พิมพ์หน้านี้ - #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -4 SEP 2017 ตอน12 Bangkok จบแล้วจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: mukmaoY ที่ 29-07-2017 15:47:24

หัวข้อ: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -4 SEP 2017 ตอน12 Bangkok จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 29-07-2017 15:47:24
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


: 222222:
ไอซ์ ทรงกลด
ชอบคิดว่าตัวเองโตแล้ว แต่ที่จริงยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก

:interest:
นัท ณัฐกฤต
นี่ก็โตแล้ว แต่ชอบกวนเป็นเด็กๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น 12 ตอนจบ (ยังไม่มีตอนพิเศษ)
เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าไปเที่ยวแบ็คแพ็คเมื่อปีที่แล้ว
แน่นอนว่าเนื้อเรื่องเรื่อยๆมาเรียงๆตามสไตล์ข้าพเจ้า ข้อมูลการเที่ยวอาจไม่ละเอียดมากนัก เพราะแทบจะไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินเล่น พูดง่ายๆว่าเปลี่ยนที่เดินเล่น  :ling2:
ถ้าหากชอบแนวๆนี้ (ส่วนใหญ่หน่วงๆ  :ling3:) สามารถติดตามได้ที่เพจของข้าพเจ้าในลิงก์ข้างล่างนี้เลยเจ้าค่ะ  :mew1:

https://www.facebook.com/Mukmaoynovel/
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -๑ สงขลา- (๒๙กค)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 29-07-2017 15:48:00

ปีนัง ถึง สิงคโปร์

Chapter 1
Songkla




ตุบๆๆ

แฮ่ก แฮ่ก

"ไปดอนเมืองครับ....ขอบคุณครับ"

ฟู่ววว


ผมคลี่ดูตราปั๊มลายดาวสีแดงบนแผ่นปริ๊นท์ไฟล์ทบินของตัวเอง เจ้าหน้าที่ผู้ชายหน้าดุแกคงสงสารที่เห็นผมวิ่งมาตั้งแต่ประตูหนึ่งเพื่อขึ้นชัทเทิลบัส เป็นรถบัสฟรีสำหรับผู้โดยสารจากสุวรรณภูมิที่ต้องการไปสนามบินดอนเมือง พี่เขารีบปั๊มอนุญาต ก่อนผมจะปีนขึ้นรถ รับแอร์เย็นฉ่ำ ทุกที่นั่งเต็มไปด้วยผู้โดยสารต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นคนจีนและท่าทางจะมีผมคนเดียวที่เป็นคนไทย
ชัทเทิลบัสค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากจุดรับผู้โดยสาร มุ่งหน้าสู่ทางด่วนเพื่อไปดอนเมือง

และแล้วการเดินทางของผมก็เริ่มต้นขึ้น....



.
.
.




นี่คือการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของผม... นายไอซ์ ทรงกลด นิสิตปีสามของมหาวิทยาลัยชื่อไม่ดังนัก ผมเรียนไอที แต่ไม่ได้หมายความว่าชอบคอมพิวเตอร์ ผมแค่ถนัดด้านนี้แค่นั้น ส่วนงานอดิเรกน่ะเหรอยิ่งไปกันใหญ่ ผมไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกไปจากการนอนบนเตียง
ดังนั้นการแบ็คแพ็คคนเดียวครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผมมาก ผมอาจเจอเพื่อนใหม่  ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เที่ยวแบบอดอยาก ก็คงจะสนุกดี
แผนการเที่ยวของผมนั้นยิ่งใหญ่อลังการมาก ผมจะเริ่มที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย แล้วต่อด้วยอิโป ไปกัวลาลัมเปอร์ ทิ้งท้ายมาเลย์ที่เมืองมะละกา ก่อนข้ามฝั่งไปสิงคโปร์

ใช่ไหมล่ะ...แค่อ่านยังเหนื่อยเลย

.
.
.


"น้อง..."

"น้องครับ..."

งืมมม

"น้องคนสวยตื่นเถอะครับ ถึงแล้ว"
สติผมตื่นเต็มที่เมื่อได้ยินคำเรียกแบบนั้น
โธ่พี่ ผมแค่ผมยาวเอง

นายทรงกลด ชื่อสุดจะแมนขัดหน้าตา พาร่างตัวเองลงมาจากรถ เดินหลงในสนามบินไปสองรอบถึงเจอฮอลที่เขาเพิ่งสร้างใหม่ ซึ่งเป็นสายการบินบินในประเทศ เพราะผมจองไฟล์ทไปสงขลา เพราะได้โปร0บาทพอดี เป็นไงล่ะ เก่งใช่ม้า~

มองนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี ไฟล์ทที่จองเป็นไฟล์ทหกโมงเช้า นั่นเท่ากับว่าผมต้องนอนรอที่นี่
...ไฟภายในอาคารสว่างโร่ก็จริง แต่ไม่มีพนักงานสักคน มีแต่ผู้โดยสารที่นอนรอเหมือนกันกับผม แล้วจะน่าไว้ใจได้ยังไง
ทำไงดี เกิดมายังไม่เคยขึ้นเครื่องบินด้วย ลองเดินเล่นดูก่อนดีกว่า เผลอๆอาจจะหกโมงเช้า ค่อยไปนอนบนเครื่องเอา

หิวจัง.....ร้านบ้านี่ก็มีแต่ของแพงๆ ใครจะไปกินลงวะ อ้ะ!นั่นไง มีโรงแรมให้นอนด้วย แต่เชื่อเถอะว่าแพงแหงๆ เราเตรียมเงินมาแค่หมื่นเดียวเอง แล้วก็แลกเป็นเงินริงกิตกับดอลล่าห์สิงคโปร์หมดแล้วด้วย

ผมตัดสินใจหาที่นั่งที่มันไม่สู้แสง จะได้นอนตาหลับ แต่ก็นะ...กระเป๋าที่หนุนไม่ได้นุ่มเหมือนหมอน ทั้งเก้าอี้สามตัวเรียงกันก็ไม่เสมอกัน ทำให้นอนไม่สบายตัว ไหนจะคนเดินไปเดินมา บ้างก็มาเป็นคู่ ต่างคนต่างคุยกัน ดีจังเลยน้ามีเพื่อนร่วมเดินทางเนี่ย

เหงาจังน้า....
เปิดเพลงคนไม่มีแฟนของพี่เบิร์ดฟังย้อมใจดีกว่า



หลับๆตื่นๆมาทั้งคืนจนตีสี่ ท้องก็ร้องประท้วง จึงต้องจำใจเจียดเงินสองร้อยบาทที่ซ่อนไว้ในช่องลับออกมาสั่งแซนด์วิชกิน ผู้คนทยอยกันมามากมายต่างจากเมื่อคืนลิบลับ
"นี่ค่ะน้อง"

"ขอบคุณครับ"
พี่คนเสิร์ฟนำแซนด์วิชที่เพิ่งอุ่นร้อนๆมาให้ ผมเงี่ยหูฟังครอบครัวชาวจีนโต๊ะข้างๆ อยากรู้ว่าสกิลภาษาเรายังดีอยู่หรือเปล่า แต่ก็ฟังไม่ออกหรอก เพราะจบม.6 มาตั้งสามปีแล้ว จำได้แค่ตัวเลข กับหว่ออ้ายหนี่เท่านั้นเอง

เสียดายจัง
น่าจะตั้งใจเรียนกว่านี้


"น้อง"

กัดแซนด์วิชคำแรก...เอิ่ม มันร้อนตรงไหนเนี่ย เย็นโคตรๆเหมือนเพิ่งออกจากช่องฟรีซ

"น้องผมยาว คนไทยป่าว"

ใคร? ใครผมยาว?
ตูนี่หว่า!

ผมหันตามเสียงเรียก เป็นผู้ชายหน้าตาดีนั่งอยู่โต๊ะหลัง  ตอนเข้ามาก็ไม่ได้สังเกต มัวแต่เล่นเกมในโทรศัพท์

"อะไรครับ"

ทำไมต้องยิ้มมุมปากด้วย

"พี่ขอซอสหน่อย"

ห้ะ....ผมมองบนโต๊ะพี่เขา ก็มีซอสนี่หว่า แถมในจานก็กินไม่เหลือซาก ยังจะเอาซอสไปทำอะไรอีก

"ขอหน่อยครับ"

"เอ่อ..ครับๆ"
หยิบให้อย่างงงๆ พลางรวบผมตัวเองมาด้านซ้ายเพื่อที่จะหยิบแซนด์วิชใส่ปากด้านขวา

"ผมสวยดีนะ ไว้มากี่ปีแล้ว"
ไอ้พี่หน้ากวนยกจานเปล่าของตัวเองมานั่งตรงข้ามกับผม (จริงๆหน้าตาดี สุภาพ ถ้ายังเรียนอยู่จะเรียกว่าเด็กเรียบร้อยเลยแหละ แต่พี่มันกวนผมไง)

"สามปีครับ"
ตอบสั้นๆ เพราะคิดว่ามาจีบเราแน่ ยังไม่พร้อมหรอกนะเสียใจด้วย
...ที่ฟังเพลงคนไม่มีแฟน เพราะอยากเล่นเอ็มวีไปงั้น

"เหรอ นึกว่านานกว่านี้นะเนี่ย ยาวมากเลย เหมือนนักร้องคนนึง ชื่ออะไรนะ?"

"ซิน ซิงกูล่า"
ใครๆก็ทักจนผมรู้อัตโนมัติ

"ใช่ๆ แต่น้องหน้าเด็กกว่า"

"ก็ผมเด็กกว่าเขานี่ มันก็ถูกแล้วแหละครับ"

"อายุเท่าไหร่ล่ะเรา"

"...."
ไม่สนเว้ย กินเสร็จแล้วก็ไปไกลๆดิวะ
อึดอัดโว้ย!!

"พี่ชื่อนัทนะ อายุสามสิบ"

"ครับ"
ไม่บอกน้ำหนักกับส่วนสูงไปด้วยเลยล่ะ

"ว้า...พี่ต้องไปแล้วแหละ แล้วเจอกันนะ"
เออ ไปเลย! อย่าหันมาขอเบอร์นะ

ผมกลอกตามองบน ใช่ว่าสวยแล้วเล่นตัวนะ แค่ไม่ชอบถูกจีบแบบนี้ มันอึดอัด ชอบเป็นเพื่อนหรือรู้จักกันมาก่อนมากกว่า

พอกินมื้อเช้าเสร็จผมก็ไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ซึ่งค่อนข้างเงียบ เลยยืนจ้องตัวเองในกระจกเสียนาน
มาเลเซียเป็นประเทศอิสลาม ผมกลัวว่าตัวเองจะดูแปลกแยกมากเกินไป คือเราก็ค่อนข้างบอยมากแต่ดันผมยาวเพราะมันเข้ากับรูปหน้า เพื่อนชอบเรียกผมว่าพี่ซิน แต่รายนั้นเขาสวยกว่า ทางผมจะออกหน้ากวนๆ ตาตกๆหน่อย ถ้าตัดผมจะเหมือนเด็กต๊องๆ เลยไว้ยาวเพื่อสร้างภาพพจน์นางงาม


ตายห่า! ตีห้าแล้ว! อ่านมาว่าให้เข้าเกตก่อนสองชั่วโมง แล้วเกตคืออะไร อยู่ตรงไหนวะเนี่ย!?


ผมหยิบไฟล์ทขึ้นมาดู  มีเลขบอกด้วย ประตู10เหรอ....
เชื่อไหมว่าเดินวนอยู่สามรอบถึงเจอ  โง่มากๆเลยผม

ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่หน้าบึ้ง  สนามบินนี้นอกจากแอร์โฮสเตสแล้ว ไม่คิดจะมีคนยิ้มให้ผมเลยเหรอวะ สงสัยจะเช้าไป เออผมก็ง่วงครับพี่


เขาให้นั่งรอที่โซน22 จนกว่าจะเรียก ผมที่ไม่เคยขึ้นเครื่องพอจะเข้าใจระบบมันขึ้นมาบ้าง เพราะมองนอกหน้าต่างออกไปก็เจอกับเครื่องบินมากมายค่อยๆเข้ามาจอดเชื่อมกับทางที่ผมเดาว่ามันคืองวงช้าง หมายความว่าผมผ่านด่านแรกมาแล้ว เหลือด่านสุดท้ายคือเช็คตั๋วก่อนขึ้นเครื่องเท่านั้น
ฟู่วว ตื่นเต้นจัง ครั้งแรกจะเป็นยังไงนะ ข้างบนจะสวยเหมือนในภาพถ่ายหรือเปล่า เขาให้ถ่ายรูปได้ไหม อุตส่าห์พกกล้องดิจิตอลตกรุ่นมาด้วยนะเนี่ย


"อ้าวน้อง"
อ้าวพี่....

"จะไปสงขลาเหรอ"

"ครับ"

"ไฟล์ทเดียวกันสิงั้น นั่งไหนล่ะ"

"เอ่อ..."

"ไม่เป็นไร ค่อยลุ้นตอนเข้าไปดีกว่า"
ว่าแล้วก็นั่งลงข้างๆ
คราวนี้ใกล้กว่าเดิมอีก ยิ่งมองใกล้ยิ่งเห็นหน้าตาคมๆของพี่แก สันกรามชัดมาก คิ้วก็เข้มกำลังดีกล้ามก็...ล่ำสุดๆ
พี่แน่ใจนะว่าอยากลองของแปลก
...น่าสงสารพี่เขานะครับ



.
.
.
.
.


จากที่รำคาญในตอนแรก ผมคงต้องขอกลับคำ มันอดคิดไม่ได้ใช่ไหมล่ะว่าคนๆหนึ่งจะมีความบังเอิญตรงกับเรากี่ครั้งกัน ที่แน่ๆผมกับพี่นัทใช้ไปแล้วสองครั้ง
ครั้งแรกคือเราอยู่ไฟล์ทเดียวกัน
ครั้งที่สอง เรานั่งติดกัน!!

"นั่งสลับกับพี่มั้ย ไอซ์จะได้เห็นเมฆชัดๆ"
ผมขอบคุณพี่เขา เริ่มเห็นความใจดีแทนความเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม

"อ้ะ ขอบคุณครับ"
กล่าวอีกครั้งเมื่อพี่เขาช่วยติดเข็มขัด มันไม่เหมือนเข็มขัดในรถยนต์  แค่เสียบพาดหน้าตัก ซึ่งไม่รู้สึกถูกรัดอะไรเลย นี่ถ้าเครื่องตกจริง มันจะช่วยพยุงผมยังไงอ่า งงจัง โง่ด้วย


เจ้านกเหล็กทะยานพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ผมตื่นเต้นมากๆ แต่ทำเป็นวางฟอร์มนิ่ง แดดยามเช้าหกโมงเป็นสีส้มส่องกระทบต้นขา ผมหยอกเย้าแสงน่ารักเป็นการฆ่าเวลาก่อนเครื่องจะลอยลำตรง
ก้อนเมฆนอกหน้าต่างดูนุ่มนิ่ม อยากมีญาณทิพย์เหมือนกันแฮะ อาจได้เห็นเทวดาลอยไปลอยมา กับวิมานอลังการที่แฝงตัวในกลีบเมฆ

"สวยจริงๆ"
พี่นัทยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ด้วยหน้าต่างเล็กมาก จึงต้องแบ่งๆกัน ส่วนชายอีกคนที่นั่งติดพี่นัท หลับไปตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้นแล้ว

"ผมเพิ่งเคยขึ้นเครื่องบินครั้งแรกเลย"

"จริงเหรอ ชอบมั้ยล่ะ"

"ชอบครับ ถ้าได้นั่งติดหน้าต่างนะ"

"ชั้นประหยัดก็งี้แหละ ที่คับแคบ ตั้งใจเรียน หางานดีๆทำแล้วไปนั่งบิสสิเนสคลาสสิ"

ผมขำ ทำไมไม่หยอดด้วยการบอกว่าพี่จะพาขึ้นเองวะ

"แล้วนี่เราไปสงขลาทำไม เที่ยวไหนเหรอ"

"ปีนังครับ"

"เฮ่ย!"

อย่าบอกนะ...

"ที่เดียวกับพี่เลย"

ผมยิ้มแห้ง
โอเค นี่มันบ้ามาก

"ผมแบ็คแพ็คไปหลายที่นะครับ ไปยันสิงคโปร์เลย"

"What?! พี่ก็ด้วย"

จบ..
ผมยอมแล้วพระเจ้า!

ตั้งแต่วินาทีนี้ต่อไป ผมจะไม่รำคาญพี่เขาแล้ว จีบมาเลยๆ เราคงเป็นเนื้อคู่กันแล้วแหละ
ไอ้มายด์ ไอ้ฝน กูจะได้ผัวแล้วนะ ฝากสายลมไปบอกพวกมันที ทริปนี้มีเสียตัวแน่

"แล้วไอซ์ไปไหนบ้าง ไปกับพี่ไหมล่ะ เที่ยวสองคนสนุกดีออก"

"ก็ปีนัง อิโป กัวลา มะละกา สิงคโปร์ครับ แพลนไว้1อาทิตย์พอดี"

"อืมๆ พี่ไม่มีอิโป แต่ก็น่าสนใจ"

"แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปยังไงนะ มันไปลำบากอยู่ครับ ต้องขึ้นรถไฟ แล้วอาจจะได้นอนที่สถานี อีกอย่างแลกเงินมาแค่สี่พันบาท"

"หลายเมืองแบบนั้นไม่น่าพอนะ"

"เหรอครับ..."
ความหวังเริ่มริบหรี่แล้วเรา
แค่ค่ารถระหว่างเมือง ก็ปาเข้าไปเกือบสองพัน บวกค่าโฮสเทลอีกพัน ผมจะเหลือกินแค่ไม่ถึงพันเท่านั้น แล้วไม่รู้ค่าครองชีพที่นั่นแพงหรือเปล่าด้วย
บอกแล้วผมมาอดอยากล้วนๆ

"ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวถึงแล้วค่อยคิด"
พี่นัทลูบหัว
ผมพยักหน้าตอบ ปล่อยให้เขาแต๊ะอั๋งไปง่ายๆ เพราะเป็นคนใจง่ายอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ



.
.
.



รู้สึกว่าหลับสนิทไปแค่ครึ่งชั่วโมงก็ตื่น ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าหัวตัวเองกำลังพิงไหล่ของใคร  พี่นัทเองตื่นขึ้นมาพอดีตอนผมผละออก แกยิ้มล้ออย่างรู้ทัน ไอ้เราสิหน้าแดงเป็นลูกตำลึง
ไม่ชอบเลยแฮะเวลาเสียฟอร์มเนี่ย ตอนแรกยังทำเป็นรำคาญเขาอยู่แท้ๆ

"ไม่ได้นอนมาทั้งคืนล่ะสิ"

"ครับพี่ หลับๆตื่นๆในสนามบิน นอนไม่สบายเลย"

"เออพี่ว่าเราน่าจะเที่ยวด้วยกันนะ พี่จะไปตามแพลนของไอซ์ ไหนไอซ์ได้ปริ๊นท์มาหรือเปล่า"

"ปริ๊นท์มา แต่อยู่ในกระเป๋าใหญ่"

"ดีเลย เวลาเข้าสิงคโปร์จะได้ดูมีหลักฐาน"

"ผมเนี่ยเอามาทุกอย่างเลย แม้กระทั่งใบเกรด"

พี่นัทขำกลิ้ง

"ฮ่าๆๆ ใครจะบ้าดูเกรดนักท่องเที่ยววะ"

ผมฮึ่มฮั่มในคอด้วยความอาย
มองข้างล่างเห็นแต่น้ำสีฟ้าเข้ม สวยงามตามท้องเรื่อง มองแล้วไม่เบื่อจริงๆ กระทั่งเริ่มหูอื้อ ผมเลยถามพี่นัทว่าแกหูอื้อไหม พี่เขาก็ส่ายหน้า คงชินแล้วแหละ แต่เราเพิ่งขึ้นครั้งแรกไง

มันเริ่มมาพีคตรงที่...เสียงประกาศจากกัปตันบอกว่าอีกสามสิบนาที เครื่องจะถึงสนามบินหาดใหญ่จังหวัดสงขลา
แต่ในหูของผม ...ไม่รู้จริงๆว่าส่วนไหน  มันเจ็บมาก หูปวดตุบๆ เหมือนกับว่าถูกบีบอัดและกำลังระเบิด เส้นเลือดผมดังก้องอยู่ข้างใน ทว่าผมกลับไม่ได้ยินเสียงภายนอกเลย
นั่งงอตัวจ้องนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะถึงวะ ผมไม่กล้าบอกใคร แม้แต่พี่นัทยังไม่สงสัย ด้วยความฟอร์มจัดของผมนั่นแหละ คือเราก็เพิ่งรู้จักกับเขา จะร้องไห้ก็ใช่เรื่อง ทั้งๆที่ในใจนี่น้ำตาตกใน ผมกะว่าจะรอให้ถึงสนามบินก่อนค่อยดูสถานการณ์อีกที


และแล้ว...เครื่องบินก็จอดโดยสวัสดิภาพ ผมทุบหูตัวเองไปมาเผื่อว่ามันจะบรรเทาอาการเจ็บได้บ้างแต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่หมอนี่จะทำถูกต้องเหรอ

"เป็นอะไรไอซ์"
เสียงอันห่างไกลทั้งๆที่พี่เขาเดินข้างกัน
ผมภาวนากับตัวเองว่าอย่าหูหนวกเลย แก้วหูอย่าแตกเลย
กระทั่งขึ้นรถสองแถวสีฟ้าเพื่อจะไปตลาดกิมหยง ผมก็ยังปวดในหูอยู่

"ผมไม่ได้ยินอะไรเลยพี่"

"ธรรมดา พี่ขึ้นเครื่องครั้งแรกก็เป็น เดี๋ยวก็หาย"

...แต่มันโคตรพ่อโคตรแม่ปวดหูเลยนะ
..ฮือออ ตายแน่เรา

พอถึงตลาดชื่อดังของเมืองสงขลา ผมก็ไม่มีอารมณ์จะทัศนาเลยจริงๆ เดินตามพี่นัทต้อยๆไปยังท่ารถตู้ ถึงรถตู้เราจะคนละบริษัทกัน แต่พี่นัทก็สามารถต่อรองจนมานั่งกับผมจนได้

"หูยังอื้ออยู่เหรอ?"

เด็กชายผู้กำลังหูหนวกพยักหน้า

"ลองกินน้ำมั้ย?"

"กินจนอิ่มแล้วพี่"
เวลาที่เราไม่ได้ยินอะไรข้างนอกนี่มันทรมานจริงๆ ผมเข้าใจคนหูหนวกแล้ว ฮืออออ

"เดี๋ยวก็หาย อ่ะนี่ ประกันรถ เผื่อเกิดอุบัติเหตุ"

ผมรับใบประกันชีวิตหน้าตาไม่ค่อยลงทุนมาไว้ในมือ และเผลอคิดว่าถ้าเราเจอระเบิด เขาจะให้เงินเรามั้ย

"นอนเถอะ นอนบนเครื่องไปแป้บเดียวเองนี่นา"

แต่ถ้าผมถูกยิงตายกาลางทางขึ้นมาล่ะ วิญญาณผมจะจำทางกลับบ้านไม่ได้นะ
หูก็จะหนวกแหล่ไม่หนวกแหล่อีก
กลายเป็นวิญญาณคุณภาพต่ำ กลับบ้านเองไม่ได้ พ่อแม่จุดธูปเรียกก็ไม่ได้ยิน
T_T

"ไม่มีอะไรหรอกน่า พี่มั่นใจ"
ดูเหมือนพี่นัทจะรู้ความคิดผม






จากที่ถ่างตาได้ประมาณสิบนาที
ผมก็ไปเฝ้าพระอินทร์เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยผมทันที


...........


-สวัสดีจ้า ห่างหายไปนาน ในที่สุดก็เข็นออกมาจนได้
เป็นเรื่องที่แต่งจากประสบการณ์เที่ยวของตัวเอง (แน่นอนไม่มีผู้ชายมาเต๊าะเหมือนน้องไอซ์)
อาการปวดหูนี้เกิดขึ้นจริง และบรรยายความเจ็บออกมาได้ไม่ดีนัก เพราะมันเจ็บกว่านั้นมากๆ มากจนแบบที่เราคิดว่า หูหนวกแน่
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -๑ สงขลา- (๒๙กค)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-07-2017 16:13:17
นายเอกออกจะ...สายฮา บวกมโน นะ น่ารักจัง รอติดตามค่า   :m4: :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -๑ สงขลา- (๒๙กค)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 31-07-2017 00:43:18
ปีนัง ถึง สิงคโปร์

Chapter 2
Penang I



การเดินทางถึงปีนังใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง มีเวลาให้ยืดเส้นยืดสายคือตอนที่ต้องกรอกเอกสารเข้าประเทศมาเลเซียที่ด่านสะเดา  ซึ่งก็นานพอดู เพราะนักท่องเที่ยวเต็มรถตู้

กระทั่งเรามาถึงหน้าโฮสเทลในเวลาเที่ยงตรง  ถึงเพิ่งรู้ว่าเป็นย่านลิตเติ้ลอินเดีย เพราะเห็นวัดแขกไม่ไกลนัก แถมรีเซปชั่นแขกขาวที่หน้าตาเป็นนายแบบได้เลย
โฮสเทลที่ผมจองไม่ใช่แบบนอนรวม มันถูกแยกเป็นห้องเหมือนโรงแรมทั่วไป เพียงแค่มีห้องน้ำรวมเท่านั้น พี่นัทจึงนอนห้องเดียวกับผมได้สบายๆ ขอแค่จ่ายเงินเพิ่ม

"ไปเข้าห้องน้ำมั้ย หน้าไม่ดีเลย"
พี่นัทที่แสนเป็นห่วงเป็นใยเอามือแตะหน้าผากกับคอ

"หายหูอื้อยัง"
ผมเงี่ยหูฟังแล้วส่ายหน้า
"ยังเลยพี่"

"เห้ย นานไปเปล่า"

ก็ใช่ไงพี่ ผมไม่ได้ปวดหู แต่แก้วหูจะแตกต่างหาก

"ลองบีบจมูก พร้อมๆกับปิดปากนะ แล้วเป่าลมแรงๆ เป่าทั้งๆที่ปิดปากอ่ะ"

พยักหน้าหงึกหงัก ลองเป็นขนาดนี้ก็ทำตามทุกอย่างอ่ะ

"ต่อwifiดิ เผื่อมีวิธีอื่นอีก เอ...พี่ก็ไม่เคยเจอนะแบบนี้"

"เจ็บหูมากเลยครับเนี่ย"

"อ้าว!" พี่นัททำหน้าเหมือนโลกจะถล่ม
"แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่สนามบิน?! ไหนพี่ดูหน่อย"
จู่ๆร่างหนาก็ดึงใบหูผมไปใกล้ๆ ราวกับว่าจะมองเห็นข้างในได้อย่างไรอย่างนั้น
ผมที่เปิดหาอาการตัวเองในเน็ตก็เริ่มใจฝ่อเข้าไปใหญ่ แม่งมีคนเป็นแบบนี้เป็นเดือนด้วยโว่ย  แถมต้องไปผ่าตัดก็มี!
ตายๆ นี่สินะหูตึงของจริง พ่อจ๋าแม่จ๋า~ลูกขอโทษ ที่ต้องมาเป็นภาระให้ตั้งแต่เด็ก

"ใช้น้ำหอมอะไร"

ห้ะ!? ผมไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย? พี่สนใจอาการผมหน่อย!

"จำไม่ได้อ่ะพี่ แอบฉีดของแม่มาก่อนเที่ยว"

"หึๆ ผู้ชายอะไรใช้น้ำหอมผู้หญิง"

ผมขมวดคิ้ว
"ถามจริง ..พี่มองผมเป็นผู้ชาย?"

"ฮ่าๆๆ เออๆ ก็ไม่ได้มองอ่ะ มีแฟนยังล่ะเรา"

ส่ายหน้า พลางดึงหูตัวเองออกมา เพราะเริ่มรำคาญละ คลำอยู่นั่น

"โอเค้"
พอดห็นเราอารมณ์บ่จอย แกก็ไม่ตื๊อ
"งั้นพี่นอนเอาแรงก่อนนะ นั่งนานเมื่อยตูด ไอซ์จะออกไปเที่ยวก่อนก็ได้ แต่ทิ้งโน้ตไว้ด้วย เบอร์โทรด้วย"

"คร้าบ~"


ผมนอนเสิร์ชอาการตัวเองข้างพี่เขา จนสุดท้ายก็ผล็อยหลับ

นี่ทริปนี้แค่มาเปลี่ยนที่นอนหรือเปล่าวะ





..........






"Why do thai come to Penang a lot?"

"....อ่า..I dont know แหะๆ"

นั่นคือบทสนทนาระหว่างผมกับเจ้าของร้านอาหารจีน

เราตื่นมาหาอะไรกินช่วงบ่ายในย่านคนจีน ซึ่งใกล้พอเดินได้ อาจเพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่เลยไม่เหนื่อยมาก (หรือพลังแห่งความหิวกันแน่วะ)

ถามว่าทำไมถึงมากินแถวนี้เหรอ เพราะไอ้เราดันโม้พี่นัทไปไงว่าพูดจีนได้ แกเลยพามาปั๊บ

"ของพี่นัทเหมือนผัดซีอิ๊วเลย"
น้ำลายจะไหลกับผัดเส้น ที่หน้าตาเหมือนบ้านเรา ส่วนของผมเป็นข้าวผัดธรรมดา แปลกตานิดหน่อยตรงที่มีถั่วลันเตา

"อร่อย!"
ผมเป็นคนกินยากมาก นึกว่าจะได้กินมาม่าตลอดทริป แต่ร้านนี้ทำเอาเราไม่ผิดหวังเลย

"พี่นัทเคยกินร้านนี้เหรอ"

"เปล่า อ่านรีวิวเอา"

"ไอซ์ก็อ่านมานะ แต่ลืมไปหมดละ"

"....นี่ไอซ์..." กะพริบตาปริบๆ รอพี่แกพูดต่อ  "แน่ใจนะว่าไม่มีแฟน?"

ฮ่วย! มาเที่ยวคนเดียวเนี่ยเหมือนมีแฟนมากรึไง!!

"เคยมีครับ"

"อย่าบอกนะว่าเที่ยวเพราะอกหัก"

"เปล่า เคยมีนานแล้ว ไอซ์แค่อยากออกนอกประเทศบ้างอ่ะ เบื่อๆ"

"ทำไมถึงเลือกที่นี่ล่ะ?"

ผมยิ้ม "ก็...เคยฝันไว้ล่ะมั้ง"

"ว่าจะมาเที่ยวกับคนนั้น? ยังรักเขาอยู่เหรอ"

"เปล่า....ไม่รักแล้ว แค่ไม่อยากนึกถึง เพราะนึกถึงมันทีไร ก็จะมีเรื่องแย่ๆผุดมา ..ไม่อยากกลัวความรัก"

"....ความรักน่ะไม่น่ากลัวหรอกนะ คนต่างหากที่ทำให้มันน่ากลัว"

"ไม่รู้สินะ...พี่อย่าพูดถึงมันเลย กินข้าวๆ"


เรากินข้าวจนเกือบหมดก็เรียกเช็กบิล แต่เถ้าแก่แกเก็บจากสาวฝรั่งโต๊ะข้างๆก่อน เธอจ่ายเงินพร้อมพูดว่า Delicious! ผมก็อึ้งสิครับ
...คือถ้าเขามาโต๊ะเรา เราต้องคอมเมนต์ป่ะวะ ?
ดูพี่นัทจะไม่เข้าใจสายตาของผม แกหยิบเงินมาพอดีเป๊ะกับราคาอาหาร ทั้งๆที่เถ้าแก่พูดจีนใส่
ทำให้สงสัยว่าพี่นัทก็ฟังจีนออกแน่ๆ

"พี่ทำไมไม่พูดอะไรตอนเขาเก็บเงินล่ะ"
รีบถามเมื่อเราพากันเดินออกมาจากร้าน

"ต้องพูดด้วยเหรอ?"

"ไม่รู้ดิ"

เป็นประโยคงงๆที่เพื่อนร่วมทางสุดหล่อไม่ได้ตอบ ผมก็ไม่ได้คาดคั้นอะไร เพราะหลังจากกินอิ่มแล้วก็มีอารมณ์ชมบ้านเมืองเขาสักที

ตึกรามบ้านช่องของปีนังสวยมากครับในความคิดผม เป็นสไตล์จีนผสมตะวันตกได้อยากลงตัวเลย ตึกสีโทนเดียวกันไล่เรียงเหมือนย่านเก่าๆในบ้านเรานั่นแหละ แค่สถาปัตยกรรมต่างกันเฉยๆ บางบ้านก็ขายของชำธรรมดา บางตึกก็เปลี่ยนเป็นโฮสเทล บางตึกเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
ผมมองหาภาพวาดชื่อดังของเมืองปีนัง อันเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยากมาดูกับตา แต่เชื่อไหมผมเจออยู่รูปเดียว เป็นรูปชายแก่พายเรือ นอกนั้นจะเป็นลวดดัด ที่เล่าประวัติของปีนัง หรือไม่ก็มุกขำๆ ...ซึ่งเราไม่เก็ต

"จิมมี่ชูเป็นคนปีนังเหรอเนี่ย!!"
ผมอุทานเมื่อเห็นลวดดัดลายคนใส่รองเท้า เล่าประวัติย่อๆของดีไซเนอร์ชื่อดัง

"ใครเหรอ"

"ดีไซเนอร์ครับ"

"ถ่ายรูปมั้ย"
พี่นัทพูดพร้อมชูกล้องโปรอย่างดี แบบที่เราไม่มีปัญญาจะซื้อ แน่นอนผมมั่นใจไอ้ตัวนี้มากกว่า เลยทิ้งดิจิตอลของตัวเองไว้ในกระเป๋า


เราผลัดกันถ่ายรูปได้หลายใบ ผมเริ่มเหนื่อยกับอากาศร้อนอบอ้าวไม่ต่างจากเมืองไทย จักรยานก็มีให้เช่า สามล้อพาเที่ยวก็มี แต่พี่นัทอยากเดินเล่นมากกว่า เลยต้องตามใจเขา

"กินไอติมมั้ย"
ผมรู้ว่าพี่สุดหล่ออยากเอาใจ แกโบกหมวกสร้างลมคลายร้อน

"กินก็ได้"

เราซื้อไอติมอะไรมาไม่รู้ ราคาก็พอๆกับไทย ของที่นี่ราคาพอกับไทยเลยครับ แม้ค่าเงินริงกิตเขาจะมากกว่า1บาทของเรา

"แปลกว่ะพี่ เดินมายังไม่เจอหมาสักตัว"
พอเริ่มสนิท ก็หยุดพูดเพราะ XD

"แมวด้วย"

อือออตามน้ำกันไป รู้ว่าเริ่มเหนื่อยแล้ว อีกทั้งเป็นเวลาหกโมงเย็น แต่หกโมงของเขา สว่างเท่าสี่โมงบ้านเราเลย
 เราชวนกันกลับไปนอนพักเอาแรง กะว่าพรุ่งนี้จะตามหาภาพวาดฝาผนังให้ครบ



..............




ตื่นเช้ามาก็หาของกินกันก่อนเลย เรื่องเมื่อคืนเหรออย่าหวังว่าจะมีลับลมคมใน มากสุดก็แค่ขอซุกพี่เขาหน่อย เพราะผมนอนไม่หลับ ด้วยความที่เป็นคนกลัวผีมากกกก ผนวกกับอยู่ย่านแขก มาพีคตอนสองทุ่มที่เขาเปิดบทสวดอะไรไม่รู้โคตรน่ากลัว ผมนี่นอนตัวสั่นจนพี่นัทต้องชวนคุย
นึกแล้วก็อายแฮะ...

"ลองไอ้นี่มั้ย ที่ไทยไม่มี"
เราหยุดกันที่ร้านอาหารจีน คิดว่าน่าจะเก่าแก่พอสมควรเพราะมีแต่คนแก่มานั่งกิน ท่าทางร้านนี้จะพูดอังกฤษไม่ได้เลยด้วย
เราสองคนเพียงเป็นชาวต่างชาติที่เดินเข้าไป เลยถูกมองกันให้พรึ่บ

"งั้นเอาไอ้นี่ละกันครับ"
ผมชี้ไปที่เมนู เป็นรูปอาหารเส้น น้ำสีส้ม คล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำ

เมื่อลองกินคำแรก...
ยอมรับว่าผิดหวังนิดหน่อย
ในชามมีแต่เส้น กับกุ้งตัวแห้งๆ น้ำสีส้มเหมือนต้มยำ แต่รสชาติเลี่ยนมันมาก ผมไม่ชอบแบบนี้ แต่ก็ฝืนทนกินเพราะเป็นอาหารเช้า

"อร่อยมั้ยพี่"

"ก็โอเคนะ แต่เครื่องน้อย"

"ยิ่งกว่าน้อยอีก"

สุดท้ายก็กินไปได้หน่อยเดียว พอเรียกเก็บเงิน ผมก็ใช้สกิลภาษาจีนที่ร่ำเรียนมา

"ฉือลิ่ว อู่เซ็นต์" (16 ริงกิต 5 cent)
พูดตะกุกตะกัก ไอ้พี่นัทก็ไม่ช่วย นั่งยิ้มอยู่นั่นแหละ!





"ในแผนที่มันโคตรห่างกันเลยพี่ รูปแต่ละรูปอ่ะ เรานั่งสามล้อเอามั้ย?"

"ไม่เอาหรอก เดินเล่นเถอะ หรือไอซ์อยากตามให้ครบ?"

"เปล่าครับ"

"ดีมาก เดินชิลๆดีกว่า อย่าไปเครียด อยากเข้าอะไรก็เข้า"
พูดจบก็มีท่อนแขนหนาพาดผ่านคอ
ตอนนี้ตัวผมเลยแนบชิดสนิทกับพี่แกมากๆ ไอ้เราก็อยากอ่อยอยู่พอดี ต่อให้ร้อนก็ไม่ถอยห่างแล้วหละ


.
.
.



ฮือออ ผมจะทำยังไงดี พี่นัทเข้ากับเราได้ทุกอย่างเลย !
เราไม่ใช่สายกิน ไม่ใช่สายแพลน อยากทำอะไรก็ทำตามใจตามกำลัง เหนื่อยก็พัก และเราก็ชอบอะไรที่เหมือนกัน ผมคุยกับพี่นัทจนคอแห้ง ทั้งๆที่ปกติเราเป็นคนไม่ค่อยพูด
แต่เราเพิ่งเจอกันแค่สองวันเอง ไม่กล้าหลงรักเลย ....แต่ถ้าถามว่าหวั่นไหวไหม บอกเลยว่าไปหมดทั้งใจแล้ว




"ตกลงจะไปอิโปป้ะ เหลือเงินเท่าไหร่"
เรานั่งพักในperanakan mansion ซึ่งเป็นบ้านของเศรษฐีชาวจีนสมัยอพยพมาอยู่ปีนัง ตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สะสมของต่างๆ สวยมาก บ้านก็สวย เหมือนหลุดไปอยู่ในละครเรื่องบะบ๋า ย่าหยาเลย

"คงไม่ได้ไปแล้วพี่"

"งั้นก็ไปกัวลาเลยนะ ต้องนั่งรถเมล์ไปขนส่ง น่าจะง่ายอยู่"

"แต่ขึ้นสายไหนไม่รู้ ลองถามรีเซปชั่นมั้ย"

พี่นัทมองอย่างรู้ทัน
"อยากคุยกับเขาล่ะซี้ เนี่ยแหละนะคนเรา เห็นคนหล่อก็ลืมคนข้างกาย"

หน้าเห่อร้อน
"เราเป็นอะไรกันไม่ทราบครับ"

"อ้าวเราไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ?! ว้า~ อุตส่าห์จีบมาตั้งแต่สนามบิน นอนก็นอนด้วยกันแล้ว ห้องน้ำก็เคยเข้าด้วยกันแล้ว"

"อะไรพี่! พี่แค่เข้าไปสอนล็อคไอ้ประตูเลื่อนนั่นหรอก แค่สามนาทีเองเหอะ!"

"ไม่ได้เป็นแฟน งั้นขอเป็นกิ๊กชั่วคราวได้ป่ะ?"

ผมรีบหลบสายตาแพรวพราวทันที

"ไม่ตอบแสดงว่าตกลง"

"ฮึ่มมม"

"อย่าเพิ่งขู่นะครับคนสวย ไปๆ ไปห้างกันดีกว่า พี่อยากดูหน้าตาของห้างปีนัง"

"อย่าบอกนะว่าเดิน?"

"เยสสสอ่าส"

โอ่ย เยสธรรมดาเป็นมั้ย อายคนอื่นโว้ย




...........





เรากลับมาถึงห้องในเวลาบ่ายสาม  เห็นรีเซปชั่นสุดหล่อคนเดิมนั่งยิ้มอยู่คนเดียว สงสัยเมากัญชา

"นี่ยู if i want to go to kuala lumper , how i can go?"
ฝอยอังกฤษง่อยๆใส่

พี่แกก็ตอบเป็นสำเนียงอินเดียรัวๆ แต่ไม่รู้พอไปอยู่จุดนั้น จุดที่ไม่มีภาษาไทย หูที่หายเจ็บของผมกลับฟังออกหมดเลย

รีเซปชั่นยื่นกระดาษเอสี่เคลือบอย่างดีมาให้ ในนั้นปรากฏเรทราคาไปเมืองต่างๆ หากจองกับทางโฮสเทล จะมีรถมารับเช้าพรุ่งนี้ที่หน้าโฮสเทลเลย

"สะดวกดีนะพี่"

"อืม ถูกกว่าไปเองด้วยว่ะ"

"งั้นจองนะ?"

"เอาเลยไอซ์"

"Ok, i will go tomorrow"

"What is your &&฿@number?"
ห้ะ? ก่อนหน้านัมเบอร์ พี่แกพูดอะไรในคอวะ?

"My number?"

ถามแค่นั้น แต่รีเซปชั่นมันขำใหญ่เลย อะไรวะ! ไม่ได้อ่อยเข้าใจมั้ย!
พี่นัทนี่ก็ด้วย ไม่ช่วยน้องเลย ตัวเองคล่องกว่าเราตั้งเยอะ!

"Room number"
พูดไปขำไป มันน่านัก!
"อ๋ออ 201"

สรุปว่าพรุ่งนี้เก้าโมงเช้ารถจะมารับถึงที่
เป็นอันจบพิธี ก่อนที่เราจะได้ต่อยกับแขกขาวตัวเท่ายักษ์

...ตื่นเต้นจังแฮะ จะได้เห็นตึกแฝดของจริงแล้ว~



.................
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -31กค60- ตอน 2 ปีนัง(1)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-07-2017 08:17:21
อารมณ์ประมาณอ่านรีวิวท่องเที่ยวแบบชิล ๆ และเป๋าแฟบ ฮา
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -31กค60- ตอน 2 ปีนัง(1)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 31-07-2017 09:29:49
อ้อยกันไป..อ้อยกันมา..น่ารัก   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -31กค60- ตอน 2 ปีนัง(1)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 31-07-2017 20:09:57

ปีนัง ถึง สิงคโปร์

Chapter 3
Penang II





"เวร..."

เป็นความโชคร้ายหรือความโง่ของพวกเรากันแน่?!
 ...เวลาสองทุ่มกว่า เราหิวมาก หลังจากกินโอนิกิริที่ซื้อมาจากห้างจนหมดก็ยังไม่อิ่ม จึงพากันออกมาข้างนอกเมื่อเสียงสวดจบลง
แต่แล้วยังไงครับ...

...ภาพหนังคาวบอยลอยมา ลมพัดใบไม้ปลิวว่อน เบื้องหน้าคือความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น ไร้ผู้คนรอบกาย ไร้สรรพเสียงใดๆ...

"เราน่าจะพักย่านคนจีนนะ..."
ผมบ่นทั้งๆที่วิญญาณออกจากร่างไปไกลแสนไกล

"เดินไปเรื่อยๆอาจจะมีร้านค้าเปิดสักร้าน"

"นอกจากเซเว่น เราก็ไม่เห็นร้านอะไรเลยนะพี่"

"ใช่ เซเว่นก็ไกลโคตรๆด้วย แถมมันไม่เปิด24ชั่วโมงใช่เปล่า"

"ลองไปตลาดโต้รุ่งมั้ย"

"จะดีเหรอ ไกลนะ ไม่เคยไปด้วย"

"ก็ไอซ์หิว.....ทำไมปิดบ้านกันไวจังวะ"

พี่นัทคงเวทนากระเพาะน้อยๆของผม แกเลยบากหน้าไปขอจักรยานของรีเซปชั่นรูปหล่อเพื่อไปตลาดโต้รุ่งที่อยู่อีกฝั่งเกาะเลยมั้ง



ปีนังในยามค่ำคืนนั้นเงียบเหงา ต่างจากบ้านเราที่แม้เที่ยงคืนก็ยังมีเสียงรถราผ่าน มีร้านหมี่เกี๊ยวแสนอร่อยให้ฝากท้อง
ผมไม่ได้ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งคนปั่นข้างหน้า แต่จำต้องกอดแน่น หลับตาปี๋ซบหลัง เพื่อที่จะไม่ต้องเห็นสิ่งลี้ลับ

"แฮ่ก ถึงไหนแล้วเนี่ยไอซ์ กางแผนที่เร็ว"
จู่ๆพ่อหนุ่มล่ำของผมก็หยุดรถ
ฮือ พี่ช่วยหยุดตรงที่มันมีเสียงคนบ้างได้ไหมเนี่ย แม่งโคตรเงียบเลย นี่สองทุ่มหรือตีสองวะ

"อ่ะพี่ดูเองเลย"
พูดพลางยื่นแผนที่ยับๆให้ ส่วนตัวเองยังคงนั่งก้มหน้าหลับตาอยู่

"อีกไกลเลยว่ะ ทำไมเหมือนปั่นมาตั้งนาน ตัวหนักนะเรา"

"อีกชั่วโมงหลังจากนี้จะไม่หนักแล้วพี่"

"นี่ปั่นจนหายหิว กลับกันมะ ยังไงก็กินโอนิกิริไปแล้ว ท้องมันแค่ร้องหาเรื่องไปงั้นแหละ"

"มันน่าจะมีร้านเปิดนะ ร้านสไตล์ฝรั่งอ่ะ"

"เห็นอยู่ แต่มันแพง เราจะเข้าเหรอ?"

พอพูดเรื่องเงินปั๊บ ก็ไปไม่เป็นเลยผม

"พี่เลี้ยงเอง"

หืม...
เงยหน้าขึ้นมามองพ่อพระพ่อบุญทุ่ม
พี่เห็นสายตาผมไหม? มันแปลว่าไม่ปฏิเสธนะพี่...

"โอเคตามนั้น ปั่นย้อนไปซอยก่อนหน้า พี่เห็นไฟแว้บๆ"


"เอาเงินมาเท่าไหร่อ่ะพี่นัท"

"สองร้อยริงกิต"

"งั้นไอซ์ยืมห้าสิบนะ"

"ได้สิคร้าบกิ๊กคนสวย"

ปั้ก!

"โอ๊ย! มือหนักว่ะ"

"เห็นหน้าอย่างนี้ก็เคยเรียนชกมวยนะเว่ย"

"จ้าๆ กลัวแล้วน้องตุ้ม"

มาหยอกมาเย้าเขาอย่างนี้ ระวังจะโดนอีกปั้กนะ
ปั้กที่ไม่ใช่กำหมัด แต่เป็นกำหัวใจใส่อ่ะ ฮิๆ



.
.
.



"พี่นัทไอซ์หนัก"
แรงโถมของร่างหนาทุ่มใส่ทั้งตัวเมื่อเราต่างก้าวเข้าห้อง
ห้องนอนแสงสีส้มสลัวเสริมสร้างบรรยากาศเมาๆได้เป็นอย่างดี
พี่นัทแกบ้า สั่งทั้งเหล้าทั้งเบียร์มาเลย์มาชิม มันเลยตีกันในหัวนั่นไง ส่วนผมแค่จิบพอรู้รสชาติเท่านั้น ไม่อย่างนั้นคงกลับไม่ถึงห้อง

"เฮ้อ!"
ถอนใจแรงๆเมื่อผลักคนตัวโตให้นอนได้ จัดขาให้เข้าที่ ดึงเสื้อให้เรียบร้อย ไม่อยากเห็นพุงป่องๆ

"แล้วจะอาบน้ำยังไงวะเนี่ย"
ห้องนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ยากสำหรับไอ้คนเมาบนเตียง ถ้าผมออกไปอาบน้ำโดยที่ทิ้งพี่นัทไว้ ก็กลัวว่าแกจะไม่ตื่นมาเปิดประตูให้ แต่ถ้าหากเราเอาการ์ดไปด้วย ห้องก็จะตัดระบบไฟอัตโนมัติ

"พี่นัท! พี่นัท! อาบน้ำป่ะ"

"อืมมมม"

"พี่นัท!! ถ้าไม่ตื่น ไอซ์จะทิ้งไว้ในห้องมืดๆเลยนะ"

"โอ่ยย ใจร้าย"

"เฮ้อ! มา ...ไอซ์พาไปล้างหน้า"

"ปู๋ชวี่!!" (不去-ไม่ไป)

"พูดอะไรเนี่ย"

"ปู๋อ้ายหนี่" (不爱你-ฉันไม่ได้รักเธอ)

"จ้าๆ ไม่รักก็ไม่รัก ...ถ้าไม่รักก็ทิ้งไว้นี่ละกัน ทนร้อนเอานะ ไอซ์อาบแค่ห้านาทีเอง"

"อ่าวไอซ์...ทิ้งพี่เหรอ"
อยู่ๆคนเมาก็ลืมตา ผงกหัวโงนเงนขึ้นมาคุยด้วย

"ไอซ์เหนียวตัว"

"เอาพี่ไปด้วย"

"ให้ตายสิ หนักก็หนัก"
ถึงบ่น แต่ก็ดึงแขนล่ำขึ้นมา

กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งชัดเมื่อเราใกล้ชิดกันอีกครั้ง พี่นัทลวนลามผมด้วยการหอมซอกคอเราไปมา แต่วันนี้คงได้กลิ่นเหงื่อซะมากกว่า 
ผมน่ะไม่มีอารมณ์อย่างว่าในสถานการณ์แบบนี้แน่นอน ต้องดูแลเด็กโข่งที่จะอาเจียนตอนไหนก็ไม่ทราบเนี่ย
... เอาชีวิตมาแขวนบนเส้นด้ายแท้ๆไอ้ไอซ์






ออกจากห้องน้ำแคบๆพร้อมแต่งตัวเรียบร้อย พี่นัทนั่งตาปรือรออยู่บนพื้น ผมว่าพี่แกไม่ได้เมามาก แค่มึนจนยืนไม่ไหว ยังพอพูดรู้เรื่องอยู่

"หอม..."

"พี่อาบมั้ยล่ะ"

คนเมาส่ายหน้า มือยันพื้นเหมือนจะลุก เลยปรี่ช่วยพยุงเขา

"#%^€¥$%#"
แล้วก็โดนพ่นจีนใส่เนี่ยนะ!
ศัพท์ล้ำๆ ผมฟังไม่ออกเว้ย!

"ถามจริงพี่เป็นคนชาติไหนกันแน่เนี่ย"

"พ่อเป็นคนสิงคโปร์"

"ว่าแล้วเชียว แต่หน้าพี่ก็ไม่ตี๋นะ"
วางคนตัวใหญ่ลงบนเตียง พลางหยิบไดร์เป่าผมอันจิ๋วของโฮสเทลมาเป่าหัวเปียกๆ

"ทำไมไว้ผมยาว เป็นหนุ่มติสต์เรอะ ไม่เข้าใจเลยว่ะ"
ครับๆ ไอ้คนไม่ติสต์นอนแผ่กลางที่นอนเลยครับ

"ไอซ์ชอบ มันเข้ากับหน้าดี หน้าดูโตขึ้นด้วย เพราะไอซ์หน้าเด็ก"

"สวยดี"

"พี่นอนได้ละ ดึกแล้ว"
พอเขินก็ไล่เขาไปนอนเฉยเลยเรา

ถึงแม้จะมีคนชมเราเป็นปกติอยู่แล้วว่าเราสวย (อย่าเพิ่งอ้วกนะ) แต่พอเจอผู้ชายหล่อๆ แถมยังมีความสัมพันธ์โรแมนติกมาชมอย่างนี้ มันก็อดเขินไม่ได้

"มีแฟนมาแล้วกี่คน"
นี่ก็ถามจังเลย จะถามจนเราขอเป็นแฟนเลยรึไง

"คนเดียวเองพี่"
ผมว่าพลางปิดไดร์ เพราะร้อนเหลือเกิน ทิ้งไว้หมาดๆนี่แหละ เซ็กซี่ดี

ทิ้งตัวนั่งฝั่งของตัวเอง หยิบผ้าห่มขึ้นมาปิดต้นขาเปลือย
หางตาแอบเห็นว่าพี่นัทมองการกระทำของเราอยู่ตลอด
...แน่นอนผมอ่อย

"หน้างี้เนี่ยนะมีคนเดียว"

"ไอซ์เพิ่ง21เองนะคร้าบ"

"เหรอ หรือว่าสาวจัด?"

มองแรงไปที
"ไม่ค่อยนะ ...ชอบบอยๆหงิมๆ เวลาอาจารย์เห็นแล้วเขาจะได้เอ็นดู"

"โห ไอ้นี่มันร้าย ขอเบอร์'จารย์หน่อย เดี๋ยวโทรไปฟ้องดีกว่า"

"แบร่! พยุงหัวตัวเองให้ได้ก่อนเหอะ! ไอซ์นอนละ จะตีสองแล้ว พรุ่งนี้รถมารับเก้าโมงนะ"

"#%#$€¥€¥%##%...เลอ" (了(เลอ) = แล้ว)

"เออๆ...นอนเลอ"
พลิกตัวตะแคงหันหน้าออกไปทางหน้าต่างสีเขียวแดง เวลาที่แดดส่องมาทำให้ห้องเป็นสีตามไปด้วย
รู้สึกว่าที่นอนข้างเรายวบลงมากขึ้นกว่าเดิม กระทั่งได้ไออุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายจึงเข้าใจ
แขนหนาพาดผ่านตัวผม มือพี่เขาเลื่อนมากุมมือเราไว้ ลำตัวแนบชิด ผ้าแนบบาง จึงแทบไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดกั้น

"พี่กลัวไอซ์นอนไม่หลับ"
ผมเผลอยิ้มให้กับความเอาใจใส่

"ไม่กลัวหรอก สมองมันกรึ่มๆ"

"อืม...นั่นน่ะสิ"
ถ้าผมหันไปหาพี่เขา เชื่อขนมกินได้เลยว่าไม่รอดแน่ๆ
แค่อวัยวะที่แข็งกระทบก้นก็บ่งบอกได้แล้วว่าพี่นัทต้องการอะไร
เฮ้อ! เมาไม่รู้เรื่องก็ดีอยู่แล้ว

"ไอซ์จะนอนนะ มันดึกแล้ว"
ตัดใจตอบไป ผมไม่ได้หวงตัว ก็มีอารมณ์เหมือนผู้ชายทั่วไปนั่นแหละ
.....ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่นเช้าก็คงสมยอมเขาไปแล้ว




............





เช้ามาผมรีบปลุกพี่นัทที่ยังคงงัวเงีย แกบ่นใหญ่เลยว่าปวดหัว ผมที่เสร็จก่อนจึงลงมาชงชาให้ดื่ม แอบโปรยยิ้มใส่รีเซปชั่นเล็กน้อย แล้วเขาก็ดันขยิบตาให้อีก

"You check out?"

ขอเบ้ปากที ...เฮ้อ เราเป็นผู้ชาย ต่อให้หน้าตาดีขนาดไหน เขาก็ไม่เอาหรอก ในหัวคงมีแต่เรื่องเงินๆๆ เช็คอิน เช็คเอาท์อย่างเดียวเลยมั้งตานี่

"No,not YET"

"Ok"
มันตอบ แล้วก็ขำคนเดียว
ไม่ต้องเดาแล้วล่ะ คงพี้อะไรมาสักตัวแน่ๆ พี่แกเล่นนั่งเฝ้าทั้งวันทั้งคืนแบบนี้

นั่งกินขนมปังปิ้งทาแยมสตรอเบอร์รี่ไปได้หนึ่งชิ้น พี่นัทก็เดินลงมาพอดี
"ชาเย็นหมดแล้วพี่"
ดันแก้วชาส่งให้

"พี่จัดกระเป๋าให้แล้วนะ เดี๋ยวไอซ์ลองขึ้นไปดูอีกทีแล้วกัน"

"ขอบคุณครับ"
เป็นคนมีน้ำใจ ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทาง แถมยังหล่ออีกต่างหาก

"ยิ้มอะไร? เขิน?"

"จะบ้าเหรอ!"
กลอกตามองบน ข้อเสียคือพี่แกขี้หยอกนี่แหละ

ผมเคี้ยวหนมปังหงุบหงับ พลางคอยปัดมือไม้ที่ชอบรุ่มร่ามออก เดี๋ยวหยิกแก้มมั่ง เดี๋ยวขยี้หัวมั่ง หนักหน่อยก็ยื่นหน้าทำเหมือนจะจูบ
ให้ตายเถอะ ที่ๆเรานั่งอยู่มันเปิดโล่ง มองเห็นถนนเลยนะเว่ย

.
.
.

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ จึงเช็กเอาท์ แล้วผมก็ต้องมาต่อปากต่อคำกับรีเซปชั่นต่อ เดาว่าน่าจะเป็นการถ่วงเวลาให้พนักงานเช็คสภาพห้อง ก่อนให้ผมขึ้นรถแท็กซี่ที่มารอ
แต่ให้ตายเถอะ พี่แกก็ยังกวนเบื้องเท้าวันยังค่ำ
"Will you come back?"

"No, i will go to kuala lumpur"
ตอบด้วยความซื่อ ทั้งๆที่พี่รีก็น่าจะรู้ เพราะแกเป็นคนติดต่อเรื่องตั๋วให้มะ!

"And then?"

"To Malacca"
ผมยังคงไม่รู้ตัว แต่เริ่มได้ยินเสียงกลั้นขำจากคนข้างหลัง

"And then?"

เอ....ผมว่ามันแปลกๆนะ มึงจะอยากรู้อะไรขนาดนั้นวะ

"I will go to Singapore"
แต่ก็ตอบตามมารยาท

"When will you come back here?"

อะไรเนี่ย? อยากให้เรากลับมาเจอกันก็บอกกันตรงๆสิ
ช่วยไม่ได้ นายตกหลุมรักเราแล้วใช่เปล่า
โอย..รู้สึกปลื้มใจจัง

"I dont know na but i will come soon"
สาบานเลยไม่ได้อ่อย แค่ตอบตามมารย้าทททท


"ไปได้แล้วไอซ์"
และแล้วเสียงมารก็มาขัด พี่นัทจับแขนผม หรืออาจเรียกได้ว่าลาก..ขึ้นรถแท็กซี่

"Bye~"
โบกมือลารีเซปชั่นหน้ามึน พี่แกก็โบกตอบ

"แหมๆ"

"อะไร? หึงอ่ะดี้~"

"เหอะ"

"หันมาคุยกับไอซ์น่า บอกหน่อยว่าทำไมถึงขึ้นแท็กซี่ เขาจะไปส่งยันกัวลาฯเลยเหรอ?"

"เปล่า ส่งแค่บริษัทขายตั๋ว ที่ห้างที่เราไปเมื่อวานอ่ะ"
ถึงจะตอบ แต่ก็ติดห้วนๆ
ผมเลยไม่กล้าถามต่อ สงสัยโกรธจริงๆ เราอาจเล่นมากไปด้วยมั้ง

"อ้าว!"
จู่ๆลุงก็ชิดซ้าย พลางทำมือสัญลักษณ์ว่าให้อยู่ในรถ

"ลุงจะไปไหนอ่ะพี่"
บอกตรงๆผมกลัวว่าเราจะโดนหลอก จึงเกาะแขนผู้ใหญ่ข้างๆโดยอัตโนมัติ

"รับคนเพิ่ม คงดีลกันไว้น่ะ"

"แน่ใจนะ"

"นั่นไง"
มองออกไปข้างนอก มีผู้หญิงหมวยสองคนลากกระเป๋าเดินทางอย่างทุลักทุเล ลุงคนขับก็ช่วยยกใส่ท้ายรถให้
สักพักเธอทั้งสองก็เข้ามา คุยกันดังลั่นรถ ผมรำคาญคนไม่มีมารยาทเลยไม่ยิ้มให้ แต่พี่นัทน่ะสิ ยิ้มให้เฉย

"เขาพูดอะไรอ่ะพี่"
หันไปถามเมื่อเขาทักกันหลายประโยค

"ถามว่ามากับแฟนเหรอ"

"เฮ่ย!"
รีบปล่อยมือทันที ...คือผมเกาะจนลืมนะ แหะๆ ...มันอุ่นดีนี่นา


บอกเลยว่าผมขี้กลัวเรื่องถูกหลอกสุดๆ ยิ่งสถานการณ์แปลกๆนี่แล้วยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากจะมีแท็กซี่ที่รับคนเพิ่มแล้ว เราก็ต้องนั่งรอรถตู้ที่จะไปส่งที่ขนส่งอีกต่อ ซึ่งนานมาก นานจนผมคิดว่ามันคงไม่มีภาคต่อไป
พอถึงขนส่ง เราก็ถูกปล่อยข้างถนน ...เอ๋อเลย ยังดีนะที่มีเจ้าหน้าที่คอยเรียก
ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงว่ารถตู้คันนี้มาส่งคนที่จะไปกัวลาฯ ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่จัดอันดับโดยเด็กน้อยผู้ใสซื่อและบอบบางราวผ้าขาว (คำขยายยาวมาก)




.........

-รีเซปชั่นคนนี้มีตัวตนจริง และเอาบทที่พูดกับนางมาใส่ในเรื่องจริงๆ555
หล่อและกวนตีนมาก เกลียดมากตอนที่นางพูด And then? ซ้ำไปเรื่อยๆ แล้วเราก็บ้าจี้ตอบ
-เรามีรูปจากการท่องเที่ยวครั้งนี้มาฝาก ว่างๆก็ลองไปดูได้เน้อ รูปกากๆ ถ่ายจากไอพอด
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -31กค60- ตอน 3 ปีนัง(2)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-07-2017 21:27:51
ไอซ์ มีหนุ่มหล่อข้างกาย
แขกขาวต้อนรับก็หล่อ  :z3: :z3: :z3:

ไอซ์ ใจแข็งกับของแข็งที่มาแนบข้างนะ
ตามต่อ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -31กค60- ตอน 3 ปีนัง(2)
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 31-07-2017 22:06:26
ไอซ์น่ารักอ่ะ  :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -31กค60- ตอน 3 ปีนัง(2)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 02-08-2017 12:05:09
ปีนัง ถึง สิงคโปร์

Chapter 4
KL (Karma is Lust,Karma is Love)




นั่งรถทัวร์ออกจากขนส่งปีนัง ดีใจที่คราวนี้ไม่หลับ จึงได้เห็นบ้านเมืองของเขาอย่างเต็มตา
ในตอนแรกตึกสูงเสียดฟ้ามีไม่เยอะมากพอจะเรียกว่าแออัด ยังพอมีวิวให้หายใจโล่งคอบ้าง ข้างทางมีต้นไม้สีเขียวขจีสดใสไม่ต่างจากตัวเมืองของที่อื่นเท่าไหร่นัก แต่พอรถเริ่มเข้าสู่กัวลาลัมเปอร์ ก็ทำให้ผมนึกถึงกรุงเทพฯขึ้นมา ตึกรามบ้านช่องเริ่มหนาแน่นขึ้น สองข้างทางมีตึกสามชั้นเรียงติดกัน พ่อค้าเรียกหาลูกค้า ผู้คนมากมายเดินสวนกันไปมาราวกับสยาม

"ถึงแล้วมั้ง"
พี่นัทบอกเมื่อคนรถตะโกนว่าถึงเซนทรัลกัวลาลัมเปอร์แล้ว เอาจริงผมไม่นึกว่ารถจะพามาตรงนี้ มันทั้งขึ้นเนิน ทั้งผ่านโรงแรมหรูมาตลอดทาง แล้วโรงแรมกากๆของผมจะมาอยู่แถวนี้ได้ยังไง

"น้องไอซ์ครับอย่าเหม่อ"

"อ่า...พี่นัท ถึงแล้วจริงอ่ะ?!"
ถึงจะสงสัยแต่ก็ต้องลงจากรถมาก่อน เพราะคนเก็บตั๋วจะกินหัวเอา
ผมแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่สะพายหน้า ด้วยไม่รู้ว่าตัวเมืองของกัวลาฯจะมีมิจฉาชีพเยอะไหม เราก็ต้องป้องกันไว้ก่อน

พี่นัทจูงมือผ่านประตู เข้าสู่อาคาร แล้วต้องยังไงต่อไม่รู้ ...ผมไม่รู้จริงๆ...มันไม่เหมือนในรีวิวนี่นา

"เดี๋ยวพี่แลกเงินแป้บนะ"
บริเวณที่เราอยู่มีแต่บู้ทแลกเงินของบริษัทต่างๆ ถ้าแลกเงินไทยเป็นริงกิตของที่นี่ จะแพงกว่าแลกที่ไทย ผมเลยไม่แลก ทั้งๆที่เหลือเงินแค่สองร้อยริงกิตเอง

"แล้วไปไหนต่อล่ะพี่?"

"ไม่รู้สิ พี่ก็ไม่เคยมานี่นา ...ไหน เอาใบจองโรงแรมเรามาหน่อยซิ"

ผมรูดซิป หยิบใบจองโรงแรมที่แสนยับยู่ยี่ออกมา

"อืม...มันก็อยู่เซนทรัลนี่นา แต่ซอยอะไรวะอ่านไม่ออก"
ผมกับพี่นัทช่วยกันสะกดชื่อซอยอยู่นาน อาบูดาดี อาบีอะไรไม่รู้สิ 
หลังจากเถียงกันสักพัก สุดท้ายผมก็ได้คำตอบว่าถามพี่ยามจะดีกว่า
เราเดินต่อเข้าไปในอาคารเรื่อยๆ จนเจอห้าง มีแบรนด์ทั่วไปเหมือนห้างบ้านเราจึงไม่ได้สนใจมากนัก

"พี่นัทดูสิ มีวิคตอเรีย ซีเคร็ทด้วย"
นี่ขนาดไม่ได้สนใจนะ

"อือฮึ"

"ที่นี่เหมือนมีรถไฟเลย"
เราหยุดนั่งพักในห้าง ผู้คนขวักไขว่ บนทางเดินมีลายนูนๆสีเงิน ลักษณะคล้ายโลหะมันวาว มันเรียงตัวกันคดเคี้ยวเป็นเส้นประ เหมือนกับว่านำเราไปไหนสักที่

"นี่จองโรงแรมมารู้อะไรบ้างเนี่ย"

"เขาบอกอยู่ใกล้แหล่งการค้า และสะดวกในการเดินทาง"

"เซนทรัลเคแอลนี่คือศูนย์กลางการคมนาคมเลยนะไอซ์..."

"แล้วพี่นัทจองที่ไหนไว้อ่ะ"

"ไม่ใช่ที่นี่ แต่ก็ต้องมาขึ้นรถไฟที่นี่เหมือนกัน"

"โรงแรมหรูอ่ะดิ"

"ไม่อ่ะ ธรรมดาๆ พี่ก็คนธรรมดา ใช้เงินเท่าที่ตัวเองหาได้"

"พี่ทำงานอะไรเหรอ"

"ขายนู่นขายนี่"

"ยาบ้า? ....โอ๊ย!"
โดนตบหัวไปสิ
"รุนแรงจัง"
นี่รู้จักได้แค่สองวันนะ ถ้าปีนึงจะขนาดไหน

"หึๆ....พี่เป็นเลขาของประธานบริษัทส่งออกอะไหล่รถน่ะ ไม่มีอะไรหรอก...ยิ้มอะไร? ดีใจที่พี่รวยว่างั้น?"

"ไม่ช่าย...แค่กำลังคิดว่าเราไม่เคยพูดเรื่องส่วนตัวกันเท่าไหร่.... พี่พูดงี้เหมือนดูถูกผมเลยนะ"
.ฮึ!..เหมือนว่าเราเห็นแก่เงิน


"ขอโทษๆ ..ป่ะ.. ไปถามยามกัน ยืนเมื่อยละ"



.
.
.




แท้จริงแล้วโรงแรมที่ผมจองนั้นเรียกได้ว่า'ติด'สถานีก็ว่าได้
เพียงแค่ต้องเดินข้าไปในตรอกเล็กๆ มืดๆ มีร้านอาหารอินเดียอยู่ข้างหน้าพอให้ใจชื้น และเป็นอย่างที่คิดไว้ว่าโรงแรมราคาถูก ก็น่าจะอยู่ในย่านอินเดียเสียเป็นส่วนใหญ่ ผมไม่ได้รังเกียจหรืออะไร แค่ไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศเท่านั้น เคราะห์ดีตรงที่หน้าโรงแรมมีมินิมาร์ท หรืออยากกินหรูหน่อยก็เข้าห้าง สะดวกสบายสมกับเป็นเมืองหลวงจริงๆเลยนะ


"อยากไปโรงแรมพี่มั้ย?"
พี่นัทเอ่ยเมื่อเห็นห้องของผม
ห้องเล็กเป็นส่วนตัว เตียงขนาดควีนไซส์ ห้องน้ำกว้างพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น เพียงแต่กระเบื้องหน้าห้องน้ำมันกระเทาะออก จึงดูไม่สบายตานัก

"ไกลหรือเปล่าพี่"

"น่าจะไกลกว่าที่นี่แหละ"

"งั้นผมนอนนี่แหละ มันใกล้รถไฟดีอ่ะ แล้วเราก็จ่ายเงินเขาไปแล้วนะ"

"โอเค"

"..แล้วพี่จะเอาไง?"

พี่นัทวางของลงข้างเตียง แล้วนั่งลงก่อนผมเสียอีก
"เหนื่อยละ เมื่อยตูด ง่วงด้วย ...ขอนอนนี่นะ ขอหารค่าห้องด้วย"
ไหนวะคนที่ชวนไปโรงแรมอื่น
นอนก่อนเจ้าของห้องเฉย

"แหงล่ะที่ง่วง เมื่อคืนกินไปตั้งกี่ขวด"
ผมนั่งลงข้างพี่นัท ควานหายาพาราในซอกกระเป๋า

"อ่ะพี่"
ยื่นยาสีขาวให้สองเม็ด คนรับรับด้วยรอยยิ้มหวาน


ตกกลางคืนก็ถึงเวลาท้องประท้วง คนตัวโตพาขึ้นรถไฟฟ้า ไอ้เส้นวาวๆที่เรียงตามพื้นนั่นพาเราไปสถานีจริงๆด้วย แต่ก็ค่อนข้างงงอยู่เหมือนกัน เพราะมีรถไฟให้เลือกสองสามแบบ ถ้าหากเราซื้อตั๋วผิด ก็จะหลงไปที่อื่นทันที แต่พี่นัทของผมแกเก่งไง ยืนอ่านแผนที่ไม่ถึงสิบวิก็เข้าใจแจ่มแจ้ง

"ไปไหนดีพี่"

"ซื้อของฝากหน่อยมั้ย? พี่จะพาไป แล้วก็กินข้าวที่นั่นเลย"






ซ่า!!

หนีฝนจากเมืองไทย ก็มาเจอฝนมาเลย์ซะงั้น
เราสองคนรีบวิ่งเข้าไปยังตึกขายของฝากที่พี่นัทอ่านจากรีวิว ซึ่งจะอยู่ใกล้กับไชน่าทาวน์

"เปียกซ่ก"
กรอบหน้าถูกซับด้วยผ้าเช็ดหน้าสีดำลายปัก

"พี่นัทเช็ดหน้าตัวเองเถอะ"

"ไม่เป็นไร พี่ไม่ค่อยเปียก โทษที พี่ถือร่มเอียงหาตัวเองมากไปหน่อย"

"งั้นก็...ขอบคุณครับ"
รับผ้าเช็ดหน้าลายผู้ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

สายตาพี่นัทไม่ได้ปกปิดว่ายั่ว และผมก็เริ่มปล่อยใจไปกับสถานการณ์มากกว่าเดิม เพราะไม่อยากคิดมากเวลาเที่ยว ได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับมันก็คงสนุกไปอีกแบบ


ผมเลือกซื้อช็อกโกแลตไปกินที่ห้องได้ตั้งสองกล่องด้วยความหน้ามืดตามัว ก่อนจะเดินเล่นดูของฝากไปเรื่อย แต่กลับไม่ยักชอบใจสิ่งอื่นเลย พวกพวงกุญแจก็มีแต่ลายเดิมๆ อย่างอื่นก็แพงเกินไปอีก พี่นัทจึงชวนไปกินข้าวที่ฟู้ดคอร์ทก่อนกลับ

"ไอซ์ไปซื้อก่อนนะ เดี๋ยวพี่เฝ้าของเอง"
บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเราโชคดีจัง เจอแต่คนดีๆ ตลอดเลยแฮะ

"ไอซ์สั่งข้าวผัดต้มยำไทยมา ...แต่หน้าตาไม่เหมือนข้าวผัดบ้านเรานะ"
จ้องมองข้าวผัดหน้าตาประหลาด สีคล้ำแทนที่จะเป็นสีส้มเหลือง มีเครื่องเคียงเป็นแผ่นแป้งกลมๆเล็กๆวางอยู่ หน้าตาคล้ายข้าวเกรียบกุ้งบ้านเรา แต่บางกว่า ลองกัดดูปรากฏว่าไม่มีรสชาติ และไม่กรอบเหมือนข้าวเกรียบ

"จะกินได้เหรอ?"
พี่นัทส่งสายตาเวทนามาให้ อุตส่าห์เลี่ยงอาหารอินเดีย แต่ก็เจอสไตล์อินเดียเต็มเปา

ผมลองตักขึ้นมาหนึ่งคำ
...กลิ่นเครื่องเทศอินเดียแท้ๆลอยวนในจมูก
ส่งเข้าปากโดยทำใจเสียแต่เนิ่นๆ แต่รสชาติของมันก็ทำเอากำลังใจถดถอย

"น่าจะสั่งแบบพี่บ้าง นี่มันอาหารไทยตรงไหน"
พึมพำ พลางมองก๋วยเตี๋ยว

"อ่ะ.."
พี่นัทเลื่อนชามตัวเองมาหาผม

"แบ่งกัน"

"ข..ขอบคุณครับ.."
เรื่องกินเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
"..เอ้อพี่ พรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนเหรอ?"

"ตามกำหนดการณ์เราไปไหนล่ะ"

"ไปดูแค่ตึกปิโตรนาส"

"ฮึๆๆ...ไม่ค่อยได้ยินคนเรียกว่าตึกปิโตรนาสแฮะ"

"แล้วเขาเรียกอะไรกันอ่ะ ไอซ์ก็เรียกแบบนี้มาตลอดนะ"

"Twin towerน่ะ แต่พี่ก็ชอบเรียกว่าตึกปิโตรนาสเหมือนกัน มันดูใหญ่ๆดี"

"เนอะๆ มันให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ ดูรวย ดูปิโตรนาสมาก"

"เมื่อก่อนพ่อพี่ก็ทำงานที่นั่นแหละ"

"อ่าว...พ่อพี่เป็นคนสิงคโปร์ไม่ใช่เหรอครับ"

"มาทำงานมาเลย์ไง...ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ"
พี่นัทเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นผมซดน้ำจากชามแก

"มันอุ่นดี ตอนนี้ไอซ์หนาวด้วย"

"กลับไปต้องรีบอาบน้ำสระผมเลยนะ เดี๋ยวเป็นหวัด"

"เราจะไม่เดินไชน่าทาวน์สักหน่อยเหรอ"

"ถ้าไอซ์อยากเดิน พี่พาเดินก็ได้นะ"

"เย่!~"

"ว่าแต่เราเรียนอะไรนะ?"

"ไอทีครับ"

"...ชอบเล่นเกมป้ะ"

"ไม่ค่อยได้เล่นครับ เบื่อเวลาด่ากัน พวกเกมออฟไลน์ก็ไม่มันเท่าอีก"

"ในมือถือล่ะ?"

"ไม่ค่อยแตะอีกนั่นแหละ มีไว้โทรเข้าโทรออกเฉยๆ"

"อืม...ถ้าเรียนจบ สนใจทำงานอะไร?"

"ทั่วๆไป....ไม่รู้สิ ไอซ์ยังไม่คิด ขอแค่งานที่ไม่ต้องใช้วาทศิลป์ก็พอ"

"ว้า...งั้นก็อดทำงานกับพี่น่ะสิ"

ตาลุกวาว
"พี่จะให้ไอซ์ไปเป็นเซลส์เหรอ?!"

"เปล่าๆ...ให้ไปเป็นผู้ช่วยพี่ต่างหาก ก็ใช้วาทศิลป์นิดหน่อย แต่สำหรับตำแหน่งนี้ไม่หนักหรอก ผู้ช่วยปัจจุบันพี่ท้องน่ะ ไม่รู้จะลางานเมื่อไหร่ เพราะงานพี่ก็ตะลอนๆไปทั่ว..."

"ป่านนั้นไอซ์ก็เกือบเรียนจบแล้วน่ะสิ..."

"สนใจมั้ย? พี่เชื่อว่าเจ๊แกต้องลาออกไปเลี้ยงลูกแน่ๆ ถ้าไอซ์จบปีสี่พอดี ก็เข้ามาทำงานเลย ...ยิ่งอยู่ตลอดไปเลยยิ่งดี"

"เอ่อ...ขอคิดดูก่อนนะครับ"

"ได้..พี่รอได้"

โอย....มีวิธีลดแรงเต้นของหัวใจไหม กลัวตายก่อนเที่ยวจบว่ะ





สุดท้ายก็กินข้าวผัดพิสดารไม่หมด ผมต้องเปิดดิกชันนารีหาศัพท์คำว่าห่อกลับบ้านไปพูดให้พ่อครัวฟัง ถ้ามัวแต่ขอความช่วยเหลือพี่นัททุกเรื่องก็กลัวถูกมองว่าเป็นเด็กเหลาะแหละ หนักไม่เอา เบาไม่สู้

"เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกินที่ไชน่าทาวน์ดีกว่า"
มือหนาจับมือเราพาข้ามถนนไปยังไชน่าทาวน์

โคมไฟสีแดงห้อยระย้าประดับตลอดทางเดิน ข้างทางมีร้านขายอาหารต่างๆมากมาย ที่เห็นบ่อยที่สุดก็คงจะเป็นหมู อารมณ์เหมือนหมูหัน หมูหวานบ้านเราล่ะมั้ง แต่ว่าราคาแพง เหมือนตกเบ็ดนักท่องเที่ยวมากกว่า พี่นัทที่คิดเหมือนกันจึงพาไปฟู้ดคอร์ทอีกแล้ว

"ดีอ่ะพี่"
ฟู้ดคอร์ทของไชน่าทาวน์เป็นห้องเปิดโล่ง ด้านหน้ามีกับข้าวใส่ถาดวางเอาไว้หลายอย่างเหมือนข้าวราดแกง พอเดินไปดูถึงรู้ว่าเป็นบุฟเฟ่ต์ จ่ายแค่ครั้งเดียว แต่ตักมากเท่าไหร่ก็ได้ กี่รอบก็ได้

"กินไหมล่ะ?"

"ไม่เอาอ่ะ"
ส่ายหัวหงึกหงัก
"อยากกินหมี่เกี๊ยว"
พูดจบก็รีบซื้อทันทีด้วยความโหย คือมันหน้าตาเหมือนหมี่เกี๊ยวหมูแดงบ้านเราเด๊ะๆ

"อร่อยมาก"

"กินเยอะๆ"
พี่นัทซื้อเพียงกาแฟมานั่งเป็นเพื่อน
"เหลือเงินเท่าไหร่เรา เหลืออีกหลายสถานีนะ"

"ถ้ากินน้อยๆก็พอนะครับ เหลือแค่เที่ยวพรุ่งนี้ กับค่ารถไปมะละกา"

"...แล้วค่ารถไปสิงคโปร์?"

"โหยพี่ อย่าเพิ่งพาเครียดดิ"

"พี่ให้ยืมได้นะ ค่อยคืนตอนอยู่สิงคโปร์"

"เดี๋ยวดูก่อนนะครับ"

"เดี๋ยวดูก่อนอีกและ ..ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก"

"ทำไมพี่ชอบพาผมคิดมากเนี่ย"

"อ้าวไม่รู้เหรอ?...มันเป็นstrategy"

ผมหรี่ตามองหาคำตอบจากคนกะล่อน
กะให้เราหัวหมุนแล้วหลอกไปขายเหรอ ฮึ่มมมมม

"...ยอมๆๆ"
พี่แกยกมือสองข้างเหนือหัวยอมจำนน สงสัยกลัวผมละมั้ง
"ไว้มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกแล้วกัน"


.........


ผมนั่งเขี่ยข้าวในกล่องที่ห่อมา ส่วนพี่นัทซื้อเบียร์มาจิบตั้งหลายกระป๋อง เราสองคนอยู่กับตัวเองจวบจนเที่ยงคืน พี่นัทถึงได้ลุกอาบน้ำ คราวนี้พี่แกไม่เซไม่มึน คงเป็นเพราะดื่มแต่เบียร์ ไม่ผสมกันมั่วอย่างคืนก่อน

"อาบด้วยกันมั้ย??"
ถามด้วยหน้าแดงแจ๋

"อาบก่อนเถ้อะ"

"โอเค"

ผมจัดการกับขยะยังไม่ถึงนาทีได้มั้ง เพื่อนร่วมทางก็ออกจากห้องน้ำ
ผมเลยอาบต่อพี่เขา แต่เพิ่งถูสบู่เอง จู่ๆเสียงเคาะเบาๆก็ดัง
โบราณว่าอย่าทักเสียงที่ไม่ชอบมาพากล ผมจึงไม่ตอบกลับ

"เสร็จยังครับ"
พอไม่ตอบ พี่แกก็ทักเองเลยแฮะ

"พี่ปวดฉี่เหรอ? อีกสองนาทีได้ไหมครับ"

"ก็ได้"

ก๊อก ก๊อก

เอาอีกแล้ว
ผ่านไปยังไม่ถึงนาทีเลยนะพี่ท่าน

"ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน฿%$€"

พร่วด!! ฮ่าๆๆๆ  จู่ๆสุนทรภู่ก็สิงร่างคนเมา ผมได้ยินเสียงแกท่องกลอนวกไปวนมาไม่จบไม่สิ้น

"เฮ่ย!!"
เวรกรรมอะไรต้องมาเจอผู้ชายขี้อ่อยวะเนี่ย!?

สภาพพี่นัทบนเตียงไม่ได้ดูเหมือนคนเมาเละเทะ(อาจเพราะพี่เขาหล่อ)
แกนั่งพิงหัวเตียง มือกอดอก ปากพูดงึมงำ ส่วนสายตามองเราอย่างเยิ้ม ที่เด็ดกว่านั้นน่ะเหรอ....มีแต่บ็อกเซอร์ติดตัวครับท่าน!


"โห่ววว"
เสียงครางด้วยความเสียดายดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจ ผมรู้ดีว่าเขากำลังเซ็งที่เราดันออกมาพร้อมชุดนอนเต็มยศ

"พี่คิดว่าผมจะยอมง่ายๆหรือไง"

"ว่าไป...พี่ไม่ได้คิดเรื่องนั้นตลอดซักหน่อย"

"โกหกระวังผิดศีลนะครับ"

"ไปตั้งแต่สุราเมรัยแล้วน้อง"

"คิก...เวลาเมา พี่ตลกดี"

"ตอนอื่นล่ะไม่ดีเหรอ?....มานี่สิ นอนได้ละ พรุ่งนี้จะพาไปตึกปิโตรนาส"

"พี่ก็นอนสิ



ผมขยับตัวเปิดทางให้พี่นัทล้มตัวลงนอนได้ถนัด พลางเปิดเพลงที่เข้ากับความคิดช่วงนี้

"เพลงเพราะดีนี่"

"ชอบท่อน I live my day as if it was the last, live my day as if there was no past ได้แรงบันดาลใจดี"

"ชอบฟังเพลงแบบนี้นี่เอง ถึงได้กล้าออกเดินทางคนเดียว"

"ใครจะเหมือนพี่อ่ะ ท่องกลอนสุนทรภู่ซะอย่างนั้น"

หึ...

ได้ยินพี่นัททำเสียงกรุ้มกริ่ม
ผมไม่กล้ามองตาคนนอนข้างตั้งแต่ที่มือเขาวางลงบนสะโพกเรียบๆของเราแล้วล่ะ

ผมเงียบ... พร้อมกับเพลงที่จบลง
ได้ยินเสียงลมหายใจอีกฝ่ายอยู่ไกลๆ ก่อนจะชัดเจนขึ้น ...สัมผัสใกล้ขึ้น


พี่นัทจับตัวเราให้นอนหงายเผชิญหน้ากัน ปลายนิ้วเกลี่ยพวงแก้มทั้งสองฝั่ง ขณะที่ผมยังคงไม่กล้าสบตา

"กลัวอะไร..."

"....."

"พี่ไม่ทำให้เราเสียใจหรอก"

"ไม่ได้หวังแค่เรื่องนี้หรือไงครับ"

"...ก็แค่ส่วนหนึ่ง"


เผลออมยิ้มเมื่อคิดว่าเขากล้าพูดดี
คนจริงใจแบบนี้หายากนะ ถ้าเป็นคนอื่น คงบอกว่าไม่เคยคิด พร้อมพร่ำคำรักเพ้อฝันเพื่อให้เราใจอ่อน และยอมมอบกายให้ง่ายๆ ย้อนแย้งกันชัดๆ

"อันที่จริง...ไอซ์ก็ไม่ซีเรียสเรื่องนี้หรอก"
หันมามองตาเขา มองแววตาสีเข้มทอประกายที่สะท้อนภาพเรา
"แต่พี่มีถุงยางหรือเปล่าล่ะ?"


.......



...ไม่น่าขี้เกียจบันทึกการเดินทางเลยเรา
ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่ามันคือหมูหรือไม่ พอเห็นราคาก็เดินเลี่ยงทันที5555
-เพลง Lush Life by Zara Larsson

https://www.youtube.com/watch?v=tD4HCZe-tew
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -2สค60- ตอน4 KL
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 02-08-2017 12:41:23
ไม่ได้ตัดฉับตรงนี้ใช่ไหม?  :z3: :ling1: :z3:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -2สค60- ตอน4 KL
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 03-08-2017 18:56:26
ปีนัง ถึง สิงคโปร์

Chapter 5
Twin Tower




เรานั่งรถไฟฟ้ามายังตัวเมืองอันเป็นที่ตั้งของตึกปิโตรนาส
สถานีใหญ่สมกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวจริงๆ พอออกมาได้ก็เจอกับห้างสรรพสินค้า และไม่รู้ว่าต้องออกไปทางไหน เลยพากันเดินมั่วๆตามเคย

"ถ้าออกไปข้างนอกก็น่าจะเจอนะ ตึกออกจะสูงขนาดนั้น"

"มันมีป้ายบอกอยู่นะครับ"

"ไม่เป็นไร เดินชิลๆ หาไม่ยาก"

"พี่ชิล แต่ผมเมื่อยนะ"

"หึๆ...เมื่อยเหรอ...แล้วยังเจ็บป้ะ"

"อะไรเล่า! ไม่เจ็บโว้ย"
ตีไหล่ไปหนึ่งปั้ก

"โหย ถึงกับใช้กำลังเลยเหรอเมีย"

"พี่!! พูดเบาๆสิ อายเขา"

"อายเอยอะไร คนเยอะแยะ"

โว้ยยยยยย
ทำอะไรไม่ได้ เลยเดินฟึดฟัดออกมาเมื่อเจอทางออกพอดี
คนข้างนอกแต่งชุดพนักงานออฟฟิศ แถมยังห้อยบัตร ดูหน้าตาเชื้อชาติแล้วก็จีนๆแขกๆ ปนกันไปเหมือนที่อื่น ผมเลยเบาใจ เพราะถ้าหากหลงทาง ก็น่าจะสื่อสารกันได้ง่ายๆ

แวะเข้าร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร แค่เดินตากแอร์เล่น รอพี่มันมา

"พูดแค่นี้ ทำเป็นโกรธ"
มาถึงก็ทำเสียงกระซิบกระซาบ พร้อมสายตาขอความเห็นใจ ส่วนผมที่ไม่ใช่คนขี้งอนขนาดนั้น มันไม่ออกทางหน้าหรอก แต่จะรู้สึกได้จากบรรยากาศรอบตัวมากกว่า

"ทำอะไรให้เกียรติสถานที่บ้างสิพี่ ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรานะ ...เอ้อ!...ถึงเป็นบ้านเรา มันก็ดูไม่ดีอยู่ดี"

"พี่แค่หยอกเราเอง"

"แต่พี่ทำท่าจะโอบ จะกอด แถมยังยื่นหน้ามาใกล้ด้วย เราไปที่ไหนก็ต้องเคารพความเป็นไปของบ้านเมืองเขาสิ ถ้าโดนมองเหยียดจะทำยังไงล่ะ"

"ถ้าทำเล็กๆน้อยๆได้ไหมล่ะ คนบางคนก็จะได้เห็นโลกกว้างบ้างไง แล้วก็จะทำใจยอมรับได้เอง ว่ามันเป็นเรื่องทั่วไปของการมีพวกเราอยู่"

ต่างคนต่างความคิด
 แล้วแต่พี่เลยละกัน
"เฮ้อ...จับมือได้ แตะตัวได้ แต่ห้ามมองนะ"

"แค่มองเนี่ยนะ?!"

"นั่นแหละ....พี่ไม่รู้นี่ว่าสายตาตัวเองมันเป็นแบบไหน"
พอพูดก็เขินสิงี้ ผมกัดปากก้มหน้า เดินหนีออกจากร้านสะดวกซื้อ ข้างทางมีต้นไม้สูงอยู่ตลอดแนว แผ่กิ่งก้านสาขากว้าง ร่มเงาจึงปกคลุมไปทั่ว บริเวณพื้นก็สะอาดพอสมควร ผิดกับย่านโรงแรมของผมกับเมืองหลวงบ้านเราลิบลับ แต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย ก็ไอ้เราดันมาช่วงพักกลางวันพนักงานพอดี พวกผู้ชายถึงออกมายืนเต๊ะท่า สูบบุหรี่กันเต็มไปหมด
เดินเตร็ดเตร่นิดหน่อย ก่อนหยุดพักใต้ร่มไม้ที่ไม่มีคนมาทำลายปอดของเรา

"พี่ขอโทษนะ ...เมื่อกี๊ลองส่องกระจกดูแล้ว สายตาพี่มันก็เกินไปจริงๆนั่นแหละ"

"ใช่มั้ยล้ะ"

"มันสวยเกินไป....ไอซ์คงเขิน"

"พี่นัท!!"


.
.
.
.



"ถ้าพี่มีถุงยาง ไอซ์ก็โอนะ"

"ดีจัง มีสองอันพอดี"

"เฮ้อ...."
ควรภูมิใจไหมที่มาเจอคนเตรียมพร้อมแบบนี้

"อะไร? อยากเปลี่ยนใจแล้วเหรอ"

"เปล่าครับ ....แค่กำลังคิดว่ามันจะเจ็บไหม ไม่ได้ทำมานาน"

"เจ็บนิดเดียว เดี๋ยวก็หาย"

"พี่สัญญากับไอซ์ก่อนนะ ถึงเราจะไม่ได้เป็นแฟนกัน หรืออะไรก็ตาม แต่พรุ่งนี้เช้า พี่ต้องเป็นอย่างนี้เหมือนเดิมนะ อย่าเฉยชา อย่าแอบหนีไป คิดเสียว่าเราเป็นเพื่อนร่วมทางกัน สนุกกัน ...อย่าคิดว่า กูฟันแล้วทิ้งดีกว่า กลัวมันผูกมัด"

"ไม่หรอก ...พี่จะทิ้งเพื่อนร่วมทางที่ลำบากมาด้วยกันได้ยังไง"

"ไอซ์ไม่คิดผูกมัดอะไรพี่ ไอซ์เข้าใจโลกพอ ไม่พร่ำเพ้อ ละเมอถึงรักโรแมนติก แล้วก็..."
นิ้วหนาแตะปาก
"โอเค..เข้าใจแล้ว ...พี่สัญญาว่าจะไม่ทิ้ง ไม่เย็นชาด้วย"

"เกี่ยวก้อยก่อน"

"สัญญาคร้าบ"

เหมือนการตกลงงานมากกว่าโรแมนติก
ผมกับพี่เขาจึงขำออกมาพร้อมกัน
แต่เวลาและวารี ไม่ยินดีจะคอยใคร เมื่อมือหนาเริ่มส่งไออุ่นตั้งแต่สะโพกขึ้นมายังหน้าท้อง
"อือ.."
ตัวหดเกร็ง สัมผัสวาบหวิวแผ่ซ่านไปทั่ว
พี่นัทก้มลงจูบหน้าท้องเรียบ ส่งลิ้นเลียวนรอบสะดือ ยังผลให้ตัวเราขดงอ จำต้องกัดปากกลั้นเสียงน่าอายเพราะกลัวข้างห้องจะได้ยินผ่านผนังอันแสนบาง
จ๊วบ...ผมแทบทนฟังเสียงลามกไม่ไหว หยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้าเราไว้ ปล่อยกายให้ผู้ช่ำชองทำในสิ่งที่เขาอยากทำได้ตามอำเภอใจ

จินตนาการเตลิดถึงใบหน้าหล่อเหลาที่จดจ่ออยู่กับส่วนอ่อนไหวที่สุดของร่างกาย เส้นผมแหลมแทงทิ่มต้นขา ก่อให้เกิดอาการคันยุบยิบ ระคนเสียวไส้
อวัยวะนิ่มลื่นเต็มไปด้วยน้ำที่ไม่ว่าจะเลียไล้เรามากแค่ไหน ก็ดูท่าจะไม่แห้งเหือด มันแตะลงบนรอยจีบที่ปิดสนิทด้วยไม่ได้ผ่านการใช้งานหักโหมมานาน ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อลิ้นร้อนแหย่เข้าไป มีริมฝีปากนุ่มหยุ่นคอยดูดบริเวณด้านนอกราวกับช่างฝีมือที่ประสานงานกันได้ดีเหลือเกิน

"ฮืออ พี่นัท......"
เสียงร้องอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์หลุดออกมาจากปาก มันเหมือนเราจะขาดใจ แต่ขณะเดียวกันก็สุขล้น
ผู้ใหญ่อย่างพี่นัทรู้ดีว่าตรงไหนจะปลุกเร้าเราได้ รู้ว่าเวลาที่พอเหมาะนั้นเป็นอย่างไร  เมื่อพี่เขาเห็นว่าส่วนกลางเราแข็งชูชันแทบเก็บไว้ไม่อยู่ ถึงได้หยุดลง ก่อนหยิบเอาหมอนเราออกไป ผมรีบเอียงหน้าหนี ด้วยรู้ตัวว่าหน้าคงเหยเก ทุเรศเป็นที่สุด

"ไม่เห็นต้องอายเลย หน้าพี่ก็ไม่ได้ดีอะไรหรอก ..เดี๋ยวก็รู้"

"...ไอซ์จะทนไม่ไหวแล้ว"
เสียงแหบแห้งแผ่วเบาจนอีกฝ่ายต้องเงี่ยหูฟัง

"นี่แค่เพิ่งเริ่มต้น ...คืนนี้ยังอีกยาวไกลนะเด็กดี"

"อือ...."
พูดจบก็ถูกดูดปาก ถึงเพิ่งมานึกได้ว่าพี่นัทข้ามขั้นไปไกลโข แทนที่จะจูบเราก่อน ค่อยไปจูบตรงนั้น

"มีสมาธิหน่อยสิ"
โดนดุ พร้อมแรงฝ่ามือตีกระทบต้นขา

ผมกลับมาจดจ่อกับเรื่องตรงหน้าอีกครั้ง รสจูบของพี่เขารุนแรง ไม่มีคำว่าผ่อนปรน อีกทั้งยังกัดปลายคางเล็กของเราอยู่เสมอ น้ำลายจึงเปื้อนเปรอะไปครึ่งหน้า รู้สึกว่าปากร้อนขึ้น เลือดวิ่งตุบๆ คิดว่ามันคงบวมมาก
นอกจากอีกฝ่ายที่บีบเนื้อเราอย่างมันมือแล้ว ผมก็ไม่แพ้กัน มือที่เคยว่างงานรูดกางเกงเอวยางยืดต่ำลง จนแท่งร้อนเด้งสวนขึ้นมา ผมกอบกุมมันเอาไว้ แล้วรูดขึ้นจากโคนถึงปลาย ไม่ลืมใช้นิ้วโป้งเกลี่ยบริเวณรอบๆช่องทางที่ปล่อยลูกๆของเขา

รวบเอาแท่งกลางลำตัวทั้งสองเข้าด้วยกัน น้ำหล่อลื่นสีใสส่องประกายแวววาวยามกระทบแสงไฟ ไม่นานนัก พี่นัทก็ผุดลุกนั่ง กระชากเอากางเกงขาสั้นของผมติดมือไป แล้วโยนไปไกลจนแขวนอยู่กับทีวีติดผนังพอดี
สติหลุดมองกางเกงห้อยต่องแต่ง รู้ตัวอีกที ส่วนปลายของอวัยวะร้อนก็จ่ออยู่ข้างล่างแล้ว

"อ๊า..."
ไม่ใช่เสียงโวยวาย หากแต่เป็นเสียงเบาๆที่ออกมาจากการกัดปาก
พี่นัทเหมือนนักรบ เขาส่งดาบอันทรงพลังเข้ามาในตัวผม แทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะแน่ใจว่าเราจะขาดใจตาย
เตียงราคาถูกโยกสั่นดังตึงตัง ผมแหงนหน้าไปข้างหลัง ลำตัวโก่งงอ ฝ่ามือพยายามดันหน้าท้องที่ขึ้นซิคแพ็คเป็นลูกๆของอีกฝ่ายเพื่อบอกให้เบาลง

"พี่นัท...อือ...ไอซ์ไม่ได้ทำนาน..ล.แล้ว"
ผมไม่อาจบรรยายความรู้สึก ณ ตอนนั้นได้ เพราะมันผสมปนเป ไม่สามารถแยกแยะ และมีสติเพียงพอ ต่อให้พี่นัทเอาเชือกรัดคอผมตรงนี้ ผมก็คงยอมตาย เพียงเพื่อให้พี่เขาได้ขยับร่างกายอันร้อนเร่าต่อไป

"ดี....ดี...."
เป็นเพียงไม่กี่คำที่พี่นัทสบถเสียงดังยามกระแทกเอวเข้ามา เขาจับผมเปลี่ยนไม่กี่ท่า เป็นเพียงท่าเบสิค แต่กลับใส่แรงอารมณ์ได้ถึงใจ ถึงจุดสำคัญดีเหลือเกิน

"ไม่ไหวแล้ว! จะตายแล้ว!~"
ความรู้สึกแจ่มแจ้งที่สุดมาปรากฏเอาตอนท่านอนคว่ำ ความลึกของเบื้องล่างถูกชำแรกรุนแรง ปากอ้ากว้างหอบเอาลมหายใจเข้าไปให้มากที่สุด น้ำลายไหลเยิ้มอย่างคุมตัวเองไม่อยู่
พี่นัทเปลี่ยนจังหวะเป็นเนิบช้าเพียงไม่กี่นาที ก่อนจะยิงรัวเร็วเมื่อใกล้ถึงฝั่ง

"อ๊าาา"
หมอนและผ้าปูยับยู่ยี่ ผมสะบักสะบอมราวกับเพิ่งผ่านสงคราม พี่นัทเกลี่ยเส้นผมยาวที่กระจายเต็มหมอนให้ไปทางเดียวกัน ได้ยินเสียงดึงถุงยางออก ก่อนเจ้าของร่างจะล้มตัวลงนอนข้างๆ

"พอแล้วเนาะ"
กระซิบใกล้หูด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และติดเหนื่อย ผมพยักหน้าเบาๆ แล้วจัดท่าตัวเองให้นอนสบายขึ้น

"หนุกดี"
กระดากปากเกินกว่าจะใช้คำว่า 'มันส์'
ทั้งๆที่ใจอยากพูดจะตาย
ไม่ได้ทำมานาน ไม่รู้ว่าเคยรู้สึกดีเท่าวันนี้หรือเปล่า แต่ที่รู้ๆคือ..คงจำไปตลอดชีวิต




............




การแบ็คแพ็คด้วยความรู้อันต่ำเตี้ยเรี่ยดินของผมยังมีข้อดีอยู่บ้าง ตรงที่ทำให้เราใจกล้าหน้าด้านถามทางจากคนในพื้นที่มากขึ้น
รู้ไหม พี่นัทขำแทบตายเมื่อเราสองคนค้นพบว่าไอ้ตึกแฝดอันโด่งดังเนี่ย อยู่ติดกับสถานีรถไฟใต้ดินที่เราเพิ่งขึ้นมาและพยายามหาทางออกแทบตาย คือแค่เราเดินไปอีกทางก็เจอแล้ว แต่สวรรค์ท่านอยากให้เรามีเรื่องราวที่น่าจดจำไง เลยดลบันดาลให้ไปทางตรงกันข้ามซะอย่างนั้น แล้วที่โคตรแปลกก็คือ ผมไม่เห็นยอดตึกแฝดแม้แต่กระผีก ไม่งั้นคงเดินตามได้ไปนานละ

ก่อนที่เราจะได้เห็นตัวตึกเต็มๆนั้น เราต้องผ่านภายในอาคารก่อน ข้างในมีพนักงานออฟฟิศเดินกันพลุกพล่าน พอถึงประตูด้านหน้าก็จะเจอกับรถแข่งฟอร์มูล่าที่..เอ่อ...'แขวน'อยู่ข้างบนชั้นลอย เสมือนเป็นอนุสรณ์เล็กๆ
ทีนี้พอเรามองออกไปทางประตู ก็จะมีลานน้ำพุเป็นทางยาว เดินตรงไปเลยจะเจอน้ำพุยาวๆ กับแดดเปรี้ยงที่เหมือนจะเผาเราให้ตายทั้งเป็น แต่ไหนๆก็ไหนๆ ดั้นด้นมาขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ถ่ายคู่กับมัน ก็เหมือนมาไม่ถึงมาเลย์น่ะสิ
แล้วพอเราอยู่ตรงปลายสุดของน้ำพุ ให้เราหันหลังกลับมา เราจะเห็นสัญลักษณ์ของมาเลเซียที่เราใฝ่ฝันว่าจะได้เห็นของจริงสักครั้งในชีวิต



"ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงสวยมาก"

"พี่ว่ามันก็สวยตลอด ...ถ้าได้มากับคนที่เราถูกใจ"

"...ครับ"
ยิ้ม...
ยิ้มให้กับคนถูกใจ

มากลางวันแดดร้อน แต่มันดีตรงที่คนไม่ค่อยเยอะ ถ่ายรูปแบบไม่ให้ติดคนยังได้ เราจึงใช้เวลาตรงนี้ไปไม่มาก
สิบห้านาทีต่อมาก็กลับโรงแรมเลย
เพราะ...
หนึ่ง...ผมไม่มีตังค์
สอง....สายตาพี่นัทหิวผมเป็นอย่างยิ่ง


.


.


"อา.."
พี่ชายร่วมเตียงให้เหตุผลว่าการถอนคือสิ่งที่ดี ร่างกายผมจะได้กลับมาฟิตปั๋ง ไม่ตุ่นๆตึงๆอีกต่อไป  ไอ้ผมก็ทำได้แค่กลอกตามองบน แล้วทอดกายให้พี่เขาถอนตามใจปรารถนา แม้มีเจ็บๆอยู่บ้างเพราะพี่เขาทำแรง แต่แกรู้วิธีที่ทำให้คู่นอนมีความสุขด้วย

ถือว่าเกิดมาโชคดีจริงๆเลยเรา

"อือ...อือ..."
ร่างกายของพี่นัทนั้นเรียกได้ว่าชายในฝัน ทั้งกล้ามแขนเป็นมัดๆ ทั้งความผึ่งผายของไหล่ ความแน่นของกล้ามเนื้อ ช่างเข้ากันได้ดีไม่มีที่ติ ไม่มีส่วนไหนที่ดูแปลกประหลาดหรือผิดสัดส่วนเลย ดีเสียจนแปลกใจว่าเขามาชอบเราได้อย่างไร ปกติคนหล่อๆแบบนี้ก็จะกินคนหล่อๆด้วยกันเอง ไม่ค่อยมาสนใจไทป์หวานๆเชิดๆแบบเราเท่าไหร่

"ดีจัง...ไอซ์หายหิวแล้วเนี่ย"

"กินอะไรรองท้องไปก่อน"

"มินิมาร์ทข้างล่างน่าจะมีบะหมี่นะ"
ผมลุกนั่งบนเตียง ใช้ผ้าห่มนั่นแหละเช็ดคราบเปื้อนตรงหว่างขา อ๊ะๆ ไม่ได้สดนะคร้าบ แค่คราบของตัวเองน่ะ

"พี่ไปซื้อข้าวที่ห้างให้ดีกว่า"

"ไม่เอา"
ปฏิเสธทันควัน
"ไอซ์ยังพอมีเงินเหลือค่าข้าวน่า ได้ถึงพรุ่งนี้อยู่ แต่แค่วันนี้อยากกินบะหมี่ไง อยากรู้ว่ารสชาติเหมือนของบ้านเราหรือเปล่า"
เฮ้อ...คนเรานะ พอถึงเวลาจวนตัว อะไรที่นึกได้ก็จะพ่นออกมาหมด ....ต่อให้ต้องโกหกก็จำเป็นต้องทำ




.........




"ไม่ปวดท้องแน่นะเรา?"

"อย่าพูดให้ใจหายดิพี่"

"โอเคๆ อ้ะ...รถไฟมาแล้ว"
พี่ชายไร้สถานะจูงมือผมขึ้นรถไฟเพื่อไปขนส่งของกัวลาลัมเปอร์

นึกถึงเรื่องเมื่อคืนก็ขำนะ หลังจากแกะเครื่องปรุงใส่ถ้วยบะหมี่สำเร็จรูปแล้ว จึงหยิบกาน้ำไฟฟ้าที่เสียบปลั๊กทิ้งไว้ออกมาเทน้ำร้อนๆลง แต่...คนมันกำลังซวย ก็ซวยจริงๆ
ผมแทบร้องไห้เมื่อน้ำที่ออกมาไม่มีความร้อนเลยสักนิด พี่นัทที่กำลังเล่นโทรศัพท์จึงออกไอเดียแปลกขึ้นมา แกให้ผมใช้น้ำร้อนจากเครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำ..........

แน่นอนไอ้เรานั่งกินจุดยาวๆ รู้ตัวอีกที ถ้วยบะหมี่ใส่น้ำร้อนก็วางอยู่ตรงหน้า
"จะตายไหมเนี่ย"
นั่นคือคำสุดท้าย ก่อนเส้นบะหมี่รสชาติห่วยแตกจะยัดเข้าปาก




.
.
.

"คุ้มเนาะ เที่ยวต่างประเทศทั้งที ก็ใช้ชีวิตได้สุดจริงๆว่ะ"
กลับมาที่ปัจจุบัน...ไอ้พี่นัทยังล้อเราไม่หยุด
ถามจริง...เราควรโกรธเขาสักหน่อยนะ เริ่มเอือมแล้วเนี่ย

"โด่ ...อย่าเพิ่งทำหน้าเซ็งอย่างงั้นซี่ ดูรถไฟดิ พาเราออกมาข้างนอกเฉย"

ก็ตกใจอยู่เหมือน ข้างนอกที่ว่าไม่ได้หมายถึงข้างนอกรถ แต่หมายถึงรถไฟใต้ดินที่เราเดินทาง อยู่ดีๆก็ออกมาสู่กลางแจ้ง แสงแดดสว่างสาดส่องเข้ามาในตัวรถ ทำให้เห็นวิวข้างทางด้านนอก
ไม่รู้จะอธิบายอะไรมาก เพราะเหมือนกับวิวยามนั่งรถไฟในบ้านเรา มีกอหญ้าสูงสลับกับบ้านคนหลังเล็กๆเรียงราย แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนใจคือความทันสมัยของรถไฟบ้านเขา...ตรงกันข้ามกับบ้านเราอย่างเทียบไม่ติด
ผมไม่ใช่คนที่ชอบดูถูกบ้านตัวเอง ไม่แขวะคนนั้นคนนี้ แต่บางทีเราก็ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้ว่าหลายๆเรื่องของบ้านเราก็ไม่ควรปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้น แล้วหลอกตัวเองว่านี่แหละ...เสน่ห์ของไทย


... ถึงสถานีขนส่งประจำประเทศภายในเวลาแป๊บเดียว ลืมบอกไปว่าผมยืนมาตลอดทาง แต่ด้วยเวลาที่ไวมาก จึงไม่เหนื่อยไม่เมื่อยเลยสักนิด
ตอนที่ลงจากรถไฟจะค่อนข้างงงเส้นทางนิดหน่อย ผมแนะนำวิธีบ้านๆเลยนะ คือเดินตามคนหมู่มากไป ยังไงต้องได้เรื่องแน่ ไม่ถูกก็ผิดแหละ

ในบริเวณอาคารเหมือนสนามบินขนาดย่อม แสงไฟสว่างไสว ผู้คนขวักไขว่ บริเวณโดยรอบสะอาดสะอ้าน มีบู้ทของบริษัทรถทัวร์หลากหลายบริษัทให้เราเลือกบริการ
ผมกับพี่นัทไม่ซีเรียสเรื่องความเลิศเลอเพอร์เฟ็คต์อะไร แค่หาที่ราคาพอไหว และอ่านตามรีวิวว่าดีก็เอา
เราซื้อตั๋วไปมะละกาสองใบในรอบบ่ายโมง โดยที่นั่งรอรถเนี่ยหาง่ายมาก เขาจะแบ่งล็อคเป็นABC เราก็แค่ไปนั่งรอในล็อคของบริษัทรถทัวร์ของเรา นั่งรับแอร์เย็นๆ ผู้คนไม่วุ่นวาย ช่างเป็นการเดินทางที่สบายใจดีนักแล

"เราจะถึงกี่โมงครับ"

"คงเกือบเย็น ไม่ก็เย็นเลย...เอากระเป๋าเรามานี่สิ"

"ไม่เป็นไร ไอซ์หนาว อยากกอดกระเป๋า"

"กอดพี่ก็ได้"

พรู่ดดดด
บอกทีว่าต้องทำหน้ายังไง....



........

-น้องไอซ์ไม่ได้แรดนะคะ น้องไอซ์แค่มีความต้องการบ้างไรบ้าง 5555

-ได้ข่าวว่าบ้านเราจะมีรถไฟฟ้าผสมใต้ดินแล้ว แต่ลืมว่าสายไหน
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -3สค60- ตอน 5 Twin Tower
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-08-2017 19:32:21
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -3สค60- ตอน 5 Twin Tower
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 03-08-2017 21:22:26
เอิ๊ก..กกกกก ขอเลือดกรุ๊ปโอ ด่วน..นนนนนนนน    :m25: :m25: :m25:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -3สค60- ตอน 5 Twin Tower
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 04-08-2017 15:43:40
ปีนัง ถึง สิงคโปร์

Chapter 6
Malacca


เนื่องจากสถานีขนส่งของมะละกาอยู่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยว เราจึงต้องนั่งรถบัสสาย17ไปยังบริเวณที่เป็นมรดกโลก และผมก็ไม่รู้ด้วยว่าหน้าตามันเป็นยังไง (ทั้งชีวิต รู้จักแค่ช่องแคบมะละกา-_-")ถามเพื่อนที่เคยมา ก็บอกว่าเล็กนิดเดียว เที่ยววันเดียวก็หมด ดังนั้นผมกับพี่นัทจึงตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะออกเดินทางไปสิงคโปร์เลยดีกว่า เงินริงกิตใกล้หมดแล้วด้วย

ตั้งแต่คืนนั้น...ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
ผมยังมองพี่นัทเป็นผู้ชายรูปหล่อที่เผอิญสอยได้กลางทาง ผสมความนับถือนิดๆ ส่วนพี่แกจะมองผมอย่างไรบ้าง อันนี้ไม่รู้ รู้แค่ว่าแกเสมอต้นเสมอปลายในการหยอดมากกกกกก กอไก่ล้านตัว
แต่ก็โอเคนะ ถ้าพี่นัทจะจีบเราจริงๆจังๆ กลับไทยไป แล้วได้เป็นแฟนกันยิ่งดี มันก็เหมือนความหวังลึกๆของเรานั่นแหละที่ไม่อยากเหงา คนเราทุกคนเกิดมามีคู่ ...ต่อให้โสดสนิท แต่หัวใจคนน่ะ...ห้ามความหวั่นไหวไม่ได้หรอก

รถบัสสีแดงเต็มไปด้วยคนอัดแน่นพาเรามายังสถานที่อันโด่งดังของมะละกา ผมกับพี่นัทไม่ค่อยได้คุยอะไรกัน อันที่จริง...พี่นัทดูจะหมกมุ่นกับหน้าจอเล็กๆนั่นตั้งแต่ขึ้นรถทัวร์แล้ว เขาอาจมีงานสำคัญมั้ง ไม่อยากยุ่งหรอก ยังมองตัวเองว่าเป็นคนนอกสำหรับเขาอยู่ ขืนยื่นหน้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าหลังจากได้กันแล้วอีก พี่นัทคงมองผมเป็นพวกผูกมัด ..น่ารำคาญ

"ถึงแล้ว"
ผมยิ้มร่ามองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์
สมแล้วที่เป็นมรดกโลก....โบสถ์เก่าสีแดงดึงดูดสายตาเราสองคนตั้งแต่แรกพบ หมู่บ้านคนจีนรูปแบบเดียวกับปีนัง เรืออนุสรณ์ ปืนใหญ่บนกำแพงป้อมปราการที่ผุพัง และพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับอาวุธสงครามมากมายห้อมล้อมเราอย่างกับหลุดเข้ามาในสตูดิโอถ่ายหนัง ไหนจะรถสามล้อที่ประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสี
โอย...แล้วที่ประทับใจมากเลยคือ...มันสะอาด!! พื้นถนนที่ใช้อิฐสีแดงละมุนตาเรียงกันเป็นพันๆแผ่น ผมเขย่งเหย็งๆไปบนอิฐแต่ละก้อนจนมีคนทำเสียงจุ๊ๆอยู่ด้านหลัง

แหะๆ
ลืมไปว่าอยู่บนถนน


โรงแรมที่จองไว้อยู่ห่างจากความอัศจรรย์ไปประมาณ500เมตร ผมไม่ปฏิเสธเลยว่าเดินกันขาลาก
แต่ที่นี่ดีอยู่อย่างตรงที่มันถูก แถมยังได้ห้องกว้าง มีห้องน้ำในตัว แอร์เย็นฉ่ำ ไม่ต้องกระเบียดกระเสียนนอนในบ้านคนอื่นเขา

"โห!....วิวดีโคตร"

เฮ้อ...ห้องผมน่ะ ไม่มีวิวทิวทัศน์ระดับพาราโนมาอะไรหรอกครับ
...ฮือ พูดแล้วจะร้องไห้

ก็ไอ้ผนังห้องน้ำน่ะ...มันดันเป็นกระจกขุ่นทั้งหมดเลย!


"พี่นัทลองเข้าไปดิ๊ อยากรู้ว่าเห็นเยอะป่ะ"
ร่างสูงเดินเข้าไปโดยไม่อิดออด พร้อมขยิบตาทิ้งท้ายไว้ด้วย
"ไม่มีกลอนล็อคนะไอซ์"

"โห...สงสัยจะจองโรงแรมผิดว่ะ"
พึมพำกับตัวเอง ด้วยดูจากลักษณะแล้ว มันคล้ายห้องที่เอาไว้xxกันเลยอ่า

"พี่ลองแก้ผ้านะ"

"เฮ้ยยย ม่ายยย"
วิ่งด้วยความเร็วเหนือเสียงไปลากพี่แกออกมาจากห้องน้ำ
คนขี้แกล้งหัวเราะร่าดีใจที่แกล้งเราสำเร็จ

"จะอายอะไรล่ะ เห็นกันมาหมดละ"

"ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้"

"เชอะ! เอางั้นก็ได้"

โอย กลั้นขำแทบไม่อยู่ ไม่ยักรู้นะเนี่ยว่าตาแก่ขี้งอนเป็นด้วย

"เดี๋ยวไอซ์จะอาบน้ำหน่อยนะ นั่งรถทั้งวัน มันเมื่อยอ่ะ พี่ช่วยอย่ามองได้เปล่า"

"ด๊าย"

....เอิ่ม..ควรไว้ใจดีไหมเนี่ย



ตอนที่ผมอาบน้ำอยู่ มีเสียงเรียกเข้าจากมือถือพี่ชายร่วมทาง ตามมาด้วยภาษาจีนโช้งเช้งฟังไม่เป็นศัพท์ เราจึงต้องแสร้งอาบน้ำช้าๆด้วยความเกรงใจ กลัวว่าถ้าออกไปเร็ว พี่เขาก็อาจคุยธุระไม่เสร็จ ...ก็ตั้งแต่เดินทางด้วยกันมา ผมยังไม่เห็นพี่นัทคุยโทรศัพท์เลย เห็นแชทบ้างนานๆครั้ง แต่ดูท่าช่วงนี้แกจะเจอเรื่องเครียดจริงๆ

ถูสบู่ของโรงแรมจนหมดไปแล้วถึงได้ล้างตัวออกมาสักที มองมือเหี่ยวๆของตัวเองแล้วอนาถใจ พี่นัทโยนมือถือลงกับเตียง แกเท้าเอว ปากยิ้ม แต่ตาไม่ยิ้มไปด้วย ผมจึงไม่รู้ว่ารอยยิ้มที่ตอบพี่เขาไปนั้น มันสื่อถึงด้านบวกหรือลบ

"งานน่ะ"

"ค..ครับ?"

"เปล่าๆ ไม่มีอะไร...แต่งตัวเสร็จแล้ว เราไปเที่ยวเลยเนาะ"

"ครับ"


.
.
.
.


อย่างที่บอกว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมะละกาเลย อ่านรีวิวมาก็แค่การเดินทาง ส่วนจะไปเจออะไรนั้นไม่ค่อยลงรายละเอียดมาก รอบนี้พี่นัทจึงเป็นฝ่ายเดินนำ
หนุ่มหล่อพาผมมายังยองเกอร์สตรีท โดยเราหยุดถ่ายรูปบนสะพานข้ามคลองสองสามรูป มองวิวริมคลองแล้วพบว่าบรรยากาศค่อนข้างน่ารัก ไม่รู้สิ...เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นร้านอาหารบ้าง ห้องพักบ้าง แต่เขายังคงรักษาธีมของความเป็นเขาไว้ได้ดีเหลือเกิน

"ชอบเหรอ"

"อื้อ ...รู้งี้น่าจะอยู่สักสองวัน ไม่น่าอยู่กัวลาเลยอ่ะ"

"พี่ก็ว่างั้น จริงๆมีที่เที่ยวเยอะกว่านี้อีก แต่เราคงเที่ยวไม่ทันแล้ว"

"เสียดายเนอะ"

พอบ่นให้กันฟังจนสบายใจ ก็ถึงเวลาหาของกิน รูปทรงของบ้านที่เหมือนปีนังเด๊ะๆทำให้ผมใจชื้นขึ้นมา คิดว่าอาหารคงมีแต่สไตล์จีนเขาล่ะ ค่อยกินง่ายหน่อย

"เข้าร้านนั้นกัน"
เห็นร้านขนมที่มีคนค่อนข้างเยอะจึงลองเข้าไปดู ผมไม่รู้หรอกว่ามันเรียกว่าอะไรบ้าง แต่จากหน้าตาแล้วจะคล้ายๆพวกขนมไหว้พระจันทร์ ขนมเปี๊ยะ หรือพวกซาลาเปา โดยที่ทุกอย่างถูกทำขึ้นในขนาดพอดีคำ น่ารักมากๆ ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ จึงเลือกมาสามชิ้นเพื่อเอาไว้กินตอนกลางคืน

"พี่นัทไม่กินนะ?"

"อื้ม...ไอซ์กินเถอะ"

ฟู่ววว เป็นอะไรของเขาวะ เราพยายามร่าเริงจนเหนื่อยแล้วนะ...
ผมหุบยิ้ม จ่ายเงินด้วยเหรียญที่มีมากมายเป็นกระบุง พลางนึกถึงวันกลับว่าเราคงแลกเป็นเงินไทยไม่ได้แน่

"แล้วพี่นัทจะกินอะไรครับ"

"เดินเล่นไปเรื่อยๆก่อนแล้วกัน"

"โอเค"

สองมือล้วงกระเป๋า เดินนำผมไป
มองแผ่นหลังสมชายชาตรีแล้วอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมถึงมายุ่งกับเรา พี่นัทน่าจะเป็นคนที่ชอบผู้ชายแมนๆ มีกลิ่นของความเข้มแข็ง... มากกว่าที่จะเป็นผม
เดินไปสักพัก แกก็เลี้ยวขวาเข้าสวนอะไรสักอย่าง  อาจเพราะรูปปั้นนักเพาะกายครึ่งตัวที่ยิ้มให้พวกเรา ผมไม่รู้ว่าเขาโด่งดังมากแค่ไหน แต่เชื่อว่าเขาคงเป็นตำนานของที่นี่

"เข้าห้องน้ำมั้ย"

อ้อ...ที่นี่มีห้องน้ำอยู่นี่นา
ผมส่ายหัว บอกให้พี่นัทเข้าได้เลย นั่งรอแถวนี้แหละ สวนถูกจัดได้น่ารักดี นอกจากจะมีรูปปั้นนักเพาะกายที่ต้อนรับอยู่ข้างหน้าแล้ว ก็ยังมีรูปปั้นสิงสาราสัตว์ประดับอยู่ด้วย

พี่นัทหายไปนาน พอออกมาก็เดินมาพร้อมการกดมือถือยุกยิก ผมว่ามันเริ่มไม่โอเคแล้วนะ

"พี่มีธุระอะไรหรือเปล่า หรือว่างานด่วน?"

"ไม่มีอะไร"

"งั้นยิ้มให้ผมดูหน่อยสิครับ"

"โถ่...ไม่เอาน่า"

"เร็วๆ...พี่กำลังทำให้ผมเที่ยวไม่หนุกนะ"

"ก็ได้ๆ"
ว่าจบ รอยยิ้มที่เห็นฟันหน้าครบทุกซี่ก็ปรากฏ
ผมเลยบอกให้พอ ด้วยไม่อยากเห็นภาพน่าอดสูไปมากกว่านี้





สุดท้ายแล้วการเที่ยวแบบประหยัดของผมก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี สงสัยผลบุญที่เคยทำมาแต่ชาติปางก่อนจะส่งผลให้วันนี้มีตลาดคนเดิน ของถูกๆจึงเยอะมาก เราซื้อข้าวมันไก่ราคาถูกจากหน้าศาลเจ้าคนจีน หน้าตาไม่ต่างจากข้าวบ้านเรามาก เพียงแค่ไม่มีหนังไก่กับน้ำซุปให้ ซึ่งผมน่ะ ...โคตรชอบหนังไก่เลย มักจะแวะบ้านคนรู้จักเพื่อไปกินหนังไก่ให้เขาในวันตรุษจีนตอนเด็กๆ บ้าโดยแท้




..........




ตื่นเช้ามาด้วยอาการไม่ค่อยสดชื่นนัก บิดตัวซ้ายขวาไล่ความเมื่อยขบ ก่อนจะลากเอาผ้าห่มมาพันตัวเป็นแยมโรลเพื่อปกปิดสภาพเปลือยเปล่าของตัวเอง
ผมขอไม่เล่าเรื่องเมื่อคืนนะ มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่อ่ะ ...รู้เลยว่าพี่นัทอารมณ์ไม่ดี แล้วเอามาลงกับผม ถึงแม้เราจะทำแค่รอบเดียว แต่ก็เป็นรอบเดียวที่ผมไม่ค่อยอินไปกับมันเท่าไหร่นัก ...ทั้งเจ็บ...ทั้งมึน

"เจ็ดโมงเช้าแล้วนะพี่นัท ไอซ์อาบน้ำก่อนนะ จะได้กินข้าวแล้วไปเลย"
เอ่ยลอยๆ โดยไม่รู้ว่าเขาตื่นหรือยัง เห็นขยับหัวตะกี๊เลยพูดไป

ใช้เวลาไม่นานนักก็เก็บของลงมาข้างล่าง โรงแรมนี้มีห้องอาหารขนาดกำลังเหมาะ อาหารเช้าถูกจัดใส่ถาดใหญ่สามสี่ถาด หน้าตาไม่ค่อยน่ากิน แต่ผมก็ตักสิ่งที่คล้ายมักกะโรนีผัดซอสใส่จาน เลือกน้ำพันช์สีส้มเป็นเครื่องดื่ม ไม่ลืมยิ้มให้หนุ่มอินเดียที่เป็นพนักงานประจำห้องอาหาร

"พี่นัทไม่กินเหรอ?"
เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพี่เขาแค่ชงกาแฟสีเข้มมานั่งตรงกันข้าม

"พี่ไม่หิว ไอซ์กินเถอะ"

ผมพยักหน้ารับทราบ พลางรวบผมขึ้น มัดม้วนๆไปข้างหลัง มองอาหารหน้าตาเละๆแล้วไม่น่ากิน แต่พอได้ตักใส่ปากหนึ่งคำ กลับพบว่ามันโอเคเลยทีเดียว

"อร่อยมั้ย?"

"อื้ม อร่อยดีครับ"

"กินเยอะๆ"

"พี่นัทชิมมั้ย"

เขาส่ายหน้า "ไม่เป็นไร"

กินอีกสามสี่คำก็หมด จึงลุกขึ้นไปตักใหม่ ไม่ได้มองผู้คนรอบข้างที่เริ่มทยอยเข้ามา

"คนเยอะเหมือนกันเนาะ"
อยากจะลดบรรยากาศอึมครึมของพี่แกจริงๆ
เฮ้อ...นั่งเก๊กอยู่ได้
เริ่มไม่ประทับใจแล้วแหละ ผมคิดว่าเขาที่เป็นผู้ใหญ่ ก็น่าจะมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่กว่า และควรเก็บอารมณ์ให้ได้มากกว่านี้ ไม่ใช่ว่าพาลไปกับทุกสิ่ง โดยเฉพาะกับคนที่แทบไม่รู้จักกันเลยอย่างผม

"พี่...ขอโทษนะ"
คงเห็นสายตาเหนื่อยหน่ายของเราล่ะสิ
พี่นัทวางถ้วยกาแฟลง ส่งปลายนิ้วมายังหลังมือ ความอบอุ่นแผ่ขึ้นจนครบทั้งห้านิ้ว ผมเหลือบตามองทางอื่นเมื่อรู้สึกว่าความอุ่นร้อนนั้นลามมายันแก้ม

'ไอ้ไอซ์เอ๊ย ...ไอ้คนใจง่าย!'

"มีเรื่องยุ่งๆนิดหน่อยน่ะ แล้วพี่ก็เป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่ง"

"ก็นะ...ทุกคนก็มีข้อเสียของตัวเอง"
ผมพยายามปลอบ(เพราะความใจง่าย)

"พี่ขอโทษที จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว"

"ไอซ์ก็มีข้อเสียเหมือนกัน...ช่างมันเถอะ"

"ค่อยๆเรียนรู้กันไปเนอะ"

เอ๊ะ...เอ๊ะ....
พูดอย่างนี้ หมายความว่ามองไกลถึงอนาคตป่ะเนี่ย?
ผมดึงมือที่ถูกจับอยู่ออก แล้วสางผมแก้เขิน

"เอ้อ...พี่ว่า...ไอซ์ปล่อยผมดีกว่านะ"

"ทำไมอ่ะครับ?"
สายตาพี่แกหลุกหลิกชอบกล แถมแก้มก็แดงๆ

"คือ...ไอซ์อาจมองไม่เห็นนะ แต่ข้างหลังคอเราน่ะ แดงไปทั้งแถบเลย ...มีรอยฟันอีกต่างหาก"

ห้ะ?!?
จะช้าอยู่ไย รีบปล่อยผมสิครับ!

"ทำไมพี่เพิ่งมาบอกเนี่ย~"
ร้องครวญครางเหมือนแมวโดนปล้ำ

"พี่เพิ่งเห็นนี่นา....โทษที"

ผมอยากแปลงร่างเป็นขอมเดี๋ยวนี้เลย จะได้มุดดินหายไปจากที่นี่ซะ!

ว่าแล้ว...ทำไมมองผมกันจัง ก็นึกว่าชื่นชมในความสวยความแปลกของเราไง
โธ่...งี้ภาพพจน์ก็เสียหมด
เพราะไอ้พี่นัทคนเดียวเลย



.
.
.
.



เกลียดการขึ้นรถเมล์มาเลย์ก็ตรงที่เราต้องเตรียมเงินให้พอดี กับการเดินไปรอรถที่ไกลจากโรงแรมโคตรๆ เพราะพี่ท่านไม่จอดรับตรงที่เคยส่งพวกเรา อาจจะเป็นกับสายนี้สายเดียวก็ได้นะผมว่า คือตอนเรามาเนี่ย สามารถบอกให้รถจอดจุดที่ใกล้โรงแรมเราได้ แต่ตอนขากลับ ยามดันบอกว่าให้ไปรอหน้าพิพิธภัณฑ์ที่ติดกับโบสถ์สีแดง
เราสองคนจึงลากกระเป๋าไปอย่างทุลักทุเล อากาศยามสายเริ่มร้อนมากขึ้น อีกทั้งยังไม่สามารถรวบผมได้ หน้าเน่อนี่มีแต่เหงื่อ รู้สึกเหนียวตัวและหมดแรงเอาซะมากๆ
ผมเห็นสายตาพี่นัทนะว่ามองเราตลอด แต่ไม่อาจพูดได้เต็มปากด้วยความกระอักกระอ่วนที่ยังมีอยู่บ้าง พี่เขาใช้เพียงหมวกแก็ปโบกลมเพื่อคลายร้อนให้เราทั้งคู่

"หิวน้ำมั้ย?"

ส่ายหน้าตอบ
ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเรานั่งพัก ทำใจเย็นๆ กายผมก็จะเย็นเอง

ด้วยความอยากมาลำบากอ่ะนะคนเรา

...นั่งรอรถเกือบชั่วโมงได้ พี่ท่านถึงมาสักที ยังดีที่ขากลับคนน้อย เราจึงได้นั่งสบายๆ ตากแอร์เย็นๆ

"เหมือนเพลงไทยนะพี่ว่าป่ะ?"
ประสาทการได้ยินของผมกระดิกดิ๊กๆเมื่อวิทยุในรถเปิดเพลงที่มีดนตรีเหมือนเพลงไทยเพลงหนึ่งเด๊ะๆ แต่คำร้องเป็นภาษาบ้านเขา

"พี่ก็ว่า...คงซื้อลิขสิทธิ์มามั้ง"

"เอ่อ...สองเพลงแล้วนะพี่นัท"

"เอาน่า...นั่นๆ รู้ไหมอะไร"
แกเปลี่ยนเรื่องดราม่าด้วยการชี้ออกไปนอกรถ ตอนนั้นข้างทางมีหมู่บ้านเล็กๆ และต้นไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆบนเนินดิน แล้วผมก็ได้เห็นสิ่งที่เรียงรายบนเนินดินนั้น มันเหมือนกับที่ใส่อัฐิ แต่มีสีขาว ขนาดประมาณแจกันทั่วไป

"อะไรอ่ะ..."

"กลัวป่ะ"

"พี่! อย่าทักดิ"

"ฮ่าๆๆ ไม่ยักรู้ว่ากลัวเรื่องแบบนี้ด้วย"

"ดีนะเนี่ยที่เรามาตอนกลางวัน"
พูดเสร็จก็รีบหลบจากข้างทาง หันมามองตักตัวเอง
ถอนหายใจหนักๆ ไอ้รถนี่ขับช้า หรือเนินดินตรงนี้มันยาววะ ไม่พ้นสักที

"นี่แหละ มาต่างประเทศ ก็ต้องเจออะไรที่มันอเมซิ่งบ้าง ไม่ใช่เจอแต่สิ่งที่เหมือนบ้านเรา ไม่งั้นจะมาทำไม"

"โธ่...เจออย่างอื่นได้ป่ะ"
ขอโอดครวญหน่อยเถอะ




.......

ขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาท่องเที่ยวเป็นเพื่อนน้องไอซ์นะคะ  :pig4:
@niyataan ตอนนี้มีเลือดกรุ๊ปy พอจะได้ไหมคะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -4สค60- ตอน 6 Malacca
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 04-08-2017 21:48:29
พี่นัทแกเป็นอะไร   :m28:
มาเติมเลือดกรุ๊ป y ด่วน อยากรู้ที่มาของรอยกัดที่คอน้อง 555   :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -4สค60- ตอน 6 Malacca
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 05-08-2017 20:09:04
ปีนัง ถึง สิงคโปร์ 1000กิโลรัก

Chapter 7
Singapore I






เอาล่ะ....ใจหายเหมือนกันที่ต้องลาจากมาเลเซีย ยังอดเสียดายมะละกาไม่ได้ว่าทำไมเราไม่อยู่ให้นานกว่านี้

ผมซื้อตั๋วไปยะโฮร์บารูห์ซึ่งเป็นอีกเมืองของมาเลเซีย แล้วค่อยต่อรถเข้าสิงคโปร์ ดังที่อ่านจากรีวิวว่ามันถูกกว่ามะละกาไปสิงคโปร์เยอะ

เคยได้ยินไหมครับว่า ...ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอน ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน...
ผมไม่ได้หมายความว่าผมกำลังจะตาย แต่อาการปวดท้องหนักกะทันหันเมื่อถึงยะโฮร์บารูห์ก็ทำเอาผมอยากตายขึ้นมา
เมืองยะโฮร์บารูห์ไม่ใช่เมืองหรู ไม่ใช่ที่ๆมีการสุขาภิบาลที่ทันสมัยนัก ผมจึงผงะแทบหงายหลังเมื่อเปิดประตูห้องน้ำไป แล้วเจอกับส้วมรู!

อาส์สสส...ชีวิตลำบากคอมพลีทแล้วโว้ย!!

รูลึกขนาดกว้างกำลังพอดี มองลงไปไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด(ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่เห็น) แอบมองผู้ชายที่เดินตามมา แกก็ไม่มีทีท่าเดือดร้อนอะไร แล้วเหตุใดเราต้องแคร์ น้ำก็มีให้ล้าง เอาไงเอากันสิไอ้ไอซ์
ผมสวดมนต์เรียกขวัญกำลังใจ ก่อนปิดประตูห้องน้ำเรียบร้อย ถอดกางเกง ค่อยๆข่มใจนั่งยองๆลงไป....
กลิ่น...อันไม่พึงประสงค์ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามา
ความสะอาด...ที่กัวลาต้องชิดซ้าย
ไม่ไหวแล้วโว้ย!!
ไม่เอาแล้ว!!

ฮืออออ

"เป็นอะไรไอซ์?!"
พี่นัทแกยืนรออยู่ข้างนอกต้องทิ้งกระเป๋าวิ่งมาหาผม
สภาพทุเรศแบบนี้ยังต้องถามอีกเหรอ!!

"เสียตังค์ฟรี"
อุตส่าห์เจียดเงินอันน้อยนิดเป็นค่าผ่านทาง แต่ก็ไม่ได้ใช้ให้คุ้ม

"ยังไง? ไม่ได้เข้าเหรอ"

"ก็ใช่น่ะสิ...ห้องน้ำมันเป็นรูๆอ่า ขี้ไปก็ร่วงไปกองข้างล่างอ่า ทำใจไม่ลง ทำใจไม่ได้ อยากตาย..."

แอบเห็นพี่นัทกัดปากกลั้นขำ เป็นผมก็ขำว่ะ
ชีวิตอนาถแท้

"แล้วปวดอยู่ป่ะเนี่ย"

"ปวดดิ้!"

"เวรกรรม...ทนได้ไหมล่ะ เดี๋ยวไปเข้าที่ตอมอ"

เช็ดน้ำตาไหลพราก พร้อมความหวังอันเต็มเปี่ยม
"นานป่าวละ"

"ไม่นานหรอก  แป๊บเดียว ...แต่พี่ไม่แน่ใจว่ามันมีห้องน้ำฝั่งนี้ไหมนะ ถ้าไม่มีก็จะอาจต้องยืนต่อแถวนานหน่อย ถ้าคนเข้าเมืองเยอะ"

"ไม่เป็นไร ไม่มากหรอกครับ"

"ดีๆ เลิกร้องได้แล้ว"
แกตบหัวเบาๆสองที สายตาเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู
เวรกรรมจริง...สาวแตกวันนี้ซะได้


.
.
.



ขึ้นรถเมล์ที่แสนจะดูดี ขัดกับหน้าตาของสถานีขนส่งไปได้ไม่ทันกะพริบตาเลยมั้ง ก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว
แล้วพอยืนต่อแถวปุ๊บ อาการมวนท้องก็หายปั๊บ
จึงบอกเพื่อนร่วมทางว่าโอเค สบายบรื๋อ
เราแค่ปั๊มตราออกจากประเทศมาเลเซียแป๊บเดียว
รีบลงมา ก็ดั๊นเจอรถเมล์คันเดิม พร้อมลุงคนขับคนเดิมอีก

"เขารอเรา หรือว่ามันบังเอิญอ่ะ"

"รอสิ นั่นไง คนข้างหน้าไม่ได้จ่ายตังค์ แค่ยื่นตั๋วเก่าให้ดู"

"พี่นี่เก่งจัง"

แล้วรถเมล์ก็พาเราข้ามสะพาน ผมยิ้มดีใจที่การเดินทางของตัวเองผ่านไปได้ด้วยดี นึกไม่ถึงว่าเราจะมาได้ไกลขนาดนี้ จากเหนือมาเลย์ จรดใต้สุด แถมยังข้ามมาอีกประเทศ
คิดแล้วตื้นตัน พาลน้ำตาจะไหล

แต่หยุดไว้ก่อนครับ! หยุดความดีใจไว้ก่อน เพราะมันยังเหลืออีกด่าน ไอ้เมื่อตะกี๊นะ ด่านขาออก แต่ตอนนี้เจองานหิน มันคือด่านขาเข้าสิงคโปร์ ประเทศที่การตรวจคนเข้าเมืองเข้มเป็นอันดับต้นๆ
เราต้องยืนต่อแถวที่ยาวพอสมควร แต่มีแถวของคนมาเลย์โดยเฉพาะด้วยแฮะ เห็นพวกเขาเดินผ่านได้อย่างลื่นปรื๊ดแล้วโคตรอิจฉาเลย

"แล้วพี่นัทไม่ไปช่องคนสิงคโปร์อ่ะ"

"ไม่ได้ถือสัญชาตินั้น จะไปได้ยังไงล่ะ"

"อ่อ..."

"ยืนรอนานหน่อยนะ ...ไหนกรอกข้อมูลถูกหรือเปล่า พี่ช่วยตรวจให้นะ"

"ขอบคุณครับ"
เอ่ยก่อนยื่นกระดาษเน่าๆ เพราะเผลอเอามาพัดใส่ตัว



ยืนรอประมาณครึ่งชั่วโมง (นี่ขนาดมีหลายแถวแล้วนะ) พี่นัทที่ยืนข้างหน้าก็ผ่านฉลุย ผมจึงมั่นใจมากว่าตัวเองไม่โดนอะไรหรอก เพราะมาด้วยกัน ...แต่ไม่ใช่น่ะสิ เขาไม่ให้ผมผ่านง่ายๆ เพื่อนร่วมทางของผมจึงต้องมาเคลียร์ให้ แต่เขาก็ต้องทำตามหน้าที่ เลยลากเอาพี่นัทมาด้วย
เจ้าหน้าที่หน้าตาดุพาผมขึ้นมาข้างบนสำนักงาน คนแต่งกายคล้ายตำรวจกำลังทำงานกันอย่างแข็งขัน มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย บรรยากาศในนั้นน่ะเหรอ...เหมือนโรงพักไม่มีผิด แต่เป็นโรงพักที่ทันสมัยนะ เป็นห้องกระจกใส มองเห็นผ่านกันได้หมด แล้วก็มีการสแกนบัตรอยู่ทุกประตู ไฮเทคสุดๆ

เก้าอี้แบบเรียงแถวยาวมีผู้ชายนั่งจองอยู่ก่อน ตามด้วยครอบครัวคนจีนที่มาทั้งพ่อแม่ลูก แล้วถึงเป็นผมกับพี่นัท

"จะโดนอะไรไหมพี่"

"ไม่โดนหรอก เพิ่งมาครั้งแรก เขาก็เรียกมาคุยเฉยๆ"

"เขานึกว่าไอซ์มาขายตัวแน่เลย"

"แต่สำหรับพี่...ไอซ์ไม่ใช่แบบนั้นนะ ดูสายตาคนขายตัวกับคนไม่ขายน่ะ ดูง่ายจะตาย พวกเจ้าหน้าที่เขาก็มองออก"

"ยังไงก็เถอะ...ตื่นเต้นอ่ะ"

"เอ้อ...ถ้าเขาถามว่าเป็นอะไรกัน ให้ไอซ์ตอบว่าเป็นแฟนกันนะ"

"ห้ะ!?"
ละค้อนละครว่ะพี่

"ตอบๆไป บอกตามความจริงว่าเรามาแบคแพค มากับแฟน ดีกว่าตอบว่าเผอิญเจอกันที่สนามบินเยอะ"

"มันก็จริง ...แล้วเราคบกันมากี่ปีอ่ะ"

"ตอบตามจริงทุกอย่าง...บอกว่าอาทิตย์เดียว แล้วก็ชวนกันมาเที่ยว"

"งง"

"ตอบตามจริงไง...เราเป็นแฟนกัน แต่แค่เพิ่งเริ่มคบ"

"แล้วมันต่างจากบังเอิญเจอกันตรงไหนเนี่ย"

"ต่างกันมากกกก"

"ก็ได้ๆ"

บอกตามตรง ตอนนั้นสมองไม่คิดอะไรที่โรแมนติกเลย เพราะเครียดมาก กลัวไม่ผ่าน

รอไม่นานเท่าไหร่ ผมก็โดนเรียกเข้าไปในห้องมืด
เห็นเจ้าหน้าที่ผู้หญิงเป็นคนอินเดียแล้วแอบถอนใจ กลัวว่าจะฟังสำเนียงเขาไม่ออก สติสตังยิ่งไม่มีอยู่

"Hello"

"Hi"
ตอบสั้นๆ ให้ดูเก่งภาษา ห้า ห้า ห้า

"You have been in Malaysia, right? How was it?"

"It's fun. I like Penang a lot."

"Why?"

"I like old city. And I like Malacca too"
รู้สึกลิ้นเริ่มพันกันละ

"You are student?"

"Yes, third year now. I study IT"

"IT?"

"เอิ่ม...computer programmer"
หน้าตาดูไม่น่าเรียนด้านนี้ล่ะสิ ผมยังไม่เชื่อตัวเองเล้ย

"And...mister Natthakrit , he is your friend?"
..นางยิ้มกรุ้มกริ่ม

"อ่า...he is my boyfriend"
หน้าแดงโดยอัตโนมัติ

"Ok, and what is your plan in Singapore"

"I want to see merlion and buy shoes."

"Where will you stay"

"Backpaker Hostel at Lavender station"

"How long?"

"Two days and i will back to Thailand"

"By train or plane?"

"Plane, Asia air"

"Ok, ..."
พี่สาวหยุดหายใจเล็กน้อย ก้มเขียนอะไรยุกยิก
"we hope you will enjoy visiting here."

"Oh! Thank you"

.
.
"เหมือนสัมภาษณ์งาน"
รีบบ่นใส่กันเมื่อเราผ่านออกมาทั้งคู่

"เขาถามอะไรไอซ์บ้าง"

"ถามเยอะนะ เที่ยวเป็นยังไงบ้าง พี่เป็นอะไรกัน เรียนอะไร พักที่ไหน แล้วก็อะไรไม่รุ ลืมแล้ว"

"พี่โดนแค่มาทำอะไร กับจะพาแฟนไปเที่ยวไหน"

"จะว่าไป ...ถ้าไม่มองว่าเป็นหน้าที่ มันก็ดูเผือกๆเนอะ"

"นั่นสิ"


เราเดินมาถึงสถานีรถไฟฟ้า ผู้คนขวักไขว่ และดูคล่องแคล่วกับการใช้ตั๋ว ผมนี่อ้าปากค้างอ่ะ
"ไอซ์ใช้บัตรพี่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปซื้อใหม่"
พี่นัทหมายถึงบัตรนั่งรถไฟฟ้า เราแค่เติมเงินจากตู้ อายุหนึ่งปีมั้งถ้าจำไม่ผิด

"พี่มีเงินในนี้เยอะหรือเปล่า ถ้าเยอะก็ไม่เอานะ"

"ไม่หรอก ลองเอาไปเช็กสิ"
อยู่สิงคโปร์แค่สองวัน ผมคงใช้ค่าเดินทางไม่ถึงร้อยเหรียญ เพราะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนไกลจากเส้นรถไฟฟ้าเลย

ดูสิดู...ผมว่าเราเริ่มเข้าถึงความเป็นสิงคโปร์ละ
อยากจะกลายร่างเป็นอากาศให้กับที่นี่ อยากซึมซับความศิวิไลซ์ของเขาเอาไว้ให้มากๆ
ตู้เติมเงินอัตโนมัติหน้าตาหล่อเหลาไม่ถูกรุมสกรัมเพราะมันมีเพื่อนมากมายให้ประชาชนแบ่งกันใช้ อีกทั้งยังรวดเร็วทันใจ และเข้าใจง่าย ไม่มีการยืนต่อแถวเรียงยาวไปสุไหงโกลกเพื่อแลกเหรียญหรือซื้อบัตร ช่องผ่านทางก็ช่างดูดี มันจะบอกจำนวนเงินเหลือในบัตรของเราบนหน้าจอด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ ภาพชัดเจน
โอย...อยากกอดเทคโนโลยีของที่นี่จัง

"บ้าแน่ๆ"
ได้ยินนะเสียงนกเสียงกาน่ะ
โถ่...ตัวเองอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กนี่นา จะไปตื่นเต้นอาร้าย

"ไปอยู่ห้องพี่ป่ะ"
หืม..หูไม่ฝาดใช่ไหม

"ห้อง? บ้านพี่เหรอครับ?"
เจ้าเล่ห์นะ ถามตอนเรากำลังเคลิ้มเนี่ย

"อื้ม"

"แต่ว่า....ไอซ์เพิ่งคอนเฟิร์มเมลของโฮสเทลไปแล้วเมื่อวาน"

"อ้าว..."

"เขาบอกว่ายินดีต้อนรับสู่สิงคโปร์ คุณจะมาพรุ่งนี้ใช่ไหม ซึ่งก็คือวันนี้...ไอซ์เลยตอบไปว่าเยส"
พักมาเลย์ไปห้าวัน ยังไม่เจอเมลสักกะโรงแรม แต่พักสิงคโปร์ที่เดียว มีการเมลมาย้ำด้วย ไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นไหมนะ

"เป็นห้องยังไง"

"นอนรวมชายหญิง"

"เหรอ"
พี่นัทเกาคาง คือผมก็อยากให้พี่เขาคิดได้เร็วๆนะ เพราะเรากำลังยืนขวางทางเข้าอยู่
"....อยากไปนอนห้องพี่ไหมล่ะ น่าจะสะดวกกว่านะ อุตส่าห์เช่าไว้ ยังใช้ไม่คุ้มเลย"

ข้อเสนอก็ดีอยู่หรอก แต่เรามีความเกรงใจมากกว่า ทั้งพี่ทั้งโฮสเทล ...ผมไม่ชอบการผิดสัญญาน่ะ

"หรือว่าอยากเสียตังค์? เราก็ไปเช็กอินโฮสเทลไว้ แล้วไปนอนห้องพี่คืนนึง โฮสเทลคืนนึง"

".....อ่า...ไม่รู้สิครับ"

"โอเค...เอาตามนี้"
เห็นว่าเราลังเลมาก คนเจ้ากี้เจ้าการก็ตัดสินใจให้เอง






มองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า ...ความมืดปกคลุมทั่วบริเวณ กระทั่งแสงไฟที่มีให้เห็นประปรายเริ่มเพิ่มปริมาณสว่างชัดขึ้นเรื่อยๆ

แต่แล้ว...แสงที่ว่ากลับหายไป เป็นเพราะรถไฟฟ้ากลายร่างเป็นรถไฟใต้ดิน ผมนี่แบบ... กลอกตามองบน อย่าดีไปมากกว่านี้ได้มั้ย เดี๋ยวก็มาอยู่ซะเลย




........

-ห้องน้ำ : ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าห้องน้ำชายเป็นยังไง แต่ก็อยากใส่เรื่องของตัวเองไปบ้าง5555 (แต่ไม่ได้ปวดขนาดนั้น แค่เห็นส้วมก็เดินออกทันที ไม่ต้องยืนคิดจ้า)
-ตม. : ข้าพเจ้าก็ไม่รู้อีกนั่นแหละว่าถ้าเป็นผู้ชายจะโดนไหม เลยสร้างรูปลักษณ์ภายนอกของไอซ์ให้ดูเป็นผู้หญิงหน่อย เนื้อเรื่องจะได้มีเหตุผลมากขึ้น
ส่วนภาษาอังกฤษนั้น ...ไม่สนใจแกรมม่านะขอรับ เอาตามเรื่องจริงเลย 5555
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -5สค60 ตอน7 Singapore I
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 05-08-2017 21:35:23
555 ฉากอุนจินี่..มีเพื่ออาราย???  :m29: :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -6Aug17 ตอน8 Singapore II
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 06-08-2017 22:51:45
ปีนัง ถึง สิงคโปร์ 1000กิโลรัก

Chapter 8
Singapore II



โฮสเทลที่จองอยู่ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินลาเวนเดอร์ไปเพียงห้าร้อยเมตร  ผมที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต อาศัยเพียงรูปที่แคปมาเท่านั้นว่าอาคารนั้นอยู่ตรงไหน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมชอบทำชีวิตให้ยุ่งยาก กะอีแค่ซื้อโปรฯเน็ตมาก็ไม่ทำหรอกนะ ขี้งกสุดๆ

หลังจากเดินหาโฮลเทล(ไม่หลงด้วย เก่งป้ะ) ผมก็เช็กอิน รับกุญแจล็อกเกอร์มา สำรวจห้องนอนนิดหน่อย ก่อนจะเดินตามตูดหนุ่มหล่อต้อยๆกลับมาทางเดิม
พี่นัทพาขึ้นรถไฟสองสามต่อ จนเราเริ่มงง เอาเป็นว่าถ้าพี่นัทกลายร่างเป็นฆาตกรขึ้นมา ก็หาทางกลับไม่ได้อ่ะ




สถานีรถไฟของที่นี่น่ารักมาก พี่แกมีป้ายบอกถึงสี่ภาษา ทั้งอังกฤษ จีน มาเลย์ และอินเดีย เห็นสาวอินเดียแต่งชุดประจำชาติตัวเองแล้วน่ารักดี ส่วนคนจีนก็ไม่ได้คุยกันเสียงดัง ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ในเกาะเล็กๆด้วยความสงบสุข

"พี่นัทไม่อยากอยู่ที่นี่เหรอ"
เอ่ยถามเมื่อพี่เขาบอกว่าถึงสถานีบ้านตัวเองแล้ว เราเดินบนริมทางที่ค่อนข้างเงียบ นานๆทีถึงจะมีคนเดินผ่าน

เจ้าบ้านเหลือบตามองผมนิดนึง แล้วมือใหญ่ก็รวบไหล่ที่เล็กกว่ามากกระแทกหน้าอกแกดังปั้ก!
"เจ็บไหมเนี่ย"

"หมั่นเขี้ยว"
พูดเฉยๆก็ได้ ทำไมต้องทำตาวาวขนาดนั้น

"ถึงละ"

อ้าว..ไรวะ แล้วที่เราถามเมื่อกี๊ก็ไม่ตอบหรอกนะ
ผมเก็บความสงสัยไว้ชั่วครู่ เพื่อสัมผัสบรรยากาศของอพาร์ทเมนต์หรูใจกลางเมือง รั้วต้นไม้สีเขียวสดตั้งเป็นแนวยาวกินพื้นที่หลายไร่
พี่นัทจูงมือผมเข้าไปข้างในตัวอาคารที่อยู่ไม่ไกลจากรั้วนัก ด้านขวาของอาคารคือสวนหย่อมขนาดปานกลาง พอให้ผู้พักอาศัยได้นั่งผ่อนคลาย หรือพาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่น ส่วนภายในอาคารตกแต่งด้วยสีเอิร์ทโทนเป็นหลัก จึงให้ความอบอุ่นและเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเหมาะกับพี่นัทอย่างปฏิเสธไม่ได้

เรากดลิฟต์มาที่ชั้นสาม ห้องของพี่นัทอยู่ทางซ้ายมือ
เพียงเปิดประตูเข้าไป ผมก็ตะลึงในความสวยของห้อง  มันน่าอยู่มากๆเลย ไม่รู้จะชาบูๆอย่างไรให้สมเกียรติ

"สวยมากอ่ะพี่"
ห้องของพี่นัทเป็นห้องเล็กๆ ถ้าเปิดประตูเข้ามา ก็จะเจอกับห้องนั่งเล่นพร้อมโซฟาตัวมหึมาอยู่ด้านซ้าย ส่วนด้านขวาเป็นโซนห้องครัว มีโต๊ะกินข้าวทรงครึ่งวงกลมขนาดสองคนนั่ง ห้องนอนหนึ่งห้องตรงสุดทางเดิน

"พี่ไม่ได้แต่งเองหรอก โครงการเขาทำให้"

"สวยมากๆอ่ะ ไอซ์ชอบสไตล์นี้มากๆ ห้องก็สะอาด เรียบร้อย"

"สนใจมาอยู่ถาวรไหมละ"

"ม..ไม่รู้เว้ย!"
ถามงี้ก็เขินแย่

ผมว่าเลิกคุยกับพี่เขาสักพักดีกว่า กลัวจะกลายร่างเป็นของเหลวไปซะก่อน




วางกระเป๋าใบโตลงบนพื้นไม้ขัดเงาเรียบกริบ ขออนุญาตนอนบนโซฟาสีนวลเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ วันนี้เดินทางทั้งวันนี่นะ เดี๋ยวก็นั่ง เดี๋ยวก็ยืน เมื่อยขาไปหมดแล้ว

"นั่งเล่นนอกระเบียงมั้ย อากาศดีนะ"

"ไม่เป็นไรครับ"

จะว่าไปห้องพี่นัทนี่เหมือนไม่ค่อยมีคนมาอยู่นะ ห้องสวยก็จริง แต่ไม่มีบรรยากาศของสิ่งมีชีวิต อย่างเช่นรูปต่างๆ เหรียญรางวัล หรือหนังสือกระจุกกระจิก เราเลยไม่มีอะไรให้เผือกมากนัก  มีเพียงสิ่งเดียวที่ดูแปลกตาไป คือตุ๊กตาของแถมจากร้านฟาสต์ฟู้ด มันอยู่ในตู้วางทีวี ไม่เยอะมาก แต่ก็แปลกสุดในห้องแล้วแหละ

"เอ้านี่...เอาเท้าแช่ไว้สักพัก"
นอนเหม่อได้สิบนาทีก็มีเสียงเจ้าของห้องปลุกให้ตื่นจากภวังค์ พี่แกวางถังน้ำใบเล็กบรรจุน้ำอุ่น ควันจางลอยอ้อยอิ่งคล้ายหัวใจของผมตอนนี้ที่คุกรุ่นด้วยความอบอุ่นจากความเอาใจใส่

"ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้"

"ทำไมล่ะ"
ร่างสูงนั่งลงข้างกัน

"ไม่รู้...แปลกๆอ่ะ"

"ไม่เคยถูกดูแลแบบนี้เหรอ? นี่ไง...ฝึกไว้ จะได้ชิน"

"ชินก็แย่ดิ"
แก้มจะสุกอยู่แล้วพี่เอ๊ย

"เอ้า...มัวแต่เขิน เอาเท้าลงได้แล้ว น้ำจะเย็นแล้วเนี่ย เดี๋ยวพี่ทำอะไรให้กิน"

ผมยอมแช่เท้าลงไป ไม่ลืมขอบคุณพี่เขา
ว่าแต่..."พี่มีของทำอาหารด้วย??"

"มีแค่บะหมี่กับไข่ที่จะไปขอข้างห้อง"

"โห..."

"เอาน่า สนิทกัน ...เดี๋ยวดูก่อนว่ามันมีอะไรอีกไหม จะขโมยมาให้กิน"
และแล้วพี่แกก็หายไปในความมืด


ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงได้ เสียงคุยจ้อกแจ้กของคนสองสามคนก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมเก็บอ่างน้ำเข้าที่เดิม ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้น พอออกจากห้องน้ำก็เจอเจ้าของห้องกับชายแปลกหน้าสองคน

"ไอซ์ นี่เพื่อนข้างห้องพี่เอง จอร์จ กับแซม"

"Hi"
ผมจับมือทักทายกับทั้งคู่ ถึงจอร์จกับแซมจะมีชื่อฝรั่ง แต่เขาเป็นคนจีนทั้งคู่ แซมผิวขาวสว่าง และสูงชะลูด แบบว่าออร่ามันกระแทกตาเสียจนผมลืมมองจอร์จ (อยากตบหน้าตัวเองหลายๆที)

"อะแฮ่ม!!"

"อะไรติดคอเหรอพี่"

"เดี๋ยวเถอะ"
พี่นัทชี้หน้าคาดโทษ ผมเลยแลบลิ้นล้อเลียน


เราสี่คนนั่งล้อมวงกินบะหมี่ผัดไข่รสชาติกินกันตาย พร้อมเบียร์อีกคนละกระป๋อง เพื่อนพี่นัทดูเป็นคนพูดเก่งนะ ชวนพี่แกเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่หยุด ผมได้แต่ฟังหนุ่มๆเขาคุยกันมากกว่า จีนบ้างอังกฤษบ้าง งงๆดี เลยไม่ได้แจมด้วย ขอแค่ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับเราเป็นพอ

"ง่วงมั้ย เข้าไปนอนห้องพี่ก่อนได้นะ"

"ยังไม่ง่วงครับ"
จะให้นอนก่อนเจ้าของห้อง มันก็แปลกๆอ่ะ  กะว่าจะช่วยล้างจานเป็นการตอบแทนด้วย เลยปฏิเสธไป พยายามถ่างตาเอาไว้ก่อน

"ไม่ต้องเกรงใจนะ ถ้าง่วงก็ไปนอน"
สายตาคนเรามันหลอกยาก แซมคงสังเกตเห็น พี่แกเลยส่งเสียงผิวปากล้อ ส่วนจอร์จท่าทางคออ่อน ทำได้เพียงหัวเราะตามเพื่อน

ในใจลึกๆก็แอบอยากได้ยินนะว่าพี่นัทจะบอกเพื่อนอย่างไรเรื่องผม แต่พี่แกก็ไม่พูด หันเหเฉไฉคุยเรื่องบอลเฉยเลย
จวบจนเบียร์หมดไปคนละสี่กระป๋องได้ ต่างคนต่างคอเอียง พี่นัทเอนหลังพิงโซฟาข้างผมที่กินไปแค่สองกระป๋อง

"เที่ยงคืนแล้วนะ"
เอ่ยเตือนเจ้าของห้อง เผื่อเขามีธุระปะปังพรุ่งนี้ จะได้ไม่ต้องตื่นเป็นซอมบี้

"ไปนอนก่อนไป"
หลบกลิ่นเบียร์จากปากพี่เขาโดยไม่รู้ตัว คนขี้เมาเห็นดังนั้นจึงล็อคคอผม บังคับให้เข้าใกล้ แล้วก็เป่าลมใส่ใหญ่เลย

เฮ้อ! ตูจะบ้า

"เพื่อนพี่มองใหญ่แล้ว"

"มองไปดิ มันเมา...ไม่รู้เรื่องหรอก"

"ไอซ์อาย...อื้อ!"
ลิ้นร้อนรสขมปร่าแทรกเข้ามาในโพรงปาก ผมดิ้นสุดชีวิต สองมือผลักคนตัวโตออก สองเท้าแกว่งไปมาจนเตะเบียร์ระเนระนาด

"แฮ่ก...."
เมื่อหลุดจากคนเมาได้ก็รีบเดินเข้าห้องนอน ล็อคประตูก่อนนั่งสงบจิตสงบใจบนเตียงกว้าง

ผมไม่ได้ถือสาคนเมาหรอกนะ แต่มันตกใจมากกว่า หัวใจยังเต้นตุบอยู่เลย กลัวเพื่อนพี่เขามองเราไม่ดีด้วย เพราะตราบใดที่พี่นัทไม่พูดอะไร เราก็เปรียบเหมือนคนรู้จักที่'ง่าย' พกพาไปไหนก็ได้เพื่อเรื่องอย่างว่า
และถึงแม้ว่าเราจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันเกือบอาทิตย์ ก็ใช่ว่าจะไว้ใจเขาได้ ข้างนอกนั่นมีผู้ชายตัวโตถึงสามคน!
สามคนเลยนะ ...เกิดอะไรขึ้นมา จะเอาแรงที่ไหนไปสู้

ก๊อก...ก๊อก

"เพื่อนพี่กลับห้องแล้วนะ"

"....."

"พี่ขอโทษ"

ฟู่ววว รวบรวมแรงใจเปิดประตู
ร่างสูงยืนเท้าผนัง สายตาเยิ้มมาก เมามาก สาบานเลยว่าผมไม่มีอารมณ์คิดเรื่องอย่างว่าแม้แต่นิดเมื่อมองลอดวงแขนพี่แกไป แล้วต้องเจอกับเศษซากอารยธรรมกระจัดกระจาย

"ยกโทษให้พี่นะ"
มือที่ว่างจับต้นแขนคล้ายง้องอน ผมพยักหน้าให้นิดนึง

"อย่าทำให้ไอซ์ตกใจอีกก็พอ"

"พี่ว่าเราควรคุยกันจริงจังนะ...พี่ถูกใจไอซ์ว่ะ"

"...?"

"เราเป็นแฟนกันนะ"

What!?!
พระเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกอยากได้ความโรแมนติก ไม่ใช่ความเมาแบบนี้!!

"พี่เข้าใจไอซ์"

"เอ่อ....มัน..."

"ไม่เร็วไปหรอก เราเข้ากันได้ดีขนาดนี้ ...อีกอย่าง..พี่บอกเพื่อนไปแล้วว่าไอซ์เป็นแฟนใหม่พี่"

"หา?!"

"มันก็โอเคนะ ชมไอซ์ด้วยว่าน่ารัก เรียบร้อยดี"

"เดี๋ยวๆๆ พี่นัท...พี่เมาป่ะเนี่ย"

"ไม่...ไม่ได้เมา พี่ถึงมั่นใจว่าการบอกไอ้สองตัวนั่น จะทำให้ข่าวเราแพร่กระจายออกไปภายในสองชั่วโมง แล้วไม่เกินพรุ่งนี้เช้านะ พ่อแม่พี่ก็จะรู้"

"ไม่ๆๆ ...ไอซ์ว่าพี่เมาแหงๆ"
ขอทึ้งหัวเอาสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี๊มาล้างหาใจความที่แท้จริงแป๊บนะ

"ไม่เมาหรอก กะอีแค่เบียร์...จุ๊บ! ไอซ์คิดว่าพี่จะปล่อยมือจากคนที่ปิ๊งตั้งแต่แรกพบเหรอ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่คนๆหนึ่งจะมีความรู้สึกแบบนี้ ...หรือว่าไอซ์เคย? บอกพี่หน่อยสิว่าต้องรับมือกับมันยังไง"

"ม..ไม่เคย"

"งั้นช่วยอยู่ให้พี่เข้าใจมันหน่อยนะ"

"ก็...ถ้าพี่นัทใจดีกับไอซ์...อ..ไอซ์ก็คงไม่ไปไหนหรอก"
โอย...มีคำอุทานคำไหนที่แสดงถึงความอ่อนระทวยได้มากกว่านี้มั้ย

ผมถูกพี่นัทระดมจูบอยู่หลายที จนไม่เหลือพื้นที่ให้รูขุมขนได้พักหายใจนั่นแหละ พี่แกถึงปล่อย ลาเข้าห้องน้ำ เพราะผมเหม็นกลิ่นเบียร์ ส่วนคนที่มาอาศัยบ้านเขาอย่างผมก็ต้องทำตัวให้มีประโยชน์ด้วยการเก็บกวาดบ้านให้สะอาด ให้สมกับความหล่อของเจ้าของห้องด้วย
มีคนฉลาดที่ไหนบ้างที่คิดว่าการกระทำเมื่อครู่คือความจริง ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เชื่อว่าคำพูดนั้นประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะ100%  แต่ถึงอย่างไรก็เถอะ  หัวใจน่ะ...มันอ่อนไหวง่ายยิ่งกว่าเหล็กร้อนหลอมไฟเสียอีก



เวลาตีหนึ่ง ณ ย่านที่พักอาศัยของสิงคโปร์ ไม่มีแม้เสียงจิ้งหรีด
เราเปิดไฟหรี่ในห้อง พร้อมเสียงเพลงคลอสร้างบรรยากาศ
ร่างสูงเปลือยเปล่ายืนอยู่ปลายเตียง กำลังดึงกางเกงนอนแนบบางของผมออกจากปลายเท้า

"หายเมื่อยหรือยัง"

"หายแล้ว ...คิก"
ถูกเป่าลมใส่ฝ่าเท้า ไม่เสียวอย่างไรไหว

"จั๊กจี้เหรอ"

"อื้อ...พี่นัทอย่าเล่นแบบนี้เลย มันขำอ่ะ"
ด้วยความที่ผมบ้าจี้ การเล้าโลมท่วงท่านี้ก็ต้องถูกยกเลิกไป

พี่นัทจับขาผมแยกออก ส่งปลายลิ้นนุ่มหยุ่นลากผ่านต้นขานิ่ม ทำให้อารมณ์เริ่มปะทุ ไม่สามารถบังคับอาการสั่นได้ กระทั่งสิ่งลื่นเปียกนั้นหยุดที่ช่องทางเบื้องล่าง ผมกรีดร้องลั่นระบายความรู้สึกที่พรั่งพรู
ดั่งห่าฝนตกลงมากระแทกพื้นอันบอบบาง สร้างกลุ่มน้ำไหลทะลัก พังทลายทุกอย่างที่ขวางหน้า ตัวผมบิดงอ หน้าเริดมองเพดานสีขาวนวล ขาสั่นริก ทางเบื้องล่างฉ่ำแฉะไม่สบายตัว ทว่าในใจอ้อนวอนเรียกร้อง

เสียงดูดลามกปลุกผมให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ผมทรมาน

ลิ้นอุ่นตวัดไปมาราวกับกำลังชิมของหวานไม่พอ แรงจากปลายฟันขบลงเบาๆยังก้อนเนื้อทั้งสองข้างก็ทำให้ผมส่งเสียงร่ำร้องบอกพี่เขาให้ช่วยผมที ถ้ามากกว่านี้ ผมอาจขาดใจตาย

"ช่วยอะไร...หืม...?"
ลมหายใจร้อนกระทบส่วนอ่อนไหว

"อึก....อย่า..แกล้ง"

"จ๊วบ"
เขาจูบแรงๆตรงนั้น ก่อนขยำขยี้จนคิดว่าเนื้อเราคงหลุดติดมือไป

แรงบีบเค้นที่แก้มก้นสร้างความหฤหรรษ์ไม่ใช่น้อย เจ็บนิดๆ ท้าทายหน่อยๆ ช่วยให้เซ็กส์สนุกขึ้น  ผมว่าถ้าหากรอพี่นัทใส่เข้ามา ก็คงอีกนาน จึงยั่วยวนเขาด้วยการใช้ขาที่พาดไหล่แกร่งรั้งร่างสูงเข้าหาตัว สอดส่ายช่องทางแสนหวานไปมา ดูซิว่าชิวหาสวรรค์นั่นจะตามทันไหม

"แกล้งพี่เหรอ"
หึหึ..ล็อคคอให้ไปไหนไม่ได้
ติดกับดักเกมของคนอื่น ตื่นเต้นดีใช่ไหม สั่งสอนพวกชอบเป็นฝ่ายคุมเกมซะเลย

"ก็อย่าแกล้งไอซ์สิ"

"จะให้ทำอะไรล่ะ"

"นั่นน่ะ...ให้ไอซ์ไม่ได้เหรอ"
มองกึ่งกลางลำตัวหนาที่กำลังผงาดพร้อมรบ

"ปล่อยพี่ก่อนสิ"

"ได้"

ทันทีที่ปลดพันธนาการออก พี่นัทก็ดึงร่างผมให้ก้นชิดขอบเตียง จากนั้นจึงบีบเจลลื่น ก่อนสอดใส่แท่งแห่งความเป็นชายเข้ามา

"วันนี้อย่าโหดนะ ...เมื่อคืนพี่ทำแรงอ่ะ"
บอกเสียงกระท่อนกระแท่น

"พี่ไม่ทำแฟนพี่เจ็บหรอก"

"...สรุปว่าเราเป็นแฟนกันจริงๆใช่ป่ะ?"

"แฟนก็ได้นะ...แต่พี่ว่า..ผัวเมียจะตรงกว่า"

"ไอ้พี่น--อ้ะ!"


สรุปแล้วคืนนี้ ผมก็ได้สังเวยร่างอันบริสุทธิ์ให้ปีศาจแสนร้ายกาจกินจนอิ่มท้อง


.......



-แต่ก่อนแต่ไรหัวใจกล้าแกร่ง ใจเคยเข้มแข็งเหมือนแท่งเหล็กหนา ชายตามตื๊อตามจีบเรื่อยมา ฉันไม่เคยนำพา เก็บเอามาสนใจ~~
ร้องเพลงให้น้องไอซ์ฟัง
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -6Aug17 ตอน8 Singapore II
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 06-08-2017 23:45:57
พี่นัทรุกหนักมาก..กกกกกก อย่ามาหลอกน้องไอซ์นะ #ทีมไอซ์  :m10: :m10: :m10:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -6Aug17 ตอน8 Singapore II
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 08-08-2017 01:01:59
เราว่านะจริงๆอิพี่นัทนี่ต้องไม่ได้แพลนเที่ยวแต่แรกแน่ๆ
แกตามไอซ์มาใช่ม้ายยยยยย!!! จริงๆแกรวยมากใช่มะ???

โอ้ยยยยชอบ บรรยายซะอยากไปเที่ยวตามเลยทีเดียว
อยากให้เรื่องยาวไปเลยอ่าาา 55555 :katai4:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -8Aug17 ตอน9 Singapore III
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 08-08-2017 15:52:03
ปีนัง ถึง สิงคโปร์ 1000กิโลรัก


Chapter 9
Singapore III





ช่างเป็นยามเช้าที่งดงามที่สุดตั้งแต่เกิดมา
ผมไร้ช่วงเวลาแบบนี้ไปนานเท่าไหร่นะ ยามที่เราตื่นมา แล้วยิ้มให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับคนข้างๆ เพื่อบอกว่า 'เฮ้ย นี่มันจริงว่ะ จำความสุขนี้ไว้นะ อย่าลืมมันเชียว'

"เหม่ออะไร"

"ไม่รู้สิ...เหมือนฝันเลยว่ะพี่"

"ถ้าไอซ์ฝัน งั้นพี่คงยิ่งกว่าฝัน"

"จริงๆแล้วไอซ์ไม่คบใครง่ายๆนะจะบอกให้"

"ดีใจจัง...ที่พี่พิเศษ"

"ช่าย เป็นspecial oneในรอบร้อยปีเลย"

"ไอ้เว่อ"
โดนด่า แถมด้วยจมูกแดงๆเพราะถูกดีด


การไม่มีแฟน เป็นลาภอันประเสริฐ แต่การมีแฟน มันก็สนุกดีเหมือนกันเนาะ


.......



ถึงเมื่อคืนเราจะพากัน'นอน'ดึกไปหน่อย แต่เราก็ตื่นเช้าาาาเพื่อหาอะไรกิน แหม่แลกเงินสิงคโปร์มาเกือบหมื่น มันก็ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย (โง่หรือโง่ก็ไม่รู้ อยู่แค่สองวัน แต่แลกซะสะใจ)
เราหากาแฟกับขนมปังจากมินิมาร์ทเพื่อรองท้อง เดินชมวิวไปเรื่อย ไม่มีจุดหมาย เพราะว่าผมไม่มีลิสต์อะไร นอกจากไปถ่ายรูปคู่เมอไลอ้อนให้เพื่อนรู้ว่ากูมาต่างประเทศนะ แหะๆ
จนสุดท้ายพี่นัทแกนึกขึ้นได้ว่าน่าจะพาผมไปช็อปปิ้งละลายเงินเล่น แกถึงลากผมมาถนนออชาร์ด คงเป็นแหล่งช็อปปิ้งคล้ายสยาม แค่มันดูหรูมากไปหน่อย มองไปทางไหนก็มีแต่ห้าง กับสินค้าแบรนด์เนม
ผมไม่แน่ใจว่ามีร้านโหลๆ ตลาดๆมั้ย เพราะพี่นัทพาเข้าห้างอย่างเดียว

ตอนแรกพี่เขาพาออกมาข้างนอกหลังจากลงจากรถไฟ บอกว่ามีอะไรเด็ดๆให้ดู
แล้วไอ้สิ่งที่ผมเห็นน่ะ ไม่กลอกตาเพลียจิตอย่างไรไหว พี่แม่งชี้ให้ดูรูปร่างของห้างสองห้าง(มั้ง) ที่ประกอบกันจนได้มุมของ...'อวัยวะเพศชาย' พอดิบพอดี
ไอ้ตึกหนึ่งก็สูงชะลูดกว่าใครเพื่อน ส่วนอีกตึกดั๊นออกทรงกลมๆ มนๆ อยู่ข้างล่าง

"จริงๆแล้ว ถ้าสมองไม่คิดแต่เรื่องพรรค์นี้ มันก็ไม่น่ามองเป็นงั้นนะ"
ผมลองเสนอความเห็นดู คือหมั่นไส้สายตาแกมาก ดูภาคภูมิใจสุดๆ

"กวนตีนว่ะ เดี๋ยวไล่กลับไทยเลย นั่นไงสถานทูตไทยอยู่ตรงนั้น"
พี่แกชี้มือไปยังฝั่งตรงข้าม เออ มีสถานทูตไทยอยู่จริงๆ ทว่ามันเงียบสงบเหมือนไม่เปิดทำการ

"ใจร้ายว่ะ"

พี่นัทขำ "สนุกดี ได้แกล้งคน...."
สายตาฉ่ำหวานของพี่เขาไม่เคยปิดได้มิด พี่นัทชอบสบตาผมอยู่บ่อยๆ และความหมายของมันไม่สามารถตีเป็นเรื่องธรรมดาได้ พี่แกมองลึกราวจะสะกดจิต แล้วขยี้ผมจนหัวฟู
"หมั่นเขี้ยวว่ะ"

"พี่อ่ะชอบแกล้งไอซ์"

"เฮ้อ!...ไม่เคยเอ็นดูใครเท่านี้เลยนะ"
ผมขำด้วยความละเหี่ยใจ อะไรกันพ่อคุณ ท่าทางการนอนไม่เต็มอิ่มจะพาให้สติสตังไปหมดละ

"แล้วจะพาไปไหนอีกครับ"

"ซื้อรองเท้า...แล้วเราไม่ซื้อของฝากเหรอ?"
ผมส่ายหน้า

"โอเค งั้นวันนี้พี่จะพาทัวร์เอง"

"...แล้วเราจะไปเมอไลอ้อนตอนไหนพี่"

"เย็นๆ"

"จะถ่ายรูปเห็นเหรอ"

"กว่าที่นี่จะมืดก็ทุ่มนึง ยังไงก็ทัน"

"ก็ได้ครับ ไอซ์ต้องเชื่อเจ้าถิ่นสินะ"

"ถูกต้องแล้วเจ้าเด็กน้อย"

ก่อนอื่นกองทัพต้องเดินด้วยท้อง พี่นัทพาไปกินอาหารไทยราดแกงซึ่งอยู่ติดริมฟุตบาท แต่เป็นชั้นใต้ดินตื้นๆ ของอาคารหนึ่ง เป็นร้านเล็กๆ ไม่แคบ แต่ก็ไม่โล่ง ชวนให้นึกถึงบรรยากาศร้านข้างทางของไทย มีป้ายบอกหน้าร้านชัดว่าอาหารไทยราคาถูก
กับข้าวในร้านเยอะมากจริงๆ เลือกกินไม่หวาดไม่ไหว แต่เนื่องจากพนักงานพูดจีน ผมจึงต้องชี้นิ้วสั่งเอา ผมเลือกแกงปลาดุกชิ้นเบ้อเร่อ กับอะไรไม่รู้ เหมือนหมูยอแต่ไม่ใช่ (ความรู้ด้านอาหารผมต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก) ตั้งแต่เดินทางมา รู้สึกว่าอาหารที่นี่แหละไทยสุดแล้ว อร่อยมากด้วย น้ำเก๊กฮวยก็มีอีกต่างหาก
แล้วก็นะ...ผมว่าค่อนข้างเป็นที่รู้จักของคนในท้องที่นี้แน่ๆ เพราะมีสาวออฟฟิศ กับคนเฒ่าคนแก่ต่อแถวซื้อกลับอยู่เรื่อยๆเลย ส่วนคนที่เลือกนั่งกินในร้านก็ไม่มีคนไทยสักคน เลยกินไปฟินไป รู้สึกว่าเราได้กินของแรร์ไอเท็ม ต้องยกความดีความชอบให้พี่นัทเลย
จากนั้นเราจึงเดินกลับเข้าห้างที่ออกมา ซึ่งช่วงแรกๆ ผมรู้สึกว่าบรรยากาศข้างในยังมีความเป็นต่างประเทศอยู่บ้าง เช่นรปภ.หญิงที่ดูโหดๆ ร้านอาหารที่ไม่มีในไทย แต่พอเดินเข้าร้านสักร้านหนึ่งนะครับ โดยเฉพาะไอ้ที่มันลดราคา คุณจะได้พบวงศาคณาญาติเต็มไปหมด!

"ทำไมคนไทยเยอะจัง"
แอบบ่นหลังจากเจ๊คนสวยเมื่อครู่เดินผ่านไป

"เป็นปกติ ทีไอซ์ยังมาเลย"

"ก็เพิ่งเคยมาหรอก อยากไปในที่ๆไม่มีคนไทยบ้าง เห็นเขาดูจ่ายเงินชิลๆแล้วอิจฉา แต่เราต้องอยู่อย่างกัดก้อนเกลือกิน"
พูดพร้อมทำตาละห้อยเรียกคะแนนสงสาร

"ไอซ์นี่ตลกเนอะ"

"ทำไมอ่ะ?"

"ตอนแรกโคตรวางฟอร์มเลย ดีนะที่พี่เป็นคนขี้ตื๊อ"

"มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่ อ๊ะ! เข้าร้านนั้นกัน~"
ลากแขนแน่นๆให้ตามมายังร้านรองเท้าในดวงใจ แต่ยังไม่เคยมีไว้ในครอบครองเลยสักคู่ แถมมันเพิ่งออกคอลเลคชั่นใหม่ เป็นลายการ์ตูนชื่อดังเสียด้วย น่าเสียเงินให้มากๆ

...ไหนบอกไม่มีอะไรจะเสียวะไอ้ไอซ์!


แต่เราก็ช็อปไม่เยอะมากหรอก ผมได้รองเท้าคอลเลคชั่นใหม่มาหนึ่งคู่ ส่วนพี่นัทได้รองเท้าราคาเกือบหมื่น กับอุปกรณ์ทำงานของเขาจำพวกสมุดโน้ต ปากกา ดินสอ ซื้อเยอะเหมือนผู้หญิงที่ชอบแต่งสมุดเลคเช่อร์สวยๆ เป็นอีกมุมที่น่ารักดี

"ไม่ค่อยจะเห่อ"
แฟนหมาดๆส่ายหัวไปมาด้วยความสังเวช
จะว่าอย่างไรดี ...ก็แบบ...รองเท้าเก่ามันเก่านี่ ซื้อใหม่ก็ต้องใส่ป้ะ? ผมจัดการยัดรองเท้าเก่าเขรอะๆใส่ถุงพลาสติก หลังทำใจทิ้งกล่องสุดสวยลงถังได้ในที่สุด

ผมถือถุงใส่รองเท้าขึ้นรถไฟฟ้าไปยังสถานีcity hall เพื่อไปดูเมอไลอ้อน
ตอนเดินออกมาจากรถไฟ เราจะเจอกับทางเดินค่อนข้างไกล ไม่แคบมากนัก แต่ก็ไม่ใหญ่โตโอ่โถง กระทั่งหลุดจากอุโมงค์นั้น เราก็จะเห็นอัฒจันทร์ก่อจากปูนด้านซ้ายมือ มีวงดนตรีเล่นอยู่ตรงกลาง พี่นัทแกเดินชิลมาตลอด จึงแวะชมงานแสดงดนตรีที่เราต้องผ่านพอดีอีก ผมที่ไม่ค่อยเข้าใจแนวดนตรีบรรเลงแบบนั้นจึงมองหาทางออก แล้วมันมีต่อสองทาง ถ้าตรงไป จะพบกลุ่มลุงๆแต่งชุดสูทเรียบหรูยืนอยู่ แต่ด้านขวาเป็นประตูกระจก ข้างนอกแดดส่องจ้ากระทบเก้าอี้หิน เป็นสวนแห้งๆโล่งๆ แล้วผมก็คิดว่าเมอไลอ้อนจะต้องเป็นอะไรที่อลังการ ควรผ่านลุงๆพวกนี้มากกว่าออกประตูไปยังสถานที่โล่งข้างนอกที่ไม่มีอะไร ซึ่งไม่เมคเซ้นส์
...แต่พอเดินตรงไปไม่ถึงสามก้าว ลุงคนหนึ่งก็เยื้องย่างออกมาด้วยมาดผู้ดี เขาโค้งตัว ยิ้มเล็กน้อยกอปรสายตาอบอุ่น ผมก็ยิ้มกลับ นึกในใจว่าคนที่นี่มารยาทดีเนาะ มีการต้อนรับเราด้วย
แต่แล้ว...ความฉลาดทำพิษ จู่ๆเจ้าถิ่นอย่างพี่นัทก็ดึงแขนผมออกทางประตูกระจก เจอสวนกากๆ แถมร้อนโคตรๆ หาที่หลบแดดแทบไม่ทัน

"อะไรอ่ะพี่?!"

"ไปผิดทางอ่ะดิ ดีนะดึงทัน ไม่งั้นหน้าแตก"

"แตกทำไมอ่ะ ไม่ใช่ทางนั้นเหรอ"

"ไม่ได้อ่านรีวิวมาเหรอว่าออกทางไหน หืมม"

"ก็ออกจากซิตี้ฮอล"

"ฮึ่มม"
โอ๊ยย แล้วบีบแก้มเค้าทำไมเนี่ย!!

พี่นัทแม่งบ่นหงุงหงิง ก่อนจับมือเราเดินไกลเลย เดินขาลาก ร้อนก็ร้อน หันกลับไปอีกทีก็เห็นหนามทุเรียนของซิตี้ ฮอล แต่เห็นแล้วรุ่มร้อน เหมือนเห็นต้นงิ้วมากกว่า
ไอ้คนข้างหน้านี่ถามอะไรก็ไม่ตอบ แต่จับมือเราแน่น สงสัยกลัวเราเอ๋ออีก






เมอไลอ้อนริมน้ำถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คน เพียงแต่ไม่มากอย่างที่คิด อีกทั้งฝั่งตรงข้ามยังเห็นตึกมาริน่าเบย์แซนด์ชัดเจน ผมจึงหามุมถ่ายรูปสวยๆได้เยอะเลย

"สบายจัง"
นั่งรับลมริมน้ำ บรรยากาศดีจริงๆ ดีจนอยากยกเอาไปไว้ที่บ้าน

"ตอนสองทุ่มจะมีโชว์นะ รอดูกัน"

"คร้าบ"

"เดินไปเรื่อยๆมั้ย"

"ไปไหนอ่ะ"

"ริมน้ำ... ข้ามไปฝั่งนู้นก็ได้นะ มีสวนร่มกว่านี้ให้นั่ง"



.
.

นั่นแหละครับ
ไอ้คำว่าเรื่อยๆของพี่แกมันเหมาะกับคนถึก ไม่ใช่อ่อนปวกเปียกอย่างโผมมมม
เลยต้องมานั่งทุบขาอยู่ในสวนใกล้กับตึกมาริน่าเบย์แซนด์นี่ไง..โอ่ย ชื่อยาวจังเลย ขอเรียกว่าตึกเรือก็พอ หน้าตามันเหมือนเรือลอยฟ้าดีอ่ะ
ในสวนถูกจัดได้น่ารักดีครับ มีอุโมงค์ลวดให้ลอด มีลานเล็กๆให้เด็กมาไถสเก็ตเล่น ต้นไม้ก็ร่มรื่นดีมากเลย เหมาะสำหรับคู่รักที่ลำบากเดินเที่ยวมาทั้งทริปให้นั่งพักผ่อนแล้วผลัดกันนวดขามากๆเลยครับ!
ไม่ได้ประชดนะ...ไม่เลยจริงจริ๊งงง

มองดูไอ้พี่นัทยืนคุยโทรศัพท์ไกลออกไป คงมีเรื่องเครียดอีก เฮ้อ! พรุ่งนี้ผมก็กลับแล้ว จะได้เจอพี่แกอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ท่าทางแฟนที่ว่าเนี่ยจะเป็นแค่แฟนชั่วคราวซะละม้าง

"ธุระนิดหน่อยน่ะ"
ร่างสูงเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง แต่ยังคงไม่เอามือออก ผมเดาว่าคงจับมือถือไว้เพื่อรอสัญญาณบางอย่าง

"พี่รีบหรือเปล่า ไปทำงานก่อนก็ได้นะ"

"ไม่รีบหรอก งานไม่ได้เยอะอะไร"

"มานั่งนี่สิ"
ตบมือบนที่ว่างข้างกัน มองคนหล่อท่ามกลางความมืดที่เริ่มโรยตัวแล้วอิ่มใจ ความมืดมันทำให้คนหน้าตาดีขึ้นนี่นา
"ไอซ์รอพี่ได้ใช่มั้ย"

"กังวลเรื่องนี้เหรอ"

"อื้ม...นิดหน่อยน่ะ"

"ไอซ์ไม่ใช่คนยึดถือความรักเป็นที่ตั้ง...คงรอได้มั้ง"

"โธ่! อย่ามีมั้งสิ"

"เรายังมีเรื่องที่ไม่รู้ตั้งอีกเยอะ ไอซ์ว่าก็สนุกดีนะถ้าใช้เวลาไปกับการคิดว่าพี่จะมีอะไรมาเซอร์ไพร์ส"

"พี่อยู่นี่ไม่นานหรอก เชื่อได้เลย"

"อือฮึ"

"พี่ไม่ได้ขอคบเล่นๆนะ รู้ไว้ด้วย"

"รู้แล้วน่า ย้ำมากๆ มันยิ่งน่าสงสัยนะเนี่ย...แต่ไม่เป็นไรนะถ้าพี่จะหลอกไอซ์อ่ะ อย่างน้อยก็ใส่ถุงล่ะว้า"

"ไอ้นี่...ชอบพูดตลก จริงจังนะเนี่ย"

"คร้าบ~ รู้แล้ว เอามือมาเร็ว"
ผมแบมือซ้ายออกมาเป็นตัวอย่าง

"จะทำอะไรเหรอ"
ปากถามนะ แต่มือก็บ้าจี้แบตาม

ผมหยิบปากกาออกมา แล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไปบนฝ่ามือพี่เขา
"ลงชื่อไว้ว่าพี่เป็นของผม"
เอ่อ...อย่าให้ผมอธิบายสายตาพี่แกเลย ก็แบบเดิมๆอ่ะ
แบบที่ว่าถ้าอยู่ในห้องต้องคงยับเยิน

"ขอยืมปากกาหน่อย พี่อยากทำมั่ง"
ยื่นปากกาบ้านๆราคาสิบบาทให้ พี่แกเล่นเขียนลายมือซะสวยเชียว กลัวคนอ่านไม่ออกมั้ง

"ต้องเขียนให้แม่งอ่านออก เดี๋ยวหนุ่มอื่นไม่รู้ว่ามีเจ้าของชื่อนี้"
โห...ได้ยินเราคิดป่ะวะ?
"อย่าไปซนที่ไหนล่ะ"

"ไม่ใช่หมานะพี่!"

"นึกว่าจะไม่ต่อมุกซะแล้ว...หิวข้าวยัง?"

"นิดหน่อย"

"หาอะไรรองท้องมั้ย เริ่มมืดแล้วนี่นะ"

"กินที่ไหนอ่ะ"
มองไปทางไหนก็มีแต่ตึกสูงกับภัตตาคารริมน้ำ เริ่มเปิดไฟแข่งกันสวยเชียว ไม่มีร่องรอยของอาหารถูกเลยสักนิด


"เอาน่า เชื่อเจ้าถิ่นอย่างพี่ ไม่มีวันอดตาย ตามมา"


..........



-ร้านอาหารไทยที่เราบังเอิญเจอ อร่อยจริงๆ ปลาดุกชิ้นใหญ่มาก รสชาติเผ็ดกำลังดีเลย เราไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย ไม่รู้ว่ามีรีวิวไหม แต่น่าจะมีคนรู้จักบ้าง เพราะอยู่ใกล้สถานทูตไทย


(https://scontent.fbkk2-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/20664693_474767186214733_904072415230724012_n.jpg?oh=e85bb732fb9b16171ab00e69436fcf4c&oe=59F54BE4)
นี่คือตึกที่พี่นัทมโน


(https://scontent.fbkk2-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/20638278_474767659548019_9006912398171746692_n.jpg?oh=4c76358fbce83c594e39ca2a091cf374&oe=59F22815)
Marina Bay Sand จากฝั่งตรงข้าม(ซิตี้ฮอล) และไอซ์ต้องเดินไปหามันจนขาลาก

ในเพจยังมีภาพมาฝากอีกเยอะเลยน้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -8Aug17 ตอน9 Singapore III
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-08-2017 16:26:24
ขอบคุณค่ะ ทำเอาอยากไปเที่ยวบ้างเลย ฮา
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -8Aug17 ตอน9 Singapore III
เริ่มหัวข้อโดย: kimkidoy ที่ 08-08-2017 19:38:59
พี่นัทนี่ท่าจะหลงเด็กมากกกกนะเนี่ยยยย อิอิ
ไอซ์อย่าทิ้งสานะลูกกกกก :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -8Aug17 ตอน9 Singapore III
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-08-2017 21:33:08
ไอซ์น่าร๊าก...กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก    :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -9Aug17 ตอน10 Singapore IV
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 09-08-2017 22:49:20
ปีนัง ถึง สิงคโปร์ 1000กิโลรัก


Chapter 10
Singapore IV



ในใจของผมนั้นตื้นตันไปหมด เมื่อหนุ่มหล่อนิสัยดีจูงมือน้อยๆของเราเข้าโรงแรมอันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของสิงคโปร์เลยก็ว่าได้
ผมฝันถึงภาพวิวของอ่าวอันกว้างใหญ่ แม้รายล้อมด้วยตึก หากแต่แสงไฟอันเจิดจรัสนั้นก็ทำเอาสายตาพร่ามัว  คงเป็นบุญที่ทำด้วยกันมาแต่ชาติปางก่อนสินะ เราสองคนถึงจะได้ขึ้นไปยังจุดสูงสุดของโรงแรมมาริน่าแซนด์ได้

โอเค...
อย่าโอเว่อไปมากกว่านี้เลย น้ำตาจะไหล
ผมแอบกรีดน้ำตาด้วยปลายนิ้วชี้เรียวสวย สะบัดผมเล็กน้อยเรียกเสน่ห์ที่ยากนักจะมองเห็น
เดินเข้ามาในตัวอาคารหรูหรา แต่จะว่าไปก็คล้ายห้างสรรพสินค้า เลยเดาว่าคงเป็นชั้นบนๆที่มีแต่พวกผู้รากมากดีอยู่กัน แต่ชั้นนี้เหมือนจะมีนักท่องเที่ยวมากกว่า ร้านรวงก็ทำมาเพื่อนักท่องเที่ยวทั้งนั้น

"กินอะไรดี"

"พี่ว่าที่นี่จะมียำแซลมอนป้ะ"

พี่นัททำหน้าคล้ายจะเป็นลม
"ท่าทางจะไม่มีนะ ....เพราะพี่จะพาเราเข้าเซเว่น"

ห้ะ
หะ
หา!!

"นี่ไง ถึงพอดี"

ช..ช่วยบอกผมที ว่าไม่ได้ฝันไป

ร้านสะดวกซื้อชื่อก้องมาอยู่ในอาคารหรูได้ยังไงวะ!
"หาอะไรรองท้องไปก่อนได้หรือเปล่า พอดีพี่มีธุระน่ะสิ หลังจากนั้นเราค่อยหาอร่อยๆกินกัน พี่จองภัตตาคารริมน้ำไว้แล้ว"

"อ่าว"
ถึงต้องกินข้าวเซเว่น ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่ผมหวังสูงไปหน่อย แหม่ ตึกสัญลักษณ์ของสิงคโปร์ทั้งทีนี่นา
"..ก็ไม่บอก ตกใจแทบตายแน่ะ...แต่ถึงพี่ไม่พาไปกินที่ดีๆ เดี๋ยวผมก็ต้องหาอะไรกินอยู่ดีแหละน่า มาเที่ยวทั้งทีเนอะ...ว่าแต่พี่นัทรีบมากมั้ย ไปทำธุระก่อนได้นะ ไอซ์อยู่ได้"

"ไม่เอาหรอก ไม่อยากทิ้งไอซ์"

"จะบ้าเหรอ แค่แป๊บเดียวเอง ไอซ์โตแล้วนะ พูดอังกฤษก็คล่อง จีนก็พอไปวัดไปวา ไม่หลงหรอก"

"ไม่หลงอะไร แค่ตึกหนามทุเรียนยังเกือบหลงเลย"

"เขาเรียกว่าเดินผิดทางต่างหาก!"

"เออๆ ไม่เถียงและ...หาอะไรกินก่อนดีกว่า ซาลาเปาที่นี่ลูกใหญ่นะ"

ผมมาเที่ยวเพื่อเปลี่ยนร้านสะดวกซื้อไปงั้นแหละครับ วิถีคนรวย ใครจะทำไม

ที่จริงผมก็คิดว่าซาลาเปาที่นี่ใหญ่กว่าเมืองไทยนะ ไม่รู้ว่าใหญ่จริงหรือโดนพี่นัทกรอกหูกันแน่ เลยหยิบมาลองสองไส้ แถมหยิบให้ป้าคนไทยอีกลูก เพราะแกเปิดตู้ไม่เป็น ซึ่งผมก็งัดอยู่นานกว่าจะเปิดไอ้ตู้นี่ได้

พอเราซื้อของตามใจชอบด้วยงบที่เริ่มบานปลาย ผมจึงรีบออกมาก่อนใครเพื่อน
ข้างหน้าโรงแรมจะมีม้านั่งล้อมรอบต้นไม้ ใกล้กันมีระเบียงเรียบๆยื่นออกไปที่อ่าวเล็กน้อย ให้ยืนชมวิว แน่นอนว่าเราเลือกที่จะนั่ง พักเอาแรงก่อนที่จะได้ดูโชว์แสงสีเสียงจากตึกเรือลอยฟ้านี่แหละ

"อร่อยดีนะ"
เอ่ยชมหลังจากกัดไปคำแรก

"หิวหรือเปล่า"

"คงงั้นมั้ง"

สายตาเอ็นดูส่งมาให้ ผมเอียงหัวรับมือหนาอบอุ่นที่ยื่นออกมาลูบแผ่วเบา
"คืนนี้นอนกับพี่ไม่ได้เหรอ"

"ไม่เอาแล้ว ...เหนื่อย"

"เหนื่อยตรงไหน ก็เห็นชอบออก..."

"นอนโฮสเทลนั่นแหละดีแล้ว ไอซ์จะได้ไม่เศร้าไง"

"อยู่ด้วยกันให้นานที่สุดจะไม่ดีกว่าเหรอ"

"ม่าย"
สังหรณ์ว่าจะโดนจัดหนักน่ะสิ

"ใจร้ายว่ะ"
ดูสิดู ผู้ใหญ่วัยเลขสามทำท่าสะบัดสะบิ้ง ช่างน่าเอ็นดู๊น่าเอ็นดู

"ค่อยเจอกันที่ไทยนะพี่นะ ตอนนั้นจะทำอะไรกับไอซ์ก็ได้..."
ลากหางเสียงแหบๆยั่วอารมณ์

"จริงนะ"

"จริงสิ"

"แล้วตอนนี้ทำไม่ได้?"

"ทำไม่ได้ อายคนเขา...อู้วว ดูสาวจีนคนนั้นสิพี่ใส่เสื้อแหวกหลังเห็นหมดเลยอ่ะ"
ทรวดทรงองค์เอว บวกกับหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ผมไม่ปฏิเสธเลยว่ามองตาไม่กะพริบ แล้วช่างบังเอิญจริงๆที่เธอดั๊นเดินมานั่งม้านั่งเดียวกับผม ผมเลยต้องเงียบ เกิดเป็นคนไทยขึ้นมาก็ซวยดิ นินทาระยะเผาขนขนาดนี้

แบบว่าเป็นธรรมชาติของคนเราล่ะมั้ง ยามที่เรามีแขกไม่ได้รับเชิญมาร่วมวงด้วย เราก็จะเงียบกัน ทั้งๆที่ถ้าอยู่ก๊กเดียวกันนะ เมาท์เสียงดังไปสามบ้านแปดบ้าน
ผมกับพี่นัทจึงกินของว่างรองท้องไปเรื่อยๆ และดูท่าจะเยอะจนกินไม่หมด

"อิ่มแล้ว?"
เห็นพี่นัทปัดเศษอาหารในมือกับกางเกง แล้วคลำหาบางอย่างในกระเป๋า ซึ่งปรากฏว่ามันเป็นบุหรี่
"พี่สูบด้วยเหรอ"

"อื้ม...พี่ขอตัวแป๊บนะ"
บอกเพียงแค่นั้น พี่แกก็ลุกขึ้นไปสูบอยู่ริมระเบียง มองจากข้างหลังก็รู้สึกได้เลยว่ามีอะไรในใจแน่ๆ
กลัวว่าจะเป็นเรื่องของเราน่ะสิ ระหว่างเศร้าที่ต้องห่างกัน หรือเศร้าที่ต้องบอกว่า 'ขอโทษนะ พี่ตั้งใจจะฟันแล้วทิ้งว่ะ'

โอยยย ไอ้ไอซ์ มึงนี่คิดลบไปหรือเปล่าวะ!

เอ้อ! หรือเป็นเรื่องงาน? ที่พี่แกบอกว่าต้องเคลียร์ธุระก่อนพาไปภัตตาคารใช่มั้ย!?

ผมคิดหัวแทบแตก ดีนะสมองไม่ค่อยมี ก้อนมันเล็ก เลยไม่ระเบิดง่ายๆอ่ะนะ
มองจากข้างหลังพี่เขานี่ก็ดีเหมือนกันเนาะ หุ่นเท่สมาร์ท กำยำสมผู้ชายดี แต่โคตรตาถั่วเลยที่เลือกเรา อย่างว่าแหละ...ไม่มีใครเพอร์เฟ็คต์ไปซะทุกอย่าง ดังนั้นเราต้องยอมรับแฟนเราให้ได้ ..เฮ่ย!!! เจ๊แหวกหลัง!

ผมอ้าปากค้างเมื่อเจ๊แหวกหลังที่นั่งร่วมเก้าอี้กับเรามาตั้งนานเดินไปหาพี่นัท เจ๊แกจับไหล่พี่นัทให้หันไปคุยด้วยในเชิงดุดันแปลกๆ ไม่เหมือนคนคุยงาน
เชื่อไหมใจผมแป้ว...
แม้สีหน้าพี่นัทจะบ่งบอกถึงความรำคาญ แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่ย้ำความสัมพันธ์ของ 'คู่รัก' ได้ดีมากๆ
ผมทิ้งกองอาหารไว้เบื้องหลัง เดินงงๆเข้าไปเสือกใกล้ๆ แต่ยังรักษาระยะห่าง 
สายตาพี่นัทบอกว่ามองเห็นผมแล้ว เขาจึงหันกลับไปมองด้านอ่าว แล้วสูบบุหรี่ติดต่อกันหลายครั้ง

"...ไหนบอกว่าจะไม่สูบแล้วไง"
จู่ๆต่อมรับรู้ภาษาจีนแม่งก็ทำงานซะงั้น ผมกลับแปลทุกคำที่เธอพูดออก มีแต่เรื่องบ่นนั่นบ่นนี่ เรื่องไม่พอใจที่พี่นัททำตัวเย็นชา

"เพราะกะเทยนี่เหรอ?"
เธอไม่ได้ชี้มาทางผมหรอก แต่ก็กระแทกเสียงแรงพอดู

พี่นัทแกนิ่งตลอด นิ่งเหมือนรูปปั้น
นาทีนั้นผมงงนะ
ไม่รู้สิ
เหมือนถูกหักอก แต่ก็ไม่ แต่ใจก็เจ็บอ่ะ

"เธอก็เป็นอย่างนี้ตลอด เดี๋ยวพอเบื่อเขา ก็กลับมาหาฉันอีก"
ชัดเจนแล้ว...ชัดเต็มสองหูเลย
ไอซ์...มึงแม่งเจ๋งว่ะ อายุเพิ่งยี่สิบ แต่ได้เป็นเมียน้อยแล้วเว้ย


ผมเดินออกมาทันที มุ่งตรงไปยังอีกฟากหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับไอ้ตึกเรือลอยฟ้านั่น
พี่นัทไม่มีทีท่าว่าจะตามผมมา คงรู้ว่าเราไปไหนไม่ได้ เพราะของทุกอย่างอยู่ในห้องเขาหมด
หยุดพัก ณ ม้านั่งริมทางเดินชมอ่าว ผู้คนบางตากับความมืดมิดไม่ทำให้ผมกลัวอีกต่อไป ผมกลัวความรู้สึกในหัวใจตอนนี้มากกว่า
ทั้งงง
ทั้งเจ็บหนึบ
ทั้งเหงา
แม่ง...ตั้งแต่เดินทางมา ยังไม่เคยเหงาเท่าตอนนี้เลย
โง่เนอะ ...เผลอใจกับคำพูดหวานๆอย่างง่ายดาย ทั้งๆที่ในใจลึกๆก็รู้มาตลอดแท้ๆ ว่าคนประเภทนี้ไม่จริงใจ แต่ด้วยกิเลสตัณหาก็ยังทำให้หลงไปได้
เอาวะ..ยังกลับตัวทันนะไอซ์
มึงยังไม่ได้รักเขาขนาดนั้น มึงแค่ผิดหวังในโชคชะตาที่พาให้มาเจอคนแบบนี้

19 นาฬิกา 55 นาที
ใกล้ถึงเวลาการแสดงแสงสีประจำอ่าว ผมไม่แน่ใจว่าโชว์จะเลทไหม
จากตรงนี้ ...ยังพอมองเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งคุยกัน ฝ่ายหญิงนั่งลงกับพื้นโดยไม่สนสายตาคนรอบข้าง ส่วนฝ่ายชายสูบบุหรี่ไม่ยอมหยุด ทำกับว่าพยายามหลีกเลี่ยงบทสนทนาอยู่
...เฟลเนอะ
ต่อให้พี่นัทเลิกกับหล่อนจริง ยังไงก็หนีไม่พ้นข้อหาคบซ้อนอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ภายในเวลาแค่อาทิตย์เดียว พี่นัทก็สามารถหาคู่นอนผ่อนคลายตัณหาได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท ....คนดีๆ เขาทำกันอย่างนี้เหรอ?

ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่างคนฟุ้งซ่าน กระทั่งเสียงเพลงดังกระหึ่มมาจากฟากอาคารเรือล่ม(เปลี่ยนชื่อตามอารมณ์) เสียงนั้นปลุกให้ผมกลับไปมองข้างบนส่วนที่เป็นเรือ แสงไฟขนาดมหึมาหลายดวงแข่งกันเรียกร้องความสนใจ ทะยานสูงสุดฟ้า จนอดคิดไม่ได้ว่าเทวดาท่านคงเห็น

ผมเท้าคางกับที่กั้นสแตนเลสของม้านั่ง มองดูโชว์สุดอลังการด้วยจิตใจเหนื่อยหน่ายอย่างที่สุด โชว์เวลาสิบห้านาที แต่เหมือนยาวนานเป็นชาติ ถอนใจแล้วถอนใจอีก กระทั่งหางตาเห็นร่างสูงมายืนข้างกันนั่นแหละถึงเริ่มใจหวิวอีกระลอก

"พี่ขอโทษนะ"

"คุยธุระเสร็จแล้วเหรอครับ?"

"พี่เลิกกับเขาแล้ว"

"อือ...พาผมกลับไปเอาของหน่อยสิ ง่วง...อยากนอน"
ผมไม่มีอารมณ์รับฟังคำแก้ตัวของเขา มันเซ็ง

"นอนกับพี่ก่อนดีกว่านะ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันเยอะเลย"
ผมขยับตัวหนีสัมผัสอุ่นที่ไหล่
"หิวข้าวมั้ย? ไปภัตตาคารที่พี่จองไว้กัน รอดูโชว์จากในนั้นตอนสามทุ่มก็ได้"

ส่ายหัวเป็นคำตอบ

"พี่เข้าใจนะถ้าไอซ์จะโกรธพี่ แต่เรื่องที่พี่ชอบเรา มันเป็นเรื่องจริง"

"...พี่ชอบคนง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ"

"ตราบใดที่พี่ยังมีความรู้สึก พี่ก็คิดว่างั้นนะ"
อย่าพูดดีไปหน่อยเลย
"จะชอบช้าชอบไว มันกำหนดได้ด้วยเหรอไอซ์? กับพี่ที่ชอบคนทันทีที่พบหน้า หรือไอซ์ที่ต้องศึกษาดูใจก่อน ..มันไม่ควรถูกตัดสินว่าดีหรือไม่ดีนะ ตราบใดที่ไม่ได้เป็นการบังคับฝืนใจอีกฝ่าย ...แล้วพี่ขอยืนยันเลยว่าพี่ไม่ใช่คนเจ้าชู้"

"แต่มีชู้ว่างั้น?"

"ไม่ใช่...พี่บอกเลิกเขาตั้งนานแล้ว แต่เขาชอบละเมอเพ้อพกไปเอง เอาจริงๆที่มาที่นี่ก็เพื่อมาถอนหมั้นด้วยซ้ำ"

"ผมไม่ชอบคนมีรักครั้งใหม่ไว"

"เฮ้อ....นั่นก็เป็นสิทธิ์ของไอซ์นะ จะรังเกียจหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่คนเราไม่เหมือนกัน...หรือจะให้พี่บอกดี ว่าพี่ก็ไม่ชอบคนที่ลืมรักครั้งเก่าไม่ได้เหมือนกัน"

"ไอซ์ไม่ได้ไม่ลืมเรื่องนั้น"
จะว่ายังไงดี ...รู้สึกเหมือนถูกต้อนให้จนมุม

"ถ้าไม่ลืม...ก็เปิดใจให้พี่สิ"

"...."

"พี่ตามใจไอซ์เลย"

อยากจะเอาหัวโขกพื้นให้สมองมันทำงาน
รู้ตัวว่าเราเถียงเป็นเด็กๆนะ แต่มันก็อดพูดสักคำสองคำไม่ได้ แต่ยังไงก็คงไม่ชนะ เพราะพี่เขาเป็นผู้ใหญ่ รู้จักใช้คำ รู้จักใช้น้ำเสียง ผมไม่รู้สึกว่าพี่นัทกวนตีนใส่ มันเหมือนเขากำลังสั่งสอนอย่างใจเย็น ไม่ได้คิดกับเราในแง่ลบเลย แม้บางประโยคอาจจะพูดในเชิงประชดบ้าง แต่ผมก็ไม่รู้สึกขุ่นข้องหมองใจ

เฮ้อ!...ไม่อยากสบตาพี่นัทด้วยความสับสนในความรู้สึกของตัวเอง ทำเพียงกินข้าวเงียบๆ กลับไปเก็บของเงียบๆ แล้วโบกมือลาอย่างเงียบๆ

.......
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -9Aug17 ตอน10 Singapore IV
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 09-08-2017 23:24:59
ทำไมรู้สึกว่าไอ่พี่นัท..เห็น-แก่-ตัว  o6 o6 o6
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -10Aug17 ตอน11 Singapore V
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 10-08-2017 23:28:47
ปีนัง ถึง สิงคโปร์ 1000กิโลรัก


Chapter 11
Singapore V



นอนคิดทั้งคืนแล้วนะ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปสักที หรือต้องโทษไอเตียงชั้นล่างที่นอนดิ้นมันทั้งคืน ขยับตัวทุกๆสิบนาทีเลยแม่ง~
ก็มัวแต่เอ้อระเหยไงไอ้ไอซ์ เลยถูกจองเตียงชั้นล่างหมดเลยเนี่ย !


นอนไม่หลับเลย พอหลับตาเมื่อไหร่ก็จะนึกถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา สมองเอ๋ยสมอง เอาสมองไปไว้ที่ไหน มึนตึ้บไปหมด ผมพยายามหาข้อสรุป และหาประโยคเด็ดๆเพื่อให้รู้สึกวิน-วินด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
ผมเศร้านะ...มันแค่เป็นความเศร้าที่มัวๆ เศร้าแต่ไม่โศก โกรธแต่ไม่เกลียด
ไม่รู้จะนิยามความรู้สึกนี้อย่างไรดี


...คิดโดยไร้แสงที่ปลายอุโมงค์ พอมองดูนาฬิกาอีกที ถึงได้รู้ตัวว่าเป็นเวลาหกโมงเช้า ผมเก็บของมีค่าใส่ล็อกเกอร์ แล้วออกมาอาบน้ำ

โฮสเทลแบบนอนรวมที่นี่ไม่มีอะไรให้โฆษณา เพราะมันธรรมดามากๆ อาคารพาณิชย์สามชั้นถูกซอยเป็นห้องเล็กๆ แต่ละห้องมีเตียงสองชั้นสองเตียงตั้งขนานกัน และห้องผมพิเศษตรงที่ว่ามันมีประตูเชื่อมต่อไปอีกห้อง นั่นคือห้องใหญ่ คาดว่าน่าจะอยู่ได้เกือบสิบคน นอกจากนั้นโฮสเทลยังมีบริเวณโถงที่เปิดกลางแจ้งให้นั่งรับประทานอาหารเช้าที่จัดไว้ให้ ข้างกันเป็นราวตากผ้า ถัดจากราวตากผ้า แน่นอนคือห้องน้ำ ประตูห้องน้ำก็เป็นแบบที่ปีนังเด๊ะเลย ผมส่งยิ้มให้อาเจ๊สุดสวยคนหนึ่งที่กำลังเป่าผมอยู่ สังเกตเห็นไดร์เป่าผมเหมือนที่ปีนังอีก!
นี่เจ้าของกิจการที่นี่เป็นคนมาเลย์ หรือจริงๆแล้วโฮสเทลก็เป็นแบบนี้ทุกที่วะ?

.
.
.
.

ผมปิ้งขนมปังพลางหลบสายตาเจ้าชู้จากหนุ่มตี๋เข้มไปพลาง
ไม่ชินเลยสักครั้งกับการถูกมอง เพราะจิตใจด้านร่าน(?)ของผมมักพาให้ตัวเองเหลิงทุกทีสิน่า
"Hi"
เขาทักขึ้นมาก่อน ขณะมือล้างจานที่เพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จ
ผมไม่ตอบ แต่พยักหน้าเป็นคำทักทาย เพราะดูจากสีหน้าและแววตาแล้ว พ่อหนุ่มคนนี้แค่ทักของแปลกหวังเรียกเรตติ้งไปอย่างนั้น

...เป็นอย่างที่คิดไว้ พอเหยื่อไม่กินเบ็ด พ่อหนุ่มตี๋เคราเฟิ้มก็กลับไปล้างจานต่อ อ้ะ อ้ะ...อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ คือที่นี่ให้บริการตัวเองทุกอย่าง และแบ็คแพ็คเกอร์อย่างเราๆก็ทำตามกฎระเบียบของเขาเท่านั้น ถือว่าน่ารักไปอีกแบบ

ผมหยิบขนมปังเกือบไหม้ออกมาทาแยมรสสตรอเบอรี่ซึ่งเป็นรสเดียวที่ชอบ ยิ้มให้เพื่อนร่วมโฮสเทลบ้างพอให้ดูว่าเป็นคนอัธยาศัยดี สูดอากาศยามเช้าอย่างเงียบๆ เพื่อเตรียมพร้อมเดินทางกลับบ้าน..คนเดียว

"Your boyfriend?"
หนุ่มตี๋ที่อ้อยอิ่งกับการล้างจานเสียเหลือเกินเอ่ยขึ้น ตอนแรกผมก็งงๆนะ ยังไม่ตื่นจากภวังค์ แต่พอเขาพูดย้ำอีก ผมถึงมีสติกลับมา

"Boyfriend?"
อะไรครับ ถามว่ามีแฟนหรือยังเลยเหรอ เพิ่งเจอกันแค่ห้านาทีเองนะ

"Behind you"
เขาตอบกลับมาเป็นวลีสั้นๆ แต่ได้ใจความ

จะให้ต้องเดาอะไรอีกมั้ย ฉากโรแมนติกจากในหนังกลายเป็นจริงในชีวิตของผม พระเอกรูปหล่อพ่อรวยมาตามนางเอกกลับบ้านพร้อมช่อดอกไม้ช่อใหญ่เป็นการง้อขอคืนดี

"เข้ามาได้ไงอ่ะ"
ฝ่ายนางเอกที่ชอบเล่นตัวจนพระเอกชินเอ่ยประโยคธรรมดาๆ ด้วยใบหน้าไร้ความตื่นเต้น

"เจ้าของเขาจำได้"

"อ่อ..."
โธ่เอ๊ย! ตอบให้ยาวๆหน่อยสิวะ แล้วเราจะต่อประโยคยังไงเนี่ย
อยากคุยนะไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่กล้าเริ่มก่อนนี่หว่า

"เอ่อ...ปิ้งหนมปังเสร็จยัง"

"อ้อ...อื้อ"

"งั้นไปนั่งคุยกันข้างนอกดีกว่า"

ผมหยิบจานใส่แผนขนมปังไหม้ๆสองแผ่นติดมือมาด้วย
เรานั่งตรงมุมอับที่สุดของบริเวณที่ทานข้าว พี่นัทยื่นช่อดอกกุหลาบหลากสีให้ คิดว่าแกคงมีเหตุผลที่ผสมสีดอกมั่วแบบนี้นะ

กัดหนมปังไปหนึ่งคำ แล้วฝืนเคี้ยวความแห้งกรอบอันไร้รสชาติ แสร้งมองฟ้ามองพื้นไปเรื่อย

"กลับกี่โมง"

"บ่ายๆมั้ง"

"พี่เข้าใจนะที่ไอซ์โกรธพี่ แต่พี่ก็มีเหตุผลอย่างที่บอกไปตั้งแต่เมื่อวาน"

"พี่ไม่รู้สึกแปลกเหรอ? ตั้งใจจะมาถอนหมั้นแฟนเก่า แต่ก็หาคนอื่นแก้ขัดไปด้วย"

"อย่าเรียกว่าแก้ขัดสิ อย่าดูถูกความรู้สึกของพี่"

"ไม่เข้าใจอ่ะ ทำไมรักคนได้ง่ายกันจัง"

"ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะคนเราไม่เหมือนกัน พี่แค่อยากให้นัทเปิดใจบ้าง ...อ้ะ..พี่รู้ว่านัทคงเปิดใจแล้วแหละดูจากตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้นัทมีอคติมาบังอยู่หลังจากรู้เรื่องของพี่ไป....
....พี่ขอโทษนะ"

โอ่ย....เถียงไม่ออกเลย
คบคนแก่ก็เงี้ย เป็นไงล่ะ จะเอาอะไรไปสู้เขาวะไอ้ไอซ์

"ไอซ์ลองกลับไปคิดดูนะ แล้วพี่จะตามไปเอาคำตอบที่ไทย"

"อะไรเล่า! ยังจะตามไปอีกเหรอ"

"พี่ให้เวลาหนึ่งอาทิตย์...เอามือถือมา"

"ไม่มี~"

"จะแอดทุกแอปที่มีเลย ถ้าหาไม่เจอก็จะตามจิกไปตลอด..."

"งั้นก็ไม่ให้"

"อยากให้พี่ตะโกนบอกทุกคนในนี้มั้ย?"

"อะไรวะ"
ทำไมเรื่องมันกลับตาลปัตรอย่างงี้วะเนี่ย!?
ผมจำใจยื่นมือถือให้พี่เขาเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ
ต้องยอมรับจริงๆว่าที่พี่เขาพูดมาน่ะมันถูก ถ้าเรามัวแต่นั่งซึมเศร้า ไม่ลองมองคนอื่นบ้าง ไม่ลองพบอะไรใหม่ๆบ้าง เราก็คงไม่สามารถหลุดพ้นจากมุมเดิมๆที่ฉุดรั้งเราไว้

"พี่นัทไม่น่าปิดบังเรื่องแฟนเก่าพี่เลย ไม่งั้นไอซ์คงรู้สึกดีกว่านี้.....เฮ้อ! ถือซะว่าเราเพิ่งรู้จักกันก็ได้ คงไม่สามารถรู้ได้ทุกเรื่องทันทีหรอก"
ผมพูดกับตัวเองด้วยจำนนต่อความเป็นจริง เราคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ นอกจากยอมรับมัน (หลังจากนอนปวดหัวทั้งคืนอ่ะนะ)

"ขอบคุณนะครับ"
สายตาของเขาแฝงไปด้วยความปลาบปลื้มมากกว่าดีใจ
เหมือนกับ...ขอบคุณบางอย่างที่ทำให้เจอผม

แล้วไงล่ะ .....เขินสิ





พอประมาณสายๆ ผมจึงออกจากโฮสเทล ขึ้นรถไฟฟ้าไปสนามบินชางงีเพื่อรอเช็คอินตอนบ่ายๆ เหลือบมองคนด้านหลังที่ยืนคร่อมผมเนื่องจากรถไฟค่อนข้างแน่น หน้าอกของพี่แกที่แน่นพอๆกันขยับขึ้นลงเป็นจังหวะ มองแล้วเพลินตาดี จนพี่เขาก้มลงมาหายใจรดต้นคอ ผมเลยกระทุ้งศอกไปที

"มองพี่เหรอ โรคจิตป่ะเนี่ย"
โอ๊ย ทำไมต้องทำเสียงกระเส่าด้วยวะ

"ใครโรคจิตกันแน่"

"หึๆ"

"พี่เอาหน้าออกไปเลย ผมอายเขา"

"เอากระเป๋ามาให้พี่มา ตัวเองแบกนานแล้ว"

"ไม่เป็นไรครับ"

"ถ้าพี่เป็นคนสะพาย ตัวพี่ก็จะได้อยู่ห่างจากไอซ์ไง ไม่เอาเหรอ"

เออ...ความคิดดีเนอะ
ผมถอดกระเป๋าส่งให้อีกคน สลับกับรับช่อดอกไม้ไร้ความหมายมาไว้ในมือ(ถามแล้ว เขาบอกเลือกสีที่ตัวเองชอบเฉยๆ) ส่วนพี่แกเอาไปสะพายหน้าตามมารยาทของที่นี่ ...แบบว่าไม่มีใครสะพายหลังให้ชนคนอื่นเลย เห็นแล้วมีความสุข
แต่ไอ้ความสุขที่ว่าก็ถูกขัดจากคุณพี่นัท ไหนใครกันบอกว่าถ้าตัวเองสะพายแล้วตัวจะห่างกัน !
พี่นัทพยายามเอาร่างมาดแมนของตัวเองยัดเข้ามาในช่องว่างข้างๆผม จนกลายเป็นว่าผมกับพี่เขายืนเบียดไหล่กัน แล้วไงต่อเหรอครับ....แกก็โอบไหล่ผมไว้น่ะสิ

"เอ่อพี่...."

"มันไม่เวิร์คว่ะ ถ้าพี่สะพายกระเป๋าข้างหน้าแล้วยืนซ้อนหลังไอซ์ กระเป๋ามันอาจชนไอซ์เจ็บได้นะ นี่ไงแข็งโป๊กเลย"

"แล้วพี่จะโอบผมทำไมอ่า"

"กลัวหาย"

"เฮ้อ!"
เหนื่อยนะเนี่ยที่ต้องรับมือกับคนกะล่อน
คงคิดว่าง้อเราได้แล้วมั้ง เลยใส่เต็มสูบ ไม้ไหนเด็ด ไม้ไหนดังก็งัดเอามาใช้หมด
บางทีมากไปมันก็ไม่ดีนะพี่-_-

"อย่าทำให้ไอซ์อึดอัดได้มั้ย"
ผมไม่รู้ว่านี่คือตัวตนของพี่นัทจริงๆหรือเปล่า เพราะตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา พี่เขารุ่มร่ามเมื่ออยู่ด้วยกันสองคน หรือที่ๆมีคนไม่มากนัก

พี่นัทคงเห็นสายตาจริงจังของผม จึงปลดมือตัวเองลง พลางยิ้มแห้ง
"พี่ขอโทษนะ คงดีใจเกินไป"

"อื้อ...ไม่เป็นไร ว่าแต่พี่ไม่มีธุระเหรอวันนี้?"

"มีเย็นๆ ไปส่งไอซ์สำคัญกว่า"

"เรื่องเขาเหรอ?"

"อื้ม นัดครอบครัวเขาไว้"

"นี่จะกลับไทยครบสามสิบสองป่ะเนี่ย!?"

"ครบดิ ก็บอกแล้วว่าบอกเลิกเขามานานละ แต่เขาไม่ยอมเลิกเอง"

"ทางบ้านก็รู้?"

"ช่าย"

"แล้วที่เขาบอกว่าพอเบื่อผม พี่ก็จะกลับไปหาเขาล่ะ"
ถามครับถาม อยากรู้อะไรถามมันให้หมด

"มันก็เคยมี...แค่ครั้งเดียว เป็นครั้งแรกด้วยที่พี่รู้สึกไม่มีใจให้เขาแล้ว แล้วตัวเราก็อยู่คนละประเทศ พี่เลย..เผลอนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็สำนึกผิดนะ"

"โห..."

"เลวใช่มั้ย"

ก็ใช่อ่ะ แต่ใครจะกล้าพูดวะ

"ถึงแล้ว"

เหมือนระฆังช่วยชีวิตไว้พอดีเมื่อรถไฟจอดเทียบชานชาลา ผมพาตัวเองออกมายืนงงๆ เพราะหนทางข้างหน้าน่าจะลึกลับพอสมควร
กางไฟล์ทบินให้พี่นัทดู ผมไม่แน่ใจว่าโซนอาคารนี้ใช่หรือเปล่า มันจะมีโซนแบ่งกันหลายอาคาร แล้วก็ไกลกันมาก แต่อาคารแรกเมื่อเราลงจากรถไฟฟ้าเนี่ยมันแปลกๆ
ซึ่งผมก็ลืมเนอะว่าพี่นัทแกเซียน เลยให้พี่นัทนำ(อีกแล้ว)

จนสุดท้ายก็โชคดีจริงๆที่พี่นัทมาด้วย
ก็ไอ้อาคารที่เราต้องไปดันอยู่คนละที่ เราต้องนั่งรถไฟฟ้าจิ๋วของสนามบินไปยังอาคารนั้น ซึ่งทางไปรถไฟนั้นพางงนิดหน่อย ขนาดพี่นัทยังลืมเลย ยังดีที่เขามีป้ายคอยบอกนั่นแหละ ถึงพากันไปถึงจุดหมาย

น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่าสนามบินมีคนไม่พลุกพล่านมากนัก
เราเดินเอื่อยๆชมอาคารสว่างสะอาดตาโดยไร้บทสนทนาเกือบยี่สิบนาที ผมจึงหันหลังบอกว่าที่อดีตเพื่อนร่วมทาง

"ไปละนะ"

พี่นัทชะงัก ทำตาพริบๆ
"เข้าบ่ายสามก็ทัน"

"อยากเข้าไปดูของข้างในเกต"

"อยู่กับพี่ก่อนไม่ได้เหรอ"
ทำตาละห้อยเชียวนะ ไม่ใจดีหรอก

"ให้เล่นตัวบ้างดิ"

"ไม่ต้องเล่นได้มั้ย อีกตั้งนานกว่าจะเจอกัน"

"พี่นัท....ให้ไอซ์ได้พูดอะไรหล่อๆบ้างนะ"

"ค..ครับ?"

ผมขำคิกกับหน้าตางวยงง ก่อนพูดต่อ
"ตลอดเวลาที่ผ่านมา...ไอซ์ไม่ใช่คนง่าย อย่างน้อยก็ไม่ไปไหนมาไหนกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแน่ๆ แล้วไอซ์ก็ไม่ได้ง่าย เพราะเหงา...แต่พี่นัทน่ะเป็นคนแปลกนะ ทำให้รู้สึกดีในหลายๆอย่าง ทำให้สนุก ทำให้รู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ ซึ่งไอซ์ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้เลย"
พูดไปเสียงก็เริ่มสั่น นึกถึงรักครั้งเก่าหลายปีที่เราเอามาเปรียบเทียบ แล้วปรากฏว่าความสุขที่ได้รับมันช่างน้อยนิดเมื่อมาอยู่กับพี่นัทในเวลาแค่อาทิตย์เดียว
"ขอบคุณนะครับ...แล้วก็.....อย่าทำให้ไอซ์ผิดหวังนะ"

"อื้ม...สาบานว่าไม่มีอีกแล้วครับ"

"ไม่ต้องสาบานหรอก แค่ทำให้ได้ก็พอ"

"โหดว่ะ"

"ก็มีแฟนหล่อนี่นา"

ขำอะไรก็ไม่รู้เราสองคน คงเพราะบรรยากาศอึมครึมมันเริ่มจางหายไป เหลือเพียงความรู้สึกดีๆเอาไว้

"โทรบอกพี่ด้วยนะตอนถึงไทย"

"อื้ม"

"แล้วเจอกัน"

"แล้วเจอกัน"

.........


-น้องไอซ์ลูก....(● ˃̶͈̀ロ˂̶͈́)੭ꠥ⁾⁾

-ลืมบอกตอนที่แล้ว
เหตุการณ์ชายหญิงทะเลาะกันนั้นเกิดขึ้นจริง ภาพที่เห็นเหมือนละครจริงๆจ้ะ ผู้ชาย(ไม่หล่อหรอก)ยืนสูบบุหรี่มองอ่าวอย่างเท่ แล้วผู้หญิงที่สวยมากกกกที่นั่งร่วมม้านั่งกับเรามาตั้งนานก็เดินไปหาเขา (เหมือนไม่ได้มาด้วยกัน แต่ก็มาด้วยกัน) แล้วก็คุยกันงุ้งงิ้ง แต่ไปๆมาๆทะเลาะกันซะงั้น เราได้ยินแค่ผู้หญิงบอกว่า "ไหนว่าจะไม่สูบบุหรี่แล้วไง"
ผู้หญิงทำหน้างอน ฟึดฟัด ส่วนผู้ชายนั่งลงกับพื้นมันเลย แถมยังไม่เลิกสูบ555  :mew5:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -10Aug17 ตอน11 Singapore V
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 10-08-2017 23:40:01
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -14sep17 ตอน12 จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 04-09-2017 21:50:39
ปีนัง ถึง สิงคโปร์

Chapter 12
Bangkok




โล่ง เบา สบาย
สามคำที่ให้เป็นนิยามของผมทรงใหม่

ไม่ชินเลยแฮะ...

ผมสั้นไถข้าง ปาดหน้าม้าไปอีกทาง โชว์ต่างหูโซ่ห้อยระย้าสามเส้นเรียงกัน อันได้แรงบันดาลใจมาจากจีดราก้อน ศิลปินเกาหลีชื่อดัง
แล้วพอผมเปลี่ยนสไตล์นะ เพื่อนมันก็หาว่าผมหน้าเหมือนหนุ่มเกาหลีอีกอ่ะ ทั้งๆที่จริงก็หน้าไทยๆ จืดๆนี่แหละ

โอย~ หิวจัง บ่ายสองแล้วพี่นัทยังไม่มาอีก ไหนบอกจะมาบ่ายสองนิดๆไงวะ ไม่คิดเผื่อเวลาเลยอ่อ จะมาให้ตรงเป๊ะเลยไง้!
โมโหหิวโว้ย!

"อะแฮ่ม!"

สะดุ้งกับเสียงคุ้นเคยข้างหลัง หันหน้าขวับก่อนสมองจะสั่งการเสียอีก

"หล่อไม่เบานะเนี่ย ยังดีนะที่พี่จำได้"

"พี่นัท~"

"คร้าบ~ หิวหรือยัง?"

"หิว"

"งั้นไปกันเลย"

เราเลือกอาหารสิ้นคิดสำหรับคู่รัก นั่นคือ....บุฟเฟต์
ผมนั่งลงตรงข้ามพี่นัท รับเมนูมาจากพนักงานแล้วสั่งทันที ถามพี่นัทบ้างว่าแกกินได้ไหม แต่ปกติพี่เขาก็กินได้หมด มีผมนั่นแหละที่เรื่องมากกว่าใครเพื่อน

"เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำให้นะ"

"เอาพันช์นะ"


เฮ้อ! แม้แต่ข้างหลังยังหล่อ
นี่ผมบ้าจริงๆแล้วใช่ไหมเนี่ย เพราะตั้งแต่พี่นัทกลับมาได้สองเดือน เราก็เจอกันแทบทุกวัน ส่วนใหญ่พี่เขาจะมารับไปกินข้าวทุกเย็น แต่ถ้าวันไหนพี่หรือผมติดงาน ก็จะทบเวลาที่อยู่ด้วยกันให้นานขึ้นในวันถัดไป ผมจึงแทบไม่ได้กลับห้องเลย กินนอนคอนโดเขานั่นแหละ มีแค่เสาร์อาทิตย์ที่เราต้องกลับบ้าน ไม่งั้นแม่ด่าตาย พอจะออกมาเที่ยวทีก็ต้องบอกว่ามากับเพื่อน
บางทีก็คิดนะ ว่านี่ใช่ตัวเองไหมวะ เปลี่ยนไปมากๆ จากคนนิ่งๆนั่งสวยๆ (╹◡╹)กลายเป็นคนติดแฟน เขาชวนทำอะไรก็ทำหมด

"ไม่ชินเลยว่ะ"
อะไรลุง จู่ๆก็นั่งลงแล้วบ่น

"นี่ถ้าไม่รู้จักกัน คงคิดว่าตัดผมประชดรัก"

"ไม่ใช่ซักหน่อย ไอซ์แค่ขี้เกียจสระผมบ่อยๆ"

"แต่เปลี่ยนลุคแบบนี้ก็ดีนะ เหมือนพี่ได้แฟนเป็นเด็กเฮ้ว"

"เด็กเฮ้ว?"

"เออๆ เด็กสมัยนี้ไม่ใช้คำนี้กันแล้วหรือไง"
ทำเป็นน้อยใจ
ตอนเด็กๆก็เคยได้ยินหรอกน่า แต่ไม่เคยใช้นี่

"แล้วพ่อแม่ว่าไง มาเที่ยวอีกแล้ว"

"ไม่ว่าหรอก ถ้าไอซ์ใช้เงินตัวเองอ่ะ"

"ไม่เป็นไร มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง ตั้งห้าร้อยกว่าบาท ไอซ์เก็บไว้เถอะ"

"ไม่เอา แบ่งกันจ่ายสิ"

"พี่แก่กว่านะ พี่ก็อยากเลี้ยงแฟนบ้าง ไอซ์เล่นหารทุกครั้งเลย รู้สึกแปลกๆว่ะ"

"แต่ไอซ์ไม่ชอบให้มีคนเลี้ยง เดี๋ยวติดเป็นนิสัย"

"ก็ได้ๆ แต่คราวหน้าพี่เลี้ยงนะ เนื่องในโอกาสครบรอบสองเดือน"

"เร็วเหมือนกันเนอะ"

"ไอซ์อยากได้เป้ใบใหม่ใช่มั้ย เอายี่ห้ออะไรดี"

"ห้ะ? จะให้เพราะครบรอบสองเดือนเหรอ?"

"อือฮึ"

"ไม่เอาหรอก ไอซ์ไม่รู้จะให้อะไรตอบแทน ช่วยไอซ์เลือกก็พอ"

"ก็ไม่ต้องตอบแทนอะไรสิ แค่ยิ้มกว้างๆ พี่ก็พอใจแล้ว"

"ม่ายยยย ไอซ์ไม่ชอบรับของแพงจริงๆ"
จริงๆนะ มันรู้สึกไม่ดี รู้สึกว่าต้องตอบแทนเขาให้เท่ากับที่ได้มา

"เฮ้อ....ไอ้นั่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา แล้วแต่ไอซ์ละกัน"

"อ้าวลุง ไหงงอนแล้วล่ะ อาหารยังไม่มาเลยนะ หรือว่าโมโหหิว"
ผมลุกขึ้นไปนั่งข้างพี่นัท แน่นอนคนในร้านมองกันเป็นตาเดียว แต่ไม่สนหรอก จะง้อคนแก่นี่นา
พี่แกก็นะ มีแฟนเด็กหน่อยก็ทำตัวแอ๊บเด็กอยู่นั่นแหละ

"โอ๋ๆ"
ดึงแก้มสากอันเต็มไปด้วยตอหนวดยืดเข้ายืดออก ยิ่งเห็นสายตาตึงๆก็ยิ่งอยากแกล้ง

"พี่ก็อยากเอาใจแฟนบ้าง"

"ไม่ได้ว่าอะไร แค่ไม่อยากให้ซื้อแต่ของแพงๆให้"

"งั้นไอซ์อยากได้อะไรครับ"
ถ้าพูดเพราะแบบนี้ แสดงว่าอารมณ์ดีแล้ว

"พี่นัทหาพวงกุญแจสวยๆมาห้อยกระเป๋าใบใหม่ให้ไอซ์สิ เอาแบบที่ไม่เหมือนใครก็ดีนะ"

แกทำท่าคิด มือลูบคาง สายตามองไปไหนก็ไม่รู้
"พี่รู้แล้ว"

"โอเคเนอะ งั้นไอซ์กลับฝั่งตัวเองละ"

"Noๆ อยู่นี่แหละ"

"เอ๋า! มันน่าเกลียด"

"โหไอซ์ ไอ้ที่แทบจะเกยพี่เมื่อกี๊มันน่ารักมากว่างั้น?"

โอ่ย...ก็เมื่อกี๊มันมีเหตุผลให้ต้องทำนี่หว่า
ผมบ่นหงุงหงิงในแบบที่ตัวเองยังจับใจความไม่ได้ แต่ก็ยอมนั่งกินฝั่งเดียวกัน พี่เขาไม่ได้รุ่มร่าม อารมณ์แบบต่างคนต่างกินนะ แต่ห่างกันไม่ได้
นี่ถ้าเป็นเราตอนไม่มีแฟนมาเห็นภาพนี้คงอ้วกด้วยความหมั่นไส้


.
.
.
.



"วันนี้พี่นัทไปส่งไอซ์ที่บ้านก็ได้นะ พ่อแม่ไปทำธุระ"

"ดีจัง ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ รู้มั้ยเวลาส่งไอซ์ปากซอยทีไร พี่ใจไม่ดีเลย อยากขับรถตามด้วยซ้ำ"

"เว่อไป"

เราขึ้นมานั่งในรถเก๋งสัญชาติญี่ปุ่นราคาไม่เบา อีกทั้งรถยังดูใหม่มาก แม้พี่นัทจะบอกว่าใช้มาเกือบห้าปีแล้วก็ตาม รู้เลยนะครับว่าถ้าอยู่บ้านเดียวกัน พี่แกจะใช้เวลาไปกับอะไร....
ส่วนฝีมือการขับรถของพี่นัทนั้น.....ละไว้ดีกว่า เอาเป็นว่าเซียนเกินไปจนรับแทบไม่ไหว
แปลกดีเหมือนกันนะ คนเรามักมีหลายบุคลิกแตกต่างกัน อยู่กับบ้านเป็นคนหนึ่ง อยู่กับแฟนก็เป็นอีกคน อยู่บนถนน ยิ่งเป็นอะไรที่เหนือกว่านั้นมาก

"ไหวไหมเนี่ย"

"เบาๆดิ ยิ่งจุกๆอยู่"

"อย่าอ้วกนะ"
หน้าแกเริ่มเสียด้วยความห่วงรถ แต่ไม่ห่วงเราเล้ย น่าน้อยใจจริงๆ

"ถามจริง พี่ไม่ห่วงคนที่มากับพี่เหรอ ไม่ต้องเป็นไอซ์ก็ได้ เป็นหลานตัวเล็กๆ เป็นพ่อ เป็นแม่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา พี่จะโทษตัวเองนะ"

"ก็..."
รู้สึกว่าพี่นัทผ่อนความเร็วลง
"โทษที"

"อย่าประมาทนะ ถึงจะคิดว่าเราเอาอยู่ แต่คนอื่นมันไม่คิดเหมือนเรานะพี่ เนี่ย ว่าจะพูดหลายทีละ ได้พูดสักที"

"ขี้บ่นเหมือนกันนะเรา"

"เลี้ยวซอยข้างหน้านะ"

"จำได้ๆ"

ซอยบ้านผมเป็นเลนสองเลนสวนกัน แต่ลำบากตรงที่มักมีรถมาจอดข้างทาง พี่นัทกับผมจึงบ่นรถพวกนี้อย่างเพลิดเพลินจนไม่รู้เลยว่า ไอ้รถที่ตามหลังมาเนี่ย...เป็นรถพ่อ

"เฮ่ย!"
พี่นัทจอดรถหน้าบ้านพอดีกับที่ผมมองกระจกข้างแล้วเห็นรถเก๋งสีฟ้าพาสเทลคันงามที่เห็นตั้งแต่จำความได้

"เชี่ย!"
พ่อโผมมมม พ่อกับแม่ลงมาจากรถแล้ว คือพี่นัทจอดขวางหน้าบ้านไง

"พ่อกับแม่อ่ะพี่นัท"

"เอาไงอ่ะ ไม่ทันแล้วมั้ง ฟิล์มไม่ดำด้วยสิ ป่านนี้เห็นแล้วแหละ"
แกดูปลงๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลย

"พี่ขับไปเลยได้ป่ะ"

"ไม่ทันแล้วครับ"

พ่อเคาะกระจกฝั่งผมแทนที่จะเคาะฝั่งคนขับ แสดงว่าเห็นหน้าเราเต็มๆเลยแหละ ผมจึงลงมาด้วยแววตาสำนึกผิด หลอกแกไว้เยอะไง กรรมตามสนอง

"เพื่อนเหรอ?"
พ่อถามเสียงเข้มมาก
พี่นัทก็นะ ดับรถเรียบร้อย ออกมาอย่างหล่อ ยกมือไหว้อย่างไทยให้อีก

"เพื่อนรุ่นพี่"

"เหรอ...."
เป็นคำถามที่ถามเอาประชดแน่ๆ

"ครับ พอดีให้น้องช่วยงานหลายอย่าง"
แต่พี่นัทบ้าจี้ตอบ
อย่างพี่นัทเนี่ยนะจะซื่อ ไม่มีทางเสียหรอก

"คงสนิทกันมากนะถึงได้นั่งป้อนเนื้อย่างกันได้"

"ห๊ะ?! พ่อว่าไงนะ"

"พ่อกับแม่ไปขึ้นเช็คที่ห้างที่หนูไปกินเนื้อย่างกับ'รุ่นพี่'ไง ถึงได้ถามอยู่ว่าไปที่ไหนเมื่อเช้า จะได้ติดรถไปด้วยกัน --แต่หนูก็ไม่ตอบพ่อ"

โอ่ย ขอลาตายตอนนี้ได้ไหม
ตาย ตายแน่ๆ ตายหยังเขียด
"....หนูขอโทษ"

แม่ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง แกบอกให้เราสองคนเข้าไปคุยกันในบ้าน
มองตาพี่นัท พี่แกก็ยิ้มแห้งๆให้ ก็รู้อยู่ว่าพี่นัทไม่ชอบการถูกผูกมัด ไม่ชอบความคร่ำเคร่ง เป็นคนสบายๆที่ไม่มีพิษมีภัยอะไร เพียงแต่อาจไม่ใช่ประเภทที่พ่อแม่ผมชอบ ที่แย่ไปกว่านั้น ผมไม่เคยบอกเขาว่ามีแฟน ฮืออ~ เท่ากับว่าพี่นัทเป็นแฟนคนแรกในสายตาท่าน

"นั่งนี่แหละ"
ในบ้านผมมีม้านั่งไม้สักยาวขัดมันเงาวับอยู่สองตัวติดกันชิดแนวกำแพง ผมกับพี่นัทนั่งตัวนึง แม่กับพ่อก็นั่งอีกตัว เลยต้องนั่งเอียงๆคุยกัน
ดูจากสายตาพ่อแม่แล้ว ท่านก็ไม่ได้เปล่งรัศมีเจ้าแม่กาลีนะ แค่คงกำลังทำใจอยู่
ผมรู้เลย ตอนที่ผมไปตัดผมมาใหม่ๆน่ะ ท่านดีใจแค่ไหน ด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าผมจะกลับไปเป็นผู้ชาย เฮ้อ!

"ขอโทษนะครับคุณพ่อคุณแม่"
พี่นัทยกมือไหว้อีกรอบในคนละความหมาย
"จริงๆก็ไม่อยากโกหกหรอกครับ แต่เราสองคนก็แค่ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเพิ่งคบกันได้ไม่กี่เดือน กลัวคุณพ่อคุณแม่จะตกใจ"

"ไปเจอกันยังไง"
พ่อสวน

"เจอตอนเที่ยวปีนัง"
ผมตอบแทน

"ทำไมรักกันได้"
โห สืบสวนเป็นตำรวจเชียว

"พี่เขาเป็นผู้ใหญ่น่ะพ่อ"

"อายุเท่าไหร่"

"สามสิบเองครับ"

"ไม่ใช่แค่ 'เอง' นะ"
พ่อผมเริ่มกอดอก
คนข้างผมปาดเหงื่อเลย ผมจึงส่งสายตาบอกว่าบ้านนี้ไม่มีปืน ไม่ต้องกลัว

"รู้มั้ยมันไม่ถูก"

เฮ้อ! กลอกตามองบน นี่กะพูดแบบที่เคยพูดกับเราเมื่อสมัยม.1 ใช่มั้ย

"นิยามคำว่าถูกต้องของคุณพ่อ มันคืออะไรเหรอครับ ...สำหรับผมแล้ว คำว่าถูกต้องคือการที่คนสองคนตกลงปลงใจที่จะคบกัน รักกัน โดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกบังคับขืนใจ"
เป็นไงล่ะพ่อ เจอคำคมแฟนผมเข้าหน่อย อึ้งไปเลยดิ

"แล้วไม่แคร์สังคมคนรอบข้างเหรอ หน้าที่การงาน เราทำงานอะไร"
คราวนี้แม่ผมถามบ้าง เนื่องจากพ่อโดนน็อค ถูกหามลงเวทีไปแล้ว

"เป็นเลขาฯครับ งานโอเคเลย วันๆอยู่แต่กับเจ้านายที่เอ็นดูเสมือนผมเป็นลูก เวลาผมทำผิดอะไรก็คอยสั่งสอน ชี้แนะ แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว นี่ท่านยังชอบไอซ์เลยนะครับ เพราะไอซ์เป็นเด็กน่ารัก มีสัมมาคารวะ มนุษย์สัมพันธ์ดี ใจเย็น ยิ้มเก่ง ใครเห็นใครก็รัก ที่บ้านคงสอนมาดี ถึงได้น่ารักขนาดนี้"
อยู่เป็นว่ะแฟนเรา

"อืม...ก็นะ"
แม่อมยิ้มใหญ่เลย

"ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอลูกชายของคุณพ่อคุณแม่อย่างเป็นทางการแล้วล่ะครับ พวกเราสองคนไม่ได้พากันไปทำเรื่องเสื่อมเสีย อยากให้คุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้คบกัน และให้ผมได้เที่ยวกับน้องบ้างบางครั้ง"

"จะไว้ใจได้เหรอ"

"ได้สิแม่ ไอซ์โตแล้วนะ"

"ถ้าหากว่าคุณพ่อคุณแม่ลำบากใจ ถ้าอย่างนั้น...."

เฮ้ยๆ รีบจับข้อมือแฟนไว้เลยเมื่อแกทำท่าจะลุก

"จะไปแล้วเหรอพี่นัท"

"อยู่นี่ก่อน อยู่จนถึงข้าวเย็นนั่นแหละ ฉันอยากฟังเรื่องเธอ มีแม่ยายที่ไหนไม่อยากรู้จักลูกเขย"

"ครับ"
พี่นัทยิ้มแฉ่งออกมา พร้อมสายตาเจ้าเล่ห์ แกนั่งลงเหมือนเดิม ไม่ลืมกุมมือผมไว้ แล้วเล่าเรื่องต่างๆให้พ่อกับแม่ฟังจนเพลิน



-จบ-
.
.
.
.


อ้อ! ของขวัญครบรอบสองเดือนของเรา คือพวงกุญแจทองคำขาว สลักชื่อเราสองคนไว้ตรงกลาง แล้วล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็กๆกว่าร้อยเม็ด!

....บอกเลยว่า...ประทับใจ ..จริงๆ
(−_−;)
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -4 SEP 2017 ตอน12 Bangkok จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 04-09-2017 23:39:35
อยากได้ของขวัญแบบนั้นบ้าง เหอะๆ  :m12: :m12: :m12:
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -4 SEP 2017 ตอน12 Bangkok จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: yunnutjae ที่ 12-09-2017 22:13:02
สนุกมากๆเลย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ :katai2-1:อ่านแล้วอยากไปเที่ยวมั่ง....สุดท้ายนี้ยังคิดว่าพี่นัทเป็นลูกประธานบริษัทที่ตอนนี้กำลังเทรนงานเพื่อรับช่วงต่อ  :katai3:555555555555555555
หัวข้อ: Re: #เรื่องสั้น# ปีนัง ►ถึง ►สิงคโปร์ -4 SEP 2017 ตอน12 Bangkok จบแล้วจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 13-09-2017 12:54:21
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: