พิมพ์หน้านี้ - ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: _MidnightSBD ที่ 16-06-2017 17:34:10

หัวข้อ: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 16-06-2017 17:34:10
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

AFTERSHOCK | วิกฤติรัก

#เรื่อยๆ #ฟิลกู๊ด

เพราะแผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ รัฐบาลเฮติต้องการความช่วยอย่างหนัก
ผู้คนต้องการการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ
ผม ‘ภัทร’ จิตแพทย์วัย32ปีเลยต้องเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือนี้อย่างช่วยไม่ได้
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้เจอกับเขา



สารบัญ

ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3654731#msg3654731)
ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3654942#msg3654942)
ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3655238#msg3655238)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3655386#msg3655386)
ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3655817#msg3655817)
ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3657925#msg3657925)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3658465#msg3658465)
ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3660385#msg3660385)
ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3661174#msg3661174)
ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3661729#msg3661729)
ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3662937#msg3662937)
ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3666166#msg3666166)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3666475#msg3666475)
ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3666650#msg3666650)
ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3668389#msg3668389)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3668979#msg3668979)
ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60630.msg3670938#msg3670938)
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

PAGE : MidnightSBD (https://www.facebook.com/MidnightSBD/?ref=aymt_homepage_panel)

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เราลงเล้า
ฝากติดตามด้วยนะคะ




หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่1] 16/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 16-06-2017 17:38:57
-1-
Hello Haiti
   

“คุณๆ ไอ้คุณ”

“มีอะไรวะ”

“ไปคุยกับกูหน่อยดิ” คุณเป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดเลยตอนนี้ก็ว่าได้ นอกจากมันแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะสามารถคุยเรื่องนี้กับใครได้อีก พอเจ้าตัวรับคำผมก็เดินนำไปที่คาเฟ่ในโรงพยาบาลเพื่อที่จะหาที่นั่งคุยกันอย่างจริงจัง


“มึงรู้เรื่องค่ายอาสาที่เฮติใช่ไหมวะ” พอเราเข้ามานั่งแล้วสั่งกาแฟกันเสร็จเรียบร้อยผมก็เปิดประเด็นขึ้นมาก่อนเลย

“อืม กูรู้” มันเองก็คงได้รับอีเมล์เหมือนผมสินะ

“ผอ.เขาเมล์มาบอกกูว่าอยากได้จิตแพทย์ร่วมทีมแพทย์ไปด้วยสักคนหนึ่ง รัฐบาลเขาติดต่อมาทางโรงพยาบาลโดยตรง..อย่างน้อยก็ควรจะมีแพทย์จากโรงพยาบาลเราเข้าร่วมสักสองสามคน”

“มึงจะไปใช่ไหม” คุณพูดขึ้น มันคงเดาได้อยู่แล้วว่าอยู่ดีๆผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม

“จริงๆแล้วกูก็ไม่อยาก” ผมบอกไปตามตรง

“...”

“แต่มึงก็รู้ว่าจิตแพทย์โรงพยาบาลเรานอกจากกูคนอื่นเขาก็มีครอบครัวกันหมดแล้ว กูคงไม่มีทางเลือก” มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซีเรียส ผมยอมรับว่าผมยังไม่มีใจสาธารณะพอที่จะเสนอตัวเข้าร่วมโครงการนี้ด้วยตัวเอง แต่ผมก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปฏิเสธเอาแต่ใจตัวเองโดยไม่คิดอะไรเลยได้

“เอาหน่า..คิดซะว่าไปหาประสบการณ์ ประสบการณ์การแบบนี้หาไม่ได้ที่ไหนนะเว่ย”

“กูรู้..ก็พอทำใจได้สักระยะแล้ว แต่ต้องไปตั้งสามเดือนเลยว่ะ” นั่นเป็นอีกเรื่องที่ผมกังวลรองจากผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศเฮติเลย ผมเลยอดที่จะกลัวไม่ได้..อย่างน้อยก็แผ่นดินไหวล่ะครับ ผมเกิดและโตในประเทศไทยมาโดยตลอด ไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์นี้จริงๆจังๆเลยสักทีและไม่รู้เรื่องการเตรียมตัวรับมือใดๆทั้งนั้น

“สามเดือนแปบเดียวเอง” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่..ผมรู้ว่าไอ้คุณมันพูดออกมาให้ผมสบายใจ สามเดือนมันไม่ได้เป็นระยะเวลาที่สั้นเลยสักนิด

“แล้วมึงไปไหม” ผมย้อนถามมัน..แม้จะเดาคำตอบได้อยู่แล้วคงไม่ ไหนจะเรื่องงานสอนที่มหา’ลัย ไหนจะเรื่องน้องเพื่อนแฟนของมัน คราวที่แล้วแค่น้องปิดเทอมกลับบ้าน ห่างกันแค่ไม่กี่วันมันยังจะตายซะให้ได้

“ไม่ได้ไป..มึงก็รู้ว่ามันชนเด็กเปิดเทอม กูมีสอนไปได้ที่ไหน”

“นั่นสินะ..เฮ้ออ กูจะไปเจออะไรบ้างวะเนี่ย” ผมบ่นอย่างปลงตก ไม่อยากจะจินตนาการอะไรเลยตอนนี้

“อย่าพึ่งไปคิดเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเลย บางทีมึงอาจจะได้สิ่งดีๆกลับมาก็ได้”

“เออๆไป..แยกย้ายทำงานได้แล้ว”

คงทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้แล้วนอกจากทำใจยอมรับมัน..ผมส่งอีเมล์ตอบกลับไปหาผู้อำนวยการว่าผมตกลงเข้าร่วมโครงการอาสานี้

ผมก็ได้แต่หวังว่าอย่างน้อยก็อยากให้มีคนของโรงพยาบาลเราเข้าร่วมเยอะๆจะได้มีคนคุยด้วยบ้าง

---

พอกลับถึงบ้านสิ่งแรกที่ทำต่อจากอาบน้ำคือเปิดคอมพิวเตอร์หาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศเฮติ..ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเฮติเลยทั้งนั้นนอกจากเป็นประเทศที่ประสบภัยบ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่สำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดครั้งล่าสุดเมื่อร้อยห้าสิบปีที่แล้วซึ่งมันเทียบไม่ได้เลยกับครั้งนี้ที่น่าจะเป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติกาล

สาธารณะรัฐเฮติตั้งอยู่ในทวิปอเมริกาเหนือ เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศแคริบเบียน อยู่บริเวณรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลกติดกับโดมินิกัน ประชากรส่วนมากเป็นชาวผิวสีซึ่งมีมากถึงเก้าสิบห้าเปอร์เซ็น ภาษาราชการคือภาษาฝรั่งเศส..ผมได้อ่านในเงื่อนไขของโครงการแล้วว่านักสังคมสงเคราะห์ทุกคนต้องพูดได้ยกเว้นบุคลากรเฉพาะทางซึ่งผมได้รับการยกเว้น

เฮติไม่ได้สร้างตึกที่มีโครงสร้างเพื่อนรองรับภัยจากแผ่นดินไหว แต่วางโครงสร้างเพื่อป้องกันเฮอร์ริเคนและน้ำท่วมแทน ด้วยเหตุนี้ กำแพงอิฐและหลังคาคอนกรีตหนัก ๆ ส่วนใหญ่จึงไม่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนระดับ 7.0 ได้

เรียกได้ว่าเป็นการรีเซ็ทผังเมืองใหม่เลยก็ว่าได้..มันแทบไม่เหลืออะไรเลย เฮติเป็นประเทศที่จำนวนประชากรไม่ได้หนาแน่นแต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตกลับพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจเพราะศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหวดันอยู่ใจกลางเมืองหลวง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรหนึ่งในสามของประเทศเลยทีเดียว


ยิ่งผมได้เห็นข้อมูลผมยิ่งสะเทือนใจ..รู้สึกดีใจที่ตัวเองตัดสินใจแบบนี้..อย่างน้อยก็ได้ทำประโยชน์อะไรบ้าง

--

และแล้ววันนี้ก็มาถึง..วันที่ผมต้องออกเดินทางไปยังเฮติ


ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก..ไม่สิ เรียกว่าประหม่ามันคงจะถูกต้องมากกว่า ผมรู้สึกเป็นกังวลและกดดันอยู่พอสมควรแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามปล่อยวางไม่คิดถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง

หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางอยู่ร่วมยี่สิบชั่วโมงผมก็เดินทางมาถึงกรุงปอร์โตแปรงซ์ด้วยสภาพที่เหนื่อยล้าเต็มที เจ้าหน้าที่นำพวกผมไปสมทบกับทีมแพทย์ที่ประจำอยู่ก่อนหน้า..แนะนำตัวพูดคุยทำความรู้จักอยู่สักพักก็ปล่อยให้ไปพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ที่พักที่จัดเตรียมไว้ให้เพื่อให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าพร้อมจะลุยงานในวันพรุ่งนี้


กว่าผมจะเดินทางมาก็เกือบสามอาทิตย์หลังจากเกิดเหตุเข้าไปแล้ว ผู้ประสบภัยที่รอดชีวิตได้รับการช่วยเหลือได้รับการรักษาเบื้องต้นไปหมดแล้ว..เหลือแค่ติดตามอาการ

ผู้คนที่ยังสูญหายตอนนี้ก็คงได้แต่ทำใจและสิ้นหวัง..ทีมค้นหาทำงานกันอย่างเต็มกำลัง แต่คนเราไม่สามารถขาดน้ำและอาหารได้นานขนาดนั้น

บางพื้นที่ได้รับการเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้วได้ทำการปลูกสร้างที่พักชั่วคราวให้แก่ผู้คนหลายแสนครัวเรือนที่ไร้ที่อยู่ เรียกได้ว่าผ่านพ้นช่วงแห่งการกู้ภัยและเข้าสู่ขั้นตอนการเยียวยาอย่างเต็มรูปแบบ

แม้มันจะหลายวันมาแล้วหลังจากเกิดเหตุ แต่ภาพอันน่าสะเทือนใจก็ยังมีให้เห็น ผมรู้สึกหดหู่ทุกครั้งที่เห็นผู้คนใช้มือเปล่าคุ้ยซากปรักหักพังเพื่อหวังว่าอย่างน้อยจะได้พบร่างของญาติตัวเอง

ในตอนนี้ศรัทธา ความเชื่อ และความหวังเป็นสิ่งที่จำเป็นพอๆกับปัจจัยสี่เลยทีเดียว ผู้คนต่างสูญเสีย..บางคนได้รับผลกระทบทางด้านอารมณ์มากกว่าร่างกายเสียอีก


“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ?” เสียงเจ้าหน้าที่พยาบาลดังขึ้น ผมที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธาของชาวเฮติเพื่อใช้เป็นเรฟเฟอร์เรนท์ในการช่วยเหลือเงยหน้าขึ้นมอง..ชายคนหนึ่งเดินเขามาในด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก มือข้างซ้ายของเขากุมอยู่ที่ศีรษะตัวเอง

“ผม..ผม..ปวดหัวมาก ผมนอนไม่หลับเลย” เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ เจ้าหน้าที่คนนั้นรีบลุกขึ้นเดินไปหาและพามานั่งที่เก้าอี้
“ศีรษะคุณได้รับการกระทบกระเทือนอะไรรึเปล่า?” เจ้าหน้าที่ยังคงถามข้อมูลต่อ พวกเขาสื่อสารกันเป็นภาษาฝรั่งเศส..นอกจากประโยคแรกที่เป็นประโยคพื้นฐานผมก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลย

“เปล่าครับ..” เขาพยายามก้ำกลืนความรู้สึกแล้วตอบออกมา

จากการที่ผมรอบสังเกตเขา ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ปัญหาทางกายใดๆเลย อาการที่เขาเป็น..เป็นอาการของคนที่ใจสลาย ซึ่งเป็นอาการที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วในกลุ่มของผู้ประสบภัยบางคน


ผมลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปกระซิบกับเจ้าหน้าที่เพื่อขออนุญาตคุยกับผู้ชายคนนี้เอง


“สวัสดีครับ” ผมทักทายเขาด้วยภาษาพื้นเมือง ยกยิ้มบางๆเพื่อผ่อนคลายให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดจนเกินไป

“ผมพูดภาษาอังกฤษกับคุณได้ไหม?” เป็นอีกประโยคพื้นฐานที่ผมต้องท่องให้ได้ขึ้นใจ..เขาส่ายหน้า ผมเลยยกยิ้มเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเป็นล่ามให้ผมหน่อย

“ขอผมคุยกับคุณหน่อยได้ไหม” ผมถาม เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองผมด้วยท่าทีไม่มั่นใจ

“ผมเข้าใจคุณนะครับว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ตอนนี้มันเป็นเรื่องยาก เพื่อที่ผมจะช่วยคุณได้ คุณช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังหน่อยได้ไหม” ชายคนนั้นเงียบไปชั่วอึดใจ แววตาของเขาสั่นไหวแต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าตอบรับมา

ผมรู้ว่าคำถามของผมจะไปสะกิดเรื่องที่เขาสะเทือนใจ แต่จากอาการของเขาผมจำเป็นต้องทำแบบนี้ ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นโรคซึมเศร้า..และนำไปสู่การคิดสั้นจบชีวิตตัวเองลง หรือที่เราเรียกกันว่า การตรอมใจตาย

“ผม..ผมสูญเสียทุกอย่าง ผมไม่เหลืออะไรแล้ว..ภรรยาของผม..คนรักที่ผมอยู่กับเขามาสิบแปดปี เขาจากผมไปแล้ว” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ แม้จะไม่มีน้ำตา แต่แววตาเขาสื่อให้ผมรู้ว่าเขาเจ็บปวดมากแค่ไหน

“..ผมเสียใจ..” ผมพูดออกไป

มีประชากรกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นที่ต้องเสียคนในครอบครัวไปอย่างน้อยหนึ่งคน ทุกคนต่างใจสลายไปพร้อมๆกัน

“..ผมรู้ว่าสักวันมันจะเกิดเรื่องแบบนี้ พระเจ้าตรัสว่ามันจะเกิด” ชายคนนั้นพึมพำออกมา..ทำให้ผมจับสังเกตได้ว่าเขาต้องเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้า..และพระเจ้าคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างสุดท้ายที่เขาหลงเหลืออยู่

“คุณเสียคู่ชีวิตของคุณไป..นั่นเป็นเรื่องน่าเศร้าแต่การเศร้าเสียใจและการร้องไห้ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนะครับ พระเยซูก็ทรงกันแสงเมื่อสหายของพระองค์เสียชีวิตเช่นกัน” ชายคนนั้นปล่อยโฮออกมาทันทีที่ผมพูดจบ เขาร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ ผมปล่อยให้เขาได้ใช้เวลากับตัวเองสักพักก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อตัวเองส่งให้เขา

“ถ้าคุณไม่สบายใจอะไร ผมยินดีที่จะคุยกับคุณตลอดนะครับ” ผมบอกเขา เขาขอบคุณผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป


ในเวลาแบบนี้กำลังใจเองก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากเช่นกัน

--

ในส่วนงานของผมในตอนนี้เอาตามตรงคือไม่ค่อยได้ทำงานในส่วนของจิตเวชเท่าไร..อาจมีบ้างที่พูดคุยกับคนไข้หรือหว่านล้อมอะไร แต่ด้วยภาษาของผมมันเลยเป็นอุปสรรคอย่างมาก

ผมช่วยเรื่องการปฐมพยาบาลอย่างดูแลทำความสะอาดเรื่องแผลทั่วไปมากกว่า แม้ผมจะเป็นจิตแพทย์แต่ผมก็เรียนแพทย์มาตั้งหกปีนะครับ ผมทำงานในส่วนของGeneral Practitionerได้อยู่แล้ว

แม้บุคลากรทางการแพทย์จะมีหลายร้อยชีวิตแต่คนเจ็บก็ยังมีมากกว่าเลยยังขาดแคลนอยู่มาก แล้วยิ่งคนจำนวนมากมาอยู่รวมกันอย่างแออัด สุขอนามัยไม่เพียงพอ เราเลยต้องเพิ่มการเฝ้าระวังเรื่องโรคระบาดเข้าไปอีกอย่างด้วย

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่องานวันนี้จบลงแล้ว กวักน้ำขึ้นล้างหน้าให้สดชื่นขึ้นหน่อยก่อนจะเดินเล่นเลาะตามข้างทางไปเรื่อย

ภาพที่ไม่น่าดูมากมายในค่ายทำให้ผมหดหู่ เสียงกรีดร้อง ภาพความเจ็บปวดยังคงฝังแน่นอยู่ในหัวจนผมตัดสินใจปลีกตัวออกมาอยู่เงียบๆคนเดียวสักพัก

ผมเดินมาหยุดตรงแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่คาดว่าน่าจะเป็นทะเลสาบ มันอยู่ไม่ไกลจากค่ายสักเท่าไร ผมไม่รู้หรอกว่าที่นี่เรียกว่าอะไร มันก็แค่สวยดีเลยตัดสินใจหยุดเดินแล้วนั่งพักลงข้างทางแถวนี้สักพัก

สายตาผมทอดมองไปเรื่อย ปล่อยให้ลมเย็นๆตีหน้าหวังให้มันช่วยผ่อนคลายสมองลงบ้าง
ปิดเปลือกตาลง..กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้วแต่เสียงใครสักคนทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


“มานอนตรงนี้ไม่หนาวหรอครับ” ผมหันไปมองคนต้นเสียง เขาเป็นผิวขาวและคาดว่าจะมีส่วนผสมของขาวเอเชียอยู่ด้วย และคงไม่ใช่คนพื้นเมืองแน่ๆ

“ขอโทษครับ..ผมไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศส” ผมบอกเขาเป็นภาษาอังกฤษ

“ผมบอกว่า มานอนตรงนี้ไม่หนาวหรอครับ” คราวนี้เขาพูดเป็นภาษาเดียวกันก่อนจะถือโอกาสทิ้งตัวลงมานั่งข้างผมเลย
“อีกเดี๋ยวผมก็กลับแล้ว” ผมตอบเขา

“คุณคงเป็นคุณหมอสินะ” เขาเหลือบมองปลอกแขนพยาบาลตรงแขนเสื้อผมที่ยังไม่ได้ถอดออกไป

“ครับ..แล้วคุณ?”

“ผมเป็นนายช่างครับ มาจากฝรั่งเศส”

“...”



“ผมชื่อเซน..ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณหมอ”




หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่2 ฐานลับ] 16/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 16-06-2017 22:51:25
-2-
Secret Base
   

“ผมชื่อเซน..ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณหมอ”

“ครับ..ผมชื่อภัทร ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน”

“แพท..แพท? ผมพูดถูกใช่ไหม?” หน้าตาจริงจังของเขาตอนที่พยายามออกเสียงชื่อผมอย่างตั้งใจมันตลกจนผมต้องพยายามกลั้นขำไม่ให้หลุดเสียมารยาทออกมา

“ภัทรไม่ใช่แพท” ผมบอกเขาอีกครั้ง

“แพท!”

“โอเค แล้วแต่คุณเลย” ผมยอมแพ้แล้ว ตอนแรกผมว่าจะมาหาที่นั่งพักสมองเงียบๆคนเดียวแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เงียบซะแล้วสิ

“ไม่เป็นไร ต่อไปนี้ผมขอเรียกคุณว่าคุณหมอแล้วกัน” คนข้างๆผมเองก็ยอมแพ้แล้วเหมือนกัน เขาสรุปเองเออเองผมก็ปล่อยเขาไปเอาที่สบายใจแล้วกัน

“...”

“ผมขอนั่งด้วยจะเป็นอะไรไหม”

“ก็นั่งอยู่แต่แรกแล้วนี่” ยังจะขออีกทำไมกันในเมื่อตัวเองนั่งอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้วแท้ๆ

“ฮ่าฮ่า..นั่นสินะ” เขาหัวเราะออกมาก่อนจะเริ่มต้นชวนผมคุย มันก็ดีเหมือนกันผมเองก็ไม่ค่อยได้คุยเล่นกับใครเท่าไรเลยตั้งแต่มาที่นี่ เดิมทีก็ไม่ใช่คนมนุษย์สัมพันธ์ดีมากอยู่แล้ว..ผมเป็นพวกเข้าหาใครก่อนไม่เก่ง การชวนคนอื่นคุยก่อนมันไม่ได้เหมือนคุยกับคนไข้หรอกนะครับ


“ทำไมคุณหมอถึงมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะครับ” เขาถามด้วยสำเนียงน่าฟัง รอยยิ้มเล็กๆกับตาสีน้ำตาลอ่อนที่เป็นประกาย คนๆนี้ช่างเป็นคนที่เปิดเผยซะเหลือเกิน..แม้ภายนอกเขาจะดูนิ่งเฉย แต่ผมรู้สึกว่าเขาดูอารมณ์ดีและไม่ระวังตัวอะไรเอาซะเลย
บางทีผมก็นึกเกลียดตัวเองที่เป็นจิตแพทย์มันทำให้ผมนิสัยเสียเวลาผมคุยกับใครผมมักจะมองลึกเข้าไปในตาเขา สังเกตเขา..พยายามจะค้นว่าคนตรงหน้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่ และมันทำให้ผมสนิทใจกับใครยากเกินไป

“ผมแค่หาที่พักสมองจากงานนิดหน่อย” ผมบอกเขาออกไปตามตรงก่อนจะเบนสายตาไปสู่ทะเลสาบตรงหน้าแทนใบหน้าของอีกคน

“งานคุณมันเครียดขนาดนั้นเลยหรอ” เขายังคงถามต่อ

“ไม่..ผมแค่..เห็นอะไรที่ไม่อยากเห็นมากเกินไป ผมพยายามจะลบมันอยู่” ภาพบาดแผลเหล่านั้น..ภาพความเสียใจ ความเจ็บปวด มันทำให้ผมหดหู่จนไม่อยากจะนึกถึง แต่มันทำได้ยากเหลือเกิน

“ถ้าอย่างนั้นคุณหมอคงต้องสร้างความทรงจำดีๆเข้าไปแทนที่ ให้ลบมันคงยากแต่ถ้าทาสีทับก็คงพอทำได้” คำตอบเขาทำเอาผมหลุดยิ้มขำ เจ้าตัวมองมาอย่างสงสัยว่าที่เขาพูดมันมีอะไรน่าตลกนักรึไง

ถ้ามันง่ายอย่างที่เขาว่าผมจะมานั่งอยู่ตรงนี้ทำไมละจริงไหม

“หึ..ในเวลาแบบนี้ผมทำได้รึไง กลับไปนอนตื่นมาผมก็ต้องเจออีกแล้ว งานผมนะ ผมหนีไม่ได้หรอก”

“หนีได้สักห้านาทีผมก็ยังดีไม่ใช่หรอครับ” เขาชักจะมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว

“นั่นสินะ..ผมคงต้องไปแล้ว ยินดีที่ได้คุยกันนะครับ” ผมบอกลาเขาก่อนจะลุกขึ้นยืน ปัดเศษดินทรายที่เปื้อนกางเกงอยู่ออก
ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเดินเพราะประโยคต่อไปของเขา

“คุณหมอกลับมาที่นี่อีกได้ไหม เวลาเดิม ที่เดิม ของทุกวัน..ให้ที่นี่เป็นฐานลับของเรา ผมยังอยากคุยกับคุณอยู่เลย” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาผม แววตาของเขาซื่อตรงอย่างที่เขาพูดออกมา แต่ผมไม่เข้าใจ..เขาจะมาอะไรกับผมทำไมในเมื่อเราพึ่งจะเจอกันไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ

“ทำไมคุณต้องอยากคุยกับผมด้วย” ผมถามเขา

“คุณหมอเข้าใจคำว่าถูกชะตาไหมครับ” เขายกยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเหมือนกัน พอเขายืนแล้วผมถึงได้สังเกตว่าเขาสูงกว่าผมเยอะเลย เผลอๆสูงกว่าไอ้คุณซะอีกแต่ความหนายังคงห่างไกล ถ้าไม่ติดว่าว่าเพื่อนผมจะบอกว่าไอ้คุณนี่ตัวอย่างกับควายไบซัน

“หึ..ไม่รับปากนะ แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณจะมาก็แล้วแต่คุณแล้วกัน”

“ผมถือว่าคุณหมอจะมา..เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” พูดเองเออเองเสร็จสรรพเขาก็วิ่งออกไปไม่ปล่อยให้ผมได้ทันท้วงอะไร เขาหันมาโบกมือลาผมก่อนวิ่งไปอีกทางที่ตรงข้ามกับที่ผมจากมา ผมคาดว่าคงจะเป็นไซต์งานของเขา..แล้วทำไมผมต้องมองเขาจนลับตาแบบนี้ด้วย

ผมลากเท้าเดินกลับที่พักอย่างไม่เร่งรีบ ยอมรับเลยว่าการที่เซนเข้ามาคุยกับผมเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาทำให้เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำของผม..ตอนนี้มีเขาอยู่แล้ว
อย่างน้อยผมก็จำชื่อเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาบอกแล้ว บางทีอาจจะเป็นเขาที่ช่วยทาสีทับภาพพวกนั้นให้ผมก็เป็นได้

--

ผมตื่นเช้าขึ้นมา..จัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะไปที่เต็นท์อำนวยการเหมือนเช่นทุกวัน ผมว่าการที่ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพราะว่าผู้ประสบภัยต้องการจิตแพทย์หรอก ก็จริงที่พวกเขาต้องการการเยี่ยวยาทางด้านจิตใจแต่แค่นักจิตวิทยาก็คงจะเพียงพอ

คนที่ต้องการผมคือพวกกลุ่มแพทย์ต่างหาก พวกเขามีเรื่องหนักหนามากมายที่ต้องการระบายและได้รับคำปรึกษา และผมคงเป็นคนนั้นที่ต้องรับฟัง และในวันนี้ก็เช่นกัน

“คุณหมอภัทร พอจะมีเวลาสักสิบนาทีให้ผมคุยด้วยได้ไหม” เสียงของไมเคิลทักขึ้น เขาเป็นศัลยแพทย์ฝีมือดี..เคยทำงานในกองทัพเป็นหมอทหารติดตามไปในสงครามด้วย และผมไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ลังเลกับการตัดสินใจมาที่นี่
แต่คราวก่อนที่เราได้คุยกันเขาบอกกับผมว่า..คุณเชื่อไหม ภาพที่เขาเจอมาในสงคราม มันยังไม่ร้ายแรงได้ถึงหนึ่งในสามที่เขาได้เจอจากการมาที่นี่เลยนะ

“ยินดีครับ มากกว่าสิบนาทีผมก็ว่าง” ผมยิ้มรับ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับผม

“คุณจำอลิซ่า เด็กผู้หญิงที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังได้ไหม” เขาเกริ่นขึ้นมาทำเอาผมขมวดคิ้ว อลิซ่าไหนวะ

“ขอโทษครับไมเคิล ผมนึกไม่ออกจริงๆ คุณช่วยขยายความเรื่องเธอหน่อยได้ไหม” ผมบอกเขาไปตามตรง เขาไม่ใช่คนเดียวที่ผมคุยด้วยหรอกนะครับ ผมจำรายละเอียดของแต่ละคนได้ไม่หมดจริงๆ

“เด็กผู้หญิงที่โดนคานปูนถล่มลงมาทับขาและเราช่วยเหลือเขาช้าไป..แผลเขาเลยรุกรามจนติดเชื้อ ทำให้ผมต้องตัดขาเขาเพื่อยื้อชีวิตเขาเอาไว้” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ผมก็พอจะจับความรู้สึกเขาได้อยู่ดีว่าเขารู้สึกเช่นไร

“ครับ ผมนึกออกแล้ว” ผมเองก็เคยเห็นอลิซ่าอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมอะไร อาการเธอสาหัสเกินกว่าผมจะดูแลไหวต้องปล่อยให้อยู่ในความดูแลของแพทย์ที่ชำนาญทางด้านนี้ดีกว่าและคนนั้นคงเป็นไมเคิล

“เมื่อวานนี้..เธอเสียแล้วครับ” เขาบอกออกมาอย่างยากลำบาก มือผมที่ประสานกันอยู่เย็นขึ้นมาทันที

“เสียใจด้วยนะครับ” ผมบอกเขา

“ทุกคนก็บอกกับผมแบบนี้ แต่ผมไม่รู้จะไประบายความเสียใจนี่กับใครนอกจากคุณ..ผมคิดว่าคุณจะรับฟังผมได้”

“แน่นอน..คุณพูดกับผมได้เลย..พูดทุกอย่างที่คุณต้องการ”

“คือ..ผม..ความจริงแล้วอลิซ่าไม่ใช่คนไข้ของผมคนแรกที่เสียชีวิต ผมควรจะทำใจยอมรับมันได้แต่มันไม่ง่ายเลย”

“...” ผมยังคงเงียบปล่อยให้เขาได้พูดต่อ

“เธอยังเด็ก ยังมีอนาคตอีกไกล ควรได้ใช้ชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้..ผมคิดว่าเธอจะรอด พวกเราทุกคนคิดว่าเธอจะผ่านมันไปได้ แม้ว่าอาการของเธอจะน่าเป็นห่วงอยู่บ้าง”

“...”

“คุณรู้ไหม..เมื่อวันก่อน เธอยังยิ้มให้พวกเราอยู่เลยนะ รอยยิ้มของเธอยังคงฝังอยู่ในนี้..ในหัวของผม เธอสู้มากับผมขนาดนี้แล้วแท้ๆ ตอนที่ผมคิดว่ามันยากที่สุดอย่างต้องเสียขาไป เราไม่เหลือยาชาสำหรับเธอด้วยซ้ำแต่เธอก็ยังผ่านมันไปได้ แล้วทำไมเธอถึงไม่สู้กับเราไปจนจบ” พอมาถึงตรงนี้น้ำตาเขาไหลลงมาช้าๆก่อนเจ้าตัวจะปาดมันออกไป

“...” ผมเองก็รับรู้ถึงความเจ็บนี้ได้เป็นอย่างดีแม้ไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง กับไมเคิลเขาคงจะสาหัสกว่าผมหลายเท่า

“บางทีผมก็คิดว่า..ผมอยากได้พรจากพระเจ้าให้สามารถลบภาพบางอย่างออกไปจากหัวผมได้ที”

“...”

--

“ขอบคุณที่รับฟังผมจนจบนะครับ น่าอายมาก..ผมดันร้องไห้ออกมาซะได้” เขายกยิ้มขึ้นมาอย่างเขินๆเมื่ออารมณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

“ยินดีครับ ร้องไห้อีกก็ได้นะผมสัญญาว่าไม่บอกใครแน่นอน”

“เอาไว้คราวหน้าบ้างแล้วกัน” เขาว่าขำๆ

“ผมคงแนะนำได้แค่ว่าคุณควรพักจากงานบ้าง ระบายให้ใครสักคนฟังอย่างที่คุณมาคุยกับผมนั้นถูกแล้วครับ หรือไม่ก็หาวิธีปล่อยวางสมองปล่อยวางจิตใจ ให้เวลาช่วยทำให้คุณลืมความเจ็บปวดนี้ไปเอง”

“คุณมีวิธีแนะนำไหม”

“ไม่มีหรอกครับ แต่ผมมีที่ดีๆแนะนำ ไว้คุณว่างๆก็ลองไปแล้วกัน”

--

“ผมนึกว่าคุณหมอจะไม่มาซะแล้ว” เสียงเซนทักขึ้นทันทีที่เขาหันมาเห็นผม เขาแต่งตัวแทบไม่ต่างไปจากเมื่อวาน และสำเนียงภาษาอังกฤษเขายังคงน่าฟังเหมือนเดิม

“ผมบอกว่าผมไม่รับปาก ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าผมจะไม่มา” ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเขา ตำแหน่งเดียวกันกับเมื่อวานพอดี ไม่รู้ว่าคนตัวสูงข้างๆจงใจให้มันเป็นแบบนี้รึเปล่า

“ถ้าคุณหมอไม่มาจริงๆผมคงรอเก้อ เพราะผมคงจะมาที่นี่..ทุกวัน” พูดอย่างนี้ไม่ได้เท่ากับบังคับให้ผมต้องมาที่นี่ทุกวันหรอกหรอ
“ว่างนักรึไง” ผมอดที่จะถามไม่ได้

“ผมก็แค่คุมคนงานอีกที แล้วอีกอย่างไม่มีใครก่อสร้างตอนกลางคืนหรอกนะ มันอันตรายเกินไป”

“กวนตีน..” ผมแอบด่าเขาเป็นภาษาไทย

“คุณหมอว่าไงนะครับ” เขาหันมาทำหน้าหมาบีเกิลใส่ผม

“ไม่มีอะไร ภาษาไทยผมแค่บ่นกับตัวเองน่ะ” ผมบอกปัดไป

“อ่อ..” เขารับคำก่อนจะหันกลับไปมองทะสาบตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ ผมเองก็เหมือนกัน บางทีถ้าไม่มีเซนอยู่ตรงนี้ผมคงจะปิดตาลงแล้วนอนพักสักครู่ละมั้ง

“ผมถามได้ไหมว่าทำไมคุณหมอถึงมาที่นี่” อยู่ดีๆอีกคนก็พูดขึ้นผมเลยละสายตาขึ้นมองเขา

“นายถามมาแล้ว” เขาหลุดขำออกมา

“แล้วคุณบอกผมได้ไหม”

“ผมก็แค่..ไม่มีทางเลือก เขาต้องการคน แล้วผมก็บังเอิญเป็นคนที่เขาต้องการ” ผมตอบเขา

“หึ..คุณหมอนี่พูดซับซ้อนแบบนี้เป็นปกติรึเปล่า”

“แล้วปกติเขาพูดกันยังไง” ผมขมวดคิ้ว

“ก็..ผมโดนบังคับมา ความหมายก็เหมือนกันที่คุณพูดเมื่อกี้”

“เอาเถอะผมเบื่อคุยกับคุณแล้ว” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน คนอะไรทำไมกวนตีนจังวะ

“แต่ผมชอบคุยกับคุณนะ” คนตัวสูงลุกขึ้นยืนตามผมมา “ให้ผมเดินไปส่งไหม”

“ไม่ต้อง..ผมเป็นผู้ชายไปเองได้”

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งเจอกันอีกนะครับ”


+++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องนี้เราสต็อคไว้พอสมควรแล้ว จะทยอยรีไรท์แล้วมาต่อเรื่อยๆนะคะ
ฝากติดตามด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่2 ฐานลับ] 16/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 16-06-2017 23:07:05
 :L1: :3123: เราตามอยู่ที่ธัญวลัยยยย  มาลงในเล้าด้วยเย้ๆ ตอนล่าสุดหน่วงใจ รอๆ :katai5:
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่3 อีกฟากหนึ่ง] 17/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 17-06-2017 15:19:00
-3-
The other side
   

“ผมคิดว่าวันนี้คุณหมอจะไม่มาซะแล้ว”

“คำนี้มันมีความหมายว่าสวัสดีรึไง เห็นพูดทุกที” ผมพูดขึ้น ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ผมมาเจอเขาที่นี่..ที่เขาเรียกว่าฐานลับ เซนก็มักจะทักทายผมด้วยประโยคนี้เสมอ ทั้งๆที่ผมไม่เคยไม่มาเลยด้วยซ้ำ ก็ผมทำมันจนกลายเป็นกิจวัติไปแล้ว

“ฮ่าๆ นี่ผมพูดแบบนี่ทุกวันเลยหรอเนี่ย” เขาหัวเราะออกมา

“ใช่..”

“ขอโทษที แต่วันนี้ผมคิดว่าคุณหมอจะไม่มาแล้วจริงๆนะครับ มันเลยเวลาปกติของเรามาครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมกำลังจะตัดสินใจ
กลับไปอยู่แล้ว..ดีว่าผมยังเชื่อว่าคุณหมอจะมา”

“พอดีว่าผมต้องจัดการอะไรนิดหน่อย เลยพึ่งเลิกงานมา”

“งานของคุณวันนี้ซีเรียสมากเลยหรอ สีหน้าคุณดูไม่โอเคเท่าไรเลย” สายตาเขาแสดงความเป็นห่วงออกมาชัดเจน
ผมเคยบอกแล้ว..ว่าเซนเป็นคนที่เปิดเผยและไม่ระวังตัว เขาอ่านง่ายมากคิดอะไรก็แสดงออกมาทางแววตาไปซะหมด

“ไม่หรอก..มันสะสมมาหลายๆวันมากกว่า ผมรับรู้เรื่องราวของคนอื่นมากเกินไป ทุกคนมาระบายปัญหาของเขากับผม แต่ผมก็ได้แค่รับไว้พูดออกไปไม่ได้ มันก็เลยเครียดๆน่ะ”

“ผมรับฟังคุณหมอได้นะ ถ้ามันทำให้คุณหมอสบายใจ” เขาเสนอขึ้นมา สายตาของเขาซื่อตรงว่าเขาพร้อมจะรับฟังผมจริงๆแต่ผมคงบอกเขาไม่ได้

“ผมเล่าเรื่องพวกเขาให้คุณฟังไม่ได้หรอก มันเป็นจรรยาบรรณของจิตแพทย์..หวังว่าคุณคงจะเข้าใจ”

“ผมพึ่งรู้ว่าคุณเป็นจิตแพทย์” เขาหันมาทำหน้าตาเซอร์ไพรส์ใส่ผม

“ผมก็จำได้ว่าผมไม่เคยบอกคุณ ไม่แปลกที่คุณจะพึ่งรู้” สงสัยผมเองก็เริ่มจะติดนิสัยกวนตีนมาจากคนข้างๆที่บ้างแล้วล่ะ

“พรุ่งนี้คุณหมอลองไปที่ไซต์งานของผมไหม บางทีการเจออะไรใหม่ๆอาจทำให้คุณเลิกคิดถึงเรื่องที่คุณไม่สบายใจได้บ้าง” ผมลองคิดตามที่คนตัวสูงตรงหน้านี่พูด..มันก็คงจะดีเหมือนกันถ้าได้เจอแวดล้อมใหม่ๆบ้าง ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าฝั่งทางนู้นเป็นอยู่กันยังไง

ถ้าไม่ใช่ที่ที่ผมต้องอยู่ประจำอย่างที่พัก สถานพยาบาล เต็นท์อำนวยการผมเองก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยนอกจากฐานลับ การไปเปิดหูเปิดตาทางฝั่งนู้นบ้างคงเป็นทางเลือกที่ดีเลยทีเดียวสำหรับผมในตอนนี้

“ผมไปได้หรอ” ผมถามเขา..ถึงจะอยากไปแค่ไหนแต่ยังไงผมก็ยังเกรงใจ ผมกลัวว่าตัวเองจะไปรบกวนการทำงานของพวกเขารึเปล่า

“ได้แน่นอน” ในเมื่อเจ้าตัวพูดเองแบบนี้ผมก็ไม่เกรงใจเลยแล้วกัน

“ถ้าอย่างผมจะพยายามเคลียร์งานตัวเองให้เสร็จเร็วๆ”

“พรุ่งนี้..บ่ายสองโมงผมจะมารอคุณที่นี่ หวังว่าคุณหมอจะมาก่อนฟ้าจะมืดนะครับ”

--
     
วันนี้ผมไม่ได้ช่วยอะไรคนอื่นมากนัก ผมแค่เข้าไปช่วยทำความสะอาดแผลง่ายๆให้ผู้บาดเจ็บที่อาการเบื้องต้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

ผมบอกเทเรซ่าเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ผมคุยด้วยเป็นประจำเอาไว้แล้วว่าวันนี้ผมขอตัวไปทางฝั่งนู้นบ้าง เธอไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่ยกยิ้มแล้วอวยพรให้ผมมีช่วงเวลาดีๆ

พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมก็รีบออกมาเลย เพราะนี่ก็เลทมาพอสมควรแล้ว ผมรีบสาวเท้าเร็วๆไปยังจุดที่เรานัดกันไว้ ด้วยนิสัยผมไม่ชอบเป็นคนไม่รักษาเวลา

--

“สวัสดีครับ” เซนทักผมขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าผม เขามารออยู่ก่อนแล้ว และคงจะมาตั้งแต่บ่ายสองอย่างที่เจ้าตัวบอกเอาไว้แน่ๆ

“ขอโทษที่ผมสาย” ผมบอกเขา ที่รีบวิ่งมาเมื่อกี้ลมหายใจผมยังไม่เป็นปกติเลย

“ไม่เป็นไรครับ คุณหมอดูเหนื่อย เราจะพักกันก่อนไหม” เขาถามยิ้มๆอย่างที่เขาชอบทำ

“ไม่..เราไปกันเลย ผมไหว”

“ครับผม” เขารับคำก่อนจะเดินนำผมไป ใช้เวลาไม่นานเราก็เดินมาถึงทางแยก ระยะทางจากฐานลับถึงทางแยกใกล้กว่าจากฐานลับถึงเต็นท์อำนวยการพอสมควร

“ทางนี้ครับ” ผมกำลังจะเลี้ยวซ้ายเพราะเห็นเชลเตอร์อยู่ไกลๆนึกว่าคงเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวแต่อีกคนเบรกผมไว้แล้วเดินนำไปทางขวาแทน

“ถ้าอย่างนั้นทางซ้ายไปไหน” ผมถามเขาทันที แต่ก็ยอมเดินตามเขาไปเรื่อยๆ

“ที่พักชั่วคราว มันแย่มาก ผมไม่อยากให้คุณหมอเห็น..แค่งานของคุณก็เครียดมากพอแล้ว” เขาบอก

“แต่ผมอยากเห็น ผมจะไปทางนั้น” ไม่รอให้เขาได้พูดอะไรอีกผมก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมทันที จะให้ผมปล่อยผ่านแค่เพราะมันแย่จนผมไม่ควรเห็นอย่างนั้นหรอ ถ้างั้นผมจะมาที่นี่เพื่ออะไรล่ะจริงไหม

“ทำไมถึงดื้ออย่างนี้นะ” ได้ยินเสียงเขาถอนหายใจออกมายาวๆก่อนจะบ่นออกมา แต่ผมไม่สนเขาหรอก ไม่ช้าคนตัวสูงก็รีบวิ่งมาดึงมือผมไว้

“อย่าไปเลยนะครับ เราทำตามหน้าที่ของเราดีกว่า ทางนั้นเขาก็มีเจ้าหน้าที่พยายามดูแลอยู่แล้ว” เขาพยายามรั้งผมไว้

“ผมก็แค่ไปดู ไม่ได้ไปรบกวนการทำงานของพวกเขาซะหน่อย” ผมเริ่มจะเบื่อคนตัวสูงข้างๆนี่แล้ว คอยห้ามอยู่ได้ ผมเลยลากเขาให้เดินตามมาด้วยเลยจะได้หยุดพูดมากสักที


ทันทีที่เราเข้าใกล้จนระยะสายตาแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นอะไร ภาพตรงหน้าทำเอาผมพูดแทบไม่ออก ผมนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เท้าสองข้างหยุดเดินต่อเองโดยไม่รู้ตัว

“ผมบอกคุณหมอแล้วว่ามันแย่มาก ผมไม่อยากให้คุณเห็น” เขาก้มลงกระซิบ..ผมเลยได้สติอีกครั้ง

“มันเกินกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก” ผมบอกเขา ภาพตรงหน้าผมยิ่งกว่าชุมชนแออัดเลยก็ว่าได้ สภาพความเป็นอยู่เรียกได้ว่าน่าเวทนา ผู้คนหิวโซ สกปรกมอมแมม บางคนถึงกับออกมานอนกลางถนนด้วยซ้ำ แม้ว่าพวกเขาจะรอดตายจากแผ่นดินไหวมาได้ แต่ผมว่าถ้ายังอยู่อย่างนี้กันต่อไปคงต้องตายเพราะโรคระบาดแน่ๆ

“ผมถึงไม่อยากให้คุณมาไง”

“ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้” ผมไม่สนใจที่เขาพูดแต่ถามเขากลับแทน จิตใจผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นไหม..ผมรับมือกับความรู้สึกตัวเองได้อยู่แล้ว

“ปัจจัยสี่ไม่เพียงพอไงครับ อาหาร ที่พัก เครื่องนุ่งห่ม ยา คนดูแลคงทำได้เต็มที่เท่านี้จริงๆ เราคงต้องรอทางการให้เข้ามาช่วยเหลือมากกว่านี้”

“ความเป็นอยู่ต่างกันชะมัด ทั้งๆที่ห่างกันแค่นี้แท้ๆ”

“เพราะทางนั้นมีคนเจ็บกับบุคลากรทางการแพทย์ไง เราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนั้นก่อน อย่างน้อยคนเจ็บก็ต้องอิ่มท้อง” เซนอธิบายออกมา เขาต้องอยู่ที่นี่มานานกว่าผมแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงเคยมีประสบการณ์เข้าร่วมโครงการแบบนี้มาก่อน เขาดูรู้จักที่นี่ดีกว่าตัวผมเองที่ไม่รู้อะไรเลย

“เฮ้อ..แล้วพวกคุณล่ะ มีอะไรกินรึเปล่า ให้ผมแอบเอาอะไรมาให้ไหม” คนข้างๆผมหลุดขำออกมา

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังพอหาอะไรกินกันได้อยู่...พอแล้ว ผมไม่ให้คุณดูแล้ว เราไปกันเถอะ” เขาพูดยิ้มๆก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดตาผม จับหันหลังแล้วดันไหล่ให้ผมเดินออกมา

--

“ผู้ประสบภัยต้องอยู่ที่เชลเตอร์แบบนั้นไปอีกนานแค่ไหน” ผมดันมือเขาที่ปิดตาผมอยู่ออก ก่อนจะถามขึ้นมาระหว่างทางที่เราเดินไปที่ไซต์งานของเขา

“ก็คงจนกว่างานของผมจะเสร็จ..ตอนนี้เราก็เร่งมือกันเต็มที่แล้ว แต่ว่าเรามีกันอยู่แค่ไม่กี่คน พึ่งจะเสร็จไปแค่หลังเดียวเอง เราย้ายเด็กบางส่วนออกมาก่อนแล้วแต่ก็ยังเหลืออีกเยอะเลย” แม้เขาจะบอกว่าแค่หลังเดียวแต่ผมก็ว่าเขาทำงานกันเร็วมากเลยนะครับ พึ่งจะเกิดเหตุไปเมื่อเดือนที่แล้ว กว่าทุกอย่างจะสงบเข้าที่ ไหนจะต้องเสียเวลาเคลียร์พื้นที่ก่อนอีกแต่พวกเขาก็สร้างกันไปได้ขนาดนั้นแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องอยู่ที่นี่นานเลยสิ”

“กำหนดกลับผมคือหกเดือนครับ แต่ถ้าที่ผมทำไว้ยังค้างคาผมคงอยู่ต่อจนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย งานของผมแค่ช่วยสร้างที่พักในระดับแรกไปก่อน เดี๋ยวหลังจากนี้ก็คงมีบริษัทเองชนเข้ามาดูแลต่อเอง...นั่นไงถึงแล้ว” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อผมและเขาก็มาถึงเป้าหมายแรกของเราแล้วเรียบร้อยแล้ว..ไซต์งานของอีกคนนั่นเอง

--

“เฮ้..มอรีส” ผมมองตามเขาไปก็เจอกับผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่บึกบึนคนหนึ่ง เขาเป็นคนผิวสีและคงชื่อมอรีสจากที่เซนเรียก ผมโค้งทักทายเขามอรีสเลยโค้งกลับมา

“มอรีสเป็นนายช่างที่เฮติเนี่ยละ เขาช่วยผมได้มากเลย” เซนก้มลงมากระซิบกับผม

ทั้งสองคนพูดคุยกันเป็นภาษาฝรั่งเศสกันต่อ ถึงผมจะไม่เข้าใจอะไรเลยแต่ผมก็พอจะจับใจความจากท่าทางของพวกเขาได้ว่าเซนกำลังแนะนำผมกับมอรีสอยู่ มอรีสหันมาเช็คแฮนด์กับผมก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานของเขาต่อ

บรรยากาศที่นี่เรียกว่าแทบไม่มีอะไรเลย มันโล่งว่างเหมือนลานดินลานทราย มีคนขวักไขว่กันไม่ถึงครึ่งร้อย ผิดกับที่สถานพยายามที่เจ้าหน้านับร้อยเดินสวนกันทั้งวัน

แม้จำนวนคนจะไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยจนน่าใจหายแต่เมื่อเทียบกับงานที่รอพวกเขาอยู่มันก็หนักหนาเกินไปจริงๆ เซนบอกผมว่าตอนที่เขามาที่นี่ตอนแรกรวมตัวเขาด้วยมีคนที่อาสาเข้ามาทำงานตรงนี้ไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ มีเข้ามาใหม่บ้างแต่ที่เห็นอยู่เยอะหน่อยคือชาวบ้านผู้ชายที่พอมีกำลังอาสาเข้ามาช่วย

ทำงานตรงนี้แม้จะเหนื่อยมาก แต่ก็เพราะช่วยเหลือพวกพ้องตัวเอง มีที่พักที่ดีกว่าและอาหารที่อิ่มท้องพวกเขาเลยไม่ลังเลที่จะทำมัน แต่ยังไงงานแบบนี้ก็คืองานเฉพาะทางใช่ว่าใครจะมาทำเลยได้ อย่างน้อยทุกคนก็ต้องมีพื้นฐานอยู่บ้าง

“คุณหมอเห็นบ้านตรงนั้นไหม นั่นหลังแรกที่เราทำเสร็จกัน” เขาชี้ให้ผมดูบ้านขนาดกลางชั้นเดียวที่อยู่ไกลออกไป มันดูเรียบง่ายแต่ก็แข็งแรงทนทานดี

“คุณใช้เวลาเท่าไรสร้างมันขึ้นมา” ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้

“อย่างจริงจังก็ราวๆสองอาทิตย์ มันเป็นโครงสร้างง่ายๆที่ผมอยากทำขึ้นมาเพื่อเด็กๆก่อน ไว้เราเดินดูรอบๆเสร็จแล้วผมจะพาแวะไป”

“ครับ..แล้วที่มอรีสกำลังทำอยู่ล่ะ ผมว่าหลังนี้ไม่เหมือนกับหลังนั้นนะ”

“ใช่ หลังนี้จะใหญ่กว่าแล้วก็มีสามชั้น มันเลยต้องใช้เวลามากหน่อย”

“แล้วทำไมเราไม่สร้างแบบเดิม มันเร็วกว่าไม่ใช่หรอ”

“เราไม่มีพื้นที่มากขนาดนั้นไงครับ มาครับเดียวผมพาไปดูผังเมืองตรงนี้ที่ผมวางแผนเอาไว้” เขาจูงมือลากผมอ้อมไปทางด้านหลัง ดูเหมือนว่าเซนจะเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเดินไปทางไหนทุกคนก็ทักทายเขาเป็นอย่างดี

เซนเองก็แนะนำผมกับทุกคนไปหมดเลยจนผมเริ่มจะเกร็งไปหมดแล้วเมื่อทุกคนเอาแต่มองมาที่ผม

เขาพาผมไปที่บ้านพักของเขา มันเป็นเชลเตอร์แบบเดียวกับที่พักอาศัยชั่วคราวของผู้ประสบภัยเพียงแต่ขนาดเล็กกว่ามาก
แปนผังที่เขาว่าถูกหยิบออกมาจากกระบอกแล้วคลี่กางลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงกลางเชลเตอร์

ผมเขาอธิบายมันให้ผมฟังอย่างละเอียดอย่างกับวิศวกรมาขายงานผม โครงสร้างทุกอย่าง วัตถุดิบทุกชนิดถูกคำนวณมาอย่างเหมาะสมดีอยู่แล้ว ผมอดที่จะทึ่งกับความสามารถเขาไม่ได้ เขาคงเป็นคนมีฝีมือในสายงานของเขามากเลยทีเดียว ถ้าเขาสร้างออกมาได้อย่างที่เขาวางแผนเอาไว้มันจะต้องออกมาดีมากแน่ๆ

“เดี๋ยวผมจะต้องเข้าไปดูงานหน่อย ดูเหมือนว่าคนของผมจะหล่อคานกันเสร็จเรียบร้อยแล้วผมต้องไปตรวจสอบก่อน คุณหมอจะไปกับผมไหมหรือจะรออยู่ที่นี่” เขาหันมาพูดกับผม

“ผมไปด้วยดีกว่า คุณจะได้ไม่ต้องเดินย้อนไปมา” เขายิ้มรับก่อนจะเดินนำผมออกไป

--

“เซน..”ผมเรียกเขาพร้อมกับจับแขนเขาไว้ให้เจ้าตัวหยุดเดิน

“ครับ?”

“ผมว่านั่งร้านมันสั่นๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองไหม” คนตัวสูงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ตาสีน้ำตาลออกของเขาจ้องไปที่นั่งร้านอย่างที่ผมบอก ก่อนจะหลุดพูดเสียงรอดไรฟันออกมา

“Aftershock”

“...” ฉิบหายแล้ว มาได้ไม่กี่วันก็เจอลูกแรกแล้วหรอ

“คุณหมอใส่นี่เอาไว้นะ” เขารีบปลดหมวกนิรภัยของเขามาใส่ให้ผมทันที ตอนนี้เราไม่ปลอดภัยเลย เราสองคนอยู่กันกลางไซด์งานก่อสร้างที่ทุกอย่างพร้อมจะถล่มลงมาหมด คนอื่นเองก็เริ่มรู้ตัวแล้ว คนที่อยู่บนนั่งร้านหรือที่สูงต่างรีบปีนลงมาเพื่อที่จะหนีไปอยู่ที่โล่ง

“แล้วนายละ” ผมถามเสียงสั่น ยอมรับว่าตอนนี้กลัวมาก ผมไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนเลยแล้วตอนนี้ตัวผมเองก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามันสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นแล้วแม้ว่าจะยังไม่ได้สัมผัสได้โดยตรงจากตัวเอง แต่จากโครงเหล็กที่มันสั่นแรงขึ้นมันบอกผมได้เป็นอย่างดี

“ผมไม่เป็นไร เรารีบออกไปอยู่ที่โล่งก่อนเถอะ” มันไม่ทันแล้ว ยังไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัวไปไหนนั่งร้านที่อยู่ถัดเราไปไม่เท่าไรก็ถล่มลงมาแล้ว

เสียงดังสนั่นจนผมทำอะไรไม่ถูก แต่อีกคนดูจะรับมือได้ดีกว่า เซนรีบผลักผมออกไปอย่างแรงจนผมล้มลง


“อึก!..” เสียงเขาดังก้องอยู่ในหูผม


“เซน..” ผมเรียกเขาเสียงสั่น แท่งเหล็กเส้นขนาดกลางเสียบค้างอยู่ที่ช่วงท้องเขา ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เลือดสีแดงสดย้อมเสื้อเขาให้กลายเป็นสีเดียวกันอย่างรวดเร็ว

“คุณหมอไม่เป็นอะไรใช่ไหม...”

“นายนั่นละที่เป็น”

“ไม่เป็นไรผมไหว เรารีบไปที่โล่งกันก่อนเถอะ” ผมรีบลุกขึ้นไปพยุงเขา โชคยังดีที่เหล็กมันยาวแค่สองฟุตเขาเลยยังเคลื่อนตัวได้ง่าย จากปลายแหลมด้านที่แทงเซนออกมาผมเดาว่าคงเป็นเศษที่เหลือจากการตัดออก

--

ในที่สุดผมก็พาเขาออกมาอยู่รวมกับคนอื่นๆได้สำเร็จ แต่เหมือนว่าเซนจะไม่ไหวแล้ว เขาเสียเลือดไปเยอะพอสมควรจนเจ้าตัวหน้าเริ่มซีดแล้ว

ผมทรุดตัวนั่งให้เขานอนตะแคงหนุนตักผมไหวโดยมีคนอื่นคอยช่วยเหลืออีกที มีคนแจ้งสถานพยาบาลไปก่อนแล้ว ตอนนี้เราทำได้แค่รอเท่านั้น

“คุณหมอ..” เขาเรียกผมเสียงเบา

“ อะไร..นายไม่ต้องกลัวนะ มันจะไม่เป็นไร ผมดูแล้ว มันไม่โดนอวัยวะสำคัญเลย แค่เสียเลือดมากแล้วก็เจ็บนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ผมพยายามพูดให้เขาสบายใจ

“ผมไม่เจ็บแล้ว..มันชาไปหมดแล้ว”

“ดีแล้ว..ทนอีกหน่อยนะ ไม่ต้องกลัว”

“ผมไม่กลัวหรอก..ก็ผมถึงมือหมอแล้วนี่หน่า”


นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่เขาจะสลบไป




หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่3 อีกฟากหนึ่ง] 17/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-06-2017 19:46:23
จะรักษาทันไหม
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่4 สำคัญ] 17/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 17-06-2017 21:20:19
-4-
Necessary
   
“เซน..เซน!” ผมเรียกเขา เขย่าตัวคนที่หนุนตักอยู่ไม่เบาแรงแต่ก็ไร้การตอบรับ เซนไม่รู้สึกตัวแล้ว..ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มร้อนใจ

“อดทนหน่อยนะ อีกแค่แปบเดียว” ผมบอกเขาทั้งๆที่ผมไม่รู้ว่าเขาจะรับรู้มันไหม เลือดยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจนเสื้อเขาชุ่มไปหมดแล้ว

ผมทำอะไรไม่ได้เลย..จะห้ามเลือดก็ไม่ได้ในเมื่อแท่งเหล็กยังคาอยู่แบบนี้

ใบหน้าเขาเริ่มซีดจนไร้สีเลือด เหงื่อผุดซึมเต็มไปหมดจนผมต้องเลิกผมที่ปรกหน้าเขาออกแล้วเช็ดออกให้

เกือบสิบห้านาทีในที่สุดรถจากสถานพยาบาลก็มา เซนได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที เขาได้รับการช่วยเหลือจากไมเคิล
เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน..ทีมแพทย์สี่คนรุมเขาจนผมต้องถอยตัวเองออกมา

หมดหน้าที่ผมแล้ว ผมช่วยเหลือเขาได้เพียงเท่านี้ เขาไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วงแล้ว..เขาถึงมือหมอจริงๆแล้ว และก็อย่างที่ผมบอกเขาไป..เหล็กไม่ได้แทงโดนอวัยวะสำคัญ

นอกจากเซนแล้วยังมีคนได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง มีบางคนที่หัวแตก ขาแขนหักแต่ไม่ถึงกับมีใครอาการสาหัสอะไร อาการของเซนดูเหมือนว่าจะรุนแรงที่สุดแล้ว

เขาหลับไปเป็นวัน ตัวผมไม่ได้อยู่เฝ้าเขาตลอดเวลาหรอก แต่ก็เดินผ่านเตียงที่เขานอนอยู่บ่อยเหมือนกัน

ข้างเตียงเขาระโยงระยางไปด้วยถุงเลือดและถุงน้ำเกลือ ร่างสูงสวมแค่กางเกงตัวเดียว..ท่อนบนเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าสีขาวพันรอบช่วงท้องปิดแผลของเขาเอาไว้

--

ตอนนี้ผมกลับมานั่งอยู่ข้างเตียงของเขา..ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน งานของผมเสร็จหมดแล้ว ในตอนนี้เป็นช่วงให้ผมได้พักเบรกตัวเองสักครู่ก่อนจะต้องกลับมาทำงานต่อ ผมควรจะไปพักเหมือนทุกที..แต่ผมกลับเลือกที่จะมานั่งอยู่เงียบๆกับเขาแบบนี้

ผมลอบมองหน้าของเขา..ใบหน้าที่เคยซีดเผือด ตอนนี้เริ่มมีสีสันขึ้นมาให้อุ่นใจได้บ้างแล้ว ไรหนวดเขาชัดเจนขึ้นแม้ว่ามันจะพึ่งผ่านไปแค่วันเดียว

ผมอยากให้เขาฟื้นขึ้นมา..เพื่อที่จะได้ขอบคุณเขาที่ช่วยผมเอาไว้ ผมติดค้างเขาในหลายๆเรื่อง ผมมีเรื่องมากมายที่อยากจะคุยกับเขาบ้าง..ทุกทีมีแต่เขาที่คอยพยายามชวนผมคุย

“คุณหมอ…” เสียงเรียกแผ่วเบาจากคนที่นอนหลับไปหนึ่งวันครึ่งดังขึ้น ทำให้ผมเงยหน้ามองเขา

“ไง..ฟื้นแล้วหรอ” ผมทักเขา..หลุดยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เซนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น กระพริบช้าๆก่อนที่ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาจะมองมาที่ผม

เขาเรียกผมก่อนที่ตัวเองจะลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ

เซนสอดส่องสายตาไปรอบๆเหมือนพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองว่าตอนนี้อยู่ไหนกันแน่ ยกมือข้างซ้ายที่โดนแทงเข็มน้ำเกลือขึ้นดูก่อนจะพยายามฝืนตัวเองลุกขึ้นนั่งแต่ผมรีบกดช่วงอกเขาไว้ซะก่อน

“อย่าพึ่งลุก..นอนไปก่อน คุณไม่ควรขยับมากเดี๋ยวแผลจะฉีก” อีกคนยอมนอนนิ่งๆอย่างว่าง่าย พอผมพูดถึงแผลแล้วดูเหมือนเขาจะพึ่งนึกขึ้นมาได้เหมือนกัน..มืออีกข้างที่ไม่ได้โดนเจาะให้น้ำเกลือยกขึ้นกุมแผลบริเวณหน้าท้องตัวเองเบาๆ ก่อนจะหลุดร้องครางออกมา

“ซีดดด..เจ็บชะมัดเลย” ก็แน่สิ..เขาคงจะหายชาไปนานแล้วและเหล็กก็เส้นไม่ได้เล็กเลยแถมยังโดนแทงลึกจะทะลุออกหลังแบบนั้นอีก

“เจ็บมากไหม” ผมถามเขา

“ครับ เจ็บมากเลย”

“ทนไหวรึเปล่า ถ้าปวดมากทนไม่ไหวให้รีบบอกนะ”

“ผมพอทนได้..ยังไม่เจ็บมากขนาดนั้น ผมแค่อยากลุก ผมเจ็บแผลตรงหลังที่นอนทับอยู่” เซนพูดออกมาก่อนจะสีหน้าเหยเกเล็กน้อยตอนที่เจ้าตัวลองขยับตัว เนื่องจากแท่งเหล็กแหลมมันแทงทะลุตัวเขาจากด้านหลังจนมาโผล่ด้านหน้า เวลาที่เขานอนหงายมันเลยเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทับแผลด้วย

“งั้นค่อยๆลุก” ผมเข้าไปช่วยขยับหมอนให้แล้วช่วยประครองเขาให้ลุกขึ้นนั่งพิงหมอนเอาไว้ พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมก็หันไปรินน้ำใส่แก้วแล้วมายื่นให้เขาดื่ม

“ผมหลับไปนานไหม” เซนถามพลางส่งแก้วที่กินเสร็จเรียบร้อยแล้วคืนผม

“ไม่นานหรอก..แค่วันกว่าๆ”

“แล้วคุณหมอล่ะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

“ไม่..ผมไม่เป็นไรเลย ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” ให้ตายเถอะ ตัวเองพึ่งจะผ่านนาทีเฉียดตายมาได้ยังมาห่วงผมได้อีกนะ เขาเองก็เห็นผมนานั่งคุยกับเขาได้แบบนี้ก็ต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว

“ให้ผมห่วงตัวเอง แล้วคุณหมอห่วงผมไหม”

“ห่วงสิ..คุณเป็นแบบนี้ก็เพราะผมนะ จะให้ผมไม่รู้สึกอะไรเลยได้อย่างไง”

“มันไม่ใช่เพราะคุณ..อย่าโทษตัวเอง มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ที่ผมช่วยคุณมันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำอยู่แล้ว..ผมเห็นนั่งร้านพัง เหล็กหล่นลงมากับตา จะให้ผมยืนเฉยปล่อยให้คุณหมอเจ็บตัวผมทำไม่ได้หรอก แค่ผมจินตนาการภาพคุณเลือดท่วมตัวผมก็เจ็บกว่าที่เจ็บอยู่ตอนนี้เสียอีก” คนเจ็บพูดออกมายาวเหยียดไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้ขัดจังหวะ
ที่เขาพูดออกมาทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นสบตาเขาตรงๆ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เขาต้องทำเพื่อผมขนาดนี้ทั้งๆที่เราพึ่งจะรู้จักกันไม่ถึงสิบวัน

ผมพยายามมองลึกเข้าไปในตาเขาเพื่อค้นหาบ้างสิ่งที่ผมอยากรู้..แต่ในคราวนี้ผมกลับไม่รู้อะไรเลย

เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ แต่เรามันก็แค่คนรู้จักกัน

“แต่ยังไงคุณก็เจ็บตัวเพราะผม..ผมอยากขอบคุณคุณที่ช่วยผมไว้ แล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องอื่นๆด้วย”

“ผมได้ทำอะไรให้คุณหมอที่ไหนกัน..จะขอบคุณอะไรผมตั้งมากมาย” เขายิ้มกว้างอย่างที่ชอบทำ

“ทำสิ..คุณทำให้ผมสบายใจ”

“...” ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก็น่าอยู่หรอก..ก็ผมมักจะบอกว่ารำคาญเขานี่หน่า

“พักผ่อนซะ เดี๋ยวอีกสักพักคงมีเจ้าหน้าที่มาเช็ดตัวทำความสะอาดแผลให้ ผมคงต้องไปแล้ว” ผมรีบตัดบท กำลังจะลุกออกไปทำงานต่อเพราะเบรกมานานแล้วแต่คนป่วยบนเตียงรีบคว้าแขนผมไว้

“เป็นคุณหมอไม่ได้หรอ..เจ้าหน้าที่คนนั้น ผมอยากให้คุณทำมันให้ผมมากกว่า”

“ผมไม่ได้ดูแลแค่คุณนะเซน อีกอย่างงานตรงนี้ไม่ใช่งานของผมด้วยซ้ำ” แม้ว่าผมจะมาช่วยทำความสะอาดแผลทั่วไปบ่อยๆก็เถอะ แต่นั้นเพราะคนเจ็บเยอะจนกำลังแพทย์ไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้จำนวนผู้บาดเจ็บก็ลดลงบ้างแล้ว และแผลเซนก็ไม่ได้ทั่วไปสักเท่าไร ให้ไมเคิลเข้ามาเช็คเองคงเหมาะสมมากกว่า

“แต่ผมไม่รู้จักใคร ผมรู้จักแค่คุณ” เขารีบอ้าง..แต่คนที่อยู่ๆเดินเข้ามาทักคนไม่รู้จักที่กำลังจะหลับแล้วชวนเขาคุยได้ผมว่าแค่นี้มันไม่ใช่ปัญหาของคนแบบเขาหรอก

“คุณมนุษย์สัมพันธ์ดีอยู่แล้ว..เชื่อผมสิ คุณหาเพื่อนใหม่ไม่ยากหรอก”

“ผมอยากคุยกับคุณ อยากให้คุณมาหาผม ดูแลผม..ก็เท่านั้น” สายตาที่เหมือนหมาบีเกิลแบบนั้นมันอะไรกัน

“เอาเป็นว่าผมจะพยายามมาแล้วกัน..แต่บอกไว้ก่อนว่าไม่รับปากนะ” เห็นว่าที่เขาตอนนอนเจ็บอยู่แบบนี้ก็เพราะผมหรอกนะ

“ครับ..ผมจะรอ”

“ผมว่าผมพึ่งบอกไปว่าไม่รับปากนะ”

“ผมจะรอ”

“คุณนี่มัน!” กวนประสาทฉิบหายเลย

--

ผมเดินเข้ามาในส่วนของโรงอาหารเพื่อที่จะหาอะไรลองท้องก่อนที่เวลาพักของผมจะหมดไปซะก่อน จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีเวลาเบรกตายตัวเหมือนกับที่โรงพยาบาลหรอก แต่ผมแค่ไม่อยากอู้งานก็เท่านั้นเอง

“เฮ้..หมอภัทร!” เสียงเรียกชื่อผมดังขึ้นทำให้ผมรีบหันไป เป็นไมเคิลนั่นเองที่เรียกผม เขากวักมือเรียกผมเลยเดินถือถาดอาหารของตัวเองเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกับเขา

“สวัสดีครับไมเคิล”

“สวัสดีครับ ทำไมคุณถึงมากินข้าวคนเดียวได้ล่ะ”

“ทีคุณยังอยู่คนเดียวเลย” ผมไม่ตอบแต่ย้อนเขากลับแทน ปกติผมมักจะเห็นพวกเขาอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่นะ หรือไม่อย่างน้อยเขาก็อยู่กับเพื่อนเขาที่ชื่อนิคอีกคน แต่วันนี้กลับเป็นเขาที่มานั่งกินข้าวอยู่คนเดียวเหมือนกัน

“วันนี้ผมโดนทิ้งซะแล้ว” เขาว่ายิ้มๆก่อนจะม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากไปอีกคำ

“อ่าว..ทำไมละครับ” ผมรีบถาม

“ทีมผมหลายคนเขากลับกันแล้ว คุณก็เห็นว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วง”

“แล้วถ้าเกิดอาฟเตอร์ช็อคแบบเมื่อวันก่อนอีกจะทำยังไงละครับ ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีอีกแล้วสักหน่อย” ผมเองยังใจหายอยู่เลยนะ..พอได้เจอกับตัวเองจริงๆ

“ผมถึงยังอยู่ไงครับ ถึงอาฟเตอร์ช็อคจะยังไม่หมดจริงๆ แต่ผมเชื่อว่าที่จะตามคงไม่มีครั้งไหนรุนแรงมากอีกแล้ว เพราะนี่ก็เดือนกว่าแล้ว คงเหลือแต่ลูกเล็กๆ ไม่ก็ขนาดกลางอย่างเมื่อวาน”

“อย่างนี้สินะ..” พอรู้ว่าจะไม่มีแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากอีกผมก็พอจะใจลงได้บ้าง ขนาดเมื่อวันก่อนแค่นั้นผมยังทำอะไรไม่ถูกเลย

“...” เราต่างก้มหน้าจัดการอาหารในจานของตัวเองไปเงียบๆอยู่สักพัก สุดท้ายก็เป็นผมเองที่เริ่มบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง

“ไมเคิล..ถ้าคุณว่างผมอยากให้คุณลองไปทางฝั่งที่พักชั่วคราวดูบ้าง ผมว่าหลายคนน่าห่วง สุขอนามัยแย่มาก..ผมกลัวว่าบางทีพวกเขาอาจจะไม่รอดจากพวกโรคระบาด อย่างน้อยก็อหิวา..”

“ขอบคุณที่แนะนำนะครับ ไว้ผมจะหาเวลาว่างลองไป บางทีอาจจะเป็นพรุ่งนี้เลย”

“ขอบคุณนะครับ..” ไมเคิลเป็นหมอที่ผมรู้สึกชื่นชมมากอีกคนหนึ่งเลย

“มันเป็นหน้าที่ของแพทย์อยู่แล้ว คุณหมอภัทรรีบกินเข้าเถอะ..จานของคุณเย็นหมดแล้วนะ”

“คุณเองก็เหมือนกัน” เขาบอกผม แต่ตัวเองมานั่งกินก่อนผมอีกและยังกินไม่หมดเลย ของเขาไม่เย็นกว่าผมแล้วหรอ

“ฮ่ะๆ นั่นสินะ ว่าแต่ผู้ชายคนนั้นที่โดนเหล็กเสียบเขาฟื้นรึยัง ผมเห็นคุณคอยดูเขาอยู่” บอกว่าอาหารจะเย็น แต่ตัวเองก็เป็นคนที่ชวนผมคุยต่อเองซะอย่างนั้น

“ฟื้นแล้วครับ แต่ผมบอกให้เขานอนพักไปเมื่อสักครู่ ไม่แน่ใจว่าเขาจะหลับไปอีกครั้งรึเปล่า” ผมตอบ

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกินเสร็จผมจะเข้าไปดูแผลผ่าตัดเขาสักหน่อย”

“จะรบกวนคุณไหมถ้าผมขอไปด้วย”

“ตามสบายเลยครับ”

--

หลังจากที่เราจัดการเรื่องปากท้องตัวเองกันเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งผมและเขาก็เดินไปหาเซน เพื่อที่จะตรวจดูแผลของเขาว่ามีอะไรน่าเป็นห่วงไหม ระหว่างทางไมเคิลยังคงชวนผมคุยไปเรื่อย..ทั้งๆที่ปกติเราไม่ได้คุยกันมากขนาดนี้ สงสัยเขาจะเหงาจริงๆที่เพื่อนเขากลับกันไปแล้ว

“ขอบคุณที่คุณแนะนำเรื่องทะเลสาบให้ผมนะ ผมลองไปมาแล้ว มันสวยมาก..แล้วก็รู้สึกผ่อนคลายมากจริงๆ”

“ผมดีใจนะที่คุณชอบ” ผมหันไปยิ้มให้เขา

“ชอบสิครับ ที่สวยๆแบบนั้นใครเห็นผมว่าเขาก็ชอบกันทั้งนั้น”

“ครับ..ผมเองก็ชอบมากเหมือนกัน”

ยังไม่ทันที่เราจะคุยอะไรกันต่อเราก็เดินมาถึงแล้ว คนป่วยที่ผมคาดว่าน่าจะหลับ หรือไม่ก็ได้เห็นสายตาแสดงออกว่าดีใจอย่างปิดไม่มิดที่เจ้าตัวชอบแสดงออกมาเวลาผมไปเจอเขา แต่คราวนี้ใบหน้าที่ดูดีของเขากลับเรียบนิ่ง..ไม่แสดงอะไรออกมาแม้แต่ทางสายตา

“สวัสดีครับคุณเซน ผมชื่อไมเคิล เป็นแพทย์เจ้าของไข้คุณ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ไมเคิลทักทายอย่างอัธยาศัยดี แต่อีกคนที่ปกติมนุษย์สัมพันธ์ดีไม่แพ้กันกลับนิ่งเงียบจนน่าใจหาย

“สวัสดีครับ” เขาตอบกลับมาเพียงเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตตรวจดูแผลคุณหน่อยนะครับ”

“เชิญครับ”

ทันทีที่เซนลดผ้าห่มที่ตอนแรกปิดคลุมจนถึงช่วงท้องเขาอยู่ออก ผมก็ส่งสายตาดุๆให้เขาไปที ก็บอกอยู่ว่าอย่าขยับมากให้ระวัง..แล้วเลือดที่ซึมจนเปื้อนผ้าพันแผลอยู่นี่มันอะไร ไม่ใช่ว่าแผลเปิดไปแล้วหรอ

ไมเคิลแกะผ้าพันแผลออกอย่างไม่เร่งรีบ ทันทีที่ผมเห็นแผลก็รู้ได้เลยว่ามันเปิดจริงๆด้วย ทำไมถึงไม่ระวังตัวเลยนะ

“เวลาขยับตัวต้องระวังหน่อยนะครับ อย่ารีบจนเกินไป ทางที่ดีผมแนะนำว่าอย่าพึ่งขยับตัวมากเลยจะดีกว่า ตอนนี้แผลคุณเปิด ผมคงต้องเย็บใหม่อีกครั้ง คุณต้องการยาชาก่อนไหม” ที่ไมเคิลต้องถามเพราะว่ายาชาเรามีอย่างจำกัด เนื่องจากเราต้องใช้ไปมากกับคราวก่อน แล้วล็อตใหม่ที่เข้ามาเพิ่มเติมก็ไม่ได้มากมายอะไร การเก็บไว้ใช้ในกรณีที่จำเป็นมากๆเป็นทางเลือกดีที่สุด..แต่แผลของเซนก็ควรจะใช้มันเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรครับ ผมทนได้” เขาตอบออกมาก่อนจะปิดเปลือกตาลง เซนกัดฟันแน่นปล่อยให้ไมเคิลทำความสะอาดแผลและเย็บให้เขาใหม่อีกครั้ง ไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย..ดูจากเหงื่อที่ออกมาแทบทั้งตัว เขาจะต้องเจ็บมาแน่ๆ

“คุณคงเหนียวตัว เดี๋ยวผมไปตามเจ้าหน้าที่มาเช็ดตัวให้นะครับ”

“ไม่เป็นไร..เดี๋ยวผมทำให้เขาเอง” ผมอาสา ไมเคิลหันมามองหน้าผม..ผมพยักหน้ายืนยันว่าผมจะทำเอง เขาถึงได้บอกลาแล้วขอตัวออกไป

“ไม่เจ็บแผลแล้วหรือไงถึงได้ขยับจนแผลฉีกแบบนั้น” ผมพูดขึ้นหลังจากไปหาอุปกรณ์มาเรียบร้อยและเตรียมจะเช็ดตัวให้เขา

“...” เซนไม่พูดอะไรออกมา เขาเพียงแค่ปิดเปลือกตาลงแล้วหันหน้าไปอีกทาง

นี่เขาโกรธผมถูกไหม ตั้งแต่สายตาเรียบนิ่งไม่ยอมทักทายผมตอนเดินเข้ามาแล้ว...และนี่ผมไปทำอะไรผิดตอนไหนวะ



หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่4 สำคัญ] 17/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 17-06-2017 21:36:12
คงเป็นอาการที่เรียกว่าหึงนะหมอ
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่5 เฟรนด์โซน] 18/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 18-06-2017 16:42:57

-5-
Friend Zone

   
“เซน..คุณเป็นอะไร”

“เปล่า” เขาปฏิเสธออกมา แต่เจ้าตัวยังคงนอนนิ่งหันหน้าออกไปอีกทางอยู่ตามเดิม

“ถ้าไม่ก็หันมามองผม คุยกับผม” คราวนี้คนป่วยยอมหันมามองผมแล้วแต่ก็ยังเอาแต่เงียบไม่พูดอะไรออกมาอยู่ดี ช่างเถอะ..โตๆกันแล้ว ผมไม่ได้รู้จักเขาดีพอที่จะรู้ได้เองว่าเขาไม่พอใจอะไรผมหรอกนะ

ผมเข้าไปช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่งพิงหมอนดีๆ ก่อนเอาจะหันไปบีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วยื่นให้เขา เซนรับไปแล้วจัดการตัวเองเงียบๆ พอเขาบ้วนปากเสร็จผมถึงได้เริ่มเช็ดตัวให้เขาสักที

ผมบิดผ้าขนหมาดแล้วใช้มุมผ้าด้านหนึ่งเช็ดเปลือกตาให้เขา ก่อนจะใช้มุมอีกด้านเช็ดอีกข้างให้ ตอนที่ผมกำลังจะละมือออกเซนเปิดเปลือกตาขึ้นพอดี ผมเลยได้เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาชัดๆเป็นครั้งแรก

แววตาของเขาวูบไหว เหมือนกำลังลังเลอะไรบางอย่าง เขาดูเหมือนอยากจะพูดอะไรกับผม แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา

“เซน..คุณเป็นอะไร ถ้าคุณไม่พูดผมก็ไม่รู้หรอกนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง มันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งในการให้อีกฝ่ายยอมพูดเรื่องที่ลังเลใจออกมาเอง

“คุณหมอไม่รู้จริงๆหรอครับ” เขาเริ่มเปิดปากพูดดีๆกับผมเป็นคำแรก

“เจ็บหรอ..หรือว่าปวดแผลตรงไหน ทำไมไม่บอกผม” ผมถามอย่างกังวล บางทีเขาอาจจะเจ็บแผล หรือปวดหัว หรืออะไรเลยทำให้อารมณ์ไม่คงที่อยู่อย่างนี้

“ไม่ใช่หรอก..ช่างมันเถอะ ผมคงคิดเยอะไปเอง” เขาบอกปัดก่อนจะหลบตาผม

“อย่าเป็นอย่างนี้สิ คุณชอบหรอที่เราเป็นอย่างนี้กัน ถ้าเกิดผมไม่คุยกับคุณบ้าง ไม่มองคุณบ้าง ไม่สนใจคุณ..ให้ผมลุกออกไปเลยตอนนี้ก็ได้นะถ้าคุณต้องการ”

“ไม่เอา..” เขารีบคว้าแขนผมไว้เมื่อผมทำท่าจะลุกออกไปจริงๆ สายตาเขา สายตาเหมือนหมาบีเกิ้ลกลับมาอีกครั้งทำให้ผมรู้ว่าเขาอ่อนลงแล้ว

“ถ้าไม่อยากให้ผมไปก็คุยกันดีๆ ถึงผมจะเป็นจิตแพทย์ แต่ใช่ว่าผมจะเดาใจคุณได้หมดทุกอย่างหรอกนะ มีอะไรก็บอกผม..แค่พูดออกมาผมพร้อมที่จะรับฟังอยู่แล้ว” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงโทนปกติ แต่คนที่นอนอยู่กลับทำหน้าราวกับเด็กโดนผู้ปกครองดุอย่างไรอย่างนั้น

“ผมแค่..ไม่ชอบหมอไมเคิล ที่เขาสนิทกับคุณ” เป็นถึงนายช่างใหญ่ แต่เหตุผลเขามันโคตรจะเด็กน้อยเลย

“ไมเคิลเขาเป็นเพื่อนของผม..แต่ไม่ได้สนิทอะไรมากหรอก เขาแค่ชอบมาปรับทุกข์กับผมอยู่บ่อยๆ ผมสนิทกับคุณมากกว่าเขาเสียอีก”

“คุณหมอบอกว่าไม่สนิทกัน แต่คุณก็เดินมากับเขา” เขายอกย้อน

“ก็ผมบังเอิญเจอเขาตอนไปกินข้าว แล้วเขาต้องมาตรวจคุณผมเลยขอมาหาคุณด้วยไง” ผมอธิบายไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไมผมจะต้องมาชี้แจงเขาเรื่องนี้ด้วย

“คุณยิ้มให้เขา” เพื่อนกันยิ้มให้กันมันแปลกตรงไหนวะ

“คุณจะให้ผมร้องไห้ใส่เขารึไง..อย่างี่เง่าได้ไหม”

“คุณหมอบอกว่าสนิทกับผมมากกว่าเขา แต่รอยยิ้มแบบนั้น ที่คุณยิ้มให้ไมเคิล..คุณหมอไม่เคยมีให้ผมเลย แถมคุณยังบอกเรื่องฐานลับของเราให้เขารู้ ทั้งๆที่มันเป็นที่ของเรา..ที่ของคุณกับผม”

“แล้วมันใช่เรื่องที่เพื่อนกันต้องมาสนใจหรอ กับแค่ผมยิ้มให้ใคร” ผมพูดอย่างไม่เข้าใจ

“...”

“แล้วเรื่องฐานลับ ผมแค่แนะนำเขา แต่ผมไม่เคยพาเขาไปกับผมสักหน่อย อีกอย่างมันเป็นสาธารนะ..ใครๆก็มีสิทธิไปกันทั้งนั้น”

“มีแต่ผมคนเดียวสินะที่คิดว่าที่นั่นเป็นที่ของเรา..”

“...” เซนเงียบไปก่อนจะพูดต่อ

“แล้วผมเคยบอกคุณหมอหรอครับว่าผมเป็นเพื่อนคุณ” ประโยคที่เขาพูดออกมาทำผมนิ่งไป

ที่ผมสนิทใจกับเขา..เราเป็นแค่คนรู้จักกันแค่นั้นใช่ไหม

“แล้วที่ผ่านมา..เราไม่ใช่เพื่อนกันหรอ” ผมถาม

“ไม่..เพื่อนผมมีเยอะแล้ว และผมก็ไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับคุณ ที่ผมเข้าหาคุณ เป็นห่วงคุณ ดีใจที่ได้เจอคุณ ก็เพราะว่าผมชอบคุณนะครับคุณหมอ” เขาทำผมชะงักไป มือที่กำลังจะเช็ดตัวให้เขาก็เหมือนกัน

--

ผมเงียบไปอยู่หลายนาที บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมา เซนเองก็ไม่สบตาผมแล้วเหมือนกัน มันเป็นสถานการณ์ที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้เผชิญ เขาก็ดูเป็นผู้ชาย..ผู้ชายปกติ แล้วทำไมถึงมาชอบผมได้

“เอ่อ..ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี” นี่เป็นประโยคสิ้นคิดที่สุดที่ผมพูดออกไป

“คุณหมอไม่ต้องพูดอะไรหรอกครับ ผมรู้อยู่แล้ว..ขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจ ทั้งๆที่คุณเองก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่แล้ว ที่ผมพูดไปเมื่อกี้ช่วยลืมมันไป..ทำเหมือนว่าไม่ได้ยินไปนะครับ” รอยยิ้มบางๆจากเขาส่งมาให้ผม มันเป็นรอยยิ้มที่ดูก็รู้ว่าเขาฝืนทนเต็มที

“ขอโทษที่ผมตอบรับความรู้สึกของคุณไม่ได้..ผมไม่ได้รังเกียจคุณนะ..ไม่เคยเลย เพียงแต่ว่า..ผมชอบผู้หญิง”

“...”

“เซน..คุณเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก มันคงจะดีถ้าคุณกับผมเราเป็นเพื่อนกัน” ผมพูดออกไป ผมอยากจะรักษาน้ำใจเขาแต่เรื่องนี้ผมเองก็ไม่สามารถตอบรับได้เหมือนกัน ผมกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนไป..ผมเสียดายมิตรภาพระหว่างเรา ผมยังอยากที่จะเป็นเพื่อนกับเขา..ตอนนี้ผมคงให้เขาได้เพียงเท่านั้น

“คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคำว่าเฟรนด์โซนมันทำลายยากมากแค่ไหน ผมถึงไม่อยากเริ่มต้นจากจุดนั้น..แต่ช่างเถอะ ถ้ามันทำให้เรายังเหมือนเดิม ผมยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับคุณ”

 “..ผมขอโทษ” ผมบอกอย่างรู้สึกผิด

“ขอโทษทำไม..เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่ความผิดของใคร แค่คุณหมอยังไม่หายไปจากผมแค่นั้นผมก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว”

“ผมจะไม่หายไปไหน..คุณเป็นเพื่อนของผมนะ เพื่อนที่ผมสนิทที่สุดที่นี่”

“พูดบ่อยจังนะคำว่าเพื่อนเนี่ย ถึงผมจะบอกว่ายินดีที่จะเป็นเพื่อนกับคุณ แต่มันก็แอบเจ็บอยู่รู้ไหม” เขาพูดทีเล่นทีจริง

“ผมขอโทษ”

“ผมแค่ล้อเล่น..ทำไมคุณถึงจริงจังไปกับทุกเรื่องเลย” เขาว่ายิ้มๆ

“ผมพึ่งทำลายความรู้สึกคุณมานะ จะให้ผมไม่จริงจังคิดว่าคุณแค่พูดเล่นได้ยังไง”

“เพราะคุณหมอเป็นอย่างนี้ไง ผมถึงยิ่งชอบคุณ”

“...”

“ถ้าเกิดวันหนึ่ง ผมเปลี่ยนให้คุณหันมาสนใจผู้ชายได้...เป็นไปได้ไหม ว่าคุณหมอจะชอบผม” ผมเลิกคิ้วกับคำถามของเขา นี่หมายความว่าเขาจะเทิร์นผมอย่างนั้นหรอ

“ถ้าคุณทำได้จริงๆ..คุณก็คงจะเป็นผู้ชายคนเดียวที่ผมชอบ” ถ้าเขาทำให้ผมชอบผู้ชายขึ้นมาจริงๆ แม้มันจะเป็นไปไม่ได้ แต่คนที่ผมชอบก็คงเป็นเขาแค่คนเดียวเท่านั้นล่ะ..ในเมื่อผมไม่เคยคิดอะไรในแบบนั้นกับผู้ชายคนไหนเลย

“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องพยายามหนักหน่อยแล้ว”

“หึ..บอกเองไม่ใช่หรอว่าเฟรนด์โซนมันทำลายยาก” ท่าทีหงอยๆก่อนหน้านั้นมันหายไปไหนหมด แล้วสายตามุ่งมั่นแบบนี้มันคืออะไรวะ

“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่ ที่รอนยังได้กับเฮอร์ไมโอนี่เลย..แล้วทำไมผมจะได้..”

“เงียบไปเลย ผมจะได้เช็ดตัวให้มันเสร็จสักที น้ำเย็นหมดแล้ว ผมคงต้องไปเปลี่ยนมาใหม่” ผมรีบตัดบทก่อนที่เซนจะพูดจบ ถ้าเอาผ้าในมือยัดปากเขาได้ผมทำไปแล้ว..แย่แล้วไอ้ภัทร..เซนต้องรุกผมหนักมากแน่ๆ

--

พอกลับมาจากเปลี่ยนน้ำผมก็เริ่มเช็ดตัวให้เขาอย่างจริงจัง ผมเริ่มเช็ดจากหน้าผาก  ก่อนจะเลื่อนมาเป็นช่วงแก้ม รอบปาก ใบหู หลังหู คอ ตามที่เคยเรียนมา ใช้ผ้าอีกผืนชุบน้ำบิดให้หมาดแล้วถูกับสบู่เพื่อเช็ดบริเวณคอและหูให้เขา จากนั้นค่อยใช้ผ้าสะอาดเช็ดออกอีกที..ตลอดทุกการกระทำเซนยังคงมองผมไม่วางตา จนผมเริ่มที่จะเกร็งๆขึ้นมาแล้ว

“จะมองอะไรนักหนาเล่า”

“คุณหมอมือเบาจัง”

“ก็ต้องเบาสิ จะให้ผมถูหน้าคุณแหกเลยไหม” ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขา เซนเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาปล่อยให้ผมเช็ดตัวให้เขาต่อ

ผมเช็ดช่วงแผ่นอกและหน้าท้องแบบเดียวกัน โดยที่ระวังช่วงแผลเขาเป็นพิเศษ ก่อนจะต้องเดินไปเปลี่ยนน้ำมาอีกครั้งเพราะมันเต็มไปด้วยคราบสบู่แล้ว

ผมเช็ดแขนให้เขา เซนเองก็ยกแขนอำนวยความสะดวกซะจนน่าหมันไส้ จากนั้นผมจับมือเขาทั้งสองข้างมาแช่ลงในอ่าง ฟอกสบู่ให้ทั่วทั้งมือซอกนิ้ว ก่อนจะล้างให้สะอาดแล้วซับน้ำให้แห้ง ผมละเกลียดตาสีน้ำตาลอ่อนที่เลื่อนมองผมทุกการกระทำนี่ชะมัด

“มือคุณหมอนุ่มจัง” เขาพูดทั้งที่สายตาแพรวพราว

“มือคุณก็หยาบฉิบหายเลย” ผมย้อน เซนหลุดหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

ผมขยับผ้าห่มที่กองอยู่ให้กางคุมช่วงล่างเขาเอาไว้ ก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มเพื่อที่จะถอดกางเกงเขาออก

“โว้ว!..ถ้าคุณหมอถอดกางเกงผมออกผมโล่งเลยนะ” เซนรีบเบรกผมหน้าตาตื่น สองมือเขากำขอบกางเกงตัวเองเอาไว้แน่น

“จะมาอายอะไรกับหมอ..อีกอย่างผมเองก็ผู้ชายเหมือนกัน”

“กับหมอหรือพยาบาลผมก็ไม่อายหรอก ที่ผมอายเพราะคุณคือคนที่ผมชอบต่างหาก”

“หึ..เฉยๆเถอะ จะได้เสร็จสักที ผมไม่แอบดูเจ้าหนูของคุณหรอก” ผมไม่รอให้เขาได้พูดอะไรอีก อาศัยจังหวะที่เซนผ่อนแรงลงเพราะเอาแต่เถียง กระชากทีเดียวกางเกงยางยืดขายาวของเขาก็หลุดออกมาทางปลายเท้าแล้ว

เซนทิ้งหัวลงกับหมอนแรงๆอย่างยอมแพ้ ปล่อยให้ผมจัดการเขาจนเรียบร้อย ผมหยิบกางเกงตัวใหม่ที่เตรียมมาใส่ให้ก่อนจะดึงผ้าห่มออกแล้วหันไปเตรียมผ้าพันแผลเพื่อที่จะเตรียมพันให้เขา เพราะไมเคิลเพียงแค่เย็บแล้วปิดปากแผลเอาไว้ก็เท่านั้น

--

“ยังไม่เลิกเขินผมอีกหรอ” ผมถามขำๆเมื่อหันกลับมาเห็นสีหน้าเขา

“คุณขืนใจผม”

“บ้าแล้ว..ลุกนั่งดีๆผมจะพันแผลให้ คุณจะได้นอนพักสักที” เซนค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่าย ถึงเขาจะทำตัวเหมือนไม่เป็นอะไรมากแต่จากสีหน้าเขาที่แสดงออกมาตอนที่พยายามลุกขึ้นนั่งมันดูท่าจะเจ็บอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ยกแขนขึ้นหน่อย” เซนทำตาม แต่พอจังหวะที่ผมอ้อมแขนไปด้านหลังเพื่อที่จะพันแผลให้เขาเซนกลับทิ้งแขนลงมาคล้องคอผมเอาไว้หลวมๆ

“ผมบอกให้ยกแขนไม่ใช่กอดคอผม”

“ก็ยกนานๆมันก็เมื่อย ผมแค่หาที่วางแขน” ก็พอจะเชื่อได้อยู่หรอกนะถ้าผมให้เขายกค้างไว้สักครึ่งชั่วโมง แต่นี่มันยังไม่พอจะสองนาทีเลย

“แต่ผมทำไม่ถนัด เอาออกไปเลย”

“หน่า..ผมเมื่อย ผู้ชายเพื่อนกันก็กอดคอกันเป็นปกติแบบนี้แหละ” ปกติบ้างมึงสิ มีผู้ชายที่ไหนมานั่งหันหน้าคล้องคอกันอย่างที่ผมกับเขาทำอยู่ตอนนี้หรอ แน่นอนว่าไม่ใช่ผมแน่ๆ..ขนาดกับไอ้คุณสนิทกันมากมองหน้ากันนานๆยังขนลุกเลย

“กวนตีน..” ผมแอบด่าเขาเป็นภาษาไทย ถึงผมจะแค่พูดเบาๆในลำคอแต่เขาก็คงได้ยินมันชัดอยู่แล้วในเมื่อระยะห่างระหว่างเรามันน้อยแค่นี้

“คำนี้อีกแล้ว ผมได้ยินคุณหมอพูดเป็นครั้งที่สองแล้วมันแปลว่าอะไร”

“ไม่ต้องรู้หรอก”

“คุณแอบว่าผมแน่ๆเลย”

“หึ..เดาดูสิ” ผมยกยิ้ม

“ผมละเกลียดหน้าตาเจ้าเล่ห์ของคุณหมอตอนนี้ชะมัด” ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปแบบไหนเขาถึงบอกว่าผมทำหน้าเจ้าเล่ห์ แต่พอเขาว่าผมเลยดึงหน้าใส่เขาแทน

“เงียบได้แล้ว แขนจะวางก็วางไป แต่ช่วยหยุดพูดแล้วอยู่เฉยๆด้วยผมจะทำงาน”

“ครับผม” ผมละอยากจะซัดเขาซักหมด ไอ้ที่เคยบอกว่าเขาน่ารักน่ะขอถอนคำพูดเลย คนแบบเซนคำว่ากวนตีนคงอธิบายตัวตนเขาได้ดีที่สุดแล้ว

--

“คุณหมอจะไปไหน” เขาถามเมื่อผมพันแผลห่มผ้าให้เขาเรียบร้อยแล้วเก็บของเตรียมจะเดินออกไป

“ก็เอาของไปเก็บไง แล้วก็จะไปทำอย่างอื่นด้วย”

“อยู่กับผมสิ”

“ผมไม่ใช่หมอประจำตัวคุณนะ” ผมว่า เขาทำให้วันนี้ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากขลุกอยู่แต่กับเขา

“แต่คุณเป็นเพื่อนผมไง อยู่ดูแลเพื่อนไม่ได้หรอ” พอผมบอกให้เป็นเพื่อนก็เอาคำนี้มาต่อรองพร่ำเพรื่อ

“ผมดูแลไปหมดแล้ว ก็นอนซะสิ”

“...” เซนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่มองผมด้วยสายตาของหมาบีเกิ้ล ผมถอนหายใจออกมากอย่างอ่อนใจ เฮ้อ..ผมว่าผมต้องแพ้สายตาแบบนี้ของเขาแน่ๆเลย

“โอเค ผมแค่จะเอาของไปเก็บ แล้วจะหาข้าวหายามาให้คุณ แล้วก็ช่วยอยู่เฉยๆด้วย..ไม่อย่างนั้นไม่พ้นคืนนี้คุณต้องนอนไข้ขึ้นเพราะแผลอักเสบแน่ๆ”

“ครับคุณหมอ”


หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่6 ยา] 21/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 21-06-2017 23:35:51
- 6 -
Medicine
   


เซนหลับไปแล้ว..แต่ก็ยังไม่วายทิ้งปัญหาไว้ให้ผม มือเขาจับมือผมเอาไว้แน่นจนเหงื่อเริ่มซึม พอผมจะแกะมือเขาออกก็ทำท่าว่าจะตื่นขึ้นมาจนผมต้องยอมปล่อยให้อยู่อย่างนั้น

ผมอยากให้เขาได้พักผ่อนจริงๆสักที ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เอาแต่กวนประสาทไม่หยุด ใช่ว่าตัวเองจะหายแล้วเมื่อไร แล้วไอ้แผลที่บอกจนเหนื่อยว่าให้ระวังก็ไม่เห็นจะใส่ใจ ทั้งที่เจ็บมากขนาดนั้นแท้..เชื่อสิเขาต้องไข้ขึ้นแน่ๆ

ผมยกนาฬิกาขึ้นดู..นี่มันก็ได้เวลาที่ปกติผมจะไปพักผ่อนแล้วแต่คนบนเตียงก็ยังไม่ยอมปล่อยผมเลย ผมเหลือบมองเขาอีกครั้งว่าเจ้าตัวหลับสนิทมากแค่ไหน พอมั่นใจว่าเขาคงไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆแกะมือเขาออกจากเบามือแล้วลุกออกมา

ผมกลับมาที่ห้องพักตัวเองแล้ว รู้สึกเมื่อยอยู่เหมือนกันที่ต้องนั่งนานๆ ตัดสินใจไปอาบน้ำ..เผื่อว่าสายน้ำเย็นๆจะทำให้ผมสบายตัวขึ้นบ้าง

ผมยืนนิ่งอยู่ใต้ฝักบัว ปล่อยให้กระแสน้ำไหลผ่านตัวๆไปเรื่อยๆ เรื่องของเซนที่ผมแสดงออกไปอย่างนั้นไม่ใช่ว่าผมไม่กังวล การที่จะมีผู้ชายคนหนึ่งมาชอบตัวเองทั้งที่ตัวผมเองไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันแบบนั้น แถมคนนั้นยังเป็นคนที่ผมคิดว่าเขาเป็นเพื่อนอีก จะไม่ให้คิดอะไรเลยก็คงไม่ได้

ผมพยายามที่จะรักษาน้ำใจเขา แต่ก็ยอมรับว่าลึกๆในใจผมเองก็เปลี่ยนไป ผมไม่สนิทใจกับเขาเท่าเดิมแค่เพราะรู้ว่าเขาชอบผม..มันไร้สาระมาก

ยังไงเขาก็ยังเป็นเพื่อนของผม..ผมพยายามบอกตัวเองแบบนั้น แต่เซนไม่ให้ความร่วมมือเลย เขารุกผมหนักมาก จนบางทีผมก็อาจจะตั้งรับไม่ไหว

ผมให้เขาได้เท่านี้..เขาเป็นได้แค่เพื่อนสำหรับผม..เพื่อนสนิท และผมก็พยายามที่จะให้เขาตัดใจก่อนที่ทุกอย่างจะถลำลึกไปมากกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกันเซนเองก็พยายามที่จะเปลี่ยนใจให้ผมชอบเขา

ตอนนี้มันกลายเป็นการแข่งขันขนาดย่อมที่มีเรื่องของหัวใจเป็นเดิมพัน ไม่ผมก็เขาที่จะทำสำเร็จ หรือบางทีอาจจะไม่เลยทั้งสองคนเลยก็ได้ ปล่อยให้เวลาเป็นตัวกำหยดทุกอย่างก็แล้วกัน

ผมควรเลิกคิดได้แล้ว..ก่อนที่ตัวเองจะเป็นปอดบวมตาย พอคิดได้อย่างนั้นก็ตัดสินใจปิดฝักบัว เสยผมที่เปียกลู่ขึ้นลวกๆก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวมาซับให้พอหมาดแล้วพันออกนอกห้องน้ำไป

แม้ที่นี่จะอากาศไม่เย็นมากอย่างที่คนอื่นว่า แต่เทียบกับผมที่เป็นคนไทย เจอแต่อากาศร้อนๆแล้วละก็ที่นี่เย็นจนเกือบหนาวเลยล่ะ แม้จะมาอยู่ได้อาทิตย์กว่าแล้วแต่ก็ยังปรับตัวไม่ได้สักที ถ้าผมยังไม่รีบไปแต่งตัวตอนนี้คงไม่พ้นหวัดกินแน่ๆ

ผมมาหาเซนอีกครั้งตอนช่วงพักเบรกตอนกลางวัน ท่าทีที่นอนหนาวสั่นเหมือนคนจับไข้ทำให้ผมรีบสาวเท้ายาวๆไปหาเขา ยื่นมือไปแตะซอกคอเพื่อวัดอุณหภูมิ..เซนสะดุ้งเบาๆ ตัวเขาร้อนมาก มากเกินไปด้วยซ้ำ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เขาอาจจะช็อคได้

“เซน! เซน!” ผมไม่กล้าเขย่าเขาแรงกลัวกระเทือนแผลเขา แต่ก็ไม่ได้เบาจนคนปกติไม่รู้สึกตัว..แต่นี่เขาไม่ตอบสนองผมเลย

แล้วนี่เจ้าหน้าที่ทำงานยังไงกัน ทำไมถึงไม่มีใครมาดูแลเขาเลย ทั้งๆที่อาการเขาควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยซ้ำ

“เซน..ได้ยินผมไหม” ผมเรียกเขาอีกครั้งแต่ก็ยังเหมือนเดิม ปากเขาสั่นจนได้ยินเสียงฟันกระทบกัน

“ขอโทษนะครับ คนไข้ที่ผ่าตัดเอาเหล็กออกตอนนี้ไข้ขึ้นสูงมาก ทำไมไม่มีใครดูแลเขาเลย” ผมตัดสินใจปล่อยเซนไว้คนเดียวก่อนแล้วเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่พยาบาลที่ดูแลอยู่ ผมพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร..ทั้งที่ปกติผมจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่านี้

“เมื่อสองชั่วโมงก่อนฉันไปดูแล้วนะ เขาบอกว่าคุณจะเข้ามา ไม่ให้ฉันทำอะไรคุณจะดูแลเขาเอง”

“เขาบอกอย่างนั้นหรอ..” ผมพูดออกมาเสียงเบา อารมณ์ผมตอนนี้คืออยากจะเดินย้อนกลับไปที่เตียงแล้วเขย่าไอ้ตัวเจ้าปัญญานั่นให้ลุกขึ้นมาซะ ทำไมเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องๆเล่นๆไปได้วะ

“ใช่ค่ะ”

“ถ้างั้นคุณช่วยเตรียมยาลดการอักเสบและยาลดไข้ไปฉีดให้เขาก่อน ผมกลัวว่าเขาจะช็อคไป”

“ค่ะ”

ทำอะไรไม่รู้เรื่อง ตอนนี้คนอื่นเขาวุ่นวายกันไปหมดแล้ว..เกิดผมไม่เดินมาหาเขา..เขาแย่แน่ๆ คิดแล้วก็โมโห อยากจะปลุกมาด่าแล้วซัดอีกสักหมัด..ถึงจะเจ็บตัวอยู่ก็เถอะ

“ฝากคุณช่วยเช็ดตัวให้เขาและดูแลเขาด้วยนะครับ ถ้าหากเขาฟื้นขึ้นมาบอกเขาว่าเดี๋ยวผมกลับมา ผมต้องไปที่เต็นท์อำนวยการก่อน” ผมหันไปมองคนที่นอนปากซีดตัวสั่นอยู่บนเตียงอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป

Zayn’s Part

ผมรู้สึกได้ถึงความเย็นสบายบริเวณใบหน้า พอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นเรื่อยๆความปวดหัวก็โจมตีเข้ามาอย่างจังจนผมรู้สึกหนัก ขยับตัวแทบไม่ไหว

“คุณหมอ..” ผมพยายามเปล่งเสียงออกไปแม้ว่ามันจะลำบากเหลือเกิน ยกมืออีกข้างขึ้นเพื่อหยุดมือเขาที่กำลังเช็ดตัวผมก่อน สัมผัสที่ไม่คุ้นชินทำให้ผมต้องฝืนเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความสงสัย

“ขอโทษครับ” ผมขอโทษก่อนจะละมือออกเมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่คุณหมอของผม

“ไม่เป็นไรค่ะ” เขาส่งยิ้มบางๆมาให้ก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้ผมก่อน แม้ว่ามันจะสบายตัวขึ้นแต่มันไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไรเลย ตัวผมร้อนมากจนรู้สึกได้แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันหนาว กล้ามเนื้อเมื่อยล้า แล้วยังปวดหัวจนแทบระเบิดอีก

แม้ว่าจะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแต่ผมกลับไม่หิวไม่มีความอยากกินอะไรเลยทั้งนั้น จะขยับตัวก็เจ็บแผลแถมไม่มีแรง คนที่อยากเห็นหน้าก็ไม่มา..นี่มันทรมานสุดๆไปเลย

“คุณหมอบอกว่า เดี๋ยวคุณหมอจะเข้ามานะคะ” คำพูดทิ้งท้ายของเจ้าหน้าที่พยาบาลก่อนที่เขาจะเดินออกไปไม่ต่างอะไรกับโอเอซิสสำหรับผม

ผมปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ตอนนี้แม้แต่กระบอกตายังรู้สึกร้อนไปหมดจนน้ำตาจะไหลเลย ด้วยความอ่อนเพลียไม่ช้าก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง

--

“เซน..” ได้ยินเสียงเหมือนคนเรียกชื่อตัวเองมาจากที่ไกลๆ

“เซน..ได้ยินไหม” เสียงนั้นเด่นชัดอีกครั้ง มาพร้อมกับแรงเขย่าตัวผมเบาๆ สัมผัสจากฝ่ามือคู่นั้นมันคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด จนผมต้องพยายามฝืนตัวเองตื่นขึ้นมาให้ได้

“ลุกขึ้นมากินอะไรก่อน วันนี้คุณยังไม่ได้กินอะไรเลย” ผมกระพริบตาช้าๆอยู่สักครู่กว่าจะปรับโฟกัสตัวเองได้ก็เกือบครึ่งนาที รอยยิ้มโง่ๆหลุดออกมาแค่เพราะรู้ว่าเจ้าของเสียงที่เรียกผมคือคนที่ผมรอ แต่อีกคนกลับหน้าเรียบนิ่งไม่ได้แสดงอะไรออกมา

“ผม..ไม่หิว” คอมันขมไปหมดแล้ว..ไม่อยากกินอะไรเลย แถมยังปวดหัวจนแทบระเบิดขนาดนี้ ผมกลัวว่าตัวเองจะอ้วกออกมาซะก่อนกระเพาะจะทันได้ย่อย

“ไม่หิวก็ต้องกิน ไม่ได้ให้เลือก เลิกดื้อแล้วทำตามซะ” ฟังจากน้ำเสียงแล้วคุณหมอเริ่มจะไม่ค่อยสบอารมณ์แล้ว

“ผมลุกไม่ไหว” คราวนี้ไม่ได้แกล้ง..ผมไม่ไหวจริง คุณหมอพอเห็นสีหน้าผมเขาเลยเข้ามาพยุงให้ผมค่อยนั่งพิงหมอนช้าๆ มือเขาแตะลงมาตรงซอกคอผมเพื่อวัดอุณหภูมิก่อนจะละออกไปเตรียมอาหารให้

ช้อนถูกยื่นมาตรงหน้า ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันเป็นเหมือนอาหารเหลวๆบดรวมกันดูไม่น่ากินเอาซะเลย แต่เพราะคนป้อนเป็นเขาผมถึงยอมเปิดปากรับมันเข้ามาอย่างว่าง่าย

ผมไม่สามารถบอกได้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง ตอนนี้ต่อมรับรสผมพังไปแล้ว แถมยังพะอืดพะอมเต็มที แต่เพราะอีกคนที่ตั้งใจป้อนทำให้ผมต้องฝืนกินอยู่เรื่อยๆ แต่สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว ยกมือจับข้อมือเขาดันออกไป

“พอแล้วครับ”

“พึ่งจะกินไปไม่กี่คำเอง”

“ผมไม่ไหวแล้ว..” เขาไม่ได้เซ้าซี้อะไรผมต่อ เพียงแค่ยื่นแก้วน้ำมาให้

--

“ที่ผมเตือนคุณทำไมไม่ฟังกันบ้าง บอกว่าแผลจะอักเสบแล้วมันจะแย่ไปกันใหญ่ แล้วยังเรื่องวันนี้ที่คุณไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่คนอื่นดูแลอีก ผมรู้ว่าคุณรอผม..อยากให้ผมมา แต่ผมก็พูดไปหลายรอบแล้วว่าผมไม่ได้ดูแลแค่คุณนะ เกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมาผมไม่รู้สึกผิดแย่เลยหรอ รู้ไว้ซะว่าที่คุณทำแบบนี้ผมโกรธคุณมาก” คุณหมอพูดออกมายาวเหยียดหลังจากปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่สักพัก แต่สายตาของเขามันไม่ได้แสดงออกว่าโกรธผมอย่างที่เขาพูดเลย ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงจากเขา

ทำไมน่ารักขนาดนี้นะ

“ผมขอโทษ”

“เอาเถอะ ความจริงผมก็ไม่ได้โกรธคุณขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าคุณยังทำอะไรไม่รู้เรื่องอีก บอกไว้ก่อนเลยว่าผมจะไม่มาเจอคุณอีกจนกว่าคุณจะหายดี” ถือว่าเป็นคำขู่ที่มีผลต่อจิตใจผมเหลือเกิน แค่คิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเขาก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาแล้ว

“แล้วผมจะได้กลับไปทำงานเมื่อไร”

“นั่นมันขึ้นอยู่กับตัวคุณ ถ้าทำตัวดี ว่าง่ายก็ไม่กี่วันหรอก” ผมพยักหน้ารับ

ความจริงผมอยากจะคุยกับเขาต่อจะแย่ แต่ร่างกายผมมันแย่เกินกว่าจะทำไหว อยากจะมองเขาอยู่อย่างนี้นานๆ แต่เปลือกตามันก็เอาแต่จะปิดลงทุกเมื่อ ผมว่ายาที่เขาให้ผมกินเข้าไปหลังอาหารมันต้องทำให้ผมง่วงด้วยแน่ๆ

คุณหมอเป็นคนที่น่ารักมาก ไม่ใช่เพราะใบหน้าของเขาหรอก แต่เพราะที่เขาเป็นต่างหาก ผมรู้สึกถูกชะตากับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เป็นความรู้สึกว่าจะต้องเข้าไปทำความรู้จักกับเขา..จะปล่อยผ่านไปไม่ได้

รู้ตัวอีกทีผมก็ชอบเขาซะแล้ว เรียกว่าหลงเลยเถอะ คุณหมอทำอะไรผมก็ว่าดี ด้วยนิสัยของผม..ผมไม่ชอบที่เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ บางทีมันอาจจะเป็นการปิดกั้นตัวเองถ้าหากไม่พูดออกไป ผมเลยบอกเขาไปตามตรงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าคุณหมอคิดกับผมยังไง

แต่ถ้าหากเรายอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มมันก็ไม่ต่างอะไรกับคนขี้ขลาด ผมเชื่อว่าใจคนเราต่อให้แข็งยังไงมันก็ต้องมีสักวันที่ยอมอ่อนลง มันคงไม่ผิดอะไรถ้าผมจะดื้อดึงในเมื่อคุณหมอเองก็ไม่มีใคร

“จะฝืนตัวเองทำไม..ไม่ไหวก็หลับไปซะสิ ตาจะปิดอยู่แล้ว”

“ผมกลัวว่าผมจะไม่ได้เห็นคุณ ถ้าผมหลับตา..คุณหมอก็จะกลับไป”

“ผมจะไม่ไปไหน พักผ่อนเถอะ ตื่นมาคุณจะเห็นผมเป็นคนแรก” เขายกยิ้มให้ผมบางๆซึ่งมันดีต่อใจเหลือเกิน แม้ว่าสายตาของเขาจะเหมือนเจ้าของที่เอ็นดูลูกหมาอยู่ก็ตาม

“คุณพูดจริงหรอ”

“ผมสัญญา” เท่านั้นผมก็เหมือนโดนตัดสวิตส์ไฟ ผมไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว นอกจากเสียงของเขาที่กังวานอยู่ในหัวผม ที่ว่าถ้าผมตื่นมา..ผมจะเห็นเขาเป็นคนแรก

เขาคือยาที่ดีที่สุดของผม

..
....

หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่6 ยา] 21/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 22-06-2017 13:15:59
ป่วยแต่อ่อย
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่6 ยา] 21/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: hoshinokoe ที่ 22-06-2017 17:13:04
เซน ตัลลั๊คค ขี้อ่อนอ่าาาา
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่6 ยา] 21/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 22-06-2017 19:21:23
พยายามเข้านะเซน  :impress2:
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่7 รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง] 22/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 22-06-2017 23:44:36
- 7 -
Risking is better than regretting
   


ผมไม่ได้อยู่เฝ้าเขาอย่างที่สัญญากับคนป่วยไว้หรอก ผมก็มีอย่างอื่นให้ต้องไปทำ แต่ผมก็กลับมาทันตอนที่เข้าฟื้นนะ..และเขาก็ได้เห็นผมเป็นคนแรกอย่างที่ผมพูดเอาไว้

เซนทำตัวดีมาก เชื่อฟังไมเคิล ไม่ทำอะไรให้ต้องปวดหัววุ่นวายกันอีกแล้ว ด้วยความที่ยังหนุ่มยังแน่น..ร่างกายเขาแข็งแรงอยู่แล้วเลยสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่กี่วันเข้าก็สามารถกลับเข้าไปทำงานที่เขากังวลได้แล้ว

“ผมจะต้องคิดถึงคุณหมอมากแน่ๆเลย” คนตัวสูงพูดอย่างน่าหมันไส้จนผมต้องทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขา

“ผมไม่ได้ส่งคุณไปสนามรบเลยนะ”

--

เกือบหนึ่งเดือนแล้วครับที่ผมมาอยู่ที่นี่ ผมว่าผมปรับตัวได้ค่อนข้างดีเลยนะ ตอนนี้งานของผมไม่เหนื่อยอะไร มีคนไข้ทางจิตเวชที่อยู่ในความดูแล้วของผมอยู่พอสมควร แต่มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร

คนไข้ส่วนมากจะเป็นเด็กวัยรุ่นครับ ช่วงอายุประมาณ14-19ปี โดยปกติแล้วช่วงวัยอายุประมาณนี้ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว เพราะอยู่ในช่วงที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โรคทางระบบประสาทส่วนมากก็เกิดจากฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นระบบประสาทนี่ละครับ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวซะทีเดียว

เรื่องแวดล้อมก็สำคัญ ซึ่งเด็กๆที่ผมดูแลส่วนมากสาเหตุการป่วยของพวกเขาก็เกิดจากทั้งสองอย่างนี้ร่วมกัน

เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้อยู่ที่สถานพยาบาลเท่าไรหรอก ตรงนั้นไม่มีงานอะไรให้ผมทำ และผมเองก็ไม่ชอบที่จะอยู่เฉยๆเลยชอบข้ามมาอีกฝั่งบ่อยๆ การได้พบเจอและพูดคุยกับคนอื่นบ้างมันทำให้ผมรู้สึกดีแต่ในทำนองเดียวกันบางครั้งก็แย่เหมือนกัน

“วันนี้มาแต่เช้าเลยนะครับ” เสียงของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผมทักขึ้นทำเอาผมสะดุ้ง เอาจริงๆเซนก็ทักอย่างนี้ทุกวันทั้งที่ผมก็มาเวลาเดิมทุกวัน

“ผมเคยมาสายกว่านี้ด้วยหรอ” ผมหันไปเลิกคิ้วถามเขา

“ความจริงก็ไม่” เขาพูดออกมาซื่อๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเปลี่ยนคำทักทายบ้างเถอะ” ผมบอกก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่อีกคนก็ไม่ได้ลดความพยายามที่เดินตามผมมาอยู่ดี

“วันนี้คุณคิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไร” เขาถามก่อนจะเดินมาดักทางด้านหน้าเพื่อเรียกร้องความสนใจ

“ผมแค่กะว่าจะมาคุยกับอันยา ช่วงนี้เขาดูเครียดๆ ผมกลัวว่าที่เขาดีขึ้นแล้วมันจะแย่ลง” อันยาเป็นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ผมดูแล เธอน่าเห็นใจตรงที่ต้องมาเสียพ่อและแม่ไปพร้อมกันจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนั้น

ตอนที่ผมเห็นเธอครั้งแรกเรียกได้ว่าน่าเป็นห่วงมาก ท่ามกลางเด็กหลายร้อยคนที่แออัดกันอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแต่อันยาเป็นคนแรกที่ผมจดจำได้ เธอนั่งกอดเข่าอยู่คนเดียว ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร หน้าตาซูบโซมราวกับคนอดนอน

ผมไม่ลังเลเลยที่จะเดินเข้าไปคุยกับเธอ มันไม่ง่ายที่อันยาจะยอมเปิดใจพูดออกมา เล่าถึงสิ่งที่เธอเป็น ยิ่งเราไม่สามารถสื่อสารกันได้โดยตรงต้องมีคนที่สามเข้ามาช่วยเป็นล่ามให้มันยิ่งยากที่จะทำให้เธอยอมรับความช่วยเหลือจากเรา

แต่เซนก็ทำมันได้ดี เขาช่วยผมได้เยอะเลยทีเดียว

อันยาค่อยๆเปิดรับผมที่ละน้อย ผมเองก็ให้เวลาเขา..ไม่เร่งรัดจนเกินไป สุดท้ายผมก็ได้รับรู้ว่าอะไรทำให้อันยาป่วยอยู่อย่างนี้

ไม่ต่างอะไรกับเด็กๆหลายคนที่นี่ที่เสียพ่อแม่อันเป็นที่รักไป อาจจะหนักหนากว่าหน่อยที่อันยาเห็นพวกเขาสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา

เธอบอกว่าพระเจ้าทอดทิ้งเธอ ใจร้ายกับเธอ ที่ให้เธอเจอกับเรื่องราวแบบนั้นแต่กลับไม่ให้เธอไปกับครอบครัวของเธอ

เป็นอีกเรื่องนี่น่าหดหู่ อันยาร้องไห้อยู่กับตัวเองหลายวัน เจ้าตัวบอกผมเองว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่วันที่เขาเอาแต่นั่งนิ่งๆปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา รู้ตัวอีกทีก็ไม่มีอะไรให้ไหลออกมาแล้ว

เธอนอนไม่หลับ ต่อให้พยายามแค่ไหนก็นอนไม่หลับ ได้ยินเสียงใครต่อใครต่อว่า ด่าทอ นินทา ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริงแต่อันยาไม่สามารถแยกออกได้ว่าที่ได้ยินมันเป็นเพียงแค่ที่สมองเธอคิดขึ้นมาก็เท่านั้น เธอถึงได้เลือกที่จะออกไปนั่งอยู่คนเดียวเพื่อที่จะไม่ได้ยินเสียงใคร..แต่เสียงเหล่านั้นก็ตามมาหรอกหลอนเธออยู่ดี

เคสแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในวัยรุ่นครับ สมองสั่งการหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ อาการหลักๆเลยคือจะมีอาการหูแว่วจนนอนไม่หลับ สมองไม่ได้พักผ่อน แต่ความรุนแรงของอาการก็จะแตกต่างก็ไปตามแต่ละแวดล้อม แต่ละกรณี

“ถ้าอย่างนั้นคุณหมอก็ต้องให้ผมช่วยแล้วล่ะ” เซนอาสาก่อนจะยิ้มกว้างออกมา ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรคนตัวสูงก็ถือโอกาสคว้าข้อมือผมแล้วเดินนำไป

“ใครบอกจะให้ช่วย ภาษาฝรั่งเศสผมดีขึ้นเยอะแล้ว” ถึงจะยังไม่ได้ดีพอที่จะสื่อสารขนาดนั้นหรือใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ผมว่าผมก็พอเข้าใจอยู่บ้างนะ

“ให้ผมช่วยดีกว่าเป็นไหนๆ คุณหมอจะลำบากตัวเองไปทำไม” ผมก็ได้แต่ปล่อยเลยถามเลย บางทีผมก็คิดนะ..ที่วันนี้เซนเอาแต่มาเดินตามผมเป็นเงาขนาดนี้ งานการไม่มีทำรึไงวะ

--

ผมก็เห็นใจเซนเหมือนกันนะ แต่เรื่องแบบนี้มันก็พูดยาก..ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ผมไม่สามารถชอบเซนได้..พอๆกับที่เซนเองก็เลิกชอบผมไม่ได้ เราเลยอยู่ด้วยความสัมพันธ์กันแบบนี้

“ไม่เหนื่อยบ้างหรอที่เอาแต่ไล่ตามผม” ผมพูดขึ้นมาหลังจากที่เราทั้งคู่เดินออกมาจากบ้านหลังแรกนั่น ความจริงผมอยากจะถามเขาตั้งนานแล้ว..ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทุ่มเทให้ผมขนาดนี้

มันก็นานมาแล้วที่เขาแสดงออกว่าชอบผมอย่างเปิดเผย เซนหันมามองผมขณะเดียวกันผมเองก็มองเขาอยู่..ตาสีน้ำตาลอ่อนสบกับผมโดยบังเอิญ

“เหนื่อยสิครับ เหนื่อยมาก” ถึงเขาจะพูดอย่างนั้นแต่รอยยิ้มที่ประดับอยู่ที่ริมฝีปากบางของเขาไม่เข้ากับที่เขาพูดออกมาเอาซะเลย

“..ถ้าเหนื่อย นายเคยคิดจะหยุดบ้างไหม” บางทีผมก็อยากให้เขาตัดใจได้จริงๆ มีคนมากมายพร้อมที่จะเข้าหาเขา ตอบรับความรู้สึกของเขา เซนไม่ควรที่จะปิดกั้นตัวเองโดยการเอาแต่วิ่งตามผมแบบนี้

“ก็บ่อยไป แต่พอผมได้เห็นหน้าคุณ..ความคิดพวกนั้นมันก็กระเด็นหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้” เขาตอบสบายๆอย่างที่ชอบทำ

“หึ..บางทีถ้ากลับกัน เป็นผมที่ชอบคุณ ผมคงล้มเลิกความพยายามไปแล้ว” ผมพูดออกไปตามที่คิด ไม่รู้สิ..ผมไม่เคยพยายามเพื่อความรักมากขนาดที่เซนทำอยู่นี่เลย

“ที่ผมยังอยู่ตรงนี้ที่คุณขีดไว้ว่าเฟรนด์โซนไม่ใช่ว่าผมพยายามอะไรหรอก ผมก็คงจะเลิกยุ่งไปกับคุณหมอแล้วถ้าที่ผมทำมันเป็นสิ่งที่ผมพยายามจะทำ..แต่ที่ผมยังอยู่ตรงนี้ ข้างๆคุณแบบนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรเลย” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาของเขาที่ประสานกันอยู่ตลอดรึเปล่า ผมถึงได้รู้สึกว่าผมรับรู้ความรู้สึกของเขาได้มากกว่าที่เคย

ผมสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็น..นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มที่อยากจะลองให้โอกาสคนตรงหน้าสักครั้ง ก่อนจะต้องสลัดหัวไล่ความคิดพวกนั้นไปอย่างรวดเร็ว

หรือนี่จะเป็นอาการที่เรียกว่าหวั่นไหวกันวะ

มีหลายอย่างที่เขาทำเพื่อผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างคอยเป็นที่รับฟังเวลาที่ผมอยากหาที่ระบาย และเรื่องใหญ่อย่างช่วยชีวิตผมเอาไว้ แต่ผมกลับไม่เคยพยายามทำอะไรให้เขาบ้างเลย

“แล้วนี่คุณหมอจะไปไหน จะกลับเลยหรือเปล่าหรือจะไปที่เชลเตอร์ผม” เสียงเซนที่เรียกทำให้ผมกลับสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

“จะไปทำเชลเตอร์นาย” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ถึงตอนนี้ผมจะไม่รู้ว่าทำอะไรต่อผมก็ควรจะกลับไปที่เต็นท์อำนวยการหรือสถานพยาบาลมากกว่าที่พักของคนตรงหน้านี่แน่ๆ

“ก็แค่ถามเผื่อฟลุ๊ค”

“ห๊ะ?” เมื่อกี้นี่เขาพึมพำอะไรวะ

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก มาผมเดินไปส่ง”

“ไปทำงานเถอะ ผมกลับเองได้”

“คุณหมอก็รู้นี่ว่าห้ามไปก็เท่านั้น” นั่นสินะ..ผมไม่ควรเสียเวลาห้ามเขาหรอก ในเมื่ออีกคนดื้อด้านซะขนาดนี้

เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ เราเพียงแค่เดินข้างกันเงียบๆแต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศมันก็ไม่ได้น่าอึดอัดอะไร

ไม่ช้าเราก็มาถึงทะเลสาบ หรือที่เราเรียกว่าฐานลับ ผมหยุดมองมันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เราทั้งคู่จะตัดสินใจขอหยุดพักอยู่ตรงนี้สักพัก

“ผมถามได้ไหม ว่าที่ผมทำไป..มันพอจะมีหวังบ้างรึเปล่า” อยู่ดีๆอีกคนก็เปิดประเด็นด้วยโทนเสียงที่น่าฟังอันเป็นเอกลักษณ์ เรียกสายตาผมให้ฟันไปมองเขาอย่างช่วยไม่ได้

“คิดว่ายังไงล่ะ” ผมไม่ตอบแต่ถามเข้ากลับแทน

“ไม่ผิดใช่ไหมถ้าผมจะคิดเข้าข้างตัวเอง”

“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรเขาต่อ ถ้าบอกว่าใช่มันก็ดูจะให้ความหวังอีกคนมากเกินไป ถ้าไม่ก็เท่ากับผมโกหกเขา..โกหกตัวเอง สู้ผมไม่ตอบอะไรเลยมันคงจะดีซะกว่า

“ผมไม่เคยเจอใครใจแข็งอย่างคุณหมอเลย” เขาตัดพ้อก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆจนผมหลุดขำกับท่าที่เด็กน้อยและหน้าตางอแงแบบนั้นของเขา

“...”

“ขนาดผมเองยังใจแข็งได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคุณเลย ผมเคยคิดนะว่าถ้าผมลองหายไปคุณหมอจะรู้สึกว่าอะไรบางอย่างขาดหายไปหรือเปล่า แต่ผมก็กลัวคำตอบ..ถ้าเกิดมันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมหวัง..ผมจะทำยังไง”

“...”

“และพอผมคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าคุณ ผมก็โยนความคิดพวกนั้นทิ้งไปหมดแล้ว..ให้ตายสิ คุณไม่รู้หรอกว่าผมชอบคุณหมอมากแค่ไหน”

“...” ที่เขาพูดมามันเป็นครั้งที่เขาเปิดเผยออกมาขนาดนี้ เขาทำผมพูดไม่ออกเลย เขาดูเป็นคนที่ซื่อตรง ศรัทรา และหนักแน่นในความรัก ในขณะเดียวกันผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความรักเลย

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคบใคร..แต่ผมไม่เคยพยายามทำอะไรเพื่อความรักอย่างที่เขาทำเลย

“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ผมเสี่ยงให้ใจคุณไปแล้ว ก็คงต้องพยายามกันต่อไป”

“ทั้งๆที่รู้ว่าผมคิดยังไง แต่ก็เลือกที่จะเสี่ยงอย่างนั้นหรอ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

Risking is better than regretting” เขาพูดไว้เท่านั้นก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินย้อนกลับไปทางที่ผมกับเขาพึ่งเดินจากมา

--

ผมลูบหน้าตัวเองช้าๆ ยอมรับเลยว่านอกจากเรื่องงาน เรื่องคิดถึงบ้าน เรื่องเดียวที่ผมคิดก็คือเรื่องของเซนนี่ล่ะ เขาทำให้ผมปั่นป่วนได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะวันนี้

หรือบางทีมันจะถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะเปิดใจ

..

....

หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่7 รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง] 22/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-06-2017 23:59:12
เปิด (ใจ) เลยสิคะหมอ อย่ามัวรีรอเล้ยย
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่7 รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง] 22/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 25-06-2017 08:21:06
 o13
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่8 Bedtime story] 25/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 25-06-2017 22:43:42
-8-
Bedtime Story
   


“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่” ผมถามขึ้นก่อนจะวางชาร์ตในมือแล้วเดินไปหาอีกคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่..คนตัวสูงกำลังยืนส่งยิ้มมาให้ ผมพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู มันพึ่งจะเก้าโมงเช้าเองนะ..ว่างนักรึไง

“ก็คุณไปที่ไซต์ทุกวัน แต่วันนี้ไม่ไปผมก็เป็นห่วงน่ะสิ” ผมเองก็ลืมไปเลยว่าน่าจะบอกเขาก่อนว่าจะไม่ไป

“ไม่มีอะไรหรอก กลับไปทำงานของนายเถอะ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้..วันนี้วันอังคาร อย่าลืมนัดของเราล่ะ ผมไม่กวนคุณหมอแล้ว บายครับ” เซนโบกมือลาก่อนจะเดินออกไป นัดที่ว่าคือนัดเรียนภาษาฝรั่งเศสกับเขาครับ ทุกเย็นวันอังคารหลังเขาเลิกงานที่เชลเตอร์ของเขา บางทีก็เพิ่มวันอาทิตย์เข้าไปด้วยเพราะเป็นวันหยุดของอีกคน..และเขาก็ชอบลากผมไปด้วยข้ออ้างนี้เสมอ

--

“อ่าว..มาเร็วจังครับ” เซนทักขึ้นก่อนจะรีบวิ่งออกจากหน้าไซต์มาหาผม วันนี้ผมมาเร็วว่าปกติเพราะไม่อยากเดินมาคนเดียวตอนแสงหมดแล้ว เขาทำท่าจะปลดหมวกนิรภัยของเขามาใส่ให้ผมเหมือนทุกทีแต่ผมรีบเบรกเขาเอาไว้

“ไม่ต้องถอดหรอก..เดี๋ยวผมไปรอที่เชลเตอร์ดีกว่า ตั้งใจทำงานเถอะ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเรียบร้อยแล้วจะรีบไป” เขาบอก

“ครับ..แต่ไม่ต้องรีบหรอกผมรอได้” เราแยกกันตรงนั้น เขากลับไปทำงานของเขาต่อ ส่วนผมก็เดินอ้อมไปทางด้านหลังไปรอที่ห้องเขาอย่างที่บอก

ห้องของเขาไม่มีอะไรมากหรอก มีแค่ของที่จำเป็นอย่างพวกโต๊ะ ตู้ เตียง ซึ่งผมเองก็สำรวจไปตั้งนานแล้ว

ผมหยิบกระดาษที่เรียนไปเมื่อคราวก่อนมาทวนดูอีกทีก่อนจะวางไว้ตามเดิม มันไม่มีอะไรจะทำเลยกะว่าจะพักสายตาซะหน่อย แต่ยังไม่ทันจะหลับสนิทดีเสียงกุกกักที่ดังมาจากทางหน้าประตูทำเอาผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาซะแล้ว

“อ่าว..หลับอยู่หรอครับ” เขาทักขึ้นก่อนจะถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามาวางของเอาไว้บนโต๊ะข้างๆกับเตียงที่ผมนั่งอยู่

“ตื่นแล้ว..”

“ขอผมอาบน้ำก่อนแล้วกัน ทั้งเหงื่อทั้งฝุ่นเต็มตัวผมไปหมดเลย”

“ตามสบาย” พอผมบอกอย่างนั้นเขาก็ไม่เกรงใจผมเลย เล่นแก้ผ้าต่อหน้าผมจนเหลือชั้นในตัวเดียวก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมเข้าใจนะว่าวัฒนธรรมตะวันตกเขาไม่อายกับเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะกับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน แต่กับผมที่เป็นคนที่เขาชอบ..มันก็ควรจะอายบ้างไม่ใช่หรอวะ ทีตอนผมเช็ดตัวให้ทำมาเป็นโวยวาย

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเซนก็เดินออกมาในสภาพหัวเปียกซก มีผ้าเช็ดตัวปิดบังช่วงล่างอยู่แค่ผืนเดียว หุ่นเขาจัดว่าดีมาก สมส่วนไม่มากไม่น้อยจนเกินไป..ผู้หญิงหลายคนคงชอบแบบนี้ แต่คือที่ผมคิดคือเขาไม่หนาวรึไงวะ อากาศตอนนี้มันก็เย็นแล้วนะ..ยังไม่รีบแต่งตัวอีก

“จะแก้ผ้าอีกนานไหม” ผมถามเมื่ออีกคนดูไม่มีทีท่าว่าจะไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยสักที

“อ่าว..ผมเห็นคุณหมอมอง เลยนึกว่าอยากดูผมซะอีก” เขายกคิ้ว สีหน้าและมุมปากที่ยกขึ้นน้อยๆนั่น..กวนตีนฉิบหายเลย

“ตลกแล้ว..รีบๆไปแต่งตัวเถอะ จะได้รีบมาสอนผม” เขาหัวเราะออกมาก่อนจะเดินไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสักที

เขาไม่ได้สอนผมจริงจังขนาดนั้นหรอก ที่เราเรียนหลักๆคือเน้นเพื่อการสื่อสารในชีวิตปะจำวัน การออกเสียงอะไรทำนองนั้น ภาษาฝรั่งเศสสำหรับผมเป็นอะไรที่วุ่นวาย เยอะ และยากมาก เรียกได้ว่าตอนเรียนภาษาอังกฤษนี่เด็กน้อยไปเลย

หลายครั้งที่ผมมีคำถาม..แต่เซนก็บอกแค่ว่าเขาก็ไม่รู้ เกิดมาก็จำได้ว่ามันเป็นอย่างนี้แล้ว คุณหมอก็จำๆไปเถอะ..เขาเป็นคุณที่ไม่มีคุณสมบัติของการเป็นครูเอาซะเลย แต่ก็นะ..เขาก็อุตส่าห์เสียเวลามาสอนผมทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ

“ถ้าคุณหมอจำศัพท์ที่ผมเขียนให้ได้ทั้งหมดผมถึงจะให้กลับ” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ คำศัพท์อัดแน่นห้าหน้าเอสี่แบบนี้คือวางแผนให้ผมท่องยันเช้าเลยว่างั้น

“นายดูถูกความจำของหมอหรอ” ผมหันไปถามเขา กว่าจะจบเท็กซ์ผมท่องกันมาเกินครึ่งร้อยเล่มซะอีก

“งั้นเปลี่ยนใหม่..ถ้าคุณตอบคำถามผมได้ผมจะให้คุณกลับ” เซนต่อรอง เวลาเขาสอนผม..มีบ้างที่เขาจะถามผมเป็นภาษาฝรั่งเศสง่ายๆ..เขาพูดมันช้าๆชัดๆ แล้วให้ผมตอบกลับเป็นภาษาเดียวกัน ผมว่าถ้าได้ลองเซนพูดออกมาแบบนี้แล้วครั้งที่มันคงไม่ง่ายแล้วแน่ๆ

“ไม่..ผมก็โดนแกล้งน่ะสิ พูดคำไหนคำนั้น ห้าหน้านี่ผมขอเวลาครึ่งชั่วโมง” ผมชูกระดาษในมือให้เขาดูก่อนจะลุกไปนั่งแยกคนเดียวบนเก้าอี้อีกตัว

“โถ่คุณหมอ..ผมแค่ไม่อยากให้คุณกลับ ค้างที่นี่ไม่ได้หรอ..คุณก็เคยค้างนี่หน่า ผมไว้ใจได้คุณก็รู้” เซนยังลุกขึ้นเดินตามมาวุ่นวายผมไม่เลิก

“ผมมีทำงานพรุ่งนี้เช้า” ผมพูด

“เดี๋ยวผมเดินไปส่ง” เซนรีบแย้ง

“แล้วมันต่างกันตรงไหนระหว่างเดินไปส่งผมตอนนี้กับตอนเช้าน่ะ อีกอย่างคือผมไม่อยากรีบตอนเช้าด้วย”

“ต่างกันตรงที่ผมจะไม่ได้อยู่กับคุณไง..นะครับ” เล่นทำกันแบบนี้มันมัดมือชกเลยชัดๆ

“เฮ้อ..ถ้าอย่างนั้นตอนเช้าก็ช่วยตื่นไปส่งอย่างที่บอกด้วยล่ะ” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยอมเขาจนได้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องให้เซนเดินไปส่งด้วยทั้งที่ก็ไปเองได้ มันเหมือนกับว่าอีกคนทำเป็นแบบนี้ตลอดจนผมเคยชินกับการที่มีเขาเดินเคียงข้างแล้วละมั้ง

“ได้แน่นอนอยู่แล้ว..ไปอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวผมเตรียมชุดเอาไว้ให้” เขารีบดึงผมให้ลุกขึ้น ยัดผ้าเช็ดตัวใส่มือแล้วดันผมไปส่งถึงหน้าห้องน้ำอย่างกับกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจ..เชื่อสิว่าถ้าตามเข้ามาในห้องน้ำได้เขาทำไปแล้ว

--

ผมไม่ใช่คนชอบใช้เวลาอยู่ห้องน้ำนานๆอยู่แล้ว พอจัดการตัวเสร็จเรียบร้อยก็รีบเช็ดตัวให้แห้งเพราะกลัวหนาวแล้วพันผ้าเช็ดตัวเดินออกมาเลย

พอออกมาก็เจอเข้ากับตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองมาอย่างเปิดเผย มุมปากบางเขายกยิ้มนิดๆเหมือนเวลาเจอของถูกใจ เซนทำท่าจะพูดอะไรออกมาแต่โดนผมมองคาดโทษก่อนเลยยืนนิ่งสงบปากสงบคำตาก็ยังมองตามไม่เลิก

ผมรีบเดินไปหยิบเสื้อผ้าบนเตียงมาใส่อย่างไว..แม้ว่าผมจะไว้ใจเขาเป็นเพื่อนผม แต่โดนมองด้วยสายตาที่ให้ความรู้สึกคุกคามแบบนี้มันก็ไม่โอเคสักเท่าไรหรอกนะครับ

คนสูงกว่าทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วเว้นที่ด้านในติดกำแพงเอาไว้ให้ผม..หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็เดินมาทิ้งตัวตรงพื้นที่ว่างอย่างช่วยไม่ได้

ความจริงแล้วผมไม่ชอบนอนชิดกำแพง..มันให้ความรู้สึกอึดอัด แต่ผมก็ไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้นหรอก โดยเฉพาะที่นี่ไม่ใช่ห้องผม ไม่ใช่เตียงของผม

ผมติดนอนตะแคงข้างเลยหันตัวไปอีกทางแทนที่จะหันเข้าผนัง ก็อย่างที่บอกผมอึดอัด นั่นเท่ากับว่าผมหันหน้าไปทางเซน..เห็นแผ่นหลังกว้างของเขาได้อย่าชัดเจนในความมืด พระจันทร์ที่นี่ใหญ่มาก เวลามืดมันเลยไม่มืดซะทีเดียว..

ผมที่กำลังจะปิดเปลือกตาและเข้านอนบ้างเป็นอันต้องเบิกตากว้างเมื่ออีกคนพลิกกลับมาทำผมสะดุ้ง หน้าผมห่างกับเขาแค่เพียงหนึ่งฝ่ามือ จะถอยก็ทำไม่ได้มากในเมื่อข้างหลังผมคือกำแพง

“ยังไม่นอนอีกหรอ” เซนถามเสียงเบา เหมือนไม่แน่ใจว่าผมหลับไปแล้วหรือเปล่า ด้วยระยะห่างที่น้อยนิแค่นี้มันทำให้ผมแทบกลั้นหายใจ

“จะนอนแล้ว” ผมตอบ กำลังจะปิดเปลือกตาหนีสายตาสีน้ำตาลคู่นั้นอยู่แล้วถ้าคนข้างๆไม่ชิงพูดออกมาเสียก่อน

“อยู่คุยกับผมก่อนสิ” เขาพูดอย่างเอาแต่ใจ ตาของเขาดูพร้อมจะหลับอยู่แล้วแต่ก็ยังจะมาชวนผมคุยอีก

“คุยอะไร”

“คุณหมอช่วยเล่าอะไรให้ผมฟังหน่อย..อะไรก็ได้ ผมแค่ชอบฟังเสียงคุณ” สีหน้าเขาไม่ต่างอะไรกับหลานผมตอนขอร้องให้เล่านิทานก่อนนอน และนั่นทำให้ผมหลุดยิ้มขำออกมา

“ผมไม่มีอะไรจะเล่าหรอก” ก็อยู่ดีๆเล่นมาขอให้เล่ากะทันหันแบบนี้ผมก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาพูดเหมือนกัน

“ตลอดสามสิบกว่าปี..คุณจะไม่มีเรื่องเล่าอะไรเลยได้ยังไง”

“ก็ได้..อย่างนั้นตั้งใจฟังให้ดี เพราะผมจะเล่าแค่รอบเดียว”

“ผมตั้งใจฟังทุกอย่างที่คุณหมอพูดอยู่แล้ว” เขายังเป็นคนที่พูดทุกอย่างที่คิดเหมือนเดิมเลยสินะ บางทีถ้าเขามีฟอร์มซะบ้างมันคงจะดูน่าสนใจกว่านี้

ผมเว้นจังหวะไปพอสมควรก่อนจะเริ่มพูดออกมา

“เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ไม่นาน..ผมถูกขอร้องให้มาที่นี้ ความจริงแล้วผมไม่เคยมีความคิดที่จะมา แต่เพราะไม่มีทางเลือกผมเลยต้องมา”

“...” เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเบาๆและเงียบเพื่อเปิดโอกาสให้ผมพูดต่อ

“ตอนแรกผมไม่คิดหรอกตัวเองจะเข้ากับที่นี่ได้หรอก แต่เพราะมีผู้ชายคนหนึ่ง เข้ามาคุยกับผม เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม เขาช่วยผมในการปรับเข้ากับที่นี่..ช่วยผมในหลายๆอย่าง”

“...” เซนตาวาวขึ้นเมื่อเขาเริ่มจับได้แล้วว่าเรื่องที่ผมกำลังพูดอยู่คือเรื่องของเขา

“ผมช็อคมาก..ที่อยู่ดีๆเพื่อนของผมคนนี้เข้ามาบอกว่าเขาชอบผม..ไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับผม”

“ตอนนี้ผมก็ไม่เคยอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะ” เซนแทรก

“จะฟังต่อก็เงียบ” ผมแกล้งดุเขา

“...” เซนเม้มปากแน่น สายตาหงอหลบลงเหมือนลูกหมาเวลาโดนตี

“ตอนนั้นผมเห็นแก่ตัวมาก ผมไม่สามารถตอบรับเขาได้ แต่ผมก็ไม่อยากเสียเขาไป..ผมเลยบังคับเขาและขีดเส้นแบ่งเอาไว้ด้วยคำว่าเพื่อน..เพื่อนสนิท”

“...” มาถึงตรงนี้สายตาของเซนก็วูบไหวไป เหมือนผมไปตอกย้ำเขาซ้ำๆ

“ถึงเขาจะรู้ว่าผมคิดยังไงแต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เขายังเพื่อนที่ดีต่อผมเหมือนเดิม ดูแลผมเหมือนเดิม..ไม่สิ..ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ แม้ว่าผมจะพยายามให้เขาตัดใจมากแค่ไหนแต่เขาก็ยังดึงดันที่จะไล่ตามผมอยู่แล้วนั้น”

“...”

“หลังๆมานี้เขารู้จักผมมากว่าตัวผมเองด้วยซ้ำ สิ่งที่เขาทำกับผม..มันไม่เคยมีใครทำให้ผมมาก่อน”

“...”

“จนบางครั้ง..ผมเองก็หวั่นไหว” ผมเม้มปากแน่นเมื่อพูดออกไป ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่พึ่งได้ยินไป

“คุณหมอไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม” ผมไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแค่บอกให้เขาเงียบก่อนจะเริ่มพูดต่อ

“ผมเองก็ไม่อยากยอมรับนะ แต่ผมว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะเปิดโอกาสให้เขาได้แล้ว” ตลอดเวลาเป็นเดือนที่ผมมาอยู่ที่นี่..ก็มีแต่เซนคนเดียวที่เข้ามาอยู่ข้างๆผม เรียกได้ว่าทุกความทรงจำที่เกิดขึ้นที่นี่..มีเขาร่วมแชร์ด้วยกันแทบทุกอย่าง

ผมคิดมาดีแล้ว..ผมไม่อยากจะให้มันไม่ชัดเจนอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆหรอกนะ จริงอยู่ที่ผมไม่เคยคิดหรือสนใจคนไหนเลยแต่พอลองตัดอคติที่ว่าเขาเป็นผู้ชายออกไป..แล้วมองเขาเป็นเหมือนคนๆหนึ่งมันก็ทำให้ผมตัดสินใจอะไรได้ง่ายขึ้น

ก็อย่างที่เซนเคยบอก ยอมเสี่ยงตอนนี้ดีกว่าไปเสียใจที่หลัง ผมว่ามันก็คุ้มที่จะลองดูเหมือนกัน

“ถะ..ถ้า..ถ้าอย่างนั้น..คุณผมก็รู้สึกแบบเดียวกับที่ผมรู้สึกกับคุณแล้วน่ะสิ” เซนพูดเสียงสั่น เขาแสดงออกว่าตื่นเต้นดีใจอย่างปิดไม่มิด..ก็เขามันบีเกิ้ลนี่นะ

“เรียกว่าเริ่มรู้สึกดีกับนายดีกว่า..” ผมแก้ เอาจริงผมยังไม่ขนาดเขาหรอก..ก็เขาดูจะคลั่งไคล้ผมออกซะขนาดนั้น

“เหมือนฝันเลย”

“ให้ผมลองถีบนายตกเตียงดูไหม เผื่อจะได้รู้ตัวว่าไม่ได้ฝันไป” ผมพูดพลางทำท่าจะยกเท้าขึ้นมาจนเซนรีบลนลานจับขาผมแล้ววางไว้ตามเดิม

“เปลี่ยนเป็นจูบดีกว่า..ผมฝันถึงริมฝีปากคุณมานานแล้ว” ไม่พูดเปล่า..แววตาซุกซนของเขาเลื่อนลงมาโฟกัสที่ริมฝีปากผม ก่อนจะขยับกระชับระยะห่างเข้ามาให้น้อยลงกว่าเดิม

--

“เกินไปแล้ว!” ดีว่าผมยกมือขึ้นกั้นริมฝีปากเขาได้ทันเวลา ผมดันเขาออกอย่างแรงจนแทบหน้าหงาย

“แค่จูบเองนะครับ..” เขาอ้อนผมด้วยสายตาที่ผมมักจะใจอ่อน แต่โทษทีเถอะ..ไม่ใช่กับเรื่องนี้แน่นอน

“จนกว่าจะยอมรับนายเป็นแฟน ห้ามแตะต้องผมเกินกว่าที่เคยโดยที่ผมไม่ยินยอม ถ้าผมสบายใจ..ผมจะเป็นฝ่ายเข้าหานายก่อนเอง เข้าใจไหม”

“ผมมีสิทธิเลือกได้ด้วยหรอ”


หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่8 Bedtime story] 25/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 26-06-2017 20:54:36
คุณหมอเปิดใจแล้ววว  :katai4:  :-[
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่8 Bedtime story] 25/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 26-06-2017 21:07:26
พึ่งเห็นว่านักเขียนลงในเล้าด้วย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่8 Bedtime story] 25/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 26-06-2017 23:17:16
ดีงาม~ :-[
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่9 จูบ] 27/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 27-06-2017 01:03:13
-9-
KISS
   


“หลับสบายไหมครับ” ผมเปิดเปลือกตายังไม่ทันจะได้ปรับโฟกัสรับแสงที่แยงตาเข้ามาเสียงคนที่คุณก็รู้ว่าใครก็ดังแทรกขึ้นมาแล้ว..ก็มีอยู่แค่คนเดียว

“อืมมม..กี่โมงแล้ว” ผมขานรับในลำคอก่อนจะถามออกมา ทุกทีผมจะใช้โทรศัพท์ตั้งนาฬิกาปลุกไว้นะ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนเลยไม่ได้ตั้งเอาไว้

“ยังไม่หกโมงเลย คุณหมอหลับต่อก่อนก็ได้” ผมเลิกคิ้ว ยังไม่หกโมงแล้วเขาตื่นมาทำไมแต่เช้ากัน ดูท่าว่าเซนจะตื่นมาสักพักแล้วด้วยถึงไม่มีทีท่าง่วงนอนเหมือนกับผมในตอนนี้

“ผมไปล้างหน้าเลยดีกว่า เดี๋ยวต้องกลับไปเปลี่ยนชุดก่อนอีก” ผมบอกออกมาไม่รอให้อีกคนได้ทันพูดอะไรก็ลุกขึ้นเลย สายตาของเซนที่กำลังมองมาที่ผมอย่างเปิดเผยเกินไปทำให้ผมทำตัวไม่ค่อยจะถูก..ผมไม่เคยถูกจับจ้องขนาดนี้ และมันคงไม่น่าจะชินได้ในเร็วๆนี้

--

ผมแยกเข้ามาในห้องน้ำ มองเงาสะท้อนตัวเองในกระจกอยู่สักพักก่อนจะเปิดน้ำแล้วใช้มือรองสาดเข้าหน้าไล่ความง่วงงุน

“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลง อีกคนเดินเข้ามาตอนไหนวะ..ลืมตาขึ้นมาอีกทีเซนก็ยืนซ้อนหลังเป็นเงาแค้นสะท้อนในกระจกแล้ว เจ้าตัวหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ..ก่อนจะขยับไปจัดการแปรงฟันตัวเองบ้าง

“จะรีบเข้ามาทำไม..ผมจะฉี่” ดีว่าผมไม่ได้ตัดสินใจไปปลดทุกข์ก่อนเป็นอันดับแรก ไม่งั้นผมเสียความบริสุทธิ์ทางสายตาให้คนข้างๆนี่แน่ๆ

“ก็ฉี่ไปสิครับ ผมไม่ถือ” เขาตอบสบายๆพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก และนั่นทำให้ผมขมวดคิ้ว

“แต่ผมถือโว้ย” ผมรีบผลักอีกคนให้ออกนอกห้องน้ำไปทั้งที่แปรงยังคาปากนั่นละ จัดการล็อคประตูให้แน่นหนาก่อนจะกลับมาปลดทุกข์ตัวเอง

ให้ตายสิ..ที่ผมตัดสินใจพูดไปเมื่อคืนนี่ทำถูกแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้เขาจะไม่รุกผมหนักจนผมตายไปเลยหรอวะ

--

ทางฝั่งที่พักชั่วคราวที่เคยน่าเป็นห่วงตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวลเหมือนช่วงนั้นแล้วเพราะได้รับการเข้าไปดูแลช่วยเหลือมากขึ้น รวมทั้งแบ่งประชากรบางส่วนโดยเฉพาะเด็กกับผู้หญิงมาอยู่ฝั่งเต็นท์อำนวยการและสถานพยาบาลบ้างเลยไม่แออัดเหมือนอย่างเคย

ไหนจะพักที่สร้างเสร็จเพิ่มอีก เพราะมันจะสองเดือนเข้าไปแล้วที่ผมมาอยู่ที่นี่ หมายความว่าผมเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียว จะว่าเร็วมันก็เร็ว..จะว่านานมันก็นานอยู่เหมือนกัน

ทุกๆอย่างกำลังค่อยๆดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

ถึงเวลาจะผ่านไปเป็นเดือนหลังจากที่เราคุยกันคืนนั้นแต่ความสัมพันธ์ของผมกับเซนก็ยังคงเป็นไปอย่างเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร เขายังคงเสมอต้นเสมอปลายผมเองก็เหมือนกัน

“เย็นนี้เดี๋ยวผมมารับ” คนตรงหน้าผมพูดหลังจากที่เขาเดินมาส่งผมที่สถานพยาบาล ใช่..เมื่อคืนผมไปค้างที่ห้องเขาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ผมเริ่มจะใช้เวลาในห้องตัวเองพอๆกับที่ใช้ในห้องของอีกคนเลย

“อืม”

“ครับ ตั้งใจทำงานนะ”

“นายเองก็เหมือนกัน”

“จะตั้งใจกว่านี้แน่นอนถ้าคุณหมอหอมแก้มผมสักครั้ง” เซนขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองมาอย่างซุกซน

“คิดว่ากำลังเรียกร้องอะไรอยู่”

“เมื่อไรคุณหมอจะเลิกใจร้ายกับผมสักที..” สีหน้าท่าทางหมาหงอยแบบนั้น..คิดว่าผมรู้ไม่ทันเขาหรอ

“หึ..ไปทำงานได้แล้ว” ผมดันอกเขาออกไปก่อนจะหันหลังเดินเข้าสถานพยาบาลไปเลย ทิ้งให้อีกคนยืนทึ่มอยู่อย่างนั้นนั่นล่ะ เดี๋ยวเขาก็กลับไปของเขาเอง

--

ผมไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมตัวเริ่มงานเหมือนเช่นทุกวัน รวมทั้งเรื่องอาหารเช้าด้วย

เอาจริงๆผมว่าช่วงนี้ผมว่างเกินไป ตั้งแต่ตัดสินใจสอบเข้าคณะแพทย์ชีวิตผมก็ไม่เคยรู้จักคำว่าว่างอีกเลย..พอมาช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำเป็นชิ้นเป็นอันมันเลยรู้สึกแปลกไป ผมได้แต่นั่งฆ่าเวลาเล่นจนเริ่มเสียดายเวลา รู้ตัวอีกทีก็สิบโมงเข้าไปแล้ว

“เฮ้! ไมเคิล”

“อ้าว..มีอะไรหรือเปล่าครับ” ไมเคิลหันมายกยิ้มให้ผมก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางเป็นเดินเข้ามาหาผมที่ตะโกนเรียกเขาเมื่อกี้แทน

“คุณจะไปไหนหรอ” ผมถามเขา

“โรงอาหารน่ะครับ ว่าจะหาอะไรลองท้องซะหน่อย”

“ผมไปด้วยสิ” ผมรีบพูด ตอนนี้ผมแค่อยากหาอะไรทำ หรือเพื่อนคุยสักคน ดีกว่ามานั่งว่างอยู่คนเดียวแบบนี้ นี่ถ้าผมมีความรู้ทางด้านงานช่างก่อสร้างอยู่บ้างผมไม่ลังเลเลยที่จะข้ามไปฝั่งนู้นแล้วช่วยงานในไซต์ซะ..แต่คือผมไม่มีน่ะสิ ทุกวันนี้ใช้สว่านเจาะกำแพงแขวนรูปได้ก็ชื่นชมตัวเองมากแล้ว ไปช่วยเขาก็กลัวจะเป็นตัวป่วนซะมากกว่า

“เอาสิ ให้ผมเดานะ..คุณต้องเหงาแน่ๆเลย” ไมเคิลมองมาอย่างรู้ทัน

“ผมแค่อยากหาอะไรกินบ้างเหมือนกัน” ผมแย้ง..ถึงจะพึ่งกินไปเมื่อเช้าและตอนนี้มันก็พึ่งจะสิบโมงก็เถอะ

“อย่าแก้ตัวเลย..ผมเห็นคุณเดินออกมาจากโรงอาหารนะครับเมื่อเช้านี้” ผมนี่เม้มปากแล้วรีบเดินนำเขาไปเลย ให้ตาย..ทำไมคนรอบตัวผมถึงเป็นแบบนี้กันไปหมดเลยนะ

“ถ้าคุณเหงาผมว่าคุณติดต่อเพื่อนไม่ก็ครอบครัวคุณบ้างไหม ผมว่าช่วยได้มากเลยนะ ตั้งแต่คุณมาที่นี่ผมยังไม่เห็นคุณจับมือถือเลย” ไมเคิลพูดขึ้นพลางม้วนเส้นพาสต้าเข้าปากไปด้วย

“ไม่ใช่ว่าเครือข่ายโดนตัดขาดไปหมดตอนแผ่นดินไหวแล้วหรอ” ผมเข้าใจว่ามันเป็นแบบนั้นมาโดยตลอดเลยนะ มือถือผมถึงไม่ต่างกับที่ทับกระดาษ..

“ภัทร..คุณไปอยู่ไหนมา สหประชาชาติเขาส่งวิศวกรมาดำเนินการเรียบร้อยตั้งแต่อาทิตย์ก่อนที่คุณจะมาอีกนะ” เหมือนโดนถีบตกแม่น้ำเจ้าพระยา..รู้สึกว่าตัวเองโง่มาก พนันเลยว่าเซนต้องรู้เรื่องนี้ แล้วที่ผมเคยบ่นให้เขาฟังไปเขาไม่เคยคิดจะบอกผมเลยใช่ไหม

“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมลาเขาก่อนจะลุกขึ้น จุดหมายผมตอนนี้คืออีกฝากหนึ่งของฐานลับ ก็ที่ไซด์นั่นละ..ไม่รู้สิ ผมแค่อยากทำอะไรบางอย่าง

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวไปไหน ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย สถานพยาบาลโกลาหลไปหมด

ทั้งผมและไมเคิลได้แต่ยืนเลิ่กลั่ก พยายามหาใครสักคนมาเพื่ออธิบายเรื่องนี้แต่ก็ดูเหมือนทุกคนจะวุ่นวายกันเหลือเกิน ขอบคุณพระเจ้า..ที่สุดท้ายก็มีเจ้าหน้าที่พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเราสักที

“ปีเตอร์มันเกิดอะไรขึ้น” ไมเคิลรีบถามคำถามที่ผมต้องการรู้มากที่สุดในตอนนี้ออกไป

“ที่ไซด์งานสร้างบ้านพักฝั่งนู้นเกิดอุบัติเหตุถล่มครับ คุณหมอรีบไปเตรียมตัวเร็วเข้า เราต้องรีบไปตอนนี้”

ที่ไซด์เกิดอุบัติเหตุอย่างนั้นหรอ..แล้วเซน

ผมรีบวิ่งตามไมเคิลไป ไม่สนว่าตัวเองจะทำประโยชน์อะไรได้บ้างหรือเปล่าแต่ให้ผมอยู่ที่นี่เฉยๆมันคงไม่ได้

นี่เป็นครั้งที่ผมใช้เวลาน้อยที่สุดในการมาที่นี่ ภาพที่เห็นคือเจ้าหน้าที่หลายหน่อย รวมทั้งทหารหลายนายกำลังให้ความช่วยเหลือลำเลียงคนเจ็บออกมาจากซากปรักหักพัง และนั่งร้านที่ถล่มลงมา สาเหตุยังไม่แน่ชัด บางทีอาจเป็นเพราะความสั่นสะเทือนจากการทำงานของเครื่องจักร หรือความผิดพลาดทางเทคนิค หรืออาจจะเป็นอาฟเตอร์ช็อคอีกก็ได้

เท่าที่คาดคะเนจากสายตายังไม่มีใครที่บาดเจ็บร้ายแรง แต่ผมก็ยังไม่สามารถวางใจได้ในเมื่อคนที่ผมต้องการเห็นหน้าเขามากที่สุดในตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยออกมา

“เฮ้..มอรีส มอรีส” ผมรีบวิ่งไปหามอรีสอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปอย่างไม่สนว่าเขาที่กำลังนั่งให้หมอเย็บแผลที่ศีรษะเขาอยู่จะพร้อมตอบคำถามผมตอนนี้ไหม

“เซน..เซนอยู่ที่ไหน” ผมถามเขาอย่างร้อนรน เขาต้องรู้สิ ในเมื่อเซนอยู่กับเขาบ่อยที่สุดแล้ว..เขาต้องรู้

“ภัทร..ผม ผมไม่รู้” ผมมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ คำตอบของเขายิ่งทำให้ความกังวลผมพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้าๆพยายามไล่ความตระหนกและควบคุมสติตัวเอง ตอนนี้ผมต้องโฟกัสหน้าที่ของตัวเอง คนเจ็บจำนวนไม่น้อยโอดครวญอยู่ตรงหน้าผมไม่สามารถละเลยพวกเขาไปได้แม่ว่าตอนนี้จิตใจผมจะไม่สงบเลยก็ตาม

--

“คุณหมอ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง พอดีกับที่ผมปิดแผลให้คนที่ผมดูแลเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เป็นเซนจริงๆ..เขากำลังส่งยิ้มบางๆมาให้ผมอย่างที่ชอบทำ ผมยืนมองเขานิ่งๆไม่ได้พูดอะไรออกไป..เท่าที่ผมเห็นเขาดูปกติดีทุกอย่าง นอกจากใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นและเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนก็ไม่มีบาดเจ็บตรงไหน

ไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปยังไงคนตรงหน้าผมถึงหุบยิ้มลงแล้วรีบดึงผมเข้าไปกอดไว้ เขากอดผมแน่นมาก..แน่นกว่าที่เคย

“ไม่เป็นไร..ผมไม่เป็นอะไรแล้ว คุณหมอไม่ต้องกังวลแล้วนะครับ” เขาพูดมันซ้ำๆที่บอกว่าเขาเองไม่เป็นอะไร ผมยกมือขึ้นกอดตอบเขา ฝั่งหน้าลงกับลาดไหล่หรอกเขา..ผมกลัว..กลัวว่าคนตรงหน้าผมตอนนี้จะไม่กลับมา กลัวว่าเขาจะไม่มากอดผมอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้

“ไปไหนมา..” ผมถามเขาออกไป แต่ผมไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาตอนนี้หรอก ผมแค่ต้องการพูดออกไป ต้องการระบายความกลัวของผมออกมา

“...” ยังไม่ทันที่เขาจะทันได้พูดอะไรผมก็พูดต่อแล้ว

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ ตอนที่ได้ยินเรื่องไซด์ถล่มผมคิดถึงนาย..คิดถึงนายเป็นคนแรก ถ้าเกิดว่านายเป็นอะไรไป..ถ้านายไม่กลับมา ถ้านายไม่อยู่ตรงนี้ ผมกังวล..กังวลไปหมด”

“..ผมอยู่ตรงนี้แล้วไงครับ”

“ผม..ผมกลัว” เสียงผมสั่น พอคนตรงหน้ายื่นมือมาไล้ข้างแก้มผมก็ปิดเปลือกตาลงเพื่อซึมซับสัมผัสจากเขา รู้สึกตัวอีกทีหน้าผมก็โดนรั้งให้เงยขึ้น..ตามด้วยริมฝีปากบางที่ตามลงมาทาบทับ


เขาไม่ได้ลุกล้ำอย่างเอาแต่ใจอะไร กลับกันเป็นผมเองที่ไม่ได้ผลักไสเขาอย่างที่ควรและเปิดริมฝีปากยอมรับให้เขาเข้ามา

มือที่เคยกอดอีกคนเอาไว้เปลี่ยนเป็นขยำเสื้อตัวนอกของเขาเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว ผมตอบรับเซนอย่างเต็มใจ อาจจะด้วยความกังวลหรืออะไร..ผมไม่เคยรู้ว่าตัวเองต้องการสัมผัสจากคนตัวหน้ามากขนาดนี้

กว่าสามนาทีเราถึงผละออกจากกัน สมองผมอื้ออึงยังคงประมวลผลไม่ได้ว่าเมื่อกี้ตัวเองพึ่งจะทำอะไรลงไป เซนยกยิ้มมุมปาก มือของเขายกขึ้นมาเช็ดมุมปากให้ผม มันเปื้อนน้ำสีใสที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของใคร ของเขาหรือว่าของผม

“เอ่อ..” ผมหลบสาบตาด้วยความประหม่า ดันเขาออกเบาๆแต่อีกคนขืนตัวไว้มันเลยไม่มีประโยชน์อะไร

“คุณหมออาจจะไม่รู้ตัว..แต่ผมว่าผมเริ่มจะสมหวังแล้วล่ะ”

“ก็คงจะอย่างนั้น”

“ผมจะไม่เร่งรัดคุณ จะรอวันที่คุณพูดว่ารักผมอย่างเต็มปากด้วยตัวของคุณ
เอง”
“ขอบคุณ” ผมพูดได้เพียงเท่านั้น เขาเองก็ยิ้มรับ

“มาครับ ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว ให้ผมเดินไปส่งคุณนะ”

“อืม..” ถึงตอนนี้ผมจะอยากรู้แล้วว่าเขาหายไปไหนมา แต่เอาเป็นว่าผมจะถามเขาหลังจากนี้แล้วกัน

..
...

หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่10 รู้สึกเหมือนกัน] 27/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 27-06-2017 22:29:02
-10-
Feel the same way
   


“ขอโทษที่ผมทำให้คุณเป็นห่วง..” เป็นเซนที่ทำลายความเงียบขึ้นมา ตลอดทางที่เราเดินเคียงคู่มาด้วยกันผมเอาแต่เงียบ..ไม่ได้ตั้งใจให้ทุกอย่างเป็นอย่างนั้นแต่เราพึ่งจะจูบกันมามันก็เลยวางตัวไม่ค่อยจะถูกสักเท่าไร

แล้วทำไมผมถึงทำตัวสาวน้อยแบบนี้วะ..มันไม่ใช่จูบแรกสักหน่อย

ผมพยักหน้ารับ กำลังจะเดินแยกไปอย่างที่เคยเพราะเราเดินมาถึงฐานลับพอดี แต่อีกคนกลับฉุดแขนให้ผมเดินไปนั่งตรงที่ประจำของเรา ผมเลยต้องทรุดตัวนั่งลงใต้ต้นไม้ข้างๆเขาอย่างช่วยไม่ได้

บรรยากาศยังคงเงียบสงัด มีเพียงสายลมเบาๆที่พัดผ่านมา จากตอนแรกที่ไม่ได้อึดอัดอะไรตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันอึดอัดขึ้นมาบ้างแล้ว

“คุณหมอเป็นอะไรไป..จากนิสัยคุณ คุณต้องถามสิว่าผมไปไหนมา หรือไม่ก็บ่นผมเหมือนทุกที” เซนถามขึ้นพลางหันมามองผมอย่างจริงจัง ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาพยายามมองลึกเข้ามาในตาผมราวกับกำลังอ่านความคิดของผมอย่างไรอย่างนั้น..ผมคงหลบสายตาเขาไม่ได้อีกแล้ว

“เปล่า..” ผมปฏิเสธเสียงเบา ไม่มีความหนักแน่นเอาเสียเลย

“แล้วทำไมถึงเงียบแบบนี้ละครับ ผมแค่ดูดลิ้นคุณนะ ไม่ได้สูบกล่องเสียงคุณออกมา” ผมถลึงตาใส่เขาก่อนจะหันหนีไปอีกทาง เขาพูดติดตลกแต่มันกลับทำให้ผมยิ่งรู้สึกเงอะงะไปกันใหญ่

“เลิกพูดเล่นเรื่องนี้สักที” ทำไมถึงพูดได้หน้าตาเฉยอย่างนั้นวะ

“โอเค..ผมว่าเราต้องทำความเข้าใจกันเรื่องนี้” เซนยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้ เขาเดินตามมานั่งตรงหน้าผมแล้วพูดอย่างใจเย็น

“เรื่องอะไร” ผมถามออกไปทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น

“จูบไง”

“ผมไม่..” ยังไม่ทันจะจบประโยคอีกคนก็แทรกขึ้นดักทางผมเอาไว้แล้ว

“ได้โปรด..ฟังผมให้จบก่อน”

“พูดมาสิ”

เซนเว้นวรรคไปช่วงหนึ่งก่อนจะเริ่มพูดออกมา

“คุณอาจจะรู้สึกว่าเรื่องที่เราจูบกันมันน่าอาย..คุณอาย ผมเข้าใจว่ามันเป็นวัฒนธรรมของคุณ แม่ผมเองก็เป็นคนเอเชีย ผมเข้าใจคุณ..ถึงจะไม่ทั้งหมดก็เถอะ แต่เอาเป็นว่าผมไม่อยากให้คุณคิดอย่างนั้น”

“...” ผมยังคงเงียบ เซนสูดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มพูดต่อ

“จูบนั้นสำหรับผมมันวิเศษมาก..ผมรอคอยมันมาตลอด คุณหมอจินตนาการไม่ได้หรอกว่าผมรู้สึกดีมากแค่ไหน ผมอยากให้คุณลองเปิดใจกับเรื่องนี้ ไม่อยากให้เก็บไปกังวลทั้งที่คุณก็รู้สึกดี..”

“...” ผมเม้มปากแน่น..บางทีนี่อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวของผมไปแล้ว ผมไม่สามารถปฏิเสธได้ ในเมื่อทุกอย่างที่เซนพูดออกมามันถูกทุกอย่าง..ใช่ผมรู้สึกดี..รู้สึกดีกับจูบของเขา กับสัมผัสของเขา นั่นคือสิ่งที่ผมต้องยอมรับ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเรา ผมอยากให้คุณใส่ใจความรู้สึกของเรา..ของผม..ของคุณ ไม่ใช่ความรู้สึกของคนอื่น ตลกเนาะที่ผมมาแนะนำอะไรแบบนี้ให้จิตแพทย์ฟัง..ผมนี่กล้าชะมัด”

“บางทีจิตแพทย์ก็ต้องการที่ปรึกษาเหมือนกัน..ขอบคุณนะ”

“ยินดีครับ” เขายิ้มกว้างส่งมาให้ผม รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเหมือนลูกหมาอย่างที่เขาชอบทำ

--

“นายยังชอบผมอยู่ไหม” อยู่ดีๆผมก็อยากถามเขา

“ผมรักคุณ” เขาไม่ลังเลเลยที่จะพูดคำนั้นออกมา บางทีผมก็อยากจะมั่นใจในความรู้สึกตัวให้เองให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเขา

ทั้งๆที่ผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่กลับไม่อยากยอมรับมันซะอย่างนั้น เป็นผมเองที่ทำให้ทุกอย่างมันยาก ผมว่าบางทีผมควรจะเลิกใส่ใจความคิดของคนอื่นมากเกินไปซะที แล้วหันมาใส่ใจความรู้สึกของคนตรงหน้าผมบ้าง

ผมสูดลมหายใจลมหายใจเข้าไปลึกๆก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

“บางที..ผมอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับนาย”

“ว่า..ว่า..ว่าไงนะครับ”

“ผมพูดไปแล้ว”

“พูดอีกครั้งไม่ได้หรอ”

“มะ..อืม!!..” คำว่าไม่ยังไม่ทันจะหลุดปากผมก็โดนเจ้าของตาสีน้ำตาลอ่อนใช้ส่วนเดียวกันประกบลงมาแล้ว และผมเองก็ไม่ได้ขัดขืนเสียด้วย

เขาผละออกไป ริมฝีปากบางยกยิ้มก่อนจะก้มลงมาจุ๊บเร็วๆอีกครั้ง และนั่นมันทำให้ผมหน้าแดงจนรู้สึกร้อนไปหมดแล้ว

--

“เออใช่..ตอนที่ไซด์ถล่มนายไปไหนมา” ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าอยากถามคำถามนี้กับเขา

“ผมกลับไปเอาของที่เชลเตอร์พอดี กลับมาทุกอย่างก็ราบไปหมดแล้ว”

“ดีแล้ว คราวที่แล้วที่นายโดนเหล็กเสียบ..มันยังติดตาผมอยู่เลย”

“ดูเหมือนคราวนี้ผมจะมีดวง”

“เหอะ..ถ้าจะซวยซ้ำซ้อนก็เข้าโบสถ์ไปสวดภาวนาบ้าง”

“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องเจ็บตัว ผมหมายถึงเรื่องคุณต่างหาก” ไม่ว่าเปล่าคนสูงกว่ายังถือโอกาสเอาแขนมาพาดกอดคอผมเอาไว้หน้าตาเฉย เอาเถอะผมเองก็เบื่อต่อปากต่อคำกับเขาแล้วเหมือนกัน

“ผมขอยืมโทรศัพท์นายหน่อยสิ”

“จะแอบเช็คโทรศัพท์ผมเลยหรอ..ถ้าอย่างงั้นเราต้องคบกับก่อนสิ” ผมทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เขา แก้ไม่หายเลยสินะ โรคคิดเองเออเองเนี่ย..ดูเหมือนว่าจะอาการหนักขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย

“ผมจะติดต่อที่บ้านบ้าง ผมไม่รู้ว่าที่นี่มีเครือข่าย..ผมพึ่งรู้และผมก็ทำไม่เป็น” และอีกอย่างของผมอยู่ที่ห้องด้วย..ก็บอกแล้วว่านอกจากชาร์ตแบตเอาไว้ตั้งปลุกมันก็ไม่ต่างอะไรกับที่ทับกระดาษ

“ของผมอยู่ที่เชลเตอร์ คืนนี้ค้างกับผมสิ ผมยกให้คุณทั้งคืนเลย” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์

“ถ้าผมจับได้ที่หลังว่าอยู่กับตัวนะ ผมเอาตายแน่”

“ไม่ได้อยู่จริงๆ” อยากจะเชื่ออยู่หรอกถ้าเจ้าตัวไม่ได้หัวเราะออกมาซะขนาดนั้น

--

แล้วผมก็ยอมตกลงมาห้องของเขา ทุกทีไม่ค่อยมีเหตุผลอะไรผมก็มาอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะคิดมากไปอีกทำไม

มาถึงเซนก็หยิบมือถือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะมายื่นให้ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งบนที่นอน เขาไม่ได้หลอกผมนี่หว่า

ความจริงผมอยากโทรหาแม่นะ แต่พอลองคำนวณเป็นเวลาไทยแล้วมันก็ดึกเกินไปแล้วกลัวจะเป็นการรบกวนแม่เปล่าๆ คนเดียวที่ผมนึกถึงตอนนี้ก็คงเป็นไอ้คุ
ณ..และแน่นอนผมจำเบอร์มันไม่ได้ คงต้องคอลไลน์แทน ผมพยายามสไลด์โทรศัพท์เซนดูแล้วมันไม่มีไอ้แอพลิเคชั่นสีเขียวนี่เลย

“โหลดไลน์ให้ผมได้ไหม” ผมถามพลางยื่นโทรศัพท์คืนให้เขา

“ไลน์หรอ?”

“ครับ” เขารับไปจิ้มๆอยู่สักพักก่อนจะกดติดตั้งแล้วยื่นคืนมาให้โดยที่ไม่ถามอะไร ผมจัดการล็อคอินด้วยอีเมล์แล้วกดโทรหามันทันที ก็อยากจะเกรงใจนะแต่อารมณ์นั้นมันหายไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้ปกติไม่ใช่เวลาที่จะนอนของมันหรอก หรือถ้าเข้าเวรอยู่ก็ใช่ว่าจะวุ่นจนรับสายผมไม่ได้ขนาดนั้น

“นี่มันกี่โมงแล้วไอ้ภัทร” รอไม่นานเสียงตามสายก็ดังรอดมา จากน้ำเสียงแล้วมันดูงัวเงียและหงุดหงิดไม่น้อย แต่ผมนี่น้ำตาจะไหล นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยินภาษาไทย ถ้าผมโทรหาแม่ผมต้องร้องไห้งอแงเป็นเด็กๆแน่ๆ

“นี่มึงนอนแล้วหรอ” ผมถามออกไป

“เออ”

“ทำไมนอนแล้ววะ ตื่นมาคุยกับกูก่อน”

“เออตื่นแล้วเนี่ย มึงอย่าเสียงดังเดี๋ยวเพื่อนตื่น” ก็ว่าทำไมนอนเร็วที่แท้ก็นอนกกเมียสินะ ได้ยินกุกกักๆอยู่สักก่อนจะเงียบไป สงสัยมันคงเดินออกไปข้างนอกแทนแล้วละมั้ง

ผมหันไปมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงตามเดิม เซนเองก็มองมาอย่างสนใจก่อนจะกวักมือเรียกให้ผมเดินไปนั่งข้างๆเขา

“โทรมามีอะไร” เสียงไอ้คุณดึงสติให้ผมกลับไปสนใจมันอีกครั้ง

“กูคิดถึง” ผมคิดถึงมันมากเลยนะ คิดถึงครอบครัว คิดถึงบ้าน คิดถึงงานที่โรงพยาบาล ที่สำคัญคือโคตรคิดถึงอาหารไทย..อยู่นี่ผมกินแต่พาสต้า ขนมปัง

“หึ..อารมณ์ไหน”

“มึงไม่เข้าใจกูหรอก สองเดือนแล้วนะเว่ยที่กูมา เหงาชิบหายเลย” ผมโวยวาย

“โทรมาโวยวายแค่นั้น?” พนันเลยว่ามันเลิกคิ้วอยู่แน่ๆ

“เออ..แค่นี้ จะไปนอนก็ไปๆ”

“เออดูแลตัวเองด้วย”

“มึงก็เลิกบ้างาน”

“หึ..” ได้ยินเสียงมันหัวเราะในลำคอก่อนสายจะโดนตัดไป ปกติผมกับมันก็ไม่ได้คุยกันยาวๆอยู่แล้ว พอมาผ่านโซเชียลแบบนี้ยิ่งไม่มีเรื่องจะคุยเข้าไปใหญ่ แต่แค่นี้ผมก็รู้สึกโอเคขึ้นมากแล้ว

ผมยื่นมือถือคืนให้เจ้าของ ผิดคาดแฮะ..ผมนึกว่าเซนจะถามอะไร แต่เขากับเพียงแค่ยิ้มแล้วรับมันไป

ความเงียบปกคลุมลงมาอีกครั้งเมื่อไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไงดี ผมเองก็ไม่ถนัดเรื่องนี้..ได้แต่นั่งเงียบๆต่อไปรอให้อีกฝ่ายทำลายบรรยากาศนี่ขึ้นมาแทน

--

“ผมว่าเรามาลองคบกันจริงจังไหม”

“หา?..” ทำไมอยู่ดีๆถึงโพล่งมากลางป่องแบบนี้ละวะ ถ้าผมกินน้ำอยู่จะต้องพุ่งออกมาแล้วสำลักแน่ๆ ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างต้องการคำตอบว่าที่พูดมาผมได้ยินถูกแล้วใช่ไหม

“ก็ในเมื่อเรารู้สึกเหมือนกัน ก็คงดีกว่าถ้าจะทำให้มันถูกต้อง เราจะใจมีสิทธิในกันและกัน..แต่ผมไม่ได้เร่งรัดบังคับคุณนะ ถ้าคุณหมอสบายใจแบบเดิม ผมยินดีเป็นเพื่อนคุณเหมือนที่ผ่านมาก็ได้” เขารีบพูดดักเอาไว้ในตอนท้าย ท่าทีลุกลนของเขามันทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา

“ไม่มีเพื่อนที่ไหนเขาจูบกันเหมือนที่เราจูบกันหรอกนะ” ผมพูด

“...” นี่คือการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่สำหรับผม หวังว่าทางที่ผมเลือกมันจะเป็นทางที่ใช่นะ

“เอาสิ คบกันก็ได้..แต่บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่คนโรแมนติกหรอกนะ แล้วก็ค่อนข้างจะหัวโบราณด้วย”

“ก็พอจะรู้อยู่แล้ว..เรื่องนั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวผมละลายพฤติกรรมคุณหมอเอง”

“นอกจากจูบ ผมอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป” ผมรีบบอก เซนเป็นคนที่แสดงออกชัดเจนมาตั้งแต่แรกที่ผมเริ่มรู้จักเขาแล้ว และเขาก็แสดงออกว่าต้องการในตัวผม และอีกอย่างคือเขาดูจะเจนจัดในเรื่องแบบนั้น..เอ่อ..ผมหมายถึงเซ็กซ์ ผมที่เคยผ่านการเดทมาแค่ไม่กี่คนคงเทียบเขาไม่ได้ และผมก็ยังไม่พร้อมไปถึงจุดนั้นกับเขาในเร็ววันนี้แน่นอน

“ครับ..แต่ผมไม่รับปากว่าคุณจะต้านทานความฮ็อตของผมได้” ถึงเขาจะดูมั่นใจในตัวเองเกินไปแต่เชื่อสินั่นล่ะคือสิ่งที่ผมกลัว

พนันเลยว่าเขาจู่โจมผมหนักแน่นอน

..
...

หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่10 รู้สึกเหมือนกัน] 27/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 28-06-2017 01:17:48
ื :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่11 ค่อยเป็นค่อยไป] 30/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 30-06-2017 00:46:54
-11-
Step by Step
   


จากตอนแรกที่เรานั่งอยู่ข้างกัน คนข้างๆผมหันมาแล้วจับใบหน้าให้ผมหันไปมองเขาเหมือนกัน ระยะห่างระหว่างเรามันแคบมากจบผมเผลอเม้มปาก แต่ก็ทำได้ไม่นานหรอกเซนก็ยื่นนิ้วมาเกลี่ยให้ผมคลายออกแล้ว

“มีใครเคยบอกไหมว่าคุณหมอเป็นคนน่ารัก” เขาถามออกมา

“..ไม่..” นอกจากแม่ก็มีแค่เขาเท่านั้นแหล่ะที่พูดอย่างนี้กับผม

“ทำไมคนอื่นถึงไม่เห็นเหมือนที่ผมเห็นนะ” นั่นเพราะเขาหลงผมต่างหาก ความจริงผมควรจะเขินไหม แต่ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกตลกเขาก็ไม่รู้

“นายควรไปอาบน้ำ” ผมดันอกเขาออกให้ระยะห่างระหว่างเราเพิ่มขึ้นอีกหน่อย เซนทำหน้าเหรอหราก่อนจะก้มลงเช็คตัวเอง เขาทำจมูกฟุดฟิดเหมือนหมาไม่มีผิด

“ผมเหม็นหรอ” เขาถามอย่างไม่มั่นใจ

“เสื้อผ้านายมันเปื้อนฝุ่น เดี๋ยวที่นอนก็เลอะไปด้วย” ผมบอก

“ถ้าอย่างนั้นแค่ถอดก็ไม่เปื้อนแล้วสิ” ไม่พูดเปล่า เขาทำหน้าเจ้าเล่ห์ขยับเขามาใกล้จนผมต้องเอนตัวหลบแถมยังทำท่าจะถอดออกอย่างที่ปากว่าจริงๆด้วย

“ผมไปเอง” ผมผลักเขาให้หน้าทิ่มลงเตียงด้วยความหมันไส้ก่อนจะลุกขึ้นเสียเอง แต่เซนไวกว่าเขารีบคว้าข้อมือผมไว้

“ผมล้อเล่น โอเค..อาบครับอาบ”

ใช้เวลาไม่นานอีกคนก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งปิดบังช่วงล่างไว้ อีกผืนพาดอยู่ที่บ่า..คอยซับน้ำจากผมที่พึ่งสระของตัวเอง ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองไหมนะ ว่าอีกคนกำลังโอเอ้ไม่ยอมไปแต่งตัวให้เรียบร้อยสักที

“เช็ดให้หน่อยได้ไหมครับ” เขายื่นผ้าที่เคยพาดอยู่ที่บ่ากว้างมาให้ ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ทุกทีเขาก็ทำมันด้วยตัวเองนี่นี่หน่า..อ่อ..มันคือสิ่งที่คนเป็นแฟนกันควรจะดูแลสินะ

“ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนสิ เดี๋ยวผมเช็ดให้” ผมยิ้มบางๆให้เขา เท่านั้นบีเกิ้ลของผมก็รีบลุกลี้ลุกลนวิ่งหาเสื้อผ้าใส่อย่างรวดเร็ว

เขามันไฮเปอร์ นั่งนิ่งๆให้ผมเช็ดผมให้เขาได้ไม่นานก็เงยหน้ามองผมอีกแล้ว ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาฉายแววซุกซน..นิสัยเด็กๆแบบนี้ใครจะคิดกันว่าเป็นถึงนายช่างใหญ่ ถึงในเวลางานเขาจะจริงจังเหมือนเป็นอีกคนเลยก็เถอะ

“เฉยๆได้ไหม” ผมดุไม่จริงจัง

“ทำยังไงดี..ผมอยากจูบคุณอีกแล้ว” ผมต้องทำตัวให้ชินสินะ ให้ตายสิมันไม่ใช่ปกติของผมเลย เมื่อกี้ผมก็เผลอโยนผ้าในมือคลุมหน้าเขาแล้วลุกขึ้นหนีคว้าผ้าเข้าห้องน้ำไปแล้ว

--

“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลง เมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกมาเจอคนสูงกว่ากำลังยืนยิ้มระยะประชิด ผมถอยหลังอัตโนมัติแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่คิดเพราะเซนเร็วกว่า เขายื่นแขนมารั้งผมให้ขยับเข้าไปชิดตัวเขาแล้วชิงประกบปากลงมาอย่างรวดเร็ว

เขาดูดดึงริมฝีปากล่างของผมเบาๆก่อนจะขบเม้มหยอกล้ออย่างช่ำชองจนผมเผลอตัวเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสของเขา..เปิดริมฝีปากให้เขารุกล้ำเขามาตามที่เขาต้องการ

“อื้ออ!” เรียวลิ้นที่แทรกเข้ามาทำให้ผมรู้สึกแปลกไป..มันน่าอาย แต่ผมกลับพยายามตอบรับเขา โต้ตอบเขาด้วยเกมที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน

“ที่นี่ไม่มีที่ให้คุณหมอหนีผมได้หรอก” เขาพูดหลังจากปล่อยให้ริมฝีปากผมเป็นอิสระ ผมหอบหายใจ..สมองผมหยุดทำงานไปชั่วคราวจนเซนต้องดันหลังผมให้เดินนำไปที่เตียงแล้วหาเสื้อมาวางให้ผมแทน

“ให้ผมช่วยไหม” เขาเสนอตัวพร้อมกับชูเสื้อยืดในมือขึ้นให้ผมรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

“มะ..ไม่เป็นไร” ผมรีบแย่งมาแล้วจัดการใส่อย่างรวดเร็ว รวมทั้งอีกสองชิ้นที่วางอยู่ด้วยจนอีกคนหลุดหัวเราะออกมา

--

“เรามาหาอะไรทำกันไหม”

“อะไร” ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ พอสถานะเราชัดเจนแล้วความไว้ใจเขาในเรื่องความปลอดภัยผมเลยลดลง เอาตรงๆเลยนะ..ผมยอมรับเลยว่าผมโคตรกลัว กลัวมากด้วย จะบอกคนหน้านี่ไปได้โดนหัวเราะแน่ๆ

“อะไรก็ได้” เขาไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเลย

“ผมว่าผมจะนอน” ผมรีบบอก ไม่ว่าเปล่าขยับไปทิ้งตัวตรงที่ประจำตัวเองทันที

“ทุกทีคุณหมอก็ไม่ได้นอนตอนหกโมงเย็นนี่ครับ”

“ผมง่วงแล้ว” หลับตาแม่ง

“ทำไม..กลัวผมหรอ” เขาถามอย่างรู้ทัน

“เออ”

“หึหึ..ผมไม่ฝืนใจคุณแน่นอน ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ผมรักคุณ..ผมแคร์ความรู้สึกของคุณจะตาย”

สัมผัสจากหมอนที่ยวบลงทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมอง เซนตามมานอนข้างๆผม..หนุนหมอนใบเดียวกันโดยที่หนุนแขนของตัวเองเอาไว้อีกที แขนอีกข้างแทรกเข้ามาให้ผมหนุนแล้วกระชับให้ผมขยับเข้าไปนอนใกล้เขากว่าที่เคย

“มันอึดอัดนะ” ผมพูดเสียงเบา จะขยับออกแต่ทำไม่ได้เพราะอีกคนขืนเอาไว้

“นอนเฉยๆสิ ไม่ดิ้นก็ไม่อึดอัดหรอก” เขามันเอาแต่ใจ

“แต่นายจะเมื่อย” ผมพยายามบ่ายเบี่ยง

“ช่างผมเถอะ”

“...” หมดคำพูด เงียบใส่เลยแล้วกัน

“คุณช่วยเราเรื่องอะไรให้ผมฟังหน่อยได้ไหม อะไรก็ได้” อยู่ดีๆเซนก็พูดขึ้น ตาสีอ่อนของเขาเหลือบมองผมที่เงยหน้าขึ้นมองเขาพอดี

เขามักจะขอให้ผมทำแบบนี้..เขาชอบฟังเรื่องราวจากผม ซึ่งส่วนมากก็ไม่พ้นเรื่องประสบการณ์สมัยเรียนไม่ก็ตอนทำงาน เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้ใช้ชีวิตผาดโผนอะไร เลยไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาเล่าให้เขาฟังมากมาย

“ผมเล่าไปหมดแล้ว..ไม่รู้จะเล่าอะไรแล้ว ทำไมนายไม่เล่าให้ผมฟังบ้างล่ะ” ผมถาม

“เพราะผมชอบฟังเสียงคุณไง..ชอบมองริมฝีปากคุณ เวลามันขยับพูดอะไรบางอย่างให้ผมฟัง”

“ไม่ใช่ว่านายชอบผมหรอกหรอ” ผมแกล้งแหย่เขา

“ผมหลงคุณจะบ้าอยู่แล้ว” ผมหลุดหัวเราะออกมาจนอีกคนก้มลงมาหอมแก้มผมแรงๆนั่นละถึงได้ชะงักไป..ฉิบหายไม่ทันตั้งตัวเลย

--

“นอกจากผม นายเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน” เราเงียบกันไปสักพักก่อนที่ผมจะถามเขาออกไป เอาจริงผมไม่ได้แคร์กับชีวิตรักที่ผ่านมาของเขาหรอก แต่ก็ยอมรับว่าแอบอย่างรู้เหมือนกัน

“เฮ้..เราจะคุยกันเรื่องนี้กันจริงหรอ” เซนเลิกคิ้ว

“ใช่..วินวินไง ผมบอกของผมนายบอกของนาย”

“งั้นคุณหมอบอกของคุณก่อน” ยิ่งเขาต่อรองผมยิ่งอยากรู้

“ผมถามก่อน”

“โอเค..ก่อนหน้าคุณผมเดตมาแค่สามคน” น้อยกว่าที่คิดแฮะ แต่พอลองมาคิดดูใหม่มันก็สมเหตุสมผลกันนิสัยเขาที่เชื่อมันในความรัก เขาดูไม่ใช่พวกรักสนุกเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่นหรอก

“ผู้ชายหรือผู้หญิง” ผมถามต่อ

“ไม่ใช่ว่าตาคุณหมอต้องตอบผมก่อนหรอ”

“ของผมแค่สองคน..ผู้หญิงทั้งคู่ด้วย ทีนี้ตอบคำถามผมมาได้แล้ว” ผมตอบสบายๆ

“ผู้หญิง ผู้ชาย แล้วก็ผู้หญิง”

“อ่า..” ผมพูดออกไปได้แค่นั้น

“ถ้าอย่างนั้นผมถามบ้าง คุณหมอไม่ได้เวอร์จิ้นอยู่ใช่ไหม”

“บ้าดิ..ถามบ้าอะไรของนาย” ผมโวยวาย จำเป็นต้องตรงทุกเรื่องขนาดนี้เลยไหม

“อย่าขี้โกงสิ คุณถามผมยังตอบเลย” เขากดดันผมต่อ

“ผมไม่ได้เวอร์จิ้น”

“ผมไม่ได้หมายถึงกับผู้หญิง” เขาทำผมขบริมฝีปากแน่น

“ก็รู้อยู่แล้วนี่จะถามทำไม” ผมนี่ก้มหน้าหลบสายตาเขาเลย ใครมันจะบ้ากามผ่านมาทุกสนามแบบนั้นล่ะวะ แล้วผมก็ไม่ได้ชอบเรื่องแบบนี้ขนาดจะไปให้ความสนใจมากขนาดนั้นเสียหน่อย

“โอเคเราเลิกคุยเรื่องนี้กัน” เซนพูดติดจะขำ แล้วยังยื่นมามาจับหน้าผมบังคับให้เลิกหลบสายตาเขาอีก

“คุณหมอง่วงรึยัง” เขาเปลี่ยนเรื่อง

“ยัง..มันพึ่งจะหกโมงเย็นไม่ใช่หรอ” เขาเองก็พึ่งบอกไปไม่ใช่หรอ

“แล้วหิวไหม” เซนยังคงถามต่อ

“...” ผมส่ายหน้า ปกติผมก็ไม่ค่อยกินอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างตอนเช้าผมรองท้องมาเยอะพอสมควรไหนจะไปซ้ำกับไมเคิลอีก

“แต่ผมหิว ไปหาอะไรกินกันเถอะ” แล้วจะถามเพื่อ ผมแค่คิดนะ..ไม่ได้พูดออกไปหรอก เซนจับแขนให้ผมลุกขึ้นยืนแล้วให้ผมใส่รองเท้า..ผมนึกว่าเขาจะหาอะไรรองท้องในห้องเขาเสียอีก

“ไปไหน” ผมถาม เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่จับข้อมือให้ผมเดินตามเขาไป เขาพาผมเดินเลาะไปตามบ้านพักคนงานเรื่อยๆผมเองก็ไม่ได้เดินมาสักครั้งเลยไม่รู้ว่ามันเยอะขนาดนี้

เดินไม่นานเขาก็พาผมเดินมาถึงกระโจมขนาดใหญ่ จะว่ายังไงดีล่ะ มันเหมือนลานกว้างๆที่มีหลังคาที่คนส่วนมากมาสังสรรค์กัน มีกองไฟขนาดใหญ่ค่อยให้แสงสว่างและความอบอุ่นอยู่ตรงกลาง

“ไซด์ถล่มแต่พวกนายมีปาร์ตี้เนี่ยนะ” ผมดึงคนสูงกว่าให้ก้มลงมาแล้วกระซิบถามเขา ผมแปลกใจมากที่ทุกคนดูกำลังสนุกสนานราวกับไม่ได้ผ่านสถานการณ์เสี่ยงตายและไหนจะงานเขาที่เสียหายนั่นอีก

“ไม่ได้ปาร์ตี้ ปกติสำหรับดินเนอร์ของพวกเรา” เขาพูดแค่นั้นก็หันไปเซย์ไฮกับพวกเพื่อนๆของเขาแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นเซนก็คอยมองผมไม่ห่าง คอยเทคแคร์หานู่นนี่มาให้ผมกินทั้งๆที่ผมไม่ได้หิวสักหน่อย และผมก็เผลอส่งมันเข้าปากไม่หยุดเลยให้ตายสิ..ไก่ย่างพวกเขาอร่อยกว่าพาสเตอร์จืดชืดที่ผมกินประจำที่โรงอาหารในสถานพยาบาลจนผมจะร้องไห้ ไหนจะบาบีคิวในมือที่รอให้ผมลิ้มลองนี่อีก

--

“เบื่อไหม” เซนถามก่อนจะยื่นแก้วเบียร์ในมือมาให้แล้วตามลงมานั่งข้างๆ

“ไม่หรอก อาหารอร่อยดี” ถึงผมจะภาษาไม่ได้แข็งแรงพอที่จะร่วมบทสนทนากับคนอื่นจนออกรสได้แต่นั่งมองคนอื่นเขาคุยกันมันก็เพลินดี

“ถ้าคุณอย่างดื่มเต็มที่ได้เลยนะ ไม่ต้องห่วงผมคอยดูแลคุณอยู่” เขาพูดขึ้นเมื่อเห็นผมเอาแต่จิบทีละนิด นี่ผมคงแสดงออกมากเกินไปสินะว่าผมอยากดื่มเหมือนกัน

“ไม่หรอก ผมคงไม่ดื่มจนเมา”

“ผมอยากเห็นคุณเมานะ”

“หึ..นายไม่อยากเห็นหรอก ทุกวันพวกนายก็ดินเนอร์กันแบบนี้หรอ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ผมชักอิจฉาพวกเขาแฮะ เป็นไปได้ผมอยากให้ฝั่งนู้นรีแล็กซ์แบบนี้บ้าง ที่นั่นหน้าได้ยากนะที่แต่ละคนจะมาสนิทกันแบบนี้ คงเป็นเพราะเปลี่ยนเวรบ่อยด้วยละมั้ง แต่ละคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป บางคนมาอาสาแค่เดือนเดียวด้วยซ้ำ แค่ยี่สิบวันก็มี

“ก็คล้ายๆนะ แต่ไม่ขนาดนี้หรอก นี่มันสุดสัปดาห์พอดีพรุ่งนี้วันพักของพวกเราเลยมีแอลกอฮอล์” ไม่พูดเปล่า แก้วเบียร์ในมือถูกเขาขึ้นจิบประกอบด้วย

“แล้วอาหารเยอะขนาดนี้กินกันหมดหรอ” คงน่าเสียดายแย่ถ้าของอร่อยๆพวกนี้ถูกทิ้งขว้าง

“พวกเรามันชนชั้นแรงงานนะครับ เท่านี้ไม่น่าพอกันด้วยซ้ำ” เขาพูดติดตลกแต่นั่นทำให้ผมทึ่งไปเลย ถ้าทุกคนกินเท่าๆผม..ผมว่าปริมาณเท่านั้นกินได้ทั้งหมู่บ้านเลยนะ

“...”

“ต้องการอะไรเพิ่มบอกผมได้เลยนะ”

“ขอเบียร์ให้ผมอีกแก้วก็พอ” ผมว่าก็จิบเพลินๆนะ แต่ทำไมเผลอแปบเดียวหมดแก้วซะแล้วสิ

“จัดให้ครับผม ระวังจะเมานะครับ”


ผมไม่เมาหรอก..เชื่อสิ

..
...

หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่12 You are mine and I am yours] 04/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 04-07-2017 23:15:06
-12-
You are mine and I am yours
   


“พอแล้วไหมครับ แก้มแดงหมดแล้ว”

“ทำไมล่ะ นายจะกลับแล้วหรอ” ผมหันไปถามเขาแทน แก้วในมือก็ไม่ได้ยื่นไปให้คนข้างๆที่ยื่นมือมาขอคืนหรอก..ผมยกขึ้นจิบแทน เซนเองก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยื่นบาบีคิวในมือตัวเองมาให้ผมกัดไปอีกคำ

 “ไม่ใช่..ผมแค่เห็นคุณหมอดื่มเยอะแล้ว จะนอนไม่สบายตัวเอา แล้วพรุ่งนี้เช้าตื่นมาจะรู้สึกไม่ดีด้วย” ตอนแรกผมนึกว่าเซนจะแกล้งมอมให้ผมเมาเสียอีก แต่เขาคอยดูแลดีขนาดนี้คงไม่ใช่อย่างนั้นแล้วละมั้ง..ผมคิดว่าผมไว้ใจเขาได้

“อยู่ต่ออีกหน่อยสิ ผมยังไม่เมาหรอก”

“ตามใจคุณแล้วกัน ถ้าทุกคนเริ่มกลับ เราจะกลับกัน โอเคนะครับ”

“ครับ” ผมยิ้มกว้างให้เขา รับคำอย่างว่าง่าย หรือว่าผมจะเริ่มเมาแล้วนะ


เรานั่งข้างกันเงียบๆไปเรื่อยๆ มีบ้างที่คนข้างกายหันมามองผมเป็นระยะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผมยังคงยกแก้วในมือขึ้นดื่มต่อ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสติดี..ไม่ได้เมา ผมไม่ได้คอแข็งหรืออะไรหรอก แต่พอดีว่าไม่ได้ดื่มแต่เบียร์เปล่าๆกินนู่นกินนี่ไม่ได้หยุดมันก็เลยดื่มได้เรื่อยๆ

อยู่ดีๆผมก็คิดอะไรสนุกๆขึ้นมาได้..ผมจะลองใจเขา

“เซนน..” ผมเรียกเขาเสียงยานคาง เจ้าของชื่อหันมาแทบจะทันที

“ครับ” เขาขานรับ

“ผม..ผมอยากเข้าห้องน้ำ”

“งั้นเรากลับกันเลยแล้วกัน” เขาดึงแก้วในมือผมออกไปวางไว้ แล้วดึงให้ผมลุกขึ้นไปยืนข้างกัน

“แต่ผมยังไม่อยากกลับเลย”

“ที่นี่ไม่มีตรงไหนให้คุณหมอปลดทุกข์ได้เลยนะ” เขาว่าอย่างกังวล

“ผมยังไม่อยากกลับนี่หน่า”

“ไม่ดื้อสิครับ เปื้อนมาตรงนี้ยุ่งเลยนะ” ไม่ปล่อยให้ผมได้ทันต่อลองอะไรอีกเซนก็ลากแขนให้ผมเดินตามเขาแล้ว ทำเอาผมไม่ทันตั้งตัวเกือบสะดุดขาตัวเองล้มลงไปกองกับพื้นดีว่าเขารั้งผมไว้ได้ทัน

เขาจัดแจงให้ผมกอดคอเขาเอาไว้แล้วส่งผมขึ้นหลังเขาอย่างง่ายดายทั้งๆที่ผมว่าตัวผมก็ไม่ได้เล็กขนาดนั้นนะ..ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร ปล่อยเขาแบกตัวเองเดินไปตามทางที่เราเดินมาเรื่อยๆ ดีเหมือนกัน ผมเองก็ขี้เกียจเดินเองให้เมื่อย

“อืมม..” ผมส่งเสียงในลำคอออกมาเบาๆ กระชับแขนรอบลำคอของเขาให้แน่นขึ้น ฝังหน้าเข้ากับไหล่ลาดของเขา ขอพักสายตาหน่อยแล้วกัน

“หึ..คุณมันตัวยุ่ง” คิ้วผมขมวดเข้าหากัน นี่เขาคงคิดว่าผมเมาหลับไปแล้วสินะถึงได้กล้าพูดออกมาอย่างนี้

ใช้เวลาไม่นานเราก็กลับมาที่ห้องของเขา ผมอุตส่าห์รอฟังว่าเขาจะบ่นอะไรผมอีกไหมแต่เขาก็ไม่ เซนแบกผมเดินมาเงียบจนผมเกือบเผลอหลับน้ำลายไหลเปื้อนเสื้อเขาไปแล้ว

เซนจัดการวางผมลงบนที่นอนอย่างเบามือก่อนจะตามมาถอดรองเท้าออกให้ ผมก็ได้แต่นอนมองเขา..เขาก็รู้นะว่าผมตื่นแล้วแต่ก็ยังทำให้อยู่ดี

“ปวดฉี่ไม่ใช่หรอครับ ปล่อยราดที่นอนไม่ได้นะ” เขาตามมานั่งข้างๆแล้วดึงแขนให้ผมลุกขึ้นนั่งเหมือนกัน

“ไม่ปวดแล้ว” ผมบอก

“อ่าว..ไปฝืนเอาหน่อยไหมเดี๋ยวนอนแล้วต้องตื่นขึ้นมาเข้ากลางดึกอีกนะ”

“ก็ได้..” ผมลุกขึ้นยืนเซจนเกือบล้มเพราะรีบลุกไปหน่อย เท่านั้นเซนก็ไม่ไว้ใจผมเขาตามเข้ามาถึงในห้องน้ำเลยทีเดียว

“อย่าแอบดูผมสิ” ผมโวยวาย

“ไม่แอบดูหรอก ผมแค่กลัวว่าคุณจะเป็นอะไร” เขาหันหน้าไปทางอื่นให้ผมเชื่อว่าจะไม่แอบดูผมจริงๆผมถึงได้ปลดกางเกงแล้วปลดทุกข์อย่างรวดเร็ว

--

“มีคนแถวนี้บอกผมว่าจะไม่เมา” เสียงเซนแซวขึ้นหลังจากผมกลับมานอนที่เตียงเรียบร้อยแล้วเขาตามมาทิ้งตัวนอนลงข้างๆกัน

“ไม่เมา..” ผมยิ้มหวานใส่เขา

“ถ้าไม่เมาคุณไม่ยิ้มให้ผมน่ารักขนาดนี้หรอก”

“ผมไม่เมา” เถียงออกมาเสียงเบา

“ครับไม่เมาก็ไม่เมา..เลิกเกาได้แล้ว เดี๋ยวแดงเป็นรอยหมด” เซนจับมือผมออกแต่พอเขาปล่อยผมก็เกาต่ออยู่ดี

“..มันร้อน..”

“อยู่เฉยๆ เดี๋ยวผมไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้” เขาถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจก่อนจะลุกออกไปเตรียมของอย่างที่เขาว่า

เสื้อยืดผมถูกเขาถอดออกอย่างเชี่ยวชาญ สัมผัสเย็นๆจากผ้าขนหนูที่ลากผ่านทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากจริงๆ

“อย่ามองผมด้วยสายตาอย่างนั้น ผมยังไม่อยากปล้นจูบคุณตอนนี้หรอกนะ”เขาพูดขึ้น รอยยิ้มเล็กๆยังคงมีให้เห็นที่มุมปากของเขา ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองมองเขาด้วยสายตาแบบไหนเขาถึงได้พูดออกมาแบบนั้น

“ผมไม่ห้ามหรอก..” ผมต่อปากต่อคำ อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่ไหนเวียนอยู่ในตัว ผมถึงได้กล้าพูดออกไปอย่างนั้น

“หึ..เมาแล้วเป็นอย่างนี้หรอ” ผ้าในมือถูกเขาโยนทิ้งไป นิ้วเรียวของเขาไล้ตามโครงหน้าผมช้าๆ สายตาเราสองคนผสานกัน ก่อนที่ริมฝีปากสีสดของเขาจะปิดทับลงมา

ผมเผยอปากตอบรับจูบจากเขา ลิ้นร้อนล่วงล้ำเข้ามาในโพรงปากเลาะเล็มไปตามแนวฟันอย่างเอาแต่ใจ เขาดูดดึงปลายลิ้นผมไม่เบานักก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นริมฝีปากล่างของผมแทน

“อ่ะ..เซน” ผมดันอกเขาออกเพื่อกอบโกยอากาศเข้าปอดก่อนจะโดนเจ้าของชื่อปัดมือผมทิ้งแล้วประกบปากลงมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

เขาไม่ปราณีผมแล้ว..เขาตะโบมบดจูบลงมาราวกับสัญชาติญาณดิบเขาถูกปลุกขึ้นมา ผมไม่เคยจูบกับใครแล้วเหมือนโดนสูบวิญญาณขนาดนี้..รวมทั้งครั้งก่อนหน้ากับคนด้านบนมันก็ไม่ขนาดนี้

“คุณควรจะเบรกผม” เซนพูดขึ้นหลังจากสงครามแลกเปลี่ยนเอนไซม์ระหว่างเรายุติลงแล้ว แขนข้างหนึ่งเขาใช้รับน้ำหนักตัวที่คร่อมทับผมเอาไว้ส่วนมืออีกข้างยื่นมาเช็ดคราบสีใสให้ผมเหมือนทุกที ตอนนี้ผมตอบอะไรเขาไม่ได้หรอก..ลมหายใจผมยังไม่ปกติเลย

“..ดูสิปากแดงหมดแล้ว”

“...” ทั้งหมดนั่นมันก็เพราะเขานั่นล่ะ

“ถ้าคุณยังน่ารักแบบนี้ผมกลัวว่าผมจะเผลอเอาเปรียบคุณ”

“ผม..ยังไม่อยากหยุด..ผมตามใจนายนะ”

“ไม่หรอก..ถ้าคุณไม่เมา ปกติคุณจะไม่พูดอย่างนี้”

“...” เขาดูสับสน ลังเล ผมเองก็ได้แต่เงียบเพื่อรอดูว่าเซนจะว่ายังไงต่อไป

“ผมทำไม่ได้ ผมเห็นแก่ตัวอย่างนั้นไม่ได้...นอนซะนะครับ” เขาเลิกผมที่ปรกหน้าผากผมออกก่อนจะเช็ดเหงื่อที่ซึมออกให้แล้วแตะริมฝีผากลงมาเบาๆ

นั่นทำให้ผมรู้สึกดี..รู้สึกดีที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้ รู้สึกดีที่ตัดสินใจให้โอกาสเขา..เลือกเขา เซนเป็นคนดีผมรู้ แต่นี่มัน..เขาน่ารักกว่าที่ผมคิด เขาทำให้ผมรู้ว่าผมไว้ใจเขาได้..พึ่งพาเขาได้ เขาให้ผมมาตั้งมากมาย..บางทีผมคิดว่าผมจะให้สิ่งที่เขาต้องการบ้าง

“ขอบคุณนะ” ผมบอกเขา

“หืม..ขอบคุณเรื่องอะไรครับ”

“ทุกเรื่อง..”

“ขอร้องเถอะครับ อย่าน่ารักไปมากกว่านี้เลย” เขาโอดครวญจนผมหลุดหัวเราะออกมา

“รักผมไหม” ผมถามเขา

“มาก..” คนตรงหน้าตอบอย่างไม่ลังเล

“ผมก็รักนายเหมือนกัน ในเมื่อเรารักกัน ถ้านายต้องการ..” ผมเว้นวรรคไป จากสีหน้าเขาที่เบิกตาค้างอย่างนั้นเซนเองก็คงเข้าใจได้เองแล้วล่ะว่าผมหมายถึงอะไร

“คุณ..คุณหมอเมามากแล้วแน่ๆ..” เขาพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ผมดูเหมือนคนเมาหรอ”

“แต่ก่อนหน้านั้น..” เขาแย้ง

“ก็นายเข้าใจไปเองว่าผมเมา ผมก็แค่ตามน้ำไปเพราะอยากทดสอบอะไรบางอย่าง จะพูดอีกอย่างคือผมอยากลองใจนาย”

“คุณมัน..เจ้าเล่ห์..ร้ายกาจที่สุด”

“มันทำให้ผมรู้จักนายมากขึ้นนะ” ผมพูดยิ้มๆ

“คุณรู้จักผมดีอยู่แล้ว คุณแค่อยากแกล้งผม” เขาว่าอย่างรู้ทัน นั่นก็ใช่แต่ไม่ทั้งหมดหรอก เพราะผมอยากสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองต่างหาก ครั้งแรกของผมเชียวนะ..จะไม่ให้กังวลอะไรได้ยังไง

“นายมันซื่อบื้อ” เท่านั้นผมก็โดนเขาลงโทษด้วยการฟัดไปทั้งตัวจนผมหลุดหัวเราะลั่นเพราะความบ้าจี้ จนผมหายใจจะไม่ทันนั่นละเขาถึงได้หยุดแกล้งผมสักที


“คุณพูดจริงไหม เรื่องนั้น?..” เซนถามอย่างไม่มั่นใจ

“ผมเชื่อว่าผมไว้ใจนายได้..มันโอเคถ้าครั้งแรกจะเป็นนาย” ผมบอกไปอย่างที่คิด แม้มันจะยังเร็วกับผมสำหรับเรื่องนี้ และแม้ว่าผมจะกลัวแต่ผมไม่อยากให้เวลามาทำให้ผมเสียใจทีหลัง ผมเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวก็ต้องกลับไปแล้ว จนถึงตอนนั้นผมอยากมีความสุขกับเขา..รักเขาให้เต็มที่อย่างที่เขารักผม ผมเชื่อว่าพอเวลานั้นมาถึงระยะทางมันจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา

“คุณคิดดีแล้ว?..”

“ครับ..ผมคิดดีแล้ว”

“ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง”


แล้วเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ


Zayn’s Part

พอเขาอนุญาตออกมาอย่างนั้นมันก็ยากสำหรับผมที่จะหักห้ามใจต่อไป

เขาน่ารักมาก..ไม่รู้ว่าผมพูดคำนี้ไปกี่ครั้งแล้ว ถึงคุณหมอจะตัดสินใจอย่างนั้นแต่เขาก็ยังประหม่าอย่างเห็นได้ชัด เขาเกร็งจนผมต้องก้มลงไปป้อนจูบอีกครั้ง

“รีแล็กซ์..ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณเจ็บ” ผมบอกเขา

“ไม่ต้องมาหลอกผมเลย ผมเป็นหมอนะ..ผมรู้ว่ามันเจ็บอยู่แล้ว” ผมหลุดยิ้มออกมา..ผมละมันเขี้ยวเขาจริงๆ

“งั้นผมจะไม่ทำให้คุณเจ็บมากก็แล้วกัน” ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างมันยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ผมประกบปากป้อนจูบเขาอีกครั้ง คนตัวขาวก็เปิดทางให้ผมลุกล้ำอย่างง่ายดาย ความหอมหวานจากเขา..ที่ผมเคยได้ลิ้มลองก็ติดใจ และดูเหมือนว่าผมจะหาทางออกไม่ได้เลย

“อืออ..เซนน” เสียงหวานๆของขาเล็ดลอดออกมาก่อนจะดูดผมดูดกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นเขา..เท่าไรมันก็ไม่เคยพอ

ผมละริมฝีปากออกปล่อยให้คนตัวขาวใต้ร่างได้หอบหายใจ พรมจูบไปที่หน้าผากเกลี้ยง ก่อนจะไล่ลงมาแตะริมฝีปากลงเบาๆบนเปลือกตาที่ปิดรับสัมผัสจากผมอย่างน่ารัก ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดตรงข้างแก้มเขาก่อนจะละความสนใจมาที่ซอกคอของเจาแทน

“ผมทำรอยได้ไหม” ผมขออนุญาตเขา ความจริงผมจะเอาแต่ใจตัวเองก็ย่อมได้ แต่ผมอยากให้เจ้าตัวเป็นคนเอ่ยปากเองมากกว่า

คุณหมอไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่จับหน้าผมให้ลดลงต่ำกว่าเดิม ซึ่งผมจะถือว่านั่นคือคำอนุญาตจากเขาก็แล้วกัน

ผมแตะจูบเบาๆไปที่แผ่นอกที่เปลือยเปล่าของเขา ยอดอกของเขาสีตัดชัดเจนกับผิวของเขา..และผมคงปล่อยผ่านไปไม่ได้

“พะ..พอแล้ว” ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอตระกะตระกามดูดกลืนเขามากขนาดนั้นถ้าอีกคนไม่ห้ามออกมา คุณหมอยื่นมือมาถอดเสื้อให้ผมบ้างซึ่งผมเองก็ยกแขนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ผมถูกดันให้นอนลงแทนที่เขาแล้วขึ้นคร่อมผมแทน เขาทำมันทุกอย่างแบบเดียวกับที่ผมทำให้เขา แม้มันจะไม่ได้เชี่ยวชาญจนผมแทบขาดใจ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีจนตื่นตัวคับแน่นไปหมดแล้ว และคนต้นเรื่องต้องรู้สึกถึงมันแล้วแน่ๆ ถึงได้จงใจบดสะโพกลงมาแบบนั้น

ผมรั้งใบหน้าที่กำลังสนุกกับเรือนร่างของผมให้มาตอบรับจูบอีกครั้ง อาศัยจังหวะที่คนด้านบนเผลอรั้งกางเกงที่เกะกะของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยชั้นในที่ผมเป็นคนเตรียมไว้ให้เขาเอง

คนตัวขาวทำท่าจะผละออกไปแต่ผมรีบใช้แขนอีกข้างขังเขาเอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะจับเจ้าหนูของเขาเอาไว้เป็นตัวประกัน

“อะ..ฮึกก” แค่ผมขยับข้อมือเบาๆอีกคนก็ครางฮือทรุดตัวลงบนแผ่นอกผมแล้ว เขาน่ารักมากจนผมกดจูบลงที่ขมับเขาอย่างเอาใจ

ทำยังไงดี..ถ้าผมเผลอทำรุนแรงกับเขาไป


Patt’s Part

ไม่รู้ว่าอีกคนมือไวหรือผมสติไม่อยู่กับตัว รู้สึกตัวอีกทีผมก็เปลือยเปล่าแล้ว ส่วนร้อนผมโดนผมจับกุมไว้ก่อนจะรูดรั้งอย่างเอาแต่ใจ อารมณ์ผมพุ่งสูงอย่างง่ายดาย ไม่ช้าส่วนร้อนมันก็ตื่นตัวอย่างน่าอายอยู่ในมือเขาแล้ว

“อ่า..อืมม” ผมโดนรั้งให้ขยับขึ้นไปตอบรับจูบจากเขาอีกครั้ง บั้นท้ายถูกมือใหญ่ๆของเขากอบกุมแล้วบีบคลึงอย่างไม่อาจห้ามปราม นิ้วเรียวที่กรีดลากยาวไปตามร่องหลังสร้างความกระสันและเรียกความสันใจผมได้เป็นอย่างดี..แต่ทำได้ไม่นาน ความสนใจผมก็โดนดึงกลับมาอยู่ที่ปลายลิ้นที่กำลังทำสงครามกับอีกคนอย่างดุดันแล้ว

ร่างทั้งร่างผมโดนเขาพลิกให้กลับมาอยู่ใต้ร่างเขาเหมือนเดิมอย่างง่ายดาย เซนผละออกไปหาอะไรบางอย่างที่ลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงอย่างรีบร้อนก่อนจะกลับมาประกบปากป้อนจูบผมอีกครั้ง

“อย่าเกร็งนะ..” เขาบอกผม..แค่บอก เขาไม่ได้ให้เวลาผมเลย รู้สึกตัวอีกทีก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่ไม่คุ้นเคยทางช่องทางด้านหลัง มันคือเจลหล่อลื่นไม่ผิดแน่..ที่ผมสงสัยคือเขามีมันได้ยังไงกัน ยังไม่ทันได้มีโอกาสซักถามอะไรก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วแข็งกดแทรกเข้ามาแล้ว

“อึกกก..อ่าา” ผมกัดฟันแน่นซุกหน้าลงกับต้นคอของคนด้านบนก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวออกมาตอนที่รู้สึกว่านิ้วอีกคนแทรกเข้ามาจนสุด

ความจุกเจ็บเสียดวิ่งพล่านเข้ามาจนเหงื่อผมซึมไปหมด ผมว่าผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนไข้เวลาโดนสวนทวารแล้วสิ..แล้วถ้าเป็นริดสีดวงมันจะเจ็บขนาดไหนวะ ขนาดนี่พึ่งแค่นิ้วเดียว..ผมไม่อยากจะคิดถึงขั้นตอนนั้นเลย

“โอเคไหมครับ” เซนถามขึ้นหลังจากปล่อยให้ผมปรับตัวอยู่สักพัก อยากจะตอบอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้ผมยังพูดไม่ออกเลย ได้แต่ซุกหน้าเขาหาอีกคนมากขึ้นแล้วพนักหน้ารับเบาๆ

เซนกดจูบตรงขมับผมก่อนที่นิ้วที่สองจะแทรกเข้ามา จากสองกลายเป็นสามภายในเวลาไม่นาน มันแน่นจนตาผมพร่าไปหมดแล้ว

“อ่า..เซน..ผะ..ผม” ผมเรียกเขาเสียงพร่าเมื่ออีกคนขยับนิ้วเข้าออกให้ผมปรับตัว ผมรู้ว่ามันจำเป็นต้องเตรียมช่องทางซะก่อนเพราะมันสร้างเพื่อเอ็กซ์เซิร์ทไม่ใช่อินเซิร์ท ไม่งั้นผมคงไม่อาจรับตัวตนของเขาเข้ามาได้ แต่นี่มันมากเกินไป..ผมเสียดไปหมดแล้ว

“ครับ..” เขาขานรับก่อนจะแตะจูบลงมาบนริมฝีปากเขาเบาๆ

“พอแล้ว..” ผมบอกเขา

“แต่คุณจะเจ็บ” เขาว่าอย่างกังวล แต่ผมจับข้อมือเขาให้ขยับออกไปเขาถึงยอม ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเจ็บหรอกเพราะนี่ผมก็เจ็บจนเริ่มชาไปหมดแล้วถึงจะรู้สึกเสียดเสียวอยู่บ้างก็เถอะ

“เอาของนายเลย”

“คุณมันดื้อ!” จมูกผมโดนเขากัดเบาๆ เซนปลดกางเกงตัวเองอย่างรีบร้อน ตาผมเหลือบลงมองต่ำเองอย่างไม่รู้ตัว ยังไม่ทันจะได้เห็นอะไรผมก็โดนคนด้านบนจับคางให้เงยหน้ามองเขา

“eyes on me” เขาว่าอย่างเอาแต่ใจ

“ที่นายยังเห็นของผมเลย” จับแล้วด้วย ผมเถียง

“เดี๋ยวคุณกลัว แล้วจะเกร็ง..” ไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้พูดไปมากกว่านี้เขาก็ปิดปากผมด้วยจูบของเขาอีกแล้ว เขาใช้มันหลอกล่อให้ผมหลงใหลมัวเมาไปกับเขาแทนที่จะเป็นข้างล่าง เขาจัดการตัวเองอยู่สักพักก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงปลายของส่วนร้อนค่อยๆกดเข้ามา

“อึก..อืออ!!” เสียงผมเล็ดลอดออกมาได้เพียงเท่านี้ จิกเล็บลงกับบ่าเขาแน่น สาบานว่าตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเจ็บเท่านี้มาก่อน

ผมไม่รู้หรอกว่าเขาใหญ่โตมากแค่ไหน ขึ้นชื่อว่าชาวยุโรปผมก็ประหมาดไม่ได้แล้ว..และนั่นมันทำผมเจ็บชิบหายเลย

“อืออ..อ”

“ขอโทษนะครับ มันเข้าไปหมดแล้ว เดี๋ยวจะไม่เจ็บแล้วนะครับ” หูผมอื้อจนแทบจะจับไม่ได้เลยว่าเขาพูดว่าอะไร เขาเช็ดน้ำสีใสที่หางตาผมให้อย่างอ่อนโยน..นี่ผมเจ็บจนร้องไห้เลยหรอวะ

เขาคลอเคลียผมไม่ห่าง ยื่นมือไปกอบกุมส่วนนั้นของผมที่อ่อนตัวเพราะความเจ็บแล้วขยับสร้างอารมณ์ร่วมให้ผมอีกครั้ง

“ดีขึ้นไหม”

“อืม” พอเขายอมอยู่นิ่งให้ผมได้ปรับตัวกับส่วนนั้นของเขาอยู่สักพักความเจ็บเสียดก็เริ่มลดลง เหลือเพียงความหน่วงและความรู้สึกแปลกๆที่ผมว่าผมทนได้แล้ว

“งั้นผมขยับนะ”

“อืม” รู้ว่าเขากลัวผมเจ็บมาก แต่เล่นถามกันทุกขั้นตอนแบบนี้มันก็น่าอายเหมือนกันนะ

พอเขาเริ่มกดสะโพกเข้ามาช้าๆก่อนจะถอดถอนออกไปแล้วกดเข้ามาอีกครั้งอย่างค่อยเป็นค่อยไปความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามา

ความกระสันวิ่งพล่านไปตามแนวสันหลังจนหน้าผมเชิดขึ้น เขาเบาแรงกับผมได้ไม่นานพอสัญชาตญาณดิบเขาเริ่มทำงานเกมรักระหว่างเราก็รุนแรงขึ้นจนผมหายใจแทบไม่ทัน

“อืมม..เซน.. อ๊ะ..เซน” ผมครางเรียกชื่อเขากระท่อนกระแท่นไปตามจังหวะที่อีกคนกดแทรกกระแทกเข้ามา

“อืม..ดีไหมครับ” เขาถามก่อนจะกดจูบลงมาอีกครั้งแต่จังหวะข้างล่างก็ไม่ได้ลดลงเลย

“ดี..อึก แต่ อ๊า..เบาหน่อย..อือ..ผม..ผมจุก” ผมร้องบอก เขาไม่เห็นใจว่ามันเป็นครั้งแรกของผมเลย ทั้งๆที่ก็รู้ว่าของตัวเองไม่ได้เล็กน้อยเลยสักนิด

“อย่างนั้นคุณหมอควบคุมเองเลยแล้วกัน” รู้ตัวอีกทีผมก็โดนเขาพลิกให้ขึ้นมานั่งทับช่วงกลางลำตัวเขาแทนแล้ว..แน่นอนว่าส่วนนั้นของเขายังคงตื่นตัวคับแน่นอยู่ในตัวผมไม่หลุดออกมา

“ไม่เอา” มันโคตรน่าอายเลยให้ตายสิ

“ขยับเร็ว..” ไม่ว่าเปล่าเขายังจับสะโพกผมให้กดลงไปรับเขาที่กระแทกสวนขึ้นมา นั่นมันจุกกว่าเดิมอีกนะ..ก็มันแทรกเข้ามาได้ลึกกว่าที่เคย

“ขยับสิครับ..ไม่งั้นเราจะค้างกันอย่างนี้ยันเช้าเลยนะ” ผมยอมต้องทำตามที่เขาต้องการอย่างจำยอม ขยับสะโพกสอดประสานกับเซนโดยมีเขาคอยจับเอวควบคุมอีกที ส่วนหน้าผมโดนเขารูดรั้งไปในจังหวะเดียวกัน..ผมรู้สึกว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว

“อ๊ะ..อ่า..อ่ะ..อืม” ผมปลดปล่อยเสียงครางไปตามอารมณ์ สะโพกขยับเร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว..ผมรู้แค่ว่าผมจะถึงแล้ว และมันก็เสียวมากด้วย..มากจนผมแยกไม่ออกว่าความเสียดเสียวที่มากขนาดนั้นมาจากข้างหลังหรือด้านหน้ากันแน่

“อืมม..อย่างนั้น”

“อือออ” ผมร้องออกมาก่อนเจ้าหนูของผมจะโดนเขาเร่งมือรูดรั้งจนผมปลดปล่อยออกมาเลอะเทอะทั้งผมและเขาไปหมด..สมองผมขาวโพลน ได้แต่นั่งหอบหายใจอย่างอ่อนแรงทั้งที่ของเซนยังค้างคา

“อีกนิดแปบหนึ่งนะ” สมองผมยังไม่ไม่ทันรับรู้ได้ว่าเขาพูดว่าอะไรเขาก็พลิกผมลงไปอยู่ด้านล่างแล้วกระแทกกระทั้นเข้ามารัวเร็ว

“อ๊ะ..อ่า..เซนนน” ผมร้องเสียงหลัง นี่มันมากเกินไปแล้ว

“อืมมมมมมมม!!” เขาคำรามในลำคอก่อนจะรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่ฉีดเข้ามา มันเยอะมากจนไหลย้อนออกมาตอนที่อีกคนขยับตัวทั้งที่ยังไม่ได้ถอนออกมา

เดี๋ยวนะ..ความอุ่นร้อนข้างในอย่างนั้นหรอ

“เซน..ถุงยาง” ผมว่าผมเห็นเขาหยิบออกมานะ

“ผมไม่ใช้ผมกับคุณหรอก”

“นายต้องใช้สิ!” ผมฟาดเขาไม่แรงนัก

“โอเคๆ ครั้งต่อๆไปผมจะใช้มันกับคุณ” เขายอมก่อนจะค่อยๆถอดถอนออกมา ผมโล่งวาบจนต้องรีบหุบขาเข้าหากัน

เซนทิ้งตัวลงนอนข้างๆก่อนจะรั้งให้ผมขยับเข้าไปนอนใกล้กันแล้วกดจูบลงมาอีกครั้ง

“คุณหมอมีความสุขไหม”

“อืม..มันรู้สึกดี” ผมตอบอย่างที่คิด ถึงมันจะเจ็บมากก็เถอะ

“ผมก็เหมือนกัน..ถ้าอย่างนั้นผมขออีกได้ไหม”

“ขอผมพักอีกแปบแล้วกัน” ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าเซนคงไม่จบแค่ครั้งเดียวแน่ๆแล้วก็เป็นอย่างนั้น เขายิ้มกว้างก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มผมแรงๆ

“ผมหลงคุณแทบบ้าแล้ว”

"ดี..หลงผมให้มากๆ" คำพูดผมทำเอาอีกคนหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

"แน่นอน.."

Finally, you are mine and I am yours.

..
...

หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่12 You are mine and I am yours] 04/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-07-2017 23:19:54
กรี๊ดดดด เขาได้กันล้าว
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่13 ดูแล] 05/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 05-07-2017 12:35:15
-13-
Take Care
   


ผมได้แต่นอนมองเพดานนิ่งๆ ใช้ความคิดเงียบๆอยู่กับตัวเองคนเดียว คนที่รังแกผมทั้งคืนยังไม่ตื่นขึ้นมาหรอก..แน่สิ ก็เล่นใช้พลังงานไปซะขนาดนั้น ที่ผมตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกไม่สบายตัวต่างหาก

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก

ตอนเช้าผมยังตกใจแทบตายตอนที่รู้ไว้ไซต์ถล่ม ผมกลัวว่าเซนจะเป็นอะไรไป ผมไม่เคยกลัวอะไรมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต..ใจผมสั่นไปหมดแล้ว ผมกลัวว่าผมจะเสียเขาไป

และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าต้องยอมรับความรู้สึกตัวเองได้แล้ว เวลายังคงเดินไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้นผมไม่ควรที่จะฝืนดื้อต่อไป เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย

เราจูบกัน

มันเป็นจูบแรกระหว่างเรา ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น..แต่มันทำให้ผมได้รู้ว่าผมเองก็รู้สึกดีกับเขามากแค่ไหน

เราคบกัน

แน่นอนว่าเซนเป็นคนพูดออกมาและผมตอบรับมันอย่างง่ายดาย เพราะที่ผ่านมาเป็นผมเองที่ทำให้ทุกอย่างมันยาก โดยที่ก็ไม่รู้ว่ามันเพื่ออะไรในเมื่อความรู้สึกของเรามันชัดเจนมาตั้งนานแล้ว ผมเลยไม่อยากให้มันคลุมเครืออย่างนั้นอีกต่อไป

สุดท้ายเราก็ได้กัน


อ่า..กระดากปากชะมัด

และทั้งหมดที่ผมพึ่งจะพูดไปนั้น..ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในวันเดียว..

ครับ..วันเดียว เช้า สาย บ่าย เย็น

ผมไม่คิดว่าพอเปิดรับความรู้สึกตัวเองแล้วความรู้สึกของผมมันจะรุนแรงได้ถึงขนาดนี้..ไม่อยากจะเชื่อเลย

บ้าชะมัด..ผมพึ่งจะบอกเขาเองแท้ๆว่าอยากให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่นี่ผมกลับเป็นคนเริ่มมันเสียเอง ให้ตาย..ผมเสียซิงให้แฟนหลังจากที่เขาขอคบยังไม่ทันจะพ้นวันเนี่ยนะ..ไม่สมกับเป็นผมเลยสักนิด

ต้องโทษเบียร์แล้วล่ะ ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะแอลกอฮอล์แน่ๆที่ทำให้ผมบ้าบิ่นทำลงไปได้ขนาดนั้น

--

“ตื่นเร็วจังครับ..” เสียงตัวต้นเรื่องงึมงำด้วยความงัวเงียเรียกสติผมที่กำลังนอนคิดอะไรเพลินๆกลับมาก่อนที่แขนยาวๆของเขาจะพาดทับหน้าท้องผมจนสะดุ้ง

“โอ้ย..” เมื้อกี้กระตุกแรงไปหน่อย มันก็เลยสะเทือนไปถึงตรงนั้น

“ขอโทษครับ!” เซนที่กำลังง่วงงุนเมื่อสักครู่กระเด้งลุกขึ้นนั่งหน้าตาตื่น เขารีบลุกขึ้นมาสำรวจร่างกายผมอย่างร้อนรนจนผมต้องรีบเบรกเขาไว้..ทำอย่างกับผมท้องแก่ใกล้คลอดไปได้ โอเวอร์ซะจริง

“พอแล้ว..ผมไม่ได้เป็นอะไร”

“แต่คุณร้อง..” เมื่อคืนผมก็ร้องทำไมไม่เห็นสนใจเลย..แล้วจะมาคิดให้น่าอายอีกทำไมวะเนี่ย

“ไม่เป็นอะไร” ผมย้ำอีกครั้งเขาถึงจะยอมพยักหน้ารับแล้วขยับไป

“ถ้าอย่างนั้นตื่นแล้วเราไปอาบน้ำกันไหม” เซนเปลี่ยนเรื่อง

“เอาสิ” ผมเองก็เหนียวตัวมากอยู่เหมือนกัน เพราะหลังจากเสร็จกิจก็สลบเป็นตายยังไม่ทันจะได้ทำอะไร..เราจัดหนักกันเกินไปผลกรรมเลยตกมาอยู่ที่ผมในเช้าวันนี้

“ก่อนลุกผมขอมอร์นิ่งคิสก่อน” บีเกิ้ลของผมยิ้มกว้าง อย่าเรียกว่าขอเลย..ถ้าจะพูดเสร็จแล้วประกบปากบดมาไม่ให้โอกาสให้ผมได้ทันตอบอะไรแบบนั้น

เขาสอดลิ้นเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ..ไม่มีแล้วครับจูบแบบค่อยเป็นค่อยไปเหมือนอย่างครั้งแรก พอสถานะเราเลื่อนอย่างรวดเร็วเขาก็ถือโอกาสเลื่อนไปเฟรนช์คิสทำเอาผมตั้งรับแทบไม่ทัน..ประสบการณ์ที่พอจะมีพอมาเจอสนามจริงแบบนี้ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ได้แต่โอนอ่อนตอบรับปล่อยให้อีกคนเป็นฝ่ายชักนำ

“อ่ะ..พอแล้ว เมื่อคืนก็ทั้งคืนแล้วยังไม่พออีกรึไง” ผมรีบดันอกเขาไว้ เมื่ออีกคนยอมละปากออกไปเพียงแค่ครู่เดียวก็ทำท่าจะประกบลงมาต่ออีกรอบ

“..ไม่พอ..” เขาว่าเสียงกระเส่า

“แต่ผมพอ..ไปอาบน้ำ”

“ก็ได้..” ถ้าผมไม่เสียงแข็งเชื่อเหอะว่าเทปม้วนก่อนนอนได้รีรันอีกครั้งแน่นอน…ให้ตายมันพึ่งจะผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนะ

ผมตวัดผ้าห่มที่เป็นเพียงอย่างเดียวที่ปิดบังร่างกายอยู่ออกก่อนจะก้าวขาลงจากเตียง..หลังจากผ่านสงครามเมื่อคืนมาได้ผมก็หมดความอายเรื่องแก้ผ้าต่อหน้าเขาแล้ว

ตั้งสมาธิอยู่สักพักก่อนจะทำใจลุกขึ้นยืนโดยเอามือค้ำผนังเอาไว้ จริงอยู่ที่มันเจ็บและเสียดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับจะทรุด..แต่ถ้าจะให้เดินไวๆอย่างนั้นก็คงยังทำไม่ไหวอยู่ดี เซนทำท่าจะเข้ามาพยุงแต่เห็นผมโอเคก็เลยได้แค่เดินคุมเชิงตามหลังมา

ผมคิดว่าอาการผมจะแย่กว่านี้..ก็เล่นใส่ยับขนาดนั้น นอกจากไอ้ของเหลวที่อีกคนทิ้งเอาไว้มันเริ่มจะทำให้ผมมวลท้องที่เหลือก็อยู่ในระดับที่ทนได้

“เดี๋ยวค่อยตามเข้ามาขอผมจัดการตัวเองก่อน” ผมหันไปบอกคนด้านหลัง..และนั่นทำให้ผมเห็นอะไรๆของเขาเต็มตาเป็นครั้งแรก..

ถึงกับสบถออกมาว่าเหี้ยในใจ นึกอัศจรรย์ในร่างกายตัวเองขึ้นมาที่เมื่อคืนรับมันเข้ามาได้..นี่ขนาดมันยังหลับอยู่นะ ไม่ฉีกก็บุญแล้วไอ้ภัทร

“ให้ผมช่วยดีกว่า..ผมเป็นคนทำ” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังเดินเข้ามาประชิดผมอีกด้วย

“บะ..บ้าดิ ผมทำเองได้” จะให้อีกคนมาล้วงเอาลูกๆของเขาออกให้เนี่ยนะ แค่คิดหน้าผมก็เริ่มจะร้อนๆขึ้นมาแล้ว

“ถ้าลื่นล้มไปจะทำยังไง..” อีกคนยังรบเร้า

“ผมทำเอง..แค่เรื่องนี้ผมขอ ไว้เสร็จแล้วผมจะเรียก”

“หึ..เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วก็..คุยกับผมมองหน้าผมสิครับ..มองไปตรงไหนกัน” ไอ้!..ถ้าไม่ติดว่ามันยังขัดๆผมยกเท้ายันอีกคนไปแล้ว แต่เพราะว่าทำไม่ได้ไงเลยปิดประตูแสกหน้าแทน..อ่า..น่าอายชิบหายเลย ตั้งแต่ผมอยู่กับเซนมาผมเสียความเป็นตัวเองไปอีกแล้ว ที่เขาบอกจะละลายพฤติกรรมนี่น่ากลัวจริงๆ

ตอนนี้ผมต้องเดินไปนั่งบนชักโคกแล้วรีบจัดการตัวเองซะก่อนที่อีกคนจะพังประตูเข้ามา ทำใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วค่อยๆกดนิ้วตัวเองแทรกเข้าไปตรงส่วนที่บอกช้ำพอสมควร

“อืม..”

ผมผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ มันเจ็บนะ..แต่ก็ไม่เท่าความรู้สึกแปลกๆนั่นหรอก ผมพยายามหลับหูหลับตาแล้วคว้านๆมันออกมาซะ ผมไม่อยากค้างไว้อย่างนี้นานๆ..ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาทำอะไรกับตัวเองแบบนี้

“เสร็จแล้ว” ผมตะโกนบอกอีกคนหลังจากเอานิ้วออกมาเรียบร้อยแล้วลุกขึ้นไปล้างมือให้สะอาด ไม่ต้องให้เอ่ยเรียกซ้ำสองเจ้าของตาสีน้ำตาลอ่อนก็เดินอมยิ้มเข้ามาก่อนจะหันไปจัดการล็อคประตูให้เรียบร้อยทั้งที่ไม่จำเป็นเพราะว่านี่มันก็ที่พักส่วนตัวของเขา ด้านนอกก็ล็อค..แถมยังมีเราอยู่แค่สองคน

“มีอะไรดีๆรึไง ยิ้มไม่หุบเลย” ผมหันไปถามอีกคน

“ครับดี..ดีมาก..ดีจนเหมือนฝันเลย” เซนตอบรับหน้าระรื่น

“หึ” ก็ได้แค่หลุดขำเบาๆในลำคอ

“ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าจะมีคุณอยู่ตรงนี้” คนสูงกว่าเดินเข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านหลัง..เกยคางไว้บนไหล่ของผมก่อนจะพูดประโยคนั้นออกมา

เซนรั้งใบหน้าผมขึ้นให้มองไปทางเขาก่อนจะแตะจูบลงมาบนริมฝีปากของผมแผ่วเบาแล้วดันหลังให้ผมเดินไปใต้ฝักบัวด้วยกัน

ฝรั่งนี่เขาถนัดเรื่องทำให้เขินทุกคนเลยรึเปล่าวะ..

--

พอน้ำเย็นๆสัมผัสตัวก็ทำเอาผมสะดุ้ง แต่ไม่เท่าสัมผัสจากอีกคนที่ลูบไล้ผมอยู่ เซนไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นหรอกผมรู้เขาแค่ช่วยอาบน้ำให้ผมก็เท่านั้นแต่มันก็แปลกสำหรับผมอยู่ดี

สบู่ถูกเข้าไล้ไปทั่วตัว ไม่มีตรงไหนที่มือของเขาไม่ลากผ่าน ผมกำลังจะทำแบบเดียวกันให้เขาบ้างแต่เซนไวกว่า..คนตัวสูงจับผมพลิกหันหน้าเข้าหากำแพง เท่ากับว่าผมกำลังหลังให้เขา..เริ่มไม่ปลอดภัยแล้วสิ

“ทะ..ทำอะไร..” ผมถามเสียงสั่นเมื่ออีกคนออกแรงกดช่วงไหล่ผมไว้แล้วดันจนแผ่นอกผมชิดผนัง รู้สึกได้ถึงเขาที่ขยับเข้ามาใกล้และปลายนิ้วเรียวที่เริ่มเข้ามายุ่มย่ามกับบั้นท้ายผม..มันเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่ผมสู้แรงเขาไม่ได้เลย

“เฉยๆ..เดี๋ยวคุณเจ็บ” เซนพูดเพียงเท่านั้น

“อย่า..ถ้านายทำ..ผมโกรธ..”

“ผมยอมให้คุณโกรธ..” เขาพูดอย่างเห็นแก่ตัว..ไม่สมกับเป็นเซนที่ผมรู้จักเอาเสียเลย

“อ๊ะ..” ผมเผลอหลุดปล่อยเสียงออกมาตอนที่นิ้วเรียวของเขาแทรกเข้ามาที่ช่องทางด้านหลัง..เป็นเพราะสบู่ทุกอย่างเลยไม่ยากเย็น

ผมได้แต่ฝังหน้าตัวเองเข้ากับแขนที่เท้ากำแพงเอาไว้..ถ้าพูดอย่างนี้แล้วอีกคนยังดึงดันที่จะทำ..มันก็คงไม่มีอะไรที่จะพูดกันอีกแล้ว

--

“เสร็จแล้วครับ รีบล้างตัวเร็วมันหนาวเดี๋ยวคุณหมอไม่สบาย” ห๊ะ?..ผมคิดไปเองหรอกหรอ เซนไม่ได้จะทำอย่างที่ผมคิดเขาเพียงแค่สอดนิ้วเข้ามาเพื่อทำความสะอาดให้อย่างที่เขาอาสาในตอนแรก

“ทำบ้าอะไรวะ..ผมทำเองไปแล้วไงนายจะทำอีกทำไม” ผมโวยวาย

“ก็ผมกลัวคุณทำไม่ดี แล้วคุณจะไม่สบายตัว” ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันใช่เรื่องที่มาบังคับโดยไม่ถามความสมัครใจผมหรอ..อยู่ดีๆก็ยัดพรวดเข้ามาแบบนั้น

“ก็บอกกันก่อนสิ”

“คุณยอมรึไง” เขาย้อน

“...” ผมเงียบใส่ แน่นอนว่าคำตอบคือไม่

“หึ..ไปแต่งตัวได้แล้ว”

--

“โกรธจริงหรอครับ” หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยหมาตัวโตอย่างเขาก็ตามเข้ามาโถมใส่ผมที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงจนหงายท้องลงไปนอนอยู่ด้วยกัน ตอนแรกไม่ได้โกรธนะ..แต่จะโกรธก็ตรงที่ทำผมสะเทือนด้านหลังเนี่ยละ คิดว่าตัวเองตัวเล็กมากไหม

“ไม่ได้โกรธ”

“ถ้างั้นผมขอจูบ”

“ไม่เอา..”

“นั่นไงโกรธผมชัดๆเลย” ไม่ได้โกรธโว้ย..คนบ้าอะไรจะมาจูบกันแทบตลอดเวลา เก็บไว้ทำวันหลังบ้างเถอะ

“ผมหิวข้าวเซน จะไปทำงานด้วยลุกออกไปสักที” ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะเบื่อที่จะเถียงกับอีกคนแล้ว

“เดี๋ยวผมหาอะไรมาให้กิน แต่ผมไม่ให้คุณไปทำงานแน่นอน”

“ยุ่งอะไรด้วยเล่า” แอบบ่นออกมาเบาๆแต่อีกคนก็หูดีได้ยินซะงั้น

“ต้องยุ่งสิ เรื่องของคุณหมอก็คือเรื่องของผมแล้วนะครับ..ก็คุณเป็นของผม งานพักสักวันเถอะครับเมื่อคืนก็ไม่ได้พักเลย อีกอย่างคุณหมอไม่ควรเดินเยอะขนาดนั้นหลังจากที่พึ่งผ่านครั้งแรกมา”

“งานผมไม่ได้หนักสักหน่อยจะหยุดทำไม”

“งานไม่หนักแสดงว่าคนอื่นก็ทำแทนคุณได้ พักเถอะครับ เดี๋ยวผมไปลาให้เอง” ไม่พูดเฉยเขายังจัดแจงผลักผมให้ลงนอนแล้วห่มผ้าให้เรียบร้อยถึงคอ พอผมจะลุกก็ตวัดสายตามาอย่างไม่พอใจ

“เฮ้อออ..แล้วแต่นายเลย” ผมก็ได้แค่ถอนหายใจออกมาแรงๆ ตามสบายเลย..ผมปลงซะแล้วล่ะ บทจะไม่ยอมผมก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเหมือนกัน..เอาเป็นว่าครั้งนี้ผมจะยอมเองเห็นแก่ที่เขาเป็นห่วงผมก็แล้วกัน

“เดี๋ยวผมกลับมาพร้อมข้าวเช้า คุณพักผ่อนตามสบายเลย” ไม่ปล่อยโอกาสให้ผมได้เถียงไปมากกว่านี้เจ้าตัวก็หมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับล็อคห้องเรียบร้อย

ผมว่าผมต้องจับเซนมาทำความเข้าใจใหม่เสียหน่อยแล้วว่าที่เราทำไปเมื่อคือเราแค่มีเซ็กซ์กัน ตราบใดที่เขาไม่ได้ซาดิสม์ทำผมเลือดตกยางออกขาแขนหักเขาไม่จำเป็นต้องโอเวอร์เหมือนผมรวดร้าวขนาดนั้นก็ได้ ผมก็ผู้ชายตัวโตๆคนหนึ่งไม่ได้จะมาบอบบางขนาดนั้น..

ผมก็ได้แต่นอนเงียบๆอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เซนข้ามไปที่สถานพยาบาล กว่าจะหาข้าว กว่าจะกลับมาก็มีครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ จริงอยู่ที่ร่างกายรู้สึกเพลียแต่พอได้อาบน้ำตามันก็ใช่ว่าจะข่มให้หลับได้โดยง่าย

ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดถึงแม่ขึ้นมานะ..

จริงสิ ตอนนี่ที่นี่ยังเช้าอยู่แสดงว่าที่ไทยก็พึ่งจะบ่ายๆแม่ผมอยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ทำงานอะไรก็คงจะว่างอยู่แล้ว ขอบคุณที่เซนไม่หยิบมือถือติดตัวออกไปผมเลยได้โอกาสหยิบมันขึ้นมา ลังเลอยู่สักพักว่าจะกดโทรข้ามประเทศหรือคอลไลน์ไปดี..ผมเองก็เกรงใจเจ้าของเครื่อง เอาเป็นว่าจะคอลไลน์ไปแล้วกันถ้าแม่เจอมิสคอลคงคอลกลับมาเอง


“ครับภัทร..ว่าไงลูก”

“..แม่” แค่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมาร่วมสองเดือนน้ำตาก็รื้นขึ้นมาได้ไม่ยาก ผมไม่น่าโทรไปเลย..แค่ได้ยินผมก็อยากกอดแม่แน่นๆแล้ว เรามีกันแค่สองคนมาตลอด..ผมถึงคิดถึงแม่มากขนาดนี้

“ว่าไงเรา ร้องไห้หรอหืม?”

“ภัทรไม่ได้ร้องสักหน่อย” ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นแล้วนะ แต่มันคงจะหลุดไปให้คนปลายสายได้ยินอยู่ดี

“..ปากแข็งเหมือนเดิมนะเรา”

“ว่าแต่ภัทร..แม่ก็ร้อง”

“ก็แม่คิดถึงภัทรนี่ แม่ไม่ปากแข็งเหมือนภัทรหรอก” แม่ว่าก่อนหลุดหัวเราะออกมาผมเลยได้หลุดหัวเราะตามไปด้วย

“ภัทรรักแม่นะครับ” ผมบอกคำที่ผมอยากพูดมากที่สุดในตอนนี้ออกไป

“ครับ..แม่ก็รักภัทร รีบกลับมาเร็วเดี๋ยวแม่จ่ายตลาดทำของชอบเราไว้รอเลย”

“ถ้าทำได้ภัทรกลับแล้ว..อีกแค่เดือนเดียวเอง รอภัทรหน่อยนะ”

“ภัทรไม่ต้องกังวลหรอกครับ ตั้งใจทำงานนะ แม่รอเก่งอยู่แล้ว..รอมาแล้วตั้งสองเดือนอีกแค่เดือนเดียวเอง แค่ภัทรติดต่อมาภัทรสบายดีแม่ก็สบายใจแล้ว”

“ภัทรขอโทษที่พึ่งติดต่อมา ภัทรโง่เองล่ะพึ่งรู้ว่ามันมีสัญญาณ”

“ไม่ต้องลำบากนะภัทร”

“ไม่ลำบากหรอกครับ ถ้าว่างๆภัทรจะติดต่อไปนะครับ”

“ภัทรเปิดกล้องหน่อยสิลูก” ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะกดเปิดกล้องอย่างที่อีกคนต้องการ ถึงผมจะรีบเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วแต่ตาแดงๆนี่ปิดบังแม่ที่รู้จักผมมาทั้งชีวิตไม่ได้อยู่แล้ว

“โตแล้ว เลิกขี้แงได้แล้ว” แม่ล้อเลียนมาทั้งที่ตัวเองก็พึ่งจะปาดน้ำตาไป ให้ตาย..ยิ่งแม่พูดไอ้น้ำตาผมที่พึ่งจะหยุดไปมันทำท่าจะเปิดก๊อกอีกรอบแล้วสิ

“แม่ด้วย..” ผมย้อน

“ภัทรไปนู่นได้แฟนแล้วหรอครับ..”

“อะไรนะครับ?..” ตาผมเบิกกว้าง แม่รู้ได้ยังไงวะ ผมไม่เคยบอกใครเรื่องนี้และแม่ไม่ทางรู้ได้แน่ๆ หรือเพราะความเป็นแม่แค่เห็นหน้าผมก็รู้ได้เองแล้วอย่างนั้นหรอ

“..ที่คอเราไง แฟนเราท่าจะใช่ย่อย อย่างงี้ล่ะเนอะสาวๆฝรั่งไม่เหมือนบ้านเรา” แม่พูดติดตลกแต่ทำเอาผมตลกไม่ออก ไอ้บ้าเซน..ทำไมทิ้งหลักฐานไว้สูงขนาดนี้วะ

“แม่ภัทรไม่ได้..”

“เอาเถอะ ภัทรโตแล้วแม่ไม่ว่าภัทรหรอก เห็นภัทรคบใครซะบ้างแม่ก็ดีใจ วันๆทำแต่งานให้เวลากับตัวเองแบบนี้บ้างก็ดีแล้ว” ถ้าแม่รู้ว่าแฟนผมไม่ใช่สาวๆฝรั่งอย่างที่แม่เข้าใจแต่เป็นหนุ่มฝรั่งตัวเท่าบ้านอย่างเซนแม่จะยังพูดอย่างนี้อยู่ไหมนะ

“เฮ้ออ..ครับ ภัทรมีแฟนแล้ว และภัทรก็มีอะไรจะบอกแม่ด้วย” เราไม่เคยมีความลับต่อกัน แม่รู้เรื่องของผมเป็นคนแรกเสมอ ในเมื่อแม่รู้ขนาดนี้ผมเลยถือโอกาสจะบอกทุกอย่างให้หมดจบๆทีเดียวไปเลย..เพราะไม่ช้าหรือเร็วยังไงผมก็ต้องบอกเขาอยู่ดี

“อะไรลูก..”

“แม่ทำใจดีๆนะ มันเรื่องค่อนข้างซีเรียส”

“...” ยิ่งผมพูดแบบนั้นแม่ยิ่งอยากรู้ไปกันใหญ่

“ภัทรเป็นเกย์ครับ” ผมกลั้นใจอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป มันโล่งอกที่ได้พูดออกไป แต่ท่าทีที่แม่นิ่งไปก็ทำเอาผมไม่สบายใจเลย

“ภัทร..ภัทรว่าไงนะครับ..บางทีแม่อาจจะได้ยินภัทรผิดไป”

“ไม่ผิดหรอกครับ ภัทรบอกว่าภัทรเป็นเกย์..แฟนภัทรเป็นผู้ชายครับแม่” ผมเน้นย้ำอีกครั้ง และนั่นทำให้แม่นิ่งไปยิ่งกว่าเดิม

“ภัทรขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวัง” ผมว่าอย่างรู้สึกผิด มันคงเป็นเรื่องยากที่คนเป็นพ่อแม่จะรับได้เรื่องที่ลูกชายโดยเฉพาะลูกชายเพียงคนเดียวจะมาเป็นอะไรแบบนี้

“ไม่ภัทร..แม่ไม่ได้ผิดหวัง แม่แค่แปลกใจ..ก็แฟนเราตอนสมัยเรียนก็ผู้หญิงนี่หน่า ไหนจะพลอยอีก”

“ภัทรขอโทษ..” ผมพูดได้เพียงเท่านั้น

“มันไม่ใช่ความผิดของภัทรนะครับ แม่เคยบอกภัทรแล้วไงว่าแม่เลี้ยงภัทรได้แต่ตัว ชีวิตเป็นของภัทร..แม่เชื่อว่าภัทรเลือกสิ่งดีๆให้ตัวเองได้ ต่อให้เขาเป็นผู้ชายแต่ถ้าลูกแม่เลือกเขาแล้วแสดงว่าเขาเป็นคนดีดูแลภัทรได้ แม่เคารพการตัดสินใจของภัทรนะ” นั่นสินะ..ผมกังวลเหมือนไม่รู้จักแม่ตัวเองไปได้ ตัวเลือกของแม่มักจะเป็นความสุขและความสบายใจของผมเสมอ

“แต่ภัทรมีหลานให้แม่ไม่ได้” นั่นคือสิ่งที่ผมกังวล แม่รักเด็กมากแค่ไหนผมรู้ดี

“หลานหรือจะสู้ลูก แค่ภัทรกลับมาอยู่กับแม่บ้างแม่ก็พอแล้ว ถ้าเหงามากแม่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนเอาก็ได้”

“รักแม่นะครับ”

“กลับมาอย่างลืมกอดแม่ให้แน่นๆล่ะ แม่ดีๆแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆนะ” แม่พูดติดตลกจนผมหลุดหัวเราะออกมา บรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่นี้ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าฮ่าๆ..ครับจะรัดให้แม่ขาดใจเลย” เราล่ำลากันอยู่สักพักก่อนที่แม่จะว่างสายไป ผมนั่งมองหน้าจอที่ดับไปได้สักพักแล้วก่อนจะถอนหายใจออกมา ภายในเวลาไม่กี่นาทีก่อนหน้านี่ทำเอาผมหลากหลายอารมณ์มาก สุดท้ายก็โล่งใจล่ะนะ..คนที่ผมแคร์ที่สุดในโลกเข้าใจผมขนาดนี้สายตาคนอื่นก็ไม่มีค่าอะไรอีกต่อไปแล้ว

ผมหันไปวางมือถือเอาไว้แบบเดิมก่อนจะสังเกตเห็นอีกคนที่ไม่รู้ว่ายืนอยู่ตรงประตูตั้งแต่เมื่อไร

“นายมานานรึยัง..ทำไมไม่เข้ามา” ให้ตาย..เขาต้องเห็นมุมน่าอายของผมอย่างตอนงอแงอ้อนแม่หมดแล้วใช่ไหม..

..
...
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่13 ดูแล] 05/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 05-07-2017 17:22:05
เข้ามาติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่14 Do I deserve your tears?] 05/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 05-07-2017 19:33:20
-14-
Do I deserve your tears?
   


“นายมานานหรือยัง..ทำไมไม่เข้ามา”

“สักพักแล้วครับ”

“เห็นหมดแล้วสินะ” เซนไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยกยิ้มเล็กๆก่อนจะเดินเข้ามา จัดการวางของที่เขาถือติดมาด้วยซึ่งน่าจะเป็นอาหารเช้าที่เขาว่าไว้บนโต๊ะก่อนจะตามมานั่งข้างๆผม

“หิวรึยังครับ” เขาถามขึ้นมา ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะล้อผมเรื่องที่งอแงหรือไม่ก็ถามเรื่องโทรศัพท์ว่าผมคุยกับใคร..เพราะถ้าเป็นผมเองผมก็คงถามแต่เขาไม่ เขาไม่แม้แต่จะติดใจอะไรด้วยซ้ำ

“อืม” ผมตอบรับก่อนจะลุกขึ้นเดินนำอีกคนไปที่โต๊ะ

“ของที่สถานสถานพยาบาลหรอ” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นหน้าตาอาหารที่คุณเคย มันคือสปาเก็ตตี้จืดชืดที่ผมกินประจำ..มันไม่ได้อร่อยแต่ก็ไม่ได้แย่ รสชาติไม่ลำบากต่อการประทังชีวิตเท่าไรและผมก็คิดว่ามันดีที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับเมนูอื่นๆนอกจากสลัดอะนะ

“ครับ ผมถามไมเคิลว่าคุณชอบกินอะไรเขาบอกว่าปกติคุณกินแต่เมนูนี้ผมก็เลยไปเอามาให้” คนตัวสูงตอบพาซื่อก่อนจะตามมานั่งเก้าอี้ตัวตรงข้ามกัน ผมล่ะอยากจะบอกเขาว่าไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก..อาหารที่ไซต์มันรสชาติดีกว่าเยอะ แต่ก็นะ..เขาตั้งใจเอามาแล้วนี่ ถ้าพูดออกไปก็จะเป็นการเสียน้ำใจ

“กินด้วยกันสิ” ผมเอ่ยชวน

“ครับ” อีกคนตอบรับก่อนที่เราจะเริ่มลงมือกัน

--

หลังจากกินข้าวเสร็จ..หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ความง่วงและความอ่อนเพลียเมื่อยล้าก็จู่โจมเข้ามาอย่างหนักจนผมไม่สามารถฝืนสังขารตัวเองได้อีกต่อไป

ผมตื่นมาอีกทีก็ราวๆสี่โมงเย็น..ผมหลับไปนานมาก ลึกมากด้วย มองหาคนที่น่าจะอยู่ในห้องแคบๆนี่ก็ไม่เห็น ในห้องน้ำก็ไม่น่าใช่เพราะผมไม่ได้ยินเสียงอะไรออกมาเลย

ไปไหนของเขานะ..ก่อนผมหลับไปก็ยังมานอนอยู่ด้วยกันเลย

ผมลุกขึ้นยืน เดินไปที่ประตูยกมือจับลูกบิดยังไม่ทันจะได้เปิดออกไป ประตูก็โดนดันเข้ามาจากอีกทางจนเกือบกระแทกหน้าเข้า ดีว่าไวพอที่จะหลบได้ทันเลยรอดไปอย่างหวุดหวิด เซนรีบขอโทษผมหน้าตาตื่นก่อนมาสำรวจผมจนพอใจแล้วถึงเดินเข้ามา

“คุณหมอจะไปไหน” เข้าถาม

“นายนั่นล่ะไปไหนมา” ผมย้อน

“เอาแปนงานไปให้มอรีสมา ผมแก้มันนิดหน่อย แล้วคุณล่ะ..ยังไม่ตอบผมเลยว่าจะไปไหน”

“ไปตามหานายนั่นล่ะ” ตามหาเซนก็ส่วนหนึ่ง แต่หลักๆคือผมเบื่อที่จะนอนโง่ๆอยู่ในห้องนี้แล้ว อยากออกไปเห็นเดือนเห็นตะวันบ้าง หรือไปก็เดินไปอีกฝาก ข้ามไปฝั่งที่พักชั่วคราวยังมีอะไรทำมากกว่าเสียอีก

“พอมืดแล้วอย่าไปไหนคนเดียวนะครับ แถวนี้อันตราย มีพวกคนใหม่ๆเข้ามาทำงานเยอะแยะผมไม่รู้ว่าไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน”

“..ผมก็ผู้ชาย..ไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นหรอก”

“มันไม่เกี่ยวหรอกว่าผู้ชายผู้หญิง คนเราหลากหลายความคิดนะครับ เอาเป็นว่าเชื่อผมเถอะ ขนาดผมเองเวลาไซต์เริ่มเงียบๆผมยังพยายามหาคนไปด้วยเลย”

“ครับ..ผมจะระวัง” ผมรับปากเขาไป ถึงอย่างนั่นก็เถอะ..เวลาผมมาแถวนี้เซนเคยปล่อยให้ผมคลาดสายตาที่ไหนกัน..เขาเล่นตามผมเป็นเงาขนาดนั้นยังจะกังวลอะไรของเขาอีก

“ครับ” เขายิ้มรับ

“แต่ตอนนี้ช่วยหาอะไรก็ได้ให้ทำทีเถอะ ผมเบื่อจะแย่แล้ว” ผมบ่นออกมา ปกติไม่เคยได้ว่างขนาดนี้มันเลยติดนิสัยอยู่เฉยไม่ได้..แค่นี้ผมก็รู้สึกว่าเสียเวลาชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์มากพอแล้ว

“คุณชอบทำอาหารรึเปล่าล่ะ”

“หืม?” มีอาหารที่ไหนให้ทำด้วยหรอ

“ถ้าคุณชอบ เราไปที่เดิมกัน ไปเร็วหน่อยเขาคงกำลังเตรียมกันอยู่ ถ้าคุณอยากช่วยพวกเขาผมจะพาไป”

“ไปสิ”

--

เซนพาผมเดินลัดเลาะมาตามเส้นทางเดียวกับเมื่อเย็นวาน มันซับซ้อนพอสมควรถ้าให้ผมเดินเองอีกครั้งก็อาจจะมีหลง ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงลานนั้นอีกครั้ง บรรยากาศตอนนี้แตกต่างกับเมื่อครั้งก่อนมาก ตอนนั้นครึกครื้น..ผู้คนมากกว่าครึ่งร้อย แต่ตอนนี้เท่าที่เห็นนับได้แค่หกคนเอง

“มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้างไหมครับ” เซนเอ่ยถามพลางจับมือให้ผมเดินตามเขามา บนใบหน้าดูดีของเขาประดับด้วยรอยยิ้มกว้างแสดงออกอย่างเป็นมิตรที่เขาชอบทำ มันก็ไม่แปลกที่คนอย่างเขาจะรู้จักกับทุกคนไปทั่วอย่างนั้น..ก็เขาดูเป็นที่รักจะตายไป

ผู้หญิงคนที่เซนเอ่ยทักละมืออกจากหมอตรงหน้าที่ผมไม่แน่ใจว่าซุปอะไร เธอยิ้มแย้มก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยภาษาเดียวกันแต่มันรัวเร็วเกินความสามารถผมที่จะเข้าใจได้..ผมเลยต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากคนสูงกว่าให้ช่วยอธิบาย

เซนคุยต่ออีกนิดหน่อย จากท่าทางและบางคำที่ผมพอจะจับได้บ้างว่าคงเป็นเรื่องอาหาร เธอตักซุปในหมอให้เซนชิมผมเลยได้ส่วนแบ่งมาด้วย มันอร่อยมากครับ รสชาติกลมกล่อมกำลังดีจนผมต้องยกนิ้วให้ เอ่ยชมไปเท่าที่สมองผมจะประมวลภาษาฝรั่งเศสออกมาได้จนเธอหัวเราะออกมา

“เราไปเอาไก่เสียบไม้กันเถอะ” เซนหันมาบอกผมก่อนที่เราจะขอตัวเดินออกมา

ไก่เขาหมักเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้วครับ หน้าที่ของเราก็แค่เสียบไม้เพื่อรอย่าง ไม่ใช่งานยากอะไร ที่หนักหนาคงเป็นปริมาณที่ไม่น้อยเลย แล้วไหนจะผักที่รอการหั่นเพื่อทำสลัดที่ผมพึ่งได้รับมอบหมายมาเพิ่มอีกอย่างเมื่อครู่นี้อีก

“วันนี้ก็ไก่ย่างอีกแล้วหรอ” ผมเอ่ยถามอย่างสงสัย เมื่อวานเราก็พึ่งจะกินไป

“มีแทบทุกวันครับ..กลายเป็นเมนูหลักไปแล้ว” เซนตอบ

“อร่อยดีนะ ผมว่าให้ผมกินทุกวันก็ได้” อีกคนหลุดยิ้มออกมา นี่ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ ขนาดที่โรงอาหารที่สถานพยาบาลผมยังกินเหมือนเดิมทุกวันได้เลยทั้งที่มันก็ไม่ได้อร่อยเท่าไก่ย่างที่นี่ด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวผมเสียบไก่เองคุณหั่นผักไปเดี๋ยวมือคุณคาว” เซนแจกแจง ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผักที่ต้องหั่นมันมากกว่าไก่ที่ต้องเสียบนะโว้ย แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไปหรอกแค่โวยวายอยู่ในใจแล้วหยิบมีดที่คนข้างๆหามาให้แล้วจัดการผักในกะละมังนั่นซะ

--

“คุณคงคิดถึงเขามากสินะครับ”

“หืม?...คิดถึงใคร” ผมถามออกมาอย่างงุนงง อะไรของเขา อยู่ดีๆก็เปิดขึ้นมาแบบนั้นในขณะที่เรากำลังทำงานกันอยู่

“คนที่คุณคุยด้วยไง คุณร้องไห้เพื่อเขา” เขาขยายความ

“อ่อ นั่นแม่ผม..แน่นอนว่าผมคิดถึงเขามากอยู่แล้ว” ถ้านี่หมายถึงการหลอกถามว่าผมคุยกับใครแบบอ้อมโลก..เขาทำมันสำเร็จอย่างร้ายกาจ

“ทุกทีคุณก็เซนซิทีฟอย่างนี้เป็นปกติ?” เขายังคงถามต่อ

“ไม่หรอก..ผมแค่ไม่เคยห่างบ้านมานานขนาดนี้”

“คุณคงอยากกลับแล้วสินะครับ” พอมาถึงตรงนี้ผมรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงของอีกคนที่วูบไหวไป เซนยังคงก้มหน้าทำหน้าที่เสียบไก่ของเขาผมเลยไม่สามารถรู้ได้จากการสังเกตสีหน้าของเขาเลย

“สักวันผมก็คงต้องกลับ..” ผมไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่เลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้นแทน มันเป็นสิ่งที่เซนเองก็รู้ดีอยู่แล้ว..ทุกคนที่มาอาสาล้วนผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่มีใครที่จะปักหลักอยู่ถาวรหรอก รวมทั้งผมแล้วก็ตัวเขาเอง

“ถึงเวลานั้น ที่เราต้องห่างกัน..คุณจะเสียน้ำตาเพราะผมไหม”

“ผมตอบไม่ได้หรอก” แน่นอนว่าผมคงคิดถึงเขา..ต้องคิดถึงมากแน่นอน แต่เรื่องแบบนั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีอาจจะน้ำตาแตกยังแต่ยังไม่จากเลยก็ได้

“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยากทำให้คุณร้องไห้..ผมไม่รู้ว่าผมจะคู่ควรกับน้ำตาของคุณไหม” น้ำเสียงของเขาแสดงความรู้สึกออกมาหมดทุกอย่าง แต่นั่นยังไม่เท่าสายตาที่เหมือนหมาตัวโตๆโดนเจ้าของทิ้งอย่างไรอย่างนั้น

“อย่าดูถูกตัวเองสิ เอาเป็นว่าตอนนี้ช่างเรื่องที่ยังมาไม่ถึงไปก่อนแล้วทำงานตรงนี้ให้เสร็จ..ผมไม่อยากให้เรามาทำพวกเขาทำงานช้าลงหรอกนะ”

บรรยากาศมันคงจะหนักกว่านี้ถ้าผมไม่กำลังหันผักที่กองเป็นกะละมัง และในมือของเขายังคงมีไก่อยู่..คนตัวสูงนี่ช่างเลือกเวลาได้ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย

--

หลังจากยัดทุกอย่างเข้าไปจนพุงกางจนแทบต้องคลานผมก็กลับมาที่เชลเตอร์เขาอีกครั้ง ไม่ต้องห่วง..วันนี้ผมไม่ได้แตะเบียร์เลยแม้แต่หยดเดียวถ้าไม่นับบัตเตอร์เบียร์นะ เพราะมันไม่มีให้กิน..แอลกอฮอล์พวกเขากินกันแค่วันก่อนสุดสัปดาห์เท่านั้นล่ะครับเพราะฉะนั้นผมไม่มีทางเมาแน่นอน นอกเสียจากว่าจะเมาดิบไปเอง

ตอนแรกกะว่าจะทิ้งตัวลงนอนทั้งอย่างนั้น แต่ก็นะ กลิ่นควันกลิ่นอาหารมันติดตัวเกินกว่าที่ผมจะรับสภาพตัวเองไหวเลยต้องเนรเทศตัวเองเข้าห้องน้ำอย่างไว ยังไม่ทันได้ล็อคประตูคนที่ตามผมเป็นเงาก็แทรกตัวเข้ามาแล้วล็อคมันเสียเอง

“ผมอาบด้วย” เซนพูด เขาแค่บอกก็เท่านั้น เพราะพอพูดจบก็จัดการปลดเสื้อผ้าตัวเองออกอย่างไม่อาย ในเมื่ออีกคนไม่อายผมก็ไม่อายแล้วเหมือนกัน..ถอดเสื้อผ้าตัวเองแล้วตามไปยืนใต้ฝักบัวเหมือนเขา

ขอบคุณที่คราวนี้ไม่มีเรื่องอะไรน่าอายถ้าไม่นับสายตาของอีกคนที่มองมาอย่างวิบวับ ไหนจะมุมปากที่ยกขึ้นอย่างนั้นอีก..ให้ตาย ผมว่าผมเริ่มชินแล้วนะแต่ทำไมถึงยังเป็นอย่างนี้อยู่ก็ไม่รู้

เราต่างคนต่างอาบน้ำให้ตัวเองเงียบๆ ไม่สิเป็นเพราะผมรีบอาบเองไม่เปิดโอกาสให้อีกคนได้ทำอะไรจนเขาหลุดขำออกมา

“รีบขนาดนั้นมันจะสะอาดไหมละครับ”

“เรื่องของผม” ผมบอกก่อนจะเดินออกมา ไม่รู้แล้ว..พอผมอาบเสร็จก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวเลย ทิ้งอีกคนให้ยืนหัวเราะเอาไว้แบบนั้นล่ะ

ผมเปิดตู้เสื้อผ้าเจ้าของห้องอย่างถือวิสาสะ มันหนาว..ถ้าผมจะรอให้อีกคนออกมาหาชุดให้เหมือนทุกทีผมอาจจะปอดบวมไปซะก่อน คราวหลังผมต้องหอบเสื้อผ้าตัวเองมาทิ้งไว้บ้างเสียแล้วเล่นมาค้างบ่อยขนาดนี้

Zayn’s Part

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นคนตัวขาวนอนหลับตาพริ้มกอดหมอนอีกใบเอาไว้อย่างสบายใจ ผมแน่ใจว่าเขายังไม่หลับหรอก ปกติเขาไม่นอนเร็วขนาดนี้

“หลับแล้วหรอครับ” ผมตามไปทิ้งตัวทาบทับเขาเอาไว้ ใช้แขนรับน้ำหนักตัวเอาไว้ไม่ให้อีกคนหนักจนเกินไปก่อนจะแอบขโมยหอมแก้มเขาไปที

“อื้อ มันเปียกไปแต่งตัวก่อนดิ” อีกคนโวยวาย มือสองข้างพยายามดันผมออกแต่ผมแกล้งขืนตัวเอาไว้

“ไม่เปียกหรอก”

“ไม่เอาเซน”

“ไม่เอาอะไร ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ตอนแรกผมสาบานว่าไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆนะ..แค่อยากแกล้งเขาก็เท่านั้น แต่พออีกคนพูดขึ้นมาแบบนี้ผมก็แอบคิดขึ้นมาบ้างแล้ว

“สิ่งที่นายคิดอยู่นั่นละ..ไม่เอา” เขาว่าอย่างรู้ทัน

“โถ่..ทำไมรู้ทันผมหมดแล้วละครับ” ผมยังคงแหย่เขาต่อ

“นายคิดอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก”

“ไม่ทำจริงหรอครับ บรรยากาศเป็นใจขนาดนี้” ผมบอกเลยว่าบรรยากาศตอนนี้เป็นอะไรที่โรแมนติกมาก แสงจันทร์จากพระจันทร์ดวงโตๆแม้ไม่เปิดไฟผมก็มองผิวขาวๆของอีกคนได้อย่างชัดเจน ลมเย็นๆที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดค้างเอาไว้ มันไม่ถึงกับหนาวสั่นแต่ทำให้ห้องถ่ายเทและเย็นสบาย

“ไม่เอา..มันเจ็บ” คุณหมอบอกพร้อมกับทำแหยงๆ คงจะกำลังนึกไปถึงตอนนั้นอยู่สินะ ทำไมต้องทำหน้าน่ารักขนาดนี้..แล้วผมจะห้ามใจไหวได้อย่างไร เขาไม่รู้หรอว่าพอมีครั้งแรกแล้วมันยากนะครับที่จะไม่รักอีกคนแรงๆเป็นครั้งที่สองน่ะ

“แปบเดียวเองเดี๋ยวก็มีความสุขแล้ว” ผมยังคงตะล่อมต่อ

“ถ้าอย่างนั้นให้ผมลองทำนายบ้างไหมล่ะ”

“หา?..” ผมจะไม่ตกใจขนาดนี้เลยถ้าเขาไม่มีท่าทีจริงจังอย่างที่พูดแบบนั้น

“ทำไมล่ะ ผมยังยอมให้นายเป็นคนแรก..ยอมผมบ้างไม่ได้หรอ”

“แต่ว่า..”

“ไม่รักผมหรอ” มันจบแล้วครับ เล่นตัดพ้อออกมาขนาดนี้ผมจะทำอะไรได้อีก ยังไงอีกคนก็ขึ้นชื่อว่าผู้ชาย ต่อให้ได้รับดูสักครั้งก็ใช่ว่าความต้องการเป็นผู้กระทำจะหมดไป..ผมเข้าใจเขาดี

“ตามสบายเลยครับ” ผมว่าอย่างจำยอม

เฮ้อออ..ใครใช้ให้ผมรักเขาขนาดนี้ล่ะ


อีกคนพลิกผมให้นอนคว่ำลงแล้วพลิกมานั่งทับช่วงกลางลำตัวของผมเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มลงมากระซิบชิดใบหูผม

“ไม่ต้องกังวลนะ..ของผมไม่เจ็บเท่าของนายหรอก” นั่นมันไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาเลย

ตอนนี้ถ้าหลับไปได้ผมอยากจะหลับไปซะแล้วให้เขาทำจบๆไป แต่ว่ามันทำไม่ได้ผมเลยได้แค่ซุกหน้าเข้ากับหมอนแน่น ผมกระตุกเบาๆตอนที่อีกคนแตะริมฝีปากลงมาบนต้นคอ ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดบริเวณซอกคอปกติแล้วมันทำให้ผมรู้สึกดีนะแต่มันใช้ไม่ได้กับตอนนี้

ฝ่ามือของเขาค่อยลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังกว้าง ก่อนจะลดลงต่ำไปจนหยุดอยู่ที่ก้นผม เขาแกล้งบีบลงมาเบาๆ..ตัวผมกระตุกเกร็ง..เหงื่อผมซึมหน้าผากไปหมดแล้ว

--

“หึหึหึ..ผมล้อเล่น ไม่เห็นต้องสั่นขนาดนั้นเลย” เขาฟาดมือลงบนบั้นท้ายผมแรงๆก่อนจะพลิกตัวลงไป ทั้งหมดนี่ล้อผมเล่นหรอกหรอ

ครั้งที่สองแล้วนะ คุณหมอ..คุณมันปีศาจ เรื่องแบบนี้ใครเขาล้อเล่นกัน

..
...
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่14 Do I deserve your tears?] 05/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 05-07-2017 20:46:40
อยากให้คุณหมอทำจริง 5555
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [ตอนที่15 ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเอง] 08/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 08-07-2017 14:57:20
-15-
I will always beside you


ตอนแรกผมวางแผนไว้ว่าหลังเลิกงานจะกลับห้องแล้วนอนหลับให้เต็มตื่น แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆถึงกระเด้งตัวขึ้นมาใส่รองเท้าก็ไม่รู้

ต้องโทษเซนเลย เขาทำให้ผมเสียนิสัย..ทุกทีผมไม่เคยมีปัญหาด้านการนอนแต่คืนนี้ผมกลับนอนไม่หลับซะอย่างนั้น ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้แปลกที่เลยสักนิด

ผมจัดการยัดเท้าตัวเองลงไปในรองเท้าผ้าใบคู่โปรด ตามด้วยโค้ทตัวยาวอีกหนึ่งตัว เดินเอามือซุกกระเป๋าตามเส้นทางที่คุ้นเคยไปเรื่อยๆไม่ได้รีบร้อนอะไร ลมเย็นๆที่ตีหน้าเข้ามาเป็นระยะทำให้ผมรู้สึกดีถึงแม้ว่ามันจะหนาวอยู่เหมือนกัน..บรรยากาศในตอนนี้คงเป็นเหตุผลได้ดีว่าทำไมผมถึงชอบช่วงเวลากลางคืนมากกว่าตอนกลางวัน

เนื่องจากการมาในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจกะทันหัน เซนเลยไม่ได้มารับเหมือนอย่างเคย มันก็รู้สึกแปลกไปอีกแบบนะที่ผมได้มาเดินคนเดียว..เขาทำผมเสียนิสัยอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองไหมว่าบรรยากาศที่ไซด์มันเงียบผิดปกติ ผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พบว่ามันเกือบจะสองทุ่มเข้าไปแล้ว..ก็นะ มันก็ต้องเงียบสิวะ ดึกป่านี้ใครเขาจะยังทำงานอยู่อีก คงไปกินข้าวไม่ก็เข้านอนกันหมดแล้ว

ผมรู้สึกได้ถึงสายตาบางคนกำลังจับจ้องมาที่ตัวเอง นั่นมันเริ่มไม่ดีแล้ว..แต่ผมไม่ควรตื่นตูมจนเกินไป

ผมรู้แล้วล่ะว่าสายตาพวกนั้นมาจากทางไหน ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ต้องนิ่งเข้าไว้แล้วก้าวเดินต่อไปให้เป็นปกติที่สุดทั้งที่จริงๆแล้วมันปกติเลยสักนิด ใจผมสั่น..เต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากขั้ว ความรู้สึกตอนอินกับหนังสยองขวัญเทียบกับอารมณ์ตอนนี้ไม่ติดฝุ่น ผมว่าผมเริ่มเข้าใจตัวละครพวกนั้นมากขึ้นแล้วสิ

HEY!!” ผมสะดุ้ง คนพวกนั้นเริ่มเคลื่อนไหว เสียงฝีเท้าไล่หลังมาทำให้ผมต้องรีบเร่งฝีเท้าขึ้นจากเดินเร็วกลายเป็นวิ่งในที่สุด..

แต่มันก็ยังช้าไปอยู่ดี..ผมโดนพวกเขาล้อมไว้หมดแล้ว

“What do you want from me?” ผมถามออกไป นอกจากนาฬิกาที่ข้อมือที่พอจะมีราคาผมก็ไม่มีของมีค่าอะไรแล้วนะ ถ้าคนพวกนี้ต้องการผมยินดีที่จะถอดและยื่นให้แต่โดยดี

คนหนึ่งนี่น่าจะเป็นหัวโจกตอบกลับมา เขาพูดด้วยภาษาฝรั่งเศสผมรู้..แต่สำเนียงเขามันฟังยากเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่มีสมาธิเลยแบบนี้

วงล้อมค่อยๆบีบแคบลงพร้อมกับผมที่ค่อยๆถอยหลังไปที่ละก้าว

ปึก!

ไม่มีที่ให้ผมหนีอีกแล้ว หลังผมชิดกำแพงและคนพวกนั้นกำลังค่อยๆดาหน้าเข้ามา

ผมจะไม่ลังเลที่จะสู้เลยสักนิดถ้าพวกนั้นมีกันแค่สองคน แต่นี่ผู้ชายตัวโตๆถึงหกคน มองทางไหนก็ไม่เห็นทางเอาตัวรอดได้เลย เรื่องวาทศิลป์ที่ผมถนัดยิ่งแล้วใหญ่..มันไม่มีประโยชน์อะไรเมื่อผมพูดภาษาเขาไม่ได้

มือคนทางซ้ายที่ใกล้ตัวผมที่สุดยื่นมาจับต้นแขนผมไว้..ผมสะบัดทิ้งและนั่นคงทำให้คนอื่นๆเริ่มโมโห หมัดเพียวๆซัดมาที่หน้าโชคดีที่ไวพอที่จะหลับเป้าหมายจากใบหน้าของผมกลายเป็นกำแพงด้านหลังแทน..เจ้าตัวร้องลั่น ซัดมากะผมสลบภายในหมัดเดียวขนาดนั้นมีกระดูกแตกแน่ๆ

ผมยกเท้าถีบคนผิวดำที่กำลังเข้ามาอย่างแรงจนเสียหลักล้มไป ก่อนจะหันไปตวัดขาก้านคอใส่อีกคน สบโอกาสแล้วผมต้องรีบหนี ลำพังแค่ผมไม่ทางล้มทุกคนได้

ตอนนี้ผมรีบสิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ผมรู้แค่ว่าผมต้องรอดจากตรงนี้ไปให้ได้ก่อน เสียงฝีเท้าที่ตามมาทำผมประสาทจะเสีย

ปั่ก!


วัตถุแข็งๆบางอย่างกระแทกเข้ามาอย่างจังตรงศีรษะด้านหลัง เกินกว่าเจ็บปวดมันชาวาบอย่างรวดเร็ว หน้าผมเงยขึ้น..ของเหลวอุ่นร้อนสีแดงสดไหลลงมาอาบต้นคอ..ประสาทการรับภาพพร่าเบลอก่อนที่ผมจะทรุดลง

เหี้ยเอ้ย..

อึก!..ผมพยายามฝืนตัวเอง จิกเล็บลงกับพื้นดันตัวขึ้น..สะบัดหัวเรียกสติตัวเองที่ใกล้จะหลุดลอยเต็มที อย่าว่าแต่ลุกแค่ฝืนตัวขึ้นนั่งผมยังทำไม่ได้เลย

เสียงหัวเราะอันน่าสะอิดสะเอียดตามมาด้วยสัมผัสที่รั้งแขนผมให้รุกขึ้นอย่างหยาบคาย เรียงรอบข้างพูดคุยเยอะเย้ยสภาพอันหน้าสมเพชของผมก้องระงม ผมเบลอเกินกว่าจะรับรู้อะไรได้แล้ว

แค่คนพวกนั้นผลักผมเบาๆผมก็หงายหลังลงไปนอนอย่างง่ายดาย ร่างสูงใหญ่ตามมาคร่อมทับ คนที่เหลือตามมาล็อคแขนผมไว้อย่างรู้งาน..มันจบแล้ว..ผมหมดหนทางแล้ว

มือหยาบกร้านของคนด้านบนไล้ไปตามใบหน้าผม มุมปากที่เต็มไปด้วยไรหนวดยกยิ้มอย่างโรคจิต ผมสะบัดหน้าหนีสัมผัสกักขฬะพวกนั้นอย่างรังเกียจก่อนจะโดนตบอย่างแรงจนหน้าชาวาบ

เอาจริงผมเบลอจนแทบไม่รู้สึกอะไรแล้วแต่รสคราวเลือดในโพรงปากยืนยันได้อย่างดีว่าแรงตบนั้นไม่ได้น้อยเลย ผมไม่เข้าใจว่าผมเคยไปทำไม่ดีอะไรไว้วะชีวิตถึงต้องมาเจออะไรบัดซบแบบนี้

“อื้อ!!!” ผมดิ้นพล่าน พยายามหันหน้าหลบคนด้านบนที่พยายามก้มลมมาบดจูบอย่างน่ารังเกียจ ผมไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังอะไรขนาดนี้มาก่อนในชีวิต หยดน้ำตาค่อยไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้

หมัดหนักๆซัดเข้ามาเต็มท้องจนผมแน่นิ่ง ไม่เหลือแรงแม้แต่จะยกขา

“อึก..เซน” นาทีนี้คนเดียวที่ผมคิดถึงคือเขา ผมอยากให้เขาอยู่ตรงนี้..แต่มันคงเป็นไปไม่ได้


แคว้ก!

เสื้อยืดผมโดนฉีกขาดง่ายดายราวกับมันเป็นเศษผ้า ร่างกายผมเปิดเผยให้พวกมันมองมาอย่างโลมเลีย ก่อนจะก้มลงมารุมทำหยาบโลนอย่างกับผมไม่ใช่คน

“อ่ะ..อึก” ปากผมโดนบีบออกก่อนสัมผัสอุ่นร้อนบางอย่างจะยัดเข้ามาในปากบังคับให้ผมต้องเปิดรับมัน จะอ้วก..มันน่ารังเกียจจนผมจะขย้อนของเก่าออกมา

เสียงพวกนั้นหัวเราะสะใจยิ่งทำให้ผมรังเกียจ..รังเกียจตัวเอง รังเกียจพวกมัน โดยเพราะไอ้แท่งร้อนนี่..ผมรังเกียจจนอยากจะกันมันให้ขาด

“Ouch!!! Fuck!” ผมโดนตบอีกเพราะจงใจกัดของมัน แม้จะแลกด้วยแผลอีกมุมปากแต่มันก็ทำให้เลวนั่นยอมถอนส่วนน่ารังเกียจออกไป

“แค่ก..แค่ก..อึก” ผมไอโขลกออกมาจนตัวโยน น้ำลายที่ถมออกมาเต็มไปด้วยเลือด

“นั่นใครน่ะ!” เสียงใครสักคนดังออกมาจากที่ที่ผมรู้สึกเหมือนไกลแสนไกล แสงไฟฉาดสาดอาบใบหน้าเหมือนเป็นแสงสุดท้ายของผม

ผมเหนื่อย ผมอ่อนแรงเกินกว่าจะเอ่ยขอความช่วยเหลืออะไรแล้ว หัวผมหนักอึ้งสายตาพร่ามัว..ทำได้แค่เพียงนอนหอบหาบใจจนตัวโยน

ผลั่ก

เสียงฝ่าเท้าหนักๆกระแทกเข้ากลางหลังไอ้เหี้ยที่คร่อมผมไว้จนมันหน้าคว่ำไปอีกทาง ผมไม่รู้ว่าพวกเขาชุลมุนแค่ไหนตาผมมันหนักจนแทบจะปิดลงภายในไม่กี่นาทีนี้แล้ว

“คุณหมอ!” เซน..เสียงเซนเรียกให้สติที่ไกลจะหลุดของผมกลับมาอีกครั้ง ผมอยากมองหน้าเขาให้ชัดกว่านี้แต่ตาผมมันเบลอไปหมดแล้ว

“คุณหมอ..คุณหมอ ได้ยินผมไหม” เขาเรียกผมอย่างร้อนรน เขารีบถอดแจ็คเก็ตของเขามาสวมให้ผมก่อนจะช้อนตัวผมขึ้นอุ้ม..เขาทำอย่างกับผมหนักแค่ห้าสิบ คิดจะอุ้มก็อุ้มได้อย่างง่ายดาย

“เซน..” ผมขานตอบเขา

“ไปเป็นไรแล้วนะ..ผมอยู่นี่แล้ว..ผมจะพาคุณไปหาหมอ”

“อืม” ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดคุยอะไรแล้ว

“พวกมันไปแล้ว” เสียงมอรีสพูดขึ้นก่อนที่เซนจะได้ก้าวเดินพาผมออกไป

“ใคร?..รู้จักไหม”

“คนในไซต์เนี่ยละ พวกมาใหม่” เพื่อนเขาอีกคนที่ผมไม่รู้จักบอก

“เวรเอ้ย!” เซนสบถลั่นจนผมเองก็สะดุ้ง

“ช่างเรื่องนั้นก่อน คุณหมอควรได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด”

“อืม”

--

ผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาพร่างกายหนักอึ้ง อยู่ในสภาพนอนตะแคงจนแขนชาไปทั้งแถบ มันเจ็บไปหมดทั้งหน้า ทั้งปาก หน้าท้อง ที่หนักหนาที่สุดคงเป็นที่หัว

โชคดีที่ผมของผมสั้นอยู่แล้วไม่อย่างนั้นคงต้องถูกก้อนหัวแหว่งเพื่อเย็บแผลแน่ๆ ผมกระพริบตาช้าๆเพื่อปรับโฟกัส..มันผิดปกติแล้ว..ทำไมมันถึงไม่ชัดสักที

“เซน..” ผมรีบเรียกคนที่นอนฟุบอยู่ข้างเตียงอย่างร้อนรน

“ครับ..ฟื้นแล้วหรอครับ อย่าพึ่งขยับตัวนะ”

“ผม..ผมมองไม่ชัด มองหน้านายไม่ชัดเลย” เจ้าของตาสีน้ำตาลเบิกตากว้างก่อนจะยื่นมือมาเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาออกให้..นี่ผมอ่อนแอจนร้องไห้อีกแล้วหรอ..ไม่ใช่ปกติของผมเลย

“ไม่เป็นไรนะ..อย่าพึ่งคิดมากนะครับ..ผมจะรีบไปตามไมเคิลมาให้”

สรุปอาการของผมยังตอบไม่ได้ว่าสาเหตุหลักๆแล้วคืออะไรที่ทำให้การมองเห็นของผมมีปัญหา เนื่องจากเครื่องมือทางการแพทย์ที่นี่ไม่พร้อมพอที่จะสแกนสมองได้เลยทำได้แค่เพียงเฝ้าดูอาการไปก่อนสักระยะ ถ้าภายในสามวันมีอาการแย่ลงหรือเจ็ดวันยังไม่ดีขึ้นคงต้องกลับไทยก่อนกำหนด

“ไม่ต้องกังวลนะ ช่วงนี้ก็ให้ผมดูแลคุณไปก่อน” เซนพูดพลางช่วยพยุงให้ผมนั่งพิงหมอนเอาไว้อย่างที่ผมต้องการ ก่อนจะตามมานั่งตรงปลายเท้า มือเขาวางอยู่บนเข่าผม

“นายมีงานของนาย” ผมบอก

“ผมเป็นนายช่างนะครับ..ไม่ใช่คนงาน ค่อยเข้าไปตรวจงานเป็นระยะก็ได้ มอรีสไว้ใจได้อยู่แล้ว ใจผมอยู่นี่ผมจะเอาสมาธิไหนไปทำงานละครับ”

“ผมไม่อยากให้นายเสียงานเพราะผม”

“งานก็ส่วนงาน แต่คุณเป็นแฟนผมนะ..ผมเสียคุณไปไม่ได้ แค่เมื่อวานก็มากเกินพอแล้ว น้ำตาคุณเป็นของผม..ของผมแค่คนเดียว ผมขอโทษที่ปล่อยคุณต้องเผชิญกับอะไรแบบนั้น”

“ตามใจ..แต่ขอร้องผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว”

“ครับ”

“ผมอยากอาบน้ำ” ผมบอกเขา

“แต่ว่าแผลคุณ..” เขาพูดอย่างกังวล

“แผลผมอยู่ที่หัวนะ ไม่โดนน้ำหรอก”

“ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วย”

“ผมจะกลับห้อง ฝากนายเดินไปบอกไมเคิลให้หน่อย”

“แต่ว่า..” วันนี้เซนพูดคำนี้กี่ครั้งแล้วนะ

“ผมเป็นหมอนะ ผมรู้ตัวเองดี ยังไงก็ต้องรอดูอาการ รอที่ไหนก็เหมือนกันนั่นล่ะ”

“อย่างนั้นก็ได้ครับ” เขาว่าอย่างจำยอม ผมรู้ว่าเซนเป็นห่วงผมแต่ผมเองก็ไม่อยากอยู่อย่างนี้เหมือนกัน

พอเขาเดินออกไปผมก็หันมาจัดการถอดเข็มให้น้ำเกลือตัวเองออก ไม่นานอีกคนก็เดินกลับมา

“ไมเคิลบอกว่าเขาอยากให้คุณอยู่ต่อ” เขาบอก

“ผมคงไม่ เขารู้ดีอยู่แล้ว”

“เฮ้อออ..” เซนถอนหายใจออกมาอย่างแรงราวกับมีเรื่องหนักใจเสียเต็มอก ในใจแอบบ่นผมอยู่ในใจแน่นอน แต่สุดท้ายเขาก็มาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นยืน

--

“ให้ผมเข้าไปด้วย” เซนยืนเกาะขอบประตูห้องน้ำแน่น ตอนนี้เราอยู่ในห้องของผมแล้วและเขายืนยันว่าจะเข้ามาในห้องน้ำด้วยให้ได้

“ไม่..ผมขอ ผมอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวสักพัก”

“ถ้าอย่างนั้นอย่าล็อคประตูนะครับ มีอะไรเรียกนะผมรออยู่ข้างนอก..ผมเป็นห่วง”

“ครับ” ผมรับคำเขาถึงยอมเดินออกไป

ถึงผมจะบอกเซนไม่ให้พูดถึงเรื่องนั้นอีกแต่ตัวผมเองกลับนึกถึงมัน มันยากสำหรับผมที่จะลืมได้โดยเร็ว ผมรีบปลดเสื้อผ้าแล้วอาบน้ำซะ หวังว่าสายน้ำจะลบสัมผัสพวกนั้นได้..หวังว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกสกปรกน้อยลง

ผมอ่อนแออีกแล้ว..พอนึกถึงน้ำตาก็พลันจะไหลลงมา ผมรู้สึกขยักแขยง..โดยเฉพาะตอนนั้น สะอิดสะเอียดจนแค่นึกถึงก็อยากจะอ้วกออกมาอีกแล้ว

ผมกรอกน้ำเข้าปากแล้วบ้วนมันซ้ำๆ ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำแบบนี้

“พอแล้วครับ” เสียงประตูห้องน้ำกระชากออกเซนเข้ามากอดผมไว้โดยไม่สนว่าตัวเองจะเปียกไปด้วยกัน เขาแย่งฝักบัวในมือผมไปแล้วกดปิดมัน วงแขนแข็งแรงกระชับรอบตัวผมให้แน่นขึ้น

“ผม..ผมรังเกียจมันเซน..ผมสกปรก..อึก” ผมพูดออกมาอย่างอ่อนแอ ฝังหน้าลงกับแผ่นอกเขา ปล่อยให้เสื้อเขาเป็นผ้าซับน้ำตาผม

“ไม่..คุณไม่เคยสกปรก คุณล้ำค่าสำหรับผมเสมอ”

“แต่มัน..มันยัดเข้ามา..ผมจะอ้วก..ผม..”

“พอแล้วไม่พูดแล้วครับ เราสัญญากันแล้วไง” เขาว่าอย่างใจเย็น

“ผมน่ารังเกียจ..”

“ไม่..ไม่เลย” เขาพูดมันซ้ำๆ ก่อนจะพิสูจน์คำพูดของตัวเองด้วยการประกบริมฝีปากลงมา น้ำตาผมยังคงรินไหลลงมาจนผมรู้สึกได้ถึงรสเค็มปร่าจากมันพอๆกับรสสัมผัสจากอีกคน..

“อย่าพูดอย่างนั้นอีก..ครั้งนี้คุณร้องไห้กับมันซะให้พอแล้วสัญญากับผมว่าจะเข้มแข็งขึ้น”

“อึก..ผมจะพยายาม” เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาให้ผมอีกครั้ง

“ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเอง..จำได้ไหมที่ผมเคยบอกคุณว่าความทรงจำบางอย่างมันยากที่จะลบ แต่ทาสีทำก็พอทำได้”

“...” ผมพยักหน้ารับ

“ผมจะทาสีให้คุณเอง”

“ช่วยผมที”

“ผมจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวอีกแล้ว ไปเถอะครับไปแต่งตัวกัน..เดี๋ยวคุณจะไม่สบาย”

..
...
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่16] 08/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 09-07-2017 16:05:25
AFTERSHOCK -.16
I will paint you with a subtle shade of love.


Zayn’s Part

ผมสงสารคุณหมอมากแต่ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีให้เขารู้สึกดีขึ้น ตอนนี้ที่ผมพอจะทำให้เขาได้คงเป็นกอดเขาเอาไว้และอยู่เคียงข้าง..ไม่ปล่อยมือไปจากเขา

“ดึกแล้วนะครับ” ผมพูดขึ้น คนข้างกายยังคงขยับตัวไม่หยุดทั้งที่นี่มันก็จะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว

“ผมนอนไม่หลับ..พยายามแล้ว” เขาบอก

“อาจเพราะคุณไม่สบายตัวรึเปล่า ขยับมาสิครับ” ผมรั้งอีกคนให้ขยับมาใกล้จนเขาทับผมไปครึ่งตัว เอามือโอบเอวเขาไว้ ใบหน้าของคุณหมอตะแคงซบอยู่ตรงอกผม ผมยอมเมื่อยแทนเขาที่จะต้องนอนตะแคงทับแขนตัวเองนานๆ

ความจริงผมรู้ว่าที่เขานอนไม่หลับไม่ใช่เพราะอย่างที่ผมบอกหรอก ผมแค่ไม่อยากพูดออกไปให้รบกวนจิตใจเขาไปมากกว่าที่เป็นอยู่..แค่นี้มันก็มากพอแล้ว

“นอนซะนะครับ..ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ไปไหนแล้ว” เลิกผมที่ปรกหน้าผากเขาอยู่แล้วแตะริมฝีปากลงไปเบาๆ มืออีกข้างลูบหลังเขาช้าๆให้เขารู้สึกว่ายังมีผมอยู่ด้วยเสมอ..เขาไม่ได้ต้องผ่านเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวอีกต่อไป

คุณหมอขยับตัวอีกครั้งก่อนจะยอมปิดเปลือกตาลง ยิ่งผมเห็นร่องรอยบาดแผลบนตัวเขาผมยิ่งปวดใจ..ผมถนอมของผมมาโดยตลอดแต่คนพวกนั้นกลับมาทำกับเขาแบบนี้ ไม่ว่าพวกมันเป็นใคร..มันต้องได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้

Patt’s Part

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับสัมผัสเย็นๆที่กำลังไล้ไปทั่วลำแขน กว่าครึ่งนาทีกว่าผมจะเปิดเปลือกตามาพบว่าเป็นเซนกำลังเช็ดตัวให้ผมอย่างตั้งใจ ผมนอนมองเขานิ่งๆปล่อยให้อีกคนเช็ดตัวไปตามใจ

“อ่าว..ตื่นแล้วหรอครับ คุณมีไข้ผมเลยเช็ดตัวให้ อีกนิดเดียวจะเสร็จแล้ว” เขาทักขึ้นตอนหันมาเห็นว่าผมลืมตามองเขาอยู่ หึ..ขนาดเช็ดตัวยังทำไม่เป็นเลย ใครเขาเช็ดแขนเป็นอย่างสุดท้ายกัน

“วันนี้ตาคุณเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหมครับ” เซนชวนผมคุย

“ยังเหมือนเดิม..” ผมบอกอาการเขาไปตามตรง วันนี้ภาพที่ผมเห็นยังคงไม่ต่างจากเมื่อวาน มันยังพร่ามัวอยู่แต่ก็ไม่ถึงกับมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าให้เปรียบเทียบคงดีกว่ามองผ่านกระจกที่มีไอน้ำเกาะหน่อยละมั้ง

“ให้เวลากับมันอีกหน่อย..ไม่ต้องกังวลนะครับ” เขาส่งยิ้มมาให้..เซนพยายามให้กำลังใจผมรู้ แต่ผมว่าเป็นเขาที่กังวลมากกว่าผมเสียอีกนะ..คิดอะไรก็ออกมาทางสีหน้าซะหมดขนาดนั้น

“ผมหนาวแล้ว..” ผมบอกเขา คนตัวสูงรีบลนลานวางผ้าในมือแล้วเอาเสื้อมาใส่ให้ผมจนผมหยุดขำออกมา นิสัยขี้ตื่นนี่แก้ไม่หายเลยสินะ..มันไม่ได้เข้ากับผู้ชายตัวโตอย่างเขาเลยสักนิด

“คุณยิ้ม..” คนพูดยิ้มกว้างกว่าเสียอีก

“แปลกตรงไหน”

“ไม่ครับ..ผมแค่ดีใจ” เขาบอกพลางจัดแจงให้ผมนอนดีๆแล้วห่มผ้าให้ถึงคอ

“เดี๋ยวผมไปเอาข้าวเอายาแล้วจะรีบกลับมานะครับ”

“...” ผมพยักหน้ารับรู้ เซนก้มลงมาจูบริมฝีปากอีกหนึ่งก่อนจะผละแล้วลุกออกไป

--

พออีกคนออกไปทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ..และผมเองก็คิดเรื่องนั้นขึ้นมาอีกแล้ว ผมควรพอ..ผมบอกตัวเอง แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้เลย ผมต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้..ผมสัญญากับอีกคนไว้แล้ว ผมไม่ควรจะปล่อยให้เรื่องนั้นมาทำให้ผมอ่อนแออีกแล้ว..จะไม่เสียน้ำตาเพราะมันอีก

แต่มันช่างทำได้ยากเหลือเกิน

“คุณหมอกินข้าวกันครับ” เสียงคนตัวสูงที่เปิดประตูเข้ามาเรียกความสนใจจากผมไปที่เขา เซนจัดการอาหารที่เขาถือมาให้เรียบร้อยก่อนจะเข้ามาประคองให้ผมลุกขึ้นนั่ง

“มีอะไรกินบ้าง” ผมถามเขา

“สปาเก็ตตี้”

“อีกแล้วหรอ”

“ก็คุณชอบ” เขาตอบซื่อๆ ผมต้องจับเขามาทำความเข้าใจใหม่เสียหน่อยแล้ว

“ผมไม่ได้ชอบ ที่ผมกินมันบ่อยๆเพราะผมไม่รู้จะกินอะไร”

“อ่าวหรอครับ ทำไมไม่บอกผมล่ะ”

“ก็นายคิดเองเออเองอยู่คนเดียว เอาเป็นว่าผมไม่ได้ชอบมันก็แล้วกัน”

“ถ้าอย่างนั้นผมไปเอาอย่างอื่นมาให้” เจ้าตัวทำท่าจะลุกออกไปอย่างที่ว่าจนผมต้องรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้

“ไม่เป็นไร กินกันเถอะ..อีกสักมื้อผมกินได้”

“ครับ”


พอกินข้าวเสร็จเซนก็จัดการเรื่องยาให้ผมกินเรียบร้อยแล้วมาทำความสะอาดแผลให้ ตอนแรกก็กังวลนะ..ขนาดเช็ดตัวยังเงอะงะเลยแล้วนี่มาทำแผลแต่ผมไม่มีทางเลือกเพราะแผลมันดันอยู่ข้างหลังเลยต้องปล่อยให้คนอาสาทำไป

“เจ็บไหมครับ” เซนถามก่อนจะแตะสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์ลงมาอย่างเบามือ

“ไม่..เช็ดรอบๆนะ ไม่ใช่ใส่แผล” ผมบอกเขา ถ้าคนตัวสูงนี่แตะมากลางแผลผมมีแสบจนน้ำตาเล็ดแน่ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะไปทึ้งหัวเขาแทน

“ครับ” เขารับคำ

เซนทำได้ดีกว่าที่ผมคิด ตอนนี้เขาจัดการเปลี่ยนผ้าปิดแผลอันใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว เขาคงเคยมีประสบการณ์มาบ้างเลยรู้ว่าต้องทำยังไงไม่ได้งุ่นง่านเหมือนตอนเช็ดตัว

--

“อ๊ะ!..แผลผม” ผมร้องออกมาอย่างตกใจตอนที่อีกคนโถมน้ำหนักลงมาใส่จนผมหงายหลังลงไป แต่คนที่ตั้งใจทำเอามือรองต้นคอผมไว้อยู่แล้วเลยไม่เจ็บตัวอะไร

“ผมไม่ทำคุณเจ็บหรอก”

“อย่าเล่นอย่างนี้..”

“ผมขอโทษ” เขาพูดออกมาเสียงเบา แต่ด้วยระยะระหว่างเราที่ห่างกันจนปลายจมูกแทบสัมผัสผมได้ยินมันอย่างชัดเจน สายตาเราทั้งคู่ผสานกัน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ผมชอบมองวูบไหว แสดงออกให้รู้ว่าคำขอโทษที่เขาพึ่งพูดออกมาเมื่อสักครู่ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องที่ผมพึ่งจะว่าเขาไป..แต่มันมีความหมายมากกว่านั้น

เขาแตะจูบลงมาบนปลายจมูกผมเบาๆก่อนจะเลื่อนลงมาที่ริมฝีปาก ไม่มีการลุกล้ำคนด้านบนเพียงแค่แตะมันค้างเอาไว้จนผมต้องเป็นฝ่ายเปิดริมฝีปากรับให้เขารุกล้ำเข้ามาเสียเอง

เขาแกล้งดูดดึงปลายลิ้นของผมเบาๆก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายมาขบเม้มริมฝีปากล่างของผมแทน เสียงแลกเปลี่ยนสัมผัสระหว่างเราดังอย่างน่าอายแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครใส่ใจกับมัน เซนป้อนสัมผัสรุกล้ำเข้ามาอีกครั้งจนผมหายใจแทบไม่ทันเขาถึงได้ละออกไป

คนตัวสูงแตะจูบลงมาที่ปลายคางผมก่อนจะเลื่อนลงไปที่ซอกคอ ดูดดึงตรงแอ่งชีพจรจนเกิดเสียงน่าอายก่อนจะฝั่งหน้าเขากับซอกคอผมอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นเปิดทางให้อีกคนได้สัมผัสอย่างเต็มใจ

“อะ..ผมเจ็บ” ผมร้อง คนด้านบนดูดดึงผิวเนื้อผมไม่เบาแรงเลย มันคงช้ำเป็นห้อเลือดไปแล้ว

“ผมขอโทษ..แต่ขอร้องให้ผมทำมัน ให้ผมลบรอยพวกนั้นให้คุณ”

“อย่าทำแรง...มันเจ็บ”

“ผมจะพยายาม” หมายความว่ายังไงวะ ยังไม่ทันได้คัดค้านสิ้นเสียงเขาก็ปลดกระดุมเสื้อผมออกอย่างช่ำชองแล้วแยกสาปเสื้อออกจากกัน ก่อนจะผละไปสลัดของตัวเองทิ้งอย่างรวดเร็วตามด้วยกางเกงยีนส์ตัวเก่งของเขาจนตอนนี้ร่างสมส่วนเหลือเพียงบ็อคเซอร์เนื้อบางติดกายเพียงชิ้นเดียว

เขาพลิกให้ผมขึ้นมาคร่อมทับช่วงกลางลำตัวเขาไว้เหมือนครั้งนั้นแล้วขยับไปนั่งพิงหัวเตียงเสียเอง หน้าผมร้อนผ่าว..เหตุการณ์ตอนที่ผมออนท็อปให้เขารีรันเข้ามาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ เซนรั้งให้ผมก้มลมไปตอบรับจูบจากเขาก่อนจะพรมจูบไปทั่วแผ่นอกของผม

“อ๊ะ..” เสียงน่าอายเล็ดลอดออกมา ลิ้นร้อนตวัดเลียเข้าที่ส่วนไวสัมผัสบนแผ่นอกผมก่อนจะดูดดึงจนมันขึ้นสีแดงจัดตื่นตัวอย่างน่าไม่อาย มือเขาบีบคั้นหยอกล้ออีกข้างไม่ให้น้อยหน้า ความกระสันวิ่งพล่านไปตามแนวสันหลังจนผมเผลอแอ่นแผ่นอกตามริมริมฝีปากร้อนอย่างไม่รู้ตัว เสียงดูดดึงดังหยาบโลน ให้ความรู้สึกลามกและเสียวซ่านไปในเวลาเดียวกัน..

มือไม้ผมอ่อนแรงเกินกว่าจะผลักไส ทำได้เพียงวางแปะเอาไว้บนไหล่กว้าง..โอนอ่อนให้อีกคนตักตวงอย่างไม่อาจห้ามปราม

ผมโดนพลิกให้ผมลงไปนอนใต้ร่างเขาอีกครั้ง ริมฝีปากร้อนแตะลงมาบนต้นคอ ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาทำเอาขนอ่อนลุกซู่ มือเรียวรั้งเสื้อของผมที่ค้างคาอยู่ออกไป

ผมทำได้เพียงนอนคว่ำซุกหน้าเข้ากับหมอน..หวังให้มันช่วยปิดกลั้นเสียงน่าอายแล้วปิดเปลือกตารอรับสัมผัสจากอีกคน

“ผมรักคุณนะ..รักมาก” เซนกระซิบชิดใบหูของผมก่อนจะขบเม้มมันเบาๆ

“...”

“ผมอยากให้คุณจดจำทุกสัมผัสของผมต่อจากนี้ ให้ผมช่วยทาสีทับความทรงจำพวกนั้นของคุณ..ให้ทุกอย่างต่อจากนี้บอกคุณว่าผมรักคุณมากแค่ไหน...”


ไม่ปล่อยให้เสียเวลา..เมื่อเห็นผมไม่ขัดขืนอะไรมือใหญ่ก็ถือโอกาสสอดลึกเข้าไปในกางเกงยางยืดของผมอย่างง่ายดาย เพราะผมไม่ได้ใส่ชั้นในมันเลยเป็นปราการเพียงอย่างเดียวและเขาก็ได้พิชิตมันเรียบร้อย..

ริมฝีปากเขายังคงคลอเคลียอยู่แถวปีกไหล่ของผมไม่ห่างแต่มือของเขานี่สิที่เริ่มจะซุกซน แก้มก้นผมโดนเขาบีบคลึงอย่างเอาแต่ใจ ตอนที่ปลายนิ้วเรียวลากผ่านปากทางด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งเกร็ง

“คุณหมอไม่มีเจลใช่ไหม?” เขาปิดปากผมด้วยริมฝีปากของเขาก่อนจะถามออกมา

“ผมจะไปมีได้ยังไง” ผมไม่ใช่คนหื่นกามแบบคนด้านบนหรอกนะที่จะได้มีของพวกนั้นในสถานการณ์แบบนี้

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้..” เขาพึมพรำอะไรบางอย่างผมฟังไม่ถนัดก่อนจะรั้งกางเกงของผมทีเดียวก็หลุดออกปลายเท้าไปแล้ว ความเย็นจู่โจมบอกให้รู้ว่าตอนนี้ทั้งกายผมเปลือยเปล่า

“อ๊ะ!” ผมร้องออกมาอย่างตกใจ สัมผัสเย็นวาบและเปียกชื้นที่ช่องทางด้านหลังจู่โจมมาอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันได้ตั้งตัว

“ซะ..เซน ไม่..มันสกปรก” ผมห้ามเขาเสียงสั่น พยายามขยับตัวหนีแต่อีกคนออกแรงกดสะโพกผมไว้..ผมสู้แรงเขาไม่ได้ ยิ่งผมดิ้นพล่านเขายิ่งตรึงบั้นท้ายผมไว้แล้วกระทำอย่างเอาแต่ใจ

ผมตกใจมากที่เขาใช้ลิ้นกับตรงนั้น..มันไม่ควรเลย

“อื้ออ..” ความรู้สึกพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเป็นจนผมต้องกัดฟันแน่น ยิ่งผมถดหนีเขายิ่งรุกล้ำ ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังแกล้งผม..แกล้งผมที่ไม่มีทางสู้ แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่ปลายลิ้นของเขาทำผมเสียววูบจนแทบบ้าอยู่แล้ว

ให้ตาย ไม่ไหวแล้ว..ผมรู้สึกมากเกินไป

แม้ว่าจะไม่มีใครเสียวจนตายแต่ผมว่าผมกำลังจะตาย..

ขอบคุณที่อีกคนยอมผละออกไปเสียก่อนผมหอบหายโล่งอยู่ได้ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วแข็งค่อยๆกดแทรกเข้ามา

“อื้อ..เซน” แผ่นหลังผมโดนเขาขบกัดเบาๆพร้อมกับนิ้วเรียวกดแทรกเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไรมันจะสุดสักทีวะ..ผมจะตายอยู่แล้ว

“ไม่มีส่วนไหนของคุณที่สกปรก..” เสียงเขากระซิบทำเอาผมรู้สึกกระสันขึ้นมา แต่นั่นยังไม่เท่านิ้วซนๆของเขาที่กำลังขยับเข้าออกอย่างเอาแต่ใจ

“ให้ผมช่วยคุณนะ..” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรผมก็โดนเขาจับพลิกตัวนอนหงายจนต้องใช้ศอกยันตัวไว้ให้ช่วงบนราบไป..เขาทำมันทั้งที่นิ้วยัดสอดคาและนั่นทำให้ผมอ้าปากค้างหลุดเสียงน่าอายออกมา

เขาแทรกตัวเข้ามาผมเลยต้องแยกขาอย่างช่วยไม่ได้ ปากของผมโดนเซนปิดด้วยริมฝีปากของเขาอีกครั้ง จูบครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านมา..เขาทำมันเชื่องช้าแต่ทว่าวาบหวาม ไม่ใช่เพื่อเร้าอารมณ์แต่เพื่อซึมซับสัมผัสของกันและกัน

นิ้วที่สองแทรกเข้ามา แท่งร้อนของผมถูกเขากอบกุม ริมฝีปากของเขายังคงทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ คนตัวสูงทำมันทุกอย่างในเวลาเดียวกัน..ด้วยความเชี่ยวชาญของเขาผมตื่นตัวอย่างเต็มที่ น้ำสีใสปริ่มที่ส่วนปลาย ถ้าอีกคนไม่กำลังปล้นจูบผมอยู่เชื่อสิว่าเสียงน่าอายจะต้องหลุดออกมาอีกหลายระลอกแน่ๆ

“ผมชอบจูบคุณจัง” มุมปากเขายกยิ้มอย่างที่ชอบทำก่อนจะดูดดึงริมฝีปากของผมแรงๆอีกครั้งแล้วละออกไปพร้อมกับนิ้วที่เพิ่มขึ้น..จากสองกลายเป็นสาม

“ฮึก..อะ..อื้อ..”

“ผมขอบเสียงคุณจัง” เขาพูดออกมาอีกครั้งก่อนจะหอมแก้มผม..เขาจงใจสูดหายใจแรงๆตอนที่ปลายจมูกโด่งฝังเข้าที่แก้มผม สองมือเขายังคงปรนเปรอผมจนอารมณ์ผมพร้อมจะประทุออกมาอยู่แล้ว

ผมมองเขาอย่างอ้อนวอน ไม่ไหวแล้ว เขารุกผมหนักเกินไป

“สายตาของคุณมันกำลังเรียกร้องให้ผมทำอะไรที่มากกว่านี้” เขาพูดออกมาอย่างหื่นกระหาย

“ผมเปล่า..”

“คุณปฏิเสธผมได้..แต่คุณหมอ..ในตอนนี้ผมรู้จักร่างกายคุณดีกว่าตัวคุณเสียอีกนะครับ” ผมปฏิเสธเขาไม่ได้เลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดเร้าของตัวเองอยู่ตรงไหนแต่คนด้านบนกลับหามันเจออย่างง่ายดาย..และเขากดย้ำลงมาซ้ำๆจนผมเสียววาบไปหมดทั้งตัว

“อ้า..อา..อึก..เซน” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือเสียงของผม..ทำไมถึงกระเส่าแบบนั้น

“I will paint you with a subtle shade of love.” สิ้นเสียงเขาก็หยัดตัวลงไปหยอกล้อให้ความสนใจกับช่วงล่างผม..เท่ากับว่าเขาเปิดช่องให้ผมที่ชันตัวเองอยู่เห็นภาพหน้าอายได้อย่างชัดเจน

เขาทำมันได้ดีเกินไป

“พอ..เซน..อึก..มันจะเสร็จ” ผมบอกเขา หน้าผากผมชื้นเหงื่อ หน้าท้องหดเกร็งจนเห็นมัดกล้ามเนื้อที่พอจะมีได้ชัดเจนกว่าที่เคย

“ก็เสร็จสิครับ” ผมละเกลียดรอยยิ้มของเขาในตอนนี้ชะมัด คนตัวสูงละมือออกจากแท่งร้อนผมก่อนจะขยับขึ้นมาป้อนจูบผมอีกครั้ง ช่องทางด้านหลังผมถูกคนด้านบนเร่งจังหวะกระทุ้งเข้ามาตอกย้ำจุดนั้นของผมซ้ำๆจนสุดท้ายผมก็กระตุกเกร็งแล้วปลดปล่อยออกมาในที่สุด

“ผมรักคุณนะ” เขาพูดในขณะที่ผมกำลังพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ เขาเค้นของผมให้ออกมาทุกหยาดหยดไม่เหลืออะไรตกค้างในลำกล้องแล้ว มันเลอะเทอะเต็มหน้าท้องของผม

ให้ตาย..เมื่อกี้ผมถึงเพราะถูกกระตุ้นจากด้านหลัง น่าอายชะมัด

“โอเครึยัง” เขาถามหลังจากปล่อยให้ผมได้พักอยู่เกือบสิบนาที

“อืม..”

“ถ้าคุณหมอช่วยผมบ้างสิครับ” ถ้าผมบอกเขาว่าไม่แล้วน้องหนูที่แข็งตัวดันสะโพกผมอยู่นี่จะยอมหยุดรึไง..

--

กว่าชั่วโมงกว่าเราจะพักกัน เขาพาผมไปอาบน้ำแล้วให้ผมนอนพัก ถ้าผมปกติดีไม่ได้เจ็บตัวและมีไข้เชื่อสิว่ามันไม่น่าจะจบที่รอบเดียว ถึงอย่างนั้นก็เถอะต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากขนาดนี้

“พักซะนะครับ”

“อือ” ผมเองก็เริ่มเพลียแล้วเหมือนกัน

“ตาของคุณ เชื่อผมสิว่าพระเจ้าไม่ใจร้ายกับคนดีๆอย่างคุณหมอหรอก ตื่นมาพรุ่งนี้ก็ดีขึ้นแล้ว”
..



หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่16] 08/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 12-07-2017 12:36:28
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ สนุก ชอบ 
นายช่างลบรอยตามตัวให้แล้ว หวังว่าตาคุณหมอจะดีขึ้นนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่16] 08/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 12-07-2017 14:46:11
หมอภัทรตาหายไวๆนะ :mew2:
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่16] 08/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 12-07-2017 15:52:16
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่16] 08/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-07-2017 16:56:41
เลวร้ายมากอะ คือหมอก็เป็นอาสาสมัครที่มาช่วยตอนมีภัยพิบัติไหม แล้วมาทำอย่างนี้นี่นะ
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: _MidnightSBD ที่ 12-07-2017 17:22:52
-17-
First snow and a kiss



“ไปฐานลับได้ไหม” ผมหันไปถามคนด้านหลังที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำความสะอาดแผลให้ผม ผมอุดอู้อยู่ในห้องตัวเองมาสองวันแล้ว..มีอีกคนดูแลทำให้ทุกอย่างจนผมคิดว่าถ้าอยู่เฉยนานกว่านี้ผมคงจะเคยตัวจนทำอะไรเองไม่เป็นและเป็นง่อยในที่สุด

“เอาสิครับ” เขาตอบรับ ซึ่งคำตอบก็ไม่ได้ผิดไปจากที่ผมคิดเอาไว้ พักหลังมานี้เขาไม่เคยขัดใจผมเลย..

เซนดึงผมให้ลุกขึ้นยืนข้างกัน เสื้อคลุมตัวยาวถูกเขาสวมให้ก่อนเจ้าตัวจะปล่อยให้ผมได้ใส่รองเท้าแล้วเดินออกไปด้วยกัน

--

“หนาวไหม..ผมรู้สึกว่าวันนี้อากาศเย็นลง เดี๋ยวคุณจะไม่สบาย” เขาถามขึ้นระหว่างที่เราเดินอยู่เคียงข้างกัน ลมเย็นๆพัดเข้าหน้าพวกเราพอดีเลยทำให้รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา

“ไม่หรอก..อีกอย่างผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย”

“ผมเป็นห่วง คุณพึ่งหายไข้”

“ถ้าอย่างนั้นก็กอดผมเอาไว้สิ” ผมบอกพลางดึงแขนหนักๆของคนสูงกว่าให้พาดบ่าเอาไว้ เซนหลุดหัวเราะออกมาแล้วแกล้งรัดคอให้ผมขยับเข้าไปชิดเขาจนผมแทบจะจมเข้าไปในอกเขา

“พอแล้ว ผมเดินไม่ถนัด” ผมดันเขาออกก่อนจะหลุดยิ้มออกมา พวกเราก็โตกันแล้วนะแต่ยังมาเล่นอะไรเป็นเด็กๆไปได้

“ยิ้มเยอะๆนะครับ มันเหมาะกับคุณ”

--

เซนทรุดตัวนั่งลงผมเลยตามไปนั่งข้างเขาตรงที่ประจำของเรา ที่นี่เป็นเหมือนเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่เกิดขึ้นที่เฮติของผม..ถ้าถามผมว่าอะไรคือสิ่งที่ผมจดจำได้ดีที่สุดตลอดหลายเดือนที่ประเทศนี้คำตอบของผมคงเป็นคนข้างๆแล้วก็ทะเลสาบแห่งนี้

เรานั่งข้างกันเงียบๆเหมือนอย่างที่เราชอบทำเวลามาที่ฐานลับ ซึมซับบรรยากาศปล่อยให้สิ่งรอบตัวทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย

คงจะจริงอย่างที่เซนว่า..ที่ว่าวันอากาศเย็นกว่าที่ผ่านมาเพราะผมเองก็เริ่มหนาวขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน

“เป็นอะไร..ทำไมหาวบ่อยจัง” ผมหันไปถามคนข้างๆที่ตั้งแต่มานั่งข้างกันก็หาวไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

“เปล่าครับ” หาวจนน้ำตาซึมขนาดนั้นยังจะปฏิเสธออกมาอีกนะ คงเอาแต่คอยดูผมที่ไข้ขึ้นทั้งคืนไม่ยอมนอนแน่เลยถึงได้อดนอน ชอบว่าผมดื้อตัวเขาเองก็เอาเรื่องเหมือนกันเลยเหอะ

“ไม่ต้องปฏิเสธเลย..ผมจะยอมเป็นหมอนให้ก็ได้นะ” คนตัวสูงยิ้มกว้างออกมา เขาไม่ได้พูดอะไรอีกเพียงแค่ทิ้งตัวลงนอนใช้หน้าขาผมแทนหมอนอย่างที่เสนอ คนบนตักหลับตาพริ้มอมยิ้มซะจนหน้าหมันไส้ ถ้าไม่ติดว่าเขาเหนื่อยกับผมมาเยอะแล้วผมคงแกล้งลุกให้อีกคนกลิ้งไปจูบพื้น

“นอนไปสิ เอาแต่ยิ้มอยู่ได้”

“มีความสุขก็ต้องยิ้มสิครับ”

“หึ..”

บางทีผมก็นึกอิจฉาเซนนะ เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี..คิดดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และเป็นที่รัก..เขาดูมีความสุขง่ายๆแม้เพียงเรื่องอะไรแค่เล็กน้อย ต่างจากผมเหลือเกิน แต่ก็ต้องขอบคุณเขานะ..ที่เผื่อแผ่ความสุขมาถึงผม

“ยิ้มอะไรครับ” เสียงอีกคนทักขึ้นมาทำเอาผมสะดุ้ง นี่เขาลืมตามาตอนไหนวะ

“มีความสุขก็ต้องยิ้มสิ” ผมย้อนคำเขา

“ความสุขของคุณคือผมรึเปล่า”

“หวังอะไรอยู่”

“แล้วใช่รึเปล่าล่ะครับ..บอกผมหน่อย” อีกคนรบเร้า

“คงงั้นมั้ง”


“คุณหมอลองเงยหน้าขึ้นสิครับ” อยู่ดีๆคนที่ใช้ตักผมแทนหมอนก็พูดขึ้นมาแล้วผมก็ดันทำตามเขาอย่างว่าง่ายด้วยนะ

“หืม?” ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ยังไม่ทันจะอ้าปากถามอีกคนก็รู้ได้ถึงสัมผัสอะไรบางอย่างที่เย็นและชื้นตกลงมากระทบผิวแก้ม

“หิมะแรก..ผมไม่คิดว่าจะได้ดูมันกับคุณนะ” เซนพูดยิ้มๆพลางยกมือขึ้นรอรับเกล็ดน้ำแข็งที่กำลังตกลงมา

“เสียดาย..ที่ผมมองไม่เห็น” อย่าว่าแต่หิมะแรกเลย แค่หิมะผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส..พอมาวันนี้ผมก็ดันไม่สามารถรับรู้มันได้ด้วยตา..แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกได้ถึงมันล่ะนะ

“หิมะยังตกอีกหลายวัน..คุณจะได้เห็นมันอย่างแน่นอน” เซนรีบลุกขึ้นแล้วดึงมือผมเข้าไปกุมเอาไว้ สัมผัสที่ลูบอยู่ที่หลังมือเป็นการให้กำลังจากเขา..

พักหลังมานี้เขามักจะทำมันบ่อย

“อืม..ผมหายทันอยู่แล้ว” ผมยิ้มออกมาบางๆ เอาจริงผมไม่ได้กังวลมากอย่างที่เขาห่วงหรอก

“เขาว่ากันว่าถ้าคู่รักจูบกันในตอนที่หิมะแรกตกลงมา..ความรักจะยืนยาวอยู่ตลอดไป” อีกคนเปลี่ยนเรื่อง ผมเองก็เคยได้ยินมาบ้างอย่างที่เซนบอก..แต่มันก็เหมือนนิทานกล่อมเด็ก..ผมไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะเอามาคิดจริงจัง

“นายเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยหรอ?” ผมถามขึ้น คนตัวสูงไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่เขาตอบคำถามของผมด้วยการกระทำของเขาแทน

ริมฝีปากร้อนๆที่ปิดลงมาช่างให้ความรู้สึกแตกต่างกับบรรยากาศรอบตัวที่กำลังเย็นลง ผมตกใจอยู่ชั่วครู่กับการจู่โจมอย่างกะทันหันก่อนจะเปิดริมฝีปากตอบรับสัมผัสจากอีกคนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น..กว่าห้านาทีเราถึงผละออกจากกัน น้ำสีใสที่เปรอะเปื้อนรอบกรอบปากเป็นหลักฐานชั้นดีว่าเราพึ่งจะผ่านกิจกรรมอะไรกันมา

ผมควรชินได้แล้ว เราจูบกันบ่อยจะตายไป..แต่ทำไมหน้าผมต้องร้อนขึ้นมาด้วยนะ

“เรากลับกันเถอะครับ ถ้าตากหิมะนานๆคราวนี้คุณหมอได้ไม่สบายจริงๆแน่นอน”

“อืม..” ผมตอบรับก่อนจะยื่นมาไปจับกับอีกคนที่ยื่นมารออยู่ก่อนแล้ว ไม่ถึงสิบห้านาทีเราก็กลับมาที่ห้องผมกันอีกครั้ง เซนบังคับให้ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่หมด..เขาบอกว่ามันชื้นเดี๋ยวผมจะไม่สบาย แต่ก็นะ ผมใส่เสื้อตัวยาวคลุมเอาไว้อีกชั้นเสื้อด้านในไม่ได้สัมผัสกับหิมะเลยด้วยซ้ำ..ถ้าชื้นก็คงเป็นเหงื่อผมเนี่ยล่ะซึ่งอากาศเย็นขนาดนี้มันยังไม่ทันได้ออกเลยด้วยซ้ำ

ผมเบื่อที่จะเถียงเขาแล้ว เพื่อความสบายใจของเขาก็เลยเปลี่ยนให้มันจบๆไป

ผมเดินไปหยิบหนังสือบนโต๊ะมุมห้องก่อนจะคลานขึ้นมาอ่านบนเตียง เซนเองก็ตามมานอนข้าง..คนตัวสูงมองมาอย่างสนใจ แต่แน่นอนว่าเขาอ่านมันไม่ออกหรอก..ก็มันเป็นภาษาไทยทั้งหมดเลยนี่หน่า ผมหอบมาด้วยเลยนะ

“นายไม่ไปทำงานบ้างรึไง” ผมหันไปถามเขาก่อนจะเปิดหน้าที่อ่านค้างเอาไว้ขึ้นมา

“ก็ผมเป็นห่วงคุณ” เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ผมโอเคแล้วนายก็รู้” ผมบอก

“ถึงอย่างนั้นผมก็ยังห่วงอยู่ดี อีกอยากคือผมอยากอยู่กับคุณนี่หน่า”

“เป็นเจ้านายที่ใช้ไม่ได้เอาซะเลย ถ้าผมเป็นมอรีสนะ..จะมาลากนายกลับไปจะแต่สองวันที่แล้วแล้ว ไม่ยอมทำงานคนเดียวแบบนั้นหรอก” ผมว่าออกมายาว

“มอรีสเขาก็มีทีมของเขา ทำคนเดียวที่ไหนกัน” อีกคนเถียงออกมา

“แล้วนายไม่ใช่ทีมของเขาหรอ”

“ก็ใช่..” เซนตอบเสียงเสียงแผ่ว สายตาเขาหลบลงเหมือนเวลาเด็กทำความผิด

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปบ้าง..ผมเคยพูดไปแล้วนี่ว่าไม่อยากให้นายต้องเสียงานเพราะผม จุดมุ่งหมายแรกในการมาที่นี่ของนายคืออะไรผมไม่อยากให้ลืมตรงนั้น”

“เฮ้อ..เอางั้นก็ได้ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะไปที่ไซต์ก็แล้วกัน”

“ดีมาก..ไม่ต้องห่วงผมหรอก นายกลับมาผมก็ยังอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน”

“ห้ามผมไม่ให้ห่วงคุณสั่งอดข้าวทั้งวันยังทำง่ายกว่าเลย” อีกคนงอแงเหมือนเด็กๆ เขาชอบทำให้ผมนึกถึงหมาอยู่เรื่อยเลย

“ถ้าอย่างงั้นวันนี้ก็ไม่ต้องกินอะไรก็แล้วกันเนอะ” ผมแกล้งแหย่..ผมรู้เขาทำไม่ได้หรอก กินข้าวทีโคตรล้างผลาญเหมือนจับกัง ไปห้ามเขาให้อดมื้อกินมื้อมีหวังตรอมใจตาย

“โถ่คุณหมอ..” คนตัวสูงตัดพ้อออกมาเสียงอ่อน..

“ผมล้อนายเล่น..นอนได้แล้ว ผมรู้นะว่านายอดนอนเฝ้าผมทั้งคืนน่ะ” เซนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก พอผมขยับตัวไปนั่งเอาหลังพิงหัวเตียงเอาไว้เขาก็ตามมาหนุนตักผมเหมือนตอนที่ฐานลับ

เอาเป็นว่าผมจะยกประโยชน์ให้จำเลยก็แล้วกัน..ปล่อยให้เขานอนไป มือข้างหนึ่งมีหนังสือที่ผมเปิดค้างเอาไว้..ผมกลับไปให้ความสนใจกับมันอีกครั้ง ส่วนมืออีกข้างกำลังสางผมสีน้ำตาลที่เข้มกว่าสีของตาอีกคนเล่น..มันนุ่มลื่นมือกว่าที่คิดนะ ผมของเขาเส้นเล็กมากเลย

ไม่นานก็รู้สึกได้ว่าคนบนตักหายใจสม่ำเสมอ เขาคงจะหลับลึกไปแล้ว ก็ดีดูแลตัวเองซะบ้าง..เขาเอาแต่ห่วงแต่ผม อย่างตากหิมะเราก็ไปมาด้วยกันแต่เขาก็ไม่เห็นจะใส่ใจเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย เดี๋ยวตัวเองจะป่วยซะเอง

ผมอ่านไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องยอมแพ้แล้ววางมันไว้ข้างเตียง ตาผมมันพร่า แม้ว่าจะเริ่มชัดขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็ยังต้องเพ่งจนชักเริ่มปวดหัว จะขยับตัวก็กลัวจะทำอีกคนตื่น..ไม่มีอะไรทำแล้วสิ..ที่ทำได้ก็มีแค่แอบลอบสังเกตหน้าคนที่กำลังหลับสบายนี่ละมั้ง

เซนดูดีโดยเฉพาะรูปร่างสูงสมส่วนจนน่าอิจฉา..ผมก็รู้นะว่าเขาดูดีแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ลองพิจารณาดูจริงๆสักที นอกจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาที่ผมชอบมองผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขามีเอกลักษณ์ตรงไหน เซนเคยบอกว่าตาเขาเปลี่ยนสีได้..มันเป็นไปเองตามแต่ละฤดู ผมเองก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าฝรั่งเขามีอย่างนี้ด้วย

ปกติผมเป็นคนไม่ชอบไว้หนวดเครานะ มันทำให้ดูสกปรกในมุมมองของผมและผมก็เป็นพวกนิสัยติดรักสะอาดมากอยู่เหมือนกัน แต่กับเซนผมกลับรู้สึกว่าอีกคนดูดีเมื่อมีมัน..ไม่ได้ดูสกปรกอะไรแล้วมันเข้ากับเขามากเลยด้วยซ้ำ

พออยู่เฉยนานๆผมก็เริ่มง่วงขึ้นมาบ้างแล้วสิ..ช่วงนี้ตัวเองชักจะขี้เกียจใหญ่แล้ว

--

“คุณหมอ..คุณหมอครับ” ผมที่กำลังหลับลึกรู้สึกได้ถึงแรงเขย่าเรียกไม่เบานัก ลืมตาขึ้นมาก็เจอคนที่พึ่งจะนอนทับผมไปกำลังเรียกพลางยิ้มแป้น..นี่ผมเผลอหลับไปตอนไหนกันนะ

“ตื่นเร็วครับ..เลยเวลากินข้าวกินยามานานแล้ว”

“อืมม..” ผมบิดขี้เกียจออกมากำลังจะพลิกตัวไปอีกทางแต่อีกคนที่พุ่งมาดึงต้นแขนผมเอาไว้ทำเอาตกใจ
 
“เดี๋ยวทับแผล” อ่อ..ผมนี่ไม่ระวังเอาซะเลย         

--

“ไปที่ไซต์ได้ไหม ผมชอบอาหารที่นั่น” ผมถามเขา ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่อีกคนกลายเป็นเหมือนผู้ปกครองที่ต้องคอยขออนุญาต แต่แทนที่จะรำคาญผมกลับรู้สึกดีที่มีเขาคอยเป็นห่วงขนาดนี้

“แต่ว่าผมยังไม่อยากให้คุณไปตอนนี้” เซนพูดอย่างเป็นกังวล

“ทำไมล่ะ”

“ก็ผมกลัวคุณจะคิด..ช่างมันเถอะเอาเป็นว่าอดทนกินที่นี่ไปก่อนนะครับ”

“ผมไม่เป็นไร”

“แต่...” อีกคนรีบแย้งแต่ผมก็ปิดโอกาสเขาอย่างรวดเร็วด้วยประโยคต่อมา

“มีนายไปด้วยก็ไม่เป็นไรแล้ว..นะครับ”

“เฮ้อ..เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”

..
....
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: tulakom5644 ที่ 10-12-2017 19:32:04
เราชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกค่ะ เขียนสนุกภาษาสวย แต่ยังมีคำผิดเยอะอยู่นะคะ แต่ชอบแนวนี้ค่ะไม่เคยอ่านแบบวาย  หวังว่าจะได้อ่านต่อจนจบนะคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ :3123: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 10-12-2017 21:54:31
ขอบคุณค่ะ  สนุกมากกก
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 11-12-2017 04:44:24
อธิบายไม่ถูกรู้แค่ว่าชอบเรื่องนี้มากกกก ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ รอติดตามผลงานต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-12-2017 21:56:41
ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

เซน คุณหมอ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 23-04-2018 10:35:47
ชอบครับ

แต่รู้สึกบางช่วงก็เดินเรื่องเร็ว บางช่วงก็เนิบไปหน่อย

แต่โดยรวมแล้วชอบครับ
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Kuayyai ที่ 23-04-2018 14:35:01
อยากรู้เรื่องโลเคชั้น
เรื่องนี้จะดำเนินที่เฮติตลอดเลยหรอ
อยากให้มาเมืองไทยบ้าง ตัวละครหลักน่าสนใจนะ
หัวข้อ: Re: ►► AFTERSHOCK | วิกฤติรัก ◄◄ [UP!! ตอนที่17] 12/07/2017 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 23-04-2018 19:49:42
ขอบคุณค่า :katai3: