– Short Story –
Only you รักนี้แค่คุณ
แรกพบ
ที่นี่...
สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า
ที่ๆผมอาศัยอยู่ตั้งแต่จำความได้
ที่ๆมีแต่เด็กๆ และแม่ใหญ่
ที่ๆทุกคนไม่รู้จัก‘คุณพ่อ’กับ‘คุณแม่’ของคัวเอง
และ
ที่นี่คือ ‘บ้าน’ ของผม
จนกระทั่งวันหนึ่ง
“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
ผู้หญิงคนนั้น ที่มาพร้อมกับผู้ชายท่าทางน่ากลัวและเด็กชายอีกคน พูดกับผม
ครอบครัว...อย่างนั้นหรอ
รถคันสวยที่ไม่เคยมีโอกาสได้ขึ้นจอดเทียบหน้าบ้านหลังหนึ่ง
บ้านที่หลังใหญ่พอๆกับสถานสงเคราะห์ที่ผมจากมา
“เอาล่ะ ตั้งแต่วันนี้นี่คือบ้านของลูกนะ แล้วนี่ก็พี่ชายลูกนะครับ”
เธอว่า พลางดันเด็กผู้ชายที่นั่งหน้าบึ้งตลอดทางให้มาอยู่ข้างๆผม
แต่ทว่า...
“ผมไม่อยากมีน้องชาย!!”
“โอ๊ย!”
เด็กคนนั้นพูดขึ้น ก่อนหันมาผลักผมจนล้ม แล้ววิ่งเข้าบ้านไป
ผู้ชายน่ากลัวคนนั้นเข้ามาพยุงผมให้ลุกขึ้น
“ไม่เป็นไรนะ พี่เขาคงหงุดหงิดไปหน่อย”
ผมนิ่ง...ก้มมองฝ่ามือที่ถลอกจนได้เลือด
กำมือซ่อนด้านหลัง... ไม่ให้ใครรู้
“อึก...”
เผลอสะอื้นเพราะความเจ็บแสบที่เข้ามา
เสียงผมทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองก้มลงมองจนเจอความผิดปกติ
ฝ่ามือเปื้อนเลือดและเต็มไปด้วนฝุ่นดิน...
“ตายจริง! เด็กคนนี้มันน่าตีจริงเชียว! !”
‘คุณพ่อ’ กับ ‘คุณแม่’
ทั้งสองให้ผมเรียกแบบนั้น
ขอบคุณที่รับผมเข้ามาในบ้านหลังนี้
แต่ยังไม่ใช่กับ...เขาคนนั้น
เพราะกว่าคนที่ผมเรียกว่า‘พี่ชาย’จะยอมรับผมเป็นสมาชิกคนนึงของบ้าน
ก็ปาไปหลายปี
นาฬิกาชีวิตที่กำลังเดินทาง...
มัธยม
ในขณะที่ผมอยู่ชั้นม.4 เขาก็เรียนอยู่ม.5
เขาเด่นทั้งการกีฬา การเรียน กิจกรรม
แต่ผมมันแค่เด็กท้ายห้องที่แทบไม่มีคนสนใจ
“มึงมันก็แค่กาฝาก”
หัวโจกของห้องชี้หน้าเรียกผมแบบนั้น
หลังจากรู้ว่าผมและเขาไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ
กลั่นแกล้ง
ด่าทอ
สารพัดวิธีการที่มันทำให้ผมกลายเป็นตัวตลกของห้อง...
จนกระทั้งวัน
ผมถูกพวกมันลากไปที่ห้องน้ำหลังโรงเรียน
ผมรู้ว่ามันต้องการเงิน แต่ผมไม่ให้
นี่มันไม่ใช่เงินของผม...
ทั้งเตะ... ทั้งต่อย...
จุก...และเจ็บ...
จนผมไม่สามารถเปร่งเสียงร้องออกมาได้
“เฮ้ย เขาว่าผู้ชายด้วยกันเอากันได้ ลองสักครั้งไหมวะ”
ใครสักคนพูดขึ้น
เสียงหัวเราะที่ดังตามมา...
“อ...ย่า...”
เสียงที่แหบจนแทบไม่ได้ยินของผม
ไม่มีทางที่พวกมันจะได้ยิน
“ช่ว....ย ด้วย”
และคำร้องของที่ไม่มีทางส่งไปถึงหูใคร...
เสื้อนักเรียนที่ถูกกระชาก
กางเกงที่ถูกดึงออกไป
เข็มขัดที่พันธนาการข้อมือ
ถ้อยคำโลมเลีย
ฝ่ามือใครต่อใครที่น่าขยะแขยง
รู้ว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์
จึงก้มหน้าก้มตารับเรื่องที่จะเกิดขึ้น
“พวกมึงทำเหี้ยไรกัน!”
เสียงตวาดของใครสักคนดังขึ้นหยุดการกระทำของพวกมัน
เสียงหมัดกระทบเนื้อ เสียงด่าทอ
เสียงสบถต่างๆนานา
ดังขึ้นและค่อยๆหายไปจนทุกอย่างเงียบ
ผมทรุดลงกับพื้นห้องน้ำทันที
“......!!!!”
ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อตัวเอง
ข้อมือโดนแก้ออก
เสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ถูกสวมใส่
ผมพยายามมองคนตรงผ่านม่านน้ำตา
ใครกันที่มาช่วยผม
“พี่...”
ส่งเสียงออกไป มันแหบจนกลัวตัวเอง
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ขอโทษที่ไม่ได้ดูแล ขอโทษที่มาช้า”
เขารวมผมไว้ในอ้อมกอด
เอื้อนเอ่ยคำขอโทษออกมา
น้ำตาผมไหลลงอีกครั้งด้วยความดีใจ
หลังจากนั้นไม่นาน
ได้ยินจากครูว่าพวกนั้นโดนไล่ออกไปแล้วเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่...
สภาพจิตใจผมย่ำแย่
ผมกลายมาเป็นคนหวาดระแวง และกลัวการสัมผัสจากบุคคลอื่น
เขาโทษว่าเป็นความผิดของเขา
โทษตัวเองว่าไม่ยอมดูแลผมให้ดีจนผมโดนทำร้าย
ไม่ยอมปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว
จะยอมเสียเวลาเป็นปีๆ เพื่อรอผมสอบเข้ามหาลัยพร้อมกัน
ดูแลผมทุกอย่าง แม้ผมบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็ตาม
โชคดีคุณพ่อคุณแม่เตือนเขาแล้วเขาฟัง
เข็มนาฬิกายังคงหมุนเดินต่อไป...
มหาลัย
โชคดีที่ผมสามารถสอบเข้าเรียนที่เดียวกับเขาได้
ผมปี1 เขาปี2...
บริหาร กับ วิศวะ
ผมขอคุณพ่อคุณแม่ออกมาอยู่หอ
ตั้งใจจะหาพาร์ทไทม์ทำ เพราะไม่อยากจะกวนพวกท่านมากกว่านี้
แต่ท่านไม่ยอม และเขาก็ไม่ยอม
อีกสาเหตุที่อยากผมจะอยู่หอ ที่ผมไม่ได้บอกใคร
เพราะผมรู้ตัวว่าผมไม่ได้มองเขาเป็นพี่ชาย
แต่ผมมองเขาในฐานะ ‘ผู้ชาย’ คนนึง
จึงคิดจะหลีกเลี่ยงการพบเจอ
เพราะเขาเป็นลูกชายของผู้มีพระคุณของผม
ผมไม่อยากจะคิดเกินเลยมากกว่านี้
แต่เหมือนความคิดเราจะไม่ตรงกัน
คุณพ่อคุณแม่ห่วงเกินไป กลัวเหตุการณ์ซ้ำรอย....
เขาจึงเสนอว่า
“ถ้าน้องอยู่หอ ผมจะไปอยู่เป็นเพื่อนเอง”
เวลาผ่านไป
ผ่านการเป็นเฟรชชี่มหาลัย ขึ้นเป็นพี่ปี2
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่ผมเลิกเรียกเขาว่าพี่
และมาใช้คำว่าคุณ
คืนนึง
ผมกลับดึกห้อง เพราะต้องทำงานกลุ่ม
เมื่อมาถึงหน้าหอ
ภาพชายหญิงที่ยืนจูบกับอยู่ทำให้ผมหันไปมอง
จะไม่อะไรเลยถ้าฝ่ายชายไม่ใช่เขา...
เจ็บข้างในอก แต่ต้องเก็บความรู้สึก
ห้ามแม้แต่แสดงอาการออกมา
กดความรู้สึก เก็บมันไว้ข้างใน....
“แฟนคุณสวยดีนะครับ”
เอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม
เพื่อที่จะได้รับรอยยิ้มเขินๆจากเขา
เด็กวิศวะคู่กับเหล้า
ไม่รู้ใครมันนิยามคำนี้
ทุกเดือน จะมีเพื่อนของเขามากินเหล้ากันที่ห้อง
ตั้งแต่หัวค่ำ ยันดึกตื่น
อย่างเช่นในวันนี้
ครั้งนี้นอกจากเพื่อนของเขาที่ผมรู้จักแล้ว ยังมีบุคคลอื่นที่ผมไม่รู้จักเข้ามาด้วย
ผมไม่ชอบแววตาที่เขามองมาที่ผม
มันเหมือนกับ พวกมัน เมื่อตอนนั้น
ปกติผมจะมีหน้าที่ทำแค่กับแกล้ม กับรอเก็บกวาด
แต่วันนี้...
น้ำสีอำพันถูกส่งมาให้ผม จังหวะที่เขาลงไปซื้อมาเพิ่ม
จะปฏิเสธก็กลัวหักหน้า
กลั้นใจยกความขมนั้นเข้าลำคอ
ก่อนทุกอย่างจะเลือนลาง...
แสงแดดยามเช้าส่องกระทบ
ขยับตัวจะลงจากเตียง
แต่
ความปวดหนึบจากเบื้องล่างแล่นเข้าสู่ร่างกาย...
ส่งผลให้ผมทรุดลงไปกับพื้น
กลิ่นคาวแปลกๆ และคาวเลือดลอยขึ้นแตะจมูก
รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม...
แต่ใคร...
แหมะ...
หยดน้ำตาที่ตกลงสู่พื้นห้อง..
ผมปาดมันทิ้ง ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกมา
เป็นเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เจ้าของใบหน้าฟกช้ำ คราบเลือดที่มุมปากปรี่เข้ามากอดผมทันที
“ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ”
“ขอโทษที่ครั้งที่มาไม่ทัน”
เขากอดผมแน่น ใบหน้าซบลงที่ลาดไหล่
ความเปียกชื้นที่บ่า
ผู้ชายคนนี้กำลังร้องไห้...
คำขอโทษซ้ำๆ
คำโทษตัวเอง
คำหยาบต่างๆที่หยุดออกมาจากปากเขา
ทุกอย่างล้วนโทษตัวเองที่ทำให้ผมต้องมาเจออะไรแบบนี้
ปากเรียวจุมพิตลงบนหน้าผากผม...
“กลับบ้านเรากันนะ”
คำนั้นทำให้น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง
ผมขอให้เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหันผมให้ฟัง
ผมขอให้เขาไม่พูดเรื่องนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง
ผมขอให้เรื่องมันจบแค่นี้...
ร้องไห้ออกมาจนไม่มีแรง
เผลอสารภาพความในใจออกไป
เขายิ่ง และพยักหน้ารับรู้...
มารู้ทีหลังว่าเขาทำเรื่องส่งอธิการไปแล้ว โดยมีทุกคนที่อยู่ในห้องวันนั้นเป็นพยาน
คนๆนั้นพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาทันที
ผมกลับมาอยู่ที่บ้านอีกครั้ง
กลายเป็นว่าผมที่สภาพจิตใจกำลังดีขึ้น ต้องมาย่ำแย่อีกครั้ง
ครั้งนี้เขาประกบติดกับผมมากกว่าเหตุการณ์ครั้งก่อน
มารับ และส่งทุกครั้ง
ถ้าไม่ว่างเขาจะให้รถไว้แล้วขับกลับเอง
ไม่ยอมปล่อยให้กลับบ้านโดยรถสาธารณะ
เป็นอย่างนี้จนผมเรียนจบ...
ชีวิตมหาลัยที่สุขสันต์และขมขื่น...
เข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ...
หลังเรียนจบ
คุณแม่เปิดเป็นร้านกาแฟเล็กๆให้ผมดูแล
ส่วนเขาทำงานเป็นวิศวะกรในบริษัททีมีชื่อเสียง
ผมมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้
วันหนึ่ง
คุณพ่อกับคุณแม่ไปธุระที่ต่างจังหวัด
ทิ้งให้ผมกับเขาอยู่บ้านสองคน
เข็มนาฬิกาเดินไปที่เลขสิบสอง..
เขากลับบ้านมาพร้อมกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ติดตามตัว
เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่บริษัทเขามีงานเลี้ยง
ผมพยุงเขาขึ้นห้อง
จัดการเช็ดหน้าเช็ดตา หวังให้สบายตัว
ขณะที่กำลังเช็ดหน้า...
มือหนากระชากข้อมือผมให้เข้าใกล้
ก่อนมืออีกข้างจะกดท้ายทอยผมลง
บังคับให้ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน
เขากดท้ายทอยผมแช่ไว้อย่างนั้น ก่อนจะสอดลิ้นเข้ามา
รสชาติแอลกอฮอล์คละคลุ้งในโพรงปาก
ผมดิ้นเมื่อเริ่มหายใจไม่อออก
เมื่อเขาผละออก แววตาที่มองผมไม่ใช่แววตาของคนเมา
เป็นแววตาที่ผมไม่เคยเห็น..
“.....”
ชื่อผมถูกเอ่ยออกจากปากเขา
ก่อนเขาจะดึงผมเข้าไปหา
ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจของทั้งสองฝ่าย
เสียงนกร้องปลุกผมจากการหลับใหล
ภาพของห้องผมปรากฏขึ้นในสายตา
“ฝัน?”
ถ้าเป็นฝัน ก็ถือว่าเป็นฝันดีที่ของผม
“ไม่ใช่ฝันครับ”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้น พร้อมสัมผัสที่แก้มทำให้ผมสะดุ้ง
เป็นเขาที่อยู่ตรงนี้...
เป็นเขาที่อยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับผม...
เป็นเขา...ไม่ใช้คนอื่น
พลิกตัวเข้าหาอ้อมกอดคุ้ยเคย
“ผมรักคุณ”
เอ่ยคำออกไป
“ผมก็รักคุณครับ”
ผมยิ้มกว้าง
พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
เพราะเขาไปเล่าให้ฟัง...
คุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่ได้ขัดขวาง หรืออะไร
เพียงแต่ขอให้เราดูแลกันดีๆ
ไม่กี่ปีต่อมา
เงินสะสมจากการเก็บหอมรอมริบจากทั้งเขาและผม
ทำให้เราสามารถซื้อบ้านหลังเล็กได้
บ้านที่เป็นของเราจริงๆ
จาก1ปี เป็น2ปี
จาก2ปี เป็น3ปี
จาก3ปี เป็น4ปี
จาก4ปี เข้าสู้ปีที่5
บ้านของเรา
เราตัดสินใจอุปการะเด็กสักคน
โดยจะไปรับเด็กที่มาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่ผมเคยอยู่
กี่ปีกันนะที่ผมออกมาจากที่นั่น
ออกมาจากบ้านหลังนั้น...
เพล้ง!
ตุ๊บ!
“คุณ! !”
ได้ยินเสียงเขาตะโกนเรียกผม
กลิ่นคาวเลือดเข้าจมูก
ก่อนสติผมจะดับไป...
ผมลืมตาขึ้นมากลางดึก
เห็นเงาคนนอนอยู่ข้างเตียง อีกข้างเป็นเสาน้ำเกลือ
ที่นี่...โรงพยาบาล?
ผมขยับตัวหมายจะลุกขึ้น
ทันทีที่ขยับตัว เขาก็ลุกขึ้นมา
แววตายินดีที่เห็นผมตื่นขึ้น
“คุณ...”
เสียงแหบแห้งของผมส่งเสียงเรียก
“ผมเรียกหมอแล้ว คุณลุกไหวไหม”
เขาเข้ามาพยุง ปรับเตียงยกตัวให้ผมนั่งได้
เมื่อหมอเข้ามา
หมอบอกแค่ว่า ผมวูบไปเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ
แต่มือของผมที่ถูกเขากำไว้ถูกบีบแน่จนเจ็บ
ผมอยู่โรงพยาบาลอีกวันหมอก็ให้กลับบ้านได้
พร้อมกับสารพัดยาที่ได้รับมา
ผมถามเขาว่าตกลงผมเป็นอะไรกันแน่
เพราะยาแต่ละชนิดมันไม่ใช่ที่ผมคุ้นเคย
ผมดื้อด้านอยากรู้ เขาหาว่าผมคิดมาก
จนเราทะเลาะกัน...
เช้าวันหนึ่ง
เขาบอกว่าที่บริษัทมีงานเลี้ยงส่งหัวหน้า
ให้ผมไปรับในตอนค่ำ ผมรับคำทันที
สามทุ่มครึ่ง
ได้รับโทรศัพท์จากเขา บอกให้ไปรับ
คว้ากุญแจรถ ก่อนขับออกไป
คืนนี้ฝนตกหนัก...
กดโทรหาเขาอีกครั้งเพื่อสอบถามเส้นทาง
เปิดสปีกเกอร์โฟนก่อนวางไว้บนเบาะข้างๆ
สี่แยกใหญ่
ไฟจราจรสีเขียวนับถอยหลังสี่สิบวิฯ
ผมขับรถแบบไม่รีบเร่ง พอดีกับที่เขารับโทรศัพท์ทันที
“คุณอยู่ไหนแล้ว”
“ผมอยู่สี่แย...”
ปัง!
โครม! !
“คุณ! ! ! เกิดอะขึ้น! ! ! คุณ! ! ! ! ! ! ! !”
ได้ยินเสียงของเขาแว่วมา
แต่ทว่าสติผมดับลงไปแล้ว...
“คุณ! ! ! ! ! !”
ผมลืมตา พร้อมความหนักอึ้งของร่างกาย
พยายามขยับตัว แต่ร่างกายกลับไม่ฟัง
ภาพรถที่ฝ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนด้านซ้ายของรถ
ภาพรถที่หมุนหลายตลบ และไถลไปไกลเพราะความลื่นของถนน
เสียงของเขาคนนั้นที่ได้ยินก่อนสติหมดไป...
ผมหลับตาลงอีกครั้ง
“คุณ! ตื่นสิ คุณ! ! !”
ได้ยินเสียงตะโกนของเขา
เสียงที่เหมือนจะขาดใจ
รู้สึกว่ามีใครมาจับตัว
“คุณ! ตื่นสิ ห้ามหลับนะ!
คุณต้องอยู่กับผมสิ
ผมรักคุณ อยู่กับผมนะ อย่าจากผมไป! !”
มือของเขากุมเข้าที่มือของผม
อ่า...ผมไม่รู้สึกถึงไปอุ่นจากมือเขาเลย
“คุณ...”
ผมพยายามเค้นเสียงออกไป
ฝืนหนังตาที่หนักอึ้งให้ลืมขึ้น
ภาพคุณพ่อกับคุณแม่กำลังร้องไห้...
ผมขอโทษ...
ภาพเขาที่กำลังกุมมือผม...
“พ่อครับ แม่ครับ ผมขอโทษ...”
“คุณครับ ผม...รักคุณนะ”
ฝืนส่งยิ้มให้คนตรงหน้า
ก่อนที่
...เข็มนาฬิกาจะหยุดนิ่ง....
- END -