Bring Back .
ฝากรักนำทาง // story by Bloody Bear
(ลงเรื่องครั้งแรกครับ หากผิดพลาดประการใด กราบขออภัยไว้ด้วยครับ)
- 1 -
April 2016
กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
‘ฉันเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกนิค'
เสียงหนึ่งลอยแว่วเข้ามาในหัวของนิคจังหวะเดียวกับที่ดวงตาสีเนวี่จางๆ ของเขาสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่หนึ่งที่มองมา จากตรงนี้..นิคจำใบหน้าของผู้ชายคนนั้นได้ดี แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี แต่เขายังจำเรื่องราวระหว่างเราได้หมด มันค่อยๆ ลอยประดาเข้ามาในหัวทีละอย่าง ช่วงเวลาวัยเด็กมันเหมือนหวนกลับมาย้ำเตือนอีกครั้ง วันแรกที่เจอกัน จากไม่ชอบหน้า จู่ๆ ก็กลายเป็นเพื่อนรัก ของขวัญชิ้นแรกที่นิคได้จากเขาเป็นการ์ดทำมือที่วาดด้วยสีไม้รูปไดโนเสาร์เนสซีจากทะเลสาบล็อคเนสส์ ในนั้นเขียนว่ามันเป็นของที่ระลึกสำหรับการแอบหนีออกจากบ้านไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรกของทั้งสอง มันเป็นความสนุกอมทุกข์ที่ทั้งสองต่างปล่อยให้มันพัดผ่านไปตามกาลเวลา ทว่าเมื่อได้พบกันอีกครั้ง..คำพูดสุดท้ายที่เขาพูดไว้ก่อนจากกันนั้นยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
‘ฉันเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีก.. นิค.. ฉันเชื่อ..'
ท่ามกลางผู้คนที่เดินเพ่นพ่านสวนกันไปมาของสถานีเดินรถ Victoria นิคหยุดนิ่งมองอดีตเพื่อนรักที่กำลังมองกลับมา ฝีเท้าของทั้งคู่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากัน ยิ่งใกล้ขึ้นยิ่งชัดขึ้น มันช่างยาวนานเหลือเกินที่ไม่เจอกัน นิคแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เช่นกับเดียวกับอีกฝ่ายตรงหน้า เจสส์ยกแขนขึ้นมาก่อนจะชี้นิ้วมาทางเขา กล้ามแขนที่บัดนี้แน่นปึ้กไม่เหมือนหลายสิบปีก่อน ไหนจะร่างที่สูงใหญ่โตเต็มวัย ให้ตายเถอะ มันเหมือนเพิ่งไม่นานมานี้จริงๆ นะ...ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน
“นิค! ไม่อยากจะเชื่อเลย" รอยยิ้มผุดขึ้นทั้งสองฝ่าย นิคส่ายหน้าไปมาก่อนจะดึงเพื่อนเก่าเข้ามากอด
“ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ" นิคตอบเสียงสั่น เขารู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน
“ดูดีขึ้นเยอะเชียว ทำอะไรมาบ้าง โอ้ ฉันมีคำถามสำหรับนายเยอะแยะไปหมด ว่าแต่นี่นายกำลังจะไปไหน" เจสส์ยิงคำถามใส่นิครัวแต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามันใกล้เวลาเดินรถแล้ว นิคเองก็เช่นกัน เมื่อเป็นดังนั้นพวกเขาอาจจะต้องเปลี่ยนแผนเป็นแลกเบอร์มือถือกันก่อนแทน
“ฉันกำลังกลับบ้าน นายล่ะ" นิคถาม
“ที่ไหน"
“ก็ที่เดิม ที่ที่นายจากไปแล้วไม่กลับมาไงเจสส์"
“หืม นี่นาย...ไม่ได้ย้ายไปไหนเลยเหรอ" เจสส์ย่นคิ้ว มือเขาจับเขาที่หัวไหล่ข้างซ้ายของนิค เขาใช้นิ้วนวดทั่วๆ เป็นนิสัยส่วนตัวที่ชอบทำโดยเฉพาะกับคนสนิท
“ย้ายน่ะย้าย แต่บ้านฉันยังอยู่ที่นั่น ทั้งพ่อกับแม่ ทุกคน ยังอยู่ที่นั่นหมด มีแต่นายที่จากไป จากที่ทุกคนเคยถามถึง ป่านนี้ก็คงลืมนายกันไปหมดแล้ว ลืมชนิดที่ว่าถ้าไม่มีเครื่องเตือนความจำอะไร ก็คงไม่มีใครถามถึงนายแน่" นิคว่าจนจบ เขารีบก้มมองนาฬิกา "ไม่ทันแล้วเพื่อน ถ้านายอยากติดต่อฉันก็ต้องให้เบอร์ไว้แล้วล่ะ"
นิครีบล้วงโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เขายื่นมันให้กับเพื่อนเก่าตรงหน้า แต่เจสส์ไม่ตอบนอกจากซ่อนรอยยิ้มกรุ่มกริ่มของตัวเองก่อนจะเลิ่กคิ้วขึ้น นิครู้สึกใจสั่น สายตาเจ้าเล่ห์ของร่างสูงตรงหน้ายังคงเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยน เจสส์เปลี่ยนมือตัวเองจากหัวไหล่มาคว้าหมับเข้าที่ข้อแขนของนิคก่อนจะดึงมันให้เดินตาม
“รีบเถอะ ฉันว่าเรากำลังสายแล้ว" เจสส์พูด ทำเอานิคเริ่มงงว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร แล้วกำลังลากเขาไปไหน ในเมื่อรถของเขากำลังจะออกแล้ว
“นายหมายความว่าไงเจสส์"
"ก็หมายความว่าฉันกำลังจะไปขึ้นรถคันเดียวกับนาย"
“เอ๊ะ นี่นายกำลังหมายความว่านายกำลังจะไป Edinburgh* เหรอ”
"ใช่ แต่นั่นเป็นแค่ทางผ่าน"
“...” นิคทำหน้างง เจสส์กระตุกยิ้มก่อนจะเฉลยความจริงให้เพื่อนฟัง
“ฮ่าๆ ตอนแรกฉันนึกว่าจะได้เซอร์ไพรส์นายที่บ้านซะอีก ใช่ ฉันตั้งใจจะไปหานาย"
1 ชั่วโมงต่อมา
นิครู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกนับตั้งแต่รู้ว่าเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันเป็นยี่สิบปีอย่างเจสส์จะเดินทางกลับบ้านด้วยกัน มันเป็นสิ่งที่เขาไม่คิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้น และแน่นอนว่าเมื่อกลับด้วยกันทั้งที มีหรือพวกเขาจะแยกกันนอน ทันทีที่ขึ้นไปถึงบนรถ เจสส์ก็ขออนุญาตแลกที่นอนกับผู้ชายคนหนึ่งที่จะนอนข้างนิคโดยอ้างว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานนับสองทศวรรษ แน่นอนว่าพออีกฝ่ายได้ยินก็อดใจไม่ได้จึงยอมแลกแต่โดยดี และเนื่องจากนี่เป็นรถโค้ชสำหรับนอนรอบสุดท้ายที่ไปยังเมือง Edinburgh รอบดึก ไม่มีที่สำหรับนั่ง พวกเขาจึงต้องนอนคุยกันไปตามประสาเพื่อนเก่านับตั้งแต่นาทีแรกที่รถเคลื่อนตัวออก เจสส์กับนิคต้องกระซิบคุยกันเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่น โดยที่เจสส์เริ่มเล่าว่าเขาทำงานเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่มหาลัยคิงส์ตัน ส่วนนิคก็มีธุรกิจเป็นเจ้าของผับเล็กๆ อยู่แถวๆ ย่านแคมเดนในกรุงลอนดอน
“เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เลยเนอะ" เจสส์พูด เขากำลังนอนกอดอกมองเพดานต่ำๆ เล็กๆ ที่มีตาข่ายชั้นบนสำหรับที่นอนอีกที่ห้อยอยู่ แต่โชคดีด้านบนพวกเขาไม่มีคนนอน นิคคิดเล่นๆ ว่าเดี๋ยวถ้าคุยกันเสร็จเขาอาจจะขึ้นไปนอนบนนั้น เพราะเจสส์จะได้ไม่อึดอัด พวกเขาจะได้นอนกันสบายขึ้น
“จริงๆ นอนคุยกันแบบนี้มันเหมือนตอนที่เราต้องการหนีจูดี้ไปแอบอยู่ใต้ท้องรถเหมือนกันนะ นายจำได้ไหม" นิคยังคงไม่หยุดรำลึกความหลัง ในขณะที่เจสส์ตามเขาไม่ทันสักอย่าง เพราะหลังจากที่เขาย้ายออกจาก Skye* ไป ก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายจนทำให้เขาหลงลืมอะไรไปหลายสิ่ง
“ตอนนั้นเราเด็กมาก ให้ตาย ฉันแทบจำไม่ได้แล้วนิคว่าตอนนั้นเราหนีจูดี้ทำไม" เจสส์ย่นคิ้วพลางนึกเรื่องตาม แต่ทำยังไงก็คิดไม่ออก เขาถอนหายใจให้กับความเลอะเลือนของตัวเอง "สงสัยฉันคงจะแก่ขึ้นแล้วจริงๆ เพื่อน"
“นั่นสิ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นเพราะนายไม่อยากกลับบ้าน" นิคพูด เจสส์หัวเราะออกมาเงียบๆ จู้ดี้ในที่นี้คือยายของเจสส์ เธอชอบมาตามเจสส์กลับบ้านที่บ้านนิคบ่อยๆ พวกเขาชอบเล่นกันจนดึก ยิ่งช่วงหน้าหนาว มันลำบากสำหรับการเดินเท้ามาก เจสส์จึงชอบอ้างที่บ้านเพื่อได้ค้างกับนิค เขาอยู่ด้วยกันเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ จนจูดี้ต้องเดินจากบ้านมาตามรับกลับด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆ
“เนิร์ดดี้นิค" เจสส์พูดฉายาของนิคออกมา ในที่สุดมันก็เป็นสิ่งแรกที่เขานึกขึ้นได้ในชั่วโมงนี้
“ตลกชะมัด นี่นายจำได้ด้วยเหรอ"
“ใครๆ ก็เรียกนายแบบนั้น ทำไมกัน" เจสส์หันมาถามพลางย่นคิ้ว แสงพระจันทร์ออกนอกกระจกรถสาดผ่านมาเข้ามาอ่อนๆ ต้องให้เห็นใบหน้านิค ยิ่งมองใกล้ก็ยิ่งชัด นิคที่มองเพื่อนเขากลับก็อดคิดไม่ได้ว่าจากเดิมที่ตอนเด็กๆ ดูดียังไง ตอนนี้เจสส์ก็ยังดูดีอย่างนั้น ผิดกับตัวเองที่นอกจากผมแดง ผอมแห้งกร่อง ราวกับ Domgnall Gleeson ในหนังเรื่อง About Time ส่วนเจสส์น่ะเหรอ เขากลายเป็นพระเอกหนังสือของ Nicholas Sparks ไปแล้ว หนุ่มใหญ่ มีภูมิฐาน สุภาพ สุขุม และดูอบอุ่นเหลือเกิน
“นายเป็นคนแรกที่เรียกฉันแบบนั้น เจสส์" นิคทำเป็นเขม่นตาใส่อีกฝ่าย
“ไม่จริงน่า เฮ้อ ถ้าได้เบียร์สักกระป๋องคงดีนะเนี่ย น่าจะซื้อติดมาหน่อย"
"อยากเมารึไง"
"เปล่า เวลาเมาฉันชอบคิดถึงเรื่องอดีต" เจสส์บอก นิคยิ้ม สำหรับเขาไม่ต้องดื่มเขาก็จำทุกอย่างได้ นิคใช้มือสองข้างหนุนศีรษะก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องวันวาน
“ตอนฉันเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ นายไม่ชอบหน้าฉันเลย เจ้าถิ่นอย่างนายนี่ทำตัวเป็นนักเลงเลยล่ะ หาเรื่องฉันสารพัด ถ้าจำไม่ผิด นายยัดบุหรี่ใส่ปากฉันด้วย"
“พูดเป็นเล่น" เจสส์เริ่มมีภาพในหัวเล็กน้อย แม้ว่าจะยังไม่ค่อยชัดเจนมากนัก
“แล้วนายก็ต่อยฉันสองที ตรงนี้" นิคเพิ่มข้อมูลพร้อมกับชี้ไปตรงโหนกแก้มข้างขวาของเขา เจสส์ส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงไม่รับผิดชอบ
“ไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย นายกำลังโกหกฉันแน่ๆ" เจสส์ยืนยันเสียงแข็ง นิคกลั้วเสียงหัวเราะในคออย่างเงียบๆ
“บางอย่างไม่มีร่องรอยทิ้งไว้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นนะเพื่อน เหมือนที่นายลืมทุกอย่างไปหมดแล้วนี่ไง" นิคพูดก่อนจะยักไหล่ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าภาพที่เห็นตอนนี้คือพวกเขาสองคนกำลังนอนหันหน้าหากันอยู่ นิคค่อยๆ ใช้หัวแกล้งทำเป็นเข้าไปหนุนที่แขนข้างขวาของเขา ในขณะที่เจสส์ผับหมอนอิงสองทบเพื่อให้มันสูงขึ้น นิคยิ้ม เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นคนเดียวที่จำมันได้ว่าเพื่อนของเขาไม่ชอบนอนหมอนต่ำ ใช่ เขาจำได้ คืนแรกที่เจสส์มาค้างบ้านเขา หมอนั่นหมุนตัวไปมาด้วยความนอนไม่หลับ นิคต้องตื่นมาหาหมอนอีกใบตอนกลางดึกให้เขาเนื่องจากเขาต้องนอนหมอนสูงเท่านั้น
“ฉันล้อเล่นนิค จริงๆ ฉันก็จำเรื่องระหว่างเราได้หมดนั่นล่ะ ฉันแค่ต้องการทดสอบนายเท่านั้นเอง" เจสส์ยักคิ้ว นิคเม้มปากก่อนจะแกล้งทำเป็นเฉตามองไปทางอื่น
“ทดสอบอะไร?”
“ทดสอบว่านายจำเรื่องของเราได้มากแค่ไหนไง" เจสส์พูดต่อ เขายังคงไม่หยุดเลิกทำหน้าเจ้าเล่ห์
“อ่า งั้นไหนลองว่ามาสิ ว่าเราญาติดีกันตอนไหน"
“ก็ตอนที่ฉันโดนพวกเพื่อนหักหลัง ฉันจำไม่ได้แล้วว่าฉันทะเลาะกับโรบิ้นเรื่องอะไร แต่ตอนนั้นฉันแทบไม่เหลือใครเลย" เจสส์หมุนตัวขึ้นไปมองเพดาน นิคเลยถือโอกาสนั้นสำรวจเขาจากมุมข้าง ทรงผมของเขายาวปรกหน้า แต่ข้างๆ ตัดสั้นบางทำให้เห็นไรจอนชัดเจน หูที่เคยแอบเจาะเด็กๆ ก็ไม่มีร่องรอยเหลืออีก ใช่ เขาจำได้ว่าเจสส์เคยเจาะหูทั้งๆ ที่เขาอายุแค่สิบขวบ เขาตั้งใจจะถาม แต่ตอนนั้นนึกเรื่องรอยต่อของเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ออกพอดี
“นายโดนพวกนั้นต่อยหน้าจนช้ำไปหมด" นิคเสริม เจสส์เลิ่กคิ้ว ยักไหล่ราวกับในที่สุดเขาก็จำความเจ็บปวดวันนั้นขึ้นได้
“แล้วนายก็มาเจอฉันในห้องน้ำ ในกระเป๋าของนายมีพลาสเตอร์ยา มีอุปกรณ์ทำแผล ราวกับจงใจเตรียมมา"
ตอนนั้นเองที่นิคเงียบไปครู่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาอยากจะหยุดพูดถึงเรื่องนั้นไว้ตรงนี้ เขาเป็นคนเดียวที่รู้ในความน่าสงสัยนั้นว่าความจริงมันคืออะไร เขามองตาเจสส์ที่เอาแต่จ้องเพดานมืดๆ นิคจำเรื่องวันนั้นได้ดี แม้ว่าเขาควรจะเกลียดเจสส์ที่เป็นคนริเริ่มฉายาน่าอายนั่นให้กับเขาแถมยังกลั่นแกล้งเขามากมายสารพัด แต่ด้วยความแข็งกระด้างและอะไรบางอย่างในตัวเจสส์ทำให้เขาได้แต่เก็บความโกรธนั้นไว้ในใจ จนเมื่อถึงวันที่เจสส์ล้ม ไม่เป็นที่ต้องการ นิคกลับเป็นฝ่ายอยากเดินเข้าไปแล้วช่วยเหลือ มันอดไม่ได้จริงๆ ที่คนจิตใจอ่อนโยนอย่างนิคจะเห็นเจสส์เต็มไปด้วยบาดแผลเดินเข้าไปนั่งห้องน้ำแล้วขังตัวเองอยู่แบบนั้น แม้ว่ามันอาจจะเป็นความอยากเข้าไปแสดงความสะใจเล็กๆ ที่เจสส์เรียนรู้ถึงความโดดเดี่ยวในที่สุด แต่แทนที่เขาจะเดินเข้าไปหาเจสส์มือเปล่า รู้ตัวอีกทีนิคก็ถือกล่องปฐมพยาบาลเข้าไปด้วย นิคทำแผลให้เจสส์ พวกเขาไม่พูดอะไรสักคำ รู้แค่ว่าเย็นวันนั้นเจสส์เดินไปส่งนิคที่บ้านพร้อมคำขอบคุณ
“ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับนาย" นิคตอบ เจสส์เลื่อนสายตากลับมามองนิคก่อนจะยิ้มออกมา เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เขานึกขึ้นได้ถึงความสัมพันธ์ของสองเรา
“นายคิดถูกแล้วล่ะ เพราะถ้าวันนั้นไม่มีนาย ฉันคงต้องแย่กว่านี้แน่" เจสส์ตอบกลับ นิคเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนเดียวที่กำลังใจเต้นแรงมากๆ อยู่ตอนนี้รึเปล่า ทว่ามันค่อยๆ ช้าลงเมื่อนิคคิดถึงวันสุดท้ายที่เราเจอกัน
“แล้วมันก็แย่มากจริงๆ ตอนที่จู่ๆ นายก็ทิ้งฉันไป" นิคเม้มปาก "...โดยไม่ปล่อยให้ฉันเตรียมใจเลยสักนิด"
นิคเริ่มอดแสดงท่าทีน้อยใจออกมาไม่ได้ ยอมรับว่าวันนั้นเขาโกรธเจสส์มาก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมด ช่วงซัมเมอร์สุดท้ายก่อนที่เราจะเรียนจบ พวกเขาสัญญาว่าจะไปเรียนต่อที่เวลส์ด้วยกันแท้ๆ แต่จู่ๆ เจสส์ก็ย้ายไปอยู่กับพ่อที่ลอนดอนกระทันหัน เขาไม่มางานพรอม ไม่มาแม้กระทั่งวันรับใบประกาศเรียนจบ วันสุดท้ายที่เจอกัน เจสส์มาหาเขาที่โรงเรียนและบอกลาด้วยคำที่บอกว่า ‘ฉันเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกนิค' ...แค่นั้น
“ช่วงนั้นมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนิค มันเป็นช่วงเวลาที่แย่มาก" เจสส์กลืนน้ำลาย ดวงตาเขาเริ่มชื้น
“อยู่ดีๆ บ้านนายก็ถูกยึด จูดี้เอาของขวัญมาให้ที่บ้านก่อนที่ทุกคนจะเงียบหายไปหมด ไม่มีใครรู้กระทั่งที่อยู่สำหรับเขียนจดหมายถึงนายด้วยซ้ำ"
“พ่อสั่งฉันไว้น่ะ ว่าอย่าให้ที่อยู่ติดต่อกับใคร" เจสส์ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ "คืองี้นะนิค ตอนนั้นบ้านของฉันมีปัญหา จูดี้แอบเอาบ้านของเราไปจำนองกับธนาคาร พ่อทะเลาะกับแม่ เลยตัดปัญหาด้วยการจะเอาฉันไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของเขาที่ลอนดอน เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัวเราเลยต้องจากเมืองไปเพื่อเริ่มต้นใหม่ที่อื่นอย่างเงียบๆ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน แม่ก็โทรมาบอกเราว่าจูดี้ฆ่าตัวตาย"
นิครีบหันหน้าไปมองเจสส์ด้วยความรู้สึกใจหาย เขารู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองหยุดเต้นไปชั่วขณะ
"จะ..จูดี้.. ไม่จริงน่าเจสส์" เจสส์พยักหน้า เขาไม่ร้องไห้ออกมา ไม่มีความเศร้าใดหลงเหลืออยู่อีก " เจสส์ คือ..ฉันเสียใจด้วย"
นิครู้สึกเสียใจไม่น้อยเลย เพราะจูดี้เป็นคนใจดีมากๆ
เธอมักจะชอบเอ็นดูเด็กๆ เพื่อนๆ เจสส์ทุกคน โดยเฉพาะกับนิค เธอมักจะหอบของมากมายมาให้เวลาที่มาบ้านของเขา อาจจะเพราะเกรงใจที่เจสส์ชอบมาค้างที่บ้านเราบ่อยๆ ให้ตาย พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรม.. ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นคือเรื่องจริง มิน่าล่ะที่ตอนพูดถึงจูดี้ก่อนหน้านี้ แววตาของเจสส์ถึงได้ดูเศร้าเล็กน้อย เพราะส่วนหนึ่งชีวิตในวัยเด็กของเขาเติบโตขึ้นมาได้เพราะจูดี้ แม่ของเจสส์ทำงานอยู่ที่ธนาคารบาร์เคลย์ใน Glasglow ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ส่วนพ่อของเขาก็ไปมีครอบครัวใหม่อยู่ลอนดอนตั้งแต่เขาอายุได้สี่ขวบ พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมันอาจจะทำให้เจสส์ช็อคมากและตอนนั้นคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเกินกว่าจะต้องมาอธิบายเล่าอะไรให้ทุกคนฟัง แม้ตอนนั้นสมองเขาจะทำงานเทียบเท่าผู้ใหญ่ก็จริง แต่ใจเขายังไงก็ยังเป็นแค่เด็กอายุสิบสองคนหนึ่งที่ยังไม่โตพอที่จะรับมือกับเรื่องน่าเศร้าเหล่านั้น
“มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบาก แต่ฉันก็ผ่านมันมาได้" เจสส์ยิ้มให้กับความฝันร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้นของตัวเองก่อนจะหันหน้ามาสบตานิคอีกครั้ง "ฉันขอโทษที่ตอนนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะอธิบายทุกอย่างให้นายฟัง นายคงโกรธฉันที่ไม่ทำตามสัญญาว่าเราจะสอบเข้าที่เวลล์ด้วยกัน ฉันขอโทษนะนิค"
นิคค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือเจสส์ เขาค่อยๆ ส่ายหน้าไปมาก่อนจะตอบว่า
"ไม่เป็นไร..เพื่อน ฉันเชื่อว่านายเข้มแข็ง อย่างน้อยก็เข้มแข็งมากกว่าฉัน"
________________________________________________
เพิ่งเขียนเรื่องแรกเลยครับ ตัวละครและโลเคชั่นเป็นต่างประเทศ ฝากคอมเมนท์ ติชม ติดตามด้วยนะครับ
BloodyBear
จะรีบมาอัพตอนที่ 2 ภายในเร็ววันนี้