พิมพ์หน้านี้ - ❃❃ Psychology of love ❃ จิตวิทยาใจ ❃❃ ( ตอนที่ 36 P.5 ) 29/12/60
CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE
Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Mr.กุ๊กกู๋ ที่ 01-06-2017 15:10:06
-
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ
เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้ มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
(กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
*****************************************************************************************
สารบัญ
- บทนำ - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3645294#msg3645294)
- ตอนที่ 1 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3645297#msg3645297)
- ตอนที่ 2 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3645502#msg3645502)
- ตอนที่ 3 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3645904#msg3645904)
- ตอนที่ 4 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3646186#msg3646186)
- ตอนที่ 5 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3646557#msg3646557)
- ตอนที่ 6 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3647053#msg3647053)
- ตอนที่ 7 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3647776#msg3647776)
- ตอนที่ 8 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3648984#msg3648984)
- ตอนที่ 9 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3650069#msg3650069)
- ตอนที่ 10 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3650679#msg3650679)
- ตอนที่ 11 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.0.msg3651979#msg3651979)
- ตอนที่ 12 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.30.msg3652952#msg3652952)
- ตอนที่ 13 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.30.msg3654100#msg3654100)
- ตอนที่ 14 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.30.msg3655743#msg3655743)
- ตอนที่ 15 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.30.msg3657949#msg3657949)
- ตอนที่ 16 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.30.msg3659266#msg3659266)
- ตอนที่ 17 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.60.msg3660679#msg3660679)
- ตอนที่ 18 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.60.msg3663104#msg3663104)
- ตอนที่ 19 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.60.msg3663826#msg3663826)
- ตอนที่ 20 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.60.msg3665199#msg3665199)
- ตอนที่ 21 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.60.msg3668434#msg3668434)
- ตอนที่ 22 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.60.msg3670405#msg3670405)
- ตอนที่ 23 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.60.msg3672328#msg3672328)
- ตอนที่ 24 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.60.msg3675530#msg3675530)
- ตอนที่ 25 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.90.msg3678179#msg3678179)
- ตอนที่ 26 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.90.msg3683032#msg3683032)
- ตอนที่ 27 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.90.msg3686201#msg3686201)
- ตอนที่ 28 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.90.msg3689248#msg3689248)
- ตอนที่ 29 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.90.msg3692957#msg3692957)
- ตอนที่ 30 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.90.msg3695277#msg3695277)
- ตอนที่ 31 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.90.msg3703840#msg3703840)
- ตอนที่ 32 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.90.msg3705792#msg3705792)
- ตอนที่ 33 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.120.msg3708696#msg3708696)
- ตอนที่ 34 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.120.msg3716947#msg3716947)
- ตอนที่ 35 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.120.msg3754075#msg3754075)
- ตอนที่ 36 - คลิก - (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60212.120.msg3762153#msg3762153)
-
ก่อนเริ่มอ่านขอชี้แจงก่อนนะครับว่า
อาการป่วยของตัวเองเรื่องนี้ ได้รับแรงบรรดาลใจมาจาก
หนัง 1 เรื่อง กับ ซีรี่ส์เกาหลี 1 เรื่องนะครับ คือ...
หนังเรื่อง A Beautiful Mind
ซีรี่ส์เกาหลีเรื่อง It's Okay, That's Love
แต่ปมกับเนื้อหาจะเขียนในแบบของตัวเองนะครับ
...........
บทนำ....
เคยสงสัยกันหรือไม่ เพราะเหตุใดมนุษย์จึงมีบุคลิก ลักษณะ นิสัย รวมถึงความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งความคิดแตกต่างของบางคนนั้นอาจนำมาถึงปัญหาใหญ่ในการใช้ชีวิต เพราะการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม รวมถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก บางรายอาจร้ายแรงจนเกิดเป็นความทรงจำที่คอยหลอกหลอนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใดก็ตาม
“สวัสดีครับคุณปกรณ์” น้ำเสียงของผู้พูดมีความอ่อนโยน ใบหน้าดูคล้ายกับยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา บุคลิกของเขาดูใจดียิ่งกว่าผู้ใด
“สวัสดีครับ” ปกรณ์หลบสายตาขณะพูด เขาก้มหน้ามองที่โต๊ะทำงานของอีกฝ่าย ผมเผ้าที่ยาวระต้นคอปกปิดใบหน้าทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถมองเห็นได้ชัด
“ผมชื่อชานนท์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนแนะนำตัวเอง เขาเป็นนักจิตวิทยาอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและบำบัดผู้ป่วยที่เข้ามาทำการรักษาอาการทางจิต
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ปกรณ์ยังคงก้มหน้าหลบสายตา
“คุณมีอะไรไม่สบายใจอยู่เหรอครับ คุณเล่าให้ผมฟังได้เลยนะครับ”
ปกรณ์เพิ่งเข้ารับการรักษาเป็นครั้งแรก ชานนท์จึงต้องสอบถามประวัติความเป็นมาเพื่อมาทำการวิเคราะห์อาการและรักษาต่อไป
หากมองจากบุคลิกภายนอก อาการของปกรณ์ยังถือว่าไม่รุนแรงมากนัก หากแต่แววตาที่ขาดความมั่นใจ ราวกับมีความกังวลอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นมันดูหนักหนาสาหัส ซึ่งหากไม่ได้ทำการรักษา อาการอาจจะกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ
“คือผม... ในบางครั้งผมรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย ไร้ค่าครับ รู้สึกตัวเองไม่มีความหมาย ไม่มีกำลังใจที่จะใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไป ผมไม่รู้ทุกวันนี้ผมทำงานไปเพื่ออะไร เพื่อใคร ความคิดนี้มันวนเวียนหนักขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ผมนึกถึงพ่อ แต่มันเป็นเหมือนความคิด อารมณ์ชั่ววูบนะครับ เพราะในเวลาปกติผมเองก็ปกติเหมือนคนทั่วๆ ไป” ขณะพูด ปกรณ์ยังคงหลบสายตาเพราะรู้สึกอายในความคิดของตนเอง เขาไม่กล้าสู้หน้ากับคุณชานนท์เพราะกลัวจะโดนดูถูก เหยียดหยาม
“ทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองไร้ค่า โดยเฉพาะเวลาที่นึกถึงพ่อล่ะครับ” ชานนท์เอ่ยถาม จากประสบการณ์การรักษา มีหลายคนที่มีอาการเช่นนี้ แต่เพื่อความแน่นอน เขาต้องสอบถามถึงเหตุผล เพราะปมของแต่ละคนย่อมต่างกัน
“แม่ผมเสียตั้งแต่ผมอายุได้สองขวบ แล้วพ่อก็มีคนใหม่ทันที พ่อมีลูกกับคนรักใหม่หลังจากที่ผมอายุได้สี่ขวบ พอผมอายุได้เจ็ดขวบ เขาก็ส่งผมเข้าโรงเรียนประจำเพราะไม่ต้องการให้ผมอยู่ร่วมกับคนอื่นที่บ้าน พอถึงวันหยุดที่ต้องกลับบ้าน ทุกคนก็จะทำเหมือนกับผมไม่มีตัวตน พ่อแม่เลี้ยงและน้องชายจะมีโลกของพวกเขาซึ่งผมไม่สามารถย่างกายเข้าไปในโลกใบนั้นได้เลย” ปกรณ์หยุดพูดเพียงเท่านั้น
“ครับ” ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่จะถามต่อ “แล้วคุณเคยโดนทำร้ายร่างกายไหมครับ แล้วแม่กับน้องชายดีกับคุณไหม”
สิ้นเสียงของชานนท์ ปกรณ์ก็สะดุ้งเฮือก แล้วเผลอสบตากับคนที่เอ่ยถาม แววตาของเขาแสดงออกถึงความร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
“ผะ... ผมไม่เคยโดนทำร้ายร่างกายครับ ทุกคนไม่สนใจผม” น้ำเสียงของเขาตะกุกตะกัก ท่าทีที่หวาดผวาทำให้ชานนท์รับรู้ได้ทันทีว่าผู้ป่วยกำลังโกหก แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะคาดคั้น
“ครับ ผมขอโทษนะครับที่ถาม” การเป็นนักจิตวิทยาที่ดี เขาต้องทำตัวให้อ่อนโยนและใจดีกับผู้ป่วยเสมอ เพื่อที่จะทำให้ผู้ป่วยค่อยๆ เปิดใจจนกล้าที่จะเล่าถึงปัญหาให้ฟัง “แล้วในชีวิตคุณ คุณมีใครที่คอยรับฟัง มีใครที่คุณคิดว่าสามารถปรึกษาเวลากลุ้มใจได้บ้างไหมครับ”
“มีครับ” คราวนี้ปกรณ์ยิ้มขึ้นมาอย่างมีความสุข รอยยิ้มที่บริสุทธิ์นั่นทำให้ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความฉงน “เดี๋ยวผมเอารูปให้ดูนะครับ ผมเป็นช่างภาพ เลยขอพวกเขาทั้งสองถ่ายภาพแล้วปริ้นท์รูปมาเก็บไว้คนละใบครับ”
ปกรณ์ค้นของในกระเป๋าเป้ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมซึ่งเคลือบด้วยพลาสติกออกมาสองใบ
“นี่น้องปาณัฐครับ” ปกรณ์ชี้ไปที่ภาพถ่ายใบหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพวิวของสวนสาธารณะตอนกลางคืน มีแสงจากเสาไฟส่องสลัวๆ ลงมายังม้านั่งเบื้องล่าง “น้องปาณัฐเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยของผมครับ แต่เราเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เองครับ น้องปาณัฐบอกว่าติดตามผลงานภาพถ่ายของผมมานานแล้ว เขามีผมเป็นแบบอย่าง และเพราะมีเขา เลยทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีค่าครับ เขามักบอกว่าอย่างเก่งแบบผมเสมอ ซึ่งผมไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างผมจะมีใครเอาเป็นแบบอย่าง”
“แล้วก็นี่นรินทร์ครับ” คราวนี้ผู้ป่วยชี้ไปที่ภาพอีกใบ มันเป็นภาพชายทะเลตอนเช้าที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น มีแสงสีทองพาดผ่านกับจุดตัดระหว่างท้องฟ้ากับท้องทะเล “นรินทร์มักจะมาหาผมในวันที่ผมเครียดครับ เรามีปัญหาคล้ายๆ กันเรื่องครอบครัว เราจึงเป็นเพื่อนที่ปรึกษาปัญหาระหว่างกัน เขาทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่ผมที่โชคร้ายคนเดียว และเขาโชคร้ายกว่าผมด้วยซ้ำ บางทีผมก็รู้สึกดีเวลาที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกดีเวลาที่เขามาระบายเรื่องเครียดๆ ให้ผมฟัง รู้สึกดีที่ได้ปลอบใจ ได้ปกป้องเขา”
ชานนท์มองตามภาพถ่ายทั้งสองใบ เขาต้องซ่อนความรู้สึกตกใจที่เกิดขึ้น แม้ว่าการแสดงออกภายนอกของปกรณ์จะดูไม่รุนแรงหากเทียบกับผู้ป่วยรายอื่นๆ แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้นมันกลับไม่ใช่อย่างที่คิด อาการของปกรณ์หนักยิ่งกว่าใครหลายๆ คนเสียอีก และมันอาจจะรุนแรงมากขึ้นหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว
“แล้วน้องปาณัฐกับคุณนรินทร์มาพบคุณบ่อยไหมครับ”
“เราไม่ค่อยได้เจอกันน่ะครับ ผมเองก็งานยุ่ง แต่น่าแปลกนะครับ เวลาที่ผมเครียดมากๆ มักจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเจอใครคนใดคนหนึ่งทุกครั้งเสมอ”
“แสดงว่าคุณไม่เคยเจอพวกเขาสองคนพร้อมกันใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“เอาล่ะผมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะนำอาการของคุณไปปรึกษากับจิตแพทย์แล้วให้คุณหมอจิตแพทย์สั่งยาให้นะครับ แต่ระหว่างนี้ผมจำเป็นต้องพบคุณทุกสัปดาห์เพื่อติดตามอาการนะครับ”
“ได้ครับ ขอบคุณนะครับ คุณ...” ปกรณ์ลืมชื่อของอีกฝ่าย
“ชานนท์ครับ” เขาบอกชื่อตัวเองแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ครับ” ปกรณ์ผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วยิ้มกลับ เขาเริ่มสบตาและรู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นมิตร
หลังจากที่ปกรณ์จากไป ชานนท์ก็ได้แต่นั่งขบคิดว่าคนคนหนึ่งที่สามารถสร้างคนที่ไม่มีตัวตนให้มีตัวตนขึ้นมานั้นต้องผ่านความเครียดหรือความเจ็บปวดในอดีตมามากมายเพียงใด
รอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความสุขเวลาที่เขาชี้ไปบนภาพถ่ายที่ว่างเปล่านั้นทำให้ชานนท์ไม่แน่ใจว่า หากวันหนึ่งปกรณ์รู้ความจริงขึ้นมา... รู้ว่าปาณัฐและนรินทร์ เป็นเพียงบุคคลในจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นเพื่อปกป้องความอ่อนแอของตัวเองนั้น ปกรณ์จะรับมือได้ไหม เมื่อบุคคลเพียงสองคนที่เขาสามารถเปิดใจและทำให้เขายิ้มได้อย่างมีความสุขนั้นไม่มีตัวตนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
หากพิจารณาจากบุคลิกภายนอก ปกรณ์มีท่าทางไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วๆ ไป เขาสูงประมาณ 174 เซนติเมตร ผิวขาวเหลือง หน้าตาเกลี้ยงเกลา บุคลิกดูสุภาพอ่อนโยน เพียงแต่ผมเผ้าที่ยาวปกปิดใบหน้า กับการแต่งกายที่มิดชิดและลักษณะที่ดูขาดความมั่นใจนั้นทำให้อาจไม่มีผู้ใดที่กล้าจะพูดคุยหรือให้ความสนิทใจกับเขา
“หมอครับ ผมขอดูแลผู้ป่วยรายนี้อย่างใกล้ชิดได้ไหมครับ” ชานนท์เดินไปคุยกับจิตแพทย์
“ใกล้ชิด?” จิตแพทย์ทวนถามด้วยความสงสัย เพราะพวกเขาล้วนให้ความดูแลกับผู้ป่วยที่มาทำการรักษาอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว
“ใช่ครับ หมายถึงอาจจะเป็นเพื่อน พูดคุย ชวนนัดเที่ยวเวลาว่างงาน จะถือว่าผิดจรรยาบรรณไหมครับ”
“อ๋อ... ได้สิครับ ผู้ป่วยบางรายถ้าได้รับการรักษา การดูแลอย่างใกล้ชิดจะทำให้อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องระมัดระวังอย่าให้เขาเข้าใจว่าการเข้าหาของเราคือการรักษา เพราะถ้าเขาคิดแบบนั้น อาจจะทำให้เขาต่อต้านและส่งผลร้ายทำให้การรักษายากขึ้นกว่าเดิมอีก”
“ได้เลยครับ ขอบคุณมากๆ ครับ”
------------------------------
จบบทนำ
ปล.บทนำต้องอ่านนะครับ ข้ามไม่ได้ 555+ จุดสำคัญเลย
-
ตอนที่ 1
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นก่อนที่ภาพวิวเบื้องหน้าจะปรากฏบนจอกล้องถ่ายรูป
ปกรณ์มักถ่ายรูปวิวที่ว่างเปล่า ยิ่งเฉพาะเวลาพลบค่ำ การได้เก็บภาพที่ให้ความรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเงียบเหงานั้นทำให้เขารู้สึกมีความสุขเสมอ
“พี่ปกรณ์” เสียงดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉายบนใบหน้า เขาเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอม ส่วนสูงน้อยกว่าปกรณ์ประมาณ 4-5 เซนติเมตร วันนี้เขาสวมชุดนักศึกษาแขนยาวซึ่งถูกพับขึ้นมาประมาณข้อศอก ท่อนล่างเป็นกลางเกงยีนส์มีรอยขาดบริเวณเข่า การแต่งกายของเขามักเป็นเช่นนี้เสมอ
“ไงปาณัฐ วันนี้เรียนหนักไหม” ปกรณ์ยิ้มให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า
“ก็เรื่อยๆ ครับ” ปาณัฐตอบออกมาก่อนจะลากแขนของปกรณ์ให้ไปนั่งที่ม้านั่งตรงหน้า “ว่าแต่วันนี้พี่ได้ไปหาจิตแพทย์มาหรือเปล่าครับ”
ปาณัฐคะยั้นคะยอ การพบกันครั้งก่อนของคนทั้งคู่นั้น ปกรณ์ได้ปรึกษาถึงความเครียดที่เกิดขึ้น เขาลังเลใจในความคิดแย่ๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวจนทำให้ตัวเองนอนไม่ค่อยจะหลับ แถมยังตื่นเช้าอีก ทำให้รู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่ก็ไม่มั่นใจว่า การไปปรึกษาอาการกับจิตแพทย์นั้นจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นบ้าไหม
“อืม... พี่ไปมาแล้ว” คำตอบของปกรณ์ส่งผลให้ปาณัฐขยับยิ้ม
“ดีจัง แล้วหมอว่าไงบ้างครับ ผมล่ะเป็นห่วงพี่แทบแย่ กลัวว่าพี่จะไม่ไป”
“พี่ยังไม่ได้คุยกับหมอตรงๆ หรอก หมอให้พี่คุยกับนักจิตวิทยาก่อนเพื่อสอบถามอาการ”
“อ๋อ แล้วนักจิตวิทยาถามอะไรบ้างครับ เขาใจดีเหมือนพี่ไหม”
“คุณชานนท์ยังไม่ได้ถามอะไรมากนักหรอก เขาดูเป็นคนใจดีมาก เขาให้พี่เล่าถึงความเครียดที่พี่เก็บไว้ แล้วก็... เอ้อ พี่เอารูปของปาณัฐอวดคุณชานนท์ด้วยนะ”
“งั้นเหรอครับ” ปาณัฐก้มหน้า “คืนนี้พี่รีบไหมครับ ผมขอนอนหนุนตักหน่อยได้ไหม”
“เฮ้ย... ไม่เอาหรอก” ปกรณ์ปฏิเสธ “น่าอายจะตาย ถ้ามีคนเดินผ่านไปผ่านมา”
“ไม่มีใครสนใจผมหรอกครับ” พูดจบปาณัฐก็ถือวิสาสะทิ้งตัวลงนอนหนุนตักกับปกรณ์ “พี่ก็ทำตัวปกติๆ ไป ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เชื่อผมนะครับ คนอย่างผมไม่มีใครสนใจเหมือนพี่หรอกครับ”
“งั้นเหรอ” ปกรณ์เงยหน้ามองท้องฟ้าพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ภาพถ่ายของปกรณ์ที่อัพลงโซเชียลมาเรื่อยๆ เป็นเวลาหลายปีนั้น ส่วนใหญ่เป็นภาพโทนขาวดำ อึมครึม ให้ความรู้สึกเหมือนความโดดเดี่ยว สิ้นหวัง ท้อแท้ หากแต่ภาพเหล่านั้นกลับทำให้คนที่รู้สึกสิ้นหวังมีกำลังใจในการใช้ชีวิต มีการแชร์ภาพเป็นจำนวนมากขึ้นๆ จนกระทั่งมีบริษัทหนังสือรายใหญ่บริษัทหนึ่ง ได้มาติดต่อซื้อลิขสิทธิ์ภาพถ่ายของเขาเพื่อจัดทำเป็นโฟโต้บุ๊ค โดยใช้ชื่อว่า ‘สมุดภาพแห่งความหวัง’
“ผมชอบภาพเจ้าตูบสองขามากเลยนะครับ” ปาณัฐเอ่ยขึ้นขณะที่ยังนอนหนุนอยู่บนตัก
“ภาพนั้นมีคนแชร์เยอะมากเลยล่ะ” ปกรณ์จำได้ว่าภาพเจ้าหมาจรจัดพันทางที่กำลังใช้สองขาหน้าของตัวเองพยุงร่างที่พิการเพื่อที่จะปืนขึ้นเกาะกลางถนนนั้น เป็นภาพที่ทำให้เว็บไซต์ของเขาเริ่มเป็นที่รู้จัก หลายคนบอกว่าแค่มองภาพนี้ก็น้ำตาไหลออกมาอย่างน่าประหลาด แม้ว่าเจ้าตูบตัวนั้นจะพิการ ดูไร้ค่า แต่แววตาของมันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
“ก็แหม... เจ้าตูบพิการมันยังรักชีวิต รักลูกของมันนี่ครับ มันให้กำลังใจคนที่กำลังท้อแท้สิ้นหวังได้ดีเลยนะครับ”
“ตอนพี่เห็นมันพี่ก็น้ำตาคลอเบ้าเลยล่ะ ยิ่งพอรอเวลาแล้วเก็บภาพตอนข้ามถนนเพื่อมาให้นมลูกๆ ของมันซึ่งนอนหลบอยู่ในพุ่มไม้อีกฝั่ง มันยิ่งที่ให้พี่รู้สึกว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้กับชีวิต คนอื่นก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน”
“ใช่ครับ ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น พอเห็นภาพนั้นผมก็อยากรู้จักเจ้าของภาพขึ้นมาทันทีเลยล่ะ ผมปลื้มพี่มากๆ เลยนะครับ” ปาณัฐทำน้ำเสียงออดอ้อน
“ขอบคุณนะ” ปกรณ์ลูบศีรษะของคนที่นอนหนุนตักด้วยความเอ็นดู “ใครๆ ก็อยากเป็นที่ยอมรับทั้งนั้น พี่เองก็เหมือนกัน พี่ดีใจนะที่ได้รู้จักกับเรา ถ้าไม่มีเราพี่เองก็คงรู้สึกแย่... แย่กับชีวิตมากไปกว่านี้”
“ผมดีใจนะครับที่พี่เห็นความสำคัญของผม” พูดจบปาณัฐก็ลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะโน้มตัวไปกอดร่างของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเด็กขี้เล่น “มา... ผมกอดหน่อย พี่ชายของผม”
ปาณัฐกอดเต็มแรง หากแต่อีกฝ่ายกลับตัวแข็งทื่อเพราะรู้สึกประหม่า เขาไม่เคยได้รับอ้อมกอดแบบนี้จากใครตั้งแต่ที่ความจำได้ เขาจึงปฏิบัติตัวไม่ถูก
การถูกกอดเพราะความรัก มันควรจะต้องรู้สึกแบบไหน นั่นคือสิ่งที่ปกรณ์สงสัย แต่ยังไม่ทันที่จะได้รับคำตอบ เด็กหนุ่มก็ผละอ้อมกอดออกจากเขา
“ไว้ว่างๆ เดี๋ยวเจอกันใหม่นะครับ ผมไปก่อนละ บายครับ” พูดจบก็ยกมือลาแล้ววิ่งออกไปทันที
“กลับบ้านดีๆ ล่ะ” ปกรณ์ตะโกนให้หลังก่อนจะโบกมือลาตาม
เขามองตามร่างนั้นจนกระทั่งลับสายตา แล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นเมื่อนึกถึงอ้อมกอดเมื่อครู่ ...การที่โดนใครสักคนกอดด้วยความรัก มันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง
ทางด้านของชานนท์ หลังจากที่เขาเลิกงาน เขาก็สะกดรอยตามปกรณ์มาโดยตลอด โชคดีที่ปกรณ์เป็นผู้ป่วยรายสุดท้ายของเย็นวันนั้น และต้องนั่งรอจ่ายยาอยู่นานจึงทำให้ชานนท์ที่ได้ปรึกษากับจิตแพทย์แล้วว่าจะขอดูแลอย่างใกล้ชิด ได้แอบสะกดรอยตามปกรณ์ตั้งแต่ที่ออกจากโรงพยาบาล
การสะกดรอยตามของชานนท์นั้น ไม่ได้เป็นไปในทางที่ไม่ดี แต่เพราะต้องการติดตามดูอาการเพื่อจะนำมาวิเคราะห์และรักษา เขาจึงต้องทำแบบนี้
ปกรณ์มีอาการเหมือนคนปกติทุกอย่าง จนกระทั่งเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์ตกดิน หลังจากที่ถ่ายภาพวิวในสวนสาธารณะที่ว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คน อาการของเขาก็ดูแปลกไป
ปกรณ์ดูมีลักษณะอาการคล้ายกับพูดคนเดียว แต่ใบหน้าของเขาดูยิ้มแย้ม มีความสุขมากกว่าปกติ แววตาในตอนนั้นไร้ซึ่งความกังวลใดใด
อาการของปกรณ์ในตอนนั้นไม่ใช่วิสัยของคนปกติแน่นอน เขาทำราวกับว่ามีใครอีกคนพูดคุยอยู่กับเขา แต่สิ่งที่ทำให้ชานนท์ไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดอยู่ๆ ปกรณ์ก็ตัวแข็งทื่อ ก่อนที่สักพักจะโบกมือเหมือนกับลาใครบางคน
สำหรับคนอื่นหากมาเห็นปกรณ์ในสภาพนี้ ถ้าไม่คิดว่าเขาเป็นบ้าคุยคนเดียว ก็คงคิดว่าเขาคุยกับสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นแน่นอน ซึ่งอาการแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อผู้ป่วยแน่นอน
ชานนท์จะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...
“อ้าว... คุณปกรณ์นี่นา ผมนั่งด้วยได้ไหมครับ” ชานนท์ที่แอบสะกดรอยตามมาตลอด พอเห็นปกรณ์เข้าร้านก๋วยเตี๋ยวและสั่งก๋วยเตี๋ยวมารับประทาน จึงได้จังหวะที่เขาจะเข้าไปในร้านนั้นแล้วแกล้งทำราวกับว่าบังเอิญเจอกัน
ปกรณ์เงยหน้ามองตามต้นเสียง เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เจอคุณชานนท์ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าโดนสะกดรอยตามแต่อย่างใด
“ได้ครับ บังเอิญจังเลยนะครับ คุณชานนท์มาทำธุระแถวนี้เหรอครับ”
“พอดีเหนื่อยๆ น่ะครับ เลยมาเดินเล่นที่สวนเพื่อผ่อนคลาย”
“ที่สวน” ปกรณ์ทวนถาม ก่อนจะชี้ไปทางสวนสาธารณะที่เขาเพิ่งเดินออกมา “สวนนั้นเหรอครับ”
“ใช่ครับ มันใกล้ที่ทำงาน ผมมักมาเดินเล่นบ่อยๆ แล้วคุณปกรณ์ล่ะครับ มาทำอะไร ผมนึกว่าคุณกลับไปแล้วซะอีก” ชานนท์พยายามใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง ไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยแต่ก็ชี้ทางเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องที่กำลังสงสัยออกมา
“อ้อ... มาถ่ายรูปเล่นน่ะครับ ผมเองก็เบื่อๆ เหมือนกัน ยังไม่อยากกลับบ้าน เสียดายจังเลยนะครับ เมื่อกี้ไม่เห็นคุณชานนท์เลย ไม่งั้น...”
“เส้นเล็ก น้ำ หมู ลูกชิ้นได้แล้วค่า” เสียงของพนักงานเสิร์ฟดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกับชามก๋วยเตี๋ยวที่ยกมาเสิร์ฟตรงหน้าปกรณ์
ชานนท์ลอบถอนหายใจ เขาเกือบจะรู้อยู่แล้วเชียวว่าเมื่อครู่นี้ปกรณ์พบกับใครมา น้องปาณัฐหรือคุณนรินทร์กันแน่ ใครกันที่ทำให้คนไข้ในความดูแลของเขายิ้มแย้มออกมาและมีท่าทางภาคภูมิใจได้ถึงเพียงนี้
ซึ่งจากการพูดคุยกันในห้องปรึกษา ถ้าเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นน้องปาณัฐ เพราะปกรณ์บอกว่าน้องปาณัฐทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่า และถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเด็กในจินตนาการคนนี้น่าจะเป็นด้านบวกที่ผู้ป่วยสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง
“คุณปกรณ์ทานก่อนเลยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ รอทานพร้อมกันดีกว่า” ปกรณ์ตอบออกมา พลางพิจารณาอีกฝ่ายเช่นกัน เขารู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ช่างสุภาพและอ่อนโยนเหลือเกิน ดูน่าคบหา น่าเป็นมิตร แต่แล้วจู่ๆ ห้วงความคิดหนึ่งก็พยายามต่อต้านว่าอย่าเพิ่งเปิดใจให้เขามากนัก เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักจิตวิทยา บางทีการพบกันครั้งนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องพยายามทำตัวเป็นปกติไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่าโดนสงสัย
“ครับ” ชานนท์พยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้ เขาไม่พูดอะไรออกมาอีก ไม่พยายามที่จะเอ่ยถามถึงเรื่องในสวนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย
ปกรณ์ครุ่นคิด บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ เพราะถ้าคุณชานนท์จงใจจะมาเพื่อสืบอะไรบางอย่าง เขาคงวกเข้าเรื่องในสวนสาธารณะแล้วเป็นแน่
“แล้ว... คุณชานนท์ปกติงานยุ่งไหมครับ เลิกงานกี่โมง มีวันหยุดไหม” มีไม่กี่ครั้งที่ปกรณ์จะเป็นฝ่ายเริ่มชวนคนอื่นคุย
“ปกติก็เลิกประมาณห้าโมงเย็นครับ เว้นแต่วันที่ต้องอยู่เวรก็อาจจะดึกหน่อย วันหยุดไม่แน่นอนครับ เพราะต้องผลัดกันกับคนอื่นๆ”
“งั้นเหรอครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ สีหน้าของเขาแสดงถึงความผิดหวังเล็กน้อย หากเป็นคนอื่นอาจไม่สังเกตเห็น แต่กับนักจิตวิทยาแบบชานนท์ไม่ใช่
“แต่เอางี้ดีไหมครับ เดี๋ยวผมเช็ควันหยุดให้ ถ้าว่างวันไหนผมจะโทรไปบอกคุณปกรณ์อีกทีนะครับ”
“จริงนะครับ” ปกรณ์ยิ้มออกมา “ผมอยากชวนคุณชานนท์ไปถ่ายรูป ถ้าว่างรีบโทรมาบอกผมเลยนะครับ”
“ได้เลยครับ” ชานนท์ยิ้มกลับพลางนึกดีใจที่เขาคิดไม่ผิดว่าผู้ป่วยต้องกำลังคิดอะไรอยู่แน่ๆ ขณะเดียวกันหัวใจของเขาก็เต้นรัว เพราะหากเขาทำอะไรที่มีพิรุธจนอีกฝ่ายสงสัย เขาจะหมดความน่าเชื่อถือและสูญเสียความไว้ใจทันที
ขณะที่กำลังรับประทานก๋วยเตี๋ยว ชานนท์นึกสงสัยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสวนสาธารณะเหลือเกิน เขาอยากจะเอ่ยปากถามให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ด้วยความใจเย็น เพราะหากได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เร็วเท่าไร การรักษาก็ยิ่งจะทำได้ง่ายขึ้น
ปกรณ์ไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าความเจ็บปวดทางจิตใจที่เกิดขึ้นจะรุนแรงจนทำให้เขามีแต่ความเครียดและความคิดด้านลบเกี่ยวกับตัวเองสุมอยู่ในหัว แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรเปิดใจให้ประมาณไหน ควรพูดคุยเรื่องอะไร
บางทีนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ก็ต้องเล่นเกมจิตวิทยากับผู้ป่วยเช่นกัน เพราะในหลายๆ ครั้ง พวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้ป่วยพูดความจริงกี่เปอร์เซ็น มีการโกหกหรือไม่ เพราะหากมีการให้ข้อมูลเท็จหรือให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนขึ้นมา การรักษาอาจเกิดความผิดพลาดได้ แต่ครั้นจะบีบบังคับผู้ป่วยก็ไม่ได้เช่นกันเพราะมันจะทำให้เขาไม่สบายใจและต่อต้าน
หลังจากที่สูดก๋วยเตี๋ยวเส้นสุดท้ายเสร็จ ชานนท์ก็เผลอถอนหายใจออกมา เขามัวแต่คิดเรื่องที่ตนเองสงสัย ร้อนใจเพราะอยากจะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างปกรณ์กับบุคคลในจินตนาการ
“ขอโทษครับ พอดีใส่พริกมากไปหน่อย” โชคดีที่ชานนท์มีข้ออ้างในการถอนหายใจ เขาใส่พริกเยอะเกินไปจึงไม่แปลกหากจะถอนหายใจเพราะรู้สึกร้อนหรือเผ็ด
“คุณกินเผ็ดจังเลยนะครับ” ปกรณ์เองก็ตกใจตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอีกฝ่ายเติมพริกเสียจนน้ำซุปในชามเป็นสีแดงราวกับน้ำซุปนรก
“ก็นิดหน่อยครับ เป็นนักจิตวิทยาเจอกับผู้ป่วยมากมาย บางทีผมเองก็เครียดๆ นะครับ กังวลว่าจะวินิจฉัยอาการผิด เวลากินเผ็ดๆ มันทำให้ผมลืมความเครียดได้ เพราะมัวแต่จดจ่อกับอาการเผ็ด”
สิ้นเสียง ปกรณ์ก็ยื่นมือถือถือทิชชู่ไปซับเหงื่อบนใบหน้าให้กับชานนท์
“คุณเองก็มีเรื่องเครียดๆ เหมือนกันสินะครับ ต้องมารับฟังเรื่องของผู้ป่วยหลายๆ รายคงเหนื่อยน่าดู แล้วมีใครที่รับฟังความเครียดของคุณชานนท์บ้างไหมครับ”
“เอ่อ... ไม่... ไม่มีครับ” ชานนท์ตอบตะกุกตะกัก เขารู้สึกประหม่ากับการที่โดนอีกฝ่ายซับเหงื่อให้
“ดูสิ หน้าแดงหมดแล้ว กินเผ็ดมากก็ไม่ดีต่อลำไส้นะครับ ดูแลตัวเองบ้าง คราวหลังถ้าไม่มีใครให้ระบายความเครียด ก็มาระบายให้ผมฟังได้นะครับ” ปกรณ์ยิ้มร่า เมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้าก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง แม้เขาจะเป็นนักจิตวิทยา แต่เขาก็มีความรู้สึกนึกคิด มีอารมณ์เหมือนกันคนทั่วๆ ไป และเพราะเหตุนี้จึงทำให้ปกรณ์รู้สึกดีกับคนตรงหน้า และเริ่มที่จะเปิดใจให้
“ได้ครับ แหม... สงสัยเราต้องผลัดหน้าที่กันแล้วนะครับ” ชานนท์หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม เขาใช้แก้วน้ำปิดบังความรู้สึกที่อาจจะแสดงออกผ่านใบหน้าและแววตา
คุณปกรณ์เป็นคนดี จิตใจของเขาอ่อนโยนและบริสุทธิ์มาก การแสดงออกถึงความห่วงใยเมื่อครู่ทำให้ชานนท์รู้สึกประหม่า อีกประการหนึ่งก็นึกสงสัยขึ้นมาว่าคนตรงหน้าต้องผ่านกับประสบการณ์อะไรมาบ้าง ถึงทำให้เขารู้สึกไร้ค่า ไร้ความหมาย และอยู่อย่างสิ้นหวัง
“แล้วอย่างเรื่องของผม จะมีทางแก้ให้หายได้ไหมครับ”
“มีแน่นอนครับ หากเราทราบสาเหตุที่แท้จริง ถ้าคุณยังไม่สบายใจก็ยังไม่ต้องเล่าให้ฟังก็ได้นะครับ แต่เวลาที่คุณมีความเครียด คุณต้องมาที่โรงพยาบาลทันที หรือเบื้องต้นให้โทรมาหาผมก็ได้นะครับ นี่นะครับนามบัตรผม”
“ได้เลยครับ” ปกรณ์ยิ้มรับด้วยความยินดี บางสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็ไม่กล้าพอที่จะเล่าออกไป แม้มันจะเป็นหนทางที่ไวที่สุดเพื่อที่จะทำการรักษา แต่ทว่านั่นอาจทำให้ใครบางคนเสื่อมเสีย แค่มีคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ รับฟังเวลาที่เครียด แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ
“เบอร์อยู่มุมขวาล่างนะครับ เครียดเมื่อไหร่ก็เบอร์นี้เลย ผมยินดีรับฟังเสมอ” ชานนท์ย้ำ สำหรับผู้ป่วย ทุกคนคือคนที่ต้องได้รับการรักษาและเอาใจใส่เหมือนๆ กัน แต่การดูแลและเอาใจใส่ย่อมแตกต่างกันตามอาการที่ปรากฏ
“ครับ คุณชานนท์ใจดีจังเลยนะครับ” ปกรณ์เมมเบอร์ของชานนท์ลงมือถือก่อนที่จะลอบถอนหายใจออกมาแล้วเปรียบเทียบกับพ่อของเขา หากพ่อเขาใจดีและอ่อนโยนได้สักครึ่งหนึ่งของคุณชานนท์คงจะดีไม่น้อย
“คุณเองก็ใจดีเหมือนกันนะครับ รู้ไหม ไม่เคยมีใครซับเหงื่อให้ผมเลยนะ”
“จริงเหรอครับ” ปกรณ์หน้าเสียเล็กน้อย ได้ยินดังนั้นจึงพลางคิดไปว่าตัวเองถือวิสาสะเกินไปไหม “ขะ... ขอโทษนะครับ”
“ขอโทษทำไมครับ” ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่น มุมปากก็ผุดยิ้มด้วยความฉงน
“ผมถือวิสาสะเกินไป”
“ไม่ต้องคิดมากนะครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ ผมรู้สึกดีซะอีกที่มีคนคอยดูแลแบบนี้” ชานนท์อธิบายออกมา “ไม่รู้สิครับ มันรู้สึกดี เหมือนมีคนห่วงใยเรา”
“จริงเหรอครับ” ปกรณ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ถ้างั้นวันนี้ เดี๋ยวผมเลี้ยงนะครับ” ชานนท์เอ่ยออกมา พอเห็นท่าทางราวกับจะปฏิเสธของอีกฝ่าย จึงชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ถือซะว่าเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างเรานะครับ อย่าปฏิเสธเลยนะครับ”
ในเมื่อชานนท์เอ่ยออกมาแบบนั้น ปกรณ์จึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้
“ถ้างั้นคราวหน้า ผมขอเลี้ยงกลับนะครับ”
“ยินดีครับ” ชานนท์พยักหน้าก่อนจะเห็นไปมองพนักงานร้านแล้วยกมือหมุนรอบๆ โต๊ะเป็นสัญญาณให้มาคิดเงิน “อ้อ คุณปกรณ์ครับ กลับบ้านอย่าลืมทานยาก่อนนอนด้วยนะครับ”
“จริงด้วย ผมลืมดูเลยว่ามียาอะไรบ้าง”
“ผมเช็คตอนอยู่โรงบาลแล้วครับ มีแค่ยาทานก่อนนอน กับหลังอาหารมื้อเช้าครับ”
“อ้อ... ขอบคุณครับ”
หลังจากที่จ่ายค่าอาหาร คนทั้งคู่ก็ล่ำลาและแยกจากกัน ชานนท์ซุ่มมองปกรณ์เดินไปจนกระทั่งลับสายตา ส่วนอีกฝ่ายไม่หันกลับมาเลยสักนิด
“เย็นชาจริงนะ” ชานนท์เผลอหลุดปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกทีก็เผลอยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น เขาไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน จึงไม่แปลกหากเขาจะรู้สึกขบขันกับอาการของตัวเอง
...นี่เขาห่วงคนป่วยจนจะเสียสติกลายเป็นคนป่วยตามไปอีกคนแล้วมั้งเนี่ย...
-----------------------------
จบตอนที่ 1 ครับ เป็นยังไงก็ทักทายกันบ้างนะครับ
-
ตอนที่ 2
ชายหนุ่มเดินเข้าซอยบ้านด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ การได้พูดคุยและดูเหมือนจะได้รับการยอมรับจากเพื่อนใหม่ทำให้เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ชานนท์เป็นนักจิตวิทยาที่ดูอ่อนโยนและใจดีมาก เขาอยากได้คุณพ่อที่มีบุคลิกแบบนี้ จึงไม่แปลกหากความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ปกรณ์รู้สึกดีกับเพื่อนใหม่
“ไปไหนมา” แต่เสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังก็ทำให้รอยยิ้มของปกรณ์หุบลง
“นรินทร์” ปกรณ์หันหลังไปมองร่างนั้นด้วยความรู้สึกผิด
“ไปหาจิตแพทย์มาใช่ไหม ไปทำไม เราบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่านายไม่ได้บ้า ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง” แววตาของผู้พูดแสดงถึงความผิดหวัง เขามักสวมเสื้อยืดสีขาวเก่าๆ กางเกงยีนส์ขาสั้นเสมอเวลาปรากฏตัว “เราผิดหวังในตัวนายที่สุด”
“เดี๋ยวนรินทร์” ปกรณ์ร้องห้ามและรีบวิ่งไปดึงแขนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะเดินหนี “เราแค่เครียด เราทนไม่ไหวจริงๆ เราถึงได้ไปพบหมอ”
“ไม่ไหวอะไร ก็เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอว่ามีอะไรจะปรึกษากัน แต่นายผิดคำพูด” นรินทร์กระชากแขนออกมา
“เราขอโทษ” ปกรณ์ยังจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น
“งั้นสัญญากับเราได้ไหม ว่าจะไม่ไปที่นั่นอีก” นรินทร์ยื่นข้อเสนอ
“ถ้าเราไปนายจะทำยังไง”
“เราก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก ต่างคนต่างอยู่ เอาที่สบายใจน่าจะดีกว่า”
“ไม่ได้นะ ถ้าไม่มีนายเราเองก็เหมือนตัวคนเดียว” ปกรณ์ตัดพ้อ แม้ว่าปาณัฐจะทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจเสมอเวลาที่พบกัน แต่ความสัมพันธ์นั่นต่างกับนรินทร์อย่างสิ้นเชิง
นรินทร์เป็นเพื่อนสนิท เป็นคนเดียวที่เขากล้าระบายเรื่องครอบครัวให้ฟังไม่ใช่แค่ผิวเผิน เพราะครอบครัวของนรินทร์ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน และสิ่งที่นรินทร์ต้องเจอนั้นมันหนักกว่าเขาหลายเท่าตัวเชียวล่ะ การที่มีนรินทร์อยู่ข้างๆ นั้นจึงทำให้ปกรณ์รู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนที่โชคร้ายที่สุด ไม่ใช่คนที่ควรท้อแท้และสิ้นหวังที่สุด แต่ยังมีนรินทร์ที่ชะตาชีวิตนั้นเลวร้ายและด้อยค่ากว่าเขา
“แต่สิ่งที่นายทำวันนี้ มันทำให้เรารู้สึกเจ็บใจ พวกเราแค่มีปัญหาครอบครัว พวกเราไม่ใช่คนบ้าเสียหน่อย” นรินทร์ตัวสั่นระรัว เพราะการที่ปกรณ์ไปหาจิตแพทย์นั่นเท่ากับเขายอมรับว่าตัวเองจิตไม่ปกติ จึงส่งผลให้นรินทร์รู้สึกว่าตัวเองไม่ปกติด้วยเช่นกัน
“โอเคๆ นรินทร์ใจเย็น เราจะไม่ไปที่นั่นแล้ว” ปกรณ์กุมมือนรินทร์แน่น
“จริงนะ”
“อื้อ”
“แล้วนั่นถุงอะไร” นรินทร์เหลือบไปเห็นถุงพลาสติกสีขาวที่มือ
“ถุง... ถุงยา” ปกรณ์ตอบตะกุกตะกัก
“ยา... ยาสลายมโน ยาแก้อาการประสาทโรคจิตใช่ไหม ทิ้งไปเลยนะ โยนทิ้งไปเดี๋ยวนี้ นายไม่ได้เป็นโรคจิต นายต้องเชื่อและฟังเรา เรารู้จักนายดีกว่าใคร นายเป็นเพื่อนที่ดี นายเป็นคนปกติ นายไม่ใช่โรคจิต นายไม่ใช่คนบ้า” นรินทร์พูดซ้ำไปซ้ำมา เขาจ้องหน้าปกรณ์เขม็งราวกับกำลังสะกดจิตจนปกรณ์รู้สึกคล้อยตาม “นายไม่ใช่คนบ้า นายปกติดีทุกอย่างนะปกรณ์”
“ใช่! เราไม่ใช่โรคจิต” ปกรณ์โยนถุงยาทิ้งทันทีที่พูดจบ
การกระทำนั้นส่งผลให้นรินทร์ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ สีหน้าและแววตาของเขาฉายชัดถึงความยกย่อง ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ปกรณ์รู้สึกมีคุณค่า การที่มีใครสักคนมางอแงร้องขอให้เขาทำนู่นทำนี่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองเข้มแข็งมากกว่าอีกคน
“รับปากแล้วนะว่าจะไม่ไปที่นั่นอีก”
“อื้ม”
“เจ๋ง นายยอดเยี่ยมที่สุด ขอบคุณนะที่เชื่อเรา”
“นายเป็นเพื่อนเรา เราต้องเชื่อนายอยู่แล้ว” ปกรณ์ยิ้มให้อีกฝ่าย
“นายเป็นคนดีจริงๆ นะ ถ้าอย่างนั้นเรากลับบ้านก่อนนะ เดี๋ยวพ่อดุ แค่ได้เห็นนายกลับมาอย่างปลอดภัยเราก็สบายใจแล้ว” นรินทร์ยิ้มให้อีกฝ่ายเช่นกัน
“นายเองก็เหมือนกันนะ ถ้ามีปัญหาอะไรให้นึกถึงเราเป็นคนแรก เรายินดีจะรับฟังนายเสมอ”
“ได้เลย”
พูดจบนรินทร์ก็เดินแยกจากไป ปกรณ์มองตามร่างนั้นไปจนกระทั่งลับสายตาก่อนที่จะเดินกลับบ้านของตัวเอง
บ้านของปกรณ์อยู่ในซอยแคบๆ เขาอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่จำความได้ ส่วนพ่อกับแม่ใหม่นั้นได้ย้ายไปอยู่บ้านในที่ที่เดินทางได้สะดวกกว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง
การแยกออกไปนั้นทำให้ชีวิตของปกรณ์สงบขึ้นก็จริง แต่นั่นกลับทำให้รู้สึกว่าตนเองถูกทอดทิ้งอีกครั้ง ไม่ว่าจะครั้งไหน พ่อก็ไม่เคยเลือกเขา และพอคิดซ้ำไปซ้ำมา มันก็ยิ่งทำให้เขาสำเหนียกได้ว่าตัวเองมันก็แค่คนไร้ค่าเท่านั้น
ปกรณ์รีบเดินขึ้นไปบนห้อง ความคิดนี้ส่งผลทำให้เขารู้สึกปวดศีรษะ หวาดกลัว พอเปรียบเทียบตัวเองกับน้องชายแล้วนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยเหลือเกิน
“ไม่ได้นะ เราจะคิดแบบนี้ไม่ได้”
หัวใจของปกรณ์เต้นแรงรัวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพยายามปฏิเสธ ความจริงก็ยิ่งปรากฏ ในตอนนี้น้องชายต่างมารดาของเขาโตเป็นหนุ่มหล่อเหลา การเรียนอยู่ในเกณฑ์ดีและกำลังจะเรียนจบจากเมืองนอก ใครๆ ต่างก็ยกย่อง ไม่ว่าจะมองมุมไหนๆ เขาก็ไม่อาจเทียบเท่า ใช่... เขาไม่ต่างอะไรกับสุนัขจรจัด สุนัขที่รอความเมตตาจากคนในครอบครัวก็เท่านั้น
“ได้โปรดอย่าคิดอะไรไปมากกว่านี้เลยปกรณ์” เขาพึมพำกับตัวเอง แค่นี้เขาก็รู้สึกสิ้นหวังจนไม่อยากจะที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป
ไม่ใช่แค่พ่อที่ไม่รัก แต่เพราะอะไรๆ ที่เจอมาระหว่างแม่ใหม่กับน้องชายนั้นมันทำให้เขาต้องทนอยู่กับความหวาดกลัวและความรู้สึกด้านลบแย่ๆ แบบนี้
ความเครียดส่งผลให้ปกรณ์รู้สึกร้อนรุ่มทั้งกายและใจ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วร่างทั้งที่อากาศในห้องไม่ได้ร้อนอบอ้าวเลยแม้แต่นิดเดียว
“เรามันก็แค่หมาหัวเน่า คนอย่างเราน่ะเหรอจะมีใครเห็นค่า”
ก่อนที่สติของปกรณ์จะเตลิดไปไกลกว่านี้ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นนั้นได้ทำให้ความคิดแย่ๆ เหล่านั้นหายไป
ปกรณ์เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ พอเห็นชื่อที่ปรากฏเขาก็รีบกดรับสายทันที
“คุณชานนท์ ช่วยผมด้วย ผมไม่ไหวแล้ว...” เขาเอ่ยคำพูดออกมาด้วยความยากลำบาก เหมือนกับต้องต่อสู้ความคิดอะไรบางอย่างภายในจิตใจกว่าที่จะเปล่งเสียงออกมาแต่ละคำได้
“คุณปกรณ์ คุณเป็นอะไรครับ”
“ความคิดผม มันกำลังเล่นงาน ผมรู้สึกแย่กับตัวเองครับ ผมเหนื่อยที่จะต้องต่อสู้กับมัน...”
“คุณปกรณ์ คุณใจเย็นนะครับ คุณฟังผมนะ... ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณยังมีผมที่พร้อมจะรับฟัง เมื่อกี้ผมลองเข้าเว็บไซต์ติดตามผลงานคุณ ภาพถ่ายของคุณแต่ละภาพสื่อถึงความรู้สึกได้ดีมากเลยล่ะครับแม้ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ ผมทึ่งกับฝีมือของคุณจริงๆ นะครับ”
“คุณไม่ต้องมาโกหก” ปกรณ์เถียงออกไป อีกฝ่ายคงแค่ต้องการจะพูดอะไรเพื่อทำให้เขารู้สึกดีขึ้นก็เท่านั้น คงไม่ใช่ความรู้สึกจากใจจริง
“ผมไม่ได้โกหก ผมพูดจริงๆ นะครับ ภาพถ่ายของคุณมันไม่ได้แสดงถึงความสวยหรืองดงาม ทว่าแต่ละภาพกลับแฝงไปด้วยเรื่องราวและความหมายที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้” ชานนท์พูดตามความคิด เขาไม่ได้เสแสร้งแต่อย่างใด “แล้วคุณดีขึ้นหรือยังครับ”
“ไม่เลยครับ” ปกรณ์ปฏิเสธ แม้จะได้รับคำชื่นชมแต่เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ภาพของครอบครัวมันยังวนเวียนหลอกหลอนอยู่ในความคิด
“งั้นคุณบอกผมมา บ้านคุณอยู่ไหน เดี๋ยวผมจะรีบไปหา”
“แต่ผม... ไม่อยากรบกวน ผมเกรงใจ”
“ไม่ต้องคิดมากนะครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ”
“เพื่อนกัน... ต้องช่วยเหลือ ต้องรับฟัง ต้องเข้าใจกันสินะครับ”
“ใช่ครับ”
ท้ายที่สุดปกรณ์ก็ตัดสินใจบอกที่อยู่ให้อีกฝ่ายรับทราบ เขาอธิบายวิธีการเดินทางอย่างละเอียดรวมถึงลักษณะตัวบ้านเพื่อให้อีกฝ่ายเดินทางมาด้วยความเข้าใจที่ง่ายที่สุด
หลังจากที่วางสาย ปกรณ์ก็เอาแต่คิดเรื่องของคุณชานนท์จนทำให้อาการของเขาดีขึ้นเพราะลืมเรื่องเครียดๆ ไปชั่วขณะ
ความเครียดที่ค่อยๆ ทุเลาลงส่งผลให้เขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
....................
จบตอน
-
ตกลงว่าทั้งสองคนนั้นเป็นสิ่งที่จินตนาการขึ้นมาจริง ๆ เหรอ
-
รอ
-
ตอนที่ 3
ประมาณครึ่งชั่วโมงถัดมา ชานนท์ก็เดินทางมาถึงที่นี่บ้านของผู้ป่วย ปกรณ์ลงไปเปิดประตูต้อนรับก่อนที่จะพาอีกฝ่ายเข้ามาในบ้านด้วยความเต็มใจ
ชานนท์เสตามองสำรวจภายในบ้านอย่างระมัดระวัง ทุกสิ่งทุกอย่างดูผิดปกติ สิ่งของภายในบ้านถูกจัดวางราวกับไม่มีผู้อยู่อาศัย เฟอร์นิเจอร์และของใช้ทุกชิ้นเหมือนถูกตั้งประดับไว้หากแต่ไม่ได้รับการใช้งาน
“เดี๋ยวขึ้นห้องเลยนะครับ ผมอยู่ที่นี่คนเดียว คนอื่นย้ายไปอยู่บ้านใหม่กันหมด” ปกรณ์เอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเดินผ่านโถงนั่งเล่น
“ครับ” ชานนท์ตอบรับ ไม่ผิดจากที่เขาคิด แม้ตอนนี้ปกรณ์จะอาศัยอยู่เพียงคนเดียว แต่เขาก็คงจะเก็บตัวอยู่ในห้องนอน ถ้าเดาไม่ผิดชานนท์คิดว่าปกรณ์จะต้องไม่กล้าทำกิจกรรมอื่นๆ ภายในบ้าน เขาคงถูกขู่หรือได้รับประสบการณ์แย่ๆ จนทำให้เขาไม่กล้าที่จะออกมาจากห้องนอน
“คุณชานนท์ครับ” อยู่ๆ ปกรณ์ก็หยุดนิ่งในขณะที่กำลังจะสาวเท้าขึ้นบันได อาการของเขาดูแปลกไปอีกแล้ว ดูเหมือนคนที่กำลังมีความวิตกในใจ “คุณมาที่นี่เพราะอะไรกันแน่ เพราะผมมันน่าสมเพชใช่ไหมครับ ผมคงดูทุเรศในสายตาของคุณ”
ชานนท์ตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน ไม่แปลกหากอีกฝ่ายจะคิดเช่นนั้นเพราะเขากำลังป่วย เขาคิดว่าตัวเองย่ำแย่ ไร้ค่าและคิดว่าคงไม่มีใครเข้าใจเขา
“เราเป็นเพื่อนกันนะครับ” ชานนท์เลือกที่จะย้ำคำว่า ‘เพื่อน’ ชั่วชีวิตที่ผ่านมา เขาอาจจะไม่เคยมีเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้สักคนจึงทำให้เขาระแวงแบบนี้ หรืออีกกรณีเขาอาจจะเคยมีใครที่ไว้วางใจมากๆ แต่คนคนนั้นก็ทำให้เขาผิดหวังจนเขาเลือกที่จะไม่เปิดใจให้ใครอีก “ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้น คุณยังไม่ต้องเชื่อใจผมก็ได้นะครับ แต่คุณลองคิดดูสิ ถ้าผมคิดแบบนั้นจริง มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องมาหาคุณที่นี่”
“เหตุผลที่คุณมาที่นี่” ปกรณ์ทวนคำถามขณะเดียวกันก็พยายามนึกหาคำตอบ “เพราะคุณเป็นห่วงผม”
ประโยคที่พูดออกมาเป็นเพียงคำตอบเดียวที่เขานึกได้ เพราะหากไม่รู้สึกเช่นนั้น คุณชานนท์ก็คงไม่รีบมาหาเขาที่นี่ ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร ทรมานกับความคิดความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน อีกฝ่ายก็คงไม่สนใจ
ชานนท์ยิ้มให้กับคำตอบที่ได้ยิน แต่เพียงชั่วครู่รอยยิ้มนั้นก็เจื่อนลง
“หรือเพราะคุณแค่เห็นผมเป็นคนไข้ บางทีถ้าคุณรักษาผมให้หายเป็นปกติได้ คุณอาจจะได้รับความดีความชอบ คุณก็แค่ใช้ผมเพื่อผลประโยชน์ของตัวคุณเอง”
นี่เป็นความคิดที่สองที่แล่นเข้ามาในหัวสมอง มันยากเหลือเกินที่เขาจะให้ความไว้วางใจกับใครสักคนได้เต็มร้อย
“เอ่อ... ผมขอโทษครับ ผมไม่ควรคิดแบบนั้น” ปกรณ์โค้งศีรษะอย่างสำนึก เขารู้สึกผิดที่ระแคะระคายใจในความหวังดีของอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรครับ คุณจะคิดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอก ผมเองเป็นนักจิตวิทยา ส่วนคุณเองก็เป็นคนไข้ ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้นแบบนั้นใช่ไหมล่ะครับ" ชานนท์พยายามอธิบายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องคิดมาก “แต่ผมอยากให้คุณคิดแบบนั้นเฉพาะตอนที่คุณไปหาผมที่โรงพยาบาลนะ เพราะการที่ผมอยู่นอกเวลางาน แล้วผมเป็นฝ่ายมาหาคุณที่นี่ นั่นหมายความว่าผมยินดีและเต็มใจที่จะดูแล รับฟังคุณโดยที่ไม่หวังผลประโยชน์ใดใด ถ้ามีอะไรที่ผมอยากได้จากคุณ ผมคิดออกเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละครับ”
“คืออะไรครับ” ปกรณ์เร่งถามด้วยความตั้งใจ
“ผมต้องการความรักและความไว้วางใจจากคุณ พูดง่ายๆ ก็คือมิตรภาพน่ะครับ” ชานนท์ตอบออกมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น จนอีกฝ่ายรู้สึกเคลิ้มตาม “แต่ผมจะไม่เร่งรัดคุณหรอกนะครับ ปล่อยให้เวลาและการกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ก็ได้ครับ”
“ความรัก ความไว้ใจ มิตรภาพ งั้นเหรอครับ” ปกรณ์ทวนคำตอบ เขามีความรักให้กับน้องปาณัฐ เขามีความไว้ใจให้กับนรินทร์ คงไม่เป็นอะไรหากจะมีมิตรภาพใหม่เกิดขึ้นอีกสักคน
แต่เพราะอะไร ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้สึกสงสัยหรือหวาดระแวงในตัวของปาณัฐและนรินทร์เลยสักนิด ผิดกับชานนท์รวมถึงคนอื่นๆ ที่เขาเคยประสบพบเจอ นั่นคือสิ่งที่ปกรณ์ไม่เข้าใจ
“ถ้าคุณยังไม่สบายใจ วันนี้ผมกลับก่อนก็ได้นะครับ แค่ผมมาที่นี่ได้เห็นว่าคุณยังโอเคผมก็ดีใจแล้วครับ”
“ไม่เป็นไรครับคุณชานนท์” ปกรณ์ปฏิเสธ “ผมเองแค่รู้สึกแปลกๆ ความจริงผมไม่เคยพาใครเข้าบ้านเลยนะครับ แม้แต่ปาณัฐหรือกับนรินทร์ก็ตาม ผมมักจะเจอพวกเขาเวลาอยู่นอกบ้านเสมอ”
ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจ การที่ปกรณ์ไม่เคยเห็นคนทั้งคู่ภายในบ้าน อาจเพราะเขามีความทรงจำอะไรบางอย่างที่เลวร้ายในบ้านหลังนี้ จึงทำให้ทุกครั้งที่ก้าวขาเข้ามาในบ้าน บุคคลในจินตนาการไม่ถูกสร้างขึ้นมาให้เห็น
“แล้วคุณโอเคแน่นะครับ ถ้าผมจะขึ้นไปบนห้องกับคุณ” ชานนท์ถามอย่างลองเชิง
ปกรณ์กรอกสายตาไปทั่วบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อคิดได้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียวมาหลายปีแล้ว เขาจึงพยักหน้าตกลง
การเปิดประตูห้องนอนเพื่อต้อนรับใครสักคน นั่นเท่ากับว่าเจ้าของห้องได้เปิดใจให้กับใครคนนั้นเสียแล้ว
ปกรณ์เองก็เช่นกัน ตั้งแต่เกิดมา นี่คือครั้งแรกที่เขาเปิดห้องนอนต้อนรับแขกผู้มาเยือน ชานนท์เป็นเพื่อนคนแรกที่มีโอกาสได้ย่างกายเข้ามาในโลกส่วนตัวของเขา
โลกของเขานั้นคือห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ไม่มีเตียงและเสื่อนอน มีเพียงหมอนและผ้าห่มที่วางกองกับพื้น มีโต๊ะญี่ปุ่นทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กสำหรับทำงาน บนโต๊ะมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตั้งอยู่ ข้างๆ กันนั้นมีกล้องถ่ายรูปหนึ่งตัว ที่มุมห้องมีตู้เสื้อผ้าสีน้ำตาลความกว้างประมาณเมตรครึ่ง
“ขอโทษนะครับ ห้องผมไม่ค่อยมีอะไร แล้วผมก็ไม่ชอบนอนบนเตียงนอน คุณอาจจะอยู่ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นะครับ” ปกรณ์พูดอย่างประหม่า แต่ยังดีที่ภายในห้องมีเครื่องปรับอากาศ เขาเปิดเครื่องปรับอากาศแล้วปรับให้อุณหภูมิอยู่ในโหมดที่ต่ำที่สุดเพื่อให้อากาศภายในห้องเย็นเร็วที่สุด
“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผมเองก็ใช่ว่าจะอยู่ดีกินดีเสียที่ไหน” ชานนท์พูดออกมาตามความจริง เขาเองก็เป็นเด็กต่างจังหวัด เกิดมาในชนบทไม่ได้วิเศษวิโสเกินใคร แต่เพราะความลำบากของพ่อแม่ที่เขาได้เห็นมาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์จึงทำให้เขามีแรงผลักดันในการใช้ชีวิตจนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
แต่ถึงกระนั้นก็แปลกอยู่ คนปกติทั่วไปถึงแม้จะไม่มีเตียง ก็ต้องมีเสื่อหรือผ้านุ่มๆ สำหรับปูนอน แต่ปกรณ์กลับเลือกที่จะนอนกับพื้น นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดที่ว่าเขาต่ำต้อย เขาเจออะไรมากันแน่ถึงคิดว่าตัวเองไม่สมควรที่จะนอนเตียงนุ่มๆ
“คุณอยากกินอะไรไหมครับ” ปกรณ์ทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้วิธีการต้อนรับแขกท่าทางของเขาจึงดูเก้ๆ กังๆ
“ไม่ครับ ผมยังอิ่มก๋วยเตี๋ยวอยู่เลย แล้วคุณมีงานอะไรค้างหรือต้องรีบเคลียร์ไหมครับ”
“จริงด้วย ผมต้องรีบจัดหน้าให้นิตยสาร กำหนดส่งพรุ่งนี้เช้าด้วยสิครับ แย่ล่ะเหลืออีกตั้งหลายหน้า” น้ำเสียงของปกรณ์ร้อนรน
“งั้นคุณทำงานตามสบายเลยนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม เดี๋ยวผมนั่งอ่านหนังสือเล่นตรงนี้” ชานนท์เลือกที่จะนั่งพิงกับผนังบริเวรหน้าต่าง
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมเองก็มีอะไรอยากพูดอยากปรึกษากับคุณหลายเรื่องเหมือนกัน แต่ผมต้องเคลียร์งานก่อน” ปกรณ์ทิ้งตัวนั่งลงบ้าง เขาเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คทันที
“ไว้ทำงานเสร็จเมื่อไหร่ ค่อยคุยกันก็ได้ครับ”
“ครับ”
หลังจากนั้น ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความตั้งใจ ปกรณ์เป็นทำงานอิสระ เป็นช่างภาพและกราฟิกดีไซน์รับงานอิสระ นอกจากฝีมือทางด้านถ่านภาพแล้ว เขายังถนัดในเรื่องการใช้โปรแกรมแต่งภาพ ปรับสี จัดหน้ากระดาษ หลังจากที่มีชื่อเสียงจากภาพถ่าย งานของเขาก็มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
ชานนท์นั่งจ้องมองอีกฝ่ายเงียบๆ ขณะที่ปกรณ์ทำงาน เขามีความตั้งใจในหน้าที่ของเขา แววตาของเขาดูมุ่งมั่นตั้งใจจดจ่ออยู่แต่กับเฉพาะงานตรงหน้าเท่านั้น ราวกับว่าโลกของเขาในยามนี้มีแค่เรื่องงานเท่านั้น
ชานนท์ลองลุกขึ้นเดิน ทำเสียงตะกุกตะกัก อีกฝ่ายก็ไม่สนใจเลยสักนิด หากมีโจรขึ้นบ้านก็คงจะไม่รู้ตัวเป็นแน่
มีความตั้งใจในการทำงานมันก็อยู่หรอก แต่ตั้งใจเกินไปจนไม่สนใจสิ่งรอบข้างมันก็อันตรายเหมือนกัน
ชานนท์ลองลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปหาก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ทางด้านหลัง แต่ปกรณ์ก็ยังไม่เห็นมา เขายังอยู่ในโลกที่ในหัวสมองคิดแต่เรื่องงาน
เหตุที่ปกรณ์ตั้งใจทำงาน อาจเพราะต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องการได้รับการยอมรับจากสังคมและครอบครัว ซึ่งชานนท์ไม่แน่ใจเลยว่า ความมุ่งมั่นที่เกิดขึ้นนี้มันจะมีประโยชน์อะไรไหม หากครอบครัวของเขาไม่สนใจ และไม่เห็นคุณค่าของเขาเหมือนเดิม
“คุณปกรณ์ครับ” ชานนท์ลองกระซิบเรียกเบาๆ จากทางด้านหลัง แต่มาได้รับการตอบกลับจากอีกฝ่าย เขาจึงทำได้เพียงอมยิ้มอย่างเอ็นดูและนึกชื่นชมในความมุ่งมั่น
ในเมื่อเสียงเรียกไม่สามารถดึงสติที่มุ่งมั่นกับการทำงานของอีกฝ่ายให้กลับมาได้ ชานนท์จึงต้องลองวิธีสุดท้ายซึ่งนั่นก็คือการสัมผัส
ชานนท์โน้มตัวนั่งลงแล้วหันหลังให้กลับอีกฝ่ายก่อนจะเขยิบไปใกล้ๆ แล้วให้แผ่นหลังของตนแนบชิดกับแผ่นหลังของปกรณ์
ไม่เพียงเท่านั้น ชานนท์ยังถือวิสาสะทิ้งศีรษะลงไปอิงกับแผ่นหลังนั่นก่อนจะเหยียดขาตรงให้อยู่ในท่าที่ตนสบายที่สุด
“เย็นชาจริงๆ สินะครับคุณปกรณ์ ตัวติดกันขนาดนี้แล้วยังไม่รู้สึกตัวอีก” ชานนท์บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะลอบยิ้มออกมาเบาๆ
เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในขณะนี้เลยสักนิด ว่าเพราะอะไรกันแน่ถึงทำให้เขายิ้มออกมาได้ แต่การที่เขาได้นั่งอยู่ในท่าที่สบายโดยมีแผ่นหลังของใครอีกคนรองรับอยู่นั้น ได้ส่งผลให้ในที่สุดของก็เผลอหลับไป
จบตอน
.............................................
>> พูดคุยกันครับ ช่วง ถาม-ตอบ <<
คุณ sirin_chadada :: มีจินตนาการแน่นอนครับ แต่จะเป็นใครต้องติดตามนะครับ อาจจะ1 คน 2คน หรือมากกว่านั้นดี(ล้อเล่น) รอต่อไปเรื่อยๆ นะครับ
♥lvl♀‘O’Deal2♥ :: อัพแล้วนะครับ >. < ดีใจที่แวะมาอ่านนะครับ
-
อยากรู้เลยว่าต่อไปจะเป็นยังไงต่อ :katai4:
-
ตอนที่ 4
ปกรณ์ยังคงทำงานอย่างเคร่งเครียด เขาต้องออกแบบหน้ากระดาษ เลือกวางตำแหน่งของรูปภาพและตัวอักษรให้เหมาะสมภายในหน้าในนิตยสารเพื่อที่จะส่งให้บรรณาธิการเช็ครายละเอียดและความถูกต้องออกที
ขณะทำงาน เขาจะไม่รู้สึกถึงสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ในหัวของเขาจะมีแต่เรื่องงานและคิดเพียงว่าจะต้องทำงานให้สำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้
เขาทำงานต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหน้าสุดท้ายในนิตยสาร มือขวาลากเม้าส์ไปคลิกคำสั่งเซฟไฟล์งาน ก่อนจะเซฟงานแล้วส่งเมล์ให้กับบรรณาธิการอีกที เพียงเท่านี้งานของเขาก็เสร็จสิ้น
ปกรณ์ได้เดินออกมาจากโลกส่วนตัวอีกครั้ง เขาหน้าออกนอกจอคอมแล้วเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าคืนนี้มีแขกมาหา เขารีบหันมองไปทางหน้าต่างในจุดที่ชานนท์เคยนั่งแต่ก็ไม่พบ
“คุณชานนท์” เขาส่งเสียงออกมาเบาๆ เมื่อไม่พบร่างของคนคนนั้น แต่พอพยายามจะลุกขึ้น ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรมาอิงหลังนั้นได้ทำให้ปกรณ์นั่งอยู่ที่เดิม
“มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ปกรณ์พึมพำกับตัวเอง แม้จะตกใจเล็กน้อยที่ไม่รู้สึกตัวแต่กลับรู้สึกดีที่ชานนท์กำลังนั่งอยู่ตรงนี้
การนั่งพังหลังกันในเวลาที่เหนื่อยล้าอย่างนั้นหรือ... แค่ปกรณ์ลองคิด มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า ดีใจที่ชานนท์เห็นคุณค่าในตัวของเขา
ท้ายที่สุดเขาจึงเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ชานนท์หลับต่อไป
เวลาเดินผ่านไป ไม่รู้ว่านานเท่าไร ชานนท์ก็สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา เขาทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท ส่วนภายในห้องยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟเหมือนเดิม
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
เป็นเสียงของปกรณ์ที่ดังขึ้น ชานนท์รีบผละร่างออกจากการแอบอิงทันที
“คุณปกรณ์ คุณทำงานเสร็จแล้วเหรอครับ” ชานนท์รู้สึกละอายใจเล็กน้อย เขาดันเผลอหลับไปได้เสียนี่ แถมยังหลับโดยที่นั่งพิงหลังของอีกฝ่ายตลอดเวลา
“เสร็จสักพักแล้วครับ” ปกรณ์ตอบยิ้มๆ
“โอย... ผมนี่แย่จริง เผลอหลับไปได้” ปกรณ์ยกมือขึ้นมาเขกศีรษะตัวเองเบาๆ หลายทีทำท่าราวกับเด็กที่กำลังลงโทษตัวเองอย่างสำนึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่มันก็ดึกแล้วนะครับ คุณชานนท์น่าจะนอนที่นี่ต่อเลยนะครับ”
ชานนท์พลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าตอนนี้เวลาก็ประมาณตี 2 กว่าแล้ว จะเสียเวลากลับที่พักก็คงเสียเวลา อีกอย่างเจ้าของบ้านก็เป็นคนเอ่ยปากชวน เพราะฉะนั้นเขาจึง...
“ขอบคุณครับ รบกวนด้วยนะครับ”
“ถ้างั้นไปอาบน้ำก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวผมไปเอาผ้าเช็ดตัวให้นะครับ อ้อ... ผมมีแปรงฟันที่แถมมากับยาสีฟันเหลืออยู่ด้วย” ปกรณ์เปิดตู้เสื้อผ้าออกแล้วค้นหาของที่ต้องการก่อนจะนำมันมายื่นให้กับชานนท์ “ส่วนเสื้อผ้าใส่ของผมก่อนก็ได้นะครับ หุ่นพอๆ กันน่าจะใส่ได้”
“ขอบคุณครับนะครับ” ชานนท์รับผ้าเช็ดตัวและแปรงสีฟ้ามาก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ
ภายในห้องนอนของปกรณ์ มีห้องน้ำส่วนตัว มันค่อนข้างเล็กและแคบแต่ก็สามารถทำภารกิจได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
ชานนท์ใช้เวลาอยู่ภายในห้องน้ำไม่นานมากนัก หลังจากเสร็จสรรพเขาก็เดินออกมา ทว่าเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเสื่อนอนถูกปูเอาไว้อย่างเรียบร้อย หากแต่มันเป็นเสื่อผืนเล็กที่สามารถนอนได้เพียงคนเดียวและปกรณ์เลือกที่จะไม่นั่งหรือนอนอยู่บนนั้น
“คุณชานนท์นอนนี่นะครับ”
“แล้วคุณล่ะครับ”
“ผมชินกับการนอนพื้นน่ะครับ”
“แต่มันเย็นนะครับ” ชานนท์นึกสงสัย เพราะขนาดแค่เท้าเปล่าๆ ของเขาสัมพัสกับพื้นกระเบื้องเขายังรู้สึกเย็นยะเยือกเลย
“มันชินแล้วน่ะครับ” ปกรณ์เลือกที่จะตอบแบบเดิมและไม่บอกอะไรไปมากกว่านั้นก่อนที่จะเฉไฉไปเรื่องอื่น “งั้นผมอาบน้ำบ้างดีกว่า”
“อ่อ... ครับ”
หลังจากที่ปกรณ์เข้าไปภายในห้องน้ำ ชานนท์ก็เลือกชุดภายในตู้เสื้อผ้า สังเกตว่าชุดส่วนใหญ่จะเป็นสีโทรอึมครึมทั้งนั้น ไม่ดำ ก็กรม ก็น้ำตาล ชีวิตของปกรณ์คงมืดมนน่าดู
ชานนท์เลือกหยิบเสื้อยืดสีเทาบางๆ มาใส่ เขาสวมมันได้อย่างพอดิบพอดี ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าร่มสามส่วนสีดำ
หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ชานนท์ก็เอาหมอนมาหนุนหลังแล้วนั่งพิงกับผนังเพื่อรอเจ้าของห้อง
ไม่นานมากนัก ปกรณ์ก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา โดยที่เขานั้นแต่งตัวเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว
“คุณชานนท์ครับ”
“ครับ”
“คือผม... นอกจากน้องชาย ผมก็ไม่เคยนอนร่วมห้องกับใคร ยกเว้นตอนเข้าค่ายนะครับ ผมอาจจะรู้สึกแปลกๆ หน่อยนะครับที่ต้องนอนร่วมห้องกับคุณ ถ้าผมทำอะไรแปลกๆ คุณก็อย่าถือสานะครับ”
“ทำอะไรแปลกๆ อย่างเช่นอะไรครับ”
“ไม่รู้สิครับ ผมอาจจะกลิ้งไปนอนหนุนเท้าคุณ หรืออาจจะไปเอาหัวไปซุกอยู่ที่มือของคุณก็ได้มั้งครับ คือผมเคยเป็นแบบนั้นตอนอยู่กับน้องชาย” ปกรณ์กล้าๆ กลัวๆ ที่จะพูดอะไรไปมากกว่านั้น “เอาเป็นว่าอย่ารังเกียจผมก็พอครับ”
“คุณนี่คิดมากจริงๆ เลยนะ” ชานนท์ทนไม่ไหว เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปหาปกรณ์ขณะที่อีกฝ่ายกำลังสาละวนกับการเก็บของในตู้เสื้อผ้า
ชานนท์โผเข้ากอดปกรณ์จากทางด้านหลัง มือทั้งสองข้างของชานนท์กดแน่นเพราะต้องการให้อีกฝ่ายรู้สึกอบอุ่น ชั่วขณะเขาก็เอาคางเกยที่ศีรษะของอีกฝ่าย ราวกับอีกฝ่ายเป็นตุ๊กตาที่อยู่ในอ้อมกอด
“ไปนอนกันเถอะครับ”
ปกรณ์ตัวแข็งทื่อ... แข็งไม่ต่างกับตอนที่โดนปาณัฐโอบกอด แต่ผิดกันตรงที่คนที่กำลังกอดเขาอยู่ตอนนี้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยได้มากกว่า
ปกรณ์รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงเรื่อยๆ เมื่ออยู่ในอ้อมกอด ส่วนชานนท์นั้นกลับตัวใหญ่น่าเกรงขามจนเขาไม่กล้าที่จะดิ้นสู้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ
“ผมจะปล่อยให้เจ้าของบ้านนอนพื้น ส่วนตัวเองนอนบนเสื่อคนเดียวได้ยังไงล่ะครับ ในเมื่อเสื่อมันเล็กนิดเดียว ผมก็จะนอนกอดคุณแบบนี้ทั้งคืนแหละ”
ชานนท์กระซิบที่ข้างใบหูหลังจากที่จัดการทำให้อีกฝ่ายล้มนอนลงไปบนเสื่อได้สำเร็จ เขายังคงโอบกอดอีกฝ่ายอย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนีหายไปไหน
“ผมจะปกป้องคุณเอง”
---------------------
ชานนท์ผงะเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ปกรณ์ก็เดินมาคว้าแขนให้ไปรัดกับร่างของเขา
“ผมแค่ต้องการใครสักคนที่เข้าใจ” นั่นคือสิ่งที่ปกรณ์กำลังเพ้อออกมาโดยที่ชานนท์ไม่รับรู้ได้เลยว่า ภาพและสมองของปกรณ์แท้จริงแล้วกำลังเห็นและได้ยินสิ่งใดกันแน่
“นอนกอดผมแบบนี้ทั้งคืนได้ไหม” ปกรณ์โน้มร่างของอีกฝ่ายให้ทิ้งตัวลงบนที่นอน เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดของชานนท์ “ผมกลัว”
“คุณกลัวอะไร กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ครับ” ชานนท์ถามกลับ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าปกรณ์กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด เขากำลังสร้างโลกที่เป็นเรื่องราวของเขาขึ้นมาเพื่อที่จะปกป้องความอ่อนแอของตัวเอง
“แม่เลี้ยง น้องชาย” ปกรณ์เปรยออกมาเพียงแค่นั้น เขาตัวสั่นสะท้านภายในอ้อมกอดราวกับคนที่กำลังหวาดกลัวสุดขีด “อย่าถามอะไรอีกเลย ผมไม่อยากนึกถึงมัน”
“ครับ” ชานนท์ตอบรับด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ความจริงเขาไม่ต้องทำขนาดนี้เพื่อที่จะมารับผิดชอบชีวิตใครสักคนหรอกนะ ระหว่างเขากับคนป่วย ให้เกี่ยวข้องกันแค่ภายในโรงพยาบาลแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่เพราะเขามีความรู้สึกพิเศษบางอย่างกับปกรณ์ ไม่ใช่เพียงแค่ความสงสารเห็นใจจนอยากจะช่วยเหลือเท่านั้น อาจเพราะเขาเองก็ไม่ไม่ใช่คนที่มีเพื่อนเยอะเลยอาจจะเข้าใจคนแบบปกรณ์
หรือบางที... ความน่าเอ็นดู ความน่ารัก ความเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นตอนซับเหงื่อ มันอาจทำให้เขารู้สึกพิเศษขึ้นมาก็เป็นได้ รู้สึกเหมือนว่าเขาได้มีน้องชายที่น่ารักเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ชานนท์ตอนนี้อายุ 28 ปีแล้ว เขาได้มารู้จักกับปกรณ์ที่มีอายุน้อยกว่า 3 ปีในฐานะนักจิตวิทยาและผู้ป่วย แต่ในตอนนี้ชานนท์กลับลืมและกำลังก้าวข้ามสถานะความสัมพันธ์ไปเสียสนิท
“แล้ววันนี้ คุณได้เจอกับน้องปาณัฐและคุณนรินทร์ไหมครับ” ชานนท์ลองเอ่ยปากถาม ขณะที่อีกฝ่ายยังคงกอดแขนของเขาแน่น
“เจอครับ” ปกรณ์ตอบออกมา
“เจอใคร ที่ไหนครับ แล้วคุยอะไรกันบ้าง” ชานนท์รีบใช้โอกาสนี้สอบถามข้อมูลต่อ
“น้องปาณัฐเจอที่สวนครับ ส่วนนรินทร์เจออยู่ระหว่างซอยทางเข้าบ้านครับ ปาณัฐเขาดีใจที่ผมไปพบจิตแพทย์ แต่นรินทร์กลับเสียใจครับ”
ชานนท์ทึ่งในคำตอบ ถ้าเป็นอย่างที่ปกรณ์พูด นั่นหมายความว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ความคิดในหัวของปกรณ์จะแบ่งเป็นสองด้านเสมอ ด้านบวกจะคอยสนับสนุนสิ่งดีๆ ส่วนด้านลบจะคอยขัดขวางและตอกย้ำความหวาดกลัว
นั่นหมายความว่าปาณัฐคือบุคคลในจินตนาการด้านดี ด้านที่เป็นแรงบันดาลใจ แรงผลักดันให้ปกรณ์ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่นรินทร์เป็นบุคคลในด้านลบ เขาจะคอยขัดขวาง คอยห้าม และอาจจะคอยตอกย้ำถึงเรื่องราวความเจ็บปวดที่ฝั่งใจ
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อไปครับ”
“ผมจะทำตามนรินทร์” ปกรณ์ตอบโดยไม่เสียเวลาคิดสักนิด
“เพราะอะไร” ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่น
“เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจผม เราโตมาในครอบครัวที่ไม่มีใครรักเหมือนกัน เขาไม่ใช่คนบ้า ผมเองก็ไม่ใช่คนบ้า”
“ใช่ครับคุณปกรณ์ คุณไม่ใช่คนบ้า แต่คุณเครียดและคิดมากในบางครั้ง คุณจำเป็นต้องได้รับการรักษานะครับ”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ” เขาปฏิเสธออกมา มือทั้งสองข้างออกแรงกระชับแขนของอีกฝ่ายแน่น
“ทำไมล่ะครับ” ชานนท์ไม่เข้าใจ
“เพราะผมมีคุณคอยดูแลอยู่แล้วไง” เป็นคำตอบที่เอาแต่ใจ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายผุดยิ้มขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถึงกระนั้นชานนท์ก็ไม่ควรใจอ่อน ถึงอย่างไรการได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีมันย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุด ทว่าเขาก็ไม่อาจบังคับใจผู้ป่วยได้เช่นกัน…
จบตอน
>> พูดคุยกันครับ ช่วง ถาม-ตอบ <<
oki :: อัพแล้วนะครับ ^^ ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะครับ ดีใจๆ ฮ่าๆ
Talk เล็กน้อย :: แต่งไปก็กลัวใจจะไม่มีคนอ่าน นิยายมันค่อนข้าเฉพาะแนว(มั้ง) เอิ๊กๆ แต่พอเห็นคอมเม้นท์มาตอนละ 1-2 เม้นท์ก็ยังคงมีกำลังใจแล้วครับ
-
โถ่ปกรณ์ รักษาเถอะนะ
-
ดันมาคว่ำรถขนอ้อยตอนตบ ว๊ากกก
-
ตอนที่ 5
เวลาผ่านไปจนกระทั่งครบหนึ่งสัปดาห์ ปกรณ์ไม่ติดต่อมาหาชานนท์อีกเลย ชานนท์ก็เช่นกัน แม้จะอยากพูดคุย อยากรู้อาการและห่วงใยมากขนาดไหน แต่เขาก็ต้องข่มความต้องการของตัวเองเอาไว้เพื่อต้องการที่จะรอดูว่าวันนี้ ปกรณ์จะมาตามที่ได้นัดหมายหรือไม่
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววของคนที่เฝ้ารอ จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน
“ทำใจเถอะชานนท์ แม้เราจะอยากช่วยเหลือคนไข้ แต่ถ้าเขาปฏิเสธเราก็ไม่มีสิทธิ์” เป็นเสียงของคุณหมอจิตแพทย์ที่ดังขึ้น เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 35 ปี ที่เรียนจบทางด้านจิตแพทย์มาโดยตรง
“ครับหมอ” ชานนท์พยักหน้ารับ ใจก็นึกกังวลอยากพบเจอ อยากรู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง มีอาการอะไรผิดปกติอีกไหม และเพราะอะไร เขาถึงไม่ติดต่อมาเลยตั้งแต่แยกจากกันในวันนั้น
“ถ้าเขาไม่ไหว... เขาก็จะกลับมาเองแหละ เชื่อผมนะ ผมเคยเจอคนไข้มาแล้วหลายคน เอาเป็นว่าคุณทำใจให้สบายเถอะครับ”
“ครับ” ชานนท์ได้แต่หัวเราะแห้งๆ เก็บความขบขันไว้ในจิตใจ เป็นนักจิตวิทยาแท้ๆ แต่กลับต้องให้คุณจิตแพทย์มาพูดปลอบใจเช่นเดียวกับคนป่วยเสียเอง
ระหว่างที่กำลังเก็บของเพื่อเตรียมจะกลับที่พักนั้น เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นพร้อมกับเบอร์ที่ปรากฏส่งผลให้ชานนท์รีบกดรับสายทันที
“สวัสดีครับคุณปกรณ์” เขาควบคุมโทนเสียงให้เป็นปกติ
“สวัสดีครับคุณชานนท์ เลิกงานรึยังครับ” อีกฝ่ายถามกลับ
“เลิกแล้วครับกำลังจะกลับพอดีครับ”
“คุณชานนท์ว่างไหมครับ มาหาผมตรงสวนที่เดิมได้ไหมครับ”
“สวน... ที่เดิมใกล้ๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่เราเจอกันใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ”
“ได้ครับ ผมจะรีบไปนะครับ”
“ผมรออยู่หน้าสวนนะครับ”
“ครับ”
หลังจากที่วางสาย ชานนท์ก็รีบเก็บของแล้วออกจากโรงพยาบาลทันที เข้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังสวนสาธารณะด้วยความรวดเร็ว
ปกรณ์ยืนพิงอยู่กำแพงข้างๆ ประตูทางเข้า เมื่อเห็นคนที่โทรหากำลังวิ่งมาใบหน้าที่กำลังวิตกกังวลก็ผุดรอยยิ้มขึ้น ส่วนชานนท์รีบวิ่งเข้าไปหาทันที
“ไปหาที่นั่งกันก่อนนะครับ” ปกรณ์รู้สึกผิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายท่าทางเหนื่อยหอบ
“ครับ”
ทั้งสองเดินเข้าไปภายในสวนสาธารณะแล้วไปนั่งพักอยู่ในซุ้มไม้ด้านใน
“ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้ไปพบ เพราะผมรับปากกับนรินทร์ไว้” เป็นปกรณ์ที่เริ่มเปิดปากพูดก่อน
“แต่คุณก็ยังโทรมา” ชานนท์เอ่ยขึ้นบ้าง “นั่นหมายความว่า คุณเองก็ไม่แน่ใจใช่ไหมครับ”
“ผมแค่ไม่อยากผิดคำพูด ทุกคืนผมเอาแต่นอนคิดว่าผมควรมาที่โรงพยาบาลไหม ใจหนึ่งก็อยากมา เพราะอาการเครียดและความคิดบ้าๆ บอๆ ที่คอยหลอกหลอน แต่อีกใจหนึ่ง ผมก็ไม่อยากเป็นคนผิดคำพูด”
แววตาของปกรณ์ฉายชัดถึงความสับสน เขาไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองจึงมีอาการเช่นนี้
“แล้วถ้าผมขอให้คุณมา คุณจะมาไหม... คุณมารักษาแต่คุณก็ไม่ต้องบอกนรินทร์ก็ได้นี่ครับ” ชานนท์ลองคิดหาทางออก
“ไม่ได้ครับ ผมโกหกนรินทร์ไม่ได้ นรินทร์เขาจับผิดเก่ง เขามีวิธีที่ทำให้ผมพูดความจริงออกมา”
“แต่ถึงอย่างนั้น คุณก็ยังอยากเข้ารับการรักษาใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ ผมควรทำยังไงดี เมื่อวันก่อนผมเครียดมา พอมีโอกาสได้เจอกับปาณัฐ น้องเขาก็บอกให้ผมเข้ารับการรักษา เขาเป็นกำลังใจให้ผม แต่พอนึกถึงแววตาที่ผิดหวังของนรินทร์ผมก็ทำไม่ได้”
ชานนท์พยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากสิ่งที่ได้ฟัง นรินทร์เปรียบเสมือนตัวเขาในด้านของความหวาดกลัวและผิดหวัง ทุกครั้งที่รู้สึกแย่ปกรณ์มักจะได้พบกับนรินทร์ แต่เวลาที่รู้สึกยินดีหรือสมองเอนเอียงให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ปาณัฐซึ่งเป็นความคิดในด้านสนับสนุนจะปรากฏตัว
“คุณช่วยเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียดได้ไหมครับ ตอนที่เจอกับน้องปาณัฐ คุณเจอกันที่ไหนและพูดคุยอะไรกันบ้าง” แม้จะดูไม่เหมาะสมในคำถาม แต่มันก็ถือเป็นข้อมูลชั้นยอดหากผู้ป่วยยอมเล่าให้ฟัง
“ได้ครับ”
วันนั้น... ปกรณ์ไม่ได้ออกไปไหน เขาเอาแต่คิดทบทวนว่าควรจะพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลดีหรือไม่ และในระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
พอเห็นหน้าจอปรากฏเบอร์โทรศัพท์ของปาณัฐ เขาก็รีบรับสายทันที
ปาณัฐนัดให้ปกรณ์ไปพบที่สวนสาธารณะแถวชานเมือง เนื่องจากที่นั่นไม่มีผู้คนพลุกพล่าน เหมาะแก่การนั่งพูดคุยยาวๆ
“อีกสองวันพี่ก็ต้องไปหาหมอแล้วใช่ไหม” ปาณัฐไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาเข้าประเด็นทันที
“อืม แต่พี่คงไม่ไป” ปกรณ์ก้มหน้าลง ไม่ยอมสบตากับผู้พูดเพราะกลัวอีกฝ่ายจะผิดหวัง
“ทำไมล่ะครับพี่”
“พี่คิดว่าพี่ไม่เป็นอะไรแล้ว” ปกรณ์ไม่กล้าที่จะเล่าเรื่องนรินทร์ให้กับปาณัฐฟัง เพราะหากพูดไปเด็กคนนี้อาจจะหมดความนับถือในตัวของเขา สายตาที่เคยชื่นชมอาจจะเปลี่ยนเป็นดูแคลนเพราะเขาดันไปเชื่อเพื่อนสนิทที่มีปัญหาครอบครัวเหมือนกัน
“แต่ผมว่าพี่ดูไม่ค่อยโอเคเลยนะครับ” ปาณัฐขยับตัวไปนั่งอยู่ด้านหน้าของปกรณ์ เขาทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้วแหงนหน้ามองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนม้านั่ง “สายตาของพี่เต็มไปด้วยความกังวล พี่ไม่มีความสุขเหมือนกับทุกๆ ครั้งที่เจอผมเลยนะครับ”
“ไม่ใช่นะ” ปกรณ์รีบปฏิเสธแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ปาณัฐยังคงมองเขาอย่างชื่นชม ริมฝีปากของเขามักฉีกยิ้มเล็กๆ เสมอ “เวลาที่พี่ได้อยู่กับเรา พี่รู้จักโล่งใจทุกครั้ง หัวสมองของพี่มันเบาหวิวไม่มีเรื่องอะไรให้คิด เพียงแต่ตอนนี้พี่แค่กังวล ใช่... พี่แค่กำลังกังวล”
“ถ้าพี่กังวล พี่ก็ไปหาหมอนะครับ” พูดจบก็ยิ้มแป้นแล้น ปาณัฐคงคิดว่ารอยยิ้มจะเอาชนะจิตใจของอีกฝ่ายได้
“คือ...” ปกรณ์อึกอัก เห็นดังนั้นปาณัฐจึงเอื้อมมือไปสัมผัสกับมือของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“นะครับพี่... ถ้าพี่เข้ารับการรักษา พี่จะได้ไม่ต้องเครียด จะได้หายคิดมาก อาการของพี่จะดีขึ้นเรื่อยๆ และผมก็ไม่สบายใจเลยที่เห็นพี่เป็นแบบนี้ ผมจะเป็นกำลังใจให้พี่นะครับ”
“เอาไว้พี่จะลองคิดดู”
“ดีมากครับ” ปาณัฐส่งยิ้มละมุนละไมให้อีกครั้งแล้วตบมือของปกรณ์เบาๆ ก่อนที่จะเขยิบขึ้นไปนั่งที่มานั่งด้วย
“ว่าแต่เราเหอะ ตอนนี้ทำไรอยู่ ใกล้เรียนจบแล้วนี่นา”
“ใช่ครับใกล้แล้ว ถ้าผมเรียนจบพี่ต้องมางานรับปริญญาผมนะครับ”
“อย่าลืมแจ้งพี่ละกัน”
“แหม... ผมมีพี่ชายคนเดียว ผมจะลืมได้ไงล่ะครับ” ปาณัฐทำเสียงออดอ้อนราวกับเด็กที่กำลังอ้อนผู้ใหญ่ เขาทิ้งศีรษะลงไปซบที่หัวไหล่ของปกรณ์ก่อนจะปล่อยร่างกายให้อยู่ในท่วงท่าที่สบายที่สุด “ผมชอบเวลาที่ได้อยู่กับพี่ตามลำพังแบบนี้จัง”
“พี่เองก็ชอบ... ถ้าน้องชายของพี่น่ารักแบบปาณัฐก็คงจะดี”
ปกรณ์จับมือของปาณัฐเอาไว้แน่น เขาพยายามส่งผ่านความรู้สึกทั้งหมดที่มีผ่านฝ่ามือข้างนั้น
ตลอดเวลาที่ผ่านมา... เขาไม่เคยมีช่วงเวลาที่ดีกับน้องชายเลยสักครั้ง แม้จะเกิดมาจากต่างแม่แต่ปกรณ์ก็ไม่เคยนึกเกลียด กลับกัน... แม่เลี้ยงและน้องชายของเขาต่างหากที่เกลียดชังและหาวิธีกลั่นแกล้งเขาสารพัด จนเขากลายเป็นคนที่มีปัญหากับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
“ผมเองก็เหมือนกัน... ถ้ามีพี่ชายแบบนี้ก็คงจะดี”
สิ้นเสียง... ปาณัฐก็โน้มตัวเข้าไปกอดกับร่างของปกรณ์ เขาลดศีรษะลงไปให้แนบบริเวณอกของอีกฝ่าย จนได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวเร็วมากกว่าปกติ
ปกรณ์นั่งตัวแข็งทื่อในทีแรกที่โดนสัมผัส แต่พอตั้งสติได้เขาก็ค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบศีรษะของปาณัฐ เด็กหนุ่มคนนี้น่ารักขี้ประจบประแจง ไม่แปลกใช่ไหมถ้าเขาจะรู้สึก ‘รัก’ และเอ็นดู
---------
สิ่งที่ปกรณ์เล่าให้ฟังนั้น ประเด็นสำคัญอาจไม่ใช่เรื่องการตัดสินใจว่าจะมาหรือไม่มาโรงพยาบาล แต่ความน่าหนักใจมันอยู่ตรงที่ เขากำลังมีความผูกพันกับบุคคลที่ไม่มีตัวตนมากยิ่งขึ้น จากที่แค่รู้สึกภูมิใจหรือมีความสุขที่ได้พบกัน นานวันเข้าความผูกพันที่มองไม่เห็นเหล่านั้นอาจจะแปรเปลี่ยนเป็นความรัก
และหากเขารัก... กับสิ่งที่เขาจินตนาการขึ้นมา มันก็อาจจะทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น เขาจะต้องทรมานและจบปวดมากแค่ไหน หากรู้ว่าคนที่เขาผูกพันด้วยนั้นไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ
จบตอน
---------------------------------
>> พูดคุยกันครับ <<
♠DekDoy♠ :: เอาใจช่วยปกรณ์เหมือนกันครับ อย่าไปฟังไอ้นรินทร์มันมากนัก!!! ฟังน้องปาณัฐดีกว่า
♥lvl♀‘O’Deal2♥ :: 555+++ คุณชานนท์ต้องสู้ต่อไปครับ โน้มน้าวต่อไป
---------------------------------
Talk :: ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านนะครับ นิยายเรื่องนี้แนวค่อนข้างเครียด ทำใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนอ่านน้อยแน่ๆ
แต่ถ้ายังมีคนอ่าน ก็ยังมีกำลังใจแน่นอนครับ อยากแต่งนิยายโทนๆ นี้มานานแล้วครับ งุงิ สู้ๆ ให้กำลังตัวเองต่อไป
-
น่าเป็นห่วง
คุณนักจิตวิทยาก็พยายามเข้านะ
-
ตอนที่ 6
“คุณชานนท์ครับ” เสียงของปกรณ์ทำให้ผู้ที่ถูกเรียกสะดุ้งโหยง “คุณ... ร้อนเหรอครับ”
ปกรณ์หยิบทิชชูในกระเป๋าออกมาซับเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาจนชุ่มใบหน้าให้กับชานนท์ ครั้งก่อนชานนท์เคยบอกว่ารู้สึกดีที่มีคนทำแบบนี้ให้ ปกรณ์จึงยินดีและอยากที่จะดูแลคุณนักจิตวิทยาคนนี้อีกครั้ง
“ขอบคุณนะครับ” ชานนท์กล่าวหลังจากที่ปกรณ์ผละมือออกไป “ผมแค่ลองคิดในมุมของคุณว่าถ้าหากผมเป็นคุณ ผมจะทำยังไงดี ผลก็คือ... อย่างที่เห็นนั่นแหละครับ ผมเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เหมือนกัน”
“ใช่ไหมล่ะครับ” ปกรณ์เน้นเสียงอย่างถูกใจ ไม่ใช่แค่เขาที่ตัดสินใจไม่ได้ แม้แต่นักจิตวิทยาเองก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้เหมือนกัน
“แต่ถ้าพูดกันตามตรง คุณก็ควรเข้ามารับการรักษานะครับ แม้ว่าเพื่อนอาจจะผิดหวังในตัวคุณ แต่เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน สุดท้ายเขาก็จะต้องเข้าใจคุณแน่นอนครับ”
ปกรณ์พยักหน้าเบาๆ ราวกับเข้าใจ เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะ แววตาของเขาฉายชัดว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
ถึงอย่างไรคุณชานนท์ก็เป็นนักจิตวิทยา เขาควรที่จะเชื่อฟังถ้าอยากใช้ชีวิตเป็นปกติสุขเฉกเช่นคนอื่นๆ แต่ใจลึกๆ ของเขาก็กลัวว่านรินทร์จะผิดหวัง เพราะถึงอย่างไร นรินทร์ก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่เขารักและเข้าใจมากที่สุด
“ถ้าผมเข้ารับการรักษา คุณชานนท์รับปากกับผมได้ไหมครับ ว่าคุณจะทำให้ผมหายดี และคุณจะต้องไม่โกหกผมเพื่อให้ผมไว้ใจคุณ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม”
“ได้ครับ” ชานนท์รับปากในทันทีแม้รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องเจอกับอะไร ปกรณ์อาจจะต้องผิดหวังในหลายๆ เรื่อง เขาอาจจะโดนเกลียดขณะที่ปกรณ์เข้ารับการรักษา แต่นั่นก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะช่วยเขา
“ส่วนนรินทร์ เขาจะเข้าใจใช่ไหมครับ ในสิ่งที่ผมตัดสินใจ” แววตาของคนถามแสดงออกถึงความกลัดกลุ่มอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่านรินทร์มีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกของเขา
“เขาจะต้องเข้าใจครับ” มันเป็นตอบรับที่ขัดกับความรู้สึกเหลือเกิน ชานนท์อยากจะพูดความจริงให้ปกรณ์รับทราบเสียตั้งแต่ตอนนี้ ว่านรินทร์นั้นไม่มีตัวตน แต่ก็ทำไม่ได้ เรื่องแบบนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา ถ้าทำแบบหุนหันพลันแล่น ผู้ป่วยอาจจะมีอาการต่อต้านทำให้การรักษายากขึ้นไปอีก
“ผมจะเชื่อคุณนะครับ”
ชานนท์พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาภาวนาให้อีกฝ่ายเลิกย้ำเรื่องนี้เสียทีเพราะไม่อยากรู้สึกผิดแย่ไปมากกว่านี้... หากเป็นผู้ป่วยคนอื่นเขาคงเข้าใจและทำตามหน้าที่ได้อย่างสบายไร้ความกังวล แต่กับปกรณ์ไม่ใช่ ชานนท์เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป
ความรู้สึกเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ... จริงอยู่ว่าการเจอกันครั้งแรก เขามองปกรณ์เป็นเพียงผู้ป่วยคนหนึ่งเท่านั้น แต่หลักจากที่ได้รับฟังและวิเคราะห์อาการ ความสงสารก็เกิดขึ้น
ใช่แล้ว... เขาอาจจะแค่สงสาร เห็นใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องผ่านกับความทรมานทางด้านร่างกายหรือจิตใจมามากขนาดไหน จึงทำให้เขาสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาเพื่อปกป้องความอ่อนแอของตนเอง โลกที่มีเขากับปาณัฐและนรินทร์เพียงเท่านั้น
ชานนท์หันไปมองปกรณ์อย่างพินิจพิจารณาอีกครั้ง เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็งจนอีกฝ่ายต้องเบือนหน้าหนีเพราะรู้สึกถึงความกดดันประหลาดๆ
“คุณมองอะไร” ถ้าเป็นคนอื่นปกรณ์คงลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปแล้ว
“ผมว่า... ถ้าคุณตัดผมออกสักนิด คุณจะดูน่ารักขึ้นเยอะเลยนะครับ” ชานนท์พูดตามความคิด เขาเลือกที่จะเก็บความสงสัยบางอย่างไว้ในใจต่อไป
“ไม่เอาหรอกครับ ตัดผมให้สั้นลง น่าอายจะตายไป” ปกรณ์ปฏิเสธ
“คุณอายอะไรงั้นเหรอครับ”
“ไม่รู้สิครับ ผมชอบให้เส้นผมปิดๆ หน้ามากกว่า รู้สึกเหมือนตัวเองปลอดภัยจากสายตาผู้คนดี”
“คุณคิดไปเองนะครับ การที่ผมปิดหน้ามันไม่ได้ทำให้คุณปลอดภัยจากสายตาใครหรอก กลับกันคนอื่นอาจจะยิ่งมองคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ไปตัดผมกันดีกว่านะครับ เชื่อผมเถอะนะครับว่ามันจะทำให้คุณดูน่ารักขึ้นอีกหลายเท่าตัวเชียวล่ะ”
“แต่ผมไม่อยากเข้าร้านตัดผม” ปกรณ์ยังคงปฏิเสธต่อไป
“เดี๋ยวผมจัดการให้เองครับ” ชานนท์ยิ้มกริ่มก่อนจะลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วลากปกรณ์ให้เดินตาม แม้ปกรณ์จะอิดออดอยู่บ้าง แต่เขาก็พยายามสาวเท้าตามโดยไม่ขัดขืน
‘คุณเปิดใจให้ผมจริงๆ แล้วสินะครับ’ ชานนท์คิดก่อนที่จะลอบยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
ภายในห้องนอนห้องหนึ่ง ร่างหนึ่งกำลังจ้องมองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกอย่างพิจารณา เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อได้เห็นทรงผมใหม่ เส้นผมด้านหน้าและจอนที่เคยปกปิดใบหน้าถูกตัดออกจนเกลี้ยงเกลา ส่วนด้านหลังถูกซอยให้สั้นลงจนดูเป็นทรงที่สวมงาม
แม้จะรู้สึกแปลกๆ ในทีแรกแต่พอมองไปนานๆ กลับรู้สึกถูกใจขึ้นมาดื้อๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาฉายชัดถึงความหล่อเหลาเมื่อเส้นผมที่ยาวปกปิดก่อนหน้านี้ถูกตัดออก
“ชอบใช่ไหมล่ะครับ” เป็นเสียงของชานนท์ที่ดังขึ้น
“ก็ดีครับ” ปกรณ์ตอบอย่างวางฟอร์ม
“บอกแล้วไงว่าคุณน่ะ น่ารัก” ชานนท์อดที่จะชมไม่ได้
“ไม่หรอกครับ” ปกรณ์แย้งพลางหลบสายตาเล็กน้อยเพราะรู้สึกเขินกับคำชม “แต่คุณชอบชมผมจังเลยนะครับ การชมผมบ่อยๆ เนี่ย นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาใช่ไหมครับ คุณคงอยากทำให้ผมรู้สึกภูมิใจสินะครับ”
“จะว่าใช่ก็ไม่ผิดนะครับ” ชานนท์ตอบออกมาตามความจริงก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วมองร่างนั้นผ่านบานกระจกด้วยสายตาแพรวพราว “แต่สำหรับผม คุณน่ารักจริงๆ นะครับ”
ปกรณ์หลุดขำออกมา เขาจำไม่ได้เลยว่าตัวเองหัวเราะครั้งสุดท้ายเมื่อไรกัน แต่ในยามนี้ท่าทีที่แสดงออกของชานนท์ดูราวกับชายเจ้าชู้ที่กำลังโปรยเสน่ห์ใส่หญิงสาวที่น่ารักอย่างไรอย่างนั้น ...แต่เขาไม่ใช่หญิงสาวนะ...
“ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงตกหลุมรักคุณไปแล้วนะครับเนี่ย ชมอยู่ได้ ชมจนผมรู้สึกเขินจริงๆ แล้วนะครับ”
“ก็ดีสิครับ” ชานนท์หลุดปาก
“หือ... อะไรนะครับ”
“อ้อ... ผมบอกว่าก็คุณน่ารักจริงๆ ครับ ก็แค่พูดไปตามที่เห็น”
“ยัง... ยังไม่จบอีก” ปกรณ์เฉไฉแกล้งเดินไปเดินมาดูนั่นดูนี่ภายในห้องนอนเพื่อกลบอาการเขิน
ชานนท์พักอยู่ในคอนโดซึ่งอยู่ไม่ไกลขากโรงพยาบาลมากนัก เขาพักอยู่ชั้น 15 ซึ่งเป็นชั้นที่สูงที่สุดของคอนโดแห่งนี้ เมื่อมองลอดหน้าต่าง จะเห็นวิวทิวทัศน์เบื้องล่างได้ค่อนข้างชัดเจน พอพระอาทิตย์ตกดิน ถนนหนทางและบ้านช่วงจะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจนดูสวยงาม
“คุณอยู่ที่นี่มานานหรือยังครับ วิวสวยนะครับนะเนี่ย ผมชอบวิวข้างล่างนี่จัง” ปกรณ์เอ่ยขึ้นขณะที่สายตากำลังมองทะลุผ่านกระจกใส
“เพิ่งย้ายมายังไม่ถึงปีครับ เมื่อก่อนก็อยู่หอพักธรรมดาๆ แต่พอทำงานมาได้สักพัก เริ่มมีเงินเก็บ ก็เลยคิดว่าผ่อนคอนโดดีกว่า อยู่หอพักมันก็ต้องเสียค่าเช่าอยู่ดีน่ะครับ” ชานนท์อธิบาย
“คุณชานนท์นี่เก่งจังเลยนะครับ ทำงาน เก็บเงิน มีคอนโดเป็นของตัวเอง แถมยัง...” ปกรณ์เว้นจังหวะก่อนจะหันหน้าไปสบตากับอีกฝ่าย “ใจดีอีกด้วย”
ถ้าจำไม่ผิด... ชานนท์คิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์ยอมสบตากับเขาตรงๆ ขณะพูด ปกติเวลาพูดเขาจะไม่สบตา ใกล้เคียงที่สุดก็อาจจะมองต้นคอ หรือใบหูเพื่อให้คู่สนทนารู้ว่ากำลังคุยอยู่ด้วย
แม้จะเพียงแว้บเดียวเท่านั้น แต่มันก็ทำให้ชานนท์รู้สึกพอใจกับท่าทีที่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดใจยอมรับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้าผมไม่ใจดี คนไข้ก็ขวัญหนีดีฝ่อหมดสิครับ”
“พูดงี้หมายความว่า ถ้าผมไม่ใช่คนไข้ คุณก็จะไม่ใจดีแบบนี้สินะครับ ว้า... เสียใจจัง ผมก็แค่คนไข้สินะครับ” ปกรณ์แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ไม่ใช่นะครับ” ชานนท์รีบปฏิเสธทันที “ผมไม่ได้มองคุณเป็นแค่คนไข้นะครับ เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะครับ”
“เพื่อนสินะครับ...” ปกรณ์ทวนคำก่อนจะหันหน้าหนีแล้วพูดพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “แค่เพื่อนสินะ”
“ว่าไงนะครับ” ชานนท์ได้ยินไม่ถนัด
“อ้อ... เปล่าครับ ไม่มีอะไร” อีกฝ่ายรีบหันมาปฏิเสธด้วยหน้าตาตื่นตระหนก จนชานนท์ต้องหลุดขำให้กับท่าทีที่น่ารัก
“ทำไมต้องตกใจขนาดนี้เนี่ย แอบนินทาผมอยู่อ่ะดิ” ชานนท์พูดเล่น
“เปล่านะครับ” ปกรณ์ยกมือขึ้นระดับอกแล้วโบกไปมาเพื่อเป็นการย้ำคำตอบว่าไม่ได้นินทาจริงๆ จนอีกฝ่ายต้องหลุดขำออกมาอีกครั้ง
“คุณนี่น่ารักจริงๆ นะครับ ดูทำท่าทำทางเข้าสิ ทำแบบนี้บ่อยๆ เล่นเอาผมหวั่นไหวได้เหมือนกันนะเนี่ย”
สิ้นเสียงของชานนท์ ปกรณ์ก็หยุดทำท่าทางนั่นทันทีแล้วยืนนิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับพิรุธอะไรได้ แต่ปกรณ์จะรู้ไหมว่าการทำแบบนี้มันยิ่งทำให้อีกฝ่ายชอบใจและเอ็นดูมากขึ้นไปอีก
“คุณทำอะไรน่ะครับ”
“ผมอยู่นิ่งๆ ไงครับ คุณจะได้ไม่ต้องหวั่นไหวอีก”
“คุณนี่...” ชานนท์เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วยกแขนขึ้นก่อนจะล็อกคอเอาไว้แล้วออกแรงกดให้ร่างนั้นนั่งกับโซฟาใกล้ๆ “ผมหวั่นไหวจริงๆ แล้วนะเนี่ย”
น้ำเสียงของคนอ่อนโยนและใจดีนั้นส่งผลให้ปกรณ์รู้สึกเช่นเดียวกัน ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นทำให้ปกรณ์รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นรัวมากกว่าปกติ
“คุณพูดอะไรเนี่ย ผมกับคุณเป็นผู้ชายนะครับ คุณจะหวั่นไหวได้ยังไงกัน” คนพูดเบือนหน้าไปอีกทางทำให้ศีรษะของเขาที่กำลังโดนล็อกคออยู่นั้นหันไปแนบอิงอยู่ใต้คางของอีกฝ่ายอย่างพอดิบพอดี
“ได้สิครับ” เสียงนั้นลอดผ่านหัวคนฟังไป “ตามหลักจิตวิทยา เรื่องของความรักและความรู้สึกนั้นมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวนะครับ เพราะฉะนั้นผมจะหวั่นไหวกับคุณก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
ปกรณ์นั่งตัวเกร็งอยู่ชั่วขณะ พอเรียกสติของตัวเองกลับมาได้ก็พยายามดิ้นให้ร่างตัวเองหลุดออกมา
“อื้ม... ก็ไม่แปลก แต่มันก็ไม่ชิน”
“ไม่ชินที่ผมอยู่ใกล้ๆ เหรอครับ” ชานนท์แกล้งถามก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่ายแล้วส่งเสียงกระซิบออกมา “ทีคืนนั้นคุณนอนกอดผมแน่นเลยนะครับ”
“ก็ผมป่วย” ปกรณ์รีบแย้งทันที เขารู้ว่าชานนท์หมายถึงเรื่องอะไร “ความคิดผมบางทีมันไม่เหมือนคนปกติ คุณก็อย่าเอาเรื่องน่าอายๆ มาพูดให้ผมรู้สึกอายสิครับ”
“คุณ... ผมขอโทษ ผมไม่ได้หมายถึงอย่างงั้น” ชานนท์หน้าเสียเล็กน้อยเพราะกลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด
“คนอย่างผมน่ะ จะมีใครมาหวั่นไหว รู้สึกดีหรือว่ารู้สึกรักได้จริงๆ น่ะเหรอครับ” น้ำเสียงของปกรณ์แผ่วลง ไม่ใช่ว่าเขาไปชอบกับการกระทำของชานนท์หรอกนะ แต่เขาแค่กลัว... กลัวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบของอีกฝ่าเท่านั้น
ขนาดคนในครอบครัวยังเกลียดชัง แล้วคนที่เพิ่งรู้จักกันจะมารู้สึกอย่างนั้นกับเขาได้อย่างไร แล้วถ้าวันหนึ่งความเครียดมันปะทุขึ้นมา ทำให้เขาแสดงอาการที่น่าอายหรือน่ารังเกียจออกมาให้ชานนท์เห็น ชานนท์จะยังรู้สึกแบบนี้อยู่ไหม
“ผมมันก็แค่คนป่วยทางจิต ที่คุณต้องดูแลรักษา คุณอย่ามาทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวกับคุณจะดีกว่านะครับ”
“แต่ว่าคุณ...” ยังไม่ทันที่ชานนท์พูดจบ ปกรณ์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ถ้าวันหนึ่งผมเกิดรู้สึกดีกับคุณขึ้นมา จนผมขาดคุณไม่ได้ แล้วคุณมาทำให้ผมเสียใจทีหลัง ผมไม่รู้ว่าผมจะรับมือกับความรู้สึกเหล่านั้นได้ไหม” ปกรณ์พูดโดยที่ไม่มองหน้า “เพราะฉะนั้นอย่าให้ทุกอย่างมันเกินเลยไปมากกว่านี้จะดีกว่านะครับ พรุ่งนี้ผมจะไปที่โรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา ส่วนวันนี้ขอบคุณมากๆ นะครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
พูดจบปกรณ์ก็หยิบกระเป๋ากล้องถ่ายรูปแล้วเดินออกจากห้องทันที ไม่ใช่แค่ชานนท์หรอกที่หวั่นไหว ปกรณ์เองก็หวั่นไหวเช่นกัน ความรู้สึกนี้อาจจะเกิดขึ้นก่อนอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เพียงแต่เขาไม่มั่นใจ เขากลัว... กลัวการผิดหวัง
“คุณปกรณ์รอก่อน มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” ชานนท์พยายามจะอธิบายแล้วเดินตามไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่หยุดฟัง ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องเดินตามไป เพราะการจะออกจากคอนโดได้นั้นจำเป็นต้องมีคีย์การ์ดเพื่อลงลิฟต์และเปิดประตูทางออก
“เดี๋ยวผมไปส่งนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นอีกครั้งเมื่อเข้าไปในลิฟต์ ก่อนจะกดลงไปที่ชั้น G
ลิฟต์เลื่อนลงไปข้างล่างอย่างเงียบๆ ชานนท์มีอะไรอยากจะอธิบายตั้งมากมาย แต่พอพยายามมองสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ปกรณ์ดูนิ่ง... นิ่งจนนักจิตวิทยาอย่างชานนท์ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ากำลังคิดอะไรกันแน่
หลังจากที่ลิฟต์เปิดออก ชานนท์ก็เดินไปส่งปกรณ์ที่หน้าประตู เขามองดูร่างนั้นค่อยๆ เดินจากไปอย่างเงียบๆ จนเกือบจะลับสายตา และในขณะนั้นเอง ปกรณ์ได้หันกลับมามองด้านหลัง ส่งสายตามองนิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง สักพักก็ก้มหน้าลงแล้วเดินคอตกกลับไป
ชานนท์กระวนกระวายใจ จึงตัดสินใจเลือกที่จะสะกดรอยตามไปห่างๆ เพื่อดูให้เห็นกับตาว่าปกรณ์นั้นได้กลับไปถึงบ้านของตัวเองอย่างปลอดภัยหรือไม่
จบตอน
.............................................
>> พูดคุยกันครับ <<
sirin_chadada :: คุณนักจิตวิทยากำลังพยายามเต็มที่เลยครับ ฮ่าๆ เป็นกำลังใจให้คุณชานนท์ด้วยนะครับ
-------------------------------------
Talk : เงียบเหงาจริงๆ 555++ ไม่เป็นไรๆ ยังดีใจที่มีคนอ่านอยู่นะครับ .... ขอเปลี่ยนชื่อเรื่องนิดหน่อยนะครับ เป็น จิตวิทยาใจ
-
o13
-
ปกรณ์ดูเปิดใจมากขึ้นแล้วว
-
ตอนที่ 7
แสงไฟสลัวๆ ที่สาดส่องลงมาจากปากซอยในหมู่บ้าน เผยให้เห็นเงาตะคุ่มของร่างๆ หนึ่ง ปกรณ์เดินเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นร่างนั้นชัดเจนขึ้น เขาก็รีบเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะเข้าไปหา
“นรินทร์” เขาเอ่ยชื่อของร่างนั้น อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมาหากแต่แววตาของเขานั้นฉายชัดถึงความเสียใจเหมือนกำลังผิดหวังอะไรบางอย่าง หรือนรินทร์จะรู้ว่า... เขาแอบไปพบกับนักจิตวิทยามา
พอคิดดังนั้น ปกรณ์ก็ประหม่าเล็กน้อย แววตาเริ่มแสดงถึงความกลัดกลุ้มขึ้นมาบ้าง
“คนโกหก”
เสียงทุ้มต่ำที่เล็ดลอดไรฟันออกมาเบาๆ ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ปกรณ์ได้ทำลงไปกับเขา
ปกรณ์รับปากกับนรินทร์เอาไว้แล้วว่าจะไม่ไปที่โรงพยาบาลอีก... แต่ท้ายที่สุด เขาก็ผิดคำพูด
“เราขอโทษ” ปกรณ์ก้มหน้าอย่างสำนัก
“ไม่มีใครจริงใจกับเราสักคน... ไม่มีใครรักเราแล้วสินะ...” แววตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้านั้นส่งผลให้ปกรณ์รู้สึกเจ็บปวดไปด้วยอย่างน่าประหลาด นี่มันความรู้สึกอะไรกันแน่ ปกรณ์แค่เสียใจที่โดนต่อว่า แต่ทำไมเขากลับรู้สึกว่าเข้าใจถึงความรู้สึกของนรินทร์ทุกประการราวกับว่าเขาเป็นนรินทร์เสียเอง
“เราไม่เหลือใคร... นอกจากนายนะ... ปกรณ์” นรินทร์ขยับเท้าเข้ามาใกล้ๆ กับปกรณ์ด้วยความยากลำบาก ก่อนจะทิ้งใบหน้าลงไปที่หัวไหล่ของปกรณ์
“นายเป็นอะไรกันแน่” ปกรณ์เอ่ยถาม มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบหลังอีกฝ่ายเพื่อเป็นการปลอบประโลม การที่นรินทร์บอกว่าตัวเองไม่เหลือใครอีกแล้วนอกจากปกรณ์นั้น ทำให้เขาเข้าใจว่านรินทร์ไม่ได้เสียใจเรื่องของเขา และยังจับไม่ได้ว่าเขาได้แอบไปโรงพยาบาล
“นายจำได้ใช่ไหมที่เราเคยฟังว่าตอนเป็นเด็กพ่อชอบบอกว่ารักเรา... แต่สุดท้ายความรักที่พ่อมีให้มันก็แค่รักที่สนองความใคร่อยากของตัวเองเท่านั้น”
“อืม... จำได้ อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย” ปกรณ์เริ่มใช้มือโอบอีกฝ่ายไว้แน่นขึ้น เขารับรู้ความรู้สึกนั้นดีว่ามันเจ็บปวดทรมานแค่ไหน แต่ปกรณ์ยังโชคดีตรงที่ว่าพ่อไม่เคยทำกับเขาแบบนั้น
“ส่วนแม่ก็มีสามีใหม่ เราเคยบอกนายใช่ไหมว่าเขาดีกับเรามาก แม้จะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ทุกครั้งที่ไปหาแม่ เขาก็จะเตรียมของอร่อยๆ ให้กิน พาเราไปเที่ยว หลายครั้งที่ทำให้เราสนุกจนลืมนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อตอนที่อยู่กับพ่อ จนเราคิดว่าเรารักเขามากกว่าพ่อแท้ๆ เสียอีก”
“อืม... นายเคยเล่าให้ฟัง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่”
นรินทร์ผละร่างออกจากปกรณ์แล้วหันซ้าย หันขวา ปกรณ์มองตามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ละแวกนี้ นรินทร์จึงเดินนำไปยังหน้าปากซอยแล้วนั่งลงใกล้ๆ กับจุดรอรถโดยสารประจำทาง
ทางด้านของชานนท์ที่ซุ่มมองอยู่รีบวิ่งออกไปหลบที่หลังพุ่มไม้เล็กๆ เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะเกือบจะโดนปกรณ์จับได้เสียแล้ว ท่าทีแปลกๆ ของปกรณ์ทำให้ชานนท์รับรู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้เขากำลังพูดคุยอยู่กับใครที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ และถ้าเดาไม่ผิด คนๆ นั้นจะต้องเป็น ‘นรินทร์’ แน่นอน
“พ่อเลี้ยงของเราบอกให้เราไปหาที่บ้าน เขาพาเราไปเที่ยว แต่พอกลับมาที่ห้องเขาก็ทำตัวประหลาดๆ พยายามใกล้ชิดกับเรา กอดเรา แล้วบอกว่า... หวั่นไหวกับเรา”
“เฮ้ย... แต่นั่นมันสามีใหม่ของแม่นะ” ปกรณ์ตกใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่ได้ยิน มิหนำซ้าพ่อเลี้ยงกับนรินทร์ยังเป็นผู้ชายเหมืนกันอีกด้วย
“เราก็บอกเขาไปแบบนั้น แต่เขาก็บอกว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เขาพยายามพูดให้เราคล้อยตามจนเรา...” นรินทร์ก้มหน้ายังสำนึกก่อนจะเอ่ยคำพูดถัดไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ใจอ่อน”
“นรินทร์!!!”
“อืม... เรามันเลว เรารู้ เราก็เลยต้องมาชดใช้กรรมอยู่นี่ไง เราจะเล่าต่อเลยนะ”
“...”
“พอเราใจอ่อน เขาก็เริ่มมานัวเนียกับเรา กอดเรา หอมแก้มเรา เขาทำให้เรารู้สึกอบอุ่น มันเป็นสิ่งที่เราเฝ้าถวิลหามาตลอดเพราะพ่อแท้ๆ ไม่เคยทำแบบนี้กับเรา พอร่างกายของเรามีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขาก็กดเราลงกับพื้น แล้วจู่โจมเราด้วยริมฝีปากอย่างบ้าคลั่ง จนกระทั่งถึงฉากอัศจรรย์...”
นรินทร์หยุดพูด ปกรณ์พยายามนึกภาพตาม เหงื่อของเขาชุ่มขึ้นมาบนใบหน้า อยู่ดีๆ ก็รู้สึกร้อนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนรินทร์ ดูคล้ายกับอารมณ์ที่เขาพยามเก็บกั้นมันเอาไว้ในใจเมื่อตอนที่อยู่กับชานนท์
“แม่เราเห็นฉากนั้นพอดี แล้วไอ้พ่อเลี้ยงที่บอกว่ารักเรา หวั่นไหวกับเรากลับโยนความผิดให้เราทั้งหมด มันแกล้งทำเป็นคนเมาแล้วบอกว่าเราเป็นฝ่ายยั่วยวน และยังบอกอีกว่าเขานึกว่าเราคือแม่ เราตกใจจนพูดอะไรไม่ออก หัวสมองตอนนั้นคิดอะไรไม่ทัน พอเห็นแววตาของแม่ที่ผิดหวังก็เสียใจทั้งหวาดกลัว...”
ปกรณ์กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เขาจินตนาการไปก่อนแล้วว่าฉากต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น และมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
“แม่เราตบตีเรา ไล่ตะเพิดเรา แต่เราไม่โกรธแม่นะ เราเข้าใจว่าเรามากกว่าที่เป็นฝ่ายสมควรโดนโกรธ แต่ที่เราผิดหวังสุดๆ เพราะไอ้คนที่บอกว่าหวั่นไว้กับเรา รักเราอย่างนั้นอย่างนี้กลับไม่ปกป้องเราสักนิด แถมยังช่วยแม่ทำร้ายเราอีกต่างหาก มันก็แค่ไอ้คนโกหก หลอกให้เราตายใจเพื่อที่จะสนองความใคร่ของตัวเองก็แค่นั้น เราไม่น่าหลงเชื่อมันเลย”
น้ำตาของนรินทร์พลั่งพลูลงมาเป็นสายขณะเล่า
“ไม่เป็นไรนรินทร์ ไม่เป็นไร เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว อย่าพยายามไปนึกถึงมันอีก” ปกรณ์พยายามสรรหาคำพูดดีๆ มาปลอบใจ นรินทร์สะอึกสะอื้นไห้อยู่นานสองนาน ปกรณ์กุมมือของนรินทร์เอาไว้แน่นจนเขาสงบลง
“อย่างน้อยเราก็ยังโชคดีที่มีนายอยู่ข้างๆ” นรินทร์กุมมือตอบ “นายเองก็เหมือนกันนะ อย่าไปไว้ใจใครง่ายๆ โลกนี้มันก็มีแต่คนหลอกลวง ไม่มีใครมาทำดีกับเราโดยไม่หวังอะไรตอบแทนหรอก อย่างน้อยมันก็ต้องหวังจะได้เราทั้งนั้น”
ปกรณ์คิดตามแล้วพยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธเรื่องนี้ แต่เขาก็เถียงไม่ออก เพราะไม่มีอะไรยืนยันได้เลยว่าคนที่เข้ามาตีสนิทจะจริงใจกับเขาหรือไม่ เรื่องระหว่างเขากับชานนท์ก็เช่นกัน
แม้ชานนท์ดูเป็นคนใจดี สุภาพ อ่อนโยน แต่ความสัมพันธ์ที่เพิ่งรู้จักกันมันก็รวดเร็วเกินไป รวดเร็วจนปกรณ์ชักไม่แน่ใจแล้วว่าชานนท์จะเป็นคนปลิ้นปล้อนเช่นเดียวกับพ่อเลี้ยงของนรินทร์หรือไม่
“นายต้องใจแข็งเมื่อเริ่มรู้สึกว่าสนิทกับใคร ต้องสร้างกำแพงให้หนาและสูงขึ้นเมื่อรู้สึกว่ามีใครกำลังพยายามจะทำลายมันลงมา นายต้องเชื่อเรานะปกรณ์”
“ถ้าเราเริ่มใจอ่อนกับใครสักคน นั่นหมายความว่า เราอาจจะต้องตกเป็นแค่เครื่องมือที่ใช้สนองกิเลศตัณหาความบ้าใคร่ของเขา”
“ใช่... นายต้องใจแข็ง มีแค่เราคนเดียวเท่านั้นที่จริงใจและหวังดีกับนาย อย่าไปฟังคำพูดหวานๆ แล้วโอนอ่อนตามเด็ดขาด” นรินทร์ย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“เราจะใจแข็ง เราจะไม่หวั่นไหวกับใคร” คำพูดของปกรณ์ส่งผลให้อีกฝ่ายยิ้มออกมา
“ดีมาก เราต้องขอโทษที่มารบกวน ถ้าอย่างนั้นนายกลับไปพักผ่อนเถอะ เราเองก็จะกลับไปพักผ่อนแล้วเหมือนกัน”
“อืม...” ปกรณ์พยักหน้า “นายไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
“เราโอเคแล้ว” นรินทร์ตอบกลับก่อนที่จะเดินจากไป เพียงครู่เดียวเท่านั้น ร่างของเขาก็หายวับไปกับความมืดมิดโดยที่ปกรณ์ไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่าเขาหายไปได้อย่างไร เพราะตอนนี้เขาเอาแต่นึกถึงเรื่องของตัวเอง
ปกรณ์มักมีความคิดที่ตอกย้ำอยู่ในหัวสมองว่าตนเป็นคนต่ำต้อย ไร้ค่า ไม่มีใครอยากจะคบหาด้วยหรอก ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ มีคนที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอยู่บนโลกใบนี้อีกต่างมากมาย ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ใครสักคนจะมารู้สึกพิเศษกับเขา ...ชานนท์เองก็เช่นกัน
ชานนท์เป็นถึงนักจิตวิทยา มีหน้าที่การงานที่มั่นคง เขาทั้งสุภาพ อ่อนโยน และจัดได้ว่าหน้าตาดี อาจจะไม่ใช่พิมพ์นิยมแบบดาราเกาหลีหรือแนวลูกทุ่งหล่อล่ำ แต่เขาก็มีเสน่ห์ในแบบของเขา ชวนให้ค้นหา หลงใหล ถ้าใครก็ตามมีโอกาสได้พูดคุยด้วย คงจะหลงรักในเสน่ห์ของเขาได้ไม่ยาก ...เช่นเดียวกับปกรณ์
เพราะฉะนั้น เพื่อปกป้องความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เกินเลยไปมากกว่านี้ ปกรณ์คิดดีแล้วว่าเขาจะต้องสร้างกำแพงขึ้นมา เพื่อกั้นระยะห่างของความรู้สึกเอาไว้ เขากลัว... กลัวว่าวันหนึ่งที่ได้มอบความไว้ใจให้ไปจนหมดสิ้นแล้วถูกหักหลังขึ้นมา เขาจะไม่อาจควบคุมสติของตัวเองได้ จนเผลอทำอะไรโง่ๆ ออกไป
วันรุ่งขึ้น... ปกรณ์ไม่ปฏิเสธที่จะไปเข้ารับการรักษาตามที่ได้รับปากกับชานนท์เอาไว้ หากแต่ทุกอย่างไม่ได้ไปเป็นตามที่ชานนท์คาดคิด
“คุณชานนท์คะ หมอเกื้อเรียกพบคุณที่ห้องค่ะ” พยาบาลสาวได้เดินเข้ามาแจ้งข่าวที่ห้องทำงานของชานนท์
“ครับ” ชานนท์ตอบรับทันทีก่อนที่พยาบาลสาวจะเดินออกจากห้องไป
ชายหนุ่มรีบกุลีกุจอไปหาหมอจิตแพทย์... หมอเกื้อเป็นหมอหนุ่มไฟแรง อายุเพียงแค่ 35 ปีเท่านั้น แต่ผลงานการรักษาของเขาที่ผ่านมากลับได้รับการยอมรับมากกว่าหมอรุ่นพี่หลายๆ คนเสียอีก ทุกคนในโรงพยาบาลล้วนยอมรับในความสามารถของเขา
บุคลิกลักษณะภายนอกของหมอเกื้อ คนทั่วไปที่พบเห็นมักจะมองว่าหมอเป็นคนสุขุม เยือกเย็น ใบหน้านิ่ง แต่นั่นเป็นการแสดงเพราะต้องการให้คนทั่วไปเชื่อถือในภาพลักษณ์ของจิตแพทย์เท่านั้น แต่ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตส่วนตัวของหมอเกื้อก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่น มีอารมณ์ ความรู้สึกเยี่ยงมนุษย์ปกติ บางทีออกจะเป็นคนตลกนิดๆ เสียด้วยซ้ำ เวลาเครียดๆ ก็มีเพียงหมอเกื้อนี่แหละที่มักจะสรรหามุกแป้กๆ มาคลายเครียดให้กับเหล่าพยาบาลและนักจิตวิทยารู้สึกดี
“ผมมีข่าวจำเป็นที่จะต้องแจ้ง และสอบถามคุณนะครับ เชิญนั่งก่อนสิครับ” หมอเกื้อเอ่ยขึ้นเมื่อชานนท์เดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว
“ครับ” ชานนท์เครียดเล็กน้อย การเรียกมาพบในเวลางานแบบนี้ ย่อมต้องเกี่ยวกับเรื่องงานแน่นอน เขาไม่มั่นใจว่าการทำงานของเขาผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า
“วันนี้มีผู้ป่วยรายหนึ่งได้มาเข้ารับการรักษาที่นี่และมาพบกับผมโดยตรง เขาเป็นผู้ป่วยที่คุณคอยให้คำปรึกษาน่ะครับ” หมอเกื้อเริ่มเกริ่น ส่วนคนฟังยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีกเพราะไม่ผิดจากที่คิดสักนิดว่าจะต้องเป็นเรื่องงาน
“ครับ”
“เขามาคุยกับผม มาขอให้ผมเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยาที่คอยดูแล ซึ่งโดยปกติเราจะไม่อนุญาตนะครับ หากเหตุผลของการขอเปลี่ยนไม่มีน้ำหนักมากพอ เพราะขณะเข้ารับการรักษา บางทีนักจิตวิทยาอาจต้องใจร้ายกับผู้ป่วยบ้าง จนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกลัวกดดัน แต่ก็ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากนักจิตวิทยาและจิตแพทย์คนเดิมเท่านั้น เพราะมันจะทำให้การรักษาต่อเนื่องมากกว่า”
“ครับ” ใช่ว่าชานนท์ไม่เคยประสบกับสถานการณ์ แต่ขอก็รู้สึกแย่นิดๆ ทุกครั้ง มันเหมือนกับว่าผู้ป่วยไม่เข้าใจในความหวังดีของนักจิตวิทยา
“แต่ในครั้งนี้ ผมมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนผู้ดูแลนะครับ” หมอเกื้อขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ใครครับ” ชานนท์พยายามนึกถึงผู้ป่วยรายอื่นๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าใคร เพราะผู้ป่วยมีหลายคน หลายประเภท อารมณ์ไม่มั่นคง บางทีคนที่คิดว่าใช่อาจไม่ใช่ คนที่คิดว่าไม่ใช่อาจใช่ขึ้นมาก็เป็นได้
“คุณปกรณ์น่ะครับ”
แววตาแห่งความประหลาดใจฉายชัดออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบ แต่ชานนท์ก็พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกตกใจและผิดหวังเอาไว้ไม่ให้มันแสดงออกมาบนใบหน้า
ปกรณ์มีเหตุผลอะไรที่ต้องขอเปลี่ยนตัว หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน... จะทำให้คุณปกรณ์หวาดระแวงในตัวเขา และเลือกที่จะต่อต้าน
ชานนท์อยากจะเอาหัวโขกกำแพงเสียเดี๋ยวนี้ เขาเป็นนักจิตวิทยาที่อุตส่าห์เรียนจบมาทั้งทีควรจะควบคุมอารมณ์และความหวั่นไหวให้ได้มากกว่านี้ แต่เขาก็พลาด... พลาดท่าให้กับความน่ารักของคนป่วยของเขา จนเผลอทำอะไรเกินเลยโดยไม่ตั้งใจและทำให้ความเชื่อใจที่มีแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง
ทว่าคำพูดในประโยคถัดมาของหมอเกื้อก็ทำให้เขาใจเย็นขึ้น
“เขาบอกกับผมว่า คุณใจดีเกินไป สุภาพ อ่อนโยน บุคลิกลักษณะท่าทางและการเอาใจใส่ของคุณน่ะมันทำให้เขากล้าเอาแต่ใจ กล้าที่จะต่อล้อต่อเถียง มันอาจจะทำให้คุณทำงานลำบากมากยิ่งขึ้น ผมเองก็ลำบากใจที่จะพูดนะครับ แต่ผมก็เห็นด้วยนะว่าคุณใจอ่อนเกินไป นิสัยของคุณมักจะทำให้ผู้ป่วยหวั่นไหวได้ง่ายๆ คุณควรดุและแสดงบทโหดบ้างในบางครั้งนะครับ”
“คุณปกรณ์พูดอย่างนั้นเหรอครับ” ชานนท์ทวนถาม ในความผิดหวังยังมีความดีใจปนมาอยู่บ้าง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริง นั่นหมายความว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงเขาที่คิดไปฝ่ายเดียว …ปกรณ์เองก็กำลังหวั่นไหว
“ครับ สำหรับเรื่องนี้ผมไม่มีปัญหาหากผู้ป่วยต้องการเปลี่ยนตัวผู้ดูแล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ต้องมาสอบถามคุณก่อน ถ้าคุณไม่ตกลง ผมก็จะยังไม่อนุญาต เพราะความใจดีของคุณอาจเป็นวิธีรักษาต่อเนื่อง”
“ผมขอคุยกับผู้ป่วยก่อนได้ไหมครับ ให้ผมได้สอบถามอะไรบางอย่างก่อนได้ไหมครับ”
“ได้ครับ อ้อ... ผมสอบถามข้อมูลบางอย่างเพื่อมาทำการวิเคราะห์ ซึ่งจากที่ได้พูดคุยกัน มันตรงกับข้อมูลที่คุณชานนท์ให้มา เขาดูจะเชื่อและไว้ใจคุณนรินทร์มากๆ เลยนะครับ อีกทั้งยังมีน้องปาณัฐที่เขามักจะเอ่ยถึงบ่อยๆ ท่าทางของเขาเหมือนคนปกติทั่วไปก็จริง แต่การที่สามารถสร้างจินตนาการจนมองเห็นบุคคลที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงมันอันตรายมากเลยนะครับ”
“ถ้าวันหนึ่งมีคนไปบอกคุณปกรณ์ว่า คุณนรินทร์กับน้องปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริง ผลจะเป็นยังไงครับหมอ”
“ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยมีความผูกพันมากแค่ไหน ถ้าปล่อยเอาไว้นาน ความผูกพันก็จะยิ่งมีมากขึ้น เขาก็ยิ่งจะเจ็บปวดและทรมานมากขึ้นหากมีใครไปบอกเขาแบบนั้น เอาเป็นว่า... เขาจะต้องเสียใจมากที่สุด เพราะสองคนที่เขาสร้างขึ้นมานั้นคือคนที่เขารัก ไว้ใจ และเชื่อใจมากที่สุด... มากกว่าคนในครอบครัวเสียอีก”
“แล้วทำไมเราไม่รีบบอกเขาเลยล่ะครับ บอกตอนนี้ก็น่าจะเจ็บปวดน้อยกว่าใช่ไหมครับ”
“ก็เพราะเรายังมีข้อมูลของผู้ป่วยไม่มาก รอดูอาการและท่าทางของผู้ป่วยอีกสักสองสัปดาห์ น่าจะวิเคราะห์และเริ่มทำวิธีรักษาได้อย่างถูกวิธี”
“งั้นตอนนี้เราก็ทำได้แค่รอ”
“ใช่ครับ”
“แล้วตอนนี้คุณปกรณ์อยู่ไหนครับ” ชานนท์ต้องการที่จะไปสอบถามถึงเหตุผลที่แท้จริง ว่าเพราะอะไร เขาถึงต้องตัดสินใจเลือกที่จะเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยา
“รับยาและกลับไปแล้วครับ”
“ครับ” ชานนท์พยักหน้ารับทราบ “ขอบคุณครับหมอ”
จบตอน..........
------------------------------------------
Talk : ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะครับ ตอนนี้รู้สึกหมั่นไส้นรินทร์แฮะ ทั้งเสี้ยม ทั้ง... ทำไปได้ ชักกลัวว่าหน้าแรกจะยาวเกินไปแล้วสิ ไม่ขึ้นหน้าสองสักทีอีกนานเลย T___T ใครหลงมาอ่านแวะเม้นท์บ้างนะคร้าบบบ
-
อารมณ์แบบช่างก่อกำแพงคนขยัน (เพราะมีเดวิลช่างยุตัวน้อยคอยเป่าหู) vs. อันธพาลชอบทุบกำแพง (หาประตูไม่เจอ จะปีนก็ช้าไป ทุบมันเล้ย) ฮา
-
ตอนที่ 8
วันนี้ปกรณ์มีงานถ่ายภาพ... เขารับงานถ่ายแบบปกนิตยสารเล่มหนึ่ง เนื่องจากเมื่อวันก่อน จิตแพทย์ที่เขาเข้าไปพบได้แนะนำให้เขาลองทำงานที่ต้องเจอหน้ากับผู้คนเยอะๆ ได้เข้าสังคมกับผู้คนเยอะๆ ดู ประจวบกับมีนิตยสารหลายเล่มที่ส่งเมล์ติดต่อมาทาบทามงานพอดี เขาจึงใช้โอกาสนี้ลองรับงานถ่ายภาพโดยที่มีคนเป็นนางแบบครั้งแรก
การถ่ายแบบเป็นไปด้วยความราบรื่น นิตยสารที่เข้ารับงานเป็นนิตยสารเกี่ยวกับอาหาร เขาต้องมาถ่ายงานให้กับนางแบบที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใจกลางเมือง
แม้ว่าปกรณ์จะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่หากได้เริ่มลงมือทำงานล่ะก็ เขาจะมีความมุ่งมั่นกับสิ่งที่กำลังทำจนทำให้บางครั้งเขาเผลอสนทนาเรื่องงานกับคนอื่นอย่างฉะฉานโดยที่ไม่รู้ตัว
หลังจากที่จัดฉากและตั้งแฟลชแยกเสร็จ ปกรณ์ก็เริ่มหยิบกล้องขึ้นมา วินาทีแห่งความมุ่งมั่นเริ่มหลังจากนั้น ปกรณ์แนบดวงตามองผ่านจอกล้องเล็กๆ แล้วเริ่มถ่ายแบบ เขาเผลอพูดให้นางแบบเปลี่ยนท่าออกมาหลายครั้ง บางครั้งก็บอกให้ขยับเท้าซ้ายหรือขวา ให้เอียงใบหน้าไปในมุมที่สวยที่สุดเพื่อความเหมาะสมขององค์ประกอบภายในภาพที่ถ่ายออกมา
เวลาผ่านไปไม่นานมากนัก งานก็สำเร็จลุล่วงไปอย่างง่ายดาย
“พี่เก่งจังเลยนะคะ” เป็นเสียงของนางแบบที่ดังขึ้น เธอเดินเข้าไปหาปกรณ์ใกล้ๆ “รู้มุม รู้องศา ของการถ่ายภาพ ถ่ายแป๊บเดียวก็เสร็จ ไม่เหมือนพี่ช่างภาพคนอื่นๆ พยายามถ่วงเวลาให้ได้ถ่ายนานๆ และเก็บหลายๆ ท่า”
“ครับ” ปกรณ์ตอบโดยที่ไม่สบตากับคู่สนทนา เขาขยับถอยหลังเล็กน้อยเพราะกำลังคิดว่าถูกคุกคาม
“เนี่ย... หนูได้ยินมาว่าพี่เป็นคนเงียบๆ พอได้มาเจอตัวจริง พี่ก็เงียบจริงๆ นะคะ” เธอทั้งพูดทั้งขำ แต่นั่นไม่ใช่การหัวเราะในเชิงดูถูก “แต่มันเป็นความเงียบที่มีเสน่ห์จริงๆ ค่ะ หนูดีใจที่ได้ร่วมงานกับพี่นะคะ แล้วก็หนูว่านะ ถ้าพี่ลองยิ้มออกมาบ้าง พี่จะต้องดูน่ารักมากแน่ๆ ค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่น่ารักสดใสก่อนจะโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณแล้วเดินจากไป เมื่อการทำงานจบลง ต่างฝ่ายต่างก็ต้องแยกไปทำหน้าที่อื่นๆ ของตัวเองต่อไป
ทางด้านของบรรณาธิการประจำนิตยสาร เขาได้เจรจางานกับปกรณ์อีกสักครู่ก่อนจะกำหนดให้ส่งภาพที่ปรับสีให้ออกมาตามคอนเซปต์ภายในพรุ่งนี้ก่อนเวลาเที่ยงคืน พอตกลงกันเรียบร้อยเขาก็เดินจากไป
ปกรณ์สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เขาสามารถทำงานร่วมกับคนแปลกหน้าได้ เขาสามารถสร้างมิตรภาพกับเพื่อนร่วมงาน แม้ว่างานในครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ต่อกันก็ตาม
ด้วยเหตุนี้... ปกรณ์จึงอยากจะเล่าความรู้สึกดีๆ ให้ใครสักคนฟัง และคนที่เขากำลังนึกถึงนั้นก็คือน้องชายที่มักจะชื่นชมเขาตลอดเวลา...
ปาณัฐได้มาพบกับปกรณ์ทันทีในสถานที่ที่ได้นัดหมาย พวกเขาพบกันที่สวนสาธารณะแถวชานเมืองที่เดิม ปกรณ์ชอบเวลาที่ได้พูดคุยกับปาณัฐในที่ที่เงียบสงบไม่ค่อยมีผู้คน เพราะมันทำให้เขารู้สึกสบายใจและสามารถพูดความรู้สึกทุกอย่างในใจได้โดยไม่ต้องกังวล
ปกรณ์เล่าเรื่องการทำงานวันนี้ให้กับปาณัฐฟัง ราวกับเด็กที่กำลังโอ้อวดผู้ใหญ่ว่าได้ไปทำความดีอะไรมาบ้าง ระหว่างเล่าเขาก็อมยิ้มตลอดเวลา
ทางด้านของปาณัฐเองก็เช่นกัน พอเห็นพี่ชายเล่าด้วยความสุข เขาก็ผมยิ้มออกมาและพลอยมีความสุขไปด้วย
“ขอบคุณนะปาณัฐ ขอบคุณที่แนะนำให้พี่ไปพบจิตแพทย์”
“ผมไม่ได้แนะนำนะครับ พี่ต่างหากที่ตัดสินใจตั้งแต่ต้น แค่พี่ลังเลเท่านั้นผมก็เลยสนับสนุน”
“แต่ก็เพราะปาณัฐนั่นแหละ... ที่ทำให้พี่กล้าไปพบจิตแพทย์”
“เพราะตัวพี่เองต่างหากล่ะครับ ต่อให้พี่ฟังคำคนอื่นมามากมาย ถ้าพี่ไม่อยากไป พี่ก็ไม่ไปอยู่ดี”
ก่อนหน้านี้ปกรณ์ลังเลใจมาตลอดว่าจะไปหาจิตแพทย์ดีหรือไม่ ความเครียดและความคิดแปลกๆ ที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขามันทำให้เขารู้สึกท้อแท้ สิ้นหวังไม่อยากจะทำอะไร จนวันหนึ่งเขาก็ได้บังเอิญรู้จักกับปาณัฐ
ปกรณ์ใช้เวลานานหลายเดือน กว่าที่จะยอมเปิดใจปรึกษาถึงอาการความเครียดให้ปาณัฐฟัง เด็กคนนี้คอยเป็นกำลังใจและชื่นชมเขาอยู่เสมอ พอเขาลองถามว่าควรจะไปพบจิตแพทย์ดีไหม เด็กหนุ่มรีบสนับสนุนในทันทีอย่างที่ใจเขาต้องการให้เป็น
“เอาเป็นว่าถ้าไม่มีเรา พี่ก็คงไม่ไป ยังไงเราก็สำคัญสำหรับพี่นะ” ปกรณ์ส่งยิ้มให้เด็กหนุ่ม
“พี่ก็สำคัญสำหรับผมเหมือนกันนะครับ ต้องดูแลตัวเองต่อไปเรื่อยๆ นะครับ” ปาณัฐยิ้มให้ปกรณ์เช่นกัน “แล้วที่โรงพยาบาลเป็นไงบ้างครับ หมอเก่งไหม แล้วพี่สนิทกับใครมีเพื่อนใหม่บ้างหรือยังครับ”
ปกรณ์ชะงักเล็กน้อยกับคำถาม ภาพใบหน้ายิ้มแย้มสุภาพอ่อนโยนของชานนท์ปรากฏในความคิดทันที
“หมอใจดีนะ แต่จะสนิทกับพี่นักจิตวิทยามากกว่า เพราะเขาเป็นคนคอยเช็คและวิเคราะห์อาการ เลยทำให้ใกล้ชิดกันมากกว่า”
“เขาน่ารักไหมครับ” ปกรณ์สะดุ้งเล็กน้อย ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำถามนี้หลุดออกมาจากปาก “ผมคงเสียใจแย่เลย ถ้าชอบพี่คนนั้นมากกว่าผม”
“ปาณัฐ...” เสียงของปกรณ์อ่อนลง เขาคิดคำตอบไม่ทัน ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กหนุ่มคนนี้กับนักจิตวิทยาคนนั้น มันเป็นความรู้สึกดีที่ไม่ต่างกัน
“แสดงว่าพี่คงชอบพี่คนนั้นมากเลยสินะครับ เลยตอบออกมาไม่ได้”
“เปล่านะ” ปกรณ์รีบปฏิเสธ “พี่แค่รู้สึกว่าเขาเป็นคนดี เหมือนๆ กับปาณัฐนั่นแหละ”
“เหรอครับ...” ปาณัฐพยักหน้าก่อนจะกระตุกยิ้มออกมาอย่างยียวน “ชอบเขาก็บอกมาตรงๆ เถอะ ผมไม่ว่าอะไรหรอกน่า”
“คือพี่...” ปกรณ์อึกอัก “พี่ไม่รู้จะว่าไงดี คือเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกับพี่”
“โถ่เอ๊ยพี่ นี่มันสมัยไหนแล้วครับ จะชายจะหญิงก็ไม่สำคัญหรอก เรื่องของความรู้สึกนั้นมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวหรอกนะครับ”
“พูดเหมือนกันเด๊ะเลย” ปกรณ์เอ่ยเบาๆ ปกรณ์จำคำนี้ได้ มีคนเคยพูดว่า ‘ตามหลักจิตวิทยา เรื่องของความรักและความรู้สึกนั้นมันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวนะ’ และเพราะคำพูดนั่น มันจึงทำให้เขาเริ่มหวั่นไหว
“ดูอย่างผมสิ ผมยังชอบพี่เลย เจ็บเหมือนกันนะครับเนี่ยพอรู้ว่าพี่ชอบใครอีกคน” ปาณัฐแกล้งยกมือขึ้นมาจับที่หน้าอกของตัวเองแล้วทำสีหน้าเจ็บปวด
“ดูทำเข้า พี่ก็ชอบเรามากกว่าอยู่ดีนั่นแหละ”
“เหรอ......” ปาณัฐลากเสียงยาวอย่างยียวน “ผมจะรอดู สักวันผมคงตกกระป๋อง สักวันพี่คงลืมผม... และสักวันผมก็คงจะไม่มีตัวตนในสายตาของพี่”
“ปาณัฐ” ปกรณ์รู้สึกใจหวิวขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินประโยคนี้ พอลองนึกตามคำพูด ถ้าวันหนึ่งปาณัฐหายไป ความภูมิใจที่มีก็คงจะหายตามไปด้วย เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า การมีใครที่คอยชื่นชมและให้กำลังใจตลอดเวลามันทำให้เขามีแรงผลักดันที่จะใช้ชีวิตต่อไป
“พี่อย่าทำหน้าแบบนี้สิครับ ผมใจคอไม่ดีเลย” ปาณัฐยื่นมือไปสัมผัสที่แก้มของอีกฝ่าย แววตาของปกรณ์คลอไปด้วยน้ำใสๆ จนเต็มเบ้า เขาทำท่าราวกับจะร้องไห้ “ผมจะอยู่กับพี่ จนกว่าพี่จะไม่ต้องการผม เลิกคิดมากได้แล้ว”
“มันจะไม่มีวันนั้น” ปกรณ์รีบขัด “ไม่มีวันที่พี่จะไม่ต้องการเรา”
ปกรณ์กุมมือของเด็กหนุ่มเอาไว้ เขาจับเอาไว้อย่างแนบแน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป
ปาณัฐไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงส่งยิ้มให้แล้วยกมือขึ้นไปลูบบริเวณหางตาของอีกฝ่ายทั้งสองข้าง เพื่อไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ที่ชื่นชมเริ่มผ่อนคลาย เขาจึงทิ้งตัวลงกับพื้นแล้วนอนหนุนตัก
“ผมของีบสักพักนะครับ”
“ตามสบาย พี่เองก็จะนั่งอยู่กับเราตรงนี้แหละ”
ปาณัฐยิ้มให้กับสิ่งที่ได้ยินก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดู ปกรณ์ยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของเด็กหนุ่มซ้ำๆ จนกระทั่งรู้สึกง่วงแหละเผลอหลับไปอีกคน
มีต่อเม้นท์ล่างนะครับ
-
วันต่อมา... หลังจากเลิกงาน ชานนท์ได้เดินทางไปหาปกรณ์ที่บ้าน เพราะไม่ว่าจะโทรไปหาสักกี่สาย อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสักที
ความจริงชานนท์เองไม่ได้อยากทำแบบนี้สักนิด แต่เพราะปกรณ์เอาแต่หลับหน้า นี่จึงเป็นวิธีสุดท้ายที่จะทำให้พวกเขาได้ปรับความเข้าใจกัน
หลังจากที่กดกริ่ง ไม่กี่นาทีต่อมาเจ้าของบ้านก็เดินลงมาเปิดประตูให้ ปกรณ์ไม่ยอมสบตากับแขกผู้มาเยือนแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะต้อนรับ
ชานนท์เดินตามเจ้าของบ้านจนกระทั่งขึ้นไปถึงห้องนอน
“ทำไมคุณต้องหลบหน้าผม” ชานนท์พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน เขาไม่แน่ใจว่าทำอะไรผิด หรือแค่เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น มันเลยทำให้ปกรณ์รู้สึกถูกคุกคามจึงต้องต่อต้าน
“ผมไม่กล้าสู้หน้าคุณครับ” ปกรณ์ตอบออกมาตรงๆ หากแต่เขาพูดเพียงเท่านั้นไม่ยอมบอกเหตุผลตามออกไป
“เพราะอะไร เพราะเรื่องคืนนั้นเหรอครับ ถ้าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณไม่สบายใจ ผมจะพยายามเว้นระยะห่างเอาไว้ แต่คุณอย่าหลบหน้าผมได้ไหมครับ”
“ครับ” ปกรณ์รับคำสั้นๆ
“แล้วคุณมีเหตุผลอะไรที่ต้องเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยา คงไม่ใช่แค่เพราะผมใจดีเกินไปหรอกใช่ไหมครับ” ชานนท์ส่งคำถามอีกข้อ
“มันเป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะครับ” เป็นคำตอบสั้นๆ ที่ทำเอาฟังรู้สึกจุก การที่ตอบออกมาแบบนี้นั่นหมายความว่า ปกรณ์ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรับทราบ และอีกฝ่ายก็ไม่ควรเซ้าซี้
“ผมขอโทษนะครับที่ถาม แต่ถ้าไม่รู้เหตุผล ผมเองก็คงไม่ยอมเปลี่ยนให้คนอื่นมาดูแล” ชานนท์แข็งข้อ
“คุณ!” ปกรณ์หันไปมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“มันเป็นกฎน่ะครับ เพราะการรักษาควรต่อเนื่อง”
“แต่ผมปรึกษากับคุณหมอแล้วนะครับ คุณหมอเองก็บอกไม่มีปัญหาอะไร” ปกรณ์หาเหตุผลมาโต้แย้งเช่นกัน
“คุณใจร้ายมากเลยนะครับ ไปโรงพยาบาลก็ไม่ยอมมาพบกัน แถมยังแอบไปปรึกษากับคุณหมอเพื่อที่จะเปลี่ยนตัวผม” แววตาของชานนท์ฉายชัดถึงความน้อยใจ แต่ไร้ซึ่งความขุ่นเคือง เขาเพียงแค่รู้สึกเสียใจที่อีกฝ่ายทำแบบนี้
“คุณอย่าเป็นแบบนี้สิครับ ผมขอโทษ” ปกรณ์เริ่มใจอ่อน แต่พอนึกถึงเหตุการณ์ที่นรินทร์เล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องราวของพ่อเลี้ยง เขาก็ต้องทำใจแข็งเอาไว้
“คุณไม่ชอบผมเหรอครับ” ชานนท์สบตาเพื่อที่จะคาดคั้น แต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนี
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” ปกรณ์ตอบเสียงเบา
“แล้วทำไม... หรือคุณไม่ไว้ใจผม”
“มะ... ไม่ใช่นะครับ” แม้ลึกๆ จะรู้สึกอย่างนั้น แต่ปกรณ์ก็ไม่กล้าที่จะตอบออกไปตรงๆ หรอก คำพูดของนรินทร์มันวนเวียนอยู่ในหัวทุกครั้งที่คิดถึงหน้าของชานนท์ ฉะนั้นเขาจึงคิดว่าการที่ไม่ต้องพบ ต้องเจอกับคนคนนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“คุณกำลังโกหก” นักจิตวิทยาอย่างชานนท์มีหรือที่จะมองไม่ออกว่าคู่สนทนาที่รู้จักกันมาได้สักพักและมีเกาะกำบังชัดเจนกำลังพูดความจริงหรือไม่ ยิ่งกับปกรณ์ที่ไม่ชอบเข้าสังคม เขาไม่รู้จักวิธีการที่จะโกหกหรือเสแสร้งให้เนียนๆ เสียด้วยซ้ำ
“ผมไม่ได้เกลียดคุณ แล้วก็ไม่เชิงว่าไม่ไว้ใจ” เมื่อโดนคาดคั้น เขาก็หลุดปากออกมาเอาง่ายๆ
“แล้วเพราะอะไรล่ะครับ บอกเหตุผลมา แล้วผมจะทำตามทุกอย่างที่คุณต้องการ”
ปกรณ์นิ่งเงียบ เขาเองก็อยากจะพูดเหตุผลให้มันจบๆ แต่ถ้าพูดออกไปแล้วอะไรหลายๆ อย่างจะต้องเปลี่ยนไป ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีหรือไม่ เขาจึงเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า
สายตาที่คาดคั้นเอาคำตอบของชานนท์ช่างกดดันเหลือเกิน ปกรณ์พยายามเบือนหน้าหนี แต่อีกฝ่ายก็ไล่ตามอย่างไม่ย่อท้อ พอไปนั่งอยู่ที่มุมห้อง อีกฝ่ายก็ตาม พอเดินไปที่หน้าต่างอีกฝ่ายก็คว้าร่างแล้วบังคับให้หันหน้าไปปะทะสายตาตรงๆ
“คุณทำแบบนี้ผมกดดันนะครับ แล้วถ้าผมกดดันมากๆ ผมอาจจะเครียด พอผมเครียดผมก็อาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วถ้าผมควบคุมตัวเองไม่ได้ คุณก็อาจจะ...”
“หยุดพูดได้แล้วครับ”
สิ้นเสียง... ชานนท์ก็ดันร่างของอีกฝ่ายไปให้ชิดกับกำแพงแล้วใช้มือข้างหนึ่งกดร่างนั้นเอาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างยกไปปิดที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนจะโน้มริมฝีปากของตนลงไปกดทับกับหลังมือของตัวเองซึ่งเป็นบริเวณเดียวกับที่ริมฝีปากของปกรณ์ถูกปิดเอาไว้ ...ถ้าไม่มีมือข้างนั้น พวกเขาคงจูบกันจริงๆ แล้ว
ปกรณ์ยืนตัวแข็งทื่อเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ได้สัมผัสที่ริมฝีปากของกันและกันโดยตรง แต่เขากลับรู้สึกว่าโดนจูบจริงๆ
ชั่วครู่... ชานนท์ก็ผละริมฝีปากออกมาแล้วพูดว่า
“จะบอกผมได้หรือยัง” น้ำเสียงของเขาฟังดูอบอุ่นกว่าที่เคย ชานนท์ในยามนี้ดูราวกับเจ้าชายผู้สูงส่งที่ถือไพ่เหนือกว่าหลายขุม
เขาทำให้ปกรณ์หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง เมื่อโน้มริมฝีปากลงไปที่หลังมือจุดเดิมอีกที ทว่าในครานี้จมูกของพวกเขาชนกันเพราะชานนท์แกล้งขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ขึ้น
หัวใจของปกรณ์เต้นแรงขึ้น... ความรู้สึกในตอนนี้ราวกับเวลากับลังหยุดนิ่ง เหมือนภาพทุกอย่างกำลังหยุดลงขณะที่จมูกของพวกเขาชนกัน
แต่แล้ว... ทุกอย่างก็จบลง เมื่อปกรณ์คิดขึ้นมาได้ว่า นี่อาจจะเป็นภาพมโนที่เขาคิดขึ้นมาเหมือนกับครั้งก่อนที่เขานอนกอดชานนท์ทั้งคืนโดยที่เข้าใจไปว่าชานนท์เป็นฝ่ายจู่โจม
ปกรณ์กำมือตัวเองแน่นก่อนจะยกมันขึ้นมาอัดเข้าที่ใบหน้าของตัวเองอย่างแรง
‘มันคงไม่ใช่เรื่องจริง’
ชานนท์ผละริมฝีปากออกด้วยความตกใจทันที แล้วรีบคว้ามือทั้งสองข้างของปกรณ์เอาไว้
“คุณทำอะไร”
“เรื่องจริงสินะครับ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดไปเองสินะครับ” ปกรณ์ตอบออกมา ไม่รู้ว่าควรจะแสดงความรู้สึกออกไปอย่างไรดี
“คุณคิดว่าที่ผมทำเมื่อกี้นี้ มันเป็นเรื่องที่คุณคิดขึ้นมาอย่างนั้นเหรอครับ” แววตาของชานนท์ฉายชัดถึงความสงสัย
ปกรณ์พยักหน้าเป็นคำตอบ
“โถ่เอ๊ยเด็กโง่” ชานนท์เอื้อมมือไปขยี้ศีรษะของปกรณ์อย่างเอ็นดู “ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือสิ่งที่คุณจินตนาการ แต่คุณรู้เอาไว้เลยว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณมันไม่ใช่เรื่องโกหก”
ชานนท์กอดร่างที่กำลังสั่นสะท้านเอาไว้อย่างแนบแน่น เวลาผ่านไปสักพักอีกฝ่ายก็เริ่มยกมือขึ้นมากอดตอบ เขากอดชานนท์เอาไว้แน่นเช่นกัน กอดแน่นชนิดที่เรียกได้ว่ากลัวอีกฝ่ายจะหายไปไหน ...แน่นให้สมกับที่เขารอคอยอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นแบบนี้มาตลอดชีวิต
“ผมยอมแล้วครับ” น้ำเสียงของปกรณ์แผ่วเบา “ผมจะบอกถึงเหตุผลที่ผมต้องไปขอร้องให้คุณหมอเปลี่ยนตัวคุณ”
จบตอน 8....
Talk : แหะๆ ที่แบ่งเเป็น 2 เม้นท์ไม่มีอะไรนะครับ อยากให้มันถึง 30 เม้นท์ไวไว เพราะจะได้ขึ้นหน้าใหม่ หน้าแรกยาวไปแล้ว 555
-
รอค่ะ เพื่อนแนะนำมา บอกว่าเราน่าจะชอบแนวนี้
ปรากฎพอลองอ่านแล้ว ชอบจริงๆค่ะ
ปกรณ์น่าสงสารไม่รู้เจออะไรมา ส่วนชานนท์ น่ารักมากๆค่ะ
#ทีมชานนท์
-
เพิ่งเข้ามาอ่านเพราะเห็นชื่อเรื่องแปลกดี อ่านแล้วก็อบอุ่นหัวใจ เป็นกำลังใจให้ชานนท์ ปกรณ์ และคุณนักเขียนนะคะ รอติดตามค่ะ
-
ตอนที่ 9
ท้องฟ้าในเช้านี้สดใสเช่นเดียวกับความรู้สึกของใครบางคนที่กำลังเบิกบาน ความสัมพันธ์ระหว่างชานนท์และปกรณ์เหมือนจะแน่นแฟ้นมากขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้ปรับความเข้าใจกัน
ชานนท์รีบไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าเพื่อดักรอหมอเกื้อ เขาต้องการที่จะคุยเรื่องของผู้ป่วยที่ชื่อ ‘ปกรณ์’
ไม่นานมากนักหมอเกื้อก็มาถึง ชานนท์จึงรีบเข้าไปพบทันที
“มาหาผมแต่เช้ามีอะไรพิเศษเหรอครับ” หมอเกื้อขมวดคิ้วด้วยความสงสัย วันนี้ใบหน้าของชานนท์ดูแปลกไป มันดูอิ่มเอมและมีความสุขกว่าที่เคย
“ผมจะมาคุยเรื่องของคุณปกรณ์ครับ”
“อ้อ...” หมอเกื้อพยักหน้ารับรู้ “แล้วทานข้าวมาหรือยังครับ”
“ยังครับ”
“งั้นไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ กินไปคุยไป ผมเองก็อยากปรึกษาเรื่องวิธีการรักษาคุณปกรณ์เหมือนกัน”
“ได้ครับ”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่โรงอาหารที่ใกล้ที่สุด แม้จะเป็นหมอที่ดูแลผู้ป่วย แต่การใช้ชีวิตก็เรียบง่ายไม่ต่างกับคนปกติทั่วไป จะต่างก็ตรงที่หมอ พยาบาลและนักจิตวิทยา อาจจะทำงานหนักกว่าเพราะงานของพวกเขาคือการรับผิดชอบชีวิตของผู้คน
“คือผม... ตกลงที่จะให้คนอื่นรับผิดชอบดูแลคุณปกรณ์แทนครับ” เป็นชานนท์ที่เปิดบทสนทนาขึ้นก่อน
“ถ้าคุณตกลง ผมก็โอเคครับจะได้ให้คนอื่นมาดูแลแทน ว่าแต่ไปคุยกันมาแล้วเหรอครับ”
“ใช่ครับ” ชานนท์พยักหน้า
“แล้วคุณปกรณ์ว่ายังไงบ้างครับ คุณถึงยินยอมที่จะเปลี่ยน”
“คือ...” ชานนท์อมยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะตอบออกมา “มันเป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะครับ”
ชานนท์รู้ดีว่าประโยคนี้มันจะทำให้คนฟังรู้สึกจุกขนาดไหน... เพราะเขาเคยรู้สึกแบบนั้นมาก่อนแล้ว
“ใจร้ายจังเลยนะครับ รู้สึกเหมือนกำลังถูกด่าเลย” หมอเกื้อแสร้งทำน้ำเสียงน้อยใจ
“ไม่ใช่นะครับ” ชานนท์รับปฏิเสธ “ผมเข้าใจหมอนะครับ เพราะผมเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาแล้ว”
“อ้อ... หมายถึงคุณปกรณ์เคยพูดแบบนี้กับคุณเหรอครับ”
“ประมาณนั้นครับ” ชานนท์หลุดขำออกมาเล็กน้อย
“แต่สุดท้ายคุณปกรณ์ก็ยอมบอกเหตุผลที่แท้จริงกับคุณ”
“ครับ”
“แล้วคุณก็ยินยอม และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณดูมีความสุขในวันนี้ใช่ไหมครับ”
“โถ่... หมอครับ” ชานนท์รู้แล้วว่าการถูกคาดคั้นมันกดดันแค่ไหน เขาเคยแต่เป็นฝ่ายคาดคั้นผู้ป่วยรวมถึงปกรณ์ พอโดนเองบ้างเขารู้ซึ้งขึ้นมาแล้วล่ะ
“โอเคๆ ผมไม่แกล้งคุณแล้วครับ” คุณหมอหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรบกวนคุณเขียนบันทึกอาการของคุณปกรณ์อย่างละเอียดนะครับ”
“ได้เลยครับ ว่าแต่หมอคิดว่าน่าจะนัดเขาเข้ามาทำการรักษาอย่างใกล้ชิดที่โรงพยาบาลเมื่อไหร่ครับ” ชานนท์สอบถามด้วยความสงสัย
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดภายในโรงพยาบาลจะเป็นผู้ที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นประสาทหลอน คิดไปเองว่าตัวเองเป็นคนอื่น หรือจะงมงายอยู่ในโลกของจินตนาการที่ตัวเองสร้างขึ้นอย่างเดียวจนมองไม่เห็นโลกแห่งความเป็นจริง
อาจมีบ้างที่อาการไม่รุนแรง แต่ขอพักทำการรักษาที่โรงพยาบาล แม้ผู้ป่วยจะอ้างว่าเพื่อการรักษาที่ได้คุณภาพแต่เหตุผลที่แท้จริงเพราะพวกเขาไม่อยากเรียนหรือไม่อยากทำงานมากกว่าจึงเลือกมาพักรักษาภายในโรงพยาบาล
“ผมคิดว่าเร็วที่สุดน่าจะดีครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมและยินยอมของผู้ป่วยด้วย”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะลองช่วยคุยให้นะครับ”
“หือ...” หมอเกื้อแสร้งขมวดคิ้วด้วยความฉงนเล็กน้อย “นี่สนิทกันถึงขั้นช่วยพูดโน้มน้าวได้แล้วเหรอครับเนี่ย คุณชานนท์ไวไฟเหมือนกันนะครับ”
“ไม่ใช่นะหมอ” ถึงจะเป็นผู้ชาย และยังมีอาชีพนักจิตวิทยา แต่เมื่อถูกแซวหรือต้อนให้จนมุมเขาก็อายเป็นเหมือนกับคนอื่นๆ
“คุณกำลังโกหก”
“โถ่... หมออย่าเล่นแบบนี้สิครับ วู้ว ผมไปดีกว่า” ชานนท์ยกจานอาหารไปเก็บแล้วชิ่งหนีทันที ถ้านักจิตวิทยาอยู่เหนือผู้ป่วย คุณหมอจิตแพทย์ก็จะอยู่ในลำดับขั้นที่เหนือนักจิตวิทยาขึ้นไปอีกที
คืนวันนี้... ปกรณ์เร่งสะสางงานอยู่ภายในบ้าน เขาต้องเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จภายในสิ้นเดือนและจะหยุดรับงานชั่วคราวเพื่อเข้าทำการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งก็เหลือเวลาอีกประมาณ 10 กว่าวันเท่านั้น
ปกรณ์รู้สึกกังวลเล็กน้อยหลังจากที่ได้คุยโทรศัพท์กับชานนท์ คุณนักจิตวิทยาโทรมาโน้มน้าวให้เขาเข้ารับการรักษาภายในโรงพยาบาล ซึ่งปกรณ์ไม่คิดว่าตัวเองป่วยหนักขนาดนั้น แต่เพราะความเชื่อใจ เลยทำให้เขาตัดสินใจตอบตกลง
ทว่า... อีกใจหนึ่งเขาก็กังวล การนอนโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี เขาไม่มีญาติ ไม่มีเพื่อนสนิทที่คอยแวะเวียนไปเยี่ยม ไม่รู้ว่าปาฦณัฐกับนรินทร์จะว่างที่จะไปพบเขาบ้างไหม ถ้าเขาไปอยู่ที่นั่น เขาคงรู้สึกเคว้งคว้าง โดดเดี่ยวแน่นอน
ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ปกรณ์ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียกชื่อเขาจากบริเวรรั้วบ้าน พอเดินไปมองตรงหน้าต่าง เขาก็เห็นร่างของเพื่อนสนิทกำลังยืนอยู่
นรินทร์กวักมือเรียกทันทีที่ได้เห็นหน้า ปกรณ์จึงรีบลงไปหาทันที
“เรามีเรื่องอยากคุยด้วย” นรินทร์เอ่ยขึ้นเมื่อปกรณ์เดินมาเปิดรั้ว
“งั้นรอแป๊บนะ เดี๋ยวไปเอากระเป๋าตังค์ก่อน” ปกรณ์ทำท่าว่าจะวิ่ง หากแต่มือของอีกฝ่ายกลับคว้าเขาไว้เสียก่อน
“คุยในบ้านนายไม่ได้เหรอ”
ประโยคคำถามนี้เล่นเอาปกรณ์ถึงกับชะงักหน้าถอดสี จริงอยู่ความจิตใต้สำนึกและความรู้สึกของเขามันย้ำเตือนมาเสมอว่านรินทร์คือเพื่อนคนสำคัญ แต่เพราะอะไร... เพราะอะไรกัน เขาถึงไม่เคยพานรินทร์เข้าไปในบ้าน ไม่แม้แต่จะคิด
“เราคงไม่สำคัญสินะ ไม่เหมือนกับนายคนนั้น” เป็นน้ำเสียงที่ฟังดูประชดประชันน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
“นรินทร์...” น้ำเสียงของปกรณ์แผ่วเบา เขากำลังสับสนในความรู้สึก เขาควรจะเข้าใจนรินทร์มากกว่านี้ แต่เพราะเหตุใดเขาถึงยังยืนอยู่นิ่งๆ ไม่มีคำเหตุผลโต้แย้งนรินทร์ หรือเพราะว่าในตอนนี้ ...ชานนท์มีความสำคัญมากกว่านรินทร์แล้ว...
“เรามันก็แค่คนที่ไม่มีใครรัก พ่อไม่รัก แม่ก็รังเกลียด เราไม่เหลือใครอีกแล้ว แม้แต่นาย... ที่เป็นเพื่อนคนสุดท้าย ก็ยังคิดจะทิ้งเราไป แล้วเลือกนายคนนั้น”
ประโยคนี้เริ่มทำให้ปกรณ์รู้สึกหวั่นไหว เขาเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น ความรู้สึกที่พ่อไม่สนใจ แม่ใหม่และน้องชายรังเกียจและคอยทำร้ายอยู่เสมอ ความรู้สึกที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ความรู้สึกที่ไร้ค่า ต้อยต่ำ สิ้นหวัง ท้อแท้ ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลก
ถ้าเขาใจร้ายกับนรินทร์... นรินทร์อาจจะตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะฉะนั้น เขาจะต้องเข้าใจและเชื่อใจนรินทร์เหมือนอย่างที่ผ่านมา
“มันไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอกนะนรินทร์” เสียงนั้นแผ่วเบา เขาเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก เพราะในห้วงแห่งความคิดมันมีภาพของชานนท์ปรากฏอยู่เสมอ “นายยังมีเรา เรายังอยู่กับนาย แค่เราอาจจะมีเพื่อนใหม่บ้าง ก็เท่านั้นเอง”
“เพื่อนใหม่งั้นเหรอ” นรินทร์ทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะก้มหน้าแล้วทำแววตาเศร้า “แล้วทำไมเพื่อนเก่าอย่างเราถึงเข้าบ้านไม่ได้”
“นายรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าเราพาเพื่อนใหม่เข้าบ้าน” ปกรณ์ไม่ได้ตอบแต่ถามกลับด้วยความสงสัย
“คืนนั้น... เราตั้งใจจะมาหานาย เรารู้สึกคิดถึงนาย รู้สึกเหมือนว่านายกำลังมีเรื่องกลุ้มใจ แต่พอมาถึงนายคนนั้นก็ยืนอยู่หน้าบ้าน แล้วนายก็พาเขาเข้าไปในบ้าน แล้วก็ที่หน้าต่างนั่น...” นรินทร์หยุดพูดเพียงแค่นั้น
ปกรณ์ตัวแข็งทื่อในทันที เขาไม่คิดว่าเรื่องคืนนั้นจะมีใครเห็น ทำไมอยู่ๆ หัวใจของเขาถึงเต้นแรงแบบนี้ด้วยนะ ราวกับว่าจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ ความรู้สึกนี้มันคืนอะไรกันแน่ ...ผิดหวังหรือเปล่า ใช่มันเป็นความผิดหวัง
นรินทร์กำลังรู้สึกผิดหวังในตัวของเขา นรินทร์กำลังเสียใจ ความรู้สึกเหล่านี้ ทำไม... เขาถึงเข้าใจมันได้ดี ราวกับว่าเขาเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว
ปกรณ์ค่อยๆ ทรุดลงอย่างช้าๆ เขาใช้มือกุมที่หน้าอกแน่น เขากำลังอึดอัด ทรมานเหลือเกินความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่ปวดแสบปวดร้อนไปทั่วร่าง จะหายใจออกมาก็ยังยากลำบาก
“ช่วยด้วย” ปกรณ์พยายามแหงนหน้ามองคนตรงหน้า เขายื่นมือออกไป ขอแค่มือของใครสักคนมากอบกุมเขาในยามนี้ มันคงจะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้น
นรินทร์ก้มหน้ามองปกรณ์ด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก นรินทร์กำลังคิดอะไรกันแน่ นี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์ไม่อาจรับรู้ได้ สายตาของนรินทร์ว่างเปล่าราวกับดวงวิญญาณ
“นายกำลังเจ็บปวดใช่ไหม” นรินทร์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “นายจำได้แล้วใช่ไหม ว่าพ่อของนายเคยทำให้แม่ของนายผิดหวังยังไง”
สิ้นเสียงความทรงจำในตอนนั้นก็สะท้อนออกมาเป็นภาพเพื่อตอกย้ำให้ปกรณ์รับรู้ถึงความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดของแม่ทันที
ปกรณ์จำได้แล้ว...
จบตอน
-----------------------
คุณ Monjara กับ คุณ nutiez :: ขอบคุณครับ ที่หลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้ อิอิ ดีใจมากๆ ครับ
-
:ling1:
ค้างมาก ปกรณ์จำอะไรได้ค่ะ สงสารปกรณ์
-
ตอนแรกคิดว่าแค่รู้สึกเครียด หรือเป็นคนอ่อนไหวคิดมาก คิดในแง่ลบ
ดูจากภายนอกก็เหมือนปกติทั่วไปแต่จากอาการที่สร้างบุคคลในจินตนาการนี่มันรุนแรงนะ อยากให้รักษาให้หาย..
เพิ่งมาอ่าน สนุกดีนะครับ น่าติดตามดี
-
ตอนที่ 10
ปกรณ์จำได้แล้ว...
เรื่องราวในตอนนั้น... แม้ในครั้งนั้นเขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เห็น แต่ในขณะนี้ความทรงจำที่ย้อนกลับมา กลับทำให้เขาเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างได้ลึกซึ้ง... ลึกซึ้งถึงทุกความรู้สึกของแม่
“ลูกกร แม่ขอโทษนะที่ต้องทิ้งลูกเอาไว้ที่นี่”
หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าแม่เดินมาอุ้มเด็กชายตัวเล็กๆ ออกจากสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน
“พอดีแม่ติดธุระ ลูกต้องเข้าใจแม่นะคะ ลูกคงจะกลัวมากสินะที่ต้องอยู่ที่นี่ ดูสิยังร้องไห้ไม่หยุดเลย” เธออุ้มยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาของเด็กชายด้วยความเอ็นดูแล้วหอมแก้มอยู่หลายครั้งจนเด็กชายรู้สึกดีขึ้น
หญิงสาวอุ้มเด็กชายไปตลอดทางจนกระทั่งกลับถึงบ้าน
ท่าทีของเธอเริ่มประหลาดทันทีที่ก้าวขาเข้าไปในรั่ว เธอก้มมองรองเท้าที่ถอดไว้หน้าบ้านแล้วบ่นพึมพำกับตัวเองว่า
“นี่มันรองเท้าพี่สิทธิ์หนิ พี่สิทธิ์เลิกงานแล้วเหรอ... แล้วนั่นมันรองเท้าใครกัน”
หญิงสาวรีบถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าบ้านไปด้วยความร้อนรนโดยที่เธอยังอุ้มลูกของเธออยู่ แม้จะกระวนกระวายใจแต่เธอก็เดินอย่างระมัดระวังให้เงียบที่สุด
หญิงสาวขึ้นไปบนบ้านด้วยความเงียบเชียบก่อนจะตรงไปยังประตูห้องนอนแล้วผลักประตูออกด้วยความรุนแรงจนเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมจนเด็กชายต้องเอามืออุดหู
วินาทีถัดมา หญิงสาวก็กรีดร้องเสียงดังลั่นก่อนจะวางลูกน้อยลงกับพื้น
“พี่สิทธิ์ พี่สิทธิ์ทำแบบนี้ได้ยังไง อีนี่มันเป็นใคร พี่มีฉัน พี่มีลูกแล้วนะ”
เด็กชายเห็นการกระทำที่เกิดขึ้นทุกเหตุการณ์ แม้จะไม่เข้าใจว่าพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นกำลังโวยวายอะไรกัน แต่เด็กชายก็จำได้ว่าในตอนนั้น พ่อของเขาไม่สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว เช่นเดียวกับผู้หญิงอีกคนที่ลุกขึ้นมาจากเตียงนอน
ผู้หญิงคนนั้นมีผิวขาว ใบหน้างดงามและดูเหมือนจะอ่อนเยาว์กว่าแม่ของเด็กชาย เธอกำลังถูกแม่ทุบตีแต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นพ่อก็เข้าไปห้าม พ่อตบหน้าแม่ ตะคอกใส่แม่ก่อนจะผลักแม่ไปยังมุมห้อง
ผู้หญิงคนนั้นกัดริมฝีปากแน่น แววตาแสดงออกถึงความโกรธแค้น แต่พอเห็นพ่อลงมือตบตีแม่ เธอก็แสยะยิ้มออกมา
แม่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะต่อสู้
...ในตอนนั้นแม่คงผิดหวัง เจ็บปวด เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ แต่แม่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม่ต้องยอมพ่อทุกอย่าง และหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ นอนห้องเดียวกันกับพ่อ โดยที่แม่แยกมานอนที่ห้องนอนเล็กอีกห้อง
และหลังจากนั้นไม่กี่เดือน แม่... ก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
ปกรณ์จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเห็นหน้าแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่ในตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แสนเจ็บปวด ในวันที่แม่ต้องเจอกับเหตุการณ์แย่ๆ
แม่ต้องอดทนขนาดไหนกันนะ กว่าจะผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้
“แม่... แม่!!!”
ปกรณ์ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น หลังจากความทรงจำในครั้งนั้นมันผุดขึ้นมา น้ำตาของปกรณ์รินไหลลงมาด้วยความเจ็บปวด
ปกรณ์ก้มหน้าลงกับพื้น มือของเขากำแน่น ทั้งเสียใจและโกรธแค้นแต่เขาก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขในอดีตได้ ถ้าตอนนั้นเขาโตกว่านี้ เขาคงจะมีกำลังที่จะเข้าไปช่วยแม่ ห้ามไม่ให้พ่อตบตีแม่ และคงไม่ยอมให้แม่ต้องเจ็บตัวอยู่ฝ่ายเดียว
ระหว่างที่กำลังรู้สึกทรมานใจอยู่นั้น สัมผัสของใครคนหนึ่งจากทางด้านหลังได้เรียกสติของเขาให้กับคืนมา
ใครคนนั้นกำลังกอดเขาเอาไว้แน่น กอดเขา... ราวกับว่ากลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้กอดแบบนี้อีกแล้ว
“นรินทร์” ปกรณ์เอ่ยชื่อนั้นเบาๆ หากแต่พอหันไปมองหน้าชัดๆ เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อคนที่มาช่วยเขาจากความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดนี้ไม่ใช่นรินทร์แต่เป็น... “คุณชานนท์”
...แล้วนรินทร์อยู่ไหน หายไปตั้งแต่เมื่อไรกัน...
ชานนท์ไม่ตอบอะไร เขายังคงกอดร่างของคนที่กำลังสั่นสะท้านเอาไว้อย่างแนบแน่น เสียงสะอื้นไห้ แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้นมันทำให้เขารู้สึกกลัว... กลัวว่าปกรณ์จะควบคุมสติไม่ได้ แล้วสุดท้ายจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป
ปกรณ์สะอื้นไห้ต่อไปสักพัก เมื่อใจเริ่มสงบลงเขาก็แหงนหน้าสบตากับคนที่โอบกอดเขาเอาไว้ด้วยความสับสน
“แล้วนรินทร์ล่ะครับ”
“ตอนผมมา ผมก็ไม่เห็นใครแล้วนะครับ” ชานนท์ตอบออกไปตามตรง นี่คงเป็นอีกครั้งที่นรินทร์ปรากฏให้ปกรณ์เห็นจนทำให้ปกรณ์ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้
“นรินทร์ต้องกำลังเสียใจแน่ๆ” ปกรณ์พึมพำ พอคิดดังนั้นเขาก็ผลักร่างของชานนท์ออกไปสุดแรง “คุณกลับไปซะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก”
“เดี๋ยวสิครับคุณปกรณ์ ผมงงไปหมดแล้วนะครับ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ชานนท์ไม่ยอมแพ้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีอาการป่วยทางจิต ตอนนี้อาจจะกำลังเครียดและสับสน เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้
ปกรณ์หันไปมองหน้าชานนท์ คิ้วที่ขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจเริ่มคลายลงหลังจากที่ได้เห็นแววตาที่อ่อนโยน สีหน้าของชานนท์ในตอนนี้แสดงออกถึงความห่วงใยชัดเจน ไม่ได้รู้สึกถึงความเสแสร้งเลยสักนิด
แต่ทว่า... ถ้าเขาใจอ่อน นรินทร์ก็จะต้องเสียใจ เขาจะต้องรู้สึกว่าถูกหักหลัง แบบเดียวกับที่แม่ของเขาเคยเผชิญ ...เขาควรจะทำอย่างไรดีนะ...
“ผมอยากอยู่คนเดียว” ปกรณ์คิดว่าประโยคนี้เป็นคำพูดที่สุภาพที่สุดแล้วสำหรับการขอให้แขกผู้มาเยือนกลับไป แต่วินาทีถัดมาเขาเกิดลังเลใจ “แต่ผม... ผมอยากให้คุณอยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่กับผม”
ความคิดของปกรณ์กำลังต่อสู้กัน ด้านหนึ่งบอกให้ไล่ชานนท์กลับไปเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของนรินทร์ แต่อีกด้านกลับวิงวอนให้เขาอยู่ตรงนี้เพราะการมีชานนท์อยู่ใกล้ๆ มันทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
ชานนท์เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเคยเจอผู้ป่วยที่มีความคิดสับสนอยู่บ่อยครั้ง มันไม่ต่างอะไรกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ที่แบ่งออกเป็นสองด้าน คือด้านดีและชั่ว อยู่ที่ว่าจิตใต้สำนึกของเรามันปลูกฝังด้านไหนมากกว่ากัน
หลายคนเข้าใจว่าการฆ่าสัตว์เป็นสิ่งที่บาปมหันต์ แต่พวกเขากลับกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงเสร็จอย่างเพลิดเพลินโดยพยายามหาเหตุผลมาหักล้างว่ามันไม่บาปหรอก เพราะไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าเอง แต่ถ้าใครหาเหตุผลมาหักล้างไม่ได้ เขาก็จะเครียด อยากกินแต่ไม่กล้ากิน สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ได้ต้องให้ผู้อื่นชักนำ
“ถ้าอย่างนั้นผมขออยู่กับคุณที่นี่นะครับ” ชานนท์ตอกย้ำให้ปกรณ์เชื่อว่าการเลือกข้อนี้เป็นสิ่งที่ถูก “คุณเป็นแบบนี้ผมคงทิ้งคุณไปไม่ได้ แต่คุณไม่สบายใจ หากมีใครมาหาคุณ ผมจะแอบซ่อนไม่ให้เขาเห็นดีไหมล่ะครับ”
ปกรณ์คล้อยตาม เขาชะโงกหน้ามองไปยังนอกรั้วแล้วหันซ้ายหันขวาเมื่อไม่เห็นร่างของนรินทร์จึงตอบออกมา
“ดีครับ” เขายั้งกายให้ลุกขึ้นโดยมีชานนท์ช่วยประคองร่าง “รีบเข้าบ้านกันเถอะครับ”
“ครับ”
ปกรณ์รีบสาวเท้าด้วยความเร็ว ราวกับกลัวว่านรินทร์จะกลับมา เขากำลังทำผิดต่อความเชื่อใจของนรินทร์อีกครั้ง ถ้าเกิดนรินทร์มาเห็น... เขาคงจะต้องโดนเกลียด ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” ชานนท์เอ่ยถามหลังจากที่ประคองร่างนั้นให้นั่งพิงกับกำแพงห้อง
“ผมจำได้แล้วว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น” ปกรณ์พึมพำ สายตาของเขาแสดงถึงความผิดหวัง เจ็บปวดและหวาดกลัว ความรู้สึกทุกอย่างมันรวมกันอยู่ในนั้น
“โอเค... ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเล่าก็ไม่ต้องเล่า ผมไม่อยากรู้แล้วครับ” ชานนท์คว้าร่างปกรณ์มากอดไว้อีกครั้ง มันคงเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวด และคำพูดของเขาที่บอกว่าจำได้แล้วนั้น นั่นหมายความว่าความทรงจำนั้นน่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่เขายังเด็กมาก
“คุณชานนท์” เสียงสั่นของปกรณ์ดังขึ้น เขากำแขนเสื้อของชานนท์จนยับ
“ครับ” ชานนท์รับคำ ไม่ได้ถือสาอะไรปล่อยให้อีกฝ่ายกำแขนเสื้อต่อไป
“ผมชอบคุณมากจริงๆ นะครับ” ปกรณ์ย้ำ... ย้ำถึงเหตุผลที่เขาต้องขอเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยาเป็นคนอื่น หากต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดโดยมีชานนท์เป็นคนดูแล การรักษามันจะยิ่งยากลำบากมากขึ้น ทั้งยังมีกฎในการรักษาอาการทางจิตอยู่ก่อนแล้วว่า ห้ามคนในครอบครัว ญาติ เพื่อน หรือคนรักเป็นคนรักษาหรือบำบัดผู้ป่วยเอง
ชานนท์กระชับร่างในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นจนใบหน้าของอีกฝ่ายมาแอบอิงที่อ้อมอก ลมหายใจของปกรณ์ร้อนผ่าว
“ผมก็ชอบคุณครับ คุณกำลังกังวลใช่ไหมว่าผมจะทิ้งคุณไป” ชานนท์พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ปกรณ์พยักหน้าเบาๆ ในอ้อมอก ไม่กล้าตอบออกไปตรงๆ เพราะรู้สึกว่าการพูดไปแบบนั้นมันดูเหมือนเป็นการ
เอาแต่ใจเกินไป
แม้การเลิกลาจะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่สำหรับคนที่ไม่ปกติอย่างปรกณ์ การที่จะเปิดใจเพื่อรับใครให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกในชีวิตนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการต้องเผชิญกับความผิดหวังย่อมยากกว่าคนปกติโดยทั่วไป
อาจดูเหมือนว่าปกรณ์เป็นคนเอาแต่ใจ เรียกร้องความสนใจ ขวนขวายหาความรัก และกลัวการผิดหวัง แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิดหากรู้ว่าที่ผ่านมานั้นเขาต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรมาบ้าง
...เพราะคนเราเกิดมาในสังคมที่แตกต่างกัน จะเอาบรรทัดฐานของตัวเองไปตัดสินคนอื่นไม่ได้
“ไม่ต้องกังวลว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นนะครับ อยู่กับผม อยู่กับปัจจุบัน การคิดไปเองมันจะทำให้คุณไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิต ผมรู้ว่ามันยาก แต่คุณต้องค่อยๆ ปรับนะครับ”
“ผมจะพยายาม”
จบตอน
...........................
Monjara :: มาต่อแล้วนะครับ อิอิ น่าจะหายค้างแล้ว
▶August5th◀ :: ขอบคุณมากๆ คร้าบ ^^" นึกว่าจะไม่อ่านแนวนี้ พอรู้ว่าตามอ่านจนทัน ดีใจมากๆ ครับ
-
คุณพ่อเลวมากค่ะ ทำพฤติกรรมแบบนี้ต่อหน้าลูกไม่เหมาะสมเลย
ไม่แปลกที่ปกรณ์ลืม ตอนนั้นยังเด็กมาก แต่พอมีอะไรมาสะกิด
ความจำตอนเด็กก็กลับมา แล้วหลังจากนั้นเจออะไรอีกนะ
สงสารปกรณ์จริงๆ ค่ะ อินมากๆ
-
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
-
สงสารปกรณ์ ที่เป็นแบบนี้มันคงสะสมตั้งแต่ตอนเด็กๆ
ส่วนนึงคงมาจากครอบครัว สิ่งแวดล้อมต่างๆ
ฝากชานนท์ดูแลให้ดีนะ
-
ตอนที่ 11
คืนนั้น... ปกรณ์นอนกอดร่างของชานนท์ตลอดทั้งคืน เขาซุกใบหน้าเข้าที่อ้อมอก สัมผัสที่อบอุ่นกอปรกับกลิ่นกายละมุนมันทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
ชานนท์รู้สึกปวดเมื่อย แต่เขาก็ยอมนอนนิ่งๆ ไม่ขยับตัวไปไหนเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้นอนหลับอย่างสบายใจ จนในที่สุดเขาก็หลับตามไป
เวลาผ่านไปจนกระทั้งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างมากระทบกับเปลือกตาของคนที่กำลังหลับใหล
ปกรณ์ค่อยๆ ลืมตา เขารู้สึกว่าเช้านี้เป็นวันที่หลับสบายกว่าทุกๆ วัน แต่แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อสังเกตได้ถึงสัมผัสที่แปลกไป แขนของเขากำลังโอบรัดอะไรบางอย่างเอาไว้ เช่นเดียวกับศีรษะที่รู้สึกเหมือนกับซบอิงกับอะไรที่ต่างออกไปจากวันอื่นๆ
“คุณชานนท์” เขาเปรยออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบผละร่างออกจากอีกฝ่ายที่กำลังนอนแน่นิ่ง “เรานอนท่านี้ทั้งคืนเลยเหรอเนี่ย”
พอคิดใบหน้าก็รู้สึกร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงระเรื่อ... จะว่าเขินก็ใช่ จะว่าอายก็ไม่ผิด เขาเป็นผู้ชายแต่กลับนอนกอดกับผู้ชายด้วยกันทั้งคืน แม้จะไม่ได้ปฏิเสธความรู้สึกที่เกิดขึ้น แต่มันก็รู้สึกอายอยู่ดี
ปกรณ์ขยับตัวออกจากช้าๆ มองร่างที่กำลังหลับตาพริ้มด้วยสายตาอิ่มเอม เขาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้อีกฝ่ายก่อนจะรีบจัดแจงไปล้างหน้าแปรงฟันจัดผมเผ้าให้ดูดีผิดจากวิสัยก่อนจะรีบหยิบกระเป๋าออกจากบ้านไป
...เขากำลังจะไปไหนกันนะ
เดินออกไปจากซอยไม่ไกลมากนักจะมีตลาดเช้าอยู่ใกล้ๆ ชานนท์เลือกที่จะไปซื้อวัตถุดิบเพื่อมาทำอารเป็นการตอบแทนคนที่กำลังนอนหลับไหล
ตั้งแต่เด็ก... เขาเปรียบเสมือนคนรับใช้ งานบ้านทุกอย่างแม่เลี้ยงจะโยนมาให้เขาทำหมด รวมถึงหน้าที่ในห้องครัวด้วย เพียงแต่... เขาไม่เคยออกไปจ่ายตลาดเอง หากแม่เลี้ยงอยากกินอะไร เธอจะซ้อวัตถุดิบมาไว้ให้แล้วสั่งให้ปกรณ์เป็นคนทำ
“ขอเนื้อหมูสันคอครับ” เขาสั่งกับแม่ค้าขายเนื้อหมูร้านหนึ่งก่อนจะเดินไปซื้อผักชนิดอื่นๆ เล็กน้อยแล้วรีบกลับบ้าน
ทางด้านของชานนท์ เขาตื่นขึ้นมาพอเห็นว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่เข้าก็กระวนกระวายใจ ตั้งใจว่าจะโทรหาแต่ระหว่างนั้นเสียงตะกุกตะกักที่รั้วบ้านที่ดังขึ้น ทำให้ชานนท์เดินไปส่องดูจากบริเวณหน้าต่าง พอเห็นว่าเป็นร่างของปกรณ์เขาจึงเดินออกจากห้องเพื่อที่จะลงไปรับ
ขณะนั้นเอง... ชานนท์ก็ฉุกคิดได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป คนไม่ชอบเข้าสังคมอย่างปกรณ์ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืดทำไมกัน
ชานนท์จึงแอบส่องอยู่ด้านบน พอเห็นปกรณ์เดินเข้ามาพร้อมกับถุงวัตดิบสำหรับทำอาหารก็พอที่จะเข้าใจ
‘คงอยากจะทำอาหารให้ผมสินะครับ’ ชานนท์คิดเข้าข้างตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าย่องลงไปดูในห้องครัวให้เห็นกับตาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว เขาจึงกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วแกล้งนอนหลับอยู่ในผ้าห่มต่อไป เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้รู้สึกดีใจเมื่อเห็นว่าตนยังไม่ตื่นนอน
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ปกรณ์ก็เดินกลับขึ้นมาบนห้อง คนที่แกล้งนอนหลับอยู่ในผ้าห่มรอบยิ้มออกมา เกือบจะเล่นไม่เนียนเพราะกลิ่นเนื้อที่โชยมามันหอมหวนเหลือเกิน
ปกรณ์นำจานอาหารไปวางไว้ที่โต๊ะญี่ปุ่น ก่อนจะเดินมาดูคนที่กำลังนอนหลับอย่างพิจารณา เขาแย้มยิ้มออกมาเพราะคิดว่าผู้ชายคนนี้ดูน่ารักขณะหลับ ทั้งยังสุภาพแสนดีไม่ทิ้งให้ตนต้องอยู่คนเดียวในเวลาที่แย่ๆ
“คุณชานนท์ครับ” ปกรณ์เรียกพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะร่างที่กำลังหลับเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบรับ เขาจึงเรียกอีกที “คุณชานนท์ครับ”
คราวนี้ ชานนท์แกล้งลืมตาอย่างช้าๆ ยกมือขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ ราวกับเด็กที่ไม่อยากลุกจากเตียงนอน
“เช้าแล้วเหรอครับ” ชานนท์แกล้งถาม
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า
“นี่มัน... กลิ่นอะไรครับ” ชานนท์แกล้งทำจมูกฟุดฟิด “หอมจัง”
“สเต็กสันคอหมูครับ” ปกรณ์ยิ้มกริ่มทำที “ลุกมาทานอาหารเช้าก่อนครับ คือผม... ผมตั้งใจทำให้คุณชานนท์”
“หือ...” ชานนท์แกล้งลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำดวงตาลุกวาวราวกับกำลังตกใจ “คุณบอกว่าตั้งใจทำให้ผม นี่คุณ... คุณทำอาหารให้ผมเองเลยเหรอครับ”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า “คือผม... อยากขอบคุณที่เมื่อคืนคุณอยู่เป็นเพื่อนผมน่ะครับ”
“ใครบอกว่าผมอยากอยู่เป็นเพื่อนล่ะครับ”
ปกรณ์หน้าเสียเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน หรือว่าเมื่อคืนที่เขาต้องค้างอยู่ที่นี่ เขาแค่สมเพชและสงสารคนที่กำลังมีอาการเครียดก็เท่านั้น
“โถ่... ฟังผมให้จบก่อนสิครับ ทำหน้าเศร้าแบบนี้ผมสำนึกผิดแทบไม่ทัน” ชานนท์ยื่นมือไปสัมผัสกับอีกฝ่ายก่อนจะแย้มยิ้มออกมา “ผมหมายถึง... อยากเป็นมากกว่าเพื่อนต่างหากล่ะครับ”
สีหน้าของปกรณ์เปลี่ยนไปในทันทีจนเขาแทบจะซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ไม่ทัน
“ผมขอเวลาก่อนนะครับ” ปกรณ์ตอบออกมา เขาไม่ได้เล่นตัวนะ เขาเพียงคิดว่า... “ผมอยากหายดีและใช้ชีวิตให้เหมือนคนปกติก่อนน่ะครับ ผมไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระหรือตัวถ่วงในชีวิตของคุณ”
“คุณนี่ชอบคิดมากจริงๆ” ชานนท์ขยี้หัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู “ผมรอก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะครับ ต่อให้ตอนนี้คุณจะมองผมเป็นแค่เพื่อน แต่สำหรับผม... คุณสำคัญมากเกินคำว่าเพื่อนแล้วครับ”
ปกรณ์เบือนหน้าหนีเพื่อที่จะซ่อนความรู้สึกที่เกิดขึ้น คนอย่างเขาน่ะหรือจะมีความสำคัญได้ถึงขนาดนั้น แม้จะรู้สึกยินดีกับสิ่งที่ได้ยิน แต่อีกใจก็พยายามหาเหตุผลมาปฏิเสธเพราะยังคงคิดว่าตัวไม่มีดีพอ... พอที่จะคู่ควรกับคนที่แสนดีคนนี้
“กินสเต็กกันก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวมันเย็นจะไม่อร่อยเอา” ท้ายที่สุด เขาจึงเลือกที่จะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเพื่อปิดบังความเขินอาย
“สเต็ก” ชานนท์ทวนคำ “ที่คนรักทำให้น่ะเหรอครับ ต่อให้มันเย็นหรือจืดชืดแค่ไหน มันก็คงเป็นสเต็กที่อร่อยที่สุดในโลกอยู่ดีนั่นแหละครับ”
ปกรณ์หลุดขำออกมารู้สึกตลกมากกว่าหวานซึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
“เดี๋ยวครั้งหน้าจะทำให้กินจนท้องเสียเลย ดูซิจะยังอร่อยอยู่ไหม”
“จริงเหรอครับ จะรอนะครับ” ชานนท์ชักคิ้วยียวนก่อนจะเป็นฝ่ายที่ลากแขนเจ้าของบ้านไปนั่งทานสเต็กมื้อเช้าที่แสนพิเศษด้วยกัน
----------------------------
‘คุณชานนท์ครับ วันเสาร์อาทิตย์นี้คุณว่างไหมครับ คือผม... ผมอยากจะชวนคุณไปเที่ยวต่างจังหวัด ก่อนที่ผมจะเข้ารับการรักษาและรับการบำบัดกับทางโรงพยาบาลน่ะครับ แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ ไว้คราวหลังก็ได้’
เมื่อหลายวันก่อน ปกรณ์โทรมาชวนชานนท์ไปเที่ยวต่างจากหวัด เขาต้องรวบรวมความกล้าอยู่นานสองนานกว่าที่จะกดโทรออก จนทำให้ในที่สุด พวกเขาทั้งสองก็ได้ไปเที่ยวด้วยกัน
“ทำไมถึงอยากมาที่นี่ครับ” ชานนท์หันหน้ามองออกไปนอกกระจกขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนรถ ปรากฏภาพของทุกหญ้า ไกลๆ ออกไปนั้นมีภูขนาดสูงใหญ่ อีกไม่นานมากนักก็คงจะถึงจุดหมาย
“น้องปาณัฐแนะนำมาครับ น้องอยากให้ผมมาชมธรรมชาติที่นี่ มาปืนขึ้นภูที่นี่ แต่ผมไม่กล้ามาคนเดียว ผมก็เลย... ชวนคุณ” ปกรณ์ตอบออกมา “ความจริงผมเองก็อยากมาที่นี่นานแล้วนะครับ ก่อนที่น้องชายของผมจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เขาเองก็เคยมาที่นี่”
“น้องชายงั้นเหรอครับ” ชานนท์ทวนคำ พลางคิดอะไรบางอย่าง “น้องชายคุณอายุเท่าไหร่นะครับ”
“ยี่สิบเอ็ดครับ เท่ากับปาณัฐเลย” ปกรณ์ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เขาอายุมากกว่าน้องชายแค่ 4 ปี ทำไมเขาจะจำไม่ได้
“แล้วนิสัยล่ะครับ คุณคิดว่าพวกเขาเหมือนกันไหม” ชานนท์กำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ในเมื่อเขาบอกว่าแม่เลี้ยงกับน้องชายไม่ชอบเขา เกลียดเขา ทำร้ายเขา แต่ในบางที... ปกรณ์ก็ดูมีความสุขเวลาที่พูดถึงน้องชาย
“ไม่เหมือนหรอกครับ ปาณัฐน่ะเขาเป็นเด็กดี ชื่นชมผม ชอบผม” ปกรณ์ตอบออกมาอย่างเปิดใจ “แต่เขา... ผม... ผมไม่แน่ใจ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดนะครับ” ชานนท์รีบห้ามเมื่อเห็นว่าปกรณ์ยกมือขึ้นมากุมขมับ สีหน้าเริ่มแสดงออกถึงความเครียด
“ผมไม่เป็นอะไร” ปกรณ์พึมพำ พยายามสงบสติลง
“แล้วคุณรู้ได้ไงครับว่าน้องชายคุณมาที่นี่ เขา... เล่าให้ฟังเหรอครับ”
“อ้อ... แป๊บนึงนะครับ” ปกรณ์หยิบกระเป๋าเป้ออกมา เขารูดซิปแล้วค้นหาอะไรบางอย่าง “นี่ครับ”
ปกรณ์ยื่นแผ่นโปสการ์ดมาให้ มันเป็นโปสการ์ดภาพพระอาทิตย์สีส้มที่กำลังสาดแสงอยู่สุดปลายฟ้า ท้องฟ้าด้านล่างเป็นสีส้มอ่อน ส่วนท้องฟ้าด้านบนเริ่มเป็นสีครามเป็นสัญญาณว่าพระอาทิตย์กกำลังจะตกดิน
พอพลิกไปดูด้านหลัง... ข้อความที่ปรากฏได้ทำให้ชานนท์ยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่
...พระอาทิตย์ที่นี่สวยมาก ถ้ามีโอกาสแกต้องมาดูให้ได้นะ...
“ผมเองก็แปลกใจนะครับ ตอนเป็นเด็กเราทะเลาะกันประจำ แม่ของเขามักยุยงให้เขาทำร้ายผม พอผมสู้ แม่เขาก็จะเข้ามาจับตัวผมไว้ แล้วสั่งให้เขาทำร้ายผมสารพัด ผมเจ็บมาเยอะครับ นานวันเข้าผมก็เลิกคิดสู้เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์ จากนั้นผมก็เริ่มกลัว พอเผลอสบตา ผมก็ต้องรีบหลบหน้า ผมกลัวน้องตัวเองมาก ตลกดีนะครับ”
ชานนท์พยักหน้ารับฟังอย่างเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์เปิดใจเล่าเรื่องน้องชายให้ฟัง แม้จะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า แม่เลี้ยงคือสาเหตุที่ทำให้พี่น้องทะเลาะกัน
“ตอนเขาอยู่ ม.6 เขามาเที่ยวที่นี่กับเพื่อน แล้วผมก็เห็นโปสการ์ดใบนี้สอดเข้ามาจากช่องด้านล่างของประตูห้องนอน มันเป็นลายมือของเขาจริงๆ ครับ ผมเลยเก็บมันไว้อย่างดีและคิดมาตลอดว่าในใจลึกๆ เขาอาจจะไม่ได้เกลียดผมอย่างที่แสดงออกก็ได้”
ชานนท์ลองวิเคราะห์สิ่งที่ได้ฟังด้วยความรวดเร็ว ถ้าไม่มีตัวแปรอื่นอีก เขามั่นใจและคิดเช่นเดียวกับปกรณ์ว่า น้องชายไม่ได้เกลียดเขาแน่ๆ แต่เพราะมีแม่เป็นตัวการที่ยุยง แต่ก็ยังต้องค้นหาสาเหตุต่อไปว่าเพราะเหตุใด ปกรณ์ถึงรู้สึกหวาดกลัวน้องชายมากกว่าที่ควรเป็น ...มันต้องมีเหตุการณ์ร้ายแรงมากกว่าการทุบตีกันแน่ๆ
“ผมเองก็เชื่อนะครับ ว่าน้องชายไม่ได้เกลียดคุณ” ชานนท์พูดออกมาตามความคิด
“ช่างมันเถอะครับ ผมเผลอเล่าเรื่องเครียดๆ ให้คุณฟังอีกแล้วสิเนี่ย”
“ผมยินดีรับฟังนะครับ ถ้ามันทำให้คุณสบายใจ” ชานนท์ยิ้มให้อีกฝ่าย
“มันน่าอาจจะตายไปครับ ผมมันแค่คนขี้ขลาด” น้ำเสียงของปกรณ์เริ่มแผ่วเบา เขาก้มหน้านิ่ง “ผมไม่คิดว่าผมคู่ควรกับคุณเสียด้วยซ้ำ”
“เอาอีกแล้วนะ” ชานนท์ยกมือขึ้นมาขยี้ศีรษะ “ไหนยิ้มซิ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงทำหน้าเศร้า ชานนท์จึงประคองใบหน้าของเขาขึ้นมา แล้วใช้มือทั้งสองข้างดึงแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ
“ยิ้ม... สิครับ”
“งือ...” ปกรณ์ค่อยๆ ยิ้มอย่างฝืนๆ “พอใจยัง”
“ยัง” ชานนท์ส่ายหน้าก่อนจะแกล้งดึงหน้าของอีกฝ่ายแรงๆ “พอใจแล้ว”
“แกล้งกันเหรอครับ” ปกรณ์ไม่ยอมแพ้ เขาโต้ตอบโดยการยื่นมือไปดึงหน้าของชานนท์คืน “นี่แหนะๆ”
ชานนท์ไม่สู้แต่เขากลับหัวเราะชอบใจ... การที่ปกรณ์กล้าเล่นกล้าหยอกกับเขามากขึ้นนั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ได้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับ
จากการเจอกันครั้งแรก... ที่เขาไม่แม้แต่จะมองหน้าเอาแต่มองโต๊ะทำงาน จนกระทั่งในวันนี้เขากล้าที่จะหยอกล้อ มันทำให้ชานนท์รู้สึกดีขึ้นมาได้อย่างประหลาด
“ยิ้มอยู่ได้” ปกรณ์ยังคงดึงต่อไป
“ก็ดีใจน่ะครับ” ชานนท์ยิ้มแป้น “ผมชอบเวลาคุณยิ้มมากกว่าเวลาทำหน้าเศร้านะครับ พอคุณยิ้มผมก็เลยยิ้มด้วย”
ปกรณ์แกล้งหุบยิ้มลงในทันที แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็ต้องหลุดขำเมื่อชานนท์แสร้งทำหน้าบิดเบี้ยวเพื่อให้เขาให้เราะ
ชานนท์หวังว่าการเดินทางมาท่องเที่ยวในครั้งนี้ จะช่วยเยี่ยวยาอาการของปกรณ์ให้ดีขึ้น การทำให้เขาพบกับความสุขสนุกสนานและหัวเราะขำขัน คงช่วยเยียวยาถึงความเลวร้ายในอดีตได้บ้าง
หรืออย่างน้อยที่สุด... มันจะเป็นความทรงจำที่มีความสุขแม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตก็ยังดี
---------------------------
ภายในห้องนอนห้องหนึ่ง หญิงวัยกลางคนกำลังยืนดูดบุหรี่อยู่บริเวณหน้าต่าง คิ้วของหล่อนขมวดเป็นปมราวกับว่ากำลังมีเรื่องยุ่งเหยิงกำลังรบกวนจิตใจ
หล่อนพ่นควันบุหรี่ออกมาด้วยความกังวลใจก่อนจะจิ้มมวลบุหรี่ไว้ในกระถางต้นไม้ใกล้ๆ มือ
ขณะนั้นเองประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของใครบางคนที่เดินมุ่งตรงมาหา
“พี่บอกแล้วใช่ไหมฤทัยดีว่าไม่ชอบให้ดูดบุหรี่ในห้อง” เขาทำเสียงดุ
“ฤทัยขอโทษค่ะ ฤทัยแค่มีเรื่องกังวลเท่านั้น” ฤทัยดีตอบออกมา
“เรื่องอะไร” เขาถาม
“ฤทัยได้ยินมาว่าลูกชายของพี่พักนี้ไปที่โรงพยาบาลบ่อยน่ะค่ะ”
“ไอ้ปกรณ์น่ะเหรอ ทำไม เธอเกิดเป็นห่วงมันขึ้นมารึไง” น้ำเสียงของเขาเย็นชา ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะเอะใจสักนิดว่าลูกชายป่วยเป็นอะไร เหตุใดจึงต้องไปโรงพยาบาล
“ห่วงอะไรล่ะคะ ฤทัยห่วงคุณพี่มากกว่าน่ะสิ” หล่อนพูดจีบปากจีบคอก่อนจะยื่นแขนไปคล้องคอกับชายหนุ่มตรงหน้า “ไม่ได้ข่าวบ้างเหรอคะ ลูกชายพี่สิทธิ์ก็ออกจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในกลุ่มของนักถ่ายภาพนะคะ”
“พี่ไม่สนหรอก เธอก็รู้ ตอนนี้ที่พี่ห่วงก็มีแค่เธอกับเจ้าปรัชญ์” ประสิทธิ์พูด
“ไม่จริงหรอกค่ะ” ฤทัยดีแกล้งทำเสียงงอนง้อ “ถ้าพี่ไม่สนพี่คงขายบ้านหลังนั้นทิ้งไปแล้ว”
“เธอจะสนใจอะไรบ้านหลังนั้นนักหนา เราก็อยู่ที่นี่ไงบ้านไหมของเราใหญ่กว่า สุขสบายกว่าตั้งเยอะ”
“ก็ฤทัยเห็นว่าที่ดินตรงนั้นมันอยู่ในเมืองนี่คะ ถ้าขายคงจะได้กำไรน่าดู”
“พี่เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าพี่จะไม่ขายบ้านหลังนั้นเด็ดขาด” เขาพูดเสียงแข็ง “ถึงยังไงเจ้านั่นมันก็เป็นลูกของพี่”
“เฮอะ... ช่างมันเถอะค่ะ” หญิงวัยกลางคนเอาแขนออกจากคอก่อนชายวัยกลางคนก่อนที่จะเดินบิดก้นไปนั่งลงที่ขอบเตียงนอน “ตอนนี้มีเรื่องน่าคิดกว่านั้นตั้งเยอะ”
“เรื่องอะไร” ประสิทธิ์เดินตามเธอไป
“มีคนมาพูดกับฤทัยน่ะค่ะว่าลูกชายพี่ไปพบหมอบ่อยๆ ที่โรงพยาบาล...” หล่อนหยุดพูดชั่วขณะแล้วหันไปจับจ้องสามีของเธอเพื่อที่จะดูว่าอาการของเขาเป็นอย่างไรหลังจากที่ได้ยิน “แผนกจิตเวช”
ประสิทธิ์เบิกตาตกใจชั่วขณะ เขาหันไปมองหน้ากับหญิงวัยกลางคนตรงๆ
“เธอว่ายังไงนะ มันไปพบหมอแผนกอะไรนะ”
“หมอโรคจิตค่ะ”
“ใครบอกเธอ” น้ำเสียงของประสิทธิ์ร้อนรนยิ่งขึ้น
“คนรู้จักค่ะ เขาบอกว่าพวกช่างภาพหรือพวกที่ทำงานด้านหนังสือเอาไปซุบซิบนินทากัน บอกว่าเจ้าของโฟโต้บุ๊คภาพถ่ายอะไรสักอย่างน่ะค่ะ เป็นโรคจิต” หล่อนแสยะยิ้มออกมา แม้จะรู้สึกสมเพชในใจแต่นั่นไม่ใช่การดีแน่ เพราะหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป อาจทำให้การงานของประสิทธิ์มีปัญหา การที่มีลูกป่วยเป็นโรคจิตนั่นหมายความว่า ครอบครัวย่อมมีส่วนผิดในการดูแล และประสิทธิ์อาจถูกมองในแง่ลบ และเรื่องอาจสาวมาถึงตัวของหล่อนที่เป็นชู้ด้วย
“มันเป็นหนักขนาดนั้นเลยเหรอ” ชายวัยกลางคนเอ่ยออกมาด้วยความสับสน ถึงอย่างไรหมอนั่นก็คือลูกชายของเขา
“ฤทัยก็ไม่รู้ค่ะ แต่พี่คะ เราต้องไปห้ามไม่ให้เขารักษานะคะ เพราะคนอื่นอาจเอาไปนินทาและทำให้พี่เสียหายได้” ฤทัยดีพยายามโน้มน้าว อีกนัยหนึ่งหากปกรณ์ป่วยเป็นโรคจิตจริงมันก็จะง่ายต่อหล่อนในอนาคตหากต้องการที่จะขายบ้านหลังนั้นทิ้งแล้วเอาเงินมาเป็นของตัวเอง
“แล้วถ้ามันป่วยจริงล่ะ” ประสิทธิ์ครุ่นคิด เขาพยายามนึกหาสาเหตุของเรื่องนี้แล้วนึกโทษตัวเองขึ้นมา เขาเคยทำอะไรไม่ดีๆ ต่อหน้าปกรณ์หลายครา บางทีเด็กคนนั้นอาจจะฝังใจแล้วเก็บเอาไปคิดมากและสะสมจนกลายเป็นความเครียด
“ไม่หรอกค่ะ คนเป็นโรคจิตที่ไหนจะยังพูดคุยรู้เรื่องคะ อย่างมากก็คงเครียด... นะคะคุณพี่ คุณพี่ต้องไปห้ามไม่ให้ปกรณ์รักษานะคะ” หล่อนคะยั้นคะยอ เมื่อเห็นว่าประสิทธิ์ยังคงนิ่งเงียบหล่อนจึงคิดใช้มารยาหญิงเพื่อให้อีกฝ่ายคล้อยตาม ...นั่นเป็นวิธีเดียวที่เธอสามารถใช้ปราบประสิทธิ์ได้เชียวล่ะ
กระดุมเสื้อของประสิทธิ์ค่อยๆ ถูกปลดออก หล่อนกรีดนิ้วมือจากบนลงล่าง ส่งสายตายั่วยวนก่อนที่จะเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองออกบ้าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มมีอารมณ์ร่วมหล่อนก็ออกแรงผลักร่างนั้นกดลงกับเตียงนอนก่อนจะโน้มใบหน้าไปคลอเคลียที่ต้นคอแล้วเลื่อนขึ้นใบใกล้ๆ กับใบหู
“นะคะพี่” หล่อนกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา ลมที่พ่นตามมาส่งผลให้อีกฝ่ายเริ่มสัมผัสได้ถึงความสนุกสนาน
“ได้ เดี๋ยวพี่จะไปห้ามมันเอง”
เมื่อคำวิงวอนของเธอเป็นผล เธอจึงเริ่มปฏิบัติการความปรารถนาบทต่อไปด้วยความเร่าร้อน
จบตอน...
-
สงสารปกรณ์ :sad4: ชานนท์ปกป้องและรักษาปกรณ์ให้หายนะะ :katai1:จะได้มีแรงมาสู้กะคนใจร้าย
-
ว่าแล้วเชียว พอทุกอย่างกำลังจะไปได้สวยก็ต้องมีมารผจญแน่ๆ
คุณชานนท์สู้ๆ นะคะ คงต้องเหนื่อยอีกเยอะแน่ๆ
-
ตอนที่ 12
หลังจากที่เดินทางไปถึงตีนเขา ปกรณ์ได้ขอเวลาไปเก็บภาพถ่ายรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นเพราะเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก
ส่วนชานนท์ได้แยกไปติดต่อเรื่องลูกหาบสำหรับขนของและติดต่อขอจองที่พัก หลักจากที่เสร็จสรรพเขาก็เดินกลับมารอปกรณ์ยังจุดที่ได้นัดหมาย
“ยิ้มหน่อยสิครับ” เสียงเรียกที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ส่งผลให้ชานนท์หันกลับไปมอง
วินาทีนั้น... เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นพอดี ปกรณ์ตั้งใจจะเก็บภาพถ่ายทีเผลอของออกฝ่าย หลังจากที่ถ่ายได้สำเร็จ เขาก็ก้มมองจอแล้วอมยิ้มออกมาคนเดียว
“ไหน ขอดูด้วยสิครับ” ชานนท์เขยิบเข้าไปใกล้ๆ
“นี่ครับ” ปกรณ์ยื่นให้ดูอย่างว่าง่าย ส่วนคนที่ถูกแอบถ่ายก็อมยิ้มออกมาเหมือนกันเมื่อเห็นภาพ
“คุณว่าภาพนี้ผมดูดีรึยัง”
ผู้ที่ถูกถามยืนอ้ำอึ้ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความคิดเห็นหรอกนะ แต่ในสายตาของปกรณ์ในยามนี้ต่อให้ชานนท์ทำหน้าบูดหน้าบึ้งหรือท่าทางตลกๆ เขาก็ดูดีเสมอ
“ขึ้นภูกันเถอะครับ” ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องแล้วเดินหนีทันที
“เฮ้ย.. เดี๋ยวสิคุณ” ชานนท์วิ่งตาม “คุณยังไม่ตอบผมเลยนะ”
“คุณหิวไหมครับ” ปกรณ์เร่งฝีเท้าวิ่งหนี
“เฮ้ย... อย่าเปลี่ยนเรื่องสิครับ” ทั้งพูดทั้งขำกับท่าทีของปกรณ์ ถ้าเขาไม่มีสภาวะความเครียด คงเป็นคนที่มีเสน่ห์และน่าค้นหาในสายตาของสาวๆ แน่นอน
ชานนท์มองเขาวิ่งขึ้นภูในตอนนี้ก็ได้อมยิ้มไม่หยุด ทุกครั้งที่เจอกัน... ความน่ารักของปกรณ์จะเพิ่มมากขึ้น และมันมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้ง... ก็มากจนกลัวว่าจะเสียเขาไป
หากปกรณ์หายเป็นปกติ ชานนท์จะยังมีความสำคัญกับปกรณ์อยู่ไหม มีผู้ป่วยหลายรายที่อยู่ในสภาวะเครียดจะเห็นความสำคัญของคนใกล้ตัว แต่พออาการดีขึ้น ความรู้สึกที่มีก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ชานนท์สะบัดศีรษะไล่ความเครียดแล้วตั้งใจขึ้นภูต่อไป
“รอผมด้วยสิครับ” ชานนท์ร้องเรียก “ผมเหนื่อยแล้วนะเนี่ย คุณจะรีบไปไหน”
ปกรณ์หยุดวิ่งแล้วหันกลับไปมองคนข้างร่าง เขาอ้าปากหวอตกใจเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าจะทิ้งระยะห่างมาไกลขนาดนี้
“ไหวไหมครับ” ปกรณ์ยื่นมือลงไปเมื่ออีกฝ่ายเดินมาใกล้ๆ
“แค่นี้สบายๆ ครับ” ชานนท์ตอบกลับ “ไปกันต่อเถอะครับ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงถึงจุดพักระหว่างทาง”
ไม่นานมากนักก็มาถึงจุดพักจุดที่หนึ่ง มีนักท่องเที่ยวมักมายที่แวะพักที่นี่ เพราะบริเวณรอบๆ มีซุ้มอาหารตั้งเรียงรายอยู่หลายราย
“ทานข้าวกันก่อนดีกว่าครับ” ชานนท์เสนอ
“ดีครับ” ปกรณ์พยักหน้าเห็นด้วย
“คุณอยากกินอะไรครับ” ชานนท์ให้อีกฝ่ายเป็นคนเลือก
ปกรณ์กวาดสายตามองรอบๆ เมื่อเห็นร้านที่ถูกใจจึงหันกลับไปตอบ
“กินง่ายๆ ล่ะกันครับ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ส้มตำ”
“นี่ง่ายแล้วเหรอครับ” ชานนท์หลุดขำเพราะสิ่งที่ปกรณ์สั่งนั้นมันเป็นของหนักที่อาจจะทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนได้เชียวล่ะ
“ก็อยากกินครับ แต่ไม่เอาเผ็ดนะครับ พริกสองเม็ดพอ”
“ได้ครับ เดี๋ยวคุณนั่งรอก่อนนะครับ ผมจะไปสั่งให้” ปกรณ์ส่ายหน้าปฏิเสธ
“มาด้วยกัน... ก็ไปด้วยกันสิครับ” คำพูดของปกรณ์ทำเอาคนฟังยิ้มแก้มแทบปริ
“คุณรู้ตัวไหมครับ คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นขนาดมุ่งตรงไปสั่งอาหาร
“เหรอครับ”
“คุณยิ้มเก่งขึ้น กล้าพูดกล้าคุยมากขึ้น” ชานนท์อธิบาย
“ไม่หรอกครับ” ปกรณ์ปฏิเสธขณะเดินตามหลัง “ก็แค่กับคุณคนเดียว”
“เอาตำไทยพริกสองเม็ด ตับหวาน แล้วก็ไก่ทอด แล้วก็ข้าวเหนียวด้วยนะครับ” ชานนท์มัวแต่สั่งอาหารเลยไม่ได้ยินในสิ่งที่ปกรณ์พูด เขาจึงหันไปถาม “เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะครับ”
“อ้อ... เปล่าครับ” ปกรณ์ตอบยิ้มๆ
ไม่นานมากนัก อาหารที่สั่งไว้ก็เสร็จสรรพ ทั้งคู่ช่วยกันยกอาหารที่สั่งก่อนจะนั่งกินกันอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างกินราวกับอดอยากมาแต่ชาติปางไหน เพียงครู่เดียวเท่านั้น อาหารก็ถูกจัดการจนเกลี้ยง
“เอาไรอีกไหมครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นขณะที่อีกฝ่ายกำลังยกขวดน้ำขึ้นมาดื่ม
“พอแล้วครับ ขืนกินอีกได้เดินไม่ไหวกันพอดี”
“ครับ”
เวลาผ่านไปกว่า 6 ชั่วโมง ชานนท์และปกรณ์ก็สามารถพิชิตยอดภูได้สำเร็จ ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาทั้งหมดค่อยๆ จางหายไปเมื่อได้สัมผัสกับอาการที่หนาวเย็นบนยอดและมองเห็นที่พักอยู่ไกลๆ
“เหนื่อยไหมครับ” เป็นปกรณ์ที่เอ่ยปากถาม แม้เขาจะดูตัวผอมบางกว่าแต่เพราะชอบเดินถ่ายภาพตามท้องถนนไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากนัก เดินตั้งแต่เช้ายันค่ำเขาก็เคยทำมาแล้ว
“ก็นิดนึงครับ” ชานนท์ตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เขาเอาแต่นั่งทำงานอยู่ภายในห้อง เดินไปเดินมาก็แค่วันละนิดหน่อยเท่านั้น เรื่องออกกำลังกายยิ่งลืมไปได้เลย แค่ต้องมานั่งวิเคราะห์ปัญหาของผู้ป่วยในแต่ละวันพลังงานของเขาก็หมดแล้ว
“แต่ผมว่าไม่นิดนะครับ” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเหนื่อย แต่ให้เตรียมตัวหรือออกกำลังกายมาเป็นประจำก็ตาม การเดินทางขึ้นภูไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ ไม่เหนื่อยสิแปลก
“แล้วคุณไม่เหนื่อยเหรอครับ” ชานนท์ถามกลับ
“ก็เหนื่อยครับ” ชานนท์ตอบ แต่ตอนนี้เขาเริ่มจะกลับมาเป็นปกติแล้ว “แต่น่าจะไม่เท่าคุณ”
“คุณแข็งแรงกว่าที่ผมคิดอีกนะครับเนี่ย” ชานนท์เอ่ยยิ้มๆ เขาคิดว่าปกรณ์ที่รูปร่างผอมบางกว่าจะเหนื่อยง่าย แต่จากที่เดินทางมาด้วยกัน ปกรณ์ไม่แม้แต่จะปริปากบอกว่าเหนื่อยแม้แต่คำเดียว กลับกันเป็นเขาต่างหากที่รู้สึกเหนื่อยหอบและบอกให้อีกฝ่ายนั่งพักเรื่อยๆ
“ไม่หรอกครับ ผมแค่ชินกับการเดินไกลๆ ผมชอบเดินเรื่อยเปื่อยแล้วถ่ายรูปไปเรื่อยๆ น่ะครับ” ปกรณ์ตอบออกมา
“มิน่าล่ะ” ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ดูนี่สิครับ” ปกรณ์เขยิบเข้าไปใกล้ๆ แล้วยื่นภาพบนกล้องถ่ายรูปให้ดู “ตอนที่กำลังเดินผมถ่ายรูปคุณไว้เยอะเลย”
“เมื่อไหร่กันเนี่ย” ชานนท์เบิกตาด้วยความประหลาดใจ เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าโดนแอบถ่าย ปกรณ์เลื่อนภาพให้ดูเรื่อยๆ เขาโดนแอบถ่ายในหลายๆ อิริยาบถแถมทุกท่วงท่าที่ถ่ายนั้นเป็นอากัปกิริยาในตอนที่ไม่รู้ตัวทั้งสิ้น สีหน้าท่าทางล้วนเป็นธรรมชาติ
“ก็เรื่อยๆ น่ะครับ” คนถ่ายยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“ไม่ได้ละ ผมต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว คุณทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นเซเลปชื่อดังเลยนะครับเนี่ย” ชานนท์หยิบแว่นดำที่แขวนไว้อยู่บนคอเสื้อมาใส่ ก่อนจะเก๊กท่าที่คิดว่าตัวเองหล่อที่สุดให้ดูเหมือนกับคนดังจนปกรณ์ต้องหลุดขำ
“เซเลปอะไรกันครับ ผมไม่เอาภาพคุณไปปล่อยหรอกน่า”
“งั้นคุณก็จะเก็บไว้ดูคนเดียวสินะครับ ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกดีใจแปลกๆ แฮะ” ชานนท์พูดเย้าแหย่
“เปลี่ยนใจละ ผมเอาไปโพสต์ทุกภาพเลยดีกว่า” ปกรณ์ตอบกลับด้วยความหมั่นไส้นิดๆ
“ไม่ดีหรอกครับ” ชานนท์แย้งกลับก่อนจะยกแขนกอดคออีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด “เดี๋ยวผมดังคุณจะลำบากนะครับที่ต้องคอยตามหึงผม”
ปกรณ์ผลักร่างของอีกฝ่ายออกทันที
“หึงอะไรกันล่ะครับ” เขาส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา “ผมเพิ่งรู้นะครับเนี่ยว่าคุณนักจิตวิทยาเป็นโรคหลงตัวเอง”
“เป็นโรครักเดียวใจเดียวด้วยครับ” ชานนท์ขยับเข้าไปกอดคออีกครั้ง
“คุณ... ไปเอาของแล้วรีบไปพักกันเถอะครับ” ปกรณ์พูดด้วยน้ำเสียงอึกอักและไม่ยอมสบตา ชานนท์มักทำให้เขาใจเต้นแรงเสมอ
“ครับ” ชานนท์ยิ้มร่าเมื่อรู้ว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายหวั่นไหวด้วยสำเร็จ ...ช่างเป็นนักจิตวิทยาที่ขี้แกล้งเสียจริง
ทั้งคู่ไปเอาของที่ลูกหาบยกขึ้นมาให้ก่อนจะนำมันไปเก็บยังเต็นท์ที่พัก เต็นท์ที่พักที่ชานนท์ของไว้เป็นเต็นท์เล็ก เหมาะสำหรับนอนสองคน หรือมากสุดไม่ควรเกินสามคน หมอนและผ้าห่มมีให้เช่าซึ่งชานนท์ได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้จนเสร็จสรรพ
“เดี๋ยวเราพักกันก่อนนะครับ อีกสักชั่วโมงเราค่อยเดินทางไปดูพระอาทิตย์ตกกันนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นหลังเหลือบมองดูเวลา ตอนนี้เพิ่งบ่ายสองโมง ออกจากที่พักสักบ่ายสามโมน่าจะไม่มีปัญหา แม้ระยะทางไปชมพระอาทิตย์จะค่อนข้างไกล แต่บนภูก็มีจักรยานให้เช่า
“ครับ”
ทั้งคู่ออกจากเต็นท์ไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะกลับมาที่พักอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างทิ้งตัวลงนอนกับหมอนด้วยความเหน็ดเหนื่อย พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพราะแม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแต่ก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลย
“คุณชานนท์หลับหรือยังครับ” ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ปกรณ์ก็เอ่ยถามอีกฝ่าย
“ยังครับ” ชานนท์ตอบกลับ
“ผมตื่นเต้นจังเลยครับ ที่จะได้ไปดูพระอาทิตย์ตกในจุดเดียวกับที่น้องชายเขียนโปสการ์ดให้”
“ถ้าน้องชายคุณรู้ น้องคุณก็คงจะดีใจมากๆ ครับ”
“ผมอยากคุยกับเขาจัง” ปกรณ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่ผมก็กลัวทุกอย่างมันจะไม่เป็นไปตามที่ผมคิด”
“แล้วน้องชายคุณจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะครับ”
“ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะกลับมาไทยช่วงไหน แต่ถึงกลับมาเราก็คงไม่ได้พบกันหรอกครับ ผมคงไม่กล้าไปพบ แค่คิดว่าตัวเองเป็นพี่ชายของเขา ผมก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว น้องชายที่ทั้งหล่อและฉลาด ไม่สมควรมีพี่ชายแบบผมหรอกครับ”
“คุณคิดแบบนี้อีกแล้วนะครับ” ชานนท์แกล้งทำเสียงดุ “คุณค่าของคนมันไม่ได้วัดกันตรงนั้นนะครับ ถ้าผมเป็นน้องคุณ ผมคงดีใจที่มีพี่ชายที่คิดถึงเขาตลอดเวลาแบบนี้ แต่ผมเองก็สงสัยนะครับ คุณเคยบอกว่ากลัวเขา แต่เวลาพูดถึงเขา คุณดูมีความสุขมากๆ เลยนะครับ”
“เหรอครับ” ปกรณ์พลิกร่างหันหน้าไปหาอีกฝ่าย “เอาจริงผมก็กลัวเขานะครับ กลัวมากด้วย พอคิดถึงเรื่องแย่ๆ หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ในหลายๆ ครั้งผมก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ ผมอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองก็ได้ครับ”
“ผมชักอยากเจอน้องชายคุณซะแล้วสิ”
“ไม่ได้นะครับ ถ้าเขารู้ว่าผมเล่าเรื่องครอบครัวให้คุณฟัง เขาจะต้องไม่พอใจแน่” ปกรณ์รีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงร้อนรน แววตาของเขาแสดงออกถึงความเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วถ้าเป็นน้องปาณัฐล่ะครับ” ชานนท์ลองถามถึงอีกคน “ผมจะพบเขาได้ไหมครับ”
“กับปาณัฐเหรอครับ” ปกรณ์ทำสีหน้าครุ่นคิด เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้าย ทุกครั้งที่เจอกันมันจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขและสบายใจเสมอ ความรู้สึกนี้มันคล้ายๆ กับตอนที่อยู่กับชานนท์ เพราะฉะนั้นถ้าคนทั้งคู่ได้เจอกันจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร “ได้สิครับ”
ชานนท์พยักหน้ารับเบาๆ เขารู้สึกยินดีที่ไม่ได้รับฟังคำปฏิเสธ หากแต่นึกสงสัยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าปกรณ์พาเขาไปพบปาณัฐ แล้วเขาไม่สามารถมองเห็นคนคนนั้นได้ ปกรณ์จะรู้สึกอย่างไร จะทำใจยอมรับได้หรือไม่หากเขาบอกออกไปตรงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นเพียงจินตนาการที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยปกป้องความอ่อนแอในจิตใจ
คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวสมอง... แล้วถ้าปกรณ์ไม่เชื่อ เขาจะยังคงได้รับความไว้วางใจหรือไม่ ความสัมพันธ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันจะเปลี่ยนไหมไหม
“ไว้ถ้าเรากลับกันเมื่อไหร่ผมจะนัดให้นะครับ”
------------------------
ภายในโรงพยาบาล... ประสิทธิ์และฤทัยดีกำลังเดินหาแผนกจิตเวช พวกเขาสอบถามพยาบาลระหว่างทางจนกระทั่งในที่สุดก็ถึงจุดหมาย
“คือผมอยากจะมาเยี่ยมผู้ป่วยที่ชื่อปกรณ์ครับ” ประสิทธิ์สอบถามข้อมูลกับพยาบาลที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าแผนก
“ขอโทษนะคะ คุณเป็นอะไรกับผู้ป่วยคะ” พยาบาลถามกลับหลังจากที่ค้นประวัติผู้ป่วยจากรายชื่อที่ได้ฟังมา
“ผมเป็นพ่อเขาครับ” ประสิทธิ์ยื่นบัตรประชาชนให้ดู “นี่นามสกุลผมครับ เรานามสกุลเดียวกัน”
“อ่อค่ะ” พยาบาลพยักหน้าก่อนจะเช็คประวัติอย่างละเอียดอีกที “คุณปกรณ์ไม่ได้พักที่โรงพยาบาลนะคะ เขามาทำการรักษาที่นี่กับคุณหมอเกื้อค่ะ รู้สึกจะมีนัดอีกทีอีกสองวันข้างหน้าค่ะ”
“อ่อครับ พอดีเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมเลยไม่รู้ข้อมูลลูกชายเท่าไหร่” ประสิทธิ์อธิบายเหตุผลเพราะกลัวว่าพยาบาลจะจับผิด “งั้นผมขอพบหมอเกื้อได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ แต่รออีกประมาณครึ่งชั่วโมงนะคะ พอดีหมอกำลังดูแลผู้ป่วยอยู่ เดี๋ยวเชิญนั่งรอที่หน้าห้องเลยค่ะ ดิฉันจะแจ้งให้นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
เวลาผ่านไปจนกระทั่งครึ่งชั่วโมง ไม่นานมากนัก พยาบาลคนเดิมก็เดินมาแจ้งประสิทธิ์ว่าให้เข้าไปพบหมอเกื้อที่ห้องทำงานได้เลย
ห้องทำงานของหมอแผนกจิตเวชดูโล่งและปลอดโปร่งกว่าแผนกอื่นๆ ประสิทธิ์และฤทัยดีรู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับการเข้าพบเพราะรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยเสียเอง
“สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อนครับ” หมอเกื้อลากเก้าอี้มาให้คนทั้งสองด้วยท่าทีที่สุภาพ
“คือผมอยากมาถามหมอเรื่องของเจ้าปกรณ์” หลังจากที่นั่ง ประสิทธิ์ก็เปิดประเด็นที่ต้องการพูดคุยทันที “ผมเป็นพ่อของมันน่ะครับ พยาบาลคงบอกหมอแล้วใช่ไหมครับ”
“ครับ” หมอเกื้อพยักหน้า “คุณพ่อมีอะไรสงสัยถามมาได้เลยนะครับ”
“คือผมอยากจะทราบอาการของมันน่ะครับ” ประสิทธิ์ถามตรงๆ เขาไม่ชอบอ้อมค้อม
“อาการของคุณปกรณ์ผมยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้แน่ชัดนะครับ แต่มองดูเผินๆ อาการของคุณปกรณ์ดูเหมือนคนปกติทั่วไป แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกันมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับ คุณปกรณ์มีความคิดผิดๆ อยู่ในสมองหลายเรื่อง และจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาแบบจริงจังนะครับ” หมอเกื้ออธิบายคร่าวๆ เขาไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้ฟังทั้งหมด เพราะถึงแม้จะเป็นพ่อลูกกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าคนคนนี้อาจจะมีส่วนที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแบบนี้
“อย่างนั้นเหรอครับ” ประสิทธิ์หน้าเครียด ภาพความทรงจำต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัวสมอง หลายครั้งที่เขาทำร้ายภรรยาต่อหน้าปกรณ์ จนกระทั่งเธอเสียชีวิต และเขารู้ตัวดีว่าไม่เคยมอบความรักให้กับปกรณ์เลยผิดกับลูกชายอีกคน “แล้วถ้าไม่ได้รับการรักษา มันจะเป็นอะไรมากไหมครับ”
“ผมต้องขอโทษที่พูดตรงๆ นะครับ ถ้าไม่ได้รับการรักษา เขาอาจจะกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบไปเลย หรือ... อาจจะเครียดจนทำร้ายผู้อื่นโดยที่ไม่รู้ตัวครับ”
“หนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ประสิทธิ์เริ่มเครียด เขาชักลังเล แม้จะเห็นด้วยกับฤทัยดีแต่ก็อดเป็นห่วงปกรณ์ไม่ได้เช่นกัน
“คุณพี่คะ” ฤทัยดีที่สังเกตเห็นว่าสามีของหล่อนลังเล หล่อนจึงเขยิบเข้าไปกระซิบใกล้ๆ “ถ้าลูกชายพี่เข้ารับการรักษา เขาอาจจะเผลอพูดเรื่องของพี่ เรื่องของเรากับหมอก็ได้นะคะ คุณพี่จะเสียชื่อเสียงเอาได้นะคะ”
สิ่งที่ฤทัยดีพูดมานั้นมีเหตุผล แน่นอนว่าการเข้ารับการรักษาอาการป่วยทางจิต ผู้ป่วยจะต้องเล่าถึงเหตุการณ์ร้ายๆ ในอดีตให้หมอฟังเพื่อเป็นแนวทางในการรักษา และหากเป็นเช่นนั้นปกรณ์ก็อาจเล่าถึงการกระทำแย่ๆ ที่เขาเคยแสดงต่อหน้าลูก ทั้งการที่แม่ของปกรณ์จับได้ว่าเขาเป็นชู้กับฤทัยดีคาหนังคาเขา ทั้งการที่เขาตบตีภรรยาเก่า
พอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ประสิทธิ์ก็รู้สึกผิดเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่แม่ของปกรณ์ประสบอุบัติเหตุกระทั่งถึงแก่ชีวิต เขาก็แทบไม่สนใจปกรณ์เลย เอาแต่แสดงความรักใคร่กับฤทัยดีจนในที่สุดมีลูกชายอีกคน
ระหว่างจัดงานศพ ประสิทธิ์ก็เอาแต่ขังปกรณ์ไว้ในบ้านเพราะรำคาญที่เขาเอาแต่ร้องไห้โหยหาแม่ ปกรณ์ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ฟังพระสวดสักคืน ในตอนนั้นปกรณ์ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าการประสบอุบัติเหตุของแม่ คือการที่แม่จะต้องจากเขาไปตลอดชีวิต
อีกทั้งยังอีกหลายเหตุการณ์ในวัยเด็ก นั่นจึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ปกรณ์เครียดจนมีอาการทางจิต แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ฤทัยดีพูดก็ไม่ผิด ...เขาจะยอมเสียชื่อเสียงไม่ได้
“ขอบคุณครับหมอ เดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ประสิทธิ์ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องทันทีที่พูดจบ ฤทัยดีวิ่งตามเขาไปจนกระทั่งออกจากห้อง
“พี่คะ คุณพี่จะยอมให้ปกรณ์รักษาไม่ได้นะคะ” หล่อนพูดอีกครั้ง
“พี่รู้” ประสิทธิ์ตอบ “แต่เราคงคุยเรื่องนี้กับหมอตรงๆ ไม่ได้ พี่จะไปคุยกับไอ้ปกรณ์ห้ามไม่ให้มันทำการรักษาด้วยตัวของพี่เอง”
ฤทัยดีกระตุกยิ้มออกมาในทันที แววตาเจ้าเล่ห์ฉายชัดว่าหล่อนกำลังคิดวางแผนที่จะทำอะไรบางอย่างกับปกรณ์
จบตอน
-
ไม่สมควรชื่อฤทัยดี ควรชื่อฤทัยทราใ :mew5:
ไม่น่ามีพ่อโง่เลยปกรณ์ :katai4:
ชานนท์ดูแลปกรณ์ดีๆนะ :mew2:
-
นี่คิดว่ามีลูกคนเดียวหรือเปล่า ทำไมทำอย่างกับปกรณ์ไม่ใช่ลูก
เราว่าทั้งเรื่องภรรยาคนแรกเสียชีวิต กับอาการป่วยของปกรณ์ ยังป้าฤทัย...นี่ต้องมีเอี่ยวแน่
-
เครียดได้อีก ฤทัยดีกับพ่อนี่หืมม น่าตบ
ส่วนชานนท์กับปกรณ์ น่ารักมุ้งมิ้งมาก
รักคุณชานนท์จัง
-
เห๊อะ ห่วงชื่อเสียงมากกว่าสุขภาพจิตใจของลูกแท้ๆ ของตัวเองหรอคุณพ่อ ตอนแรกก็นึกว่าจะคิดได้นะ เหมือนแอบห่วงลูก
พอฤทัยชั่ว เอ้ย ฤทัยดีพูดนิดหน่อยก็เชื่อ หลงอะไรขนาดนั้น
เกลียดฤทัยดีมาก เลวจริง ที่ปกรณ์เป็นแบบนี้ นอกจากพ่อ
อีกสาเหตุใหญ่ก็คงมาจากฤทัยดีเนี่ยแหละ โอ้ย อยากถีบว่ะ
-
เพิ่งอ่านได้ 4 ตอน คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมากค่ะ ให้กำลังใจในการเขียนนะคะ จะรอติดตามค่ะ
-
ตอนที่ 13
พระอาทิตย์สุดเส้นขอบฟ้ากำลังคล้อยต่ำลงจนเกือบจะหายไป ท้องฟ้าที่เคยสดใสค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิด แสงสีทองที่สาดส่องออกมานั้นได้เนรมิตให้ก้อนเมฆตรงหน้ากลายเป็นสีดำทมิฬ เมฆสีดำที่ตัดกับแสงสีส้มนั้นดูสวยงามราวกับโลกในจินตนาการ
ปกรณ์หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเบื้องหน้า วิวทิวทัศน์ในยามนี้ดูคล้ายกับโปสการ์ดที่เขาได้รับมาจากน้องชาย ธรรมชาติมักมีอะไรให้ชื่นชมและตื่นตาตื่นใจเสมอ เขารู้แล้วว่าเพราะเหตุใดน้องชายจึงอยากให้เขามาดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่
“เอ๊ะ... คุณ... ชานนท์ใช่ไหมครับ” ระหว่างที่กำลังถ่ายภาพอยู่นั้น เสียงของใครบางคนที่ดังขึ้นได้ทำให้ปกรณ์และชานนท์ที่กำลังถ่ายภาพอยู่หันไปให้ความสนใจ
“อ้าว... คุณศรันย์” ชานนท์เรียกชื่อของคนที่เอ่ยทักบ้าง “ภูษิตก็มาด้วยนี่ครับ”
“สวัสดีครับคุณชานนท์” ภูษิตยกมือไหว้ เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี รูปร่างผอมบาง ผิวขาวสูงประมาณร้อยหกสิบปลายๆ
“สวัสดีครับ เป็นไงเรา มาเที่ยวเหรอครับ” ชานนท์ยื่นมือไปขยี้ศีรษะอย่างคุ้นเคย
“ใช่ครับ” ภูษิตพยักหน้า ดูเหมือนว่าเขามีท่าทีประหม่าเล็กน้อย
“พอดีผมมาภูษิตมาเปิดหูเปิดตาน่ะครับ ตั้งแต่ที่เข้ารับการรักษาอาการของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ” ศรันย์ตอบออกมา “แล้วนั่น คุณชานนท์มากับใครครับ”
“อ้อ... นี่คุณปกรณ์ครับ” ชานนท์แนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน “ส่วนนี่คุณศรันย์และภูษิตนะครับ”
ทั้งสองฝ่ายยิ้มและกล่าวทักทายกันอย่างเขินๆ โดยเฉพาะปกรณ์กับภูษิต เนื่องจากทั้งคู่ไม่คุ้นเคยกับการพูดคุยกับคนแปลกหน้าสักเท่าไร
“แล้วนี่คุณศรันย์จะไปที่ไหนต่อครับ” ชานนท์ถาม
“ผมคงพาภูษิตกลับไปที่พักครับ นี่ก็มืดแล้วด้วย เดี๋ยวภูษิตจะคิดมากน่ะครับ” ศรันย์หันไปมองภูษิตด้วยความกังวล
“รีบกลับที่พักเถอะครับพี่” ภูษิตกระตุกชายเสื้อเบาๆ สายตาของเขาลอกแลกเหมือนมีความหวาดกลัวอะไรบางอย่างในใจ
“เราก็จะกลับพอดี งั้นกลับพร้อมกันเลยดีไหมครับ ผมจะได้ดูอาการของภูษิตด้วย” ชานนท์เสนอ
ภูษิตเป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เขามีอาการกลัวความมืดขั้นรุนแรง และกลัวการเข้าสังคม เขาไม่พูดคุยกับคนแปลกหน้า จนกระทั่งนานวันเข้า เขาก็ลืมพ่อแม่ตัวเอง มีเพียงศรันย์ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเท่านั้นที่ภูษิตไว้วางใจและพูดด้วย เนื่องจากศรันย์เคยมาเล่นกับภูษิตอยู่บ่อยครั้งเมื่อเขายังเป็นเด็ก แล้วก็แวะมาหาเรื่อยๆ ศรันย์จึงเปรียบเสมือนเพื่อนเพียงคนเดียวของเขา
เหตุผลที่ทำให้ภูษิตกลัวความมืดเพราะเขาเคยถูกขังอยู่ในห้องเก็บของที่บ้านทั้งคืนตอนอายุ 3 ขวบ และเนื่องจากพ่อแม่ของภูษิตไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกของตน ต่างคนต่างเอาแต่ทำงานหรือพบปะกับสังคมเพื่อนฝูง ทิ้งลูกเอาไว้บ้านคนเดียว ไม่มีแม้แต่พี่เลี้ยงที่คอยดูแล นานวันเข้าความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูกก็ค่อยๆ หายไป
ภูษิตมักโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่เล็กจนโต เคยพยายามจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟังแต่พวกเขาก็ไม่สนใจ ภูษิตโดนเพื่อนล้อเรื่องพ่อแม่มาตลอด บ้างก็หาว่าเป็นลูกกำพร้า บ้างก็หาว่าพ่อแม่เสียแล้ว เนื่องจากเวลามีงานโรงเรียนพ่อกับแม่ของเขาไม่เคยไปที่โรงเรียนแม้แต่ครั้งเดียว
บางครั้งคุณครูก็ไม่เข้าใจ ดุว่าภูษิตเป็นเด็กมีปัญหาครอบครัว ความเครียด ความน้อยใจต่างๆ ที่ถูกสะสมมาทำให้ท้ายที่สุดในวันหนึ่ง... ภูษิตก็ลืมพ่อกับแม่ของตัวเอง มันเป็นอาการของคนที่สูญเสียความทรงจำของคนที่ตัวเองรักและไว้ใจมากที่สุดไปชั่วขณะ เพราะเขารู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า จนทำให้ในที่สุดก็คิดว่าคนคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่จริง
“ตอนนี้ภูษิตจำได้หรือยังครับ” ชานนท์ถามศรันย์เสียงเบา แม้ไม่บอกว่าหมายถึงใครแต่ศรันย์ก็เข้าใจดีว่าหมายถึงพ่อกับแม่
“ยังเลยครับ แต่เริ่มกล้าพูดคุย กล้าสบตากับคนอื่นมากขึ้นแล้วครับ”
“ดีแล้วครับ เพราะมีคุณศรันย์คอยช่วยเหลือเด็กคนนี้ ทุกอย่างก็เลยดีขึ้นเรื่อยๆ”
“ครับ ยังไงเราก็เป็นญาติกัน เขาก็เหมือนน้องชายแท้ๆ ของผมคนหนึ่งน่ะครับ” ศรันย์ตอบออกมาก่อนจะหันไปสนใจปกรณ์บ้าง “แล้วคุณปกรณ์นี่เป็นเพื่อนคุณชานนท์เหรอครับ”
ชานนท์หันไปมองปกรณ์ เขาไม่แน่ใจว่าควรตอบอย่างไรดี สถานะความสัมพันธ์ในตอนนี้เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ผมเองก็เป็นคนป่วยของคุณชานนท์เหมือนกันครับ” ปกรณ์ตัดสินใจตอบออกมาเอง เขารู้ว่าชานนท์คงใจอึกอักและกลัวว่าตัวเขาจะคิดมาก
“จริงเหรอครับ” ศรันย์ทำน้ำเสียงตื่นเต้น “งั้นคุณสบายใจได้เลยนะครับ คุณชานนท์เป็นนักจิตวิทยาที่เก่งมากๆ ไม่ว่าคุณจะมารักษาด้วยเหตุผลอะไร ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณหายไวๆ นะครับ”
“ขอบคุณครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเกร็งๆ แม้จะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีมนุษยสัมพันธ์แต่เขาก็ไม่ชินอยู่ดี “ผมก็ขอให้น้องภูษิตหายดีเหมือนกันนะครับ”
“ขอบคุณครับคุณปกรณ์” ศรันย์ยิ้มรับ
“อ้อ... จริงด้วย” ชานนท์แทรกขึ้น “เดี๋ยวคุณปกรณ์จะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแล้วนะครับ ถ้าโชคดีน่าจะมีโอกาสได้เจอน้องภูษิตในการบำบัดแบบหมู่นะครับ”
“บำบัดแบบหมู่งั้นเหรอครับ อ่อ... ที่คุณหมอเกื้อเคยบอกสินะครับ บอกว่าต้องให้เวลาภูษิตคุ้นเคยกับคนอื่นๆ อีกสักระยะ”
“ใช่ครับ”
“แล้วจะเป็นไรไหมครับ ถ้าให้ภูษิตทำความสนิทสนมกับคุณปกรณ์ซะตั้งแต่ตอนนี้” ศรันย์เอ่ยถามพลางเอื้อมมือไปจับกับมือของน้องชายเอาไว้
“ไม่มีปัญหาครับ” ชานนท์ตอบออกมา
“เจ้าภู” ศรันย์กอดคอภูษิตด้วยความสนิทสนม “นี่คุณปกรณ์นะ เป็นผู้ป่วยของคุณชานนท์เหมือนกับภูษิต สวัสดีพี่เขาสิครับ”
“สวัสดีครับ” ภูษิตปฏิบัติตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เด็กชายเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“สวัสดีครับ” ปกรณ์ยกมือรับ พอเห็นภูษิตมีท่าทีแบบนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมาทันที เด็กคนนี้คงจะเจอเหตุการณ์ร้ายๆ เช่นกัน พอคิดดังนั้นก็รู้สึกสงสารและเข้าอกเข้าใจ
ปกรณ์มองภูษิตตาเขม็งโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว ภาพเหตุการณ์ในตอนที่แม่เห็นพ่อนอนอยู่บนเตียงกับผู้หญิงคนอื่น ภาพที่พ่อตบตีแม่มันย้อนเข้ามาในห้วงความคิด เขารับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเหล่านั้น ฉับพลันน้ำตาก็ไหล... แล้วเด็กคนนี้ล่ะต้องผ่านกับอะไรมาบ้าง
ปกรณ์ขยับเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงแล้วโผเข้ากอดภูษิต จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาทำแบบนั้น ภูษิตตกใจในทีแรกแต่พอเห็นน้ำตาของปกรณ์รินไหลลงมาไม่ขาดสาย ความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยและกลายเป็นความสงสารในที่สุด
ภูษิตยกแขนขึ้นมาโอบกอดอีกฝ่ายเช่นกัน... กอดเพราะอยากปลอบโยน กอดเพราะเขาเคยผ่านช่วงเวลาที่ร้องไห้มาอย่างโดดเดี่ยวมานับครั้งไม่ถ้วน
ภูษิตนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเองร้องไห้ ภาพต่างๆ ลอยเข้ามาในหัวสมอง ฉับพลันความทรงจำบางอย่างก็ทำให้เขาลืมไปว่าคนที่กำลังกอดอยู่ไม่ใช่ปกรณ์
“ไม่เป็นไรนะครับ” ภูษิตเอ่ยเสียงเบากับคนที่กำลังสะอื้นไห้ “ร้องออกมาเลยครับพ่อ ร้องออกมาจนกว่าพ่อจะสบายใจ ผมจะอยู่กับพ่อตรงนี้ ไม่ทิ้งพ่อไปไหน”
ศรันย์และชานนท์มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างงุนงง เขาไม่อาจรับรู้ได้ว่าคนทั้งสองกำลังคิดอะไร แต่ก็ปล่อยให้คนทั้งคู่ได้สื่อสารกันต่อไปทั้งทางร่างกายและวาจา
ปกรณ์ยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตา เขาสับสนที่ถูกภูษิตเรียกว่า ‘พ่อ’ จึงเหลือบสายตาไปมองชานนท์ราวกับต้องการจะสอบถามว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะตอบอะไร คำพูดประโยคถัดไปของภูษิตก็ทำให้ปกรณ์รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
“ผมรู้ว่าพ่อเจ็บปวดแค่ไหนกับสิ่งที่เจอ แม้พ่อจะไม่รักผม แม้พ่อจะไม่เห็นผมในสายตา แต่ผมก็รักพ่อนะครับ” น้ำเสียงของภูษิตสั่น ตัวของเขาสั่นสะท้านหากแต่ไม่มีน้ำตารินไหลลงมา ราวกับว่ากำลังพยายามแสร้งทำตัวเข้มแข็งเพื่อปกปิดความอ่อนแอของตน
ปกรณ์กอดภูษิตเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน แสร้งทำตัวเป็นพ่อเพื่อให้ภูษิตมีความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจต่อไป
คำพูดของภูษิตนั้นเหมือนกุญแจสำคัญในการรักษา ก่อนหน้านี้ชานนท์และศรันย์ไม่เคยรู้เลยว่าพ่อของเขามีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรกันแน่ ภูษิตคงไม่กล้าบอกใคร ทำได้เพียงเก็บความทรมานเหล่านั้นไว้ในจิตใจตัวเองคนเดียว แม้ในตอนนี้เขาจะจำพ่อกับแม่ของตัวเองไม่ได้ แต่ความรู้สึกทุกอย่างภูษิตยังคงจำได้เป็นอย่างดี
“คุณชานนท์ครับ” ศรันย์เขยิบเข้าไปกระซิบถาม “ถ้าภูษิตเข้าใจว่าคุณปกรณ์คือพ่อต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้นครับ”
“มันเหมือนจะดีนะครับ ถ้าให้คุณปกรณ์แกล้งเป็นพ่อแล้วทำดีกับภูษิตต่อไป ภูษิตอาจจะมีอาการดีขึ้นหรือมีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับพ่อ” น้ำเสียงของชานนท์แสดงออกถึงความเครียดเล็กน้อย “แต่ถ้าทำแบบนั้นมันน่าจะเป็นผลร้ายมากกว่า ถ้าวันหนึ่งเขารู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการแสดง ความทรงจำดีๆ ที่เกิดขึ้นของเขาคงพังทลายลงไป อาจส่งผลให้จิตใจของภูษิตย่ำแย่และอาจทำให้ภูษิตไม่ยอมรับรู้อะไรอีกเลย... เขาอาจจะอยู่อย่างเลื่อนลอยในโลกที่มีแต่ตัวเองเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรห้ามสิครับ” ศรันย์เริ่มทุกข์ใจ
“ผมคิดว่าไม่ทันแล้วล่ะครับ” ชานนท์ตอบเสียงเบา “ผมต้องกลับไปปรึกษากับหมอเกื้อ และภูษิตอาจต้องเข้าทำการรักษากับทางโรงพยาบาลพร้อมๆ กับคุณปกรณ์ หรือถ้าโชคดีที่สุด เราต้องภาวนาให้พรุ่งนี้ภูษิตตื่นมาแล้วลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นและแยกได้เองว่าคุณปกรณ์ไม่ใช่พ่อ”
ไม่ใช่แค่ศรันย์ที่ทุกข์ใจ ชานนท์เองก็ทุกข์ใจไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าภูษิตไม่หายเป็นปกติ ปกรณ์ก็จะลำบากไปด้วยเพราะต้องเล่นบทพ่อทั้งยังต้องทำการรักษาตัวเองด้วย และอาจต้องใกล้ชิดกับภูษิตจนขาดความเป็นส่วนตัว
ส่วนปกรณ์ในตอนนี้ยังคงเล่นบทพ่อต่อไปด้วยความเต็มใจ เขารู้สึกดีที่ทำให้ภูษิตมีความสุขโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเรื่องยุ่งๆ กำลังจะเกิดขึ้น
-------------
คืนนี้... ปกรณ์ไม่อาจข่มตานอนได้ หลังจากที่เขาต้องไปนั่งเฝ้าภูษิตในเต็นท์อยู่หลายชั่วโมง เขาก็ต้องทราบข่าวร้ายจากชานนท์เกี่ยวกับอาการของภูษิต
ปกรณ์ไม่คิดเลยว่าความหวังดีที่เกิดขึ้นมันจะทำให้เรื่องเลวร้ายลง เขานึกโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุทำให้ทุกคนต้องวุ่นวาย ...บางทีอาจจะดีถ้าไม่มีเขาบนโลกใบนี้ เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นมันจะได้จบลงสักที
ปกรณ์ปล่อยให้อารมณ์ความเครียดชั่ววูบอยู่เหนือเหตุผลจนเผลอให้ครอบงำจิตใจ เขาหันไปมองชานนท์อย่างระมัดระวัง เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิทจึงแอบออกไปนอกเต็นท์
แม้ความมืดมิดจะปกคลุมทั่วแผ่นฟ้าและผืนป่า แต่ปกรณ์กลับรู้สึกว่ามันสว่างไสวกว่าจิตใจของเขาที่กำลังมืดสนิท
ปกรณ์สาวเท้าไปเรื่อยๆ ท่ามกลางผืนป่าที่มืดมิด ทุกสรรพสิ่งรอบข้างดูสงบ มันเงียบสงัดจนดูเหมือนว่าบนโลกนี้มีเพียงเขาเท่านั้น
ในเมื่อเขาเป็นตัวการที่ทำให้ทุกอย่างมันวุ่นวาย เขาก็ควรจะทำให้ทุกอย่างมันจบลงพร้อมๆ กับลมหายใจของเขา
ขณะนั้น... ภาพความทรงจำก็ได้ฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง มันตอกย้ำให้ปกรณ์รู้ว่าเขาไม่มีค่าควรที่จะเกิดมาบนโลกใบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
วันนั้น... เป็นอีกครั้งที่พ่อกับแม่มีปากเสียงกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่แม่จับได้ว่าพ่อคบชู้กับฤทัยดีเพียงไม่กี่วัน
“พี่สิทธิ์ พี่ต้องเลิกกับอีนั่นนะ พี่ทำแบบนี้ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เดี๋ยวใครๆ ก็นินทาแล้วลูกเราก็จะกลายเป็นเด็กมีปัญหานะ” แม่พูดเสียงสะอื้นขณะที่อยู่บนเตียงนอน
“โอ๊ยอีนี่หนิ กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่ากูรักฤทัยดี กูไม่เลิกกับฤทัยหรอก” ในมือของพ่อถือขวดเหล้า เวลาที่พ่อเมาทีไรพ่อมักจะพ่นคำหยาบออกมาทุกที
“แล้วฉันล่ะ! พี่ไม่สงสารฉันบ้างเหรอ พี่จะให้ฉันเป็นเมียหลวงแล้วยอมรับอีนั่นเป็นเมียน้อยเหรอ ฉันทำไม่ได้หรอก เรามีลูกด้วยกันแล้วนะพี่” แววตาของแม่ในขณะนั้นมีแต่ความเจ็บปวด
“หรือมึงอยากเป็นเมียน้อย” และประโยคนี่พ่นออกมาจากโสมมของพ่อได้ทำให้แววตาของแม่ระทมมากยิ่งขึ้น
แม่นิ่งไปชั่วขณะ เด็กชายไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าตอนนั้นแม่ของเขาต้องทรมานแค่ไหน การมีชีวิตอยู่ราวกับตายทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นอย่างไร
น้ำตาของคนเป็นแม่ไหลลงมาไม่ขาดสาย เมื่อไม่สามารถปลอบให้ตัวเองสงบได้แม่ก็หันไปกอดพ่อ
“ไม่นะพี่ ฉันไม่อยากเป็นเมียน้อย” แม่พูดทั้งน้ำตา เธอไม่คิดว่าจะได้ยินคำๆ นี้พ่อออกมาจากปากของคนที่เป็นสามี
“งั้นมึงก็ต้องเชื่อฟังกู หึ” พ่อกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ สายตาของพ่อไม่หลงเหลือความรักให้แม่เลยสักนิด
“ฉันจะเชื่อฟังพี่จ้ะ” แม่เขยิบเข้าไปกอดพ่ออยากออดอ้อน หากแต่กลับโดนพ่อผลักออกมาเต็มแรง
“มึงอย่ามากอดกู มึงทำกูอารมณ์เสีย เดี๋ยวคืนนี้กูจะเรียกฤทัยดีมานอนด้วย ส่วนมึงจะไปนอนที่ไหนก็ไสหัวไปซะ”
“พี่!!!” แม่ร้องด้วยน้ำเสียงขัดใจ “แล้วลูกล่ะ พี่มีลูกแล้วนะ พี่ไม่นึกถึงฉันก็นึกถึงลูกของพี่บ้างสิ”
“มึงอย่าเอาลูกมาอ้าง! มึงไม่ได้รักลูกจริงๆ มึงก็เห็นลูกเป็นแค่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้ต่อรองกู กูรู้... ที่มึงท้องก็เพราะมึงตั้งใจจับกู มึงอยากให้กูเล่าความสารเลวของมึงต่อหน้าลูกใช่ไหม” พ่อเริ่มมีน้ำโหอีกครั้ง
“ไม่ใช่นะพี่” แม่พยายามเถียง
“มึงฟังไว้นะไอ้ปกรณ์ แม่มึงขึ้นปล้ำกูตอนที่กูเมา มันจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง อีแพศยา! กูยอมรับว่ากูพลาดท่า แต่เพราะกูเมาหรอกนะ ไม่งั้นไอ้ปกรณ์ไม่มีวันได้เกิดมาลืมตาดูโลกหรอก มึงก็แค่ใช้มันเป็นเครื่องมือในการจับกู” พ่อตะคอกเสียงดังลั่น “อีดอกทอง!”
“เออ! กูทำเอง กูตั้งใจจะจับมึง แล้วไง ลูกก็เกิดมาแล้ว กูก็รักของกู” แม่เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาบ้างหลังจากที่โดนดูถูก
“มึงกล้าขึ้นเสียงกับกูเหรอ” พ่อฟาดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าของแม่เต็มแรง “มึงไม่ได้รักมัน มึงใช้มันเป็นเครื่องมือ ไอ้ปกรณ์มึงฟังไว้นะ แม่ของมึงไม่ได้รักมึง แม่ของมึงใช้มึงเพื่อจับกู และกูก็ไม่มีทางรักลูกแบบมึง”
ปกรณ์พยายามจบภาพความทรงจำไว้แค่นั้น... เขาไม่สามารถทนเห็นฉากถัดไปได้ไหว เพียงแค่นี้หัวใจของเขาก็เจ็บปวดมากเกินทน
เขาเป็นลูกที่เกิดมาเพราะความไม่เต็มใจของพ่อ
เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่ทะเลาะกัน
แม่มีเขาเพราะต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือในการจับพ่อ
พ่อมักพูดย้ำต่อหน้าแม่ว่าไม่คิดจะรักลูกอย่างเขา
แม่เอง... ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เพราะสิ่งที่แม่ทำกับพ่อก็เลวร้ายพอควร
พ่อเอง... ก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษ ไม่มีความรับผิดชอบและเอาแต่ทำร้ายแม่
แต่ไม่ว่าทั้งแม่และพ่อจะเลวร้ายเพียงใด... ปกรณ์ก็ไม่อาจเกลียดพวกเขาได้ลง ในเมื่อเขาไม่ควรเกิดมาตั้งแต่ต้น แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่เขาควรมีชีวิตอยู่ต่อไป
ปกรณ์ก้าวเท้าต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความเจ็บปวด น้ำตาของเขาไหลลงมาไม่ขาดสาย ภาพในความทรงจำมีแต่สิ่งร้ายๆ ที่ย้ำเตือนว่าเขาไม่มีค่า
“แม่... รอกรอีกนิดนะครับ เดี๋ยวกรจะไปอยู่กับแม่” ปกรณ์พึมพำออกมาก่อนจะหยุดแหงนหน้าบนท้องฟ้าที่มืดมน
หนทางที่ยาวไกลทำให้ปกรณ์รู้สึกเหนื่อยหอบ... เมื่อไรจะถึงหน้าผาสักที ความมืดมิดเป็นอุปสรรคต่อการเดิน เพราะปกรณ์ไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้าที่กำลังก้าวขาต่อไปจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
ระหว่างนั้นเอง... ภาพของใครบางคนที่แทรกเข้ามาในหัวสมองก็ทำให้ปกรณ์ชะงัก
“คุณชานนท์”
รอยยิ้มของคนคนนี้ทำให้เขาเริ่มลังเลใจ...
เขาควรจะเดินต่อไปหรือไม่ หรือควรกลับไปยังเส้นทางที่เดินผ่านมา...
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ก่อนหน้านี้เวลาที่เครียด เขาจะต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดเพียงคนเดียว แต่เพราะอะไร... ผู้ชายคนนี้ถึงโผล่ขึ้นมาในความคิดขณะที่เขากำลังเจ็บปวดได้
“คุณอย่าทำให้ผมลังเลสิครับ” ปกรณ์พึมพำกับตัวเอง
“ทำไมคุณต้องทำดีกับผม ทำไม... สิ่งที่คุณทำ คุณเต็มใจ หรือทำเพราะหน้าที่กันแน่ ผมจะเชื่อคุณได้ไหม เพราะขนาดพ่อกับแม่ก็ยังไม่รักผมจริง คนอย่างผมน่ะ... มันไม่คู่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ใช่ไหมครับ”
ปกรณ์ทรุดลงกับพื้น ความคิดของเขากำลังตีกันอยู่ในหัวสมอง ร่างกายสั่งให้เดินต่อไป... ไปให้ถึงริมผา ทว่าหัวใจกับสั่งให้หยุด... หยุดเพราะอยากเห็นรอยยิ้ม อยากกลับไปสัมผัสกับอ้อมกอดของใครบางคนที่แสนดี
“ผมจะเชื่อความรู้สึกคุณได้มากแค่ไหนกัน”
จบตอนครับ
อ่านตอนนี้คิดยังไงก็ระบายออกมาได้เลยครับ T_T
ดีใจที่ได้อ่านคอมเม้นท์นะครับ มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย
-
ชาน๊นนนนนนนน ไปช่วยปกรณ์เร๊ววววววว :katai1:
สงสารปกรณ์ :mew6:
-
อดีตที่เลวร้ายจริงๆ ถ้าเลิกยึดติดกับอดีตได้คงไม่เป็นงี้
ได้แต่ขอให้ปกรณ์หายไวๆ แล้วอยู่กับปัจจุบัน ชานนท์อยู่ข้างๆปกรณ์นะ เวลาปกรณ์อยู่ในภาวะที่จิตใจอ่อนแอรู้สึกแย่จริงๆ
ดีนะ ที่นึกถึงชานนท์ ไม่งั้นเดินไปตกผาแน่นอน
-
:o12:
สงสารปกรณ์มาก เข้าใจความเจ็บปวดของปกรณ์
ปกรณ์อย่าโทษตัวเองนะลูก ต้องเชื่อในตัวคุณชานนท์นะ
รอนะคะ กำลังอิน อ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบเลยค่ะ
-
อ่านแล้วหน่วงนิดๆ รอติดตามครับ :hao5:
-
ตอนที่ 14
ชานนท์ที่กำลังหลับใหลเพราะความเหน็ดเหนื่อยได้ถูกปลุกขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงเอะอะโวยวายที่ดังขึ้นจากภายนอกเต็นท์ และความตกใจของเขาก็เพิ่มขึ้นเมื่อหันไปมองข้างๆ แล้วไม่พบกับร่างของใครอีกคน
ชานนท์รีบออกจากเต็นท์ทันที ภายนอกดูชุลมุนวุ่นวาย มีผู้คนมากมายต่างพากันยืนอยู่หน้าเต็นท์นอนของตัวเองทั้งที่เป็นเวลาหลับใหล
“ขอโทษนะครับ มีเรื่องอะไรกันครับ” ชานนท์เดินไปถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับเต็นท์ของตัวเอง
“เจ้าหน้าอุทยานประกาศค่ะว่ามีคนมาแจ้งว่าเห็นนักท่องเที่ยวเดินเข้าไปในป่าทางด้านทิศตะวันตกคนเดียว เลยสั่งให้ตรวจดูว่าเพื่อนหรือญาติพี่น้องที่มาด้วยกันยังอยู่ครบไหม ถ้าใครหายไปให้รีบไปแจ้งค่ะ”
ชานนท์หัวใจกระตุกวูบทันที เขาไม่เสียเวลาคิดรีบวิ่งไปหาเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่บริเวณด้านหน้าที่พักด้วยความรวดเร็ว
“คุณปกรณ์!”
ชานนท์ไม่แน่ใจว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่เขามั่นใจว่านักท่องเที่ยวที่หายไปคนนั้นจะต้องเป็นปกรณ์แน่นอน ...เกิดอะไรขึ้นกับปกรณ์กันแน่
“พี่ครับ นักท่องเที่ยวที่หายไปเป็นผู้ชาย สูงประมาณร้อยเจ็บสิบนิดๆ ใส่กางเกงวอร์มขายาวสีดำ และเสื้อกันหนาวแขนยาวมีฮู้ดสีเทาใช่ไหมครับ” ชานนท์รีบถามทันทีที่วิ่งไปถึงจุดที่เจ้าหน้าที่ยืนอยู่
“เราไม่แน่ใจเรื่องสีชุดนะครับเพราะคนที่แจ้งบอกว่ามันมืด แต่เขาแจ้งว่ารูปร่างน่าจะเป็นผู้ชาย สวมกางเกงวอร์มขายาวและเสื้อกันหนาวมีฮู้ดครับ”
“คุณปกรณ์!” ชานนท์ไม่รอช้า รีบวิ่งไปยังทางทิศตะวันตกทันที ทางเดียวกับที่พวกเขาได้ปั่นจักรยานไปดูพระอาทิตย์ตกดินกัน
“คุณครับ มันอันตรายนะครับ” เจ้าหน้าที่ร้องห้าม เมื่อเห็นว่าชานนท์ไม่หยุด จึงมีบางส่วนวิ่งตามชานนท์ไป
ชานนท์ไม่มีเวลาคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับปกรณ์ สมองของเขาสั่งให้เขาวิ่งไปให้ไวที่สุด อย่าหยุดวิ่งจนกว่าจะเจอร่างของคนที่กำลังตามหา
ทว่าวิ่งไปได้สักพักเรี่ยวแรงก็ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาถูกใครบางคนถูกจับตัวเอาไว้แน่นจากทางด้านหลัง
“คุณวิ่งเข้าป่ากลางดึกแบบนี้มันไม่ปลอดภัยนะครับ” ชานนท์จำเสียงนี้ได้ เป็นเสียงของเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งคุยกันเมื่อครู่
“แต่ปกรณ์... เพื่อนผม เพื่อนผมอยู่ข้างใน ผมต้องไปตามหาตัวเขาครับ”
“คุณใจเย็นนะครับ เราให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตามหาแล้วส่วนหนึ่ง แต่การที่คุณวิ่งมาแบบนี้มันอาจจะทำให้คุณหลงทางอีกคนได้นะครับ” เจ้าหน้าที่พูดด้วยเหตุผล
“แต่ผมรออยู่เฉยๆ ไม่ได้” ชานนท์พยายามแกะแขนของเจ้าหน้าที่ที่กำลังล็อกร่างของเขาไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ “พี่ครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ออกตามหาปกรณ์กับผมสิครับ”
“แต่ว่า...”
“นะครับพี่” ชานนท์พูดแทรก “เขาสำคัญกับผมมากจริงๆ ถ้าเขาเป็นอะไรไปผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
“ถ้าอย่างนั้นน้องต้องสัญญาว่าจะไม่ออกนอกเส้นทาง และจะเดินตามหลังพี่ติดๆ”
“สัญญาครับ ผมสัญญา”
เจ้าหน้าที่อุทยานคลายแขนที่ล็อกร่างของชานนท์ออก เมื่อเห็นว่าชานนท์มีท่าทีสงบนิ่งไม่วิ่งหนี เขาจึงยกไฟฉายส่องทางด้านหน้าแล้วเดินนำไป
ชานนท์เดินตามไปติดๆ ทุกฝีก้าวตามคำสั่ง แม้ในใจจะว้าวุ่น แต่เขาก็ยอมที่จะเชื่อฟัง พอคิดทบทวนให้ดี ผืนป่าบนภูแห่งนี้กว้างใหญ่ การที่เขาวิ่งออกไปโดยที่ไม่รู้จุดหมายมันย่อมอันตรายและเสี่ยงกว่าการเดินตามคนที่ชำนาญในพื้นที่
ระหว่างที่กำลังค้นหาตัวของปกรณ์อยู่นั้น สัญญาณวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่ก็ดังขึ้น เสียงที่ดังออกมาบอกว่าพบเบาะแสเส้นทางของนักท่องเที่ยวที่หายตัวไป เพราะพงหญ้าบริเวณนั้นถูกแหวกออกราวกับมีใครเดินผ่านมา และพอเดินตามไปก็พบรอยเท้าของมนุษย์
เจ้าหน้าที่ที่อยู่กับชานนท์รีบวิ่งนำไปยังจุดที่ว่าทันที ไม่นานมากนักก็เจอพงหญ้าที่แหวกออก และพอวิ่งตามเส้นทางนั้นไปก็พบกับรอยเท้าตามที่ได้รับแจ้ง
เจ้าหน้าที่ส่องไฟฉายลงพื้นเพื่อตรวจสอบรอยเท้าที่เห็น
“รอยเท้าชิดกันมาก มันถี่เกินผิดวิสัยจากรอยเท้าคนทั่วไป”
“เรารีบตามไปเถอะครับ” ชานนท์มั่นใจว่าเป็นรอยเท้าของปกรณ์ไม่ผิดแน่ การที่คนเราจะเดินด้วยรอยเท้าชิดกันแบบนี้ นั่นหมายความว่าคนนั้นต้องกำลังมีเรื่องเครียดรบกวนสมอง จนทำให้เขาก้าวเท้าสั้นๆ ช้าๆ เหมือนกับคนที่กำลังสูญเสียจิตวิญญาณไป
ระหว่างที่วิ่งตามรอยเท้าอยู่นั้น ชานนท์ทำได้เพียงภาวนาไม่ให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น จนกระทั่งในที่สุดก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของคนที่สวมชุดเจ้าหน้าที่อุทยานประมาณสี่คนยืนรวมกันอยู่ไกลๆ
แต่เพราะอะไร... เจ้าหน้าที่เหล่านั้นถึงยืนอยู่แน่นิ่งราวกับว่ามีเหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้น
ชานนท์รีบเร่งฝีเท้าแซงหน้าเพื่อที่จะไปดูให้เห็นกับตาว่า ณ ที่แห่งนั้นมันมีเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับปกรณ์
----------------------------------
“ผมจะเชื่อความรู้สึกคุณได้มากแค่ไหน”
เสียงนั่นแผ่วเบาราวกับกลัวว่าทุกอย่างมันจะเป็นแค่เรื่องลวงหลอก ร่างกายของปกรณ์ไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินต่อไป มือของเขากุมที่หน้าอกเอาไว้แน่น อากาศรอบข้างร้อนขึ้นจนน่าประหลาดทั้งๆ ผิดจากความเป็นจริง เขารู้สึกอึดอัด ทรมานราวกับร่างกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียให้ได้
ทว่า... ทันใดนั้น สัมผัสที่กระทบมาจากทางด้านหลังก็ทำให้เขาผ่อนคลายมากขึ้น ใครคนนั้นกอดเขาเอาไว้แน่น ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือมาปาดน้ำตาที่กำลังไหลลงมาให้เขา ริมฝีปากของร่างนั้นซุกไซ้มาที่ต้นคอ ลมหายใจร้อนผ่าว ปกรณ์สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ส่งผ่านมาจากอากัปกิริยา
“ใช้ความรู้สึกของคุณเป็นตัวตัดสินสิครับ”
ร่างนั้นกระซิบที่ข้างใบหู เขาเลือกที่จะไม่ตอบออกไปตรงๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อแต่เลือกที่จะให้ปกรณ์ตัดสินโดยใช้ความรู้สึกของตัวเอง
ชานนท์เชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณที่สามารถแยกแยะได้ว่า ความรู้สึกไหนจริง ความรู้สึกไหนปลอม และจะยอมรับมันได้มากน้อยแค่ไหน บางคนรู้มาตลอดว่าอีกฝ่ายนั้นหาได้มีความจริงใจไม่ แต่เพราะไม่กล้าที่จะยอมรับในความรู้สึกที่สัมผัสได้จึงพยายามโกหกตัวเองตัวไป ผลสุดท้าย... ก็ต้องเจ็บปวดอยู่ดี
ในขณะที่บางคนรับรู้ถึงความจริงใจที่ได้รับ แต่เพราะเคยผ่านการผิดหวังมานับครั้งไม่ถ้วน จึงเป็นการยากที่จะยอมรับใครสักคน ...ปกรณ์ก็เช่นกัน การจะยอมรับใครสักคนนั้นโดยไม่มีความหวาดระแวงในจิตใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“คุณชานนท์” เสียงของปกรณ์สั่นไหว ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
“เกิดอะไรขึ้นครับ” ชานนท์ยังคงกอดร่างนั้นแน่น เขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปกรณ์สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและปลอดภัยในขณะที่อยู่ในอ้อมกอด
"ผมไม่อยาก...” ปกรณ์สะอึกอื่น กว่าที่จะเปล่งคำพูดออกมาแต่ละคำได้ช่างยากลำบาก “มีชีวิตอยู่ต่อไป”
“คุณจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” ชานนท์รีบแย้งขึ้นทันที เขาไม่สนใจว่าปกรณ์จะมีเหตุผลอะไรที่คิดเช่นนั้น แต่เหตุผลที่คนคนนี้จะต้องมีชีวิตต่อไปก็คือ “เพราะคุณคือกำลังใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมนะครับ”
คำพูดนั้นเหมือนยารักษาที่เยียวยาจิตใจของคนที่กำลังเจ็บปวด คนที่คิดมาเสมอว่าตัวเองไร้ค่า คนที่แม่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้เขาเกิดมา คนที่ไม่รู้จะสรรหาความภูมิใจในชีวิตได้อย่างไร
ตั้งแต่ได้รู้จักกับชานนท์ เขาก็เริ่มค้นพบคำว่าความสุข หลายครั้งที่ลังเลใจอยู่บ้างว่าสิ่งที่คนคนนี้แสดงออกมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่มันจะเป็นอะไรไป... ถ้าเขาจะลองเชื่อใจอีกสักครั้ง ในเมื่อที่ผ่านมาชานนท์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งกัน
“ผมขอโทษ” ปกรณ์ยังคงสะอื้นไห้ เสียงของเขายังคงสั่นไหวไม่ยอมหยุด “อารมณ์ของผมมันแปรปรวน ผมไม่อยากเป็นแบบนี้เลย คุณคงลำบาก คนอื่นก็ลำบากไปด้วย”
“ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่ลำบากเลย มันอาจจะยากแต่เดี๋ยวคุณจะต้องผ่านมันไปได้แน่ เพราะผมจะอยู่ข้างๆ แล้วพาคุณข้ามผ่านความเจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน”
“แล้วคุณศรันย์ เขาคงไม่ชอบผมแล้วใช่ไหมครับ” ปกรณ์เริ่มเผยสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ “ผมเป็นต้นเหตุที่อาจทำให้ภูษิตมีอาการแย่ลง”
“ไม่เลยครับ คุณอย่าคิดไปเองนะ” ชานนท์ลูบศีรษะ “คุณศรันย์เข้าใจ เขารู้ดีว่าไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เขายังพูดกับผมเลยว่าให้จับตาคุณให้ดี เพราะคุณอาจจะเก็บเอาเรื่องนี้ไปคิดมาก แต่ผมก็พลาด ปล่อยให้คุณต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้”
ชานนท์นึกโทษตัวเอง เขาประมาทเกินไปและคิดว่าไม่ใส่ใจปกรณ์เท่าที่ควร บทเรียนในคืนนี้ทำให้ชานนท์ย้ำกับตัวว่า จะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก
“คุณชานนท์ไม่ผิดเลยนะครับ” ปกรณ์ออกแรงกอดแน่นขึ้นเพื่อยืนยันในคำพูด “เป็นคุณซะอีกที่ช่วยผม คุณทำให้ผมลังเล และพยายามหยุดยั้งความคิดบ้าๆ”
“ยังไงครับ” ชานนท์เอ่ยถามไปตรงๆ
“ตอนที่ภาพเหตุการณ์แย่ๆ มันวนเวียนอยู่ในหัว อยู่ๆ ผมก็คิดถึงคุณ คิดถึงรอยยิ้มของคุณ คิดถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เราได้อยู่ด้วยกัน มันทำให้ผมรู้ว่าคุณมีความสำคัญกับผมมากแค่ไหน แต่...” ปกรณ์หยุดพูดชั่วขณะแล้วแหงนหน้าสบตากับคนตรงหน้า “แต่ผมเองไม่มั่นใจเลยว่าสิ่งที่คุณทำผมจะเชื่อใจได้มากน้อยแค่ไหน”
“แล้วตอนนี้คุณคิดว่ายังไงล่ะครับ” ชานนท์กระซิบถาม
“ความรู้สึกของผมมันบอกว่า...” แววตาของปกรณ์ในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวัง... หวังว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง “...ผมจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อเรียนรู้เรื่องราวของความรักกับใครสักคน และคนคนนั้นก็คือ...”
ปกรณ์หลบสายตาตาจากอีกฝ่ายก่อนจะซุกใบหน้าไปที่อ้อมอกด้วยความละมุน
“คุณ”
จบตอน
ขอบคุณที่ติดตามครับ โปรดติดตามตอนต่อไป....
-
จิ้มไว้ก่อน
-
เป็นการสารภาพรักที่น่ารักมากๆเลย
-
เราพึ่งมาอ่าน ชอบแนวนี้ หาอ่านยากมาก เพราะส่วนใหญ่แนวนี้ค่อนข้างดาร์ก หนักมาก ขอบคุณนะคะ :mew1:
-
โห เป็นมาม่าที่หวานมาก
อะไรจะน่ารักขนาดนี้ ยิ่งอ่านยิ่งชอบ
หลงเสน่ห์ในความดีและความจริงใจของคุณชานนท์
ส่วนคุณปกรณ์ หวานได้อีก กรี๊ดค่ะกรี๊ดดกก
-
ในความหนักหน่วงก็ยังแอบหวานนะตอนนี้
ผ่านไปให้ได้นะปกรณ์ แอบเอาใจช่วย
-
--- ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะครับ เทียบกะเรื่องอื่นๆ เม้นท์น้อยมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีเลย ---
--- ขอบคุณจากใจจริงครับ มีจุดไหนควรปรับปรุงแนะนำได้เด้อ ---
ตอนที่ 15
การเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดครั้งแรกของปกรณ์จบลงด้วยความทรงจำหลายอย่าง มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่นั่นก็เป็นบทพิสูจน์ว่า... คนที่นั่งอยู่เคียงข้างของเขาในตอนนี้มีแต่ความปรารถนาดี และเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
ปกรณ์รู้สึกมีคุณค่าเมื่อได้รู้จักกับคนคนนี้... ไม่สิ ต้องบอกว่าทั้งปาณัฐและนรินทร์ก็ทำให้เขารู้สึกมีคุณค่าด้วยเช่นกัน แต่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อชานนท์นั้นต่างออกไป
แต่ในความทรงจำดีๆ ก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อจิตใต้สึกนึกของภูษิตยังคงสั่งให้เชื่อว่าปกรณ์คือพ่อ แต่ยังโชคดีที่ภูษิตนั้นไม่ได้ผูกพันกับพ่อและแม่จนแยกจากกันไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้น ภูษิตแค่รู้สึกดีใจที่พ่อยอมร้องไห้ต่อหน้าเขา ยอมกอดเขา... แม้ว่าหลังจากนี้จะต้องแยกกันอยู่อีกครั้งก็ตาม
ความเหน็ดเหนื่อยส่งผลให้ชานนท์เผลอหลับตลอดทาง ปกรณ์ที่ยังคงตาสว่างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลับสนิทจึงค่อยๆ ยกแขนขึ้นไปโอบอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังแล้วให้ศีรษะของร่างนั้นซบลงมาที่อกของตัวเอง
ปกรณ์อยากตอบแทนที่ชานนท์คอยดูแลเป็นอย่างดี ถ้าไม่มีเขาก็ไม่รู้ว่าป่านนี้ชีวิตจะมืดสนิทสักแค่ไหน
สำหรับปกรณ์นั้น... เขาไม่เคยสัมผัสว่ารักเป็นแบบไหนต้องรู้สึกอย่างไร จึงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่เขาจะใช้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นตัวตัดสินโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพศไหน หน้าตาอย่างไร ฐานะการเงินดีหรือไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับปกรณ์ก็คือ ‘การกระทำ’ และ ‘ความจริงใจ’ ซึ่งชานนท์เป็นคนแรกที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นั่นคือ ‘ความรัก’
“อ้าว... ผมอยู่ท่านี้ได้ไงครับเนี่ย” น้ำเสียงของชานนท์งัวเงีย เขารีบผละร่างออกเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะปวดเมื่อย
“ผมเต็มใจให้คุณนอนท่านี้เอง” ปกรณ์ออกแรงกระชับแขนให้อีกฝ่ายมานอนอยู่ในท่าเดิม เขาเริ่มมีท่าทีแข็งข้อ กล้าต่อล้อต่อเถียงกับชานนท์ ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณดีสำหรับคนที่ไม่เคยเปิดใจให้ใคร
“คุณจะเมื่อยเอานะ” ชานนท์เถียง
“ไม่หรอกครับ ผมอยากทำอะไรเพื่อคุณบ้าง” ปกรณ์เถียงกลับ “นอนต่อเถอะครับ”
ชานนท์ขมวดคิ้วมุ่น เขาแหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับคนคนนี้กันแน่
“คุณดูแปลกไปนะครับ กำลังเครียดหรือเปล่าครับ”
“บ้าน่าคุณนักจิตวิทยา” ปกรณ์หลุดขำ ในหัวของคนคนนี้เอาแต่กังวลและห่วงใยเขาตลอดเวลาเลยหรือเนี่ย “ผมไม่ได้เครียด แต่ผมกำลังมีความสุขต่างหาก”
“จริงเหรอครับ”
“อื้ม” ปกรณ์พยักหน้า “เวลาคิดถึงเรื่องของคุณทีไร มันทำให้ผมยิ้มได้ทุกที ไม่รู้สิครับผมแค่อยากตอบแทนคุณบ้าง”
“ขอบคุณนะครับ” ชานนท์ยิ้มร่ากับสิ่งที่ได้ฟังแต่ถึงกระนั้นเขาก็เลือกที่จะเอาร่างออกมาแล้วยกแขนของปกรณ์ออก “แต่ผมนอนท่านี้ไม่ได้ ผมปวดคอครับ”
ถึงกระนั้น ชานนท์ก็ไม่ปล่อยให้ปกรณ์ผิดหวังและเสียใจจนคิดมากไปเอง เขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายยกแขนขึ้นโอบคอของอีกฝ่าย แล้วให้อีกฝ่ายซบอิงลงมา
“ผมชอบอยู่ท่านี้มากกว่า” ชานนท์พูดเสียงเบา ก่อนที่จะโน้มริมฝีปากลงไปใกล้ๆ แล้วเบาเสียงลงไปอีก “ผมชอบเป็นฝ่ายกอดคุณ”
ริมฝีปากของปกรณ์ค่อยๆ ขยับรอยยิ้มออกมา คำพูดคำจาของชานนท์ทำให้เขารู้สึกขัดเขิน แต่ก่อนที่ขานนท์จะสังเกตเห็น ปกรณ์เลือกที่จะทำตัวนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาอะไรออกไปแล้วนั่งอยู่ในท่านั้นไปตลอดทางตามที่อีกฝ่ายต้องการ
“คุณชานนท์ครับ” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบาหลังจากที่นั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน
“ครับ”
“ทำไมคุณถึงมาเป็นนักจิตวิทยาครับ” อยู่ๆ ปกรณ์ก็นึกสงสัย “ผมว่ามันเหนื่อยนะครับที่ต้องคอยรักษากับคนที่มีอาการแบบผม”
“ความจริงผมอยากเป็นจิตแพทย์นะครับ แต่ผมสอบไม่ติด ก็เลยเลือกเรียนทางด้านจิตวิทยาแทนครับ” ชานนท์ตอบออกมา “คือครอบครัวของผมเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอกครับ พ่อกับแม่มีปากเสียงกัน จนต้องแยกกันอยู่และผมเองก็อยู่กับแม่”
ปกรณ์รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ฟัง ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคนที่อบอุ่นจะมีพื้นเพหลังที่บ้านแตกเช่นเดียวกับตัวเอง
“แม่ชอบแอบไปนั่งร้องไห้ที่หน้าบ้านคนเดียวในเวลากลางคืน ตอนแรกผมก็ไม่รู้นะครับ แม่ผมเหมือนคนเข้มแข็ง อยู่ต่อหน้าผมหรือใครก็ตามแม่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาเลย คืนแรกที่ผมเห็นแม่แอบร้องไห้ผมเองไม่เข้าใจว่าทำไม เลยลองสังเกตเรื่อยๆ จนเห็นว่าแม่มักจะออกไปแอบร้องไห้ในเวลาเดิมทุกคืน
ผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าแม่เป็นอะไร ไม่กล้าเข้าไปถามตรงๆ ด้วย เลยพยายามลองศึกษาเรื่อยมาจึงพบว่าแม่เป็นโรคซึมเศร้า พอรู้แบบนั้นผมก็เลยอยากทำงานทางด้านนี้เพื่อไปรักษาแม่น่ะครับ”
สิ้นเสียง... ชานนท์ก็เงียบไปสักพัก เขาพยายามซ่อนความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้าค่าตาก่อนที่จะเล่าต่อ
“แต่ผมก็ไม่มีโอกาสได้รักษา แม่ผมเสียไปปีสุดท้ายก่อนที่ผมจะเรียนจบ ผมมารู้ทีหลังจากญาติๆ ว่าอาการของแม่หนักขึ้นหลังจากที่ผมย้ายเข้าไปเรียนในกรุงเทพ แม่เอาแต่ดื่มเหล้าทุกวัน ดื่มเหมือนคนขาดสติ แต่แม่ก็ห้ามไม่ให้ญาติๆ บอกผม เวลาปิดเทอมกลับบ้าน แม่ก็ดื่มนะ แต่พยายามดื่มให้น้อยที่สุดจนผมไม่ได้เอะใจ ผลสุดท้ายพิษเหล้าก็ทำให้แม่ของผมล้มป่วยและจากผมไป ผมเลยตั้งใจกับตัวเองว่าจะรักษาผู้ป่วยทุกคนด้วยให้หายดี อยากให้พวกเขารู้ว่ายังมีคนข้างหลังที่รอพวกเขาอยู่ไม่ว่าพวกเขาจะเคยผ่านกับเหตุการณ์อะไรมาก็ตาม”
“คุณชานนท์” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบา ชีวิตของชานนท์เองก็ใช่ว่าจะสวยหรู คนคนนี้ก็เคยผ่านเรื่องที่น่าเศร้าแต่เขาก็ยังสามารถผ่านความเจ็บปวดนั้นมาได้ และยังใช้ความอ่อนโยนที่มีเพื่อที่จะรักษาคนอื่นๆ ต่อไป
“เพราะฉะนั้นคุณต้องสัญญากับผมนะครับว่าจะต้องรักษาจนหายดี”
“ผมสัญญา” ปกรณ์พยักหน้าทันที เขาจะต้องไม่ทำให้คนที่แสนดีคนนี้ต้องผิดหวัง
ชานนท์ยิ้มออกมา ความรู้สึกหลายอย่างมันปนเปกันไปหมด ดีใจ ภูมิใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้เช่นกันว่าปกรณ์จะต้องทุกข์ทรมานสักแค่ไหนระหว่างการรักษา
มันคงจะเจ็บปวด เมื่อคนที่ปกรณ์คิดมาเสมอว่ามีตัวตนอยู่บนโลกนี้ คนที่คอยรับฟังความสำเร็จ คอยชื่นชมและแสดงความยินดีนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงภาพมายา ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกมีคุณค่าก็เท่านั้น
‘อีกไม่นาน เราคงจะต้องเปิดศึกแย่งชิงตัวคุณปกรณ์กันแล้วสินะ ผมไม่ยอมเสียไปให้พวกคุณหรอก คุณปาณัฐ! คุณนรินทร์!’
วันถัดมา... ชานนท์ยังมีเวลาเหลือสำหรับวันหยุดอีกหนึ่งวัน ในทีแรกปกรณ์ตั้งใจว่าจะนัดให้ปาณัฐมาหา ทว่ากลับได้รับการปฏิเสธเพราะอีกฝ่ายติดธุระ ทั้งคู่จึงเปลี่ยนแผนไปเยี่ยมภูษิตที่บ้าน
ตอนที่โทรหาน้องปาณัฐ ชานนท์สั่งเกตเห็นปกรณ์กดเบอร์โทรศัพท์แค่ไม่กี่ตัวซึ่งมันไม่น่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่มีอยู่จริง แต่ปกรณ์ไม่รู้ตัวและยังสนทนากับอีกฝ่ายอย่างฉะฉาน ...มันยากที่จะหาเหตุผลมาอธิบาย เขาจึงทำได้เพียงนั่งเงียบๆ รอให้เป็นหน้าที่ของหมอเกื้อที่จะทำการรักษาปกรณ์
บ้านของภูษิตเป็นหมู่บ้านจัดสรรอยู่แถวชานเมือง รั้วบ้านมีขนาดใหญ่ ภายในรั้วมีสนามหญ้ากว้างขวางและดูเหมือนว่าตัวบ้านจะถูกต่อเติมให้มีกว้างขวางขึ้นเพราะบ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นๆ ทั้งๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
“เชิญเข้าบ้านครับ” ศรันย์เดินออกมารับ เข้ามีอายุ 21 ปี เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายและได้มาอาศัยอยู่ที่นี่เพราะต้องดูแลภูษิตอย่างใกล้ชิด
“แล้วนี่มีใครอยู่บ้างครับ” ชานนท์เอ่ยถามขณะเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“ตอนนี้มีแค่ผมกับภูษิตครับ ส่วนคุณลุงคุณป้าออกไปทำธุระข้างนอก” ศรันย์ตอบออกมา แม่ของศรันย์มีบรรดาศักดิ์เป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่ภูษิต
“อ่อ... ครับ แล้วพวกท่านจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอครับ” ชานนท์ถามต่อ
“ผมเองก็ไม่แน่ใจครับ แต่ปกติกว่าจะกลับก็ดึกๆ นู่นเลย”
“อย่างนี้ถ้าไม่มีคุณศรันย์อยู่ด้วย ภูษิตก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวใช่ไหมครับ” ปกรณ์เอ่ยถามขึ้นบ้าง
“ใช่ครับ เมื่อก่อนผมก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ภูษิตก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวตลอด ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ตอนที่เข้ามหาลัยน่ะครับ”
ปกรณ์สังเกตภายในบ้าน... บ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่โต มีเฟอร์นิเจอร์มากมายแต่มันกลับดูเงียบเหงา ราวกับว่าข้าวของเครื่องใช้ถูกตั้งประดับไว้เฉยๆ เท่านั้น
ศรันย์เดินนำไปยังห้องนั่งเล่นก่อนที่จะบอกให้แขกรออยู่ตรงนั้น ส่วนตัวเขาจะขึ้นไปตามภูษิตที่อยู่บนห้องนอนลงมา
ไม่นานมากนัก ศรันย์ก็เดินกลับมาหาข้างๆ กายนั้นมีเด็กหนุ่มร่างผอมบางเดินตามมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“สวัสดีครับ” เป็นชานนท์ที่เอ่ยทักทายก่อน
“สวัสดีนะครับ” ปกรณ์จึงเอ่ยตาม
เด็กหนุ่มร่างบางเงยหน้ามองแขกอย่างช้าๆ พอเห็นหน้าของคนทั้งคู่ชัดๆ ริมฝีปากก็เริ่มขยับแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
“พ่อ” เขายังคงเรียกปกรณ์ว่าพ่อ
“เล่นตามบทบาทไปเลยครับ ไม่ต้องกังวล” ชานนท์กระซิบ
“มา... มานั่งกับพ่อสิครับ” ปกรณ์เอ่ยออกมาด้วยความขัดเขิน คำว่า ‘พ่อ’ ต้องมีบทบาทและหน้าที่อย่างไรปกรณ์ไม่มั่นใจ เพราะเขาเองก็แทบไม่เคยได้เรียนรู้บทบาทเหล่านี้จากพ่อแท้ๆ ของตัวเองเลย
“คะ... ครับ” ภูษิตก้าวขาด้วยความเชื่องช้า อาจเพราะรู้สึกประหม่าที่พ่อชวนไปนั่งด้วย
ภูษิตหยุดเคลื่อนไหวเมื่อเดินไปถึงจุดที่ปกรณ์นั่งอยู่ เด็กหนุ่มก้มหน้าหลบสายตาอีกครั้งเหมือนไม่มั่นใจว่าตัวเองสมควรจะนั่งตรงนี้ไหม
ปกรณ์เห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นไปคว้าร่างของเด็กหนุ่มมานั่งใกล้ๆ กันอย่างทะนุถนอม
“น้องภูกินอะไรรึยังครับ หิวไหมครับ”
“ยังครับ”
“จริงด้วย... จะเที่ยงแล้วเดี๋ยวผมไปทำอาหารให้นะครับ ฝากดูแลภูษิตด้วยนะครับ”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า ถ้าชานนท์ยังนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยเขาก็สบายใจ แต่ทว่า...
“เดี๋ยวผมไปช่วยนะครับ” ชานนท์กลับเอ่ยออกมาแบบนั้น
“เดี๋ยวสิครับ” ปกรณ์รีบคว้าแขนของคนที่นั่งข้างๆ กันเอาไว้ทันที “ถ้าเกิดผมทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะครับ”
“ผมเชื่อนะครับ” ชานนท์หันไปยิ้มให้คนที่กำลังมีสีหน้ากังวง “...ว่าคุณจะต้องเป็นพ่อที่ดีให้น้องภูษิตได้แน่”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณชานนท์ คุณอยู่เป็นเพื่อนคุณปกรณ์ตรงนี้ก็ได้ครับ” ศรันย์ที่เห็นท่าทางของปกรณ์อึกอักเอ่ยขึ้นบ้าง
“ผมอยากคุยกับพ่อตามลำพัง” แต่ในท้ายที่สุด ประโยคที่เปล่งออกมาจากปากของภูษิตก็เป็นข้อสรุปว่าควรจะทำอย่างไร
ชานนท์ตามเข้าไปช่วยศรันย์ทำอาหารมือเที่ยง ส่วนปกรณ์อยู่ในห้องนั่งเล่นกับภูษิตตามลำพัง
หัวใจของปกรณ์เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เขารู้สึกวิตกจริตเกรงว่าจะทำอะไรไม่ถูกไม่ควรแล้วทำให้ภูษิตมีอาการแย่ลง
“ทำไมพ่อ... ต้องยอมแม่ด้วยครับ” ภูษิตเอ่ยขึ้นหลังจากที่ศรันย์และชานนท์เดินลับสายตาไป ส่วนปกรณ์นั้นไม่เข้าใจในคำถามสักนิดว่าภูษิตกำลังสื่อถึงเรื่องอะไรกันแน่
“ยอม?” ปกรณ์ทวนคำงงๆ ก่อนที่จะพึมพำกับตัวเองเบาๆ “ยอมเรื่องอะไรว้า”
“ทุกเรื่องครับ” ภูษิตตอบออกมา ปกรณ์สะดุ้งเบาๆ เพราะไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะได้ยิน “ยอมให้แม่ด่า ยอมเป็นเบี้ยล่างของแม่ ยอมทุกครั้งที่ทะเลาะกัน ยอมให้แม่มีผู้ชายอื่น ยอมแม้กระทั่งให้ผู้ชายคนนั้นทำร้ายพ่อ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของภูษิตมันดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขากำลังอัดอั้นเมื่อคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
“พ่อยอมเสียศักดิ์ศรีทำไม พ่ออดทนทำไม พ่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง ผมไม่เข้าใจ”
ปกรณ์นั่งนิ่ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้ พ่อกับแม่ของภูษิตมีปัญหาอะไร แต่จากที่ได้ฟังดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ภูษิตเท่านั้นที่อัดอั้น พ่อของเขาก็เหมือนจะอดทนเก็บความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้เหมือนกัน
“เพราะพ่อรักลูกไง” ปกรณ์ตัดสินใจตอบออกไป การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะอดทนกับอะไรได้นั้น แสดงว่าเขาต้องมีคนเบื้องหลังที่รักและอยากปกป้องจึงต้องยอมทนไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ตาม
“ทำไม... ทำไมกัน ผมไม่เข้าใจ พ่อไม่เห็นจำเป็นต้องอดทน” น้ำเสียงของภูษิตสั่นไหว “ผมอยากหนีไปไกลๆ ผมเกลียดบ้านหลังนี้ ผมอยากไปอยู่กับกับพี่ศรันย์แค่นั้น”
สิ้นเสียง... ภูษิตก็มีอาการแปลกไป ร่างบางค่อยๆ สั่นไหว ปลายนิ้วมือเกร็งจนน่าตกใจ แล้วอยู่ๆ ใบหน้าก็เชิดขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเหลือกค้างและท้ายที่สุดก็ลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น
ปกรณ์ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขารีบโน้มตัวลงไปดูภูษิตก่อนที่จะประคองร่างนั้นขึ้นมา ระหว่างนั้นเองภูษิตก็ค่อยๆ อ้าปากกว้างเหมือนคนกำลังกรามค้าง ปกรณ์ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ลิ้นที่แลบออกมาทำให้เขากังวลว่าภูษิตจะเผลอกัดลิ้นตัวเอง ดังนั้นจึงตัดสินใจรีบใช้ศอกสอดเข้าไปในปากของภูษิต
ทันใดนั้น ภูษิตก็งับปากลงมาสุดแรง เป็นอย่างที่ปกรณ์คิด...
แรงกัดของภูษิตมีพลังมหาศาล ปกรณ์รู้สึกแสบสะท้านไปทั่วร่างแต่เขาก็ต้องอดทนเอาไว้
“โอ๊ย...” ปกรณ์พยายามระบายความจำปวดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดเพราะกลัวว่าชานนท์จะตกใจ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว เขาจึงต้องระบายความเจ็บปวดด้วยเสียงอันดังก้องอยู่ดี “โอ๊ยยยยยย!!!!!”
ชานนท์รีบวิ่งออกมาจากห้องครัวทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น และเขาก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น โชคดีที่มือของเขาถือช้อนออกมาด้วย ชานนท์จึงรีบเอาช้อนในมือสอดเข้าไปในปากแล้วสั่งให้ปกรณ์ชักศอกออกมา
“คุณเป็นยังไงบ้างครับ” รอยกัดของของภูษิตปรากฏชัดเจน มันเป็นรอยลึกกะด้วยสายตาก็รู้เลยว่าคงต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าที่รอยนี้จะหาย
“ผมไม่ไหวแล้วครับ ผมคงเป็นพ่ออีกต่อไปไม่ได้” ปกรณ์บ่นออกมา “ผมไม่ได้โกรธภูษิตนะครับ แต่ผมเองก็มีปัญหาของตัวเอง จะให้ผมมาดูแลเด็กคนนี้ในสภาพแบบนี้ผมก็แย่เหมือนกัน”
น้ำเสียงของปกรณ์เริ่มไม่สบอารมณ์ ชานนท์รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่โทษใคร
“ผมขอโทษที่ไม่ได้อยู่กับคุณ ผมขอโทษนะครับ” ชานนท์รู้ดีว่าปกรณ์ต้องโกรธเขาเพราะเรื่องนี้แน่ๆ ถ้าเขาอยู่ดีตั้งแต่ทีแรก... บางทีเรื่องแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น
“...”
เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์เมินใส่ เขารู้ว่าถ้าหากพูดอะไรออกไป และฝ่ายนั้นตอบกลับมาอีกเขาอาจจะควบคุมสติตัวเองไม่ไหวและอาจระเบิดอารมณ์ออกมา
ระหว่างนั้นเอง... อาการของภูษิตก็ค่อยๆ สงบลงเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่ศรันย์เดินออกมาจากห้องครัวพอดี
“เกิดอะไรขึ้นครับ” เขายุ่งอยู่กับการทอดปลาเลยไม่สามารถวิ่งออกมาได้ในทีแรก
“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังทีหลังนะครับ” ปกรณ์ตอบออกมา “ตอนนี้ห่วงภูษิตกันก่อนดีกว่า”
“ภูษิตเป็นอะไร” อยู่ๆ เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทุกคนที่กำลังชุลมุนอยู่กับภูษิตต่างหันกลับไปดูพร้อมกัน
“คุณลุง” ศรันย์เรียกคนคนนั้น
“ภูษิตเป็นอะไร” ชายวัยกลางคนผู้ใหม่ถามย้ำอีกครั้ง เขามีรูปร่างสมส่วนหากพิจารณาจากใบหน้าน่าจะอายุ 40 กลางๆ
“น้องชักครับ” ปกรณ์อธิบาย
แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกันต่อเสียงที่ดังขึ้นจากคนที่เพิ่งหมดสติได้เรียกให้ทุกคนหันกลับไปสนใจ
“พ่อ...” ชายวัยกลางคนรีบวิ่งเข้าไปดูอาการทันที เขาทำท่าว่าจะโอบลูกชายเอาไว้แต่กลับโดนลูกชายปฏิเสธและถูกมองด้วยสายตาที่หวาดระแวง
“พ่อครับ” ภูษิตเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเขยิบเข้าไปหากับปกรณ์
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความประหลาดใจให้กับพ่อที่แท้จริง คิ้วของเขาขมวดมุ่นก่อนจะหันหน้าไปจ้องกับผู้ทีถูกเรียกว่าพ่อด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ทำไมภูษิตถึงเรียกเขาคนนี้ว่าพ่อ!”
บนรถแท็กซี่... ปกรณ์นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดทาง ไม่ว่าชานนท์จะคุยอะไรเขาก็เอาแต่เงียบท่าเดียว
หลังจากที่พ่อของภูษิตเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ ความอดทนของปกรณ์จึงขาดผึง ใช่ว่าเขาอยากให้เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เขาไม่อยากที่จะอธิบายอะไรออกไปเพราะเขาเองก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกัน ท้ายที่สุดปกรณ์จึงตัดสินใจวิ่งหนีออกจากบ้าน ชานนท์เห็นดังนั้นเขาจึงรีบพูดขอโทษกับเจ้าของบ้านก่อนที่จะวิ่งตามปกรณ์ออกไปในทันที
“คุณ” ชานนท์เรียกอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง “คุณโอเคไหม”
ชานนท์เลื่อนสายตามองดูรอยเขี้ยวแล้วอดนึกโทษตัวเองไม่ได้ที่ไม่ยอมนั่งอยู่เป็นเพื่อน อยากทำแผลให้ก็ไม่มีอุปกรณ์
“เอ๊ะพี่ครับ...” ชานนท์หันไปคุยกับคนขับรถ “ข้างหน้ามีป้ายร้านขายา พี่ช่วยจอดแวะให้แป๊บนึงด้วยนะครับ”
“ได้ครับ” แท็กซี่ตอบออกมา ส่วนปกรณ์ยังคงไม่พูดไม่จา
พอถึงร้านขายยา ชานนท์ก็รีบลงไปซื้อของที่ต้องการทันที ใช้เวลาไม่กี่นาทีเขาก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับถุงอะไรบางอย่างแล้วเปิดประตูกลับขึ้นมาในรถ
“ผมนึกว่าคุณจะทิ้งผมไว้นี่แล้วนะครับเนี่ย” ชานนท์เอ่ยออกมาพลางขยับยิ้มให้กับความคิดไม่เข้าท่าของตัวเอง
“ก็คิดว่าจะบอกให้พี่คนขับขับออกไปแล้วแหละ” ปกรณ์เริ่มโต้ตอบ เขาวางมาดทำเสียงขรึม “แต่ผมรู้ว่าคุณจะไปซื้ออะไรก็เลยอยู่รอ”
สิ้นเสียงปกรณ์ก็ยืนแขนข้างที่โดนกัดเข้าไปหา ชานนนท์รีบนำอุปกรณ์ในถุงออกมาแล้วเริ่มทำแผลให้ด้วยความระมัดระวัง
สีหน้าของปกรณ์เหยเกตอนที่โดนแอลกอฮอล์ล้างแผล เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนแต่ก็ต้องข่มความเจ็บปวดเอาไว้เพราะไม่อยากให้คนอื่นๆ หัวเราะ
“ระวังเลอะนะครับ” คนขับแท็กซี่หันมาพูดเมื่อเห็นว่าผู้โดยสารกำลังทำอะไร
“ครับ” ชานนท์ตอบ เข้าไม่อธิบายอะไรมากและตั้งใจทำแผลให้กับคนข้างๆ ต่อไป
เมื่อเช็ดแอลกอฮอล์ออกจนแห้งสนิท ขั้นตอนสุดท้าย ชานนท์ก็หยิบผ้าก็อซในถุงขึ้นมาพันแผลด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากว่าเขาทำงานภายในโรงพยาบาลมานาน แม้จะไม่ใช่หมอหรือพยาบาลโดยตรงแต่เขาก็คุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี
“ขอบคุณนะครับ” ปกรณ์เอ่ยขึ้น เขาใจเย็นลงแล้ว ยิ่งพอเห็นท่าทีที่ห่วงใยตลอดทางของคนที่นั่งด้วยกันข้างๆ มันยิ่งทำให้เขานึกโทษตัวเองที่เผลอทำตัวงี่เง่า
“ผมสิต้องขอโทษที่ปล่อยให้คุณอยู่กับน้องตามลำพัง” ชานนท์เถียง
“เรื่องนั้นชั่งมันเถอะครับ” ปกรณ์ไม่ถือสาอะไรแล้ว “แต่ภูษิตพูดอะไรแปลกๆ ออกมา เขาพูดเหมือนกับว่าพ่อกับแม่ไม่ได้รักกัน พ่อต้องทนอยู่ในบ้าน ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของแม่ แล้วแม่ก็มีคนใหม่ พ่อก็รู้แต่ก็ไม่ว่าอะไร”
“แต่คุณพ่อกับคุณแม่ของภูษิตดูรักกันมากเลยนะครับ” ชานนท์ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัย “เวลาไปโรงพยาบาล พวกเขาดูรักกันมากๆ”
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าความจริงเป็นยังไง แต่ภูษิตพูดกับผมประมาณนี้”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อาการของภูษิตแย่ลง เอาไว้จะปรึกษากับหมออีกทีนะครับ และคงต้องเก็บข้อมูลให้ได้มากกว่านี้”
“แต่ถ้าให้ผมไปเป็นพ่อ ผมไม่เอาอีกแล้วนะครับ” ปกรณ์รีบเอ่ยอย่างร้อนตัว
“สบายใจได้เลยครับ ผมจะไม่บังคับคุณอีกแล้วครับ” ชานนท์ก้มหน้าอย่างสำนึก แค่นี้เขาก็สำนึกผิดไม่ทันแล้วไม่ต้องย้ำเรื่องนี้อีกได้ไหม
“ไม่เอาน่าอย่าทำหน้าจ๋อยแบบนี้สิครับ” ปกรณ์แอบขยับมือข้างที่อยู่ใกล้ๆ ไปกุมกับมือของอีกฝ่ายเบาๆ
ชานนท์เลื่อนสายตาลงต่ำมองมือนั่นก่อนจะยิ้มออกมา
“คุณคงต้องเจ็บมากแน่ๆ”
“เจ็บแค่นี้ไม่เท่าไหร่ครับ ไกลหัวใจเดี๋ยวก็หาย” ปกรณ์ตอบตามที่คิด แผลทางกายต่อให้เจ็บแค่ไหนก็มีวันหาย อย่างเลวร้ายที่สุดก็อาจจะกลายเป็นแผลเป็นเท่านั้น แต่แผลที่เกิดขึ้นในจิตใจนี่สิ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะหายสักที เทียบกับเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ นานาที่เคยเกิดขึ้น เรื่องแค่นี้ถือว่าเบามากสำหรับปกรณ์
ปกรณ์นั่งกุมมือชานนท์ตลอดทาง แม้จะอยากมองใบหน้าของอีกฝ่ายตลอดเวลาแต่ก็ต้องอดทนเอาไว้เพราะกลัวจะห้ามความรู้สึกขัดเขินไม่ไหว เขาจึงต้องแสร้งหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างตลอดเวลาแล้วแอบยิ้มคนเดียว
การที่ได้กุมมือใครสักคนเอาไว้ตลอดทางมันทำให้คนที่โดดเดี่ยวมาตลอดชีวิตรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ถ้าเลือกได้ปกรณ์ไม่อยากจะปล่อยให้มือคู่นั้นของชานนท์ให้หลุดออกไปแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวด้วยซ้ำ แต่ความเป็นจริง... เมื่อถึงปลายทาง ต่อให้มือที่เคยจับกันเอาไว้นั้นแน่นแค่ไหน มันก็ต้องแยกออกจากกันอยู่ดี
ปกรณ์เปิดประตูรถแล้วออกจากรถทันทีเมื่อรถหยุดสนิท ส่วนชานนท์เป็นผู้จ่ายค่าโดยสาร เอาไว้ปกรณ์จะเป็นฝ่ายเลี้ยงอาหารตอบแทนทีหลัง
ระหว่างที่ชานนท์กำลังจะก้าวขาออกรถนั้น... มือที่คุ้นเคยของใครบางคนก็ได้ยื่นมาหยุดอยู่ตรงหน้า ชานนท์ยิ้มออกมากับสิ่งที่เห็นก่อนจะเอื้อมมือไปจับมันเอาไว้อย่างแนบแน่นแล้วออกจากรถไป
“พวกน้องนี่น่ารักกันจังเลยเนอะ ทำแผลให้กัน จับมือกัน ดูห่วงใยกันดีจังเลย ผู้ชายสมัยนี้เขาดูแลกันแบบนี้ใช่ไหมครับ เสียดายเพื่อนพี่ไม่มีแบบนี้สักคน” เป็นเสียงของคนขับแท็กซี่ที่เอ่ยออกมา เขาสังเกตมาตลอดทางก็รู้สึกมาตลอดว่าผู้โดยสารคู่นี้ดูเป็นห่วงเป็นใยกันเหลือเกิน จนเขาเองอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
ปกรณ์และชานนท์ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงหันไปยิ้มให้อย่างเขินๆ ก่อนที่แท็กซี่จะจากไป
เรื่องราวทั้งหมดเหมือนจะดีขึ้น แต่ไม่ทันไร... ความสุขของปกรณ์ก็จบลงเมื่อมองเข้าไปในบ้านแล้วมองเห็นร่างของแขกผู้มาเยือน
“พ่อ” น้ำเสียงของปกรณ์สั่นไหว ความสุขจากดวงตาหายไป มือที่กุมกับชานนท์เอาไว้รีบสะบัดออกด้วยความรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะถูกสังเกตเห็น
พ่อมาที่นี่ทำไม... คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวสมอง พ่อไม่เคยมาที่นี่แม้แต่ครั้งเดียวด้วยซ้ำตั้งแต่ที่ย้ายออกไป โทรศัพท์ก็แทบไม่เคยโทรหา แล้วอยู่ๆ วันนี้ทำไมถึงโผล่มา หรือว่าเขาเผลอไปทำความผิดอะไรเอาไว้พ่อถึงต้องตามมาเอาเรื่อง
คิดดังนั้นความหวาดกลัวก็เริ่มเข้าครอบคลุมจิตใจ หัวใจสั่นไหวจนผิดปกติ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาจนชุ่มใบหน้าทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้สึกร้อนเลยสักนิด
ความกังวลส่งผลให้ปกรณ์ไม่กล้าที่จะก้าวขาเข้าไป เขายืนนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหนหากแต่ร่างกายยังคงสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัว
ชานนท์เห็นท่าไม่ดีจึงประคองร่างของปกรณ์เอาไว้ด้วยความห่วงใยก่อนที่จะตัดสินใจพาร่างนั้นเดินเข้าไปในบ้านแล้วเผชิญหน้ากับบุคคลที่เขาเรียกว่า ‘พ่อ’
จบตอน
อูยยย.... จะเผชิญหน้ากับพ่อแล้ว :fire:
-
:katai1:ลุ้นนน คืออาการปกรณ์ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นมากเลย จะมาเจอกับพ่อซึ่งเหมือนเป็นสาเหตุอีก แต่ก็ยังดีที่คราวนี้เจอพร้อมกะชานนท์ แล้วชานนท์จะได้รู้ด้วยว่าทำไมปกรณ์ถึงเป็นแบบนี้ อาจจะดีกะการรักษาก็ได้ :katai4:
-
รำคาญพ่อ หลงแต่เมีย ห่วงแต่ชื่อเสียงที่ไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าลูกคนนึงก็ไม่สนใจ :fire:
-
ชานนท์งัดกับพ่อปกรณ์เลยยยยยย :angry2:
-
:pig4: :pig4:
-
รอค่ะ ตื่นเต้นมาก มาเจอกับพ่อแล้วจะเป็นไงต่อ
-
ติดตามนะคะะ ลุ้นว่าปกรณ์จะหายได้ยังไง>< เราว่าคนที่มีปัญหาทางจิตใจดูแล้วต่อให้รักษาได้ก็ต้องมีคนที่คอยเข้าใจอยู่ด้วยอ่ะ แบบเหมือนวันดีคืนดีอาการจะกลับมาได้ตลอดเลยถ้าเริ่มคิดมากหรือมีอะไรมากระตุ้น จะว่าอ่านแล้วก็อึดอัดกับความคิดปกรณ์ดี555+ รอตอนต่อไปนะคะ^^
ปล.การปฐมพยาบาลคนชักเราไม่เอาช้อนเข้าปากนะคะ^^ พอดีชานน์เปนบุคลากรการแพทย์ด้วยเดี๋ยวมันจะดูไม่สมจริงน้า
-
เวลามีชานนท์อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกอุ่นใจแทนปกรณ์นะ
ตอนหน้าเจอหน้ากับพ่อของปกรณ์แล้ว
พ่อจะมาคุยไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าเรื่องไม่ให้รักษา หึหึ
รอตอนหน้าครับ
-
ตอนที่ 16
เสียงของประตูรั้วทำให้แขกที่เฝ้ารออยู่ในบ้านรับรู้ได้ทันทีว่าคนที่พวกเขากำลังรอคอยได้กลับมาแล้ว
ประสิทธิ์ลุกจากที่นั่งแล้วเดินออกไปต้นรับทันที ลูกชายของเขานั้นมีสีหน้าที่วิตกจริตอย่างเห็นได้ชัด มันปนเปไปด้วยความเครียด ความหวาดกลัวจนเขาไม่แปลกใจเลยว่าหากเด็กคนนี้จะเข้าไปทำการรักษาที่แผนกจิตเวช
แต่สิ่งที่ทำให้ประสิทธิ์ประหลาดใจนั่นก็คือมีใครอีกคนที่ประคองร่างของปกรณ์แล้วเดินเข้ามาด้วย แววตาและสีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นดูนิ่งสนิทจนเขาไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาไม่แสดงออกถึงความสงสัย สงสาร ราวกับว่ากำลังเก็บความคิดทุกอย่างเอาไว้ในจิตใจเท่านั้น
“สวัสดีครับ” ปกรณ์ยกมือไหว้ทันทีเมื่อได้เผชิญหน้ากับผู้เป็นพ่อตรงๆ เสี้ยววินาทีถัดมาชานนท์ก็ยกมือไหว้ตาม
“แกเป็นอะไร” ประสิทธิ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อก่อนลูกชายไม่เคยมีอาการแบบนี้ อย่างมากก็แค่หลบหน้าไม่พูดไม่จาก็เท่านั้น
“ผม... ไม่ได้เป็นอะไรครับ” ปฏิเสธออกไปดื้อๆ ทั้งๆ ที่ร่างกายมันฟ้องอยู่ทนโท่
หลังจากคืนนั้น... คืนที่ได้พบกับนรินทร์ แล้วนรินทร์ทำให้ปกรณ์จำเรื่องราวในอดีตในวันที่แม่ของเขาจับว่าพ่อมีชู้ได้คาเตียง ภาพเหล่านั้นก็ฉายซ้ำไปเรื่อยๆ จนทำให้เขารู้สึกทรมาน เจ็บปวด ทั้งขยะแขยงและหวาดกลัว อาการของเขาจึงหนักขึ้นเมื่อได้มาเผชิญหน้ากับคนเป็นพ่อตรงๆ อีกครั้ง
“อย่ามาโกหก ก็เห็นอยู่ว่าแกไม่ปกติ” ประสิทธิ์เริ่มขึ้นเสียง
“พอดีเรามีอุบัติเหตุนิดหน่อยนะครับ แล้วปกรณ์ก็ไม่สบายด้วย เดี๋ยวผมพาปกรณ์ขึ้นไปพักก่อนนะครับ” ชานนท์ที่เห็นท่าไม่ดีรีบแก้ตัวออกมา พลางชี้นิ้วตรงแขนของปกรณ์ที่มีผ้าก๊อซพันอยู่ให้เขาดู
ประสิทธิ์มองตาม พอเห็นแบบนี้จึงไม่เอะใจอะไร แต่ทว่าเขามีเรื่องที่จะคุยกับลูกชายตามลำพัง เพราะฉะนั้น...
“นายกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะดูเจ้าปกรณ์ต่อเอง”
ชานนท์อึกอัก เขาไม่อยากไปที่นี่ อยากอยู่กับปกรณ์ตรงนี้เผื่อว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่ถึงกระนั้น... พวกเขาก็เป็นพ่อลูกกัน เขาเป็นเพียงคนนอกจึงไม่ควรจะไปก้าวก่ายเรื่องในครอบครัวโดยที่พวกเขาไม่ต้องการ แต่ถ้าปกรณ์บอกมาเพียงคำเดียวเท่านั้นว่าให้เขาอยู่... เขาก็จะอยู่
“เดี๋ยวครับ” ปกรณ์ที่เห็นท่าทีอึกอักของชานนท์จึงพอจะคาดเดาได้ว่ากำลังคิดอะไร แต่ถึงกระนั้นปกรณ์ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเน่าเฟะของคนในครอบครัว “เดี๋ยวผมกลับมา ผมขอออกไปส่งชานนท์ก่อนนะครับ”
“หึ... ก็ได้” ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปรอในห้องนั่งเล่น
“คุณกลับไปเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งขึ้นรถหน้าปากซอย” ปกรณ์หันไปพูดกับชานนท์
“ทำไมครับ ทำไมไม่ให้ผมอยู่ที่นี่ด้วย” ชานนท์ถามอย่างไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าเขาอยากก้าวก่ายเรื่องครอบครัวหรอกนะ แต่เพราะอาการที่เกิดขึ้นมันแสดงให้เห็นว่าปกรณ์มีอาการผิดปกติไป ความสุขหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเจอหน้าพ่อ
ปกรณ์มีได้ตอบในทันที แต่เขาเดินออกไปหน้ารั้วบ้านจนอีกฝ่ายที่ประคองร่างของเขาเอาไว้ต้องรีบเดินตามอย่างไม่สามารถขัดขืนได้
“ผมยังไม่พร้อมให้คุณรับรู้เรื่องในครอบครัวของผม” ปกรณ์ตอบออกไปตรงๆ แม้จะรู้สึกสนิทใจกับชานนท์แล้วก็ตาม แต่เขาคงไม่สามารถเล่า
เรื่องแย่ๆ ในครอบครัวให้ใครฟังได้
“ผมเข้าใจนะครับ แต่ผมเป็นห่วงอาการของคุณ” จุดประสงค์ที่ชานนท์อยากอยู่ที่นี่มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เรื่องอื่นไม่สำคัญสำหรับเขาสักนิด
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ” ปกรณ์ฝืนตอบออกไปทั้งๆ ที่ภายในจิตใจเขารู้ว่าเขาจะต้องเป็นอะไรขึ้นมาแน่ๆ “แต่ถ้าผมไม่โอเค ผมจะรีบโทรหาคุณนะครับ”
“ก็ได้ครับ” ท้ายที่สุดชานนท์ก็ต้องยอม
“ถึงพ่อผมจะไม่ดียังไง อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยทำร้ายผมสักครั้งนะครับ คุณเชื่อได้เลย” ปกรณ์พยายามฝืนยิ้ม มันไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขาภูมิใจสักนิด จริงอยู่ว่าไม่เคยถูกพ่อทำร้ายร่างกาย แต่นั่นก็เพราะพ่อเกลียดเขา ขยะแขยงที่เขาเกิดมาเป็นลูก พ่อคงสมเพชกับการกระทำของแม่เลยทำใจยอมรับลูกอย่างเขาไม่ได้ จึงทำให้พ่อไม่แม้แต่จะจับจ้องตัวเขาสักครั้ง
หลังจากที่แม่เสีย... ฤทัยดีชู้รักใหม่ของพ่อก็ก้าวเข้ามาเป็นเมียคนใหม่และพ่วงตำแหน่งแม่เลี้ยงด้วย พ่อปล่อยให้ฤทัยดีดูแลเขาตั้งแต่นั้นเรื่อยมา แต่จะบอกว่าดูแลก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะการกระทำที่เกิดขึ้นระหว่างฤทัยดีกับปกรณ์น่าจะเรียกว่าการกดขี่ข่มเหงมากกว่า ยิ่งพอหล่อนท้อง... ความน่ากลัวของหล่อนก็ยิ่งทวีคูณเป็นหลายร้อยเท่า
“ให้ผมรออยู่ที่หน้าปากซอยก็ได้” ชานนท์ยังคงกังวลใจ ไม่อยากอยู่ห่างจากที่นี่
“คุณอย่าทำให้ผมต้องเครียดสิครับ” ปกรณ์งัดไม่ตายออกมา พอได้ยินแบบนี้ชานนท์ก็ไม่กล้าเถียง การทำให้ผู้ป่วยที่มีสภาวะเครียดต้องกดดันไม่ใช่เรื่องที่ดี เขาจึงต้องยอมทำตามแม้ว่าใจอยากที่จะปฏิเสธก็ตาม
“คุณอ่ะ... พูดแบบนี้ผมก็ไม่กล้าเถียงสิครับ” ชานนท์ทำเสียงอ่อย
“ดีแล้วครับ เป็นนักจิตวิทยาก็อย่าดื้อกับคนป่วยมากนัก เข้าใจไหมครับ” ปกรณ์เอ่ยกลับราวกับคนที่กำลังถือไพ่เหนือกว่า ปกติมีแต่คนป่วยต้องเชื่อฟัง แต่ความความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาเลยทำให้กลายเป็นชานนท์ที่ใจอ่อนยอมปกรณ์เสียทุกเรื่อง และเพราะเหตุนี้นี่เอง จึงได้มีกฎห้ามให้คนป่วยทางจิตเวชเข้ารับการรักษากับ เพื่อน ญาติ คนรู้จักหรือคนรักเพราะมันจะทำให้การรักษาไม่ค่อยได้ผล
“อะไรเนี่ย เมื่อก่อนคุณกลัวและเชื่อฟังผมนะ” ชานนท์แกล้งทำน้ำเสียงโวยวายขัดใจแต่ใบหน้าก็ยังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
“แต่ตอนนี้คุณต้องเชื่อฟังผม” ชานนท์แย้งกลับเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแบบนี้นี่แหละ อ่อนโยนและใจดี พอสนิทกันเขาถึงได้กล้าต่อปากต่อความด้วย
“ผมไม่อยากคิดเลยว่าในอนาคตผมจะเป็นยังไงเนี่ย” ชานนท์แกล้งทำสีหน้าครุ่นคิด “นี่ขนาดคุณยังไม่ยอมตกลงคบกับผม ยังทำให้ผมยอมได้ขนาดนี้”
“คุณก็...” ชานนท์หลุดขำออกมาบ้าง เขาลืมนึกถึงความเครียดเรื่องพ่อไปชั่วขณะ “พูดเกินไปหน่อยแล้วมั้งครับ”
“ก็จริงนี่ครับ” ชานนท์แกล้งทำปากขมุบขมิบเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้ดั่งใจ การกระทำนั่นยิ่งทำให้ปกรณ์ชอบใจเข้าไปใหญ่จนต้องหลุดหัวเราะออกมา
“คุณทำท่าอะไรเนี่ย ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้”
“ชอบไหมล่ะ” ชานนท์ยักคิ้ว
“ไม่ต้องมาหลอกถาม” ปกรณ์เบือนหน้าหนี
“เขินจนต้องหลบหน้าเลยเหรอครับ” ชานนท์กระเซ้าเย้าแหย่ต่อไป
“...” ไม่มีเสียงตอบรับ
“แค่ทำให้คุณหัวเราะได้ผมก็ดีใจแล้วครับ” น้ำเสียงของชานนท์เริ่มกลับเข้าสู่โหมดปกติเมื่อเห็นว่าเกินใกล้ถึงหน้าปากซอยแล้ว “แต่ถ้าคุณมีอะไรไม่สบายใจ คุณต้องรับปากกับผมก่อนนะว่าจะรีบโทรหาผมทันที”
“ครับ” ปกรณ์หันหน้ากลับมา
หลังจากที่ส่งชานนท์ขึ้นรถแท็กซี่ ปกรณ์ก็เดินกลับเข้าไปในซอยบ้านด้วยความรู้สึกที่วิตกจริต เขาคาดคิดไปต่างๆ นานาว่าพ่อมาหาเขาที่นี่มีธุระอะไรกันแน่ เขาเผลอไปทำความผิดอะไรเอาไว้จนพ่อต้องมาเอาเรื่อง และเขาจะโดนพ่อลงโทษอย่างไรบ้าง
ความเครียดเริ่มเข้าครอบงำจิตใจอีกครั้งจนสีหน้าและแววตาแสดงออกมาอย่างชัดเจน
ปกรณ์เปิดประตูรั้วด้วยความยากลำบาก ราวกับว่าสิ่งนี้เป็นหนทางสู่นรกอเวจี ที่ไม่มีใครหน้าไหนต้องการเดินไป แต่ก็ไม่สามารถเลือกปฏิบัติได้ เพราะกรรม... กำหนดมาให้เขาต้องเป็นแบบนั้น
ร่างของชายวัยกลางคนยังคงนั่งนิ่ง เขากอดอกและมีสีหน้าที่เรียบเฉย การที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้นั้นยิ่งทำให้ปกรณ์วิตกมากขึ้นไปอีก
“พ่อมาที่นี่มีธุระอะไรกับผมครับ”
เป็นประโยคที่เค้นเสียงออกมาได้อย่างยากลำบาก ปกรณ์ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรจึงพูดออกไปแบบนั้น โดยที่ไม่คาดคิดเลยว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่พอใจ เพราะการที่ถามออกไปแบบนั้นนั่นเหมือนกับว่า ‘เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมายุ่งและก้าวก่ายที่บ้านหลังนี่’
ประสิทธิ์จ้องมองร่างของลูกชายตาเขม็ง ร่างนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาตัวสั่นระริกดูอ่อนแอจนน่าสมเพช เขาเกลียดที่เห็นสภาพของลูกชายเป็นแบบนี้ ถึงจะไม่เคยคิดรัก แต่มันก็ลบล้างความจริงที่ว่าปกรณ์คือลูกชายที่กำเนิดจากสายเลือดของตนเองไม่ได้อยู่ดี
“ทำไมฉันจะมาที่นี่ไม่ได้ ก็ที่นี่มันบ้านของฉัน”
เพียงแค่ประโยคเดียวสั้นๆ ก็ทำเอาปกรณ์สะดุ้งโหยง ตัวสั่นระริก
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” แต่ก็พยายามปฏิเสธออกไป “คือผมหมายความว่าผมไปทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ หรือพ่อมีอะไรจะคุยกับผมครับ”
“มานั่งก่อนสิ” ประสิทธิ์บอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง
ปกรณ์เดินเข้าไปบริเวณโซฟารับแขกอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะนั่งลง... แต่เขานั่งลงกับพื้น ไม่ใช่โซฟา ปกรณ์เคยชินกับการนั่งตรงนี้ เพราะคิดว่าตนไม่มีสิทธิ์ที่จะนั่ง โซฟาและของใช้ในบ้านนอกจากภายในห้องนอน เป็นสิทธิ์ของพ่อ แม่เลี้ยงและน้องชายเท่านั้น
“หึ... ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” ประสิทธิ์พ่นลมหายใจออกมาและเหลือบตามองลูกชายตัวเองด้วยความสมเพช เขาเกลียดความรู้สึกแบบนี้ อยู่ๆ ก็คิดว่าอยากให้หมอนี่เข้มแข็งและกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง “ลุกขึ้นนั่งบนโซฟาสิ”
ปกรณ์เงยหน้ามองคนพูดด้วยความฉงน เขาไม่แน่ใจว่าหูแว่วไปไหม
“พ่อพูดว่าอะไรนะครับ” ปกรณ์ถามย้ำ
“ฉันบอกให้แกลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟา” ผู้เป็นพ่อตอบออกมา “และอย่ามาทำตัวอ่อนแอน่าสมเพชแบบนี้ให้ฉันเห็นอีก”
“คะ... ครับ” ปกรณ์ตอบรับด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักก่อนจะพยายามยั้งกายให้ลุกขึ้นไปนั่งอยู่บนโซฟาตามคำสั่ง
ทว่า... ปกรณ์กลับรู้สึกกดดันมากยิ่งขึ้น รู้สึกอึดอัดที่นั่งในที่ที่ไม่สมควรนั่ง มันไม่ใช่ที่ของเขา หากแม่เลี้ยงมาเห็นจะต้องไม่พอใจแน่ แต่หากขัดคำสั่งของพ่อ เขาก็จะโดนพ่อโกรธเช่นกัน ท้ายที่สุดจึงเลือกที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของคนที่กำลังสนทนาด้วย
“ที่ฉันมาที่นี่เพราะฉันอยากรู้ว่าแกไปที่โรงพยาบาล ไปหาหมอจิตเวชจริงๆ รึเปล่า”
คำถามของพ่อทำเอาปกรณ์ถึงกับสะดุ้งเฮือก... เพราะเหตุนี้นี่เองพ่อถึงรอพบเขาที่นี่ในวันนี้
“ครับ” ปกรณ์ยอมรับซึ่งๆ หน้า และไม่ได้อธิบายอะไรออกไปมากกว่านั้น ความเครียดเริ่มมีมากขึ้นพอคิดว่าพ่อรู้ว่าเขามีอาการป่วยทางจิต พ่อจะรู้สึกอย่างไร จะเกลียดเขาหรือทำอะไรกับเขาหรือไม่
“แกเป็นอะไรถึงต้องไปรักษาที่นั่น” ผู้เป็นพ่อยังคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจ
“ผมคิดว่าผมเป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้าครับ แต่หมอบอกว่าผมน่าจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำด้วย” ปกรณ์ตอบเพียงแค่นั้น
ประสิทธิ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ เหตุผลนี้พอจะรับฟังได้บ้าง ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะสิ่งที่ลูกชายของตนต้องประสบพบเจอมา ประสิทธิ์เองก็รู้ว่ามันหนักหนาสาเหตุสำหรับเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขาต้องทนอยู่ด้วยความหวาดผวามาตลอดตั้งแต่ที่แม่แท้ๆ ของเขาจากไป
“แล้วดีขึ้นรึยัง”
“ก็นิดหน่อยครับ แต่ยังเครียดๆ อยู่บ้าง” ปกรณ์ตอบออกไปตรงๆ จะโกหกว่าไม่เครียดเลยก็คงถูกจับได้เพราะอาการที่แสดงออกตอนนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
“แล้วก่อนหน้านี้แกไม่ไปหาหมอ แกก็อยู่ของแกได้ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า เขายังคงไม่กล้าสบตากับผู้พูด
“ถ้าอย่างนั้นแกก็ไม่ต้องไปที่นั่นอีก เพราะก่อนหน้านี้แกก็อยู่ได้โดยที่ไม่มีปัญหาอะไร”
“แต่พ่อครับ” คราวนี้สมองของปกรณ์สั่งให้พูดออกไปอย่างไว “ผมต้องรักษา ถ้าผมไม่รักษาอาการมันอาจจะร้ายแรงขึ้นนะครับ”
สิ่งที่ปกรณ์พูดไม่ต่างอะไรกับหมอจิตแพทย์ที่เขาเคยไปพบ หมอบอกว่าขั้นเลวร้าย... หากไม่ได้รับการรักษา ปกรณ์อาจจะเป็นคนสติไม่สมประกอบ หรืออาจจะทำร้ายผู้อื่นโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว แต่สาเหตุสำคัญก็คือความเครียด ในเมื่อเขาและฤทัยดีก็ย้ายออกไปแล้ว ปกรณ์ก็ควรที่จะมีอาการดีขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปรับการรักษา
“แล้วแกเครียดอะไรวะ ฉันกับฤทัยดีก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว แกก็ควรจะมีอาการดีขึ้นสิ”
“คือผม...” ปกรณ์ไม่สามารถแย้งได้ จริงอย่างที่พ่อพูด เขาอยู่ในบ้านหลังนี้โดยที่ไม่มีใครรบกวนควรจะมีอาการดีขึ้น แต่นั่นก็เหมือนกับดาบสองคม การอยู่คนเดียวนานๆ มันทำให้เขามีเวลาคิดถึงเรื่องต่างๆ ในอดีต และพอคิด ความทรงจำเหล่านั้นก็ยิ่งตอกย้ำให้เขาต้องเจ็บปวด ...ทรมานจนกลัวว่าสักวันตัวเองจะสูญเสียความเป็นคนไป
“ทำไม ผมทำไม แกมีอะไรก็พูดมาให้จบดิ” ประสิทธิ์คาดคั้นอย่างกดดัน
“ผมจะพยายามไม่เครียดละกันครับ” อีกฝ่ายตอบออกไป ปกรณ์ไม่แน่ใจว่าพ่อมีเหตุผลอะไรกันแน่ เป็นห่วงเขาอย่างนั้นหรือถึงต้องมาคุยเรื่องนี้ พอคิดแบบนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกดีใจ หัวใจของเขาเต้นรัว ตื่นเต้น และสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ...นี่พ่อเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะเครียดเกินไปอย่างนั้นจริงๆ หรือ
“อืม... ก็ดี งั้นแกก็ต้องไม่ไปที่โรงพยาบาลอีก เพราะถ้าแกไปที่นั่นมันจะทำให้คนอื่นแอบเอาฉันไปนินทาได้ว่าฉันมีลูกเป็นโรคจิต”
ทว่าประโยคถัดมาก็ทำให้ความดีใจของปกรณ์หายไป ที่แท้เขาก็เป็นห่วงชื่อเสียงของตัวเองเท่านั้น แต่ปกรณ์เองก็รับปากกับชานนท์เอาไว้แล้วเหมือนกันว่าจะเข้ารับการรักษากับคุณหมอแบบจริงๆ จังๆ เพราะฉะนั้นเขาเองก็ไม่สามารถผิดคำพูดได้เช่นกัน
“แกเงียบ... รึแกคิดว่าจะไปที่นั่นอีก” น้ำเสียงของผู้พูดกดดันอีกฝ่าย ราวกับว่าหากปกรณ์เลือกที่จะปฏิเสธเขาจะต้องเจอกับอะไรที่ไม่คาดคิด
ความเครียดทวีความรุนแรงมากขึ้น ความคิดของเขาตีกันเพราะไม่อาจตัดสินใจได้ ฉับพลันก็รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดเสียให้ได้
ปกรณ์ยกมือขึ้นมาบีบขมับทั้งสองข้าง เขาไม่สามารถหาทางออกได้ อยากมีใครสักคนที่รับฟังปัญหา ใครก็ได้ช่วยมาทำให้เขาพ้นจากความรู้สึกที่กดดันแบบนี้ที
“ปกรณ์ ปกรณ์” จนกระทั่งในที่สุดก็มีเสียงใครบางคนร้องเรียก
ปกรณ์รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านตามต้นเสียง ประสิทธิ์วิ่งตามออกไปดูเพราะสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“นรินทร์” ปกรณ์เอ่ยเรียกร่างที่เห็น
“ไปกันเถอะ อย่าไปฟังที่พ่อนายพูดเลย พ่อนายมันก็แค่คนเห็นแก่ตัว มาเร็ว เราจะพานายหนีไปจากที่นี่เอง”
“นายจะพาไปที่ไหน” ปกรณ์ถามอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ
“ตามมาเหอะน่า ถ้านายเชื่อใจฉันนายก็จะไม่ต้องทนให้พ่อของนายต้องบังคับกดขี่ข่มเหงอีก”
ปกรณ์หันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง สายตาของปกรณ์เต็มไปด้วยความสับสน ...เขาเป็นพ่อ แต่ในเมื่อพ่อไม่เคยเห็นเขาเป็นลูก ก็ไม่ผิดใช่ไหมหากเขาจะหนีไปจากที่นี่ หนีไปให้ไกลจากการที่ต้องโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
ปกรณ์ตัดสินใจวิ่งออกไปจากบ้านทันที นรินทร์ยิ้มให้กับการตัดสินใจของเขาก่อนจะวิ่งนำหน้าไปด้วยความรวดเร็ว
ประสิทธิ์ยืนนิ่งไม่ไหวติง... เขาไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อครู่ปกรณ์พูดคุยอยู่กับใครกัน ทั้งๆ ที่นอกรั้วบ้านไม่มีใครนอกจากไอ้น้ำตาลหมาจรจัดประจำซอยที่ยืนกระดิกหางอยู่ตรงนั้น
ประสิทธิ์ไม่รู้จะทำอย่างไร จะวิ่งตามออกไปก็ไม่ทันเสียแล้ว เลยตัดสินใจนั่งรออยู่หน้าบ้าน เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกเป็นห่วงปกรณ์แบบนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะสนใจสักนิด หรือเพราะว่า... ถึงอย่างไรมันก็เป็นลูก
ระหว่างนั้นเอง เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากทางรั้วบ้านก็ทำให้ประสิทธิ์รีบลุกพรวดเดินออกไปดูด้วยความฉับไว ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อนั่นไม่ใช่ลูกชาย
“ขอโทษนะครับ พอดีผมคิดว่าผมทำกระเป๋าเงินตกไว้ที่นี่เลยกลับมาเอา” ชานนท์ตั้งใจโกหกออกไป กระเป๋าเงินถูกซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงข้างหลัง แต่เพราะเป็นห่วงปกรณ์ต่างหากเลยตั้งใจกลับมา “แล้วปกรณ์ล่ะครับ”
ประสิทธิ์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับชานนท์ฟัง... เขาไม่ได้เล่าถึงตอนที่อยู่ในบ้าน บอกแค่เพียงว่าอยู่ๆ ก็เครียดแล้วทำท่าเหมือนกำลังคุยอยู่กับใครแล้วก็วิ่งออกไปเลย
“...เห็นปกรณ์เรียกมันว่า นรินทร์”
จบตอน
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะครับ แอบดีใจเริ่มเยอะขึ้นนิดนึงแล้ว
ถ้าเห็นจุดไหนผิดพลาดต้องแก้ไข แจ้ง/แนะนำได้เลยนะครับ ขอบคุณครับ
-
ไปกันใหญ่เลยทีนี้ ปกรณ์ไปไหนเนี่ยยยยยย :katai1:
-
เพิ่งจะมานึกห่วง! หึ เห็นกับตาอย่างนี้แล้วยังจะคิดว่าอาการไม่ร้ายแรงอีกไหม
อยากจะด่าว่าเป็นพ่อที่เลวจริง ๆ
-
นรินทร์มาถูกเวลาเหลือเกินนนนน
-
ตายละ ปกรณ์เอ๊ย จะเป็นยังไงบ้างลูก ไปกะนรินทร์แบบนั้น
แล้วถ้าชานนท์ตามหาแล้วไม่เห็นนรินทร์ด้วยล่ะ
โอ๊สสสสส !!!
-
คุณพ่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ต่อหน้า ยังจะไม่ให้รักษาอยู่อีกไหม
หึหึ มันร้ายแรงแล้วนะสำหรับอาการทางจิตเวช
ปกรณ์หนีไปไหนเนี่ย ขอให้ปลอดภัยนะ
หวังว่าชานนท์จะหาปกรณ์เจอ
-
ปกรณ์ลูกกกก
-
ตอนที่ 17
ชานนท์เบิกตาโพลงด้วยความตกใจทันทีที่ได้ยินชื่อนั่น นรินทร์ไม่มีตัวตนอยู่จริง การที่ปกรณ์เครียดจนเจ้านั่นมาปรากฏให้เห็น นั่นหมายความว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่
แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายวิ่งไปที่ไหน แต่ชานนท์ก็รีบวิ่งลัดเลาะไปตามตรอกซอยซอยต่างๆ ทันที ระหว่างที่วิ่งตามหาอยู่นั่นเขาก็พยายามกดเบอร์โทรศัพท์โทรหาแต่ทว่าก็ไม่มีคนรับ
ทางด้านของปกรณ์... เขาวิ่งตามนรินทร์ไปตามซอยเล็กซอยน้อยจนกระทั่งไปหยุดอยู่หน้าบ้านร้างหลังหนึ่ง มีกำแพงรั้วกันไว้แต่มันก็ผุพังและมีช่องสำหรับมุดเข้าไปในนั้นได้อย่างสบายๆ
“มาสิ” นรินทร์มุดลอดช่องนั้นเข้าไปก่อนแล้วหันมากวักมือเรียกปกรณ์ที่มีท่าทีลังเล
ปกรณ์หยุดคิดสักพักก่อนจะมุดช่องกำแพงที่ผุพังนั้นเข้าไป ..เข้าไปในนั้นคงดีกว่าการที่ต้องไปปะทะความกดดันกับพ่อ
บ้านร่างหลังนี้ดูอยู่ในซอยแคบ ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจร มันเป็นบ้านปูนสองชั้นขนาดไม่ใหญ่ไม่นัก ทางเดินเข้าบ้านมีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นจนรุงรัง มีเถาวัลย์ห้อยระโยงรยางค์ดูลึกลับราวกับบ้านร้างในหนังสยองขวัญ
พอเดินเข้าไปข้างในก็พบกับประตูที่เปิดโล่ง พื้นบ้านเต็มไปด้วยฝุ่นทราย พอลองแหงนหน้ามองด้านบ่นก็เห็นหยากไย่เต็มเพดาน มีแมงมุมกำลังเกาะอยู่บนนั้นด้วย บริเวณหน้าต่างมีเศษกระจกแตะกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
“ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นขณะเดินไปหยุดอยู่บริเวณบันได
บันได้ภายในบ้านทำมาจากไม้สักหากแต่เพราะถูกทิ้งร้างมานานจึงมีฝุ่นเกาะเป็นคาบดำทำให้ดูเก่า ปกรณ์ไม่แน่ใจว่ามันจะรับน้ำหนักของเขาได้ไหวไหม แต่พอเห็นนรินทร์เดินขึ้นไป... เขาก็เดินเต็ม
มีเสียงออดแอดของไม้ขณะเดินขึ้นข้างบน ปกรณ์จับราวบันไดไว้แน่นขณะก้าวขาแต่ท้ายที่สุดเขาก็ขึ้นไปอยู่บนชั้นสองได้สำเร็จ
“อยู่ที่นี่พ่อนายจะต้องตามหาไม่เจอแน่ๆ” นรินทร์เอนกายลงไปกับพื้นบ้านบนชั้นสอง
“นายรู้ได้ไงว่าเรากำลังมีปัญหากับพ่อ” ปกรณ์เอ่ยถามก่อนจะเอนกายลงไปนอนกับพื้นบ้าง
“เราแค่รู้สึกว่านายกำลังต้องการใครสักคนก็เท่านั้น” น้ำเสียงของนรินทร์แผ่วเบา “พักเถอะปกรณ์นายเหนื่อยมามากพอแล้ว”
“แล้วนายไม่โกรธเราเรื่อง...” ปกรณ์นึกถึงเรื่องเมื่อตอนที่เจอกันครั้งก่อน นรินทร์ทำให้เขาฉุกคิดถึงเรื่องราวเมื่อตอนอายุ 2 ขวบ แล้วอยู่ๆ เขาก็หายไป
“ต่อให้เราโกรธ เราก็เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนายไม่ได้อยู่ดี นายคงชอบเขามากเลยสินะ” นรินทร์พูดออกมาอย่างรู้ดี เขาพูดตามความรู้สึกที่สัมผัสได้
ปกรณ์ไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด ภาพของชานนท์ปรากฏในความคิด ตอนที่ถูกชานนท์โอบกอดจากด้านหลังมันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นที่สุดที่เขาเคยสัมผัส คืนนั้น... ถ้าชานนท์ไม่ออกตามหา ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้สภาพของเขาจะเป็นเช่นไร
“อีกหน่อย... เราก็คงจะเจอกันน้อยลง” นรินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
ปกรณ์หันไปมองร่างนั้นด้วยความรู้สึกสับสน ...เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีความรู้สึกว่านรินทร์กำลังจะจากเขาไป ไปในที่ที่ไกลแสนไกล ไปในที่ที่เขาไม่อาจพบเจอได้อีก
“ทำไม นายจะทิ้งเราไปไหน”
นรินทร์ยิ้มให้กับคนถาม เพราะเขาเองก็ไม่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้เหมือนกัน
“สักวันหนึ่ง... นายจะเข้าใจมันได้เอง”
หัวใจของปกรณ์เต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกราวกับว่าอนาคตอันใกล้จะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับนรินทร์ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นรินทร์ก็คือเพื่อที่ดีที่สุด เป็นคนเพียงคนเดียวที่เข้าใจเขามาโดยตลอด เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาจะไม่ยอมสูญเสียเพื่อนคนนี้ไปให้กับใครหน้าไหนแน่นอน
ระหว่างนั้น ปกรณ์เพียงสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ จึงหยิบมันออกมาดูเมื่อเห็นว่าใครโทรมาเขาก็รีบกดรับสายทันที
“คุณปกรณ์ คุณอยู่ที่ไหนครับ” เสียงของปลายสายกระหืดกระหอบเหมือนคนหายใจไม่ทัน
“ผมอยู่บ้านครับ” ปกรณ์ตัดสินใจโกหกออกไปเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว “แล้วคุณอยู่ที่ไหน ทำไมเสียงคุณดูเหนื่อยจัง”
“ผมกลับมาที่บ้านคุณ ผมรู้ว่าคุณวิ่งหนีคุณพ่อไป ตอนนี้ผมกำลังตามหาคุณ คุณอยู่ที่ไหนบอกผมที ผมจะรีบไปหา” ชานนท์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่อีกฝ่ายโกหก เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือชีวิตของปกรณ์
“ผมอยู่ที่บ้านร้างครับ อยู่ถัดจากซอยบ้านมาประมาณสี่ซอย ผมอธิบายเส้นทางไม่ถูก เดี๋ยวผมส่งโลเคชั่นเข้าไลน์ให้นะครับ” คราวนี้ปกรณ์พูดความจริง
“ได้ครับ งั้นผมวางสายเลยนะ คุณรีบส่งมาเลยนะครับ แล้วรออยู่ที่นั่นอย่าเพิ่งไปไหน ผมจะรีบไปหา”
“ครับ”
สิ้นเสียง... ปกรณ์ก็กดวางสายทันทีแล้วรีบส่งแผนที่เส้นทางให้ตามที่รับปาก
“งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนนะ” อยู่ๆ นรินทร์ก็เอ่ยขึ้น เหมือนรับรู้ความรู้ที่กำลังสับสนสึกในจิตใจของปกรณ์
“นายจะไปไหน” แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น เขาก็ลังเลอยู่ดี ในใจลึกๆ ก็อยากแนะนำให้เพื่อนคนนี้ได้รู้จักกับชานนท์
“เราเองก็ไม่แน่ใจ...” นรินทร์ตอบเสียงเบาก่อนจะลุกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งแล้วหันไปสบตากับคนที่ยังคงนอนราบกับพื้นบ้านอยู่ “นายตอบเรามาสิ ว่านายอยากให้เราอยู่ หรืออยากให้เราไป”
คำพูดของนรินทร์ราวกับออกมาจากความคิดของปกรณ์ เขาเองก็กำลังถามใจตัวเองเหมือนกัน
หากนรินทร์อยู่... ปกรณ์เองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ชานนท์ฟังอย่างไร เขารับปากกับชานนท์เอาไว้ว่าหากมีปัญหาอะไรให้รีบโทรหาแต่ก็ผิดสัญญาเพราะนรินทร์มาช่วยเอาไว้เสียก่อน เขากลัวว่าชานนท์จะเสียใจ หรือแค่กลัวว่าชานนท์จะพาลไม่มีเหตุผลแล้วไม่ชอบเพื่อนเขาคนนี้กันแน่
แต่หากให้นรินทร์ไป... นรินทร์จะต้องเสียใจแน่นอน แม้เขาอาจจะบอกว่าไม่เป็นไรเข้าใจทุกอย่างดี แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ทำร้ายจิตใจเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจคนนี้มาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียความรู้สึกแน่นอน ปกรณ์ไม่ชอบเหตุการณ์ที่บีบคั้นแบบนี้เลยสักนิด นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เขาอยู่ในฐานะคนกลาง ต้องเลือกต้องตัดสินใจสักทางเพื่อทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียใจน้อยที่สุด
‘คุณชานนท์ ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนมีเหตุผลมากพอ... มากพอที่จะเข้าใจนรินทร์’
ปกรณ์ตัดสินใจได้แล้ว และคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาต้องยอมรับความจริง ยอมให้นรินทร์พบกับชานนท์ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะใช้เหตุผลเพื่ออธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
หลังจากที่ได้รับเส้นทาง ชานนท์ก็รีบวิ่งตามแผนที่ไปทันที เขาต้องวกกลับไปในเส้นทางที่ผ่านมาเพราะวิ่งเลยมาค่อนข้างไกลพอสมควร แม้จะเหนื่อยหอบแต่แรงก็ไม่ตกเพราะเส้นชัยในการวิ่งครั้งนี้คือ ‘ปกรณ์’ หากเป็นการช่วยเหลือปกรณ์ ต่อให้ต้องทำอะไรที่เหน็ดเหนื่อยมากกว่านี้หลายพันเท่าเขาก็ไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน
ชานนท์ลัดเลาะตามซอยแคบๆ ไปจนกระทั่งไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง มันเป็นบ้านร้างสองชั้นที่สร้างหน้าบ้านรกรุงรังไปด้วยเถาวัลย์และกอหญ้า แผนที่แสดงว่าอีกฝ่ายอยู่ในบ้านหลังนี้
โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ ความสว่างทำให้บ้านร้างดูน่ากลัวน้อยลง ชานนท์ไม่อยากคิดเลยว่าหากตอนนี้เป็นเวลากลางคืน เขาจะกล้าย่างกายเข้าไปข้างในหรือไม่
เขารีบวิ่งฝ่าดงหญ้ารกร้างเข้าไป เมื่อไปถึงภายในบ้านเขาก็จะโกนเรียกชื่อของคนที่กำลังตามหาด้วยเสียงอันดังก้อง
“คุณปกรณ์ คุณอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”
“ผมอยู่ชั้นบนครับ” อีกฝ่ายตอบกลับในทันที
ได้ยินดังนั้น ชานนท์ก็รีบวิ่งขึ้นบันได ไม่สนสักนิดว่ามันจะเก่าผุพังแค่ไหน ขอแค่ได้เห็นกับตาว่าคนที่กำลังตามหากำลังปลอดภัย ไม่ได้รับอันตรายใดใดทั้งสิ้น
พอขึ้นไปถึงชั้นบน... ชานนท์ก็พบกับร่างของปกรณ์กำลังนั่งพิงผนัง ไม่ต้องเสียเวลาคิด ร่างกายของเขาสั่งให้วิ่งเข้าไปหาแล้วโอบกอดร่างนั้นเอาไว้ด้วยความแนบแน่น
“ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่”
ปกรณ์สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่ส่งผ่านมาทางน้ำเสียงและอ้อมกอดนั้น
“ผมขอโทษ” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบา เขารู้ตัวว่าผิดที่ไม่ยอมโทรหาชานนท์หลังจากที่เกิดเรื่อง แต่เพราะเหตุการณ์มันรวดเร็วมาก เขาเองก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน
“ไม่เป็นไร แค่คุณปลอดภัย ผมก็ดีใจแล้ว” ชานนท์ยังคงกอดอีกฝ่ายเอาไว้
ปกรณ์ยอมให้อีกฝ่ายกอดนิ่งๆ จนพอใจ พอรู้สึกว่าอีกฝ่ายคลายอ้อมแขนออก เขาจึงหันหน้าไปมองนรินทร์ที่นั่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
นรินทร์พยักหน้าเบาๆ เหมือนเป็นสัญญาณว่าพร้อมที่จะรู้จักกับคนตรงหน้าแล้ว ดังนั้นปกรณ์จึงตัดสินใจแนะนำให้ชานนท์รู้จักกับเพื่อนสนิทคนนี้ทันที
“คุณชานนท์ครับ ผมมีคนที่อยากแนะนำให้คุณรู้จัก”
ชานนท์สะดุ้งทันทีเพราะตั้งแต่ที่ขึ้นมาบนนี้เขาก็ไม่เห็นใครสักคนนอกจากปกรณ์
“ใครครับ”
“เพื่อนของผม นรินทร์ครับ” ปกรณ์พยักพเยิดใบหน้าไปทางที่นรินทร์นั่งอยู่ ชานนท์เหลือบสายตาแล้วหันไปมองตามอย่างช้าๆ แต่พบเพียงความว่างเปล่า “เขาเป็นคนช่วยผมพาออกมาจากบ้านครับ คุณชานนท์อย่าเพิ่งดุเขานะ ถ้าไม่มีเขา... ผมเองอาจจะเสียสติเพราะถูกพ่อกดดันไปแล้ว ถ้าไม่มีเขาผมเองก็อาจไม่ได้มากอดกับคุณตรงนี้ คงไม่มีโอกาสรู้ว่ามีใครที่แสนดีอย่างคุณเป็นห่วงผมมากแค่ไหน และถ้าหากไม่มีเขาผมก็คงอดทนผ่านวันคืนที่เลวร้ายมาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ผมอยากให้เขารู้จักกับคุณนะครับ ผมไม่อยากเสียเขาไปครับ”
ชานนท์โอบกอดปกรณ์เอาไว้แน่น ตัวของเขากำลังสั่นเทาเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้ฟัง จนในที่สุดความกดดันทั้งหมดปะทุออกมาเป็นหยดน้ำตา เขาข่มตาให้หลับลงแล้วภาวนา...
เขาภาวนาขอให้นรินทร์มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ วอนฟ้าวอนสวรรค์ให้เห็นใจ ขอแค่มีใครสักคนก็ได้นั่งอยู่ตรงนั้น เขาไม่อยากลืมตาขึ้นมาแล้วมองเห็นกำแพงที่ว่างเปล่า ...แต่ทว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง ชานนท์ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาเพื่อสู้กับความจริงอีกครั้ง
...ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นเพราะคนที่ชื่อนรินทร์ไม่มีตัวตนมาตั้งแต่ต้น
ชานนท์ควรจะทำอย่างไรต่อไป ควรเสแสร้งแกล้งทักทายกับกำแพงว่างเปล่าเพื่อให้ปกรณ์สบายใจดีไหม แต่หากทำแบบนั้นนั่นเท่ากับว่าเขากำลังวิ่งหนีโลกแห่งความเป็นจริง
แต่หากบอกความจริงออกไปตอนนี้... ชานนท์ไม่อยากคิดเลยว่าจิตใจของปกรณ์จะเข้มแข็งพอที่จะแบกรับเรื่องทั้งหมดได้ไหม ปกรณ์เพิ่งพูดออกมาว่าไม่อยากเสียนรินทร์ไป และเขาก็ดูห่วงใยความรู้สึกของคนที่ไม่มีตัวตนคนนี้เหลือเกิน
การที่ต้องพรากนรินทร์ออกไปจากความคิดของปกรณ์ มันคงไม่ต่างอะไรกับฆาตกรเลือดเย็น เขาทำมันไม่ลง
“คุณชานนท์ คุณ... ร้องไห้เหรอครับ” หยาดน้ำตาหยดลงไปที่แก้มของอีกฝ่ายเพราะใบหน้าของพวกเขาแนบชิดกัน “ผมไม่ได้เป็นอะไร คุณเองก็ไม่ต้องร้องไห้นะครับ ดูสิ... นรินทร์มองใหญ่แล้ว ร้องไห้เป็นเด็กขี้แยไปได้”
พอพูดถึงนรินทร์ร่างกายของชานนท์ก็ยิ่งตัวสั่นเทามากขึ้น เขาไม่อาจแบกรับความรู้สึกที่แสนกดดันแบบนี้ได้อีกต่อไป
ชานนท์ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาก่อนจะผละใบหน้าออกแล้วมองคนตรงหน้าตาเขม็ง เขาฝืนยิ้มให้กับปกรณ์ทั้งที่ในใจกำลังรู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย
“โอเค ผมไม่เป็นไรแล้ว ผมแค่เป็นห่วงคุณมากเกินไป”
ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยิน... หลังจากนั้นชานนท์ก็หันหน้าไปมองกับกำแพงที่ว่างเปล่า มองในจุดที่ปกรณ์บอกว่านรินทร์นั่งอยู่ตรงนั้น
ชานนท์ขยับริมฝีปากยิ้มอย่างช้าๆ สมองของเขาพยายามสั่งให้หยุดการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์หากต้องก้าวเข้าไปอยู่ในโลกที่ผู้มีอาการป่วยทางจิตสร้างขึ้นมา ...หากแต่หัวใจของเขากลับดื้อดึงแล้วสั่งให้ฝืนยิ้มต่อไป
การที่ได้เห็นคนที่ตนเองรักมีความสุขและไม่ต้องพบกับความเสียใจนั้นเป็นสิ่งที่คนรักกันควรทำ
“สวัสดีครับคุณนรินทร์” น้ำเสียงของชานนท์แผ่วเบา เขาแกล้งโค้งศีรษะลงเล็กน้อยโดยไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
“สวัสดีครับคุณชานนท์” นรินทร์ตอบออกมาแบบนี้ นี่คือสิ่งที่ปกรณ์เห็น “ผมฝากดูแลปกรณ์ต่อด้วยนะครับ เดี๋ยวผมต้องไปแล้ว... เราไปก่อนนะปกรณ์”
“อ้าว... นายจะไปแล้วเหรอ” ปกรณ์เอ่ยขึ้นทันที
“เราเพิ่งนึกได้ว่าเรามีธุระ ไปก่อนนะ”
“โอเคๆ กลับบ้านดีๆ ล่ะ ขอบใจมากๆ นะสำหรับวันนี้ ถ้าไม่มีนายเราก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง”
ชานนท์ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่ก็พยายามเพ่งสายตาไปทางเดียวกับที่ปกรณ์มอง เพื่อทำให้ปกรณ์เชื่อว่าเขามองเห็นนรินทร์จริงๆ
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลคุณปกรณ์” ชานนท์พูดออกมาเพื่อความสมจริง ก่อนจะเงียบลงแล้วข่มตาให้หลับ ใจนึกโทษตัวเองที่อ่อนแอเกินกว่าที่จะกล้าบอกความจริง
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าท้ายที่สุดก็หนีความจริงไม่พ้น สักวันปกรณ์ก็ต้องรับรู้กับความจริงข้อนี้อยู่ดี แต่กว่าจะถึงวันนั้น... ขอให้เขาได้เก็บรอยยิ้มมากกว่านี้จะได้ไหม เขาไม่อยากเห็นปกรณ์ต้องร้องไห้และเสียใจในช่วงเวลาที่สภาพจิตใจของปกรณ์เองก็ย่ำแย่
...เขามันก็คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขของตัวเองเท่านั้น เขาทำในสิ่งที่นักจิตวิทยาไม่ควรทำ ความเชื่อใจที่ปกรณ์มีให้มันคงพังทลายในวันที่ได้รับรู้ความจริง
จบตอน
ขอบคุณที่ติดตามครับ หวังว่าคงสนุกกับการอ่านนะครับ แม้นิยายออกจะเครียดเกินไป รึเปล่า? 555+
-
เฮ้อ ยังดีที่ปกรณ์ไม่เป็นไร (บาดเจ็บทางกาย)
ชานนท์แกล้งเนียนไปแบบนี้จะดีหรอ
กลัวจะเกิดปัญหาในอนาคต
แต่อีกใจก็เข้าใจที่ทำเพราะไม่อยากให้ปกรณ์เสียใจหรือคิดมาก
คนอ่านเครียดแทน
-
:o12:
หน่วงสุดๆ ตอนจบพีคได้อีก
อึดอัดแทนชานนท์ เห็นใจ สงสาร
เข้าใจที่ชานนท์เลือกทำแบบนี้
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ รอค่ะ กำลังสนุกเลย
-
ตอนที่ 18
ปกรณ์แปลกใจที่ชานนท์ยังคงตัวสั่นระริก ชานนท์ทำราวกับว่ารู้สึกเจ็บปวด เหมือนกำลังข่มความรู้สึกอะไรบางอย่างเอาไว้ในใจ การแสดงออกนี้ทำให้ปกรณ์รู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ และเข้าใจผิดไปว่าที่ชานนท์เป็นแบบนี้ก็เพราะเขาหนีออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้โทรบอกให้รู้
“คุณชานนท์ ผมจะพยายามมีสติให้มากขึ้น จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วนะครับ” ปกรณ์อยากบอกให้เขาหยุดร้องไห้สักที เขาสำนึกผิดจะแย่อยู่แล้วแต่ก็ไม่กล้า กลัวว่าอีกฝ่ายจะยิ่งคิดมาก
ทางด้านของชานนท์ หลังจากได้ยินในสิ่งที่ปกรณ์พูดเขาก็พยายามที่จะไม่คิดเรื่องนรินทร์ พอสติเริ่มกลับมา เขาก็ค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกเปลี่ยนเป็นจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้แทน
“คุณทะเลาะอะไรกับพ่อเหรอครับ” พอสติกลับมาก็สอบถามปัญหาทันที
“พ่อไม่อยากให้ผมรักษา บอกว่าผมอยู่คนเดียวเดี๋ยวก็ดีขึ้น แต่ความจริงคือ...” ปกรณ์หลบสายตาแล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว “เขาแค่เป็นห่วงชื่อเสียงตัวเอง กลัวจะถูกคนนินทาหากรู้ว่าลูกไปหาหมอโรคจิต”
ชานนท์พยักหน้ารับรู้ด้วยความเข้าใจ หลายครั้งที่คนในครอบครัวมักมีปัญหาเพราะแค่กลัวว่าจะโดนคนอื่นนินทา แต่หากปล่อยให้เรื้อรัง อาการก็จะยิ่งหนักขึ้นและยากเกินจะเยียวยา พอรักษาไม่ทันผู้ป่วยก็อาจทำอะไรที่ขาดสติจนทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือโดนนินทามากกว่าเดิม
“แล้วคุณตัดสินใจยังไงครับ” ชานนท์อยากรู้ความคิดของอีกฝ่ายจึงลองถาม
“ผมอยากรักษาต่อ” ปกรณ์ตอบออกมาแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด “แต่พอพ่อบอกแบบนั้น ผมก็ไม่กล้า ผมไม่รู้ ผมตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป”
“แล้วพ่อคุณบอกไหมครับว่าถ้ารักษาต่อ พ่อคุณจะทำยังไงกับคุณ”
“เปล่าครับ ผมวิ่งหนีออกมาก่อน ผมกดดันจนทำอะไรไม่ถูก”
“โอเค ผมเข้าใจละ เดี๋ยวผมจะลองคุยกับพ่อคุณเอง”
คำพูดของชานนท์ทำให้ปกรณ์ถึงกับสะดุ้ง ปกรณ์กลัวพ่อจะไม่พอใจและอาจเกลียดชานนท์ได้หากไปพูดโน้มน้าวในเรื่องของเขา ถึงอย่างไรพ่อก็ห่วงชื่อเสียงของตัวเองมากกว่าลูกที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดมาอย่างเขา
“พ่อไม่มีวันเข้าใจหรอกครับ” ปกรณ์พูดเสียงแผ่วเบา
“ผมจะทำให้พ่อของคุณเข้าใจเอง กลับบ้านกันเถอะครับ”
“ผมไม่อยากกลับ ผมกลัว...” ปกรณ์ไม่อยากเผชิญหน้ากับพ่อ เขากลัวการโดนคาดคั้น กดดันให้ตอบคำถามในสิ่งที่คิดแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
“คุณต้องเชื่อใจผมนะครับ” ชานนท์ทำน้ำเสียงผ่อนคลาย สีหน้าของเขาดีขึ้นเมื่อไม่นึกถึงเรื่องของนรินทร์ “ผมเป็นนักจิตวิทยานะครับ ผมมีวิธีที่จะทำให้พ่อคุณยอมเชื่อผมแน่นอน”
“แล้วคุณจะทำยังไงครับ” ปกรณ์เอ่ยถามเพราะไม่มั่นใจ
“ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ครับ ผมต้องได้ลองคุยและดูท่าทีคุณพ่อของคุณก่อน”
“งั้นก็ยังไม่ชัวร์สิครับว่าจะสำเร็จ” เสียงของปกรณ์แผ่วลงอีกแล้ว
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าผมมีวิธี” ชานนท์ยิ้มออกมา สายตาของเขาไม่มีความกังวลอยู่ในนั้น
“แล้วถ้าพ่อไม่ยอมล่ะ” ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องคิดเผื่อไว้สองด้านเสมอเผื่อมีอะไรผิดแผน ใช่ว่าทุกเรื่องจะต้องสำเร็จเสมอไป
“ผมก็จะพาคุณหนี... หนีไปอยู่กับผม ดีไหมล่ะครับ” ชานนท์ยิ้มแฉ่ง “พอคิดแบบนี้ผมก็ชักอยากจะไม่ให้พ่อยอมเข้าใจแล้วสิครับ จะได้พาคุณไปอยู่ด้วยกัน”
“คุณก็...” ปกรณ์หลุดขำ คนๆ นี้มักทำให้เขาเผลอยิ้มหรือหัวเราะออกมาได้เสมอ “แล้วถ้าพ่อยอมให้ผมรักษา แต่ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมไปอยู่กับคุณตั้งแต่ตอนนี้เลยได้ไหมครับ”
“หือ.. ว่าไงนะครับ” ชานนท์อ้าปากค้าง แกล้งทำตาโตราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินก่อนจะหลุดขำออกมาเช่นกัน “นี่คุณกำลังคิดหนีตามผู้ชายนะครับเนี่ย ว้าว... เห็นเงียบๆ แบบนี้แต่ร้ายไม่เบาเลยนะครับ”
“ก็คุณอ่อยผมก่อน” ปกรณ์เถียง
“ผมอ่อยอะไรผมแค่เสนอ” ชานนท์เถียงกลับ
“ผมก็สนองไงครับ แล้วก็เสนอด้วยเหมือนกัน” ปกรณ์เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันจนชานนท์ต้องหัวเราะออกมาอีกครั้งกับท่าทีนั่น
“ได้สิครับ” สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ “ถ้าคุณไม่คิดมาก ผมก็อยากให้คุณไปอยู่กับผมเหมือนกัน”
“ผมไม่คิดมากหรอกครับ” ปกรณ์ยิ้มออกมา “แต่ก็คงได้อยู่ด้วยกันแป๊บเดียวใช่ไหมครับ เพราะพอรักษา หมอก็คงให้ผมนอนแยกที่โรงพยาบาล”
“ครับ” ชานนท์พยักหน้า พอคิดถึงเรื่องนั้นเขาก็เริ่มหวั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนเห็นภาพระหว่างการรักษาได้สักแค่ไหน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ที่จะต้องทนเห็นคนที่ตัวเองรักอาจต้องเจ็บปวดร้องไห้และสติสตังอาจหลุดลอยไปขณะที่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่แสนเจ็บปวด
“งั้นก็ไปกันเถอะครับ ไปคุยกับพ่อกัน” ปกรณ์ยั้งกายให้ลุกขึ้น
“ครับ” ชานนท์ลุกขึ้นตาม หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันออกจากบ้านร้างแล้วเดินกลับไปยังบ้านของปกรณ์
ภายในบ้าน... ชายวัยกลางคนยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เขานั่งนิ่ง ไม่ไหวติง ไม่แสดงความรู้สึกออกทางสีหน้าจึงทำให้ปกรณ์และชานนท์ที่เดินเข้าไปข้างในนั้นไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ประสิทธิ์แหงนหน้าขึ้นมองลองชายอย่างพิจารณา ใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึม พอเห็นว่าลูกชายและเพื่อนเดินอ้อมไปนั่งที่โซฟาอีกฝั่ง เขาจึงเป็นคนเริ่มบทสนทนาก่อน
“เมื่อกี้แกทำอะไรของแก แกวิ่งออกไปทำไม”
“คือผม...” ปกรณ์หลบสายตา ทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อ เขาถึงไม่สามารถพูดออกไปในสิ่งที่คิดได้
“ให้คุณปกรณ์ขึ้นไปพักก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมลงมาคุยกับคุณพ่อเอง” ชานนท์เอ่ยแทรกเมื่อเห็นท่าทีที่อึดอัด
“แล้วนายเป็นใคร รู้จักกับปกรณ์ได้ยังไง” ประสิทธิ์นึกสงสัยมาตั้งแต่แรกเห็น ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่ ทำไมจึงได้มีท่าทีสนิทสนมกับลูกชายของตน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ปกรณ์ไม่เคยมีเพื่อนสนิทแม้แต่คนเดียว
“ผมเป็นนักจิตวิทยา ทำงานอยู่โรงพยาบาลที่คุณปกรณ์เข้ารับการรักษาครับ” แล้วคำตอบของชานนท์ก็ช่วยคลายข้อสงสัย ประสิทธิ์จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“งั้นพามันขึ้นไปพัก แล้วค่อยกลับลงมาคุยกัน”
“ครับ”
ปกรณ์กับชานนท์ลุกจากที่นั่งแล้วเดินขึ้นไปชั้นสองแล้วเข้าห้องนอนในทันที
“คุณจะลงไปคุยกับพ่ออีกจริงๆ เหรอ” ปกรณ์ถาม
“ครับ ทำไมเหรอ” ชานนท์ขมวดคิ้วด้วยความฉงน
“ผมกลัวพ่อไม่เข้าใจ”
“พ่อต้องเข้าใจ” ชานนท์เชื่ออย่างนั้น
“แล้วถ้าไม่เข้าใจ แล้วพาลไม่พอใจแล้วไล่คุณออกจากบ้านล่ะ” ปกรณ์กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงๆ
“ผมก็จะขึ้นมาหาคุณ แล้วหนีออกจากบ้านไปด้วยกัน” ชานนท์ตอบหน้าซื่อ
“โถ่... คุณ ผมไม่ขำนะ ผมจริงจัง” ปกรณ์กังวลว่าชานนท์จะโดนไล่ตะเพิดก่อนที่จะมีโอกาสได้วิ่งขึ้นมาน่ะสิ
“ผมก็จริงจังครับ ถ้ามันไม่เป็นไปตามอย่างที่ผมคิด ผมก็จะขึ้นมารับคุณแล้วออกไปด้วยกัน” น้ำเสียงของชานนท์หนักแน่น “ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหนแน่นอน”
“แล้วถ้าพ่อไม่ยอม พ่อห้ามแล้วขึ้นมาเอาตัวผมไปก่อนล่ะ” ปกรณ์เริ่มมโนภาพไปต่างๆ นานา
“คุณบอกผมเองไม่ใช่เหรอ ถึงยังไงพ่อก็ไม่เคยลงมือทำร้ายคุณ จากที่ผมสังเกตมาผมรู้สึกว่าในใจลึกๆ ของท่าน เขารู้สึกผิดต่อคุณอยู่นะครับ ผมนึกว่าเขาจะน่ากลัวกว่านี้ซะอีก” ชานนท์ตอบออกมาตามที่คิด
“เมื่อก่อนพ่อน่ากลัวมากจริงๆ นะครับ ตอนที่ทำกับแม่” ปกรณ์ก็ตอบตามความจริงแต่ไม่อธิบายให้ฟังทั้งหมด “แต่เพราะเขารังเกียจผมเลยไม่อยากถูกเนื้อต้องตัวผมมากกว่า”
“งั้นคุณก็คงไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ ว่าเขาจะมารับตัวคุณไปก่อนผม” ชานนท์เอ่ยยิ้มๆ แต่ก็ยิ้มได้ไม่เต็มที่เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องดีที่จะยินดีกับการที่พ่อลูกไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน “งั้นคุณพักให้สบายนะครับ ผมลงไปคุยกับพ่อคุณก่อนนะ ปล่อยให้รอนานมันจะเสียมารยาทเกินไป”
“ได้ครับ” ปกรณ์พยักหน้า พอชานนท์จะเปิดประตูห้อง เขาก็รีบร้องห้าม “เดี๋ยวก่อน”
“ครับ” ชานนท์หันหน้ากลับไปมอง
“ผมจะรอคุณอยู่ข้างบนนะครับ” ปกรณ์ตอบออกมาแบบนั้น เป็นสัญญาณบ่งบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้กลับขึ้นมาหาเขาบนนี้ด้วย
“ครับผม” ชานนท์ส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้อีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ชานนท์มุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่นทันที เขาโค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินก้มๆ หน้าแล้วไปนั่งยังโซฟาตัวเดิม
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ปกรณ์วิ่งหนีทำไม แล้วนรินทร์คือใคร” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามทันที สีหน้าของเขาฉายชัดถึงความไม่เข้าใจ ทั้งกังวลและสงสัย ผิดกับเมื่อครู่ที่พยายามปั้นหน้านิ่งเพราะอยู่ต่อหน้าปกรณ์
“ผมขอตอบทีละคำถามนะครับ ข้อแรกมันเกิดอะไรขึ้น ปกรณ์มีความเครียดครับ ความเครียดที่เกิดขึ้นทำให้เขามีอาการทางจิต เขาจะไม่สามารถรับมือกับความกดดันได้ ข้อสองปกรณ์วิ่งหนีทำไม เพราะเขารู้สึกถูกกดดันจากคุณพ่อครับ ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้นคุณพ่อต้องคิดเอาเองนะครับ เรื่องของครอบครัวผมจะไม่พยายามเข้าไปยุ่ง ส่วนข้อสุดท้าย ปกรณ์หนีไปกับใคร...”
ชานนท์หยุดพูดชั่วขณะ เขาเลื่อนสายตาสังเกตกับชายวัยกลางคนเพื่อที่จะจับอาการดูว่าคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ และสายตาและท่าทางของประสิทธิ์ก็แสดงออกชัดเจนว่าสนใจระคนไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ไม่มีท่าทีต่อต้านแม้แต่นิดเดียว
“ปกรณ์หนีไปกับนรินทร์ครับ ซึ่งนรินทร์เป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตน ปกรณ์สร้างคนคนนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะปกป้องความรู้สึกที่อ่อนแอของเขา ในเวลาที่เขาเครียด ท้อแท้ คิดมาก สิ้นหวัง กดดัน ไม่มีใครที่เข้าใจหรือไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ปกรณ์จะมองเห็นนรินทร์ นรินทร์จะเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเมื่ออยู่ใกล้ นรินทร์เปรียบเสมือนบุคคลที่เขาต้องการให้มีใครที่เข้าใจเขาแบบนี้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เขาไม่สามารถหาคนแบบนี้ได้ เขาจึงคิดและมโนภาพของนรินทร์ขึ้นมา ...ส่วนพวกเรา จะไม่มีวันมองเห็นและสัมผัสถึงคนคนนั้นได้เลยครับ”
“คุณหมายความว่า...” ชายวัยกลางคนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอขณะที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด “เพราะความเครียดทำให้เจ้านั่นสร้างคนขึ้นมาหนึ่งคนเพื่อที่จะเป็นเพื่อน เพื่อที่จะรับฟังมันในเวลาที่มันต้องการใครสักคนอย่างนั้นเหรอ”
“ประมาณนั้นครับ” ชานนท์ตอบออกมา “ไม่ใช่แค่หนึ่งคนนะครับ คุณปกรณ์ยังสร้างคนขึ้นมาอีกหนึ่งคน ชื่อน้องปาณัฐ แต่เด็กคนนั้นจะปรากฏในเวลาที่เขาสบายใจ มีความสุข เด็กคนนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับฟังสิ่งดีๆ ในชีวิตของเขาครับ เป็นอีกหนึ่งด้านที่แตกต่างจากนรินทร์”
ได้ยินดังนั้น ประสิทธิ์ก็ตกใจยิ่งขึ้น
“แล้วถ้าไม่ได้รับการรักษา มันจะเป็นยังไง”
“คุณปกรณ์ก็จะติดอยู่ในโลกที่ตัวเองสร้างขึ้นมาครับ... ต่อไปเขาอาจจะมองไม่เห็นใคร ค่อยๆ ลืมคนรอบข้างและติดอยู่ในโลกที่มีแต่นรินทร์กับปาณัฐ เขาจะพูดคุยแค่กับสองคนนั้นที่เขาเชื่อใจ แต่ในมุมมองของคนทั่วไปอย่างเราๆ ผมต้องขอโทษนะครับที่พูดตรงๆ คนทั่วไปจะมองว่าเขาบ้า ที่เอาแต่คุยคนเดียวน่ะครับ หรือบางทีเขาอาจจะมองคนอื่นเป็นศัตรูแล้วเผลอทำร้ายขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ครับ”
“แล้วถ้ามันรักษา มันจะมีโอกาสหายใช่ไหม แล้วเรื่องที่มันเครียด มันจะต้องพูดออกมาให้หมอและคุณฟังหมดทุกเรื่องเลยใช่ไหม” ชายวัยกลางคนมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด คงกำลังห่วงเรื่องนี้สินะ
“ครับ... แต่จรรยาบรรณของคนที่ทำงานในแผนกจิตเวช เราจะไม่เอาเรื่องผู้ป่วยและคนในครอบครัวของผู้ป่วยไปพูดแน่นอนครับ แม้แต่พยาบาลก็ไม่รู้ครับ” ชานนท์ตอบออกมา
“งั้นก็หมายความว่าจะรู้แค่หมอที่รักษากับคุณแค่สองคนใช่ไหม” ชายวัยกลางคนถามย้ำ
“แค่สองคนครับหรืออาจจะมากกว่านั้นหากจำเป็นต้องมีคนช่วย แต่ไม่ใช่ผม... ถ้าเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หมอจะเปลี่ยนตัวนักจิตวิทยาที่ดูแลคุณปกรณ์เพราะคุณปกรณ์ขอร้องเนื่องจากสนิทกับผมมากเกินไป กลัวว่าจะกล้าต่อรองเลยทำให้ผมเองก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งก้าวก่ายขณะที่กำลังทำการรักษาได้ครับ” ชานนท์ตอบออกไปตรงๆ
ประสิทธิ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ชานนท์จ้องชายวัยกลางคนเขม็งเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะยอมดีๆ หรือไม่
“ความจริงฉันเองก็รู้นะว่าฉันเป็นพ่อที่แย่กับมัน แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมากถึงขนาดทำให้มันต้องอาการแย่ขนาดนี้” ประสิทธิ์ตอบออกมา มีหลายครอบครัวที่คนเป็นพ่อแย่กับลูกมากกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่ลูกเขาก็ยังไม่เครียดจนมีสภาวะป่วยทางจิตขนาดนี้ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ หรือมีอะไรที่เขายังไม่รู้ “ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนให้คุณดูแลปกรณ์ด้วย และคงต้องขอร้องจริงๆ ไม่ว่ามันจะพูดอะไรออกมาให้เก็บไว้เป็นความลับ อย่าเอาไปเปิดเผย”
“ไว้ใจได้เลยครับ” ชานนท์ยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัย พ่อของปกรณ์เข้าใจอะไรง่ายดายกว่าที่คิด บางทีความผิดพลาดที่เคยทำมาในอดีตอาจจะทำให้เขาเริ่มสำนึกได้ คนเราเกิดมาก็แค่หนึ่งครั้งไม่รู้จะมีชีวิตไปอีกยาวนานแค่ไหน พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้
ประสิทธิ์พยักหน้าเมื่อเห็นท่าทีที่จริงใจของอีกฝ่าย แม้อาจจะโดนคนรอบข้างนินทาว่ามีลูกชายเข้าไปพบหมอโรคจิตแต่นั่นมันก็เล็กน้อย ความจริงชีวิตเขาก็โดนนินทามาเกือบชั่วชีวิตอยู่แล้ว ความลำบากใจที่หนักที่สุดตอนนี้ก็คือเมื่อคิดถึงหน้าของฤทัยดี หล่อนจะรู้สึกอย่างไรหากเขากลับไปบอกว่ายอมให้ปกรณ์รักษาต่อไป...
จบตอน
-
ไม่ไว้ใจเลย ถึงพ่อจะยอมแล้ว แต่เอ่ยถึงฤทัยดีแปลกๆๆ
รอตอนหน้านะคะ
-
คิดไปถึงตอนที่ปกรณ์ ต้องรู้ว่าที่ผ่านมาคนที่อยู่ข้างๆทั้งสองคน ไม่มีตัวตน เราก็เศร้าเเล้ว :katai1:
-
ตอนที่ 19
ชานนท์เดินไปส่งประสิทธิ์ที่หน้าบ้านราวกับเป็นเจ้าของบ้านส่วนอีกฝ่ายเป็นแค่แขกผู้มาเยือน แต่เจ้าของบ้านตัวจริงก็ไม่ได้ถือสาอะไร เพราะถึงอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะยกบ้านหลังนี้ให้ปกรณ์อยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกอีกต่อไปว่านี่คือบ้านของตัวเอง
หลังจากที่ประสิทธิ์จากไป ชานนท์ก็รีบเดินกลับขึ้นไปหาปกรณ์บนห้องนอนทันที
“พ่อกลับไปแล้วเหรอครับ” ปกรณ์รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปถามเมื่อเห็นคนที่เขาเฝ้ารอกลับขึ้นมาบนห้อง
“ครับ” ชานนท์ตอบ
“พ่อว่าไงบ้างครับ พ่อยอมให้ผมรักษาไหม” ปกรณ์คาดคั้น เขารู้สึกกระวนกระวายกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง
“นี่คุณไม่เชื่อใจนักจิตวิทยาอย่างผมเหรอครับ” ชานนท์กอดอกเก๊กท่าก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงร้อนรน “ยอมสิครับ”
“จริงเหรอครับ” ปกรณ์ไม่อยากจะเชื่อ “คุณคุยอะไรกันบ้างเนี่ย พ่อผมยอมได้ยังไง”
“มันเป็นความลับระหว่างผมกับพ่อคุณครับ” ชานนท์ยักคิ้ว
“ไม่ได้ไปขู่อะไรพ่อผมใช่ไหม” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอกเหตุผล เขาก็เริ่มระแวง
“คุณมองผมเป็นคนยังไงกันครับเนี่ย อย่างผมเนี่ยนะจะไปขู่ใคร” ชานนท์แกล้งทำน้ำเสียงตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ
“ก็ขู่ผมไง ชอบแกล้งผมดีนัก ครั้งก่อนก็เกือบจูบผมตรงนั้น” ปกรณ์รีบยกมือขึ้นมาปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ‘พูดบ้าอะไรออกไปเนี่ย’
“ตรงไหนนะครับ” ชานนท์แกล้งลากอีกฝ่ายไปยังจุดที่ว่านั่น ส่วนปกรณ์ก็พยายามต่อสู้โดยยื้อร่างเอาไว้จนชานนท์ต้องยอมแพ้
“ผมหิวแล้ว ออกไปหาไรกินกันดีกว่าครับ” ปกรณ์พยายามเปลี่ยนเรื่อง
“งั้นเก็บของออกไปเลยดีไหมครับ คืนนี้ก็ไปค้างที่ห้องผมเลย พรุ่งนี้ก็จะได้ไปพบหมอด้วยกัน” ชานนท์เสนอ
“ก็ได้ครับ” ปกรณ์พยักหน้าตกลง ก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ในตู้เสื้อผ้าออกมาแล้ววางมันไว้ที่พื้น “ผมควรจะเอาอะไรไปบ้างครับเนี่ย”
“ก็แล้วแต่เลยครับ เอาเสื้อกับกางเกงไปเผื่อสักอย่างละสามสี่ตัวก็พอครับ ยังไงคุณก็ต้องใส่ชุดผู้ป่วยของโรงบาลอยู่ดี” ชานนท์ตอบออกมา ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วรีบถอนหายใจ
ไม่เข้าใจตัวเองสักนิด ทำไมถึงรู้สึกใจหวิวแปลกๆ พอรู้ว่าปกรณ์จะต้องเข้ารับการรักษาจริงๆ เพราะการรักษาควบคู่กับยาที่หมอให้มันจะส่งผลให้สติของเขาเลื่อนลอยแต่สงบลง กล้าพูดในสิ่งที่คิด กล้าพูดความจริง แต่มันก็ต้องทรมานมากๆ เมื่อต้องรับรู้ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องของปาณัฐและนรินทร์ และระหว่างการรักษา หากโชคร้ายฤทธิ์ของยาอาจทำให้ปกรณ์อาจจำชานนท์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
“งั้นคุณช่วยเลือกให้ผมหน่อยสิครับ” ปกรณ์เดินมาใกล้ๆ แล้วสบตากับคนที่กำลังคุยด้วย เขาทำสายตาออดอ้อนสุดพลัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ อาจเพราะชานนท์ทำให้เขาเชื่อใจและด้วยนิสัยที่เป็นสุภาพบุรุษทำให้หัวใจและความรู้สึกของเขาไม่คิดต่อต้านคนคนนี้เลย
“ได้ครับ” ชานนท์ใจอ่อนทันทีที่เห็น แววตาออดอ้อนคู่นั้นสะกดใจเขาอยู่หมัดทันที จนเขาไม่รู้ว่าถ้าเจอสายตาแบบนี้อีกครั้งเขาจะใจแข็งและเอาชนะได้อย่างไร
หลังจากที่พับเสื้อผ้าเสร็จ ชานนท์ก็ยกกระเป๋าขึ้นมาสะพายทันที
“เดี๋ยวผมสะพายให้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่แล้ว” ปกรณ์ปฏิเสธ พยายามจะแย่งกระเป๋ากลับคืนมา แต่ชานนท์ก็เอามือขวางไว้
เมื่อเห็นว่าปกรณ์ไม่ยอมแพ้ เขาจึงคว้าร่างที่กำลังพยายามยื้อแย้งกระเป๋ามากอดหมับเอาไว้แน่น
“ผมบอกว่าผมจะสะพายให้” ชานนท์โน้มหน้าไปกระซิบที่ข้างหูด้วยความรวดเร็วด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะดิ้นหลุดออกไปเสียก่อน
“ครับ” น้ำเสียงของปกรณ์ตะกุกตะกักไม่คิดว่าจะโดนอีกฝ่ายใช้ไม้นี้ “ปล่อยได้แล้ว”
ชานนท์ขำออกมาก่อนที่จะค่อยๆ คลายอ้อมกอดอย่างผู้มีชัย
พวกเขานั่งรถประจำทางเพื่อที่จะไปแหล่งท่องเที่ยวใจกลางเมือง ไปในที่ที่คนพลุกพล่านจะได้มีของกินอร่อยๆ ให้เลือกสรร
หลังจากที่ลงจากรถ ชานนท์ก็จับมือปกรณ์เอาไว้ไม่ยอมปล่อย เขาไม่แคร์สายตาว่าใครจะมองอย่างไร ขอแค่มีคนที่เขาแคร์ที่สุดอยู่ข้างๆ กันก็พอ
ที่นี่เป็นตลาดนัดกลางคืน มีร้านค้าตั้งอยู่ตามทางเดินตลอดทาง ผู้คนแน่นขนัด แม้จะรู้สึกอึดอัดไปบ้างแต่มันก็เป็นการเปิดหูเปิดตาที่ดีทีเดียว
ปกรณ์ไม่เคยมาในที่แบบนี้ ทุกอย่างดูแปลกใหม่จนทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น มีเสื้อผ้า ของใช้ ของเล่นที่เขาไม่เคยเห็นหลายอย่างวางขายตามร้าน โซนขายอาหารก็มีเมนูแปลกๆ ที่ไม่เคยลองหลายอย่าง
“ไอ้นั่นคืออะไรครับ” ปกรณ์หันไปสนใจกับของหวานชนิดหนึ่ง มันอยู่ภายในถ้วยขนาดใหญ่แต่มีน้ำแข็งเม็ดละเอียดจนพูนชาม รอบๆ น้ำแข็งมีสตรอว์เบอร์รี่เสียบอยู่ บางขามก็เป็นเมล่อน เป็นส้มแมนดาริน แตกต่างกันออกไป
“บิงชูครับ เดี๋ยวนี้วัยรุ่นกับลังฮิตเลยนะครับ” ชานนท์ตอบออกมา “อยากกินเหรอครับ”
“เปล่าครับ” ปกรณ์ปฏิเสธอย่างมีฟอร์ม “ผมแค่สงสัยมันเหมือนกับน้ำแข็งใส แต่ก็ไม่น่าจะใช่”
“อร่อยมากๆ เลยล่ะครับ ป่ะ ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า ไว้เดี๋ยวผมพาวกกลับมากิน”
“ไม่ได้อยากกินสักหน่อย” ปกรณ์ตอบออกไปก่อนจะแกล้งสาวเท้าเดินนำไปข้างหน้า เลยทำให้เขาเป็นฝ่ายจูงมือชานนท์บ้าง
พอไปถึงโซนอาหารคาว... ก็มีร้านค้าหลายร้านจนเขาเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี
“คุณเลือกเลยนะครับ” ปกรณ์เอ่ยขึ้น
“งั้น...” ชานนท์ครุ่นคิด เขาเองก็ยังคงคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี “ไปกินนี่ละกันครับ”
ชานนท์เดินนำไปหยุดอยู่ที่ร้านร้านหนึ่ง มันเป็นร้านขายผัดไทยหอยทอด ทว่าแม้ตอนนี้จะเพิ่งหัวค่ำแต่ก็มีลูกค้านั่งอยู่จนเต็มร้าน
“คุณกินกุ้งได้ใช่ไหมครับ” ชานนท์หันไปถาม
“ได้ครับ” ปกรณ์ตอบออกมา
“พี่ครับ เอาผัดไทยกุ้งสดสองที่ครับ” ชานนท์หันไปสั่ง พอสั่งเสร็จก็มีลูกค้าลุกออกพอดีสองที่ เขาจึงรีบจูงมือปกรณ์ไปนั่งตรงนั้น
เนื่องจากลูกค้าเยอะ จึงใช้เวลารอค่อนข้างนานกว่าที่ผัดไทยจะมาเสิร์ฟ แต่พอมาเสิร์ฟก็ไม่ผิดหวัง สีสันของผัดไทยดูเข้มข้น และยิ่งไปกว่านั้นกุ้งที่อยู่ในจานผัดไทยถูกปาดครึ่งเพื่อให้รับประทานง่าย มันตัวอ้วนใหญ่เนื้อแน่นมาก... เพียงแค่เห็นก็ทำให้น้ำลายสอ ถึงกับต้องรีบลงมือชิม
รสชาติของผัดไทยไม่ทำให้ปกรณ์ผิดหวัง ถ้าไม่ติดกลัวว่าจะถูกมองว่าเป็นคนมูมมามเขาคงสั่งเพิ่มอีกจานแล้ว
“เอาอีกจานไหมครับ” ชานนท์เอ่ยถามเหมือนรู้ใจ
“ไม่ครับ” ปกรณ์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทั้งๆ ที่อยากกินอีกจะแย่
“นะครับ นะนะ สั่งมาแล้วแบ่งกันคนละครึ่ง ผมยังไม่อิ่มเลย” ชานนท์เซ้าซี้ เขาพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายก็อยากกินอีกเหมือนกัน แต่ถ้าพูดตรงๆ คงมีฟอร์มไม่ยอมรับแน่จึงต้องใช้ไม้นี้
“ตามใจคุณละกัน”
ชานนท์รอบยิ้มออกมาในทันที เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินไปสั่งผัดไทยอีกจานแล้วรีบมากินจานของตัวเองต่อจนหมด นั่งรอสักพักผัดไทยจากใหม่ก็มาเสิร์ฟ
“เก็บจานเก่าเลยนะครับ” ชานนท์บอกพนักงาน หลังจากที่พนักงานเก็บจานไป ปกรณ์ก็เอ่ยถาม
“ยังไม่ได้แบ่งกันเลย แล้วจะกินกันยังไง”
“ก็... นี่ไง” ชานนท์ใช้ส้อมหมุนเส้นผัดไทยก่อนจะยกไปป้อนที่ปากของปกรณ์ “ป้อนกันคนละคำ กินสิครับ อ้ำเร็ว”
ปกรณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองหน้ากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามราวกับต้องการจะดุว่าเล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ แต่สุดท้ายเขาก็อ้าปากให้อีกฝ่ายป้อนแต่โดยดี
“เอาส้อมมา เดี๋ยวผมทำให้บ้าง”
พอชานนท์ยื่นส้อมให้ ปกรณ์ก็ใช้ส้อมหมุนเส้นผัดไทยก่อนจะป้อนอีกฝ่ายบ้าง ทั้งคู่นั่งป้อนผัดไทยให้กันโดยไม่เกรงใจสายตารอบข้างเลยสักนิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะรู้สึกอิจฉามากแค่ไหน ยิ่งถ้าใครไม่มีคู่ พอได้มาเห็นความน่ารักของคู่นี้แทบจะดิ้นตายอย่างกับเขียด แม้แต่พนักงานในร้านยังต้องแอบยกมือถือมาเก็บภาพการป้อนผัดไทยที่น่ารักๆ ของคนทั้งคู่เอาไว้
พออาหารหมดจาน พวกเขาทั้งคู่เพิ่งรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่าง เพิ่งรู้สึกว่าโดนจับจ้องแต่ชั่วขณะทุกคนก็พยายามเลิกให้ความสนใจเพราะเห็นว่าพวกเขาเริ่มรู้ตัวแล้ว
“เมื่อกี้มันอะไรกัน” ปกรณ์เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ แต่ชานนท์พอที่จะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ช่างมันเถอะครับ ไปกินบิงชูกันต่อดีกว่า”
"ครับ"
หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินไปจ่ายเงินก่อนที่จะออกจากร้านผัดไทยแล้วไปต่อที่ร้านขายบิงชู คราวนี้ปกรณ์รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะหน้าตาของของหวานชนิดนี้มันดูน่ากินและแปลกใหม่สำหรับเขา แต่เขาก็พยายามวางฟอร์มเอาไว้ไม่ให้ชานนท์จับได้
แต่มีหรือที่ชานนท์จะดูไม่ออก เพียงแค่มองสายตาของปกรณ์ปราดเดียว ก็รู้แล้วว่ากำลังตื่นเต้นที่จะได้ลองชิม แต่ชานนท์ก็เลือกที่จะเงียบไว้ไม่พูดอะไรเพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ไว้รอให้หายดีเมื่อไรค่อยแกล้งให้สมใจอยากอีกทีแล้วกัน
ทางด้านของประสิทธิ์ หลังจากที่เขาเดินทางกลับไปถึงบ้าน ฤทัยดีก็รีบวิ่งมาต้อนรับด้วยความใคร่รู้ทันที ความจริงหล่อนอยากจะไปที่บ้านเก่าด้วย แต่พอได้มาอยู่ที่นี่และเคยชินกับความสะดวกสบาย หล่อนก็ไม่อยากกลับไปเหยียบที่นั่นอีก
“พี่คะ เป็นยังไงบ้างคะ” หล่อนถาม “ไปพบกันมาแล้วใช่ไหมคะ”
“ไปมาแล้ว” ประสิทธิ์ตอบออกมาแค่นั้นก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่มีโซฟานุ่มๆ ให้นั่ง
“เดี๋ยวฤทัยไปเอาน้ำให้นะคะ” หล่อนวิ่งเข้าไปในครัวทันที วันนี้รู้สึกอยากเอาใจสามีเป็นพิเศษ
“จะบอกกับฤทัยยังไงดีนะ” ประสิทธิ์พึมพำออกมา เขาพอจะดูออกว่าหล่อนนั้นคาดหวังแค่ไหนกับเรื่องนี้ เพราะหล่อนก็ค่อนข้างห่วงชื่อเสียงของตัวเองเช่นกัน
ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ฤทัยดีก็เดินกลับออกมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นที่ถูกรินจนเต็มแก้ว
“น้ำค่ะพี่” หล่อนยื่นให้
“ขอบใจ” ประสิทธิ์รับแก้วน้ำมาก่อนที่จะดื่มมันลงไปจนหมดแก้ว
“ปกรณ์ว่ายังไงบ้างคะ พี่ไปห้ามแล้วใช่ไหมคะ” ฤทัยดีเข้าเรื่องทันที เธอไม่อยากจะอ้อมค้อมให้เสียเวลา
“ไปห้ามมาแล้ว...” ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ฤทัยดีก็พูดแทรกขึ้นมา
“ดีค่ะ แค่นี้ฤทัยก็โล่งใจแล้วค่ะ จะปล่อยให้ปกรณ์ไปพบกับหมอจิตแพทย์แล้วเล่าเรื่องที่บ้านไม่ได้เด็ดขาดนะคะ ไม่งั้นพี่คงเสียชื่อเสียงแน่ๆ ค่ะ” หล่อนพูดออกมาอย่างมีความสุข ริมฝีปากที่ถูกทาด้วยลิปสติกสีพีชขยับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“ไม่ใช่นะฤทัย คือพี่ไปห้ามมันแล้ว... แต่พี่ห้ามไม่ได้” พอประโยคนี้จบลง รอยยิ้มของฤทัยดีก็หุบลงทันที แววตาของหล่อนเปลี่ยนไปเป็นความสับสน
“ทำไมคะ พี่ห้ามไม่ได้ หมายความว่ายังไง” น้ำเสียงของหล่อนร้อนรน เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“พี่จะเล่ายังไงดี คือเรื่องมันยาว” ประสิทธิ์ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร อาการของปกรณ์มันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือแต่มันก็มีอยู่จริง จากสิ่งที่เขาเห็น
“เล่ามาเถอะค่ะ” หล่อนเซ้าซี้
“คือมันเป็นโรคเครียดและย้ำคิดย้ำทำ มันเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ในอดีตจนจิตใจของมันอ่อนแอ มันก็เลยสร้างตัวตนของคนที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาเพื่อทำให้ตัวมันเองมีอาการดีขึ้น” ประสิทธิ์หยุดพูดแค่นั้น เพราะเขาพยายามจะเรียบเรียงราวให้กระชับและเข้าใจง่ายที่สุด
“ยังไงคะ ฤทัยไม่เข้าใจ งงไปหมดแล้ว สร้างตัวตนของคนที่ไม่มีตัวตนขึ้นมา” น้ำเสียงของฤทัยดีเริ่มอ่อนลงเพราะหล่อนกำลังสับสนกับสิ่งทีได้ฟัง
“ก็คือมันมองเห็นคนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง มันคุยกับอากาศ โดยที่เราไม่รู้เรื่อง แต่มันรู้เรื่องเพราะมันจิตใต้สำนึกของมันสร้างภาพให้มันมองเห็นคนที่กำลังคุยด้วย”
“ฤทัยเข้าใจแล้วค่ะ” หล่อนพยักหน้า “แล้วไงต่อคะ พี่ก็เลยยอม”
“ใช่... พี่กลัวมันจะบ้าแล้วไปทำร้ายคนอื่นเอา ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะยิ่งทำให้เราดูแย่ในสายตาคนอื่น เพราะถึงยังไงพี่ก็เป็นพ่อของมัน”
“อ่อค่ะ... งั้นฤทัยไปพักก่อนนะคะ พี่ก็อย่าคิดมากนะคะ” พอทราบเรื่องราวทั้งหมด หล่อนก็ไม่มีธุระอะไรที่จะต้องพูดคุยกับสามีอีกแล้ว
“เดี๋ยวก่อนฤทัย” ประสิทธิ์รู้สึกสงสัยว่าทำไมฤทัยดีไม่โต้แย้งอะไรออกมาสักคำ หรือเพราะหล่อนเองก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับปกรณ์อย่างนั้นหรือ
“คะ”
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” ประสิทธิ์ถามตรงๆ
“อ๋อ ไม่ค่ะ ฤทัยเข้าใจ” หล่อนตอบออกมาเพียงแค่นั้น
“งั้นก็ดี” ประสิทธิ์พยักหน้า “เธอจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ พี่เองก็ไม่มีธุระอะไรกับเธอแล้วเหมือนกัน”
“ค่ะ” ฤทัยดีตอบเพียงเท่านั้นก่อนที่จะเดินแยกจากไป
หล่อนเดินออกมาด้วยท่าทางที่ปกติเพราะไม่อยากให้ประสิทธิ์สงสัย ทว่าพอลับสายตามือของหล่อนก็กำแน่น ดวงตาของหล่อนเหลือกถลนก่อนที่จะกัดริมฝีปากของตัวเอง ...มีหรือที่คนอย่างหล่อนจะยอมให้มันจบง่ายๆ ปกรณ์จะต้องไม่ได้รับการรักษา ถ้ามันเข้ารับการรักษาเมื่อไร เรื่องเลวร้ายที่หล่อนได้กระทำอาจจะถูกเปิดเผย
เพราะฉะนั้นหล่อนจะต้องขัดขวางทุกวิถีทาง
จบตอน
:a5:
-
ปกรณ์กับชานนท์น่ารักเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
ส่วนฤทัยดีก้น่าจับตบเสมอต้นเสมอปลายเช่นกันค่ะ
โผล่มาตอนละนิดละหน่อย แต่แหม ความเกลียดทะลุล้านแล้ว
-
ชานนท์อบอุ่นจัง ดีต่อใจ :katai2-1:
-
ตอนที่ 20
หลังจากที่ไปเดินตลาดนัดกลางคืนเสร็จ ชานนท์ก็พาปกรณ์กลับที่พักทันที เขาอยากให้ปกรณ์ได้พักผ่อนให้เต็มที่ เพราะหลังจากนี้เขาจะต้องเขารับการรักษาที่โรงพยาบาล อาจต้องใช้เวลานานเป็นเดือนๆ ซึ่งชานนท์เองก็ไม่อาจคาดการณ์ได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของผู้ป่วยเองด้วย
หลังจากที่ทั้งสองอาบน้ำจนเสร็จสรรพ ก็ถึงเวลานอน หากแต่ห้องนอนของชานนท์เป็นเตียงนอนคู่ ปกรณ์จึงเดินไปหยิบหมอนแล้วนอนลงกับพื้นด้านล่างทันที
“คุณ ขึ้นมานอนด้วยกันสิครับ” ชานนท์ลุกขึ้นแล้วเขยิบไปที่ขอบเตียงเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่าย
“ผมไม่ชอบนอนบนเตียง ผมเคยบอกคุณแล้วไงครับ” ปกรณ์ตอบออกมา ลักษณะที่ต่อต้านแบบนี้จึงรับรู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีความฝังใจอะไรบางอย่างกับเตียงนอนแน่นอน
ชานนท์ก้าวขาลงจากเตียงนอน ก่อนจะนั่งย่อตัวลงกับพื้นแล้วประคองร่างของปกรณ์ให้นั่งขึ้นมาคุยกัน ชานนท์จับมือของอีกฝ่ายแน่นเพื่อให้รับรู้ว่าจะอยู่ข้างๆ ไม่หนีไปไหน
“ผมไม่รู้นะครับว่าคุณมีเหตุผลอะไรถึงไม่ยอมนอนบนเตียงนอน แต่ตอนนี้คุณอยู่กับผม... เชื่อใจผมนะครับ เราจะนอนอยู่บนนั้นด้วยกัน คุณจะมีผมอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา” ชานนท์พยายามเลือกใช้ถ้อยคำที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุด และจะไม่ไปกระทบกับจิตใจของอีกฝ่าย
“แต่ผม...” ปกรณ์เสียงสั่น “ไม่กล้า”
ความหวาดระแวงเริ่มครอบงำจิตใจ คนอย่างเขาไม่สมควรนอนอยู่บนนั้น
“มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดซะว่านี่เป็นหนึ่งบททดสอบก่อนที่คุณจะเข้ารับการรักษาในวันพรุ่งนี้นะครับ ถ้าคุณอยากหาย คุณก็ต้องเอาชนะใจของตัวเองให้ได้”
“แต่ผมกลัว” ปกรณ์เหลือบสายตาไปมองบนเตียง พอคิดภาพตัวเองกำลังนอนอยู่บนนั้นเขาก็รับเบือนหน้าหนีแล้วสะบัดศีรษะรัวๆ “ไม่เอา ไม่เอาครับ ผมไม่กล้า”
“คุณกลัวผมเหรอครับ” ชานนท์ใช้โอกาสนี้หลอกถามเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความคิดออกมา
“ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้กลัวคุณ” ได้ผลปกรณ์รีบปฏิเสธทันควัน เขาไม่ได้กลัวชานนท์สักนิด ผู้ชายที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่นคนนี้เขาจะรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร
“แล้วคุณกลัวอะไร” ชานนท์ขยับร่างเข้าไปโอบกอดอีกฝ่าย เพื่อให้เขารู้สึกปลอดภัย และเมื่อรู้สึกแบบนั้น เขาจะต้องเล่าสาเหตุของความกลัวออกมาแน่นอน
“ผมไม่ได้กลัวคุณนะครับ ผมกลัวแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงบอกว่าผมไม่สมควรนอนบนเตียง บนเตียงคือที่ที่น้องชายควรนอนเท่านั้น ผมต้องสำเหนียกว่าผมเป็นแค่ไอ้คนไม่มีค่า ต้องนอนบนพื้น ต้องคอยรับใช้น้องชาย ผมต้องคิดว่าน้องชายคือผู้ที่น่าเกรงขาม มีอำนาจเหนือผมและผมต้องเชื่อฟัง ผมเคยเผลอขึ้นไปนอนบนเตียง พอแม่เลี้ยงจับได้ เธอก็ทำร้ายผม และสั่งให้น้องทำร้ายผมด้วย เธอจับผม... เธอจับผม... คือเธอจับผม”
ร่างกายของปกรณ์สั่นระริก เขาพูดซ้ำๆ แล้วหยุดอยู่แค่ตรงนั้นเหมือนไม่กล้าที่จะพูดต่อ ปกรณ์ไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น สักพักน้ำตาของเขาก็เริ่มไหลออกมา ลมหายใจของเขาเริ่มขาดช่วงราวกับคนเหนื่อยหอบ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาจิกศีรษะตัวเอง
ชานนท์กอดร่างนั้นแน่นขึ้น... เขาทำได้เพียงภาวนาให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงความห่วงใย และหวังว่าความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านไปนั้นจะทำให้เขาเชื่อใจและกล้าที่จะเล่าต่อ
‘แม้เลี้ยงจับคุณทำอะไรกันแน่’
ผ่านไปสักพัก ร่างกายของปกรณ์ก็เริ่มกลับมาแน่นิ่ง แต่ยังคงสั่นเล็กน้อย ลมหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ เขาคลายมือออกจากศีรษะแล้วเงยหน้ามองชานนท์... มองคนที่กำลังกอดเขาแน่น
“เธอจับผมขึ้นไปบนเตียงนอนแล้วแก้ผ้า เธอคว่ำผมไว้กับเตียง เธอใช้มือกดหัวผมลงกับที่นอนสุดแรง ผมรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก แล้วผมก็ได้ยินเธอสั่งให้น้องปล้ำผม เหมือนว่าน้องปฏิเสธที่จะทำนะ ตอนนั้นน้องเองก็คงตกใจเพราะยังเด็กอยู่ด้วย แต่สุดท้ายผมก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแทงเข้ามา... แทงตรงนั้นของผม ผมกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ผมทรมานจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ว่ามากแค่ไหน มันจุกจนผมไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกแล้ว เขาแทงเรื่อยๆ ผมรู้สึกจะตายเอาเสียให้ได้ ผมจำความรู้สึกนั้นได้ดี สติในตอนนั้นของผมเหมือนจะขาดหาย แล้วความกลัวและความเจ็บปวดก็ทำให้ผมหมดสติไป ผมรู้สึกกลัวแม่เลี้ยง กลัวน้องชาย และกลัวเตียงนอนมาตั้งแต่ตอนนั้น”
เสียงของปกรณ์หยุดลง ชานนท์ยังคงโอบกอดร่างนั้นเอาไว้ เขาไม่พูดอะไรออกมา เขากำมือแน่นราวกับกำลังโกรธแค้นใครมาแต่ชาติปางไหน ชานนท์กัดริมฝีปากตัวเอง นึกแค้นในสิ่งที่แม่เลี้ยงได้กระทำลงไป จิตใจของหล่อนต้องต่ำทรามมากแค่ไหนถึงทรมานเด็กที่ไม่มีทางสู้แบบนั้นได้
...นี่สินะคือจุดเริ่มต้นของความหวาดกลัว หลังจากนั้นปกรณก็คงโดนกระทำมาเรื่อยๆ สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่แปลกใจเลยที่ในตอนนี้จิตใจของเขาจะเปราะบาง ชานนท์ไม่อยากคิดเลยว่านอกจากนี้ยังมีเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นกับปกรณ์อีกบ้าง
“คุณปกรณ์ครับ” ชานนท์เอ่ยเสียงแผ่วเบาหลังจากที่เขาควบคุมอารมณ์ได้ “ผมจะพาคุณผ่านคืนนี้ไปเอง เชื่อใจผมนะครับ”
“ผมทำไม่ได้” ปกรณ์ปฏิเสธ “ถ้าผมนอนบนเตียง ความรู้สึกที่เจ็บปวดมันก็จะกลับมา ภาพมันก็จะวนอยู่ในหัวของผม”
“ผมขอคุณแค่ห้านาที ถ้าคุณไม่ดีขึ้น ผมจะไม่บังคับคุณ” ชานนท์ขอเพียงแค่ให้ปกรณ์ยอมขึ้นไปบนนั้น ถ้าวิธีการรักษาของเขาไม่ได้ผล เขาจะไม่บังคับอีกเลย
“แค่ห้านาทีนะครับ” ปกรณ์ถามย้ำ ถ้าต้องอดทนแค่ห้านาทีอาจจะพอไหว
“ครับ”
“งั้นผมจะลองดู”
สิ้นเสียง ปกรณ์ก็สูดหายใจยาวแล้วนั่งนิ่งๆ สักพักก่อนที่จะสบตากับชานนท์แล้วพยักหน้าเป็นสัญญาบ่งบอกว่าเขาพร้อมที่จะขึ้นไปนอนบนนั้นแล้ว
ชานนท์ประคองร่างของปกรณ์ให้ยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วขยับเข้าใกล้กับขอบเตียง มือทั้งสองข้างของคนทั้งคู่ประสานกันเอาไว้แน่น
ชานนท์ปล่อยให้ปกรณ์ทำใจให้สบายอีกสักพักก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายที่ขยับลงนั่งบนเตียงก่อนโดยที่มือยังคงประสานกันเอาไว้
ชานนท์ออกแรงดึงมือเบาๆ เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเกร็งเพราะไม่ยอมขยับสักนิด แต่พอลองดึงอีกครั้ง ปกรณ์ก็เริ่มตอบสนอง
ปกรณ์หลับตาลงอย่างช้าๆ ก่อนที่จะก้าวขาขึ้นไปบนเตียงด้วยความรู้สึกที่กำลังต่อต้าน
สัมผัสแรกบนเตียงนอนนุ่ม ปกรณ์รู้สึกเหมือนกับร่างทั้งร่างของตัวเองกำลังถูกกดลงไปบนเตียงนั้น ปกรณ์เกือบจะยอมแพ้แล้วลุกออกไป หากแต่มือของชานนท์ที่ยังคงจับเอาไว้แน่นได้ทำให้เขาต่อสู้กับความกลัวต่อไป
พอร่างกายขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น ชานนท์ก็ค่อยๆ ขยับไปอีกฝั่งแล้วดึงให้ร่างของปกรณ์ขยับตามมา
ปกรณ์ขยับตามไปอย่างยากลำบากและยังคงหลับตาเอาไว้
“คราวนี้ผมจะนอนลงกับเตียงแล้วนะครับ” ชานนท์บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ก่อนที่จะค่อยๆ ทิ้งร่างลงกับที่นอน “คราวนี้ก็ตาคุณแล้วนะครับ”
ปกรณ์พยักหน้ารับทราบ แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติตามในทันที เขานั่งนิ่งพยายามรวบรวมความกล้า แต่ความกลัวกลับมีมากกว่า จึงทำให้เขาเอนกายนอนลงไม่ได้สักที
“ตอนนี้มีแค่เราสองคน คุณไม่ต้องคิดกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้นนะครับ” ชานนท์พูดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมีท่าทีหวาดระแวง
“คุณอย่าปล่อยมือผมนะ” ปกรณ์โต้ตอบ
“ครับ”
พอได้ยินชานนท์รับปากเขาก็อุ่นใจ จึงพยายามรวบรวมความกล้าอีกครั้งแล้วทิ้งร่างลงกับที่นอน
ร่างของปกรณ์ค่อยๆ เอนอ่อนลงมาอย่างช้าๆ จนในที่สุดเขาก็ทำมันได้สำเร็จ ทว่าไม่ได้รู้สึกยินดีสักนิด พอหัวกระทบกับหมอนเขาก็รู้สึกอึดอัด เตียงนอนที่นุ่มทำให้ปกรณ์รู้สึกราวกับว่าร่างของเขากำลังถูกกดเอาไว้
“ผมทำไม่ได้” ปกรณ์ร้องออกมาเสียงดังแล้วดิ้นไปมาทำเหมือนว่าพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ได้
ชานนท์เห็นดังนั้นจึงขยับร่างเข้าไปใกล้ๆ แล้วนอนตะแคงให้ใบหน้าของอีกฝ่ายซุกเข้ามาที่ต้นคอของตนเผื่อว่าจะรู้สึกอบอุ่นมากขึ้น
เหมือนว่าจะได้ผล ทันทีที่ร่างทั้งสองใกล้ชิดกัน ปกรณ์ก็ค่อยๆ นิ่งสงบลงแม้จะมีอาการสั่นเล็กน้อยก็ตาม
“คราวนี้ลองลืมตานะครับ”
“ไม่ไหว ผมลืมตาไม่ได้” ปกรณ์ปฏิเสธในทันที “จะครบห้านาทีหรือยังครับ ผมจะไปนอนข้างล่าง”
เมื่อหัวใจของปกรณ์ยังคงต่อต้าน ชานนท์จึงต้องใช้วิธีสุดท้ายในการรักษา และเขาก็หวังว่ามันจะต้องได้ผล
ชานนท์เลื่อนใบหน้าลงมาให้พอดีกับฝ่าย ก็จะใช้ริมฝีปากประกับกันด้วยความอ่อนโยน ...ชานนท์กำลังจูบปกรณ์ เขาผละมือข้างหนึ่งออกจากมือของปกรณ์แล้วเปลี่ยนเป็นโอบกอดเอาไว้แน่น
ปกรณ์ตกใจจนต้องเบิกตาโพลง พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรหัวใจก็เต้นรัว ความเครียดที่เกิดขึ้นถูกลบล้างออกจากหัวไปในทันที ในตอนนี้... ความอบอุ่นของอีกฝ่ายกำลังเป็นเกราะกำบังที่ต่อต้านความกลัวในจิตใจของเขา
ริมฝีปากของชานนท์ขยับไปมาอย่างนุ่มนวล ปกรณ์สัมผัสได้ ฉับพลันเขาก็รู้สึกตัวเบาหวิวเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ ลมหายใจอุ่นร้อนที่พ่นออกมาปะทะใบหน้าตอกย้ำให้ปกรณ์รู้ว่าความสุขคืออะไร
ปกรณ์หลับตาลงอีกครั้งเขาเริ่มตอบสนองอีกฝ่ายด้วยการเป็นฝ่ายจู่โจมบ้าง มือข้างที่ว่างลูบไล้ไปมาทั่วร่างกายของอีกฝ่ายเบาๆ เขาไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านพ้นไปเลย
ปกรณ์พยายามเก็บความรู้สึกในตอนนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่หัวใจจะรับรู้ได้
“หายกลัวหรือยังครับ” เสียงทุ่มต่ำชวนฟังดังขึ้นหลังจากที่เขาผละริมฝีปากออกมา
ปกรณ์พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาไม่อยากจะเชื่อหัวใจตัวเองเลยว่าเพียงแค่น้ำเสียงก็สามารถสะกดความรู้สึกทุกสิ่งอย่างของเขาเอาไว้ได้
ชานนท์ประกบริมฝีปากลงอีกครั้ง ถ้าเรื่องในอดีตที่ปกรณ์เล่าคือความทรงจำที่แสนเลวร้ายที่สุดในชีวิต เขานี้แหละจะใช้คืนนี้สร้างความทรงจำที่วิเศษที่สุดให้อีกฝ่ายเช่นกัน เพื่อลบล้างความทรงจำที่แสนทรามเหล่านั้น มีเพียงวิธีเดียวที่จะรักษานั่นคือต้องทำให้ปกรณ์สัมผัสได้ว่า ความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร
ฉับพลัน... บทอัศจรรย์ก็บังเกิด
แมลงภู่โบยบินเกาะกิ่งก้าน ค่อยคืบคลานดอมดมอมเกสร
กระแซะเปลือกกระแซะใบคอยไชชอน กระแซะอ้อนกระแซะรักขอกัดกิน
กระแซะจนกลีบโกมลบานสะพรั่ง ไม่อาจยั้งอารมณ์สมถวิล
เบ่งบานหุบเป็นจังหวะด้วยราคิน ละมุนสิ้นสลัดพ้นความหวาดกลัว
จบตอน
-
อ่านแล้วแค้นอ่ะ แม่เลี้ยงของปกรณ์จิตใจต่ำทรามจริงๆ
ทำแบบนั้นไปได้ไง จริงๆ อีกอย่าง น้องคงไม่ได้เกลียดพี่หรอก แต่เพราะแม่เนี่ยแหละตัวต้นเหตุ
ชานนท์คอยอยู่ข้างๆ ปกรณ์นะ
-
กำลังเครียดๆ พอถึงฉากบนเตียงจนจบปุ๊บ กรี๊ดลั่นเลย
ชอบคุณชานนท์จัง วิธีรักษานี่ร้ายนะคะ อิอิ
-
แม่เลี้ยงใจร้ายจริง ๆ ตอนทำไม่กลัวบาปไม่รู้สึกผิด ทีนี้ดันกลัวคนอื่นรู้เรื่อง เฮอะ
-
ตอนที่ 21
คงไม่ผิดหากปกรณ์จะคิดว่าชานนท์เป็นนักจิตวิทยาที่เก่งที่สุด ชานนท์สามารถทำให้เขานอนหลับบนเตียงได้สำเร็จ ความหวาดกลัวในตอนนั้นหายไปกลายเป็นความทรงจำครั้งใหม่ที่เข้ามาแทนที่แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มั่นใจว่า หากไม่มีชานนท์นอนอยู่ด้วย เขาจะสามารถอยู่บนเตียงนอนคนเดียวได้ไหม
ตอนนี้ฟ้ายังไม่สาง แต่ปกรณ์ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนอาจเพราะเมื่อคืนนั้นเหตุการณ์บางอย่างทำให้เขาอิ่มอกอิ่มใจจนรู้สึกนอนหลับเต็มอิ่ม ไม่จำเป็นต้องงีบต่อ
ปกรณ์มองใบหน้าของคนที่นอนชิดกาย แม้ในยามหลับเสน่ห์ของเขาก็ยังคงท่วมท้น หรืออาจเพราะการกระทำที่เพิ่งผ่านพ้นไปกันแน่ที่ทำให้หัวใจของปกรณ์สั่นไหวตลอดเวลาทุกครั้งที่มองใบหน้าของคนคนนี้
ปกรณ์ขยับยิ้มออกมา แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ฉายชัด ใจหนึ่งก็นึกตลกตัวเองว่าทำอะไรที่น่าอายแบบนั้นลงไปได้อย่างไร แต่อีกใจหนึ่งพอคิดทบทวนให้ดี ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมันล้วนเป็นความปรารถนาจากก้นบึ้งของหัวใจคนทั้งสองฝ่าย มันเป็นเรื่องปกติของความรัก
คนที่เคยหวาดกลัวเตียงนอนในตอนนี้กลับไม่อยากลุกออกจากเตียง อยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ คิดดังนั้นปกรณ์ก็ยกแขนของชานนท์ที่กำลังนอนตะแคงกอดร่างเขาเอาไว้ให้แน่นขึ้น แล้วเขาก็นอนตะแคงบ้าง ขยับใบหน้าไปซุกที่ต้นคอของอีกฝ่ายจนลมหายใจอุ่นร้อนของเขารดศีรษะ
“ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้ปกรณ์รีบแกล้งหลับตา เขาขยับตัวแรงไปอย่างนั้นหรือ ...ไม่ได้ เขาจะให้ชานนท์รู้ว่าตื่นแล้วไม่ได้ ยังไม่พร้อมที่จะสู้หน้าเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนมันยังติดตาตรึงใจ
ความกังวลส่งผลให้ปกรณ์เผลอตอบออกไป เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้เชื่อสนิทใจว่าเขายังไม่ตื่น
“ยังครับ” พอตอบออกไปก็เพิ่งนึกได้ว่าพลาดท่า คนหลับที่ไหนจะรู้สึกตัวและพูดออกมาได้ ‘พูดไรออกไปวะเนี่ย โง่ชะมัด’ ทำได้แค่ด่าตัวเองในใจ
“ฮืม... ยังเหรอครับ” ชานนท์ขยับยิ้ม หากแต่ดวงตาของเขายังคงเป็นปิดอยู่ แค่รู้ว่าอีกฝ่ายเองก็กอดเขาเอาไว้แน่นเช่นกันแถมยังเอาหน้าซุกไซ้ที่ต้นคอ แค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว
“...” ปกรณ์เงียบ ไม่ตอบอะไรออกไป เขาไม่เผลอเป็นครั้งที่สองแน่
“นอนต่อเถอะครับ ยังไม่สว่างเลย” ชานนท์รู้ว่าอีกฝ่ายต้องกำลังเขินอายแน่ ยิ่งพอคิดถึงเรื่องเมื่อคืน... ครั้งแรกที่ถูกกระทำด้วยความเต็มใจ เป็นใครก็เขินอายทั้งนั้น
ปกรณ์ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก โดยลืมไปว่าใบหน้าของตัวเองกำลังซุกอยู่ที่ต้นคอของชานนท์ จึงทำให้ลมนั้นปะทะเข้ากับผิวคอของชานนท์อย่างไม่อาจเลี่ยงได้
ไออุ่นร้อนถูกพ่นออกมาจากลมหายใจปะทะเข้ากับต้นคอทำให้ชานนท์ต้องพยายามเก็บอาการขำขันสุดฤทธิ์ ปกรณ์คงโล่งใจมาก ...โถ่เอ๊ยเด็กน้อย
ชานนท์ทำได้แค่เก็บความรู้สึกเอ็นดูเอาไว้ในจิตใจ นี่หากมีอะไรที่มาสะกิดเขาอีกครั้งล่ะก็เขาคงทนไม่ไหวแล้วอาจจะจับอีกฝ่ายทำมิดีมิร้ายแน่
เวลาผ่านไปสักพัก ชานนท์ก็เผลอหลับไปอีกครั้ง ผิดกับปกรณ์ที่แม้ว่าจะยังนอนนิ่งอยู่ในท่าเดิมแต่ก็ไม่อาจหลับลงได้ จนกระทั้งท้องฟ้าเริ่มสว่างปกรณ์ก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่จะปลุกชานนท์
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ พวกเขาก็ไปหาอะไรทานก่อนจะไปโรงพยาบาล
พอไปถึงโรงพยาบาล ชานนท์ก็พาปกรณ์ไปส่งให้กับหมอเกื้อ
“ผมจะเป็นกำลังใจให้นะครับ มันอาจจะยากหน่อยนะ แต่คุณต้องอดทนนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นก่อนจะออกจากห้อง
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า พอได้สบตากับชานนท์เขาก็รู้สึกมีแรงผลักดัน “ผมจะอดทนจนกว่าจะหายดี”
ชานนท์ยิ้มให้กับคำตอบของอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย พอเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง เสียงที่ร้องเรียกก็ทำให้เขาต้องชะงัก
“คุณชานนท์ครับ”
“ครับ”
“คือ... ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ปกรณ์อยากจะพูดอะไรออกไปมากกว่านั้นแต่ก็ไม่กล้า ความจริงอยากจะบอกว่า ‘รัก’ เขาเสียด้วยซ้ำ แต่ก็เพิ่งรู้ว่าคำคำนี้ไม่ใช่คำที่จะพูดออกมาได้ง่ายๆ
“ครับผม” ชานนท์ยิ้มอีกที เขาไม่อยากล่ำลาไปมากกว่านี้อีกแล้วกว่าจะอ่อนไหวจึงตัดสินใจรีบเดินออกจากห้องให้ไวที่สุด
หมอเกื้อที่นั่งอยู่ในห้องพอเห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนก็พอจะเดาออกว่ามันคืออะไร เพราะความสนิทสนม ความห่วงใยต่างฝ่ายต่างก็แสดงออกชัดเจน หลังจากนี้ไม่ใช่แค่ปกรณ์ที่ต้องทนกับความเจ็บปวด แต่ชานนท์เองก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน เขาจะทนเห็นภาพของปกรณ์ที่ต้องทุกข์ทรมานได้ไหม สภาพจิตใจของเขาคงย่ำแย่ และอาจทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงาน
“คุณปกรณ์ครับ” หมอเกื้อเดินมานั่งที่เก้าอี้ประจำตัวเพื่อที่จะคุยกับผู้ป่วย
“ครับ”
“เดี๋ยวผมจะให้พยาบาลพาคุณไปเปลี่ยนชุดแล้วไปรออยู่ที่ห้องรักษาเลยนะครับ ผมจะให้คุณอยู่ห้องส่วนตัวเพื่อที่การรักษาจะได้ดำเนินการได้ง่ายขึ้น”
“ครับ”
จบบทสนทนาสักพัก พยาบาลก็เดินเขามา เธอถือชุดของผู้ป่วยเอาไว้ในมือแล้วพาปกรณเดินออกจากห้องไป
พยาบาลเดินนำไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องโล่งกว้างสีขาวสว่าง มีเตียงนอนอยู่ตรงกลาง บนเพดานด้านบนมีแอร์ติดกับผนัง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย ไม่มีแม้แต่โทรทัศน์ให้ดูคลายเครียด
ปกรณ์รู้สึกใจหวิวแปลกๆ ตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเจอ แต่เขาก็พยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้
“เปลี่ยนชุดในนี้ได้เลยค่ะ พยาบาลจะรออยู่ที่หน้าห้องนะคะ ถ้าเปลี่ยนเสร็จคุณปกรณ์ออกมาเรียกได้เลยค่ะ” เธอยื่นชุดผู้ป่วยให้
“ครับ” ปกรณ์รับชุดนั้นมา จากนั้นพยาบาลก็เดินออกจากห้องไป
ปกรณ์มองดูชุดผู้ป่วยที่ถืออยู่ในมือ ...เขากำลังจะเป็นผู้ป่วยภายในแผนกจิตเวชเต็มตัว ถึงจะรู้สึกว่าอาการของตนไม่รุนแรงสักเท่าไร แต่เพราะเชื่อใจชานนท์จึงยอมเข้ารับการรักษา
พอเปลี่ยนชุดเสร็จปกรณ์ก็ตั้งใจจะเดินออกไปเรียกพยาบาล ทว่า... ร่างที่เขาได้พบกลับทำให้เขาตกใจจนแววตาสั่นไหว
ฤทัยดีขยับยิ้มอย่างมีเลศนัย สายตาของหล่อนจับจ้องไปที่ร่างนั้นอย่างสมเพช พอหล่อนเดินเข้าไปในห้อง ปกรณ์ก็รีบถอยหนีจนกระทั่งร่างของตัวเองไปชิดกับกำแพงอีกฝั่ง ...หล่อนมาที่นี่ได้อย่างไร
“อย่าทำอะไรผม” ปกรณ์วิงวอน เขาก้มหน้าแล้วทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว ผู้หญิงคนนี้อำมหิตเกินหน้าตา เพราะอะไรหล่อนถึงต้องมาที่นี่ หรือนี่เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาอย่างนั้นหรือต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวใช่ไหม
...นี่สินะที่ชานนท์พร่ำบอกให้เขาอดทน บอกมาเสมอว่าการรักษาอาจจะทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมาน
“ฉันไม่อยากยุ่งกับแกหรอกนะ ถ้าแกไม่มารักษาที่นี่” ฤทัยดีเอ่ยขึ้น สีหน้าของหล่อนไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่นิดเดียว “แต่ฉันมีเรื่องต้องบอกแก เผื่อแกจะได้ตาสว่างสักทีว่าพ่อแก หมอ พยาบาลและนักจิตวิทยาที่นี่ไม่มีใครจริงใจกับแกสักคน”
“คุณหมายความว่ายังไง” ปกรณ์เอ่ยถามอย่างสงสัยโดยที่ไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย เขากลัวว่าหากเผลอสบสายตาของคนอำมหิตแล้วจะทำให้สติของตัวเองเตลิดเปิดเปิง
“แกมีเพื่อนรักสองคนใช่ไหม พ่อแกเล่าให้ฉันฟัง”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า คงหมายถึง นรินทร์กับปาณัฐ หากแต่เขาจำได้ว่าไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง หรือว่า... ‘คุณชานนท์’ คิดดังนั้นหัวใจก็เริ่มเจ็บปวด เหมือนถูกคนที่ไว้ใจหักหลัง
“ชื่อปาณัฐ กับ นรินทร์ใช่ไหม” ฤทัยดีถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่หล่อนได้ยินมาไม่ใช่เรื่องผิดเพี้ยน
“ใช่ ทำไม ปาณัฐกับนรินทร์ทำไมครับ” ปกรณ์เร่งถามอย่างร้อนรน ฤทัยดีมีปัญหาอะไรกับสองคนนี้อย่างนั้นหรือ
“หึ” ฤทัยดีแสยะยิ้มออกมาก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของร่างที่กำลังสั่นเทา หล่อนยื่นมือออกไปลูบศีรษะของร่างนั้นเบาๆ ราวกับเอ็นดูหากแต่ในใจกำลังขยะแขยงสิ้นดี ชั่วครู่หล่อนก็จิกผมให้แล้วออกแรงดึงให้ใบหน้าของปกรณ์ปะทะกับสายตาของหล่อนตรงๆ “ฟังนะ”
ทันทีที่สบตาก็รู้สึกเหมือนกับว่าอากาศหายไป การหายใจเริ่มติดๆ ขัดๆ รอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้ดูโรคจิตพิลึกพิลั่นราวกับว่าจะฆ่าเขาเอาเสียให้ได้ หล่อนสั่งให้ฟังในสิ่งที่หล่อนกำลังจะพูด แต่พอปกรณ์พยายามจะยกมือขึ้นมาปิดหูหล่อนก็ใช้มืออีกข้างปัดออก
“ไอ้ปาณัฐกับไอ้นรินทร์อะไรนั่นมันไม่มีตัวตนอยู่จริง มันเป็นแค่สิ่งที่แกคิดไปเองว่ามีตัวตน แกกำลังจะบ้าก็เลยมองเห็นมันสองคนนั้นราวกับมันมีตัวตนอยู่จริงๆ” ฤทัยดีพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น หล่อนไม่ได้กระโชกโฮกฮากเพราะฉลาดพอจะไม่ส่งเสียงดังให้ใครที่เดินผ่านไปผ่านมาด้านนอกตกใจ
“หมายความว่ายังไง” ปกรณ์ไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน
“ก็ไอ้ปาณัฐกับไอ้นรินทร์มันไม่มีตัวตน ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีใครสัมผัสได้ มีแต่แกเท่านั้นแหละ แกที่บ้า บ้าที่มองเห็นพวกมัน พ่อแกก็เลยยอมให้แกมารักษาตัวที่นี่ยังไงล่ะ”
“ไม่จริง” ร่างของปกรณ์เริ่มสั่น แล้วความทรงจำระหว่างเขากับสองคนนั้นก็ค่อยๆ ปรากฏในห้วงแห่งความคิด
ปกรณ์เองก็นึกสงสัยอยู่ลึกๆ สองคนนี้ชอบปรากฏในเวลาที่เขาต้องการเสมอราวกับว่ารู้ใจ มีอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้สองคนนี้ดูไม่เหมือนคนทั่วไปแต่ก็นึกไม่ออก แต่ถึงฤทัยดีจะย้ำแบบนั้น ปกรณ์ก็ยังคงเชื่อในสิ่งที่เขามองเห็น
“ไม่จริง คุณอย่ามาโกหก” ปกรณ์ผลักร่างของหญิงวัยกลางคนออกไปสุดแรง ฤทัยดีไถลไปด้านหลัง “ไม่จริง ไม่จริงงงงงงง!!!”
เมื่อควบคุมสติไม่ได้ ปกรณ์ก็ร้องออกมาเสียงดันลั่น สองมือกุมขมับด้วยความเจ็บปวด ทั้งปวดหัว ทั้งทรมานจิตใจ ร่างกายร้อนลุ่มไปหมดพอคิดว่าเรื่องที่ฤทัยดีพูดนั้นเป็นความจริง
“ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง” พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง เมื่อควบคุมสติไม่ไหว ปกรณ์ก็วิ่งออกจากห้องไป... วิ่งไปด้วยความรวดเร็ว เขากำลังจะไปในในที่เคยพบกับปาณัฐ เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องโกหก
ปาณัฐต้องมีตัวตนอยู่จริงรวมถึงนรินทร์ด้วย ...ใช่แล้ว ฤทัยดีก็แค่โกหก เพราะหากนรินทร์ไม่มีตัวตน วันนั้น... คุณชานนท์ก็คงมองไม่เห็น และคงไม่ได้พูดคุยกับนรินทร์
คุณชานนท์เป็นคนที่เชื่อใจได้ เคยสัญญากันแล้วว่าจะไม่โกหกไม่ว่าเรื่องใดใดก็ตาม เขาจะต้องเชื่อใจชานนท์ เพราะฉะนั้นในตอนนี้เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าปาณัฐมีอยู่จริง
จบตอน
-
ทำไมฤทัยดีถึงเข้ามาอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่มีใครรู้ ปกรณ์ตะโกนดังโวยวายขนาดนี้น่าจะต้องมีคนเข้ามาห้ามแล้วสิ โอ้ยยย หงุดหงิดยัยฤทัยดี หงุดหงิดหมอพยาบาลที่ปล่อยให้ปกรณ์อยู่คนเดียวแบบนี้><
-
:m31: นังฤทัยดีทำเสียเรื่องอีก หืม เกลียดตัวร้ายตัวนี้มว้ากกกก
-
ทำไงละทีนี้ :z3:
-
ตอนที่ 22
ชานนท์นั่งทำงานอยู่ในห้องเพื่อค่าเวลา เขาอ่านเอกสารของผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาระหว่างที่เขาลาหยุดไป จนเวลาผ่านไปสักพัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาด้วยความรุนแรงจนเกิดเสียงดังปั้งพร้อมกับร่างกายที่กระหืดกระหอบของหมอเกื้อ ใบหน้าของหมอเกื้อส่อแวววิตก ชานนท์ฉุกคิดได้ทันทีว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับปกรณ์แน่นอน
“หมอเกื้อครับ ปกรณ์มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” ชานนท์รีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างของหมอหนุ่มทันที
“คุณปกรณ์...” หมอเกื้อพูดด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ เนื่องจากเข้าวิ่งวุ่นไปทั่วโรงพยาบาลหลังจากที่เกิดปัญหายังไม่ได้พัก “หนีออกไปแล้วครับ”
“ปกรณ์หนีออกไป... ไปไหนครับ”
“ข้างนอกโรงพยาบาล ผมก็ไม่ทราบครับ พยาบาลเพิ่งแจ้งมา”
ได้ยินดังนั้น ปกรณ์ก็พยุงร่างของหมอเกื้อไปนั่งพัก ก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไปด้วยความรวดเร็วทันที แม้จะไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
ชานนท์วิ่งออกไปยังด้านนอกของโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว ทั้งวิ่งทั้งกวาดสายตามองหาไปทั่ว แต่ก็ไม่พบ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะอะไรปกรณ์ถึงต้องหนีออกไป
ชานนท์ลองยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา ภาวนาให้เขารับสาย เหมือนคำภาวนาจะเป็นผลเมื่อมีคนกดรับ
“คุณปกรณ์ คุณอยู่ที่ไหนครับ” ชานนท์รีบถามด้วยความร้อนรน
“นี่ไม่ใช่คุณปกรณ์ค่ะ ดิฉันให้คุณปกรณ์เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเขาก็ทิ้งทุกอย่างไว้ในห้อง” เป็นเสียงของพยาบาลสาวที่รับสาย
“แล้วคุณปกรณ์หายไปไหน รู้ไหมครับ” ชานนท์วิ่งกลับไปที่ห้องผู้ป่วย เขารู้อยู่แล้วว่าหมอเกื้อจะให้ปกรณ์นอนพักอยู่ที่ห้องไหน
“พอดีมีญาติมาหาคุณปกรณ์ค่ะ พอดิฉันกลับมาก็เห็นญาติโดนทำร้าย เธอบอกว่าคุณปกรณ์ทำร้ายเธอแล้วก็วิ่งหนีไปค่ะ”
ชานนท์กดตัดสายทันที เขารีบเร่งฝีเท้าด้วยความรวดเร็วเพราะอยากจะรู้ว่าใครกันที่ทำแบบนี้ ใส่ร้ายปกรณ์ทำไม คนอย่างปกรณ์น่ะหรือจะลงมือทำร้ายใครได้
แต่พอไปถึง เขาก็พบเพียงพยาบาลที่กำลังยืนหน้าเครียด สีหน้าของเธอกังวลอย่างเห็นได้ชัด รู้ตัวว่าผิดที่ไม่เฝ้าผู้ป่วยให้ดี
“คุณชลธิชา เกิดอะไรขึ้นครับ” ชลธิชาเป็นพยาบาลสาวจบใหม่ เธอมีส่วนสูง 165 เซนติเมตร รูปร่างสมส่วนและดูแข็งแรงกว่าผู้หญิงทั่วไป ด้วยเหตุนี้จึงได้มาทำงานที่แผนกจิตเวช เพราะหลายครั้งที่ผู้ป่วยในแผนกนี้ขาดสติ จำเป็นต้องใช้พละกำลังในการปะทะกับผู้ป่วย
“คือตอนที่ดิฉันรอคุณปกรณ์อยู่หน้าห้อง ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนเข้ามาขอพบคุณปกรณ์พอดีค่ะ เธอบอกว่าเป็นญาติ เธอยื่นบัตรประชาชนให้ดิฉันดู พอเห็นว่านามสกุลเดียวกับคุณปกรณ์ ดิฉันก็เลยอนุญาตให้เข้าพบค่ะ” ชลธิชาอธิบาย
ปกรณ์นึกสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันแน่ เป็นญาติฝั่งพ่องั้นหรือ พอลองคิดว่าเป็นแม่เลี้ยงก็เริ่มไม่แน่ใจ เพราะปกรณ์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่าพ่อของเขาจดทะเบียนสมรสกับใครกันแน่ หรือพอแม่ของปกรณ์เสียพ่อของเขาก็เลยจดทะเบียนสมรสใหม่งั้นหรือ
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นครับ” ชานนท์พยายามสงบสติลง
“ดิฉันขอโทษนะคะคุณชานนท์” ชลธิชายกมือไหว้อย่างสำนึกผิด เป็นความหละหลวมของเธอเองที่ไม่ยอมเฝ้าอยู่หน้าห้อง “ดิฉันคิดว่าญาติมาหาคงไม่เป็นไร ก็เลยไปเข้าห้องน้ำค่ะ พอกลับไปที่ห้องอีกที ก็เห็นคุณผู้หญิงคนนั้นนอนเจ็บอยู่กับพื้นแล้วค่ะ”
“แล้วผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหนครับ”
“เพิ่งออกไปเมื่อสักครู่นี่เองค่ะ ถ้ากะจากเวลาที่เดินไป ดิฉันคิดว่าน่าจะยังไม่ถึงประตูทางออกค่ะ เธอใส่เสื้อรัดรูปแขนยาวสีฟ้าอ่อน กระโปรงยาวบางๆ สีขาวเวลาเดินจะพลิ้วๆ หน่อยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ชานนท์รีบวิ่งออกไปจากห้องแล้วกลับไปที่ทางเดิมทันที ผู้หญิงคนนั้นคือใครกัน จะใช่แม่เลี้ยงที่เคยทำเลี้ยงต่ำทรามกับปกรณ์หรือเปล่านะ และถ้าใช่... หล่อนมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องมาที่นี่ เพราะคุณประสิทธิ์เองก็ยอมให้ปกรณ์รักษาที่นี่แต่โดยดีแล้ว
ทางด้านของปกรณ์... เขาวิ่งออกไปนอกโรงพยาบาลด้วยความรวดเร็ว วิ่งไปเรื่อยๆ ตามริมถนนในหัวก็คิดถึงแต่เรื่องของปาณัฐกับนรินทร์
แม่เลี้ยงเกลียดเขา หล่อนแค่ต้องการปั่นหัวเล่นเพื่อให้ขาดสติเท่านั้น
‘ใช่ เราจะต้องเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น’
ปกรณ์หยุดวิ่งแล้วค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ พยายามควบคุมสติ ทันใดนั้น ใครบางคนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา
“พี่ปกรณ์ครับ” น้ำเสียงของปาณัฐแสดงถึงความห่วงใย แววตาของเขาเศร้าสร้อยผิดกับทุกๆ ครั้ง “พี่ออกมาทำไมครับ”
ปกรณ์ไม่ตอบอะไรพอเห็นร่างนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปหาแล้วโอบกอดร่างนั้นเอาไว้แน่นโดยไม่สนใจผู้คนที่กำลังสัญจรไปมาว่าจะมีท่าทีอย่างไร
ปกรณ์กอดร่างนั้นเอาไว้ เขาพยายามจับสัมผัส ...ปาณัฐมีตัวตนอยู่จริง สิ่งที่ฤทัยดีพูดเป็นเพียงเรื่องโกหก
“เดี๋ยวผมพากลับไปที่โรงพยาบาลนะครับ” ในใจลึกๆ ของเขาก็อยากกลับไป แต่พอเจอกับเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นเขาก็หวั่นวิตก กลัวว่าจะต้องกลับไปเจอกับแม่เลี้ยง กลัวว่าจะโดนระราน
“พี่ไม่อยากกลับไป พี่ไม่อยากเจอแม่เลี้ยง” ปกรณ์ตอบออกมา
“ถ้าพี่ไม่กลับไปพี่ก็จะไม่หายนะครับ อีกอย่างพี่ชานนท์จะต้องเป็นห่วงพี่แน่ๆ” จริงด้วย ปกรณ์ลืมเรื่องชานนท์ไปเสียสนิท ถ้าชานนท์รู้ว่าเขาวิ่งหนีออกมาแบบนี้จะต้องกำลังเป็นห่วงและกำลังตามหาแน่ๆ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องกลับไป ชานนท์สำคัญกับเขา และเขาเองก็สำคัญกับชานนท์เช่นกัน
“พี่จะกลับไป” ปกรณ์พยักหน้า “แต่เราต้องกลับไปกับพี่ด้วย”
“ได้สิครับ” ปาณัฐยิ้มให้
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็เดินกลับไปยังโรงพยาบาลด้วยกัน ระหว่างที่เดินอยู่นั้น คำพูดของฤทัยดีก็วนเวียนอยู่ในสมอง คำที่บอกว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริง
ปกรณ์รู้สึกลังเล จังหันไปมองร่างของปาณัฐที่เดิมตามหลังอยู่บ่อยครั้ง แต่ปาณัฐก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงเดินตามทุกฝีก้าวแถมยังยิ้มให้เวลาที่เขาหันหลังกลับไป ...ปาณัฐยังอยู่และแสดงท่าทางออกมาตามที่เขาคิดทุกประการ
“ปาณัฐ เราจะไม่ทิ้งพี่ไปไหนใช่ไหม” อยู่ๆ ปกรณ์ก็เอ่ยถาม
ปาณัฐยิ้มออกมา แววตาของเขาดูเศร้าสลดลงเหมือนไม่มั่นใจที่จะตอบ
“มันขึ้นอยู่กับพี่ครับ ถ้าพี่ไม่อยากให้ผมหายไป ผมก็จะไม่ไป” คำตอบของปาณัฐไม่ได้ทำให้คนถามรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ทำไมเขาถึงตอบออกมาราวกับว่า...
“ถ้าพี่อยากให้เราหายไป เราก็จะหายไปอย่างนั้นเหรอ”
คราวนี้ปาณัฐไม่ตอบออกมา เขาก้มหน้า แววตายังคงแสดงถึงความเศร้าสร้อย การแสดงออกของปาณัฐทำให้ปกรณ์รู้สึกกังวลขึ้นมา หรือว่าสิ่งที่ฤทัยดีพูดจะเป็นความจริง
ปกรณ์หลับตาลงแล้วพยายามบอกว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ ปาณัฐต้องหายไป แต่พอลืมตาก็พบว่า ปาณัฐยังคงอยู่ที่เดิม... ความจริงเขาพยายามจะคิดแบบนั้น แต่เขาก็ทำไม่ได้ เขากลัวว่ามันจะเป็นเรื่องจริงจิตใต้สำนึกของเขาจึงเอาแต่พร่ำบอกว่าปาณัฐมีตัวตน
“ถ้าพี่เข้ารักษา ปาณัฐจะกลับมาเจอพี่หลังจากที่หายดีอีกได้ไหม” ปกรณ์ชักลังเลใจ เขาไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลย คำพูดของฤทัยดีบั่นทอนจิตใจเขา แต่พอนึกถึงวันที่ชานนท์เจอกับนรินทร์มันก็ช่วยทำให้เขาสบายใจขึ้นมาได้พอสมควร
“ผมเองก็ไม่แน่ใจ” ปาณัฐตอบออกมา เป็นความคิดเดียวกับปกรณ์อีกครั้ง เพราะปกรณ์เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
ปกรณ์เดินก้มหน้าไม่พูดไม่จาจนกระทั่งไปถึงโรงพยาบาล เขาหยุดนิ่งแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ การวิ่งหนีออกไปคงทำให้ใครหลายๆ คนต้องวุ่นวาย และชานนท์ก็คงจะตกใจเอามากๆ ปกรณ์รู้สึกผิด
“ปาณัฐ ช่วยเดินนำหน้าพี่ที่” ปกรณ์ขอร้อง เขาไม่ชอบที่คนรอบข้างจ้องมองเขาราวกับตัวประหลาด ใส่ชุดคนป่วยวิ่งหนีออกไปแล้วก็กลับมา เหงื่อก็โชกร่างคนรอบข้างต่างพากันหวาดระแวงเขา ปกรณ์ไม่ชอบที่โดนมองแบบนั้น
“ครับ” ปาณัฐตอบตกลงแล้วเดินนำมาข้างหน้าทันที
ปกรณ์เดินตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้าตึก เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเห็นร่างของชานนท์กำลังวิ่งมาจากข้างในพอดี
ชานนท์เองก็มองเห็นร่างของปกรณ์แล้วเช่นกัน... เขาวิ่งตรงไปหาร่างนั้นด้วยความรวดเร็วทันที แค่เห็นปกรณ์กลับมาอย่างปลอดภัย เขาก็รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ชานนท์วิ่งไปกอดร่างของปกรณ์เอาไว้แน่น แม้เนื้อตัวของอีกฝ่ายจะเฉอะแฉะไปด้วยเม็ดเหงื่อแต่เขาก็ไม่รังเกียจ
“อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่” เป็นอีกครั้งที่ชานนท์ต้องพูดแบบนี้ เขาไม่ได้เหนื่อยหรือท้อแท้กับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เพราะกลัวว่าปกรณ์จะเป็นอะไรไปเวลาที่ทำอะไรบุ่มบ่ามต่างหาก
ทว่าอีกฝ่ายกลับยืนนิ่งแข็งราวกับรูปปั้น ไม่โต้ตอบอะไรสักคำ ชานนท์สังเกตเห็นถึงความผิดปกติจึงผละร่างออกเล็กน้อยแล้วตั้งใจสบตากับอีกฝ่ายเพื่อจับพิรุธ
ดวงตาของปกรณ์ในตอนนี้นิ่งสนิท จนชานนท์ไม่อาจคาดเดาสาเหตุได้ว่าเกิดจากอะไร แต่ท่าทีแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องดีแน่
“คุณชานนท์ครับ”น้ำเสียงเยือกเย็นไร้โทนสูงต่ำถูกเปล่งออกมาอย่างช้าๆ “คุณโกหกผมทำไม”
ปกรณ์ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช ...เมื่อครู่นี้ชานนท์วิ่งผ่านร่างของปาณัฐราวกับอากาศธาตุก่อนจะมากอดเขา นักจิตวิทยาคนนี้มองไม่เห็นตัวของปาณัฐ นั่นหมายความว่าสิ่งที่ฤทัยดีพูดเป็นเรื่องจริง
“ผมโกหกอะไรครับ” ชานนท์เริ่มใจเสีย เขานึกไม่ออกว่าตัวเองไปโกหกปกรณ์ตั้งแต่ตอนไหน พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
ปกรณ์สบสายตาจ้องมองอีกฝ่ายบ้าง
“เมื่อกี้... คุณวิ่งทะลุร่างของปาณัฐ”
เสียงเยือกเย็นที่เปล่งออกมาทำให้ชานนท์ยืนนิ่ง เขารวบรวมสติไม่ทัน ไม่สามารถคิดหาคำพูดมาทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงได้ จนปกรณ์ต้องเป็นฝ่ายพูดต่อ
“เรื่องนรินทร์ คุณโกหกผมทำไม คุณโกหกว่าคุณมองเห็นนรินทร์ คุณเสแสร้งพูดคุยกับนรินทร์ เพราะคุณแค่เห็นว่าผมเป็นคนบ้า... ใช่คุณเห็นผมเป็นคนบ้า ผมมันบ้า ผมมันบ้า คุณคิดแบบนี้ใช่ไหม ผมมันแค่คนบ้า!!!!!”
ปกรณ์ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น ความเครียดที่ครอบงำทำให้สติของเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอชานนท์ขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อที่จะกอดอีกครั้ง ทว่าร่างนั้นกลับต่อต้อนแล้วผลักออกไปสุดแรงจนชานนท์ล้มลงกับพื้น
“ผมเกลียดคุณ” ปกรณ์พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นก่อนจะวิ่งหนีออกไปอีกครั้ง
ความผิดหวังที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันมากมายยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ความเสียใจพรั่งพรูออกมาเป็นหยดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ขาดสาย
คนที่เขายอมเปิดใจ... คนที่ไว้ใจที่สุดในชีวิตกลับเลือกที่จะโกหก
มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนโดนหักหลัง ปกรณ์ไม่อาจประเมินได้ว่าตนเองทรมานมากแค่ไหน มันเหมือนกับมีหอกแหลมคมทิ่มแทงเข้ามาที่กลางหัวใจ แทงซ้ำๆ จนระบมไปทั่วร่าง เหมือนมีคนเอาน้ำร้อนมาสาดแผลสด แล้วโรยด้วยพริกเกลือย้ำที่แผลนั้นอีกที มันเจ็บจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ไม่ใช่แค่เรื่องที่โดนชานนท์โกหกเท่านั้นที่ทำร้ายความรู้สึก การที่รู้ว่าปาณัฐและนรินทร์ไม่ตัวตนอยู่บนโลกนี้จริงๆ มันยิ่งต้องย้ำให้ความเจ็บปวดทวีคูณมากขึ้น
หากต้องทนทุกข์กับความทรมานมากมายขนาดนี้ ...บางทีการตายไปให้รู้แล้วรู้รอดมันอาจจะเจ็บปวดน้อยกว่า ปกรณ์คิดเช่นนั้น แต่ตอนนี้เขายังทำแบบนั้นไม่ได้ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะยืนยันว่าเป็นเรื่องใจ แต่ก้นเบื้องลึกของหัวใจเขายังเชื่อว่าปาณัฐกับนรินทร์มีตัวต้นอยู่จริง เขาต้องพิสูจน์ให้ได้
จบตอน
-
ความไว้ใจที่ให้มันกู้ยากเน้อ ชานนท์ก็แอบผิดจริงๆที่ไม่บอกตรงๆตั้งแต่แรก
ติดตามต่อไปป :katai1:
-
:o12:
มันหนักหน่วงเกินไปแล้วสำหรับปกรณ์ สงสารอ่า
-
สงสารรร
-
ตอนที่ 23
ชานนท์ที่ถูกผลักล้มจนก้นจ้ำเบ้ากับพื้นพยายามลุกขึ้นแล้ววิ่งตามออกไป ทว่าปกรณ์นั้นวิ่งไวเหลือเกิน คนที่มีอาการป่วยทางจิตมักเป็นแบบนี้ เวลาที่หวาดกลัวหรือผิดหวังจากอะไรมากๆ มักจะมีเรี่ยวแรงมหาศาลและวิ่งไวกว่าคนปกติทั่วไป
ชานนท์พยายามวิ่งตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบจะออกจากโรงพยาบาล รถมอเตอร์ไซค์ที่หักเลี้ยวเข้ามาได้มาชนกับเขาเข้าอย่างจังจนทำให้เขาเซไปข้างหลังแล้วล้มลงอีกครั้ง
มอเตอร์ไซค์คู่กรณีล้มลงเช่นกัน
“ผมขอโทษนะครับ นี่นามบัตรผม เดี๋ยวผมชดใช้ค่าเสียหายให้” ชานนท์ยื่นนามบัตรให้คู่กรณีก่อนจะวิ่งตามออกไป ทว่า... พอออกจากรั้วโรงพยาบาล เขาก็ไม่พบร่างของปกรณ์เสียแล้ว
อุบัติเหตุเมื่อครู่ส่งผลให้แขนและขาของเขาถลอก มันเจ็บปวดแต่คงเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวกับสิ่งที่ปกรณ์ต้องพบเจอ
ชานนท์ลองวิ่งลัดเลาะตามตรอกซอกซอยใกล้ๆ เมื่อไม่พบ จึงกลับไปตั้งหลักที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
“ชานนท์” หมอเกื้อตกใจเมื่อเห็นสภาพของชานนท์สะบักสอบ ชุดเปรอะเปื้อน เหงื่อชุ่มร่างราวกับไปทำศึกสงครามที่ไหนมา “นั่งก่อนครับ”
“หมอครับ ปกรณ์รู้แล้วว่าปาณัฐกับนรินทร์ไม่มีตัวตน” ชานนท์เอ่ยเสียงเครียด เขาไม่ได้นั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานหมอแต่เขาฟุบลงกับพื้นก้มหน้ากอดเข่า
“แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นคนบอกแน่ๆ คุณชลธิชามาเล่ารายละเอียดให้ผมฟังแล้ว แต่ผมแปลกใจว่าทำไมคุณปกรณ์ถึงเครียดจนกระทั่งหนีออกจากโรงพยาบาล”
“ตอนแรกปกรณ์กลับมาแล้วครับ” ชานนท์กำมือแน่นนึกโกรธตัวเอง “แต่ผมเคยโกหกว่ามองเห็นนรินทร์ ผมแกล้งพูดคุยกับนรินทร์เพื่อให้เขาเชื่อว่านรินทร์มีจริง ตอนที่กลับมาปกรณ์บอกว่าปาณัฐกลับมาด้วย แล้วผมก็วิ่งทะลุร่างของปาณัฐเพราะมองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน เขาผิดหวังในตัวผม ก็เลยวิ่งหนีไปอีกครับ”
เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงที่ไม่อาจกลับไปแก้ไขได้ ชานนท์อยากจะชกมือเข้าที่เบ้าหน้าของตัวเองให้กับความโง่เขลา ปกรณ์คงผิดหวังและเสียใจมาก... ใช่ปกรณ์ต้องผิดหวังมากๆ
“คุณยังไหวไหมครับ” หมอเกื้อเดินเข้ามาตบบ่า
ชานนท์เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“ไหวครับ”
“ดีครับ งั้นตามผมมา ผมจะพาคุณไปตามหาคุณปกรณ์เอง”
ชานนท์มองหมอเกื้ออย่างมีหวัง... นอกจาก ความฉลาด หน้าตาที่หล่อเหลา และบุคลิกที่น่าเชื่อถือ หมอเกื้อยังมีข้อความสามารถอีกเรื่องคือเป็นนักซิ่งมอเตอร์ไซค์ทั้งมินิไบค์และบิ๊กไบค์ หมอเกื้อเคยเข้าร่วมแข่งขันประลองความเร็วมาแล้ว แม้จะไม่ได้อันดับหนึ่งแต่ก็เคยได้ถ้วยอันดับสามมาครอบครอง
หมอเกื้อขับมินิไบค์มาทำงานที่โรงพยาบาลทุกวันเนื่องจากที่พักอยู่ค่อนข้างไกล การขับมินิไบค์อย่างปลอดภัยบนท้องถนนแล้วค่อยๆ ลัดเลาะตามช่องเวลารถติดมันจึงทำให้หมอเกื้อมาถึงที่ทำงานได้อย่างรวดเร็ว
ชานนท์เดินตามหมอเกื้อไปจนกระทั่งถึงลานจอดรถ หมอเกื้อสะบัดชุดกาวน์ออกจากร่างก่อนจะฝากมันไว้กับยามหนุ่มตรงทางเข้า แว่นดำที่เสียบไว้ที่เชิ้ตขาวด้านในถูกหยิบขึ้นมาสวมใสทำให้หมอเกื้อในตอนนี้ดูราวกับพระเอกละครสุดเท่
ก่อนจะสตาร์ทรถ หมอเกื้อได้หยิบหมวกกันน็อคออกมา หมอสวมหมวกนั่นให้กับชานนท์ก่อนที่จะสวมให้กับตัวเองเพื่อความปลอดภัย
“เกาะแน่นๆ นะครับ” สิ้นทุ้มต่ำของคนขับสั่งเมื่อทั้งสองร่างอยู่บนมินิไบค์
“ครับ” ชานนท์ตอบรำ แต่ถึงกระนั้นเขาก็จับเพียงแค่ขอบเสื้อของหมอเกื้อเท่านั้น เขาไม่ชินกับการนั่งซ้อนท้ายมินิไบค์
“จับอย่างนี้เดี๋ยวก็ตกหรอกครับ” หมอเกื้อหันมาดุเบาๆ ก่อนจะจับแขนของชานนท์ให้โอบร่างของตนเอาไว้แน่น “กอดแน่นๆ ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”
“เอ่อ... ครับ” ชานนท์กอดแน่นตามที่หมอเกื้อสั่งจากนั้นหมอหนุ่มก็ซิ่งรถออกไปทันที
ทางด้านของปกรณ์...
เขาวิ่งออกมาโดยไม่มีจุดหมาย ลัดเลาะตามตรอกซอกซอยต่างๆ จนกระทั่งเข้าไปในซอยซอยหนึ่ง เดินเข้าไปต้นซอยจะมีบ้านของคนซึ่งมีเขตรั้วกั้นเอาไว้แบ่งเป็นบ้านใครบ้างมัน แต่เพียงประมาณ 500 เมตรเท่านั้นบ้านคนก็ไม่มี กลายเป็นทุ่งหญ้าสูงใหญ่
ปกรณ์เดินแหวกฝูงหญ้าไปจนไปหยุดพักที่ใต้ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ปาณัฐที่วิ่งตามมาตลอดเดินไปหยุดพักใกล้ๆ กับร่างของเขาด้วย
ปกรณ์มองดูร่างนั้นอย่างพิจารณา ปาณัฐเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างกำยำ อะไรหลายๆ อย่างดูคล้ายกับน้องชายของเขาแต่ตัวเล็กกว่าชัดเจน เขาจึงรู้สึกรักและเอ็นดูเด็กคนนี้มากเป็นพิเศษ แต่พอรู้ความจริงว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีตัวตนอยู่จริง เขาก็ผิดหวัง แม้ความจริงจะปรากฏให้เห็นจนแน่ชัดตอนที่ชานนท์วิ่งทะลุร่างของปาณัฐ แต่ในใจลึกๆ ปกรณ์ก็ยังหวังให้มันเป็นแค่เรื่องโกหก
ปกรณ์ลองเอื้อมมือไปลูบที่แก้มของปาณัฐ เขาสัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่ม แล้วความสับสนก็เกิดขึ้นในจิตใจอีกครั้ง
“ใช่... มันก็แค่เรื่องโกหก” ปกรณ์พึมพำ “ปาณัฐนั่งอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ทำไมเขาจะไม่มีตัวตน”
ปาณัฐเพียงยิ้มออกมาเท่านั้น ไม่ยอมพูดอะไรสักคำตั้งแต่วิ่งออกมา
“พี่เหนื่อยไหมครับ” นั่นเป็นคำแรกที่ปาณัฐเอ่ยออกมา
ปกรณ์พยักหน้าเป็นคำตอบ เขาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ จนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะกุญแจและข้าวของที่นำออกมาก็ขนไปไว้ที่ห้องของชานนท์ทั้งหมด
พอคิดถึงชานนท์... ก็รู้สึกจุกขึ้นมา เจ็บเหมือนใจแตกสลาย ร่างกายเหมือนจะระเบิดเสียให้ได้ อุตส่าห์เชื่อใจ เปิดใจและยอมรับในความรู้สึกของตัวเองว่าคิดอย่างไรกับคนคนนี้ แต่กลับโดนหลอกลวง
“คุณเห็นผมเป็นแค่คนป่วยจริงๆ สินะ คงไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับที่ผมรู้สึก” ปกรณ์พึมพำออกมาก่อนจะทิ้งร่างนอนลงไปกับผืนดิน
“บางทีพี่ชานนท์อาจจะมีเหตุผลก็ได้นะครับ” ปาณัฐเอ่ยขึ้นมา จิตใจของปกรณ์คงกำลังหวั่นไหว “พี่ลองนึกสิครับว่าถ้าตอนนั้นพี่ชานนท์ไม่ตัดสินใจโกหกเล่นละครตบตาพี่ พี่จะเชื่อเขาไหม และพี่จะรู้สึกยังไงในสถานการณ์นั้น”
ปกรณ์ลองนึกตามคำพูด ...ตอนนั้นเขากำลังเครียดที่โดนพ่อกดดัน สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่ที่พ่อไม่อยากให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ชานนท์ที่ออกตามหาคงกังวลมากหลังจากที่รู้ว่าเขาวิ่งหนีออกจากบ้านไป ชานนท์จึงพยายามตามหาทุกหนแห่ง และพอได้มากับกันในสภาพที่ตนเองกำลังอ่อนแอนั้น จึงไม่แปลกหากชานนท์ที่รู้อยู่แล้วว่านรินทร์ไม่มีตัวตนอยู่จริงนั้นแกล้งเล่นละครตบตา
“แต่มัน...” สิ่งที่กำลังคิดนั้นมีเหตุผล ปกรณ์พยายามจะหาข้อมาโต้แย้งแต่ก็เถียงกับความคิดเหล่านี้ไม่ได้ หากตอนนั้นชานนท์เลือกที่จะพูดความจริง เขาคงเกลียดชานนท์และคงไม่กลับไปรักษาที่โรงพยาบาลแน่นอน
“พี่เองก็คิดไม่ออกใช่ไหมล่ะครับว่าควรทำยังไง แล้วกับพี่ชานนท์ที่ห่วงพี่มากๆ เขาคงตัดสินใจได้ยากลำบากเหมือนกันนะครับ” ปาณัฐพยายามพูดย้ำให้ปกรณ์นึกถึงความรู้สึกของชานนท์
“แต่เราเคยรับปากกันว่าจะไม่โกหก” การโดนหลอกลวงและทำให้ผิดหวังมันเหมือนเป็นปมฝังใจที่แก้ไม่หาย ยิ่งพอนึกย้อนไปในอดีตที่ผ่านมา มันยิ่งตอกย้ำให้เขากลัวการที่จะเปิดใจรับใคร
เสียงของพ่อที่ก่นด่าในการกระทำของแม่
เสียงร้องไห้ของแม่ที่เห็นพ่อเล่นชู้คาเตียง
เสียงตบตี เสียงก่นด่า และภาพเหล่านั้นมันยังคงหลอกหลอนจิตใจของปกรณ์มาจนถึงทุกวันนี้
“งั้นพี่ลองใช้ความรู้สึกตัดสินดูนะครับ หากไม่นับเรื่องนี้ การกระทำที่ผ่านมาของพี่ชานนท์นั้นมันเป็นความจริงใจหรือการหลอกลวง”
ปกรณ์ลองนึกตามอีกครั้ง เขาพยายามที่จะไม่คิดเข้าข้างตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่นับเรื่องที่โกหกนั้น... คุณชานนท์แทบหาข้อเสียไม่ได้ ทุกการกระทำของเขามันมีแต่ความจริงใจ น้ำเสียง สายตา ท่าทางทุกสิ่งอย่างไม่ใช่เรื่องโกหก แต่เพราะเหตุผลอะไรล่ะ มันจะใช่เพราะความรู้สึกแบบเดียวกันกับของปกรณ์ไหม หรือเพราะแค่ว่าชานนท์เห็นเขาเป็นแค่คนป่วนทางจิตคนหนึ่งเท่านั้น
...นี่แหละคือสิ่งที่ปกรณ์ไม่อาจตัดสินได้
“พี่ไม่แน่ใจเหรอครับ” ปาณัฐเอ่ยถามขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปนาน
“เปล่า” ปกรณ์รีบปฏิเสธ “คุณชานนท์เป็นคนจริงใจ แต่พี่ไม่รู้ว่าที่เขาดีกับพี่นั้นเพราะเรารู้สึกแบบเดียวกันหรือเพราะเขาแค่ต้องการรักษาพี่ให้หายเท่านั้น”
“ถ้าพี่ชานนท์แค่อยากรักษาพี่ให้หาย เขาจำเป็นต้องทำกับพี่ถึงขนาดนี้ไหมล่ะครับ เขานั่งรอพี่อยู่ที่โรงพยาบาล รอให้แค่ให้พี่ไปรักษาไม่ง่ายกว่าเหรอครับ ไม่เหนื่อยด้วย”
สิ่งที่ปาณัฐพูดออกมามีเหตุผล ชานนท์ไม่จำเป็นต้องมาเหนื่อยเพื่อเขามากถึงเพียงนี้ ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวด้วยกันด้วยซ้ำ
“ช่างมันเถอะ” ปกรณ์เลือกตัดบทเอาเสียดื้อๆ เขาไม่กล้าคิดอะไรไปเองอีกแล้ว “ว่าแต่เราตามพี่มาแบบนี้ไม่เหนื่อยเหรอ กลับไปบ้านก่อนก็ได้นะ”
ปกรณ์หลุดถามออกไป พอรู้ตัวก็รีบหันไปมองอีกฝ่ายตาเขม็ง หัวใจเต้นแรงขึ้นเพราะกลัวคำตอบที่จะได้ยิน
ปาณัฐส่งยิ้มออกมาหากแต่แววตาของเขากลับเศร้าสร้อย
“ผมไม่มีบ้านให้กลับหรอกครับ” เสียงนั้นเปล่งออกมาด้วยความแผ่วเบา “บ้านของผมก็คือจิตใจของพี่ ถ้าไม่มีพี่ก็ไม่มีผม”
ฉับพลันร่างของปาณัฐก็หายไปต่อหน้าต่อตา หายไปราวกับปาฏิหาริย์ ปกรณ์เบิกตาโพลงออกมาด้วยความตกใจแล้วรีบยื่นมือไปยังจุดที่ปาณัฐนั่งอยู่เมื่อครู่ แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาสัมผัสได้เพียงลม จิตใจของเขาในตอนนี้เริ่มเชื่อแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่มีตัวตน เป็นสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมา
หัวใจก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง เคราะห์กรรมอะไรนักหนาเมื่อคนที่เขาคิดว่ารักและมีอยู่จริงกลับเป็นเพียงสิ่งลวงตา จิตใจของเขาอ่อนแอถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้ามันอ่อนแอขนาดนั้นก็ช่วยปรากฏตัวออกมารักษาความรู้สึกที่เปราะบางอีกสักที อย่าปล่อยให้เขาต้องรู้สึกโดดเดี่ยวต่อไปอีกเลย
“ปกรณ์” แล้วเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ปกรณ์เงยหน้ามองก็ถึงกับอ้าปากค้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนอย่างไม่มีข้อกังขาอีกแล้วว่าสิ่งที่ฤทัยดีพูดเป็นเรื่องจริง
“นรินทร์” ปกรณ์เอ่ยเสียงแผ่วเบาเมื่อมองเห็นร่างนั้นกำลังยืนจ้องเขาอยู่ตรงหน้า อยู่ๆ ปาณัฐก็หายไปแล้วกลายเป็นนรินทร์ที่โผล่มา
“สีหน้าของดูไม่ดีเลย นายคงเหนื่อยมากสินะ เราเองก็เหนื่อย” นรินทร์เอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นมือออกไปตรงหน้า “ป่ะ... ไปกันเถอะ”
“ไปไหน” ปกรณ์ถาม
“ไปในที่ที่เราควรอยู่ไง” นรินทร์ส่งยิ้มให้ แววตาของนรินทร์ไม่มีความเศร้าสร้อยเลยสักนิด มันเหมือนกับคนที่กำลังมีแต่ความสุข ความสบาย “ไปในที่ที่เราชอบ ไปในที่ที่เราอยู่อย่างสบายกายสบายใจ”
น้ำเสียงที่จริงใจของนรินทร์ส่งผลให้ปกรณ์ยื่นมือไปตอบรับก่อนจะยั้งกายลุกขึ้น เขาเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยมามากเกินพอแล้ว เขาไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว เขาจะไปอยู่กับนรินทร์...
นรินทร์จับมือของปกรณ์เอาไว้แน่น ก่อนจะเดินนำออกไป เดินไปเรื่อยๆ ช้าๆ ปกรณ์ก้าวตามไปอย่างไม่รู้จุดหมาย หัวใจของเขาในตอนนี้ล่องลอยว่างเปล่า ความหนักอึ้งทั้งหมดที่เคยแบกรับถูกปล่อยทิ้งไปในก้นเบื้องลึกของหัวใจจนเขาไม่มีความรู้สึกอะไรอีกเลย
ภาพเบื้องหน้าที่เป็นทุ้งหญ้ากว้างใหญ่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสีขาว มองไปทางนั้นก็มีแต่สีขาวเท่านั้น สีขาวที่แสนบริสุทธิ์ สีขาวที่ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ เขากำลังเดินอยู่บนโลกที่มีแต่สีขาวไม่รับรู้อีกต่อไปว่ารอบกายในตอนนี้มีอะไรอยู่บ้าง
มันเป็นความรู้สึกที่สบายใจอย่างที่ปกรณ์ไม่เคยสัมผัสได้ เขาอยากจะอยู่ในโลกที่มีแต่สีขาวนี้ตลอดไป
ฉับพลันความคิดของเขาก็ดับลง เมื่อเสียงของอะไรบางอย่างที่ดังขึ้นได้เรียกสติของเขาให้กลับคืนมา
เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น โลกสีขาวก็หายไป ปกรณ์มองภาพเบื้องหน้าก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนท้องถนน และเสียงที่ดึงสติของเขาให้กลับมานั้นก็คือเสียงของแตรรถบรรทุกคันใหญ่
ความตกใจส่งผลให้ความหวาดกลัวเข้าครอบงำอีกครั้ง ปกรณ์ยืนตัวแข็งทื่อก้าวขาไม่ออกเมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าร่างของคงจะโดนบดขยี้
น่าแปลก... เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วแบบนี้ เขากลับมีเวลาคิดทบทวนอะไรได้หลายอย่าง ภาพใบหน้าของชานนท์ปรากฎขึ้นมา รอยยิ้มอบอุ่นของคนๆ นั้นอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาสัมผัสได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต
‘ขอบคุณนะครับคุณชานนท์ ที่ทนเหนื่อยกับคนอย่างผมมานาน’ ปกรณ์หลับตาลงพร้อมรับเคราะห์กรรมกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ปี๊กกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!
จบตอน
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
ฝากอีกเรื่องด้วยนะครับ
- ซื่อสัตว์ - คลิกเลยจ้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61134.0)
เรื่องนี้จะเป็นแนวฝาแฝดที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว จึงได้รับการปฏิบัติจากพระเอกสุดหล่อที่ต่างกัน
คนละแนวกับเรื่องนี้เลย ยังไงฝากติดตามด้วยนะครับ รู้สึกเหงาๆ นิยายเงียบๆ T__T
เรื่องนี้เงียบพอเข้าใจเพราะมันเป็นแนวนี้ แต่ถ้าเรื่องใหม่เงียบด้วย ท้อเลย T__T
-
อ้าวเฮ้ย ปกรณ์จะเป็นอะไรไหม
-
ไม่น้าา :katai1:
-
ค้างได้อีก ปกรณ์ ไม่เป็นไรใช่ไหม
กลัว สั่นไปหมด อินจนซึมเลย
เข้าใจปกรณ์ คนแบบนี้เวลาเสียใจจะมีมากกว่าคนปกติทั่วไป
:ling2:
-
ตอนที่ 24
หลังจากที่เปลือกตาเปิดขึ้นมา ภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ ปรากฏ เขามองเห็นเพดานสีขาว พยายามหลับตาลงอีกครั้งแล้วทบทวนความคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่
ความทรงจำสุดท้าย... ใช่แล้ว... เขากำลังยืนอยู่กลางถนน มีรถบรรทุกคันใหญ่กำลังแล่นตรงมาที่ร่างของเขา
เขาคงถูกรถบดขยี้เข้าอย่างจัง แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ปกรณ์ยังคงหลับตาครุ่นคิด ที่นี่คือสวรรค์งั้นเหรือ พอลืมตาก็เห็นเพียงแต่สีขาว คนอย่างเขาจะขึ้นสวรรค์ได้จริงหรือ นรกจะต้อนรับหรือเปล่ายังไม่แน่ใจเลย ชีวิตที่ไม่ควรเกิดมาตั้งแต่ต้น ใครๆ ก็คงรังเกียจ
พอพยายามหาเหตุผลมายืนยันว่าตนเองหมดลมหายใจไปแล้ว ปกรณ์ก็รีบลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะนั่นเป็นความคิดที่ผิด นี่ไม่ใช่สวรรค์หรือนรก เขายังไม่ตาย... ที่นี่คือที่ไหนกันแน่
ปกรณ์สอดสายตาไปรอบข้าง พอเห็นร่างที่ฟุบอยู่ข้างเตียงก็ยิ่งทำให้ประหลาดใจเข้าไปใหญ่ เขาจำเส้นผมของคนคนนี้ได้ ผมดำที่มีหงอกแซมขึ้นมาในบางจุด
“พ่อ” เสียงของปกรณ์เบาหวิวอาจเพราะเหนื่อยล้า ร่างนั้นขยับเล็กน้อยแต่พอพูดเรียกอีกทีเขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา “พ่อครับ”
“แก... ฟื้นแล้วเหรอ” พ่อมองมาทางเขา สายตาแน่นิ่งไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้
“พ่อผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง มันเกิดอะไรขึ้น” ปกรณ์รู้แล้วว่าที่นี่คือห้องผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เขาพยายามจะยั้งกายเพื่อที่จะเข้าไปหาพ่อแต่ก็ทำไม่ได้ มีอะไรบางอย่างรั้งเขาเอาไว้
ปกรณ์แหงนหน้ามองดูเหนือศีรษะ มือทั้งสองข้างของเขาถูกพันธนาการเอาไว้กับกุญแจมือ ล็อกไว้กับเตียงนอน พอก้มมองดูที่เขาก็พบว่าขาทั้งสองข้างถูกล็อกเอาไว้เช่นกัน
“แกต้องเข้ารับการรักษา” พ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ “ก่อนที่มันจะแย่เกินไปกว่านี้”
ปกรณ์เข้าใจในความหมายของพ่อ เขาเองก็เหนื่อยกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากเกินกว่าที่จะปฏิเสธ แต่สิ่งที่เขาอยากรู้ในตอนนี้คือ... มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ผมมาอยู่นี่ได้ยังไงครับ”
“แกตกใจ สลบไปที่ข้างถนน แล้วคนไปเห็นก็เลยพาแกไปส่งที่โรงพยาบาล” ชายวัยกลางคนตอบเพียงแค่นั้น
“ใครเห็น ใครช่วยผม” ปกรณ์ถามอย่างเซ้าซี้ ท่าทีของพ่อดูแปลกไป และภาพที่เขาจำได้ล่าสุด เขาไม่ได้สลบแต่เขากำลังจะถูกรถบรรทุกชน
“ฉันก็ไม่รู้” ชายวัยกลางคนเลือกที่จะปฏิเสธตอบคำถามนั้น “พยาบาลโทรมาบอกว่าแกมีอุบัติเหตุ ฉันก็เลยรีบมาดู”
“พ่อเนี่ยนะครับรีบมาดู” ปกรณ์พึมพำกับตัวเองเสียงเบา เขาไม่มีค่ามากพอให้คนอย่างพ่อมาสนใจหรอก
“แกว่าไงนะ”
“อ่อ ผมบอกว่าผมอึดอัดครับ” ปกรณ์เปลี่ยนเรื่อง “ขยับไปไหนไม่ได้เลย”
“ฉันถึงจะไปเรียกพยาบาลมาให้ไง เขากลัวว่าแกจะหนีออกไปอีก ก็เลยจับแกล็อกกับเตียงเอาไว้ก่อน” คนเป็นพ่อตอบออกมา “ไม่ต้องสงสัยนะว่ารู้ได้ไง พยาบาลเล่าให้ฟังหมดแล้ว”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเรื่องแม่เลี้ยงล่ะมีใครรู้หรือยัง “เอ่อ... พ่อครับ”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้ชายวัยกลางคนหันมามองอีกครั้งก่อนที่จะออกจากห้อง
“อะไร”
“แล้วคุณน้าล่ะครับ”
“ฤทัยน่ะเหรอ อยู่บ้านมั้ง ไม่ก็คงออกไปเที่ยว” ประสิทธิ์ตอบออกมา เป็นปกติของฤทัยดีอยู่แล้ว หล่อนไม่ได้ทำงาน ใช้ชีวิตอิสระอยู่บ้าน เที่ยวห้าง ดูหนังฟังเพลงไปเรื่อย เงินหมดเมื่อไหร่ก็ค่อยกลับมาอ้อนขอประสิทธิ์
“อ่อครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แสดงว่าที่ฤทัยดีมาที่นี่พ่ออาจจะยังไม่รู้เรื่อง พยาบาลอาจไม่ได้เล่าให้ฟัง
“แกมีไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
ประสิทธิ์จ้องมองร่างของลูกชายด้วยความสงสัย ปกติเจ้านี่ไม่พูดถึงฤทัยดีด้วยซ้ำ แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงเอ่ยถาม แสดงว่ามันต้องมีอะไรแน่นอน แต่เขาก็ไม่คาดคั้นก่อนจะออกจากห้องพักไปตามพยาบาลให้มาดูอาการของปกรณ์
ประสิทธิ์เก็บความสงสัยพร้อมกับเดินไปหาพยาบาล
“คุณพยาบาล เจ้านั่นฟื้นแล้วครับ”
“ค่ะ” พยาบาลพยักหน้ารับทราบก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องของผู้ป่วย
ปกรณ์ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก เขาเพียงช้ำเล็กน้อยจากแรงกระแทกตอนล้ม หมอได้ดูอาการและฉีดยาแก้ปวดให้ตั้งแต่ตอนที่ถูกส่งตัวกลับมาโรงพยาบาลแล้ว
“ผมถามอะไรหน่อยครับ” ประสิทธิ์หันไปคุยกับพยาบาลอีกคน “มีใครมาหาเจ้านั่นก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นไหมครับ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ค่ะ” พยาบาลตอบออกมา “ต้องลองสอบถามกับพยาบาลแผนกจิตเวชที่เข้าเวรช่วงเช้าดูค่ะ”
“ครับ” ประสิทธิ์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินกลับไปดูปกรณ์ที่ห้อง
พยาบาลกำลังคุยกับปกรณ์ด้วยท่าทางปกติ ไม่ว่าจะสอบถามอะไรผู้ป่วยก็ให้ความร่วมมือในการตอบคำถามอย่างดี เขาดูนิ่งและไม่มีท่าทางต่อต้าน เห็นดังนั้นประสิทธิ์ก็โล่งใจจึงตัดสินใจที่จะไปยังแผนกจิตเวชเพื่อสอบถามถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ภายในห้องพัก ทันทีที่พยาบาลเดินเข้ามา ปกรณ์ก็มองอย่างมีความหวัง
“คุณพยาบาลครับ ช่วยปลดล็อกออกทีครับ” ปกรณ์อึดอัดจะแย่ อยากจะเข้าห้องน้ำก็ไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้โกรธอะไรเพราะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่แปลกที่ทางโรงพยาบาลจะต้องทำกับเขาแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาสร้างปัญหามากมายเอาไว้
“ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันตามหมอมาปลดให้นะคะ” พยาบาลพยักหน้า เธอยิ้มให้กับคนไข้อย่างเป็นมิตรสังเกตสีหน้าและแววตาพบว่าผู้ป่วยสติสัมปชัญญะครบถ้วน เธอจึงไม่ติดใจอะไร
แต่พอกำลังจะออกจากห้อง ปกรณ์ก็ร้องเรียกเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวครับคุณพยาบาล”
“คะ” พยาบาลสาวหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองคนเรียก
“คือว่าคุณ... คุณชานนท์น่ะครับ ที่เป็นนักจิตวิทยา เขาอยู่ที่นี่ไหมครับ เอ่อผมหมายถึง ยังทำงานอยู่ที่แผนกไหมครับ หรือว่าเลิกงานกลับไปแล้ว”
พอได้ยินคำถาม พยาบาลก็หลบสายตา ท่าทางของเธอดูมีพิรุธเล็กน้อย
“ดิฉันไม่แน่ใจค่ะ คิดว่าน่าจะกลับไปแล้วค่ะ”
“อ่อ ขอบคุณครับ”
ปกรณ์ก้มหน้าขอบคุณ จากนั้นพยาบาลก็เร่งฝีเท้าเดินออกจากห้องไปเหมือนว่ากลัวจะโดนถามคำถามอีก
ไม่นานมากนัก ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เป็นคุณหมอเพศชายสวมชุดกาวน์สีขาว พิจารณาจากใบหน้าน่าจะอายุ 40 ปลายๆ ไม่ใช่หมอเกื้ออย่างที่ปกรณ์คิดในทีแรก
ทั้งๆ ที่เครื่องแต่งกายและผ้าปูเตียงยืนยันว่าที่นี่คือโรงพยาบาลเดียวกัน แต่ทำไมทั้งชานนท์และหมอเกื้อถึงหายไป ไม่มีใครมาดูแลเขาสักคน
ความสงสัยต่างๆ นานาเริ่มถาโถม ปกรณ์พยายามนึกหาเหตุผลแต่ก็นึกไม่ออก หรือว่าชานนท์อาจจะเบื่อเขาแล้ว ก็แน่ล่ะ เป็นใครก็เบื่อ อยู่กับคนสติขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์ไม่แน่นอนใครจะทนได้ แต่คุณหมอเกื้อที่เป็นหมอประจำตัวเขาตั้งแต่ที่เข้ารับการรักษาที่นี่ ทำไมถึงไม่ใช่เขาที่มาดูแล
คุณหมอวัยกลางคนปลดล็อกที่ข้อมือของปกรณ์ออกให้ก่อน แล้ววัดความดัน ฟังอัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจเบื้องต้นทุกอย่างที่ผู้ป่วยควรตรวจแล้วก็ลงบันทึก
“คุณปกติดี แต่แขนข้างขวาที่ช้ำจากการกระแทก อีกสักสองสามชั่วโมงอาจจะทำให้รู้สึกปวดนิดนึงนะครับ”
พอพูดจบก็เก็บของทำราวกับว่าจะเดินออกจากห้องไป
“เดี๋ยวครับหมอ” ปกรณ์แคลงใจ “ทำไมไม่ปลดล็อกที่ขาให้ผมด้วย”
“เป็นหน้าที่ของหมอจิตเวชครับ เดี๋ยวพยาบาลจะพาคุณย้ายไปที่แผนกจิตเวชอีกทีนะครับ”
“อ่อ ขอบคุณครับ” ปกรณ์ยกมือไหวอย่างเข้าใจ อย่างนี้นี่เอง เขาแค่คิดมากไป... นี่ไม่ใช่แผนกจิตเวช จึงไม่แปลกหากหมอเกื้อและชานนท์อาจจะไม่ได้มาพบเขา หรืออาจจะมาแล้วตอนที่เขายังไม่ฟื้น
พอคิดถึงชานนท์ ความรู้สึกสับสนก็เริ่มวนเวียนกลับเข้ามาในหัว ไม่แน่ใจว่าควรจะทำตัวเช่นไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน
มันไม่ใช่ความโกรธเลยสักนิด แค่เพียงคิดมากว่าตกลงชานนท์รู้สึกอย่างไรกับเขากันแน่ เพียงหวาดระแวง ไม่ไว้ใจ แต่ก็ไม่อยากเสียเขาไปเมื่อนึกถึงความอบอุ่นเวลาที่ได้อยู่ใกล้กัน
สักพักประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นร่างของผู้ชายรูปร่างสมส่วนไม่เตี้ยไม่สูงมากนัก เขาสวมชุดพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับรถเข็น เขาเอ่ยทักทายกับปกรณ์อย่างมิตรภาพ ใบหน้าดูเป็นมิตรก่อนจะปลดล็อกที่ขาออกให้
“นั่งที่รถเข็นนะครับ เดี๋ยวผมพาไปที่แผนกจิตเวช” เสียงของเขาดูใจดี สมแล้วที่เป็นบุรุษพยาบาล
“ครับ” ปกรณ์ยิ้มรับก่อนจะรีบลงจากเตียงแล้วไปนั่งที่รถเข็นทันที โชคดีที่คืนนั้น... ชานนท์ช่วยทำให้เขาหายหวาดกลัวจากการนอนบนเตียง ไม่อย่างนั้นวันนี้เขาคงรู้สึกกลัวจนบ้าคลั่งถ้าตื่นมาแล้วรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่บนเตียงนอน
อีกครู่เดียวเท่านั้น ถ้าชานนท์ยังไม่กลับที่พัก ก็คงจะได้พบกัน
ทางด้านของชานนท์
หลังจากที่เกิดปัญหา เขาก็ถูกนำตัวมาส่งยังโรงพยาบาลเช่นกัน เขาได้รับบาดเจ็บแขนข้างขวาหัก ต้องเข้าเฝือกเพราะขณะที่เขากำลังซ้อนท้ายรถของหมอเกื้อนั้น เขาก็เห็นร่างของปกรณ์กำลังตรงมาตรงถนนราวกับคนที่กำลังไร้จิตวิญญาณ ชานนท์จึงบอกให้หมอเกื้อเร่งความเร็วไปตรงจุดนั้น
ปกรณ์เดินไปอยู่กลางถนน เป็นเวลาเดียวกับที่หมอเกื้อขับมินิไบค์มาจอดอยู่ข้างทางพอดี และระหว่างนั้นเอง รถบรรทุกที่กำลังเหยียบคันเร่งมาด้วยความเร็วก็ได้วิ่งตรงมาทางนี้พอดี เนื่องจากถนนในซอยนี้ไม่ค่อยมีรถสัญจรอยู่แล้ว คนขับรถจึงมักจะชอบเหยียบคันเร่งเร็วกว่าปกติและไม่ระมัดระวัง
ชานนท์ที่เห็นรถพุ่งมาด้วยความเร็ว จึงรีบลงจากท้ายรถแล้ววิ่งไปกลางถนนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ในหัวคิดเพียงแค่ว่าจะปล่อยให้ปกรณ์เป็นอะไรไปไม่ได้ วินาทีนั้น เสียงแตรรถก็ดังขึ้น ร่างของปกรณ์ที่ถูกผลักออกไปด้วยความแรงส่งผลให้ปกรณ์กระเด็นไปล้มอยู่ข้างทางอีกฝั่ง เขารอดจากการถูกรถบรรทุกชนด้วยความหวุดหวิด...
...ชานนท์หยุดคิดเพียงแค่นั้น ฉับพลันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“สวัสดีครับ” ชานนท์กดรับสาย
“สวัสดีค่ะคุณชานนท์ คุณปกรณ์ฟื้นแล้วนะคะ” เป็นเสียงของพยาบาลสาวดังขึ้น
“ครับ คุณปกรณ์เป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นอะไรมากค่ะ”
“แล้วปกรณ์จำอะไรได้บ้างครับ”
“ดูเหมือนจะจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ ก่อนที่ดิฉันจะออกจากห้อง คุณปกรณ์ยังถามถึงคุณอยู่เลยค่ะว่ากลับบ้านหรือยัง ดิฉันเลยแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง”
“ครับ”
“ถ้ายังไง เดี๋ยวคุณหมออาจจะตรวจอาการคุณปกรณ์ก่อนนะคะ ถ้าไม่มีอะไรมากน่าจะส่งตัวกลับไปที่แผนกจิตเวชค่ะ”
“ครับ ขอบคุณครับ อ้อ... รบกวนกำชับทุกคนด้วยนะครับ อย่าบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับคุณปกรณ์รู้เด็ดขาด”
“ได้ค่ะ”
“ขอบคุณมากๆ ครับ”
ชานนท์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกใดใดออกมาได้ เพราะความรู้สึกหลายอย่างกำลังตีกันในหัวสมอง แต่ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน ชีวิตของชานนท์ก็ต้องดำเนินต่อไป ไม่ได้จบอยู่แค่วันนี้ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
จบตอน
-
ทำไมต้องปิดบัง ทำไมไม่ไปแสดงตัวอะ
-
ตอนนี้แปลกๆ มันต้องมีไรแน่ๆ แล้วหมอเกื้อล่ะ ??? :katai1:
-
ตอนที่ 25
ปกรณ์นั่งหลับตาตลอดทาง พยายามทำสมองให้ว่างเปล่าไม่คิดถึงอะไรที่จะทำให้ตัวเองเครียด เขาอยากพบกับชานนท์ในความรู้สึกที่ไม่มีอะไรให้คิดในหัว ไว้พอเห็นหน้าแล้วมีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยพูดและแสดงออกไป
บุรุษพยาบาลจูงรถเข็นของปกรณ์ไปเรื่อยๆ พาลงลิฟต์ก่อนจะตรงไปยังแผนกจิตเวช
“พาคุณปกรณ์ไปพบคุณชานนท์ที่ห้องได้เลยนะคะ” เสียงของพยาบาลสาวดังขึ้น ปกรณ์เดาว่าน่าจะเป็นพยาบาลของแผนกจิตเวช
“ครับ” บุรุษพยาบาลตอบรับแล้วเดินเข็นรถต่อไป จนกระทั่งรถเข็นหยุดสนิท
ปกรณ์ได้ยินเสียงลูกบิดประตู สักพักรถเข็นก็ถูกดันเข้าไปข้างใน
“ขอบคุณนะครับ” เสียงนี้เป็นเสียงของชานนท์ ปกรณ์จำได้
“งั้นเดี๋ยวผมกลับเลยนะครับ” เสียงนี้เป็นเสียงของบุรุษพยาบาล
“ครับ” ชานนท์ขานรับ จากนั้นเสียงประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนจะปิดลง
ใจของปกรณ์เต้นไม่เป็นจังหวะ เขารู้ว่าตัวเองก่อเรื่องที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน เปลี่ยนใจออกจากห้องตอนนี้จะทันไหมนะ
ปกรณ์ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น สักพักมือของใครบางคนก็มาจับที่แขนของเขา
“อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ” น้ำเสียงนั้นสั่นไหว ...ทำไมกัน แค่วิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลต้องเสียใจขนาดนี้เชียวหรือ หรือเพราะรู้สึกผิดที่โกหกเรื่องนรินทร์
ปกรณ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ทว่าพอเห็นสภาของอีกฝ่ายดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตกใจ
“คุณชานนท์ คุณไปทำอะไรมาครับ” ใบหน้าของชานนท์มีรอยช้ำและรอยถลอก แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือที่แขนข้างขวาต้องใส่เฝือก
“คือผมโดนรถเฉี่ยวครับ” ชานนท์เลือกที่จะไม่โกหก เขาเคยโกหกมาครั้งหนึ่งแล้วแม้จะเป็นการโกหกเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่สุดท้ายพอรู้ความจริงขึ้นมามันก็แย่อยู่ดี
“ตอนไหน” ปกรณ์เสียงสั่น เริ่มหวั่นไหวว่าเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ “เพราะผมใช่ไหม คุณออกตามหาผมก็เลยโดนรถชนใช่ไหม”
“ไม่เอาสิครับ อย่าโทษตัวเองแบบนี้” ชานนท์ตอบยิ้มๆ
“ผมขอโทษ” ปกรณ์ก้มหน้าอย่างสำนึก อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธอะไรออกมานั่นหมายความว่าชานนท์โนรถเฉี่ยวชนเพราะเขาเป็นต้นเหตุจริงๆ
“ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน ที่ไม่พูดความจริงตั้งแต่แรกกับคุณ” ชานนท์ใช้มือซ้ายที่ไม่ได้ใส่เฝือกกุมมือของปกรณ์แน่น
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้เสียใจแล้ว ผมเข้าใจเหตุผลที่คุณทำลงไป แต่ผมสิ... ผมผิดที่ผมทำให้คุณต้องเจ็บตัว” ปกรณ์กุมมือของอีกฝ่ายแน่นเช่นกัน “ผมจะพยายามควบคุมตัวเอง ไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะครับ”
“ครับ” ชานนท์พยักหน้า “ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณนะครับ”
ปลายเสียงของชานนท์สะอื้นเล็กน้อย เพราะยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องปิดบัง ถ้าปกรณ์รู้ความจริงขึ้นมา... คราวนี้หัวใจของเขาต้องแหลกสลายกว่าครั้งไหนๆ เป็นแน่ เขาต้องเจ็บปวดกว่าการที่ได้รู้ว่าปาณัฐและนรินทร์ไม่มีตัวตนอยู่จริง เพราะฉะนั้นตัวของชานนท์เองก็ต้องเข้มแข็ง ไม่แสดงความอ่อนไหวและกังวลออกมา
“สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ” เสียงทักของปกรณ์ทำให้ชานนท์สะดุ้ง กลัวว่าจะโดนจับพิรุธได้ “คุณคงเจ็บแขนมากแน่ๆ ผมขอโทษนะครับที่ก่อเรื่อง ผมไม่อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้เลย”
“อย่าโทษตัวเองสิครับ” ชานนท์ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ปกรณ์แค่คิดว่าเขาเจ็บแขน “แผลนอกกายรักษาเดี๋ยวเดียวก็หาย... แต่แผลในใจแบบคุณนี่สิ ยังต้องใช้เวลารักษาอีกนาน น่าเป็นห่วงกว่าเยอะ”
“ยังมีเวลามาห่วงคนอื่นอีกนะครับ ห่วงตัวเองบ้างสิครับ” ยิ่งพูดปกรณ์ก็ยิ่งรู้สึกผิด อยากจะเป็นคนเจ็บแทนชานนท์แต่ก็ทำไม่ได้
“ผมไม่ได้ห่วงคนอื่นนะครับ” ชานนท์แกล้งขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ผมเป็นห่วงคุณ... ห่วงมากจริงๆ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นสั่นไหว ปกรณ์เชื่อหมดหัวใจแล้วว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนี้พูดเป็นเรื่องจริง ทั้งน้ำเสียงและแววตาที่แสดงออกมามันไม่ใช่เรื่องโกหก
“เอาล่ะ ในเมื่อคุณดีกับผมมากขนาดนี้ ผมก็จะต้องรักษาตัวเองให้หายไวๆ ให้สมกับที่คุณห่วงใย ผมพร้อมแล้วครับ... พาผมไปรักษากับหมอเกื้อได้เลยครับ” ปกรณ์พูดออกมาด้วยความมุ่งมั่น สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความหวัง มันจะต้องไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก แม้จะยังมองเห็นปาณัฐกับนรินทร์ แต่เขาก็จะพยายามใจแข็งเพื่อที่จะทำให้อาการดีขึ้นให้ไวที่สุด
ทว่า... ชานนท์กับนิ่งเงียบ มีท่าทีอ้ำอึ้งเหมือนมีความกังวลอะไรบางอย่างในใจ พอรู้สึกว่าปกรณ์เริ่มมองอย่างสงสัย เขาก็รีบเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมา
“คุณจะต้องรักษากับหมอคนอื่นนะครับ พอดีหมอเกื้อย้ายไปเป็นหมอจิตเวชที่ต่างจังหวัดแล้วครับ หมอเกื้อไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว” ชานนท์พูดอย่างฝืนใจ นี่จะเป็นเรื่องโกหกเรื่องสุดท้ายที่เขาจะทำกับปกรณ์ ‘ผมขอโทษนะครับหมอเกื้อ’
“คุณอย่ามาล้อผมเล่นน่า เมื่อเช้าผมยังคุยกับหมอเกื้ออยู่เลยครับ”
“อ่อ คุณน่าจะหมายถึงเมื่อวานใช่ไหมครับ เพราะคุณสลบไปหนึ่งวันเต็มๆ หมอเกื้อเองก็ทำงานเมื่อวานเป็นวันสุดท้าย พอดีเป็นคำสั่งด่วนน่ะครับ”
“นี่คุณไม่ได้โกหกใช่ไหมครับ ทำไมมันกะทันหันแบบนี้” ปกรณ์เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
“มันเป็นคำสั่งน่ะครับ และหมอเกื้อเองก็มีความคิดอยากจะไปรักษาตัวผู้ป่วยที่ต่างจังหวัดมานานแล้วด้วยครับ หมอเกื้อเคยบอกว่าที่นี่มีหมอเก่งๆ เยอะ แต่ที่ต่างจังหวัดหมอจิตเวชยังขาดแคลน และคนต่างจังหวัดยังไม่ค่อยกล้าเข้าหาหมอจิตเวชน่ะครับ” ชานนท์พยายามอธิบายเพื่อเอาตัวรอดจากการโดนคาดคั้น หมอเกื้อเคยบอกกับชานนท์ว่าอยากไปอยู่ต่างจังหวัดจริงๆ แต่เขาก็มีเหตุผลสำคัญที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ซึ่งชานนท์เองก็ยังไม่รู้เหตุผลนั้นเหมือนกัน
“น่าเสียดายจังเลยนะครับ” ปกรณ์รู้สึกเศร้ากับสิ่งที่ได้ยิน หมอเกื้อเป็นหมอที่เก่ง เขามักมีคำพูดดีๆ มาช่วยให้รู้สึกสบายใจเสมอ ถ้ามีโอกาสก็ยังอยากรักษากับหมอเกื้อต่อไป “ผมยังไม่ได้บอกลาหมอเกื้อเลย หมอเกื้อจะต้องเสียใจแน่ๆ ที่ผมก่อเรื่อง อยากมีโอกาสขอโทษหมอจัง ถ้าได้เจอหมออีกสักครั้งคงจะดี”
ยิ่งปกรณ์พูดออกมามากเท่าไร ชานนท์ก็ต้องพยายามเก็บกักความอ่อนแอข้างในหัวใจมากขึ้นเท่านั้น
“คุณต้องรีบรักษาตัวให้หายไวไวนะ ไว้ผมจะพาคุณไปขอโทษหมอเกื้อเองครับ”
“จริงนะครับ” ปกรณ์สายตาลุกวาว “ผมเคยคุยกับหมอเกื้อว่าถ้าหมอรักษาผมให้หายดีแล้วผมจะพาหมอไปเลี้ยงฉลองเพื่อเป็นการขอบคุณ ดีจัง... ถ้าผมหาย ผมจะได้ทั้งขอโทษและขอบคุณในเวลาเดียวกัน”
“ครับ” ชานนท์ตอบรับสั้นๆ ก่อนจะเดินหลบไปหลบไปที่โต๊ะทำงานแล้วแกล้งหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาอ่านเพื่อปิดบังน้ำตาที่กำลังรินไหล
ชานนท์ควรจะทำอย่างไรดี เขาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน เขาไม่อยากได้ยินและมองเห็นปกรณ์พูดถึงหมอเกื้อด้วยความยินดีแบบนี้อีกแล้ว เขาเองก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง แม้จะเป็นนักจิตวิทยาแต่ก็ใช่ว่าจะแบกรับเรื่องร้ายๆ เอาไว้ได้ทุกเรื่อง
ระหว่างนั้นประตูห้องของชานนท์ก็ถูกเปิดออกมา
“คุณชานนท์ครับ หมอการุณให้มาแจ้งว่าพาตัวคุณปกรณ์ไปได้เลยครับ” เป็นเสียงของบุรุษพยาบาลที่ดังขึ้น
“ครับ” ชานนท์ตอบรับ “ฝากดูแลคุณปกรณ์ด้วยนะครับ”
“ครับ” บุรุษพยาบาลตอบรับ
“ส่วนคุณปกรณ์ครับ คุณต้องรักษาตัวเองให้หายไวๆ นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้” ชานนท์พูดก่อนที่บุรุษพยาบาลจะพาตัวปกรณ์ออกไป
“คุณโอเคใช่ไหมครับ” ปกรณ์สัมผัสได้ถึงท่าทีแปลกๆ
“โอเคอะไรครับ” ชานนท์แกล้งถามเหมือนไม่เข้าใจในเจตนารมณ์
“เปล่าครับ” ปกรณ์ตอบเสียงเศร้า เขามั่นใจว่าชานนท์ผิดปกติ ในเมื่อไม่ยอมรับออกมาตรงๆ เขาก็จะตามสืบด้วยตัวเอง
“งั้นผมพาคุณปกรณ์ไปได้เลยใช่ไหมครับ” บุรุษพยาบาลเอ่ยถาม
“ได้เลยครับ”
สิ้นเสียงของชานนท์ บุรุษพยาบาลก็จูงรถเข็นของปกรณ์ออกไปทันที หลังจากที่ประตูถูกปิดลง ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ชานนท์วางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะรีบเดินไปเข้าห้องน้ำส่วนตัวแล้วล้างคราบน้ำตาออกไป
ใบหน้าของชานนท์เปียกปอน พอมองกระจกก็เห็นภาพสะท้อนของใบหน้าที่แดงระเรื่อเช่นเดียวกับดวงตา เขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่รับมือยากที่สุดในชีวิตตั้งแต่ที่เขาเกิดมา แต่เขาจะอ่อนแอให้ใครเห็นไม่ได้ ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไปจนกว่าปกรณ์จะหายดี
ทางด้านของประสิทธิ์ หลังจากที่เห็นลูกที่ตนไม่เคยสนใจ ฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยเขาก็โล่งใจ ข้อมูลที่ได้รับจากพยาบาลทำให้รู้ว่าคนที่พบกับปกรณ์เป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะสติแตกนั้นชี้ชัดว่าเป็นฤทัยดี
ประสิทธิ์นัดฤทัยดีให้ออกมาเจอกันที่ห้องที่ใกล้ที่สุด เขาต้องการถามว่าหล่อนไปคุยอะไรกับปกรณ์และมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงกันแน่
นั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง ไม่นานมากนัก ฤทัยดีก็เดินเข้ามา ประโปรงจับจีบสีชมพูนู้ดของเธอพลิ้วไสวเวลาเดิน เสื้อสายเดี่ยวตัวบางสีเดียวกับกระโปรงเผยให้เห็นร่างที่อรชรอ่อนแอ้นของหล่อนได้ชัดเจน แม้หล่อนจะอายุเลยเลขสี่แล้ว แต่หล่อนยังสวยงามและมักเป็นที่จับจ้องเวลาอยู่ข้างนอกเสมอ
หล่อนเดินไปสั่งกาแฟเย็น ปล่อยให้คนรอรอต่อไปอย่างใจเย็นเพราะรู้อยู่แล้วว่าที่ถูกนัดให้มาพบนั้นเพราะอีกฝ่ายต้องการจะคุยอะไร
“วันนี้ฤทัยสวยไหมคะ” หล่อนจิกหางตาแล้วส่งยิ้มยั่วยวนให้ประสิทธิ์
“สวย” ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหก เพราะความสวยและยั่วยวนของหล่อนนี่แหละที่มัดใจประสิทธิ์อยู่หมัด เวลาทะเลาะกัน หล่อนก็จะใช้เรือนร่างและความงามให้เป็นประโยชน์จนอีกฝ่ายต้องยอมศิโรราบให้เสมอ
ฤทัยดียิ้มออกมาอย่างพึงพอใจในคำตอบ เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าไม่ว่าหล่อนจะพูดอะไรออกไปประสิทธิ์ก็ต้องยอมให้กับหล่อนแน่นอน
“พี่สิทธิ์เรียกฤทัยมาที่นี่มีธุระอะไรคะ” หล่อนแกล้งถามอย่างใสซื่อ
“เมื่อวานเธอไปหาไอ้ปกรณ์ทำไม” ประสิทธิ์เข้าประเด็นทันที
“อ้อ... พอดีฤทัยว่าง ก็แค่อยากไปเยี่ยมหลานน่ะค่ะ”
“หลานงั้นเรอะ เธอเรียกเจ้านั่นว่าหลานเนี่ยนะ นี่ฉันหูฝากไปหรือเธอสติไม่ดีกันแน่เนี่ย” ประสิทธิ์เหย้าแหย่อีกฝ่าย
“พี่ไม่ได้หูฝากหรอกค่ะ ถึงจะไม่ถูกกันแต่ยังไงปกรณ์ก็เป็นลูกชายพี่ ก็เท่ากับว่าเป็นหลานของฤทัยนั่นแหละค่ะ” หล่อนรู้สึกกระดากปากทุกครั้งเวลาที่ต้องแสร้งเรียกปกรณ์ว่าหลาน จึงต้องจิบกาแฟตามทันทีทุกครั้งที่พูดจบ
“ลูกที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา” ประสิทธิ์หวนนึกไปถึงอดีต
“ใช่ค่ะ” ฤทัยดีตอกย้ำ “ลูกที่พี่สิทธิ์ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดมา ฤทัยไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้นะคะ แค่คิดก็ขยะแขยงเต็มทน”
“แต่ถึงยังไงมันก็คือลูกของพี่” นี่เป็นครั้งแรกที่ประสิทธิ์รู้สึกอยากปกป้องเวลาที่ฤทัยดีพูดถึงปกรณ์ในทางเสียๆ หายๆ
“พี่ดูแปลกไปนะคะ” ฤทัยดีเริ่มไม่สนุก หล่อนไม่เคยเห็นประสิทธิ์ใจอ่อนแบบนี้ “พักหลังมานี้ดูเป็นห่วงเป็นใยปกรณ์เหลือเกิน แล้วลูกของเราล่ะคะ พี่ไม่พูดถึงบ้างเลย”
“เจ้าปรัชญ์ญ์มันไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง อีกไม่กี่เดือนก็จะกลับมาไทยแล้วนี่นา เรียนจบจากเมืองนอกเมืองนาเดี๋ยวก็คงหางานทำได้ไม่ยาก”
“พี่พูดแบบนี้แสดงว่าพี่ห่วงปกรณ์จริงๆ งั้นเหรอคะ ทำไมคะ พี่ก็ยกบ้านให้แล้วนี่คะ”
“พอรู้ว่ามันอาการแย่ขนาดนี้ ก็เลยรู้สึกแปลกๆ น่ะ” ประสิทธิ์ก็สับสนกับความคิดตัวเองเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี่แทบไม่อยากมองหน้าปกรณ์ด้วยซ้ำ เพราะมองทีไรก็หวนไปนึกถึงสิ่งที่แม่ของปกรณ์ได้กระทำกับเขา แต่พอรู้ว่าปกรณ์มีอาการทางจิต เขาก็เป็นกังวลมาตลอด ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือบางทีอาจจะเป็นสายใยพ่อลูก
“ช่างเถอะค่ะ ฤทัยดีไม่อยากจะเซ้าซี้” หล่อนแกล้งตอบออกไปทั้งๆ ที่ในใจกำลังร้อนรุ่ม รู้สึกไม่พอใจกับท่าทีแบบนี้ “แต่อย่าลืมเตรียมรางวัลให้ปรัชญ์ญ์นะคะ อุตส่าห์พยายามจนเรียนจบเมืองนอกมาได้ตามหลักสูตร ปกรณ์ได้บ้านไป แล้วปรปรัชญ์ญ์จะได้อะไรนะ อยากรู้จัง”
“รู้แล้วล่ะน่า” ประสิทธิ์ลอบถอนหายใจออกมา เงินเดือนแม้จะเฉียดแสนแต่หากใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัวก็มีโอกาสหมดตัวได้ เพราะต้องผ่านค่าบ้านทุกเดือน โชคดีที่ปรปรัชญ์ญ์สอบได้ทุกของรัฐบาลเลยทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปเปราะหนึ่ง ฤทัยดีแม้จะไม่ทำงาน แต่ก็ยังดีที่หล่อนไม่ได้ฟุ่มเฟือยมากนัก เมื่อได้ของที่พอใจแล้วก็จะหยุดอยู่แค่นั้น ไม่อยากได้พร่ำเพรื่อ จึงทำให้มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้อของแพงๆ ให้กับลูกชายคนเก่งโดยไม่ต้องกังวล ...แต่เขาก็แค่หงุดหงิดที่ฤทัยดีเอาแต่พูดเรื่องนี้วันละหลายสิบรอบ ยิ่งพอใกล้ถึงวันกลับยิ่งย้ำแล้วย้ำอีก
“พี่ถอนหายใจใส่ฤทัยเหรอคะ ฤทัยเห็นนะคะ”
“ก็เธอเล่นเอาแต่พูดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา รับปากแล้วก็คือรับปาก เจ้าปรัชญ์ก็ลูกของเรานะ ทำไมพี่จะไม่มีรางวัลให้ล่ะ แถมยังเป็นเด็กดีและเรียนเก่งขนาดนี้ เธอก็รู้นี่ว่าใครที่พี่รักมากกว่ากัน”
“อ่อ... ฤทัยก็แค่ตื่นเต้นน่ะค่ะ ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ” หล่อนยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“เรื่องอื่นตอนนี้ช่างมันเถอะ ตกลงเธอไปคุยอะไรกับปกรณ์ ทำไมเจ้านั่นถึงต้องวิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลจนทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน”
“เปล่าเลยนะคะ ฤทัยยอมรับว่าไม่ชอบปกรณ์ แต่ก็บอกแล้วไงคะว่ายังไงก็เป็นหลาน แค่เข้าไปหาพอเห็นหน้าปกรณ์ก็โวยวาย ผลักฤทัยล้มแล้วก็วิ่งออกไปเลยค่ะ สงสัยเห็นหน้าฤทัยแล้วคงกลัวมั้งคะ ตอนเด็กๆ ฤทัยคงดุเขาบ่อยไปหน่อย”
หล่อนพยายามโกหกให้เนียนที่สุด ถ้าตอบออกไปว่าไปเยี่ยมเพราะรักและห่วงใยปกรณ์เพียงเท่านั้น มันจะทำให้หล่อนดูเสแสร้ง ประสิทธิ์ไม่ใช่คนโง่พอที่จะแยกแยะอะไรไม่ออก จึงต้องพยายามพูดให้ตัวเองดูร้ายบ้างเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่แคลงใจสงสัย
“เป็นแบบนี้เองสินะ เจ้านั่นมันเจอเรื่องแย่ๆ มาเยอะ พอเห็นหน้าเธอแล้วรู้สึกกลัวก็คงไม่แปลก” ประสิทธิ์คล้อยตามในคำตอบของฤทัยดี “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอก็อย่าเพิ่งไปเยี่ยมมันนะ เดี๋ยวมันจะทำให้คนอื่นเขาวุ่นวายกันอีก”
“ก็ได้ค่ะ” ฤทัยดีพยักหน้าตกลง “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นบ้างคะหลังจากที่ปกรณ์วิ่งหนีไป ฤทัยเองก็ตกใจเลยรีบกลับ รู้สึกไม่ดีกลัวคนอื่นจะมองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปกรณ์เป็นแบบนั้น”
“อืม... ก็แย่หน่อยนะ” ประสิทธิ์ก้มหน้าลง คิ้วขมวดเป็นปม “เกิดอุบัติเหตุ มีนักจิตวิทยากับหมออีกคนตามไปช่วยได้ทัน เจ้าปกรณ์มันไม่เป็นอะไรมาก มีแผลช้ำเล็กน้อยแล้วก็สลบ แต่คนที่ไปช่วยน่ะสิ...”
สีหน้าของประสิทธิ์เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ปกรณ์เป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวาย เขาเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบเพราะอย่างไรเจ้านั่นก็คือลูก
“ทำไมคะ” ฤทัยดีเอ่ยถามอย่างสนใจ ไม่ได้สนใจกับใบหน้าที่เคร่งเครียดของสามีเลยแม้แต่นิดเดียว หล่อนกำลังคิดว่าเรื่องที่กำลังฟังกำลังสนุกราวกับละครโทรทัศน์ คนบ้าวิ่งหนีออกจากโรงพยาบาล มีคนตามไปช่วยแล้วเกิดอุบติเหตุ... แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปล่ะ หล่อนแทบจะลุ้นจนตัวนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว
“นักจิตวิทยาแขนหักต้องเข้าเฝือก... ส่วนอีกคนเป็นหมอตอนนี้อยู่ที่ไอซียู อาการหนักมาก ยังไม่ฟื้น หมอที่รักษาบอกว่าโอกาสรอดค่อนข้างน้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี”
ฤทัยดีถึงกับพูดไม่ออก แม้หล่อนจะไม่ใช่คนดี มีรักโลภโกรธหลงอาจจะมากกว่าคนทั่วไปและทำเรื่องแย่ๆ กับปกรณ์เอาไว้เยอะ แต่เรื่องคอขาดบาดตายนั้นไม่ใช่เรื่องตลก แม้จะไม่ใช่คนใกล้ตัวแต่ก็อดใจหายไม่ได้กับสิ่งที่ได้ฟัง
“อย่าให้ปกรณ์รู้เรื่องนี้เด็ดขาดนะ ถ้ามันรู้ว่าหมอเป็นแบบนี้เพราะมัน มันจะเอาแต่โทษตัวเองจนอาจทำให้สติฟั่นเฟือนจนไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้อีก” ประสิทธิ์เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้สำคัญมาก หากเธอเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ปกรณ์ฟัง ฉันกับเธอขาดกัน”
“พี่สิทธิ์ว่าไงนะคะ นี่พี่เห็นปกรณ์สำคัญกว่าฤทัยเหรอคะ” ฤทัยดีรีบแย้งทันที ถึงอย่างไรหล่อนก็เอาแต่สนใจเรื่องของตัวเอง
“พี่ไม่ได้บอกว่าปกรณ์สำคัญกว่าเธอ แต่ถ้าเธอเอาเรื่องนี้ไปบอกปกรณ์พี่แค่บอกว่าเราจบกัน แค่นี้มันก็วุ่นวายมากเกินพอแล้ว พี่อยากให้เรื่องทุกอย่างมันจบลง ไม่อยากให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับใครอีก” สีหน้าของประสิทธิ์แสดงออกถึงความเคร่งเครียด
“ค่ะฤทัยจะไม่เล่า” ฤทัยดีรับปาก แม้ในใจลึกๆ จะอยากทำเช่นนั้นก็ตาม แต่หล่อนก็กลัวจะโดนประสิทธิ์ทิ้งมากกว่า ประสิทธิ์สำคัญกับหล่อนมาก ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น แต่เพราะหล่อนรักประสิทธิ์ด้วยความรู้สึกที่แท้จริง และทั้งคู่รักกันมาก่อนที่แม่ของปกรณ์จะโผล่มาเสียอีก... แม่นั่นมันก็แค่รุ่นน้องในที่ทำงานของประสิทธิ์ที่ร่านราคะจนต้องกระทำเรื่องจัญไร
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น.... หล่อนเคยเกือบจะได้แต่งงานกับประสิทธิ์มาก่อนด้วยซ้ำ แต่ทุกอย่างก็จบลงเพราะความอัปรีย์ของผู้หญิงคนนั้น ตอนนั้นหล่อนเสียใจมากจึงตัดสินใจหนีไป เพราะทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสองปี หล่อนก็ได้บังเอิญเจอกับประสิทธิ์อีกครั้ง
พอเจอกัน ประสิทธิ์ก็ง้อหล่อนทุกวิถีทาง มันยากนะ... ที่หล่อนจะไม่ใจอ่อนในเมื่อหัวใจของหล่อนยังคงหนักแน่กับรักครั้งนี้เสมอมา แค่ได้พบหน้าหัวใจหล่อนก็สั่นไหว ยิ่งพออีกฝ่ายเข้ามาใกล้กำแพงที่แสนจะเปราะบางของหล่อนก็พังทลายลง ประสิทธิ์วิงวอนออดอ้อนขอนอนกับหล่อนอีกครั้ง ประสิทธิ์รักหล่อนแค่คนเดียวเท่านั้น ไม่ได้เคยเจ้าชู้หลายใจกับใครอื่นอย่างที่โดนประณาม
แต่หล่อนก็ถูกตราหน้าว่าเป็นเมียน้อยทันทีที่ขึ้นนอนกับประสิทธิ์ครั้งแรก เมื่อภรรยาจอมมารยาดันกลับบ้านมาก่อนเวลาที่ได้แจ้งกับประสิทธิ์เอาไว้ พอนางนั่นเห็นหล่อน นางก็โวยวายและเดินเข้ามาตบหล่อน ตีหล่อน ใช้เล็บจิกผมและข่วนใบหน้าหล่อนจนเป็นแผล
วินาทีนั้นผู้หญิงคงนั้นคงรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่หล่อนได้รับ ในทีแรกหล่อนกะว่าจะมานอนกับประสิทธิ์แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแล้วก็จบกันไป แต่พอโดนกระทำเช่นนั้นและโดนด่าว่าเป็นชู้หล่อนก็เคืองแค้นและไม่คิดจะหนีไปไหนอีก... แม่นั่นควรได้รับรู้รสชาติของการถูกแย่งคนรักเสียบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าประสิทธิ์มีแฟนอยู่แล้วแม้จะไม่เคยเห็นหน้ากันก็ตามแต่ก็ยังหน้าด้านมาแย่งของรักของคนอื่นไป ...ใครกันแน่ที่เป็นเมียน้อย
“ฤทัย... เธอกำลังคิดเรื่องนั้นใช่ไหม” อยู่ๆ เสียงของประสิทธิ์ก็ดังขึ้นเรียกสติของฤทัยดีให้กลับมา
“ค่ะ ฤทัยไม่คิดว่าชีวิตของฤทัยจะเคยตกต่ำได้ขนาดนั้น โดนตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย ทั้งๆ ที่รักกับพี่มาก่อนมันด้วยซ้ำ” แววตาของฤทัยดีเศร้าสลดลง พอคิดถึงเรื่องนี้ทีไรความอ่อนแอก็เข้าเกาะกินหัวใจของหล่อนทุกที “ฤทัยยอมรับนะคะว่าเกลียดและแค้นมันมากเลยพาลให้เกลียดลูกมันด้วย และฤทัยก็ยอมรับนะคะว่าไม่อยากให้ปกรณ์หายป่วย เพราะยิ่งเห็นเป็นแบบนี้ก็ยิ่งสะใจ แต่ในเมื่อพี่ขอร้อง พี่ก็สบายใจได้เลยนะคะ ฤทัยจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ปกรณ์ฟังแน่นอนค่ะ ฤทัยจะพยายามให้ความแค้นมันจบลงแค่เพียงเท่านี้ ความจริงสิ่งที่ฤทัยเคยทำกับปกรณ์ไว้มันก็หนักหนาสาหัสสำหรับเด็กคนนั้นเหมือนกัน ให้ความแค้นมันจบลงแค่นี้คงจะดีกับทุกฝ่าย”
พอนึกย้อนกลับไป หล่อนปล่อยให้อารมณ์ความแค้นควบคุมจิตใจมาโดยตลอด หล่อนทั้งดุด่าตบตีปกรณ์ไม่เว้นวัน ทำเหมือนกับปกรณ์เยี่ยงทาสในเรือนเบี้ย... ไม่สิทาสอาจจะยังอยู่สุขสบายกว่าปกรณ์ด้วยซ้ำ
“ขอบใจนะฤทัย ขอบใจจริงๆ” ประสิทธิ์ยื่นมือไปจับกับมือของฤทัยดี แม้จะสงสัยว่าฤทัยดีเคยทำอะไรกับปกรณ์เอาไว้บ้างแต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยถาม ประสิทธิ์เองก็ไม่อยากรื้อฟื้นอะไรขึ้นมาเพื่อให้อีกฝ่ายไม่สบายใจเช่นกัน
ในเวลานี้... พวกเขาทำได้เพียงภาวนาให้เรื่องทุกอย่างมันดีขึ้น ขอให้ปกรณ์หายป่วยจากอาการทางจิต ขอให้แขนของนักจิตวิทยากลับมาใช้การได้เหมือนเดิม และขอให้เกิดปาฏิหาริย์กับหมอจิตเวชที่กำลังนอนโคม่า แม้หมอที่ทำการรักษาจะบอกว่าโอกาสรอดแทบจะไม่มีเลยก็ตาม...
จบตอน......
-
:a5: มองไม่เห็นทางออกเลยย
-
ก็ยังไม่ชอบฤทัยดีอยู่ดี
ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไร สิ่งที่หล่อนทำกับปกรณ์มันโหดร้ายเกินไป
:3123:
รอค่าาา
-
ตอนที่ 26
ภายในห้องผู้ป่วยจิตเวช ปกรณ์ต้องเข้าทำการรักษากับหมอคนใหม่... แม้ช่วงที่ผ่านมาเขาจะได้มีโอกาสพบปะกับผู้คนมากขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าทุกครั้งที่ต้องทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า
“คุณปกรณ์ครับ หมอชื่อการุณนะครับ จะมาดูแลคุณต่อจากหมอเกื้อ” หมอการุณเป็นชายวัยกลางคนอายุ 45 ปี มีผิวสีแทน ใบหน้าคมเข็มรูปร่างสันทัดสูงประมาณ 175 เซนติเมตร สูงกว่าปกรณ์เล็กน้อยเท่านั้น น้ำเสียงของหมอการุณฟังดูเคร่งขรึมมากกว่าหมอเกื้อหลายเท่า
“ครับ” ปกรณ์ตอบรับเพียงสั้นๆ เขารู้สึกว่าหมอการุณน่าจะดุกว่าหลายเท่า แม้อยากกลับไปรักษากับหมอเกื้อเหมือนเดิมแต่ก็คงทำไม่ได้
“หมอทราบประวัติอาการของคุณมาจากคุณชานนท์และหมอเกื้อแล้วนะครับ อาการของคุณปกรณ์จะต้องใช้ยารักษาร่วมด้วยนะครับ ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงค่อนข้างมากอยู่พอสมควร ขณะได้รับยาสติของคุณจะสงบลงแต่อาจจะรู้สึกเบลอ พูดช้า คิดช้า ทำช้า สับสนและอาจรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา คุณจะต้องพยายามอดทนนะครับ เพื่อที่คุณจะได้หายเป็นปกติไวไว”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า เรื่องแค่นี้คงไม่หนักหนาสาหัสสักเท่าไรหากเทียบกับสิ่งที่เขาเจอมาตลอดชีวิต
“หมอทราบมาว่าคุณสร้างตัวตนของคนที่สามารถมองเห็นและพูดคุยได้เฉพาะคุณขึ้นมาสองคน ชื่อปาณัฐกับนรินทร์ใช่ไหมครับ”
“ใช่ครับ” รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องยอมรับว่าสองคนนี้ไม่มีตัวตนเพราะปกรณ์ยังมองเห็นและสัมผัสพวกเขาได้อยู่เลย บางทีพวกเขาอาจจะมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ ก็ได้นะ แต่ทุกคนแค่กำลังโกหก ภาพที่ชานนท์วิ่งทะลุร่างของปาณัฐอาจจะเป็นแค่ความฝัน ตอนนั้นเขาอาจจะแค่คิดไปเอง หรือเพราะความเครียดจึงทำให้เห็นภาพเช่นนั้น พอคิดดังนั้นปกรณ์ก็รีบส่ายศีรษะให้หยุดคิด เดี๋ยวจะเป็นบ้าเอาเสียก่อนจนไม่สามารถแยกความจริงกับความคิดออกจากกันได้
“ถ้าอย่างนั้นหมอจะฉีดยาให้นะครับ สักพักคุณปกรณ์อาจจะเห็นสองคนนั้นแวะมาเยี่ยมคุณ ถ้าคุณอยากพูด อยากคุยอะไรกับสองคนนั้นก็ให้พูดออกมาให้หมดเลยนะครับ” หมอการุณเอ่ยขึ้น เขาไม่ยิ้มเลยสักนิด บุคลิกแตกต่างจากหมอเกื้ออย่างสิ้นเชิง
“เดี๋ยวครับหมอ” ปกรณ์ไม่เข้าใจ ในเมื่อสองคนนั้นไม่มีตัวตนแล้วพวกเขาจะแวะมาเยี่ยมได้อย่างไร “ผมไม่เข้าใจที่หมอพูดครับ ทำไมผมถึงมองเห็น พอคิดย้อนกลับไปผมเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเห็นพวกเขาได้ตอนไหน รู้แต่ว่าทุกครั้งที่มีปัญหาในใจนรินทร์ก็มักจะโผล่มา หรือถ้ากำลังมีความสุข ผมก็มักจะคิดถึงปาณัฐแล้วเราก็บังเอิญได้เจอกัน แต่ตอนนี้ผมไม่เห็นใคร ผมไม่รู้สึกอะไรเลยครับ”
“หลังฉีดยาคุณอาจจะรู้สึกสุขหรือเศร้า ผมเชื่อว่าเขาจะต้องปรากฏตัวแน่นอนครับ ยิ่งคุณกำลังสับสนว่าพวกเขามีตัวตนหรือไม่ คุณก็จะเอาแต่คิดเรื่องเขา ยาจะช่วยให้คุณมองเห็น และเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดได้เองครับ”
“ครับ” ปกรณ์เข้าใจแล้ว เป็นฤทธิ์ของตัวยาที่อาจจะทำให้มองเห็น
“ถ้าอย่างนั้นหมอจะให้พยายามนำอาหารมาเสิร์ฟให้ก่อนนะครับ หลังจากนั้นประมาณครั้งชั่วโมงหมอจะกลับมาฉีดยา ระหว่างที่รอนั้นคุณพยายามทำจิตใจให้สงบนะครับ คิดแต่เรื่องที่ทำให้สบายใจ อ้อ... คุณสนิทกับคุณชานนท์ใช่ไหม ให้คุณชานนท์มาอยู่เป็นเพื่อนคุณก่อนก็ได้นะครับ”
“ครับหมอ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
ไม่นานมากนัก ประตูห้องพักของปกรณ์ก็ถูกเปิดออก พยาบาลจูงรถเข็นอาหารเข้ามาโดยมีชานนท์เดินตามให้หลัง ปกรณ์ขยับยิ้มทันทีที่เห็นร่างนั้น
“เดี๋ยวผมจัดการให้เองนะครับ” ชานนท์หันไปบอกพยาบาล
“ค่ะ” พยาบาลรับคำก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ทันทีที่ประตูปิดลง ปกรณ์ก็รีบพุ่งลงจากเตียงแล้วเดินมาลากรถเข็นเข้าไปยังเตียงผู้ป่วยเอง
“แขนใช้งานได้ข้างเดียวยังจะทำเก่งอีกนะครับ” ปกรณ์เอ่ยขึ้นแล้วกระโดดกลับขึ้นไปบนเตียง “คุณไม่ต้องมาป้อนผมเลยนะ ผมกินเองได้”
“เดี๋ยวนี้คุณมองความคิดผมออกแล้วนะครับเนี่ย อีกหน่อยจะทำอะไรผมก็คงโดนคุณจับได้ไปซะทุกเรื่องแน่ๆ”
“ไม่หรอกครับ ก็คุณใจดีกับผมขนาดนี้ ผมก็เดาไปงั้นแหละ มานี่สิครับ มานั่งข้างๆ ผมก็พอ” ปกรณ์ตบเบาะตรงขอบเตียง
ชานนท์เดินไปนั่งลงบนขอบเตียงตามคำสั่ง ปกรณ์เขยิบเข้าไปใกล้ๆ ร่างนั้นแล้วมองที่แขนที่เข้าเฝือกของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสำนึกผิด
กี่ครั้งแล้วที่เขาเป็นต้นเหตุทำให้ชานนท์ต้องมาลำบากด้วย แต่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยบ่นออกมาสักคำ กลับกันเขายังแสดงออกถึงความห่วงใยทุกครั้ง ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้ปกรณ์จะมีโอกาสได้เจอใครที่แสนดีแบบนี้อีกไหม
“รีบหายนะครับ” ปกรณ์ทิ้งศีรษะลงที่แผ่นหลังของชานนท์ก่อนจะใช้มือโอบกอดร่างนั้นอย่างระมัดระวังไม่ให้ไปกระทบกับแขนที่เข้าเฝือก “ผมขอโทษที่ทำให้คุณต้องมาเหนื่อยกับเรื่องของผม ถ้าไม่มีคุณ ชีวิตผมตอนนี้ก็ไม่รู้จะเป็นยังไง”
ชานนท์จับอ้อมแขนของปกรณ์เอาไว้แน่น นี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์เป็นฝ่ายที่เข้ามาทำแบบนี้ก่อนในสภาพที่ความคิดเขายังคงปกติ แม้จะรู้สึกดีใจ อยากที่จะหันไปกอดอีกฝ่ายขึ้นมาบ้าง แต่พอคิดถึงหมอเกื้อเขาก็ไม่สามารถทำอย่างที่ใจคิดได้ เขาคงมีความสุขได้ไม่เต็มร้อยหากหมอเกื้อไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ
“กินข้าวกันเถอะครับ” ชานนท์พูดเสียงเบา หวังว่าปกรณ์ไม่เอะใจหรือสงสัยอะไรหากท่าทีของเขาในตอนนี้ไม่มีความสุขเท่าที่ควร
“ครับ” ปกรณ์ตอบรับแล้วผละอ้อมกอดออก แค่ชานนท์สัมผัสแขน เขาก็สบายใจแล้ว ...ก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้แต่ก็ยังอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน
ปกรณ์รับประทานอาหารของโรงพยาบาลโดยที่มีชานนท์นั่งอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา อยู่ๆ ก็นึกอยากจะป้อนจึงลองตักอาหารแล้วยกไปใกล้ๆ ที่ปากของชานนท์บ้าง
ชานนท์ยิ้มให้กับภาพที่เห็นก่อนที่จะอ้าปากรับประทานอาหารในช้อนนั่น อาหารโรงพยาบาลทั้งจืดชืด ไม่มีความอร่อยสักนิด แต่พอมีคนป้อนมันก็ทำให้อาหารที่จืดสนิทกลายเป็นอาหารหวานขึ้นมาได้เช่นกัน
ปกรณ์ป้อนอาหารให้ชานนท์สลับกับทานเองอีกหลายคำจนกระทั่งอาหารในชามหมดเกลี้ยงจึงลากรถเข็นไปแอบไว้ที่มุมห้อง
“ถ้าผมหายดี เราไปเยี่ยมหมอเกื้อกันดีไหมครับ” ปกรณ์อ้อนขอคนที่นั่งอยู่บนขอบเตียงก่อนจะยื่นน้ำดื่มที่รินให้ ชานนท์รับแก้วน้ำนั่นขึ้นมาก่อนจะกลืนลงไปอย่างฝืดคอ
“ได้สิครับ แต่ต้องรอจนกว่าคุณจะหายดีนะ” ชานนท์ตอบออกไป พยายามมองหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ เพื่อปกป้องอาการพิรุธ “ถ้าไม่หายผมไม่พาไปเด็ดขาด”
“ใจร้าย” ปกรณ์พูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “พูดดักไว้แบบนี้ ผมก็จะพยายามนะครับ จะเชื่อฟังหมอ แล้วก็... คุณ”
“ครับ” ชานนท์ยิ้มอย่างเอ็นดู ปกรณ์ดูเปลี่ยนไปมาก เขารู้จักการทำตัวให้น่ารักขึ้น ในสายตาของชานนท์ เขาคิดว่าผู้ชายที่ทำแบบนี้ไม่ได้ดูหน่อมแน้มเลยสักนิด แต่กลับดูมีเสน่ห์มากกว่า
“หมอการุณบอกว่าจะเข้ามาฉีดยาหลังจากทานอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็ให้ผมทำอะไรก็ได้ที่สบายใจ แล้วหมอยังบอกอีกว่าจะให้คุณมาอยู่เป็นเพื่อน เหมือนว่าเขารู้เลยนะครับว่าผมกับคุณสนิทสนมกัน”
“รู้สิครับ ใครๆ ก็รู้ ในสายตาคนอื่นคุณเป็นผู้ป่วยของผมเหมือนกันนะครับ แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันยิ่งย้ำให้คนอื่นเข้าใจว่าเราสองคนสนิทสนมกันนะครับ” ชานนท์ตอบออกมา “แต่ยังไม่มีใครรู้หรอกนะครับว่าจริงๆ แล้วผมรักคุณมากขนาดไหน”
“แล้วคุณล่ะ...” ปกรณ์รู้สึกแปลกๆ ที่ชานนท์พูดถึงเรื่องความรัก มันไม่ค่อยชินแต่ในเมื่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันเป็นเช่นนั้น เขาก็ต้องพยายามทำตัวให้ชินและแสดงออกให้เท่ากับอีกฝ่าย “รู้หรือยังว่าผมเองก็รักคุณมากขนาดไหน”
ชานนท์รีบหันไปมองหน้าคนพูด ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าต่อปากต่อกรขนาดนี้ ปกรณ์เปลี่ยนไปมากจริงๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงทำให้เขาสึกนึกและคิดอะไรได้หลายๆ อย่าง หรืออาจจะแค่เป็นการรู้สึกผิด แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรกันแน่ ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี
“ไม่รู้ครับ” ชานนท์ส่ายหน้า เขาไม่ได้โกหก เขารู้ใจตัวเองดี แต่ไม่รู้ความรู้สึกอีกฝ่ายเลย เป็นนักจิตวิทยาใช่ว่าจะเดาอารมณ์ของผู้ป่วยได้ทุกเรื่อง ยิ่งเรื่องของความรักมันละเอียดอ่อนเกินกว่าจะมีข้อกำหนดบ่งบอกชัดเจนว่าการกระทำไหนคือรักหรือไม่รัก บางทีอาจจะแค่ชอบ หรือรู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้เท่านั้น เรื่องแบบนี้ต้องให้ความรู้สึกของแต่ละคนเป็นคนตัดสิน
“อ่อ... เดี๋ยวคุณก็รู้” ปกรณ์ไม่ใช้คำพูดยืนยันความหนักแน่นของความรัก เขาคิดว่าจะใช้การกระทำแสดงให้รู้ เหมือนกับที่ชานนท์ใช้การกระทำแสดงออกให้กับเขา จนตอนนี้เขารับรู้ถึงความรู้สึกของชานนท์แล้ว
“คุณนี่ยังไงเนี่ย ทำผมแปลกใจหลายเรื่องแล้วนะครับวันนี้” น้ำเสียงของชานนท์ตื่นเต้น เริ่มผ่อนคลายลงหลังจากที่เอาแต่คิดมากเรื่องหมอเกื้อ อาการหมอเกื้อทำให้ทุกคนในโรงพยาบาลสะเทือนใจ อีกทั้งพ่อแม่ของหมอเกื้อแทบใจสลายเมื่อทราบ โชคดีที่ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอุบัติเหตุ พยายามจะไม่โทษปกรณ์ แม้ในใจลึกๆ อาจจะมีบ้างที่ไม่พอใจก็ตาม แต่สำหรับชานนท์นั้น... คิดว่าต้นเหตุที่ทำให้หมอเกื้อต้องเป็นแบบนี้ก็คือเขา ถ้าเขาไม่ให้หมอเกื้อออกไปตามหาปกรณ์ด้วย หมอเกื้อก็คงไม่ประสบอุบัติเหตุแทนเขาแบบนี้
“ดีไหมล่ะครับ” ปกรณ์ยอกย้อนถาม
“ไม่ดี... มั้ง” ชานนท์ตอบ “ขืนเป็นแบบนี้ผมก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันสิครับ”
“อ่อ...” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจอะไรบางอย่าง “แสดงว่าชอบผมเพราะคิดว่าผมอยู่ในโอวาทของคุณสินะครับ”
“เปล่าซะหน่อย” ชานนท์พยายามปฏิเสธ
“คอยดูเถอะไว้ผมหายดีเมื่อไหร่ล่ะก็ ผมนี่แหละจะเป็นฝ่ายที่ไล่ต้อนคุณเอง” ปกรณ์ยื่นหน้ามาใกล้ๆ แล้วยักคิ้วใส่อย่างยียวน อาจเพราะตอนนี้ปกรณ์ไม่มีอะไรแคลงใจในตัวผู้ชายคนนี้แล้ว เขาจึงกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่กับชานนท์ตามลำพัง
“หรือไม่แน่... คุณอาจจะเลิกสนใจผมก็ได้ พอคุณหายดี คุณก็อาจมีสังคมมากขึ้น รู้จักคนเยอะขึ้น” ชานนท์แกล้งพูดเล่น แต่อีกฝ่ายกับมีสีหน้าจริงจัง
“ไม่มีทาง” ปกรณ์ปฏิเสธเสียงหนักแน่น เขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับใคร ปกรณ์รู้ดีว่าการนอกใจมันทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดมากขนาดไหน
“คุณ... ผมขอโทษ” ชานนท์รีบพูดอย่างสำนึก เขาลืมนึกถึงปัญหาครอบครัวของปกรณ์ และลืมคิดไปว่าถ้าพูดเรื่องพรรค์นี้แม้แต่นิดเดียว ปกรณ์อาจจะโยงไปเกี่ยวข้องและหวนทำให้เขานึกถึงอดีตเหล่านั้น
“ดูสิ... หน้าหงอยเชียว” ปกรณ์ยิ้มออกมาแล้วแกล้งดึงหน้าทำตาโตให้ตัวเองดูตลกที่สุด เขานึกถึงเรื่องในอดีตอย่างที่ชานนท์คิด หากแต่พอเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าสำนึกผิด เขาจึงต้องรีบทิ้งความคิดเหล่านั้นแล้วหาวิธีทำให้ชานนท์ยิ้มออกมาให้ได้ เหมือนที่ชานนท์ชอบทำให้เขาหายเครียด ปกรณ์เลือกที่จะเรียนรู้ความดีของชานนท์แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง
“ทะเล้นได้ขนาดนี้ผมก็หมดห่วงละ ไม่กี่วันก็คงจะหาย” ชานนท์ขำออกมาให้กับท่าทีตลกๆ นั่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหัวเราะออกมาอย่างไม่ฝืนใจนับตั้งแต่ที่หมอเกื้อช่วยเขาเอาไว้อีกทีจนทำให้หมอเกื้อต้องเป็นฝ่ายที่ถูกรถบรรทุกชนเข้าจังๆ
“แบบนี้ก็ไม่ดีสิครับ” ปกรณ์ขมวดคิ้วอย่างขัดใจ
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็ผมอยากให้คุณห่วงอ่ะ” แกล้งทำน้ำเสียงน้อยใจออกมาจนทำให้ชานนท์ต้องขำอีกครั้ง
“โอเคๆ ผมพูดผิดเอง ต่อให้คุณจะเป็นยังไงผมก็ห่วงคุณเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นรีบหายไวไวนะครับ แบบนั้นแหละดีที่สุดแล้ว”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้า “แบบนี้สิครับ ค่อยน่ารักหน่อย เออ... แล้วถ้าผมหายดี ปาณัฐกับนรินทร์จะเป็นยังไงครับ”
“เรื่องนี้...” เสียงของชานนท์เบาลง เพราะไม่รู้ว่าหากตอบออกไปแล้วอีกฝ่ายจะรับได้หรือไม่ แต่ในเมื่อถูกถาม เขาก็ต้องตอบความจริงออกมา “ถ้าคุณหายดี ปาณัฐกับนรินทร์จะหายไปจากชีวิตของคุณ”
“เหรอครับ... ว้า แย่จังเลยเนอะ” ปกรณ์ยิ้มออกมา พยายามแสดงท่าทางไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะไม่ต้องการให้ชานนท์คิดมาก
ใช่ว่าเขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้ง่ายๆ ปาณัฐกับนรินทร์เปรียบเสมือนเพื่อนที่ปกรณ์ไว้ใจที่สุดในชีวิต แค่รู้ความจริงว่าพวกเขาไม่มีตัวตนทั้งๆ ที่ยังคงมองเห็นมันก็เจ็บปวดจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ และหากวันหนึ่ง... พวกเขาต้องหายไปตลอดกาล ปกรณ์ยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถทนกับความรู้สึกตอนนั้นได้ไหม มันคงเหมือนกับว่าคนที่รักมากที่สุดได้ตายจากไป ความเสียใจมันคงไม่แตกต่างกัน
ระหว่างนั้น ประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมกับร่างของหมอการุณ ชานนท์จึงล่ำลากับปกรณ์และเดินออกจากห้องไปในทันที เขาจำเป็นต้องอยู่ห่างกับปกรณ์ขณะรักษา และอาจต้องถูกห้ามให้เข้าเยี่ยมระหว่างนี้สักพัก ปกรณ์ไม่รู้เรื่องนี้เพราะชานนท์ไม่กล้าบอก... ถ้าเขารู้ เขาอาจจะไม่ยอมรับยาและตัดสินใจยุติการรักษา
หลังจากที่ออกมาจากห้อง ชานนท์ยังมีธุระสำคัญที่ต้องไปทำซึ่งนั่นก็คือการไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของหมอเกื้อ เขาต้องแสดงความรับผิดชอบกับฝ่ายนั้น แม้จะกังวลใจกลัวจะโดนต่อว่า ไหนจะเรื่องที่ต้องรบกวนให้ทุกคนแกล้งบอกว่าหมอเกื้อย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัดอีก ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงหมอเกื้ออาการหนัก โอกาสรอดแทบไม่มี ชานนท์รู้ดีว่าการทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการเอาแต่ใจ แต่ถึงอย่างไรมันก็สำคัญกับปกรณ์เช่นกัน เขาได้แต่หวังว่าพ่อกับแม่ของหมอเกื้อจะเข้าใจ ...ถ้าเลือกได้ ชานนท์ก็ไม่อยากให้หมอเกื้อต้องไปนอนอยู่ตรงนั้น มันควรจะเป็นเขามากกว่า
คิดดังนั้น ชานนท์ก็ฉงนใจ เพราะอะไรหมอเกื้อถึงต้องพุ่งมินิไบค์มาขวางแล้วผลักร่างเขาออกไปข้างทางระหว่างที่รถบรรทุกกำลังจะชน ทำไมหมอเกื้อถึงเอาชีวิตเข้าแลก... เหมือนกับที่เขาได้ทำกับปกรณ์ ทั้งๆ ที่เขาเองก็เป็นแค่นักจิตวิทยาที่ทำงานร่วมกับหมอเท่านั้น ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับหมอสักนิด
หรือว่า...
คิดดังนั้นชานนท์ก็ยิ่งเจ็บปวดหัวใจ เพราะถ้าเป็นแบบที่คิดจริง เขาคงรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกหลายร้อยเท่า แค่นี้เขาก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว เขาไม่เคยสังเกตปฏิกิริยาของหมอเกื้อเลย ...ไม่สิ ต้องบอกว่าหมอเกื้อเป็นหมอจิตเวชที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกกับใครเป็นพิเศษมากกว่า หมอเกื้อยิ้มแย้มและใจดีกับทุกๆ คนไม่ต่างกับเขาเลยอาจทำให้ชานนท์ไม่เคยเข้ารู้อะไรเลย ในความคุ้นเคยที่แฝงความรู้สึกอะไรเอาไว้มากมายของหมอเกื้อ
ชานนท์หวังว่าเรื่องที่คิดจะไม่ใช่เรื่องจริง ขอให้เป็นเรื่องมโนไปเองเท่านั้น ที่หมอเกื้อทำไปคงเพราะความตกใจและปฏิกิริยาทางด้านบวกที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น จึงทำให้สมองสั่งการออกมาอย่างฉับพลันว่าต้องปกป้องเขา ...ใช่ มันต้องเป็นแบบนั้น
จบตอน
-
หมอเกื้อ ชอบชานนท์สินะ งืออออ ลำบากใจ หมอเกื้อก็ดี๊ดี สุภาพบุรุษมากกก
:z3:
-
ปมอะไรจะเยอะขนาดนั้น เขียนได้น่าติดตามจริงๆ ครับ อ่านไปเกร็งไป
-
ตอนที่ 27
หลังจากที่ชานนท์เดินออกไป หมอก็สั่งให้ปกรณ์นอนรออยู่บนเตียง ระหว่างนั้นหมอก็สารวนกับเครื่องมือทางการแพทย์และยาที่เข็นเข้ามาด้วย
“หมอจำเป็นจะต้องบอกก่อนนะครับ ระหว่างการรักษาหากผู้ป่วยมีอาการคลุ้มคลั่ง ทางโรงพยาบาลจำเป็นจะต้องล็อกผู้ป่วยไว้กับเตียงนอน ถ้าไม่อยากโดนล็อกเอาไว้ ผู้ป่วยต้องพยายามมีสติอย่าปล่อยให้ความอ่อนแอ ความหวาดกลัว เข้าควบคุมจิตใจนะครับ” หมอการุณอธิบาย
“มันจะแย่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ปกรณ์ไม่รู้มาก่อนเลยว่าตัวเองอาจจะอาการหนักถึงขั้นนั้น
“บางทีน่ะครับ” หมอตอบออกมา “ฤทธิ์ยาอาจจะมีผลข้างเคียงหลายอย่างจนทำให้ผู้ป่วยคิดอะไรไปต่างๆ นานาได้ แต่มันมีวิธีช่วยให้ผู้ป่วยยับยั้งอาการนั้นอยู่นะครับ”
“วิธีอะไรครับ” ปกรณ์ถามอย่างร้อนรน
“ให้นึกถึงคนที่รักมากที่สุดในชีวิตขณะที่รู้สึกว่าสติของตัวเองกำลังจะหลุดลอยไป ในกรณีนี้ส่วนใหญ่จะใช้ได้ผลกับผู้ป่วยที่เป็นพ่อคนแม่คนนะครับ เพราะมักจะคิดถึงหน้าลูกๆ ของตัวเอง ในวัยหนุ่มสาวอาจจะยากหน่อย เพราะส่วนใหญ่ยังไม่มีคนรัก และมักจะมีปัญหาครอบครัวกันทั้งนั้น ถ้าคุณปกรณ์มีใครที่รู้สึกว่ารักเราจริงๆ และเราก็รักเขา แค่เพียงคนเดียวก็ได้นะครับ เขาคนนั้นอาจจะเป็นคนที่ช่วยให้คุณหลุดพ้นจากอาการหวาดกลัวก็ได้นะครับ”
“คนที่รักเราแล้วเราก็รักงั้นเหรอครับ” ปกรณ์ทวนคำ ยังไม่ทันจะพยายามนึกถึงใครด้วยซ้ำใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนของชานนท์ก็รีบเข้ามาจับจ้องพื้นที่ในความคิดของเขาทันที ‘ว่าแล้วต้องเป็นคุณ’
“ยิ้มแบบนี้แสดงว่ามีใช่ไหมล่ะครับ” หมอการุณแกล้งแซว
“เปล่านะครับหมอ” ปกรณ์ปฏิเสธออกไป เพราะกลัวว่าถ้ายอมรับตรงๆ อาจจะหลุดปากว่าคนคนนั้นคือชานนท์ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นมันอาจจะทำชานนท์อาจจะโดนล้อเอาได้ ถึงแม้จะเชื่อใจว่าหมอจิตวิทยาจะไม่พูดเรื่องส่วนตัวของผู้ป่วยก็เถอะ แต่มันก็อดระแวงไม่ได้อยู่ดี
“โอเคครับ หมอไม่แกล้งแล้ว ถ้าอย่างงั้นหมอจะฉีดยาให้เลยนะครับ” หมอการุณเริ่มขยับยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่ปกรณ์เห็นรอยยิ้มจากหมอคนนี้ มันเป็นเทคนิคของหมอการุณ เขาเลือกที่จะทำหน้านิ่งเวลาที่พบกับผู้ป่วยในครั้งแรกๆ จนกว่าจะได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล เขาจึงจะหาวิธีการพูดที่สร้างความสนิทสนมแล้วจึงจะยิ้มให้ เพราะหมอการุณคิดว่าการให้เขาเห็นรอยยิ้มของตนในเวลาสุดท้ายก่อนที่จะรับการรักษา มันจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจและดีใจขึ้นมามากกว่าปกติเวลาที่ได้เห็นรอยยิ้มของหมอยิ้มยาก และพอผู้ป่วยสบายใจมันก็จะทำให้การรักษาง่ายขึ้นโดยที่เขาไม่กล้างอแง
“ครับ” ปกรณ์ยื่นแขนไปให้ อดที่จะยิ้มตามหมอไม่ได้ แท้จริงแล้วหมอคนนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวถึงแม้จะยิ้มยากสักหน่อยก็เถอะ รู้สึกดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของหมอในเวลาแบบนี้
หมอการุณจัดการฉีดยาเข้าไปที่แขนของปกรณ์ทันที ปกรณ์นั่งนิ่งไม่แสดงความเจ็บปวดใดใดออกมา เขาไม่กลัวเข็มฉีดยา เจ็บแค่นี้มันยังน้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่เขาเผชิญมาทั้งชีวิต
“เสร็จแล้วครับ” หมอการุณถอนเข็มฉีดยาออกมาแล้วรีบใช้สำลีปิดบริเวณที่ฉีดเอาไว้ก่อนจะใช้เทปกาวติดแผล “เก่งมากครับ”
“แล้วผมต้องทำอะไรต่อครับ” ปกรณ์ยกมือขึ้นมากดสำลีเอาไว้
“ทำใจให้สบายครับ จะนอนอยู่บนเตียง หรือเดินเล่นไปมาก็ได้ หมอจะให้พยาบาลกับนักจิตวิทยาสลับกันมาเฝ้าและสอบถามอาการเรื่อยๆ นะครับ อย่าลืมนะครับถ้ามองเห็นปาณัฐกับนรินทร์เมื่อไหร่ อยากพูดอยากคุยอยากระบายความในใจอะไรให้พูดออกมาให้หมดๆ เลยนะครับ”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้ารับ
หมอการุณยิ้มให้ปกรณ์อีกครั้งก่อนจะเก็บเครื่องมือทางการแพทย์แล้วออกจากห้องไป
ทางด้านของชานนท์ เขาเดินตรงไปยังตึกที่หมอเกื้อทำการรักษาตัวอยู่ หมอเกื้อยังคงอยู่ในห้องไอซียู หมอและพยาบาลแต่ละแผนกต้องผลัดกันเข้าทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะอาการของหมอเกื้อยังคงไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
พ่อและแม่ของหมอเกื้อยังคงนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องไอซียู พอทราบข่าวพวกท่านทั้งสองก็รีบมาที่โรงพยาบาลทันที ในตอนนี้พวกท่านอายุ 60 กว่าแล้ว เกษียรงานราชการได้เงินบำนาญเลี้ยงชีพรวมถึงเงินเดือนที่ลูกชายส่งให้ในแต่ละเดือนนั้นก็มากโขจนเหลือเก็บ จึงไม่มีปัญหาที่จะใช้เวลาทั้งหมดของแต่ละวันมานั่งเฝ้าลูกชายเพียงคนเดียว
ชานนท์ใจสั่นและหยุดนิ่งเมื่อมองเห็น พวกท่านตาแดงก่ำแต่ไม่มีหยดน้ำตาเพราะที่ผ่านมาคงร้องไห้ออกมาจนหมดตัวแล้ว อยากจะหนีไปให้ไกลเพราะไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่ใช่เพราะกลัวความผิดเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่เพราะกลัวว่าพวกท่านจะยิ่งเสียใจร้องไห้เมื่อเข้าไปคุยด้วย แต่ถึงอย่างไรชานนท์ก็ต้องเดินเข้าไปขอโทษ
“คุณพ่อ คุณแม่ครับ” ชานนท์เดินไปคุกเข่าตรงหน้าพวกทั้ง สองมือยกขึ้นมาที่หน้าอกก่อนจะก้มกราบที่ตักของพ่อแล้วย้ายไปที่แม่ “ผมขอโทษนะครับที่เป็นต้นเหตุจนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้”
พวกท่านมาเฝ้าลูกชายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เพราะชานนท์เองก็ได้รับบาดเจ็บต้องเข้าทำการรักษาจึงยังไม่ได้เจอหน้ากัน แต่พยาบาลและหมอที่รับรู้ถึงเหตุการณ์ตอนที่เกิดอุบัติเหตุกับชานนท์ก็ได้มาชี้แจงพวกท่านแล้ว
“ชานนท์สินะ” แม่ของหมอเกื้อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ท่านจำชานนท์ได้เพราะเคยมาหาลูกชายที่โรงพยาบาลนี้อยู่บ่อยครั้ง
“ครับแม่” ชานนท์เงยหน้าขึ้น ดวงตาของท่านแดงก่ำมีน้ำคลออยู่เต็มเบ้า ไม่ต้องอธิบายอะไรออกมาก็สัมผัสได้ว่าท่านรู้สึกแย่แค่ไหน พอหันไปมองพ่อ น้ำตาของท่านก็เอ่อล้นจนจะทะลักดวงตาอยู่แล้วเช่นกัน ความรู้สึกผิดปะเดปะดังเขาในจิตใจทันที ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวและในที่สุดน้ำตาของชานนท์ก็ไหลลงมาโดยที่เขาไม่ได้สะอึกสะอื้นเลยสักนิด
แม่ของหมอเกื้อยื่นมือมาปาดน้ำตาให้ชานนท์ แม้ท่านจะอายุมากแล้วแต่ยังแข็งแรง อาจเพราะมีลูกชายที่เป็นหมอคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ยิ่งเป็นหมอจิตเวชยิ่งสามารถดูแลได้ทั้งร่างกายและจิตใจ
“ไม่ต้องร้องนะลูก แม่เข้าใจ มานั่งข้างๆ แม่สิ” ชานนท์ไม่สงสัยเลยสักนิดว่าความเป็นสุภาพบุรุและความใจดีของหมอเกื้อนั้นถูกถ่ายทอดมาจากใคร ครอบครัวของหมอเกื้อเลี้ยงลูกได้ดีมาก ขนาดเขาที่เป็นต้นเหตุทำให้หมอเกื้อได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง ยังได้รับการต้อนรับอย่างดี
ชานนท์ยั้งกายลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ ในตอนนี้แทนที่ชานนท์จะเป็นฝ่ายปลอบโยนแต่กลับเป็นแม่เสียอีกที่ยื่นมือมาจับกับมือของชานนท์เอาไว้แน่น แล้วยังปลอบใจชานนท์ที่น้ำตายังคงไหลเพราะรู้สึกผิดทั้งยังตื่นตันใจ
“ไม่ร้องนะลูก ถ้าเกื้อตื่นขึ้นมาเห็นชานนท์อยู่ในสภาพนี้ เกื้อคงเสียใจแย่ที่รู้ว่าคนที่เขาช่วยกำลังนั่งร้องไห้รู้สึกผิด”
คำพูดของแม่แต่ละคำช่างบาดหัวใจเหลือเกิน ชานนท์ไม่คิดว่าในโลกนี้จะมีใครที่ใจดีได้ถึงเพียงนี้อีกแล้ว ในตอนนี้ร่างกายของเขาเริ่มสั่นและยังสะอึกอื้นออกมา เขาอยากพูดขอบคุณที่คุณแม่เข้าใจแต่ก็ไม่สามารถขยับปากพูดอะไรออกมาได้เลยเพราะความตื้นตันใจที่เกิดขึ้น
“เดี๋ยวเกื้อก็หาย” คุณแม่หันไปค้นกระเป๋าก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้กับชานนท์
“หมอเกื้อจะต้องหายครับ” ชานนท์ภาวนาให้เป็นเช่นนั้น ขอให้ความดีของหมอเกื้อเป็นเกาะป้องกันสิ่งเลวร้ายที่ต้องการจะมากระชากลมหายใจของหมอเกื้อไป
“เกื้อน่ะเป็นเด็กดี” คราวนี้เป็นฝ่ายของพ่อเอ่ยขึ้นมาบ้าง ท่านนั่งไขว่ห้างแล้วนั่งก้มหน้ามองไปที่พื้นราวกับกำลังนึกถึงเรื่องเก่าๆ “ไม่เคยทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังแม้แต่ครั้งเดียว เกื้อไม่มีศัตรู ใครๆ ก็รักเกื้อ เหมือนที่พ่อกับแม่รัก พ่อเองเป็นทหารเพิ่งเกษียรมาไม่กี่ปีไม่ค่อยมีเวลาดูแลเกื้อเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แม่เขาจะเป็นคนดูแล แต่ทุกครั้งที่เจอกันพ่อก็สอนให้เกื้อเป็นคนเสียสละ ให้รู้จักช่วยเหลือคนอื่นถ้ายังพอมีแรงหรือกำลังที่พอจะช่วยเหลือได้ พ่ออาจจะปลูกฝังมากเกินไป เกื้อเลยอาจจะรักคนอื่นจนลืมให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเอง พ่อดีใจนะที่เกื้อเป็นคนแบบนี้ แต่พ่อก็ไม่อยากให้เกื้อเป็นอะไรไปเหมือนกัน เกื้อจะต้องฟื้นขึ้นมา พ่อเชื่ออย่างนั้น”
สิ่งที่ท่านพูดออกมายิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการเลี้ยงดูหมอเกื้อ ทั้งพ่อและแม่เป็นแบบอย่างที่ดี หลายคนอาจคิดว่าเป็นคนดีคนเสียสละแล้วเราจะได้อะไรตอบแทนกลับมา ทั้งๆ ที่เราเองก็อาจเอาตัวไม่รอด ...ใช่ อย่างที่พ่อของหมอเกื้อสอน ให้เสียสละและช่วยเหลือเท่าที่มีแรงกำลัง จะได้อะไรตอบแทนไม่สำคัญแค่ทำให้เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกมีความสุขหรือยิ้มออกมาให้กันได้นั่นแหละสำคัญที่สุดแล้ว
“ผมขอโทษนะครับ ถ้าเป็นผมที่นอนอยู่ตรงนั้นคงจะ...”
ยังไม่ทันที่ชานนท์จะพูดจบ แม่ของหมอเกื้อก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปาก
“ทุกคนสำคัญเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นใครที่นอนอยู่ตรงนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี การที่เกื้อเลือกที่จะปกป้องชานนท์นั่นหมายความว่าเกื้อเห็นความดีและคุณค่าของชานนท์เหมือนกัน ในเมื่อเกื้อเลือกที่จะปกป้อง แม่กับพ่อเองก็จะไม่ตำหนิต่อว่าอะไร ชานนท์ไม่ได้ทำอะไรผิด อุบัติเหตุนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น รวมถึงผู้ป่วยของหมอเกื้อคนนั้นก็คงไม่ได้ตั้งใจ หลายคนอาจคิดว่าเขาเป็นตัวต้นเหตุ แต่แม่ไม่คิดแบบนั้นหรอก แม่จะไม่โทษใครเพราะแม่สอนเกื้อให้เป็นคนแบบนี้เอง”
“ขอบคุณครับแม่ ผมเข้าใจแล้วครับ” ชานนท์ตอบเสียงเบา เขาพยายามกลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่อยากให้น้ำตามันไหลลงมาอีก ครอบครัวของหมอเกื้อเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ชานนท์อดนึกอิจฉาไม่ได้ ทุกคนมีความคิดในด้านบวก
ในตอนนี้ชานนท์ทำได้เพียงภาวนา ให้คุณหมอผู้แสนดีฟื้นขึ้นมารับรู้ว่ามีคนที่รักและห่วงใยพวกเขามากมายแค่ไหน ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่หมอ พยาบาล นักจิตวิทยาหรือแม้แต่แม่บ้านและยามที่โรงพยาบาลแห่งนี้ทุกคนต่างก็รักหมอเกื้อ ไม่มีคุณหมอคนไหนที่ยิ้มเก่ง เป็นกันเองและใจดีกับทุกๆ คนได้เทียบเท่ากับหมอเกื้ออีกแล้ว
ระหว่างนั้นเอง ชายหนุ่มที่สวมเครื่องแบบยามรักษาการของโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ได้เดินตรงเข้ามา ในมือของเขาถือเสื้อกาวน์ที่ขาวสะอาดเข้ามาด้วย ชานนท์จำได้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือยามคนที่หมอเกื้อได้ฝากชุดกาวน์เอาไว้
ยามหนุ่มยกมือไหว้พ่อกับพ่อของหมอเกื้อรวมถึงชานนท์ ก่อนที่จะมานั่งข้างๆ กับชานนท์
“หมอเกื้อเป็นยังไงบ้างครับ” ยามหนุ่มสอบถามอาการ หน้าตาของเขาดูไม่ค่อยดีนักอาจเพราะได้ทราบข่าวมาก่อนหน้านี้
“ยังไม่ได้สติเลยครับ” ชานนท์ตอบออกมา ชายหนุ่มเงียบเสียงลงชั่วขณะเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรในใจก่อนที่จะพูดต่อ
“หมอเกื้อจะต้องหายนะครับ ตอนแรกผมกะจะเอาชุดมาคืนหมอ แต่ผมขอเก็บมันไว้ก่อนนะครับ ผมจะรอให้หมอฟื้นขึ้นมารับมันคืนกับผมเอง” ปลายเสียงของยามเริ่มสะอื้น “หมอจะต้องฟื้นขึ้นมานะครับ ถ้าไม่มีหมอเกื้อ ผมเองก็คงไม่ได้งานทำที่นี่ และคงไม่มีเงินเลี้ยงลูกกับเมียจนทุกวันนี้”
เมื่อครั้งที่หมอเกื้อเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เขาได้พบกับยามหนุ่มคนนี้โดยบังเอิญ ในวันนั้นยามหนุ่มได้มาสมัครงานเป็นยามที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่โรงพยาบาลไม่รับเพราะที่โรงพยาบาลมีการว่าจ้างยามกับบริษัทรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว หมอเกื้อเห็นยามหนุ่มนั่งเศร้าหน้าตาหมดอาลัยตายอยากอยู่บริเวณประตูโรงบาลเลยเข้าไปสอบถามจึงทราบถึงเหตุผลทั้งหมอ และเป็นหมอเกื้อนี่แหละที่เป็นธุระฝากงานที่บริษัทรักษาความปลอดภัยให้กับยามจนในที่สุดก็ได้มาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้
“ผมเคยถามหมอเกื้อนะครับว่าทำไมถึงช่วยผม ถึงเชื่อใจฝากงานและค้ำประกันให้ผม ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน ผมอาจจะโกง หนีงานและทำให้หมอเสียชื่อเสียงได้ แต่คำตอบของหมอก็เล่นเอาผมแทบจะคุกเข่าลงไปกราบเลยล่ะครับ แม้หมอจะอายุมากกว่าผมไม่กี่ปี แต่ผมก็นับถือหมอเป็นยิ่งกว่าพี่ชายแท้ๆ ซะอีกครับ หมอเกื้อบอกว่าตอนที่ผมพูดถึงลูกถึงเมียและอยากได้งานทำ แววตาของผมมันมีแต่ความจริงใจ จะไม่ช่วยก็คงไม่ได้ หรือหากถูกโกหกก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยหมอก็ได้มีโอกาสช่วยเหลือคนๆ หนึ่งที่กำลังลำบาก แค่นี้หมอก็มีความสุขแล้วครับ แล้วหมอก็ยิ้มให้ผมแถมยังบอกผมอีกว่า... เห็นไหมล่ะหมอเลือกช่วยคนไม่ผิดจริงๆ ด้วย” ยามหนุ่มน้ำตาคลอเบ้า เขาไม่ยอมให้น้ำตามันไหลลงมารีบยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตา
ชานนท์ได้ฟังเรื่องที่ยามเล่าก็พลอยรู้สึกประทับใจไปด้วยแต่คงไม่มากกับบุพการีของหมอเกื้อแน่นอน แม้ในยามนี้พวกท่านจะยังคงมีสีหน้าตรึงเครียดเพราะห่วงใยอาการของลูกชาย แต่หัวใจของท่านคงกำลังยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับสิ่งที่ลูกชายได้กระทำ
“เดี๋ยวผมจะมาเยี่ยมหมอบ่อยๆ นะครับ ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” ยามหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะยกมือไหว้แล้วเดินออกไป
“แม่กับพ่อกินอะไรหรือยังครับ” ชานนท์เอ่ยถามเพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ และถ้าเดาไม่ผิดพวกท่านน่าจะกินอะไรไม่ลงแน่ๆ
“ยังเลย” ผู้เป็นแม่ตอบออกมา ไม่ผิดจากที่คาด “ไม่ใช่ว่าแม่กับพ่อไม่หิวจนกินอะไรไม่ลงหรอกนะ แต่แม่เป็นห่วงเกื้ออยากนั่งอยู่ตรงนี้ อยากรอฟังข่าวว่าเกื้อปลอดภัยก็เลยไม่อยากลุกไปไหน”
“ครับ” ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปซื้อกับข้าวมาให้นะครับ แม่กับพ่ออยากกินอะไรสั่งมาได้เลยนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนด้วยนะ” แม่หยิบกระดาษกับปากกาออกมาจากกระเป๋าก่อนจะจดเมนูอาหารลงไปแล้วยื่นแผ่นกระดาษมาให้ ไม่ถามพ่อด้วยซ้ำ
ชานนท์รับแผ่นกระดาษมาดูพอเห็นเมนูก็เข้าใจ แม่สั่งมาเผื่อพ่อด้วยแล้ว
“รอผมสักครู่นะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา” ชานนท์เอ่ยขึ้น พ่อกับแม่ของหมอเกื้อพยักหน้า จากนั้นจึงเดินจากไป
ชานนท์รู้สึกโล่งใจหลังจากที่ได้คุยกับพ่อและแม่ของหมอเกื้อ พวกท่านทั้งสองใจดีและอ่อนโยนไม่ผิดจากลูกชาย พอได้ขอโทษหลังจากที่รู้สึกผิดก็รู้สึกสบายใจ ตอนนี้เหลือแค่ความหนักใจสุดท้ายก็คืออาการของหมอเกื้อเท่านั้น ชานนท์เฝ้าย้ำภาวนาให้หมอเกื้อฟื้นขึ้นมา ไม่ใช่แค่ชานนท์ แต่ทุกๆ คนเองก็คิดเช่นนั้น
‘หมอจะต้องฟื้นขึ้นมานะครับ’
จบตอน
-
รอตอนต่อไปค่ะ
-
สนุกดี เป็นคนที่ชอบอ่านแนวนี้ด้วย เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ :impress3:
-
:monkeysad:
เก๊าเริ่มรักหมอเกื้อแล้ว น่ารักๆ ทั้งพ่อทั้งแม่ น่ารักมากกกก
ใครๆ ก็รักหมอ ขนาดน้องยามยังรัก กิสสส
ถ้าไม่ติดว่าน้องยามมีลูกมีเมีย จะจิ้นให้ได้หมอแล้วนะเนี่ย
มีการรอเอาเสื้อกาวน์มาคืนกะมือด้วย
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆจ้า รอนะคะ
-
ตามมาอ่านต่อทันเเล้ว :hao5:
ให้กำลังใจทุกตัวละครรวมถึงคนเเต่งด้วยนะคะ :pig4:
-
ตอนที่ 28
หลังจากที่ซื้ออาหารเสร็จ ชานนท์ก็รีบกลับขึ้นไปยังหน้าห้องไอซียูแล้วนำอาหารและน้ำดื่มไปให้กับพ่อและแม่ของหมอเกื้อ
พอไปถึง ชานนท์ก็พบกับแขนผู้มาใหม่อีกคน เธอเป็นหญิงสาวผิวขาวรูปร่างเล็กผมยาวตรงสีดำขลับ หน้าตาน่ารัก ตาตี่น่าจะมีเชื้อสายจีน
ชานนท์จำเธอได้ ผู้หญิงคนนี้ชื่อ ‘ลิลดา’ หรือ ‘หมอลิน’ เป็นเพื่อนสนิทของหมอเกื้อ เธอเรียนคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกับหมอเกื้อ แต่เรียนด้านสูตินารีเวชคนละสายกับหมอเกื้อและพอเรียนจบก็ทำงานคนละที่ แต่ด้วยความสนิทสนมทำให้ต่างฝ่ายต่างไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จนชานนท์เข้าใจว่าทั้งคู่คบกัน และตอนนี้ก็ยังคิดเช่นนั้น
...ใช่แล้วหมอลินกับหมอเกื้อคบกัน เพราะฉะนั้นเขาไม่ควรจะมโนอะไรโง่ๆ จนทำให้หมอเกื้อเสียหาย
ใบหน้าที่เคยขาวเนียนของหมอลินในยามนี้กลับแดงปลั่งเช่นเดียวกับดวงตา น้ำตาของเธอคลออยู่เต็มเบ้าเช่นกัน หมอลินคงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก ขนาดคนที่ไม่ได้สนิทกับหมอเกื้อยังใจหายแล้วคนใกล้ชิดอย่างหมอลินล่ะจะกำลังมีสภาพจิตใจย่ำแย่แค่ไหน
“อ้าว... ชานนท์” หมอลินยกแขนขึ้นมาปาดรอบดวงตาไม่ให้น้ำตามันไหลลงมา
“หมอลิน” ชานนท์เอ่ยเสียงเบา หลังจากที่ส่งอาหารและเครื่องดื่มให้กับพ่อและแม่ของหมอเกื้อก็ขยับไปนั่งข้างๆ กับหมอลิน “หมอลินกินอะไรมาหรือยังครับ”
หมอลินส่ายหน้าเป็นคำตอบ แววตาของเธอเศร้าสร้อยผิดจากวิสัย ปกติหมอลินจะร่าเริงยิ่งเมื่อได้อยู่ใกล้กับหมอเกื้อยิ่งร่าเริงมากขึ้น
“กินอะไรไหมครับ เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้”
“ไม่เป็นไร แต่ถ้ารบกวนไปนั่งเป็นเพื่อนจะได้ไหม ลินไม่อยากอยู่คนเดียว” พอหมอลินมองหน้าชานนท์ ใบหน้าของเธอก็แดงเข้มขึ้นเหมือนกับจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้
“ได้ครับ” ชานนท์ตอบตกลง ก่อนจะหันไปบอกพ่อและแม่ของหมอเกื้อ “เดี๋ยวผมพาหมอลินไปทานอาหารก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวลินมานะคะ”
พ่อกับแม่ของหมอเกื้อพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเธอก็ยั้งร่างลุกจากเก้าอี้แล้วเดินนำออกไปโดยมีชานนท์เดินตามหลัง
ภายในโรงพยาบาลจะมีโซนขายอาหารแยกไว้เป็นบางตึก ซึ่งตึกผู้ป่วยไอซียูที่ต้องเข้ารับการรักษาฉุกเฉินนี้จะไม่มีร้านขายอาหาร ต้องเดินไปซื้อที่ตึกอื่นเท่านั้น หมอลินมาที่นี่บ่อยครั้งจึงเลือกที่จะเดินนำไปยังตึกแผนกจิตเวชที่เธอมักจะนั่งรับประทานอาหารกับหมอเกื้อเป็นประจำเวลาที่มาที่นี่
หมอลินสั่งอาหาร ครู่หนึ่งก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะ เธอมองหน้าชานนท์เหมือนมีอะไรค้างคาใจอีกครั้ง ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเปิดใจกับชานนท์
“ชานนท์” เสียงของหมอลินแผ่วเบากว่าปกติคงเพราะกำลังใจหาย
“ครับ”
“อาการของเกื้อหนักมาก ลินเองก็ไม่รู้ว่าเกื้อจะต่อสู้กับมันได้อีกนานแค่ไหน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลินมีเรื่องที่อยากคุยกับชานนท์ อยากคุยมานานแล้วด้วย” น้ำเสียงของหมอลินหนักแน่นมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าเรื่องที่กำลังจะคุยกันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
“เรื่องอะไรครับ” หัวใจของชานนท์เต้นเร็วขึ้นเพราะตื่นเต้น เดาว่าหมอลินจะต้องพูดเรื่องความสัมพันธ์กับหมอเกื้อแน่ๆ และชานนท์เองก็ไม่ได้รู้สึกดีเลยที่หมอเกื้อต้องเป็นแบบนี้ หมอลินคงทุกข์ทรมานใจมาก
“ลินกับเกื้อเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ เรามีอะไรก็มักจะปรึกษากันทุกเรื่อง” หมอลินเริ่มเกริ่นนำ “เวลาที่ลินมีปัญหา ก็มีแต่เกื้อนี่แหละที่คอยรับฟัง บางทีก็ช่วยคิดแก้ปัญหา หรือหาคำพูดดีๆ ทำให้ลินรู้สึกดีขึ้นเสมอ แต่เกื้อ... ไม่เคยปรึกษาอะไรกับลินเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเกื้อไปหาลินที่โรงพยาบาล แล้วเขาก็มาปรึกษากับลินเรื่องชานนท์”
ชานนท์ขมวดคิ้ว พลางคิดย้อนกลับไปว่าเขาเคยทำอะไรให้หมอเกื้อไม่สบายใจหรือไม่
“ตอนแรกนั้นเกื้อบอกว่ามีนักจิตวิทยาใหม่มาทำงานด้วย เขาสุภาพ อ่อนโยน ใจดี ยิ้มเก่งเหมือนกับเกื้อ แล้วก็เล่าให้ฟังว่าน้องคนนี้น่ารักมาก เชื่อฟังหมอทุกคน หมอหรือใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ เกื้อมักแอบมองดูน้องเขาแล้วยิ้มขึ้นมาเฉยๆ จนเกื้อรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเองก็เลยมาปรึกษากับลิน”
ชานนท์ประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าถูกหมอเกื้อมอง ไม่ฉุกคิดด้วยซ้ำ เวลาเจอหน้าแล้วยิ้มให้กัน รู้สึกเพียงว่าหมอเกื้อเป็นคนที่สุภาพอ่อนโยนเท่านั้นเลยมักยิ้มให้กับหมอเกื้อบ่อยๆ
“เกื้อเป็นลูกชายคนเดียว เขาก็กลัวพ่อแม่ผิดหวังเรื่องนี้เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เกื้อไม่เคยทำให้พ่อกับแม่เสียใจเลย เกื้อกลัวว่าถ้าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับชานนท์มันคือความรัก เขากลัวว่าพ่อแม่จะเสียใจที่มีลูกเป็นแบบนี้ และไม่มีทายาทสืบสกุล แต่ยิ่งเกื้อพยายามฝืนใจ ไม่สนใจชานนท์ เกื้อก็ยิ่งกระวนกระวายทุกข์ร้อน ดูไม่มีความสุข ลินเลยบอกกับเกื้อว่าเกื้อรักน้องเขาเข้าแล้วล่ะ”
“ไม่จริงน่า... แล้วหมอลินกับหมอเกื้อไม่ได้คบกันเหรอครับ” ชานนท์พึมพำออกมา ผู้ชายที่สุดแสนจะเพอร์เฟคแบบหมอเกื้อมีตัวเลือกที่ดีกว่าเขาเยอะแยะ ถึงแม้หมอเกื้อจะไม่ได้ชอบผู้หญิงก็ตามก็ไม่น่าจะมาชอบชานนท์ได้
“อ่อ ลินกับเกื้อเป็นแค่เพื่อนกัน เพื่อนที่ซี้กันมากๆ ลินเองก็มีคนที่ลินคบด้วยอยู่แล้ว ที่มาหาเกื้อบ่อยๆ ก็มาปรึกษาเรื่องแฟนของลินเนี่ยแหละ เพราะลินงานยุ่งไม่ค่อยมีเวลา เขามักจะน้อยใจ บางครั้งลินเองก็ทำตัวกับแฟนไม่ถูก เป็นหมอก็แบบนี้แหละ” หมอลินชี้แจงเรื่องความสัมพันธ์ก่อนจะเข้าเรื่องของหมอเกื้อต่อ
“แล้วเราก็สนิทกันมากขึ้นเพราะเกื้อเอาเรื่องของชานนท์มาปรึกษาลิน มันทำให้เราได้คุยกันบ่อยขึ้น ลินเองก็บอกเกื้อแล้วนะว่าให้ชัดเจนกับความรู้สึก แสดงออกให้ชานนท์รู้ไปเลยว่าชอบ แต่เกื้อก็ไม่กล้า บอกว่าไม่รู้ว่าชานนท์จะชอบผู้ชายไหม ถ้าไม่... ชานนท์ก็คงอึดอัดแย่หลังจากได้รับรู้ความรู้สึกของเกื้อ เกื้อก็เลยเลือกที่จะปล่อยเลยตามเลย แค่ได้ทำงานด้วยกันใกล้ๆ กันก็พอ”
ใจของชานนท์เต้นไม่เป็นจังหวะ อธิบายความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้ นึกโทษตัวเองที่เขาไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหล่านั้นของหมอเกื้อแม้แต่นิดเดียว
“จนกระทั่งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น มันทำให้ลินเงียบต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ลินอยากให้ชานนท์รับรู้ความรู้สึกของเกื้อ เกื้อยอมเอาชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องชีวิตของชานนท์ ถ้าปาฏิหาริย์มีจริง ถ้าเกื้อตื่นขึ้นมา... ชานนท์รับปากกับลินได้ไหม ว่าจะทำให้เกื้อมีความสุข รับรู้ความรู้สึกที่หวังดีของเกื้อ ลินไม่รู้หรอกนะว่าชานนท์คิดยังไง ลินแค่อยากให้เพื่อนของลินมีความสุขในความรักสักครั้ง... สักครั้งเดียวในชีวิต เกื้อทำเพื่อคนอื่นมามากพอแล้ว เกื้อไม่น่าจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้” หมอลินน้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง
ชานนท์สัมผัสได้ถึงความหวังดีที่มีต่อเพื่อนของหมอลิน คำพูดของหมอลินแต่ละคำเหมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจของชานนท์ พอรับรู้ถึงความรู้สึกของหมอเกื้อ ชานนท์ก็ปวดใจ บางทีถ้าเขารู้เร็วกว่านี้ รู้ว่ามีใครที่แสนดีแบบหมอเกื้อคอยมองและห่วงใยอยู่ตลอดเวลา เขาอาจจะตอบรับความรู้สึกนั้นไปแล้วก็ได้ แต่เพราะเขาเองเป็นแค่นักจิตวิทยา จะไปคาดหวังหรือคาดคิดว่าหมอจะชอบตัวเองก็คงไม่กล้า ชานนท์จึงไม่เคยรับรู้ถึงความปรารถนาดีของหมอเกื้อเลย
ระหว่างนั้น ภาพของหมอเกื้อในวินาทีสุดท้ายก่อนที่หมอเกื้อจะโดนรถชนก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง... ตอนนั้นพอเห็นรถบรรทุกกำลังพุ่งตรงมาที่ร่างของปกรณ์ สมองของชานนท์ไม่ได้ไตร่ตรองอะไรทั้งสิ้น หัวใจของเขาสั่งให้เขาช่วยคนคนนั้นแล้วก็รีบพุ่งลงจากมินิไบค์แล้วผลักร่างของปกรณ์ออกไปสุดแรง ฉับพลัน... ร่างของเขาก็กระเด็นตามไป
หมอเกื้อขับมินิไบค์คู่ใจมาหยุดอยู่กลางถนนแทนที่ชานนท์ เสี้ยววินาทีถัดมา ชานนท์จำได้ว่าหมอเกื้อยิ้มให้ก่อนจะหลับตาลงเพราะรู้ถึงชะตากรรมตัวเองแล้วรถบรรทุกก็พุ่งเข้าใส่ ร่างของหมอเกื้อกระเด็นออกไปไกล โชคดีที่มินิไบค์ช่วยต้านความแรงของรถบรรทุกทำให้รถบรรทุกเบรกทันก่อนที่จะเหยียบซ้ำไปที่ร่างของหมอเกื้อ
“ชานนท์ รับปากกับลินนะ ว่าจะทำให้เกื้อมีความสุขถ้าเกื้อฟื้นขึ้นมา” เสียงของหมอลินดึงสติของชานนท์กลับมา น้ำตาของชานนท์รินไหลลงโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ชานนท์ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตา เขาไม่สามารถตอบออกได้ในทันที ปกรณ์เองก็สำคัญ ปกรณ์นั้นเกิดมาในครอบครัวมีปัญหาจึงไม่ควรที่จะได้รับความผิดหวังจากคนที่ยอมเปิดใจ ส่วนหมอเกื้อเองก็แสนดี มีครอบครัวที่อบอุ่นและกล้าเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนที่ตัวเองรัก
...มันดูใจร้ายเกินไปหากชานนท์ต้องปฏิเสธใครไปสักคน
แต่หัวใจของชานนท์มีแค่ดวงเดียว ถ้าปกรณ์หายดีและหมอเกื้อฟื้นขึ้นมา เขาควรจะตัดสินใจอย่างไร หากปกรณ์ต้องผิดหวัง อาการของเขาอาจจะกำเริบและกลายเป็นคนที่ไม่ยอมเปิดใจให้ใครอีกเลย แต่ถ้าเป็นหมอเกื้อ... ชานนท์เองก็ไม่อาจใจร้ายทำให้ผู้ชายที่ปกป้องเขาต้องเจ็บปวดอีกครั้ง พอรู้ความรู้สึกของหมอเกื้อ เขาเองก็เริ่มลังเลใจ
ชานนท์ไม่อาจตอบได้ว่ารักใครมากกว่ากันในเมื่อตอนนี้หัวใจของเขามีคำตอบชัดเจนว่ารู้สึกดีกับคนทั้งคู่ เขาต้องกลายเป็นคนหลายใจโดยที่ไม่มีทางเลือกอย่างนั้นหรือ
“ผมจะทำให้หมอเกื้อมีความสุขครับ”
ท้ายที่สุดก็ตอบออกไป อย่างน้อยถ้าหมอเกื้อฟื้นขึ้นมา ชานนท์ก็ต้องตอบแทนหมอเกื้อ ยอมทำทุกๆ อย่างให้สมกับที่หมอเกื้อยอมปกป้องเขา
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ปกรณ์ได้รับยา พอเวลาผ่านไปสักพักเขาก็รู้สึกร่างกายเบาหวิว สติค่อยๆ สงบลง ความคิดในหัวว่างเปล่า
ปกรณ์นั่งนิ่งๆ อยู่บนเตียงนอนเหมือนคนที่ไร้จิตวิญญาณ แววตาล่องลอยไร้ความรู้สึก เขาไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีบุรุษพยาบาลเปิดประตูเข้ามาเพื่อเฝ้าดูอาการภายในห้อง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ในหัวของเขาก็เริ่มปั่นป่วน ปกรณ์ยกมือขึ้นมากุมขมับเอาไว้แน่น เขากำลังสับสน เขาจำอะไรไม่ได้ พยายามคิดว่าตัวเองคือใครกันแน่แต่ก็คิดไม่ออก ความเป็นตัวตนกำลังจะหายไป
มันเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวจนน่าขนลุกเมื่อพยายามคิดว่าตัวเองคือใครกันแน่ ปกรณ์คือใคร... ใครคือปกรณ์... พยายามลุกจากเตียงนอนแล้วเดินไปส่องกระจกภายในห้องน้ำอย่างยากลำบาก ภาพที่สะท้อนออกมาคือใบหน้าของเขา พอเห็นใบหน้าของตัวเองก็เริ่มรู้สึกโล่งใจ ...นี่แหละปกรณ์
ปกรณ์คือลูกของแม่กับพ่อ ความทรงจำในวัยเด็กที่แสนเจ็บปวดค่อยๆ แล่นเข้ามา สมองของเขาเริ่มทำงานหนักอีกครั้ง ทำไม... มันมีแต่ความทรงจำที่เลวร้าย มีแต่ภาพที่พ่อตบตีแม่ ด่าแม่ ภาพแม่เลี้ยงที่ทารุณ เสียงน้องชายที่ก่นด่าเพราะถูกแม่เลี้ยงบังคับ
ความหวาดกลัวนี้... ทำให้เขาต้องการใครสักคน ปกรณ์เดินกลับออกมาจากห้องน้ำแต่ยังไม่ทันที่จะถึงเตียงก็ทรุดลงกับพื้น เขาร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ตัวสั่นเทา กอดตัวเองแน่นแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดผวา
“ผมเกลียดพ่อ พ่อทำให้แม่เสียใจ พ่อทำทำร้ายแม่ พ่อไม่รักแม่” ปกรณ์พูดซ้ำไปซ้ำมาเมื่อภาพในหัวฉายซ้ำถึงฉากตอนที่แม่จับชู้ของพ่อได้คาเตียง
ปกรณ์ไม่อยากเห็นภาพนี้อีกแล้ว เขาพยายามสลัดความคิดแต่ก็ไม่หายจนกระทั่งเสียงของใครบางคนดังขึ้น
“ปกรณ์” เสียงนั้นแผ่วเบาและเป็นเสียงของคนที่เขาคุ้นเคย ปกรณ์รีบเงยหน้าขึ้นมองทันที ร่างนั้นยืนอยู่ข้างๆ หน้าต่างสายตาของเขารับรู้ถึงความเจ็บปวดของปกรณ์
“นรินทร์” ปกรณ์รีบคลานเข้าไปหาร่างนั้นก่อนจะยั้งกายให้ลุกขึ้นแล้วกอดกับนรินทร์ เขาซุกหน้าเข้าที่หัวไหล่แล้วปล่อยโฮออกมาเต็มที่ ขอแค่ใครสักคนที่กอดเขาในยามที่หัวใจเปราะบาง เพียงแค่นี้ก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตเขาแล้ว
บุรุษพยาบาลมองภาพของปกรณ์อย่างเข้าใจ ยากำลังออกฤทธิ์ จนทำให้ผู้ป่วยเห็นภาพของคนที่เขาสร้างขึ้นมา ปกรณ์กำลังทำท่าทางราวกับโอบกอดใครสักคน และยังพูดคุยกับคนคนนั้นราวกับว่าเขามีตัวตนอยู่จริง
“หมอครับ ยาออกฤทธิ์แล้วครับ” บุรุษพยาบาลโทรไปรายงานหมอการุณตามที่ได้รับคำสั่งก่อนหน้านี้ ว่าหากปกรณ์มาทีท่ามองเห็นใครให้รีบโทรบอกทันที
ไม่นานมากนัก หมอการุณก็เปิดประตูเข้ามาในห้องเพื่อสังเกตอาการของผู้ป่วย
“พ่อแม่งเลว ทำร้ายแม่ เอากับผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าแม่” ปกรณ์วนไปวนมาเรื่องเดิมๆ จนกระทั่งจู่ๆ เขาก็เริ่มนิ่ง ยืนตัวแข็งทื่อเมื่อนรินทร์พูดอะไรออกมา
“นายลืมไปแล้วเหรอว่าทำไมพ่อนายถึงร้ายกับแม่ ทำไมถึงไม่เคยรักแม่”
“เราไม่ลืม... เรารู้ว่าเพราะอะไร แม่จงใจทำให้เราเกิดมาโดยที่พ่อไม่ได้เต็มใจ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือแม่เราจับพ่อปล้ำตอนที่พ่อกำลังเมา”
คำพูดของปกรณ์ทำให้หมอการุณและบุรุษพยาบาลตกใจเล็กน้อย และยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อได้รับรู้ถึงความเป็นมาของครอบครัวนี้
“นายจำอะไรได้อีก พูดออกมาให้หมดสิ ระบายมันออกมา อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว” นรินทร์โน้มน้าวให้ปกรณ์พูด
“แม่... แม่...” น้ำเสียงของปกรณ์เริ่มสั่น ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนกระทั่งทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง น้ำตาไหลไม่ยอมหยุด “แม่รู้อยู่แล้วว่าพ่อมีคนรักมาก่อนและกำลังวางแผนว่าจะแต่งงาน แต่แม่ก็หลงพ่อมากจนตัดสินใจทำเรื่องที่ผิดมหันต์ เพื่อให้ได้พ่อมาเป็นคู่ชีวิต แต่พ่อก็ไม่เคยรักแม่ จนกระทั่งคนรักเก่าของพ่อกลับมา ซึ่งก็คือน้าฤทัย ความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเริ่มจากความคิดเลวๆ ของแม่ แม่ที่เลี้ยงดูเราเป็นอย่างดีกลับกลายเป็นคนที่แย่งผู้ชายคนอื่นซะเอง ใช่... ความจริงเราเองก็เกลียดแม่ เกลียดที่แม่ทำแบบนี้ เกลียดที่พ่อตบตีแม่ เกลียดที่ถูกน้าฤทัยตีแต่เพราะรู้ดีว่าแม่ทำอะไรกับน้าฤทัยไว้ก็เลยยอมน้าฤทัยทุกอย่าง เราอยากชดใช้กรรมให้แม่ ความจริงเราไม่น่าเกิดมาด้วยซ้ำ น่าจะตายๆ ไปซะ ไอ้ปกรณ์ ไอ้คนไม่มีใครต้องการ แกมันก็แค่ไอ้เด็กที่นรกส่งมาเกิด ไอ้คนไม่มีคุณค่า!!!”
น้ำเสียงของปกรณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความเครียดที่เกิดขึ้นส่งผลให้เขาทุบตีและทำร้ายตัวเอง ปกรณ์กำหมัดอัดที่เบ้าหน้าตัวเองอย่างแรงก่อนจะเอาหัวโขกกับพื้น
บรุษพยาบาลและหมอการุณที่ยืนสังเกตการณ์รีบเข้าไปช่วยตัวตัวของปกรณ์ไว้ แล้วพยายามใช้เชือกมัดอย่างยากลำบาก เพราะปกรณ์ดิ้นสู้แต่เมื่อตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถูกเชือกมัดเอาไว้จนแน่น เขาจึงทำได้เพียงตะโกนด่า... ด่าตัวเองซ้ำไปซ้ำมา
บุรุษพยาบาลประคองร่างของผู้ป่วยไปที่เตียง หมอการุณรีบฉีดยานอนหลับให้... ในตอนนี้พวกเขาทราบสาเหตุที่แท้จริงแล้ว สงสัยมานานเพราะการที่พ่อหรือแม่มีชู้กันนั้นเป็นสาเหตุทำให้เด็กเครียดก็จริง แต่ไม่น่าจะถึงขั้นสร้างใครสักคนขึ้นมาเพื่อระบายความทุกข์
พ่อเองก็ผิด แม่เองก็ผิด แม่เลี้ยงก็ผิดที่เอาความแค้นมาลงกับเด็ก... การรักษาต่อจากนี้คือต้องให้ปกรณ์ยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ แต่ต้องลบความคิดที่เป็นปมปัญหาว่าตัวเองไม่สมควรเกิดมาออกไป เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของผู้ใหญ่ ไม่ใช่โทษตัวเอง
หมอการุณ นักจิตวิทยารวมถึงพยาบาลในแผนกจิตเวชต้องทำให้ปกรณ์เห็นคุณค่าของตัวเอง ต้องทำให้ปกรณ์คิดจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังจากนี้ และปัญหาที่ยากที่สุดก็คือต้องให้ปกรณ์ยอมรับว่านรินทร์และปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริง แม้ในสภาพที่เขากำลังอ่อนแอที่สุด ก็จะไม่มีสองคนนี้โผล่ขึ้นมาเพื่อปกป้องความอ่อนแอของเขา
ปกรณ์ต้องยอมรับกับสภาพปัญหาของตัวเองแล้วเอามันไปเป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิต ไม่ใช่บั่นทอนจิตใจ
จบตอนจ้า
-
สงสารทุกฝ่ายเลย :hao5:
-
:o12: อะไรจะซับซ้อนขนาดนี้ หมอเกื้อนะหมอเกื้อ
ถ้ากล้าก็ได้ไปครอบครองแล้ว
นี่สินะ ตัวอย่างของคำว่า ด้านได้อายอด...
แต่ก็เข้าใจเหตุผลหมอเกื้อแหละ ผช ไม่แสดงออกเหมือนกัน
ใครจะกล้ารุกเข้าหา ถ้ารู้หรือว่ามั่นใจว่าเป็น ก็คงกล้าจีบไปแล้วใช่ไหมหมอ
ชอบค่ะ เนื้อเรื่องในส่วนของความรู้สึกเรียลดี
ชีวิตจริงมันไม่ได้ง่ายๆ เห็นแล้วชอบ แล้วจีบ แล้วได้กัน จบปิ๊ง..
ต้องแบบนี้แหละค่ะ อินมากๆ สงสารทุกคนเลยตอนนี้
ถ้าเป็นชานนท์เราก็คงลังเหมือนกัน
-
ตอนที่ 29
ตลอดระยะหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่ชานนท์จะข่มตาให้หลับลงด้วยความสบายใจได้แม้แต่คืนเดียว เขาเอาแต่คิดเรื่องปกรณ์กับหมอเกื้อ พอได้ทราบความจริงจากหมอการุณว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของปกรณ์บ้าง มันยิ่งทำให้ชานนท์คิดไม่ตก ปกรณ์พยายามใช้หัวใจปกปิดความจริงและไม่ยอมรับสิ่งที่แม่กระทำ เพื่อให้เขาได้มีความภาคภูมิใจเกี่ยวกับแม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำบ้าง
ปกรณ์ต้องก้าวผ่านความทรมานในแต่ละคืนวันมาเพียงคนเดียวตั้งแต่ตัวยังเล็กๆ ตามลำพัง มันหนักหนาเกินไปสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีใครรักและอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาโดยตลอด
เปรียบเทียบกับหมอเกื้อ ถ้าครอบครัวของปกรณ์คือสีดำมืดสนิท ครอบครัวของหมอเกื้อก็คือสีขาวบริสุทธิ์ ทั้งสองเกิดมาในครอบครัวที่มีความแตกต่างกันมาก หมอเกื้อถูกสั่งสอนมาอย่างดีจึงมีแต่ความคิดด้านบวก ...บางทีอาจจะขาวจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ เลยทำให้หมอเกื้อกล้าที่จะตัดสินใจเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องใครก็ตามที่เขารักโดยไม่ลังเล พอรู้ความรู้สึกของหมอเกื้อ ชานนท์ไม่อาจปฏิเสธได้เลย มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความสงสารหรือเห็นใจเท่านั้น แต่เพราะสิ่งที่หมอเกื้อกระทำ และพอคิดย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ชานนท์เริ่มหวั่นไหว
ในความเป็นจริงมนุษย์สามารถรักใครหลายๆ คนพร้อมกันได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ในความถูกต้อง... มนุษย์ควรจะต้องตัดสินใจคบกับใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าไม่เช่นนั้นปัญหาต่างๆ ก็จะตามมา
‘ให้ความรู้สึกต่อจากนี้เป็นคำตอบละกัน’
ในเมื่อตัดสินใจไม่ได้ ชานนท์ก็ต้องรอ... รอให้แน่ใจ รอให้ขาได้ใกล้ชิดกับปกรณ์อีกครั้ง และรอให้หมอเกื้อตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะได้เปิดอกคุยกัน ถึงตอนนั้นเขาคงจะตัดสินใจได้เอง อย่างไรก็ตามตอนนี้ชานนท์ขอแค่ให้หมอเกื้อฟื้นขึ้นมาเสียก่อน แม้ร่างกายจะยังไม่มีอาการตอบสนองใดๆ แต่หัวใจยังคงเต้น เพราะฉะนั้นทุกคนที่รักหมอเกื้อต่างยังคงรอคอยให้หมอเกื้อฟื้นขึ้นมาด้วยความหวัง
...เขาก็เป็นมนุษย์ทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ผิดใช่ไหมถ้าเขาจะรู้สึกหวั่นไหวกับคนสองคนพร้อมๆ กัน
วันนี้... หมอการุณอนุญาตให้ชานนท์สามารถเข้าเยี่ยมปกรณ์ได้ เขาจึงรีบไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า เฝ้ารอเวลาที่จะได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง ชานนท์เองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นจะทำให้เขามีท่าทีอย่างไรเมื่อได้พบกับปกรณ์
หมอการุณจะให้ชานนท์เข้าพบหลังจากที่ปกรณ์รับประทานอาหารเช้าและกินยาเสร็จ
พอถึงเวลาอาหารชานนท์ก็รีบไปเฝ้าหน้าห้องทันที แล้วยืนมองลอดผ่านกระจกใสบานเล็กที่ติดกับประตู
ปกรณ์ดูซูบลงเล็กน้อย ดวงตาบวมช้ำ หน้าตาอิดโรย แค่ได้ยืนมองจากจุดนี้ หัวใจของชานนท์ก็สั่นไหว คิดว่าปกรณ์นั่นแหละคือคนที่ใช่สำหรับหัวใจ อยากจะเข้าไปกอดร่างนั้นให้แน่นๆ แล้วระบายความในใจทั้งหมดออกมาให้ฟัง แต่แล้วอยู่ๆ ภาพรอยยิ้มของหมอเกื้อก็ปรากฏขึ้นมาในความคิด ความรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้คิดถึงหมอเกื้อมันคืออะไรกันแน่
ระหว่างที่คิดอยู่นั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับบุรุษพยาบาลที่เข็นรถเข็นอาหารออก
“ผมเยี่ยมได้เลยใช่ไหมครับ” ชานนท์เอ่ยถาม
“ได้เลยครับ” บุรุษพยาบาลตอบออกมาแล้วลากรถเข็นออกไป
ชานนท์เดินเข้าไปในห้อง สักพักปกรณ์ก็หันมามองตอบ ใบหน้าอิดโรยมองอย่างไร้ความรู้สึกในทีแรก แต่พอสมองเริ่มประมวลผลได้ว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาไม่ใช่บุรุษพยาบาลหรือหมอ ริมฝีปากของคนป่วยก็เริ่มขยับยิ้ม แววตาลุกวาวอย่างมีความหวัง เหมือนกับว่าเขารอคนคนนี้มานานแสนนาน... และพอได้เจออีกครั้ง ความดีใจทั้งหมดมันก็ปะทุออกมา
“คุณชานนท์” น้ำเสียงของปกรณ์สั่นไหว “ผมนึกว่าคุณจะไม่มาหาผมอีกแล้ว”
ชานนท์เจ็บปวดเหลือเกิน เขารู้ใจตัวเองดีว่าไม่สามารถทิ้งผู้ชายคนนี้ลงได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหมอเกื้อฟื้นขึ้นมาล่ะ... เขาก็คงไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ” ชานนท์เดินเข้าไปนั่งบนขอบเตียง ปกรณ์รีบขยับร่างมานั่งข้างๆ กันแล้วจับมือของชานนท์ข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกเอาไว้แน่น
“ผมมันตัวปัญหา ผมทำให้คุณเดือดร้อน” เสียงของปกรณ์แผ่วเบา เขาดูเหนื่อยล้ามากกว่าเคย
“โทษตัวเองอีกแล้วนะครับ” ชานนท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแล้วออกแรงบีบเบาๆ ที่ฝ่ามือ “คุณรับปากกับผมแล้วนะว่าจะรีบหายดี เพราะฉะนั้นอย่าคิดอะไรแบบนี้อีก... ให้นึกถึงอนาคตข้างหน้าเอาไว้ครับ จะต้องรีบหายเพื่อใครบางคนที่รอคุณอยู่”
“อนาคตข้างหน้า... เพื่อใครบางคนเหรอครับ” ปกรณ์ทวนคำก่อนจะทำหน้าครุ่นคิด เขานิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะพูดต่อ “อนาคตผมมีแต่คุณชานนท์คนเดียว ผมพยายามนึก.... แต่ก็ไม่มีใครในความคิดผมอีกเลย”
ชานนท์ยิ้มให้กับคำตอบอย่างเอ็นดู ชีวิตของปกรณ์ที่ผ่านมาคงประสบแต่เรื่องแย่ๆ จนไม่มีใครให้นึกถึง แม้แต่คนในครอบครัว
“แล้วปาณัฐ นรินทร์ล่ะครับ” ชานนท์ตัดสินใจถาม อยากรู้เหมือนกันว่าสองคนนี้ยังมีอิทธิพลในความคิดของปกรณ์มากแค่ไหน
“ทั้งสองคน...” ปกรณ์ก้มหน้าลง แววตาเศร้าเมื่อคิดถึงพวกเขา “ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ อนาคตของผมคงไม่มีพวกเขา แต่ในตอนนี้ ผมยังมีพวกเขา ทั้งสองคนกำลังนั่งมองและอยู่กับผมในห้องนี้ตลอดเวลา”
ชานนท์เกือบสะดุ้งโหยงให้กับคำตอบ บางที... ก็รู้สึกว่าสองคนที่ปกรณ์เอ่ยถึงมีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่เป็นสภาพของดวงวิญญาณที่คนอื่นไม่อาจมองเห็น พอคิดดังนั้นก็อดที่จะตกใจไม่ได้ ยิ่งน้ำเสียงของปกรณ์ที่เอื่อยเฉื่อย หางเสียงที่ยืดยานนั้นยิ่งทำให้รู้สึกขนลุก
“พวกเขาอยู่ตรงไหนครับ”
“นรินทร์ยืนอยู่ข้างๆ หน้าต่าง เขามักยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมองออกไปข้างนอก ส่วนปาณัฐมักจะนั่งเล่นอยู่บนโซฟา หรือบางทีก็มานั่งขอบเตียง ที่เดียวกับที่คุณกำลังนั่งอยู่”
เป็นอีกครั้งที่ชานนท์ขนลุก พอนึกภาพตามว่าสองคนนั้นมีจริงและกำลังนั่งที่เดียวกับเขา มันก็ให้ความรู้สึกกับว่าเขากำลังนั่งทับซ้อนกับวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น
“คุณเห็นพวกเขาตลอดเลยเหรอครับ” ปกรณ์เอ่ยถามต่อไป พยายามไม่คิดอะไรฟุ้งซ่าน
“ไม่ครับ วันละครั้งถึงสามครั้งได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าครั้งละกี่นาที บางทีเผลอๆ พวกเขาก็หายไป” ปกรณ์ตอบก่อนจะขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อที่จะกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับชานนท์ “แต่ตอนนี้ผมเห็นนะ แต่พยายามแกล้งทำไม่เห็น เพราะอยากอยู่กับคุณเท่านั้น... นรินทร์ดูเครียดและไม่พอใจ เขาคงคิดว่าคุณมาแย่งความรักไป ส่วนปาณัฐยิ้มให้ผมและคุณตลอดเวลา แต่บางทีก็เหมือนจะร้องไห้ เหมือนว่าไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”
ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจ ถ้าปกรณ์ยอมรับเรื่องนี้ได้ อีกไม่นานทั้งปาณัฐและนรินทร์ก็คงจะค่อยๆ เลือนหายไปและไม่ปรากฏขึ้นมาอีกเลย ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาณดี แต่หากมีเรื่องอะไรกระทบใจปกรณ์อีกครั้ง ความพยายามในการรักษาทั้งหมดอาจเป็นศูนย์ ต้องเริ่มใหม่.. ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะใช้เวลานานกว่าเดิม
มีเรื่องที่ชานนท์กังวลอยู่สามเรื่องก็คือ...
เรื่องแรกคือเรื่องของแม่เลี้ยงและพ่อ ถ้าพวกเขาเจอกันและใช้คำพูดรุนแรงอาจทำให้ปกรณ์แย่ลงได้จนต้องยืดระยะเวลาในการรักษา
เรื่องที่สองคือเรื่องของภูษิต ไม่รู้ว่ายังคงคิดว่าปกรณ์เป็นพ่ออยู่ไหม หากปล่อยให้เจอกันอาจเรื่องที่ไม่ควรได้ยินให้ปกรณ์รับทราบก็ได้ ซึ่งเรื่องนั้นก็คือข้อสุดท้ายเรื่องของหมอเกื้อ เรื่องนี้ปกรณ์จะรู้ไม่ได้โดยเด็ดขาดจนกว่าจะมั่นใจว่า มีอาการดีขึ้นจนเกือบจะปกติ ความคิดในด้านลบลดลงจนแทบไม่เหลือ
“งั้นก็รีบๆ ไล่พวกเขาไปซะนะ ผมกังวลจะแย่แล้วที่ต้องมาคอยระแวงคุณ กลัวว่าคุณจะใส่ใจพวกเขามากกว่าผม” ชานนท์เริ่มใช้จิตวิทยาในการสื่อสาร แสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าไม่ชอบใจแต่พยายามพูดให้ติดขำเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายกังวล นั่นจะเป็นการกระตุ้นให้ปกรณ์อยากที่จะทำตามเพื่อคนที่เขารัก ...แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แค่คำพูดทางจิตวิทยาเท่านั้น ชานนท์เองก็รู้สึกแบบที่พูดจริงๆ
“นี่คืออาการของคนหึงใช่ไหมครับ” น้ำเสียงของปกรณ์ยังคงเลื่อนลอย อาจเพราะฤทธิ์ยาและอาการที่อดหลับอดนอนเลยทำให้เขาอาจแสดงความรู้สึกในด้านบวกออกมาได้ไม่เต็มที่ “ดีใจจัง พอรู้ว่าคุณหึง ก็รู้สึกมีค่ายังไงก็ไม่รู้ อธิบายไม่ถูก”
“อื้อ ครับ... ก็หึง” ชานนท์แกล้งตอบอย่างไม่เต็มใจ เบือนหน้าหนีให้อีกฝ่ายเข้าใจว่ากำลังเขินอาย “รู้แบบนี้แล้วต้องตัดใจทิ้งพวกเขาไปจากชีวิตให้ได้นะครับ คิดถึงจะแย่เวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“ผมเองก็คิดถึงเหมือนกัน” ปกรณ์พูดออกมาเสียงสั่น ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับชานนท์คือช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตของปกรณ์
มือของคนทั้งสองจับกันเอาไว้แน่น ไม่มีคำพูดใดใดเอ่ยออกมาอีก ต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน จนกระทั่งประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของบุรุษพยาบาลที่เดินเข้ามา ทั้งคู่จึงปล่อยมือออกจากกัน
“คุณชานนท์ครับ หมอการุณเรียกพบครับ”
“ครับ” ชานนท์พยักหน้ารับทราบก่อนจะหันไปมองกับปกรณ์ อีกฝ่ายยิ้มให้และพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ถ้าหมออนุญาตให้เยี่ยมอีก ผมจะรีบมาหานะครับ”
“ครับ” ปกรณ์รับคำ พออีกฝ่ายลุกจากเตียงไป เขาก็ร้องเรียกเอาไว้ก่อน “เอ่อ... คุณชานนท์ครับ”
“ครับ” ชานนท์หันกลับมา
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ช่วงนี้คุณดูไม่ค่อยสดชื่นเท่าไรนะครับ” ไม่ใช่แค่ชานนท์ที่มองเห็นความแตกต่าง แต่ปกรณ์เองก็มองเห็นความแต่งต่างของอีกฝ่ายเช่นกัน
“ครับ” ชานนท์ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ปกรณ์มองดูร่างนั้นเดินจากไปด้วยความทรมาน เขาอยากจะวิ่งเข้าไปห้ามแต่ก็ต้องพยายามข่มความต้องการเอาไว้ หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานานราวกับหนึ่งปี ต้องอยู่คนเดียวในห้องพักกับอาการที่ไม่ปกติหลังได้รับการฉีดยามันไม่สนุกเลยสักนิด แต่ปกรณ์ก็ต้องอดทน ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เพื่อชานนท์ด้วย เขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวล
ชานนท์เดินไปที่ห้องของหมอเกื้อ... ทว่าภายในห้องนั้นกับมีบุคคลแปลกหน้าที่เขาไม่เคยพบ หากพิจารณาจากสายตาเขาน่าจะสูงประมาณ 180 เซนติเมตร ใบหน้าของเขาหล่อเหลาราวกับดารา ผิวขาวเปล่งปลั่ง รูปร่างกำยำ จมูกโด่งเป็นสัน ไม่ว่าจะมองมุมไหนๆ ก็ดูดีไปเสียหมด
“นี่คุณชานนท์ใช่ไหมครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยทัก
“ครับ” ชานนท์ตอบรับอย่างแคลงใจ เขาไม่มีญาติที่ดูดีแบบนี้ และไม่น่าจะเคยรู้จักคนนี้มาก่อน แล้วเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน ฉับพลันความสงสัยทั้งหมดก็คลายลงเมื่อเขาเอ่ยแนะนำตัว
“ผมชื่อปรปรัชญ์เป็นน้องของพี่ปกรณ์ ผมต้องการมาเยี่ยมพี่ปกรณ์ครับ แต่หมอยังไม่อนุญาต หมอบอกว่าต้องคุยกับคุณก่อน ถ้าคุณไม่ตกลง ผมก็เข้าเยี่ยมไม่ได้”
ชานนท์กลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ นี่น่ะหรือปรปรัชญ์ น้องชายของปกรณ์ แววตาไม่ได้สื่อถึงความประสงค์ร้ายและไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด เข้าใจแล้วล่ะ ว่าเหตุใดปกรณ์ถึงสับสนว่าปรปรัชญ์อาจจะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายหรือกลั่นแกล้งเขา แต่เพราะมีคนคอยยุยงเลยอาจทำให้เด็กหน้าตาหล่อเหลาคนนี้ฝืนใจทำตาม...
จบตอน
-
อ่านรวดเดียว สนุกมากค่า ติดตาม :L2: :L2: :L2:
-
หรือว่าปรปรัชญ์จะมาเปนตัวแปรอีกคนนึงสำหรับความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงของสามคนนี้นาาา~ รู้สึกสงสารปกรณ์อ่ะ ฮือออ ถ้ารู้ว่าชานนท์หวั่นไหวกับคนอื่น เราอยากให้ปกรณ์หายดีและเข้มแข็งได้แม้ไม่มีใคร><
-
:z3: ตอนจบค้างมาก ลุ้นกับน้อง จะมาดีหรือร้ายเนี่ย
ตื่นเต้นอ่ะ โผล่มาแบบนี้ จะทำไรบ้างนะ
ขอให้มาดี
-
ตอนที่ 30
ชานนท์ยืนครุ่นคิดอยู่นาน ไม่ได้พูดอะไรกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ สายตาของปรปรัชญ์ที่มองมานั้นจับจ้องด้วยความคาดหวัง
“ผมไม่อนุญาตครับ” เมื่อได้บทสรุปก็ตอบออกไป
“ทำไมครับ” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ผมต้องการเหตุผล”
“คุณกินอะไรมาหรือยังครับ ถ้ายังไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหมครับ” เมื่ออีกฝ่ายยังคงงุนงง คิ้วขมวดเป็นปมด้วยความไม่เข้าใจ ชานนท์จึงพูดต่อ “ผมจะเล่าอาการของคุณปกรณ์ให้ฟังครับ และเดี๋ยวคุณจะรู้ว่าทำไมถึงยังเข้าเยี่ยมไม่ได้”
“อ๋อ... งั้นก็ได้ครับ” ปรปรัชญ์พยักหน้าจากนั้นชานนท์จึงเดินนำออกจากห้องแล้วไปยังร้านขายอาหาร
ปรปรัชญ์สั่งเพียงนมสดปั่นแก้วเดียวเท่านั้น ส่วนชานนท์ที่ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อคืนสั่งข้าวเปล่ากับต้มยำกุ้ง
“คุณไม่กินเหรอครับ” ชานนท์เอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายถือเพียงแก้วนมสดปั่น
“ผมยังไม่ค่อยหิวน่ะครับ” ปรปรัชญ์ตอบ ชานนท์พยักหน้ารับรู้แล้วเริ่มเข้าเรื่องปกรณ์ทันที
“ตอนนี้คุณปกรณ์อยู่ในระหว่างการรักษาน่ะครับ จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ จะไม่อนุญาตให้คนที่อาจมีผลต่อสภาพจิตใจของเขาเข้าเยี่ยมน่ะครับ”
“อย่างนี้นี่เอง” ปรปรัชญ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ เขารู้ตัวดีว่าเคยทำอะไรไม่ดีต่อปกรณ์เอาไว้หลายอย่าง แต่ปกรณ์ไม่เคยรู้หรอกทุกครั้งที่ต้องลงมือมันฝืนใจแค่ไหน
“คุณคงรู้นะครับว่าการที่คุณปกรณ์เข้ารักษาที่นี่ เขาจำเป็นต้องเล่าเรื่องทางบ้านให้กับหมอและนักจิตวิทยาฟัง” ชานนท์เอ่ยถาม
“ผมทราบข้อนั้นดีครับ” ปรปรัชญ์ก้มหน้า เพราะเหตุนี้เขาจึงเป็นตัวอันตรายสำหรับปกรณ์ในตอนนนี้
“ปกรณ์บอกกับพวกเราว่าเขากลัวคุณ แต่ผมว่าคุณดูไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยนะครับ” ชานนท์มั่นใจว่าเขาดูคนออก แม้จะพยายามปกปิดตัวตนที่แท้จริงอย่างไร แต่ดวงตานั้นไม่สามารถโกหกได้ตลอดเวลาแน่นอน และแววตาของปรปรัชญ์นั้นมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดมากกว่าที่จะมาอาฆาตแค้นอะไรจากปกรณ์
“ครับ” ปรปรัชญ์พยักหน้ารับ ทุกครั้งที่ลงมือกระทำพี่ชาย ไม่ว่าจะเตะหรือต่อย เขาไม่เคยเต็มใจ เพราะแม่สั่งให้ทำ ถ้าไม่ทำแม่ก็จะเป็นฝ่ายตีปกรณ์และลงมือรุนแรงยิ่งกว่าเขาหลายเท่า ปรปรัชญ์จึงจำเป็นต้องทำ ต้องแกล้งทำเป็นเกลียด เพื่อให้แม่อ่อนลง จะว่าไปเขาเองก็ไม่ได้ชอบแม่ที่เป็นแบบนี้สักนิด จึงตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศเพราะไม่อยากอยู่กับแม่ แต่ถึงอย่างนั้น... แม่ก็คือแม่ เขาจะบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าแม่ของเขาโหดร้ายแค่ไหน
“แล้วนี่คุณกลับมาจากต่างประเทศนานแล้วเหรอครับ อ้อ... พอดีคุณปกรณ์เคยเล่าให้ฟังนะครับว่าน้องชายไปเรียนที่ต่างประเทศ” ชานนท์เห็นอีกฝ่ายเครียดจึงหาเรื่องอื่นมาคุย เด็กหนุ่มคนนี้คงไม่ได้มีความสุขที่ต้องเห็นปกรณ์มีความทุกข์ เขาเองคงมีเรื่องราวฝังใจเหมือนกัน
“เพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้ครับ พอทราบข่าวจากพ่อว่าพี่ปกรณ์เข้ามารักษาที่โรงพยาบาล ผมก็รีบเคลียร์งานแล้วหาวันลาหยุดกลับมาที่ไทยเพื่อที่จะมาเยี่ยมพี่ปกรณ์ พอลงเครื่องผมก็รีบมาที่นี่ก่อนเลยครับ ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วยเพราะกะจะเข้าไปเอาชุดที่บ้านมาใส่”
“เอาชุดที่บ้านมาใส่” ชานนท์ไม่เข้าใจ ปรปรัชญ์หมายถึงอะไร
“อ้อ... ผมไม่อยากนอนที่บ้านน่ะครับ แต่จะเข้าไปเอาชุดแล้วคงหาโรงแรมแถวๆ นี้นอนพัก” ปรปรัชญ์ตอบออกมา เขาไม่ได้เกลียดพ่อกับแม่ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เจอมานั้นทำให้เขาไม่อยากอยู่ใกล้ มันเป็นความอึดอัดเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับแม่ รู้ว่าแม่รักตนมากแต่ก็ไม่ชอบการที่แม่บังคับให้ทำนั่นทำนี่และตอนนี้เขาเองก็โตพอที่จะตัดสินใจอะไรเองได้แล้ว
“แล้วคุณอยู่ที่ไทยได้กี่วันครับ”
“สิบวันครับ ผมต้องรีบกลับ”
“ผมขอถามอะไรคุณตรงๆ ได้ไหมครับ แต่ถ้าไม่สบายใจที่จะตอบ คุณไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ”
“ได้ครับ”
“คุณรู้สึกยังไงกับพี่ชายของคุณกันแน่” เป็นคำถามสั้นๆ ที่นักจิตวิทยาอย่างปกรณ์ไม่ได้ต้องการคำตอบที่แท้จริงหรอก เพราะเขาไม่รู้ว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะจริงหรือเท็จ แต่แค่ต้องการจะดูปฏิกิริยาของคนที่ถูกถามเพื่อที่จะวิเคราะห์ว่าเขาแสดงออกอย่างไร
“คือผม...” ปรปรัชญ์ก้มหน้า สายตาของเขาเหมือนไม่มั่นใจในคำตอบ อาจเพราะกลัวว่าคำตอบนั้นอาจจะไม่ส่งผลดีต่อตัวเองหรือแม่ แต่ท้ายที่สุดปรปรัชญ์ก็เลือกที่จะตอบมันออกมาเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงได้ข้อมูลมาจากปกรณ์หมดแล้ว คงไม่เป็นไร
“ความจริงผมไม่เคยเกลียดพี่ปกรณ์เลยนะครับ สภาพจิตใจผมก็แย่ไม่ต่างจากพี่หรอก ผมต้องลงมือร้ายพี่โดยที่ผมไม่อยากทำ ทุกครั้งที่ทำแบบนั้นผมก็จะเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว แล้วชกหมอนชกที่นอน ไม่ชอบที่แม่บังคับ แต่ถ้าไม่ทำ... พี่ก็จะโดนหนักกว่า ยิ่งพอรู้ว่าพี่ปกรณ์ป่วยแบบนี้เพราะผม ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ ถ้าผมไม่ได้พบพี่ปกรณ์แล้วขอโทษ ผมก็คงรู้สึกค้างคาและมาเสียเที่ยว เพราะฉะนั้นให้ผมพบกับพี่ปกรณ์เถอะนะครับ”
ชานนท์รับฟังด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย จากคำตอบของปรปรัชญ์และคำพูดของปกรณ์ที่เคยเอ่ยถึงน้องชายมันสอดคล้องกัน ปกรณ์เคยบอกว่าไม่แน่ใจว่าน้องชายรู้สึกอย่างไรกันแน่ เพราะบางครั้งก็เหมือนไม่เต็มใจที่ทำร้าย แต่เพราะมีแม่เลี้ยงคอยยุยง เขาก็เลยหวาดกลัวไปหมด
“นะครับคุณชานนท์” ปรปรัชญ์ส่งเสียงอ้อนวอนอีกครั้ง
“ได้ครับ แต่ไม่ใช่วันนี้นะครับ” ชานนท์ตอบออกมา
“ขอบคุณครับ” ปรปรัชญ์ยิ้มออกมาอย่างมีหวัง “แล้วให้ผมมาเยี่ยมได้วันไหนครับ”
“เดี๋ยวผมต้องถามหมอการุณอีกทีว่าจะฉีดยาให้คุณปกรณ์วันไหนบ้าง ต้องรอให้ยาคลายฤทธิ์ลงก่อนนะครับ เอางี้นะครับถ้าได้วันที่แน่นอนผมจะโทรไปบอก รบกวนขอเบอร์คุณด้วยนะครับ”
“ครับ” ปรปรัชญ์ตอบรับด้วยความยินดี “เอาโทรศัพท์มาเลยครับเดี๋ยวผมเมมเบอร์ให้”
ชานนท์หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้อีกฝ่ายทันที ปรปรัชญ์จัดการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ให้เพียงครู่เดียวก็ส่งคืน
“แล้วผมก็มีอีกเรื่องที่อยากรบกวนคุณชานนท์”
“เรื่องอะไรครับ”
“พ่อเล่าเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นให้ฟังแล้วนะครับ กำชับแล้วว่าไม่ให้พี่ปกรณ์รู้ คือผมต้องขอโทษคุณชานนท์จริงๆ นะครับที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แล้วผมก็อยากไปเยี่ยมหมออีกคนที่ประสบอุบัติเหตุ อยากจะไปขอโทษแทนพี่ปกรณ์น่ะครับ”
“คือเรื่องนั้น...” ชานนท์วางช้อนกับส้อมลงแล้วหลบสายตาลงต่ำพอคิดถึงหมอเกื้อ “หมอเกื้อยังไม่ฟื้นเลยครับ อาการของหมอค่อนข้างสาหัส ตอนนี้ยังไม่ได้สติ แต่หัวใจยังเต้นและยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ครับ”
ปรปรัชญ์เข้าใจในสิ่งที่ชานนท์พูด เขาไม่รู้มาก่อนว่าอาการของหมอหนักถึงเพียงนี้ ยิ่งพอรู้แบบนี้เขายิ่งรู้สึกผิดที่แม่และเขาคือต้นเหตุที่ทำให้ปกรณ์ป่วยทางจิต จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“แต่เดี๋ยวผมพาไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของหมอเกื้อนะครับ ท่านเฝ้าลูกชายทั้งวันทั้งคืนเลย”
“ได้ครับ ขอบคุณครับ”
หลังจากที่ผู้ป่วยแผนกจิตเวชรู้ข่าวว่าหมอเกื้อไม่ได้ประจำการที่นี่แล้ว หลายคนมีท่าทีไม่พอใจ บางรายถึงขั้นส่งเสียงกรีดร้องออกมาเพราะไม่อยากรักษากับคนอื่น บางรายร้องไห้แล้วเอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมาว่าคิดถึงหมอเกื้อ แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนสะเทือนใจผู้ที่พบเห็น เพราะมันตอกย้ำให้พวกเขารู้ว่าหมอเกื้อสำคัญมากแค่ไหนกับผู้ป่วย และผู้ที่เจ็บปวดที่สุดก็คงหนีไม่พ้นชานนท์... เขาจำเป็นต้องโกหกผู้ป่วยเพื่อที่เรื่องจะได้ไม่บานปลาย
ชานนท์ต้องฝืนกลั้นน้ำตาทุกครั้งที่ผู้ป่วยถามถึงหมอเกื้อจนกระทั่งวันนี้... ถึงคิวนัดตรวจอาการของภูษิต
ศรันย์เด็กหนุ่มวัย 21 ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องเป็นคนพาภูษิตมาเข้ารับการรักษาเหมือนอย่างเคย ชานนท์ลำบากใจที่ครั้งเมื่อเห็นผู้ป่วยแล้วจะเป็นต้องแจ้งข่าวเรื่องของหมอเกื้อ
“คุณศรันย์ครับ ผมมีเรื่องที่จะต้องแจ้งนะครับ” น้ำเสียงของชานนท์จริงจัง
“ครับ”
“เราจำเป็นต้องเปลี่ยนให้หมอท่านอื่นดูแลภูษิตนะครับ เพราะหมอเกื้อย้ายไปประจำการที่ต่างจังหวัด” ชานนท์ไม่ชอบการโกหก ทุกครั้งทำพูดแบบนี้มันตอกย้ำให้เขารู้สึกผิด เหมือนเป็นคนเลวที่ต้องหาเหตุผลข้ออ้างเพื่อปกป้องใครอีกคน โดยไม่สนใจความรู้สึกของญาติๆ หรือคนรู้จักของฝั่งหมอเกื้อ แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเข้าใจก็ตาม
“ครับ” ศรันย์พยักหน้ารับทราบ เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจและคิดว่าคงมีอะไรมากกว่านั้นแน่แต่คงพูดต่อหน้าภูษิตไม่ได้ จึงเก็บความสงสัยเอาไว้แล้วค่อยรอสอบถามทีหลัง
ศรันย์หันไปอธิบายให้ภูษิตฟัง แววตาของภูษิตแสดงถึงความผิดหวังทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ถ้ามีศรันย์อยู่ใกล้ๆ ภูษิตก็จะเป็นเด็กดีกับทุกคนทันที
พอไปส่งภูษิตรักษากับหมอคนใหม่ ศรันย์ที่ต้องรอจึงตัดสินใจใช้เวลาที่ว่างนี้ไปคุยกับชานนท์ให้หายค้างคาใจในสิ่งที่กำลังสงสัย
“คุณชานนท์ครับ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หมอเกื้อไม่ได้ย้ายไปที่อื่นใช่ไหมครับ” น้ำเสียงของศรันย์ฟังดูร้อนรน เชื่อในความคิดตัวเอง
ชานนท์นิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าควรพูดความโกหกเพื่อที่ว่ายิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี หรือพูดความจริงออกไปเลยเพื่อให้อีกฝ่ายหายแคลงใจ อีกทั้งศรันย์ก็ไม่ใช่คนที่น่าจะเก็บความลับไม่อยู่
“ตกลงมีอะไรจริงๆ ใช่ไหมครับ บอกผมเถอะครับ ผมไม่เอาไปบอกใครต่อแน่ครับ” ศรันย์คาดคั้น พอเห็นท่าทีที่อึกอักของชานนท์ก็มั่นใจได้ในทันทีว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับหมอเกื้อ
“คือว่าหมอเกื้อ...” ชานนท์ต้องยอมจำนน ไม่ว่าจะปกปิดหรือเปิดเผยสักวันศรันย์ก็ต้องรู้อยู่ดี ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจดจ่ออยู่กับการพูดคุย พวกเขาไม่รู้เลยว่าประตูห้องได้ถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับร่างของใครบางคนที่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาสนทนากันทั้งหมด “หมอเกื้อประสบอุบัติเหตุครับ วันนั้นมีเรื่องเกิดขึ้น คุณปกรณ์กำลังจะถูกรถบรรทุกชน หมอเกื้อและผมตามไปเห็นพอดี ผมก็เลยวิ่งเข้าไปช่วย... แล้วหมอเกื้อก็พุ่งเข้ามาช่วยผมอีกทอด ร่างของผมกับปกรณ์กระเด็นไปที่ข้างทางก่อนที่รถบรรทุกจะชน ส่วนหมอเกื้อนั้นถูกชนเข้าเต็มๆ เลยครับ”
ศรันย์ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“แล้วตอนนี้หมอเกื้ออยู่ที่ไหน อาการเป็นยังไงบ้างครับ” ศรันย์ภาวนาไม่ให้เป็นอย่างที่เขาคิด
“หมอเกื้อพักรักษาตัวอยู่ที่นี่แหละครับ อาการของหมอเกื้อหนักมาก หมอเกื้อหมกสติทันทีที่ถูกชนจนตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลยครับ นี่ก็หนึ่งสัปดาห์กว่าแล้ว”
“หมอเกื้อถูกรถชน ยังไม่ฟื้นเหรอครับ” น้ำเสียงสั่นไหวที่ดังขึ้นทำให้คนที่กำลังสนทนากันหันไปมอง ทั้งคู่ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างนั้นกำลังยืนสั่นไหวอยู่หลังบานประตูที่กำลังแง้มเปิดเข้ามา “หมอเกื้อเจ็บหนักเหรอครับ”
จบตอน...
-
ความลับที่รู้หลายคนมักปิดไม่มิด พึงระวังยามบอกเล่า หึหึ
-
คงไม่ใช่ปกรณ์ใช่มั้ยที่มาได้ยินอ่ะ :hao5:
-
ปกรณ์ชัวร์ๆ :katai1:
-
ตอนที่ 31
ภูษิตรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกรถชนเสียเอง เขาแทบจะยั้งกายเอาไว้ไม่ไหวจนศรันย์ต้องรีบไปประคองร่าง สำหรับภูษิตแล้วนอกจากศรันย์และชานนท์ ก็มีหมอเกื้อนี่แหละที่ภูษิตรักและไว้ใจ หมอเกื้อเป็นหมอที่ใจดี พูดคุยกับเขาได้สนุกสนาน หมอเกื้อทำให้เขารู้สึกสบายใจได้อย่างน่าอัศจรรย์เวลาที่ได้มาหา
“ผมไม่อยากให้หมอตาย” คำพูดอาจจะฟังดูห้วนๆ แต่มันเป็นการพูดที่บริสุทธิ์ใจอย่างยิ่งยวดของผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต “หมอจะต้องไม่ตาย คุณชานนท์ คุณรับปากกับผมนะครับว่าจะต้องช่วยหมอ หมอจะต้องไม่ตาย”
ภูษิตขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วดึงชายเสื้อของชานนท์ เขาอ้อนวอนร้องขออยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา
“หมอจะต้องปลอดภัยครับ” เป็นอีกครั้งที่ชานนท์น้ำตาคลอ ไม่น่าจะเป็นหมอเกื้อที่นอนอยู่ตรงนั้น หมอเกื้อสำคัญกับใครอีกหลายคน ควรจะเป็นเขามากกว่า ยิ่งเห็นสีหน้าของคนอื่นที่ผิดหวังเสียใจเมื่อได้ทราบข่าวของเมื่อเกื้อ ชานนท์ก็ยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น
ชานนท์ไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะยอมแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้ เมื่อเจอเรื่องที่หนักหนาสาหัสเขาเองก็อ่อนแอจนอยากจะได้ใครสักคนมาทำให้เขาดีขึ้น แต่ใครล่ะที่จะมาช่วยให้กำลังใจเขาในยามที่เขาอ่อนแอ
ระหว่างนั้นเอง ใครอีกคนก็เดินเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์ขายาวรีบเข้าไปประคองร่างของชานนท์เอาไว้
ชานนท์ตัวสั่นเทา ศรันย์รีบพาภูษิตออกจากห้อง เพราะเขาก็ต้องดูปลอบโยนภูษิตเหมือนกัน
“คุณชานนท์ คุณเป็นอะไรครับ”
“คุณปรัชญ์เองเหรอครับ” ชานนท์หันหน้าไปมองอีกฝ่าย เขาไม่ได้หมดแรงจนยืนไม่ไหว เพียงแค่คิดแล้วเจ็บใจที่คนนอนป่วยไม่ใช่เขา เขาอยากจะไปนอนอยู่ตรงนั้นแทนหมอเกื้อ
“มีอะไรเหรอครับ สองคนนั้นทำอะไรคุณ”
“เปล่าครับ ไม่ใช่ๆ” ชานนท์รีบปฏิเสธ
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นครับ” ปรปรัชญ์เซ้าซี้ ท่าทางของเขาดูห่วงใยมาก ดูเป็นคนที่รักพวกพ้องไม่เบา ชานนท์รู้สึกว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนหรือคนสำคัญของเขา เขาคงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ แน่
“ผมรู้สึกแย่ครับ” ชานนท์ไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาจำเป็นต้องระบายความในใจออกมาให้คนอื่นรับทราบ เป็นนักจิตวิทยาแท้ๆ แต่กลับต้องปรึกษาคนอื่นเสียเอง “น้องภูษิตเป็นคนป่วยของหมอเกื้อ เขาบังเอิญได้ยินที่ผมพูดถึงอาการของหมอเกื้อ น้องตกใจน่ะครับ พอคิดถึงเหตุการณ์นั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดเสมอ มันควรเป็นผมที่นอนอยู่ในห้องนั้นแทนหมอเกื้อ”
ปรปรัชญ์เข้าใจความรู้สึกนี้ คนที่ต้องแบกรับเรื่องแย่ๆ ที่ได้กระทำมาทั้งชีวิตอย่างเขามีหรือที่จะไม่เข้าใจ ถึงเหตุการณ์จะต่างกันก็ตาม
ปรปรัชญ์กอดร่างของปกรณ์เอาไว้ มันอบอุ่นเหมือนกับที่ชานนท์เคยกอดกับปกรณ์
“อย่าโทษตัวเองนะครับ” น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นมานั้น มันเหมือนกับที่ชานนท์มักพูดกับปกรณ์ไม่มีผิด
แต่ถึงจะอย่างไร ชานนท์ก็อดโทษตัวเองไม่ได้อยู่ดี พอตั้งสติได้แล้วรู้ตัวว่าโดนกอด ชานนท์จึงรีบผละร่างออกจากอ้อมแขนของปรปรัชญ์
“ผมขอโทษ” ชานนท์เอ่ยขึ้น เขาเผลอให้ความอ่อนแอครอบงำจิตใจ
“ผมเองก็ขอโทษเหมือนกัน” ปรปรัชญ์รีบเอ่ยขึ้นบ้าง “ผมไม่รู้ว่าคุณถือหรือเปล่านะครับ แต่ที่อเมริกาผมกับเพื่อนกอดกันเป็นเรื่องปกติ พอเห็นคุณมีท่าทางไม่สบายใจ ผมก็แค่อยากปลอบใจ ไม่อยากให้คนที่ช่วยชีวิตพี่ชายของผมต้องมาคิดโทษตัวเองแบบนี้ ถ้าไม่โอเคผมต้องขอโทษด้วยครับ”
“ผมไม่ได้ถือครับ” ชานนท์รีบแย้งเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด “ผมเป็นนักจิตวิทยาน่าจะควบคุมอารมณ์ได้มากกว่านี้ เลยทำให้คุณต้องคิดมากไปด้วย”
“ผมไม่ได้คิดมากนะครับ” ปรปรัชญ์กล่าวก่อนจะขยับออกมาแล้วไปนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานตรงข้ามกับเก้าอี้ของชานนท์ “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ อย่าลืมสิ ผมเองก็เคยผ่านความเจ็บปวด ต้องแบกรับความรู้สึกผิดมาทั้งชีวิตแล้วเหมือนกัน ถ้าคุณกำลังภาวนาให้หมอเกื้อหายดี ผมเองก็ภาวนาให้พี่ชายของผมกลับมาเป็นปกติ ผมอยากเจอพี่ อยากขอโทษทุกสิ่งที่อย่างที่เคยกระทำ มันแย่นะครับความรู้สึกแบบนี้”
“ใช่ครับ มันรู้สึกแย่มากๆ”
“ผมก็เลยไม่อยากเห็นคุณเป็นแบบนั้น ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ เวลาคนป่วยคิดแบบนี้ คุณจะมีวิธีปลอบคนป่วยยังไงล่ะครับ คุณก็ลองเอาความคิดและคำพูดเหล่านั้นมารักษาอาการโทษตัวเองดูบ้างสิครับ”
“ผมเข้าใจแล้วครับ” ชานนท์พยักหน้า จริงอย่างที่ปรปรัชพูด เขาไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ จะเอาแต่โทษตัวเองก็คงไม่ถูก “แล้วนี่คุณมาทำอะไรครับ”
ชานนท์เอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะเขาโทรไปบอกปรปรัชญ์แล้วว่าอีกสามวันจึงจะสามารถเข้าเยี่ยมปกรณ์ได้
“มาหาคุณไงครับ” ปรปรัชญ์ยิ้มออกมา ชานนท์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ผมอยากไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุแม่ของหมอเกื้อน่ะครับ”
“อ่อ...” ชานนท์พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะทำสีหน้าแบบรู้สึกผิด “แต่ผมติดงานน่ะครับ อาจต้องรอตอนพักกลางวันหรือเลิกงานเลย”
“งั้นไว้เดี๋ยวผมมาใหม่ตอนคุณเลิกงานนะครับ” ปรปรัชยิ้มรับอย่างเข้าใจ เขาเองก็คิดตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณชานนท์อาจจะไม่ว่าง ที่ไม่ได้โทรมาหาก่อนเพราะตั้งใจจะออกมาข้างนอกอยู่แล้ว หมกตัวอยู่แต่ในโรงแรมมันน่าเบื่อ “คุณเลิกงานกี่โมงครับ”
“วันนี้ผมต้องอยู่ถึงหกโมงเย็นครับ” ชานนท์ตอบ
“โอเคครับ เดี๋ยวผมมาใหม่นะ”
“ครับ”
หลังจากที่ปรปรัชญ์ออกจากห้อง ศรันย์พาภูษิตกลับเข้ามาภายในห้องอีกครั้ง
แววตาของภูษิตดูแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ได้ทราบข่าวเรื่องหมอเกื้อ
“คุณชานนท์ ผมอยากไปเยี่ยมหมอเกื้อ” ภูษิตเว้าวอน
“หมอเกื้อยังไม่ฟื้นเลยครับ” ชานนท์ตอบออกไป “เอาไว้ถ้าหมอเกื้อฟื้นเดี๋ยวพี่จะรีบโทรบอกคุณศรันย์ให้พามาเยี่ยมหมอเกื้อที่นี่นะครับ”
“ครับ” ภูษิตพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขาสงสัย “แล้วพ่อล่ะครับ”
“พ่อ” ชานนท์ทวนเสียงเบาด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าภูษิตหมายถึงอะไร
“อ่อ... หมายถึงคุณปกรณ์นะครับ” ศรันย์เป็นคนอธิบาย “หลังจากที่เกิดเรื่องตอนนั้นก็ยังไม่ได้เจอกันอีกเลยนะครับ ภูษิตก็เอาแต่ถามหา ผมก็แก้ตัวไปเรื่อง ส่วนคุณลุง พ่อของภูษิตน่ะครับ พอทราบเรื่องวันนั้นก็เสียใจ เอาแต่โทษตัวเองว่าดูแลลูกไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็เมาหัวราน้ำกลับบ้านมาทุกคืนเลยครับ ส่วนคุณป้าก็... เฮ้อ”
ศรันย์ถอนหายใจออกมา เขาไม่อยากจะพูดเรื่องนี้สักเท่าไร ถึงอย่างไรแม่ของภูษิตก็เป็นป้าของเขา
“ไม่สนใจอะไรเลยครับ เอาไว้เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังนะครับ” ศรันย์ยกมือขึ้นมาลูบหัวของภูษิตก่อนจะอมยิ้มออกมา ชานนท์เข้าใจได้ในทันทีว่ามันคงเป็นเรื่องที่ไม่สวมควรจะพูดต่อหน้าเขา
“แล้วทำไมเมื่อกี้น้องภูถึงมายืนอยู่ตรงนั้นได้ครับ” ชานนท์หมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ที่ภูษิตเปิดประตูเข้ามาได้ยินทุกอย่าง
“อ๋อ... พอดีหมอการุณจะสอบถามประวัติเพิ่มนิดหน่อยนะครับ น้องภูตอบไม่ได้ก็เลยมาตามผม แต่เมื่อกี้ตอนที่แขกคุณชานนท์เข้ามาผมไปคุยกับคุณหมอเรียบร้อยแล้วครับ”
“แล้วคุณหมอว่ายังไงบ้างครับ”
“เพราะเปลี่ยนหมอ หมอคนใหม่เลยยังตอบไม่ได้ แต่ถ้าถามผม ผมว่าก็เหมือนเดิมนะครับ ยังจำคุณลุงคุณป้าไม่ได้เลย คงมีเรื่องอะไรที่ฝังใจมากๆ บางทีผมอาจต้องไปโน้มน้าวคุณลุงคุณป้า ยอมให้น้องภูพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าจะดีกว่า”
“ผมว่าก็ดีนะครับ” ชานนท์พยักหน้าเห็นด้วย
“แต่มันยากตรงคุณป้าเนี่ยแหละครับ อ้อ... คุยเพลินเลย เดี๋ยวผมพาน้องภูออกไปรอรับยาก่อนนะครับ กวนเวลางานของคุณชานนท์มานานแล้ว ยังไงก็สู้ๆ นะครับ” ศรันย์ยิ้มให้
“ขอบคุณครับ”
หลังจากที่ศรันย์และภูษิตออกไปจากห้อง ชานนท์ก็ทำงานของตัวเองต่อ ทั้งวิเคราะห์อาการผู้ป่วยเพื่อส่งให้กับหมอ ทั้งรับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยรายเก่าบ้าง รายใหม่บ้างที่แวะเวียนมาทำการรักษา แล้วก็มีผู้ป่วยประจำที่พักรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลที่เขาต้องเวียนเข้าไปดูแลและสอบถามข้อมูลเพื่อมาวิเคราะห์และประเมินผลว่ามีอาการดีขึ้นหรือไม่
ในหนึ่งวันเขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อบรรเทาอาการของผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้มากที่สุด ปัจจุบันมีผู้ป่วยจิตเวชมาเข้าทำการรักษามากขึ้น แต่ยังถือว่าน้อยมากหากเทียบกับต่างประเทศ เนื่องจากประเทศไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไรนัก และตัวผู้ป่วยเองยังคงวิตกกังวลว่าการที่มาเข้ารับการรักษาจะถูกมองว่าเป็นคนบ้า ซึ่งค่านิยมความเชื่อนี้ถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์
มนุษย์เรา มีความเครียดกันทุกคน ทั้งยังมีปมฝังใจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยและการเลี้ยงดู จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากแต่ละบุคคลจะมีความคิด ความอ่านที่แตกต่างกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าความคิดของตัวเองข้อไหนที่เป็นเรื่องผิดปกติ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็เข้ามาทำการรักษาได้ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ชานนท์ที่มัวแต่วิเคราะห์ข้อมูลจึงลืมดูไปว่านี่ก็เลยเวลาเลิกงานมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาเพิ่งนึกออกว่ามีนัดกับปรปรัชญ์ จึงรีบกดโทรศัพท์หาทันที
“กว่าจะโทรมาได้นะครับ ผมนึกว่าลืมนัดไปแล้วนะเนี่ย” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นทันทีที่กดรับสาย
“ผมขอโทษนะครับ มัวแต่ทำงานจนลืมเวลาไปเลย” ชานนท์เอ่ยขึ้นด้วยความสำนึกผิด “แล้วนี่คุณปรัชญ์อยู่ที่ไหนแล้วครับ ผมจะรีบไปหา”
“อยู่ที่หน้าห้องคุณครับ ไว้เคลียร์งานเสร็จเมื่อไหร่ค่อยออกมาก็ได้นะครับ ผมไม่รีบ แค่นี้นะครับ เกรงใจคุณ คุยนานเปลืองค่าโทรเปล่าๆ” พูดจบก็ตัดสายทันที
ชานนท์กุลีกุจอรีบวิ่งเปิดประตูออกจากห้องทำงานทันที ปรปรัชญ์กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ อยู่เยื้องๆ กับห้องของชานนท์ เขาส่งยิ้มให้แล้วยักคิ้วเหมือนพอใจที่เห็นสภาพลุกลี้ลุกลนของชานนท์ เส้นผมของชานนท์ยุ่งเหยิงชี้ไปมา ใบหน้าก็ดูเหนื่อยจากการทำงานอย่างเห็นได้ชัด มันจึงทำให้ปรปรัชญ์อดที่จะขำออกมาอย่างชอบใจไม่ได้
ชานนท์เดินเข้าไปหาร่างนั้นทันที เขาไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการรู้สึกผิดที่ปล่อยให้ปรปรัชญ์รอนาน
“ไม่ต้องพูดว่าผมขอโทษหรอกครับ” ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ปรปรัชญ์ก็รีบเอ่ยก่อนอย่างรู้ทัน ชานนท์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ผมเข้าใจ คุณทำงานหนัก ผมเองก็ว่างด้วย เพิ่งมาถึงที่นี่ไม่กี่นาทีเองครับ”
“อ้าวคุณชานนท์ เคลียร์งานเสร็จแล้วเหรอคะ” ระหว่างนั้นเองก็มีพยาบาลสาวเดินผ่านมาพอดี เธอหยุดแวะร่วมวงสนทนาด้วยชั่วคราว “คุณคนนี้มารอคุณตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วนะคะ ดิฉันจะเข้าไปเรียกให้ก็ไม่ยอม บอกว่ากลัวรบกวนคุณชานนท์”
“อ่อ... ขอบคุณครับ” ชานนท์หันไปขอบคุณพยาบาล
“ค่ะ งั้นดิฉันขอตัวทำงานต่อก่อนนะคะ” เธอส่งยิ้มให้ชานนท์และปรปรัชญ์ก่อนจะเดินจากไป นานๆ ทีจะมีคนนอกที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับดาราย่างกายเข้ามาในแผนกจิตเวช เหล่าพยาบาลสาวจึงมักจะรู้สึกให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“ปัดโถ่... คุณพยาบาล บอกซะละเอียดเลย แบบนี้ก็โดนจับได้น่ะสิ” ปรปรัชญ์แกล้งตีหน้าเศร้าหลังจากที่พยาบาลเดินจากไป เขาไม่อยากให้ชานนท์ไม่สบายใจที่ปล่อยให้เขารอนอน เพราะแค่นี้เขาก็คงมีเรื่องเครียดมากพอแล้ว แต่คุณพยาบาลสาวดันทำเสียแผนไปแล้ว
“ทำไมไม่เข้าไปหาผมล่ะครับ หรือบอกพยาบาลให้ตามผมก็ได้” ชานนท์รีบเอ่ยถามทันที
“ก็ผมเห็นคุณชานนท์เดินเข้าๆ ออกๆ ห้องตลอดเวลา เอาแต่มองแฟ้มเอกสารกำลังตั้งใจทำงานน่ะครับ ผมไม่อยากไปขัด อีกอย่างเราก็นัดกันหกโมงเย็น ผมผิดเองที่มาก่อนเวลา คุณชานนท์ไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย... จริงไหมล่ะครับ” ปรปรัชญ์ยักคิ้วใส่
“งั้นรอผมอีกแป๊บนะครับ ไม่เกินสองนาที ไปเก็บของแล้วจะรีบออกมา”
“ครับ”
ปรปรัชญ์ลองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจับเวลาหลังจากที่ชานนท์เดินหันหลังกลับไป และพอชานนท์เดินกลับออกมาอีกครั้งเข้าก็จิ้มที่หน้าจอให้เวลาหยุด
“ไม่เกินสองนาทีจริงด้วย” ปรปรัชญ์แกล้งพยักหน้าอย่างชื่นชม “เหลืออีกตั้งสองวินาทีแหนะ”
ชานนท์หลุดขำออกมาในทันทีทันใด ท่าทางทะเล้นของชายหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าถึงเจ็ดปีคนนี้ทำให้เขาลืมเรื่องเครียดๆ ที่สะสมทั้งวันได้หมด
“คุณชานนท์หิวยังครับ เราไปหาไรกินกันก่อนดีไหมครับแล้วค่อยไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ของหมอเกื้อ” ปรปรัชญ์ออกความเห็น
“ดีเลยครับ ผมเองก็หิวแล้ว แต่คุณน่ะสิครับ มารอตั้งนานคงทั้งหิวและเบื่อแย่” ชานนท์เห็นด้วย
“ไม่เบื่อหรอกครับ นั่งเล่นเกมในมือถือรอ เคลียร์ได้ตั้งหลายด่าน”
“งั้นเดี๋ยวผมเลี้ยงนะครับ ถือเป็นการไถ่โทษที่ปล่อยให้คุณรอนาน” ชานนท์เอ่ยขึ้น
“คุณชานนท์นี่ท่าจะดูหนังมากไปนะครับเนี่ย พูดอย่างกับในหนัง รอนานอะไรกันครับ นี่ผมมารบกวนคุณชานนท์นะครับ ต้องให้ผมเลี้ยงสิ แล้วก็เออ... เลิกเรียกผมว่าคุณสักทีครับ เรียกปรัชญ์เฉยๆ ก็ได้ ผมอายุน้อยกว่าตั้งเยอะ พอโดนเรียกคุณก็รู้สึกแปลกๆ ไม่ชินน่ะครับ”
ชานนท์มองอีกฝ่ายพูดอย่างอึ้งๆ เด็กอะไร เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่พูดจาราวกับสนิทสนมมานาน พูดเหมือนคนไม่เคยได้มีโอกาสพูดมาก่อน และยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไรออกไป ปรปรัชญ์ก็ยังแย่งเอ่ยขึ้นมาก่อนอีกครั้ง
“คุณเบื่อผมไหมเนี่ย ผมอาจจะพูดมากหน่อยนะครับ พอดีเมื่อก่อนแม่ชอบแย่งพูด ไม่สิทั้งแย่งพูด ทั้งบงการให้ผมทำนู่นทำนี่ตามที่แม่ต้องการ จนผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”
“ไม่เบื่อครับ” ชานนท์ตอบออกไป พลางนึกสงสัยว่าเด็กนี่อ่านจิตใจเขาได้หรืออย่างไรกัน พูดเหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “แค่แปลกใจเฉยๆ พูดเก่งและอัธยาศัยดีผิดกับคุณปกรณ์เลยนะครับ”
“พี่ของผมน่ะไม่ได้เป็นคนพูดน้อยนะครับ แต่ไม่พูดเลยมากกว่า” ปรปรัชญ์แย้ง “ส่วนอาหารเดี๋ยวไปกินที่ร้านสุกี้ฝั่งตรงข้ามโรงบาลกันนะครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง ถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยมาเป็นเพื่อนผม แล้วก็จะพาผมไปเยี่ยมคุณพ่อกับคุณแม่ของหมอเกื้อ แล้วก็ขอบคุณที่รักษาและปกป้องพี่ชายของผม แล้วก็....”
“พอๆๆๆๆ” ชานนท์เอ่ยขัด “ยอมแล้วครับ จะเลี้ยงอะไรก็เลี้ยงเลย พี่ไม่ขัดแล้ว เอาที่น้องปรัชญ์สบายใจเลยละกัน”
“ให้มันได้อย่างนี้สิพี่ชาย” ปรปรัชญ์ดีดนิ้วอย่างชอบใจ ไม่ใช่แค่ดีใจที่อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ แต่เพราะเขายังเรียกแทนตัวเองว่า ‘พี่’ และเลิกเขาว่า ‘คุณ’ ทำให้รู้สึกถึงความสนิทสนมกันมากขึ้น
จบตอน
-
:katai1: :katai1: :katai1:
น้องชายปกรณ์เค้ามาดีใช่มั้ย ระแวงไปหมดแล้วว
-
น้องชายปกรณ์น่ารักนะ ชอบตอนนั่งรอหน้าห้อง
อย่าหักมุมให้ร้ายนะคะ แบบนี้ดีแบ้วว
-
ตอนที่ 32
สองวันต่อมา...
วันนี้เป็นวันที่หมอการุณอนุญาตให้คนสนิทของปกรณ์สามารถเข้าเยี่ยมปกรณ์ได้อีกครั้ง ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายสอง ชานนท์จึงโทรนัดให้ปรปรัชญ์มาที่โรงพยาบาลหลัง 10 โมง ส่วนตอนเช้านั้นชานนท์ขออยู่กับปกรณ์ตามลำพัง อาจจะดูเหมือนชานนท์เห็นแก่ตัว แต่เพราะชานนท์มีเหตุผล
ไม่ใช่แค่เพราะคิดถึงปกรณ์และต้องการความเป็นส่วนตัวเท่านั้น แต่เขาต้องพูดโน้มน้าวเรื่องที่ปรปรัชญ์จะมาเยี่ยมให้ปกรณ์รับรู้แล้วเข้าใจด้วย เพราะยังไม่แน่ใจว่าปกรณ์พร้อมไหมหากต้องเผชิญหน้ากับปรปรัชญ์
ทางด้านของปกรณ์ พอทราบจากหมอการุณว่าวันนี้จะอนุญาตให้ชานนท์เข้าเยี่ยม เขาก็รีบตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า รอคอยคนที่คิดถึง
การห่างกันเพียงแค่ไม่กี่วัน มันทำให้ปกรณ์รู้ความรู้สึกของตัวเองแล้วว่าชานนท์สำคัญมากขนาดไหน
“เดี๋ยวพี่ชานนท์ก็มาน่า” เป็นเสียงของปาณัฐที่เอ่ยแซว ก่อนหน้านี้เขาไม่เจอกับปาณัฐมาหลายวันแล้ว แต่อาจเพราะวันนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ พอตื่นเช้ามาก็เห็นปาณัฐมานั่งเฝ้าที่โซฟาตัวเดิม
“ก็ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน ทำไงได้ ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอก แต่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย” ปกรณ์พูดออกไปตรงๆ คนที่ไม่มีใครรักมาทั้งชีวิตพอได้พบกับใครสักคนที่ทำให้เชื่อมั่น มันจึงไม่แปลกอะไรหากเขาจะมีอาการดีใจ ตื่นเต้นกับเรื่องแบบนี้มากกว่าคนทั่วไป ...คนที่รายล้อมไปด้วยคนรักคงไม่มีวันเข้าใจหัวอกของหมาหัวเน่าแบบปกรณ์หรอก
“ดีจังเลยนะครับ” ปาณัฐพึมพำ
ปกรณ์สังเกตเห็นสายตาของปาณัฐส่อแววเศร้าลงระคนความยินดีไปด้วย มันเหมือนคนแอบรักที่กำลังอกหัก เสียใจแต่ก็ต้องฝืนแสดงความยินดีอย่างไรอย่างนั้น ...หรือว่าใกล้จะถึงเวลาที่ต้องจากกันแล้ว
“ไม่ใช่นะปาณัฐ” ปกรณ์รีบเอ่ยขึ้น เขากลัวความคิดนั้นจะเป็นจริง “กับเราพี่ก็ดีใจที่ได้เจอเหมือนกัน”
“ผมเองก็ดีใจที่ได้เจอกับพี่” ปาณัฐยิ้มออกมา ทุกครั้งที่คุยกับปาณัฐปกรณ์รู้สึกเหมือนความคิดของตัวเองกำลังโต้ตอบกันไปมา เด็กคนนั้นมักจะตอบตามที่ใจเขาต้องการเสมอ “ไม่อยากจากพี่ไปไหนเลย”
ปกรณ์รู้สึกหดหู่ทันทีที่ได้ยินคำนี้ อาการตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบเจอกับชานนท์หายไป เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย อารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวสุขเดี๋ยวเศร้า
ระหว่างนั้นเอง ใครที่เขารอคอยก็เปิดประตูเข้ามา แต่เพราะความเครียดเลยทำให้ปกรณ์ไม่รู้ตัวเพราะเอาแต่คิดเรื่องปาณัฐจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง
“คุณปกรณ์ เป็นอะไรไปครับ ทำไมหน้าเป็นอย่างนั้น” ชานนท์รีบเดินเข้าไปหาทันที
“อ้าว คุณชานนท์” ปกรณ์หันหน้ามามอง เขาไม่รู้ตัวสักนิดจนกระทั่งชานนท์เดินเข้ามาใกล้ๆ “มาตั้งแต่ตอนไหนครับ”
“เพิ่งมาครับ แต่คุณสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะครับ กำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย หรือว่า... เสียใจที่จะได้พบผม” ชานนท์เอ่ยยิ้มๆ เขาแกล้งพูดเล่นแต่อีกฝ่ายกลับจริงจัง
“ไม่ใช่นะครับ ผมดีใจมากที่รู้ว่าวันนี้จะได้พบคุณ” ปกรณ์รีบโพล่งออกมา กลัวว่าชานนท์จะเข้าใจผิด “พอดีเมื่อกี้กำลังคุยกับปาณัฐอยู่ครับ เขาบอกว่าไม่อยากจากผมไปไหนเลย”
ชานนท์รับฟังด้วยความเข้าใจ ตอนนี้ปกรณ์รู้อยู่แล้วว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่ที่ยังพบเห็นเพราะหัวใจของเขายังไม่พร้อมที่จะให้เด็กคนนั้นหายไป ปาณัฐหรือนรินทร์จึงยังโผล่มาเรื่อยๆ ชานนท์เองก็ลำบากใจ ถ้าจะบอกให้ตัดใจตัดขาดให้ได้ไปเลยก็คงจะใจดำเกินไป ค่อยๆ ให้เวลาเป็นยารักษาคงจะดีกว่า อะไรที่ฝืนใจมากไปไม่เป็นผลดีหรอก
“งั้น...” ชานนท์แกล้งทำเสียงสูงเรียกร้องให้อีกฝ่ายสนใจ “เดี๋ยวผมมาใหม่ดีไหมครับ ให้คุณคุยกับน้องปณัฐก่อน”
“ไม่เอาหรอกครับ” ปกรณ์รีบปฏิเสธออกมา “กว่าจะได้เจอคุณ ผมก็ไม่อยากให้คุณจากไปไหนเหมือนกัน”
ได้ผล... ชานนท์เริ่มหันมาสนใจที่เขา ถ้าชวนคุยอีกสักนิด ปกรณ์ก็คงจะลืมแล้วปาณัฐก็คงจะหายไป
“นี่รู้อะไรไหม ตั้งแต่ที่คุณมารักษาอยู่ที่นี่ผมทรมานโคตรๆ เลยล่ะครับ อยู่ใกล้กันแต่รู้สึกเหมือนอยู่ไกลยิ่งกว่าตอนที่คุณไม่ได้นอนพักที่นี่อีกนะครับ เห็นแต่ไม่สามารถพูดคุย มองแต่ไม่สามารถเข้ามาหาได้... แต่ผมก็ดีใจนะครับ ที่คุณเองพยายามสู้กับมัน สู้ต่ออีกนิดนะครับ ออกจากที่นี่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ต้องทนคิดถึงคุณแบบนี้อีกแล้ว”
ชานนท์พูดประโยคที่ยืดยาวออกมา มันใช่แค่คำพูดที่เพียงต้องการให้อีกฝ่ายสนใจเท่านั้น แต่มันเป็นความรู้สึกที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจของเขาจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นคนที่ตนเองรักทนอยู่ในสภาพที่ทรมาน บางวันก็ห่อเหี่ยวเหมือนคนไร้จิตวิญญาณ บางทีก็ต้องเห็นเขานั่งคุยคนเดียว บางทีก็ร้องไห้ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จนหลายๆ ครั้งปกรณ์ก็เกือบจะร้องไห้ตามไปด้วย แต่พอได้เข้ามาหา ชานนท์ก็ต้องพยายามข่มความรู้สึกหลายๆ อย่างเอาไว้ ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ปกรณ์เห็น เพื่อที่เขาเองก็จะได้มีกำลังใจสู้ต่อไป ไม่ต้องมาพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องของเขาด้วย
ไม่ใช่แค่ปกรณ์เท่านั้น... หลายครั้งลังจากที่แอบดูปกรณ์จากหน้าประตูห้อง ชานนท์ก็ต้องไปเฝ้าหมอเกื้อต่อด้วยความรู้สึกที่ทรมานไม่ต่างกัน
“ได้ยินคุณพูดแบบนี้ผมเองก็มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ขี้เกียจจะทนคิดถึงคุณแล้วเหมือนกัน” ปกรณ์ตอบออกมา พักหลังมานี้พวกเขาเปิดใจให้กันมากขึ้น กล้าพูดอะไรออกไปตามความรู้สึก อาจเพราะความไว้ใจ เชื่อใจและความผูกพันที่มีมากขึ้นจึงทำให้พวกเขาไม่รู้สึกขัดเขินหากเทียบกับเมื่อก่อน ...แต่จะว่าไม่เขินเลยก็ไม่ใช่ แค่เก็บความรู้สึกเอาไว้ได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
“งั้นกินข้าวเช้ากันก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปเอามาให้”
“ข้าวโรงบาลเหรอครับ” ปกรณ์แกล้งทำหน้าบู้ อิดออดเหมือนไม่อยากกิน “ข้าวโรงบาลจืดจะตาย ไม่อยากกินเลย”
“ใครว่าล่ะครับ” ชานนท์ยิ้มออกมาให้กับการกระทำที่ดูน่าเอ็นดูนั่น “ผมมาเยี่ยมคุณได้ทั้งทีก็ต้องทำอะไรอร่อยๆ มาให้คุณทานอยู่แล้ว”
“จริงเหรอครับ” ปกรณ์ตาลุกวาว “คุณบอกว่าคุณทำมาให้ ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมครับ ไม่ได้ฝันไปใช่ไหมครับเนี่ย”
ชานนท์ขำออกมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางดีใจราวกับเด็กๆ อดหมั่นไส้ไม่ได้จึงยกมือไปดึงแก้มเบาๆ
“ฝันไหมล่ะครับ”
“แหม่... เชื่อๆ แล้วครับว่าไม่ได้ฝัน” ปกรณ์พูดติดตลก มีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยกับผู้ชายคนนี้ “แต่ถ้าเป็นฝันก็คงเป็นฝันดีที่สุดเพราะมีคุณอยู่ในนี้”
“โอ้โห... คำพูดคำจาแบบนี้ ไม่สมควรเป็นคนป่วยแล้วมั้ง” ชานนท์เอ่ยแซว แกล้งทำตาเบิกโพลงให้กับคนที่เคยไม่กล้าสู้หน้าคน ...ตอนเจอกันครั้งแรก ปกรณ์ไม่มองหน้าเข้าด้วยซ้ำ แต่พอมาวันนี้ทั้งมอง ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะอย่างมีความสุข แถมยังปากหวานอีกด้วย ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่ดีเยี่ยม
“ก็ดีครับ ไม่อยากเป็นคนป่วยแล้ว แต่ถ้าไม่ป่วยผมก็จะไม่ได้เป็นคนไข้ของคุณแล้วน่ะสิครับ” ปกรณ์แกล้งทำเสียงงอแงเหมือนเด็กๆ เกิดมาเพิ่งเคยอ้อนใครแบบนี้ก็ครั้งแรก มันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง
“ก็มาเป็นคนรักแทนไงครับ”
ท่าทีที่ดุกดิกไปมาเมื่อครู่ของปกรณ์หยุดลงในทันทีที่ได้ยินคำนี้ เขากำลังทบทวนคำพูดของชานนท์ การที่คุณชานนท์พูดออกมาแบบนี้จะสื่อเป็นนัยๆ ว่าขอคบกับเขาหรือเปล่านะ หรือแค่พูดเพื่อให้รู้สึกดีใจเท่านั้น แม้ชานนท์จะแสดงออกว่าห่วงใย และปกรณ์ก็เข้าใจในความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองดี พอได้ยินแบบนี้เขาก็เลยไม่แน่ใจว่าคนอยากเขาจะมีคนรักได้เหมือนกับคนอื่นจริงๆ น่ะหรือ ....เขาเนี่ยนะกำลังถูกขอความรัก
ปกรณ์ไม่อยากมโนเข้าข้างตัวเองเลย แต่ก็อดคิดไม่ได้ นี่เขากำลังเป็นอะไรไปเนี่ย กำลังสูญเสียความเป็นตัวตน กำลังเขิน ไม่กล้าตอบ ไม่กล้าสบตาจนต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง
“แต่ถ้าไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันก็ไม่เป็นไรนะครับ” ชานนท์ที่เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งแถมยังเบือนหน้าหนีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา รู้สึกใจแป้วเหมือนกันที่พูดอะไรออกไปแบบนั้นแถมยังโดนปฏิเสธอีก แต่พอปกรณ์ได้ยินประโยคนี้ปุ๊บจึงรีบหันกลับมาปั๊บเพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสสำคัญนี้ไป
“เปล่านะครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ตกลงครับ ผมโอเค ตอนนี้เราตกลงคบกันแล้วนะครับ” ปกรณ์พยักหน้าหงึกๆ เหมือนยืนยันในคำตอบ ไม่ยอมเสียโอกาสนี้เด็ดขาด เขาดูถูกตัวเองมาทั้งชีวิตแล้ว จะเป็นอะไรไปถ้ายอมเชื่อและทำตามความรู้สึกสักครั้ง เชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในความรู้สึก ...และเชื่อมั่นในคนรัก
ชานนท์ค่อยๆ ขยับริมฝีปากยิ้มออกมา รอยยิ้มของชานนท์แฝงไปด้วยพลังประหลาด มีอานุภาพมหาศาลที่สามารถสะกดให้ผู้ที่เผลอจ้องมองต้องตัวอ่อนระทวยได้ในบันดล จนปกรณ์ต้องรีบเบือนหน้าหนี
“ดีใจจังที่ไม่โดนปฏิเสธ งั้นเดี๋ยวผมไปเอาข้าวที่ผมตั้งใจทำมาให้ทานนะครับ รอแป๊บนึงนะ”
“ครับ”
พอชานนท์เดินออกไป ปกรณ์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หัวใจของเขาเต้นแรงกว่าครั้งไหนๆ เลิกคิดสงสัยในความรู้สึกของตัวเองแล้วว่ามันคืออะไร ที่เหลือก็แค่ภาวนาให้อีกฝ่ายเป็นแบบนี้ตลอดไป อย่าเปลี่ยนแปลงไปและทำให้ผิดหวังหรือเสียใจก็พอ
ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ฝั่งของชานนท์เองก็มีอาการไม่ต่างกัน เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะยืนพิงกับประตู พอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองยังคงเต้นแรงอย่างต้องเนื่องจึงยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกแล้วสั่งให้มันสงบอาการลง
‘ใจเย็นเอาไว้ โล่งแล้วชานนท์’ เขาพูดกับตัวเอง... หลายวันมานี้เขาเป็นทุกข์ในการตัดสินใจว่าควรจะเลือกรักใครดี
ชานนท์คิดว่าความรู้สึกของคนเราไม่สามารถบังคับได้ แม้หมอเกื้อจะเอาชีวิตเข้าปกป้อง และแม้จะรู้ว่าเหตุผลที่ทำลงไปนั้นคือความรักก็ตาม แต่ความรักที่มีให้หมอเกื้อนั้นเป็นเพียงความรักแบบพี่ชายที่แสนดีเท่านั้น ชานนท์ต้องแยกให้ออกระหว่าง ความดี ความสงสาร กับความรัก จะรักใครเพราะดีหรือสงสารไม่ได้ เพราะถ้าทำแบบนั้นไม่วันใดวันหนึ่งมันก็ต้องมีจุดสิ้นสุด
...แต่ถึงจะเลือกไปแล้ว ชานนท์เองก็ไม่มั่นใจว่าถ้าหมอเกื้อฟื้นขึ้นมา ถ้าเขาได้มีโอกาสพูดคุยกับหมอเกื้ออีกครั้ง เขาจะยังสามารถหนักแน่นในความรู้สึกที่มีให้กับปกรณ์ไว้ได้หรือไม่ ชานนท์ไม่อยากคิดอะไรแล้ว รอไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนค่อยคิดแล้วกัน เขาควรจะมีความสุขกับปัจจุบัน และตอบแทนความดีของหมอเกื้อด้วยการดูแลพ่อกับแม่ของหมอเกื้อเพื่อเป็นการขอบคุณ แม้มันจะไม่สามารถทดแทนกันได้ก็ตาม แต่ก็น่าจะดีกว่าการที่ต้องฝืนความรู้สึกของตัวเอง
หลังจากที่สติกลับมาพร้อมกับความตื่นเต้นที่จากไป ชานนท์ก็รีบเดินไปที่ห้องทำงานเพื่อไปหยิบข้าวกล่องที่เตรียมมา ชานนท์ไม่เคยทำอาหาร เรื่องฝีมือคงอยู่ปลายแถว แต่เขาก็อยากทำเพื่อปกรณ์ จึงลองศึกษาวิธีทำข้าวห่อไข่สไตล์ญี่ปุ่นจากคลิปวีดีโอฝึกสอนแล้วหัดทำตาม ถึงรสชาติที่ออกมาจะไม่ได้อร่อยมากแต่ก็ไม่ได้แย่จนกลืนไม่ลงแน่นอนเพราะเขาลองทพและชิมเองแล้วหลายรอบ
ชานนท์เดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งแต่ยื่นข้าวกล่องสีฟ้าไปให้ ที่เลือกสีฟ้าเพราะอยากให้จิตใจของปกรณ์สดใสเพราะเขาต้องทนอยู่ในโลกที่มืดมนมาแล้วทั้งชีวิต
ปกรณ์รับกล่องข้าวสี่เหลี่ยมสีฟ้าแล้วเปิดฝาออกทันที พอเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น รอยยิ้มก็ผุดขึ้น
“ข้าวห่อไข่ แล้วนี่อะไรครับเนี่ย” ปกรณ์ชอบใจซอสมะเขือเทศที่ชานนท์แต่งออกมาเป็นรูปหัวใจ พร้อมกับข้อความที่เขียนเอาไว้สั้นๆ ว่า ‘ LoVe U’ แล้วมีรูปใบหน้ายิ้มต่อท้าย “เป็นข้าวห่อไข่ที่มุ้งมิ้งน่ารักที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นตั้งแต่เกิดมาเลยนะครับเนี่ย”
“พูดมากน่า... กินๆ ไปเถอะ” ชานนท์เอ่ยขึ้น คราวนี้เป็นเขาที่ไม่กล้าสบตากับปกรณ์บ้าง
“คุณนี่จริงๆ เลย เป็นผู้ชายที่อบอุ่นและน่ารักขนาดนี้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะปล่อยตัวให้โสดมาจนถึงทุกวันนี้” พอได้ทีก็แซวใหญ่
“จะกินไม่กินครับ” ชานนท์ทำท่าว่าจะแย่งข้าวกล่องคืนแต่ปกรณ์ก็รีบคว้าหลบเอาไว้ได้ทัน
“กินๆ ครับ ไม่แกล้งแล้วครับ” ปกรณ์พูดออกมา “แต่ผมก็ต้องขอบคุณจริงๆ นะครับ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองสำคัญสำหรับใคร พอเห็นคุณทำข้าวกล่องมาให้ และที่ผ่านมาก็ทำนู่นทำนี่เพื่อผมสารพัด ผมรู้สึกว่าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่มารักษาที่นี่แล้วได้รู้จักกับคุณ ผมไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดกล้าคุยกับใครแบบนี้ด้วยซ้ำ คุณทำให้ผมรู้สึกว่าคุณคือคนที่พิเศษที่ผมจะยอมเสียไปให้ใครไม่ได้ ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะครับ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแต่ละคำนั้นมีแต่ความจริงใจ ปกรณ์ไม่ใช่คนที่มีลูกเล่นแพรวพราว รู้สึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
“แล้วถ้าเกิดวันหนึ่ง สมมตินะครับแค่สมมติ ถ้าคุณเสียผมไปให้ใครคุณจะทำยังไง” อดไม่ได้ที่จะลองถาม อยู่ๆ ภาพของหมอเกื้อก็ผุดขึ้นมาในสมองตอนที่ปกรณ์บอกว่าจะไม่ยอมเสียเขาให้ไป
“สมมติเหรอครับ” ปกรณ์ทำสีหน้าครุ่นคิด เขาจริงจังกับคำถามนี้มากพยายามจะหาผลลัพธ์ให้ได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็นึกไม่ออก “ไม่รู้สิครับ ตอบไม่ได้เลย ไม่กล้าคิดแบบนั้น กลัวจะเสียใจ”
“อ่อครับ” ชานนท์พยักหน้า “แค่สมมติเฉยๆ นะครับ อย่าคิดมากล่ะ กินข้าวเถอะ”
“ครับ” ปกรณ์หยักหน้า ถึงชานนท์จะบอกว่าสมมติก็เถอะ แต่เขากลับรู้สึกแปลกๆ หลังจากที่ได้ยินคำถาม เหมือนว่าวันหนึ่ง... เรื่องที่ชานนท์ถามนั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านั้น รีบตักตวงวามสุขที่เกิดขึ้นในตอนนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุดดีกว่า
ชานนท์จ้องมองปกรณ์ตักอาหารคำแรกเข้าปากด้วยความตื่นเต้น ลุ้นว่าอีกฝ่ายจะกินลงไหม
“เป็นไงบ้างครับ ผมไม่เคยทำอาหารเลยนะ นอกจากต้มมาม่าและทอดไข่”
“ครั้งแรกเหรอครับ” ปกรณ์เอ่ยออกมาหลังจากที่กลืนคำแรกลงไป “มิน่าล่ะ... ยังต้องปรับปรุงอีกเยอะ”
“โถ่... ไม่อร่อยจริงๆ ด้วย” ชานนท์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เขาก็คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เทียบกับสเต๊กที่ปกรณ์เคยทำมันคนละเรื่องกันเลย
“เปล่านะครับ ไม่ใช่ไม่อร่อย แต่หมายถึงว่าสามารถทำให้อร่อยได้มากกว่านี้ครับ” ปกรณ์ปลอบใจก่อนที่จะตักคำต่อไป “ อาหารที่คุณทำ ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็อร่อยหมดนั่นแหละ ผมชอบ”
“ผมว่าคุณอาการดีขึ้นเยอะเลยนะครับ รู้จักวิธีใช้คำพูดให้คนอื่นรู้สึกดีได้ด้วยทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังต้องรักษา อีกไม่นานผมว่าคงออกจากโรงบาลได้แล้วล่ะ”
“คนอื่นที่ไหนล่ะครับ” ปกรณ์แกล้งทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ “เราไม่ใช่คนอื่นแล้วนะ อีกอย่างก็กล้าคุยแค่กับคุณคนเดียวนั่นแหละ”
“ให้จริงเถอะครับ จะรอดูหลังจากที่คุณหายดี”
“รอเก้อเหอะครับ เพราะมันจะไม่มีวันนั้น วันที่ผมไปรู้สึกแบบนี้กับใคร”
“นั่นไง เถียงเก่งจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่ชวนคุยแล้วเดี๋ยวกินข้าวไม่หมดสักทีจะเลยเวลากินยาเอา”
“ครับ”
จากนั้นทั้งคู่ก็เงียบเสียงลง แต่ยังคงส่งสายตาหากัน จนกระทั่งอาหารในกล่องหมดเกลี้ยง ชานนท์ก็ส่งยาที่ต้องกินทันทีหลังรับประทานอาหารให้ ปกรณ์กินยานั้นลงไปอย่างง่ายดาย เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จึงถึงเวลาที่ชานนท์จะต้องบอกกับปกรณ์ว่าวันนี้จะมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยม
“ตอนนี้คุณคิดว่าอาการของคุณเป็นยังไงบ้างครับ อาการ ความคิด คิดว่ามีอะไรดีขึ้นจากเมื่อตอนก่อนที่เข้ารับการรักษาไหม” ชานนท์เริ่มสอบถามอาการจากผู้ป่วย เพื่อฝึกให้เขาวิเคราะห์
“ก็น่าจะดีขึ้นนะครับ” ปกรณ์ตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปพอสมควร “ผมคิดว่าผมกล้าสบตาคนมากขึ้น กล้าพูดคุยมากขึ้นนะครับ ยิ่งถ้ากับคุณนะผมยิ่ง...”
“พอๆ” ชานนท์รีบยกมือห้ามปราม เขาพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไรต่อ
“ทำไม ไม่อยากฟังเหรอครับว่าผมจะพูดอะไร” ปกรณ์ส่งยิ้มทะเล้นออกมา
“แค่นี้ผมก็รู้แล้วครับว่าคุณดีขึ้น” ชานนท์พูดด้วยเหตุผล
“แต่ผมอยากตอบ” ปกรณ์เถียงและไม่รอให้อีกฝ่ายขัด เขารีบคว้าร่างที่อยู่ใกล้ๆ มากอดเอาไว้แน่น “ยิ่งถ้ากับคุณต่อให้เป็นฝ่ายเข้าไปกอดผมก็กล้าทำ...”
ชานนท์แกะอ้อมกอดของคนป่วยที่เริ่มฉายแววความทะเล้นออกจากร่างของตน ก่อนจะขยับออกไปให้ไกลจากจุดอันตราย
“เดี๋ยวมีคนมาเห็นน่าครับ” ชานนท์ไม่ได้โกรธ แต่ก็ต้องห้ามเอาไว้ ถ้าปล่อยให้ปกรณ์ทำอะไรตามใจเกินไปมันก็ย่อมไม่เป็นผลดีเหมือนกัน พออาการเริ่มดีขึ้น เขากล้าคิดกล้าทำแต่ต้องสอนให้รู้จักแยกแยะด้วยว่า ควรพูดหรือควรทำในสถานที่ไหน อย่างไร
“ผมขอโทษ” ปกรณ์ก้มหน้าจ๋อย
“อย่าทำหน้าจ๋อยสิครับ ผมไม่ได้ว่าคุณผิดนะ แต่ถ้าคนอื่นมาเห็นมันจะดูไม่ดี” ชานนท์อธิบายออกไป แต่อีกฝ่ายสีหน้ายังไม่ดีขึ้น จึงต้องหาวิธีทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาให้ได้ “เอาไว้เราค่อยไปกอดกันที่อื่นเนอะ รีบๆ หายละกัน ถึงตอนนั้นจะไม่บ่นคุณสักคำ”
“จริงนะ” ได้ผล ปกรณ์สายตาลุกวาว
“สัญญาเลยครับ” ชานนท์ยกนิ้วก้อยขึ้นมาเป็นการยืนยันอย่างหนักแน่น พอปกรณ์กำลังอารมณ์ดีเขาจึงรีบเอ่ยในเรื่องที่ต้องการจะพูดต่อทันที “แล้วตอนนี้คุณรู้สึกยังไงกับน้องชายคุณบ้างครับ”
“ปรัชญ์น่ะเหรอ” ปกรณ์ครุ่นคิด เขาไม่แน่ใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ถ้าถามว่ายังกลัวไหม ก็คงกลัวเพราะปรปรัชญ์เคยเตะต่อยเขารุนแรงเหมือนกัน แต่พอคิดย้อนไปตอนนั้น ปกรณ์รู้สึกว่าสีหน้าและแววตาของปรปรัชญ์ไม่เต็มใจสักนิด “ไม่รู้สิครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจ”
“ถ้าเกิดว่าต้องเจอกัน คุณคิดว่าจะส่งผลอะไรต่อสภาพจิตใจคุณไหม” ชานนท์ถามออกไปตรงๆ
“กับปรัชญ์เหรอครับ”
“ใช่ครับ”
“คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร เราไม่ได้เจอกันนานมากๆ ตั้งแต่ที่เขาเรียนจบมัธยมปลาย เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย คงไม่น่าจะเป็นอะไรมั้งครับ ผมอธิบายไม่ถูกนะ แต่ในใจลึกๆ ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้เกลียดผม ถึงแม้ว่าผมอาจจะยังรู้สึกกลัวปรัชญ์นิดๆ อยู่ก็ตามที” ปกรณ์ตอบออกไปตามความรู้สึก
“แน่ใจนะครับ” ชานนท์ถามย้ำ
“ครับ” ปกรณ์ยืนยันในความตอบโดยไม่เอะใจสักนิดว่าทำไมชานนท์ถึงถามเรื่องนี้
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ ผมจะให้น้องชายมาพบคุณที่นี่นะครับ”
“ว่าไงนะครับ” ปกรณ์ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม “เจอกับปรัชญ์น่ะเหรอครับ ปรัชญ์เรียนอยู่อเมริกานู่นจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ”
“ปรัชญ์ทราบข่าวเรื่องคุณจากคุณพ่อ พอว่างก็เลยรีบบินมาที่นี่เพื่อที่จะมาเยี่ยมคุณน่ะครับ” ชานนท์ชี้แจง
“ไม่จริงน่า คุณอย่ามาโกหกผม” ปกรณ์ไม่อยากปักใจเชื่อ อย่างเขาเนี่ยนะจะมีค่าพอให้น้องชายบินมาหาเพื่อแค่ดูอาการ คุยกันดีๆ สักครั้งยังไม่เคย “นี่เป็นขั้นตอนการรักษาใช่ไหมครับ คุณกำลังทดสอบอะไรผมใช่ไหมครับ”
ยังไม่ทันที่จะได้ตอบคำถาม เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นขัดจังหวะสามครั้ง พร้อมกับร่างของใครบางคนที่เดินเข้ามา
เขาไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบของโรงพยาบาล เขาไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พยาบาล แต่ปกรณ์จำเขาได้... เขาเปลี่ยนไปมาก ตัวหนาและสูงขึ้น ผมยาวกว่าเมื่อก่อน และที่สำคัญเขาหล่อขึ้นผิดหูผิดตา อาจเพราะโตเต็มวัยแล้ว
ส่วนชานนท์ก็ตกใจไม่แพ้กัน ยังไม่ทัน 10 โมงด้วยซ้ำ แต่เขาก็มาที่นี่ก่อนเวลานัดหมาย แต่ยังดีที่ชานนท์เพิ่งคุยกับปกรณ์จบไป และมั่นใจว่าปกรณ์จะไม่เป็นอะไรแน่นอน
“ปรัชญ์” ปกรณ์เอ่ยเรียกชื่อของคนๆ นั้นก่อนจะกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ ทั้งๆ ที่เพิ่งบอกกับชานนท์ว่าคงไม่กลัว แต่พอได้พบกันอีกครั้ง... ปกรณ์เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจในความคิดขึ้นมา หรืออาจแค่เพราะปกรณ์คิดไปว่าปรปรัชญ์ตัวโตขึ้น หากต้องโดนเจ้านี่ต่อยอีกสักครั้ง ความรุนแรงคงเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนหลายเท่า มันเลยทำให้เขารู้สึกหวั่นๆ ก็เท่านั้นเอง
จบตอน
T__T สงสัยเรื่องนี้ไม่สนุก แฮ่คอมเม้นท์ไม่ค่อยมีเลย :sad11:
-
สนุกสิคะ สนุกมาก ลุ้นตลอดเวลา แต่อยากบอกนักเขียนว่าถ้าจะลงเรือ เกื้อชานนท์ น้องปรัชญ์์พี่ปกรณ์จะผิดไหมเนี่ย แต่ยังไงก็ตามอย่าทำร้ายพี่เกื้อเลย ขอให้พี่เกื้อฟื้นมามีชีวิตรอดด้วยเถอด :katai4:
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
ขอติตอนหนึ่งที่ภูษิตชักแล้วกัดแขนปกรณ์นะคะ เวลาชักเค้าห้ามเอาช้อนงัดปากแล้วนะ มันเป็นวิธีที่ผิดมหันต์เลยนะคะ อยากให้ไปหาข้อมูลแล้วแก้เนื้อหาตรงส่วนนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ อย่าโกรธกันนะ เค้าหวังดี :mew2: :L1: :pig4:
-
:z13:
-
สนุกสิคะ สนุกมาก ลุ้นตลอดเวลา แต่อยากบอกนักเขียนว่าถ้าจะลงเรือ เกื้อชานนท์ น้องปรัชญ์์พี่ปกรณ์จะผิดไหมเนี่ย แต่ยังไงก็ตามอย่าทำร้ายพี่เกื้อเลย ขอให้พี่เกื้อฟื้นมามีชีวิตรอดด้วยเถอด :katai4:
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
ขอติตอนหนึ่งที่ภูษิตชักแล้วกัดแขนปกรณ์นะคะ เวลาชักเค้าห้ามเอาช้อนงัดปากแล้วนะ มันเป็นวิธีที่ผิดมหันต์เลยนะคะ อยากให้ไปหาข้อมูลแล้วแก้เนื้อหาตรงส่วนนี้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ อย่าโกรธกันนะ เค้าหวังดี :mew2: :L1: :pig4:
ขอบคุณค้าบ ตอนนี้แก้ไขในต้นฉบับแล้วจ้า โดนทักท้วงมาก่อนหน้านี้เหมือนกัน แหะๆ
-
ดีใจที่ชานนท์เลือกปกรณ์นะ :impress2:แต่ก็สงสารหมอเกื้ออ่า :hao4:
-
ตอนที่ 33
หลังจากที่ประตูปิดลง ปรปรัชญ์ก็ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบานนั้นแล้วจ้องมองพี่ชายของตน สภาพของปกรณ์ดูซูบผอมลง ใบหน้าตอบเรียว และแววตามีความกังวลเมื่อได้สบมองกับเขา
ปรปรัชญ์ไม่เคยเกลียดพี่ชายคนนี้เหมือนแม่เลยสักนิด เขาอยากมีพี่น้องที่รักกันเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ เขาอยากกอดกับพี่ชายมานานแล้วแต่ก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ในสายตาแม่ตลอดเวลา ยิ่งถ้าเขาแสดงความรักความเห็นใจกับปกรณ์มากเท่าไร แม่ก็จะยิ่งเกลียดและทำร้ายปกรณ์หนักขึ้นเท่านั้น
“เข้ามาสิครับ” ชานนท์เอ่ยเรียกเสียงเบา เขาแปลกใจกับอาการประหม่าของปรปรัชญ์อยู่ไม่น้อย เพราะจากที่เคยพูดคุยกันมา เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์สามารถเข้ากับคนอื่นได้ดีทีเดียว
ปรปรัชญ์ค่อยๆ ก้าวเข้าไปตามเสียงเรียก เขารู้สึกกังวลเพราะไม่แน่ใจว่าปกรณ์กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ภาวนาในใจว่าอย่าให้พี่ชายแสดงอาการหวาดกลัว หวาดผวาออกมา เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมันคงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดแน่
ปกรณ์คว้าหมอนมากอดแน่น แล้วจ้องน้องชายด้วยความหวาดระแวง แม้ใจลึกๆ จะคิดว่าปรปรัชญ์ไม่ได้เลวร้าย แต่การกระทำที่เคยเกิดขึ้นมันทำให้เขาไม่สามารถไว้ใจน้องชายคนนี้ได้อย่างบริสุทธิ์ใจ
“พี่ปกรณ์” แต่น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นอย่างบางเบานั้นได้ช่วยบรรเทาอาการหวาดกลัวของปกรณ์ให้ดีขึ้น “พี่เป็นไงบ้างครับ”
“ก็ดีครับ” ปกรณ์ตอบเพียงสั้นๆ
“งั้นเดี๋ยวผมไปรอข้างนอกนะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นอาการประหม่าของสองพี่น้อง บางทีถ้ายังอยู่ตรงนี้พวกเขาอาจจะไม่กล้าพูดความในใจ ถ้าให้ได้อยู่ตามลำพังอาจจะดีกว่า เพราะชานนท์เองก็มั่นใจในตัวปรปรัชญ์แล้วว่าไม่ใช่คนเลวร้ายแน่
“คุณชานนท์ครับ” แต่ปกรณ์กลับร้องขึ้น “อยู่ด้วยกันไม่ได้เหรอครับ”
“เดี๋ยวผมเอากล่องข้าวไปเก็บแล้วจะรีบกลับมานะครับ” ชานนท์หาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกไป ส่วนปกรณ์นั้นหน้าเศร้าทันที
“รีบมานะครับ” ปกรณ์ส่งสายตาวิงวอน
“ครับ” ชานนท์ตอบรับ แล้วเดินออกไปทันที
เมื่อภายในห้องเหลือเพียงสองพี่น้อง ความเงียบสงบก็มาเยือน ต่างฝ่ายต่างเอาแต่จับจ้องกัน ทั้งๆ ที่ปรปรัชญ์มีคำในใจตั้งมากมายที่อยากจะเอื้อนเอ่ย แต่พอได้พบกับปกรณ์จริงๆ สิ่งที่เตรียมมาพูดกลับลืมไปหมด ตอนนี้ในหัวมีแต่ความผิดที่เคยกระทำกับพี่ชาย ภาพเหล่านั้นได้กลับมาตอกย้ำให้เขารู้ว่า... คนเลวอย่างเขาไม่สมควรเป็นน้องชายของปกรณ์สักนิด เขามันเลวเกินกว่าที่ควรจะได้รับการให้อภัย
แววตาของปรปรัชญ์สั่นไหว หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กลัวไม่ได้รับการยอมรับและให้อภัยจากคนตรงหน้า ไม่กล้าพูดไม่กล้าถามออกไปตรงๆ เพราะกลัวจะได้รับฟังสิ่งที่น่าผิดหวังจนทำให้หัวใจหดหู่
“ปรัชญ์” ปกรณ์เอ่ยเสียงเบาเมื่ออีกฝ่ายแน่นิ่งอยู่นาน
“ครับ” คนที่ถูกเรียกตอบรับอย่างประหม่า บุคลิกในตอนนี้ผิดกับในอดีตที่เคยน่ากลัวอย่างสิ้นเชิง
“สบายดีไหม” เป็นคำถามสุดคลาสสิกของคนที่ไม่ได้พบกันนาน ปกรณ์เองก็อยากจะถามอะไรออกไปมากกว่านั้นแต่ก็ไม่กล้า กลัวน้องชายจะรำคาญเอา
“สบายดีครับ” ปรปรัชญ์ตอบออกมา เมื่อพี่ชายทักทายอย่างเป็นมิตร เขาก็เริ่มผ่อนคลาย “ผมไปนั่งตรงนั้นได้ไหมครับ”
ปรปรัชญ์ชี้ไปที่ขอบเตียง ปกรณ์ไม่ได้ตอบในทันทีเพราะกำลังคิดว่าถ้าเขามานั่งตรงนี้ ก็จะอยู่ใกล้กัน เกิดพูดจาอะไรไม่เข้าหู ปรปรัชญ์อาจจะลงไม้ลงมือกับเขาได้ แต่แล้วความรู้สึกก็บอกว่าปรปรัชญ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็น ทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้น ปกรณ์เองก็คิดว่าแม่ของปรปรัชญ์เป็นคนบงการ
พอตัดสินใจได้ ปกรณ์ก็พยักหน้าตกลง ปรปรัชญ์จึงเดินเข้าไปหาทันที
“พี่รู้ไหม พอผมทราบข่าวเรื่องพี่ ผมก็รีบเคลียร์งานแล้วมาที่นี่เลยนะ” ปรปรัชญ์เอ่ยออกมาหลังจากที่นั่งลงบนขอบเตียง
ปกรณ์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ตอนที่รู้ข่าวผมตกใจมาก ไม่คิดว่าพี่จะอาการหนักขนาดนี้ แล้วก็เอาแต่โทษตัวเองจนนอนไม่หลับ เพราะผมเองก็มีส่วนที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้” ปรปรัชญ์ถอนหายใจออกมา เหตุการณ์ในอดีตมันฝังใจเขาเช่นกันไม่ใช่แค่เพียงปกรณ์เท่านั้น
ปกรณ์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเอาแต่นั่งกอดหมอนฟังนั่งตัวเกร็งแล้วฟังเงียบๆ
“ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี พูดไปก็เหมือนแก้ตัว แต่ผมน่ะไม่เคยอยากทำร้ายพี่ ไม่เคยอยากทำแบบนั้นกับพี่เลยนะ” น้ำเสียงของปรปรัชญ์เริ่มเครียดเช่นเดียวกับสีหน้า “แต่ถ้าผมไม่ทำ แม่ก็จะยิ่งทำพี่หนักขึ้น ผมไม่ชอบที่แม่เป็นแบบนี้ ผมเกลียดแม่ ผมเลยพยายามตั้งใจเรียนเพื่อที่จะสอบชิงทุนหนีไปเรียนที่อเมริกา เพราะรู้ว่าถ้าขอแม่ตรงๆ แม่คงไม่ยอม ที่ผมหนีไปเพราะผมไม่อยากทำร้ายพี่ ไม่อยากถูกแม่ใช้เป็นเครื่องมืออีกแล้ว พี่ไม่ต้องเชื่อที่ผมพูดก็ได้นะ แต่ผมยืนยันว่าสิ่งที่พูดออกมามันคือความรู้สึกที่แท้จริง”
ปกรณ์ตั้งใจฟังในสิ่งที่น้องชายพูด เขาไม่สามารถแยกแยะได้หรอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก แต่ชานนท์เคยบอกให้เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง... และความรู้สึกของปกรณ์ในตอนนี้บ่งบอกว่าสิ่งที่น้องชายพูดนั้น ไม่ใช่เรื่องโกหก
เพื่อความแน่ใจ ปกรณ์จึงหันไปมองปาณัฐที่ยังคงนั่งอยู่โซฟามุมห้อง ปาณัฐส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้าราวกับต้องการจะตอกย้ำให้เชื่อในความรู้สึกที่เกิดขึ้น
“ปรัชญ์ไม่ได้เกลียดพี่จริงๆ ใช่ไหม” เป็นคำถามที่พูดออกมาได้อย่างยากลำบาก เขาคิดมาเสมอว่าทุกคนต่างเกลียดชังเขา
“ไม่เลย ไม่เคยอยู่ในความคิดด้วยซ้ำ” เสียงคำตอบนั้นหนักแน่น “ผมรู้สึกผิดกับพี่ รู้สึกไม่ดีกับแม่มาโดยตลอด บางครั้งผมเองก็เครียด ชอบด่าตัวเองในใจ ตอกย้ำว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี แล้วก็โมโหร้ายลงไม้ลงมือกับตัวเองหลังจากที่ทำร้ายพี่ บางทีถ้าเรียนจบ ผมอาจจะต้องมารักษาอาการเหล่านี้เหมือนกัน”
น้ำเสียงและแววตาของปรปรัชญ์เต็มไปด้วยความจริงใจ เขาไม่ได้โกหก และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องแสร้งมาทำดีแบบนี้
พอรู้ดังนั้นก็รู้สึกดีใจ หากแต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ เพราะเพิ่งรู้ว่าน้องชายต้องอดทนอดกลั้นกับความรู้สึกของตัวเอง ต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ ถูกแม่ตีกรอบและออกคำสั่งให้ตลอด คงทรมานไม่ต่างกัน
“ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ บางครั้งก็นึกเกลียดแม่ของตัวเอง เวลาคิดเรื่องพี่ทีไร สิ่งที่เคยกระทำมันก็ย้อนกลับมาทำร้ายจิตใจผมเสมอ มันคงเป็นเวรกรรมของผมที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ ก็สมควรแล้วแหละ ทำร้ายพี่ชายตัวเองซะขนาดนั้น ตอนนี้ก็เลยรู้สึกเกลียดแม่ตัวเอง ผมมันก็แค่ลูกอกตัญญู”
ปรปรัชญ์เริ่มมีท่าทีเครียดขึ้นเรื่อยๆ ปกรณ์อาจไม่รู้ได้ว่าความรู้สึกเกลียดแม่ของตัวเองนั้นมันเป็นอย่างไรและทรมานมากแค่ไหน เพราะลูกคนไหนต่างก็รักแม่ ต่อให้แม่ดีหรือเลวอย่างไร แต่อาจเพราะสิ่งที่พวกเขาทั้งสองเจอมา มันนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับเด็ก
“พี่เข้าใจแล้ว เข้าใจทุกอย่างแล้ว” ปกรณ์ยื่นมือไปจับที่บ่าของปรัชญ์ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องชายนั้นก็ต้องทนอยู่กับความทรมาน จมปลักอยู่กับความเลวร้ายในอดีตที่ตัวเองเป็นคนกระทำโดยมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเรื่องนี้หากจะโทษว่าใครเป็นคนผิดก็คงหนีไม่พ้นฤทัยดี
แต่ปกรณ์ก็ไม่สามารถคิดโทษหล่อนได้อย่างเต็มปาก เพราะสิ่งที่หล่อนเจอก็หนักหนาสาหัสไม่ต่างกัน กำลังมีแผนจะแต่งงานกับพ่อแต่ทุกอย่างก็ต้องพังทลายเพราะแม่ดันทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมกับพ่อเสียก่อน ทุกคนล้วนมีส่วนผิด มีเหตุผลในการกระทำความชั่ว แต่เหนือสิ่งอื่นใด... ผู้ใหญ่พวกนั้นไม่น่าเอาความแค้นที่เกิดขึ้นมาลงที่เด็กอย่างเขาและปรปรัชญ์เลย
พวกเขาใช้เด็กเป็นเครื่องมือ...
แม่ใช้ปกรณ์เป็นเครื่องมือในการจับพ่อ...
ฤทัยดีใช้ปรปรัชญ์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้น เอาความแค้นทั้งหมดมาลงที่ลูก โดยคิดว่าลูกตัวเองจะต้องเหนือกว่าในทุกๆ เรื่อง ทำทุกอย่างเพื่อปลูกฝังให้ปกรณ์รู้สึกว่าเป็นเบี้ยล่าง อยู่ใต้อำนาจและความหวาดกลัว ส่วนพ่อน่ะหรือ ไม่เคยสนใจเขาสักนิด พ่อไม่เคยรักแม่อยู่แล้วจึงไม่เคยรักลูกอย่างเขา เทียบกับปรปรัชญ์ อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ยังดีที่ยังมีพ่อที่คอยรักและห่วงใย
“พี่ให้อภัยผมได้ไหม ผมขอโทษกับทุกสิ่งที่อย่างที่เคยล่วงเกินพี่ ผมเองก็ผิดที่ตอนนั้นขี้ขลาดเกินกว่าที่จะกล้าขัดคำสั่งแม่”
ปรัชญ์จับมือพี่ชายเอาไว้แน่น
“พี่ขอถามปรัชญ์เรื่องหนึ่งได้ไหม” ปกรณ์เอ่ยขึ้น ไม่ได้ตอบน้องชายในทันทีว่าจะให้อภัยหรือไม่... ความจริงแล้วปกรณ์ไม่เคยคิดโกรธปรปัชญ์สักนิด อาจเพราะมีแต่ความหวาดกลัวที่เข้าบดบังจิตใจ เลยทำให้ไม่กล้าโกรธและอาฆาตใคร ไหนจะเรื่องของแม่อีก
“เรื่องอะไรครับ พี่สงสัยอะไรถามมาได้เลย”
“ตอนนั้น... ตอนที่พี่ถูกคุณน้าจับคว่ำหน้าแล้วกดลงกับที่นอน” แววตาของปกรณ์แน่นิ่ง เขากำลังพยายามข่มความหวาดกลัวเอาไว้เพื่อที่จะเล่าทุกอย่างออกมาด้วยท่าทางที่ปกติที่สุด “ตอนที่คุณน้าสั่งให้ปรัชญ์ทำแบบนั้นกับพี่ ปรัชญ์ไม่ได้ทำใช่ไหม คือ... ตอนนั้นพี่...”
ปรปรัชญ์ยกมือขึ้นปรามไม่ต้องการให้อีกฝ่ายพูดต่อ เขารู้แล้วว่าปกรณ์หมายถึงเรื่องอะไร เหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตของปรปรัชญ์เช่นกัน
“ผมไม่ได้ทำ และไม่คิดจะทำแน่นอน ผมรู้ว่าพี่ทรมาน ผมไม่อยากให้พี่นึกถึงตอนนั้นอีกแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้วนะครับ ถึงตอนนั้นผมจะกลัวแม่แต่เรื่องพรรค์นั้นผมไม่มีวันทำกับพี่ชายของผมแน่นอน”
ปรปรัชญ์เองก็เจ็บปวดกับเหตุการณ์นั้นเช่นกัน ฤทัยดีโมโหแล้วแล้วเหมือนปิศาจ หล่อนกระทำกับเด็กที่ไม่มีทางสู้อย่างป่าเถื่อนด้วยน้ำมือของหล่อนเอง
ปกรณ์น้ำตาซึม เหตุการณ์นั้นตามหลอกหลอนเขามาเสมอเวลาที่นึกถึงปรปรัชญ์ ปกรณ์ทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัวจนไม่รับรู้เลยว่าใครเป็นคนลงมือ เขาพยายามคิดมาเสมอว่าฤทัยดีเป็นคนทำ แต่อีกใจก็หวั่นว่าปรปรัชญ์จะทำเพราะหล่อนสั่งลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ดังก้อง พอได้รู้แบบนี้... ความกังวลก็หายไปพร้อมๆ กับความหวาดกลัว
ปรปรัชญ์รู้ว่าพี่ชายคงเจ็บช้ำมาก พอเห็นน้ำตาซึมเขาก็รีบโผเขาไปกอด... กอดพี่ชายอย่างแนบแน่น... กอดอย่างที่เคยใฝ่ฝันว่าสักวันจะกระทำแบบนี้กับพี่ชาย
ปกรณ์ร้องไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่อถูกกอด ทั้งดีใจและตื้นตัน ความรู้สึกหนักหนาสาหัสระหว่างน้องชายที่เคยแบกมาตลอดกำลังพังทลายลง... ไม่มีอะไรค้างคาใจอีกแล้ว
ระหว่างที่กอดนั้น ปกรณ์ก็ต้องสะดุ้งออกมาจากอ้อมกอดด้วยความตกใจ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างของปาณัฐ
...ร่างของปาณัฐค่อยๆ เลือนรางลงราวกับดวงวิญญาณ เหมือนกับว่ากำลังจะเลือนหายไปจากโลกนี้
โดยปกติปาณัฐจะหายไปเวลาที่เขาเผลอหลับ หรือถ้าเจอกันข้างนอกก็จะจากกันหลังจากที่ได้ล่ำลาเหมือนคนปกติทั่วไป แต่ในตอนนี้ไม่ใช่
ปกรณ์รู้สึกว่าเวลาระหว่างเขากับปาณัฐกำลังจะหมดลง... หัวใจของเขาสั่นไหว มันเต้นรุนแรงราวกับจะทะลุออกมาให้ได้
“อย่าไปนะ ไม่จริง... ไม่จริงใช่ไหม” ปกรณ์ลุกพรวดออกมาจากเตียงแล้ววิ่งไปหาปาณัฐด้วยความรวดเร็ว เขากอดกับปาณัฐเอาไว้แน่น มันต้องไม่ใช่นี้ เขายังไม่ได้เตรียมใจรับมือกับเหตุการณ์นี้เลยสักนิด
ปรปรัชญ์มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ แม้จะรู้จากชานนท์แล้วว่าพี่ชายจินตนาการตัวตนของใครบางคนขึ้นมาเพื่อปกป้องความอ่อนแอ แต่พอได้มาเจอสภาพกับที่ชายที่พูดกับอากาศแถมยังทำท่ากอดกับอากาศราวกับสิ่งที่กำลังกอดอยู่นั้นมีตัวตนอยู่จริงก็ทำให้เขาตกใจ
“มองพี่สิปาณัฐ มองพี่ มองแล้วบอกกับพี่ว่าไม่จริง มันยังไม่ถึงเวลา เรายังต้องอยู่ด้วยกัน อยู่ข้างๆ กันแบบนี้ไปอีกนาน” เสียงของปกรณ์สั่นไหวเช่นเดียวกับร่างกายที่สั่นเทาไม่หยุด
ปาณัฐไม่ได้ตอบอะไรออกมา หากแต่แววตาของเขาจับจ้องกับปกรณ์โดยไม่กระพริบ มันเป็นแววตาที่แสดงออกถึงความสุขใจเหมือนคนไม่มีอะไรติดค้างคาใจและพร้อมจะไปจากโลกใบนี้ ฉับพลันรอยยิ้มของร่างที่กำลังเรือนลางก็ผุดขึ้น
“ตอนนี้มีคนที่คู่ควรจะอยู่กับพี่มากกว่าผมแล้วครับ” น้ำเสียงของปาณัฐเบาหวิว หัวใจของปกรณ์รู้สึกแบบนั้นเช่นกันแต่ก็ใช่ว่าเด็กคนนี้จะไม่สำคัญอีกต่อไป
ปาณัฐพยักพเยิดไปหน้าไปทางที่ปรปรัชญ์นั่งอยู่ก่อนจะพูดออกมาว่า
“คนนั้นไงครับ น้องชายของพี่”
ปกรณ์หันไปมองปรปรัชญ์ สลับกับปาณัฐด้วยแววตาที่เจ็บปวด เขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร... ปาณัฐเปรียบเสมือนตัวแทนของปรปรัชญ์ที่ปกรณ์ต้องการให้เป็น ปกรณ์อยากให้ปรปรัชญ์เป็นน้องที่น่ารักและชื่นชมเขาแบบนี้ ไม่ใช่น้องชายที่ใจร้ายและทุบตีอย่างเช่นในความทรงจำ เพราะฉะนั้นจิตใต้สำนึกจึงสร้างปาณัฐขึ้นมา ทำให้เขามองเห็นและพูดคุยกับปาณัฐด้วยความเข้าอกเข้าใจ
ในเมื่อวันนี้... ปกรณ์และปรปรัชญ์ได้ปรับความเข้าใจกันแล้ว ความสงสัยแคลงใจในตัวน้องชายได้หายไปจนหมดสิ้น จึงไม่มีพื้นที่ให้สิ่งที่ไม่มีตัวตนอย่างปาณัฐสามารถเชิดหน้าลอยตาอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป
น้ำตาของปกรณ์รินไหล หัวใจของเขาเจ็บปวดเกินทน แม้จะรู้แล้วว่าปาณัฐไม่มีตัวตนอยู่จริงแต่การที่จะต้องจากกันแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับที่กำลังเห็นคนที่รักตายไปต่อหน้าต่อตา
ปาณัฐเองก็น้ำตาไหลออกมาเช่นกัน ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นส่งผ่านไปถึงร่างนั้น แม้น้ำตาจะยังไหลรินแต่ปาณัฐกลับยงคงยิ้มออกมาให้อีกฝ่ายเห็นได้
ฉับพลันร่างนั้นก็หายไป อ้อมกอดที่เคยรู้สึกว่ามีใครกลับว่างเปล่า ปกรณ์ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจพยายามวาดมือไปมาบนอากาศที่ว่างเปล่าเผื่อว่าจะสัมผัสโดนตัวปาณัฐอีกสักครั้ง ทว่า... ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น ปาณัฐจากไปแล้ว ความรู้สึกของปกรณ์มันบ่งบอกว่าการจากการในครั้งนี้เหมือนจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว ...เวลาของปาณัฐได้จบลงแล้ว
“ม่ายยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!”
เสียงกรีดร้องดังก้อง ปกรณ์ทรุดลงกับพื้นยังไม่อาจทำใจยอมรับได้ ชานนท์และพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ รีบวิ่งเข้ามา พอเห็นภาพปกรณ์ที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นจึงรีบพากันเข้าไปจับร่างนั้นเอาไว้ แต่เหมือนปกรณ์ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้น หัวใจของเขาในตอนนี้ร้องหาแต่ปาณัฐ
เมื่อปกรณ์ยังคงดิ้นไม่หยุด ปรปรัชญ์ที่นั่งนิ่งอยู่นานเพราะสับสนที่เกิดขึ้นจึงเดินเข้ามาแล้วกอดกับร่างของพี่ชายเอาไว้แน่น แม้จะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่าสิ่งที่ปกรณ์มองเห็นและสัมผัสได้เพียงคนเดียวกำลังจะหายไป... หากไปจากชีวิตของพี่ชายตลอดกาล และถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงมันย่อมเป็นข่าวดี เพราะนั่นหมายความว่าพี่ชายของเขาใกล้กลับมาเป็นปกติแล้ว
“ผมจะอยู่กับพี่เอง พี่ต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้นะครับ” เสียงกระซิบของปรณัฐดึงสติของปกรณ์ให้กลับมาได้
ร่างของปกรณ์ค่อยๆ นิ่งและกลับมาสงบ ก่อนที่ในที่สุดจะหมดสติไป หมดสติภายในอ้อมกอดของคนที่เขาเคยหวาดกลัวมาทั้งชีวิต
ทุกอย่างเหมือนจะจบลงด้วยดี ทว่าเสียงประตูที่ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างใหม่ที่โผล่เข้ามาในห้อง ได้ทำให้ปรปรัชญ์ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ลูกมาทำอะไรที่นี่” หล่อนเค้นเสียงลอดไรฟัน พยายามควบคุมอารมณ์ไว้ ไม่แสดงกิริยาโมโหร้ายต่อหน้าคนอื่น
ทั้งๆ ที่พยายามจะจบเรื่องทุกอย่างลงแล้วแท้ๆ แต่พอมาเห็นลูกชายสุดที่รักกำลังโอบกอดกับลูกชายของคนที่หล่อนเกลียดที่สุดในชีวิต ความแค้นก็เริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจหล่อนอีกครั้ง และยิ่งแค้นมากขึ้นเมื่อไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาที่ไทยตั้งแต่เมื่อไร ไม่บอกไม่กล่าวสักคำ แถมชุดที่ใส่ก็เป็นชุดที่หล่อนซักแล้วเก็บเอาไว้ที่บ้าน หล่อนจำได้... กระทั่งกลับไปที่บ้าน ลูกชายก็ไม่คิดจะบอกหล่อนสักคำ
ปรปรัชญ์อ้ำอึ้ง กลับมาไทยครั้งนี้เขาไม่ได้เตรียมใจมาพบหน้าแม่... แม่ที่แสนใจร้ายในสายตาของเขา
“ไปกับแม่เดี๋ยวนี้” ฤทัยดีเดินไปกระชากร่างของปรปรัชญ์แล้วลากออกมาจากห้อง ชานนท์รีบขยับเข้าไปประคองร่างของปกรณ์แทนในทันที
มือของฤทัยดีกำแขนของปรปรัชญ์เอาไว้แน่น หล่อนหน้าบึ้งแต่ก็ไม่พูดไม่จาอะไร พยายามเก็บอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้วก้าวขาด้วยความฉับไวออกจากที่นี่ให้ไวที่สุด ไปในที่ที่ลับตาคนเพื่อที่หล่อนจะได้สั่งสอนลูกชายได้อย่างไม่ต้องระแวงสายตาผู้ใด
จบตอน
-
นังแม่จะรู้ไหมว่าในขณะที่ตัวเองใช้ลูกเป็นเครื่องมือแก้แค้นลูกของศัตรู ลูกของตัวเองก็บอบช้ำ (ทางใจ) เหมือนกัน
-
ตอน 34
ภายในโรงพยาบาลที่แผนกจิตเวช ปกรณ์ลืมตารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาหมดสติไปเพราะความผิดหวังและไม่อาจทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ร่างของปาณัฐสลายหายไปต่อหน้าต่อตาราวกับปาฏิหาริย์ ปกรณ์พยายามนึกถึงปาณัฐให้มากขึ้น คิดถึงเวลาที่อยู่ด้วยกันด้วยหวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีกสักครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณชานนท์ครับ” ปกรณ์เอ่ยเรียกคนที่นั่งเฝ้าเขาอยู่ข้างๆ การจากกันนั้นมันเจ็บปวดยากเกินที่จะทำใจ “ปาณัฐหายไปแล้ว เขาไม่โผล่มาให้ผมเห็นอีกแล้ว”
“อะไรนะครับ” ชานนท์ทวนถาม เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และสิ่งที่ปกรณ์พูดมานั้นมันหมายความว่าอย่างไร
“ผมเห็นร่างของเขาค่อยๆ จางหายไป ตอนที่ผมอยู่กับปรัชญ์ เขาพูดเหมือนประมาณว่าเขาไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะมีปรัชญ์อยู่ตรงนี้ แล้วเขาก็หายไป” ปกรณ์อธิบายอย่างไม่อาจทำใจยอมรับ “ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย ถึงเขาจะไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่ผมก็รู้สึกอุ่นใจเวลาที่เจอเขา”
ชานนท์จับมือของปกรณ์เอาไว้แน่น การจากลาย่อมเจ็บปวดเสมอ ยิ่งถ้าเป็นการจากกันไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก แต่มันก็เป็นสัจธรรมของชีวิต ไม่ว่าวันหนึ่งวันใดก็ต้องมีการจากลา อยู่ที่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายก็เท่านั้น
“ผมกับปรัชญ์จะอยู่ข้างๆ คุณเอง”
“แต่ผมคิดถึงปาณัฐ” แววตาของปกรณ์เศร้าสร้อย ยิ่งพอนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันในวันที่เขาไม่มีใครยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวด
“ผมเข้าใจครับ” ชานนท์รับรู้ถึงความรู้สึกของปกรณ์ และเลือกที่จะไม่พูดอะไรตอกย้ำให้อีกฝ่ายเสียใจ ปล่อยให้ปกรณ์ระบายความในใจออกมาเรื่อยๆ เพราะสำหรับปกรณ์แล้วปาณัฐมีค่าและสำคัญไม่น้อยไปกว่าคนที่มีตัวตนอยู่จริง
ปกรณ์บีบมือของชานนท์แน่น พยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอออกมาเพราะไม่อยากทำให้ชานนท์กังวล แต่ยิ่งฝืนมากเพียงไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเกินกว่าจะอวดเก่งทำเป็นคนเข้มแข็งได้ ในที่สุดน้ำตาก็ทะลักมาจากดวงตาอีกครั้ง ปาณัฐที่เคยชื่นชม ปาณัฐที่เคยส่งยิ้มให้ และปาณัฐที่คอยมานั่งเฝ้าเขาอยู่ภายในห้องนี้ไม่มีอีกแล้ว นับจากนี้ไปเด็กคนนี้จะกลายเป็นเพียงความทรงจำ... ความทรงจำที่ล้ำค่าสำหรับปกรณ์
“แล้วปรัชญ์ล่ะครับ ปรัชญ์อยู่ที่ไหน” ปกรณ์กวาดสายตารอบห้อง เขาลืมไปเสียสนิทว่าได้เพิ่งได้พบเจอกับน้องชาย “หรือว่าเมื่อกี้ผมฝันไป หรือเห็นภาพหลอน ก็ว่าอยู่ ปรัชญ์อยู่ตั้งอเมริกาจะมาที่นี่เพื่อแค่เยี่ยมผมได้ยังไงกัน ผมคงฝันไปสินะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ” ขานนท์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นปกรณ์มีสีหน้าที่ผิดหวัง “พอดีคุณฤทัยดี แม่ของคุณปรัชญ์มาที่นี่ แล้วก็พาตัวคุณปรัชญ์กลับไปตอนที่คุณหมดสติ”
“แม่เลี้ยงผมมาที่นี่งั้นเหรอครับ” แค่ได้ยินชื่อก็ทำเอาปกรณ์ระแวง มองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวว่าผู้หญิงใจร้ายจะแอบซ่อนอยู่ในห้องนี้
“ครับ แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ เขาออกไปแล้ว”
“แล้วปรัชญ์ล่ะ ปรัชญ์จะเป็นยังไง คุณน้าทำอะไรปรัชญ์ไหมครับ” ปกรณ์เซ้าซี้ถาม เขารู้สึกเป็นห่วงน้องชาย รู้อยู่แล้วว่าฤทัยดีไม่ชอบขี้หน้า การที่ได้มาเจอเขากับน้องชายที่นี่คงไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่ แต่ถึงกระนั้นฤทัยดีก็รักลูกชายมาก อย่างมากก็อาจไม่พอใจแต่คงไม่ลงมือทำร้าย แต่ปกรณ์เองนี่สิ... อาจจะโดนเกลียดมากขึ้น
“น่าจะไม่เป็นไรมั้งครับ เพราะยังไงคุณปรัชญ์ก็เป็นลูกแท้ๆ” ชานนท์ตอบออกมา “แต่ผมกลัวว่าเขาจะเอาความโกรธมาลงที่คุณมากกว่า”
“ไม่เอานะครับ” ปกรณ์รีบส่ายหน้าทันที
“ไม่ต้องกังวลครับ อยู่ที่นี่จะไม่มีใครทำอะไรคุณได้แน่นอน ผมสัญญา เดี๋ยวผมจะให้พยายามคอยเฝ้าคุณอย่างใกล้ชิดนะครับ อีกอย่างพอหมดเวลาเยี่ยม ก็ไม่อนุญาตให้คนนอกมายุ่มย่ามในบริเวณนี้อยู่แล้ว เขาทำอะไรคุณไม่ได้แน่”
“จริงนะครับ” ปกรณ์ถามย้ำ ชานนท์พยักหน้าตอบ “งั้นผมขออยู่ที่นี่ตลอดไปได้ไหมครับ ผมกลัวว่าคุณน้าจะตามไปทำร้ายผมอีก”
“คุณปกรณ์... คุณอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้นะครับ” ชานนท์เอ่ยขึ้นมาอย่างเอ็นดู มือของเขายังคงสัมผัสอยู่ที่มือของอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย “ผมคงยอมไม่ได้หรอกที่จะเห็นคุณอยู่ในสภาพนี้ตลอดไป เป็นนักจิตวิทยาทั้งทีแต่รักษาคนสำคัญของตัวเองไม่ได้มันเจ็บใจนะครับรู้ไหม และถึงคุณจะหายดี ผมก็ไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายคุณได้หรอกครับ”
“ครับ” ปกรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ จริงอย่างที่ชานนท์บอก ที่นี่คือที่สำหรับคนป่วย เขาเคยรับปากกับชานนท์แล้วว่าจะต้องหายดี เพราะฉะนั้นจะต้องเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ ไม่ใช่แค่เขาที่สำคัญสำหรับชานนท์ แต่ชานนท์ก็สำคัญสำหรับปกรณ์เช่นกัน และสำคัญยิ่งกว่าใคร “แล้ววันนี้คุณอยู่กับผมได้ถึงกี่โมง”
“บ่ายสองครับ อีกหลายชั่วโมงเลย” ชานนท์อมยิ้มออกมา “ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณนะครับ วันนี้ผมแลกวันหยุดกับเพื่อนเอาไว้แล้ว อยู่ได้ทั้งวัน”
“คุณนี่ใจดีจังเลยนะ รู้สึกโชคดีจังที่ได้เจอกับคุณ” ปกรณ์พูดออกมาตามความรู้สึก “แล้วปรัชญ์จะเป็นไงบ้างนะ คุณน้ามาเจอแบบนี้คงเกิดเรื่องไม่ดีแน่ อ้อ... แล้วคุณรู้จักปรัชญ์ได้ยังไงครับ ดูท่าทางเหมือนจะสนิทกันใช่ย่อย”
“ทำไมครับ หึงเหรอครับ” ชานนท์เอ่ยเล่นๆ
“ก็นิดหน่อย น้องชายผมทั้งหล่อ ทั้งเก่ง ดีกว่าผมไปหมด คุณจะชอบก็คงไม่แปลก แต่ปรัชญ์ไม่น่าจะชอบผู้ชายมั้งครับ หล่อเลือกได้ขนาดนั้น” สำหรับปรปรัชญ์นั้น ปกรณ์ยอมได้ทุกอย่าง อาจเพราะเป็นฝ่ายยอมมาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะโดนน้องชายเอาเปรียบหรือแย่งของรักของหวงมันเลยไม่รู้สึกนึกโกรธแต่อย่างใด
“แต่ผมว่าติดจะกะล่อนไปนิดนะครับ สายตาท่าทางเจ้าชู้ไม่เบา” ชานนท์พูดออกมาตามความรู้สึก จากที่ได้สัมผัส ผู้ชายที่มีมนุษยสัมพันธ์แบบนี้อาจทำให้คนที่ได้ใกล้ชิดหลงรักได้ง่ายโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว บางทีการกระทำของปรปรัชญ์อาจไม่ได้มีอะไรแอบแฝง ทุกอย่างที่ทำไปนั้นบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าใครที่โดนเจ้านั่นหยอดคำหวาน เล่นมุกตลกหรือถูกเอาใจบ่อยๆ แล้วล่ะก็ คงติดบ่วงรักและถอนตัวออกมาได้ยากแน่ แม้แต่กับผู้ชายด้วยกันก็ตาม
“นั่นไง ผมว่าแล้ว คุณต้องรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ พูดเหมือนรู้จักกันดีเลยนะครับ”
“ไม่ใช่นะครับ” ชานนท์รีบปฏิเสธ แล้วชี้แจงทันที “เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาแวะมาที่นี่เพื่อที่จะมาเยี่ยมคุณ แต่ผมไม่อนุญาตน่ะครับ เพราะยังไม่ถึงเวลาเยี่ยม แล้วก็กลัวคุณจะมีอาการแย่ลงเพราะผมไม่แน่ใจว่าพร้อมที่จะเจอไหม วันนั้นหลังเลิกงาน ก็เลยไปทานข้าวพูดคุยกันนิดหน่อยครับ น้องชายคุณดูห่วงคุณมากจริงๆ นะครับ เขาเองก็ดูเจ็บปวดไม่เบาเวลาที่พูดถึงเรื่องราวในอดีต”
“ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันครับ” ปกรณ์พยักหน้า “ปรัชญ์เองก็ต้องอดทนอยู่กับแม่ที่เอาแต่บังคับให้เขาทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ดูเหมือนน้องชายผมก็มีเรื่องเครียดเก็บไว้ในใจ ไม่แน่ว่าอนาคตอาจจะต้องมาเป็นผู้ป่วยที่นี่เหมือนกันนะครับ แต่อาจจะแค่รักษาเบื้องต้นไม่ได้รุนแรงเหมือนผม”
ชานนท์ยิ้มออกมาให้กับสิ่งที่ได้ฟัง
“คุณเองก็ห่วงน้องชายไม่แพ้กันเลยนะครับเนี่ย”
“ผมแทบร้องไห้เลยล่ะ พอรู้ว่าเขามาที่นี่เมื่อเยี่ยมผม และตกใจมากขึ้นไปอีกตอนที่เขาบอกว่าเกลียดแม่ ไม่อยากเจอแม่ตัวเอง เขาแอบเข้าไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านในตอนที่คุณน้าไม่อยู่ ผมตกใจมากจริงๆ”
“ผมเองก็เหมือนกัน” ชานนท์รู้สึกเช่นเดียวกัน การที่ลูกสักคนจะรู้สึกไม่ดีจนไม่อยากเจอแม่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ต้องมีปมฝังใจอะไรบางอย่าง และจากสิ่งที่ปรปรัชญ์เองได้พบได้เจอในทุกๆ วันเมื่อครั้งยังเด็ก จึงไม่แปลกถ้าปรปรัชญ์จะรับไม่ได้กับการกระทำของแม่ “คุณเองก็น่าเป็นห่วงเหมือนกันนะ ถ้าคุณฤทัยดีรู้ว่าโดนลูกชายเกลียดแบบนั้น เธออาจจะยิ่งไม่พอใจ และอาจมาลงที่คุณอีกก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ยอมให้เขามาทำอะไรคุณได้หรอก”
ปกรณ์ก้มหน้า สีหน้าของเขาในยามนี้ตรึงเครียด ไม่ใช่เพราะกลัวฤทัยดี แต่เพราะเป็นห่วงปรปรัชญ์มากกว่า
“ไม่เอาน่า ไม่คิดมากนะครับ เอางี้ดีไหม เดี๋ยวผมโทรไปหาปรัชญ์ตอนนี้เลย”
พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาฝ่ายนั้นทันที หากแต่ไม่มีใครกดรับสาย ไม่ว่าจะกดโทรออกไปกี่รอบๆ สายโทรศัพท์ก็ตัดไปเอง
“ไม่มีคนรับเลยครับ” ชานนท์เริ่มรู้สึกกังวลแล้วเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรเจ้านั่นเป็นลูกของฤทัยดี หล่อนคงไม่ใจร้ายถึงขั้นลงไม้ลงมือกับลูกชาย อย่างมากก็คงดุด่า
“โทรไปเรื่อยๆ เลยได้ไหมครับจนกว่าจะมีคนรับ ผมไม่สบายใจเลย” ปกรณ์อ้อนวอน เขารู้จักความร้ายกาจของฤทัยดี ต่อให้รักลูกชายนักหนาเพียงใด แต่ถ้าหล่อนสติแตกขึ้นมาเมื่อไร อะไรก็ฉุดหล่อนไว้ไม่อยู่ทั้งนั้น ต่อให้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของหล่อนก็ตาม
ย้อนไปตอนที่ยังเป็นเด็ก วันนั้นปรปรัชญ์ไม่ยอมทำตามที่หล่อนสั่ง หล่อนสั่งให้ปรปรัชญ์ใส่รองเท้าสตั๊ดแล้วกระทืบปกรณ์และถุยน้ำลายใส่หน้า เพราะหล่อนโกรธที่ปกรณ์ลืมยกมือไหว้หลังจากที่กลับมาจากโรงเรียน ความจริงปกรณ์ไม่ได้ลืมเพียงแต่กำลังเหม่อลอยเลยมองไม่เห็นหล่อนเท่านั้น
ตอนนั้นปรปรัชญ์คิดว่าคำสั่งของหล่อนมันเป็นเรื่องไม่สมเหตุผล ให้กระทืบและถุยน้ำลายใส่หน้าพี่ชายเพราะแค่ต้องการให้เขารู้สึกต้อยต่ำและรู้ว่าใครสูงส่งกว่าใคร
ปรปรัชญ์คิดว่าถ้าต้องเป็นตัวเองที่อยู่ในสภาพแบบปกรณ์นั้น อยู่กับแม่เลี้ยงที่จิตใจวิปริตแบบนี้ก็คงไม่มีกระจิตกระใจจะทำความเคารพ ปรปรัชญ์จึงเถียงออกไป
ฤทัยดีโมโหที่โดนลูกชายด่าต่อหน้าปกรณ์ หล่อนจึงพลั้งมือตบหน้าด้วยความรุนแรงจนปรปรัชญ์สลบแน่นิ่ง พอฟื้นขึ้นมาหล่อนก็จับปกรณ์มาลงโทษอย่างทารุณต่อหน้าปรปรัชญ์ และตั้งแต่ครั้งนั้น ปรปรัชญ์จึงไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งหล่อนอีกเลย
อีกด้านหนึ่ง ปรปรัชญ์ถูกลากออกไปยังลานจอดรถ ฤทัยดีเปิดประตูรถแล้วสั่งให้ลูกชายเข้าไปนั่งในนั้นก่อนที่หล่อนจะเปิดประตูตามเข้าไปในฝั่งคนขับ
หล่อนสตาร์ทรถแล้วเปิดแอร์แต่ยังไม่ได้ขับออกไปไหน จิตใจของหล่อนกำลังร้อนลุ่มเมื่อเห็นภาพของลูกชายสุดที่รักกำลังโอบกอดกับร่างของลูกชายของนางผู้หญิงที่หล่อนเกลียดที่สุด
“ลูกไปกอดมันทำไม แล้วมาที่นี่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกแม่” หล่อนเค้นเสียงลอดไรฟัน พยายามข่มเพลิงที่กำลังสุมในจิตใจไม่ให้ปะทุออกมา ทั้งๆ ที่กะว่ามาวันนี้จะมาเคลียร์เรื่องทุกอย่างให้จบลงด้วยดีแท้ๆ
ทว่า... ปรปรัชญ์กลับนั่งนิ่ง ไม่ตอบคำถามใดใดออกมา ไม่สนใจอีกฝ่าย ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าด้วยซ้ำ และอาการเมินของลูกชายได้กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้ไฟแห่งความโกรธแค้นของฤทัยดีระเบิดออกมา
“ลูกก็รู้ว่าแม่เกลียดไอ้บ้านั่น!” หล่อนตะคอกเสียงดัง ไม่เหลือคราบของผู้ดีแล้ว “แม่เกลียดมัน แล้วทำไมยังต้องไปทำดีกลับมัน แม่สอนมาตลอดไม่ใช่เหรอว่าให้มองมันเหมือนเป็นขี้ข้าตัวหนึ่งเท่านั้น เอามันไว้รองมือรองตีน แล้วนี่อะไร สายตาห่วงใยของลูกที่มองมัน ท่าทางแบบนั้นลูกทำลงไปได้ยังไง ไม่ขยะแขยงเลยรึไง”
เสียงของหล่อนดังจนปรปรัชญ์ต้องยกมือขึ้นมาอุดหู ความจริงหล่อนอยากจะระบายความแค้นออกไปด้วยการลงไม้ลงมือด้วยซ้ำ แต่เพราะคนตรงหน้าคือลูกชาย และในยามนี้เขาก็หล่อเหลา และยังมีผลการเรียนที่อยู่ในระดับดีมาก เป็นความภาคภูมิใจ หล่อนจึงพยายามยั้งมือยั้งเท้าเอาไว้ ไม่กระทำอะไรรุนแรงกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพราะกลัวจะโดนเกลียด... แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะคิดช้าเกินไป
“หึ... โกรธผมเหรอครับ” ปรปรัชญ์แสยะยิ้มออกมาแล้วเหลือบสายตาไปมองแม่ของตนด้วยความรู้สึกที่สมเพช ไม่ได้อยากทำแบบนี้สักนิด แต่เพราะการกระทำของคนเป็นแม่มันทำให้เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ ต่อให้ใครจะพร่ำสอนว่าแม่คือผู้มีพระคุณ ห้ามแสดงกริยามารยาทที่ไม่สมควรออกมา แต่ถ้าเลือกได้เขาไม่ขอเกิดมาเป็นลูกของแม่ที่จิตใจสกปรกแบบนี้ยังจะดีเสียกว่า
“ทำไมมองแม่แบบนี้” น้ำเสียงของหล่อนสั่นไหว เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายคนนี้ ท่าทีของเขาเปลี่ยนไป สายตาที่เย็นชานั่น ทำไมมันจึงทำให้หล่อนรู้สึกทรมานใจได้มากขนาดนี้ มองราวกับว่าหล่อนไม่ใช่แม่ เป็นแค่สิ่งไร้ค่าที่น่าสมเพช
ฤทัยดีกำลังลิ้มรสของความเจ็บปวด การที่ถูกมองแบบไร้ค่าจากคนที่ตนรักมากที่สุดนั้นมันทรมานยิ่งกว่าถูกใครมอง หล่อนอาจจะกำลังเจ็บปวดเท่ากับที่ปกรณ์เคยรู้สึกหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะคนที่ทำให้หล่อนรู้สึกไร้ค่าคือลูกชายแท้ๆ ของหล่อน
“ทำไมครับ เจ็บงั้นเหรอ เสียใจเหรอ แม่มีความรู้สึกแบบนั้นด้วยเหรอ”
น้ำเสียงของปรปรัชญ์ช่างเย็นชาเหลือเกิน แต่ละวาจาที่เอ่ยมา แต่ละกิริยาที่แสดงออก ฤทัยดีสัมผัสได้ถึงความห่างเหิน เหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ลูกชายที่เคยอยู่ในโอวาท ราวกับว่ากำลังมีผีห่าซาตานตนไหนกำลังเข้าสิงจิตใจของร่างนั้นจึงทำให้ปรปรัชญ์เปลี่ยนไป
“เกิดอะไรขึ้นกับลูก ใครทำให้ลูกเป็นแบบนี้ ไอ้ปกรณ์ใช่ไหม มันเป่าหูอะไรลูก บอกแม่มา บอกแม่มาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของฤทัยดีร้อนรน หล่อนจ้องมองลูกชายด้วยความแคลงใจ ลูกชายที่น่ารักและเคยเชื่อฟังของหล่อนหายไปไหน แล้วหล่อนก็พยายามหาเหตุผลอะไรที่ทำให้เปลี่ยนไป
“ไม่มีใครทำอะไรผมหรอกครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยออกมา น้ำเสียงยังคงเย็นชาแน่นิ่งผิดกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่น้ำเสียงของหล่อนนั้นช่างเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยความทรมานใจเหลือเกิน “ถ้าจะมีใครสักคนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ก็คงจะเป็นคุณนั่นแหละ คุณฤทัยดี”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!” ฤทัยดีกรีดร้องเสียงดังลั่น คำพูดที่น่าผิดหวังและเยือกเย็นที่เปล่งออกมาจากปากของลูกชายทำให้หล่อนขาดสติ
ปรปรัชญ์ไม่ยอมเรียกหล่อนว่าแม่ การที่เรียกหล่อนว่า ‘คุณฤทัยดี’ แม้จะฟังดูแสนสุภาพแต่พอมันออกมาจากปากของลูกชายสุดที่รักในบริบทแบบนี้มันจึงทำให้หล่อนรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าการโดนตบหน้าเป็นไหนๆ คำพูดที่เหมือนปกติแต่กลับมีอานุภาพรุนแรงจงส่งผลกระทบต่อความเจ็บปวดในจิตใจอย่างแสนสาหัส ถ้าต้องโดนลูกชายมองและพูดจาด้วยความเย็นชาแบบนี้ หล่อนยอมให้ลูกชายทุบตียังดีเสียกว่า
“ลูก...” เสียงของหล่อนสั่นไหวและแหบพร่าเนื่องจากเพิ่งส่งเสียงกรีดร้องออกไปอย่างหนักหน่วง “มันทำให้ลูกเป็นแบบนี้ใช่ไหม ไอ้ปกรณ์ลูกของอีสารเลวนั่น ลูกอย่าไปฟังมันนะ ลูกอย่าทำแบบนี้กับแม่”
ปรปรัชญ์มองฤทัยดีด้วยหางตา สายตาที่วิงวอนแบบนั้นมันเหมือนกับตอนที่ปกรณ์เคยทำเมื่อตอนถูกหล่อนทุบตี คิดดังนั้นหัวใจของปรปรัชญ์ก็รู้สึกเจ็บปวด เขาที่เป็นลูกชายแท้ๆ กลับทำให้แม่เสียใจ แต่เขาก็ต้องใจแข็งทนไว้ ในเมื่อแม่ยังพูดจาไม่น่าฟัง แถมยังเอาแต่อาฆาตคนอื่น ปรปรัชญ์จึงไม่อาจยอมรับได้เช่นกัน
“โกรธผมไหมครับ ที่ผมเป็นแบบนี้” เสียงของปรปรัชญ์เบาหวิว
“ไม่เลย แม่ไม่โกรธลูกเลย” ฤทัยดีส่ายหน้า ในตอนนี้ถ้าลูกสั่งให้ทำอะไรหล่อนก็ยอมทั้งนั้น ขอแค่ให้ได้ลูกชายคนเดิมกลับมา
“งั้นผมขออะไรอย่างได้ไหม”
“ได้สิ ลูกจะขออะไรบอกแม่มาเลย”
“เลิกเรียกพี่ปกรณ์ว่าไอ้ เลิกดูถูกพี่ปกรณ์ เลิกอาฆาตแม่ของพี่ปกรณ์สักที แม่เขาก็จากไปแล้ว แล้วก็ไปขอโทษพี่ปกรณ์กับผมตอนนี้ จากนั้นก็เลิกยุ่งกับพี่ปกรณ์ไปเลย ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีกเพราะผมลูกว่ายังไงคุณก็ไงทำใจให้ยอมรับพี่ปกรณ์ไม่ได้ ในเมื่อเป็นแบบนั้นก็ต่างคนต่างอยู่ ขอแค่นี้ ทำให้ผมได้ไหม”
ปรปรัชญ์เอ่ยออกมาด้วยความหวัง แม้จะรู้ว่ามันริบหรี่เพียงใดแต่ก็ลองขอดูก่อน ขอแค่ได้พูดออกไปเผื่อว่าแม่จะรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของเขาบ้าง
แต่ความหวังของปรปรัชญ์คงจะริบหรี่จริงๆ เมื่ออีกฝ่ายนั่งนิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไรกลับมา สายตาแข็งกร้าวขณะกำลังใช้ความคิด ปรปรัชญ์รับรู้ได้ทันทีว่าคำขอร้องนี้ไม่มีวันประสบผล ดังนั้นเขาก็ไม่อาจยอมรับแม่ที่มีนิสัยแบบนี้ได้เช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ส่วนคุณ... อย่ามาพยายามยุ่งกับผมอีก แล้วอย่ามาหาว่าผมไม่เตือน” ปรปรัชญ์ส่งคำขู่ทิ้งท้ายก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวออกจากรถไปด้วยความเด็ดเดี่ยว เขาต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งที่ในใจกำลังอ่อนแอ การเย็นชากับแม่ผู้บังเกิดเกล้ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เขารู้สึกผิดแต่ก็ไม่มีทางเลือก ในเมื่อฤทัยดีเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนข้อ เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องอดทน เขาจะต้องไม่ใจอ่อนให้กับแม่เช่นกัน
‘ขอโทษนะครับแม่ หวังว่าแม่จะเข้าใจ’
ฤทัยดีกัดฟันกรอด มือทั้งสองข้างกำแน่นหลังจากที่ปรปรัชญ์เดินออกจากรถไป อะไรทำให้ลูกชายของหล่อนเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ หล่อนไม่อาจทำใจยอมรับได้ที่ลูกชายเรียกปกรณ์ว่า ‘พี่’ และเรียกหล่อนว่า ‘คุณ’ ความเหินห่างมันชัดเจน ปรปรัชญ์เลือกที่จะอยู่ข้างอีกฝ่าย และยังบังคับจิตใจให้หล่อนยอมอ่อนข้อด้วย มีหรือที่หล่อนจะยอม
ทิฐิของฤทัยดีคงสูงส่งเกินไป... สูงเกินกว่าที่จะยอมก้มหัวอ่อนข้อให้กับคนที่คิดว่าต่ำต้อยกว่า ในเมื่อปรปรัชญ์ร้ายมา หล่อนก็คงต้องร้ายกลับไป ต่อให้เป็นลูกชายที่รักมากขนาดไหน ในเมื่อกล้าทำให้หล่อนผิดหวังได้ถึงเถียงนี้มีหรือที่หล่อนจะยอม
“ห่วงใยมันมากใช่ไหม” ฤทัยดีพึมพำออกมา “เกลียดแม่มากใช่ไหม แล้วจะได้เห็นดีกัน ลูกไม่รักดี!”
จบตอน
-
:L2: :pig4:
-
สะใจยายป้าฤทัยดี ไงล่า ลูกก็ไม่เข้าข้าง
-
ตอนที่ 35
ปรปรัชญ์เดินกลับเข้าไปภายในโรงพยาบาลอีกครั้ง จุดหมายของเขาคือห้องพักของปกรณ์ในแผนกจิตเวช จิตใจของเขาในตอนนี้กำลังสับสน เขาไม่อาจทำนิ่งเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หลังจากที่ได้พูดจาทำร้ายจิตใจของแม่ผู้บังเกิดเกล้า แม้จะไม่ชอบใจแต่สำนึกในความเป็นลูกของปรปรัชญ์นั้นมันยังคงหยั่งรากลึกอยู่ในจิตใจอย่างมั่นคง จึงทำให้ปกรณ์เสียใจทุกครั้งที่กระทำไม่ดีกับแม่ เหตุที่เกิดขึ้นคงเป็นผลจากกรรมที่แม่ได้กระทำเอาไว้ ไม่ว่าจะเจ็บปวดหัวใจเพียงใด ปรปรัชญ์ก็ต้องอดทน เพราะยังมีใครอีกคนที่เจ็บปวดมาทั้งชีวิตมากกว่าเขาด้วยซ้ำ และใครคนนั้นก็คือปกรณ์
ประตูห้องของปกรณ์ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับร่างของปรปรัชญ์ ชานนท์และปกรณ์ที่นั่งอยู่ในห้องหันไปมองทันที พอเห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามารอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา
“พี่ฟื้นแล้วเหรอครับ” ปรปรัชญ์เดินเข้าไปหาทั้งสองด้วยท่าทางที่ร่าเริงแจ่มใส เขาข่มความทุกข์ใจทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้ในใจเลือกที่จะไม่แสดงออกมาเพื่อให้ทุกคนสบายใจ
“ฟื้นแล้วครับ พอคุณออกไป สักพักพี่ชายคุณก็ตื่นขึ้นมา” ชานนท์เล่าให้ฟัง
“หูย... รู้แบบนี้แล้วเสียใจจัง พี่ไม่อยากเจอผมขนาดนั้นเลยเหรอครับเนี่ย พอผมไม่อยู่แล้วรีบตื่นขึ้นมาเชียวนะ” ปรปรัชญ์พูดติดตลก
“เปล่านะ” ปกรณ์รีบปฏิเสธในทันทีกลัวว่าน้องชายจะเข้าใจอย่างที่พูดจริงๆ “พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ ปรัชญ์คงเห็นตอนที่พี่พูดคนเดียวแล้วสินะ”
ปกรณ์หลบสายตาอย่างรู้สึกประหม่า... มันน่ากังวลเวลาที่คนอื่นรู้ว่าเขาบ้าและเพ้อเจ้อจนสามารถคุยกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงได้ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร อาจจะกำลังสมเพชเขาอยู่ก็ได้
“เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอกครับ” ปรปรัชญ์เดินเข้าไปนั่งข้างๆ กับปกรณ์อีกฝั่ง ในตอนนี้ปกรณ์กำลังนั่งอยู่ตรงกลางโดยมีชายหนุ่มอีกสองคนขนาบข้างเอาไว้ “สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือพี่ต้องรักษาตัวเองให้หายดี ไม่ต้องคิดหรือกังวลอะไรทั้งนั้น พี่ชานนท์จะดูแลพี่ ผมเองก็เหมือนกัน ผมจะเป็นกำลังใจให้พี่ อีกไม่กี่วันผมก็ต้องกลับไปเรียนต่อ อีกแป๊บเดียวก็จะจบ ผมจะรีบจบรีบกลับมาหาพี่นะ พี่ให้สัญญากับผมนะ ว่ากลับมาคราวนี้ พี่จะต้องหายดี แล้วเราสองคนพี่น้องจะไปเที่ยวด้วยกัน อ้อ... ถ้าคุณชานนท์ว่างจะไปด้วยกันก็ได้นะครับ”
ปกรณ์รู้สึกโล่งใจที่ได้ยินน้องชายพูดแบบนี้ ความหวาดระแวงที่เคยมีต่อปรปรัชญ์เขาคิดเองเออเองทั้งนั้น เด็กหนุ่มคนนี้อ่อนโยนกว่าที่คิด และเชื่อว่าอีกไม่นานคงจะยอมรับกับการจากไปของปาณัฐได้ ปรปรัชญ์เป็นคนเดียวที่สามารถปลดปล่อยความคิดถึงที่มีต่อปาณัฐ แค่ได้รับรู้ว่าน้องชายห่วงใยมากแค่ไหน เขาก็ไม่ต้องการใครมาคอยชื่นชมอีกแล้ว
“พี่สัญญา” ปกรณ์ส่งยิ้มให้พร้อมตอบรับด้วยความแน่วแน่ก่อนจะหันไปมองชานนท์ “แต่ถ้าพี่ไม่หายให้โทษคุณนักจิตวิทยาคนนี้เลยนะที่ดูแลพี่ไม่ดี”
“อ้าว...” ชานนท์หันไปมองกลับ “แบบนี้ก็ได้เหรอ”
“ได้ครับ ถ้าพี่ไม่หาย ผมจะโทษพี่ชานนท์” ปรปรัชญ์ตอบปกรณ์ก่อนจะหันไปมองชานนท์ “ฝากด้วยนะครับพี่ หนักหน่อยนะงานนี้”
“โห... สองพี่น้องเล่นรุมกันแบบนี้ผมก็แย่น่ะสิครับ” ชานนท์แกล้งทำน้ำเสียงตัดพอ ปกติแค่ต้องรับมือต่อปากต่อคำกับพวกเขาตามลำพังว่ายากแล้ว นี่เล่นรวมหัวกันแบบนี้เขาก็ไม่รอดน่ะสิ
ท่าทีของชานนท์ส่งผลให้สองพี่น้องหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ พวกเขาเข้ากันได้ไวกว่าที่คิด อาจเพราะความผูกพันลึกๆ ในอดีตเป็นจุดสำคัญที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ เพราะต่างฝ่ายต่างก็รับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกัน ไม่เคยนึกเกลียดกันแม้จะมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำเกิดขึ้นหลายอย่าง
นี่แหละหนาถึงได้มีคนบอกว่า... สถาบันครอบครัวคือสิ่งที่ปลูกฝังจิตใจความรู้สึกของมนุษย์ได้ดีที่สุด ถ้าต้องอยู่ในสภาพครอบครัวที่ย่ำแย่ แต่ยังมีใครสักคนที่แสนดี ก็ยังถือว่าเป็นการดีกว่าการที่ไม่มีใครสนใจกันเลย
พวกเขาทั้งสามใช้เวลาอยู่ด้วยกันภายในห้องพักของปกรณ์จนกระทั่งหมดเวลาเยี่ยม แม้ปกรณ์จะรู้สึกเศร้าแต่เขาก็ยินดีมากกว่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
การปรากฏตัวของปรปรัชญ์มีผลในการเยียวยารักษาจิตใจของปกรณ์ เขาทำให้ปกรณ์หัวเราะออกมาได้อย่างมีความสุขในตอนที่อยู่ด้วยกัน หมอการุณที่เห็นสภาพหลังจากที่พวกเขาทั้งสามแยกจากกันถึงกับต้องเอ่ยปากลับหลังกับชานนท์ว่าอาการของปกรณ์ดูดีขึ้นมาก ไม่จมอยู่กับความเศร้านานเหมือนยังเคย ปรับตัวกับคนอื่นได้ง่ายขึ้น มีการพูดคุยซักถามกับพยายามที่เขาไปดูแล มีการโต้ตอบมากขึ้น ความเขินอายน้อยลงซึ่งเป็นผลดีกับผู้ป่วย
หมอการุณคิดว่าหากไม่มีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ ทำการรักษาอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ และลองให้เข้ารับการบำบัดแบบกลุ่มร่วมกับผู้ป่วยคนอื่นๆ อีกไม่น่าเกินหนึ่งเดือนก็น่าจะหายและออกจากโรงพยาบาลได้
ชานนท์และปรปรัชญ์ที่ได้ฟังคำชี้แจงจากหมอก็อดที่จะรู้สึกดีใจแล้วยิ้มออกมาไม่ได้ ทุกอย่างกำลังไปได้ดี... แต่อีกด้านหนึ่ง ปรปรัชญ์ก็อดที่จะห่วงไม่ได้เช่นกัน ฤทัยดีกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ หล่อนอาจจะมาหาปกรณ์ที่นี่แล้วทำให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง และถ้าเป็นเช่นนั้นปรปรัชญ์อดที่จะโทษตัวเองไม่ได้แน่ ถ้ายอมอ่อนข้อให้แม่สักนิด แม่อาจจะใจเย็นและยอมทำตามที่เขาขอร้องก็ได้
“พี่ชานนท์ครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขาแยกตัวเข้าไปในห้องทำงานของชานนท์
“ครับ มีไรเหรอปรัชญ์” ชานนท์เอ่ยถามเพราะรู้สึกว่าใบหน้าของปรปรัชญ์กำลังสื่อถึงความเครียด
“เรื่องแม่น่ะครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยออกมา เพียงเท่านี้ชานนท์ก็เข้าใจได้ทันทีว่าจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ “ผมอยากให้ระวังไว้นะครับ ถ้าจะให้ดีผมอยากให้หมอและพยายามห้ามไม่ให้แม่เข้ามาในนี้ยิ่งดี ผมไม่ไว้ใจ”
“มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ” ชานนท์ถาม เพราะปรปรัชญ์ยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“ผมกับแม่ผิดใจกันนิดหน่อยครับ ผมคิดว่าแม่โกรธผมมากแน่ๆ และไม่แน่ว่าอาจจะเอาความโกรธมาลงกับพี่ปกรณ์ ถ้าปล่อยให้แม่ได้เจอพี่ปกรณ์ ที่พี่พยายามรักษาอาจจะสูญเปล่าได้ครับ”
น้ำเสียงของปรปรัชญ์เคร่งเครียด ชัดเจนว่าเรื่องที่กล่าวมานั้นมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นจริง
“เดี๋ยวพี่จะแจ้งหมอกับพยาบาลให้ครับ ความจริงที่นี่ก็ค่อนข้างดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดีไม่ให้ใครมาเพ่นพ่านอยู่แล้ว แต่ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าคุณฤทัยดีรู้ได้ยังไงว่าวันนี้หมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมปกรณ์”
“แม่อาจจะมาสืบ หรือ... อาจจะรู้จากพ่อก็ได้มั้งครับ ยังดีหน่อยที่ผมรู้สึกว่าพ่อดีขึ้น จากที่ไม่เคยสนใจพี่ปกรณ์ แต่ก็คอยโทรมาเล่า มาบอกอาการของพี่ปกรณ์ให้ผมฟัง”
“คุณประสิทธิ์สินะครับ” ชานนท์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากที่เคยคุยกัน ชานนท์เองก็สัมผัสได้ลึกๆ ว่าผู้ชายคนนี้มีความห่วงใยปกรณ์อยู่ในที แต่ที่ไม่แสดงออกมาอาจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับแม่ของปกรณ์นั้นก็ร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเขาพอสมควร จึงเป็นการยากที่คนที่พยายามปฏิเสธลูกชายคนนี้มาโดยตลอด จะยอมรับว่าเขาคือลูกแบบตรงๆ และแสดงออกถึงความรักอย่างเช่นที่แสดงกับปรปรัชญ์
“ใช่ครับ เมื่อก่อนพ่อทำเหมือนพี่ไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เริ่มพูดถึงมากขึ้น ผมดีใจมากๆ เลยนะตอนที่พ่อเสียค่าโทรศัพท์ตั้งหลายบาทเพื่อแค่ที่จะโทรข้ามประเทศไปเล่าให้ผมฟังเรื่องอาการของพี่ปกรณ์”
“แล้วกลับมานี่ได้เจอกับพ่อบ้างยังครับเนี่ย”
“ยังเลยครับ ผมไม่อยากบอกพ่อ ถ้าพ่อรู้ก็คงบอกแม่ แต่ตอนนี้แม่ก็จับได้ซะแล้ว ยังไงผมคงต้องหาเวลาแวะไปหาพ่อแล้วล่ะครับ เดี๋ยวพ่อก็คงรู้จากแม่อยู่ดี ถ้าไม่ไปหาจะถูกน้อยใจเอา”
“ก็ดีแล้วครับ พี่ว่าคุณประสิทธิ์ก็คงอยากเจอคุณเหมือนกัน” ชานนท์เห็นด้วย ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อลูก กลับมาเมืองไทยทั้งทีถ้าไม่ไปเจอเลยคงจะใจร้ายเกินไปหน่อย
“พี่ชานนท์รู้จักพ่อด้วยเหรอครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อ่อ สงสัยตอนที่พ่อมาที่นี่ คงได้เจอกันแล้วสินะครับ”
“ครับ” ชานนท์พยักหน้า “จริงๆ ก็เคยเจอก่อนหน้านี้อยู่นะครับ แต่ก็รู้สึกลึกๆ ตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าคุณประสิทธิ์ก็ห่วงปกรณ์อยู่เหมือนกัน แค่ไม่แสดงออก”
“ใช่ไหมล่ะครับ ขนาดพี่ชานนท์ยังดูออก” ปรปรัชญ์พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ เขาไม่ได้คิดไปคนเดียว ตอนนี้ก็เหลือแต่แม่เท่านั้นที่ไม่ยอมอ่อนข้อ และดูท่าจะยากเสียด้วย “ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมโทรนัดเจอกับพ่อ พี่ชานนท์ไปเพื่อนผมด้วยนะ ผมไม่อยากไปคนเดียว โอเค ขอบคุณครับ ผมโทรหาพ่อแป๊บ”
พูดจบก็หยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรออกทันที
“เดี๋ยวสิ พี่เกี่ยวอะไรด้วย” ชานนท์พยายามจะขัด แต่ปรปรัชญ์ก็แกล้งไม่สนใจ พยายามเบี่ยงตัวหลบ หันหน้าหนี “เฮ้ย ปรัชญ์ หันมาคุยกันก่อน”
“ฮัลโหล พ่อเหรอครับ” ปรปรัชญ์เอ่ยขึ้นเมื่อปลายสายกดรับสาย ชานนท์จึงต้องยอมสงบลง
“พ่อรู้จากฤทัยแล้วล่ะ แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ กลับมาไม่คิดจะบอกพ่อเลยสักคำ” ปลายสายพูดขึ้นมา
“ก็ไม่อยากรบกวนน่ะครับ ว่าจะรีบมารีบกลับ ไหนๆ ก็รู้แล้ว เจอกันหน่อยไหมครับ”
“วันไหน ที่ไหนดีล่ะ”
“วันนี้สักทุ่มหนึ่งละกัน เอาไว้เย็นๆ ผมจะโทรไปหาอีกทีนะครับ อ้อ... คุณชานนท์จะไปด้วยนะครับ ที่เป็นนักจิตวิทยาน่ะครับ” พอถูกเอ่ยถึง ชานนท์ก็ถอนหายใจออกมา ไม่สงสัยเลยว่านิสัยบังคับใจคนอื่นถูกถ่ายทอดมาจากใคร
“ได้เลย ไว้บอกอีกทีละกัน”
“อ้อ พ่อ... อย่าบอกแม่นะครับ ผมไม่อยากเจอ”
“แกนี่มัน...”
“ตามนั้นนะครับ สวัสดีครับพ่อ ไว้ดี๋ยวโทรไปหาอีกทีครับ” พูดจบก็รีบรวบรัดตัดสาย แล้วทำท่าทางสบายใจ
ปรปรัชญ์กับพ่อสนิทสนมกันมาก วันหยุดพ่อจะต้องพาออกไปเที่ยวเสมอ บางครั้งก็พาไปแนะนำให้เพื่อนที่ทำงานของพ่อรู้จัก ประสิทธิ์มอบความรักที่มีทั้งหมดให้กับปรปรัชญ์คนเดียวเท่านั้น ส่วนปรปรัชญ์เองก็มีความสุขที่ได้รับความรักนี้ ในตอนนั้นปรปรัชญ์เองก็ลืมนึกถึงความรู้สึกของปกรณ์ เพราะการแสดงออกของพ่อระหว่างลูกสองคนช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ...สำหรับปรปรัชญ์ ประสิทธิ์เป็นทั้งพ่อและเพื่อนในเวลาเดียวกัน
“เย็นนี้ว่างไหมครับพี่ชานนท์” ปรปรัชญ์หันไปถามพร้อมรอยยิ้มแฉ่ง ส่วนอีกฝ่ายน่ะหรือได้แต่ทำหน้าเอือมระอาให้กับความเอาแต่ใจและกวนโอ๊ยเอาแต่ใจคนนี้
“บอกคุณประสิทธิ์ซะขนาดนี้ ไม่ว่างก็คงเสียมารยาทแย่สิครับ”
“เยี่ยมครับ” ปรปรัชญ์กำมือขึ้นอย่างถูกใจ “งั้นพี่ไปทำงานต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมนั่งรอตรงนี้”
“นั่งรอตรงนี้เนี่ยนะ” ชานนท์พูดออกมาด้วยความตกใจ เหลืออีกประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าที่เขาจะเลิกงาน
“ครับ ทำไมครับ” ปรปรัชญ์ถามด้วยความใสซื่อ และยังเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิมที่เคยนั่งรอชานนท์เมื่อครั้งก่อน “ตรงนี้แหละครับ”
“แต่มันอีกตั้งสามชั่วโมงเลยนะ” ชานนท์กลัวว่าปรปรัชญ์จะเบื่อและรู้สึกเกรงใจลึกๆ ด้วยแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนบีบบังคับนัดแนะเขาเองก็เถอะ
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเล่นเกมในมือถือรอ” ปรปรัชญ์ยักคิ้ว
“สามชั่วโมงแบตหมดพอดี” ชานนท์เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ผมมีแบตสำรอง” ปรปรัชญ์ยักคิ้วให้แล้วค้นกระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้วยก่อนจะหยิบแบตสำรองออกมาโชว์
“ขอโทษนะคะ คุณชานนท์คะ” เสียงของพยาบาลดังขึ้นขัดจังหวะ
“ครับ” ชานนท์หันไปคุยด้วย
“พอดีหมอการุณเรียกพบที่ห้องน่ะค่ะ เห็นบอกว่าจะคุยอาการของผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษาเมื่อวันก่อน”
“ได้ครับ ผมจะรีบไป” ชานนท์ตอบรับก่อนที่พยาบาลสาวจะเดินจากไป เขาหันกลับไปมองปรปรัชญ์ เจ้านั่นยังคงนั่งกดโทรศัพท์แล้วยิ้มยั่ว พอรู้สึกว่าโดนจับจ้อง ก็วางละสายตาจากมือถือก่อนจะหันไปมองสู้ตรงๆ
“ไปสิครับ หมอเรียกพบไม่ใช่เหรอ” ปรปรัชญ์เอ่ยขึ้น เขาไล่ชานนท์เอาดื้อๆ ทั้งที่เป็นฝ่ายชานนท์มากกว่าที่ควรจะไล่เขาไป “หรือพี่เป็นห่วงผมครับ อันแน่... แน่ๆ เลย แบบนี้ผมหวั่นไหวนะเนี่ย”
“เออ งั้นก็ตามใจ” ชานนท์ส่ายศีรษะด้วยความเอือมระอา เด็กหนุ่มคนนี้นั้นฝีปากและกิริยากวนบาทาเกินกว่าที่เขาจะรับมือได้ “งั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ”
“ครับ” ชานนท์ยิ้มแก้มปริ แต่พอชานนท์หันหลังเดินไปสองสามก้าวเขาก็เรียกเอาไว้ “อ้อ เดี๋ยวครับพี่”
“มีอะไร” ชานนท์หันกลับมามองคนเรียกด้วยความสงสัย
“ตั้งใจทำงานนะครับ สู้ๆ” ปรปรัชญ์ชูกำปั้นขึ้นเหมือนต้องการจะตอกย้ำว่าเป็นกำลังใจให้
ชานนท์ถอนหายใจ ไม่สนใจกับท่าทีของเจ้านั่นก่อนจะเดินหันหลังกลับไปเพื่อที่จะไปพบกับหมอการุณ
ปรปรัชญ์มองอีกฝ่ายจนกระทั่งลับสายตาก่อนจะยิ้มออกมา ความจริงเขาเป็นเด็กที่สุภาพเรียบร้อยมาก เชื่อฟังผู้หักผู้ใหญ่ ไม่เคยทำท่าทีแบบนี้กับใคร แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกับชานนท์เขาถึงมีความสุขที่ได้แกล้ง
อาจเพราะในครั้งแรกที่ได้เจอแล้วนัดกัน ชานนท์เดินออกมาจากห้องทำงานด้วยเส้นผมที่ฟูฟ่อง วันนั้นคงปวดหัวกับงานแล้วเผลอเอามือขยี้กับศีรษะบ่อยๆ จนเส้นผมชี้โด่ชี้เด่ ดูทุ่มเทกับงานจนอดปลื้มไม่ได้ ทั้งชานนท์ยังเป็นนักจิตวิทยาที่สนิทสนมกับพี่ชายของเขา เขาจึงแค่อยากจะทำให้คนที่ดูแลพี่ชายของเขามีความสุขก็เท่านั้น... มั้ง
จบตอน
-
หน่วงจิตใจมากสงสารทุกคนเลย
ขออย่าให้ป้าฤทัยมาตามรังควานปกกรณ์เป็นพอ
ถึวตามรังควานก็ขอให้ปกรณ์ของเราเข้มแข็งก้าวผ่านไปให้ได้
ขอให้หมอเกื้อหายไวๆสู้ๆนะคะรวมทั้งคนเขียนด้วยเป็นกำลังใจให้ค่ะ
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
ตอนที่ 36
เย็นวันนี้ ชานนท์ไม่ลืมเวลานัดหมายเหมือนครั้งก่อน เขามีงานที่ต้องสะสางไม่มากนักจึงสามารถเลิกงานได้ตรงเวลา พอห้าโมงเย็น ชานนท์ก็เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากห้องทันที
ปรปรัชญ์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม แต่อิริยาบถเปลี่ยนไป เขาไม่ได้เล่นโทรศัพท์แล้วแต่กำลังนั่งหลับตากอดอกแล้วศีรษะผงกไปมา จนชานนท์อดขำไม่ได้
ชานนท์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้ ชอบกวนใจเขาดีนัก ต้องโดนเอาคืนบ้าง พอถ่ายภาพจนหนำใจจึงหันไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ
“ตื่นได้แล้ว”
ปรปรัชญ์สะดุ้งทันทีที่ถูกเรียกก่อนจะรีบเงยหน้าสบตามองคนที่มาปลุกเขา
“แกล้งหลับเฉยๆ นะ เนียนล่ะสิ” ปรปรัชญ์แก้ตัวออกไป จนชานนท์ต้องยิ้มออกมา
“ครับ... เนียนมาก...” ชานนท์ลากเสียงยาว “จะไปพบคุณประสิทธิ์กันที่ไหน ไปได้แล้วเร็วๆ”
“ไม่ต้องรีบหรอกครับ นัดพ่อไว้ที่ห้างใกล้ๆ น่าจะอีกชั่วโมงนู่นแหละครับกว่าที่พ่อจะมาถึง”
“งั้นก่อนกลับไปแอบดูคุณปกรณ์กันหน่อยดีไหมครับ” ชานนท์เอ่ยชวน ในเมื่อยังเหลือเวลาและไม่รู้จะทำอะไร เขาก็อยากเห็นหน้าของปกรณ์ก่อนกลับ สักนิดก็ยังดี
“พี่ดูห่วงพี่ปกรณ์จังเลยนะครับ” ปรปรัชญ์ชักสงสัย อะไรหลายๆ อย่างมันค่อนข้างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้มันมีมากกว่าแค่นักจิตวิทยาและผู้ป่วย แต่ก็ไม่แน่ใจเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
“เปล่า” ชานนท์ปฏิเสธออกไป เขาไม่แน่ใจว่าถ้าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปกรณ์ถูกเปิดเผยให้คนในครอบครัวทราบมันจะเป็นผลดีหรือไม่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ผู้ชายทั้งคู่ “ก็ปรัชญ์อุตส่าห์กลับมาเมืองไทยทั้งที ได้เจอปกรณ์แค่เดี๋ยวเดียวเอง ก็เลย... ชวนไปแอบดู ไม่ไปก็ได้นะ”
“อ่อ... ครับ” ปรปรัชญ์พยักหน้าก่อนจะอมยิ้มออกมา “งั้นก็ไปเลยครับ”
ชานนท์เดินนำไปยังห้องพักของปกรณ์ ประตูห้องผู้ป่วยเป็นประตูสีขาวแน่นหนา จะมีหน้าต่างกระจกใสสี่เหลี่ยมอยู่ระดับใบหน้า สามารถมองจากข้างนอกเข้าไปเห็นข้างใน แต่ผู้ที่อยู่ข้างในจะไม่สามารถมองทะลุออกมาข้างนอกได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยในแผนกจิตเวชตกใจเผื่อมีใครเดินผ่านไปมาหน้าประตู
ชานนท์และปรปรัชญ์ยืนมองใกล้ๆ กัน ในยามนี้ปกรณ์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอน เขานอนตะแคงข้างหันหน้าออกมาทางประตูพอดี ใบหน้าของคนที่นอนหลับในยามนี้ดูจิ้มลิ้มน่าทะนุถนอมจนชานนท์ต้องอมยิ้มออกมา
“เออ ผมลืมไปเลย เมื่อก่อนพี่ปกรณ์ไม่กล้านอนบนเตียงนี่ แล้วทำไมตอนี้ถึงดูหลับสบายจังนะ” ปรปรัชญ์ยิ้มออกมาเมื่อเห็นพี่ชายนอนหลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
ชานนท์สะดุ้งเล็กน้อยกับความสงสัยของปรปรัชญ์ เนื่องจากเขาเองก็มีวิธีรักษาในแบบของเขาแต่คนอื่นไม่ควรรู้หรอก ...อย่าสงสัยให้มากนักเลย
“พี่รู้ใช่ไหมครับ เพราะพี่กับหมอใกล้ชิดกับพี่ปกรณ์ที่สุดแล้ว น่าจะรู้ว่าพี่ปกรณ์กลัวเตียงนอน”
“อืม... ก็รู้ว่ากลัว” ชานนท์พยักหน้า “แต่หมอก็มีวิธีรักษาของหมอ เรื่องมันยาว อย่าไปสนใจนักเลย”
“อ่อครับ” ปรปรัชญ์พยักหน้า “พี่ดีขึ้นมากจริงๆ คงอีกไม่นานก็น่าจะหายดีใช่ไหมครับ”
“ถ้าไม่มีอะไรมากระทบจิตใจ ก็น่าจะไม่นานครับ” ชานนท์ตอบออกมา
“งั้นต้องระวังแม่เลยนะครับ” ปรปรัชญ์รีบพูดออกมา “ถ้าจะมีอะไรที่มากระทบกระเทือนจิตใจพี่ ก็คงมีแต่เรื่องแม่นั่นแหละ”
“พี่บอกทุกคนให้เฝ้าระวังไว้แล้วครับ ถ้าคุณฤทัยดีมาให้กันไว้เลย ให้แจ้งว่าเข้าเยี่ยมยังไม่ได้ยังอยู่ในขั้นตอนการรักษา เป็นกฎของโรงพยาบาล” สำหรับชานนท์นั้นไม่ห่วงเรื่องฤทัยดีสักเท่าไร เขากังวลเรื่องหมอเกื้อมากกว่า ถ้าเกิดมีใครเผลอหลุดปากจนปกรณ์ได้ยินล่ะก็แย่แน่ หรือต่อให้ปกรณ์หายดีแล้วก็ตาม ถ้าอาการหมอเกื้อยังไม่ดีขึ้นก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกลับมาเครียดจนต้องเข้ารับการรักษาอีกครั้ง ในตอนนี้จึงได้แต่ภาวนาให้หมอเกื้ออาการดีวันดีคืน
“ครับ ถ้าแม่โดนห้ามหรือกันไว้ก็คงไม่เข้ามาแน่” ปรปรัชญ์รู้นิสัยของแม่ตัวเองดี หล่อนไม่ทำอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแน่ ถ้าโดนห้ามไว้หล่อนก็คงไม่คิดจะดันทุรังเข้าไปให้ถูกตำหนิ
“เรื่องคุณฤทัยดีพี่ก็ไม่ค่อยห่วงหรอก พี่กังวลเรื่องหมอเกื้อมากกว่า ทั้งอาการของหมอ ทั้งกลัวว่าปกรณ์จะรู้ความจริง” ชานนท์เอ่ยเสียงเบา ว่าจะไม่พูดแต่ก็อดไม่ได้ พอคิดถึงเรื่องหมอเกื้อทีไรก็ต้องระบายออกมาทุกที
ปรปรัชญ์หันไปมองชานนท์ด้วยความเห็นใจ หากเป็นเขาที่ต้องอยู่ในเหตุการณ์นั้นแทนก็คงจะรู้สึกเครียดเช่นเดียวกัน ไหนจะอาการของหมอเกื้ออีกทั้งต้องปกปิดไม่ให้ปกรณ์รู้อีก คงลำบากใจแย่
“ไม่เป็นไรนะครับ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” ปรปรัชญยืดแขนไปโอบบ่าอีกฝ่ายเอาไว้เป็นการปลอบใจ “ไปกันเถอะครับ”
ท้ายที่สุดก็ชวนชานนท์ออกไปจากที่แห่งนี้เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคิดมาก หลังจากที่ทั้งคู่เดินไป ใครบางคนที่ซุ่มรออยู่นานก็แสยะยิ้มออกมา ฤทัยดีนั่งอยู่ที่บริเวณทางออกหน้าแผนก หล่อนสวมเสื้อยืดกางเกงยืนขาวซึ่งไม่ใช่แนวที่หล่อนชอบเพื่อไม่ให้ใครสงสัย ระหว่างนั้นก็หยิบแว่นดำขึ้นมาสวมใส่ พอเห็นปรปรัชญ์เดินออกมา หล่อนก็ยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาบังหน้าจนกระทั่งร่างของลูกชายและนักจิตวิทยาเดินจากไป
ฤทัยดีมุ่งตรงไปที่แผนกจิตเวช เดินไปที่เคาน์เตอร์หน้าแผนกเพื่อที่จะคุยอะไรบางอย่าง
“ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยอะไรหน่อยได้ไหมคะ” หล่อนเอ่ยขึ้น
“ค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ” พยาบาลที่นั่งอยู่ในเคาน์ตอบออกมา เธอเป็นพยาบาลฝึกงาน ซึ่งจะไม่ทราบเรื่องภายในแผนกเลยว่าผู้หญิงที่กำลังสอบมารบกวนเธอนั้นคือบุคคลต้องห้าม
“พอดีหลานฉันมารับการรักษาที่นี่ แกป่วยน่ะค่ะ ชื่อนายปกรณ์ แล้วแกเป็นนักถ่ายภาพมีผลงานเป็นโฟโต้บุ๊คด้วยหนึ่งเล่ม พอดีมีแฟนคลับที่ติดตามผลงานทราบข่าวว่าปกรณ์มารักษาที่นี่ ก็เลยมีคนเขียนจดหมายมาให้กำลังใจน่ะค่ะ อยากจะรบกวนฝากคุณพยาบาลส่งให้คุณปกรณ์ได้ไหมคะ”
“จดหมายเหรอคะ ได้ค่ะ” พยาบาลยิ้มรับด้วยความเป็นมิตร
“นี่นะคะ” ฤทัยดีค้นกระเป๋าออกมา หล่อนหยิบจดหมายในกระเป๋าแล้วส่งให้กับพยาบาล ทั้งหมดมี 8 ฉบับ เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย หล่อนจึงลงทุนซื้อซองจดหมายคละสีคละลาย
“ได้ค่ะ แต่คงต้องเป็นวันหลังนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะส่งจดหมายให้คุณปกรณ์ผู้ป่วยจิตเวชนะคะ” พยาบาลตอบตกลง เธอเป็นพยาบาลที่มารับการฝึกงานที่นี่เธอจึงยินดีและมีความสุขทุกครั้งที่มีคนมาขอร้องให้เธอช่วย ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม
“ค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ หลานดิฉันจะต้องมีกำลังใจขึ้นมากแน่ๆ และจะต้องดีวันดีคืนแน่ๆ ค่ะ” ฤทัยดีกล่าวขอบคุณก่อนที่จะเดินกลับออกไป
หล่อนมั่นใจว่าปรปรัชญ์ต้องคุยกับหมอและพยาบาลในแผนกว่าห้ามให้หล่อนเข้าไปพบกับปกรณ์โดยตรง หล่อนจึงเลือกที่จะใช้วิธีเขียนจดหมายแล้วฝากไว้ที่เคาน์เตอร์หน้าแผนกเอา จะช้าหรือเร็วก็ช่างขอแค่ให้ปกรณ์ได้อ่านก็พอ
‘ขอโทษนะคะพี่ประสิทธิ์ ฤทัยทำใจยอมรับไม่ได้ที่ลูกของเราดีกับไอ้ปกรณ์แต่เย็นชากับฤทัย ฤทัยไม่มีวิธีอื่นแล้วค่ะ ต้องให้ปรัชญ์ได้รู้ว่าการเย็นชาใส่แม่มันจะทำให้เขาต้องเจ็บปวดแค่ไหน ถ้าไม่เลิกดีกับไอ้ปกรณ์ ไอ้ปกรณ์ก็จะต้องไม่มีวันหายดีแน่นอน...’
สิ้นความคิดหล่อนก็เผยอยิ้มออกมา ริมฝีปากกระตุกเบาๆ เมื่อคิดว่าชัยชนะครั้งนี้กำลังจะตกเป็นของหล่อน ปรปรัชญ์จะต้องกลับมาหาและขอโทษที่เย็นชาใส่หล่อนหลังจากที่ได้รับรู้ว่าอาการของปกรณ์ย่ำแย่ลง ในเมื่อลูกชายเลือกที่จะใจร้ายใส่มาก่อน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่หล่อนจะต้องไปใจดีกับลูกของคนที่แย่งผู้ชายของหล่อนไป จนทำให้หล่อนต้องโดนตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย
ชานนท์และปรปรัชญ์ไปเดินรอเวลาที่ห้าง ไม่นานมากนักประสิทธิ์ก็โทรมาแล้วแจ้งว่ามาถึงแล้วทั้งคู่จึงไปรอประสิทธิ์ที่ร้านอาหารซึ่งได้นัดแนะกันไว้
ปรปรัชญ์สั่งอาหารรอ ไม่ถึงสิบนาทีพ่อของเขาก็มาถึง พอเห็นร่างของชายวัยกลางคนที่ใบหน้ายังคงความหล่อ ลูกชายคนโปรดก็ลุกขึ้นไปเดินกอดทักทายด้วยความรู้สึกสนิทสนม ชานนท์มองการกระทำนั้นด้วยความขัดใจนิดๆ นึกไม่พอใจประสิทธิ์ที่ไม่เคยทำแบบนี้กับปกรณ์บ้างแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มันเป็นเรื่องของครอบครัวคนอื่น แต่ละคนคงมีเหตุผลของตัวเอง ได้แต่หวังว่าประสิทธิ์จะคิดได้โดยเร็วไว
“หวัดดีครับพ่อ” ปรปรัชญ์ทักทาย
“สวัสดีครับคุณประสิทธิ์” ชานนท์เองก็ลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้เช่นกัน
“หวัดดีๆ” ประสิทธิ์ทักทายชายหนุ่มทั้งสองอย่างเป็นมิตร ถ้าไม่นับเรื่องปัญหาของปกรณ์ ประสิทธิ์ถือได้ว่าเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นคนหนึ่งเลยทีเดียว จากการที่เขาแสดงความรักกับปรปรัชญ์อย่างเปิดเผย มีพ่อแม่ไม่กี่คนหรอกที่เป็นกันเองกับลูกได้มากถึงเพียงนี้
จะโทษประสิทธิ์เสียทีเดียวก็ไม่ได้ เพราะถ้าแม่ของปกรณ์ไม่ทำร้ายจิตใจประสิทธิ์ก่อน เรื่องเลวร้ายทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่ชานนท์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าเป็นชานนท์ที่กำลังจะแต่งงานกับใครสักคน แต่อยู่ๆ มีใครก็ไม่รู้มาจับเขาไปทำแบบเดียวกับที่ประสิทธิ์โดน เขาก็คงจะผิดหวัง เจ็บใจและทรมานเนื่องจากอนาคตที่วางไว้กับคนรักมีอันต้องพังทลายลง
“ปกรณ์เป็นไงบ้างล่ะ” หลังจากได้ที่นั่งประสิทธิ์ก็เอ่ยถามทันที
“ก็ดีนะครับ ผมไม่รู้นะว่าเมื่อก่อนพี่อาการแย่ขนาดไหน แต่หมอกับคุณชานนนท์บอกว่าพี่ดีขึ้นมาก คงอีกไม่นานเดี๋ยวก็หาย” ปรปรัชญ์ตอบออกมา
“แล้วเราเนี่ยไปสนิทสนมกับปกรณ์ตอนไหน เมื่อก่อนแทบจะไม่คุยกันเลย หน้าก็ไม่มองด้วยซ้ำ” ถึงแม้จะไม่เคยสนใจปกรณ์แต่ปรปรัชญ์ก็อยู่ในสายตาของประสิทธิ์ตลอด
“ก็เพิ่งสนิทเนี่ยแหละครับ” ปรปรัชญ์ตอบออกไปตรงๆ ที่เขาไม่เคยสนิทกับพี่ชายก็เพราะแม่หรอกนะ เขาทำดีกับปกรณ์ไม่ได้ ถ้าแม่รู้หรือเห็นว่าพวกเขาคุยกัน ปกรณ์จะต้องโดนลงโทษ ปรปรัชญ์จึงต้องแกล้งใจร้ายกับพี่ชายเหมือนกับทุกๆ คน แต่จะพูดความจริงทั้งหมดให้พ่อฟังก็ไม่ได้ แม่ไม่เคยทำร้ายปกรณ์ต่อหน้าพ่อ แถมยังขู่ไม่ให้ปกรณ์ฟ้องพ่ออีก ถ้าพ่อรู้เรื่องนี้ พ่ออาจจะเกลียดแม่ไปอีกคน อย่างน้อย... ก็ให้ความรู้สึกของพ่อที่มีต่อแม่เป็นเหมือนเดิมน่าจะดีที่สุด
“มีอะไรหรือเปล่า” ประสิทธิ์ไม่ใช่คนโง่พอที่จะมองอาการของลูกชายไม่ออก น้ำเสียงที่กระแทกแดกดันนิดๆ และท่าทางที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เหมือนว่าเขามีอะไรบางอย่างในใจ
“เปล่าครับ แค่สงสารพี่ นึกโกรธตัวเองที่ไม่เคยคุยกับพี่ชายเลย” ความจริงปรปรัชญ์เกลียดการกระทำของตัวเองด้วย ไม่ใช่แค่ไม่คุย แต่เขาเคยลงมือทำร้ายร่างกายพี่ชายหลายครั้งเพราะแม่สั่ง นึกย้อนกลับไปทีไรก็โกรธให้กับความขี้ขลาดของตัวเองที่เคยทำแบบนั้น “แล้วพ่อล่ะ แต่ก่อนก็ไม่เคยพูดถึงพี่ด้วยซ้ำ”
“อะไร... จะมาสงสัยอะไรพ่อ” ประสิทธิ์แกล้งทำเมินแต่พอรู้ว่าโดนลูกชายคนโปรดจ้องมองด้วยสายตาคาดคั้นเขาก็ต้องยอมแพ้แล้วตอบออกไป “ก็เปล่า ไม่ได้สนใจอะไรมันหรอก แต่ยังไงมันก็ลูก”
“เนอะ ยังไงพี่ปกรณ์ก็คือลูกของพ่อ เป็นพี่ชายของผม” ปรปรัชญ์พยักหน้าเห็นด้วยแต่ก็อดหมั่นไส้ให้กับความปากแข็งของพ่อตัวเองไม่ได้ “แล้วแม่ล่ะ แม่รู้ไหม ว่าพ่อก็ห่วงพี่ปกรณ์”
“บอกว่าไม่ได้ห่วงไง เอ๊ะ... นี่ยังไง จับผิดพ่อจัง” ประสิทธิ์แสร้งทำเสียงขัดใจ
“อ้ะๆ ไม่ห่วงก็ไม่ห่วงครับ” ปรปรัชญ์เบ้ปากแล้วพยักหน้าแต่ก็อดที่จะหลอกถามไม่ได้อยู่ดี “แล้วตกลงแม่รู้ไหมครับ”
“ก็รู้มั้ง” ประสิทธิ์ตอบออกมา “แต่ก็คุยกันเรื่องนี้แล้วนะ ฤทัยก็รับปากว่าจะไม่ยุ่ง จะพยายามเลิกเกลียดเด็กคนนั้น เออ... วันนี้ก็เจอกันที่โรงพยาบาลกับแม่นี่เนอะ ฤทัยตกใจมากเลยนะที่เจอลูกที่นั่น เสียงของฤทัยสั่นมากเลยล่ะตอนที่โทรมาบอกว่าเจอลูก หมอการุณโทรมาบอกให้วันนี้ไปเยี่ยมเจ้านั่นได้ พอดีพ่อติดธุระเรื่องงาน ก็เลยฝากของขวัญไปกับฤทัย ฤทัยเองก็คงรู้สึกไม่ดีที่ชอบดุด่าเด็กคนนั้นจนเป็นแบบนี้ อย่างว่าแหละเนอะครอบครัวเรามันยุ่งเหยิงไปหมด”
“พ่อว่าไงนะครับ” ปรปรัชญ์กลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ เขาเข้าใจแม่ผิดไปงั้นหรือ
“ก็ฤทัยบอกถ้ามีโอกาสก็อยากขอโทษเจ้านั่นเหมือนกัน ไม่รู้ได้คุยกันหรือยังน่ะสิ”
คำตอบของประสิทธิ์แทบอยากจะทำให้ปรปรัชญ์เอาหัวโขกกำแพงให้ตาย เขามองแม่ผิดไปหรือนี่ แถมยังพูดจาไม่ดีกับแม่อีก... ไม่แปลกที่แม่จะโกรธตอนที่เห็นเขากอดกับปกรณ์ แม่คงตกใจที่เจอเขาที่นี่ อีกอย่างใจลึกๆ แม่ก็ไม่ชอบปกรณ์อยู่แล้ว แต่ก็คงพยายามจะสงบสติอารมณ์ ตอนที่ลากเขาไปบนรถอาจจะแค่อยากสอบถามธรรมดา แต่เขากลับพูดจาเย็นชาและทำร้ายจิตใจแม่
และถ้าเป็นเช่นนั้น... แม่ก็อาจจะโกรธและเกลียดปกรณ์มากขึ้นไปอีก และเขาเองก็คือต้นเหตุที่ทำให้แม่ต้องกรีดร้องออกมาและแสดงออกชัดเจนว่าจะไม่มีวันให้อภัยปกรณ์ ถ้าตอนนั้นเขาใจเย็น คุยกับแม่ดีๆ และฟังที่แม่พูด เรื่องทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นแบบนี้
“แป๊บนึงนะครับพ่อ” ปรปรัชญ์พูดขึ้นมาด้วยท่าทีที่เร่งรีบแล้วลุกออกจากโต๊ะไปยืนอยู่นอกร้าน
ปรปรัชญ์กดเบอร์โทรศัพท์หาผู้เป็นแม่ แต่ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย ลองกดอีกหลายครั้งแต่ก็ได้ยินเพียงเสียงตอบกลับว่าไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกทุกครั้งไป
ปรปรัชญ์ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้แม่ใจร้อนจนทำอะไรวู่วาม เขาอยากจะกลับไปคุยกับแม่ อยากขอโทษที่พูดจาไม่ดีและมองแม่ผิดไป เขารู้ว่าแม่เป็นคนทิฐิสูง การจะดีกับคนที่เกลียดที่สุดในชีวิตมันเป็นเรื่องที่ยากมาก แม่พยายามจะทำเช่นนั้นแต่เขาก็ทำให้ทุกอย่างพังทลาย ...เขาคือสาเหตุที่ทำให้แม่ยังคงเกลียดปกรณ์ต่อไป หรืออาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ
‘โถ่เว้ย ไอ้โง่ปรัชญ์!!!’
ปรปรัชญ์ได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจก่อนจะเดินกลับไปภายในร้านอาหารอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ
ชานนท์สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่ก็เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ถามอะไรออกไปไว้รอให้แยกกับคุณประสิทธิ์ก่อนค่อยถาม บางทีเรื่องที่ปรปรัชญ์กำลังคิดมันอาจจะเป็นเรื่องที่พ่อของเขาไม่ควรรับรู้ แล้วไม่ว่าปรปรัชญ์จะกำลังมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรในใจ ชานนท์ก็ภาวนาเอาใจช่วยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี และหวังว่าเรื่องเหล่านั้นมันจะไม่เกี่ยวของกับปกรณ์
จบตอน
-
ลุ้นมากๆ คือยิ่งอ่านมันยิ่งน่าติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อไป
ตัวละครหลักๆ มากันครบหมดละ มันส์ๆแน่
แต่คุณผู้แต่ง หายไปไหน กลับมาแต่งให้จบนะเรื่องนี้ เข้มข้นดี
เดาไม่ถูกเลยว่าเรื่องจะดำเนินไปยังไง อยากให้ปกรณ์หายไวๆและเข้มแข็งมากๆ จะได้รับมือไหว
หมอเอื้ออีกคนขอให้ฟื้นเถอะนะ
-
:hao5:ลุ้นสุดดดด โอ้ยยยแม่นี้ก็รังควาญไม่เลิกจริง
น้องปกรณ์นี่ชอบชานนท์อีกคนแล้วแน่เลย
-
ลุ้นมากกกก ฤทัยดีนี้ไม่ยอมเลิกลาสีกที สงสารชานนท์มาก ดูสับสน และที่สำคัญทำไมหมอเอื้อน่าสงสารแบบนี้ :hao5: :hao5:
-
สนุกดีคับ รอตอนต่อไปอยู่นะคับ ^^
-
ทำไมไม่ปล่อยว่างบ้างเลย :hao5:
-
มาต่อไวๆเลยครับ :z13:
แต่ละคนก็มีปมเป็นของตัวเอง ได้เห็นสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ส่งผลให้พฤติกรรมต่างกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองด้วยว่าจะยอมให้ทิศทางชีวิตไปทางไหน
โดยรวมแล้วชอบครับ สะท้อนมุมมองหลายมุม