหรือภายในก็ตามแต่ สิ่งเหล่านั้นล้วนบ่งบอกได้ว่า ‘เราเป็นคนยังไง’ แต่ก็ไม่เสมอไป
โลกปัจจุบันนี้แบ่งแยกคนยากกว่าในอดีตที่ผ่านมา ถึงในอดีตจะเคยมีแบบในปัจจุบัน แต่มันก็คนละยุคคนละสมัย ยิ่งมีความเจริญมากขึ้นแค่ไหน ความซับซ้อนของสิ่งรอบตัวหรือจิตใจคนก็ยิ่งซับซ้อนมากกว่าเดิมอย่างที่เคยเป็น มันไม่แปลกเลยที่เราจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นยังไง
ค่านิยมที่เห็นภายนอกของบุคคลใดบุคคลหนึ่งทำให้คนส่วนมากมองคนที่ภายนอก ตัดสินที่ภายนอกแทนการพินิจพิจารณา ไม่ได้มองเข้าไปในห้วงลึกของใจคนๆนั้น เราควรจะตัดสินคนที่การกระทำไม่ใช่หรอ? แต่ก็อย่างว่าถึงจะเป็นการกระทำของคนๆนั้น เราก็ไม่สามารถบอกได้หรอกว่า ‘เขาเป็นยังไง’ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราไม่สามารถบอกได้ นอกจากเจ้าตัวจะเป็นคนบอกเอง ยิ่งเป็นคำพูดยิ่งไม่สามารถเชื่อได้ว่าเขาพูดความจริงหรือเปล่า?
นี่แหละความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราควรจะไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใคร
อย่างที่บอกข้างต้น การกระทำไม่สามารถบอกความจริงได้เสมอไป เพราะใครบางคนเขาอาจจะทำดีเพื่อให้ตัวเองดีในสายตาคนอื่น ปกปิดตัวตนที่อยู่ภายในเอาไว้ ไม่ให้ออกมาสู่สายตาคนรอบข้าง
สังคมปัจจุบันที่มีคนสวมหน้ากากเข้าหากัน เขาอาจจะมีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ ซึ่งมันเป็นความลับของแต่ละคนและเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เอ่ยออกมา แต่หารู้ไม่ว่าบางครั้งการสวมหน้ากาก ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่น่ายินดีนัก มันไม่ดีเสมอไป มีทั้งดีทั้งร้ายปะปนกันไปตามการกระทำ แต่เราก็ไม่สามารถหลักเลี่ยงได้บางครั้งอาจจำเป็นที่จะต้องหยิบมันขึ้นมาใส่
เพราะความกลัวทำให้เราทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันซึ่งๆหน้า พยายามหลีกเลี่ยง หลีกหนีปัญหา พยายามปกปิดเอาไว้ดีกว่าจะได้ไม่วุ่นวายในภายหลัง มันเป็นการหนีปัญหาที่อาจจะได้ผลแค่น้อยนิด แต่ก็ไม่ได้ออกมาอย่างที่คิดเสมอไป เพราะฉะนั้นควรมีสติที่จะตัดสินใจทุกครั้ง ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
ถ้าหากเราเลือกใช้มันโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม สิ่งที่เราแสดงออกมาไม่ได้เดือดร้อนใคร มันก็ควรจะทำ แต่อย่าให้เกินขอบเขตที่ตั้งไว้ก็พอ
ผมก็อยากจะคนเหล่านั้นสักครั้งบ้างว่า‘ไม่อึดอัดหรือไง’ แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้น คุณคงจะรู้กันอยู่แล้วล่ะว่าจะเป็นยังไง หรือบางทีผมอาจจะได้ทำแบบนั้นบ้างก็ได้ หากได้เข้าไปในสังคมใหญ่ๆ
เอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่า แต่ก่อนหน้านั้นผมขอแนะนำตัวก่อนนะ ผมชื่อ ปัณณธร อมรผดุงศิลป์ ชื่อเล่น เปอร์ (อ่านออกเสียงเหมือนเตอร์ ของคอมพิวเตอร์) เปอร์ตัวเดียวโดดๆ ไม่มีอะไรต่อท้ายหรืออยู่ข้างหน้าชื่อทั้งนั้น ชื่อแปลกย่อมมีฉายาตามมาจากเพื่อนๆในกลุ่ม โดยไม่ปรึกษาเจ้าของชื่อเลยสักนิด เปอรี่บ้าง เปปเปอร์บ้าง เปเปอร์บ้าง ซุปเปอร์บ้างล่ะ (ซุปเปอร์ ตาเป็นคนเรียก) ปัจจุบันหรือที่พูดบ่อยๆคงหนีไม่พ้นคำว่า ‘อีเปอร์’ เรียกแม่งกันทุกคนเลยนะในกลุ่มน่ะ
ส่วนหน้าตาผมหรอ? ใบหน้าทรงรูปไข่ แต่แก้มเยอะไปนิด ผิวเนียนขาวอมชมพู สันจมูกมีไม่มากแต่ก็ถือว่าโอเคอยู่พอควร ปลายจมูกรูปหยดน้ำแบบของผู้ชาย นัยน์ตาสีน้ำตาลปานกลาง ไม่อ่อนหรือเข้มจนเกินไป ขนตาเป็นแพงอนสวยจนผู้หญิงต้องอิจฉา ฟันเรียงกันไม่ค่อยสมบูรณ์ เพราะกำลังอยู่ในช่วงจัดฟัน ส่วนสูงไม่ได้มาตรฐานชายไทย ก็แค่ 170 ซม.ต้นๆเอง ไม่เตี้ยหรือสูง คิดเอาเองนะ 555
ผมเป็นคนเงียบๆ ถ้าใครไม่สนิทด้วย ก็จะไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียวนอกจากจะมีงานร่วมกัน เวลาทำหน้านั่งนิ่งๆเงียบขรึม เพื่อนมันจะกลัวกันเป็นเอามาก แต่เวลาสนุกก็ร่าเริง ยิ้มบ่อย อย่างกับเป็นคนละคน ซึ่งตอนที่อยู่กับเพื่อนในกลุ่มผมมักจะเป็นคนร่าเริง พออยู่กับคนอื่นก็จะเป็นแบบแรก เหมือนไบโพล่าเลยเนอะ
สิ่งที่ทำให้ผมแตกต่างจากคนอื่นคงหนีไม่พ้นพลังพิเศษ ซึ่งพลังนี้มันเกิดมากับผมและติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ และการที่พิเศษ แตกต่าง หรือประหลาดกว่าคนอื่นนี่แหละ มันทำให้ผมต้องเก็บซ่อนพลังที่ว่านี้ให้พ้นจากสายตาคนรอบข้างหรือแม้แต่บุพการีเองก็ตาม บอกใครไม่ได้เด็ดขาด ผมไม่รู้ว่าถ้าเกิดเขารู้ขึ้นมาเขาจะคิดกับผมเช่นไร กลัวเป็นอย่างมาก
รู้แค่เพียงว่า ‘ถ้าเขาเกิดรู้ขึ้นมา เขาต้องมองว่าผมเป็นตัวประหลาด รังเกียจในสิ่งที่ผมเป็น คนรอบข้างจะค่อยๆ ถอยห่างจากไป’ ผมไม่อยากเสียคนเหล่านั้นไป
แต่ใครจะไปห้ามความคิดคนอื่นได้ล่ะ จริงมั้ย?
สารบัญอยู่ข้างล่างนะครับ(เพิ่งทำได้)
คราวนี้ก็เลือกแต่ละตอนง่ายกว่าเดิมแล้วนะ
ตอนที่ 1 : สิ่งที่อยากจะเป็น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3708562#msg3708562)
ตอนที่ 2 : จากลา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3708572#msg3708572)
ตอนที่ 3 : เพื่อนใหม่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3709454#msg3709454)
ตอนที่ 3 : เพื่อนใหม่#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3709456#msg3709456)
ตอนที่ 4: ความคิดเห็นของกลุ่มเพื่อน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3710123#msg3710123)
ตอนที่ 4: ความคิดเห็นของกลุ่มเพื่อน#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3710146#msg3710146)
ตอนที่ 5 : ความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3710534#msg3710534)
ตอนที่ 6 : คนที่น่ารังเกียจ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3721216#msg3721216)
ตอนที่ 6 : คนที่น่ารังเกียจ#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3721222#msg3721222)
ตอนที่ 7 : พี่รหัสตัวร้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3730495#msg3730495)
ตอนที่ 7 : พี่รหัสตัวร้าย#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3730516#msg3730516)
ตอนที่ 8 : ความบังเอิญ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3742701#msg3742701)
ตอนที่ 8 : ความบังเอิญ#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3742706#msg3742706)
ตอนที่ 9 : ความซวย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3743850#msg3743850)
ตอนที่ 9 : ความซวย#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3743866#msg3743866)
ตอนที่ 10 : ตั้งใจ ไม่ใช่ บังเอิญ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3747641#msg3747641)
ตอนที่ 10 : ตั้งใจ ไม่ใช่ บังเอิญ#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3747678#msg3747678)
ตอนที่ 11 : คนรู้ใจ? (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3748323#msg3748323)
ตอนที่ 11 : คนรู้ใจ?#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3748328#msg3748328)
ตอนที่ 12 : ความลับแตก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3782558#msg3782558)
ตอนที่ 13 : ขอบคุณอีกครั้ง (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3782659#msg3782659)
ตอนที่ 13 : ขอบคุณอีกครั้ง#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3782668#msg3782668)
ตอนที่ 14 : ต้องใจร้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3783364#msg3783364)
ตอนที่ 14 : ต้องใจร้าย#ต่อ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62175.msg3783366#msg3783366)