พิมพ์หน้านี้ - <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 15 ตายทั้งกลม Part 1 [03-Aug-18]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 07-05-2017 20:32:43

หัวข้อ: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 15 ตายทั้งกลม Part 1 [03-Aug-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 07-05-2017 20:32:43
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


++++++++++

สารบัญ
ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3630724#msg3630724)
ตอนที่ 2 พาผีเข้าบ้าน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3645138#msg3645138)
ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3647714#msg3647714)
ตอนที่ 4 เจ้ากรรมนายเวร 1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3672382#msg3672382)
 ตอนที่ 5 เจ้ากรรมนายเวร 2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3675004#msg3675004)
 ตอนที่ 6 หมาดำ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3679674#msg3679674)
 ตอนที่ 7 ภาษาใจ  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3684472#msg3684472)
 ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3695147#msg3695147)
 ตอนที่ 9 บ้านร้างเก้าศพ 2  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3703156#msg3703156)
 ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3704743#msg3704743)
 ตอนที่ 11 ทรพี  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3709063#msg3709063)
 ตอนที่ 12 เปรต  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3725494#msg3725494)
 ตอนพิเศษ พัตเตอร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3746518#msg3746518) Part1
 ตอนพิเศษ พัตเตอร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3747794#msg3747794) Part 2
 ตอนที่ 13 ผีกับหมี  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3756932#msg3756932)
 ตอนที่ 14 น้ำมันพราย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3761703#msg3761703)
 ตอนที่ 15 ตายทั้งกลม  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59806.msg3869637#msg3869637)
.......................
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี [7/5/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 07-05-2017 20:41:58
อลวน "คน" กับ "ผี"




ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี





     คุณเชื่อเรื่องผีไหม? แต่ที่แน่ ๆ ผมคนหนึ่งแหละที่ไม่เคยคิดที่จะเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้เลย เรื่องผีหรือเรื่องสิ่งเร้นลับอะไรนั่นสำหรับผมแล้วมันเป็นสิ่งที่มนุษย์อุปทานกันไปเองทั้งนั้น หรือจะให้เรียกง่าย ๆ ก็คืองมงายนั่นแหละ สำหรับผมมันไม่มีอยู่จริงหรอก แต่กับแม่ของผมละก็ท่านเชื่อเรื่องพวกนี้มาก มากถึงมากที่สุด เรื่องผี เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องเร้นลับเหล่านั้นแสนจะมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของคุณนายนกยูงเป็นอย่างมาก



     โดยเฉพาะเรื่องโชคลาง หากมีที่ไหนที่คนเขาล่ำลือกันว่ามีหมอดู หมอผี หรือร่างทรงที่ว่าเด็ดจริงแม่นจริง ไกลแค่ไหนแม่ผมก็ต้องหอบสังขารไปหาให้จงได้ และวันนี้ก็เช่นกัน



     “พ่อหมอเจ้าขา ช่วยดูดวงให้ลูกอิฉันทีเจ้าค่ะ จะมีเนื้อคู่กับเขาหรือเปล่า อายุยี่สิบหกเข้าไปแล้วยังหาแฟนไม่ได้เลย” คุณนายนกยูงเจ้ากี้เจ้าการถามเรื่องผมกับชายสูงวัยไว้นวดเครายาวเฟิ้มใส่ชุดสีขาวโพลน ผู้ที่ใครต่อใครเรียกเขาว่าอาจารย์ทอง ผู้วิเศษที่ชาวบ้านในละแวกนี้ให้การนับถือเป็นอย่างมาก แถมคุณนายนกยูงยังเอาเรื่องผมไปพูดแบบผิด ๆ ให้ผมเสียหายอีกต่างหาก ผมไม่ได้หาแฟนไม่ได้สักหน่อย ต้องบอกว่าผมยังไม่เจอคนที่ถูกใจถึงจะถูก เพราะตัวเลือกสำหรับหนุ่มหล่อและสมบูรณ์แบบอย่างผมมันมีเยอะมากต่างหากล่ะ



     อาจารย์ทองคนนี้นั้นเพื่อนของคุณนายนกยูงเธอแนะนำมา บอกว่าแม่นจริงราวกับตาเห็น ศักดิ์สิทธิ์มากใครเดือดร้อนอะไรมาอาจารย์ทองผู้นี้ก็ช่วยเหลือได้ทุกอย่าง ได้ยินเพียงเท่านั้นคุณนายนกยูงถึงกับรีบบึ่งรถตรงจากกรุงเทพฯมาถึงสระบุรีเพื่อจะมาพบอาจารย์ทองผู้วิเศษให้ได้ แล้ววันนี้พ่อผมก็ดันไปออกรอบตีกอล์ฟกับเพื่อน ๆ เลยเป็นผมที่ต้องจำใจเป็นคนขับรถพาคุณนายนกยูงมาที่นี่แทน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยคิดที่จะมาในสถานที่แบบนี้เลยสักนิด เพราะผมไม่เคยมีความเชื่อแบบนี้ใครจะบอกว่าผมลบหลู่ก็ตามแต่ หมอผีหนวดเฟิ้ม ด้านหลังเป็นปะรำพิธี มีหัวกะโหลก มีหุ่นปูนปั้นเป็นรูปต่าง ๆ และดอกไม้ธูปเทียน สิ่งเหล่านี้ผมเคยเห็นแต่ในหนัง เพิ่งได้มาเห็นของจริงก็วันนี้แหละ ทีมงานที่นี่เขาก็เซ็ตฉากกันเก่งดีนะ ดูสมจริงทีเดียว



     บางคนที่มาก่อนหน้านี้ถึงกับชักดิ้นชักงออย่างกับคนเป็นลมบ้าหมู อาจารย์ทองแค่บ่นอะไรไม่รู้งึมงำ ๆ ก่อนจะพ่นลมปากใส่คน ๆ นั้นแล้วก็เขาหายจากอาการชักดิ้นชักงอเป็นปลิดทิ้งกลับมาเป็นปกติอย่างง่ายดาย ทรงนี้แค่ดูด้วยตาเปล่าผมก็รู้แล้วว่าเป็นการแอคติ้งแหกตากันทั้งเพ ก็คงจะร่วมกันทำเป็นขบวนการนั่นแหละ จนมาถึงคิวของคุณนายนกยูง เธอก็ถามนู่นนี่นั่นตามที่เธออยากรู้ ถึงส่วนใหญ่อาจารย์ทองผู้วิเศษจะสามารถตอบได้ตรงตามความเป็นจริง แต่เรื่องที่คุณนายนกยูงถามส่วนใหญ่นั้นแต่ละเรื่องก็จะเป็นเรื่องที่แสนจะเบสิคที่คาดเดาได้ไม่ยากทั้งนั้น หลังจากนั้นคุณนายนกยูงเธอก็ถามอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อย ถึงเรื่องดวงชะตาและวิธีแก้เคล็ดอะไรเหล่านั้นผมเองก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจ แต่ก็ไม่อยากจะขัดเธอ เพราะการทานอำนาจมืดของคุณนายนกยูงนั้นยากยิ่งกว่าหยุดสงครามโลกเสียอีก แต่เธอดันถามลามมาเรื่องของผมเสียได้



     “ไม่เอาแม่ผมไม่ดู แม่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบ” ผมย่นคิ้วค้านคุณนายนกยูงอย่างอิดออด



     “เอ๊ะ ตาชล มาถึงนี่แล้วก็ให้พ่อหมอท่านดูให้หน่อยจะเป็นอะไรไป เขยิบเข้ามานี่เดี๋ยวนี้” นั่นไงคุณนายนกยูงเธอเริ่มใช้อำนาจมืดกับผมแล้ว เธอหันมาทำตาดุและพูดน้ำเสียงตำหนิใส่ผม ผมถอนหายใจอย่างหน่ายใจและแอบเหลือบตามองด้านบนตอนที่เธอหันหน้ากลับไป แต่ก็ต้องเขยิบเข้าไปหาพ่อหมอนั่นตามที่เธอสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี



     “อืม หน้าหวานปากแดงอย่างกับผู้หญิง ชื่ออะไรล่ะเอ็ง” พ่อหมอผู้วิเศษเชยคางผมแล้วจับผมหันหน้าไปมาพร้อมมองหน้าผมอย่างพินิจพิเคราะห์ ผมพยายามซ่อนสีหน้าเบื่อหน่ายเพราะเกรงว่าคุณนายนกยูงเธอจะไม่พอใจเอา



     “ชื่อสายชลเจ้าค่ะพ่อหมอ สายชล วงศ์วารี” คุณนายนกยูงจัดแจงบอกชื่อพร้อมนามสกุลของผมให้อย่างเสร็จสรรพไปก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากพูด และหลังจากนั้นเธอก็แทบจะตอบคำถามทุกอย่างที่พ่อหมอคนนั้นถามแทนผมเกือบจะทั้งหมด ทั้งวันเดือนปีเกิด รวมไปถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลส่วนตัวของผม



     “อืม เนื้อคู่เอ็งน่ะมี และกำลังจะเจอในเร็ววันนี้แหละ” ตาลุงพ่อหมอบอกกับผม หลังจากที่นั่งหลับตาทำหน้าครุ่นคิดและทำมือขยุกขยิกเพื่ออะไรก็ไม่รู้อยู่ครู่ใหญ่  ซึ่งคำตอบนั้นก็เบสิคมาก หมอดูและหมอเดาก็ตอบแบบนี้กันทั้งโลก



     “แต่จะเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด” ตาลุงพ่อหมอหลับตาทำหน้ายุ่งอีกแล้ว ก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายที่ผมและคุณนายนกยูงจะต้องอึ้ง

     “และเนื้อคู่ของเอ็ง...เป็นผู้ชาย”



     อ้าวเฮ้ย!!! ไปกันใหญ่แล้วเว้ย!



     “พอเลยลุง ผมทนดูลุงกับพวกเล่นละครมานานพอแล้ว หยุดเพ้อเจ้อสักที” ผมลุกขึ้นตวาดกร้าว เมื่อความอดทนของผมมาถึงขีดสูงสุด อยู่ดี ๆ ก็มาหาว่าผมจะได้เนื้อคู่เป็นผู้ชาย ผมนี่แมนทั้งแท่งนะเว้ย



     “นี่เอ็งกล้าลบหลู่ข้าเหรอ” ตาลุงพ่อหมอชี้หน้าผมอย่างไม่พอใจ สองตาที่ถลึงจนแทบจะถลนบ่งบอกชัดเจนว่าตาลุงนั่นกำลังโกรธผมมาก



     “เออ ผมลบหลู่ ก็เพราะสิ่งบ้า ๆ ที่ลุงกำลังทำมันไม่มีอยู่จริงไงล่ะ ลุงมันก็แค่นักต้มตุ๋น หลอกเอาเงินชาวบ้านไปวัน ๆ”



     “ได้ ในเมื่อเอ็งอยากลองดีกับข้า” ตาลุงพ่อหมอกัดฟันกรอด เขามองหน้าผมอย่างเอาเรื่องมาก ๆ แต่แล้วอย่างไรคิดว่าผมกลัวอย่างนั้นหรือ ถ้าเก่งจริงก็แสดงอภินิหารมาจัดการผมเลย ถ้าทำได้แล้วผมจะยอมเชื่อว่าไม่ใช่นักต้มตุ๋น และจะยอมก้มกราบงาม ๆ เลย



     คุณนายนกยูงดุผม แล้วบอกให้ผมรีบขอขมาตาลุงนั่นเสีย แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรแล้ว เป็นอย่างไรก็เป็นกันละคราวนี้ ตาลุงพ่อหมอเปิดฝาหม้อดินที่วางอยู่ข้างตัวแก ก่อนจะขยุ้มผงสีดำ ๆ อะไรสักอย่างที่อยู่ในนั้นมาเต็มกำมือ และทำปากขมุบขมิบคล้ายกับว่ากำลังสวดคาถาจอมปลอม ก่อนจะลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับผม...



     “นับจากนี้อีกสามวัน เอ็งจะต้องอยู่กับสิ่งที่เอ็งลบหลู่ไปชั่วชีวิต” ตาลุงพ่อหมอว่าจบก็ปาผงในมือใส่หน้าผมเต็ม ๆ



     “โอ้ย!” ผมร้องเพราะแสบตา ไอ้ผงบ้านั่นมันเข้าตาผมเต็ม ๆ เลย ตาลุงนี่ชักจะเล่นอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว แสบตาเป็นบ้าเลย เดี๋ยวพ่อโทรเรียกตำรวจมาจับข้อหาต้มตุ๋นหลอกลวงประชาชนเสียนี่!





☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎





     กว่าจะง้อคุณนายนกยูงเรื่องที่ผมไปก่อเรื่องไว้ที่ตำหนักพ่อหมอลวงโลกเมื่อสามวันก่อนได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน จริตการงอนของคุณนายเธอนี่ยิ่งกว่าสาวแรกรุ่นเสียอีก ไม่พูดไม่จากับผมทำค้อนทำเมินใส่ผมอยู่เป็นวัน ๆ แต่สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนลูกตื้อของผมอยู่ดีนั่นแหละ และนี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วชีวิตผมก็ยังปกติสุขดี ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผมอย่างที่ตาลุงนั่นพูดสักนิด ก็ผมบอกแล้วว่านั่นมันนักต้มตุ๋น



     วันนี้ผมพาคุณนายนกยูงมาเฝ้าไข้ป้านกแก้วพี่สาวของเธอที่ป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล คุณนายนกยูงเธออาสาที่จะนอนเฝ้าไข้พี่สาว โดยมีผมที่ยังอยู่เป็นเพื่อนเผื่อว่าจะช่วยหยิบจับอะไรได้บ้าง ผมตั้งใจไว้ว่าดึก ๆ ค่อยกลับบ้านเพราะอยู่ค้างที่นี่ด้วยไม่ได้พรุ่งนี้ผมยังมีงานที่ต้องเคลียร์อยู่



     “แม่ครับ ผมจะลงไปซื้อกาแฟข้างล่าง แม่อยากได้อะไรไหม” ผมถามคุณนายนกยูงที่นั่งเฝ้าไข้ป้านกแก้วอยู่ไม่ห่างเตียง ตอนนี้ร่างกายผมมันเริ่มกระหายคาเฟอีนเมื่อรู้สึกว่าตาเริ่มจะปรือเพราะเปลือกตามันดูท่าจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ



     “ไม่ล่ะลูก ชลจะกลับบ้านเลยก็ได้นะ ดึกแล้ว เดี๋ยวจะขับรถกลับลำบาก” ผมเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังตามคำที่คุณนายนกยูงว่า เข็มนาฬิกาบอกเวลาว่าสามทุ่มกว่าแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ดึกเกินไปที่จะทำให้ผมตื่นไปทำงานไม่ไหว เพราะฉะนั้นผมอยู่เป็นเพื่อนคุณนายนกยูงอีกสักพักดีกว่า



     “เอ่อ เดี๋ยวอีกสักพักผมค่อยกลับดีกว่าครับแม่ เผื่อแม่จะมีอะไรให้ผมช่วยอีก”





☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎





     เอ นี่ก็จะสี่ทุ่มแล้วคนไข้เขายังไม่เข้านอนกันอีกหรือ ตั้งแต่ผมออกจากห้องของป้านกแก้วมาก็เจอกับบรรดาเหล่าคนไข้เดินขวักไขว่ไปมาเต็มทางเดินเลย และทุกคนดูหน้าตาหมองคล้ำแปลก ๆ แต่ก็คงจะเป็นเพราะไม่สบายกันอยู่นั่นแหละ แต่เท่าที่สังเกตดูเหมือนว่าทุกคนจะเดินกันแบบเลื่อนลอยไร้จุดหมายอย่างไรก็ไม่รู้ บางคนแอบเหลือบตามามองผมด้วยแววตาที่ชวนขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้แต่ว่าบรรยากาศตรงนี้มันไม่น่าอยู่เอาเสียเลย ผมรีบเดินจ้ำอ้าวหมายจะพ้นจากที่ตรงนี้และเหล่าคนไข้ท่าทางประหลาดไปขึ้นลิฟท์ให้เร็วที่สุด แต่แล้วก็....



     โอ๊ะโอ.... ขาว หมวย สวย น่ารัก สเปคไอ้ชล



     “กำลังจะไปไหนเหรอครับ” ผมเดินเข้าไปทักสาวงามในชุดคนไข้ ที่ผมพบเธอกำลังเดินอยู่คนเดียวตรงระหว่างทางเดินก่อนจะถึงลิฟท์ เธอคนนี้ทำเอาผมลืมความรู้สึกน่ากลัวก่อนหน้านี้ไปเลย



     “อ๋อ ดาวกำลังจะกลับห้องน่ะค่ะ” เธอหันมายิ้มให้ผม ถึงแม้ในแววตาเธอจะดูเศร้าแต่เธอก็ยังดูสวยมาก นี่ขนาดหน้าสดงดเมคอัพนะ ใบหน้าของเธอยังสวยหวานจนหัวใจไอ้ชลแทบจะละลายลงตรงนี้



     “เอ่อ ถ้าอย่างนั้น ผมขอเดินไปเป็นเพื่อนนะครับ” คุณดาวเธอไม่ได้ว่าและไม่ได้ตอบอะไร เพราะฉะนั้นผมขอเข้าข้างตัวเองถือว่าเธออนุญาตให้ผมเดินไปกับเธอก็แล้วกันนะ



     “เอ่อ ไม่ทราบว่าคุณดาวไม่สบายเป็นอะไรเหรอครับ ทำไมถึงได้มานอนโรงพยาบาล” ไม่รู้ว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า แต่ผมก็ได้เผลอถามอาการป่วยของเธอออกไปแล้ว ก็ตอนนั้นมันนึกเรื่องจะชวนคุยไม่ออกนี่นา



     หลังจากที่ผมถาม คุณดาวเธอดูซึมไปเลย มีแววจะแห้วแล้วไหมล่ะไอ้ชลเอ๋ย



     “เอ่อ ถ้าไม่สะดวกจะตอบก็ไม่เป็นไรนะครับ”



     “แฟนดาวเขาทิ้งดาวไปน่ะค่ะ ดาวเสียใจมากก็เลยฆ่าตัวตาย” ผมอึ้งไปไม่น้อยกับคำตอบของเธอ ไอ้ผู้ชายคนนั้นจิตใจมันทำด้วยอะไรกัน ทำไมกล้าทิ้งสาวที่สวยน่ารักขนาดนี้ได้ลงคอ นี่มันโง่หรือมันโง่มากกันแน่ คุณดาวเองก็เหมือนกันสวยออกขนาดนี้เธอคงหาแฟนใหม่ได้สบาย ๆ ไม่น่าคิดสั้นเลย แต่ก็ยังโชคดีนะที่เธอไม่ได้เป็นอะไรไป



     “ถึงห้องดาวพอดีเลย ดาวขอตัวก่อนนะคะ ว่าง ๆ ก็แวะมาคุยกับดาวได้นะ ดาวคงต้องอยู่ที่นี่อีกนาน” คุณดาวเธอหันมายิ้มหวานให้กับผม รอยยิ้มของเธอช่างมีพลังการทำลายล้างสูงจริง ๆ ทำหัวใจผมแทบจะละลายแล้วละลายอีก ทำไมเธอถึงได้น่ารักอย่างนี้นะ ไม่เป็นไรนะ ไม่ว่าใครจะทำให้คุณเจ็บช้ำมาผมจะรักษาแผลใจให้คุณเอง ผมยังมองเธอตาหวานเยิ้มตามหลังเธอไปจนตัวเธอเดินทะลุผ่านประตูเข้าไปราวกับว่าตรงนั้นไม่ได้มีอะไรขวางกั้นอยู่...



     เฮ้ย! เดี๋ยว!



     “เชี่ย...........”



     ผมยืมกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อครู่ ผมมั่นใจว่าเมื่อครู่นี้ผมไม่ได้ตาฝาดแน่ ๆ เธอไม่ได้เปิดประตูแต่เธอเดินทะลุมันเข้าไปเลยต่างหาก บ้าน่า! ไม่จริงหรอก ไม่ใช่หรอกน่า อะไรอย่างไรผมก็ยังจับต้นปลายไม่ถูก สิ่งเดียวที่สมองผมพอจะสั่งการได้ในตอนนี้คือ วิ่ง! วิ่ง! วิ่ง! และวิ่งให้เร็วที่สุดเท่านั้น ก่อนที่ยัยดาวจะกลับออกมาอีก...



     ผมใส่เกียร์หมาวิ่งหนีมาอย่างไม่เหลียวหลัง นี่อย่าบอกนะว่าผมโดนเข้าให้แล้ว เมื่อครู่นี้มันใช่จริง ๆ ใช่ไหม...



     โชคดีที่ตอนที่ผมวิ่งมาถึงประตูลิฟท์ก็มันเปิดที่ชั้นนั้นพอดี ผมเลยไม่ต้องยืนรอลิฟท์อยู่บริเวณใกล้ห้องยัยน้องดาวนาน ๆ ตอนนี้หัวใจผมยังเต้นรัวเป็นจังหวะสามช่าอยู่เลย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจออะไรที่ระทึกขวัญอย่างนี้มาก่อน สิ่งที่ผมไม่เคยเชื่อมาทั้งชีวิตว่ามันมีอยู่จริง แต่ถ้ามันไม่มีอยู่จริงแล้วเมื่อครู่นี้ที่ผมเห็น....





☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎





     ในใจตอนนี้ผมไม่อยากกินแล้วกาแฟอยากจะหนีกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอดแล้วค่อยโทรบอกคุณนายนกยูงทีหลัง แต่ผมดันไม่ได้เอากุญแจรถกับโทรศัพท์มือถือติดตัวลงมาจากห้องป้านกแก้วด้วยน่ะสิ เอาอย่างไรกันดีล่ะคราวนี้ ถ้าจะกลับขึ้นไปก็ต้องผ่านห้องยัยดาวอีก ถึงจะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ายัยนั่นเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่อยากรู้ ไม่อยากพิสูจน์ ไม่อยากเจอ ไม่อยากเห็น ไม่ต้องการรับรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับยัยนั่นเลยทั้งนั้น



     ผมเดินวนไปวนมาช่างใจอยู่นานก็ยังคิดไม่ตกเสียทีว่าควรจะเอาอย่างไรต่อดี ก่อนจะตัดสินใจเดินไปซื้อเครื่องดื่มชูกำลังจากร้านสะดวกซื้อมากินย้อมใจก่อนที่จะตัดสินใจขึ้นลิฟท์ไปอย่างหวาดหวั่น ผมคิดเอาไว้ว่าตอนที่เดินผ่านห้องยัยดาวผมจะกลั้นใจหลับตาและวิ่งผ่านไปให้เร็วที่สุด เพราะทางที่จะไม่ต้องผ่านห้องยัยดาวละก็ผมต้องเดินอ้อมไปขึ้นบันไดหนีไฟอีกทาง ซึ่งห้องป้านกแก้วอยู่ชั้นแปด มีหวังผมคงขาลากเป็นแน่ถ้าใช้บันได



     ติ๊ง...



     ผมถึงกับผวาเมื่อได้ยินเสียงลิฟท์ ก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดออกที่ชั้นสอง และมีชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามา ผมเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ยัยดาวที่มาดักรอผมอยู่หน้าลิฟท์ และก็ยังมีคนเข้ามาอยู่ในลิฟท์ด้วยก็พอจะช่วยให้ผมอุ่นใจขึ้นได้บ้าง ถ้าขึ้นลิฟท์ไปคนเดียวในสถานการณ์นี้มันจะคงวิเวกวังเวงน่าดู



     “ชั้นไหนครับ” ผมถามตามมารยาทของคนที่อยู่ใกล้ปุ่มกดมากกว่า



     “....” ไม่มีเสียงตอบรับจากคู่สนทนา



     “ชั้นไหนครับ” ผมถามย้ำอีกครั้ง



     “.....” ก็ยังคงไม่มีเสียงตอบรับจากคู่สนทนาอยู่ดี



     “คุณจะไปชั้นไหน ผมจะได้กดให้ถูก”



     ผมหันไปพูดกับชายร่างสูงผู้สวมเสื้อแจ็คเก็ตสีแดงที่ยืนอยู่ข้างผม พลางอดนึกไม่ได้ว่าอากาศร้อนออกปานนี้เขายังจะทนใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ได้ ถามว่าจะไปชั้นไหนก็ไม่ตอบจะกดลิฟท์เองก็ไม่กด เขาไม่พูดไม่จาทำหน้าเลิ่กลั่กหันมองซ้ายขวาเหมือนกับกำลังมองหาว่าผมกำลังพูดกับใคร ทำอย่างกับว่าในนี้มันมีคนอยู่หลายคนอย่างนั้นแหละ ทั้งที่มีกันอยู่แค่นี้ หรือว่านอกจากผมแล้วเขายังมองเห็นคนอื่นอยู่ในนี้ที่ผมมองไม่เห็นด้วย เฮ้ย อย่านะ ยังหลอนอยู่นะเว้ย



     “คุณพูดกับผมเหรอ” เขาทำหน้างงและชี้นิ้วเข้าหาตัวเองประมาณว่าถามเพื่อความแน่ใจ



     “ก็ใช่น่ะสิ ก็ในนี้มีแค่ผมกับคุณ แล้วจะให้ผมพูดกับใคร สรุปคุณจะไปชั้นไหน” ผมว่าพลางหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงในบรรยากาศที่เริ่มวังเวง ผมเริ่มจะรู้สึกใจคอไม่ดีแล้วสิ หรือเขาจะเห็นคนอื่นในนี้นอกจากผมจริง ๆ



     “เอ่อ ไปชั้นเดียวกับคุณครับ” เขาตอบผมตะกุกตะกัก แต่คำตอบของเขาก็แอบทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาก อย่างน้อยก็มีเพื่อนเดินผ่านหน้าห้องยัยดาวล่ะนะ และไม่แน่ว่านายแจ็คเก็ตแดงที่หน้าตาหล่อคมเข้มสูงล่ำขนาดนี้ ยัยดาวอาจจะชอบนายคนนี้แล้วไม่มายุ่งกับผมอีกเลยก็ได้ ก็ยอมรับนะว่าความคิดผมแอบเลว



     ติ๊ง



     และแล้วช่วงเวลาที่ระลึกใจที่สุดก็มาถึง เมื่อตัวเลขที่ด้านบนของประตูลิฟท์บอกว่าตอนนี้พวกเรามาถึงชั้นแปดแล้ว และประตูลิฟท์ก็ค่อย ๆ เลื่อนเปิดออก ทำให้ผมได้พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนรออยู่หน้าลิฟท์ก่อนแล้ว เรื่องนี้คงจะไม่พีคเท่าไหร่ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่....



     อีดาว!!!!!!



     “เขามองเห็นพวกเรา” เสียงพูดของยัยดาวดังกึกก้อง ทำเอากลุ่มคนไข้ท่าทางแปลก ๆ ที่กำลังเดินไปมาอย่างเลื่อนลอยอยู่แถวนั้นหยุดการเคลื่อนไหวและหันเหความสนใจพุ่งตรงมาที่ผมเป็นตาเดียว ท่าจะไม่ค่อยดีแล้วสิ



     “ไปเร็วคุณ!” ผมคว้าแขนนายแจ็คเก็ตแดง แล้วกลั้นใจวิ่งฝ่ายัยดาวและกลุ่มคนไข้ที่น่ากลัวออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ถึงจะกลัวมากแต่ผมก็ยังมีสติพอที่จะไม่ทิ้งนายแจ็คเก็ตแดงไว้กับสิ่งที่น่ากลัวแบบนั้นคนเดียว นายนั่นอาจจะไม่ได้จิตแข็งแบบผมและมีโอกาสที่จะช็อกตายได้ง่าย ๆ



     ที่ร้ายไปกว่านั้นเมื่อผมเหลียวหลังกลับไปมองก็พบว่ายัยดาวและกลุ่มคนไข้ประหลาดพวกนั้นวิ่งไล่กวดหลังผมกับนายแจ็คเก็ตแดงมาด้วยความเร็วสูง อย่างกับซอมบี้ที่หิวโหยกำลังล่าเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น และที่ร้ายที่สุดคือกลุ่มคนไข้ประหลาดเหล่านั้นเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ และพุ่งตรงมาดักผมจากทุกทิศทางจนผมหมดหนทางที่จะหนีเพราะถูกพวกนั้นล้อมไว้หมดแล้ว ผมถอยหลังจนติดกำแพงแล้วหลับตาปี๋เพราะไม่กล้าที่จะมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกแล้ว



     “อย่ายุ่งกับเขา”



     ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างหวั่น ๆ เมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายคนนั้น.. สิ่งที่ผมเห็นคือนายแจ็คเก็ตแดงยืนคร่อมตัวผมอยู่เขาใช้แขนทั้งสองข้างยันกับกำแพงกั้นตัวผมและเอาตัวของเขามาบังผมไว้ เหมือนกับว่าเขากำลังปกป้องผมไม่ให้กลุ่มคนไข้ประหลาดเข้ามาถึงตัวผมได้ และตอนนี้กลุ่มคนไข้ประหลาดนำทัพโดยยัยดาวก็กำลังรุมทึ้งร่างนายแจ็คเก็ตแดงพยายามที่จะเข้ามาให้ถึงตัวผมให้ได้ ภาพตรงหน้าผมตอนนี้มันนับว่าเป็นอะไรที่น่ากลัวและระทึกใจมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้



     แต่เพียงชั่วอึดใจต่อมาแสงสีขาวนวลก็สว่างจ้าปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น เพียงชั่วพริบตาทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ กลุ่มคนไข้ที่น่ากลัวหายวับไปต่อหน้าต่อตาผม ทุกอย่างเป็นปกติราวกับว่าที่ตรงนี้ไม่เคยมีเรื่องที่น่ากลัวเกิดขึ้น



      แม้แต่นายแจ็คเก็ตแดงที่พยายามจะช่วยผมก็หายไปด้วย....



     “อ้าว ชลมาเยี่ยมป้าเหรอลูก นี่ลุงไปอัญเชิญองค์พระมาเป็นสิริมงคล ป้าเขาจะได้หายไว ๆ” เสียงทุ้มที่ฟังดูคุ้นหูผมมากนั้น...



     ชายสูงวัยรูปร่างท้วมท่าทางใจดีคนนั้น ผมรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาคือลุงชัยสามีของป้านกแก้ว สองมือของลุงชัยถือองค์พระพุทธรูปขนาดเล็กมาด้วย หรือว่านี่... จะเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มคนไข้ประหลาดและนายแจ็คเก็ตแดงคนนั้นหายไป



     นายแจ็คเก็ตแดง....





☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     สรุปแล้วเมื่อคืนผมก็ไม่ได้กลับบ้าน ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดประตูย่างเท้าออกมาจากห้องของป้านกแก้วเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ได้เล่าอะไรให้คุณนายนกยูงและลุงกับป้าฟัง บอกแค่เพียงว่าอยากอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่ความเป็นจริงคือผมไม่กล้าที่จะออกห่างจากรัศมีขององค์พระต่างหาก ผมยอมรับว่ายังผวาไม่หาย สรุปแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อคืนมันคืออะไรกันแน่ สิ่งนี้หรือเปล่าที่คนทั่วไปนิยมเรียกกันว่าผี แล้วนายแจ็คเก็ตแดงคนนั้นก็เป็นพวกเดียวกับกลุ่มคนไข้ประหลาดนั่นด้วยอย่างนั้นหรือ แต่เขาพยายามที่จะปกป้องผมนะ...



     เรื่องนั้นทำให้ผมคิดไม่ตกจนนอนไม่หลับทั้งคืน เหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าตอนนี้ปาเข้าไปหกโมงเช้าแล้ว สว่างขนาดนี้แล้วคงน่าจะไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้ง ผมออกจากห้องป้านกแก้วมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็โล่งใจไปได้เมื่อพบกับเหล่าคุณพยาบาลและคนไข้ที่ท่าทางดูปกติไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนที่ผมเจอเมื่อคืน เฮ้อ เรื่องน่ากลัวมันจบแล้วสินะ



     ผมมาล้างหน้าล้างตา ในขณะที่ผมกำลังมองภาพตัวเองในกระจกก็พลางฉุกคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนขึ้นมา มันจะเป็นไปได้ไหมว่าเมื่อคืนผมจะแค่ตาฟาดหรือเพ้อเจ้อไปเองเท่านั้น แต่มันน่ากลัวมากเลยนะ กลุ่มคนไข้ประหลาดพวกนั้นถ้านายแจ็คเก็ตแดงคนนั้นไม่เอาตัวมาบังผมไว้ละก็ ผมไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง...



     “คุณไม่ต้องกลัวพวกเขาหรอก พวกเขาน่าสงสารนะ แค่คุณอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาบ้าง พวกเขาก็ไม่มารบกวนคุณแล้ว” เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมกับภาพสะท้อนของนายแจ็คเก็ตแดงคนเมื่อคืนในกระจกที่ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังผมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย



     “เชี่ย!!!”



     ทันทีที่ร่างของนายแจ็คเก็ตแดงปรากฏ สองขาของผมมันก็พร้อมออกวิ่งโดยอัตโนมัติอย่างที่ไม่ต้องรอสมองสั่งการ แต่ยังไม่ทันที่จะได้วิ่งออกจากห้องน้ำได้ผมก็ต้องหยุดชะงักลงเสียก่อน เมื่อนายแจ็คเก็ตปรากฏตัวขวางหน้าผมเอาไว้



     “ไม่ต้องกลัวผม ผมไม่ใช่ผี”



     “ไม่ใช่ผีบ้าอะไรหายตัวไปมาได้ อย่ามาหลอกผมอีกเลยเดี๋ยวผมจะทำบุญไปให้” เออ ผีก็ผีวะ ยอมรับก็ได้ว่าผีมีจริง



     นายแจ็คเก็ตแดงค่อย ๆ ย่างเท้าเข้ามาหาผมทีละก้าวอย่างเชื่องช้า จนเขาเข้าใกล้ตัวผมมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเองต้องเป็นฝ่ายก้าวเท้าถอยหนี ผมถูกเขาไล่ต้อนมาเรื่อย ๆ จนผมรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของผมมันแนบติดกับผนังจนไม่สามารถจะถอยหนีไปได้อีกแล้ว วินาทีนั้นหัวใจผมแทบจะหยุดเต้น ไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้เจอผี แถมได้เจอในระยะประชิดขนาดนี้



     เขาใช้สองแขนของเขายันกับกำแพง และเอาตัวมาคร่อมตัวผมไว้เพื่อพันธนาการไม่ให้ผมหนีไปไหนได้ หัวใจผมสั่นระรัว ไม่สิผมสั่นไปทั้งตัวเลยต่างหาก ยอมรับอย่างไม่อายเลยว่ากลัวจนน้ำตาไหล ใครไม่มาตกอยู่ในสถานการณ์นี้คงไม่เข้าใจหรอก



     “อย่ามาหลอกผมเลย ผมกลัวแล้ว...”



     “ผมยังไม่ตาย คุณเป็นคนเดียวที่มองเห็นผม และคุณเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้ผมกลับเข้าร่างได้”







TBC
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี [7/5/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 07-05-2017 21:04:00
อย่าบอกนะว่านายเสื้อแดงนี่เป็นเนื้อคู่ของชล
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี [7/5/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-05-2017 21:16:52
 :katai2-1: :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี [7/5/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 07-05-2017 22:10:32
โถ พ่อแจ็กเก็ตแดงที่ผ่านมาคงทุกข์น่าดู
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี [7/5/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 07-05-2017 22:13:44
โถ พ่อแจ็กเก็ตแดงที่ผ่านมาคงจะทุกข์น่าดู
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี [7/5/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 08-05-2017 13:16:27
http://www.youtube.com/v/xnGbMr3wPqg 
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี [7/5/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 09-05-2017 14:32:35
น่าสนุก
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี [7/5/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-05-2017 15:58:31
 :katai5:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 1 เมื่อผมเห็นผี [7/5/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 09-05-2017 23:48:34
เป็นไงเห็นผีเลยสิ 555 สนุกๆ รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 2 พาผีเข้าบ้าน [1/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 01-06-2017 05:23:58
ตอนที่ 2 พาผีเข้าบ้าน





     ที่นี่ที่ไหนกัน แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง นั่นคือความรู้สึกแรกของผมเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงเล็ก  ๆ ที่ไหนสักแห่ง ผมกระพริบตาปริบ ๆ มองหลอดไฟเพดานที่ไม่คุ้นตาพลางครุ่นคิดทบทวนและปะติดปะต่อถึงทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม สายน้ำเกลือที่แขนผมและคุณคนสวยในชุดพยาบาลที่กำลังเดินตรวจตราอยู่รอบๆเตียงพอจะเป็นสิ่งที่บอกผมได้ว่าตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ในบนเตียงคนไข้ในห้องพักของโรงพยาบาล ว่าแต่ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน เพราะในห้วงความทรงจำของผมก่อนที่จะสิ้นสติไปนั้น...



     “ผมยังไม่ตาย คุณเป็นคนเดียวที่มองเห็นผม คุณเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้ผมกลับเข้าร่างได้”



     เสียงของนายแจ็คเก็ตแดงยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผม นึกภาพแล้วก็ยังสยองไม่หาย แม้นายนั่นจะเป็นผู้ชายที่หน้าตาจัดว่าดีมาก ดีจนผมแอบอิจฉาด้วยซ้ำ แต่จะหล่อยังไงก็ผีนั่นแหละ เจอผีครั้งแรกก็ได้มาเจอแบบประชิดตัวขนาดนี้ นี่ปีนี้ผมชงหรือเปล่านะ สงสัยต้องไปทำบุญใหญ่สะเดาะเคราะห์กันสักหน่อยแล้ว



     แต่เดี๋ยว... แล้วตอนนี้ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง



     หรือว่าจริงๆแล้ว....



     เรื่องทั้งหมดผมแค่ฝันไป



     ใช่แล้ว ผมฝันไปนี่เอง ทั้งนายแจ็คเก็ตแดงหรือแม้แต่กลุ่มคนไข้ประหลาดนั่นเป็นแค่ความฝันเท่านั้น แน่นอนอยู่แล้วก็ผีมันมีอยู่จริงทีไหนกันเล่า ช่วงนี้ผมคงจะพักผ่อนน้อยบวกกับเรื่องตาลุงนักต้มตุ๋นคนนั้นที่ทำให้ผมเก็บมาฝันเลอะเทอะไปเรื่อย แต่ก็นับว่าเป็นฝันที่น่ากลัวใช้ได้เลยนะ ขนาดตื่นมาแล้วก็ยังรู้สึกผวาไม่หายเลย แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณสวรรค์ที่ให้ผมตื่นขึ้นมาสักที  ก่อนที่จะฝันอะไรฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้



     คุณพยาบาลคนสวยเธอคงจะเห็นว่าผมตื่นแล้ว เธอหันมายิ้มหวานให้ผมอย่างละมุนละไม แหม พยาบาลสวยงานดีขนาดนี้เห็นแล้วไอ้ชลอยากจะป่วยนาน ๆ ขึ้นมาทันที ถ้าหากว่าผมไม่ได้ยังอยู่ในอาการมึน ๆ เบลอ ๆ เพราะเพิ่งตื่นจากการหลับใหลผมคงได้พูดคุยทำความรู้จักหรือไม่ก็แลกไลน์กับเธอไปแล้ว



     เธอหันหลังให้ผมแล้วเดินดุ่มตรงไปที่ประตูอย่างช้า ๆ อ้าวจะไปแล้วหรือ อยู่ให้ผมมองหน้าสวย ๆ ให้ชื่นใจนาน ๆ หน่อยก็ไม่ได้ เธอค่อย ๆ เดินห่างจากผมไปเรื่อย ๆ ทำให้ผมมีโอกาสได้มองเธอจากด้านหลังเต็ม ๆ ตัวแบบชัดแจ้งเต็มสองตา อื้อหือ แม่เจ้าประคุณเอ๋ย อกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกกลมกลึง นอกจากจะมีใบหน้าที่สวยงามชวนฝันแล้ว เธอยังมีเรือนร่างที่เซ็กซี่เย้ายวนใจเหลือเกินจนผมอดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลายเมื่อได้เห็น



     และเมื่อผมมองสำรวจเรือนร่างของเธอตั้งแต่หัวจรดเท้ายังมีบางสิ่งที่ทำให้ผมต้องตะลึงในตัวเธอยิ่งกว่าอก เอว สะโพกอันแสนเย้ายวน จนผมถึงกับต้องตาเบิกโพลงลุกวาว ก็เพราะว่าเธอไม่มีขาและตอนนี้เธอกำลังลอยอยู่ ก่อนที่ร่างของเธอก็ค่อย ๆ เลือนลางและหายไป

     เฮ้ย!!!!!

     นี่มัน ผะ ผะ ผะ ผ...



      “จุ๊ๆ อย่างส่งเสียงดังถ้าคุณทำให้เขารู้ตัวว่าคุณเห็นเขาระวังจะเกิดเรื่องน่ากลัวแบบเมื่อคืน”



      เสียงกระซิบเบา ๆ จากใครคนหนึ่งที่ข้างหูทำให้ผมที่กำลังจะแหกปากตะโกนลั่นต้องหยุดชะงักลง น้ำเสียงที่แสนจะคุ้นหู... ราวกับว่าเพิ่งได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ จังหวะการพูดที่เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่ง... ที่น่าจะไม่ใกล้ไม่ไกล และเมื่อหันมองไปยังต้นเสียงผมก็ได้พบกับบุคคลในห้วงความทรงจำสุดท้ายของผมก่อนที่จะหมดสติไป คนที่ผมคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่ความฝัน ใบหน้าของเขาที่อยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้เป็นสิ่งที่ย้ำชัดว่าสิ่งที่ผมพบเจอมาทั้งหมดมันไม่ใช่ความฝันอย่างที่ผมอยากให้เป็น ผู้ชายรูปร่างกำยำในชุดแจ็คเก็ตสีแดงปรากฏอยู่ข้างเตียงและโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูผม นายนั่นยิ้มร่าในขณะที่ผมสติกำลังจะเตลิดไปไกลจนแทบจะฉี่ราดอยู่แล้ว เชี่ย!!!!



     “ถ้าไม่อยากให้ผมแลบลิ้นปลิ้นตาหรือทำหน้าเละๆแบบในหนังผีให้คุณเคยดูล่ะก็ ตั้งสติแล้วมาคุยกันดี ๆ”



     เพราะคำขู่นั้นทำให้ผมไม่กล้าที่จะแหกปากร้อง มาแบบสภาพดี ๆ ก็น่ากลัวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าขืนมาแบบสยอง ๆ หน้าเละ ๆ  แบบในหนังละก็ผมอาจจะช็อคตายได้ง่าย ๆ แล้วลองคิด ๆ ดูแล้วต่อให้หนียังไงนายนี่มันก็ผีนี่นะยังไงก็แว้บไปแว้บมาดักหน้าดักหลังผมได้ทุกทางอยู่แล้ว อย่างไรเสียก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะหนี เพราะฉะนั้นผมจึงทำได้เพียงรวบรวมความกล้าและตัดสินใจเจรจากับนายนั่นให้รู้เรื่อง เขาจะได้เลิกตามหลอกหลอนผมแล้วไปให้พ้น ๆ เสียที





☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎





     “นี่คุณคุยกับผมก็มองหน้าผมด้วยสิ” ตอนนี้ผมกับเขาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงคนไข้คนละมุมของเตียง ผมอยู่หัวเตียงส่วนนายผีแจ็คเก็ตแดงอยู่ปลายเตียง เอ่อ ถึงจะตกลงที่จะเจรจาด้วยแล้ว แต่การจะให้มองหน้าผีตรง ๆ นั้นมันก็ไม่โอเคอยู่ดีนั่นแหละ ผมเลยได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตามองนิ้วชี้ตัวเองทั้งสองข้างที่เขี่ยกันเล่นไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไรไปพลาง ๆ



     “คุณจะกลัวอะไรผมนักหนา ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ใช่ผี” เอ่อ เห็นชัด ๆ กันอยู่ว่านายนั่นเป็นผีแต่ยังจะกล้าบอกว่าตัวเองไม่ใช่ผี แบบนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าผีหลอก



     “เลือกเอาจะเงยหน้ามาคุยกับผมดีๆ หรือจะให้ผมถอดหัวไปวางบนตักคุณ” ถอดหัว! เฮ้ยไม่เอานะ



     “เฮ้ย อย่านะ เออ ๆ เงยหน้าก็ได้” เออ ยอมมองนายผีแจ็คเก็ตแดงในสภาพดี ๆ ดีกว่าปล่อยให้นายนั่นแสดงมายากลถอดหัวเป็นผีหัวขาดให้ผมดู ผมค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาโดยที่ในใจยังรู้สึกหวั่น ๆ นายผีแจ็คเก็ตแดงแอบขำผมด้วย อย่าคิดว่าไม่เห็นนะ



     “แล้วร่างของนายอยู่ไหน ฉันจะได้รีบพานายไปเข้าร่างให้มันจบๆ”



     “นั่นแหละปัญหา เพราะผมไม่รู้ว่าร่างของผมอยู่ที่ไหน”



     “ถ้าอย่างนั้นบอกชื่อกับนามสกุลของนายมา เผื่อฉันจะติดต่อญาตินายได้ พวกเขาอาจจะรู้ว่าร่างของนายอยู่ที่ไหน”



     “ชื่อของผมอย่างนั้นเหรอ.... อืม....” นายผีแจ็คเก็ตแดงทำท่ากอดอกหน้าครุ่นคิด พลางเหลือบสายตามองบนเพดาน ราวกับคนที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักอยู่ครู่ใหญ่ เอ่อ มันตอบยากจนต้องใช้ความคิดอะไรขนาดนั้นเลยหรือก็แค่ชื่อตัวเอง ทำหน้าอย่างกับกำลังทำข้อสอบโอเน็ต



     “นั่นน่ะสิ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมชื่ออะไร” นี่คือคำตอบหลังจากที่นายนั่นนั่งหน้าเครียดอยู่นาน



     “กวนตีนเหรอ” ผมเผลอสบถคำหยาบออกมาชนิดที่ลืมกลัวผีโดยไม่ตั้งใจ คนอะไร เอ้ย ไม่ใช่สิ ผีอะไรมันจะไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง



     “เฮ้ย เปล่านะ ก็ผมไม่รู้จริง ๆ นี่ ตั้งแต่วิญญาณออกจากร่างมาผมก็จำอะไรไม่ได้เลย” นายผีแจ็คเก็ตแดงทำหน้าตาเหมือนอ้อนขอความเห็นใจ และทำน้ำเสียงน่าสงสารอย่างกับเด็กที่พ่อไม่ยอมซื้อของเล่นให้ แต่ประธานโทษคำแก้ตัวของนายนั่นฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด นอกจากจะโดนผีหลอกแล้วผมยังโดนผีอำอีกด้วยสินะ



     “ถ้านายจำอะไรไม่ได้ แล้วนายจะรู้ได้ยังไงว่าตัวนายยังไม่ตาย ป่านนี้ร่างของนายอาจจะถูกเผาหรือฝังไปแล้วก็ได้”



     “ผมรู้เพราะท่านผู้รับวิญญาณบอกผม...” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของนายนั่นดูซีเรียสขึ้นมาทันที



     “ผู้รับวิญญาณ ยมทูตน่ะเหรอ” พอพูดถึงท่านแล้วผมก็ขนลุกเหมือนกันนะ



     “ใช่ ผมได้เจอท่านแล้ว ท่านบอกผมว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะต้องไปกับท่าน แต่เป็นเพราะลิขิตของโชคชะตาและคำสัญญาจากอดีตชาติ ทำให้มีเหตุให้วิญญาณของผมต้องหลุดออกจากร่างเพื่อรอคอยใครสักคนที่ผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติมาพาผมกลับเข้าร่าง ท่านบอกผมว่าคน ๆ เดียวที่จะสามารถพาผมกลับเข้าร่างได้คือคนแรกที่สามารถมองเห็นผม และนั่นก็คือคุณ ผมขอร้องนะช่วยผมด้วย ผมอยากกลับมามีชีวิตอีกครั้ง...”



     พล็อตเรื่องมันฟังดูเหมือนลิเกนะ แต่นายผีแจ็คเก็ตแดงดูอินไปเรื่องที่เขาเล่ามาก สีหน้าของนายนั่นดูจริงจัง น้ำที่คลอตรงขอบตาล่างของเขา(ว่าแต่ผีมีน้ำตาด้วยหรือ)กับแววตาที่เขามองมาที่มาที่ผม  มันก็ทำให้ผมอดที่จะเห็นใจเขาไม่ได้ ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเขา ถ้าเกิดว่าผมไม่ได้โดนผีอำก็นับว่านายผีแจ็คเก็ตแดงน่าสงสารมากทีเดียว ใครบ้างที่จะไม่อยากมีชีวิต มีตัวตน มีลมหายใจ ถ้าผมจะไม่ช่วยเขาเลยมันก็ดูจะใจจืดใจดำเกินไปหน่อย เพราะหากที่นายนั่นเล่าเป็นเรื่องจริงเท่ากับว่าผมปล่อยให้คน ๆ หนึ่งต้องตายไปโดยที่ผมไม่ช่วยอะไรเลยทั้ง ๆ ที่ผมมีโอกาสที่จะช่วยได้ ถ้าผมเป็นเขาผมก็คงต้องการความช่วยเหลือมากเช่นกัน



     “อืม ฉันจะช่วย”



     “จริงนะ! สัญญาแล้วนะ!”



     “เออ” นายผีแจ็คเก็ตแดงยิ้มร่าตาลุกวาวเมื่อผมตอบรับคำขอร้อง เขากระโดดโลดเต้นไปมาราวกับเด็กน้อยได้ของเล่น มันช่างขัดแย้งกับรูปร่างกำยำสูงใหญ่และหน้าตาคมเข้มของเขาเสียจริงๆ นายผีเด็กโข่งเอ๊ย แล้วไอ้ตัวที่นั่งหน้าเศร้า เก๊กมาดเคร่งขรึมเมื่อครู่นี้หายไปไหนเสียแล้ว



     “ขอบคุณนะ คุณน่ารักที่สุดเลย” เฮ้ย!



     ความรู้สึกเมื่อครู่นี้ มันก็แค่ลมอุ่น ๆ เบา ๆ ที่พัดมากระทบแก้มของผมก็เท่านั้น แต่ความจริงและสิ่งที่ผมเห็นมันไม่ได้เป็นแค่ลมธรรมดา แต่เป็นนายผีแจ็คเก็ตแดงแว้บมายืนอยู่ข้าง ๆ ผม แล้วเขาก็โน้มตัวลงเอาปลายจมูกและริมฝีปากของเขามาแตะที่แก้มซ้ายของผมและทำท่าเหมือนสูดลมหายใจเข้าไปแบบเต็มปอด



     ผมถูกผีหอมแก้ม...



     ผมถูกผีแต๊ะอั๋ง...



     และที่สำคัญ...



     มันเป็นผีผู้ชาย!!!!



     ไอ้ผีชั่ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!



     แก้มนิ่มๆของผมมีไว้สำหรับสาว ๆ เท่านั้นนะเว้ย ต่อให้เป็นผีแต่ถ้าไม่ใช่สาว ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์ ไอ้คน เอ้ย ไอ้ผีตัวก่อเหตุเหมือนจะรู้ชะตากรรมนายผีแจ็คเก็ตแดงแว้บหายไปก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากพ่นคำที่ไม่น่าจะสุภาพนักใส่เพื่อระบายความขุ่นเคือง นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิดกันนะที่ยอมช่วยนายนั่น ฮึ่ม ฝากไว้ก่อนเถอะ!





☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎





     สรุปแล้วสาเหตุที่ผมได้ไปฟื้นอยู่ในห้องพักโรงพยาบาลนั้น คุณนายนกยูงเธอเล่าให้ฟังว่ามีคนไปเจอผมนอนสลบอยู่ในห้องน้ำ คุณหมอบอกว่าร่างกายของผมอ่อนเพลียมากน่าจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อยแล้วก็มีไข้ด้วย เลยให้นอนให้น้ำเกลือก่อน และไม่ใช่ว่าเป็นเพราะผมกลัวนายผีบ้านั่นจนเป็นลมไปหรอกนะ คนอย่างไอ้ชลคนแมนไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น ตอนนั้นที่วิ่งหนีเพราะตกใจเฉย ๆ หรอก ตอนแรกคุณหมอก็อยากจะผมนอนที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการสักคืน แต่ขนาดกลางวันแสก ๆ คุณพยาบาลคนสวยยังจัดหนักจัดเต็มกับผมได้ ถ้าขืนอยู่ค้างคืนไม่รู้ผมว่าจะได้เจออะไรอีกบ้าง ไหนจะยัยดาวกับพรรคพวกอีก ก็ไม่ได้กลัวแต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเจอ ทุกคนเข้าใจผมใช่ไหม ผมเลยรบเร้าคุณหมอขอกลับบ้านให้ได้ภายในเย็นวันนี้เลย



     “คุณจะกลับแล้วเหรอ” ผมสะดุ้งเฮือกใจหายวูบ เมื่อนายผีแจ็คเก็ตแดงโผล่นั่งตรงเบาะข้างคนขับแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ดีนะผมยังไม่ได้สตาร์จรถไม่อย่างนั้นคงได้มีเผลอเหยียบคันเร่งไปชนรถใครเขาเข้าเป็นแน่



     “นี่นายผี ถ้านายยังไม่เลิกโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้ล่ะก็ ฉันจะไม่ช่วยนายแล้วปล่อยให้วิญญาณเร่ร่อนแบบนี้ไปตลอดแล้วนะ” ถึงจะยังรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องมานั่งคุยกับผี แต่ผมก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากทำใจให้ชิน



     “โห ขอโทษ ก็ไม่รู้นี่ว่าชลยังไม่เลิกกลัวผม” นายผีแจ็กเก็คแดงทำหน้าจ๋อยและน้ำเสียงอู้อี้เชิงตัดพ้อ เอ่อ ไอ้ท่าทางแบบนั้นถ้าเป็นเด็ก ๆ ทำมันก็คงจะน่ารักอยู่หรอกนะ แต่พอเป็นไอ้ผีตัวโย่งนี่ทำแล้วมันดูน่าถีบตกรถเสียมากกว่า



     “แล้วก็เปลี่ยนความคิดด้วยนะ เพราะฉันไม่ได้กลัวนาย แล้วก็ไม่เคยกลัวด้วย”



     “เหรอ แล้วในห้องน้ำใครกันนะ ที่บอกผมว่ากลัวแล้ว ๆ อย่ามาหลอกกันเลย อุ่ย!” ผมรู้ว่านายนั่นมันยังมีอะไรที่จะพูดต่อ แต่มันต้องหยุดไปเสียก่อนเพราะผมหันไปทำตาขวางใส่ ยังยืนยันคำเดิมว่าผมไม่ได้กลัว อันนั้นมันเป็นแค่การแสดงเพื่อเอาตัวรอดในชั่วโมงคับขันเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วผมไม่ได้กลัวเลยสักนิด



     นายผีแจ็คเก็ตแดงยกมือทั้งสองขึ้นปิดปากอย่างทันควันพร้อมกับกระตาปริบราวกับว่าตัวเองใสซื่อ ก่อนลดมือลงแล้วยิ้มแหย ๆ และหัวเราะแหะ ๆ กลบเกลื่อน ฮึ่ม เย็นไว้นะชล เย็นไว้





☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎





     นี่ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่เอานายนั่นมาด้วย ก็ดันเผลอไปรับปากแล้วว่าจะช่วยให้นายผีแจ็คเก็ตแดงผู้ที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นผีกลับเข้าร่างให้ได้ ครั้นจะทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลนายนั่นก็ไม่ยอม แถมยังขู่ผมอีกว่าถ้าผมไม่พามาด้วยจะโชว์ถอดหัวให้ผมดูเป็นขวัญตา เออ ย้ำอีกทีต่อให้นายนั่นถอดหัวโชว์ผมจริง ๆ ผมก็ไม่กลัวหรอกนะ แต่ที่ยอมพามาด้วยก็เพราะสงสารเฉย ๆ หรอก แต่ดู ๆ แล้วนายนี่มีแววจะเป็นตัวภาระแน่ ๆ ตั้งแต่นั่งมาในรถนี่ยังพูดจ้อไม่หยุด แม้ผมจะพูดไปตรง ๆ แล้วว่ารำคาญ แต่ก็ดูว่านายผีบ้านั่นจะไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด ยังหาเรื่องนั่นนี่มาชวนผมคุยได้แบบไม่ลดละ อย่างกับว่าไม่เคยได้พูดกับใครเลยมานานนับปี ดีนะรถผมติดฟิล์มทึบไม่อย่างนั้นรถคันอื่นคงได้หาว่าผมเป็นบ้าพูดคนเดียวแน่ ๆ





     นี่ดีนะคุณนายนกยูงเธอยังอยู่เฝ้าป้านกแก้วต่อโดยมีพ่อผมเอาเสื้อผ้าไปให้เปลี่ยนที่โรงพยาบาลแล้วอยู่เป็นเพื่อนคุณนายนกยูงที่นั่นต่อเลย ไม่อย่างนั้นคงได้ตอบคำถามกันยาวกับการที่อยู่ดี ๆ ผมก็มานั่งคุกเข่าจุดธูปพนมมืออยู่หน้าศาลพระภูมิที่บ้านที่ร้อยวันพันปีผมแทบจะไม่เคยมาสนใจเลย ก็เป็นเพราะไอ้ตัวที่ยืนกระฟัดกระเฟียดงอแงเหมือนเด็กน้อยอยู่หน้าบ้าน ผมอยากจะรู้มากว่าไอ้ผีผู้ชายตัวโตที่ใส่แจ็คเก็ตแดงตัวนั้นมันหยุดการเจริญของอายุสมองไว้ที่ห้าขวบใช่ไหม ก็นายผีเด็กโข่งนั่นบอกว่าเข้าบ้านไม่ได้เพราะเขาไม่ให้เข้า เอาเป็นว่าผมก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขาที่นายนั่นว่าหมายถึงเขาไหน ก็เลยมาจุดธูปบอกกล่าวท่านสักหน่อย



     เอ่อ ท่านครับนอกจากผมจะอนุญาตให้นายผีแจ็คเก็ตแดงนั่นเข้าบ้านแล้ว ผมก็ต้องขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงที่ช่วยดูแลคุ้มครองบ้านผม แล้วก็ ผมรักท่านนะครับ และถ้าท่านรักผมได้โปรดเมตตาพยายามอย่าให้ผมเห็นนะครับ สาธุ



     “เห็นไหมลุง ผมบอกแล้วผมกับชลเราสนิทกัน” ผมผงะไปทันทีเมื่อภาพตรงหน้าปรากฏขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว



     ลำพังนายผีแจ๊คเก็ตแดงมาคนเดียวแว้บไปแว้บมาผมก็ยังทำใจไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว แล้วนี่มันยังพา เอ่อ ชายสูงวัยผมสีขาวท่าทางใจดีนุ่งขาวห่มขาวมาด้วย (เอ่อ รู้กันนะว่าท่านคือใคร) ผมได้แต่ทำตาปริบ ๆ และเหงื่อผมแตกผลั่ก ก้อนสะอึกก้อนโตได้ถูกกลืนลงคอ อารมณ์ตอนนี้อธิบายไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากจะวิ่งนะแต่ขาเจ้ากรรมของผมมันดันไม่สนับสนุน เรียกได้ว่าชาไปทั้งร่างแล้วตอนนี้ ผมเลยทำได้เพียงแค่ยกมือไหว้ท่านอย่างเกรงใจ



     “เออ อย่าให้เห็นล่ะว่าเอ็งสร้างความเดือดร้อนให้คนในบ้าน ไม่อย่างนั้นข้าถีบเอ็งออกไปแน่”



      ดูนายผีแจ็คเก็ตแดงมันท่าทีราวกับสนิทสนมกับท่านผู้นั้นเสียเหลือเกิน ได้ข่าวผมเพิ่งพานายนั่นมา(ซึ่งนั่นน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตผม) ช่วยแคร์คนที่นั่งเหวอรับประทานจนไม่พูดอะไรไม่ออกอยู่ตรงนี้ด้วย



     “เออ นี่ พ่อหนุ่มฝากบอกแม่ด้วยอย่าเอาหัวหมูมาถวายลุงบ่อย เดี๋ยวไขมันในเส้นเลือดลุงจะขึ้นเอา ลุงอยากจะกินอาหารคลีนบ้าง” นั่นคือคำบอกกล่าวสุดท้ายที่ท่านผู้นั้นบอกกับผมก่อนร่างของท่านจะค่อย ๆ เลือนหายไป



     “.................”



     “ชล ชล เป็นอะไรหรือเปล่า” นายผีแจ็คเก็ตแดงย่อตัวลงและเอามือมาโบกไปมาตรงหน้าผมที่กำลังอยู่ในอาการตาตั้งค้าง เพราะยังทำใจไม่ค่อยได้กับสิ่งเพิ่งพบเจอ สิ่งที่ผมรับรู้เพียงอย่างเดียวในเวลานี้ก็คือสิ่งที่อยากจะทำที่สุดใน นั่นก็คือ....



     ป้าบ!



     “โอ๊ย!”



      รู้สึกตัวอีกทีฝ่ามือของผมก็ฟาดลงตรงกลางกบาลไอ้คน เอ๊ย ไม่ใช่สิ ไอ้ผีตรงหน้า ตามที่สมองสั่งการ

     “เป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงเหรอ!” นายผีแจ็คเก็ตแดงทำเอามือกุมหัวตรงร่องรอยที่เพิ่งถูกผมกระทำเมื่อครู่ นายนั่นทำหน้ายู่ประท้วงผมอย่างกับเด็กโดนคุณครูตี มันช่างดูไม่เข้ากับสาระร่างของเขาเอาเสียเลย แต่ภาพตรงหน้าก็ทำเอาผมอดที่จะขำไม่ได้ ถือว่าได้ระบายความตกใจผ่านการลั่นกบาลไอ้ตัววุ่นวายซึ่งได้ผลดีทีเดียว



     แต่เดี๋ยว.....



     ทำไมเมื่อครู่นี้ผมถึงสัมผัสตัวนายนั่นได้ล่ะ



     เมื่อตั้งสติและคิดได้ดังนั้นผมลองพยายามเอามือคว้าร่างกายของนายนั่นที่อยู่ตรงหน้า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือมือของผมผ่านทะลุร่างของเขาไปราวกับว่าเป็นเพียงแค่ลมหรืออากาศที่ล่องลอย ผมลองทำอย่างนั้นอยู่ซ้ำ ๆ แต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม ผมสัมผัสตัวเขาไม่ได้ แต่เมื่อครู่นี้ผมตีหัวเขาโดนเต็ม ๆ เลยนะ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้



     “ชลทำอะไรของชลน่ะ” นายผีแจ็คเก็ตแดงมองผมอย่างช่างสงสัย 



    ♫“อย่าเห็นฉันเป็นสนามอารมณ์หลอกชิดหลอกเชยหลอกชื่นหลอกชม”♫ เอ่อ นักร้องเสียงเพี้ยนจากรายการนักร้องซ่อนแอบที่ไหนมาร้องเพลงแถวนี้นะ



     ผมละความสนใจจากเรื่องที่ยังคิดไม่ตกเพราะเสียงร้องเพลงอันสุดเพี้ยนบันลือโลกที่ได้ยินแล้วชวนปวดประสาทนั่น



     ♫*“หลอกฉันจน ตรมใจตาย”♫* ข้างบ้านร้องคาราโอเกะกันหรือยังไง เสียงดังรบกวนไม่เกรงใจกันบ้างเลย



     ♫“ฉันกลัวเหลือเกินกลัวรักจะต้องร้องไห้”♫ แต่เดี๋ยวนะพอฟังดี ๆ แล้วเสียงมันอยู่ในบ้านผมนี่นา



     ♫“กลัวรักจะต้องหมองไหม้ กลัวรักจะกลายชอกช้ำ”♫ ชัดเลยเสียงนั่นอยู่ในบ้านผมแน่ ๆ ผมตั้งใจฟังหาทิศทางที่มาของเสียงนั้น ใครแอบเข้ามาร้องเพลงในบ้านผมกันนะ



     ผมหันมองไปยังจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นที่มาของเสียง ตรงนั้นก็คือต้นกล้วยที่พ่อของผมเอามาลงปลูกไว้ที่บ้านที่เมื่อเดือนก่อน ต้นกล้วยที่พ่อของผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือกล้วยอะไร แต่ตอนนี้ผมว่าผมรู้แล้วว่ามันคือกล้วยอะไร....



     ผู้หญิงผมยาว สวมชุดไทย สไบสีเขียว กำลังเดินเริงร่าวนรอบต้นกล้วยต้นนั้นราวกับว่ากำลังเล่นมิวสิควีดีโอประกอบเพลงที่เธอกำลังร้องเอง และก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เธอหันมองมาทางผมพอดี



     “Hi” เธอสวยมาก เธอยิ้มแย้มและโบกมือทักทายผม แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น....



     ประเด็นคือเธอใช่ ๆ ไหม คุณกำลังคิดเหมือนผมใช่ไหม เอ่อ....... เอาเป็นว่า......





     ผมขอตัวเป็นลมดีกว่า...









     TBC
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 2 พาผีเข้าบ้าน [1/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: minmin96 ที่ 01-06-2017 07:55:52
เขียนได้สนุก น่าติดตาม
อ่านตอนแรก ยังแอบหลอนตอนเจอน้องดาว
แล้วนี่ชลได้วิญญาณตามติดมาฟรีๆ...ดีใจด้วยนะชล~
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 2 พาผีเข้าบ้าน [1/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 01-06-2017 09:31:06
สนุกค่ะ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 2 พาผีเข้าบ้าน [1/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-06-2017 12:16:35
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 2 พาผีเข้าบ้าน [1/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 01-06-2017 12:30:49
ติดตามๆค่ะ ผีแจคเกตแดงน่ารักจัง
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 2 พาผีเข้าบ้าน [1/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: mimirose ที่ 01-06-2017 17:23:33
รออ่านอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น [5/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 05-06-2017 15:14:59
ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น






     ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง แต่การรู้สึกตัวครั้งนี้ของผมมาพร้อมกับการภาวนาต่อพระเจ้าว่าขอให้เรื่องไม่คาดฝันที่ผมได้พบเจอมาทั้งหมดมันเป็นเพียงแค่ผมฝันไป ขอให้เมื่อตอนที่เปลือกตาของผมเปิดขึ้นมาแล้วผมได้มองเห็นแค่เพียงสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไปควรจะได้เห็นเท่านั้น

     แต่ทว่าเหมือนความโชคดีมันไม่ค่อยจะเข้าข้างผมสักเท่าไหร่ เพราะภาพแรกที่ผมได้เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาก็ถึงกับทำเอาผมสะดุ้ง เพราะมันย้ำชัดว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดมันไม่ใช่ความฝันดั่งที่ผมภาวนา นายผีแจ็คเก็ตแดงกำลังนั่งขัดสมาธิบนพื้นสนามหญ้าบ้านผม นายนั่นมองมาที่ผมตาละห้อย พร้อมด้วยแม่สาวสไบเขียวคนนั้นเธอก็กำลังนั่งพับเพียบอยู่ข้างนายผีแจ็คเก็ตแดงในบริบทที่สุดแสนจะออเซาะอิงแอบแนบซบนายผีแจ็คเก็ตแดงคนเท่นั่น แม่ผีสาวตนนั้นทำให้ผมรู้ว่านางไม้ก็มีอารมณ์หลงใหลผู้ชายหล่อเป็นเหมือนกันนะ


     “ชลฟื้นแล้ว” นายผีแจ็คเก็ตแดงยิ้มให้ผม ผมหันมองไปรอบตัวพบว่าตอนนี้ตัวผมกำลังนั่งพิงกำแพงรั้วบ้านตัวเอง และตอนนี้ฟ้าก็เริ่มจะมืดแล้วด้วย นี่ผมสลบไปนานไปแค่ไหนกันนะ

     “เสียมารยาทที่สุดเลย พี่นีออกจะสวยขนาดนี้ ดันมาเป็นลมใส่ได้ จริงไหมจ๊ะพ่อหนุ่มน้อย” พี่นี ชื่อเต็ม ๆ ของเธอคงเป็นตานีสินะ เธอค้อนให้ผมพลางออเซาะนายผีแจ็คเก็ตแดงท่าทางของเธอราวกับคุณป้าที่กำลังถูกอกถูกใจหนุ่มน้อยกระเตาะ


     แต่ผมว่าเรื่องนี้มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ผมจะต้องพบเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้ในทุก ๆ ที่ไปตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ถ้าจะให้ผมพูดตามตรงแล้วสิ่งที่ผมคิดว่าผมควรจะทำมากที่สุดในเวลานี้มันคือการจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดต่างหาก เริ่มแบบไหนมันก็ต้องจบแบบนั้น จะปล่อยให้ชีวิตตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องเร้นลับทำไม ผมต้องไปจบเรื่องราวทั้งหมดนี้ที่ต้นเหตุ คนที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้เขาจะต้องรู้วิธีที่จะหยุดมัน เมื่อคิดได้ดังนั้นผมรีบดันตัวเองลุกขึ้นทันทีและเดินดุ่มตรงไปที่รถของผมที่ยังจอดอยู่หน้าบ้าน ยังไงเสียวันนี้ทุกอย่างต้องจบ


     “จะไปไหน ชล” ผมไม่ใส่ใจเสียงทักท้วงของนายผีแจ็คเก็ตแดงที่ตะโกนถามไล่หลังผมมา ผมกดรีโมทปลดล็อครถ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินไปถึงตัวรถ ร่างสูงของนายผีแจ็คเก็ตแดงก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าขวางทางผมไว้เสียก่อน

     “ผมรู้นะว่าชลคิดจะทำอะไร ชลสัญญากับผมแล้วนะว่าชลจะช่วยผม”

     “ขอโทษด้วยนะนายผีแต่ฉันคงจะช่วยอะไรนายไม่ได้แล้ว” ผมเดินผ่านทะลุร่างของเขาและเปิดประตูขึ้นรถไปอย่างไม่แยแส

     ขอโทษนะนายผี  ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รู้สึกผิดที่ตัดสินใจทำแบบนี้ แต่ทุกคนมันก็ต้องมีด้านที่เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ทุกคนย่อมรักตัวเอง ถ้าผมจะต้องให้ผมทนพบเห็นอะไรแบบนี้ไปตลอดผมคงจะต้องเป็นโรคประสาทเข้าสักวันเป็นแน่ ผมจะต้องไปจบเรื่องนี้ที่ต้นเหตุวันนี้และเดี๋ยวนี้ แม้ว่าร่างของนายผีแจ็คเก็ตปรากฏตัวขึ้นมาขวางทางผมไว้อีกครั้ง ถึงแม้จะลำบากใจแต่ผมก็ตัดสินใจที่จะกลั้นใจเหยียบคันเร่งเคลื่อนรถผ่านร่างของนายนั่นไป ขอโทษนะ ขอโทษจริง ๆ ในหัวผมตอนนี้แทบจะมีแต่คำขอโทษปรากฏอยู่เป็นล้านคำ ถึงแม้จะสงสารนายนั่นไม่น้อยแต่อย่างไรเสียความสงบสุขของชีวิตผมมันก็ต้องมาก่อน



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     แม้ว่าจะค่ำมืดสักแค่ไหนแต่ผมก็ดั้นด้นมาถึงที่นี่จนได้ ขับรถจากกรุงเทพฯมาถึงสระบุรีด้วยระยะทางกว่าร้อยกิโลเมตรแต่สิ่งที่ผมได้พบกลับไม่เป็นอย่างที่ผมหวังเอาไว้ ตำหนักอาจารย์ทองปิดเงียบสนิท แม้แต่หลอดไฟดวงเล็ก ๆ สักดวงก็ไม่ถูกเปิดเอาไว้ สิ่งของใด ๆ ที่เคยถูกวางประดับไว้ตรงพื้นที่หน้าบ้าน ในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเหลือแต่เพียงพื้นที่โล่ง ๆ เท่านั้น ในเวลานี้ที่นี่มันเงียบสงัด เงียบจนเหมือนกับว่าไม่มีผู้ใดพักอาศัยอยู่


     “ขอโทษนะครับคุณป้าอาจารย์ทองไม่อยู่เหรอครับ” ผมกล่าวถามกับคุณป้าที่เดินผ่านมาทางนั้นพอดี

     “อ้าว พ่อหนุ่มไม่รู้เหรอ อาจารย์ทองแกย้ายไปแล้วเพิ่งไปเมื่อวานนี้เอง ไม่มีใครรู้ว่าแกจะย้ายไปอยู่ที่ไหน แต่เห็นแกบ่นมาตั้งนานแล้วว่าอยากจะเลิกทำหน้าที่ตรงนี้แล้วมุ่งสู่ทางธรรม”

     คำตอบของคุณป้าทำเอาสองขาของผมแทบจะหมดเรี่ยวแรงที่จะยืนอยู่ ความรู้สึกของผมในตอนนี้คงจะไม่ต่างจากคนที่กำลังใจสลาย คนที่ทำให้ผมต้องพบเห็นในสิ่งที่ผมไม่อยากเห็น เขาหายไปไหนก็ไม่มีใครรู้ หนทางทุกด้านของผมแทบจะมืดสนิทผมไม่รู้เลยว่าจะต้องไปตามหาเขาที่ไหน แล้วอย่างนี้ใครจะทำให้ผมเลิกมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้ ผมหมดหวังแล้วใช่ไหม เท่ากับว่าการขับรถมาไกลของผมมันสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ...




     ผมกลับเข้ามาในรถอย่างสิ้นหวังอารมณ์ของผมในตอนนี้เรียกได้ว่าหมดอาลัยตายอยาก นายผีแจ็คเก็ตแดงนั่งสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงเบาะข้างคนขับอยู่ก่อนแล้ว นายนั่นคงจะมารอเยาะเย้ยผมสินะ เอาเลยอยากจะพูดจาถ่างถางอะไรก็เอาตามที่สบายใจได้เลย

     “ผมบอกชลแล้วไงว่ามันเป็นลิขิตของโชคชะตา ชลหนีมันไม่พ้นหรอก” น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยนฟังดูไม่มีอารมณ์ของการเย้ยหยันแฝงมาในน้ำเสียงแต่อย่างใด ผมคงจะอคติมากไปเอง

     “แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง ฉันอยากเป็นคนธรรมดา ฉันไม่อยากเห็นอะไรแบบนี้ ฉันกลัวนายเข้าใจไหม!” ผมตวาดขึ้นเสียงดังใส่นายนั่นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ความกลัว ความเครียด ความกดดัน มันสุมเข้ามาในหัวผมพร้อม ๆ กันอย่างหนักหนาจนมันกลั่นออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลพรากอย่างที่ผมก็ห้ามมันไม่ได้

     “แค่คุณเปิดใจ คุณก็อยู่ร่วมกับพวกเขาได้ ดูอย่างคุณป้าคนเมื่อกี้นี้สิคุณยังไม่เห็นกลัวเลย” คุณป้าคนเมื่อครู่นี้?


     ประโยคหลังสุดที่นายผีแจ็คเก็ตแดงว่าทำเอาผมขนลุกวาบไปทั้งตัว ผมรีบเหลือบตามองไปที่กระจกหลังทันที จนได้พบว่า... ทั้ง ๆ ที่ทางตรงนี้เป็นทางตรงไม่มีทางเลี้ยวหรือทางแยกไปไหน แถวนี้ก็มีแค่ตำหนักของอาจารย์ทองเป็นบ้านคนที่ตั้งอยู่เพียงแค่หลังเดียวโดด ๆ เท่านั้น แล้วคุณป้าคนเมื่อครู่นี้หายไปไหน เราเพิ่งแยกกันไม่กี่นาทีเท่านั้นไม่มีทางเป็นไปได้ที่คุณป้าคนนั้นจะเดินออกไปไกลจนผมไม่สามารถมองเห็นตัวเธอได้ภายในเวลาที่รวดเร็วเช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่าเธอจะไม่ใช่มนุษย์...

     แสดงความคุณป้าคนนั้นก็เป็น.....

     “ฟังผมนะชล ชลไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นเพราะผมจะปกป้องชลเอง...” น้ำเสียงสุขุมของนายผีแจ็คเก็ตแดงเอ่ยขึ้นในวินาทีที่ผมกำลังตะลึงงันกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     ผมขับรถกลับกรุงเทพฯกับบรรยากาศในรถที่เงียบสนิท ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างผมกับนายผีแจ็คเก็ตแดง นายนั่นคงพอที่จะรับรู้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของผมในเวลานี้ได้ เขาเลยเลือกที่จะไม่กวนใจผม


     “ชล ถ้าเห็นอะไรอยู่ข้างหน้าขับชนไปได้เลยนะ ห้ามเบรคหรือหักหลบเด็ดขาด” นั่นคือบทสนาแรกที่นายนั่นพูดกับผม นายนั่นพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ดูร้อนรน

     “นายหมายความยังไง” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำความเข้าใจกับสิ่งที่นายผีแจ็คเก็ตแดงพูด ผมก็เริ่มจะรู้สึกได้ว่าตอนนี้ผมไม่สามารถที่จะบังคับรถได้อีกต่อไป รถเริ่มเคลื่อนที่ไปเองด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจดูเหมือนว่ามันจะเคลื่อนที่ไปเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเสียแล้ว พวงอาลัยของรถก็ไม่ยอมหมุนไปตามทิศทางที่ผมพยายามจะบังคับ และไม่ว่าผมจะพยายามเหยียบเบรคสักกี่ครั้งก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการเคลื่อนที่ของรถเอาไว้ได้เลย


     “ฝีมือนายใช่ไหม” ผมหันไปตวาดวิญญาณที่นั่งอยู่ข้างผม นายนั่นกำลังจะเล่นบ้าอะไรของเขากันนะ เล่นแบบนี้ผมไม่สนุกด้วยหรอกนะ


     ในเสี้ยววินาทีนั้น อยู่ ๆ ก็ปรากฏร่างของผู้หญิงชุดขาววิ่งออกมาตัดหน้ารถของผมอย่างกะทันหัน อย่างที่ผมไม่มีโอกาสที่จะตั้งตัว


     โครม!


     รถที่ผมไม่สามารถบังคับได้พุ่งชนร่างของผู้หญิงคนนั้นเข้าอย่างจัง เสียงรถกระแทกกับร่างของเธอดังโครมใหญ่ ร่างของเธอปลิวกระเด็นไปไกล เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเริ่มจะสามารถกลับมาบังคับรถได้ ผมเหยียบเบรคอย่างสุดแรงเท้าจนได้ยินเสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนดังกึกก้อง จากการที่หยุดรถอย่างกะทันหัน ผมหันไปมองหน้าเอาเรื่องตัวก่อเหตุที่ยังคงนั่งอยู่ข้างผมด้วยท่าทางที่ดูราวกับว่าจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องร้ายแรงที่ตัวเองเพิ่งก่อ


     ผมรีบเปิดประตูลงไปดูคนเจ็บทันที ปากนายนั่นบอกว่าจะปกป้องผมแต่กลับนำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้ผมเสียแล้ว หัวใจผมเต้นรัวไม่เป็นจังหวะความคิดฟุ้งซ่านนับร้อยประดังเข้ามาในหัวผมเต็มไปหมด ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรไปผมจะทำยังไง ผมไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกร ผมไม่อยากติดคุก ผมพยายามที่จะระงับสติอารมณ์ข่มความฟุ้งซ่านเอาไว้ก่อนที่สติของผมจะเตลิดไปไกลกว่านี้ อย่างไรเสียตอนนี้ก็ต้องช่วยคนเจ็บก่อน
 

     ร่างของผู้หญิงคนนั้นเธอกระเด็นห่างออกไปจากตัวรถพอสมควร ผู้หญิงชุดขาวนอนแน่นิ่งอยู่กลางถนน ภาพที่เห็นทำเอาผมบ่อน้ำตาแตกเพราะความกลัวจนแทบจะคุมสติไม่อยู่ ผมได้แต่ภาวนาให้ขออย่าให้เธอเป็นอันตรายอะไรมาก ถึงแม้ความแรงและความเร็วในการชนมันจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ภาวนาก็ตาม ผมเดินตัวสั่นตรงเข้าไปหมายจะดูอาการคนเจ็บ ถึงอย่างไรผมก็ไม่คิดที่จะหนีหรือปัดความรับผิดชอบถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดขึ้นก็ตาม

     “ชล อย่าเข้าไป” เสียงเรียกจากด้านหลังนั้นทำให้ผมหยุดชะงักลง
     
     “นายทำบ้าอะไรของนาย รู้ไหมถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรไปชีวิตฉันจะเป็นยังไงบ้าง” แค่ได้ยินเสียงของนายนั่นความโกรธเคืองในใจของผมมันก็ยิ่งปะทุถึงขีดสุด ผมหันกลับมาอาละวาดใส่นายผีแจ็คเก็ตแดงผู้ก่อเหตุ ที่ตอนนี้นายนั่นมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าผมแล้วทันที


     กรอบ กรอบ


     เอ๊ะ เสียงนั่น?


     เสียงปริศนาที่ดังจากด้านหลังผมดึงความสนใจของผมจากนายผีแจ็คเก็ตแดงไปได้ไม่น้อย เสียงมันคือเสียงอะไรกันมันดังมาจากด้านหลังผมหรือว่าเสียงนั่นจะมาจากผู้หญิงคนนั้น... ผมไม่อาจจะเก็บความสงสัยเอาไว้ได้บวกความเป็นห่วงหญิงสาวที่เพิ่งถูกรถของผมชนเข้า ผมรีบหันไปมองยังต้นเสียงนั้นทันที....

     ภาพที่เห็นผมแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผู้หญิงชุดขาวที่เคยนอนแน่นิ่งอยู่กลางถนนเมื่อครู่ ตอนนี้เธอกำลังค่อย ๆ ดันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ และในทุกครั้งที่เคลื่อนไหวร่างกายไม่ว่าส่วนใดก็จะต้องมีเสียงกระดูกลั่นดังกรอบ ๆ นั่นคงจะที่มาของเสียงปริศนาเมื่อสักครู่


     เธอยืนหันหลังให้ผม เส้นผมของเธอยาวจนเกือบถึงพื้น ผมขนลุกเกรียวไม่ทั่วร่าง มีหลายสิ่งที่ถูกจินตนาการขึ้นในหัวแต่ไม่สามารถที่กลั่นออกมาเป็นคำพูดได้จนต้องกลืนกลับเข้าไปเป็นก้อนสะอึก เหงื่อของผมเปียกชุ่มไปทั้งตัว และผมแทบจะหยุดหายใจเมื่อเธอคนนั้นค่อย ๆ หันหน้ามาทางผม พร้อมกับเสียงกระดูกคอของเธอที่ดังลั่น เสียงนั่นมันช่างน่าสยดสยองและทรมานแก้วหูคนที่ได้ยินเสียเหลือเกิน ในขณะที่ร่างกายของเธอยังอยู่ในตำแหน่งเดิมไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่ส่วนหัวของเธอนั้นกลับบิดหมุนร้อยแปดสิบองศาหันและมองมาทางผม

     ผมยอมรับเลยว่าในช่วงเวลานั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผมหัวใจเต้นแรงที่สุดในชีวิตแล้วก็ว่าได้ ทำไมโชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตไอ้ชลแบบนี้  ตั้งใจจะมาหาวิธีให้เลิกพบเห็นสิ่งเหล่านี้แท้ ๆ แต่กลับต้องมาพบมาเห็นในรูปแบบที่ชวนให้ขวัญผวายิ่งกว่าเดิม ผู้หญิงคนนั้นใบหน้าของเธอซีดเผือก ลูกตาซ้ายของเธอจากเดิมที่มันก็ดูปกติดี แต่บัดนี้มันกำลังค่อย ๆ ถลนหลุดออกมาจากเบ้าตา เลือดสีแดงสดไหลเอ่อล้นออกจากศรีษะของเธอจนเปียกโซกไปทั้งตัวเธอ จากชุดที่เคยเป็นสีขาวตอนนี้กลับถูกย้อมด้วยสีแดงฉานจากเลือดสด ๆ ภาพที่เห็นทำเอาผมแทบจะขนหัวลุก


     “กรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”


     เสียงกรีดร้องที่โหยหวนของเธอ ดังสนั่นหวั่นไหว มันช่างทรมานโสตประสาทการรับเสียงเสียเหลือเกิน จนผมต้องอุดหู ตอนที่กรีดร้องปากล่างของเธออ้ากว้างฉีกลงมาจนถึงพื้น สาบานได้เลยว่านี่คือภาพที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตที่ผมเคยได้พบเจอมาแล้ว เรียกได้ว่ายัยดาวกับคุณพยาบาลคนสวยเทียบไม่ติดเลยก็ว่าได้ เพียงชั่วอึดใจร่างของผู้หญิงคนนั้นก็หายวับไปต่อหน้าต่อผม


     ความเครียดและความกลัวที่สั่งสมกันมานานทำให้ร่างกายผมเกิดอาการพะอืดพะอมจนต้องรีบไปวิ่งปลดปล่อยระบายด้วยการอาเจียนเอามันมาให้หมดที่ข้างทาง หลังจากที่ร่างกายของผมเริ่มรู้สึกโอเคขึ้นผมเพิ่งจะได้มีโอกาสมองสำรวจไปรอบ ๆบริเวณตรงนั้น นี่ผมเกือบไปแล้วสินะ โผล่มาระยะประชิดแบบนั้นถ้าผมเกิดหักหลบขึ้นมาละก็รถของผมอาจจะเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทางก็เป็นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมคงจะได้ตกเป็นข่าวสะเทือนขวัญพาดหัวบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไปแล้ว เฮ้อ อย่างนั้นความว่านายนั่นปกป้องผมจริง ๆ


     “ถ้าไม่มีมีผมมาด้วยป่านนี้ชลคงกลายเป็นผีเฝ้าถนนแทนผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว ผมบอกแล้วไงว่าผมจะปกป้องชล” 


     ก็เท่ากับว่าตอนนี้ผมเป็นหนี้ชีวิตนายผีแจ็คเก็ตแดงนั่นเข้าให้แล้วสินะ




☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎





     “นี่นายผี นายยังไม่หายโกรธฉันอีกเหรอ” ชีวิตนี้ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะต้องมาง้อผีอย่างนี้ ก็ไอ้นายผีแจ็คเก็ตแดงตัวดีนี่น่ะสิ ตอนอยู่ในรถก็นั่งมาด้วยกันพูดคุยกันอยู่ดี ๆ แต่พอกลับถึงบ้านเท่านั้นแหละอาการนายนั่นก็ออกทันที

     นายผีแจ็คเก็ตขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงของผมอย่างถือวิสาสะ ตัวผมเองก็ไม่รู้คิดยังไงถึงอนุญาตให้นายนั่นเข้าห้องนอนผมได้ง่าย ๆ แบบนี้ และดูนายนั่นมันทำนั่งกอดอกทำหน้างอนตุ๊บป่องกลับเข้าสู่โหมดสมองเด็กห้าขวบแล้วสินะ สรุปแล้วคือผมต้องง้อน่ะสิ

     “ชลจะมาสนใจผมทำไม ในเมื่อไม่อยากจะเห็นผมแล้วไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจกับท่าทีแบบนั้นนี่เด็กอนุบาลยังดูออกว่ามารยาล้วน ๆ เห็นแล้วอยากจะลั่นกบาลนายนั่นอีกสักที ติดตรงผมดันเป็นฝ่ายผิดจริง ๆ นี่สิ เลยต้องมานั่งง้อนายนั่นอยู่อย่างนี้นี่ไง

     จริตการงอนของนายนั่นนี่ผู้หญิงยังอาย พอผมไปนั่งข้าง ๆ ฝั่งซ้ายมือนายนั่นก็มองค้อนผมก่อนเบือนหน้าหนีไปทางอีก พอผมย้ายไปนั่งอีกฝั่งก็ยังคงทำเช่นเดิม เฮ้อ

     “นี่ฉันก็ขอโทษนายแล้วนี่ไง เป็นความผิดครั้งแรกนะ ยกโทษให้ฉันเถอะนะ นายอยากให้ฉันทำอะไรฉันยอมนายทุกอย่างเลย”

     “ยอมทุกอย่างจริงเหรอ” เอ่อ เมื่อครู่นี้ผมเผลอพูดอะไรออกไป นายผีแจ็คเก็ตแดงมองผมด้วยแววตาที่สุดแสนเจ้าเล่ห์และยิ้มมุมปากที่ดูมีเลศนัยทันทีที่ผมเผลอหลุดปากพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป

     “อะ อืม” เออ เอาวะ ลูกผู้ชายพูดแล้วต้องไม่คืนคำ คนอย่างไอ้ชลคนแมนมีสัจจะอยู่แล้ว


     ฟอด


     “เฮ้ย!” นายผีแจ็คเก็ตแดงจู่โจมเข้าหอมแก้มขวาผมอย่างไม่ทันตั้งตัว มันหอมแก้มผมอีก!

     ถึงความรู้สึกที่สัมผัสกับแก้มมันจะเป็นเพียงแค่ลมอุ่น ๆ ที่พัดผ่านแต่ในความเป็นจริงมันก็เห็นอยู่ตำตาว่ามีสะสารเพศผู้ขนาดมหึมากำลังประทุษร้ายแก้มนิ่มๆของผมอยู่ รับไม่ได้โว้ย! แก้มของผมนี้มีไว้สำหรับสาวสวยเท่านั้น!

     “นี่! นาย”

     “หยุดนะถ้าชลด่าผมละก็แสดงว่าชลผิดคำพูดที่บอกว่าจะยอมผมทุกอย่าง” นั่นไง นายนั่นเบรคผมไว้ได้ทันก่อนที่สิงสาราสัตว์มากมายจะพรั่งพรู่ออกมาทางลมปากของผม โดนเข้าให้แล้วไหมเล่า ไอ้ชลเอ๋ย ดันไปเผลอหลุดปากพูดพล่อย ๆ จนเข้าตัวให้จนได้

     ผมเอามือถูแก้มข้างที่โดนขโมยหอมไปพร้อมเบ้ปากมองนายนั่นเคือง ๆ ถ้าด่าเป็นคำพูดไม่ได้ก็ขอด่านายนั่นผ่านทางสายตานี่ก็แล้วกัน

     “เวลาชลเขินจนหน้าแดงนี่ก็น่ารักดีนะ” นายผีแจ็คเก็ตแดงยิ้มหวานได้น่าหมั่นไส้มาก ผู้ชายประเภทไหนอยู่ดี ๆ จะมาบอกว่าผู้ชายด้วยกันน่ารักได้อย่างหน้าตาเฉย แต่เดี๋ยว! ตอนนี้ผมหน้าแดงอยู่หรือ

     “ปะ เปล่า มะ ไม่ได้เขินโว้ย ฉะ ฉันหน้าแดงเพราะโมโหต่างหาก” ผมตอบอย่างตะกุกตะกักเพราะตกใจเฉย ๆ หรอก คนอย่างไอ้ชลคนแมนเนี่ยนะจะมาเขินเพราะโดนผู้ชายหอมแก้ม ไม่มีทางเสียหรอก!!

     “นี่ชลผมขอหอมอีกทีได้ไหมครับ” อ้าวเฮ้ย ดูมันขอกันง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ นายนั่นช่างกล้าพูดอะไรอย่างนั่นออกมาได้อย่างหน้าซื่อตาใส

     “พอเลย นายเป็นบ้าอะไรของนาย นายผี มาหอมแก้มฉันอยู่ได้”

     “โห ชลไม่เข้าใจผมหรอก ผมอยู่ในสภาพนี้มานานหลายเดือนแล้วนะ ผมเหงามากนะรู้ไหม พอเจอคนที่มองเห็นผมพูดคุยกับผมได้ทั้งที ผมก็อยากจะกอดชล อยากจะหอมชล อยากะจับชลมาฟัดให้หนำใจไปเลย ” เอ่อ นายผีแจ็คเก็ตแดงตีหน้าจ๋อยเล่าเรื่องดราม่า ไอ้ช่วงแรก ๆ มันก็ฟังดูน่าสงสารอยู่หรอกนะ แต่ฟังไปฟังมาแล้วผมว่าผมอยากจะจับนายนั่นมาฟาดด้วยไม้คมแฝกเสียมากกว่า ถึงขั้นคิดที่จะจับผมฟัดที่เกินไปแล้วนะ

     “แล้วทำไมไม่คุยกับพวกผี ๆ ในโลกพยาบาลล่ะ”

     “โห ชลก็เห็นว่าพวกนั้นน่ากลัวแค่ไหน ใครจะไปกล้าคุยด้วย” เออ มันก็จริงอย่างที่นายนั่นว่า ภาพกลุ่มคนไข้ประหลาดที่วิ่งไล่ผมอย่างกับซอมบี้ยังติดตาผมไม่หาย


     “แล้วอีกอย่างนะชล เลิกเรียกผมว่านายผีสักทีได้ไหม ผมโคตรไม่ชอบชื่อนี้เลย” นายผีแจ็คเก็ตแดงว่าพลางมองผมตาปริบ ๆ

     “อ้าว ก็นายจำชื่อตัวไม่ได้ จะให้ฉันเรียกนายว่าอะไรล่ะ”


     “ถ้าอย่างนั้นชลก็ตั้งชื่อให้ผมสิ ชลเจอผมคนแรกแถมยังเป็นคนเดียวที่จะพาผมกลับเข้าร่างได้ด้วย เพราะฉะนั้นผมจะถือว่าชลเป็นแม่ทูนหัวของผม ชลตั้งชื่ออะไรผมก็ชอบหมดนั่นแหละ อย่าเรียกนายผีก็พอ”


     เอ่อ เดี๋ยวนะ ให้ตั้งใจชื่อให้นี่พอเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ.... แม่ทูนหัว เฮ้ย! ข้าเป็นผู้ชายนะเว้ย!!!!




     ....................







     TBC
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น [5/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-06-2017 17:18:30
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น [5/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 05-06-2017 19:45:52
 o22 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น [5/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 06-06-2017 13:16:32
http://www.youtube.com/v/TBvXsPL2loU 
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น [5/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 06-06-2017 15:51:02
สนุกอ่ะ มีความฮาเล็กน้อย และความสยองเป็นส่วนใหญ่

ผงที่ปาใส่หน้าเข้าตา เถ้ากระดูกคนตาย?

ต่อๆๆๆ รออ่านนะ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 3 หนีไม่พ้น [5/6/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 06-06-2017 15:54:00
สนุกดีอ่ะค่ะ ติตตามๆ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 4 เจ้ากรรมนายเวร 1 [15/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 15-07-2017 05:30:04
ตอนที่ 4 เจ้ากรรมนายเวร 1


     “ถ้าอย่างนั้นชลก็ตั้งชื่อให้ผมสิ ชลเจอผมคนแรกแถมยังเป็นคนเดียวจะพาผมกลับเข้าร่างได้ด้วย เพราะงั้นผมถือว่าชลเป็นแม่ทูนหัวของผม ชลตั้งชื่ออะไรผมก็ชอบหมดแหละ อย่าเรียกนายผีก็พอ”

     เอ่อ เดี๋ยวนะ ให้ตั้งชื่อนี่พอเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจคือ.... แม่ทูนหัว เฮ้ย! ข้าเป็นผู้ชายนะเว้ย!!!!

     “แม่ทูนหัวบ้านแกสิ ฉันเป็นผู้ชายนะโว้ย” ผมตวาดแหวคัดค้านนายนั่นขึ้นมาทันที เรื่องนี้ไอ้ชลคนแมนจะไม่ยอมเว้ย

     “เอาน่าๆ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ตั้งชื่อให้ผมก่อนนะ นะ” นายผีแจ็คเก็ตแดงเขย่าตัวรบเร้าอย่างกับเด็กน้อยที่กำลังรบเร้าให้พ่อพาไปเที่ยว แลดูนายนั่นจะไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่ผมกำลังหัวร้อนอยู่เลย

     ผมสายหัวระอา จะมาหัวร้อนกับนายนี่ก็คงจะหัวเสียไปเปล่าๆ แลดูเขาจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องทุกข์ร้อนอะไรด้วยเลย ไอ้ผีสมองเด็กห้าขวบเอ๊ย


     จะให้ตั้งชื่อให้อย่างนั้นเหรอ ได้.... เอ จะให้ชื่ออะไรดีนะ ผมใช้ความคิดพลางกรอกตาไปรอบ ๆ อย่างคิดไม่ตก การจะตั้งชื่อให้ใครสักคนนี่ก็มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ หรือต้องไปเปิดตำราตั้งชื่อลูกกันเลยหว่า เฮ้ย ทำอย่างนั้นไม่ได้สิ นายนั่นยิ่งหาว่าผมเป็นแม่... เอ่อ พ่อทูนหัว(แบบนี้สบายใจกว่า)อยู่ ขืนทำอย่างนั้นนายนั่นคงยิ่งได้มาฝากตัวเป็นลูกผมแน่ ๆ


     “มานะ” ผมเอ่ยชื่อมานะขึ้นมาหลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ ชื่อนี้นี่ครีเอทสุดแล้ว แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร นายนั่นคงชอบ


     “ไม่เอาอ่ะ” นั่น ไหนบอกว่าตั้งชื่ออะไรให้ก็ชอบหมดไงวะ


     “มานี”


     “ชื่ออย่างกับผู้หญิง ไม่เอา” เรื่องมากจริงวุ้ย


     “ปิติ”


     “.....” นายนั่นไม่ได้พูดอะไรแต่ใช้การส่ายหัวแทนคำตอบ จะเอายังไงแน่ฟระ


     “ชูใจ” ชื่อนี้ชื่อสุดท้ายแล้วนะคิดไม่ออกแล้วนะเว้ย

     “สาบานไหมว่าชื่อพวกนี้ชลคิดเอง ถึงจะความจำเสื่อมแต่ผมก็พอจะคุ้นๆชื่อพวกนี้นะ ผมให้โอกาสชลคิดอีกชื่อหนึ่งถ้ายังไม่ถูกใจผมละก็ หึหึ” นายผีแจ็คเก็ตเองเอียงคอหรี่ตามองผมทำเหมือนกำลังรู้ทันอะไรบางอย่างพลางแสยะยิ้มออกแนวข่มขู่(คิดว่ากลัวเหรอ) ผมก็ต้องคิดเองดิวะ ชื่อพวกนี้นี่กลั่นออกมาจากสมองอย่างสร้างสรรค์ของผมทั้งนั้นแหละ ไม่ได้เอามาจากแบบเรียนภาษาไทยที่ไหนเลย! บอกเลยว่าไม่ได้กลัวหรอกนะ แต่จะรีบๆคิดชื่อให้ใหม่ เพราะสงสารผีไม่มีชื่อเฉยๆหรอก


     “งั้นเอาชื่อนี้แล้วกัน นะโม

     “เห..” นายผีแจ็คเก็ตแดงตาแป๋วดูท่าทางสนอกสนใจกับชื่อที่ผมเพิ่งหลุดปากออกไปน้อย

     “ชื่อนี้นี่ดีนะ เป็นคำขึ้นต้นบทสวดมนต์ จะได้เป็นศิริมงคลไง” ผมพยายามนึกเหตุผลขึ้นมาสนับสนุนชื่อนี้ นายนั่นมองผมตาแป๋วแลดูตั้งอกตั้งใจฟัง


     “งั้นเอาอันนี้แหละ”


     นายนั่นยิ้มร่าดูพอใจกับชื่อใหม่ไม่น้อย ถ้ายังไม่ถูกใจให้คิดชื่อใหม่ตอนนี้ก็คิดไม่ทันหรอกนะ ตอนนี้ก็มีชื่อแล้วนะนายผีแจ็คเก็ตแดง เอ๊ย ไม่ใช่สิ ต่อไปนี้ต้องเรียกนายนั่นว่านายนะโม ยินดีด้วย อ่อ อีกอย่างอย่าไปบอกใครนะ ว่าชื่อนั้นผมก็อปมาจากชื่อลูกชายเพื่อนที่เพิ่งคลอดมาเดือนที่แล้ว เอาน่าชื่อเพราะออกจะเพราะคนที่ชื่อซ้ำ ๆ กันมีออกจะเยอะแยะไป


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     หนึ่งสัปดาห์แล้วเต็มๆที่ชีวิตของผมต้องเปลี่ยนไป จากที่เคยใช้ชีวิตปกติกลับต้องมาเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ค่อยอยากจะเห็นกันนัก เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ผมต้องใช้สติอย่างสูงในการดำเนินชีวิตและอยู่ร่วมกับสิ่งเหล่านั้น ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยชินแต่ก็คงต้องพยายามทำตัวให้ชินทำได้ แต่เวลาขับรถผ่านสามแยกทีไรเห็นกลุ่มคนนั่งกินเครื่องเซ่นก็อดหลอนไม่ได้ ยังโชคดีที่หลังจากที่เจอตอนกลับจากบ้านพ่อหมอวันนั้นผมยังไม่เจอแบบน่ากลัวขนาดนั้นอีกเลย ตอนนี้ผมก็พยายามข่มใจและใช้วิธีที่โบราณเขาว่าว่าเห็นหรือได้ยินอะไรที่แปลกๆก็อย่าไปทัก ผมก็เลยเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นพวกเขาเดี๋ยวพวกเขาก็ผ่านไปเอง


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “เฮ้ย หวัดดีเจ็ดสี” ทันทีดันประตูกระจกและก้าวเข้าไปในตัวอาคาร ผมกล่าวทักทายเพื่อนสาวคนสนิทที่กำลังนั่งง่วนอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊คที่โซฟารับรองลูกค้า

     “นี่ถ้าวันนี้ไม่ได้นัดนางแบบไว้ฉันคงไม่มีบุญได้เห็นแกเข้าร้านแต่เช้าแบบวันนี้นะเนี่ย” นั่นแหละคำทักทายที่เป็นปกติของยัยนั่นที่ต้องมีผสมคำจิกกัดมาด้วยเสมอ

     เจสซี่หรือชื่อไทยๆที่เรียกกันในกลุ่มเพื่อนสนิทว่าเจ็ดสี เจสซี่กับผมรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เป็นแค่เพื่อนจริงๆ และสนิทมาก เจสซี่เป็นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาสวยมาก ใครที่ชอบแนวสาวลูกครึ่งคงหลงเสน่ห์ใบหน้าที่สวยชวนฝันของยัยนั่นได้ไม่ยาก และติดก็ตรงยัยนั่นเป็นผู้หญิงที่ปากร้ายมากแถมยังมีนิสัยห้าวๆลุยๆอย่างกับผู้ชายที่ช่างขัดแย้งกับหน้าตาสวยๆเหลือเกิน นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำยัยนั่นยังโสดจนถึงทุกวันนี้ แต่ที่แน่ๆก็เพราะเหตุผลนี้แหละที่ทำให้ผมไม่เคยคิดกับยัยนั่นเกินเพื่อน
ตอนนี้ผมกับเจสซี่เราเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกัน เราร่วมกันเปิดร้านเวดดิ้งสตูดิโอ ก็ไม่ได้เป็นร้านใหญ่โตอะไรแต่ตอนนี้กิจการก็กำลังไปได้ดี


     “อ้าว พี่ชลมาพอดีเลย” เสียงเรียกจากเด็กหนุ่มที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี

     “อ่ะนี่แซนวิสทูน่าที่พี่ชลชอบ ผมเตรียมไว้ให้” เขาว่าพลางว่าจานสีขาวที่มีแซนวิสวางอยู่สองชิ้นที่เขาเพิ่งเอามันออกมาจากในครัวลงตรงหน้าผม

     “นี่ไอ้เตอร์ นี่ฉันพี่แกแท้ๆ ไม่เคยเห็นแกจะดูแลฉันอย่างนี้บ้างเลย” เจสซี่ว่าด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้พลางมองแรงใส่น้องชาย
เจสซี่กับพัตเตอร์เป็นพี่น้องกัน สองคนนั้นเป็นลูกเสี้ยว แต่พัตเตอร์ดูจะได้เค้าโครงหน้าจากฝั่งพ่อที่เป็นไทยแท้มาเยอะหน้าตาเลยดูมีความเป็นไทยมากกว่าพี่สาวแต่ก็ยังพอดูออกว่ามีเชื้อฝรั่งอยู่บ้าง และคงเป็นเพราะได้เชื้อฝรั่งจากฝั่งแม่มาด้วยนี่แหละพัตเตอร์เลยตัวสูงมากสูงเกินผมไปแล้วสูงพอๆกับนายนะโมเลยแหละทั้งๆที่เด็กนั่นอายุน้อยกว่าผมตั้งหกปี พัตเตอร์มาช่วยงานที่ร้านอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งช่วงนี้ปิดเทอมเด็กนั่นแทบจะมาขลุกตัวอยู่ที่ร้านทุกวัน ทั้งๆที่ก็ไม่ได้มีค่าจ้างอะไรมากมายมีแค่ค่าขนมเล็กๆน้อยๆเป็นสินน้ำใจเป็นครั้งคราว ไม่รู้ทำไมถึงอยากมานัก เวลาว่างๆไม่อยากไปหาสาวบ้างหรือไงวะ



     แต่มีมาพัตเตอร์มันก็ดีอย่างตรงที่สองที่น้องนั่นขัดกันแทบจะทุกเรื่อง พัตเตอร์มันก็ชอบกวนประสาทพี่สาวเป็นงานอดิเรก  เวลาผมจะแกล้งหรือต่อปากต่อคำอะไรกับยัยเจ็ดสีก็เจ้าเด็กนี่แหละคอยเป็นลูกคู่ฝ่ายสนับสนุนผม

     “โห รุ่นเจ๊โลกแตกยังรอดชีวิตไม่ต้องให้ใครมาดูแลหรอก” ผมล่ะอดจะขำไม่ได้กับไอ้พี่น้องคู่นี้ กัดกันแทบทุกวันไม่รู้อยู่กันมาจนโตป่านนี้ได้ยังไง

     “พี่ชลกินเยอะๆนะ พี่ชลอ่ะไม่ชอบกินข้าวเช้าเดี๋ยวโรคกระเพราะจะถามหาเอา ผมเป็นห่วงนะ” พัตเตอร์ว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างผม โซฟาตั้งกว้างจะมาติดผมอะไรขนาดนั้นวะ พัตเตอร์ทำมันอย่างกับว่าผมเป็นลูกมันอย่างไรอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ตลอด ดูมันจะเอาใจใส่ผมจนเกินหน้าตาพี่สาวตัวเองด้วยซ้ำ ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรที่พี่สาวมันจะหมั่นไส้ผมจนคอยจิกกัดผมตลอดแบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

     “เออ รู้แล้วน่า แกนี่ชักจะเหมือนพ่อฉันเข้าไปทุกทีแล้วนะ” ผมตอบรับหน่ายๆ และผลักหัวพัตเตอร์เบาๆแก้เก้อ โดนเด็กมาสอนนั่นนี่แทบทุกวันใช่ว่าจะไม่อายนะเว้ย ส่วนไอ้เด็กนั่นก็ท่าจะบ้าโดนผมผลักแล้วยังน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้


     “เดี๋ยวผมไปชงกาแฟมาให้พี่ชลดีกว่า.... เฮ้ย!!!” พัตเตอร์เพียงแค่ลุกขึ้นยืนยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าเดินไปเลยด้วยซ้ำ เด็กนั่นส่งเสียงอุทานออกมาเสียงดังราวกับตกใจอะไรบางอย่าง ทำเอาผมกับเจสซี่ถึงกับสะดุ้งไปด้วยและหันไปมองที่เด็กนั่นพร้อมกัน


     “แกเป็นอะไรของแกไอ้เตอร์”

     “ปะ เปล่าเจ๊ ไม่มีอะไร ผมไปชงกาแฟให้พี่ชลก่อนนะ” พัตเตอร์พูดเสร็จก็เดินดุ่มตรงเข้าไปในครัว
ปากบอกว่าไม่มีอะไร แต่อาการหน้าซีดกับน้ำเสียงตะกุกตะกักนี่มันช่างสวนทางกับคำพูด เจสซี่หันมามองหน้าผมด้วยท่าทางที่ยังดูงุนงงกับท่าทางแปลกๆของน้องชาย แน่นอนว่าเจสซี่คงจะไม่เห็น ว่าแต่พัตเตอร์ล่ะ พัตเตอร์เห็นเหมือนที่ผมเห็นตอนนี้หรือเปล่า


     ในจังหวะที่พัตเตอร์กำลังลุกไป ร่างของนายนะโมที่หน้าตาดูบอกบุญไม่รับปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าเด็กนั่นก่อนที่เขาจะแสดงอาการตกใจแบบนั้นออกมา หรือว่าพัตเตอร์จะเห็น...


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “ผู้หญิงสวยๆคนนั้นอ่ะแฟนเหรอ” ครั้นจะให้คุยกับนายนะโมตรงนั้นยัยเจ็ดสีคงได้หาว่าผมเป็นบ้าพูดคนเดียวเป็นแน่ ผมเลยแยกตัวออกมาเข้าห้องน้ำก็ตั้งใจจะให้นายนะโมตามมาเพื่อคุยกันให้รู้เรื่องนั่นแหลพ แล้วเป็นอย่างที่ผมตั้งใจไว้เงาในกระจกสะท้อนร่างนายนะโมปรากฏตัวอยู่ด้านหลังผม ท่าทางนายนั่นดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ไม่รู้ว่าไปทะเลาะกับใครมา ยัยพี่นีเหรอ? ไม่น่าใช่หรอกมั๊ง

     “เจสซี่น่ะเหรอ นั่นเพื่อนฉันเว้ย”

     “จริงเหรอ” นายนะโมหรี่ตามองราวกับกำลังตรวจจับพิรุธอะไรบางอย่าง ผมก็ดันบ้าจี้เผลอไปทำตัวล่อกแล่กกับสายตานายนั่นเสียได้

     “แล้วไอ้เด็กคนนั้นล่ะ แฟนหรือเปล่า” เด็กคนนั้น? เด็กคนไหนวะ วันนี้ตั้งแต่เช้านอกจากพ่อกับคุณนายนกยูงที่ผมเจอที่บ้าน มนุษย์ที่ผมได้เจอวันนี้ก็มีแค่เจสซี่กับพัตเตอร์นี่หว่า อย่าบอกนะว่านายนั่นมันหมายถึงพัตเตอร์!

     “นายจะบ้าเหรอพัตเตอร์มันผู้ชายนะ ฉันจะไปเอามันทำเมียได้ยังไงเหล่า”

     “เท่าที่ผมดูจากสายตาที่มันมองชลแล้ว ผมว่ามันอยากจะได้ชลเป็นเมียมากกว่านะ” นายนะโมแสยะยิ้มมุมปาก กอดอกวางมาดราวกับรู้ทันและอ่านใจพัตเตอร์ได้ ก่อนจะพูดประโยคที่ชวนขนลุกนั่นออกมา เลอะเทอะกันไปใหญ่แล้วเว้ย พัตเตอร์นั่นผมเห็นมันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย การที่เด็กนั่นมันทำดีเป็นพิเศษกับรุ่นพี่ผู้ชายที่สนิทกันมันก็เรื่องปกติหรือเปล่าวะ
     
     “อย่ามาเพ้อเจ้อน่า ว่าแต่นายนั่นแหละที่นี่ได้ยังไงฉันสั่งแล้วไม่ใช่ว่าไม่ให้ตามมา กลับบ้านไปเลยนะ” ผมรีบชิงเปลี่ยนเรื่องก่อนที่นายนะโมจะมโนไปมากกว่านี้ แค่ได้ยินเรื่องที่ผมท้วงขึ้นนายนั่นถึงกับสะดุ้งจนลืมเก๊กวางมาดแบบเมื่อครู่นี้

     “โธ่ ก็อยู่บ้านมันน่าเบื่อนี่นา แถมพี่นีชอบร้องเพลงเสียงหลงทุกวันผมหนวกหูนะแย่ กว่าผมจะแอบเจ้าที่ที่นี่เข้ามาหาชลในนี้ได้ มันเหนื่อยนะรู้ไหม อย่าไล่ผมกลับนะ นะนะ นะครับ” นี่นายนั่นถึงขั้นแอบเจ้าที่เข้ามาเลยเหรอเนี่ย! เรื่องเสียงร้องเพลงของยัยพี่นีนี่ก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะว่ามันทรมานโสตประสาทจริงๆ แค่ไม่ต้องมาทำน้ำเสียงออดอ้อนแบบนั้นเลย ไม่ต้องหน้าน่าสงสาร ไม่ต้องมาทำสายเว้าวอน ไม่หลงกลง่ายๆหรอกเฟ้ย


     “เออเออ จะอยู่ก็อยู่ อย่าสร้างความวุ่นวายก็แล้วกัน” ปัดโธ่เอ๊ย ทำไมผมต้องใจอ่อนกับท่าทางแบบนั้นของนายนั่นทุกที


     “ชล...”


     “ว่าไง” น้ำเสียงกระซิบเบาๆที่นายนั่นเรียกชื่อผมทำไมมันฟังดูกระเส่าพิลึก แววตาไร้เดียงสาเหมือนเด็กห้าขวบที่อ้อนขออยู่ต่อเมื่อครู่มันหายไปไหนแล้ว ตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยแววตาที่จะดูแสนจะเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากแสยะขึ้นอย่างมีเลศนัยน์ ท่าทางของเขาตอนนี้เหมือนเสือจากัวร์ที่กำลังจะขย่ำกวางน้อย ก็ได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่ากวางน้อยตัวนั้นคงผมไม่ใช่หรอกนะ


     นายนั่นสาวเท้าตรงดิ่งเข้ามาทางผม ผมที่ตั้งตัวไม่ทันเผลอก้าวถอยหลังหนีตามจังหวะฝีเท้าที่นายก้าวเข้ามา ทำไมสถานการณ์นี้มันคุ้นจังวะ แล้วก็ไม่ผิดคาดผมถูกต้อนมาจนจนมุมติดกำแพงอีกจนได้ นายนะโมยืนประกบอยู่ตรงหน้าเขาใช้ข้อศอกเท้ากับกำแพงตรงเหนือหัวผมแล้วก็โน้มตัวเข้ามา จริงๆแล้วร่างกายนายนั่นก็เป็นเหมือนอากาศผมเดินผ่านตัวเขาไปเลยก็ยังได้นี่นา แต่ทำไมขามันก้าวไม่ออก...

     ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องหลบสายตานายนั่นไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่กล้าสบตา... ทำไมต้องใจเต้นแรงขนาดนี้... ทำไมผมควบคุมตัวเองไม่ได้เลยวะ


     ความรู้สึกลมอุ่นๆพัดผ่านที่แก้มเบาๆมันเกิดขึ้นอีกแล้ว แล้วคราวนี้ความรู้สึกนั้นมันอยู่นานกว่าครั้งก่อนๆเสียด้วย เพราะตัวผู้ก่อเหตุยังค้างอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหนอยู่ครู่ใหญ่ ทำไมนายนั่นชอบมาทำแบบนี้กับผมนักนะ ผมลูกมีพ่อมีแม้นะเว้ย ไม่ใช่อยากหอมแก้มเมื่อไหร่ก็ทำได้... และที่สำคัญผมก็เป็นผู้ชายนะ.....


     “รู้ตัวบ้างไหมเวลาชลเขินจนแก้มแดงแบบนี้น่ารักเป็นบ้าเลย แม่ทูนหัวของผม” คำพูดที่นายนั่นกระซิบที่ข้างหูผม มันเป็นแค่เสียงเบาๆแต่อานุภาพการทำลายล้างสูงเป็นบ้า นี่ผมกำลังเขินเหรอ... ไม่มั๊ง

     ด่ามันสิชล โวยวายสิชล มันแต๊ะอั๋งเราอีกแล้วนะเว้ย ทำไมไม่ด่ามันล่ะ ไอ้ตัวก่อเหตุมาทิ้งระเบิดไว้ก็หายตัวหนีไปแล้ว ปล่อยทิ้งให้ผมยืนจับร่องรอยที่เพิ่งถูกกระทำบนแก้มซ้ายอยู่คนเดียวโดยที่ไม่สามารถให้คำตอบตัวเองได้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกผมกันแน่


จะเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เนื้อคู่ของเอ็ง...เป็นผู้ชาย


     เอ่อ เดี๋ยวนะ ใครเอาเทปบันทึกเสียงตาลุงพ่อหมอมาเปิดแถวนี้ ทำไมเสียงมันดังก้องกังวาลในโสตประสาทผมขนาดนี้ ถ้าตาลุงนั่นทำให้ผมเห็นสิ่งเหล่านั้นได้จริง อย่างนั้นก็หมายความว่า คำทำนายนั้น...... เฮ้ย!!!


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     กว่าผมจะหยุดคิดฟุ้งซ่านกับคำทำนายบ้าๆนั่นและตั้งสติกลับมาทำงานได้เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ไหนจะเรื่องที่นายนะโมพูดอีก เวลาผมหันไปมองพัตเตอร์ทีไรก็พบว่าเจ้าเด็กนั่นมองผมตาเยิ้มอยู่แทบทุกครั้ง พัตเตอร์ยิ้มหวานให้ผม ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆแก้เก้อไป  ซึ่งปกติเจ้าเด็กนั่นมันก็เป็นแบบนี้ตลอด แต่ที่ผ่านมาผมไม่ได้คิดอะไร เพราะนายบ้านั่นนั่นแหละมาพูดเพ้อเจ้อทำให้ผมคิดฟุ้งซ่าย แล้วหลังจากนี้ผมจะเข้าหน้าน้องมันติดไหมล่ะเนี่ย



     นอกจากจะเป็นหุ้นส่วนร้านแล้วผมยังควบตำแหน่งตากล้องมือหนึ่งประจำร้านด้วย ก็บอกแล้วไงกิจการผมไม่ได้ใหญ่อะไรทำก็ต้องทำกันเอง ขนาดเจ๊วาว่าสาวสองรุ่นใหญ่ดีไซด์เนอร์ประจำร้านเรายังได้พ่วงตำแหน่งช่างแต่งหน้าไปด้วยเลย แต่ฝีมือการถ่ายรูปของผมก็โชว์ได้แบบไม่กลัวขายหน้าเหมือนกันนะ ศึกษาทางด้านนี้มาเหมือนกัน


     ในห้องที่ผมเซ็ตไว้เป็นสตูดิโอถ่ายภาพ วันนี้ผมนัดน้องฟางนางแบบคนสวยมาเป็นนางแบบในการถ่ายแฟชั่นโปรโมทชุดเจ้าสาวคอลเลคชั่นใหม่ของร้านเรา ปกติที่เข้ามาห้องนี้เจอกับน้องนางแบบสวยๆผมจะรู้สึกกระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษ แต่ในวันนี้มันไม่ใช่ ในห้องๆนี้ทั้งที่ผมคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี แต่ทำไมวันนี้มันไม่เหมือนทุกวัน ผมกลับรู้สึกว่าห้องนี้มันไม่น่าเข้ามาเอาเสียเลย ผมทำงานไปทั้งรู้สึกกระอักกระอ่วนบอกไม่ถูก ทั้งๆที่ในห้องนี้ก็มีคนอยู่ตั้งหลายคน ไหนจะพัตเตอร์ ไหนจะลูกน้องผมอีกสองคน  รวมทั้งน้องนางแบบกับเจ๊วาว่าอีก แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องมันวังเวงเสียเหลือเกิน แอร์ก็อุณหภูมิปกติแต่ทำไมมันถึงรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างนี้ หรือที่จริงแล้วความรู้สึกนั้นมันไม่ได้เป็นเพราะห้องนี้ เพราะนึกๆดูแล้วความรู้สึกนี้มันเริ่มมาตั้งแต่เธอคนนั้นอย่างกายเข้ามาในห้องนี้ต่างหาก


     น้องฟางที่กำลังจัดท่าทางไปตามที่ผมกำกับ เธอก็ดูร่างเริงสดใสดี แต่เมื่อเพ่งมองที่ตัวเธอดีๆแล้ว ผมกลับสัมผัสได้ถึงความหม่นหมองบางอย่างที่ปกคลุมอยู่รอบตัวเธอ หรือนั่นอาจจะเป็นสาเหตุของความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ ผมหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอดเพื่อตั้งสติต่อสู้กับความรู้สึกกระอักกระอ่วนนั้น แต่ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่มีวันแบบนั้นเด็ดขาด ถ้าผมรู้ว่าสิ่งที่จะต้องลืมตาขึ้นมาพบเจอนั้นมันคืออะไร


     สิ่งที่เห็นทำเอาถึงกับผงะ ภาพเด็กทารกหกคนทั้งชายและหญิงในสภาพตัวเขียวบวมมีเลือดไหลอกจากปากและจมูกกำลังเกาะและไต่อยู่เต็มตัวของน้องฟาง ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิทลง ผมไม่เห็นใครอยู่ในห้องนี้อีกแล้วที่นี่เหลือเพียงแค่ผมกับน้องฟางและเด็กทารกพวกนั้นในบรรยากาศรอบข้างที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไร


     “แม่ฆ่าพวกหนูได้ พวกหนูก็ฆ่าแม่ได้เหมือนกัน!” ใบหน้าของเด็กพวกนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เด็กผู้ชายที่เกาะอยู่บนหัวน้องฟางเงยหน้ามามองผม และตะโกนประโยคเมื่อสักครู่นี้ออกมา แววตาและน้ำเสียงของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน


     “ชล ตั้งสติ” เสียงเรียกจากนายนะโมที่ลอยมาในความมืด ดึงสติผมให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
เพียงชั่วพริบตาทุกอย่างกลับเข้าสู่สถาวนะปกติ แต่ผมช็อคตาค้างตั้งทั้งที่ผมคิดว่าผมจะทำใจยอมรับเรื่องพวกนี้ได้แล้ว แต่ไม่เลยเด็กพวกนั้นทำเอาผมผวาจนประครองร่างกายไว้ไม่อยู่ โชคดีที่พัตเตอร์วิ่งมาประครองร่างผมไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะล้มไปก้นกระแทกพื้น


     “พี่ชลพี่ไม่ต้องกลัวนะ ผมรู้ว่าพี่เห็นอะไร พวกเขาทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก” พัตเตอร์กระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูผมแต่ตอนสติผมยังมีไม่มากพอที่จะทำความเข้าใจกับอะไรทั้งนั้น ผมทำได้แค่เพียงกำมือพัตเตอร์ไว้แน่นอย่างต้องการที่พึ่ง

     “พี่ชลเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ทุกคนในห้องตอนนี้พุ่งความสนใจมาทางผม รวมทั้งน้องฟางที่เธอรีบวิ่งเข้ามาดูผม ยิ่งเธอเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ มันยิ่งตอกย้ำภาพที่ผมให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า.....



ตอนนี้ไม่สามารถมองเห็นส่วนหัวของน้องฟางได้แล้ว........


และนั่นคือความทรงจำสุดท้ายของผมก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับไป


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “พัตเตอร์...” ผมเรียกชื่อของบุคคลแรกที่ผมเห็นหน้าเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาเสียงอ่อยแบบคนเพิ่งตื่นนอน ผมที่ยังอยู่ในอาการมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก เห็นแค่เพียงหน้าของพัตเตอร์ที่ลอยอยู่ตรงหน้าผม พินิจมองกวาดสายตาไปรอบตัวถึงได้รู้ตอนนี้ผมกำลังนอนหนุนอยู่บนตักของเจ้าเด็กนั่นในห้องที่เจสซี่เตรียมไว้สำหรับเป็นห้องพักในวันไหนที่อยู่เคลียร์งานถึงดึก ผมใช้เวลาทบทวนไต่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะตระหนักขึ้นได้ว่าที่ผมหมดสติไปเพราะอะไร

     “พัตเตอร์ ฟางอยู่ไหน” ผมรีบดันตัวเองขึ้นลุก และถามหาความจากพัตเตอร์อย่างร้อนใจ

     “ก็พี่ชลหมดสติไป พี่เจสก็เลยให้พี่ฟางเขากลับไปแล้ว”

     ฟางกลับไปแล้ว... สิ่งเดียวที่ผมนึกขึ้นได้ตอนนั้นคือต้องรีบไปหาน้องฟางให้เร็วที่สุด น้องฟางกำลังตกอยู่ในอันตรายผมต้องรีบไปหยุดยั้งเด็กพวกนั้น ถ้าผมไปทันอาจจะเกิดเรื่องน่าเศร้าใจขึ้นได้


     ผมพุ่งตรงออกไปแต่ยังไม่ทันจะถึงประตูห้อง นายนะโมปรากฏตัวขวางทางผมเอาไว้เสียก่อน

     “ผมรู้นะว่าชลคิดจะทำอะไร นั่นคือเวรกรรมที่เขาก่อ ไม่ใช่เรื่องที่ชลจะต้องเข้าไปยุ่ง”

     “นายจะให้ฉันปล่อยเด็กพวกนั้นเอาชีวิตฟางไป โดยที่ฉันไม่ช่วยอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ ฉันทำไม่ได้หรอก” เพราะความร้อนใจทำให้ผมลืมว่าในห้องนี้มีพัตเตอร์อยู่ด้วยจนเผลอพูดคุยโต้ตอบกับนายนะโมไป


     “ทำตามที่พี่เสื้อแดงพูดเถอะพี่ชล พี่ช่วยพี่ฟางไม่ได้หรอก” พัตเตอร์...


     ผมหันกลับไปมองพัตเตอร์อย่างประหลาดใจ พัตเตอร์รู้ว่าผมกำลังคุยกันคนเสื้อแดง แสดงว่าเด็กนั่นก็ต้อง....




     “พัตเตอร์นายเห็นนะโมด้วยเหรอ...”


TBC
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 4 เจ้ากรรมนายเวร 1 [15/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-07-2017 09:04:56
แล้วจะหาร่างนะโมเจอได้ยังไง
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 4 เจ้ากรรมนายเวร 1 [15/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 15-07-2017 16:50:51
ติดตามค่ะติดตาม หาเรื่องแนวนี้อ่านยากมากกกก
เขียนตอนชลเจอแต่ละผีได้ดีเลยค่ะ หลอนจริง  ๆ น่ากลัว
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ มาต่อบ่อย ๆ น้า
ขอบคุณคนเขียนค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 4 เจ้ากรรมนายเวร 1 [15/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-07-2017 17:30:26
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 4 เจ้ากรรมนายเวร 1 [15/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 15-07-2017 22:08:34
http://www.youtube.com/v/gMJwj7-n5pA 
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 5 เจ้ากรรมนายเวร 2 [19/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 19-07-2017 18:33:10
ตอนที่ 5 เจ้ากรรมนายเวร 2



     “พัตเตอร์ นายเห็นนะโมด้วยหรอ”

     “ก็ถ้านะโมที่พี่ชลพูดถึงคือผู้ชายเสื้อแดงที่ยืนตรงประตู ใช่ผมเห็น” พัตเตอร์ตอบผมมาอย่างไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไร ทั้งๆที่สิ่งที่เด็กนั่นกำลังมองเห็นอยู่นั่นคือวิญญาณนะ

     “แล้วนายรู้ใช่ไหมว่านะโมเป็น.....” ผมพูดเสียงก็อ่อยและเบาลงเรื่อยๆเพราะไม่มีความมั่นใจมากพอที่จะพูดสิ่งที่มะโนเป็นออกมา เพราะผมไม่รู้ว่าตอนนี้พัตเตอร์กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือบางทีเด็กนั่นอาจจะแค่นึกว่าผมกำลังเสียสติจนพูดคนเดียวเป็นตุเป็นตะเลยเล่นตามน้ำไปกับผมแล้วบังเอิญเดาสีเสื้อนายนะโมถูกเท่านั้นก็เป็นได้

     ผมเหลือบตามองไปทางนายนะโมหมายจะขอความเห็น แต่ดูท่าแล้วนายนั่นคงจะให้ความเห็นอะไรผมไม่ได้มากสักเท่าไหร่ ผมเห็นเขายืนกอดอกมองตรงไปที่พัตเตอร์ราวกับว่าพร้อมจะมีเรื่อง ไม่รู้ว่าทำไมนายนั่นถึงได้ไม่ชอบพัตเตอร์ขนาดนั้น

     “รู้สิ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าที่พี่ช็อคจนหมดสติไป เป็นเพราะพวกเด็กที่มากับพี่ฟางใช่ไหม” ผมถึงกับสะอึกเมื่อสิ่งที่พัตเตอร์พูดออกมามันตรงกับสิ่งที่ผมได้เห็นจริงๆ ก็คงพอจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าพัตเตอร์ก็สิ่งเหล่านั้นเหมือนกับผม

     “แล้วทำไมนายถึง....”

     “พี่อย่าเพิ่งถามเรื่องผมเลย แต่ตอนนี้ผมขอเตือนพี่เลยนะว่าอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องนั้นไม่อย่างนั้นพี่เองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน ผมห่วงพี่มากนะพี่ชล”

     “แล้วถ้าชลเข้าไปยุ่ง แล้วชลช่วยเขาไม่ได้ชลก็จะเป็นทุกข์เปล่าๆ รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงชลมากกว่าใคร” สามพยางค์หลังนายนะโมเน้นเสียงชัดถ้อยชัดคำว่าปกติ

     ท่าทางและสายตาที่นายนะโมมองพัตเตอร์ และท่าทีของผมเด็กนั่นมองกลับมา ผมพอจะเดาว่าหนึ่งคนกับหนึ่งวิญญาณนั้นคงไม่ค่อยจะถูกชะตากันสักเท่าไหร่ ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแท้ๆ แล้วจะมีเรื่องอะไรให้บาดหมางกัน แต่เรื่องนั้นช่างก่อนเพราะตอนนี้ผมไม่มีเวลาจะมาเคลียร์ปัญหาให้กับพวกนั้น เพราะตอนนี้ผมมีที่เรื่องสำคัญกว่าให้เครียดมากพอแล้ว


     “ทำไมพวกนายเย็นชากันแบบนี้ นั่นชีวิตคนทั้งคนนะ ยังไงฉันก็จะช่วยฟาง ใครก็ห้ามฉันไม่ได้” ผมพูดเสียงดังด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจอย่างมาก ย้ำชัดเจตนาเดิมที่จะต้องช่วยน้องฟางให้ได้ ผมมองพวกเขาด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ทำไมพวกนั้นถึงได้เย็นชาขนาดที่จะนิ่งเฉยกับความเป็นความตายของคนคนหนึ่งได้


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ผมขับรถพุ่งตรงที่หาน้องฟางที่ห้องพักหลังจากได้ที่อยู่จากเจ๊วาว่า เพราะผมพยายามติดต่อเธอทางโทรศัพท์เท่าไหร่ก็ไม่สามารถติดต่อได้เลย  นายนะโมและพัตเตอร์สองคนนั้นถึงแม้จะค้านผมชนิดที่หัวชนฝาแต่ยังติดตามผมมาด้วย



     “เข้าไม่ได้!” หญิงชราในชุดนุ่งขาวห่มขาวปรากฏกายขวางทางพวกเราไว้ตรงประตูทางเข้าแมนชั่น หญิงชราท่านนั้นปรากฏกายมาพร้อมกับแสงสีขาวที่แผ่รัศมีปกคุมไปทั่วบริเวณ แสงนั้นอาจไม่ได้ส่งผลประกบอะไรกับผมและพัตเตอร์ แต่กับนายนะโมร่างของนายนั่นกระเด็นออกไปไกลตามรัศมีของแสงนั้น ดูท่านายนั่นคงจะเจ็บไม่น้อยเขาพยุงตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆด้วยหน้าตาที่ดูไม่เข้าค่อยสู้ดีนัก

     “นายนะโม นายเป็นยังไงบ้าง”

     “ร้อน ผมทั้งแสบทั้งร้อนไปทั้งตัวเลยชล” เขาตอบผมเสียงสั่นเครือ นายนะโมกอดตัวเองราวกับต้องการจะประทังความเจ็บปวดของร่างกายอย่างน่าเวทนา

     “ท่านครับ ให้เขาเข้าไปเถอะนะครับ เขามากับพวกผม เขาไม่ทำร้ายใครหรอกครับ”

     “ยังไงก็ไม่ได้ เอ็งไม่ใช่เจ้าของที่นี่ เอ็งไม่มีสิทธิอนุญาตให้วิญญาณที่ไหนเข้าไปทั้งนั้น” หญิงชราท่านนั้นประกาศเสียงกร้าว หน้าตาท่านดูดุดันและดูเข้มงวดมาก

     “ถ้าอย่านั้นพี่ก็รออยู่ด้านนอกนี่แหละ เดี๋ยวผมจะขึ้นไปกับพี่ชลเอง แล้วผมจะดูแลพี่ชลเป็นอย่างดี” พัตเตอร์พูดกับนายนะโมพร้อมกับยกแขนอ้อมมาโอบบ่าผม นายนะโมที่ยังตัวสั่นจากความเจ็บปวดมองกลับมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

     “ผมไม่ให้เขาเข้าไปก็ได้ แต่ท่านช่วยทำให้เขาหายทรมานได้ไหมครับ ผมขอร้อง” ผมขอร้องหญิงชราท่านนั้น

     “ได้ ถ้ามันไม่เข้ามาใกล้พื้นที่ของข้าอีก มันก็จะดีขึ้นเอง”


     ถึงไม่อยากทิ้งนายนะโมไว้ตรงนี้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้เพราะตอนนี้มีเรื่องของน้องฟางที่สำคัญกว่าที่ผมต้องจัดการ ผมหันกลับไปมองนายนะโมอย่างอดห่วงไม่ได้ นายนั่นมองตามผมกับพัตเตอร์ตาละห้อย อย่างน้อยตอนนี้ภาษากายของนายนั่นที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดเมื่อครู่ก็เริ่มดูดีขึ้นแล้วผมก็ยังพอเบาใจไปได้บ้าง


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “ผมมาหาฟางครับ ห้อง510” ผมบอกกล่าวกับพนักงานที่เคาท์เตอร์ พร้อมบอกชื่อผมและชื่อร้าน เธอยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงห้องน้องฟาง พูดคุยกันครู่หนึ่ง เธอจึงอนุญาตให้ผมกับพัตเตอร์ขึ้นไปได้



     ผมกับพัตเตอร์ขึ้นลิฟท์ที่ดูจากสภาพแล้วคงมีระยะการใช้งานมาแล้วเนิ่นนาน ไม่รู้เพราะสภาพลิฟท์ที่ดูเก่าแก่หรือเปล่ามันเลยทำให้ผมจินตนาไปเองว่าบรรยากาศด้านในนี้มันช่างวิเวกวังเวงชอบกล เพียงแค่ประตูลิฟท์ปิดลงผมก็ขนลุกเกรียวไปทั้งร่างขึ้นมาทันใด 


     ในขณะที่ลิฟท์ขึ้นไปอย่างช้าๆผมได้แต่ภาวนาว่าอย่าลิฟท์ตัวนี้สิ้นสุดสภาพการใช้งานในขณะที่ผมกำลังใช้งานอยู่มันเลย
แต่ดูเหมือนการภาวนาของผมมันจะไม่ค่อยส่งผลอะไรเท่าไหร่ เมื่อลิฟท์ตัวนั้นจู่ๆมันก็หยุดแน่นิ่งลงในระหว่างทาง ไฟในลิฟท์เริ่มติดๆดับๆ บรรยากาศด้านในที่จากเดิมมีแอร์ก็เหมือนไม่มีกลับเย็นยะเยือกขึ้นมาเสียดื้อๆ ผมจับแขนพัตเตอร์ไว้แน่น ครั้นจะบอกไม่กลัวในเวลานี้ก็คงโกหก ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งเร้นลับแต่ยังมีเรื่องอันตรายหากลิฟท์นี้เกิดอุบัติเหตุให้ผมต้องกังวลอีก แม้พัตเตอร์จะคอยพูดกับผมตลอดว่าไม่ต้องกลัว มันก็ไม่ได้ทำให้ผมเบาใจขึ้นเลย


     “กลับไปซะ วันนี้เป็นที่แม่ดวงตกที่สุด ยังไงแม่ก็ต้องตาย พี่ช่วยแม่ไม่ได้หรอก” เสียงพูดแกมตะคอกจากเด็กน้อยปริศนาลอยมาอย่างไร้ทิศทาง

     ผมกวาดตามองไปรอบๆพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบๆในนี้มีเพียงแค่กับพัตเตอร์แล้วก็ไม่พบสิ่งอื่นใดอีกเลย จากที่อยู่ชิดกันมากอยู่แล้วผมยิ่งขยับให้เข้าไปชิดพัตเตอร์มากขึ้นไปอีกถึงมันจะไม่ค่อยได้ช่วยให้อุ่นใจขึ้นสักเท่าไหร่ก็ตาม

     “น้องปล่อยเขาไปเถอะนะ สงสารเขาเถอะ ถือว่าให้อภัยเขาสักครั้ง” ผมกลั้นใจพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

     “ทำไมกูต้องสงสารมัน ตอนมันฆ่ากูกับน้องๆ มันไม่เห็นสงสารพวกกู” เสียงของเด็กคนนั่นตะคอกกลับมาชนิดที่แค่ฟังน้ำเสียงก็สัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่มีมากเกินจะบรรยายได้


     ร่างของเด็กทารกผู้ชายตัวบวมเขียวปรากฎขึ้นตรงหน้าผมกับพัตเตอร์ ร่างอันแบเบาะขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนร่างของเด็กคนนั้นสูงใหญ่เกินผมกับพัตเตอร์เสียอีก พัตเตอร์ใช้แขนตัวเองยกขึ้นขวางกั้นตัวผมจากคนนั้น จากแววตาที่เขามองมาที่ผมกับพัตเตอร์ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขาไม่พอใจพวกผมเป็นอย่างมาก


     “มึงรู้ไหม พวกกูต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน บุญกุศลสักนิดมันยังไม่เคยอุทิศให้พวกกูปล่อย มึงยังจะให้พวกกูอภัยมันอีกเหรอ พวกกูเฝ้ารอให้ถึงวันนี้มานานวันที่มันดวงตกที่สุดในชีวิตเพื่อรอชำระแค้น” ในขณะที่เด็กคนนั้นพูดไปดวงตาของเขาก็โปนใหญ่ขึ้นจนเกือบเท่าไข่ไก่ เส้นเลือดในตาขาวของเขาขึ้นลายเด่นชัดและกลายเป็นสีแดงฉ่ำ ในแววตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตของเขามันน่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวจนผมไม่กล้าแม้แต่ที่จะเหลือบมอง

     “พี่ขอร้องนะ ให้โอกาสเขาเถอะ ถือเสียว่าให้เขามีโอกาสได้สำนึกผิดกับสิ่งที่ทำ ถ้าน้องต้องการบุญพี่จะบอกให้บวชเพื่ออุทิศบุญกุศลให้พวกน้อง” ผมตัดสินใจต่อรองขอชีวิตน้องฟางกับเด็กคนนั้น เด็กคนนั้นดูมีท่าที่สนใจกับข้อเสนอของผมอยู่บ้าง

     “มึงคิดว่าคนอย่างมันจะสำนึกได้จริงเหรอ ถ้ามันสำนึกได้มันคงไม่ทำกับพวกกูซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
สิ้นเสียงบอกเล่าของเด็กคนนั้น ตัวของผมเหมือนถูกดูดดึงไปที่ไหนสักแห่ง


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     บรรยากาศรอบตัวผมตอนนี้ไม่ใช่พื้นที่สี่เหลี่ยมแคบๆในลิฟท์แบบเมื่อครู่ ไม่มีพัตเตอร์ ไม่มีเด็กคนนั้น ผมเห็นแค่เพียงเด็กสาวคนนั้น เด็กสาวในวัยมัธยมต้น เธอดูรักสนุกกับใช้ร่างกายสร้างความสุขและปรนเปรอชายที่สนใจ จนในที่สุดเธอตั้งท้อง และเธอก็เลือกที่จะไม่เก็บเด็กในท้องนั้นไว้ การทำลายหนึ่งชีวิตในตัวเธอมันช่างดูง่ายดาย จนเธอไร้ซึ่งความเข็ดหลาบกับความผิดพลาดครั้ง เธอยังปล่อยให้เหตุการณ์นั้นมันเกิดขึ้นซ้ำๆอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรม คนแบบไหนกันที่จะปล่อยให้ตัวเองท้องโดยไร้การป้องกันตั้งหลายครั้งและทำลายทุกชีวิตได้อย่างเลือดเย็นขนาดนั้น ในเวลาไม่ถึงสิบปีเธอทำลายไปถึงหกชีวิต ผมเห็นทุกช่วงเวลาที่เธอทำลายชีวิตพวกเขาโดยเจตนาอย่างง่ายดาย และเธอคนนั้นคือน้องฟางไม่วันนี้…


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “เห็นหรือยังล่ะ คนแบบนี้น่ะเหรอที่มันจะมีสำนึก” ผมกลับมาในพื้นที่สี่เหลี่ยมแคบๆในสภาพเหนื่อยหอบ ผมหอบหายใจรัวไม่เป็นจังหวะอย่างโหยหาอากาศหายใจเป็นที่สุด เด็กคนนั้นยกยิ้มเหยียดหลังจากที่เขาทำให้ผมได้เห็นภาพเหล่านั้น

     “พี่ชลเป็นอะไรหรือเปล่า” พัตเตอร์โอบประคองร่างผมไว้ ผมยกมือให้เป็นเชิงว่าผมยังไหว

     “แต่ถ้ามึงคิดว่ามึงจะทำให้มันสำนึกได้ กูจะโอกาสมึงแค่ครั้งเดียว ถ้ามึงทำให้มันสำนึกและยอมบวชให้พวกกูได้ กูจะไว้ชีวิตมัน แต่ถึงมันจะไม่ตายพวกกูก็จะตามจองเวรมันไปตลอดชีวิต ให้ชีวิตมันไม่มีวันพบกับความสุข แต่ถ้ามึงโดนมันไล่ออกมากูจะถือว่ามึงทำไม่สำเร็จทันที” หลังจากพูดจบร่างของเด็กคนนั้นก็จางหายไปต่อหน้าต่อตาผม ก่อนที่ลิฟท์จะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “พัตเตอร์ ทำไมนายนะโมเข้ามาไม่ได้ แต่เด็กพวกนั้นถึงเข้ามาได้ล่ะ” ผมถามสิ่งที่ยังข้องใจกับพัตเตอร์

     “ก็เพราะว่าเด็กพวกนั้นคือเวรกรรมของพี่ฟางไง ขึ้นชื่อว่าเวรกรรม ไม่ว่าอะไรก็ขวางไม่ได้ทั้งนั้นแหละพี่ชล” เวรกรรมที่มันช่างน่ากลัวจริงๆ ทางที่ดีเราอย่าทำบาปกันเลยจะดีที่สุด



     ถึงเด็กคนนั้นบอกว่าไม่ว่ายังไงก็จะตามจองเวรน้องฟาง แต่อย่างน้อยถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีชดใช้ความผิด สักวันเด็กพวกนั้นอาจจะให้อภัยเธอก็ได้ น้องฟางเปิดประตูต้อนรับผมกับพัตเตอร์ ใบหน้าของเธอในยามที่ไร้เครื่องสำอางปกปิดแสดงความหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ผมแทบอยากจะกลับออกไปทันทีที่ก้าวเท้าไปในห้องของน้องฟาง ก็เมื่อมองไปรอบห้องของผมก็เห็นแต่เด็กตัวบวมเขียวเกาะอยู่ตามผนังทั่วทุกห้องทุกสายตาอาฆาตแค้นจับจ้องมาที่น้องฟางอย่างชวนให้ขนหัวลุก

     “ฟาง พี่จะพูดแบบไม่อ้อมค้อมนะ ฟางเคยทำแท้งมาใช่ไหม” ผมยิงตรงเข้าประเด็น เพราะโอกาสของผมในการช่วยชีวิตน้องฟางมีไม่มากนัก น้องฟางเธอชะงักไปช่วยขณะทันทีหลังจากสิ้นคำถามของผม

     “พี่ชลพูดเรื่องอะไรอ่ะคะ ฟางจะไปเคยทำแท้งได้ยังไง” ถึงแม้เธอจะปฏิเสธ แต่ผมสัมผัสได้ถึงสายตาที่ล่อกแล่กและน้ำเสียงที่ตะกุกตะกักในการตอบคำถามของเธอ

     “พี่ไม่รู้ว่าฟางจะเชื่อสิ่งที่พี่พูดหรือเปล่านะ แต่พี่เห็นวิญญาณเด็กที่เขาตามอาฆาตฟาง เขาอยากให้ฟางสำนึกผิดแล้วบวชให้เขาเพื่อแลกกับชีวิตของตัวฟางเอง”

     “เอ่อ ฟางว่าพี่ชลอาจจะทำงานหนักไปจนฝันเป็นตุเป็นตะไปแล้วมั๊งคะ พักผ่อนบ้างนะคะพี่ชล” แม้สีหน้าและน้ำเสียงของผมจะดูจริงจังแค่ไหน แต่น้องฟางเธอตอบกลับผมพลางหัวเราะ และมองมาที่ผมราวกับว่าผมเป็นตัวตลกอย่างไรอย่างนั้น


     “ครั้งแรกตอนม.3 ครั้งที่สองตอนม.5 ครั้งที่สามตอนม.6 ครั้งที่สี่ตอนปีสอง ครั้งที่ห้าเมื่อปีที่แล้ว ครั้งล่าสุดเมื่อสามเดือนที่แล้ว” พูดผมทุกอย่างที่เด็กคนนั้นทำให้ผมเห็นและให้ผมรับรู้ หมายว่าจะให้น้องฟางเธอยอมเชื่อสิ่งที่ผมพูดและยอมสำนึกผิดได้
หลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่าของผมน้องเธอถึงกับสะอึกและหน้าซีดเผือกไปทันที เธอนิ่งไปครู่ใหญ่

     “ฟางไม่รู้หรอกนะคะว่าพี่ชลไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน แต่ฟางว่ามันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฟางนะคะ อย่าหาว่าฟางไล่เลยนะคะ แต่พี่ชลกับพัตเตอร์กลับไปเถอะค่ะ พวกคุณก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฟางมากเกินไปแล้ว”
น้องฟางเธอดูไม่ค่อยพอใจนัก


     หลังจากพูดจบน้องฟางเธอเดินตรงเข้าดึงกระชากแขนผมหมายจะลากตัวผมออกไปจากห้องของเธอ ผมพยายามจะยื้อเพราะถ้าผมออกจากห้องนี้ไปเมื่อไหร่นั่นหมายความผมช่วยชีวิตน้องฟางไม่สำเร็จ พัตเตอร์เข้ามาแย่งตัวผมจากน้องฟาง และทำเหมือนมองตรวจสภาพแขนผมตรงที่ถูกน้องฟางทั้งบีบและกระชากเมื่อครู่

     “กลับกันเถอะครับพี่ชล ในเมื่อพี่ฟางเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ปล่อยเขาไป”

     “ดีค่ะ กลับไปเลย แล้วฟางก็หวังว่าพี่ชลเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวของฟางออกนะคะ”


     ผมมองหน้าพัตเตอร์อย่างขอความเห็นใจ แต่พัตเตอร์ตอนนี้ดูจะเป็นเวอร์ชั่นที่ใจแข็งกว่าทุกครั้ง เด็กนั่นอาศัยความตัวโตและแรงเยอะกว่าผมพาตัวผมออกไปกับเขาจนได้ ผมมองน้องฟางอย่างอาลัยอาวรณ์ ผมพยายามเรียกร้องให้เธอฟังผมอีกครั้งแต่ดูเธอไม่ได้ใยดีนัก ประตูค่อยๆปิดลงพร้อมกับขาผมที่อ่อนแรงจนทรุดลงไปนั่งพื้นอย่างสิ้นหวัง


     “มันไม่ใช่ความผิดของพี่ชลนะ โชคชะตากำหนดไว้แล้ว ใครก็ฝืนไม่ได้หรอก” พัตเตอร์จับบ่าของผมทั้งสองข้างจากด้านหลัง ผมเข้าใจสิ่งที่พัตเตอร์พูด แต่นั่นชีวิตคนทั้งคนนะผมอยากช่วยเธอให้ได้มากกว่านี้ น้ำตาของผมหลั่งรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แม้จะเรียกเท่าไหร่น้องฟางเธอก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ผมอีกเลย


     “มึงทำไม่สำเร็จ” เด็กคนนั้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มและใบหน้าแห่งความสะใจ ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเสียงดังกึกก้อง เสียงนั้นมันช่างน่ากลัวจับใจ หลังจากสิ้นเสียงนั้นผมมีความรู้สึกว่าร่างกายของผมถูกดูดดึงไปอีกครั้ง


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ที่นี่ไหนที่กันเมื่อครู่นี้ผมยังอยู่หน้าห้องน้องฟางอยู่เลย ผมกวาดสายตามองรอบตัวถึงได้พบว่าตอนนี้ผมกลับมาอยู่ตรงหน้าแมนชั่น ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง….

     “ชล” ผมหันไปตามเสียงเรียกที่ดังมาจากนอกเขตรั้ว

     “นะโม” นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือพบว่าตอนนี้เป็นเวลาหกโมงตรง แต่เท่าที่จำได้ครั้งสุดท้ายที่ผมมองนาฬิกาตอนที่อยู่ในห้องน้องฟางมันหกโมงยี่สิบนาทีแล้วนี่
ผมงงไปหมดแล้ว สรุปมันเกิดอะไร เวลามันย้อนกลับอย่างนั้นเหรอ


     แต่ถ้าหากตอนนี้เวลามันย้อนกลับจริงผมอาจจะยังขึ้นไปช่วยน้องฟางทันก็ได้


     “พอเถอะพี่ชลมันจบแล้ว” พัตเตอร์ฉุดรั้งร่างของผมที่กำลังจะวิ่งกลับเข้าไปในแมนชั่นอีกครั้ง




     เพล้ง



     “กรี๊ด!!!!!”


     เสียงกระจกแตกดังขึ้นก่อนจะตามติดมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวเสียงดังสนั่นจากด้านบน ผมเงยหน้ามองขึ้นไปตามเสียงนั้นทันที ผู้หญิงคนนั้นร่างของเธอกำลังร่วงหล่นลงมาจากชั้นห้า


ตุบ


     ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก เพียงชั่วพริบตาร่างของเธอผู้นั้นก็ตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรง น้องฟาง… ผมแทบช็อคกับภาพที่เห็นต่อหน้าต่อตา เลือดสีแดงสดของเธอเจิ่งนอกไปทั่วทั้งบริเวณ สองแขนสองขาดิ้นทุรนทุรายตะเกียกตะกายอย่างทรมาน เธอกระอักเลือดออกมาอย่างไม่ขาดสายทั้งปากและจมูก ดวงตาของเธอเหลือกและเบิกโพลง ก่อนที่ร่างของเธอจะกะตุกอยู่สามถึงสี่ครั้งและค่อยๆแน่นิ่งไปอย่างช้าๆ  ผมสติแตกจนทำอะไรไม่ถูกเลยในขณะนั้นผมไม่สามารถแม้แต่จะส่งเสียงร้องหรือเคลื่อนไหวส่วนใดร่างกายได้เลย แม้แต่เปลือกตาผมยังไม่สามารถใช้มันปิดบังไม่ให้มองเห็นภาพอันน่าสยดสยองนั้นได้เลย

     “พอแล้วพี่ชลอย่ามอง” การมองเห็นทุกอย่างของผมมืดสนิทลงด้วยมือของพัตเตอร์ที่ปิดกั้นไว้ ก่อนที่เด็กนั่นจะพาผมออกไปจากตรงนั้น


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎

         กว่าจะกลับถึงบ้านฟ้าก็มืดลงแล้วเพราะผมต้องไปตอบคำถามกับตำรวจมากมายในฐานะผู้พบศพคนแรกผมกับพัตเตอร์ตอบเฉพาะช่วงที่เห็นน้องฟางตกลงมา เพราะสิ่งที่น่าพิศวงก็คือกล้องวงจรปิดในแมนชั่นไม่ปรากฏว่าผมกับพัตเตอร์เคยเข้าไปในนั้น แต่เราสองคนมั่นใจว่าได้เข้าไปด้านในมาแล้วจริงๆเพราะจากภาพข่าวทุกอย่างในแมนชั่นแม้กระทั่งในห้องของน้องฟางเหมือนกับที่ผมและพัตเตอร์ได้เข้าไปเห็นทุกอย่าง


     พัตเตอร์ดูจะมีสติกับการพบเจอสิ่งเหล่านั้นมากกว่าผม เด็กนั่นบอกผมว่าเขาสัมผัสเรื่องพวกนี้ได้มาตั้งแต่เด็ก เลยมีภูมิกันกับเรื่องพวกนี้มากกว่าผมที่เพิ่งมาเป็นแบบนี้ ผมไปส่งพัตเตอร์ที่บ้านเด็กนั่นยังรบเร้าจะขอตามมาถึงบ้านผมเพราะไม่อยากให้ขับรถคนเดียวในเวลานี้ เข้าใจนะว่าเป็นห่วงแต่ถ้าพัตเตอร์อยู่เป็นเพื่อนผมจนถึงบ้าน เด็กนั่นก็ต้องนั่งแท็กซี่กลับบ้านเอง ลำบากเปล่าๆ อย่างน้อยก็ยังมีนายนะโมอยู่ด้วยน่า


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ผมปิดประตูห้องนอนแล้วถอนใจเฮือกใจก่อนจะหลับตาลงและพยายามตั้งสติข่มจิตข่มใจกับทุกเรื่องเกิดขึ้น ถึงแม้ทุกคนจะพยายามบอกผมแล้วว่าผมไม่สามารถฝืนชะตากรรมของใครได้ แต่ผมยังดันทุรังที่จะทำ และเมื่อทำไม่สำเร็จทุกความรู้สึกที่มันแย่ๆก็ถาโถมประดังเข้าในหัวสมองและหัวใจของผม ถึงแม้พยายามจะทำความเข้าใจแต่มันก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน ผมหลับตาอยู่อย่างนั้นไปพักใหญ่ๆ



     ผมลืมตาขึ้นมาพบกับนายนะโมที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผมรับรู้ได้ถึงแววตาแห่งความห่วงใยที่เขามองส่งมาที่ผม นาทีนั้นผมคงจะลืมไปว่าร่างกายของนายนะโมเป็นเหมือนอากาศที่ผมไม่สามารถจับต้องได้ ผมถึงได้โผเข้าไปกอดนายนั่น และในชั่วโมงนั้นผมคงไม่มีสติมากพอที่จะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าผมกำลังสัมผัสร่างกายและกอดนายนั่นได้อยู่ ผมกอดเขาได้จริงๆนะ ผมรู้สึกได้ว่าผมกำลังกอดสิ่งที่มีตัวตนไม่ใช่เป็นเพียงแค่อากาศ

     “ฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้เลยนะโม” ทุกความรู้สึกที่อัดอั้นมันถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา ผมซบหน้าลงบนบ่าของนะโม ก่อนจะปลดปล่อยตัวเองให้ร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างไม่อาย อย่างน้อยก็ให้ความรู้สึกแย่ๆทุกอย่างที่มันถาโถมได้มีการระบายออกไปบ้างก็คงดี

     “อย่าโทษตัวเองเลยนะครับคนดีของผม ผมรู้ว่าชลทำดีที่สุดแล้ว” น้ำเสียงที่อ่อนโยนที่กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูผมนั้นมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก นายนะโมโอบกอดตอบผมแล้วกระชับให้แน่นขึ้น ผมเองก็ไม่รู้ทำไมครั้งนี้เราถึงสัมผัสตัวกันได้นานกว่าครั้งก่อนๆ สิ่งเดียวที่ผมรับรู้ได้ในตอนนั้นคือ ผมรู้แค่เพียงผมรู้สึกดีมากในตอนที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดนั้น


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “พักผ่อนนะครับ วันนี้ชลเหนื่อยมามากแล้ว” นายนะโนใช้ข้อศอกยันกับที่นอนยกตัวให้สูงขึ้น อยู่ข้างกายผมที่ซุกตัวอยู่ผ้านวมพื้นหนา ผมชอบแววตาของเขาที่มองมาที่ผมตอนนี้จัง มันทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนจนแทบไม่เหลือภาพนายนะโมสมองเด็กห้าขวบที่ผมเคยเห็นอยู่เป็นประจำ
ผมพยายามที่จะสัมผัสตัวของนะโมอีกครั้ง แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ผมสัมผัสตัวเขาไม่ได้แล้ว


     “ทำไมเมื่อกี้เราถึง….”

     “เพราะผมเป็นของชลไง” …..ผมควรจะต้องรู้สึกยังไงกับคำตอบนั้นดี น้ำเสียงนุ่มๆกับคำตอบที่ชวนให้คิดไปไกล ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าผมควรจะต้องรู้สึกแบบไหน รู้แต่เพียงว่าคำตอบนั้นมันทำให้ผมถึงกับต้องหลบสายตานายนั่น ไม่กล้าเลยที่จะมองแววตาและรอยยิ้มแบบนั้น

     “หน้าแดงอีกแล้วนะอย่าทำตัวน่ารักไปกว่านี้จะได้ไหม” ปัดโธ่เอ๊ย คนยิ่งทำตัวไม่ถูกอยู่ อย่ามาจี้จุดซ้ำตรงที่เดิมได้ไหมเล่า ผมพลิกตัวหนีและดึงหน้าห่มขึ้นมาคลุมหัวแล้วทำเป็นหลับไปเสีย ก่อนที่นายนั่นจะเล่นมุขพูดอะไรเลี่ยนๆออกมาอีก ผมได้ยินเสียงเขาหัวเราะในลำคอดูมีความสุขเหลือเกินนะที่แกล้งผมได้ คนบ้าอะไรมาหยอดคำหวานกับผู้ชายได้อย่างหน้าตาเฉย


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “พี่ชล...”


     “พี่ชล… ฮึกฮึก”


     ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะเสียงเรียกพลางเสียงร้องไห้จากผู้หญิงปริศนาคนนั้น น้ำเสียงของเธอช่างเย็นยะเยือกพูดยานคางลากชื่อผมลากเสียงยาวชนิดที่ชวนให้ขนหัวลุกและหลอนจับขั้วหัวใจไปพร้อมกัน เสียงนั้นค่อนข้างคุ้นหูแต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใครแต่ที่แน่ๆไม่ใช่เสียงคุณนายนกยูงแน่นอน แต่ทั้งบ้านนี้ก็มีผู้หญิงอยู่คนเดียวนี่นา ถ้าไม่ใช่คุณนายนกยูงจะเป็นใคร ยัยพี่นีไม่เข้ามาวุ่นวายในตัวบ้านอยู่แล้ว

     ผมรอให้ตาชินกับความมืดก่อนจะเริ่มมองกวาดไปรอบๆห้อง จนในที่สุดผมถึงกับต้องสะดุ้งเฮือก และดันตัวเองลุกขึ้นเขยิบหนีไปชิดหัวเตียงโดยอัตโนมัติ เมื่อสายตาของผมไปสะดุดเข้าไปกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้า หญิงสาวที่กำลังนั่งซุกหน้ากับหัวเข่าตัวเอง

     ร่างกายของเธอซีดเผือกไปทั้งตัวตามเนื้อตัวเธอมีร่องรอยการกัดและข่วนอย่างแรงอยู่เต็มไปหมด ผมขยี้ตาแล้วมองตรงไปที่เธออีกครั้งเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าผมไม่ได้ตาฝาด


น้องฟาง….


      “พี่ชลช่วยฟางด้วย มันทรมานเหลือเกิน” เธอพูดยานคางเสียงสั่นเครือและร้องไห้ไปด้วย ผมแทบขนหัวลุกเมื่อเธอหันหน้าเหลือบตามองมาทางผม
เพราะแทนที่จะเป็นน้ำตาที่ไหลรินที่ตาของเธอกลับกลายเป็นเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาแทนน้ำตาไหลอาบไปทั่วทั้งใบหน้า

     เมื่อครู่ที่ผมบอกว่าเธอกำลังนั่งซุกหน้ากับหัวเข่า แต่แท้ที่จริงแล้วผมเพิ่งจะรู้ว่ากระดูกตรงส่วนคอและส่วนหัวของเธอไม่ได้เชื่อมต่อกัน ไม่ว่าเธอจะพยายามเงยหน้าขึ้นมาสักกี่ครั้งตรงส่วนคอขอเธอก็จะหักงอจนส่วนหัวห้อยไปด้านข้างทุกครั้ง จนเกิดเป็นภาพที่ชวนสยดสยองอย่างที่ผมได้เห็นอยู่ตอนนี้


     “กรี๊ด!!!” ยังไม่ทันที่ผมจะได้สื่อสารอะไรกับเธอ มือเล็กที่ยื่นมาจากความมืดออกมาขยุ้มกำที่เส้นของเธอแล้วกระชากร่างของเธออย่างรุนแรง จนตัวเธอหายเข้าไปในความมืดเพียงชั่วพริบตา


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในสภาวะที่หัวใจเต้นแรงเพราะภาพนั้นยังติดตา ไฟในห้องนอนยังเปิดอยู่เพราะเท่าที่จำได้ก่อนจำหลับไปผมก็ไม่ได้ปิดไฟ เหลือบตามองไปด้านซ้ายมือ นายนะโมยังข้างผมในท่าเดิมแม้เวลาจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว เหงื่อของแตกพลั่กเปียกโซกไปทั้งตัวเลอะทั้งหมอนและที่นอน นี่ผมฝันไปเหรอเนี่ย แต่มันช่างเป็นฝันที่น่ากลัวและเหมือนจริงเหลือเกิน



     สองสัปดาห์ผ่านไปแล้วหลังจากเกิดเรื่องน้องฟาง สภาพจิตใจของผมโอเคขึ้น แพทย์ตรวจพบสารเสพติดในร่างกายเธอ คุณตำรวจเลยสันนิษฐานว่าเธออาจจะเห็นภาพหลอนจนเป็นเหตุให้พลัดตกลงมา ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าวันนั้นน้องฟางได้เห็นหรือได้พบเจอกับอะไรบ้าง หรือไม่มันก็อาจจะเป็นเพียงอุบัติเหตุก็ได้ แต่อย่างน้อยเรื่องของน้องฟางก็ทำให้ผมได้ตระหนักและเกรงกลัวที่จะทำบาป เพราะผมรู้แล้วเวรกรรมมันน่ากลัวขนาดไหน เมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้ากรรมนายเวรพร้อมที่จะสนองกรรมนั้นให้เราอย่างสาสม ทุกวันนี้ผมทำได้เพียงทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้เธอและเด็กพวกนั้นในบางครั้งคราวที่มีโอกาส ได้แต่หวังว่าในสักวันหนึ่งวิญญาณของเธอจะได้หลุดพ้นบ่วงกรรม



TBC
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 5 เจ้ากรรมนายเวร 2 [19/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-07-2017 23:48:52
 o13

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 5 เจ้ากรรมนายเวร 2 [19/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-07-2017 02:16:13
 o13 สนุกมาก อ่านตอนตีสองกว่าๆ มันก็จะมีบรรยากาศหลอนๆหน่อย บวกกับเสียงฝนพร่ำในตอนนี้ด้วย  :ling3:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 5 เจ้ากรรมนายเวร 2 [19/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 20-07-2017 07:50:46
น่ากลัว แงงง  :ling3:
น้องชลจิตใจดีจัง ถึงได้เป็นที่รักขนาดนี้อ่ะเนอะ นะโม
นอกจากความน่ากลัวของเหล่าผี ๆ แล้ว
ยังสอดแทรกคติสอนใจ ให้ทำดี ละเว้นความชั่วด้วย
ชอบมาก ๆ เลยค่ะ รอติดตามตอนต่อไปน้า
เอาใจช่วยน้องชลกับนะโม
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 5 เจ้ากรรมนายเวร 2 [19/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 24-07-2017 11:33:58
ก่อนจะลงตอนต่อไป ขอแปะอิมเมจนายนะโมก่อนนะกั๊บป๋ม  :katai2-1:

(https://www.img.in.th/images/0cecb335650f2dd1423405e08f3737a2.jpg)(https://www.uppic.org/image-1E6E_597579C2.jpg)
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 5 เจ้ากรรมนายเวร 2 [19/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 24-07-2017 12:22:08
สยองดีจริงๆ แต่ก็ต้องอ่านต่อเพราะสนุกมาก
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 28-07-2017 10:24:28
ตอนที่ 6 หมาดำ



     “ว่าแต่วันนั้น แกไปหาฟางทำไมเหรอชล” ผมชะงักไปเมื่อจู่ๆเจสซี่ก็ถามคำถามนั้นขึ้นมากลางวงอาหารกลางวัน

     ช่วงสองถึงสามวันมานี่ผมเริ่มจะกลับมาร่าเริงได้จนเกือบจะเป็นปกติหลังจากเหตุการณ์น้องฟางที่ทำให้ผมซึมเศร้าเหมือนหมดอาลัยตายยากไปร่วมสองสัปดาห์ ช่วงนั้นเจสซี่คงเห็นผมอาหารไม่ค่อยดีเลยไม่ได้ซักถามอะไร

     “ฉันถามอะไรพัตเตอร์มันก็ไม่ยอมบอกฉัน บอกแต่ไม่มีอะไร” เจสซี่เริ่มจี้เมื่อเห็นผมเริ่มนิ่งไปนาน

     ผมเผลอหลบสายตาเจสซี่ไม่ว่าเป็นพิรุธอะไรให้ยัยนั่นสงสัยหรือเปล่า เพราะตอนนี้กำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าหาคำตอบอะไรที่มันดูดีที่สุด เพราะหากบอกไปตามตรงว่าผมไปหาน้องฟางเพราะเห็นวิญญาณจะมาเอาชีวิตเธอ ยัยเจ็ดสีคงได้หาว่าผมเสียสติเป็นแน่

     “เอ่อ… คือว่า...” ยัยเจ็ดสีมองผมอย่างคาดคั้น โอย ทำไมทีเวลาอย่างนี้สมองผมมันดันตันตื้อไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่ายังไงถึงจะทำให้ยัยนั่นเลิกสงสัยได้

     “ก็ไม่มีอะไรก็แค่พี่ฟางเขาเผลอหยิบกระเป๋าเงินสลับกับของผมไป ผมก็เลยให้พี่ชลรีบพาไปเปลี่ยนคืน” โอ้ พัตเตอร์น้องรัก ขอบใจมากที่แกพูดแทรกขึ้นถูกจังหวะในตอนที่พี่กำลังมืดแปดด้านพอดี

     “ก็ถ้ามันเรื่องแค่นั้นทำไมแกถึงไม่ยอมบอกฉันตั้งแรก” ยัยเจ็ดสีจิกตามองน้องชายราวกับกำลังพยายามจับผิด ดูท่าทางแล้วยัยนั่นคงจะไม่ได้เชื่อคำพูดของพัตเตอร์สักเท่าไหร่ แต่จะว่าไปแล้วถ้าผมเป็นยัยเจ็ดสีก็คงไม่เชื่อคำตอบนั้นของเจ้าเด็กนั่นเหมือนกันนั่นแหละ

     “ผมก็แค่อยากจะรู้ว่าถ้าผมไม่บอกเจ๊ แล้วปล่อยให้ต่อมเผือกเจ๊กำเหริบไปเรื่อยๆ มันจะตลกขนาดไหน” พัตเตอร์ยกยิ้มกวน และยักคิ้วให้พี่สาวอย่างผู้มีชัย เออ ไอ้พี่น้องคู่นี้หาเรื่องตีกันได้แทบจะทุกวันจริงๆ แต่ผมก็ขอยอมในความแถของเจ้าเด็กนั่นเลยจริงๆ

     “นี่แกหลอกด่าฉันเหรอไอ้เด็กบ้า!” เรื่องปกติของยัยเจ็ดสีเขาล่ะ เวลาเถียงสู้ผมกับพัตเตอร์ไม่ได้ทีไร มักจนลงด้วยการใช้กำลัง สงสัยยัยนั่นจะเป็นพวกเสพติดความรุนแรง

     “โอ๊ย เจ๊ผมเจ็บนะ” พัตเตอร์มองหน้าพี่สาวอย่างเคืองๆ พลางเอากุมหูข้างที่เพิ่งโดนพี่สาวหัวร้อนดึงเสียเกือบหัวทิ่ม

     “สมน้ำหน้า เออ ชล อีกสองอาทิตย์วันหยุดยาวฉันกับไอ้พัตเตอร์จะไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่อยุธยา แกไปกับพวกฉันไหมถือว่าไปพักผ่อน บ้านคุณตาฉันบรรยากาศดีนะ” เจสซี่ค้อนให้น้องชาย ก่อนจะหันมาเปลี่ยนเรื่องคุยกับผม ต้องขอบคุณพัตเตอร์ที่ทำให้พี่สาวมันปล่อยผ่านเรื่องน้องฟางไปได้

     อีกสองสัปดาห์ข้างหน้ามีวันหยุดราชกาลติดกันหลายวันผมกับเจสซี่เลยตกลงกันว่าเราจะปิดร้านเพื่อให้พนักงานในร้านได้พักบ้าง

     “นี่ไปด้วยกันเถอะ ฉันเห็นช่วงนี้แกเครียดๆไปผ่อนคลายบ้าง แล้วอีกอย่างมีคนบางคนเขาอยากแกไปด้วยมากเลยนะ” เจสซี่ว่าพลางเหล่มองไปทางน้องชายที่ตอนนี้กำลังทำท่าทางเหมือนไม่รู้ไม่ชี้อะไร เห็นแล้วผมก็อดขำไม่ได้

     “อืม เอาสิ” ผมตอบตกลงไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าสองพี่น้องนั้นก็คงเป็นห่วงผมที่เห็นผมซึมไปหลายวัน ยัยเจ็ดสีเคยเล่าให้ผมฟังว่าบ้านคุณตาอยู่ริมแม่น้ำอากาศดีร่มรื่นมาก ช่วงนี้สมองผมมันก็เจอเรื่องหนักๆมามากให้มันได้พักบ้างก็คงดี

     เพียงแค่ผมตอบตกลงเจ้าพัตเตอร์ก็ยิ้มหน้าบานและอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด มันจะดีใจอะไรขนาดนั้น



     “นี่ได้ยินแว่วๆว่าวันหยุดจะไปไหนกันเหรอ ผมไปด้วยคนนะชล” ทันทีที่เจสซี่ลุกไปเข้าห้องน้ำ นายนะโมปรากฏตัวมานั่งแทนที่เจสซี่ทันที นายนั่นว่าพลางหยิบขนมจากห่อในมือใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ขนมนั่นผมเพิ่งใส่บาตรไปให้นายนั่นเมื่อเช้า เพราะมารบเร้าว่าอยากกิน ไม่อยากเชื่อว่ามันจะถึงนายนั่นทั้งห่อแบบนี้จริงๆ

     “ผมว่าพี่สาวผมชวนแค่พี่ชลนะ พี่ไม่เกี่ยว” พัตเตอร์ว่าพลางมองนายนะโมอย่างดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ไอ้หนึ่งคนกับหนึ่งวิญญาณคู่นี้นี่เจอกันทีไรเป็นอันต้องเขม่นกันทุกที

     “แต่ถ้าผมไม่ได้ไปด้วย ชลก็คงไปพักผ่อนอย่างไม่มีความสุขหรอกเนอะ” ผมละเบื่อสายเว้าวอนกับน้ำเสียงออดอ้อนแบบนั้นจริงๆ

     “เอ่อ พัตเตอร์พี่อยากทิ้งนายนะโมไว้คนเดียว ให้นะโมไปด้วยนะ” ก็เพราะสายตาและน้ำเสียงแบบนั้นมันทำให้ผมใจอ่อนปฏิเสธนายนั่นไม่ได้ทุกทีไงเล่า ก็ในช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมานายนะโมอยู่กับผมแทบจะทั้งวันทั้งคืนจนมันเกือบจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่มีความห่วงนายนั่นก็คงไม่ใช่ แต่ที่แน่ๆก็คือไม่อยากทิ้งนายนั่นไว้คนเดียวจริงๆนั่นแหละ

     “เออๆ ไปก็ไป” ถึงจะอิดออดแต่เด็กนั่นยอมแต่โดยดี

     “ขอบใจนะ แกนี่เป็นน้องที่น่ารักที่สุด”

     “เมื่อกี้พี่บอกว่าผมน่ารักเหรอ” เอ่อ ไม่รู้พูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ แค่ผมชมไปนิดเดียวเมื่อครู่ เจ้าเด็กนั้นหันควับมามองหน้าผมอย่างไว

     “อะ อืม”

     พี่ชายชมน้องชายว่ารักมันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหม ทำไมเจ้าเด็กนั่นต้องทำท่าทางเหมือนเขินแล้วยิ้มหน้าบานราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่พิเศษมากอย่างไรอย่างนั้น เท่านั้นยังไม่พอเจ้าเด็กนั่นหันไปยักไหล่ให้นายนะโมเหมือนกับกำลังข่มนายนะโมเรื่องอะไรอย่างบาง แต่คิดว่าคงไม่น่าจะใช่เรื่องผมหรอกมั๊ง ส่วนทางฝั่งนายนะโมนายนั่นหันมาทำหน้ายู่ให้ผมก่อนจะหายตัวไป เฮ้อ ผมได้เพียงแต่ส่ายหัวระอา ปวดหัวจริงๆกับไอ้หนึ่งคนหนึ่งวิญญาณคู่นี้



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     วันนี้ผมอยู่เคลียร์งานที่ร้านจนฟ้ามืดจนได้กลับบ้านเป็นคนสุดท้าย หลังจากปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างเรียบและล็อคประตูร้านอย่างแน่นหนาเตรียมตัวจะกลับบ้าน หันมาอีกทีก็เห็นนายนะโมยืนกอดอกเหรอผมอยู่หน้าร้านแล้ว

     “ป่ะ นะโมกลับบ้านกัน”

     เอ้า พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย นายนั่นยืนกอดกรอกตาไปมา ทำหน้าเหมือนไม่สนใจโลก ทำราวกับว่าไม่เห็นและไม่ได้ยินผมอย่างนั้นแหละ นี่นายนั่นโกรธอะไรผมหรือเปล่าเนี่ย

     “นี่นายเป็นอะไรหรือเปล่า” นั่น ถามแล้วก็ยังนิ่ง ทำเป็นไม่สนใจอะไร

     “อย่างนั้นก็ตามใจนะ ฉันกลับละ” ก็ในเมื่อถามแล้วก็ไม่พูดด้วย อย่างนั้นก็ยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปก็แล้วกัน ผมเดินจ้ำอ้าวแยกตัวออกมาปล่อยนายทิ้งไว้ตรงนั้นนั่นแหละ

     “เฮ้ย เดี๋ยวสิชล ง้อผมก่อนสิ” ผมก้าวขาออกมายังไม่ทันจะถึงสามก้าว นายนั่นก็วาปมาดักหน้าผมอย่างร้อนอกร้อนใจ ถือว่ามาไวกว่าที่ผมคิดเสียอีก ทำไมตอนนี้ดูมีอารมณ์บนสีหน้าไม่ทำหน้าเป็นนิ่งไร้อารมณ์แบบเมื่อครู่แล้วล่ะ อ่อนไปไอ้น้อง จะมาแกล้งงอนให้พี่ง้ออย่างนั้นเหรอ ไม่เคยมีใครบอกใช้ไหมว่าแอคติ้งห่วย

     “จะให้ฉันง้อนายเรื่องอะไร”

     “ก็เมื่อตอนกลางวันชลชมไอ้เด็กนั่นว่าน่ารักต่อหน้าผมนี่ ทีกับผมชลไม่เคยเห็นชมแบบนั้นบ้างเลย” ห๊ะ นายนั่นงอนผมเพราะเรื่องนี้เนี่ย นี่ผมลืมไปแล้วนะเนี่ย เห็นนายนั่นทำหน้าบึ้งตึงน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดจนผมอยากจะขำ ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย

     “ไร้สาระน่า พัตเตอร์นั่นน้องฉันนะ พี่จะชมน้องมันผิดตรงไหน”

     หลังจากที่นิ่งไปเพียงครู่สั้นๆ นายนะโมฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์และมองผมอย่างกรุ้มกริ่มดูมีเลศนัย ผมล่ะเกลียดรอยยิ้มและแววตาแบบนั้นเป็นบ้า เพราะเวลานายนั่นทำหน้าแบบนี้ทีไรมักจบด้วยการหยอดคำหวานชวนเลี่ยนและหลอกแต๊ะอั๋งผมอยู่ร่ำไป

     “ชลชมไอ้เด็กนั่นเพราะคิดว่ามันเป็นแค่น้องชาย อย่างนั้นก็แสดงว่าชลคิดกับผมมากกว่าพี่น้องใช่ไหม” หืม.. เมื่อครู่นี้ผมไม่ได้เผลอไปชี้นำอะไรใช่ไหม ถึงได้ทำให้นายนั่นคิดไปเองแบบผิดๆจนทำให้ผมหน้าชาอยู่ตอนนี้

     “ชลหน้าแดงอีกแล้วนะ เวลาเขินทีไรชอบทำตัวน่ารักทุกทีเลย”

     “ไม่คุยด้วยแล้วโว้ย” ผมรีบชิงตัดบทด้วยการเดินหนี บ้า ใครเขิน ผมไม่ได้เขินสักหน่อย ถ้าเป็นสาวๆมาเล่นมุขแบบนี้กับผมแล้วผมจะเขินค่อยว่าไปอย่าง แต่นี่มันวิญญาณผู้ชายตัวเท่าตึกผมจะไปเขินยังไงล่ะ

     “อ้าว ชลจะรีบไปไหน ผมยังไม่ได้หอมแก้มเลยนะ” โว้ย!! นายนั่นยังเล่นไม่เลิก ยิ่งได้ยินเสียงนายนั่นตามหลังมาผมยิ่งเร่งฝีเท้าจ้ำอ้าวเร็วขึ้น ใครจะไปอยู่ให้หอมง่ายๆเล่า ต้องให้ย้ำอีกกี่รอบว่าผมเป็นผู้ชาย แล้วพ่อแม่ผมก็หวงด้วย แก้มผมไม่ได้มีไว้ให้นายนั่นหอมเล่นตามอำเภอใจนะเว้ย



     “หยุดเดินแบบนี้จะยอมให้ผมหอมแล้วใช่ไหม” นายนะโมกล่าวขึ้นคงเพราะเห็นผมที่เดินจ้ำอ้าวรัวๆอยู่เมื่อครู่ จู่ๆก็หยุดกึกเอาเสียดื้อๆ

     ก็จะไม่ให้หยุดได้อย่างไรล่ะ ก็สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้มัน....

     “นะโมดูนั่น....”

     เจ้าหมาสีดำตัวขนาดมหึมา ตัวมันใหญ่มาก ใหญ่กว่ามาสตีฟตัวโตๆที่ผมเคยเห็นมาประมาณหนึ่งเท่าตัวได้ ขนปุยของมันดูกระเซอะกระเซิงราวกับเพิ่งไปฟัดสูงหมาที่ตัวพอๆกันฝูงใหญ่ๆมา ดวงตาของมันเป็นสีแดงสดเต็มดวงทั้งสองข้าง สิ่งนั้นทำให้ผมพอจะเดาออกว่าเจ้านั่นคงไม่ใช่หมาธรรมดาเป็นแน่ น้ำลายเหนียวข้นของมันไหลยืดหยดลงพื้นไม่ขาดสาย เจ้าตัวนี้ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยนะ มันคงจะแค่ผ่านมา แต่ดูท่าทางแล้วตอนนี้มันคงจะยังไม่อยากผ่านไปง่ายๆ


     เสียงหมาหอนทั่วๆไปก็ว่าหลอนเอาการอยู่แล้ว แต่กับเจ้าหมายักษ์สีดำตัวนี้ เมื่อมันหันมาเห็นผมกับนายนะโม  มันแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วเปล่งเสียงหอนออกมาลากเสียงยาว ในน้ำเสียงของมันตั้งแต่ต้นจนจบแฝงไปด้วยความโหยหวนและหดหู่ที่ชวนให้ขนลุกขนพอง จนผมต้องกลืนก้อนสะอึกอย่างหวาดหวั่น

     หลังจากสิ้นเสียงหอนเสียงน่าสยองของมัน มันมองตรงมาทางผมกับนายนะโมด้วยดวงตาสีแดงสดที่เต็มไปด้วยความดุดัน มันแยกเขี้ยวอวดคมเขี้ยวที่ทั้งใหญ่และคมอย่างเต็มภาคภูมิ ก่อนจะเปล่งเสียงขู่คำรามที่ฟังดูน่ากลัวพอๆกับเสือโคร่งตัวโตๆ ดูท่าไม่ค่อยดีแล้วสิ

     เจ้าหมาดำตัวนั้นมันพุ่งกระโจนตรงมาทางผมกับนายนะโมราวกับว่ากำลังต้องอาหารมื้อค่ำ ความไวของมันคงพอๆกับเสือชีตาห์ ผมกับนายนะโมไม่มีโอกาสที่จะวิ่งหนีด้วยซ้ำ เพราะเพียงไม่ถึงชั่วพริบตามันก็เข้าประชิดตัวพวกเราได้แล้ว แต่ไม่สิมันไม่ได้กระโจนเข้าใส่มันไม่ได้กระโจนเข้าใส่พวกเรา แต่มันพุ่งตรงไปหานายนะโมคนเดียวต่างหาก มันกระโจนเข้าใส่นายนะโมราวกับเสือตะครุบเหยื่อ


     นายนะโมถูกเจ้าหมาดำตัวนั้นเล่นงานจนหงายหลังล้มลง ก่อนที่มันจะขึ้นเหยียบทับบนตัวของนายนะโมอย่างภาคภูมิใจ น้ำลายของมันหยดไหลลงเต็มหน้านายนะโมแววตาของมันที่มองนายนะโมเหมือนกับว่านี่คืออาหารอันโอชะของมัน มันคำรามขึ้นฟ้าสองครั้ง ก่อนจะแยกเขี้ยวแล้วอ้าปากกว้างจนสุดขากรรไกร ก่อนจัดส่งคมเขี้ยวพุ่งตรงไปที่ลำคอของนายนะโม

     “ชลหนีไป!” นายนะโมหันมาตะโกนสั่งผม ปัดโธ่เว้ย มันใช่เวลามาทำตัวเป็นพระเอกไหมนั่น แล้วจะให้ทิ้งไปได้ยังไงล่ะ แต่จะช่วยนายนั่นยังไงนี่ต่างหากที่ประเด็นสำคัญ ผมลนลานอย่างคิดไม่ตก โธ่เว้ย ทำไมเวลาคับขันที่ไรสมองผมตันทุกทีเลยวะ อย่างนั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หนทางเดียวที่พอจะปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของผมตอนนี้


     “สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”


     เหมือนจะได้ผล... คมเขี้ยวที่อยู่ห่างจากลำคอของนายนะโมไม่น่าจะถึงหนึ่งเซนติเมตรด้วยซ้ำในตอนนั้น มันหยุดชะงักได้ทันเวลา นายนะโมหันมาพยักหน้าให้ผมเชิงบอกว่าให้ทำต่อไป


     “อะเวราโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย”


     เจ้าหมาดำตัวนั้นละคมเขี้ยวและถอยห่างออกจากนายนะโม


     “อัพยาปัชฌาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย”


     มันละความสนใจจากนายนะโม แต่หันเหความสนใจมองตรงมาทางผมแทน เอ่อ ไม่ดีมั๊ง ดวงตาสีแดงสดที่จ้องมองมาทำตัวเอาผมขนลุกไปทั้งตัว


     “อะนีฆาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย”


     ผมยังคงกั้นใจท่องบทแผ่เมตตาต่อไป แม้ว่าตอนนี้เจ้าหมายักษ์สีดำมันกำลังย่างกายตรงเข้ามาหาผมอย่างช้าๆแล้วก็ตาม


     “สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด”


     บทสวดจบลงพอดีกับที่เจ้าหมาดำตัวนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม เอ่อ หวังว่ามันคงไม่ได้คิดจะจับผมกินเป็นอาหารแทนนายนะโมหรอกนะ


     “อย่าทำอะไรชลนะ” นายนะโมประครองตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เขาก็คงจะเจ็บไม่น้อยจากการโดนโจมตีเมื่อครู่

     แต่เจ้าหมายักษ์สีดำมันก็ไม่ได้ดูมีทีท่าว่าจะทำร้ายผม จะมีก็แค่เดินวนรอบตัวผมแล้วเอาจมูกจ่อดมกลิ่นกายผมอยู่ครู่หนึ่ง ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ว่ามันคงไม่ได้กำลังตรวจเช็คสภาพอาหารอยู่หรอกนะ เจ้าหมาดำตัวนั้นมันหยุดลงตรงหน้าผม มันเงยมองตรงมาที่ผม ดวงตาสีแดงของมันในตอนนี้ราวกับมีบางอย่างดึงดูดให้ผมมองลึกเข้าไปข้างในแววตาของมัน

     เมื่อผมมองลึกเข้าไปในตาของมัน ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างดูกลืนผมเข้าไปเพื่อให้ได้พบได้เห็นกับบางสิ่ง ภาพที่สะท้อนเข้ามาในหัวของผม เจ้าหมาดำตัวนั้นในขนาดตัวที่ดูไม่ได้ผิดแผกจากหมาทั่วๆไป ไม่ได้ตัวโตมหึมาดั่งเช่นที่ผมได้เห็นในปัจจุบัน เจ้าหมาจรจัดที่น่าสงสาร มันตกเป็นแพะในข้อหากัดเด็กน้อยวัยอนุบาล ทั้งที่มันไม่ได้ทำ คงจะเป็นคราวซวยของมัน ที่มันดันผ่านมาทางนั้นพอดีที่พ่อของเด็กออกเห็น รอยคมเขี้ยวประทับอยู่บนแขนและขาของลูกสาวตัวน้อยที่กำลังร้องไห้โฮ ส่วนหมาตัวที่ก่อเหตุจริงๆมันหนีหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เจ้าหมาดำผู้น่าสงสารเลยตกเป็นจำเลยในคดีนั้นไปโดยปริยายแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นผู้ก่อ


     โทสะของพ่อเด็กพิพากษาให้มันต้องรับโทษประหารชีวิต ชายคนนั้นคว้าเอาไม้ท่อนใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัวมาฟาดลงตรงกลางหลังเจ้าหมาดำผู้น่าสงสาร ตัวของมันล้มพับลงกับพื้นซีเมนต์ดิ้นทุรนทุรายและส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาอย่างเจ็บปวดและทรมาน ชายคนนั้นไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขาใช้ไม้ท่อนฟาดลงมาบนตัวมันนับครั้งไม่ถ้วนอย่างไม่ยั้งมือจนสาแก่ใจ เลือดของมันสาดกระเด็นเลอะเต็มตัวของเขา และกระจัดกระจายบนพื้นเป็นวงกว้างตามทิศทางที่มันพยายามจะดิ้นหนีตะเกียกตะกายเพื่อหนีตาย แต่ความตายก็ไม่ปราณีมันร่างกายที่ดิ้นทุรนทุรายค่อยๆสงบนิ่งลงไปพร้อมๆกับเสียงร้องโหยหวนและเสียงลมหายใจที่แผ่วลงอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะขาดใจไปช้าตายอย่างน่าเวทนาและอเนจอนาจใจ มันถูกตัดสินโทษประหารโดยที่มันไม่ได้ทำความผิด
ผมไม่อาจจะกั้นน้ำตาไว้ได้กับชะตากรรมอันน่าสังเวชของเจ้าหมาดำตัวนั้น ภาพตัดกลับมาที่เจ้าหมายักษ์สีดำน้ำใสๆก็หล่นร่วงออกมาจากดวงตาสีแดงที่ดูน่ากลัวแต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าเช่นกัน


     “ไม่ต้องกลัวนะมนุษย์ไม่ได้ใจร้ายทุกคนหรอก แกคงหิวและทรมานมากใช่ไหม หลังจากนี้ฉันจะทำบุญให้แกเรื่อยๆนะ แกอย่าไปทำร้ายคนอื่นอีกเลยมันบาป” ผมพูดไปก็พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เสียงสั่นเครือ เพราะสงสารมันจับใจ

     ดวงตาของมันเปลี่ยนจากสีแดงสดกลับกลายเป็นสีปกติของดวงตาสุนัขทั่วๆไป และไม่ได้แสดงอาการดุร้ายออกมาเหมือนเมื่อครู่ ก่อนที่มันจะเดินแยกจากผมไปอย่างช้าๆและกลืนหายเข้าไปกับความมืด ผมมองตามมันอย่างเวทนาและยังสะเทือนใจกับภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายที่มันเพิ่งทำให้ผมได้เห็น แต่เชื่อไหมมีความรู้สึกหนึ่งบอกกับผมว่าผมกับมันต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ


     “เป็นแม่ทูนหัวของผม แล้วยังเป็นแม่พระของสัตว์โลกอีกนะเนี่ย อย่างนี้จะไม่ให้ผมหลงได้ยังไง เนอะ” ผมหันไปมองแรงใส่ไปตัวที่เพิ่งพูดไม่เข้าหูเมื่อครู่ที่มันโผล่ยืนอยู่ข้างตัวผมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ นายนั่นยังยิ้มระรื่นได้อย่างดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร รู้อย่างนี้น่าจะปล่อยให้ตกเป็นอาหารค่ำของเจ้าหมาดำนั่นเสียก็ดี หึ


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ♫“ใครหนอดีดซึงให้ข้าเจ้าซึ้งซ่านทรวงเอ๋ย”♫ เสียงร้องเพลงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เสียงร้องเพลงที่ฟังแล้วช่างปลุกเร้าอารมณ์ ปลุกเร้าอารมณ์โมโหอะนะ


     ♫“ก่อนอ้ายพี่เคยดีดซึงสอนข้า เจ้าฮัก”♫ แม่ผีสาวสไบเขียวเจ้าของต้นกล้วยปริศนาที่พ่อผมเอามาลงไว้ในสวนที่บ้าน แฟนพันธุ์แท้ตัวแม่ของคุณอรวี สัจจานนท์ร้องได้ทุกเพลงทุกอัลบั้ม และดูเธอช่างดูมีอารมณ์สุนทรีไปการร้องเพลงเสียจริง แต่ขอโทษเคยถามคนที่ต้องทนฟังบ้างไหมว่าสุนทรีกับเสียงร้องของเธอด้วยหรือไม่


     ♫“ต่างฮู้ ใจกันทุกวันประจักษ์พะเยาป่าสักสลักเสียงซึงยังตรึงอุรา”♫ นอกจากจะดูมีความสุขกับการร้องเพลงที่สร้างความปวดประสาทให้กับผู้ที่ผ่านมาได้ยินแล้ว ดูยัยพี่นีจะมีความสุขมากกว่ากับเกาะแขนและซบอิงแนบชิดกับไหล่หนาๆที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีแดงของนายนะโม

     นายนั่นก็ดูยิ้มอารมณ์ดีเสียจริงนะ คงไม่ได้มีความสุขไปกับการฟังเพลงแน่นอน (ใครมีความสุขไปกับการฟังเสียงร้องของยัยพี่นีก็คงสติไม่ดีแล้วล่ะ) แต่คงจะมีความสุขไปกับการมีสาวสวยสไบเขียวมาออเซาะอย่างนี้มากกว่า ฮึ่ย เห็นแล้วหมั่นไส้ เอ่อ ผมหมายถึงหมั่นไส้ยัยพี่นีที่ชอบร้องเพลงรบกวนหรอกนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับนายนะโมเลย ไหล่ของเขาเขาจะไปให้สาวที่ซบมันก็เรื่องของเขาสิ ผมจะมีสิทธิ์อะไรไปหมั่นไส้ แต่เห็นแล้วมันยิ่งหงุดหงิดเว้ย

     “พี่นีครับเวลาที่พี่นีจะเข้าไปอยู่ในต้นกล้วยพี่นีทำยังไงเหรอ” ผมทำทีเข้าไปชวนคุยหมายจะให้ยัยพี่นีหยุดร้องเพลงสักที

     “ก็ไม่เห็นยากนี่คะน้องชล ก็แค่เดินเข้าไปง่ายๆ” ขนาดคุยกับผมยังไม่หยุดออดอ้อนออเซาะนายนะโม นายนั่นก็ยืนนิ่งปล่อยให้เขาซบอยู่ได้ หมั่นไส้โว้ย! หมายถึงหมั่นไส้เรื่องร้องเพลงนะขอย้ำ ไม่เกี่ยวอะไรกับนายนะโมเลย

     “ถ้าอย่างนั้นพี่นีทำให้ผมดูหน่อยผมอยากเห็น”

     “จริงๆแล้วน้องชลก็ถือว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งนะคะ สำหรับผู้ชายหน้าตาดีพี่นีทำตามคำขอให้ได้เสมอค่ะ รอพี่นีสักครู่นะคะน้องนะโม เดี๋ยวพี่นีโชว์เข้าต้นกล้วยให้น้องชลดูแล้วพี่นีจะรีบกลับออกมาหา” ยัยพี่นีทำท่าทางอาลัยอาวรณ์นายนะโมเสียเหลือเกิน จับแก้มนายนะโมมาแนบที่แก้มตัวเอง ทำราวกับว่าต้องจากกันนานแสนนาน รีบๆเข้าต้นกล้วยไปสักทีเถอะ แล้วจะได้จากกันนานแสนนานสมใจแน่ หึหึ

     ยัยพี่นีเดินผ่านทะลุเข้าไปในต้นกล้วยได้อย่างง่ายดาย อย่างกับว่าเดินเข้าประตูบ้าน เพียงชั่วพริบตาร่างของยัยพี่นีก็หายเข้าไปอยู่ในต้นกล้วยแล้ว หึหึ เสร็จไอ้ชล

     “พี่นีออกไปได้หรือยังคะน้องชล”

     “อีกเดี๋ยวหนึ่งนะครับพี่นี อยู่ในนั้นไปก่อน” ผมแสยะยิ้มอย่างตัวร้ายในละครไทย ก่อนจะล้วงหยิบเอาบางสิ่งในกระเป๋ากางเกง ผ้ายันต์กันภูตผีจากอาจารย์ชื่อดังที่คุณนายนกยูงเคยไปขอมา ผมจัดการติดมันลงไปบนต้นกล้วยพี่ทันที หึหึ


     “ว้าย! น้องชลทำอะไรพี่นี ทำไมพี่นีออกไปไม่ได้ ปล่อยพี่นีออกไปเดี๋ยวนี้!” ยัยพี่นีคงจะรู้ตัวแล้วเลยเริ่มส่งเสียงประท้วงออกมาจากด้านในต้นกล้วย

     “ถ้าปล่อยออกมาแล้วรับปากไหมล่ะว่าจะไม่ร้องเพลงแล้ว”

     “ว้าย ได้ยังไงคะ พี่นีเป็นนางไม้สาวแสนสวยผู้หลงรักเสียงเพลง จะให้พี่นีหยุดร้องเพลง เป็นไม่ได้ อิมพอสซิเบิ้ล” อิมพอสซิเบิ้ลอย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ในต้นกล้วยต่อไปก็แล้ว บาย


     “นี่ชล ที่ทำแบบนี้นี่เพราะรำคาญเสียงพี่นี หรือเพราะหึงผมกันแน่ หึงโหดนะเรา” นายนะโมไม่ว่าเปล่า เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม จนผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตานายนั่นอีกแล้ว พยายามจะจ้องกลับแล้วแต่มันทำไม่ได้จริงๆ นายนั่นมองผมเหมือนรู้ทัน แต่รู้ทันอะไร ผมไม่มีอะไรให้รู้ทันสักหน่อย ก็ผมหมั่นไส้ยัยพี่นีเพราะร้องเพลงน่ารำคาญแค่นั้นจริงๆ ไม่ได้มีเรื่องอื่นสักหน่อย

     “หึงบ้าอะไร ใครหึง ฉันจะไปหึงนายทำไม นายจะให้ใครซบก็เรื่องของนายดิ” เฮ้ย แค่ไม่ได้หึงก็บอกไปตรงๆก็พอแล้วไหมวะ ผมจะลนลานจะหัวร้อนแถมเหวี่ยงนายนั่นไปด้วยทำไมวะเนี่ย

     “ไม่เคยมีใครบอกชลว่าเก็บอาการไม่เก่ง เวลาเขินทีไรแก้มแดงเป็นแอปเปิ้ลทุกที เข้าใจหรือยังเวลาชลยอมให้ไอ้เด็กพัตเตอร์เข้าถึงเนื้อถึงตัวผมรู้ยังไง” ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดแก้มทั้งสองข้างหลังจากสิ้นคำนายนะโม แก้มผมแดงอยู่เหรอ ว่าแต่มันแดงเพราะอะไร ไม่รู้เว้ย แต่คงไม่ใช่เพราะเขินตามที่นายนั่นกล่าวหาแน่นอน(มั๊งนะ)

     “นี่น้องชลขา พี่นีก็เข้าใจนะว่าหวงแฟน แต่น้องชลจะมาลงกับพี่นีนางไม้แสนสวยและบอบบางอย่างนี้ไม่ได้” นั่น มาพูดไม่เข้าหูอีกคนแล้ว จับถ่วงน้ำไปทั้งต้นเลยเสียดีไหม ตอนแรกคิดว่าจะแกล้งแค่ครู่เดียว แต่ตอนนี้อยู่ในนั้นต่อไปเถอะ


     “นี่นายนะโมนายนั่งเฝ้าต้นกล้วยยัยพี่นีนั่นไปเลยนะ ไม่ต้องเดินตามฉันมา”



     ผมเดินไปเปิดสายยางมารดน้ำต้นไม้ในสวนฆ่าเวลาไปอย่างไม่รู้จะทำอะไรในตอนสายของวันที่ร้านปิด  หันมองไปทางนายนะโมทีไรก็เห็นนายมองผมตาละห้อยอยู่ตลอด นายนั่นก็พาลซื่อนะบอกให้นั่ง นายนั่นก็นั่งขัดสมาธิตรงข้างต้นกล้วยยัยพี่นีจริงๆ
แต่จะว่าไปแล้วนี่ก็หนึ่งเดือนเต็มๆแล้วนะที่นายมาอยู่กับผม ไม่รู้ว่านายนั่นคิดถูกหรือเปล่าที่มาฝากชีวิตไว้กับผม จนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าผมจะมาพาเขากลับเข้าร่างได้ยังไง อย่าว่าแต่จะพากลับเข้าร่างเลยแค่จะไปเริ่มตามหาร่างเขาที่ไหนผมเองก็ยังคิดไม่ตก


     “ไม่ต้องเครียดไปหรอกเจ้าหนู เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คำสัญญาที่เจ้าทั้งสองเคยให้กันไว้ตั้งแต่อดีตชาติจะเป็นสิ่งที่นำพาให้เจ้านั่นกลับเข้าร่างได้เอง”

     “คุณลุง คุณลุงหมายความยังไงครับ” ผมยกมือไหว้คุณลุงผู้ปกปักรักษาบ้านผมที่ตอนนี้ท่านมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับกล่าวบางสิ่งที่ชวนให้ผมฉงน คำสัญญา สัญญาอะไร

     “ลุงบอกเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้ มันผิดกฎของสวรรค์ เมื่อถึงเวลาเจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
คุณลุงมาปรากฏกายเพียงเท่านั้น ชั่วครู่ท่านก็หายไปพร้อมกับแสงสีขาวนวล แต่อย่างน้อยคุณลุงท่านก็บอกว่านายนะโมจะได้กลับเข้าร่างผมก็สบายใจ แต่คำสัญญาคืออะไร... แล้วผมกับนายนะโมเคยเกี่ยวข้องกันยังไงในอดีตชาตินั่นคงเป็นปริศนาที่ผมจะต้องหาคำตอบสินะ...









     “น้องชลขาปล่อยพี่นีไปเถอะ พี่นีไม่ร้องเพลงแล้วก็ได้”


     เอ เสียงผู้หญิงไหนมาเอะอะโวยวายแถวนี้ แต่ช่างเถอะผมคงหูแว่วไปเอง






TBC
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 28-07-2017 10:28:14
อิมเมจตัวละคร

สายชล

(https://www.uppic.org/image-197C_597979AB.jpg)

นะโม
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/1621804/1178788704-member.jpg)

พัตเตอร์
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/1621804/954570817-member.jpg)
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-07-2017 13:03:49
แหม สายชลตัวร้าย ฮา
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 28-07-2017 13:37:41
หมาดำ น่าสงสารมาก ฮือออ  :monkeysad: ไม่มีใครโหดร้ายเท่ามนุษย์อีกแล้วล่ะ
ถ้าหมาดำไม่ต้องไปเกิด ก็อยากให้มาอยู่กับชลจัง คอยดูแลปกป้อง
ชลคิดว่าต้องได้เจอหมาดำอีก เราก็อยากให้เจออีก สงสารน้องหมา
นี่ชอบพี่นีมากเลย เป็นตานีที่ตลก ไม่เครียดเลยวัน ๆ 555
ขอบคุณมากค่า รอตอนต่อไปน้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-07-2017 10:42:09
 o13

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 30-07-2017 12:27:56
เนื้อเรื่องสนุกมากชอบๆๆ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 30-07-2017 17:50:44
 o13  สนุกมากเลยจ้า รอการผจญภัยกับเหล่าวิญญาณดวงต่อไป  :katai2-1:
 :L2:   :pig4:   :L2:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 30-07-2017 21:22:09
นี่ๆ เรามีแฟนเพจด้วยนะ  :hao7: แวะไปส่องหรือกดไลค์หรือติชมกันได้นะจ๊ะ  :hao5:

https://www.facebook.com/ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด-Writer-1424253884292576/ (https://www.facebook.com/ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด-Writer-1424253884292576/) (ค้นหาว่า ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด - Writer)
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 01-08-2017 14:26:39
ถ้าอิมเมจพัตเตอร์จะหล่อขนาดนี้ ย้ายทีมจะทันไหม >//<
สงสารน้องหมาดำแฮะ ว่าแต่พี่นีจะได้ออกจากต้นกล้วยตอนไหนนนน ฮา~~~~~
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-08-2017 14:12:41
พัตเตอร์ มาอยู่กับป้าก็ได้ลูกกกกกก ยกพี่ชลให้นายนะโมไปเนอะลูกเนอะ

ฮาาาาา
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นไม้ใบหญ้า ที่ 03-08-2017 22:29:48
สงสารหมาดำค่ะ ฮือออ
อยากให้หมาดำมาอยู่กับชลจังเลยค่ะ หรือถ้าไปเกิดใหม่ก็อยากให้เกิดในที่ดีๆ
เราชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ คนเขียนอย่าทิ้งเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 05-08-2017 01:06:50
ก่อนจะลงตอนใหม่ แปะเพลงสำคัญในตอนหน้าไว้ก่อน อิอิ

http://www.youtube.com/v/pwYkQQ7iKAM 
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 6 หมาดำ [28/7/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 05-08-2017 18:15:46
ชอบมาก กกกก เรา เคยแต่งนิยายแนวนี้ด้วย แบบ นายเอกเห็นผี เนื้อเรื่องก็สอดแทรก บาปบุญคุณโทษ แต่ ไม่มีปัญญาแต่งต่อละ 55555555  เราเป็นกำลังใจ ให้นะ สู้ๆๆ ค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 06-08-2017 04:34:32
ตอนที่ 7  ภาษาใจ



     ♫“ยามเมื่อเราเจอกัน เธอสบตาฉันเหมือนหนึ่งทักทาย”♫ ที่ผมอยู่ที่ไหนกัน แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง บรรยากาศรอบๆตัวผมมันมืดไปหมด มืดจนมองไม่เห็นอะไร จะมีก็แต่เสียงเพลงที่แสนไพเราะนั้นที่ลอยมาในความมืด

     ♫“ทำให้ใจฉันหาย รู้สึกคล้ายๆ ฉันมีปมด้อย”♫  เสียงนั้นช่างเพราะจับใจเหลือเกิน ผมตั้งใจฟังเพื่อหาตำแหน่งหรือทิศทางที่มาของเสียงนั้น และผมก็ตัดสินใจที่จะเดินไปเสียงนั้นไป หมายที่จะพบหน้าเจ้าของเสียงที่แสนไพเราะนั้น

     ♫ “เราต้องจากกันไกล เราต่างเศร้าใจ เราต่างหลงคอย”♫  ใครกันนะเจ้าของเสียงหวานๆนั้น ผมคิดว่าผมเข้าใกล้ตัวเธอมาเรื่อยๆแล้ว เพราะผมได้ยินเสียงของเธอชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มมองเห็นแสงสว่างสีนวลอยู่ไม่ไกล ผมคิดว่าเธอผู้เป็นเจ้าของเสียงร้องต้องอยู่ตรงนั้นแน่ๆ

     ♫“เป็นด้วยบุญฉันน้อย จึงปล่อยเธอคอยจนสายเกินไป”♫ ใช่เธอจริงๆด้วย หญิงสาวที่กำลังดูมีความสุขกับการร้องเพลงอยู่ท่ามกลางแสงสีขาวนวลที่สาดส่องมาที่ตัวเธอ ใบหน้าของเธอช่างสวยหวานละมุนเข้ากับเสียงหวานใสราวกับเสียงนางฟ้า แฟชั่นการแต่งตัวของเธอราวกับหลุดออกมาจากละครพีเรียดยุคหกศูนย์ ชุดเดรสสั้นสีชมพูแสนหวานช่างเหมาะกับเธอเหลือเกิน ผมทรงหน้าม้าด้านหลังเกล้ามวยสูงมันช่างส่งให้ใบหน้าของเธอดูสง่างามยิ่งขึ้น

     ♫“เจอกันครั้งนี้ ฉันมีความเศร้าฤทัยกรุ่นอยู่ภายใน หมดทางเผยใจให้เธอได้เห็น”♫ ก่อนจะจบท่อนร้อง เธอหันมามอบรอยยิ้มที่สุดแสนพิมพ์ให้กับผม หัวใจผมแทบจะละลายลงตรงนั้น เธอคนนี้คือใครกันนะทำไมช่างเป็นผู้หญิงสุดแสนจะสมบูรณ์แบบ มีทั้งรูปร่างหน้าตาที่สะสวยและยังมีเสียงที่สุดแสนจะไพเราะ  ถ้าจะขาดก็คงจะมีแค่คนรักที่เป็นหนุ่มหล่อปานเทพบุตรอย่างผมคนนี้นี่แหละ...



     “เฮ้ย!” ผมสะดุ้งเฮือก ใจหายใจคว่ำ เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าใบหน้าของนายนะโมที่ผมแสนจะคุ้นเคยอยู่ตรงหน้าผมอย่างจัง ปลายจมูกของเราอยู่ห่างกันไม่ถึงครึ่งมิลลิเมตรด้วยซ้ำมันแทบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว แล้วสาวสวยเสียงใสคนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว ผมทนมองหน้านายนั่นได้ไม่ถึงชั่วอึดใจก็ต้องรีบเบือนหน้าหนีเพื่อเลี่ยงการถูกสบตาด้วยแววตากรุ้มกริ้มคู่นั้น

     นี่มันห้องนอนผมนี่... ผมยังใส่ชุดนอนตัวเก่ง และนอนอยู่บนเตียงนอนแสนรักตัวเดิม สรุปแล้วสาวสวยคนนั้นผมฝันไปหรอกหรือนี่ โธ่ น่าเสียดาย แต่เดี๋ยวนะ ตอนนี้นะโมกำลังใช้สองแขนยันกับที่นอนคร่อมตัวผมอยู่ เฮ้ย! นี่เดี๋ยวนี้นายนั่นถึงขั้นกล้ามาทำชีกอกับผมถึงบนเตียงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ผมหันไปมองเขาตาดุซึ่งนายนั่นดูไม่ได้สลดเลยแม้แต่น้อย จนผมเองที่เป็นฝ่ายกลั้นใจมองหน้านายนั่นได้ไม่นานก็เบนสายตาหลบไปอีกตามเคย นี่ผมเป็นบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย

     “นอนไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไป ฝันถึงผมอยู่ล่ะสิ” นายนะโมกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูผม เสียงของนายนั่นตอนนั้นมันฟังดูแหบพร่าและกระเส่าเสียจนทำเอาภาพฉากเลิฟซีนในหนังอีโรติกรอบมาแต่ไกล แล้วยิ่งตอนนี้นายนั่นคร่อมตัวผมมันอยู่ ทั้งภาพและเสียงมันคงจะส่อไปทางนั้นน่าดู 

     ความมโนนั้นทำเอาผมหน้าร้อนผ่าว ผมรีบดีดตัวลุกขึ้นมาอย่างไว ถึงจะต้องผ่านทะลุร่างนายนั่นไปก็ไม่สนแล้ว ขืนยังอยู่ในสภาพนั้นต่อไปนายนั่นคงได้หามุขหยอดคำหวานมาแกล้งผมหรือไม่ก็จบด้วยการเอาจมูกมาชนแก้มผมแล้วหาว่าผมเขินอีกเป็นแน่ การแกล้งผมแบบนั้นนายนั่นอาจจะสนุกนะ แต่สำหรับผม ผมโคตรจะไม่ชอบเอาเสียเลยเพราะทุกครั้งที่นายนั้นทำแบบนั้นมันจะต้องเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นกับผม ความรู้สึกนั้นผมเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน ผมได้เพียงภาวนาว่าไอ้ความรู้สึกนั้นมันคงไม่ใช่สิ่งที่ใครหลายๆคนเรียกมันว่า ความหวั่นไหว หรอกนะ



     ผมคว้าผ้าเช็ดตัวตรงดิ่งเข้าห้องน้ำอย่างไวโดยพยายามไม่ให้ความสนใจกับเสียงหัวเราะชอบใจของนายนะโมที่นอนกลิ้งเกลือกอยู่เตียงของผม เออ มีความสุขเหลือเกินนะกับการแกล้งผม ผมยกมือขึ้นกุมที่อกด้านซ้ายเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในร่างกาย หัวใจผมเต้นแรงมาก และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้เห็นตัวเองในกระจกหลังจากถูกนายนะโมแกล้ง นี่แก้มของผมทั้งสองข้างมันขึ้นเป็นสีแดงอ่อนคล้ายสีเลือดฝาดอย่างที่นายนั่นชอบล้อผมจริงๆเหรอเนี่ย อย่างนั้นก็แสดงว่า.... เฮ้ย ไม่ใช่แล้วโว้ย


     จะเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เนื้อคู่ของเอ็ง...เป็นผู้ชาย


     เอ่อ ใครก็ได้ช่วยมาปิดเทปรีรันคลิปเสียงตาลุงพ่อหมอคนนั้นในหัวผมที!!!!


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     วันนี้ผมจะไปเยี่ยมคุณตาคุณยายของเจสซี่และพัตเตอร์ที่อยุธยาตามคำชักชวนของสองคนนั้น นี่ก็ใกล้เวลาที่สองคนนั้นจะมารับผมตามที่นัดหมายเอาไว้แล้ว แต่ผมยังตะหงิดๆว่าผมน่าจะลืมอะไรไปบางอย่างที่ผมเองก็ยังนึกไม่ออก ผมว่าผมก็สำรวจตรวจตราทุกอย่างครบแล้วนะ เสื้อผ้าก็เตรียมแล้ว โทรศัพท์มือถือพร้อมที่ชาร์จแบตก็เตรียมแล้ว  ของใช้ที่จำเป็นทุกอย่างก็เตรียมครบเรียบร้อยหมดแล้ว แล้วผมลืมอะไรกันนึกเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออก หรือว่าจริงๆแล้วสิ่งที่ผมลืมมันไม่ใช่สิ่งของ.... เมื่อลองนึกดูดีๆแล้ว.... ตายล่ะ!  ผมลืมปล่อยพี่นี



     “น้องชลใจร้าย กักขังนางไม้สาวแสนสวยที่บอบบางได้ลงคอ กระซิก กระซิก” พี่นีนั่งพับเพียบตีหน้าเศร้าราวกับนางเอกลิเกในฉากดราม่า พร้อมด้วยท่าทางสะอึก สะอื้น ที่มองมาจากดาวอังคารก็รู้ว่าแอคติ้ง แถมเล่นใหญ่เกินเบอร์ไปมากโข ถ้าผมจำไม่ผิดยัยพี่นีเคยบอกผมเองว่าข้างในต้นกล้วยเหมือนบ้านของเธอ อยู่ข้างในก็สุขสบายดี แค่ไม่ได้ออกมาข้างนอกคืนเดียวคงไม่รันทดขนาดนั้นหรอกมั้ง 

     “พี่นี่ผมขอโทษ” ถึงจะดูออกว่ายัยพี่นีแอคติ้งล้วนๆ แต่เรื่องนี้ผมก็ผิดเต็มประตูจริงๆ เลยได้แค่เพียงทำตาแป๋วออดอ้อนง้องอนยัยพี่นีนั่นต่อไป

     ♫“กักขังฉันเถิดกักขังไป ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่า”♫ เอาแล้วไงหายนะทางการได้ยินเสียงมาเยือนเข้าให้แล้ว เมื่อยัยพี่นีเริ่มโศกาเป็นเพลงจำเลยรักเวอร์ชั่นไม่สนคีย์ไม่แคร์ทำนอง

     ♫“อย่าขังหัวใจให้ทรมาน ให้ฉันเศร้าโศกา เหมือนว่าฉันเป็นเช่นดังจำเลย”


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     โอย กว่าจะทนฟังยัยพี่นีร้องเพลงจบแต่ละเพลงนี่เล่นผมถึงกับหูชา ก็คุณเธอดันขู่ไว้ว่าถ้าไม่รับชมมินิคอนเสิร์ตของเธอจนจบเธอจะไม่หายโกรธ ทั้งๆที่เพลงในมินิคอนเสิร์จของยัยพี่นีส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงสนุกทั้งนั้นนะ แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อฟังจนจบแล้วผมกลับรู้ว่าชีวิตมันช่างน่าหดหู่เสียเหลือเกิน เอาเป็นว่าใครรู้จักคุณหมอรักษาโรคเกี่ยวกับหูเก่งๆ ก็บอกผมด้วยก็แล้วกัน

     “อ้าว เจสซี่ล่ะพัตเตอร์” ผมถามขึ้นหลังจากนำพาตัวเองเข้าไปนั่งในรถตรงเบาะข้างคนขับเพราะปกติยัยเจ็ดสีจะชอบนั่งเบาะหลัง แต่แล้วก็พบว่าทั้งรถนี้มีแค่ผมกับพัตเตอร์อยู่แค่สองคน ไม่มีแม้แต่เงาของยัยเจ็ดสีที่บอกว่าจะไปด้วยกัน ตอนที่เจ้าเด็กนั่นลงไปช่วยผมยกกระเป๋าใส่ท้ายรถผมก็ไม่ทันได้สังเกตเสียด้วยสิ

     “พอดีที่เจสมีธุระด่วนน่ะพี่ชลเลยไปกับพวกเราไม่ได้แล้ว ผมก็รับปากคุณตาคุณยายเอาไว้แล้วถ้าจะไม่ไปก็กลัวท่านจะเสียใจ เราคงต้องไปกันสองคนแล้วล่ะ” พัตเตอร์เหยียบคันเร่งออกมาทันทีโดยไม่ให้โอกาสผมได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ยัยเจ็ดสีจะไม่ไปก็ไม่โทรบอกกันก่อน ถึงจะงงๆ แต่ก็เอาเถอะไปกับเจ้าเด็กนั่นสองคนก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะผมกับเจ้านั่นก็สนิทกันไม่ได้น้อยไปกว่าที่ผมสนิทกับยัยเจ็ดสีสักเท่าไหร่ แล้วก็ถือว่าไปพักผ่อนด้วย

     “ไม่ใช่ว่านายวางแผนหลอกพาชลไปทำมิดีมิร้ายหรอกนะ” นายนะโมที่ปรากฏตัวมานั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังมองพัตเตอร์อย่างจับผิด เอ่อ พูดดีๆหน่อยเว้ย เขาอุตส่าห์อนุญาตให้แกไปด้วยนะ

     “หึ ถ้าผมจะปล้ำพี่ชลจริงๆ คิดว่าพี่ชลจะรอดมาถึงทุกวันนี้เหรอ” พัตเตอร์แสยะยิ้มตอบกลับนายนะโมอย่างไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไร ก่อนจะหันมาทำสายตากระเซ้ามองผม เอิ่ม พวกเอ็งจะคุยอะไรกันนี่ลืมไปแล้วหรือว่าบนรถคันนี้มีข้านั่งอยู่ด้วย


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “คิดถึงคุณยายที่สุดเลย” พัตเตอร์โผเข้าไปทั้งกอดทั้งหอมหญิงสูงวัยชาวต่างชาติร่างท้วมแต่ดูภูมิฐานที่ยืนรอพวกเราอยู่ที่หน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว หญิงสูงวัยท่านนี้น่าจะเป็นคุณยายของเจสซี่และพัตเตอร์ คุณยายท่านคงจะตื่นเต้นไม่น้อยกับการที่หลานชายสุดที่รักจะมาหา เมื่อสักสิบห้าที่แล้วพัตเตอร์เพิ่งจะโทรมาบอกคุณยายว่าใกล้จะถึงแล้ว คุณยายท่านคงจะอดใจไม่ไหวอยากหน้าหลานไวๆเลยมายืนรออยู่ที่หน้าบ้านเช่นนี้

     เห็นเจ้าเด็กนั้นออดอ้อนคุณยายแล้วก็ดูน่าเอ็นดูไม่น้อย แม้คุณยายจะอายุมากแล้วแต่หน้าตาผิวพรรณยังดูดีในแบบที่สมวัย คาดว่าตอนสาวๆคุณยายจะต้องสวยมากแน่ๆ และคุณยายยังเป็นชาวต่างชาติที่พูดภาษาไทยได้ชัดมากทั้งอักขระและสำเนียงไม่ได้ผิดแผกไปจากเจ้าของภาษาอย่างเราๆเลยแม้แต่น้อย

     “พ่อหนุ่มคนนั้น สายชลใช่ไหมจ๊ะ ตัวจริงน่ารักเหมือนที่พัตเตอร์เล่าให้ยายฟังเลยนะ” คุณยายหันมายิ้มทักทายผม นี่เจ้าเด็กนั่นนินทาอะไรให้คุณยายฟังบ้างหรือเปล่า รอยยิ้มและแววของท่านดูอ่อนโยนดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เด็กๆคงจะอยากเข้าหา ผมฉีกยิ้มกว้างและยกมือไหว้คุณยายอย่างนอบน้อม

     บ้านคุณตาคุณยายของพัตเตอร์เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ หลังไม่ใหญ่มากแต่ดูน่าจะอยู่สบายพอตัวมีเนื้อที่กว้างขวาง บรรยากาศดูร่มรื่นน่าอยู่ เพราะรอบๆเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวสดสบายตาที่คุณตาคุณยายปลูกไว้ น่าจะจริงอย่างที่พัตเตอร์โวให้ผมฟังตั้งแต่อยู่บนรถว่าที่นี่อากาศเย็นสบายโดยไม่ต้องอาศัยเครื่องปรับอากาศ และทีนี่ทำให้ผมสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอด คุณยายเดินนำผมกับพัตเตอร์เข้าไปด้านในบ้าน ท่านถามไถ่สารทุกข์สุขดิบไปเรื่อยเปื่อยตามประสาผู้ใหญ่




     “หลานมาถึงแล้วจ้ะตา” คำบอกกล่าวของคุณยาย ทำเอาชายสูงวัยที่กำลังใจจดใจจ่อกับการติดตามข่าวสารบ้านเมืองต้องละความสนใจจากหนังสือพิมพ์และวางมันไว้บนเก้าอี้ไม้สักกลางห้องโถง ก่อนที่เขาจะเดินยิ้มหน้าบานตรงมาหาหลานชายหัวแก้วหัวแหวน ท่านคงจะมีความสุขไม่น้อยตามประสาผู้ใหญ่ที่ได้เห็นลูกหลานแวะมาเยี่ยมเยือน

     “มากันแล้วเหรอ เออ ไม่เจอแป๊บเดียวเจ้าพัตเตอร์ดูโตเป็นหนุ่มขึ้นเยอะเลยนะ” คุณตาโอบไหล่พัตเตอร์อย่างสนิทสนม ถึงแม้จะอายุมากแล้วแต่คุณตาท่านยังดูสมาร์ทและดูแข็งแรงมากอยู่เลย

     “ตาครับ คนนี้พี่ชลรุ่นพี่ผมเอง” พัตเตอร์ว่าพลางผายมือมาทางผม

     “สวัสดีครับคุณตา” คุณตาเบนความสนใจมองตรงมาทางผม ผมยิ้มพนมมือไหว้ท่านอย่างนอบน้อม

     คุณตาท่านมองจ้องมาที่ผมได้เพียงครู่เดียว ท่านก็มีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากที่ท่านกำลังยิ้มแย้มแต่เมื่อเห็นหน้าผมสีหน้าของท่านกลับแปรแปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ผมไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ ท่านชะงักและนิ่งไปแววตาของท่านมามองมายังผมมันดูมีทั้งความประหลาดใจ ความตกตะลึง และอีกหลายความรู้สึกปะปนกันเต็มไปหมด แต่จากที่ยิ้มหน้าบานอยู่ตอนแรกผมเลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆเพราะทำตัวไม่ถูก นี่ไม่รู้ว่าผมเผลอไปทำอะไรให้คุณตาท่านไม่พอใจหรือเปล่า

     “คุณตาครับ” ผมเรียกคุณตาอย่างกล้าๆกลัวๆ

     “นวลจันทร์” ...... เป็นเพียงสิ่งเดียวที่คุณตากล่าวมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่สองตายังคงมองตรงมาทางผม นวลจันทร์? คุณตาหมายความว่ายังไง นวลจันทร์คืออะไร ผมงงไปหมดแล้ว

     “ตาจ๊ะ นั่นหนูชลเพื่อนรุ่นพี่ของพัตเตอร์เขา” คุณยายพูดกับคุณตาด้วยน้ำเสียงเอ็ดเล็กน้อย ดูคุณยายท่านก็มีอาการตกใจเล็กเช่นกันได้ยินคุณตาเรียกชื่อนั้นขึ้นมา

     คุณตาดูจะตั้งสติได้และดูท่านพยายามทำตัวให้ดูเป็นปกติโดยการวาดรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง

     “อย่าถือสาตาเลยนะ คนแก่ก็หลงๆลืมๆทักผิดทุกถูกไปตามประสา แต่หลานทำให้ตานึกถึงเพื่อนเก่าของตาคนหนึ่ง ที่ตาไม่ได้พบเขามานานแสนนาน” น้ำเสียงของคุณตาฟังดูสุขุม แววตาที่คุณตามองมาที่ผมตอนนี้มันช่างดูอ่อนโยน ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองแววตาที่คุณมองมาที่ผมตอนนี้มันดูอ่อนโยนกว่าที่น้องหลานชายอย่างพัตเตอร์เสียอีก

     ถึงจะยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง แต่ก็ไม่อยากจะไปซักไซ้ไล่เลียงอะไรมากมาย มันจะดูเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของผู้ใหญ่จะเป็นการเสียมารยาทเปล่าๆ ผมเลยปล่อยผ่านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จริงๆแล้วผมก็แค่อาจจะบังเอิญหน้าคล้ายเพื่อนของคุณตาคนนั้น จะเกิดการทักผิดบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ผมนั่งผ่อนคลายอยู่ที่ศาลาริมน้ำตามลำพัง เจ้าพัตเตอร์เห็นว่าแวะไปหาเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนาน ส่วนนายนะโมไปเล่นกับกุมารทองบ้านข้างๆ อืมนะ นายวิญญาณตัวเท่าตึกแต่สมองเด็กห้าขวบ พอเจอเพื่อนที่อายุใกล้เคียงกับอายุสมองนายนั่นก็เริงร่า  แต่ก็ดีเหมือนกันผมจะได้พักผ่อนแบบเงียบสงบบ้าง

     บรรยากาศริมน้ำยามเย็นแบบนี้ มันช่างเงียบสงบเหมาะสำหรับการผ่อนคลายในแบบของผม อากาศก็ร่มรื่นเย็นสบาย  ผมหลับตาพริ้มและสูดกลิ่นอากาศบริสุทธิ์อันหอมหวนที่พบเจอได้ไม่บ่อยนักในกรุงเทพฯเข้าไปอย่างเต็มปอด


     ♫“ยามเมื่อเราเจอกัน เธอสบตาฉันเหมือนหนึ่งทักทาย”♫ เสียงนั้น...

     ในขณะที่ผมกำลังดื่มด่ำกับกลิ่นไอธรรมชาติจนเกือบจะเข้าสู่ห้วงลึก เสียงของเธอคนนั้นลอยเข้ามาในภวังค์ของผม ผมจำเสียงของได้ดี นางในฝันของผม

     ♫“ทำให้ใจฉันหาย รู้สึกคล้ายๆ ฉันมีปมด้อย”♫  ถึงแม้เนื้อหาของเพลงนั้นมันจะดูเศร้า แต่เสียงอันแสนไพเราะของเธอกลับทำให้ผมมีความสุขจนเผลออมยิ้มออกตั้งแต่เมื่อไหร่ผมเองก็ไม่รู้ตัว ผมรู้แค่เพียงว่าผมตกหลุมรักเสียงของเธอเข้าเต็มเปาเสียแล้วสิ



     “ชล!” ผมสะดุ้งออกจากภวังค์เพราะเสียงเรียกนั้น นี่ผมเผลอหลับไปเหรอเนี่ย ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เห็นนายนะโมมานั่งยิ้มหน้าแป้นแล้นอยู่ข้างตัวผมแล้ว นายนั่นไม่น่ารีบมาปลุกผมเลย ผมกำลังมีความสุขกับการดื่มด่ำเสียงเพลงอันหวานซึ้งนั้นอยู่เลย

     “หลับตาไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อีกแล้วนะ คิดถึงผมอีกแล้วเหรอ” ผมเผลอกรอกตาขึ้นมองด้านบนเพราะหมั่นไส้ในความหลงตัวเองของนายนั่น ผมกำลังมีความสุขกับนางในฝันของผมต่างหากล่ะ

     “แล้วนายล่ะ ไปเล่นบ้านข้างๆไม่โดนเจ้าที่เข้าถีบหัวออกมาเหรอ”

     “ผมก็แค่เล่นกับน้องหนูแดงอยู่หน้าบ้านไม่ได้เข้าไปสักหน่อย” เอ่อ น้องหนูแดง นั่นชื่อของน้องกุมารเหรอ เอ่อ ไม่ต้องพามาแนะนำให้รู้จักนะ ไม่กล้า เอ๊ย! ไม่อยากเจอ



     “อ้าว ชล มาอยู่ตรงนี้นี่เอง” ผมหันมองไปตามเสียงนุ่มสุขุมที่กล่าวทักทาย คุณตาในใบหน้ายิ้มแย้มกำลังเดินตรงมาทางผม

     “ที่นี่อาจจะไม่ค่อยสนุกนะ ไม่มีแสงสีหรือสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนที่กรุงเทพฯ” คุณตาว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างผม

     “ไม่เลยครับ ผมชอบที่นี่มากเลย เงียบสงบ แถมอากาศดีมากด้วย”

     “เอ่อ คุณตาครับ คือผมหน้าคล้ายเพื่อนคุณตาที่ชื่อนวลจันทร์เหรอครับ ทำไมเมื่อตอนบ่ายคุณตาถึงได้....” ถึงจะกล้าๆกลัวๆ แต่เพราะทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวเลยหลุดปากถามออกไปจนได้ แต่เตือนสติตัวเองได้เสียก่อนมันอาจจะเป็นการเสียมารยาทเลยไม่กล้าพูดจนจบประโยค ผมแหยๆก้มมองพื้นเหมือนคนทำความผิดมา

     คุณตายิ้มอ่อนหันมามองผม ดูท่านไม่ได้มีท่าทีว่าโกรธ หรือไม่พอใจกับการที่ผมเพิ่งเสียมารยาทไป แววตาที่ท่านมองผมยังเป็นแววตาที่อ่อนโยนเช่นเดิม ผมทำตัวไม่ถูกได้เพียงยิ้มแห้งๆให้คุณตา

     “ไม่เลย ชลกับนวลจันทร์หน้าตาไม่เหมือนกันเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมตอนที่ตาเห็นชลครั้งแรกตากลับเห็นภาพของนวลจันทร์ซ้อนขึ้นมาบนหน้าของชล” คุณตากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุขุม ไม่รู้ทำไม น้ำเสียงของคุณตามันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่คุณตาเห็นผมเป็นคุณนวลจันทร์ทั้งที่หน้าตาผมกับเขาไม่มีความคล้ายสักนิดอย่างนั้นเหรอ ครั้นจะหันไปปรึกษากับนายนะโมก็เกรงว่าคุณจะตกใจที่เห็นผมพูดคนเดียว

     “นวลจันทร์เธอเป็นทั้งเพื่อนสนิทและเป็นรักแรกของตา ไม่สิ ตาต่างหากที่เป็นฝ่ายรักเธอข้างเดียว แต่จะทำยังไงเธอก็ไม่เคยมีใจให้ตาเกินกว่าเพื่อนเลย แต่ตาก็มีความสุขนะที่ได้อยู่ข้างๆเธอ  แม้เธอจะจากตาไปนานแสนนาน แต่เวลาจะผ่านไปกี่สิบปีตาก็ยังไม่เคยลืมใบหน้าที่งดงามและเสียงอันไพเราะของเธอ” คุณตายังเล่าเรื่องของเพื่อนคุณตาคนนั้นให้ผมฟังต่อ ผมตั้งใจฟังอย่างให้ความสนใจเป็นพิเศษ ฟังจากที่คุณตาเล่าผมพอจะจับใจความได้ว่าคุณนวลจันทร์เธอคงจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แววตาของคุณตาดูเป็นประกายท่านดูมีความสุขมากเมื่อพูดถึงเรื่องของคุณนวลอดีตรักครั้งแรก จนผมเผลอยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัว

     “เพลงโปรดของเธอ ที่เธอชอบร้องยังดังก้องอยู่หัวตาอยู่เลย”


     ♫“เจอกันครั้งนี้ ฉันมีความเศร้าฤทัย”♫ อ๊ะ! เพลงนั้น.... เนื้อเพลงท่อนนั้นคุณตาฮึมฮัมมันขึ้นมาเบาๆ แต่สะดุดหูผมเข้าอย่างจัง ผมชะงักไปทันที อย่าบอกนะว่าท่อนต่อไปมันจะร้องว่า....

     ♫“กรุ่นอยู่ภายใน หมดทางเผยใจให้เธอได้เห็น”♫
     ♫“กรุ่นอยู่ภายใน หมดทางเผยใจให้เธอได้เห็น”♫ ผมเผลอร้องเพลงท่อนนั้นออกมาพร้อมคุณ ใช่จริงๆด้วยนี่มันเพลงของนางในฝันของผมนี่ ทำไมมันถึงช่างบังเอิญได้ขนาดนี้ เพลงที่นางในฝันของผมร้องกับเพลงที่คุณนวลจันทร์อดีตรักครั้งแรกของคุณตาชอบร้องคือเพลงเดียวกัน คุณตาหันมามองผมอย่างประหลาดใจ

     “ไม่คิดว่าเด็กสมัยนี้จะรู้จักเพลงนี้”

     “พอดีผมเคยได้ยินผ่านๆมาน่ะครับ” ผมทำหัวเราะกลบเกลื่อน จริงๆแล้วตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อนเลย แต่ครั้นจะให้บอกคุณตาไปตามตรงว่าได้ยินเพลงนี้จากนางในฝันคงจะกลายเรื่องตลกสำหรับคุณตาเป็นแน่

     “ตานี่แย่จังมาเล่าเรื่องอะไรให้ชลฟังก็ไม่รู้ อย่าถือสาคนแก่เลยนะ”



     “ตากับหนูชลมาอยู่นี่เอง ทานข้าวกันได้แล้วจ้ะ อาหารเย็นเสร็จแล้ว” บทสนทนาระหว่างผมกับผมกับคุณตาเป็นอันต้องชะงักลงจากเสียงเรียกของคุณยาย คุณตาท่านไม่ได้กล่าวอะไรกับผมอีกเลยนอกจากชวนผมทานข้าวแล้วก็เดินคุณยายเข้าบ้านไป
นี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆอย่างนั้นเหรอ ที่เพลงที่นางในฝันของร้องกับเพลงโปรดของคุณนวลจันทร์อดีตรักครั้งแรกของคุณตามันจะเป็นเพลงเดียวกัน นั่นคือคำถามที่ผมยังคิดไม่ตก


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “ชล คืนนี้ชลต้องนอนห้องเดียวกับไอ้เด็กนั่นจริงๆเหรอ” หลังจากชำระร่างกายและเปลี่ยนชุดเป็นนอนเสร็จเรียบร้อย สิ่งแรกที่ผมพบเมื่อเปิดประตูห้องน้ำออกคือ นายนะโมยืนดักรอผมอยู่ก่อนแล้ว นายนั่นทำหน้าอย่างกับเพิ่งไปกินรังแตนที่ไหนมา ไม่รู้ว่าไปโกรธใครมาอย่าบอกว่าทะเลาะกับน้องหนูแดงข้างบ้าน

     “ใช่ มีอะไรเหรอ” ถ้าจะให้คุณยายจัดห้องให้ผมใหม่ผมก็เกรงใจ แล้วผมกับเจ้าพัตเตอร์ก็เป็นผู้ชายเหมือนกันแถมเป็นน้องชายที่ผมสนิทมาก นอนห้องเดียวกันก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเสียหายสักหน่อย

     “ชลไปนอนที่อื่นไม่ได้เหรอผมไม่ไว้ใจมัน”

     “นี่อย่าเวอร์น่า ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรานะ แล้วถ้าพัตเตอร์คิดจะทำอะไรฉันจริงมันคงไม่ยอมให้นายเข้าในบ้านหรอกน่า”

     “ถ้าอย่างนั้น ไปเปลี่ยนกางเกง” นายนะโมว่าพลางมองเพ่งตรงมาที่ต้นขาผมกับเกงเกงบ็อกเซอร์ตัวเก่งที่ผมใส่นอนเป็นประจำ

     “นี่อย่าทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิงได้ไหม ฉันเป็นผู้ชายใครจะมาทำอะไรฉันได้ หลีกไปได้แล้วดึกแล้วฉันอยากพักผ่อน”

     “ผมจะจับตาดูชลกับมันไม่ให้คาดสายตา” พูดจบนายนะโมจู่โจมผมแบบกะทันหันชนิดที่ไม่ปล่อยโอกาสให้ผมตั้งตัว นายนั่นเอาปากของเขาพุ่งมาชนกับปากของผมอย่างจัง.... ก่อนที่เขาจะหายตัวไป


     ถึงจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นแต่ผมก็ยังสัมผัสว่านายนะโมกำลังจ้องมองผมอยู่อย่างที่เขาพูดจริงๆ ทุกคนคงจะรู้ว่าจะมีบางเวลาที่ผมกับนายนั่นจะสามารถสัมผัสตัวกันได้... มันคงจะดีถ้าบางเวลานั้นมันไม่ใช่เมื่อสักครู่นี้.... ในทุกครั้งที่นายนะโมแกล้งหอมแก้มผม ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเป็นความรู้สึกคล้ายกับลมอุ่นๆที่พัดผ่านแก้ม แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากริมฝีปากของอีกคนที่สัมผัสเข้ากับริมฝีปากของผม... ผมเอานิ้วแตะตรงร่อยรอยที่ถูกกระทำ หน้าผมร้อนผ่าว หัวใจเต้นรัวเสียยิ่งกว่ากลองทอม แขนขาแทบจะชาไปหมด อย่าบอกผมเสียจูบให้กับนายผีบ้านั่นไปแล้ว...  ไม่!!!!!


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ผมเปิดประตูห้องเข้ามาก็พบว่าเจ้าพัตเตอร์นอนหลับไปก่อนแล้ว ท่ามกลางความมืดมีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงที่ยังพอให้แสงสว่างอยู่บ้าง ผมดินไปปิดมันแล้วแทรกตัวลงนอนใต้ผ้าห่มนวมผืนหนาข้างๆเจ้าเด็กนั่นอย่างช้าๆ พยายามให้เกิดเสียงให้น้อยที่สุดเกรงว่าเดี๋ยวจะทำให้เจ้าเด็กนั่นตื่นเอาได้ เอาเป็นว่าคืนนี้ราตรีสวัสดิ์นะเจ้าเด็กน้อย


     “พี่ชล วันนี้คุณตาได้เล่าเรื่องคุณยายนวลจันทร์ให้พี่ชลฟังหรือเปล่า” ประโยคคำถามดังมาจากร่างสูงที่นอนอยู่ข้างผม อ้าว ยังไม่หลับหรอกเหรอ

     “อืม”

     “คุณตาก็เคยเล่าเรื่องคุณยายนวลจันทร์ให้ผมฟัง ผมกับคุณตานี่เหมือนกันเลยเนอะ รักเขาอยู่ข้างเดียวจะทำดีให้ตายยังไง เขาก็ไม่รักตอบสักที”



     พัตเตอร์.......






     ♫ได้แต่มองตากันเธอสบตาฉันฉันก็คิดเป็น ตาไม่อาจซ่อนเร้นทุกสิ่งที่เห็น นั่นแหละหัวใจ





TBC

เพลง ภาษาใจ
ศิลปิน สวลี ผกาพันธุ์
http://www.youtube.com/v/hoGwZk6hCUI 
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-08-2017 07:42:19
แล้วคุณนวลจันทร์กับชลเกี่ยวข้องกันยังไง
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 06-08-2017 08:52:48
ชล คือ คุณนวลจันทร์ กลับชาติ มาเกิดหรือเปล่า ??
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 06-08-2017 09:11:51
สนุกครับ
ติดตามต่อ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 06-08-2017 10:39:24
สายชลเกี่ยวข้องกับคุณนวลจันทร์ยังไงน้อ
แล้วเกี่ยวกับเรื่องการช่วยคืนร่างของนะโมหรือเปล่า
นะโม ขี้หึงจริงจัง 555 มีการเอาปากชนปาก ตีตราจองเหรอ
แต่แค่ปากชนปาก เราก็ถือว่าเป็นจุ๊บนะสายชล  :-[
รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 06-08-2017 10:41:37
สนุกดี อิพระเอกเป็นผีนักฉวยโอกาส
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-08-2017 13:26:26
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 06-08-2017 17:42:02
เอาใจช่วยให้นะโมได้เข้าร่างเร็วๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 06-08-2017 18:26:20
กว่าจะได้รักกันคุณชลเปลืองเนื้อเปลืองตัวให้นายนะโมได้กำไรคนเดียว อย่ายอมเสียเปรียบนะคุณชลเอาคืนเขาบ้าง อิอิ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นไม้ใบหญ้า ที่ 06-08-2017 19:31:21
หรือนะโมจะเป็นนวลจันทร์ งึมๆๆ
ขออย่างเดียวค่ะ ถ้านะโมเข้าร่างได้ อย่าลืมชลนะ
แบบเรื่องเซนนั่นก็ไม่ไหวน่อ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 06-08-2017 20:39:24
ชลเกี่ยวข้องกับคุณนวลจันทร์ยังไงเนี่ย?

หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 06-08-2017 22:26:35
สนุกค่าาา รอตอนต่อไป ชลน่ารักก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 07-08-2017 05:59:58
ตาม
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 16-08-2017 00:33:09
คนอ่านอย่าเพิ่งทิ้งกันไปเด้อ ช่วงนี้ติดงานนิดหน่อย ภายในวันสองวันนี้ตอนใหม่มาแน่นอนค๊าบบ

http://www.youtube.com/v/vvyqoXi3MVw 
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 7 ภาษาใจ [6/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 22-08-2017 21:41:55
แวะมาให้กำลังใจ~~~
เรื่องน่าติดตามค่ะ พอเดาเนื้อเรื่องได้แต่ก็ยังน่าอ่านอยู่ดีสู้ๆค่ะ

หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1 [27/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 27-08-2017 08:34:01
ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1


     บรรยากาศตอนเช้าที่บ้านคุณตาคุณยายนี่อาการดีเป็นบ้าเลย  ถึงแม้เมื่อคืนจะมีเรื่องมากวนใจทำให้ผมนอนไม่ค่อยจะหลับสักเท่าไหร่ ทั้งเรื่องที่พัตเตอร์พูดกับผม และเรื่องที่นายนะโม เอ่อ... ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากพูดถึงเพราะยิ่งนึกถึงมันยิ่งแค้น การโดนผู้ชายถึงแม้จะเป็นวิญญาณเอาปากมาชนกับปากผม มันถือเป็นการเสียศักดิ์ศรีมากนะสำหรับชายชาตรีอย่างผม แต่การตื่นมาใส่บาตรตอนเช้า ๆ นี่แทบจะเป็นกิจวัตรของผมไปเสียแล้ว ตั้งแต่มีเรื่องประหลาดแบบนั้นเกิดขึ้นกับผม ถ้าวันไหนไม่ได้เพลียจนตื่นไม่ไหวจริง ๆ ก็จะต้องลุกขึ้นมาทำ อย่างน้อยมันก็ทำได้จิตใจผมสบายขึ้น และกุศลที่ผมทำมันอาจจะช่วยส่งให้ให้ใครบางคนได้ผ่อนทุกข์จากหนักให้เบาลงรวมถึงน้องฟาง และเจ้าหมาดำด้วย  ถึงอาจจะช่วยไม่ได้มาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมพอจะทำได้



     “นี่นายเป็นอะไรหรือเปล่าวันนี้นายดูเหนื่อย ๆ นะ” นายนะโมนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน วันนี้นายนั่นดูมีสภาพอิดโรยผิดปกติ ตาปรือ ใต้ตาคล้ำราวกับว่าไม่นอนมาหลายวัน สภาพของนายนะโมตอนนี้เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง แล้วถ้าผมไม่ได้รู้สึกไปเอง วันนี้ภาพที่ผมมองเห็นเขามันไม่เหมือนเดิม จากปกติผมจะมองเห็นนายมะโนไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มันวันนี้ผมกลับมองเห็นนายนั่นเหมือนวัตถุโปร่งแสง ร่างกายของเขาดูเลือนล่างจนผมสามารถมองผ่านทะลุไปเห็นสิ่งของที่อยู่ด้านหลังของเขาได้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้กันนะ ถึงจะยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่แต่ผมก็อดห่วงไม่ได้

     “ก็เมื่อคืนผมใช้พลังไปเยอะนี่นา ชลไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมได้รับบุญที่ชลส่งมาแล้วเดี๋ยวอีกวันสองวันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว” ใช้พลังเยอะ?  นายนั้นไปใช้พลังอะไรมาเมื่อคืนก็เห็นยังปกติดี

     “ใช้พลัง นายไปใช้พลังอะไรมา” ผมเอียงคอมองนายนะโมอย่างจับผิด นายนั่นยิ้มกรุ้มกริ่มแบบนั้นดูท่าจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ

     “อ้าว ชลลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อคืนเราทำอะไรกัน ผมยังจำรสสัมผัสที่นุ่มนวลจากริมฝีปากชลได้อยู่เลยนะ ทั้งนุ่ม ทั้งหวาน” นายนะโนว่าไปพลางยิ้มเสมือนกำลังมีความสุขล้นปรี่ ถึงภาพของเขาจะเลือนรางแต่ความหื่นกามบนสีหน้าของเขานั้นผมรับรู้ได้อย่างชัดเจน


     แต่นี่ แค่ปากแตะกันนิดเดียวนายนั่นจดจำความรู้สึกได้ขนาดนั้นเลยเหรอ มะโนเอาเองทั้งเพ  แต่ถึงจะรู้ว่านายนั่นแค่มะโนไปเองแต่คำพูดของเขาก็ทำให้ผมหน้าชาไม่น้อย ผมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะตรงริมฝีปากร่องรอยที่ถูกนายนั่นกระทำไปเมื่อคืน ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนมันก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวผมโดยอัตโนมัติ แสดงว่าที่ผมกับเขาสัมผัสตัวกันได้เมื่อคืน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเหมือนครั้งก่อน ๆ แต่มันเกิดจากความตั้งใจของนายนั่นล้วน ๆ ยิ่งนึกถึงภาพนั้น จากที่ผมชาแค่หน้า ตอนนี้ความชามันเกาะกินแผ่ซ่านไปตั้งแต่หัวจรดเท้า โอ้ย ผมเกลียดความรู้สึกแบบนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อนายนะโมมาทำอะไรแบบนี้กับผมที่สุดเลย เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ารู้สึกแบบไหน

     “แน่ะ แน่ะ ชลหน้าแดงอีกแล้ว” ผมหันไปมองตาขวางชนิดที่พร้อมกินเลือดกินเนื้อใส่นายตัวก่อเหตุที่ยิ้มร่าอย่างไม่ได้สะทกสะท้านอะไร ทั้งผมนี่พร้อมจะกระโดดเข้าไปบีบคอนายนั่นให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย

     “นี่ชลรู้ไหมว่าผมต้องทุ่มเทขนาดไหนเพื่อแลกกับได้จุ๊บชลแค่เสี้ยววินาที ดูสภาพผมตอนนี้สิแค่ก้าวขาเดินยังเหนื่อยเลย”

     “แล้วใครใช้ให้นายลงทุนขนาดนั้นเล่า นายจะมาอะไรกับฉันนักหนาห๊ะ ฉันเป็นผู้ชายนะเว้ย”

     “โห ชลไม่เคยได้ยินเหรอพรหมลิขิตอ่ะ พรหมลิขิตมันไม่เลือกเพศหรอกนะ ชลก็เห็นใจผมบ้างสิ ผมชอบชลจริง ๆ นะ” พอเลยพอ อย่าพูดมาอะไรชวนเลี่ยนและมองด้วยแววตาหวานซึ้งแบบนั้นนะ

     “ไม่คุยด้วยแล้วโว้ย!” ผมสะบัดหน้าหนีพลางสาวเท้าเดินออกห่างนายนั่นโดยเร็ว ใครจะอยู่ทนยืนอยู่ให้โดนแทะโลมทางสายตาและวาจาอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ กันเล่า
อยู่ดี ๆ ก็มาบอกชอบผู้ชายด้วยกันได้อย่างหน้าตาเฉย นายนั่นต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ

☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     “เอ่อ พี่ชลเย็นนี้ผมขอไปกินเหล้ากับเพื่อนได้ไหม ไม่ได้เจอกันนานอ่ะ ไปไม่นานหรอกจะรีบกลับ แต่ถ้าพี่ชลไม่อนุญาตก็ไม่เป็นไรนะ ผมไม่ไปก็ได้” พัตเตอร์เข้ามาพูดกับผมท่าทางเจ้าเด็กนั่นดูเกรงใจผมไม่น้อย อ้าวจะไปก็ไปสิวะ ทำไมต้องมาขออนุญาตอย่างกับว่าผมเป็นเมียมันอย่างนั้นแหละ แต่เดี๋ยวนะ เมื่อครู่นี้เจ้าเด็กนั่นบอกว่าจะไปกินอะไรนะ คำนั้นมันสะดุดหูผมเข้าอย่างจัง

     “แกไปเถอะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก แต่เอ่อ... พี่ไปได้ด้วยไหมอ่ะ” ผมหัวเราะแหะ ๆ กลบเกลื่อน แต่แหม สุรากับนารีมันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับชายโสดอย่างผมนี่นา ถึงบ้านคุณตาคุณยายจะวิวสวย อากาศดี แต่มันก็ไม่มีอะไรสนุก ๆ ให้ทำเลยนี่นา ถ้าได้ดื่มอะไรที่มันคล่องคอสักหน่อยคงจะบันเทิงไม่น้อย


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “ไอ้พัตเตอร์ ไม่ได้เจอกันนานมึงหล่อขึ้นเป็นกองเลยนะเว้ย”

     “เออ ใครจะขี้เหร่เสมอต้นเสมอปลายเหมือนมึงล่ะ”

     เด็กหนุ่มคนนั้น กล่าวทักทายและหยอกล้อกับเจ้าเด็กพัตเตอร์อย่างดูสนิทสนม เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อไกด์ พัตเตอร์เล่าให้ผมฟังว่าสมัยก่อนบ้านของไกด์อยู่ใกล้กับบ้านของคุณตาคุณยาย ตอนเด็ก ๆ ช่วงปิดเทอมคุณแม่ของพัตเตอร์จะให้พัตเตอร์รวมถึงยัยเจ็ดสีด้วยมาอยู่กับคุณตาคุณยาย พัตเตอร์ก็เลยได้สนิทกับไกด์ แต่ตอนนี้ไกด์ย้ายบ้านมาอยู่อีกอำเภอหนึ่งแต่ก็ไม่ไกลกันมาก เด็กสองคนนั้นยังติดต่อกันตลอดถึงแม้จะไม่ค่อยได้เจอกัน ตอนนี้ผมกับพัตเตอร์ก็มาหาเจ้าเด็กไกด์ถึงบ้าน

     “เออ นี่พี่ชล รุ่นพี่กู” พัตเตอร์แนะนำผมให้เพื่อนสนิทรู้จัก เจ้าเด็กไกด์รีบยกมือไหว้ผมถึงท่าทางเด็กนั่นจะดูห่าม ๆ แต่เขาก็ดูนอบน้อมดี ผมยิ้มรับไหว้

     “หวัดดีครับพี่ชล ตัวจริงน่ารักแบบนี้นี่เองเพื่อนผมมันถึงได้..” เจ้าเด็กไกด์ว่าไปพลางอมยิ้มมองผมแปลก ๆ แต่ยังพูดไม่ทันจะจบเสียงกระแอมและสายตามองแรงออกแนวข่มขู่ของเจ้าพัตเตอร์ ทำให้เจ้านั่นชะงักไปเสียก่อน อะไรกันนะไอ้เด็กพวกนี้นี่

     “เออ มึงพาพี่ชลเข้าได้เลยคืนนี้พ่อแม่กูไม่อยู่  ไม่เมาไม่เลิกเว้ย” เจ้าเด็กไกด์เดินนำผมกับพัตเตอร์เข้าบ้าน ผมดึงแขนรั้งพัตเตอร์ที่กำลังทำท่าจะเดินตามเจ้าเด็กไกด์เข้าบ้านไป ก่อนจะเสมองไปทางนายนะโมที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ในสภาพอ่อนปวกเปียกขนาดยืนอยู่ยังจะสัปหงก สภาพนี้ยังจะดันทุรังตามมาอีกนะ


     “เฮ้ย ไกด์มึงให้พวกกูเข้าไปทุกคนใช่ไหมวะ” พัตเตอร์ประโกนถามเพื่อนสนิทที่เดินนำเข้าบ้านไปแล้ว ถึงเจ้าพวกนั่นจะดูเซ็ง ๆ ที่เห็นไม้เบื่อไม้เมาอย่างนายนะโมตามมาด้วย แต่เมื่อผมขอเขาก็ยอมตามใจผมแต่โดยดี ช่างเป็นน้องชายที่น่ารักจริง ๆ ผมยิ้มให้พัตเตอร์แทนคำขอบคุณ เจ้าเด็กนั่นเห็นผมยิ้มเขาทำปฏิกิริยาเหมือนทำตัวไม่ถูกทำเหมือนคนกำลังเขินจนเกือบจะบิดไปบิดมาอย่างไรอย่างนั้น จะมาเขินอะไรกันเล่า


     “เออ เข้ามาให้หมดนั่นแหละ”



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ผมหันมองนาฬิกาที่ผนังห้องเจ้าเด็กไกด์ นี่ห้าทุ่มกว่าแล้วหรือเนี่ย กะจะมาแค่เดี๋ยวเดียวแต่ดันติดลมอยู่จนถึงป่านนี้ ส่วนเจ้าพัตเตอร์เมาหลับไปสักพักแล้ว เจ้าเด็กนี่คออ่อนกว่าที่ผมคิดเสียอีก นอกจากพวกเราสามคนแล้ว ยังมีพงษ์และหนึ่งเพื่อนในระแหวกบ้านของเจ้าเด็กไกด์มาร่วมวงด้วย เจ้าเด็กพวกนั้นก็คุยสนุกเสียด้วยเล่นเอาผมติดลมนั่งยาว นี่ผมเองก็เพิ่งได้ดื่มจริง ๆ จัง ๆ ไม่กี่แก้วก็หลังที่เจ้าพัตเตอร์หลับคาวงไปแล้วนี่แหละ ก่อนหน้านี่ผมแทบจะได้ดื่มแต่น้ำอัดลมหรือไม่เจ้าเด็กนั่นก็ผสมมาให้ผมเสียเจือจางจนแทบไม่เหลือกลิ่นไปของแอลกอฮอล์ แต่ตัวเองดันซดเอาเพียว ๆ เสียอย่างกับน้ำเปล่า จนหมดสภาพอยู่อย่างตอนนี้


     “เฮ้ยพวกมึงคืนนี้หาอะไรสนุก ๆ ทำกันดีไหมวะ” เจ้าหนึ่งพูดแทรกขึ้นมากลางวงด้วยน้ำเสียงอื้ออึงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ก็ดึงความสนจากผมและเจ้าไกด์ เจ้าพงษ์ไปได้ไม่น้อย

     “ไปล่าท้าผีกันดีไหมวะ” เรื่องเกี่ยวกับผี? เอ่อ งั้นผมขอไม่ยุ่งดีกว่า ในขณะที่เจ้าเด็กอีกสองคนกำลังดูมีทีท่าสนอกสนใจไม่น้อยกับคำชักชวนของเจ้าหนึ่ง แต่ผมขอมุ่งมั่นกับการชงแล้วดื่มต่อไปก็แล้วกัน จะให้ผมไปล่าทำไมทุกวันนี้ก็มีมาให้ผมพบเจอโดยไม่ได้รับเชิญอยู่แทบจะทุกรูปแบบเกือบทุกวันอยู่แล้ว

     “แถวบ้านเพื่อนกูมีบ้านร้างที่เขาว่าโคตรเฮี้ยน พวกเราลองไปกันดีไหมวะ” เจ้าเด็กพวกนั้นพูดคุยถึงเรื่องบ้านหลังนั้นกันอยู่สักพัก ก่อนจะตกลงกันว่าจะไปแน่ ๆ  ใครจะไปก็ไปนะแต่ผมไม่เอาด้วยแน่ ๆ

     “พี่ชลไปด้วยกันนะ” เจ้าพงษ์หันมาชวนผม ในขณะที่เจ้าเด็กพวกนั้นเตรียมตัวจะออกไปกันแล้ว

     “เอ่อ พี่ว่าพี่อยู่ดูแลพัตเตอร์ดีกว่านะ พวกนายไปกันเถอะ” ผมพยายามที่จะบ่ายเบี่ยงหาข้ออ้างที่จะไม่ไปกับเจ้าเด็กพวกนั้น ไปก็บ้าแล้วไหมล่ะ ไปบุกถึงถิ่นเขาแบบนั้นเจ้าเด็กพวกนั้นอาจจะโชคดีไม่เห็นหรือไม่รู้สึกได้ถึงสิ่งใด แต่ผมนี่โดนเต็ม ๆ แน่นอน

     “ก็ปล่อยมันหลับไปนั่นแหละ พี่จะไปดูแลมันทำไม ไปทำอะไรน่าตื่นเต้นกับพวกผมดีกว่า”


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ไม่ได้เต็มใจจะมาด้วยเลย แต่เจ้าหนึ่งและเจ้าไกด์ล็อกแขนผมคนละข้างแล้วลากผมมาด้วยจนได้ รถกระบะของเจ้าหนึ่งถูกขับมาจอดลงที่หน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ ที่ตั้งอยู่หลังเดียวโดด ๆ กลางป่าที่รกร้าง ตัวบ้านหลังใหญ่ดูทรุมโทรมและวิเวกวังเวงมากขนาดมองจากด้านนอกยังชวนขวัญผวา ประวัติของบ้านหลังนี้ตามที่เจ้าหนึ่งเล่าเมื่อเกือบยี่สิบที่แล้ว บ้านหลังจากถูกโจรขึ้นบ้านและฆาตกรรมคนในบ้านยกครัวอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะกวาดทรัพย์สินไป ครอบครัวที่อบอุ่นพ่อแม่ลูกทั้งสามชีวิตต้องถูกสังเวยให้กับความระยำของพวกสัตว์นรกในร่างมนุษย์


     บ้านหลังนี้หลังเป็นที่โจษจันในเรื่องของอาถรรพ์ของวิญญาณอดีตเจ้าของบ้าน ไม่ว่าใครที่เขามาอาศัยอยู่ชีวิตจะต้องพบกับความตกต่ำและหายนะอยู่ร่ำไป ที่หนักที่สุดคงจะเป็นคู่สามีภรรยาที่เพิ่งซื้อต่อบ้านหลังนี้มาในราคาที่ถูกแสนถูก แต่อยู่ได้ไม่นานก็เกิดเรื่องน่าสลดใจขึ้น เมื่อผู้เป็นสามีได้ฆาตกรรมภรรยาสุดที่รักอย่างทารุณด้วยการใช้มีดจ้วงแทงเธอไปนับสิบแผลโดยที่ก็ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัด ก่อนจะที่เขาจะปลิดชีพตนเองตามภรรยาไป และนั่นคือสองคนที่สุดท้ายที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ก่อนที่จะถูกปล่อยทิ้งร้างมาจนถึงปัจจุบัน


     เรื่องราวความน่ากลัวของบ้านหลังนี้มันยังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อบ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างไปเพียงปีเศษ ๆ หญิงสาวผู้ผิดหวังในความรักรายหนึ่ง เธอเลือกใช้ต้นหูกวางต้นใหญ่ที่ขึ้นอยู่บริเวณหน้าบ้านเป็นที่จบชีวิตตัวองไปพร้อมกับความรักที่พังทลายด้วยการแขวนคอ และถัดจากนั้นมาหลายปีก็มีหญิงสาวผู้น่าสงสารถูกพวกเดนนรกฉุดมาขืนใจแล้วฆ่าปาดคอเธอปิดปากที่บ้านร้างหลังนี้ และสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาที่กลุ่มวัยรุ่นเข้ามาใช้ที่นี่เป็นที่มั่วสุมเสพยากันอย่างไม่เกรงกลัวกิตติศัพท์เรื่องความเฮี้ยนที่ชาวบ้านต่างเลื่องลือและเกิดเหตุผิดใจกันในกลุ่มและมีการฆ่ากันตายไปอีกสองศพ รวม ๆ แล้วมีผู้ที่ต้องมาจบชีวิตที่บ้านหลังนี้ถึงเก้าศพ จนเป็นเหตุให้บ้านหลังนี้ขึ้นชื่อในเรื่องความน่ากลัวของเหล่าดวงวิญญาณจนไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะเข้าใกล้หรือผ่านมาแถวนี้ในยามวิกาล



     แม้จะยืนยันว่าไม่อยากเข้าไปแต่เด็กพวกนั้นก็ลากผมลงจากรถจนได้ สภาพบ้านแค่มองจากภายนอกก็ชวนขนหัวลุกแล้ว แต่สำหรับผมมันไม่ใช่เพียงเท่านั้นน่ะสิ สำหรับคนอื่นมองจากตรงนี้คงจะเห็นแค่เพียงบ้านหลังใหญ่ที่ดูน่าสะพรึงกลัว แต่สิ่งที่ผมเห็นมันมีมากกว่านั้น เพราะที่ต้นหูกวางต้นใหญ่ที่หน้าบ้านปรากฏร่างของหญิงสาวผมยาวประบ่าเธอใส่ชุดสีดำทั้งตัว  เนื้อตัวของเธอซีดเผือดไปทั้งร่าง โดยเฉพาะที่ใบหน้าที่ขาวซีดจนเห็นเส้นเลือดเป็นเส้น ๆ ทั่วทั้งใบหน้าได้อย่างชัดเจน คอของเธอถูกมัดแขวนกับกิ่งไม้ใหญ่ เธอกำลังโล้คอตัวอย่างไปแกว่งไปมาตามสายลม ราวกับกำลังโล้ชิงช้าอย่างไรอย่างนั้น เสียงร่างกายของเธอลู่กับลม และเสียงเชือกเส้นใหญ่เสียดสีกับต้นไม้ มันช่างหลอนโสตประสาทของคนที่ได้ยินเสียเหลือเกิน แววตาของเธอจ้องมองมาที่พวกเรา ด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยราวกับไร้ความรู้สึก เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้ผมสยองจนอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ จากตรงนี้จะแย่อยู่แล้ว 

     “ชลอย่าเข้าไปเด็ดขาด วิญญาณข้างในนั้นเป็นวิญญาณที่มีแรงอาฆาตสูง พวกเขามีพลังมากพอที่จะทำร้ายคนที่บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ของเขา” ภาพของนายนะโมที่ยังเรือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้าผม นายนั่นตะโกนร้องห้ามอย่างร้อนอกร้อนใจและดูกำลังซีเรียดมาก ๆ

     “พี่ว่าอย่าเข้าไปเลยนะ มันอันตราย” ผมพยายามห้ามเด็กพวกนั้นตามคำเตือนของนายนะโม แต่ดูท่าแล้วพวกเขาไม่ได้ใส่ใจฟังคำเตือนของผมเลยแม้แต่น้อย

     “โถ่ พี่ชลอุตส่าห์มาถึงแล้วจะไม่เข้าไปได้ไง  รีบ ๆ เข้าไปสำรวจจะได้รีบกลับ” เด็กหัวรั้นพวกนั้นยังดึงดันที่เข้าไปข้างในให้ได้ และยังพยายามจะลากผมเข้าไปด้วยให้ได้

     “ปัดโธ่เว้ย กูบอกไม่เข้าก็ไม่เข้าสิวะ” เมื่อความอดทนมาถึงขีดสุด ผมตะโกนใส่เด็กพวกนั้นอย่างหัวเสียและผลักพวกเขาออกจากตัวผม เด็กพวกนั้นดูตกใจและอึ้งไปอยู่ครู่หนึ่ง

     “พี่ชลนี่ตุ๊ดสมกับที่ไอ้พัตเตอร์มันอยากจับทำเมียจริง ๆ เออ ไม่กล้าเข้าก็ไปต้องเข้า พวกเราไปกันสามคนก็ได้” เจ้าเด็กไกด์ว่าให้ผม ก่อนจะหันไปหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจกับเจ้าพงษ์และเจ้าหนึ่ง เออ อยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ เวลานี้ผมไม่มีอารมณ์จะมาต้อล้อต้อเถียงอะไรทั้งนั้นแหละ


     เด็กพวกนั้นกำลังเดินมุ่งตรงเข้าไปสู่บ้านหลังใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวนั้น ผมได้แต่เพียงยืนมองอยู่ด้านนอก เออ ในเมื่อเตือนแล้วไม่ฟัง ก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมของพวกแกก็แล้วกัน


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     นี่เด็กพวกนั้นหายเข้าไปข้างในตั้งนานแล้ว จนป่านนี้ทำไมยังไม่ออกสักที ผมยืนรออยู่ด้านนอกอย่างร้อนอกร้อนใจยังไงก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ ผู้หญิงชุดดำคนนั้นแววตาของเธอยังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา ยังโชคดีที่ผมยังมีนายนะโมอยู่เป็นเพื่อนแชร์ความหลอนผมกำลังเผชิญ ถึงแม้ผมจะพยายามไม่มองเธอ แต่เสียงตัวเธอที่กำลังแกว่งไปมาลู่กับลม และเสียงเสียงครูดกับกิ่งไม้ดังครืด ๆ มันชวนให้ขนลุกขนพองมากพอแล้ว


“ว้าก!!!!”



     เฮ้ย! ผมสะดุ้งและรีบหันมองไปที่ตัวบ้านตามเสียงร้องโวกเวกราวกับกำลังตกใจกลัวอะไรบางอย่างอย่างสุดขีด ก่อนที่จะเจ้าเด็กพวกนั้นวิ่งหน้าตาตื่นกระเจิงออกมาจากด้านใน แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมถึงออกมากันแค่สองคนล่ะ มีแค่พงษ์กับหนึ่งที่วิ่งออกมา แล้วเจ้าไกด์ล่ะ


     “แล้วไกด์ล่ะ ทำไมไม่ออกมาด้วยกัน”

     “ไม่รู้โว้ย อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย” เจ้าเด็กสองคนนั้นตอบผมในสภาพที่ยังสติแตกก่อนที่จะกระโจนขึ้นรถไปอย่างไวและสตาร์ทเครื่องเตรียมจะออกตัว


     “พี่ชลถ้าจะไปก็รีบขึ้นมา” เจ้าหนึ่งที่ประจำอยู่ตรงที่นั่งคนคนขับตะโกนเรียกผม

     “แล้วไกด์ล่ะ จะทิ้งไว้แบบนี้เหรอ”

     “ช่างหัวไอ้ไกด์มันเถอะ ป่านนี้มันตายห่าไปแล้วมั๊ง เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ” ผมอึ้งไปไม่น้อยกับสิ่งที่เจ้าเด็กหนึ่งพูดออกมาโดยไร้ซึ่งความห่วงใยเพื่อนที่ยังติดอยู่ด้านในโดยไม่รู้ชะตากรรม

     “ไม่ได้อ่ะ ยังไงก็ปล่อยไกด์ทิ้งไว้แบบนี้ไม่ได้”

     “เออ ถ้าเป็นห่วงมันก็เข้าไปช่วยมันเองแล้วกัน พวกกูไปล่ะ” ว่าจบเจ้าหนึ่งก็เหยียบคันเร่งนำพารถออกตัวพุ่งไปอย่างแรง ผมได้แต่เพียงผมตามท้ายรถกระบะที่เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูงอย่างตกใจไม่คิดว่าเจ้าเด็กพวกนั้นจะกล้าทิ้งเพื่อนไว้จริง ๆ ผมมองบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าอย่างหวั่นใจ ทำเอาผมถึงกับต้องกลืนก้อนสะอึกเพราะความน่าสะพรึงของสภาพภายนอก ไม่อยากจะนึกภาพเลยด้านในมันจะน่ากลัวขนาดไหน แต่ยังไงผมก็ปล่อยเจ้าเด็กไกด์ทิ้งในนั้นไม่ได้


     “ชล ผมก็ขอย้ำนะว่าอย่าเข้าไปในนั้นเด็ดขาด”  นายนะโมพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังมาก

     “ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงฉัน แต่ฉันทิ้งเด็กนั่นไว้ไม่ได้จริง ๆ ” ผมตัดสินใจที่จะเมินต่อคำเตือนของนายนะโมแล้วกั้นใจก้าวเท้าเดินเข้าไปในอาณาเขตของบ้านหลังนั้น


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     เพียงแค่ก้าวผ่านรั้วยังไม่ทันจะได้เข้าไปในตัวบ้านเลยด้วยซ้ำ ผมก็รู้สึกราวกับว่าได้ข้ามมาอยู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่ไม่ใช่ที่ของมนุษย์ มันคือสถานที่ที่ไม่ควรมีมนุษย์หน้าไหนย่างกายเข้ามาทั้งนั้น เพราะที่นี่คือของโลกของพวกเขา ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานของพวกเขาที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ทุกย่างก้าวเป็นไปด้วยระทึกใจเพราะผมไม่รู้เลยว่าผมกำลังจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง

     “ชลนี่ดื้อจริง ๆ เลย ผมบอกแล้วไงว่ามันอันตราย ทำไมไม่ฟังกันบ้าง” ร่างอันเลือนรางของนายนะโมปรากฏตัวมาเดินอยู่เคียงข้างผม นายนั่นดูจะไม่พอใจเอามาก ๆ กับการที่ผมตัดสินใจเข้ามาในนี้ แต่อย่างน้อยการที่มีนายนั่นอยู่ข้าง ๆ มันก็ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นมาก เพราะผมรู้ว่ายังไงเขาก็จะไม่ทิ้งผมไปไหน

     “เพราะฉันรู้ไง ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรนายจะไม่ทิ้งฉัน ถ้ามีนายอยู่ฉันก็ไม่กลัวอะไรหรอก” คำกล่าวจากใจจริงผม ทำให้สีหน้าเคร่งเครียดของนายนะโมเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มละมุนอ่อน ๆ ขึ้นมาแทนที่ได้




     “ผมจะปกป้องชลด้วยทั้งชีวิตและวิญญาณของผม..”





TBC


________________________________________________-


กลับมาแล้วว ขอโทษที่หายไปนานนะทุกคน  :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1 [27/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 27-08-2017 10:20:26
ชลนี่หละ เป็นคนดีเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1 [27/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: mamazung ที่ 27-08-2017 10:42:40
เพิ่งได้มาอ่าน อ่านรวดเดียวเลย

สนุกมากเลยค่ะ ลุ้นระทึก เป็นคนกลัวผีมาก แต่ก็ชอบอ่านเรื่องผี
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1 [27/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-08-2017 14:16:54
 o13 ชื่นชอบสำนวนและพล็อตของคุณนักเขียนมากๆครับ  o13

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1 [27/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 27-08-2017 15:04:46
ฮือออ ลุ้น

ชลเอ้ยยยยย การเป็นคนดีแต่ละครั้งมักพาความซวยเข้าหาตัวตลอด แต่ยังไม่เข็ดเนอะ ทำไมเป็นคนดีแบบนี้เนี่ย...ลูกกกกก
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1 [27/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 27-08-2017 23:37:10
http://www.youtube.com/v/iW7Msb297ng 
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1 [27/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 29-08-2017 09:47:51
เด็กพวกนี้นี่นะ อยู่ดีไม่ว่าดี ไม่เชื่อก็ไม่ควรไปลบหลู่เขาสิ สมควรเจอดี
แล้วยังจะไปบังคับคนที่เขาไม่อยากมาให้เข้าไปด้วยอีก แย่จริง ๆ
ไอ้เด็กไกด์นี่ปากไม่ดี อยากให้พัตเตอร์ได้ยินแล้วซัดให้สักที ฮึ่ย โมโห  :m16:
มาด่าชลได้ไง มันน่าปล่อยทิ้งไว้นักเชียว เพื่อนที่ไปด้วยยังทิ้งกันเองเลย
มีแต่ชลเนี่ยแหละ ใจดีเกินไป พัตเตอร์นะ จบงานนี้ เลิกคบเพื่อนกลุ่มนี้ไปเลย
ชลยังดีที่มีนะโมอยู่ด้วย แต่นะโมจะรับมือไหวเหรอเนี่ย ที่แรงขนาดนี้
น่ากลัวมากกก อยากอ่านต่อแล้ว มันค้าง ๆ ฮือออ
รอนะคะ ชอบมากเลย  ขอบคุณคนเขียนมากค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1 [27/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Satin22 ที่ 29-08-2017 09:49:03
ต้องลุ้นๆๆๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 8 บ้านร้างเก้าศพ 1 [27/8/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 11-09-2017 07:34:45
รออยู่น้า มันค้างค่ะมันค้าง  :mew6:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 9 บ้านร้างเก้าศพ 2 [12/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 12-09-2017 05:03:12
ตอนที่ 9 บ้านร้างเก้าศพ 2



     ประตูไม้ที่ดูเก่าและทรุดโทรมตามกาลเวลาผมเปิดมันออกพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ดังก้อวไปทั่วพื้นที่สี่เหลี่ยมด้านใน เพียงก้าวเท้าเข้ามาด้านในได้ไม่กี่ก้าวผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเจ้าประตูไม้บานนั้นถูกปิดอย่างแรงจนเสียงดังปัง ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่านั่นเป็นเพียงลมพัดธรรมดาหรือเป็นคำกล่าวตอนรับจากเจ้าของสถานที่กันแน่ อากาศด้านในเย็นยะเยือกจนจับขั้วหัวใจ ผมใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือเป็นแสงไฟส่องนำทางในความมืด ด้านในบ้านเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมกว้างขวางและโล่ง ไร้ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ใด ๆ ประดับ ญาติของอดีตเจ้าของบ้านคงมาขนย้ายไปหมดแล้ว หน้าต่างแทบทุกบานชำรุดและผุพังไปเกือบหมดแล้ว ทุกพื้นที่ปกคลุมไปด้วยกองทัพฝุ่นและหยากไย่ จนผมต้องเอามือปิดจมูกเพราะไม่อาจทานทนต่อกลิ่นฝุ่นและกลิ่นอับที่เขลอะคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณได้


     “ไกด์ นายอยู่ในนี้หรือเปล่า” เสียงของผมดังก้องไปในพื้นที่สี่เหลี่ยมโล่ง ๆ แต่ไร้ซึ่งการขานรับจากบุคคลที่ผมกำลังเรียกหา


     ตุบ ตุบ ตุบ

     ผมหันขวับมองไปตามเสียงที่คล้ายกับเสียงฝีเท้าคนที่กำลังย่ำเท้ารัว ๆ ราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางสิ่ง ก่อนจะปรากฏร่างหญิงสาวร่างเล็กคนหนึ่ง วิ่งออกมาจากความมืด เสื้อผ้าของเธอขาดวิ่นไปทั้งตัว ผมเผ้าดูกระเซอะเซิง  สีหน้าและท่าทางของเธอเหมือนคนกำลังตื่นตระหนกและวาดกลัวขั้นสูงสุด


     “พี่ช่วยหนูด้วย พวกมันข่มขืนหนู” เธอวิ่งตรงเข้ามาเกาะแขนผมราวกับกำลังหาที่พึ่ง เธอร้องไห้ฟูมฟายอย่างสิ้นสติสมประดี พลางมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังหวาดกลัวเป็นที่สุด

     “ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ มันเกิดอะไรขึ้น ค่อย ๆ เล่าให้ผมฟัง” ถึงเธอจะปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ที่น่ากลัว แต่เธอก็ดูเหมือนคนปกติทุกอย่าง ผมเองไม่กล้าฟันธงว่าเธอผู้นี้ยังอยู่ในภพเดียวกับผมหรือไม่ อย่างน้อยก็ลองถามความจากเธอก่อน ถ้าหากเธอเป็นคนจริง ๆ เธอคงกำลังต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างมาก

     “หนูกำลังกลับบ้าน แล้วพวกมันก็ฉุดหนูมา พวกมันข่มขืนหนู แล้วพวกมันก็....” เมื่อกล่าวประโยคสุดท้ายเธอเว้นช่วงไปพร้อมอาการร้องไห้ฟูมฟายที่หายไป เหลือเพียงสีหน้าที่เศร้าหมอง และท่าทางที่นิ่งเฉย
 

     “เอามีดปาดคอหนู....” น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกของเธอ ทำเอาสติผมแทบแตกกระเจิง ที่คอของเธอค่อย ๆ ปรากฏรอยแผลคล้ายถูกของมีคมกรีดเป็นทางยาว ก่อนที่เลือดที่แดงสดจะค่อย ๆ ไหลเจิ่งนองออกมาจนย้อมเอาเสื้อสีขาวกลายเป็นสีแดงสดในเวลาชั่วอึดใจ

     ดวงตาทั้งสองข้างของเธอค่อย ๆ โปนใหญ่ขึ้น ผิวกายอันเรียบเนียนของเธอเปลี่ยนเป็นสีออกเขียวดูช้ำเลือดช้ำหนอง จากร่างกายที่ผอมเพรียวกลับบวมอืดขึ้นมาทันตา ทั้งหู ตา จมูก และ ปาก เต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองที่ไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าสยดสยอง กลิ่นเหม็นเน่าขั้นรุนแรงลอยมาเตะจมูกผมจนแทบอาเจียน มือที่เหนอะหนะของเธอยังคงจับแขนผมเอาไว้ ตัวผมสั่นไปหมด ภาพตรงหน้าทำเอาผมหัวใจแทบจะหยุดเต้น แต่ก็ต้องพยายามข่มอารมณ์เอาไว้

     “กว่าจะมีคนมาเจอศพหนู สภาพก็เป็นแบบนี้แล้วอ่ะพี่”

     “ปล่อยชลเดี๋ยวนี้นะ” นายนะโมเดินตรงเข้าหาผู้หญิงคนท่าทางพร้อมเอาเรื่อง จนผมต้องรีบร้องห้ามไว้

     “คุณอาจจะเคยทำแบบนี้กับคนที่เข้ามาลองของที่นี่แล้วทำให้คนพวกนั้นกลัวคุณได้ แต่มันไม่ได้ผลกับผม เพราะผมไม่กลัวคุณหรอก” ผู้หญิงคนนั้นเธอชะงักไปเมื่อสิ้นคำพูดของผม

     “คุณไปเถอะอย่าเบียดเบียนกันเลย ผมไม่ได้มาลบหลู่คุณ ผมแค่ตามหาน้องชาย ผมรู้ว่าคุณทรมาน แล้วผมจะอุทิศส่วนกุศลให้คุณนะ อย่างน้อยมันก็อาจจะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากที่นี่ได้เร็วขึ้น”

     “หนูยังหลุดพ้นไม่ได้หรอกพี่ ตราบใดที่ไอ้พวกคนเลวที่มันทำกับหนูยังไม่ได้รับกรรมอย่างสาสม วิญญาณของหนูก็ยังจะต้องวนเวียนอยู่อย่างนี้เพื่อรอวันแก้แค้น พี่จะอุทิศส่วนกุศลให้หนูจริง ๆ นะ ตั้งแต่แม่หนูตายก็ไม่มีใครทำบุญให้หนูเลย ” ผมพยักหน้ารับคำเธอ น้ำตาเธอไหลพรากอาบเต็มสองแก้ม รูปลักษณ์ที่น่าสยดสยองของเธอกลับกลายเปลี่ยนเป็นสาวสวยอย่างที่ผมได้พบเธอในคราวแรก ผมมองเธออย่างเวทนาในชะตากรรมที่เธอต้องพบเจอ เธอไม่ควรต้องมาพบจุดจบที่น่าสลดใจด้วยน้ำมือพวกเดนนรกเช่นนี้

     บ่วงแค้นคือที่สิ่งที่พันธนาการวิญญาณเธอเอาไว้ ทำให้เธอยังไม่สามารถไปสู่สุขคติในสัมปรายภพได้ ผมไม่กล้าที่จะขอให้เธอปล่อยวางหรือให้อภัยได้ เพราะผมเข้าใจดีว่าสิ่งที่เธอต้องพบเจอมันหนักหนาจนไม่ว่าใครก็ไม่สามารถให้อภัยผู้ที่กระทำได้ ผมได้แต่ภาวนาไม่ว่าบุญกุศลที่ผมเคยทำมาผมขออุทิศให้แด่เธอ และได้เพียงหวังว่าสักวันหนึ่งดวงวิญญาณของเธอจะได้พบกับความสงบสุขอย่างแท้จริง 

     “น้องชายพี่อยู่ข้างบน พี่รีบขึ้นไปช่วยเขาเถอะ ก่อนที่จะไม่ทันกาล” นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เธอบอกกล่าวกับผมก่อนที่ร่างของเธอจะจางหายไปกับความมืด

     ผมยกมือขึ้นทาบอกสัมผัสกับหัวใจที่เต้นรัวจนจับจังหวะไม่ได้ ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใจอย่างโล่งใจ ที่พูดว่าไม่กลัวเมื่อครู่ แท้จริงแล้วผมแค่แสร้งทำเป็นไม่กลัวต่างหาก ถึงจะพบเจอเรื่องแบบนี้มากี่ครั้งแต่การทำใจให้ชินกับยังคงเป็นเรื่องยาก แต่อย่างน้อยผมกับควบคุมสติตัวเองได้ดีขึ้น ผมหันมองไปทางนายนะโม เขากำลังอมยิ้มมองผมอย่างภูมิใจ ก่อนที่เราจะเดินหน้าตรงไปที่บันไดเพื่อจะขึ้นไปตามหาเจ้าเด็กไกด์ที่ชั้นบนตามคำบอกกล่าวของผู้หญิงคนนั้น


     ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวขึ้นบันไดผมก็ต้องชะงัก เพราะเสียงแปลก ๆ ที่ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องใต้บันได คล้ายกับเสียงผู้ชายสองคนกำลังพูดคุยกัน เสียงนั้นอื้ออึงจนผมไม่สามารถจับใจความได้ว่าพวกเขาคุยกันเรื่องอะไร แต่ว่าหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นเจ้าไกด์ก็ได้ ผมตัดสินใจที่จะเปลี่ยนเป้าหมาย และเดินตรงไปยังห้องเล็ก ๆ ใต้บันไดนั้น


     “ชล” ดูเหมือนนายนะโมกำลังจะทักท้วงผม แต่ไม่ทันเสียแล้ว เพราะผมเปิดประตูห้องใต้บันไดออกมาแล้ว
ผมสาดแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือเข้าไปในห้องแคบ ๆ นั้น และผมก็ได้พบกับชายฉกรรจ์สองคน พวกเขาดูง่วนกับการก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่าง และพวกเขาดูกำลังมีความสุขมาก แต่ที่แน่ ๆ สองคนนั้นไม่ใช่คนที่ผมกำลังตามหา


     “เสพด้วยกันไหม” ผมถึงกับผงะ เพราะที่ผมเห็นพวกเขาแค่ครึ่งในคราวแรกพวกเขาก็ดูเหมือนคนปกติ แต่เมื่อพวกเขาหันมาทางผมทำให้ผมได้เห็นพวกเขาแบบเต็มหน้าเต็มตา หน้าอีกซีกหนึ่งของพวกเขาเละราวกับถูกฟาดด้วยของแข็งจนแหลกละเอียด และหนึ่งในยื่นแขนเหยียดยาวราวกับฉากเก็บมะนาวยอดฮิตในภาพยนตร์ไทยตรงมาทางผม ในมือของเขาถืออุปกรณ์เสพยาตามแบบที่ผมเคยเห็นจากภาพข่าว ก่อนที่พวกเขาจะพากันหัวเราะออกมากันอย่างสาแก่ใจ

     “รีบไปเถอะชลพวกนี้มันวิญญาณบาปชลคุยกับมันไม่รู้เรื่องหรอก” ผมรีบวิ่งออกจากตรงจุดนั้นทันที ตามคำชี้นำของนายนะโม

     เหงื่อผมแตกซ่านไปทั้งตัว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต้องควบคุมสติอารมณ์ กับการที่ต้องเจอเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองแบบนั้นติดต่อกันภายในเวลาไม่กี่นาที ในขณะที่กำลังเดินขึ้นบันได ห้องใต้บันไดนั้นก็ยังมีเสียงตึงตังโครามครามตลอดเวลา



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     “ฉันรักเธอมาก แต่ก็ยังกล้ามีชู้ อย่าอยู่เลยนังผู้หญิงแพศยา” เมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายมาหัวใจผมก็ต้องตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง ตรงห้องริมสุดที่ประตูถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ด้านในเกิดภาพเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอ ชายวัยกลางคนกำลังบีบคอผู้หญิงอีกคน เขาจับเธอกดลงบนเตียงนอน ก่อนที่เขาจะคว้ามีดปลายแหลมมาจ้วงแทงไปตามเนื้อตัวเธอซ้ำ ๆ อย่างนับครั้งไม่ถ้วน ผู้หญิงคนนั้นเธอกรีดร้องและดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดและทรมาน ก่อนที่เจอจะสิ้นใจไปอย่างช้า ๆ แม้ร่างของเธอจะแน่นิ่งไปครู่ใหญ่แล้ว แต่ชายคนนั้นยังไม่หยุดทำร้ายร่างอันวิญญาณของเธอด้วยมีดเล่มนั้น เลือดสีแดงฉานของเธอไหลนองจนเปียกโชกผ้าปูที่นอนและสาดกระเซ็นไม่โดนร่างกายของชายผู้กระทำ จนทั้งตัวของเขาโชกไปด้วยเลือดของผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะเป็นภรรยาตามที่เรื่องที่เล่าลือต่อ ๆ กันมา


     เมื่อเขากะซวกร่างของเธอจนสาแก่ใจ ชายคนนั้นร้องไห้ฟูมฟายและล้มตัวลงไปนอนกอดร่างที่ไร้วิญญาณของภรรยา พร้อมทั้งพร่ำพรรณนาถึงความรักที่เขามีต่อภรรยา ก่อนที่เขาจะใช้มีดเล่มเดียวกันปลิดชีพตัวเองตามภรรยาที่เขาทั้งรักทั้งแค้นไป  และภาพของพวกเขาก็จางหายไปต่อหน้าต่อตาผม เหลือไว้เพียงคราบเลือดแห้ง ๆ กองใหญ่บนเตียงนอนเก่า ๆ ที่ถูกทิ้งเอาไว้
ผมเห็นภาพเหตุการณ์นั้นตั้งแต่ต้นจนจบ น้ำตาผมไหลพรากของมาอย่างเกินจะควบคุม ภาพเหตุการณ์นั้นมันโหดร้ายเกินกว่าที่ผมจะรับได้ สองขาของผมมันหมดแรงที่จะประครองตัวจนตัวผมทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เพราะไม่อาจทำใจกับภาพเหตุการณ์ที่ต้องพบต้องเห็น



     “ชลครับ ชลต้องตั้งสตินะ ยิ่งชลอ่อนแอมันยิ่งเปิดช่องให้พวกเขาเล่นงานชลได้ง่ายขึ้น” นายนะโมย่อตัวนั่งลงข้างผม เขาพยายามจะเตือนสติผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่การจะให้ผมตั้งสติได้ในเวลานี้มันช่างยากเย็นเหลือเกิน



     “พี่ครับ ไปเล่นลูกแก้วเป็นเพื่อนหน่อยสิ ผมเหงามากเลยไม่มีใครเล่นเป็นเพื่อนผมเลย” ยังไม่ทันที่ผมจะเรียกสติสตังกลับมาได้ เด็กผู้ชายอายุน่าจะราว ๆ ห้าถึงหกขวบมาจากไหนไม่รู้ อยู่ดี ๆ เด็กคนนั้นก็โผล่มานั่งอยู่ข้างผม เขาเขย่าตัวผมเรียกร้องให้ผมไปเล่นเป็นเพื่อน

     “พี่ไปเล่นกับผมหน่อยนะ ผมมีลูกแก้วให้พี่ด้วย” มันคงจะดีถ้าลูกแก้วที่เด็กนั่นพูดถึง มันคือลูกแก้วจริง ๆ ไม่ใช่การที่เด็กนั่นล้วงควักเข้าไปในเบ้าตาซ้ายของตัวเองและหยิบเอาลูกตาในเบ้าออกมาได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ในเบ้าตาซ้ายของเด็กนั่นกลวงโบ๋ มีแต่เลือดที่ไหล่เอ่อมาอาบเต็มแก้ม ก่อนที่เขายืนมือเอาลูกตาที่โชกไปด้วยเลือดมาให้ผม ภาพนั้นทำเอาการพยายามที่จะตั้งสติของผมถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ

     “ไปให้พ้น” นายนะโมตะโกนไล่เด็กคนนั้น

     “พี่ไปเล่นกับผมหน่อยนะ พี่ไปเล่นกับผมหน่อยนะ” ดูเหมือนเด็กนั่นจะไม่ได้ใส่ใจฟังนายนะโมเอาเสียเลยเขายังรบเร้าเรียกร้องจะให้ผมไปเล่นเป็นเพื่อนเล่นให้ได้

     “บอกให้ไปก็ไปสิวะ” ครั้งนี้นะโมไม่พูดเปล่า แต่นายนั่นกระโดนยันโครม จนร่างของเด็กนั่นกระเด็นไปไกล เด็กนั่นลุกมามองหน้านายนะโมอย่างไม่พอใจนัก ก่อนที่ร่างของเขาจางหายไปกับความมืด

     “ชล ชลลืมไปแล้วเหรอว่าว่าชลเข้ามาที่นี่ทำไม ถ้าชลมัวแต่อ่อนแออยู่อย่างนี้ ชลจะไปช่วยใครได้ยังไง ถ้าชลช้าไปแค่เสี้ยววินาทีเจ้าเด็กไกด์อาจจะเหลือแต่วิญญาณก็ได้นะ ผมขอเตือน”

     คำพูดเตือนสติของนายนะโมกระแทกเข้ามาในหัวผมอย่างจัง จริงสิตอนนี้เจ้าเด็กไกด์กำลังตกอยู่ในอันตรายนี่นา ผมเข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้าเด็กนั่นแล้วจะผมจะมามัวนั่งร้องไห้อ่อนแออยู่อย่างนี้ได้ยังไง ผมปาดน้ำตาแล้วดันตัวเองลุกขึ้น ตอนนี้ชีวิตของเจ้าเด็กไกด์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าผมไปช่วยเจ้าเด็กนั่นไม่ทันผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ผมหันมองไปทางนายนะโมอย่างต้องการกำลังใจ รอยยิ้มที่ดูเชื่อมั่นในตัวผมของนายนั่นเป็นสิ่งที่เรียกสติและกำลังใจของผมกลับมาได้เป็นอย่างดี


     ผมเดินสำรวจมาเกือบจะครบทุกห้องแล้ว แต่ก็ยังไร้เงาของคนที่ผมกำลังตามหา จะเหลือก็แต่ห้องตรงหัวมุมสุดริมทางเดินเป็นห้องสุดท้ายแล้ว ผมไม่รีรอที่จะเปิดประตูบานนั้น ห้องโล่ง ๆ ที่ดูกว้างขวางที่สุดในบรรดาทุกห้องที่ผมสำรวจมา ผมสาดแสงไฟไปทั่วห้องและพยายามมองสำรวจไปรอบ ๆ และนั้น! เจ้าไกด์!


     เจ้าเด็กไกด์ที่ดูคล้ายกำลังไม่มีสติมากพอที่จะประครองตัว เด็กนั่นยืนตัวโงนเงนอยู่บนราวระเบียงที่ทั้งเก่าและดูพร้อมที่จะหักหรือพังได้ทุกเมื่ออย่างน่าหวาดเสียว หากเพียงแค่เจ้าเด็กนั่นขยับอีกเพียงแค่นิดเดียวเขาก็มีโอกาสที่จะตกลงไปได้ง่าย ๆ ความสูงระดับนี้พอที่จะทำให้เจ้าเด็กนั่นคอหักตายได้ไม่ยากเลย ภาพที่คนทั่วไปเห็นคงจะเป็นแบบนั้น  แต่สิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่เพียงแค่นั้น ดวงวิญญาณชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนประกบและประครองแขนเจ้าเด็กไกด์กันคนละข้างพวกเขาจับตัวเจ้าไกด์เอนเอียงไปมาจนเกิดเป็นภาพที่น่าหวาดเสียวบนที่สูงเช่นนี้ ผมเดาใจทั้งสองวิญญาณนั้นไม่ถูกจริง ๆ ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับเจ้าไกด์กันแน่     

     “ปล่อยน้องผมไปเถอะนะ เขายังเด็กเขาทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาไม่ได้ตั้งใจลบหลู่พวกคุณหรอก อย่าสร้างบาปให้ตัวเองเลย แล้วผมจะอุทิศส่วนกุศลไปให้” ผมพยายามที่จะหว่านล้อมพวกเขาอย่าประนีประนอมที่สุดเพื่อความปลอดภัยของเจ้าไกด์   

     “กูไม่ต้องการบุญ มันกล้ามาลบหลู่พวกกู กูจะเอามันมาเป็นตัวตายตัวแทน” วิญญาณผู้ชายคนนั้นตวาดกร้าวใส่ผม ก่อนที่พวกเขาหันมองมาทางผมด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือกทางด้านผู้ชายมีรอยคล้ายรอยกระสุนปืนเจาะอยู่กลางหน้าผากและมีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา ส่วนผู้หญิงก็มีรอยในลักษณะเดียวกันปรากฏอยู่บริเวณหน้าอกของเธอ ทำเอาผมตกใจไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน

     “กี่คนแล้วที่ต้องมาจบชีวิตที่นี่ แต่ก็ไม่เห็นว่าพวกคุณหรือวิญญาณดวงไหนจะหลุดพ้นไปจากที่นี่ได้ ก็ยังต้องติดบ่วงกรรมกันอยู่ที่นี่ทุกคน” คำพูดเตือนสติของนายนะโมมันกลับทำให้พวกเขาดูโกรธมากขึ้น หัวใจผมแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่มทุกวินาทีหวั่นใจว่าเจ้าเด็กไกด์จะร่วงลงไปข้างล่างเสียก่อน

     “กูไม่สน มันมาลบหลู่กู ยังไงกูก็จะเอาชีวิตมัน”

     “พูดกันดี ๆ แล้วไม่ฟังใช่ไหม” นายนะโมเดินดุ่มตรงเข้าไปหาสองวิญญาณนั้นท่าทางเอาเรื่อง แต่เพียงแค่พวกเขาหันมาจ้องมองร่างอันเลือนรางของนายนะโมก็กระเด็นไปจนติดกำแพง นายนั่นประครองตัวลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเลดูท่าทางแล้วคงจะเจ็บไม่น้อย ผมถามไถ่นายนั่นด้วยเขาเป็นห่วงเป็นใย แม้นายนั่นจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ภาษากายของเขามันฟ้องว่าเขาต้องกำลังเจ็บมากแน่ ๆ 

     นายนะโมในสภาพอ่อนแรงจะไปสู้กับพวกเขาได้ยังไงกัน มิหนำซ้ำที่นี่ยังเป็นพื้นที่ของพวกเขามันยิ่งส่งเสริมให้พวกเขามีพลังเหนือกว่าวิญญาณต่างถิ่นอยู่แล้ว ผมพยายามจะขอร้องพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่พวกเขายังดึงดังที่จะเอาชีวิตเจ้าเด็กนั่นให้ได้ นี่คงจะเป็นทางออกสุดท้ายที่ผมพอจะนึกออกในวินาทีนั้น มันอาจจะดูโง่ไปสักหน่อย แต่มันผมก็คิดว่าทางอื่นไม่ออกแล้วจริง ๆ ไม่เมื่อพยายามจะเจรจาดี ๆ แล้วไม่ฟังกัน นายนะโมก็ยังถูกทำร้าย เจ้าเด็กไกด์ก็ดูพร้อมจะหล่นลงไปทุกเสี้ยววินาที ผมคงต้องใช้ไม้แข็ง ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่จะกลั้นใจเอ่ยมันออกมา...


     “ข้าพเจ้า ขอสาปแช่งดวงวิญญาณที่มีจิตใจคิดร้าย และคิดจะทำร้ายเด็กผู้ชายคนนั้นจนถึงชีวิต ขอให้.....” เพราะผมเคยได้ยินเขาพูดกันมาว่าสิ่งที่วิญญาณกลัวที่สุดก็คือคำสาปแช่ง แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าที่เขาพูดกันนั้นมันจริงหรือไม่ เพราะผมยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ผมก็ต้องหยุดชะงักไปอย่างกะทันหันด้วยแววตาที่ถ่ายทอดความโมโหอย่างรุนแรงจากพวกเขาที่ส่งตรงมาที่ผม ผมกลืนก้อนสะอึกอย่างหวาดหวั่น นี่ผมได้ทำอะไรที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ลงไปเสียแล้ว

     “มึงอยากลองดีใช่ไหม!” ดวงวิญญาณทั้งสองละจากร่างของเจ้าเด็กไกด์ ในจังหวะที่ร่างของเจ้าเด็กนั้นหลังจากถูกปล่อยตัวเอนเอียงไปมาเล่นเอาผมใจหายใจคว่ำ แต่นับว่าโชคดียังเข้าข้างเจ้าเด็กนั่นที่ร่างของเขาล้มตึงเข้ามาด้านใน ไม่ได้เกิดภาพอันน่าสลดใจขึ้นอย่างที่ผมกังวล

     ผมสะดุ้งเฮือกเพราะตกใจกับเสียงประตูที่ถูกปิดกระแทกอย่างแรง ผมพยายามที่จะเปิดมันออกแต่ทำไม่สำเร็จ ทั้งที่มันไม่ได้ถูกล็อกแต่ไม่ว่าผมจะออกแรงเท่าไหร่ผมก็ไม่สามารถเปิดมันออกได้ ดวงวิญญาณทั้งสองกำลังตรงเข้ามาหาผมด้วยแววตาท่าทางที่ดูพร้อมจะเชือดผมแล้วสับจนแหลกละเอียด ก่อนที่จะปรากฏร่างของผู้ชายสองคนที่ผมเจอในห้องใต้บันได เด็กผู้ชายที่ชวนผมไปเล่นลูกแก้ว และผู้ชายที่ฆาตกรรมภรรยาอย่างเลือดเย็น เดินตามหลังดวงวิญญาณทั้งสองกำลังตรงมาทางผมเช่นกัน ผมใจสั่นระรัวอย่างหวาดผวาเพราะไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าพวกเขาจะทำอะไรกับผม พยายามจะเปิดประตูนั้นออกไม่ว่าอย่างไรผมก็เปิดไม่ได้เสียที ปัดโธ่โว้ย! เปิดสิวะ

     “อย่ายุ่งกับชล....โอ๊ย!”

     “นะโม!” นายนะโมที่กระโดดเข้าตัวเองเข้ามาขวางกั้นผมกับดวงวิญญาณพวกนั้นไว้ นายนั่นถูกวิญญาณผู้หญิงจับเหวี่ยงไปจนร่างของเขากระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง นายนั่นพยายามจะดันตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่สำเร็จ แต่เดิมเขาก็อยู่ในสภาพที่อ่อนแรงมากอยู่แล้วยิ่งตอนนี้นายนั่นคงกำลังบอบช้ำอย่างหนักเป็นแน่ ดวงวิญญาณพวกนั้นเข้าใกล้ผมมาเรื่อย ๆ โดยที่ผมยังอยู่ในภาวะที่ลนลานจนคิดไม่ตกว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรในสถานะการณ์เช่นนี้ แต่แล้วก็....


     “อย่างทำเขาเลย เขาเป็นคนดี” อ๊ะ! นั่นมัน

     อยู่ ๆ ก็ปรากฏร่างของผู้หญิงสองคนขึ้นมาขวางกั้นระหว่างผมกับเหล่าดวงวิญญาณพวกนั้นไว้ หนึ่งในนั้นคือวิญญาณหญิงสาวที่ผมพบเจอที่ห้องโถงด่านล่าง และอีกคนคือผู้หญิงชุดดำที่แขวนคออยู่ที่ต้นหูกวางหน้าบ้าน ทำเอาผมตกตะลึงไปไม่น้อยที่พวกเธอมาช่วยผม

     “กรี๊ด!!!” แต่แล้วพวกเธอก็ไม่สามารถต้านทานดวงวิญญาณกลุ่มนั้น พวกเธอถูกผลักอย่างแรงจนกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดก่อนที่ของพวกเธอจะจางหายไป


     นายนะโมที่กำลังสะบักสะบอมพยายามตะโกนร้องห้ามพวกเขาแต่ดูท่าแล้วคงไม่มีใครสนใจฟัง นาทีคับขันอย่างนี้ทำหัวสมองผมตันไปหมดคิดหาหนทางอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง ในขณะที่พวกเขาเข้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แม้จะกลัวจนแทบจะร้องไห้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ผมได้แต่ยืนพิงกำแพงอย่างจนมุม ผมไร้ซึ่งทางหนีแล้วทำได้เพียงหลับตาก้มหน้ารอรับชะตากรรมที่มันกำลังจะเกิดขึ้น ใครก็ได้ช่วยผมที!



     “อย่ามายุ่งกับเพื่อนของฉัน” อ๊ะ เสียงนั่นมัน เสียงที่คุ้นเคยสะดุดหูผมเข้าอย่างจัง ภาพแรกที่ผมเห็นเมื่อลืมตาขึ้นมา สไบสีเขียวแบบนั้น นี่มัน... พี่นี!


     พี่นียืนจังก้าขวางทางวิญญาณเหล่านั้นด้วยทีท่าที่ไร้ซึ่งความยำเกรง วิญญาณผู้ชายที่มีลอยกระสุนที่หน้าผากพุ่งตรงเข้าหาพี่นีท่าทางเอาเรื่อง พี่นีคว้าหมับเข้าที่ลำคอของชายผู้นั้นแล้วออกแรงบีบอย่างเต็มแรง ชายผู้นั้นดิ้นอย่างทุรนทุรายและพยายามจะแกะมือของพี่นีออกจากขอของตัวเองแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกพี่นีจับยกขึ้นเหนือหัวแล้วทุ่มลงกับพื้นอย่างแรง จนร่างของชายผู้นั้นชายสลายหายไปต่อหน้าต่อตาผม

     “ไป!”  พี่นีชี้นิ้วกราดใส่เหล่าดวงวิญญาณตรงหน้า พี่นีจ้องมองพวกนั้นตาขวางผมไม่เคยเห็นพี่นีในโหมดน่ากลัวอย่างนี้มาก่อนเลย นัยน์ตาพี่นีกลายเป็นสีเขียวสด พี่นีในตอนนี้ดูน่ากลัวจนทำเอาผมขนลุกเกรียว ดวงวิญญาณเหล่านั้นก็มีท่าทีที่ดูเกรงกลัวพี่นีไม่น้อย ก่อนที่ร่างของพวกจะจางหายไปกับความมืด


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “นี่น้องชลคะ เรื่องบางเรื่องเห็นแก่ตัวบ้างก็ไม่มีใครว่าหรอกนะคะ เป็นคนดีแล้วตัวเองเดือดร้อนแบบนีพี่นีว่าไม่เข้าท่านะคะ คิดได้ยังไงอยู่ดี ๆ ก็เข้ามาในที่แบบนี้ถ้าพี่นีมาช่วยไม่ทันคิดสิคะว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น” ผมแบกเจ้าเด็กไกด์ออกมาอย่างทุลักทุเล เจ้าเด็กนั่นตัวโตกว่าผมไม่น้อยเลย ไหนจะต้องทนฟังยัยพี่นีบ่นจนหูชาอีก นายนะโมนั่นก็แทนที่จะอยู่ข้างผมดันไปอยู่ฝ่ายสนับสนุนยัยพี่นีอีกเสียได้ แต่ยังไงก็ต้องขอบพี่นีมาก ๆ นะ ถ้าพี่นีไม่มาช่วยผมคงแย่ วันนี้ยกให้พี่นีเป็นนางฟ้าเลยเอ้า



     ในตอนนี้ที่ต้นหูกวางหน้าบ้านมีเพียงบ่วงเชือกเปล่า ๆ แขวนอยู่บนต้นไม้ เพราะร่างของผู้หญิงชุดดำคนนั้นเธอกำลังยังยืนรอพวกผมอยู่ที่หน้ารั้วบ้านแล้ว


     “คุณก็ดูไม่ได้เป็นวิญญาณที่ดูมีแรงพยาบาท ทำไมคุณถึงยังไม่ได้ไปเกิดล่ะครับ”

     “เพราะกรรมไง บาปกรรมที่ฉันได้ก่อมันหนักหนาจนเกินจะให้อภัย วิญญาณของฉันต้องเวียนว่ายอยู่ที่นี่เพื่อชดใช้โดยที่ไม่รู้จะว่าสิ้นสุดเมื่อไหร่ เพราะฉันฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความรักจากผู้ชายที่ไม่ได้รักฉัน และฉันก็ได้ทำให้พ่อกับแม่ที่รักฉันมากที่สุดต้องทุกข์ทรมานใจไปชั่วชีวิต มันก็สาสมแล้วที่วิญญาณของฉันต้องทุกข์ทรมานชดใช้กรรมอยู่ที่นี่”

     เธอพูดไปพลางน้ำตาไหลพราก เมื่อสิ้นคำพูดของเธอบ่วงเชือกบนต้นหูกวางนั้นก็ห้อยลงมาคล้องเข้าที่คอของเธอ ก่อนที่เชือกเส้นนั้นจะรัดรึงและฉุดเอาร่างของเธอขึ้นไปข้างบน เธอดิ้นทุรนทุรายอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ร่างของเธอจะแน่นิ่งไป ภาพนั้นทำเอาผมช็อก ภาพของเธอในตอนนี้ไม่ต่างจากตอนแรกที่ผมพบเธอที่นี่ ร่างของเธอเริ่มแกว่งไปมาทำให้เชือกเส้นนั้นเริ่มเสียดสีกับท่อนไม้ และตัวของเธอลู่กับลม จนเกิดเสียงอันชวนให้ขวัญผวาแบบนั้น เวรกรรมมันยังเป็นสิ่งที่น่ากลัวเสมอ

     ผมหันมองไปยังตัวบ้านอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นพนม ผมขอขมากับทุกสิ่ง หากสิ่งใดที่ผมได้ล่วงเกินไปได้โปรดอภัยให้ผมด้วยนะครับ ผมจะมั่นอุทิศบุญกุศลให้พวกคุณนะ ขอให้ดวงวิญญาณของพวกคุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในเร็ววันด้วยเถิด


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     กว่าจะแบกเจ้าเด็กไกด์ออกไปถึงถนนใหญ่ได้ก็เล่นเอาหลังผมแทบหักแต่ก็ดีแล้วล่ะที่เจ้าเด็กนั่นสลบไปผมจะได้ไม่ต้องตอบคำถามอะไรมากมาย โชคยังดีที่เจอรถขนสินค้าของชาวบ้านใจดีที่กำลังจะผ่านไปทางบ้านคุณตาคุณยายพอดี พวกผมเลยได้ติดรถเขามาด้วย สรุปเจ้าเด็กไกด์มีไข้ขึ้นสูงได้คุณตาคุณยายช่วยเป็นธุระพาส่งโรงพยาบาลและติดต่อพ่อแม่ของเจ้าเด็กนั่นให้


     “พี่ชล” จนถึงตอนเช้าเจ้าเด็กพัตเตอร์เพิ่งจะกลับมาบ้านในสภาพที่มอมแมม เจ้าเด็กนั่นคว้าตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่นทันทีที่พบหน้า เจ้าเด็กนั่นซุกหน้าลงบนไหล่ผมทำให้ผมรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่น ๆ ที่เปื้อนบนบ่า พัตเตอร์กำลังร้องไห้? นี่เจ้าเด็กเป็นห่วงผมขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

     “พี่รู้ไหมผมเป็นห่วงพี่มากแค่ไหน ถ้าพี่เป็นอะไรไปผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย”




TBC

หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 9 บ้านร้างเก้าศพ 2 [12/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 12-09-2017 06:15:23
สนุกมากครับ
เพื่อนๆ พัตเตอร์นี่นิสัยไม่ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 9 บ้านร้างเก้าศพ 2 [12/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 12-09-2017 12:27:50
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 9 บ้านร้างเก้าศพ 2 [12/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 12-09-2017 13:09:21
โห พี่นี  ฮีโร่ของสายชล  พี่นีสุดยอด ตามมาช่วยถึงนี่เลย  o13
ไม่งั้นชลแย่แน่ ๆ  วิญญาณที่นี่น่ากลัวมาก นะโมก็อ่อนแรงด้วย
แต่วิญญาณผู้หญิงสองคนก็น่าสงสาร ยังจิตใจดีคิดจะช่วยเหลือชล
สายชล เก่งและเข้มแข็งขึ้นมากแล้วนะ พยายามคุมสติอยู่ได้
ถึงจะทำได้แค่ช่วงแรก ๆ แต่ก็ถือว่าพัฒนาขึ้นเยอะมากแล้ว
แล้วก็พัตเตอร์ ย้ำเลยว่า เลิกคบเพื่อนกลุ่มนี้ไปเลย นิสัยแย่ ๆ ทั้งนั้น
รอตอนต่อไปจ้า ชอบเรื่องนี้มากน้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 9 บ้านร้างเก้าศพ 2 [12/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-09-2017 13:41:55
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 9 บ้านร้างเก้าศพ 2 [12/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-09-2017 14:18:15
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 9 บ้านร้างเก้าศพ 2 [12/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 13-09-2017 10:08:59
แปะอิมเมจนายมะโนแจ็คเก็ตแดง

(https://imgza.xyz/i/32olvhkj.png)
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 15-09-2017 05:48:04
ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา


     ♫“ได้ แต่มองตากันเธอสบตาฉันฉันก็คิดเป็น”♫  เพลงนั้นที่ทำผมหลงรักในน้ำเสียงของเธอ น้ำเสียงหวานใสกับกังวานกับสำเนียงการเอื้อนเอ่ยที่ไพเราะจับใจ ยิ่งมองใบหน้างาม ๆ และรอยยิ้มละมุนของผู้ร้องไปด้วยยิ่งเพิ่มความสุนทรียิ่งนัก

     เป็นครั้งแรกที่ผมได้มองเธอในระยะที่ใกล้กันขนาดนี้ เธออยู่ห่างจากผมแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น ยิ่งได้มองเธอใกล้ ๆ เธอยิ่งดูสวยสง่า ทุกครั้งที่แววตาชวนฝันของเธอหันมองมาทางผมทำเอาหัวใจผมแทบจะละลายลงตรงนั้น แสงสีขาวนวลที่สาดส่องที่ตัวเธอยิ่งขลับให้ผิวเนียนของเธอดูสวยงามเป็นยองใยยิ่งกว่าเดิม เธอดูมีความสุขไปกับการร้องเพลงจนทำเอาคนที่ได้ฟังอย่างผมพลอยยิ้มตามไปด้วย ผมอยากจะยืนฟังเธอร้องเพลงและมองหน้าสวย ๆ ของเธออยู่อย่างนี้ทั้งวัน มันช่างเป็นความรู้สึกที่มีความสุขเหลือเกิน นางในฝันของผม

    ♫“ตา ไม่อาจซ่อนเร้นทุกสิ่งที่เห็น นั่นแหละหัวใจ”♫ ทันทีที่เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายถูกเอื้อนเอ่ยออกมา เธอหันหลังให้ผมแล้วทำท่าเหมือนจะเดินหนีจากผมไป

     “เดี๋ยวสิคุณ อย่าเพิ่งไป” ผมพยายามที่จะรั้งเธอเอาไว้ ทั้ง ๆ ที่เธออยู่ใกล้ผมเพียงเท่านี้ แต่ผมกลับไม่สามารถไขว่คว้าสัมผัสตัวเธอได้เลย เธอหันกลับมาอมยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่พิมพ์ใจของเธอผมเชื่อว่าไม่ว่าชายใดที่ได้เห็นคงเป็นอันต้องหวั่นไหวกันถ้วนหน้า ก่อนที่เธอจะทำท่าเหมือนกำลังจะก้าวเดินจากผมไปอีกครั้ง

     “ผมจะได้เจอคุณอีกไหม”

     “เธอจะอยากเจอฉันไปทำไม ในเมื่อฉันก็อยู่กับเธอตลอดเวลา” คำตอบที่เธอตอบกลับมามันช่างชวนฉงน ที่เธอบอกว่าเธออยู่กับผมตลอดเวลา นั่นเธอหมายความว่ายังไงกัน เธอมาอยู่กับผมตอนไหน


     “เพราะฉันก็คือเธอ....”

     นางในฝันของผม นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบเธอในความฝันในคืนสุดท้ายที่ผมนอนค้างที่บ้านคุณตาคุณยาย จนถึงวันนี้ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์ผมก็ไม่เคยฝันถึงเธออีกเลย แต่สิ่งสุดท้ายที่เธอพูดกับผมมันยังเป็นคำถามที่ผมยังครุ่นคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก เธอหมายความยังไงกันแน่ที่ว่าเธอคือผม ผมไม่รู้ว่าเธอต้องการที่จะสื่อสารอะไร แม้ผมจะพยายามที่จะบอกตัวเองว่าเธอก็เป็นเพียงแค่ภาพความฝันที่ผมจินตนาการขึ้นมาตอนหลับ ไม่ได้มีตัวตนไม่จำเป็นที่ผมจะต้องใส่ใจถึงเพียงนั้น แต่พอเอาเข้าจริงแล้วผมก็อดที่จะว้าวุ่นกับสิ่งที่เธอพูดกับผมไม่ได้จริง ๆ


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “โอ๊ย! ไอ้เด็กแว้นที่ไหนมันมาก็ก่อกวนหน้าร้านฉัน เดี๋ยวแม่จะด่าให้จำทางกลับบ้านไม่ถูกเลยคอยดู” ยัยเจ็ดสีกำลังหัวร้อนอย่างหนัก ต้นเหตุก็มาจากไอ้เจ้ามอเตอร์ไซด์เครื่องแรงที่ขับโฉบเฉี่ยววนไปมาอยู่หน้าร้านอยู่สองถึงสามรอบแล้วจนเสียงเครื่องยนต์สร้างความรำคาญใจให้กับผู้คนแถวนั้นเป็นอย่างมาก แถมยังเบรกอย่างกะทันหันจนเสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นคอนกรีตเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

     ยัยเจ็ดสีที่กำลังเลือดร้อนเดินจ้ำอ้าวไปหาไอ้ตัวการที่สร้างความรำคาญที่ตอนนี้ได้จอดรถอยู่ที่หน้าร้านของเราแล้ว ผมกับพัตเตอร์รีบตามยัยนั่นไปหวังจะช่วยไกล่เกลี่ย ถ้าปล่อยให้ยัยเจ็ดสีที่กำลังโมโหออกไปเคลียร์เองอย่างนั้นคงไม่เป็นเรื่องดีแน่ ยัยนี่ปกติก็ไม่ยอมใครอยู่แล้ว แล้วนี่ตอนนี้พ่วงออฟชั่นกำลังโมโหอย่างรุนแรงเขาไปด้วย ถ้าเกิดไอ้เด็กแว้นนั่นมีอาวุธยัยเจ็ดสีจะตายเอาได้ง่าย ๆ


     “นี่นายเป็นบ้าหรือไง มาขับรถเสียงดังก่อกวนหน้าร้านฉันเนี่ย” เป็นไปตามคาดยัยเจ็ดสีตวาดแว้ดใส่ชายที่ปิดบังใบหน้าด้วยหมวกกันน็อคสีดำสนิท ผมกับพัตเตอร์พยายามปรามยัยนั่นเพราะเรายังไม่รู้เลยว่าชายคนนั้นมาดีหรือมาร้ายเผื่อมันมีปืนขึ้นมาพวกเราจะโดนส่องหัวเอาได้ แต่ เอ รูปร่างแบบนี้มันคุ้น ๆ อยู่นะ

     ชายคนนั้นกำลังจะเปิดเผยตัว หมวกกันน็อคสีดำนั่นกำลังถูกถอดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้สวมใส่ และโฉมหน้าที่แท้จริงของชายคนนั้นก็คือ... เจ้าไกด์!!!

     “มึงมาทำไมไอ้ไกด์ อยากจะโดนตีนกูใช่ไหม” พัตเตอร์กล่าวทักทายอดีตเพื่อนสนิทที่กำลังแอคท่าหล่อกับรถมอเตอร์ไซด์คันเท่ด้วยถ้อยคำที่ฟังดูไม่ค่อยระรื่นหูนัก ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นความสัมพันธ์ของเจ้าเด็กสองคนนั้นเป็นขาดสะบั้น ผมเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีนะ ที่เป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนสนิทที่คบหากันมานานต้องมาแตกคอกัน

     “กูไม่ได้มาหามึงแต่กูมา... ตามหาหัวใจ” ตามหาหัวใจ? เจ้าเด็กนั่นหมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าเจ้าไกด์จะมาจีบยัยเจ็ดสี นี่เพื่อนผมจะขายออกแล้วหรือนี่

     “โอ๊ย!” ยังไม่ทันจะได้ไถ่ถามให้รู้ความ ดาวมฤตยูก็โคจรพุ่งเข้ามาเล่นงานเจ้าเด็กไกด์เสียก่อน ยัยเจ็ดสีแย่งเอาหมวกกันน็อคจากมือเจ้าไกด์แล้วจัดงานใช้มันฟาดลงกลางกบาลของเจ้าของมันไปอย่าไม่เบามือ

     “โห เจ๊ไม่เจอกันตั้งนานยังไม่เลิกโหดอีกเหรอ” เจ้าเด็กไกด์เอามือกุมหัวตรงร่องรอยที่เพิ่งกระทำพลางมองยัยเจ็ดสีอย่างเคือง ๆ

     “ก็ใครใช้ให้แกมาก่อมากวนหน้าร้านฉันห๊ะ ไอ้เด็กบ้า” ผมละอยากจะขำ คนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแทนที่จะได้เห็นโมเมนต์รำลึกความหลัง แต่กลับได้ภาพยัยเจ็ดสีใช้หมวกกันน็อคไล่ทุบเจ้าเด็กไกด์ไม่ยั้งมือมาแทน จนเจ้าเด็กนั่นทั้งวิ่งหลบทั้งตั้งกาจป้องกันยังไงก็ยังไม่รอดเงื้อมมือนางพญามาร

     “โห เจ๊ ผมก็แค่จะโชว์เท่ให้พี่ชลประทับใจเท่านั้นเอง” เฮ้ย เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อครู่นี้เจ้าเด็กนั่นมันพูดว่ายังไง โชว์เท่ให้ผมประทับใจอย่างนั้นเหรอ ทำเพื่ออะไรกัน มันเกี่ยวอะไรกับผม เอิ่ม อย่าบอกนะว่าที่มาตามหาหัวใจนั่นคือ... เฮ้ย!!!


     เจ้าเด็กไกด์พูดมาเพียงเท่านั้นทำเอาทุกคนเหวอไปตาม ๆ กัน แม้แต่ยัยเจ็ดสีที่กำลังระบายอารมณ์ผ่านหมวกกันน็อคยังต้องหยุดชะงักไปแล้วหันเหความสนใจจับจ้องมาที่ผมแทน เจ้าเด็กบ้านี่มันเล่นอะไรของมัน แล้วทำไมมีการเอาชื่อผมไปกล่าวพาดพิงอย่างนั้นด้วย

     “ถ้าวันนั้นไม่มีพี่ชลผมคงแย่ ตอนผมไม่สบายพี่ชลก็ดูแลผมอย่างดี เพราะฉะนั้น พี่ชลเป็นแฟนผมเถอะนะ” เจ้าไกด์รูดซิปเสื้อแจ็คเก็ตแล้วล้วงหยิบเอาดอกกุหลาบสีแดงที่อยู่ด้านในออกมา แล้วเจ้าเด็กนั่นก็คุกเข่าลงตรงหน้าแล้วยื่นดอกไม้ในมือนั้นมาทางผม อ้าวเฮ้ย! ทำบ้าอะไรของมันวะ ที่มันหน้าร้านผมนะเว้ย แทบจะทุกสายตาของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาตรงนั้นจับจ้องมาทางผม ผมก็อายเป็นนะเว้ย แม้แต่ยัยเจ็ดสีก็ยังตะลึงงัน หวังว่าคงไม่มีใครแอบถ่ายคลิปไปลงสื่อโซเชียลหรอกนะถ้าสาว ๆ เห็นแล้วคิดว่าผมกับไอ้เด็กบ้านี่เป็นแฟนกันมีหวังผมได้ขายไม่ออกแน่


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ถ้าจะให้พูดเรื่องคืนนั้น

     “พี่ชลผมหนาว” เจ้าเด็กไกด์พูดด้วยเสียงสั่นเครือ พลางกอดรัดผมไว้แน่นและซุกตัวเข้ากับหน้าอกผมราวกับกำลังพยายามไขว่คว้าไออุ่น อยู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง เจ้าเด็กนั่นตัวร้อนอย่างกับไฟแถมยังตัวสั่นระรัว หน้าซีดปากซีดอาการดูไม่ค่อยดีเลย บนท้ายกระบะรถชาวบ้านที่พวกเราอาศัยร่วมทางมาอยู่ตอนนี้ผมคงทำได้ดีที่สุดแค่กอดให้ความอบอุ่นกับเจ้าเด็กนั่น ได้แต่หวังว่ามันคงจะพอช่วยบรรเทาได้บ้าง

     “อดทนอีกนิดนะเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว”

     “นี่ชลจำเป็นต้องให้ไอ้เด็กมันกอดถึงขนาดนั้นด้วยเหรอ” นายนะโมที่นั่งอยู่อีกด้านเอ่ยขึ้นมาด้วยสีท่าทางที่ดูเหมือนมีความขุ่นเคืองในอารมณ์ จะมางี่เง่าอะไรกันตอนนี้เล่า

     “อย่างี่เง่าน่านะโม ไม่เห็นเหรอว่าไกด์มันไม่สบาย”




     “เช็ดตัวก่อนนะจ๊ะ อีกสักพักถ้าไข้ยังไม่ลดยายจะให้ตาเอารถออกพาไปโรงพยาบาล” คุณยายวางกะละมังใส่น้ำอุ่นไว้บนโต๊ะปลายเตียง โดยที่ผมเป็นคนอาสาจะเช็ดตัวให้เจ้าเด็กนั่นเอง ไม่อยากจะรบกวนคุณยายดึกแล้วให้ท่านพักผ่อนดีกว่า
ผมจัดแจงถอดเสื้อผ้าของเจ้าเด็กนั่นออกผู้ชายด้วยกันคงไม่มีอะไรต้องอาย แล้วเอาน้ำขนหนูชุบน้ำบิดให้หมาด แล้วเริ่มเช็ดไปบนหน้าของเจ้าเด็กนั่นอย่างเบามือและไล่เช็ดไปตามตัวของเขา โดยที่เจ้าเด็กนั่นก็ยังนอนมองผมตาระห้อยอยู่ตลอด

     “พี่ชลน่ารักแล้วก็ใจดีอย่างนี้นี่เอง พัตเตอร์มันถึงได้...”

     “พักผ่อนเถอะ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย” ผมรีบชิงตัดบทก่อนที่เจ้าเด็กนั่นจะพูดจบประโยค เจ้าพัตเตอร์มันจะรู้สึกยังไงกับผมก็ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “ไอ้ไกด์ มึงทำบ้าอะไรของมึง” พัตเตอร์ตะคอกใส่อดีตเพื่อนสนิทที่ตอนนี้คุกเข่าอยู่ตรงหน้าผมอย่างหมายจะเอาเรื่อง

     “มึงเงียบไปเลยพัตเตอร์ กูกล้าบอกความรู้สึกกับพี่ชล มึงไม่กล้าบอกก็ทนอึดอัดใจอยู่อย่างนั้นต่อไปนั่นแหละ” ดูเหมือนคำพูดของเจ้าเด็กไกด์จะไปสะดุดอะไรบางอย่างในใจของเจ้าพัตเตอร์หรือเปล่า สิ้นคำพูดของเจ้าไกด์ เจ้าพัตเตอร์ก็ดูมีอาการเหมือนกำลังกล้ำกลืนแปลก ๆ

     “นะพี่ชล เป็นแฟนผมนะ เฮ้ย!”

     “มึงมานี่เลย” ในขณะที่เจ้าเด็กไกด์กำลังคะยั้นคะยอให้ผมตอบตกลงเป็นแฟนด้วย เจ้าพัตเตอร์ก็เข้ามาตัดบทก่อนที่ผมจะตอบปฏิเสธ ด้วยการล็อกคอแล้วกึ่งดึงกึ่งลาดเจ้าไกด์แล้วพากันอ้อมไปทางหลังร้าน เอ่อ มีอะไรก็เคลียร์กันเองก็แล้วกัน เรื่องนี้ขอไม่รับรู้ด้วย

     “เสน่ห์แรงจริงนะ” นายนะโมโผล่มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง หันไปอีกทีก็เห็นนายนั่นยืนอยู่ข้างผมแล้ว ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่แน่ ๆ ผมละเกลียดสายตาที่นายนั่นมองอยู่ตอนนี้จริง ๆ เลย สายตาอย่างกับคุณครูฝ่ายปกครองกำลังมองจับผิดนักเรียนที่ดูมีแนวโน้มว่าเพิ่งทำความผิดร้ายแรงมาอย่างไรอย่างนั้น

     ผมส่ายหัวระอาแล้วเดินหนีนายนั่นกลับเข้าไปในร้าน นี่ตัวผมมันสารดึงดูดเพศเดียวกันเข้าหาหรือเปล่าเนี่ย ทั้งคนทั้งวิญญาณ โอ๊ย ปวดหัว  แต่รู้อะไรไหมเมื่อครู่นี้ที่เจ้าเด็กไกด์มันทำผมกลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจะมีก็แต่ความอายที่ถูกคนมอง ต่างกับเวลาที่นายนะโมมาหยอดมุขหวาน ๆ เลี่ยน ๆ แบบนั้นใส่ผม มันกลับมีความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นกับผม ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่คนทั่ว ๆ ไปเรียกมันว่าความหวั่นไหว หรือผมกำลังจะหวั่นไหวกับนายนั่นขึ้นมาจริง ๆ แต่นายนะโมเป็นผู้ชาย ผมก็เป็นผู้ชายแล้วผมจะรู้สึกหวั่นไหวกับเขาได้ยังไง ถึงนายนั่นจะเคยบอกผมว่าพรหมลิขิตไม่เลือกเพศก็เถอะ แต่ผมก็ยังรู้สึกแปลก ๆ
 อยู่ดีนั่นแหละ ทั้งชีวิตเคยแต่จีบสาวอยู่ดี ๆ มีวิญญาณผู้ชายตัวเท่าตึกมาตามหม้อ แต่ที่แน่ ๆ เรื่องความรู้สึกสับสนของผมนี้ห้ามให้นายนั่นรู้เด็ดขาด เดี๋ยวนายนั่นจะได้ใจไปเสียก่อน


     เจ้าเด็กสองคนนั้นหายกันไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาพร้อมรอยแผลฟกช้ำบนหน้าคนละสองถึงสามรอย พอถามว่าไปมีเรื่องอะไรกันมา เจ้าสองคนนั้นก็พร้อมใจกันตอบว่าไม่มีอะไรแค่คุยกันตามประสาผู้ชาย เออ อย่างนั้นเอาที่พวกเอ็งสบายใจก็แล้วกัน ก่อนที่เจ้าเด็กไกด์จะขอตัวกลับไปก่อน แต่ยังบอกว่าจะมาเอาคำตอบจากผมวันหลัง เอ่อ จะมาวันไหนผมก็ยังยืนยันคำตอบว่าไม่มีทางโว้ย


     ในช่วงพักเที่ยงผมนั่งอัพเดทข่าวสารในโลกออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือคู่ใจ ผมนั่งเลื่อนดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนบังเอิญไปสะดุดตากับอะไรบางอย่าง นั่นก็คือคลิปวีดีโอที่รุ่นน้องที่รุ่นแชร์ลงหน้าเฟซบุ๊ค โดยมีหัวข้อวีดีโอว่า สะกดจิตระลึกชาติ
จริงสิคุณลุงผู้ดูแลคุ้มครองบ้านผมท่านเคยบอกกับผมว่าผมกับนายนะโมมีสัญญาจากอดีตชาติที่จะเป็นสิ่งที่จะพานายนะโมกลับเข้าร่างได้ แล้วในตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าจะไปตามหาร่างของนายนั่นที่ไหน ถ้าอย่างนั้นทำไมผมถึงไม่เริ่มจากค้นหาว่าผมกับนายนั่นมีสัญญาต่อกันเรื่องอะไรเมื่อครั้งอดีตชาติก่อนล่ะ


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “ผมมาพบ ดร. กุสุมา ครับ” ผมแจ้งกับพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์

     “นัดไว้หรือเปล่าคะ”

     “นัดไว้ครับ” พนักงานสาวรับคำผมก่อนจะยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงผู้เป็นเจ้านาย


     ผมต้องนัดวันเวลาล่างหน้านานพอตัวกว่าที่เธอจะมีเวลาให้ผมเข้าพบ ตั้งแต่เห็นคลิปวีดีโอจากรายการโทรทัศน์ที่มีน้องที่รู้จักแชร์ลงหน้าเฟซบุ๊คเมื่อหลายวันก่อน ผมก็รีบพยายามหาทางที่จะติดต่อเธอ ดร.กุสุมา ผู้ที่มีชื่อเสียงในด้านที่ว่าเธอสามารถสะกดจิตให้คนย้อนไปเห็นสิ่งที่ตัวเองเคยทำเมื่อครั้งอดีตชาติได้ ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าเธอเป็นคนที่มีวาทศิลป์ที่ดี การพูดของเธอมันดูน่าเชื่อถือและทำให้คนคล้อยตามได้ไม่ยาก และการที่ผมจะมาพบเธอสักครั้งก็คงจะไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าเธอสามารถทำได้จริงตามคำกล่าวอ้าง ผมอาจจะหาหนทางพานายนะโมกลับเข้าร่างได้ง่ายขึ้นก็ได้



     ดร.กุสุมา เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ยังดูสาวและสวย เธอมีบุคลิกที่ดูสมาร์ทและดูเป็นผู้หญิงเก่ง ผมบอกเธอถึงความจำเป็นที่ผมจะต้องระลึกชาติเพื่อช่วยชีวิตใครคนหนึ่งโดยที่ผมไม่สามารถลงรายละเอียดมากกว่านั้นได้

     ผมนอนอยู่เก้าอี้ที่สามารถเอนปรับระดับได้ ดร.กุสุมา เธอให้ผมจ้องมองเพ่งสมาธิไปที่เข็มของหัวตัวอุปกรณ์กำหนดจังหวะรูปทรงคล้ายพีระมิดที่กำลังแกว่งไปมาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่เธอจะบอกให้ผมค่อย ๆ หลับตาลง

     “อย่านึกถึงสิ่งใดที่กวนใจ จงเพ่งสมาธิไปถึงเพียงสิ่งที่คุณอยากรู้เมื่ออดีตชาติของคุณ”

     สิ่งที่ผมอยากรู้อย่างนั้นเหรอ ก็คือคำสัญญาระหว่างผมกับนายนะโมอย่างไรล่ะ บรรยากาศในห้องตอนนั้นเงียบสนิท ผมได้ยินเพียงเสียงจากเข็มของเจ้าอุปกรณ์กำหนดจังหวะที่มันกำลังแกว่งไปมาตามจังหวะที่ดร.กุสุมาได้ตั้งค่าไว้ ควบคู่ไปกับเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจผม สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงในตอนนั้นก็คือคำสัญญาระหว่างเราผมกับนายนะโม ผมต้องทำให้ได้ ผมต้องรู้ให้ได้ และผมต้องช่วยนายนั่นให้ได้....

     เป๊าะ

     ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมกับอาการเหนื่อยหอบ เพราะเสียงดีดนิ้วของดร.กุสุมา ทั้งที่ผมรู้สึกราวกับว่ามันเพิ่งผ่านไปเพียงครู่เดียว แต่เมื่อเหลือบมองเข็มนาฬิกาติดผนังนี่เวลามันล่วงเลยไปเกือบสองชั่วโมงแล้วหรือนี่ นี่อย่าบอกนะว่าผมเผลอหลับไป เหงื่อของผมแตกซ่านไปทั้งตัว ถ้าผมเผลอหลับไปจริง ๆ ทำไมผมถึงได้ตื่นขึ้นมาในสภาพที่เหนื่อยหอบและอิดโรยขนาดนี้ล่ะ

     “ดร.ครับ ทำไมผมถึงสัมผัสอะไรไม่ได้เลย”

     “ไม่ต้องตกใจไป ไม่มีใครที่ระลึกชาติได้สำเร็จ ตั้งแต่การสะกดจิตครั้งแรก ของแบบนี้มันใช้เวลา แต่วันนี้ดูคุณเหนื่อยมากพอแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เอาไว้คราวหน้าเราค่อยพบกันใหม่”



     ผมทำไม่สำเร็จเท่ากับว่าผมก็ยังช่วยอะไรนายนั่นไม่ได้อยู่ดีแต่ได้ภาวนาว่าครั้งหน้ามันคงจะดีกว่านี้ แต่จนถึงตอนนี้หัวใจผมก็ยังรู้สึกหวิว ๆ อยู่เลย ทั้ง ๆ ที่มันก็ดูไม่ได้ต่างอะไรไปจากการนอนหลับ แต่ผมกลับรู้สึกราวกับว่าผมได้ใช้แรงไปเยอะและสูญเสียพลังงานในร่างการไปมากพอสมควร รู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่รู้ราวกับว่าเพิ่งออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่างอย่างไรอย่างนั้น



     “ชล!” นายนะโมร้องเรียกผมหน้าตาตื่น ดูเหมือนนายกำลังถอยห่างจากผมออกไปเรื่อย ๆ ไม่สิ! จริง ๆ แล้วผมต่างหากที่เป็นฝ่ายห่างออกมา หรือจริง ๆ ผมไม่ได้กำลังถอยไปไหน ผมอาจจะกำลังยืนอยู่ที่เดิมแล้วอยู่ ๆ ก็เกิดหมดแรงที่จะทรงตัว ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในสภาวะที่เบาไร้น้ำหนัก จนรู้สึกตัวอีกทีร่างกายของผมก็ล้มลงไปกระทบกับพื้นคอนกรีตแล้ว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแตรรถยนต์ที่บีบค้างจนเกิดเป็นเสียงแตรลากยาวเสียงดังสนั่นจนชวนปวดประสาท และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่สัมผัสได้ก่อนที่สมองของผมจะตัดขาดการรับรู้ไป


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ผมรู้สึกและลืมตาตื่นขึ้นในที่ไหนสักแห่ง ว่าแต่ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันเพราะเท่าที่จำได้ผมกำลังจะข้ามไปถนนไปเอารถที่จอดไว้ฝั่งตรงข้ามกับออฟฟิศของดร.กุสุมานี่นา แต่ เอ หลอดไฟแบบนี้มันคุ้น ๆ นะ เตียงที่ผมกำลังนอนอยู่นี่ก็คุ้นมาก ที่แขนซ้ายของผมถูกเจาะด้วยเข็มจากสายน้ำเกลือด้วย ทางด้านขวามีคุณพยาบาลที่ดูอาการผมอยู่ ทุกอย่างมันชี้ชัดว่าผมกำลังนอนอยู่ในห้องพักของโรงพยาบาลที่ไหนสักแห่ง

     “รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ” คุณพยาบาลท่านนั้นเธอถามผมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ดูใจดี ว่าแต่นี่คนหรือเปล่าวะ คราวก่อนที่ผมฟื้นขึ้นมาในห้องพักโรงพยาบาลภาพแล้วเจอคุณพยาบาลสาวสวยผู้เคลื่อนที่ได้โดนไม่ได้ต้องเดิน(เพราะเธอใช้ลอย)คนนั้นยังติดตาตรึงใจ ผมลังเลกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะโต้ตอบบทสนทนากับคุณพยาบาลท่านนี้ หากเธอไม่ใช่คนแล้วเธอรู้ว่าผมมองเห็นเธอได้ล่ะก็ ผมจะโดนเธอหลอกเอาได้น่ะสิ

     “ไม่ต้องกลัวพยาบาลคนเป็นคนจริง ๆ แน่นอน” น้ำเสียงที่คุ้นเคยชักชวนให้ผมหันไปมอง นายนะโมกำลังยืนฉีกยิ้มหวานมองผมอยู่ที่ข้างเตียง แค่ได้เห็นนายนั่นอยู่ข้าง ๆ ก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมามาก

     “ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับคนดีของผม” นายนั่นไม่ว่าเปล่าแต่ยังโน้มตัวลงมาเอาปลายจมูกของเขามาทำให้เกิดความรู้สึกมีลมอุ่น ๆ สัมผัสกับแก้มผมอีกแล้ว ก็ไม่ได้ชอบที่นายนั่นมาทำแบบนี้แต่ในตอนนี้มีคุณพยาบาลอยู่ด้วยครั้นจะให้โวยวายก็คงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเลยตามเลยก็แล้วกัน

     “ว่าแต่ผมเป็นอะไรเหรอ แล้วใครเป็นคนพาผมมาส่งโรงพยาบาลเหรอครับ” ผมถามความจากคุณพยาบาล

     “ไม่ต้องกังวลนะคะคุณแค่หมดสติไปเพราะร่างกายอ่อนเพลีย ส่วนคนที่พาคุณมาส่งโรงพยาบาล อ้าวนั่น มาพอดีเลย” คำตอบของคุณพยาบาลถูกขัดจังหวะด้วยเสียงลูกบิดประตูที่ถูกเปิดออก และร่างสูงกำยำของชายหนุ่มที่ก้าวเข้ามา ด้วยกรามที่ดูชัดและจมูกที่โด่งเป็นสันทำให้ชายคนนั้นดูหล่อและดูดีมากในสไตล์เอเชี่ยนลุค การแต่งตัวของชายคนนั้นร่างกายของถูกปกคุมด้วยชุดสูทที่ดูภูมิฐานและเสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัว เขาคนนี้น่ะเหรอที่ช่วยผมเอาไว้   

     “คุณผู้ชายคนนี้นี่แหละค่ะที่พาคุณมาส่งโรงพยาบาล”

      “อ้าว คุณฟื้นแล้วเหรอ” ชายคนนั้นยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร

     “ขอบคุณนะครับที่ช่วยผมเอาไว้ เอ่อ คุณ......”


     “ผมไตรจักร เรียก จักร เฉย ๆ ก็ได้”







TBC


คุณไตรจักรคนนี้จะเกี่ยวข้องยังไงกับนายนะโมหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 15-09-2017 07:11:15
ตัวละครเพิ่มเข้ามาอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-09-2017 10:01:53
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 15-09-2017 10:39:13
 :hao7: :confuse: :hao7:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-09-2017 10:39:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ต้นไม้ใบหญ้า ที่ 16-09-2017 09:03:34
คุณเป็นใครคะเนี่ย  จะเกี่ยวข้องอะไรกับนะโมหรือเปล่า  :hao7:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 16-09-2017 11:01:52
สนุกมากเลยค่าาา มาต่อบ่อยๆ นะคะ  :call:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 16-09-2017 20:15:14
ขอโปรโมทแฟนเพจสักเล็กน้อย เรามีแฟนเพจแล้ว กดไลค์กดติดตามไว้อัพเดทข่าวสานนิยายตอนใหม่ๆ หรือเอาไว้ทวงถามตอนหายไปนานก็ได้ อิอิ คลิปที่ลิงค์ด้านล่างได้เลยครับผม

https://www.facebook.com/papayaspicy23/ (https://www.facebook.com/papayaspicy23/)
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: aisen ที่ 16-09-2017 21:12:11
เขาเป็นใครนะ อยากรู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 10 เจาะเวลาหาคำสัญญา [15/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 17-09-2017 13:04:19
น้องชล  หลงรักตัวเองเหรอเนี่ย 555  ก็นะ นางในฝันสวยเหลือเกินนี่นา
ก็ใครจะไปคิดล่ะเนอะ ตกลงคุณนวลจันทร์ คือ สายชลในชาติที่แล้วสินะ
แล้วมีความเกี่ยวข้องยังไงกับนะโมด้วยหรือเปล่า
ยังมีตัวละครใหม่มาอีก คุณไตรจักร โอย ปริศนาเต็มไปหมดเลย
รอตอนต่อไปค่า  ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:


หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 11 ทรพี [24/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 24-09-2017 01:37:33
ตอนที่ 11 ทรพี



     “ต้องขอบคุณจักรมาก ๆ อีกครั้งนะ ถ้าไม่ได้จักรช่วยเราคงแย่แน่” ผมกล่าวขอบคุณไตรจักรไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ เพราะผมเกรงใจเขามากจริง ๆ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแต่เขามีน้ำใจกับผมมาก ทั้งพาไปส่งโรงพยาบาล แถมยังเป็นธุระพาผมกลับมาเอารถที่ยังจอดทิ้งไว้ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของสำนักงานดร.กุสุมาอีกด้วย

     “ไม่เป็นไรเลย เป็นใครก็ต้องช่วยอยู่แล้วล่ะ” ไตรจักรยิ้มแย้มท่าทางดูสุดแสนจะเป็นมิตร คนอะไรก็ไม่รู้สุดแสนจะสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง หน้าตาดี ขับรถหรู แถมยังนิสัยดีมาก ๆ อีก สาวคนไหนได้เขาไปเป็นแฟนคงจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากแน่ ๆ

     “เราไม่รู้จะตอนแทนจักรยังไงเลย ยังไงก็ต้องขอบคุณอีกครั้งนะ ถ้าจักรมีอะไรให้เราช่วยบอกได้เลยนะ”

     “ก็เราบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ถ้าชลยังไม่หยุดขอบคุณก็ไม่ต้องคุยกันแล้วนะ” ผมเกาหัวอย่างอาย ๆ ผมก็พูดขอบคุณไปหลายรอบแล้วจริง ๆ นั่นแหละ ก็มันเกรงใจจริง ๆ นี่นา

     “แต่ถ้าชลอยากจะตอบแทนเราจริง ๆ ล่ะก็ เอาเป็นว่า...” ไตรจักรเลิกคิ้วทำหน้าครุ่นคิด ผมล่ะก็แอบหวั่นใจ ถ้าเขาอยากได้ของตอบแทนเป็นอะไรที่ราคาขึ้นมาแพงผมก็คงจุกเหมือนกัน ไอ้ชลก็ไม่ได้มีเงินเยอะแยะอะไรขนาดนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรเสียผมก็อยากจะตอบแทนเขาอยู่ดีนั่นแหละ

     “เลี้ยงข้าวเราสักมื้อก็แล้วกัน” ผมโล่งใจไปได้เมื่อไตรจักรพูดถึงสิ่งตอบแทนที่เขาต้องการออกมา ไตรจักรก็ดูไม่ใช่คนกินจุอะไร เลี้ยงอาหารดี ๆ เขาสักมื้อก็คงไม่ได้หนักหนาอะไรเมื่อเทียบกับน้ำใจที่เขามีให้ผม ผมยิ้มรับคำไตรจักรและพยักหน้ารับคำอย่างเต็มใจ

     “วันนี้เราต้องไปธุระต่อ เอาเป็นว่าถ้าชลพร้อมเมื่อไหร่ โทรหาเรามาก็แล้วกัน เราจะรีบล้างท้องรอ แต่บอกเลยนะว่าเราอ่ะกินจุมากชลหมดตัวแน่” ไตรจักรทำหน้ากระเซ้าผมจนผมเผลอหัวเราะตามไปด้วย ก่อนที่เขาจะหยิบเอานามบัตรของเขาในกระเป๋าสตางค์ยื่นให้ผม

     ผมเก็บเจ้ากระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแผ่นนั้นเข้ากระเป๋าเสื้อ ก่อนจะกล่าวคำอำลาและขอบคุณอีกครั้งกับไตรจักร แล้วก้าวลงจากรถหรูของเขา บนยืนโบกมือให้จนกระทั่งรถสีดำสุดหรูของไตรจักรเคลื่อนตัวออกไป ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “นะโมนายเป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเห็นนายดูเครียด ๆ มาสักพักแล้วนะ” ผมถามอาการนายนะโมเพราะความห่วงใย เพราะเห็นนายนั่นดูซึม ๆ เครียด ๆ ไปตั้งแต่ตอนที่ตอนที่ผมนั่งรถมากับไตรจักรแล้ว ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนข้าง ๆ นายนะโมที่กำลังนั่งขัดสมาธิหน้าเคร่งเครียดราวกับว่าสมองกำลังถูกใช้งานอย่างนั่งบนเตียงของผม

     “อย่าบอกนะว่าโกรธที่ฉันนั่งรถมากับไตรจักร” ถามเรื่องนี้ไปก็รู้สึกแปลก ๆ อายตัวเองเหมือนกัน ที่อยู่ก็ถามผู้ชายในเชิงว่าหึงผมกับผู้ชายอีกหรือเปล่า ก็นายนั่นชอบทำท่าทางไม่พอใจที่ผมไม่อยากจะใช้คำว่าหึงหวงอยู่บ่อยครั้ง เวลาที่ผมทำตัวสนิทสนมหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ชายคนอื่น ถ้านายนั่นโกรธเรื่องนั้นจริง ๆ ล่ะก็ผมก็ไม่รู้จะพูดว่ายังไงแล้ว ไตรจักรเขาอุตส่าห์ช่วยผมไว้นะ

     “เรื่องนั้นน่ะโกรธอยู่แล้ว ใครจะไม่โกรธที่แฟนตัวเอง นั่งรถไปกับชายอื่นแถมยังนัดกันไปกินข้าวสองต่อสอง แต่เห็นแก่ที่เขาช่วยชลผมเลยไม่ถือสาหาความ” เอ่อ เดี๋ยวนะ ผมไปแฟนกับนายนั่นตอนไหน โมเมไปเองทั้งเพ ได้ยินแบบนั้นลูกตาผมสองข้างมันก็กรอกไปมาเองโดยอัตโนมัติ แล้วสรุปที่มานั่งเครียดอยู่อย่างนี้เป็นเพราะเรื่องอะไรกันแน่

     “แล้วนายเป็นอะไร ทำไมถึงมานั่งหน้าเครียดอยู่อย่างนี้”

     “ก็เพราะนายไตรจักรที่ช่วยชลนั่นแหละ ผมว่าผมคุ้นหน้าเขาอย่างบอกไม่ถูก คุ้นมาก ผมมั่นใจว่าต้องเคยเจอเขาก่อนที่ผมจะเป็นวิญญาณแน่ ๆ แต่ผมพยายามนึกเท่าไหร่ ก็นึกไม่ออกสักที” นายนะโมกับไตรจักรอย่างนั้นเหรอ มันก็อาจจะเป็นไปได้นะ เพราะตัวตนที่แท้จริงของนายนะโมเป็นใครผมเองก็ยังไม่รู้ บางทีพวกเขาสองคนเขาอาจจะเคยรู้จักกันก็เป็นได้



     “ไตรจักร นฤไพศาลกุล” นายนะโมหน้าตาตื่นหั่นขวับมองมาทางผมทันทีที่ผมอ่านชื่อและนามสกุลบนนามบัตรที่ไตรจักรให้ผมไว้

     “ชล นามสกุลนั้นผมคุ้นหูมาก ผมต้องรู้จักเขาแน่ ๆ” นายตะโมดูแตกตื่นและดูมีประกายความหวังในแววตาไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่แค่นายนั่นสิแต่ผมเองก็มีความหวังเช่นกัน ถ้าถึงขั้นคุ้นเคยกับนามสกุลขนาดนี้ ก็คงจะต้องรู้จักหรือสนิทสนมกันพอสมควร และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ล่ะก็การช่วยให้นายนะโมกลับเข้าร่างก็คงจะง่ายขึ้นมาก

     “นายใจเย็น ๆ นะโม ลองค่อย ๆ นึกดู” สิ้นคำผม นายนะโมทำหน้าครุ่นคิดราวกับกำลังใช้ความคิดกับอะไรอย่างหนัก ก็บอกว่าให้ค่อย ๆ คิดยังไงเล่า เพียงครู่เดียวเท่านั้น อาการนายนะโมก็เริ่มเปลี่ยนไป ดูเขาไม่ดีเลย ดูราวกับกำลังหายใจเริ่มเร็วขึ้นและแรงขึ้นจนไม่เป็นจังหวะ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันจนแทบจะรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่แล้ว สีหน้าแลดูเคร่งเครียดอย่างหนักยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก และในที่สุดก็....

     “โอ๊ย! ผมนึกไม่ออกเลยชล ผมปวดหัว” นายนะโมเอามือทั้งสองข้างจับกุมศีรษะของตัวเอง สีหน้าของนายนั่นตอนนี้ดูทรมานมากราวกับหัวกำลังจะระเบิดอย่างไรอย่างนั้น

     “นายใจเย็น ๆ ก่อนนะ ไม่เป็นไรถ้าคิดไม่ออก ก็อย่าเพิ่งคิด” ผมแต่พยายามที่ปลอบประโลม และพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น ปัดโธ่เว้ย ทำไมในเวลาอย่างนี้ผมถึงสัมผัสตัวนายนั่นไม่ได้เลยนะ

     “ผมอยากกลับเข้าร่างแล้วชล ผมไม่อยากเป็นวิญญาณอยู่อย่างนี้อีกแล้ว”

     “นายยังมีฉันนะนะโม ฉันจะช่วยนายให้ถึงที่สุด และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะอยู่ข้างนาย ฉันเป็นห่วงนายมากนะ”

     “ชล...” สิ้นคำพูดของผม นายนะโมก็เริ่มมีท่าทางที่ดูอ่อนลง นายนั่นหันมามองผมดวงตาของเขาแดงก่ำและมีน้ำตาที่ไหลเอ่อล้นมาราวกับสายน้ำ ผมเข้าใจความรู้สึกของนายนั่นนะ ใครล่ะจะอยากเป็นวิญญาณ ถ้าเลือกได้ไม่ว่าใครก็อยากมีชีวิตมีตัวตนกันทั้งนั้น

     “นายเข้ามาอยู่ในนี้ก่อนได้ไหมนะโม” ในตอนนั้นมีความคิดอะไรบางอย่างผุดขึ้นมาให้หัวผม ผมจึงหันไปคว้าเอาหมอนสีขาวที่หัวเตียงมาวางไว้บนตัก นายนะโมมองผมและทำหน้าเชิงตั้งคำถาม

     “เอาน่า บอกให้เข้าก็เข้าไปเถอะ” ท้ายที่สุดแล้วนายนะโมก็ทำตามที่ผมบอกแต่โดยดี ร่างของเขาค่อยๆเลือนหายไป ก่อนที่หมอนสีขาวใบนั้นจะเริ่มมีการเคลื่อนไหว เป็นสัญญาที่บ่งบอกว่านายนั่นได้เข้าไปอยู่ด้านในนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และหลังนั้นผมก็....

     “ฉันรักนายนะโม” ไม่ต้องรู้หรอกว่าความรักที่ผมหมายถึงมันเป็นความเป็นความรักแบบไหน อาจจะเป็นความรักแบบเพื่อน ความรักแบบพี่น้อง หรือความรักแบบ.... ไม่ว่ามันจะเป็นความรักแบบไหนตอนนี้ขอให้ผมเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ก็แล้วกันนะ เมื่อพูดจบผมคว้าเอาหมอนใบนั้นขึ้นมากอดไว้แนบอก และได้แต่หวังว่าความห่วงใยของผมที่ส่งผ่านอ้อมกอดนี้จะช่วยเพิ่มกำลังใจให้นายนั่นรู้สึกดีขึ้นได้ไม่มากก็น้อย

     “แค่ได้ยินคำนั้นจากปากชล ผมก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว กอดผมไว้นาน ๆ นะครับคนดีของผม”


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     วันนี้ผมออกมาคุยกับลูกค้านอกสถานที่ เรื่องสถานที่ที่จะใช้จัดงาน กว่าจะคุยงานกันเสร็จก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงแล้ว ผมยังไม่ทานอาหารกลางวันเลย เลยได้มาแวะทานข้าวราดแกงจากร้านในระแวกนั้น จิตใจของผมตอนนี้แทบจะให้ความสนใจจับจ้องอยู่แต่กับโทรศัพท์มือถือ เพราะเมื่อคืนผมลองเอาชื่อและนามสกุลของไตรจักรไปค้นหาในเฟซบุ๊ค โชคดีที่ผมหาแอคเคาท์ของเขาเจอ แต่จนกระทั่งป่านนี้ยังไม่มีการกดตอบรับเป็นเพื่อนจากอีกฝ่ายเลย และข้อมูลทุกอย่างในเฟซบุ๊คของไตรจักรถูกตั้งค่าเป็นแบบส่วนตัวทั้งหมด ผมจะเห็นได้แค่หน้าหล่อจากรูปโปรไฟล์ของเขาก็เท่านั้น อย่างน้อยถ้าผมเข้าไปดูหน้าเฟซบุ๊คของเขาได้ ผมอาจจะเจอข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับนายนะโมก็ได้ ตอนนี้ผมยังไม่มีเวลานัดเขาออกมาทานข้าว ครั้นจะให้โทรไปถามเรื่องนายนะโมตรง ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไง และมีโอกาสสูงมากที่เขาจะไม่เชื่อผมหรือที่ร้ายที่สุดคือเขาอาจจะคิดว่าผมเป็นพวกมิจฉาชีพ วิธีนี้ก็เลยน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่ผมพอจะทำได้ในเวลานี้


     เพล้ง

     “ก็บอกให้เอาเงินมาไงวะ ขายของทั้งวันมันจะไม่มีเงินได้ยังไง”

     “แม่ไม่มีเงินจริง ๆ นะลูก วันนี้ขายของไม่ดีเลย”

     เสียงของแตกและตามด้วยเสียงเอะอะโวยนั้น ทำให้ผมละความสนใจจากโทรศัพท์มือถือ และหันมองไปยังต้นเหตุ คุณป้าแม่ค้าร้านข้าวที่ผมกำลังนั่งทานอยู่ และเด็กวัยรุ่นชายคนนั้นจากที่ได้ยินจากสรรพนามที่ใช้คุยกันเมื่อครู่พอจะได้ความน่าจะเป็นลูกชายของคุณป้า เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังพยายามยื้อแย่งเอากระเป๋าที่คุณป้าใช้เก็บเงินที่ได้จากการขายของ ก่อนที่เขาจะทำให้สิ่งที่ผมเองคาดไม่ถึงว่าจะมีลูกคนไหนกล้าทำกับพ่อแม่

     “โอ๊ย” มือหนาของเด็กหนุ่มคนนั้นฟาดไปบนหน้าของผู้เป็นแม่อย่างแรง จนคุณป้าคนนั้นล้มกองพื้น ผมถึงกับอึ้งไปเพราะไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครกล้าทำกับแม่ของตัวเองได้ถึงขนาดนั้น

     “ไหนบอกว่าไม่มีเงินไงวะ ตอแหลนี่หว่า” เด็กหนุ่มคนนั้นแย่งกระเป๋าเงินไปได้สำเร็จ และล้วงหยิบเงินทั้งหมดในกระเป๋าใบนั้นยัดใส่กระเป๋ากางเกงของตัวเอง ก่อนจะชี้หน้าด่ากราดแม่ของตัวเอง ไอ้เด็กนี่มันเลวเกินไปแล้วนะ

     “อย่าเอาเงินแม่ไปเลยนะลูก แม่ต้องเก็บไว้เป็นทุนขายของวันพรุ่งนี้” ผู้เป็นแม่ได้แต่ร้องไห้อ้อนวอนลูกชายที่แสนระยำนั่น แต่นอกจากมันจะไม่สนใจแล้วมันยังทุบตีคุณป้าคนนั้นซ้ำอีกอย่างไม่ยั้งมือ ซึ่งมันเกินกว่าที่ผมจะทนดูได้จริง ๆ
ผมรีบตรงเข้าไปคว้าแขนของเด็กระยำคนนั้นที่กำลังง้างออกก่อนที่จะฟาดกระทบโดนคุณป้าคนนั้นอีกรอบ

     “เฮ้ย มึงเสือกอะไรวะ เรื่องของแม่ลูกเขาจะคุยกัน” เด็กระยำคนนั้นสลัดมือผมออกแล้วหันมาตะคอกผมอย่างไม่พอใจ

     “พี่ก็ไม่ได้อย่างเสือกนักหรอกนะ แต่เห็นพฤติกรรมชั่ว ๆ ของน้องแล้วพี่ทนดูไม่ได้จริง ๆ หมามันยังรู้คุณคนที่ให้ข้าวให้น้ำ แต่น้องทำกับแม่ผู้ให้กำเนิดได้ถึงขนาดนี้ จิตใจน้องก็คงต่ำช้าและเดรัจฉานยิ่งกว่าหมาแล้วล่ะ”

     “ไอ้สัตว์นี่ ปากดีนักนะมึง” เด็กระยำคนนั้นเดินดุ่มตรงเข้ามาหาผมท่าทางดูเอาเรื่องมาก ๆ ดูแล้วเด็กนั่นมันคงอยากจะชกหน้าผมเอามาก ๆ เลยนะ แต่เสียใจด้วยที่คิดได้ไวกว่าเลยชกหน้ามันจนหงายไปก่อนเรียบร้อย

     “มึง!” เด็กนั่นชี้หน้าผมดูท่าทางคงกำลังโมโหสุดขีด มันพุ่งเข้าหาผมอย่างขาดสติคงหมายจะเอาเรื่องผมอีกรอบ อยากจะทำร้ายผมอย่างนั้นหรือ เสียใจด้วยไอ้น้องมันยังเร็วไปร้อยปีแสง พิษสงของไอ้ชลมีมากที่ทุกคนคิดไว้เยอะ

     ผมยันโครมมันทีเดียวเด็กนั่นมันล้มลงกองกับพื้น ผมตามไปขึ้นคร่อมตัวมันแล้วซัดหน้าซ้ำต่ออย่างไม่มีการยั้งมืออีกเสียหลายหมัด จงรู้เอาไว้อย่าทำให้ไอ้ชลโมโห เพราะผมเป็นคนรักครอบครัวรักพ่อและแม่มาก การเห็นคนกระทำแบบนั้นต่อหน้าต่อตามันเป็นสิ่งรับไม่ได้จริง ๆ สำหรับผม เป็นผู้ชายทำร้ายผู้หญิงก็ว่าแย่แล้ว แต่นี่ไอ้เด็กนั่นแม่ระยำถึงขั้นทำร้ายผู้เป็นแม่ ผมคงปล่อยไว้ไม่ได้ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกกันเสียบ้าง

     “พอแล้วค่ะ พอแล้ว อย่าทำลูกป้าเลย” คุณป้าคนนั้นนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ ผม คุณป้าพนมไหว้ผมแล้วอ้อนวอนของร้องให้หยุดเอาเลือดชั่วออกจากตัวลูกชายคุณป้า ผมเลยจำเป็นต้องยอมหยุดมือไว้เสียก่อนแม้ว่าจะยังรู้สึกว่ายังสั่งสอนเด็กระยำไม่สาสมเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่ายังไงเสียแม่ก็ยังแม่อยู่วันยันค่ำสิคะ ไม่ว่าลูกจะเลวสักแค่ไหน ก็ยังให้อภัยและอยากจะปกป้องลูกให้ถึงที่สุด
ผมล้วงเอาเงินจากกระเป๋ากางเกงไอ้เด็กนั่นแล้วส่งคืนให้คุณป้า ก่อนจะลุกออกจากตัวมัน

     “จำไว้ ถ้าฉันรู้ว่าแกทำร้ายแม่แกอีกล่ะก็ ฉันเล่นแกถึงตายแน่” ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้เด็กนั่น

     ไอ้เด็กคนนั้นดันตัวเองลุกขึ้นยืนทั้งสภาพเลือดกลบปาก ท่าทางมันดูไม่มีความสลดแต่อย่างใด มันจ้องหน้าผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่แล้วไงใครกลัวเหรอ หลังจากนี้ผมคงต้องแวะเวียนมาสอดส่องคุณป้าบ่อย ๆ เสียแล้ว เพราะดูท่าแล้วกำปั้นผมในวันนี้คงยังไม่พอที่จะทำให้เด็กระยำคนนั้นมันสำนึกได้


     เมื่อเด็กระยำคนนั้นมันเดินออกไปจนพ้นเขตร่มเงาของหลังคาร้าน สิ่งที่ผมเห็นเอาผมถึงกับผงะและเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ร่ายกายของเด็กคนนั้นที่ถูกแสงอาทิตย์สาดส่องจนเกิดเป็นเงาที่พาดไปบนพื้น มันก็คงจะเป็นเรื่องปกติหากขนาดของเงามันดูมีขนาดเหมือนเงาของคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่เงาของเด็กนั่นมันกลับทอดยาวไปเป็นความยาวหลายเมตร และมือของเด็กนั่นในเงาแผ่บานใหญ่ราวกับตาล ผมมองอย่างตกตะลึงจนเด็กนั่นกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซด์แล้วขับออกไป ทำไมเงาของเด็กมันถึงเป็นแบบนั้น

     “ไม่ต้องแปลกใจหรอกชล เด็กคนนั้นกำลังสิ้นจะอายุขัย นั่นแหละสิ่งที่เขากำลังจะต้องได้รับ” เสียงที่ฟังดูเหมือนปลงชีวิตจากนายนะโมพูดขึ้นที่ข้างหูผม ถึงเด็กนั่นมันจะเลวยังไงแต่พอได้รู้ถึงชะตาที่เขากำลังจะได้พบเจอ ผมก็อดใจแป้วไม่ได้



     ผมเดินมาช่วยคุณป้าเก็บของที่กระจัดกระจายตอนที่ผมมีเรื่องกับเด็กนั่นเมื่อครู่ ความรู้สึกของผมตอนนั้นมันกระอักกระอ่วนไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ไม่รู้ว่าควรจะบอกคุณป้าคนนั้นหรือไม่กับสิ่งที่ผมได้รับรู้เกี่ยวกับลูกชายระยำของคุณป้า

     “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจ่ายค่าเสียหายให้นะครับ” ผมพูดกับคุณป้าอย่างรู้สึกผิด ตอนนั้นผมก็ใช้อารมณ์มากเกินไปหน่อยจริง ๆ นั่นแหละ

     “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะพ่อหนุ่ม ของมันก็ไม่ได้เสียสักเท่าไหร่ ยังไงป้าก็ต้องขอบคุณพ่อหนุ่มนะที่เข้ามาช่วยป้า ไม่อย่างนั้นป้าคงไม่มีเงินไว้ซื้อของมาขายมาวันพรุ่งนี้ จนต้องไปกู้ยืมเขาอีกแน่” คุณป้าพูดไปทั้งน้ำตาไหลพราก ผมได้แต่มองอย่างเวทนา ไม่ควรมีแม่คนไหนได้รับชะตากรรมอันเลวร้ายที่เกิดจากลูกที่ตัวเองให้กำเนิดเป็นผู้กระทำแบบนี้ทั้งนั้น

     “เขาเคยทำแบบนี้มาก่อนด้วยเหรอครับ ทำไมคุณป้าถึงยังยอมให้เขาทำอีก”

     “ป้าชินเสียแล้วล่ะ เวลาเขาไม่พอใจอะไรเขาก็มาลงกับป้าแบบนี้เป็นประจำ แต่ยังไงเขาก็เป็นลูก คนเป็นแม่นะพ่อหนุ่ม ไม่ว่าลูกจะชั่วจะเลวยังไงมันก็โกรธก็เกลียดลูกไม่ลงหรอก มันก่อนลูกป้ามันเป็นเด็กดีนะแต่พอมันไปเข้ากลุ่มกับพวกเพื่อนที่พากันเสพยาและเล่นพนันมันก็เปลี่ยนไป แต่ถึงลูกป้ามันจะไม่รักป้า แต่ป้าก็รักมันมากเสมอ” ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่สักเท่าไหร่หรอกนะ แต่สิ่งที่ผมรับรู้ในฐานะที่ผมก็เป็นลูก คือผมรักแม่ผมมาก และผมไม่วันที่จะทำร้ายพ่อและแม่ผมอย่างนี้แน่นอน และไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายทุบตีบุพการีของตัวเองแบบนี้ทั้งนั้น


     ผมตัดสินใจที่ไม่บอกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นให้คุณป้ารับรู้ ปล่อยให้ทุกอย่างมันไปตามโชคชะตาที่ฟ้าลิขิตก็แล้วกัน อะไรจะเกิดก็คงต้องปล่อยให้มันเกิด จากเรื่องของน้องฟางทำให้ผมรู้ซึ้งแล้ว่าผมเปลี่ยนชะตาชีวิตใครไม่ได้





TBC



เรื่องราวของสองแม่ลูกยังมีต่อ และสายชลก็ยังไม่ละความพยายามในการสะกดจิตย้อนอดีต เรื่องราวจะเป็นอย่าง ติดตามตอนหน้าจ้า


รักคนอ่านทุกท่าน  :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 11 ทรพี [24/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 24-09-2017 07:23:20
คุณจักรต้องเกี่ยวข้องกับนะโมแน่เลย เอาใจช่วยทั้งชลทั้งนะโมนะ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 11 ทรพี [24/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 24-09-2017 08:16:36
มะโนงอนหรือนั่น เป็นเราก็หึงอ่ะ เห็นคนที่เราชอบไปกับคนรวยหน้าตาดีใจก็แป้ว
หรือว่า เรื่องของลูกป้าขายข้าวจะโยงไปถึงมะโนนะ รอ รอ รอ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 11 ทรพี [24/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-09-2017 08:37:24
"เพื่อน" ทำให้เป็นได้ทั้งคนดีและเลวจริงๆ อยู่ที่ว่าจะเลือกคบเพื่อนแบบไหน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 11 ทรพี [24/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-09-2017 08:39:25
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 11 ทรพี [24/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 24-09-2017 09:13:14
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 11 ทรพี [24/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 24-09-2017 11:34:22
ปมเต็มไปหมดเลย
เรื่องสะกดจิตระลึกชาติก็ดูน่าสงสัย
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 11 ทรพี [24/9/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 24-09-2017 15:13:06
สายชล แมนมาก เก่ง ๆ ปลื้มจัง   o13
ชอบเรื่องนี้มากที่เอาเรื่องจริง ๆ ในสังคมมาสอดแทรกในนิยาย
สอนเรื่องบาปบุญคุณโทษที่คน ๆ นั้นจะได้รับ จากการกระทำของตัวเอง
กำลังกลัวว่า ลูกทรพีนี่จะกลับมาล้างแค้นชลเนี่ยสิ ถึงกำลังจะหมดอายุขัยก็เถอะนะ
แล้วคุณไตรจักร จะเกี่ยวข้องยังไงกับนะโมนะ เป็นคนทำให้นะโมเป็นแบบนี้หรือเปล่า
เงื่อนงำเยอะแยะมากมาย รอตอนต่อไปจ้า ขอบคุณคนเขียนนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 12 เปรต [25/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 25-10-2017 08:04:41
ตอนที่ 12 เปรต


     กว่าผมจะจัดการเรื่องงานเสร็จเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสองทุ่มแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ผมยังอดเป็นห่วงเรื่องคุณป้าร้านขายเมื่อตอนบ่ายไม่ได้เลย ลองคิดดูแล้วผมเองก็ใจร้อนเกินไปที่พุ่งเข้าไปเอาเรื่องลูกชายของคุณป้าอย่างนั้น ถ้าเด็กนั่นมันเกิดโมโหในสิ่งที่ผมทำแล้วไประบายด้วยทำร้ายคุณป้าตอนที่ผมไม่อยู่ล่ะก็ ผมคงรู้สึกผิดมากที่เป็นต้นเหตุให้คุณต้องเจ็บตัวจากน้ำมือลูกชายของอีกครั้ง แล้วถ้าเกิดว่าเด็กนั่นมันเกิดมีเป็นไปตามที่นายนะโมว่าไว้เสียก่อนที่จะได้กลับไปหาคุณ คุณป้าก็คงจะเสียใจมาก ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีไปกว่ากันสำหรับคุณป้าเลยสักนิด

     “ผมรู้นะว่าชลเป็นห่วงคุณป้าคนนั้น ทำใจให้สบายนะครับ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมรู้ว่ามันยากแต่ผมจะผ่านไปมันไปพร้อมกับชลเอง” แววตาแห่งความห่วงใยและรอยยิ้มที่อบอุ่นละมุนจากนายนะโมที่ส่งมาให้ผม ถึงมันจะไม่ได้ทำให้ความกังวลของผมบรรเทาลงสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจว่าไม่ว่าเพราะจะต้องพบเรื่องกับที่มันน่าเศร้าขนาดไหน ก็ยังจะมีนายนั่นที่อยู่เคียงข้างผมและไม่มีวันปล่อยให้ผมต้องเคว้งคว้าง ผมอมยิ้มแทนคำขอบคุณตอบกลับนายนะโม ขอบคุณมากนะที่อยู่ข้างกัน


     เฮ้ย!

     ผมอุทานออกมาดังลั่น ไปพร้อม ๆ กับการเหยียบเบรกอย่างแรงเพื่อหยุดรถอย่างกะทันหัน เมื่อในระหว่างทางที่ผมขับรถมาอยู่ดี ๆ อยู่ ๆ ก็ปรากฏร่างของชายสูงวัยขวางหน้ารถผมเอาไว้อย่างกะทันหัน โชคยังดีที่รถผมไม่เกิดเสียหลักไป แต่เมื่อพินิจดูดี ๆ แล้วผมก็พอจะเดาออกว่าคุณลุงคนนั้นคงไม่ใช่มนุษย์เป็นแน่ ผมยกมือขึ้นทาบสัมผัสหัวใจยังสั่นระรัวเพราะยังไม่คลายจากอาการตกใจ ตอนที่ต้องเบรกอย่างกะทันหันเมื่อครู่หัวใจผมแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม โชคยังที่ไม่มีรถแล่นตามหลังมา ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงจะเกิดเป็นภาพที่ผมไม่อยากจะนึกถึงมันเลย

     “ช่วยเมียลุงด้วย เมียลุงกำลังตกอยู่ในอันตราย” ทันทีที่รถของผมจอดนิ่งสนิทคุณลุงคนนั้นกระโดดขึ้นมาบนกระโปรงหน้ารถผมด้วยท่าทางที่ดูร้อนอกร้อนใจพร้อมกับตะโกนบอกเรื่องที่กำลังทุกข์ใจ ผมพยายามจะที่จะตั้งสติให้ได้เร็วที่สุดเพื่อจะสื่อสารกับคุณลุงคนนั้น เพราะดูแล้วคุณลุงคงกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างมากเป็นแน่



     เมื่อสื่อสารกันจนได้ความจนผมทราบว่าภรรยาของคุณลุงคนนั้นก็คือคุณป้าร้านข้าวเมื่อตอนบ่าย ผมรีบวกรถกลับไปอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อรู้ว่าตัวผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณป้าต้องตกอยู่ในอันตรายด้วยน้ำมือลูกชายตัวเองอยู่ตอนนี้ มันเป็นเพราะความใจร้อนของผมแท้ ๆ เลย

     “ใจเย็น ๆ ชลขับเร็วขนาดนี้เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุหรอก”

     “ฉันเย็นไม่ไหวหรอกนะโม ฉันทำให้คุณป้าเขาเดือดร้อนนะ ถ้าฉันไม่ไปมีเรื่องกับเด็กนั่นมันคงไม่โมโหจนกลับไปทำร้ายคุณป้าตอนที่ฉันไม่อยู่”

     “มันไม่เกี่ยวกับชลหรอก ต่อให้เขาไม่ได้มีเรื่องกับชล เด็กคนนั้นเขาก็ทำร้ายแม่เขาอยู่ดี เพราะจิตใจของเด็กคนนั้นมันก้าวเข้าสู่ความเป็นเปรตจนแทบจะไม่เหลือจิตใต้สำนึกของความเป็นมนุษย์แล้วยังไงล่ะ”


     ถึงนายนะโมจะพูดแบบนั้น แต่ก็มันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่ อย่างไรเสียผมก็มีส่วนยั่วยุอารมณ์ของเด็กนั่นอยู่ดี ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณป้าจะเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ผมใจไม่มีดีเลย ยิ่งประกอบกับที่ได้เห็นท่าทีวิตกและร้อนใจอย่างหนักจากวิญญาณคุณลุงคนนั้นเพราะเป็นห่วงภรรยาที่อยู่ต่างภพภูมิ ก็ยิ่งพาให้ผมใจเสียไปด้วย ถ้าเกิดเด็กคนนั้นได้รู้ว่าวาระสุดท้ายของตัวเองกำลังจะมาถึง เขาจะคิดได้บ้างไหมนะว่าสิ่งที่เขาทำผิดบาปอย่างมหันต์แค่ไหน


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ตั้งแต่วินาทีแรกที่รถของผมเลี้ยวเข้าไปในซอยบ้านคุณป้าตามเส้นทางที่วิญญาณคุณลุงได้บอกไว้ ผมก็ต้องพบกับเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวยอันน่าสะพรึงกลัว มันดูเป็นเสียงกรีดร้องจากความเจ็บปวดและทรมานของอสูรกาย มันฟังดูทั้งน่ากลัวและน่าหดหู่ไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่ติดว่ายังต้องควบคุมรถผมแทบอยากจะละมือจากพวกมาลัยมาอุดหูให้รู้แล้วรู้รอด ผมไม่อยากได้ยินเสียงนั่นเลยมันช่างเป็นเสียงที่ทรมานโสตประสาทการรับเสียงเสียเหลือเกิน

     “นี่มันเกิดอะไรขึ้นนะโม”

     “ไม่ต้องกลัวชลพวกเขาก็แค่มารอรับเพื่อนใหม่ มันจวนนะถึงเวลาแล้ว” นายนะโมตอบกลับด้วยท่าทีที่ดูนิ่งสงบ คำว่าถึงเวลาของนายนะโมผมเข้าใจดีว่านายนั่นหมายถึงอะไร เพราะอย่างนั้นผมถึงต้องรีบเหยียบคันเร่งตรงไปให้ถึงบ้านของคุณป้าให้เร็วที่สุด



     เสียงเอะอะโวยวายและเสียงร้องไห้อย่างน่าเวทนาของหญิงสูงวัยดังออกมาถึงนอกตัวบ้าน ผมรีบบุกเข้าไปอย่างฉายเดียวเพราะนายนะโมไม่สามารถผ่านผู้ดูแลบ้านเข้ามาได้ ภาพที่ผมเห็นมันคงเป็นสิ่งคงจะไม่มีใครบนโลกนี้รับได้ รวมถึงตัวผมเองก็เช่นกัน เด็กระยำคนนั้นกำลังกระชากคอเสื้อและใช้กำปั้นของตัวเองกระแทกใส่ใบหน้าผู้เป็นมารดาอย่างไม่ยั้งมือซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้คุณป้าคนนั้นจะทั้งยกมือไหวและและส่งเสียงอ้อนวอนร้องขอความเมตตาแต่มันก็ไม่ได้สะกิดใจผู้เป็นลูกชายแท้ ๆ เลยแม้แต่น้อย เด็กนั่นมันสัตว์นรกกลับชาติมาเกิดชัด ๆ สิ่งที่ผมคว้าได้ในตอนนั้นคือขวดแก้วเปล่าที่วางอยู่ใกล้ ๆ ถ้าวันนี้ผมไม่ได้เอาเลือดชั่วออกจากหัวเด็กระยำนั่นออกก็อย่าเรียกผมว่าคนอีกเลย

     “มึง!” ผมกระชากตัวไปเด็กนั่นออกจากคุณป้าคนนั้น ก่อนจะใช้ขวดแก้วในมือฟาดลงบนหัวมันอย่างไม่ต้องยั้งคิดทันที

     “โอ๊ย!” เด็กนั่นร้องลั่นทันทีที่ถูกกระทำ ผมรีบผลักตัวมันออกไปโดยไม่ได้ใส่ใจกับเลือดที่ไหลเอ่อจากหัวของเด็กนั่นเพราะรอยแผลที่ผมเพิ่งกระทำลงไป ผมรีบเข้าไปประครองร่างของคุณป้าที่ล้มกองอยู่กับพื้น ใบหน้าของคุณป้าที่อาบไปด้วยเลือดใครเห็นก็คงจะอดสงสารไม่ได้ น้ำตาที่ไหลรินของผู้เป็นแม่ที่ผสมไปกับน้ำเลือดที่เอ่อล้นจากรอยแผลทั่วไปหน้ามันช่างเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจยิ่งนัก และที่น่าหดหู่ไปกว่านั้นก็คือรอยแผลทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกในไส้ของคุณป้าเอง ถ้าชะตากรรมของเด็กเป็นอย่างที่นายนะโมว่าไว้จริง ๆ ......


     มันก็สมควรตายแล้ว......


     “นี่มึงอีกแล้วเหรอ” เด็กนั่นตวาดชี้หน้าผม แววตาที่มันมองมาที่ผมดูเต็มไปด้วยความอาฆาต ผมยกแขนขึ้นกันคุณป้าไว้ และมืออีกข้างยกขวดปากฉลามที่ได้มาจากการเอาเลือดชั่วออกจากหัวเด็กนรกนั่นขึ้นมาเป็นการ์ดรอรับมือกับมัน

     “เออกูเอง กูบอกมึงแล้วไงถ้ากูรู้ว่ามึงทำร้ายแม่มึงอีก กูจะกลับมาจัดการมึง” ผมตอบกลับอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว ก็มันมีอะไรที่ผมต้องกลัวด้วยเหรอ เมื่อตอนกลางวันผมก็คว่ำมันมาแล้ว และแผลใหญ่บนหัวมันก็ฝีมือผมอีกเช่นกัน เจ้าเด็กนั่นตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่ผมหลายครั้งแต่ก็ยังดูเกรงอาวุธในมือผม ทุกครั้งที่ตั้งท่าจะพุ่งเข้ามามันก็เป็นอันชะงักและถอยกลับไป


     ผมถึงกับต้องกลืนก้อนสะอึกเมื่อสองตาเหลือบไปเห็นบานกระจกที่อยู่ด้านหลังของเจ้าเด็กเลวที่กำลังยืนประจันหน้ากับผม เมื่อภาพที่สะท้อนในกระจกนั้นผมไม่สามารถมองเงาสะท้อนตรงส่วนหัวของเด็กนั่นได้เลย มันใกล้จะถึงเวลาแล้วจริง ๆ สินะ

     “เฮ้ย!” เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมเผลอ เจ้าเด็กนั่นพุ่งเข้ามายื้อแย่งขวดปากฉลามในมือผม ผมกับมันยื้อแย่งขวดแก้วนั่นกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ความรู้สึกเจ็บแปลบจะมาเยือนที่หน้าท้องผมพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันที่แสยะขึ้นบนใบหน้าของเจ้าเด็กนั่น เมื่อเบนสายตาลงมองด้านล่างผมถึงได้ผมกับต้นเหตุของความเจ็บนั้น ปลายแหลมของขวดแก้วปักที่อยู่หน้าท้องของผม

     เด็กนั่นกระชากขวดแก้วปลายแหลมนั่นออกไปพร้อมกับร่างกายของผมที่ล้มลง ผมถูกมันเตะเสยคางจนฟุบกับพื้น ผมพยายามที่จะดันตัวเองลุกขึ้นแต่ถูกมันตามมาเตะเข้าที่กลางลำตัวซ้ำเข้าตรงแผลที่ถูกแทง ผมนอนตัวงอเอามือกุมท้องเพราะทั้งจุกและเจ็บแผลอย่างหนัก ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจของเจ้าเด็กระยำคนนั้น

     “พอเถอะลูก อย่าทำเขาเลยแม่ขอร้องนะ” คุณป้าพยายามที่เข้าไปรั้งลูกชายที่กำลังจะเข้ามาประทุษร้ายร่างกายผมซ้ำอีก

     “ไม่ต้องมาเสือก” คำร้องขอจากผู้เป็นแม่ไร้ซึ่งความหมายสำหรับลูกทรพี เด็กนั่นผลักคุณป้าอย่างแรงจนคุณป้ากระเด็นไปอีกทาง ก่อนที่คุณป้าจะล้มฟุบและหมดสติไป

     “มึงรนหาที่เองนะ” เด็กนั่นว่าพลางเหยียบลงไปบนรอยแผลที่กำลังโชกไปด้วยเลือดบนหน้าท้องผม เท้าของเด็กนั่นขยี้อย่างแรงบนแผลของผม ผมได้แต่ส่งเสียงร้องและดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน


     มือที่ถือขวดฉลามเงื้อขึ้นเป็นวงกว้าง ก่อนที่เจ้าเด็กนั่นจะส่งด้านที่เป็นปลายแหลงพุ่งตรงมาที่ผม ผมได้เพียงหลับตารอรับชะตากรรมอย่างหมดหนทางสู้ ผมมาที่นี่เพราะตั้งใจจะมาช่วยคุณป้าที่กำลังเดือดร้อนแท้ ๆ แต่ทำไมผมกลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าผมต้องตายไปพ่อกับแม่ผมจะเป็นยังไง พ่อครับ แม่ครับ ผมรักพ่อกับแม่มากนะขอบคุณที่ดูแลผมมาอย่างดีตลอด...


     เวลาล่วงเลยไปเกือบนาทีแต่ผมกลับยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการที่ความแหลมคมจากขวดแก้วนั้นที่พุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด มันเกิดอะไรขึ้นผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคนอย่างเจ้าเด็กระยำคนนั้นจะคิดได้ด้วยตัวเอง และเปลี่ยนใจไม่ทำร้ายผม ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะพบกับภาพเจ้าเด็กนั่นที่กำลังพยายามที่จะใช้อาวุธในมือจ้วงแทงผม แต่ราวกับมีพลังงานบางอย่างที่ฉุดรั้งเอาไว้ทำให้มันไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้

     ร่างกายของเด็กนั่นค่อย ๆ ลอยขึ้นเหนือจากพื้นก่อนจะลอยพุ่งไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรงราวกับถูกจับเหวี่ยง ไฟทั้งบ้านดับมืดสนิท ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระจกทุกบานและอุปกรณ์ทุกอย่างภายในบ้านที่จากแก้วแตกพร้อม ๆ กัน เจ้าเด็กนั่นตัวยังติดอยู่กับกำแพงราวกับถูกใครบางคนกดเอาไว้ เจ้าเด็กนั่นจับที่คอตัวเองและดิ้นทุรนทุรายสภาพราวกับคนกำลังขาดอากาศหายใจ

     “พอเถอะนะโม” คงจะมีแค่ผมคนเดียวที่มองเห็นผู้ที่กระทำสิ่งนั้นได้ แววตาของนายนะโมดูดุดันจนน่ากลัวอย่างที่ผมไม่เคยมาก่อน มือหนาของนายนั่นบีบคอเจ้าเด็กระยำอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงร้องห้ามจากผมทำให้นายนั่นชะงัก ผมพยายามใช้กำลังที่ยังพอมีดันตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แววตาของนายนะโมที่มองมาทางผมแปรเปลี่ยนจากแววตาที่ดุดันเป็นแววตาที่อ่อนโยนและแฝงไปด้วยความห่วงใย ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ จางหายไป


     ดวงไฟทั้งบ้านกลับมาให้ความสว่างไสวเป็นปกติ เจ้าเด็กนั่นล้มลงก่อนจะรีบลุกขึ้นมาเหลียวมองไปมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง


     “มากราบเท้าขอโทษนายเดี๋ยวนี้” ผมพูดรั้งเจ้าเด็กนั่นที่กำลังอยู่ในอาการหวาดผวาอย่างรุนและกำลังตั้งท่าจะวิ่งหนีออกไป พลางเหลียวมองไปที่ร่างของคุณป้าที่กำลังนอนสลบไสลเพราะร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก

     ที่ผมพูดไปแบบนั้นเพราะผมรู้ว่าการออกจากบ้านครั้งนี้ของเด็กนั่น เขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมา สิ่งที่ผมพูดไปผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำเป็นครั้งสุดท้ายในขณะที่ยังมีลมหายใจ ผมเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของใครไม่ได้ แต่อย่างน้อยการที่ให้เด็กนั่นได้กราบขอขมาผู้เป็นแม่ มันอาจจะช่วยผ่อนปรนโทษทัณฑ์ที่เขาจะต้องได้รับในชีวิตหลังความตายได้บ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะเวรกรรมที่เขาได้กระทำมันหนักหนาเหลือเกิน

     เด็กนั่นที่กำลังสติแตกขวัญกระเจิงแทบจะไม่ได้ใส่ใจฟังสิ่งที่ผมพูดเลยด้วยซ้ำ ภาพเด็กนั่นที่วิ่งเตลิดออกจากไปทำให้ผมอดใจหายไม่ได้ อย่างไรเสียสัตว์โลกก็ต้องเป็นไปตามกรรม


     ภาพการรับรู้ของผมค่อย ๆ มืดลงจนถูกตัดขาดหายไปในที่สุด....


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     เมื่อรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตัวเองอยู่ในชุดคนไข้และนอนอยู่ในเตียงของโรงพยาบาลสักแห่ง พ่อ คุณนายนกยูง เจสซี่ และพัตเตอร์ อยู่ล้อมรอบเตียงคนป่วยที่ผมนอนอยู่ ทุกคนดูดีใจไม่น้อยที่ได้เห็นผมลืมตาขึ้นมา บรรยากาศดูน่าจะอบอุ่นเป็นอย่างดี แต่ทำไมผมกลับรู้สึกหวิว ๆ ก็ไม่รู้ หรืออาจเป็นเพราะผมไม่ได้พบหน้าคนที่ผมมักจะได้พบหน้าเป็นคนแรกอยู่เสมอยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมา แต่ทำไมในเวลานี้ถึงไม่มีเขาอยู่ตรงนี้ นะโมนายอยู่ไหน...

     เมื่อได้ทราบข่าวว่าคุณป้าคนนั้นปลอดภัยดี ผมก็พอเบาใจไปได้ส่วนหนึ่ง ผมถูกคุณนายนกยูงดุเอาเป็นการใหญ่เรื่องที่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย แต่ยังมีคำชื่นชมจากพ่อที่ว่าผมกล้าเข้าไปให้ความช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน ทุกอย่างดูจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่ผมยังอดห่วงและเป็นกังวลไม่ได้ ป่านนี้นายนะโมจะเป็นยังไงบ้างนะ ขนาดเมื่อคราวก่อนที่นายนั่นใช้พลังเพื่อเอาปากมาสัมผัสกับปากผมเขายังสูญเสียพลังไปมากจนแทบจะต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้ม แต่สิ่งที่นายนั่นทำไปเมื่อคืนมันคงจะต้องใช้พลังมากกว่านั้นหลายเท่าตัวนัก และในตอนนี้ผมไม่สามารถสัมผัสถึงเขาได้เลย ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียง นายนั่นจะรู้บ้างไหมว่าผมเป็นห่วงเขามากแค่ไหน


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     เสียงกรีดร้องอันโหยหวนปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาในยามวิกาล เสียงนั้นมันชวนให้แสบแก้วหูเกินกว่าที่ผมจะทนนอนต่อไปได้ แต่เมื่อหันมองไปทางคุณนายนกยูงที่มานอนเฝ้าไข้ผม เธอกลับยังนอนได้อย่างเป็นปกติดี คงจะมีแค่ผมสินะที่ต้องเผชิญกับเสียงที่หลอกหลอนนั่น ความน่ากลัวเสียงนั่นมันช่างคล้ายคลึงกับเสียงที่ผมได้ยินตอนที่กำลังไปหาคุณป้า ผมลุกขึ้นอย่างทรมานเพื่อตามหาที่มาของเสียงนั้น เพียงแค่ขยับตัวนิดเดียวความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แผลตรงหน้าท้องก็มาเยือนอย่างรุนแรงแต่ผมก็ยังฝืนเดินไปที่ระเบียง เพื่อมองหาที่มาของเสียงที่ทรมานโสตประสาทนั้น


     ทันทีที่เปิดม่านออก ภาพที่เห็นทำเอาผมแทบช็อก นั่นมันเด็กคนนั้นลูกชายของคุณป้านี่ ศีรษะของเด็กนั่นอยู่ตรงหน้าระเบียงห้องผมดี และตรงปากของเขาเล็กมากเสียจนแทบจะมองไม่เห็น แววตาที่เขามองราวกับอยากจะสื่อสารอะไรบางอย่างแต่เพราะปากที่เล็กมากเกินกว่าจะสื่อออกมาเป็นคำพูดได้ มีแต่เพียงเสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังออกมา แต่ห้องที่ผมพักก็อยู่ชั้นที่สูงพอตัว แต่ส่วนหัวของเด็กมาโผล่ถึงชั้นนี้ได้ อย่างนั้นก็แสดงความว่า...

     เมื่อผมลองมองลงไปด้านล่างจึงได้พบว่าลำตัวของนั่นยาวสูงพอกับตึกแปดชั้น มือทั้งสองข้างแผ่บานใหญ่อย่างกับใบตาล ผมถึงกับผงะ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือสิ่งที่ใครต่อใครเรียกกันว่าเปรต สิ่งที่ถูกเล่าขาลกันมาแต่โบราณว่าเป็นเวรกรรมที่ลูกทรพีทุบตีบิดามารดาจะต้องได้รับและต้องทนทุกข์ทรมาน เด็กนั่นกลายเป็นเปรตไปแล้วจริง ๆ หรือนี่ ผมพยายามที่จะตั้งสติ และทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดที่พอจะทำได้ในตอนนั้นก็คือการสวดอุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณอสูรกายตรงหน้า ไม่นานนักเสียงกรีดร้องที่ทรมานโสตประสาทนั้นก็สงบลงไปพร้อม ๆ ร่างของเปรตตนนั้นที่หายไปในความมืด


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     พาดหัวข่าวบนหนังสือพิมพ์ของวันนี้ กลุ่มเด็กวัยรุ่นเสพยาจนคลุ้มคลั่งและเกิดเหตุฆ่ากันตาย ภาพของผู้เสียชีวิตหนึ่งในนั้นก็คือลูกชายของคุณป้าคนนั้น นั่นก็เป็นสิ่งช่วยยืนยันถึงที่มาในสิ่งที่ผมได้พบเจอเมื่อคืน และยิ่งตอกย้ำสัจธรรมที่ว่าไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมพ้น เมื่อทำอะไรไว้สิ่งนั้นมันก็จะย้อนกลับมาสนองไม่ช้าก็เร็ว เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีโอกาสก็จงสร้างแต่กรรมดีกันไว้เถอะ


     “พัตเตอร์ วันนี้แกมีเรียนไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ทั้งวัน” ผมเอ็ดให้เจ้าเด็กพัตเตอร์ที่วันนี้ใส่ชุดนักศึกษามาแต่ไม่ยอมไปเรียน กลับมาอยู่เฝ้าผมตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อย

     “ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมฝากเพื่อนจดเลคเชอร์แล้ว พี่เจ็บอยู่นี้ให้ผมไปเรียนผมก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก”

     “พี่ชลกินผลไม้นะ เดี๋ยวผมไปจัดใส่จานให้” เจ้าพัตเตอร์รีบชิงตัดบท คงรู้ตัวว่าจะโดนผมว่าให้อีกเป็นแน่ พัตเตอร์คว้ากระเช้าผลไม้ที่ลูกค้าที่ร้านเพิ่งแวะเอามาเยี่ยมผมเมื่อสักพักใหญ่แล้วเจ้าเด็กนั่นก็รีบเดินแยกตัวออกไป


     “นี่ตาชล ลูกกับพัตเตอร์นี่ยังไงกันแน่ เป็นแฟนกันเหรอ” คำถามที่คุณนายนกยูงกระซิบที่ข้างหูผมตั้งแต่ที่เจ้าเด็กพัตเตอร์ยังไม่ทันจะคล้อยหลังไป ทำเอาผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ไม่รู้ว่าคุณนายนกยูงเธอคิดอะไรถึงได้ถามคำถามนั้นออกมา

     “แม่เอาอะไรมาพูด ผมกับเจ้าเป็นพี่น้องกันเฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย” ผมรีบแก้ต่างให้ตัวเองอย่างทันควัน

     “ก็แม่เห็นพัตเตอร์เขามาเฝ้าลูกเช้าถึงเย็นถึง ตอนที่ลูกยังไม่ได้สติเขานั่งเฝ้าทั้งคืนไม่ยอมหลับยอมนอน แม่ว่าดูยังไงก็ไม่น่าเป็นแค่เพื่อนหรือพี่น้องกันนะ ถ้าจะคบหากันจริง ๆ แม่กับพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แม่กับพ่อหัวสมัยใหม่อยู่แล้วลูกจะรักจะชอบใครพ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก แถมเด็กนั่นก็หล่ออย่างกับพระเอกละครหลังข่าว แม่ชอบ” คุณนายนกยูงกอดอกแสดงวิสัยทัศน์ที่ผมอยากจะกุมขมับ  เธอบอกว่าเธอเป็นคนหัวสมัยใหม่มันช่างขัดแย้งกับความชอบส่วนตัวของเธอที่นำพามาซึ่งการมองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่เห็นกันของผมเสียจริง ๆ

     หันมองไปอีกด้านเจ้าเด็กพัตเตอร์ยืนอมยิ้มพลางจัดผลไม้ใส่จาน รู้นะว่าได้ยินที่คุณนายนกยูงพูด ยังทำเฉยอยู่ได้แทนที่จะมาช่วยกันแก้ต่าง


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     หลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมได้มีโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมและให้กำลังใจคุณป้าอยู่บ้างเป็นครั้งคราว หัวใจของคนเป็นแม่ แม้ว่าลูกจะทำตัวไม่ดีด้วยสักเพียงใด แต่สำหรับคนเป็นแม่แล้วลูกก็ยังเป็นยอดรักยอดดวงใจอยู่วันยันค่ำ เมื่อลูกชายอันเป็นที่รักมาด่วนจากไปอย่างกะทันหันหัวใจก็แทบสลาย ผมยังจำภาพตอนที่ผมไปร่วมงานเผาศพของลูกชายคุณได้อยู่เลย คุณป้าร้องไห้ปานใจจะขาดและพร่ำเอ่ยแต่คำกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่เลี้ยงลูกได้ไม่ดี จนเป็นเหตุให้ลูกชายอันเป็นที่รักต้องมาพบจุดจบที่น่าสลดใจเช่นนี้ ผมได้แต่เพียงให้กำลังใจและบอกให้คุณป้าหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณลูกชายผู้ล่วงลับ ผมก็ได้แต่หวังว่าคุณป้าและกลับมาเข้มแข็งและยืนหยัดได้โดยเร็ว วิญญาณของคุณลุงยังคงเฝ้ามองคุณป้าด้วยความห่วงใยที่เปี่ยมล้น


     ผมไม่รู้ว่าดวงวิญญาณของลูกชายคุณป้าอยู่ที่ไหนในเวลานี้เพราะหลังจากที่โรงพยาบาลในวันนั้นผมก็ไม่ได้พบเห็นดวงวิญญาณของเด็กนั่นอีกเลย เช่นเดียวกับที่เป็นเวลาล่วงเลยมากว่าสองสัปดาห์แล้วที่ผมไม่ได้พบเจอ ไม่ได้สัมผัสและไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งใดที่เกี่ยวข้องนายนะโมได้เลย ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง และไม่รู้เลยว่าเขาจะรู้บ้างไหมว่าผมคิดถึงและเป็นห่วงเขามากแค่ไหน


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     เป๊าะ

     เสียงดีดนิ้วของดร.กุสุมา เรียกให้ผมกลับออกมาจากภวังค์ ครั้งนี้ผมก็ยังไม่สามารถมองเห็นอะไรได้จากการสะกดจิตเพื่อระลึกชาติอีกเช่นเดิม ถึงตอนนี้จะเข้าสู่สัปดาห์ที่สามแล้วที่ผมไม่สามารถติดต่อกับนายนะโมได้เลย แต่ผมก็ยังไม่หยุดที่จะค้นหาปริศนาที่ช่วยนำพาให้นายนั่นกลับเข้าร่างให้ได้

     “ผมมองไม่เห็นอะไรเลยครับพี่โรส” ผมเรียกชื่อเล่นเธอหลังจากที่มีการพูดคุยกันจนเกิดความสนิทสนม

     “อย่าเพิ่งท้อนะจ้ะ เพิ่งครั้งที่สองเอง คนที่ประสบความสำเร็จในการระลึกชาติด้วยด้วยการสะกดจิตของพี่แต่ละคนใช้เวลากันเป็นสิบ ๆ ครั้ง การที่จิตของคนเราจะแข็งแรงพอที่จะมองย้อนไปเห็นได้ถึงอดีตชาติมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะจ๊ะ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา”

     “เดี๋ยวชลนั่งพักในห้องพี่ให้หายเหนื่อยก่อนก็แล้วกันนะ ได้ยินว่าคราวที่แล้วถึงขั้นหมดสติไปเลยนี่ เดี๋ยวให้คนเอาน้ำกับขนมเข้ามาให้” พี่โรสกล่าวก่อนจะลุกออกไป


     การสะกดจิตเพื่อละลึกชาตินี้ผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมสูญเสียไปพลังงานในร่างกายไปมาก ยิ่งคราวนี้ผมยิ่งรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าคราวที่แล้วเสียอีก ผมหยิบเจ้าโทรศัพท์มือถือคู่ใจขึ้นเพื่ออัพเดทข่าวสารด้วยการท่องไปในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คในระหว่างที่นั่งพักอยู่ในห้องทำงานของพี่โรส


     “อยากเลี้ยงข้าวเราถึงขนาดตามหาFacebookเราเลยเหรอ ขอโทษนะ พอดีเราไม่ค่อยได้เล่น ไม่เห็นว่าชลแอดมา” ข้อความนั้นค้างอยู่ในกล่องข้อความในเฟซบุ๊กของผม ข้อความนั้นถูกส่งมาในระหว่างที่โทรศัพท์ของผมถูกปิดเครื่องขณะที่ผมอยู่ในระหว่างการสะกดจิต และข้อความนั้นถูกส่งมาจากแอคเคาท์ของ.... ไตรจักร!


     ผมตาลุกวาวอย่างมีความหวังเมื่อได้พบว่ามีการตอบรับเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กจากบุคคลที่ผมรอคอยมากว่าหลายสัปดาห์ ผมไม่รอช้ารีบกดเข้าไปดูที่หน้าเฟซบุ๊กของไตรจักรทันที ดูแล้วไตรจักรก็คงจะไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลจริง ๆ อย่างที่เจ้าตัวว่า เพราะข้อความที่ถูกโพสครั้งล่าสุดก็ตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ผมเลือกที่จะเข้าไปดูในอัลบั้มภาพของไตรจักรเพราะผมคิดว่าถ้าสองคนนั้นรู้จักกันจริง ๆ ก็คงจะต้องมีภาพบางอย่างที่เชื่อมโยงถึงกันได้บ้างแหละน่า แต่ให้ตายเถอะผมเลื่อนหาจนตาลายแล้วก็ยังไม่พบภาพต้องสงสัยที่ต้องการเลย ไตรจักรแทบจะไม่โพสภาพบุคคลเลยจะมีก็แต่ภาพสถานที่ท่องเที่ยวและภาพวิวทิวทัศน์ต่าง ๆ


     เฮ้ย! เจอแล้ว! ในที่สุดผมก็เจอภาพ ๆ หนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากเข้าจนได้แล้ว ภาพนั้นถูกอัพโหลดไว้ตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว เป็นภาพในวันรับปริญญาของไตรจักร ในภาพนั้นมีคนอยู่สามคนพร้อมเขียนแคปชั่นว่า My Family สามคนในภาพนั้นมีไตรจักรที่สวมชุดครุยยืนอยู่ตรงกลาง และด้านซ้ายมือเป็นชายสูงวัยท่าทางภูมิฐาน และทางขวามือก็คือ.... นายนะโม!!! ใช่จริง ๆ ด้วยนั่นรูปนายนะโมไม่ผิดแน่ ๆ พวกเขารู้จักกันจริง ๆ ผมยิ้มร่าออกมาได้อย่างมีความหวังเมื่อเริ่มเห็นเค้าโครงของแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์





     นะโมฉันเข้าใกล้การตามหาร่างของนายไปอีกก้าวหนึ่งแล้วนะ แล้วนายล่ะ นายอยู่ที่ไหน รีบกลับมาสักทีสิ ฉันคิดถึงนายมากนะ






TBC




หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 12 เปรต [25/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-10-2017 08:15:44
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 12 เปรต [25/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-10-2017 11:12:20
ดีใจด้วยนะ ใกล้ความจริงแล้วชล และก็ใกล้จะเสียตัวด้วย อิอิอิ หื่นจังเรา
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 12 เปรต [25/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 25-10-2017 13:39:18
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 12 เปรต [25/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-10-2017 13:40:37
 :hao7: o13 :hao7:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 12 เปรต [25/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Dezzerr ที่ 25-10-2017 18:26:51
นะโมหายไปไหนน้าาๆ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 12 เปรต [25/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 27-10-2017 05:30:49
ตอนหน้าขอเอาตอนพิเศษของพัตเตอร์มาขั้นเนื้อหาหลักก่อนนะจ๊ะ

http://www.youtube.com/v/DLkirj9uB8U 
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 12 เปรต [25/10/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 29-10-2017 14:50:16
ใกล้ได้เจอร่างนะโมแล้ว ไตรจักรเป็นอะไรกับนะโมเนี่ย ไม่พี่ก็น้องแน่ ๆ เลย
แล้วนะโมหายไปไหน ถึงจะเสียพลัง แต่หายไปหลายวันอย่างนี้เลยเหรอ
หรือจริง ๆ ก็อยู่รอบ ๆ ตัวชลแหละ แต่พลังไม่มากพอจะให้ชลเห็นได้หรือเปล่า
คุณแม่นี่ดีมาก ๆ ไม่ต้องกลัวดราม่าพ่อแม่ด้านชลเลย แต่ว่าที่ลูกเขยไม่ใช่พัตเตอร์นะคะ
อย่าเพิ่งสนับสนุนผิดคน รอว่าที่ลูกเขยตัวจริงฟื้นก่อนน้า
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนพิเศษ พัตเตอร์ Part1 [2/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 02-12-2017 06:08:03
ตอนพิเศษพัตเตอร์ Part1



     “กรี๊ด! ช่วยด้วยค่า เด็กจมน้ำ” เสียงร้องของความช่วยเหลืออย่างตื่นตระหนกของผู้คนในบริเวณในยามที่ผมกำลังจะขาดใจคือความทรงจำสุดท้ายของผม


     วันนั้นผมแอบคุณพ่อและคุณแม่ไปเล่นน้ำในสระว่ายน้ำที่สโมสรของหมู่บ้านกับเพื่อนรุ่นพี่ที่บ้านอยู่ในละแวกเดียวกัน ในยามเช้าของวันธรรมดาสระว่ายน้ำที่นี่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนัก จะมีก็แต่กลุ่มเด็ก ๆ ที่มาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานในวันปิดเทอมเช่นนี้ จนกระทั่งเวลาไปผ่านไปสักพักใหญ่ คนอื่น ๆ ก็เริ่มจะเบื่อและขึ้นจากสระไปกันหมดแล้ว แต่ผมยังสนุกอยู่นี่นาเล่นคนเดียวก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร

     แต่การจะว่ายน้ำอยู่แต่ในโซนเด็กอย่างเดียวนี่มันก็ไม่ค่อยจะเร้าใจผมสักเท่าไหร่ ผมก็อยากจะลองว่ายน้ำเล่นในน้ำที่ลึก ๆ ดูบ้าง เมื่อเกิดความคิดได้ดังนั้นเด็กน้อยหกขวบผู้ห้าวหาญอย่างผมก็ประครองเอาห่วงยางลายเป็ดน้อยคู่ใจแหวกว่ายข้ามจากโซนเด็กไปยังโซนผู้ใหญ่อย่างนึกตื่นเต้นในใจ การลอยตัวอยู่บนผิวน้ำลึก ๆ นี่มันช่างตื่นเต้นแต่ก็ได้อารมณ์สุนทรีไปพร้อมกันเสียจริง ๆ ความสนุกในตอนนั้นทำให้ผมเผลอไผลจนนำพาตัวเองเข้าสู่ความประมาท จนเป็นเหตุให้ผมพลัดหลุดจากเจ้าห่วงยางแสนรัก

     ในความทรงจำที่ผมพอจะจำได้ ในตอนนั้นผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องขอความเหลือเพราะตัวผมจมลงสู่ก้นสระภายในเวลาอันรวดเร็ว ผมพยายามที่จะตะเกียกตะกายเพื่อนำพาตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ผมหายใจไม่ออก มีแต่น้ำที่ไหลเข้าสู่จมูกและปากจนผมสำลัก ร่างกายพยายามจะดิ้นรนหาอากาศหายใจเพื่อเอาชีวิตรอดแต่มันก็ไม่มีเลย น้ำที่ไหลผ่านเข้าสู่โพรงจมูกทำให้ผมปวดหัวอย่างหนักเหลือเกิน ทุกวินาทีมันช่างผ่านไปอย่างยากเย็นและทรมาน ร่างกายที่ขาดอากาศหล่อเลี้ยงดิ้นทุรนทุรายอย่างสุดแสนทรมาน เวลานั้นทำให้ผมรู้ซึ้งว่าความรู้สึกของคนที่กำลังใกล้ตายมันน่ากลัวอย่างนี้นี่เอง เวลาล่วงเลยผ่านไปสักพักใหญ่กว่าจะมีคนผ่านมาเห็นและร้องขอความช่วยเหลือ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าในตอนนั้นมันสายเกินไปหรือไม่ เพราะสติและการรับรู้ของผมนั่นมันสูญสิ้นไปหลังจากเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้นเพียงเสี้ยววินาที


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     หลังจากที่ผมสิ้นสติไปในตอนนั้น รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีผมก็มาอยู่ที่ตรงนี้ ผมนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ข้างสระว่ายน้ำที่เดิม ตอนนี้บรรยากาศรอบ ๆ ตัวผมเงียบสนิทไร้เงาของสิ่งมีชีวิต ท้องฟ้ามืดดำมีเพียงแสงจันทร์ที่ให้แสงสว่างอยู่รำไร ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว สโมสรคงจะปิดแล้วสินะ แต่ทำไมยังมีแค่ผมยังคงอยู่ที่เดิม ผมสับสนไปหมดจับต้นชนปลายอะไรถูกอะไรไม่ถูกสักอย่าง ทำไมทุกคนถึงทิ้งผมไว้อย่างนี้ แล้วผมหายออกมาจากบ้านจนดึกป่านนี้กลับไปมีหวังโดนคุณพ่อคุณแม่ดุหูชาเป็นแน่

     “เล่นน้ำด้วยกันไหม” ผมหันมองตามเสียงเจื้อยแจ้วที่กล่าวคำชักชวนผมอยู่ทางด้านหลัง
เธอเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักในชุดว่ายน้ำสีฟ้าอ่อน ที่ผมไม่คุ้นหน้าเธอเอาเสียเลยทั้ง ๆ ที่เด็กในหมู่บ้านนี้ก็น่าจะพอผ่าน ๆ ตาผมมาเกือบทุกคนแล้วนะ รอยยิ้มที่สดใสของเธอถูกส่งมอบมายังผม จนผมเห็นแล้วก็อดที่จะยิ้มตอบเธอไม่ได้ อายุของเธอดู ๆ แล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม ผมรับคำเธออย่างว่าง่าย เพราะอย่างไรเสียกลับบ้านไปตอนนี้ก็ต้องถูกดุถ้าอย่างนั้นก็ขอเล่นสนุกให้หนำใจกันอีกสักหน่อยก็แล้วกัน

     “เรากิ่งนะ เธอชื่ออะไรเหรอ”

     “เราพัตเตอร์”

     คืนนั้นผมและกิ่งเราเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน น่าแปลกที่อยู่ ๆ ผมก็สามารถแหวกว่ายลอยตัวไปในน้ำลึกได้โดยไม่ต้องพึ่งห่วงยางคู่ใจ เราเล่นกันสนุกจนผมลืมที่จะสนใจเวลาที่ล่วงเลยไปไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมเพลิดเพลินกับเพื่อนใหม่จนลืมทุกสิ่ง ลืมแม้กระทั่งเรื่องที่ผมยังไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าทำไมให้สระว่ายน้ำยามดึกสงัดแบบนี้ถึงยังมีผมและกิ่งที่ยังอยู่ที่นี่ได้

     “ขอบใจนะที่มาเล่นเป็นเพื่อน คืนนี้เราสนุกมากเลย เธอรีบกลับไปแล้วล่ะ” นั่นคือสิ่งแรกที่กิ่งพูดกับผมทันทีที่เราทั้งสองขึ้นจากน้ำ หลังจากว่ายน้ำกันจนหมดแรง สีน้ำแววตาของเธอดูเศร้าหมองไปทันใดทั้งที่เมื่อครู่นี้เธอยังดูร่าเริงอยู่เลย
แต่จริงสิผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าผมต้องกลับบ้านนี่นา ดึกขนาดนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่คงจะต้องเป็นห่วงผมมากแล้วแน่ ๆ

     “แล้วกิ่งล่ะ กลับบ้านพร้อมกันนะ”

     “เราไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกแล้วล่ะ เพราะเราอยู่ที่นี่มานานแล้ว นานก่อนเธอจะเกิดเสียด้วยซ้ำ” รอยยิ้มที่ดูขมขื่นของกิ่งถูกวาดขึ้นมาบนใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาที่ไหลริน เธอพูดอะไรกัน เธอจะอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ก่อนผมเกิดได้ยังไง ดู ๆ แล้วก็น่าจะอายุพอ ๆ กันแท้ ๆ คำพูดของเธอมันยิ่งทำให้ผมสับสนไปกันใหญ่

     “แต่พัตเตอร์ยังมีโอกาส รีบกลับไปก่อนที่จะหมดเวลา เราไม่อยากให้เด็กคนไหนต้องเป็นเหมือนเรา” เมื่อสิ้นคำพูดของกิ่งราวกับว่าผมถูกดึงดูดเข้าไปยังอีกมิติหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มวนย้อนกลับเข้ามาในห้วงความทรงจำของผม จริงสิ ผมจมน้ำแล้วก็หมดสติไปนี่นา ผมเห็นคนอุ้มร่างอันหลับใหลของผมขึ้นมาจากใต้น้ำ ผู้คนต่างแตกตื่นไปกัน นี่ผมตายแล้วอย่างนั้นเหรอ



     บรรยากาศรอบ ๆ ตัวผมอยู่ ๆ มันก็เปลี่ยนไป ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่สระว่ายน้ำของสโมสรอีกแล้ว แต่บรรยากาศรอบ ๆ นี่มัน.... บ้านของผมนี่นา บ้านทั้งหลังทั้งมืดและเงียบสนิทตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านอย่างนั้นเหรอ แล้วผมกลับมาอยู่ที่บ้านได้ยังไงกัน สรุปแล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับผมกันแน่


     “กลับมาแล้วหรือจ๊ะ รู้ไหมพ่อแม่และพี่เราเขาเป็นห่วงเรามากนะ” อ๊ะ เสียงนั้น!
น้ำเสียงที่ผมแสนจะคุ้นเคย เสียงของหญิงสูงวัยที่ฟังดูทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ไม่ผิดแน่ ๆ ผมจำเสียงนั้นได้อย่างขึ้นใจ และยังคงคิดถึงเจ้าของเสียงนั้นอยู่เสมอ ผมรีบหันมองไปตามที่มาของเสียงนั้นอย่างทันควัน จนในที่สุดผมก็ได้พบกัน...

     “คุณย่า!” รอยยิ้มและแววตาอันอ่อนโยนที่ผมยังคะนึงหาอยู่เสมอ คุณย่าผู้แสนใจดีของผม ท่านจากผมไปเมื่อปีกลาย

     “คิดถึงคุณย่าที่สุดเลย อย่าหนีผมไปอีกนะ” ผมโผเข้ากอดคุณย่าความด้วยคิดถึงและโหยหาอ้อมกอดนั้นอย่างเกินกลั้น อ้อมกอดของคุณย่ายังคงอบอุ่นเหมือนเดิมเลย ตั้งแต่วันที่ท่านจากไปผมก็ไม่คิดว่าผมจะมีโอกาสได้กอดท่านอีกแล้ว

     “ย่าไม่เคยหนีพัตเตอร์ไปไหนสักหน่อย ย่าก็ยังคงเฝ้ามองพัตเตอร์และทุก ๆ คนอยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้พัตเตอร์ต้องมากับย่านะจ๊ะ”



     อยู่ ๆ ผมกับคุณย่าก็มาปรากฏตัวที่หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผมเห็นคุณพ่อที่กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดเดินไปมาอย่างอยู่ไม่สุข คุณแม่กำลังปลอบใจพี่เจสซี่ที่กำลังร้องไห้โฮ แสงสีขาวนวลประหลาดค่อย ๆ ส่องประกายออกจากที่ประตูห้องฉุกเฉิน ผมกำมือคุณย่าไว้แน่นอย่างต้องการที่พึ่งให้อุ่นใจ

     “ผมกลัวครับคุณย่า”

     “ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ทุกคนกำลังรอพัตเตอร์อยู่นะ ย่าเชื่อว่าหลานคนเก่าของย่าทำได้” คุณย่ายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน แววตาที่คุณย่ามองมาที่ผมเป็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวผม ใช่ ผมต้องทำได้และผมต้องกลับไป เพราะทุกคนกำลังรอผมอยู่

     ผมโผเข้ากอดคุณย่าอีกครั้งอย่างต้องการกำลังใจ ก่อนก้าวเดินตามแสงขาวนวลนั้นไปอย่างมุ่งมั่นแม้ในใจลึก ๆ จะยังคงกังวล แต่ผมจะต้องทำให้ได้ ผมต้องกลับไปให้ได้



     ท้ายที่สุดแล้วเช้าวันถัดมา ผมฟื้นคืนมาได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่าการตื่นขึ้นมาในครั้งนั้นมันทำให้ชีวิตของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็มองเห็นพวกเขามาโดยตลอด....


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “เฮ้ยน้อง มีเงินหรือเปล่าเอามาแบ่งพวกพี่ใช้หน่อยดิ” วันนี้เป็นวันแรกที่ผมก้าวเข้าสู่วัยมัธยมแท้ ๆ มาโรงเรียนวันแรกก็เจอเรื่องเข้าให้ ผมถูกรุ่นพี่ผู้ชายสองคนยืนขวางทางประกบทั้งหน้าและหลัง ดูท่าสองคนนั้นคงจะแอบตามผมสักพักแล้ว สังเกตจากจุดสีน้ำเงินที่ปักอยู่ตรงปกเสื้อก็พอจะเดาได้ว่ารุ่นพี่พวกนั้นน่าจะอยู่ชั้นม.4 ซึ่งก็หมายความพวกนั้นโตกว่าผมมาก แต่ดันทำตัวไม่น่าเคารพด้วยการมารีดไถเงินรุ่นน้อง แต่คิดว่าเป็นรุ่นพี่แล้วผมจะกลัวหรือไม่มีทางเสียหรอก


     “เฮ้ยทำอะไรกันวะพวกมึง รังแกเด็กเหรอวะ” ก่อนที่ผมจะโชว์ลีลาซัดรุ่นพี่พวกนั้นให้คว่ำ เสียงทักท้วงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของผมเสียก่อน ผมเลยต้องชะงักไป และรุ่นพี่อันธพาลสองคนนั้นก็ดูจะเกรงใจของเสียงนั้นอยู่ไม่น้อยทีเดียว

     “เปล่า ๆ พี่ชล พวกผมแค่หยอกน้องมันเล่นเฉย ๆ” รุ่นพี่อันธพาลทั้งสองทำหัวเราะกลบเกลื่อนและเอามือขยี้หัวผมเล่นทำท่าเหมือนเอ็นดู แต่ไม่ทันแล้วมั๊ง

     “พวกมึงไปเลยนะนี่น้องกู อย่ามายุ่ง” เจ้าของเสียงปริศนาคนนั้นเดินเข้ามาเอาแขนวางพาดมันไหล่ผมจากด้านหลัง รุ่นพี่อันธพาลสองคนนั้นยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะรีบแยกย้ายกันไป ว่าแต่คนที่เข้าช่วยชีวิตพวกรุ่นพี่อันธพาลก่อนจะถูกผมซัดน่วมนี่เขาเป็นใครกันนะ

     ผมหันมองเจ้าของมือขาวที่วางพาดบนบ่าผม รุ่นพี่ผู้ชายคนนั้น... เจ้าของผิวขาวผ่องและริมฝีปากสีแดงอมชมพูระเรื่อ นัยน์ตาสวยของพี่เขาราวกับว่ามันมีประกายชวนฝันอย่างบอกไม่ถูก แค่เพียงพี่เขามองมาก็ทำเอาใจผมสั่น ผู้ชายบ้าอะไรวะแม่งโคตรน่ารักเลย

     “เราอ่ะ น้องไอ้เจ็ดสีใช่ไหม” ประโยคแรกที่พี่เขาทักผมทำเอามึนจนตอบกลับไม่ถูก เจ็ดสีนั่นใคร มีคนชื่อแบบนี้ด้วยเหรอ

     “เอ่อ เจสซี่น่ะ พี่เคยเห็นมันลงรูปเราในHI5ด้วย” รุ่นพี่คนนั้นเขาคงจะเห็นผมยืนหน้ามึนอยู่นาน เลยรีบแถลงไข ว่าเจ็ดสีที่พี่เขาหมายถึงก็คือเจสซี่ หรือยัยเจ๊ของผมนั่นเอง ผมพยักหน้าแทนคำตอบเพราะอยากให้พี่เขาได้ยินน้ำเสียงที่น่าจะกำลังสั่นแรงพอกับจังหวะการเต้นของหัวใจของผมตอนนี้

     “พี่ชื่อชลนะ เป็นเพื่อนกับพี่สาวเรานั่นแหละ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้นะ หรือถ้าโดนไอ้พวกนั้นมันแกล้งอีกก็รีบมาบอกพี่เลย พี่ไปก่อนล่ะ”

     ผมได้แต่มองตามหลังพี่เขาที่เพิ่งเดินแยกตัวออกไปอย่างนึกปลื้มในใจ นึกถึงตอนที่เขากอดคอผมแล้วผมก็ยิ้มไปโดยไม่รู้ตัว ชื่อพี่ชลอย่างนั้นเหรอ อยากจะรู้จักพี่เขาให้มากกว่านี้จัง


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “นี่พวกมึง กูได้ยินรุ่นพี่เขาเล่าให้ฟัง ว่าตรงที่พักบันไดชั้นสามของตึกที่เราเรียนเนี่ย เมื่อสิบกว่าปีก่อนเคยที่มีรุ่นพี่คนหนึ่งโดนแฟนทิ้งแล้วไปกินยาตายอยู่ตรงนั้นด้วย”

     “แถมรุ่นพี่เขายังเล่าอีกนะว่าใครที่ใช้บันไดตรงตอนกลางคืนนะเจอดีทุกราย”

     “มีจริง ๆ เหรอวะ น่ากลัวว่ะมึง”

     เสียงของกลุ่มแก๊งเพื่อนใหม่ในห้องเรียนเดียวกับผม กำลังพากันเล่าตำนานเรื่องลี้ลับในโรงเรียนกันอย่างออกรสออกชาติ นี่ขนาดเพิ่งมาเรียนกันวันแรกนะ ยังมีเรื่องมาเล่ากันเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้ เรื่องแบบนั้นผมเองก็ไม่ค่อยจะได้ใส่ใจฟังสักเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ในหัวของผมยังเห็นแต่ภาพของรุ่นพี่คนนั้นเต็มสองตาอยู่เลย ใบหน้าของพี่ชลที่ผมจินตนาการว่าพี่เขากำลังยิ้มหวาน ๆ ให้ผมมันช่างทำให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ และบรรยากาศรอบ ๆ ที่ทุกอย่างปกคลุมไปด้วยสีชมพูล้วน ราวกับว่าโลกนี้มันได้กลายเป็นสีชมพูไปแล้ว ตั้งแต่ที่ผมได้เจอกับพี่ชล....

     “เฮ้ย พัตเตอร์เป็นอะไรหรือเปล่ามึง เพื่อน ๆ เล่าเรื่องผีกันมึงนั่งยิ้มน้อยยิ้มอยู่ได้ ไปปิ๊งสาวที่ไหนมาหรือไง” เสียงของก๊อง เพื่อนในกลุ่มผมอีกคนกล่าวทักท้วงผมขึ้นมา นี่อาการผมมันออกชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือนี่

     “เปล่า ๆ ไม่มีอะไร เดี๋ยวก็เอาสมุดไปส่งอาจารย์ก่อนนะ พวกมึงทำเสร็จกันหรือยังเดี๋ยวกูเอาไปส่งให้” ผมรีบชิงตัดบทด้วยการเปลี่ยนเรื่อง และอาสาเอาแบบฝึกหัดที่อาจารย์เพิ่งไปเมื่อเมื่อคาบเรียนก่อนหน้าไปส่งให้เพื่อน ๆ ด้วย จริง ๆ ก็คืออยากจะหาเรื่องออกไปจากตรงนี้นั่นแหละ ถ้าขืนยังนั่งอยู่นี้ล่ะก็ผมคงเผลอแสดงอาการแบบเมื่อครู่ออกมาให้เพื่อน ๆ เห็นอีกเป็นแน่ ก็ผมยังลบภาพที่ชลออกไปจากโสตประสาทไม่ได้สักที


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     แค่นึกถึงหน้าพี่ชลปากผมมันก็ยิ้มออกมาเองทุกที มันห้ามไม่ได้จริง ๆ นี่นา เดินไปยิ้มไปแบบนี้คนอื่นเขาจะหาว่าผมบ้าไหมล่ะนี่ ห้องเรียนผมอยู่ชั้นสี่ ห้องพักอาจารย์อยู่ชั้นสอง เพราะฉะนั้นการจะเอาสมุดไปส่งที่ห้องอาจารย์ได้มันก็ต้องผ่านพี่พักบันไดชั้นสาม เพราะผมมัวคิดถึงพี่ชลจนเผลอเดินลงบันไดที่เพื่อน ๆ บอกว่ามีเรื่องน่ากลัวเข้าให้จนได้ แล้วผมยิ่งมีสื่อที่สามารถจูนติดคลื่นพลังงานเหล่านั้นได้ง่าย ๆ เสียด้วยสิ

     ทันทีที่นึกขึ้นมาได้อย่างผมก็มาอยู่ตรงที่พักบันไดชั้นสามเข้าให้เสียแล้ว จะถอยกลับก็คงไม่ทันเสียแล้ว ก็อย่างที่ผมบอกตัวผมสื่อที่สามารถจูนติดกับพลังงานเหล่านั้นได้ง่าย และพลังงานเหล่านั้นก็มีอยู่ในทุก ๆ ที่ รวมไปถึงที่นี่ก็เช่นกัน
ทันทีที่ผมก้าวลงบันไดมาจนถึงที่พักบันไดชั้นสาม ผมก็ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่นักเรียนม.ปลาย เธอยืนก้มน้ำก้มตาร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว เธอทำเอาผมสะดุ้งไปเล็กน้อยเหมือนกัน จากประสบการณ์ของผม ผมพอจะดูออกว่าเธอไม่ใช่มนุษย์แน่ ๆ เอาเป็นว่าเพื่อความสบายใจผมจะเดินผ่านไปเธอเงียบ ๆ โดยที่พยายามไม่ให้เธอรู้ตัวก็แล้วกัน

     แต่ดูท่าคงจะไม่ทันเสียแล้ว เหมือนว่าเธอจะรู้ตัวแล้วว่าผมมองเห็นเธอ เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าของเธอที่ซีดเผือกขาวโพลนราวกับว่าทั้งร่างกายเธอไม่มีเลือดหล่อเลี้ยงหรือไม่ก็ถูกพอกด้วยปูนปลาสเตอร์ เธอร้องไห้แต่ที่ไหลออกมาจากดวงตาที่ไร้ซึ่งตาดำของเธอกลายเป็นเลือกสีแดงสดแทนน้ำตา หยดเลือดไหลผ่านผิวหน้าขาวโพลนเห็นแล้วก็แอบนึกถึงน้ำแดงเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ว่าแล้วก็หิว น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเธอส่งเสียงร้องสะอึกสะอื้นอันชวนให้ขวัญผวา เสียงของเธอใสกังวานขนาดนี้ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ผมคงจะแนะนำให้เธอประกวดเดอะวอยซ์

     “เอ่อ คุณผีครับ เอาไว้วันหลังผมจะมาให้หลอกใหม่นะครับ วันนี้ผมกำลังมีความสุขไม่มีอารมณ์กลัวคุณจริง ๆ” ผมแค่พูดในสิ่งที่คิดให้เธอฟัง เพราะตอนนี้ทั้งโลกของผมแทบจะมีแต่หน้าพี่ชลลอยไปมาเต็มไปหมด ไม่มีอารมณ์มาให้ความสนใจเรื่องอื่นจริง ๆ

     เอ่อ ไม่รู้ว่าผมพูดว่าอะไรผิดหรือเปล่า คุณผีเธอหยุดร้องไห้แล้วกระพริบตามองผมปริบ ๆ ผมยิ้มแฉ่งให้เธออย่างเป็นมิตร เธอทำหน้างง ๆ มึน ๆ ก่อนที่เธอจะเดินหายเข้าไปในกำแพง เอ่อ ยังไงก็ขอโทษจริง ๆ นะครับที่ทำให้เสียเซลฟ์ เดี๋ยววันหลังมาให้หลอกใหม่นะ


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     “เฮ้ย ไอ้ชลฉันฝากดูน้องหน่อยนะ อาจารย์เรียกฉันไปแก้รายงานเดี๋ยวฉันกลับมา” เจ๊เจสซี่ตะโกนฝากฝังผมกับเพื่อนชายที่กำลังเล่นบาสเกตบอลอยู่ในสนามด้วยน้ำห้าวหาญที่แสนจะขัดกับหน้าสวย ๆ ของตัวเอง เหมือนว่ายัยเจ๊ของผมจะลืมไปแล้วล่ะมั๊งว่าตัวเองเป็นผู้หญิง

     แต่เอ๊ะ นั่นมันพี่ชลนี่นา

     “เออ ๆ เดี๋ยวดูให้” พี่ชลหันมาตะโกนรับยัยเจ๊ แค่เห็นหน้าพี่ชลก็ทำเอาหัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาอีกแล้ว

     “แกนั่งรอพี่ตรงนี้แหละ พี่ขึ้นไปหาอาจารย์ก่อน แล้วเดี๋ยวกลับบ้านพร้อมกัน” เจ๊เจสซี่กำชับกับผมก่อนที่จะเดินแยกออกไป
ผมทิ้งตัวนั่งลงบนม้าหินข้าง ๆ สนามบาส มองดูพี่ชลเล่นบาสไปเพลิน ๆ กางเกงนักเรียนขาสั้นเต่อของชลนี่เวลาวิ่งไปวิ่งมากแล้วขากางเกงมันเลิกขึ้นโชว์เรียวขาสวยให้ประจักษ์ทำเอาสติผมแทบจะเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว สะโพกกลมของพี่ชลเวลากระเพื่อมไปตามแรงกระโดดทำเอาหัวใจบาง ๆ สั่นระรัว เฮ้ย! เราต้องไม่หื่นอย่างนั้นสิ


     ไม่นานพี่ชลก็แยกตัวออกจากเพื่อนในกลุ่มที่กำลังเล่นบาสกันอยู่แล้วเดินตรงมาทิ้งตัวนั่งลงตรงข้างผม

     “ไงเรา วันนี้ยังมีใครมาแกล้งอยู่ไหน” พี่ชลว่าพลางปลดกระดุมเสื้อสองเม็ดบนเพื่อระบายความร้อน เผยให้แผ่นอกขาวๆจนผมอดที่จะชำเลืองมองไม่ได้ เฮ้ย! ก็บอกว่าอย่าหื่น

     “มะ ไม่มีแล้วครับ” ผมอยากจะชวนพี่ชลคุยตั้งมากมายหลายเรื่อง แต่ทำไมพอพี่ชลมานั่งอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ มันถึงได้พูดอะไรไม่ออกเลยนะ

     “เฮ้ย! เป็นอะไรหรือเปล่า” ทำไมพี่ชลถึงหน้าตาแตกตื่นแบบนั้นล่ะ อยู่ดี ๆ ก็เอามือมาจับหน้าผมรู้บ้างไหมว่าผมเขินนะ

     “ไม่ได้เป็นอะไรครับ”

     “จะไม่ได้เป็นอะไรได้ยังไง อยู่ดี ๆ เราเลือดกำเดาไหลออกมาเยอะขนาดนี้”


     หืม? นี่ผมเลือดกำเดาไหลอย่างนั้นเหรอ......





     TBC

หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่พิเศษ พัตเตอร์ Part1 [2/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 02-12-2017 21:03:47
อะไรจะหื่นตั้งแต่เด็กได้ขนาดนี้้นะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่พิเศษ พัตเตอร์ Part2 [4/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 04-12-2017 02:49:11
ตอนพิเศษ พัตเตอร์ Part2






     “คุณย่าครับ วันนี้ผมเจอรุ่นพี่คนหนึ่ง พี่เขาน่ารักแล้วก็ใจดีกับผมมากเลย เวลาอยู่ใกล้พี่เขาแล้วผมใจเต้นแรงมาก ผมว่าผมต้องชอบพี่เขาแน่ ๆ เลยครับ” ผมนอนกอดรูปคุณย่า และระบายเรื่องที่กำลังคับอกคับใจให้ท่านฟัง อย่างไรเสียคุณย่าก็ยังเป็นคนที่พร้อมจะรับฟังและให้คะแนะนำผมได้ทุกเรื่องเสมอมา

     ผมเสียงหัวเราะเบา ๆ ของคุณย่า ที่ผมเองก็ไม่รู้ว่าเสียงนั่นลอยมาจากทิศทางใด แต่เป็นน้ำเสียงที่ผมได้ยินแล้วรู้สึกสบายใจ เพราะในน้ำเสียงนั้นผมสัมผัสได้ถึงความรักและเอ็นดูที่คุณย่ามีให้กับผมแฝงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม

     “เรื่องปกติของเด็กผู้ชายนะจ๊ะ ตอนที่พ่อของพัตเตอร์เด็ก ๆ ก็เคยไปแอบชอบสาว ๆ แล้วมาเหล่าให้ย่าฟังเหมือนกัน นี่แสดงว่าหลานย่ากำลังจะเป็นหนุ่มแล้วนะ”

     “แต่พี่คนนั้นเขาเป็น....” ผมเว้นช่วงประโยคสุดท้ายไว้อย่างลังเลและกังวลใจ ถ้าคุณย่ารู้ว่าผมรู้สึกแบบนั้นกับรุ่นพี่ที่เป็นผู้ชาย คุณย่าจะโกรธผมหรือเปล่านะ

     “พี่เขาเป็นผู้ชายนะครับ” ผมกลั้นใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ถึงจะกลัวถูกคุณย่าโกรธ แต่ผมก็อยากจะเล่าให้คุณย่าฟัง เพราะผมประทับใจพี่ชลมาก เมื่อตอนเย็นที่อยู่ ๆ เลือดกำเดาผมมันไหลออกมา ถึงตอนแรกผมจะอายเพราะผมอยากจะให้พี่ชลเห็นผมแต่ในมุมที่แข็งแรงมากกว่า แต่นี่อะไรทั้งสองครั้งที่พี่ชลเจอผม ทั้งตอนที่ผมโดนแกล้ง แถมยังเลือดกำเดาไหลต่อหน้าเขาอีก พี่ชลต้องคิดว่าเป็นคนอ่อนแอมากแน่ ๆ เลย

     แต่พอลองคิดอีกทีแล้ว มันก็มีเรื่องดี ๆ อยู่เหมือนกัน ตอนที่เลือดกำเดาผมไหล ก็มีพี่ชลที่ช่วยดูแลและปฐมพยาบาลให้ผม ผมได้เห็นมุมที่ชลห่วงใยผม ได้มองหน้าพี่ชลใกล้ ๆ และที่มีผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจผมที่สุดก็คือผมได้นอนหนุนตักที่ชลด้วย เวลานั้นผมโคตรรู้สึกดีเป็นบ้าเลย คนอะไรก็ไม่รู้ทั้งน่ารักแถมยังใจดีอีก


     มันคงจะเป็นอย่างที่ผมกังวลแน่ ๆ เลย คุณย่าท่านเงียบไป ท่านต้องโกรธผมแล้วแน่ ๆ มันคงไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะรับได้ที่หลานชายของตัวไปเอง ไปรู้สึกแบบนั้นกับรุ่นพี่ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกและไม่น่าเล่าให้คุณย่าฟังเลย ถ้าคุณย่าโกรธจนไม่ยอมคุยกับผมอีกเลยผมจะทำยังไง

     “คุณย่าโกรธผมไหมครับ ที่ผม....”

     “ย่าจะโกรธพัตเตอร์ทำไมจ๊ะ หลานย่ารักใครย่าก็ต้องรักด้วยสิ มันไม่สำคัญหรอกจ๊ะว่าคนที่พัตเตอร์ชอบจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าใจมันจะชอบไม่ว่าเขาจะเป็นใครหัวใจมันก็ไม่ฟังเหตุผลอยู่ดีนั่นแหละเนอะ” คุณย่า....

     น้ำเสียงที่อ่อนโยนของคุณย่าทำให้ผมรู้สึกสบายใจได้เสมอ คุณย่าเป็นคนที่เข้าใจผมที่สุดจริง ๆ ไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม ผมกระชับกอดรูปของคุณย่าให้แน่นขึ้นกว่าเดิม ถึงตอนนี้ผมจะมองไม่เห็นท่านแต่พลังงานความรักและความห่วงใยที่แผ่ปกคลุมอยู่รอบตัวผม ผมรับรู้ได้

     “รักคุณย่าที่สุดเลย”


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ช่วงนี้ปิดเทอม คุณพ่อคุณแม่ให้ผมมาอยู่กับคุณตาคุณยายสองสัปดาห์ ถึงจะมีความสุขที่ได้เจอคุณตาคุณยาย แต่ช่วงหลายวันมานี้ผมก็เลยไม่ได้เจอพี่ชลเลย คิดถึงพี่ชลจะแย่อยู่แล้ว ตอนนี้ผมอยู่ม.4แล้วนะ ส่วนที่ชลกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่สาม และยังเรียนที่เดียวกับยัยเจ๊เจ็ดสีของผมเหมือนเดิม และที่สำคัญตอนนี้ผมตัวโตและสูงกว่าพี่ชลแล้วด้วย ผมว่าตอนนี้ผมโตพอที่จะปกป้องพี่ชลได้แล้วนะ


     ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยพี่ชลเริ่มหันไปสนใจเรื่องการถ่ายรูปและการเล่นกล้อง ผมเลยอาศัยเรื่องนั้นมาช่วยให้ตัวผมได้มีโอกาสได้เจอพี่ชลบ่อยขึ้น ผมได้เจอพี่ชลอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวันเริ่มตั้งแต่ที่ผมทำทีบอกกับพี่ชลว่าอยากจะลองหัดถ่ายรูปสวย ๆ ดูบ้าง ซึ่งพี่ชลก็อาสามาช่วยสอนให้ผมฟรี ๆ เลย โดยที่ผมไม่ทันต้องเอ่ยปากขออย่างเป็นทางการ ไม่เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่พี่ชลก็ยังน่ารักและใจดีกับผมเสมอมา

     ผมตามที่ชลไปถ่ายรูปตามที่สถานที่ต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ มันทำให้ผมได้ใกล้ชิดและสนิทกับพี่ชลมากขึ้น สารภาพตามตรงตอนแรกที่เริ่มมาหัดถ่ายรูปเพราะอยากจะหาโอกาสใกล้ชิดกับพี่ชล ก็เท่านั้น ไม่ได้พิศวาสอะไรมันสักเท่าไหร่ แต่ไป ๆ มา ๆ มันก็สนุกดีเหมือนนะ ตอนนี้ผมชอบมันเข้าให้แล้ว ได้ไปถ่ายรูปตามที่ต่าง ๆ ก็เหมือนได้เที่ยวไปด้วย แถมคนที่ไปด้วยกันก็พี่ชล และยังมีโอกาสได้แอบเก็บภาพพี่ชลตอนเผลอให้อิริยาบถต่าง ๆ ด้วย เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้ว


      ♫ “เหม่อมองดูสายน้ำวน เหม่อมองสายชลช่างไหลริน” ♫  หืม คำร้องและท่วงทำนองของเพลงนั้นมันสะดุดหูผมเข้าอย่างจัง ผมบังเอิญผ่านมาได้ยินเสียงคุณตาของผมกำลังร้องเพลงคลอไปกับการตัดแต่งกล้วยไม้ในสวนหลังบ้านอย่างมีอารมณ์สุนทรี

     ♫ “เหม่อมองดูนกผกผิน บินลับไป ยามเหงาเราถอนใจ บินไปไม่กลับมา” ♫ เพลงที่คุณตาร้องนั่นมันเพลงอะไรกันนะ เพราะจัง แถมในเนื้อเพลงก็ยังมีคำว่าสายชลด้วย แค่ได้ยินคำนั้นผมก็ยิ้มออกแล้ว ไม่ได้เห็นหน้าแค่ได้ยินชื่อก็ยังพอได้สุขใจ

     “นั่นเพลงอะไรเหรอครับคุณตา” ผมเดินตรงเข้าไปถามหาชื่อเพลงเพราะนั่นจากคุณตา

     “อ๋อ ชื่อเพลงสายชลน่ะ” คุณตายิ้มตอบผม

     เพลงสายชลอย่างนั้นเหรอ.... เพลงเพราะ แถมยังมีชื่อเดียวกับคนที่ผมแอบรัก...


     ผมรีบวิ่งตรงดิ่งขึ้นไปบนห้องนอน เป้าหมายคือเจ้ากีตาร์แสนรักที่ผมพกพามาด้วย ผมคิดว่าถ้าผมหัดเล่นเพลงนั้นได้ แล้วเล่นฟังพี่ชล พี่ชลต้องประทับใจผมแน่ ๆ แต่แล้วทันทีที่ผมเปิดประตูห้องนอนของตัวเองผมก็ได้พบกลับ....

     “คนนี้ใครวะมึง ในคอมมึงมีรูปเขาเต็มเลย แฟนมึงเหรอ” ไอ้ไกด์! ไอ้ไกด์เพื่อนสนิทของผมที่อยุธยากำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของผมอย่างถือวิสาสะได้อย่างหน้าตาเฉย ดูท่าผมกับมันคงจะสนิทกันเกินไปแล้วล่ะมั๊ง แถมที่มันกำลังเปิดดูอยู่นั่นมันก็โฟลเดอร์ที่เก็บสะสมรูปพี่ชลในอิริยาบถต่าง ๆ เอาไว้ด้วย

     “มึงเข้ามาได้ยังไง!” ว่าพลางรีบกระโดดเข้าไปแย่งโน้ตบุ๊คจากมัน

     “เอ้า กูก็แวะมาหามึงตามปกติอยู่แล้วหรือเปล่าวะ ปกติห้องมึงก็เข้ามาได้ตลอดมึงไม่เคยเห็นมึงว่าอะไร คอมมึงเมื่อก่อนมึงก็ไม่เห็นเคยหวงยังเคยเปิดดูหนังโป๊ด้วยกันเลย เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับกูเหรอ” ที่มันว่านั่นก็ใช่ เพราะผมกับมันสนิทกันมากเลยไม่ได้หวงห้ามในส่วนของห้องส่วนตัวหรือของหัวส่วนตัว แต่เพราะครั้งก่อน ๆ ที่ผมมาอยู่บ้านคุณตาคุณยายผมไม่ได้พกรูปพี่ชลนับพันรูปมาด้วยอย่างนี้นี่นา โอย นี่ผมพลาดเองใช่ไหมนี่

     “แล้วยังไงสรุปคนนั้นแฟนมึงใช่ไหม ทำไมเก็บรูปเขาไว้เยอะขนาดนั้น” ไอ้ไกด์มันเริ่มถามจี้ประเด็น และทำสายตาจับผิดมองผม ผมได้แต่หลบสายตามันกลัวมันจะเห็นพิรุธ จะตอบยังไงไม่ให้โดนมันล้อดีล่ะนี่

     “ไม่ใช่แฟนเว้ย” ผมก็ตอบไปตามตรงนั้นแหละ ถึงจะอยากเป็นมาก แต่ก็ยังไม่ได้เป็นสักที แต่ไอ้ไกด์มันคงไม่หยุดถามแค่นั้นแน่ ๆ

     “ถ้าไม่ใช่แฟนอย่างนั้นแสดงว่ามึงกำลังตามจีบ หรือไม่ก็กำลังแอบรักเขาข้างเดียวใช่ไหม” คำพูดของไอ้ไกด์มันเหมือนมีดปลายแหลมที่เสียบแทงให้เข้าใจดำของผมเต็ม ๆ เออก็ผมมันแอบรักเขาข้างเดียวจริง ๆ คำถามของไอ้ไกด์นั้นทำเอาผมหน้าชาไม่เลย ผมสตั้นไปจนคิดคำตอบที่จะตอบมันไม่ออกเลย

     “ทำหน้าเลิ่กลั่กอย่านั้น กูว่าชัวร์ เอาน่ากูเข้าใจ คนนั้นเขาก็น่ารักจริง ๆ ตัวขาว ๆ ปากแดง ๆ” นี่อาการผมมันออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ผมล่ะเกลียดแววตารู้ทันกับเสียงหัวเราะแบบนั้นของมันจริง ๆ

     “เบื่อเมื่อไหร่บอกกูได้นะเดี๋ยวกูเซ้งต่อ หรือยังไงฉุดเลยไหมเดี๋ยวกูช่วย ทรงนี้น่าจะเด็ดอยู่นะ”

     “เฮ้ย มึงอย่ามาพูดถึงพี่ชลแบบนั้นนะเว้ย พี่ชลเป็นสิ่งมีค่าที่กูต้องทะนุถนอม อย่าพูดถึงพี่ชลในทางเสียหายให้กูได้ยินถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกัน” ผมก็รู้ว่าประโยคที่มันพูดออกมาเมื่อครู่ มันแค่พูดเล่นติดตลก ตามประสาปากไม่ค่อยดีที่พูดไปแบบไม่ค่อยคิดของมัน แต่ผมไม่ตลกกับมันด้วย มีชลมีค่าและสำคัญกับผมแค่ไหนมันไม่มีทางเข้าใจ และผมก็ชอบให้ใครมาพูดถึงพี่ชลแบบนั้น   

     “นี่มึงชอบพี่เขาขนาดนั้นเลยเหรอวะ กูขอโทษ กูก็ปากหมาไปตามประสา” ไอ้ไกด์หน้าเจื่อนไปหลังจากที่ถูกผมตวาดไปเมื่อครู่


     ผมยอมเล่าเรื่องพี่ชลให้ไอ้ไกด์ฟัง มาถึงขั้นนี้แล้วคงจะปิดมันไม่อยู่แล้ว มันรับปากกับผมว่าจะไม่บอกใคร เอาเถอะถึงไอ้นี่มันจะปากไม่ค่อยดี แต่ผมก็คิดว่ามันเชื่อใจได้พอที่จะไม่เอาความลับของผมไปเล่าให้ใครฟัง (ถ้ามันไม่เมาจนเผลอพูดนะ) จริง ๆ ผมไม่ได้อายหรอกเรื่องที่คนผมแอบรักนั้นเป็นผู้ชาย แต่ผมแค่กลัว กลัวว่าถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูพี่ชลแล้วผมจะสูญเสียช่วงเวลาดี ๆ ระหว่างผมกับพี่ชลไป ผมอาจจะไม่ได้มีโอกาสที่จะอยู่ใกล้ ๆ คอยดูแลและคอยห่วงใยพี่ชลอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และความสนิทสนมระหว่างเราอาจจะไม่เหมือนเดิมต่อไป ผมยังไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงนั้นในตอนนี้ เอาไว้เมื่อถึงวันหนึ่งที่ผมพร้อม ผมจะเป็นคนบอกให้พี่ชลรู้เอง



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


     ผมได้กลับกรุงเทพฯแล้ว เพราะสัปดาห์หน้านี่ก็จะเปิดเทอมแล้ว และวันเสาร์นี้ผมมีนัดไปถ่ายรูปกับพี่ชลด้วย จะได้เจอพี่ชลสักที คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว มองแค่รูปถ่ายกับคุยกันผ่านข้อความมันไม่ได้ช่วยลดทอนความคิดถึงลงไปได้เลยสักนิด ตอนนี้พี่ชลจะเป็นยังไงบ้างนะ เขาจะคิดถึงผม เหมือนอย่างที่ผมคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า


     ติ๊ง


     เสียงเตือนข้อความเข้าจากกล่องข้อความในเฟซบุ๊ค เห็นชื่อคนที่ส่งข้อความมาคือพี่ชลผมรีบเปิดดูอย่างทันควัน

     “พัตเตอร์ ที่นัดกันเสาร์นี้พี่ขอยกเลิกก่อนนะ พี่ต้องไปดูหนังกับใบเตยอ่ะ” ทันทีได้อ่านข้อความนั้น รอยยิ้มมันก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของผม เมื่อครู่นี้ผมยิ้มร่าดีใจที่ได้เห็นที่ชลทักมาอยู่เลย แต่เมื่อได้อ่านข้อความนั้นทำเอาใจแป้ว และความรู้สึกหม่นหมองก็เข้ามาแทนที่ในจิตใจผมทันที

     จริง ๆ ผมก็พอจะรู้มาสักพักแล้วล่ะว่าพี่ชลกำลังคุย ๆ อยู่กับพี่ใบเตย ดาวมหาวิทยาลัยที่เรียนที่เดียวกับพี่ชล แต่ที่ผ่านมาผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจและทำเป็นไม่รับไม่รู้กับเรื่องนั้น ขอให้ผมได้อยู่ใกล้ ๆ ได้มีช่วงเวลาดี ๆ กับที่ชล ได้แอบรักพี่ชลข้างเดียวอย่างเดียวมันก็มีความสุขแล้ว เพราะผมรู้ตัวว่าผมไม่ใช่เจ้าของพี่ชล แต่การที่ถูกพี่ชลยกเลิกนัดของเรา เพื่อจะไปเขามันก็อดที่จะรู้สึกเศร้าไม่ได้จริง ๆ

     “ครับ” ผมฝืนพิมพ์ข้อความตอบกลับพี่ชลไปทั้งที่มือยังสั่น อยู่ ๆ น้ำตามันรื้นขึ้นมาเอง ความรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างในโลกนี้มันหม่นหมองไปหมด ผมไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ ไม่ได้อยากรู้สึกแบบนี้ แต่ผมก็ห้ามมันไม่ได้

     “พี่ขอโทษนะ เดี๋ยววันหลังนัดกันใหม่” อย่างน้อยพี่ชลก็แคร์ผมอยู่บ้าง สิ่งนั้นเป็นเหมือนน้ำหยดเล็ก ๆ ที่ยังพอจะช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจผมเอาไว้ ไม่ให้หัวใจมันดำดิ่งไปกับความหม่นหมองจนลึกเกินไป แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นของคนอื่นอยู่ดี นั่นคือความจริงที่ผมไม่อยากจะยอมรับ แต่ผมก็ต้องจำใจรับมันให้ได้



      ♫ “มองดูสายน้ำวน เหม่อมองสายชลช่างไหลริน” ♫  ผมคว้าเอากีตาร์แสนรักขึ้นมาเล่นเพลงที่ผมใช้เวลาแกะและหัดเล่นอยู่หลายวันในช่วงที่อยู่บ้านคุณตาคุณยาย กะว่าจะเอามาเล่นให้เขาฟังเขาจะได้ประทับใจในตัวเรา แต่กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่งเล่นอยู่ในอยู่คนเดียวในวันที่เขากำลังมีความสุขกับคนอื่น ผมเอื้อนเอ่ยคำร้องไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและน้ำตาที่หยดเปื้อนสายกีตาร์อย่างที่ผมไม่สามารถจะห้ามมันได้


     ติ๊ง

     เสียงเตือนข้อความจากเฟซบุ๊คทำให้ผมละจากการขับขานเพลงเศร้าในคืนเศร้า ข้อความจากพี่ชล ถึงแม้ผมจะเพิ่งเสียใจกับความของพี่ชลไปเมื่อครู่ แต่แค่เห็นชื่อพี่ชลส่งข้อความมันก็อดไม่ได้ที่จะต้องรีบเปิดดู

     “พัตเตอร์ ที่นัดกันเสาร์นี้ไม่ยกเลิกแล้วนะ เจอกัน” หืม นี่ผมเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า เมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้านี้ พี่ชลเพิ่งของยกเลิกนัดกับไปเองนี่ ทำไมอยู่ ๆ ถึงเปลี่ยนใจไม่ยกเลิกแล้วล่ะ

     “แล้วพี่ใบเตยเขาไม่ว่าอะไรเหรอครับ”

     “จะว่าอะไรเมื่อกี้พี่ขอเป็นแฟนกับเขา เขาก็ขอเลิกคุยกับพี่เลย เขาบอกเขาไม่อยากผูกมัด แถมยังบล็อกพี่ทุกช่องทาง” หืม  ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงได้กลายเป็นแบบนั้นไปได้ แต่มันก็....

     ผมจะดูเลวไปไหมถ้าผมบอกว่าลึก ๆ ผมก็แอบดีใจที่เรื่องที่ทำให้พี่ชลเสียใจ แต่ผมก็เป็นห่วงสภาพจิตใจพี่ชลมากนะ ขนาดตัวเองเพิ่งจะอกหักแต่ยังจะคิดที่จะมาตามนัดของเรา พี่ชลก็คงยังเป็นพี่ชลที่น่ารักของผมเสมอเลย

     “พี่ชลโอเคไหม”

     “โอเคสิ พี่ไม่เป็นไร ชินแล้วล่ะ ชีวิตพี่แม่งเป็นบ้าอะไรไม่รู้ จีบใครก็แห้วตลอด จะมีแฟนเป็นผู้หญิงมันยากนัก เดี๋ยวมีแฟนเป็นผู้ชายแม่ง” ประโยคสุดท้ายนั่น ผมรู้ว่านะว่าพี่ชลแค่ประชดชีวิตตัวเอง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนพี่ชลกำลังอ่อยผมอยู่ก็ไม่รู้ มันทำให้ผมมีความหวังนะรู้ไหม

     แต่มันก็จริงอย่างที่พี่ชลว่า ความรักของพี่ชลไม่เคยจะสมหวังอย่างใครเลยสักครั้ง ทั้ง ๆ พี่ชลก็หน้าตาดีแถมยังนิสัยน่ารักมาก ๆ แต่กลับไม่มีผู้หญิงคนไหนสนใจ ตั้งแต่ที่รู้จักกับพี่ชลมาผมยังไม่เคยเห็นพี่ชลมีแฟนจริง ๆ จัง ๆ เลยสักครั้ง หรือบางทีพี่ชลอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กับผู้หญิงก็ได้นะ ก็ไม่ได้อยากจะเข้าข้างตัวเอง แต่ไม่แน่ว่าพี่ชลอาจจะเกิดมาเพื่อคู่กับ.......ผม

     “ผมโทรหาพี่ได้ไหม”

     “เอาสิ”

     ผมรีบปาดน้ำตาและพยายามข่มน้ำเสียงให้หายสั่นเครือ ก่อนกดโทรศัพท์ต่อสายไปหาคนที่ผมอยากจะคุยด้วยที่สุดในเวลานี้ คืนนั้นผมกับพี่ชลเราคุยกันอยู่หลายชั่วโมง พี่ชลทั้งระบายความในใจและเหล่าเรื่องราวหลาย ๆ อย่างให้ผมฟัง อย่างน้อยผมก็ยังรู้สึกดีใจที่เราสนิทกันมากพอที่พี่ชลจะเหล่าเรื่องหลาย ๆ ที่ดูเป็นส่วนตัวมาก ๆ ให้ผมฟัง แต่มันยังคงมีประโยคหนึ่งในบทสนทนา ซึ่งพี่ชลก็ชอบพูดประโยคนั้นให้ผมฟังบ่อยครั้ง ไม่ใช่แค่เฉพาะในการสนทนาครั้งนี้  ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วความหมายของประโยคนั้นเป็นความหมายที่บวก แต่ผมกลับรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่ได้ยินมัน

     “พี่รักแกเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของพี่นะพัตเตอร์”

     ..............แต่ผมไม่ได้รักพี่แบบนั้นน่ะสิ



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎


 
     ♫ “เหม่อมองดูสายน้ำวน เหม่อมองสายชล ช่างไหลริน เหม่อมองดูนก ผกผินบินลับไป ยามเหงาเราถอนใจ บินไปไม่กลับมา” ผมดีดกีตาร์และร้องเพลงสลับกับการมองหน้าพี่ชลไปอย่างแอบนึกเขิน ช่วงเวลายามเย็นริมสระน้ำในสวนสาธารณะแห่งที่พี่ผมกับพี่ชลเรามาถ่ายรูปกัน บรรยากาศดี ๆ แบบนี้ แถมตอนนี้ก็มีแค่ผมกับพี่ชลอยู่กันแค่สองคน ช่วงเวลานี้เหมาะสมที่สุดแล้วที่ผมจะเล่นเพลงที่ผมตั้งใจฝึกซ้อมมาให้ชลฟัง ดีดกีตาร์และร้องเพลงเพราะ ๆ ให้คนที่เราฟังไปในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้านี่มันช่างสุดแสนจะโรแมนติก ถึงตอนแรกพี่ชลจะแอบบ่นก็เถอะว่าผมจะแบกกีตาร์มาเป็นภาระทำไม ก็แบกมาเพื่อการนี้ยังไงล่ะครับ

     ♫"เปล่าเปลี่ยวจริงหนอหัวใจ อยากจะรักใครเศร้าใจทุกครา"

     ถึงเนื้อหาเพลงมันจะแอบเศร้าสักเล็กน้อย แต่ผมก็ถ่ายทอดมันออกมาด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก มันอาจจะดูน้ำเน่าไปสักหน่อย แต่ผมก็ทำมันอย่างตั้งใจเพราะอยากให้คนที่ผมแอบรักเขาประทับใจและมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำให้เขา ดู ๆ แล้วพี่ชลก็น่าจะชอบมันอยู่นะ

     “พี่ชลชอบเพลงนี้ไหม”

     “ชอบสิ แกร้องเพลงเพราะเหมือนกันนะเนี่ย”

     “ผมก็ชอบ ชอบมาก ชอบมานานแล้วด้วย” ผมว่าพลางแอบสบตาพี่ชล พี่ชลจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าที่ผมบอกชอบผมไม่ได้หมายถึงเพลง แต่ผมหมายถึงตัวเขาต่างหากที่ผมชอบและรักมานานแล้ว

     “เพลงนี้มันชื่อเหมือนพี่ชลเลย ผมก็เลยอยากจะเล่นให้พี่ชลฟัง”

     “แกทำขนาดนี้ ถ้าพี่เป็นผู้หญิง พี่คงจะคิดว่าแกกำลังจีบพี่อยู่แน่ ๆ”


     แล้วที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้พี่คิดว่าผมกำลังทำอะไรอยู่อย่างนั้นหรือครับ ถ้าจะให้ผมพูดตรง ๆ ว่าผมกำลังจีบพี่อยู่จริง ๆ ผมก็กลัวพี่จะรับไม่ได้ แต่ผมก็อยากให้รู้ว่าผมอยากปกป้อง อยากดูแล อยากเป็นเจ้าของหัวใจของพี่นะพี่ชล จะมีสักวันบ้างไหมที่จะรู้สึกกับผมแบบเดียวกับที่ผมรู้สึกกับพี่....


     

      ♫ "มิเคยลืมภาพเราสองคน มิเคยลืมยังหลอกลวงตน มิเคยลืม ว่าเคยรักเธอสายชล" ♫



     TBC




เพลงสายชล
http://www.youtube.com/v/nc_gCy03A9I
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่พิเศษ พัตเตอร์ Part2 [4/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-12-2017 03:50:58
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่พิเศษ พัตเตอร์ Part2 [4/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 04-12-2017 11:10:26
น่ารักเน๊อะ ตอนนี้  :3123:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 13 ผีกับหมี [19/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 19-12-2017 23:31:03
ตอนที่ 13 ผีกับหมี




     “ผมรักคุณนะนวลจันทร์ ถ้าผมยังมีบุญพอจะได้เกิดชาติหน้า ไม่ว่าคุณจะเป็นใครขอให้เราได้เจอกันอีกครั้งและขอให้ผมรักคุณตั้งแต่แรกเห็น” เสียงของชายหนุ่มปริศนาที่กำลังกล่าวคำลาหญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขาเคล้าไปกับลมหายใจที่โรยรินราวกับคนกำลังจะสิ้นใจ การจะเอื้อนเอ่ยแต่ละคำพูดของเขาดูเหมือนกับว่ามันเป็นไปอย่างอยากลำบากเสมือนคนที่สิ้นไร้เรี่ยวแรง

     “คุณอย่าพูดอย่างนั้นสิคะชรัณ คุณต้องไม่เป็นอะไร” เสียงของหญิงสาวที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นคนที่ชายคนเมื่อครู่เรียกว่านวลจันทร์ กำลังร่ำไห้อย่างน่าเวทนาในชะตากรรมที่เธอกำลังจะต้องสูญเสียชายคนรักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

     “ผม.......รัก.............คุณ”

     เสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายของชายผู้นั้นสิ้นสุดลงไปพร้อมกับตัวผมที่สะดุ้งตื่นจากการหลับใหล เหงื่อผมแตกซ่านไปทั้งตัว หัวใจผมเต้นแรงมาก ผมสูดลมหายใจเข้าออกถี่และแรงร่างกายของผมในตอนนี้กำลังโหยหาอากาศหายใจอย่างเป็นที่สุด ฝันบ้าอะไรกันทำไมมันถึงทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยได้ขนาดนี้

     เสียงกล่าวคำอาลัยของชายหญิงคู่หนึ่งลอยมาอย่างไร้ทิศทางในความมืดมิด ผมจำได้คร่าว ๆ ว่าในฝันผมได้ยินเสียงของชายปริศนาคนนั้นเรียกผู้หญิงที่เป็นคู่สนทนาของเขาว่านวลจันทร์ นวลจันทร์อย่างนั้นหรือ นี่ผมยังอินอยู่กับเรื่องที่คุณตาของพัตเตอร์เล่าให้ฟังจนถึงขั้นเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะขนาดนี้เลยหรือนี่ ทั้ง ๆ ที่มันก็ผ่านมานานพอสมควรแล้วแท้ ๆ



     แทบจะเป็นกิจวัตรของผมไปเสียแล้ว เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในยามเช้ากับการกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องนอนของตัวเองอย่างมีความหวังว่าจะได้พบกับใครคนหนึ่ง คนที่ชอบมากวนประสาทผมเสมอยามที่ผมตื่น คนที่ผมคิดถึงแล้วเป็นห่วงเขาอย่างสุดซึ้ง คนที่ผมเฝ้ารอและเชื่อว่าอีกไม่นานเขาจะต้องกลับมา ผมมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกกับเขา และยังมีเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมอีกมากมายที่ผมอยากจะถ่ายทอดให้เขาเป็นผู้รับฟัง นี่มันก็หนึ่งเดือนเข้าไปแล้วนะที่ผมไม่ได้เจอหน้านายนั่นเลย

     ตอนนี้นายจะเป็นยังไงบ้างนะ นายกลับสักทีสินะโม



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     “พี่นีไม่เห็นนายนะโมบ้างเลยเหรอครับ” ผมนั่งชันเข่าอยู่ตรงข้างต้นกล้วยที่คาดว่าน่าจะเป็นกล้วยตานีที่คุณพ่อของผมเอามาปลูกในสวนของบ้าน โดยมีแม่ผีสาวสไบเขียวผู้เป็นเจ้าของต้นกล้วยต้นนั้นนั่งอยู่เคียงข้างและคอยรับฟังคำถามเดิม ๆ ที่ผมหยิบยกขึ้นมาถามเธออยู่บ่อยครั้งตั้งแต่ที่นายนะโมหายหน้าไป คำถามเดิม ๆ ที่เธอเองก็ไม่เคยให้คำตอบผมได้ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะถาม และได้แต่หวังพี่นีจะได้ข่าวคราวอะไรของนายนะโมบ้าง คุณลุงผู้ปกปักรักษาบ้านท่านก็ไม่ค่อยจะออกมาให้ผมได้พบบ่อยนัก เพราะฉะนั้นในเวลานี้ผมไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้วจริง ๆ

     “เฮ้อ น้องชลถามพี่นีแบบนี้อีกแล้ว พี่นีเคยบอกแล้วไงคะว่าดวงจิตของน้องนะโมในเวลาที่อ่อนแรงมาก ๆ แม้แต่พี่นีที่เป็นผีก็ไม่สามารถสัมผัสหรอกค่ะ อีกอย่างน้องนะโมกับพี่นีก็ใช่ว่าจะอยู่ในภพภูมิเดียวกันเสียทีเดียวนะคะ น้องนะโมเขายังไม่ตายเขายังไม่ได้เป็นผีโดยสมบูรณ์เหมือนพี่นี เป็นแค่ดวงจิตที่หลุดออกจากร่างชั่วคราวเท่านั้น ดวงจิตประเภทนี้เป็นดวงจิตที่อ่อนแอมากนะคะ การที่น้องนะโมใช้พลังเกินลิมิตของตัวเองมากขนาดนั้น มันเสี่ยงต่อการที่ดวงจิตจะแตกดับมากเลยนะคะ” พี่นีกล่าวไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนคนที่กำลังปลงกับสิ่งที่อนิจจังของโลกใบนี้ เรื่องดวงจิตของนายนะโมเธอเคยเล่าให้ผมฟังมาบ้างแล้ว ถ้าดวงจิตของนายนะโมแตกดับไปนายนั่นจะกลับเข้าร่างไม่ได้อีก  แม้แต่ดวงวิญญาณของเขาก็จะต้องสูญสลายไป ผมได้แต่เพียงภาวนาว่าขออย่าให้มันเป็นอย่างนั้นเลย ผมภาวนาในตอนนี้นายนั่นแค่กำลังเหนื่อยและกำลังพักผ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ต้นเหตุของเรื่องนี้มันเป็นเพราะผมแท้ ๆ เลย



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



      ในที่สุดไตรจักรก็พอจะมีเวลาออกมาให้ผมเลี้ยงข้าวตามคำสัญญาที่ผมเคยให้ไว้ตั้งนานนม ตอนแรกผมก็แอบกังวลเขาจะพาผมไปร้านแพง ๆ จนไอ้ชลต้องกินแกลบทั้งเดือนหรือเปล่า แต่เอาเข้าจริงมันกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมกังวลไว้อย่างสิ้นเชิงเลย ไตรจักรพาผมมาทานอาหารฟาสต์ฟู้ดในห้างสรรพสินค้า ที่ไม่ไกลจากที่ทำงานผมนัก ค่อยสบายใจหน่อย อย่างนี้กินให้เต็มที่ได้เลย ป๋าชลพร้อมจ่าย

     ไก่ทอดแบรนด์ดังนี่น่าจะเป็นสิ่งที่ไตรจักรโปรดปรานมาก ผมเห็นเขาทานได้อย่างดูท่าทางน่าอร่อยจริง ๆ มันช่างขัดกับมาดนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อในชุดสูทเท่ ๆ เสียจริง ๆ แต่อย่างไรเสียการมาทานข้าวไตรจักรวันนี้ ผมจะต้องไม่กลับไปมือเปล่า ผมจะต้องได้ข้อมูลอะไรสักอย่างที่พอจะเชื่อมโยงถึงนายนะโมได้กลับไปด้วยให้ได้ แต่ปัญหาก็คือผมจะเริ่มเปิดประเด็นพูดคุยในเรื่องนั้นกับไตรจักรได้ยังไงนี่สิ ถ้าขืนให้บอกไปตามตรงว่าผมมองเห็นวิญญาณของนายนะโมที่คาดว่าน่าจะเป็นคนในครอบครัวของเขา มีหวังไตรจักรคงได้หาว่าผมเป็นพวกสิบแปดมงกุฎเป็นแน่

     “เอ่อ จักรชอบไก่ทอดเหรอ” ผมรีบเปิดประเด็นแก้เขิน เมื่อไตรจักรหันมายิ้มอาย ๆ ให้ผม เขาคงจะรู้ตัวว่าถูกผมมอง ผมนี่ก็เสียมารยาทจริง ๆ ไปจ้องมองตอนเขากำลังทานแบบนั้น แต่รอยยิ้มแบบนั้นทำไมมันถึงได้เหมือนกันเหลือเกินนะ เหมือนมาก ถ้าผมไม่ได้อุปาทานไปเอง รอยยิ้มแบบนั้นของไตรจักรมันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าผมกำลังมองใบหน้าของนายนะโมที่กำลังยิ้มกลบเกลื่อนเวลาที่ถูกผมดุอย่างไรอย่างนั้น

     “ชอบมากเลยล่ะ สมัยเด็ก ๆ คุณพ่อพาเรากับพี่ศิลามากินบ่อย ๆ” พี่ศิลา? พี่ศิลาอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนกับว่าโชคดีกำลังเข้าข้างผม เมื่ออยู่ ๆ ไตรจักรก็เป็นฝ่ายพูดถึงชื่อคน ๆ หนึ่งขึ้นมา ชื่อนั้นสะดุดหูผมเข้าอย่างจัง รูปที่ไตรจักรถ่ายร่วมกับนายนะโม ไตรจักรเขียนแคปชั่นว่า My Family ซึ่งมันก็น่าจะมีความเป็นไปได้ว่านายนะโมอาจจะเป็นพี่ชายหรือไม่ก็น้องชายของไตรจักร หรือบางทีพี่ศิลาที่ไตรจักรพูดถึงก็อาจจะไม่ใช่ใครที่ไหน

     “พี่ศิลานั่นพี่ชายจักรเหรอ ครอบครัวจักรดูน่ารักดีนะ” ผมเริ่มถามเข้าประเด็นอย่างเกรง ๆ อย่างไรเสียผมกับไตรจักรก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน ไปถามลงลึกถึงครอบครัวของเขาขนาดนั้นมันก็อาจจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่มันก็จำเป็นจริง ๆ นี่นา
ไม่รู้ว่าคำถามของผมไปทิ่มแทงรอยแผลอะไรบางอย่างในหัวใจของไตรจักรหรือเปล่า เพราะหลังจากที่ผมถามเรื่องครอบครัวของเขา สีหน้าเขาก็ดูซึมและเศร้าไปเลย นี่ผมทำให้เขารู้แย่หรือเปล่านะ

     “เอ่อ เราขอโทษนะที่เสียมารยาทไป จักรโอเคไหม”

     “เราโอเค พอดีว่าคุณพ่อเราเสียไปได้สามปีกว่าแล้วน่ะ ส่วนพี่ศิลาตั้งแต่ที่เขารถคว่ำเมื่อปีก่อน จนถึงตอนนี้เขายังนอนเป็นเจ้านิทราไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย” แววตาของไตรจักรดูเศร้ามากเวลาที่พูดถึงครอบครัว ผมเลื่อนมือไปวางกุมบนมือหนาของไตรจักร แทนกำลังใจเล็ก ๆ ที่ผมพอจะมอบให้เขาได้ในเวลานี้ ไตรจักรก้มมองมือผมที่จับมือเขาก่อนจะยิ้มให้ผม ราวกับจะแทนคำที่บอกว่าเขาไม่เป็นอะไร

     พี่ชายของไตรจักรกำลังนอนเป็นเจ้าชายนิทรา กับนายนะโมที่วิญญาณออกจากร่างทั้งที่ยังไม่ตาย ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็หมายความว่าผมเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นมาอีกขั้น

     “ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ถ้าจักรมีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจ หรืออยากให้เราช่วยอะไรก็บอกเราได้ตลอดนะ”

     “ชล จะช่วยเราทุกเรื่องจริง ๆ เหรอ เรามีเรื่องสำคัญอยากให้ชลช่วยพอดีเลย” รอยยิ้มที่ดูชื่นมื่นกลับมาสู่ใบหน้าของไตรจักรอีกครั้ง พอจะให้ผมเบาใจลงได้ แต่คำถามที่เขาถามกลับมานั่นทำเอาผมนึกหวั่นใจอยู่ลึก ๆ หวังว่าเขาคงจะไม่ได้ให้ผมไปทำอะไรพิเรน ๆ หรอกนะ ผมได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ รับคำของไตรจักร ก็ลั่นวาจาไปแล้วนี่นา คนอย่างไอ้ชลคนแมนพูดแล้วไม่มีวันคืนคำหรอกน่า


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     บรรยากาศล้อมรอบตัวผมในตอนนี้เต็มไปด้วยตุ๊กตานา ๆ สายพันธุ์ ทั้งหมี ทั้งหมา ทั้งแมว รวมไปถึงสารพัดสรรพสัตว์ที่ถูกจำลองมาให้รูปแบบที่ดูน่ารักน่ากอด รวมไปถึงตุ๊กตาสาวน้อยตาโตที่ดูน่าจะถูกใจบรรดาเด็ก ๆ และคุณผู้หญิงมากมาย ก็ตอนนี้ผมอยู่ในร้านขายตุ๊กตานี่นา แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะหรือ

     “พอดีอาทิตย์หน้าจะเป็นวันเกิดของลูกสาวรุ่นพี่เรา เราไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรเป็นของขวัญให้แกดี เลยอยากให้ชลไปช่วยเลือก พอดีเราไม่ค่อยรู้ว่าเด็กผู้หญิงเขาจะชอบอะไรกัน ชลช่วยเราหน่อยนะ” นั่นคือสิ่งที่ไตรจักรบอกกับผมก่อนที่จะพาผมมาที่นี่ ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาคิดว่าผมจะเข้าใจเรื่องความชอบของเด็กผู้หญิงได้ดีกว่าเขา ผมเองก็นึกอะไรไม่ค่อยออกนอกจากเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ก็น่าจะชอบตุ๊กตากันทั้งนั้น ก็เลยชวนไตรจักรมาที่นี่


     ไตรจักรแยกไปเลือกตุ๊กตาอีกโซนกับพนักงานสาวที่ผมคาดว่าเธอคงจะช่วยให้คำแนะนำกับไตรจักรได้ดีกว่าผม ส่วนผมก็เดินดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย จะว่าไปตุ๊กตาพวกนี้นี่มันก็ดูน่ารักดีเหมือนกันนะ

     “ชล” เสียงนั่น!

     ผมตาลุกวาวเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของผมเองจากน้ำเสียงที่ผมคุ้นเคยลอยมาสะดุดหูผมเข้าอย่างจัง แต่จะเป็นพยางค์เดียวที่แสนสั้นแต่ผมก็จำเสียงของเขาได้ดี นั่นเสียงของเขาแน่นอนผมจำไม่ผิดแน่ ผมรีบหันมองรอบตัวหมายจะได้พบกับเจ้าของเสียงนั้นที่ผมอยากพบหน้าเขาเป็นที่สุดในเวลานี้ แต่แล้วผมก็พบเพียงความเปล่าท่ามกลางกองทัพตุ๊กตาขนปุยทั้งหลาย ผมคอตกและถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ นี่ผมคิดถึงเขามากจนหูแว่วไปเองเลยหรือนี่ เมื่อไหร่นายจะกลับมาสักทีนะโม

     “ชล” เสียงนั่นอีกแล้ว! ผมมีความหวังมาอีกครั้ง และหวังว่าผมคงจะไม่ได้หูฟาดไปถึงสองครั้งสองคราติดต่อกันหรอกนะ นายอยู่แถวนี้จริง ๆ ใช่ไหมนะโม

     “ชล” เสียงนั่นยังคงเรียกชื่อผมอย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังไร้เงาของผู้ที่ผมคาดว่าเป็นเจ้าของเสียง ผมหยุดนิ่งเพื่อตั้งใจที่จะจับทิศทางที่มาของเสียงนั้น ในที่สุดผมก็พบจุดที่คาดว่าน่าจะเป็นที่มาของเสียงนั้นจนได้

     “ชล ผมอยู่ตรงนี้” ให้ได้ตายเถอะผมสาบานได้นะว่าผมไม่ได้คิดไปเองและไม่ได้ตาฟาดกับสิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ เจ้าตุ๊กตาหมีขนปุยตัวเบ้อเร่อกำลังโบกมือทักทายราวกับว่ามันสิ่งที่มีชีวิตจริง ๆ อย่าบอกว่านั่นคือ....

     “นั่นนายเหรอนะโม” ผมเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าในบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่ ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบสื่อสารกับเจ้าตุ๊กตาหมียักษ์ตัวนั้น ถ้ามีใครผ่านมาเห็นเข้าคงจะได้นึกว่าผมเป็นคนบ้าที่ไหนมายืนพูดกับตุ๊กตาอยู่นี่

     “ผมเองชล คิดถึงผมล่ะสิ” โอเค เคลียร์ชัด น้ำเสียงยียวนแบบนั้นไม่ผิดตัวแน่ ๆ

     “แล้วนายหายไป ไหนมา แล้วทำไมไม่ปรากฏตัวออกมา”

     “ตอนนี้พลังผมยังมีไม่มากพอจะปรากฏตัวนี่นา เข้ามาอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้ได้ก็ถือว่าฟลุคมากแล้วนะ และผมไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย ผมก็แค่หมดแรงก็เลยพักเดี๋ยวเดียวแค่นั้นเอง” เดี๋ยวเดียวอย่างนั้นหรือ เดี๋ยวเดียวที่นายนั่นว่านี่ปาเข้าไปหนึ่งเดือนเต็ม ๆ เลยนะ



     “ชลอยากได้เหรอ” เสียงกล่าวทักของไตรจักรจากด้านหลังของผม ทำเอาบทสนทนาระหว่างผมกับนายนะโมในตุ๊กตาหมียักษ์ต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน ผมก็กลัวจะโดนหาว่าเป็นบ้าคุยกับตุ๊กตาเหมือนกันนะ

     “ดูเหมือนชลจะชอบมันนะ เราเห็นชลยืนมองเจ้าหมีตัวนี้อยู่สักพักแล้ว” ไตรจักรว่าพลางเหลือบตามองไปยังเจ้าหมียักษ์ เอ่อ ว่าแต่ผมควรจะตอบเขาว่ายังไงดีล่ะ

     “เปล่า ๆ เราเห็นมันตัวใหญ่ก็เลยมองเฉย ๆ เราไม่ได้ชอบเล่นตุ๊กตาสักหน่อย ว่าแต่จักรเลือกตุ๊กตาได้แล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะ” ผมรีบชิงตัดบทเพื่อจะพาไตรจักรออกห่างจากเจ้าหมียักษ์ให้เร็วที่สุด เพราะเกรงว่าจะถูกสงสัย ถึงเจ้าหมีตัวนั้นข้างในจะมีดวงจิตของนายนะโมแฝงอยู่แต่ก็ใช่ว่าผมจะอยากได้มันสักหน่อย ชายฉกรรจ์อย่างไอ้ชลคนแมนจะไปสนใจตุ๊กตาหมีหน้าตาซื่อบื้ออย่างนั้นได้ยังไงกันล่ะ ขืนให้ผมอุ้มตุ๊กตากลับบ้านผมคงอายเขาแย่ ส่วนนายวิญญาณที่ซื่อบื้อพอกับหน้าตาเจ้าหมียักษ์ที่อยู่ข้างในนั้นก็ตามไปคุยกันที่บ้านก็แล้วกัน 



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     “ราคาเก้าพันแปดร้อยเก้าสิบบาทค่ะ” คุณพนักงานคนสวยกล่าวหลังจากใช้เครื่องแสกนบาร์โค้ดที่ติดอยู่ที่ตัวเจ้าหมียักษ์ ผมยิ้มแห้ง ๆ อย่างเขิน ๆ ให้ไตรจักรเมื่อรู้ตัวว่าเขากำลังอมยิ้มแล้วมองผมอยู่ ก่อนจะเหลือบไปมองเจ้าหมียักษ์หน้าตาซื่อบื้อที่สัมผัสได้ถึงหน้ายิ้มแป้นแล้นจนน่ากระโดดกัดหูจากนายนะโมที่แฝงตัวอยู่ภายใน สุดท้ายผมก็ต้องซื้อจนได้แล้วก็ดันเหมือนว่านายนั่นช่างเลือกมาเลือกสิงอยู่ของแพงเสียด้วย ผมล่ะอยากจะมุดเข้าไปดูในตัวเจ้าหมียักษ์นั่นจริง ๆ ว่าถักทอด้วยวัสดุอะไรถึงได้มีราคาแพงหนักหนาทั้งที่หน้าตาออกจะซื่อบื้อขนาดนี้ เดือนนี้ไอ้ชลคงได้แย่งปลวกแทะฝาบ้านกินเป็นอาหารเป็นแน่

     “เอ่อ เดี๋ยวคิดเงินรวมกับของผมเลยนะครับ” ไตรจักรว่าพลางยื่นบัตรเครดิตให้พนักสาว

     “เฮ้ย จักรไม่ต้องจ่ายให้เรานะ ของแพงขนาดนี้เราเกรงใจ” ผมรีบทักท้วงอย่างทันควัน ของแพงขนาดนั้นถ้ายอมให้ไตรจักรจ่ายให้ละก็มีหวังครั้งหน้าผมคงต้องตอบแทนเขามากกว่าอาการหนึ่งมื้อเป็นแน่ ยังไงก็อดหวั่นใจไม่ได้

     “เล็กน้อยน่าครั้งเราเต็มใจซื้อให้ชลเองเราไม่ได้จะให้ชลมาตอบแทนหรอกน่า ก็ชลอุตส่าห์สละเวลามาช่วยเราเลือกของขวัญ” ไตรจักรพูดราวกับว่ารู้ความในใจของผม ก่อนจะหันไปยืนยันกับพนักงานสาวอีกครั้ง ผมทำตัวไม่ถูกเลยตอนนั้นเงินร่วมหมื่นสำหรับไตรจักรมันอาจจะเล็กน้อยก็จริงแต่ยังไงผมก็เกรงใจอยู่ดี และผมก็ไม่ได้ช่วยเขาเลือกของขวัญอะไรมากมายสักหน่อย แค่นำเสนอไอเดียและพามาที่นี่ก็เท่านั้นนอกเหนือจากนั้นคุณพนักงานคนเก่งช่วยให้คำแนะนำล้วน ๆ



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     ผมพินิจมองเจ้าหมียักษ์วางอยู่ข้างหัวเตียงผมอย่างใช้ความคิด สาเหตุที่ต้องเอาเจ้านี่กลับมาด้วยน่ะหรือ ก็เพราะตอนที่ผมกำลังจะพาไตรจักรออกมาจากตรงนั้น นายนะโมที่อยู่ด้านก็ดันท้วงขึ้นมาว่า ถ้าผมไม่เอาเจ้าหมียักษ์นี่กลับมาด้วยก็ไม่รู้ว่านายนั่นจะสามารถเข้าไปอยู่ในสิ่งของอย่างอื่นได้อีกเมื่อไหร่ เพราะการที่เข้ามาอยู่ในเจ้าหมียักษ์นี่ได้เจ้าตัวถึงกับออกปากว่าเป็นเรื่องที่ฟลุคมาก ๆ ตอนนี้พลังของนายนั่นยังไม่แข็งแรงพอหากไม่ได้สิงอยู่ในสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งนายนั่นก็จะไม่สามารถสื่อสารกับผมได้ เจ้าหมียักษ์ตัวนี้ก็เลยเปรียบเสมือนบ้านพักดวงจิตของนายนั่น ผมก็เลยจำเป็นต้องเอามันกลับมาด้วย นี่ดีนะวันนี้คุณนายนกยูงไม่อยู่บ้านผมเลยแบกเจ้าหมียักษ์ขึ้นห้องได้สะดวกไม่อย่างนั้นล่ะก็ผมคงจะต้องใช้สมองคิดคำตอบมากมายสำหรับคำถามของคุณนายนกยูงที่ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมาในรูปแบบไหน แต่ เอ ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ขนาดนี้กับขนปุกปุยแบบนั้น เห็นแล้วมันก็....

     น่าหมั่นเขี้ยวเหมือนกันนะ


     “เฮ้ย! ชลทำอะไร” เสียงประท้วงจากวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างของเจ้าหมียักษ์ดังขึ้นมาเมื่อผมกระโดดเข้าใส่เจ้ายักษ์ขนปุยแสนนุ่มนิ่มนั้น



☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     ผมนั่งพิงเจ้ายักษ์ พร้อมทั้งหอบหายใจระรัว เมื่อสักครู่นี้ผมเพิ่งใช้พลังงานในร่างกายไปสูงกับการฟัดหมี ผมทั้งฟัดทั้งทุบจนหนำใจส่วนหนึ่งก็เพราะความหมั่นเขี้ยวขนปุกปุยนั้น อีกส่วนหนึ่งเพราะความขุ่นเคืองก็เพราะนายนั่นทิ้งให้ผมต้องรออยู่ตั้งเนิ่นนาน ถึงจะเข้าใจในเหตุผลที่เขาต้องหายไป แต่ยังไงผมก็ต้องถูกทิ้งให้รอเขาโดยที่ผมไม่มีโอกาสได้รู้สักนิดเลยว่าเขาเป็นจะเป็นตายร้ายดียังไง รู้บ้างไหมว่าผมรู้สึกยังไง โทษฐานที่ทำให้ผมต้องกระวนกระวายใจมาทั้งเดือน ยังไงก็ขอระบายผ่านกำปั้นกับเจ้าหมียักษ์หน่อยเถอะ ส่วนที่ฟัดหรือเอาหน้าซุกไปนั้นเพราะตุ๊กตาเจ้าหมียักษ์ล้วน ๆ นะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายนะโมสัดนิดจริง ๆ

     “ชล คนผีทะเล ผมเสียหายนะ มาขืนใจผมแบบนี้ต้องผิดชอบด้วยนะ” นายนะโมว่าพลางทำเสียงราวกับว่ากำลังจะร้องไห้ที่ฟังดูแล้วออกจะน่าหมั่นไส้มากกว่านางสงสาร ทีอย่างนี้มาทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว

     “อย่าพูดมากน่า แล้วไม่ชอบหรือไงฮะ” ……รีแอคชั่นด้วยความเงียบจากนายนะโมทำให้ผมรู้ตัวว่าได้พูดอะไรที่ไม่เข้าท่าออกไปเสียแล้ว เมื่อนึกคำถามของตัวเองเมื่อครู่ทำเอาผมเขินตัวเองอยู่ไม่น้อย นี่อะไรดลใจให้ผมพูดแบบนั้นออกไป

     “รู้ตัวไหมว่าชลกำลังอ่อยผมอยู่นะ” เสียงกระเส่าที่กระซิบตรงข้างหูผมนั้น ทำเอาผมขนลุกวาบไปทั้งตัว อ่อยอะไร อ่อยใคร ใครอ่อย ผมไม่รู้เรื่องด้วยสักหน่อย ผมตั้งใจจะลุกหนีไปแต่ดูท่าว่าจะไม่ทันกาลเมื่อผมถูกสองแขนอวบอ้วนของเจ้าหมียักษ์กอดรัดเอาไว้เสียก่อน นี่นายนั่นคิดจะทำบ้าอะไรของเขา

     “อยากกอดชลแบบเต็มไม้เต็มมือแบบนี้ตั้งนานแล้ว” ถ้าแค่กอดอย่างเดียวผมก็คงจะไม่ว่าอะไร แต่นี่รู้สึกตัวอีกทีผมก็นอนราบอยู่บนเตียงโดยมีเจ้าหมียักษ์คร่อมทับตัวผมอยู่บ้านบนแล้ว เอ่อ นี่ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

     “เฮ้ย นี่นายจะทำอะไร”

     “เมื่อกี้นี้ผมยอมชลไปแล้วนะ คราวนี้ก็ต้องเป็นตาผมบ้างสิ” น้ำเสียงกรุ้มกริ่มแบบนั้นถึงแม้ผมจะมองไม่เห็นใบหน้าที่แฝงอยู่ในตัวเจ้าหมียักษ์แต่มันก็พอจะทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความหื่นขั้นสุดที่ซ่อนอยู่ เอ่อ อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะเว้ย ไม่นะ ไม่!!!!!!!



    “นะโม!!!!”
 






TBC
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 13 ผีกับหมี [19/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-12-2017 23:53:21
  :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 13 ผีกับหมี [19/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-12-2017 09:43:37
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 13 ผีกับหมี [19/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 20-12-2017 12:26:44
อย่าว่าเรานะ แต่นะโมตอนนี้เหมือนพี่หมีหื่นเลยอะ 5ุ555 :m20:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 13 ผีกับหมี [19/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 20-12-2017 17:51:01
ตอนหน้าเจอกันกับตอน "น้ำมันพราย" นะครับ

http://www.youtube.com/v/g2sBKuPiGG0 
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 14 น้ำมันพราย [28/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 28-12-2017 16:49:08
     ตอนที่ 14 น้ำมันพราย





     ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นใครกันนะ แต่งเนื้อแต่งตัวราวกับว่าหลุดออกมาจากยุคคุณปู่ตอนหนุ่ม หน้าตาท่าทางแบบนั้นผมมั่นใจว่าผมไม่เคยรู้จักหรือพบเจอกับชายผู้นี้มาก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าผูกพันกับเขาเหลือเกิน รอยยิ้มละมุนของเขาและแววตาหวานซึ้งที่กำลังจ้องมองมาที่ผม มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนหัวใจมันหวิว ๆ และเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ผมก็ไม่แน่ใจว่าอาการแบบนี้เขาเรียกว่าเขินหรือเปล่า นี่นอกจากนายนะโมแล้วยังมีผู้ชายคนอื่นที่ทำให้ผมรู้สึกได้แบบนี้ได้ด้วยหรือนี่

     ยังไม่ทันที่ผมจะได้เริ่มจับต้นชนปลายอะไร รู้สึกตัวอีกทีชายคนนั้นก็เริ่มไกลห่างออกไปจากผมเรื่อย ๆ ในความรู้สึกของผม ผมกำลังพยายามที่จะไขว่คว้าไม่ให้ชายผู้นั้นจากผมไป แต่ยิ่งเอื้อมมือไปก็รู้สึกราวกับเขาก็ยิ่งห่างไกลออกไป ถึงแม้ว่าผมพยายามที่ก้าวตามเขาไปแต่ดูเหมือนกับว่าผมไม่มีทางที่จะตามเขาไปได้ทัน ทุกครั้งที่ก้าวเท้าเข้าไปชายผู้นั้นก็ยิ่งห่างออกไปเป็นสองเท่า

     “อย่าไปนะ อย่าทิ้งไปผมไป กลับมา” ผมตะโกนร้องห้ามเพื่อรั้งเขาด้วยน้ำเสียงฟูมฟาย น้ำตาของผมไหลพรากอาบเต็มสองแก้ม ความรู้สึกในตอนนั้นมันเหมือนกับว่าการจะต้องจากลากับชายผู้นั้นมันช่างเป็นที่เลวร้ายและแสนจะทรมานในหัวใจผมเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร

     ท้ายที่สุดเสียงเรียกและน้ำตาของผมไม่ก็สามารถรั้งตัวเขาเอาไว้ได้ เมื่อภาพของเขาที่ปรากฏต่อสายตาของผมมันเริ่มเลือนลาง และในที่สุดของเขาก็หายไป ผมทรุดตัวลงกับพื้นราวกับว่าสิ้นไร้เรี่ยวแรงที่จะทรงตัว ความรู้สึกในตอนนั้นมันเหมือนกับโลกทั้งใบมันกำลังจะพังทลายและหัวใจของผมกำลังจะสลาย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผม และผู้ชายคนนั้นเขาเป็นใครกัน ทำไมเขาถึงมีผลกระทบต่อความรู้สึกของผมได้เพียงนี้

     เป๊าะ

     “ชรัณ!” สิ้นเสียงดีดนิ้วของพี่โรส ผมตะโกนชื่อนั้นออกมาพร้อมกับดวงตาที่เปิดขึ้น

     “เป็นยังไงบ้างจ๊ะ คราวนี้เริ่มจะเห็นอะไรบ้างหรือยัง” แววตาที่พี่โรสมองผมมันดูเหมือนเธอกำลังพออกพอใจกับผลงานของตัวเองอย่างมาก และครั้งนี้ก็คงจะเป็นแรกที่ผมไม่ได้เห็นเพียงแค่ความว่างเปล่าในยามที่กำลังถูกสะกดจิต หลังจากที่ผมแวะเวียนมาใช้บริการพี่โรสหลายต่อหลายครั้งแล้วก็แทบจะต้องคว้าน้ำเหลวกลับไปเสียทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

     “ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งครับพี่โรส ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร แต่ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขาสำคัญกับผมมาก ๆ” เพียงแค่นึกถึงภาพในตอนนี้ผู้ชายคนนั้นกำลังจะหายไป มันก็ยังทำให้ผมใจสั่นได้อยู่เลย

     “พี่ว่าชลกำลังเข้าใกล้ในสิ่งที่ชลอยากจะรู้เข้ามาก้าวหนึ่งแล้วนะ ตอนนี้ชลก็นั่งพักทำใจสบายก่อนก็แล้วกัน แล้วก็อย่าลืมเช็ดน้ำตานะจ๊ะ” พี่โรสว่าพลางยืนผ้าเช็ดหน้าให้ผม ผมก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าน้ำตาของผมกำลังไหลอยู่จริง ๆ ไม่ใช่แค่เพียงในภวังค์ขณะที่กำลังถูกสะกดใจจิต

     ชรัณ ถ้าผมไม่ได้เบลอจนเลอะเลือน ผมมั่นใจว่าตอนที่ผมรู้สึกตัวขึ้นมาผมพูดชื่อนั้นออกมา ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ ผมถึงได้พูดชื่อนั้น แต่ที่แน่ ๆ ผมรู้สึกคุ้นกับชื่อ ๆ นั้นมาก เหมือนกับว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนแต่ก็ยังนึกไม่ออก ว่าแต่นั่นจะใช่ชื่อของชายคนนั้นหรือเปล่านะ แล้วชายคนนั้นจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องราวในอดีตชาติของผมกับนายนะโมหรือไม่ ยังคงเป็นสิ่งที่ผมจะต้องหาคำตอบ


☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     คืนนี้ผมออกมาสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมก็มีดื่มกันบ้างตามประสาที่นาน ๆ จะได้รวมตัวครบคนกันสักครั้ง  น้องจากผมกับเจสซี่แล้วก็ยังมีปอนด์ โก้ และเขม อ่อ ก็ไอ้เขมคนนี้นี่แหละ พ่อของน้องนะโมที่ผมยืมชื่อลูกมันมาตั้งให้นายนะโมอีกที

     “ชลมึงเป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้มึงดูไม่ค่อยสนุกเลยนะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจปรึกษาพวกกูได้นะ”

     “นั่นน่ะสิฉันเห็นมันดูเครียด ๆ มาได้สองสามวันแล้ว ก็เลยชวนมันมาผ่อนคลายพวกแกนี่แหละ”

     ปอนด์กล่าวทักท้วงถึงอาการที่ดูผิดปกติไปของผมโดยมีเจสซี่ที่กล่าวสนับสนุน นี่อาการมันผมมันออกชัดเจนจนเพื่อน ๆ เห็นได้ชัดกันขนาดนี้เลยหรือนี่ จะว่าไปแล้วมันก็เป็นอย่างที่ปอนด์มันว่าจริง ๆ นั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เราอยู่กันในสถานบันเทิง เพลงมัน ๆ ก็ถูกเปิดดังสนั่น บรรยากาศรอบ ๆ ตัวผู้คนก็ดูสนุกสนานครื้นเครงแต่ผมกลับไม่มีอารมณ์ที่จะบันเทิงไปกับสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย ก็ตอนนี้ความคิดของผมยังคงจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องของผู้ชายคนนั้น และชื่อชรัณ ตั้งแต่ที่ไปผมหาพี่โรสเมื่อสามวันก่อนจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดคิดหรือให้คำตอบอะไรกับตัวเองไม่ได้เลย

     “กูโอเค พอดีช่วงนี้ไอ้เจ็ดสีมันใช้งานกูหนักไปหน่อย” ผมฉีกยิ้มและพูดอย่างติดตลกให้เพื่อน ๆ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงผม แต่ดูท่าทางยัยเจ็ดสีคงจะไม่ค่อยตลกด้วยยัยนั่นหันมามองผมตาเขียวเชียว

     “กูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวมา”



     ผมลุกออกจากโต๊ะของกลุ่มเพื่อน เมื่อหันมองไปอีกมุมหนึ่งของร้านผมก็ถึงกับต้องส่ายหัวอย่างหน่ายใจกับสิ่งที่เห็น นั่นนายนะโมเขาคิดว่าตัวเองอยู่หน้าร้านยาดองหรือยังไงกันนั่น ท่าเต้นแบบนั้นนี่เป็นโชคดีของนายนั่นที่นอกจากผมแล้วไม่มีใครมองเห็น ท่าเต้นของนายนะโมถ้าขืนให้ใครเห็นแล้วละก็เกรงว่านายนั่นอาจจะได้ของฝากเป็นรอยเท้าติดตัวกลับบ้านไปหลายรอย อะไรมันจะสนุกขนาดนั้น

     ใช่ ตอนนี้นายนะโมกลับมาเป็นปกติดีแล้ว สามารถปรากฏตัวให้ผมเห็นได้ และพูดคุยสื่อสารกับผมได้ตรง ๆ โดยไม่ต้องผ่านร่างเจ้าหมียักษ์ แต่นายนั่นก็ยังยึดเอาเจ้าหมียักษ์เป็นบ้านพักอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะเวลาที่คิดจะมาถูกเนื้อต้องตัวผม เฮ้อ


     “นี่แกเดินประสาอะไรของแกดูสิ เสื้อผ้าฉันเลอะหมดแล้ว” เสียงตลวดแว้ดของยิ่งสาวคนนั้นดังขึ้น หลังจากที่ผมถูกหญิงสาวเจ้าของเสียงนั้นที่อยู่อาการมึนเมาเซถลาเข้ามาชนผมเข้าให้เต็ม ๆ จนเครื่องดื่มจากแก้วในมือของเธอหกเลอะเทอะชุดสวย ๆ ของเธอ เธอต่อว่าผมทั้ง ๆ ที่เธอเองที่เป็นฝ่ายเซถลาเกือบจะล้มจนมาชนผมเองแท้ ๆ จริง ๆ แล้วเป็นอาจจะเป็นโชคดีของเธอเสียอีกเพราะถ้าไม่ล้มมาชนผม ป่านนี้เธออาจจะได้หัวฟาดพื้นไปแล้วก็ได้

     “เอ่อ ผมขอโทษครับ” ผมยอมเป็นฝ่ายที่รีบกล่าวคำขอโทษ เพราะไม่อยากที่จะต่อความยาวกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

     “ขอโทษเหรอ แค่ขอโทษมันหายไหม รู้ไหมเสื้อผ้าของฉันราคาเท่าไหร่แกมีปัญญาชดใช้ได้แค่คำขอโทษเท่านั้นเหรอ” ดูท่าแล้วคำขอโทษของผมคงไม่ได้ทำให้พอใจสักเท่าไหร่


     “จริง ๆ แล้วแม้แต่คำขอโทษเธอก็ไม่ควรได้ เพราะที่ฉันเห็นเธอเป็นฝ่ายที่เมาจนมาชนเพื่อนฉันเอง” คงต้องขอบคุณยัยเจ็ดสีที่เข้ามาช่วยผมได้ทันเวลา เพราะถ้าจะให้ผมยืนโต้เถียงกับผู้หญิงผมก็คงทำตัวไม่ค่อยถูก

     ผมเองก็พยายามที่ปรามยัยเจ็ดสีด้วยเพราะกลัวเรื่องมันยืดเยื้อและไม่จบง่าย ๆ เพราะยัยนี่ขึ้นชื่อเรื่องความรักเพื่อน ถ้าเห็นเพื่อนโดนเอาเปรียบหรือโดนรังแกยัยเจ็ดสีพร้อมลุยเสมอ โดยเฉพาะกับคู่กรณีที่เป็นผู้หญิงแบบนี้

     ยัยเจ็ดสีกับผู้หญิงคนนั้นเถียงกันอยู่ครู่ใหญ่แบบไม่มีใครยอมใครชนิดที่ไม่มีใครสนใจคำห้ามปรามของผมที่เป็นคู่กรณีตัวจริง ดูท่าแล้วตอนนี้ทั้งสองฝ่ายคงอยู่ในจุดที่อารมณ์เดือดกันแล้วทั้งคู่ จนกระทั่งมีผู้ชายอีกที่ผมคาดว่าน่าจะรู้จักกับหญิงสาวคู่กรณีของผมเดินเข้ามาห้ามทัพ

     “มีเรื่องอะไรเหรอครับช่อฟ้า”

     “เต้คะ ช่วยช่อด้วย ไอ้สองคนนี้มันหาเรื่องช่อแล้วก็รุมรังแกช่อด้วย เต้ต้องจัดการให้ช่อนะ” นี่ผมฟังผิดไปหรือเปล่าผมกับยัยเจ็ดสีน่ะหรือที่ไปหาเรื่องเธอ มีแต่เธอเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายมาหาเรื่องพวกผมเอง หญิงสาวคนนั้นกระโดดเข้าไปออเซาะชายหนุ่มที่เพิ่งเข้ามาแล้วตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ

     “เฮ้ย พวกมึงรังแกเมียกูเหรอ” ผู้ชายคนนั้นเดินดุ่มตรงเข้าหาผมกับยัยเจ็ดสีท่าทางเอาเรื่อง ผมยกแขนขึ้นกันยัยเจ็ดสีจากผู้ชายคนนั้น ผมรู้ว่ายัยนั่นไม่กลัวแต่ถึงจะแก่นจะห้าวยังไงยัยนั่นก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดีนั่นแหละผมไม่ปล่อยให้ยัยเจ็ดสีโดนผู้ชายคนนั้นรังแกหรอก

     “มีปัญหาอะไรกันให้ผมช่วยเคลียร์ได้นะครับ ผมเป็นตำรวจ” บัตรตำรวจของโก้ดูเหมือนจะช่วยยุติเรื่องราวที่ตอนแรกดูมีทีท่าว่าจะบานปลายให้จบลงได้ และยังมีปอนด์และเขมที่เข้ามาสมทบด้วย ผู้ชายคนนั้นชะงัก ก่อนจะคาดโทษผมด้วยประโยคที่ว่าฝากไว้ก่อน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายที่ล่าถอยไปเองโดยที่แฟนสาวของเขาตามไปอย่างดูจะไม่ค่อยพอใจนัก

     เฮ้อ ผู้หญิงอะไรหน้าตาออกจะสะสวย ทำไมถึงได้มีนิสัยแย่แบบนี้นะ




☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     ถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วก็ยังเซ็งไม่หาย ยัยเจ็ดสีเองก็ยังบ่นถึงเรื่องนั้นในไลน์กลุ่มเกือบถึงเช้า ในตอนเช้าของวันถัดมาผมก็มาทำงานที่ร้านตามปกติ แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าร้านผมก็ต้องชะงักไปเสียก่อน เพราะความรู้สึกเหมือนว่าจะมีของเหลวที่เหนียว ๆ อุ่น ๆ ที่มีใครบางคนเอามาป้ายที่ต้นคอผม ใครกันนะมาแกล้งผมแต่เช้า

     ผมหันหลังกลับไปมองยังต้นเหตุ และผมก็ได้พบกลับเจ้าไกด์ที่กำลังยืนยิ้มหวานอ้าแขนรอประหนึ่งกำลังจะมีใครบางคนเข้าไปกอดตัวเอง

     “ไอ้ไกด์แกเอาอะไรมาป้ายฉัน”

     “อ้าว ทำไมพี่ชลไม่หลงรักผมล่ะ” เจ้าไกด์หน้าเสียไปหลังที่จากที่ถูกผมว่าให้อย่างหัวร้อน แค่เห็นหน้าไอ้เด็กนี่ผมก็หงุดหงิดแล้วยังจะมาเล่นอะไรไม่รู้เรื่องอีก

     “แล้วทำไมฉันจะต้องไปหลงรักแก”

     “ก็พี่ชลโดนผมป้ายน้ำมันพรายไปแล้วนี่ พี่ชลก็ต้องหลงรักผมสิ” หา! เมื่อครู่มันพูดว่ายังไงนะ ไอ้น้ำเหนียว ๆ ที่มันเอามาป้ายผมเมื่อสักครู่คือน้ำมันพรายอย่างนั้นหรือ ไอ้เด็กเวร!

     “ไอ้ไกด์ มึงยังกล้ามาที่นี่อีกเหรอ มานี่เลยมึง” ยังไม่ได้ทันที่ผมได้จะอ้าปากเพื่อพ่นคำที่ไม่น่าจะสุภาพนักใส่เจ้าไกด์ พัตเตอร์ก็โผล่พรวดออกมาจากร้านมาล็อคคอเจ้าไกด์แล้วฉุดกระชากลากดึงกันไปหลังร้านอีกตามเคย  เฮ้อ ไอ้เด็กพวกนี้นี่เล่นอะไรกันไม่รู้เรื่อง เคลียร์กันเองก็แล้วกันนะผมคงจะยุติความบาดหมางของเจ้าเพื่อนรักเพื่อนร้ายสองคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะผมเคยพูดเรื่องนี้กับพัตเตอร์ไปแล้วว่าไม่อยากให้มีปัญหากัน แต่เจ้าเด็กนั่นก็ยังยืนกรานว่าจะไม่ขอญาติดีกับอดีตเพื่อนรักอย่างเจ้าไกด์อีกแล้ว




☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     หลังจากที่หายไปหลังร้านกันพักใหญ่เจ้าเด็กสองคนนั้นก็กลับมาพร้อมกับรอยฟกช้ำที่หน้ากันอีกตามเคย เฮ้อ สรุปแล้วก็คือว่าเจ้าไกด์ไปโดนพวกสิบแปดมงกุฎหลอกขายน้ำมันพรายของเก๊มา ก็เลยเอามาทดลองใช้กับผม เจ้าเด็กไกด์นี่มันชักจะน่ากลัวขึ้นทุกวันคราวก่อนก็บุกเอาดอกไม้มาให้ผมถึงหน้าร้านคราวนี้เจ้าเด็กนั่นถึงขั้นจะเล่นของ นี่เจ้าไกด์มันเห็นว่าผมสวยเหมือนมารีญาหรือยังไงกันนะ



     ในช่วงบ่ายของวัน วันนี้พัตเตอร์มีเรียนช่วงบ่ายมาช่วยงานที่ร้านได้แค่ช่วงเช้า บางทีผมกว่ารู้สึกเจ้าเด็กนี่ก็ขยันเกินไปมีเวลาว่างก็น่าจะพักผ่อนบ้าง เรียนก็หนักแล้วยังมาช่วยงานที่ร้านเกือบจะทุกวัน เดี๋ยวคนอื่นเขาก็หาว่าผมกดขี่ใช้แรงงานเด็ก ส่วนเจ้าไกด์นั่นผมไล่เปิงกลับไปตั้งแต่รู้เรื่องน้ำมันพรายกำมะลอแล้ว

     ตอนนี้ผมเองก็กำลังง่วนอยู่กับการเกลี่ยสีและปรับแสงภาพพรีเวดดิ้งของลูกค้า ส่วนเจสซี่ก็กำลังพูดคุยอยู่กับลูกค้าคู่หนึ่งเป็นคู่รักที่มาใช้บริการสรรค์สร้างงานแต่งงานในฝันแบบครบวงจรของร้านเรา เห็นว่าสองคนนั้นรู้จักกับไอ้เขมเพื่อนผมก็เลยแนะนำมา ดู ๆ แล้วทุกอย่างมันก็ดูราวกับดำเนินจะไปอย่างเป็นปกติด้วยดีไม่ได้มีอะไรผิดแผกไปจากทุก ๆ วัน แต่ทว่าในสิ่งผมพอจะรู้สึกได้นั้น ทุกอย่างในวันนี้ของผมมันเริ่มที่จะไม่ปกติตั้งแต่ที่คู่รักคู่นั้นก้าวเท้าเข้ามาในร้านนี้แล้ว

     ในสายตาของคนทั่ว ๆ ไปแล้วคู่รักคู่นั้นก็คงจะเป็นคู่รักที่กำลังหวานชื่นตามแบบฉบับของชายหญิงที่กำลังจะเข้าประตูวิวาห์ไม่มีสิ่งที่ดูแตกต่างจากคู่รักทั่ว ๆ ไป  คงจะมีเพียงแค่ผมเท่านั้นที่รู้สึกได้ถึงความไม่ปกติของเขาทั้งคู่ ละอองควันดำสีจาง ๆ ที่ลอยคละคลุ้งอยู่รอบ ๆ ตัวของฝ่ายชายนั่นคือสิ่งผิดปกติสิ่งแรกที่ผมเริ่มที่จะสัมผัสได้ และคงจะมีผมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็นมัน

     นอกจากละอองควันนั่นแล้วความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เข้าจู่โจมผมก็เป็นอีกความผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่สองคนนั้นเข้ามา ผมทั้งรู้สึกเหมือนกับว่าจะหายใจไม่ทั่วท้อง วิงเวียนศีรษะ รวมไปถึงมีอาการพะอืดพะอมอยากจะอาเจียน ราวกับว่าในห้องนี้มันอบอวนไปด้วยอากาศที่เป็นพิษอย่างไรอย่างนั้น อาการผิดปกติในร่างกายเหล่านั้นมันเริ่มที่จะเล่นงานผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดผมก็ไม่อาจจะทานทนนั่งอยู่ในห้องนั้นอีกต่อไป



     ผมยืนหอบหายใจอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำอย่างหมดเรี่ยวแรงหลังจากที่เพิ่งสำรอกเอาของที่ทานออกมาชุดใหญ่ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบจะหมดไส้หมดพุง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันนะ

     “อาเจียนขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าชลท้อง” ผมหันมองตาขวางใส่นายแจ็คเก็ตแดงที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาทำหน้าตาตื่นพร้อมพูดประโยคที่ชวนให้โมโหแบบเมื่อครู่นี้ออกมา นายนั่นคิดว่าผมมีมดลูกหรือยังไง หลังจากที่เจอสายตาพิฆาตของผมไป นายนะโมก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ และหัวเราะแห้ง ๆ ทำตลกกลบกลืน

     “อย่าอารมณ์เสียสิ ผมก็แค่เล่นมุกไม่อยากให้ชลเครียด ผมรู้นะว่าชลกำลังเครียดเรื่องผมแถมยังคิดมากเรื่องสองคนข้างนอกนั่นอีกใช่ไหมล่ะ”

     “นายรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนั้น”

     “ผมคิดว่าผมรู้แต่ผมไม่บอกชลหรอก ขืนผมบอกไปชลก็ต้องไปดิ้นรนหาทางช่วยเขาจนตัวเองต้องเดือดร้อนอีก เรื่องนี้มันอันตรายเกินไป การไม่รู้ไม่เห็นมันน่าจะปลอดภัยกับตัวชลที่สุด” นายนะโมพูดเพียงเท่านั้น นายนั้นก็หายวับไปต่อหน้าต่อผมหลังจากพูดจบ ราวกับรู้ตัวว่ากำลังจะต้องถูกผมคาดครั้น ได้ยังไงกันมาทิ้งปริศนาไว้แล้วก็หนีไป อย่างนี้ผมก็ยิ่งอยากรู้น่ะสิ


     และผมต้องหัวเสียอีกครั้งเมื่อพบว่าผมไม่สามารถที่จะเปิดประตูห้องน้ำได้ ไม่ว่าจะพยายามออกแรงเท่าไหร่ผมก็ไม่สามารถที่จะเปิดมันออกได้ ทั้ง ๆ ที่ลูกบิดมันก็ไม่ได้ถูกล็อค แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันราวกับมีคนฉุดรั้งประตูอีกฝั่งต้านแรงผมไว้อย่างไรอย่างนั้น

     “ฝีมือนายใช่ไหมนะโม” ผมเริ่มที่จะโวยวายใส่นายคนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นตัวการ

     “ชลอยู่ในนี้นั่นแหละดีแล้ว ไว้ให้สองคนนั้นกลับไปก่อนชลค่อยออกมาก็แล้วกันนะ” โผล่มาแค่เสียงก็ยังน่าโมโห นายนั่นคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์อะไรถึงจะมาขังผมไว้แบบนี้ได้

     “ได้ ถ้านายไม่ปล่อยฉันออกไปละก็ฉันจะอธิษฐานถึงท่านผู้ดูแลที่นี่ให้ไล่นายออกไป”

     แกร๊ก

     ในที่สุดก็สามารถเปิดประตูออกมาได้อย่างง่ายดาย นายนั่นคิดว่าหรือจะสามารถเอาชนะผมได้ ฝันไปเถอะ ผมผายมือและยกไหล่ยกผู้มีชัยใส่นายนะโมที่กำลังยืนหน้ามุ่ยอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ผมเข้าใจว่านายนั่นหวังดีกับผม แต่การที่จะมากันผมไม่ให้พบสองคนนั้นอีกในวันนี้มันจะมีประโยชน์อะไร เพราะถึงยังไงผมก็ต้องทำงานให้กับพวกเขาและก็ต้องเจอพวกเขาอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว



     ผมตั้งสติให้มั่นและสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอดก่อนที่จะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน แต่บางทีถ้าผมรู้ล่วงหน้าว่าการกลับมาที่ห้องนี้แล้วจะต้องพบเจอกับอะไรผมอาจจะยอมปล่อยให้นายนะโมขังผมเอาไว้ในห้องน้ำก็ได้
หญิงสาวท้องโตที่ยืนอยู่ด้านหลังชายหญิงคู่นั้นทำเอาผมถึงตาค้าง ร่างกายของเธอไหม้เกรียมทั้งตัวจนมีเขม่าควันลอยคละคลุ้งออกมาจากตัวเธอ เลือดที่ไหลออกมาจากภายในร่างกายอาบเต็มสองขาของเธอและเจิ่งนองอยู่เต็มพื้นราวกับคนกำลังตกเลือด  และที่น่าสยดสยองไปกว่านั้นก็ตรงที่หน้าท้องกลมโตของเธอนั้นมีศีรษะของเด็กทารกที่โชกไปด้วยเลือดผลุดทะลุออกมาจากหน้าท้องของผู้เป็นแม่และส่งเสียงร้องไห้งอแงเสียงดังสนั่น

     ดูเหมือนกับว่าเธอคงจะรู้ตัวแล้วว่ามีคนที่กำลังมองเห็นตัวเธอ เมื่อเธอค่อย ๆ หันมองมาทางผมอย่างช้า ๆ ช้าพอ ๆ กับจังหวะการหายใจของผมในวินาทีนั้นที่เรียกได้ว่าแทบจะหยุดหายใจ ดวงตาที่แดงก่ำที่แฝงไปด้วยความเจ็บแค้นที่มีอยู่เปี่ยมล้น มันคงจะเป็นภาพติดตาที่ผมคงจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต






TBC
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 14 น้ำมันพราย [28/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-12-2017 17:48:35
ว๊ากกกก น่ากลัวมากๆ อ่านแล้วนึกภาพตาม ชลจะช่วยเขาได้อีกหรือเปล่านะ
 :ling3:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 14 น้ำมันพราย [28/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 28-12-2017 20:29:14
ตอนนี้เข้มข้นมาก
ผีท่าทางจะดุ
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 14 น้ำมันพราย [28/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-12-2017 22:17:29
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 14 น้ำมันพราย [28/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: Nekosama ที่ 29-12-2017 10:48:58
รอบนี้ไม่ควรยุ่งด้วยจริงๆ ผีตายทั้งกลมโคตรอภิมหาเฮี้ยนมาก แรงแค้นสุดยอดการันตีโดยนาซ่า ถ้าเข้าไปยุ่งมีหวังนะโมได้ตายจริงๆแน่...
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 14 น้ำมันพราย [28/12/2560]
เริ่มหัวข้อโดย: tardirus ที่ 29-01-2018 00:54:50
ชอบเรื่องนี้อ่ะ ฟิลคล้ายๆ xxxholic
เป็นกำลังใจให้คนแต่งเน้อออ :call:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 15 ตายทั้งกลม Part 1 [03-Aug-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 03-08-2018 21:22:04
ตอนที่ 15 ตายทั้งกลม



     “ผมรู้นะว่าคุณยังอยู่แถวนี้ ออกมาคุยกันดี ๆ เถอะ” ผมตัดสินที่จะเรียกหาเธอ ทั้งที่จริง ๆ แล้วผมเองก็ยังรู้สึกกลัวเธออยู่มาก วิญญาณของผู้หญิงตายทั้งกลมคนนั้น จนถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังงานจากแรงอาฆาตของเธอที่ยังคงคุกรุ่นอยู่แถว ๆ นี้

     ขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มตรง เจสซี่และคนอื่น ๆ ในร้านได้แยกย้ายกันกลับบ้านไปหมดแล้ว มีแค่ผมที่ยังอยู่ที่นี่โดยอ้างเหตุผลกับทุกคนว่าจะขออยู่เคลียร์งานให้เสร็จ และอาสาจะเป็นคนปิดร้านเอง แต่จริง ๆ แล้วผมตั้งใจจะอยู่เพื่อสื่อสารกับเธอต่างหาก เพราะแรงอาฆาตของเธอนั้นมันรุนแรงเหลือเกิน สภาพของเธอที่ผมเห็นเมื่อตอนกลางวัน ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเธอคงจะต้องทุกข์ทรมานมากเป็นแน่ และหากผมปล่อยให้เธอทำร้ายคู่รักคู่นั้น ก็เท่ากับว่าผมปล่อยให้เธอสร้างกรรมเพิ่ม และวิญญาณของเธอคงจะต้องทุกข์ทรมานหนักขึ้นไปอีกแน่ ๆ

     แม้ว่าผมจะเปิดไฟทั่วทั้งร้านจนสว่างโร่ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันช่วยให้ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศที่นี่ในตอนนี้ลดน้อยลงสักเท่าไหร่ แม้ว่าผมจะไม่ได้เปิดแอร์ในร้านแต่ผมก็ยังรู้สึกได้ว่ารอบ ๆ ตัวผมนั้นอากาศมันช่างเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจจนผมขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ผมรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบ ๆ ตัวผมในตอนนี้มันถูกปกคลุมไปด้วยความเศร้าและความหดหู่ที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูก จนมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัด กระอักกระอ่วน และอยากจะร้องไห้ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

     “ชลนี่จริง ๆ เลยนะ ผมบอกชลแล้วไงว่าอย่าเข้ามายุ่งเรื่อง มันอันตรายเกินไป ทำไมถึงไม่ฟังกันบ้างเลย” เป็นนะโมที่ปรากฎตัวขึ้นมาข้าง ๆ ผม สีหน้าของเขาดูทั้งร้อนใจและหน่ายใจไปในเวลาเดียวกัน คงเป็นเพราะผมไม่ยอมฟังคำเตือนของเขาและยังดึงดันที่จะสื่อสารกับวิญญาณของเธอคนนั้นให้ได้

     “ฉันเข้าใจนะนะโม ว่านายเป็นห่วงฉัน แต่นายจะให้ฉันปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นไปทำร้ายคนอย่างนั้นเหรอ ฉันทำไม่ได้หรอก และที่สำคัญถ้ามีนายอยู่ข้าง ๆ ฉันก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น” ผมยิ้มอ่อน ๆ ให้นะโมแทนคำที่ว่าผมชื่อมั่นในตัวเขา และก็ขอให้เขาเชื่อมั่นในตัวผม ว่าผมจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้

     “เฮ้อ ผมพร้อมที่จะปกป้องชลด้วยชีวิต แต่ผมกลัว กลัวว่าต่อให้ผมแรกด้วยชีวิตแล้วก็ยังปกป้องชลไม่ได้” นายนะโมถอนหายใจอย่างหน่าย ๆ เฮือกใหญ่ สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลเอามาก ๆ ผมเองก็พอจะเคยได้ยินมาอยู่บ้างว่าผีตายทั้งกลมนั้นน่ากลัวว่าผีใด ๆ ที่ผมเคยเจอมาทั้งสิ้น โดยเฉพาะเป็นผีตายทั้งกลมที่มีแรงอาฆาตสูงเช่นเธอคงนั้น


     เธอมาแล้ว!


     หัวใจของผมแทบจะหล่งร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อความรู้สึกนั้นพุ่งเข้ามาปะทะตัวผม ความรู้สึกที่บอกกับผมว่าเธอกำลังใกล้เข้ามา หลอดไฟทั่วทั้งร้านพร้อมใจกันกระพริบติด ๆ ดับ ๆ น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกส่งเสียงหัวเราะอันโหยหวนลอยมาตามลม เสียงนั่นมันช่างหลอนโสตประสาทจนชวนให้ขนหัวลุกเสียจริง ๆ

     “อ๊า ฮ่า ฮ่า ฮ่า มีอะไรจะพูดกับฉันก็ว่ามา”

     ผมหันมองไปทุกทิศรอบตัวอย่างอยู่ไม่สุขและหวาดระแวง ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธออยู่ตรงจุดไหนกันแน่ เพราะผมมองไม่เห็นเธอเลย มีเพียงน้ำเสียงอันน่าสะพรึงกลัวของเธอเท่านั้นที่เป็นสิ่งยืนยันว่าเธออยู่ที่นี่จริง ๆ

     “ชลตั้งสติ” นายนะโมสีหน้าเคร่งเครียดพยายามเตือนสติผมที่กำลังจะสติหลุดไปอยู่แล้วในตอนนั้น ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมกลัวเธอมาก เมื่อตอนที่เธอมาจริง ๆ ผมรู้สึกกลัวเธอยิ่งกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก แม้จะมาเธอให้ผมสัมผัสได้เพียงแค่เสียง แต่นั่นก็เป็นเสียงที่น่ากลัวจับขั้วหัวใจเหลือเกิน ผมพยายามที่จะควบคุมสติตัวเองให้อยู่ก่อนจะเริ่มพูดคุยสื่อสารกับเธอ

     “ผมไม่รู้หรอกนะว่าผู้ชายคนนั้นเขาทำอะไรให้คุณเจ็บช้ำ แต่คุณอโหสิกรรมให้เขาเถอะนะ อย่าสร้างบาปให้ตัวเองเลย” ผมพูดออกมาทั้งเสียงสั่นอย่างเกินจะควบคุมได้ สองตาของมองยังไม่หยุดที่จะสอดส่ายมองรอบ ๆ ตัวอย่างห้ามไม่ได้ ตอนนี้ผมแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว เพราะความหวาดระแวงไปหมดทุกสิ่งอย่าง อย่างน้อยเธอถ้าปรากฏตัวออกมามันอาจจะพอช่วยให้อาการหวาดระแวงขั้นรุนแรงของผมนั้นทุเลาลงได้ ถ้าผมได้พูดคุยกับเธอแบบเห็นหน้ากันชัด ๆ มันก็คงจะดีกว่าการพยายามสื่อสารกับเธอแบบไม่รู้ทิศรู้ทางเช่นนี้

     ผมต้องเสียวสันหลังวาบเมื่อมีเสียงแปลก ๆ นั้นลอยปะทะหูของผม มันเป็นเสียงฝีเท้าของบุคคลปริศนาที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ผมจากทางด้านหลังนั้น ผมหันขวับไปมองอย่างทันควัน แต่แล้วผมก็พบเพียงความว่างเปล่า

     “เฮ้ย!!!” หัวใจผมเกือบวายเมื่อผมหันหน้ากลับมาทางเดิมและพบว่าในเวลานี้เธอกำลังอยู่ตรงหน้าผมชนิดที่ห่างกันแค่ไม่ถึงคืบ

     ผมตกใจจนเข่าอ่อนและล้มทรุดลงกับพื้น สภาพร่างกายของเธอที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ ไม่ใช่สภาพที่ไหม้เกรียมน่าสยดสยองเหมือนครั้งที่ผมเห็นเธอเมื่อตอนหน้าบ่าย ในตอนนี้เธอปรากฏกายในสภาพที่ไม่ได้ดูต่างแตกไปจากมนุษย์ปกติ เธอมีหน้าตาที่สะสวย เธอสวมเสื้อผ้าสีขาวทั้งตัวและกำลังอุ้มเด็กทารกตัวน้อย ๆ อยู่ในอ้อมแขน แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังรู้สึกว่าเธอยังคงน่ากลัวมาก ๆ อยู่ดี เพราะรัศมีจากแรงอาฆาตที่ปกคลุมอยู่รอบ ๆ ตัวเธอนั้นมันช่างรุนแรงเหลือเกิน

     “อย่าทำอะไรชลนะ” นายนะโมกระโดดเอาตัวเองเข้ามาขวางกั้นระหว่างผมกับผู้หญิงคนนั้น นายนั่นพยายามที่จะกันเธอไม่ให้เข้าใกล้ผมได้

     “ถ้าฉันคิดจะทำอะไรเขาฉันทำไปนานแล้ว เขาอยากจะคุยกับฉันไม่ใช่เหรอ ฉันก็มาแล้วนี่ไง แล้วจะกลัวฉันทำไมล่ะ” น้ำเสียงที่เย็นและก้องกังวาลของเธอแม้แต่เวลาพูดแบบปกติก็ยังฟังดูหลอนจนคนที่ได้ยินอย่างผมแทบจะน้ำตาเล็ด

     “หลีกไปเถอะนะโม เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก” ผมว่าพลางดันตัวลุกขึ้นจากพื้น แม้จริง ๆ แล้วผมจะยังรู้สึกกลัวเธออยู่มาก แต่ผมก็เลือกที่จะพยายามแสดงท่าทางให้เสมือนว่าผมโอเคเพื่อให้นายนะโมสบายใจ แต่มันก็อาจจะจริงที่เธอว่านั่นแหละ ถ้าเธอคิดที่จะทำร้ายผมเธอคงทำไปนานแล้ว พอคิดได้อย่างนั้นก็พอจะเบาใจลงได้เปราะหนึ่ง

     ทีแรกนายนะโมก็ทำท่าเหมือนจะไม่ยอมหลีกไปง่าย ๆ แต่เพราะผมยังยืนยันในคำพูดของตัวเองอย่างชัดเจนผ่านทางการแสดงสีหน้า นายนั่นจึงยอมหลีกออกไปอย่างดูไม่ได้เต็มใจนักเพื่อให้ผมได้เผชิญหน้ากับเธอ

     “คุณคิดว่าฉันจะทำร้ายศักดิ์อย่างนั้นเหรอ ไม่มีทาง ฉันไม่มีทางทำร้ายผู้ชายที่ฉันรักหมดหัวใจ นังนั่งต่างหากที่สมควรตาย” เมื่อพูดถึงผู้หญิงที่ทำให้เจ็บแค้นเธอกดย้ำเน้นในน้ำเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำเพื่อให้รู้ว่ามันกลั่นออกมาจากความโกรธแค้นที่มีอยู่เต็มปรี่ในจิตใจ

     จริง ๆ แล้วคนที่เธอแค้นไม่ใช่เจ้าบ่าวอย่างที่ผมเข้าใจ แต่เป็นเจ้าสาวหรอกหรือที่เป็นผู้สร้างความพยาบาทที่มีพลังมหาศาลให้กับเธอ

     ดวงตาคู่สวยของเธอที่มีทั้งเจ็บแค้นและความเศร้าแฝงอยู่แววตา ราวกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างดึงดูดให้ผมจับจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น เมื่อผมได้มองดวงตาคู่นั้นผมก็รู้สึกราวกับแรงดึงดูดนั้นมันยิ่งดึงดูดให้ผมมองเห็นเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ผมมองเห็นเข้าไปลึกเรื่อย ๆ จนเข้าไปถึงห้วงความทรงจำของเธอ และในที่สุดผมก็ได้เห็นในสิ่งที่เธอเคยพบเจอมา




☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎



     คู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ชีวิตคู่ดูราบรื่นและมีความสุขดี ทั้งสองกำลังจะมีพยานรักด้วยกัน ผู้เป็นภรรยากำลังตั้งท้องจนใกล้จะถึงกำหนดคลอด และชายผู้เป็นสามีคนนั้นก็คือเจ้าบ่าวที่ผมได้เจอและวันนี้ และยิ่งสาวผู้เป็นภรรยาก็คือเธอ

     ในคืนนั้นผู้เป็นสามีจำใจต้องทิ้งให้ภรรยาที่กำลังท้องแก่อยู่บ้านคนเดียวในยามวิกาล เพราะมีงานสำคัญเร่งด่วนเข้ามาอย่างกะทันหัน ในคราวแรกเขาก็ดึงดันที่จะไม่ไปเพราะเขาเป็นห่วงภรรยาและลูกในท้อง แต่ผู้เป็นภรรยานั้นได้ออกปากยืนยันว่าเธอสามารถอยู่คนเดียวและดูแลตัวเองได้ ให้เขาไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเถิด เพราะเธอเกรงว่าผู้เป็นสามีจะต้องมีปัญหากับที่ทำงาน

     ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า การร่ำลาของเขาทั้งสองในวันนั้น จะเป็นการพูดคุยกันครั้งสุดท้ายในชีวิต

     กลางดึกสะงัดในคืนนั้นบ้านของพวกเขาเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นมาอยากไร้สาเหตุ หญิงสาวท้องแก่ติดอยู่ในกองไฟ เธอพยายามที่จะร้องขอความช่วย แต่ราวกับว่าเสียงของเธอจะส่งไปไม่ถึงผู้คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเลยสักนิด ทั้งที่บ้านของเธอก็อยู่ในจุดที่มีคนพลุกพล่านแต่ดูราวกับว่าไม่มีเพื่อนบ้านหรือคนที่สัญจรไปมาคนไหรรับรู้เลยว่าบ้านใกล้เรือนเคียงของพวกเขากำลังเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ อย่างกับว่าพวกเขากำลังถูกบังตาเอาไว้ด้วยเวทมนต์คาถา

     หญิงสาวและลูกในท้องถูกไฟคลอกเสียชีวิตอย่างน่าอเนจอนาถและน่าเวทนา เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมานก่อนจะสิ้นใจของเธอทำเอาผมถึงกับน้ำตาร่วง เธอช่างน่าสงสารเหลือเกิน

     หลังจากที่เธอสิ้นใจลง ภาพต่อมาที่ผมได้เห็นก่อนที่จะสะดุ้งออกภวังค์คือภาพของผู้หญิงอีกคนที่กำลังยืนหัวเราะร่าอย่างสาสมใจอยู่ที่ไหนสักแห่ง และผู้หญิงคนนั้นก็คือเจ้าสาวที่ผมได้เจอในวันนี้




☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎





     “หลังจากที่ฉันตายมันยังใช้ร่างของฉันเพื่อทำเสน่ห์ให้ผัวฉันไปหลงรักมัน เป็นยังไง ได้เห็นความชั่วช้าของมันแล้วคุณยังจะขอให้ฉันอโหสิกรรมอยู่ไหม”

     ใจผมยังสั่นและยังรู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้องกับการที่ต้องได้เห็นภาพการตายอันน่าเวทยาของเธอเมื่อครู่ เมื่อได้รู้ความจริงทั้งหมดผมไม่กล้าเลยที่จะเอ่ยปากขอให้เธออโหสิกรรม เพราะผมได้รู้แล้วความแค้นที่ถูกสร้างขึ้นในใจเธอนั้นมันหนักหนาเกินกว่าที่จะให้อภัยได้จริง ๆ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมนุษย์ถึงกระทำการเลือดเย็นกับมนุษย์ด้วยกันได้ถึงขนาดนี้






_______________________________________________________________________


ตอนนี้ยังไม่จบเดี๋ยวจะกลับต่อพาร์ทที่เหลือในรีพลายถัดไปครับ

หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 15 ตายทั้งกลม Part 1 [03-Aug-18]
เริ่มหัวข้อโดย: ตำไทยใส่พริกสิบเม็ด ที่ 03-08-2018 21:26:23
 part 2 [เดี๋ยวมาอัพเดทเนื้อหาครับ] :pig2: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: <<< อลวน "คน" กับ "ผี" >>> ตอนที่ 15 ตายทั้งกลม Part 1 [03-Aug-18]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-08-2018 22:15:26
หายไปนาน คิดถึ้งงง คิดถึง จะรอนะ
 :L2: :L2: