พิมพ์หน้านี้ - The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sweetsky ที่ 14-06-2017 11:55:14

หัวข้อ: The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 14-06-2017 11:55:14
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
หัวข้อ: Re: The effect - บทนำ - 14/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 14-06-2017 11:59:36
บทนำ 

“โอ้โห รูปนี้พี่เก่งโคตรหล่อ”

“หน้าพี่เขาไม่ทำให้ผิดหวังที่เกิดมาเลยจริงๆ”

เสียงพูดคุยที่ลอยดังมาตามทางเดินในมหาวิทยาลัยจนทำให้ผมที่รีบเดินจนเกือบวิ่งไปที่ป้ายรถเมล์ต้องหยุดและเงยหน้ามองแผ่นป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่ถูกแปะติดอยู่ตรงหน้าประตูของมหาวิทยาลัย  แผ่นป้ายโฆษณาที่ทุกคนกำลังพูดถึงกันอยู่นั้นเป็นการเชิญชวนให้คนนอกมหาวิทยาลัยเข้ามาดูงานทางวิชาการของแต่ละคณะที่จะถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ 

ถ้าถามผมก็คงไม่เถียงว่ารูปนี้ของพี่เก่งหล่อจริงๆ แต่ถ้าลองคิดดีๆ เอาเข้าจริงแล้วเท่าที่ผมเห็นมาไม่ใช่แค่รูปนี้หรอกครับ รูปไหนมุมไหนรุ่นพี่คนนี้ก็ออกมาดูดีเสมอ  แล้วถ้าพี่เขาไม่ดูดีจริงพี่เขาคงไม่ได้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของทุกงานที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยแบบในตอนนี้

ถามว่าผมรู้ได้อย่างไรว่าคนๆ นี้สามารถดูดีได้ทุกท่วงท่า ผมเว่อร์เกินไปรึเปล่า ที่ผมกล้าพูดเพราะผมเห็นมาเกือบจะหมดทุกท่าทางแล้วนะสิครับ ไม่ว่าจะนั่ง เดิน นอน หรือขนาดตอนกินข้าว และไม่ใช่ว่าเพราะผมสนิทกับพี่เขาแต่เป็นเพราะรูปเหล่านี้ของพี่เก่งสามารถหาได้ง่ายตามพวกแฟนเพจของมหาวิทยาลัย ขนาดเว็บไซส์ของมหาวิทยาลัยเองยังมีหัวข้อไว้ให้โพสรูปพี่เก่งในอิริยาบถต่างๆ เวลาร่วมกิจกรรมด้วยซ้ำ

พี่เก่งเป็นรุ่นพี่คนดังที่คณะ ขนาดผมคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเยอะไม่ได้ร่วมงานกับทางคณะบ่อยๆ ยังรู้จัก ทั้งที่คณะบริหารที่ผมกับพี่เก่งเรียนอยู่ก็ใช่ว่าจะมีคนเรียนอยู่น้อยสักเมื่อไหร่

และแม้ทางมหาวิทยาลัยของผมจะไม่มีการประกวดดาวเดือนเหมือนมหาวิทยาลัยอื่นๆ แต่ไม่ว่าจะมีงานอะไรก็ตามพี่เก่งมักจะเป็นบุคคลที่ถูกเลือกเสมอ  นั้นเลยเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ใครต่อใครก็ต่างพากันรู้จักแม้ว่าพี่เขาจะไม่ได้เป็นเดือนประจำมหาวิทยาลัย 

“เรียนก็เก่ง บอกเลยว่าถ้าได้สักครั้งจะไม่ลืมพระคุณ” 

“ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นจะเก่งด้วยรึเปล่าเนอะๆ” 

“โอ๊ย แกมีคนเขาลือกันว่าแซ่บ ให้บอกต่อว่าเด็ด” 

“กรี้ด จริงดิ โอ๊ย ยอมพลีกายแล้วแบบนี้” 

ผมแอบยิ้มขำให้กับคำพูดเหล่านั้น แอบคิดเล่นๆ ว่าถ้าพี่เก่งของสาวๆ มาได้ยินคำพูดเหล่านี้พี่เขาจะทำหน้าแบบไหนกันนะ จะเขินอายหรือจะยิ้มตอบรับด้วยความเต็มใจพร้อมทั้งบอกว่า “เดินเข้ามาหาพี่เลยครับ” แบบนี้รึเปล่า   

ผมส่ายหัวให้ความคิดที่เริ่มจะเพ้อเจ้อของตัวเองแล้วก็ออกเดินทางกลับหอ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามคนอย่างผมก็ไม่มีวันที่จะได้ไปถามความคิดของพี่เขาอยู่แล้ว เพราะว่าเราสองคนถึงให้เรียนอยู่ที่เดียวกัน คณะเดียวกัน แต่ระหว่างผมกับพี่เขาไม่ว่าจะอยู่ใกล้กันอย่างไรมันก็เหมือนกับว่าเราอยู่กันคนละโลกอยู่ดี 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

Note : เรื่องนี้เราได้แรงบันดาลใจในการเขียนขึ้นมา จากกระทู้พันทิปกระทู้นึงที่เราได้อ่านค่ะ

มีการดัดแปลงเรื่องราวและไม่ได้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เหตุการ์ณทุกอย่างในนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนล้วนๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect - บทนำ - 14/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: angelnan ที่ 14-06-2017 12:17:47
รอจร้า
หัวข้อ: Re: The effect - บทนำ - 14/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 15-06-2017 10:31:52
บทที่ 1 

ผมชื่อ นายชินธร ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 คณะบริหาร ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่ซึ่งเวลาก็ผ่านไปเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว ผมมีเพื่อนที่เรียกได้ว่า “สนิท” เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

คนอื่นๆ ที่เห็นว่าเวลาผมเดินแล้วยิ้มทักหรือโบกมือให้กัน ก็เป็นแค่คนที่เคยลงเรียนด้วยกันเจอกันบ้างตามคาบต่างๆ ไม่ก็เป็นบุคคลในกลุ่มทำรายงาน คนเหล่านั้นมากสุดก็ทักกันเวลาเดินสวนกันในมหาวิทยาลัยแต่ไม่เคยที่จะมานั่งกินข้าวหรือร่วมวงสนทนากัน 

ถามว่าผมเหงาไหม? ก็คงมีบ้างในบางครั้งที่เห็นหลายคนนัดไปเที่ยวกันไปเป็นกลุ่มๆ แต่ผมก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมต้องออกมาในรูปแบบนี้ เพราะใช่ว่าในช่วงมัธยมผมจะมีเพื่อนเยอะ

แต่ผมเองก็คงจะโทษใครไม่ได้เพราะตั้งแต่เหยียบเข้ามาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เวลาที่คณะหรือที่มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมอะไรผมก็ไม่เคยเข้าร่วมกับเข้าสักอย่าง แถมยังเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่งอีกด้วย

“หายไปได้ไงเนี่ย เฮ้อ แล้วจะทันไหม?”

เรื่องเหงามันไม่ใช่ประเด็นใหญ่สำหรับผม แต่ข้อเสียข้อเดียวที่ผมไม่มีเพื่อนเยอะเหมือนคนอื่นเขาก็น่าจะเป็นเรื่องของการช่วยเหลือมากกว่า อย่างเช่นในวันนี้ วันที่ผมต้องการสิ่งที่เรียกว่าความช่วยเหลือเป็นที่สุด พอไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักผมก็ไม่สามารถเอ่ยปากขอความช่วยเหลือกับใครได้

 ปึก “เฮ้ย”

แล้วความซวยของผมในวันนี้ก็ยังไม่จบลงง่ายๆ เพราะนอกจากเรื่องของซึ่งจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อการเข้าห้องสอบเก็บคะแนนย่อยจะหายไปจนผมอาจจะพลาดการสอบครั้งนี้ ผมยังโชคไม่เข้าข้างโดยเดินชนใครก็ไม่รู้ในขณะที่กำลังรีบไปตามหาของสิ่งนั้น

สิ่งที่หายไปก็คือเนคไทของผมที่ผมถอดออก เมื่อเช้าตอนที่เดินเข้ามาที่คณะผมโดนรุ่นพี่เรียกตัวไปช่วยยกของ ผมเลยต้องถอดมันออกเพื่อความสะดวกสบายในการช่วยงาน

แล้วที่ผมต้องรีบขนาดนี้เพราะกฎเหล็กข้อนึงของคณะคือต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยไม่อย่างนั้นจะไม่ได้เข้าห้องสอบหรือถ้าเกิดเจออาจารย์ใจดีหน่อยก็จะยอมให้เข้าสอบแต่จะถูกกาหัวกระดาษเอาไว้ว่าต้องถูกตัดคะแนนอย่างน้อยก็หลักหน่วยอย่างมากก็หลักสิบ 

ผมว่าตอนนั้นผมยัดมันใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้แล้วนะ แต่พอต้องเข้าเดินเข้าห้องสอบพอจับไปที่กระเป๋ากางเกงมันดันไม่อยู่ที่เดิมที่ผมเก็บเอาไว้ แถมกว่าจะรู้ตัวก็เกือบได้เวลาที่ต้องเข้าห้องสอบแล้ว

ทันทีที่รู้ตัวผมก็ตัดสินใจออกตัวรีบวิ่งไปที่ร้านค้าที่ตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อซื้อมัน และเพราะด้วยความที่ก้มหน้าก้มตาวิ่งทำให้ผมชนเข้ากับคนนึงอย่างจัง จนเป็นตัวเองที่เกือบล้มถลาไปถ้าไม่ได้คนที่ถูกผมชนเข้าไปช่วยดึงแขนยึดเอาไว้ 

“ขะ ขอโทษครับ” 

“รีบอะไรกันหนักหนาครับคุณ?” 

“ผม ผม” 

ผมแทบพูดไม่ออกหาเสียงของตัวเองไม่เจอเมื่อตอนที่เงยหน้าขึ้นมาผมพบว่าคนที่ถูกผมชนเข้าไปเต็มๆ ก็คือพี่เก่งคนดังของมหาวิทยาลัยของเรานั้นเอง 

แม้ว่าผมจะรู้จักชื่อและอยู่คณะเดียวกันแต่ผมก็ไม่เคยเจอพี่เก่งในระยะที่ใกล้ขนาดนี้มาก่อน การที่ได้มายืนอยู่ใกล้ขนาดนี้ทำให้ผมรู้แล้วว่าทำไมพี่เขาถึงเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะขนาดหน้าตาที่บูดเบี้ยวด้วยเจ็บที่ผมวิ่งชนพี่เก่งยังสามารถคงความดูดีไว้ได้   

“คุณจะรีบไปไหนกัน? รู้ไหมว่าถ้าผมยั้งไม่ทันทั้งผมและคุณได้กลิ้งตกบันไดไปทั้งคู่แล้ว”   

“ผมขอโทษครับ พอดีผมทำเนคไทหายผมเลยต้องรีบวิ่งไปซื้อครับ เดี๋ยวจะเข้าสอบไม่ได้” 

“สอบควิชเหรอคุณ?” 

“ครับ” 

“กี่โมง?” 

“10 โมงครับ” 

“ไม่ทันหรอกคุณ” 

พี่เก่งยกข้อมือตัวเองมาดูนาฬิกาแล้วก็ยื่นมันมาที่หน้าของผมก่อนที่จะพูดสิ่งที่ผมรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มลงมาตรงหน้าออกมา
ใช่เวลามันเหลืออีกเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้นและด้วยเวลาเท่านี้ผมก็ไม่คิดว่าผมจะมีความสามารถวิ่งไปหน้ามหาวิทยาลัยและวิ่งกลับขึ้นมาบนห้องสอบที่อยู่ชั้น 4 แถมยังอยู่ตึกท้ายสุดของมหาวิทยาลัยได้ทัน ต่อให้มีวินมอเตอร์ไซค์ผมว่าผมยังกลับมาไม่ทันเลยด้วยซ้ำ

“ยังไงผมก็ขอโทษอีกครั้ง ผมขอตัวครับ” 

ในเมื่อทางแรกไม่น่าเป็นไปได้ ผมจึงรีบหันตัวกลับไปที่หน้าห้องสอบกะว่าจะดักหน้าอาจารย์เอาไว้เผื่อที่จะได้ลองขอต่อลองอาจาร์ยให้ช่วยอนุโลมให้ผมได้เข้าสอบและผมก็ยอมที่จะถูกหักคะแนน 

“เดี๋ยวคุณ” 

“ครับ?” 

“อะ ผมให้ยืมก่อนแล้ววันไหนเจอกันคุณก็ค่อยเอามาคืนให้ผมก็ได้”   

พี่เก่งยื่นเอาเนคไทของพี่เขาออกมาให้ผม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ที่ได้รับความช่วยเหลือโดยที่ไม่ต้องร้องขอ และเป็นเพราะว่าผมเอาแต่ตะลึงในความใจดีของพี่เขาผมเลยไม่ยื่นมือออกไปรับสักทีจนพี่เก่งถอนหายใจและจับมันยัดใส่มือของผมด้วยตัวเอง   

“ขะ ขอบคุณครับ” 

“รีบไปเถอะ คุณ...?” 

“ผมชินครับ” 

“ครับ คุณชิน” 

“ครับ”

 
ถ้าไม่ได้เนคไทของพี่เก่งช่วยเอาไว้ผมคงแย่ เพราะอาจารย์ท่านนี้ไม่ได้ใจดีและขอร้องได้ง่ายๆ อย่างที่คิด ตัวอย่างเห็นได้จากที่เพื่อนร่วมเรียนคนนึงที่เดินตามหลังผมเข้ามาและเขาดันลืมเข็มของมหาวิทยาลัย อาจารย์ยังไล่ไปซื้อโดยให้เวลาแค่ 10 นาที ถ้ากลับมาไม่ทันก็ไม่สามารถเข้าห้องสอบได้

พอเห็นแบบนั้นผมเลยยิ่งจับเนคไทของพี่เก่งกระชับให้มากขึ้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเนคไทของคนเก่งเมื่อมาอยู่บนตัวผมแล้วเขาจะสามารถช่วยให้ผมทำข้อสอบทั้งหมดนี่ได้ไหมนะ

“หวังว่าข้อสอบเก็บคะแนนย่อยในครั้งนี้คงไม่ได้ยากไปหรอกนะครับ”

ผมอยากตอบอาจารย์ไปเหลือเกินว่ามันยากครับ เรื่องคำตอบในกระดาษข้อสอบผมไม่แน่ใจแต่เรื่องคำตอบของความข้องใจผมได้มาแล้ว คำตอบนั้นก็คือเนคไทของพี่เก่งไม่ได้ช่วยอะไรนอกเหนือช่วยให้ผมได้เข้าห้องสอบ

สภาพของผมตอนที่เดินออกมาจากห้องสอบไม่ได้ต่างจากคนอื่นๆ ทุกคนเดินออกมาสเหมือนเพิ่งโดนดูดวิญญาณออกจากร่าง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการสอบย่อยที่มีคะแนนเพียงแค่ 10 คะแนน แต่ 10 คะแนนมันค่อนข้างมีผลอย่างมากสำหรับพวกเราเลยทีเดียว

ผมเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องสอบแต่ผมไม่ได้ตรงกลับห้องเพื่อไปพักร่างกาย ผมเอาแต่เดินวนอยู่ที่ล่านด้านล่างของตึกโดยที่หวังเอาไว้ว่าผมจะได้มีโอกาสเจอกับพี่เก่งและจะได้เอาเนคไทคืนพี่เขา กลัวว่าพี่เขามีเหตุที่ต้องใช้

ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่เขาเรียนตึกนี้เพราะว่าผมชนกับพี่เขาที่ชั้นสองของตึก ถ้าไม่ได้มาเรียนพี่เขาจะมาเดินมาถึงตึกหลังของมหาวิทยาลัยทำไม แต่ไม่ว่าผมจะพยายามเดินวนยังไงก็ตามก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่เก่งสักที

“เอากลับไปซักให้ก่อนที่จะเอามาคืนก็แล้วกัน” 

เพราะร่างกายเหนื่อล้าเกินกว่าที่จะหาพี่เก่งต่อผมเลยตัดใจและเอาเจ้าเนคไทกลับหอไปด้วย ยังไงซะพี่เขาก็ยังไม่ได้จะเรียนจบวันนี้พรุ่งนี้สักหน่อย เอามาคืนวันหลังคงไม่สาย ก็ได้แต่ภาวนาว่าพี่เขาจะไม่มีสอบในวิชาที่ต้องใส่สอบในช่วงนี้หรือไม่ก็มีเนคไทอีกหลายอันเก็บเอาไว้ก็แล้วกัน

แม้ว่าวันนี้ผมจะทำข้อสอบไม่ค่อยได้และแถมยังล้มเหลวในความตั้งใจที่จะคืนของให้กับเจ้าของ อย่างน้อยวันนี้ผมก็ได้เรียนรู้อย่างนึงแล้วว่าพี่เก่งคือ “หนุ่มเทพบุตร” อย่างที่หลายคนว่าเอาไว้จริงๆ


หลังจากวันนั้นก็เป็นอาทิตย์กว่าแล้วที่ผมต้องพกเจ้าเนคไทเจ้าปัญหาติดตัวเอาไว้ทุกวัน เหตุก็เพราะผมไม่รู้ตารางเรียนของพี่เก่ง และผมก็ไม่รู้ว่าต้องเอาไปคืนที่ไหน? ที่พกติดตัวตลอดก็เผื่อที่จะได้ยื่นคืนให้กับเจ้าของถ้าบังเอิญเดินสวนกัน   

“แกๆ ไปดูซุ้มขายของของคณะเราไหม? ตอนนี้พี่เก่งกำลังไปเป็นคนขายอยู่” 

“ไปๆๆๆๆ งานนี้ต้องเปย์” 

นั้นสิผมลืมไปเลยว่าอาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่แต่ละคณะจะผลิตของออกมาขายเพื่อรวบรวมสมทบทุนสำหรับนักศึกษาให้ไปออกค่ายอาสาช่วยเหลือน้องๆ ต่างจังหวัด 

ปีนี้ทางคณะนักศึกษาตั้งโครงการเป็นการซ่อมโรงเรียนเลยจำเป็นที่ต้องใช้งบมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และแน่นอนของที่ทำออกมาขายไม่ใช่ของที่น่าใช้ขนาดใครเดินผ่านก็ต้องซื้อหรือหยุดดู เพราะฉะนั้นแต่ละคณะก็จะมีหนุ่มฮอตและสาวสวยมาเป็นคนคอยเชียร์เพื่อให้ของขายออก   

ถ้าไม่ได้ยินเสียงของสาวๆ โต๊ะที่นั่งถัดไปผมก็คงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท มิน่าทำไมช่วงนี้ผมไม่เดินเจอพี่เก่งที่ตึกเรียนเลย สงสัยพี่เขาคงจะมัวแต่ไปช่วยงานของคณะอยู่สินะ

“ปราโมทย์ ไปซุ้มขายของเป็นเพื่อนเราได้ไหม?”

“นายอยากได้ของที่ระลึกเหรอ?”

“เปล่าเราต้องการเอาของไปคืนคนนะ”

ตอนที่ได้ยินสาวๆ พูดกันนั้นผมที่กำลังนั่งกินข้าวที่โรงอาหารใหญ่กับ ”ปราโมทย์” หรือ “แว่น” ฉายาที่คนอื่นๆ ต่างตั้งกันให้ปราโมทย์และเรียกกันขึ้นมาโดยที่ปราโมทย์เองก็ไม่ได้ชอบใจในชื่อนี้นัก และปราโมทย์จะต้องขมวดคิ้วทุกครั้งที่มีคนเรียกเขาด้วยชื่อนี้แต่เขาก็ไม่เคยที่จะบอกให้ใครต่อใครเลิกเรียกหรือบอกไปว่าตัวเองไม่ชอบใจ

ผมเคยลองถามกับปราโมทย์ไปว่า “ทำไมถึงไม่บอกคนอื่นไปละว่าไม่ชอบชื่อนี้?”

ปราโมทย์ก็แค่ยักไหล่ให้ผมแล้วตอบคำถามด้วยการตั้งคำถามกับผมว่า

“แล้วถ้าเราบอกไปว่าเราไม่ชอบชื่อนี้นายว่าคนอื่นๆ จะเลิกเรียกเราว่าแว่นไหมละ?”

 ปราโมทย์เป็นหนุ่มเงียบประจำชั้นปี เป็นคนที่ไม่สนใจอะไรรอบข้าง ผมหมายถึงถ้าเรื่องนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงละนะแต่ปราโมทย์ดันกลายมาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผมในคณะได้

ก็ไม่รู้ว่าเราเริ่มรู้จักกันได้อย่างไรและความสนิทของเราทั้งสองนั้นเริ่มที่ตรงไหน แต่อาจจะเพราะเราทั้งสองต่างไม่ได้สุงสิงกับคนอื่นเหมือนกันก็เป็นได้ มารู้อีกทีเราก็พยายามลงเรียนวิชาเดียวกัน กลุ่มรายงานก็จะเลือกอยู่กลุ่มเดียวกันและหลายครั้งที่เราทั้งสองจะแอบรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ถ้าเกิดวิชานั้นอาจารย์สามารถให้เราทำงานแค่ 2 คน ต่อ 1 กลุ่มได้

“นะ ไปเถอะ”

พอได้ยินประโยคดั่งกล่าว จะให้ผมเดินดุ้มๆ ไปที่ซุ้มคนเดียวผมก็ยังไม่กล้ามากขนาดนั้น เพราะผมดันจินตนาการไปถึงผู้คนที่ต้องยืนเต็มแถวนั้น และการที่อยู่ๆ ผมจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าซุ้มและยื่นของให้กับพี่เขา แค่คิดว่ามีสายตามองอยู่ขาผมก็สั่นแล้ว ผมจึงชวนปราโมทย์ไปเดินที่ซุ้มขายของด้วยกันจะได้เอาเนคไทไปคืนพี่เขาให้จบเรื่องไป


 “นายเดินเข้าไปคนเดียวได้ไหม? คนเยอะจัง” 

“อย่าทิ้งกันสิโมทย์ เดินไปเป็นเพื่อนกันหน่อย” 

“อื้ม ก็ได้” 

แล้วก็เป็นไปตามคาด มาถึงหน้าซุ้มคนเต็มไปหมด ผมกับปราโมทย์จึงได้แค่จดๆ จ้องๆ อยู่แถวนั้นกะว่าเดี๋ยวรอให้คนซาแล้วค่อยเดินเข้าไปหาพี่เก่ง

แต่นี่ก็ผ่านมาร่วม 20 นาทีแล้วก็ไม่เห็นจะดูเหมือนว่าคนที่ยืนต่อแถวซื้อของที่ซุ้มจะน้อยลงเลย ถามพวกผมก็ต้องไปเข้าเรียนต่อในช่วงบ่ายจะให้ยืนรอแบบนี้ทั้งวันก็คงเป็นไปไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะเดินดุ้มๆ เข้าไปทางด้านหลังของซุ้มกะเดินแวะเข้าไปฝากของเอาไว้กับใครสักคนและเดินออกมาอย่างเงียบๆ   

“น้องครับๆ ถ้าจะซื้อของไปต่อแถวทางด้านหน้าครับ” 

ทันทีที่ผมเดินอ้อมไปทางด้านหลังและยืนอยู่ใกล้กันโต๊ะที่กั้นทางเข้าซุ้มเอาไว้ก็มีเสียงดังออกมาจากทางข้างในและพยายามโบกมือโบกไม้ให้ผมเดินไปทางอื่น

“เปล่าครับ ผมไม่ได้จะมาซื้อของ ผมเอาของมาให้พี่เก่งครับ” 

“อ่อ เป็นแฟนคลับเก่งมันเหรอ? อยากจะเจอมันก็ต้องไปต่อทางด้านหน้าเหมือนกันครับ ที่เขามาซื้อของกันน้องว่าเขามาเพราะอยากได้ของเหรอ?” 

“แต่ ผมไม่ได้...” 

“น้องอย่าพูดไม่รู้เรื่องสิ พี่ยิ่งยุ่งๆ กันอยู่นะครับ”   

“ผมต้องไปเรียนต่อครับ ผมแวะเอาของมาให้แค่นิดเดียว ฝากไว้ก็ได้ครับ งั้นผมขอฝากพี่ไว้นะครับ” 

เพราะจุดประสงค์ไม่ได้จะมาเจอพี่เขาอยู่แล้วแล้วในเมื่อพี่คนนี้ก็พูดเหมือนเป็นเพื่อนของพี่เก่งผมก็เลยคิดว่าน่าจะสะดวกที่ฝากเอาไว้มากกว่ารอเจอกับเจ้าตัว แม้จะรู้สึกเสียดายนิดๆ ที่ไม่สามารถขอบคุณได้ด้วยตัวเองก็ตาม 

ผมก้มลงเปิดกระเป๋าเป้เตรียมหยิบเอาเนคไทออกมาแต่พอนึกได้ว่ามันอาจจะหายผมฉีกจึงกระดาษสมุดออกมาเพื่อที่จะห่อแบบหลวมๆ และเขียนกำกับชื่อพี่เขาไว้ด้วย   

“เฮ้ย ไอ้เก่งมีน้องแฟนคลับ “ผู้ชาย” ด้วยนะ เขามาหานะ  ไล่ไปให้ทางด้านหน้าก็ไม่ไปสงสัยจะอาย” 

แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ส่งยื่นของให้กับพี่คนนั้น ผมก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกเพราะอยู่ๆ พี่คนนั้นก็ตะโกนเสียงดังจนคนทั้งในซุ้มและนอกซุ้มที่อยู่ละแวกนั้นต่างหยุดการทำทุกอย่างและมองมาที่ผมอยู่เป็นจุดเดียว

ผมวางตัวไม่ถูกไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ต้องแก้ตัวไหมว่าไม่ใช่แฟนคลับฦ หรือต้องบอกออกไปรึเปล่าว่าไม่ได้อายที่จะไปข้างหน้าแต่ผมรีบและต้องไปเรียนต่อ ความคิดในสมองตีกันมั่วไปหมด พอเงยหน้าขึ้นมาพื่อที่จะอธิบายก็ต้องเจอกับสายตาอีกหลายคู่ที่มองในหลายรูปแบบ ทั้งรู้แบบของคำถาม ทั้งแบบหัวเราะ ผมจึงเอาแต่ก้มหน้างุดกลับลงไปเหมือนเดิม และนี่ก็เรียกว่าเป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ที่มีคนมองมาที่ผมเยอะมากขนาดนี้ 

“ไปกันเถอะ” 

ปราโมทย์คงเห็นว่าผมยืนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงยื่นมือมาสะกิดข้อศอกของผมเพื่อให้ผมเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ทำยังไงผมก็ก้าวขาไม่ออกผมจึงได้แต่ปล่อยให้ปราโมทย์จับข้อศอกผมพาเดินออกมาจากจุดนั้น 

“ชิน เดี๋ยวนั้นชินใช่ไหม?” 

พี่เก่งเดินตามพวกผมมาทางด้านหลัง เสียงตะโกนเรียกชื่อของผมดังขึ้นหลังจากที่ทั้งผมและปราโมทย์เดินออกจากซุ้มมาได้ไม่นาน พอได้ยินชื่อของตัวเองผมจึงหยุดยืนหันกลับไป ทางด้านหลังของพี่เก่งยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่ชื่นชอบพี่เขายืนเมียงมองดูสถานการ์ณเต็มไปหมดมันเลยทำให้ผมยังเกร็งและวางตัวไม่ถูกอยู่ดีแม้ว่าจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้ว 

“มีอะไรกับผมรึเปล่า?” 

พอพี่เก่งเอ่ยปากถามผมจึงได้สติและนึกได้ว่าผมเดินจากโรงอาหารมาถึงตรงนี้ทำไม ผมหยิบเอาเนคไทที่ถูกห่อด้วยหระดาษสมุดออกมาแล้วยื่นมันคืนให้กับพี่เก่ง

ทันทีที่ของถูกส่งออกไปก็มีเสียงถ่ายรูปดังออกมาจากแถวนั้น ผมเงยหน้ามองไปตามเสียงก็พอรู้ได้ว่าคงมีกลุ่มแฟนคลับของพี่เก่งที่คอยตามถ่ายรูปพี่เก่งเพื่อเอาไปลงเพจแบบที่เคยทำผมเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร 

“ผมเอาอันนี้มาคืนพี่ครับ” 

“เรียกว่าพี่ สรุปชินเป็นรุ่นน้องพี่เหรอ?” 

“ใช่ครับ” 

“ก็ว่าถ้าเป็นรุ่นเดียวกันพี่ถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่เอามาคืนให้” 

“ผมสิต้องขอบคุณ ยังไงวันนั้นก็ขอบคุณมากนะครับ” 

“แล้วเป็นยังไงวันนั้นเข้าสอบทันไหม?” 

“ทันครับ แต่ทันไปก็เท่านั้นเหมือนผมเข้าไปนั่งเล่นมากกว่า” 

“วิชาอะไรเหรอ?” 

“Foundation state ครับ ไม่ใช่วิชาของถนัดของผมเลย” 

“แต่วิชานั้นพี่ได้ A นะ” 

“จริงเหรอครับ?” 

“จริงสิ”

“โหพี่อย่างเทพ”

“เอางี้สิ เดี๋ยวพี่เอาที่พี่จดบทสรุปเอาไว้มาให้เอาไหม?” 

“เอาครับ” 

“แล้วเราลงเรียนกับใครนะ ใช่...” 

“ชิน มันใกล้เวลาเรียนช่วงบ่ายแล้ว” 

ผมก้มดูนาฬิกาจากมือถือของตัวเองแล้วก็ต้องตาโตเพราะความที่พี่เก่งเป็นคนเฟรนลี่จากที่จุดประสงค์ที่มาก็เพียงแค่เพื่อเอาของมาคืน  กลายเป็นลากคุยกันต่อไปเรื่อยๆ 

นอกจากความเป็นคนเฟรนลี่ของพี่เก่งแล้วที่ผมคุยด้วยได้ยาวขนาดนี้จากเป็นคนที่คุยไม่เก่งก็คงเป็นเพราะทุกครั้งที่เจอพี่เก่งคือความประทับใจ ครั้งแรกประทับใจในความใจดี แม้ตอนนั้นพี่เก่งยังไม่รู้ว่าผมคือใครแต่รู้ว่าผมกำลังเดือดร้อนอยู่ก็ยังยื่นมือเข้ามาช่วย

ส่วนครั้งนี้ครั้งที่สองผมประทับใจในความเป็นคนง่ายๆ ของพี่เขาทั้งๆ ที่พี่เขาเป็นถึงคนดังของมหาวิทยาลัย ความดังไม่ได้ทำให้พี่เข้าไว้ตัวเลยสักนิดพี่เขายังสามารถคุยกับผมอย่างเป็นกันเอง พอรู้ว่าผมเป็นรุ่นน้องก็สามารถแทนตัวเองว่าพี่ได้โดยทันที

“งั้นผมลาแล้วนะครับพี่” 

“เดี๋ยวสิชิน” 

“ครับ?” 

“ยังไงเอาเบอร์เรามาสิ เดี่ยวถ้าพี่หาชีทเจอแล้วพี่จะได้เอามาให้เราได้” 

“อ่อ ได้เลยครับ”   

“อีกอย่างอย่าคิดมากที่เพื่อนของพี่พูดเลยนะ พวกเพื่อนๆ พี่เขาเตรียมงานกันมาหลายวันแล้วเขาคงเหนื่อยอาจจะพูดไม่ดีไปบ้าง”

“ไม่เป็นไรครับพี่ผมเข้าใจ”
...................................................................................................

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect - บทที่ 1 - 15/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 19-06-2017 14:39:40
บทที่ 2 

เมื่อผมแลกเบอร์กันเป็นที่เรียบร้อยผมจึงลาพี่เก่งและรีบวิ่งกลับไปที่ตึกเรียนกับปราโมทย์ ปกติแล้วในช่วงกลางวันแบบนี้ไม่ค่อยจะมีคนโทรหาผมเท่าไหร่ ข้อความที่เข้ามาโดยมากก็จะเป็นข้อความโฆษณาสินค้าหรือส่วนลดต่างๆ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เคยสนใจที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแม้ว่าผมจะรู้สึกว่ามันกำลังสั่นอยู่ในกระเป๋าก็ตาม

“หรือว่าวันนี้ที่บ้านจะมีอะไรด่วน”

แต่วันนี้ทันทีที่อาจารย์ปล่อยผมต้องหยิบมือถือขึ้นมาดู เพราะมันสั่นเยอะมากกว่าปกติจนผมเองเริ่มกังวลว่าที่บ้านมีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่า

เบอร์ที่ส่งข้อความเข้ามาเป็นเบอร์แปลกที่ผมไม่เคยเซฟเอาไว้ กำลังจะกดลบเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอดโดยที่ไม่ได้กดเข้าไปดูแต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเป็นกดเข้าไปอ่านเมื่อข้อความสุดท้ายดันโชว์เอาไว้เป็นการ “แนบรูป”

“รูปคุ้นๆ แหะ”

แล้วผมก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเบอร์นี้ไม่ใช่ของใครที่ไหน มันเป็นเบอร์ของพี่เก่งที่ส่งมาหาผมนั้นเอง

เก่ง “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

เก่ง “….”

เก่ง “(แนบรูปผูกเนคไท) ขอบคุณนะครับ”

ชิน “ขอโทษครับที่ตอบช้า ผมเรียนอยู่”

ตั้งแต่วันที่แลกเบอร์กันจนตอนนี้ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่ได้คุยกับพี่เก่ง ยิ่งได้คุยกันผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเป็นบุคคลที่ผมอยากจะเอามาเป็นต้นแบบ
.........................................................................................

“พี่เก่งนี่ดีเนอะ ทั้งฉลาด ทั้งใจดี แถมเป็นที่รู้จักของใครต่อใครไปทั่วเลย”

 “ก็แน่นอน  เล่นเสนอหน้าไปช่วยใครต่อใครขนาดนี้ ไม่รู้จักก็แปลกแล้ว”

“พี่โคตรเก่งสมชื่อเลยอะ”

“พยายามเก่งมากกว่า”

“ไม่จริงหรอก ผมว่าเพราะพี่เก่งหน้าตาดีด้วยแหละ”

เมื่อคืนที่คุยกันพี่เก่งบอกเอาไว้ว่าวันนี้พี่เก่งจะมาช่วยเพื่อนที่ชมรมถ่ายภาพมาเลือกแยกประเภทของรูปที่มีนักศึกษาส่งเข้าประกวดว่าอยู่ในหมวดหมู่ใด

เรื่องถ่ายภาพเป็นอีกเรื่องที่ผมสนใจผมเลยขอติดสอยห้อยตามมาด้วย ตอนนี้ผมกับพี่เก่งเลยมานั่งคุยกันในห้องของชมรมหลังจากที่เราช่วยกันแยกรูปเสร็จ แล้ว
ยิ่งเมื่อคืนพี่เก่งพยายามสอนทบทวนบทเรียนที่ผมเพิ่งเรียนแต่ไม่เข้าหัวให้กับผม ทั้งๆ ที่ดึกแล้วแต่ผมยังร้องขอเบรกและขอคุยเรื่องเรื่อยเปื่อย พี่เก่งก็ใจดีไม่บ่นอะไรสักคำทั้งๆ ที่มันทำให้พี่เก่งเสียเวลามากขึ้น ผมจึงเอ่ยปากชมพี่เขาออกไปจากใจ

“พูดงี้ก็หมายความว่าชินมองว่าพี่หล่อ?”

“ก็หล่อครับ”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นว่าพี่เก่งหน้าแดงเพราะความเขิน เห็นพี่เก่งเป็นหนุ่มกิจกรรมโดนถ่ายรูปบ่อยขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าถ้าผมพูดชมว่าพี่เก่งหล่อหรือน่ารักเมื่อไหร่ พี่เก่งจะต้องอายแก้มขึ้นสีให้ผมได้เห็นทุกครั้ง

“แชะ”

ในขณะที่ผมนั่งคุยอยู่กับพี่เก่งอยู่นั้นจู่ๆๆก็มีแสงแฟลชวาบขึ้นมา ผมหันกลับไปมองต้นทางก็เห็นเป็นคนในชมรมนั้นเองที่ยกกล้องขึ้นมาถ่าย

“โทษทีลืมปิดแฟลชวะ”

ผมหันไปมองหน้าพี่เก่งที่โบกมือไล่ให้เพื่อนเดินไปไกลๆ แล้วผมก็ต้องขมวดคิ้วใส่ ผมรู้ว่าเขาจงใจถ่ายรูปพี่เก่งเพื่อเอาโปรโมทชมรม แต่ถ้าเกิดว่าเขาจะเอารูปนั้นลงผมนั่งอยู่ใกล้กับพี่เก่งแค่นี้รูปนั้นต่อให้เบลอยังไงก็ต้องติดผม หรือว่าเขาจะครอป?

“เป็นอะไรเรา หน้ามุ่ยเชียว”

“คือ เขาจะเอารูปไปลงไหมครับ?”

“ทำไมเหรอ?”

“ผมไม่อยากอยู่ในเฟรม”

พี่เก่งหน้าบึ้งทันทีที่ผมพูดจบ ผมกลัวพี่เก่งจะเข้าใจผิดและคิดว่าผมเรื่องมากผม เพราะขนาดเจ้าตัวที่โดนต้องการรูปจริงๆ ยังไม่ได้ต่อต้าน ผมเลยต้องรีบอธิบายเพื่อให้พี่เก่งเข้าใจ

“ไม่ใช่อะไรพี่ คือพี่เป็นคนดังของมหาวิทยาลัย ถ้าเอารูปลงคนก็ต้องโหลดไปเก็บบ้างอยู่แล้ว แต่จะให้รูปผมไปนั่งคู่พี่ในนั้นผมคงไม่ชิน และคนอื่นก็คงไม่ได้อยากได้รูปผม พี่ว่าจริงไหม?”

“อ่อ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่บอกให้ว่าอย่าเอาลง”

พอพี่เก่งได้ฟังผมอธิบายก็ค่อยมีสีหน้าที่ดีขึ้น ยกมือขึ้นลูบหัวเหมือนเป็นการปลอบใจผมว่าไม่ต้องคิดมาก

“เฮ้ยพี่ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นดูเหมือนผมเรื่องมากไม่ดีเลย ขอแค่เขาตัดผมออกจากรูปก็พอครับ”

“โอเค”


วันที่ไปช่วยงานที่ชมรมถ่ายรูปเป็นวันเปลี่ยนชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของผม เพราะพอทันทีที่ผมเปรยว่าผมเองก็ชอบเกี่ยวกับรูปถ่ายพี่เก่งก็คะยั้นคะยอให้ผมไปสมัครเป็นหนึ่งในชมรมทันที 

“แต่ผมถ่ายรูปไม่เป็นและไม่มีกล้องด้วย”

“แต่ถ้าเราเข้าชมรม วันนึงก็อาจจะถ่ายรูปเป็นก็ได้”

“ผมบอกว่าไม่มีกล้อง”

“แต่พี่มี”

ไม่รู้ว่าผมขี้ใจอ่อนหรือพี่เก่งเป็นคนที่พูดโน้มน้าวเก่งที่สุดในโลกผมจึงยอมตกลงปลงใจเข้าชมรมโดยที่ไม่มีอุปกรณ์พื้นฐานสักชิ้น

ผมเริ่มแบ่งเวลาเรื่องการเรียนไปเข้ากิจกรรมมากขึ้นแต่โดยมากจะเป็นกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น การที่ผมเข้าชมรมมันทำให้ผมได้เจอกับพี่เก่งบ่อยขึ้นและในที่สุดจากแค่รุ่นพี่รุ่นน้องร่วมคณะผมกับพี่เก่งก็กลายมาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกัน 

เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยเป็นที่สนใจของใคร ผมจึงไม่เคยสนใจว่าใครรอบข้างกำลังมองผมอย่างไร หรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่เริ่มสายตามองมาที่ผมเปลี่ยนไปผมยังคงไม่รู้และใช้ชีวิตเหมือนเดิมเช้ามาเข้าเรียนพร้อมปราโมทย์ตกเย็นวันไหนพี่เก่งว่างก็เข้าชมรม

ความไม่ใส่ใจของผมคงจะมากเกินไป จนทำให้คนที่คอยมองอยู่ต้องเป็นคนเข้ามาบอกถึงความเปลี่ยนแปลง ช่วงหมดคาบเรียนจึงคนในห้องเดินเข้ามาแซว

“เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะนาย”

“หะ?”

“แม้ อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องเลย”

“เราไม่รู้จริงๆ มีอะไรรึเปล่า?”

“ก็ในเฟสไงกลายเป็นคนดังไปแล้วนะ”

“เฟส?”

แต่ไม่ทันที่ผมจะถามให้รู้ข้อมูลมากกว่านี้ว่าเฟสไหนเฟสอะไร โทรศัพท์ของผมก็สั่นขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน และเวลาก็ไม่พ้นที่จะเป็นพี่เก่งที่โทรเข้ามา เพราะว่าเรามีนัดกันไว้แล้วว่าหลังเลิกเรียนจะเจอกัน

“ฮัลโหลครับพี่” 

“พี่เอาชีทเรียนมาให้แล้วนะ ตอนนี้รออยู่ที่แถวสระบัว ชินอยู่ไหน?” 

“ผมอยู่ที่ตึกเรียนตึก M ครับพี่ งั้นเดี๋ยวผมรีบไปหา” 

“แล้วเรามีเรียนอีกหรือเปล่า? จะให้เอาไปให้ที่ตึกไหม?” 

“ไม่มีครับ วันนี้ผมเรียนแค่ช่วงเช้า” 

“โอเค งั้นพี่รอเราที่นี่แล้วกัน” 

ผมล่ำลากับปราโมทย์และเดินไปหาพี่เก่งตามที่นัดเอาไว้ ตอนที่ไปถึงผมก็เห็นพี่เก่งนั่งรอผมอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนอยู่แล้วกำลังนั่งอ่านหนังสือด้วยท่าทีสบายๆ ดูไม่ได้หงุดหงิดทั้งๆ ที่ต้องมารอผมในที่อากาศกำลังอบอ้าวแบบนี้ 

“พี่เก่งรอนานไหม?” 

“ไม่นานแค่เหงื่อชุ่มไปหมด” 

“ขอโทษครับ” 

“ล้อเล่น คิดมากนะเรา”

พี่เก่งยกมือขยี้หัวของผมเล่นให้แก้หมั่นเขี้ยวอย่างที่เคยทำอยู่สักพักแล้วค่อยยื่นเอาของออกมาให้กับผม ผมแอบมองมือที่มาสัมผัสกับเส้นผมของผมอยู่ชั่วเวลานึง โดยที่มีคำถามอยู่ในใจ ว่าไม่รู้รุ่นพี่รุ่นน้องคนอื่นเขาลูบหัวเล่นกันไหม? แต่แล้วผมก็ปัดข้อสงสัยเหล่านั้นออกไปเมื่อพี่เก่งเริ่มอธิบายถึงของที่อยู่ตรงหน้า

“อะนี่เป็นสมุดจดที่พี่จดคร่าวๆ เอาไว้เกี่ยวกับพวกสูตรต่างๆ และทริคการใช้นิดหน่อย ส่วนชีทพี่ก็มีจดอะไรลงไปบ้างเราลองเอาไปดูคู่กับของเราเผื่ออาจารย์คนละคนสอนมันจะออกมาไม่เหมือนกันแล้วจะแย่” 

“ขอบคุณครับ” 

ผมรับเอาสมุดเล่มนั้นพร้อมชีทที่ถูกจดด้วยลายมือเอามานั่งอ่านไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมว่าผมหาจุดอ่อนของคนที่สุดเพอร์เฟคคนนี้ได้แล้วละ นั้นก็คือ 

“พี่เก่งครับ ลายมือพี่ผมอ่านไม่ออกเลยครับนี่พี่ตั้งใจเอามาให้ผมจริงๆ ใช่ไหม?” 

“เอ้า จริงดิ ขอโทษ เอาไงดี เอางี้ ลองเอาไปดูถ้าไม่ไหวดูไม่ออกจริงๆ ค่อยเอากลับมาหาพี่มาถามแล้วกัน” 

“แล้วพี่ไม่ต้องอ่านของพี่เหรอครับ? มาเสียเวลาสอนผม” 

“ไม่หรอกนี่ใคร อ่านแป้ปเดียวก็ได้ B แล้ว” 

“ครับๆ พี่เก่ง เก่งสมชื่อเลยครับ”   

 พี่เก่งยิ้มกว้างจนทำให้ผมสามารถมองเห็นเขี้ยวของพี่เขา มองจากจุดที่ผมนั่งอยู่ทำให้เห็นว่าพี่เก่งนอกจากหน้าตาดีแล้วยังพกความเท่ห์เอาไว้อีกด้วย

ผมนั่งมองพี่เก่งอยู่นานด้วยสายตาของความชื่นชม พี่เก่งสามารถปรับตัวให้เข้าได้กับทุกคน แถมยังสามารถแบ่งเวลาเรียนและกิจกรรมได้ดี ผมว่าผมโชคดีมากเลยที่ผมได้มีโอกาสมารู้จักคนๆ นี้

...

“เราอยู่หอที่นี่เองเหรอ?” 

“ครับ ไม่ไกลจากที่มหาวิทยาลัยมาก ผมถึงบอกไงว่าผมกลับเองได้” 

“ก็ไม่รู้ว่ามันจะใกล้ขนาดนี้ก็เห็นว่าชีทหนักก็ไม่อยากต้องให้แบกเดินมาเอง” 

“ขอบคุณครับพี่” 

หลังจากที่นั่งคุยกันที่ริมสระบัวสักพักพี่เก่งก็บ่นว่าหิวผมเลยขอเป็นเจ้ามื้อเลี้ยงข้าวร้านประจำของผมที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย ขากลับจากตรงนั้นผมบอกว่าผมกลับเองได้พี่เก่งจะได้ไม่ต้องเลี้ยวรถอ้อมมาทางด้านอีกแต่ไม่ว่าผมจะพูดยังไงพี่เก่งก็ไม่ยอม

ผมเห็นว่าต่อให้เถียงตรงนี้ไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่สามารถที่จะชนะและมันก็จะยิ่งดึก ผมก็เลยยอมให้พี่เขาได้ทำตามใจและในที่สุดพี่เก่งก็ได้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาของตัวเองว่าหอผมไม่ได้ไกลอย่างที่เขาคิดจริงๆ

“เออ ว่าแต่หอดีไหม?” 

“ก็โอเคนะครับ” 

“รู้งี้ตอนนั้นตื้อที่บ้านขอมาอยู่หอบ้างดีกว่า ทุกวันนี้ไปกลับอย่างเหนื่อย” 

“ก็ถ้าวันไหนพี่ต้องดึกมาก พี่จะมาค้างก็ได้นะครับ” 

“พูดจริงอะ?”

“จริงสิครับ”

“ขอบใจ”   

“งั้นขับรถกลับบ้านดีๆนะครับพี่”

หลังจากที่ผมขึ้นห้องเก็บของและอาบน้ำอาบท่าเป็นที่เรียบร้อยแล้วผมก็เตรียมหยิบเอาชีทที่เรียนวันนี้มาเขียนสรุปแบบที่พี่เก่งแนะนำว่าพี่เขาทำแบบนี้ตลอดเวลาเรียน แต่พอหยิบชีทขึ้นมาก็ทำให้ผมนึกถึงบทสนทนาก่อนที่ผมจะผละออกมาหาพี่เก่ง

“เฟสเหรอ?”

ผมสไลด์หน้าจอเปิดกดเข้าหน้าเฟสบุ๊คเพื่อดูความเคลื่อนไหว ผมไม่ได้กดติดตามแฟนเพจต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยผมกดแค่แฟนเพจหลักของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่พอผมกดเข้าไปดูในนั้นก็ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวกับผมยกเว้นเรื่องวิชาการต่างๆ 

แต่ในช่วงเวลาที่ผมกำลังจะกดออกจากหน้าฟีดของเฟสมหาวิทยาลัย ผมก็ดันไปเห็นแฟนเพจที่เพื่อนๆ ในคาบบางคนต่างไปกดไลท์เอาไว้ขึ้นมาเป็นเพจแนะนำผมเลยลอวกดเข้าไปดู

“อะไรกันเนี่ย”

ผมตกใจในสิ่งที่ผมเห็นเพราะรูปล่าสุดเป็นรูปที่ผมนั่งอยู่ที่สระบัวกับพี่เก่ง แคปชั่นภาพไม่มีอะไรเป็นแค่ชื่อผมกับชื่อของพี่เก่งแต่พอกดเข้าไปดูคอมเม้นแล้วตัวผมก็ชาวาบขึ้นมาทันทีเพราะจากที่คิดมาเสมอว่าไม่มีใครรู้จักผม ก็กลับกลายเป็นว่าชื่อของผมอยู่เต็มในคอมเม้นท์ไปหมด

“รูปสวยดีค่ะ”

“กรี้ดดดด ขอเซฟนะคะในจุดนี้”

“โธ่ ทีอยู่ในห้องเรียนไม่เห็น ช จะยิ้มแบบนี้บ้างเลย”

“อ้าวๆ ก็เธอเป็นใครนี่เข้านั่งกับใคร เขาจะมานั่งยิ้มให้เธอให้เสียปากเขาไหม”

“โอ๊ยมันพูดได้โดนใจ มาแรกๆ ทำเงียบไม่คุยกับใครที่แท้ก็พวกเอาแต่คนดัง”

“โคตรสงสารไอ้แว่นเลยวะ พอแม่งได้ดีเขี่ยไอ้แว่นทิ้งเลย”

“เออ ยังเห็นไอ้แว่นเดินตามตูดต้อยๆ เป็นทาสที่ซื่อสัตย์อยู่เลยมึง”

“จะว่าไปแม่งเฉิ่มชิบหายเป็นกูกูก็เลิกคบมะ”

“แต่เอามันเป็นลูกไล่ก็เก๋ดีนะมึง”

“สงสัยตูดหอม”

“อะไรๆ เม้นท์บนขยายความ”

“อย่าให้ได้เม้าท์ประวัติ ช แม่ง......อย่างแรง”

“เอาซะกูอยากรู้”

“เอาเป็นว่าไม่แปลกใจกันเหรอว่าทำไมถึงไม่มีเพื่อนเลยยกเว้นไอ้แว่น”

“เฮ้ยๆๆๆๆๆ มีมูลโวยมีมูล”

“โรงเรียนเก่าแม่งก็ไม่มีเพื่อนเหอะ”

“ว้ายพวกสังคมรังเกียจเหรอ?”

“เกลียดมัน”

มันไม่ใช่แค่รูปนี้รูปเดียวแต่ในทุกๆ รูปที่เป็นรูปผมคู่กับรูปของพี่เก่งก็จะมีคอมเม้นประมาณนี้ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครทำไมพวกเขาถึงได้พูดเหมือนว่าเขาสนิทและรู้จักกับผมทั้งๆ ที่เพื่อนคนเดียวของผมในระดับชั้นปีก็คือปราโมทย์ และสิ่งที่พวกเขาพูดถึงปราโมทย์แม้ว่าปราโมทย์จะไม่ได้อยู่ในรูปใดๆ เลยก็ตามผมก็ไม่รู้ว่าปราโมทย์จะรู้สึกตามที่พวกนั้นพูดรึเปล่า มันทำให้ผมคิดว่า ผมทำนิสัยไม่ดีขนาดนั้นออกไปเลยรึเปล่า?

ครืดๆๆๆ

เสียงโทรศัพท์และภาพหน้าจอของผมพลันเปลี่ยนเป็นรูปของพี่เก่งแทนขึ้นมาในสิ่งที่ผมกำลังอ่านอยู่ สติที่ลอยหายไปกลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง แม้ว่ามือจะเย็นแต่มันก็ไม่สั่นเหมือนก่อนหน้านี้

“ฮัลโหลครับพี่”

“ถึงบ้านแล้วนะ”

“ครับ”

“ทำอะไรอยู่?”

เป็นแค่คำถามสั้นๆ ว่าผมทำอะไรอยู่แต่เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถให้คำตอบกับพี่เก่งได้ในทันทีผมไม่รู้ว่าพี่เก่งจะเห็นรูปพวกนี้แล้วรึยัง? และพี่เก่งคิดว่าผมควรทำตัวอย่างไร? ก่อนหน้านี้พี่เก่งเคยเจอเรื่องแบบนี้ไหม?

แต่เพราะวันนี้ก็ดึกมากแล้ว อีกอย่างเรื่องพวกนี้จากที่คอมเม้นที่ผ่านมาผมอยากคุยกับปราโมทย์มากกว่าใคร ผมอยากเคลียร์กับเพื่อนของผมให้เข้าใจ และผมก็อยากขอโทษเขาที่ทำให้เขาต้องมาเจอับคอมเม้นท์เหล่านี้

“กำลังจะนอนแล้วครับ”

“โอเค งั้นฝันดีและเจอกัน”

“ครับ”

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect - บทที่ 2 - 19/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 22-06-2017 13:16:49
บทที่ 3

ผมมานั่งรอปราโมทย์ที่ใต้ตึกเรียนในตอนเช้าอย่างร้อนใจ เมื่อคืนกว่าผมจะนอนหลับตาลงได้ก็เข้าวันใหม่ซะแล้ว เมื่อคืนผมกังวลมากว่าถ้าปราโมทย์เห็นคอมเม้นพวกนั้นปราโมทย์จะรู้สึกยังไง จะรู้สึกเสียใจที่เขาตัดสินใจมาเป็นเพื่อนกับผมไหม? แต่สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดก็คือผมกลัวว่าปราโมทย์จะเชื่อในสิ่งที่คนพวกนั้นพิมพ์มันออกมา

“หวัดดี”

“อื้มหวัดดี”

แต่เอาเข้าจริงพอปราโมทย์มาปรากฏตัวที่ตรงหน้าผมกลับพูดอะไรไม่ออก ไอ้คำพูดทั้งหลายที่เตรียมเอาไว้มันกลืนหายลงไปในคอ คำพูดที่เตรียมมาทั้งหมดมันถูกทำให้สั้นลงจนเหลือเพียงแค่คำว่า “สวัสดี”

แต่ผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไปโดยที่ผมยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับเพื่อน แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมควรจะเริ่มที่ตรงไหนก่อนควรเล่าให้ฟังหรือถามว่าปราโมทย์เห็นแล้วรึยัง? และปราโมทย์ก็เป็นปราโมทย์ที่มักจะสังเกตุเห็นอะไรก่อนเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร และในตอนนี้เขาคงจะเห็นจากท่าทางของผม ปราโมทย์เลยเป็นคนเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน

“มีอะไรรึเปล่า?”

“เปล่า ไม่สิเป็นเรา มี”

“อย่างเล่าไหม?”

“เอ่อ... คือ เราไม่รู้จะเริ่มยังไง”

“ก็เริ่มอย่างที่คิด... น่าจะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด” ในเมื่อผมเริ่มเป็นคำพูดไม่ได้ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดหน้าแฟนเพจนั้นยื่นมันไปให้ปราโมทย์ดู

“ดูที่คอมเม้นในรูปเรากับพี่เก่งนะ” ปราโมทย์ใช้เวลาอยู่กับหน้าแฟนเพจนั้นสักพักก่อนที่จะส่งมือถือคืนให้แก่ผม

“นายเครียดที่มีคนมาว่านาย?”

“มันก็ส่วนนึง แต่เราแคร์อยู่สองเรื่อง”

“และอีกเรื่องคือ?”

“อย่างแรกโมทย์เชื่อไหมว่าเราเป็นคนนิสัยไม่ดี?”

“เท่าที่รู้จักก็ไม่ นายเป็นคนโอเคในสายตาเรา”

“งั้นข้อต่อไป พวกนั้นเขาว่าเราไม่แรงเท่าไหร่ แต่คอมเม้นที่เกี่ยวกับโมทย์ เราขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้และทำให้คนพูดถึงโมทย์แบบนั้น”

“นายไม่ได้เป็นคนพิมพ์ นายไม่ต้องขอโทษหรอก”
“แล้วโมทย์รู้ใช่ไหมว่าเราไม่เคยเห็นนายเป็นลูกไล่เลย? แล้วเราก็ไม่ได้เขี่ยโมทย์ทิ้ง แต่เรายอมรับว่าเราก็สนิทกับพี่เก่งมากขึ้น เราก็ทำเหมือนที่เขาพูดคือเราปล่อยให้โมทย์อยู่คนเดียวในมหาวิทยาลัยจริงๆ เราขอโทษนะ  แต่เราไม่ได้ตั้งใจที่จะทิ้ง เราไม่ใช่ว่าเราไม่เห็นว่าโมทย์ไม่ได้เป็นเพื่อนเราอีกแล้วนะ”

“อื้ม”

“โมทย์ ไม่ได้เชื่อคำพวกนั้นใช่ไหม?”

“เราไม่ได้โกรธนาย และเราก็ไม่ได้เชื่อพวกนั้น สบายใจได้นะ”

“จริงนะ”

“จริงสิก็นายเป็นเพื่อนเรา เราคุยกับนายอยู่เราต้องรู้ดีกว่าคนอื่นว่านายเป็นยังไง”

ปราโมทย์คงมองเห็นถึงสายตาที่ยังแสดงออกถึงความกังวลของผมอยู่ เขาจึงพยายามพูดสนับสนุนคาพูดของตัวเองเพื่อให้ผมมั่นใจมาเขาไม่ได้คิดตามคนพวกนั้น

“อีกอย่าง วันที่นายจะไปเข้าชมรมนายยังมาชวนเราอยู่ตั้งนานสองนานแต่เป็นเราเองที่ไม่ไป แล้วเราจะไปคิดว่านายทิ้งเราได้ยังไง ก่อนหน้านั้นช่วงที่มีรูปมาโชว์ที่งานเปิดชมรมของมหาวิทยาลัยนายยังชวนเราไปดูอยู่เลย เพราะฉะนั้นก็แสดงว่านายชอบเกี่ยวกับเรื่องรูปถ่ายจริงๆ”

“อื้ม เราชอบมันจริงๆ”

“เผื่อนายจะลืมไปปกติเราสองคนหลังเลิกเรียนก็ต่างคนต่างกลับบ้านอยู่แล้วนานครั้งมากนะที่เราจะไปไหนมาไหนด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราไม่ได้คิดว่านายทิ้งเรา”

“ขอบใจนะโมทย์ที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น”

“อื้ม เราเลือกเชื่อคนที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าพวกหลังจอคอม พวกนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ไม่มีตัวตน ขอแค่นายมีอะไรก็บอกความจริงเราก็พอ”

“อื้ม เราสัญญา ว่าแต่ก่อนหน้านี้โมทย์เคยเห็นเรื่องพวกนี้ไหม? หรือเห็นวันนี้วันแรก?”

“นายจะไปแคร์ทำไมว่าเราจะเห็นไม่เห็น มันไม่ได้เปลี่ยนอะไรสักหน่อย” 


เพียงได้ยินคำยืนยันออกมากจากปากของปราโมทย์ผมก็สบายใจขึ้นเหมือนยกภูเขาออกจากอก ก็อย่างที่ปราโมทย์ว่าผมไม่รู้จักคนเหล่านั้นทำไมผมจะต้องไปใส่ใจ สู่คนที่อยู่ตรงหน้าเข้าใจผมก็พอจริงไหม?

 .........................................................................

หลังจากวันที่ผมได้ปรับความเข้าใจกับกับปราโมทย์ผมสบายใจขึ้นก็จริงเรื่องที่คนใกล้ตัวผมยังคงเข้าใจในตัวตนของผม แต่ผมก็ห้ามให้ตัวเองไม่กดเข้าไปในแฟนเพจนั้นไม่ได้ ผมยังคงคอยเข้าไปกดดูทุกวัน

ผมยอมรับว่าผมจิตตกและกลายเป็นคนที่เก็บตัวเงียบมากกว่าเดิม จากที่ไม่ค่อยคุยกับใครเพราะเป็นคนคุยไม่เก่งอยู่แล้วพอไปเจอคอมเม้นเหล่านั้นผมก็ยิ่งไม่กล้าคุยกับคนอื่นเข้าไปใหญ่ เพราะดูจากลักษณะที่พิมพ์ตอบเหมือนว่าหลายคนที่พิมพ์คอมเม้น
เหล่านั้นก็คือคนที่อยู่ในชั้นปีเดียวกัน บางคนอาจจะกำลังนั่งอยู่ในห้องเดียวกันนี้ด้วยซ้ำ ผมเพียงแค่ผมไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครก็เท่านั้น

ผมยอมรับว่าผมเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ไม่ดีแต่เท่าที่ผ่านมาทุกคนก็แค่ปล่อยผมเอาไว้เพียงลำพัง แต่ในนั้นมันเป็นที่แรกที่มีคนบอกว่า “เกลียดผม” โดยที่ตอนนี้ผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมได้ทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจ

ผมไม่สามารถเล่าเรื่องพวกนี้ให้ปราโมทย์ฟังได้เพราะเขาได้บอกไม่ให้ผมเข้าไปดู ผมจึงเอาเรื่องเหล่านี้ไปบอกให้พี่เก่งฟัง ลองปรึกษากับพี่เขา

“เลิกดูได้แล้ว อย่าไปสนใจมันสิ”

“พี่ก็พูดได้สิ พี่..”

“จะบอกว่าพี่ไม่เคยเจอแบบผม แบบนี้ใช่ไหม?”

“ครับ”

“ชินคิดว่าคนทั้งมหาวิทยาลัยชอบพี่ทุกคนเลยเหรอ?”

“ก็...ไม่รู้สิครับ”

“ไม่หรอก ไม่มีใครที่จะสามารถจะทำให้ใครทั้งโลกรักได้”

“พี่เคยโดนแบบนี้?”

“ชินมันเป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามคนอื่นพูดถึงเรา หรือให้พูดถึงเราแค่ในแง่ดี เพราะฉะนั้นอย่าเข้าไปดูถ้าไม่อยากจะเสียความรู้สึก”

“ครับผม”

“ทำให้ได้อย่างที่รับปากด้วย”

“คร้าบบบบบ”

ในเมื่อคนที่เชื่อในตัวผมทั้งสองคนต่างบอกให้ผมเลิกเข้าไปดู และเลิกแคร์กับสิ่งเหล่านั้น ผมจึ้งตัดสินใจเด็ดขาดที่เลิกเข้าไปสนใจและใช้ชีวิตอยู่กับโลกที่ไม่มีอินเตอร์เน็ท ผม log out จากเฟสบุ้คอย่างเป็นการถาวร

...............................................................

“พี่ครับผมขอรบกวนขอรายละเอียดโครงการออกค่ายถ่ายรูปได้ไหมครับ?”

“อ้าว งานนี้ไอ้เก่งมันเป็นคนจัดโครงงาน สนิทกันแล้วไอ้เก่งไม่ได้บอกเหรอ?”

“เปล่าครับ”

“อะ งั้นนี่รายละเอียดคร่าวๆ เก่งมีไรไม่บอกแบบนี้ระวังตกกระป๋องน่าเรานะ”

“...”

“เฮ้ย ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นพวกพี่ล้อเล่นนะ อย่าคิดมาก”

“อ่อครับ”

“อย่าไปฟ้องไอ้เก่งมันละเดี๋ยวพอมันรู้ว่าพี่แกล้งเราเล่นมันจะมาแหกอกพี่เอา”

“ครับ”

ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมแสดงสีหน้าอย่างไรออกไป พี่เขาถึงต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวันว่าล้อผมเล่น ผมก็แค่แปลกใจแค่ว่าผมกับพี่คนนี้ไม่ใช่กลุ่มคนที่ผมสนิทด้วยสักนิด แต่เขากลับพูดเล่นกับผมเหมือนว่าเขารู้จักผมดี ก็คงเป็นการทักทายและแซวเล่นอย่างที่พี่เขาพูดละมั้ง

ต้นเรื่องก็คือวันนี้หลังเลิกเรียนผมไปถึงที่ชมรมก่อนที่พี่เก่งจะมาถึง หน้าห้องของชมรมติดป้ายประกาศเอาไว้ว่าจะมีโครงการไปถ่ายรูปนอกสถานที่โดยมีการไปพักค้างคืนเป็นเวลา 1 คืนและให้ลงชื่อได้ตั้งแต่วันนี้

ทันทีที่เห็นป้ายประกาศผมก็รู้สึกสนใจกิจกรรมนี้อย่างมากเพราะมันจะถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้ออกไปร่วมกิจกรรมในรูปแบบการไปเป็นกลุ่มของมหาวิทยาลัยซึ่งผมไม่เคยมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้มาก่อน อย่างมากที่ผมเคยได้ออกไปไหนมาไหนกับคนเป็นกลุ่มใหญ่มากสุดก็แค่ไปค้างค่ายลูกเสือกับ รด ไม่ใช่เป็นการไปเที่ยวพร้อมกับทำกิจกรรมแบบนี้

“ไงเรา ดูไรอยู่?”

“อ่อ โครงการของชมรมครับ”

ที่เก่งมาถึงชมรมหลังผมประมาณ 1 ชั่วโมง พี่เก่งเปิดประตูมาพร้อมกับการหอบหิ้วพวกปึกกระดาษหนามากมายผมจึงทำท่าลุกขึ้นและจะเดินเข้าไปช่วยแต่พี่เก่งก็ส่ายหัวให้เป็นการบอกว่าไม่ต้องผมเลยนั่งอยู่ที่เดิม พอพี่เก่งเอาของเหล่านั้นไปให้กับหัวหน้าชมรมพี่เก่งก็เดินมาหาผมที่นั่งอยู่ที่เดิม ผมจึงยื่นแผ่นกระดาษให้พี่เก่งดู

พี่เก่งโน้มตัวมาจากทางด้านหลังแล้วท้าวลงมาที่โต๊ะที่ผมกำลังนั่งอยู่ ความจริงการกระทำถึงเนื้อถึงตัวของพี่เก่งแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยและในบางครั้งมันก็ทำให้ผมแอบรู้สึกอึดอัดเหมือนกันโดยเฉพาะในที่ที่มีคนอยู่เยอะๆ  แต่ผมก็ไม่เคยที่ทำท่าไม่ชอบใจหรือบอกกับพี่เก่งเพราะผมไม่รู้ว่าหลังจากพูดแล้วพี่เก่งจะแสดงออกอย่างไร ถ้าเกิดผมพูดแล้วต้องเสียพี่ที่สนิทไปผมว่าผมยอมให้มันเป็นแบบนี้ไปดีกว่า

และแม้ครั้งนี้จะเป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกอึดอัดเพราะมันเหมือนกับพี่เก่งกำลังกอดผมจากทางด้านหลังอยู่กลายๆ แต่ผมก็ยังคงทำเหมือนเดิมที่ไม่ได้เขยิบตัวหนีหรือทำท่าอึดอัดออกไป โดยเฉพาะหลังจากที่ผมพยายามมองดูแล้วมันอาจจะเป็นแค่ท่าถนัดหรือความบังเอิญที่ทำให้ต้องใกล้ชิดกันแบบนี้มากกว่าที่พี่เก่งจะจงใจ เพราะตัวพี่เก่งเองก็กำลังสนใจแต่กระดาษที่ถูกปริ้นออกมา มองกว่าที่จะละสายตามามองผมด้วยซ้ำ ผมเลยสรุปว่าพี่เก่งก็คงไม่ได้ตั้งใจแค่กำลังตื่นเต้นที่เห็นหัวข้องานที่ตัวเองคิดออกมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

 “อ่อ อันนี้ โธ่... พี่ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเอามาแปะบอร์ดลงชื่อตั้งแต่วันนี้ นี่พี่กะเซอร์ไพร์เราเลยนะ”

“ครับ?”

“ก็คิดว่าชินน่าจะชอบ ว่าแต่ชอบไหม?”

“ก็ชอบครับน่าสนใจ แต่ปัญหาของผมคือผมไม่มีกล้องแล้วกำหนดการแบบคร่าวๆ ก็ดูเหมือนว่ากล้องจะเป็นส่วนประกอบหลักของกิจกรรม”

“เรื่องนี้อีกแล้ว ก็บอกแล้วว่าพี่มี ก็ใช้ของพี่ไป”

“แล้วพี่เก่งละ?”

“เดี๋ยวพี่ไปยืมพ่อมาเอง”

“โห ลำบากพี่แย่”

“ไม่ลำบากหรอกน่า”

“ขอบคุณครับ งั้น...ก็เหลือด่านสุดท้าย ผมต้องขอกับที่บ้าน”

“ให้พี่ไปพูดให้ไหม?”

“ไม่เป็นไรพี่ ผมว่าน่าจะไม่มีปัญหา”

พอรู้ว่ามีกิจกรรมวันนี้ผมเลยไม่กลับหออย่างเช่นทุกวันแต่ตรงกลับบ้านเพื่อที่จะไปขอพ่อกับแม่ กิจกรรมนี้ตรงกับวันเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งมันเป็นวันที่ผมต้องกลับบ้านเป็นประจำทุกอาทิตย์ ถ้าจู่ๆ ผมไม่กลับมาบ้านและไม่ได้บอกเอาไว้ก่อน ผมว่าค่าขนมของผมเดือนหน้าคงจะต้องถูกลดถึงขนาดต้องพึ่งมาม่าเพื่อนยากอย่างแน่นอน

หลังมื้อเย็นผมรีบบอกเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ได้รู้ และมันก็ไม่ยากอย่างที่ผมคาดเอาไว้

“ถ้าเราอยากไปก็ไปก็ได้ลูก”

“ดีแล้ว ไปทำกิจกรรมอะไรอย่างอื่นนอกจากเรียนบ้าง”

“ขอบคุณครับ แม่ พ่อ”

พอครอบครัวอณุญาตผมก็หยิบโทรศัพท์โทรหาพี่เก่งพร้อมกับแจ้งข่าวให้พี่เก่งรู้ พี่เก่งแอบบ่นโอดครวญมานิดหน่อยว่าในขณะที่เรื่องของผมผ่านฉลุยแต่ตัวพี่เก่งเองยังยืมกล้องพ่อไม่ได้เลย สงสัยว่างานนี้อาจจะไปฝึกการใช้มือถือถ่ายแทน

“แต่กล้องพี่เป็นของผมนะพี่พูดแล้ว”

“ครับๆ เอาไปเลยครับ”

ผมก็แค่ล้อพี่เก่งเล่นเท่านั้นถ้าเกิดว่าพี่เก่งไม่สามารถยืมกล้องของคุณพ่อพี่เก่งมาได้จริงๆ ผมก็ต้องให้พี่เก่งใช้ของตัวเองอยู่แล้วเดี๋ยวผมแค่ยืมจิกมาใช้บ้างก็พอ

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect - บทที่ 3 - 22/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 28-06-2017 12:08:46
บทที่ 4.1

ผมตื่นเต้นถึงขนาดที่ว่าผมไม่สามารถหยุดพูดเรื่องนี้กับพี่เก่งหรือกับปราโมทย์ได้เลย ยิ่งใกล้วันเดินทางแล้ว ผมก็ยิ่งเอาแต่ถามเกี่ยวกับกิจกรรมหลักๆ จนพี่เก่งหาว่าผมเป็นพวกบ้าเห่อ
“ขี้เห่อ”

“ผมจะได้รู้ว่าผมจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง ไม่ได้ว่าเห่ออะไรสักหน่อย”

“เชื่อๆ”

นอกจากจะใช้มันเป็นข้ออ้างปิดบังความเห่อของผมแล้ว ที่ผมเอาแต่ถามเพราะพี่เก่งน่าจะรู้ดีเกี่ยวกับสถานที่ ที่พวกเราจะไปพักและมันก็น่าจะดีกว่าถ้าผมสามารถเตรียมของได้ครบไม่ขาดเหลืออะไร พี่เก่งคงไม่รู้ว่านี่คือการออกไปร่วมกับชมรมเป็นครั้งแรก ผมเลยค่อนข้างที่จะกังวลเป็นธรรมดา แต่ก็ยังถือว่าโชคเข้าข้าง เพราอย่างน้อยที่พักที่ทางชมรมจัดเอาไว้เป็นรีสอร์ทไม่ต้องกางเต้นท์เลยไม่ต้องหอบพวกเครื่องนอนไปเอง

“พี่ไหวไหม?”

พี่เก่งดูยุ่งเป็นพิเศษเพราะเป็นหนึ่งในคนที่คิดโครงการนี้เลยต้องคอยช่วยเพื่อนในชมรมจัดการเอกสาร ข้าวของ รวมถึงการเช็คความเรียบร้อยให้ดีก่อนที่จะออกเดินทางกัน

“จะตายแล้ว ของตัวเองยังไม่ได้จัดเลย แถมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเลิกประชุมดึกไหม?”

ผมกวาดตามองไปรอบชมรมก็เห็นพวกเอกสารที่พัก การจ่ายเงินกองโตที่ยังค้างไม่ได้ทำเอาไว้อยู่มากจริงๆ

“แล้วพี่จะทำไง?”

“ถ้าดึกว่าจะนอนชมรมไม่กลับบ้านแล้ว เพราะไม่งั้นเสาร์เช้าก็ต้องย้อนกลับมาอีก ไม่น่าจะไหว”

ก็ถ้าเป็นผมผมก็คงเลือกนอนมันที่ชมรมเหมือนกับพี่เก่งเพราะบ้านของพี่เก่งต่อให้รถไม่ติดก็ใช้เวลาอย่างต่ำประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงที่มหาวิทยาลัย ถ้าต้องผ่าออกไปในคืนวันศุกร์ผมว่าพี่เก่งคงได้แค่กลับไปแตะพื้นบ้านแล้วกลับออกมาทันที

“คืนวันศุกร์พี่จะมานอนห้องผมไหม? จะได้ไม่ต้องตื่นเช้า”

“หื้ม?”

“ได้จริงๆ นะ พี่ไม่ต้องไปนอนลำบากที่ชมรมหรอก พี่ก็เอาแต่เสื้อผ้ากับกล้องยัดลงมาก็พอ อย่างอื่นมาใช้กับผมเอา”

“เออ ลืมไปเลยว่าเราห้องอยู่ใกล้มหาลัย เออ เอางั้นดีกว่า แต่ว่าข้างล่างหอเราจอดรถค้างคืนได้ไหม? ถ้าไม่ได้พี่จะได้ไม่ขับรถมา”

“จอดได้พี่ ไม่มีที่เฉพาะของใครแล้วแต่ดวงว่าจะเจอที่ว่างไหม แต่ถ้าที่ข้างในไม่พอจอด สามารถจอดไว้ตามทางข้างหอได้เหมือนกันครับพี่”

“โอเค”

....................................................

เช้าวันศุกร์พี่เก่งเอารถมาจอดไว้ที่ใต้หอผมแต่เช้าเพราะกลัวว่ากว่าจะกลับเข้ามาอีกทีก็เลยช่วงเย็นไปแล้ว ที่จอดอาจจะเต็มซะก่อน มันเป็นการจอดทิ้งค้างเอาไว้ตั้งแต่วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ พี่เก่งเลยไม่อยากเอาไปจอดทางด้านนอกของหอ

“ง่วง”

ผมลงไปรับพี่เก่งที่ทางด้านล่างของหอก่อนที่จะพากันขึ้นมาบนห้อง หอที่ผมอยู่ไม่ได้มีระบบแบบคีย์การ์ดเพราะฉะนั้นใครจะขึ้นจะลงก็ได้แค่แลกบัตร แต่ที่ผมต้องลงไปรับเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พี่เก่งมาที่ห้องของผมปกติพี่เก่งก็จะแค่มาส่งทางด้านล่างและขับรถออกไป

“พี่ไปนอนต่อที่เตียงก็ได้ ผมมีเรียนเช้าเดี๋ยวผมแต่งตัวเสร็จผมก็ออกไปเรียนแล้ว พี่แค่ล็อคห้องให้ผมก็พอ”

“ไม่เอา ถึงนอนก็ไม่ได้หลับเต็มอิ่มอยู่ดีพี่มีเรียน 10 โมงนี่ก็อีกไม่กี่ชัวโมง เราเข้าไปแต่งตัวเถอะเดี๋ยวพี่งีบที่โซฟาแล้วเดี๋ยวออกไปพร้อมกัน”

ก่อน 8 โมงเช้าถือว่าเป็นช่วงที่นักศึกษาแน่นที่สุด บางคนมาเพราะมีเรียนช่วงนี้ บางคนมาเพราะรีบมาหาที่จอดรถเพราะถ้าเกิดมาช้าอาจจะต้องเดินเป็นกิโลจากที่จอดรถกับตึกเรียน

ระหว่างทางพี่เก่งขอแวะซื้อกาแฟ แต่ด้วยความที่ผมเดินช้าและมันก้ใกล้เวลาเข้าเรียนของผมแล้ว พี่เก่งจึงจับที่ข้อมือของผมและลากเดินไปที่ร้านกาแฟ

“เร็วๆ เดี๋ยวคนต่อคิวเยอะก็สายพอดี”

มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผมด้วยความขาสั้นกว่าผมก็มักจะโดนลากแบบนี้จากพี่เก่งอยู่บ่อยๆ แม้แต่เดินกอดคอเวลาเดินไปชมรมพี่เก่งก็ทำมาแล้ว และผมเองก็ไม่เคยมีความรู้สึกแปลกอะไรกับการแสดงออกแบบนี้ เพราะคิดว่ามันก็คงเป็นหนึ่งในการแสดงออกของคนสนิทกัน

“พี่ ผมเดินเองได้”

 แต่เพราะวันนี้ตลอดระยะเวลาการเดินไปที่ร้านกาแฟ ผมเห็นสายตาของนักศึกษาคนอื่นๆ ที่มองมาที่ผมกับพี่เก่งแถมยังมองมาที่ข้อมือของผม ผมจึงพยายามบิดมือออก

“อะไรจับไม่ได้เหรอไง?”

“ก็…”

ผมยอมรับว่าในแว้บแรกที่เห็นคนเหล่านั้นมองมาผมรู้สึกอึดอัดกับสายตาของพวกเขา  แต่พอเห็นพี่เก่งไม่สนใจสายตาของใครเลยยกเว้นของกินที่อยู่ตรงหน้า ผมก็เริ่มรู้สึกเลิกกังวลและเริ่มทำตามพี่เก่งดูบ้าง เพราะสำหรับผมพี่เก่งคือคนที่วางตัวได้ดีที่สุดถ้าเขาทำแบบนี้ก็แสดงว่าพี่เก่งได้คิดและตัดสินใจดีแล้ว

“ไม่มีอะไรพี่” แล้วผมก็เลิกสบีดมือออกพร้อมกับปล่อยให้มันเป็นเรื่องธรรมดาระหว่างผมกับพี่เก่งไป

“ตอนเย็นพี่จะให้ผมไปรอที่ชมรมไหม?”

“ไม่เป็นไร พี่ไม่รู้เลยว่าจะเสร็จกี่ฌมง เรากลับห้องไปก่อนเดี๋ยวพี่เสร็จพี่โทรไปหา”

“ครับ”

.....................................................

ช่วงบ่ายพี่เก่งส่งเมสเสจมาบอกว่าคืนนี้ต้องดึกอีกแน่นอนพร้อมกับส่งสติ๊กเกอร์คนหมดแรงมารัวๆ เท่านั้นยังคงไม่พอกับความเหนื่อยล้าที่ได้รับ หลังจากสติ๊กเกอร์เซ็ทนั้นถูกส่งมาคำโอดครวญทั้งหลายก็ถาโถมมาอีกเป็นระลอกใหญ่  จนผมอดขำไม่ได้ จะมีใครรู้บ้างว่าพ่อหนุ่มกิจกรรมคนเก่งที่ใครเรียกใช้ก็ ครับครับ ก็แอบงอแงกับเขาเป็นเหมือนกัน

“วันนี้ไปกินข้าวเย็นกันไหม?” ผมหันไปชวนปราโมทย์ตอนที่หมดคาบเรียน และรู้แล้วว่าเย็นนี้พี่เก่งคงไม่สามารถออกทานข้าวกับผมก่อนที่แว้บเข้าไปที่ชมรมอีกรอบได้แน่ๆ

“แล้ววันนี้ไม่ไปไหนกับพี่เก่งเหรอ?”

จากที่มัวแต่เดินยิ้มกดตอบข้อความโต้ตอบกับพี่เก่งพอได้ยินปราโมทย์พูดแบบนั้นผมก็เลยต้องลดมือถือลงและหันไปมองหน้าของปราโมทย์ทันที

ผมไม่รู้ว่าปราโมทย์คิดหรือเปล่าว่าเป็นเพราะพี่เก่งไม่ว่างผมจึงมาชวนเขาแต่ถ้าเขาคิดผมก็อยากจะอธิบายว่ามันไม่ใช่แต่มันเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันว่างวันแรกที่เราว่างตรงกันผมเลยอยากไปทานข้าวกับเขา

อยู่ๆ ข้อความที่ผมเคยเห็นในเฟสบุ๊คก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวสมองของผมอีกครั้ง ผมไม่รู้เลยว่าหลังจากวันนี้จะมีข้อความอะไรเพิ่มขึ้นอีกไหมและปราโมทย์ได้อ่านมันรึเปล่า ผมจ้องมองดูสีหน้าของปราโมทย์แล้วก็ไม่เห็นว่าปราโมทย์จะแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนไปผมเลยตัดสินใจปล่อยผ่านไม่ได้อธิบายเพิ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เปล่าไม่ได้ไป”

“โอเค ไปสิ อยากกินอะไรละ?”

พอปราโมทย์ตกลงพวกเราทั้งสองคนก็เดินตรงไปร้านข้าวประจำที่อยู่ทางด้านหลังมหาวิทยาลัย คนในร้านข้าวเยอะจนแทบจะไม่มีที่นั่ง อาจจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงเย็นที่คนส่วนใหญ่เลิกเรียนพอดีทำให้ทั้งผมและปราโมทย์ต้องรออาหารนานกว่าวันอื่นๆ ที่เราเลือกมากินในช่วงกลางวัน

กว่าจะกินเสร็จและแยกย้ายกับปราโมทย์ดูนาฬิกาแล้วผมก็เห็นว่ามันเป็นเวลาทุ่มนึง ผมเลยลองส่งเมสเสจไปหาพี่เก่งว่าเสร็จหรือยังจะได้กลับหอพร้อมกันเพราะพี่เก่งไม่ได้ทำเรื่องค้างคืนเอาไว้เมื่อเช้า แล้วถ้าเกิดคืนนี้พี่เก่งกลับมาตอนดึกเพียงคนเดียวก็ต้องทำเรื่องแลกบัตร ซึ่งผมก็ต้องลงมาเซ็นรับรอง เลยคิดว่าถ้าเข้าไปทีเดียวกันเลยก็น่าจะสะดวกกว่า

“ใกล้เสร็จยังพี่?”

“คงอีกนานเลย นี่ก็เพิ่งไปทำเรื่องเบิกกลองมาได้” แต่คำตอบที่ผมได้รับก็คือพี่เก่งยังไม่เสร็จงานและดูท่าน่าจะอีกนานกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

“แล้วพี่ได้กินข้าวหรือยัง?”

“ยัง หิวจะตายแล้ว”

“นี่ผมอยู่หน้าร้านข้าวพอดี ให้ผมซื้อเข้าไปให้ไหม?”

“ดีเลย น่ารักที่สุด”

มันเป็นคำพูดที่ผมฟังทีไรผมก็ก็รู้สึกว่าไม่ชินทุกที แม้ว่าทุกครั้งที่ผมทำอะไรและถ้าพี่เก่งรู้สึกถูกใจในการกระทำของผมพี่เก่งก็จะพูดคำนี้เสมอ ผมเคยบอกให้เปลี่ยนคำชมแต่พี่เก่งก็ตีมึนและยังคงพูดแบบนี้เสมอ ผมเองก็ขี้เกียจจะขัดก็เลยปล่อยให้พี่เก่งเขาได้พูดตามใจของเขา

..................................................

แล้วในที่สุดเช้าวันเสาร์วันที่เดินทางก็มาถึง ที่ชมรมนัดรวมกันที่หน้ามหาวิทยาลัยในเวลา 7 โมงตรง ผมเดินจากหอไปขึ้นรถบัสพร้อมกับพี่เก่ง  พี่เก่งเดินหลับตาไปตลอดทาง ใช้ให้ผมลากเขาเดินไปที่รถ ผมหมั่นไว้จนบางทีผมก็แกล้งปล่อยมือแล้วให้เดินคลำทางไปเอง

“ถ้าพี่หัวแตก แล้วเราจะรู้สึก”

“รู้สึกดี?”

“แล้วใครจะอธิบายเวลาเรียนไม่เข้าใจ”

”โอ๊ะ ลืมไปเลย เชิญครับ เกาะแขนตามผมมาเลยครับท่าน”

..............................................................................

ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมงพวกเราทั้งหมดก็เดินทางมาถึงที่หมาย

“งั้นเดี๋ยวตอนนอนเราจะใช้วิธีจับฉลากกันนะคะว่าใครจะได้นอนคู่กับใคร แต่ไม่ต้องห่วงนะคะทางพวกพี่ไม่ใจร้ายพอที่จะเอาผู้หญิงไปนอนรวมกับผู้ชายแน่นอน”

“อดเลย ฉันจะนอนกับเก่ง”

“โอ๊ย ถามไอ้เก่งมันก่อนว่ามันอยากนอนกับแกไหม?”

“ถ้าเล่นตัวมากฉันจะปล้ำมันเอง”

เสียงแซวและเสียงหัวเราะเกิดขึ้นมากมายหลังจากที่พวกพี่ๆ พูดถึงเรื่องการแบ่งที่นอนกัน ทุกคนที่มากับชมรมดูผ่อนคลายและเป็นกันเอง บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมสบายใจและรู้สึกว่าอย่างน้อยครั้งนี้ผมก็คิดไม่ผิดที่มาและเริ่มเรียนรู้จะรู้สึกเข้าสังคมกับคนอื่น และครั้งนี้ผมก็คงสามารถเข้ากับทุกคนได้ง่าย

“เอาละๆ มาจับฉลากกันดีกว่าจะได้เอาของไปเก็บและจะได้เริ่มกิจกรรมกัน”

“ครับ//ค่ะ”

ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ผมลุ้นที่สุดเพราะตัวผมเองไม่เคยนอนแชร์ห้องร่วมกับคนอื่น และผมไม่รู้เลยว่าผมจะได้นอนคู่กับใคร เอาแต่คิดไปว่าเพื่อนคนนั้นจะเป็นคนยังไง จะเป็นคนพูดเก่งไหม? แล้วผมจะเข้ากับเขาได้รึเปล่า?

คนที่ผมได้นอนร่วมห้องด้วยเป็นรุ่นเดียวกัน ผมพรูหายใจอย่างหายห่วง ถือว่าโชคดีที่ได้เป็นคนนี้เพราะถ้าเกิดได้เป็นรุ่นพี่ขึ้นมาละก็มีหวังผมคงนอนเกร็งไปทั้งคืน

“หวัดดี เราชื่อต่อนะ”

“หวัดดี เราชื่อชิน”

หลังจากที่แนะนำตัวเก็บกระเป๋าของใช้กันที่ห้องเป็นที่เรียบร้อยพวกเราก็ถูกเรียกให้มารวมตัวกันที่ลานรีสอร์ต กิจกรรมแรกของวันนี้คือการถ่ายภาพย้อนแสงในยามเช้าอย่างไรให้ออกมาดูสวยงาม และกฎข้อแรกของการทำกิจกรรมก็คือเราต้องทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อร่วมห้อง

พวกพี่ๆ แนะนำว่าแท้จริงแล้วแสงแดดที่ดีในช่วงเช้าไม่ควรจะเกิน 10 โมงเพราะภาพจะดูละมุนแต่ถ้ามันเกิน 10 โมงไปแล้วการที่จะทำให้รูปดูอาร์ทได้ก็มีหลากหลายวิธี

“ชินไม่ได้เอากล้องมาเหรอ?”

“เดี๋ยวเราต้องรอจากพี่เก่งนะ”

“อะ กล้อง”

“ขอบคุณครับพี่”

ยังไม่ทันขาดคำพี่เก่งก็เดินแยกตัวมาจากกลุ่มของตัวเองและยื่นกล้องมาให้ผม เมื่อเช้าพอดีมัวแต่ยุ่งๆ ทั้งผมทั้งพี่เก่ง ผมเลยไม่ได้ขอเอามาไว้กับตัวเอง

“แล้วพี่ได้ของพ่อมาใช่ไหม?”

แทนการตอบคำถามพี่เก่งชูมืออีกข้างที่มีกล้องขึ้นมาโชว์ให้ผมดู พอเห็นแบบนั้นผมก็วางใจเลยพยักหน้าตอบกลับพี่เก่งไป

“อะ แฮ่มตรงนั้นอะครับ ช่วงรบกวนสนใจทางข้างหน้านิดนึงอย่ามัวแต่จีบกัน”

“โอเคๆ กลับที่แล้ว”

พี่เก่งยิ้มส่ายหัวให้กับคำแซวของเพื่อนผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรจริงจังทั้งๆ ที่ผมเองก็ไม่ค่อยชอบให้ใครแซวอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่เพราะมันอาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ แต่พี่เก่งก็บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่เก่งมักจะเป็นตัวโจ๊กของเพื่อนๆ เป็นคนไม่ถือความอะไร ให้ผมเตรียมรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้เลย

กิจกรรมช่วงเช้าเป็นอะไรที่สนุกมาก พวกรุ่นพี่หรือรุ่นเดียวกันที่มีประสบการ์ณต่างมาช่วยไล่ดูงานของคนอื่นๆ แล้วก็ค่อยๆ สอนค่อยๆ อธิบายว่าต้องถ่ายยังไงเทคนิคควรใช้แบบไหน ทำให้ลืมไปเลยว่าพวกเรากำลังยืนอยู่ในท่ามกลางอากาศร้อนกันแค่ไหน จนพวกพี่ๆ ผู้หญิงต้องออกมาตามพวกเรา

“เอาค่ะพักกันก่อนนะคะ ได้เวลาไปทานข้าวกันแล้วค่ะ”

ทางชมรมจองร้านอาหารที่ขายอาหารทะเลเอาไว้ ก็แน่นอนพวกเรามาถึงศรีราชา ชลบุรี มาถึงที่ถ้าไม่ได้ชิมอาหารทะเลบ้างก็คงจะแปลก พวกเราใช้วิธีเก็บเงินของทุกคนเพื่อมาเป็นกองกลางเอาไว้สำหรับค่าอาหาร พวกพี่ๆ เลยเป็นคนจัดการสั่งอาหารให้พวกเราจะได้ไม่เกินงบที่ตั้งเอาไว้

“เป็นไงกินได้ไหม?”

“ได้ครับ นี่ผมอิ่มมากเลยพี่เก่ง พุงจะแตก”

“เอาให้มันพอดีๆ”

“ครับๆ”

โต๊ะที่นั่งกินข้าวจะถูกผสมไปด้วยรุ่นกับรุ่นน้องเห็นพี่ๆ เขาบอกว่าจะได้เป็นการละลายพฤติกรรมและไม่ต้องเกร็งเวลาเข้ามาคุยกับพวกรุ่นพี่ พี่เก่งได้นั่งโต๊ะเดียวกับผม เลยทำให้ผมยิ่งไม่เกร็งและกล้าที่จะพูดคุยกับรุ่นพี่มากขึ้น

“ไปถ่ายรูปข้างล่างตรงทะเลกันไหม?”

“อยากๆ ไปๆ ไปไหมต่อ?”

“ไม่เอาละไปกันเถอะ อิ่มขี้เกียจเดิน” ต่อส่ายหน้าพร้อมกับลูบพุงให้ดู

“เฮ้ย งั้นเดี๋ยวกูมานะไปเดินเล่นข้างล่างหาดก่อน” พอพี่เก่งเห็นผมหยิบของพร้อมพี่เก่งก็หันไปสะกิดบอกเพื่อนของพี่เขาอีกคน

“เออ กลับขึ้นมาให้ทันบ่าย 2 ด้วยละ”

“โอเค”

เดินมาถึงหาดผมก็ต้องชะงักขาไม่ยอมก้าวลงไปที่หาด ความที่ไม่ได้คิดเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะมาถ่ายรูปที่นี่ทำให้ผมเลือกที่จะใส่รองเท้าผ้าใบออกมา แล้วจะให้เอาผ้าใบลงไปลุยทรายผมก็ยังต้องใส่มันอีกตั้ง 1 วัน

“มีอะไรรึเปล่าชิน?”

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect - บทที่ 4.1 - 28/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 29-06-2017 10:52:52
บทที่ 4.2

“คือ ผมใส่ผ้าใบมา พี่เก่งลงไปเดินเล่นเถอะครับเดี๋ยวผมรอตรงนี้”

“กลัวเปื้อนละสิ”

“ครับ”

“เออ พี่ก็ลืมบอกให้เรารองเท้าแตะมาด้วย งั้นเอางี้” พี่เก่งถอดรองเท้าแตะของเขาออกแล้วเขี่ยมันมาให้ผม

“เฮ้ยไม่เอาพี่ใส่ไปสิ ไม่เป็นไรผมยืนรอถ่ายรูปเล่นแถวนี้ได้”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวตอนขึ้นไปด้านบนพี่เอาเท้าล้างน้ำพี่ก็สามารถกลับมาใส่รองเท้าได้แล้ว  แต่เราเป็นผ้าใบมันยาก”

“แต่..พี่เท้าเปล่าเนี่ยนะ”

“ไม่เป็นหรอกน่า มาถึงนี้ไม่ได้เหยียบลงไปถ่ายรูปที่ทะเลเเสียดายแย่ ลงมาเถอะ”

พี่เก่งโยงแม่น้ำทั้งห้ามาว่านล้อมจนผมในที่สุดผมก็ยอมใส่รองเท้าแตะลงไปเดินหาดกับพี่เขา โดยที่เดินถือผ้าใบลงไปที่หาดด้วย

ก็จริงอย่างที่เก่งว่าถ้ามาถึงที่แล้วไม่ได้ทำแบบที่คนอื่นทำกันคงเอาไปบอกใครไม่ได้ว่าเรามาถึงทะเลตรงนี้แล้ว ผมกับพี่เก่งถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยทั้งภาพเดี่ยวภาพคู่กัน แต่ภาพที่ผมชอบที่สุดคือรูปที่เอารองเท้าผ้าใบของผมและรองเท้าของพี่เก่งเป็นของประกอบฉาก โดยที่มีชื่อของเราทั้งสองคนเขียนเอาไว้ที่ทรายที่ทางด้านหลัง กำลังถ่ายรูปอยู่เพลินๆ พี่เก่งก้มาสะกิดที่ไหล่บอกให้ผมเตรียมตัวเดินกลับขึ้นไปทางด้านบนได้แล้ว

“ปะ ขึ้นไปกันเถอะจะบ่ายสองแล้ว”

“ครับ”

...................................................

กิจกรรมช่วงบ่ายของชมรมไม่มีอะไรมากให้พักผ่อนตามอัธยาศัยและค่อยมารวมตัวกันอีกทีตอนมื้อเย็น พี่ๆ ต่างเน้นบอกให้พวกเราพักให้เต็มที่เพราะคืนนี้ทางกลุ่มมีนัดจะโต้รุ่งกันเพื่อที่จะถ่ายท้องฟ้ามีดาวในตอนกลางคืนให้สวยงาม

“ชินกับพี่เก่งดูสนิทกันดีเนอะ”

“อื้ม ก็ สนิทกัน”

“แล้วไปสนิทกันได้ยังไงอะ?”

ตอนที่เข้ามาพักในห้องต่อก็ชวนผมคุย เราสองคนคุยกันเรื่อยเปื่อยในขณะที่กำลังโหลดรูปลงใส่คอมพิวเตอร์ อาจจะเพราะเราสองคนไม่ได้เรียนคณะเดียวกันเลยทำให้มีหลายเรื่องให้คุยแลกเปลี่ยนกัน แต่ก็ไม่รู้อีท่าไหนที่มาจบเอาเรื่องนี้

“ก็...เราไปยืมเนคไทพี่เขา และตั้งแต่นั้นมาก็เลยสนิทกัน”

“เออ ดีว๊ะ ได้รุ่นพี่มาเป็นเพื่อนเฉย”

“อื้ม”

นั่งคุยกันไม่นานผมก็เคลิ้มหลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปิดคอมให้เรียบร้อย อาจจะเป็นเพราะเมื่อเช้าตื่นก็เช้าแถมเมื่อช่วงเที่ยงยังออกไปเดินเล่นกลางแดดผมก็เลยรู้สึกเพลีย

ครืดๆ

ผมไม่ได้หลับสนิทขนาดว่าไม่รู้ตัวในช่วงกลางวันแบบนี้ ทำให้ผมได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นเรียกเข้า ผมพยายามสลัดความมึน และสลึมสลือขึ้นมากดรับโทรศัพท์

“ครับ”

“อ้าว หลับอยู่เหรอ? งั้นนอนต่อก็ได้พี่ไม่กวนแล้ว”

ผมคงจะเสียงงัวเงียจนเกินไปทำให้ปลายสายจับได้ว่าผมกำลังอยู่ในห้วงความฝัน ผมกระแอมปรับเสียงก่อนที่พูดต่อ

“ไม่เป็นไรพี่ ผมตื่นแล้ว”

“พี่ไม่ได้เอาคอมมาว่าจะขอยืมคอมลงรูปหน่อย พอดีมีรูปเราในกล้องพี่ด้วยจะได้เอาลงทีเดียว แต่ยังไงเอาไว้ตอนกินข้าวก็ได้ เดี๋ยวพี่เอาลงคอมเพื่อนพี่ไปก่อน”

“แต่ตอนกินข้าวพี่ก็ต้องกิน เอารูปลงย้ายไปย้ายมาเสียเวลา อีกอย่างพวกเราก็ต้องไปถ่ายต่อเลยไม่ใช่เหรอพี่? ตอนกินข้าวเสร็จนะ มันจะยุ่งยากนะ”

หันไปมองที่เตียงของต่อกะว่าจะขอให้พี่เก่งมาที่ห้องได้ไหม แต่พอมองไปแล้วเห็นต่อก็นอนหลับอยู่ ผมเลยคิดว่าผมเอาคอมออกไปให้พี่เก่งเองน่าจะดีกว่า

“เพื่อนผมหลับอยู่ ให้ผมเอาไปให้ที่ไหนดีพี่?”

“มาที่ห้องพี่แล้วกันไม่มีคนหลับสักคน”

“โอเคครับ เดี๋ยวผมเดินไปหา”

ผมเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้หายง่วง เดินออกมาเห็นต่อกำลังสลึมสลือมองผมอยู่ ผมเลยบอกกับต่อเอาไว้ล่วงหน้า

“ต่อเราออกไปหาพี่เก่งนะ อย่าลืมตั้งปลุกละเขานัดกันประมาณ 5 โมงครึ่ง”

“โอเค เจอกัน”

ผมเดินถือคอมไปหาที่เก่งที่ห้องเคาะเพียงแค่ไม่กี่ทีพี่เก่งก็เดินออกมาเปิดประตูให้ มองเข้าไปข้างในห้องก็เห็นว่ามีรุ่นพี่นั่งอยู่ คิดว่าคงกำลังเตรียมงานไม่ก็สรุปอะไรสักอย่าง พอพวกพี่ๆ หันมาเห็นว่าผมมาปรากฏตัวที่หน้าห้องผมจึงยกมือไหว้พวกพี่ๆ เขา

“นี่พวกกูต้องออกไปจากห้องไหม?”

เพื่อนคนนึงของพี่เก่งตะโกนออกมาแซวผมที่ยังยืนอยู่ที่หน้าห้อง หลายคนหันมามองตามด้วยสายตายิ้มๆ และก็เริ่มมีเสียงแซวที่หนาหูขึ้นจากแค่คนเดียวก็เป็นหลายคนที่อยู่ในห้อง

“น้องเขาแวะเอาคอมมาให้เฉยๆ”

“แม้แล้วในห้องนี้ไม่มีคอมเลยเนอะ?”

“งั้นผมไปแล้วนะพี่”

ก่อนที่พี่เก่งจะได้ตอบอะไรกับพวกเพื่อนๆ เขา ผมก็พูดขัดขึ้นมาก่อนเพราะเหมือนบทสนทนาพวกนี้มันคงไม่จบลงง่ายๆ แม้ว่าผมจะอึดอัดและรู้สึกไม่ชอบที่พวกพี่ๆเขาแซวแบบนี้แต่เพราะคำว่ารุ่นพี่มันถูกแปะเอาไว้อยู่ ถ้าเกิดผมแสดงสีหน้าหรือพูดอะไรออกไปมันก็คงจะไม่ดี มันจะเสียบรรยากาศและดูว่าเหมือนผมเสียมารยาท

 “ไม่เข้ามาเหรอ?”

“ไม่เป็นไรดูพวกพี่ยุ่งกัน”

“ไม่ได้ยุ่งอะไรนิ เข้ามาๆ”

พี่เก่งเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือของผมและก็กระตุกข้อมือเพื่อให้ผมเข้าไปในห้อง

“ดูดิน้องเขาไม่กล้าเข้ามาเลย”

พี่เก่งหันไปบ่นพวกเพื่อนๆ ของเขา และผมก็ได้ยินคำขอโทษที่แซวดังออกมาจากในห้อง เมื่อพี่ๆ เขาก็บอกเองว่าไม่ได้ตั้งใจเป็นแค่การแซวเล่น ผมเลยพยักหน้าตกลงและเดินตามพี่เก่งเข้าไปในห้อง

“ชินตื่นไปล้างหน้าล้างตาไป”

จากตอนแรกที่คิดว่าตัวเองตื่นเต็มตากลับกลายเป็นว่าผมฟุบหลับลงไปที่เตียงฝั่งของพี่เก่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมผมยังตีตั๋วหลับยาวจนมาถึงตอนนี้ที่มองไปรอบๆห้องก็ไม่เหลือเพื่อนของพี่เก่งอยู่ในห้องแล้วสักคน

“ไม่ต้องมองหาเขาไปกันหมดแล้ว เอ้า เลิกงัวเงียแล้วไปเตรียมตัวไป”

“ครับ”

“งั้นผมกลับห้องดีกว่าผมอยากอาบน้ำยังมีเวลา”

“กว่าจะเดินกลับไปมา อาบที่นี่นะแหละเอาเสื้อยืดพี่ใส่ ไปรื้อเอาสักตัวพี่เอาเสื้อมาเกิน”

“ดีเลยพี่เหนียวตัว ขอบคุณครับ”

ผมใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเพียงแค่สิบนาทีแล้วก็เดินไปที่จุดนัด มื้อเย็นทางชมรมไม่ได้ออกไปไหนแต่มีอาหารมากหน้าหลายตามาวางเรียงเอาไว้ให้เดินมาตักใส่จานแล้วก็เอาไปนั่งกินได้ตามสบาย อยากนั่งตรงไหนก็นั่งไม่ได้เป็นการบังคับเหมือนเมื่อตอนกลางวัน

“เอาซะหน่อยไหม?”

“หึ เดี๋ยวถ่ายรูปไม่ไหว”

“งี้แสดงว่าอ่อน”

“เออ อ่อน”

ผมส่ายหัวปฎิเสธต่อที่กำลังยื่นแก้วเหล้าชงผสมมาให้ มื้อเย็นของวันนี้นอกจากมีอาหารหลายอย่างสิ่งนึงที่เพิ่มมาด้วยนั้นก็คือแอลกอฮอล์ ถามว่าอยากดื่มไหม? แน่นอนว่าคำตอบของผมก็คืออยากเพราะผมไม่เคยได้มีโอกาสร่วมวงเหล้ากับเพื่อนเลยสักครั้ง

ผมเคยลองดื่มกับที่บ้านมาบ้างและมันก็ทำให้ผมรู้ว่าผมเป็นคนดื่มได้ไม่เยอะ ถ้าผมดื่มคืนนี้รับรองได้เลยว่ารูปดาวรูปท้องฟ้าอะไรนั้นผมคงไม่มีวันเรียนรู้

แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจในวงเหล้าก็คือพี่เก่ง ภาพของพี่เก่งสำหรับผมก็คือเด็กเรียนเด็กกิจกรรมแต่พอผมหันไปมองอีกทีในมือของพี่เก่งก็มีแก้วเหล้าประดับอยู่แล้ว พอเจ้าตัวเห็นว่าผมมองอยู่ก็ยิ้มขยิบตาให้ผมดู ผมได้แต่อ้าปากเหวอในความรู้ใหม่เกี่ยวกับตัวพี่เก่ง

“จิบซะหน่อยไหม?”

“หึ ไม่เอาอะพี่”

หลังจากมื้อเย็นจบไปพอพวกพี่ๆเห็นว่าทุกคนเริ่มอิ่มอาหารและเปลี่ยนมาเป็นเครื่องดื่มมากขึ้นพี่เขาย้ายพวกเราไปที่ลานกว้างและเริ่มสอนวิธีตั้งกล้องและเทคนิคในการถ่ายดาวก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดจนสอนไม่ได้

ในขณะที่ผมกำลังนั่งตั้งกล้องอยู่นั้นเองที่พี่เก่งเดินเข้ามาตั้งกล้องใกล้ๆ กับผมและชวนผมดื่ม แต่เมื่อผมบอกว่าไม่พี่เก่งก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร

“ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่จะดื่มเก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

เพราะว่านั่งอยู่ด้วยกันผมจึงเห็นว่าพี่เก่งคอยลุกไปชงเติมอยู่บ่อยครั้งในขนาดที่ต่อเองที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันยังไม่ได้ลุกบ่อยเท่าพี่เก่ง

“และมารู้ตอนนี้ผิดหวังรึเปล่า?”

“ไม่ผิดหวังแค่แปลกใจ ภาพพี่ไม่ให้กับลุคนี้เลยเอาจริง”

“พี่ยังมีอีกหลายลุคที่เราไม่เคยเห็น ถ้าอยากเห็นก็ต้องทำความรู้จักกับพี่ให้มากกว่านี้”

ผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไรไปเองหรือเปล่าแต่ผมรู้สึกได้ว่าคำพูดของพี่เก่งมันแปลกๆ มันรู้สึกเหมือนว่าคำพูดนี้ควรใช้กับคนอื่นที่ไม่ใช่รุ่นน้องอย่างผม แต่ก็อาจจะเป็นเพราะพี่เก่งก็ดื่มเข้าไปเยอะเลยทำให้คืนนี้พี่เก่งพูดอะไรที่แปลกไปก็ได้

“เมายังพี่?”

“คืนนี้ยังอีกยาวไกล”

และมันก็ยาวไกลอย่างที่พี่เก่งว่าจริงๆ กว่าฟ้าจะมืดสนิทพอให้พวกเราสามารถจับภาพของดาวได้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว พอผมได้รูปที่คิดว่าดี ผมก็สะกิดบอกต่อว่าผมจะกลับไปที่ห้องแล้วอยากจะกลับไปพร้อมกันไหมแต่ดูเหมือนต่อกำลังติดลมคุยอยู่เลยบอกว่าเดี๋ยวตามมาทีหลัง ผมก็เลยเดินไปบอกพี่เก่งที่อยู่อีกมุมของงานแทน

“พี่ผมไปนอนแล้วนะ”

“เออ ไปห้องใช่ไหมไปด้วยสิพี่จะเอายากันยุงมาให้คนอื่นด้วย จำได้ว่าวันนั้นแวะซื้อไม่รู้ว่าโยนใส่กระเป๋าเรารึเปล่าพี่หาของพี่ไม่เจอ”

“ผมไม่แน่ใจอะเดี๋ยวผมไปดูเองแล้วเดี๋ยวเอามาให้ถ้ามี”

“ไม่เป็นไรไม่ต้องเดินไปเดินมาพี่เดินไปพร้อมกับเรานั้นแหละ”

จากลานกว้างมาที่ห้องของผมมันไม่ได้เป็นระยะทางที่ไกลมากนักแต่มันเป็นทางขึ้นลงบันไดพี่เก่งคนเก่งตอนนี้เลยไม่เก่งสมชื่อหมดสภาพค่อยๆ เดินทีละก้าวจนกว่าจะเดินมาถึงห้องพักของผม

“แล้วจะไต่กลับลงไปไหวไหมเนี่ยพี่?”

“ไหวสิระดับนี้แล้ว”

“อ้าว เฮ้ย”

พูดไม่ทันขาดคำพี่เก่งก็ก้าวพลาดทำให้สะดุดและเกือบล้มลงไปที่พื้นโชคดีที่ผมอยู่ใกล้กับพี่เก่งทำให้ผมสามารถคว้าตัวพี่เขาเอาไว้ทัน

“หมดกัน...”

พี่เก่งบ่นงึมงำอะไรอีกเล็กน้อยก่อนที่จะพยายามยืนให้ตรงเผื่อที่จะเดินตามผมไปที่ห้องพัก แต่พี่เก่งก็ใช้เวลานานพอสมควรผมเลยอาสาเป็นเสาให้พี่เก่งเกาะและเดินตามกันขึ้นไป

................................................................

วันอาทิตย์เป็นวันสุดท้ายของทริป พวกเราทุกคนมีนัดกันตั้งแต่ตอนตีห้าเพราะมารอพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบทะเล เพราะทะเลไม่ได้อยู่ใกล้กับที่พักพวกเราจึงต้องออกเดินทางเล็กน้อยด้วยการเดิน

เมื่อได้ภาพสวยสมใจทุกคนเป็นที่เรียบร้อยพวกเราก็โดนสั่งให้ไปเตรียมตัวเก็บของกลับบ้าน รถออกจากศรีราชาตั้งแต่ช่วงสายๆ เพราะรุ่นพี่ไม่อยากให้ทุกคนถึงบ้านกันช้าจนเกินไปนัก

ตลอดการเดินทางกลับผมไม่หลับเลยเอาแต่นั่งมองทุกคนคุยแซวกันไปมา ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่สองวันหนึ่งคืนมันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ทุกคนสนิทกันมากขึ้น ทริปนี้จึงจะเป็นทริปที่จะอยู่ในความทรงจำผมไปตลอดเพราะมันเป็นทริปที่ทั้งสนุกและได้ความรู้

“ดีจัง”

ดีจังที่ผมได้รู้จักกับรุ่นพี่คนนี้ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีวันได้มาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้

โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

คำเตือน : เรื่องนี้ จบแบบ Bad ending ค่ะ มีฉากความรุนแรงด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 4.2 - 29/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 29-06-2017 13:42:15
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน เขียนอ่านง่ายดีค่ะ ไม่ค่อยมีคำผิดเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 4.2 - 29/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 29-06-2017 21:18:29
ไม่อยากให้จบแบบ Bad ending เลยเง้อออ :hao5:
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 4.2 - 29/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: natchaya ที่ 29-06-2017 22:36:25
พอบอกว่าจบแบบ bad  end รู้สึกสับสนเลยค่ะว่าจะอ่านดีไม่อ่านดี แต่ก็รอติดตามต่อดีกว่าเนอะ เผื่อคนเขียนจะเปลี่ยนใจเป็น happy end #ทำหน้าตาวิงวอน
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 4.2 - 29/06/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 03-07-2017 13:48:09
บทที่ 5

“อะ…เราซื้อขนมมาฝาก”

แม้วันจันทร์ผมจะไม่มีตารางเรียนแต่ผมก็เข้ามาที่มหาวิทยาลัยทันทีที่รู้ว่าปราโมทย์แวะมาที่มหาวิทยาลัยพร้อมยังคงนั่งทำรายงานอยู่ที่ห้องสมุด ผมหิ้วเอาขนมที่ซื้อมาจากชลบุรีมาฝากปราโมทย์ทั้งๆ ที่ตอนซื้อก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าปราโมทย์จะชอบกินหรือเปล่า แต่อย่างน้อยผมก็อยากให้รู้ว่าผมยังนึกถึงเขานะ

“เป็นไงสนุกไหม?”

“สนุกมาก ปราโมทย์น่าจะไปด้วยกัน”

“เผื่อจะลืมไปบอกอีกทีว่าเราไม่ชอบถ่ายรูป”

“เราหมายถึงว่า น่าจะไปสนุกด้วยกัน นี่เราได้ความรู้มาเต็มเลย เดี๋ยวถ้าขอพ่อกับแม่ซื้อกล้องได้เมื่อไหร่เราจะเอามาถ่ายปราโมทย์ด้วยนะ”

“อ้าวแล้วไปทริปงานกล้อง... ไม่มีกล้องเหรอ?”

“อ่อ พี่เก่งให้ยืมนะ”

“ถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

“ได้ดิ”

“ตอนนี้นายเป็นแฟนกับพี่เก่งเหรอ?” 

“เฮ้ย พูดอะไรนะ?”   

ผมสำลักน้ำที่กำลังยกดื่มอย่าหน้าดำหน้าแดง จู่ๆ ปราโมทย์ก็พูดขึ้นมาลอยๆ โดยที่ไม่ได้มีการเอ่ยนำเรื่องเกี่ยวกับพี่เก่งมาก่อนแล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ปราโมทย์ถึงถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา

“แล้วนายได้ตามจีบพี่เก่งจริงรึเปล่า?”

“เฮ้ย...ไปกันใหญ่แล้ว ทำไมอยู่ๆ ถามแบบนี้ละ?”

“ก็มีหลายคนพูดถึงเรื่องนี้ อย่าเข้าใจผิดละที่มาถามไม่ได้ว่าจะรังเกียจหรืออะไร คือถ้าเป็นตามที่เขาพูดกันเราก็จะได้รับรู้ไว้ก็เท่านั้น”

“แล้วปราโมทย์คิดว่ายังไง?”

“ไม่ได้คิด..เพราะไม่รู้ถึงมาถาม” 

“เรากับพี่เก่งไม่ได้เป็นอะไรกัน...เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันเท่านั้น” 

“อื้ม โอเค”

“เมื่อกี้ปราโมทย์บอกว่ามีหลายคนพูดถึง เขาพูดกันที่ไหนเหรอ? ปราโมทย์ไปอ่านอะไรมา?”

“มีหลายคนมาถามเรา ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาถามช่วงที่นายไปทะเลนะแต่ถามกันมาตั้งนานแล้ว”

“อื้ม แล้ว?”

“แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อวานถึงมีแต่คนรุมโทรมาหาเรา แถมโทรมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ”

“แล้วปราโมทย์ตอบไปว่ายังไง?”

“เราตอบไปว่าไม่รู้แต่ดูคนพวกนั้นจะไม่เชื่อ และสุดท้ายก็มีคนมาด่าว่าเราโง่ เราก็เลยอยากรู้ขึ้นมาคราวหน้าถ้าตอบได้จะได้ไม่โง่”

“ขอโทษนะ เราทำให้ปราโมทย์ยุ่งยากแถมโดนว่า เพราะเราเป็นต้นเหตุแท้ๆ”

“ไม่เป็นไร ไม่ได้โกรธก็แค่ต่อไปใครมาถามก็จะได้ตอบได้”

“ว่าแต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ปราโมทย์รู้ไหมว่าเขาพูดกันอะไรกันอีกบ้าง?”

ผมก็เพิ่งรู้จากโมทย์ว่าหลายคนมองว่าผมเป็นคนเอาตัวเข้าไปตีสนิทกับพี่เก่งเพราะว่าผมแอบชอบพี่เขามานานแต่ไม่เคยได้มีโอกาสเข้าใกล้

มีข่าวอีกมากมายหลายอย่างทั้งผมเป็นสต๊อกเกอร์แถมยังโกหกสร้างเรื่องเพื่อไปตามพี่เขา และที่ผมพยายามเรียกพี่เขามาที่คณะก็เพราะต้องการสร้างภาพให้คนดูว่าพี่เก่งเป็นคนมาตามผม

แต่ที่ผมรู้สึกแย่ที่สุดก็คือมีคนพูดเพิ่มเติมเข้าไปอีกว่าผมทำให้พี่เก่งรำคาญจนพี่เก่งอยากจะไล่ผมไปไกลๆ แต่เพราะว่าพี่เก่งป็นคนใจอ่อนพอผมทำท่าจะร้องไห้เลยไม่กล้าที่จะไล่ผมตรงๆ  มันทำให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเอง

“เฮ้อ ทำไมมันออกมาในรูปแบบนี้ไปได้นะ”

ผมยอมรับว่าผมกับพี่เก่งสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่วันที่ชนกันวันแรกอาจจะเป็นเพราะเราสองคนมีความชอบหลายอย่างที่คล้ายกันเลยทำให้เราสองคนสนิทกันเร็วมากยิ่งขึ้น จากที่เจอกันแค่ด้วยเรื่องเรียนหรือเรื่องที่ชมรมก็กลายมาเป็นว่าเริ่มมีนัดกินข้าว เริ่มมีไปซื้อของด้วยกันหลังเลิกเรียน และอย่างล่าสุดพี่เก่งก็เริ่มมาค้างที่ห้อง

อย่างเมื่อวันอาทิตย์พอกลับมาถึงห้องของผมพี่เก่งก็ตีตั๋วหลับยาวกว่าจะตื่นก็เย็นแล้วแถมวันจันทร์ยังมีเรียนเช้าอีกพี่เก่งก็เลยตัดสินใจนอนที่ห้องของผมซะเลย

แต่ทั้งหมดที่เราสนิทกันผมค่อนข้างมั่นใจว่าผมไม่ได้ไปขอร้องหรือเกาะติดตัวของพี่เก่งมากขนาดจนทำให้พี่เก่งรำคาญและไล่ผมไปไกลๆ ที่สำคัญที่ผ่านมาผมนับถือพี่เขาในความที่เป็นคนสมบูรณ์แบบในทุกเรื่องและนับถืออยากเอาเป็นตัวอย่างไม่ได้มีความรู้สึกทางชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้องเลยสักนิด

“เพราะอย่างนี้นี่เองสินะ”

ที่น่าแปลกคือแม้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพี่เก่งจะเป็นไปได้ด้วยดีแต่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเพื่อนร่วมคณะและคนอื่นกลับดูแย่ลง

ใช่สมัยก่อนผมก็ไม่ได้สนิทกับใครมากอยู่แล้วแต่อย่างน้อยถ้าเกิดเดินผ่านใครก็ยังมีการทักทายกันบ้างแต่พอมาตอนนี้นอกจากบางกลุ่มที่ไม่ทักทายแล้วยังมีบ่อยครั้งที่พอผมเดินผ่านก็ต่างหันไปซุบซิบกันและก็มีเพื่อนผู้ชายบางคนที่ต้องทำงานกลุ่มร่วมกันพอผมเข้าไปใกล้ก็ทำท่าเหมือนไม่ชอบใจที่ผมเข้าไปใกล้เขาซะแบบนั้น ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจพอมาถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพวกนั้นคงคิดว่าผมเป็นเกย์และคงไม่สะดวกใจที่ให้ผมเข้าใกล้

ในขณะที่ผมนั่งเรียนอยู่จากที่ไม่เคยถูกสนใจก็กลายเป็นว่ามีหลายสายตาที่หันมามองและก็มีบ้างที่หันหลังไปซุบซิบกัน จนมีบางครั้งที่ผมเอาแต่มองคนอื่นจนผมเกือบไม่ได้ฟังที่อาจารย์สอน 

แต่ทั้งหมดที่ผ่านมาผมไม่เคยสนใจที่จะหาที่มาว่าทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะอะไรแต่เพราะว่าครั้งนี้ผมได้รู้ว่ามันมามีผลกระทบกับเพื่อนสนิทของผมด้วยผมก็เลยรู้สึกว่ามันเริ่มไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีแล้ว

“ต่อไปใครมาถามอะไรปราโมทย์ โมทย์ให้เขามาถามเราด้วยตัวเองก็ได้”

“ก็ดีเหมือนกัน เราเองก็ไม่ค่อยชอบความวุ่นวาย”

........................................................................................

ตกเย็นพี่เก่งมารับผมที่ตึกเรียนเหมือนกับวันที่ผมมาเรียนตามปกติ เพราะมันเป็นช่วงใกล้สอบกลางภาคแล้วและพี่เก่งก็บอกว่าทุกครั้งพี่เก่งจะออกไปอ่านตามร้านแบบนี้ เพราะถ้าเห็นเตียงนอนทีไรก็จะพร้อมสลบลงได้ เราจึงนัดกันไว้ว่าจะไปร้านกาแฟที่นั่งอ่านหนังสือได้ 24 ชั่วโมงแทนการนอนอ่านที่ห้อง

“งั้นเดี๋ยวพี่แวะอาบน้ำห้องเราด้วยเลยนะ ถ้าไปอ่านต่อเลยพี่ไม่ไหว” 

“ได้พี่” 

หลังจากที่เราทั้งสองคนเตรียมตัวและจัดหนังสือที่เอาพกติดตัวไปเรียบร้อยเตรียมจะก้าวออกไปนอกห้องพี่เก่งก็จับที่ไหล่ของผมเอาไว้รั้งให้ผมหยุดเดิน

“วันนี้เกิดอะไรขึ้น?” 

“เปล่าครับ” 

“หน้าของชินเหมือนมีป้ายแปะว่ามีเรื่องคิด เล่าให้พี่ฟังไม่ได้เหรอ?”

“พี่นี่เทพเกินไปแล้ว” 

“ว่ามา” 

ใช้เวลาคิดเพียงครู่เดียวผมก็ตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่เก่งฟัง ความจริงผมเองก็กลัวว่าพี่เก่งจะไม่พอใจที่ถูกใครๆ มองว่ากำลังคบกับผมหรือว่ากำลังถูกผมตามตื้อ มีแอบกังวลว่าพอพี่เก่งรู้พี่เก่งจะรับไม่ได้ที่ต้องเจอกับข่าวลือแบบนี้แล้วพาลเลิกคบกับผมไป เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงผมคงเสียใจที่ต้องเสียพี่ชายคนนึงไปด้วยแค่ข่าวที่มันไม่ใช่เรื่องจริง 

เหตุผลที่ผมไม่อยากเสียพี่แก่งไปเพราะพี่เก่งเป็นเหมือนคนที่มาเปิดโลกที่พบไม่เคยเจอ พี่เก่งเป็นคนสอนหลายๆ อย่างให้กับผมไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การเข้าสังคม การวางตัว และที่สำคัญที่สุดพี่เก่งทำให้ผมใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยได้อย่างคุ้มค่านอกจากแค่การไปเรียนเพียงอย่างเดียว

“พี่คงไม่เลิกคบผมเพียงเพราะข่าวว่าผมตามจีบพี่หรือเรากำลังคบกันใช่ไหมครับ?” 

“เรื่องนั้นพี่ไม่สนใจ ว่าแต่เราเป็นข่าวกับพี่ละโอเคไหม?” 

“สำหรับผม ผมไม่ได้เป็นคนดังของมหาวิทยาลัยเพราะฉะนั้นผมโอเค แต่พี่สิจะมีผมกระทบอะไรรึเปล่ากับข่าวลือ?”

“ชิน”

“ครับ?”

พี่เก่งเงียบพร้อมกับหลับตาลงเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ ผมเองก็ไม่ได้เร่งปล่อยให้พี่เก่งได้รวบรวมความคิดให้เต็มที่

“ถ้าพี่ชอบผู้ชายจริงๆ ชินจะว่ายังไง?”

คำถามของพี่เก่งทำเอาผมเป็นผ่านที่เงียบไป การที่พี่เก่งจะออกปากถามเรื่องนี้กับผมด้วยสีหน้าที่จริงจังแบบนี้ผมคิดว่าเรื่องนี้คงจะมีความสำคัญกับพี่เก่งไม่มากก็น้อย อาจจะมีคนในครอบครัวของพี่เก่งหรือไม่ก็เป็นตัวพี่เก่งเองที่สามารถมอบความรักให้กับผู้ชายได้

ที่เงียบไม่ใช่เพราะรังเกียจ ส่วนตัวผมไม่ได้คบและชื่นชอบใครจากเพศสภาพเวลาผมจะชื่นชอบหรือคบใครสักคนเป็นเพื่อนผมดูจากความสามารถและความจริงใจ ซึ่งทั้งหมดผมสามารถหามันได้จากตัวพี่เก่ง แต่ที่ผมต้องใช้เวลาไตร่ตรองก่อนที่จะพูดอะไรออกมาก็เพราะว่าผมไม่อยากให้พี่เก่งเข้าใจผมผิดถ้าเกิดผมพูดไม่เคลียร์

“มันเป็นเรื่องของความชอบ พี่จะชอบใครเพศไหนมันเป็นสิทธิ์ของพี่ ผมไม่เคยตัดสินพี่ว่าดีไม่ดีจากตรงนั้น ณ วันนี้ถ้าพี่ชอบผู้ชายผมก็ยังมองงว่าพี่เป็นคนดีและเทพอยู่ดี”

“ที่ผมมาพูดเรื่องนี้เพราะว่าผมทำให้พี่มีข่าวเสียหายไปด้วย ซึ่งสมัยก่อนอาจจะไม่เคยมีคนพูดและมองพี่ในแง่นี้ แต่ถ้ามีคนถึงขนาดมาถามเพื่อนของผมก็แสดงว่ามีคนพูดกันเรื่องนี้มากขึ้น” 

“งั้นช่างมันเถอะชิน พี่ไม่ได้ติดใจอะไร” 

แม้ว่าผมกับพี่เก่งจะปิดประเด็นเรื่องนี้ไปแล้วแต่ตลอดการเดินทางไปที่ร้านกาแฟจนกลับมาถึงที่หอพี่เก่งยังคงดูไม่ร่าเริงเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นก่อนที่ผมจะเดินเข้าหอกลับขึ้นไป ผมเลยหันไปหาพี่เก่งอีกครั้ง

“พี่...สำหรับผมเรื่องชอบใครรักใครมันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเรากำหนดไม่ได้ ไม่แน่นะในวันนึงผมอาจจะชอบผู้ชายขึ้นมาสักคนก็ได้”

และในที่สุดผมก็ได้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสบายใจของไอดอลผมสักที

“ฝันดี”

“ครับ ฝันดีพี่”

โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 03-07-2017 14:09:05
ถ้าจบไม่สวย

ขอไม่อ่าน

แต่มาให้กำลังใจคนเขียน..

หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: graywitch ที่ 03-07-2017 15:15:23
เขียนเรื่ิองรื่่นดีค่ะ บรรยากาศก็ดี
พอบอกว่าbad endยิ่งน่าติดตาม ปกติก็ชอบจบสวยแต่อยากรู้ว่าเรื่องจะดำเนินยังไง

มาให้กำลังใจรอตอนต่อค่ะ//ชอบบรรยากาศเรื่องทึมๆดี :hao3:
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 03-07-2017 17:53:45
พอบอกว่า bad end ก็ยิ่งอยากรู้ว่ามันจะ bad ขนาดไหน โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ยึดติดว่าตอนจบต้องแฮปปี้ แต่ไม่ชอบเรื่องที่อ่านแล้วหน่วง ดราม่าหนักๆ จิตใจบอบบางค่ะ 55555
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 03-07-2017 21:25:26
ตอนนี้อยากรู้มากเลยว่าจะจบ bad end ยังไง
ในใจก็ไม่อยากให้จบแบบนี้ แต่มันก็ต้องแล้วแต่คนเขียนเนาะ :hao5:
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Fenfen2537 ที่ 03-07-2017 22:06:44
คิดว่าอีกไม่นาน พี่เก่งคงดีแตก แล้วจับปล้ำ
มโน ว่าน่าจะสไตล์ จุมวุฒิ (หรือเปล่า555)
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 5 - 03/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 08-07-2017 12:40:14
บทที่ 6

แม้ว่าวันที่ออกไปติวหนังสือกันที่ร้านกาแฟจะผ่านมาได้หลายวันแล้วแต่ผมยังสามารถจำได้ถึงความเครียดของพี่เก่งในวันนั้นได้ดี ความเครียดของพี่เก่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมตัดสินใจพยายามปล่อยให้คำพูดจากปากคนอื่นเรื่องที่ได้ยินมาให้มันลอยผ่านไป เพราะผลกระทบจากการที่ใส่ใจคนอื่นมากเกินไปมันทำให้คนใกล้ตัวลำบากใจจนผมรู้สึกผิด
แต่ความพยายามของผมไม่เคยไปได้ถึงจุดที่คาดเอาไว้เมื่อคนอื่นๆ ดูไม่เป็นใจให้ผมได้ทำได้สำเร็จ อย่างเช่นในวันนี้ที่มีกลุ่มคนเดินเข้ามาหาผมถึงโต๊ะหินอ่อนที่ผมกำลังนั่งปั่นรายงานอยู่กับปราโมทย์

“นาย” 

“ครับ?” 

“นายเป็นเกย์แบบที่เขาว่ากันรึเปล่า?” 

“หะ?” 

“เราไม่ได้อยากถามหรืออยากรู้เรื่องส่วนตัวของนายเลยนะ แต่พอดีมีคนฝากเรามาถามเยอะมาก เราก็เป็นคนกลางเขาคงเห็นว่าเราเรียนห้องเดียวกับนายเราเลยโดนขยั้นขยอมาถาม นายคงเข้าใจเราใช่ไหม?”

“อ่อ ครับ”

“งั้นเราขอถามอีกเรื่อง คือ เขาอยากรู้กันว่าที่นายได้ใกล้ชิดพี่เก่งแถมยังยังตัดหน้าคนอื่นจนได้พี่เขามาเนี่ยเพราะว่านายใช้ความเป็นผู้ชายเหมือนกันเข้าหา จนสนิทกันใช่ไหม? และนายแอบรู้มาว่าพี่เก่งเป็นเกย์มาก่อนใช่ไหม?”

“ไม่ใช่ครับ”

“ไม่ใช่เรื่องไหน? เรื่องที่รู้ว่าพี่เก่งเป็นเกย์หรือจะบอกว่าไม่สนิทกันงั้นเหรอ?” 

“ทั้งสองเรื่องและก็สนิทกัน แต่ไม่ใช่แบบนั้น” 

“จริงเหรอ?” 

“จริง เราก็รู้จักและสนิทกับพี่เขาเหมือนรุ่นพี่คนนึงเท่านั้นเอง” 

“งั้นนายก็เป็นเกย์?”

“เปล่า”

“ถ้านายไม่ได้เป็นเกย์ นายสามารถสนิทกับคนที่เป็นเกย์ขนาดนั้นได้ไง?”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าพี่เขาเป็นเกย์?”

“อย่ามาตอบด้วยคำถามสิ”

แล้วในที่สุดคำถามนี้ก็วนกลับมาหาผมอีกครั้งทั้งเรื่องเราสองคนเป็นแฟนกันรึเปล่า หรือ ว่าใครกันแน่ที่เป็นเกย์ ซึ่งเอาเข้าจริงคำถามเหล่านี้ล้วนถูกตอบไปหมดแล้วด้วยปราโมทย์ตั้งหลายครั้ง ผมเลยเริ่มไม่แน่ใจว่าที่จริงแล้วเขาอยากได้คำตอบจากผม หรือ เขาพยายามให้ผมตอบอย่างที่เขาอยากได้ยินเท่านั้น
เรื่องที่พวกเขาจะมองว่าผมเป็นเกย์มองว่าผมไล่ตามผู้ชาย ถามว่ามันเป็นปัญหาสำหรับผมไหม? ก็ถ้าตราบใดที่มันไม่กระทบกับเรื่องเรียนและเพื่อนรอบข้างของผมมันก็จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลยสักนิด
แต่ครั้งนี้ที่ผมกังวลเพราะว่ามันอาจจะเป็นผลกระทบต่อพี่เก่งที่เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยโดยตรงเพราะฉะนั้นแม้ผมจะรู้สึกเบื่อหรือรำคาญกับการนั่งให้เป็นเป้านิ่งให้พวกเขาเดินเข้ามาถามผมก็ยังคงนั่งตอบคำถามเหล่านี้โดยไม่ลุกหนีไปไหน เพราะผมอยากให้เขารู้ความจริงและเลิกพูดเรื่องไม่จริงกันเสียทีแล้วถ้าผมยิ่งหนีคนก็ยิ่งอาจจะยิ่งคิดไปอีกอย่าง 

“ผมตอบไปแล้ว”

คนกลุ่มที่เดินเข้ามาถามผมยอมเดินจากไปหลังจากที่ไม่ได้คำตอบอย่างที่เขาต้องการ ทันทีที่กลุ่มพวกนั้นลับสายตาของผมไปผมก็ปิดสมุดที่กำลังปั่นงานลงเพราะต่อให้พยายามขยันและทำต่อผมเชื่อว่างานที่ออกมาก็คงไม่ดีเลยว่าจะขอนั่งเงียบๆ ทำสมาธิสักพักแล้วค่อยเริ่มต้นใหม่ตอนที่หัวสมองของผมโล่งกว่านี้

“ชิน”

“หื้ม?”

“นายเคยคิดจะถามพี่เขาไหม?”

“ไม่ สำหรับเรามันเป็นเรื่องส่วนตัว”

“แล้วถ้าเกิดพี่เขาเป็นเกย์ อย่างที่คนอื่นเข้าว่ากัน?”

“พี่เขาจะเป็นอะไรก็ช่างเราไม่สนใจตรงนั้นอ ตอนที่พี่เขายอมสนิทกับเราพี่เขายังไม่เคยเห็นสงสัยเลยว่าทำไมเราถึงไม่มีเพื่อนคนอื่นนายจากปราโมทย์ เพราะฉะนั้นสำหรับเรา แค่พี่เขาเป็นคนดีแบบที่พี่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ แค่นี้ก็พอ” 

“แล้วถ้าเกิด พี่เก่งไม่ได้เป็นคนดีละ? ถ้าเกิดพี่เขาแค่สร้างภาพลักษณ์ให้ออกมาดูเป็นคนดีละ?”

“ปราโมทย์ฟังเรานะ เราเชื่อในสัญชาตญาณของเราว่าเรามองคนไม่ผิด พี่เก่งไม่มีวันเป็นคนไม่ดี เรารู้จักกับพี่เขาคุยกับพี่เขาเราต้องรู้สิ”

“นายกำลังมองพี่เขาเป็นความดีเพราะพี่เขายอมเป็นเพื่อนนายอีกคนหรือเปล่า? แน่ใจแล้วเหรอว่าเห็นพี่เขาหมดทุกด้านแล้ว?”

“เรามั่นใจ”

ผมรู้ว่าปราโมทย์หวังดี ไม่แปลกที่ปราโมทย์จะมีคำถามแบบนี้เพราะตัวเขาเองไม่ได้มาสนิทกับพี่เก่งแบบที่ผมสนิท เขาก็คงจะต้องระแวงเอาไว้ก่อน แต่สำหรับผมผมที่เป็นคนสัมผัสตัวตนของพี่เก่งด้วยตัวเอง ผมมั่นใจในตัวของพี่เก่งมากพอและผมก็เชื่อว่าพี่เก่งไม่ได้เป็นคนแค่สร้างภาพ ถ้าเป็นแบบนั้นจะเป็นไปได้ยังไงที่ไม่เคยมีใครไม่เห็นด้านไม่ดีของพี่เก่งเลย

“แล้วถ้าเกิดวันนึงมีคนมาบอกว่า พี่เก่งเป็นคนนิสัยไม่ดีละ? นายอาจจะแค่ยังไม่รู้จักคนพวกนั้นก็ได้”

“ปราโมทย์กำลังจะบอกอะไรเรา?”

“เราไม่ได้จะบอกอะไรเราแค่ถาม”

“งั้น เราก็ตอบได้ว่าเราไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนั้น” 

เหมือนปราโมทย์จะรู้ว่าผมกำลังอารมณ์เสียขึ้นเรื่อยๆ ปราโมทย์จึงหยุดพูดเรื่องพวกนี้ ผมไม่ได้โมโหที่ปราโมทย์ตั้งคำถามแต่ผมกำลังโมโหว่าทำไมทุกคนถึงเชื่อคำพูดจากคนอื่นทั้งๆ ที่บางคนไม่ได้รู้จักตัวตนของพวกผมเลยด้วยซ้ำสำหรับผมเรื่องเม้าท์ก็เป็นได้แค่เรื่องเม้าท์ ดูอย่างเรื่องของผมที่บอกว่าผมไปตามตื้อพี่เก่งสิมันมีความจริงอยู่ในนั้นกี่เปอร์เซ็นต์กัน

“เมื่อไหร่เรื่องพวกนี้มันจะจบไปสักที เราต้องโดนแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน?”

“ไม่ต้องเครียดหรอก เรื่องไม่จริงเดี๋ยวก็เงียบไปเอง ถ้าเราเป็นนายเราจะไม่ตอบอะไรใครอีก ยิ่งนายไปอธิบายมันยิ่งพูดก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ให้คนอื่นไปพูดต่อได้ อยู่เฉยๆ แบบนี้ไปนั้นแหละ ไม่ต้องสนใจคำใคร” 

...

ช่วงเดือนต่อมาเป็นเดือนแห่งความโหด ทั้งรายงานทั้งสอบกลางภาคต่างลุมล้อมนักศึกษาทุกคน และอาจจะเพราะความยุ่งนี้ทำให้ไม่มีใครมาสนใจเรื่องของผมอีก แล้วในที่สุดผมก็ได้ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยแบบสงบๆ ได้อีกครั้ง

“สอบเสร็จแล้ว เย้”

“ฝากขอบคุณชีทพี่เก่งเขาด้วยนะ ถ้าไม่ได้ชีทพี่เขาเราคงแย่”

“ได้เลย เดี๋ยวเราบอกให้ ว่าแต่วันนี้ไปกินอะไรก่อนแยกกันดีไหม?”

แต่แล้วตอนที่เดินลงมาจากห้องสอบผมก็เจอเข้ากับผู้คนกลุ่มนึงมายืนรอที่ทางด้านล่างของตึก ปราโมทย์เห็นท่าจะไม่ค่อยดีเลยเดินมาตีขนาบข้างผมเอาไว้

“ถามจริงๆ นี่คือมั่นใจแล้วว่าแบบนี้จะดีใช่ไหม?” 

“ผมทำอะไรครับ?” 

“คราวที่แล้วก็ทำมาเป็นบอกว่าไม่ใช่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ปฎิเสธแต่ก็เห็นลากกันขึ้นไปห้องตลอดใครๆ ก็เห็น ครั้งนี้ก็จะบอกว่าไม่รู้เรื่องอีกสิ?” 

“ก็ผมไม่รู้เรื่อง”

“แต่ก่อนก็ไม่ได้สนใจมากหรอกนะ แต่นี่เล่นเอาถึงกับเก่งมันเสียหายจนโดนปลด แล้วรู้ไหมงานของคนอื่นเขาก็ต้องพังไปตามๆ กัน แผนงานที่วางมาต้องมาเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เห็นถึงความลำบากของคนอื่นบ้างสิ” 

“มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”

“ถ้าโง่มากนัก ก็หัดลับสมองไปดูหน้าเว็บของมหาวิทยาลัยบ้าง จะได้เลิกแกล้งโง่สักที แล้วก็นายแว่น ขนาดนี้แล้วยังจะมาปกป้องมันอีก บ้าปะ?” 

“ผมว่าพี่นั้นแหละต้องถามตัวเอง” 

“เอ๊ะ” 

“ปราโมทย์ อย่าเลย” 

ผมปรามปราโมทย์เอาไว้เมื่อเห็นว่าท่าจะไม่ใช่เรื่องดีที่จะมายืนเถียงกันตรงนี้ มันคงเป็นภาพไม่น่าดูเท่าไหร่ที่ผู้ชายอย่างพวกผมไปต่อปากต่อคำมีเรื่องกับอีกฝ่ายที่เป็นผู้หญิงด้วยเรื่องของผู้ชายอีกคน 
เมื่อผมสามารถลากปราโมทย์ออกมาได้ไกลจากจุดเดิม ผมรีบหยิบมือถือออกมาเช็คที่หน้าเว็บของมหาวิทยาลัยดู ผมมือชาหน้าชาไปหมดทันทีที่เว็บโหลดขึ้นมา

เรื่องเม้าท์ลับหลังที่ผมเคยพยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กข่าวลือในวันนี้ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่ออยู่ดีๆ รูปของพี่เก่งก็ถูกปลดออกจากหน้าเว็บเพจของมหาวิทยาลัยแถมรูปในเว็บของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีพี่เก่งอยู่ยังถูกเปลี่ยนไปเป็นรูปอื่นทั้งหมด 

“มันเกิดอะไรขึ้น? แล้วมันนานเท่าไหร่แล้ว?”

“คนเดียวที่จะให้คำตอบนายได้ก็คือเจ้าของรูปนั้นแหละ ใจเย็นๆ มันอาจจะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยก็ได้”

“งั้นเราไปหาพี่เก่งก่อนนะ เราขอเลื่อนนัดวันนี้ไปได้ไหม?” 

“ไปเถอะ” 

ระหว่างที่ออกเดินตามหาผมก็พยายามกดโทรออกหาพี่เก่งหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถติดต่อกับพี่เก่งได้ นี่เป็นอีกครั้งที่ผมตัดสินใจเดินออกตาหาพี่เก่งโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เขายังอยู่ที่มหาวิทยาลัยรึเปล่า เหมือนครั้งนั้นครั้งที่เรารู้จักกันครั้งแรก

ผมเดินจนหอบเหนื่อยจึงหยุดลงนั่งพักที่ตรงสระบัวที่ผมเคยนัดเจอกับพี่เก่งพยายามคิดว่าถ้าเกิดผมเป็นพี่เก่งในช่วงเวลานี้ผมจะไปอยู่ที่ตรงไหน? ในขณะที่ผมกลังคิดถึงสถานที่ที่พี่เก่งน่าจะไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังเข้า ผมรีบกดรับเพราะนึกว่าเป็นพี่เก่งแต่ก็ไม่ใช่ 

“ว่าไงปราโมทย์?” 

“เจอพี่เก่งรึยัง?” 

“ยัง” 

“ชิน” 

“หื้ม?” 

“อย่าคิดมากละ” 

“ขอบใจนะ ไว้พรุ่งนี้เจอกัน” 

ผมคิดมองกลับไปหลายเรื่องแล้วไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมคิดถึงกลุ่มเฟสบุ๊คที่ผมไม่เคยคิดจะกลับเข้าไปขึ้นมาอีกครั้ง ผมย้ำถามกับตัวเองหลายครั้งก่อนจะกดเข้าไปว่าผมคิดดีแล้วใช่ไหม? แต่ผมก็ให้คำตอบกับตัวเองว่าผมเข้าไปก็เพียงเพื่อหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงท่านั้น ถ้าไม่เจออะไรผมก็จะออกมาโดยที่ไม่อ่านเนื้อหาเรื่องอื่นๆ

“นี่มันอะไรกัน?”

ทันทีที่นิ้วมือของผมจิ้มลงไปที่สัญลักษณ์สีฟ้า ในหน้าฟีดก็ปรากฎรูปและหัวข้ออื่นประปราย แต่หัวข้อสเตตัสที่มีคอมเมนท์เยอะที่สุดก็หนีไม่พ้นสเตตัสที่ว่า

(ตายแล้วหนุ่มหล่อนามว่า ก ถูกปลดกะทันหันฟ้าผ่าเปรี้ยง ช่วยไม่ได้ชอบด้านหน้าอยู่ดีๆไม่เอาดันแปลพรรคไปชอบทางด้านหลัง ซวยไปนะนาย)

คอมเมนท์ในนั้นมีทั้งแสดงออกถึงความเห็นใจและสงสารที่พี่เก่งต้องมาโดนเรื่องแบบนี้ แต่ข้อความแสดงความเห็นใจมันช่างน้อยเหลือเกินเมื่อเอามาเทียบกับข้อความที่เหน็บแนมและเสริมเรื่องอื่นเหมือนเป็นการกระพือไฟเข้าไป

“มันก็ชอบแบบนี้มานานแล้วไหมก็เห็นเดินตามตูดคนอื่นมาตั้งแต่มัธยม”

“มีกะเทยมาหลังไมค์ว่าลีลาเด็ด”

“ขอคลิปยืนยันค่ะ”

“เออเรื่องคลิปเห็นเขาบอกว่านางชอบถ่ายเก็บเอาไว้ มีใครใจดีส่งต่อทีค่ะ”

“คลิปอยู่ที่มือถือนางคนอื่นจะไปมีได้ไง จากคนที่เคยขอคลิปมันดู”

“อุ้ย มาแรงสงสัยจะจริง”

“สงสารนางนะที่เจอข่าวแบบนี้ แต่ว่าถ้าเกิดใครมีคลิปส่งมาทีอยากเห็นว่าเรื่องจริงไหม”

“งานนี้ก็ต้องโทษ ช นะแหละต้นเรื่องเลย ก เขาแดกเงียบๆ ของเขามาหลายปีเข้ามาใหม่แม่งเปิดตัวซะ”

“เออจริงมาเปิดตัวทีพวกกูอดแดกไปด้วยเลยไหม งี้เรียกอยู่ไม่เป็น”

“แบน กูแบนค่ะ ตอแหลก่อนหน้านี้มีคนไปถามก็บอกไม่มีใครเป็นเกย์”

“เชื่อก็ออกลูกเป็นควายไหม (แนบรูป)” รูปที่คอมเมนท์นี้แนบมาเป็นรูปที่ผมประคองพี่เก่งที่ศรีราชาในคืนที่พี่เก่งเมาจนจะล้มลงไปที่พื้น

“ตาย โอ๊ย ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วแบบนี้ยังว่าไม่มีอะไร ตอมาก”

“วงในเขาบอกว่าไปค่ายนี่อย่างกับไปฮันนีมูนส่วนตัว”

“ขยายทีวงในว่าไงต่อ”

“โอ๊ยถ้าบอกก็วงในแตกหมดสิ เอาเป็นว่าแม่งยิ่งกว่าเปิดตัว”

“งี้ข่าวที่ว่า ก นางชอบถ่ายคลิปและชอบตูดก็จริงดิ?”

“ก็เท่าที่อ่านมามึงว่าจริงไหม?”

“ถ้ารู้ว่า ช คันขนาดนี้กูจัดเพื่อนให้ละ”

“โอ๊ย จากรูปอิจฉานางวะเป็นกูฟินตายแล้วได้เอากับ ก เนี่ย”

ผมอ่านทุกคอมเม้นอย่างละเอียด หลายๆ คอมเมนท์โทษมาทางผมที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แถมอีกหลายคอมเมนท์ที่หาว่าผมเป็นตัวซวยของพี่เก่ง

แต่ข้อความเหล่านี้ยังไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกเสียใจเท่ากับรูปกับข่าวที่ออกมาจากชมรม ยังไงก็ต้องเป็นคนในชมรมซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นใคร

ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมหลงคิดเสมอว่าทุกคนในชมรมโอเคกับผมแต่จากที่เห็นมันไม่ใช่เลย มันไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะเป็นเพื่อนกับผมอย่างที่เขาแสดงออกมา

ไล่ดูต่อไปเรื่อยๆ ผมก็เห็นรูปออกมาประปราย ทุกรูปที่มีรูปผมกับพี่เก่งก็จะมีแต่คอมเมนท์เสียๆ หายๆ ขนาดรูปที่ถูกแคปมาจาก IG ของพี่เก่งที่เป็นรูปท้องฟ้าที่เราตั้งใจถ่ายกันในคืนนั้นยังมีแต่คอมเมนท์ประชดประชันเลยว่าจริงๆ ฟ้าต้องเป็นสีเหลืองบ้าง หรือว่า สว่างคาตาเลยถ่ายได้ดีบ้าง คอมเมนท์ที่เคยชมว่ารูปสวยฝีมือของคนเข้าร่วมชมรมนั้นดี มันไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว

ผมปิดหน้าเพจนั้นลงเพราะผมทำใจอ่านต่อไปไม่ได้ ถ้าทำได้ผมอยากบอกอยากอธิบายกับคนพวกนั้นเหลือเกินว่าผมกับพี่เก่งไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดกัน แต่ถ้ามีเพียงผมเพียงคนเดียวที่พูดออกไปว่าไม่จริงจะมีใครเชื่อที่ผมพูดบ้างไหม? เพราะขนาดผมบอกว่าผมไม่ได้เป็นเกย์ยังไม่มีใครเชื่อผมสักคน

แล้วผมควรจะทำยังไงต่อไป? ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของปราโมทย์แล้วว่าทำไมเขาถึงไม่คิดจะพูดอะไรตอนที่เขาได้ฉายาว่า “ไอ้แว่น” หรือผมควรเงียบอย่างที่ปราโมทย์ว่าจริงๆ

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณทุกคอมเมนท์ค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 08-07-2017 16:24:13
สงสารจับใจ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 08-07-2017 21:53:32
สนุกมากๆ ค่ะ มาให้กำลังคนแต่ง แต่งได้ลื่นไหลมีปมชวนติดตาม อ่านแล้วหยุดไม่อยู่จนเห็นว่าหมดแล้วนี่แหละ ครางหงิงอย่างหมาเลย 555 รู้สึกว่า ช เป็นเหยื่อสังคม ตกเป็นจำเลย แล้วถ้าพี่ ก เป็นอย่างที่วงในวงนอกเล่ามาบอกได้เลย พี่เนียนมากค่ะ คือแต่แรกที่ให้เนคไทก็รู้สึกได้ว่าแปลกๆ ดูก็รู้ว่าพี่คิดอะ แต่ ช ดูยอมเพราะไม่อยากให้พี่คิดว่าตัวเองรังเกียจ บวกกับตัวเองให้ความเคารพในความสัมพันธ์นี้ด้วย เราไม่แปลกใจเท่าไหร่ถ้าหากบางครั้ง ช แลดูอึดอัดกับคำกล่าวแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่านี้ สุดท้ายแอบคิดว่า พอถึงจุดพีคพี่ ก แกอาจจะตบะแตกจับ ช ทำเมีย (จั่วหัวเอสเอ็มหลาขนาดนั้นโชว์ความเอสหนักๆ ค่ะ ไม่หนักอย่าโชว์ เสียแท็กหมด 555) สุดท้ายดูกันว่า ช จะทำอย่างไร ต่อไป ส่วนตัวชอบ Happy end มากกว่า แต่ถ้าเอาตามสภาพจริง หากถูกกระทำชำเราคงจะเป็นได้ยาก แต่อย่างน้อยก็ขอ Good end นะคะ ไม่อยากให้หม่นไป แล้วแต่ใจคนแต่งค่ะ

อีปราโมทย์มันต้องร้ายแน่ๆ ค่ะหัวหน้า
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 09-07-2017 22:44:23
สงสารชิน :mew5:
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 10-07-2017 01:52:00
สงสารชิน
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 6 - 08/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 10-07-2017 11:59:27
บทที่ 7

ผมกลับห้องด้วยความเหนื่อยล้า เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ  และในเวลาเช่นนี้ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่ผมจะคิดถึงมากที่สุดคือ พ่อ กับ แม่ ผมพาร่างที่เหนื่อยเดินเข้าไปที่ห้องนอนคว้ากระเป๋าเป้ในเล็กในห้องจับยัดรายงานและหนังสือที่ต้องใช้ใส่ลงในกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับบ้าน

“พ่อครับแม่ครับ ... สวัสดีครับ”

ผมกลับมาถึงบ้านตอนสองทุ่มนิดๆ ทั้งพ่อและแม่ต่างยังนั่งดูละครกันอยู่ทางด้านล่าง พอเข้ามาในตัวบ้านได้ผมก็วางเป้เอาไว้ที่พื้นและเดินเข้าไปนั่งแทรกตรงกลางระหว่างท่านทั้งสอง

“ตายแล้ว ลูกกลับมาบ้านโดยที่ไม่ใช่วันหยุด แม่ต้องจดลงสมุดบันทึกเลยรึเปล่าจ๊ะ?”

“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ”

“กินอะไรมารึยัง?”

“ยังเลยครับแม่”

“มีอะไรรึเปล่า? สีหน้าดูไม่ค่อยดี”

“งั้นเดี๋ยวแม่ไปเตรียมข้าวให้ คุยกับพ่อเขาไปก่อนแล้วกัน”

ผมก็ไม่รู้ว่าหน้าตาของผมแสดงออกอะไรไปมากแค่ไหน แต่ยิ่งเห็นถึงความห่วงใยและความใส่ใจของท่านทั้งสอง ผมก็ยิ่งไม่กล้าที่จะเอาเรื่องหนักใจมาทิ้งเอาไว้ที่บ้านทีเวลามีความสุขผมยังไม่เคยกลับเอาความสุขมาฝากเอาไว้ที่นี่ ผมว่าผมหนักใจคนเดียวคงดีกว่าที่ใครทุกคนต้องมาร่วมทุกข์ไปกับผม

“ไม่มีอะไรครับพ่อ ผมแค่เหนื่อย”

“ถ้าเรื่องเรียนไม่ต้องไปเครียดมันมากก็ได้ เอาที่ไหว”

“ครับ”

ความไม่อยากอาหารหายไปทันทีที่เห็นข้าวไข่เจียวหมูสับฝีมือของแม่ ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ห้องของตัวเองแม้จะยังไม่ได้กินอะไรแต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงความหิว แต่มาตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าข้าวจานตรงหน้าเพียงจานเดียวอาจจะไม่พอกับความต้องการของผม

หลังจากที่เก็บล้างเรียบร้อยผมใช้เวลาเอื่อยอยู่ข้างล่างดูหนังกับพวกท่านต่อ แล้วหลังจากที่ละครหลังข่าวจบเราทั้งสามก็ค่อยแยกย้ายไปที่ห้องใครห้องมัน ผมเข้าไปอาบน้ำทำหัวสมองให้โล่ง เพราะวันนี้ผมก็เสียเวลาไปมากโดยที่ยังไม่ได้แตะรายงานชิ้นสุดท้ายก่อนสอบไฟนอล

ผมกางโต๊ะญี่ปุ่นออกตรงกลางแล้วลงนั่งแปะที่พื้นคิดว่าจะตั้งใจทำรายงานแต่กลายเป็นว่าผมยังคงเอาแต่วนเวียนอยู่กับโทรศัพท์เข้าไปอ่านโพสนั้นอยู่ซ้ำๆ แล้วก็คิดวนไปมาอยู่กับเรื่องเดิมๆ จนสุดท้ายก็แต่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์โดยการเอาแต่นั่งมองกองหนังสือตรงหน้า

พอนั่งมองหัวข้อรายงานนานเข้าผมก็พาลคิดไปว่าที่ผมได้หัวข้อรายงานยากแบบนี้มันเป็นเพราะอาจาร์ยเองก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วยรึเปล่า? ถึงต้องการสั่งสอนให้ผมตั้งใจเรียนมากกว่าไปมีเรื่องราวแบบนั้น

ผมคิดย้อนไปถึงหน้าของเพื่อนในคาบเรียนทุกคนที่มองมา สายตาที่ยิ้มมาให้กับผมตอนที่ทักกันจะมีสักกี่คนที่ยิ้มจริงใจไม่ใช่ยิ้มเยาะเย้ยหรือขยะแขยง

แล้วปราโมทย์ละเขาเป็นคนที่เข้าใจผมจริงๆ แบบที่เขาพูดรึเปล่า หรือเขาอาจจะเหมือนคนที่ชมรมก็ได้ที่ต่อหน้ายอมรับผมเป็นเพื่อนแต่ความจริงไม่เคยมอบคำนั้นให้กับผมเลย

ยิ่งคิดก็เจอแต่ทางตันคิดไม่ออกว่าควรจะวางตัวกับคนอื่นๆ อย่างไร จะให้เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อกับแม่ผมก็ไม่มีความกล้าอีกอย่างพวกท่านอาจจะมองว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระของเด็กๆ ก็ได้ ในขณะที่ผมกำลังติดอยู่ในความคิดของตัวเอง เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นปลุกให้ผมหลุดจากภวังค์

“ฮัลโหลพี่เก่ง ผมติดต่อพี่ไม่ได้เลย”

 “ขอโทษ พี่ติดธุระนิดหน่อย”

“ธุระของพี่คือเรื่องที่พี่โดนปลดจากพรีเซ็นเตอร์ของมหาวิทยาลัยรึเปล่า?”

“ชินอยู่ไหน? พี่มารอหน้าหอข้างล่าง”

“ผมอยู่ที่บ้าน”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหา...ได้ไหม?”

มองดูเวลานี่มันก็ดึกมากแล้ว แม้ผมอยากรู้เรื่องราวจากปากของพี่เก่งว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ถ้าให้ขับรถมาเวลานี้มันอาจจะเป็นอันตรายต่อพี่เก่งได้

“อย่าเลยครับ คนที่บ้านนอนหมดแล้ว”

“งั้นเหรอ?” เสียงของพี่เก่งดูผิดหวังจนผมเองก็หวั่นใจว่าพี่เก่งกำลังจะคิดว่าผมไม่อยากเจอพี่เขารึเปล่า จากที่เคยคิดว่าจะรอกลับไปที่หอแล้วค่อยคุยกันเลยกลายเป็น

“พรุ่งนี้เช้าพี่ค่อยมาดีกว่าครับ”

“โอเคครับ”

.................................................................

ผมแชร์โลเคชั่นที่อยู่ให้พี่เก่งทางโทรศัพท์ก่อนที่จะวางสาย พี่เก่งมาถึงบ้านของผมตั้งแต่ 7 โมงเช้าผมเดินออกไปเปิดประตูให้กับพ่อกับแม่ออกไปทำงานก็เห็นรถพี่เก่งขับสวนเข้ามาในซอยบ้านพอดี

เพียงแว้บแรกที่ผมเห็นหน้าของพี่เก่งผมก็รู้เลยว่าตัวพี่เก่งเองก็คงจะโดนผลกระทบจากเรื่องนี้หนักไม่ต่างกับผม ผมมองหน้าพี่เก่งด้วยความรู้สึกผิด ถ้าในชีวิตพี่เขาไม่มีผมเข้ามายุ่งพี่เขาคงไม่ต้องกลายมาเป็นหนุ่มโรคจิตชอบถ่ายคลิปคนอื่นไปทั่ว จากที่เป็นหนุ่มเรียนดี หนุ่มกิจกรรมอยู่ดีๆ

“พี่...ผมขอโทษ”

มันเป็นเพียงคำเดียวที่ผมจะสามารถบอกกับพี่เก่งได้ คำขอโทษจากผมคือขอโทษที่เข้ามารู้จักกับพี่เขาแล้วทำให้พี่เขามีแต่ความวุ่นวาย ถ้าตั้งแต่วันที่มีข่าวช่วงแรกผมยอมถอยออกมา ในวันนี้ผมกับพี่เก่งก็คงไม่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้

“พี่ก็ต้องขอโทษเราเหมือนกันที่ทำให้เราต้องมาโดนไปด้วย”

“เมื่อวานมีคนมาบอกผมเรื่องพรีเซ็นเตอร์ มันจริงรึเปล่าครับพี่?”

“มันเป็นแค่การสอบถามนะ เป็นธรรมดาที่พอข่าวไม่ดีออกมามากๆ พี่ก็ต้องโดนเรียกไปคุย แต่ก็แค่คุยและพิจารณายังไม่ได้มีการปลดพี่อย่างที่เขาพูดกัน”

“แต่รูปพี่หายไปแล้ว”

“ก็ต้องเอาออกก่อน แล้วถ้าสอบสวนแล้วไม่มีมูลความจริงทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม”

“จริงนะพี่”

“จริงสิ พี่จะหลอกชินทำไม”

พี่เก่งตัดสินใจเล่าทุกคำพูดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เข้าไปคุยกับอาจารย์ให้ผมได้รับรู้เมื่อเห็นว่าผมยังคงทำหน้ากังวลอยู่ สรุปแล้วพวกข่าวต่างๆ ไปถึงหูอาจารย์จริงอย่างที่ผมกังวล แต่พี่เก่งก็ได้อธิบายตัวเองไปหมดแล้วว่าพี่เขาไม่เคยทำเรื่องเสียหายแบบนั้น ยังโชคดีที่อาจารย์ยังยอมรับฟังพี่เก่งอยู่บ้าง

“แล้วพี่เก่งต้องทำอะไรต่อไปรึเปล่า?”

“ความจริงก่อนออกมา อาจารย์ก็แนะนำให้พี่ไปแจ้งความไว้ พวกแบบ พรบ คอมพิวเตอร์ทำนองนั้น”

“แล้วพี่คิดว่ายังไง?”

“พี่ก็อยากไปเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างสร้างความวุ่นวายให้กับพี่และชิน จนตอนนี้กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ถ้าถามว่ามันคุ้มกับการที่จะเสียเวลาไปแจ้งความไหม? พี่ว่าคุ้ม แต่พี่เองก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่แจ้งความไปแล้วมันจะมีอะไรคืบหน้ามากน้อยแค่ไหนคนพวกนั้นจะหยุดจริงๆ หรือเปล่า? อีกอย่างกฎหมายเรื่องนี้กับกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทมันเป็นอะไรที่ยังไม่ชัดเจนพี่ก็งงและไม่แน่ใจ ไม่ได้เรียนด้านนี้มา”

“ผมเห็นด้วยกับอาจารย์นะพี่”

“ถ้าพี่จะเอาเรื่อง พี่ก็ต้องไปบอกที่บ้านเพื่อปรึกษา ทีนี้เรื่องมันก็จะใหญ่โตไปอีก แค่นี้พี่ก็ปวดหัวจะตายแล้ว ถ้าพ่อกับแม่รู้พี่คงต้องอธิบายอาจจะนานกว่าไปอธิบายกับตำรวจ แล้วที่บ้านของพี่เองก็ไม่ได้พร้อมถึงขนาด…”

“พี่เก่ง”

“ว่า? ขอโทษพี่เริ่มบ่นมากไปแล้วใช่ไหม?”

“ยังไงพี่ก็มีผมอยู่เสมอนะ”

ผมเอื้อมมือไปจับมือของพี่เก่งเอาไว้เพราะผมต้องการให้พี่เก่งรู้ว่าไม่ว่าคนอื่นจะพูดถึงพี่เก่งยังไงหรือไม่ว่าพี่เก่งต้องโดนอะไรผมก็ยังจะอยู่ตรงนี้เสมอ จะอยู่เป็นรุ่นน้องของพี่เขาเสมอ

“แม้ว่าพี่อาจจะเป็นคนแบบนั้นอย่างที่เขาว่ากัน?”

“อื้ม....แค่พี่ดีกับผม ผมก็จะอยู่ข้างพี่เสมอ พี่มีผมเสมอนะ”

“ขอบคุณครับ”

พี่เก่งคว้าตัวผมเข้าไปกอด ความตกใจที่อยู่โดนดึงเข้าไปกอดเอาไว้แน่นทำให้ผมเกร็งตัวเอาไว้ ที่ผ่านมาแม้พี่เก่งจะเล่นหรือแสดงออกถึงความสนิทแต่มันไม่มีครั้งไหนที่จะถึงขั้นกอด

แต่พอคิดได้ว่าวันนี้พี่เก่งคงเจอแรงกดดันมาพอสมควรจากการประชุมกับคณะอาจารย์ ผมจึงปีดความตกใจของตัวเองทิ้งไปแล้วยกมือขึ้นกอดพี่เก่งกลับพร้อมกับค่อยๆ ตบลงที่หลังของพี่เก่งและบอกว่าผมอยู่ตรงนี้

.....................................................................

 “ขอบคุณชินมากนะ ที่ยังยอมนั่งกับพี่ตรงนี้ ไม่ไปไหนเหมือนคนอื่นที่พอพี่ไม่ได้มีผลประโยชน์ก็ต่างหายไปจากพี่”

เพราะผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไรผมจึงไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลง ผมยังเจอพี่เก่งเหมือนเดิม เดินไปที่ชมรมพร้อมพี่เก่งยังคงให้การสนับสนุนชมรมทุกอย่าง แม้ว่าพี่เก่งจะถูกลดหน้าที่จากผู้ดูแลชมรมมาเป็นแค่คนร่วมชมรมก็ตาม

ผมใช้เวลาคิดอยู่สักพักเช่นกันก่อนที่จะกลับไปที่ชมรมอีกครั้ง แน่นอนว่าผมค่อนข้างมั่นใจว่ารูปล่าสุดถูกปล่อยโดยคนที่ชมรมที่ไปออกค่ายด้วยกันในวันนั้นทำให้ผมไม่อยากเข้าไป แต่ ถ้าพี่เก่งโดนปลดแล้วผมไม่เข้าชมรมเลยทุกคนอาจจะคิดได้ว่าพวกเขาคิดถูกแล้วว่าที่ผมเข้ามาชมรมก็เพราะพี่เก่ง ผมอยากให้เขารู้ว่าผมเข้าชมรมนี้เพราะผมชอบในการถ่ายรูปจริงๆ

“ผมบอกพี่แล้วว่าผมจะไม่ไปไหน”

ผมทำเป็นเข็มแข็งและไม่แคร์สายตาของใครเวลาที่มีคนมองตอนที่ผมกับพี่เก่งเดินคู่กันในมหาวิทยาลัย แต่ความเป็นจริงผมกลับมาร้องไห้ทุกวันที่ห้องของตัวเองที่คอยเจอแต่สายตาพวกนั้น

ชีวิตช่วงนี้ในรั้วมหาวิทยาลัยผมก็ได้ปราโมทย์เป็นที่พึ่ง แม้ใครจะว่าปราโมทย์ว่าเป็นเด็กเนิร์ดขนาดไหนแต่สำหรับผมแล้วปราโมทย์คือเพื่อนที่ดีที่สุด

ปราโมทย์ตัวติดกับผมจนใครๆ ต่างก็พูดกันว่าผมโดนพี่เก่งเขี่ยทิ้งเลยต้องมาพึ่งพาโมทย์ให้มารับช่วงต่อ  แต่ถึงจะโดนพูดแรงขนาดไหนก็ตามปราโมทย์ก็ไม่เคยปล่อยให้ผมเดินไปไหนมาไหนคนเดียวแถมยังอยู่ข้างๆ ผมเสมอ จนผมรู้สึกผิดในใจที่เคยระแวงว่าปราโมทย์จะเหมือนกับคนอื่นๆ

ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวซวยเพราะไม่ว่าผมจะสนิทกับใครคนนั้นต้องกลายเป็นข่าวในแง่ลบเสมอ ผมเคยคิดถึงขนาดที่ว่าหรือผมสมควรที่เลิกคบกับทั้งสองคนนั้นดีนะ

ยิ่งรับรู้ผมยิ่งรับไม่ได้ ผมเริ่มเก็บตัวไม่อยากออกไปเรียนแต่ก็ได้ปราโมทย์มาลากออกไปทุกครั้ง จากที่เป็นคนไม่มีสังคมอยู่แล้วผมก็ยิ่งเป็นคนเก็บตัวนั่งหลังห้องติดกำแพงเพราะไม่อยากให้ใครมาสนใจในตัวของผม

“นายโคตรเจ๋งอะ มีพระเอกขี่ม้าขาวมาปกป้องด้วย”

“เราเอาใจช่วยนะ กำจัดคำพูดพวกนั้นให้หมดละ”

“ดีเลย แจ้งความเอาเรื่องเลยสิ เราอยากรู้ว่าจะจับออกมาได้ครบทุกคนไหม?”

ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการให้กำลังใจผมจริงๆ หรือ ต้องการใประชดประชันผม แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ การที่พยายามไม่ทำเป็นจุดสนใจของผมดูจะไม่เป็นผลหลังจากที่เพื่อนของกลุ่มพี่เก่งร่วมกันแชร์สเตตัสของพี่เก่งในหน้าเฟสบุ๊คของอย่างพร้อมเพรียงกันในวันนึง โดยที่สเตตัสนั้นพี่เก่งโพสว่า

“ถ้าเรื่องมันไม่หยุดลงสักที ผมคงต้องดำเนินการทางกฎหมาย ไม่ได้อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่แต่มันมีผลกระทบต่อหลายฝ่ายครับ กรุณาหยุดพูดในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องจริงด้วยครับ”

แทนที่ทุกคนจะเข้าใจว่าทำไมพี่เก่งต้องออกมาพูดถึงเรื่องฟ้องร้อง แทนที่ทุกคนจะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าแค่การสนุกปาก แต่มันกลายเป็นว่าทุกคนไม่ได้มองในมุมนั้น ทุกคนต่างมองว่าพวกเราทั้งสองคนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำเป็นเบ่งเป็นพวกมีอำนาจ ก็แค่เราสองคนอยากปกป้องสิทธิ์ของตัวเองทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้

“จะรีบไปไหน? ไม่อยู่ทานข้าวก่อน?”

ปราโมทย์อาจจะบังคับให้ผมออกมาเรียนได้แต่หลังจากเลิกเรียนปราโมทย์ไม่สามารถที่จะรั้งผมเอาไว้ได้ ผมมักจะตรงกลับห้องโดยที่ไม่แวะที่ไหน

 ผมรู้ว่าปราโมทย์ไม่ต้องการให้ผมอยู่คนเดียว แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะไปนั่งให้เป็นเป้าสายตากับความกังวลว่าคนอื่นจะมองมาด้วยความคิดไหนจริงๆ

“ไม่ละ เราอยากกลับห้อง”

“แต่เดี๋ยวนายก็ต้องกลับมาชมรมอยู่ดี”

“เดี๋ยวค่อยออกมาตอนที่พี่เก่งเลิกเรียนเดี๋ยวเราตรงไปจากหอก็ได้”

“นายจะหลบแบบนี้ตลอดไปเลยรึไง?”

“อย่ามาว่าเราไม่สู้นะ เราสู้แล้ว!! เราไม่รู้เราต้องทำยังไงแล้ว !!! พูดก็ไม่มีคนเชื่อ ไม่พูดก็กลายเป็นยอมรับ ไหนปราโมทย์บอกว่าถ้าเราเงียบซะ เรื่องมันก็จะเงียบไปเองไง?”

“ชิน...เราแค่อยากให้นายแข็มแข็งผ่านมันไปให้ได้”

 “เรายอมแพ้แล้วปราโมทย์...เรายอมแล้ว...เราทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว...เราไม่เอาแล้ว”

ผมนั่งยองลงเอามือกอดกับเข่าก้มลงให้ชิดกับเข่าของตัวเองปล่อยความอ่อนแออยู่ที่ข้างตึกโดยที่ใช้กำแพงที่อยู่ทางด้านหลังเป็นที่พิงกายเอาไว้ ผมทนแข็มแข็งแบบจอมปลอมแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ความกดดันมันมากเกินกว่าที่ผมจะรับได้อีกต่อไป

“ถ้านายคิดว่าทางเลือกอีกทางที่นายคิดมันดีกว่า นายก็ทำตามที่นายมั่นใจแล้วกัน”

โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านรวมถึงทุกคอมเมนท์ด้วยค่ะ  :pig4:

#theeffect
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 7 - 10/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 10-07-2017 12:20:11
อยากจะหายไปสักพักแล้วกลับมาอ่านตอนจบเลยอะค่ะ อ่านทีละตอนค้างคามาก
สู้ๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้ เข็นตอนใหม่ออกมาเร็วๆ น้า
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 7 - 10/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-07-2017 22:24:37
คำพิพากษาของสังคม
ถ้าเก่ง ไม่เป็นเกย์ ก็โดนคำพิพากษาจากสังคมไปเต็มๆ

แล้วถ้าเก่ง เป็นเกย์จริง มันผิดอะไร  มันเป็นความชอบส่วนตัว
ทำให้พวกที่ชอบว่าเดือดร้อนยังไง
คนอื่นไปวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวเขาหรือเปล่า

แล้วพาลไปที่ชิน
เลยสงสัยว่าที่ไม่ชอบชิน
เพราะอิจฉาชิน อยากได้อะไรๆจากเก่ง แบบที่ตัวเองฟังมา
ลีลาเด็ดไรงี้ คือ อยากได้ใคร่โดนสินะ  :hao6:
หรืออิจฉาเก่ง ที่เก่งสมชื่อ เก่งทั้งกิจกรรม ทั้งการเรียน ใช่ป่ะ

ระแวงว่าถ้าชิน ยอมแพ้ แต่เคยบอกเก่งว่าจะอยู่ข้างๆ
มันจะทำให้เกิดอะไรกับชินหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 7 - 10/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 12-07-2017 12:33:35
บทที่ 8

“ไหนพี่ว่าพี่คุยกับอาจารย์รู้เรื่องแล้วไง ทำไมถึงออกมาเป็นแบบนี้ละพี่?”

“ช่วงมันเถอะ พี่โอเค ยังไงซะพี่คงไม่ได้ทำหน้าที่นี้ตลอดไปอยู่แล้ว”

“แต่ผมไม่โอเค !!”

ในที่สุดวันที่พี่เก่งถูกปลดจากพรีเซ็นเตอร์ของมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการก็มาถึงจนได้ สิ่งที่ผมกลัวมันเกิดขึ้นจริง รูปภาพตามสื่อของมหาวิทยาลัยถูกเปลี่ยนเป็นรูปของนักศึกษาคนอื่น

รูปกิจกรรมต่างๆ ถ้าเกิดมีรูปพี่เก่งที่ยังแม้จะแค่คอยช่วยทำงานรูปเหล่านั้นก็จะไม่ถูกนำขึ้นสื่อ พี่เก่งกลายเป็นคนที่ถูกคนทั้งมหาวิทยาลัยหันหลังให้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับฉายาใหม่ที่พี่เก่งได้ก็คือ “เทพบุตรตกสวรรค์”

จากที่เคยบอกและสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ก็กลายเป็นว่าตอนนี้ความคิดเดียวที่ผมมีก็คือเลิกคบกับพี่เก่งและออกไปจากชีวิตของพี่เขาซะ

ในวันนี้พี่เก่งอาจจะโดนแค่ปลด แต่ถ้าผมยังยืนยันที่จะอยู่เป็นรุ่นน้องที่คอยแต่สร้างแต่ปัญหาให้พี่เก่งต่อไป ก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าพี่เก่งต้องเจอกับอะไรบ้าง

นับจากวันนั้นที่ผมตะโกนใส่หน้าพี่เก่งไปผมก็ใช้เวลาช่วง 2 อาทิตย์ต่อมาเป็นช่วงแห่งการหนี ผมพยายามหนีหน้าพี่เก่งมาตลอด ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความ และเลิกไปที่ชมรมอย่างถาวร

อาจจะเพราะช่วงนี้ตัวพี่เก่งเองก็กำลังยุ่งๆ เกี่ยวกับการทำเรื่องจบทำให้เราทั้งสองคนไม่ต้องมาเดินเจอกันที่มหาวิทยาลัย  แค่พี่เขาไม่มาที่ผมอยู่หรือผมไม่เดินผ่านไปที่โต๊ะที่พี่เขานั่งเราก็ไม่เจอกันแล้ว มันถือว่าเป็นโชคของผมเพราะถ้าเกิดต้องเดินมาเจอหน้ากันจริงๆ ผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมควรทำตัวอย่างไรต่อหน้าพี่เขาเช่นกัน

แม้ต้องหนักใจที่ต้องกลืนคำสัญญาของตัวเอง แต่ผมกลับโล่งใจที่พอผมกับพี่เก่งไม่ได้เจอกันเรื่องข่าวต่างๆ ก็เงียบไปไม่มีคนพูดถึงเรื่องของพี่เก่งในแนวไม่ดีอีก แถมพอนานเข้าคนอื่นๆ ก็เลิกให้ความสนใจในตัวผม

มันก็เลยยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ผมใจชื้นว่าผมได้ตัดสินใจถูกต้องแล้ว แม้ผมอาจจะดูเป็นคนแพ้อย่างที่ปราโมทย์ไม่อยากให้เป็น อาจจะเสียดายบ้างที่ต้องเสียพี่ชายที่ดีไป แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ทำลายชีวิตของพี่ชายของผมไปมากกว่านี้
 ............................................................

“ชิน”

“พี่เก่ง”

ทฤษฎีที่ว่าเราไม่สามารถหนีอะไรไปได้ตลอดชีวิตมันคือเรื่องจริงเมื่อผมที่กำลังจะเดินเข้าหอถูกเสียงนึงเรียกเอาไว้ พี่เก่งลุกขึ้นจากฟุตบาทที่อยู่ข้างๆ หอเดินเข้ามาหาผม ผมไม่รู้ว่าตัวพี่เก่งเองมานั่งรอผมนานแค่ไหนแล้วรู้เพียงแต่ว่ามันคงจะนานมากพอสมควรเพราะสีหน้าของพี่เขาไม่ดีเอาซะเลย 

ผมมองไปรอบข้างด้วยความหวั่นใจว่าจะมีใครแอบมาเห็นที่เราสองคนกำลังยืนคุยกันที่หน้าประตูตรงนี้บ้างไหม ทำให้พอพี่เก่งเดินเข้ามา 1 ก้าว ผมก็เดินถอยออกมา 1 ก้าวเช่นกัน ด้วยจิตสำนึกที่ว่าระยะห่างมันเป็นเรื่องสำคัญระหว่างผมกับพี่เขา

“ชิน..เดินหนีพี่ทำไม?”

“เปล่าครับ”

พี่เก่งมองผมด้วยสายตาที่ตัดพ้อ ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกไม่ชอบใจนั้นแต่ผมไม่สามารถหยุดร่างกายของตัวเองเอาไว้ได้

“พี่มีอะไรรึเปล่า?”

“พี่อยากคุยด้วย”

ผมกำลังจะชวนพี่เก่งไปนั่งที่สวนเล็กๆ ทางด้านหลังของหอแต่ทางหางตาผมกลับเห็นกลุ่มคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ ผมเลยเปลี่ยนใจ

“ไว้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะพี่ วันนี้ผมไม่สะดวก”

แล้วผมก็เดินเร็วจากตรงนั้นรีบขึ้นห้องโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองพี่เก่งที่กำลังยืนอยู่ทางด้านนอกของตึกอีกเลย
.......................................................................

“พี่...มานานยังครับ?” 

“สักพักแล้ว ชิน พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” 

“งั้น ไปคุยกันข้างบนดีกว่าพี่”

ผมเจอพี่เก่งอยู่ที่ทางด้านหน้าของหอมา 3 วันติดกัน ไม่ว่าผมจะหนีพี่เก่งอย่างไรพี่เก่งก็ยังคงกลับมา ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าพี่เก่งจะต้องรู้สึกโกรธจนไม่อยากเจอหน้าผมอีก

เมื่อรู้แล้วว่าการหนีหน้าไม่ใช่ทางจบของเรื่องนี้ผมจึงเลือกที่จะเผชิญหน้าและพูดกับพี่เก่งให้รู้เรื่อง อย่างน้อยในวันข้างหน้าพอพี่เก่งจบออกไปไม่ได้เป็นที่สนใจของคนในมหาวิทยาลัยแล้วเราทั้งสองคนอาจจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมได้

“ชินโกรธพี่? โกรธที่ทำให้ชินต้องโดนมองใช่ไหม?” ทันทีที่บานประตูห้องถูกปิดลงพี่เก่งก็เปิดบทสนทนาขึ้นทันที

“เปล่าครับ ผมไม่ได้โกรธ” 

“แล้วทำไมชินถึงหายไปจากชีวิตพี่?” 

“พี่เก่ง พี่ถูกปลดออกจากตัวแทนของมหาวิทยาลัย” 

“เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไร?” 

“พี่ตอบผมก่อน” 

“พี่เคยบอกแล้วไงว่าพี่ไม่สน แล้วทำไมชินจะต้องสนด้วย” 

“พี่ไม่สนแต่ผมสน ผมไม่ต้องการให้พี่เป็นแบบนี้ ผมชื่นชมพี่และผมก็ต้องการให้พี่ยังอยู่ตรงนั้น ถ้าพี่ต้องมารู้จักกับผมแล้วทุกอย่างมันแย่ลง ผมก็ไม่ต้องการ” 

“เป็นเรื่องนี้สินะ ที่ทำให้ชินไม่อยากเข้ามายุ่งกับพี่แล้ว” 

“เพราะผมรู้มาว่าพี่โดนปลด เพราะเรื่องข่าวที่พี่เป็นเกย์ แล้วไหนจะเป็นข่าวเรื่องที่พี่ชอบถ่ายคลิปทำอะไรนั้นอีก”

“ไหนบอกไม่เชื่อข่าวพวกนั้นไง? ไหนบอกเชื่อในตัวพี่? แค่พี่ดีกับชิน”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมเชื่อพวกนั้น”

“แต่เราก็ออกห่างจากพี่”

“ผมว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว พี่เห็นไหมว่าแค่เราห่างกันข่าวไม่ดีของเราทั้ง 2 คนก็หายไปหมดแล้ว”

“แล้วไหนบอกว่าจะอยู่ข้างพี่ จะอยู่กับพี่?”

“ผม ...”

“พี่รักชินนะ”

“ครับ?”

“พี่รักชินเหมือนที่ชินก็รักพี่...”

“พี่เก่ง… ผม..ไม่เคยคิดอะไรกับพี่ในแง่นั้น”

“ไม่จริง !! ถ้าชินไม่คิดอะไรกับพี่ ชินจะอยู่ใกล้ชิดพี่ทำไม จะมาชมพี่ให้ความหวังพี่ทำไม...”

“ผมเปล่า”

“มึงก็แค่พยายามหาทางปฎิเสธใช่ไหม?? ความจริงมึงก็รักกูแบบที่กูรักมึงนั้นแหละ ใช่ไหม ตอบสิใช่ไหม”

“..โอ๊ย” 

อยู่ๆ พี่เก่งก็พุ่งเข้ามาหาผมที่ยืนอยู่นิ่งด้วยความตกใจ พอรู้สึกตัวถึงอารมณ์ที่ผมไม่เคยเห็นจากพี่เก่งผมรีบถอยตัวออกมาทางด้านหลัง แต่มันกลับกลายเป็นว่าผมกำลังยืนติดกับกำแพงไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ แล้วเพียงเสี้ยวนาทีพี่เก่งก็พุ่งตรงเข้ามาเอามือทั้งข้างของพี่เขากำที่รอบคอของผมเอาไว้ 

“พอกูไม่ดัง...กูไม่เหมือนเมื่อก่อน มึงก็ตีตัวออกห่างเลยใช่ไหม? มึงก็เหมือนกับทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวกูนั้นแฟละใช่ไหม? ตอบสิตอบ”

ผมพยายามเก็บผมหายใจเข้าปอดให้มากที่สุดทำให้ผมไม่สามารถตอบคำถามจากปากของพี่เก่งได้ ในขณะเดียวกันผมก็พยายามจะเอามือผลักไสพี่เก่งออกไปให้ห่าง

“ แล้วไอ้ที่ทำให้กูทั้งหมด...มันคืออะไร?” 

“อะไรของพี่ พี่พูดอะไร? ปล่อยผม” 

ความหวาดกลัวพุ่งเข้าหาผมมากขึ้นเพราะทุกอย่างมันเกิดด้วยความรวดเร็วจนผมได้ทันตั้งตัว ความกลัวที่เกิดมันทำให้ผมชาวาบไปทั่วตัวตั้งแต่ปลายนิ้วมือจนถึงปลายนิ้วเท้า

“มาให้ความหวังกุทำไม ทำไม!!”

“คิดเอาว่าสักวันกูจะเจอคนที่ดี คนที่ไม่ได้เข้าหาเพราะความดังหรือผลประโยชน์ เห็นว่าหน้าซื่อๆ ดูท่าทางจะดี แต่ผลสุดท้ายก็ไม่ใช่ มาหลอกกันทำไม? มาหลอกกูทำไม!!”

สายตาของพี่เก่งที่มองมาที่ผมมีแต่ความตัดพ้อและไม่เข้าใจ และมันก็เป็นสายตาเดียวกับที่ผมกำลังส่งกลับไปหาพี่เก่งเหมือนกัน

“พี่เก่ง...ปล่อยผม” 

“อ่อ พอกูไม่ดังแล้ว คงกลับไปซบไอ้แว่นอย่างที่ใครเขาพูดกันใช่ไหม? เสียดายที่กูมองมึงต่างจากคนอื่น” 

“ปล่อย” 

“ไอ้แว่นมันดีกว่ากูตรงไหน!!??”

ปัก

ความเจ็บร้าวพุ่งขึ้นมาจากหน้าท้องสู่ทางด้านบนและวนกลับลงสู่ทางด้านล่าง อยู่ๆ พี่เก่งก็เอาเข่ากระแทกเข้ากับหน้าท้องของผม ผมจุกจนพูดอะไรต่อไม่ออก เรี่ยวแรงเริ่มไม่มีเพราะอากาศเข้ามาได้ไม่เต็มที่ ในบางครั้งผมรู้สึกเหมือนผมกำลังจะตาย น้ำตาเริ่มไหลเพราะความกลัว   

“ไหนมึงบอกไงว่ามึงไม่เคยสนใจในข่าว แต่พอได้ยินอะไรเข้าก็ตีตัวออกห่าง มึงมันเลว” 

จบจากคำว่ามึงมันเลวร่างกายของผมก็เหมือนถูกแปลงสภาพให้เป็นกระสอบทรายสำหรับพี่เก่ง พี่เก่งทั้งต่อยแตะทั้งบีบคอ พอเห็นผมจะหมดแรงพี่เขาก็ปล่อยมือออกจากผมอย่างกระทันหันทำให้ผมทรุดลงไปกองที่พื้น แต่มันคงยังไม่สาแก่ใจของพี่เก่งพี่เขาถึงได้เอาแต่เตะผมซ้ำๆ เข้าที่ซี่โครง   

“พอแล้วพี่ พอแล้ว...ผมขอโทษ พี่พอแล้วผมยอมแล้ว... ผมขอโทษ” 

ผมเอาเรี่ยวแรงที่รวบขึ้นมาได้หลังจากกอบลมหายใจเข้าไปยกมือขึ้นไหว้พี่เก่งพร้อมกับก้มหมอบพูดขอโทษว่าผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะใช้ช่วงเวลาทำอย่างไรแต่ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยไม่มีเรื่องกับใครมาก่อนผมจึงเดาไม่ถูกว่าเหตุการ์ณแบบนี้มันจะเกิดขึ้น ผมจึงไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ทั้งๆ ที่ผมเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกันกับพี่เก่ง 

เหมือนคำขอโทษของผมจะไปถึงหูพี่เก่งเข้าพี่เก่งจึงชะงักเท้าที่กำลังจะง้างมาเตะซ้ำผมที่ซี่โครง พี่เก่งหยุดยืนอยู่กับที่ส่วนผมเองก็ไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหนอีก  แม้แต่จะขยับตัวหรือเงยหน้าขึ้นมองสบตากับพี่เขาผมยังไม่กล้า

 “พี่ พี่..” 

เพี้ย เสียงมือของผมกระทบกับมือของพี่เก่งเป็นสียงดังขึ้นกลบเสียงที่พี่เก่งพยายามเรียกแทนตัวเอง ก่อนหน้านี้พี่เก่งนั่งลงและพยายามเอามือมาจับที่ตัวของผมแต่ด้วยความที่ผมกลัวและตกใจผมจึงปัดมือของพี่เก่งออกไป แต่พี่เก่งก็ไม่ยอมยังพยายามที่จะจับตัวของผมให้ได้ผมเลยเริ่มที่จะต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด 

“จะหนีกูไปไหน” 

ในช่วงที่ผมพยายามถีบตัวออกมาจากปลายเท้าของพี่เก่งพร้อมทั้งพยายามทำให้หลุดจากการจับตัวโดยการคลานออกมา พี่เก่งเดินดุ่มมาดึงผมทางด้านหลังของศรีษะแล้วเอาหัวของผมโขกลงมาที่พื้น พอเห็นว่าผมเริ่มเงียบเสียงพี่เก่งก็กระชากผมที่สั้นที่ติดหนังศรีษะของผมขึ้นทำให้ผมหน้าหงายไปทางด้านหลังและทำให้ผมต้องลุกขึ้นยืนตามที่เขาต้องการทั้งๆ ที่ผมจะพยุงตัวเองขึ้นยังไม่ไหว

พี่เก่งลากผมเข้าไปที่ห้องนอน ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ใจเอาแต่กังวลว่าพี่เก่งจะกระทืบผมอีกไหม แต่ยิ่งห่างจากประตูห้องเท่าไหร่ผมก็ยิ่งกลัว ผมจึงพยายามจับขอบที่ประตูห้องนอนเอาไว้ให้แน่นเพราะผมไม่อยากหลุดเข้าไปในนั้น 

“มานี่ บอกให้ปล่อยไง” 

แต่ในเมื่อผมไม่ยอมปล่อยตามคำสั่งของพี่เก่ง พี่เก่งก็ทุบเข้าที่มือของผมที่เกาะเอาไว้แต่ในเมื่อทุบแล้วไม่ปล่อยพี่เก่งก็เลยแตะผมอัดเข้าไปกับกรอบประตูทำให้ขาของผมกระแทกเข้าไปกับขอบประตูอย่างจัง ตรงหัวเข่าของผมเกิดความเปียกชื้นที่กางเกงเนื่องจากมีน้ำอะไรสักอย่างซึมออกมาใน

ถ้าจะให้ผมเดาก็น่าจะเป็นเลือด แต่ผมก็ได้แต่เดาเพราะกางเกงนักศึกษาเป็นกางเกงสีดำผมจึงไม่เห็นสีที่ซึมออกมา ด้วยความเจ็บที่เกิดขึ้นนั้นเองที่ทำให้มือของผมหลุดจากขอบประตูอย่างที่พี่เก่งต้องการ พร้อมกับทรุดลงไปกับพื้นอย่างคนหมดแรง

“ปล่อยกู” 

ความเคารพที่ผมมีให้แก่คนๆ นี้หายไปหมดแล้ว คำสุภาพที่เอามาไว้ใช้กับคนที่เราเคารพรักและอยากเอาเป็นแบบอย่างถูกกลบกลืนไปด้วยความโหดร้ายที่คนคนนี้ได้สร้างมันเอาไว้ 

“กูบอกให้ปล่อย” 

ผมนึกว่าเรื่องที่ถูกเตะต่อยจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดของวันนี้ที่จะเกิดขึ้นกับผม แต่มันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ความเลวร้ายที่ผมเพิ่งเผชิญมันเป็นแค่จุดเริ่มต้น ความน่ากลัวที่แท้จริงกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อพี่เก่งเริ่มถอดเข็มขัดถอดกางเกงของตัวเองออก   

ผมใช้ช่วงเวลานั้นฮึดเอาแรงสุดท้ายพยายามลุกออกจากพื้นห้องนอนด้วยความหวังที่ว่าผมจะสามารถออกไปจากตรงนี้ได้ทัน

“มึงจะไปไหน”

เสียงของพี่เก่งคอยตะโกนให้ผมกลับไปที่เดิม ยิ่งเสียงของพี่เก่งดึงขึ้นมากเท่าไหร่ความหวาดกลัวและความอยากเอาตัวรอดก็ทำให้ผมเร่งความเร็วในการคลานของตัวเองมากเท่านั้น

ควับ เปรี้ย “โอ๊ยย”

เมื่อเสียงเรียกของพี่เก่งไม่สามารถหยุดผมลงได้ เสียงวืดที่สายเข็มขัดกำลังถูกฟาดผ่าอากาศลงมาที่ตัวและหัวของผมก็ดังขึ้น หัวของเข็มขัดกระแทกเข้าที่ศรีษะทางด้านหลังของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมเริ่มเกิดอาการมึนงง แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม ผมพยายามที่จะลุกขึ้นโดยที่ไม่สนว่าตอนนี้เลือดของผมกำลังออกมากแค่ไหน

เมื่อพี่เก่งเห็นว่าผมยังไม่ยอมแพ้ พี่เขาก็เดินมากระชากตัวของผมให้นอนลงและกระทืบลงที่หัวเข่าทั้งสองข้างของผมสลับไปมาอยู่ซ้ำๆ จนผมไม่สามารถลุกขึ้นไปจากตรงนี้ได้   

“โอ๊ย เจ็บๆ เจ็บ” 

พี่เก่งผลิกตัวของผมให้ผมให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา ในตอนนี้ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงที่ต่อสู้อะไรกับพี่เก่งอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ผมภาวนาว่าผมจะสามารถทำให้พี่เก่งหยุดมันได้ก็คือการขอร้อง   

ตลอดเวลาที่เก่งทำทุกอย่างตามใจชอบกับร่างกายของผม ผมได้แต่ร้องขอความเมตตาจากพี่เก่ง ผมเอาแต่ร้องขอและพร่ำบอกซ้ำๆ ว่า “อย่าทำผมเลย” พร้อมกับพนมมือที่สั่นเทานั้นไหว้ขอร้อง

“อย่าร้องไห้”

“ปล่อยผมไปเถอะ”

“มึงยังจะคิดไปจากกูอีกเหรอ?”

ในตอนแรกผมคิดว่ามันจะได้ผลเพราะพี่เก่งเลิกตบตีแล้วเปลี่ยนมาเป็นการลูบไปตามใบหน้าของผมแทน แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดผิดไป เมื่อผมขอร้องในช่วงที่พี่เก่งยอมอ่อนลง มือที่เช็ดน้ำตาเปลี่ยนมาเป็นบีบกรามของผมเอาไว้แน่น มันเจ็บจนผมต้องหยุดพูด

ในที่สุดพี่เก่งก็ฝืนเอาแต่ได้และเอาแต่ใจของตัวเองโดยการที่บังคับและยัดเยียดส่วนนั้นของเขาเข้ามาในตัวของผม แม้ผมจะพยายามบอกว่าเจ็บและดิ้นรนด้วยแรงที่ไม่มีโดยการผลักพี่เก่งออกไป แต่ไม่ว่าผมจะพยายามมากแค่ไหนผมก็ไม่สามารถหยุดความเลวร้ายนี้ลงได้ 

“เจ็บ กู เจ็บ ปล่อยกู ปล่อยกู....ไอ้เหี้ย ปล่อยกู ปล่อยกู...มึงมันเหี้ย”

“กูจะเลวให้เท่ากับที่มึงได้ยินมาเลย...ดีๆ ไม่ชอบ ในเมื่อเชื่อพวกมันมาก กูก็จะเลวแบบที่พวกมันพูด”

“ไอ้สัด ปล่อยกู”

 ความเจ็บปวดมันทำให้ผมต้องร้องโวยวายและด่าทอใส่พี่เก่งอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอหรือการร้องขอ ผมก็ไม่ได้รับความเมตตาจากคนๆ นี้ ยิ่งผมด่า เขาก็ยิ่งบีบคอของผมให้แน่นขึ้นจนผมเสียงของผมเริ่มหายไปแม้ว่าปากของผมยังคงทำงาน

แม้ว่าเลือดที่หัวจะออกจนมาเปลอะที่รอบดวงตาแต่ถ้าผมเห็นไม่ผิดผมเห็นว่าพี่เก่งหยิบมือถือขึ้นมาแล้วก็มาจ่อเอาไว้ที่ริมฝีปากคางและไล่ลงไปที่ลำตัวของผม   

“อย่า” 

ในห้วงความคิดสุดท้ายผมยังพยายามห้ามไม่ให้พี่เก่งทำร้ายผมไปมากกว่านี้  แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหน ผมจะสามารถปกป้องตัวเองได้ดีแค่ไหน

“พี่รักชิน พี่รักชิน”

“พี่ทำไปเพราะว่าพี่รักชิน...เป็นของพี่ พี่จะดูแลชิน อย่าทิ้งพี่ไปแบบคนอื่น... อย่า...”

ตลอดเวลาที่พี่เก่งทำร้ายผมพี่เก่งเฝ้าพูดแต่คำนี้ คำว่า “รัก” แต่สำหรับผมคำว่ารักในเวลานี้ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย มันเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับผ

ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ ผมเลิกดิ้นรนผมหลับตาลงปล่อยให้สิ่งรอบตัวมันเกิดขึ้นด้วยความหวังที่ว่ามันจะจบลงในอีกนาทีต่อมา ไม่รู้ว่าจะขอมากไปไหมแต่ผมเอาแต่เฝ้าภาวนาขอว่าการหลับตาของผมในครั้งนี้จะทำให้ผมหลับฝันไป

ขอให้ความเจ็บปวดนี้เป็นแค่ฝันที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอและก็ขอให้ตื่นขึ้นมาแล้วก็ให้ฝันร้ายนี้มันหายไปไม่ก็ขอให้ผมหลับไปตลอดการ

 แต่ผมก็ไม่สามารถหลับและฝันได้ตามที่หวัง ทุกความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทุกการสัมผัส ทุกการเคลื่อนไหวที่มีพี่เก่งเป็นคนควบคุมมันยังคงอยู่และผมก็ยังคงรับรู้มันจนถึงวินาทีสุดท้ายที่พี่เก่งปลดปล่อยทุกความเลวร้ายเข้ามาในตัวของผม

“พอแล้ว ...พอแล้ว”

ผมเองก็ไม่รู้เวลามันผ่านไปนานแค่ไหน เหตุการณ์เลวร้ายยังคงเกิดขึ้นวนอยู่ซ้ำๆ การปลดปล่อยความโกรธลงที่ตัวผมมันไม่ได้จบอยู่ที่ครั้งเดียว

ผมไม่รับรู้อะไรรอบตัวอีกเลย รู้เพียงแค่ว่าร่างกายของผมเปลี่ยนจากเจ็บเหมือนร่างจะฉีกจนแทบจะไม่ได้จนตอนนี้ผมแทบไม่มีความรู้สึกใดๆ หลงเหลืออยู่เลย   

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 8 - 12/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 12-07-2017 20:24:57
สงสารชิน :m15:
พี่เก่งเหมือนคนโรคจิตเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 8 - 12/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 13-07-2017 00:09:54
ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรอเก่ง ตอนแรกคิดว่าข่าวลืออาจจะเป็นแค่ข่าวลือไม่มีมูลก็ได้ แสดงว่าปราโมทย์อาจจะรู้อะไรมาถึงได้ถามเพื่อนว่า ถ้าเก่งไม่ได้เป็นแบบนี้หล่ะ เก่งทำกับชินแบบไม่ใช่คน ชินจะยังมีชีวิตอยู่รอดได้อีกมั้ย? ต่อให้ต้องลาออกจากที่เรียนก็มีปมในใจไปแล้ว ไม่ว่าจะเริ่มต้นใหม่ยังไงก็แย่มากกับชีวิตชินอยู่ดี แอบคิดว่าผู้แต่งอยากสะท้อนอีกมุมนึงของความคิดคน ปกติถ้าเจอสถานการณ์แบบเก่งชินถ้าเป็นเรื่องอื่นเค้าจะประกาศตัวคบกันรักกันเชื่อมั่นในกันและกันฝ่าฟันอุปสรรค แต่เรื่องนี้แตกต่างตั้งแต่ที่ชินมันเกรงใจเก่ง มองเก่งแค่พี่ชาย และไม่ได้ชอบเชิงชู้สาวเลย มันมาพีคตรงสันดานเก่งที่ปากบอกว่ารักแต่ทารุณชินหนักมาก แบบนี้โหดอ่ะ ตวามรู้สึกดีๆคงหายไปตั้งแต่ที่เก่งซ้อมชินแล้ว จะมีใครมาช่วยชินได้มั่ย? โมทย์หล่ะจะรู้รึป่าวว่าชินโดนกระทำอย่างกับไม่ใช่คนเจ็บปางตายแถมถูกข่มขืนอีก เรื่องอื่นข่มขืนคือกึ่งสมยอมเรื่องนี้มาแหวก ข่มขืนคือข่มขืนในสถานการณ์ที่โหดร้ายกับคนถูกกระทำมาก
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 8 - 12/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-07-2017 23:19:32
กดเข้ามาเพราะเห็นว่าแบดเอนด์แต่อ่านๆไปก็งงว่าจะแบดเอนด์ยังไง แต่ตอนนี้รู้ละ ไอ่พี่เก่งน่าจะเป็นโรคจิตเภทอะสมควรรักษา แล้วทำชินขนาดนั้นจะเป็นไงบ้างเนี่ย
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 8 - 12/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 16-07-2017 09:06:48
บทที่ 9

ในที่สุดพายุของการทำร้ายก็จบลงหลังจากที่พี่เก่งได้กระทำทุกอย่างจนพอใจ พี่เก่งล้มตัวลงนอนบนพื้นข้างๆ กันกับผม พี่เก่งดึงตัวผมเข้าไปกอด ร่างกายของผมเกร็งตัวไม่ยอมรับอ้อมกอดนั้นโดยอัตโนมัต แต่ยิ่งผมเกร็งตัวเท่าไหร่พี่เก่งก็ยิ่งพยายามดึงตัวผมให้เข้าไปชิดตัวของพี่เขามากขึ้นแล้วก็เป็นผมที่แพ้พี่เขาอีกครั้ง ความชาที่เกิดขึ้นมันจะทดแทนด้วยความเจ็บทุกครั้งที่ผมต้องเคลื่อนย้ายตัว

“พี่ขอโทษ...พี่ขาดสติไป พี่ขอโทษที่ทำให้ชินเป็นแบบนี้”

“.....”

“พี่ไม่อยากสูญเสียชินไป...อย่าได้คิดหนีไปจากพี่....ถ้าไม่อยากให้พี่ทำอะไรแบบนี้อีก...อย่าได้คิด...พี่ไม่อยากทำร้ายเราแบบนี้อีกแล้ว”   

เสียงคำพูดที่แผ่วเบาที่พูดกระซิบอยู่ที่ข้างหูของผมมันเหมือนเป็นเสียงตะโกนของคำสั่ง พี่เก่งเอาแต่พร่ำบอกว่าที่ทำไปเพราะ รักผม เพราะไม่ต้องการที่จะเสียผมไป แต่ไม่ว่าจะฟังมากเท่าไหร่ผมก็ไม่รู้สึกว่ามันคือการบอกรัก สำหรับผมแล้วคำเหล่านั้นมันก็คือคำสั่งให้ทำตามที่พี่เขาต้องการโดยที่ผมไม่ได้มีส่วนออกความคิดเห็นว่าต้องการหรือไม่

หลังจากที่พี่เก่งเอาแต่ออกคำวั่งที่ตามมาอีกมากมาย ในที่สุดพี่เก่งก็ยอมคล้ายอ้อมกอดที่รัดแน่นออกจากตัวของผม เสียงเบียดกันของเสื้อผ้าทำให้ผมรู้ว่าพี่เก่งกำลังขยับตัว ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พี่เก่งกำลังนั่งมองไปทางไหนหรือทำอะไรเพราะตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงหลับตาของผมอยู่อย่างนั้น 

“ลืมตาได้แล้ว”

“.....” 

“บอกให้ลืมตาไง” 

ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมไม่ควรขัดขืนถ้าผมไม่อยากเจ็บตัว แต่ร่างกายมันไม่ยอมทำตามที่ใจคิด ยิ่งพี่เก่งบังคับให้ลืมตามากเท่าไหร่ก็ยิ่งกลายเป็นว่าผมยิ่งปิดเปลือกตาของตัวเองให้แน่นขึ้น 

“เป็นบ้ารึไง ถึงต้องให้บังคับ?” 

พี่เก่งเขย่าตัวของผมไปมาจนในที่สุดความเจ็บปวดที่ได้รับก็ทำให้ร่างกายของผมลดการต่อต้านแล้วในที่สุดผมก็ยอมลืมตาขึ้นตามคำสั่งของพี่เก่ง

“เจ็บ...”

“พี่รู้ว่าชินเจ็บ เดี๋ยวพี่พาชินไปหาหมอ” 

“พี่...” 

เสียงของผมถูกเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก แต่ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นอีกเพียงโอกาสเดียวที่ผมจะสามารถออกไปจากตรงนี้ แล้วผมก็อยากเสี่ยงที่จะลองใช้มันดู 

“พี่อาบน้ำก่อนไหม? เสื้อยืดผมมีในตู้ ถ้าเราออกไปแบบนี้ทั้งคู่ ไม่ดีแน่เลยพี่ถ้าเกิดคนอื่นเห็นมันจะแย่” 

ในสายตาของพี่เก่งแสดงออกชัดถึงความลังเลในคำพูดชักจูงของผม เพราะเหมือนว่าพี่เขาไม่ต้องการปล่อยให้ผมคลาดสายตา ผมเลยต้องเน้นความมั่นใจให้กับพี่เขา

“ผมเจ็บแบบนี้ ผมไปไหนไม่ได้หรอกพี่”

“พี่ขอโทษที่ทำให้ชินเจ็บ...งั้นเดี๋ยวพี่อาบน้ำเสร็จพี่มาเช็ดตัวให้ชินก่อนแล้วเราค่อยออกไปหาหมอกัน” 

“ครับ”   

“อย่าคิดหนี...” 

“ผมจะไปไหนได้” 

หลังจากที่ต้องใช้เวลาในการกล่อมอยู่สักพัก ในที่สุดพี่เก่งก็ยอมผละตัวออกไปจากผม ทุกก้าวย่างของพี่เก่งคือความสำคัญ ผมรอลุ้นให้ได้ยินเสียงน้ำกระทบกับพื้นในห้องน้ำด้วยใจจดจ่อ เพียงแค่เสียงบิดของฝักบัวดังขึ้นผมก็พยายามพยุงตัวเองออกมาจากห้องนอน ตอนที่พยายามขยับตัวความเจ็บแล่นเข้าเล่นงานไปทุกส่วนของร่างกาย แต่แม้จะเจ็บแต่ผมต้องหอบเอาร่างกายนี้ออกไปจากตรงนี้ให้ได้ ผมท่องกับตัวเองอยู่แบบนั้นจนในที่สุดผมก็สามารถพยุงตัวขึ้นมาได้สำเร็จ

เมื่อลุกขึ้นมาได้ผมก็ไม่อยากเสียเวลาแม้เพียงเสี้ยวนาที ผมจึงไม่สนแม้กระทั่งจะหยิบอะไรใส่เพื่อปิดบังร่างกายท่อนล่างของตัวเอง ระหว่างความอายกับการขอให้รอดพ้นจากตรงนี้ความอยากหลุดออกไปของผมมันมีมากกว่า พอเริ่มลุกพยุงตัวได้มั่นคงผมจึงรีบลากขาพาตัวเองออกมาจากห้องนอนและตรงไปที่ประตูห้อง 

“ช่วยด้วย” 

ผมค่อยๆ เอาข้างที่ไม่เจ็บมากพยุงตัวเลื่อนลำตัวไปกับกำแพงพร้อมคอยส่งเสียงออกไปขอความช่วยเหลือ แต่ไม่น่าเชื่อในเวลาเย็นขนาดนี้เวลาที่ทุกคนควรจะเลิกเรียนและหลับมาที่หอแล้วผมกลับไม่พบใครที่ทางเดินสักคน

ความหวังว่าผมกำลังจะรอดเริ่มริบรี่ลงเรื่อยๆ เมื่อผมสามารถพาตัวเองมาถึงบันไดและมองเห็นขั้นบันไดที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยสภาพร่างกายของผมในตอนนี้ผมไม่มีทางก้าวขาลงไปที่ชั้นล่างได้แน่นอน

แต่จะให้ผมยอมทิ้งโอกาสและนั่งหยุดอยู่ตรงนี้เพื่อรอเวลาให้พี่เก่งมาเห็น ผมว่ายอมตกลงไปที่ขั้นบันไดจนถึงชั้นล่างสุดตรงนั้นผมยังจะรู้สึกดีเสียกว่า 

“เฮ้ย...มันเกิดอะไรขึ้น”

ผมไม่รู้ว่าผมตาฟาดหรือหูฟาดหรือเปล่า แต่ผมกำลังเห็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผมกำลังวิ่งขึ้นบรรไดมาหาผม แข้งขาของผมที่กำลังย่างก้าวลงบันไดขั้นแรกกำลังสั้นคลอนด้วยความไม่มั่นคง 

“ปราโมทย์....ช่วยเราที...ช่วยเราด้วย...ช่วยด้วย” 

ปราโมทย์ทิ้งของทุกอย่างที่ถือเอาไว้ในมือแล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดขึ้นมาแล้วเขาก็สามารถรับผมได้ทันห่อนที่ผมจะตกลงไป ทันที่ที่ได้เห็นหน้าเพื่อนสนิทและมั่นใจว่าเป็นเขาผมก็ทิ้งตัวนั่งลงที่ขั้นบรรไดขั้นนั้น แต่ก่อนที่สติของผมจะหมดไปผมบอกกับปราโมทย์เอาไว้ว่า 

“ไม่กลับไปที่ห้องนะ...อย่ากลับไป”

 ..................................

“ปล่อยกูๆ” 

“ชินลืมตา เราเองโมทย์ เราเอง” 

ผมหอบหายใจอย่างหนักทันทีที่รู้สึกตัวตื่น เมื่อกี้ผมฝัน ผมฝันว่าผมถูกพี่เก่งทำร้ายแต่พอตื่นขึ้นมาแล้วยินเสียงของปราโมทย์ผมก็ค่อยเบาใจว่าที่ผ่านมามันก็เป็นแค่ส่วนนึงของความฝัน 

แต่แล้วความจริงก็ตีเข้าแซกหน้าเมื่อความเจ็บกำลังเล่นงานผมไปทั้งตัว ผมปวดที่ศรีษะอย่างหนักแถมยังไม่สามารถยกมือขึ้นมาเพื่อมาจับศรีษะของตัวเองได้ ตามแขนมันล้าไปหมดโดยเฉพาะข้อนิ้วที่ผมไม่สามารถขยับเพราะถูกอะไรสักอย่างห่อหุ้มเอาไว้  ตรงที่ปลายขาผมก็เหลือบไปเห็นขาข้างนึงที่ถูกใส่เฝือกและห้อยเอาไว้ ส่วนอีกครั้งก็ถูกพันด้วยผ้าอะไรสักอย่าง

“เดี๋ยวเราเรียกหมอมาให้ก่อน... เราต้องแจ้งว่าเขาว่านายตื่นแล้ว” 

“ปราโมทย์...พ่อกับแม่เรา” 

“ยังไม่รู้เรื่องหรอกเพราะนายไม่มีอะไรติดตัวมาเลยแม้กระทั่งโทรศัพท์ แต่เราโทรไปบอกพ่อกับแม่เราแล้ว พ่อกับแม่เราเป็นคนทำเรื่องให้นาย แต่นายฟื้นอล้วเราคงต้องขอเบอร์ติดต่อกับบ้านนาย” 

“เรา เรา...เราไม่อยากให้ใครรู้”

“ไม่ได้หรอกชิน เรื่องนี้ยังไงก็ต้องบอก นายเจ็บหนักขนาดนี้แล้วไหนจะค่ารักษาอีกถ้านายไม่บอกนายจะเอาที่ไหนมาจ่าย?” 

“อื้ม” 

ผมรีบก้มหน้าหลบสายตาของปราโมทย์เพราะผมกลัวที่จะต้องตอบคำถาม ผม ยังไม่อยากเล่าถึงมัน มันทั้งเจ็บปวดและเจ็บใจที่ปราโมทย์เองก็เคยพูดเตือนผมแล้วเรื่องของพี่เก่งว่าให้ผมมองให้ดีแต่เป็นผมเองที่เป็นคนโง่ที่ดูคนไม่ออกจนทำให้เรื่องราวมันเป็นแบบนี้   

แล้วปราโมทย์ก็ทำให้ผมผิดคาดอีกครั้ง จากคิดว่าปราโมทย์จะรีบสอบถามถึงสาเหตุว่าเพราะอะไรทำไมเขาถึงมาเจอผมในสภาพนี้ แต่ปราโมทย์กลับไม่ตั้งคำถามกับผมเลยสักคำ

“งั้นเราออกไปบอกพยาบาลก่อน”

..................................................................................................

 “ขออณุญาตครับ ผมเป็นหมอเจ้าของไข้ครับ” 

“สวัสดีครับ” 

ผ่านไปไม่นานในห้องของผมก็เต็มไปด้วยนางพยาบาลสองคนพร้อมกับคุณหมอผู้ชายอีกหนึ่งคน พยาบาลต้องการที่จะเปิดแผลและเช็ดแผลของผม เป็นผมที่อิดออดไม่ยอมให้ความร่วมมือ แต่พอพยาบาลได้อธิบายว่าที่เขาต้องการก็คือเช็คแผลทางช่องทางด้านหลังที่เกิดการฉีกขาดอย่างรุนแรง เพื่อป้องกันไม่ติดเชื้อ คำว่าติดเชื้อทำให้ผมหน้าซีดแล้วทำให้ผมต้องยอมตกลงแต่โดยดี 

“คุณพยาบาลพอก่อนๆ ผมว่าเคสนี้คงต้องขอแรงหมอผู้หญิง” 

ผมก็ไม่อยากทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากแต่ทันทีที่ผมเห็นว่าคุณหมอผู้ชายจะเป็นคนที่ก้มดูรายละเอียดแผลตรงนั้น แค่เพียงคุณหมอเอามือที่มีถุงมือกำลังจะแตะลงที่ร่างกายของผม ร่างกายผมก็เกร็งตัว ขาทั้งสองดีดออกไปข้างหน้าพร้อมกันโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจผมแค่ไม่ต้องการให้คุณหมอมาสัมผัสตัวของผม

ผมถีบดื้นรนการตรวจจนข้างที่ต้องใส่เผือกตรงช่วงหัวเขาไปกระแทกกับราวเตียงคุณหมอจึงต้องหยุดมือและบอกให้พยาบาลแต่งตัวให้ผมให้เรียบร้อย 

“ผมขอโทษครับ คุณหมอ” 

“ไม่เป็นไรครับ...ผมเข้าใจ”   

เพียงไม่นานคุณหมอผู้หญิงก็เดินเข้ามาสมทบและเริ่มลงมือเป็นคนตรวจร่างกายของผมด้วยตัวเอง ซึ่งทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี 

 ในตอนแรกปราโมทย์บอกว่าจะออกไปรอข้างนอกแต่เป็นเพราะว่าในห้องนี้ทั้งหมดสำหรับผมแล้วพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าผมเลยขอร้องให้ปราโมทย์ยังอยู่ในห้องนี้   

“หมอถามได้ไหมคะ ว่าเหตุการ์ณนี้เกิดมานานแค่ไหนแล้ว?” 

ผมเงียบไม่มีคำตอบให้กับคุณหมอเพราะตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่า ณ ตอนนี้คือวันที่อะไรและเวลากี่โมง ปราโมทย์คงจะรู้ว่าผมคิดอะไรจึงเป็นคนขอตอบเอง 

“ถ้าจากตอนที่ผมพาเขามาโรงพยาบาลตอนนี้ก็ผ่านไป 5 ชั่วโมงครับ แต่ก่อนหน้านั้นผมไม่แน่ใจ ชินก่อนที่นายจะมาเจอเรา มันเกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว?” 

“เราก็ไม่รู้... ผมไม่รู้ครับ...ไม่รู้” 

“คือ หมอเข้าใจนะคะว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับคนไข้ แต่เราต้องช่วยหมอด้วย เพราะเท่าที่ตรวจจากบาดแผลร่างกายหมอค่อนข้างแน่ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องการมีเพศสัมพันธ์แบบทั่วไป แล้วที่หมอต้องถามก็เพราะถ้าเหตุการ์ณนี้มันยังคงอยู่ภายใน 72 ชั่วโมงก็จะถือว่าเรายังโชคดีมากๆ แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องการรักษาอาจจะต้องเปลี่ยนไปในอีกรูปแบบนึง” 

“ถ้าจากที่ผมเจอกับเพื่อนจนมาถึงตอนนี้แค่สี่ชั่วโมง ผมมั่นใจว่ายังไม่ถึง 72 ชั่วโมงครับ” 

“แล้วคนที่คนไข้มีเพศสัมพันธ์ด้วยเป็นรู้จักรึเปล่าคะ?” 

“…..” 

“เขาเป็นคนที่คุณมีเพศสัมพันธ์ด้วยมานานแล้วรึว่าเพิ่งจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรกคะ?” 

“ไม่รู้ครับ.... ไม่รู้ไม่รู้ๆๆๆๆๆ” 

“ชินใจเย็นๆ” 

“ปล่อย”

“หายใจค่ะ หายใจ มองหน้าหมอค่ะ”

ผมสะบัดมือของปราโมทย์ออกอย่างไม่ใยดี ทุกอย่างในห้องเริ่มโกลาหลอีกครั้งเสียงที่ลอยมาจากคุณหมอทำให้ผมรู้ตัวว่าผมกำลังไม่หายใจ

รู้ทั้งรู้แต่มันกลับเป็นเรื่องยากที่จะทำ ไม่ว่าคุณหมอจะพูดยังไงผมก็ยังคงเกร็งตัวและไม่ยอมหายใจ พอผมหายใจไม่ออกผมก็เริ่มดิ้นหนักขึ้นเพื่อเอาตัวรอด

ผมพยายามยามแล้ว พยายามที่คว้าอากาศเข้าปอดแต่มันอยากเหลือเกินมันเหมือนผมกำลังจะจมน้ำ เหมือนไม่ว่าจะพยายามหายใจเท่าไหร่ผมก็ไม่สามารถเอาอากาศเข้าไปได้ตามที่ต้องการ

พยาบาลผู้หญิงอีกคนถูกเรียกเข้ามากระทันหัน เธอเดินเข้ามาจับที่หน้าของผมและมองมาที่ตาของผมและพยายามบอกให้ผมทำตามอย่างที่เขาบอก 

“นับเลขตามหมอนะคะ 5 9 11 7 2” 

“ห้า เก้า....”   

ไม่น่าเชื่อว่าแค่การนับเลขตามคำบอกมันจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากและทำไม่ได้ แต่คุณหมอก็ไม่ลดละความพยายามยังคงพูดเลขเหล่านั้นซ้ำๆ จนผมสามารถพูดออกมาได้ 

“โอเค เอาน้ำมาให้หน่อยค่ะ”   

“นี่ค่ะ ดื่มน้ำก่อนค่ะ” 

“ขอบคุณครับ”

คุณหมอปล่อยให้ผมได้พักดื่มน้ำจนพอเห็นว่าผมสามารถปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติได้คุณหมอก็เริ่มพูดคุยกับผมอีกครั้ง พร้อมกับคุณพยาบาลคนล่าสุดที่ยั่งประกบข้างด้วย

“หมอรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยามากๆ เอาไว้ถ้าเราพร้อมแล้วเราค่อยพูดกับหมอก็ได้ค่ะ”

“แต่ยังไงเราก็ตอบคำถามของหมอเพราะมันเป็นเรื่องที่รักษาตัวของเรา ถ้าพร้อมแล้วบอกหมอนะคะ ถ้ามีอะไรอยากเล่าให้พี่ฟังก็สามาถเราเป็นการเป็นส่วนตัวได้เลยค่ะ”  พยาบาลพูดเสริมคุณหมอขึ้นมาอีกที

“ผมถูกหักหลัง เขาคือรุ่นพี่ของผม….ผม ผม ผม” ผมอยากเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับพยาบาลกับคุณหมอได้ฟังแต่ทุกครั้งที่ผมคิดถึงมันผมรู้สึกหวาดกลัวเกินกว่าที่จะพูดมันออกมา

“ไม่เป็นไรค่ะ ใจเย็นๆ นะคะ ไว้เล่าเมื่อพร้อมก็ได้ค่ะ แต่ว่าอาจจะต้องมีคำถามสักสองสามข้อที่จำเป็นกับการรักษา ลองพยายามกันดูหน่อยนะคะ”

“ครับ”

“คนๆ นี้เคยมีเพศสัมพันธ์กับเรามาก่อน หรือนี้คือครั้งแรกคะ?” 

“ครั้งแรกครับ” 

“เหตุการณ์เลย 72 ชั่วโมงมารึยังคะ?”
“ยังครับ”

“ถือว่าโชคดีนะคะ หมอเองก็ไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใครมาจากไหนและเคยได้รับการตรวจโรคมาก่อนรึเปล่า แบะเป็นเพราะครั้งนี้ไม่ได้มีการป้องกันเพราะฉะนั้นก็เป็นไปได้ที่จะมีโอกาสติดเชื้อ หรือ โรคบางอย่างจากคนนั้น” 

“ครับ” 

“เพราฉะนั้นสิ่งแรกที่เราควรเริ่มจากตอนนี้ก็คือหมอจะจ่ายยาที่มีชื่อเรียกว่ายา Pep ให้นะคะ เคยพอรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหมคะ?” 

“ไม่เคยครับ” 

“ยาเป๊ป เป็นยาต้านไวรัสชนิดนึงค่ะ ต้องทานยานี้ติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือนควบคู่ไปกับยาต้านไวรัสชนิดอื่นอีกสองสามชนิดค่ะ” 

“ครับ” 

“ยาตัวนี้อาจจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย ในกรณีที่ผู้ที่ได้รับยาเกิดมีผลข้างเคียงอาจจะทำให้เราไม่สามารถไปเรียนได้สักพัก หรืออาจะต้องใช้เวลาให้ร่างกายได้ปรับตัวสักหน่อย ช่วงแรกหมอขอแนะนำว่าไม่ควรอยู่คนเดียว”

“ครับ”

“ไม่ทราบว่าอาศัยอยู่กับครอบครัวรึเปล่าคะ?” 

“ปกติอยู่หอครับ” 

“สะดวกที่จะย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านในช่วงแรกก่อนไหมคะ?”

“ผม...ไม่แน่ใจครับ”

“ถือซะว่าเป็นการดูแลรักษาแผลของเราเองด้วย เพราะร่างกายอาจจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกมากนัก” 

“ครับ” 

“นอกจากเรื่องนี้แล้ว หมอกับพยาบาลมีเรื่องอยากถามอีกสักข้อ” 

“ครับ?” 

“อยากแจ้งความไหมคะ?” 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 9 - 16/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 22-07-2017 12:52:49
บทที่ 10
“ผม.....ไม่ทราบครับ”

“ยังไงลองปรึกษาทางครอบครัวดูก่อนได้ค่ะ ถ้ามีอะไรให้พี่หรือคุณหมอช่วยก็แจ้งได้เลยทุกเมื่อเลยนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากบทสนทนาเบื้องต้นจบลงและผมก็สามารถสงบลงได้มาก คุณหมอก็ทำการตรวจร่างกายของผมอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนที่จะออกไปจากห้องพัก

แผลที่ดูคุณหมอจะเป็นกังวลมากที่สุดก็น่าจะเป็นแผลที่ศรีษะพร้อมทั้งแผลที่ทางด้านหลังของผม คุณหมอเตือนให้ผมแจ้งอย่างรวดเร็วถ้าเกิดมีอาการผิดปกติหรือรู้สึกเจ็บปวด อย่าได้ทนเพราะคุณหมอกลัวว่าจะเกิดการติดเชื้อแล้วอาการของผมจะแย่ลงกว่าเดิม

.....................................................................

“เมื่อกี้เราขอโทษนะที่สะบัดปราโมทย์ออก” 

“ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก เราติดต่อครอบครัวนายได้แล้วนะ อีกไม่นานที่บ้านนายก็คงมาถึง” 

“ขอบคุณนะ” 

“ก็เพื่อนกัน”   

แม้ว่าจะเริ่มดึกแล้วปราโมทย์ก็ไม่ยอมไปไหน ผมออกปากให้ปราโมทย์กลับไปแต่ปราโมทย์ก็ไม่ยอม ยังคงนั่งอยู่เงียบๆ เป็นเพื่อนของผม ปราโมทย์ยอมขอตัวกลับบ้านก็ตอนที่แม่ของผมมาถึงที่โรงพยาบาล

“ชินลูกแม่ ลูก”

ทันทีที่แม่เห็นผมแม่ก็เอาแต่ร้องไห้ น้ำตาของแม่ที่ไหลออกมามันทำให้ผมเสียใจ เสียใจที่ไม่ระวังตัวเองให้มากกว่านี้เสียใจที่เป็นต้นเหตุให้แม่ต้องทุกข์  เสียใจที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองจากเหตุการณ์นี้ได้

“เล่าให้แม่ฟังได้ไหมลูก? แม่อยากรู้” 

“เขาเป็นรุ่นพี่ผมครับแม่”

“ก่อนหน้านี้เราสนิทกันมาก แต่ว่าพักหลังเกิดเรื่องที่ทำให้เราไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน เราไม่ได้คุยกันมาสักพักแล้ววันนี้พี่เขามาหา แล้วพี่เขาก็ ก็ ก็…”

ทุกครั้งที่ผมพยายามที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมจะรู้สึกถึงมือของพี่เก่งที่คอยบีบคอของผมเอาไว้ นึกถึงตอนที่พี่เก่งบังคับและฝืนสอดใส่เข้ามาตัวของผม นึกถึงคำที่บอกว่ารักแม้ว่ามือของเขาจะคอบบีบคอและทุบตีผมอยู่ก็ตาม ภาพเหล่านั้นมันยังคงชัดเจน ชัดซะจนผมเหมือนมันกำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้   

“แม่ แม่ ช่วยด้วย ชิน ชิน” 

“พอแล้วชิน พอแล้ว แม่อยู่นี่ๆ”

“คุณหมอค่ะๆ” 

เสียงที่แม่ทั้งกดออดทั้งตะโกนเรียกคุณหมอให้วุ่นวายไปหมดเริ่มดังขึ้นเมื่อผมเริ่มออกปากขอความช่วยเหลือจากแม่ ผมรู้ว่าผมอยู่ที่โรงพยาบาลโรงพยาบาลที่ไม่มีพี่เก่ง ผมรู้ว่าแม่อยู่ตรงนี้ทั้งอ้อมกอดที่แม่กอดผมอยู่และเสียงของแม่ที่ดังอยู่ใกล้ตัวของผม แต่ผมไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองให้หยุดได้

ความกลัวที่เกิดขึ้นมันไต่ระดับขึ้นตามวินาทีที่ผ่านไป ความกลัวและความรู้สึกไม่ปลอดภัยทำให้ผมกลับมาหายใจไม่ออกอีกครั้ง มือของพี่เก่งยังคงอยู่ที่รอบคอของผมและไม่ว่าผมจะพยายามแกะมันออกเท่าไหร่มันก็ไม่หลุดออกไปจากคอของผมสักที

คุณหมอเข้าห้องมาพร้อมกับเครื่องช่วยหายใจ คราวนี้คุณหมอไม่ได้บอกให้ผมนับเลขเหมือนครั้งแรกแต่เป็นการเอาอ๊อกซิเจนใส่ครอบเข้ามาให้ผมแม้จะต้องใจที่อยู่ก็โดนอะไรมาครอบลงตรงหน้าแต่เสียงของแม่ที่คอยบอกให้ผมหายใจพร้อมกับพี่พยาบาลอีกคนที่คอยบอกอยู่ข้างๆ ทำให้ผมยอมสูดเอาอากาศจากสิ่งแปลกปลอมนั้นและนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น พอคุณหมอเห็นว่าผมเริ่มหายใจได้เอง คุณหมอก็ถอยออกไปเหลือเพียงแค่ผมกับพี่พยาบาลคนนึง

“ยังไง หมอขอเชิญคุณแม่คุยด้วยนิดนึงนะคะ” 

ตอนที่สายตาของผมชำเลืองเห็นว่าแม่กำลังเดินตามหมอออกไปผมเกิดอาหารประหม่าไม่อยากอยู่คนเดียวในห้องนี้ขึ้นมาผมจึงเอื้อมมือไปแตะแม่เอาไว้ 

“ไม่เอา”  ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบว่าผมไม่อยากให้แม่อยู่ห่างจากตรงนี้

“เอ่อ คุณหมอค่ะ คุยกันในห้องนี้ได้ไหมคะ?” 

“ได้ค่ะ แต่เชิญออกมาจากเตียงนิดนึงนะคะ คนไข้จะได้พักผ่อน”

“แม่ยังอยู่ในห้องนะชินลูก”

ผมพยักหน้าและยอมปล่อยมือออกจากตัวของแม่ในที่สุด   

แม้ว่าคุณหมอจะพยายามอธิบายแม่ด้วยเสียงที่เบาแต่ด้วยสภาพในห้องที่เงียบทำให้ผมยังคงสามารถจับใจความในสิ่งที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันได้

คุณหมอบอกว่าผมอาจจะเป็น Panic attack ซึ่งมันก็อาจจะเป็นผลของเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าร่างกายหายดีแล้วคุณหมออยากจะแนะนำให้ผมเข้าพบกับหมอทางด้านจิตวิทยาเพื่อเป็นการตรวจเช็คให้แน่ใจเพื่อที่จะได้รักษาได้อย่างถูกต้อง

“โรคที่หมอว่านี้สามารถหายได้ด้วยตัวของคนไข้เองหรือในบางรายก็ต้องพึ่งการรักษาโดยการใช้ยาเข้าช่วย ยังไงให้คุณหมอเฉพาะทางตรวจดูอีกทีน่าจะเป็นผลดีที่สุดค่ะ”

“ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ”

“แล้วก็นี่คือยา Pep ค่ะ”

“มันคือยาอะไรคะ?”

คุณหมอหันมาหาผมที่ยังคงมองทั้งสองคนโดยที่แทบไม่กระพริบตา คุณหมอเดินกลับมาที่เตียงพร้อมทั้งยื่นยามาให้ผมกิน พร้อมทั้งยังอธิบายเกี่ยวกับตัวยาและก็ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ให้ผมกับแม่ฟัง

ในช่วงแรกที่ผมรับยาต้านไวรัสมาทานผมยังไม่ได้รู้สึกถึงผลกระทบเหมือนที่คุณหมอเตือนเอาไว้ ผมยังสามารถนั่งดูแม่ที่กำลังยืนคุยกับคุณหมออยู่ที่อีกมุมห้องได้ตามปกติ

แต่พอเวลาผ่านไม่มานานผมรู้สึกเหมือนใครกำลังเอาด้ามค้อนมาทุบที่หัวของผมมันปวดหัวไปหมด ผมไม่รู้ว่าผมจะอธิบายถึงอาการปวดนี้ว่าอย่างไร ผมพยายามที่จะอดทนเพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วงไปมากกว่านี้แต่แล้วผมก็ทนกับอาการปวดหัวนี้ไม่ไหวกลายเป็นว่าผมอาเจียนออกมาจนเปรอะผ้าห่มและตัวเอง โชคดีที่ผมไม่ได้ทานอะไรของที่ออกมาจึงมีแต่น้ำ 

“ชินลูก คุณหมอค่ะลูกดิฉันเป็นอะไรคะ?” แม่ผละตัวที่กำลังคุยกับคุณหมอและพุ่งมาที่เตียงอย่างรวดเร็ว 

“มีหลายสาเหตุค่ะ เดี๋ยวยังไงดิฉันคงต้องขอตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะมันเป็นไปได้ทั้งผลข้างเคียงของยาที่ได้รับไป แต่เนื่องด้วยคนไข้มีไข้อยู่แล้วจากร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะมีแผลลึกที่ศรีษะและทางด้านหลัง ดังนั้นเลยอาจจะเป็นอาการร่วมค่ะ” 

พยาบาลต้องเอาชุดเข้ามาให้ผมเปลี่ยนและก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูและผ้าห่มใหม่ทันหมด ผมเองก็ต้องให้แม่ลำบากพยุงเข้าไปทำความสะอาดตัวในห้องน้ำ

พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแม่ก็หันไปแจ้งความจำนงกับคุณหมอ มือของแม่สั่นเทาทุกครั้งที่ต้องลากผ่านหรือไปโดนล่องลอยที่เหลืออยู่ที่ตัวของผมจนในที่สุดผมก็ต้องเห็นแม่ของผมร้องไห้เพราะผมอีกครั้ง

"ดิฉันจะแจ้งความค่ะ ยังไงดิฉันรบกวนขอใบรับรองจากทางแพทย์ด้วยนะคะ" 

"ได้ค่ะ" 

"แม่…ถ้าแจ้งความคนอื่นก็ต้องรู้ ผมไม่อยากแจ้งความ ผมไม่อยากให้ใครรู้ แม่ ผมไม่อยาก ไม่แจ้งได้ไหมแม่? ไม่ทำแบบนั้นได้ไหม?"

“ยังไงหมอขอตัวก่อน แล้วถ้าตกลงได้เรื่องอย่างไรสามารถแจ้งหมอได้เลยค่ะ”

คุณหมอขอตัวออกไปจากห้องพัก แม่เองก็ไม่ได้รับปากว่าจะทำตามความต้องการของผมแม่บอกแค่ว่าเดี๋ยวจะรอให้พ่อมาก่อนแล้วเรามาพูดเรื่องนี้กันอีกที 

“ยังไงก็ต้องทำ คุณอย่าตามใจลูก…”

ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวตื่นก็ตอนที่ผมได้ยินเสียเหมือนพ่อกับแม่กำลังคุยกัน พอลืมตาขึ้นมามองก็พบว่าพ่อกำลังยืนคุยกับแม่ที่มุมห้องอยู่จริงๆ ผมไม่ได้ฝันไป

“พ่อ”

“ชิน เป็นไงบ้างเรา”

“ผม โอเคครับ”

ความเป็นจริงผมอยากบอกพ่อเหลือเกินว่าผมเจ็บมากแค่ไหน แต่ผมต้องพยายามทำเป็นไม่เจ็บเพราะผมยังจำได้ว่าก่อนที่ผมจะหลับแม่พูดเรื่องเกี่ยวกับการแจ้งความซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมไม่ต้องการและผมก็คิดเอาว่าถ้าผมไม่เจ็บเรื่องมันก็จะจบอยู่เพียงเท่านี้

"ชิน พ่อกับแม่คุยกันแล้ว ฟังพ่อนะเขาคือคนผิด แล้วเราจะปล่อยให้คนผิดอย่างเขาทำอย่างนี้กับลูกและหายไปหรืออย่างไร?" 

"การดำเนินคดีมันเพื่อตัวของลูกเองนะ" 

“แต่ผม ... ผมไม่อยากให้ใครรู้”

“ชินฟังพ่อนะ”

“ผมไม่เจ็บแล้ว ไม่เจ็บแล้วจริงๆ ครับ”

“ชิน เขาทำกับลูกขนาดนี้ ลูกไม่กลัวว่าเขาจะไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีกเหรอ? นอกจากจะเพื่อตัวลูกเองแล้วที่ในอนาคตเขาจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับลูกอีก ทุกอย่างที่ตัดสินใจในวันนี้ก็เพื่ออนาคตข้างหน้าด้วยนะลูก”

“ผม”

“ถือว่าลูกได้สู้เพื่อตัวเอง”

“ครับ…” แล้วผมก็จำต้องยอมตกลง

สองวันต่อมาพ่อกับแม่มาทำเรื่องให้ผมออกจากโรงพยาบาลชั่วคราวเพื่อที่จะออกไปดำเนินการแจ้งความ ตลอดการเดินทางจากโรงพยาบาลไปที่โรงพักใจของผมสั่นมือของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ   

"ผมพาลูกชายมาแจ้งความเรื่องคดีข่มขืนและทำร้ายร่างกายครับ" 

"เชิญครับ" 

ร้อยเวรนายนั้นมองตรงมาที่ผมและเชิญผมให้เขาไปใกล้ๆ แม่เลยต้องเข็ญรถเข็ญมาให้ชิดกับโต๊ะ   

"กรุณาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังด้วยครับ" 

"วันนั้นผมก็กลับเข้าหอตามปกติ แต่ก่อนที่เข้าไปในหอพี่เขาก็เข้ามาทัก" 

"ขอชื่อของคนนั้นด้วยครับ" 

"..." 

"คุณครับ รบกวนขอชื่อคนนั้นด้วยครับ" 

"เก่งชัย รัตนาวงค์" 

"เชิญเล่าต่อเลยครับ" 

"หลังจากนั้นพี่เขาก็ขึ้นมาที่ห้อง..." 

ผมพยายามตั้งสติและเล่าตามสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่เล่าถึงมันเหมือนกับผมไปยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้งไปยืนอยู่ที่ใต้หอ ความเจ็บที่มันเริ่มจางหายไปเหมือนมันจะกลับมาเมื่อภาพทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นอยู่ในหัวของผม

คอที่โดนบีบแม้ตอนนี้จะเหลือแค่รอยช้ำแต่ผมกลับรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนมือของพี่เก่งกำลังยังกำอยู่ที่รอบคอของผม ทางด้านหลังของศรีษะก็เหมือนกำลังถูกตีด้วยหัวเข็มขัดซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลา

ผมทำไม่ได้ ผมไม่ไหวแล้ว ผมเจ็บเหลือเกินผมทนเห็นภาพตัวเองเมื่อสองวันก่อนไม่ได้อีกแล้ว ผมจึงหยุดการเล่าไว้เพียงแค่พี่เก่งลากผมเข้าไปที่ห้องนอน

“ผมทำไม่ได้” 

"ไม่เป็นไรลูกๆ"   

"ผมเล่าไม่ได้แล้ว ผมเล่าไม่ได้แล้ว ไม่เอาแล้ว ผมไม่เจ็บแล้ว ผมไม่เอาแล้ว ผม ผม" 

แม่ดึงตัวของผมที่เริ่มสั่นเข้าไปกอดเอาไว้ และวันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าผมเป็นไอ้ขี้แพ้เป็นคนที่ไม่สามารถจะต่อสู้อะไรได้แม้กระทั่งจะสู้เพื่อตัวเอง เมื่อผมเย็นนายตำรวจคนนั้นก็เริ่มที่จะถามคำถามกับผมต่อ

"แล้วไม่ทราบในตอนนั้นมีใครอยู่ด้วย หรือ มีใครเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้างไหมครับ?" 

“ไม่มีคนอยู่กับผมครับ แต่ผมมาเจอเพื่อนของผมตอนที่ผมพยายามหนีออกมาจากห้องของตัวเองครับ"

“งั้นยังไงก็ต้องรบกวนขอชื่อและเบอร์ติดต่อของเพื่อนของคุณด้วย เพราะเขาก็อาจจะเป็นหนึ่งในพยานในครั้งนี้ได้ แต่อย่างไรเสียนอกจากผลของใบรับรองแพทย์ที่ได้มาอยู่ในมืออันนี้ หรือแม้ว่าเพื่อนของคุณจะให้ปากคำที่เป็นประโยชน์แต่มันก็จะไม่มี
น้ำหนักพอถ้าเรื่องราวที่เหลือมันไม่ได้ออกมาจากปากของคุณ”

“ครับ” 

ผมใช้เวลารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มจึงสามารถทำเรื่องออกมาจากโรงพยาบาลได้ แต่คุณหมอขอให้มาเช็คร่างกายในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้ติดโรคร้ายมาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ 

ปราโมทย์เป็นคนทำเรื่องลาให้ผมกับอาจารย์แถมก็ยังแวะเอาชีทเรียนมาให้ผมทุกวัน ในตอนแรกผมไม่กล้าสู่หน้าปราโมทย์เพราะพอร่างกายผมเริ่มหายดีผมก็จำได้ว่าปราโมทย์มาเจอผมในสภาพไหน

ผมไม่แน่ใจว่าปราโมทย์จะมีความรู้สึกรังเกียจผมบ้างไหมเพราะตลอดเวลาที่ปราโมทย์แวะมาหาปราโมทย์มักจะพยายามรักษาระยะห่างระหว่างผมกับเขาเอาไว้เสมอเลยทำให้ผมพูดคุยกับปราโมทย์น้อยลงกว่าที่เคย

โชคดีที่นิ้วมือและหัวเข่าไม่ได้มีการแตกหักเพราะฉะนั้นแค่อยู่นิ่งๆ เพิ่มอีกสองสามวันทุกอย่างก็ดูเข้าที่เข้าทางและจากผลเอ๊กซเรย์ก็โชว์ให้เห็นว่าทั้งเส้นเอ็น กล้ามเนื้อและกระดูกของผมไม่มีปัญหา

ส่วนช่องทางด้านหลังของผมก็เริ่มหายเป็นปกติจนสามารถขับถ่ายได้ด้วยตัวเอง ผมจึงเหลือแค่แผลที่หัวที่ยังคงต้องไปล้างแผลทุกวัน

ตั้งแต่ผมกลับมารักษาตัวที่บ้านแม่ก็ขอลาพักร้อนยาวเพื่อออกมาดูผมให้เต็มที่ เพราะนอกจากผลข้างเคียงของยาที่ทำให้ผมมึนและอาเจียนบ้างในบางครั้ง สิ่งที่ผมเป็นโดยที่ไม่รู้ตัวคือผมก็ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้อีกเลย ถึงแม้ผมกำลังอยู่ในบ้านของตัวเองก็ตามไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือกลางคืนก็ต้องมีคนอยู่กับผม เพราะฉะนั้นในทุกคืนพ่อหรือแม่จะต้องสลับมานอนเป็นเพื่อนผมที่ห้องเพราะถ้าผมเกิดตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่เจอใคร โรคพานิคของผมจะกำเริบขึ้นทันที 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 10 - 22/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 22-07-2017 16:04:34
ฮืออ สงสารT.T
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 10 - 22/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 22-07-2017 21:53:19
สงสารมาก เป็นนิยายที่สะท้อนอีกด้านของนิยายทั่วๆไปจริงๆ ถ้าคนมันโดนกระทำแบบไม่เต็มใจเค้าคงรู้สึกแบบนายเอกเรื่องนี้แหละยากที่จะรักคนที่สร้างบาดแผลให้เรา มันไม่โรแมนติกเลยปราโมทย์คงไม่ได้รังเกียจหรอกแค่เห็นผวาเลยเว้นระยะให้เพื่อนเฉยๆ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 10 - 22/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 30-07-2017 12:44:17
บทที่ 11

บ่ายวันเสาร์แม่กับพ่อบอกว่าวันนี้จะมีทนายคนที่เป็นเพื่อนของพ่อมาหาที่บ้านเพื่อมาคุยกันถึงเรื่องคดี ผมพยายามต่อรองพร้อมทั่งอ้างเหตุผลมาอีกมากมายที่จะไม่ต้องอยู่เจอแต่พ่อกับแม่ก็ไม่ยอมให้ผมได้ทำตามใจอยาก

ก่อนที่จะได้ออกมาจากโรงพยาบาลผมเห็นว่าพ่อกับแม่เงียบไปถึงเรื่องนี้ผมก็นึกว่าทุกอย่างมันจะจบอยู่แค่นั้น จบที่สถานีตำรวจไม่นึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันยังไม่เคยจางหายไปจากใจของท่านทั้งสอง

เสียงแตรที่ถูกบีบโดยอาพุฒที่หน้าบ้านมันทำให้จังหวะเต้นของหัวใจของผมเต้นเร็วขึ้น เหงื่อของผมเริ่มออกมาเต็มแผ่นหลังและฝ่ามือ

“ไงชิน จำอาได้ไหม?”

“สวัสดีครับอาพุฒ”

อาพุฒทำให้ผมสบายใจอละรู้สึดลืมเรื่องเหล่านั้นไปได้สักพักโดยการที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องคดีตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในบ้าน อาพุฒชวนผมคุยพร้อมกับถามไถ่ถึงเรื่องทั่วไปก่อนที่จะวนกลับมาสู่เรื่องที่ผมไม่อยากเล่ามากที่สุด

“ไหนชินลองเล่าให้อาฟังหน่อยว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”

“ผมเล่าให้พ่อกับแม่ฟังไปแล้วครับ”

“แต่อาอยากฟังอีกครั้ง อาอยากฟังโดยละเอียด”

“ละ...ละเอียดแค่ไหนครับ?”

“ชินลองเริ่มจากคนนั้นเข้ามาเจอชินยังไง? เริ่มทำร้ายชินยังไง? เริ่มต่อสู้กันแบบไหนบ้าง? ชินได้ทำอะไรเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองไหม?”

“...”

ผมก้มหน้าเอาคางชิดอกกำมือเอาไว้แน่นจนเล็บจิกลงไปที่ฝ่ามือ ทำไมทุกคนต้องมาถามเรื่องนี้กับผม? ทำไมต้องมาทำให้ผมรู้สึกไม่ดี? พวกเขาไม่รู้เหรอไงว่าผมไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น? พวกเขาไม่รู้เหรอว่ามันเลวร้ายและผมยังคงเจ็บปวดกับมันอยู่

ที่ผมไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือทำไมต้องอยากให้ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทั้งพ่อทั้งแม่ หมอ ตำรวจ รวมมาถึงอาพุฒ ทุกรายละเอียดก็ถูกเขียนประจานอยู่ในกระดาษใบนั้นที่ผมลงมือเขียนเองกับมือแล้ว

หรือว่าที่จริงแล้วพวกเขาก็แค่ต้องการตอกย้ำให้ผมรู้ว่าผมเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ หรือว่าที่จริงแล้วพ่อโกรธผมที่วันนั้นผมโกหกออกไปว่าผมไม่เจ็บ หรือว่าแม่เองก็โกรธที่ผมไม่ยอมพูดอะไรต่อหน้าร้อยเวรคนนั้น ทั้งพ่อและแม่ก็เลยเอาอาพุฒมาลงโทษผม

“ชิน ลูกตอบคุณอาไปสิ”

“ผม...ไม่อยากพูดถึงมันครับ”

“ฟังอานะ ถ้าชินไม่พูด เรื่องมันก็จะเดินต่อไปไม่ได้ แล้วแบบนี้ถ้าเกิดว่าต้องขึ้นศาลจริงๆ เราจะสามารถพูดกับศาลได้เหรอ? ทนายฝั่งนั้นเขาต้องถามอะไรแรงกว่าอาอีกนะ”

“ก็ให้เขาถามไปสิ!!! แต่ผมจะไม่ตอบ ผมไม่อยากพูดแล้ว ผมไม่อยากไปนั่งป่าวประกาศเรื่องนี้กับใครแล้ว!!”

“ใจเย็นๆ ลูกใจเย็นๆ”

“ได้ยินผมไหม ผมไม่พูด ได้ยินผมไหม!!”

“ผมว่าพอก่อน...คุณให้ลูกไปพักก่อนก็ได้คุณเดี๋ยวผมคุยกับพุฒเอง”

”ค่ะ”

ก่อนที่อาพุฒจะกลับไป อาได้ให้ความเห็นกับพ่อเอาไว้ว่าสิ่งที่ทางเราจะสามารถทำได้ก็แค่ส่งเรื่องไปให้กับครอบครัวฝั่งโน้นได้ทราบแล้วก็ค่อยมาดูท่าทีว่าทางโน้นจะว่าอย่างไร


..................................................................

“แบบนี้ไม่ไหวหรอกชิน จะไปสอบได้ยังไงให้แม่ไปพบอาจารย์ดีกว่า” 

ครบ 3 อาทิตย์กว่าที่ผมกลับมารักษาตัวที่บ้านแต่ร่างกายของผมก็ยังไม่หายร้อยเปอร์เซ็น ไม่ใช่แค่บาดแผลที่ยังไม่หายแล้วทำให้แม่เป็นกังวล แต่ผลกระทบจากยาต้านที่ทำให้ผมอาเจียนและมีไข้สลับกันไปมาแบบนี้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมไม่สามารถอ่านหนังสือทวนสอบได้เต็มที่

“แม่ว่าอาจารย์เขาจะยอมไหม?” 

“ยังไงก็ต้องลองดู...คุณคะพรุ่งนี้คุณหยุดงานอยู่เป็นเพื่อนลูกได้ไหม?” 

"ได้สิ งั้นพรุ่งนี้ชินอยู่กับพ่อนะลูก" 

"แล้วแม่จะบอกอาจารย์ว่าอะไร? แม่จะบอกกับทางมหาวิทยาลัยว่าผม..ผมโดนอะไรผมถึงต้องหยุดเรียน แม่จะบอกกับเขารึเปล่า แม่...แม่.."

“ชิน”

“งั้นผมไปดีกว่า ผมไหว ผมไหว...ผมทำได้ ผมอ่านซ้ำไปเยอะแล้ว..ให้ผมไปนะครับแม่ ... พ่อให้ผมไปสอบนะ”

แม้ลึกๆ ในใจของผมจะตะโกนกู่ร้องว่าผมไม่พร้อมกับการสอบในครั้งนี้แต่การที่จะขอสอบทีหลังคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเหตุผลที่มีมันต้องมากพอ

ผมพอรู้ว่าแม่คงต้องบอกความจริงกับอาจารย์เพื่อให้อาจารย์พิจารณา แต่ถ้าต้องเป็นแบบนั้นผมว่าผมยอมไปสอบทั้งที่ผมไม่พร้อมแบบนี้ยังจะดีซะกว่าที่ต้องให้มีคนรู้เรื่องของผมเพิ่มขึ้น

"ใจเย็นๆ มองแม่นะชิน หายใจเข้าลึกๆ มองแม่ หมอบอกให้ทำยังไงจำได้ไหม? มองแม่ มอง นับเลขตามแม่นะ หายใจเข้า" 
"ครับ 7 9 12 16..." 

"ชินฟังแม่นะลูก...แม่คงต้องบอกกับทางอาจารย์ เพราะเราต้องใช้ใบรับรองแพทย์ไปยื่นประกอบ" 

"แต่ แต่ ผม.." 

"การบอกในครั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของลูกเอง อีกอย่างที่อาจารย์รู้ เขาก็ช่วยกันคนนั้นออกไปห่างจากลูก ไม่ดีเหรอ? จะได้ไม่มีใครมาทำร้ายลูกแม่ได้อีก เชื่อแม่นะครับ อย่ากังวลไปเลยนะชิน" 

“ครับ" 

เย็นวันนั้นหลังจากที่ผมยอมตกลงทำตามที่แม่บอก ผมได้แต่นั่งมองพ่อที่ต้องโทรศัพท์สายด่วนไปหาเจ้านายขอหยุดงาน มองดูแม่ที่ต้องมานั่งจัดเอกสารเพื่อที่จะเอาไปยื่นกับอาจารย์ให้ผม มองดูชีทที่วางอยู่ตรงหน้าที่ปราโมทย์ต้องเป็นคนเอามาให้จากที่มหาวิทยาลัย   

หันกลับมามองตัวเองแล้วผมเองตอนนี้ละผมกำลังทำอะไรอยู่? ผมกำลังนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรสักอย่างนั่งเป็นคนไร้ค่ามาเป็นเวลาหลายอาทิตย์ ทำไมนะทำไมผมถึงไม่เข็มแข็งกว่านี้? ทำไมผมถึงไม่อดทนให้มากกว่านี้? แล้วผมต้องเป็นภาระให้คนอื่นไปอีกนานแค่ไหนกัน? เมือ่ไหร่กันที่ผมจะหายดี?

"ขอโทษครับ พ่อ แม่" 

“ชินว่าไงนะลูก?”

“ไม่มีอะไรครับ”

เสียงกระซิบคำขอโทษของผมคงไม่มีใครได้ยินนอกจากตัวของผมคนเดียว
…………………………………

ผมกลับมาเหยียบที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งใน 1 เดือนต่อมาหลังจากที่ผมได้กินยาต้านครบตามกำหนดแถมร่างกายก็หายดีทุกอย่างเหลือเพียงแผลเป็นเล็กน้อยเท่านั้น

ตั้งแต่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่ปราโมทย์ยอมขับรถมามหาวิทยาลัย เมื่อเช้าปราโมทย์อาสาเป็นคนไปรับผมที่บ้าน ที่ปราโมทย์ต้องลำบากก็ไม่ใช่เพราะใครแต่เป็นเพราะผมที่ไม่มั่นใจที่จะต้องเดินเข้ามหาวิทยาลัยด้วยตัวเองเพียงลำพัง 

“เรามีอะไรแปลกหรือเปล่า?”

“ไม่มีนิทำไม?”

“ก็เหมือนว่าทุกคนกำลังมองเราอยู่”

“นายคิดมากไม่มีใครสนใจเราสองคนเลย ก็เหมือนแต่ก่อนที่เราไม่มีใครสนใจเรากันนั่นแหละ”

แม้ว่าปราโมทย์จะพูดแบบนั้นกับผมแต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ ตั้งแต่ผมก้าวลงมาจากรถ ผมรู้สึกได้ว่าทุกสายตากำลังจ้องมองมาที่ผม กำลังจ้องมองทุกอากัปกริยาไม่ว่าผมจะเดินไปไหนหรือขยับตัวทำอะไร

“งั้นเราไปห้องน้ำก่อนนะ” พอผมไม่มั่นใจมากๆ ผมเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อไปทำสมาธิให้สมองมันโล่งขึ้นไม่เอาแต่จดจ่ออยู่กับคนอื่น

“งั้นเรารอตรงนี้ เดินกลับมาตรงนี้นะ”

“อื้ม”

ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังจะเลี้ยวเข้าไปที่ข้างตึกที่มีห้องน้ำอยู่ ผมก็โดนใครสักคนกระชากแขนของผมจากทางด้านหลังและลากผมไปที่ทางด้านหลังของตึก

สัมผัสที่ผมได้รับมันทำให้ร่างกายของผมเกร็งจนไม่สามารถขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว ยิ่งผมได้เห็นว่าคนที่กำลังจับตัวของผมอยู่นั้นเป็นใคร ระบบการหายใจของผมก็เริ่มติดขัดทันที

“ชิน หายไปไหนมา? พี่โทรหาเราติดต่อเราไม่ได้เลย เปลี่ยนเบอร์ทำไม? พอพี่ไปที่หอก็ไม่ได้เจอ”

พูดถึงเรื่องหอแน่นอนว่าผมไม่มีวันที่จะกลับไปเหยียบที่นั้นอีกครั้ง ผมไม่สามารถทำใจกลับไปใช้ชีวิตที่นั้นอได้ รวมถึงตามคำแนะนำของหมอที่ไม่ต้องการให้ผมอยู่คนเดียว ทำให้ตั้งแต่ด่อนออกจากโรงพยาบาลพ่อก็ไปทำเรื่องย้ายออกพร้อมทั้งยังขนของทั้งหมดของผมออกมาทั้งหมดแล้ว

“....”

“ตอบสิ”

“...”

“วันนั้นพี่บอกแล้วไงว่าอย่าคิดหนีพี่”

“ปล่อย.......ผม”

“ชิน..พี่ขอโทษ”

“ปล่อย..”

“ทำไมตัวเราสั่น? เราเป็นอะไร?”

“....”

“กลัวพี่เหรอ? พี่บอกเราแล้วไงว่าพี่รักเรา พี่ทำไปทุกอย่างก็เพราะว่าพี่รักเรา พี่ขอโทษแต่พี่เสียเราไปไม่ได้ อย่ากลัวพี่เลย พี่เองก็รู้สึกเสียใจมากที่พี่ทำลงไป”

“ปล่อยผม”

“ให้อภัยพี่ได้ไหม? นะครับ ให้โอกาสพี่นะ พี่ขอแค่โอกาสแล้วพี่จะทำให้รู้ว่าพี่รักเรามากแค่ไหน....”

สิ้นเสียงของประโยคสุดท้ายที่ผมไม่รู้ว่าพี่เก่งพูดอะไรพี่เก่งก็ดึงผมเขาไปกอด ทันที่ร่างกายของผมได้สัมผัสกับตัวของพี่เก่งจากที่หายใจไม่สะดวกกลับกลายเป็นว่าในตอนนี้ผมไม่สามารถหายใจได้เลย อากาศที่ในตอนแรกยังสามารถเข้ามาได้น้อยนิดแต่ตอนนี้ผมไม่สามารถสัมผัสได้ถึงมันอีกเลย

ผมเกร็งไปทั้งตัว เกร็งด้วยความกลัว เกร็งโดยที่ต้องการออกไปจากอ้อมกอดอันน่ารังเกียจ แต่ผมไม่มีเรี่ยวแรงที่มากพอที่จะผลักพี่เก่งออกไปจากตัวของผมได้ แรงของผมหายไปพร้อมกับอากาศที่มันไม่มี

ไม่รู้ว่าเวลาที่น่าทรมาณตรงนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วผมไม่รู้ สิ่งที่รู้ก็คือพี่เก่งยังคงกอดผมเอาไว้แน่นพร้อมกับพร่ำคำว่ารักให้ผมได้ยินอยู่ซ้ำๆ ที่ข้างหู

ร่างกายผมเกร็งถึงขีดสุดในตอนที่พี่เก่งยกมือขึ้นลูบหัวของผมแล้วมือของพี่เก่งดันไปโดนแผลที่เพิ่งตกสะเก็ดที่อยู่ทางด้านหลังของศรีษะ แล้วก็เป็นสัมผัสนั้นเองทำให้ความอดทนในการเข็มแข็งหมดลง

ผมอาเจียนออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจผมไม่สามารถควบคุมร่างกายที่เป็นของตัวเองได้เลย ร่างกายไม่เชื่อฟังในสิ่งที่ผมสั่งให้ทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่ากำลังอยู่ตรงไหนและควรที่จะทำหรือไม่ทำอะไร อาเจียนของผมเปรอะเปื้อนใส่ทั้งตัวของพี่เก่งและตัวของผมเองแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือผมปล่อยให้ปัสสะวะไหลออกมาจากตัวเอง

“เป็นอะไรชินเป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเราเป็นอย่างนี้?”

ในที่สุดพี่เก่งก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผม พี่เก่งปล่อยผมออกจากอ้อมกอดด้วยความตกใจอย่างกระทันหัน ทำให้ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล่วงลงไปนั่งกับพื้น

“ชินเป็นอะไร ชินบอกพี่สิ พูดกับพี่สิชิน” พอพี่เก่งได้สติพี่เก่งก็พยายามที่จะเข้ามาประคองตัวของผม แต่กลับกลายเป็นผมเองที่ถอยกรูดหนีไปตามกำแพง

“ชิน ชิน เราเอง”

โชคดีที่ปราโมทย์เดินมาทางนี้พอดีทำให้เขาเจอผมที่พยายามคลานออกมาจากตรงข้างกำแพงนั้น ปราโมทย์มองตรงไปทางพี่เก่งที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ชิน หายใจ หายใจ นับเลข ทำตาม 5 7 9 11 5...”

ร่างกายของปราโมทย์กับร่างกายของผมเราไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ทำให้เขาไม่สามารถจะอุ้มผมไปขึ้นรถได้ ปราโมทย์จึงพยายามทำให้ผมสงบลงที่ตรงนี้ โดยการที่ให้ผมนับเลขซ้ำอยู่อย่างนั้น

ในช่วงหลังมานี้ ผมสามารถหายได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่ ณ เวลานี้ที่ผมยังคงเห็นพี่เก่งยืนอยู่ตรงนั้น ผมยังคงเห็นสายตาของพี่เก่งที่ยังจ้องมองผมอยู่

“พี่ช่วยออกไปไกลๆ จากตรงนี้ได้ไหมครับ?”

“นั้นคนรักของพี่ พี่อยากเข้าไปดูว่าเขาเป็นอะไร”

“ถ้าพี่ไม่อยากให้เขาตายตรงนี้พี่ก็ต้องไป”

“พี่ไม่ไป”

“ได้ งั้นผมจะตะโกนเอาให้ดังเอาให้ทุกคนรู้ พี่จะแลกกับการได้ยืนมองคนที่พี่รักอยู่ไหม?”

“อยากจะตะโกน ก็ตะโกนไปเลย!!”

“ก็ดี...ถ้าชินเป็นอะไรไปก็โทษตัวเองได้เลยแล้วกัน เพราะว่าพี่คือต้นเหตุ ผมจะบอกพ่อกับแม่เขาด้วย ว่าลูกเขาต้องเป็นแบบนี้เพราะอะไร”

พี่เก่งหยุดฝีเท้าที่กำลังเดินก้าวย่างมาที่ผม หน้าพี่เก่งบ่งบอกถึงความไม่ชอบใจที่ต้องยอมทำตามคำสั่งของปราโมทย์ แต่ปราโมทย์แสดงออกให้รู้ว่าเขาพร้อมที่จะทำจริงอย่างที่เขาพูด พี่เก่งจึงค่อยยอมเดินหายจากไปตรงนี้

......................................................

ที่บ้านไม่มีใครคาดคิดว่าผมจะกลับบ้านมาก่อนเวลาที่ได้บอกเอาไว้ ดังนั้นตอนที่ปราโมทย์มาส่งผมที่บ้านเขาจึงต้องลงเอยโดยการอยู่เป็นเพื่อนผมจนกว่าพ่อหรือแม่จะกลับมาถึงบ้าน

“ชินจะไปไหน? ไม่มานั่งอ่านหนังสือด้วยกันเหรอ?”

“เราจะไปเช็ดเบาะให้”

“ไม่เป็นไรตอนนายไปอาบน้ำเราไปเช็ดมาแล้ว”

“แต่มันอาจจะไม่สะอาด”

“สะอาดแล้ว”

“เราแค่อยากไปดูให้แน่ใจ”

เมื่อผมยังคงยืนกรานแบบนั้นปราโมทย์จึงไม่ได้เอ่ยห้ามอะไรผมอีก ผมเดินไปเอาผ้าที่หลังบ้านมาชุบน้ำพร้อมทั้งไปคุ้ยหาน้ำยาเช็ดเบาะหนังของพ่อในโรงเก็บของและมาขัดที่เบาะที่ผมนั่งกลับมา

ผมไม่อยากให้เบาะของปราโมทย์ต้องเปรอะเพราะผมเป็นต้นเหตุ ผมไม่อยากทำให้คนรอบข้างเห็นผมเป็นตัวเดือนร้อน หรือ ภาระ ผมกลัวพวกเขาจะรู้สึกเบื่อผมและหายจากผมไปในที่สุด

ผมไม่รู้ผมจมอยู่ที่รถนานแค่ไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พ่อกลับมาถึงที่บ้านแล้วเดินมาตามให้ผมเข้าบ้าน ดูเหมือนว่าระหว่างที่ผมกำลังสาละวนกับการทำความสะอาดปราโมทย์คงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อได้ฟังหมดแล้ว พ่อจึงได้โทรหาอาพุฒพร้อมทั้งกำชับให้ดำเนินเรื่องให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และไม่ว่ากรณีไหนก็พร้อมดำเนินคดีให้ถึงที่สุดโดยไม่มีการยอมความ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้พ่อและแม่ต่างลงความเห็นว่าผมยังไม่พร้อมไปมหาวิทยาลัย แต่แม่เองก็ได้ใช้วันลาของทั้งปีหมดไปเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นคราวนี้จึงเป็นตาของพ่อที่ต้องใช้ช่วงลาพักร้อนเพื่อดูแลผมที่บ้าน

เป็นผมที่เป็นตัวสร้างปัญหาให้คนอื่นต้องมาเดือนร้อนอีกแล้วสินะ

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 11 - 30/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 31-07-2017 20:38:15
อ่่านแล้วเศร้ามากจริงๆ
หัวข้อ: Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 11 - 30/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-08-2017 05:26:35
เก่ง สร้างภาพหรือเป็นอย่างที่เขาลือกัน
แต่พอชินปลีกตัว เพื่อให้ข่าวลือยุติลง
ทำไมเก่ง บอกว่าในเมื่อชิน คิดว่าเขาเลว เขาก็จะเลวซะเลย
เหมือนเก่งมีปมในอดีต เคยถูกคนรักหักหลัง

แต่การทำร้ายชิน อย่างรุนแรง ข่มขืนคนที่ตัวเองบอกรัก
มันไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ นี่ใช่คนรักกันเขาทำกันหรือ :ling1: :ling1: :ling1:
แล้วไม่สำนึกเจอใหม่ก็ผวาเข้าใส่ ทั้งที่สภาพชินไม่ได้ปกติเมื่อพบตัวเอง

พ่อแม่ชิน ให้แจ้งความถูกต้องเลย
ร่างกายชิน ย่ำแย่มาก แต่สภาพจิตใจ เลวร้ายยิ่งกว่าร่างกายเสียอีก
ชินเป็นโรคหวาดระแวงขนาดนี้ จะเรียนอย่างปกติได้หรือ

ปราโมทย์ คิดกับชินแค่เพื่อนจริงหรือ  :hao3:
ดีที่ปราโมทย์เจอชิน ตอนพยายามหนีเก่ง
ทำให้พาชินมารักษาตัวได้ ไม่งั้นชินคงถูกทรมานต่ออีก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 11 - 30/07/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 20-08-2017 10:17:34
บทที่ 12
เสียงกดออดดังที่หน้าบ้านอีก 2 วันต่อมา พ่อเป็นคนเดินไปเปิดประตูบ้านให้ผู้ใหญ่ 2 คนที่ผมไม่รู้สึกคุ้นหน้า ผมที่แอบมองจากบันไดรีบเดินตรงไปที่ห้องครัวไปเตรียมน้ำให้สำหรับแขกทั้งสองคนด้วยความที่ผมรู้สึกว่าผมควรทำตัวเป็นคนมีประโยชน์สำหรับคนที่บ้านบ้าง ผมเดาว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนจากที่ทำงานของพ่อ

แต่ทันทีที่เขาแนะนำตัวกับพ่อว่าพวกเขาคือใคร แก้วน้ำทั้งสองแก้วที่อยู่ในถาดที่ผมถืออยู่เกือบจะล่วงหล่นลงที่พื้น จากนามสกุลที่ผมได้ยินผมก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคือพ่อแม่ของพี่เก่ง

“ดิฉันอยากมาขอเจรจากับเรื่องที่เกิดขึ้นค่ะ”

“ทางเราไม่มีอะไรที่ต้องการจะเจรจา เชิญคุณกลับไปกันได้ครับ”

“เรื่องนี้ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ ผมได้ลองคุยกับลูกของผมแล้วทางนั้นเขาก็บอกว่าเพราะเขากับลูกของคุณรักกันแต่ว่าวันนั้นมีปัญหากันนิดหน่อยเรื่องเลยออกมาเป็นแบบนี้ แล้วเขาก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก”

“แต่จากทางผม ผมว่าเรื่องราวต่างๆ มันไม่ใช่แบบที่ลูกของคุณเล่า”

“เราใช่ไหมจ๊ะที่ชื่อ ชิน?”

“คะ..ครับ”

“ลองเล่าเหตุการณ์ให้น้าฟังหน่อยได้ไหมคะ? น้าเองก็อยากรู้เหตุการณ์จากปากของเราเหมือนกัน เพราะจากสำนวนที่น้าได้อ่านมาเหมือนเรายังไม่ได้เล่าอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยนี่จ๊ะ”

“ผม ผม..” ยังไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายตามที่แม่ของพี่เก่งต้องการพ่อของพี่เก่งก็พูดขัดบทสนทนาขึ้นมา

“ผมว่าอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยดีกว่าครับ เรื่องแบบนี้อย่าให้ต้องขึ้นถึงโรงถึงศาลเลยคุณ”

“จริงค่ะ ดิฉันว่าเรามาคุยกันดีๆ แล้วยอมความกันให้เรื่องราวมันจบไปจะดีกว่านะคะ”

“ยังไงวันนี้ผมเชิญพวกคุณกลับ แล้วทางเราจะค่อยติดต่อกลับไปอีกทีเมื่อถึงเวลานัดขึ้นศาล”

“ลองคิดดูดีๆ นะครับ นี่เบอร์ส่วนตัวของผมเผื่อคุณจะเปลี่ยนใจ”

“ชิน...น้าขอบอกอะไรกับเราเอาไว้สักอย่างนะจ๊ะ”

“ครับ” ผมตอบรับแม่ของพี่เก่งออกไปแม้ว่าตอนนี้คางของผมจะก้มลงจนชิดเข้ากับหน้าอกของตัวเองแล้วก็ตาม

“ตาเก่งเขารักเรามากนะ...เสียดายที่เราต้องมาทะเลาะกันรุนแรงถึงขนาดนี้”

หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปพ่อก็รีบต่อสายตรงหาอาพุฒเพราะพ่อกลัวว่าทางเราจะเสียเหลี่ยมเขา อาพุฒได้อธิบายให้ฟังผ่านสายโทรศัพท์ว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ยอมความกันได้จริง แถมการยอมความก็เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากแค่ทางเราตกลงที่จะรับอะไรจากเขาสักอย่างก็ถือว่าเป็นการตกลงยอมความกันแล้วแม้จะไม่มีลายลักษณ์อักษรเกิดขึ้น อาพุฒเตือนให้พวกเราระวังเกี่ยวกับข้อกฎหมายให้ดีอย่าทำอะไรโดยที่ยังไม่ได้ปหรือกษากับทางอา

“ชินไม่ต้องห่วงนะลูก...เราจะผ่านมันไปได้”

“ครับ...พ่อ”

ผมไม่รู้เลยว่าพ่อได้นัดกับอาพุฒมาคุยอีกทีกันในกลางดึกของคืนนั้นหลังจากที่ผมขึ้นไปทางด้านบนกับแม่แล้ว การเผชิญหน้ากับพ่อแม่ของพี่เก่งทำให้ผมนอนไม่หลับผมจึงลงมาทางด้านล่างของบ้านเพื่อที่จะหาอะไรดื่มให้อุ่นท้อง

ช่วงที่ผมก้าวลงตามขั้นบันไดผมมีโอกาสได้เห็นสองคนกำลังคุยกันอย่างเคร่งเครียดผมจึงหยุดเดินและนั่งลงเพื่อที่จะรับฟังบทสนทนานั้น บทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับผมโดยตรง

“เคสลูกนายมันยากนะฉันขอบอกนายล่วงหน้าเอาไว้เลย เพราะลูกนายไม่ยอมพูดอะไรถึงเหตุการณ์วันนั้นเลย”

“ลูกฉันคงยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้”

“เข้าใจ แต่อย่าลืมว่าหลักฐานจากสภาพแวดดล้อมมันน้อยมาก ถ้าเกิดฝั่งนั้นเขาจะเล่นเกี่ยวกับว่าลูกนายเป็นคนให้ลูกเขาขึ้นห้องไปเอง ที่มีเรื่องกันก็แค่ว่าเป็นเรื่องของคนรักทะเลาะกัน คดีมันจะเป็นไปอีกทางเลยนะ”

“แต่ลูกฉันไม่ได้เป็นคนรักกับทางนั้น ฉันเคยถามลูกแล้ว ลูกไม่มีทางโกหกแน่นอน”

“แต่เท่าที่ลองไปเลียบเคียงถามที่มหาวิทยาลัยมา เหมือนว่ามันจะมีมูลอยู่บ้างนะที่ลูกนายอาจจะกำลังคบกับทางนั้น ถ้าต้องสืบพยาน นายเข้าใจใช่ไหม?”

“โธ่เว้ย!!! ทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องมาเกิดขึ้นด้วยวะ”

“แต่เอาน่ะ ยังไงฉันก็ต้องทำให้ดีที่สุดนั่นแหละ”

“ขอบใจนายมาก”

.................................................................

หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดคราวนี้ผมรู้แล้วว่าผมคือตัวแปรหลักของคดีดังนั้นถ้าผมอยากจะช่วยพ่อไม่ให้พ่อไปเป็นตัวตลกในศาลผมก็ควรที่จะเข็มแข็งให้มากกว่านี้ ผมคิดทบทวนเรื่องราวอยู่นานจนในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ ผมเดินกลับขึ้นหาแม่บนห้อง ปลุกให้แม่ตื่นพร้อมกับเป็นครั้งแรกที่ผมยอมพูดคำนี้

“แม่ครับ ชินอยากเข้ารับการรักษากับคุณหมอจิตแพทย์”

ตาของแม่เปิดกว้างด้วยความตกใจเพราะผมมักจะปฎิเสธการรับเข้าการรักษามาโดยตลอด ผมมีความเชื่อมั่นว่าผมจะสามารถผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ด้วยตนเองยิ่งคนรู้น้อยผมจะยิ่งผ่านมันไปได้เร็ว แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดผิด เวลาไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลยในเรื่องนี้

“เกิดอะไรขึ้นลูก? มีอะไรหรือเปล่า”

“ผมแค่อยากเข้มแข็งเตรียมขึ้นศาลครับ”

“จริงเหรอลูก?”

“ครับ”

ผมว่ามันถึงเวลาแล้วละที่ผมต้องต่อสู้เพื่อครอบครัวและเพื่อตัวของผมเองบ้าง

...................................................................

“สวยเนอะ”

“สวยมากกกกก”

“สวยสุด”

ผมกลับมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งในช่วงที่จะใกล้สอบปลายภาค ครั้งแรกที่ได้ยินคำพวกนี้ผมไม่เคยคิดว่ามันจะหมายถึงผม แต่พอเริ่มได้ยินบ่อยครั้งเข้า อีกทั้งมีคนเดินเข้ามาพูดกับผมโดยตรงมีกลุ่มคนที่เดินผ่านในบางครั้งก็พูดลอยๆ ผ่านหน้าเพื่อให้ผมได้ยิน

จากการกระทำผมเริ่มพอรู้แล้วว่าเขาน่าจะหมายถึงผมแล้วเขาก็คงอยากให้ผมรู้ ด้วยความที่คาใจว่ามันเป็นคำพูดสำหรับผมหรือไม่ผมเลยกลับเข้าไปในหน้าเพจลับๆ นั้นอีกครั้ง

ทันทีที่ผมเข้าไปที่หน้าเพจผมก็เห็นข้อความหลายอย่างที่ถูกกล่าวถึงเรื่องของผม มีทั้งรูปผมและรูปพี่เก่งสมัยที่เรายังสนิทกันมาถูกโพสไว้พร้อมคำบรรยายใต้ภาพว่า “นี่น่ะเหรอคนโดนกระทำ??” ในรูปภาพมีหลายคอมเมนท์ที่กล่าวไปในแนวทางที่ว่า

“โอ๊ย ไม่มีวันจริงอะ ถ้าจะจริงก็ไปให้เขาเอาเองพอเอาเสร็จเขาจะทิ้งก็หาว่าเขาใจร้าย”

“เออ มีคนในบอกว่าคนนั้นพยายามผูกมัดพี่เก่ง พี่เก่งไม่เล่นด้วยก็เลยเป็นอย่างนี้”

“เออ ถ้าถูกข่มขืนตามข่าวจริงก็ต้องขึ้นศาลละปะ นี่เรื่องเงียบก็แสดงว่าสร้างเรื่อง”

“นี่บอกเลยว่าถ้าเป็นเราเราไม่แจ้งความ ถือว่าเป็นบุญ ขอเก็บคลิปด้วยเลยค่ะ”

“เออ ตอนนั้นเราเคยเดินเข้าไปถามก็บอกว่าพี่น้องกัน พี่น้องท้องชนกันอะดิไม่ว่า”

นอกจากรูปภาพนี้แล้วยังมีรูปของผมกับคนอื่นที่เอามาเทียบว่าถ้าจะต้องมาข่มขืนคนอย่างผมพวกเขายอมไปติดคุกและข่มขืนคนอื่นที่หน้าตาดีกว่าคนหน้าตาธรรมดาอย่างผมจะดีกว่า

นอกจากรูปภาพที่หลากหลายยังมีสเตตัสที่พูดถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะอีกด้วย

“คิดอย่างไรกับข่าวลือว่าของ ช กับ ก”

“เพื่อนกูไม่ลงแรงขนาดนั้นมั้ง?”

“ใช่ๆ อย่าง ก ยืนเฉยๆ ก็มีคนมาเสนอตัวแล้วปะ?”

“ไม่เชื่อ ถ้าจริง กูเรียกว่าบุญตูดว่ะ”

“สงสัยกลัวเขาเอาแล้วทิ้ง ปล่อยข่าวเปล่า?”

“สร้างเรื่องอยากเด่นอะดิ”

“เรื่องจริงเหรอ? ต้นข่าวมาจากไหนวะ?”

“มีคนไปแอบได้ยินอาจารย์พูด”

“แหล่งข่าวเชื่อได้จริงเปล่า พวกมึงเดี๋ยวก็ซวยกันหมด”

“ไม่มีมูล หมาไม่ขี้มะ?”

“สงสารพี่เก่ง ต้องมาถูกมองไม่ดีเพราะพวกพยายาม”

“เออ อาจารย์ก็แม่งไม่ยุติธรรม เขาแยกไม่ออกเหรอวะว่าใครเป็นยังไง?”

“โลกนี้แม่งอยู่ยาก”

“กูไม่รู้กูรู้แต่กูแบนไม่ให้เข้างานกลุ่มจร้า รำ พวกพยายาม”

“เออในรุ่นเหลือใครคบ? ก็เห็นมีแต่ไอ้แว่น แค่นี้ก็บอกแล้วไหมว่าใครเป็นไง”

“ไหนใครรุ่นเดียวกับนาย ช มาเม้าท์หน่อยสิ เห็นว่าอ่อยมากจริงปะ? ขยายที”

ยิ่งเลื่อนลงไปผมก็เห็นถึงคอมเมนท์ที่บอกว่าผมเป็นคนผิดในเรื่องนี้ ผมผิดอะไร? ผมไม่รู้เลยว่าผมผิดอะไร? หลายคนที่พิมพ์ในคอมเมนท์เหล่านั้นไม่มีใครที่รู้จักผมสักคน คนเหล่านั้นไม่เคยแม้แต่จะเรียนกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมหลายคนถึงทำเป็นเหมือนว่าเขารู้จักผมดี แถมเขายังพิมพ์เหมือนรู้ว่าผมต้องการอะไร 

“นายดูอะไรอยู่?”

ปราโมทย์เดินมาดึงมือถือออกไปจากมือของผม พอเขาเห็นว่าผมกำลังดูอะไรอยู่ปราโมทย์ก็ถอนหายใจและพยายามบอกให้ผมเดินตามเขาไปที่ทางด้านหลังของตึก

“นายจะเข้าไปดูเพจพวกนี้อีกทำไม?”

“นายเห็นใช่ไหม? ใครก็ๆ ว่าแต่เรา เราอยากกลับบ้านเราไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

“ชิน”

“ครั้งนั้นเราบอกนายแล้วว่ามีคนมองนายก็ไม่เชื่อ ทำไมนายไม่เชื่อ? นายต้องเชื่อเราสิ หรือว่านายก็ไม่เคยเชื่อเรา นายเองก็มองเราแบบที่คนอื่นมองใช่ไหม? ใช่ไหม!!”

“ชิน มองเรา”

“นายไม่เข้ามาใกล้เราเลยนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง...มันเป็นเพราะนายรังเกียจเราใช่ไหม?”

“แล้ว แล้ว...แล้วพวกเขารู้ได้ยังไง? พวกเขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง? เขารู้ที่เกิดขึ้นได้ยังไง? นายเล่าเหรอ?”

“ชิน เราเชื่อนาย ใจเย็นๆ เราเชื่อนาย เราเชื่อนายหมดเลย”

“แล้วเราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังสักคำเดียว”

“...”

“แล้วเห็นไหม ว่าเราไม่ได้รังเกียจนาย”

ปราโมทย์ยื่นมือเข้ามาจับตัวของผมเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้รังเกียจตามที่ผมกล่าวหาเขา ผมรับรู้พร้อมทั้งยังเข้าใจว่าเขากำลังปลอบและทำให้ผมสงบลง แต่กลับกลายเป็นว่าการกระทำเหล่านั้นของเขามันทำให้ผมเกร็งหนักกว่าเดิม

“โอเค มองเรานะชิน เราจะปล่อยตัวนายแล้วนะ เราปล่อยเพราะนายกำลังสั่นอย่างแรง ไม่ได้ปล่อยเพราะเรารังเกียจนายสักนิด”

ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องไม่มีผู้ชายคนไหนเลยที่สามารถแตะตัวของผมได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพ่อของผมเองก็ตาม เมื่อปราโมทย์เห็นถึงความตื่นกลัวของผมเขาจึงค่อยๆ ปล่อยมือออกจากตัวผม

ทันทีที่ผมสามารถขยับร่างกายของตัวเองได้ ผมก็รีบควานหาของในกระเป๋า หายาที่คุณหมอจ่ายมาให้กินเพื่อระงับอาการตื่นกลัวไม่ให้เป็นไปมากไปกว่านี้

แม้ผมจะสงบลงแล้วด้วยฤทธิ์ของยาแต่ผมก็ยังคงยืนพักอยู่ที่หลังตึกที่เดิมแล้วก็ยังคงพยายามกล่อมให้ปราโมทย์พาผมกลับบ้าน แต่ปราโมทย์ก็เอาแต่ปฏิเสธคำขอของผมโดยให้เหตุผลว่าเขาไม่สามารถขาดเรียนได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันกับเขา

ช่วงเวลาที่เหลือก่อนที่จะเข้าห้องเรียนผมพยายามหนีกลับบ้านด้วยตัวเองแต่ปราโมทย์ก็เป็นคนมาเจอทุกครั้งแล้วคอยพูดเตือนสติให้ผมรู้ว่าผมในตอนนี้มีหน้าที่ที่ต้องทำอะไร

“นายหยุดไปนานถ้าเกิดนายยังเอาแต่หยุดอยู่แบบนี้ นายอาจจะไม่มีสิทธิ์ในการสอบปลายภาคแถมร้ายที่สุดนายอาจจะต้องดร็อปเรียน นายอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอ?”

“โอเค” คำพูดของปราโมทย์มันช่วยเตือนสติที่ยุ่งเหยิงให้กลับมาอีกครั้ง ผมหยุดโน้มน้าวปราโมทย์เลิกพยายามที่จะหนีกลับและอยู่ตามเก็บวิชาต่างๆ ที่ขาดไปให้ครบ 

................................................

“นี่ครับ”

ตอนเย็นผมยื่นเอากระดาษข้อสอบเดินไปส่งให้กับอาจาร์ยที่หน้าห้องสอน ในห้องไม่มีใครเหลืออยู่แล้วมีแค่ผมกับอาจารย์ประจำวิชาแค่ 2 คน 

“นายชินธร”

“ครับ?”

“ฉันขอถามอะไรเหน่อยสิ”

“ครับ?”

“ข่าวที่เขาพูดกันมันเป็นเรื่องจริงเหรอ?”

“ข่าว?”

“ก็เรื่องที่เธอถูก นายเก่ง ทำร้ายร่างกาย”

“............”

“ไม่น่าเชื่อเลย ว่านายเก่ง เขาจะเป็นคนแบบนี้ไปได้ อาจารย์ไม่เคยคิดมาก่อน”

“...”

“ว่าแต่ตอนนั้นเราผิดใจอะไรกันหรือเปล่าเรื่องมันเลยออกมาเป็นแบบนี้?”

แล้วนี่ก็คือสิ่งที่รับประกันสำหรับผมว่าต่อให้ผมพูดอะไรออกไปก็ไม่มีใครสนใจเสียงของผม ยังไงก็ไม่มีมีวันที่เสียงของผมจะดังเท่าพี่เก่งคนที่มีภาพลักษณ์ดีมาตลอดเกือบสี่ปีไปได้เลย

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 12 - 20/08/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 09-09-2017 07:32:30
บทที่ 13

การไปมหาวิทยาลัยสำหรับผมในตอนนี้มันคือการก้าวย่างสู่นรก แถมมันดันเป็นนรกที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นนรกที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย  นรกของการโดนมองด้วยสายตาที่ทิ่มแทงและดูถูก 

“วันนี้ไม่ต้องไปตามนัดเหรอลูก?”

“ไม่ครับแม่ หมอบอกว่าผมดีขึ้นแล้ว ยาที่ได้มายังเหลืออยู่”

“ต้องไปเมื่อไหร่บอกแม่นะ”

“ครับ”

ผมโกหกแถมยังเป็นการโกหกอย่างหน้าตาย ที่ผมหยุดไม่ใช่เพราะหมอสั่งให้หยุดไปพบเพียงแต่ผมไม่เห็นว่าอาการของผมจะดีขึ้นหลังจากที่ผมไปพบแพทย์ ผมไม่เห็นจะเข้มแข็งขึ้นอย่างที่ผมได้คาดหวังเอาไว้ ผมยังคงสั่นเป็นคนบ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เหมือนเดิมเวลาต้องเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ

ผมไม่อยากต้องให้พ่อกับแม่ต้องมาเสียค่าใช้จ่ายให้กับสิ่งที่ผมไม่สามารถช่วยทำให้มันดีขึ้นมาได้ ผมจึงตัดสินใจหยุดไปพบแพทย์โดยที่ไม่ได้ปรึกษากับใคร

.........................................................................................

“ทำไมนายต้องใส่หมวกด้วยล่ะ?”

มีเพื่อนร่วมห้องหลายคนเดินวนเข้ามาถามถึงเหตุผลว่าทำไมผมต้องใส่หมวกมาเรียน ผมอยากอธิบายกับพวกเขา อยากบอกว่าเพราะผมกลัวสายตาของคนอื่น ผมกลัวว่าจะมีพวกที่พิมพ์ข้อความเหล่านั้นมองมาที่ผม
แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะอธิบายเพราะผมไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ผมพูดอธิบายกับพวกเขาไปแล้วพวกเขาจะเอาไปพูดต่อในรูปแบบไหน แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าพวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนที่โพสต์ว่าเกี่ยวกับตัวผมในเพจนั้น

“พอดีตัดผมพลาดมาน่ะ เลยใส่หมวกบังเอาไว้”

“อ่อ เหรอ? แค่ตัดผมพลาดเองใส่หมวกเหมือนหนีใคร ไม่ต้องกังวลน่า เดี๋ยวผมก็ยาวแล้ว”

ลองคิดดูอีกทีมันก็อาจจะจริงอย่างที่พวกเขาว่าก็ได้ ผมไม่น่าทำเรื่องพวกนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างที่พวกนั้นเขาพูดกัน ผมเป็นผู้ชายเรื่องแค่นี้ผมไม่สมควรที่จะเอามาใส่ใจ ท้องก็ท้องไม่ได้สักหน่อย มองย้อนกลับไปวันนั้นผมไม่น่าเชื่อแม่กับพ่อของผมเลย ถ้าวันนั้นผมไม่ไปแจ้งความ ยอมดื้อถึงที่สุดที่จะไม่เจออาพุฒแล้วทำตามความตั้งใจเดิมของผมซะ วันนี้ผมก็คงไม่ต้องมาเจอกับสายตาแบบนี้ ผมคงจะสามารถเข้าเรียนได้อย่างมีความสุขมากกว่านี้

 “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?”

ตอนที่ผมกับปราโมทย์เดินกลับมาที่รถเตรียมตัวจะกลับบ้าน เราทั้งสองคนก็พบว่ารถของปราโมทย์ถูกเจาะยางจนไม่สามารถขับได้ปราโมทย์จึงโทรเรียกช่างให้มาเปลี่ยนล้อ ระหว่างที่เราทั้งสองคนกำลังนั่งรอช่างอยู่นั้น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นร้านขายของที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ผมเลยคิดจะเดินไปซื้อขนมและน้ำมานั่งกินรองท้องกันไปก่อนเพราะคงอีกนานกว่าช่างจะมาถึงในช่วงเวลายามเย็นแบบนี้

“งั้นเราเดินไปซื้อน้ำกับขนมมารองท้องดีกว่า หิว ปราโมทย์เอาอะไรไหม?”

“เอา เอามาเผื่อด้วย อะไรก็ได้...เริ่มหิว”

“โอเค”

“แน่ใจนะว่าไปคนเดียวได้?”

“แน่ใจสิ แค่นี้เอง นายรอช่างไปเถอะ”

“จะทำแบบนี้กับพี่จริงๆ ใช่ไหม?”

ผมเดินปละจากตัวรถของปราโมทย์ได้ไม่นานและทั้งที่ยังเดินไม่ถึงร้านขายของผมก็ต้องหยุดกึกด้วยเสียงที่ดังมาจากข้างๆ แถมมันยังเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยและจำได้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร

“อย่ามายุ่งกับผม”

“ถอนฟ้องและยอมความเถอะ...ยังไงพี่ก็พร้อมที่จะอยู่กับชิน รับผิดชอบชิน และยอมรับในสิ่งที่พี่ทำลงไปอยู่แล้ว ชินจะไปฟ้องให้เรื่องมันยุ่งยากทำไม?”

“ไม่..ไม่ต้องการ”

“เรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะชิน พี่รู้ว่าพี่ทำให้ชินโกรธ พี่ทำให้ชินเจ็บ พี่รู้ว่าพี่มันแย่แค่ไหน”

“...”

“ชินยังไม่ต้องรับรักพี่ตอนนี้ก็ได้ แต่ขอแค่ให้พี่ได้พิสูจน์ตัวเอง ได้พิสูจน์ความรักของพี่ที่มีต่อชินบ้าง ให้พี่ได้แสดงออกบ้าง พี่ขอเท่านี้ แล้วถ้าวันข้างหน้าพี่ยังไม่สามารถทำให้ชินรักพี่ได้ พี่จะยอมรับมัน แต่อย่าปิดโอกาสพี่แบบนี้”

“ไม่…ไม่เอา”

“ชิน..”

“ออกไป”

“ถ้าชินยังทำแบบนี้ ยังหนีพี่แบบนี้ ยังเอาแต่ไล่พี่ให้ห่างไป...ชินกำลังบีบพี่ให้ต้องทำในสิ่งที่พี่ไม่อยากทำ ชินรู้ตัวหรือเปล่า? พี่ไม่เคยอยากทำแบบนี้ ไม่เคย แต่เพราะชิน เพราะ..”

“ผมทำอะไร?”

พี่เก่งเดินก้าวเข้ามาหาผมโดยที่ใช้ช่วงจังหวะที่ผมกำลังยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม ช่วงที่ผมกำลังเกิดความสงสัยว่าผมไปบังคับให้พี่เก่งทำอะไร แล้วพี่เก่งจะทำอะไรกับผมอีก

เสียงร้องไห้ เสียงขอร้องที่เป็นเสียงของผมเองลอยแผ่วออกมาจากมือถือในมือของพี่เก่ง เสียงนั้น เสียงที่ผมอยากลืม เสียงที่ผมไม่อยากได้ยินมันอีกเป็นครั้งที่สอง เสียงที่น่าสมเพชของผม ที่เอาแต่อ้อนวอนขอร้องโดยที่ไม่คิดจะทำอะไร เอาแต่ร้องอย่างคนหมดทางสู้

“ไอ้เหี้ย!!”

“ที่ต้องเหี้ยก็เพราะว่าชินบังคับพี่เองพี่ไม่ได้อยากเหี้ยกับชิน!! ได้ยินไหมว่าพี่ไม่เคยอยาก!! ไม่เคย!!”

“มึงมันเลว กูไม่มีวันให้อภัยมึง ไม่มีวัน!!...”

“ชินยังไม่เข้าใจพี่ ใช่ไหม?”

“ออกไปจากชีวิตกู ออกไป! กูเกลียดมึง!”

“เกลียดเหรอ? ก็ดี คลิปนี้ก็จะได้เห็นทั่วกัน  ไหนๆ จะถูกเกลียด จะโดนเอาเข้าคุก ชีวิตกูตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ไหนๆ จะพังแล้วทั้งที ก็ขอทำให้ถึงที่สุดก่อนจะพังก็แล้วกัน”

พี่เก่งก้าวเข้ามาใกล้ตัวของผมมากขึ้น อยากจะขยับขาและเดินหนีไปใหเพ้นแต่ผมไม่สามารถก้าวมันออกไปได้ ได้แต่ยืนเป็นเป้านิ่งให้พี่เก่งโน้มตัวมาใกล้กับที่หูของผมพร้อมกับกระซิบประโยคที่อยากให้เรารู้กันเพียงแค่สองคน

“แล้วจะเลวได้มากกว่านี้อีก ในเมื่อรักกันดีๆ ไม่ได้ ในเมื่อเป็นคนดีแล้วไม่เอา ก็ต้องเป็นแบบนี้นั่นแหละ..พี่ขอแค่โอกาส คิดให้ดีก่อนปฏิเสธพี่”

เสียงกระซิบที่ลอยผ่านเข้ามาที่ริมหูเป็นแรงผลักให้ผมออกวิ่งกลับไปที่รถของปราโมทย์ ปราโมทย์ยังคงคุยโทรศัพท์บอกทางจากหน้ามหาวิทยาลัยมาที่ลานจอดรถอยู่กับช่าง แต่ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว ผมไม่สามารถยืนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้อีกแล้ว ผมไม่สามารถยืนอยู่ที่เดียวกับคนนั้นได้อีกต่อไป

“กะ ... กลับบ้าน กลับบ้านนะปราโมทย์ ขอร้อง พาเรากลับบ้าน พาเรากลับที”

“ชิน เดี๋ยว ชิน...”

ท้ายที่สุดปราโมทย์ก็ยอมทิ้งรถเอาไว้ที่มหาวิทยาลัยแล้วนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านเป็นเพื่อนตามที่ผมขอร้อง ระหว่างที่อยู่บนรถผมโทรต่อสายตรงหาพ่อกับแม่พร้อมกับขอร้องให้ท่านทั้งสองกลับบ้านมาหาผมโดยทันที

“เกิดอะไรขึ้น ลูก เกิดอะไรขึ้น?”

“ขอร้องนะครับ พ่อกับแม่ ผมขอร้อง ยอมความนะครับ...เราให้เรื่องพวกนี้จบไปเลยได้ไหมครับ?”

“เราคุยกันแล้ว ชิน ตั้งสติลูก เกิดอะไรขึ้น? ไหนลองเล่าให้พ่อกับแม่ฟังก่อน”

“นะครับ...ผมขอร้อง เรายอมความได้ไหมครับ? ผมขอร้อง...ขอยอมความได้ไหมครับ?”

ผมก้มลงกราบแทบเท้าพ่อกับแม่ ที่ผมต้องกราบและขอโทษเพราะผมรู้ดีว่าสิ่งที่ผมขอมันไม่น่าให้อภัย ผมกำลังทำให้ท่านทั้งสองคนกลายเป็นไอ้ขี้แพ้เช่นเดียวกันกับผม ผมทำให้เพวกท่านต้องกลืนคำของพวกท่านเอง

แต่ผมไม่สามารถให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ผมไม่ต้องการมารับรู้เรื่องพวกนี้ ผมไม่ต้องการให้เรื่องนี้มาเป็นเรื่องที่พี่เก่งยังคงเข้ามาพูดคุยกับผม ถ้าการที่ผมยอมความแล้วมันจะแลกกับการให้พี่เขาออกไปจากชีวิตของผมได้ ผมยอม ผมยอมให้พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวของผม

“นะครับ พ่อ แม่ ผมขอร้อง”

“โธ่ ชินลูก”


ในที่สุดพ่อกับแม่ก็ยอมตกลงที่จะยอมความกับทางฝั่งนั้น วันที่พ่อโทรเรียกให้ทางนั้นมาตกลงเรื่องคดีความที่บ้านของเรา ทางนั้นดูจะดีใจเป็นพิเศษที่เรื่องมันออกมาในรูปแบบนี้ ดูได้จากการที่พวกเขาทุกคนเดินยิ้มกันเข้ามาในเขตบ้านของผม พวกเขายิ้มอย่างสบายใจโดยที่พวกเขาคงลืมไปเลยว่ารอยยิ้มของเขาอาจจะทำร้ายใจของใคร และพวกเขากำลังเหยียบเดินอยู่ในบ้านของใคร

“ทางเราดีใจมากนะคะที่ทางคุณตัดสินใจแบบนี้”

“ความจริงผมก็ว่ามันเป็นเรื่องของเด็กสองคน แต่ผมเองก็เห็นว่าลูกผมก็ทำเกินกว่าเหตุไปมาก ผมก็เลยอยากจะมารับผิดชอบในตรงนี้”

ทางนั้นเสนอเงินจบเรื่องโดยเรียกมันว่าค่าทำขวัญเป็นจำนวนหนึ่งล้านบาท น้ำตาของแม่ร่วงอาบแก้มเป็นสายตอนที่เศษกระดาษใบนั้นมันถูกยื่นออกมา ส่วนพ่อของผมก็ยื่นมือออกไปรับเช็คด้วยมือที่สั่นเทา

ผมรู้ว่าถ้าเลือกได้ท่านทั้งสองคงไม่อยากรับเงินจำนวนนั้นเอาไว้ แต่เพราะครอบครัวของเราไม่ได้เป็นครอบครัวที่ร่ำรวย  ไหนจะค่ารักษาตัวของผมที่ต้องออกไปแถมพ่อกับแม่ยังต้องมาหยุดงานเพื่อที่จะมาดูแลผมอีก ท่านคงไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องรับมันเอาไว้ ภาพของความฝืนทนของพ่อกับแม่นั้นทำให้ผมต้องลุกออกมาจากที่ตรงนั้นเพราะผมก็ไม่สามารถทนเห็นภาพนั้นได้อีกต่อไป

“ชิน”

พี่เก่งเดินตามผมออกมาที่ห้องครัว ผมมองออกไปก็เห็นว่าแม่กำลังมองมาที่ทางผมเช่นกัน เพราะฉะนั้นแม้ผมจะรู้สึกกลัวแต่ผมก็ยังรู้สึกอุ่นใจและความอุ่นใจมันก็เปลี่ยนเป็นความกล้าจนทำให้ผมสามารถยืนประชันหน้ากับพี่เก่งได้ ครั้งสุดท้ายเท่านั้นผมท่องเอาไว้ในใจ มันจะเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น

“มีอะไร?”

“นี่โทรศัพท์พี่ ชินลบทุกอย่างที่อยู่ในนั้นด้วยตัวของชินเองได้เลย...พี่ขอบคุณที่ชินยอมความ พี่ขอบคุณ มันมีความหมายกับครอบครัวของพี่มากจริงๆ”

“วางไว้ที่โต๊ะ”

ผมชี้ไปที่โต๊ะทานข้าว เมื่อโทรศัพท์เครื่องนั้นถูกวางลงที่โต๊ะผมจึงค่อยเอื้อมไปหยิบมือถือเครื่องนั้นด้วยมือที่สั่นทั้งสองข้างของตัวเอง แอพลิเคชั่นแรกที่ผมเลือกกดเข้าไปก็คือหมวดของภาพถ่าย ทั้งคลิปวีดีโอทั้งภาพของผมที่ปรากฏอยู่ในนั้นมันทำให้ขาของผมอ่อนแรง ผมจึงต้องลงนั่งกับพื้นแล้วจึงค่อยกดลบรูปและวีดีโอของผมในวันนั้นให้มันหมดไป

“อย่าร้องไห้...พี่ขอโทษ...ที่เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้...ที่พี่ทำเราแบบนี้...พี่ขอโทษ..พี่อ่านสิ่งที่เราเขียนลงกระดาษหมดแล้ว...พี่ขอโทษ”

ตลอดเวลาของการลบสิ่งเลวร้ายนั้นผมไม่รู้สึกตัวเลยว่าผมกำลังร้องไห้อยู่ ผมรู้แค่ว่าภาพที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ก็เท่านั้นเอง แม้จะลบหมดแล้วแต่ผมก็ยังคงกดซ้ำวนไปมาเพราะผมต้องการเช็คให้แน่ใจว่าไม่เหลืออะไรที่เกี่ยวกับผมหลงเหลืออยู่ในนั้น จนผมพอใจและมั่นใจผมจึงวางโทรศัพท์เอาไว้ที่พื้น

“เสร็จแล้วใช่ไหมครับ?”

“...” ผมใช้การพยักหน้าเป็นคำตอบ

พี่เก่งลงมานั่งที่พื้นด้วยกันกับผม เขาค่อยๆ หยิบโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋ากางเกงของตัวเองก่อนที่เอื้อมมือมาจะมาจับที่มือของผม ผมค่อยๆ เลื่อนมือของตัวเองออกมาจากการจับกุมของพี่เก่ง พี่เก่งยอมปล่อยมือของผมออกแต่โดยดี เรานั่งกันอยู่เงียบๆ สักพักก่อนที่พี่เก่งจะเป็นคนทำลายความเงียบลง

“ชินจะไม่ให้โอกาสพี่เลยจริงๆเหรอครับ? พี่รู้สึกผิดแล้วจริงๆ นะครับ พี่ขอโอกาสก็ไม่ได้เหรอ? พี่จะยอมเราทุกอย่าง ขอแค่บอกพี่ยอมทุกอย่าง”

“…”

“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่ทำให้ชินเสียใจ แต่พี่ก็ทำมันไปเพราะพี่กลัวจะเสียชินไป พี่ผิดตรงไหนที่พี่รู้สึกกับเรามากขนาดนี้? พี่ผิดมากเหรอครับ?”

“...”

“แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายเดือนที่เราไม่เจอกันเหมือนเมื่อก่อน ชินเคยคิดเรื่องของเราบ้างไหม?”

พี่เก่งก้มตัวลงไปจูบลงที่ปลายเท้าของผม พี่เก่งแนบใบหน้าที่เคยเป็นที่ภาคภูมิใจและเป็นที่นิยมของใครหลายๆ คนลงที่หลังเท้าของผมทั้งสองข้างพร้อมกับจรดหน้าผากลงไปพร้อมกับพร่ำพูดคำว่ารักและขอโทษอยู่อย่างนั้น

“…”

เสียงสะอื้นของผมที่ผมพยายามเก็บเอาไว้มันดังขึ้นจนพี่เก่งเองต้องหยุดพูดและเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก นั้นเป็นช่วงขณะเดียวกันกับที่พ่อของผมลุกเดินตรงมาที่ครัว มาหาผม

“ธุระของบ้านคุณเสร็จหมดแล้ว...เราก็กลับไปได้แล้ว”

“พี่..ไปก่อนนะ...พี่ขอโทษจริงๆ”

แม้สายตาของพี่เก่งจะบ่งบอกถึงความไม่เต็มใจแต่พี่เก่งก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ในจังหวะนั้นเองที่ผมได้มีโอกาสสบตาและมองหน้าของพี่เก่ง นั่นทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่เสียน้ำตากับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่พี่เก่งเองก็กำลังเสียน้ำตาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ต่างจากผมเช่นกัน

“พี่ขอโทษ...พี่รักเราจริงๆ นะ”

พี่เก่งยกมือไหว้ลาและกลับหลังหันเตรียมออกไปจากบ้านหลังนี้ แต่ก่อนที่พี่เก่งจะออกไปผมลืมไปว่าผมยังไม่ได้บอกสิ่งที่อยู่ในใจของผมให้กับพี่เขาได้รู้

“พี่เก่ง”

พี่เก่งหยุดเดินหันหลังกลับมามองที่ผมด้วยหน้าตาที่มีความหวัง ผมหยุดหอบและตั้งสติให้ดีก่อนที่กล่าวคำที่คิดเอาไว้ออกไปให้พี่เขาได้รับรู้

“ผม..ไม่มีวันให้อภัยพี่...ไม่มีวัน”

“ชิน”

“และผม...เกลียดพี่ เกลียด”


โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 13 - 09/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-09-2017 08:06:45
อ่านแล้วสงสารชิน
จากมุมของผู้ถูกกระทำอย่างไม่ยินยอมมันช่างโหดร้ายและส่งผลกระทบมากจริง ๆ แต่คนภายนอกจะมองแค่ว่าเขาไม่เป็นไร เสแสร้ง คำว่ากล่าวต่าง ๆ นานายิ่งทำร้ายเหมือนกรีดแผลซ้ำเข้าไปอีก
ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เกิดกับตัวคุณ คุณก็ไม่มีทางรู้หรอกว่ามันหนักหนาแค่ไหน อย่าวิพากย์วิจารณ์ใครแบบนี้เลย มันจะเป็นบาปหนาติดตัวเสียเปล่า ๆ
ฝ่ายเก่งกับครอบครัวก็ดีใจไปสิ ผู้เสียหายเขายอมถอนฟ้อง ไม่ต้องมาสนใจหรอกว่าตัวเองสร้างรอยด่างพร้อยไว้กับชีวิตใครคนหนึ่ง
 เขาจะมีชีวิตแบบปกติได้อีกไหม แค่ตัวเองไม่เสียประวัติก็พอแล้วสินะ
(อ่านถึงตอนนี้แล้วน้ำตาคลอ)
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 13 - 09/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-09-2017 23:28:14
อยากให้เก่งได้รับผลจากสิ่งที่ทำค่ะ ไม่ใช่แบบนี้
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 13 - 09/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 20-09-2017 13:03:31
ตั้งตารอเลย ตอนต่อไป หายากนะ มุมมองที่อยู่บนความจริงไม่ได้วิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ ถึงจะอ่านไปด้วยความสะเทือนใจก็ตาม
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 13 - 09/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 29-09-2017 22:44:38
บทที่ 14

“นายควรบอกแม่”

“เราสัญญาว่าเราจะบอก แต่ขอแค่เราพร้อม”

ปราโมทย์พยายามย้ำคำให้ผมบอกเรื่องราวเหล่านี้ให้กับแม่ได้รู้ ผมรับปากไปเพื่อป้องกันไม่ให้ปราโมทย์เป็นคนบอกทั้งที่ความจริงแล้วผมไม่เคยมีความคิดที่จะพูดเรื่องนี้ให้กับที่บ้านได้รู้

หลังจากที่ผมได้ออกมาจากโรงพยาบาลผมแอบไปทำเรื่องพักการเรียนเอาไว้โดยที่ไม่ได้บอกใครที่บ้านสักคน มีคนเดียวที่รู้เรื่องก็คือปราโมทย์ ไม่ใช่ว่าผมอยากที่จะบอกเขาแต่ที่ผมต้องยอมบอกเพราะเขาบังเอิญเดินมาเจอผมพร้อมกับเอกสารขอพักการเรียนในมือ

ในช่วงแรกที่ไม่ได้ไปเรียนผมก็ออกไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับปราโมทย์เหมือนเดิมเพียงแต่ปรโมทย์จะให้ผมลงแถวร้านกาแฟตามห้างไปนั่งรอ รอจนปราโมทย์เลิกเรียนและกลับบ้านพร้อมกัน

“ที่นายยังเอาแต่ออกมาเพราะว่านายยังไม่ได้บอกที่บ้านใช่ไหม?”

“เราหาโอกาสอยู่น่ะ”

แต่หลังๆมาปราโมทย์บอกว่าเขาจะไม่ช่วยผมโกหกอีกแล้วโดยการที่เขาจะยอมมารับแล้วพาผมไปไหนต่อไหน นั่นเลยทำให้ผมต้องอยู่แต่กับบ้าน ผมจึงมาจบด้วยข้ออ้างที่ว่าผมไม่มีเรียน

“วันนี้ก็ไม่มีเรียนเหรอชิน?”

“ไม่มีครับ”

“มันหลายวันแล้วนะลูก”

“...”

“งั้นชินอยากไปที่ทำงานกับแม่ไหม?”

“แม่...ต้องไปทำงานใช่ไหมครับ?”

นั่นสินะ ถ้าผมหยุดก็หมายถึงว่าใครสักคนก็ต้องหยุดเพื่ออยู่เป็นเพื่อนกับผมที่บ้าน ผมลืมข้อนี้ไปได้ยังไงกัน?

“เปล่าจ้ะ งานแม่ไม่ได้รีบ”

“งั้นก็...ไม่ครับ”

“ชิน ช่วงปิดเทอมลองไปเรียนขับรถดีไหมลูก เผื่อวันไหนเราอยากออกไปไหนโดยที่ไม่มีโมทย์เขา เราจะได้ไปได้”

“...”

“ชิน ได้ยินแม่ไหมลูก?”

“...”

“ชิน”

เพี๊ยะ

ผมปัดมือของแม่ที่กำลังจะมาจับตัวของผมด้วยความไม่ได้ตั้งใจ ผมกำลังเหม่อ ผมกำลังคิดเรื่องอื่น ตอนที่หางตาของผมเหลือบไปเห็นมือของแม่ที่กำลังเอื้อมมาหาผมนั้นมันทำให้ผมตกใจ

“ผมขอโทษ”

ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันออกมาในรูปแบบนี้ ไม่ได้อยากทำร้ายความรู้สึกของแม่ เพราะผมก็รับรู้ได้ว่าแม่หวังดีกับผมมากขนาดไหน

“ชินยังทานยาตามที่หมอสั่งหรือเปล่า?”

“ทานครับ”

ผมโกหกอีกแล้ว ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องยา ยานั่นผมเลิกทานมันไปนานแล้ว นานจนผมไม่คิดว่าผมต้องการมันอีก ผมไม่ใช่คนป่วยแล้ว ผมออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ทำไมผมจะต้องการมัน?

แม่เริ่มทำท่าอยากที่จะซักถามผมมากขึ้น ผมจึงหนีความจริงโดยการขึ้นมาบนห้องแล้วเก็บตัวเองอยู่ในนั้น โดยการที่อ่านกระดาษที่ผมเคยร่างเขียนถึงเหตุการณ์เอาไว้


ผมใช้เวลาตลอดช่วงสายนั่งคิดทบทวนดูแล้ว ผมว่าเรื่องที่ออกมาเป็นแบบนี้มันไม่ใช่ใครที่ไหนที่เป็นคนผิด มันเป็นผมเองที่เป็นคนผิด ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากผม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีผมสักคนเรื่องราวเหล่านี้มันก็จะจบลง ปราโมทย์ก็ไม่ต้องคอยไปรับไปส่งผมถ้าเกิดผมต้องการที่จะไปมหาวิทยาลัยอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมอีกครั้ง และสุดท้ายผมก็จะได้พ้นไปจากสภาพนี้เสียที 

“ชิน ชินลูก เปิดประตูให้แม่หน่อย”

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงจากที่ไกลๆ มันดังออกมาจากหน้าห้องนอนของผม แม่ใช่ไหมนะ? ผมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ภาพหน้าของแม่ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาผม แม่มักจะเป็นแบบนี้เสมอ เป็นคนแรกที่เข้ามาหาผมเสมอ แม่จะรู้ไหมนะว่าผมรักท่านที่สุดในโลกเลย

“กรี๊ดดด ชินลูกแม่! ลูก! ชิน!!”

แม่ดึงเอาเสื้อผ้าในตู้มาผูกที่ข้อมือของผมเอาไว้ ผมใช้โอกาสที่แม่กำลังเข้าใกล้กับตัวของผมนี้จับมือของแม่เอาไว้ ก่อนที่ผมจะต้องหายไปจากตรงนี้ ก่อนที่แม่จะรู้สึกโล่งใจที่มีลูกไม่เอาไหนอย่างผม

“แม่ ชินขอโทษนะ...ทุกเรื่องที่ชินทำ เรื่องที่ชินเป็นคนขี้แพ้ .... บอกพ่อด้วยว่าชินขอโทษ”

กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาจากข้อมือของผมหลังจากที่ผมตัดสินใจจบปัญหาทุกอย่างลงโดยการที่เอาเศษกระจกมากรีดลงไปที่ข้อมือ ตอนแรกกลิ่นเหล่านั้นมันคละคลุ้งเหม็นคาวไปทั่ว แต่แค่เพียงแม่เปิดประตูเข้ามากลิ่นคาวที่ชวนอาเจียนก็หายไปทันที ในตอนนี้ผมได้แต่กลิ่นของแม่ กลิ่นที่ผมคุ้นเคยแทน


แม่ไม่ต้องห่วงแล้วนะครับ ต่อไปนี้ชินจะไม่ทำอะไรให้แม่ลำบากใจอีกแล้ว แม่ไม่ต้องมาหยุดงานลางานสลับกับพ่อเพื่อชินอีกแล้วนะครับ
วันนี้ชินเป็นลูกที่ดีให้พ่อกับแม่ไม่ได้แต่ชินสัญญาว่าถ้าชินได้มีโอกาสกลับมาเป็นลูกของพ่อกับแม่อีกครั้ง ชินจะเป็นลูกคนที่ดีกว่าเดิมให้พ่อกับแม่ภูมิใจ 


เสียงแม่พูดอะไรไม่รู้อยู่อีกมากมายแต่ผมไม่สามารถรู้เรื่องหรือจับใจความมันได้อีกแล้ว อีกอย่างตอนนี้ผมก็ง่วงนอนมากเหลือเกินซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะ เพราะตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่องจนมาถึงวันนี้ยังไม่มีวันไหนที่ผมสามารถหลับตาลงนอนได้อย่างเต็มตาสักคืน นับจากวันนี้ไปผมจะได้นอนหลับอย่างสมใจอยากสักที ผมคิดถึงการนอนที่ยาวนานของผมนี่จัง 

.........................................................................

“แม่”

ครั้งแรกที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาล ผมพยายามบอกตัวเองว่านี่คือความฝัน มันไม่ใช่เรื่องจริงที่ผมจะยังอยู่ตรงนี้ แต่แล้วผมก็ต้องยอมรับความจริงเมื่อตอนที่หันไปทางซ้ายแล้วเห็นแม่นอนฟุบอยู่กับขอบเตียงข้างๆ กันกับผม พร้อมกับพ่อที่กำลังนั่งหลับอยู่ที่โซฟา

ทำไมนะ ทำไมผมไม่เคยทำอะไรได้สำเร็จเลยสักอย่าง แค่จะหยุดเป็นตัวถ่วงของทุกคนผมยังไม่สามารถทำมันได้เลย แค่จะจบชีวิตของตัวเองความสามารถของผมยังทำไม่ได้เลย

“ตื่นแล้วเหรอลูก?”

“ครับ”

“ชินอยากกิน อยากดื่มอะไรหน่อยไหมลูก?”

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบให้กับแม่  ผมไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น สิ่งที่ผมอยากได้ สิ่งที่ผมต้องการมันเป็นสิ่งที่ผมเพิ่งกระทำมันลงไปแล้วไม่สำเร็จ

“แม่...แม่ปล่อยให้ชินตายไม่ได้เหรอครับ?”

“ชินลูก...ทำไมพูดแบบนี้? ชินไม่รักแม่แล้วเหรอ?”

“แล้วพ่อล่ะ ชินไม่รักพ่อเหรอลูก?”

“รัก...ครับ”

“งั้นอย่าพูดแบบนี้อีกนะลูก อย่าพูดแบบนี้อีก”

ใช้เวลาเพียงไม่นานแผลที่ข้อมือที่ลามยาวไปจนถึงช่วงข้อพับก็หายดี ในวันที่หมอยอมให้ผมกลับบ้านได้ ผมโดนส่งตัวต่อให้แก่คุณหมอจากแผนกจิตเวชในทันที

“ผมผิดปกติใช่ไหมครับเลยต้องมาอยู่ตรงนี้?”

“ไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่เลย”

คุณหมอบอกว่าสิ่งที่ผมนึกคิดอยู่ตอนนี้มันเป็นผลพลอยจากโรคอื่นๆ ที่ผมกำลังเป็นอยู่ อย่างเช่นโรค Panic attack ที่เกิดขึ้นแล้วมีการพัฒนามาจนเป็นโรคซึมเศร้า

ก่อนหน้านี้ผมยังไม่ต้องรับยาเพื่อรักษาโรคซึมเศร้า แต่ตอนนี้คุณหมอเห็นว่ามันถึงเวลาที่สมควรที่จะสั่งยาให้ผมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้กับผมอีก

แม่ของผมตัดสินใจลาออกจากงานทันทีหลังจากที่ผมได้รับการวินิจฉัยจากคุณหมอ ตอนนี้ที่บ้านของผมเลยเหลือพ่อเป็นเสาหลักของบ้านเพียงคนเดียวเท่านั้น

หลายต่อหลายครั้งผมเห็นพ่อกลับมาบ้านด้วยสภาพที่เหนื่อยมากกว่าเดิม แม้ว่าพ่อจะยิ้มให้กับผมแต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พ่อเริ่มทำโอทีที่บริษัทมากขึ้นและพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะมีเงินเดือนที่มากขึ้น

ส่วนตัวผมในที่สุดก็ต้องยอมรับสารภาพกับที่บ้านไปว่าผมดร็อปเรียนเพราะผมไม่คิดว่าผมจะสามารถไปนั่งเรียนที่มหาวิทยาลัยได้เหมือนเดิม เมื่อทั้งพ่อและแม่ได้ฟังเหตุผลจากปากของผมท่านทั้งสองก็พาไปทำเรื่องลาออกอย่างถาวรในวันรุ่งขึ้น

แม้จะหยุดไปเรียนแต่ผมก็ลงเรียนแบบออนไลน์ (Distance learning)* 4 แทนตามคำแนะนำของอาพุฒ แล้วผมก็เชื่อว่ามันน่าจะเป็นวิธีเรียนที่ดีสำหรับผมมากที่สุด

............................................................................................

“แม่ครับ ผมนั่งคนเดียวในห้องได้”

“ไม่เป็นไรลูก ให้แม่นั่งเป็นเพื่อนดีกว่าเผื่อว่าชินอยากได้อะไร

ผมยอมรับว่าผมยังคงปรับตัวไม่ได้และรู้สึกอึดอัดที่มีแม่มาคอยอยู่ใกล้ๆ คอยจับตาดูการกระทำของผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าผมมีความลับที่ให้แม่รู้ไม่ได้แต่การกระทำนั้นของแม่มันเป็นการตอกย้ำว่าผมคือบุคคลที่ไร้ความสามารถและผมมันคือภาระ

“แม่ ผมออกไปหน้าหมู่บ้านนะครับ”

“ออกไปทำอะไรลูก?”

“ออกไปซื้อของกินครับ”

“อยากกินอะไรบอกแม่มา เดี๋ยวแม่ออกไปซื้อให้”

“ผมอยากออกไปดูด้วยตัวเอง”

“งั้นรอแป๊บนึงนะลูก แม่ไปเปลี่ยนเสื้อเดี๋ยวเดียว เสร็จแล้วแม่จะไปเป็นเพื่อน”

“แต่ผมอยากออกไปคนเดียว”

“รอแป๊บนึงนะลูก”

“แม่ ผมโตแล้ว”

“แต่แม่เป็นห่วง” 

“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ฟังผมบ้าง”

“ลูกก็ฟังแม่บ้าง”

เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่บ้านแม่ไม่เคยยอมให้ผมไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว เวลาผมหายเข้าไปในห้องน้ำหรือห้องนอนเป็นเวลานานแม่ก็จะคอยเคาะเรียกผมอยู่ตลอดเวลา

ผมพยายามพูดให้แม่เชื่อใจว่าผมจะไม่ทำอะไรอย่างที่แม่กังวลอีก แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของผมจะไปไม่ถึงแม่ นั่นเลยเป็นจุดที่ทำให้ผมหยุดพูด หยุดอธิบายตัวเอง

จากที่พูดน้อยลงกับแม่โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผมกับแม่เรากลายเป็นว่าไม่ได้พูดกัน นับวันการพูดคุยระหว่างผมกับครอบครัวยิ่งน้อยลงไปทุกที ในโต๊ะกินข้าวนอกจากเสียงของช้อนกับส้อมที่กระทบจานแล้ว มันแทบไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นเลย แม้ตลอดเวลาทั้งวันเราจะนั่งด้วยกันแต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราใช้เสียงจากโทรทัศน์เป็นตัวทำลายความเงียบแทนการพูดคุย

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 14 - 29/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 30-09-2017 17:44:50
พออ่านตอนนี้ไปไม่กี่บรรทัด ก็อุทานว่า ฉิบหายละโรงซึมเศร้าแหง โอ้ยยย สะเทือนใจ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 14 - 29/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 30-09-2017 20:37:32
นอนอ่านน้ำตาไหลเลยทำยังไงชินถึงจะหายสงสารทาก
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 14 - 29/09/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 07-10-2017 09:42:38
บทที่ 15

ผมตัดสินใจปิดปากของตัวเองเพียงเพราะผมไม่อยากทะเลาะกับพวกเขา ภาพในวันที่ผมปัดมือแม่ออกจากตัวผม สีหน้าของแม่ในวันนั้นมันเศร้าเพียงใดผมไม่เคยลืม

ผมพยายามอย่างมากที่จะควบคุมอาการและคำพูดของตัวเองเพราะผมไม่อยากที่จะต้องกลับไปถึงจุดนั้น จุดที่ผมทำร้ายจิตใจของแม่อีก แค่นี้แม่กับพ่อก็ต้องเสียเงินเสียทองมารักษาลูกที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ตั้งมากมายเท่าไหร่ 

“ผมทำให้แม่ต้องเข้าพบหมอใช่ไหมครับ? แม่กำลังป่วยแบบผมหรือเปล่าครับ?”

“อย่าไปคิดถึงเรื่องอื่น แค่พยายามทำให้ตัวเองดีขึ้น ทานยาให้ตรงเวลา มีอะไรเล่าให้หมอฟัง ตอนนี้หน้าที่เราตรงนี้ทำให้ดีที่สุดแค่นี้คุณแม่ของเราก็จะต้องดีใจมากแน่ๆเลยค่ะ”

เคยเชื่อว่าถ้าเงียบแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นแต่กลับกลายเป็นว่าผมคิดผิด ยิ่งผมไม่พูดก็ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่ที่กังวลใจมากขึ้น จนทำให้แม่ต้องเป็นคนที่พบหมอที่แผนกจิตเวชเหมือนกันกับผม

ตอนที่ออกมารับยาผมเห็นคุณหมอเรียกแม่ให้เข้าไปคุยส่วนตัว ผมนั่งรออยู่ที่เดิมที่เก้าอี้ตัวเดิมจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยที่ไม่รู้ว่าแม่จะหายเข้าไปในห้องนั้นนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่มาหยุดที่ข้างตัวด้วยท่าทางที่พยายามฝืนยิ้มให้ผมพร้อมทั้งบอกว่า “กลับบ้านเรากันลูก”

.......................................................................

“ฮึก คุณ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะทำยังไงแล้ว ลูกไม่ยอมคุยกับฉันเลย”

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”

“ฉันก็ไม่รู้ อยู่ๆ ลูกก็หยุดคุยกับฉัน”

“ใจเย็นๆ คุณ อยากให้ผมเข้าไปคุยกับลูกหน่อยไหม? อยากสลับให้ผมเป็นคนไปดูลูกหรือเปล่า?”

มันเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ภาพที่พ่อกับแม่กอดกันร้องไห้ในห้องนอนของท่าน ความตั้งใจจะเข้ามาขอโทษที่ทำให้พวกท่านทุกข์ทำให้ผมเห็นภาพนี้กับตาตัวเอง

คำขอโทษถูกกลืนกลับลงคอ ผมเดินหันหลังกลับไปที่ห้องของตัวเองนั่งรอเวลาที่ท่านทั้งสองจะเดินเข้ามาหาผม แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าห้อง แล้วก็เป็นพ่อที่เดินเข้ามาหาผมและนั่งลงที่เก้าอี้

“ไงเรา ได้ข่าวช่วงนี้ทำตัวเป็นหนุ่มติสท์ไม่ยอมพูดคุยกับแม่เขาเหรอ?”

“ผม...ผม”

“แล้วเราพอจะเล่าให้พ่อฟังได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ผมนั่งก้มหน้าเงียบอยู่นานจนตัวเองยังเริ่มที่จะรู้สึกรำคาญตัวเอง แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านเลยไปนานขนาดไหนพ่อก็ไม่ได้เร่งเอาคำตอบจากผม

เมื่อเวลาผ่านไปจนผมคิดว่าผมพร้อมผมก็เงยหน้าขึ้นไปสำรวจบุคคลตรงหน้า ก็เห็นว่าพ่อยังใส่ชุดทำงานมานั่งรอคำตอบจากผมที่นั่งสบายอยู่กับบ้านมาทั้งวัน “รู้ใช่ไหมว่าคนที่จะทำให้ดีขึ้นได้มันต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา” คำพูดของหมอดังเข้ามาในหัว 

“ผมแค่ ... ผมไม่อยากรู้สึกเป็นภาระ ผมอยากทำอะไรด้วยตัวเองได้ ผมไม่อยากรู้สึกไร้ค่า ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด แต่ผม ผม...ผมไม่อยากรู้สึกแบบนั้น ผมอยากเป็นคนมีคุณค่าอีกครั้ง พ่อ ชินอยากมีคุณค่าอีกครั้ง”

พ่อไม่จู่โจมเข้ามากอดผมเพราะรู้ว่าผมยังไม่สามารถถูกตัวผู้ชายได้สักเท่าไหร่ พ่อจึงค่อยๆ เลื่อมือของพ่อมาจับมือของผมเอาไว้ รอจนผมหยุดสะอื้นพ่อจึงค่อยๆ พูดให้ผมเข้าใจ

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในบ้านหลังนี้มองลูกเป็นภาระหรือคนไร้ความสามารถ ลูกยังเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับพ่อและแม่เสมอ”

“แต่แม่...”

“ที่เราต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิดเหหมือนลูกยังไม่โตเพียงแค่ตอนนี้ลูกไม่สบายแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกหายดี ลูกก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม ไปเป็นอิสระแบบคนที่โตแล้วเหมือนเดิม”

“พ่อ....ผมขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรเลย”

“แม่ ...แม่เขาโกรธผมหรือเปล่า?”

“แม่เขาไม่เคยโกรธลูก พ่อสามารถยืนยันแทนแม่เขาได้เลย เพราะลูกคือลูก ไม่เป็นไรนะ เราต้องผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ลูกของพ่อเก่ง พ่อมั่นใจว่าลูกจะต้องทำได้”

“ขอบคุณครับ”

“อย่าลืมพูดกับแม่เขาแบบนี้ล่ะลูก”

“ครับ”

ผมย้ายตัวเองออกจากห้องแล้วขอไปนอนซุกตัวอยู่กลางเตียงของพ่อกับแม่ ทำตัวเหมือนตัวเองยังเป็นเด็กเล็กอีกครั้ง ตลอดทั้งคืนก่อนที่ผมจะหลับตาลงผมเอาแต่พร่ำพูดขอโทษพ่อและแม่ แล้วทั้งพ่อกับแม่ก็ไม่รู้สึกเบื่อที่ต้องคอยพูดกับผมซ้ำๆ ว่า “ไม่เป็นไร” เช่นกัน

แม้ผมจะไม่ได้พูดออกไปแต่ผมได้ให้คำสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าหลังจากคืนนี้ผมจะเป็นคนใหม่คนที่เปิดใจเชื่อฟังหมอและปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด และพยายามที่จะก้าวผ่านตรงนี้ไปให้ได้ เพื่อทุกคนและเหนือสิ่งอื่นใด…เพื่อตัวของผมเอง

หลังจากคืนนั้นผมก็เปลี่ยนตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ ผมให้ความร่วมมือกับหมอมากขึ้นปฏิบัติตามที่หมอบอกทุกอย่างทำให้ตอนนี้ผมสามารถเริ่มเดินเข้าไปในกลุ่มชนกับเขาได้อีกครั้งหลังจากที่ต้องเอาแต่อยู่กับบ้านมาตลอดเวลา

“พร้อมนะลูก?”

“พร้อมครับ”

ผมเคยลองแค่ไปขึ้นรถเมล์และขึ้นรถไฟฟ้าคนเดียวเพื่อที่จะเบียดกับผู้คน ในวันนั้นผมทำมันไม่ได้ ผมหน้ามืดและอาเจียน เพียงแค่ไม่กี่นาทีผมต้องรีบแทรกตัวเพื่อขอลงในป้ายถัดไป

แต่วันนี้ผมทำมันได้แล้ว ผมไม่เป็นลม ไม่อึดอัด แม้ก้าวแรกที่เหยียบขึ้นไปบนรถผมจะมีอาการหอบหายใจถี่แต่ผมก็สามารถปรับลมหายใจนั้นให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง

“ดีมากลูก ดีมาก ลูกทำได้แล้วนะ”

ขั้นต่อมาที่ผมเริ่มฝึกคือขึ้นแท็กซี่ด้วยตัวเอง ในช่วงแรกผมทำได้ไม่ดีเท่าไหร่เพราะมันเป็นการอยู่แค่สองต่อสองกับคนแปลกหน้า ผมขอเขาลงกลางทางเสมอ

แต่หลังๆ นี้ผมสามารถที่จะอยู่บนรถนั้นได้จนถึงบ้าน แม้ว่าหลังของผมจะเต็มไปด้วยเหงื่อและมือจะเกร็งจนเมื่อยก็ตามแต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ขอลงกลางทางอย่างที่แล้วมา

แล้วมาวันนี้ผมก็ก้าวมาอีกขั้นโดยการเอาขนมที่แม่ทำขายลองมาขายที่ตลาดนัด แถมมันจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้พูดคุยกับผู้คนแบบมากหน้าหลายตา

“อ้าวปราโมทย์ มาได้ไง?”

“ก็มาให้กำลังใจนายไงเผื่อนายหนีกลับบ้านก่อนของจะหมด แม่จะได้มีคนช่วย”

แม้ผมจะลาออกจากที่มหาวิทยาลัยมาแล้วแต่ผมกับปราโมทย์เราก็ยังคงไปมาหาสู่พูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ ปราโมทย์เป็นคนที่ทำให้ผมเข้าใจว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะไม่ฟังเรา ไม่เข้าใจเรา ปราโมทย์ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งที่มีค่าที่สุดนั่นคือ “ในโลกใบนี้มันต้องมีใครสักคนที่พร้อมจะอยู่ข้างเราด้วยความเข้าใจ ด้วยคำว่ามิตรแท้ ด้วยคำว่าเพื่อน”

“หรือจะมากินขนมฟรีก็บอก”

“อย่ารู้มากนะ”

ในที่สุดเหตุการณ์วันนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผมไม่หนีกลับบ้านก่อนแม้ในบางทีผมจะเห็นคนที่แต่งตัวคล้ายกับคนที่มหาวิทยาลัยแต่ผมก็ยังคงสามารถคุมตัวเองหรืองเท้าให้อยู่กับที่เอาไว้ได้ พอกลับถึงบ้านผมรีบเล่าอวดพ่อถึงสิ่งที่ผมทำได้

“เก่งมากแล้วนะลูกพ่อเนี่ย แบบนี้พ่อต้องคอยจับเวลากลับบ้านหรือยัง? จะหนีเที่ยวหรือยังล่ะเรา?”

“คุณ อย่าไปยุลูกสิ”

“พ่อครับ แม่ครับ ผมขออะไรอีกสักอย่างได้ไหมครับ?”

“ไงคราวนี้จะไปทดสอบความกล้าที่ไหนอีก? หรือว่าจะหนีเที่ยวจริงๆ ตามที่พ่อพูด”

“ผม...อยากไปช่วยงานอาพุฒครับ”

“ฉันว่านายอย่าดีกว่า” ปราโมทย์ที่ขอติดพ่วงกลับมาบ้านเพื่อฝากท้องมื้อเย็นรีบพูดขัดขึ้นมาก่อนที่พ่อกับแม่ของผมจะพูดอะไร

“แต่เราอยากลอง...”

“นะครับ พ่อ แม่”

การช่วยงานอาพุฒก็คือการไปพูดคุย ไปนั่งข้างๆ ไปชวนเล่น รวมถึงไปรับฟังเรื่องราวต่างๆ จากเด็กๆ ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศมาเหมือนกันกับผม ก่อนหน้านี้ที่จะรู้จักกับโครงการผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศเยอะขนาดนี้โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่มีจำนวนไม่น้อยไปกว่าเด็กผู้หญิงเลยสักนิด

ในโครงการของอาพุฒนอกจากเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้วยังมีเด็กอีกหลายคนที่เข้าร่วมโครงการและรับการรักษาที่เกิดจากการโดนรังแกทางอินเตอร์เน็ต (Cyber bullying)* 5 ถ้าให้เลือกที่จริงกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ผมก็อยากเข้าไปช่วยดูแลมากที่สุด โชคดีที่อาพุฒก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยที่ให้ผมเริ่มจากกลุ่มนี้ก่อนเช่นกัน

“พ่อขอถามเหตุผลได้ไหม?”

ผมรู้ว่าทำไมถึงไม่มีใครอยากให้ผมไปเพราะทุกคนกลัวว่าผมจะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก เพราะกว่าผมจะผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้วมายืนในจุดนี้ได้ผมต้องใช้เวลาเกือบสองปี

“ผมยังโชคดีที่มีพ่อแม่และปราโมทย์เข้าใจแถมยังคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ มาเสมอ แต่เด็กเหล่านั้นคุณหมอกับอาพุฒบอกว่าพวกเขาต้องต่อสู้เพียงลำพัง ผมเลยอยากไปช่วยพวกเขา”

“งั้นเอางี้ ถ้าลูกอยากไปจริงๆ แม่มีข้อแม้”

“ครับ?”

“ทุกครั้งที่ไปต้องมีแม่หรือพ่อไปเป็นเพื่อนด้วยทุกครั้ง และถ้าเกิดไม่ไหวต้องรีบบอกพ่อกับแม่แล้วกลับบ้านทันที”

“ได้ครับ ผมตกลง”

“งั้นก็ตกลงตามนั้นจ้ะ”

“ขอบคุณนะครับพ่อ แม่..”

“ขอบคุณนะปราโมทย์”

“เรื่องอะไร?”

“ทุกเรื่องเลย”

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ปล ขอแอบแจ้งข่าวนิดนึงนะคะว่า หนังสือเรื่อง #theeffectth มีขายรอบ Pre sale ที่ร้าน That Y ค่ะ แล้วหลังจากนั้นสามารถหาซื้อได้ที่บูธ B2S ในงานหนังสือแห่งชาติ วันที่ 18 ตุลาคม นี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: hellfire ที่ 10-10-2017 14:16:10
สวัสดีค่าคนเขียนนี่เพิ่งเริ่มอ่านนิยายเรื่องนี้สนักมากค่ะเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะนิยายคุณดีมากจริงๆรออยู่นะคะ o13
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: papapoope ที่ 20-10-2017 19:03:59
อ่านแล้วซึ้งจริงๆ
ความรักของครอบครัวนี้อบอุ่นเสมอ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 21-10-2017 18:21:04
 :katai4: :katai4: :katai4: สนุกอ่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-10-2017 00:35:41
ถ้าเป็นเรื่องจริงนี่อึ้งนะ สำหรับคนอย่างเก่งที่หลอกคนทั่วไปได้ ยังไม่รู้ว่าหลอกพ่อแม่ตัวเองด้วยหรือเปล่า คนแบบนี้น่ากลัวจังเลย :ling3:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 23-10-2017 11:44:32
โอ้ยยย จากตอนที่คนเขียนบอกจบแบดเรานี่ถอดใจไม่อ่านดีไหม แต่พอลองอ่านๆไปนี่ถึงตอนล่าสุดไม่รู้ตัว ชอบเลยอ่ะ เป็นแนวเรื่องแฝงข้อคิดอะไรหลายๆอย่างนะถ้าลองคิดดีๆ เป็นกำลังใจให้รอตอนต่อไปอยู่นะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 23-10-2017 16:32:00
สนุกดีนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 23-10-2017 20:04:57
ชินสู้ๆ  :katai2-1:  ส่วนคนทำให้ชินเป็นแบบนี้ขอให้ตกนรกทั้งเป็นที่ทำให้คนที่ตัวเอง (พูดว่า) 'รัก' เป็นอย่างนี้ :fire:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: gackmanas ที่ 23-10-2017 21:15:00
อุ้ยยย... ชอบมากเบยยย..
ไรท์เตอร์มาต่อไวๆนะคะ..
ติดตามค่ะ..  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 24-10-2017 23:05:48
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: MNIMD ที่ 25-10-2017 01:03:35
 ผลกระทบจากการโดนข่มขืนมันน่ากลัวจริงๆนะ ทำให้คนๆนึงกลัว หวาดระแวงทุกอย่าง ทำให้คนๆนึงซึมเศร้า คิดว่าตัวเองไม่มีค่า เราจะรักคนที่เขามาข่มขืนเราได้ยังไง ในเมื่อเขาทำให้เราเป็นถึงขนาดนั้น
 การโดนข่มขืนมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย อ่านแล้วสงสารน้องมาก อยากกอดปลอบ อิพี่เก่งนี่ก็เลวเหลือเกินไม่มีคำบรรยายอื่นใดนอกจากสารเลวอีกแล้ว ทำแบบนี้กับเขายังมีหน้ามาอ้อนวอนขอความรักกับเขาอีก
 ขอให้ชินหายไวๆและกลับมาเข้มแข็งเหมือนเก่าอีก มีทั้งพ่อทั้งแม่ ปราโมทย์ อาพุฒที่คอยให้กำลังใจชินอยู่นะรวมถึงเราด้วย ติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sweetsky ที่ 30-10-2017 06:42:34
บทส่งท้าย


“ชิน ทางนี้”

“ปราโมทย์มารอนานหรือยัง?”

“นาน ทำไมนายช้า”

“โดยทั่วไปต้องตอบว่าไม่นานเป็นการรักษามารยาทสิ อะ เอาไป ของฝากจากภาคเหนือ ไส้อั่ว”

“ขอบใจ อะ นี่ก็ของนาย ของขวัญวันเรียนจบ”

“จำได้ด้วย?”

ผมหยิบเอาของขวัญวันเรียนจบมาดูมันคือชุดครุยของมหาวิทยาลัยที่ผมลงเรียนทางไกลเอาไว้ การเรียนจบของผมมันเรียบง่ายไม่มีงานรับปริญญา มีเพียงแค่ใบประกาศนียบัตรส่งมาที่บ้านแล้วเราก็แค่ทานข้าวกันเพื่อเป็นการฉลองที่บ้านเพียงเท่านั้น

“ขอบคุณมากเลยนะปราโมทย์ เป็นของขวัญรับปริญญาที่เราชอบมากเลย”

“อย่าลืมไปใส่ถ่ายคู่กับพ่อแม่ล่ะ”

“อื้ม”

“ว่าแต่ คราวนี้นายจะกลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ถาวรเลยหรือเปล่า?”

“น่าจะถาวรแล้วล่ะ แม่บ่นว่าเหงาจะแย่อยู่แล้ว ถามแต่เรื่องของเรา ปราโมทย์ล่ะเป็นไงบ้าง?”

“เราสบายดี แต่งานยุ่งมาก ถ้าเล่าจะยาวสั่งอะไรกินกันก่อนไหม?”

“โอเค”

“เออ ชิน”

“ว่า?”

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”

“อื้ม ขอบคุณนะ”



อาพุฒอาจจะเห็นแววจากการทำงานเป็นกำลังเสริมที่โครงการ ทำให้พอผมเรียนจบอาพุฒก็ชวนให้ไปทำงานที่บริษัท ผมทำงานทางด้านเอกสารช่วยดูงบประมาณ ช่วยการวางแผนของบริษัททนายซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวอาพุฒ ส่วนในเวลาว่างผมยังคงไปที่โครงการ ยังคงไปช่วยเหลือเด็กๆ ที่นั่น ก็เลยเหมือนกับว่าผมได้ทำทั้งสองงานควบคู่กันไป

เพราะงานว่าความและโครงการของอาพุฒไม่ได้อยู่แต่ในกรุงเทพฯ เลยมีบ่อยครั้งที่ผมต้องติดสอยห้อยตามอาพุฒไปตามต่างจังหวัด แต่ครั้งนี้หลังจากที่แม่เริ่มบ่นหลายครั้งว่าผมน่าจะลืมทางกลับบ้าน ผมเลยตัดสินใจที่จะกลับมาหางานประจำที่กรุงเทพฯ

“แล้วนี่หางานใหม่ได้หรือยัง?”

“ได้แล้ว อาพุฒดูให้น่ะ เป็นงานที่แม่กลั่นกรองแล้วด้วยว่าอยู่แต่ในกรุงเทพฯ จริงๆ”

“เอาน่า แม่นายคงเหงา วันก่อนแวะเอาของไปให้เราโดนดึงอยู่ยาวถึงสามทุ่มกว่า”

“โหดมาก”

“ชิน”

“หืม?”

“นายสบายใจแล้วใช่ไหม?”

ผมก็ไม่รู้ว่าผมสามารถพูดว่าผมสบายใจได้หรือยัง ถามว่าอาการต่างๆของผมหายไปหมดแล้วไหม? ก็เรียกได้ว่าผมกลับมาเป็นคนเดิมได้เกือบเต็มร้อย ยังมีบ้างบางครั้งที่ผมยังคงหวาดกลัวและหวาดผวา แล้วชื่อของพี่เก่งเองก็ยังไม่เคยเลือนไปจากใจของผม

“ก็เรียกว่าดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ”

“ให้อภัยเขาหรือยัง?”

นั่นน่ะสิ มันเป็นคำถามที่ผมไม่มีคำตอบว่าผมสามารถให้อภัยพี่เก่งแล้วหรือยัง ทั้งๆ ที่ใครต่อใครก็ต่างพูดว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผมดีขึ้น นั่นก็คือการให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา

“...ไม่รู้สิ”

“ไม่ต้องรีบ...เราแค่คิดว่ามันน่าจะดีกับตัวนาย..แต่ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยมันไปตามกาลเวลา”

“อื้ม...จะลองพยายามดูนะ”



ผมนั่งคุยกับปราโมทย์ต่อจนแสงอาทิตย์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ปราโมทย์เสนอตัวที่จะไปส่งที่บ้าน แต่ตอนนี้ปราโมทย์ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดิมเหมือนตอนสมัยเรียนแล้ว ปราโมทย์ย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงานของเขาซึ่งมันไกลจากที่บ้านผมเป็นอย่างมาก เงยหน้าไปดูจากสถานการณ์ของการจราจรในวันนี้ผมว่าปราโมทย์น่าจะกลับถึงคอนโดอีกทีตอนเที่ยงคืน

“งั้นถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาด้วย”

“โอเค ขับรถดีๆ”

หลังจากที่เดินไปส่งปราโมทย์ที่รถผมเปลี่ยนใจที่ตรงกลับบ้านเป็นเดินดูของในห้าง มันก็นานมากแล้วที่ผมไม่ได้มาเดินซื้อของในห้างแบบนี้ด้วยงานที่รัดตัวแล้วไหนจะต้องเดินทางตลอดเวลา ผมเลือกเดินเข้าร้านหนังสือเป็นร้านแรก กะว่าจะแค่ยืนดูของแต่ตอนเดินออกมาจากห้างในมือผมดันได้หนังสือติดกลับมาสองเล่ม

“ฮัลโหล ถึงไหนแล้วลูก?”

“กำลังจะกลับแล้วครับ”

“โอเค งั้นแม่กับพ่อรอที่บ้านนะ รอกลับมากินข้าวพร้อมกัน”

“ครับ”


ผมมัวแต่เดินเล่นเพลินจนไม่ได้ดูนาฬิกา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะเลื่อนเวลากลับให้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่เป็นเวลาเร่งด่วนอย่างหกโมงเย็น ผมไม่อยากขึ้นไปเบียดกับผู้คนในรถโดยสาร มีความคิดแวบนึงที่จะเดินหันหลังเข้าไปในห้างแต่อีกใจก็ไม่อยากให้แม่กับพ่อรอนานผมเลยเลือกที่จะกลับบ้านตอนนี้

ถนนยามเย็นดูคึกคักไม่เงียบเหงาเพราะยังมีผู้คนมากมายเดินซื้อของและพูดคุยกัน แม้แสงแดดสีแดงอมส้มที่มักจะเป็นตัวแทนของความเหงาและโดดเดี่ยว แต่พอได้มายืนอยู่ตรงนี้ผมก็รู้สึกว่าแสงนั้นมันทำอะไรผมไม่ได้เลย

ผมกำลังยืนรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนนไปอีกฝั่ง ผมกวาดตามองสิ่งรอบตัวไปเรื่อยปล่อยจิตใจไปกับการมองดูผู้คน แต่แล้วสายตาของผมก็ดันเห็นคนๆหนึ่งจากอีกฝั่งของถนน

คนๆนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไป เขายังคงเป็นคนที่ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมายได้เสมอ เขายังสามารถเป็นคนที่ดึงดูดสายตาได้แม้ว่าเขาจะดูอ่อนล้าก็ตาม

มือของผมที่เริ่มเปียกชื้นกำถุงหนังสือที่อยู่ในนั้นแน่นขึ้นพร้อมทั้งยังภาวนาขอให้คนฝั่งนั้นไม่เห็นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่อาจจะเป็นเพราะผมภาวนาช้าไป เพราะแค่เพียงอึดใจต่อมาสายตาของเราทั้งสองคนก็ประสานกัน เราสบตากัน
พี่เก่งยิ้มกว้างให้ผมทั้งน้ำตา มันน่าอิจฉานะที่แม้ว่าพี่เก่งจะร้องไห้และทำหน้าตาบูดเบี้ยวแต่เขาก็ยังคงอยู่ในร่างของเทพบุตรเสมอ

ทันทีที่ไฟแดงเริ่มกระพริบเป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมตัว เป็นสัญญาณให้ผู้คนที่อยู่ฝั่งนั้นสามารถข้ามมาที่ฝั่งนี้ได้ สมองของผมก็สั่งงานว่าให้ผมรีบหันหลังกลับจากจุดที่ยืนอยู่

ใจที่กำลังเต้นแรงของผมมันเป็นสิ่งที่บอกให้ผมรู้ตัวว่าผมคงไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้จริงๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยังคงก้าวขาไปข้างหน้าไม่ยอมถอยหลัง ทำให้ผมก็เป็นคนแรกที่เดินลงจากฟุตบาทของฝั่งนี้ แล้วไม่รู้อะไรที่ดลใจให้เขาคนนั้นเดินลงมาจากขอบฟุตบาทของฝั่งนั้นเป็นคนแรกเช่นกันดั่งผม

แล้วอย่างไม่ได้คาดฝัน ทันใดนั้นอยู่ๆ ก็มีรถบรรทุกพุ่งตัวมาจากอีกด้านของถนนที่เพิ่งมีสัญญาณไฟแดงไปเข้ามาในเขตถนนด้วยความเร็วสูง



โครม!



เสียงของสองสิ่งกระทบกันดังสนั่น รอบข้างของผมไม่มีแม้กระทั่งเสียงพูดคุย แต่เพียงไม่นานเสียงหวีดร้องและความโกลาหลก็เกิดขึ้น

แม้รอบตัวของผมจะมีแต่เสียงของความวุ่นวายแต่แปลกที่ในใจของผมดันสงบได้มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องขึ้น อาจจะเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคงจะเป็นสิ่งที่ผมต้องการเสมอมา


ขอบคุณที่ในที่สุดก็ทำให้ผมได้ผ่อนคลายและปล่อยวางอย่างแท้จริง


ถ้าปราโมทย์มาถามผมอีกครั้งผมก็คงตอบได้อย่างเต็มปากว่า


“อื้ม เราสบายใจดีแล้วล่ะ”





จบบริบูรณ์


 :pig4:



Talk : สวัสดีค่ะอย่างแรกเลยต้องขอขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่กดเข้ามาอ่านกันรวมไปถึงทุกคอมเมนท์ที่เข้ามาเมนท์ให้กำลังใจกันมันมีความหมายมากจริงๆ ค่ะ เรายอมรับเลยว่าเราไม่มีความมั่นใจตอนจะลงเรื่องนี้เลยเรากลัวมากจริงๆ เรากลัวเราไม่สามารถสื่อได้ถึงอารมณ์ของน้องชินกับพี่เก่งแต่พอเราได้เห็นยอดกดอ่านและมีคอมเมนท์เข้ามามันสามารถลดแรงกดดันและทำให้เรามีกำลังใจให้ไปต่อและออกมาจนเป็นรูปเล่มได้จริงๆ ค่ะ // โค้งขอบคุณอีกครั้ง


เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยที่เราไม่ได้ตอบคอมเมนท์ของใครเลยเราเห็นของทุกคนเลยค่ะและเราอยากพูดกับทุกคนมากกกกกกกกเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่เรามักจะแอบคุยด้วย แต่เราตั้งใจจบเรื่องนี้แบบเปิดว่าหลังจากเสียง ’โครม’ มันเกิดอะไรขึ้นกับทั้ง 2 คน เราเลยไม่อยากให้คำพูดของเราทำลายจินตนาการของคนอ่านเราเลยทำได้แค่กดบวกเป็ดแบบเงียบๆ ตอนเข้ามาเห็นคอมเมนท์ค่ะ ฮา ยังไงก็จบเรื่องนี้แล้วสามารถไปพูดคุยกันได้ที่ #theeffectth  นะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 30-10-2017 07:15:28
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: rsmrypngpth ที่ 30-10-2017 09:24:40
สำหรับเรา เก่งตาย
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 30-10-2017 13:25:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: crazydoii ที่ 30-10-2017 23:20:40
Bad Ending จริงๆนะครับ,,,  สนุกดีครับ,,
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-10-2017 23:44:47
อ่านกี่ครั้ง ๆ ก็เดาไม่ออกว่าใครโดนรถชน มีสิทธิ์เป็นไปได้ทั้ง 2 ฝ่าย และมีสิทธิ์เป็นไปได้ว่าชนแล้วไม่ตาย แค่บาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าให้คิดแบบเข้าข้างตัวเอง ก็ขอให้ฝ่ายที่โดนเป็นเก่งแล้วกัน  :a5:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 01-11-2017 00:13:22
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องจริงๆที่นำเสนอแง่มุมของผู้ถูกกระทำลักษณะนี้ออกมา เราเองก็เห็นด้วยนะคะว่าการถูกข่มขืนไม่ใช่สิ่งที่จะลืมและอภัยกันได้ง่ายๆ แถมยังมารักกันได้อีก ความรู้สึกเจ็บปวดยังคงตามมาหลอกหลอนจนทำให้น้องชินเป็นโรคซึมเศร้าได้ อันที่จริงเรื่องมันอาจไม่แย่ขนาดนี้ก็ได้ถ้าไม่มีคนปากสว่างปากมากปากมโนปากใส่ไข่จำพวกนี้มากดดันให้น้องยิ่งรู้สึกเหมือนถูกคุกคามขึ้นไปอีก แสดงให้เห็นถึงความเจริญทางศีลธรรมของคนบางกลุ่มคล้ายจะถดถอยอย่างน่าเป็นห่วง เราเชื่อว่ามีเคสแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆและผู้ถูกกระทำก็เป็นโรคซึมเศร้าจนฆ่าตัวตายได้จริงๆเหมือนกัน ส่วนนายเก่งนั้น ถ้าหากมีสติและใช้เหตุผลมากกว่านี้ นายอาจปรับความเข้าใจจนทำให้น้องรักนายจริงก็เป็นได้โดยเฉพาะเมื่อน้องประทับใจและมีนายเป็นไอดอลขนาดนี้ ชอบเรื่องนี้มากตรงที่ไม่ได้เจาะจงลงชัดว่าใครผิดใครเป็นต้นเหตุเพราะส่วนตัวแล้วคิดว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมตอนท้ายเรื่องจนได้ ตอนแรกก็ว่าจะไม่อ่านต่อหลังจากรู้ว่าเรื่องจบแบบแบดเอนด์เพราะไม่ชอบเลยจริงๆ แต่เรื่องนี้ยอมรับว่าโอเค จบแบบนี้ก็ได้ ดีเลย สมเหตุสมผลอยู่นะ ประมาณนี้ เพราะนักเขียนก็ดำเนินเรื่องแบบเรียบๆ ไม่หวือหวา มีฉากให้เห็นว่าน้องอึดอัด
ไม่สนิทใจกับการกระทำของคนพี่อยู่ด้วย ดาร์กได้ใจมากค่ะ
ปล. ไม่ได้ตั้งใจแขวะอะไรเลยจริงๆนะคะ การที่เรื่องอื่นอาจจบลงด้วยความรักและการครองคู่ได้ เราเชื่อว่าบางทีอาจเป็นเพราะคู่อื่นๆเขามีความรักให้กันก่อนแล้วจึงง่ายที่จะให้อภัย ซึ่งคนละกรณีกับเรื่องนี้ที่น้องไม่ได้รักนายเก่งจริงๆ มันเลยยากที่จะให้ทำแบบนั้น
ปล2.เรายังยินดีให้เรื่องลักษณะนี้จบแบบแฮปปี้นะคะ แหม ใครๆก็อยากมีความสุขทั้งนั้นนี่นา ขอแค่รอดูว่าคนทำจะได้รับผลและชดใช้จนน่าพอใจก็พอ
ปล3.นี่คงเป็นคอมเม้นท์ที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลยจริงๆค่ะ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้นักเขียนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 13-11-2017 13:16:01
 :z3:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: annch ที่ 15-11-2017 16:33:17
ตอนแรกที่บอกว่าจบแบบ"bad end" ว่าจะไม่อ่านต่อ
แต่ก็อยากรู้เรื่องต่อ 5555
ในการจบแบบนี้ คิดว่าดีนะ สมเหตุสมผลกับชีวิตจริง ในชีวิตจริงถ้าเราเจอแบบนี้อย่าพูดว่าให้รักตอบเลย
ต้องบอกว่าเกลียดมาก พร้อมต้องมีการตอบแทนที่ถูกกระทำด้วยซ้ำ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: cLuB ที่ 15-11-2017 20:10:32
เป็นเรื่องที่สะท้อนความเป็นจริงในปัจจุบันในหลายๆมุมเลยนะคะ ยิ่งปัญหาล่วงละเมิดทางเพศและcyber bullying คนเขียนสุดยอดมากเลยค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 16-11-2017 03:03:10
ในช่วงแรกที่เริ่มปูเรื่อง เราแอบรู้สึกว่าเรื่องมันดำเนินหนืด จนคิดว่าจะอ่านต่อดีไหม
แต่... ความหนืดในช่วงแรก กลับทำให้ช่วงหลังกลายเป็นความหน่วงได้ดีมาก ๆ ๆ ค่ะ

ไม่ใช่เรื่องที่สดใสแล้วหักมุมให้หน่วงตอนหลังแต่เป็นการสร้างความหน่วงมาเรื่อย ๆ เลยค่ะ

จบได้ตื่นเต้น(?) ดีค่ะ ใจเต้นมากเลย 555555 :man1:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-11-2017 12:50:29
จบแล้วววววว นึกว่าจะดราม่าหนักกว่านี้. ขอบคุณที่เขียนให้อ่านค่ะ
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ฟาง ฟ่างง ฟ๊างง ที่ 16-11-2017 13:56:22
พึ่งได้มาอ่าน แล้วอดคอมเมนต์ไม่ได้จริงๆค่ะ ปกติอ่านแต่แนวสดใสกุ๊งกิ๊ง เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ทำให้รูสึกเรียลมากๆ เราอยากให้เรื่องนี้ทุกคนได้อ่าน เป็นนิยายเรียลในตำนานสำหรับเรา มันไม่ได้ให้แค่ความบันเทิงค่ะ มันให้แง่คิด ความจริงหลายๆแง่มุม คนที่ถูก bullying ทั้งโซเชียล หรือแม้แต่พูดนินทา รวมถึงพฤติกรรมทุกอย่างของตัวละครมันคือของจริงค่ะ อยากให้สังคมหรือคนที่ผลิตสื่อที่บอกว่า ข่มขืนแล้วจะรักกัน ได้มาอ่านมากๆ เค้าควรรู้ว่าโลกแห่งความจริงที่คนซึมซับเอาไปทำตาม มันโหดร้ายมาก คนถูกกระทำเค้าเจ็บปวด ไม่ได้มีความสุข อยากให้เรื่องนี้ดังจังค่ะ มีคุณค่ามากค่ะ ขอชื่นชม
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 18-11-2017 14:51:13
เริศ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 22-11-2017 03:37:40
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ทำให้เสีบน้ำตา

ชอบในความเรียลของทุกอย่าง

สงสารทุกอย่างที่ชินเจอ ตอนจบเราคิดว่าชินได้พบกับความสงบดั่งหวังแล้ว

แต่ก็เป็นตอนจบที่น้ำตาไหล

อิพี่เก่งคือคนเลว เลวหน้าใสที่เจอได้จริงๆในสังคม

เกลียดพวกขี้นินทา ขี้เม้าท์ บลูลี่ในเน็ต ไม่รู้หรอกทำลายชีวิตคนๆนึงไปเท่าไหร่

การข่มขืนมันน่ากลัวจริงๆนะ ไม่มีใครให้อภัยได้หรอก

ผลกระทบมันก็น่ากลัว

เป็นนิยายที่จะไม่ลืม ประทับใจ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 24-11-2017 00:54:27
โลกยุคโลกาภิวัฒน์ แต่จิตใจผู้คนบางส่วนยังไม่เจริญ เฮ้อ ความเข้มแข็งต้องเกิดจากครอบครัวที่อบอุ่นอย่างแท้จริง
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 24-11-2017 22:32:36
ชอบค่ะ ตอยนี้เสียน้ำตาเป็นแกลลอนแล้วอ่ะ555
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: เปลืoกส้มคลุง ที่ 26-11-2017 09:46:30
อ่านจบนานแล้วแต่เพิ่งสมัครไอดีมาเม้นค่ะ555555

เรื่องนี้เป็นนิยายไม่กี่เรื่องที่บรรยายเรียบๆ เหมือนสงบดีแต่ทำเราระแวงตลอดเลยว่ามันจะถึงจุดแตกหักเมื่อไหร่ น่ากลัวมาก;-;
แล้วก็สงสัยว่าอะไรจะทำให้เรื่องมันBad End

อ่อ แล้วก็อยากแย้งตรงจั่วหัวนิยายน่ะค่ะ SMกับRape ไม่ใช่อย่างเดียวกันนะคะ คือเราไม่รู้สึกว่าน้องจะเป็นMตรงไหนเลยอ่ะ แล้วพี่เก่งก็ไม่ได้Sด้วย(รึป่าวหว่า5555)
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 10-12-2017 12:43:13
ค่อนข้างอธิบายยาก ครอบครัวของเก่งนี่เจอได้ในชีวิตจริงเลย อยากให้ลูกพ้นผิดโดยไม่ได้ดูเลยว่าคู่กรณีเป็นอย่างไรบ้าง ยังถือว่าชินโชคดีที่มีพ่อแม่ อา เพื่อนที่คอยอยู่ข้างๆ อันที่จริงก็อยากให้อภัยนะ แต่เอาเข้าจริงถ้าโดนแบบนี้ก็ต้องอยากให้เขาตายอยู่แล้วนั่นก็เป็นสัจธรรมอ่ะนะ คนเราไม่ได้ให้อภัยให้คนอื่นเสมอได้หรอก ยิ่งคนนั้นทำเลวกับเรามากเท่าไร ขอบคุณมาก เรื่องนี้ดีมากไม่ทำเราร้องไห้แต่ก็อึนๆอยู่ในความรู้สึกตลอด
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 10-12-2017 16:37:41
สรุปใครตายอะ  :katai1: แต่เราก็ไม่ค้างคาอะไรนะ   :pig4:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: anuyasha ที่ 11-12-2017 06:42:24
ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณสำหรับคำเตือนด้วย ทำให้เราทำใจแต่เนิ่นๆว่าจะรับอะไรต่อ
ปกติคือไม่ชอบอ่านดราม่าเลย แต่เรื่องนี้ไม่ได้ดีงดราม่าเรามากนะ เป็นอารมณ์หน่วง บีบหัวใจมากกว่า
สุดท้ายเราสงสารพ่อแม่ชินที่สุดรองจากชิน ชินสู้มากๆ เก่งมากที่สู้มาได้ขนาดนี้
อิพี่เก่งก็ไม่ได้เลวร้ายจากกมลสันดานหรอกค่ะ จากที่ยังมีความรู้สึกผิดหลงเหลืออยู่
เค้าอาจจะแค่ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำไปมันส่งผลกระทบอะไรแค่ไหน คือสมชื่อ the effect จริงๆ
ตัวละครอีกตัวที่เรารัก ปราโมทย์ เป็นคนเอื่อยๆที่ตอนแรกเรามองว่าเย็นชามาก ไม่สนใจใครเลยแม้แต่ชิน
สุดท้ายกับเป็นคนที่มาช่วยเหลือชินคนแรกตลอด ชีวิตเราแค่มีเพื่อนแบบนี้สักคนดีมากๆแล้ว

ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 11-12-2017 15:09:09
อยากกอดให้กำลังใจชิน  :กอด1:

ขอเก็บเป็นนิยายดี ๆ ในใจอีกเรื่องเลย

 
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-12-2017 22:04:55
เก่ง ตาย สมควรที่สุด
ทำเลวแล้วไม่น่ารอด
เป็นไปตามกฎแห่งกรรม  :hao3:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 29-06-2018 20:06:48
พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีเนื้อหาที่ดีเลย สะท้อนแง่มุมในอีกด้านที่เรายังไม่เคยอ่าน เป็ดโลกได้พอสมควร เป็นการจบbad end ที่มีปลายเปิดอีกเรื่อง  สำหรับเราเราว่าคนที่โดนรถชนน่าจะเป็นตัวชินเองมากกว่า  ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape SM ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: TheCatmewt ที่ 30-06-2018 01:06:10
ตอนแรกว่าจะไม่อ่านเห็นจั่วหัวว่า rape ซึ่งเป็นแนวที่เราไม่ชอบเลย พอได้อ่านมีอะไรมากกว่านั้นทำให้เข้าใจเหยื่อที่ถูกกระทำว่าต้องเจอกับอะไร แต่ที่น่าหงุดหงิดสุดคือการบุลลี่ พวกนี้เป็นมะเร็งร้ายในสังคมเลย ฉุนแทนชินจนอยากตอบกลับไปว่าเสือกอะ จริงๆเรื่องนี้ไม่มี sm เพราะถ้า sm จะเป็นการสมยอพอใจกันทั้งสองฝ่ายต่างคนมีความสุขที่กระทำและถูกกระทำ สุดท้ายชอบมากค่ะยกให้เป็น the best เลย
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Aphl2odit3 ที่ 21-09-2018 00:59:27
ขอบคุณมากครับ  แต่อยากให้มีต่ออีก  ทุกตัวละครอดทนกันมาขนาดนี้แล้ว  เราก็ยังแอบหวังว่าจะมีการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดี มีความแฮปปี้บ้าง 
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 25-10-2019 21:40:40
เพิ่งดูที่เป็นละครจบ
ใจไม่แน่จริงพอจะอ่านอีกรอบ
จะบอกว่าเข้าใจพี่เก่งและเจ็บปวดไปกับพี่เก่ง
พอดี มีประสบการณ์ไปทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายจนเขาไม่ให้อภัยค่ะ
แล้วก็เข้าใจน้องชินด้วย
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: joborcusier ที่ 30-10-2019 15:32:04
ได้ข้อคิดดีมากสะท้อนสังคมในปัจจุบันมากๆเรื่องการบูลลี่และทำร้ายร่างกายสงสารชินมาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 02-02-2020 02:11:58
 :pig4:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 17-02-2020 08:22:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
เริ่มหัวข้อโดย: beer213weeja ที่ 24-05-2020 16:25:03
 o13 เป็นอีกเรื่องที่สนุกมากนะคะ