Chapter 10
“แหวะ! เหม็นจัง” เด็กชายในชุดนอนลายการ์ตูนย่นปากพร้อมกับยกสองมือเล็กปัดไปมาตรงหน้าเพื่อไล่กลิ่นชวนคลื่นไส้นั้น “ป๊าไปบ้วนปากแปรงฟันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
คนโดนบ่นเดินหายเข้าไปในห้องน้ำสักพักร่างสูงใหญ่ก็เดินกลับมาออกมาพลางใช้มือปิดปากเป่าทดสอบลมหายใจหอมสดชื่นอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างเด็กชายที่กอดอกหน้าตูมอยู่ “เลิกทำหน้าบูดได้แล้วครับคนเก่ง ป๊าแปรงฟันตั้งสามรอบเลยนะ”
“ไหน มาพิสูจน์ก่อน”
“โอเคหรือยังครับ” ชายหนุ่มถามคนที่วางมาดราวกับเป็นกรรมการตรวจสอบคุณภาพกลิ่นปากของเขา หลังจากที่เอาจมูกมาดุนๆ ข้างแก้มแล้วแตะริมฝีปากจุ๊บไปเบาๆ เพิ่งจะเข้าประถมแท้ๆ แต่เรื่องลีลาท่าทางนี่ช่างก๋ากั่นเกินวัยจริงๆ สงสัยเขาคงปล่อยให้ดูทีวีมากเกินไป
“อือ” เด็กชายส่งเสียงงึมงัม “ป๊าเลิกบุหรี่ได้แล้วนะ คุณครูบอกว่าสูบบุหรี่ทำให้ตายไว ป๊าไม่อยากอยู่กับผมนานๆ เหรอ”
“ก็อยากครับ แต่ป๊าสูบมานานแล้วนะครับจะให้เลิกในวันสองวันคงทำไม่ได้หรอก นี่ก็ลดไปตั้งเยอะแล้ว ขอเวลาป๊านิดหนึ่งนะครับคนเก่ง”
เด็กชายทำหน้ายู่ “ก็ผมไม่ชอบนี่นา ป๊าไม่รักผมแล้วเหรอ” พูดจบก็มุดตัวหนีเข้าโปงผ้าไป ทิ้งให้คนฟังยังจมอยู่ถ้อยคำตัดพ้อเบาๆ ทว่ามีอนุภาพร้ายแรงต่อหัวใจ
ปรเมษฐ์หันไปมองซองบุหรี่ที่โผล่พ้นกระเป๋าเสื้อเชิ้ตซึ่งแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วหันกลับมามองโปงผ้าข้างกายอีกครั้งก่อนจะลุกออกจากเตียงไปหยิบซองบุหรี่ออกมาโยนทิ้งลงถังขยะแล้วกลับมาขึ้นเตียง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มือของเขาได้สัมผัสแท่งนิโคติน
แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ที่ทอลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาสะกิดให้เด็กหนุ่มค่อยเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ ทว่าท่อนแขนแกร่งที่โอบหลวมๆ อยู่รอบเอวกับอกกว้างที่อิงแอบอยู่นั้นอุ่นจนทำให้ไม่อยากลุกไปไหน นัยน์ตากลมเหลือบขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนซึ่งยังคงหลับสนิท เมื่อคืนเขาฝันถึงเรื่องในตอนเด็ก เป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีๆ ที่ไม่รู้ไปหลงลืมไว้ตอนไหนจนเผลอคิดน้อยใจป๊าไปเสียได้ว่าเลิกบุหรี่เพราะแม่ ในเมื่อเราก็มีกันอยู่แค่สองคนแท้ๆ
เด็กหนุ่มจ้องมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มเบาๆ ที่ข้างแก้ม “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ทำเพื่อผม”
“บ่นอะไรอยู่คนเดียว หืม”
เปลือกตาที่เปิดพรึ่บขึ้นสบตาโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนมาก่อนทำเอานภธรณ์ตกใจลุกขึ้นนั่ง พอตั้งสติได้จึงหาเรื่องกลบเกลื่อน “บ่นป๊าน่ะแหละ ไหนว่ามีผมอยู่ด้วยแล้วนอนไม่หลับไง ก็เห็นหลับสนิทดีนี่นา แบบนี้ผมไม่ต้องไปซื้อเตียงใหม่แล้วก็ได้มั้ง”
“อืม”
“ล้อเล่นน่า ผมบอกว่าซื้อก็ซื้อสิ ป๊าลุกเร็วไปห้างกันเถอะ”
“จะรีบไปไหนกัน เพิ่งจะแปดโมง ห้างเปิดตั้งสิบโมงไม่ใช่เหรอ นอนต่ออีกหน่อยสิ” ปรเมษฐ์บอกพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าเตรียมจะนอนต่อ
หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยกับอาการเกียจคร้านเหมือนเด็กๆ ของป๊าที่นานทีจะได้เห็น เขากระโดดขึ้นคร่อมแล้วเขย่าปลุก “ป๊า! ตื่นได้แล้ว ป๊า~”
“นอฟ ไม่เอา ไม่เล่นน่า ฉันหนักนะ”
“ป๊าก็ตื่นดิ”
“เออ รู้แล้วๆ จะไปรีบไปไหนเนี่ย” ปรเมษฐ์บ่นเสียงดังพร้อมกับลุกพรวดขึ้นทำให้คนที่นั่งคร่อมอยู่เสียหลักหงายหลังจนต้องรีบคว้าคออีกฝ่ายไว้แน่น
“ก็... ก็...” นภธรณ์หายใจขัดด้วยสภาพตอนนี้คือร่วงลงมานั่งคร่อมอยู่บนตัก สองแขนคล้องรอบคอทำให้อกชิดอกและใบหน้าก็ห่างกันแค่คืบ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเด็กหนุ่มคงไม่คิดอะไร แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ใจมันคิดอกุศลจนเลยเถิดไปไกล เพียงแค่ดวงตาปรือที่ยังไม่ตื่นดีมองสบมาก็ทำเอาใจสั่นรีบกลั้นหายใจเอาไว้แทบไม่ทันด้วยกลัวว่าจังหวะการหายใจที่เปลี่ยนไปจะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ก็... ก็... ก็จะรีบไปซื้อเตียงให้เสร็จๆ... แล้วก็จะได้ให้เขาเอามาส่ง... แล้วผมจะได้ขนของจากห้องโน้นกลับมานอนกับป๊าเร็วๆ ไง”
“เหรอ” ปรเมษฐ์ตอบ “แต่ว่าก่อนอื่น...”
“อะไรครับ” นภธรณ์กลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อริมฝีปากอุ่นขยับเข้าใกล้ อยากจะทำมอร์นิ่งคิสก็อยาก แต่หน้ายังไม่ได้ล้าง ฟันก็ยังไม่ได้แปรง แต่ถ้าปฏิเสธตอนนี้ต้องโดนสงสัยแน่ๆ แล้วที่สำคัญคือ... อดน่ะสิ! เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน
เด็กหนุ่มหลับตาแน่นเตรียมรับสัมผัส แต่แล้วความอบอุ่นอ่อนโยนที่คาดหวังกลับถูกแทนที่ด้วยอะไรที่หนักหน่วงกว่านั้น
โครม!
“ลงไปจากตัวฉันสักทีเจ้าลูกควาย ขาฉันเป็นตะคริวหมดแล้วเนี่ย!”
เด็กหนุ่มโดนดีดลงมานอนเอ้งเม้งอยู่ข้างเตียง อึดใจต่อมาเขาก็เห็นท่อนขาแข็งแรงก้าวลงบนพื้นและเดินไปทางห้องน้ำ
“ตกลงจะให้ผมเป็นลิงหรือควาย แต่ที่แน่ๆ ถ้าผมเป็นลูกควาย ป๊าก็เป็นพ่อควายเหมือนกันน่ะแหละ” นภธรณ์ตะโกนไล่หลัง
“ไม่เป็น! วันนี้ฉันขอลาพักร้อนจากการเป็นพ่อแกหนึ่งวัน ไอ้เด็กดื้อ!”
“ป๊าอะ!” นภธรณ์ตะโกนแก้เขินก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงสุกแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น
...ลาพักรงพักร้อนอะไรเล่า ลาออกไปเลยก็ได้นะ ผมอนุญาต... แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พลาดไปได้ไง ชิ! คอยดูนะคืนนี้ถ้าไม่ได้กู๊ดไนท์คิสเขาจะไม่ยอมเข้านอนเด็ดขาด!
เด็กหนุ่มตั้งปณิธานแน่วแน่พร้อมกับทุบกำปั้นลงบนพื้นก่อนจะเหลือบมองไปยังเป้าหมายซึ่งอยู่หลังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท พลันนัยน์ตากลมเป็นประกายวาววับเจ้าเล่ห์ขึ้นทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าป๊าปกติไม่ล็อกประตูห้องน้ำ
นภธรณ์ลุกพรวดขึ้นจากพื้นคว้าผ้าขนหนูแล้วออกวิ่งสี่คูณร้อยไปยังประตูห้องน้ำพร้อมกับถอดเสื้อผ้าไปด้วย “ป๊า~ ผมขออาบน้ำด้วยคนน้า~”
oooooo
สองพ่อลูกเดินคู่กันไปในโซนเครื่องนอนของศูนย์การค้าใหญ่แถวสยามซึ่งมีเตียงหลายแบบตั้งแต่แบบเดี่ยวธรรมดาสำหรับคนโสดไปจนเตียงฮันนีมูนมีหลังคาระบายลูกไม้สุดโรแมนติกให้เลือกตามความต้องการใช้สอย แต่หลังจากเดินวนอยู่หลายรอบนภธรณ์ก็ยังไม่ได้เตียงหลังที่ถูกใจ
อันที่จริงเด็กหนุ่มไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกเพียงแต่อยากยืดเวลาเรียบง่ายที่จะได้อยู่ด้วยกันเท่านั้น จะมีสักกี่ครั้งกันเชียวที่เขาจะได้เดินเกาะแขนป๊ามาช็อปปิ้งสบายๆ แบบนี้
“ป๊า มาช่วยเลือกหน่อยสิ แบบนี้จะใหญ่ไปไหม อ้าว...” นภธรณ์หันไปแล้วก็พบว่าคนที่มาด้วยกันหายไปเสียแล้ว เขาเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นป๊ากำลังถูกรุมล้อมด้วยพนักงานสาวๆ ของห้างสามคน
เด็กหนุ่มกอดอกด้วยความหงุดหงิด เมื่อเช้าพลาดทั้งจูบแถมยังโดนป๊าเตะโด่งออกมาจากห้องน้ำ แล้วนี่เขายังต้องมาทนเห็นภาพบาดตาบาดใจที่ป๊าโดนสาวๆ จีบอีกเหรอ
“นี่คุณพ่อของน้องที่เป็นนักร้องใช่ไหมคะ”
“ใน MV ว่าหล่อแล้วตัวจริงหล่อกว่าอีกขอลายเซ็นได้ไหมคะ”
“ขอโทษนะครับ ผมเซ็นไม่เป็น”
“ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ”
“เห็นทีจะไม่สะดวกน่ะครับ”
“งั้นจับมือก็ได้ค่ะ นะคะ นะ นะ นิดเดียวเอง”
นภธรณ์หน้ามุ่ย เขาเป็นนักร้องแท้ๆ นี่เดินทำหน้าหล่อตั้งแต่ชั้นใต้ดินจนจะถึงดาดฟ้ายังไม่มีแมวมาทักสักตัว ได้ข่าวว่าป๊าเป็นพ่อแล้วไหงถึงมีแต่สาวๆ มารุมล้อมได้ละเนี่ย อ้อ! ลืมไปตอนนี้เป็นพระเอก MV ด้วย
“ป๊า” เขาส่งเสียงเรียกออกไปอีกครั้ง
“ขอโทษนะครับ ผมขอตัวก่อน” ปรเมษฐ์ค้อมศีรษะให้พวกเธอที่ในที่สุดยอมปล่อยตัวมาอย่างแสนเสียดาย
“ชิ!” นภธรณ์ย่นปากพร้อมกับเป่าลมเข้าแก้ม
“เป็นอะไร”
“เป็นลูกที่ถูกป๊าที่ดังแล้วทอดทิ้งไง” เขาใส่ทำนองร้องเป็นเพลง
“งอนหรือไง”
“บู้!” นภธรณ์แลบลิ้นใส่ก่อนจะทำเป็นกอดอกหันหน้าหนีไปอีกทาง
ในตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้อง เขาเหลียวมองกลุ่มหญิงสาวอีกครั้ง นอกจากพวกเธอจะไม่กรี๊ดกร๊าดเขาซึ่งเป็นนักร้องแล้วยังไม่ยอมสบตาตรงๆ
...เอ๊ะ! หรือว่าจะเขิน แต่ก็ปกติก็เห็นแห่กันเข้ามาแบบไม่เกรงอกเกรงใจนี่นา…
ระหว่างที่เขาคิดในใจนั้นพวกเธอก็ค่อยกระจายตัวออกจากกัน ทำเป็นจัดข้าวของในชั้นหรือไม่ก็หยิบใบปลิวโฆษณาขึ้นมาอ่านทั้งที่มันเป็นภาษาจีนแถมยังอ่านกลับหัวอีกต่างหาก
เด็กหนุ่มย่นคิ้วกับความมีพิรุธนั่น เขาหันมองไปรอบๆ ตัว รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ คล้ายกับมีอะไรไม่ชอบมาพากล เขายังคงครุ่นคิดหาคำตอบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอะไรบางอย่างถูกยื่นมาตรงหน้า เขาหลุบตาลงมองชูปาจุ๊บรสสตรอว์เบอร์รี่สีชมพูสวยก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองคนที่เอามันมาง้อขอคืนดี
“เลิกงอนได้แล้วน่า”
“ไม่!” เด็กหนุ่มทำเป็นเชิดหน้าหนีใส่ของหวานสุดโปรด
“ไม่กินก็ตามใจ งั้นฉันกินเองนะ”
“ป๊าอะ!” นภธรณ์ร้องเสียงหลง “อะไรกัน ง้อแค่เนี้ย”
ปรเมษฐ์เหลือบมองด้วยหางตา “แค่นี้แหละ ตกลงจะกินไหม”
“กินครับ”
“เอ้า! อ้ำ”
เด็กหนุ่มอ้าปากรอ แต่ในเสี้ยววินาทีที่ขนมกำลังจะเข้าปากปรเมษฐ์กลับดึงคืนไปเสียเฉยๆ แกล้งให้เขาคอยเก้อ
ผู้เป็นพ่อหัวเราะในลำคอใส่ลูกชายที่ทำหน้ามุ่ยก่อนจะยื่นมาให้ใหม่
นภธรณ์ยื่นหน้าเข้าไปหาอีกครั้งแต่ก็อมมาได้แค่ลม อมยิ้มสีสวยยังคงลอยนวลอยู่ในมือปรเมษฐ์ที่ตอนนี้กลั้นหัวเราะจนตัวสั่น
“ป๊า!”
“ฮ่า ฮ่า ล้อเล่นน่าๆ อะ อ้าม~”
นภธรณ์ทำหน้าบูด เขาเหลือบตามองอย่างไม่ไว้ใจและไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ อีกเป็นครั้งที่ 3
“กินหน่อยน่า ฉันไม่แกล้งแล้ว” ปรเมษฐ์ใช้อมยิ้มเขี่ยเบาๆ ที่มุมปากอยู่สองสามครั้งคนงอนจึงหันมางับอมยิ้มเข้าปากเอามาดูดแจ๊บๆ
“หายงอนหรือยัง”
“นิดนึง” รสของขนมว่าหวานแล้ว แต่เทียบกันไม่ได้เลยกับรอยยิ้มของคนอายุมากกว่าที่กำลังมองมา แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาใจอ่อนได้ยังไง
“หายงอนนิดนึงนี่เป็นยังไง”
“ก็แค่นี้ไง” นภธรณ์ตอบพร้อมกับเอานิ้วโป้งไขว้กับนิ้วชี้เป็นสัญลักษณ์มินิฮาร์ทให้ปรเมษฐ์ที่ทำหน้านิ่งใส่ก่อนจะแกล้งดึงก้านอมยิ้มออกจากปากให้ลูกชายตามมางับคืนไปอีกครั้ง
ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังงอนง้อเล่นกันอยู่นั้นเอง พนักงานสาวกลุ่มเดิมก็ค่อยๆ ย่องกลับมารวมตัวกันอีกครั้งพร้อมทั้งป้องปากกระซิบกระซาบ
“ควงกันมาสองคนกะหนุงกะหนิง หรือข่าวมันจะจริงวะแก เฮ้ย! พวกแกดูสิ มีเพลย์อมยิ้มด้วย เล่นอะไรกันก็ไม่รู้กลางวันแสกๆ” พนักงานสาวคนแรกพูด
“ไอ้ทะลึ่ง! ทีแรกฉันก็ไม่คิดอะไร พอแกพูดเท่านั้นล่ะ ฉันก็คิดดีกับอมยิ้มไม่ได้เลยว่ะ” พนักงานสาวคนทีสองจีบปากจีบคอว่า “ทีแรกก็คิดว่าโปรโมทตามคอนเซปต์เพลง เห็นกับตาแบบนี้ไม่น่าพลาดว่ะ ได้ข่าวว่าโปรดิวเซอร์เป็นคุณยะด้วยหรือเขาจะไปรู้เห็นอะไรมาจนได้เพลงใหม่นะ”
“นั่นสิ แกเห็นสายตาเมื่อกี้ป่ะ มีค้อนใส่ฉันด้วยนะเว้ย” พนักงานสาวคนที่สามรีบสาดสีตีไข่ใส่
“ว้าย ตายแล้ว” อีกสองคนหันมายกมือทาบอกพร้อมกัน
“พ่อกับลูกเหรอ”
“มันจะเกินไปไหม มันจะจริงเหรอแก”
“อยากรู้ว่าจริงไหมแกก็ถามสิยะ”
“เรื่องอะไรยะ! ถามไปได้โดนเขาหาว่าสอดรู้น่ะสิ ถ่ายรูปดีกว่า นี่ๆ เอากล้องหลังสิบสามล้านพิกเซลของแกขึ้นมาถ่ายสิ”
“จะถ่ายทำไมภาพนิ่ง มือสั่นเดี๋ยวภาพเบลอ คลิปสิ ถ่ายคลิปน่ะรู้จักไหม” เธอบอกพร้อมกับจิ้มนิ้วลงบนหน้าสัมผัสของโทรศัพท์ในมือเพื่อนเพื่อเปลี่ยนโหมดเป็นวิดีโอแล้วซูมเข้าไป ก่อนที่ทั้งสามสาวจะสุมหัวกันเข้ามุงเพื่อดูรูปให้ชัดๆ
นภธรณ์ยังคงเดินดูเครื่องนอนกับปรเมษฐ์อย่างสบายใจไปอีกหลายนาทีโดยไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกออนไลน์ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์จากบริษัทดังขึ้น
“ครับ ท่านประธาน”
“นอฟ! ตอนนี้อยู่ที่ไหน” เสียงของแดเนียลดังมาตามสายอย่างร้อนรน จนเด็กหนุ่มตกใจไปด้วย
“พารากอนครับ มาซื้อของกับป๊า”
“เข้ามาบริษัทเดี๋ยวนี้เลยเรามีเรื่องต้องคุยกัน คุณโป้ด้วย” แดเนียลบอกเสียงเฉียบขาดก่อนจะกดวางสาย
“มีอะไรเหรอ” ปรเมษฐ์ถาม
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ฟังจากเสียงท่านประธานแล้วไม่ค่อยดีเลย” นภธรณ์กำโทรศัพท์ในมือแน่นพร้อมกับเหลียวมองไปรอบตัว และในขณะที่รีบกลับไปขึ้นรถนั้นเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่สาดใส่มาจากทั่วสารทิศ
ในห้องทำงานของบริษัท D&T media แดเนียล คิมนั่งหน้าเครียดประสานมือไว้ตรงหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติเลยสำหรับคนที่อารมณ์ดีอยู่เสมอ ในขณะที่ผู้จัดการส่วนตัวของเขายืนกอดแฟ้มเอกสารทำตาแดงอยู่ข้างๆ อาการตื่นตระหนกของตฤณทำให้นภธรณ์รู้ว่าเขาคงโดนท่านประธานต่อว่าไปชุดใหญ่ที่ปล่อยปละละเลยให้เรื่องแบบนี้มันออกมาได้
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ” แดเนียลถามเสียงเข้มพร้อมกับชี้มือไปยังเอกสารบนโต๊ะ ดูเหมือนเขาจะตั้งใจพูดกับปรเมษฐ์มากกว่าจะพูดเด็กหนุ่ม
นภธรณ์เดินเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดๆ ก่อนจะกลั้นหายใจ ภาพที่เขาจูบกับป๊าในห้องแต่งตัวเมื่อวันก่อนถูกพาดหราบนข่าวหน้าบันเทิง
ช๊อก! นักร้องหนุ่มขวัญใจวัยรุ่นแอ๊บใสร้องเพลงตามหาแม่ ที่แท้มีเสี่ยเลี้ยง อึ้งหนัก! เสี่ยคนนั้นคือคนที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อ
เนื้อหาต่อมานั้นตีแผ่ข้อสงสัยอย่างละเอียดยิบไล่เรียงตั้งแต่วันเกิดของนักร้องหนุ่มในขณะที่พ่อยังเป็นนักศึกษาแพทย์ รูปร่างหน้าตาที่ไม่มีความคล้าย กรุ๊ปเลือดที่ต่างกัน ไปจนถึงภาพแอบถ่ายในมุมต่างๆที่แสดงออกถึงความสนิทสนมที่มากเกินกว่าคำว่าพ่อ-ลูก ไม่ว่าจะเป็นกอด หอมแก้มไปจนถึงจูบ
“โกหกว่าเป็นพ่อลูก ที่แท้เป็นเด็กที่เสี่ยซื้อมาเลี้ยง” แดเนียลอ่านข้อความหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์ให้ได้ยินกันชัดๆ “เช้านี้ผมรับโทรศัพท์เป็นร้อยสายเพื่อแก้ข่าวให้ แต่พวกคุณกลับไป...”
เขาคว้าแท็บเล็ตขึ้นมาแล้วเปิดภาพคลิปวิดิโออันหนึ่งซึ่งเพิ่งถูกถ่ายขึ้นเมื่อช่วงเช้า
“ของใช้มีเป็นร้อยเป็นพันอย่างไม่ซื้อ นี่ไปซื้ออะไร? เตียง! คนเขาจินตนาการว่าพวกคุณทำอะไรกันไปถึงไหนต่อแล้วเนี่ย!”
คำคอมเมนต์ที่ปรากฏใต้คลิปมีทั้งคัดค้านและเห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็จะคล้อยตามกันไปเป็นอุปาทานหมู่ปั้นเรื่องเล่ากันออกมาได้เป็นฉากๆ ราวกับมาแอบอยู่ใต้เตียงหรือเกาะเพดานเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเขาว่าวันๆ ทำอะไรกันบ้าง
เด็กหนุ่มมือสั่นเล็กน้อยในขณะที่หยิบภาพบนโต๊ะขึ้นมาดูใกล้ๆ เขาไม่แปลกใจเลยถ้าคนนอกจะคิด ในเมื่อสายตาของเขาที่มองป๊ามันฟ้องอะไรบางอย่างขนาดที่เขาดูเองยังเขินเอง นี่น่ะเองสาเหตุของสายตาแปลกๆ ที่มองมา แล้วที่ดุริยะพูดตอนนั้นล่ะ... เพลงที่เขาร้องออกไปวันนั้นมันถูกใครจับได้หรือเปล่า หรือว่าความรู้สึกมันจะสื่อไปถึงคนที่เขาตั้งใจร้องให้ไหมนะ
เขาเหลือบตามองป๊าที่ยืนมองรูปถ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะตวัดกลับมามองรูปถ่ายในมืออีกครั้ง และนึกย้อนกลับไปตอนที่จูบกัน
ริมฝีปากที่ประทับลงมาให้ความรู้สึกอุ่นและนุ่มกว่าทุกครั้ง แก้มที่แดงระเรื่อและกลิ่นหวานของลมหายใจที่ยังติดอยู่ตรงปลายจมูก ทั้งที่แค่แตะแล้วก็ปล่อยแต่กลับลึกซึ้งจนถอนตัวไม่ขึ้น ความรู้สึกที่จูบกันตอนยังไม่คิดอะไรกับตอนที่คิดไปแล้วนี่มันช่างแตกต่างกันจริงๆ... แล้วเขาจะมีโอกาศได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นอีกสักครั้งไหมนะ
เสียงกระแอมไอเบาๆ ของปรเมษฐ์ทำให้นภธรณ์สะดุ้งตื่นจากภวังค์มาเผชิญกับสถานการณ์ตรงหน้า
“ผมกับลูกก็ทักทายกันแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ผมนึกว่าพวกคุณจะชินกับเรื่องนี้แล้วซะอีก” ปรเมษฐ์กล่าวเสียงเรียบ
“แต่คนอื่นเขาไม่ได้ชินเหมือนพวกผมน่ะสิ” แดเนียลพูดเสียงดัง “นอฟ! ตอนนี้เธอเป็นนักร้องนะลืมไปแล้วหรือเปล่า ฉันไม่สนหรอกว่าเมื่อก่อนเธอเป็นยังไง แต่ตอนนี้เธอเป็นคนของประชาชนนะ สื่อให้ความสนใจ ทุกคนให้ความสนใจ คราวที่แล้วก็มีข่าวกับคุณดุริยะ แล้วตอนนี้ก็มีข่าวกับพ่อตัวเองเนี่ยนะ ไปทำอีท่าไหนให้ไอ้กรรณมาขุดคุ้ยได้ละเนี่ย มันเป็นพวกกัดแล้วไม่ปล่อยด้วย”
“ผม...” นภธรณ์เกือบจะหลุดปากตอบไปว่า ‘ท่ามาตรฐานตามในรูปน่ะแหละครับ’ แต่ก็ปิดปากได้ทัน
“คุณว่าผมได้ แต่กรุณาอย่าว่าลูกชายผมครับเพราะผมเป็นฝ่ายจูบเขาเอง ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พวกคุณลำบาก” ปรเมษฐ์แทรกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะเล็กน้อย “วันนั้นเราทะเลาะกันนิดหน่อย คุณก็น่าสังเกตเห็นว่านอฟอารมณ์ไม่ค่อยดี พอปรับความเข้าใจกันได้ผมก็จูบอวยพรให้ลูกโชคดีในการร้องเพลง เรื่องมันก็มีแค่นั้นและเราก็จูบกันในห้องด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่านักข่าวคนนี้ไปแอบถ่ายหรือได้ภาพนี้มาได้ยังไง”
คำขอโทษและการอธิบายอย่างตรงไปตรงมาทำให้แดเนียลใจเย็นลง แต่เขาก็ยังวางใจอะไรไม่ได้เพราะเรื่องนี้มันส่งผลทางลบต่อตัวศิลปินและค่าย ยิ่งไปกว่านั้นอาจกระทบต่อยอดขาย “แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ยังไง ผมคิดว่าเราควรจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนนะครับ”
“แทนที่จะทำแบบนั้น ผมคิดว่าเราไม่ต้องทำอะไรดีกว่าครับ พอนักข่าวไม่มีอะไรจะเล่น คนก็จะคิดได้เองว่ามันไร้สาระแล้วก็จะลืมกันไปเอง คนไทยลืมง่ายอยู่แล้วครับ” ปรเมษฐ์บอก “ธุระมีแค่นี้ใช่ไหมครับ ถ้าเช่นนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีตอนบ่ายนัดคนไข้ไว้”
นภธรณ์มองท่านประธาน รู้ว่าเขาค่อยไม่เห็นด้วยกับความคิดของป๊าสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจเถียงอะไรได้เพราะสิ่งที่ป๊าพูดก็ไม่ผิด ส่วนพี่ตฤณก็เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตา เขาจึงยกมือไหว้และขอตัวกลับไปพร้อมกับป๊า
“ขอโทษนะครับที่ทำให้ป๊าต้องมาลำบากกับเรื่องอะไรแบบนี้” นภธรณ์พูดเสียงอ่อย
“ขอโทษทำไม ไม่ใช่ความผิดแกสักหน่อย ถ้าจะโทษก็ต้องไปโทษไอ้พวกนักข่าวที่ไม่มีอะไรจะทำนั่นต่างหาก” ปรเมษฐ์ว่า
“ละ... แล้วแบบนี้เรื่องเตียงจะเอาไงดีครับ ถ้ากลับไปที่ห้างตอนนี้คงโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ อีกแน่เลย”
“ก็ไม่ต้องซื้อแล้ว”
“แบบนั้นไม่ได้นะครับ แล้วคืนนี้ผมจะนอนที่ไหนล่ะ”
“ก็นอนกับฉันไง”
“เอ๋~”
“เมื่อเช้าฉันก็บอกแล้วไง แกไม่รู้จักฟังเอง ทำไม ทำหน้าแบบนั้นมีปัญหาหรือไง ไม่ชอบใจงั้นก็ลงไปนอนพื้น”
เด็กหนุ่มย่นปากพร้อมทั้งเข้ามาเกาะแขน “พื้นมันแข็งนี่นา ถ้าไม่ให้ผมนอนเตียง ผมนอนบนตัวป๊าได้ไหม”
“เรื่องยังไม่ทันซาก็ยังจะทำเป็นเล่นอีกนะ”
เสียงที่เข้มขึ้นกับตาคมของปรเมษฐ์ซึ่งตวัดลงมองมือที่จับต้นแขนแกร่งทำให้นภธรณ์คิดว่ากำลังโดนดุ เขาค่อยคลายมือออกเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาคว้าที่ข้างแก้มแล้วดึงให้หันไปสบตา
“แล้วนี่แกไม่กลัวเรตติ้งตก แฟนคลับทิ้ง ผู้หญิงหนีเหรอ”
“กลัวสิครับ” นภธรณ์ว่า “แค่มีภาพไปบ้านพี่ยะคราวที่แล้วผมยังหนีนักข่าวแทบตาย ครั้งนี้ต้องหนักกว่าเดิมแน่ๆ เพราะฉะนั้นป๊าต้องให้กำลังใจผมเยอะๆ นะจะได้มีแรงสู้ไง”
“ช่วงนี้แกต้องคุมน้ำหนัก ไนกี้ก็ยังไม่ออกรุ่นใหม่” ปรเมษฐ์รำพึง “ไหนบอกมาสิว่าจะเอาอะไร เกม?”
“ป๊าเห็นผมเป็นคนเห็นแก่ของไปได้”
“หรือไม่จริง บอกมาสิที่ทำปากหวานมาอ้อนแบบนี้จะเอาอะไรจากฉัน”
“ก็บอกแล้วไงครับว่าไม่อยากได้อะไร แค่อยากให้ป๊าเอาใจ” เด็กหนุ่มลอยหน้าลอยตาตอบ
ปรเมษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ อย่างจนใจจะต่อล้อต่อเถียง “เอาใจมากกว่านี้ก็ไม่ใช่พ่อแกแล้วล่ะ”
คนเป็นพ่อเดินนำไปไกลแล้วในขณะที่เด็กหนุ่มยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ใบหน้าร้อนวาบแทบไหม้ สติกระเจิงกับประโยคง่ายๆ ที่เขาดันคิดลึกโดยไม่ได้ตั้งใจ
...มากกว่าพ่อแล้วเป็นอะไรอะป๊า... แฟนเหรอ?...
นภธรณ์เอาหัวโขกกำแพงแก้เขินสองทีก่อนจะหันมองซ้ายขวาเห็นว่าปลอดคนจึงดึงภาพข่าวออกจากกระเป๋ามาดูอีกครั้ง สาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจขโมยเพียงแต่เมื่อกี้ดูแล้วลืมวางคืนเท่านั้น
“แฟน”
เขากระซิบเบาๆ กับตัวเองแล้วก็ยกภาพขึ้นปิดหน้าบิดไปบิดมาด้วยกระดากอายตัวเองที่ทำอะไรเลี่ยนๆ ก่อนจะม้วนภาพเก็บให้เรียบร้อยแล้วตบแก้มแรงๆ สามสี่ครั้งเพื่อตั้งสติปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและออกวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อตามป๊าให้ทัน
(ต่อข้างล่างค่ะ)