พิมพ์หน้านี้ - สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: anflierza ที่ 02-04-2017 22:38:28

หัวข้อ: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 02-04-2017 22:38:28
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


เมื่อชีวิตถึงคราวไร้วาสนา

ลี่หมิง เมธาสิทธิ์ หนุ่มน้อยนักเทควันโด หลานชายแสนรักของอาม่า

ดันต้องประสบพบเจอกับคราวซวยแม้ยังไม่ครบวัยเบญจเพสดี

ถูกแฟนหนุ่มรุ่นพี่ตัดสัมพันธ์อย่างไร้เยื่อไยไม่พอ

ความฝันที่จะติดทีมชาติก็มาหลุดมือไปอีก

ความบัดซบบังเกิดไม่จบไม่สิ้น ถ่ายเซลฟี่อยู่ดีๆดันร่วงหล่นกำแพงเมืองจีนไปโผล่ยุคโบราณ

เมื่อสวรรค์พลิกผันโชคชะตาโดยไม่มาปรึกษาหารือ

ลี่หมิงในร่างเยว่อ๋องแห่งราชวงศ์เว่ยจึงพลั้งพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

เจตจำนงค์เก่าถูกทำลายลง ชีวิตใหม่คงไม่อาจรอคอยสวรรค์บัญชา

เทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายหากท่านเปรมปรีดิ์กับหายนะที่มอบให้ข้า

ได้โปรดทราบด้วยเถิดว่ามันจะตลกเกินพอดีไปหน่อยแล้ว!



--------------------------


สวัสดีค่ะ ซังหวงตี้คนแต่งเรื่องนี้เองค่ะ
ปกติลงเรื่องนี้ในอีกสองเว็บอ่านนิยาย เพิ่งได้มีโอกาสมาลงในเว็บนี้ไม่นาน
ยังงงๆระบบเว็บบอร์ดอยู่บ้าง หากผิดพลาดประการใดต้องขอโทษด้วยนะคะ
ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้กับนักอ่านทุกๆท่านด้วยค่ะ
ไรท์ชอบอ่านความเห็นของนักอ่าน เชิญติชมแสดงความรักชอบเหม็นขี้หน้าตัวละครใดๆก็แล้วแต่ได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ  :laugh:

หัวข้อ: ตอนที่ 1 : คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ตกกำแพงเมืองจีน...กลายเป็นอ๋อง!!
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 02-04-2017 22:41:09
ตอนที่ 1 : คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ตกกำแพงเมืองจีน...กลายเป็นอ๋อง!!



“อาม่า ผมว่าพวกเราถ่ายรูปกันตรงนี้อีกสักสองสามรูปให้เห็นไอ้ฉากต้นไม้เปลี่ยนสีข้างหลังแล้วเดินไปดูตรงอื่นกันเถอะนะ ม่าดูสิ อิฐแถวนี้มันดูหลุดๆแตกๆ เหมือนจะพังแหล่มิพังแหล่ยังไงก็ไม่รู้อ่ะม่า”



เว่ยลี่หมิงหรี่เปลือกตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อยเพื่อสู้กับแสงตะวันในช่วงสายของเมืองจีน มือทั้งสองข้างรับหน้าที่แบกสัมภาระที่ไม่ใช่ของเจ้าตัวแม้แต่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าถือใบใหญ่ในมือซ้าย หรือไม้เซลฟี่สีชมพูในมือขวา สัมภาระเดียวที่เป็นของลี่หมิงเองคือเป้สะพายฟีบๆใบเดียวที่ถูกเนรเทศไปอยู่บนหลังเป็นที่เรียบร้อย



ลี่หมิงเดินไปพลางหายใจหอบกระชั้นไปพลางด้วยความเหนื่อยล้า เนื่องด้วยกำแพงเมืองจีนด่านซือหม่าไถนั้นไม่ใช่สถานที่ที่จะดูถูกกันได้ง่ายๆ ขึ้นชื่อยิ่งนักในเรื่องความยากลำบากของการเดินทางมาเพื่อชื่นชมวิวทิวทัศน์ที่งดงามราวกับสะกดทุกลมหายใจ หรืออย่างน้อยนักท่องเที่ยวคนอื่นนอกจากลี่หมิงก็คงคิดเช่นนั้น



เด็กหนุ่มชะงักฝีเท้าอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อคนตรงหน้าหยุดเดินกระทันหัน แถมกระเป๋าถือเจ้ากรรมในมือดันทำหน้าที่เป็นตัวถ่วงน้ำหนักชั้นดีทำให้ร่างกายเซไปติดกำแพง พลันสายตาไม่รักดีเผลอมองทอดลงไปเห็นความน่าหวาดเสียวของเหวเบื้องล่าง ชวนให้ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก



เว่ยลี่หมิงเดินลงปลายเท้าเบาราวกับกลัวยางรองเท้าสึก ครุ่นคิดจนหัวผุก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าทำไมแพคเกจทัวร์ท่องเที่ยวจีนที่อาม่าซื้อในงานโปรโมตการท่องเที่ยวถึงได้พามาดูจุดที่สุดแสนจะกันดารของกำแพงเมืองจีน แถมที่ที่ยืนอยู่ตอนนี้มองไปทางไหนก็ไม่เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ลี่หมิงได้แต่นึกสงสัยว่าลูกทัวร์ที่มาด้วยกันหายหัวไปอยู่ตรงไหนกันหมด



“อาหมิง ลื้อมันพุกจาโอเวอร์ กำแพงเมืองจีนนี่มังอยู่มาเป็นพังๆปี มังไม่รีบมาพังตอนอั๊วกะลื้อกะลังเดิงอยู่นี่หรอก แล้วถ้าลื้อร่วงลงไปจริงๆ ลื้อก็ใช้ไอ้วิชาตัวเบาอะไรของลื้อกระโดดกลับขึ้งมาสิ ลื้อจะกลัวอารายยย”



อาม่าพูดจายานคาง พร้อมส่ายหัวส่งเสียงจิ๊จ๊ะ มองค้อนปะหลับปะเหลือกไปที่หลานรักบ้างไม่รักบ้างด้วยแววตาไม่สบอารมณ์



“โธ่ ม่า ผมบอกไปกี่ทีแล้วว่าผมเป็นนักเทควันโด ไม่ได้เป็นจอมยุทธแห่งยอดเขาเหลียงซานจะได้มีวิชาตัวเบาอะไรนั่น”



เด็กหนุ่มทักท้วงอาม่าอย่างจนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็มิอาจทราบได้ ลี่หมิงมักโดนอาม่าแขวะด้วยเรื่องนี้อยู่เป็นกิจวัตร เนื่องด้วยอาม่าไม่เคยพอใจที่หลานชายคนเดียวของแกเลือกเป็นนักเทควันโด อาม่าอยากให้ไอ้หลานที่แกเลี้ยงมาเองกับมือไปทำมาหากินอย่างอื่นที่ดูมีหน้ามีตามากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็ทำงานที่ไม่ต้องมาทนเจ็บตัวให้แกเห็นอยู่ทุกวัน



“พุกไปก็เท่านั้ง อั๊วเคยบอกให้ลื้อไปเป็งดารา เป็งพระเอกหนัง เป็นบุ๊กลี ยังดีกว่ามาคอยเตะต่อยไปวังๆแบบนี้ เห็งมะ หน้าตาลื้อนี่ ที่ถูไถไปวัดไปวาได้ก็เพราะได้ความงามมาจากอั๊วหรอกนะ และนี่ อั๊วล่ะอยากให้ลื้อได้เห็งตอนอั๊วเปงสาวนะ อั๊วอ่ะนะ...”



ลี่หมิงกรอกตาทำหูทวนลมเมื่ออาม่าเข้าสู่โหมดเพิกเฉยความงามของธรรมชาติและเริ่มชื่นชมความงามของตัวเองสมัยยังเป็นสาวให้ฟังเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ควรจำ เด็กหนุ่มแสร้งพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนักแต่ก็พยายามทำเป็นตั้งใจฟัง สายตาเหม่อมองนก มองเมฆ มองเศษอิฐที่ตอนนี้ดูเหมือนจะน่าสนใจมากกว่าเดิม



มองบนอาม่านี่ผิดไหม?



“อาหมิง...มาๆ...มาถ่ายรูปกะอั๊วตรงนี้...เดี๋ยวอั๊วขอใส่แว่นกังแดดเพื่อความคูๆชิกๆก่อง..ลื้อหยิบแว่งออกมาให้อั๊วซิ”



อาม่าเปลี่ยนมาชี้นิ้วสั่งให้เด็กหนุ่มทำตามประสงค์ของอาม่าผู้ยิ่งใหญ่ พักเว้นจากการพรรณนาถึงความหลงตัวเองชั่วคราว



“เฮ้อ แปปนะม่า”



เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว หนุ่มน้อยนักเทควันโด ดีกรีนายแบบพาร์ทไทม์ผู้มีหน้าตาราวเทพบุตร เว่ยลี่หมิง หรือ ลี่หมิง เมธาสิทธิ์ในตอนนี้ทั้งหนาว ทั้งเหนื่อย รวมถึงจิตใจก็แสนอ่อนล้า เด็กหนุ่มย้อนคิดถึงสาเหตุที่ต้องออกมาทนหนาวเป็นเพื่อนเที่ยวกับอาม่าในครั้งนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะลี่หมิงชื่นชอบศิลปะกำแพงเก่า‘เป็งพังๆปี’ตามที่อาม่าได้กล่าวไว้แต่อย่างใด สำหรับเขาแล้วปีนี้เป็นเพียงปีแย่ๆปีนึงที่ลี่หมิงรอคอยให้ใครคนหนึ่งกลับมาอยู่ทุกนาที




หากให้สรุปสั้นๆ เว่ยลี่หมิงก็แค่อกหักรักคุด หลุดทีมชาติ งานการไม่ก้าวหน้า มีอาม่าเป็นที่พึ่งสุดท้าย และเป็นเพราะชีวิตบัดซบจนไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านี้แล้ว จึงต้องมาทนยืนหนาวอยู่ต่างแดน ร่วมชื่นชมความเก่าแก่ของกำแพงเมืองจีนไปพร้อมๆกับซิงเกิลแกรนด์มัมหรืออาม่าผู้ยิ่งใหญ่ของอาหมิง




เด็กหนุ่มลงมือทำตามคำสั่งที่ได้รับอย่างเบื่อหน่าย หลังจากควานหาจนครบทุกช่อง เพิ่มเติมคือถูกทารุณกรรมด้วยวัตถุแปลกปลอมมากมายจนกระดูกแทบพรุน ลี่หมิงถึงได้ค้นพบสัจธรรมว่าในกระเป๋าอาม่ามีทุกอย่างยกเว้นแว่นกันแดด เด็กหนุ่มขมวดคิ้วก่อนเบนสายตากลับไปหาอาม่า ตั้งใจจะเอ่ยถามถึงแว่นตาวิเศษที่ดูเหมือนจะหายตัวไปได้เองก่อนจะเผลอยิ้มออกมา รอยยิ้มบางแต่งแต้มลงบนใบหน้ารูปไข่ของเด็กหนุ่มที่เจ้าตัวเองก็ลืมไปแล้วว่าไร้รอยยิ้มมานานเพียงใด



“โธ่ อาม่าาา มันอยู่บนหัวม่านั่นแหละ”



ลี่หมิงส่ายหัวเอือมระอา ยืนมองท่าทีจับแว่นเงอะๆงะๆของอาม่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มยืนรออาม่าจัดการกับแว่นกันแดดวิเศษบนหัว ในขณะเดียวกันก็จัดท่าทางเตรียมไม้เซลฟี่ให้พร้อมรออาม่าคนงามมาเข้าฉาก ลี่หมิงเว้นระยะปลอดภัยไม่เข้าไปชิดกำแพงให้มากเกินไป ภาพเหวที่เห็นเมื่อครู่ยังคงติดตาแจ่มชัด ก่อนเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาจะดึงเด็กหนุ่มออกจากความคิดชวนหวาดเสียวของตัวเอง



เด็กผู้ชายหัวเกรียนอายุราวสิบขวบสองคนสองคนวิ่งใกล้เข้ามา พูดตะโกนหยอกล้อกันด้วยภาษาจีนท้องถิ่นที่ฟังไม่ออกว่าหัวเราะเฮฮาอะไรกันนักหนา เด็กชายตัวเล็กผอมบางที่นำโด่งมาเป็นคนแรกหันหน้าหันหลังวิ่งตรงเข้ามาชนกับลี่หมิงเข้าอย่างจัง



ไอ้เด็ก…!!



ลี่หมิงที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่ยกกระเป๋าถือของอาม่าขึ้นมาตั้งรับแรงกระแทก ฉับพลันทันใดราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง เทพเจ้าไม่เข้าข้าง แผ่นอิฐใต้รองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ที่พึ่งอ้อนอาม่าซื้อให้เมื่อวานและกำแพงพันปีด้านหลังกลับทรุดตัวและขยับเคลื่อนร่วงหล่นลงยังเหวลึกเบื้องล่างอย่างไม่น่าให้อภัย



“เฮ้ย...อ๊ะ...อาม่าาาาาาาาาา”



เว่ยลี่หมิงแหกปากตะโกนร้องเรียกอาม่าด้วยความตื่นตระหนก เด็กหนุ่มร่วงลงมาจากกำแพงตามแรงโน้มถ่วงโลก นึกก่นด่าอิฐพันปีทั้งหลายในใจที่นึกอยากจะแตกก็แตกขึ้นมาอย่างปลงตก เอาแล้วไง วิชาตัวเบาไหมล่ะม่า ถ้าเมื่อกี้มีป้าขายลอตเตอรี่ถีบจักรยานผ่านมานะ ลี่หมิงคนนี้คงรวยกว่าบิลเกตไปแล้ว



“อาหมิงงงงงงงงง…”



เสียงกู่ร้องเรียกชื่อหลานชายด้วยความสิ้นหวังของอาม่าเป็นเสียงสุดท้ายที่ลี่หมิงได้ยินก่อนที่ความมืดจะเข้าครอบงำสติการรับรู้ทั้งหมดของเด็กหนุ่ม



“โอยยย…”



ลี่หมิงส่งเสียงครางแผ่วเบาเมื่อความเจ็บระบมสัพยอกแล่นไปทั่วร่าง เปลือกตาทั้งสองข้างกระพริบระรัวพยายามปรับสายตาให้ชัดขึ้น ความมืดมิดที่สะท้อนผ่านดวงตาบ่งบอกให้รู้ว่าพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ภายใต้ฟ้ามืดครึ้มปรากฏดวงดาราพร่างพรายโลดแล่นเพลิดเพลินเต็มท้องนภา ช่างงดงามสว่างสไสวยิ่งนัก เสี้ยววินาทีถัดมาลี่หมิงจึงนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เวลามานอนชมดาว



“อาม่า...”



คนเจ็บที่ดันเป็นห่วงอาม่าจนลืมตัวรีบร้อนผุดลุกขึ้นนั่งก่อนต้องส่งเสียงโอดโอยออกมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มหน้าซีดเมื่อย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ขยับมือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงก่อนพบว่าตัวเองยังกำไม้เซลฟี่ในมือขวาเอาไว้แน่น ลี่หมิงนึกอยากขำแต่ก็ขำไม่ออกพยายามเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ ทว่าสัมผัสแรกที่ผ่านปลายนิ้วกลับเป็นชายแขนเสื้อนุ่มลื่นยาวเกะกะเลยข้อมือ ลี่หมิงขมวดคิ้วกับการเปลี่ยนแปลงของเสื้อโค้ตยูนิโคล่อุลตร้าไลท์ที่ใส่มา เด็กหนุ่มพยายามยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล แข้งขาสั่นผั่บๆตามด้วยความปวดร้าวราวกับไม่ได้เดินมานานนับปี



ลุกยืนตัวตรงได้ยังไม่ทันไร หัวผุๆที่มีพลันเจ็บแปลบราวกับถูกไฟช็อต ลี่หมิงยกมือทั้งสองขึ้นกุมศีรษะ กระแสภาพและความทรงจำแปลกตาไหลเวียนเข้ามาจนต้องทรุดตัวลงอีกครั้งด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มก้มลงมองชุดคลุมตัวยาวพิลึกที่มาแทนเสื้อโค้ตยูนิโคล่ลดราคา มือทั้งสองค่อยๆเคลื่อนผ่านใบหน้าลงไปจนถึงบริเวณเอว สัมผัสของเรือนผมนุ่มลื่นดุจไหมชั้นดีคลอเคลียผ่านปลายนิ้วให้ความรู้สึกที่แม้จะแปลกประหลาดแต่กลับสุดแสนจะคุ้นชินในเวลาเดียวกัน



“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องอยู่ตรงนั้น!”



เสียงตะโกนเอะอะ อึกทึก วุ่นวายดังขึ้นไม่ไกลตัว ลี่หมิงรีบมองหาต้นตอของเสียงเพื่อเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ ชายแก่ผมขาวแปลกหน้าวิ่งตรงเข้ามาหาลี่หมิงพร้อมคบเพลิงในมือประหนึ่งอยู่ในพิธีเปิดโอลิมปิก ขาสั้นๆก้าวกระโดดข้ามฝ่าป่าดงพงหญ้าทั้งหลายอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าจะเหยียบหัวงูไปสามสี่ตัวแล้วหรือไม่ ชายแก่กระหืดกระหอบเข้ามาหาเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าดีใจจวนเจียนจะร้องไห้ อย่าว่าแต่ลุงเลยลี่หมิงคนนี้ก็ดีใจจนแทบจะกรีดร้องออกมาเหมือนกัน เด็กหนุ่มสำรวจใบหน้าเหี่ยวย่นของชายแก่แปลกหน้าที่แสนคุ้นตาในความทรงจำ ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงเรียกแผ่วเบาออกจากลำคอแห้งผาก



“ลุงเค่อ…”



ลี่หมิงหลุดปากเรียกชื่อชายรับใช้เก่าแก่ของตัวเอง การได้พบคนรู้จักช่วยให้โล่งอกเหมือนยกภูเขาออกไปทั้งลูก ทว่าอึดใจถัดมาเด็กหนุ่มนิ่งงันลืมหายใจชั่วขณะเมื่อความจริงตีแสกหน้าประหนึ่งถูกอาม่าฟาดด้วยไม้ตียุง ลุงอะไรที่ไหนฟะ เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยมีลุงกับเขาสักคน ครึ่งคนก็ไม่มี ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่อาม่ามาตลอด มีแค่อาม่าคนเดียว อาม่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก ลี่หมิงที่สติหลุดเริ่มแสดงอาการตื่นตระหนกอย่างไม่อาจปิดบัง



“ขอรับท่านอ๋อง จางเฉินเค่อสมควรตาย ท่านอ๋องเจ็บปวดตรงไหนมากหรือไม่ขอรับ” ลุงเค่อพูดจาลนลาน มือเหี่ยวย่นจับแตะต้องตัวเด็กหนุ่มไปทุกข้อกระดูกด้วยความเป็นห่วงเป็นไยราวกับลูกในไส้



เดี๋ยวลุง ลุงเรียกใครท่านอ๋อง โอ๊ย ปวดหัวชะมัด เมื่อกี้ไม้เซลฟี่ฟาดหัวหรือไงฟะ ภาพบ้าบออะไรเต็มหัวไปหมด



จางเฉินเค่อเห็นลี่หมิงมีท่าทีทรมานก้มหน้าเอามือกุมหัวแน่น รีบตะโกนสั่งให้คนข้างหลังที่วิ่งตามมาสมทบเร่งแบกหามพาท่านอ๋องไปรับการรักษา ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่สี่ห้าคนพุ่งเข้ามาหาลี่หมิงอย่างแข็งขัน ร่างกายที่ล่ำสันเหมือนกินเวย์โปรตีนมาแล้วหลายกระปุกยิ่งทำให้เว่ยลี่หมิงที่ยังคงตื่นตระหนกกับความทรงจำแปลกประหลาดในหัวตัดสินใจได้ว่าไม่อยากจะโดนใครหน้าไหนแตะต้องทั้งนั้น เด็กหนุ่มรีบชิงลุกพรวดขึ้นยืนโดยไม่ทันให้ใครตั้งตัว



“อา...อืม...ลุงเค่อ...คือว่า...ข...ข้าไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข…ข้า…เดินเองได้”



“ท่านอ๋อง...”จางเฉินเค่อเบิกตากว้างแทบไม่อยากจะเชื่อสายตนเอง



ลี่หมิงปวดหัวตุบๆ ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สมองไม่สามารถประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปได้ ความทรงจำใหม่ที่ถาโถมเข้ามารวมกับความทรงจำของเว่ยลี่หมิงทำให้รู้สึกว่าเป็นทั้งตัวเองและไม่ใช่ตัวเองในเวลาเดียวกัน ราวกับจิตวิญญาณได้เข้ามาอยู่ในร่างของใครสักคนที่ควรจะเป็นเขาแต่กลับไม่ใช่เขา หัวสมองน้อยๆของลี่หมิงสับสนวุ่นวายกับความทรงจำที่ตีกันอยู่ในหัว ทั้งคำพูดคำจาที่หลุดออกมาจากปากนั้นก็ล้วนฟังดูแปลกประหลาด แต่ต่อให้แปลกประหลาดแค่ไหนลี่หมิงก็เป็นคนพูดมันออกมาเอง



เด็กหนุ่มเงยหน้ามองฟ้า ก้มหน้ามองดิน มองเท้าตัวเองที่เหลือรองเท้าผ้าใบที่อาม่าซื้อให้อยู่เพียงข้างเดียว โฮ นี่มันเกิดอะไรขึ้น อาม่า ลี่หมิงขอโทษ รองเท้าหายไปแล้วข้างนึง ต้องโดนอาม่าด่าแน่ๆ ลี่หมิงหายใจกระชั้นพยายามดึงสติ รู้ดีว่าสิ่งสำคัญตอนนี้ไม่ใช่รองเท้า แต่คือความจริงที่ตัวเขาไม่ใช่เว่ยลี่หมิงอีกต่อไปแล้ว ลี่หมิงเม้มปากแน่น สะกดกลั้นที่จะไม่สติแตกกระโดดไซด์คิกใครสักคนเพื่อถามว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น



ความทรงจำใหม่ที่ได้รับบ่งบอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่าเจ้าของร่างนี้คือ เว่ยเสวี่ยหมิงหรืออ๋องห้า ราชบุตรแห่งราชวงศ์เว่ยภายใต้แผ่นดินของหมิงเฉียนฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดา



เว่ยเสวี่ยหมิงเดินก้าวขึ้นมาเพื่อช่วยพยุงชายรับใช้ให้ลุกขึ้น หากแต่นอกจากลุงเค่อจะไม่ยอมลุกขึ้นยืนแล้วยังทำสีหน้าตื่นตกใจราวกับเป็นคนตกกำแพงเมืองจีนเสียเอง วินาทีถัดมาเมื่อเสวี่ยหมิงอ้าปากเตรียมเอื้อนเอ่ยคำพูดกลับถูกตะโกนขัดคอเสียงดัง



“ท่านอ๋อง สวรรค์เมตตายิ่งนัก ท่านเดินได้แล้ว ข้าน้อยจางเฉินเค่อขอบคุณสวรรค์”



สวรรรรรรรรรค์....ไยเหล่าเซียนช่างไร้เมตตา ไม่ส่งข้ามาเป็นอ๋องธรรมดา แต่เป็นอ๋องขาพิการงั้นเรอะ!!

หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง
เริ่มหัวข้อโดย: qDraftman ที่ 02-04-2017 22:43:42
ลงชื่อติดตามค่ะ :L2:
หัวข้อ: ตอนที่ 2 : ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำมั่วๆคือตัวข้าเอง
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 02-04-2017 22:44:49
ตอนที่ 2 : ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำมั่วๆคือตัวข้าเอง



“ชาขาวเจ้าค่ะ ท่านอ๋อง”



“วางไว้ก่อนเถอะ หากเจ้าออกไปแล้วอย่าให้ใครเข้ามารบกวนจนกว่าจะถึงมื้อเย็น ข้าต้องการพักผ่อน”



“เจ้าค่ะ”



เว่ยลี่หมิงในร่างองค์ชายเสวี่ยหมิงแห่งตำหนักหงหลินเผยรอยยิ้มบางให้สาวใช้ สาวน้อยพยักหน้ารับคำอย่างเอียงอายไม่สบตาท่านอ๋องผู้งามล้ำ พลางปิดประตูลงอย่างเบามือ



เด็กหนุ่มเหม่อมองประตูที่เพิ่งปิดลงด้วยแววตาเลื่อนลอย รอยยิ้มที่มีเมื่อครู่พลันเลือนหายในเสี้ยววินาที สองมือยกขึ้นปิดหน้าพร้อมทำในสิ่งที่ลี่หมิงถนัดที่สุดมาตลอดสามวันคือ…



นั่งร้องไห้



สามวันผ่านไปแล้วนับตั้งแต่ลี่หมิงลืมตาตื่นขึ้นมาเป็นองค์ชายเสวี่ยหมิงหรือเยว่อ๋องแห่งราชวงศ์เว่ย ลี่หมิงยังทำใจไม่ได้ หรือพูดให้ถูกคือเด็กหนุ่มยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะทำใจจากเรื่องอะไร อันที่จริงการเป็นอ๋องนั้นแสนสุขสบาย มีคนรับใช้คอยปรนนิบัติพัดวีทุกย่างก้าวจนแทบจะไม่ต้องหายใจเองด้วยซ้ำ หากพูดว่าโชคร้ายที่กลายเป็นอ๋องก็คงเป็นการดูถูกท่านอ๋องทั้งราชอาณาจักร



แต่ถ้าจะให้พูดว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้กลายเป็นองค์ชายนั่งกระดิกเท้าเกาขาสบายใจในตำหนักหงหลินที่ service เลิศ interior ล้ำ ไม่ต้องมาคอยถูกอาม่าไล่ให้ไปตากผ้าล้างจานก็คงจะไม่เหมาะสมกับสถานการณ์นัก เหตุการณ์น่าระทึกร่วงตกกำแพงเมืองจีนเมื่อสามวันที่แล้วยังคงติดตาตรึงจิตนิจนิรันดร์เหลือเกิน แล้วนี่ปลิวกระเด็นอีท่าไหนดันโผล่มายุคที่ไม่มีพรรคมิวนิสต์กับ KFC แถมมีร่างใหม่กับความทรงจำแสนไฉไลอยู่เต็มหัวอีก! ว้าววว พ่องงง ใครมันจะไปทำใจได้ฟะ!!



ชาขาวอุ่นๆบนโต๊ะส่งกลิ่นหอมน่าลิ้มลอง ลี่หมิงหักห้ามใจไม่ยกดื่มดับกระหาย ในยุคที่ความเจริญจากศตวรรษที่ 20 ยังเข้าไม่ถึง ห้องน้ำโบราณนั้นเพียงแค่นึกถึงก็รู้สึกขมคอขึ้นมา การหลีกเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เด็กหนุ่มคิดถึงอาม่ามากเกินบรรยาย แต่ความห่วงหาอาลัยที่มีให้กับชักโครก American Standard ที่บ้านก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลยสักนิด



เด็กหนุ่มเมินหน้าหนีถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายคล้ายไก่ไม่ก็นกที่คงจะถูกวางอยู่อย่างนั้นไปจนเย็น หลับตากอดอก หนุนตะแคงศีรษะลงบนโต๊ะ ตลอดสามวันที่ผ่านมาลี่หมิงผู้ชาญฉลาดได้ทำการนั่งเทียนบำเพ็ญเพียรคิดคำนวนความน่าจะเป็นของเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อบวกความรู้จากละครแนวย้อนยุคกลับชาติมาเกิดที่เคยดูกับอาม่า ลบกับส้วมโบราณชวนคลื่นเหียน คูณอาหารพระราชวังรสเลิศ แล้วหารกับความรู้สึกที่แยกไม่ออกบอกไม่ถูกจึงได้ข้อสรุปว่าองค์ชายเว่ยเสวี่ยหมิงต้องเป็นตนเองในอดีตชาติแน่ๆ



ภาพความทรงจำรันทดหดหู่มากมายของเสวี่ยหมิงปรากฏให้เห็นทุกครั้งเมื่อหลับตาลงราวกับเป็นภาพยนตร์ชีวิตที่เล่นไม่รู้จบ ทั้งความรู้สึกยินดียินร้าย เศร้าโศก คำกล่าวโทษนรก ติเตียนสวรรค์ ทั้งหมดนั้นล้วนเข้ามาอยู่ในจิตสำนึกการรับรู้ทั้งหมดของลี่หมิง ต่อให้รูปร่างหน้าตาภายนอกจะแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างไร แต่เพราะความเชื่อมั่นสุดหัวใจในทฤษฎีละครจีนที่เคยดู ทำให้เด็กหนุ่มคิดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าเสวี่ยหมิงเป็นหนึ่งในอดีตภพของตัวเองแน่นอน



นี่ต้องเป็นความผิดพลาดสักอย่างของสวรรค์ที่มั่วซั่วส่งวิญญาณกลับมาเข้าร่างเก่าในอดีตแน่ๆ เด็กหนุ่มที่ยังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะสะอื้นไห้ไปพร้อมกับแค่นหัวเราะแห้งๆในข้อสรุปสุดหลุดโลกของตัวเอง อย่างน้อยคิดได้แบบนี้ก็สบายใจกว่าคิดว่าไปเข้าร่างไร้วิญญาณของใครก็ไม่รู้เป็นไหนๆ…



ลี่หมิงเหลือบมองไอโฟนไม่เข้ายุคสมัยบนโต๊ะไม้ขัดเงาหน้าตาราคาแพง ในใจนึกอยากหยิบมาเปิดเข้า facebook ตั้งสเตตัสชักดิ้นชักงอหมดอาลัยตายอยาก ณ พื้นตำหนักหงหลิน การข้ามภพกลับมาใช้ชีวิตในอดีตแน่นอนว่าไม่ได้ทำใจได้ง่ายเหมือนละครจีนที่นั่งดูกับอาม่า เด็กหนุ่มเคยลองคิดเล่นๆดูเหมือนกันว่าหากชีวิตไม่มีอินเตอร์เน็ตจะน่าเบื่อแค่ไหน ไม่นึกเลยว่าเมื่อกระเด็นมาอยู่ในยุคโบราณที่ไร้อินเตอร์เน็ตจริงๆจะเหมือนกับการไปท่องดาวอังคารแล้วลืมถังอ๊อกซิเจนไว้บ้านอาม่า ไอโฟนที่อุตส่าห์ติดมากับไม้เซลฟี่คงมีคุณค่าแค่ใช้ทับกระดาษและเป็นไม้เกาหลังที่ยาวเกินไป



เมื่อนึกถึงไม้เซลฟี่ก็ดันนึกถึงอาม่าขึ้นมา และทุกครั้งที่ลี่หมิงนึกถึงอาม่าก็อยากจะกระโดดหน้าต่างตำหนักตายให้รู้แล้วรู้รอดไปซะ แต่น่าเสียดายที่ตำหนักหงหลินเป็นเพียงเรือนไม้ชั้นเดียว หากพุ่งออกไปนอกจากจะไม่ตายแล้ว อาจถูกติฉินนินทาได้ว่าไม่สำรวมกิริยามารยาทความเป็นอ๋อง



รู้ทั้งรู้ว่าคิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไร แต่เด็กหนุ่มก็อดหวั่นวิตกกับชะตากรรมของอาม่าไม่ได้ จริงๆแล้วคงไม่ต้องคิดมากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าพาส-ปอร์ต-ของ-อา-ม่าดันติดมาด้วย!!!!! เพราะนอกเหนือจากไม้เซลฟี่โง่ๆกับไอโฟนไร้ประโยชน์แล้ว กระเป๋าถือสี่มิติของอาม่าก็ตกอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พบกับลุงเค่อครั้งแรก ลี่หมิงกระแทกหน้าผากลงกับโต๊ะถี่ๆ ถ้าอาม่าโดนจับข้อหาลักลอบเข้าเมืองไปแล้วจะทำยังไงดี แล้วป่านนี้อาม่าจะขวัญเสียแค่ไหนที่เห็นหลานชายร่วงลงไปต่อหน้าต่อตา



กิจกรรมที่คอยเบนความว้าวุ่นใจของลี่หมิงได้ดีคงเป็นการมาเยี่ยมเยียนอย่างไม่ขาดสายจากผู้คนมากมาย หลังจากราชสำนักประกาศว่าเยว่อ๋องกลับมาเดินได้และมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ดีดังเดิม บรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์รวมไปถึงมิตรแท้และสหายเทียมทั้งหลายต่างพากันมากล่าวแสดงความยินดีกับเสวี่ยหมิง แต่ยิ่งได้ยินคำกล่าวขอบคุณปาฏิหาริย์สวรรค์มากเท่าใด เด็กหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกไม่พอใจขึ้นทุกวัน



โทษสวรรค์เถอะ! จะให้กลับมาทำซากอะไร!! Wi-Fi ก็ไม่มี 4G ก็มาไม่ถึง ฮ่วย!!!



ลี่หมิงเงยหน้าขึ้น เอื้อมมือพลิกคันฉ่องกลมๆลายเต่าที่คว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะมาส่องดู ทั้งหน้าตาและร่างกายของเสวี่ยหมิงไม่มีส่วนใดเหมือนลี่หมิงแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มค่อนข้างผิดหวังกับรูปร่างผอมบางที่เอาไปต่อยตีกับใครก็คงกระดูกหักช้ำในตายไปก่อน ยังดีที่สวรรค์ทดแทนกล้ามเนื้อที่ขาดแคลนด้วยเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบ เจ้าของนัยน์ตาสีอ่อนที่สะท้อนในกระจกกระพริบไล่หยาดน้ำตาพราวในแพขนตา แม้ใบหน้ามนได้รูปจะผ่านการร้องไห้จนผลัดสีทับทิมฝาด แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ความงามอ่อนเยาว์ประดุจเหล่าเทพเทวาบนผืนภาพวาดลดเลือนลง ทั้งเรือนผมนิลกาฬที่ทิ้งตัวลงจรดเอวและริมฝีปากคู่บางละมุนละไม ทั้งหมดเมื่อรวมกันกลับให้ความรู้สึกลงตัวอย่างน่าประหลาด



เว่ยเสวี่ยหมิงแม้เป็นบุรุษแต่กลับมีรูปลักษณ์งดงาม ยากจะหาชายหญิงใดในแว่นแคว้นมาเทียบเคียง ทั้งสติปัญญาและวาจาดั่งปราชญ์ ยิ่งเสริมให้การเป็นหนึ่งในราชบุตรคนโปรดของหมิงเฉียนฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งเหนือความคาดหมาย



หลังจากวันคล้ายวันพระราชสมภพ 15 ชันษา เสวี่ยหมิงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เยว่อ๋องจากพระบิดาให้ไปเป็นอ๋องกินเมือง* ที่เมืองเยว่ หากแต่องค์ชายผู้ควรมีอนาคตไกล กลับมีชะตาพลิกผันกลายเป็นเพียงอ๋องแต่ในนาม ไร้ซึ่งอำนาจที่องค์ชายผู้ได้รับบรรดาศักดิ์พึงมี



เปลือกตาทั้งสองข้างของลี่หมิงปิดลงอย่างอ่อนล้าอีกครั้งเมื่อนึกถึงชีวิตประดุจพระเอกละครหลังข่าวของอ๋องห้า เด็กหนุ่มเพียงนั่งนิ่ง ปาดคราบน้ำตาเปรอะเปื้อน ปล่อยให้ความทรงจำของเสวี่ยหมิงโลดแล่นในมโนสำนึก



“หลิวเต๋อเฟย** สิ้นพระชนม์แล้วพะยะค่ะ”



หมอหลวงกล่าวพลางก้มศีรษะมองพื้นเพื่อเลี่ยงการสบตากับองค์ชายผู้หัวใจแตกสลาย



ราวกับโลกทั้งใบจบสิ้นลง เสวี่ยหมิงไม่สามารถแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยความเศร้าโศกที่มีออกมาเป็นคำพูดได้ ร่างกายที่ด้านชาหยุดนิ่งลงตรงข้างเตียงไม้แสนคุ้นเคย ที่บัดนี้ดูราวกับถูกสร้างมาเพื่อเป็นแท่นวางร่างพระศพซีดเผือดไร้วิญญาณของพระมารดาผู้เป็นพระสนมคนโปรดของหมิงเฉียนฮ่องเต้



“เสด็จแม่ เหตุใดจึงจากข้าไปเร็วยิ่งนัก…”



อ๋องห้าทรุดตัวลงข้างเตียงสะอื้นไห้ตัวโยน นึกน้อยใจโชคชะตาที่สวรรค์รีบพรากพระมารดาไปจากตน องค์ชายน้อยหลั่งน้ำตาแห่งความโศกาอาดูรเป็นครั้งสุดท้าย ดวงใจที่แสนสับสนไม่เข้าใจว่าเหตุใดในวันที่ทุกข์ยากทางจิตใจเช่นนี้ พระบิดากลับไม่แม้แต่ชายตามาเหลียวแล จะมีก็แต่เหล่าคนรับใช้เก่าแก่ของตำหนักที่ต่างพากันร่ำไห้ต่อการจากไปของนายหญิงผู้เปี่ยมด้วยเมตตา



หลังผ่านพ้นพิธีฝังพระศพของพระมารดาไปเพียงไม่นาน เสวี่ยหมิงบังเอิญไปได้ยินเหล่าคนรับใช้จากตำหนักอื่นจับกลุ่มพูดคุยสัพเพเหระ ชื่อของพระมารดาที่ปรากฏขึ้นในบทสนทนาเรียกให้องค์ชายหนุ่มหยุดยืนแอบฟังอย่างไม่สมฐานะ



“เจ้ารู้ไหม ข้าได้ยินพวกคนจากตำหนักลู่เอินพูดกันว่าหลิวเต๋อเฟยถูกลอบวางยาพิษเป็นเพราะมีคนอิจฉาองศ์ชายเสวี่ยหมิงที่ได้รับถาบรรดาศักดิ์อ๋อง แม้จะได้ไปเป็นแค่อ๋องกินเมืองที่อยู่ชายแดนก็เถอะ”



“นี่ยังไม่นับรวมที่ไปเป็นราชบุตรคนโปรดของฮ่องเต้จนไปขัดหูขัดตาพวกขุนนางที่สนับสนุนองค์รัชทายาทอีก”



“เออ ใช่ ข้าก็ได้ยินมาว่าจริงๆแล้ว วันนั้น…”



เสวี่ยหมิงที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลกัดฟันแน่น หัวใจแสนบอบช้ำที่โกรธแค้นนึกอยากสั่งลงโทษคนปากพล่อยทั้งหลาย ความจริงคืออะไรต่อให้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินใช่ว่าจะได้คำตอบที่แน่ชัด เมื่อไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป เสวี่ยหมิงจึงค่อยๆหันหลังเดินเลี่ยงออกมาไปยังโรงเก็บม้าหลังอุทยาน



คนรับใช้ในคอกม้าโค้งคำนับให้องค์ชายหนุ่ม เสวี่ยหมิงจูงม้าศึกสีน้ำตาลอมทองของตนออกมาก่อนตวัดขาขึ้นขี่ม้าคู่ใจห้อตะบึงพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าเพื่อปลดปล่อยความเศร้าโศกที่ทะลักล้นไปกับความเร็วและสายลมที่ปะทะร่างกาย แต่แล้วองค์ชายหนุ่มกลับค่อยๆหลับตาลง ปล่อยมือออกจากบังเหียนพร้อมกับเหวี่ยงตนเองลงมาจากม้าที่ไร้การควบคุม ในช่วงเวลานั้นเว่ยเสวี่ยหมิงคิดเพียงแค่ว่าคงดีไม่น้อยหากสวรรค์จะรีบมารับตัวเขาขึ้นไปอยู่กับเสด็จแม่




หากแต่ความปรารถนานั้นไม่ได้เป็นจริง ซ้ำร้ายเหตุการณ์ในครั้งนั้นกลับทำให้อ๋องห้ากลายเป็นองค์ชายขาพิการนับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่กระนั้นความทรงจำที่ลี่หมิงได้รับปรากฏภาพของชายหนุ่มที่พร่ำบอกคนรอบตัวว่าตนนั้นมิอาจลุกยืนเดินได้ด้วยตนเองอีกแล้ว กลับย่างก้าวลงเท้าเบาเดินวนเวียนลุกนั่งอยู่ในห้องหับที่ปิดมิดชิดของตนยามมิมีผู้ใดคอยเฝ้าดู



แท้จริงแล้ว อ๋องห้าผู้อับจนหนทางเพียงเสแสร้งแกล้งทำเป็นขาพิการมาตลอดเจ็ดปีเพื่อให้ตนหมดสิทธิ์ในบัลลังค์มังกร ยุติปัญหาความวุ่นวายทั้งหลายทั้งมวลให้จบสิ้นลง



เมื่อขาดซึ่งความเพรียบพร้อมและสมรรถภาพที่ควรมี หมิงเฉียนฮ่องเต้จึงได้แต่งตั้งผู้แทนผู้ครองเมืองไปประจำที่เมืองเยว่ โดยที่อ๋องห้าจะมีโอกาสได้เดินทางไปตรวจการณ์เพียงยามที่มีกิจราชการเร่งด่วนจำเป็นเท่านั้น



พระนามพระราชทาน “เยว่อ๋อง” จึงกลับกลายเป็นเพียงยศลอย หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นหนามยอกอกที่เว่ยเสวี่ยหมิงไม่อาจหาหนทางกำจัดออกจากจิตใจได้เลย



นี่ข้ากำลังนั่งดูละครย้อนยุคตอนบ่ายกับอาม่าอยู่รึไง ตัวเอกเรื่องนี้ช่างน่าสงสารเหลือเกิน นอกจากจะไม่มีแม่แล้ว พอขาพิการไปพ่อผู้เคยเคยรักใคร่กลับไม่มาใส่ใจดูแลเหมือนเดิม ขนาดแค่น้ำเต้าหู้หน้าปากซอยก็ยังไม่ซื้อมาฝากลูกฝากหลานเลยอ่ะม่า และที่แย่คือมันดันเป็นชีวิตจริงของคนๆนึง ไม่ใช่หนังย้อนยุคที่ไหน แล้วข…ข้า… ดันกลายเป็นคนผู้นั้นไปซะแล้ว!



ทีนี้จะทำยังไงดี โถถัง กะละมัง หม้อ...แผนตลอดเจ็ดปีที่เยว่อ๋องอดทนทำมา ข้าดันทำความพยายามของเจ้าของร่างพังพินาศ! เพิ่งมาถึงก็เดินเอาเดินเอา ก็ใครมันจะไปตรัสรู้ได้เล่าว่าไม่อยากเดินได้!!



ยิ่งคิดยิ่งเครียดเหลือเกิน ดีนะมียาแก้ปวดเศียรเวียนเกล้าของอาม่าติดมาด้วยกระปุกหนึ่ง แอบเอามากินสักเม็ดแล้วออกไปเดินเล่นดูเต่าในสระบัวเพื่อความผ่อนคลายสบายตาคงจะดีกว่านั่งอุดอู้ดมตดตัวเองอยู่ในตำหนัก



แม้ตอนนี้องค์ชายเสวี่ยหมิงจะกลับมาใช้ขาทั้งสองข้างได้เป็นปกติแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากลุงเค่อให้ออกไปเตรดเตร่ เดินเร่ทั่วตำหนักได้อย่างอิสระมากเท่าใดนัก ลี่หมิงจึงหมดพลังชีวิตส่วนมากไปกับการพยายามโน้มน้าวพ่อบ้านประจำตำหนักให้ปล่อยตนออกไปเดินเล่น ย่ำหญ้าเหยียบหนอนในอุทยานหลังตำหนักบ้างอะไรบ้าง



“ท่านอ๋องต้องไม่ไปไกลมากนะขอรับ อีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะให้คนไปตามดู…”



จางเฉินเค่อผู้ขี้วิตกกังวลตามประสาคนแก่ ปฏิบัติกับเสวี่ยหมิงเหมือนเป็นเด็กห้าขวบมาขออนุญาตพ่อไปว่ายน้ำฝั่งผู้ใหญ่ที่น้ำลึกเกินเมตรครึ่ง ลุงเค่อมีท่าทีเว้าวอนอิดออดและไม่คิดจะหยุดพูดจนผู้เป็นนายยกมือขึ้นขัด 



“ลุงเค่อ เมื่อวานข้าก็ไปมาวันก่อนก็ยังไปมาแล้ว ข้าไม่หกล้ม ไม่ตกน้ำ ขอแค่เห็นเต่าผลุบหัวขึ้นมาสองทีก็จะกลับ เช่นนี้ดีไหม พอใจหรือไม่”



แม้จะเหนื่อยใจเพียงใดลี่หมิงก็เข้าใจในความรักนายเยี่ยงลูกของลุงเค่อ ไม่ต้องกังวลนะลุง ตอนนี้เสวี่ยหมิงเป็นเว่ยลี่หมิงแล้ว แม้ไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ข้ายืนหายใจอยู่มันเป็นยุคไหนในประวัติศาสตร์และไม่รู้ด้วยว่าสัตว์ดึกดำบรรพ์อะไรจะยังมีชีวิตอยู่บ้าง แต่ต่อให้วันนี้มีแรดพันปีพุ่งชนข้าก็ตีลังกากระโดดถีบได้



ในที่สุดลี่หมิงก็ได้ออกมาเดินทอดน่องส่องเงาตัวเองอยู่ริมสระน้ำในอุทยานเหอฮวา สองขาก้าวเดินอย่างเอ้อระเหย ยิ้มแย้มเบิกบานใจสูดอากาศยามบ่าย พร้อมกับกำชับให้เหล่าองครักษ์และสาวใช้ไปช่วยยืนอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ไม่ต้องคอยเดินชิดตามติดจนแทบจะเป็นเงาให้อึดอัดรำคาญใจ



เด็กหนุ่มค้อมหัวลงดูเต่าผลุบหัวโผล่หางได้ไม่นานก็เริ่มหมดความสนใจ ลี่หมิงเบนสายตาพยายามสอดส่องหาปลาโลมาในสระบัว หรือต่อให้ไม่มีโลมา ก็ขอแค่ได้เห็นปลาตัวใหญ่ๆที่ไม่น่าเบื่อเหมือนเต่าขาสั้นก็พอ มองหาเป้าหมายใหม่ได้ไม่ทันไร ภาพสะท้อนในเงาน้ำข้างกระดองเต่ากลับปรากฏใบหน้ายื่นเข้ามาใกล้ ลี่หมิงหมุนตัวตวัดขาเป็นวงกว้าง ความตกใจเป็นเหตุให้ตัดสินใจถีบเจ้าคนแปลกหน้าตกสระบัวไปอย่างไม่ลังเลด้วยสัญชาตญานของนักเทควันโดที่เป็นผลพลอยได้จากการถูกซ้อม เอ้ย ฝึกซ้อมมากว่าทศวรรษ



เอาแล้ว ถีบใครไปวะ!! ทหาร? ลุงเค่อ? คนสวน? หรือแรดพันปี!?



เต่าตัวน้อยใหญ่ทั้งหลายต่างพากันแหวกว่ายหนีความโกลาหลเล็กๆในสระน้ำ ชายแปลกหน้าค่อยๆลุกยืนในสระแสนตื้นอย่างเชื่องช้าพลางส่งเสียงร้องโอดครวญแผ่วเบา ชายผู้มาอยู่ผิดที่ผิดเวลาพยายามสะบัดซากพืชน้ำและใบบัวออกจากร่างกายด้วยท่วงท่าสง่างามดั่งวิหคสวรรค์ มือข้างหนึ่งจัดแจงอาภรณ์ให้เข้าที่ อีกข้างยกขึ้นเสยเรือนผม สะบัดปอยเปียกลู่ให้พ้นใบหน้า เผยให้เห็นดวงตาที่อ่อนโยนหากก็แฝงไปด้วยความแข็งกร้าวทรงพลังราวกับรู้ทันทุกสรรพสิ่ง ดวงหน้าหล่อเหลาพราวประกายด้วยหยดน้ำขยับยกริมฝีปากส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับเสวี่ยหมิง น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอื้อนเอ่ยคำทักทายด้วยความเอ็นดู



“หมิงเอ๋อร์ นี่พี่เอง เจ้าตกใจมากหรือ”



ลี่หมิงในร่างเว่ยเสวี่ยหมิงยืนกอดตัวเองอยู่ริมสระ ขนลุกกับรอยยิ้มหวานเลี่ยนและออร่าเปล่งประกายพิลึกของชายผู้ยืนประจันหน้า เด็กหนุ่มเหม่อมองใบหน้าและแววตาที่แสนคุ้นเคย ชายไร้มารยาทผู้ไม่รู้จักส่งเสียงเรียกก่อนเข้าใกล้ผู้นี้ ไม่ใช่บุคคลที่ดูแปลกตาในความทรงจำของเสวี่ยหมิงเลยแม้แต่น้อย เมื่อรับรู้ว่าตัวเองบังอาจทำอะไรลงไป ลี่หมิงรู้สึกหน้าชา ตัวแข็ง เลือดไม่ไหลเวียน ลมหายใจติดขัด หน้ามืดตามัว ตัวอ่อนแรง ต้องการยาดมเซียงเพียวอิ๊วขึ้นมาในทันที



“ได้เห็นเจ้าแข็งแรงดีเช่นนี้พี่ก็สบายใจ”



“อ..องค์รัชทายาท!!!”



อ้ากกกก สวรรค์ท่านเล่นตลกพอรึยัง!ให้ข้ากระโดดถีบองค์รัชทายาท มันชักจะเริ่มไม่ตลกแล้ววว!!

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติม:

*อ๋องกินเมือง หมายถึง อ๋องที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปครองเมืองที่อยู่ไกลออกไป ส่วนใหญ่แล้วเพื่อไม่ให้อยู่คานอำนาจกับรัชทายาทในเมืองหลวง
**เต๋อเฟยเป็นหนึ่งในตำแหน่งนางสนมของฮ่องเต้

หัวข้อ: ตอนที่ 3 : หาเหาใส่หัว ต้องเอาตัวให้รอด
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 02-04-2017 22:46:20
ตอนที่ 3 : หาเหาใส่หัว ต้องเอาตัวให้รอด


ข้ารับใช้ติดตามของสององค์ชายต่างพากันแตกตื่นโหวกเหวกโวยวาย วิ่งกรูเข้ามาพยุงร่างเปียกโชกขององค์รัชทายาทขึ้นจากสระบัว ลี่หมิงหายใจไม่ทั่วท้อง ยืนหน้าซีดตัวเกร็งไม่แน่ใจว่าควรทำเช่นไรต่อไป



“หมิงเอ๋อร์ เด็กดื้อ ไยจึงเรียกพี่ของเจ้าอย่างห่างเหินเช่นนั้น โกรธพี่หรือกระไร หมิงเอ๋อร์...เหตุใดจึงนิ่งไปเล่า”



ข้าไม่ได้นิ่งแค่ตกใจจนเกือบถึงแก่พิราลัยไปแล้วเท่านั้น ใช่ว่าข้าจะไม่เคยพบหน้าองค์รัชทายาทมาก่อน เออ จะว่าไปก็ไม่เคยเจอจริงๆนี่หว่า มีแต่เสวี่ยหมิงที่รู้จักเจ้าคนยิ้มหลอนสะท้านโลกผู้นี้ แล้วนี่มันคนบ้าอะไร เทพเซียนทั้งสวรรค์ประชุมร่วมกันสร้างสรรค์ปั้นแต่งมาเกิดงั้นหรือ ตกน้ำ เลอะโคลน สาหร่ายตะไคร่เกาะเต็มหัวยังหล่อเฟี้ยวฟ้าวออร่าพุ่ง อดีตนายแบบอย่างลี่หมิงอยากขอคารวะสามจอกด้วยน้ำในบ่อเต่า



องค์รัชทายาทเว่ยเหวินหลงในร่างชุ่มโชกยืนชิดริมขอบสระ โบกมือเป็นเชิงให้เหล่าผู้ติดตามทั้งหลายกลับไปยืนประจำตำแหน่งเดิม หวงไท่จื่อ*แห่งราชวงศ์เว่ยเผยรอยยิ้มสว่างไสวผิดมนุษย์มนา จ้องมองใบหน้างามล้ำของพระอนุชาต่างมารดาอย่างเฝ้ารอคำตอบ ลี่หมิงทิ้งตัวลงคุกเข่า ความผิดยิ่งใหญ่ถึงขั้นลอบทำร้ายองค์รัชทายาท จะแก้ตัวเอาหัวโขกพื้นขอขมาเลียนแบบละครจีนอย่างไรก็ดูไม่มีทางรอดเอาเสียเลย



“องค์รัชทายาท ข...ข้าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ โปรดอภัยที่ข้าได้ล่วงเกิน ข้า..”



“พี่เคยบอกให้เรียกเช่นไร”



“องค์รัชท...”กลัวฉี่แทบจะราดอยู่แล้วมาถามบ้าบออะไรตอนนี้เล่า!



“หมิงเอ๋อร์ อย่าดื้อ”



“เสด็จพี่...”เหวินหลงเผยรอยยิ้มพึงพอใจ สาวเท้าเข้าประชิดลี่หมิงที่ทรุดตัวคุกเข่าก้มหน้า เอื้อมคว้าข้อมือพยุงพระอนุชาให้ลุกขึ้นยืนเสมอตน



“หมิงเอ๋อร์ลุกขึ้นเถิด คิดมากไปไย นี่พี่เจ้าหาใช่คนอื่นไกลที่ไห...”



ด้วยอารามตกใจดั่งนกหวาดเกาทัณฑ์ ลี่หมิงสะบัดมือเย็นที่เข้าเกาะกุมออก เสวี่ยหมิงกับองค์รัชทายาทมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไร เด็กหนุ่มกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นไปด้วยแม้จะได้รับความทรงจำมาทั้งหมดก็ตามที สำหรับลี่หมิงแล้วองค์รัชทายาทเป็นเพียงพี่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่หน้าตาดีเกินไปก็เท่านั้น ลี่หมิงหน้าซีดเมื่อเห็นสีหน้านิ่งอึ้งของคนผู้พี่ นี่มันความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกชัดๆ



อาม่าผมควรจะขอโทษคนที่เราเผลอเหยียบเท้าเขาไปแล้วดันไปเหยียบซ้ำอีกรอบยังไงดี...



“องค์รัชท...เสด็จพี่เหวินหลง ได้โปรดยกโทษในความผิดไม่น่าให้อภัยครั้งนี้ด้วยเถิดพะยะค่ะ ข้าเพียง...”



“เด็กโง่ ใครจะถือสาหาความเจ้ากัน” เด็กหนุ่มเกือบยิ้มออก องค์รัชทายาทช่างมีเมตตาผิดจากที่คาดยิ่งนัก



“ขอบพระทั....”



“หากใครกล้ามีปัญหากับเจ้า พี่จะจับมันฝังกลบให้หมดทั้งสกุล”



“.........” ลี่หมิงหุบปากแทบไม่ทัน คนพรรค์ใดกันคำขอโทษไม่รับมิหนำซ้ำยังขู่จะฆ่าผู้อื่นให้ฟังอีก หากคนที่ถือสาหาความข้าผู้นั้นเป็นฮ่องเต้เล่า! ท่านจะเข่นฆ่าทั้งราชวงศ์ให้หมดสิ้นแล้วกระโดดลงหลุมไปด้วยกันหรืออย่างไร แน่นอนว่าคนที่ท่านจะฝังก็รวมข้าด้วยมิใช่หรือ!?



คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ ในวันหน้าหากมีปัญหากับพี่น้องคนใด รีบเมตตาให้อภัยกันไปคงดีเสียกว่ารอให้เรื่องไปถึงหูพี่ชายบ้าเลือด เด็กหนุ่มลืมเสียสนิทว่าคนในยุคโบราณนั้นแท้จริงแล้วฆ่าแกงกันง่ายดายเหลือแสน วันนี้เอ่ยคารวะเมื่อพานพบ วันหน้าชักดาบตามล่าเจ้าฆ่าพ่อข้าล้างแค้นสิ้นตระกูล



นี่ข้า...ยังเหลือโควต้าล่วงเกินรัชทายาทอยู่อีกไหม หรือพลาดอีกครั้งแล้วจะเข้าโปรโมชั่นไปเกิดใหม่ได้เลย?



ความทรงจำที่เสวี่ยหมิงมีต่อองค์รัชทายาทไม่มีสิ่งใดที่เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย เว่ยเหวินหลงวันๆนอกจากจะชอบแสดงความเอ็นดูเสวี่ยหมิงจนน่าขนลุกแล้ว ก็แสนจะถนัดใช้ใบหน้าหล่อเหลาที่มาพร้อมแพคเกจยิ้มหลอกลวงผู้บริโภคจนทำให้เป็นที่รักใคร่ของเหล่าไพร่ฟ้าและข้าบริวาร



หรือที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าตอแหลนั่นแหละ...



“หมิงเอ๋อร์ ขมวดคิ้วคิดมากอันใดอีก เมื่อครู่หลังจากเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพี่แวะไปหาเจ้าที่ตำหนัก แต่พ่อบ้านกลับบอกว่าเจ้าออกมาเดินเล่นอยู่ที่นี่ ได้ยินว่าสุขภาพของเจ้าดีขึ้นมากแล้ว เมื่อแต่ก่อนเจ้าไม่มีโอกาสได้ไปไหนมาไหนมากนัก พี่ตั้งใจจะพาเจ้าไปเดินเปิดหูเปิดตานอกรั้ววัง เจ้าว่าดีหรือไม่”



ไม่ดี!



“เสด็จพี่โปรดเข้าใจ ข้ายัง...” ข้ายังไม่อยากไปกับท่าน เข้าใจหรือไม่ ผู้คนสติดีที่ไหนจะอยากไปไหนมาไหนกับคนที่เอ่ยปากเป็นขู่ฆ่าล้างเจ็ดชั่วโคตรอย่างท่าน!



“หรือขาของเจ้ายังเจ็บอยู่ คงไม่ใช่สาเหตุนั้นกระมังพี่สัมผัสได้ว่าขาของเจ้าปกติดียิ่งนักราวกับได้รับคำอวยพรจากเหล่าเทพ” ขาข้ามันดันปกติดีจนท่านสัมผัสได้ถึงลูกถีบหนักหน่วงจึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ใช่หรือไม่ บอกมาตรงๆเลยเถอะ ท่านจะแขวะข้าหรือเป็นห่วงข้ากันแน่



“ขอบพระทัยความห่วงใยของเสด็จพี่ ขาของข้าไม่มีสิ่งใดให้กังวล ข้าเพียงไม่อยากรบกวน…”



“เหลวไหล หมิงเอ๋อร์ อยู่กับพี่ไม่ต้องมากมารยาท พี่เพียงต้องการเห็นเจ้าสบายใจกลับมายิ้มได้ดังเดิมเท่านั้น พี่จะกลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วอีกครึ่งชั่วยามจะไปรับเจ้าที่ตำหนัก เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”



“หากเสด็จพี่กล่าวถึงเช่นนั้นข้าก็มิกล้าขัดพระทัย” เออ ก็คิดเองเออเองเสร็จสรรพไปแล้ว ข้าจะเห็นเป็นอื่นใดไปได้อีกเล่า อยากเห็นข้าสบายใจงั้นหรือเสด็จพี่ วาจามัดมือชกของท่านช่วยให้ข้าสบายใจเสียเหลือเกิน อย่างไรข้าก็เพิ่งโดดถีบท่านตกสระน้ำไป ถ้าเปิดการ์ดขัดใจตอนนี้เกรงว่าจะได้กลายเป็นอาหารเต่าไปเสียก่อน



“ดี แล้วพี่จะรีบไปรับเจ้า”องค์รัชทายาทยกมือขึ้นลูบเรือนผมของพระอนุชาด้วยท่าทีรักใคร่เอ็นดู พร้อมทั้งยักคิ้วหลิ่วตาก่อนหมุนตัวหันหลังเดินจากไปพร้อมเหล่าผู้ติดตามด้วยท่วงท่าสง่าราวปักษาล่องนภา ลี่หมิงแอบเบ้หน้าอย่างอดไม่ได้ แค่จะเดินกลับตำหนักก็ยังเก็กได้อีก อยากรู้เหลือเกินจะหาใครในราชวงศ์เว่ยที่ท่ามากเท่าท่านได้อีกไหม



เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจ เมื่อครู่จำต้องตกปากรับคำเชิญอย่างเสียไม่ได้ คนมีชนักติดหลังไหนเลยจะกล้าเอ่ยปากปฏิเสธ องค์รัชทายาทผู้มีจิตใจงามมากด้วยเมตตาตั้งแต่นั่งดูละครจีนกับอาม่ามายังแทบหาไม่ได้เลยสักคน แท้จริงนี่อาจเป็นแผนลวงไปฆ่าเพราะแค้นที่ถูกถีบตกบ่อเต่าก็เป็นได้ เอาวะ ปมใครผูกคนนั้นแก้ มามัวคิดมากตอนนี้ก็เสียเวลาเปล่า



ไม่ทันได้ถึงครึ่งชั่วยามดี องค์รัชทายาทผู้แจกรอยยิ้มพิมพ์ใจเป็นกิจวัตรก็มารับลี่หมิงในฉลองพระองค์ของคุณชายรูปงามตระกูลดี ลี่หมิงเองก็ได้รับการแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ให้สมเป็นคุณชายสูงศักดิ์เช่นกัน และเนื่องจากองค์รัชทายาทเป็นห่วงว่าพระอนุชาจะยังไม่แข็งแรงดีพอที่จะขึ้นขี่ม้าหลังจากห่างเหินการฝึกฝนมานานหลายปี จึงได้เสนอให้ค่อยๆเดินกันไปเรื่อยๆจะดีกับการฟื้นฟูร่างกายมากกว่า



ร้านรวงนอกรั้ววังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งเล่นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานไปตามประสา ทั้งผู้เฒ่าผู้แก่คนหนุ่มคนสาว บ้างอัตคัตบ้างมีอันจะกินล้วนเดินปะปนวนเวียนกันให้ขวักไขว่ ลี่หมิงที่คราแรกไม่ได้นึกอยากมาเริ่มยิ้มออก ตื่นตาตื่นใจไปกับของซื้อของขายแปลกตาที่หาไม่ได้ในรั้ววัง



“หมิงเอ๋อร์ หากเจ้าประสงค์สิ่งใด พี่จะซื้อให้ตามที่เจ้าปรารถนา” องค์รัชทายาทเอ่ยปากเป็นพ่อบุญทุ่ม เรียกให้รอยยิ้มบนใบหน้าลี่หมิงยิ่งกว้างขึ้นไปอีก



การมีพี่ชายช่างดีเหลือเกิน เมื่อก่อนไร้ญาติพี่น้องให้พึ่งพา จะมีก็แต่อาม่าที่คอยพร่ำบอกอยู่เสมอว่าอยากได้อะไรไม่ต้องมาบอกให้ไปทำงานหาเงินซื้อเอาเอง นอกจากแฟนเก่าสายเปย์ที่ไม่อยากจะนึกถึงแล้วก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันนึงจะมีพี่ชายสายเปย์กับเค้าขึ้นมาบ้าง อาา สวรรค์ ในที่สุดท่านก็รู้จักทำงานโดยไม่พึ่งนรกเสียบ้าง!



ลี่หมิงลอบยิ้มในใจ นึกยินดีปรีดาแทบอยากป่าวประกาศให้คนทั้งตลาดร่วมยินดีไปกับตน เด็กหนุ่มค้อมหัวลงส่งยิ้มบางเบาให้พระเชษฐาต่างพระมารดา “ขอบพระทัยเสด็จพี่ ข้าจะค่อยๆเลือกดู”



ลี่หมิงหันซ้ายหันขวาดูลาดเลา อาศัยช่วงจังหวะที่องค์รัชทายาทสนใจสิ่งรอบข้างแอบเอาไอโฟนขึ้นมาถ่ายรูปรัวๆ ด้วยรู้ดีว่าแบตเตอรี่คงอยู่ได้อีกไม่นานถ้าไม่รีบใช้ก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้อีก เด็กหนุ่มเสพติดการอวดทุกสิ่งลง Social media เป็นชีวิตจิตใจจึงได้แต่หวังลมๆแล้งๆว่าหากวันนึงได้กลับออกไปจากยุคนี้เมื่อใดจะได้มีรูปไว้อวดชาวบ้านชาวเมือง เมื่อได้รูปไปบ้างจนพอใจแล้วลี่หมิงจึงรีบยัดไอโฟนกลับเข้าไปในแขนเสื้อ



แผงขายว่าวหลากชนิดหลายรูปแบบดึงดูดความสนใจของเด็กหนุ่มให้เดินเข้าไปยืนมองใกล้ๆ ว่าวโครงไม้ไผ่ทำมือหลากสีที่ผูกห้อยเรียงเป็นสิบๆตัวนั้นชวนให้นึกถึงอดีต ในสมัยที่เสวี่ยหมิงยังเป็นเพียงเด็กน้อยก็เคยได้เล่นอยู่บ่อยๆ



“เสด็จพ...ท่านพี่เหวินหลง ท่านคิดว่าว่าวแมลงปอสีแดงตัวนั้นดูเป็นอย่างไร” ลี่หมิงเปลี่ยนสรรพนามเรียกองค์รัชทายาทเพื่อไม่ให้พ่อค้าขายว่าวรู้ฐานะที่แท้จริงของพวกตน



“หืม ไม่ดีกระมัง เจ้าคงจำว่าวมังกรที่พี่เคยให้เจ้าตอนเป็นเด็กไม่ได้เป็นแน่ สุดท้ายเจ้าเล่นเพลินจนเผลอเดินตกสระบัวไป ตอนนั้นพี่ถูกท่านพ่อกริ้วอยู่เป็นนานสองนานเลย ยิ่งไปกว่านั้น...” องค์รัชทายาทค้อมตัวลงกระซิบกระซาบข้างหูของพระอนุชา“พี่ว่าร้านนี้ขายแพงไป”



องค์รัชทายาท ท่านถามราคาตั้งแต่เมื่อไรถึงซี้ซั้วพูดว่าคนเขาขายแพงฟะ



“ท่านพี่เหวินหลงโปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด ข้าจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าเช่นนั้น ข้าไปเดินดูเครื่องประดับหินที่อยู่เยื้องออกไปแล้วกัน” เห็นแก่ที่ท่านเป็นห่วงว่าข้าจะเดินตกน้ำไปอีก ข้าจะไม่ถือสาที่ท่านไม่ยอมซื้อว่าวให้ข้าในครั้งนี้ก็แล้วกัน



“ตามใจเจ้าเถิด”



“ท่านพี่เหวินหลง ท่านคิดว่าปิ่นหยกลายบุปผานี้ดูเป็นอย่างไร”



“หยกนี้เนื้อขุ่น เคาะเสียงไม่กังวาน ไม่สมราคาเอาเสียเลย เจ้าเลือกอย่างอื่นเถอะ”



“ท่านพี่เหวินหลง ท่านคิดว่าพัดผ้าไหมที่ฝั่งกระโน้นเป็นอย่างไร” ลี่หมิงเดินจนร้อนก็เริ่มหงุดหงิดที่ยังไม่ได้ซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หันไปเห็นพัดไผ่วางเรียงเป็นระเบียบเต็มแผง ถ้าได้มาคลายร้อนคงช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง



“หมิงเอ๋อร์ เจ้าดูเถิดพัดพวกนั้นคุณภาพต่ำนัก พี่สะสมพัดไว้มากมาย วันใดที่เจ้าไม่มีธุระ พี่อนุญาตให้เจ้าไปเลือกเอาพัดที่ชอบใจได้ที่ตำหนัก”



“อา ถ้าเช่นนั้นท่านพี่เหวินหลง ท่านคิดว่ากระปุกไม้สลักนี้เป็นอย่างไร”



“หมิงเอ๋อร์ ราคานี้เจ้าซื้อหีบไม้ได้เลย กระปุกจิ๋วนี่ไม่คุ้มค่าเงินที่เสียเลยสักนิด”



“......” แต่ข้าไม่ได้อยากได้หีบโว้ยยย ข้าหลงทึกทักไปว่าโชคดีที่มีพี่ชายสายเปย์ แต่ท่านกลับกลายเป็นแค่พี่ชายสายตืดซะนี่ ไอ้คนขี้งก ตอแหลสับปลับ ไหนบอกว่าจะซื้อให้ข้าทุกอย่างตามประสงค์ ประสงค์บิดาเอ็งสิ ประสงค์อะไรไม่เห็นได้สักอย่าง โว้ยยย จะด่าบิดาท่านก็ดันมาเข้าตัวข้าอีก ฮึ่ยยย



“หมิงเอ๋อร์ เจ้ามาทางนี้ พี่เห็นของดีที่อยากซื้อให้เจ้าแล้ว” องค์รัชทายาทคว้าข้อมือพระอนุชาผู้เดินคอตกด้วยความผิดหวังให้มายังช่องแคบๆอีกฟากหนึ่งของถนน จนในที่สุดก็มาหยุดอีกมุมในตลาดหน้าร้านเสี่ยวหลงเปา



“แม่นางคนงาม ข้าขอเสี่ยวหลงเปาไส้เนื้อ 2 ลูกเถิด”



เสี่ยวหลงเปาาา ไอ้คนขี้งก! แบบนี้มันไม่ต่างกับพาไปเดินพารากอนแล้วสุดท้ายดันพาออกมาซื้อแค่ซาลาเปาเซเว่นในสยามเลยนี่หว่า!! แล้วไหนแม่นาง คนขายเป็นป้าแล้วเหอะ องค์รัชทายาท ท่านช่างโกหกปลิ้นปล้อนกะล่อนได้อย่างไร้วาทะศิลป์ยิ่งนัก



คนขายในวัยห่างไกลจากความเป็นแม่นางและยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเป็นคนงามส่งเสี่ยวหลงเปาร้อนๆให้กับคุณชายที่มีใบหน้างดงามตรงหน้าอย่างขวยเขิน ทั้งยังแถมหมั่นโถวเพิ่มให้อีกหนึ่งลูก



“รับไว้สิหมิงเอ๋อร์ นี่เป็นร้านเสี่ยวหลงเปาที่พี่มาซื้อยามออกธุระข้างนอก ร้านนี้แม่นางคนขายใจดีให้ไส้เยอะ แป้งก็โม่มาดี เนื้อไม่หนาไม่บางเกินพอดี” องค์รัชทายาทฉีกยิ้มกว้างสาธยายคุณความดีของเสี่ยวหลงเปาเชิญชวนแกมบังคับให้ลี่หมิงรีบทานเข้าไป



“เป็นพระคุณยิ่งนัก เสด็จพี่ ข้าจะลองชิมดู” เสี่ยวหลงเปาเพียงลูกเดียวจากคนขี้ตืดคงนับได้ว่าเป็นบุญคุณอย่างมากแล้ว เด็กหนุ่มลอบเผยสีหน้าเบื่อหน่ายรับเสี่ยวหลงเปาเข้าปากอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แม้ไม่ได้หิวโหยอยากอาหาร หากแต่รสชาติที่ซึมซาบอยู่ในปากกลับทำให้นึกถึงความทรงจำบางอย่างขึ้นมาไม่ทันได้ตั้งตัว



'อาหมิง ลื้อรีบมากิง อั๊วซื้อซาลาเปามาฝาก เดี๋ยวมังหายร้องแล้วไม่อร่อย'



คิดถึงซาลาเปาร้อนๆที่เคยกินตอนอยู่กับอาม่า ชีวิตที่มีอาม่าคอยซื้อซาลาเปามาให้เกือบทุกวันหลังเลิกซ้อมเทควันโด แค่นึกถึงน้ำตาก็ไหลไม่รู้ตัว



“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใด เสี่ยวหลงเปาไม่ถูกปากเจ้าหรือกระไร”องค์รัชทายาทขมวดคิ้วแสดงอาการตกใจแกมกังวลเมื่อเห็นพระอนุชาเคี้ยวเสี่ยวหลงเปาพร้อมน้ำตารินไหลอาบแก้ม



“ขออภัยเสด็จพี่เหวินหลง เสี่ยวหลงเปารสชาติดีเยี่ยมทีเดียว ข้าเพียงแต่…ดีใจที่ได้ออกมาเดินอย่างอิสระอีกครั้ง” คนึงหาถึงสิ่งที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเอื้อมมือคว้ามาไว้ได้อีกครั้งคงไม่มีประโยชน์ เด็กหนุ่มพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเอื้อนเอ่ยวาจาโป้ปดคำโต ทราบดีว่าสภาพของตนเองที่เดินกินเสี่ยวหลงเปาเคล้าน้ำตาในตอนนี้คงดูไม่จืดนัก



องค์รัชทายาทเลิกชายเสื้อขึ้นหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้พระอนุชาอย่างเบามือ“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว พี่เข้าใจเจ้า เงียบเถิด พี่จะให้ของรับขวัญที่เจ้าหายดี” องค์รัชทายาทเหวินหลงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากชายเสื้ออีกด้านก่อนวางลงในมือเด็กหนุ่ม



ลี่หมิงเผยสีหน้างุนงงก้มมองสิ่งแปลกปลอมในมือ ของขวัญชิ้นใหม่ที่ได้รับจากพระเชษฐาขี้ตืดช่างดูราคาสูงค่าจนเด็กหนุ่มไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง กำไลหยกขาวในมือกระทบแสงอาทิตย์ยามอัสดงเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อเพ่งพินิจให้ดีแล้วจะเห็นรอยสลักลายเต่าตัวเล็กหลายๆตัวเดินวนเรียงล้อมรอบเป็นวงกลม



ข้าเกือบซึ้งแล้ว แต่ไอ้ลายเต่านี่มันอะไร ท่านอยากให้ข้าจดจำเหตุการณ์ถีบท่านไปจูบเต่าในสระวันนี้ให้ดีจนถึงขั้นหาของมาเป็นตัวแทนความแค้นเคืองเลยงั้นเรอะ!



“หยกขาวกับเต่ามีความหมายที่ดี ให้เจ้ามีอายุยืนยาวนาน ไม่เจ็บไม่ป่วยอีกต่อไป” องค์รัชทายาทเอ่ยเสียงเบานำเอากำไลหยกมาถือไว้ที่ตนก่อนบรรจงสวมเข้าไปในข้อมือข้างซ้ายของพระอนุชา



โห สะอึกเลย คนเขาหวังดีดันนึกว่าประสงค์ร้าย หรือจริงๆแล้วนี่เป็นการหวังดีประสงค์ร้ายไปพร้อมๆกันก็เป็นได้



“หมิงเอ๋อร์ เจ้าดูสิ” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณใดๆตามความตั้งใจเมื่อคนให้เอ่ยขัดจังหวะเสียเอง องค์รัชทายาทชี้ชวนลี่หมิงให้มองกลับไปอีกฟากของถนนที่ขบวนม้าของเหล่าขุนนางและขุนพลจากชายแดนกำลังเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อมารายงานข่าวสารบ้านเมืองให้กับฮ่องเต้



“ครั้งนี้อู๋อ๋องกับองค์ชายแปดกลับมาพร้อมกับรองแม่ทัพหม่าด้วย เจ้าควรจะ....”



ลี่หมิงชะเง้อคอมองตามยังไม่ทันไรดีพลันรู้สึกตัวเบาๆแปลกๆ ลองเอามือตะปบตามลำตัวล้วงแขนเสื้อเข้าออกอยู่ห้าหกครั้งจึงค้นพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ



ไอโฟนหายไปไหนวะ!



น้ำเสียงพร่ำบรรยายเนิบนาบขององค์รัชทายาทในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเสียงแมลงบินหวีดหวิวตัดผ่านสายลม ลี่หมิงหันหน้าหันหลังกลับไปมองทางที่เดินผ่านมาเห็นเพียงฝูงชนวุ่นวายพลุกพล่านเนืองแน่นขนัดสายตา แต่กลับไร้ซึ่งวี่แววของไอโฟนเจ้าปัญหา



“หมิงเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งใดตกหล่นหรือกระไร เหตุใดจึงลุกลี้ลุกลนเช่นนั้น”



ทำไอโฟนตกพะย่ะค่ะ แพงด้วยพะย่ะค่ะ ไม่ทราบชะตากรรมว่าตกโดนพื้นกรวดแข็งขนาดนี้หน้าจอจะยังอยู่ดีหรือไม่พะยะค่ะ



“ขออภัยที่ทำให้เสด็จพี่เป็นกังวล ข้าเพียงตรวจสอบดูว่าตั๋วเงินยังอยู่ดีหรือไม่เท่านั้น”



“เช่นนั้นก็ดี” องค์รัชทายาทส่งรอยยิ้มประจำกายให้พระอนุชา “ยามนี้เย็นมากแล้ว พวกเรารีบกลับเข้าวังกันเถิด พี่กังวลว่าถ้าเจ้าเดินมากไปอาจไม่ดีกับขาที่พึ่งฟื้นตัว ยิ่งกว่านั้นหากไม่กลับให้ถึงตำหนักก่อนอาทิตย์ลับฟ้า จางเฉินเค่อคงได้บ่นเจ้าไม่หยุดปากเลยกระมัง”



“ข้าเห็นด้วยกับท่านยิ่งนัก” แม้จะอยากกลับไปวิ่งวนตามหาไอโฟนมากแค่ไหน ลี่หมิงก็ไม่รู้จะสรรหาข้อแก้ตัวใดมาแถไถได้ จึงยอมกลับวังไปโดยสดุดี



เมื่อกลับถึงตำหนักหงหลิน ลุงเค่อนำความมาแจ้งว่ามีพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้เยว่อ๋องเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้น ลี่หมิงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนเดินเนิบนาบเข้าห้องบรรทมไปอย่างไร้อารมณ์ พะวงกังวลถึงไอโฟนที่หายไปจนไม่ได้ใส่ใจการไปเข้าเฝ้าพระบิดาเป็นครั้งแรกสักเท่าใด



เด็กหนุ่มได้แต่คิดวกวนกลับไปกลับมาว่าตนเผลอไปโง่ทำร่วงหายที่ไหนในจุดใดของตลาด หากมีโอกาสคงจะกลับไปวิ่งหาดูอีกครั้ง สมาร์ทโฟนเครื่องแพงเมื่ออยู่ในยุคนี้อาจมองดูว่าไร้คุณประโยชน์ แต่ของหนึ่งอย่างไม่จำเป็นต้องมีคุณค่าเพียงหนึ่งเดียวเสมอไป



ลี่หมิงได้ไอโฟนเป็นของขวัญวันเกิดจากคนใจร้ายที่ทิ้งกันไปอย่างไม่ไยดี แม้จะเสียใจเพียงใดแต่เป็นเพราะตัดใจลืมอีกฝ่ายไม่ลง ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ได้รับจึงกลายเป็นสิ่งของที่มีคุณค่าทางจิตใจมากเหลือล้น เป็นเสมือนของแทนใจคนรักเก่าที่คงไม่มีวาสนาได้พบเจอกันอีกแล้ว ลี่หมิงทั้งเสียใจและเจ็บใจ โทษตัวเองต่างๆนาๆจนค่อยๆผล็อยหลับไปในที่สุด



ในอีกฟากหนึ่งของรั้ววัง องค์รัชทายาทเว่ยเหวินหลงตรงดิ่งเข้าห้องบรรทมทันทีที่กลับถึงตำหนัก พร้อมออกคำสั่งให้หญิงรับใช้และขันทีออกไปจากห้อง จากนั้นจึงค่อยๆล้วงเอาโลหะสี่เหลี่ยมประหลาดออกมาจากอกเสื้อ



“นี่มัน...”

หัวข้อ: ตอนที่ 4 : รักวัวให้ผูก รักลูกให้ออกปากไล่
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 02-04-2017 22:48:18
ตอนที่ 4 : รักวัวให้ผูก รักลูกให้ออกปากไล่


“นี่มัน...แท่นทับกระดาษรูปทรงขี้เหร่อันใด!? หมิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงต้องพกแท่นทับกระดาษหยกดำออกไปเดินตลาด น้องพี่ เจ้าช่างมีรสนิยมแปลกประหลาดเหลือเกิน ทั้งของยังร้าวไปแล้วเช่นนี้พี่จะกล้าส่งคืนเจ้าได้อย่างไร!!”



องค์รัชทายาทแค่นลมหายใจบางเบา แม้เห็นของร่วงหล่นออกจากแขนเสื้อผู้เป็นน้องยามเดินตลาดแต่กลับไม่สามารถหาช่วงจังหวะเหมาะสมส่งคืนเจ้าของ เหตุเพราะของที่เก็บได้นั้นเกิดแตกร้าวเสียแล้ว คนห่วงใยจึงมิอาจทำใจนำหยกไม่สมประกอบแลดูเป็นลางร้ายนี้ไปคืนให้กับพระอนุชาที่พึ่งหายจากอาการเจ็บป่วยได้



“พี่ผิดไปแล้วไม่น่าให้กำไลหยกเจ้าเลย ถ้าเจ้าบอกพี่ว่าชอบแท่นทับกระดาษพี่จะสั่งทำอันที่สวยสง่าดูมีราศีกว่านี้ให้เจ้า”



เว่ยเหวินหลงทึกทักเอาเองเสร็จสรรพว่าวัตถุที่เก็บได้เป็นแท่นหยกทับกระดาษรูปทรงพิลึก เมื่อพลิกดูอยู่ครู่หนึ่งจนหมดสิ้นความสนใจจึงนำไปเก็บลงในหีบปลายเตียงบรรทม



นับแต่นั้นมาไอโฟนไร้แบตเตอรี่ที่น่าสงสารก็ได้รับเกียรติให้นอนเดียวดายอยู่ในหีบไม้หรูหราไปอีกนานแสนนาน…



ตำหนักหงหลินในยามเช้าวันใหม่เงียบสงบดังเช่นเคย ดวงตะวันทอแสงทองคำแห่งอรุณรุ่งเคลื่อนคล้อยขึ้นยังทางบูรพาทิศ คลอเคล้าไปด้วยเสียงหมู่มวลวิหคกระพือปีกผ่านท้องนภาโบกสะบัดยวงขนบินเรียงเคียงคู่



ลี่หมิงจำต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมแต่งองค์ทรงเครื่องไปเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ความวิตกกังวลจากการสูญเสียของสำคัญถูกแทนที่ด้วยอาการตื่นเต้นกระสับกระส่าย นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ตัวเป็นๆยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นในฐานะพ่อของตนอีกด้วย



“เสด็จพ่อได้แจ้งสิ่งใดให้ข้าตระเตรียมไปรายงานในการเข้าเฝ้าครั้งนี้หรือไม่” เหตุเพราะคืนก่อนพยักหน้าส่งเดช ลี่หมิงเอ่ยถามลุงเค่อไม่ให้พลั้งพลาดสิ่งใดให้สุ่มเสี่ยงต่อการโดนพระอาญาพาลให้หัวหลุดจากบ่า



“หามีไม่ขอรับ ท่านอ๋อง”



“เช่นนั้นก็ดี” เสด็จพ่อ เหตุใดท่านจึงไม่รู้จักแจกแจงรายละเอียดเนื้อหาการเข้าประชุมก่อนล่วงหน้า หากท่านจะเรียกข้าไปด่าข้าจะได้เตรียมใจเอาไว้!



ท้องพระโรงในวังหลวงยามนี้คลาคล่ำไปด้วยขุนนางหลากยศหลายตำแหน่งต่างพกพาฮู่ป่าน*มายืนเรียงกันเป็นระเบียบแถวตามลำดับขั้น ลี่หมิงถือโอกาสใช้เวลาที่เหลือขณะรอฮ่องเต้เสด็จมาถึงลอบมองสังเกตการณ์ไปทั่ว ใบหน้าของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหลายลี่หมิงจดจำได้บ้างตามความทรงจำของเสวี่ยหมิง



นั่น...อัครมหาเสนาบดีจอมสอพลอ เสนาบดีกรมขุนนางผู้มากเมีย เสนาบดีกรมโยธาที่จวนแทบจะใหญ่กว่าวังหลวง ลี่หมิงละสายตาไปจากเหล่าผู้คุ้นหน้าคุ้นตาทั้งหลายเมื่อขันทีตะโกนประกาศการมาของฮ่องเต้พร้อมเสียงฆ้องตีร้องก้องท้องพระโรงยามถึงเวลาว่าราชการ



“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”



ฮ่องเต้หมิงเฉียนเสด็จประทับบนบัลลังก์ ทันทีที่เริ่มการขานเรียกชื่อ ชายหนุ่มท่าทางองอาจกระฉับกระเฉงในเครื่องแต่งกายขุนศึกเต็มยศก้าวขึ้นมาคุกเข่าลงหน้าบัลลังก์มังกร



“ถวายพระพรฮ่องเต้ ขอจงทรงพระเจริญหมื่นๆปี ข้ารองแม่ทัพหม่าเทียนฟงและ…” รองแม่ทัพหม่ากลืนน้ำลายนึกอยากกัดลิ้นตายไปเสีย ไอ้คนที่ควรจะเดินขึ้นมาด้วยกันดันไม่รีบเดินออกมา หันหน้าหันหลังเพียงชั่วครู่คนใจร้อนรนก็เริ่มหายใจออกได้เมื่อมีอีกร่างคุกเข่าลงข้างตน



“...องค์ชายแปดเว่ยเหอโจว ทูลขอเป็นตัวแทนอู๋อ๋องรายงานความคืบหน้าปราบกบฏชายแดนไป่หนานพ่ะย่ะค่ะ” เคราะห์ยังดีวันนี้เจ้าคนสมควรตายไม่ทำตัวหาเรื่องให้หม่าเทียนฟงติดร่างแหซวยไปด้วย ถึงแม้ถ้าจะมีใครซวยขึ้นมาก็คงมีแค่รองแม่ทัพผู้น่าสงสารคนเดียวก็เถอะ



คนถูกลอบด่านอกจากจะไม่รู้ตัวแล้วยังไม่สนหน้าอิฐหน้าพรหมใดๆทำท่าทำทางเหมือนยังไม่ตื่นดีโงนเงนโคลงเคลงลอบหาวออกมาเป็นระยะๆ ทั้งยังสะบัดเรือนผมของตนที่ยาวจนปิดหน้าปิดตาไม่เรียบร้อยเล่นไปมา ระหว่างปล่อยให้รองแม่ทัพหม่ากราบทูลต่อฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว



“...ดูเถิด องค์ชายแปดเข้าวังหลวงเมื่อใดก็ยังไร้มารยาทเช่นเคย...”



“...นี่น่ะหรือองค์ชายแปดเว่ยเหอโจวที่เล่าลือกันว่าเก่งกาจยิ่งกว่าหมอหลวง วันๆเอาแต่เข้าป่าหาสมุนไพร ไม่เห็นอยากรักษาใครเป็นจริงเป็นจัง…”



“...ซ้ำยังไม่ขอรับยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆแม้จะทำคุณงามความดีจนเป็นที่น่าพึงพอใจก็ตามที องค์ชายเหอโจวผู้นี้ช่างถือดีทระนงตนยิ่งนัก...”




ลี่หมิงเงยหน้าขึ้นตามเสียงซุบซิบนินทา เด็กหนุ่มแทบจะก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อสงบจิตสงบใจตั้งแต่ฮ่องเต้เสด็จมาถึง เมื่อพินิจมองใบหน้าคุ้นตาของรองแม่ทัพหม่าแล้วจึงเลื่อนสายตาไปทางองค์ชายแปดผู้ซึ่งบัดนี้ปัดปอยผมข้างหนึ่งขึ้นทัดใบหูเอาไว้



เฮ้ย!



เดี๋ยวนะ…ไม่จริงน่า



หน้านี้คุ้นมากกก คุ้นมากไปละ นั่นมัน...



ไอ้โจนี่หว่า!



“ไร้มารยาท...เก่งกาจยิ่งกว่าหมอหลวง” ไอ้โจชัดๆ!!



ไอ้โจ เอ็งหนีอาอี๊ที่บ้านมาเป็นองค์ชายแปดหรอฟะ!!!


โจ หรือ ไอ้โจเพื่อนโคตรสนิทของลี่หมิง ปัจจุบันเรียนอยู่คณะแพทย์แผนจีนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ด้วยความเป็นคนเงียบๆ แต่ละวันของโจจึงมักหมดไปกับการอ่านหนังสือแพทย์และนั่งเล่นเกมแทบไม่ได้อ้าปากพูดจากับใครให้ดอกพิกุลร่วงหล่น


 
ชีวิตในวัยเด็กของโจไม่ดีนักเมื่อบิดามารดาเลิกร้างต่อกัน โจได้รับการอุปการะโดยอาอี๊และอาเตี๋ยที่ไม่มีลูกเป็นของตัวเองและอาศัยอยู่ถัดไปสามซอยจากบ้านของลี่หมิง ลี่หมิงกับไอ้โจมาสนิทสนมจนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเมื่อได้เข้าโรงเรียนเดียวกันในระดับมัธยมปลาย จนสุดท้ายแม้แต่มหาวิทยาลัยก็ยังติดที่เดียวกัน



“กบฏชายแดนนับร้อยถูกจับตัวได้แล้วแต่หัวหน้าของพวกมันชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อนจึงไม่สามารถนำตัวมาเค้นหาผู้บงกา...” เสียงรอบตัวเด็กหนุ่มในตอนนี้ไม่ต่างจากเสียงนกเสียงกา หลากความคิดหลายคำถามในเรื่องของเพื่อนสนิทตีวนกันอยู่ในหัววุ่นไปหมด



ไอ้โจมันมาอยู่นี่ได้ไง? หรือมันตกกำแพงเมืองจีนมาเหมือนกัน แต่ล่าสุดที่เช็คเฟสบุ๊คเห็นไปเที่ยวฝรั่งเศส แล้วมันสะดุดหัวกระแทกเสาหอไอเฟลเหรอถึงได้หลุดมาอยู่จีนโบราณ!? หรือจะแค่คนหน้าเหมือน? หรือไอ้องค์ชายแปดอะไรนี่จะเป็นบรรพบุรุษมัน? โอ้ย ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวโว้ยยย!!!



ลี่หมิงหลุดจากภวังค์ในที่สุดเมื่อได้ยินเสียงเรียกขานนามของตน สองขาเร่งรุดไปคุกเข่าหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อเพื่อทำความเคารพ



ไม่คิดแม่งแล้วไว้เจอหน้าไอ้โจข้างนอกจะถามมันเอาเลยแล้วกัน!!!



“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”



“ลุกขึ้นเถิด เยว่อ๋อง”



“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”



“หมอหลวงรายงานว่าขาของเจ้ากลับมาเดินได้ราวกับมีปาฏิหาริย์ เห็นท่าจะเป็นจริงตามนั้น เป็นนิมิตหมายอันดีที่จะให้เจ้าได้สานต่อหน้าที่ไปประจำที่เมืองเยว่ตามกำหนดการเดิมในเร็ววัน เจ้ามีสิ่งใดโต้แย้งหรือไม่”



อือหือ นิสัยพูดจามัดมือชกแบบนี้เหมือนไอ้คนเมื่อวานที่ลากข้าออกไปทำไอโฟนหายที่ตลาดไม่มีผิด!! เสด็จพี่เหวินหลง หากผู้ใดกล่าวหาว่าท่านไม่ใช่ลูกเสด็จพ่อ ข้าจะกระโดดถีบปากมันแทนท่านเอง



“กระหม่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดนอกเสียจากขอเวลาจัดการงานในหน้าที่เดิมให้เสร็จสิ้นเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ขอเวลาคุยกับไอ้โจก่อนได้ไหม จะรีบไปไหนวะเสด็จป๊า!



“เรื่องงานของเจ้าข้าได้ปรึกษากับอัครมหาเสนาบดีหูเป่ยแล้ว ข้าจะให้หลิงอ๋องจะเข้ามาสานต่อแทนเจ้าเองไม่ต้องเป็นกังวลไป”



“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” เออ! อยากจะบ้าตาย เพิ่งได้มีพ่อกับเขาทั้งคนมาถึงเจอหน้ากันแป๊ปเดียวก็ไล่ให้ออกไปอยู่ที่อื่นเลย แบบนี้ก็มีด้วยเรอะ!!



“ส่วนพวกที่ลอบทำร้ายคณะเดินทางของเจ้าเมื่อสี่วันก่อน ข้าได้ส่งให้คนไปรีบติดตามเรื่องแล้ว รออีกไม่นานคงได้รู้ว่าเป็นฝ่ายใดที่กำเริบเสิบสานลอบทำร้ายแม้กระทั่งราชนิกุล”



“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”



อา นั่นสิ จะว่าไปก็ลืมไปเลยว่าวันแรกโผล่มาถึงก็กลิ้งโค่โล่อยู่ข้างทางจนลุงเค่อต้องบุกป่าฝ่าดงมาตะโกนหา จำได้แค่ว่าคณะของเยว่อ๋องถูกลอบทำร้ายระหว่างเดินทางกลับจากตรวจราชการเมืองเยว่ แล้วความทรงจำระหว่างนั้นก็ตกหล่นหายไปที่ใดไม่อาจทราบได้ รู้ตัวอีกทีข้าก็มาอยู่ในร่างเสวี่ยหมิงแล้ว



ตามรายงานที่ได้รับจากลุงเค่อการลอบสังหารครั้งนั้นมีองครักษ์มือดีสองนายพลั้งพลาดถูกฆ่าทั้งคู่ ผ่านมาสี่วันแล้วก็ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ เสวี่ยหมิงอุตส่าห์ทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ไปขัดหูขัดตาใครมานานหลายปียังไม่วายมีคนไม่พอใจอีก มันจะอะไรกันนักกันหนาวะ!



“เช่นนั้นเยว่อ๋อง ขอให้เจ้าจงเตรียมตัวออกเดินทางไปเมืองเยว่ภายในสามวัน”



เฮ้ย! เสด็จป๊า ไหนตอนแรกบอกในเร็ววัน เร็ววันของท่านมันชักจะเร็วเกินไปแล้วเฟ้ย!! สมองข้ายังไม่ทันได้ประมวลผลท่านก็สะบัดตูดหันหนีไม่อยากจะพูดจากับข้าแล้ว ท่านกลัวข้าขอเงินค่าขนมเพิ่มหรืออย่างไร ห๊าา!!!



โอรสสวรรค์ไม่ได้สนใจลี่หมิงอีกต่อไป เสร็จสิ้นจากคำประกาศิตไล่ลูกออกจากบ้านไปคนนึงก็เบนความสนใจไปหาลูกอีกคน



“เหอโจว เจ้าเองเข้าวังมาแล้วก็ดี หากเจ้าสนใจอยากเรียนรู้งานการคลัง ข้าจะให้...”



“การบ้านการเมืองใดๆล้วนไม่อยู่ในความสนใจของกระหม่อม ขอเสด็จพ่อโปรดทรงเข้าพระทัย”



ไอ้โจ! ไอ้โง่! นี่มันฮ่องเต้ไม่ใช่อาเตี๋ยที่บ้าน!! อย่าเพิ่งหาเรื่องโดนกุดหัวดิวะ!!!



“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด”



โห เสด็จป๊า ท่านแม่งโคตรไม่แฟร์ รักลูกไม่เท่ากันเห็นๆเลย ทำไมทีไอ้โจไม่ไล่มันไปบ้างอ่ะ!



“เจ้าไปประจำอยู่ชายแดนกับอู๋อ๋องก็ดีแล้ว เจ้าคงได้ใช้ความสามารถทางการแพทย์ของเจ้าที่นั่น อย่าลืมว่าเจ้าก็เป็นองค์ชายคนหนึ่งเช่นกัน สิ่งใดที่ทำเพื่อพสกนิกรได้ก็ไม่ควรละเลย”



“พ่ะย่ะค่ะ”



กว่าขุนนางแต่ละคนจะทูลกล่าวเรื่องราวต่อองค์จักรพรรดิเสร็จสิ้นก็เป็นยามอู่(11.00-12:59น.)เสียแล้ว เด็กหนุ่มรีบสาวเท้าเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ดีนัก



“หมิงเอ๋อร์เหตุใดเจ้าจึงทำสีหน้าเช่นนั้น มีใครรังแกเจ้าหรือ” คนไม่รู้จักส่งเสียงเรียกก่อนเข้าใกล้ช่างทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย เว่ยเหวินหลงเดินเข้าประชิดตัวลี่หมิง โชคยังดีเด็กหนุ่มเรียนรู้แล้วที่จะไม่เตะคนซี้ซั้วเป็นครั้งที่สอง



พ่อท่านนั่นแหละ พ่อท่านนั่นแหละรังแกข้า! ยังจะมีหน้ามาถามอีก แล้วดันมีพ่อคนเดียวกันจะด่าพ่อใครก็เข้าตัวไม่ต่างกันเลย!!



“ขอเสด็จพี่อย่าเป็นกังวลไป ข้าเพียงมองเห็นนภาโปร่งนัก จึงนึกอยากออกไปเดินตลาดอีกครั้ง” แน่นอนว่าลี่หมิงตั้งใจจะออกไปตามหาไอโฟนเจ้ากรรม เด็กหนุ่มแอบหวังให้ยังไม่มีไอ้บ้าหน้าไหนเก็บมันไปซะก่อน



...ไอ้คนบ้าที่แอบเก็บไปซุกไว้ก็อยู่แค่ตรงหน้านี่เอง



“พี่รู้ว่าเจ้าคงเสียใจที่ต้องไปจากเมืองหลวงในอีกไม่กี่วัน เจ้าคงติดใจเสี่ยวหลงเปาเมื่อวานสินะ แต่น่าเสียดายเหลือเกินวันนี้พี่ติดธุระเร่งด่วนไม่สามารถออกไปเป็นเพื่อนเจ้าได้ เช่นนั้นพี่จะขอให้คนอื่นช่วยออกไปเป็นเพื่อนเจ้าแทนแล้วกัน”



ไอ้คนมั่วนิ่ม ข้าจะออกไปตามหาไอโฟน ไม่ได้อยากกินเสี่ยวหลงเปา! ข้าออกไปคนเดียวได้สบายมากตลาดเล็กนิดเดียวเดินง่ายกว่าเซ็นทรัลเวิลด์อีก! ส่วนท่านก็อยู่นิ่งๆไป อย่าหาใครมาเกะกะข้า!!



ยังไม่ทันได้เอ่ยคำขัดใดๆ เสด็จพี่ผู้วอนโดนตีนอีกสักรอบดึงมือเด็กหนุ่มจูงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังวงเสวนาของรองแม่ทัพหม่าและเหล่าขุนพล



“คารวะองค์รัชทายาท คารวะเยว่อ๋อง” องค์ชายแปดเว่ยเหอโจวยืนพิงกำแพงกลมกลืนประหนึ่งจิ้งจกเอาแต่จ้องมองลี่หมิงไม่วางตา ไม่สนใจเอ่ยคำเคารพใดๆต่อพระเชษฐาของตนดังเช่นผู้อื่น



“เงยหน้าเถิดขุนพลทั้งหลาย เทียนฟงหากหลังจากนี้เจ้าไม่ติดธุระสำคัญอันใด ข้าต้องการให้เจ้ากับเหอโจวช่วยพาหมิงเอ๋อร์ออกไปเดินตลาดแทนข้าที หมิงเอ๋อร์ยังไม่ชำนาญเส้นทางนักคงต้องขอให้พวกเจ้าช่วยดูแลเขาด้วย”



“ด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ ข้าและองค์ชายเหอโจวมีนัดพบกับหลิงอ๋องที่โรงเตี๊ยมในตลาดอยู่พอดี ไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายแปดไม่เอ่ยคำพูดใดแม้สหายจะตอบรับคำขอโดยไม่ปรึกษาตน ซ้ำยังปล่อยให้เทียนฟงลอบส่งสายตาเจ้าชู้ขี้เล่นใส่ลี่หมิงจนเด็กหนุ่มต้องยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างองค์รัชทายาท



“เช่นนั้นข้าฝากด้วย” ลี่หมิงเบ้หน้าได้ออกไปกับไอ้โจมันก็ดีแหละ แต่ไอ้คนข้างๆนี่ไม่น่าไว้ใจเลยโว้ย!



รองแม่ทัพหม่าเทียนฟงเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพหม่าเทียนซื่อ ในความทรงจำที่เห็นนั้นเสวี่ยหมิงเองแม้รู้จักแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมเป็นการพิเศษกับทางฝั่งแม่ทัพ หม่าเทียนซื่อเป็นคนจริงจังเคร่งครัดในทุกสิ่ง แต่บุตรชายคนเดียวสานต่อเจตนารมณ์ไปเพียงด้านการรบราฆ่าฟันเท่านั้น อย่างอื่นหาได้มีแก่นสารในชีวิตไม่



สมแล้วที่เป็นพระสหายสนิทขององค์ชายแปด เหลวไหลไม่แคร์สื่อด้วยกันทั้งคู่ เมื่อวานออกไปกับคนขี้ตืดจนทำของหาย พอจะไปหายังต้องไปกับพวกสตางค์มีแต่สติไม่เต็มอีก เอาวะ อย่างน้อยจะได้หาโอกาสคุยกับไอ้โจให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ยังไงเวลาที่เหลือในเมืองหลวงก็น้อยเต็มทีแล้ว



เมื่อฝากฝังให้หม่าเทียนฟงคอยดูแลลี่หมิงพร้อมกำชับว่าอย่าให้มดไต่ไรตอมได้แม้เพียงน้อยนิด องค์รัชทายาทจึงขอตัวออกไปทำธุระทิ้งลี่หมิงให้ยืนนิ่งอยู่กับสองคนเพี้ยนแห่งยุค



ออกจากรั้ววังไม่นานเดินสักพักก็เข้าสู่บริเวณตลาด เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆข้อมือของตนถูกมือคีมของใครอีกคนเข้ามาล็อคไว้แน่น



“รองแม่ทัพหม่า ท่านไม่ต้องปฏิบัติตามที่องค์รัชทายาทสั่งอย่างเคร่งครัดนักหรอก” ถ้าไม่ใช่ว่าข้าเคยพลั้งพลาดถีบพระเชษฐาไปรอบนึงจนรู้จักยับยั้งตัวเองได้ ข้าคงทุ่มเจ้าลงพื้นต่อด้วยเหยียบซ้ำสักทีสองทีไปแล้ว!



“เยว่อ๋อง ท่านไม่เคยมาเดินตลาด ท่านไม่รู้หรอกว่าในแต่ละปีมีเด็กพลัดหลงมากถึงเพียงใด ข้าไม่อยากกลับไปชายแดนแบบไร้หัวตัวสะบั้นเพราะทำท่านหลงหายไปในตลาดวันนี้หรอก” คนกะล่อนปลิ้นปล้อนโต้ตอบด้วยใบหน้าเสแสร้งแกล้งทำเป็นกลัวพระอาญา



หม่าเทียนฟง ไอ้คนนิสัยไม่ดี ข้าไม่ใช่เด็ก! ต่อให้หลงไปรังโจรข้าก็จะหาทางกลับวังเองให้ได้ไม่ต้องรอให้เจ้ามาช่วย!! เที่ยวอยากมาแต๊ะอั๋งคนอื่นแล้วพูดแถไปเรื่อย คอยดู กลับถึงวังเมื่อไรข้าจะฟ้ององค์รัชทายาท จำไว้เลย!!!



พูดดีแล้วคนไม่ฟังคงต้องพูดด้วยกำลัง ใช่ว่าภพนี้ดันมีร่างผอมบางแล้วจะต้องยอมใครต่อใครอยู่ร่ำไป ลี่หมิงเพียงหมุนพลิกข้อมือก็สะบัดหลุดจากเจ้าคนกล้ามปูได้โดยง่าย เด็กหนุ่มรีบเดินไปอยู่ด้านหลังองค์ชายแปดโดยไม่สนใจสีหน้าตะลึงงงงันของคนตระกูลหม่า



เว่ยเหอโจวเดินเนิบนาบมองร้านรวงข้างทางยังคงมีสีหน้าเบื่อหน่ายอันเป็นเอกลักษณ์เช่นเคย เป็นโชคดีของลี่หมิง หม่าเทียนฟงยืนงุนงงอยู่ชั่วครู่ก็หาเป้าหมายใหม่ได้เป็นแม่นางคนงามที่เดินสวนมา เมื่อได้อยู่กับองค์ชายแปดเพียงสองคน เด็กหนุ่มจึงรีบเริ่มต้นแผนการณ์ซักถามอีกฝ่ายทันที



 ได้โอกาสแล้วโว้ย! หม่าเทียนฟงเอ็งไปจีบหญิงไกลๆเลยเดินตกน้ำไปได้ยิ่งดี!



“โจ” ลี่หมิงแสร้งเนียนเอ่ยเรียกชื่อของเพื่อนสนิทออกมาขณะทำทีเป็นสนใจเลือกดูเสื้อผ้า



หันมาดิวะ! เอาใหม่ๆ



“ไอ้โจ” ลี่หมิงเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีก



ยัง ยังไม่หันมาอีก



“ไอ้โจโว้ยย!”



เฮ้ย หันมาแล้ว!!



ความพยายามประสบผลสำเร็จ คนถูกเรียกค่อยๆหันหน้ามาหาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีอ่อนไร้ประกายแห่งความตื่นเต้นยินดีใดๆ



“ไอ้โจนี่ข้าเอง ลี่หมิงหลานอาม่า บ้านอยู่ซอยเก้า” เด็กหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูขององค์ชายแปดเหอโจว ลี่หมิงดีใจจนหัวใจแทบออกมาโลดแล่น อย่างน้อยถ้ามีไอ้โจอยู่ที่นี่ด้วยชีวิตคงไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป



เว่ยเหอโจวนั้นในยามปกติมักไม่เผยสีหน้าอื่นใดแต่ครานี้กลับเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมเบิกตากว้าง มุมปากกระตุกเผยรอยยิ้มชวนขนลุก



“หืม บ้านอยู่ซอยเก้า…”


-----------------------------------------------------------------------------------

*ฮู่ป่าน - แท่งไม้ใช้ว่าราชการของเหล่าขุนนางที่เปรียบได้กับสมุดจดบันทึกเวลาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ วัตถุที่ใช้ทำจะแตกต่างกันไปตามฐานะของขุนนาง
หัวข้อ: ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 02-04-2017 22:49:59
ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป



“หืม บ้านอยู่ซอยเก้า...หากเจ้าอาศัยอยู่ที่นั่นแล้วบ้านข้าเล่า?”



“ห๊ะ บ้านแกก็ซอยสิบสองไง ถัดไปอีกสามซอย”



“แล้วข้า...อาศัยอยู่กับผู้ใด”



“จะมีใครอีกเล่า ก็มีแค่แกกับอาอี๊แล้วก็อาเตี๋ยไง อย่ามาทำเป็นจำห่าไรไม่ได้สักอย่างสิฟะ”



คนฟังนิ่งเงียบไปไม่เอ่ยตอบโต้คำปรามาส เมื่อเหลือบมองประกายพราวระยับในแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังของคนตรงหน้า ไหล่สองข้างพลันไหวสั่นน้อยๆดังลมโชยพัดกระทบหยาดน้ำค้างยามเช้า เว่ยเหอโจวเอามือป้องปากหลุดขำออกมาเบาๆอย่างไม่อาจอดทนไหว



“ความจำของข้าเป็นเลิศเหนือผู้คนใต้หล้า เห็นจะเป็นรองก็เพียงท่านราชครูเท่านั้น” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะกระซิบตอบกลับ “แต่เหตุใดข้าจึงไม่สามารถจดจำได้ว่าเยว่อ๋องชื่นชอบการเข้าหาผู้คนด้วยมุขตลกแปร่งหูเช่นนี้ ช่างแปลกไปจากเยว่อ๋องที่ข้าเคยรู้จักเหลือเกิน”



“ไอ้โ...”



“ต่อให้เจ้าจะไม่ได้ออกไปอยู่นอกวังดังเช่นพี่น้องคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอิจฉากันมิใช่หรือ เจ้าเองก็ทราบอยู่แก่ใจดีว่า‘ขา’ที่เคยพิกลพิการของเจ้านั้นเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางเข้าออกวังหลวง เสด็จพ่อจึงอนุญาตให้เจ้าอาศัยอยู่ในตำหนักเดิม”



“เฮ้ย ไอ้โจเดี๋..”



“จะว่าไปแล้วข้าก็ช่างเสียมารยาทยิ่งนัก ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้กล่าวแสดงความยินดีกับเจ้าที่หายจากโรคร้ายกลับมาเดินได้ตามปกติเช่นเดิมเลย ในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือดนี่เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก เยว่อ๋อง ต่อจากนี้ขอให้เจ้ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ หวังว่าหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องเลวร้ายใดๆเกิดขึ้นกับเจ้าอีก” ในครานี้นอกจากคนพูดน้อยจะอ้าปากพูดมากผิดวิสัยแล้วยังไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบสิ่งใด เมื่อเอ่ยสิ่งที่ต้องการจนพอใจแล้วจึงเดินผละออกไป ทิ้งคู่สนทนาให้ยืนงงอยู่ที่เดิม



อะไรของมันวะ...ใครอิจฉาใคร? พูดพล่ามอยู่คนเดียวแล้วก็ไปเฉยเลย เพื่อนข้ามันเป็นองค์ชายแปดจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือว่า...เหอโจวมันจะไม่ใช่ไอ้โจจริงๆวะ อ้าว ชิบหาย ถ้าไม่ใช่ไอ้โจแล้วใคร บรรพบุรุษโคตรเหง้ามันเรอะ!



มันจะเป็นใครข้าก็ไม่รู้ แต่แค่คิดว่าข้าทักคนผิดก็อายจนไม่มีหน้าไปหาเรื่องคุยกับไอ้โจอีกรอบแล้ว



จริงๆแล้วข้าก็โง่เง่ายิ่งนักไม่รู้จักไตร่ตรองให้ดีก่อน แค่เห็นหน้าเหมือนกันดันบุ่มบ่ามเข้าไปพูดจาบ้าบอจนโดนมันตอกกลับมาหน้าหงายแทบคว่ำ คิดแล้วก็อับอาย อยากจะเอาหัวไอ้โจกระแทกกำแพงสักสิบรอบ เอาให้มันลืมคำว่าซอยเก้า ซอยสิบสองไปซะ ขายขี้หน้าโว้ยยย



เหอโจวเดินนำไปไกลแล้ว ในเมื่อไม่ใช่คนเดียวกัน ลี่หมิงไม่คิดตามไปตอแยต่อความยาวสาวความยืดอีก เด็กหนุ่มออกเดินตามไปช้าๆใบหน้าก้มลงมองพื้นดินเผยร่องรอยของความผิดหวังเมื่อสิ่งที่คาดไว้ไม่เป็นตามที่หวัง



“คุณชายท่านนั้น ไม่สนใจจะซื้อผ้าไปตัดเสื้อรับหน้าหนาวหน่อยหรือ”



“เอ่อ ข้าไม่...”ลี่หมิงเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก ริมฝีปากอ้าค้างคำพูดติดชะงักอยู่ในลำคอ สิ่งที่เห็นทำให้หลงลืมความผิดหวังที่มีในฉับพลัน



เออ เอาเข้าไป อาม่าตบหน้าข้าแรงๆทีเถอะ หากนี่เป็นเพียงความฝันก็รีบปลุกข้าที อยู่ที่นี่ข้าได้เจอแต่คนรู้จักในสภาพบ้าๆบอๆจนอยากจะเป็นบ้าแล้ว



“ท่านไม่สนใจจริงๆหรือ คนรูปงามเช่นท่านหากได้สวมเสื้อที่ตัดจากผ้าป่านของร้านเราแล้วคงยิ่งดูงดงามขึ้นไปอีก”



ไอ้โจกลายเป็นองค์ชาย ส่วนพี่ปิงคนขายประกันที่อยู่ซอยสองกลายเป็นคนขายผ้า… สวรรค์ท่านเล่นตลกอยู่ใช่หรือไม่



“ข้ายืนยันได้ว่าร้านของข้านั้นมีผ้าที่งดงามเข้ากับท่านที่สุดแล้ว หากท่านสนใจผ้าแบบไหนสีใดข้าย่อมหาให้ท่านได้”



พูดจาเหมือนพี่ปิงตอนพยายามขายประกันให้อาม่าเป๊ะเลย ข้าเพิ่งรู้ว่าคนเราไม่ว่าจะภพภูมิไหนๆนิสัยก็ยังจะคงเดิม



“จะว่าไปแล้วข้ายังไม่มีเสื้อผ้าของหน้าหนาวเลย ผ้าของท่านดูเนื้องานดีตามคำบอกกล่าวจริงๆ แต่ก่อนหน้านั้นข้า..ขอทราบนามของท่านได้หรือไม่” ชื่อแม่งต้องมาแนวเดียวกับไอ้โจเหอโจวแน่นอน น่าจะอะไรสักอย่างปิงๆ



“เป็นเกียรติของข้าแล้วคุณชาย ข้ามีนามว่าเฉินปิ่งชง” นั่นไงว่าแล้ว คนแถวบ้านข้ามันเป็นอะไรกันไปหมด ที่กล่าวกันว่าโชควาสนาทำให้คนเคยมีบุญต่อกันได้เจอกันอีกไม่ว่าจะในภพภูมิใดดูท่าจะเป็นเรื่องจริง แล้วเพื่อนปากหมากับคนขายประกันนี่มีบุญคุณต่อข้าแบบไหน ทำไมถึงวนเวียนมาพานพบกันอยู่ได้ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ



ทำท่าสนใจดูแผงขายผ้าอยู่ไม่นานข้าจึงเดินผละออกมา ไม่ลืมกล่าวขอบคุณปิ่งชงที่พยายามขายผ้าให้ข้าอย่างสุดความสามารถ ในเมื่อชาติหน้าอาม่าไม่ซื้อประกันเขา ชาตินี้ข้าก็จะไม่ซื้อผ้าเขา จะชาติไหนข้าก็คงไม่อุดหนุนเขา หากพวกเราเลิกมีบุญวาสนาร่วมกันคงได้เลิกวนเวียนมาพบหน้าเสียที ข้าเบื่อเสียงกริ่งเวลาพี่ปิงมาหาอาม่าจะแย่อยู่แล้ว



แต่เอาจริงๆพี่ปิงก็เสนอขายประกันให้ผิดคน น่าจะมาขายให้ข้ามากกว่าอาม่าอีก



ตอนนี้ข้าคิดว่าพอจะเข้าใจตรรกะของโลกโบราณขึ้นมาบ้างแล้ว มีคนที่หน้าตาเหมือนเดิม นิสัยก็คล้ายจะเหมือนเดิม กระทั่งชื่อก็ยังเหมือนชื่อเดิมอยู่หนึ่งส่วน แต่จะเป็นเพราะพวกเขาเป็นบรรพบุรุษหรือร่างในอดีตของคนที่ข้าได้พบเจอในโลกอนาคตนั้น ต่อให้ข้าคิดจนปวดหัวก็คงไม่เข้าใจอะไรขึ้นไปมากกว่านี้



เด็กหนุ่มครุ่นคิดไปพลางมองสังเกตไปพลางพบเห็นคนในตลาดที่หน้าเหมือนคนในชาติภพที่ตนจากมาอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อวานตอนได้ออกมาเดินตลาดครั้งแรกนั้นดันตื่นเต้นปนโมโหคนขี้ตืดจนไม่ได้สังเกตให้ดีจึงไม่เห็น แต่เหล่าคนหน้าเหมือนทั้งหลายนั้นนอกจากไอ้โจแล้ว คนอื่นๆก็ใช่ว่าจะดูออกได้ผ่านการสบตากันเพียงหนึ่งครั้ง ทั้งทรงผมและเครื่องแต่งกายก็ต่างไม่เหมือนเดิม เมื่อครู่ลี่หมิงมองแม่นางคนขายปูอยู่นานกว่าจะนึกออกว่านางหน้าเหมือนนางเอกช่องสี่คนหนึ่งในสภาพไร้เครื่องแต่งหน้า



ส่วนสาเหตุที่เด็กหนุ่มไม่รู้ตั้งแต่ข้ามภพมาว่าเสวี่ยหมิงก็รู้จักไอ้โจเป็นเพราะลี่หมิงรู้จักคนหน้าตาแบบไอ้โจในชื่อ ‘ไอ้โจ’ แต่เสวี่ยหมิงรู้จักในฐานะ ‘เว่ยเหอโจว’ เมื่อความทรงจำกับชื่อไม่ตรงกันจึงนึกไม่ออกตั้งแต่แรกว่าคนในความทรงจำใครบ้างที่เป็นคนเดียวกัน



บางที ถ้าข้าเดินตลาดบ่อยๆอาจโชคดีได้เจออาม่ายืนต่อราคาหมูติดมันอยู่…หรือจริงๆตัวข้าในภพนี้อาจจะรู้จักอาม่าอยู่แล้วก็เป็นได้ แต่ข้าเพียงต้องรู้ชื่ออาม่าในภพนี้เพื่อจะนึกให้ออกก็เท่านั้น



“เยว่อ๋อง กำไลหยกขาวของท่านลายแปลกยิ่งนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านนิยมชมชอบเต่าถึงเพียงนี้” ไอ้คนตายยากมันมาอีกแล้ว จีบหญิงไม่ติดก็มาตามวอแวกับข้า



“กำไลนี้ข้าได้มาจากเสด็จพี่เหวินหลง เสด็จพี่หวังว่าหลังจากนี้ข้าจะมีสุขภาพแข็งแรงจึงให้เต่าที่เป็นสัญลักษณ์ของอายุขัยอันยืนยาวมา” หม่าเทียนฟงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงเข้าใจกับคำอธิบาย ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้เด็กหนุ่ม



“เมื่อครู่ เห็นท่านยืนดูแผงผ้าอยู่นาน ท่านสนใจผืนไหนอยากให้ข้าซื้อให้ท่านหรือไม่”



“ข้าคงไม่กล้ารบกวนท่านรองแม่ทัพ” พอมีคนรู้จักสายเปย์ขึ้นมาอีกคนก็ดันเป็นพวกเปย์หวังผลอีก ได้โปรด ข้าต้องการความพอดี ทำไมมันถึงได้หายากนัก



“รองแม่ทัพอันใดกัน วาจาท่านห่างเหินยิ่งนัก เรียกข้าว่าเทียนฟงเถิด อีกไม่นานท่านก็จะไปประจำอยู่เมืองเยว่แล้ว ชายแดนไป่หนานก็อยู่เลยไปอีกไม่ไกลนัก หลังจากนี้เราคงได้เจอกันมากขึ้น สนิทสนมกันไว้เป็นเรื่องดี”



“ย่อมได้ เช่นนั้นเทียนฟง รบกวนท่านช่วยเอามือออกไปจากไหล่ข้าได้หรือไม่”



“อ่า เห็นทีคงจะไม่ได้ เยว่อ๋อง ความใกล้ชิดนั้นเป็นส่วนสำคัญในการปกป้องท่าน ท่านต้องเข้าใจนอกรั้ววังอันตรายยิ่งนัก” มีหน้ามาพูดอีก ข้าเห็นมีแต่เจ้านี่แหละอันตรายที่สุดเลยโว้ย!



“‘งั้นหรือ แล้วท่านคิดว่าเสด็จพี่เหวินหลงจะคิดอย่างไรกับ‘ความใกล้ชิด’ที่มากเกินพอดีของท่าน?”



รองแม่ทัพคนกล้าค่อยๆเลื่อนมือลงช้าๆกลับไปเก็บข้างลำตัว ยิ้มแย้มแม้ใบหน้าจะซีดลงเล็กน้อย “เรื่องนั้นข้าว่าเราน่าจะตกลงกันได้ คงช่วยข้าได้มากทีเดียว หากท่านจะกล่าวขยายความด้วยว่าความใกล้ชิดของข้าและท่านหมายถึงข้าคอยยืนระวังภัยไม่ห่างไปจากตัวท่านแม้เพียงน้อย”



ไม่ห่างอะไรล่ะเมื่อกี้เอ็งเล่นวิ่งหายหัวไปจีบหญิงอยู่ถึงไหนก็ไม่รู้! ตอแหลซึ่งๆหน้าชัดๆ!!



“ท่านอย่าได้กังวลไป เสด็จพี่เหวินหลงคงปลาบปลื้มนักที่ได้ยินว่าท่านเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้” ฮ่าๆ ได้แกล้งคนนี่มันรู้สึกดีจริงๆ มีพี่ใหญ่ทั้งทีก็ต้องเบ่งไว้ก่อน



“หากท่านกล่าวเช่นนั้นข้าก็สบายใจ รีบเดินกันเถิด ป่านนี้หลิงอ๋องคงกระวนกระวายแย่แล้วว่าข้ากับองค์ชายแปดอาจลืมเวลานัด”



ทีตอนนี้มาทำเป็นรีบ เห็นเดินเอื่อยแอบอู้อยู่ตั้งนาน ถ้าข้าเป็นหลิงอ๋องป่านนี้กลับไปนอนรอพวกเจ้าที่บ้านแล้ว



ลี่หมิงเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เดินตามเทียนฟงทัน สอดส่องสายตาไปตามถนนหนทางที่เดินผ่าน แม้ตอนนี้จะเริ่มทำใจได้แล้วว่าแทบไม่มีหวังที่จะหาไอโฟนของสำคัญเจอ แต่อย่างน้อยการพยายามมองหาก็ให้ความรู้สึกดีกว่าไม่ทำอะไรเลย



ถ้าหาเจอก็ถือว่าโชคยังพอมี ถ้าหาไม่เจอก็ถือซะว่าข้ากับแฟนเก่าเราคงไม่มีวาสนาที่จะได้เป็นคนรักกันก็แล้วกัน เขาทิ้งข้าไป ข้าก็ทิ้งของที่เขาให้ แบบนี้คงยุติธรรมดีแล้ว ต่อให้จริงๆแล้วข้าจะทำหายก็เถอะ



“เทียนฟงท่านอย่าเดินเร็วนัก”



ไอ้บ้านี่ ไหนเมื่อกี้ใครมันบอกอยากใกล้ชิด ทีตอนนี้เดินฉับๆนำหน้าไปคนเดียวเฉยเลย มันกลัวโรงเตี๊ยมปิดกิจการหนีหรือไงวะ



ร้านรวงในทางเดินสองข้างค่อยๆเริ่มหมดลงเข้าสู่เขตของบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ลี่หมิงชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยเมื่อมีบางอย่างดึงดูดความสนใจ สายตาจับจ้องยังตอตะโกเถ้าถ่านที่ดูเหมือนเคยเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่



 “ที่นั่น...” 



“ที่นั่นไม่ใช่โรงเตี๊ยม เยว่อ๋องพวกเรายังต้องเดินต่อไปอีก ข้าคิดว่าข้าเห็นองค์ชายแปดอยู่ข้างหน้า หากพวกเราเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเล็กน้อยก็คงตามเขาทัน”



“ไม่ ข้าหมายถึงตรงนั้น ที่ดูดำๆไหม้ๆ ตรงนั้นเคยมีอะไรหรือ”



“...ที่นั่นเคยเป็นจวนของเสนาบดีหู” หม่าเทียนฟงเอ่ยตอบเสียงเบา



“จวนของเสนาบดีหูที่เกิดไฟไหม้เมื่อเดือนก่อน?” ลี่หมิงหันไปมองหน้ารองแม่ทัพผู้เก่งกาจ คนเคยหนักแน่นไม่หวั่นไหวเผยสีหน้าลำบากใจให้เด็กหนุ่มนึกฉงน



เรื่องไฟไหม้จวนสกุลหูเป็นเรื่องก่อนที่ข้าจะมาอยู่ที่นี่แทนเสวี่ยหมิงก็จริง แต่เหตุไฟไหม้ครั้งนั้นเผาเอาเอกสารสำคัญทางราชการวอดวายหายไปกว่าครึ่ง เป็นเหตุให้เสวี่ยหมิงปวดหัววุ่นวายอยู่กับการร่างเอกสารขึ้นมาใหม่ทดแทนส่วนที่ไหม้ไปในกองเพลิงอยู่นานหลายอาทิตย์ โชคยังดีที่นอกจากทรัพย์สินที่เสียไปไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเพลิงไหม้ครั้งนี้แม้แต่คนเดียว



“เยว่อ๋องอย่าหาว่าข้าก้าวก่ายเลย...แต่ท่านพอจะได้ยินสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนั้นมาบ้างหรือไม่”



“ข้าทราบเพียงแค่ว่าคนรับใช้ลืมดับตะเกียงในห้องหนังสือ เมื่อตะเกียงถูกลมพัดล้มทำให้ไฟติดกระดาษจนลุกลามไปทั่ว”



“หากท่านพูดสาเหตุที่คนทั่วไปทราบก็คงใช่ แต่เรื่องนี้มีอีกสาเหตุหนึ่งอยู่…ข้าไม่แน่ใจว่าการพูดออกมาจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่”



“บอกข้ามาเถิด” ถ้าจะพูดให้อยากแล้วจากไป คราวหลังก็ไม่ต้องเกริ่นมาขนาดนี้สิวะ!



“ข้า..ข้าคิดว่าเราไม่พวกเราไม่ควรปล่อยให้หลิงอ๋องรอนาน รีบไปเถิ...”



“เทียนฟง” ถ้าเริ่มเสือกแล้วก็ต้องเสือกให้จบ ไอ้คนตระกูลหม่ามันไม่เข้าใจกฏเหล็กแสนสำคัญข้อนี้หรือ



“เยว่อ๋อง...”



“ข้าทราบนามตัวเองดียิ่ง เทียนฟง มันเรื่องยิ่งใหญ่อันใดกัน ท่านจะบอกข้าไม่ได้เชียวหรือ ตัวข้านั้นเป็นถึงอ๋องแห่งเมืองเยว่ หรือแม้แต่ท่านก็ไม่เห็นว่าข้ามีคุณสมบัติพอจะรู้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”



“ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้น ได้โปรดอย่าทำหน้าเศร้าเลย ที่ไม่มีใครแจ้งให้ท่านทราบเป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับท่านโดยตรง...”



 “กับข้า?”



“ท่านคงทราบดีว่าตัวเสนาบดีหูนั้นมีวาจาไม่ค่อยจะรื่นหูนัก บางครั้งบางคราคำพูดของเขาจึงเป็นเหตุให้ใครหลายคนไม่พอใจ แต่เป็นเพราะไม่เคยมีใครคิดจะเสียเวลาลับฝีปากกับเขา เสนาบดีหูจึงเคยชินกับการพูดจาไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง และเมื่อเดือนที่แล้วเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง เสนาบดีหูเริ่มนำ...ไปนินทาเสียๆหายๆ” รองแม่ทัพหม่าชี้ไปที่ลี่หมิง เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว



“ข้า?” คนจะเล่าทั้งทีก็ดันไม่เล่าให้ดี ทำตัวลับๆล่อ มองซ้ายทีขวาที หารู้ไม่ว่าอาการเช่นนั้นทำให้ยิ่งดูน่าสงสัยกว่ายืนเล่าอยู่นิ่งๆเสียอีก



หม่าเทียนฟงพยักหน้า ปลายนิ้วเคลื่อนต่อไปชี้ที่กำไลหยกขาวบนข้อมือซ้ายของลี่หมิง ก่อนจะชี้กลับไปยังเถ้าตอตะโกที่ทั้งสองเพิ่งเดินผ่านมา



“ท่านพอจะเข้าใจหรือไม่” เข้าใจบิดาเอ็งสิ! ตัวข้า กำไลลายเต่า กับซากจวนไหม้เหล่านั้นมันเกี่ยวอะไรกัน ห๊า!! เจ้าจะบอกว่าข้าขี่เต่าไปแอบเผาจวนชาวบ้านเขาเรอะ!!!



“ท่านหมายความว่าอย่างไร หากท่านจะช่วยอธิบายให้ข้ากระจ่างกว่านี้ได้คงดี”



“เยว่อ๋อง ข้าคงพูดได้เพียงเท่านี้ ตัวข้าหม่าเทียนฟงรักตัวกลัวตายยิ่งนัก ในสนามรบข้าพร้อมเสียหัวเพื่อบ้านเมือง แต่นอกสนามรบข้ายังอยากมีหัวไว้ให้สองตานี้ได้มองหน้าท่าน” ข้ายอมใจเลยจริงๆคนอะไรมันจะเสี่ยวเสมอต้นเสมอปลายได้ขนาดนี้ ทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ไม่นานก็กลับมาพูดจาแทะโลมข้าเหมือนเดิมจนได้ หากข้าบอกเสด็จพี่เหวินหลง บางทีเสด็จพี่อาจช่วย…



หือ...



ดูเหมือนข้าจะลืมคำนึงถึงบางสิ่งไปเสียสนิท บางที แค่บางทีเท่านั้น แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่กล้าจะคิดถึงความเป็นไปได้นั้น



“เทียนฟง เมื่อกี้ท่านจะบอกว่าเสด็จพี่เหวินหลงเป็นคนเผ...อื้อออ!!!” 



“เยว่อ๋องท่านคงจะหิวแล้ว เมื่อครู่ข้าซื้อเสี่ยวหลงเปาเอาไว้ โปรดกินรองท้องก่อนที่พวกเราจะไปถึงโรงเตี๊ยมเถิด” ไอ้คนน่าตาย! ใครสั่งใครสอนให้เจ้าเอาเสี่ยวหลงเปายัดปากคนอื่น!! ไม่อยากให้ข้าพูดออกมาก็บอกกันดีๆเซ่!!!



เด็กหนุ่มดึงเสี่ยวหลงเปาออกจากปาก ใบหน้าติดจะไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็เคี้ยวกลืนลงคอ ซึมซาบรสชาติอาหารมื้อแรกของวันนี้ “แล้วท่านทราบได้อย่างไร ข้าหมายถึง...” ลี่หมิงชี้ไปที่กำไลบนข้อมือตนเอง ก่อนจะชี้กลับไปยังจวนตอตะโกของเสนาบดีหู



ไม่คิดเลยว่าข้าก็บ้าบอคุยเป็นรหัสลับไปอีกคน ชี้นู่นชี้นี่กลับไปกลับมาเหมือนคนบ้า แต่ถ้าจะให้พูดชื่อออกมาตรงๆ ก็เกรงจะโดนไอ้คนสกุลหม่าเอาเสี่ยวหลงเปายัดปากอีก



หม่าเทียนฟงกัดเสี่ยวหลงเปาคำโต หลบเลี่ยงไม่สบตาท่านอ๋องคนงาม ใช้มือข้างที่ว่างชี้ไปที่กำไลหยก ชี้นิ้วกลับมาเข้าตัวเองหนึ่งครั้ง แล้วชี้กลับไปที่ซากเถ้าถ่าน



“ท่านจะบอกว่าท่านเป็นคน...” ลี่หมิงทำท่าทำทางที่คิดว่าดูคล้ายการจุดไฟเขวี้ยงคบเพลิงมากที่สุด รองแม่ทัพหม่าพยักหน้าขึ้นลงช้าๆพลางยิ้มแหย



เฮ้ย! เอาจริงดิ!!



“เผื่อท่านจำไม่ได้ เดือนที่แล้วมีช่วงที่ข้ากลับมาเมืองหลวงพอดี...” ไม่ต้องทำเป็นมาช่วยเตือนความจำข้าเลย สรุปว่ามันเป็นคนไปเผาจวนชาวบ้านเขาเองเรอะ! ใช่ไหม ข้าเข้าใจถูกไหม!! แล้วยังไงกัน เสด็จพี่ของข้าโหดยิ่งกว่าเทอมิเนเตอร์งั้นหรือ แค่คนปากไม่มีหูรูดหนึ่งคนพูดจาให้ร้ายข้า พี่ชายก็เล่นให้คนไปจุดไฟเผาบ้านมันจนวอดวายเลยรึ!!!



นี่สินะตัวอย่างที่ดีของการใช้อำนาจในทางมิชอบ...



เมื่อลองคิดทบทวนดูดีๆ ในความทรงจำก็มีเรื่องราวแปลกๆที่แม้แต่ตัวเสวี่ยหมิงเองก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกัน ช่วงที่เกิดเรื่องกับจวนสกุลหู เหวินหลงมักแวะเวียนมาตำหนักของเสวี่ยหมิงเพื่อช่วยคัดลอกเอกสารทดแทนของเก่าอยู่เสมอ และในบางครั้งขณะมองดูเสวี่ยหมิงทำงานก็กล่าววาจาปลงตกด้วยสีหน้าลำบากใจ เช่น ‘พี่เหนื่อยใจที่ต้องมาเห็นเจ้าทำงานหนักเกินตัวเหลือเกิน’ หรือ ‘หมิงเอ๋อร์พี่ขอโทษ เจ้าไม่โกรธพี่ได้ไหม”



ไม่ว่าเสวี่ยหมิงจะเอ่ยถามถึงสาเหตุของคำขอโทษกี่ครั้งพระเชษฐากลับไม่ยอมตอบดีๆ เบี่ยงประเด็นเปลี่ยนหัวข้อคุยอยู่ร่ำไป เมื่อคนไม่ยอมพูด ดื้อดึงซักถามไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายเสวี่ยหมิงจึงคิดเองเออเองว่าเสด็จพี่ทำงานเหนื่อยจนเลอะเลือน



ขนาดพี่น้องสกุลเดียวกันเสด็จพี่ยังพร้อมจะฝังพวกเขาเพื่อข้า นับประสาอะไรกับคนนอกสายเลือด...หากข้าฟ้องเสด็จพี่เรื่องนิสัยถึงเนื้อถึงตัวของคนตระกูลหม่า คาดว่าแม้แต่ชื่อหม่าเทียนฟงข้าก็คงไม่มีวันได้ยินให้เคืองหูอีกต่อไป



เสด็จพี่คราวหน้าท่านแค่แอบยื่นบาทาไปขัดขาเสนาบดีหูตอนเข้าเฝ้าเสด็จพ่อก็เพียงพอแล้ว ได้โปรดอย่าเผาอะไรอีกเลย โลกมันร้อน



“พวกเจ้ายืนทำอะไรกัน”

หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-04-2017 00:59:15
 :L2: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 03-04-2017 06:58:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-04-2017 07:45:29
สนุก ทะลุมิติ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
รัชทายาท ดูรักใคร่เสวี่ยหมิง แค่ใครกล่าวให้ร้าย
ยังเล่นงานเผาบ้านซะเลย
แต่ที่เสวี่ยหมิงจำได้ เหวินหลงดูปากหวานไปเรื่อย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 03-04-2017 09:33:45
 :hao7:
 :hao7:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-04-2017 09:52:18
ช่างเป็นพี่ชายที่รักน้องหวงน้องเสียจริง
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 03-04-2017 12:52:33
ขำมากกกก 55555
แต่คิดถึลอาม่า อยากให้อาม่ามาด้วย
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-04-2017 17:44:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 03-04-2017 18:06:09
5555อินเซทไหม เราเชียร์ อยากให้พี่น้องได้กัล :hao7:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 03-04-2017 19:13:16
ท่านพี่พระเอกเถ๊อะะะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 03-04-2017 22:10:01
ไท่จือปกป้องน้องสุดๆ แต่ครคือพระเอกหนออออ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-04-2017 10:37:12
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 04-04-2017 11:53:09
น่าสนุกดีค่ะ

เราชอบ เป้นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 04-04-2017 16:31:09
 :o8: :o8: :o8: :o8: น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: somakimi ที่ 04-04-2017 18:41:20
 o13 o13 o13 น่าติดตามอยางยิ่งค่ะ  :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 05-04-2017 14:35:13
สนุกดี มารอลุ้นว่าใครจะเป็นพระเอก
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 05-04-2017 19:02:23
ไท่จื่อแค่หลงน้องชายหรือแอบรักเนี่ย?
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 05-04-2017 21:53:09
แนวพี่น้องโอ้ล่ะแม่ รึเปล่าเหนอ หืม..^^
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 05-04-2017 22:05:19
รักท่านพี่เลย จะรักน้องอะไรขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 05-04-2017 23:36:15
รอ
หัวข้อ: ตอนที่ 6 : ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยข้าลงเถอะ
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 08-04-2017 02:42:57
ตอนที่ 6 : ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยข้าลงเถอะ



“พวกเจ้ายืนทำอะไรกัน”



เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลัง ลี่หมิงและหม่าเทียนฟงสะดุ้งสุดตัว แต่เมื่อได้เห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครคนร้อนตัวทั้งคู่จึงแสดงสีหน้าโล่งใจ



“องค์ชายแปด...”



“ข้ายืนรออยู่นานไม่เห็นใครเดินตามมาจึงต้องวกกลับมาดู ขาของพวกเจ้ามันหนักมากนักหรืออย่างไร เหตุใดถึงได้หยุดยืนเกะกะอยู่ที่เดิมถึงนานสองนาน” เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ข้ามัวแต่ยืนตกตะลึงไอ้จวนไฟลุกข้างหลังนั่นจนแทบก้าวขาไม่ออก ไอ้โจเอ็งมันโชคดีไง ปากหมาและหน้าตากวนส้นตีนจนเสด็จพี่ไม่อยากคุยด้วย ลองมาเป็นข้าดูสิ ความรักที่เสด็จพี่มีให้ข้าร้อนแรงจนทำจวนไหม้กันเลยทีเดียว



“อ่า...งั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่านไปมากกว่านี้ ข้าเพียงอยากเดินตลาดเท่านั้น อีกไม่นานก็คงกลับแล้ว ท่านทั้งสองรีบไปพบหลิงอ๋องที่โรงเตี๊ยมเถิด”



“เจ้าอยากให้เทียนฟงหัวหายนักหรือถึงคิดจะกลับไปคนเดียว รีบเดินตามมา หลังเสร็จธุระข้าจะพาเจ้ากลับวัง” สิ้นคำประกาศิต เหอโจวออกเดินนำหน้าไปก่อนทิ้งให้รองแม่ทัพผู้โดนพาดพิงตัดพ้ออยู่ในใจว่าหัวของตนไร้ค่านักหรืออย่างไร เหตุใดใครต่อใครจึงพากันหาเรื่องเสี่ยงอาญากุดหัวมาให้นัก



แม้แต่ไอ้โจก็ยังรู้ว่าพี่ชายข้าโหดมหาประลัย แล้วก่อนหน้านี้เสวี่ยหมิงมัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกัน...



ลี่หมิงเร่งฝีเท้าตามคนหัวเสียกับคนเสี่ยงจะเสียหัวไปเงียบๆ เดินขาลากอยู่อีกพักใหญ่ในที่สุดก็มาถึงหน้าโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มหอบหายใจปาดหยาดเหงื่อปลายคางให้พ้นหน้า ไม่รู้จะโทษใครดีระหว่างสองคนที่เดินไม่รู้จักรอหรือร่างกายของเสวี่ยหมิงที่ดันอ่อนแอเกินไป



“เยว่อ๋อง ท่านเหนื่อยมากหรือ” เหนื่อยไม่เหนื่อยก็ดูหน้าข้าเอาสิวะ! ถ้ารู้ว่าจะไกลขนาดนี้ข้าน่าจะเดินกลับไปคนเดียวแล้วฟ้องเสด็จพี่ว่าเจ้าไม่ยอมกลับไปส่งข้า!!



“ข้าไม่เหนื่อย พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ”



“อันที่จริงแล้วข้าอยากเดินกลับไปส่งท่าน แต่องค์ชายแปดเกรงว่าจะทำให้การไปพบปะหลิงอ๋องต้องยืดเยื้อไปอีก ต้องขออภัยด้วย”



“ไม่เป็นไร ท่านอย่ารู้สึกผิดเลย” โน้มน้าวไอ้โจก็เหมือนพูดกับหินนั่นแหละ



“ถ้าท่านเดินไม่ไหวให้ข้าอุ้มท่านเข้าไปดีหรือไม่ หลิงอ๋องคงจองห้องส่วนตัวเอาไว้บนชั้นสอง พวกเราต้องเดินขึ้นบันไดกัน ข้ากลัวท่านจะเดินไม่ไหว”



“ไม่ต้อง เทียนฟง ขอบคุณในความหวังดีของท่านมาก” จะบ้าเรอะ! ต่อให้ข้าจะเหนื่อยอย่างไรข้าก็เป็นบุรุษ แต่ก่อนขาพิการจะถูกใครอุ้มบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะให้ข้าเกาะคอดมเหงื่อเจ้าพวกกล้ามปูต่อไปทั้งที่ขากลับมาดีดังเดิมก็ไม่เอาแล้ว!!



เหอโจวเดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นว่าอีกสองคนมัวแต่หยุดยืนคุยไม่รีบเดินตามมาเป็นครั้งที่สองจึงเริ่มหมดความอดทน หันหลังกลับไปตั้งใจจะต่อว่า หากแต่การกระทำนั้นทำให้ชนคนที่เดินสวนมาเข้าอย่างจัง เหอโจวผู้หัวร้อนอยู่เป็นทุนเดิมยกมือกุมไหล่ที่ถูกกระแทก หันกลับไปตั้งใจจะระบายอารมณ์กับเจ้าคนซุ่มซ่ามไม่รู้จักมองทาง แน่นอนว่าองค์ชายแปดเป็นผู้ที่ไม่เคยคิดว่าความผิดใดเป็นของตน



“...องค์ชายเหอโจว”



คนหงุดหงิดกลืนคำก่นด่าลงคอเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยทักตนเองก่อน เงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าจึงเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย เอื้อนเอ่ยคำถามแทนคำด่าทอตามความตั้งใจแรก “ซืออี้...เจ้ามาทำอะไรที่นี่”



“...ข้าเพิ่งทานมื้อกลางวันเสร็จ กำลังจะไปเดินตลาด”



“ไม่ ข้าหมายถึงเจ้ามาทำอะไรที่เมืองหลวง ตอนนี้เจ้าควรจะอยู่ที่เมืองเยว่มิใช่หรือ” เหอโจวคิ้วกระตุกกับความเถรตรงของคนตอบ



“ข้ามา…ท่านอ๋อง บังเอิญเหลือเกินที่ได้พบท่าน” ชายผู้มาใหม่เบนความสนใจไปหาลี่หมิง เด็กหนุ่มมองใบหน้าคุ้นเคยของชายตรงหน้า เอ่ยทักชื่อของคนรู้จักตามที่เห็นในความทรงจำ “ท่านแม่ทัพหลี่...”



“ท่านเดินได้แล้วตามคำเล่าลือจริงๆ ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา ข้าได้ยินว่าท่านถูกลอบทำร้ายเมื่อหลายวันก่อน อาการท่านเป็นอย่างไรบ้าง ไม่บาดเจ็บใช่หรือไม่”



“ข้าปลอดภัยดี แล้วท่านมา...”



“ซืออี้เจ้าคนไร้มารยาท ตอบคำถามข้ามาก่อน” เหอโจวเอ่ยขึ้นขัด ว่ากันตามจริงแล้วลี่หมิงก็ไม่รู้ว่าใครไร้มารยาทกว่ากันระหว่างคนเอ่ยขัดคอกับคนทำเมินไม่ยอมตอบคำถาม



“องค์ชายแปดโปรดอภัยให้กับการเสียมารยาทของข้าด้วย ระหว่างเดินทางมาที่นี่ข่าวคราวเรื่องการลอบทำร้ายราชนิกุลทำข้าว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้เห็นท่านอ๋องปลอดภัยดีข้าก็สบายใจ ข้าถูกเรียกตัวมาจากเมืองเยว่เพื่อเพิ่มกำลังอารักขาให้กับเยว่อ๋องในการเดินทางอีกสามวันข้างหน้า พร้อมทั้งได้รับสาส์นจากองค์รัชทายาทให้เตรียมเสี่ยวหลงเปาติดเกวียนเอาไว้ จึงคิดจะออกไปสั่งล่วงหน้าไว้ก่อน”



“คงต้องรบกวนท่านแม่ทัพหลี่แล้ว” พี่ชาย...ท่านรักข้า ข้าเข้าใจดี แต่ปฏิบัติกับข้าเหมือนเป็นเด็กสามขวบนี่ ท่านไม่อายแต่ข้าอายมาก



“ขอเพียงท่านปลอดภัย ไม่ว่าสิ่งใดข้ายินดีทำเพื่อท่าน”



“เช่นนั้นพวกเจ้ายืนสนทนากันให้พอใจ ข้าจะเข้าไปพบหลิงอ๋องก่อน เทียนฟงฝากเจ้าด้วย” องค์ชายแปดรำคาญคนชักช้าทั้งหลายเดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยมไม่รอผู้ใด



ลี่หมิงเหม่อมองแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ หลี่ซืออี้เป็นแม่ทัพรักษาการณ์ของเมืองเยว่ เดิมทีเมืองเยว่เป็นเพียงเมืองเล็กๆติดชายแดนจึงไม่ได้รับอำนาจทางการทหารใดๆ แต่เมื่อสามปีก่อนเกิดเหตุกบฏบริเวณชายแดนไป่หนาน เข้าระดมปล้นฆ่าประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนจนเดือดร้อนลามมาถึงเมืองเยว่ ฮ่องเต้หมิงเฉียนมีราชโองการให้เมืองเยว่ถือครองอำนาจทางการทหารได้ส่วนหนึ่ง แม่ทัพหลี่จึงถูกส่งตัวมาประจำอยู่เมืองเยว่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา



คนผู้นี้มีบทบาทมากทีเดียวในความทรงจำช่วงที่เสวี่ยหมิงกลับเมืองเยว่ไปตรวจราชการ ไม่ต้องพูดถึงความจงรักภักดีอันมากล้น หลี่ซืออี้แทบจะเป็นคนเดียวที่คอยสร้างรอยยิ้มให้เด็กหนุ่มในยามเหน็ดเหนื่อยเมื่อถูกปัญหางานราษฎร์งานหลวงทั้งหลายรุมเร้า แม่ทัพหลี่ทำให้เสวี่ยหมิงรู้สึกว่าการเดินทางไปเมืองเยว่ในแต่ละครั้งไม่น่าเบื่อเหมือนเคย ลี่หมิงได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ความทรงจำปรากฏขึ้นในหัวราวกับภาพยนตร์เล่นซ้ำไปมา ในหัวของเด็กหนุ่มตอนนี้มีเพียงคำถามเดียวที่แม้อยากจะพูดออกไปมากเพียงใดก็ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้



ทำไม...มันหล่อจังวะ



หลี่ซืออี้เป็นผู้ชายประเภทที่แม้แต่เพศเดียวกันยังต้องเอ่ยปากยอมรับในเครื่องหน้าอันแสนลงตัว ใบหน้าคมคายไม่ได้ให้ความรู้สึกกระด้างกระเดื่องจนเกินไป ดั่งที่ผู้คนมักเข้าใจว่าแม่ทัพผู้องอาจทั้งหลายคงไม่รู้จักการโอนอ่อนผ่อนตามเช่นสามัญชน นัยน์ตาสีเปลือกไม้ทั้งสองข้างประกอบกับปลายหางตาตกลงยิ่งเสริมให้แววตาของหลี่ซืออี้ยามปรากฏรอยยิ้มชวนให้คนมองไม่สามารถละสายตาไปได้ ผิวหยาบกร้านแม้จะเต็มไปด้วยรอยฟาดฟันจากการผ่านสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้ามากเสน่ห์น่ามองลดลงเลยแม้แต่น้อย



ยิ่งประกอบกับนิสัยซื่อสัตย์เถรตรงแสนดีของเจ้าตัว แม่ทัพหลี่ผู้นี้จึงเป็นที่นิยมในหัวข้อสนทนาของหญิงน้อยสาวใหญ่แห่งเมืองเยว่ได้ไม่ยาก แต่เมื่อมีคนรักคนชอบ การมีคนเกลียดคนสาปแช่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด รองแม่ทัพหม่าเทียนฟงเองนั้นเป็นผู้หนึ่งที่เห็นแม่ทัพหลี่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของตน ด้วยเข้าใจว่าเป็นเพียงเจ้าคนเสแสร้งแกล้งทำเป็นดีนักหนา หน้าตาก็ใช่ว่าจะน่าดูชมแต่กลับชอบเสนอตัวเอาใบหน้าไม่น่ามองช่วยชาวบ้านไปทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ได้ยินแต่เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญคุณความดีของหลี่ซืออี้ หม่าเทียนฟงจึงตั้งตัวเป็นผู้อยู่ข้างความยุติธรรม ตั้งใจว่าสักวันหนึ่งจะต้องกำจัดเจ้าคนที่มีดีแค่หน้าตาให้พ้นทางไปเสีย



“คารวะแม่ทัพหลี่” เทียนฟงคนขี้อิจฉากล่าวคำเคารพแม้จะเกลียดขี้หน้าอีกฝ่ายมากเพียงใด



“รองแม่ทัพหม่า...เนิ่นนานเหลือเกินที่ไม่ได้พบท่าน ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของท่านแม่ทัพหม่าเป็นอย่างไรบ้าง”



“ท่านพ่อข้าสบายดี” คนถูกถามเอ่ยตอบเสียงเบา “...ตอนนี้หายดีแล้ว”



“‘ข้ายินดีเหลือเกินที่ได้ยินเช่นนั้น แถบชายแดนลำบากนัก หากท่านต้องการยาสมุนไพรจำเป็นอันใดโปรดบอกข้าเถิด อย่างเกรงใจ ข้าจะจัดเตรียมให้คนนำไปให้”



“ขอบคุณท่านมาก...แต่อย่างไรองค์ชายแปดก็อยู่ชายแดนกับข้า คงไม่ต้องลำบากท่านแต่อย่างใด” หม่าเทียนฟงเค้นคำตอบลอดไรฟัน ลี่หมิงยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งสองไปแล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าหลี่ซืออี้เป็นคนดีแสนซื่อตรง หรือเป็นคนกวนตีนตีหน้าซื่อกันแน่ ต่อให้ผู้อื่นเอาตาหลังมองยังดูออกว่าหม่าเทียนฟงไม่ได้อยากมีส่วนร่วมในบทสนทนาแต่อย่างใด ส่วนแม่ทัพหลี่นี่ก็แปลกเจอหน้าคนลูกกลับเอ่ยถามถึงคนพ่อ บิดาตัวเองก็ไม่ใช่ ยิ่งแสดงความห่วงใยบุพการีผู้อื่นมากเกินจำเป็นแบบนี้รังแต่จะทำให้หม่าเทียนฟงเข้าใจผิดไปว่าถูกแม่ทัพหลี่ดูแคลน แม้แต่บิดาของตนก็ไม่มีปัญญาดูแลต้องให้ผู้อื่นยื่นมือเข้าช่วย



“รองแม่ทัพหม่าได้โปรดอย่าเกรงใจ สิ่งใดที่ข้าพอทำเพื่อผู้อื่นได้ข้ายินดีเสมอ”



ยัง ยังไม่หยุดอีก หลี่ซืออี้ท่านรีบรู้ตัวแล้วย้ายหน้าหล่อๆของท่านไปที่อื่นทีเถิด ไอ้คนสกุลหม่ามันแทบจะเอาเสี่ยวหลงเปาปาหน้าท่านอยู่แล้ว ท่านไม่เห็นหรือ!



“ท..ท่านแม่ทัพหลี่ ต้องขออภัยด้วยแต่รองแม่ทัพหม่ากับองค์ชายแปดมีนัดกับหลิงอ๋อง หากไม่รีบไปคงเป็นการเสียมารยาท” ลี่หมิงเอ่ยขึ้นขัดเมื่อหม่าเทียนฟงยืนนิ่งไม่อยากพูดจา บรรยากาศการสนทนาเริ่มดูท่าจะไม่ดีเท่าไหร่นัก



“อ่า ข้าต้องขออภัย ชวนพวกท่านสนทนาอยู่เสียนานสองนานทีเดียว”



“เช่นนั้นหลังจากนี้รบกวนท่านแม่ทัพหลี่ด้วย ยามนี้พวกข้าขอตัวก่อน” ลี่หมิงค้อมหัวลงเคารพอีกฝ่ายเล็กน้อย ก้าวขาหนึ่งข้างไปข้างหน้าเตรียมออกเดิน พลันร่างของเด็กหนุ่มกลับทรุดฮวบลงกับพื้นท่ามกลางความตกใจของสองแม่ทัพ อาจเป็นเพราะขาทั้งคู่ไม่คุ้นชินกับการเดินสลับวิ่งเป็นเวลานานดั่งเช่นวันนี้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ลี่หมิงยันมือลงกับพื้นเพื่อลุกขึ้น แต่แม้จะพยายามเสียจนเจ็บฝ่ามือทั้งสองก็ไม่เป็นผล



“ท่านอ๋อง!” แม่ทัพหลี่อาศัยความที่อยู่ใกล้กว่ารองแม่ทัพ เร่งร้อนเข้าประชิดตัวเด็กหนุ่ม แววตาปรากฏร่องรอยของความวิตก



“ข..ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น” ชีวิตข้ามันเป็นบ้าอะไร! พบเจอคนหล่อกี่ครั้งขาข้าก็ดีแต่สร้างเรื่อง เมื่อครั้งแรกพบเสด็จพี่ ข้าก็เตะเขากระเด็นตกสระไป ครั้งนี้ต่อหน้าแม่ทัพหลี่ ขาข้าก็ดันอ่อนยวบไปตามความหล่อวัวตายควายล้มของเขาอีก สวรรค์ท่านชอบให้ข้าขายขี้หน้าชาวบ้านนักหรือ



“ข้าคงต้องขอถือวิสาสะ ไม่ทราบว่าหลิงอ๋องนัดพบพวกท่านบนห้องส่วนตัวชั้นสองใช่หรือไม่” หลี่ซืออี้เอ่ยถาม



“ข้าคิดว่าน่าจะใช่...ท่านแม่ทัพหลี่ เดี๋ยว!” ลี่หมิงร้องเสียงหลง ร่างถูกอุ้มช้อนขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว แขนตวัดรั้งคออีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ตนเองพลาดพลั้งหล่นกระแทกพื้น “ขออภัยให้กับการเสียมารยาทของข้าด้วย ท่านอ๋อง อย่างน้อยก็ให้ข้าได้ไปส่งท่าน องค์ชายแปดเองก็อยู่ด้วย ข้าคิดว่าน่าจะพอช่วยตรวจดูอาการของท่านได้บ้าง” หลี่ซืออี้ไม่ฟังเสียงค้านใด ก้าวขาฉับไวเดินเข้าโรงเตี๊ยม ทิ้งรองแม่ทัพหม่าผู้มัวแต่ยืนนิ่งอึ้งไว้ข้างหลัง



“ข้าบอกท่านแล้ว...ข้าแค่เหนื่อยเท่านั้น ปล่อยข้าลงเถอะ ข้าเดินเองได้!” ท่านี้แม่งนางเอกชิบหายเลยโว้ยยยยย! ถ้าจำเป็นต้องอุ้มข้าก็ให้ขึ้นขี่หลังสิวะ ไม่ใช่อุ้มในท่าเจ้าหญิงแบบนี้!! หลี่ซืออี้ เจ้าเห็นข้าเป็นแม่นางน้อยหรืออย่างไร ต่อให้ข้าจะผอมไม่ได้บึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามอย่างเจ้า แต่ร่างกายข้าก็เรียกได้ว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่งไม่ได้เบาบางเสียจนใครจะมาอุ้มได้ง่ายๆ ไอ้คนบ้าพลัง!!



“ข้ายอมให้ท่านโกรธข้า ยังดีเสียกว่าทนมองเห็นท่านบาดเจ็บ”คนพูดกระชับคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเมื่อลี่หมิงเริ่มดิ้นขลุกขลัก หลี่ซืออี้คนบ้าพลังก้มหน้าลงสบตาเผยยิ้มอ่อนโยนให้เยว่อ๋องผู้มีใบหน้าง้ำงอ ก้าวเดินขึ้นบันไดทีละขั้นด้วยความระมัดระวัง



อื้อหือ เจิดจ้าเหลือเกิน แม่งจะหล่อเกินไปแล้ว พูดถึงขนาดนี้แล้วข้าจะทำใจปฏิเสธคนหน้าปานเทพเทวาลงได้อย่างไร จิตใจข้าไม่ได้ทำจากเหล็กกล้าเสียหน่อย



เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมจิวฝูเดินยิ้มแย้มออกมาต้อนรับแขกสูงศักดิ์ผู้มาใหม่ คนทั้งสามตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านในทันใด ลี่หมิงซุกหน้าเข้ากับอกของแม่ทัพหลี่ อับอายเสียจนไม่อยากสบตาใคร เด็กหนุ่มลอบส่งสายตาเว้าวอนให้หม่าเทียนฟงผู้เพิ่งได้สติวิ่งตามขึ้นบันไดมา ในเมื่อไม่สามารถปฏิเสธด้วยตนเองได้คงต้องขอความช่วยเหลือจากคนหน้าด้าน หากแต่รองแม่ทัพหม่ายังไม่ทันได้ลงมือทำสิ่งใด เสียงคุ้นเคยพลันเอื้อนเอ่ยขึ้นเบื้องหน้าคนทั้งสาม ทำเอาหม่าเทียนฟงขนลุกตัวเย็น อยากจะหงายหลังกลิ้งตกบันไดตายไปเสีย
หัวข้อ: ตอนที่ 6 : ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยข้าลงเถอะ 【17/04/02】
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 08-04-2017 02:43:52
“หมิงเอ๋อร์ บังเอิญเหลือเกิน”



“คารวะองค์รัชทายาท” หลี่ซืออี้เอ่ยแสดงความเคารพ แม้ท่าทางจะแลดูเก้ๆกังๆเพราะต้องโอบอุ้มร่างของเสวี่ยหมิงไว้เต็มสองมือ



รัชทายาทแห่งราชวงศ์เว่ยปรายตามองพระอนุชาในอ้อมกอดของหลี่ซืออี้ ไม่คิดจะเอ่ยตอบแม่ทัพตรงหน้าแต่อย่างใด “พี่แวะมาสนทนากับสหายหลังเสร็จธุระ คิดว่าเจ้ากลับวังไปแล้วเสียอีก น้องพี่ เหตุใดแม่ทัพหลี่ถึงต้องอุ้มเจ้าขึ้นบันไดมาเล่า” เว่ยเหวินหลงสะบัดแขนเสื้อปักด้ายดิ้นทองหนึ่งครั้ง มือทั้งสองยื่นออกไปข้างหน้า



“...ท่านแม่ทัพหลี่ ขอน้องข้าคืนด้วย” องค์รัชทายาทแย้มรอยยิ้มประจำกาย หากแต่ครานี้นัยน์ตาคนกลับสะท้อนเพียงความแข็งกร้าวหาใช่ความอ่อนโยนดั่งที่เคยเป็น ลี่หมิงแทบอยากจะเป็นลมตามหม่าเทียนฟงไปอีกคน



“เสด็จพี่ ข..ข้าคิดว่าข้าเดินเองได้” ขาโว้ยยยขา เดินได้สักทีสิวะ! เสด็จพี่แม่งจะเอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาหลี่ซืออี้อยู่แล้ว!! “ข้าเพียงแค่เหนื่อยจนขาอ่อนล้าเท่านั้น ขอเสด็จพี่อย่าเป็นกังวล” แล้วก็อย่าเผาโรงเตี๊ยมด้วยข้าขอล่ะ!



“เจ้าเหนื่อยหรือ หากเหนื่อยแล้วเหตุใดเทียนฟงถึงไม่กลับไปส่งเจ้าที่วัง ไยต้องให้เจ้าฝืนตัวเองเดินมาถึงนี่ด้วย” เหวินหลงตวัดสายตาเยือกเย็นคาดโทษรองแม่ทัพหม่า “เทียนฟงมิใช่ว่าข้าสั่งให้เจ้าคอยดูแลเสวี่ยหมิงให้ดีหรอกหรือ”



วาจาจักรพรรดินั้นเปรียบดั่งประกาศิต เมื่อกล่าวว่าหินเป็นทอง ขุนนางทั้งหลายย่อมยกย่องให้หินไร้ค่าเป็นทอง เฉกเช่นเดียวกัน แม้แต่ ‘คำฝากฝัง’ ให้ดูแลในคราแรกก็แปรเปลี่ยนเป็น‘คำสั่ง’ ให้ดูแลได้เมื่อหวงไท่จื่อประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น และหากหม่าเทียงฟงไม่สามารถหาคำแก้ตัวใดมาดับอารมณ์โกรธาขององค์รัชทายาทผู้รักพระอนุชาเหนือผู้ใดในใต้หล้าได้ คนฝ่าฝืนคำสั่งก็คงไม่แคล้วได้เขียน ‘คำสั่งเสีย’ ในอีกเร็ววันเป็นแน่แท้



หม่าเทียนฟงแม่งซวยเพราะไอ้โจแท้ๆ คบคนพาลพาลไปหาผิด คบไอ้โจแม่งดีแต่จะนำความชิบหายมาให้ เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี ว่ากันตามจริงข้าก็เป็นเพื่อนไอ้โจคนหนึ่งที่ประสบความชิบหายเพราะมันมานักต่อนักแล้ว



ลี่หมิงเกาะยันแขนของพระเชษฐา ผ่อนน้ำหนักลงไปค่อยๆขยับเคลื่อนร่างกายและขาไม่รักดีกลับลงมาอยู่บนพื้นทางเดินได้ในที่สุดโดยมีเหวินหลงคอยประคองอยู่ไม่ห่าง เหลียวกลับไปมองแม่ทัพหลี่อีกครั้ง คนจงรักภักดียังคงส่งรอยยิ้มสว่างไสวมาให้ ไม่แม้แต่รู้ตัวว่าเป็นสาเหตุให้ผู้อื่นต้องตกที่นั่งลำบาก



รองแม่ทัพหม่าคุกเข่าลง ก้มหน้าหลบสายตาองค์รัชทายาท คิดหาคำแก้ตัวร้อยแปดพันอย่างจนหัวตื้อ สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้ประโยคที่ไตร่ตรองแล้วว่าเหมาะสมโทสะของโอรสจักรพรรดิมากที่สุด



“ความผิดนี้ข้าไม่มีข้อแก้ตัวใด ข้าสมควรตา...”



ไอ้บ้านี่ จะรีบร้อนตายไปไหนวะ!



“เสด็จพี่ได้โปรดอย่าเข้าใจท่านรองแม่ทัพหม่าผิดเลย เป็นข้าเองที่อยากมา ข้าไม่ได้ดื่มชาโรงเตี๊ยมนานแล้ว วันนี้จึงขอท่านรองแม่ทัพให้พามาด้วย” เห็นแก่ที่ความซวยนี้เกิดขึ้นเพราะไอ้โจข้าจะช่วยเจ้า ถือเป็นหนี้บุญคุณหนึ่งครั้ง!



“งั้นหรือ เจ้าอยากมาโรงเตี๊ยมทำไมไม่บอกพี่ พี่พาเจ้ามาได้เสมอ”



“ข้าไม่อยากรบกวนเสด็จพี่ เพียงแค่นี้ท่านก็มีงานล้นตัวแล้ว”



“เหลวไหล หมิงเอ๋อร์ งานใดจะสำคัญเท่าเจ้า” ทำเป็นพูดดีไป แล้วเมื่อเช้าใครกันฝากฝังข้าให้ออกมากับคนเพี้ยนสองคนเพราะตนเองติดธุระ? ข้าขมวดคิ้วเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างหลังพี่ชายมีคนหน้าตาคุ้นเคยยืนอยู่หนึ่งคน คงจะเป็นสหายที่เสด็จพี่พูดถึง



แต่นั่นไม่ใช่บุตรชายของฮูหยินสามสกุลหูหรอกหรือ? เสด็จพี่นัดหูอิ๋งซีมาพูดคุยเรื่องค่าใช้จ่ายฟื้นฟูจวนสกุลหูหรืออย่างไร? ช่างน่าสงสารนัก ดูท่าคงไม่รู้ว่านั่งคุยกับคนสั่งวางเพลิงอยู่เป็นเวลานาน



“เทียนฟง ลุกขึ้น” รองแม่ทัพหม่าในสภาพคุกเข่าก้มหน้าหัวแทบติดพื้น ขยับขาทั้งสองลุกยืนขึ้นเชื่องช้าสูดหายใจเข้าเต็มปอดกับคำอภัยโทษที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับ



“อย่าให้ต้องมีครั้งหน้าอีก”



“พ่ะย่ะค่ะ”



หูอิ๋งซีพระสหายขององค์รัชทายาทวางท่าทีเรียบเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่นานนักก็ขอตัวกลับไปก่อน หม่าเทียนฟงรีบเรียกเสี่ยวเอ้อ(1)ที่เดินผ่านมาให้พาไปยังโต๊ะของหลิงอ๋อง เมื่อครู่นึกว่าตนจะได้ไปพบเทพเดือนเจ็ด(2)ก่อนจะมีโอกาสพบผู้เฒ่าจันทรา(3)เสียแล้ว เสี่ยวเอ้อผู้ถูกเรียกใช้พาเดินนำไปอย่างนอบน้อม กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ วันนี้มีแต่แขกยศสูงมากอำนาจมาใช้บริการเต็มไปหมด เถ้าแก่คงใจดีเพิ่มค่าแรงให้เป็นแน่



จากเริ่มแรกมีเพียงหนึ่งรองแม่ทัพและหนึ่งอ๋อง ตอนนี้กลับเพิ่มอีกหนึ่งแม่ทัพและองค์รัชทายาทติดมาด้วย
เนื่องจากเหวินหลงไม่ยอมปล่อยให้พระอนุชาเดินไปโดยไม่มีตนช่วยประคอง และหลี่ซืออี้คอยเดินตามติดชิดใกล้ท่านอ๋องอยู่ไม่ห่างแม้ไม่ได้รับคำสั่งให้ตามมาแต่อย่างใด



เสี่ยวเอ้อเคาะประตูสองครั้งก็ได้ยินเสียงเอ่ยคำอนุญาตของหลิงอ๋องดังลอดออกมา จึงเปิดประตูเชิญแขกทั้งสี่เข้าไปทั้งห้อง ลี่หมิงเดินตามพระเชษฐาเข้าไปมองเห็นหม่าเทียนฟงส่งสายตาเคียดแค้นให้เว่ยเหอโจวแล้วก็ได้แต่นึกขำปนสงสาร ไม่ทันได้สังเกตว่าในห้องนี้นอกจากหลิงอ๋องและองค์ชายแปดแล้ว ฝั่งตรงข้ามหลิงอ๋องมีใครอีกคนนั่งอยู่



“เสด็จพี่เหวินหลง...” หลิงอ๋องเอ่ยทักขึ้น น้ำเสียงแฝงความแปลกใจ



“หานเฟิง จะลำบากไปหรือไม่หากข้าและหมิงเอ๋อร์จะขอร่วมโต๊ะอาหารด้วย”



“ลำบากอันใดกัน เชิญเสด็จพี่และเยว่อ๋องร่วมรับประทานอาหารกับพวกข้าเถิด” คนถูกถามยิ้มกว้าง ผายมือเชื้อเชิญแขกทั้งสี่ “ท่านแม่ทัพหลี่ และท่านรองแม่ทัพหม่า เชิญพวกท่านนั่งลงพักผ่อนตามอัธยาศัย”



ใบหน้าประดับรอยยิ้มของหลิงอ๋องหรือเว่ยหานเฟิงนั้นจะมองอย่างไรก็ดูคล้ายคลึงองค์รัชทายาทอยู่ถึงสามในสี่ส่วน ด้วยความที่มีพระมารดาเป็นผู้มีเมตตาอ่อนโยนต่อผู้อื่น หลิงอ๋องจึงได้รับการอบรบเลี้ยงดูมาให้เห็นแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ ลี่หมิงมองหน้าเสด็จพี่ผู้มีใจกว้างดุจแม่น้ำของตน ครุ่นคิดด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงส่งมอบงานของตนต่อให้หลิงอ๋อง เสวี่ยหมิงรับหน้าที่ทำงานการคลังในฝ่ายออกตั๋วเงินกู้ คนใจดีอย่างหลิงอ๋องนั้นคงไม่แคล้วจะแจกเงินลดดอก ออกตัวค้ำประกันไปทั่วจนเข้าเนื้อตัวเอง แค่คิดลี่หมิงก็ปวดหัวแล้ว



เสด็จป๋าหากท่านอยากให้ราชสำนักล่มจมถึงเพียงนั้น สู้เอาเงินมาให้ข้าถลุงเล่นไม่ดีกว่าหรือ



เว่ยเหวินหลงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง ช่วยประคองพระอนุชาให้นั่งลงข้างตน สายตาจับจ้องไปยังกระดานหมากล้อมกลางโต๊ะก่อนส่ายหัวเผยรอยยิ้มขบขัน“หานเฟิง คนใจเย็นเป็นน้ำไม่รู้จักโจมตีผู้อื่นอย่างเจ้าคงไม่ใช่คู่มือของอวิ้นหยาง”



ดูท่าว่าคนจะนั่งรออยู่นานทีเดียวจึงต้องหาอะไรทำรอฆ่าเวลา หมากดำในกระดานบนโต๊ะเดินล่อปิดเส้นทางล้อมหมากขาวจนต้องวิ่งหนีไม่เห็นทางรอด หลิงอ๋องเพลี่ยงพล้ำต่อคู่ต่อสู้เสียจนการเดินหมากครั้งนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าสูสีกัน ลี่หมิงเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามผู้ได้รับคำเชยชมจากพระเชษฐา ทันทีที่สายตาสบกับอีกฝ่าย เด็กหนุ่มแน่นิ่งไปราวกับเข็มของนาฬิกาหยุดเดินลง ลืมแม้กระทั่งจะหายใจ ไม่อยากเชื่อเงาสะท้อนในนัยน์ตาของตน ริมฝีปากอ้าออกแต่กลับไม่สามารถเอ่ยปากถามคำถามที่ต้องการคำตอบมาตลอดหนึ่งปีเต็มได้



พี่มาทำอะไรที่นี่...



“โชคดีเหลือเกินที่พวกท่านมาถึงตอนข้ากำลังเข้าตาจนพอดี อู๋อ๋อง พวกเราจบการเดินหมากลงเพียงเท่านี้ดีหรือไม่” หลิงอ๋องยกการินชาให้เจ้าของหมากดำ เอ่ยขอร้องอีกฝ่ายอย่างจนใจ



ไม่จริง...ไม่จริงน่า



คนได้เปรียบค้อมหัวลงเล็กน้อยยกชาขึ้นดื่ม ตอบกลับพลางหัวเราะเสียงเบา



“ตามใจท่าน”



ได้โปรดอย่าพูดด้วยน้ำเสียงนั้น ได้โปรดอย่ามอบรอยยิ้มของท่านให้ใครนอกจากข้า...



“ได้ยินมาว่าเยว่อ๋องเดินหมากเก่งยิ่งนัก ช่วยเป็นเกียรติเดินหมากกับข้าสักตาได้หรือไม่”



‘พี่ชื่อเทวินทร์นะ’



‘พี่ไม่มีชื่อเล่นเหรอครับ?’



‘มีสิ...แต่นอกจากอากงก็ไม่ค่อยมีใครเรียกพี่ด้วยชื่อเล่นหรอก ส่วนใหญ่จะเรียกสั้นๆเอา จะเรียกพี่ว่าวินก็ได้นะครับถ้าสะดวก’



‘งั้นผมเรียกพี่ด้วยชื่อเล่นได้ไหม จะได้ไม่ซ้ำคนอื่น’



‘ได้สิ พี่ชื่อ…’



“พี่หยางฝีมือท่านยังเฉียบขาดเช่นเคย!” 



ว่ากันว่าแม้แต่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ยังกลายเป็นคนโง่งมและหลงลืมตัวตนได้เพราะรัก ลี่หมิงสูดหายใจเข้าลึก เสียงดังรบกวนโสตประสาทของรองแม่ทัพหม่าช่วยเรียกสติให้รู้ว่าตนขาดอากาศหายใจไปนานเพียงใด ขอบตาทั้งสองร้อนผ่าว บาดแผลจากรักในความทรงจำนั้นคงไม่มีวันเลือนหาย



“...ข้า” ลี่หมิงไม่รู้จะเอ่ยปฏิเสธคำชวนจากอีกฝ่ายอย่างไร ทำได้แค่นั่งมองหน้าอู๋อ๋องราวกับคนโง่ไม่รู้ภาษา พยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำตาไม่ให้ร่วงหล่น



“วันนี้น้องข้าคงเหนื่อยเกินกว่าจะประชันฝีมือกับท่านได้ ท่านจะว่าอย่างไรหากข้าจะขอประมือกับท่านแทนหมิงเอ๋อร์”



“องค์รัชทายาทโปรดเมตตา” คนพูดแย้มยิ้มขบขัน แสร้งทำเป็นก้มหัวคำนับรัชทายาทแห่งราชวงศ์เว่ย “ข้าเพียงอยากลองเดินหมากกับเยว่อ๋องเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีความต้องการจะพ่ายแพ้ท่านต่อหน้าผู้อื่น”



“อวิ้นหยาง ข้าเองก็เพลี่ยงพล้ำให้ท่านหลายต่อหลายครั้ง ท่านกล่าวเกินไปแล้ว” กล่าวจบก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ลี่หมิงมองดูความสนิทชิดเชื้อของคนทั้งสองแล้วก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ ไม่ว่าใครต่อใครก็ดูเหมือนจะรู้จักสนิทสนมกับอวิ้นหยางมากกว่าตนเอง ในความทรงจำของเสวี่ยหมิงแทบจะไม่มีเรื่องราวของหวงอวิ้นหยางเลยด้วยซ้ำ



หวงอวิ้นหยางเป็นพระราชนัดดาในฮ่องเต้รัชกาลก่อน องค์ชายสิบแปดแห่งราชวงศ์ฉินขณะนี้ถือเป็นเพียงราชนิกุลสกุลหวงเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ องค์ชายน้อยฉายแววการใช้กระบี่เก่งกาจเหนือเด็กในวัยเดียวกันตั้งแต่อายุยังน้อย จึงได้รับพระราชทานยศอู๋อ๋องจากฮ่องเต้หมิงเฉียนและถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของแม่ทัพหม่าเทียนซื่อ อวิ้นหยางจึงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับหม่าเทียนฟงผู้เป็นบุตรของฮูหยินรองในจวนแม่ทัพหม่า เมื่อมีอายุมากพอจึงได้รับตำแหน่งกุนซือให้ประจำทัพอยู่ชายแดนเป็นครั้งคราวตามสมควร



พี่เกลียดข้าจนกระโดดกำแพงเมืองจีนหนีข้ามาอยู่อีกภพเลยหรือ เพราะที่นี่มันไม่มีอินเตอร์เน็ตใช่ไหมพี่ถึงได้ไม่ตอบไลน์ข้า พี่หยางบอกข้าทีข้าควรทำเช่นไรต่อไป ถ้าต่อยพี่สักทีสองทีพี่จะจำได้ไหมว่าข้าเป็นใคร



“พี่หยาง จะว่าไปแล้วพี่ก็ไม่ได้พบเยว่อ๋องเสียนานหลายปีเลยสินะ” ไอ้หม่าเทียนฟง! พี่หยางอย่างนั้นพี่หยางอย่างนี้อยู่นั่นแหละ! ใครเป็นพี่หยางของเจ้ากัน พี่หยางเป็นของข้าเพียงคนเดียว หุบปากไปซะ!



คนถูกถามพยักหน้าลงเล็กน้อย “เจ้ากล่าวถูกแล้ว แม้ข้าจะเข้าเมืองหลวงมาหลายคราแต่ก็ไม่มีโอกาสได้พบกัน วันนี้คงเป็นวันดีที่พวกเราได้มีวาสนาพบหน้ากันเสียที”



หึ วาสนาของข้าช่างน่าขันนัก! ในเมื่อชาตินี้ข้ามีโอกาสได้รู้จักพี่หยางแล้วไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าได้บังอาจพรากพี่หยางไปจากข้า!! สวรรค์ถ้าท่านคิดจะตามขัดขวางข้าก็ขอให้ลงมาต่อยกันตัวต่อตัวเลยเถอะ!!!


---------------------

คำอธิบายเพิ่มเติม

(1)เสี่ยวเอ้อ บริกรโรงเตี๊ยม
(2)เทพเดือนเจ็ด ชาวจีนโบราณมีความเชื่อว่าเทพประจำเดือนเจ็ดเป็นเทพแห่งความตาย
(3)ผู้เฒ่าจันทรา หรืออีกนามคือเทพเจ้าแห่งจันทราและเทพเจ้าแห่งความรักมีหน้าที่ผูกด้ายแดงให้กับคู่รักไม่ให้แคล้วคลาดต่อกัน

-----------------------

Talk ในโรงเตี๊ยม

ขอบคุณสำหรับทุกๆความเห็นนะคะ อ่านไปเม้นยิ้มไปดีใจมากค่ะที่ชอบกัน :-[
ตอนนี้ในที่สุดพระเอกก็ออกมาสักทีค่ะ เย้ๆๆๆๆๆๆ ไรท์ดีใจเหลือเกิน ค่าตัวแพงจริงๆ 555
คิดว่าใครคือพระเอก พระเอกคือใคร พูดไปงงไป
ชอบใครมาก เกลียดใครที่สุด เลือกอยู่ทีมไหน เชียร์ใครออกนอกหน้า เชิญเม้นบอกกันข้างล่างได้เลยค่ะ!

ป.ล. ไรท์อยู่ทีมรัชทายาทค่ะ 55

ตอนนี้มีเพจ FB กับ TW แล้ว เข้าไปกดติดตามกันได้เลยนะคะ
FB: ThreeEmperors
TW: Three_Emperors

Tag TW: #ส่งข้ามาเป็นอ๋อง

ซังหวงตี้
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-04-2017 08:19:55
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: rivayu ที่ 08-04-2017 10:35:23
คิดไว้เหมือนกันว่าเพื่อนมา แฟนเก่าก็น่าจะข้ามยุคตามมาด้วย มาจริงๆ อยู่ทีมพี่ชายผู้หวงน้องสุดติ่ง หลงน้องยิ่งกว่าอะไรค่ะ :laugh:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-04-2017 11:54:55
 :3123: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 08-04-2017 12:18:02
นายเอกออกตัวแรงขนาดนี้ไม่ต้องคิดแล้วค่ะว่าใครเป็นพระเอก
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-04-2017 12:29:46
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: wiwari ที่ 08-04-2017 14:35:55
ทีมรัชทายทค่ะ พี่ชายที่หวงน้องมากกว่าทุกอย่าง 5555
คิดว่าพระเอกไม่น่าใช่พี่หยาง เพราะแฟนเก่ายังไงก็เป็นแฟนเก่า หาใหม่เถอะน้องหมิง :katai3:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 09-04-2017 00:41:16
เริ่มงงก้บชื่อละ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 09-04-2017 06:16:19
มาลงชื่อติดตามค่า :katai5:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 09-04-2017 06:20:45
มาลงชื่อติดตามค่า :katai5:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 09-04-2017 07:38:55
#ทีมแม่ทัพ #ทีมเฮียหวงน้อง
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 09-04-2017 09:14:34
อวิ้นหยางแฟนเก่าลี่หมิงรึ?

ว่าแต่ใครพระเอกเนี่ย
แต่เค้าเชียร์แม่ทัพหลี่กับไท่จื่อนะ
เป็นใครดีๆๆ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-04-2017 10:13:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 09-04-2017 12:34:36
ทีมรัชทายาทค่ะโอ๊ยอิชั้นชอบ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 09-04-2017 12:41:22
จะฮาเร็มมะอ่า  อยากได้ฮาเร็มง่า :ling1:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: papapajimin ที่ 09-04-2017 21:42:26
บัดนี้ ข้าพเจ้ายังงงว่าผู้ใดเป็นพระเอกพะยะค่ะ
555555555
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 11-04-2017 01:55:30
ชอบการตั้งชื่อตอนมากก
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 11-04-2017 11:32:28
ท่านรัชทายาทยาท มามะคนเขียนอินเซทกันเถิดจะเกิดผล ฮาเร็มได้ยิ่งดี555555 :mew1:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 11-04-2017 15:02:31
ทีมพี่ชายหวงน้องค่ะ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 06:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(04・08・17)
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 11-04-2017 20:27:12
 :z3: มาต่อไวๆน้า :z13:
หัวข้อ: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:ปล่อยเสือเข้าป่าปล่อยข้าลงเถอะ(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 07-08-2017 03:00:56
“ข้าเองยินดีที่ได้พบท่านเช่นกัน น่าเสียดายที่ตัวข้ายามนี้ล้าเกินกว่าจะประมือกับท่านได้อย่างเต็มกำลัง คงต้องเสียมารยาทแล้ว” ลี่หมิงสบตาคู่สนทนา เด็กหนุ่มเอ่ยปฏิเสธด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง ยกชายแขนเสื้อขึ้นบังรอยยิ้มที่ปิดไม่มิดข้างมุมปาก



เรื่องอะไรข้าจะยอมเล่นตอนนี้! สู้เก็บโอกาสเอาไว้เผื่อชักชวนให้ท่านมาหาข้าที่ตำหนักแล้วนั่งเล่นกันสองต่อสองซะยังจะดีกว่า!!



“เยว่อ๋อง เรื่องของสุขภาพมิใช่เรื่องที่ต้องขอโทษขอโพยกันแต่อย่างใด ครั้งหน้าหากมีโอกาสท่านกับข้าค่อยมาประมือกันในยามไม่มีเสด็จพี่ของท่านคอยจ้องมองอยู่น่าจะเป็นการดีกับข้ามากกว่า” อวิ้นหยางปรายตามองไปยังองค์รัชทายาทพร้อมหัวเราะออกมาน้อยๆ



เจิดจ้า เจิดจ้าอะไรขนาดนี้ ไม่ผิดตัวแน่นอนยิ้มแล้วหล่อขนาดนี้ต้องเป็นพี่หยางของข้าแน่ๅ แต่ข้าขอร้อง พี่อย่ายิ้มให้มากนักเลย แค่นี้พี่ก็หล่อจนข้าแทบจะร้องขอชีวิตอยู่แล้ว



“อวิ้นหยาง” องค์รัชทายาทหรี่ตามองพระสหาย “ท่านคิดหาโอกาสรังแกน้องข้าหรือ?”



“หาเป็นเช่นนั้นไม่ ข้าเพียงเกรงว่าหากบังเอิญเดินหมากเป็นต่อพระอนุชาของท่าน จวนข้าอาจไฟลุกติดไม่มีสาเหตุก็เท่านั้น”



หวงไท่จื่อตบโต๊ะเสียงดังหัวเราะลั่น “อวิ้นหยาง มุขตลกของท่านช่างร้ายกาจนัก” คนแลดูขบขันหากแต่แววตากลับไม่บ่งบอกเช่นนั้น เว่ยเหวินหลงเอื้อมมือคว้าการินน้ำชาลงในถ้วยสหายสนิทข้างกาย ผายมือพยักเพยิดเป็นเชิงให้รีบยกดื่ม อู๋อวิ้นหยางรับไมตรีนั้นด้วยการยกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปาก ยังไม่ทันได้ดื่มกลับเงยหน้าสบกับสายตาที่มีความนัยว่า ‘ดื่มชาแล้วหุบปากไปซะ’ ของสหายผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน จึงวางถ้วยชาลงเอ่ยตอบเสียงเบาพร้อมรอยยิ้มขำขัน



“...ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นเพียงมุขตลกเท่านั้น”



พี่หยางอ่า จะไปหาเรื่องพี่ชายข้าทำไม ข้าอุตส่าห์ได้เจอพี่อีกที พี่อย่าเพิ่งหาเรื่องรีบตายจะได้ไหม



“เอาเถิดๆ อาหารก็มาเต็มโต๊ะแล้ว อย่ามัวนั่งคุยเสียเวลากันอีกเลย” เว่ยเหวินหลงเบนความสนใจจากสหายสนิทโดยสิ้นเชิง “มื้อนี้ข้าขอเป็นเจ้ามือเอง ถือว่าวันนี้เลี้ยงส่งน้องข้า หมิงเอ๋อร์ เจ้าเองก็ควรทานเข้าไปให้มากๆ ดูตัวเจ้าซูบซีดไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้จะคีบอะไรขึ้นได้อย่างไร มาให้พี่คีบป้อนเจ้าก็แล้วกัน”



เฮ้ย! จะบ้าเรอะ! ไม่เอา!



“เสด็จพี่ ข้า…” คนลนลานไม่มีโอกาสเอ่ยปากปฏิเสธเมื่อพระเชษฐาไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ตวัดนิ้วจับตะเกียบคีบเนื้อคีบผักขึ้นมาว่องไวปานมีวรยุทธ์ มืออีกข้างเชยคางพระอนุชาบีบมุมปากให้เผยอออกจับยัดเนื้อยัดผักเข้าไปจนแก้มป่อง



“อื้อ! เอี๋…!!”



ไอ้เสด็จพี่! เดี๋ยวสิวะ! จะป้อนทำไม ข้าอายุยี่สิบสอง ไม่ใช่สองขวบ!! ยี่สิบสองได้ยินม้ายย!!!



“หมิงเอ๋อร์เคี้ยวดีๆ อย่าอมข้าวไว้ในปาก” เหวินหลงเอ็ดน้องชายเบาๆเต็มไปด้วยความเอ็นดูจนแทบปิดไม่มิด พระเชษฐาผู้ไม่ได้ยินเสียงโอดครวญในใจของพระอนุชายังคงคีบป้อนอาหารให้ลี่หมิงไม่ขาดสาย



“พ..พอแล้” บังคับข้ากินแล้วยังจะมาว่าข้าอีกนะ! ใครไปขอให้ท่านมาป้อนข้ากัน!! พอสักทีซิโว้ยยยย!!!



ส่วนไอ้คนรอบข้างนี่ก็รู้เห็นเป็นใจกันเสียจริง ชอบเห็นผู้ชายตัวโตโดนป้อนอาหารเป็นนกเป็นไก่กันมากนักหรืออย่างไร! เห็นข้าโดนทำถึงขนาดนี้ยังนั่งอมยิ้มเป็นบ้ากันอยู่ได้!! หมูสามชั้นในถ้วยมันหน้าตาตลกมากนักหรือหลิงอ๋อง ท่านถึงต้องแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้มัน!!! ไอ้บ้าตระกูลหม่าก็อีกคน! ไม่ต้องทำเป็นไม่เห็น จะมองก็มองดีๆ ไม่ต้องทำเป็นหันซ้ายทีขวาที! ส่วนไอ้โจไอ้นี่ก็ตั้งใจมองเกินไปแล้ว!! ก้มหน้าลงไปเลยไอ้เพื่อนชั่ว!!! พี่หยางก็อีกคน ทำไมพี่ไม่ช่วยข้าห๊ะ!!



เว่ยเหวินหลงใช้ผ้าซับเศษข้าวที่เปื้อนมุมปากลี่หมิงออก “หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป เหตุใดจึงนั่งหน้าง้ำหน้างอ อาหารไม่ถูกปากเจ้าหรือกระไร” ลี่หมิงแทบยิ้มอ่อนมองบนให้เสด็จพี่ผู้มีความรักมากล้นให้กับน้องชายตัวเอง พี่ชายข้าอยากรู้นักว่าท่านไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ว่าข้าไม่พอใจสิ่งใด



“ข้า..เพียงโมโหตัวเอง เป็นเพราะตัวข้าอ่อนแอไม่ได้เรื่องจนทำให้ท่านต้องมาลำบาก” เออ ข้าโมโหตัวเองจริงๆนั่นแหละที่ด่าท่านออกไปตรงๆไม่ได้ หากขัดใจพระเชษฐาผู้มากอำนาจแล้วท่านจะหันไปกุดหัวรองแม่ทัพระบายอารมณ์ ข้าคงสยองไปจนตาย



ข้าควรจะทำอย่างไรกับท่านดี ตอบข้ามาเถิดข้าควรทำเช่นไรท่านถึงจะไม่รักข้าเกินพอดีเช่นนี้...



“ลำบากอันใดกัน หมิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดมากไม่เข้าเรื่อง” เหวินหลงเลิกคิ้ว เอียงคอมองใบหน้าบึ้งตึงของพระอนุชา



ลำบากใจข้าไงเสด็จพี่!!!



“องค์รัชทายาท ตัวข้าทานมาอิ่มท้องแล้ว ให้ข้าได้ช่วยแบ่งเบาภาระดูแลเยว่อ๋องแทนท่านเถิด ท่านจะได้มีเวลาทานอาหารของท่านบ้าง” แม่ทัพหลี่เสนอตัวโดยมิได้คิดถึงผลที่จะตามมาแต่อย่างใด



ข้าไม่แม้แต่จะสงสัยเลยว่าทำไมคนดีมักตายไว หลี่ซืออี้ท่านช่วยนั่งทำหน้าหล่ออยู่นิ่งๆไปด้วยเถิด



“ขอบใจท่านมากแม่ทัพหลี่ แต่เยว่อ๋องเป็นน้องข้าหาใช่ ‘ภาระ’ แต่ประการใด ท่านมิต้องเป็นกังวล ข้าดูแลเองได้” องค์รัชทายาทเหวินหลงแย้มรอยยิ้มไร้ไมตรีจิตให้ซืออี้คนซื่อบื้อ แค่เพียงเสี้ยววิถัดมาก็เมินอีกฝ่ายแล้วหันกลับมาฉีกรอยยิ้มกว้างสว่างไสวให้กับเสวี่ยหมิงดังเดิม



“องค์รัชทายาท ข้าสนิทกับท่านมาเนิ่นนานนัก ไยท่านไม่เห็นอยากเอาอกเอาใจดูแลข้าบ้าง” อู๋อ๋องเอ่ยขึ้นยิ้มๆเหลือบมองเยว่อ๋องที่ทำหน้ากระอักกระอ่วนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะออกมา



“ฮ่าๆๆ อวิ้นหยาง ท่านแน่ใจแล้วหรือ ข้าเป็นคนแรงเยอะ บางทีข้าอาจเผลอใช้ตะเกียบจิ้มลิ้นท่านเป็นรูได้”



เสด็จพี่ท่านห้ามทำร้ายพี่หยางนะ! แต่เดี๋ยวก่อนพี่หยางกับเสด็จพี่ของข้าสนิทกันมาเนิ่นนาน? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมข้าไม่รู้? ข้าหมายถึงทำไมเสวี่ยหมิงไม่รู้ เพราะถ้าเสวี่ยหมิงรู้ข้าก็ควรจะได้รู้ไปด้วย นี่หมายถึงเสวี่ยหมิงก็ไม่รู้ข้าถึงไม่รู้ไปด้วย ซับซ้อนเกินไปแล้ว ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวโว้ย!



“องค์รัชทายาท เหตุใดพระอนุชาของท่านถึงได้มีสีหน้าซีดเซียวเช่นนั้นเล่า” พี่หยาง นี่พี่หาว่าข้าเป็นไอ้หน้าจืดหรือไง ห๊ะ!



“อวิ้นหยาง เจ้าพูดอันใด ข้าไม่เห็น...หมิงเอ๋อร์ เหตุใดหน้าเจ้าจึงไร้สีเลือดเช่นนี้” เสด็จพี่แถวนี้กระจกสักบานก็ไม่มี ข้ามองไม่เห็นหน้าตัวเองแล้วจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า



“ข้า...”



“หมิงเอ๋อร์!!!” เสียงตะโกนลั่นของเสด็จพี่ดังขึ้นพร้อมๆกับจังหวะที่หน้าของข้ากำลังจะจุ่มลงในถ้วยน้ำซุป ข้ารับรู้ได้ว่ามีมือของใครบางคนเอื้อมมาประคองใบหน้าของข้าเอาไว้ แน่นอนว่าข้าจำสัมผัสของเขาได้ ข้าจำความรู้สึกนี้ได้ ต่อให้ตอนนี้ข้าจะอยู่ในสภาพท่าทางน่าสมเพชไปหน่อยแต่ข้าก็อดดีใจไม่ได้ที่ได้รับรู้ความอบอุ่นแสนคุ้นชิน



ข้าจับมือของท่านมาเป็นพันๆหมื่นๆครั้งข้าจะจำไม่ได้ได้อย่างไร



พี่หยางข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน...

(50%)

____________________________________________________________________________​

Talk ในโรงเตี๊ยม​



อะแหะๆๆ กลับมาแล้วค่า :z13: ต้องขอโทษจริงๆค่ะที่หายไปนานนนนนนิดโหน่ยยย ไรท์ติดงานราษฎร์ งานหลวงมากมาย ทำให้ไม่มีเวลาได้เข้ามาอัพเลย​ อย่าโกรธกันน้าาาา ต่อจากนี้เรื่องจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วนะคะ อย่าพึ่งทิ้งกันไปไหนน้าาาาาา ใครลงเรือลำไหนอยู่ก็เกาะเรือกันแน่นๆนะคะ ^^ ป.ล. องค์รัชทายาทน่ารักเน้ออออ มีใครเห็นด้วยไหมคะ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 07-08-2017 04:07:05
ทีมรัชทายาทค่ะะะ  :katai2-1:
Incest ก้าวใจ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: padthaiyen ที่ 07-08-2017 11:38:36
เชียร์รัชทายาท
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-08-2017 14:24:55
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-08-2017 15:03:29
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: orangesmooty ที่ 07-08-2017 21:44:18
สนุกน่าติดตามมาก บรรยายดี แต่คาใจมากว่ากระเป๋าสี่มิติของอาม่ามายังไง ยังมีรองเท้าอีก แต่ตัวกับชุดดันเป็นของยุคนี้... สงสัยแรง อ่านไม่เป็นสุขเพราะจุดนี้เลย  :hao5: ตอนไปทักเพื่อนอีก นางเบลอแรงมาก จุดๆนี้น่าจะคิดได้ว่าไม่ควรกระโตกกระตาก
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 07-08-2017 23:55:17
หายไปนาน
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-08-2017 16:02:42
ชอบค่ะ ขำตลอดเลย
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: KS.F ที่ 08-08-2017 23:18:06
 :-[
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: wikawee ที่ 09-08-2017 01:32:47
งานนี้จะพลาดได้ไง อิงเออร์น่ารักขนาดนี้ ทำไมพึ่งมาเจอนิยายสนุกๆแบบนี้ไม่น่าพลาด ขอบแนวจีนๆพอดีเลย หวังว่าคนแต่งจะไม่ทิ้งให้คนอ่านรอเก้อนะ  ยังไงก็ตามจ้าาาา  :hao3:  :L2: พระเอกเรานี่คือพี่หยางจริงๆใช่ไหม เอาจริงๆเราชอบองค์รัชทายาทนะ มีความหลงน้องสูงมาก อบอุ่นอารมณ์พี่ชาย ไม่อยากให้พี่ชายทำดีกับน้องเพราะหวังท่จะได้กำจัดน้องออกไปง่ายๆ ถ้าเป็นแบบนี้โคตรแซดเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-08-2017 18:15:28
ตอนนี้ทีมพี่ชายก่อนค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 12-08-2017 08:23:29
ปกติ ไม่อ่าน incest  นะ แต่สงสัย ต้องเว้นเรื่องนี้ไว้ 5555  #รู้เลย ทีมใคร  :mew4:  แต่จริงๆๆ ก็อยากได้แม่ทัพนะ ดูซื่อบื้อดี 555 :katai3:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 20-08-2017 09:59:09
สนุกมากค่ะ ชอบความตลกของนายเอก แต่แอบหมั่นไส้ตรงที่นางออกตัวแรงนิดหน่อย(เบ้ปาก) แต่ก่อนไม่เคยคิดจะเชียร์คู่พี่น้อง สงสัยเรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรกค่ะ555
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 22-08-2017 00:07:42
แง  ไม่ถนัดจำชื่อจีนเลย พอเข้าฉากหลายคนปุ้บงงเลยทีนี้
ในห้องอาหารมีตัวแสดง7คนปะ แล้วใครคือพระเอกล่ะ
ก่อนอื่นต้องจำชื่อให้ได้ก่อน555(บอกตัวเอง)
เรื่องนี้สนุกมาก นายเอกเกรียนแบบน่ารักๆ ชอบ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 23-08-2017 20:07:10
รอฉันรอเธออยู่ แต่ไม่รู้เธออยู่หนใด
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 27-08-2017 02:18:40
ชอบชื่อตอนในแต่ละตอนมากค่ะ ครีเอทสึด
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: manami_01 ที่ 09-11-2017 19:28:32
ยังคงรอคอย
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตา...ส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย(08・07・17)
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 03-03-2018 22:58:27
สนุกมากค่ะ :mew1:
หัวข้อ: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง 07: พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100%(04・14)
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 14-04-2018 01:43:32
(ต่อ)

หนึ่งชั่วยามถัดมาขบวนรถม้าเทียมเกวียนห้าเล่มถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างรีบเร่ง เหล่าคนรับใช้วิ่งวุ่นลำเลียงนำสัมภาระขึ้นเกวียนตามการกำกับของจางเฉินเค่อ หนึ่งเล่มเกวียนขนเสบียงสำหรับเจ็ดวัน สองเล่มเกวียนสำหรับโดยสาร ส่วนอีกสองเล่มเกวียนที่เหลืออัดแน่นไปด้วยข้าวของสัมภาระมากมาย เนื่องด้วยความฉุกละหุกของกำหนดการเดินทางที่ถูกร่นให้กระชั้นขึ้น จางเฉินเค่อและคนรับใช้ส่วนหนึ่งของเสวี่ยหมิงจึงจำต้องออกเดินทางตามไปในอีกสามคืนให้หลัง เพื่อนำสัมภาระจำเป็นส่วนที่เหลือตามไป



ลี่หมิงยืนเหม่อมองภูเขากองของประดับตกแต่งทั้งไห แจกัน ภาพวาดและ ถ้วยโถรูปทรงประหลาดทั้งหลายที่ถูกขนใส่หีบขึ้นเกวียนไป นึกแทบไม่ออกว่าสมบัติราคาแพงเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างไร เหตุใดจึงต้องลำบากขนไปด้วย



เอาเถอะ คงเอาไว้เผื่อจำนำขายทอดตลาดตอนตกทุกข์ได้ยากล่ะมั้ง...



“หมิงเอ๋อร์”



ไม่ต้องเดาก็รับรู้ได้ว่าเป็นเสียงของคนผู้ใด เหวินหลงสาวเท้าเข้ามาหาพระอนุชา ลี่หมิงที่ก้าวขาหนึ่งข้างขึ้นรถม้าไปแล้วเหลียวหลังกลับมามองตามเสียงเรียก “ที่เจ้าต้องรีบร้อนวุ่นวายเช่นนี้เป็นความผิดของพี่ ตัวพี่ไร้ความสามารถเกินกว่าจะหาทางโน้มน้าวเสด็จพ่อได้”



เสด็จพี่ท่านอย่ารู้สึกผิดเลยใครมันจะไปโน้มน้าวใจเสด็จป๊าจอมลำเอียงได้ ข้าเองก็แค่ยืนไร้ประโยชน์ดูคนอื่นเขารีบร้อนวุ่นวายกัน ตัวข้าหาได้เดือดร้อนไม่



“ครานี้ พี่คงต้องยอมปล่อยเจ้าไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล คิดแล้วก็ใจหายเหลือเกิน พี่คงไม่อาจคอยดูแลเจ้าได้ดังเดิม” พูดไปถอนหายใจไปพลาง น้อยครั้งนักที่เหวินหลงจะแสดงสีหน้าลำบากใจต่อหน้าพระอนุชา



“น้องพี่.. พี่เฝ้ามองเจ้ามาตั้งแต่ยังเล็กนัก เจ้ามีความสามารถและเข้มแข็งเพียงใดพี่รู้ดี จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นของเจ้า แต่ถึงอย่างไรหากต้องประสบกับปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าจะจัดการด้วยตัวเองได้ขอให้บอกพี่ อย่าได้ดื้อดึงขอเพียงเจ้าเรียกหาพี่ พี่จะยืนรออยู่ตรงนี้เพื่อตอบรับเจ้าเสมอ”



“เสด็จพี่...” ลี่หมิงกำแขนเสื้อแน่น ไร้ซึ่งคำพูดใดจะเอ่ยตอบพระเชษฐา ถึงจะเคยลองคิดคาดเดามั่วๆโดยใช้ทฤษฎีของละครจีนมาผสมปนเปกันว่าเสวี่ยหมิงคงเป็นร่างในอดีตชาติที่มีวิญญาณเดียวกันอย่างไร ลี่หมิงก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าตนคือเสวี่ยหมิงอย่างสนิทใจ ความทรงจำของเสวี่ยหมิงที่ได้รับมายิ่งตอกย้ำว่าความหวังดีและความห่วงใยของผู้เป็นพี่นั้นมอบให้ ‘เสวี่ยหมิง’ เจ้าของแท้จริงของร่างนี้ หาใช่ตนไม่ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่รู้จะเอ่ยตอบอีกฝ่ายอย่างไร



ลี่หมิงหลบสายตาเหวินหลง ริมฝีปากทั้งคู่เม้มเข้าหากันแน่น แม้จะไม่สามารถคิดหาคำตอบที่เหมาะสมได้ แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาอันสั้นนี้ อีกฝ่ายก็ดูแลตนเป็นอย่างดี เช่นนั้นแล้วจึงควรเอ่ยคำขอบคุณ “ข้า...เหวอ!” ลี่หมิงถูกรั้งตัวลงจากรถม้าเข้ามาซุกอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่ คนอยู่ในภวังค์ไม่ทันรับรู้ว่าพระเชษฐาเดินเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เห็นพระอนุชาแน่นิ่งไปสักพักแล้ว


“คิดอะไรอยู่ ฮึ?” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วดิ้นขลุกขลัก รีบเงยหน้าขึ้นสบตาพระเชษฐา



ปล่อยข้าาา ปล่อยสิโว้ยยยยย!! หน้าท่านจะหนาเท่าปูนซีเมนต์ข้าไม่ว่าแต่เห็นแก่หน้าข้าบ้างเถอะ!!!



เหวินหลงส่งยิ้มกว้างประจำกายให้เด็กหนุ่ม ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนของพระอนุชา “พี่ไม่ชอบเห็นใบหน้ากังวลใจของเจ้าเลย”



ทำมาพูดดี ข้ากังวลใจเพราะใครก็รู้อยู่แก่ใจ ฮึ!



เมื่อทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ลอบด่าคนไม่รู้จักอายสายตาผู้อื่นอยู่ในใจ ลี่หมิงก้มหน้างุดรีบซุกหน้าลงในอกคนผู้พี่ “...เมื่อครู่ข้านึกว่าตัวเองจะร่วงลงไปเสียแล้ว” เหวินหลงหัวเราะอย่างพึงพอใจในลำคอ “พี่ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าตกลงมาหรอก”



“...และต่อให้เจ้าจะร่วงลงมาอีกสักกี่ครั้งพี่ก็จะรับเจ้าเอาไว้เสมอ เพราะฉะนั้นก่อนเราจะจากกัน ช่วยยิ้มให้พี่เห็นหน่อยไม่ได้หรือ”



อือหือ เสด็จพี่ ไอ้คำพูดกับการกระทำอย่างกับพระเอกกับนางเอกบอกลากันนี่มันอะไรวะพ่ะย่ะค่ะ เฮ้อ โชคยังดีที่ไอ้สเด็จพี่เปิดการ์ดหวงไท่จื่อ นึกอยากทำอะไรก็ทำไม่แคร์สื่อสำนักไหน เหล่าข้าทาสบริวารแถวนี้จึงมิบังอาจเงยหน้าจ้องมองข้าอย่างเปิดเผยได้



เด็กหนุ่มลองฝืนดันขืนตัวออกจากอ้อมแขนเหนียวหนึบอยู่อีกสองสามครั้งจึงรู้ตัวว่าป่วยการจะพยายาม แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเหวินหลงแล้วจึงตัดสินใจส่งยิ้มเก้ๆกังๆกลับไปให้ดังที่พระเชษฐาต้องการ



“ดีมาก” เหวินหลงกอดพระอนุชาแน่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะยอมปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ “ดูแลตัวเองให้ดี สัญญากับพี่ว่าเจ้าจะเขียนจดหมายหาพี่ทุกสามวัน”



ทุกสามวันมันจะมีอะไรให้เขียนนักหนาวะ “ข้าสัญญา ข้า...จะคอยรายงานสถานการณ์ต่างๆของเมืองเยว่เพื่อไม่ให้เสด็จพี่ต้องเป็นกังวล”



เหวินหลงขมวดคิ้ว “หมิงเอ๋อร์ การรายงานสถานการณ์ภายในเมืองหาใช่หน้าที่ของเจ้าไม่” อ้าว แล้วนี่ส่งข้าไปทำอะไร จะให้ข้านั่งบื้ออยู่ในตำหนักตัวเองไปวันๆเรอะ



“เจ้าควรจะเขียนมาบอกพี่ว่าในหนึ่งวันเจ้าทานอะไรบ้าง อร่อยหรือไม่ ได้พบปะกับใคร ศัตรูเก่า สหายใหม่ หรือแม้แต่เจ้าไม่พอใจผู้ใด ก็บอกเล่าให้พี่ฟังได้ เรื่องเหล่านี้แก้ไขง่ายดายมาก"



ง่ายดายมากจริงๆ แค่ส่งหม่าเทียนฟงไปเผาให้มันวอดวายชิบหายกันไปให้หมดใช่หรือไม่ เสด็จพี่ อันตัวข้านั้นยังไม่อยากถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็น ‘องค์ชายไร้ประโยชน์ผู้เป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้มากกว่าร้อยจวน’ ฉะนั้นข้าคงพยายามละเว้นจากการเป็นไอ้เด็กขี้ฟ้องเข้าไว้



“น้องพี่ เจ้าเข้าใจดีแล้วหรือไม่” ลี่หมิงพยักหน้าหงึกหงัก เอ่ยตอบรับเสียงเบาในลำคอไม่ได้แสดงท่าทีเต็มใจทำตามที่อีกฝ่ายต้องการนัก ในเมื่อไม่ได้คิดจะทำตามคำพูดของพระเชษฐาแต่อย่างใด แต่นั่นกลับทำให้เหวินหลงยังไม่สามารถวางใจปล่อยพระอนุชาไปอยู่นอกสายตาได้ รอยยิ้มบนหน้าหวงไท่จื่อเริ่มเลือนหาย คนเรื่องเยอะหันซ้ายขวาเพื่อหาใครมาช่วยจัดการความไม่ได้ดั่งใจนี้



เรื่องของดวงชะตาของมนุษย์นั้นยากแท้จะหยั่งถึง คนบางคนพบโชคไม่เคยขาดฉันใด คนบางคนกลับดวงซวยได้ทุกเวลาฉันนั้น…



หม่าเทียนฟงจูงอาชาคู่ใจพาเดินเล็มหญ้าไปพลางถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาสองวันยังไม่ทันเสพสุรา ชมนารีจนพอใจก็ต้องเดินทางกลับ เพราะองค์ชายแปดจำต้องเดินทางกลับก่อนกำหนดการ ‘ในเมื่อมาด้วยกันก็สมควรกลับไปพร้อมกัน’ หม่าเทียนฟงกรอกตามองบนเมื่อนึกถึงคำพูดของอู๋อ๋อง



อาชาสีนิลกาฬนาม ‘เสี้ยวจันทรา’ ของหม่าเทียนฟงส่งเสียงร้องสะบัดตัวฮึดฮัด แสดงท่าทางไม่คุ้นชินกับอานใหม่บนหลังเท่าที่ควร หม่าเทียนฟงจูงอาชาคู่ใจไปพร้อมตบอานลูบแผงคอของมันไป แรกเริ่มคนนำม้า ครู่ถัดมาม้าเป็นฝ่ายนำคน รองแม่ทัพหม่ายอมให้เสี้ยวจันทราดึงเดินไปในทิศทางที่นางพอใจ พลันสายตาเจ้ากรรมเหลือบไปเห็นคนสูงศักดิ์ผู้ควรอยู่ให้ไกลทั้งสองอยู่เบื้องหน้า จึงรีบดึงกระตุกบังเหียนก่อนความซวยจะมาถึงทั้งคนและม้า แม้เยว่อ๋องจะมีหน้าตาสมควรแก่การคบหา แต่พระเชษฐาของอ๋องคนงามนั้นควรอยู่ให้ห่างหมื่นลี้จึงจะดี



“เสี้ยวจันทรา อย่าเดินไปทางนั้น” เจ้าของม้าพยายามอย่างยิ่งยวด ใช้วาจาก็แล้ว การกระทำก็แล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเท่าใดนัก



 “รองแม่ทัพหม่า ม้าของท่านดูอารมณ์ไม่ดีนัก มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่” หลี่ซืออี้ยืนสังเกตอยู่นานก่อนตัดสินใจเดินเข้ามาถามไถ่แสดงเป็นห่วงเป็นใยต่อผู้ร่วมเดินทาง หม่าเทียนฟงหันไปแยกเขี้ยวใส่ผู้มาใหม่



“ข้าเพิ่งเปลี่ยนอานให้นาง คงต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงจะชิน” คนถูกถามกัดฟันตอบ ทั้งๆที่อยากจะรีบเดินหนีออกไปให้ไกลจากแถวนี้แต่ดันมาติดเจ้าคนจุ้นจ้านไม่รู้เวล่ำเวลา



“เป็นอย่างนั้นนั่นเอง! อานใหม่ของท่านดูสง่ายิ่ง ท่านรสนิยมดีนัก จะว่าอย่างไรหากข้าจะขอให้ท่านช่วยเลือกอานใหม่ให้ข้าบ้าง?”



“อย่าได้มากความไป!”หม่าเทียนฟงตวัดแขนโอบไหล่อีกฝ่าย ยิ้มเหี้ยมออกแรงดันซืออี้ให้เดินตามมา “การแต่งองค์ทรงเครื่องอาชาเป็นงานอดิเรกที่ข้าถนัดที่สุด! รีบพาข้าไปดูม้าของท่านเดี๋ยวนี้เถิดท่านแม่ทัพหลี่!” หนทางเอาชนะศัตรูคือการลงมือก่อน ในเมื่อหลี่ซืออี้ไม่ยอมไปเสียที หม่าเทียนฟงก็จะลากมันไปให้ไกลจากแถวนี้เอง!



“ขอบคุณท่านมาก! ได้โปรดตามข้ามาเถิด!” หลี่ซืออี้ยิ้มกว้างตอบรับมิตรภาพใหม่ ออกเดินพาหม่าเทียนฟงก้าวขาฉับไวไปในทิศทางที่ตนผูกม้าไว้ 



...ซึ่งก็คือข้างๆรถม้าของเยว่อ๋อง



“แม่ทัพหลี่! ได้โปรดหยุดก่อน..” หม่าเทียนฟงเอ่ยเสียงหลง นึกด่าตัวเองที่ดันเอาแขนโอบไหล่อีกฝ่ายไว้ ถึงจะแม้อยากหยุดเดินเองแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ “เดี๋...”



“บังเอิญเหลือเกิน เทียนฟง แม่ทัพหลี่ ข้ามองหาพวกท่านทั้งสองอยู่พอดี”


____________________________________________________________________________

Talk ข้างล้อรถม้าเยว่อ๋อง


กลับมาแล้วค่าา แฮ่ ครึ่งแรกของตอนที่ 7 พึ่งจบค่ะ

ส่วนครึ่งหลังนั้นจะมาลงให้พรุ่งนี้นะคะ

ขอโทษน้าาาที่หายไปนานนนนนนนนนนนนน


ป.ล.ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่เข้ามาคุยและติชมนะคะ

ซังหวงตี้


หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 14.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-04-2018 08:44:55
ได้เวลาหมิงผจญภัยในโลกกว้างแล้ว  :bye2:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 14.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-04-2018 10:20:16
 :laugh:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 14.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 14-04-2018 10:40:42
ทีมรัชทายาทน่าจะปลอดภัยที่สุดล่ะ 555
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 14.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: xexezero ที่ 14-04-2018 10:49:18
คิดถึงเรื่องนี้มากๆเราอ่านวนหลายรอบมาก อยากบอกว่าชอบมากค่ะ ติดตามๆนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 14.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-04-2018 19:08:51
อย่าหายไปนานๆนะไรท์
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 14.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: Lynne ที่ 12-09-2018 00:09:38
สนุกจังเลยค่ะ ฮาดีด้วย หัวเราะตั้งแต่ชื่อตอนยันมุกในเรื่องเลย5555 รอตอนต่อไปน้า :mew1:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง07:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 14.04.18
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 12-09-2018 12:31:16
 :pig4:
หัวข้อ: ตอนที่ 8: พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียก็ไม่ตาย (100%) -ครึ่งหลัง-
เริ่มหัวข้อโดย: anflierza ที่ 11-11-2018 21:32:11
“คารวะองค์รัชทายาท!”

อาการเหมือนจะขาดอากาศหายใจตายวันละร้อยรอบเป็นอย่างไรนั้นคงมีแต่หม่าเทียนฟงเท่านั้นที่เข้าใจดี คนจะเป็นลมย่อตัวลงคุกเข่าเอ่ยคารวะโอรสจักรพรรดิทั้งสอง ไม่วายบ่นมุบมิบสาปแช่งไอ้บ้าข้างๆให้รีบตกเหวตายในเร็ววัน พาลคิดไปถึงว่าไอ้จอมเสแสร้งหน้าตาดีต้องจงใจหาเรื่องซวยมาให้เป็นแน่แท้

“เทียนฟง” องค์รัชทายาทเอ่ยชื่อรองแม่ทัพเนิบนาบเสียงเย็น

“พะยะค่ะ” หม่าเทียนฟงก้มหน้ารับคำเสียงแผ่ว

“อู๋อ๋องมาเปรยกับข้าว่าเจ้ายังไม่อยากกลับไปชายแดน” แม้จะขึ้นเสียงปลายประโยคเล็กน้อยเพื่อให้รู้ว่าเป็นคำถาม หากความเย็นเยียบน้ำเสียงมิแปรเปลี่ยน

อ้าวทำไมพี่หยางขี้ฟ้องงี้อ่ะ ข้าอุตส่าห์ช่วยรักษาหัวรองแม่ทัพเอาไว้ ท่านกำลังจะทำในสิ่งที่ข้าทำมาสูญเปล่านะเฟ้ย!

“ห...หาเป็นเช่นนั้นไม่พะยะค่ะ” รองแม่ทำหม่าทำหน้าเลิกลั่กปฏิเสธเสียงอ่อน

“เจ้ากำลังคิดว่าเยว่อ๋อง น้องข้าเป็นภาระของเจ้าหรือ” องค์รัชทายาทปรายตามองหม่าเทียนฟงอย่างเฉยชา

“พระองค์ กระหม่อมมิบังอาจ” รองแม่ทัพทิ้งตัวลงคุกเข่าอย่างไร้ทางสู้

“ดี เช่นนั้นจงอารักขาน้องข้าให้ดี ขอให้เจ้าจำให้ขึ้นใจว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีสิ่งใดผิดพลาดมิได้”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่าทำให้ข้าผิดหวังเหมือนเมื่อวาน ข้ารู้ว่าเจ้าแยกแยะได้ว่าความสำคัญของสิ่งใดมาก่อน”

“...พ่ะย่ะค่ะ”

“แม่ทัพหลี่ ของที่ข้าให้เตรียมทั้งหมดเรียบร้อยดีหรือไม่”

“ทั้งหมดเรียบร้อยเสร็จสิ้นดีพ่ะย่ะค่ะ” เหวินหลงพยักหน้า นัยน์ตาฉายแววพึงพอใจ

“แม่ทัพหลี่ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนเที่ยงตรงและเอาใจใส่ต่อหน้าที่ยิ่งนัก ฉะนั้นแล้วข้าจะมอบหมายหน้าที่ให้ท่านช่วยดูแลเยว่อ๋อง...” คนพูดเว้นระยะ “...อยู่ห่างๆ น้องข้าเพิ่งกลับมาฝึกเดินได้ไม่นาน การช่วยประคองบ้างย่อมเป็นเรื่องเหมาะสม แต่การพยายามฝึกเดินให้ได้ ‘ด้วยตัวเอง’ นั้นก็สำคัญมากไม่แพ้กัน ข้าหวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือเพื่อให้เย่วอ๋องได้ฝึกฝนอย่างเต็มที่”

“พ่ะย่ะค่ะ!” หม่าเทียนฟงก้มหน้าถอนหายใจ แม้จะปรามาศเอาไว้ว่าหลี่ซืออี้เป็นจอมเสแสร้งตีหน้าซื่อ แต่บางครั้งก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าซืออี้แห่งเมืองเยว่อาจจะซื่อบื้อมากจริงๆก็เป็นได้

“หน้าที่ดูแลจดหมายทุกฉบับจากเยว่อ๋องก็เป็นของท่านเช่นกัน ระวังอย่าให้มีตกหล่นแม้แต่ฉบับเดียว” หลี่ซืออี้ตอบรับหนักแน่นอีกครั้ง เหวินหลงมองท่าทางจงรักภักดีของคนใต้บังคับบัญชา ออกคำสั่งอีกสองสามประโยคจนพึงพอใจแล้วจึงปล่อยทั้งสองให้ไปเตรียมตัวออกเดินทาง หลี่ซืออี้รีบลากหม่าเทียนฟงไปดูม้าคู่ใจของตน ลี่หมิงเห็นอาการของคนทั้งคู่แล้วก็อดมุ่นคิ้วสงสัยไม่ได้ว่าทั้งสองไปญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่

“หมิงเอ๋อร์ ขึ้นรถม้าไปได้แล้ว ถ้าไม่รีบออกเดินทางจะค่ำมืดเสียก่อน” คือเมื่อกี้ข้าก็กำลังจะขึ้นแล้วท่านก็ดึงข้าลงมามุ้งมิ้งเล่นบทพระเอกบอกลานางเอกไงเสด็จพี่

เหวินหลงคอยโอบประคองลี่หมิงอยู่ข้างๆ คนทำเหมือนลืมเลือนเสียแล้วว่าเมื่อครู่กล่าวสิ่งใดกับแม่ทัพหลี่ ลี่หมิงยังไม่ทันนั่งลงดีก็ได้กลิ่นเสี่ยวหลงเปาหอมฉุยคลุ้งไปทั่วทั้งคัน เด็กหนุ่มผงะไปชั่วขณะกับจำนวนของเข่งไม้ไผ่ที่ดูเหมือนจะมากเกินพอดี

“ขึ้นมาแล้วก็รีบนั่งเสีย จะมัวยืนทำไมให้มันเกะกะ” เหอโจวนั่งทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่ข้างเข่งเสี่ยวหลงเปา เดิมทีองค์ชายแปดควรจะเดินทางกลับด้วยรถม้าของตนแต่การทำเช่นนั้นจะไม่สะดวกต่อการดูแลเสวี่ยหมิง แพทย์จำเป็นจึงต้องอัปเปหิตัวเองมานั่งเบียดกับกองทัพเสี่ยวหลงเปาในรถม้าของคนป่วย

“เหอโจวหากเจ้าหิวก็ทานเสี่ยวหลงเปาได้ ข้าเตรียมไว้เผื่อเจ้าด้วย”

“ขอบพระทัยเสด็จพี่” เหอโจวตอบส่งๆไม่ได้ใส่ใจนัก หาวได้สองสามทีก็นั่งหลับตาตัดความสนใจจากสิ่งรอบข้าง

“อวิ้นหยาง เจ้ามาพอดี”

ลี่หมิงนั่งลงได้ยังไม่ทันไรก็รีบหันหน้าไปมองตามเสียงเรียกของเหวินหลง หวงอวิ้นหยางเหวี่ยงตัวลงจากหลังอาชา “คารวะองค์รัชทายาท” คนเสแสร้งแกล้งนั่งคุกเข่าลงทำท่าราวกับรอรับคำสั่งจากสหายผู้มียศศักดิ์สูงกว่าตน เหวินหลงถอนหายใจ ยิ้มปลงให้กับสหายผู้ชื่นชอบการหยอกล้อผู้อื่นของตน ย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับอวิ้นหยางดึงมือของอีกฝ่ายมาบีบไว้แน่น “โปรดช่วยดูแลน้องข้าให้ดีด้วย”

“รับด้วยเกล้า” อวิ้นหยางกระชับมือของเหวินหลงกลับ แววตาคนแม้ขี้เล่นแต่กลับแฝงไปด้วยความหนักแน่น

เสด็จพี่แม่งขี้โกง...ข้าก็อยากจับมือพี่หยางบ้างอะไรบ้าง

อวิ้นหยางปล่อยมือเหวินหลงตวัดตัวกลับขึ้นไปนั่งบนหลังม้า “ช่างน่าเสียดายยิ่ง ครั้งนี้เวลาในเมืองหลวงของข้าสั้นนัก อยู่ชายแดนไม่มีผู้ใดจะสนทนากับข้าได้ถูกคอเท่าท่านแล้ว”

“ข้าสัญญาว่าจะแวะไปดื่มชาเมื่อมีโอกาส” อวิ้นหยางพยักหน้า หัวเราะตอบกลับ กระตุกบังเหียนบังคับม้าของตนไปเดินประกบข้างรถม้าของลี่หมิง  ไม่นานขบวนเดินทางก็ได้ฤกษ์เคลื่อนตัวออกจากวังหลวง ลี่หมิงชะโงกหน้าออกไปมองเห็นพระเชษฐามีทีท่าเหมือนอยากเอ่ยบางอย่างกับตน แต่สุดท้ายกลับไม่มีคำพูดใดหลุดลอดจากริมฝีปาก มีเพียงรอยยิ้มสว่างไสวที่แสนคุ้นเคย เด็กหนุ่มนึกฉงนกับท่าทีแปลกประหลาดนั้นจึงได้แต่เหม่อมองจนลืมยิ้มตอบกลับ รู้ตัวอีกทีรถม้าก็เลี้ยวพ้นประตูวังไปเสียแล้ว

ขบวนเดินทางเคลื่อนตัวช้าๆผ่านเขตบ้านเรือนอยู่อาศัยไปจนเข้าสู่พงไพรเงียบสงัด ลี่หมิงนั่งครุ่นคิดไม่อาจสลัดความสงสัยได้ว่าพระเชษฐาอยากบอกสิ่งใดกับตน คิดมากจนท้องร้องจึงยื่นมือไปคิดจะหยิบเสี่ยวหลงเปามากินแก้เครียดสักลูก ทว่าระหว่างขยับแขนกลับรู้สึกเหมือนปลายเสื้อถูกบางอย่างถ่วงเอาไว้ เมื่อลองสะบัดดูสองสามครั้ง วัตถุทรงกล่องสี่เหลี่ยมพลันร่วงลงพ้นปลายแขนเสื้อก่อนจะกระเด็นไปอยู่ข้างปลายเท้าของคนตรงข้าม เว่ยเหอโจวหรี่ตามองลี่หมิง นัยน์ตาคนถูกปลุกให้ตื่นฉายแววไม่พอใจ

“อ่า.. ต้องขออภัยด้วย คือมัน...ปลิวไปเอง ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าของสิ่งนั้นมาอยู่ในแขนเสื้อข้าได้อย่างไร”

เหอโจวชักสีหน้า “คำพูดของเจ้าฟังดูโง่เง่ามาก ของของตัวเองแม้แต่ตัวเจ้ายังไม่รู้ ไยผู้อื่นจะต้องมารับรู้ไปกับเจ้า”

...จริงๆแล้วข้าควรจะสะบัดแขนเสื้อแรงๆ เอาให้กล่องแม่งกระเด็นไปเขกหัวไอ้โจสักทีสองที เผื่อมันจะหายปากหมาบ้างอะไรบ้าง

ลี่หมิงก้มลงไปหยิบของที่ร่วงกลับขึ้นมาวางบนตัก ยิ้มแหยๆอย่างเสียมิได้ “ข้าต้องขอโทษที่รบกวน ท่านหลับต่อเถิด ข้าจะพยายามไม่ส่งเสียงดังอีก”

“นั่งเงียบๆ ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องปลุกข้าอีก ตัวเจ้าเองก็เพิ่งดื่มยาไป สมควรพักผ่อนได้แล้ว” คนพูดหลับตาลงเอาหัวพิงหน้าต่างรถม้า

เมื่อคนขี้รำคาญกลับไปนอนหลับต่อ ลี่หมิงจึงได้โอกาสสำรวจของน่าสงสัย กล่องไม้สีน้ำตาลขนาดเล็กหากแต่มีน้ำหนักพอประมาณ เมื่อเปิดฝากล่องออกดูจึงพบหินหยกสีดำแบนขนาดเท่าฝ่ามือถูกขัดเกลาจนขึ้นเงาพร้อมแกะสลักชื่อ ‘เว่ย เสวี่ยหมิง’ เอาไว้ ข้างใต้หินมีกระดาษเขียนข้อความบางอย่างสอดไว้

พี่ช่างเป็นพี่ที่แย่นัก ไม่เคยแม้แต่จะรู้ว่าเจ้าชอบสิ่งใด
ที่ทับกระดาษนี้พี่สลักชื่อเจ้าไว้ ใช้ให้ดี
เว่ยเหวินหลง

แล้วข้า… ข้าชอบอะไรวะ ให้หินประหลาดมาไม่พอยังเขียนข้อความไม่รู้เรื่องแนบมาด้วยอีก เสด็จพี่ น่ากลัวว่าท่านคงมีปัญหาในการสื่อสารผ่านทางข้อความเสียแล้ว

ลี่หมิงถอนหายใจหากแต่มุมปากกลับยกยิ้มบาง

ถึงแม้ช่วงเวลาที่ข้าได้พบกับท่านจะแสนสั้น แต่ข้าก็รับรู้ได้ว่าในโลกที่ตัวข้ายืนแห่งนี้ มีแต่ท่านที่หวังดีต่อข้าอย่างแท้จริง ตั้งแต่เกิดมาข้าเพิ่งเคยมีพี่ชายที่คอยตามใจ เห็นข้าชี้นกเป็นฟีนิกซ์ ชี้หินเป็นทองกับเขาทั้งที จะให้ข้ามีความสุขให้มันยาวนานกว่านี้ผืนฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลายหรืออย่างไร คิดแล้วก็อดกังวลใจในอนาคตตัวเองไม่ได้ ฮือๆ อาม่าช่วยอวยพรให้อาหมิงด้วย

เว่ยเหอโจวผู้แสร้งหลับมาตั้งแต่ต้นมุ่นคิ้วกับท่าทีเพี้ยนๆเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของคนตรงข้าม ตอนเปิดกล่องของที่ได้จากองค์รัชทายาทก็มีสีหน้างุนงง ก่อนจะกลายเป็นยิ้มแย้มได้สักพักก็กลับมาทำทำหน้าซีดแล้วยกหินขึ้นกอดไว้แน่น

สงสัยคงต้องเพิ่มปริมาณยา...

เพียงแค่เหลือบมององค์ชายแปดก็ทราบว่าของที่เสวี่ยหมิงได้เป็นของจากองค์รัชทายาท กล่องสีทองลวดลายงามวิจิตรแต่ของข้างในกลับดูไร้มูลค่าขนาดนี้ คนทำเรื่องหาสาระได้น้อยแบบนี้คงมีอยู่แค่คนเดียว

สุดท้ายคนก็อดนั่งเฉยไม่ได้ “เยว่อ๋อง หากไอ้หินหน้าตาประหลาดนั่นมันทำให้เจ้าซาบซึ้งถึงเพียงนั้น ให้ข้าลงไปเก็บก้อนหินน่าเกลียดมาให้เจ้าอีกสักก้อนสองก้อนดีหรือไม่” เว่ยเหอโจวเอ่ยด้วยเสียงเนือยนาดแม้ตาทั้งสองยังคงปิดสนิท ลี่หมิงตวัดสายตามองเพื่อนตัวปลอมจอมเสแสร้งที่แกล้งทำเป็นหลับ

“ขอบคุณท่านมาก...แต่อย่าลำบากเลย” หลับตาอยู่ยังจะเสือกรู้อีก หากกระโดดตบหัวไอ้โจได้ข้าขอสาบานกับไม้เซลฟี่ของอาม่าว่าข้าคงตบหัวมันไปนับครั้งไม่ถ้วนไปแล้ว

เหอโจวแสร้งทำหูทวนลม ยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง เปล่งเสียงเรียกแม่ทัพหม่าสหายสนิท “เทียนฟง เจ้าไปเก็บหินมาให้ข้าที”

“หินหรือ? ท่านจะเอาไปทำอะไรต้องใช้ก้อนใหญ่หรือไม่” คนบนม้าตอบกลับเสียงฉงน

“ไม่ต้อง เอาหินโง่ๆก้อนเท่าฝ่ามือสักสองก้อนก็พอ”

“ข้าบอกว่าไม่ต้...” คือข้าไม่ได้ซึ้งในไอ้หินแบนๆนี่ ไอ้โจแม่งก็บ้าจี้

“ไม่ต้องลำบากเทียนฟง ข้าหาได้แล้ว” อู๋อวิ้นหยางควบม้าเข้ามาประชิด ก้มตัวลงส่งหินสองก้อนเข้ามาผ่านทางหน้าต่างบานเล็ก
“เอ้า องค์ชายแปด หินของท่าน” เหอโจวนั่งกอดอกนิ่งพยักเพยิดไปทางลี่หมิง เด็กหนุ่มจึงจำต้องเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปรับมาแทน

“ขอบคุณท่านมาก...” อู๋อ๋องพยักหน้ายิ้มรับคำขอบคุณ เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้สบตาอีกฝ่าย เด็กหนุ่มเผลอเหม่อมองรอยยิ้มของคนที่ตนแสนโหยหา กำหินน่าเกลียดทั้งสองก้อนแน่น หลงลืมความหมองหม่นเมื่อครู่ไปจนสิ้น

มือพี่หยางโคตรนุ่มเลย มือพี่หยางโคตรนุ่มเลย มือพี่หยางโคตรนุ่มเลย...

“พึงพอใจแล้วเจ้าก็พักผ่อนเสียที... มิเช่นนั้นยาจะไม่ออกฤทธิ์เต็มที่”

คนถูกจ้องรีบวางของในมือลงเมื่อเพื่อนร่วมทางส่งสายตามองขวางประหนึ่งจะสั่งแม่ทัพหม่าให้ไปเก็บหินอีกสักก้อนมาปาใส่หัวตนให้สลบไปเสีย ลี่หมิงจัดแจงเอนกายให้อยู่ในท่าพร้อมเข้าสู่นิทรา ไม่วายพลิกตัวตะแคงหรี่ตาลงเพื่อแอบจ้องมอง คนที่แสนคนึงหาผู้ซึ่งขณะนี้ควบม้าเลียบเคียงข้างฝั่งของตน

หวงอวิ้นหยางเบือนหน้าออกข้าง ลอบถอนหายใจแผ่วเบา รับรู้ถึงสายตาที่แอบจับจ้องมาเป็นระยะอยู่ไม่ขาด แม้จะไม่ทราบเจตนาของเยว่อ๋องดีนัก แต่ก็ใช่ว่าแม่ทัพอย่างตนจะมีสิทธิ์ใดไปออกคำสั่งให้อีกฝ่ายเลิกจ้องมองตนได้ ใบหน้าเหนื่อยหน่ายของคนจึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นเป็นไม่เห็นสายตาของอีกฝ่าย

อู๋อ๋อง อวิ้นหยางควบม้าไปพลางครุ่นคิดทบทวน เมื่อพอลองนึกดูก็น่าประหลาดนัก อ๋องห้าผู้พิกลพิการมาตั้งแต่วัยเยาว์เหตุใดจึงกลับมาเดินได้ปกติอย่างน่าอัศจรรย์ใจ อาการที่แม้แต่หมอเทวดายังรักษาไม่ได้หายดีภายในชั่วข้ามคืนหลังถูกลอบโจมตี จะว่าถูกสับเปลี่ยนตัวก็เห็นจะเป็นไปได้ยาก เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงป่านนี้บ้านเมืองคงกลายเป็นทะเลเพลิงด้วยความพิโรธจากหวงไท่จื่อ ไม่มีทางที่เจ้าคนหลงน้องนั่นจะจับไม่ได้หากมีการนำตัวปลอมมาสับเปลี่ยน

แล้วทำไมกัน…? ถึงแม้ผู้คนทั้งหลายจะกล่าวว่านี่คือปาฏิหารย์จากสรวงสววรค์ที่แท้จริง แต่เมื่อคำนึงถึงปัจจัยหลายๆอย่างแล้วมันช่างน่าสงสัยเกินไป รวมไปถึงการที่เย่วอ๋องคอยแอบจ้องมองตนเกินพอดีเช่นนี้ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่มองข้ามไม่ได้

อวิ้นหยางยกมือขึ้นนวดวนข้างขมับ นึกหน่ายใจกับนิสัยคิดมากไปก่อนเหตุของตน เย่วอ๋องจะเปลี่ยนไปอย่างไร ครุ่นคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ในยามนี้การปกป้องขบวนเดินทางของอีกฝ่ายย่อมสำคัญกว่าเรื่องอื่น ชายหนุ่มสะบัดบังเหียนเร่งฝีเท้าม้าให้เดินขนาบเกวียนแล้วจึงเงยหน้าขึ้นชมจันทราเสี้ยวไร้เมฆหมอกบดบังเพื่อปัดเป่าความวุ่นวายในใจ ฉับพลันท่ามกลางพงไพรเงียบสงัดกลับมีเสียงของสิ่งใดแหวกอากาศพุ่งตรงเข้าหาเกวียนเสด็จของเยว่อ๋อง อวิ้นหยางชักกระบี่คู่ใจออกจากข้างลำตัวตวัดฟันวัตถุแปลกปลอมนั้นจนหักสะบั้นตกลงสู่พื้นดิน นัยน์ตาคมดุจมัจจุราชปรายเห็นเป็นลูกธนูแล้วก็ได้แต่คำรามลอดไรฟัน

ในที่สุดสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดที่สุดก็เลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว..

“มีผู้ลอบโจมตี ทหารคุ้มกันเยว่อ๋อง!!!”

-----------------------------------------------
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-11-2018 22:24:22
มาต่อแล้วววววววว   :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-11-2018 23:19:32
 :hao7:


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-11-2018 01:16:45
งานเข้าอีกแล้ว555
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 04-12-2018 19:32:00
 :katai5:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 04-12-2018 21:40:03
สนุกมากๆเลยค่ะ ชอบนายเอกฮาน่ารักดี  :L2: o13
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 06-12-2018 21:07:09
สงสารน้องงง
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 07-12-2018 11:52:03
เสด็จป๋าใจร้ายอยากให้น้องอยูกับคุณพี่รัชทายาทอีกนิด :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 14-12-2018 21:48:18
เอาอีกๆ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: เนเน่ ที่ 15-12-2018 18:30:42
ชอบมากๆค่ะขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
เริ่มหัวข้อโดย: ืnpht ที่ 07-01-2019 23:29:58
พี่หวงน้อง


Sent from my iPhone using Tapatalk