พิมพ์หน้านี้ - #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: leGGyDan ที่ 14-02-2017 01:46:43

หัวข้อ: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-02-2017 01:46:43
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




สารบัญ

Chapter 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.msg3578616#msg3578616)
Chapter 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.msg3578616#msg3578616)
Chapter 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.msg3578616#msg3578616)
 Chapter 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.msg3591147#msg3591147)
Chapter 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.msg3596222#msg3596222)
Chapter 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.msg3599369#msg3599369)
Chapter 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.msg3608342#msg3608342)
Chapter 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.msg3616452#msg3616452)
Chapter 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58252.msg3624644#msg3624644)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# บทที่ 1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-02-2017 01:55:09
Chapter 1

ท่ามกลางความมืดมิดในฮอลล์ขนาดใหญ่ที่จุคนได้กว่าครึ่งหมื่น แสงสปอตไลท์นับสิบดวงบนหลังคาสว่างพรึ่บขึ้นพร้อมกันสาดลงมายังจุดศูนย์รวมเดียวบนเวทียกพื้นสูง ตกกระทบเรือนร่างสูงโปร่งของใครคนหนึ่ง โครงหน้าเรียวยาวรูปไข่รับกับดวงตากลมโตเป็นประกายและเรือนผมสีน้ำตาลแดงขับให้ใบหน้าดูหวานผิดกับลูกกระเดือกใหญ่แสดงสัญลักษณ์ความเป็นเพศชายที่กำลังเข้าสู่วัยหนุ่มเต็มที่ ยิ่งเสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นสีขาวทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูเหมือนเจ้าชายน้อยผู้แสนอ่อนโยน
การปรากฏตัวของเขาสร้างเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งให้กับแฟนคลับที่รอชมการแสดง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียกชื่ออย่างพร้อมเพรียงกันดังกึกก้องพร้อมกับที่อินโทรเพลงดังขึ้น แต่สิ่งที่เรียกเสียงกรี๊ดได้กระหึ่มที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เสียงหวานใสราวกับระฆังแก้วขับขานบทเพลงกังวาลไปทั่วทั้งฮอลล์

เด็กหนุ่มเริ่มออกเดินไปรอบๆ พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกทักทายแฟนคลับอย่างทั่วถึงไม่ว่าจะเป็นโซน VIP ติดขอบเวที หลุมยืนแสนทรหดหรือบนยอดดอยชั้นสองที่แลดูไกลสุดสายตารอยยิ้มสดใสนั้นก็ถูกส่งไปจนถึง

บทเพลงท่อนสุดท้ายจบลงม่านก็ค่อยๆ เลื่อนลงปิด เสียงของผู้ชมที่ดังเซ็งแซ่เริ่มซาลง เมื่อคนที่เพิ่งจะหายไปแหวกม่านออกมาให้เห็นแต่ส่วนหัวด้วยใบหน้าเอียงอายพร้อมกับขยิบตาให้ข้างหนึ่ง “ขอเวลาผมเปลี่ยนชุดแป๊บนึงนะครับ”

เพียงแค่นั้นก็กลับมาสร้างเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งได้อีกครั้งเมื่อสาวๆ ต่างพากันจินตนาการเตลิดไปถึงเรือนร่างเปลือยที่ซ่อนอยู่หลังม่านก่อนที่เจ้าตัวจะผลุบหายเข้าไปอีกครั้ง




“ตอนที่พูดนั่นคงไม่ได้โป๊จริงๆ หรอกใช่ไหม” หนุ่มใหญ่วัยกลางคนซึ่งนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาหลุยส์ตัวยาวถามแกมบ่นกับคนที่นอนหนุนอยู่บนตัก เขาคือ ‘นายแพทย์ปรเมษฐ์’ หรือ ‘คุณหมอปีโป้’ เจ้าของห้องบนคอนโดชั้นที่ 16 ใจกลางย่านสุขุมวิทซึ่งขึ้นชื่อว่าหรูหราและแพงที่สุดแห่งนี้

“ให้ทาย” เด็กหนุ่มสวมชุดเสื้อยืดคอกลมย้วยๆ กางเกงขาสั้น ผมรองทรงชี้ฟูไม่เป็นทรงตอบ ถึงจะดูแตกต่างกันราวเทพบุตรกับยาจกแต่เด็กหนุ่มคนนี้คือ ‘นภธรณ์’ หรือ ‘นอฟ’ นักร้องที่กำลังร้องเพลงอยู่ในทีวีไม่ผิดแน่

“ปากดีไปอย่างนั้นสินะ” หนุ่มใหญ่ที่ถือครองรีโมทไว้พ่นลมออกจมูก “ว่าแต่แกจะออกไปจากตักฉันได้หรือยัง” บ่นพลางก้มลงมองเด็กหนุ่มที่นอนหนุนตักเขาสบายใจเฉิบ มือข้างหนึ่งคว้าป็อปคอร์นในจานซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกระจกโยนใส่ปากเคี้ยวหยับๆ ทำเศษร่วงใส่เต็มเสื้อด้านหน้า

“ทำไม? ผมขอหนุนนิดๆ หน่อยๆ แค่นี้ไม่ได้เหรอครับ” เด็กหนุ่มลอยหน้าลอยตาบอก

“มันปวดขา” ปรเมษฐ์บ่นพลางเหยียดขาออกเต็มที่ ดีดเด็กโข่งบนตักกลิ้งลงจากโซฟาไปนอนคว่ำหน้าบนพื้นพรมเสียงดังโครมใหญ่

“โอ๊ยยยย!”

“แกก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะนอฟ โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังจะมาอ้อนอีก ถามจริง ผู้ชายแก่ๆ แบบฉันมันน่าอ้อนตรงไหน”

“36 ยังไม่แก่สักหน่อย” นภธรณ์ยังไม่วายตะกายขึ้นมาเท้าแขนบนโซฟาแล้ววางศีรษะลงบนหน้าขา “ท่านประธานแดนนี่ปีนี้อายุก็ปาไป 42 แล้วยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว ผมว่าผู้ชายวัยกลางคนนี่กำลังมีเสน่ห์เลยนะ” ปากพูดไปก็แนบแก้มถูๆ ไถๆ ท่อนขาแข็งแรงถึงจะเต็มไปด้วยขนหยิกหยอยแต่เขาก็ชอบตรงที่มันให้ความรู้สึกจั๊กจี้พิลึกดีนี่แหละ

“ปากหวาน” ปรเมษฐ์ชักขาหนีแต่คนที่หนุนอยู่ก็ยังไม่วายเลื้อยตัวตามขึ้นมาเกยอยู่บนตัก

“ยังไม่ได้ชิมรู้ได้ไงว่าหวาน”

“งั้นก็มาให้ชิมสิ”

สิ้นคำปรเมษฐ์ เด็กหนุ่มก็ดีดตัวขึ้นจากพื้นพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าคออีกฝ่ายโน้มลงมาแล้วทำปากยื่นปากยาวไปจุ๊บเบาๆ ครั้งนึง
มือใหญ่ยกขึ้นสอดเข้าไปตามไรผมก่อนจะเลื่อนลงไปคว้าคอเสื้อดึงให้ริมฝีปากที่ราวกับมีแม่เหล็กดูดนั้นออกห่าง หากคนอายุน้อยกว่าก็ยังเกาะไว้แน่นเป็นลูกลิง

“หมื่นนึงพอไหม” หนุ่มใหญ่ว่า

“เยอะจัง” นภธรณ์ยิ้มจนแก้มปริที่ปรเมษฐ์รู้ทันแผนอ้อนขอตังค่าขนมเพิ่ม มันช่วยไม่ได้จริงๆ นี่นาที่ไนกี้ดันออกรองเท้ารุ่นลิมิเต็ทอิดิชั่นมาตอนที่เงินค่าตัวเขายังไม่ออก เด็กหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มอีกครั้งแทนคำขอบคุณ “จริงๆ ผมอยากได้แค่ห้าพันเองนะเนี่ย แต่ยังไงก็ขอบคุณนะครับ ‘ป๊า’”

ปรเมษฐ์โคลงศีรษะเบาๆ กับลูกอ้อนของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ครอบครัวของเขาเป็นคนไทยแท้ๆ แต่ถูกเลี้ยงดูมาแบบฝรั่งตั้งแต่รุ่นปู่ย่าจึงไม่แปลกที่จะใช้การจูบหรือหอมแก้มเป็นการทักทายและแสดงถึงความรักในชีวิตประจำวัน

ถึงจะอยากดีดให้คนที่ยังไม่เลิกเกาะแข้งเกาะขาให้หน้าหงายอีกรอบด้วยความหมั่นไส้ แต่มือใหญ่ก็เอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโอนเงินออนไลน์ให้ตามที่เจ้าตัวต้องการ “ไม่ต้องทอน พอดีเดือนนี้หุ้นที่ซื้อไว้ได้กำไรเยอะ"

ทันทีที่เสียงดังตึ๊งของข้อความแสดงยอดเงินคงเหลือในบัญชีที่เพิ่มมากขึ้น นภธรณ์ก็เบี่ยงตัวลงไปนั่งดีๆ บนอีกฟากของโซฟา “หมอก็จะเป็น หุ้นก็จะเล่น ป๊านี่ขยันจัง”

“ขนาดขยันขนาดนี้ ยังหาเงินเลี้ยงแกไม่ทันเลย”

“ผมไม่ได้ใช้เงินเปลืองสักหน่อย” นภธรณ์ค้อนไปหนึ่งที

“แค่ล้างผลาญ”

“ป๊า!”

“ฮะฮะ ล้อเล่นน่า ไปนอนได้แล้วไป พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้าแถมยังมีถ่ายรูปโปรโมทเพลงใหม่ต่อตอนเย็นอีกไม่ใช่เหรอ” ปรเมษฐ์หัวเราะลงคอพลางขยี้หัวลูกชายแรงๆ ครั้งหนึ่ง

“ป๊าก็ไปนอนด้วยกันสิ... นะครับป๊า นะ นะ น้าาา~”

ตาคมเหลือบมองนัยน์ตาเป็นประกายเว้าวอน แวบหนึ่งที่เริ่มใจอ่อนก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วตัดสินใจผลักหัวกลมๆ นั้นให้พ้นมือ “โตจนอยู่ม.ปลายแล้วหัดนอนคนเดียวให้เป็นน่า”

นภธรณ์ทำแก้มป่องแล้วลุกขึ้นเดินกระแทกเท้าอย่างขัดใจปิดประตูปึงเข้าห้องไป ปรเมษฐ์ส่ายศีรษะอย่างจนใจกับความเอาแต่ใจของลูกชายคนเดียว แต่จะให้บ่นอะไรได้ล่ะ ในเมื่อเป็นความผิดเขาเองที่ตามใจจนเหลิงมาตั้งแต่เด็ก ไม่สิ! ถ้าจะพูดให้ถูกคือตั้งแต่เด็กคนนี้ลืมตาดูโลกขึ้นมาน่ะแหละ

มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาจะใจอ่อนและตามใจนภธรณ์ในทุกๆ เรื่องเพราะคนเป็นพ่ออย่างเขาคิดว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยเติมเต็มความรักที่ขาดหายของผู้เป็นแม่ไปได้

‘วาริณี’ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ผู้ชายคนนี้จะขอมอบทั้งชีวิตและหัวใจให้ เธอจากไปในวันที่ให้กำเนิดเด็กชาย สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือใช้ชีวิตที่เหลือทุ่มเทดูแลลูกชายที่เธอทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า แม้ว่าตอนนั้นเขาจะเพิ่งอายุได้ 19 ปี และเป็นแค่นักเรียนแพทย์ปีสาม เขาทะเลาะกับที่บ้านยกใหญ่จนถึงขั้นไล่ออกจากบ้านและตัดหางปล่อยวัด แต่พ่อก็ยังใจดีพอจะไม่ทวงคอนโดกับรถคืน เงินเก็บเดิมก็พอมี ทำให้เขาพอหาลู่ทางเอาตัวรอดจนเรียนจบมาได้ ส่วนเรื่องเลี้ยงลูกชายนั้นแน่นอนว่าปัญหาเยอะอยู่แล้วตามประสาเด็กหนุ่มที่ไม่เคยทำอะไรเองแม้แต่ซักกางเกงใน แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากกลุ่มเพื่อนสนิท ที่ช่วยกันเลี้ยงไปพลางเปิดคู่มือคุณพ่อมือใหม่ไปพลาง และช่วยกันปกปิดไม่ให้เรื่องรู้ไปถึงหูอาจารย์และทางมหาวิทยาลัย

สำหรับคนอื่นๆ อาจมองว่านี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่สำหรับเขามันคือ ‘โชคชะตา’ ถึงตลอดเวลาสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาจะมีทุกข์ถึงทุกข์มากจนถึงขั้นอยากจะหันหลังหนีหลายต่อหลายครั้ง แต่เสียงหวานที่ร้องเรียกชื่อเขากับมือเล็กๆ ที่เกาะชายเสื้อไว้ก็ฉุดรั้งให้เขาหันกลับมาได้เสมอ เมื่อหัวใจค้นพบว่าความสุขที่มีมันมากเกินพอจะถมความทุกข์นั้นจนเต็ม

ชายหนุ่มดึงตัวเองจากอดีตกลับมาปัจจุบัน เขากดปิดทีวีที่ภาพกำลังฉายเทปบันทึกภาพการแสดงคอนเสิร์ตของลูกชายก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ปรเมษฐ์เหลียวมองไปรอบห้องที่ว่างเปล่าอยู่อึดใจก่อนจะเดินเข้าห้องนอน ทำเป็นปากดีว่าจะให้นอนคนเดียวแต่ดูท่าแล้วคงเป็นเขาเองนี่แหละที่จะเหงาถ้าต้องแยกห้องกันนอน

ตาคมกวาดมองร่างที่นอนอยู่ในโปงผ้าที่เติบโตขึ้นจากเมื่อวันวานอย่างเอ็นดู

“ป๊า” นภธรณ์กระซิบขึ้นมาจากหมอนทั้งที่ยังไม่ลืมตา แต่รู้สึกได้ถึงแรงยวบบนเตียงข้างตัวด้วยน้ำหนักที่คุ้นเคย

“บอกให้นอนทำไมไม่นอน ฮึ เด็กดื้อ” ปรเมษฐ์บ่นไม่จริงจังพลางล้มตัวลงนอนหันหลังให้

“รอป๊าอยู่”

แม้จะงึมงัมตอบกลับมาด้วยความง่วงจัด ทว่านั่นก็เป็นความจริงอย่างที่สุด เพราะสองพ่อลูกอยู่กันตามลำพัง และด้วยหน้าที่การงานของปรเมษฐ์ที่ไม่เป็นเวล่ำเวลาเหมือนผู้ปกครองคนอื่นๆ บ่อยครั้งที่นภธรณ์ต้องอยู่คนเดียว ถึงจะยอมรับได้และไม่งอแง แต่เขาก็จะรอแม้จะดึกดื่น จนเป็นนิสัยและจะนอนหลับไม่สนิทจนกว่าป๊าจะกลับมา เอกรงค์เพื่อนสนิทของป๊าที่เป็นหมอเด็ก เคยบอกไว้ว่าเกิดจากการที่เขาขาดความอบอุ่นเพราะไม่มีแม่ กลัวว่าป๊าจะทิ้งไปไม่กลับมา

ซึ่งเขาเห็นด้วยนะ... เพราะถ้าไม่มีป๊า เขาก็คงไม่เหลือใครแล้วจริงๆ

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-02-2017 02:00:00
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ทันทีที่เปิดประตูก้าวลงจากรถ เสียงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นก็เซ็งแซ่ขึ้นพร้อมกับเสียงรัวชัตเตอร์ทั้งจากกล้องโปรตัวใหญ่และโทรศัพท์มือถือที่สาดมาจากทั่วสารทิศ

ยังไม่ทันจะหันไปโบกมือให้กล้องพลันเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นก็ดังขึ้นพร้อมกับที่หลายๆ คนต่างพากันยกมือชี้ชวนไปยังยอดตึกสูงเจ็ดชั้นซึ่งเป็นตึกหลักของโรงเรียน มีแผ่นป้ายไวนิลขนาดใหญ่ถูกปล่อยกางลงมาเป็นรูปถ่ายแบบเต็มตัวของนักร้องดังขวัญใจวัยรุ่นในชุดสูทสีขาว ยืนสองมือล้วงกระเป๋าขยิบตาให้ข้างหนึ่ง ใต้ภาพมีเครดิตเจ้าของภาพนี้ซึ่งเป็นเว็บไซต์แฟนคลับหรือที่เรียกกันในวงการว่า ‘บ้าน’ ชื่อ @mynovember

“พี่นอฟ ไฟต์ติ้งงงง!!!”

นักร้องหนุ่มเจ้าของรูปพยักหน้าพร้อมกับโบกมือให้ครั้งหนึ่ง แต่เพียงเท่านั้นเจ้าของโปรเจคก็ยิ้มหวานกลับบ้านไปนอนตายตาหลับแล้ว

ถึงนภธรณ์จะรู้สึกประหลาดใจกับการต้อนรับสุดอลังการอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าเดิมเท่าใดนัก เขาชินเสียแล้วกับการเป็นจุดสนใจตั้งแต่เด็ก ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นนักร้องโด่งดังอะไรหรอก และคำตอบนั้นก็อยู่ที่คนในชุดสูทเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าซึ่งนั่งอยู่ในรถ ไม่สิ! อันที่จริงใครๆ ก็พากันเหลียวมองตั้งแต่เห็นบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 7 สีดำปราดเปรียวพุ่งมาจอดเทียบที่หน้าประตูโรงเรียนแล้ว

“แฟนคลับเยอะนะเนี่ย” แล้วต้นตอของเสียงกรี๊ดอีกคนก็ถอดแว่นตาดำที่ใส่สำหรับขับรถออกเพื่อมองหน้าลูกชายให้ชัดๆ และนั่นยิ่งเรียกเสียงกรีดร้องให้ดังขึ้นไปอีก แต่ปรเมษฐ์ก็ยังคงไม่รู้ตัวและชะโงกหน้ามองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจโดยเฉพาะป้ายไวนิลขนาดใหญ่นั่น

นภธรณ์กรอกตามองบน “ไม่เท่าป๊าหรอกมั้ง”

“ตั้งใจเรียนล่ะ”

“จะพยายามให้ได้ตามเกณฑ์ของผมล่ะนะ” นภธรณ์ว่า ก็มันเป็นความผิดป๊าเองนี่นาที่ดันส่งต่อมาให้แต่โครโมโซมวายแต่ไม่ยอมแบ่งความฉลาดติดปลายหางตัวอสุจิมาให้บ้างเลย ตอนที่เพื่อนๆ ของป๊าซึ่งเป็นหมอมาช่วยติวให้เขาสอบเข้ามัธยมถึงขั้นบ่นกันระงมว่าเขาเป็นลูกป๊าจริงไหม อย่างว่าแหละถ้าหากรูปหล่อขนาดนี้แล้วยังฉลาดอีก มันก็คงดีเกินไปเดี๋ยวใครๆ จะนินทาว่าพระเจ้าลำเอียง

“เย็นนี้ป๊าจะไปดูผมถ่ายปกหรือเปล่า” นภธรณ์ถามจริงจังแต่ก็ไม่ได้คาดหวังเพราะรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร ปรเมษฐ์ทำงานเป็นหมอสูติฯ ของโรงพยาบาลรัฐบาลที่งานยุ่งมากแค่ว่างมารับส่งเขาที่โรงเรียนได้สักเดือนละหน กินข้าวด้วยสัปดาห์ละครั้งนี่ก็ดีถมไปแล้ว

และครั้งนี้คำตอบของปรเมษฐ์ก็ยังคงเหมือนกับทุกๆ ครั้ง “ไม่ล่ะ มีผ่าตัด คงกลับดึกๆ เลย ยังไงวันนี้ให้ตฤณไปส่งที่บ้านเหมือนเดิมนะ” เขาหมายถึงผู้จัดการส่วนตัวที่ทางบริษัทต้นสังกัดส่งมาดูแล

“ครับ” นภธรณ์รับคำ แล้วรถเก๋งสีดำก็พุ่งทะยานออกไป เขามองส่งจนสุดสายตาเหมือนทุกครั้งก่อนจะเดินเข้าโรงเรียน แต่เขาก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อมีรุ่นน้องใจกล้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามายืนบิดกระมิดกระเมี้ยนตรงหน้า

“อะ... เอ่อ... พี่นอฟคะหนูขอลายเซ็นได้ไหมคะ”

หน้าหล่อตรึกตรองอยู่อึดใจ เขาไม่ใช่คนหยิ่ง แต่ได้หนึ่งแล้วต้องมีสอง สาม สี่ตามมา และมันน่ารำคาญจนเกินไป เขาจึงเลือกที่จะโบกมือปฏิเสธ หากก็ไม่ลืมตวัดยิ้มให้หนึ่งฉับไปตามมารยาท เพราะถ้าเรทติ้งตกก็คงจะไม่งาม

แต่เพียงแค่นั้นน้องนางก็กรีดร้องราวกับคนเป็นบ้าก่อนจะวิ่งปิดหน้าปิดตาด้วยความเขินกลับไปหากลุ่มเพื่อนของเธอ

“แกรรรรร ฉันได้สบตาพี่เค้าด้วย!”

นภธรณ์พ่นลมออกจมูก แฟนคลับเขาแต่ละคนนี่เป็นพวกมักน้อยดีจังยิ้มให้แค่นี่ก็พอใจแล้ว เขากระชับสายกระเป๋าและออกเดินโดยไม่สนใจใครอีก

เดิมทีนภธรณ์ก็ไม่ได้หวังจะมาเป็นนักร้องอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้มันก็เป็นแค่ความบังเอิญที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน ในขณะที่เขากำลังนั่งคีบหมูย่างเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยอยู่กับป๊าซึ่งนานๆ จะว่างพามากินข้าวด้วยกันสักที ไม่รู้เหมือนกันว่าท่าเคี้ยวหมูอย่างตะกละตะกรามหรือลีลาการแคะขี้ฟันอย่างเมามัน ดันไปเข้าตาแมวมองจากบริษัทชื่อดังเข้าจึงมาขอทาบทามให้เขาไปทดลองแคสติ้งละครเรื่องหนึ่งในบทพระเอกวัยเด็ก

วันต่อมาเขาก็ลองไปตามสถานที่ในนามบัตรที่ให้ไว้ แน่นอนว่าไปคนเดียวเพราะปรเมษฐ์ต้องไปทำงานเหมือนอย่างเคย ผลการแคสติ้งเป็นไปอย่างรวดเร็วว่าไม่ผ่านเพราะนอกจากหน้าตาหล่อเหลาแล้ว แอคติ้งของเขานั้นดูเป็นธรรมชาติมาก... มากชนิดที่แทบแยกไม่ออกว่านี่คนหรือก้อนหิน

ถึงจะไม่ได้คาดหวังแต่เพราะทำเต็มที่และเขาเป็นพวกเกลียดการพ่ายแพ้เข้าไส้ นภธรณ์ก็เดินคอตกออกมาเข้าห้องน้ำ เพื่อล้างหน้าเอาความเศร้าหมองออกก่อนไปเจอผู้คนบนท้องถนน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตาตัวเองในกระจกแล้วก็คิดถึงใครคนหนึ่ง ทั้งที่จริงก็ไม่ได้อยากกวนแต่ก็อดใจกดโทรหาไม่ได้

“เป็นไงบ้าง” ปลายสายถามคำถามที่ราวกับรู้ว่าเขาต้องการโทรมาเพื่อบอกเรื่องอะไร

“ไม่ผ่านครับ” ทั้งที่คิดว่าเข้มแข็งแต่กลับได้ยินเสียงของตัวเองที่เหมือนจะสั่นนิดๆ

“จะให้ไปรับไหม”

ยิ่งน้ำเสียงปลายสายแสดงความอาทรมามากเท่าใด น้ำตาก็พาลจะไหล นภธรณ์ยกหลังมือขึ้นกดแน่นๆ ที่หัวตา พยายามทำเสียงให้เป็นปกติ “ไม่เป็นไรครับป๊า เดี๋ยวผมกลับเองได้ นั่งแท๊กซี่แค่นี้”

“เหรอ” แล้วปรเมษฐ์ก็เงียบไป นภธรณ์ได้ยินเสียงแว่วมาในสาย มันเป็นเสียงทารกกำลังร้องไห้กับเสียงที่เมื่อฟังจากเรื่องที่กำลังพูดแล้วป๊าคงอยู่กับนักเรียนแพทย์ไม่ผิดแน่ เขารู้สึกผิดขึ้นมาทันทีที่โทรมาตอนกำลังทำงานจึงรีบตัดบทเพื่อวางสาย “ขอโทษนะป๊าที่รบกวน... แค่นี้นะครับ”

แต่อีกฝ่ายกลับเรียกไว้ “นอฟ”

“อะไรอีกล่ะป๊า”

“ร้องเพลงให้ฟังหน่อย”

“ห๊ะ!” นภธรณ์ตอบรับงงๆ “จะบ้าเหรอป๊า ตอนนี้ผมอยู่ในห้องน้ำนะ ผมจะร้อง...”

“เพราะแกโทรเข้ามาเจ้าหนูนี่เลยตื่น” ปรเมษฐ์ว่า อันที่จริงเขาไม่ได้ยุ่งอะไรหรอกแค่กำลังซักถามนักเรียนแพทย์หลังจากทำคลอดเสร็จแล้วเพื่อประเมินความรู้เท่านั้น แล้วทารกน้อยตัวแดงซึ่งนอนอยู่ในตู้อบก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาพอดีเขาจึงยุติการสอนและไล่ให้นักเรียนแพทย์ไปดูแลเด็กก่อน “ร้องสิเพลงอะไรก็ได้”

“ก็...” เพราะไม่อยากขัดใจป๊า นภธรณ์จึงฮึมฮัมทำนองเพลงแรกที่นึกขึ้นได้อยู่ในลำคอ ครู่หนึ่งเมื่อปรับอารมณ์ที่ขุ่นมัวของตัวเองให้สนุกไปกับเพลงได้ก็ค่อยๆ ถ่ายทอดเนื้อร้องออกมา

“รู้สึกดีขึ้นไหม”

“อืม” นภธรณ์สูดเสียงขึ้นจมูก การร้องเพลงมันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายและลืมเรื่องเศร้าไปได้จริงๆ นั่นแหละ

“กลับบ้านดีๆ ล่ะ เดี๋ยววันนี้เลิกเร็วจะพาไปกินข้าวข้างนอกนะ”

“ครับ” นภธรณ์รับคำแล้วกดวางสาย

ทันใดนั้นประตูห้องน้ำด้านหลังเปิดออกพร้อมกับที่ผู้ชายตัวผอมแห้งท่าทางอมโรค ในชุดสูทสีน้ำตาลตัวหลวมโคร่งก้าวพรวดพราดออกมาหันซ้ายหันขวาท่าทางร้อนรน นภธรณ์ขยับหลบให้และกำลังจะออกจากห้องน้ำ แต่ผู้ชายคนนั้นหันมาคว้าไหล่เขาไว้

“เมื่อกี้เธอเป็นคนร้องเพลงเหรอ!” เขาตะโกนถามน้ำลายแตกฟองพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าใกล้ จนเด็กหนุ่มเห็นเงาตัวเองบนกระจกแว่นตาหนาเตอะเหมือนเด็กเนิร์ดนั่น

“คะ... ครับ” นภธรณ์เบียดตัวหนีจนติดกำแพง ป๊าสอนเสมอว่าให้ระวังคนแปลกหน้า และผู้ชายคนนี้ก็หน้าตาแปลกๆ เสียด้วย

ชายหนุ่มทำตาโตก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าบนพื้นในท่าขอแต่งงานพร้อมกับกุมมือเขาไว้แน่น ดังนั้นถึงตอนนี้นภธรณ์อยากจะวิ่งหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว

“อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ... เงินก็ไม่มี ถึงโทรศัพท์จะถ่ายรูปได้แต่ก็แค่ไอโฟนรุ่นเก่า แต่ถ้าคุณอยากได้ก็เอาไปเลยครับ ผมยกให้แล้วอย่าทำอะไรผมเลยนะ”

“ใครเขาอยากได้ของแบบนั้นกัน ฉันอยากได้อย่างอื่น”

“แล้วคุณจะเอาอะไร” เด็กหนุ่มสบสายตาที่อยู่หลังแว่นก่อนจะตวัดลงต่ำ พลันขนอ่อนก็ลุกซู่เขารีบหนีบขาตัวเองไว้แน่น “เห็นหน้าตาดีแบบนี้แต่ผมเป็นผู้ชายนะ”

คนแปลกหน้าเริ่มจะทนการต่อล้อต่อเถียงไม่ไหว เขาลุกพรวดขึ้นแล้วชะโงกหน้าเข้ามาจนชิด “ที่ฉันอยากได้น่ะคือเสียงของเธอต่างหากล่ะ”

“เสียง?” นภธรณ์ทวนคำงงๆ แต่ก็โล่งใจที่พรหมจรรย์ของตัวเองยังปลอดภัย

“เสียงของเธอเพราะมากเลย ทั้งหวานแล้วก็มีพลัง ได้โปรดมาเป็นนักร้องในสังกัดของเราเถอะนะ”

“เอ่อ... คือ... ผม...”

หลังจากการขอร้องที่ยิ่งกว่าตามตื๊อในวันนั้น นภธรณ์ก็กลายมาเป็นศิลปินเดี่ยวของบริษัท D&T media โดยมีผู้ชายหุ่นกระแหร่งคนนั้นหรือก็คือ ‘ตฤณ’ มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่คอยตามติดทุกฝีก้าว

หลังจากเปิดตัวซิงเกิ้ลแรก เสียงหวานๆ ของเขาก็ส่งเพลงให้ฮิตติดหูอย่างรวดเร็ว ประกอบกับใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ต้องผ่านปรุงแต่งและมาดคุณหนูที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทำให้เขาได้รับความนิยมทั้งในหมู่ลูกเด็กเล็กแดง วัยรุ่น รวมไปถึงสาวแก่แม่ม่ายที่แห่กันมาขอเป็นแม่ยก

******************************************************TBC***************************************

Happy Valentine day นะคะ❤ (เย้~ นึกว่าจะคลอดไม่ทันซะแล้ว)

Talk
เรื่องนี้ตั้งใจจะเขียนออกมาให้รอมคอมค่ะ แต่หลังจากเขียนไปได้สักพักก็พบว่ามันเป็น โรแมนติก-ดราม่า ที่มีกลิ่นอายคอมเมดี้... น้อย... มาก... มาก(หรือเปล่าวะ555)
เรื่องนี้ไม่มีฉาก CPR สุดอลัง ไม่มีผี ไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติและการย้อนเวลา มีแค่คนสองคนที่รักกันเท่านั้นค่ะ

ฝากน้องนอฟกับหมอโป้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 14-02-2017 08:15:57
รอๆๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 14-02-2017 08:26:39
ว้าวว เรื่องใหม่มาแล้ว รอๆๆค่ะ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ว่าแต่พระเอก-นายเอกนี่คือหมอโป้กับน้องนอฟหรอคะ
ไม่ใช่ว่าเค้าเป็นพ่อลูกกันหรอกหรอ หรือว่าคนแต่งสร้างปมอะไรไว้อีก
เป็นลูกไม่แท้อะไรอย่างงี้?

มาต่อไวๆนะคะ <3
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-02-2017 09:59:04
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 14-02-2017 11:24:33
ว้าว เรื่องใหม่ๆ
คุณพ่อปีโป้กับน้องนอฟน่ารักจัง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NoteZapZa ที่ 14-02-2017 12:25:10
อื่อหือ!!!!มีความรักต้องห้าม รอลุ้นเลน อยากรู้ว่าความรักฉบับบนี้จะจบยังไง ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lukaka ที่ 14-02-2017 13:49:45
"ฝากน้องนอฟกับหมอโป้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ"

กลิ่น หอมๆ หวานๆ ปนกลิ่นบาป ลอยมาแตะจมูก ............. ทำไมนะทำไม

เพราะเป็นคนบาปสินะถึงได้กลิ่น รอติดตามตอนต่อป้ายยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 14-02-2017 14:35:44

อยากเป็นเด็กป๋าๆๆๆๆ
คุณป๋าปีโป้งานดีจังเลยค่าาาา
ลูกก็หล่อ พ่อก็ดี บอกเลยว่าตอนฉากคอนเสิร์ตน้องนอฟนี่รู้สึกเหมือนโดนปลุกความเป็นติ่งในตัวคุณมาก
อยากจะไปโบกป้ายไฟอยู่หน้าเวที ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก

รออ่านตอนต่อไปนะฮะ มาโบกธงทีมคนแก่ (แต่เอ๊ะ? 36 นี่ไม่แก่เนอะ ถถถถถถถถถ)

 :hao7:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 18-02-2017 19:48:37
Chapter 2

คอนเซ็ปต์ของซิงเกิ้ลใหม่นั้นคือ ‘Sin’ หรือ ‘บาป’ ดังนั้นจากที่เคยแต่งตัวด้วยชุดเสื้อผ้าง่ายๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์ สวมทับด้วยแจ๊คเก็ตเหมือนเพลงในอัลบั้มก่อนๆ นภธรณ์จึงโดนจับใส่เสื้อเชิ้ตเข้ารูปกางสแลคและรองเท้าหนังเพื่อให้ดูเป็นผู้ใหญ่

“อะไรคือ sin” เด็กหนุ่มเอ่ยถามกับผู้จัดการส่วนตัวหลังจากเห็นคอนเซ็ปต์เพลงเป็นครั้งแรกพลางมองสำรวจตัวเองในกระจกเงาแบบเต็มตัว ทีแรกเขาคิดว่ามันเป็น sin cos tan ด้วยซ้ำเพราะเพิ่งเรียนตรีโกณมิติมาหมาดๆ ก็งงๆ อยู่ว่าความรักมันเกี่ยวอะไรกับเลขคณิต ดีนะ! ที่คิดในใจไม่พูดออกไปไม่งั้นคงได้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ พออ่านเนื้อเพลงแล้วถึงเข้าใจว่ามันน่าจะมาจากอย่างอื่นก็เลยรีบไปเปิดดิกฯ ดู “ผมอ่านเนื้อเพลงแล้วก็ยังงงๆ อยู่เลย ว่าแค่การที่ไปหลงรักคนๆ หนึ่งมันจะเป็นบาปตรงไหน ก็แค่เพลงแอบรักเหมือนๆ กับที่ผมเคยร้องไม่ใช่เหรอ”

“เพราะนี่เป็นความรักของผู้ใหญ่ไงมันถึงไม่เหมือนกัน” ตฤณยิ้มให้กำลังใจ “ลองค่อยๆ ทำความเข้าใจกับเพลงในแบบของนายดู”

ถึงจะฟังดูเป็นเรื่องไม่ยากแต่กลับไม่ง่ายเลย สำหรับเด็กหนุ่มผู้ซึ่งไม่เคยมีความรัก

เพราะไม่เข้าใจในความหมายของบทเพลง ต่อให้นภธรณ์พยายามมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกออกมาต่อหน้ากล้องได้เลย และนั่นทำให้ใครคนหนึ่งหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

“ห่วยแตก!” เสียงแหบต่ำดังก้องไปทั่วสตูดิโอทำเอาบรรดาสตาฟพากันกลัวหัวหด “นี่น่ะเหรอไอดอลเด็กที่เพิ่งได้รับรางวัลนักร้องหน้าใหม่คนล่าสุด ขนาดถ่ายรูปหมาแมวมันยังอินเนอร์ดีกว่านี้อีก”

“เอาแล้วไง” ตฤณเอ่ยกับตัวเองเสียงเบาก่อนที่จะรีบปราดเข้าไปประกบนักร้องในสังกัดทันทีเมื่อได้ยินเสียงโวยวายนั้น

เจ้าของระเบิดลูกโตนั้นคือ ‘ดุริยะ’ โปรดิวเซอร์ชื่อดังผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นตำนานเพลงที่ยังมีชีวิต ด้วยวัยเพียงแค่ 40 ปีกับผลงานเกือบร้อยเพลง กว่าครึ่งหนึ่งได้รับรางวัลผลงานเพลงยอดเยี่ยมและไม่มีเพลงไหนที่ไม่ฮิตติดชาร์ตเพลง

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับคุณดุริยะ พอดีว่านอฟเพิ่งรับโจทย์มาวันแรกก็เลยคงจะงงๆ อยู่บ้าง...”

“ห่วยก็คือห่วย คนแบบนี้มันไร้ความสามารถชัดๆ”
คนเกลียดความพ่ายแพ้กำมือแน่น “ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา”

ตฤณหน้าถอดสีพยายามยกมือขึ้นปิดปากเด็กหนุ่มไม่ให้เถียง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

“เธอว่าไงนะ!”

“ก็ปกติก่อนการถ่ายทำผมจะต้องได้รับเดโมเพลงมาฟังและศึกษาอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ถึงจะเริ่มถ่ายปกและเข้าห้องอัดนี่นา จู่ๆ คุณมาโยนเพลงให้ผมเมื่อกี้แล้วก็ถ่ายเลย ใครมันจะไปทำได้ละครับ”

“นั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวของมืออาชีพ! ฉันผิดหวังในตัวเธอจริงๆ” ดุริยะกล่าวเสียงเฉียบ

“เอ่อ... คุณดุริยะใจ... เย็นๆ... ก่อนนะครับ” ตฤณพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ก็จนปัญญาเมื่ออีกคนร้อนดั่งไฟ และอีกฝ่ายก็เหมือนน้ำมัน

“คุณก็ให้เวลาผมหน่อยสิ ผมรับรองว่าจะทำให้คุณพอใจจนร้องว้าวให้ได้”

ตฤณจะเป็นลมแล้วตอนนี้ ไม่มีใครที่กล้าเถียงดุริยะแล้วยังมีชีวิตสงบสุขบนเส้นทางบันเทิงมาก่อน เขาเหลือบตามองโปรดิวเซอร์หนุ่มแทบจะเห็นเส้นเลือดที่ข้างขมับเต้นตุบๆ คล้ายกำลังขบคิดอะไรอย่างหนัก

“พักกองสิบนาที!” เจ้าของเพลงประกาศลั่นแล้วหมุนตัวกลับไปกระแทกตัวลงนั่งไขว่ห้างลงบนเก้าอี้ผ้าใบหลังจอมอนิเตอร์ สาวน้อยสองคนผู้ทำหน้าที่ดูแล VIP รีบกุลีกุจอเสิร์ฟน้ำและผ้าเย็นพร้อมกับช่วยกันพัดวีเพื่อให้อารมณ์เย็นลง

ตฤณถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะกวักมือเรียกบรรดาช่างแต่งหน้าให้กรูกันมาช่วยซับมัน เติมแป้งและเซ็ตผมให้นภธรณ์ที่ยังคงยืนตัวแข็งทื่อ มือกำเป็นหมัดแน่นด้วยยังโกรธจนทำอะไรไม่ถูกที่โดนต่อว่ารุนแรงขนาดนี้เป็นครั้งแรก สมองตื้อไม่รับรู้อะไร ถึงจะปากดีไปแบบนั้นแต่เอาเข้าจริงก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไง จนกระทั่งเสียงทุ้มคุ้นเคยดังขึ้นที่ประตู

“ขออนุญาตครับ ผมมาหาลูกชาย”

“ป๊า!” เด็กหนุ่มโบกมือเรียกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในสตูดิโอ พร้อมกับวิ่งเข้าไปหาลืมความเศร้าทั้งหมดไปชั่วขณะ “ไหนป๊าบอกจะไม่มาไง”

ปรเมษฐ์ค้อมศีรษะทักทายคนอื่นไปรอบๆ ถึงจะไม่ค่อยได้มากองถ่ายแต่ทีมงานทุกคนก็รู้จักเขาเป็นอย่างดี ด้วยอัธยาศัยไมตรีที่มอบผ่านขนมของกินทุกครั้งที่นภธรณ์มาทำงานอีกทั้งยังเป็นคนไม่จู้จี้ ไม่เรื่องมากยิ่งรวมกับท่าทางภูมิฐานใบหน้าหล่อเหลาจึงทำให้เขาถูกจัดเข้าอยู่ในกลุ่มผู้ปกครองดีเด่นของโพลเจ้าหน้าที่กองถ่าย “พอดีเสร็จเร็วเลยแวะมา แล้วนี่แกใกล้เสร็จหรือยังล่ะ”

“อีก... แป๊บนึงครับ” นภธรณ์ตอบไม่เต็มเสียง เขาเคยให้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ท้อและไม่ทำให้คนอื่นโดยเฉพาะพ่อไม่สบายใจในทางที่ตัวเองเลือกแล้ว

แต่มีหรือความไม่สบายใจนั้นจะเล็ดลอดสายตาเฉียบคมได้ “โดนดุเหรอ”

นภธรณ์ย่นปาก ทั้งรู้สึกแย่แต่ก็ดีใจไปพร้อมๆ กัน “ผมพยายามแล้วแต่... มันก็ยังออกมาไม่ดี”

“แล้วยังไง ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าไปเถียงกับเขามาใช่ไหม”

นภธรณ์กรอกตา ไม่มีอะไรที่พ่อเขาดูไม่ออกจริงๆ “ก็มันไม่แฟร์นี่นา”

“ขนาดรูจมูกสองข้างของแกยังไม่เท่ากันแล้วแกจะมาถามหาความยุติธรรมอะไรกับใจคนอื่น” ปรเมษฐ์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นตรงหน้า “จำไว้นะนอฟ โลกของการทำงานไม่มีใครสนใจหรอกว่าแกพยายามเหนื่อยหนักแค่ไหน ทุกคนสนใจแค่ผลลัพธ์ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะโดนต่อว่าอะไรแกต้องยิ้มรับแล้วท้าทายกลับไปว่าแกทำได้ การไปเถียงกับเขานั่นคือการที่แกแสดงความอ่อนแอให้เห็น และคนที่แพ้ก็คือตัวแกเอง... แกอยากเป็นไอ้ขี้แพ้เหรอนอฟ”

นภธรณ์ส่ายหน้า สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“งั้นก็สงบสติอารมณ์กลับไปตั้งใจทำงาน แล้วก็อย่าลืมขอโทษเขาด้วยล่ะ”

นภธรณ์พยักหน้า

รอยยิ้มค่อยๆ คลี่ขึ้นบนริมฝีปากปรเมษฐ์ลูบศีรษะลูกชายที่เริ่มมีทีท่าอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดพลางกวาดตามองชุดไม่คุ้นตาที่เด็กหนุ่มสวมใส่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วย่นคิ้วเข้าหากันด้วยไม่ชอบใจกับกระดุมเสื้อเชิ้ตที่โดนปลดออกไปถึงสามเม็ด อีกเพียงแค่นิดเดียวก็จะแหวกจนเห็นสะดือแล้ว “คอนเซ็ปต์อะไรเนี่ย”

“Sin”

“ซินเดอเรลล่า?”

“ช่ายยย ผมต้องสวมบทเป็นเจ้าหญิงแสนสวยที่นั่งตะไบเล็บรอเจ้าชายเอารองเท้าแก้วมาใส่ให้น่ะ...เหวยยย! ไม่ใช่แล้วป๊า s-i-n ซิน ที่แปลว่าบาปต่างหากล่ะ” หลังจากโดนสั่งสอนไปชุดใหญ่จนได้สตินภธรณ์ก็กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง

“แกไปทำอะไรถึงจะเป็นบาป”

นภธรณ์นึกแปลกใจเล็กๆ ที่จู่ๆ พ่อก็เกิดสนใจงานของเขาขึ้นมา ตั้งแต่เดบิวต์จนอยู่ในวงการนี้มาร่วมสองปี ออกผลงานมาหนึ่งอัลบั้ม ทั้งออกรายการโทรทัศน์ ขึ้นคอนเสิร์ตก็หลายครั้งไม่เคยเห็นปรเมษฐ์จะอินังขังขอบอะไร แค่บอกว่าถ้าเป็นงานที่รักก็ทำไปแล้วก็ย้ำว่าต้องไปเรียนให้ครบและสอบให้ผ่านเท่านั้น “ผมต้องไปแอบชอบสาวรุ่นพี่ที่มีแฟนอยู่แล้ว”

“คือไปเป็นกิ๊กเขาว่างั้นเถอะ”

“ไม่ได้ไปเป็นกิ๊กซะหน่อย แค่แอบชอบแล้วก็พยายามทำทุกอย่างให้เขาหันมารัก”

“ฉันฟังยังไงก็กิ๊กว่ะ สิ่งที่แกพูดมามันคือการพยายามจะแย่งเขามาจากผู้ชายอีกคน ไม่งั้นเขาจะตั้งคอนเซปต์ว่า Sin ทำไม นี่แค่ตีโจทย์เพลงยังไม่แตกเลยนะแล้วแกจะร้องได้ไหมเนี่ย” ปรเมษฐ์พูดติดตลก แต่มันกลับเต็มไปด้วยสาระที่ทำให้เด็กหนุ่มม.ปลายผู้ไม่เคยมีความรักพอจะเข้าใจได้

นภธรณ์พยักหน้าตามนึกขอบคุณในใจสำหรับคำแนะนำแต่ก็อดแซวไม่ได้ “ทำเป็นว่าผม ป๊าร้องเพลงห่วยจะตาย”

“เรื่องร้องเพลงกับตีโจทย์มันคนละเรื่องกันเว้ย... เขาตามแล้ว รีบไปเข้ากล้องเถอะไปจะได้เสร็จเร็วๆ ฉันหิวข้าวแล้ว”

“รู้แล้วน่า”

นภธรณ์กำลังจะวิ่งกลับไปเข้ากล้องเมื่อมือใหญ่คว้าต้นแขนดึงให้หันกลับมา

“ความเซ็กซี่แบบผู้ใหญ่น่ะมันไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเนื้อหนัง แต่ดูเซ็กซี่ออกมาจากข้างในผ่านแววตาและการกระทำต่างหาก” ปรเมษฐ์บอกพลางติดกระดุมเสื้อให้จนถึงคอ

“แต่ว่า...” นภธรณ์เหลือบตาไปยังทีมงานที่มองอยู่อย่างไม่แน่ใจ พยายามจะแกะเม็ดบนที่รัดคอหอยแน่นออกสักเม็ด แต่ก็โดนมือใหญ่ตีดังเพียะและติดกลับให้ตามเดิม

“เสน่ห์ของผู้ชายอายุน้อยกว่าคือการอ้อน ลองจินตนาการดูสิว่าจะทำยังไงให้ผู้หญิงคนนั้นยอมอยู่กับแกนานกว่านี้ และแค่นาทีเดียวหรือสองสามชั่วโมงมันก็ไม่พอ แกต้องการมากกว่านั้น ให้เขาอยู่กับแกทั้งวันทั้งคืนไม่ไปหาผู้ชายอีกคน” ปรเมษฐ์ลองยกตัวอย่างแต่ลูกชายก็ยังคงคิดไม่ออก เขาจึงเปลี่ยนตัวอย่างใหม่ “เอางี้... จำได้ไหมตอนม.สองที่แกไปดูหนังผีกับเพื่อนมาแล้วก็เกิดกลัวจนอยู่ห้องคนเดียวไม่ได้ ขนาดปวดฉี่จะราดที่นอนก็ยังไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำ...”

“โห ป๊า! มาเผาอะไรกันตรงนี้” นภธรณ์กระโดดปิดปากพ่อแทบไม่ทันพลางเหลือบตามองซ้ายขวาให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินเรื่องน่าอายของเขา แต่เมื่อดูจากรอยยิ้มมุมปากของพี่ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองที่เพิ่งเดินผ่านไป เขาก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้ต้องโดนเหยียบกระจายภายในเช้าวันรุ่งขึ้นแน่ๆ หมดกัน! ภาพพจน์ที่สั่งสมมา

“อย่าเพิ่งขัดสิ” ปรเมษฐ์แกะมือลูกชายออกจากปากและพูดต่อ “แกกลัวมากที่ต้องอยู่คนเดียวในห้องที่ทั้งกว้างและเงียบ ต่อให้เปิดไฟก็ยังวังเวง แล้วคืนนั้นฉันอยู่เวร... ลองนึกดูสิว่าวันนั้นแกทำยังไง ฉันถึงยอมทิ้งงานทั้งหมดแล้วกลับไปนอนเป็นเพื่อนแก”

“ผม...”

เพราะลูกชายยังมีท่าทีลังเล ปรเมษฐ์จึงยกมือขึ้นกอดอกและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เลือกเอานอฟ ว่าคืนนี้จะนอนกับฉันหรืออยากโดนทิ้งให้นอนคนเดียว”

“ตะ... แต่เขาบอกว่ามันต้องเป็นรักแบบผู้ใหญ่ ไม่ใช่การเอาแต่ใจแบบเด็กๆ นะป๊า”

ปรเมษฐ์เลิกคิ้ว “แล้วที่แกทำนั่นเรียกเอาแต่ใจเหรอ?”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ผมแค่อยากให้ป๊าอยู่ด้วย”

รอยยิ้มหยักขึ้นตรงมุมปาก ปรเมษฐ์ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับปลายจมูกโด่งแล้วบิดไปมา “นอนคนเดียวระวังแมวหง่าวมาหลอกนะ เด็กโง่” ขยิบตาให้ครั้งหนึ่งแล้วก็เดินแยกตัวออกไปยืนสังเกตการณ์อยู่มุมหนึ่ง ยังไม่ทันจะปักหลักได้เรียบร้อยผู้จัดการส่วนตัวของลูกชายก็เดินเข้ามาหา

“ว่างได้ยังไงครับ” ตฤณถามปรเมษฐ์เสียงเบาเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นที่เริ่มถ่ายแบบต่ออีกครั้ง

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มยามคุยกับลูกชายหายไปสิ้น เหลือเพียงความเครียดเขม็งในแววตา “ก็ไม่ได้เต็มใจจะว่างหรอก แต่เพราะนายดันเอ่ยชื่อหมอนั่นขึ้นมานั่นแหละ”

“ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยเหรอครับ”

“ไม่เชิง” ปรเมษฐ์ว่า “แต่มาดูให้เห็นกับตาก็สบายใจกว่าใช่ไหมล่ะ และนายก็คิดแบบนั้นไม่ใช่หรือไงถึงได้โทรบอกฉัน”

“ก็มันแปลกจริงๆ นี่ครับที่จู่ๆ โปรดิวเซอร์ระดับนั้นจะเสนอตัวมาขอทำเพลงเอง ถึงตอนนี้ชื่อของนอฟจะดังมากเข้าข่ายไอดอลแถวหน้าก็เถอะ” ตฤณว่า “แต่ทุกผลงานของเขาย่อมมีข้อแลกเปลี่ยนราคาแพง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการอะไรแต่เพราะเหตุผลทางธุรกิจท่านประธานจึงไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอของเขาได้”

“เรื่องนั้นผมเข้าใจ” ปรเมษฐ์บอกเพราะถ้าว่ากันตามตรงตัวเขาก็มีสายเลือดของนักธุรกิจไหลเวียนอยู่เต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะทางแม่ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงพยาบาล หรือฝั่งพ่อที่เป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่

ปากพูดไปแบบนั้น แต่กลับกำมือแน่นเมื่อทำได้แค่เฝ้ามองห่างๆ อย่างห่วงๆ เพราะนี่เป็นทางที่ลูกชายเลือกแล้ว

“เสียงนอฟนี่เพราะจริงๆ นะครับ” ตฤณเริ่มต้นโคลงศีรษะไปเบาๆ เข้ากับทำนองเพลงในอัลบั้มเก่าที่เปิดคลออยู่ “ผมก็ไม่อยากยอมรับหรอกนะ แต่ถ้าหากได้คุณดุริยะทำเพลงให้นอฟจะต้องดังได้มากกว่านี้ โอกาสที่แม่ของเขาได้ฟังก็จะมากขึ้น นึกถึงเรื่องนั้นแล้วผมยังขนลุกไม่หายเลยตอนที่นอฟให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเมื่อครั้งเดบิวต์ว่ามาเป็นนักร้องเพราะอยากจะตามหาแม่น่ะ ถ้าแม่เขาได้ฟังแล้วยอมกลับมาเจอหน้ากันก็คงจะดีนะครับ”

“อืม” ปรเมษฐ์พยักหน้า “หมอนั่นมันร้องเพลงเก่งเหมือนแม่จริงๆ นั่นแหละ ไม่เห็นมีอะไรที่เหมือนผมสักนิด”

ตฤณหัวเราะ จากการคลุกคลีอยู่กับนถธรณ์มาสองปีเขาเองก็พอรู้วีรกรรมด้านอื่นๆ ของนักร้องในสังกัดอยู่บ้าง “แหม มีสิครับ อย่างน้อยก็ความหล่อไง”
“ขอบคุณครับ” ปรเมษฐ์ค้อมศีรษะ ก่อนจะทอดสายตามองไปยังคนที่กำลังพูดถึง

เด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าแบคดร็อปสีขาวกระกระจ่าง ท่ามกลางสปอตไลท์ที่ส่องสว่าง ต่อหน้ากล้องตัวใหญ่และสายตานับสิบที่จับจ้องมา เขาปิดตาลงเพื่อหนีจากความกดดันรอบกายและดึงเอาความทรงจำในวันที่ผู้เป็นพ่อพูดถึงออกมา...

เขานั่งกอดเข่าคลุมโปงอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ลูกตาที่โผล่พ้นขอบผ้าออกมากวาดมองไปรอบห้องอย่างตื่นตระหนก เมื่อจู่ๆ ฝนที่ตกหนักมาตั้งแต่ช่วงเย็นทำให้เกิดหม้อแปลงระเบิดจนไฟดับทั้งช่วงถนน

ในความมืดนั้นมีแค่เสียงสายลมหวีดหวิวกับเสียงฝนกระทบหน้าต่างราวกับข้างนอกนั่นมีใครมาเคาะเรียกให้เขาออกไปหา

ความรู้สึกทั้งหวาดกลัวและเหงาปะทุขึ้นในอก จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องคว้าโทรศัพท์มากดหาใครคนหนึ่ง

เสียงรอสายดังยาวนานแทบขาดใจเมื่อไม่มีคนรับสักที เขากดวางสายแล้วโทรใหม่อีกครั้ง... และอีกครั้ง จนกระทั่งเสียงนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเสียงของคนที่คิดถึงสุดหัวใจ

“ว่าไง”


“พร้อมจะถ่ายหรือยัง” ดุริยะตะโกนถาม

เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้า สายตามองตรงไปข้างหน้ายังเลนส์กล้องตัวใหญ่ แต่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น เขามองลึกเข้าไปในนั้นราวกับจะให้ทะลุไปถึงดวงตาของช่างกล้องที่รอจับภาพอยู่

...ที่ยืนอยู่ข้างหลังกล้องนั่นคือป๊าสินะ... ทำไมป๊าเย็นชากับผมแบบนั้นล่ะ... ผมเป็นลูกคนเดียวของป๊านะ ผมเหงา ป๊ากลับมาอยู่กับผมได้ไหม... อย่าปล่อยให้ผมต้องทนเหงาอยู่คนเดียวแบบนี้สิหรือว่า... ป๊าไม่รักผมแล้วเหรอ?

“ดี” ตากล้องกระซิบพร้อมกับส่งสัญญาณมือให้ขยับเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ

“คุณพูดอะไรกับเขา” ตฤณถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มจากที่ก่อนหน้านี้ดูหลุกหลิกและยังไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกรักออกมาได้กลับเปลี่ยนท่าทีไปเป็นคนละคน ทั้งที่แค่ยืนมองเฉยๆ แต่สายตานั้นกลับเว้าวอนจนทุกคนที่อยู่ในที่นั้นรู้สึกปวดหนึบในอกจนอยากโผเข้าไปกอดปลอบแน่นๆ

“แค่แนะนำอะไรนิดหน่อย” ปรเมษฐ์ว่า ถึงผลลัพท์จะออกมาเป็นที่น่าพอใจแต่ทำไมเขากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย เหมือนรู้สึกน้อยใจลึกๆ ที่เห็นลูกชายสุดที่รักไปอ้อนคนอื่นนอกจากเขา

และทุกอย่างนั้นก็อยู่ในสายตาของโปรดิวเซอร์ผู้คร่ำหวอดในวงการมากว่ายี่สิบปี ยิ้มเจ้าเล่ห์หยักขึ้นตรงมุมปาก ดุริยะยกมือขึ้นจับปลายคางครุ่นคิดกับเรื่องสนุกๆ ที่กำลังวางแผนจะทำ

“ไม่เลวนี่เจ้าหนู” ดุริยะเดินมือไพล่หลังเข้ามาในฉากหลังจากได้ภาพจนเป็นที่น่าพอใจ

“ขอบคุณครับ” นภธรณ์ตอบรับพร้อมกับยกหลังมือขึ้นปาดน้ำที่หัวตาดูเหมือนว่าเขาคงจะอินมากไปหน่อย

ทว่ามือของคนอายุมากกว่านั้นไวกว่า

เด็กหนุ่มพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่ก็ไม่พ้นอุ้งมือใหญ่ที่ประกบรอบกรอบหน้า “เอ่อ... เมื่อกี้ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่เสียงดังใส่”

โปรดิวเซอร์ใหญ่เหลือบตาลงมองหยดน้ำที่ติดอยู่ปลายนิ้วคิดว่ามาพร้อมกับคำขอโทษจากความรู้สึกผิดจึงเอ่ยเสียงนุ่ม “ไม่เป็นไร ถือว่าเธอแก้ตัวได้ดี”

“ขอบคุณครับ”

ดุริยะกวาดตามองเด็กหนุ่ม รอยยิ้มที่กระจ่างเต็มหน้าอย่างไร้เดียงสาเพียงแค่เขาเอ่ยชมยิ่งทำให้รู้สึกสนใจขึ้นมา “ถ่ายเสร็จแล้วไปกินข้าวด้วยกันหน่อยสิ ฉันอยากจะคุยกับเธอเรื่องเพลง”

ถ้อยคำชักชวนเรียบง่ายแต่กลับทำให้ทีมงานทุกคนที่ได้ยินพากันเงียบงันโดยไม่ได้นัดหมายก่อนจะสบตากันด้วยความหวาดหวั่น

ยังไม่ทันที่นภธรณ์จะตอบคำถามผู้เป็นพ่อก็เดินเข้ามาแทรกกลางวง “นอฟ กลับได้แล้ว”

“ป๊า”

“อ้าว มีผู้ปกครองมารับด้วยรึ?” ดุริยะแสร้งทำเป็นเพิ่งสังเกตเห็นทั้งที่เฝ้าดูพฤติกรรมของสองพ่อลูกอยู่ตลอดนับตั้งแต่ปรเมษฐ์เปิดประตูเข้ามา

“ผมชื่อปรเมษฐ์ครับเป็นพ่อของเด็กนี้” ปรเมษฐ์แนะนำตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกับส่งนามบัตรให้อีกฝ่ายที่รับไปใส่กระเป๋าโดยไม่เสียเวลาอ่านสักนิด

“ถ้ายังทำตัวเป็นลูกแหง่แบบนี้จะเข้าใจความรักของผู้ใหญ่ได้ยังไง... วันนี้เธอต้องไปกินข้าวกับฉันและเราจะคุยเรื่องนี้กัน”

“ขอโทษนะครับแต่ผมคงให้นอฟไปกับคุณไม่ได้จริงๆ” ปรเมษฐ์บอกอย่างสุภาพหากก็มีความเฉียบขาดอยู่ในที หัวเด็ดตีนขาดยังไงเขาก็ไม่ยอมให้นภธรณ์ไปเด็ดขาด

“ไม่เคยมีใครปฏิเสธฉันแล้วยังอยู่รอดในวงการนี้ได้หรอกนะ” ดุริยะพูดเรียบๆ หากนั่นก็เท่ากับเป็นการประกาศสงครามกลายๆ

“ไม่รอดก็ไม่เห็นแคร์เลยครับ ลูกชายคนเดียวผมก็เลี้ยงมาได้ตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว” ปรเมษฐ์เริ่มมีอารมณ์หลังจากโดนขู่พร้อมกับหันไปคว้ามือลูกชาย “กลับกันเถอะนอฟ”

แต่นภธรณ์ไม่ยอมขยับ

“นอฟ?” ปรเมษฐ์ถลึงตาใส่

“ผมอยากทำงานกับเขาครับ” นภธรณ์บอกหนักแน่น “ผมตัดสินใจแล้วครับ ไม่เคยมีนักร้องคนไหนที่คุณดุริยะออกปากจะทำเพลงให้ก่อน ดังนั้น ผมจึงอยากรู้ว่าคุณดุริยะมองเห็นอะไรในตัวผมและผมเองก็อยากพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมทำได้”

“นอฟ!”

“ไม่เป็นไรๆ” ดุริยะกล่าวอย่างใจเย็นเมื่อเห็นฝ่ายตัวเองเป็นต่อ “เอาไว้วันหลังก็ได้ วันนี้กลับไปตกลงกับผู้ปกครองของเธอก่อน แต่อย่าลืมนะ ไม่งั้นเธอก็ไม่มีวันได้เพลงของฉันไป”

“งั้นพรุ่งนี้นะครับ ผมจะจัดคิวให้” ตฤณรีบปราดเข้ามาต่อรอง

“ตกลงตามนี้นะ” ดุริยะสรุป “อ้อ! คุณผู้จัดการ ร้านน่ะผมจะเป็นคนเลือกเอง ให้เด็กของคุณรออยู่ที่บริษัทแล้วผมจะส่งคนไปรับ”

ตฤณหายใจขัด นั่นเท่ากับจับเนื้อสมันผูกโบจัดใส่จานให้เสือร้ายชัดๆ “เอ่อ... ผมไม่อยากรบกวนคุณ ถ้ายังไงให้ทางเรา...”

“คุณน่าจะรู้นะว่าผมไม่ชอบให้ใครมาขัดใจ” ดุริยะพูดเสียงเฉียบ

ตฤณหน้าซีด ด้วยอิทธิพลของผู้ชายคนนี้มันเกินกว่าคนระดับเขาจะต่อรองไหว และถึงให้โทรขอความช่วยเหลือจากท่านประธานเขาคิดว่าคำตอบก็คงจะมีแต่ตกลงเท่านั้น เพราะ D & T media เองก็เป็นแค่บริษัทเล็กๆ ที่มีนักร้องในสังกัดแค่ไม่กี่คน เขาจึงได้แต่เอ่ยตอบรับกลับไป “ครับ”

ดุริยะกรีดยิ้มอย่างพึงใจใส่คนที่ได้แต่ยืนกัดฟันกรอดก่อนจะเดินจากไป

“ขอโทษครับคุณปรเมษฐ์ ผม...” ตฤณรีบพูดด้วยรู้สึกผิดที่ปกป้องเด็กในสังกัดไม่ได้

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะป๊า ผมดูแลตัวเองได้น่าแค่ไปกินข้าวเอง” นภธรณ์รีบบอก

“อย่าทำเป็นปากดีนักเลย รู้หรือเปล่าว่าผู้ชายคนนั้นนอกจากเรื่องทำเพลงแล้วยังขึ้นชื่อเรื่องอะไรอีก”

“รู้ดิ เรื่องผู้หญิงไง” นภธรณ์บอก รู้ดีอยู่เต็มอกเช่นกันถึงชื่อเสียงทางลบในการขอสิ่งแลกเปลี่ยนกับผลงานเพลงซึ่งจะเป็นที่จดจำตลอดไป “แต่ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่ครับผมเองก็เป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่เด็กสาวๆ ทางนั้นก็ใช่ว่าจะหนุ่มๆ มีอะไรก็น่าจะสู้แรงเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงเป็นนะป๊าผมไม่ไปเป็นหญ้าอ่อนให้เขาเคี้ยวได้ง่ายๆ หรอกน่า”

ปรเมษฐ์ขบกรามจนเป็นสัน... ใช่! เขาจะไม่ห่วงเลยถ้าเป็นการสู้แบบตัวต่อตัว แต่สิ่งที่เขารู้มามันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ และเขาไม่ต้องการให้ลูกชายต้องตกเป็นของเล่นของใคร

*********************************TBC*****************************

ได้เวลาเลือกทีมแล้วค่ะ! จะ #ทีมป๊า หรือ #ทีมพี่ยะ
ปล. อย่าลืมเอาข้าวผัดไปเยี่ยมเราที่คุกด้วยนะ (โบกผ้าเช็ดหน้า)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lukaka ที่ 18-02-2017 20:09:01
#ทีมป๊า
อยากจิจับนอฟมาตีก้น ดื้อจริงเชียว
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 18-02-2017 20:38:54
ทีมป๊าเลยยยย
ไม่เอาลุงยะ คนเจ้าเล่ห์  :ling1:

นอฟออกมาลูก~ คนแก่ทางนั้นอันตราย~
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 18-02-2017 20:41:35
#ป๊า&ดุริยะ #ท่านประธานแดนนี่&นอฟ  *จิกตา มายังไง?*  ก็ตอนที่ 1 นอฟบอกท่านประธานอายุ 42 แล้วยังมีเสน่ห์อยู่นี่นา *นี่เอกมโน*  อย่าให้เป็น sin พ่อลูกเลยนะ เขากลัวเขารับไม่ไหวง่ะ งือออออ ลุ้นๆ  // พี่น้องสองเกลอจากบ้านศิลปะพี่ติ๊น จะตามมาเรื่องนี้ไหมน้า ชอบเวลาเขาแท๊คทีมกัน ใสๆ น่ารักดี
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 18-02-2017 21:27:45

โอ้โห ได้กลิ่นบาปอันหอมหวานเย้ายวนใจ
รู้สึกอยากจะเข้าไปนั่งกินข้าวผัดซดโอเลี้ยงอยู่ในตารางกับคุณป๊าเหลือเกิน
ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

เราทีมป๊านะ!
นี่ไม่ชอบพี่ยะอะไรนั่นเลยอะ ดูใช้อำนาจ ดูว่าตัวเองเองยิ่งใหญ่
ไม่มีใครกล้าขัดใจชั้น ใครทำแบบนั้นจะไม่ได้อยู่ในวงการอีกต่อไป เชอะะะะะะะะะะะ

คุณป๊าเค้ารวยนะคะ! นอกจากเป็นคุณหมอหนุ่มรูปหล่อใจดีแล้วยังเล่นหุ้นอีก
ลูกชายคนเดียวคุณป๊าเลี้ยงได้ ไม่ต้องยืมมือคุณโปรดิวเซอร์หรอก!! #อินมากกกก

เป็นห่วงน้องนอฟมาก
ตอนนี้เหมือนเป็นกระต่ายน้อยแสนซนที่หลุดจากกรงไปเข้าถ้ำเสือ ;w;;
คุณป๊าปกป้องลูกชายให้ได้นะคะ อย่าไปยอมมม ไปนั่งกินข้าวด้วยเลยก็ยิ่งดี! 5555555555555

ปล. อยากอ้อนคุณป๊า /)////////(\

หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PHA_ ที่ 19-02-2017 00:29:19
ทีมคุงป๊าาาาาาาา ม
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 19-02-2017 01:02:25
อ่านไปใจเต้นไปเลยค่ะ กลัวใจมากว่าตะเป็นพ่อลูก

คือลุงยะแกดูดื้อจะพาน้องไปห่างจากป๊ามาก

มีแผนอะไรแน่ๆ นอฟไม่เอานะ ต้องรอดมานะลูก

สารภาพว่าในหัวเราตอนอ่านonceนอฟมีลุคเด็กผู้ชายทะโมนที่ติดอ้อนพ่อ

แต่พอมาเรื่องนี้เหมือนเป็นมุมนอฟจริงๆแล้วรู้สึกถึง

ความลึกซึ้งของสองพ่อลูกนะคะ ถึงได้กลัวใจไง 5555

แบบนี้2พี่น้องแห่งบ้านพี่ติ๊นละคะ จะมามั้ยๆๆๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 19-02-2017 07:21:11
ได้กลิ่นบาปจางๆ มาเลย ชูป้ายไฟอยู่ ทีมป๊า (ติดคุกแน่ๆเลยกรุ)...
อีตาโปรดิวเซอร์ไม่น่าไว้วางใจเลย เด็กอย่างนอฟจะไปทันเกมส์เฒ่าเจ้าเล่ห์รึ นอฟต้องรอดนะลูก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-02-2017 07:40:26
อ่านแบบกล้า ๆ กลัว ๆ

เอาเป็นว่า #ทีมตฤน !!!!

ดูปลอดภัยดี แหะ ๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 19-02-2017 09:14:27
เกลียดผู้ชายเจ้าชู้!!! #ทีมป๊า
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# บทที่ 1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 19-02-2017 11:42:46
Chapter 1

‘วาริณี’ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ผู้ชายคนนี้จะขอมอบทั้งชีวิตและหัวใจให้ เธอจากไปในวันที่ให้กำเนิดเด็กชาย


เธอจากไปในวันที่ให้กำเนิดเด็กชาย  ประโยคนี้มันทำให้เข้าใจว่า วาริณีตายไปแล้วนะคะ
แต่พออ่านบทสองกลับมีบทสนทนาทำนองว่า นอฟร้องเพลงเพื่อตามหาแม่
สร้างความเข้าใจได้สองอย่างคือวาริณีตายไปแล้วจริงๆ แต่คุณป๋าไม่ยอมบอกความจริงว่าแม่ตายไปแล้ว แต่อันนี้จะทำไปทำไม การสร้างความหวังให้เด็กทั้งที่ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ ไม่น่าจะเกิดผลดีนะ คุณป๋าที่เป็นหมอคงไม่น่าจะทำแบบนั้นหรอก
สองคือ วาริณีทิ้งพวกเขาสองพ่อลูกไว้ แล้วตัวเองก็หนีหายไปเพราะอาจจะมีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง
เป็นอย่างไหนหรือค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: นางสาวกานาเลส ที่ 19-02-2017 12:08:09
เดี๋ยวๆ พี่ยะนี่มันจะมาร้ายแล้วดีหรือ หรือจะร้ายแล้วร้ายจนจบกัน หืมมมมมมมมมม ยังทีมป๊าก่อน ค่อยดูพฤติกรรมลุงยะ ว่าเป็นไง 55555555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 19-02-2017 12:54:35
#ทีมป๊า ค่ะ ดุริยะคุณมันร้าย
น้องนอฟจะรอดมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# บทที่ 1 [14/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 19-02-2017 13:36:40
Chapter 1

‘วาริณี’ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ผู้ชายคนนี้จะขอมอบทั้งชีวิตและหัวใจให้ เธอจากไปในวันที่ให้กำเนิดเด็กชาย


เธอจากไปในวันที่ให้กำเนิดเด็กชาย  ประโยคนี้มันทำให้เข้าใจว่า วาริณีตายไปแล้วนะคะ
แต่พออ่านบทสองกลับมีบทสนทนาทำนองว่า นอฟร้องเพลงเพื่อตามหาแม่
สร้างความเข้าใจได้สองอย่างคือวาริณีตายไปแล้วจริงๆ แต่คุณป๋าไม่ยอมบอกความจริงว่าแม่ตายไปแล้ว แต่อันนี้จะทำไปทำไม การสร้างความหวังให้เด็กทั้งที่ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ ไม่น่าจะเกิดผลดีนะ คุณป๋าที่เป็นหมอคงไม่น่าจะทำแบบนั้นหรอก
สองคือ วาริณีทิ้งพวกเขาสองพ่อลูกไว้ แล้วตัวเองก็หนีหายไปเพราะอาจจะมีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง
เป็นอย่างไหนหรือค่ะ


แม่นอฟยังไม่ตายค่ะ ส่วนเหตุผลอื่นเราจะค่อยๆ เฉลยในตอนต่อๆ ไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pippo_pippo ที่ 19-02-2017 14:32:19
 :mew5: :mew5: นอฟจะเป็นไงอ่ะ..รู้สึกเป็นห่วงจัง  :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-02-2017 13:44:37
โห อิพี่ยะ นี่ต่อหน้าพ่อเขายังกล้าข่มขู่ จะมากเกินไปแล้วนะ มันจะไหวเหรอนอฟ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 23-02-2017 21:29:29
#ทีมป๊า #sin #ไม่เอาลุงยะนะ
นอฟทำไมซื่อบื้ออ่ะ  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 25-02-2017 13:02:57
Chapter 3

“แน่ใจนะว่าจะไป” ‘แดเนียล คิม’ หนุ่มใหญ่ลูกครึ่งไทย-สิงคโปร์ประธานบริษัท D&T media เอ่ยถามเป็นครั้งสุดท้ายกับนักร้องในสังกัด

“ครับคุณแดนนี่” นภธรณ์ตอบด้วยความมั่นใจ

“ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ” ท่านประธานวางมือลงบนบ่า

วงการมายานั้นเต็มไปด้วยแสงสี และเบื้องหลังความสวยงามนั้นก็คือเงามืดของปิศาจร้ายดีๆ นี่เอง ไม่ว่าจะเป็นการเอาตัวเข้าแลกเพื่อชื่อเสียง ข่าวฉาวคาวโลกีย์ทำให้เรื่องของการกลั่นแกล้งเหยียบกันขึ้นสู่การเป็นที่หนึ่งของวงการดูเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลย บอกตามตรงสำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดา มีดารานักร้องหลายคนที่เอ่ยกับเขาตรงๆ เลยด้วยซ้ำเพียงแต่นั่นมาจากความสมัครใจ และเขาคิดว่านภธรณ์ยังเด็กอีกทั้งยังมีพรสวรรค์ที่สามารถพัฒนาได้อีกไกลซึ่งจะทำให้โด่งดังได้โดยไม่ต้องเข้าใกล้สิ่งเหล่านี้

“เห็นท่าไม่ดี มีอะไรก็รีบโทรมาทันทีเลยเข้าใจไหม แล้วเราจะส่งคนไปรับ อ้างว่ามีเรื่องอะไรด่วนก็ว่าไป” กำชับไปอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

“ขอบคุณครับ”

“แล้วนี่โป้เขายอมปล่อยนายมาง่ายๆ ได้ไง ฉันนึกว่าเขาจะอาละวาดบ้านแตกซะอีก” แดเนียลว่า นึกแล้วยังขนลุกไม่หายถึงวันที่ปรเมษฐ์มาเซ็นสัญญาที่บริษัทเพราะนภธรณ์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผู้ชายหน้าคมสายตาดุดันที่นั่งกอดอกอ่านทุกตัวอักษรบนเอกสารซ้ำอยู่สามรอบราวกับหวาดกลัวว่าเขาเป็นพวกแมงดาจะมาหลอกลูกชายไปขาย

“ก็นิดหน่อยครับ” นภธรณ์ยิ้มแหยเพราะก่อนจะออกมาพวกเขาตีกันบ้านแทบแตก

“ฉันบอกว่าไม่ให้ไปทำไมไม่ฟังกันบ้าง”

“ผมก็บอกอยู่ว่าดูแลตัวเองได้ แล้วทำไมป๊าไม่ฟังบ้างล่ะ”

“นอฟ!” ปรเมษฐ์โกรธจนควันออกหู “ขนาดอยู่ในกองถ่ายมีคนเป็นสิบ แกยังปล่อยให้เขามาจับแก้มเช็ดน้ำตาได้ รู้หรือเปล่าว่ามันแอบแต๊ะอั๋ง”

“ผมก็แค่หลบไม่ทัน แล้วป๊าก็คิดมากไปหรือเปล่าเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้”

“ถ้าไปอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วเขาจะทำมิดีมิร้ายแกคิดว่าจะมีปัญญาหนีเขาได้เรอะ”

“ผมโตแล้วนะป๊า ผมดูแลตัวเองได้น่า” นภธณ์ยังไม่เลิกเถียงทั้งที่รู้ว่าพ่อมีเหตุผลที่ฟังขึ้นมากทีเดียว

“อยากดูแลนักใช่ไหมตัวเองน่ะ ปีกกล้าขาแข็งแล้วสิ ได้! อยากทำอะไรก็เชิญ แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องมาโอดครวญให้ฉันได้ยินนะ”

ปรเมษฐ์ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะคว้ากุญแจรถแล้วกระแทกประตูเปิดออกไป


นภธรณ์ลอบถอนหายใจ รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่คิดจะโทรไปขอโทษ เขาจะพิสูจน์ให้เห็นว่าโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้วจริงๆ

“คุณดุริยะมาแล้วครับ” ตฤณเปิดประตูเข้ามาบอก

เด็กหนุ่มเดินตามหลังผู้จัดการส่วนตัวออกมาหน้าบริษัท รถยุโรปหรูคันหนึ่งจอดขวางหน้าทางเข้าออก คนขับรถซึ่งสวมสูทสีดำผูกหูกระต่ายค้อมศีรษะให้เขาพร้อมกับเปิดประตูรถให้ นภธรณ์มองเข้าไปด้านในเห็นโปรดิวเซอร์ใหญ่นั่งอยู่

“ผมไปก่อนนะครับท่านประธาน พี่ตฤณ” เขาบอกกับทุกคนแล้วก้าวขึ้นรถ

คนขับดูแลปิดประตูจนเรียบร้อยก่อนจะวิ่งอ้อมขึ้นรถแล้วขับออกไป

“สวัสดีครับ” นภธรณ์ยกมือไหว้ทักทาย

“ไม่ต้องเกร็งเจ้าหนู ทำตัวตามสบาย” ดุริยะชวนคุยเรื่อยๆ ในขณะที่รถเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบเชียบ

“ครับ” นภธรณ์ตอบรับแต่ความเกร็งก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เขาขยับไปนั่งจนชิดประตูอีกฝั่งตาก็กวาดมองหาทางหนีทีไล่และคอยชำเลืองดูสองข้างทางว่ากำลังจะถูกพาไปที่ไหน

“ฉันแค่อยากสร้างความสนิทสนมกับเธอเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะร้องเพลงได้ตรงตามคอนเซ็ปต์ของฉันก็เท่านั้น”

“หมายถึง ‘บาป’ น่ะหรือครับ”

“ใช่”

“เรื่องนั้นผมคิดว่าผมทำได้นะครับ คุณดุริยะก็เห็นแล้วนี่ครับ”

“ก็แค่ภาพนิ่ง” ดุริยะว่า “ฉันยังไม่ได้ฟังเสียงเธอสักแอะ แล้วไหนจะ MV อีก แน่ใจนะว่าเด็กใสซื่อบริสุทธิ์แบบเธอจะรู้จักคำนี้ดีพอ”

“ผมทำได้ครับ” นภธรณ์ยืนยัน

“แน่ใจเหรอ... ถ้ายังไงให้สอนไหม ว่า ‘บาป’ ของผู้ใหญ่น่ะมันเป็นยังไง”

“เขาว่าคุณเป็นเสือผู้หญิง” นภธรณ์ลองพูดตรงๆ หวังจะดักทางคนอายุมากกว่าไว้ก่อน

“อย่าไปเชื่อข่าวพวกนั้นเลย มั่วสิ้นดี” ดุริยะว่า

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งเหมือนโดนสตาฟเมื่อจู่ๆ ฝ่ามือแข็งแรงก็เลื่อนมาวางทับลงมาบนหลังมือตน

โปรดิวเซอร์ผู้มากประสบการณ์แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหู “เพราะเด็กหนุ่มๆ หน้าตาดีแบบเธอฉันก็ชอบเหมือนกัน”

เขาไม่ได้โดนหอมแก้ม แต่ริมฝีปากนั้นก็เฉียดผิวเนื้อไปนิดเดียว จริงอยู่ว่าเขาคุ้นเคยกับการถึงเนื้อถึงตัวแต่เพิ่งจะรู้ว่าเมื่อมันมาจากคนอื่นกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนได้ถึงขนาดนี้ และคิดถึงคำพูดของป๊าขึ้นมาทันที เขานี่ช่างหาเหาใส่หัวแท้ๆ ไม่เป็นไร เหามันอาจจะตัวโตหน่อย แต่ตัวโตๆ มาให้เห็นชัดๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเขาจะได้วางแผนรับมือได้ทัน

“เรียกฉันว่าพี่ยะก็ได้จะได้ฟังดูสนิทสนมหน่อย ใครๆ ก็เรียกแบบนั้น”

“ครับ... พี่ยะ”

โปรดิวเซอร์ใหญ่อมยิ้มกรุ้มกริ่ม

อึดใจต่อมารถก็ค่อยๆ ชะลอและจอดสนิทลงหน้าประตูกระจกบานใหญ่

“ถึงร้านแล้วไปกินข้าวกันเถอะ”

นภธรณ์มองไปรอบๆ ร้านอาหารที่ดูโอ่โถง มีโคมไฟระย้าทำจากคริสตัลห้อยอยู่เหนือหัว บริกรชายในชุดหูกระต่ายเดินนำเขาเข้าไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ด้านใน

“เธอมีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษไหม” ดุริยะถามเมื่อทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกันบนโต๊ะอาหาร

“ผมกินได้ทุกอย่าง ยกเว้นผัก” นภธรณ์บอก

“ดีเลย เพราะฉันเองก็ไม่ชอบกินผักเหมือนกัน หวังว่าเธอจะถูกใจเมนูที่ฉันเตรียมไว้ให้นะ” ดุริยะยิ้มอย่างพึงใจก่อนจะชวนคุยต่อ “พ่อเธอยังหนุ่มอยู่เลยนะ”

“ป๊ามีผมตอนอายุสิบเก้า” นภธรณ์ตอบตามตรง เพราะใครๆ ก็รู้เรื่องนี้และเขาเองก็เคยให้สัมภาษณ์ออกสื่อไปหลายครั้งแล้ว “เป็นนักเรียนแพทย์ปีสาม แต่เพราะแม่ไปจากตั้งแต่ผมเกิด ผมเลยอยู่กับป๊าสองคน”

บริกรเริ่มต้นเสิร์ฟออร์เดิร์ฟและนั่นทำให้คนที่รักการกินเป็นชีวิตจิตใจผ่อนคลายลงนิดหน่อย นภธรณ์จิ้มกุ้งต้มใส่ปากเคี้ยวไปเล่าไป

“แล้วปู่ย่า ตายายเธอล่ะ”

“ตากับยายผมไม่รู้ ป๊าคงไม่อยากยุ่งน่ะ แต่ปู่กับย่าตัดหางปล่อยวัดป๊ามาเพราะป๊าไม่ยอมบอกว่าแม่ผมเป็นใคร”

“หมายความว่าไง”

“สมัยหนุ่มๆ ป๊าค่อนข้างป๊อบน่ะ” นภธรณ์ว่า “พี่ยะก็ดูลูกชายสิ หล่อซะขนาดนี้ ป๊าก็ต้องหล่ออยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”

ดุริยะขำ จะมีสักกี่คนที่หลงตัวเองได้เป็นธรรมชาติขนาดนี้

“มีผู้หญิงมาติดพันเยอะ แต่ป๊ามีคนที่ชอบอยู่แล้วซึ่งก็คือแม่ ที่บ้านไม่มีใครชอบแม่เพราะเป็นนักร้องตามผับ ทั้งสองเลยแอบคบกันโดยไม่บอกใครแม้แต่เพื่อนสนิท แล้วจู่ๆ แม่ก็ท้อง แล้วก็คลอดผมออกมา” นภธรณ์สะบัดมือในอากาศเป็นเชิงบอกว่าเรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้

“แล้วพ่อเลี้ยงเธอมาได้ยังไงตัวคนเดียวแถมยังเรียนไปด้วย เขาเป็นถึงทายาทคนรองของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังไม่ใช่เหรอ” ดุริยะถาม

ถึงนามบัตรใบที่ให้มาจะบอกแค่ว่าเป็นสูตินารีแพทย์ประจำโรงพยาบาลรัฐบาล แต่นามสกุล ‘บารมีไพศาลวานิช’ นั้นไม่ใช่นามสกุลโหลๆ หากเป็นตระกูลกลุ่มธุรกิจใหญ่ที่สืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น โดยประธานคนปัจจุบันคือ ‘นายบังเอิญ บารมีไพศาลวานิช’ ผู้เป็นพ่อของปรเมษฐ์ แถมยังได้เชื้อสายผู้ดีเก่าจากทางฝั่งแม่ด้วย

“ถึงจะบอกว่าตัดหางปล่อยวัดแต่ปู่ก็ไม่ได้ใจจืดใจดำถึงขั้นยึดรถกับคอนโดคืน ค่าเทอมก็ยังส่งเสียเหมือนเดิม แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เป็นของผมป๊าหาเองโดยเอาเงินเก็บไปลงทุนน่ะ กับทำงานพิเศษ แล้วคงมีหยิบยืมเพื่อนๆ มาหมุนบ้างมั้ง” นภธรณ์พยายามเล่าข้ามๆ ตรงจุดที่ปู่ส่งพี่เลี้ยงเด็กมาคอยช่วยดูแลเขาในวันที่ปรเมษฐ์ต้องไปเรียนหรือขึ้นฝึกงานแล้วหาคนช่วยเลี้ยงไม่ได้ เพราะป๊าจะทำหน้าบึ้งทุกครั้งเวลาที่พูดถึง

“ฉันอ่านบทสัมภาษณ์ของเธอเห็นว่าพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงนี่ได้มาจากแม่เหรอ” หลังจากฟังเรื่องฝ่ายพ่อมาพอสมควรดุริยะก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องแม่บ้าง

“ตามที่ป๊าบอกมาคงเป็นแบบนั้นน่ะครับ” นภธรณ์ตอบพลางใช้ช้อนส้อมจิ้มทรัฟเฟิลใส่ปากเคี้ยวหยับๆ “เพราะป๊าร้องเพลงห่วยมาก พี่ยะต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าสมัยผมยังเด็กป๊าใช้วิธีอ่านตำราแพทย์ให้ผมฟังจนหลับแทนการร้องเพลงกล่อมให้นอน”

ดุริยะหัวเราะ “เธอก็เลยมาเป็นนักร้องเพราะอยากจะตามหาแม่สินะ เป็นสตอรี่ที่น่าเอ็นดูชวนให้คนสงสารเหมาะกับเธอจริงๆ”

นภธรณ์ไหวไหล่

“แล้วทำไมแม่ถึงจากเธอไปล่ะ... ทะเลาะกับพ่อ?”

“ผมไม่รู้” นภธรณ์ว่า “ป๊าบอกว่าแม่ไปจากเราด้วยเหตุผลบางอย่าง”

เขารู้เรื่องทุกอย่างดี อันที่จริงก็คือ ‘ทิ้ง’ ไปน่ะแหละ ปรเมษฐ์บอกว่าเธอต้องการไปทำ ‘ความฝัน’ ให้เป็นจริงซึ่ง... พวกเขาคงเป็นตัวถ่วงของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่เขาไม่คิดว่าคู่ควรกับคำว่าแม่เลยสักนิด ที่เรียกอยู่ทุกวันนี้เพราะไม่อยากให้ป๊าเสียใจหรอก ใครจะว่ายังไงก็ช่างแต่เขาโตมาด้วยนมผงกับนมวัว ไม่ใช่นมแม่ และคนที่เลี้ยงมาก็คือป๊ากับเพื่อนๆ ของป๊า ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่มีรูปถ่ายในบ้านสักใบคนนั้น

“เธอคงจะคิดถึงแม่มากสินะ”

“ก็มีบ้าง”

“เอ๋~” ดุริยะลากเสียงอย่างสนใจเพราะท่าทีของเด็กหนุ่มยามพูดถึงพ่อกับแม่นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว “ถ้าอย่างนั้นเธอจะตามหาแม่ไปทำไมล่ะ”

“มันไม่เกี่ยวกับคุณ"

“ขอฉันทายนะ” โปรดิวเซอร์มือหนึ่งจับคางครุ่นคิดจริงจัง เรื่องที่ชวนมากินข้าวโดยบอกว่าเป็นงานนั้นก็ไม่ใช่สักแต่อ้างไปซะทีเดียวเพราะเขาอยากทำความรู้จักให้รู้ซึ้งถึงความคิดที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของใจ “เพื่อผู้ชายคนนั้น... พ่อของเธอน่ะ เขาคงรักแม่เธอมากสินะ”

นภธรณ์เลือกไม่ตอบแล้วตักอาหารยัดใส่ปากให้เต็มเพื่อจะได้ไม่ต้องพูดอะไรอีก เขาไม่อยากให้ใครมายุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวมากไปกว่านี้

แต่ดูเหมือนดุริยะจะไม่หมดความสนใจง่ายๆ “เธอชื่อนอฟใช่ไหม”

“แปลกตรงไหนเหรอครับ” เด็กหนุ่มย่นคิ้วนี่เป็นอีกเรื่องเขาไม่สบอารมณ์ในตัวโปรดิวเซอร์คนนี้ ตัวเองสั่งให้คนอื่นเรียก ‘พี่ยะ’ แต่มาเรียกเขาว่า ‘เจ้าหนู’ หรือ ‘เธอๆ’ อยู่ได้ ฟังแล้วประหลาดชะมัด

“แปลกสิสำหรับคนที่เกิดเดือนตุลาอย่างเธอ ในเมื่อ NOV มันมาจากคำว่า November เอ๊ะ! หรือว่ามันมีที่มาจากอย่างอื่นอีก”

“ผมไม่รู้” นภธรณ์ตอบตามตรง “ผมรู้แค่ว่าป๊าเป็นคนตั้ง”

“คนเราน่ะ ชอบตั้งชื่ออะไรสักอย่างตามสิ่งที่มีค่ามากที่สุดนะ” ดุริยะจ้องตาเด็กหนุ่มตรงหน้าที่มองสบมาอย่างไม่คิดจะหลบ “อืมมม... ทั้งชื่อและพรสวรรค์... ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าเธอหน้าเหมือนแม่ ‘ป๊า’ ของเธอถึงได้ดูแลประคบประหงมเธอดีขนาดนั้น บางทีเขาอาจจะเห็นเธอเป็นตัวแทนของคนรักที่ทิ้งไปก็ได้นะ”

“คุณพูดเรื่องอะไร” เด็กหนุ่มเสียงห้วนขึ้นทันที

“ก็พูดถึงความรักในแบบผู้ใหญ่ไง” ดุริยะว่า “โลกนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่เธอคิดหรอกนะ คิดดูสิ พ่อเธอเป็นลูกคุณหนูอยู่คฤหาสน์ดีๆ ทำไมถึงต้องเอาความสบายมาทิ้งกับเด็กอย่างเธอด้วย”

“เพราะป๊ารักผมไง ผมเป็นลูกของเขานะ”

“แน่ใจเหรอ... ฉันว่าเพราะเขารักแม่ของเธอมากกว่านะ”

ริมฝีปากบางขยับจะเถียง แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอไม่ให้พูดออกไปได้ “เราเลิกพูดเรื่องนี้กันได้ไหมครับ”

“โอ๋ๆ แค่นี้ทำงอน ฉันไม่แกล้งแล้ว กินกุ้งอีกตัวนะ” ดุริยะยิ้มกริ่มในขณะที่ช่วยตักอาหารให้เด็กหนุ่ม เมื่อสังเกตได้ว่าคำพูดของตนไปสะกิดโดนอะไรบางอย่างเข้า มันอาจจะไม่รุนแรง แต่เขาก็คิดว่ามันมากพอจะสั่นคลอนความไว้เนื้อเชื่อใจที่นภธรณ์เคยมีให้คนเป็นพ่อมาตลอดชีวิตได้

เสาหลักต่อให้ปักลึกแค่ไหนแต่ถ้าหมั่นโยกบ่อยๆ มีหรือจะไม่โอนเอน สักวันมันก็คงพังทลายลงไม่เป็นท่า และเขาอยากจะเห็นวันนั้นเหลือเกิน

(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter2 [18/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 25-02-2017 13:12:05
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

เมื่อรถยุโรปหรูมาจอดเทียบหน้าประตูคอนโดย่านใจกลางสุขุมวิท เด็กหนุ่มก็เปิดประตูลงจากรถ

ดุริยะเลื่อนกระจกรถลงและชะโงกหน้าออกมาคุยด้วย “วันนี้สนุกมากเลย แล้ววันหลังเราไปกินข้าวด้วยกันอีกนะ”

“ครับ”

“พรุ่งนี้เจอกันที่ห้องอัด ฉันคาดหวังว่าเธอจะทำได้ดีเหมือนวันก่อนนะ”

นภธรณ์ยกมือไหว้แล้วรีบกลับหลังหันวิ่งเข้าคอนโดทันที โดยไม่รอให้รถของคนที่มาส่งแล่นออกไปก่อน เขารู้สึกโล่งอกที่ผ่านพ้นมื้ออาหารนี้ไปได้โดยไม่โดนทำมิดีมิร้าย

แต่ในระหว่างที่ยืนรอลิฟต์ทำให้เขามีเวลาว่างคิดทบทวนดูและรู้สึกว่าจริงๆ แล้วการไปกินอาหารกับดุริยะมันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่ กลับกันอีกฝ่ายออกจะเป็นคนง่ายๆ และคุยสนุกด้วยซ้ำ ถ้าไม่นับเรื่องที่ชอบซักไซ้เรื่องส่วนตัวนั่น ถึงจะบอกว่าทำความรู้จักเพื่อเอาไปทำเพลง แต่เรื่องตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาลกับเกรดนั่นดูไม่ค่อยเกี่ยวนะ เอ๊ะ! หรือพี่ยะจะคิดว่าเขาโง่จนอ่านโน้ตเพลงไม่ออก บ้าน่า! เขาเป็นนักร้องนะ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ จริงอยู่ว่าตอนเข้าวงการใหม่ๆ ไม่รู้จักแม้กระทั่งกุญแจซอล แต่ก็ได้พี่ตฤณช่วยติวเข้มให้จนตอนนี้อ่านออกหมดทุกตัวแล้วนะ

อึดใจต่อมาลิฟต์ก็มาจอดที่ชั้น 16 สิ่งที่เขาจินตนาการไว้เมื่อกลับถึงห้องคือภาพของผู้เป็นพ่อนั่งกอดอกหน้าบึ้งรอเขาอยู่ที่โซฟา ป๊าเป็นคนปากแข็งแต่ก็ใจอ่อนกับเขาเสมอ และเพราะเป็นความผิดตัวเองนภธรณ์จึงตั้งใจจะยอมคืนดีแต่โดยดี

ทว่าทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนอกจากจะไม่ได้เห็นหน้าตาบูดบึ้งของป๊าแล้ว ปรเมษฐ์ยังดูอารมณ์ดีและกำลังคุยหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับ... ผู้หญิงซึ่งเขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนตรงโซฟากลางห้อง

นภธรณ์แกล้งปิดประตูเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ปรเมษฐ์ก็ยังคงคุยกับหญิงสาวอย่างออกรส เขาจึงพูดเสียงดัง “กลับมาแล้วครับ”

นั่นเรียกเสียงตอบรับแค่ “อืม” โดยที่ผู้เป็นพ่อยังไม่หันมามองแม้หางตา

นภธรณ์เดินเข้าไปใกล้พลางเหลือบมองสำรวจหญิงสาวคนนั้น เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กผิวขาวแก้มป่องอายุพอๆ กับเขาและเธอก็ไม่มีทีท่าจะสนใจเขาที่เป็นถึงนักร้องดังเลยสักนิด... ให้ตายสิ! นี่บ้านเธอมีทีวีหรือเปล่าเนี่ย “วันนี้คุณดุริยะพาไปกินข้าวที่ The sky มา”

“อืม”

“อาหารอร่อย แล้วก็หรูมากเลย มีทั้งล็อบเตอร์...”

“เข้าห้องไปก่อนได้ไหมฉันทำงานอยู่” ปรเมษฐ์พูดห้วนๆ เป็นการตัดบท

“ป๊า...”

“ขอโทษนะ แต่เราย้ายไปติวหนังสือกันต่อที่ห้องเธอดีกว่า” ปรเมษฐ์บอกกับหญิงสาวพลางรวบหนังสือบนโต๊ะขึ้นไว้ในอ้อมแขนและผายมือให้เธอเดินนำออกจากห้องไป

เด็กหนุ่มยืนคว้างด้วยทำอะไรไม่ถูกอยู่อึดใจก่อนจะเดินปึงปังเข้าห้องไป เขาไม่ได้โกรธที่ปรเมษฐ์ทำงานยุ่งหรือพาคนอื่นเข้าบ้าน แต่ไม่ชอบที่มาทำเมินใส่เหมือนเขาไม่มีตัวตนแบบนี้

นภธรณ์เหลียวมองไปรอบห้องที่ว่างเปล่า พลันสายตาไปหยุดลงที่เงาสะท้อนของตัวเองบนระนาบกระจกเงาแบบเต็มตัว

ไม่ต้องรอให้ดุริยะหรือใครมาบอกเขาก็รู้ดีอยู่เต็มอก ในเมื่อตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีส่วนไหนที่เหมือนป๊า

ปรเมษฐ์มีกรามใหญ่คอหนาใบหน้าคมเข้ม ในขณะที่เขามีใบหน้ารูปไข่และหวานเหมือนผู้หญิง ป๊าตัวค่อนข้างสูงใหญ่มีแต่กล้าม ในขณะที่เขาสูงเพรียวถึงจะเข้ายิมด้วยกันแต่ดูเหมือนกล้ามจะไปงอกที่ป๊าอยู่คนเดียว และ... ป๊าเก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องร้องเพลงที่เพี้ยนแม้กระทั่งคีย์ง่ายๆ ในขณะที่การร้องเพลงเป็นความสามารถเพียงอย่างเดียวที่เขามี

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่โป้ปดกับทุกคน

เขาไม่ได้ร้องเพลงเพราะคิดถึงแม่ ทุกวันนี้ที่ร้องเพลงเพียงเพราะปรเมษฐ์ชอบฟัง ไม่ว่าจะเป็นช่วงตอนไหนในความทรงจำถ้าหากเขาร้องเพลงเขาจะได้เห็นรอยยิ้มละมุนฉาบอยู่บนใบหน้านั่นเสมอ เขารู้ตัวว่าไม่ใช่คนเก่ง เรื่องเรียนก็ห่วยแตก เล่นกีฬาก็งั้นๆ เทียบกับลูกบ้านอื่นไม่มีอะไรจะทำให้ป๊าภูมิใจได้สักอย่าง ถ้าการร้องเพลงมันจะเป็นสิ่งที่เด็กโง่ๆ อย่างเขาจะทำให้ป๊ายิ้มได้ เขาก็อยากจะทำมันให้ดีที่สุด

แต่ดูเหมือนป๊าจะไม่ได้คิดแบบนั้นสินะ เพราะที่เขาเห็นกองอยู่บนโต๊ะเมื่อสักครู่คือตำราเตรียมสอบแพทย์ ป๊าสามารถหาเวลามาติวหนังสือให้ผู้หญิงคนนั้นได้ทั้งที่แทบไม่มีเวลาว่างไปรับไปส่งเขาด้วยซ้ำ... แล้วไหนจะรอยยิ้มแบบนั้นอีก จริงๆ แล้วป๊าไม่ได้ใจดีแค่กับเขาสินะ หรือจริงๆ แล้วป๊าไม่ได้รักเขาเพราะคิดว่าเขาเป็นลูก แค่คิดว่าต้องดูแลเขาให้ดีเพราะเขาเป็นลูกของแม่ เหมือนอย่างที่ดุริยะพูดว่า

...เขาเป็นแค่ตัวแทนความรักของผู้หญิงคนนั้น...


********************************TBC**************************

แอบไปส่องแทคมาแล้วก็พบว่า...
...
...
...
อะไรคือ #โป้ยะ ตอบบบบ
555555

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 25-02-2017 13:40:31
ทำไมป๊าทำงี้อะ ขออย่าให้มองกันเป็นตัวแทนเลย T_T นอกจากจะทำร้ายนอฟแล้ว ยังทำร้ายเราด้วย
กลิ่น 'บาป' แบบนี้ ช่างหอมนัก  :heaven

ถ้าจะมีโป้ยะ ต้องมาในรูปแบบแก้แค้นค่ะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 25-02-2017 13:40:58
คุณดุริยะ คุณกำลังคิดจะทำอะไร? บอกมา!!  หรือไอ้คุณยะจะเป็นพี่หรือน้องของแม่นอฟตามมาเคลียร์ปมอดีต?? *นี่ก็มโนได้อีกนะ บอกเลย*
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lukaka ที่ 25-02-2017 13:41:59
มันต้องมีอะไรมากกว่าสนใจในตัวนอฟ แน่ๆ

วิธีการเอาคืนของป๊า สินะ สินะ

#ทีมป๊า
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 25-02-2017 14:21:56
ป๊าาาปีโป้ ทำไมทำงี้ พาใครมายะ
พ่อลูกคู่นี้นี่มันยังไงกัน ดูหวงๆกันจริงๆนะคะ
ลูกไม่เชื่อดื้อไปกินข้าวกับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์  พ่อก็แลกหมัดเอาคืนด้วยการพาผู้หญิงเข้าบ้านไม่สนใจลูก
แหม่ะ มีประชดกัน
ว่าแล้วว่านอฟไม่ได้อยากจะตามหาแม่หรอก  แต่เพราะป๊ายังรอแม่ต่างหากถึงอยากตามหา
ไม่ชอบการเข้ามาแทรกของดุริยะเลย พูดยุแยงให้เข้าใจผิด
ให้พ่อลูกเค้าแตกกันเพื่อตัวเองจะได้เข้าไปแทรกตอนเด็กมันสับสน
พอพ่อลูกเค้าทะเลาะกัน แตกหักจะได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดีปลอบ ล่ะจับกิน .... แผนน้ำเซาะทรายชัดๆ
แต่ความรักความผูกพันธ์ของคนที่มีกันและกันมาแค่สองคนมาตลอดชีวิตมันทำร้ายง่ายๆไม่ได้หรอกเนอะ
หมอโป้ไม่โง่ปล่อยนอฟไปหรอกเนอะ
คนแบบดุริยะใครก็ดูออกว่าเจ้าเล่ห์ แถมฟาดเรียบไม่สนว่าชายหรือหญิงขนาดไหน
เรายังดูออกหมอโป้ก็ต้องดูออกสิ
ไหนๆพ่อลูกคู่นี้ก็ไม่เหมือนกันขนาดนี้ เป็นไปได้ไหมว่า นอฟอาจจะไม่ใช่ลูกจริงๆของหมอโป้ (ปลดล็อคเลย)
เสียงซ่อนหัวใจ มาจากนอฟร้องเพลงเพื่อป๊า
คิดถึงหมอโม ติ๊นหน้ามนคนซื่อ  สองพี่น้องบ้านศิลปะ  พวกเค้าจะโผล่มาไหมคะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: cocoagx ที่ 25-02-2017 17:53:54
งืออออออออออซงซานตาหนู
พี่ยะนี่มาร้ายเบอร์นี้เลยหรอ มีความยุแยง
ป๊าก็เนอะ ไปโกรธเด็กมัน มีความเอาคืน เด็กมันคิดไปถึงไหนแล้วป๊า
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 25-02-2017 19:10:37
น้องนอฟ ป๊ากำลังหึงตะหาก วันนี้หนูเป็นเด็กดื้อนี่นา
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-02-2017 20:14:52
ดุริยะต้องการอะไร อยากได้นอฟ?
หรือมีอะไรเกี่ยวพันกัยแม่นอฟ?
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 25-02-2017 21:14:16
ป๊าาาปีโป้ ทำไมทำงี้ พาใครมายะ
พ่อลูกคู่นี้นี่มันยังไงกัน ดูหวงๆกันจริงๆนะคะ
ลูกไม่เชื่อดื้อไปกินข้าวกับตาเฒ่าเจ้าเล่ห์  พ่อก็แลกหมัดเอาคืนด้วยการพาผู้หญิงเข้าบ้านไม่สนใจลูก
แหม่ะ มีประชดกัน
ว่าแล้วว่านอฟไม่ได้อยากจะตามหาแม่หรอก  แต่เพราะป๊ายังรอแม่ต่างหากถึงอยากตามหา
ไม่ชอบการเข้ามาแทรกของดุริยะเลย พูดยุแยงให้เข้าใจผิด
ให้พ่อลูกเค้าแตกกันเพื่อตัวเองจะได้เข้าไปแทรกตอนเด็กมันสับสน
พอพ่อลูกเค้าทะเลาะกัน แตกหักจะได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดีปลอบ ล่ะจับกิน .... แผนน้ำเซาะทรายชัดๆ
แต่ความรักความผูกพันธ์ของคนที่มีกันและกันมาแค่สองคนมาตลอดชีวิตมันทำร้ายง่ายๆไม่ได้หรอกเนอะ
หมอโป้ไม่โง่ปล่อยนอฟไปหรอกเนอะ
คนแบบดุริยะใครก็ดูออกว่าเจ้าเล่ห์ แถมฟาดเรียบไม่สนว่าชายหรือหญิงขนาดไหน
เรายังดูออกหมอโป้ก็ต้องดูออกสิ
ไหนๆพ่อลูกคู่นี้ก็ไม่เหมือนกันขนาดนี้ เป็นไปได้ไหมว่า นอฟอาจจะไม่ใช่ลูกจริงๆของหมอโป้ (ปลดล็อคเลย)
เสียงซ่อนหัวใจ มาจากนอฟร้องเพลงเพื่อป๊า
คิดถึงหมอโม ติ๊นหน้ามนคนซื่อ  สองพี่น้องบ้านศิลปะ  พวกเค้าจะโผล่มาไหมคะ

หมอโมมาเดินผ่านไปฉากนึงแล้วนะคะ แต่พี่ติ๊นกับพี่น้องสองทีคงไม่ได้มาค่ะพราะตามไทม์ไลน์แยกย้ายกันไปแล้ว
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 25-02-2017 21:41:54
เปลี่ยนเป็น #ทีมนอฟ ได้ไหม
แบบไม่เอาใครสักคน ณ ตรงนี้ #หมั่นไส้ป๊า  #อยากเตะลุงยะ  :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 26-02-2017 00:00:17
มาวินมากค่ะ ดิชั้นขอเดาว่าอิพ่องอนแรงอยู่


5555555 ส่วนนอฟนี่เราเดาว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆแน่เลย


ความผิดบาปนี้ ชอบจังค่ะ กร๊ากกก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-02-2017 00:19:14
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-02-2017 00:24:46
อิพี่ยะนี่งูพิษชัด ๆ โปรดิวเซอร์ต้องทำขนาดนี้ ต้องร้ายกาจเบอร์นี้
ส่วนเรื่องแม่ของนอฟต้องมีเงื่อนงำแน่ ๆ แต่แปลกใจคลอดลูกวันเดียวนี่ออก รพ.ได้แล้วเหรอ แข็งแรงจริง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 26-02-2017 08:34:52
แต่แปลกใจคลอดลูกวันเดียวนี่ออก รพ.ได้แล้วเหรอ แข็งแรงจริง

หืมมมม วาไม่ได้คลอดแล้วกลับบ้านเลยนะคะ มีตรงไหนที่เราเขียนแล้วทำให้เข้าใจผิดหรือเปล่า เราจะได้แก้ไข เพราะมีผลกับเนื้อเรื่องต่อจากนี้ค่ะ

ปล. [ข้อมูล] คลอดตามธรรมชาติ(normal labor) ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ แม่แข็งแรง ลูกแข็งแรง วันรุ่งขึ้นก็กลับบ้านได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 01-03-2017 15:35:06


อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าคุณโปรดิวเซอร์นี่มันเฒ่าหัวงูชัดๆ
โอ้ยยยยยยยยย ร้ายกาจมาก เป็นห่วงน้องนอฟขึ้นมาอีกหลายเท่า
ดูแล้วตัวน้องเองก็หวั่นไหวกับเรื่องป๊าง่ายดายอยู่แล้ว
ยังมีลุงโปรดิวเซอร์หัวงูมาปั่นหัวอีก สังหรณ์ใจว่าความสัมพันธ์พ่อลูกจะเริ่มสั่นคลอนแล้ว ;w;;

คุณป๊าพาเด็กผู้หญิงที่ไหนมาติวหนังสือละนั่น
เมินลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคะ
เดี๋ยวน้องนอฟก็เตลิดไปหาตาเฒ่าหัวงูนั่นหรอก
ดูจากการพูดจาหว่านล้อมแล้วเป็นคนอันตรายและควรระวังมากๆ

ขอสั่งให้คุณป๊ากลับมาสนใจลูกชายเดี๋ยวนี้ยยยยย์!!!

หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 01-03-2017 17:17:19
อีคุณยะนี่มีปมป่ะ เป็นไรมากป่ะคะ ชอบปั่นคนอื่นเนี่ย เห็นคนรักกันไม่ได้ต้องขัดขวางง เบ้ปากมองบนนน :katai1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 01-03-2017 22:55:16
สงสารนอฟฟฟ ไม่ชอบคุณยะเลย นิสัยยังไม่เห็นส่วนดีใดๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PHA_ ที่ 02-03-2017 01:40:57
โอยยย ยัยนอฟโดนเขาปั่นแล้วมั้ยล่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Ryoooo ที่ 02-03-2017 14:31:46
ป๊าประชดนอฟไงลูก
ก็หนูไม่ยอมฟังที่ป๊าเตือนเรื่องไอ้แก่(?) นั้นเลย

มีคนมาแทรกก็ขอแค่ให้รู้ใจตัวเองพอนะ
อย่ามากคิดแย่ง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 03-03-2017 09:16:18
5555

เชียร์ป๊านะ แต่เด็กดื้อแบบนอฟน่ารำคาญ ควรปล่อยให้รู้ด้วยตัวเอง

ถ้าเกิดไรขึ้นเพราะความถือดีของตัวเอง ก็แค่คอยประคองจนกว่ามันจะยืนได้ใหม่ จริง ๆ บางอย่างไม่ต้องเอาตัวเองลงไปเล่นให้เสียหายก็รู้ได้ แต่สำหรับนอฟ เรียกว่าถือดี ปล่อยคะ 555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 3 [26/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 04-03-2017 14:11:02
Chapter 4

“เป็นไงบ้างครับ” นภธรณ์พูดผ่านไมค์ถามคนที่นั่งดูอยู่อีกฝั่งกระจกของห้องอัด วันนี้เขามาถึงก่อนเวลานัดพอสมควรเพื่อทำความเข้าใจกับเนื้อหาเพลง และซักซ้อมคนเดียวอยู่หลายครั้งก่อนเริ่มอัดจริง

“เหมือนจะดี” ดุริยะกอดอกครุ่นคิด เขายังดูดุเหมือนวันก่อนแต่อารมณ์ดีขึ้นมากทีเดียว “จริงอยู่ว่าเธอร้องได้เจ็บปวด อ้อนวอนแต่ฉันคิดว่ามันยังขาดอะไรไป รู้สึกว่ามันยังไม่สุด เธอน่าจะทำได้ดีกว่านี้นะ ลองกลับไปทบทวนเนื้อเพลง ไม่สิ! เธอต้องตีความหมายเพลงให้เป็น ‘บาป’ ของตัวเองแล้วลองร้องดู”

“บาปของผมเหรอครับ”

“ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ เลเวลความรักของเธอยังเป็นแค่ ‘ความต้องการ’ นั่นหมายความว่ามันจะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่สิ่งที่ฉันอยากได้คือ ‘ความปรารถนา’”

“ความปรารถนา” นภธรณ์ทวนคำ

“ใช่ อยากได้มาครอบครองมากถึงแม้ว่านั่นจะไม่ใช่ของของตัว ต่อให้ต้องทำบาปโดยการไปขโมยหรือแย่งชิงจากคนอื่นมาก็จะทำ” ดุริยะพยายามอธิบาย

แต่เด็กหนุ่มซึ่งเติบโตมาโดยการเลี้ยงดูอย่างดีจนเรื่องที่ขาดแม่ยังไม่เป็นปมด้อยในชีวิตก็ยังคงไม่เข้าใจ

“เธอไม่เคยมีแฟนหรือมีความรักบ้างเลยเหรอ”

เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นมาทันที “มะ... ไม่เคยเลยครับ”

ดุริยะย่นคิ้ว “ล้อเล่นหรือเปล่า ตอนอายุเท่าเธอนี่ฉันมีแฟนมาอย่างน้อยก็สามหรือสี่คนแล้วนะ ถามจริง นี่เธอขนขึ้นหรือยังเนี่ย”

“พี่ยะ!”

“หน้าแดงขนาดนี้แสดงว่ายังเวอร์จิ้นชัวร์ นี่อย่าบอกว่าแม้แต่ช่วยตัวเองยังไม่เคยน่ะ”

“พี่ยะพูดอะไรก็ไม่รู้ เรื่องแบบนั้นผมรู้หรอกน่า”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ดุริยะหัวเราะลงคอ “รู้แล้วทำเป็นหรือเปล่า”

“เป็นสิ!”

“จริงเหรอ” นัยน์ตาพราวระยับขึ้นทันที ดุริยะเลื่อนมือไปโอบรอบเอวสอบดึงเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบที่ข้างหู “งั้นมาพิสูจน์หน่อยสิ”

นภธรณ์หันไปตีมือคนอายุมากกว่าดังเพี๊ยะพร้อมกับขืนตัวออกห่าง “อย่ามาหลอกผมซะให้ยาก ผมไม่ติดกับพี่ยะง่ายๆ หรอก”

“แหม เสียดายจัง ฉันก็หลงดีใจนึกว่าจะมีได้เสีย” ดุริยะอมยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะปล่อยมือก็ยังไม่วายตบมือลงบนสะโพกเบาๆ ครั้งหนึ่งเป็นการเอาคืน “วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาดูกันใหม่ว่าเธอตีความ ‘บาป’ ของเธอไปในทางทิศไหน ฉันคาดหวังในตัวเธอนะ”

“ขอบคุณครับ”

เมื่อดุริยะเดินแยกตัวไป ตฤณก็รีบปราดเข้ามากระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงไปสนิทกับเขาง่ายจัง”

นภธรณ์เหลือบมองแผ่นหลังของคนที่เดินพ้นมุมไปแล้ว “เขาก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรนะครับ แค่มือไวไปหน่อยกับชอบหยอดไปเรื่อย ถ้ารู้แบบนี้ผมก็คิดว่ารับมือเขาได้นะ”

“นายอย่าเพิ่งไว้ใจไป ฉายาเสือผู้หญิงไม่ใช่ว่าได้สาวแค่คนสองคนซะเมื่อไหร่” ตฤณเตือนด้วยความเป็นห่วง

“ผมอาจจะเป็นผู้ชายคนแรกของพี่เขาไง เขาเลยยังไม่ค่อยคล่อง” นภธรณ์พูดขำๆ

“ไม่ตลกนะนอฟ ฉันจะฟ้องคุณโป้”

ได้ยินชื่อพ่อ นภธรณ์ก็ค่อยสลดลงเล็กน้อย “เอาเป็นว่าผมจะระวังครับ”

“แล้ววันนี้กลับยังไง คุณโป้มารับเหรอ”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ป๊าไม่ยอมคุยกับผมตั้งแต่เมื่อวาน”

“โห นี่แสดงว่าโกรธจริงจังนะเนี่ย นายเองก็ยอมๆ ขอโทษคุณโป้ไปเถอะ เขาก็แค่ดุเพราะเป็นห่วงนายมากไปหน่อย”

“ผมรู้ แต่ผมก็ไม่ผิดนี่นา”

“เป็นงั้นไป” ตฤณบ่นอย่างจนใจกับพ่อลูกคู่นี้ “อ้าว พูดถึงก็มาพอดีเลย สวัสดีครับคุณโป้ ทำไมวันนี้ว่างมารับลูกชายได้ครับ”

“วันนี้ไม่มีเคสน่ะ” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ ก่อนจะพยักหน้าเรียกให้ลูกชายเดินตามออกไปด้วยกัน

“งั้นผมกลับก่อนนะครับพี่ตฤณ พรุ่งนี้เจอกัน”

รถเคลื่อนออกตัวออกไปได้สักพักปรเมษฐ์ก็เอ่ยขึ้น “เห็นตฤณโทรมาเล่าให้ฟังว่าแกคุยกับหมอนั่นถูกคอเหรอ” 

เมื่อถูกถามเรื่องงานขึ้นมา นภธรณ์ก็รู้สึกดีใจที่ป๊ายังสนใจเขาอยู่บ้างจึงรีบพูดทุกอย่างที่อยากจะเล่าให้ฟังตั้งแต่เมื่อคืน “พี่ยะออกจะใจดี เรื่องที่เขาลือกันถึงจะเป็นความจริง แต่ผมคงไม่ใช่สเปคเขาหรอกมั้ง เขาอาจจะแค่สนใจอยากทำงานกับผมจริงๆ ก็ได้” ตบท้ายเสริมไปหวังจะให้อีกฝ่ายสบายใจ

แต่ดูเหมือนปรเมษฐ์จะไม่คิดเช่นนั้น เมื่อหน้าคมนั่นยิ่งบูดบึ้งหนักกว่าเดิม “เหรอ”

“ป๊า” นภธณ์เรียกเสียงอ่อย ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรให้ไม่ถูกใจ

“อยากทำอะไรก็เชิญ แต่ฉันขอเตือนแกไว้อย่างนะว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ได้มาฟรีๆ หรอก” ปรเมษฐ์ว่าก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง และครั้งนี้มันก็ยาวนานมาก บรรยากาศภายในรถเงียบเชียบจนรู้สึกอัดอัดอย่างเห็นได้ชัด

“ป๊า ผมขอถามอะไรหน่อยสิ” นภธรณ์ชวนคุยพยายามจะทำลายความเงียบนั้น “ผมหน้าเหมือนแม่หรือเปล่า”

นี่เป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจเขามาตลอดนับตั้งแต่วันที่ไปกินข้าวกับดุริยะ เขาสงสัยว่าตกลงป๊ารักเขาจริงๆ ใช่ไหม หรือแค่เลี้ยงไว้เพราะว่าเป็นลูกของแม่... เพราะเป็นตัวแทนของคนที่ป๊ารักอย่างนั้นเหรอ

แท้จริงแล้วความรักที่ให้มานั่นเป็นของเขาหรือของผู้หญิงคนนั้น

ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้ว เป็นครั้งแรกที่ลูกชายเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามถึงเรื่องแม่ขึ้นมาก่อน “ถามทำไม”

“แค่อยากรู้”

“จะว่ายังไงดี... แกหน้าเหมือนวาอย่างกับแกะ ทั้งแววตาน้ำเสียง จะเรียกว่าเป็นวาในเวอร์ชั่นผู้ชายก็ได้ แกอยากดูรูปแม่ไหมล่ะ ฉันจะเอาให้ดู” ปรเมษฐ์ล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาโยนส่งให้

นภธรณ์นิ่งงันไปทันที ไม่คิดว่าในบ้านที่ปราศจากรูปถ่ายจะมีรูปใบหนึ่งอยู่ใกล้ตัวมาตลอด

เขาจ้องมองดูภาพถ่ายสีซีดใบเก่าของหญิงสาวคนหนึ่ง มันเป็นภาพที่เธอกำลังยืนร้องเพลงคู่กับเปียโนตัวหนึ่งอยู่บนเวทียกพื้นต่ำในร้านอาหาร ใบหน้าหวานแย้มยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายกล้าสดใส ถึงภาพถ่ายจะไม่สามารถบันทึกเสียงได้แต่ก็เขาก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงที่กำลังร้องเพลงอย่างมีความสุข

และที่สำคัญคือ... เธอคนนั้นช่างเหมือนเขาไม่มีผิด แม้แต่วิธีการจับไมค์ที่ปลายนิ้วก้อยจะกระดกขึ้นเล็กน้อย ไม่สิ! ต้องบอกว่าเขาต่างหากที่เหมือนเธอคนนั้น

“แล้ว... แม่เกิดเดือนพฤศจิกาเหรอครับ”

“ใช่”

“เหรอครับ” เขารีบปิดกระเป๋าและส่งคืน รู้สึกว่าทนมองผู้หญิงคนนี้นานไปมากกว่านี้แม้สักหนึ่งนาทีก็ไม่ไหวแล้ว ในอกมันอึดอัดไปหมดเมื่อรู้ว่าป๊ายังพกรูปผู้หญิงคนนั้นติดตัวเสมอ โดยที่ไม่เคยคิดจะพกรูปของเขาบ้างเลย “ป๊ารักแม่มากสินะ”

ตาคมหันมามอง “ของมันแน่อยู่แล้ว ก็วาเป็นแม่ของแกนี่ ทำไมเหรอ”

“เปล่าครับ แค่พูดเฉยๆ” นภธรณ์บอกเรียบๆ ก่อนจะเสหันมองออกไปนอกรถเพื่อซ่อนความรู้สึกปวดหนึบในใจจนแทบระเบิดนี้ พยายามพูดถามไปเรื่อยๆ ไม่ให้บรรยากาศในเงียบอีกครั้ง ทั้งที่ตอนนี้ปากเริ่มสั่นนิดๆ “ถ้าป๊าได้เจอแม่อีกครั้งจะดีใจไหม”

“นั่นเป็นสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดในชีวิตเลยล่ะ”

ริมฝีปากบางเม้มสนิทเขาฝืนพูดต่อไปไม่ได้แล้ว ขอบตาร้อนผ่าว เด็กหนุ่มล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงเพื่อซ่อนมือที่กำเป็นหมัดแน่น ไม่เข้าใจว่าทำไมทั้งโกรธและน้อยใจมากมายขนาดนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะรู้สึกอิจฉาจากการที่ได้รู้ว่าป๊ายังรักแม่มากอย่างนั้นเหรอ

แล้วทำไมป๊าถึงต้องไปคิดถึงคนที่ทิ้งไปแบบนั้นด้วยล่ะ ในวันที่ป๊าร้องไห้แทบเป็นแทบตาย ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยรับรู้และเหลียวแลอะไรเลย มีแค่เขาคนเดียวไม่ใช่เหรอที่อยู่กับป๊ามาตลอดสิบเจ็ดปี ทำไมป๊าถึงไม่สนใจเขา... คนที่อยู่กับป๊าตรงนี้ล่ะ

...แล้วทำไมเขาถึงต้องรู้สึกอิจฉาผู้หญิงคนนั้นถึงขนาดนี้ด้วยล่ะ... ทำไม...

############################

“หยุดเดี๋ยวนี้!” ดุริยะตะโกน ถึงจะไม่ได้ใช้ไมค์แต่เสียงก็ดังก้องไปทั่วจนทำให้ทุกคนขวัญหนีดีฟ่อ เขากระชากเฮดโฟนที่ครอบหูออกและจ้องเขม็งไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนตัวลีบอยู่ในห้องอัด “เกิดอะไรขึ้นทำไมยิ่งร้องยิ่งห่วยแบบนี้ล่ะ!”

“ผมขอโทษครับ” นภธรณ์กล่าวเสียงอ่อยอย่างไร้คำจะโต้แย้งเพราะเขารู้ตัวดีว่าทำได้แย่ตามที่โดนดุจริงๆ วันนี้เขาไม่มีสมาธิเลย ไม่รู้ทำไมทั้งที่พยายามตั้งใจแท้ๆ แต่แค่ท่อนง่ายๆ ยังร้องให้ผิดคีย์ได้

“เสียเวลาจริงๆ จะไปไหนก็ไปเลยไป!”

“ไปไหนครับ” เด็กฝึกงานคนหนึ่งซึ่งกำลังวิ่งเอาน้ำเย็นเข้ามาเสิร์ฟถามซื่อๆ

“จะไปไหนก็เรื่องของพวกมึง! กูไม่มีอารมณ์จะทำอะไรแล้วเว้ย!” ดุริยะตวาดลั่นพร้อมกับเขวี้ยงเนื้อเพลงในมือใส่กระจกห้องอัด ทำเอาทีมงานทุกคนกระจายตัวออกห่างราวกับผึ้งแตกรัง

เด็กหนุ่มเดินคอตกออกมาจากห้องอัด มือกำเป็นหมัดแน่นพยายามฝืนไม่ให้เอื้อมลงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาคนที่ตอนนี้อยากได้ยินเสียงมากที่สุด

เขามองไปรอบๆ หาที่เงียบๆ เพื่อจะได้อยู่กับตัวเองโดยไม่มีใครรบกวนสักพัก จะได้ตัดเรื่องที่วนเวียนอยู่ในสมองนี้ทิ้งไป... ไม่ว่ายังไงเขาก็หยุดคิดถึงคำพูดของป๊าเมื่อวานนี้ไม่ได้เลย คำที่ป๊าบอกว่ารักผู้หญิงคนนั้น... ทำไม?! ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นแม่ของเขาแท้ๆ ทำไมต้องไปอิจฉาจนต้องเก็บเอามาคิดมากแบบนี้ด้วย

ประตูตรงโถงทางเดินเปิดออกพร้อมกับที่ชายร่างสูงใหญ่ในชุดสูทก้าวพรวดพราดเข้ามา

พลันหัวใจที่เจ็บปวดของนภธรณ์ก็เต้นรัวแรงขึ้นเมื่อเห็นชัดว่าชายคนนั้นเป็นใคร แต่ก็ยังไม่กล้าเรียกออกไป เพราะตอนนี้ในใจมันสับสนไปหมด

ถามว่าอยากเจอ อยากได้กอดแน่นๆ เป็นกำลังใจไหม? คำตอบคืออยากมากที่สุด แต่ใจนึงก็กลัว... กลัวว่าทั้งหมดที่ทำให้เพราะเห็นเขาเป็นเงาของคนอื่น

เขายังคงแอบเฝ้ามองอยู่ตรงมุมห้องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นปรเมษฐ์เหลียวมองซ้ายขวาเหมือนกับกำลังหาใครสักคนอย่างร้อนรน ซ้ำแล้ว... ซ้ำเล่า...

หัวใจเต้นเร็วขึ้นอีก ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ ที่แห่งนี้คนที่ป๊าจะมาหาได้น่าจะมีแค่เขา

 “ป๊า” เรียกออกไปด้วยเสียงแหบแห้งอย่างที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน

แต่มันก็ดังไปถึงและดึงให้ปรเมษฐ์หันมาสบตา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะพยักเพยิดให้ลูกชายเดินตามออกไปด้วยกัน

ทั้งสองเดินมาขึ้นรถที่จอดอยู่ด้านหลังตึก นภธรณ์นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับและยังคงไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรจึงเป็นฝ่ายปรเมษฐ์ที่เปิดประเด็นในการมาหาขึ้นมาก่อน

“ตฤณโทรมาเล่าให้ฟังว่าแกร้องเพลงไม่ได้สักทีจนโดนหมอนั่นดุอีกแล้วเหรอ”

เด็กหนุ่มย่นปาก สงสัยจริงๆ ว่าตกลงตฤณเป็นผู้จัดการของเขาหรือเป็นคนที่ป๊าส่งมาเฝ้ากันแน่ ถึงได้รายงานทุกเรื่องแบบทันเหตุการณ์ขนาดนี้ “ป๊าสนใจด้วยเหรอครับ”

“ทำไมแกพูดแบบนั้น” ปรเมษฐ์ถามเสียงดัง

นภธรณ์ไม่ตอบและหันหน้าหนีเพราะกลัวว่าถ้าพูดไปจะยิ่งทำให้ป๊าโกรธ

“นอฟ อย่าหนีสิ มีอะไร หันมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

“...”

มือใหญ่เอื้อมมาคว้าหัวไหล่ดึงให้หันมาสบตา “นอฟ! มีอะไร ไหนเล่าให้ฉันฟังสิ เราสองคนไม่เคยมีความลับกันไม่ใช่เหรอ”

นภธรณ์ยังคงปิดปากแน่นอย่างดื้อดึง

“นอฟ!”

เมื่อถูกคาดคั้นเอามากๆ นภธรณ์ก็ทนไม่ไหวหลุดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปจนได้ “ป๊าทนเลี้ยงผมมาเพราะผมหน้าเหมือนแม่ใช่ไหมล่ะ! เพราะป๊ารักแม่ใช่ไหม ไม่ได้รักผม”

นัยน์ตาคมเบิกโตด้วยความประหลาดใจ “แกกำลังพูดเรื่องอะไรกัน”

“ก็เห็นๆ กันอยู่นี่ ผมเกิดเดือนตุลาแท้ๆ ป๊ายังไปตั้งชื่อว่านอฟที่มาจาก November ได้ แบบนี้แล้วจะให้ผมคิดยังไงล่ะ” เขาตัดพ้อ น้ำใสเริ่มรื้นเต็มสองตา

คิ้วเข้มมุ่นเข้าหากันอยู่อึดใจแล้วก็นึกถึงบทสนทนาเมื่อวันก่อนขึ้นมาได้ “นอฟ ฉันไม่รู้นะว่าแกไปฟังใครพูดอะไรมา แต่ถ้าแกซีเรียสกับเรื่องนั้นมากนัก แกก็อย่าลืมสิว่าฉันก็เกิดเดือนพฤศจิกาเหมือนกัน” ปรเมษฐ์พูดเสียงดัง “ไม่ใช่เพื่อระลึกถึงวา แต่เพราะฉันอยากให้ทุกคน... โดยเฉพาะแก รู้ว่าแกเป็นลูกของฉัน”

“วันเกิดป๊าเหรอ” นภธรณ์ทวนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง... ต้องงี่เง่าแค่ไหนกันถึงจะลืมวันสำคัญขนาดนั้นไปได้

“อยู่กันมาตั้งสิบเจ็ดจนจะสิบแปดปีนี่แกยังไม่รู้อีกเหรอว่าฉันรักแกมากแค่ไหน” ปรเมษฐ์ถามกลับ “ถ้าฉันคิดแค่จะเลี้ยงแกให้ดีเพียงเพราะแกเป็นลูกวา ฉันไม่เสียเวลาเลี้ยงเองหรอก ฉันยกให้ปู่ให้ย่าเลี้ยงไปตั้งนานแล้ว”

“แล้วทำไมหมู่นี้ป๊าไม่สนใจผมเลยล่ะ วันก่อนก็พาคนแปลกหน้ามาติวหนังสือที่ห้อง ไปเข้าเวรจะไม่กลับบ้านก็ไม่โทรบอก รู้ไหมว่าผมรอป๊าทั้งคืนเลยนะ”

“ก็ดัดนิสัยเด็กปากดีที่บอกว่าดูแลตัวเองได้ไง... เป็นไง ชอบไหมล่ะแบบนี้”

นภธรณ์เม้มปากแน่นพร้อมกับส่ายหน้า

“แสดงว่าที่ร้องเพลงไม่ได้สักทีนี่เพราะมัวแต่คิดอะไรไร้สาระแบบนี้อยู่สินะ” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมยื่นมือไปจับปลายจมูกเชิดรั้นนั้นบิดไปมา “เลิกนอยด์เรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว ฉันรักแกจะตาย มาใส่ร้ายกันแบบนี้คนที่น่าน้อยใจน่ะมันควรจะเป็นฉันมากกว่านะ เด็กโง่เอ๊ย!”

“ขอโทษนะที่ไม่ฉลาดเหมือนป๊าน่ะ” นภธรณ์สะบัดจมูกที่กำลังถูกเล่นงานหนี และอึดใจต่อมาเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่ามากขึ้นไปอีกเมื่อปรเมษฐ์เอื้อมมือไปหลังเบาะแล้วหยิบถุงกระดาษใบใหญ่ส่งให้

“เอ้า! นี่”

“อะไรครับ...” เด็กหนุ่มตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสัญลักษณ์ของแบรนด์อุปกรณ์กีฬาบนถุง เขารีบดึงเอากล่องของข้างในออกมาแกะออกดูทันที “เฮ้ย! อย่าบอกนะว่า... ลายเสือด้วย! ป๊าไปเอามาจากไหน!?”

“ให้เพื่อนที่อยู่อเมริกาสั่งทำแล้วส่งแอร์เมลมาให้”
เด็กหนุ่มกอดของขวัญที่เพิ่งได้รับมาแน่น “ป๊ารู้ได้ไงว่าผมอยากได้”

“ก็อาทิตย์ก่อนแกเพิ่งมาขอเงินฉันไปซื้อไม่ใช่เหรอ แล้วก็ไม่เห็นเอามาใส่อวดสักทีก็แสดงว่าของหมดสั่งไม่ทันแน่ๆ” ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอพลางยกมือขึ้นขยี้ผมลูกชายเล่น “มีเรื่องอะไรของแกบ้างที่ฉันจะคลาดสายตาฉันไปได้ หืมมม”

“ขอบคุณนะป๊า” นภธรณ์กอดกล่องรองเท้าในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีก ใจจริงอยากกระโดดกอดคนให้มากกว่า แต่ถ้าทำตอนนี้ต้องโดนดีดตกรถแน่ๆ เพราะป๊าไม่ชอบให้เขาทำอะไรประเจิดประเจ้อ

“สบายใจแล้วก็ไปทำงานได้แล้วไป อย่าปล่อยให้คนอื่นรอ”

“ครับ” นภธรณ์รับคำเสียงใสแล้วรีบถอดรองเท้าคู่เก่าออกโยนไปข้างหลังก่อนจะดึงคู่ใหม่ออกจากกล่องมาสวมอย่างกระตือรือร้น

“ชักช้าจริง” ปรเมษฐ์บ่นกับท่าทางผูกเชือกรองเท้าเก้ๆ กังๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าท่อนขาขึ้นมาวางพาดบนหน้าขาของตนแล้วจัดแจงผูกให้เสียเอง

เด็กหนุ่มมองมือใหญ่ค่อยๆ ตวัดเชือกมาพันกัน ภาพเหตุการณ์เมื่อนานมาแล้วก็หลั่งไหลกลับเข้ามาในหัว

ชายหนุ่มในชุดกาวน์สั้นจูงเด็กชายตัวเล็กจ้อยมาส่งที่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล เด็กน้อยเบะปากและกำชายเสื้อกาวน์แน่น มือเล็กสั่นเทา ขาสั้นๆ ก้าวสะดุดเหยียบเชือกรองเท้าหลุดเป็นเหตุให้หยุดเดินและรั้งมือผู้เป็นพ่อไว้

“ผะ... ผม... วันนี้ผมไม่อยากไปโรงเรียน”

คนเป็นพ่อย่อตัวลงนั่งตรงหน้าและจัดการผูกให้ “ทำไมนอฟถึงไม่อยากไปละครับ"

“ผม... ผม... ผมกลัว” เด็กชายพูดไปสะอื้นไป “ก็... ก็ป๊าจะทิ้งผมไว้คนเดียวนี่นา...”

ชายหนุ่มสะดุดกับคำพูดนั้นและเหลือบตาขึ้นมอง “ทำไมนอฟถึงคิดว่าป๊าจะทิ้งละครับ”

“มะ... เมื่อคืนป๊าร้องไห้อีกแล้ว... ป๊าคิดถึงแม่ใช่ไหม... ป๊าจะทิ้งผมไว้ที่โรงเรียนแล้วไปตามหาแม่หรือเปล่า”

ชายหนุ่มสบสายตาที่แดงก่ำ ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามันออกช้ำนิดๆ และนั่นไม่ได้เกิดจากการที่สะอื้นอยู่ตอนนี้ เป็นหลักฐานว่าลูกชายคงคิดมากและแอบนอนร้องไห้มาตั้งแต่เมื่อคืน เขาคว้ามือเล็กๆ ที่สั่นเทาขึ้นมากุมไว้ทั้งสองข้างพร้อมกับสบตา “นอฟครับ ฟังป๊านะครับ... ใช่ครับ ป๊าคิดถึงแม่ของนอฟ แต่ป๊าเลือกที่จะอยู่กับนอฟนะครับ”

“ป๊าจะไม่ทิ้งผมไปอีกคนใช่ไหม”

“ไม่ครับ ป๊าจะอยู่กับนอฟ” ชายหนุ่มยืนยันและละมือข้างหนึ่งขึ้นประกบข้างแก้มแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้ “เลิกร้องไห้ได้แล้วนะครับคนเก่ง ถ้านอฟอยากจะร้อง เปลี่ยนเป็นร้องเพลงให้ป๊าฟังแทนได้ไหมครับ เหมือนที่นอฟร้องให้ป๊าฟังเมื่อคืนไง”

เพราะยังเด็กมากเลยไม่รู้จักวิธีการหรือคำพูดปลอบใจ รู้แค่ป๊าเคยบอกว่าแม่ร้องเพลงเก่งและป๊าก็ชอบฟัง เขาจึงทำได้แค่นั่งจับชายเสื้อป๊าไว้แน่นและร้องเพลงไปเรื่อยๆ

“ถ้าผมร้อง ป๊าจะเลิกร้องไห้ไหม”

“ไม่ร้องแล้วครับ”

เด็กชายเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นแล้วยกนิ้วก้อยเล็กๆ ขึ้นตรงหน้า “สัญญานะ”

ตาคมจับจ้องอยู่ที่ปลายนิ้วอึดใจ ชายหนุ่มไม่ได้ยกมือขึ้นเกี่ยวก้อยตอบ แต่ใช้วิธีแตะริมฝีปากลงบนปลายนิ้วนั้นเบาๆ


“ฉันจะรออยู่ข้างนอกนะ เสร็จแล้วเราค่อยไปกินข้าวกัน” ผู้ชายคนเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มใหญ่กระซิบพร้อมกับดึงโบรองเท้าให้แน่น

เวลานี้ที่แน่นไม่ใช่แค่เชือก แต่เป็นสายสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง

ในวันนั้นทั้งที่ปากบอกว่าจะรีบไป แต่ก็เกาะขอบรั้วชะเง้อคอดูจนกระทั่งประตูโรงเรียนปิด นักเรียนเคารพธงชาติเสร็จเดินเข้าห้องหมดก็ยังเดินวนด้อมๆ มองๆ ด้วยความเป็นห่วงจนยามต้องมาไล่ให้ไป วันนี้ก็เหมือนกัน ทั้งที่ทะเลาะกันบ้านแทบแตก และงานก็ล้นมือแต่ป๊าก็รีบมาหาเพียงแค่พี่ตฤณโทรไปบอกว่าเขาร้องเพลงไม่ได้

ทำไมเขาถึงไปฟังคำพูดคนอื่นในเมื่อตัวเองรู้ดีอยู่เต็มอกว่าป๊ารักเขามากแค่ไหน รักที่เขาเป็นเขาโดยไม่ต้องเอาไปเปรียบเทียบกับใครๆ

เขาจะมาน้อยใจทำไมกับการที่ป๊าไปสอนหนังสือคนอื่นแค่ไม่กี่ชั่วโมงในเมื่อป๊าคอยจ้ำจี้จำไชเขามาทั้งชีวิต ทำไมเขาจะต้องไปอิจฉาผู้หญิงที่ตอนนี้หายไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ในเมื่อป๊าเลือกที่จะอยู่กับเขา

“ฉันรอฟังเพลงใหม่ของแกอยู่นะ”

ทันทีที่ริมฝีปากลากรอยยิ้มขึ้นไปจนถึงนัยน์ตาของคนตรงหน้า หัวใจก็ได้คำตอบที่เฝ้าถามกับตัวเองอยู่หลายวันอย่างชัดเจน

นภธรณ์ชะโงกหน้าไปหอมแก้มที่เอียงรออยู่แล้วครั้งหนึ่งก่อนจะกระโดดลงจากรถและวิ่งกลับเข้าไปในอาคาร

################

“ขอโทษที่ให้รอนะครับ ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว”

ดุริยะที่ตอนนี้สูบบุหรี่แก้เครียดหมดไปแล้วสองมวนในเวลาไม่ถึงสิบนาทีกวาดตามองเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้ามุ่งมั่น เขาขยี้ก้นกรองที่เหลือทิ้งและเดินเข้าไปในห้องอัดแล้วคว้าเฮดโฟนมาสวม

“เริ่มได้”

เมื่อทำนองเพลงเริ่มบรรเลง ริมฝีปากก็ค่อยขยับปลดปล่อยเสียงร้องซึ่งเป็นดังความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ และเป็น ‘บาป’ ของความต้องการยื้อแย่งคนที่ตนรักมาจากใครอีกคน

เขาไม่ได้ชอบร้องเพลงเพราะตัวเองร้องเพลงเพราะ แต่เขาร้องเพราะว่าป๊าชอบฟัง และจะร้องต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักร้องแล้วก็ตาม

ส่วนเหตุผลที่มาเป็นนักร้องเพื่อตามหาแม่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องโกหกซะทีเดียว เขาอยากจะตามหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอเร็วๆ และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเจอ

ถ้าวันนั้นมาถึง ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เขาจะมอบรอยยิ้มที่สวยงามที่สุดให้เธอ และบอกเธอว่าอย่ากลับมาในชีวิตของเขากับป๊าอีก สิบเจ็ดปีที่ไม่มีคุณเราสบายดี และเขานี่แหละจะเป็นคนทำให้ป๊ามีความสุขเอง มีความสุขยิ่งกว่าตอนที่ได้อยู่กับคุณ และเป็นคนที่มีความสุขมากกว่าใครๆ คุณต่างหากที่ควรจะต้องเป็นฝ่ายอิจฉาผม และเสียใจที่วันนั้นเลือกจะเดินจากเราไป

เด็กหนุ่มเหลือบตามองผ่านกระจก ไปยังใครคนหนึ่งที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก แล้วริมฝีปากก็คลี่ยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

“มีอะไรหรือครับ” ตฤณถามเมื่อสังเกตเห็นคนที่นั่งหน้ามุ่ยมาทั้งวันเคาะนิ้วเบาๆ ไปบนโต๊ะตามจังหวะเพลงเป็นสัญญาณที่ดีว่าเขากำลังพึงพอใจเป็นอย่างมาก

“ดูเหมือนเด็กคนนี้จะค้นพบแล้วน่ะสิ ว่าอะไรคือบาปของตัวเอง”

โปรดิวเซอร์ผู้คร่ำหวอดในวงการมายายกมือขึ้นจับคาง ริมฝีปากกระตุกมุมขึ้นเล็กน้อย นึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ไม่ใช่แค่ภูมิใจที่เป็นอีกครั้งที่มองคนไม่พลาด แต่เขากำลังมั่นใจว่ามองเห็น ‘บาป’ ที่ไม่มีใครมองเห็นแม้แต่เจ้าตัว

ความลับในใจที่พยายามปกปิดไว้โดยไม่ให้ใครรู้ แต่ก็แสดงออกชัดเจนเสียเหลือเกิน เหมือนดั่งเสียงหลบในเพลง ที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นเสียงที่หลบซ่อน แต่เมื่อได้มาอยู่ในท่วงทำนองแล้วกลับทำให้เพลงนั้นมีความเด่นชัดในอารมณ์มากขึ้นไปอีก

“เป็นไงบ้างครับ” นภธรณ์ถามหวั่นๆ ถึงจะค่อนข้างมั่นใจว่ารอบนี้ตนเองทำได้ดีมาก

ใบหน้าของโปรดิวเซอร์ดังเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด จนกระทั่งมือใหญ่คว้าไมค์ขึ้นมาและเอ่ยเสียงเครียด “ก็ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่หรอกนะ แต่ก็... ผ่าน”

“Yes!” นภธรณ์ชูหมัดขึ้นในอากาศพร้อมกับกระโดดตัวลอย ทั้งตฤณและทีมงานคนอื่นๆ พากันเข้ามากอดและจับมือแสดงความยินดีกับเขา

ทว่า สิ่งที่ทำให้หัวใจเต็มตื้นมากที่สุดกลับกลายเป็นรอยยิ้มกว้างที่ฉาบอยู่บนริมฝีปากของคนที่ยืนดูอยู่ด้านนอกพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ครั้งหนึ่ง

ถึงแม้ตอนนี้จะรู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเองปรารถนามากที่สุด แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจสักนิดถึงความหมายของเสียงหัวใจเต้นรัวที่ราวกับกำลังพยายามจะส่งสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง

*******************TBC**************************

เราจะอัพนิยายทุกวัน ศุกร์ เสาร์ หรืออาอาทิตย์นะคะ ถ้าสัปดาห์ไหนไม่ทันจริงๆ จะมาแจ้งล่วงหน้าค่ะ

ฝากผลงานเรื่องเก่าด้วยค่ะ ^^

 ER นาทีหัวใจ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44684.0)
 
Text Book (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=51214.0)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 04-03-2017 15:24:59
หรือจริง ๆ คุณยะมีบทแค่เข้ามาปลดล็อคเฉย ๆ กันนะ แต่พอแล้ว ปั่นซะนอฟนอยด์ไปเลย

ป๊านอฟ สู้ ๆ คนเขียนสู้ ๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 04-03-2017 15:48:09
โอ้วววว น้องนอฟ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 04-03-2017 17:22:54
คือคำว่า "บาป" มันสื่อให้เราคิดไปเยอะ (เกิ๊น) อ่ะ  จริงๆแล้วนอฟก็แค่เด็กที่โดนเลี้ยงเดี่ยวมาโดยพ่อ และรักพ่อ หวงพ่อมาก มันแค่นั้น จริงๆใช่ไหม? เขากลัว ได้โปรดอย่าลึกไปกว่านี้นะ งือออออ  :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 04-03-2017 18:20:50
เหมือนนอฟโดนโปรดิวฯ หลอกหล่อ ในเรื่องของบาปอ่ะ แล้วแบบไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำมันคืออะไรมันสมคสรหรือป่าว
ต้องมีดราม่าแน่ๆ :ling3:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 04-03-2017 18:50:33
นี่คิดว่าโป้ไม่ใช่พ่อแท้ๆของนอฟ  :katai3:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-03-2017 20:04:00
ร้อนจ้ะร้อน

บาปนี่ร้อนราวกับไฟลน

อ่านไปด้วยใจกริ่งเกรงเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lukaka ที่ 04-03-2017 20:20:41
นี่คิดว่าโป้ไม่ใช่พ่อแท้ๆของนอฟ  :katai3:

คิดเหมือนกันเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 04-03-2017 23:47:33
โป้แค่รับวาเป็นเมียเฉยๆ แต่นอฟไม่ใช่ลูกแท้ๆมั้ยอะ

โอ๊ยยยยย เครียดดดด อยากอ่านต่อค่าา
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: คนคิ้วท์คิ้วท์ ที่ 05-03-2017 00:14:58
คุณยะนี่ต้องเป็นตัวการสำคัญในบาปครั้งนี้แน่นอน เหมือนจะรู้ก่อนเจ้าตัวอีก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: farhhhh ที่ 05-03-2017 01:23:02
สรุปแล้วยะเป็นผู้เบิกเนตรให้กับนอฟเจอทางสว่าง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 05-03-2017 02:11:01
เราว่าโป้ต้องไม่ใช่พ่อแท้ๆของน็อฟแน่เลย  ยิ่งหน้าตาของน็อฟไม่เหมือนพ่อซักนิดแต่เหมือนแม่มากเลยด้วย
เดาว่าตอนแรกที่โป้ยอมรับเลี้ยงน็อฟเพราะรักแม่น็อฟมาก แต่แม่ของน็อฟเลือกที่จะไปตามความฝันของตัวเอง

สรุปว่าพี่ยะเป็นคนแรกที่สังเกตุเห็นบาปที่อยู่ในใจน็อฟหรอเนี่ย 5555
แต่พี่ยะอย่ามาแย่งน้องน็อฟไปจากป๊านะ กลัวจังเลย

ทีม #น็อฟโป้ (หรือจะเป็น #โป้ยะ ดี 55555555)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 06-03-2017 19:50:11
เสียงซ่อนหัวใจที่นอฟมีให้ป๊า นี่เอง
หวงเกินหวง อยากยื้อแย่งมาเป็นของตัวแต่เพียงผู้เดียว
มันเป็นบาป แบบนี้นี่เอง

ดุริยะ ก็น่าหวั่น แต่คนที่น่ากลัวของจริงคือ แม่ ที่อาจจะกลับมาต่างหาก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-03-2017 21:34:15
อ่านไปหวั่นไป
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 06-03-2017 22:30:50

กลิ่นบาปมันหอมหวานเหลือเกินนน
ยิ่งตอนนี้กลิ่นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก ฮือๆๆ ชอบบบบบ TvT

เอาจริงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นข้อดีของคุณโปรดิวเซอร์เลยสักนิด
มือไว เจ้าอารมณ์ หงุดหงิดง่าย หมั่นไส้มากอะ ไม่ชอบเลย โดยเฉพาะเวลามานัวเนียลวนลามน้องนอฟนี่อยากเอาไม้หน้าสามฟาดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก /กดเบอร์ 191 *^*

ทั้งนี้ทั้งนั้นรู้สึกเหมือนจะได้กลิ่นดราม่าปนกับกลิ่นบาปมาแต่ไกล
ลูกชายเริ่มจะเข้าใกล้ความรู้สึกของตัวเองทีละนิดแล้ว กลัวว่าถ้าน้องนอฟรู้ใจตัวเองขึ้นมาเมื่อไหร่ รู้ว่าความรู้สึกหวงป๊ามันไม่ใช่ความรู้สึกของพ่อลูกอย่างที่ควรจะเป็นแล้วน้องจะเสียใจ และที่สำคัญก็คือกลัวอิคุณป๊าเนี่ยแหละทำลูกตัวเองเสียใจ กลัวน้องจะเตลิดไปกับอิตาโปรดิวเซอร์เฒ่าหัวงู ;w;;;;;

รอตอนหน้าาาาาาาาาาา

หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 10-03-2017 22:51:45
แต่แปลกใจคลอดลูกวันเดียวนี่ออก รพ.ได้แล้วเหรอ แข็งแรงจริง


หืมมมม วาไม่ได้คลอดแล้วกลับบ้านเลยนะคะ มีตรงไหนที่เราเขียนแล้วทำให้เข้าใจผิดหรือเปล่า เราจะได้แก้ไข เพราะมีผลกับเนื้อเรื่องต่อจากนี้ค่ะ

ปล. [ข้อมูล] คลอดตามธรรมชาติ(normal labor) ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ แม่แข็งแรง ลูกแข็งแรง วันรุ่งขึ้นก็กลับบ้านได้ค่ะ


‘วาริณี’ หญิงสาวเพียงคนเดียวที่ผู้ชายคนนี้จะขอมอบทั้งชีวิตและหัวใจให้ เธอจากไปในวันที่ให้กำเนิดเด็กชาย

ตรงนี้น่ะค่า ทำให้คิดว่าคลอดเสร็จก็หายตัวไปเลยอะไรแบบนั้น

ส่วนตอนนี้นั้น พอเข้าใจได้ว่านอฟอาจจะรักหมอโป้แบบชู้สาวได้ หมอโป้อายุแค่ 36 เก่งและเท่มากในสายตาเด็กอายุ 17
ที่ไม่มีแม่ และพ่อเป็นทุกอย่างในชีวิต ที่สำคัญนอฟเห็นว่าแม่เป็นคู่แข่งซะด้วย
แต่หมอโป้เลี้ยงนอฟมาแบบลูก มันจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ยังไง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 11-03-2017 12:52:04
ติดตามต่อไปค่ะ

ดำเนินเรื่องได้ดีมาก

พี่ยะนี้เหมือนเป็นตัวแปรสำคัญกับเรื่องนี้เลยนะะคะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 11-03-2017 20:58:02
เอาจริงๆมะ เรารู้สึกหมั่นเขี้ยวคุณผจก.ตฤณจังเลยค่ะ ขอเอาใส่พานไปให้โปรดิวเซอร์ยะได้ไหม มันจะเป็นอะไรที่หอมหวนมาก #น้ำยายไหย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 12-03-2017 19:34:32
Chapter 5

การที่นภธรณ์ร้องเพลงได้เป็นที่พึงพอใจของดุริยะนั่นไม่ได้หมายความว่าเขาประสบความสำเร็จ เพียงแต่เขาสามารถ ‘ก้าวขึ้นบันไดขั้นแรก’ มาได้และหนทางข้างหน้านั้นก็ยังเหลือบันไดขั้นที่ทั้งสูงและชันให้ปีนขึ้นไปอีก

เพลงของเขาอัดเสร็จแล้วและถูกส่งไปตามรายการเพลงรวมทั้งคลื่นวิทยุต่างๆ เพื่อรอวันเปิด โดยในระหว่างนี้ทีมงานก็วุ่นวายเตรียมงานสำหรับถ่ายทำ MV และวางแผนโปรโมทในระยะยาว

ตอนนี้ชีวิตของนภธรณ์จึงวนว่ายอยู่กับการไปโรงเรียนในตอนเช้าเพราะป๊าสั่งเด็ดขาดว่าห้ามขาดเรียน ตกเย็นก็วิ่งรอกมาที่สตูดิโอเพื่อเรียนร้องเพลงและฝึกเทคนิคพิเศษเพิ่มเติมกับดุริยะที่ถึงจะโหดเขี้ยวลากแต่ก็สอนเขาแบบไม่มีกั๊ก ทั้งดีดอิเล็คโทนเองและกำกับเองไปทีละท่อน รวมไปถึงสอนการแสดงออกบนเวทีตอนร้องเพลงด้วย

“ท่าทางวันนี้อารมณ์ดีนะ มีอะไรเหรอ” ดุริยะถามเพราะไม่ว่าเขาจะดุว่าอะไรเด็กหนุ่มก็ยิ้มรับตลอด จะว่าไปพอได้คลุกคลีและทำความรู้จักเขาก็ได้รู้ว่านภธรณ์ที่ดูเหมือนเป็นเด็กหัวแข็ง ปากดี ชอบเถียงในครั้งแรกที่ได้เจอนั้นจริงๆ แล้วก็แค่เป็นคนตรงๆ มากกว่า คิดอะไรก็พูด สงสัยอะไรก็ถาม

“วันนี้ป๊าไม่มีนัดผ่าตัดครับ เลยบอกว่าจะมารับไปกินข้าว” นภธรณ์บอก ช่วงหนึ่งสัปดาห์มานี้กลับถึงห้องหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย ป๊าเองก็กลับบ้านบ้างไม่กลับบ้างเป็นปกติจึงไม่ได้เห็นหน้าหรือคุยกันตรงๆ เลย

“ช่วงนี้เพลาๆ เรื่องปิ้งย่างบ้างนะ ของทอดของมันด้วย มันไม่ค่อยดีกับเส้นเสียง” ดุริยะบอก

“โห พี่ยะอะรู้ทัน”

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่หัวเราะลงคอพร้อมกับยื่นมือไปจับแก้มเด็กหนุ่มดึงเล่นไปมา “ทางที่ดีไดเอทหน่อยก็ดีนะ แก้มออกแล้วเนี่ยถึงแก้มยุ้ยๆ จะน่ารัก แต่พอออกกล้องแล้วมันขึ้นอืด”

“อี้อ๊ะ~ อ่าแอ้งอิ อ๋มเอ็บอ๊ะ” นภธรณ์สะบัดตัวหนีออกมาได้ในที่สุดและใช้สองมือนวดหน้าที่โดนดึงจนเจ็บไปหมด “แฟนคลับผมออกจะชอบ”

“ถ้าเธอจะพูดแบบนั้น ฉันก็ชอบเหมือนกันนะ” พร้อมกับขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง

“งั้นผมลดน้ำหนักก็ได้ แต่พรุ่งนี้นะวันนี้ขอกินหมูย่างก่อน ถือเป็นมื้อสั่งลา พรุ่งนี้จะลดจริงๆ ครับ” เด็กหนุ่มทำท่าตะเบ๊ะขึงขัง

ดุริยะหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจไปพร้อมๆ กับเด็กหนุ่ม

แต่แล้วเสียงข้อความที่ดังขึ้นแค่เพียง ‘ปี๊บ’ สั้นๆ ก็กลับพรากเอารอยยิ้มบนหน้านภธรณ์ไปจนสิ้น

“มีอะไรเหรอ” ดุริยะถามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มใช้ปลายนิ้วปัดหน้าจอไปมาซ้ำๆ อยู่หลายครั้งทั้งที่เขาแอบเห็นว่าข้อความมันก็ไม่ได้ยาวนัก

“ป๊าบอกว่ามีเคสด่วนครับ มารับไม่ได้แล้ว” นภธรณ์ตอบ “ป๊าน่ะเป็นแบบนี้ประจำแหละ ผมชินแล้วละครับ... เดี๋ยวผมโทรให้พี่ตฤณมารับก็ได้”

“ไม่ต้องหรอก” ดุริยะยกมือขึ้นฉวยข้อมือเด็กหนุ่มไว้ ถึงท่าทางจะดูเหมือนไม่มีอะไร แววตานิ่งสนิท แต่ในน้ำเสียงที่เรียบเฉยนั้นเขาฟังออกว่ามันมีทั้งความผิดหวังและเสียใจซ่อนอยู่ “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง แล้วจะพาไปเลี้ยงข้าวด้วย”

“ตะ... แต่...”

“วันนี้เธอทำได้ดีถูกใจฉันมาก และพรุ่งนี้เพลงของเราก็จะออนแอร์ทั่วประเทศแล้ว ถือว่าเป็นรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ละกัน กลับดึกนิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองข้อความที่ยังคงเปิดค้างอยู่บนหน้าจอ เขาครุ่นคิดอยู่อึดใจและตอบตกลง “ครับ”

oooooo

“พี่ยะพาผมมาที่ไหนเนี่ย” เด็กหนุ่มถามตื่นๆ เพราะวันนี้ดุริยะขับรถมาเองเขาจึงวางใจว่าถ้ารถวิ่งไปที่แปลกๆ ก็จะเปิดประตูกระโดดลงได้โดยที่อีกฝ่ายจะจับไม่ได้เพราะต้องตั้งสมาธิกับการขับรถ แต่เมื่อได้เห็นจุดหมายปลายทางซึ่งเป็นคอนโดแทนที่จะเป็นร้านอาหารก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

“บ้านฉันไง” ดุริยะเปิดประตูลงจากรถพร้อมกับพยักเพยิดให้เดินตามเข้าไป

“แต่พี่ยะบอกจะพาผมไปเลี้ยงข้าวไม่ใช่เหรอครับ” นภธรณ์ก้าวยาวๆ ตามไป หลังจากคิดทบทวนดู มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงไม่กลับหลังหันง่ายๆ ...เพราะต่อให้รีบกลับบ้านไปก็ไม่มีคนรอและเขาก็ต้องทนเหงาอยู่คนเดียวจนถึงเช้า จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนยกเลิกนัด แต่ไม่ว่ายังไงใจก็ไม่เคยชินสักที โดยเฉพาะวันที่เป็น ‘วันสำคัญ’ ขนาดนี้

“แต่ฉันไม่ได้บอกนี่ว่าที่ไหน” ดุริยะพูดยิ้มๆ พร้อมกับไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป “เข้ามาสิ แล้วก็เดินระวังๆ หน่อยละ”

นภธรณ์ออกจะตกใจไม่น้อยกับสภาพห้องตรงหน้าที่แสนรกจนแทบไม่มีที่จะเดิน สภาพเหมือนรูหนูขัดกับตัวอาคารภายนอกซึ่งเป็นคอนโดหรู มีเสื้อผ้าซึ่งไม่แน่ใจว่าใส่หรือยังวางกองอยู่บนโซฟารับแขก แถมยังมีถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับจานชามที่ยังไม่ได้ล้างวางกองสุมๆ อยู่บนโต๊ะ บนพื้นเองก็มีพวกกระดาษโน้ตทั้งใบใหญ่เล็กรวมทั้งที่โดนขยำเป็นก้อนกลมๆ กระจายเกลื่อน นั่นยิ่งสร้างความแปลกใจมากขึ้นไปอีกเพราะถ้าคิดจะทำมิดีมิร้ายพาเข้าโรงแรมน่าจะง่ายกว่า “พี่ยะอยู่คนเดียวเหรอครับ”
 
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ฉันโสดนี่” ดุริยะไหวไหล่พลางเก็บเสื้อผ้ารวมๆ เข้าด้วยกันไปโยนลงตะกร้าเพื่อให้มีที่นั่ง

“ไหนบอกว่าตัวเองเชี่ยวเรื่องผู้หญิงไง”

“ช่วงนี้ไม่มี” ดุริยะตอบ “ทำเพลงให้เธออยู่ เลยอยากโฟกัสแค่เรื่องเดียว”

กระดาษก้อนหนึ่งกลิ้งมาหยุดที่ข้างเท้า เขาจึงหยิบขึ้นมาคลี่ออกดู มันเป็นเนื้อเพลงที่เขียนด้วยลายมือขยุกขยุยเต็มไปด้วยรอยขีดฆ่า

“ก่อนจะมาเป็นเพลงของเธอน่ะแหละ” ดุริยะเดินเข้ามาดึงไปจากมือขยำรวมกับกระดาษแผ่นอื่นๆ ที่เขาเก็บมาก่อนหน้าแล้วปาลงถังขยะที่เต็มจนล้น

นภธรณ์ไม่เคยเห็นวิธีการแต่งเพลงแต่ก็พอจะรู้ว่ากว่าจะได้มานั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย เขามองไปรอบห้องเห็นพื้นที่บางจุดอย่างบนโซฟาหรือเก้าอี้ตรงข้างหน้าต่างถูกเว้นว่างไว้ไม่มีข้าวของวางกองบ่งบอกว่าตรงนั้นเป็นจุดที่เจ้าตัวนั่งทำงานเสมอๆ พลันภาพกิจวัตรประจำวันช่วงหนึ่งของเจ้าของห้องก็ปรากฏขึ้นในหัว ผู้ชายหน้าดุที่นั่งหลังขดหลังแข็งอยู่กับสมุดเล่มหนึ่ง ในมือถือปากกาจดขยุกขยิก สักพักก็ขีดฆ่าก่อนจะฉีกออกแล้วปาทิ้งไปอย่างขัดใจ พอท้องหิวก็ลุกไปต้มมาม่าแล้ววนกลับมานั่งที่เดิม มือข้างหนึ่งถือส้อมม้วนเส้นในถ้วยส่งเข้าปาก ในขณะที่อีกมือหยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้ง วนเวียนไปแบบนี้เป็นวัฏจักรจนกระทั่งเซ็นชื่อลงบนบรรทัดสุดท้ายของกระดาษ

ดังนั้นนอกจากความแปลกใจที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจว่าทำไมดุริยะถึงเลือกทำเพลงให้เขาโดยไม่ได้ร้องขอ ตอนนี้นภธรณ์ยังรู้สึกตื้นตันอยู่ในอกถึงความตั้งใจที่จะทำเพลงที่ดีที่สุดให้เขา

“แปลกใจอะไรเหรอ” ดุริยะถามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเงียบไป

“อ้อ... เอ่อ แค่สงสัยว่ารกขนาดนี้พี่ยะนอนตรงไหน”
โปรดิวเซอร์เลิกคิ้วขึ้นสูง “สนใจเรื่องที่หลับที่นอนของฉันด้วยเหรอ ทำไม คิดจะมานอนเป็นเพื่อนหรือไง”

นภธรณ์จิ๊ปาก กะแล้วเชียวว่าต้องมามุกนี้ “ผมถามเพราะเป็นห่วงนะครับ”

ได้ยินแบบนั้นคนอายุมากกว่าจึงเลิกยวน และพยักเพยิดไปทางประตูที่อยู่ด้านใน “มานี่สิ จะให้ดูอะไร... มาเถอะ ฉันไม่ทำอะไรหรอกน่า”

“จริงๆ นะครับ”

“ก็ไม่รู้สินะ”

สิ่งที่อยู่ด้านหลังบานประตูนั้น แทบจะเป็นคนละโลกกับด้านนอก นอกจากจะประกอบไปด้วยเครื่องเล่นดนตรีทันสมัยทั้งคีย์บอร์ด กลองชุด เบส ลำโพงและอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย มีเตียงเล็กๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง “ห้องนอนใหญ่ก็มีนะ แต่ฉันชอบนอนในนี้มากกว่า อยู่กับเจ้าพวกนี้อุ่นใจดี”

“พี่ยะชอบดนตรีมากเลยนะครับ” นภธรณ์พูดอย่างตื่นตะลึง เขาหันไปสบตาเจ้าของห้องที่ผายมือเป็นเชิงอนุญาตจึงค่อยก้าวเดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง

“เมื่อก่อนมันคือความฝันของฉัน แต่ตอนนี้มันเป็นยิ่งกว่านั้น” ดุริยะว่า

“แล้วมันเป็นอะไรครับ”

“ลูก”

เพราะคนอายุมากกว่าตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม นภธรณ์จึงไม่แปลกใจกับสถานภาพโสดและนึกสงสัยว่าจำนวน ‘แม่’ ของบรรดาลูกๆ ที่ออกมาอวดโฉมให้ได้ฟังนั้นจะมีมากมายสักขนาดไหนกัน

“แล้วนั่นอะไรครับ” เขาชี้มือไปทางมุมห้องตรงที่มีเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งถูกคลุมผ้าไว้อยู่

“เปียโนน่ะ ตอนนี้ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว เลยเอาไปแอบไว้ตรงนั้น”

นภธรณ์พยักหน้า ถึงจะขัดใจกับคำว่า ‘แอบ’ เพราะผ้าที่ใช้คลุมนั้นสะอาดสะอ้านอีกทั้งพื้นที่รอบๆ ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยเกินกว่าจะเป็นมุมสำหรับเก็บของ ดูจากลักษณะแล้วถึงจะไม่ได้เล่นแต่เจ้าตัวก็คงจะเข้าไปลูบๆ คลำๆ มันอยู่เสมอ

“พักเรื่องเพลงไว้ก่อนเถอะ ฉันเริ่มหิวข้าวแล้ว” ดุริยะบอกก่อนจะเดินนำออกจากห้องแล้วเลี้ยวหายเข้าไปทางห้องครัว

“นั่นพี่ยะจะทำอะไรครับ” ถามเมื่อเห็นหนุ่มใหญ่หยิบเอาผ้ากันเปื้อนออกมาสวม แถมยังเป็นสีชมพูลายคิตตี้น่ารักขัดกับหน้าโหดๆ แต่ที่น่าตกใจที่สุดเห็นจะเป็นการที่เจ้าตัวใส่ได้โดยไม่ดูเคอะเขิน

“อาหารไง” ดุริยะตอบ “เรามากินข้าวกันไม่ใช่เหรอ”

“เอ๋~”

“ไม่ต้องห่วง เห็นแบบนี้ฉันทำเก่งนะ ตอนไปเรียนทำเพลงที่อเมริกาต้องอยู่คนเดียว จะซื้อกินก็แพงแถมรสชาติไม่ถูกใจเลยทำกินเองน่ะ เดิมทีฉันก็เป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้วด้วย”

นภธรณ์มองคนตรงหน้าแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ที่อีกฝ่ายพูดมาไม่น่าเกินจริงเพราะถึงพื้นที่ในครัวนั้นจะรกและไม่เป็นระเบียบแต่ก็มีอุปกรณ์ทำครัวและเครื่องปรุงครบครัน อีกทั้งยังดูเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนและเป็นประจำ ซึ่งต่างกับที่บ้านของเขาอย่างสิ้นเชิงที่แทบไม่มีอะไรเลยเพราะปรเมษฐ์เลือกที่จะไปกินข้าวนอกบ้านตลอด เท่าที่จำความได้มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ป๊าทำอาหารให้กิน มันเป็นแพนเค้กทอดที่หน้าตาไม่สู้ดีนัก ส่วนรสชาตินั้นก็เลือนไปจากลิ้นจนหมดแล้ว แต่ที่ยังจำได้แม่นยำคือความสนุกและความสุขที่ได้ทำอาหารด้วยกัน

คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากช้าๆ
เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังคนอายุมากกว่าที่กำลังขะมักเขม้นอยู่หน้าเตาแล้วเดินเข้าไปยืนข้างๆ “ให้ผมช่วยไหม”

“เธอทำเป็นเหรอ” ดุริยะขมวดคิ้วให้คนที่มีสีหน้ากระตือรือร้นเต็มเปี่ยม

นภธรณ์พยักหน้า “ถ้าง่ายๆ พอได้ครับ เพราะบางครั้งผมก็ต้องทำกินเองเหมือนกันเวลาอยู่คนเดียว”

“มาม่าไม่นับนะ” ดุริยะรีบพูดดักไว้ก่อน

“ผมทอดไข่ไม่ไหม้ได้นะครับ”

“เฮ้ย! เอาให้ดี ไม่ไหม้ หรือ ไหม้ไหม้”

“ไม่ไหม้ครับ”

“หืมมมม”

“อันที่มันไม่ดำอะพี่ยะ”

“แล้วสุกไหม”

“สุกสิครับ!”

“โอเคๆ” ดุริยะหัวเราะร่วน “งั้นให้ช่วยก็ได้”

นภธรณ์ยิ้มแก้มแทบปริแล้วชะโงกหน้าเข้าใกล้มากขึ้นเพื่อดูอุปกรณ์ที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ “ว่าแต่เราจะทำอะไรกันครับ”

“ดูจากที่เหลือในตู้เย็นตอนนี้คงทำได้แค่ข้าวผัดปลากระป๋องกับไข่ดาว... เธอกินได้ใช่ไหม”

เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก นั่นเป็นหนึ่งในเมนูโปรดของเขาเลยล่ะ “ผมกินได้ทุกอย่างครับ”

“ดีมาก งั้นมาช่วยเปิดกระป๋องหน่อย”

เพียงอึดใจอาหารก็เสร็จส่งกลิ่นหอมฉุยไปทั่วห้อง ดุริยะยกทั้งกระทะไปวางบนโต๊ะอาหารที่เด็กหนุ่มเตรียมจานไว้รอแล้ว เขาจัดการตักแบ่งให้ก่อนนั่งลงตรงข้ามกันและเริ่มต้นรับประทาน

“พี่ยะทำอาหารอร่อยจัง”

“เชฟกระทะเหล็กชิดซ้ายเลยใช่ไหมล่ะ มา เติมข้าวอีกหน่อยนะ” ดุริยะโอ่พลางหยิบจานของเด็กหนุ่มที่เกลี้ยงเกลาลงอย่างรวดเร็วมาตักข้าวผัดในกระทะใส่จนพูนอีกครั้ง “ว่าแต่พ่อเธอไม่เคยทำอาหารให้กินเลยเหรอ แปลกจัง นี่อยู่กันยังไงเนี่ย”

“เท่าที่จำความได้ป๊าก็พาไปกินที่ร้านตลอด” นภธรณ์ตอบ “มีแค่ครั้งเดียวที่ทำให้กินคือตอนผมอยู่อนุบาลแล้วป๊าซื้อกระทะมาใหม่ เราทำแพนเค้กกินกันแต่หลังจากวันนั้นป๊าก็ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้ครัวเลย ขอร้องให้ตายก็ปฏิเสธตลอด”

“แสดงว่าอร่อยมาก” ดุริยะแซว

“รสชาติไม่แย่นะครับ ผมจำได้ว่ากินหมดเกลี้ยง แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมป๊าไม่ยอมทำอาหารอีก สงสัยจะขี้เกียจมั้ง ป๊าเองก็งานยุ่งด้วย”

“เลี้ยงลูกไม่น่ามีคำว่าขี้เกียจนะ แล้วอาหารที่ทำขายนอกบ้านก็ใช่ว่าจะดีกับเด็ก นี่เป็นพ่อภาษาอะไรเนี่ยได้ข่าวว่าเป็นหมอไม่ใช่เหรอ เขาน่าจะใส่ใจเธอให้มากกว่านี้นะ” ดุริยะหลุดปากบ่นออกไปโดยไม่ตั้งใจ เห็นหน้าเด็กหนุ่มเจื่อนไปเล็กน้อยจึงรีบพูดต่อ “โทษที ฉันมันคนปากหมาน่ะ อดวิจารณ์ไม่ได้... ช่างเหอะ! เอาไว้วันหลังถ้าเธออยากทำอาหารมาหาฉันก็ได้นะ หรือจะทำขนมก็ได้อุปกรณ์มีครบ ที่นี่ยินดีต้อนรับเธอเสมอ”

“ขอบคุณครับ” นภธรณ์ยิ้ม และตักอาหารกินต่อ
ถึงแม้จะไม่ได้นั่งอยู่ในร้านหรู และอาหารตรงหน้าก็เป็นเมนูพื้นๆ ไม่ใช่ฝีมือเชฟชื่อดังเหมือนครั้งก่อน แต่ทำไมนะ เขาถึงรู้สึกว่ามันอร่อยและอิ่มในใจเหลือเกิน

oooooo

“นอฟ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” ปรเมษฐ์ถามเสียงเข้มพร้อมกับโยนไอแพดซึ่งหน้าจอแสดงภาพข่าวซุบซิบดาราให้นภธรณ์ดูที่โต๊ะอาหาร เขาเพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อตอนย่ำรุ่ง อาบน้ำชำระล้างความเหนื่อยล้าเสร็จหวังใจจะได้กำลังใจจากลูกชายก่อนกลับไปลุยงานต่อ แต่สิ่งที่ได้กลับกลายเป็นบั่นทอนให้โกรธจัดจนควันออกหู

พาดหัวข่าวคือ ‘เด็กใหม่’ ของ ‘โปรดิวเซอร์ดัง’ พร้อมภาพประกอบเป็นรูปเด็กหนุ่มกำลังเดินเข้าคอนโดไปกับดุริยะตอนเย็น และกลับออกมาในช่วงกลางดึก

นภธรณ์ชะโงกหน้าเข้าไปดู “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ เราแค่ไปกินข้าวด้วยกัน”

“ไปกินข้าวภาษาอะไรกัน ถึงได้เดินออกมาจากบ้านเขา แถมยังดึกๆ ดื่นๆ” ปรเมษฐ์ยกมือขึ้นกอดอก และนั่นเป็นสัญญาณว่าโกรธจนที่สุดแล้วเพราะเขากำลังฝืนตัวเองไม่ให้ลงมือตีหรือแม้แต่ชี้นิ้วใส่

แต่นภธรณ์ก็ยังไม่มีทีท่าจะยอมทั้งที่เข้าใจอาการนั้นเต็มอกเพราะมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรเสื่อมเสีย “พี่ยะเขาแค่อยากโชว์ฝีมือทำกับข้าวให้กิน กินเสร็จผมก็กลับ”

“รู้จักกันไม่เท่าไหร่ นี่แกกล้าไปถึงบ้านเขาแล้วเหรอ”

“ก็ผมว่างนี่นา”

“ว่าง!” ปรเมษฐ์ทวนคำเสียงดังจนเกือบจะตะคอก “นั่นมันใช่เหตุผลเหรอนอฟ ฉันเคยเตือน...”

“แล้วไงครับ” นภธรณ์สวนกลับก่อนที่ปรเมษฐ์จะพูดจบ “คนผิดนัดอย่างป๊าไม่มีสิทธิ์มาพูดหรอกนะ”

“นอฟ?!”

“ผมก็แค่ไปกินข้าว ป๊าไม่เชื่อก็ตามใจ” แล้วคว้ากระเป๋าก้าวฉับๆ ออกจากห้อง

oooooo

“เห็นข่าวหรือยัง” แดเนียล คิมประธาน  D&T media กล่าวเสียงเครียดในที่ประชุม บนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเป็นหนังสือพิมพ์และภาพสื่อจากสำนักข่าวต่างๆ ที่ปรินท์ออกมาจากอินเตอร์เน็ต

“ครับ” นภธรณ์ที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่มุมหนึ่งตอบ ในขณะที่ต้นข่าวอีกคนไหวไหล่เบาๆ อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

อันที่จริงเขาต้องไปโรงเรียนวันนี้ แต่เพียงแค่ก้าวเท้าลงจากรถที่หน้าประตูก็เจอกับกองทัพนักข่าวที่มารอสัมภาษณ์ ถึงจะหนีเข้าโรงเรียนไปได้แต่นักข่าวก็ยังคงปักหลักไม่ไปไหน เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความวุ่นวายให้กับทางโรงเรียนมากไปกว่านี้เขาจึงตัดสินใจขอลาภาคบ่ายและโทรตามพี่ตฤณให้ช่วยมารับที่ประตูหลังแล้วหนีมาอยู่ที่บริษัท

“แล้วจะทำยังไงดี มีข่าวฉาววันเปิดตัวเพลงแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ” แดเนียลกุมขมับ เช้าวันนี้เขารับโทรศัพท์เรื่องนี้ไม่รู้กี่สายต่อกี่สายแล้ว คนของเขาก็เป็นนักร้องหน้าใหม่ที่กำลังเป็นนิยมในขณะที่อีกฝ่ายก็เป็นโปรดิวเซอร์ดังที่ขึ้นชื่อเรื่อง ‘กินเด็ก’ เป็นแรงบันดาลใจในการทำเพลง

ดุริยะจุ๊ปาก “อย่าคิดอะไรที่มันร้ายๆ แบบนั้นสิ คุณเองก็อยู่ในวงการมายามาตั้งหลายปีนะแดน ทำไมถึงไม่คิดจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสล่ะ”

“แล้วคุณมีแผนอะไร” แดเนียลถาม

“เชื่อมือผมสิ เรื่องแบบนี้ผมถนัด” ดุริยะบอกพร้อมกับหันไปหานภธรณ์ “ว่าแต่เธอจะเห็นด้วยหรือเปล่า”

“ไม่มีปัญหาครับ ผมยังไงก็ได้”

เมื่อไม่มีใครค้านการประชุมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยข้อสรุปว่าถ้ามีนักข่าวมาถามอะไรให้คนอื่นปฎิเสธไปว่าไม่ทราบและดุริยะจะเป็นคนให้คำตอบเอง

เด็กหนุ่มเดินสองมือล้วงกระเป๋าออกจากห้อง วันนี้เพลงใหม่ของเขาจะเริ่มออกอากาศเป็นวันแรก ถ้าเป็นปกติเขาคงนั่งรอฟังวิทยุเตรียมเช็กเรทติ้งกับท่านประธานและพี่ตฤณแล้ว แต่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์เอาเสียเลย ไม่ใช่เรื่องตกเป็นข่าวที่ทำให้เขาหงุดหงิด แต่เป็นเรื่องที่ป๊าไม่ไว้ใจเขาต่างหาก

คิดมาถึงตรงนี้ขอบตาก็ร้อนผ่าว เขายกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วๆ ก่อนที่ใครจะมาเห็น รู้สึกดีใจที่อย่างน้อยเมื่อเช้ามีอารมณ์โกรธมากพอจนไม่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าป๊า

คนใจร้าย... แค่ตัวเองเบี้ยวนัดก็แย่พอแล้วยังมาหาว่าเขาไปทำเรื่องไม่ดีอีก

“นอฟ” ตฤณที่รู้สึกเป็นห่วงวิ่งตามมาคุยด้วย “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“ไม่มีอะไรนี่ครับ”

“มันจะไม่มีอะไรได้ยังไงก็เมื่อวานนายบอกกับฉันว่าจะไปกินข้าวกับคุณโป้ไม่ต้องมารับ แล้วจู่ๆ ไปโผล่บ้านคุณยะได้ไง”

“ตามที่บอกแหละครับ ผมแค่ไปกินข้าว พี่ยะเลี้ยงฉลองล่วงหน้าที่เพลงจะออนแอร์ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

“แต่นายบอกให้ฉันช่วยเคลียร์คิวให้ว่างเพราะเป็นวันเกิดคุณโป้ไม่ใช่เหรอ” ตฤณถาม “นายวางแผนจะเซอร์ไพรซ์เขานี่นา”

“ก็เจ้าของวันเกิดไม่ว่างจะให้ผมทำยังไงได้ละครับ” นภธรณ์ตอบตามตรง และนั่นทำให้ตฤณเข้าใจเรื่องราวในทันที “ช่างเถอะครับพี่ตฤณ ใช่ว่าผมไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้สักหน่อย... แค่มันยังไม่ชินเท่านั้นเอง”

“นอฟ” ผู้จัดการส่วนตัวเรียกเสียงอ่อยด้วยสงสารเพราะเห็นถึงความตั้งใจของเด็กหนุ่มในการวางแผนและเตรียมการตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาทั้งเลือกเมนูและศึกษาวิธีการทำจากยูทูป

“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค พี่ตฤณอย่าบอกป๊านะ ผมขอร้องล่ะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแค่นี้เขาก็โกรธผมจะแย่แล้ว”

“แต่นายลงทุนฝึกทำอาหารกับป้าแม่ครัวที่กองทุกวันเพราะอยากจะทำให้เขากินไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เป็นไรครับ ไว้ปีหน้าก็ได้ หรือจริงๆ ไม่ได้ทำอาจจะดีกว่าเพราะผมก็ไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือตัวเองเท่าไหร่ ป๊ากินเข้าไปอาจจะท้องเสียก็ได้” นภธรณ์ว่า “มันก็แค่ความเอาแต่ใจของผม ดังนั้น ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

“แน่ใจนะ”

“ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะพี่ตฤณ เรื่องงี่เง่าแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกน่า ผม...” พูดได้แค่นั้นขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งจนพูดต่อไม่ได้

“แล้ว... เอ่อ... นายจะไปไหนนี่ก็จวนใกล้จะได้เวลาเพลงออกอากาศรายการแรกแล้วนะรีบเข้าไปฟังกันเถอะ”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ขอโทษนะครับ แต่ผมรู้สึกเหนื่อยจังขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ”

“ก็ได้ เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมเรียกแท๊กซี่ได้” รีบบอกพร้อมกับก้าวยาวๆ จากไป

ทันทีที่ประตูเปิดออกเด็กหนุ่มก็ถึงกับผงะถอยหลังเมื่อกลุ่มนักข่าวที่ดักรออยู่พากันกรูเข้ามาและยิงคำถามใส่

“เรื่องมันเป็นยังไงคะ”

“ตกลงเรื่องที่ลือกันว่ามีความสัมพันธ์กันเพื่อให้แต่งเพลงให้เป็นความจริงหรือเปล่าครับ”

“หรือว่าคบกันอยู่จริงๆ”

นภธรณ์หน้าเหวอทำอะไรไม่ถูก พยายามจะหนีแต่ก็ไม่พ้นกลุ่มนักข่าวที่พยายามจะรุมกันเข้ามา

“เอ่อ... คือ... ผม...”

อยากจะมีผ้าคลุมล่องหนจะได้หายตัวหนีไปจากสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ พอถูกกระหน่ำซักไซ้เอามากๆ เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสังคมประนามหรือตราหน้าทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรผิด จะเอ่ยเล่าไปเองว่าเรื่องราวเป็นยังไงก็พูดไม่ออกเพราะตกลงกับต้นสังกัดว่าจะเงียบ และดูเหมือนการเงียบนั้นจะยิ่งจุดชนวนให้นักข่าวคิดว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง

“ช่วยพูดอะไรสักอย่างได้ไหมครับ”

“ผม... ผม...”

“นอฟ” ตฤณพยายามจะเข้ามาช่วยแต่ก็เข้าไม่ถึงตัว เขาจึงต่อสายหาโปรดิวเซอร์ใหญ่ที่อาสาจะเคลียร์ทุกอย่างเอง “เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับคุณยะ”

ทันทีที่วางสายร่างของดุริยะก็ปรากฏที่สุดทางเดินและรีบวิ่งตรงมาหา

“เขาได้พูดอะไรไปบ้างหรือเปล่า”

“แค่ทำหน้ามึนอย่างเดียวครับ” ตฤณบอก

ดุริยะพยักหน้าและเดินออกมาให้นักข่าวเห็น “ใจเย็นๆ ครับทุกคน เรื่องมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลยครับ”

“แล้วมันเป็นยังไงหรือครับ”

นภธรณ์สบตาคนอายุมากกว่าอย่างขอความช่วยเหลือ รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกที่มีใครสักคนเข้ามาช่วย

ดุริยะขยิบตาให้ครั้งหนึ่งและตอบคำถามของนักข่าว “ก็เป็นอย่างในภาพที่พวกคุณเห็น ผมกับเด็กคนนี้...”

พูดได้เท่านั้นก็ถูกขัดด้วยเสียงฮือฮาของนักข่าวกลุ่มที่อยู่ด้านหลังเมื่อหนุ่มใหญ่ในชุดสูทอีกคนปรากฏตัวขึ้น

“สวัสดีครับ” ชายคนนั้นกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ทักทาย

พลันหัวใจที่กำลังถูกบีบคั้นก็คลายออกเพียงแค่ปรเมษฐ์หันมาสบตา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าป๊ามาทำไม มาได้ยังไง หรือจะช่วยเขาได้ไหม... เขาแค่รู้สึกว่า ‘อุ่นใจ’ ที่สุด ยิ่งกว่าตอนที่เห็นดุริยะปรากฏตัว

“ป๊า”

นักข่าวเปลี่ยนฝั่งทันที เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าผู้ปกครองของเด็กหนุ่มนั้นขึ้นชื่อเรื่องหวงลูกมาก

“คุณพ่อ มีความเห็นยังไงกับข่าวที่ออกมาคะ”

“คุณพ่อได้มีการพูดคุยอะไรกับนอฟบ้างคะหลังเห็นภาพที่ออกมา”

ปรเมษฐ์สบสายตาลูกชายที่เป็นประกายขึ้นมาทันทีแม้จะยังทำปั้นปึ่งใส่ ก่อนจะเหลือบตามองดุริยะที่จ้องเขม็งมาราวกับตั้งคำถามผ่านสายตาว่า ‘คนนอกมาทำอะไรที่นี่’ ซึ่งปรเมษฐ์ก็ตอบโต้ด้วยการหันไปกล่าวกับนักข่าวอย่างสุขุม “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ คุณดุริยะเป็นคนทำเพลงใหม่ให้ลูกชายผม หมู่นี้ก็เลยสนิทกันและต้องไปไหนมาไหนด้วยกันบ้างเป็นธรรมดา”

“แต่ว่าภาพที่ออกมาไม่ธรรมดาเลยนะคะ”

“อะไรหรือครับที่ว่าไม่ธรรมดา” ปรเมษฐ์ถามกลับเรียบๆ “ก็แค่เด็กไปกินข้าวบ้าน ‘พี่ชายที่ทำงานด้วย’”

เขาจงใจเน้นคำนี้เป็นพิเศษพร้อมกับหันไปสบตาดุริยะอีกครั้ง ไม่ใช่การขอร้องหรือตั้งคำถามหากเป็นการขีดเส้นใต้ประโยคคำสั่งว่าห้ามให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเกินเลยไปมากกว่านี้เด็ดขาด และเป็นการเน้นกลับไปว่า ‘ใครกันแน่ที่เป็นคนนอก’

เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน จากที่ตั้งใจจะใส่สีตีไข่สักหน่อยเพื่อให้สื่อช่วยประโคมข่าวถือเป็นการโปรโมทเพลงใหม่ไปในตัว โปรดิวเซอร์ใหญ่จึงจำใจยอมรับความจริงไปอย่างง่ายๆ “ใช่ครับ เราไปเลี้ยงฉลองล่วงหน้าที่เพลงจะออกอากาศวันนี้”

“แค่กินข้าวด้วยกันแล้วก็กลับเลยเหรอครับ” นักข่าวยังไม่เลิกเซ้าซี้

“ใช่ครับ” เป็นปรเมษฐ์ที่ชิงตอบก่อนอีกครั้งทำเอาดุริยะหน้าตูมไปอีก

“คุณพ่อจะแน่ใจได้อย่างไรครับในเมื่อภาพมันฟ้องขนาดนั้น กินข้าวอะไรกันถึงได้เลิกค่ำมืดขนาดนั้น”

“ผมเชื่อใจในตัวนอฟครับ”

คำตอบเสียงดังฟังชัดทำเอาตัวต้นเรื่องต้องแอบก้มหน้าซ่อนความดีใจ... คนอื่นจะมองยังไงก็ช่างขอเพียงแค่ป๊าคนเดียวที่อยู่ข้างเขาก็พอแล้ว

“แต่ถ้าคุณนักข่าวยังแคลงใจก็เอาไว้มีภาพเสียหายออกมายืนยันมากกว่านี้ก่อนค่อยว่ากัน แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคงไม่มีเพราะนอฟเป็นเด็กดี... หรือคุณนักข่าวไม่คิดแบบนั้นครับ”

แล้วตบท้ายด้วยยิ้มหวานให้อย่างทั่วถึง ทำให้นักข่าวเริ่มคล้อยตามเพราะนภธรณ์ก็เป็นที่รักของทุกคนและก็มีภาพลักษณ์เป็นเด็กใสซื่อน่าสงสารที่มาร้องเพลงเพื่อตามหาแม่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“ลองคุณพ่อออกตัวเองแบบนี้ สงสัยจะไม่มีอะไรจริงๆ”

พวกเขาหันไปกระซิบกระซาบกัน

“น่าเบื่อว่ะ นึกว่าจะได้ข่าวเด็ด”

เห็นดังนั้นปรเมษฐ์จึงอาศัยจังหวะนี้รีบพูดต่อเพื่อย้ำความผูกพันในบ้านพร้อมกับตัดบท “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขออนุญาตพานอฟกลับนะครับ พอดีเมื่อวานวันเกิดผมแต่ผมติดธุระเลยไม่ได้ฉลองกัน วันนี้เลยมารับไปแก้ตัวน่ะครับ อ้อ! วันนี้นอฟเปิดตัวเพลงใหม่ด้วยอย่าลืมไปฟังกันนะครับ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ รบกวนถามคุณดุริยะได้เลย ผมขอตัวก่อนนะครับ... มาเถอะนอฟฉันหิวข้าวแล้ว” โยนเรื่องให้เสร็จก็หันไปคว้ามือลูกชายและดึงให้เดินตามมา

เมื่อไม่มีอะไรให้ถามแล้วนักข่าวจึงพากันเปิดทางให้ทั้งสองเดินออกไปโดยง่ายพร้อมทั้งกล่าวอวยพร

“สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณพ่อ”

“ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ”

ก่อนจะหันไปรุมสัมภาษณ์โปรดิวเซอร์ดังต่อ

(ต่อข้างล่างค่ะ)

หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 4 [4/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 12-03-2017 19:44:53
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ใบหน้าฉาบยิ้มยามอยู่ต่อหน้านักข่าวละลายหายไปสิ้นทันทีที่คล้อยหลัง ปรเมษฐ์เดินกลับมาขึ้นรถด้วยใบหน้าบูดบึ้งพร้อมนภธรณ์และขับออกมาโดยไม่ยอมพูดอะไรอีกจนกระทั่งถึงห้อง

เขาถอดเสื้อสูทตัวนอกพับลวกๆ และโยนพาดไว้บนพนักเก้าอี้ก่อนจะเริ่มปลดกระดุมข้อมือ เห็นลูกชายเบะปากทำหน้าเหมือนจะยอมรับผิดแต่กลับไม่ยอมหันมาสบตาตรงๆ จึงถามออกไป “มีอะไรจะพูดไหม”

“ไม่มี”

“ยังจะปากแข็ง ปีนี้มีอะไรจะเซอร์ไพรซ์ ไหนลองว่ามาสิ”

เด็กหนุ่มเหลียวมามองด้วยหางตา ...ป๊ารู้จริงๆ ด้วยว่าเขางอนเรื่องอะไร แต่ความน้อยใจที่โดนเบี้ยวนัดก็ทำให้ปากยังแข็งขืน “ไม่มีแล้ว”

“ใจร้ายจัง” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ

“ป๊าต่างหากที่ใจร้าย” นภธรณ์ว่า

“พูดใหม่สิ” ปรเมษฐ์ทวน “ได้ข่าวว่าเป็นวันเกิดฉัน แต่ฉันต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้วลูกชายยังมีหน้าหนีไปกินข้าวกับคนอื่นจนเป็นเรื่องเป็นราวอีก”

“ก็...” นภธรณ์กรอกตาหนีและไม่ยอมพูดอะไรอีก จะว่าไปมันก็จริงอย่างที่ป๊าพูดน่ะแหละ

ปรเมษฐ์ถอนหายใจ มือใหญ่ดึงเนกไทที่คอให้คลายออกแล้วทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา “เมื่อคืน... ฉันแอบคาดหวังนะว่าแกจะมาหาเพราะเมื่อก่อนแกก็เคยทำแบบนั้นบ่อยๆ”

ถ้อยคำต่อมาที่หลุดออกจากปากทำให้เด็กหนุ่มเหลียวไปมอง ทีแรกเขาคิดว่าผู้เป็นพ่อกำลังจะตั้งต้นบ่นหรือต่อว่า แต่หน้าคมนั้นกลับอมยิ้มน้อยๆ เมื่อตกอยู่ในห้วงเวลาของความหลัง

หลายครั้ง ไม่สิ! ทุกครั้งที่ปรเมษฐ์ติดงานกลับมาบ้านไม่ได้ เขาจะขอร้องให้หมอโมที่เป็นเพื่อนสนิทป๊าพาไปนั่งรอที่ห้องพักแพทย์พร้อมกับเค้กหนึ่งก้อนที่แวะซื้อจากร้านเบเกอรี่หน้าคอนโด แล้วรอจนกว่าป๊าจะเลิกงานและมาเป่าเค้กด้วยกัน

เป็นแบบนี้ปีแล้วปีเล่า จนมาถึงปีนี้ที่เขาคิดอยากจะเซอร์ไพรส์ด้วยวิธีอื่นบ้างและเป็นการไถ่โทษเรื่องที่ทำตัวไม่น่ารักก่อนหน้านี้ด้วย

“แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่มา เมื่อคืนกว่าจะเสร็จก็เกือบเช้า ฉันไม่อยากเห็นแกมาแกร่วรอเหมือนปีก่อนๆ ได้กินอิ่มนอนหลับบนที่นอนอุ่นๆ ก็ดีแล้ว เมื่อเช้าขอโทษนะที่เสียงดังใส่ ฉันผิดเองแหละ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจแกหรอก... ยังไงดี ก็แค่น้อยใจละมั้งที่เห็นแกไปกับคนอื่น โมมันก็เคยเตือนแล้วแท้ๆ ว่าเด็กน่ะโตไว จากที่เคยติดพ่อเดี๋ยวก็หนีไปหาคนอื่นแล้ว”

“ป๊า...” นภธรณ์เรียกเสียงอ่อย เรื่องที่จะเซอร์ไพรส์มันเป็นความเอาแต่ใจของเขาเองไม่ใช่สิ่งที่ป๊าต้องการเลยสักนิด และทั้งอย่างนั้นป๊าก็เป็นห่วงเขามากกว่าความรู้สึกของตัวเอง

ปรเมษฐ์ถอนหายใจอีกครั้ง รู้สึกว่าตัวเองเริ่มดราม่าเรื่องไร้สาระจึงเปลี่ยนเรื่อง “หิวข้าวหรือยัง อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวฉันขอเปลี่ยนชุดแป๊บนึงแล้วจะพาไป”

“แต่ผมไม่อยากออกไปข้างนอก มันวุ่นวาย ยังไงเราทำกับข้าวกินกันเองไหมครับ” นภธรณ์ลองเลียบเคียงถาม

“อย่าเลยนอฟ จะกินอยู่บ้านก็ได้แต่ฉันว่าโทรสั่งดีกว่า ไม่ยุ่งยาก แถมท้องเสียขึ้นมาไม่คุ้มหรอก”

“ไม่เสียหรอก เมื่อวานผมทำกับพี่ยะก็กินได้นะ”

“แต่ฉันไม่ได้ทำอาหารเก่งเหมือนเขานี่นา!”

เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนไปถนัด “เอ่อ...”

ปรเมษฐ์ยกมือขึ้นกุมหน้าเมื่อรู้ตัวว่าเผลอเสียงดังใส่อีกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมหมู่นี้เขาถึงคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้เลย โดยเฉพาะถ้ามีชื่อโปรดิวเซอร์นั่นมาเกี่ยวข้อง

“ฉันไม่ได้กลัวตัวเองท้องเสีย” เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ พยายามทำใจให้เย็นลงอีกครั้ง “แต่เป็นแกต่างหาก”

“ผม?”

“ครั้งแรกและครั้งเดียวที่ฉันทำอาหารให้แกกิน แกท้องเสียนอนโรงพยาบาลวันนึงเต็มๆ เลยนะ จำไม่ได้เหรอ”

นภธรณ์ส่ายหน้า ปกติเขาก็แทบจะยึดโรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่สองอยู่แล้ว และถึงเรื่องนี้จะเคยเกิดขึ้นจริงเขาก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตที่ต้องจำสักนิด “มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอครับ”

“เรื่องมันนานแล้วล่ะ สมัยแกอยู่อนุบาลหนึ่งกลับมาบ้านบ่นอยากกินแพนเค้กเพราะเห็นแม่เพื่อนที่โรงเรียนทำมาแจก ฉันเลยพาขึ้นรถออกไปซื้ออุปกรณ์ที่ห้างแล้วกลับมาเปิดดูยูปทำให้กิน แล้วคืนนั้นแกก็ปวดท้อง”

นภธรณ์ย่นคิ้วนึกตาม ตกลงวันนั้นปรเมษฐ์ไม่ได้ทำอาหารเพราะเห่อกระทะใหม่ แต่ลงทุนออกไปซื้อมาใหม่เพราะเขาขอให้ทำอย่างนั้นเหรอ “แสดงว่าที่ป๊าไม่ยอมทำอาหารเป็นเพราะผมเหรอ”

“เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะ ฉันไม่อยากเห็นแกป่วยอีก” ปรเมษฐ์โบกมือในอากาศ ภาพลูกชายนอนซมบนเตียงยังคงติดตาจนไม่กล้าแตะอุปกรณ์ทำครัวใดๆ อีกเป็นครั้งที่สอง “ตกลงกินอะไรดี สุกี้ไหม ได้เวลาที่แกต้องควบคุมอาหารแล้วนี่”

นภธรณ์เริ่มยิ้มออก ทั้งที่ไม่เคยบอกเรื่องยิบย่อยพวกนี้เพราะไม่อยากให้วุ่นวายแต่ปรเมษฐ์ก็ดูเหมือนจะใส่ใจเป็นอย่างดี “ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ลดวันหลังก็ได้ เอาที่ป๊าอยากกินสิ นี่ฉลองวันเกิดป๊านะ”

ปรเมษฐ์เหลือบตามองลูกชาย “งั้นฉันสั่งข้าวผัดกระเพราะไข่ดาวร้านอาหารตามสั่งข้างล่างให้ขึ้นมาส่งนะ”

นภธรณ์พยักหน้า ตาเป็นประกาย จะเป็นอะไรก็ได้ขอแค่ได้กินข้าวด้วยกันก็พอใจแล้ว “ของผมไข่แดงไม่สุกนะ”

“รู้แล้วน่า”

“งั้นเดี๋ยวผมลงไปซื้อเค้กก่อนนะ”

“ไม่ต้องหรอกนอฟ”

“ได้ยังไงล่ะป๊า วันเกิดทั้งทีจะไม่เป่าเค้กได้ไง ป๊าชอบเค้กสตรอว์เบอร์รี่ใช่ไหม แต่ร้านนี้ขายดีเสียด้วยถ้าไม่มีเอาเค้กชอคโกแลตได้ไหม”

“ฉันไม่ชอบเค้กชอคโกแลต” ปรเมษฐ์พูดช้าๆ “เค้กสตรอว์เบอร์รี่ก็ไม่ชอบ อันที่จริงฉันไม่ชอบกินของหวานด้วยซ้ำ แต่ที่กินอยู่ทุกปีเพราะแกตั้งใจซื้อมาให้ต่างหาก”

นภธรณ์อึ้งไปเล็กน้อยกับความจริงที่เพิ่งรู้ และเริ่มไปไม่เป็นเพราะนอกจากเรื่องทำอาหารกับเค้กแล้วก็ไม่ได้คิดวางแผนสำรองเอาไว้สักอย่างว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญ “เอ่อ... เอางี้! ป๊ามีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษไหม เดี๋ยวค่าตัวออกผมจะซื้อให้”

“ไม่ต้องหรอก เพราะของที่อยากได้ฉันมีแล้ว”

“อะไรครับ”

“แกไง”

นภธรณ์ทำเป็นย่นปากทั้งที่ตอนนี้หน้าบานเท่ากระด้งแล้ว “ไม่ใช่สิป๊า ผมหมายถึงอะไรที่มัน ‘พิเศษ’ จริงๆ น่ะ”

“ก็มีแล้วจริงๆ นี่นา” ปรเมษฐ์ยืนยัน “ไม่ต้องมีเค้ก ไม่ต้องเป่าเทียนหรอก แค่ได้เห็นแกเติบโตอย่างมีความสุขทุกวันก็เป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดของฉันแล้ว”

“วันนี้ป๊าเป็นอะไรเนี่ย น้ำเน่าจัง”

“เป็นโรคกลัวลูกชายไม่รักละมั้ง” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนหันหลังเป็นการตัดบท ทำทีเป็นยกโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์โทรร้านอาหาร

นภธรณ์เอามือไพล่หลังเดินตามไปยืนข้างหลังพยายามจะชะเง้อมองว่าป๊ากำลังเขินจนแก้มแดงหรือเปล่า แต่ด้วยขนาดตัวที่ต่างกันมากทำให้มองไม่เห็นอะไรนอกจากใบหูส่วนที่โผล่พ้นไรผมซึ่งอมชมพูระเรื่อ “ถ้าโรคนั้นป๊าไม่ต้องกลัวนะผมมียาดี”

“อย่ามาโม้น่า”

“จริงๆ นะเชื่อผมสิ พ่อผมเป็นหมอนะป๊า”

ปรเมษฐ์พ่นลมออกจมูกกับมุกตุ่นๆ ของลูกชายพร้อมกับหันมาครึ่งๆ “ยาอะไรของแกวะ”

“นี่ไง!”

พูดจบนภธรณ์ก็พุ่งเข้าสวมกอดจากทางด้านหลังเต็มวงแขนและก่อนที่ปรเมษฐ์จะทันได้ตอบโต้อะไรเขาก็จัดการฝังริมฝีปากลงข้างแก้มพร้อมกับขโมยหอมไปฟอดใหญ่

“ผมรักป๊านะ”

“รู้แล้ว”

“รู้แล้วก็เลิกงอนได้แล้ว”

“ไม่ได้งอน” ปรเมษฐ์ว่า “ฉันไม่ใช่เด็กสามขวบนะเว้ยที่จะได้มางอนอะไรแบบนี้”

“ก็ป๊าบอกเองว่าน้อยใจที่ผมหนีไปกินข้าวกับพี่ยะ”

ปรเมษฐ์กุมขมับรู้สึกพลาดจริงๆ ที่หลุดปากพูดออกไป

“ตกลงหายยัง?” เด็กหนุ่มกระเซ้าพร้อมกับถูไถแก้มไปมาบนแผ่นหลังกว้าง... ท่อนขาที่มีแต่ขนก็ชอบอยู่หรอกแต่แผ่นหลังกว้างๆ แข็งๆ นี่ก็อุ่นดีจัง “ว่าไงครับป๊า ตกลงหายงอนผมหรือยัง”

“หายแล้ว”

“งั้นก็ยิ้มสิ”

ปรเมษฐ์หันมาแยกเขี้ยวใส่คนที่เกาะเอวแน่นเป็นลูกลิงซึ่งกำลังตั้งต้นร้องเพลงฉลองวันเกิดให้เขาก่อนจะตบท้ายด้วยประโยคที่พูดให้ฟังทุกปี

“สุขสันต์วันเกิดนะป๊า”

พูดจบลูกลิงก็ชะโงกหน้ามาขโมยหอมไปจากแก้มอีกข้างพร้อมกับยิ้มกว้างหน้าแป้นแล้น

รอยยิ้มละมุนคลี่เต็มริมฝีปากและกระจายไปจนถึงนัยน์ตา ถึงปีนี้คำอวยพรจะมาช้าไปหนึ่งวันเต็มๆ แต่ปรเมษฐ์ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขน้อยลงไปกว่าเดิมเลยสักนิดเดียว

oooooo

หลังจากจัดการอาหารเย็นเสร็จสิ้น ปรเมษฐ์ก็ปล่อยให้ลูกชายเข้าห้องไปอาบน้ำนอนก่อน และเมื่อถึงตาเขาอาบน้ำเสร็จออกมาก็พบว่านภธรณ์หลับปุ๋ยไปเสียแล้ว

ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปยืนข้างเตียงอย่างเงียบเชียบด้วยกลัวจะรบกวนคนที่หลับสบายก่อนจะค่อยทรุดตัวลงนั่งและหันลำตัวครึ่งหนึ่งไปมองลูกชายที่นอนอ้าปากเหวอ น้ำลายยืด เสื้อยืดคอย้วยที่เจ้าตัวชอบใส่เป็นประจำเลิกขึ้นจนถึงอกอวดพุงขาวๆ ที่เกิดจากการฟาดมื้อเย็นควบขนมหวานคนเดียวจนอิ่มแปร้

ใบหน้าหลับพริ้มนั้นอ่อนเยาว์แต่ถึงกระนั้นก็ยังดูเติบโตขึ้นมากจากเด็กชายในความทรงจำเมื่อวันวาน

เมื่อตอนเย็นนภธรณ์พูดถึงวันที่เขาทำอาหารเป็นครั้งแรกและทำให้ลูกชายท้องเสีย มันดูเหมือนจะมีแต่ความทรงจำที่เลวร้าย แต่จริงๆ แล้วยังมีความทรงจำอีกส่วนซึ่งเขาไม่เคยมีวันลืมเลือนเลยเช่นกัน

พ่อครัวมือใหม่มองจานใส่แพนเค้กทอดที่ซ้อนเป็นชั้นสูง มันอาจจะดูหน้าตาไม่ดีนักเมื่อเทียบกับภาพจากอินเตอร์เน็ตด้วยรอยไหม้เกรียมตรงขอบกับรูปทรงที่บิดเบี้ยว แต่เขาก็พอใจกับผลงานชิ้นแรกและผู้ช่วยตัวเล็กหน้าตาเปรอะแป้งที่ใช้ทำขนมซึ่งเกาะขอบเคาน์เตอร์อยู่ข้างๆ ก็ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นไม่น้อย

“ลองดมดูสิครับว่าหอมไหม” บอกพร้อมกับค้อมตัวลงให้เสมอกันและยื่นจานใส่ขนมไปตรงหน้า

“หอม”

ปรเมษฐ์หน้าร้อนวาบเพราะแทนที่ลูกชายจะดมขนมแต่กลับเอาปลายจมูกมาชนแก้มเขาเสียนี่ “นอฟ ป๊าบอกให้ดมขนมไม่ใช่แก้มป๊านะครับ”

เด็กชายพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นแล้วชะโงกหน้าเข้ามาจุ๊บแก้มอีกข้าง “ดมแล้ว หอมครับ”

ปรเมษฐ์หัวเราะ “อย่ามัวแต่เล่น รีบกินให้หมดจะได้ปิดไฟนอน”

“ป๊ากินก่อน”

“ไม่เอาน่านอฟ... ป๊าไม่ชอบของหว...” พูดยังไม่ทันจบประโยคดีลูกชายก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“สุขสันต์วันเกิดนะป๊า”

“หืมมมม” ปรเมษฐ์แปลกใจไม่น้อย เขามั่นใจว่าไม่เคยบอกลูกชายให้รู้และตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มัวแต่ยุ่งกับงานจนลืมการฉลองไปแล้ว วันเกิดมันก็แค่วันครบรอบที่ทำให้อายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น “ไหนบอกว่าอยากกินแพนเค้กไง ตกลงว่านอฟโกหกป๊าเหรอครับ”

เด็กชายพยักหน้า “ขอโทษครับ ก็ผมมีเงินแค่สิบบาทแล้วคุณครูบอกว่าไม่พอซื้อเค้ก”

รอยยิ้มเอ็นดูคลี่เต็มริมฝีปาก ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่แผนอ้อนขอค่าขนมเพิ่มแต่เขาก็บอกกับตัวเองในใจว่าเดือนหน้าจะขึ้นให้อีกเท่าตัว “ก็ไม่ต้องฉลองก็ได้นี่นา”

“ตอนวันเกิดผม ป๊าเคยบอกว่าวันเกิดเป็นวันสำคัญเพราะป๊ามีความสุขมากที่ผมเกิดมา” เด็กชายเอียงคอมองตาเขาปริบๆ “เพราะงั้นวันเกิดป๊าก็สำคัญ เพราะผมมีความสุขที่มีป๊าอยู่ด้วย”

“ขอบคุณนะครับ นอฟคนเก่งของป๊า”

เด็กชายไม่ตอบ แต่ทำแก้มป่องเอียงหน้าให้ข้างหนึ่งเป็นอันรู้กันว่าต้องการของตอบแทนเป็นอะไร

ปรเมษฐ์จึงชะโงกหน้าเข้าไปหอมฟอดใหญ่พร้อมกับแถมเบิ้ลไปด้วยอย่างไม่กลัวว่าแก้มใสนั้นจะช้ำ

“พอแล้วป๊ามันจั๊กจี้” เด็กชายหัวเราะคิกคักพร้อมกับใช้หลังมือถูแก้มที่เปียกชื้น ก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมาตัดแบ่งชิ้นแพนเค้กแล้วจิ้มยื่นมาจ่อที่ริมฝีปาก “อะ... อ้ามมม กินสิครับ... ทำไมป๊าไม่กินล่ะ หรือว่าป๊าไม่ชอบแพนเค้กเหรอ”

ตาคมเหลือบมองชิ้นขนมก่อนจะตวัดขึ้นสบแววตาเป็นประกายใสที่จ้องมองเขาอยู่แล้วอ้าปากงับขนมเข้าปาก สำหรับคนไม่ชอบขนมมันหวานจนติดลิ้น แต่ก็เทียบกันไม่ได้เลยกับรสหวานของรอยจูบที่ติดอยู่ข้างแก้มและกำซาบไปถึงหัวใจ และตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าจะเสพติดรสหวานนี้เข้าเสียแล้ว

“ชอบสิครับ... ป๊าชอบที่สุดเลย”

เด็กชายยิ้มแก้มแทบปริ “เอาไว้ผมโตทำงานมีตัง ผมจะซื้อเค้กสวยๆ ให้ป๊านะ”

“อื้อ” ปรเมษฐ์ตอบเสียงอู้อี้ ไม่ใช่แค่เพราะมีขนมอยู่เต็มปากแต่เขาพูดไม่ออก มันรู้สึกตื้นตันอยู่ในอกที่เด็กตัวเล็กๆ คิดจะทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เขาดีใจ

“เอาเค้กไรดี” เด็กชายยู่ปากทำท่าทางครุ่นคิด “ป๊าชอบสตรอว์เบอร์รี่ไหม”

“ครับ ชอบครับ” จริงๆ นั่นเป็นเมนูโปรดของคนยื่นข้อเสนอ... แต่ไม่ว่าอะไรที่ลูกชายชอบเขาก็ชอบเหมือนกัน

“งั้นตกลงตามนี้นะ”


“เผลอแป๊บเดียว แกโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย” ปรเมษฐ์รำพึงกับตัวเอง “ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้วสินะ”

“ป๊า” เสียงหวานงึมงำผ่านริมฝีปากบางคล้ายกับกำลังฝันดี “มีอะไรครับ เค้กเหรอ? ผมกินไม่ไหวแล้ว พุงจะแตก ไว้กินต่อพรุ่งนี้นะป๊า”

รอยยิ้มบางฉาบลงบนเรียวปาก ปรเมษฐ์ยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าให้พ้นตาก่อนจะไล้ปลายนิ้วอย่างนิ่มนวลไปตามพวงแก้ม

ไม่ใช่สินะ... จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยต่างหาก เพราะไม่ว่าจะเป็นวันนั้นหรือตอนนี้... ความรู้สึกซื่อตรงที่เต้นรัวอยู่หลังอกนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม
 
เขาโน้มตัวลงช้าๆ เพื่อแตะริมฝีปากลงข้างแก้มนิ่มพร้อมกับกระซิบ “ขอบใจนะเจ้าเด็กดื้อ” ก่อนจะดึงชายเสื้อลงให้เรียบร้อยแล้วห่มผ้าให้จนถึงคอและล้มตัวลงนอนข้างกัน

คืนนั้นสองพ่อลูกฝันถึงเรื่องราวในวันนั้น... ในส่วนของบทสนทนาที่เหลือซึ่งทำให้ต่างคนต่างอมยิ้มกันไปตลอดทั้งคืน

“แล้วระหว่างสตรอว์เบอร์รี่กับผม ป๊าชอบอะไรมากกว่ากัน”

“ป๊าต้องชอบนอฟมากกว่าสิครับ”

เด็กชายยิ้มกว้าง แก้มป่องๆ กลายเป็นสีอมชมพูระเรื่อ ก่อนจะเขย่งตัวขึ้นบนปลายเท้าเพื่อใช้สองมือเล็กๆ นั้นจับใบหน้าผู้เป็นพ่อให้อยู่นิ่งแล้วจุ๊บเบาๆ ครั้งหนึ่ง

“ผมก็ชอบป๊ามากที่สุดเหมือนกัน”


************************TBC************************

รู้สึกเสียดายที่ไม่มีวิปครีม
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 12-03-2017 20:38:18
บาปนี่ช่างหอมหวานนัก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lukaka ที่ 12-03-2017 20:59:10
โอ้โฮ้ววววววววววววววว

หอมไปสามบ้านแปดบ้านสำหรับบาป(ของคนชอบแนวนี้)

คุณป๊า คือสุดด มาทีเดียวจัดการทุกอย่างได้หมด

ทำไมนอฟดูเจ้าชู้แต่เด็กกกกกกกกกก ฮาๆๆ ทำไม ถามว่าแพนเค้กหอมไหม แต่หอมแก้มป๊า อะไรยังไงฮึนอฟฟ ตอบป้าสิ

ปล.อายุเท่าป๊ายังไม่ใช่หนุ่มใหญ่ม้ายยยย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-03-2017 21:21:55
เหมือนจะมีความสุข แต่ทำไม่หน่วงในใจก็ไม่รู้
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 12-03-2017 21:35:53
ป๊าปีโป้้ วันนี้ป๋าเท่ห์มาก พระเอกที่สุด พระเอกตัวจริง ป๋าอยู่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ มาทันเวลาพอดี
แฟนคลับป๋าอย่างอิชั้น ตื้นตันน้ำตาไหลพราก กลิ่นบาปลอยโชยหอมหวนตั้งแต่อดีตในวันวานแล้ว
มันลึกซึ้งและพิเศษเกินกว่าใครจะแทรกระหว่างป๋ากับนอฟได้จริงๆ  ดุริยะอย่าหวังเลยย่ะ ชิ้วๆๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 12-03-2017 21:46:27
อยากใหกลิ่นบาปหอมแบบนี้ตลอดไป  :heaven
อยากให้บาปยังคงเป็นบาปไปจนถึงตอนจบ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-03-2017 22:31:50
ป๊าเท่ทะลุโลก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 12-03-2017 22:55:18
อร๊าาาาา

ฉันรักบาปนี้จัง

หอมหวาน น่าค้นหา กรี๊ดดดดดด

หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 12-03-2017 23:01:39
ถ้าจะหวานขนาดนี้ บาปแค่ไหนก็ยอมอ่าาา :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-03-2017 23:43:26
ตอนที่นอฟอยู่กับพี่ยะและพูดคุยกันดี ๆ มันก็น่าเชียร์อยู่
แต่พอหมอโป้โผล่มาเท่านั้น มาดเท่ระเบิด พี่ยะอะไรไม่รู้จัก เป็นตัวประกอบไปเหอะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: gakuen ที่ 13-03-2017 00:36:46
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PHA_ ที่ 13-03-2017 01:24:54
คุงป๊าาาาาาา
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 13-03-2017 01:57:14
พ่อลูกคู่นี้งอนกันไปงอนกันมาาา อีพี่ยะก็ชอบปั่นให้พ่อลูกเค้าทะเลาะกัน น้องนอฟก็ยังเด็ก มาเจอคนพูดงี้ก้หวั่นไหวว
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiLime13 ที่ 13-03-2017 16:05:22

ไม่รู้ว่าระหว่างเค้กสตรอเบอรี่กับความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกนี่อะไรจะหอมหวานมากกว่ากัน
ฮือออออออออออออออออออออ คุณป๊า
ดูเป็นผู้ชายที่แข็งนอกอ่อนในเนอะ เหมือนเป็นคนเย็นชาไม่ใส่ใจอะไร
แต่จำรายละเอียดทุกอย่างของลูกชายได้หมดเลย

เอาจริงคุณป๊าไม่ต้องซึนมากก็ได้นะคะ
คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้นเถอะ น้องนอฟยังเด็ก ป๊าไม่พูด น้องก็ดูไม่ออกว่าป๊าต้องการอะไร
เดี๋ยวก็เตลิดไปกับตาลุงโปรดิวเซอร์เป็นข่าวเสียๆ หายๆ อีก

ต่อให้พี่ยะทำกับข้าวเก่งกว่าคุณป๊าเราก็ยังไม่ย้ายทีมหรอก เชอะ!
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 13-03-2017 17:31:18
อืมมมมมมมม ทำไม? รู้สึก ฟินพิกล ทำไม?ฉันแอบมีเสียง "แอร๊ยยยย" หลุดออกมาตอนนอฟถามว่า "หายงอนยัง?" เห้ยๆๆๆ อย่านะ ได้โปรดดดด  :o8:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 15-03-2017 08:03:12



อาห์ บาปหวานแท้ ๆ  :impress2:


หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 18-03-2017 12:26:09
Chapter 6

หลังจากเปิดตัวเพลงใหม่ไปวันก่อนก็เป็นที่ชื่นชอบของคนหมู่มาก ประกอบกับข่าวหน้าหนึ่งกับดุริยะที่เพิ่งออกไปคนก็ยิ่งให้ความสนใจ จึงทำให้เพลงของนภธรณ์ไต่อันดับขึ้นชาร์จอย่างรวดเร็ว

วันนี้บรรยากาศในกองถ่ายทำ MV จึงเต็มไปด้วยความชื่นมื่น โดยเฉพาะตฤณที่ดูจะหน้าบานกว่าใครๆ ซึ่งนภธรณ์มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่เพราะดีใจเรื่องเพลงของเขาหรอก แต่เป็นเพราะนางเอก MV ต่างหาก

“เธอเป็นใครเหรอ พี่ตฤณ” นภธรณ์ถามตฤณด้วยความอยากรู้

จากที่อ่านมาในสคริปต์เห็นว่าชื่อรมิดา และมีอายุพอๆ กับเขา นั่นสร้างความแปลกใจให้นภธรณ์ไม่น้อยเพราะตามเนื้อหาของเพลงและบทบาทแล้วควรจะเป็นผู้หญิงอายุมากกว่า

“ก็น้องดาด้าไงที่เป็นดาราดังน่ะ” ตฤณตอบ

“เธอดังขนาดนั้นเลยเหรอครับ” นภธรณ์ถามพาซื่อ ปกติเขาเป็นคนไม่ดูหนัง ถึงในวงการจะรู้จักคนมากมายแต่ก็ไม่สนิทมากพอจนเรียกว่าเพื่อนได้สักคนเดียว และเขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้มาก่อน

“มากๆ กอ ไก่ล้านตัว” ตฤณย้ำ “เธอเป็นนักแสดงตั้งแต่ยังเด็ก มากความสามารถไม่ว่าบทไหนเธอก็เล่นได้ นี่ฉันอุตส่าห์ไปทาบทามเธอมาเป็นนางเอกให้นายเลยนะ”

“ผมว่าเป็นเพราะพี่ตฤณชอบเธอเป็นการส่วนตัวมากกว่ามั้ง” นภธรณ์บอกอย่างรู้ทัน

“แหม... นายก็พูดไป อันนั้นมันผลพลอยได้หรอกน่า” แก้มของตฤณแดงขึ้นเล็กน้อยเพราะเขาเป็นแฟนคลับน้องดาด้ามาหลายปี อย่าว่าแต่แค่โปสเตอร์หรือใบปลิวหนังเลย ขนาดซองทิชชูที่ลงโฆษณารูปเธอเขายังเก็บใส่ซองสูญญากาศไว้อย่างดี “เอาเป็นว่านายทำตัวดีๆ นะ เธอจะได้ประทับใจวันหลังจะได้เชิญให้มาเล่นด้วยอีก”

“ครับๆ รู้แล้วคร้าบ~”

“นั่นไงๆ เธอมานู่นแล้ว ยืนดีๆ ยิ้มกว้างๆ แล้วก็พูดเพราะๆ นะนอฟ” ตฤณกำชับพร้อมกับช่วยเซ็ตเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่เข้าทางอีกครั้ง ก่อนจะจับไหล่เด็กหนุ่มกลับหลังหันไปทักทาย “สวัสดีครับน้องดาด้า จำพี่ตฤณได้ใช่ไหมครับเราเคยเจอกันแล้ว ส่วนนี่นอฟ เจ้าของเพลงที่น้องดาด้ามาเป็นนางเอก MV ให้ครับ”

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ” นภธรณ์พยักหน้ารับคำทักทายพลางมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้า เธอเป็นคนตัวเล็กผอมบางหุ่นตามพิมพ์นิยมสาวไทย ผิวขาว แก้มป่องดูน่ารักสดใส แต่ดูยังไงก็ไม่เหมาะกับบทนางเอก MV ของเขาสักนิด “ขอฝากตัวด้วยนะครับ”

“เราอายุเท่ากันเรียกดาด้าเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”

“โอเค ดาด้าเฉยๆ”

“หืม~” รมิดาเหล่ตามอง “แซวกันตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรกแบบนี้ เดี๋ยวดาด้าก็เข้าใจผิดว่านอฟจะจีบดาด้านะ”

นภธรณ์หัวเราะ “กล้าพูด~”

“คนสวยพูดอะไรก็ไม่ผิดค่ะ”

“เห็นหล่อๆ แบบนี้นี่ก็เลือกเป็นนะ”

“ดูช้างให้ดูหางดูนางให้ดูแม่... แล้วดูว่าหล่อแน่จริงไหม นอฟเอาเบอร์พ่อมาดีกว่าเดี๋ยวดาด้าพิสูจน์เอง”

แล้วเธอก็ขยิบตาให้เขาครั้งหนึ่งเป็นอันรู้กันว่าล้อเล่น นภธรณ์จึงค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อย เพราะทีแรกนึกว่าหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดาราดังจะเข้าหายากเสียอีก

“เกิดเรื่องบ้าอะไรอีก!”

เสียงของดุริยะที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาทั้งกองถ่ายสะดุ้งไปตามๆ กัน นภธรณ์หันไปเห็นเขากอดอกทำหน้าถมึงทึงใส่ทีมงานคนหนึ่งที่ยืนตัวลีบอยู่ตรงหน้า

“มีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ ดูเหมือนคุณเอที่จะมาเล่นเป็นบทแฟนน้องดาด้ามีปัญหาทำให้มาถ่ายไม่ได้น่ะครับ”

“มาไม่ได้แล้วมาบอกอะไรกันตอนนี้วะ!” ดุริยะสบถด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“อะ... เอ่อ... ยังไงวันนี้เราเปลี่ยนคิวเป็นฉากที่ไม่ต้องมีเขาละกันนะครับ”

“แบบนั้นมันยุ่งยาก ถ้าไม่มีความรับผิดชอบนักเปลี่ยนคนใหม่ไปเลยง่ายกว่า” ดุริยะกล่าวเสียงเฉียบ “ไม่มีความจำเป็นต้องให้คนเป็นสิบที่เตรียมตัวมาอย่างดีต้องเปลี่ยนแผนเพราะคนๆ เดียว”

“ละ... แล้วเราจะหาใครมาแทนได้ละครับ เวลากระชั้นชิดขนาดนี้” ทีมงานหนุ่มโอดครวญ

“มีถมถืด ไปหามาสิ”

“ใครครับ”

“นั่นมันหน้าที่นาย” โปรดิวเซอร์ใหญ่ตัดบทพร้อมกับเดินไปนั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง

“อะ อ้าววว คุณดุริยะ”

นภธรณ์ยิ้มให้กำลังใจทีมงานที่หน้าจ๋อยไปถนัด กำลังจะวิ่งตามดุริยะไปเพื่อชวนคุยให้อารมณ์ดี และเป็นการซักซ้อมความเข้าใจในบทบาทที่เขาต้องแสดงออก แต่กลับกลายเป็นว่าหญิงสาวที่ยืนคุยอยู่ด้วยกันนั้นไวกว่า

“แหม พี่ยะไม่เอาไม่เครียดนะคะ” รมิดาคล้องแขนข้างหนึ่งลงรอบท่อนแขนแกร่งทำเล่นหูเล่นตา “เดี๋ยวดาด้าช่วยคิดนะคะว่ามีคนรู้จักคนไหนพอจะว่างวันนี้บ้าง คนที่ดูเป็นผู้ใหญ่แล้วก็หล่อๆ เนอะ เพราะต้องมาเล่นเป็นแฟนดาด้า” เธอเอียงคอครุ่นคิดพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างไม่มีจุดหมาย แต่แล้วสายตาก็หยุดลงตรงชายหนุ่มที่นั่งอ่านบทอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมห้องอีกฝั่ง “โอ๊ะ! พี่ยะขา ผู้ชายคนนั้นเป็นไงคะ”

“ใครเหรอครับน้องดาด้า” ดุริยะถามเสียงหวาน ดูท่าเขาจะไม่ได้มีแค่สองมาตรฐานแต่มีมาตรฐานที่สามสำหรับผู้หญิงสวยๆ ด้วย

“นั่นไงคะ ผู้ชายหล่อๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นไง เขาเป็นทีมงานเราใช่ไหมคะ ดาด้าว่าเขาใช้ได้เลยนะ” รมิดาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางชี้มือชี้ไม้

ทุกคนในที่นั้นมองตามปลายนิ้วเรียวสวยไปก่อนที่นภธรณ์จะอุทานขึ้น

“นั่นป๊าผมเอง”

“หืม~” รมิดาตาโตทันที

“มีอะไรเหรอ” น้องร้องหนุ่มถาม

“งานดีทั้งพ่อทั้งลูกเลยนะ” รมิดาจีบปากจีบคอว่า “แต่ดูป๊านายจะฮ็อตกว่านะ”

นภธรณ์กรอกตา ใช่สิ! คนอะไรแค่นั่งทำหน้าเข้มพลิกกระดาษไปมายังดูเท่ “เขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ”

“งั้นก็ตกลงนะ ฉันจะไปชวนเขาเอง”

“จะ... จะดีเหรอ” นภธรณ์ว่าพลางเหลือบตามองโปรดิวเซอร์ใหญ่อย่างขอความเห็น แต่ดุริยะก็ไม่มีท่าทีคัดค้านใดๆ เพราะความเห็นจากตัวนักแสดงนำโดยเฉพาะคนมีความสามารถอย่างรมิดาก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้าม

“ลองชวนดูก็ได้ เบ้าหน้าเขาใช้ได้อยู่”

เมื่อได้รับไฟเขียวจากดุริยะ รมิดาก็เดินเร็วๆ เข้าไปหาปรเมษฐ์

“ป๊าไม่มาเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก” นภธรณ์กอดอกบ่นพึมพำกับตัวเอง

แต่เขายังบ่นไม่ทันจบดีด้วยซ้ำเมื่อหญิงสาวหันมาโบกมือส่งสัญญาณมือเป็นรูปหัวใจก่อนจะป้องปากตะโกนมาว่า “คุณโป้โอเคค่า~”

“ห๊า~” นภธรณ์อุทานนึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่ารมิดาอมสาลิกาลิ้นทองวัดไหนถึงได้กล่อมป๊าเขาง่ายดายนัก วันหลังจะได้ไปบูชามาใช้บ้าง แถมในเวลาไม่ถึงสองนาทียังอุตส่าห์รู้ด้วยว่าป๊าชื่อเล่นว่าอะไรและเรียกได้อย่างสนิทสนม

“น้องดาด้านี่สุดยอดจริงๆ” ตฤณชื่มชมดาราสาวก่อนจะหันไปพูดกับคุณพ่อของนักร้องในสังกัด “แล้วก็ต้องขอโทษคุณโป้ด้วยนะครับที่ทำให้ลำบาก”

“เมื่อกี้ฉันนั่งอ่านสคริปต์จนจบแล้ว ถึงจะเป็นเล่นเป็นแฟนตัวจริงนางเอก แต่ก็แค่โผล่ออกมาเดินผ่านฉากนิดๆ หน่อยๆ ใช่ไหมล่ะ ก็คงไม่ยากเท่าไร ถ้าไม่เป็นตัวถ่วงแล้วจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นก็ไม่มีปัญหา” ปรเมษฐ์ว่า อันที่จริงเขาเผลอตอบตกลงไปโดยไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วนเพราะกำลังนึกโล่งใจที่สคริปต์ในส่วนของนภธรณ์ไม่มีเลิฟซีนหวือหวา เต็มที่ก็แค่วิ่งเข้าไปกอดนางเอกจากทางด้านหลังแล้วโดนผลักออก

“ขอบคุณนะครับ ส่วนเรื่องค่าตอบแทนผมจะจ่ายให้เท่าในส่วนของนักแสดงที่ไม่มาครับ”

“อืม ก็ตามนั้น”

“งั้นเชิญคุณโป้ไปแต่งตัวทางนี้เลยครับ น้องดาด้าด้วยนะเดี๋ยวเราจะได้เริ่มกันเลย” ตฤณผายมือเชื้อเชิญ

ใช้เวลาไม่นานนักปรเมษฐ์ก็เดินกลับออกมาเพราะไม่มีอะไรให้ต้องแต่งเพิ่มมาก ด้วยหุ่นมาตรฐานนายแบบทำให้หาเสื้อผ้าได้ไม่ยากนักแม้จะไม่ได้ลองชุดมาก่อน และด้วยใบหน้าที่คมเข้มแค่ลงรองพื้นบางเบากับปัดคิ้วจัดผมให้เข้าที่เพียงแค่นี้ก็ดีพอจะเข้ากล้องได้แล้ว

“โห~” นภธรณ์ถึงกับพูดไม่ออก ปกติเขาจะคุ้นเคยกับป๊าในชุดสูทและเสื้อกาวน์ ซึ่งนั่นก็ดูดีอยู่แล้ว แต่พอเปลี่ยนมาใส่แจ๊คเก็ตให้เป็นวัยรุ่นขึ้นกับแต่งหน้านิดหน่อย จากแต่เดิมที่ดูไม่ค่อยเหมือนพ่อลูกกัน ตอนนี้ยิ่งลดลงมาเหลือแค่พี่น้อง ไม่สิ! จะบอกว่ารุ่นพี่ที่โรงเรียนยังทำใจเชื่อได้เลย

“ดูตลกเหรอ” ปรเมษฐ์ถาม รู้สึกประหม่านิดๆ นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้แต่งตัวสไตล์นี้

“ป๊าแอ๊บเด็กอ่ะ” นภธรณ์แซว

“ไม่ดีเหรอ งั้นฉันให้เขาเปลี่ยนดีกว่า”

“ดีแล้วค่ะ คุณโป้ดูหล่อมากเลย” หญิงสาวในชุดเดรสยาวสีขาวผ่าข้างอวดเรียวขายาวสวยบนรองเท้าส้นเข้มเดินนวยนาดเข้ามาแทรกกลางวงและช่วยจัดปกเสื้อให้

เธอหันหน้าที่ฉาบด้วยเครื่องสำอางมาสบตา นภธรณ์ยังคงงงอยู่อีกอึดใจว่าเธอเป็นใครจนกระทั่งริมฝีปากสีกุหลาบนั้นคลี่ยิ้มหวานให้ และมันเป็นรอยยิ้มพิมพ์เดียวกับคนที่บอกว่าจะมาเป็นนางเอก MV ของเขาไม่ผิดแน่

“ดาด้า!” นภธรณ์ร้องอย่างตื่นตะลึง

“รู้ตัวว่าสวย ขอบคุณค่ะ” รมิดาทำหน้าชะมดชม้อยพร้อมทั้งย่อตัวเร็วๆ ครั้งหนึ่ง “เช็ดน้ำลายด้วยค่ะ ไหลย้อยไปถึงตาตุ่มแล้ว”

“เปล่า” นภธรณ์ว่า “ฉันแค่ตกใจน่ะว่าทำไมเธอแต่งออกมาได้แก่ขนาดนี้”

“เฮ้!” ยิ้มหวานหุบฉับก่อนจะเปลี่ยนเป็นตีหน้ายักษ์พร้อมกับเท้าเอวใส่

“เออๆ เชื่อแล้วว่าเธอเก่งจริงๆ นี่อายุเท่ากันแท้ๆ แต่แต่งออกมาได้เหมือนป้าข้างบ้าน เอ๊ย! เหมือนสาวมหา’ลัยเลย” นภธรณ์พูดไปขำไป “ถามจริง นี่เธออายุเท่าฉันแน่เหรอ โกงพ.ศ.เกิดหรือเปล่า? ถ้าไม่บอกนี่ฉันนึกว่าเธอรุ่นเดียวกับป๊าเลยนะ”

“นอฟจ๊ะ! ทำไมถึงได้ปากคอเราะร้ายกับนางเอกของนายแบบนี้ละจ๊ะ”

“เฮ้ย! นี่เราชมนะ” นภธรณ์ทำเสียงสูงซึ่งไม่ได้ไปด้วยกันกับหน้าตาเลยสักนิด

“ชมบ้านพ่อนายสิ! อุ้ย!” พูดจบรมิดาก็นึกขึ้นได้ เธอรีบปิดปากเก็บอาการและหันไปยกมือไหว้ปรเมษฐ์ “ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณโป้นะคะ”

ปรเมษฐ์โบกมืออย่างไม่ถือสาและหัวเราะลงคออย่างขบขัน เขาไม่ค่อยได้ไปรับส่งนภธรณ์ที่โรงเรียนและเจ้าตัวก็ไม่เคยพาเพื่อนมาบ้าน นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นลูกชายหยอกล้อกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน

“พร้อมกันหรือยังครับ” เสียงตฤณตะโกนเรียกทำให้สงครามน้ำลายต้องหยุดลงแค่นั้น

“ฝากไว้ก่อนเถอะ” รมิดาทำปากขมุบขมิบ

“อย่าลืมมาเอาคืนนะครับ คนสวย” นภธรณ์ว่าก่อนจะวิ่งฉิวหนีเข้าฉากไปยืนเตรียมพร้อม

รมิดาเดินตามไป แต่ด้วยส้นรองเท้าที่เล็กและสูงมากประกอบทรงกระโปรงที่แคบและยาวลากพื้นจึงทำให้เดินได้ไม่ถนัดนัก และมันก็ชอบเข้าไปติดอยู่ที่ส้นรองเท้าจนเธอก้าวสะดุดหลายครั้ง

“ดาด้า” นภธรณ์เรียกหลังจากที่เห็นรมิดาพยายามดึงชายกระโปรงออกอย่างเก้ๆ กังๆ เพราะต้องพยายามทรงตัวไม่ให้ล้ม

“เรียกทำไมยะ”

“อยู่นิ่งๆ นะ” พูดจบนภธรณ์ก็นั่งพรวดลงตรงหน้าแบบไม่มีมาดใดๆ “จับไหล่ฉันไว้สิ แล้วค่อยๆ ยกขาขึ้นนิดนึงนะ” แล้วเขาก็แกะชายกระโปรงออกจากส้นรองเท้าของเธอให้พร้อมกับช่วยยกให้ลอยพ้นพื้นจนเดินมาถึงฉาก

“ขอบใจ” รมิดาบอกอ้อมแอ้ม เธอเข้าวงการตั้งอายุสามขวบ ผ่านการแสดงกับผู้ชายหล่อๆ มาก็มาก ฉากร้อนแรงกว่านี้ก็ทำมาแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจไม่เคยเต้นแรงเท่านี้มาก่อน นั่นเพราะเธอรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของการเล่นละครกับความมีน้ำใจ มิน่าล่ะแฟนคลับถึงได้หลงกันนัก

“ฉากนี้ถ่ายไม่นานทนหน่อยนะ เดี๋ยวเปลี่ยนชุดแล้วก็คงดีขึ้น”

ให้กำลังใจไปแบบนั้น แต่กลับกลายเป็นเขาเองที่เป็นตัวถ่วง

“คัท!” ดุริยะตะโกนเสียงดังก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และก้าวพรวดพราดมาหา เทคสองสามเขายังพอทำเนา แต่นี่จนเทคที่ 18 แล้วมันออกจะมากไปหน่อยกับฉากง่ายๆ “เธอน่ะ!... ไม่ใช่ดาด้าจ๊ะ... ฉันหมายถึงเธอ นอฟน่ะ ช่วยมีอารมณ์ร่วมมากกว่านี้อีกนิดได้ไหม... ฉันขออีกนีดนึงนะ มันจะได้ดูมีความแตกต่างจากก้อนหินหน่อย ตามบทเธอต้องรักผู้หญิงคนนี้มากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อฉุดรั้งนะ ไม่ใช่พอเขาสะบัดมือก็ปล่อยเลยตามเลย”

“แล้วผมต้องทำยังไงละครับ” นภธรณ์เกาหัวแกรก... ก็สคริปต์มันเขียนมาแค่นี้นี่นา

“ก็แบบ...” ดุริยะอยากจะกรี๊ดให้บ้านแตกเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่เคยสอนการแสดงใครยากขนาดนี้มาก่อน “ยื้อน่ะ... รู้จักไหมการยื้อแย่งน่ะ... จะเอาๆ ตามเนื้อเพลงเลย เขาไม่รักก็จะขอให้เขาอยู่ด้วย ไม่ใช่ทำตัวแบบไม่รักไม่ต้องมาแคร์ไม่ต้องมาดีกับฉัน อันนั้นมันเพลงคนอื่นเว้ย เพลงของเธอมันต้องกระเสือกกระสนจะเอาเขามาเป็นของตัวเองให้ได้”

เห็นท่าไม่ดี นางเอก MV จึงเข้ามาช่วยแนะนำเสียเองก่อนที่ระเบิดจะลงแล้วจะถ่ายกันต่อไม่ได้

“นอฟต้องดึงมือดาด้าไว้ เรียกให้หันมา นี่ ทำแบบนี้นะ...” รมิดาหันไปคว้ามือดุริยะเตรียมสาธิตก่อนจะมุ่ยหน้าเล็กน้อย “ไม่เอาดีกว่า... คุณโป้ขา มาทางนี้หน่อยค่ะ ดาด้ามีเรื่องรบกวน”

“อะไรครับ” ปรเมษฐ์เดินเข้ามาหา

“ถ้าดาด้ากำลังจะไปหาผู้ชายอีกคนคุณโป้จะทำยังไงคะ”

ปรเมษฐ์มองหน้าหญิงสาวงงๆ แต่พอหันไปสบตาลูกชายที่ทำหน้าตามึนๆ ก็ถึงบางอ้อ และเริ่มต้นสาธิตด้วยการคว้าข้อมือหญิงสาวแล้วรั้งตัวเข้ามากอดแนบอก

แต่รมิดาขัดขืน ผลักเขาออกอย่างแรงและหมุนตัวเดินหนี

ปรเมษฐ์ไม่ยอมแพ้ เขาพุ่งเข้าสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง สอดคางวางลงบนบ่าแล้วกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู “อย่าไปหาเขาเลยนะครับ”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ แม้แต่ดุริยะเองยังพยักหน้าพอใจกับการกระทำง่ายๆ ทว่าชัดเจนและเรียกอารมณ์ได้ดี

“ก็... คงประมาณนี้มั้งครับ” ปรเมษฐ์กระซิบอ้อมแอ้มพร้อมกับคลายมือออกและค้อมศีรษะให้หญิงสาวครั้งหนึ่ง

“เริ่ดค่ะ” รมิดาชูนิ้วโป้งให้ก่อนจะหันไปหานภธรณ์ “เอาแบบนี้เลยนะ”

แต่นภธรณ์ยังคงยืนนิ่งด้วยความตื่นตะลึง ถึงจะเป็นฉากรักแค่เสี้ยวนาทีแต่มันกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ... เขาไม่ได้ตื่นเต้น หรือรู้สึกอิจฉา แค่หัวใจมันสั่นที่เห็นป๊ากอดคนอื่นต่อหน้าเป็นครั้งแรก

อีกแล้ว!... ก็แค่กอด ทำไมเขาถึงต้องหงุดหงิดแบบนี้ด้วย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสายตาและน้ำเสียงแบบนั้นใช่ไหม?
มันคืออาการที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะท่าทีที่แสดงถึงความเป็น ‘คนรัก’

“โอเคไหมนอฟ!” รมิดาถามซ้ำด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“อะ... โอเค... เอาแบบนี้ใช่ไหม”

การถ่ายทำเป็นไปอย่างเรียบร้อยตามกำหนดการ หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงฉากที่ต้องถ่ายร่วมกับคนอื่นก็เสร็จสิ้น คงเหลือแต่ฉากเดี่ยวของนภธรณ์ที่ต้องยืนร้องเพลงเฉยๆ ซึ่งจะมาเก็บรายละเอียดตรงจุดนี้ในวันต่อไป

“มีปัญหาอะไรกับหน้าฉันหรือเปล่า” นภธรณ์ถามหญิงสาวที่มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ในขณะที่นั่งพักดื่มน้ำด้วยกัน

“แค่ไม่คิดน่ะว่าหน้าตาอย่างนายจะร้องเพลงเพราะ” ถึงจะอดกัดไม่ได้แต่รมิดาก็ตั้งใจชมจริงๆ

ก่อนจะมาถ่ายทำวันนี้เธอเคยฟังเพลงของเขามาบ้างแล้ว และรู้สึกถูกใจในเสียงที่หวานติดหู พอได้ยินว่าเจ้าพ่อแห่งวงการเพลงอย่างดุริยะเป็นคนออกปากขอทำเพลงให้ด้วยตนเองจึงยอมตกลงเล่นเป็นนางเอกเพราะอยากรู้ว่านภธรณ์จะมีดีสักแค่ไหน มาวันนี้ได้ฟังเสียงร้องสดก็ยิ่งรู้สึกประทับใจว่าผู้ชายคนนี้ใช้ ‘หัวใจ’ ร้องเพลงจริงๆ และเขาก็เต็มที่กับการทำงานมากๆ ถึงจะเป็นมือใหม่แต่ก็ร่วมงานได้อย่างสบายใจ

“หมายความว่าไง”

“ก็แค่นั้นแหละ” รมิดาทำเป็นกอดอกอย่างไว้เชิง ชมมากกว่านี้ไม่ได้หรอกเพราะอีกฝ่ายดูเป็นพวกเหลิงง่าย “ว่าแต่นายเถอะมองฉันแบบนั้นมีอะไร”

“ขอบใจนะ” นภธรณ์บอกและนั่นสร้างความแปลกใจให้หญิงสาวไม่น้อย

“เรื่องอะไรยะ”

“ฉันร้องเพลงได้อย่างเดียว แต่การแสดงนี่ไม่ได้เรื่องเลย ปกติจะต้องถ่ายเป็นวันๆ แต่เพราะวันนี้ได้เธอช่วยส่งบทและแนะนำอะไรให้เยอะแยะเลยเสร็จไวขึ้นมากเลย”

“กับไม้พะยูงฉันก็เล่นมาแล้ว แค่ก้อนหินสักยันต์แบบนายนี่สบายมาก”

นภธรณ์เบะปาก “จ้า~ แม่ดาราดัง แม่ตุ๊กตาทองคำ แม่ดาราหนังออสการ์”

“อุ๊ย! นอฟพูดตรงๆ แบบนี้ดาด้าเขินนะ”

“ประชดเว้ย!”

“ไม่ต้องเขินหรอกนอฟ ดาด้าสวย ดาด้าเข้าใจ”

“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ” ปรเมษฐ์เดินเข้ามาร่วมวง

นภธรณ์หันไปยิ้มกับปรเมษฐ์ที่ยังอยู่ในคราบของพี่ชาย “เหนื่อยไหมป๊า...”

“ไม่นะ”

“วันนี้คุณโป้แสดงได้ดีมากเลยค่ะ” รมิดารีบแทรกขึ้นพร้อมเหลือบตามองนภธรณ์ “ผิดกับใครบางคนลิบลับ”

“อ้อ... ไม่หรอกครับ ผมก็แค่ยืนเฉยๆ คุณต่างหากที่เก่งมาเลยเล่นเทคเดียวผ่าน ไม่เหมือนลูกชายผม”

“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ” นภธรณ์ว่า

“แหม ไม่หรอกค่ะ” รมิดาหัวเราะคิกคัก “คุณโป้เรียกดาด้าเฉยๆ ก็ได้ค่ะดูสนิทสนมกันดี”

“ครับ น้องดาด้า”

นภธรณ์หันไปถลึงตาใส่ป๊า กับดาด้าเขาไม่คิดอะไรแต่ไม่คิดว่าป๊าจะเล่นด้วย

“งั้นดาด้าเรียกพี่โป้นะ เพราะพี่โป้ดูหนุ่มเกินกว่าจะเป็นคุณอา”

“ได้ครับ”

“เพลงใหม่ของนอฟนี่ดีมากเลยนะคะ ดาด้าฟังแล้วเคลิ้มเลย รู้สึกสงสารนอฟจังที่ต้องไปหลงรักคนมีเจ้าของแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทุ่มเทให้ผู้หญิงคนนี้เต็มที่เพราะหวังว่าเธอจะหันมามอง”

“เป็นเพลงอกหักเพลงแรกของฉันเลยนะ แต่ก็ทำออกมาได้ดีใช่ไหมล่ะ” ได้ยินคำชมเข้าหน่อยนภธรณ์ก็ทำชูคอลอยหน้าลอยตา

“เขาบอกว่าผู้ชายเวลารักใครจะให้เต็มร้อยแล้วค่อยๆ ลดลงน่ะครับ” ปรเมษฐ์กล่าวเป็นการเป็นงาน “ส่วนผู้หญิงเริ่มจากศูนย์แล้วไปร้อย แต่ในเคสนี้ดูน่าจะติดลบนะครับ”

“ที่พี่โป้พูดมาก็จริงนะคะ ปกติดาด้าชอบใครก็เริ่มจากศูนย์... 089-987xxxx อุ๊ย! ดาด้าพูดอะไรออกไปเนี่ย... ว่าแต่ พี่โป้จดทันไหมคะ”

ปรเมษฐ์ยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก “089-987xxxx ใช่ไหมครับ”

“เป๊ะเวอร์”

ปรเมษฐ์ล้วงมือลงในกระเป๋าและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้อย่างรู้งาน “ส่วนนี่นามบัตรผมครับ”

“ขอบคุณนะคะ” เธอบกมือไหว้และรีบรับไปลองกดโทรออกเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้อง เมื่อเห็นโทรศัพท์คนอายุมากกว่าสั่นพร้อมกับที่เบอร์ของตนปรากฏขึ้นที่หน้าจอจึงกดตัดสาย “อย่าลืมเมมเบอร์ดาด้านะคะ”

“ครับ”

“ป๊า!” นภธรณ์เรียกเสียงดัง “กลับกันเถอะ ผมหิวข้าวแล้ว”

“จะกินอะไรอีก เมื่อกี้แกก็เพิ่งกินข้าวกองถ่ายไปไม่ใช่เหรอ”

“ก็ตอนนี้หิวแล้ว”

“แล้วไอ้ที่ถืออยู่ในมือนั่นล่ะ” ปรเมษฐ์ชี้ไปที่มันฝรั่งทอดกรอบรสชีสถุงใหญ่ที่ลูกชายกำลังหยิบใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆ “ไหนว่าลดน้ำหนักไง”

“ก็ลดอยู่” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มือก็ยังเติมขนมใส่ปากไม่หยุด “ตกลงจะกลับได้ยัง”

“เออๆ”

ปรเมษฐ์ทำท่าจะลุก แต่รมิดายังไม่เลิกรั้ง “พี่โป้เล่นไลน์ไหมคะ เผื่อตอนเช้าๆ ไม่รู้จะส่งสติ๊กเกอร์สวัสดีวันจันทร์ให้ใครส่งให้ดาด้าก็ได้นะ ดาด้าชอบ ดาด้าสัญญาว่าจะตอบทุกอันเลย”

“ครับ” ปรเมษฐ์พยักหน้าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดรับคำขอเป็นเพื่อนจากหญิงสาว

“แล้วพี่โป้เล่นเฟสไหมคะ”

“ไม่เล่นครับ”

“ป๊า! จะไปยัง”

ปรเมษฐ์หันไปหรี่ตาใส่ลูกชายก่อนจะหันกลับมายิ้มหวานให้หญิงสาว “ขอตัวก่อนนะครับ”

“เจอกันวันหลังนะคะ”

“ครับ” แล้วออกเดินนำไปขึ้นรถ

“นอฟ!” รมิดาเรียก

นภธรณ์เหล่มองทางหางตา “มี’ไร”

“ไอ้ขี้งก!” รมิดาทำปากขมุบขมิบใส่ จริงๆ แล้วเธอไม่ได้ตั้งใจจะจีบปรเมษฐ์หรืออะไรหรอก แค่เห็นอีกฝ่ายหวงพ่อดีนักก็เลยอยากลองแกล้งแหย่เล่นเท่านั้น

นภธรณ์ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เขาหันมาแลบลิ้นให้ก่อนจะทำหน้าเชิดเดินออกไป


(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 5 [12/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 18-03-2017 12:47:05
(ต่อตรงนี้)

“งอนอะไรเด็กโง่” ปรเมษฐ์ถามลูกชายที่เอาแต่นั่งหน้าบูดมาตลอดทาง พอกลับถึงห้องก็เดินฉับๆ ตัดหน้าเขาไปทิ้งตัวลงนั่งกอดอกบนโซฟา “อย่าบอกนะว่าเรื่องที่ฉันมัวแต่คุยกับดาด้าจนไม่สนใจแกน่ะ”

นภธรณ์ทำแก้มป่อง “ป๊าก็รู้ตัวนี่”

“ไร้สาระน่า”

“ไม่ไร้สาระนะ ก็วันนี้ป๊าน่ะเอาแต่หว่านเสน่ห์ใส่คนโน้นคนนี้ไปทั่ว ทั้งสไตล์ลิสท์ ช่างทำผม ช่างแต่งหน้าก็เอาแต่ชมป๊าว่าหล่ออย่างนั้นอย่างนี้ ปกติเวลานักข่าวมาสัมภาษณ์ผม ป๊าก็หลบฉากหนีกล้องตลอด แล้วไหงถึงมายอมเล่น MV ง่ายๆ ได้ล่ะ หรือว่าหลงเคลิ้มไปกับการที่ใครๆ ชมว่าหล่อแถมยังหน้าเด็ก”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยนอฟ ฉันไม่ใช่แกนะจะได้หลงตัวเอง” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างกัน “ฉันแค่ไม่อยากเข้ากล้องไปแย่งซีนแกต่างหาก แล้วฉันก็ไม่ได้หว่านเสน่ห์แต่เรียกว่าสร้างคอนเน็คชั่น มีมิตรก็ดีกว่าศัตรูนะ... ไม่เอาน่านอฟ อายุฉันกับน้องดาด้านี่ต่างกันรอบกว่า เป็นพ่อกับลูกได้เลยนะ ฉันจะไปชอบเขาได้ยังไง แล้วก็... ฉันยังไม่ลืมแม่แกนะ”

ประโยคที่ว่าห่างกันจนเป็นพ่อกับลูกได้ก็ฟังสะดุดหูพอแล้ว แต่คำที่ทิ้งท้ายนี่ทำเอาเจ็บจี๊ดในอกแปลกๆ

“ก็ดีแล้ว”

“นี่! ที่ฉันช่วยน่ะเพราะฉันไม่อยากให้พี่ยะอะไรนั่นหงุดหงิด เผลอๆ แกจะพลอยซวยโดนหางเลขไปด้วย แล้วมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ก็คล้ายๆ ละครเวทีสมัยเรียนมหา’ลัย”

“ป๊าเป็นห่วงผมขนาดนั้นเชียว”

“ฉันไม่อยากกลับดึกต่างหาก” ปรเมษฐ์ว่า

“ว่าแต่ป๊าเล่นไลน์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกผม ปกติใช้เป็นแต่ส่งข้อความ SMS”

“เทคโนโลยีเขาไปถึงไหนต่อไหนฉันก็ต้องตามให้ทันสิ ไม่งั้นจะจับได้ไล่แกทันเหรอ”

“งั้นมาทดสอบกันดีกว่า” นภธรณ์บอกพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาขอกดแอดเฟรนด์

“ได้!” ปรเมษฐ์รับคำท้า

“ส่งรูปให้ดูหน่อย”

สิ้นคำภาพตัวเขาเองที่นอนกอดหมอนข้างน้ำลายยืดเมื่อวันก่อนก็ถูกส่งเข้ามาในหน้าแชท

นภธรณ์หันไปเบะปากใส่ป๊าที่ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง “อย่าเพิ่งได้ใจไป ไลน์คอลล่ะทำเป็นไหมป๊า”

ปลายนิ้วสไลด์ไปบนหน้าจอโทรศัพท์อยู่อึดใจเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ในมือนภธรณ์ก็แผดดังขึ้น และพอเขากดรับก็ได้เห็นหน้าป๊าปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

“อยากทดสอบอะไรอีกไหม”

นภธรณ์ตัดสายทิ้งพร้อมกับลดโทรศัพท์ในมือลงเพียงเพื่อจะได้เห็นป๊าทำหน้าตาเยาะเย้ยอยู่ตรงหน้า เขานิ่วหน้าก่อนจะนึกไม้เด็ดได้ “เก่งจริงก็แชร์โลมาให้ผมดูหน่อย”

“ไม่มีปัญหา”

แล้วปรเมษฐ์ก็เงียบไปอึดใจ นภธรณ์ทำคอยืดคอยาวชะเง้อไปมองดูว่าทำอะไรอยู่ แต่ป๊าก็ขยับโทรศัพท์หลบไม่ยอมให้เขาเห็น

ผ่านไปอีกราวหนึ่งถึงสองนาทีโทรศัพท์ในมือก็สั่นอีกครั้ง นภธรณ์กดเปิดดูผลงานผู้เป็นพ่อแล้วก็อุทานลั่น

“ป๊า!”

“น่ารักใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ใช่โลมานี้” แล้วนภธรณ์ก็ขำจนน้ำหูน้ำตาไหลกับภาพโลมาสีชมพูยิ้มแฉ่งที่กระโดดเล่นน้ำอยู่ในทะเล

“อ้าว แล้วแกจะเอาโลมาพันธุ์ไหนทำไมไม่บอกให้เคลียร์ๆ นี่ฉันอุตส่าห์เลือกตัวสีชมพูทำปากจู๋น่าเอ็นดูจะตาย”

นภธรณ์ต้องใช้สองมืออุดปากเพื่อหยุดหัวเราะและตั้งสติ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอธิบายไปขำไป “ผมหมายถึงโลเกชั่น เขาพูดกันสั้นๆ ว่าแชร์โลฯ มาหน่อย ผมจะไปอยากดูรูปปลาโลมาทำไมละป๊า”

“แล้วก็ไม่พูดให้เต็มๆ” ปรเมษฐ์พึมพำอายๆ ที่ไม่ทันศัพท์วัยรุ่น

นภธรณ์เขยิบเข้าใกล้มากพอจนเอาคางเกยบนไหล่ได้ ทีแรกสายตาก็จับจ้องอยู่ที่ปลายนิ้วซึ่งลากไปมาบนหน้าจอโทรศัพท์ แต่สักพักก็เลื่อนไปยังมือใหญ่ ไล่ขึ้นมาตามท่อนแขนแกร่งที่เห็นเส้นเลือดเป็นลำสีเขียวจางๆ ไปจนถึงอกกว้าง

ตอนนี้ปรเมษฐ์เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลคที่คุ้นตาเหมือนเดิมแล้ว ถึงใครๆ ที่กองถ่ายจะพากันบ่นเสียงขรมว่าเสียดาย อยากให้ใส่ชุดที่ถ่ายทำกลับไปเลยเพราะไหนๆ สปอนเซอร์ก็ยกให้แล้ว เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้ปรเมษฐ์ลองหันมาแต่งตัวสไตล์นี้บ้าง แต่เขาคิดว่าแบบนี้แหละดีแล้ว สำหรับเขาไม่ว่าป๊าจะใส่อะไร แบบไหนก็ดูดี ที่สำคัญเขาก็ไม่อยากให้ป๊าป๊อบไปมากกว่านี้ วันนี้เห็นดาด้ามาเกาะแกะป๊าแล้วรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ ยิ่งตอนที่เห็นป๊ากอดดาด้าด้วยท่าทีแบบนั้นทำให้อดคิดไม่ได้ว่า แล้วตอนที่ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ จะไป ป๊าทำแบบนี้ไหม ป๊าดึงเธอมากอดแล้วอ้อนวอนแบบนั้นหรือเปล่า

คิดถึงตรงนี้ก็เผลอยกสองมือขึ้นคล้องรอบท่อนแขนแกร่งแน่น พร้อมกับซุกหน้าลงบนบ่ากว้างราวกับต้องการความมั่นใจว่าตอนนี้ป๊ายังนั่งอยู่กับเขาจริงๆ

“แบบนี้ใช่ไหม”

เสียงของปรเมษฐ์กับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอีกครั้งปลุกนภธรณ์ให้ตื่นจากภวังค์ เขารีบยกศีรษะขึ้นแล้วกดโทรศัพท์ดูก่อนจะทำเป็นแซวกลบเกลื่อน “เก่งนี่นาป๊า”

“โมมันสอนมาน่ะ” ปรเมษฐ์เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าพลางกวาดตามองลูกชายที่ตอนนี้เบียดเข้ามาจนแทบจะขึ้นมานั่งอยู่บนตัก “มากระแซะแบบนี้จะอ้อนเอาอะไรอีกล่ะ”

“เปล่า”

“มีอะไรก็พูดมา อย่ามาอ้อมค้อม”

เพราะไม่รู้จะไปทางไหนจึงวกเข้าเรื่องงาน “เพลงใหม่ผมเพราะหรือเปล่า”

“ก็ดี”

“ป๊าไม่ชอบเหรอ”

“ไม่เลยสักนิด” ปรเมษฐ์ตอบจากใจ

“ทำไมล่ะป๊า นี่ผมอุตส่าห์ตั้งใจร้องเพื่อป๊าเลยนะ”

“เพื่อฉันตรงไหนวะ เพลงบ้าอะไรก็ไม่รู้ทำให้แกอกหักซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าชีวิตจริงมันจะเศร้าขนาดนี้อย่าไปมีมันเลยฟงแฟน อยู่เป็นโสดแก่ตายไปกับฉันนี่แหละ”

“ป๊าอะ!” นภธรณ์รัวหมัดลงบนท่อนแขนแบบหยอกๆ นึกแปลกใจเหมือนกันว่าแทนที่จะโกรธที่โดนแช่งให้ขึ้นคาน แต่เขากลับเขินเสียได้

“อยากร้องให้ฉันฟัง ร้องที่บ้านก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องไปเป็นนักร้องเลย” ปรเมษฐ์ใช้ปลายนิ้วชี้ดุนดันที่ปลายจมูกโด่งเชิดรั้นนั้นด้วยความมันเขี้ยว สงสัยจริงๆ ว่าไอ้ความดื้อ เอาแต่ใจนี่ได้มาจากใคร

“ก็บอกแล้วไงว่ามาตามหาแม่ให้ป๊า”

“นั่นสินะ” มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้มเมื่อนึกออกว่าเหมือนใคร

แต่ยิ้มเล็กๆ นั้นกลับมีอานุภาพบาดหัวใจคนที่เฝ้าดูอยู่ไม่น้อย ปกติเวลาป๊าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นทีไรนภธรณ์ก็ไม่ชอบใจอยู่แล้ว แต่พักหลังมานี่ยิ่งหงุดหงิดตัวเองจนทนไม่ได้ แล้วยังมายิ้มหวานแบบนั้นอีก

เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องโดยการล้มตัวลงนอนบนตัก

“ตกลงอยากได้อะไรเนี่ย” ปรเมษฐ์ถามตรงๆ นภธรณ์เริ่มโตขึ้นมากจนบางทีเขาก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าสามารถเดาใจและรู้ทุกเรื่องเหมือนเมื่อก่อน

“ขอนอนหน่อยนะป๊า เมื่อเช้าตื่นไปกองตั้งแต่ตีห้า ผมง่วงเป็นบ้าเลย”

“ง่วงก็ไปนอนดีๆ ที่เตียงสิ ไป๊!”

“ก็ผมอยากนอนตักป๊านี่นา”

“นอฟ...”

“ขอนิดนึงน่า... นะ... นะ”

“นอฟไม่เอาน่า” ปรเมษฐ์สอดมือเข้าใต้เอวและพยายามจับนั่งแต่ลูกชายก็ขืนตัวไว้

นภธรณ์พลิกตัวตะแคงข้างซุกหน้ากับพุงที่มีชั้นไขมันอยู่น้อยนิดและกอดเอวผู้เป็นพ่อแน่น “ทีกับดาด้าป๊ายังกอดได้เลย แค่นอนหนุนตักแค่นี้อย่าทำเป็นหวงตัวกับลูกชายนักสิ”

“ดูพูดเข้า” ปรเมษฐ์หัวเราะคาดไม่ถึงว่างอนเรื่องนี้จริงๆ “ไม่ได้หวงสักหน่อย แต่วันนี้ยืนทั้งวันฉันปวดขา”

แต่นภธรณ์ก็ยังไม่ยอมขยับ

“นอฟ ฉันบอกว่า...” พูดได้เท่านั้นเมื่อลูกชายยกมือขึ้นคว้าหลังคอแล้วดึงตัวขึ้นมาจุ๊บปิดปาก

“ยาแก้ปวดครับ” กระซิบเบาๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนซุกตัวที่ตักตามเดิม

ปรเมษฐ์ปิดเปลือกตาแน่นๆ พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง รู้ว่านี่เป็นแผนการอ้อน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาแพ้ทางใจอ่อนให้ทุกที

“เด็กดื้อเอ๊ย!”

และลูกชายก็ยอมรับคำบ่นแต่โดยดีด้วยการกอดเอวแน่นขึ้นอีก

เมื่อเห็นว่าห้ามไม่ได้ ปรเมษฐ์จึงยอมเป็นทั้งที่นอนและหมอนข้างให้นภธรณ์กอดก่าย ฝ่ามือใหญ่ลูบไปตามเรือนผมอย่างแสนรัก ตาคมก็กวาดมองไปรอบห้องที่มีความทรงจำของทั้งสองคนอยู่มากมาย นับตั้งแต่ปัจจุบันย้อนไปเป็นหนุ่มน้อยในชุดม.ต้นที่กระโดดโลดเต้นไปรอบๆ ห้องตื่นเต้นกับการไปโรงเรียนใหม่วันแรก เด็กประถมตัวจ้อยหน้าตามอมแมมเพราะเพิ่งไปทะเลาะกับเพื่อนมาหลังจากโดนล้อว่าเป็นลูกไม่มีแม่แล้วกลับมาร้องไห้ให้เขาปลอบไปทำแผลไป เด็กอนุบาลสวมผ้ากันเปื้อนที่กอดขาโต๊ะแน่นไม่ยอมไปโรงเรียน เพราะอายที่ฉี่รดที่นอนตอนนอนกลางวัน เด็กน้อยวัยเตาะแตะที่กำลังแผลงฤทธิ์มโนว่าตัวเองเป็นพ่อมด เอาตำราแพทย์ของเขามากางเต็มพื้นแล้วเอาแป้งโรยเพื่อทำพิธีร่ายมนตร์ปลุกเสกอะไรสักอย่าง แล้วสุดท้ายก็ปลุกเอาปีศาจในตัวเขานี่แหละให้ตื่นขึ้นมาคว้าไม้แขวนเสื้อวิ่งไล่ฟาดไปรอบๆ ห้อง

ปรเมษฐ์หลุดขำออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดไปถึงมุกที่ลูกชายจำมาจากละครเพื่อใช้หยุดไม่ให้เขาตี

‘ป๊าไม่รักผมแล้วเหรอ เมื่อคืนเรายังนอนกอดกันอยู่เลยนะป๊า’

ตอนที่ได้ยินประโยคนั้นทำเอาเขาใจสั่นทิ้งไม้แขวนเสื้อแล้วโผเข้ากอดลูกชายแทบไม่ทัน

ปรเมษฐ์ไล่มองต่อไปเรื่อยๆ ก่อนสายตาจะหยุดลงที่กรอบรูปใบหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนชั้น มันเป็นรูปเขาในวัยสิบเก้าปีกำลังตระกองกอดเด็กทารกตัวแดงไว้ในอ้อมแขน เด็กน้อยหลับตาพริ้ม อมยิ้มมุมปากให้เขาที่แตะริมฝีปากลงข้างแก้มใส และนั่นคือรูปภาพใบแรกที่ถ่ายด้วยกัน

ปรเมษฐ์มองรูปนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ประกายในแววตาที่เคยแน่วนิ่งเกิดสั่นไหว เขาถอนสายตากลับมามองดูทารกซึ่งเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่นอนหลัยปุ๋ยอยู่บนตัก

...มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไป...

คำๆ นี้ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ทั้งที่ใจคิดแบบนั้นแต่ปรเมษฐ์รู้ดีว่ามันไม่ใช่ นภธรณ์โตแล้ว อีกไม่นานก็จะเป็นชายหนุ่มเต็มตัวและก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ มีคนรัก ต้องแต่งงานมีครอบครัวและแยกออกไปมีชีวิตใหม่ ไม่ใช่เด็กที่จะมาติดพ่อเหมือนตอนนี้

ทั้งที่คิดได้ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก แต่ก็อดเจ็บลึกๆ ในหัวใจไม่ได้

และถ้าหากวันหนึ่งวากลับมา... เด็กคนนี้จะยังเลือกอยู่กับเขาต่อไปหรือเปล่า เพราะเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนนอฟไม่ได้เป็นคนเลือกว่าจะอยู่กับเขา แต่ถ้ามีโอกาสล่ะ เด็กคนนี้อาจจะเลือกแม่มากกว่าพ่อก็ได้ ขนาดไม่เคยเห็นหน้ายังตั้งหน้าตั้งตาตามหาและเฝ้ารอวันจะได้เจอขนาดนี้ วาเองก็เป็นศิลปินเหมือนกัน ทุกๆ อย่างนอฟถอดแบบแม่มาจนหมด... หมดทุกอย่างทั้งรูปร่างหน้าตา ความชอบ ไปจนถึงอุปนิสัยและความคิดอ่าน... เหมือนมากจนเขากลัวว่าวันหนึ่งนอฟจะตัดสินใจทิ้งเขาไปเหมือนอย่างที่วาเคยทำ

เด็กหนุ่มหลับสนิทไปแล้ว หากมือทั้งสองข้างยังคงจับเอวเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ปรเมษฐ์จ้องมองคนบนตักอยู่อีกอึดใจ ก่อนจะก้มหน้าลงสูดกลิ่นหอมบนพวงแก้มครั้งหนึ่งพร้อมกับบอกตัวเองหนักแน่นว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ

ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ก็คงได้เวลาที่เขาต้องเป็นฝ่ายผลักไสมือนี้เองเสียแล้ว... เพราะเขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องเป็นฝ่ายถูกทิ้งไปก่อน

**********************************************TBC********************************************

Talk

แต่งมา 6 บทยังไม่เคยคุยกันจริงๆ จังๆ เลย
ถ้าใครตามอ่านนิยายของเรามาตั้งแต่ ER Textbook ก็น่าจะเดาได้ถึงความเชื่อมโยงของธีมหลักใหญ่ๆ แบบใหญ่มว้ากอย่างหนึ่ง... เอ้า คิดสิคิด
ติีกต่อก...

ติ๊กต่อก...

ต๊ิกต่อก...

เฉลยล่ะ ธีมใหญ่คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ER=ตาย Textbook=เจ็บป่วย ส่วน Falsetto=เกิด (ส่วนแก่นี่คงไม่มีแล้ว เพราะแก่คือพระเอกแก่ค่ะ เคลียร์นะ555)

เราช่วยชีวิต จนถึง ทำให้มีชีวิต ตอนนี้เราจะมาวนกลับไปที่ การให้ชีวิต(เกิด) เรื่องมันก็เลยออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ
สำหรับคนที่อยากรู้ว่าเป็นพ่อลูกกันจริงๆ หรือไม่เป็น... โอ้วววว รออ่านกันยาวๆ ดีกว่าค่ะ เราไม่สัญญาล่ะ แต่บอกได้อย่างหนึ่งว่าเราค่อนข้างมั่นใจว่าจะเป็นตอนจบอย่างที่เราพอใจ และทุกคน(น่าจะนะคิดเองเออเอง)ยอมรับได้ เหมือนที่ทุกคนหลงรักพี่วินทร์มาแล้ว

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และทุกๆ การติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 18-03-2017 13:25:04
ไม่อยากเดาแล้วววว คิดอะไรไม่ออกเลยยยย  :z3: เพลินไปกับแต่ละตอน เจ็บไปพร้อม ๆ กับตัวละครแทนดีกว่า

--
คุณยะนี่แอบมีอารมณ์ขัน นิวจิ๋วก็มา 55555

ถ้าพ่อลูกคุยเรื่องความสัมพันธ์ ก็กลัวจะทำให้อะไรแย่ไปอีก
 :ling3:
แต่ป๊าไม่ต้องกลัวนะว่า นอฟจะทิ้ง เพราะงั้น อย่าทิ้งนอฟ อย่าทำร้ายอย่าผลักไสนอฟเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 18-03-2017 13:32:03
พ่อลูกจริงไม่จริง ดิฉันไม่สนแล้วววววววว

คืออ่านแล้วชอบตรงที่คิดมาได้ว่าเขาเป็นพ่อลูกกัน

แสดงความรักแบบนี้ไม่แปลกเลย จะหอมจะกอดอะไรก็ตาม

ถึงแม้ผู้ชายส่วนมากจะไม่ทำแบบนี้กับพ่อตัวเองก็ตาม

อ่านแล้วก็ อาาาาา รู้สึกบาปดีจัง 55555555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 18-03-2017 14:47:10
งุ้ยยยยยยยย บาปสีชมพูลอยฟุ้งเต็มหน้าจอเลยยยย มันแลดูหวาน ดูอบอุ่นเนอะ คู่พ่อลูกอ่ะ // ชอบโมเม้นแชร์โลฯ 55555 มันใช่อ่ะ เหมือนวัยรุ่นกำลังลองภูมิลุงข้างบ้านแบบนั้นเลย 55555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 18-03-2017 15:17:57
สองคนนี้ต้องไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆอ่ะ
ไม่แน่นะ ถ้าแม่ของน้องกลับมา
อาจจะเฉลยก็ได้แบบไปท้องกะคนอื่น
ไรแบบนี้อ่ะ เดาล้วนๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-03-2017 17:32:07
อ้าว ป๊าพี่โป้อย่ามาใจปลาซิวดิ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-03-2017 17:54:15
กลัวใจคนแต่งยังไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lukaka ที่ 20-03-2017 12:38:49
"ต่างคนต่างพูดไม่ออกกกกกก ได้แต่มองตาเท่าน้านนน รักที่ให้กันเหมือนโดนกั้นขว้างทางไป"

นอฟเริ่มมีอาการ แต่คุณป๊า เหมือนยังเข้าใจว่ารักที่ให้ยังเป็นแค่ พ่อ-ลูก

คุณป๊าจะรู้ใจตัวเองไว แต่เราก็แอบคิดว่าคุณป๊าจะไม่ดึงนอฟมาหาความบาปที่นั้น

นอฟนี่กลัวใจจริงจัง เพราะไม่ได้คิดถึงหาแค่คุณป๊าคนเดียว โลกของนอฟมีแค่นั้น

คนนึงเริ่มคิดจะผลักออก อีกคนเริ่มเข้ามา(แบบไม่รู้ตัว)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 20-03-2017 12:53:30
โหหห พ่อลูกคุ่นี้คิดเองเออเองกันอีกแล้วอะ  ฮืออ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 20-03-2017 18:15:36


คุณคะ อ่าน ๆ ไป ดิฉันก็ยิ่งไม่อยากให้พวกเขาต่างสายเลือดกันเลยค่ะ
อาห์... ศีลธรรมที่คอยค้ำคอร์อยู่เนือง ๆ ทำให้เรื่องนี้เร้าใจแม่ป้าดีเหลือเกิน
(แค่นึกภาพตอนป๊าโป้นัวน้องนอฟแบบคนรักชอบกันก็ทำดิฉันเลือดกำเดาจะไหล)

รอตอนต่อไปค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-03-2017 23:38:25
ต่างคนก็ต่างรักเกินกว่าคำว่าพ่อลูกใช่ไหมเนี่ย มีอาการติดหนึบหนับ กลัวการถูกทิ้งด้วย
คิดจะผลักนอฟออกจากอก ระวังน้ำตาท่วมโลก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 21-03-2017 19:15:26
“เพื่อฉันตรงไหนวะ เพลงบ้าอะไรก็ไม่รู้ทำให้แกอกหักซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าชีวิตจริงมันจะเศร้าขนาดนี้อย่าไปมีมันเลยฟงแฟน อยู่เป็นโสดแก่ตายไปกับฉันนี่แหละ”

มันเหมือนจะเป็นคำมั่นว่าให้อยู่ด้วยกันตลอดไปเถอะ
นอฟไม่เท่าไหร่ ถ้ากระจ้างแจ้งแก่ใจว่าที่มีความรู้สึกหวงจนหึงพ่อขนาดนี้คือความรักที่มากกว่ารักพ่อ
แต่ตัวพ่อนี่สิ ถ้ารู้ว่ารักมากกว่าลูก จะทำยังไง ในฐานะที่ถือตัวว่าเป็นผู้ใหญ่กว่า เป็นพ่อย่อมไม่อยากทำร้ายลูกตัวเอง
 (มันต้องมีดราม่าแน่เลยอะ)

ป๊าอย่าปล่อยมือจากนอฟ อย่าจากไปไหนเลย ไม่มีป๊า นอฟจะอยู่ยังไง
ถ้าปล่อยมือไปจริง ก็คงจะทนไม่ได้ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ
ทั้งรักทั้งผูกพันธ์กันถึงเพียงนี้
เอาใจช่วยทั้งคู่มาก ให้มันเดินไปด้วยกันจนรอด ให้ได้อยู่ด้วยกัน
ไม่รู้ว่าถูกผิดใครกำหนดหรอกนะ แต่ถ้าถ้าถอดหัวโขนออก ก็คือมนุษย์เหมือนกันทำไมจะรักกันไม่ได้
อ่านแบบวางทุกอย่างไว้ในมือคนเขียน จะพาไปทางไหนไปด้วยกัน เราเชื่อคุณ  เหมือนที่เชื่อมั่นมาตลอด
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 21-03-2017 23:08:42
ป๊าจะผลักใครไสใครอ่า
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 01-04-2017 23:18:14
Chapter 7
 
“ฉันมีข่าวดีจะบอกล่ะ” แดเนียลเอ่ยขึ้นในเย็นวันหนึ่งหลังจากการซ้อมเสร็จสิ้นลง

นภธรณ์ละจากจานผลไม้ที่สตาฟจัดไว้ให้เป็นของว่างและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “อะไรครับ”

“ยอดดาวน์โหลดเพลงของเธอเกินแสนครั้งแล้วนะ”

“เราเพิ่งจะปล่อยเพลงกันไปเมื่อสัปดาห์ก่อนไม่ใช่เหรอครับ นี่ถึงแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มถามด้วยความตื่นเต้นเพราะเพลงแรกของเขากว่ายอดดาวน์โหลดจะถึงแสนใช้เวลาตั้งเกือบเดือน

“ใช่เลย! มันถึงแสนแล้ว” แดเนียลตอบนภธรณ์ด้วยรอยยิ้มกว้าง เขามีความสุขมาก มันไม่ใช่สถิติใหม่ในวงการ  แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ศิลปินของ D&T media ทำได้ ไม่รู้จะชื่นชมคนร้องหรือโปรดิวเซอร์ดี แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ได้มาคือชื่อเสียงและสปอนเซอร์ที่กระหน่ำมาแบบไม่ขาดสาย “MV ตัดต่อเสร็จแล้วนะ คุณดุริยะเพิ่งส่งมาให้ดูเมื่อเช้า เรื่องที่เขาทำออกมาได้ดีฉันไม่แปลกใจเท่าไร แต่เรื่องที่เธอแสดงได้ดีนี่เกินความคาดหมาย แบบนี้อาจจะมีคนมาทาบทามเธอไปเล่นละครก็ได้นะ”

แล้วนภธรณ์หัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากที่ได้ยิน เพราะรู้ว่าท่านประธานแซวเรื่องที่เขาเคยแคสติ้งละครแล้วไม่ผ่าน “อันนั้นเข็ดแล้วครับ”

“อีกเรื่องหนึ่ง ทายสิว่าใครเพิ่งได้รับเชิญให้ไปเป็นแขกพิเศษรายการเรื่องเล่าวันนี้”

“ใครครับ? ท่านประธานเหรอ”

“จะบ้าเหรอ เธอต่างหากนอฟ”

“เหย~ ล้อเล่นน่า!”

‘เรื่องเล่าวันนี้’ เป็นรายการช่วงเช้าแต่เรตติ้งนั้นครองตำแหน่งสูงสุดมาหลายเดือนติดต่อกันแล้ว และคนที่จะไปออกรายการนี้ได้ต้องเป็นคนดังหรืออยู่ในกระแสจริงๆ

“ฉันจะล้อเล่นทำไมกับเรื่องอะไรแบบนี้! คุณสมยศ เจ้าของรายการเป็นคนโทรสายตรงหาฉันเองเลยนะ เขาให้เธอร้องสดหนึ่งเพลงกับตอบคำถามสองสามข้อรวมๆ ได้โปรโมทตั้งเกือบสิบนาทีในช่วงนาทีทองแถมไม่เสียตังสักบาท นี่โชคดียิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งอีก”

“ใช่ครับคุณแดน” ตฤณที่ยืนกอดแฟ้มรายนามสปอนเซอร์อยู่ข้างๆ พยักหน้ารับหงึกหงัก

“เพราะงั้นเธอต้องไปฝึกกับคุณดุริยะเยอะๆ เลยนะ เราต้องฉวยโอกาสนี้เรียกคะแนนให้มากๆ อย่าทำให้ฉันขายหน้าล่ะ เข้าใจไหม”

“แล้วถ้าผมทำดีจะได้อะไร” นภธรณ์ถาม

“ฉันจะพาเธอไปเลี้ยงบุพเฟต์ไม่อั้นตามรอยท็อปรีวิวของวงในพากินตลอดเดือนนี้เลย!”

“นี่ท่านประธานคิดจะเอาของกินมาล่อผมเหรอ” เขาไม่ได้หยิ่งแต่ขอเล่นตัวนิดหน่อยพอเป็นพิธี

เจ้าของบริษัทเพลงเท้าแขนลงบนโต๊ะพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ “แล้วได้ไหม”

“กินคาวแล้วต้องกินหวาน”

แดเนียลตบโต๊ะดังฉาด “ชีสทาร์ตเจ้าดังสองถาดต่อด้วยไอศกรีมฮาเกนดาสแล้วตบท้ายบิงซู ถ้าถึงขั้นนี้แล้วยังไม่อิ่มฉันจะให้ตฤณวิ่งไปซื้อปาท่องโก๋กับสังขยาเจ้าดังหน้าบริษัทมาให้กินรอบดึก”

นภธรณ์กำส้อมในมือแน่น และเอ่ยเรียบๆ “ต้องเป็นร้านแป๊ะโกว สังขยาสีส้มแบบใส่ไข่เท่านั้น ไม่งั้นผมไม่กิน”

“จัดไป!”

“โอเค ดีล!”

 OOOOOO

ถ้าไม่ติดว่าอาศัยอยู่ชั้น 16 นภธรณ์คงวิ่งขึ้นห้องไปแล้ว วันนี้ป๊าบอกว่าไม่มีนัดผ่าตัดและไม่ออกไปฟิตเนสจะอยู่ห้องทำอะไรสักหน่อยทั้งวัน ดังนั้นทันทีที่ลิฟต์เปิดออกเขาจึงรีบวิ่งพรวดออกไป เปิดประตูเข้าห้องได้ก็สะบัดรองเท้ากระจายไปคนละทิศแล้วโผเข้าใส่คนที่นั่งหน้าเครียดกับโทรศัพท์อยู่บนโซฟา

“ป๊า! ผมมีข่าวดีจะบอกล่ะ” นภธรณ์บอกพลางพยายามมุดเข้าใต้วงแขนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนที่ยังไม่หยุดกดโทรศัพท์ซ้ำยังยกขึ้นสูงเล็กน้อยคล้ายไม่อยากให้เขาเห็น แต่เพราะกำลังอารมณ์ดีนภธรณ์จึงไม่ได้เอะใจคิดว่าแค่คุยงานธรรมดา “ป๊า~ สนใจผมหน่อย

ปรเมษฐ์รีบกดล็อกหน้าจอแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋าก่อนจะเหลือบตาลงมองเจ้าลูกชายตัวดีที่นอนจ้องตาแป๋วอยู่บนตัก “มีอะไร”

“ข่าวดี”

“ฉันก็มีอะไรจะบอกแกเหมือนกัน”

“งั้นป๊าพูดก่อน”

“มานี่สิ” ปรเมษฐ์ดันไหล่ลูกชายให้นั่งพร้อมกับลุกขึ้นเดินนำไปอยู่หน้าห้องนอนเล็กสำหรับใช้รับแขกซึ่งอยู่ติดกับห้องนอนใหญ่แล้วเปิดประตูเข้าไป “เป็นไงชอบไหม นี่ฉันเลือกเองนะ”

นภธรณ์อึ้งไปชั่วขณะ จริงอยู่ว่าการตกแต่งทุกอย่างมันเป็นสไตล์ที่เขาชอบตั้งแต่ผ้าปูเตียงลายเสือไปจนถึงโปสเตอร์ของคริส บราวน์ที่เขาปลื้มนักหนา แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าป๊าต้องการจะทำอะไร “มัน... ยังไงเหรอครับ”

“ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราควรแยกห้องกันนอน”

“ท... ทำไมครับ” นภธรณ์ยังคงไม่เข้าใจ

“แกก็อยู่ม.ห้าแล้ว ถึงเวลาที่ต้องมีห้องเป็นของตัวเองแล้วไม่ใช่เหรอ เผื่อจะคุยกับแฟนหรือทำเรื่องส่วนตัวจะได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ”

“ผมไม่มีแฟน แล้วนอนกับป๊าก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรด้วย”

ปรเมษฐ์คิดไว้แล้วว่าต้องได้รับคำตอบแบบนี้เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพยายาม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาใช้วิธีหักดิบก่อนการพูดคุย

“หมู่นี้ฉันหลับไม่ค่อยสนิทน่ะ ฉันเองก็ไม่ได้อายุน้อยๆ แล้วนะ เลิกงานมาเหนื่อยๆ ก็อยากจะพักผ่อนให้เต็มที่”

“ผมกวนป๊าเหรอ” นภธรณ์ถาม

ปรเมษฐ์เม้มปากสนิทแล้วพยักหน้า “อืม”

ได้ยินดังนั้น นภธรณ์จึงยอมรับแต่โดยดี “ถ้างั้นก็ได้ครับ”

“แล้วแกมีข่าวดีอะไรจะบอกฉัน”

“ยอดดาวน์โหลดเพลงใหม่ถึงแสนแล้วน่ะ” เพราะป๊าไม่มีท่าทียินดียินร้ายอะไรเขาจึงแกล้งเสริม “แบบนี้เรื่องที่จะได้เจอแม่ก็คงใกล้จะเป็นความจริงแล้ว”

ปรเมษฐ์พยักหน้า “อะ... อืม ดีจังเลยนะ”

“ตื่นเต้นจัง”

“นั่นสิ”

นภธรณ์เหลือบมองทางหางตาพยายามจะไม่คิดมากกับเรื่องที่ป๊าคิดถึงผู้หญิงคนนั้นแล้วแสร้งทำเป็นปิดปากหาวทั้งที่ยังไม่ง่วงสักนิด “ห๊าว~ ชักจะง่วงแล้วสิ ผมไปอาบน้ำนอนก่อนนะป๊า” โกหกอะไรโกหกได้ แต่ให้โกหกว่าคิดถึงผู้หญิงคนนั้นนี่รู้สึกละอายใจจริงๆ

เขาหมุนตัวเตรียมจะเข้าห้องนอนใหญ่ตามความเคยชิน แต่ปรเมษฐ์กลับเรียกไว้

“เสื้อผ้า ของใช้ของแกฉันจัดการขนไปไว้ห้องใหม่เรียบร้อยแล้ว”

นภธรณ์ชะงักไปเล็กน้อยกับการเตรียมพร้อมที่ไม่ได้ให้เวลาเตรียมใจเลยสักนิดว่ามันเริ่มที่คืนนี้เลย “แล้วหมอนผมล่ะ”

“ขนไปแล้วเหมือนกัน ทั้งหมอนข้างแล้วก็ผ้าห่มด้วย”

นภธรณ์ชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องใหม่ของตน เห็นของที่ว่ามาอยู่ครบหน้าก็มุ่ยขึ้นเล็กน้อย “ทำอย่างกับจะไล่กันเลยนะป๊า”

“ไม่ได้ไล่สักหน่อย” ปรเมษฐ์รีบบอก เห็นลูกชายยังยืนนิ่งหน้าตึงๆ จึงถามออกไป “โกรธฉันหรือเปล่า”

“ไม่โกรธ ผมจะโกรธป๊าทำไมเล่า เรื่องแค่นี้” ...แค่น้อยใจต่างหาก นภธรณ์ต่อในใจวันนี้เขาทำดีแท้ๆ แต่นอกจากจะไม่ได้รางวัลแล้วยังรู้สึกเหมือนโดนทำโทษด้วย

“ฉันวางพระไว้บนหัวเตียง องค์นี้ท่านศักดิ์สิทธิ์มากเรื่องป้องกันสิ่งชั่วร้าย แล้วปลายเตียงก็ติดกับดักจับฝันร้ายไว้ให้แล้ว”

นภธรณ์เบะปาก “แค่นั้นพอที่ไหนเล่า”

“แล้วจะเอาอะไรอีก”

“เอายันต์กันผี”

“ยันต์ไหนอีก ยันโครมไหม”

“ป๊าอะ! ชอบแกล้งผมอยู่เรื่อย ไม่เล่นแล้วก็ได้ ป๊าจุ๊บราตรีสวัสดิ์ผมที ผมจะไปนอนแล้ว” พร้อมกับเดินไปทำปากยื่นปากยาวตรวหน้าผู้เป็นพ่อ คิดในใจว่าของรางวัลไม่ได้ขอของปลอบใจก็ยังดี

“นี่อีกเรื่องนึง” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกันใช้สันมือดันหน้าลูกชายให้ออกห่าง “เลิกมาจุ๊บๆ ทำอะไรแบบนี้สักที จูบน่ะมันมีไว้ทำกับแฟน ไม่ได้มีไว้ทำกับพ่อ”

เด็กหนุ่มตาโตและยังไม่ยอมหยุดเพราะคิดว่าป๊าแค่เล่นตัวเหมือนทุกครั้ง “ก็ตอนนี้แฟนไม่มี ขอซ้อมจูบกับป๊าไปก่อนละกัน”

“เฮ้ย! นี่ฉันจริงจังนะ”

“ทำไมล่ะป๊า”

“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ แกอายุสิบเจ็ดแล้วนะ จะมาทำเล่นๆ เป็นเด็กได้ไง”

เสียงที่เข้มขึ้นทันทีของคนเป็นพ่อทำให้นภธรณ์ชะงัก เขาปล่อยมือแล้วเดินย่ำเท้าหนักๆ เข้าห้องไปพร้อมกับปิดประตูดังปัง!

“ป๊าเมารกเด็กหรือไงถึงได้คิดอะไรแปลกๆ เรื่องขอแยกห้องยังไม่เท่าไหร่ นี่จะมาห้ามไม่ให้จูบอีก” นภธรณ์ตะโกนโวยวายอยู่คนเดียว “อะไรของป๊าฟะ! ตั้งแต่จำความได้ก็จูบกันเป็นเรื่องปกติ มาห้ามแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แถมยังมาพูดเรื่องฟงแฟนอะไรอีก ทำตัวมีพิรุธนะเนี่ย”

บ่นไปสักพักนภธรณ์ก็เริ่มรู้สึกเอะใจ แต่ไม่ใช่เรื่องเหตุผลของป๊า หากเป็นความรู้สึกของตัวเองว่าทำไมถึงต้องหงุดหงิดมากขนาดนี้กับแค่เรื่องห้ามไม่ให้จูบ คิดไปพลางก็เผลอยกมือขึ้นลูบริมฝีปากตัวเองเบาๆ

เขาเหลียวมองไปรอบๆ ห้องอันเงียบเชียบราวกับพยายามจะคำตอบที่ซุกซ่อนอยู่ตรงไหนสักแห่งก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าจนเกินไปจึงหงายหลังล้มลงตัวนอนบนเตียง

“เฮ้อ~ เตียงกว้างชะมัด”

อารมณ์ดีๆ เหมือนเดินอยู่บนปุยเมฆตั้งแต่ตอนอยู่บริษัทปลิวหายไปเกลี้ยง ไม่น่าเชื่อว่าแค่เรื่องเล็กๆ ของป๊าแต่กลับมีอิทธิพลต่อใจเขามากมายขนาดนี้

 “อยากนอนคนเดียวดีนัก ก็นอนไปเลยนะป๊า แล้วดึกๆ อย่าแกล้งทำเป็นละเมอแอบลากหมอนมานอนด้วยกันล่ะ”

บ่นพลางหันไปคว้าหมอนข้างมานอนก่าย แต่หลังจากพลิกไปพลิกมาอยู่ค่อนคืนแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจข่มตาหลับได้

และเป็นเช่นนี้อีกหลายต่อหลายคืนติดต่อกัน

“เอากาแฟหน่อยไหม” ตฤณทักนักร้องในความดูแลซึ่งเดินหน้าเหี่ยวหาวหวอดเป็นซอมบี้เข้ามาในบริษัท

“ผมไม่กินกาแฟครับ”

“งั้นเอาชานมไหม หน้าตานายต้องการคาเฟอีนมากเลยนะ เมื่อคืนมัวแต่เล่นเกมหรือไงถึงได้นอนไม่พอ บอกแล้วใช่ไหมว่าช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญนายต้องพักผ่อนให้มากๆ ข่าวเก่าเพิ่งจะซานายจะทำอะไรพลาดอีกไม่ได้นะ ไม่งั้นคราวนี้คงแย่แน่”

“ครับ” นภธรณ์รับคำไปพลางก็ยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอดๆ

“เป็นอะไรไปยะ ซึมกะทือเป็นลูกหมาโดนวางยาไปได้” รมิดาเดินเข้ามาทัก วันนี้เธอไม่มีคิวถ่ายละครจึงแวะเข้ามาดู MV ตัวเต็มที่เพิ่งตัดต่อเสร็จด้วยตนเอง

“หมู่นี้นอนไม่ค่อยหลับน่ะ” นภธรณ์ตอบเสียงซึม

“ตื่นเต้นที่จะได้ไปออกรายการเรื่องเล่าวันนี้ล่ะสิ เริ่ดนะเนี่ย รายการนั้นขนาดดาด้ายังไม่เคยไปเลยนะ”

นภธรณ์พยายามหมุนคอไปมาและยกมือบีบนวดไปรอบๆ แนวบ่าเพื่อไล่ความง่วงงุน “ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรหรอก น่าจะแปลกที่น่ะ พอดีเปลี่ยนที่นอนนิดหน่อย”

“แบบนั้นดาด้าก็เคยเป็นเวลาไปถ่ายละครต่างจังหวัด นอฟลองเอาหมอนหรือผ้าห่มผืนเก่าไปนอนด้วยสิ มันช่วยได้เยอะเลยนะ”

“อืม” นภธรณ์รับคำแม้จะรู้ว่านั่นไม่ใช่ทางแก้ปัญหาของเขา “แล้วนั่นเธอทำอะไรน่ะ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์อยู่ได้คนเดียว คุยกะแฟน?”

“ใช่ก็ดีน่ะสิ” รมิดาว่าพลางขยับหน้าจอให้ดู “คุณโป้ตอบไลน์มาน่ะ ฉันส่งไปบอกว่าวันนี้เข้ามาดูMV ที่นี่ เห็นคุณโป้หล๊อหล่อ”

นภธรณ์ชะโงกหน้าเข้าไปดูเห็นสติ๊กเกอร์รูปหมาน้อยคาบดอกไม้ที่ป๊าส่งตอบมาแล้วก็อดน้อยใจลึกๆ ไม่ได้เพราะดูจากรายการสนทนาที่ยืดยาวแล้วทั้งสองคนคุยกันแทบทุกวัน ปกติเขาก็เจอหน้าป๊าน้อยอยู่แล้ว แต่ตั้งแต่แยกห้องกันนอนแทบนับจำนวนนาทีที่เจอกันได้ เรื่องพูดคุยนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ทั้งที่เข้าใจความรู้สึกนี้ แต่ก็ไม่อยากยอมรับเลยว่าเขา ‘เหงา’ มากแค่ไหน เป็นความรู้สึกอ้างว้างที่แม้จะหาอะไรทำหรือคุยกับคนอื่นก็ไม่อาจทดแทนได้

“อ้าวๆ ไหวไหมน่ะ” รมิดาทักอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มตาแดงๆ คิดว่าเพราะนอนไม่พอ “นายต้องพักผ่อนเยอะๆ นะเห็นว่าไปโรงเรียนทุกวันพอเลิกเรียนก็มาเรียนร้องเพลงต่อ เสาร์อาทิตย์ก็ด้วย จะขยันไปไหนยะ อุ๊ย! ได้เวลาถ่ายละครแล้ว ดาด้าไปก่อนนะ วันหลังเจอกันแล้วอย่าลืมนอนพักเยอะๆ ล่ะ”

“อืม รู้แล้ว ก็พยายามอยู่” นภธรณ์โกหก เขาไม่ได้พยายามหาเวลาพักผ่อน จริงๆ แล้วเขาพยายามหาอะไรทำไม่ให้ตัวเองว่างเพื่อจะได้ไม่ต้องนอน... เพื่อจะได้ไม่ต้องทนเหงาอยู่คนดียวต่างหาก

เพราะตอนนี้กลางคืนมันยาวนานเกินไปสำหรับเขา

ในความมืดและเงียบสนิทที่ได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาขยับนั้นราวกับจะมีแค่เพียงเสียงหัวใจเต้นของตัวเองที่อยู่เป็นเพื่อนกัน

เด็กหนุ่มกอดหมอนข้างใบเก่าแน่นหวังให้คลายเหงา แต่กลายเป็นยิ่งกอดยิ่งเหงา และแอร์ก็หนาวจนขนลุกทั้งที่ห่มผ้านวมผืนหนา

เขาเพิ่งค้นพบว่าความรู้สึกอบอุ่นที่คุ้นเคยไม่ได้อยู่กับหมอนข้างในอ้อมแขนแต่อยู่ที่คนซึ่งนอนข้างๆ มาทั้งชีวิตต่างหาก

ออกจากบริษัทยังคิดไม่ออกว่าจะไปทางทิศไหนก็บังเอิญเจอดุริยะที่หน้าประตู เขาเพิ่งเสร็จจากการพูดคุยเรื่องแผนการปล่อย MV กับแดเนียลซึ่งจะเลื่อนให้เร็วขึ้นเป็นพรุ่งนี้พร้อมๆ กับที่รายการเรื่องเล่าวันนี้ออกอากาศ โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ไม่พูดพร่ำทำเพลงจูงมือเขาลากขึ้นรถและขับตรงดิ่งมาที่คอนโดของตัวเองทันทีเพื่อซักซ้อมเพลงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแสดงจริง

หลังจากช่วงเวลาแห่งการซ้อมอันทรหดจบลง ดุริยะก็แสดงฝีมือทำอาหารอีกครั้งด้วยการชงชาน้ำผึ้งมะนาวยกมาเสิร์ฟ วันนี้เขาเก็บห้องเรียบร้อยแล้วมันจึงค่อยดูสมเป็นห้องของโปรดิวเซอร์ชื่อดังและมีพื้นที่ว่างเหลือเฟือให้นั่งพักคุยกันสบายๆ ไม่ต้องระแวงว่าจะมีหนูหรือแมลงสาบวิ่งออกมาทักทายจากกองผ้าเหมือนครั้งก่อน

“วันนี้เป็นอะไรหน้าเป็นบูดเชียว ทะเลาะกับพ่อมาหรือไง” จริงๆ ดุริยะสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ตั้งแต่ตอนอยู่ที่บริษัทแล้ว เขาจึงเลือกที่จะพามาซ้อมที่คอนโดเขา ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า เผื่อเวลาถามอะไรเด็กหนุ่มจะได้รู้สึกผ่อนคลายและกล้าเล่าให้ฟัง

“เปล่าครับ”

“เรื่องอะไรไหนเล่ามาสิ” ดุริยะยังไม่เลิกเซ้าซี้การได้ฟังเรื่องของสองพ่อลูกเป็นเชื้อไฟชั้นดีในการแต่งเพลงของเขา

“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ” นภธรณ์พยายามหัวเราะกลบเกลื่อน แค่ไม่กี่วันก็มีคนทักตั้งสามคนแล้วดูท่าเขาจะเป็นเอามากจริงๆ

ความจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขารู้ว่าป๊าตั้งใจแยกห้องเพื่อให้เขาโต แต่ไม่รู้สิ... เขากลับรู้สึกเหมือนว่าป๊ากำลังทำให้เขาชินกับการถูกทิ้งมากกว่า และเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย

นอกจากนี้เขายังเห็นว่าป๊าชอบแอบไปนั่งพิมพ์โทรศัพท์นานๆ เหมือนกำลังคุยกับใครที่บอกเขาไม่ได้ แถมพอตกดึกบางคืนป๊าก็ไม่ยอมนอนตามที่บอก แต่ออกมานั่งเหม่ออยู่ที่โซฟา เขาแอบมองผ่านช่องประตูก็ไม่กล้าทักเพราะบรรยากาศมันช่างคล้ายกันเกินไปกับความทรงจำช่วงหนึ่งในวัยเด็กที่ไม่อยากจำแต่ก็ลืมไม่ลง... ช่วงเวลาที่เกลียดที่สุดในชีวิต

ช่วงที่ป๊านั่งกินเหล้าร้องไห้คนเดียวคืนแล้วคืนเล่าเพราะคิดถึงแม่

“อย่าปากแข็งเลยน่า หน้าตาเธอน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เวลาร้องเพลงทีคิดอะไรอยู่คนเขารู้หมด” ดุริยะบอก

“พี่ยะก็พูดเวอร์ไป~”

“อ้าว พูดแบบนี้แสดงว่าไม่รู้ตัวสินะว่าคนเขาชอบเพลงของเธอตรงไหน”

“ก็ตรงที่เพลงเพราะไง”

“แล้วทำไมเพลงมันถึงเพราะล่ะ... เพราะฉันแต่งเหรอ? ก็ไม่ใช่ ใช่ไหมล่ะ เพราะเธอก็ดังมาก่อนที่ฉันจะทำเพลงให้เสียอีก ที่เพลงมันเพราะ เพราะเธอน่ะมีอินเนอร์ดีต่างหาก”

“ตอนเจอกันครั้งแรกพี่ยะบอกว่าหมาแมวอินเนอร์ดีกว่าผม”

“อุตส่าห์ชมยังจะเจ้าคิดเจ้าแค้นอีก” ดุริยะว่า “ก็นั่นเธอยังไม่เข้าใจความหมายของเพลง แต่ตอนนี้เธอเข้าใจมันแล้วเธอก็เลยร้องได้ดีไงล่ะ ถึงนั่นจะไม่ใช่อย่างที่ฉันตั้งใจแต่ฉันก็ชอบอยู่ดี และทุกคนก็ชอบเหมือนกันไม่งั้นแค่อาทิตย์เดียวจะมีคนยอมเสียเงินดาวน์โหลดตั้งแสนครั้งเหรอ”

“อะไรคือการที่พี่ยะบอกว่าผมร้องไม่ได้อย่างที่พี่ยะตั้งใจแต่ก็ชอบครับ” นักร้องหนุ่มสงสัย

“คืองี้นะ คอนเซ็ปต์ของเพลงคือ ‘Sin’ ใช่ไหมล่ะ ถึงฉันจะเป็นคนแต่งเองโปรดิวซ์เองแต่ลึกๆ ในใจฉันก็ยังรู้สึกว่าบาปยังไงมันก็คือบาป มันก็เป็นสิ่งที่ผิดอยู่ดีที่ไปแย่งของคนอื่นมา แต่หลังจากได้ฟังที่เธอร้องแล้วฉันกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด... จะว่าไม่แคร์ความผิดชอบชั่วดีก็ไม่ใช่ กลับกลายเป็นฉันรู้สึกเข้าใจและเห็นใจจนนึกอยากจะเอาใจช่วยมากกว่าที่เธอดันโชคร้ายไปรักคนที่เขามีเจ้าของแล้ว เหมือนเป็นบาปแต่ก็บริสุทธิ์... ก็เป็นความรู้สึกที่แปลกดีนะ”

“ตกลงว่าดีใช่ไหมครับ”

“ดีสิ นี่ชมอยู่นะ ส่วนใหญ่นักร้องคนอื่นๆ ที่ฉันทำเพลงให้มักจะถามหาแรงบันดาลใจของฉันในการแต่งเพลงเพื่อร้องให้ได้ตามนั้นมากกว่า น้อยคนนักที่จะร้องออกมาในมุมมองของตัวเอง”

“แล้วจริงๆ แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ของพี่ยะคืออะไรครับ” สบโอกาสจะไขข้องใจนภธรณ์จึงรีบเอ่ยถามออกไป

“แฟนเก่าน่ะ” ดุริยะเริ่มต้นเล่าพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมา เขาเลิกคิ้วครั้งหนึ่งเป็นเชิงขออนุญาตเมื่อเด็กหนุ่มพยักหน้าจึงจุดสูบ ทุกครั้งที่คิดถึงเธอมันทำให้เขาอยากสูบบุหรี่ ผู้หญิงที่ร้อนแรงเหมือนไฟแต่ก็นุ่มนวลเหมือนควัน และยังคงตราตรึงอยู่ในใจเหมือนกับกลิ่นบุหรี่ที่ติดอยู่กับกายไม่ยอมจางหายไปแม้จะสูบไปนานมากแล้วก็ตาม

“ตอนนั้นฉันเพิ่งเข้าวงการหัดทำเพลงใหม่ๆ ถึงจะมีผลงานแต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียงอะไร ส่วนเธอเป็นนักร้อง เราเจอกันเพราะเธอชอบแนวเพลงของฉันเลยมาขอให้ฉันช่วยแต่งเพลงให้”

“แล้วพวกคุณก็เลย... มีอะไรกัน”

ดุริยะอมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับส่ายหน้า “เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่นอนด้วย แต่เป็นผู้หญิงคนแรกที่ฉันหลงรักจนอยากจะมีอะไรกันเพื่อผูกมัดเธอเอาไว้”

นภธรณ์เผลอยิ้มตาม ไม่คิดว่าผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่ากินไม่เลือกจะเคยมีโมเมนต์น่ารักๆ แบบนี้กับเขาเหมือนกัน

“เราคบกันอยู่ปีนึงเห็นจะได้ก่อนจะเลิกกันเพราะฉันจะไปเรียนทำเพลงที่อเมริกา ส่วนเธอก็มีความฝันที่ต้องทำอยู่ที่ไทย เราจบกันด้วยดีน่ะ วันสุดท้ายที่เธอมาส่งฉันที่สนามบินเรายังจูบลากันอยู่เลย... ถึงตอนนี้พอย้อนกลับไปคิดดูมันไม่ใช่ความเสียใจนะ แต่ฉันก็แค่คิด... ว่าวันนี้เราทั้งสองคนจะเป็นยังไงถ้าวันนั้นพวกเราไม่เลือกที่จะจบแบบนั้น”

“แล้วมันเป็นบาปตรงไหนเหรอครับ”

“บาปสิ” ดุริยะหัวเราะในลำคอ “ก็ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นมีลูกกับผู้ชายคนอื่นไปแล้วนี่นา”

“หมายความว่า...” นภธรณ์พูดไม่ออกถึงจะอยากให้กำลังใจแต่ก็ไม่ต้องการสนับสนุนให้ใครผิดศีลข้อ 3 “แบบนั้นมันไม่ดีมั้งครับ...”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย มันก็แค่จินตนาการเอง ฉันไม่ได้คิดจะไปแย่งเขามาจริงๆ สักหน่อย แล้วตอนนี้ฉันก็มีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านั้นแล้วด้วย”

“อะไรครับ”

“ลูกของผู้หญิงคนนั้นไง” ดุริยะว่า “นอกจากจะสวยเหมือนแม่แล้วยังปากดีเหมือนกันด้วย น่าเอ็นดูเชียว”

นภธรณ์ยกนิ้วขึ้นนับเพื่อกะอายุคร่าวๆ ของเด็กคนนั้น ถ้าตั้งต้นสมการที่ตอนนี้พี่ยะอายุสี่สิบ ไม่ว่าจะคำนวณยังไงเต็มที่ก็อายุมากกว่าเขาไม่กี่ปีแน่ๆ “แต่แบบนั้นมันวัวแก่กินหญ้าอ่อนชัดๆ เลยนะครับ”

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่พ่นควันออกปากช้าๆ ให้เป็นวงลอยขึ้นไปในอากาศพร้อมกับกรีดยิ้ม “พอดีอายุมากแล้วหมอแนะนำให้กินอาหารอ่อนๆ น่ะจะได้ย่อยง่ายๆ”

“งั้นเอาที่พี่ยะสบายใจเลยครับ แต่ผมน่ะของแสลง พี่ยะกินไม่ได้หรอกเดี๋ยวท้องเสีย” นภธรณ์เขยิบตัวหนีเล็กน้อย “แล้วทำไมพี่ยะถึงเลือกให้ผมร้องเพลงนี้ล่ะ”

“เพราะมันมีที่มาจากรักครั้งแรกที่มีความพิเศษน่ะ ก็เลยอยากให้คนพิเศษแบบเธอร้อง” นัยน์ตาพราวระยับขึ้นทันทีพร้อมกับชะโงกตัวเข้าไปใกล้ เห็นเด็กหนุ่มเอียงตัวหนีจนเกือบจะหงายหลังตกเก้าอี้จึงเลิกแกล้งพลางยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเห็นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ดึกป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย ถึงเวลาที่ซินเดอเรลลาต้องกลับบ้านแล้วสินะ”

“ครับ” นภธรณ์หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย เห็นด้วยกับคำว่าดึกแต่เขายังไม่รู้สึกอยากกลับบ้านเลยสักนิด กลับไปก็ต้องนอนเหงาคนเดียว เขาอยากหมุนเวลาให้มันข้ามไปตอนเช้าที่จะได้เจอหน้าป๊าที่โต๊ะกินข้าวเลย

“เป็นอะไร”

“เปล่าครับ”

“ถ้ายังไม่อยากกลับจะค้างก็ได้นะ ห้องนอนฉันเตียงใหญ่บรรยากาศดีแถมฟรีไวไฟ เดี๋ยวเช้ามาแถมอาบน้ำกับทำอาหารเช้าให้กินบนเตียงด้วยก็ได้นะ”

“พี่ยะก็...” พูดได้เท่านั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเขาจึงรีบกดรับ “ครับป๊า”

“มีอะไรเหรอ” ดุริยะขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่ดับนึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันทีที่โทรศัพท์สายสั้นๆ ทำให้หน้าหงิกเป็นตูดกลับมาบานแฉ่งแบบนั้นได้

“ป๊ามาจอดรถรออยู่ข้างล่างแล้ว” เด็กหนุ่มบอกเสียงใสพร้อมกับกระโดดลุกขึ้นยืน

“รอด้วยสิ” ดุริยะลุกขึ้นบ้าง ไม่แปลกใจที่ปรเมษฐ์จะรู้เพราะผู้จัดการของเด็กหนุ่มที่ยืนมองอยู่คงโทรรายงานตั้งตอนเห็นเขาลากนภธรณ์ขึ้นรถแล้ว “คุณป๊าของเธออุตส่าห์มาหาถึงที่ฉันก็ควรจะไปทักทายเขาสักหน่อย”

“ผมว่าไม่ต้องก็ได้ครับ” นภธรณ์รีบบอกแต่โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ไม่สนใจและเอามือคล้องคอลากเขาเข้าไปในลิฟต์

เมื่อผ่านส่วนต้อนรับออกมาทั้งสองก็เห็นรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูซีรีส์เจ็ดสีดำจอดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าประตู นภธรณ์รีบมุดหนีออกจากวงแขนโปรดิวเซอร์คนดังและวิ่งขึ้นนั่งข้างคนขับ ในขณะที่ปรเมษฐ์ลดกระจกลงตามมารยาทเมื่อเห็นดุริยะเดินมาหยุดข้างรถพร้อมทั้งกล่าวทักทาย

“สวัสดีครับ”

“ไม่จำเป็นต้องตามมาเฝ้าถึงขนาดนี้ก็ได้มั้งครับ ผมไม่ทำอะไรเด็กคนนี้หรอกน่า”

“ก็ดีแล้วครับ” ปรเมษฐ์ตอบสั้นๆ ไม่คิดจะซ่อนความหงุดหงิดในน้ำเสียงที่เพิ่งเห็นคนตรงหน้ากอดคอหยอกล้อกับลูกชายเขาออกมาจากลิฟต์

“เพราะจริงๆ แล้วผมมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านั้น”

ปรเมษฐ์เหลือบมองด้วยหางตาเพราะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่แฝงมาในแววตาเป็นประกายนั่น “อะไรครับ”

คนอายุมากกว่ากรีดยิ้มพรายก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้และกระซิบที่ข้างหู “เรียก ‘พี่ยะ’ ก่อนสิครับน้องโป้แล้วเดี๋ยวพี่จะเล่าอะไรดีๆ ให้ฟัง”

“เพื่อนเล่นเหรอครับ” ปรเมษฐ์กระซิบตอบกลับไป ถ้าไม่กลัวเสียมารยาทต่อหน้าลูกชายเขาคงแกล้งกดกระจกรถขึ้นหนีบให้หูขาดไปแล้ว

“ไม่อยากรู้ก็ตามใจนะ” ดุริยะยืดตัวขึ้นยืนตามเดิมพร้อมกับไหวไหล่ เวลาแกล้งเจ้าหนูนั่นให้ลนลานก็สนุกดีอยู่หรอก แต่เวลาเห็นคุณป๊าทำตาขวางใส่ก็เล่นเอาใจสั่นไปเลยเหมือนกัน เขาเยาะยิ้มให้ปรเมษฐ์อีกครั้งก่อนจะโบกมือลานภธรณ์ “พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะเจ้าหนู”

“ครับพี่ยะ”

นภธรณ์กำลังจะยืดตัวข้ามเบาะมายกมือไหว้แต่คนพ่อก็กดกระจกรถขึ้นและเหยียบคันเร่งหนีออกมาเสียก่อน

“เมื่อกี้กระซิบกระซาบอะไรกันน่ะป๊า”

“เรื่องของผู้ใหญ่” ปรเมษฐ์ว่า

“ตอบแบบนี้ทั้งปี” นภธรณ์ย่นปาก “แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะโตในสายตาป๊าล่ะ”

“ไม่รู้สิ... สักยี่สิบมั้ง”

“ตกลงผมต้องรอไปอีกสามปีเลยเหรอ”

“แค่สามปีเอง”

“ตั้งสามปี” นภธรณ์เป่าลมเข้าแก้มแล้วกระแทกหลังพิงเบาะเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาคว้าคอเสื้อแล้วลากเข้าไปใกล้ “มะ... มี อะไรป๊า” เขาเสียงสั่นไปเล็กน้อยเมื่อปลายจมูกโด่งซุกลงมาบนเรือนผมอยู่อึดใจ

“เหม็น” ปรเมษฐ์พึมพำก่อนจะผลักลูกชายให้กลับไปนั่งที่เบาะตามเดิม “แค่ไปซ้อมร้องเพลงด้วยกันทำไมมีกลิ่นบุหรี่ติดตัวติดผมกลับมาแบบนี้”

“กะ... ก็พี่ยะสูบในห้อง” เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนไปถนัด

“กลับบ้านไปอาบน้ำสระผมให้สะอาดเลยนะ”

“รู้แล้วครับ”


(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 6 P.3 [18/03/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 01-04-2017 23:24:23
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

อาบน้ำสระผมเรียบร้อยเด็กหนุ่มที่ยังไม่อยากเข้านอนก็มานั่งเล่นเกมฆ่าเวลาอยู่ตรงที่ประจำคือบนพื้นหน้าโซฟาพร้อมกับเปิดโทรทัศน์เอาไว้เป็นเพื่อน

ปรเมษฐ์ที่เพิ่งทำงานเสร็จหูแว่วได้ยินเสียงโทรทัศน์จึงเปิดประตูออกมาดูเห็นลูกชายนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์จึงเดินเข้าไปหา “ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“ขออีกตาครับ” ตอบทั้งๆ ที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

ปรเมษฐ์กวาดตามองเรือนผมเปียกชื้นที่เรียบลู่ไปกับกรอบหน้า บางส่วนยังคงมีน้ำหยดติ๋งๆ และนั่นทำให้เขาอดที่จะนั่งลงบนโซฟาเพื่อช่วยเช็ดให้ไม่ได้ “จะเล่นเกมน่ะฉันไม่ว่าหรอก แต่เช็ดผมให้แห้งก่อนสิ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

“ไม่มีกลิ่นบุหรี่แล้วนะป๊าจะลองดมดูก็ได้” นภธรณ์ว่า

สัมผัสอุ่นของมือใหญ่ที่ไล้ลงมาตามลำคอเพื่อฉวยผ้าขนหนูทำให้นภธรณ์รู้สึกสะดุ้งยิ่งปรเมษฐ์ก้มหน้าลงแตะปลายจมูกเบาๆ ทำให้ผิวเนื้อที่เย็นเพราะน้ำร้อนวูบวาบลามไปทั่วทั้งหน้า

“ค่อยยังชั่วหน่อย” ปรเมษฐ์พึมพำในลำคอ

“ทำไมป๊าต้องโกรธด้วยล่ะ” นภธรณ์ถามเสียงดังเพื่อกลบเสียงหัวใจที่จู่ๆ ก็เต้นแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ พยายามคิดว่าเป็นผลพวงจากการห่างหายสัมผัสใกล้ชิดแบบนี้ไปเสียนาน “จริงๆ ป๊าก็ไม่ได้อะไรกับบุหรี่เสียหน่อย เพื่อนป๊าก็สูบกันเยอะแยะ หมอโมเคยบอกว่าเมื่อก่อนป๊าก็สูบแต่เลิกไปแล้ว”

“ไม่มีอะไรหรอกแค่ใครบางคนไม่ชอบน่ะ แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ด้วยเลยเลิกดีกว่า”

“แม่เหรอ”

“มั้ง”

“ทำไมป๊าต้องมั้งด้วยล่ะ”

“เรื่องบางเรื่องแกก็ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกน่า”

รอยยิ้มเล็กๆ ที่ผุดขึ้นตรงมุมปากของปรเมษฐ์ยามเอ่ยถึง ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ทำให้นภธรณ์หงุดหงิดจนเล่นเกมพลาดและแพ้ในที่สุด เขากดปิดเกมแล้ววางโทรศัพท์ลง

เมื่อไม่มีสิ่งอื่นมาเบี่ยงเบนความสนใจ ความรู้สึกทั้งหมดจึงจดจ่ออยู่กับปลายนิ้วแข็งแรงที่ค่อยๆ สอดสางไปตามเส้นผมพร้อมกับนวดหนังศีรษะให้ เปลือกตาเริ่มปรือปิดด้วยความง่วงงุนที่สะสมมาหลายวัน เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงพิงหน้าอกกว้างเต็มที่ ถึงจะแข็งไม่เหมือนหมอนนุ่มๆ แต่กลับอุ่นน่าหนุน และกลิ่นหอมสบู่ที่ถึงจะเป็นกลิ่นเดียวกันกับที่เขาใช้แท้ๆ แต่กลับหอมชื่นใจพาอารมณ์ให้ล่องลอยอยากจะฝังตัวนอนหลับอยู่ตรงนี้ทั้งคืน

“ป๊าครับ”

“อะไร”

“ป๊า~”

เสียงหวานที่กระซิบเรียกเป็นครั้งที่สองทำให้ปรเมษฐ์หยุดมือที่กำลังเช็ดผมและเลื่อนลงประคองเอวไว้หลวมๆ “ว่าไง”

“คืนนี้ขอนอนด้วยคนนะ”

“ทำไม”

“ไม่ทำไมอะ แค่อยากนอนด้วย ได้หรือเปล่า”

“ไม่ได้”

“ทำไมอะป๊า แค่นี้เอง” นภธรณ์พิงศีรษะลงบนหน้าขาอีกฝ่ายและแหงนหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดๆ “นะครับป๊า”

ปรเมษฐ์แสยะยิ้มเย็นชา “ดูปากฉันนะนอฟ ไม่-ได้”

“ไม่ดูอะ” นภธรณ์ว่าพร้อมกับยกสองมือขึ้นคล้องรอบคอเพื่อดึงตัวอีกฝ่ายลงมาจุ๊บปากเหมือนทุกครั้ง

แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งเมื่อปรเมษฐ์ปัดมือเขาออกรวดเร็ว

เพี๊ยะ!

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำแบบนี้อีก!”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าตกใจและเอ่ยคำขอโทษ “ขอโทษครับ”

ปรเมษฐ์ใจหายวาบเพราะกำลังหงุดหงิดเขาจึงไม่ทันคิดถึงแรงมือที่ตีไปเลยจนกระทั่งนภธรณ์ลดมือลงเห็นรอยแดงเป็นปื้นตรงมุมปาก “นอฟ... ฉันขอโทษ... เจ็บหรือเปล่า”

“ผมไปนอนก่อนนะ” นภธรณ์ลุกพรวดขึ้นและเดินย่ำเท้าหนักๆ เข้าห้องไป

เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนมิด ในหัวมีแต่คำถามว่าตัวเองทำผิดอะไร ตั้งแต่เรื่องที่ป๊าขอแยกห้องไปจนถึงเรื่องจูบ เขาก็ทำแบบนี้มาตลอดเวลาจะอ้อนป๊า แล้วป๊าก็จะอารมณ์ดียิ้มได้ทุกครั้ง มาวันนี้ เขาก็แค่ทำเหมือนเดิม แต่ทำไมป๊าถึงรู้สึกไม่เหมือนเดิมล่ะ... ทำไมเรื่องที่เคยทำให้ป๊าดีใจมันถึงกลายเป็นความผิดไปได้

เขานอนคิดเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนในที่สุดความอ่อนเพลียก็ดึงให้เปลือกตาปิดลงจนได้

กลางดึกสงัด บานประตูถูกแง้มเปิดออกช้าๆ ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเบียดตัวแทรกเข้ามาอย่างเงียบเชียบด้วยกลัวว่าจะปลุกคนบนเตียงตื่น

ปรเมษฐ์เองก็นอนไม่หลับเช่นกันกับความพลั้งเผลอที่ตีลูกไปทั้งที่นั่นไม่ใช่ความผิดอะไร เขาทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียง สายตาทอดมองเด็กหนุ่มที่ซุกหน้าแน่นอยู่กับหมอนข้าง เห็นน้ำหยดเล็กๆ ที่รื้นอยู่หางตา มือใหญ่ค่อยยกขึ้นแตะเกลี่ยเบาๆ หน้าคมขยับลงต่ำโดยไม่รู้ตัว แต่ในเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสผิวแก้มนิ่มเขาก็รีบยืดตัวขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นดึงผ้าขึ้นห่มให้จนถึงคอก่อนจะรีบลุกเดินออกประตูไป

เสียงประตูปิดแม้จะดังกึกเบาๆ หากก็ปลุกให้เด็กหนุ่มที่เคยชินกับการเฝ้ารอมาทั้งชีวิตลืมตาขึ้นมอง

“ป๊า?”

เรียกออกไปอย่างมีความหวังว่าคนที่รอจะมาหาก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว... นี่ไม่ใช่ห้องที่เขาเคยนอนกับป๊า และไม่ว่าจะรอนานแค่ไหนป๊าก็จะไม่มานอนกับเขาอีก

เด็กหนุ่มกำผ้าห่มแน่น

...ไม่! เขาจะไม่ยอมให้มันเปลี่ยนไป!...

นภธรณ์ผุดลุกลงจากเตียงและพุ่งไปที่ประตู เขาจะไม่ยอมให้เรื่องมันคาราคาซังและปล่อยไปแบบนี้ เขาจะต้องคุยกับป๊าให้รู้เรื่องว่ามันมีเรื่องอะไรอีกถึงจะมาแยกห้องนอน และที่ตีเขา ไม่ยอมให้เขาจูบนั่นก็แค่เผลอใช่ไหม แค่ตกใจเพราะทำงานหนักพักผ่อนน้อยใช่หรือเปล่า? ยังไงป๊าก็ยังรักเขา ไม่ได้คิดจะทิ้งเขาไปอยู่แล้วใช่ไหม

เด็กหนุ่มเปิดประตูออกไป ป๊าไม่ได้อยู่ที่โซฟาแล้ว สายตาเหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาสองนาฬิกาของวันใหม่ แล้วตัดสินใจเดินไปห้องนอนใหญ่ ต่อให้ป๊าหลับไปแล้วเขาก็จะปลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องให้ได้

นภธรณ์ยกมือขึ้นเตรียมจะเคาะแล้วก็ชะงักไปเมื่อหูแว่วได้ยินเสียงหนึ่งดังลอดออกมา

มันคือเสียงสะอื้นที่ผสมปนเปมากับเสียงกระซิบเรียกชื่อหนึ่งที่ทำให้หัวใจคนฟังแทบแหลกสลาย

“ตอนนี้คุณไปอยู่ที่ไหนนะ... วา”

เขารู้มาตลอดว่าป๊ายังรักผู้หญิงคนนั้น เขาจำได้ดีว่าป๊าไม่เคยลืมเธอ และตอนนี้อีกข้อหนึ่งที่ได้รู้คือป๊าผิดสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้อีก... แล้วแบบนี้เรื่องที่ว่าจะไม่ทิ้งกันไปเขาจะยังเชื่อใจได้อยู่หรือเปล่า... หรือที่บอกว่าอยากให้เขาโต คือโตพอที่จะทิ้งให้อยู่ลำพังแล้วไปหาผู้หญิงคนนั้นอย่างนั้นเหรอ

นี่น่ะเหรอ ความรักของผู้ใหญ่ที่พี่ยะเคยบอก ทำไมมันถึงมีแต่คำโกหกเต็มไปหมด แล้วทำไม... มันถึงเจ็บปวดได้มากมายขนาดนี้

OOOOOO

เสียงออดที่ดังในยามวิกาลทำให้โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความหงุดหงิด เขาเดินปิดปากหาวไปดึงประตูเปิดออกและก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ตรงนั้น “อ้าว ลืมอะไรเหรอ”

“ขอผมนอนด้วยได้ไหมครับ” เด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดนอนเสื้อยืดกางเกงขาสั้นบอกกับเขา

ดุริยะตาสว่างแทบจะในทันที เขากวาดตามองคนอายุน้อยกว่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แค่เห็นคนที่ปกติขี้เก๊กในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงดูไม่ได้ก็พอจะเดาได้แล้วว่ามีเรื่องไม่บายใจมากๆ และกำลังต้องการหาที่พักพิง

“เห็นพี่ยะเคยบอกว่าจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าวันนี้ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”

“เปล่าๆ ไม่ได้ว่าอะไร แค่ตกใจน่ะที่จู่ๆ เธอก็เป็นฝ่ายมาหาฉันเอง เข้ามาสิ” ดุริยะเปิดประตูให้กว้างขึ้นพร้อมกับคว้ามือดึงเข้ามา ฝ่ามือเล็กนั้นเย็นเฉียบจนคนอายุมากกว่าสะดุ้ง ยิ่งเมื่อแสงไฟตกกระทบหน้าเขาจึงได้เห็นขอบตาที่บวมช้ำเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักจึงคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าจะปล่อยให้เด็กหนุ่มได้พักจนสบายใจแล้วค่อยเล่าออกมาเอง

“ผมขอนอนโซฟานะ”

“นอนตรงนั้นไม่สบายหรอก เธอไปนอนในห้องเถอะ”

“แต่...”

“ที่มาหาฉันนี่ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไม่มีที่ไปจริงๆ ก็แสดงว่าเตรียมใจจะโดนฉันปล้ำมาเรียบร้อยแล้วสินะ”

“เป็นอย่างแรกต่างหากครับ” นภธรณ์ตอบ

อันที่จริงเขามีที่ให้ไปเยอะแยะ เปิดรายชื่อในโทรศัพท์มีลิสต์เบอร์โทรทั้งเพื่อนตัวเองและเพื่อนสนิทป๊าเป็นสิบ คนแรกที่เขาคิดถึงคือหมอโมที่เป็นอดีตรูมเมทป๊าตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแพทย์และคนสำคัญอีกคนที่ช่วยป๊าเลี้ยงเขามาจนเขาชอบแซวว่าหมอโมเป็นพ่อของเขาอีกคน แต่ตอนนี้หมอโมมีแฟนแล้ว เขารู้ว่าต่อให้กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่กับแฟนหมอโมก็ต้องเลือกเขา หมอโมเป็นหมอเด็กที่น่ารักและใจดีเสมอ ซึ่งเขารู้ในจุดนั้นดีจึงไม่อยากกวนอีกทั้งถ้าเขาไปบ้านหมอโมป๊าจะต้องตามเจอง่ายๆ แน่ๆ เพื่อนคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เขายังไม่พร้อมจะคุยกับป๊า เขาจึงเลือกจะมาหาพี่ยะ คนที่ตอนนี้ดูเหมือนป๊าจะเกลียดขี้หน้ามากที่สุด ถ้าป๊ารู้ป๊าจะต้องโกรธมากแน่ๆ ซึ่งก็ดีแล้วเพราะป๊าจะได้รู้ว่าตอนนี้เขาเองก็โกรธป๊ามากเหมือนกัน

“ถ้าฉันจะปล้ำจริงๆ น่ะ จะนอนตรงไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละเพราะที่นี่บ้านฉัน” ดุริยะว่า “แต่ฉันไม่ทำหรอกเพราะฉะนั้นเธอเข้าไปนอนดีๆ ในห้องเถอะ ฉันจะนอนที่ห้องซ้อมเอง ฉันสัญญา”

“ของแบบนั้นมันมีอยู่จริงด้วยเหรอครับ” นภธรณ์กระซิบถามน้ำเสียงแหบแห้ง “คำสัญญาน่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลงกลอนจากข้างในซะสิ” ดุริยะบอก

“ประตูเหรอครับ?” เด็กหนุ่มสงสัย

“หัวใจต่างหากล่ะ” ดุริยะว่าพร้อมกับจูงมือเดินเข้าไปในห้องนอน “รีบนอนเถอะพรุ่งนี้เราต้องไปอัดรายการแต่เช้านะ”

เด็กหนุ่มนั่งลงบนเตียง จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวสะท้านทั้งที่อากาศในห้องก็ไม่ได้เย็นอะไรมากมาย เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ไม่คุ้นเคยแล้วคว้าชายเสื้อคนอายุมากกว่าที่กำลังจะลุกไปไว้ “พี่ยะครับ”

“อะไร”

“นอนด้วยกันไหมครับ”

“แน่ใจนะ” คนอายุมากกว่าถามย้ำ และคำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้า เขาออกแรงดึงตัวเด็กหนุ่มเข้ามาประชิดหน้าอกก่อนจะเอื้อมมือไปกดปิดไฟที่หัวเตียง

************************************************TBC******************************************

ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนเราบ้าง แต่พอจบตอนนี้แล้วอยาก "กดเปิดไฟ" จัง ฮึ่ม!!!

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-04-2017 23:48:01
พี่ยะรักแบบลูกสินะ
อดีตของ ยะ โป้ วา คงกลับมาทำร้ายน้อฟที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
สงสารเด็กอ่ะะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Lukaka ที่ 01-04-2017 23:52:27
นี่เดาว่า คุณโปรดิวส์น่าจะรู้จักแม่นอฟ ก็น่าจะเป็นแฟนเก่า

และมีเปอร์เซนสูงที่นอฟจะเป็นลูกคุณโปรดิวส์

แต่เอ็นดูนอฟ คุณป๊ายังคิดถึง แม่ตัวเองอยู่ตลอดเวลา


นี่ถ้านอฟเจอแม่แล้ว นอฟจะเฉยใส่แค่ไหน
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 02-04-2017 00:06:14
เชื่อว่าพี่ยะ ไม่ทำอะไรนอฟหรอก  :ling1:

ป๊าทำไมใจร้ายจัง ไม่รักลูกคนนี้แล้วเหรอออออออออ จะร้องไห้~
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: w-for-winnie ที่ 02-04-2017 01:32:12
เราว่าพี่ยะต้องเป็นพ่อนอฟแน่ๆ ส่วนแฟนเก่ายะก็คือแม่ของนอฟ
ป๊าก็คงรู้มาตลอดว่านอฟไม่ใช่ลูกของตัวเอง แต่ที่ยอมเลี้ยงตอนแรกก็เพราะยังรักวา
แต่ที่ต้องบังคับนอฟให้แยกห้องนอน ก็เพราะต้องเริ่มกลัวว่าจะรู้สึกกับนอฟมากกว่าอย่างอื่นที่ไม่ใช่พ่อลูกแน่ๆ

เดามั่วๆ ไม่รู้ว่าถูกหรือเปล่า รอคนแต่งมาเฉลยค่ะ 555
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 02-04-2017 06:58:12
ตีหมอโป้ซักหลายๆที ได้มั้ย โกรธ!!! รู้อยู่ว่า นอฟกลัวโดนทิ้ง ทำไมไม่พูดดีๆ ให้นอฟฟัง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 02-04-2017 07:23:34
พี่ยะปิดไฟหัวเตียง

ฉันกดเปิดไฟเพดานได้ใช่ไหม?
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 02-04-2017 07:44:27
ที่ผลักไสลูกแบบนี้ เพราะแค่คิดถึงเมียเท่านั้นจริงๆเหรอหมอโป้?? //  แสดงว่าทั้งดุริยะ ทั้งหมอโป้ ต่างก็จำกันและกันได้สินะ  ถึงได้เขม่นกันอยู่บ่อยๆแบบนี้  :hao3:  // อยากรู้ ถ้าเจ้วาแม่นอฟโผล่มา นางจะยังแลดูเป็นคนสำคัญ ยังเป็นราชินีที่มีแต่คนรัก คนแย่ง อยู่ไหม? #สงสารนอฟ  :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: therappizdrum ที่ 02-04-2017 13:38:25
หมอโป้!!!! ผลักไสลูกแบบนี้มีอะไรรรรร ทำไมมมม

ตอนนี้เราขออนุญาตเดาเรื่องนะคะ

เดาว่าแท้จริงแล้วหมอโป้ไม่ใช่พ่อแท้ๆ อันนี้เดามาแต่แรกแล้ว

ส่วนพี่ยะ นี่ก็แฟนเก่าวา เป็นรัก 3 เส้า โป้ วา ยะ

ไม่มั่นใจไม่กล้าเดาว่านอฟเป็นลูกยะ

มั่นใจว่ายะ กับ หมอโป้มีซัมติงก็เรื่องวา
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 02-04-2017 15:42:56
วงวารน้องนอฟอ่ะ
เด็กบริสุทธิ์ผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

ถ้าให้ดเานะ พี่ยะอาจเป็นพ่อจริงๆของนอฟก็ได้
เพราะตอนที่พี่ยะพูดอ่ะว่าเคยรักผู้หญิงคนนึง
แต่สุดท้ายก็เลิกกันแล้วเค้ามามีลูกกับผู้ชายอีกคน
ผู้ชายอีกคนน่าจะเป็นคุณโป้นะ

ส่วนที่แยกห้องอ่ะ เราว่าคุณโป้ต้องคิดอะไรเกินเลยกับนอฟ
มากกว่าลูกที่เลี้ยงดูแน่ๆ เหมือนรู้สึกผิดอ่ะเลยร้องไห้คิดถึงวาอยู่ในห้อง
เหมือนตัวเองยังรักวาอยู่ป่าว

ช่างซับซ้อนจริงเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-04-2017 22:55:24
สงสารนอฟที่สุดเลยลูก เคว้งคว้าง เดียวดาย
อิพี่ยะรู้อะไรดี คายออกมาเดี๋ยวนี้
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: CIndY59 ที่ 05-04-2017 03:17:07
เดาว่า นอฟเป็นลูกของยะกับวา
วาอาจจะท้องตอนที่ยะจะไปเรียนต่อ เลยไม่ได้บอก เลยคลอดเเล้วฝากหมอโป้ที่เป็นเพื่อนไว้ แล้วที่หมอโป้บอกบังคับ เอานอฟไว้คงเพราะไม่อยากให้วาหอบลูกเล็กไปไหนๆ ไรงี้ แล้วที่ร้องไห้เพราะกำลังรักและล่อลวงลูกเพื่อนที่ไว้ใจให้ดูเเล

นี่เดาล้วนๆ มั่วเป็นระยะ 555

ชอบพล็อตเรื่องทุกเรื่องของคนแต่งเลยค่ะ ชวนตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา แล้วก็หักมุม จบฉลาดมีเหตุผลไม่จบแบบส่งๆ
จะติดตามไปทุกเรื่องเลยค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 05-04-2017 16:16:59


อืม... ความอึมครึมนี้นั้น เมื่อไรจะผ่านไปหนอ
เดาว่าการย้ายมานอนกับพี่ยะในวันนี้จะช่วยให้หมอโป้ตาสว่างขึ้นบ้าง
แต่ถ้าไม่ ป้าจะเกียมตั้งน้ำร้อนรอลวกมาม่าเลยค่ะ เพราะมันจะต้องอึดอัดมากแน่ ๆ ฮือ!
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ^ ^  :L2:

หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 08-04-2017 10:55:48
ชอบพี่ยะมากกกกกกกกก หลังจากตามอ่านมาจนทันล่าสุด
เราว่าพี่ยะจะเป็นคนคลายปมแน่ๆ เหมือนรู้ทุกอย่างไปหมดเลย
ส่วนคุณป๊า เราก็กลัวใจมากๆ ยิ่งตอนล่าสุดก็ตีตัวออกห่างจากน้องสุดๆ
ถ้ารู้ว่าน้องหรือตัวเองคิดเกินเลย ป๊าต้องยิ่งกว่านี้แน่เลย ฮือออ
เชื่อว่าคุณหมอต้องเป็นผู้ใหญ่ แล้วอยากให้น้องได้ดี ไม่ใช่จมอยู่กับพ่อ(รึป่าว) แน่ๆ
โอยยยยยย แอบหน่วงงงงง พี่ยะช่วยด้วยยยยยย (ไม่ใช่ล้ะ555555555)
รอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 15-04-2017 21:29:40
Chapter 8

“ว่าไงโป้” กุมารแพทย์หนุ่มถามคนที่เดินหน้ามุ่ยข้ามสายงานเข้ามาในพื้นที่ห้องตรวจโรคผู้ป่วยเด็ก

“นอฟอยู่กับนายหรือเปล่า” ปรเมษฐ์เอ่ยถามเพื่อนสนิท

“หืม ลูกนายจะมาอยู่กับฉันได้ไง วันนี้จะไปออกรายการเรื่องเล่าวันนี้ไม่ใช่เรอะ เมื่อวานยังไลน์มาเตือนฉันอยู่เลยว่าอย่าลืมดู นี่ฉันก็กำลังรอดูกับพวกคุณพยาบาลที่ OPD เนี่ย” นายแพทย์เอกรงค์หรือหมอโมของเด็กๆ กล่าวอย่างตื่นเต้นก่อนน้ำเสียงจะเปลี่ยนไปเมื่อจับสังเกตความผิดปกติได้ “มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า” ปรเมษฐ์กล่าวปฏิเสธทันที

เอกรงค์กอดอกฉับ “โป้! เราคบกันมากี่ปี นอฟเองฉันก็ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย นายอย่าคิดว่าฉันรู้ไม่ทัน นี่ทะเลาะกันใช่ไหม และดูท่าแล้วคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียด้วย”

“คือ... เปล่าไม่ได้ทะเลาะ”

“แล้วเกิดอะไรขึ้น”


“เมื่อเช้าฉันตื่นมาก็ไม่เจอมันแล้ว โทรหาเท่าไหร่ก็ไม่รับ ตฤณส่งข้อความมาบอกว่านอฟไปถึงสตูดิโอแล้วล่ะ แต่... ก็... เอ่อ...”

“ฉันพอเดาเรื่องได้ล่ะ” เอกรงค์ว่า “นอฟไม่ได้ออกจากบ้านไปเมื่อเช้า แต่น่าจะแอบออกไปตั้งแต่ช่วงกลางคืนสินะ”

ปรเมษฐ์พยักหน้า

“ตกลงทะเลาะอะไรกัน”

“ก็บอกว่าไม่ได้ทะเลาะ” ปรเมษฐ์เสียงดังขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่รู้จริงๆ ถ้าแค่เรื่องที่เผลอตีไปมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรขนาดนั้น และถ้าโกรธกันจริงๆ ปกตินภธรณ์ต้องโวยวายเสียงดัง อาจจะมีเดินหนีบ้างแต่สุดท้ายก็จะมาคอยวนเวียนใกล้ๆ ให้เขาง้อ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หนีออกจากบ้านไปกลางดึกและไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาแบบนี้

“เล่ามาเถอะ เดี๋ยวฉันวิเคราะห์เอง” เอกรงค์ย้ำ “เล่าให้หมดด้วยนะ”

“ก็...” เมื่อจนปัญญาจะแก้ปัญหาด้วยตนเองปรเมษฐ์จึงเล่าทุกอย่างให้ฟัง

เอกรงค์ถอนหายใจเสียงดังทันทีที่ฟังจบ “มีใครเคยบอกไหมว่านายเก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องเลี้ยงลูก”

“มี”

“ใครวะ”

“นายไง”

“รู้ตัวก็ดีแล้ว! เพราะงั้นวันนี้ฉันจะพูดซ้ำอีกครั้งว่านายนี่โง่มากเลยว่ะ” เอกรงค์ว่า “ฉันฟังนายเล่าฉันยังรู้เลยว่านอฟโกรธเรื่องอะไร แล้วทำไมนายถึงไม่รู้วะ”

“อะไรล่ะ” ปรเมษฐ์ถาม “เรื่องตีเหรอ หรือว่าเรื่องแยกห้อง แต่ฉันถามแล้วมันก็บอกว่าไม่โกรธนะ”

“ก็ไม่ได้โกรธน่ะสิ”

“แล้วเป็นอะไร” ปรเมษฐ์ถามต่อ “หรือว่ากำลังเข้าช่วงวัยต่อต้าน”

“โป้” เอกรงค์เริ่มช้าๆ เขาเลือกจะไม่บอกตรงๆ แต่ใช้วิธีเปรียบเทียบเพื่อให้อีกฝ่ายได้คิดเอง “ฉันรู้ว่านายต้องเคยได้ยินเรื่องหนังยางใช่ไหม ที่คนสองคนจับดึงไว้คนละฝั่ง และคนที่ปล่อยมือที่หลังคือคนเจ็บ”

“อืม”

“แล้วทำไมนายถึงเลือกจะปล่อยมือทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ยอมปล่อยล่ะ นายกลัวเจ็บแล้วคิดว่านอฟมันไม่เจ็บเหรอ ในเมื่อนายเลือกจะปล่อยตอนที่กำลังดึงให้ยางมันยืดเกือบถึงที่สุด นายกำลังทำร้ายคนที่นายรักและรักนายด้วยตัวเองนั่นแหละ”

“แล้วฉันควรจะทำยังไงล่ะ”
“อย่าไปคิดเยอะสิ แค่คิดง่ายๆ ว่าเวลานอฟมันเจ็บ มันร้องไห้ นายอยากจะกอดปลอบด้วยตัวเองหรือปล่อยไปให้คนอื่นกอด” เอกรงค์ว่าพร้อมกับตบบ่าเพื่อนรัก

“ขอบใจนะโม” ปรเมษฐ์บอก “ทำไมตอนนั้นฉันไม่เลือกเป็นหมอเด็กแบบนายนะ เผื่อจะเข้าใจลูกได้ดีขึ้น”

“ไม่ต้องเป็นหมอเด็กนายก็เข้าใจเด็กได้” เอกรงค์ว่า “ขอแค่รักก็พอ และนายก็มีความรู้สึกนั้นอยู่เต็มหัวใจเลยไม่ใช่หรือไงถึงได้เลือกมาเป็นหมอสูติฯ หรือว่านายลืมมันไปแล้ว”

“ไม่ลืม” ปรเมษฐ์ตอบ

พลันเสียงร้องเล็กๆ จากความทรงจำเมื่อนานมาแล้วดังขึ้นในหัว

นักเรียนแพทย์หนุ่มในชุดกาวน์ปลอดเชื้อคาดผ้าปิดปากปิดจมูกค่อยประคองทารกเนื้อตัวซีดเซียวที่ร่างกายปกคลุมด้วยไขไว้ในอ้อมแขน มือของเขาสั่นเล็กน้อยและหัวใจก็ยังเต้นแรงไม่หยุดกับประสบการณ์การช่วยทำคลอดครั้งแรกในชีวิต ยังไม่ทันจะได้ตบตูดลูบหลังตามตำราที่เรียนมาทารกน้อยก็แผดเสียงลั่นอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ สร้างเสียงหัวเราะให้ทุกคนอยู่ในห้องคลอด ผิวสีอมเทาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาดเมื่อปอดทำงานเต็มที่ แก้มยุ้ยเปล่งปลั่งดูนุ่มนิ่มน่ามันเขี้ยวเขาใช้ปลายนิ้วลองเขี่ยเบาๆตรงมุมปากแล้วเสียงร้องไห้จ้านั้นก็ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอ้อแอ้อย่างร่าเริง ริมฝีปากบางเฉียบสีแดงสดส่งยิ้มหวานมาให้เขา

สมองซีกซ้ายพยายามจะอธิบายว่ารอยยิ้มนี้เป็นแค่ Sucking Reflex ไม่ใช่เพราะทารกจะชอบอกชอบใจอะไรเขา ถึงหัวใจจะยอมรับฟังหากก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อมันเต็มใจกระโจนลงหลุมพรางที่เรียกว่า ‘รักแรกพบ’

“ถ้าโทรไม่ติดก็ลองส่งข้อความไหม” เอกรงค์ช่วยคิดหาทางให้สองพ่อลูกคืนดีกัน

“เดี๋ยวฉันไปหาเลยดีกว่า” ปรเมษฐ์บอก “ฝากดูคนไข้ด้วยนะ”

“เรื่องนั้นเห็นทีจะช่วยไม่ได้ว่ะ”

“ทำไมล่ะ”

“นายเป็นหมอสูติแต่ฉันเป็นหมอเด็กนะโป้ ถ้ายังไม่คลอดออกมาจากท้องแม่ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ” เอกรงค์บอก แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของคนที่กำลังกลุ้มใจก็รีบโบกมือไล่ “รีบไปเถอะ เดี๋ยวโทรไปบอกที่ OPD ให้เองว่านายจะไปช้า”

“ขอบคุณมาก” ปรเมษฐ์หันมาขอบคุณเพื่อนรักก่อนจะรีบออกไป

OOOOOO

“ไม่เลวนี่เจ้าหนูมีแฟนคลับมาเชียร์เยอะเลย” ดุริยะบอกพลางชี้มือชี้ไม้ไปทางมุมหนึ่งในห้องส่งที่จัดแถวเก้าอี้ไว้ให้ มีทั้งเด็กสาว สาวรุ่นเพื่อนแม่และแฟนบอยร่วมร้อยชีวิตที่ถือป้ายชื่อและข้อความให้กำลังใจ

นภธรณ์พยักหน้ารับเนือยๆ ตอนนี้แม้แต่ไมค์ที่ถืออยู่ประจำก็รู้สึกว่ามันหนักเหลือเกิน

เด็กหนุ่มเอนศีรษะพิงผนังอย่างเหนื่อยล้า เมื่อคืนเขาก็นอนไม่หลับเหมือนเดิมทั้งที่ไม่ได้นอนคนเดียว แต่แผ่นหลังของคนที่นอนด้วยกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกคลายเหงาลงสักนิด เขากวาดตามองไปรอบๆ ตฤณกำลังทบทวนรายละเอียดลำดับขั้นตอนการออกอากาศต่างๆ อีกครั้ง ถัดออกไปท่านประธานแดเนียลที่มาให้กำลังใจยืนคุยอยู่กับคุณสมยศ เจ้าของรายการและพิธีกรหลักของรายการเรื่องเล่าวันนี้อย่างออกรส รอบตัวเต็มไปด้วยสตาฟของห้องส่งที่ส่งเสียงคุยกันเซ็งแซ่พลางจัดการงานของตัวเอง

นภธรณ์หันไปหาแฟนคลับที่ชูมือชูไม้ส่งสัญญาณบอกรักและให้กำลังใจแทนการพูดเพราะถูกห้ามไม่ให้ส่งเสียงดัง เขาพยายามจะส่งยิ้มให้พวกเธอ แต่ก็พบว่ามันยากเย็นเต็มทีจึงเพียงโบกมือให้ครั้งหนึ่ง

ทั้งที่อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่เขากลับรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว กำลังใจที่ได้จากแฟนคลับนั่นก็ส่วนหนึ่งหากแต่มันยังไม่พอจะเติมเชื้อไฟในใจได้ พลันสายตาเหลือบไปเห็นป้ายล้อเนื้อเพลงในมือเด็กสาวที่เขียนว่า ‘คุณเป็นของฉัน’ ยิ่งสะท้อนในใจว่ามันใช่เหรอ? เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นของใครเลยต่างหาก ขนาดป๊าที่ตัวอยู่กับเขา หัวใจยังเป็นของแม่มาตลอดเลย

“ไหวนะ”

เสียงดุริยะที่กระซิบถามขึ้นทำให้นภธรณ์สะดุ้งตื่นจากภวังค์

“เอ่อ... อืม... ไหวครับ”

“แน่ใจนะ เพราะตอนนี้สีหน้าและแววตาเธอไม่ได้อยากร้องเพลงสักนิด”

“คุณดุริยะอย่าพูดอะไรแปลกๆ สิครับ” ตฤณว่า ทั้งเขาและแดเนียลต่างก็สังเกตเห็นเหมือนกันแต่เลือกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เพราะกลัวเรื่องจะไปกันใหญ่

“ผมร้องได้ครับ” นภธรณ์ตอบทั้งที่รู้อยู่เต็มหัวใจว่าดุริยะพูดถูก เขาอยากร้องเพลงให้ป๊าฟัง แต่ตอนนี้เขาจะร้องไปทำไมในเมื่อคนฟังไม่เคยรับรู้ถึงความสุขที่เขาส่งผ่านเสียงเพลงไปให้เลย

“คงจะเครียดล่ะสิ รายการสด แถมยังร้องสดอีกต่างหาก นายลองไปคุยกับแฟนคลับดูไหม เผื่อจะสดชื่นขึ้น” ตฤณพยายามกระตุ้น

“ไม่ครับ” นภธรณ์ตอบพลางเหลือบตาลงมองโทรศัพท์ในมือซึ่งแสดงมิสคอลจากปรเมษฐ์ที่นับจนถึงตอนนี้ก็ร่วมยี่สิบสายแล้ว... ขนาดคนที่อยากคุยด้วยที่สุดเขายังไม่พร้อมจะคุยแล้วจะให้ไปคุยกับใครได้ คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ ทิ้งอีกครั้ง

“สวัสดีครับ”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังมาจากทางประตูห้องส่งทำเอาหัวใจกระตุกวูบ คิดว่าตัวเองหูเพี้ยนเพราะคิดถึงมากเกินไป หากคำทักทายของตฤณก็ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าปรเมษฐ์กำลังเดินเข้ามาหาจริงๆ

“อ้าวคุณโป้ ไม่บอกล่วงหน้าว่าจะมาผมจะได้เตรียมบัตรสำหรับสตาฟหรือที่นั่งชมไว้ให้”

นภธรณ์หลุบตามองพื้น พยายามไม่หันไปมองทั้งที่ตอนนี้รับรู้ได้ว่าป๊าเดินเข้ามายืนอยู่ใกล้แค่เอื้อม

“ไม่เป็นไรครับผมมาปุบปับเอง” ปรเมษฐ์บอกพลางเหลือบตามองเด็กหนุ่มที่นั่งกอดอกหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างจงใจ “ผมขอคุยกับลูกสักครู่ได้ไหมครับ”

ตฤณยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาออกอากาศแล้ว ถ้ายังไงไว้คุณโป้คุยหลังจบรายการ...”

“คุณมีเวลาครึ่งชั่วโมง” ดุริยะที่ยืนสังเกตการณ์อยู่แทรกขึ้น

“ตะ... แต่... จะดีเหรอครับ มันเป็นรายการสดนะครับ ถ้าเกิดว่ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา” ตฤณพยายามมองหาตัวช่วยตัดสินใจ แต่แดเนียลก็เพิ่งจะเดินออกไปส่งคุณสมยศเพื่อเริ่มรายการเมื่อสักครู่นี่เอง

“มันจะพลาดเพราะไม่ได้คุยนี่ล่ะ” ดุริยะบอกก่อนจะหันไปคว้ามือนภธรณ์ดึงให้ลุกขึ้นยืนแล้วผลักให้ไปยืนตรงหน้าปรเมษฐ์ “ห้องแต่งตัวว่างอยู่น่ะ ไปคุยที่นั่นก็ได้”

นภธรณ์หันมาทำหน้าบูดใส่โปรดิวเซอร์ใหญ่

“ขอบคุณครับ” ปรเมษฐ์ค้อมศีรษะให้ดุริยะครั้งหนึ่งแล้วเดินตามนภธรณ์ที่กระแทกเท้าเดินนำออกไปก่อน

“ทำไมมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ” ดุริยะถามตฤณเมื่อสองพ่อลูกคล้อยหลังไป “ไม่คิดว่าฉันเป็นคนดีล่ะสิ”

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ คือ...”

“ก็ไม่ใช่จริงๆ น่ะแหละ” ดุริยะว่า “เพราะถ้าปล่อยให้เด็กนั่นร้องเพลงทั้งๆ แบบนั้นฉันเองก็จะพลอยเสียชื่อไปด้วยน่ะสิ แล้วบางที... วันนี้ฉันอาจจะได้ฟังเพลงเดิมแต่ความหมายใหม่ก็ได้ ใครจะไปรู้”

“คุณยะหมายความว่าไงครับ”

“ถ้าอยากรู้คืนนี้ก็มาฟังที่ห้องสิ” นัยน์ตาพราวระยับเหลือบมองผู้จัดการหนุ่มพร้อมกับสืบเท้าเข้าใกล้จนอีกฝ่ายถอยหนีหลังติดกำแพง “เอาไหม พี่จะร้องให้ฟังทั้งคืนเลย เอ๊ะ! หรือตฤณจะเป็นคนร้องให้พี่ฟังแทนครับ”

“คุณยะครับ... อย่า...”

ดุริยะไม่สนใจคำทัดทาน เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นแตะลงบนผิวแก้มทำให้คนที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เขาลากปล่อยนิ้วลงต่ำผ่านลำคอลงมาจนถึงเนินไหปลาร้าก่อนปล่อยหัวเราะออกมาพร้อมกับชักมือกลับ “ท่าทางคืนนี้จะไม่ว่างสินะ”

ดุริยะไม่ได้เลิกยุ่งเพราะเห็นร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของที่ซอกคอขาว แต่เป็นเพราะเจ้าของรอยนั้นเพิ่งเดินกลับมาและกำลังจ้องเขม็งอยู่ด้วยความไม่พอใจต่างหาก
OOOOOO

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 7 P.4 [1/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 15-04-2017 21:31:43
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

นภธรณ์เดินนำเข้าไปในห้องแต่งตัวของตนที่ถูกจัดไว้ให้โดยมีผู้เป็นพ่อเดินตามมาติดๆ เขายังคงไม่ยอมสบตาและยืนหันหลังให้

ปรเมษฐ์กดล็อกประตู เพราะถูกกำชับมาว่าเวลามีน้อยเขาจึงรีบเข้าเรื่อง “เมื่อคืนไปนอนที่ไหนมา” แต่ด้วยความที่รีบไปหน่อยถ้อยคำที่ต้องการแสดงความเป็นห่วงจึงกลับฟังดูห้วนไปถนัด

นภธรณ์พ่นลมหายใจออกจมูกและตอบด้วยเสียงที่ห้วนไม่ต่างกัน “บ้านพี่ยะ”

คำตอบที่ได้ฟังเหมือนโยนไฟเข้าไปในกองถ่านที่ยังคุกรุ่น ปรเมษฐ์สติขาดและคว้าไหล่ลูกชายแน่น “นอฟ! หันมาคุยกันเดี๋ยวนี้ มองตาฉันสิ แล้วอธิบายมาว่ามันเรื่องอะไรถึงได้หนีไปนอนบ้านไอ้... คนอื่น! จะโกรธ จะประชดอะไรฉันก็ให้มันน้อยๆ หน่อย โตๆ กันแล้วนะ”

นภธรณ์เม้มปากสนิทแล้วหันไปสบตา “ผมไม่ได้ประชด”

จริงดังปากว่าในแววตาแดงช้ำไม่ได้เจือความโกรธ แต่มันคือความเศร้าที่หยั่งปริมาณไม่ได้

ใจคนเป็นพ่อร่วงลงไปกองที่ตาตุ่ม ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นสายตาแบบนี้ของลูกชายมันก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว “แล้วทำอะไรอยู่”

“ผมแค่ไม่อยากเห็นคนผิดสัญญา”

ปรเมษฐ์พอจะเดาได้ว่าหมายถึงสัญญาข้อไหน แต่ก็อยากให้แน่ใจว่าเข้าใจไม่ผิด “สัญญาอะไร...”

“คำสัญญาที่ว่าป๊าจะไม่ร้องไห้ไง” นภธรณ์พูด เสียงมันสั่นจนแม้แต่ตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อว่านั่นคือเสียงของตัวเอง “เมื่อคืนนี้ ผมได้ยินนะ... ป๊าสัญญากับผมแล้วไม่ใช่เหรอว่าถ้าผมร้องเพลง ป๊าจะเลิกร้องไห้ ตะ... แต่ป๊าก็ยังร้องไห้อยู่ดี...”

เขาพูดต่อไม่ได้แล้วก้อนอะไรสักอย่างท้นขึ้นมาจุกอยู่ที่อก และขอบตาก็แสบร้อนไปหมด เขาปัดมือที่จับไหล่ไว้ออกแล้วหันหลังเดินหนีไปอีกทาง

ปรเมษฐ์ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก “นอฟ หันมาคุยกันก่อน”

“ไม่ครับ” นภธรณ์บอก “พอกันที ผมไม่อยากทนเห็นป๊าร้องไห้โดยที่ผมทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว”

“ฟังก่อนสิ ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะวา ฉันร้องเพราะแกต่างหาก”

เท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าชะงักทันที “ผมทำอะไรผิดเหรอป๊าถึงต้องร้องไห้เพราะผม” นภธรณ์ถามกลับ “อ้อ... ผมผิดตั้งแต่เกิดมาเป็นภาระของป๊าแล้วสินะ ที่ป๊าบอกรอให้ผมโตน่ะคือโตพอจะอยู่คนเดียวได้แล้วป๊าก็จะไปหาแม่ใช่ไหม จริงๆ ป๊าไม่ต้องรอก็ได้นะ ถ้าป๊าคิดถึงแม่มากก็ไปหาตอนนี้เลยก็ได้ ไม่ต้องมาทนอยู่กับผมหรอก”

ปรเมษฐ์คว้ามือลูกชายที่พยายามจะสะบัดออกได้ในที่สุด “นอฟ ฉันบอกให้ฟังไง!”

“ไม่! ผมไม่อยากฟังอะไรแล้ว” นภธรณ์พยายามสะบัดอย่างแรงอีกครั้ง ปรเมษฐ์จึงรวบข้อมือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วดึงตัวเข้ามากอด

“แต่แกต้องฟัง!”

“ไม่ฟัง!” นภธรณ์สะบัดมือข้างหนึ่งหลุดและใช้ยันที่หน้าอกอย่างแรงเพื่อขืนตัวออกห่าง “ปล่อยผมเดี๋ยวนี้!”

“ฉันกลัวว่าสักวันแกจะทิ้งไปต่างหาก”

คำพูดต่อมาของคนที่พยายามกอดไว้ทำให้เด็กหนุ่มหยุดดิ้นรนทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าเต็มตาเป็นครั้งแรก น้ำเสียงแหบแห้งนั้นว่าไม่โกหกแล้วนัยน์ตาเว้าวอนกลับซื่อตรงยิ่งกว่าจนต้องถามให้แน่ใจ “ผมเนี่ยนะจะทิ้งป๊า”

“ก็แกคิดถึงแม่ อยากเจอใจจะขาดจนถึงขั้นมาร้องเพลงเพื่อตามหาไม่ใช่เหรอ ตอนนี้แกก็ดังแล้วนี่ สักวันถ้าวากลับมา แกก็คงจะไปกับเขาแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวเหมือนอย่างที่แม่แกเคยทำน่ะแหละ” ปรเมษฐ์พูดรัวเร็ว

นภธรณ์นิ่งงันไปอึดใจ คาดไม่ถึงว่าเป็นคำโกหกของตัวเองที่ทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายมาตลอดเหมือนกัน “ผม... จะทำแบบนั้นได้ยังไง”

“จะไปรู้เหรอ ขนาดเมื่อคืนแกยังหนีฉันไปนอนกับคนอื่นได้ง่ายๆ แล้วนับประสาอะไรกับแม่แท้ๆ ล่ะ”

แววตาของคนตรงหน้าทอดมองมาด้วยความเศร้าสร้อย เขารู้ว่าป๊าเป็นคนพูดไม่เก่ง ป๊าถนัดการแสดงออกมากกว่าพูดออกมา และถึงจะเป็นคนตรงๆ แต่บางครั้งคำพูดกับการกระทำก็สวนกันไปคนละทาง เขารู้ในข้อนั้นดี เพราะเขาเองก็เป็นแบบนั้น ปากบอกว่าโกรธ ไม่อยากเจอ แต่ในใจเฝ้ารอให้เดินมาง้อใจจะขาด ดังนั้นตอนนี้เขาคงต้องพูดแล้วสินะไม่ว่ามันจะทำให้ป๊าชอบหรือไม่ชอบก็ตาม เรื่องที่เขาไม่เคยคิดถึงผู้หญิงคนนั้นจนนิดเดียว

“ป๊า ผมมีเรื่องจะสารภาพล่ะ ผมไม่ได้ร้องเพลงเพราะอยากจะตามหาแม่หรอก”

“แล้ว...”

“ไหนเคยคุยนักคุยหนาว่ารู้เรื่องของผมทุกอย่างไง แล้วเรื่องแค่นี้ทำไมป๊าถึงไม่รู้ล่ะ”

ฝ่ามือที่ยันอยู่หน้าอกค่อยเลื่อนขึ้นไปสัมผัสข้างแก้มอีกฝ่ายและจับให้อยู่นิ่งเพื่อสบตาให้ชัดๆ

“ผมร้องเพลง เพราะไม่อยากให้ใครคนหนึ่งร้องไห้ และที่เป็นนักร้องก็เพราะว่าเวลาที่มีใครสักคนเปิดวิทยุ เสียงของผมก็จะดังไปทั่ว คนๆ นั้นก็จะยังได้ยินเสียงของผมตลอดเวลาแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่เหงาและไม่ต้องแอบไปร้องไห้คนเดียวอีก”

นภธรณ์ลดมือลงมากำไว้ตรงหน้าก่อนจะค่อยๆ ขยับยกนิ้วก้อยขึ้น “ป๊าจะคิดถึงแม่มากเท่าไหร่ก็ได้ แต่ป๊าให้สัญญากับผมอีกครั้งได้ไหมครับว่าป๊าจะไม่ร้องไห้อีก”

ถามด้วยความหวาดกลัวที่ยังมีเต็มหัวใจว่าเรียกร้องอะไรไม่เข้าท่า ยิ่งเห็นเจ้าของสายตาคมตวัดลงมองโดยไม่พูดอะไรใจยิ่งสั่น

“ดะ... ได้ไหมครับ”

ปรเมษฐ์ก้มหน้าลงเล็กน้อย หากในเสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากกำลังจะแตะปลายปลายนิ้วนั้นกลับเคลื่อนไปหยุดตรงริมฝีปาก

เหมือนโดนกระแสไฟฟ้าแรงสูงช็อตทั้งที่ริมฝีปากแตะเพียงแผ่วค่อย หัวใจที่เต้นโหวงเหวงอยู่หลังอกกลับเต้นรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งริมฝีปากหยักลึกนั้นผละออกแล้วลากรอยยิ้มขึ้นช้าๆ พร้อมกับกระซิบเสียงนุ่มใจยิ่งสั่น

“สัญญา”

“ป๊า...ผม...”

 “นอฟเราต้องไปแล้ว!”

เสียงตฤณตะโกนพร้อมกับเสียงเคาะประตูทำให้นภธรณ์สะดุ้งเล็กน้อย เขาเหลือบตามองไปที่ประตูก่อนจะหันมามองป๊า

“ไปได้แล้ว”

“แต่เรายังคุยกันไม่จบ...”

“ฉันจะรออยู่ในห้องส่งนี่แหละ ร้องเพลงเสร็จเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันต่อก็ได้”

นภธรณ์เงยหน้าขึ้นสบสายตาคนตรงหน้าที่ส่งยิ้มกว้างมาให้ก่อนจะคลายวงแขนออกแล้วจูงมือเขาเดินไปที่ประตู

“มาเร็ว” ตฤณพูดแทบไม่หายใจทันทีเห็นหน้านภธรณ์พร้อมกับคว้ามือแล้ววิ่งกลับไปยังห้องส่งเพื่อให้ทันคิวออกอากาศ

เด็กหนุ่มเหลียวมองกลับหลังไปเป็นระยะ เห็นป๊าเดินตามมาก็ค่อยใจชื้น เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามาถึงห้องส่งตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตฤณยัดไมค์ใส่มือมาให้แล้วเริ่มนับถอยหลังเพื่อให้สัญญาณ

“พร้อมนะนอฟ สาม... สี่... ไป”

แรงผลักที่หลังเบาๆ ส่งเขาให้ผ่านด้านหลังฉากออกมาสู่แสงสว่างของสปอร์ตไลท์ซึ่งสาดมาที่เขา นภธรณ์เหลียวไปมองยังข้างฉากอีกครั้ง และทั้งที่ค่อนข้างมืดจนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร แต่เขากลับมองเห็นคนที่มองหาในทันที

ปรเมษฐ์ขยับริมฝีปากที่เขาอ่านได้ความว่า ‘ฉันกำลังฟังอยู่’

นภธรณ์พยักหน้า มือกระชับไมค์แน่นขึ้นอีกแล้วยกขึ้นจรดริมฝีปาก

ตอนนี้หูไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว มีเพียงเนื้อเพลงที่ลอยวนอยู่ทั่วทั้งตัวแล้วถูกขับขานผ่านริมฝีปากออกมาเป็นเพลง... เพลงที่ตอนนี้ไม่ไม่ได้อัดแน่นไปด้วยการอ้อน ความอิจฉาหรือแม้เแต่ความหวงแหนเหมือนทุกครั้งที่ร้อง และความรู้สึกนั้นก็เป็นมากกว่าความต้องการจะครอบครอง

ทันทีที่เพลงจบลง เสียงตบมือก็ดังกึกก้องขึ้นพร้อมๆ กับที่คนดูในห้องส่งกว่าครึ่งลุกขึ้นยืน

นภธรณ์ลดไมค์ลงและกวาดตามองไปรอบๆ อย่างตื่นตะลึง เขารู้สึกตัวเบาหวิว เหมือนโบยบินอยู่อากาศเมื่อได้ประกาศให้โลกรู้ในสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจ

แต่ในขณะที่เดินกลับเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป โลกที่สว่างไสวพลันดับมืดลง สองขาหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนโดนโซ่เหล็กถ่วง... เป็นโซ่ตรวนที่ชื่อ ‘ความสัมพันธ์’

มันพันธการรัดแน่นขึ้นทุกทีจนเจ็บไปหมด ในที่สุดเมื่อก้าวเท้าพ้นจากแสงไฟ เด็กหนุ่มก็หมดแรงทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับยกสองมือขึ้นปิดหน้าเพื่อซ่อนความเจ็บปวดที่กำลังพรั่งพรูไม่ขาดสาย หูแว่วได้ยินเสียงพิธีกรสาธยายถึงธีมเพลงที่เขาเพิ่งร้องออกไปให้ทุกๆ คนฟัง

‘บาป’

คำๆ นี้ดังก้องอยู่ในหัว เขานี่แหละคือคนบาปที่แท้จริง... ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่ไหลวนอยู่ในอกคืออะไร... ไม่ว่าจะเป็นความอิจฉา เจ็บปวด หวงแหน ยิ้มกว้างเพียงแค่ได้ยินชื่อ รู้สึกอุ่นในใจทุกครั้งที่เห็นใบหน้านั้นเปื้อนยิ้ม และเจ็บแทบขาดใจเพียงแค่รู้ถึงความเศร้าของใครคนนั้นแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย

ทั้งที่ไม่ต้องการ แต่เขาก็ทรยศต่อความรักแสนบริสุทธิ์ที่อีกฝ่ายมีให้ไปเสียแล้ว

ผู้จัดการหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาหา “นอฟ เป็นอะไรหรือเปล่า”

นภธรณ์ค่อยลดมือที่ปิดหน้าไว้ลง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งที่ชะเง้อคอมองด้วยความเป็นห่วงอยู่มุมหนึ่ง เด็กหนุ่มคว้าเสื้อคนตรงหน้าแน่น “พี่ตฤน ผมจะทำยังไงดี”

จะปฏิเสธก็ไม่ได้ แต่จะให้ยอมรับในทันทีก็ไม่กล้า เมื่อความรู้สึกที่เพิ่งเข้าใจนั้นมันคือความรัก และคนที่เขาหลงรักคือ ‘พ่อของตัวเอง’

นัยน์ตาจับจ้องไปยังคนที่พยายามจะฝ่าการ์ดของรายการเดินเข้ามาหา แล้วก็ซบหน้าลงกับฝ่ามืออีกครั้งพร้อมกับความคิดที่ว่าเขาควรจบมันเสียตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้ถลำลึกไปมากกว่านี้


 ************************TBC**********************
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-04-2017 21:52:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 15-04-2017 21:57:12
กรี๊ดดดดด  :ling1:  เอาแล้วๆๆๆๆ นอฟชัดแล้ว ยังไงต่อหล่ะทีนี้ หมอโป้ยังไงดี? งือออออ ยากเนอะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 15-04-2017 22:24:39
ไม่น้านอฟฟฟ ไม่ต้องจบบบบบ ไม่เสียใจเหรอ ไม่เศร้าเหรอ แต่เราเศร้าเราเสียใจน้าาาา  :o12:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 15-04-2017 22:27:31
โธ่น้องนอฟฟฟฟฟฟ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PHA_ ที่ 15-04-2017 22:49:04
นอฟรู้ตัวแล้วววว คราวนี้ก็รอคุณพ่ิอแล้วล่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-04-2017 22:54:54
สองคนนี้หายโกรธกันง่ายมาก

และพาเราเข้าสู่พื้นที่ต้มมาม่าอย่างง่ายดายเช่นกัน

ฮืออออออ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-04-2017 23:53:31
นอฟหาที่ปรึกษาด่วนลูก อย่าเพิ่งตัดใจเอง อย่าเพิ่งคิดมากกกกกก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-04-2017 00:42:50
ถามหมอโมดีไหมว่าควรทำยังไง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Carina ที่ 16-04-2017 06:32:29
ต่างคนต่างก็รักอีกฝ่ายมากทั้งคู่ ถ้านอฟยังคิดจะทำอย่างนั้นจะไม่มีใครที่มีความสุขเลยนะ ฮือออ หมอโมมาให้คำปรึกษาน้องหน่อย

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 16-04-2017 14:54:36
นอฟฟรู้ตัวละ ว่ารักป๊าเดินกว่าคำว่าพ่ออ บาปนี้จะหอมหวานแค่ไหนกันนะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 16-04-2017 16:43:41
น้ำตาไหลพราก  :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: scottoppa ที่ 25-04-2017 12:39:08
น้องนอฟฟฟฟฟฟฟฟ สงสารความรู้สึกน้องมากๆ
ต้องสู้นะ บาปนี้ต้องมีเงื่อนงำ ฮืออออ
เอ็นดูพี่ตฤนระดับสิบเลยค่า มีแฟนแล้วก็ไม่บอกนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 26-04-2017 21:40:22
นอฟลูกกกกกกกกกกกกกก  น้องจะจบความรู้สึกนี้ได้ยังไง  ในเมื่อมันมากมายล้นหลามท่วมหัวใจขนาดนี้
คิดถึงทฤษฎีหนังยางของหมอโมเลย ตอนแรกป๊าปล่อยมือก่อน นอฟก็เจ็บ ป๊าก็เจ็บ คราวนี้นอฟตั้งใจว่าจะไม่ถลำลึกอีกเพราะกระจ่างแก่ใจแล้วว่า นี่คือรัก เป็นความรักที่เป็นบาป คราวนี้เจ็บเจียนตายทั้งคู่ของจริง เฮ้ออออออออออ  เอาใจช่วยทั้งคู่ให้จงหนักนะจ๊ะ

ขอปรึกษาหมอโม อีกสักที คิดถึงหมอโมจริงๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 28-04-2017 02:29:43
Chapter 9

“เป็นอะไร”

คำถามที่ดังขึ้นทำเอานักร้องหนุ่มสะดุ้งเฮือก แต่เป็นโชคดีที่คนถามเป็นดุริยะ

“ปะ... เปล่าครับ” นภธรณ์ตอบพลางเหลือบตามองคนที่เดินใกล้เข้ามาทุกที พยายามคิดว่าสิ่งที่คิดมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด เขาอาจจะนอนน้อย อาจจะตื่นเต้นก็เลยสับสนคิดฟุ้งซ่าน แต่ยิ่งปรเมษฐ์เดินเข้ามาใกล้มากขึ้นภาพที่จูบให้สัญญาก่อนร้องเพลงก็ปรากฏชัดขึ้นในหัวอีกครั้ง สองแก้มร้อนวาบพร้อมๆ กับที่หัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ เขาก็มั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิดและเขาต้องการเวลาเพื่อตั้งรับกับความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามานี้ “พี่ตฤณ ผมอยากเข้าห้องน้ำขอตัวแป๊บนึงนะครับ”

“โอ๊ย จะมาอะไรกันตอนนี้ มีเวลาพักโฆษณาห้านาทีก่อนเริ่มสัมภาษณ์เบรกหน้า รีบไปรีบมานะ”

“ขอบคุณครับ” นภธรณ์บอกแล้วรีบวิ่งออกไป

“เกิดอะไรขึ้นครับ” ปรเมษฐ์ที่คลาดกับลูกชายไปนิดเดียวถาม

ตฤณกำลังจะอ้าปากตอบดุริยะก็แทรกขึ้นด้วยท่าทียียวน “นั่นสิ เกิดอะไรขึ้นนะถึงได้ร้องไห้ตาแดงแบบนั้น โดนใครทำร้ายจิตใจมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันว่าฉันตามไปดูหน่อยดีกว่า”

“คุณดุริยะพูดอะไรแบบนั้นครับ” ตฤณกุมขมับแน่น คิดในใจ ทำไมแต่ละคนถึงได้ทำอะไรน่าปวดหัวแบบนี้

ดุริยะแสยะยิ้มให้ปรเมษฐ์ เขาหัวเราะเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะหันหลังให้แล้วก้าวเร็วๆ ตามเด็กหนุ่มไป

เขาเดินตามไปจนเจอคนอายุน้อยกว่าที่ห้องน้ำกำลังพยายามใช้กระดาษทิชชูซับน้ำตาโดยไม่ให้รองพื้นเละ เขาจึงใช้หลังมือเคาะประตูเบาๆ ครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการส่งสัญญาณบอกก่อนจะเดินเข้าไปใกล้

“เป็นอะไร” ดุริยะถามนภธรณ์

เด็กหนุ่มสะดุ้งและหันมามองก่อนจะตอบตะกุกตะกัก “ไม่มีอะไรครับพี่ยะ เอ่อ... แค่... เอ่อ... รู้สึกโล่งน่ะครับ ที่ร้องจบแล้ว”

“คนอย่างเธอไม่น่าเครียดจนถึงขั้นร้องไห้นะ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” โปรดิวเซอร์ของนักร้องหนุ่มยังคงสงสัย

“ไม่... ไม่มีครับ” นภธรณ์ตอบโดยไม่ยอมสบตา

“แน่ใจนะ” ดุริยะถามย้ำ “ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าเธอน่ะเวลาที่คิดอะไรอยู่มันจะออกมาตอนที่ร้องเพลงหมด”

นักร้องหนุ่มนิ่งไปอึดใจ เขาสบตาตัวเองในกระจกก่อนจะหันไปสบตาโปรดิวเซอร์หนุ่ม “ถึงมันจะมี ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่พี่ยะไม่จำเป็นต้องกังวลครับ”

ดุริยะหรี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์แล้วสืบเท้าเข้าใกล้จนประชิดตัวเด็กหนุ่ม “เป็นคำพูดที่ตัดรอนกันจังเลยนะ ทั้งที่เมื่อคืนเธอยังนอนร้องไห้อยู่กับฉันแท้ๆ”

“ผม...”

โปรดิวเซอร์ใหญ่ก้มหน้าลงต่ำจนริมฝีปากคลอเคลียอยู่ข้างหู “ถ้าจะไม่ให้กังวล อย่างน้อยๆ ก็ขอค่าปลอบใจให้พี่หน่อยสิ เอ๊ะ! หรือจะเรียกว่าค่าปิดปากดี”

นภธรณ์พยายามตั้งสติ ดุริยะไม่ได้บอกว่าค่าปิดปากเรื่องอะไรก็มีความเป็นไปได้ว่าไม่รู้จริงเขาอาจจะแกล้งพูดไปแบบนั้น และถึงจะรู้มันก็แค่คำกล่าวหาที่ไร้ซึ่งหลักฐาน

เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเงียบไปโปรดิวเซอร์ใหญ่ยิ่งได้ใจรุกต่อ เขาเชยคางนภธรณ์ขึ้นพร้อมกับใช้ปลายนิ้วไล้เบาๆ ไปบนกลีบปากก่อนจะเน้นหนักขึ้นเป็นการบอกใบ้ในสิ่งที่เขารู้เห็น “ว่ายังไงเจ้าหนู”

“ผม...”

“กรุณาถอยห่างออกมาจากลูกชายของผมด้วยครับคุณดุริยะ”

“ป๊า”

ดุริยะหัวเราะหึแล้วยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะหันไปสบตาปรเมษฐ์ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยแต่มือทั้งสองนั้นกำเป็นหมัดแน่น

“แหม มาขัดจังหวะเวลาคนเขากำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มตลอดเลยนะ” ดุริยะหันไปพูดกับคนที่เพิ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะ

ปรเมษฐ์เดินเบียดตัวเข้ามาแทรกตรงกลางพร้อมทั้งหันไปเผชิญหน้า “ผมเคยเตือนคุณแล้วใช่ไหมครับว่าอย่าทำอะไรเกินไปกว่า ‘พี่ชายที่ร่วมงานด้วย’”

“แล้วถ้าผมไม่อยากเป็นแค่พี่ชายล่ะ” ดุริยะถามกวน

คำพูดสองแง่สามง่ามที่ส่งมาพร้อมกับนัยน์ตาพราวระยับของเสือที่ล็อกเป้าหมายพร้อมจะพุ่งขย้ำคอเหยื่อทำให้ปรเมษฐ์มองตาขวาง “คุณคงต้องข้ามศพผมไปก่อน”

“ไม่ล่ะ” ดุริยะว่า “เพราะผมจะเหยียบทั้งๆ ที่คุณยังมีลมหายใจนี่แหละ”

เขาทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วกลับหลังหันเดินออกประตูไป

ปรเมษฐ์ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดแล้วหันมาหาลูกชายที่ยืนมองเขาตาปริบๆ “ร้องไห้ทำไม โดนใครแกล้งอะไรหรือเปล่า” ผู้เป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่รู้สึกโล่งน่ะที่ร้องเพลงจบ.... มันเป็นรายการสดน่ะผมเลยเครียดนิดหน่อย” นภธรณ์โกหกก่อนจะยกกระดาษขึ้นสั่งน้ำมูกทิ้งอีกครั้ง

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ปรเมษฐ์บอก “ฉันก็กังวลแทบแย่”

“ขอโทษครับ เอ่อ...จวนได้เวลาแล้วผมไปก่อนนะเดี๋ยวพี่ตฤณเป็นห่วง”

เด็กหนุ่มกำลังจะรีบไปแต่คนเป็นพ่อก็คว้าต้นแขนไว้ “เดี๋ยวก่อน”

“ครับ”

“อะไรติดจมูกน่ะ ขอฉันดูหน่อย เหมือนจะเป็นขี้มูกเลย” ปรเมษฐ์พยายามพูดติดตลกให้อีกฝ่ายยิ้มเพราะมันเป็นแค่เศษกระดาษทิชชูเท่านั้น “หน้าตามอมแมมไปหมดแบบนี้จะเข้ากล้องได้ยังไง มานี่มาฉันเช็ดให้” แล้วดึงตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยเศษกระดาษออกอย่างเบามือ เกลี่ยเช็ดน้ำตาจนแห้งและช่วยจัดผมเผ้าให้เข้าที่

เด็กหนุ่มย่นปากทำเป็นงอน “ใช่สิ ผมมันไม่หล่อเหมือนป๊านี่”

“ถึงจะไม่เหมือนฉัน แต่ยังไงแกก็เป็นลูกฉันนะ”

คำพูดเรียบๆ หากเหมือนมีมนตร์สะกดให้นภธรณ์ไม่อาจละสายตาไปจากคนตรงหน้าได้

“ฉันเองก็ไม่ชอบใจเหมือนกันเวลาที่ต้องบอกใครต่อใครว่าแกหน้าเหมือนแม่” ปรเมษฐ์พูดต่อเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเงียบไป “แต่ถ้าไม่พูดแบบนั้นก็กลัวแกจะมีปมด้อย โดนเพื่อนล้อทั้งที่แกก็ดูดีในแบบของแกน่ะแหละ ฉันไม่เคยแคร์เรื่องที่แกเรียนไม่เก่งเหมือนฉันเพราะแกไม่ใช่ฉัน ขนาดตัวฉันเองยังแหกเหล่ามาเรียนหมอทั้งที่คนทั้งบ้านเป็นนักธุรกิจเลย แล้วฉันก็ไม่เคยเอาแกไปเปรียบเทียบกับวาหรือใครๆ ในสายตาฉันแกเป็นเด็กกินจุ ใช้เงินเก่ง ดื้อแถมยังชอบเถียง และฉันรักที่แกเป็นแบบนั้น ที่ฉันให้สัญญาว่าจะไม่ทิ้งแกไปไหน ไม่ใช่เพราะแกบอกว่าจะร้องเพลงให้ฉันฟัง ต่อให้แกร้องเพลงไม่ได้หรือเสียงห่วยแตกแค่ไหนฉันก็ไม่ทิ้งแกไปไหนหรอก ฉันให้สัญญาเพื่อจะได้แน่ใจว่าแกจะไม่ผิดคำสัญญานั้นต่างหาก”

“ทำไมวันนี้ป๊าพูดเยอะจัง” นภธรณ์พูดเขินๆ รู้สึกดีใจที่ได้รู้ว่าป๊ามองเขาเป็นคนๆ หนึ่งจริงๆ ไม่ใช่ภาพซ้อนหรือตัวแทนของแม่ และถึงจะตอกย้ำสถานะความเป็นพ่อลูก แต่มันทำให้เขาตัดสินใจได้ทันทีว่าจะทำยังไงกับความรู้สึกในใจนี้

บาปก็บาป... เขาจะไม่ตัดใจแต่ก็จะไม่ฝืน จะปล่อยให้ความรู้สึกมันเป็นไปในแบบของมัน ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง จะเปลี่ยนไปหรือมั่นคงอยู่อย่างนี้จนไม่อาจถอนตัวได้ก็ไม่เป็นไร เขาจะยืดอกยอมรับมัน ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้โดนไฟเผาทั้งเป็น แต่ถ้าที่นั่นมีผู้ชายคนนี้อยู่ด้วยเขาก็ยินดีจะมอดไหม้ไปพร้อมกับไฟนี้

“เวลามีน้อยนี่นา เมื่อกี้ก็พูดไม่ทันและอีกเดี๋ยวฉันก็ต้องรีบกลับไปทำงานแล้ว” ปรเมษฐ์ว่า “ป่านนี้โดนคุณพยาบาลประจำห้องบ่นแล้วเนี่ย”

“ไหนๆ ก็สายแล้วงั้นป๊าฟังผมสัมภาษณ์ให้จบก่อนนะ ไม่เกินสิบนาทีหรอก”

“แล้วก็จะให้ฉันแวะไปส่งที่โรงเรียนก่อนค่อยไปโรงพยาบาลด้วยใช่ไหม” ปรเมษฐ์พูดต่ออย่างรู้ทัน

“แล้วได้หรือเปล่าล่ะ”

“มาถึงขั้นนี้แล้วฉันมีสิทธิ์ปฏิเสธด้วยเหรอ”

นภธรณ์ยิ้มแก้มแทบปริ “ขอบคุณนะครับ” พูดจบก็เขย่งตัวขึ้นขโมยหอมแก้มไปฟอดใหญ่ก่อนจะออกวิ่งกลับไปห้องส่ง

ปรเมษฐ์หันไปมองเงาตัวเองในกระจก เห็นรอยลิปมันจางๆ ติดอยู่ข้างแก้มจึงใช้มือลูบออกแล้วแตะลงบนริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นนิดๆ

เขาเดินออกมาหน้าห้องน้ำและหันไปพูดกับคนที่ยังไม่ยอมไปไหนแต่แอบยืนสูบบุหรี่อยู่หลังกระถางไม้ประดับ “คุณคิดจะทำอะไรกันแน่ครับ ถึงได้เสนอตัวมาทำเพลงให้ลูกชายผมแล้วมาทำสนิทสนมแบบนี้”

“ก่อนจะถามเรื่องนั้นไม่คิดจะถามถึงเรื่องเมื่อคืนเหรอครับ” ดุริยะเดินออกจากที่ซ่อนมาเผชิญหน้า

“ถามคุณไปก็คงจะได้แต่คำโกหกน่าเบื่อ เอาไว้ผมไปถามจากนอฟเองน่าจะดีกว่า”

“เชื่อใจกันจังเลยนะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าเด็กคนนั้นจะยอมพูดความจริง” ดุริยะว่า

“ก็ยังดีกว่าเชื่อลมปากคนนอกอย่างคุณ” ปรเมษฐ์ตอกกลับ

“ตรงดี ผมชอบ” ดุริยะเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก

“จะตอบคำถามได้หรือยังครับ ว่าทำไมโปรดิวเซอร์ชื่อดังที่มีแต่คนต่อคิวมาขอร้องให้ทำเพลงอย่างคุณถึงคิดจะมาทำเพลงให้ลูกชายผม” ปรเมษฐ์ถามย้ำอีกครั้ง

“ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ” ดุริยะตอบ “แค่เด็กมันน่าเอ็นดูผมก็เลยอยากดูแล”

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นเพราะนอฟมีพ่อซึ่งก็คือผมดูแลเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”

“คุณพูดว่า ‘พ่อ’ งั้นเหรอ” ดุริยะเน้นทีละคำช้าๆ ชัดๆ

“มีปัญหาอะไรเหรอครับ” ปรเมษฐ์ถาม

“กล้าพูดนะว่าตัวเองเป็นพ่อ”

“คุณอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าอย่ามาทำเล่นลิ้นแบบนี้” ปรเมษฐ์เริ่มีความหงุดหงิดปนมาในน้ำเสียง

ดุริยะเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับเอื้อมมือมาวางลงบนบ่า “ก็บอกให้เรียกพี่ไงครับ แล้วจะเล่าให้ฟัง”

“ไม่เรียกครับ แล้วก็ไม่อยากฟัง... แล้วก็กรุณาอย่าเข้ามาใกล้ผมมากครับ ผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ลูกชายผมก็เหมือนกัน” ปรเมษฐ์บอกพร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายออก

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ชอบ” ดุริยะยังไม่ละความพยายามที่จะต่อล้อต่อเถียง “ตอบผมมาสิครับ ว่าคุณรู้ได้ยังไง”

“ก็เพราะผมเป็นพ่อของเขาและเป็นคนเลี้ยงเขามาน่ะสิ” ปรเมษฐ์ตอบหนักแน่น

“คุณตอบไม่ตรงคำถาม” ดุริยะว่า “แค่เรื่องไม่ชอบบุหรี่ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อก็รู้ได้ครับ ที่ผมอยากรู้น่ะ คือมันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเหรอ คุณถึงได้รู้”

“แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมต้องเล่าให้คุณฟัง” ปรเมษฐ์ตอบเสียงห้วนเป็นการตัดบทแล้วเดินจากไป

ดุริยะหัวเราะขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนจะเอนหลังพิงกำแพงแล้วสูบอัดควันบุหรี่เข้าเต็มปอดจนปลายมวนเป็นประกายลุกวาบ ก่อนจะขยี้มันทิ้งลงในที่เขี่ยบุหรี่แล้วจึงเดินกลับไปยังห้องส่ง

หลังจากดุริยะคล้อยหลังไป ชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงมุมตึก

ผู้ชายคนนี้คือ ‘กรรณ’ นักข่าวเจ้าของคอลัมน์ซุบซิบกระจิบข่าวของหนังสือพิมพ์บันเทิงที่ขึ้นชื่อเรื่องเล่นข่าวฉาวของดารานักร้อง ภาพหลุดที่นภธรณ์เดินออกมาจากคอนโดของดุริยะเมื่อคราวก่อนก็เป็นฝีมือเขานี่แหละ

“ไม่คิดเลยว่าจะได้อะไรเด็ดๆ” นักข่าวกระซิบกับตัวเองก่อนจะกำชับสายกล้องที่คล้องคออยู่แล้วเดินจากไป
 
(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 8 P.4 [15/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 28-04-2017 02:33:57
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

หลังกลับจากโรงเรียนอาบน้ำใส่ชุดนอนเรียบร้อยเด็กหนุ่มก็ปักหลักนอนรอบนโซฟาจนกระทั่งเวลาเกือบสี่ทุ่มประตูห้องก็เปิดออก

“ป๊า~”

ปรเมษฐ์เพียงเหลือบตามองแล้วถอดรองเท้าเก็บใส่ชั้น ทำเป็นไม่สนใจคนที่ลุกพรวดขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งตรงเข้ามาหา “เรียกเสียงหวานแบบนี้จะอ้อนเอาอะไรล่ะ”

นภธรณ์แบสองมือออกตรงหน้า “รางวัล”

คนเป็นพ่อหัวเราะหึ ถ้าซื้อหวยแล้วถูกแบบนี้ป่านนี้เขาคงเป็นอภิมหาเศรษฐีไปแล้ว

หลังจากถ่ายรายการเสร็จเมื่อเช้าตอนนั่งรถไปส่งที่โรงเรียนเด็กหนุ่มก็มาขอท้าพนันว่ายอดวิว MV ใหม่จะพุ่งเกินแสนวิวภายในวันเดียวไหม ผลปรากฏว่ายอดวิวไหลไปอย่างอย่างรวดเร็วและแตะเลขจำนวนนั้นก่อนเที่ยงวันเสียอีก

“อยากได้อะไร” ปรเมษฐ์ถาม

“สัญญาก่อนว่าจะให้ แล้วผมจะบอก” นภธรณ์ตอบพ่อ

“มีงี้ด้วย” ปรเมษฐ์ย่นคิ้ว แต่ถึงจะขออะไรเขาก็คงตามใจอยู่ดีจึงรับปาก “ก็ได้ ว่ามาสิ”

“ผมขอกลับไปนอนกับป๊านะ” นภธรณ์เอ่ยคำขอของตนออกมา

“แต่เรื่องนั้นเราคุย...”  ปรเมษฐ์ไม่ทันได้พูดจบประโยค ลูกชายตัวดีของเขาก็เอ่ยตัดบท

“ไม่รู้ล่ะ ป๊าสัญญาแล้ว”

“นอฟ!” ปรเมษฐ์เรียกเสียงดังแต่ก็ไม่ทันเจ้าลูกลิงที่หอบเอาหมอนกับผ้าห่มวิ่งฉิวเข้าห้องนอนใหญ่ไปเรียบร้อย

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินตามเข้าไป ตั้งใจว่าจะซ้อนแผนด้วยการเป็นฝ่ายหนีไปนอนอีกห้องเสียเอง ทว่า ลูกชายตัวดีกลับไม่ได้อยู่บนเตียง

ตาคมกวาดมองไปรอบห้อง แล้วปรเมษฐ์ก็เห็นก้อนอะไรกลมๆ ขดอยู่บนพื้นข้างเตียง

“นอฟ”

เด็กหนุ่มเปิดผ้าห่มออกมายิ้มเผล่ให้ “ถ้านอนแยกเตียงก็คงไม่กวนป๊าเนอะ ท่านประธานเพิ่งให้โบนัสมาเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปซื้อเตียงเล็กมาตั้งตรงนี้นะ แต่วันนี้ไม่ทันแล้วก็นอนแบบนี้ไปก่อนละกัน”

“งั้นวันนี้ก็ไปนอนห้องนู้นก่อนสิ ได้เตียงใหม่มาแล้วค่อยมานอนด้วยกัน” ที่ปรเมษฐ์พูดแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ลูกชายต้องนอนที่พื้น

“ของขวัญของผม” นภธรณ์พูดเสียงอ่อย “ป๊าสัญญาแล้วว่าจะให้” แล้วมุดหนีเข้าโปงผ้าไป

“นอฟ”

“ฝันดีนะครับ” นภธรณ์ส่งเสียงออกมาจากโปงผ้า

“นอฟ” ปรเมษฐ์พยายามเรียกจนอ่อนใจแต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ จึงคว้าผ้าขนหนูและไปอาบน้ำ

ทันทีที่เสียงฝักบัวดัง เด็กหนุ่มก็ลดชายผ้าห่มลงมาถึงแค่ตาเพื่อดูให้แน่ใจว่าป๊าหายไปไหนก่อนจะดึงผ้าขึ้นคลุมศีรษะอีกครั้ง ดีใจที่แผนตื๊อครั้งนี้สำเร็จโดยไม่โดนหิ้วคอออกไปโยนไว้ห้องโน้น แต่อีกใจก็อดน้อยใจลึกๆ ไม่ได้ว่าป๊าไม่สนใจเขาเลย

เสียงประตูเปิดออกอีกครั้ง นภธรณ์จึงนอนนิ่งแกล้งทำเป็นหลับไปแล้ว

“ยังไม่ลุกอีกเหรอ ดื้อจริงๆ เลยนะเรา” ปรเมษฐ์พูดกับกองผ้าที่พื้น

“...”

“นอฟ”

“...”

“นอฟ”

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ทนไม่ไหวจึงตะโกนตอบออกไปจากในผ้าห่ม “ป๊าไม่ต้องเรียกแล้วยังไงผมก็ไม่ลุกหรอก”

“ก็ตามใจนะ ถ้าเห็นพื้นเย็นๆ นั่นดีกว่าเตียงอุ่นๆ...” ปรเมษฐ์เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ก็เรื่องของผม” นภธรณ์สวนกลับโดยยังไม่ทันฟังให้จบ

“ข้างๆ ฉัน”

คำพูดสุดท้ายของป๊าเรียกให้เด็กหนุ่มเปิดผ้าห่มออกแล้วหันไปมองได้ในที่สุด

ปรเมษฐ์นอนตะแคงหันหลังให้อยู่บนเตียง มือข้างหนึ่งจับชายผ้าห่มยกสูงขึ้น และนั่นเป็นคำเชิญชวนที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นจากพื้นและพุ่งเข้าใส่ผ้าห่มโดยไม่สนใจจะคว้าหมอนไปด้วยเพราะตัดสินใจแล้วว่าจะไปหาเอาดาบหน้า

หมอนแข็งๆ แต่แสนอุ่นของเขา

ปรเมษฐ์หัวเราะลงคอด้วยความเอ็นดูเจ้าลูกชายตัวดีที่มุดเข้าโปงผ้ามานอนเกาะแขน ไม่อยากจะบอกว่าตัวเขาเองใจอ่อนตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ยิ่งวันนี้เห็นมาทำหงอยนอนขดอยู่บนพื้นยิ่งอยากจับอุ้มโยนขึ้นเตียงถ้าไม่ติดว่ากลัวลูกชายจะได้ใจไปกันใหญ่

“อยากได้อะไรอีกไหม”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองตาเป็นประกายทันทีพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะวาดแขนข้ามตัวป๊าดึงให้นอนหงายเต็มที่แล้วเขยิบตัวขึ้นเอาศีรษะหนุนบนหน้าอก

“ได้ทีล่ะเอาใหญ่เชียวนะ” ปรเมษฐ์บ่นคนที่ทำยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความหมั่นไส้ พลางยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีน้ำตาลแดงนุ่มมือที่คลอเคลียอยู่บนหน้าอก “ตฤณเล่าให้ฟังว่าหมู่นี้แกไปทำงานเหมือนคนไม่ได้นอน... แล้วกลางคืนมัวทำอะไรอยู่ เล่นเกม?”

“ถ้าป๊าอยากรู้ก็มานอนด้วยกันสิ”

“ตกลงเล่นเกมจริงๆ ใช่ไหม”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ใครว่าล่ะ ผมนอนไม่หลับต่างหาก... เพราะว่าป๊าไม่อยู่ด้วย”

“ไม่แปลกใจ” ปรเมษฐ์ว่า “แกก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มีครั้งหนึ่งที่แกไม่สบาย มีไข้สูง หนาวสั่นเอาแต่เพ้อเรียกฉันทั้งคืน ถ้าฉันไม่อุ้มมากอดไว้แนบอกแบบนี้ก็จะนอนไม่หลับ และถึงหลับไปแล้วก็ยังจับเสื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย พอแกะมือออกก็ร้องไห้จ้าต้องมาปลอบกันอีก”

“ผมไม่เห็นจำได้เลย” นภธรณ์บอก

“ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ”

นภธรณ์หลับตาลง รู้สึกถึงหน้าอกของป๊าที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เขาเงียบไปหลายนาทีก่อนจะบอกเล่าความทรงจำในส่วนที่อีกฝ่ายไม่ยอมพูดถึง “ตอนนั้นผมสามขวบ ป๊าเรียนหมอปีสุดท้าย แล้วก็เป็นวันสอบปลายภาคพอดี ป๊ายอมขาดสอบแล้วไปสอบซ่อมตามหลังก็เลยพลาดเกียรตินิยมไปอย่างน่าเสียดาย”

ปรเมษฐ์ขมวดคิ้ว “โมเล่าให้ฟังเหรอ”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ขอโทษนะป๊า ไม่งั้นป่านนี้ป๊าคงได้เป็นอาจารย์แพทย์ไปแล้ว”

“ขอโทษทำไม ฉันไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย” ปรเมษฐ์บอก “แล้วแกก็เป็นลูกฉัน ฉันจะปล่อยให้พี่เลี้ยงของปู่แกหรือคนอื่นมากอดมาปลอบแกแทนได้ยังไงล่ะ”

“เพราะงั้น ทั้งหมดนี่ก็เป็นความผิดป๊าน่ะแหละที่เลี้ยงผมมาจนเคยตัวแบบนี้”

ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอ โดนย้อนด้วยคำนี้เขาจะเถียงอะไรได้ล่ะ “รู้แล้วครับ คุณลูกชายบังเกิดเกล้า แต่นอนแบบนี้ฉันหายใจไม่ออกน่ะสิ แกไม่ได้ตัวเล็กๆ หนักแค่ไม่กี่กิโลฯ เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ”

นภธรณ์ผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อย กำลังคิดว่าจะขยับยังไงดีวงแขนแกร่งก็โอบรัดรอบแผ่นหลังแล้วจับพลิกรวดเร็วลงมานอนอยู่บนเตียงทั้งที่ยังกอดไว้แนบอก ตอนนี้เขาจึงเปลี่ยนมาหนุนท่อนแขนไว้แทนและถูกห่อจนมิดด้วยตัวของอีกฝ่าย

“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” ปรเมษฐ์พึมพำพร้อมกับวางใบหน้าซ้อนลงมาบนศีรษะของเขา
ปลายจมูกที่คลอเคลียอยู่ตรงหน้าทำให้เขารู้สึกเหมือนใช้ลมหายใจเดียวกับป๊า และเพียงแค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเขาก็จะขโมยไอร้อนจากริมฝีปากหยักลึกนั้นได้แล้ว

แต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่เท่ากับการที่ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนโดนเอาหัวใจไปผูกติดกับหัวใจอีกดวงที่เต้นตุบๆ อยู่หลังอกกว้างแล้วชักนำให้เต้นไปตามจังหวะที่ผู้ชายคนนี้ต้องการ

“เมื่อคืน...”

นภธรณ์เหลือบตาขึ้นมองเจ้าของประโยคที่ไม่ยอมพูดให้จบ “ครับ?”

“ที่ไปนอนบ้านหมอนั่น ไม่โดนทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม”

“อะไรล่ะครับที่แปลก กอด? จูบ? หรือว่า...”

“อย่ายั่วให้โมโหน่า ฉันรู้ว่าแกเข้าใจ”

เด็กหนุ่มอมยิ้ม “เปล่าครับ แค่นอนด้วยกันเฉยๆ ตื่นเช้ามาพี่ยะก็พามาส่งที่บริษัทเลยไม่ทันได้อาบน้ำด้วยซ้ำ เพราะพี่ตฤณจัดชุดสำหรับออกรายการกับนัดช่างแต่งหน้าทำผมมารอแล้ว”

“นอนเฉยๆ แน่นะ”

“แค่นี้จริงๆ ครับ” ด้วยความอยากรู้ว่าป๊าจะมีปฏิกิริยายังไง เขาจึงแกล้งพูดต่อท้าย “แต่ครั้งหน้าก็ไม่แน่ครับ”

นภธรณ์ได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ คล้ายคำว่า “มันจะไม่มีครั้งที่สอง” พยายามจะหันไปถามซ้ำแต่ก็โดนตัดบทเสียก่อน

“นอนเถอะ ฉันง่วงแล้ว”

“แต่ผมยังไม่ง่วงนี่นา”

“อย่าดื้อสิ”

“ไม่ดื้อแล้วก็ได้” นภธรณ์แกล้งทำเป็นขยับศีรษะจนในที่สุดก็ไปชนกับริมฝีปากนั้นที่กลางหน้าผาก เขายิ้มเขินกับตัวเองที่หาเศษหาเลยกับอะไรเล็กน้อยแบบนี้ทั้งที่มากกว่านี้ก็เคยทำมาแล้วแท้ๆ

ใบหน้าของเด็กหนุ่มร้อนผ่าว เขาซุกหน้าแน่นกับแผ่นอกกว้าง และทั้งที่คิดว่านี่คงเป็นอีกคืนที่หลับไม่ลง แต่เขากลับหลับสนิทในช่วงเวลาอันสั้น

วันนี้เขาได้รู้อีกอย่าง ว่าเสียงหัวใจที่เต้นอยู่หลังอกกว้างนี้ไพเราะยิ่งกว่าเสียงจากเครื่องดนตรีใด และท่ามกลางท่วงทำนองที่สม่ำเสมอนั้นก็มีเสียงหนึ่งซ่อนอยู่ เป็นเสียงที่เขาต้องเก็บซ่อนไว้ในใจชั่วชีวิต
เสียงที่กำลังร้องบอกว่า ‘รัก’
.
.
.
.
.
ครืด... ครืด...

เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงทำให้ปรเมษฐ์รีบยื่นมือออกไปกดรับ “ว่าไงโม มีอะไรถึงโทรมาป่านนี้”

“นายพนันยอดวิวกับนอฟไว้ที่เท่าไหร่นะ นี่ฉันช่วยเปิดยูทูบปั่นยอดวิวจนจะละเมอว่าตัวเองเป็นนักร้องเองแล้วนะ”

ปรเมษฐ์เหลือบตาลงมองเด็กหนุ่มให้แน่ใจว่าหลับอยู่จึงตอบไป “ล้านนึง”

“ไอ้บ้า! พนันอะไรเยอะแยะวะ แล้วแบบนี้พวกแกสองคนจะได้คืนดีกันไหมเนี่ย”

เขาลูบมือใหญ่ไปบนเรือนผมที่นอนอยู่แขนอย่างเอ็นดูเรื่อยลงไปจนถึงแผ่นหลัง “อย่าบ่นน่าโม ไหนว่าลูกฉันก็เหมือนลูกนายไง”

“ไอ้โป้! ไอ้เพื่อนบ้า” เอกรงค์ส่งเสียงโวยวายออกมาจากโทรศัพท์

“ขอบคุณนะครับคุณพ่อน้องนอฟ ถึงล้านวิวเมื่อไหร่กระผมจะสมนาคุณให้อย่างงามเลย” ปรเมษฐ์รีบกดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์วางไว้ที่เดิม เด็กหนุ่มในอ้อมแขนขยับตัวเล็กน้อยพร้อมกับย่นคิ้วคล้ายกับรู้ตัวว่ากำลังโดนนินทา

เขารีบกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นพร้อมกดริมฝีปากลงกลางระหว่างคิ้วคลายปมที่ยับย่น ก่อนจะตรวจดูให้แน่ใจว่าผ้าห่มมิดชิดดีจึงหลับตานอนต่อ

พนันบาทเอาร้อยเลยว่าถึงล้านวิวเมื่อไหร่เจ้าตัวดีต้องมาแบมือขอของรางวัลอีกแน่ๆ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่เขาต้องคิดนี่นาว่าจะให้อะไร เพราะไม่ว่าลูกชายจะขออะไรเขาก็พร้อมจะตามใจอยู่แล้ว... เพราะเด็กคนนี้ เป็นลูกชายคนเดียวที่เขารักมากที่สุด และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป

*************************************TBC****************************************************
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 28-04-2017 05:10:41
55555 คุณพ่อทำแบบนี้นี่เอง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 28-04-2017 06:47:07
ชอบนอฟมากกก ที่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง ส่วนอิพี่ยะ แกมีเงื่อนงำช่ายม๊ายย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 28-04-2017 08:05:03
คิดถึงเวลาตัวเองปั่นยอดวิวให้วงที่ติ่ง ปั่นทั้งวันทั้งคืนจนได้ยินเสียงก็หลอน 5555. คุณหมอโมเราเข้าใจกัน
 จูงมือสองพ่อลูกโดดลงสู่อเวจีชมพูกันเถอะ
กลิ่นบาปหอมหวนขึ้นทุกทีๆ นอฟรู้ตัวล่ะ และยินดีที่จะรักต่อแม้จะบาป แล้วหมอโป้ล่ะ (รักก่อนอีกรักแรกพบด้วย)

 เย้ ดีกันแล้ว ไม่งอนกันอีกแล้วนะ พอกันทั้งพ่อทั้งลูก คืออยากคืนดีกันใจแทบขาด ขาดจากกันกันไม่ได้ร้อก ทั้งรักทั้งผูกพันธ์กันขนาดนี้ ล่ะดูเหมือนดุริยะจะรู้อะไรดีๆ ย้ำล่ะเกินว่า แน่ใจหรอว่า หมอโป้คือพ่อจริงรึเปล่า? อีพี่ยะ รู้เหมือนที่พวกเรารู้ใช่ไหมว่า สองพ่อลูกนี้มีความรู้สึกที่มากกว่านั้น
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 28-04-2017 08:35:27
อยากจะลุ้นว่า "ความจริงแล้ว นอฟเป็นลูกดุริยะที่มีคนรู้ความลับนี้แค่แม่นอฟกับดุริยะเท่านั้น" ฮอลลลลลล ดันๆๆๆๆๆๆๆ คุณพ่อกับนอฟเคมีคู่แรงมากกกก อยากให้เป็นบาปแต่ที่สุดแล้วมันจะไม่เป็นบาป อีกต่อไป ฟิลาเลลลลลลล่
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-05-2017 02:55:44
Chapter 10

“แหวะ! เหม็นจัง” เด็กชายในชุดนอนลายการ์ตูนย่นปากพร้อมกับยกสองมือเล็กปัดไปมาตรงหน้าเพื่อไล่กลิ่นชวนคลื่นไส้นั้น “ป๊าไปบ้วนปากแปรงฟันเดี๋ยวนี้เลยนะ”

คนโดนบ่นเดินหายเข้าไปในห้องน้ำสักพักร่างสูงใหญ่ก็เดินกลับมาออกมาพลางใช้มือปิดปากเป่าทดสอบลมหายใจหอมสดชื่นอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างเด็กชายที่กอดอกหน้าตูมอยู่ “เลิกทำหน้าบูดได้แล้วครับคนเก่ง ป๊าแปรงฟันตั้งสามรอบเลยนะ”

“ไหน มาพิสูจน์ก่อน”

“โอเคหรือยังครับ” ชายหนุ่มถามคนที่วางมาดราวกับเป็นกรรมการตรวจสอบคุณภาพกลิ่นปากของเขา หลังจากที่เอาจมูกมาดุนๆ ข้างแก้มแล้วแตะริมฝีปากจุ๊บไปเบาๆ เพิ่งจะเข้าประถมแท้ๆ แต่เรื่องลีลาท่าทางนี่ช่างก๋ากั่นเกินวัยจริงๆ สงสัยเขาคงปล่อยให้ดูทีวีมากเกินไป

“อือ” เด็กชายส่งเสียงงึมงัม “ป๊าเลิกบุหรี่ได้แล้วนะ คุณครูบอกว่าสูบบุหรี่ทำให้ตายไว ป๊าไม่อยากอยู่กับผมนานๆ เหรอ”

“ก็อยากครับ แต่ป๊าสูบมานานแล้วนะครับจะให้เลิกในวันสองวันคงทำไม่ได้หรอก นี่ก็ลดไปตั้งเยอะแล้ว ขอเวลาป๊านิดหนึ่งนะครับคนเก่ง”

เด็กชายทำหน้ายู่ “ก็ผมไม่ชอบนี่นา ป๊าไม่รักผมแล้วเหรอ” พูดจบก็มุดตัวหนีเข้าโปงผ้าไป ทิ้งให้คนฟังยังจมอยู่ถ้อยคำตัดพ้อเบาๆ ทว่ามีอนุภาพร้ายแรงต่อหัวใจ

ปรเมษฐ์หันไปมองซองบุหรี่ที่โผล่พ้นกระเป๋าเสื้อเชิ้ตซึ่งแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วหันกลับมามองโปงผ้าข้างกายอีกครั้งก่อนจะลุกออกจากเตียงไปหยิบซองบุหรี่ออกมาโยนทิ้งลงถังขยะแล้วกลับมาขึ้นเตียง และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มือของเขาได้สัมผัสแท่งนิโคติน


แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ที่ทอลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาสะกิดให้เด็กหนุ่มค่อยเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ ทว่าท่อนแขนแกร่งที่โอบหลวมๆ อยู่รอบเอวกับอกกว้างที่อิงแอบอยู่นั้นอุ่นจนทำให้ไม่อยากลุกไปไหน นัยน์ตากลมเหลือบขึ้นมองเจ้าของอ้อมแขนซึ่งยังคงหลับสนิท เมื่อคืนเขาฝันถึงเรื่องในตอนเด็ก เป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีๆ ที่ไม่รู้ไปหลงลืมไว้ตอนไหนจนเผลอคิดน้อยใจป๊าไปเสียได้ว่าเลิกบุหรี่เพราะแม่ ในเมื่อเราก็มีกันอยู่แค่สองคนแท้ๆ

เด็กหนุ่มจ้องมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนจะเขยิบเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิดแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นจิ้มเบาๆ ที่ข้างแก้ม “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ทำเพื่อผม”

“บ่นอะไรอยู่คนเดียว หืม”

เปลือกตาที่เปิดพรึ่บขึ้นสบตาโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนมาก่อนทำเอานภธรณ์ตกใจลุกขึ้นนั่ง พอตั้งสติได้จึงหาเรื่องกลบเกลื่อน “บ่นป๊าน่ะแหละ ไหนว่ามีผมอยู่ด้วยแล้วนอนไม่หลับไง ก็เห็นหลับสนิทดีนี่นา แบบนี้ผมไม่ต้องไปซื้อเตียงใหม่แล้วก็ได้มั้ง”

“อืม”

“ล้อเล่นน่า ผมบอกว่าซื้อก็ซื้อสิ ป๊าลุกเร็วไปห้างกันเถอะ”

“จะรีบไปไหนกัน เพิ่งจะแปดโมง ห้างเปิดตั้งสิบโมงไม่ใช่เหรอ นอนต่ออีกหน่อยสิ” ปรเมษฐ์บอกพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหน้าเตรียมจะนอนต่อ

หัวใจเจ้ากรรมเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยกับอาการเกียจคร้านเหมือนเด็กๆ ของป๊าที่นานทีจะได้เห็น เขากระโดดขึ้นคร่อมแล้วเขย่าปลุก “ป๊า! ตื่นได้แล้ว ป๊า~”

“นอฟ ไม่เอา ไม่เล่นน่า ฉันหนักนะ”

“ป๊าก็ตื่นดิ”

“เออ รู้แล้วๆ จะไปรีบไปไหนเนี่ย” ปรเมษฐ์บ่นเสียงดังพร้อมกับลุกพรวดขึ้นทำให้คนที่นั่งคร่อมอยู่เสียหลักหงายหลังจนต้องรีบคว้าคออีกฝ่ายไว้แน่น

“ก็... ก็...” นภธรณ์หายใจขัดด้วยสภาพตอนนี้คือร่วงลงมานั่งคร่อมอยู่บนตัก สองแขนคล้องรอบคอทำให้อกชิดอกและใบหน้าก็ห่างกันแค่คืบ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเด็กหนุ่มคงไม่คิดอะไร แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ใจมันคิดอกุศลจนเลยเถิดไปไกล เพียงแค่ดวงตาปรือที่ยังไม่ตื่นดีมองสบมาก็ทำเอาใจสั่นรีบกลั้นหายใจเอาไว้แทบไม่ทันด้วยกลัวว่าจังหวะการหายใจที่เปลี่ยนไปจะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“ก็... ก็... ก็จะรีบไปซื้อเตียงให้เสร็จๆ... แล้วก็จะได้ให้เขาเอามาส่ง... แล้วผมจะได้ขนของจากห้องโน้นกลับมานอนกับป๊าเร็วๆ ไง”

“เหรอ” ปรเมษฐ์ตอบ “แต่ว่าก่อนอื่น...”

“อะไรครับ” นภธรณ์กลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงคอเมื่อริมฝีปากอุ่นขยับเข้าใกล้ อยากจะทำมอร์นิ่งคิสก็อยาก แต่หน้ายังไม่ได้ล้าง ฟันก็ยังไม่ได้แปรง แต่ถ้าปฏิเสธตอนนี้ต้องโดนสงสัยแน่ๆ แล้วที่สำคัญคือ... อดน่ะสิ! เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน

เด็กหนุ่มหลับตาแน่นเตรียมรับสัมผัส แต่แล้วความอบอุ่นอ่อนโยนที่คาดหวังกลับถูกแทนที่ด้วยอะไรที่หนักหน่วงกว่านั้น

โครม!

“ลงไปจากตัวฉันสักทีเจ้าลูกควาย ขาฉันเป็นตะคริวหมดแล้วเนี่ย!”

เด็กหนุ่มโดนดีดลงมานอนเอ้งเม้งอยู่ข้างเตียง อึดใจต่อมาเขาก็เห็นท่อนขาแข็งแรงก้าวลงบนพื้นและเดินไปทางห้องน้ำ

“ตกลงจะให้ผมเป็นลิงหรือควาย แต่ที่แน่ๆ ถ้าผมเป็นลูกควาย ป๊าก็เป็นพ่อควายเหมือนกันน่ะแหละ” นภธรณ์ตะโกนไล่หลัง

“ไม่เป็น! วันนี้ฉันขอลาพักร้อนจากการเป็นพ่อแกหนึ่งวัน ไอ้เด็กดื้อ!”

“ป๊าอะ!” นภธรณ์ตะโกนแก้เขินก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าที่แดงเป็นลูกตำลึงสุกแล้วกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น

...ลาพักรงพักร้อนอะไรเล่า ลาออกไปเลยก็ได้นะ ผมอนุญาต... แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พลาดไปได้ไง ชิ! คอยดูนะคืนนี้ถ้าไม่ได้กู๊ดไนท์คิสเขาจะไม่ยอมเข้านอนเด็ดขาด!

เด็กหนุ่มตั้งปณิธานแน่วแน่พร้อมกับทุบกำปั้นลงบนพื้นก่อนจะเหลือบมองไปยังเป้าหมายซึ่งอยู่หลังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท พลันนัยน์ตากลมเป็นประกายวาววับเจ้าเล่ห์ขึ้นทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าป๊าปกติไม่ล็อกประตูห้องน้ำ

นภธรณ์ลุกพรวดขึ้นจากพื้นคว้าผ้าขนหนูแล้วออกวิ่งสี่คูณร้อยไปยังประตูห้องน้ำพร้อมกับถอดเสื้อผ้าไปด้วย “ป๊า~ ผมขออาบน้ำด้วยคนน้า~”

oooooo

สองพ่อลูกเดินคู่กันไปในโซนเครื่องนอนของศูนย์การค้าใหญ่แถวสยามซึ่งมีเตียงหลายแบบตั้งแต่แบบเดี่ยวธรรมดาสำหรับคนโสดไปจนเตียงฮันนีมูนมีหลังคาระบายลูกไม้สุดโรแมนติกให้เลือกตามความต้องการใช้สอย แต่หลังจากเดินวนอยู่หลายรอบนภธรณ์ก็ยังไม่ได้เตียงหลังที่ถูกใจ

อันที่จริงเด็กหนุ่มไม่ได้เรื่องมากอะไรหรอกเพียงแต่อยากยืดเวลาเรียบง่ายที่จะได้อยู่ด้วยกันเท่านั้น จะมีสักกี่ครั้งกันเชียวที่เขาจะได้เดินเกาะแขนป๊ามาช็อปปิ้งสบายๆ แบบนี้

“ป๊า มาช่วยเลือกหน่อยสิ แบบนี้จะใหญ่ไปไหม อ้าว...” นภธรณ์หันไปแล้วก็พบว่าคนที่มาด้วยกันหายไปเสียแล้ว เขาเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นป๊ากำลังถูกรุมล้อมด้วยพนักงานสาวๆ ของห้างสามคน

เด็กหนุ่มกอดอกด้วยความหงุดหงิด เมื่อเช้าพลาดทั้งจูบแถมยังโดนป๊าเตะโด่งออกมาจากห้องน้ำ แล้วนี่เขายังต้องมาทนเห็นภาพบาดตาบาดใจที่ป๊าโดนสาวๆ จีบอีกเหรอ

“นี่คุณพ่อของน้องที่เป็นนักร้องใช่ไหมคะ”

“ใน MV ว่าหล่อแล้วตัวจริงหล่อกว่าอีกขอลายเซ็นได้ไหมคะ”

“ขอโทษนะครับ ผมเซ็นไม่เป็น”

“ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ”

“เห็นทีจะไม่สะดวกน่ะครับ”

“งั้นจับมือก็ได้ค่ะ นะคะ นะ นะ นิดเดียวเอง”

นภธรณ์หน้ามุ่ย เขาเป็นนักร้องแท้ๆ นี่เดินทำหน้าหล่อตั้งแต่ชั้นใต้ดินจนจะถึงดาดฟ้ายังไม่มีแมวมาทักสักตัว ได้ข่าวว่าป๊าเป็นพ่อแล้วไหงถึงมีแต่สาวๆ มารุมล้อมได้ละเนี่ย อ้อ! ลืมไปตอนนี้เป็นพระเอก MV ด้วย

“ป๊า” เขาส่งเสียงเรียกออกไปอีกครั้ง

“ขอโทษนะครับ ผมขอตัวก่อน” ปรเมษฐ์ค้อมศีรษะให้พวกเธอที่ในที่สุดยอมปล่อยตัวมาอย่างแสนเสียดาย

“ชิ!” นภธรณ์ย่นปากพร้อมกับเป่าลมเข้าแก้ม

“เป็นอะไร”

“เป็นลูกที่ถูกป๊าที่ดังแล้วทอดทิ้งไง” เขาใส่ทำนองร้องเป็นเพลง

“งอนหรือไง”

“บู้!” นภธรณ์แลบลิ้นใส่ก่อนจะทำเป็นกอดอกหันหน้าหนีไปอีกทาง

ในตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจับจ้อง เขาเหลียวมองกลุ่มหญิงสาวอีกครั้ง นอกจากพวกเธอจะไม่กรี๊ดกร๊าดเขาซึ่งเป็นนักร้องแล้วยังไม่ยอมสบตาตรงๆ

...เอ๊ะ! หรือว่าจะเขิน แต่ก็ปกติก็เห็นแห่กันเข้ามาแบบไม่เกรงอกเกรงใจนี่นา…

ระหว่างที่เขาคิดในใจนั้นพวกเธอก็ค่อยกระจายตัวออกจากกัน ทำเป็นจัดข้าวของในชั้นหรือไม่ก็หยิบใบปลิวโฆษณาขึ้นมาอ่านทั้งที่มันเป็นภาษาจีนแถมยังอ่านกลับหัวอีกต่างหาก

เด็กหนุ่มย่นคิ้วกับความมีพิรุธนั่น เขาหันมองไปรอบๆ ตัว รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ คล้ายกับมีอะไรไม่ชอบมาพากล เขายังคงครุ่นคิดหาคำตอบไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอะไรบางอย่างถูกยื่นมาตรงหน้า เขาหลุบตาลงมองชูปาจุ๊บรสสตรอว์เบอร์รี่สีชมพูสวยก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองคนที่เอามันมาง้อขอคืนดี

“เลิกงอนได้แล้วน่า”

“ไม่!” เด็กหนุ่มทำเป็นเชิดหน้าหนีใส่ของหวานสุดโปรด
   
“ไม่กินก็ตามใจ งั้นฉันกินเองนะ”
   
“ป๊าอะ!” นภธรณ์ร้องเสียงหลง “อะไรกัน ง้อแค่เนี้ย”

ปรเมษฐ์เหลือบมองด้วยหางตา “แค่นี้แหละ ตกลงจะกินไหม”

“กินครับ”
   
“เอ้า! อ้ำ”

เด็กหนุ่มอ้าปากรอ แต่ในเสี้ยววินาทีที่ขนมกำลังจะเข้าปากปรเมษฐ์กลับดึงคืนไปเสียเฉยๆ แกล้งให้เขาคอยเก้อ

ผู้เป็นพ่อหัวเราะในลำคอใส่ลูกชายที่ทำหน้ามุ่ยก่อนจะยื่นมาให้ใหม่

นภธรณ์ยื่นหน้าเข้าไปหาอีกครั้งแต่ก็อมมาได้แค่ลม อมยิ้มสีสวยยังคงลอยนวลอยู่ในมือปรเมษฐ์ที่ตอนนี้กลั้นหัวเราะจนตัวสั่น

“ป๊า!”
   
“ฮ่า ฮ่า ล้อเล่นน่าๆ อะ อ้าม~”

นภธรณ์ทำหน้าบูด เขาเหลือบตามองอย่างไม่ไว้ใจและไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ อีกเป็นครั้งที่ 3

“กินหน่อยน่า ฉันไม่แกล้งแล้ว” ปรเมษฐ์ใช้อมยิ้มเขี่ยเบาๆ ที่มุมปากอยู่สองสามครั้งคนงอนจึงหันมางับอมยิ้มเข้าปากเอามาดูดแจ๊บๆ

“หายงอนหรือยัง”

“นิดนึง” รสของขนมว่าหวานแล้ว แต่เทียบกันไม่ได้เลยกับรอยยิ้มของคนอายุมากกว่าที่กำลังมองมา แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาใจอ่อนได้ยังไง

“หายงอนนิดนึงนี่เป็นยังไง”

“ก็แค่นี้ไง” นภธรณ์ตอบพร้อมกับเอานิ้วโป้งไขว้กับนิ้วชี้เป็นสัญลักษณ์มินิฮาร์ทให้ปรเมษฐ์ที่ทำหน้านิ่งใส่ก่อนจะแกล้งดึงก้านอมยิ้มออกจากปากให้ลูกชายตามมางับคืนไปอีกครั้ง

ในขณะที่สองพ่อลูกกำลังงอนง้อเล่นกันอยู่นั้นเอง พนักงานสาวกลุ่มเดิมก็ค่อยๆ ย่องกลับมารวมตัวกันอีกครั้งพร้อมทั้งป้องปากกระซิบกระซาบ

“ควงกันมาสองคนกะหนุงกะหนิง หรือข่าวมันจะจริงวะแก เฮ้ย! พวกแกดูสิ มีเพลย์อมยิ้มด้วย เล่นอะไรกันก็ไม่รู้กลางวันแสกๆ” พนักงานสาวคนแรกพูด

“ไอ้ทะลึ่ง! ทีแรกฉันก็ไม่คิดอะไร พอแกพูดเท่านั้นล่ะ ฉันก็คิดดีกับอมยิ้มไม่ได้เลยว่ะ” พนักงานสาวคนทีสองจีบปากจีบคอว่า “ทีแรกก็คิดว่าโปรโมทตามคอนเซปต์เพลง เห็นกับตาแบบนี้ไม่น่าพลาดว่ะ ได้ข่าวว่าโปรดิวเซอร์เป็นคุณยะด้วยหรือเขาจะไปรู้เห็นอะไรมาจนได้เพลงใหม่นะ”

“นั่นสิ แกเห็นสายตาเมื่อกี้ป่ะ มีค้อนใส่ฉันด้วยนะเว้ย” พนักงานสาวคนที่สามรีบสาดสีตีไข่ใส่

“ว้าย ตายแล้ว” อีกสองคนหันมายกมือทาบอกพร้อมกัน

“พ่อกับลูกเหรอ”

“มันจะเกินไปไหม มันจะจริงเหรอแก”

“อยากรู้ว่าจริงไหมแกก็ถามสิยะ”

“เรื่องอะไรยะ! ถามไปได้โดนเขาหาว่าสอดรู้น่ะสิ ถ่ายรูปดีกว่า นี่ๆ เอากล้องหลังสิบสามล้านพิกเซลของแกขึ้นมาถ่ายสิ”

“จะถ่ายทำไมภาพนิ่ง มือสั่นเดี๋ยวภาพเบลอ คลิปสิ ถ่ายคลิปน่ะรู้จักไหม” เธอบอกพร้อมกับจิ้มนิ้วลงบนหน้าสัมผัสของโทรศัพท์ในมือเพื่อนเพื่อเปลี่ยนโหมดเป็นวิดีโอแล้วซูมเข้าไป ก่อนที่ทั้งสามสาวจะสุมหัวกันเข้ามุงเพื่อดูรูปให้ชัดๆ

นภธรณ์ยังคงเดินดูเครื่องนอนกับปรเมษฐ์อย่างสบายใจไปอีกหลายนาทีโดยไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบ้างในโลกออนไลน์ จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์จากบริษัทดังขึ้น

“ครับ ท่านประธาน”

“นอฟ! ตอนนี้อยู่ที่ไหน” เสียงของแดเนียลดังมาตามสายอย่างร้อนรน จนเด็กหนุ่มตกใจไปด้วย

“พารากอนครับ มาซื้อของกับป๊า”

“เข้ามาบริษัทเดี๋ยวนี้เลยเรามีเรื่องต้องคุยกัน คุณโป้ด้วย” แดเนียลบอกเสียงเฉียบขาดก่อนจะกดวางสาย

“มีอะไรเหรอ” ปรเมษฐ์ถาม

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ฟังจากเสียงท่านประธานแล้วไม่ค่อยดีเลย” นภธรณ์กำโทรศัพท์ในมือแน่นพร้อมกับเหลียวมองไปรอบตัว และในขณะที่รีบกลับไปขึ้นรถนั้นเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาแปลกๆ ที่สาดใส่มาจากทั่วสารทิศ

ในห้องทำงานของบริษัท D&T media แดเนียล คิมนั่งหน้าเครียดประสานมือไว้ตรงหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องปกติเลยสำหรับคนที่อารมณ์ดีอยู่เสมอ ในขณะที่ผู้จัดการส่วนตัวของเขายืนกอดแฟ้มเอกสารทำตาแดงอยู่ข้างๆ อาการตื่นตระหนกของตฤณทำให้นภธรณ์รู้ว่าเขาคงโดนท่านประธานต่อว่าไปชุดใหญ่ที่ปล่อยปละละเลยให้เรื่องแบบนี้มันออกมาได้

“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ” แดเนียลถามเสียงเข้มพร้อมกับชี้มือไปยังเอกสารบนโต๊ะ ดูเหมือนเขาจะตั้งใจพูดกับปรเมษฐ์มากกว่าจะพูดเด็กหนุ่ม

นภธรณ์เดินเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดๆ ก่อนจะกลั้นหายใจ ภาพที่เขาจูบกับป๊าในห้องแต่งตัวเมื่อวันก่อนถูกพาดหราบนข่าวหน้าบันเทิง

ช๊อก! นักร้องหนุ่มขวัญใจวัยรุ่นแอ๊บใสร้องเพลงตามหาแม่ ที่แท้มีเสี่ยเลี้ยง อึ้งหนัก! เสี่ยคนนั้นคือคนที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อ

เนื้อหาต่อมานั้นตีแผ่ข้อสงสัยอย่างละเอียดยิบไล่เรียงตั้งแต่วันเกิดของนักร้องหนุ่มในขณะที่พ่อยังเป็นนักศึกษาแพทย์ รูปร่างหน้าตาที่ไม่มีความคล้าย กรุ๊ปเลือดที่ต่างกัน ไปจนถึงภาพแอบถ่ายในมุมต่างๆที่แสดงออกถึงความสนิทสนมที่มากเกินกว่าคำว่าพ่อ-ลูก ไม่ว่าจะเป็นกอด หอมแก้มไปจนถึงจูบ

“โกหกว่าเป็นพ่อลูก ที่แท้เป็นเด็กที่เสี่ยซื้อมาเลี้ยง” แดเนียลอ่านข้อความหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์ให้ได้ยินกันชัดๆ “เช้านี้ผมรับโทรศัพท์เป็นร้อยสายเพื่อแก้ข่าวให้ แต่พวกคุณกลับไป...”

เขาคว้าแท็บเล็ตขึ้นมาแล้วเปิดภาพคลิปวิดิโออันหนึ่งซึ่งเพิ่งถูกถ่ายขึ้นเมื่อช่วงเช้า

“ของใช้มีเป็นร้อยเป็นพันอย่างไม่ซื้อ นี่ไปซื้ออะไร? เตียง! คนเขาจินตนาการว่าพวกคุณทำอะไรกันไปถึงไหนต่อแล้วเนี่ย!”

คำคอมเมนต์ที่ปรากฏใต้คลิปมีทั้งคัดค้านและเห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็จะคล้อยตามกันไปเป็นอุปาทานหมู่ปั้นเรื่องเล่ากันออกมาได้เป็นฉากๆ ราวกับมาแอบอยู่ใต้เตียงหรือเกาะเพดานเฝ้าดูพฤติกรรมของพวกเขาว่าวันๆ ทำอะไรกันบ้าง

เด็กหนุ่มมือสั่นเล็กน้อยในขณะที่หยิบภาพบนโต๊ะขึ้นมาดูใกล้ๆ เขาไม่แปลกใจเลยถ้าคนนอกจะคิด ในเมื่อสายตาของเขาที่มองป๊ามันฟ้องอะไรบางอย่างขนาดที่เขาดูเองยังเขินเอง นี่น่ะเองสาเหตุของสายตาแปลกๆ ที่มองมา แล้วที่ดุริยะพูดตอนนั้นล่ะ... เพลงที่เขาร้องออกไปวันนั้นมันถูกใครจับได้หรือเปล่า หรือว่าความรู้สึกมันจะสื่อไปถึงคนที่เขาตั้งใจร้องให้ไหมนะ

เขาเหลือบตามองป๊าที่ยืนมองรูปถ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะตวัดกลับมามองรูปถ่ายในมืออีกครั้ง และนึกย้อนกลับไปตอนที่จูบกัน

ริมฝีปากที่ประทับลงมาให้ความรู้สึกอุ่นและนุ่มกว่าทุกครั้ง แก้มที่แดงระเรื่อและกลิ่นหวานของลมหายใจที่ยังติดอยู่ตรงปลายจมูก ทั้งที่แค่แตะแล้วก็ปล่อยแต่กลับลึกซึ้งจนถอนตัวไม่ขึ้น ความรู้สึกที่จูบกันตอนยังไม่คิดอะไรกับตอนที่คิดไปแล้วนี่มันช่างแตกต่างกันจริงๆ... แล้วเขาจะมีโอกาศได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นอีกสักครั้งไหมนะ

เสียงกระแอมไอเบาๆ ของปรเมษฐ์ทำให้นภธรณ์สะดุ้งตื่นจากภวังค์มาเผชิญกับสถานการณ์ตรงหน้า

“ผมกับลูกก็ทักทายกันแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ผมนึกว่าพวกคุณจะชินกับเรื่องนี้แล้วซะอีก” ปรเมษฐ์กล่าวเสียงเรียบ

“แต่คนอื่นเขาไม่ได้ชินเหมือนพวกผมน่ะสิ” แดเนียลพูดเสียงดัง “นอฟ! ตอนนี้เธอเป็นนักร้องนะลืมไปแล้วหรือเปล่า ฉันไม่สนหรอกว่าเมื่อก่อนเธอเป็นยังไง แต่ตอนนี้เธอเป็นคนของประชาชนนะ สื่อให้ความสนใจ ทุกคนให้ความสนใจ คราวที่แล้วก็มีข่าวกับคุณดุริยะ แล้วตอนนี้ก็มีข่าวกับพ่อตัวเองเนี่ยนะ ไปทำอีท่าไหนให้ไอ้กรรณมาขุดคุ้ยได้ละเนี่ย มันเป็นพวกกัดแล้วไม่ปล่อยด้วย”

“ผม...” นภธรณ์เกือบจะหลุดปากตอบไปว่า ‘ท่ามาตรฐานตามในรูปน่ะแหละครับ’ แต่ก็ปิดปากได้ทัน

“คุณว่าผมได้ แต่กรุณาอย่าว่าลูกชายผมครับเพราะผมเป็นฝ่ายจูบเขาเอง ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พวกคุณลำบาก” ปรเมษฐ์แทรกขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะเล็กน้อย “วันนั้นเราทะเลาะกันนิดหน่อย คุณก็น่าสังเกตเห็นว่านอฟอารมณ์ไม่ค่อยดี พอปรับความเข้าใจกันได้ผมก็จูบอวยพรให้ลูกโชคดีในการร้องเพลง เรื่องมันก็มีแค่นั้นและเราก็จูบกันในห้องด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่านักข่าวคนนี้ไปแอบถ่ายหรือได้ภาพนี้มาได้ยังไง”

คำขอโทษและการอธิบายอย่างตรงไปตรงมาทำให้แดเนียลใจเย็นลง แต่เขาก็ยังวางใจอะไรไม่ได้เพราะเรื่องนี้มันส่งผลทางลบต่อตัวศิลปินและค่าย ยิ่งไปกว่านั้นอาจกระทบต่อยอดขาย “แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ยังไง ผมคิดว่าเราควรจะตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนนะครับ”

“แทนที่จะทำแบบนั้น ผมคิดว่าเราไม่ต้องทำอะไรดีกว่าครับ พอนักข่าวไม่มีอะไรจะเล่น คนก็จะคิดได้เองว่ามันไร้สาระแล้วก็จะลืมกันไปเอง คนไทยลืมง่ายอยู่แล้วครับ” ปรเมษฐ์บอก “ธุระมีแค่นี้ใช่ไหมครับ ถ้าเช่นนั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีตอนบ่ายนัดคนไข้ไว้”

นภธรณ์มองท่านประธาน รู้ว่าเขาค่อยไม่เห็นด้วยกับความคิดของป๊าสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจเถียงอะไรได้เพราะสิ่งที่ป๊าพูดก็ไม่ผิด ส่วนพี่ตฤณก็เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตา เขาจึงยกมือไหว้และขอตัวกลับไปพร้อมกับป๊า

“ขอโทษนะครับที่ทำให้ป๊าต้องมาลำบากกับเรื่องอะไรแบบนี้” นภธรณ์พูดเสียงอ่อย

“ขอโทษทำไม ไม่ใช่ความผิดแกสักหน่อย ถ้าจะโทษก็ต้องไปโทษไอ้พวกนักข่าวที่ไม่มีอะไรจะทำนั่นต่างหาก” ปรเมษฐ์ว่า

“ละ... แล้วแบบนี้เรื่องเตียงจะเอาไงดีครับ ถ้ากลับไปที่ห้างตอนนี้คงโดนมองด้วยสายตาแปลกๆ อีกแน่เลย”

“ก็ไม่ต้องซื้อแล้ว”

“แบบนั้นไม่ได้นะครับ แล้วคืนนี้ผมจะนอนที่ไหนล่ะ”

“ก็นอนกับฉันไง”

“เอ๋~”

“เมื่อเช้าฉันก็บอกแล้วไง แกไม่รู้จักฟังเอง ทำไม ทำหน้าแบบนั้นมีปัญหาหรือไง ไม่ชอบใจงั้นก็ลงไปนอนพื้น”

เด็กหนุ่มย่นปากพร้อมทั้งเข้ามาเกาะแขน “พื้นมันแข็งนี่นา ถ้าไม่ให้ผมนอนเตียง ผมนอนบนตัวป๊าได้ไหม”

“เรื่องยังไม่ทันซาก็ยังจะทำเป็นเล่นอีกนะ”

เสียงที่เข้มขึ้นกับตาคมของปรเมษฐ์ซึ่งตวัดลงมองมือที่จับต้นแขนแกร่งทำให้นภธรณ์คิดว่ากำลังโดนดุ เขาค่อยคลายมือออกเมื่อมือใหญ่เอื้อมมาคว้าที่ข้างแก้มแล้วดึงให้หันไปสบตา

“แล้วนี่แกไม่กลัวเรตติ้งตก แฟนคลับทิ้ง ผู้หญิงหนีเหรอ”

“กลัวสิครับ” นภธรณ์ว่า “แค่มีภาพไปบ้านพี่ยะคราวที่แล้วผมยังหนีนักข่าวแทบตาย ครั้งนี้ต้องหนักกว่าเดิมแน่ๆ เพราะฉะนั้นป๊าต้องให้กำลังใจผมเยอะๆ นะจะได้มีแรงสู้ไง”

“ช่วงนี้แกต้องคุมน้ำหนัก ไนกี้ก็ยังไม่ออกรุ่นใหม่” ปรเมษฐ์รำพึง “ไหนบอกมาสิว่าจะเอาอะไร เกม?”

“ป๊าเห็นผมเป็นคนเห็นแก่ของไปได้”

“หรือไม่จริง บอกมาสิที่ทำปากหวานมาอ้อนแบบนี้จะเอาอะไรจากฉัน”

“ก็บอกแล้วไงครับว่าไม่อยากได้อะไร แค่อยากให้ป๊าเอาใจ” เด็กหนุ่มลอยหน้าลอยตาตอบ

ปรเมษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ อย่างจนใจจะต่อล้อต่อเถียง “เอาใจมากกว่านี้ก็ไม่ใช่พ่อแกแล้วล่ะ”

คนเป็นพ่อเดินนำไปไกลแล้วในขณะที่เด็กหนุ่มยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ใบหน้าร้อนวาบแทบไหม้ สติกระเจิงกับประโยคง่ายๆ ที่เขาดันคิดลึกโดยไม่ได้ตั้งใจ

...มากกว่าพ่อแล้วเป็นอะไรอะป๊า... แฟนเหรอ?...

นภธรณ์เอาหัวโขกกำแพงแก้เขินสองทีก่อนจะหันมองซ้ายขวาเห็นว่าปลอดคนจึงดึงภาพข่าวออกจากกระเป๋ามาดูอีกครั้ง สาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจขโมยเพียงแต่เมื่อกี้ดูแล้วลืมวางคืนเท่านั้น

“แฟน”

เขากระซิบเบาๆ กับตัวเองแล้วก็ยกภาพขึ้นปิดหน้าบิดไปบิดมาด้วยกระดากอายตัวเองที่ทำอะไรเลี่ยนๆ ก่อนจะม้วนภาพเก็บให้เรียบร้อยแล้วตบแก้มแรงๆ สามสี่ครั้งเพื่อตั้งสติปั้นหน้านิ่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและออกวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อตามป๊าให้ทัน

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-05-2017 03:04:17
(ต่อตรงนี้ค่ะ)
ถึงนภธรณ์จะไม่สนใจข่าวพวกนั้นและคิดว่ามันจะเงียบไปเองอย่างที่ป๊าว่า แต่ก็ดูเหมือนนักข่าวสำนักอื่นและคนทั่วไปจะไม่คิดแบบนั้นเลย และเรื่องมันก็บานปลายไปกันใหญ่จนกระทั่งผู้อำนวยการโรงเรียนต้องเรียกเขาเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวในตอนเย็นวันต่อมา

“เธอคงรู้แล้วว่าทำไมครูถึงเรียกมาพบ”

“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า “เรื่องข่าวใช่ไหมครับ”

“จริงๆ ทางโรงเรียนเราก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการที่เธอเป็นนักร้องหรอกนะเพราะโรงเรียนของเราก็มีทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันหลายคนที่อยู่ในวงการบันเทิง การที่มีนักข่าวมาดักรอเต็มรั้วโรงเรียนและข่าวซุบซิบดาราเราก็เจอมาเยอะ แต่ในกรณีของเธอนี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมมากเพราะเป็นเรื่องชู้สาวซึ่งผิดกฏของโรงเรียนและมีโทษร้ายแรงถึงขั้นให้ไล่ออก”

“แต่ข่าวนั่นมันไม่เป็นความจริงนะครับ” นภธรณ์รีบแย้ง

“ทางโรงเรียนก็ไม่คิดแบบนั้นอยู่แล้ว แต่จะปล่อยไว้เฉยๆ แบบนี้คงไม่ได้ คณะกรรมการครูและฝ่ายปกครองจึงคิดว่าอาจจะต้องมีการเรียกผู้ปกครองของเธอมาพูดคุยเพื่อหารือ และถ้ายังหาข้อสรุปอะไรไม่ได้ในระหว่างนี้คงจะเป็นการดีถ้าจะให้เธอหยุดอยู่กับบ้านเพื่อลดความวุ่นวายและความตึงเครียด”

“หมายความว่าผมโดนพักการเรียนหรือครับ” นภธรณ์ถาม

“ฉันบอกว่าหยุดอยู่กับบ้านเพื่อลดความวุ่นวายและความตึงเครียดต่างหาก มันต่างกันนะ” ผอ.โรงเรียนรีบพูดเพราะผู้ปกครองของเด็กหนุ่นนั้นเป็นผู้มีอุปการะคุณของทางโรงเรียนที่บริจาคเงินให้ปีละหลายแสนบาททีเดียว “เพื่อตัวเธอเองที่จะได้ไม่ต้องมาเจอกับนักข่าว และคนอื่นๆ ที่จะคอยตั้งถามกับเธอไง”

“ครับ” นภธรณ์รับคำเสียงอ่อย

“นี่จดหมายเชิญผู้ปกครอง ครูฝากไปให้คุณปรเมษฐ์ด้วย”

เด็กหนุ่มเดินกลับออกมาห้อง เขาถอนหายใจพร้อมกับจ้องมองจดหมายในมือก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า เขาเดินลัดเลาะรั้วไปทางประตูหลังเพื่อหนีนักข่าวจากประตูใหญ่ไปขึ้นรถตรงที่นัดกับพี่ตฤณไว้เหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว

แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะไม่ง่ายแบบนั้น เมื่อนักข่าวจำนวนหนึ่งจับไต๋เขาทันและมาดักรอกันอยู่แล้ว ทันทีเขาเยี่ยมหน้าออกไป นักข่าวที่แอบอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ก็กรูกันเข้ามาหาเขาทันที

เด็กหนุ่มตกใจและรีบออกวิ่งเพื่อไปขึ้นรถตฤณให้ทัน

“พี่ตฤณสตาร์ทรถเลยครับ ผมกำลังจะไป” นภธรณ์ร้องบอกไปในโทรศัพท์

“จะรีบไปไหนละครับ”

ชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดเข้ามาขวางหน้าพร้อมกับกล้องตัวใหญ่ในมือ ผ้าคาดปากลายหัวกะโหลกกับหมวกแก๊ปสีดำที่ใสพรางตัวอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขารู้ทันทีว่านี่คือกรรณ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนข่าวจนเป็นเรื่องใหญ่โต

“ตกลงเธอเป็นเด็กที่เขาขอมาเลี้ยงบังหน้าจริงๆ หรือเปล่า” กรรณถาม “เขาจ่ายค่าเลี้ยงดูให้เธอแลกกับอะไรเหรอแค่จูบเหรอ หรือว่ามีเซ็กซ์ด้วย”

อารามตกใจที่โดนสาดแฟลชใส่จนตาพร่า นภธรณ์กลับหลังหันวิ่งข้ามถนนใหญ่เพื่อหนีไปอีกฝั่ง ตัดหน้ารถที่พุ่งมาด้วยความเร็วสูง

เอี๊ยดดดด...

เด็กหนุ่มล้มลงกับพื้นเคราะห์ยังดีที่คนจับเบรคได้ทันทำให้เขาได้แค่รอยถลอกนิดหน่อย

“เฮ้ย! ข้ามถนนมองรถบ้างสิวะ จะรีบไปไหนพ่อมึงจะตายหรือไงวะไอ้เด็กเปรตนี่” เจ้าของสปอร์ตสีดานสีเงินลดกระจกลงมาด่า

เด็กหนุ่มหายใจหอบ นึกเสียวสันหลังกับความตายที่เฉียดไปหวุดหวิด แล้วหัวใจที่เกือบจะหยุดเต้นก็เต้นแรงขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นคนที่อยู่หลังพวงมาลัย “พี่ยะ!”

“เจ้าหนู?” เจ้าของชื่อตกใจไม่แพ้กัน ผู้อยู่ในวงการมานานกว่ากวาดตามองครั้งเดียวก็เข้าใจสถานการณ์ทันทีและหันไปบอกกับสาวสวยในชุดเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนที่นั่งมาด้วยกัน “เธอลงไปก่อน”

“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ! จู่ๆ พี่ยะจะมาไล่หนูแบบนี้ไม่ได้นะคะ” สาวสวยเริ่มวีนทันทีที่โดนไล่ เธอเคยเป็นนักร้องดังที่ผันตัวไปเป็นนางเอกละคร และกำลังจะกลับมามีผลงานเพลงเร็วๆ นี้

“ฉันบอกว่าได้ก็ได้สิ ลงไป”

“หนูไม่ลงค่ะ ถ้าพี่ยะอยากจะช่วยเจ้าเด็กนี่นักก็...”

“ฉันบอกให้ลงก็ลงไปสิวะ อย่ามัวแต่พล่าม! เสียเวลา!” ดุริยะตวาดเสียงดังพร้อมกับเอื้อมมือไปดึงประตูเปิดออก ปลดเข็มขัดนิรภัย หยิบกระเป๋าถือใบจิ๋วยัดใส่มือหญิงสาวพร้อมกับผลักเธอออกจากรถ “ไปสิ!”

“พี่ยะ!”

“เจ้าหนูขึ้นมา” ดุริยะไม่สนใจสาวสวยที่กำลังกรีดร้องและจ้องมองด้วยดวงตาวาวโรจน์เต็มไปด้วยความโกรธที่โดนหักหน้า

“คอยดูนะ ฉันจะเอาคืน!”

“เชิญ” โปรดิวเซอร์ใหญ่ตอบแบบไม่แคร์อะไรใดๆ และย้ำกับเด็กหนุ่ม “ขึ้นมาเร็ว อยากโดนนักข่าวลากไปทึ้งหรือไง”

นภธรณ์เหลียวมองซ้ายขวา เมื่อเห็นว่าทางหนีเดียวคือรถคันนี้จึงไม่รีรอที่จะกระโดดขึ้นนั่ง “เหยียบให้มิดเลยครับ”

“ก่อนจะมาสั่งฉัน คาดเข็มขัดให้เรียบร้อยเสียก่อนเถอะ” โปรดิวเซอร์ใหญ่ว่าพร้อมกดล็อกประตู เขาเหลือบมองไปในกระจกมองหลังเห็นกรรณวิ่งไปจับมอเตอร์ไซค์แล้วจึงเข้าเกียร์ก่อนที่รถคันสวยจะทะยานออกไปราวกับติดปีกทิ้งนักข่าวที่วิ่งตามมาไว้เบื้องหลัง

“สนุกไหม” ดุริยะหันมาถามมีความขบขันอยู่ในน้ำเสียงกับท่าทีขวัญเสียของเด็กหนุ่มที่ยึดเข็มขัดนิรภัยไว้แน่น เรื่องหนีนักข่าวเขาอาจจะไม่ใช่มือหนึ่งของวงการแต่เรื่องซิ่งนี่ไม่ยอมน้อยหน้าใครแน่ ถ้าเปรียบเทียบระหว่างจำนวนใบสั่งขับรถเร็วกับเพลงที่แต่งมาทั้งชีวิต เผลอๆ ใบสั่งจะเยอะกว่าด้วยซ้ำ

“ผมนึกว่าจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่สี่แยกเมื่อกี้ซะแล้ว” นภธรณ์ตอบหวาดๆ พร้อมกับเหลียวหลังไปดู ใครจะไปคิดว่าดุริยะจะฝ่าไฟแดงกลางสี่แยกราชประสงค์อย่างไม่กลัวตายแบบนั้น แต่เพราะเหตุนั้นทำให้เขาหลุดจากการตามของกรรณมาได้

“โดนนักข่าวรุมทึ้งก็คงตายไม่ต่างกันละมั้ง เรียกว่าการตายทางสังคมน่ะ” ดุริยะว่า “ฉันก็เคยเจอบ่อยๆ คิดซะว่าเป็นพระเอกซีรีส์หนีซอมบี้อะไรพวกนี้ก็สนุกดีไปอีกแบบนะ ไว้อีกสักพักถ้าเธอเก็บเลเวลได้สูงๆ คราวนี้แทนที่จะหนีเธอจะเปลี่ยนเป็นยิ้มรับเลยล่ะ”

“ถ้ามันเป็นเรื่องดีผมก็คงไม่หนีหรอกครับ” นภธรณ์บอก 

“อ้อ” ดุริยะนึกถึงข่าวที่ดังเพียงแค่ชั่วข้ามคืนแล้วก็เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย “มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม”

เด็กหนุ่มเม้มปากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าปรึกษาหมอโมเรื่องจะถึงหูป๊าในทันที แต่ถ้าปรึกษาพี่ยะนอกจากป๊าจะไม่รู้แล้ว อาจจะได้คำตอบที่ต่างออกไป “ผมโดนผอ.เรียกไปพบ... เขาจะให้ผมหยุดเรียนจนกว่าเรื่องจะซา แล้วก็ให้ป๊าไปคุยที่โรงเรียน”

“โทรหาพ่อเธอเดี๋ยวนี้!” ดุริยะพูดเสียงดังและมีท่าทีเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันทีจนนภธรณ์ตกใจ “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เธอจะมาทำเป็นอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่บอกพ่อเธอไม่ได้นะ”

“ตะ... แต่วันนี้ป๊ามีผ่าตัด พรุ่งนี้ก็ด้วย”นภธรณ์บอก “ผมไม่อยากกวน เดี๋ยวรอ...”

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้มันรอไม่ได้แล้ว!”

“ไม่ใช่รอแบบนั้นครับ คือข้างหน้าเขาจอดรอไฟแดงกันอยู่ ผมยังไม่อยากตายนะครับ!!”

ดุริยะหันไปมองถนนเต็มตา แต่แทนที่จะเหยียบเบรกเขากลับหักเลี้ยวรถเข้าซอยเล็กๆ ที่อยู่ข้างหน้าทันที รถเหวี่ยงอย่างแรงทำให้เด็กหนุ่มต้องกลั้นหายใจเกร็งนิ้วเกาะเบาะไว้แน่น จนกระทั่งโปรดิวเซอร์ใหญ่หาที่ว่างและชะลอรถจอดลงได้จึงผ่อนหายใจอย่างโล่งอก

“เธอจะโทรไหม ถ้าเธอไม่โทรฉันจะโทรเอง เอาโทรศัพท์มาเดี๋ยวนี้” ดุริยะยื่นคำขาดพร้อมกับพยายามยื้อแย่งโทรศัพท์ไปจากมือเด็กหนุ่ม

“เดี๋ยวครับพี่ยะ!”

ดุริยะแย่งโทรศัพท์มาได้ในที่สุด และกดโทรออกทันที “ถ้าเขาเป็นพ่อของเธอจริง เขาต้องจัดการเรื่องนี้ได้ หรือต่อให้จัดการไม่ได้เขาก็ต้องมาหาเธอ มาอยู่กับเธอ ไม่ใช่ให้เธอเผชิญหน้ากับปัญหาอยู่คนเดียว”

“แล้วนั่นพี่ยะรู้วิธีปลดล็อกโทรศัพท์ผมได้ไงครับ”

“เธอเล่นมือถือตอนอยู่กับฉันตลอด คิดว่าฉันจะไม่สังเกตบ้างเลยหรือไง” ดุริยะบอก “โทรติดล่ะ เงียบๆ หน่อยสิ”

“ว่าไงเด็กดื้อ” ปลายสายตอบกลับมาหลังจากปล่อยให้รอแค่อึดใจ

คนโทรเบะปากเล็กน้อยกับสรรพนามที่ได้ฟัง “ผมดุริยะเองครับ ไม่ใช่เด็กดื้อของคุณ”

“คุณ... ทำไมคุณถึงใช้โทรศัพท์ลูกชายผมได้” เสียงคนที่อยู่ปลายสายห้วนขึ้นทันที

“พี่ยะ ผมบอกว่าอย่าไง” นภธรณ์ไม่ละความพยายามที่จะแย่งโทรศัพท์คืน แต่ก็โดนคนอายุมากกว่าจับล็อกคอไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว

“ลูกชายคุณกำลังจะถูกพักการเรียนเพราะข่าวนั่น” ดุริยะพูดรัวเร็ว

“คุณว่าไงนะ”

นภธรณ์รีบตะโกนแทรก “ป๊า! ผมไม่เป็นไร พี่ยะพูดเวอร์ไป ป๊าทำงานเถอะ”

“นั่นอยู่ที่ไหน บ้านคุณเหรอ เดี๋ยวผมไปหา”

“ป๊า! ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ครับ”

“เปล่า พวกเราอยู่บนถนนน่ะ แต่ไปบ้านผมตอนนี้คงไม่ได้เพราะนักข่าวคงมารอกันเต็มแล้วล่ะ” ดุริยะว่า “เอางี้ เดี๋ยวผมไปหาคุณที่โรงพยาบาลดีกว่า แล้วเจอกันนะครับ”

“ได้ครับ” ปรเมษฐ์ตอบ

“ป๊า!” นภธรณ์ส่งเสียงขึ้น

ดุริยะกดวางสายและส่งโทรศัพท์คืน “ก็แค่นี้เอง... ฉันเห็นมาหลายครั้งแล้วนะ เหมือนเธอสนิทกับพ่อมาก แต่พอมีปัญหาอะไรเธอกลับเลือกที่จะเก็บไว้กับตัว ถ้าเขาดูแลเธอไม่ได้แล้วเธอจะมีพ่อไว้ทำไม เป็นฉันนะคงไม่นิ่งนอนใจจนให้เรื่องมันบานปลายไปแบบนี้ คงต้องออกมาโวยวายแล้ว นี่อะไรโลกสวยเกินไปหรือเปล่า”

“ป๊าไม่ได้โลกสวย” นภธรณ์พึมพำ สายตาจับจ้องอยู่หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งเป็นรูปที่เขาถ่ายเซลฟี่คู่กับป๊า นึกถึงตอนที่ป๊าต้องก้มหัวเอ่ยขอโทษกับท่านประธานทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ความผิดป๊าเลยสักนิด  ถ้าเขาไม่ได้เป็นนักร้อง เป็นแค่เด็กม.ปลายธรรมดาเรื่องก็คงไม่วุ่นวายแบบนี้

“ไม่ได้โลกสวยแล้วอะไร ม้าโพนี่สีรุ้งวิ่งเต็มทุ่งลาเวนเดอร์ขนาดนี้” โปรดิวเซอร์กลอกตามองบน

“พี่ยะ!” นภธรณ์เงยหน้าขึ้นพร้อมกับเรียกเสียงดัง “พี่ยะอย่ามาว่าป๊าแบบนี้นะครับ พี่ยะไม่รู้หรอกว่าป๊าต้องเจออะไรมาบ้าง ที่ป๊าไม่สะทกสะท้านกับข่าวนี้น่ะเพราะเราเจอมาเยอะ ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ไปไหนก็มีแต่คนถามเราแบบนี้ ถามว่าแม่ไปไหน เป็นพ่อลูกกันจริงๆ เหรอ ทำไมหน้าไม่เหมือนกัน การโวยวายยิ่งทำให้คนเอาไปนินทา ป๊าโต้ตอบทุกคำถามด้วยการตั้งใจเลี้ยงผมมาอย่างดี ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ป๊าก็แค่จัดการในแบบของป๊าเท่านั้นเอง”

“แต่เราก็เห็นแล้วนี่ว่าวิธีนี้มันไม่เวิร์ค นี่ ใจเย็น ฟังก่อน ฉันไม่ได้บอกสักคำว่าพ่อเธอไม่ได้เรื่อง” ดุริยะรีบพูดเมื่อเห็นเด็กหนุ่มโกรธจนหน้าแดงและมีหยดน้ำเล็กๆ รื้นตรงหางตา “การที่เขาเลี้ยงเธอคนเดียวจนโตมาได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ เขารักเธอมากแค่ไหนฉันไม่สงสัยในเรื่องนั้นหรอก ฉันแค่บ่นถึงวิธีการแก้ปัญหา และที่ฉันอยากจะบอกคือ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างเธอต้องมาแบกรับตามลำพัง ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ แต่ฉันคิดว่าคนเป็นพ่อคงดีใจมากกว่าถ้าลูกจะมาขอความช่วยเหลือตรงๆ”

“พี่ยะพูดจริงเหรอครับ” นภธรณ์ถาม “ผม... ไม่ทำให้ป๊าลำบากใจแน่นะ”

“ถ้าฉันเป็นพ่อคน ฉันจะคิดแบบนั้น ไม่ว่าพ่อที่ไหนก็อยากเป็นฮีโร่ของลูกทั้งนั้นแหละ” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเริ่มใจเย็นลง ดุริยะจึงเอื้อมมือไปโอบไหล่และดึงตัวมาใกล้ๆ เพื่อเช็ดน้ำตาให้

“พี่ยะไม่มีลูกสักหน่อย”

“ก็บอกแล้วไงว่า ถ้าเป็น... สมมติน่ะรู้จักไหม แต่เอาเข้าจริงคนอย่างฉันจะเลี้ยงใครได้ ถ้าสักแต่ทำให้เกิดมาคงพอไหว”

เพราะปลายเสียงนั้นฟังดูเศร้ามากกว่าจะเป็นเรื่องตลก นภธรณ์จึงพูดออกไป “พี่ยะยังไม่เคยลอง รู้ได้ไงว่าจะทำไม่ได้ ปู่เองก็พูดคำนี้กับป๊ามาตลอดสิบเจ็ดปี แต่ป๊าก็เลี้ยงผมมาได้นะ”

“แล้วถ้าคนอย่างฉันจะเป็นพ่อคน ฉันควรจะเริ่มที่ตรงไหนล่ะ”

เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่อึดใจ “รักไงครับ”

“แต่ความรักไม่กินไม่ได้นะ มันต้องมีเงินด้วยถึงจะเลี้ยงได้”

“เงินไว้ใช้เลี้ยงตัวครับ ส่วนความรักไว้เลี้ยงหัวใจ”

“แน่ะ ทำเป็นเปรียบเปรย เก่งเหมือนกันนะเรา”

“หมอโมบอกมาครับ” นภธรณ์บอก “แล้วพี่ยะเห็นด้วยไหมครับ”

“นั่นสินะ”

แล้วต่างคนก็เงียบไป นัยน์ตาสองคู่จับจ้องกันนิ่ง ในความเงียบนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น มันลอยวนอยู่ในอากาศรอบๆ ตัว มันไม่ใช่ความรู้สึกอึดอัดแต่เขาก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร มือใหญ่ของคนอายุมากกว่าค่อยเคลื่อนขึ้นสัมผัสศีรษะกำลังจะลูบเบาๆ ลงบนเรือนผม แต่แล้วเขากลับหยุดมือไว้แค่นั้นและผลักตัวเด็กหนุ่มออกไปจับพวงมาลัยแทน

“รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวพ่อเธอจะรอ”

“ครับ” นภธรณ์ขยับตัวนั่งตรงและทอดสายตามองออกไปบนถนนที่รถวิ่งสวนกันขวักไขว่ ในขณะที่หัวใจยังจดจ่ออยู่กับคนซึ่งนั่งข้างๆ ก่อนเสียงข้อความเข้าจากป๊าว่าให้ไปรอที่ห้องพักแพทย์จะทำให้เขาลืมความรู้สึกนั้นไปเสียสนิท

oooooo

“ดูเธอคุ้นเคยกับโรงพยาบาลนี้เหมือนเป็นบ้านเกิดเลยนะ” ดุริยะแซวเด็กหนุ่มที่พาเขาเดินไปในตึกใหญ่ของโรงพยาบาลรัฐย่านใจกลางเมืองหลวงได้อย่างคล่องแคล่วทั้งที่มีตรอกซอกซอยและห้องตรวจมากมายที่ดูจากมุมมองของเขาแล้วมันก็หน้าตาเหมือนๆ กันไปหมดจนเหมือนเขาวงกต การตัดสินใจนัดกันที่นี่นับว่าเป็นความคิดที่ใช้ได้เพราะนอกจากจะไม่มีนักข่าวมาตามแล้ว คนที่มาโรงพยาบาลก็ไม่ได้มีความสนใจอะไรในตัวพวกเขา

“จะว่างั้นก็ได้ครับเพราะผมเกิดที่นี่” นภธรณ์บอก

ทั้งสองเดินผ่านมาจนถึงตึกสูติ-นรีเวช  และกดลิฟต์มาหยุดลงที่ชั้นสาม

“สวัสดีครับ พี่เพ็ญ” เด็กหนุ่มกล่าวกับพยาบาลสาวรุ่นใหญ่ที่หน้าประตูห้องคลอด อันที่จริงอายุอานามของเธอเรียกได้ว่าเป็นรุ่นป้า แต่ป๊าสอนมาว่าคำนั้นมันร้ายกาจเกินไปสำหรับผู้หญิง และสำหรับคุณพยาบาลไม่ว่าจะรุ่นไหนต้องเรียกพี่เท่านั้น

“ว่าไงลูก” เธอตอบกลับทั้งรอยยิ้ม เด็กหนุ่มคนนี้เธอเห็นมาแต่อ้อนแต่ออกเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง “พี่โหลดเพลงใหม่มาฟังแล้วนะ เพราะมากเลย”

“ขอบคุณครับ”

“แล้วนี่มากับใครจ๊ะ ทำไมพี่ไม่เคยเห็นหน้า” เธอมองผ่านไปยังชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างกัน

“นี่พี่ยะครับ เป็นพี่ที่ทำเพลงด้วย” นภธรณ์รีบแนะนำ

“สวัสดีครับ”

พยาบาลสาวรุ่นใหญ่พยักหน้ารับไหว้

“ผมมาหาป๊าน่ะครับ”

“หมอโป้เพิ่งทำคลอดเสร็จน่ะ ตอนนี้กำลังสอนนักเรียนดูแลแม่หลังคลอดอยู่ คงใกล้เสร็จแล้วล่ะ”

ในขณะที่กำลังคุยกันนั้นเอง นักเรียนแพทย์คนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นผ่านมา

“ว่าไง เมื่อกี้ได้ลูกสาวหรือลูกชายจ๊ะ” พี่เพ็ญร้องถามไปตามประสาคนคุ้นเคยกัน

“ลูกสาวครับ” นักเรียนแพทย์หันมาตอบอย่างลิงโลด

“เยี่ยมเลย พี่ดีใจด้วยนะ”

“ขอบคุณครับพี่ ผมขอไปดูเด็กก่อนนะครับ” นักเรียนแพทย์ตอบก่อนจะรีบวิ่งไปต่อ

“หมายความว่าไงครับที่ว่าได้ลูกสาวหรือลูกชาย ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดน้องเขาเป็นนักเรียนไม่ใช่หรือครับ” ดุริยะถามด้วยความสงสัย

“เป็นคำที่เราใช้เรียกเด็กที่เราทำคลอดด้วยความเอ็นดูน่ะค่ะ”

“แล้วทำไมพอเป็นลูกสาวถึงต้องดีใจขนาดนั้นด้วยล่ะครับ ทำอย่างกับเป็นพ่อเด็กเสียเองน่ะ”

พยาบาลสาวรุ่นใหญ่อมยิ้มตอบ “มันเป็นเรื่องเล่าของห้องคลอดน่ะค่ะ ถ้าใครทำคลอดครั้งแรกได้ทารกเพศเดียวกับตัวเองจะขึ้นคาน แต่ถ้าต่างเพศจะเจอเนื้อคู่และได้แต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันค่ะ”

“แล้วมันจริงไหมครับ” นภธรณ์ถาม เขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน

พี่เพ็ญนึกอยู่อึดใจ “เท่าที่พี่ทำงานมาเกือบยี่สิบปีก็เห็นว่าจริงหมดนะคะ มีแค่คนเดียวละมั้งที่ไม่จริงแต่ก็ไม่รู้ว่าแบบนั้นจะนับหรือเปล่านะ”

“แบบนั้นมันคือแบบไหนครับ” ดุริยะถาม

“ก็แบบที่หมอที่ทำคลอดเป็นพ่อของเด็กเสียเองน่ะค่ะ”

“อ้อ”

“พี่เพ็ญมาช่วยทางนี้หน่อยค่ะ มีคุณแม่จะคลอดอีกคนแล้ว” เสียงใสๆ ของพยาบาลรุ่นน้องเรียกมาจากด้านใน

“ได้จ้า” พี่เพ็ญร้องตอบออกไป “แหม ท่าทางวันนี้จะฤกษ์ดีนะเนี่ยมีคนมาคลอดห้องแทบไม่ว่างเลย เดี๋ยวพี่ไปก่อนนะ นอฟไปรอหมอโป้ที่ห้องทำงานก่อนนะเดี๋ยวพี่จะบอกหมอโป้ให้ว่าเรามาถึงแล้ว”

“ขอบคุณครับพี่”

นภธรณ์ยกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนจะแยกกัน

ไม่กี่นาทีต่อมาปรเมษฐ์เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เขายังสวมชุดผ่าตัดทับด้วยเสื้อกาวน์ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดพราวขึ้นตามไรผมทั้งที่อากาศเย็นทำให้รู้ว่าเขารีบร้อนวิ่งมาแค่ไหน “นอฟ”

“ป๊า”

ปรเมษฐ์ดึงตัวนภธรณ์ให้เดินออกห่างจากโปรดิวเซอร์ใหญ่ก่อนจะถาม “เล่ามาสิว่าเรื่องมันเป็นยังไง”

“ผอ.เรียกผมไปคุยแล้วก็ให้นี่มาครับ” นภธรณ์ส่งซองจดหมายให้

ปรเมษฐ์รับไปเปิดออกอ่านรวดเร็ว สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ

ดุริยะที่เดินตามมาแทรกขึ้น “คุณจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ”

ปรเมษฐ์ที่กำลังตกใจกับข้อความในจดหมายหันไปถาม “คุณพูดว่าอะไรนะครับ”

“คืองี้นะ” ดุริยะเริ่มพูดใหม่อีกครั้ง “นักข่าวคนนี้น่ะผมรู้จักดี จะเรียกว่าสนิทกันเลยก็ว่าได้ แต่ในทางที่ไม่ดีน่ะนะ วันๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่คุ้ยข่าวฉาวของดารานักร้องมาแฉ และที่สำคัญคืออะไรรู้ไหม... ข้อมูลที่ได้มากว่า 90% ฟันธงได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะงั้นเรื่องของพวกคุณมันถึงได้ดังเป็นพลุแตกแบบนี้ไง ในวงการนี้การเงียบไม่ใช่การแก้ปัญหาแต่มันคือการยอมเป็นเป้านิ่งให้เขาขุดคุ้ย ถ้าคุณอยากสยบข่าวลือคือคุณต้องงัดข้อมูลของตัวเองมาสู้ และกระพือให้มันดังกว่าเดิม”

“ข้อมูลอย่างนั้นเหรอ” ปรเมษฐ์พูดกับตัวเอง

“ทะเบียนสมรส ผลตรวจ DNA หรืออะไรก็ได้ที่บอกว่าพวกคุณเป็นพ่อลูกกัน อะไรที่พิสูจน์ได้ว่าการกระทำของคุณมันบริสุทธิ์” ดุริยะว่า “เอามันออกมาโชว์สิครับ ถ้ามันคือความจริง คุณจะกลัวอะไรคุณโป้”

“ผมไม่ได้กลัว ผมแค่...”

“เจ้าหนูนี่เล่าให้ผมฟังแล้วถึงวิธีการแก้ปัญหาที่ผ่านๆ มาของคุณ แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันครับ แค่การกระทำมันไม่พอเพราะเรื่องนี้มันก็เกิดจากการกระทำเหมือนกัน”

ปรเมษฐ์หันไปสบตานภธรณ์รู้สึกหงุดหงิดนิดๆ ที่ดูเหมือนลูกชายจะไว้วางใจผู้ชายที่เพิ่งพบกันไม่นานนี้ได้ง่ายดายเหลือเกิน “ถ้าพวกคุณคิดว่าการแถลงข่าวเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ก็ตกลงตามนั้นครับ”

“งั้นเราจัดแถลงข่าวพรุ่งนี้เลยเป็นไง ผมจะช่วยโทรนัดนักข่าวให้” ดุริยะเสนอ

“วันนี้เลยก็ได้ครับ” ปรเมษฐ์บอก

“ไวขนาดนั้นเชียว ไม่คิดว่าจะต้องเตรียมตัวหรืออะไรเลยเหรอครับ” ดุริยะออกแปลกใจไม่น้อย

“ผมไม่อยากให้ลูกขาดเรียนวันพรุ่งนี้” ปรเมษฐ์สรุปสั้นๆ

ooooooo

เพราะเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจ กับเส้นสายในแวดวงบันเทิงที่มีอยู่มากมายของดุริยะทำให้งานแถลงข่าวถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วที่บริษัท D&T media

ท่านประธานแดเนียลนั่งอยู่บนโต๊ะขนาบข้างนักร้องในสังกัดโดยอีกข้างเป็นปรเมษฐ์ เขาลอบมองสองพ่อลูกด้วยใจตุ๊บๆ ต่อมๆ ถ้าหากทุกอย่างเป็นตามที่วางไว้โดยไม่ติดขัดก็คงจะดี

“ที่ผมไม่ออกมาพูดตั้งแต่แรก เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่จะมาจับผิดอะไรกันแบบนี้” ปรเมษฐ์กล่าว ด้วยบุคลิกเคร่งขรึมน่าเชื่อถือประกอบกับสูทสีดำที่ช่วยขับหน้าคมให้ดูน่าเกรงขาม ตอนนี้เขาจึงดูเหมือนอาจารย์แพทย์ที่กำลังเลคเชอร์โดยมีนักข่าวเป็นนักเรียนในชั้นที่กำลังตั้งใจฟังอย่างเงียบเชียบจะมีก็เพียงเสียงชัตเตอร์ที่ดังรัวอย่างต่อเนื่องเท่านั้น “อย่างเรื่องกรุ๊ปเลือดที่คุณอ้างมา ใช่ครับ ผมกรุ๊ปโอ แต่ถ้าแม่ของนอฟมีเลือดกรุ๊ปบี ตามกฏการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของเมนเดลนั่นก็แสดงว่านอฟมีสิทธิ์เป็นบีร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้าแม่ของเขาเป็นบีแท้ และมีโอกาสห้าสิบเปอร์เซ็นต์ถ้าแม่ของเขาเป็นบีผสม” ไม่พูดเปล่าแต่ยังมีภาพแผนผังกฏของเมนเดลมาให้ดูกันแบบชัดๆ

“นั่นก็ยังช่วยยืนยันเรื่องที่พวกคุณเป็นพ่อลูกกันไม่ได้อยู่ดี” นักข่าวเจ้าของบทความถามแทรกขึ้น

ปรเมษฐ์หยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาแล้วดึงเอกสารข้างในออกมา มันคือใบรับรองบุตรอย่างถูกต้องตามกฏหมายที่มีลายเซ็นของวาริณีต่อหน้าเจ้าพนักงานอย่างชัดเจนว่าเขาเป็นพ่อเด็ก “เนื่องด้วยวุฒิภาวะในตอนนั้นของผมและวาริณีทำให้เราไม่ได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อที่นอฟจะได้เป็นลูกของผมอย่างถูกต้องวาริณีกับผมจึงไปจดทะเบียนรับรองบุตรฉบับนี้ และหลังจากนั้นสามวันเธอก็หายตัวไป ใจจริงผมเองก็อยากให้เธอมาช่วยยืนยันให้ทุกคนสบายใจเหมือนกัน แต่ถ้าผมทำแบบนั้นได้ ลูกชายผมคงไม่ต้องลำบากมาตามหาแม่ตั้งแต่ต้นหรอกครับ”

ดุริยะที่ยืนฟังอยู่มุมหนึ่งกระตุกมุกปากขึ้นยิ้มกับคำตอบที่ดูเหมือนจะเรียกคะแนนความสงสารของคนได้อีกครั้ง นึกชื่นชมอีกฝ่ายว่าเป็นคนพูดน้อย แต่ฉลาดใช้คำพูดได้ดีจริงๆ

“ถ้าพวกคุณไม่คำถามแล้วขอผมเป็นถามบ้างได้ไหมครับ” ปรเมษฐ์พูดต่อ “ผมจูบกับลูกผมซึ่งผมก็ทำกับเขาแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นเราก็ยังทำกันจนเป็นนิสัย แต่เราก็ไม่ได้ทำแบบนี้กันในที่สาธารณะเพราะผมถือว่ามันวัฒนธรรมในครอบครัวของผม การที่มีคนมาแอบถ่ายภาพแล้วเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันในทางเสื่อมเสียแบบนี้มีความผิดตามพรบ.คอมพิวเตอร์ทั้งทางแพ่งและอาญา ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าทนายของผมคงให้ความสนใจจะดำเนินการให้ถึงที่สุด”

“นั่นไม่ใช่คำถามนะป๊า” นภธรณ์หันไปป้องปากกระซิบ

ปรเมษฐ์หันไปสบตาลูกชาย “ใช่สิ เพราะฉันกำลังจะถามว่าในกรณีนี้นอกจากต้องโทษติดคุกแล้ว ฉันควรจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายซึ่งรวมไปถึงค่าทำขวัญและค่าเสียเวลาเท่าไหร่ดี หนึ่งแสน สองแสน หรือว่าสักล้านนึงถึงจะเหมาะสม...” เขาหันไปหาสื่อมวลชนตรงหน้า “มีนักข่าวท่านใดพอจะช่วยให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ไหมครับ” คำถามจบลงพร้อมกับรอยยิ้มนิ่งๆ ที่ทำให้ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ

ดุริยะฟังแล้วยิ้มกว้าง หมัดสุดท้ายที่ปล่อยไปนั่นหนักใช้ได้เลยทีเดียว คราวนี้ต่อให้กรรณคิดจะเล่นข่าวต่อก็คงต้องระมัดระวังมากขึ้น

“ถ้าไม่มีใครมีคำถามแล้ว งั้นเราก็คงจบเรื่องกันแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกคนที่มาวันนี้นะครับ” แดเนียลกล่าวสรุปเป็นการตัดบท เพราะปรเมษฐ์ไม่ได้ล้อเล่น เขาเตรียมทนายไว้แล้วจริงๆ และจัดให้ไปนั่งฟังปะปนกับนักข่าวคนอื่นๆ เพื่อเฝ้าดูพฤติกรรมคู่กรณีอย่างใกล้ชิด ถ้าหากเรื่องไม่จบคงได้ไปคุยกันต่อในชั้นศาลจริงๆ


(มีต่อข้างล่างอีกนิดค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 9 P.5 [28/04/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-05-2017 03:17:31
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

งานแถลงข่าวจบลงอย่างเรียบร้อย ท่านประธานแดเนียล ตฤณและนภธรณ์พากันออกไปส่งสื่อมวลชนที่หน้าบริษัท ตอนนี้ในห้องประชุมจึงเหลือแค่ปรเมษฐ์กับดุริยะสองคน

“ขอบคุณนะครับ” ปรเมษฐ์กล่าวกับโปรดิวเซอร์ใหญ่พร้อมกับยกมือไหว้

“ไม่เป็นไรครับเรื่องเล็กน้อย” ดุริยะบอก “แต่ผมว่าคุณอย่าเพิ่งวางใจไป นักข่าวคนอื่นคงไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้กรรณคงไม่จบง่ายๆ มันไม่เคยคิดถึงจรรยาบรรณและความถูกผิดขอแค่ให้ได้ข่าวมาเขียน เจ้าหนูคงยังไม่ได้เล่าให้คุณฟังสินะว่าโดนไล่ตามหนีลงไปในถนนจนเกือบโดนรถชน แต่บังเอิญรถนั่นผมเป็นคนขับเอง ดีนะที่ผมเบรกทันคิดแล้วยังใจหายอยู่เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมขับมาเร็วกว่านี้”

“เรื่องนักข่าวคนนั้นผมคิดว่าบางทีเขาอาจจะมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง มันออกจะแปลกไปหน่อยที่จู่ๆ จะมาจ้องจับผิดกันแบบนี้” ปรเมษฐ์บอก

“พวกค่ายเพลงคู่แข่งเหรอ” ดุริยะตั้งสมมติฐาน

“เป็นไปได้ครับ และผมก็นึกถึงปัญหาทางธุรกิจของครอบครัวด้วย เพราะดูแล้วจงใจเล่นข่าวทั้งลูกและผม เดี๋ยวผมจะลองไปสอบถามกับคนที่บ้านดูเผื่อจะได้ความอะไรบ้าง” ปรเมษฐ์ตอบ

“คุณไม่ได้โดนไล่ออกจากบ้านมาแล้วหรอกหรือครับ เห็นเจ้าหนูเล่าให้ฟังแบบนั้น”

“แค่ผมครับ” ปรเมษฐ์บอก “แต่นอฟไม่ใช่ ปู่เอ็นดูเขามาก คุณไม่มีลูกหรือหลานก็คงจะจินตนาการถึงพลังความน่าเอ็นดูของเด็กไม่ออกหรอกยิ่งเป็นครอบครัวที่เห่อลูกชายด้วยแล้ว”

“แหม พูดแบบนี้ทำเอาคนโสดพูดไม่ออกเลยนะครับ” ดุริยะว่า

“ขอโทษครับ ผมแค่ยกตัวอย่าง” พูดจบปรเมษฐ์ก็เงียบไปอึดใจหนึ่งเพื่อพิจารณาคนอายุมากกว่าที่มีท่าทีเคร่งเครียดราวกับเป็นเรื่องของตัวเองและเอ่ยขึ้น “ขอโทษนะครับคุณดุริยะ ผมขอถามตรงๆ อีกครั้งว่าตกลงคุณคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงทำเป็นเข้ามาวุ่ยวายกับพวกเรา แต่ถึงคราวมีปัญหาก็เสนอตัวเข้ามาช่วยเต็มที่ทั้งที่คุณก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเลยแท้ๆ”

“ผมบอกแล้วไงครับว่าแค่อยากดูแล”

“ดูแล?” ปรเมษฐ์ทวนคำ

“ใช่ครับ ผมก็แค่อยากดูแลลูกชายของคนที่ผมรักก็เท่านั้นเอง” ดุริยะบอกยิ้มๆ พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ “ได้ไหมครับคุณโป้”

“ป๊า... พี่ยะ... ทำอะไรกันอยู่ครับ”นภธรณ์ที่เปิดประตูเข้ามาเพื่อตามป๊ากลับบ้านอึ้งไปทันที เขาได้ยินประโยคที่สองคนคุยกันชัดเจนและจากมุมที่เขายืนอยู่นี้ก็เห็นชัดๆ ว่าดุริยะกำลังจะหอมแก้มป๊า
 
“สารภาพรัก” ดุริยะขยิบตาให้ปรเมษฐ์ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่มและเปลี่ยนเรื่องด้วยการส่งกล่องขนมเค้กที่ถือมาให้ “อะ เจ้าหนูฉันซื้อมาฝาก เห็นบอกว่าชอบ ถือเป็นการฉลองที่เรื่องผ่านไปได้ด้วยดี”

“ว้าว น่ากินจัง ขอบคุณนะครับ” เห็นเค้กครีมสดน่ากินเด็กหนุ่มก็ตาโตจนเผลอลืมเรื่องตรงหน้าไปชั่วครู่ “เดี๋ยว! ไม่ใช่สิ เมื่อกี้พี่ยะพูดอะไรกับป๊านะครับ”

“ก็ตามที่บอกน่ะแหละ” ดุริยะพูดยิ้มๆ “ฉันกลับก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ที่ห้องซ้อม” เขาหันมาขยิบตาให้ปรเมษฐ์อีกครั้งก่อนจะเดินออกไป

“ป๊า... เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น พี่ยะจะทำอะไรป๊า...”

“กลับกันเถอะ นอฟ” ปรเมษฐ์ตัดบท

นภธรณ์หน้ามุ่ย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบวิ่งตามหลังพ่อของตนออกไป

oooooo

กลับมาถึงบ้านได้สักพักเสียงออดก็ดังขึ้น นภธรณ์มองนาฬิกางงๆ ว่าใครกันที่มาเอาป่านนี้และยิ่งงงหนักกว่าเดิมเมื่อเปิดประตูออกไปเห็นคนเอาของมาส่ง

“ฉันสั่งเอง รับให้หน่อย” ปรเมษฐ์ตะโกนบอกออกมาจากในครัว

เด็กหนุ่มรับกล่องใบใหญ่มาวางบนโต๊ะกลางหน้าทีวี ฉลากบนฝากล่องบอกให้รู้ว่ามันมาจากร้านเบเกอร์รี่ชื่อดัง และเมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็นเค้กคละแบบจำนวนหนึ่งโหล ทุกชิ้นประดับด้วยสตวอร์เบอร์รี่ลูกโตของโปรดของเขา นัยน์ตากลมเป็นประกายวิบวับขึ้นมาทันที “ป๊าซื้อเค้กมาทำไมเยอะแยะน่ะ”

“ให้แกกินน่ะแหละ” ปรเมษฐ์เดินออกมาจากครัว ในมือถือแก้วใส่นมสดสำหรับให้ลูกชายไว้กินกับเค้ก

“ของผมหมดนี่เลยเหรอ” เด็กหนุ่มถามเสียงใส

ปรเมษฐ์นั่งลงข้างๆ พร้อมกับส่งแก้วนมให้ “แค่นี้พอไหม ถ้าไม่พอเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันสั่งมาให้ใหม่ พอดีวันนี้ร้านปิดแล้วเลยซื้อได้แค่นี้ นี่ไปบีบคอขอซื้ออันที่จะวางขายตอนเช้าแล้วให้เขาเอามาส่ง”

นภธรณ์ยิ้มแก้มแทบปริ “ขอบคุณนะครับ แล้วทำไมจู่ๆ ป๊าถึงซื้อให้ล่ะ”

“ก็แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากให้ฉันเอาใจเยอะๆ”

“งั้นเดี๋ยวผมกินของพี่ยะก่อนนะแล้วค่อยกินของป๊า” นภธรณ์บอกพลางเลื่อนจานใส่เค้กครีมสดของโปรดิวเซอร์ใหญ่มาตรงหน้า

ปรเมษฐ์มองตาขวางก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ของหมอนั่นไม่ต้องกินก็ได้”

“ถ้าไม่กินแล้วจะให้ผมทำยังไงกับมันล่ะ”

“ก็ทิ้งไปสิ” ปรเมษฐ์ตอบเย็นชา

“ได้ไงอะ เสียดายของ ป๊าดูมันทำหน้าตอนที่ป๊าบอกให้เอาไปทิ้งสิ น่าสงสารคุณเค้กจะตาย”

ปรเมษฐ์มองลูกชายทำตาละห้อย แล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ “งั้นฉันกินเอง” พูดจบก็แย่งเค้กมางับเข้าไปทีเดียวครึ่งชิ้นก่อนที่คนไม่ชอบของหวานจะทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับรสชาติที่แสนเลี่ยนของครีม “แหวะ! โคตรหวานเลย ทำไมแกถึงชอบกินอะไรแบบนี้นะ”

“ป๊าห้ามคายทิ้งนะ”

“หึย” ปรเมษฐ์ย่นปาก จะคายทิ้งก็กลัวโดนลูกชายโกรธแถมยังเสียฟอร์มเรื่องที่บอกว่าจะกินเอง แต่จะให้กินต่อก็หวานจนแสบคอ

“ดูทำหน้าเข้า เอามานี่เลย ผมกินเอง” นภธรณ์ชะโงกหน้าเข้าไปกัดชิ้นขนมที่เหลือในมือ

“เอาไปถือเองสิ” ปรเมษฐ์ว่า “มากินอะไรในมือฉัน”

“ผมไม่อยากมือเปื้อนนี่นา ไหนๆ มือป๊าก็เปื้อนแล้วด้วย” นภธรณ์ไม่ได้เสียดายขนมเค้ก แต่รสสากของผิวเนื้อที่ริมฝีปากบังเอิญแตะไปโดนทำให้รู้สึกอยากกินไม่ให้เหลือ เขาตวัดสายตาขึ้นลอบดูปฏิกิริยาเจ้าของมือใหญ่ เห็นไม่ว่าอะไรจึงได้ใจใช้ลิ้นละเลียดเลียครีมที่เลอะไปติดอยู่ตรงปลายนิ้ว

ปรเมษฐ์หัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้ “เป็นลูกหมาหรือไงเนี่ย”

“เป็นลูกป๊าต่างหาก” นภธรณ์ตอบ

“จริงเหรอ” เสียงของผู้เป็นพ่อแข็งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไรแต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่อารมณ์โกรธ

“จริงสิครับ ก็ป๊าเพิ่งจะยืนยันไปเองนี่นา”

“ยังไม่หมดเลย เหลือตรงนี้อีก” ปรเมษฐ์พูดเสียงเบา

“ตรงไหนครับ”

“นี่ไง” ปรเมษฐ์เหลือบตาลงมองครีมที่เลอะอยู่บนริมฝีปากตน “ชอบดีนักก็กินให้หมดเลยนะ”

เด็กหนุ่มกระเถิบเข้าไปใกล้พร้อมกับเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อยอย่างเตรียมพร้อม แต่ในเสี้ยวนาทีที่ริมฝีปากกำลังจะแตะกันนั้นเองที่ปรเมษฐ์ใช้นิ้วปาดครีมออกแล้วป้ายลงบนริมฝีปากเขาแทน

“เป็นไงอร่อยไหม”

“อร่อยครับ” นภธรณ์งึมงำตอบพลางดึงตัวกลับมานั่งตามเดิมในขณะที่เฝ้าดูป๊าหยิบทิชชูออกมาเช็ดคราบครีมที่เหลือบนมือจนสะอาด ทั้งที่ริมฝีปากไม่ได้สัมผัสกันโดยตรงแท้ๆ แต่น่าแปลกที่จูบทางอ้อมแบบนี้กลับทำให้หัวใจเขาเต้นแรงมากกว่าปกติเสียอีก “ตอนทำคลอดครั้งแรกป๊าได้ลูกสาวหรือลูกชาย” เขาชวนคุยเรื่อยๆ แก้อาการเขินของตัวเอง

“ถามทำไมเหรอ”

“พี่เพ็ญเล่าให้ฟังน่ะครับ ผมเลยอยากรู้ว่าป๊าจะขึ้นคานหรือได้เจอเนื้อคู่”

“อย่างนี้นี่เอง”

“ตกลงลูกสาวหรือลูกชายครับ” นภธรณ์ถามซ้ำ

“ลูกชาย”

“แบบนี้เรื่องเล่านั่นก็แม่นน่ะสิ” นภธรณ์หมายถึงเรื่องที่สุดท้ายป๊าก็โดนแม่ทิ้งไป

คิ้วเข้มย่นเข้าหากันอยู่อึดใจก่อนจะคลายออกพร้อมกับที่มุมปากยกขึ้นยิ้มบางหากกระจายไปจนถึงนัยน์ตา “ก็ไม่ถือว่าแม่นเท่าไหร่นะ เพราะถึงฉันจะขึ้นคาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไม่ได้เจอเนื้อคู่นี่นา”

เด็กหนุ่มหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นป๊าก็ยังรักแม่สินะ “เหรอครับ”

“เลิกถามซอกแซกแล้วไปอาบน้ำได้แล้วไป”

“อาบด้วยกันไหมครับ” นภธรณ์ลองอ้อนดูเมื่อเห็นว่าแผนการบุกตรงๆ แบบครั้งก่อนไม่ประสบผลสำเร็จ “แล้วผมจะขัดหลังให้ป๊าเป็นการตอบแทน ดีไหม”

“ก็ได้”

“จริงนะครับ” เด็กหนุ่มตาโตไม่คิดว่าแค่ขอจะสำเร็จง่ายๆ

นภธรณ์กำลังจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วอะไรบางอย่างที่กำลังลุกขึ้นเหมือนกันอยู่ในกางเกงทำให้เขาต้องทรุดตัวลงนั่งตามเดิมพร้อมกับดึงหมอนอิงมากอดไว้แน่น

“เป็นอะไร”

“ปะ... เปล่าครับ” เขาพยายามทำเสียงไม่ให้มีพิรุธ ไม่คิดว่าการจูบทางอ้อมแบบนั้นจะทำให้เขาเกิดอารมณ์ได้มากขนาดนี้แล้วนี่จะไปอาบน้ำด้วยกัน เขาก็เผลอจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว “ขอโทษครับ ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมว่าจะกินเค้กอีกสักสองสามชิ้นก่อน ป๊าไปอาบก่อนเลย” เด็กหนุ่มพูดรัวเร็ว

“เก็บไว้กินพรุ่งนี้บ้างก็ได้ เดี๋ยวน้ำหนักก็ขึ้นหรอก” ปรเมษฐ์บอกก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ป๊าขี้เกียจพาผมไปฟิตเนสล่ะสิ”

“นั่นไม่ใช่ปัญหา ฉันจะขุนแกอีกสักกี่กิโลฯ ก็ได้ แก้มยุ้ยๆ น่าจับเล่นจะตายและพุงย้วยๆ ก็กอดนุ่มมือดี ฉันแค่เบื่อฟังพี่ตฤณของแกบ่นน่ะว่าต้องลดน้ำหนักได้แล้ว”

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ปรเมษฐ์ทิ้งท้ายไว้ให้ใจสั่น นภธรณ์ล้มตัวลงนอนคว่ำซุกหน้ากับโซฟาเพื่อซ่อนใบหน้าที่แดงไปถึงไหนต่อไหน นับตั้งแต่ที่จูบสัญญากันวันนั้นเขาก็ไม่ได้จูบกับป๊าอีกเลย เขาเม้มริมฝีปากซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างโหยหา แต่เขาจะทำมันได้ง่ายๆ เหมือนปกติโดยไม่ให้ป๊ารู้ได้ยังไงว่าเขากำลังคิดไม่ซื่อ เขาไม่ได้อยากให้ป๊ารู้ มันเป็นความรักที่เป็นไปไม่ได้ เขาแค่อยากจะรัก อยากอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่... เขาจะทนปิดความรู้สึกมากมายที่มันอัดอั้นในใจนี้ไปได้นานแค่ไหนกันนะ

ปรเมษฐ์เดินเข้าไปในห้องน้ำและเปิดฝักบัวอย่างแรงเพื่อให้เสียงน้ำกลบความสับสนจากสิ่งรอบตัว ดูภายนอกเขาอาจไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ภายในใจนั้นกำลังเจ็บปวดเมื่อคำพูดหนึ่งของดุริยะที่กระซิบบอกตอนอยู่ในห้องขุดเอาความทรงจำเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนขึ้นมาอีกครั้ง

วันที่หญิงสาวซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ของลูกกำลังจะหันหลังจากไป

“วา... นี่เธอคิดดีแล้วจริงๆ เหรอที่จะทำแบบนี้” เขาถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเป็นครั้งสุดท้าย หมดเหตุผลและถ้อยคำจะยื้อคนไม่มีใจที่ต้องการจะไป “แล้วเด็กคนนี้ล่ะวา เธอจะทำยังไง จะทิ้งเขาไปแบบนี้จริงๆ เหรอ เขาเป็นลูกของเธอนะ”

“ฉันขอโทษ”

นั่นคือคำตอบเดียวจากปากของผู้หญิงที่รักมากที่สุด ไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธ และไม่มีคำอธิบายใดๆ ในสิ่งที่เธอกำลังจะทำ 

สมองของเขามืดหมดทั้งแปดด้าน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ตอนนั้นเองที่ทารกในอ้อมแขนซึ่งยังไม่รู้ประสีประสาส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ทำให้เขาก้มลงไปมอง มันไม่ใช่เสียงหัวเราะ แน่นอนว่าเด็กตัวแค่นี้ยังพูดไม่ได้ แต่เสียงนั้นฟังเหมือนกับคำว่า ‘ป๊า’ และมันมาพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ซึ่งเป็นรอยยิ้มเดียวกันกับรอยยิ้มที่ทำให้ตกหลุมรักตั้งแต่เห็นหน้า และสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาตัดสินใจได้เด็ดขาด

เด็กคนนี้อาจจะเกิดมาเพราะความผิดพลาดของผู้ใหญ่ แต่จะต้องโตมาด้วยความรัก ถึงสุดท้ายแล้วตัวเขาจะไม่เหลือใครก็ไม่เป็นไร แต่เด็กคนนี้จะยังมีเขาที่คอยอยู่เคียงข้าง

“เธอไปทำสิ่งที่เธอต้องการเถอะวา ฉันจะไม่รั้งเธออีกต่อไปแล้ว แต่เด็กคนนี้ฉันเป็นคนทำให้เขาเกิดมา เพราะฉะนั้นฉันจะเป็นคนเลี้ยงเขาเอง... เขาเป็นลูกของฉัน”

วาริณีหันมาสบตาเขาเต็มตาเพื่อพิจารณาชายหนุ่มที่ยังอ่อนวัย “นายเลี้ยงเขาไม่ได้หรอก”

“ได้สิ ฉันทำได้”

“อย่าลืมคำพูดของนายนะโป้... ว่าเขาเป็นลูกของนาย”


นึกมาถึงตรงนี้ปรเมษฐ์ก็เอื้อมมือไปหมุนก็อกน้ำให้แรงขึ้นอีก เพื่อซ่อนเสียงของดุริยะที่ยังคงดังก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว


“วาฝากผมมาดูว่าคุณเลี้ยงลูกได้ดีจริงอย่างที่ให้สัญญากันไว้หรือเปล่า”


“นอฟเป็นลูกของฉัน” มันเป็นใช่แค่การรำพึง แต่เขากำลังพูดย้ำซ้ำๆ เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าลืมความจริงข้อนั้นไป

ก่อนที่หัวใจจะดำดิ่งลงไปในอดีตมากกว่านี้ หูก็แว่วได้ยินเสียงเพลง มันเป็นเพลงวัยรุ่นที่หาฟังได้ทั่วไปแต่เสียงหวานนั้นต่างหากที่ทำให้มันพิเศษ

มือใหญ่เอื้อมไปปิดน้ำ คว้าผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวแล้วเดินตามเสียงนั้นออกไปแล้วเขาก็พบต้นตอของเสียง เด็กหนุ่มนอนคว่ำหน้าเล่นเกมอยู่บนโซฟา ในขณะที่ปากก็ฮึมฮัมโน้ตเสียงสูงๆ ต่ำๆ ไปด้วย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่เสียงนี้เยียวยาหัวใจเขาได้เสมอ

ปรเมษฐ์กอดอกยืนพิงกรอบประตูห้องนั่งเล่นเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งคนถูกมองก็รู้ตัวและหันมาส่งยิ้มหวานให้ทั้งที่ยังร้องเพลงอยู่
เขายิ้มตอบ “กินเค้กอิ่มแล้วก็รีบไปอาบน้ำแปรงฟันซะสิ”

นภธรณ์ส่ายหน้า และทำเป็นลอยหน้าลอยตาร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ กลบอาการสะท้านอายของตัวเองที่ใจสั่นกับหยดน้ำซึ่งเกาะพราวอยู่บนหน้าคม และยิ่งแทบละลายตามหยดน้ำที่ไหลลงมาตามลำคอไปจนถึงอกกว้างที่เปลือยเปล่า

“อยากร้องก็ไปร้องต่อที่เตียง ฉันจะได้ฟังด้วย”

โน้ตที่กำลังไต่ขึ้นสูงหลุดคีย์ทันที  “ถ้าขึ้นเตียงก็ไม่ร้องแล้ว ผมจะนอน”

“ยังไม่ให้นอน” ปรเมษฐ์ว่า “ร้องอีกเพลงสิ ฉันอยากฟัง ไหนว่าจะร้องให้ฉันฟังไง”

เด็กหนุ่มไม่ตอบ แต่วางโทรศัพท์ลงแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนพลางคิดว่าต่อไปจะร้องเพลงอะไรดี

*****************************************TBC*************************************************

Talk

ขอโทษที่หายไปนานค่ะ (ด้วยความยาวของตอนนี้คงตอบคำถามได้ว่าทำไม) เราไม่อยากให้ขาดตอน และมันมีปม(อีกล่ะ) ที่วางต้องวางและปล่อยออกมาเลยแก้ลบๆ อยู่หลายรอบเพื่อให้สอดคล้องกับตอนต่อๆ ไป

เรื่องนี้ถือว่ายากมากและเป็นประสบการณ์ใหม่ของเรากับแนว incest ที่ต้องค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครให้มันไม่มากไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป

ถ้าหากใครอ่านแล้วรู้สึกขัดใจหรือมีข้อแนะนำใดๆ เชิญได้ที่เม้นต์ล่างหรือหลังไมค์เลยค่ะ

ปล.มึใครคนหนึ่งอ่านตอนนี้จบแล้วหันมาบอกว่า #โป้ยะ ก็โอเคนะ เราคงตอบได้แต่ยิ้ม ไว้อ่านต่อเองละกันเนอะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 22-05-2017 06:51:55
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่ายะรู้อะไรมากกว่าที่คิด
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 22-05-2017 07:19:03
น้องนอฟฟ น่าสงสาร โดน นักข่าวรังควาญขนาดนี้
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-05-2017 08:02:33
คิดอะไรมากมายในหัว แต่จะดื่มนมใส่น้ำผึ้งพิษนี้ต่อไป
อดใจรอเฉลย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 22-05-2017 08:23:40
การพัฒนาในแต่ละตอน ค่อยๆมาอย่างละมุนละม่อม เข้าใจคุณ leGGyDan เลย ว่าต้องใช้เวลาในการแต่ง มันคงจะสื่อออกมาตรงๆไม่ได้ เราคนอ่านที่แรกๆอ่านไปยังมีความตะหงิดๆในใจ ตอนนี้มันค่อยๆลดลงเหลือแต่ความน่ารักและเข้าใจหัวอกทั้งนอฟและป๊ะ  สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ   :katai2-1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 22-05-2017 19:19:36
ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นตลอดว่าจะเฉลยปมออกมาอย่างที่คิดไว้มั้ย
หวังว่าตอนจบจะไม่ซดมาม่านะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 07-06-2017 19:39:45
คิดถึงน้องนอฟแล้ววว ถึงกะย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้น
พี่ยะ นี่ตัวเร่งปฏิกิริยาชัดๆ ตอนแรกก็น่ากลัวว่าจะมาแทรกกลางของสองพ่อลูก แต่ยิ่งนานวันไปพี่ยะก็ยิ่งเหมือนตัวช่วยพิเศษ
เป็นคัย์แมนเลยนะ  ผู้กุมความลับ แกรู้ทุกอย่างเลยนะ แต่แกอมพะนำเอาไว้ ยังไงก็วาง 5 บาทตรงนี้ (กลัวเงิบไหม? กลัว)
พี่ยะต้องเป็นพ่อน้องนอฟแน่ๆ กลับไปอ่านซ้ำสองรอบ เพื่อหาคำใบ้เลยนะ พี่ยะแกก็ใบ้เยอะนะ ว่าแกนี่ล่ะ พ่อนอฟ
แต่คนที่จะบอกว่าใครคือพ่อนอฟก็มีแต่แม่ที่หายไปของนอฟเนอะ จริงๆ ใครจะเป็นพ่อไม่ว่ากันล่ะ
 อ่านแล้วแล้วชอบตรงมันมันขัดแย้ง ระหว่างสถานะ (พ่อลูก)เส้นเเบ่งศีลธรรม กับความรู้สึกในใจมันก็เรียกร้องกันทั้งคู่มากกว่า 
ความขัดแย้ง ที่ หมอโป้จะรอให้ นอฟบรรลุนิติภาวะก่อน อีก 3 ปี เลี้ยงต้อยต่อไปค่ะหมอ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 29-06-2017 17:21:12
เราว่าจริงๆแล้ว ยะเป็นพ่อของนอฟ และโป้ก็รู้ด้วยว่าไม่ใช่ลูกตัวเอง ที่บอกว่าทำให้เกิดมานี่คือเป็นคนทำคลอดใช่ไหม แบบที่เพ็ญบอก ว่าเป็นลูกสาวลูกชาย แต่วาทิ้งไปนี่เพราะอะไรคิดไมออกจริงๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 02-07-2017 22:37:21
บทที่ 11

“วันนี้มาแปลก นั่งทำการบ้านแต่หัววันเชียว” ปรเมษฐ์ถามลูกชายนี่นั่งหน้าเครียดอยู่กับกองตำราเรียนตรงโต๊ะกลางหน้าโซฟา

ทันทีที่เห็นปรเมษฐ์เดินเข้ามาในบ้าน นภธรณ์ก็รีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในครัวและกลับออกมาพร้อมกับแก้วใส่น้ำฝรั่งเย็นเจี๊ยบที่เขายืนเลือกอยู่นานสองนานและตัดสินใจเชื่อคำรีวิวว่าควรกินของโครงการในพระราชดำริ

“น้ำฝรั่งแท้ร้อยเปอร์เซ็น มีวิตามินซีสูงช่วยทำให้ผิวขาวหน้าใส สมองปลอดโปร่งแถมยังไม่ใส่น้ำตาลรับรองกินแล้วไม่อ้วนครับ” บอกพร้อมกับโพสท่าประหนึ่งเป็นพรีเซ็นเตอร์เสียเอง ใจจริงอยากถามว่า “จะกินน้ำฝรั่งหรือจะกินผมก่อน” แต่มีหวังได้โดนถีบกระเด็นแน่ๆ เลยเก็บไว้ในใจไว้ใช้วันหลัง

“เป็นบ้าอะไรเนี่ย”

“ผมไม่ได้บ้านะครับขนาดศรีธัญญายังเรียกผมว่าคนไข้เลย”

“ติงต๊อง” ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอ จะคว้าแก้วน้ำฝรั่งมาดื่ม มือก็หิ้วของพะรุงพะรังและในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเด็กหนุ่มก็รีบฉวยของไปถือเสียเอง รอยยิ้มประจบประแจงถูกส่งมาอย่างไม่ปิดบังจนกระเป๋าสตางค์หนาวๆ ร้อนๆ ยังไงพิกล “แล้วเมื่อกี้อ่านอะไรอยู่”

“ภาษาอังกฤษครับ พอดีจะสอบอาทิตย์หน้าน่ะเลยต้องขยันหน่อย ป๊ามาพอดีเลยผมถามหน่อยสิ ถ้าลูกชายแปลว่า Son แล้วคนสำคัญแปลว่าอะไร”
“important ไง”

“ผิด!”

“แล้วอะไร”

“ถ้าลูกชายแปลว่า Son คนสำคัญ แปลว่า ป๊าต่างหาก”

 ปรเมษฐ์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับมุกสองบาทห้าสิบของลูกชาย “ตกลงมีอะไรก็พูดมาเลย ไม่ต้องมาเกริ่นให้เสียเวลาหรอก”

“ผมได้รับเชิญไปร้องเพลงในคอนเสิร์ตฉลองครบรอบ 50 ปีช่องสอง นี่คุณสมยศโทรมาเองเลยนะป๊า เขาชอบเพลงที่ผมไปร้องในรายการครั้งก่อนน่ะ มีแต่คนดังๆ มา ทั้งดาราแล้วก็นักร้อง แล้วผมก็เป็นหนึ่งในนั้น เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ ก็เลยจะชวนป๊าไปดู” นภธรณ์บอกพร้อมทั้งหยิบบัตรสตาฟที่เขียนว่า VIP All area ออกมาวางบนโต๊ะ “บัตรพิเศษสำหรับคนพิเศษ เขาแจกให้แค่คนละใบน่ะ ป๊าไปดูผมร้องเพลงนะครับ นะ นะ น้า~”

“ต้องดูก่อนว่าวันนั้นอยู่เวรหรือเปล่า ถ้าไปไม่ได้จะให้โมไปแทนเหมือนทุกทีนะ”

“ทำไมหมอโมไปได้แต่ป๊าไปไม่ได้ล่ะ” เขาเผลอหลุดปากออกไปด้วยความน้อยใจ

“ก็...”

“ขอโทษครับ” นภธรณ์รีบบอก “ผมแค่อยากให้ป๊าไปดู แต่ถ้าป๊าไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ บัตรนี้ผมลงชื่อป๊าไปแล้วให้คนอื่นไปแทนไม่ได้”

ที่เขาจริงจังมากไปหน่อยเพราะคอนเสิร์ตนี้เตรียมการแสดงพิเศษไว้เพื่อป๊าโดยเฉพาะ

หลังจากท่านประธานแจ้งข่าวนี้ให้ผู้เกี่ยวข้องทุกคนทราบ ดุริยะที่เป็นคนโปรดิวซ์เพลงก็เกิดนึกสนุกอยากร่วมวงด้วยจึงเสนอตัวมาเล่นสดให้นั่นจึงทำให้เขาสบโอกาสขอร้องอะไรบางอย่าง

“เธออยากจะร้องออกมาในความหมายใหม่เหรอ” ดุริยะถามหลังจากได้ฟัง “น่าสนใจนี่ เป็นบาปอีกรูปแบบหนึ่งเหรอ หรือยังไง”

“ก็ไม่ถือว่าใหม่หรอกครับ จำที่พี่ยะเคยบอกว่าผมร้องแล้วรู้สึกน่าสงสาร น่าเห็นใจจนอยากจะเชียร์ได้ไหมครับ หลังจากที่ร้องไปหลายๆ ครั้ง ผมก็คิดว่าตอนนี้เข้าใจความหมายของมันมากขึ้นอีก” เขาพยายามเลือกใช้คำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้คนช่างสังเกตจับพิรุธได้ “สำหรับผมเพลงนี้มันไม่ใช่เพลงเศร้า มันก็แค่การแอบรักคนๆ หนึ่งที่ไม่สมควรจะรัก ผมจะไม่ดันทุรังแย่งเขามาแบบเพลงของคนอื่น แต่จะคอยอ้อน คอยหยอดวันละนิด รอวันเขาหันมามอง… พูดง่ายๆ คือผมอยากให้มันเป็นบาปสีชมพูน่ะครับ”

“ก็น่าสนใจนะนี่เป็นงานครบรอบด้วยดูเข้ากับธีมงานดี คงต้องมีการปรับเมโลดี้อะไรนิดหน่อยเดี๋ยวฉันจะดูให้” เพราะฟังดูน่าสนุก โปรดิวเซอร์ใหญ่จึงรับคำทันที

“มีอีกเรื่องครับ” นภธรณ์รีบพูดต่อ “ผมรู้อยู่แล้วว่ามันต้องปรับ และไหนๆ ก็ต้องปรับแล้วผมเลยอยากรีเควสเครื่องดนตรีน่ะครับ”

“อะไรเหรอ”

“ผมอยากร้องคู่กับเปียโนน่ะครับ”

ดุริยะเหลือบตามองเครื่องดนตรีที่ถูกคลุมผ้าอยู่ด้านในสุดของห้อง “ทำไมถึงต้องเป็นเปียโนล่ะ”

“เสียงมันหวานดีครับ คิดว่าคงเหมาะกับเพลงรัก”

“แน่ใจเหรอว่ามีแค่นั้น”

นภธรณ์เม้มปากสนิทครั้งหนึ่งพลางนึกถึงภาพถ่ายของแม่ที่ป๊าเคยเอาให้ดูก่อนจะเอ่ยออกไป “แม่เคยร้องเพลงกับเปียโนครับ ผมก็เลยอยากจะลองทำดูบ้าง”


รักที่บอกใครไม่ได้ สารภาพตรงๆ กับเจ้าตัวก็ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็ขอบอกอ้อมๆ ซ่อนผ่านไปในเสียงเพลงให้ทุกคนได้ฟังละกัน และถึงจะมีใครเอะใจขึ้นมา เขาก็ยังอ้างได้ว่ามันเป็นแค่อารมณ์ของเพลง

ปรเมษฐ์มองลูกชายที่หน้าหงอยหูตูบหางตกก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนยังทำหน้าทะเล้นเข้ามาเกาะแข้งเกาะขา ตาคมเหลือบลงบัตร เขาแทบไม่เคยไปฟังนภธรณ์ร้องเพลงตามงานเลย เหตุผลไม่ใช่ไม่ว่างถ้าจะไปจริงๆ เขาทำได้อยู่แล้ว เขาแค่ไม่อยากไปเพราะเขารู้สึกว่าเพลงนั่นไม่ได้ตั้งใจร้องให้เขาฟังแต่ร้องให้คนอื่น แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกแล้วว่าที่เป็นนักร้องเพราะอยากให้เขาได้ยินไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แล้วก็อุตส่าห์ลงทุนไปขอบัตรมาให้เป็นพิเศษขนาดนี้…

“ฉันจะไป”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง “จริงเหรอครับ”

เห็นดวงตาที่เป็นประกายวิบวับขึ้นมาแล้วปรเมษฐ์แล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ “มีข้อแม้ว่าแกต้องสอบภาษาอังกฤษให้ได้คะแนนมากกว่า 80 คะแนนนะ”

“80 คะแนน!” นภธรณ์ร้องเสียงดัง “ผมจะไปทำได้ยังไงป๊า คราวที่แล้วผมได้แค่ 50 คะแนนเอง แค่สอบผ่านนี่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้แต้มบุญเก่าเท่าไหร่ถึงจะพอแล้วนะครับ”

“ตกลงแกทำข้อสอบหรือเล่นเกมวัดดวง”

“เล่นเกมให้ชนะยังง่ายกว่าเยอะเลยครับ”

“พูดแบบนี้ ไม่ตกลงก็ไม่เป็นไรนะ ฉันก็แค่ไม่ไป สบายดีซะอีกไม่ต้องไม่วุ่นวายหาคนแลกเวร” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับดันบัตรออกไปไกลๆ

“ได้ครับ ผมรับคำท้า” นภธรณ์ชูหมัดขึ้นในอากาศด้วยท่าทางขึงขัง “ป๊าเตรียมตัวให้ว่างไว้ได้เลย”

นภธรณ์ทุ่มสุดตัวกับเดิมพันนี้ อย่างแรกคือเขาอยากให้ป๊าไปดูเขาร้องเพลง และอย่างที่สองคือเขาอยากพิสูจน์ให้ป๊าเห็นว่าเขาทำได้ เมื่อมีเวลาจากการซ้อมร้องเพลงเขาก็จะหยิบเอาสมุดจดศัพท์ขึ้นมาท่องตลอด จนทีมงานที่แสดงคอนเสิร์ตรู้กันทั่วว่าเขากำลังจะสอบ บางคนก็ใจดีแวะเวียนมาช่วยติวให้ ซึ่งดุริยะก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่เขาจะขอข้ามไปเพราะพี่ยะไปอยู่อเมริกามาหนึ่งปีใช้วิธีการเรียนรู้แบบครูพักลักจำ แกรมม่ามันก็จะเพี้ยนนิดๆ และศัพท์ก็จะวัยรุ่นหน่อยๆ ซึ่งไม่เหมาะกับการสอบภาษาอังกฤษตามตำราของเมืองไทย คนที่ดูจะสอนได้เรื่องได้ราวมากที่สุดเห็นทีจะเป็นรมิดาที่นอกจากจะสอนเก่งแล้วยังมีน้ำอดน้ำทนในการอธิบายให้เขาฟังซ้ำๆ อีก

ล่วงมาจนถึงวันสอบเด็กหนุ่มนั่งหน้าเครียดอยู่กับสมุดเก็งข้อสอบที่รมิดาทำรวบรวมมาให้อยู่ที่โต๊ะกินข้าว พยายามยัดทุกอย่างที่มีใส่ในหัวให้หมด แต่ตอนนี้สมองเขาเหมือนตู้ลิ้นชักเก่าๆ ที่ยัดอะไรเข้าไปบ้างก็ไม่รู้ จะว่าจำได้ก็ได้ จะไม่ได้ก็ไม่ได้ มันแบบ… อยู่ตรงหน้านั้นอะ บรรทัดที่สามจากข้างล่างทำไฮไลท์สีส้มแถมยังกาดอกจันไว้ด้วย... แต่เขาดันจำไม่ได้น่ะสิว่ามันเขียนว่าอะไร

“นอฟกินข้าวก่อน” ปรเมษฐ์เอ่ยขึ้นหลังจากที่เขากินข้าวพร่องไปครึ่งจานแล้ว แต่ลูกชายยังไม่ได้แตะสักคำ

“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำแต่มือก็ยังคงพลิกหน้าสมุดต่อไป

“ได้ยินที่ฉันพูดไหมเนี่ย”

“ขออีกนิดเดียวครับ”

“นอฟ” ปรเมษฐ์เรียกอย่างอ่อนใจ เขารู้มานานแล้วว่าลูกชายตัวเองเป็นคนหัวดื้อมากแค่ไหน และมันก็เป็นหน้าที่ของเขาสินะที่ต้องตามใจ

ปรเมษฐ์เลื่อนจานข้าวของเด็กหนุ่มมาตรงหน้า เขาตักข้าวขึ้นมาหนึ่งคำและยื่นไปจ่อที่ริมฝีปาก “เอ้า! กินซะ”

เด็กหนุ่มหันมาหาข้าวตามสัญชาติญาณดิบแบบที่ปรเมษฐ์ชอบแซวบ่อยๆ ว่าเขามีลีลาบนโต๊ะเยี่ยงสัตว์ป่า ตอนที่ปากจะแตะปลายช้อน จู่ๆ ป๊าก็ลดมือลงทำให้เขาต้องก้มหน้าต่ำลงไปอีกจึงงับข้าวเข้าปากได้ และในจังหวะนั้นเองที่ริมฝีปากอุ่นประทับลงมาที่กึ่งกลางหน้าผากพอดิบพอดี

นภธรณ์เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า กว่าจะรู้ตัวว่านั่นเป็นแผนเบี่ยงเบนความสนใจ เขาก็ถูกปรเมษฐ์ฉกหนังสือจากมือไปเก็บเรียบร้อยแล้ว แก้มขาวอุ่นซ่านกับแผนที่ป๊าช่างคิดขึ้นมาได้ พยายามจะพูดอะไรแก้เขินอีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“กินเลอะกินเทอะเป็นเด็กๆ ไปได้” ปรเมษฐ์บ่นพร้อมกับที่มือใหญ่แตะลงข้างแก้ม หยิบเอาเม็ดข้าวสวยที่ติดอยู่ตรงมุมปากเขาแล้วไปใส่ปากตัวเองเคี้ยวหน้าตาเฉย อย่าว่าแต่เขาขี้อ้อนเป็นเด็กๆ เลย บางทีป๊าก็ชอบลืมว่าลูกชายคนนี้โตเกินกว่าจะเอามุกตั้งแต่สมัยเขาอยู่อนุบาลมาใช้แล้ว

นภธรณ์รีบแย่งช้อนกับจานข้าวคืนมา “ผมโตแล้วนะ กินเองได้น่า”

“งั้นก็รีบกินให้หมด ออกสายเดี๋ยวรถก็ติดหรอก”

“รู้แล้วน่า”

เด็กหนุ่มทำเป็นก้มหน้ากินข้าวหากเหลือบตามองคนตรงหน้า สายตาจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากหยักลึกที่ยังขยับบ่นขมุบขมิบ แล้วก็เกิดอาการเหงาปากขึ้นมาแปลกๆ จนต้องรีบตักข้าวยัดใส่ปากให้เต็ม… รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ได้อยากกินข้าวเลยสักนิด แต่อยากกินอย่างอื่นมากกว่า

วันรุ่งขึ้นจากวันสอบเป็นวันประกาศผล และในขณะเดียวกันก็เป็นวันขึ้นคอนเสิร์ตเช่นกัน นภธรณ์เปิดอินเตอร์เน็ตเข้าเว็บของโรงเรียนเพื่อดูผลคะแนนโดยมีรมิดานั่งลุ้นอยู่ข้างๆ

“79 คะแนน” รมิดาร้องออกมาทันทีที่เห็นตัวเลข “นายพนันไว้ที่เท่าไหร่นะ 70 ใช่ไหม”

“80 คะแนนต่างหาก” นภธรณ์ตอบเสียงอ่อย

“ว้า~ น่าเสียดายจัง พลาดไปคะแนนเดียวเอง เอาน่าไว้วันหลังค่อยพยายามใหม่เนอะ” รมิดาตบบ่าปลอบใจ เธอไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาพนันอะไรไว้เพียงแต่บอกว่าป๊าจะให้รางวัลเท่านั้น “ฉันไปเตรียมตัวก่อนนะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวเจอกัน”

“อืม”

เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยาวนึกโกรธตัวเองที่ทำไม่ได้ ป่านนี้ป๊าคงเปิดดูผลคะแนนแล้วเหมือนกัน และก็คงจะไม่มาดูเขาร้องเพลงแล้ว ช่วยไม่ได้นี่นะ กติกาต้องเป็นกติกา… แต่… ก็คนมันเสียใจนี่นาอุตส่าห์พยายามมาตั้งขนาดนี้ ขอเขางอแงสักนิดนึงก็คงไม่ผิดอะไรละมั้ง

นภธรณ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก “ป๊า…” เขาเสียงเรียกเสียงอ่อย “เห็นผลสอบหรือยังครับ… ผมได้ 79 คะแนนแหละ รู้หรอกน่าว่ามันไม่ถึงตามที่เราตกลงกันไว้ แค่อยากโทรมาบอกน่ะ อย่างน้อยผมก็ได้มากกว่าคราวที่แล้วตั้ง 29 คะแนนเลยนะ เก่งใช่ไหมล่ะ… ป๊าทำไรอยู่ ผมอยากให้ป๊ามาดูด้วยจังแต่ไว้รอดูเทปด้วยกันก็ได้เนอะ… ป๊าครับ… อย่าเอาแต่เงียบสิพูดอะไรหน่อย”

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

“รอแป๊บนะป๊า สงสัยพี่ตฤณจะมาตาม” นภธรณ์เอียงคอหนีบโทรศัพท์ไว้แล้วหันไปเปิดประตูอีกครั้ง ก่อนจะร้องเสียงดังจนเผลอทำโทรศัพท์ร่วงเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ เขารีบก้มลงเก็บก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วใช้สองมือแตะไปทั่วทั้งใบหน้า คอ ไหล่ อก มากเท่าที่แขนจะเอื้อมถึงให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป “ป๊า! นี่ป๊าตัวเป็นๆ จริงๆ ด้วย ไหนว่ามาไม่ได้ไง”

ปรเมษฐ์หัวเราะกับความโก๊ะของลูกชาย เขาก้าวเข้ามายืนในห้องแล้วหันไปปิดล็อกประตูให้เรียบร้อย “ก็แกทำคะแนนไม่ได้ตามที่ตกลง ป๊าแกก็ไม่มาน่ะสิ”

“อ้าว งั้นนี่ใครมาล่ะครับ”

ตาคมเหลือบลงมองบัตรที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอก “บัตรนี่เป็นชื่อใครก็คนนั้นแหละ”

“ตกลงนี่ไม่ใช่ป๊าผมเหรอ”

“ไม่ใช่มั้ง”

เด็กหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากัน “แล้วเป็นใครครับ”

“แฟน”

“ห๊ะ~” เหมือนโดนขวานสีชมพูจามเข้ากลางแสกหน้า นภธรณ์ยืนนิ่งไปสามวินาทีก่อนที่คนจามมันลงมาจะดึงคืนไปและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ทำหน้าตกใจอะไรขนาดนั้น ฉันหมายถึงแฟนแม่แกไง” ปรเมษฐ์หัวเราะใส่คนที่ทำหน้าบูดก่อนจะยกช่อดอกทานตะวันที่ห่อด้วยถุงกระสอบขึ้นมา “พยายามเข้านะ”

ดอกทานตะวันว่าบานแล้วแต่ตอนนี้หน้าของเด็กหนุ่มบานยิ่งกว่าที่ป๊าซื้อดอกไม้ที่ชอบที่สุดมาให้แต่ก็ทำเป็นปากแข็ง “ป๊านี่จริงๆ เลยงานแบบนี้ใครเขาซื้อทานตะวันมาให้กัน มันต้องกุหลาบสิครับ”

“ก็ใครคนที่รู้ว่าแกชอบดอกอะไรมากที่สุดไง”

“ทำเป็นรู้ดีนะครับ” นภธรณ์รับมาหมุนไปมาพลางคิดว่าดอกใหญ่ขนาดนี้เขาต้องใช่หนังสืออะไรทับถึงจะทำดอกไม้แห้งได้… ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยกลับไปหา ในตู้หนังสือป๊ามีตำราแพทย์เล่มขนาดตกมาทับหนูตายได้ตั้งหลายเล่ม แอบเอามาใช้สอยผิดวิธีสักสองสามเล่มก็ไม่รู้หรอก

“จริงๆ อยากพับแบงค์พันทำเป็นดอกไม้ให้สักร้อยดอกแกน่าจะดีใจมากกว่า” ปรเมษฐ์ว่า

“แล้วทำไมไม่ทำละครับ ไม่ต้องถึงร้อยดอกก็ได้ขอแค่ดอกโตๆ สักดอกก็ยังดี”

“กลัวแกซุ่มซ่ามแกะแบงค์ขาดน่ะสิ จะเอาบัตรเครดิตใบใหม่ให้ เดี๋ยวแกก็จะบ่นว่าไม่มีพร๊อบอีกถ่ายรูปอีก ก็เอาแบบนี้แหละ ดูบ้านๆ ดี”

“จริงๆ แค่ป๊ามาผมก็ดีใจแล้วครับ” นภธรณ์ก้มหน้าลงแกล้งทำเป็นสูดกลิ่นหอมจนใบหน้าครึ่งหนึ่งจมหายลงไปในกลีบสีเหลืองของทานตะวันเพื่อซ่อนพวงแก้มที่ร้อนวาบขึ้น นอกจากของขวัญที่เตรียมมาอย่างดีแล้ววันนี้ป๊ายังแต่งตัวหล่อกว่าปกติ ด้วยชุดสูทของ Armani รุ่นใหม่ที่เขาเพิ่งเห็นในหน้านิตยสารเมื่อวันก่อน

“ตื่นเต้นไหม” ปรเมษฐ์ถามลูกชาย

“ไม่เลยครับ”

“แล้วทำไมต้องทำเสียงสูง” ปรเมษฐ์แซว

“ไม่ได้ทำสักหน่อย” นภธรณ์รีบปฏิเสธ

“แล้วทำไมมือสั่น”

“อากาศมันเย็นต่างหาก”

ปรเมษฐ์หัวเราะลงคอในความปากแข็งของลูกชาย “เอางี้ เพื่อเป็นการปลอบใจคนตั้งใจทำข้อสอบ ถ้าวันนี้ทำได้ดีเดี๋ยวกลับถึงบ้านฉันจะมีรางวัลให้ตกลงไหม”

“แน่จริงก็ให้มาเลยดีกว่าครับ”

“ฝันไปเถอะ คะแนนสอบก็ไม่ถึงยังจะต่อรองอีกนะ”

“ชิ!” เด็กหนุ่มทำเป็นเชิดใส่ ไม่รู้ไม่ชี้ แต่สักพัก เพียงแค่พักเดียวจริงๆ เขาก็พ่ายแพ้ให้กับเส้นประสาทที่เครียดเขม็งจึงทิ้งศีรษะพิงลงบนบ่ากว้าง ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอดังแว่วมาก่อนที่มือใหญ่จะวางลงบนศีรษะแล้วลูบเบาๆ โดยที่ไม่ต้องมีคำพูดใดๆ ความกังวลก็ค่อยๆ คลายออกช้าๆ

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนที่พิงไว้ ริมฝีปากที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบช่างน่าเย้ายวน แต่เขาก็ไม่อยากเสี่ยงให้มีข่าวอะไรหลุดไปอีกจึงได้แต่กลืนความอยากลงคอไปพร้อมกับน้ำลายแล้วเปลี่ยนเป็นถูไถศีรษะเบาๆ กับแผ่นอกเพื่อกระตุ้นให้มือใหญ่ลูบลงมาอีกเยอะๆ

“เอาอีก” เขากระซิบงึมงำกับอกกว้าง

“พอได้แล้วมั้ง” ปรเมษฐ์หัวเราะคิกคักกับกลุ่มผมที่คลอเคลียอยู่ตรงปลายคางทำให้รู้สึกจั๊กจี้พิลึก
“ยังไม่พออะ แบตเพิ่งชาร์จได้ครึ่งก้อนเอง” เด็กหนุ่มรำพึงแล้วหมุนศีรษะปักไว้กลางหน้าอกก่อนจะขยับเคาะเป็นจังหวะราวกับจะเร่งให้พลังใจถูกดูดซึมเข้ามาเร็วๆ

“พอได้แล้ว” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับคว้าบ่าลูกชายแล้วดันออกห่าง “ฉันจะไปนั่งที่ล่ะ เจอกันหลังจบงานนะ”
“ครับ”

ไฟในทุกดวงดับพรึ่บลง ก่อนจะมีหนึ่งดวงสว่างขึ้นพร้อมกับสาดส่องไปยังเปียโนหลังใหญ่ที่กลางเวที

นภธรณ์เหลือบตามองไปยังที่นั่ง V.I.P แถวหน้าเห็นคนที่มองหาริมฝีปากก็แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับที่เปล่งเสียงร้องออกไป

สำหรับเขาเพลงนี้มันไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้ว... รักมาก... ต้องการ... และจะแย่งมาเป็นของตัวเองให้ได้ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาของเขา สักวันเขาจะครอบครองหัวใจดวงนั้นให้ได้... อย่าเผลอละกัน... นี่ฉันพูดถึงเขานะ ไม่ใช่เธอ ระวังคนของเธอจะตกหลุมรักฉันโดยไม่รู้ตัว... ทำไมน่ะเหรอ... เพราะเขาเป็นของฉันมาตั้งแต่แรกแล้วยังไงล่ะ

บทเพลงจบลงนภธรณ์หันไปโค้งให้ทุกคน มีแฟนคลับโยนของขวัญขึ้นมาให้ทั้งดอกไม้และตุ๊กตา มีตัวหนึ่งตกลงมากระทบหน้าอกพอดีเขาจึงคว้าไว้ได้ทัน มันเป็นตุ๊กตาแมวหน้าเหวี่ยงแยกเขี้ยวเห็นฟันขาว เขาเหลือบตามองคนที่นั่งติดอยู่หน้าเวทีแวบหนึ่งก่อนจะก้มลงจูบแก้มตุ๊กตาแล้วโยนคืนลงไปด้านล่าง มันตกลงบนหน้าตักเป้าหมายอย่างพอดิบพอดี

แฟนคลับสาวๆ พากันกรีดร้องและชะเง้อคอมองหาว่าใครกันที่เป็นผู้โชคดีได้ไป แต่ก็ไม่มีการแสดงตัวใดๆ จากผู้ที่นั่งอยู่แถวหน้า

ทันทีที่นภธรณ์เดินผ่านม่านเข้าไปหลังเวที เขาก็รีบออกวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อไปยังห้องเปลี่ยนชุด ที่นั่นเขาพบกับใครคนหนึ่งที่ในมือกอดกอดตุ๊กตาแมวหน้าเหวี่ยงตัวที่เขาโยนลงไปไว้

ความเหนื่อยล้าจากการฝึกซ้อมตลอดมาหายเป็นปลิดทิ้ง เพียงแค่เห็นรอยยิ้มกว้างบนริมฝีปาก “ป๊า”

“เอาคืนไป” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับยัดตุ๊กตาใส่มือ “โยนลงมาทำไมแฟนคลับอุตส่าห์ให้”

นภธรณ์รับมากอดไว้…แฟนคลับคนที่ว่ามันก็ป๊าไม่ใช่หรือไง แล้วเขาก็แอบเห็นนะ ถึงมันจะค่อนข้างมืดก็เถอะ แต่เขามั่นใจว่าตอนที่ตุ๊กตาตกลงไปบนตักป๊าหยิบมันขึ้นมาจุ๊บครั้งหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นยืนและนั่นเป็นสาเหตุที่เขาวิ่งเต็มฝีเท้ามาหานี่ยังไงล่ะ

“มาอยู่นี่เอง” ตฤณที่เดินตามหลังมาว่า “คอนเสิร์ตจบแล้ว เธอจะไปเปลี่ยนชุดก่อนไหม หรือจะใส่ชุดนี้งานไปเลี้ยงขอบคุณเลย”

“ผมไม่ไปนะครับ เดี๋ยวจะกลับกับป๊าเลย”

“เธอจะมาเบี้ยวกันแบบนี้ไม่ได้นะ เราตกลงกันแล้ว” ตฤณตั้งต้นโวยวาย

“ก็ผมเป็นห่วงป๊านี่นา ไม่อยากให้ป๊ารอนาน”

ได้ยินดังนั้นปรเมษฐ์จึงรีบพูดแทรก “จะไม่ไปก็ไม่ไปด้วยเหตุผลของตัวแกเอง อย่าเอาฉันไปเป็นข้ออ้างในการอู้งาน”

“งั้นแสดงว่าถ้าผมจะกลับเลยก็ได้ใช่ไหมครับ”

 “ก็ตามใจ แต่แกก็อย่าลืมว่าแกกำลังทำงานอยู่ ถ้าหนีกลับก่อนมันจะเป็นการไม่ให้เกียรติสปอนเซอร์ แล้วผลที่ตามมาจะเป็นยังไง เขาจะยังเอ็นดูแกจ้างแกมาร้องเพลงอีกไหม? ถ้าแกรับผลนั้นได้โดยที่ไม่เสียใจทีหลังฉันก็โอเคทั้งนั้นแหละ”

นภธรณ์พยักหน้ารับแต่โดยดี “งั้นป๊ากลับคนเดียวนะ งานคงเลิกดึกเดี๋ยวผมให้พี่ตฤณไปส่ง”

“บัตร V.I.P นั่นใช้เข้างานเลี้ยงขอบคุณได้ด้วย ถ้าคุณโป้โอเคจะมาด้วยก็ได้นะครับ” ตฤณรีบบอก

“จะดีเหรอครับ ผมใส่ชุดลำลองมาเกรงว่าจะไม่สุภาพ ผมรอข้างนอกก็ได้ครับไม่มีปัญหาอะไร”

“แค่นี้ก็สุภาพสุดๆ แล้วครับ” ตฤณบอกพลางลอบมองตั้งแต่หัวจรดเท้า นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นคุณพ่อของนักร้องในสังกัดเขาคงคิดว่าเป็นพระเอกหนังคนใหม่แน่ๆ

“แต่ผม…” ปรเมษฐ์กำลังจะปฏิเสธให้เด็ดขาด แต่พอเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ส่งสายตาละห้อยมาให้แล้วก็เปลี่ยนใจ
“ป๊าจะอยู่ใช่ไหม”

“ขอรบกวนด้วยนะครับ” ปรเมษฐ์ตอบออกไป

“นอฟเสร็จหรือยังเนี่ย เขาไปกันหมดแล้วนะ” รมิดาเยี่ยมหน้าเข้ามา “อ้าว คุณโป้สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ” ปรเมษฐ์ยิ้มรับไหว้ “วันนี้แต่งตัวสวยจังเลยครับ การแสดงเมื่อสักครู่ก็สุดยอดมากเลย”

“แหม คุณโป้ก็พูดซะตรงเลย ดาด้าเขินนะคะ” รมิดาทำเป็นปิดหน้าบิดไปมา “แล้วนี่คุณโป้จะไปงานด้วยกันไหมคะ ยังไงดีล่ะดาด้าเองก็ยังว่างๆ อยู่ ไม่มีคนควงไปงานเลย”

ตฤนซึ่งเป็นแฟนพันธ์แท้ของดาราสาวตาลุกวาวทันที “เอ่อ… งั้นน้องดาด้า ปะ… ไป… ไปกับผม…”

“คุณแดนเนียลตามหานายอยู่แน่ะตฤณ” ดุริยะที่เปิดประตูเข้ามาเอ่ยขึ้น “เห็นว่าเลือกสีเนกไทค์ไม่ได้ อยากให้นายไปช่วยเลือกหน่อย”

“โธ่! คุณแดน ผมก็วางเส้นใหม่สำหรับคืนนี้ไว้ให้แล้วนะ” ตฤณบ่นพึมพำแล้วรีบก้าวยาวๆ ออกไป

เมื่อตัวขวางทางออกไปหนึ่ง รมิดาจึงรีบหันไปกระเซ้าเป้าหมาย “งั้นคุณโป้…”

“ถ้าอยากไปกับฉันก็ไม่ต้องมาทำเป็นลีลา พูดออกมาตรงๆ เลยก็ได้นะ” นภธรณ์พูดรัวเร็วพร้อมทั้งคว้ามือหญิงสาวมาเกาะแขนตนแล้วหนีบไว้แน่นเพื่อไม่ให้ไปเฉียดใกล้ป๊าได้อีก

หญิงสาวถลึงตาใส่ “ใครเขาอยากไปกับนายยะ”

“ไม่ต้องเขินน่า” นภธรณ์ยิ้มกว้าง “หลงเสน่ห์ฉันตอนร้องเพลงก็พูดมาเลย แล้วคืนนี้ฉันก็หล่อมากด้วย ไม่แปลกหรอกถ้าเธอจะทนไม่ไหว”

“เปล่าสักหน่อย”

“ผู้หญิงถ้าปากบอกว่าไม่ แสดงว่าใจบอกว่าใช่ เราไปกันเถอะดาด้า”

“ไม่! นอฟ ดาด้าจะไป…”

“เลิกเขินแล้วเดินตามมาดีๆ น่า” นภธรณ์รีบลากรมิดาไปที่ประตูเพื่อไม่ให้หนีได้ “ไปกันเถอะครับป๊า”

ปรเมษฐ์กำลังจะเดินตามไปดุริยะก็ยื่นมือเข้ามาคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน “มีอะไรครับ”

“งานแบบนี้ไปคนเดียวจะเหงานะครับ คนอื่นเขาก็มีคู่กันหมด ถ้ายังไงคุณโป้ไปกับผมได้ไหมครับ”

ปรเมษฐ์เหลือบมองทางหางตา “ก็ได้ครับ”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 10 P.5 [22/05/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 02-07-2017 22:39:38
(ต่อตรงนี้ค่ะ)



“มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมครับ” ปรเมษฐ์ถามคนที่เดินมาด้วยหลังจากหามุมสงบได้ หากก็ไม่ไกลเกินกว่าสายตาจะตามติดลูกชายที่กำลังเดินวนอยู่รอบโต๊ะอาหารนานาชาติซึ่งถูกจัดวางไว้ให้ตักบริการตัวเอง

“ยอมคุยกับผมแล้วเหรอ” ดุริยะถามกลับพลางหันไปหยิบแก้วแชมเปญจากบริกรที่เดินผ่านมาสองแก้วและส่งให้ปรเมษฐ์แก้วหนึ่งซึ่งอีกฝ่ายก็รับไปถือไว้ตามมารยาท

“ถ้าคุณไม่รีบเข้าเรื่องผมก็ไม่คุยละนะ”

“อย่าเพิ่งน้อยใจไปสิครับ เดี๋ยวก็หัวล้านหรอก” ดุริยะว่าพลางกระดกเหล้าเข้าปาก

“วาฝากอะไรมาเหรอครับ” ปรเมษฐ์รีบดึงเข้าเรื่อง

“ไม่คิดจะถามเลยเหรอครับว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน สบายดีหรือเปล่า”

“เรื่องนั้นก็อยากรู้ครับแต่คิดว่าไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่คุณอยากพูดเพราะงั้นผมจะข้ามไปก่อน” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ “ที่คุณเคยบอกว่า เธอฝากมาดูว่าเลี้ยงลูกดีไหม นั่นมีความหมายอะไรครับ”

“ก็เด็กนั่นพูดตลอดว่าอยากเจอแม่ใช่ไหมล่ะ เธอก็เลยกำลังคิดว่าจะกลับมาเจอหน้าสักครั้งดีหรือเปล่า”

ปรเมษฐ์หันไปจ้องตาดุริยะ มีประกายของความยินดีอยู่ในนั้น “เธอจะกลับมาจริงๆ เหรอครับ”

“กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจน่ะนะ แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ”

“มันเป็นสิทธิ์ของเธอ” ปรเมษฐ์ตอบสั้นๆ

“มีอีกเรื่องหนึ่ง” ดุริยะว่า “เธอไม่ได้พูดออกมาหรอก แต่ผมคิดว่าถ้าเธอจะกลับมา เธอคงจะกลับมาเพื่อคืนดีกับคุณ… เพื่อเริ่มต้นใหม่ คุณคิดว่ายังไง”

“ผมยินดี”

oooooo

“เธอนี่หน้าเหมือนผู้หญิงคนนั้นจริงๆ นะ”

เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นดึงให้นภธรณ์หันไปมอง หญิงสาวตรงหน้า เธอชื่อแพรวชมพูเป็นดาราดังและเป็นดาวเด่นอันดับต้นๆ ของงานในวันนี้

“คุณพูดเรื่องอะไรครับ” ถามออกไปอย่างระแวดระวังเพราะเขาไม่รู้จักเธอเป็นการส่วนตัว ถ้าเป็นรมิดาที่รู้จักคนเยอะก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้เธอก็ถูกผู้จัดการลากตัวไปเดินสายขอบคุณและแนะนำตัวกับบรรดาสปอนเซอร์ที่มาร่วมงาน

“วาริณี… คุณแม่ของเธอไง” แพรวชมพูตอบ

เด็กหนุ่มตาโตทันที “คุณรู้จักแม่ผมด้วยเหรอครับ”

“เป็นเพื่อนสนิทเลยล่ะ” แพรวชมพูว่าพร้อมกับส่งแก้วเครื่องดื่มที่ถือมาให้เด็กหนุ่มแล้วเริ่มต้นเล่า “เราเข้าวงการมาพร้อมกัน เธอก็น่าจะพอรู้ใช่ไหมว่าฉันเริ่มต้นด้วยการร้องเพลงก่อนจะมาเป็นดารา”

“ครับ” นภธรณ์พยักหน้าตาม เขาไม่ได้อยากให้ป๊ากลับไปเจอผู้หญิงคนนั้น ไม่ได้อยากเอ่ยถึง แต่ความรู้สึกมันเหมือนกับแฟนเก่าของแฟนคนปัจจุบัน แค่อยากรู้ว่าคนที่เรารักเคยรักคนแบบไหนก็เท่านั้น

“ฉันโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มเป็นที่รู้จัก วาเองก็เหมือนกัน แต่เธอก็ทำมันพังด้วยการท้องไปเสียก่อน มันไม่ใช่ข่าวดังอะไรสำหรับนักร้องหน้าใหม่ แต่มันก็ทำให้ไม่มีใครชื่นชมเธออีกต่อไป ใครเป็นพ่อเด็กก็ไม่บอกพอท้องโตขึ้นเรื่อยๆ ก็หายไปเฉยๆ ขาดการติดต่อไปเลย ฉันยังแอบคิดว่าวาตายไปแล้วด้วยซ้ำจนกระทั่งได้เห็นเธอปรากฏตัวขึ้นมานี่แหละ”

เด็กหนุ่มเงียบไป ทั้งที่ควรจะชินแต่ทุกครั้งที่ได้ยินว่าตัวเองนั้นเกิดจากความผิดพลาดก็อดที่จะเจ็บในใจลึกๆ ไม่ได้ รู้สึกสมองตื้อคิดอะไรไม่ออกและซวนเซนิดๆ เขายกแก้วขึ้นซดน้ำจนหมดเพื่อเรียกคืนความสดชื่น แต่ก็ดูเหมือนไม่ดีขึ้นเท่าไหร่

“อย่าคิดมากเลยนะ ถึงวาจะทำพลาดไป แต่วาก็ยังเก็บเธอไว้ไม่ได้คิดจะทำแท้งนะ อ้าว น้ำหมดแล้วนี่เอาอีกแก้วนะ”
“ขอบคุณครับ”

“ตรงนี้เริ่มจะเสียงดังเกินไปล่ะ เราไปหาที่คุยที่อื่นกันเถอะจะได้คุยสะดวกกว่านี้”

นภธรณ์เหลือบตามองป๊าที่กำลังคุยอยู่กับดุริยะแล้วจึงหันไปตอบ “ก็ได้ครับ”

หญิงสาวเดินนำเขาออกไปจากงานไปยังหน้าประตูห้องหนึ่งที่อยู่ตรงสุดทางเดิน

นภธรณ์ชะงักไปเล็กน้อยพลางเหลียวมองรอบตัวที่ไม่มีใคร

“ผู้จัดเขาเหมาทั้งชั้นไว้แล้วน่ะ เผื่อมีคนดื่มหนักแล้วกลับบ้านไม่ไหว”

นภธรณ์เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล “ขอบคุณนะครับที่เล่าให้ฟัง ผมขอตัวก่อนนะครับ”

“เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนล่ะจ๊ะ”

“แต่ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว”

“ก็ไม่ได้จะให้คุยนี่นา” ริมฝีปากแยกยิ้มชั่วร้ายที่ไม่อาจแอบซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากนางเอกได้อีกต่อไป แพรวชมพูเปิดประตูออกและผลักเด็กหนุ่มเข้าไป

นภธรณ์เซไปข้างหน้า รู้สึกแปลกๆ ที่ควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเครื่องดื่มที่ถูกส่งผ่านมาให้แก้วแล้วแก้วเล่านั้นน่าจะเป็นค็อกเทลไม่ใช่ม็อกเทลที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์อย่างที่เขาเข้าใจ เพราะอายุยังไม่ถึงป๊าจึงไม่เคยให้เขากินเหล้าเพิ่งรู้วันนี้แหละว่าอาการเมามันเป็นยังไง

“คุณจะทำอะไรผม!”

“โทษฐานที่ทำให้ฉันเสียหน้าเมื่อวันก่อน” หญิงสาวแสยะยิ้มก่อนจะปิดประตูพร้อมกับทิ้งท้าย “ขอให้สนุกนะจ๊ะ”
เด็กหนุ่มหมุนลูกบิดแต่มันก็โดนล็อกเสียแล้ว

“ว่าไงหนุ่มน้อย แหม ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเป็นฝ่ายเสนอตัวให้ฉันเอง”

เสียงแปร่งปร่าดังขึ้นมาจากด้านในของห้องแล้วอึดใจต่อมา ชายวัยกลางคนร่างท้วมที่คลุมกายด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำเพียงตัวเดียวก็เดินออกมายืนตรงหน้า

นภธรณ์จำชื่อเขาไม่ได้ แต่จำได้แม่นยำว่าเป็นหนึ่งในคนที่ท่านประธานเตือนว่าอย่าเข้าใกล้เป็นอันขาด เพราะงานเลี้ยงขอบคุณมันก็มีความหมายแฝงของการซื้อขายตัวกับผู้กำกับหรือสปอนเซอร์รายใหญ่อยู่ด้วย

“ผม… เปล่า…”

“แหมๆ ทำมาเป็นเล่นตัว แต่แบบนี้สิดีฉันชอบ”

นภธรณ์ทั้งเขย่าและทุบประตู แต่มันก็ไม่มีท่าทีจะเปิดหรือพังได้ง่ายๆ ทันใดนั้นมือที่แข็งเหมือนคีมก็ตะปบหมับลวมาบนหัวไหล่แล้วเหวี่ยงเขาไปล้มลงบนเตียงใหญ่ที่กลางห้อง

“มาสนุกกันเถอะ”

“ไม่นะครับ อย่า”  นภธรณ์ถดตัวหนี ถ้าเป็นปกติเขาคิดว่าสู้แรงได้สบายๆ อยู่แล้ว แต่นี่สมองมึนชาและร่างกายก็หนักอึ้งไปหมด ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เหล้าที่ทำให้เมาแต่ยัยจิ้งจอกนั่นคงใส่อะไรสักอย่างมาในแก้วน้ำด้วยแน่ๆ

“เอ้า! ร้องสิ ร้องดังๆ เลย ที่นี่เป็นโรงแรมของฉัน แถมนี่ยังเป็นห้องเก็บเสียงต่อให้เธอร้องให้ตายยังไงก็ไม่มีใครมาช่วยหรอก”

นภธรณ์รับรู้ถึงแรงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋า เขารีบหยิบออกเพื่อกดรับแต่ก็ถูกปัดหลุดจากมือกระเด็นตกไปอยู่ข้างเตียง

“อยากคุยก็ไว้หลังจากที่ฉันจัดการเธอเรียบร้อยแล้วละกันนะ” พร้อมกับที่รวบข้อมือทั้งสองของเด็กหนุ่มไว้

นภธรณ์ดิ้นรนอย่างอับจนหนทาง ทั้งกัดทั้งถีบแต่ก็ไม่อาจสู้แรงได้ ในที่สุดเขาก็โดนกดติดเตียง มือทั้งสองถูกตรึงไว้เหนือหัวในขณะที่คนที่ขึ้นคร่อมปลดเปลื้องเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นเรือนร่างเปลือยที่น่ารังเกียจแล้วก้าวขึ้นคร่อมเขาเอาไว้

“อย่า!”

ร้องจนเสียงแหบแห้ง สายตายังคงจับจ้องไปยังโทรศัพ์บนพื้นที่หน้าจอแสดงชื่อของใครคนหนึ่งที่ยังโทรเข้ามาไม่ขาดสาย

…ป๊า… ช่วยผมด้วย…

oooooo

“นอฟ ดาด้ามาแล้ว อ้าว...” รมิดาเหลียวมองซ้ายขวา ครั้งล่าสุดที่เห็นนภธรณ์คือกำลังคุยกับแพรวชมพู แต่ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นกลับไปคุยกับกลุ่มของเธอแล้ว เธอกวาดตามองรวดเร็วอีกครั้ง ประสบการณ์ในวงการตั้งแต่จำความได้ทำให้เธอรู้ว่าใครไว้ใจได้หรือไม่ได้ และใครเป็นคนจำพวกไหน แพรวชมพูเป็นคนประเภทที่ไต่เต้าขึ้นมาโด่งดังได้โดยใช้เต้าไต่ และดึกป่านนี้แล้วถ้าเธอยังไม่หายออกไปกับสปอนเซอร์หรือผู้กำกับคนไหนนั่นย่อมไม่ใช่เรื่องปกติ

“เจ้าหนูนั่นไปไหนแล้วล่ะดาด้า พ่อเขาตามหาอยู่เนี่ย โทรหาก็ไม่รับ” ดุริยะเดินเข้ามาหาพร้อมกับปรเมษฐ์ที่ในมือกดโทรศัพท์ไม่หยุด

“คุณโป้มาพอดีเลยคือว่าดาด้าก็หานอฟไม่เจอ ล่าสุดเห็นคุยอยู่กับคุณแพรวแล้วตอนนี้ก็หายไปแล้ว” รมิดาพูดรัวเร็ว

“เดี๋ยวฉันไปดูเอง” ดุริยะบอกเสียงเครียดทันทีที่ฟังจบ เพราะหลายอาทิตย์ก่อนเขาไล่แพรวชมพูลงจากรถไปเพื่อให้เด็กหนุ่มที่กำลังหนีนักข่าวขึ้นมาแทน และดูเธอจะแค้นมากเสียด้วยแต่ทำอะไรเขาไม่ได้เพราะยังต้องหวังให้เขาทำเพลงให้

“มีอะไร” ปรเมษฐ์ถาม

“จะบอกว่าไม่มีก็คงไม่ได้ แต่ถ้าเป็น ‘เขา’ งานนี้คุณก็คงทำอะไรไม่ได้”

“หมายความว่าไง”

“ผมกำลังพูดถึงคุณชาญณรงค์ สปอนเซอร์รายใหญ่ของงานวันนี้และเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้น่ะสิ” ดุริยะบอก คิดว่าอีกฝ่ายฉลาดพอจะเข้าใจความนัยที่สื่อไป

ปรเมษฐ์เงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยเสียงเครียด“ผมโทรหาพ่อได้”

“กว่าจะโทรติดคงไม่ทันแล้วล่ะ เอาเป็นว่าคุณรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

“คุณจะทำอะไร” ปรเมษฐ์คว้าแขนอีกฝ่ายที่กำลังจะเดินไปไว้

ดุริยะเหลือบตาลงมองมือนั้นก่อนจะตวัดสายตาขึ้นสบ “ผมรู้ตัวว่าไม่ใช่คนดี แต่เชื่อใจผมหน่อยเถอะ ว่าผมไม่เคยคิดจะทำให้เด็กนั่นได้รับอันตรายแม้แต่แผลเล็บแมวข่วน” แล้วค่อยแกะมือของปรเมษฐ์ออก “งานสกปรกแบบนี้มันไม่เหมาะกับพระเอกอย่างคุณหรอก ไว้เป็นหน้าที่ของผู้ร้ายอย่างผมดีกว่า”

oooooo

“ขออนุญาตครับ”

“ใครแม่งมาขัดจังหวะวะ” ชายร่างท้วมกล่าวอย่างหัวเสียก่อนจะคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับแล้วเดินไปเปิดประตู พลันใบหน้าที่ยับยุ่งด้วยความหงุดหงิดและตัณหาก็คลายออกเล็กน้อย “อ้าว นึกว่าใคร มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ ยาย่า หรือว่าเธออยากจะมาร่วมวงกับพวกเราด้วย”

“พี่ยะ…”

ดุริยะมองข้ามไหล่คนตรงหน้าไปยังเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว และขอบตาแดงก่ำรื้นน้ำตา “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ เด็กคนนั้นเขาไม่ได้เต็มใจจะทำแบบนี้”

“อ้าว… ไม่รู้ล่ะฉันจ่ายไปตั้งหลายล้าน มาถึงขั้นนี้แล้วฉันไม่ยอมขาดทุนหรอกนะ”

“งั้นเปลี่ยนกันไหมครับ”

“หืม~ ไหนเธอเคยบอกว่าระหว่างเราจะไม่มีครั้งที่สองไง”

“ตกลงคุณอยากจะมีไหมล่ะครับ ครั้งที่สองน่ะ”

เจ้าของเงินหนากอดอกคิดสะระตะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่ม “ถือว่าเป็นโชคดีของเธอนะ จะไปไหนก็เลยไป”

“พี่ยะ” นภธรณ์เรียก เสียงของเขาแหบไปเล็กน้อยจากการตะโกนติดๆ กัน

โปรดิวเซอร์ใหญ่เก็บโทรศัพท์ของเด็กหนุ่มที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาส่งให้แล้วนั่งลงบนเตียง “คุณโป้รออยู่ข้างนอก” ดุริยะบอกในระหว่างที่ช่วยติดกระดุมเสื้อและใช้มือสางผมเผ้าให้เข้าที่

“แต่ว่า…” เด็กหนุ่มอยากออกไปใจจะขาดแต่นภธรณ์ก็ไม่ได้อยากทิ้งดุริยะไว้กับเจ้าคนบ้ากามนี่

“ชักช้านี่อยากจะเล่น 3p หรือไงจ๊ะ” เจ้าคนบ้ากามหันมาเร่ง

“รีบใส่เสื้อผ้าแล้วก็ออกไปได้แล้ว” ดุริยะกำชับพร้อมทั้งรุนหลังเขาไปที่ประตู

ประตูเปิดออกและถูกดึงปิดตามหลังรวดเร็ว เพราะคนข้างในไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนอีก นภธรณ์จ้องมองบานประตูที่ปิดสนิทด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

มือข้างหนึ่งเอื้อมมาวางลงบนบ่า ทันทีที่หันไปเห็นว่าเป็นมือของใครเด็กหนุ่มก็พุ่งเข้ากอดแน่น “ป๊า”

ปรเมษฐ์ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่ลูบศีรษะปลอบขวัญก่อนจะจูงมือพาไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน

“ผมขอโทษ” เขากระซิบคำนี้ซ้ำๆ ไปตลอดทาง แต่ยิ่งอีกฝ่ายเงียบ ไม่พูด ไม่มีแม้คำต่อว่าต่อขานนั่นยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกผิด

จนกระทั่งกลับถึงบ้าน ปรเมษฐ์เดินตรงหายเข้าไปในห้องนอน ทีแรกเขาจะเดินตามไป แต่เมื่อเดินผ่านกระจกที่ติดอยู่ตรงห้องนั่งเล่นเขาก็ได้เห็นสภาพตัวเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดินออกจากห้องนั้นมา

ถึงดุริยะจะช่วยจัดผมให้แล้วแต่มันก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าดูดี ตาแดง เสื้อผ้ายับเยิน และที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือรอยสีแดงที่อยู่ตรงข้างซอกคอ

เขายกมือขึ้นถูอย่างแรงแต่รอยนั่นกลับยิ่งแดงเป็นปื้นชัดขึ้นราวกับจะประจานความสกปรกของเขาให้โลกรู้

เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าห้องน้ำของห้องนอนเล็ก เขาถอดเสื้อผ้าออกจนหมด เงาที่สะท้อนให้เห็นตั้งแต่หัวจรดเท้านั้นยิ่งทำให้แทบคลั่ง รอยแดงนั่นไม่ได้มีแค่ที่คอ แต่ยังมีบนหน้าอกอีกสองสามจุด เขาเปิดฝักบัวจนสุด ให้น้ำเย็นเฉียบสาดลงมาโดนตัวแล้วกวาดเอาเครื่องอาบน้ำทุกอย่างที่มีทั้งสบู่ ครีมอาบน้ำ ยาสระผมมาเทใส่บนตัวใช้ทั้งฟองน้ำและมือขัดถูทั่วทุกซอกทุกมุม… ซ้ำแล้ว… ซ้ำอีก… แต่ร่องรอยนั่นก็ไม่จางลงเลยแม้แต่นิดเดียว

“หายไปสิ! ทำไมถึงไม่หายไปล่ะ… พราะแบบนี้สินะป๊าถึงไม่ยอมพูดด้วย… เพราะเรามันสกปรกสินะ”

oooooo

เวลาผ่านไปนานจากนาทีเป็นครึ่งชั่วโมงจนเกือบครบชั่วโมงปรเมษฐ์ก็เริ่มเอะใจว่าลูกชายอาบน้ำนานเกินไปจึงไปเคาะประตูเรียก

“นอฟ เป็นอะไรหรือเปล่า”

คำตอบที่ได้มีเพียงเสียงน้ำที่ยังไหลไม่หยุด

“นอฟ!”

ยังไม่มีคำตอบจากคนที่อยู่ข้างใน แต่เงาที่เห็นลางๆ บนกระจกแบบฝ้าทำให้ปรเมษฐ์พอมองเห็นได้ว่าอย่างน้อยลูกชายยังยืนอยู่ใต้ฝักบัว

เขาไม่อดทนเรียกจนครั้งที่สามและเปิดประตูเข้าไป

“นอฟ! เป็นอะไรทำไมเรียกไม่ตอบ”

เด็กหนุ่มเบือนหน้ามาช้าๆ เปียกตั้งหัวจรดเท้า นัยน์ตาแดงก่ำ น้ำตาผสมกับน้ำจากฝักบัวจนแยกไม่ออก ผิวขาวแดงเป็นจ้ำจากการขัดถูอย่างแรง

“นี่แกทำบ้าอะไรเนี่ย!” ปรเมษฐ์เอื้อมมือไปปิดฝักบัวก่อนจะหันไปคว้าผ้าขนหนูมาตวัดลงรอบตัวเด็กหนุ่ม ผิวเนื้อนั้นเย็นเฉียบจนเขาเองยังสะดุ้ง เขารั้งตัวลูกชายมากอดแนบอกพร้อมกับลูบมือไปตามแนวไหล่จนถึงต้นแขนเพื่อให้เกิดความอบอุ่น

นภธรณ์ขืนตัวออกห่าง “ป๊าอย่าเพิ่งกอดผม… ผมมันสกปรก” เสียงของเขาติดสะอื้นนิดๆ “ผมมันโง่เองที่โดนเขาหลอก… แล้วยัง… พี่ยะ…”

ปรเมษฐ์แทบใจสลาย เขากระชับอ้อมแขนกอดเด็กหนุ่มแน่นขึ้นอีก “ต่อให้แกสกปรกมากกว่านี้ฉันก็รัก”

“แต่ป๊า…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว” ปรเมษฐ์บอกเสียงเข้มพร้อมกับปิดริมฝีปากที่สั่นนั้นด้วยปากของตัวเอง

นภธรณ์ยกมือขึ้นกอดตอบ “ป๊า”

“ไหน โดนมันทำอะไรบ้างบอกฉันสิ” ปรเมษฐ์ถาม “กอด?”

“ไม่รู้จะเรียกว่ากอดไหม แต่ก็จับไปทั่วๆ น่ะครับ”

“แล้วจูบล่ะ?”

เด็กหนุ่มพยักหน้า

“ตรงไหน ปาก?”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ไม่โดนปากครับ มันพลาดไปโดนแก้ม… แล้วก็ตรงคอ… กับหน้าอก”

ตาคมตวัดลงมองรอยแดงเป็นจุดๆ เป็นตัวลูกชาย “แค่นี้เหรอ”

“ครับ”

ปรเมษฐ์ก้มหน้าลงต่ำก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนรอยแดงที่ข้างซอกคอซึ่งเป็นจุดที่ใหญ่และเห็นชัดที่สุดแล้วขบฟันกัดลงไปครั้งหนึ่ง

“โอ๊ย!” นภธรณ์ร้องเสียงหลง “ป๊าทำอะไรน่ะ”

“เผื่อพรุ่งนี้มีใครเห็นแล้วถามว่าไปได้รอยนี่มายังไง แกก็ตอบไปว่าทะเลาะกับฉันแล้วกัน” ปรเมษฐ์ตอบ

“ทะเลาะยังไงครับถึงได้มีรอยที่คอ”

“ถ้าเขาอยากรู้มากนัก ก็ให้มาถามฉันละกัน” ปรเมษฐ์ตัดบท “แล้วโดนอะไรอีกไหม”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “แค่นี้ครับ พี่ยะเข้ามาช่วยไว้ได้ทันพอดี… ป๊าครับ แล้วพี่ยะจะเป็นอะไรไหม”

“ฉันคิดว่าเขาคงจัดการเรื่องนี้ได้ถึงได้อาสาไปแบบนั้น แล้วพรุ่งนี้ก็ไปขอบคุณเขาด้วยนะแต่ตอนนี้แกรีบแต่งตัวแล้วก็ไปนอนพักเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“ครับ” นภธรณ์รับคำพร้อมกำชับผ้าเช็ดตัวแน่นขึ้น เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เนื้อตัวเปียกปอนอยู่ในอ้อมแขนของป๊า ร่างกายตั้งแต่อกไปจนถึงต้นขาแนบชิดกันจนแทบไม่เหลือช่องว่าง และทั้งที่อีกฝ่ายยังใส่เสื้อผ้าครบทุกชิ้นแต่อุณหภูมิกายกลับถูกส่งผ่านมาถึงจนทำให้ผิวกายของเขาร้อนผ่าว

“เป็นอะไร หนาวเหรอ” ปรเมษฐ์ถามพลางกอดลูกชายให้แน่นขึ้นอีก

“ปะ… เปล่าครับ” เด็กหนุ่มก้มหน้าจนคางชิดอกเพื่อซ่อนใบหน้าที่ต้องแดงขึ้นแน่ๆ แล้วรีบผละออกไปหาเสื้อผ้าใส่

นภธรณ์เดินกลับมายืนเตียงอย่างเก้ๆ กังๆ ยังรู้สึกติดใจว่าป๊าจะรังเกียจหรือโกรธเขาไหมจึงไม่กล้าขึ้นเตียงในทันทีและตั้งใจจะรอให้ป๊าออกมาจากห้องน้ำก่อนจึงจะเข้านอน พลันสายตาเหลือบไปเห็นเจ้าตุ๊กตาแมวหน้าเหวี่ยงที่วางอยู่บนหมอนทำให้ย้อนคิดถึงคำพูดของป๊าว่าต่อให้เขาสกปรกแค่ไหนก็รัก กับริมฝีปากอุ่นที่ประทับลงมา

แล้วความร้อนก็แผ่ซ่านจากจุดที่ประทับไปจนถึงปลายนิ้ว เหมือนมันนานมากแล้วนับตั้งแต่เขาจูบกับป๊าในวันที่รู้หัวใจตัวเองนั่น และวันนี้ถึงสถานการณ์จะไม่ดีเอาเสียเลย แต่เขายอมรับว่ามันแตกต่างไปจากที่เคย ทั้งที่แค่ริมฝีปากแตะกันเบาๆ เหมือนทุกครั้ง หากหัวใจมันประกาศชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการแค่จูบปลอบขวัญหรืออ้อมกอดของคนเป็นพ่อ แต่เป็นคนรักและต้องเป็นผู้ชายคนนี้เท่านั้น

เขาคว้าตุ๊กแมวขึ้นมากอดแนบอกและจูบมันตรงที่ป๊าเคยจูบ แก้มขาวแดงไปจนถึงใบหู เขาทนอาการเขินของตัวเองไม่ไหวรีบมุดขึ้นเตียงก่อนที่ป๊าจะออกมาจากห้องน้ำ

ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงน้ำก็เงียบ ไฟในห้องถูกปิดมืด สักพักก็รู้สึกว่าเตียงข้างๆ ตัวยวบลง นภธรณ์ปิดตา มือกอดตุ๊กตาแน่นแกล้งทำเป็นหลับไปแล้ว

“หลับแล้วเหรอ”

“ครับ”
“หลับแล้วตอบได้ยังไง”

นภธรณ์เม้มปากสนิท เขารู้สึกว่าเสียงของป๊านั้นอยู่ใกล้มาก ราวกับว่ามันกระซิบอยู่ข้างหู แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกเขาคงคิดไปเองเพราะปกติป๊าจะนอนหันหลังให้เขา

ในขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่านพร้อมๆ กับพยายามข่มตาให้หลับนั้นเองเด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่มากระทบแผ่นหลังพร้อมๆ กับที่อะไรถูกสอดแทรกเข้ามาระหว่างที่นอนตรงช่วงเอว กว่าจะนึกออกว่ามันคืออะไรตอนนี้ตัวเขาก็โดนปรเมษฐ์กอดเอาไว้และความรู้สึกที่ว่าเสียงทุ้มนั้นอยู่ข้างหูก็ไม่ใช่การคิดไปเอง

“ป๊า” นภธรณ์เรียกเสียงพร่า “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“กอดลูกชายผิดด้วยเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบขึ้น

“ผมนึกว่าป๊าจะเกลียดผมแล้ว”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่เกลียด”

“ก็ตอนแรกป๊าไม่ยอมพูดอะไรเลยนี่นา”

“ฉันกำลังโกรธตัวเองน่ะที่ปล่อยให้แกไปเจออะไรแบบนั้นโดยที่ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย” ปรเมษฐ์บอกพลางวางศีรษะแนบลงตรงช่องว่างระหว่างแก้มกับซอกคอ

“ไม่ใช่ความผิดป๊าสักหน่อย ผมต่างหากที่ไม่ระวัง” นภธรณ์บอก “คุณแพรวชมพูเล่าเรื่องแม่ให้ฟังน่ะผมเลยตามเขาไป”

“อืม”

แล้วปรเมษฐ์ก็เงียบไป นภธรณ์รู้สึกว่าป๊าขยับตัวไปมาคล้ายกับจะอึดอัดจึงพยายามนอนให้นิ่งมากที่สุดเพราะกลัวว่าป๊าจะปล่อยมือ

“เอาเจ้าแมวนี่ออกไปก่อนได้ไหมฉันกอดไม่ถนัด” จู่ๆ ปรเมษฐ์ก็พูดขึ้นพร้อมกับดึงเจ้าตุ๊กแมวตัวปัญหาออกไปโยนไว้อีกฟากของเตียงแล้วซุกมือลงตรงเนื้อพุงนิ่มๆ ที่ตอนนี้ไม่มีอะไรมาขวางกั้นอีกต่อไป “ค่อยยังชั่วหน่อย”

“ป๊า… กะ… กอด… นะ… แน่นไปหรือเปล่าครับ” นภธรณ์ถามด้วยเสียงที่สั่นไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ

“แน่นๆ สิดี จะได้ล้างกลิ่นสาบคนอื่นให้หมดไง”

ปรเมษฐ์ตอบแค่นั้นแล้วก็อิงใบหน้าแนบลงมา นภธรณ์วางมือของตนทับลงไปบนมือใหญ่ก่อนจะปล่อยให้เสียงลมหายใจกับเสียงหัวใจอีกดวงที่เต้นอยู่หลังอกกว้างช่วยปลอบประโลมฝันร้ายในค่ำคืนนี้และกล่อมให้เขาหลับไปในที่สุด

**************************************************TBC*******************************************************
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 03-07-2017 06:53:38
น้องนอฟน่าสงสารรรรร
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 03-07-2017 07:23:21
ไม่คิดว่าพี่ยะ จะกลายเป็นยาย่า ไปได้เลยยยยย แต่เพื่อช่วยนอฟ   :hao5: คนดีเกินไปแล้วววว

หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 04-07-2017 23:20:21
พี่ยะ เป็นคนดีอะไรเยี่ยงนี้ เอาตัวเข้าแลกแทนเพื่อปกป้องนอฟขนาดนี้ พี่ยะ เราขอโทษที่เคยด่าพี่นะ ว่าแต่พี่ยะนี่ แกเป็นโบ๊ทหรอคะ ข้องใจมาก

นอฟลูก  หนูยังเด็กยังเล็กนัก ทำไมหนูอ่อยเบอร์แรกขนาดนี้คะลูก  ยีหัวหัวเองด้วยความเขินสองพ่อลูกคู่นี้ สัมผัสแต่ละอย่างมันไม่ใช่พ่อลูกกันแล้ว

ส่วนหมอโป้ จะยินดีกลับไปคืนดีกับผู้หญิงคนนั้นทำไมอะ งอลลลล
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-08-2017 02:23:06
คุณโป้ไม่ได้คิดอะไรกับน้องเลยใช่ไหมคะ ทำไมดูยังรักแม่น้องมากกกก

แล้วนี่เป็นเราคนเดียวหรือเปล่าที่อยากให้เขาเป็นพ่อลูกกันแบบนี้ตลอดไป เป็นความบาปกึ่งนึง กลางๆไม่บาป 100% เราว่าอยู่กันแบบนี้มันก๊าวใจกว่าเป็นคนรักกันอีกกกก  :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: continued ที่ 04-08-2017 04:08:17
เห็นมันเด้งขึ้นมา คิดว่าอัพตอนใหม่ อ้าว เราดูเดือนผิด
อาจจะไม่ค่อยได้คอมเมนต์ แต่ติดตามทุกตอนนะคะ
เริ่มอยากให้นอฟรุกหนักๆบ้าง อยากเห็นคนแก่ไปไม่เป็น
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-08-2017 21:02:20
รอนานเหลือเกิน

เอาใจช่วยพี่ยะจนจะหมดแรงแล้วเนี่ย มาเร้ว!
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 04-08-2017 23:29:58
สนุกมากเลยค่า อ่านรวดเดียวมาถึงตรงนี้ แอบคิดไปว่า นอฟกะพี่โป้ ไม่ใช่พ่อลูกทางสายเลือดจริงๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เจ้าหญิงขี้ลืม ที่ 18-08-2017 19:16:00
สงสารนอฟ เมื่อไรแต่ละคนจะรู้ความจริงซักที
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-09-2017 23:24:29
Chapter 12

“นี่คุณล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย” ดุริยะมองพานบายศรีสู่ขวัญชุดใหญ่ซึ่งวางอยู่ตรงหน้า จะว่าเป็นมุกคนที่นำมันมาให้ถึงห้องบนคอนโดก็ดูจริงจังเกินกว่าจะทำแบบนั้น

“ก็ผมไม่รู้นี่นาว่าต้องซื้ออะไรมา ให้ช่อดอกไม้หรือเงินก็กลัวว่าคุณจะเข้าใจเจตนาผมผิดอีก” ปรเมษฐ์ตอบเสียงเครียดพลางหันไปหาลูกชายแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่ง

นภธรณ์ยกมือขึ้นไหว้ “ขอโทษแล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อวานนะครับ” เขาพูดจากใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเขินเกินกว่าจะมองหน้าดุริยะตรงๆ ได้ สมองมันพาลจะคิดจินตนาการต่อเรื่องหลังบานประตูนั่น ทางโน้นก็ขึ้นชื่อว่าเป็นตาแก่ตัณหากลับกินไม่เลือก ในขณะที่ทางนี้ก็เสือตัวพ่อ

ดุริยะหัวเราะชอบใจในขณะที่เห็นแก้มของเด็กหนุ่มแดงระเรื่อขึ้นไปจนถึงหู ถึงปากจะบอกว่าตัวเองโตตามเกมผู้ใหญ่ทัน แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ประสาอะไรสักอย่าง “ขนมาซะขนาดนี้แล้วไม่เตรียมสายสิญจน์มาผูกข้อไม้ข้อมือเรียกขวัญซะด้วยเลยล่ะ” เขาแกล้งแซ็ว

“ผมลืมเรื่องนั้นไปเลย” ปรเมษฐ์ว่า “แต่ผมมีน้ำมนต์ของหลวงพ่อจากคำชะโนดนะ อันนี้น่าจะดีกว่าคุณจะได้เอาไว้ใช้ผสมน้ำอาบล้างความซวยตั้งแต่หัวจรดเท้า”

นภธรณ์พยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับกุลีกุจอหยิบขวดน้ำมนต์ในกระเป๋าออกมาส่งให้

ดุริยะยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม “พอเลยพวกคุณ ทั้งพ่อทั้งลูกจะแกล้งให้ผมขำตายใช่ไหม... เอาเป็นว่าผมรับหมด ทั้งคำขอโทษและขอบคุณ แต่พานนี่กับน้ำมนต์ไม่เอานะแค่นี้ห้องผมก็รกจะแย่แล้ว คุณเอามันกลับไปด้วย แล้วผมขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน”

“คุณอยากได้อะ...” ปรเมษฐ์ยังถามไม่ทันจบดี ดุริยะกรีดยิ้มกว้างก่อนจะกางแขนออกแล้วดึงตัวลูกชายเขาเข้าไปกอด

“พี่ยะ!” นภธรณ์ร้องโวยวายพร้อมกับขืนตัวออกห่างด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายกดจูบหนักๆ ลงมาจนแก้มบุ๋ม

ได้หอมฟอดใหญ่ข้างขวามาครั้งหนึ่งกำลังจะอ้อมไปข้างซ้าย หูก็แว่วได้ยินเสียงกระแอมไอในลำคอเบาๆ ของคนเป็นพ่อ ดุริยะจึงยอมปล่อยตัวเด็กหนุ่มแต่โดยดีแม้จะแสนเสียดาย และไม่วายแอบหยอดไปเบาๆ “แหม~ แก้มเด็กนุ่มๆ นี่มันชื่นใจกว่าหนังตึงๆ เสริมโบท็อกซ์จริงๆ ด้วย”

นภธรณ์ถอยไปยืนแอบข้างป๊าพร้อมกับยกมือขึ้นถูแก้มไปด้วย อันที่จริงเขาจะไม่เขินขนาดนี้เลยถ้าไม่ใช่เพราะป๊ามองอยู่ ถ้าหากป๊าเกิดเข้าใจผิดว่าเขาชอบพี่ยะขึ้นมาจะทำไง ไม่ว่ายังไงเขาก็รักป๊าของเขาคนเดียวนะ

ดุริยะอมยิ้มกรุ้มกริ่มมองเด็กหนุ่มที่ถึงจะก้มหน้าซ่อนพวงแก้มที่แดงไปจนถึงหู แต่สายตากลับแอบมองไปยังคนที่ยืนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เขาตวัดสายตาขึ้นสบตาปรเมษฐ์ที่จ้องเขม็งมาที่เขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าหนู เพลงเวอร์ชั่นเปียโนที่เราเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันเมื่อคืนน่ะ ฉันขอเทปบันทึกเขาเอามาลงคอมแล้วตัดเสียงรบกวนออกให้หมดแล้วเธออยากลองฟังดูไหม ไม่ใช่ไม่เลว แต่ฉันว่ามันเยี่ยมเลยล่ะ เอาลงยูทูปเผลอๆ ยอดวิวจะพุ่งแซงเวอร์ชั่นปกติอีก”

“อยู่ที่ไหนครับ” นภธรณ์ถามอย่างกระตือรือร้น

“ในห้องซ้อมน่ะ เปิดไว้หน้าคอมอยู่แล้ว” โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่บอกพร้อมกับชี้มือเป็นเชิงอนุญาต

นภธรณ์จึงเปิดประตูห้องซ้อมเข้าไปอย่างคุ้นเคย

ดุริยะเดินตามไปดูให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มใส่หูฟังเปิดเพลงเรียบร้อยก่อนจะดึงประตูปิดให้สนิทและหันมาสบตาปรเมษฐ์บอกเป็นนัยว่าทางสะดวกแล้ว พร้อมกับคว้าซองบุหรี่ขึ้นจะสูบด้วยความเคยชิน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบจึงทำท่าจะยัดลงกระเป๋า
ปรเมษฐ์เห็นจึงรีบบอก “ตามสบายเลยครับ ที่นี่บ้านคุณ แล้วดูท่าหลังจากนี้คุณมีเรื่องให้ต้องเครียดอีกเยอะ”

“นอกจากบายศรีกับน้ำมนต์แล้วผมยังมีเรื่องอะไรต้องเครียดอีกเหรอ” ดุริยะถาม

“ผมไปเช็กประวัติผู้ชายคนนั้นมาแล้ว” ปรเมษฐ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แล้วยังไง”

“คือ... ผมรู้ว่าคุณค่อนข้างมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ถ้าคุณคิดว่าไม่สบายตรงไหนอะไรยังไง ตัวผมเองก็เป็นหมอสูติฯ นะ ถึงปกติจะตรวจแต่ผู้หญิงแต่ของผู้ชายผมก็พอมีความรู้อยู่บ้าง หรือถ้าคุณเขินผม ผมแนะนำผู้เชี่ยวชาญให้ได้นะ รวมทั้งเรื่องตรวจเลือดหาเชื้ออะไรพวกนี้ด้วย”

“คุณโป้!” ดุริยะเรียกเสียงดัง “นี่คุณคิดว่าผมไปทำอะไรมาเนี่ย!!”

“ก็...” ปรเมษฐ์เม้มปากพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นทำนองว่าเป็นเรื่องที่รู้ๆ กัน “ไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่เว้ย!” ดุริยะโบกมือไปมาพร้อมกับจุดบุหรี่ตัวใหม่ ปรเมษฐ์พูดถูกเขามีเรื่องต้องเครียดจริงๆ... เรื่องที่สองพ่อลูกนี่คิดอะไรไปไกลนี่แหละ

“ก็เห็นคุณเชิญพวกผมเข้าห้องมาแล้วไม่ยอมนั่งสักทีผมก็คิดว่าเมื่อคืนคุณคงจะจัดกันหนักไปหน่อย”

“ผมจะนั่งตรงไหนล่ะในเมื่อไอ้พานอะไรของคุณเนี่ยมันวางขวางเต็มห้องแบบนี้” ดุริยะรีบแทรก

“ถ้าไม่ใช่แล้วตกลงเมื่อคืน...”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำอย่างที่คุณว่าแหละ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรามันผ่านจุดนั้นมาแล้ว เมื่อคืนเลยนั่งกินเหล้ารำลึกความหลังกันเฉยๆ ” ดุริยะรีบเฉลยความจริง

“ว้า~” ปรเมษฐ์ถอนหายใจเสียงดัง “แล้วใครกันนะที่ทำเป็นเก๊กพูดซะดิบดีว่า... ‘งานสกปรกแบบนี้มันไม่เหมาะกับพระเอกอย่างคุณหรอก ไว้เป็นหน้าที่ของผู้ร้ายอย่างผมดีกว่า’”

“นี่ตกลงเราจะเข้าเรื่องได้หรือยัง”

“แค่ไม่อยากให้คุณเครียด” ปรเมษฐ์กล่าว

“งั้นคุณก็มาถูกทางแล้วล่ะ นี่ผมขำท้องจะแตกแล้ว ฮะ ฮะ” ดุริยะทำเป็นขำแห้งๆ ประชด

“ผมอยากคุยเรื่องวา”

“เรื่องที่เธอจะกลับมาเมื่อไหร่น่ะเหรอ” ดุริยะทวนความเข้าใจ “ขอโทษนะ ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

“แล้วคุณจะไม่เป็นไรใช่ไหม” ปรเมษฐ์เอ่ย

“ทำไมผมต้องเป็นอะไรด้วยล่ะ” ดุริยะถามกลับ

“ก็เพราะพวกคุณสองคนเคยคบกันมาก่อนไม่ใช่เหรอครับ” ปรเมษฐ์บอก “คุณเป็นรักครั้งแรกที่เธอไม่เคยลืมและดูท่าทางคุณก็ยังไม่ลืมเธอเสียด้วย”

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่หันมองปรเมษฐ์เต็มตา ไม่ได้ตกใจที่โดนรู้ความจริงแต่ที่เขาตกใจเพราะคนตรงหน้ายังดูสงบและเยือกเย็นยิ่งกว่าเขาเสียอีก

OOOOOO

หลังจากฟังเพลงจบนภธรณ์ก็ถอดหูฟังออก ใบหน้าร้อนผ่านตอนนี้เพลงนี้ไม่ใช่เพลงธรรมดาหากมันเป็นการร้องตะโกนสารภาพรักต่อหน้าคนทั้งประเทศของเขา

เพราะยังไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับดุริยะบวกกับความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงทำเป็นโอ้เอ้นั่งมองอะไรไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับเปียโนที่เคยวางอยู่ตรงมุมห้อง ซึ่งวันนี้มันไม่ได้ถูกผ้าคลุมไว้เหมือนอย่างเคย

เด็กหนุ่มลุกเดินไปดูใกล้ๆ บนหลังเปียโนมีสมุดวางอยู่เล่มหนึ่ง เขาแอบแง้มปกเปิดออกดูเล็กน้อย มันเป็นสมุดที่ดุริยะใช้แต่งเพลง มีหลายเพลงที่แต่งจบแล้วและถูกนำมาขับร้องโดยนักร้องหลายๆ คน และก็มีอีกหลายเพลงที่ยังแต่งไม่จบ

เขาพลิกมาหยุดที่หน้าหนึ่ง ชื่อเพลง ‘My melody’ ไม่ได้ดึงดูดอะไร แต่เป็นรูปถ่ายใบหนึ่งที่คั่นอยู่ในหน้านั้น

ดุริยะในวัยหนุ่มนั่งเล่นเปียโนซึ่งลักษณะเฉพาะของแบรนด์เครื่องดนตรีทำให้เขารู้ว่ามันเป็นหลังเดียวกันกับที่ตั้งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ และสิ่งที่สะดุดตาคือหญิงสาวที่ยืนร้องเพลงอยู่ด้านข้าง แม้จะเห็นหน้าเธอไม่ชัดเพราะตากล้องตั้งใจจับภาพคนเล่นเปียโน แต่เขาจำได้ทันที ใบหน้านั้นถึงจะเบลอจากแสงไฟ แต่ไม่ผิดแน่... นี่คือภาพจากงานเดียวกันกับที่พ่อของเขาพกไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอดมา และผู้หญิงคนนี้คือแม่ของเขาเอง

“พี่ยะรู้จักกับแม่ด้วยเหรอ”

เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบตัวอย่างสับสน จะออกไปถามตรงๆ ก็จะความแตกว่าเขาแอบดู แต่จะให้ทนซ่อนความสงสัยนี้ไว้ต่อไปได้อึดอัดตายแน่ๆ

...แต่ว่า... มันก็แค่ถามนี่นาว่ารู้จักแม่ของเขาไหม พี่ยะไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องปิดบังหรือโกหกนี่นาว่าไม่รู้จัก... นอกเสียจากว่า... มันจะมี ‘ความลับ’ อะไรที่ทำให้บอกความจริงเขาไม่ได้

นภธรณ์ถือสมุดแน่น ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะถาม ถ้าหากโอกาสจะมีแค่สักหนึ่งในล้านว่าป๊าจะไม่ใช่พ่อของเขาจริงๆ อย่างที่เคยคิดฝัน มันก็มีพล็อตละครหลังข่าวแบบนี้แหละที่พอจะทำให้ฝันเป็นจริงมากที่สุด และเขาต้องการจะรู้ความจริงนั่น

เขาเปิดประตูพรวดออกมา “พี่ยะครับผมมีเรื่องอยากถาม” เด็กหนุ่มโพล่งออกไปกลางวง

คนอายุมากกว่าสองคนที่ยืนหน้าเครียดคุยกันอยู่ออกตกใจไม่น้อยและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“มีอะไรเหรอ” ดุริยะถาม

“พี่ยะรู้จักแม่ผมด้วยเหรอครับ” นภธรณ์ยื่นสมุดจดเพลงกับรูปถ่ายไปตรงหน้า

โปรดิวเซอร์หนุ่มเหลือบตามองปรเมษฐ์เล็กน้อยก่อนจะถามกลับ “ทำไมเธอถึงถามแบบนั้น”

“คุณแพรวชมพูบอกว่าแม่เป็นนักร้องที่กำลังจะมีชื่อเสียง” นภธรณ์ค่อยๆ เล่า “แล้วผมก็เพิ่งเจอรูปนี่ในห้องพี่ยะ ผู้หญิงคนนี้คือแม่ผมแน่ๆ ถ้าได้ทำงานร่วมกันพี่ยะต้องจำได้สิ... ถ้าอย่างนั้น... การที่แม่ท้อง...”

“เธอกำลังจะบอกว่าฉันเป็นพ่อเธอเหรอ” จู่ๆ ดุริยะก็โพล่งออกไป

เด็กหนุ่มชะงักกึก “เดี๋ยวก่อน เปล่านะ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”

“แล้วคิดอะไร” ดุริยะว่า “ก็เธอจะบอกว่าแม่เธอท้องตอนทำเพลง แล้วฉันก็เป็นคนทำเพลงนั้นเอง... ฉันคนนี้ที่ขึ้นชื่อว่านอนกับนักร้องเกือบทุกคนที่ทำเพลงให้... มันจะแปลเป็นอะไรได้อีกล่ะ ถ้าเธอไม่คิดว่าฉันทำแม่เธอท้อง”

“ผมแค่สงสัยว่าพี่ยะน่าจะรู้จักแม่ต่างหาก...” นภธรณ์อึกอักพลางเหลือบมองผู้เป็นพ่อ เห็นแววตาที่เคยนิ่งสงบสั่นไหวแปลกๆ เขารักป๊า ถึงจะไม่ใช่รักในแบบที่ควรจะรัก แต่เขาก็ทำลายความรักที่ป๊าให้เขามาไม่ได้ “แบบว่า... เผื่อพี่ยะจะรู้ว่าแม่ไปไหน คือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอะไรแบบนี้”

“เสียดายจัง นึกว่าอยากเป็น” ดุริยะแสร้งถอนหายใจ “แต่ถ้าขืนเป็นจริงๆ ก็ทำอะไรๆ ไม่ได้สินะ”

“แล้วตกลงรู้จักไหมครับ” นภธรณ์ถามซ้ำ

“รู้จัก” ดุริยะยอมรับ “แต่ว่าแต่งเพลงให้เสร็จก็แยกย้าย และฉันเองก็ไม่ได้ข่าวแม่เธอมานานพอๆ กับเธอและพ่อนั่นแหละ”

“เหรอครับ” นภธรณ์รับคำ

“จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้” ดุริยะพูดต่อ “เราบังเอิญเจอกัน ได้นั่งคุยกันสั้นๆ แต่นั่นก็นานพอจะทำให้ฉันรู้ว่าเธอเป็นลูกเขา และนี่เป็นสาเหตุที่ฉันอยากทำเพลงให้เธอ ฉันเพิ่งคุยเรื่องนี้กับพ่อเธอเมื่อกี้นี้เอง”

“ครับ”

“นิสัยไม่ดีแอบดูของคนอื่น” ดุริยะเดินเข้าไปดีดหน้าผากเด็กหนุ่มเป็นการลงโทษ แต่เขาไม่ได้ดึงสมุดจดเพลงคืนมาและเปิดกลับไปที่หน้าซึ่งรูปถ่ายใบนั้นเคยถูกสอดไว้ “เพลงนี้ฉันแต่งให้แม่เธอ แต่เธอไม่เคยได้ร้องมัน”

“ก็พอจะเดาได้ว่าเพราะอะไร...” นภธรณ์ไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ก็แม่พลาด...”

“มันไม่ใช่ความผิดพลาด” ดุริยะพูดแทรกเสียงดัง “ฉันเข้าใจนะที่เธอจะไม่ชอบหรือรักแม่น้อยไปหน่อยเพราะเขาทิ้งเธอไป ฉันไม่กล้าพูดด้วยว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แต่เท่าที่ฉันสัมผัสได้อย่างน้อยก็ตอนที่เธอเกิด มันคือ ‘ความรัก’ ไม่ใช่ ‘ความผิดพลาด’... เอ่อ หรือถ้าเธอถ้าเธอไม่เชื่อก็ลองถามพ่อเธอดูสิ”

เด็กหนุ่มหันไปมองพ่อ “แล้วทำไมพี่ยะต้องมาพูดแทนแม่ด้วยละครับ”

“ก็...” ดุริยะอึกอักไปเล็กน้อย “ฉันไม่ได้พูดแทนแม่เธอหรอก ฉันพูดในฐานะ... ฉันนี่แหละ ที่เห็นอะไรก็พูดแบบนั้น”

“ครับ” นภธรณ์รับคำทั้งที่ยังติดใจสงสัยว่าในคำบอกเล่าของดุริยะนั้นยังมีสิ่งอื่นแอบซ่อนอยู่อีก... เขารู้ว่าพี่ยะไม่ได้โกหกก็แค่พูดความจริงไม่หมด แล้วทำไมเขาจึงไม่พูดล่ะ เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่อย่างที่ป๊าชอบพูดอย่างนั้นเหรอ... ไหนจะท่าทีของทั้งสองคนตอนเขาเดินออกมาอีกแล้วตกลงเรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไรกันล่ะ

ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ เจ้าของบ้านออกแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญมากันเยอะแยะไปหมด เขาเดินไปเปิดประตู

ผู้ที่เพิ่งมาถึงแต่งกายด้วยสูทหรูผูกเนกไทด์สีดำสนิท กะอายุด้วยสายตาคงคิดว่าเพิ่งเข้าวัยกลางคน แต่อายุจริงนั้นเกือบถึงวัยเกษียณแล้ว

ชายคนนั้นค้อมศีรษะให้นภธรณ์ครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทางการ “สวัสดีครับคุณดุริยะ ผมสุรชัย หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลบารมีไพศาลวานิช ขอโทษที่มารบกวนโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้านะครับ”

“พี่ชัยมาทำอะไรที่นี่ครับ” นภธรณ์ร้องเสียงดังอย่างลืมตัวและรีบเดินเข้าไปหา

“สุรชัยเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ปู่ส่งมาคอยดูแลนอฟในวันที่ผมไม่ว่างน่ะ” ปรเมษฐ์บอก “แต่ช่วง 4-5 ปีหลังนี่ไม่ค่อยได้มาแล้วเพราะนอฟโตพอจะอยู่คนเดียวได้แล้ว”

ได้ยินดังนั้นดุริยะจึงดึงประตูเปิดกว้างขึ้นเชิญให้เข้ามาแม้จะยังงงๆ ว่ามาทำอะไรที่บ้านตน

หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลบารมีไพศาลวานิชค้อมศีรษะขอบคุณและรีบกล่าวธุระของตน “คุณท่านให้ผมมาส่งบัตรเชิญให้คุณหนูครับ” บอกพร้อมกับหยิบซองสีแดงขึ้นมาส่งให้

“บัตรเชิญ?” นภธรณ์รับมางงๆ โดยยังไม่ได้เปิดดู “ไปร้องเพลงเหรอ? พี่ชัยต้องไปบอกพี่ตฤณนะ ผมไม่มีสิทธิ์รับงานเอง มันเป็นกฏของบริษัทน่ะ”

“ไม่ใช่ครับคุณหนู” สุรชัยรีบบอก “บัตรเชิญไปงานวันคล้ายวันเกิดปีที่70 ของคุณท่านครับ”

“วันเกิดปู่เหรอ” นภธรณ์ร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นพร้อมกับหันไปหาพ่อของตน “ผมไปได้ไหมครับ”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณปรเมษฐ์ครับ” สุรชัยตัดบท “เพราะอีกนัยหนึ่งนี่คืองานประกาศตัวทายาทผู้รับมรดกและประธานบริษัทรุ่นต่อไป คุณปรเมษฐ์ซึ่งโดนตัดออกจากมรดกแล้วไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานนี้ แต่คุณหนูซึ่งเป็นหลานยังมีสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นทุกประการครับ”

“ทรัพย์สินที่ว่านั้นมันแค่ไหนกันเหรอ” ดุริยะถามอย่างสนอกสนใจ

“ไม่นับคุณนาย ผู้มีสิทธิ์ในมรดกนั้นได้แก่น้องชายคุณท่าน คุณปรกฤษฎ์ซึ่งเป็นลูกชายคนโต คุณหนูเล็กลูกสาวคุณปรกฤษฎ์ และคุณหนู ถ้าหารแบ่งเท่าๆ กันเฉพาะเงินสดก็คนละไม่เท่าไหร่หรอกครับ”

“ไม่เท่าไหร่นี่มันเท่าไหร่ล่ะ” ดุริยะถามต่อ “ล้านนึงหรือสองล้าน?”

“สิบล้านครับ” สุรชัยพูดต่อ “แต่นั่นยังไม่รวมเครื่องเพชรและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกนะครับ”

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่เหลือบตามองคน ‘โดนตัดออกจากกองมรดก’ ที่ยืนทำหน้าเครียดอยู่ข้างๆ

“ป๊าครับ” นภธรณ์เหลือบตามองขออนุญาตอีกครั้ง เขาไม่ได้สนใจมรดกอะไรนั่นแต่เขาอยากเจอปู่

“นอฟจะไปก็ต่อเมื่อมีฉันไปด้วย” ปรเมษฐ์ยื่นคำขาด

“คุณท่านคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้” สุรชัยว่า “ตกลงตามนั้นครับ เพราะคุณหนูเองก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในฐานะผู้ปกครองคุณมีสิทธิ์นั้น แต่ขอได้โปรดจำไว้นะครับว่าคุณจะไปในฐานะผู้ติดตามเท่านั้น และนั่นเป็นไปตามข้อตกลงที่คุณให้ไว้กับคุณท่านเอง”

“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว” ปรเมษฐ์รับคำเสียงเข้ม

“ผมเพียงแต่กำชับตามคำสั่งของคุณท่านครับ” สุรชัยกล่าวพร้อมกับค้อมศีรษะก่อนจะหันไปหาเจ้าของบ้าน “ขอโทษคุณดุริยะด้วยนะครับที่มารบกวน พอดีผมมีธุระกับคุณด้วยจึงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะรวบงานทั้งหมดไว้ในครั้งเดียว”

“ผม?” ดุริยะเลิกคิ้ว

สุรชัยหยิบซองสีขาวออกมาส่งให้ “คุณชาญณรงค์กับคุณท่านเป็นคู่ค้าที่ทำธุรกิจร่วมกันมายาวนาน นี่แทนคำขอบคุณที่ช่วยแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดเมื่อคืนครับ”

ดุริยะเปิดแง้มปากซองออกดูตัวเลขบนเช็คเงินสดที่มีเลขศูนย์เยอะจนตาเริ่มลาย “จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ถ้าผมไม่รับก็จะเสียน้ำใจสินะ ฝากขอบคุณท่านของคุณด้วยนะครับ” พูดจบก็ยัดซองเก็บใส่กระเป๋า

สุรชัยพยักหน้ารับ “ขอลานะครับ”

“ไว้เจอกันนะครับพี่ชัย” นภธรณ์ร้องบอกพร้อมกับโบกมือให้

สุรชัยพยักหน้ารับ “ครับคุณหนู”

“เอ่อ... ป๊าครับ ผมขอลงไปส่งพี่ชัยที่รถนะครับ” นภธรณ์ขออนุญาต แต่ยังไม่ทันที่ผู้เป็นพ่อจะตอบเขาก็วิ่งฉิวออกประตูไปแล้ว
ปรเมษฐ์ขยับจะเรียกแต่ก็ไม่ทันเจ้าตัวดีที่วิ่งหายเข้าไปในลิฟต์แล้วจึงได้แต่ถอนหายใจ

เมื่อเหลือกันอยู่แค่สองคนอีกครั้งดุริยะจึงพูดขึ้น “เล่าความจริงให้ผมฟังได้ไหม”

“อะไรครับ”

“คุณบอกว่ายินดีถ้าวาจะกลับมา แต่เท่าที่ผมสังเกตดูคุณจะไม่ได้อยากให้เธอกลับมาในความหมายของครอบครัวสักเท่าไหร่... มันเกี่ยวกับเรื่องมรดกอะไรนั่นไหม เพราะเท่าที่ตามข่าวบันเทิงธุรกิจมาภรรยาของพี่ชายคุณร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงและอายุมากแล้วคงมีลูกอีกคนไม่ได้ และถึงจะมีก็คงไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้ผู้ชาย สำหรับตระกูลคนจีนเก่าแก่แล้วคนที่มีสิทธิ์รับตำแหน่งประธานคงมีแค่เจ้าหนูนั่นคนเดียวสินะ”

ปรเมษฐ์หันไปสบตา “ผมไม่ได้ต้องการเงิน” เขาสรุปความความคิดให้ฟัง “แค่อยากทำให้อะไรๆ มันชัดเจนไปก็เท่านั้น จะได้ไม่ต้องมีใครมาตั้งคำถามอีกว่านอฟเป็นลูกผมจริงไหม”

“แล้วตกลงคุณต้องการอะไรจากเธอ”

“ทะเบียนสมรส”

“แค่นั้นเองเหรอ”ดุริยะถามย้ำ “คุณไม่ได้ยังรักเธออยู่หรอกเหรอ”

“ถามว่ารักไหมก็รักครับ” ปรเมษฐ์ตอบ “แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่สำคัญอีกแล้วนับตั้งแต่วันที่เธอเดินจากไป ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมต้องการจะทำคือปกป้องคนที่รักผม”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 11 P.5 [3/06/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 03-09-2017 23:27:59
(ต่อตรงนี้ค่ะ)
พอเข้ามาในลิฟต์สุรชัยก็ยังคงเงียบไม่พูดไม่จา และยืนประสานมือไว้เบื้องหน้าอย่างสงบนิ่งตามอย่างมาตรฐานของพ่อบ้านใหญ่ประจำตระกูลบารมีไพศาลวานิช จนกระทั่งลิฟต์เปิดออกเขาก็เดินนำลิ่วๆ ออกไป

นภธรณ์วิ่งตามหากก็ยังไม่ทัน พวกเขาคลาดกันที่ตรงล็อบบี้เพราะมีสาวๆ กลุ่มใหญ่เดินสวนเข้ามาพอดี เด็กหนุ่มรอจนพวกเธอเดินผ่านไปจึงเดินออกไปด้านหน้าคอนโดที่ว่างเปล่า เขาเหลียวมองซ้ายขวาไปบนท้องถนนที่ไร้ผู้คนแล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะกลับหลังหันเพื่อกลับขึ้นไปบนห้อง รถเบนซ์สีดำสนิทคันหนึ่งก็แล่นอย่างเงียบเชียบมาจอดที่ด้านหลัง ประตูรถเปิดออกก่อนที่มือคู่หนึ่งจะเอื้อมมาดึงตัวเด็กหนุ่มหายเข้าไปในรถแล้วก็ขับออกไป

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก นภธรณ์หันไปมองนอกหน้าต่างรถที่ภาพเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ แล้วหันมาผู้ที่นั่งอยู่บนเบาะในตอนหลังของรถ เขาเป็นชายร่างใหญ่หน้าตาดุดันในชุดสูท สองมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของผู้ผ่านโลกมามากกว่าครึ่งศตวรรษกุมอยู่บนหัวไม้เท้าสีนิลที่แกะสลักอย่างวิจิตรเป็นรูปหัวสิงโตคำราม

“จะพาผมไปไหนเหรอครับ” เด็กหนุ่มถาม

ชายสูงวัยไม่ตอบคำถามนั้น เขาเหลือบมองทางหางตาก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อและหยิบกระดาษใบหนึ่งยื่นมาตรงหน้า “ดูนี่ซะ”

นภธรณ์รับมาดู มันเป็นใบแจ้งหนี้ที่มีมูลค่ามากถึงครึ่งแสน “มันคืออะไรเหรอครับ”

“เห็นแบบนี้แล้วยังจะทำมาเป็นไขสืออีกเรอะ!” ชายสูงวัยร้องลั่นจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้

“ผม... ผม...”

“ปู่อุตส่าห์เสียเงินเหมาอัลบั้มแกมาเป็นร้อยอัลบั้มแล้วยังไม่ได้เข้างานแฟนมีตครั้งก่อนหมายความยังไง ไหนบอกมาสิ! ไอ้คนที่ได้เข้านั่นมันทุ่มไปคนละกี่แผ่น ห๊ะ! หรือว่างานนั้นมันมีนอกมีใน มีบัตรสปอนเซอร์ บอกปู่มาเดี๋ยวนี้นะนอฟ”

“คุณปู่โชคไม่ดีเองมันก็แค่นั้นแหละ” นภธรณ์รีบบอก “บางคนซื้ออัลบั้มเดียวยังได้เลย”

“ชิส์!” ผู้นำตระกูลบารมีไพศาลวานิชคนปัจจุบันย่นปากพร้อมกับหันหน้าหนี

“ไม่เอาไม่งอนน่าคุณปู่เดี๋ยวตีนกาถามหานะครับ” นภธรณ์รีบเขยิบเข้าไปนั่งใกล้ๆ และยกมือขึ้นบีบนวดลงบนท่อนแขนให้อารมณ์ดี

“ไม่ต้องมาพูดเลย” คุณบังเอิญทำเป็นเชิดใส่ทั้งที่แอบเอียงไหล่ให้เด็กหนุ่มบีบนวดขึ้นมาถึงแนวบ่าได้อย่างถนัดถนี่

“แล้วผมต้องทำยังไงคุณปู่ถึงจะหายงอนละครับ”

“ปู่ซื้อตั้งร้อยแผ่นนะ ปู่ควรจะได้เซลฟี่ ลายเซ็นหรือไฮทัชก็ยังดี”

“เอาไว้คราวหน้าคุณปู่ซื้อสักพันแผ่นสิ ผมการันตีว่าได้เข้างานแน่ๆ”

คนฟังตาโต “ตกลงพันแผ่นได้เข้าใช่ไหม โอเค ได้ยินแล้วนะสุรชัย วันหลังนายไปกว้านซื้อมาตามนี้เลยนะ”

“ครับคุณท่าน” คนขับรถสบตาเจ้านายผ่านกระจกมองหลังและพยักหน้าขึงขัง เห็นดังนั้นนภธรณ์จึงรีบพูดต่อก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่

“ผมล้อเล่นน่า อย่างคุณปู่ต่อให้ไม่ซื้อผมก็ให้กอดครับ ส่วนลายเซ็นจะเอาสักกี่อันก็ได้ อ้อ! ผมมีอะไรจะให้คุณปู่ด้วยนะ” รีบเปิดกระเป๋าเป้และหยิบเอาของสิ่งหนึ่งส่งให้

ชายสูงวัยเหล่ตามองอัลบั้มในมือทำเป็นเก๊กขรึมทั้งที่อยากรีบรับมาใจจะขาด “ไม่เอาหรอก ปู่มีตั้งร้อยแผ่นแล้ว”

“แต่อันนี้พิเศษนะครับเพราะว่าเป็นก๊อปปี้ที่สอง ผมตั้งใจเก็บไว้ในคุณปู่โดยเฉพาะเลยนะ นี่ไง ผมเซ็นชื่อไว้ตรงนี้ ดูสิครับคุณปู่ นี่ไงๆ ผมตั้งใจเซ็นมากเลยนะมีชื่อคุณปู่เขียนไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ”

“แล้วก๊อปปี้แรกล่ะ” ปู่แกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

“อันนั้นเป็นของป๊าครับ” นถธรณ์บอก “ตกลงคุณปู่ไม่เอาใช่ไหมผมจะได้เก็บ...”

“เอาสิ” ชายสูงวัยรีบคว้ามาถือไว้ในมือ และทั้งที่ปากบอกว่าไม่สนใจแต่กลับเอาไปลูบๆ คลำๆ ตรงที่เขียนว่า ‘ปู่เอิญของผม’ อย่างแสนรัก “น่ารักจริงๆ หลานฉัน”

“เดี๋ยวคุณปู่ให้พี่ชัยวนไปส่งผมได้แล้วครับ หายตัวมานานๆ ป๊าจะเป็นห่วง แล้วคุณคุณปู่ก็เลิกได้แล้วนะครับไอ้มุกดักฉุดแบบนี้น่ะ ใช้มาตั้งแต่สมัยผมอยู่อนุบาลไม่เบื่อบ้างเหรอครับ” นภธรณ์ขำ

“ขอโทษทีปู่ก็ลืมไปว่าตอนนี้แกดังแล้ว เกิดมีคนเข้าใจผิดแล้วเป็นข่าวขึ้นมามันจะยุ่งสินะ”

“นั่นก็ใช่ครับ แต่ผมกลัวความแตกเรื่องแอบมาหาคุณปู่มากกว่า ถ้าหากโดนป๊าจับได้ขึ้นมาผมโดนป๊าไล่ออกจากบ้านแน่”

“ก็ดีสิ แกก็มาอยู่กับปู่ไง บ้านปู่หลังใหญ่กว่าห้องพักเก่าๆ นั่นอีกนะ แถมยังมีสระว่ายน้ำกับหมาอีกสองตัวด้วย”

“งั้นป๊าก็ต้องอยู่คนเดียวน่ะสิครับ”

“แล้วปู่ล่ะ แกไม่ห่วงปู่เหรอ”

“คุณปู่ยังมีคุณย่าครับ มีปู่น้อย ลุงป๋อง คุณป้าแล้วก็น้องเล็ก อ้อ! หมาอีกสองตัวด้วย แต่ป๊าไม่มีใครนอกจากผมนะ”

“แกนี่รักโป้จริงๆ เลยนะ” คุณบังเอิญย้อนด้วยความหมั่นไส้

“นอกจากป๊า คุณปู่ผมก็รักนะครับ”

“ได้ยินที่หลานฉันพูดไหมสุรชัย หลานฉันบอกว่ารักฉันด้วยล่ะ”

“ครับคุณท่าน” สุรชัยตอบรับผ่านกระจกมองหลัง ก่อนจะเลี้ยวรถมาจอดหน้าคอนโดของดุริยะอีกครั้ง

“ผมไปนะครับ” นภธรณ์ยกมือไหว้ก่อนจะชะโงกตัวเข้าไปกอดครั้งหนึ่งแล้วผลัดกันหอมแก้มคนละทีตามธรรมเนียมของบ้านก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ

“วันเกิดปู่จะส่งชุดใหม่มาให้นะอยากได้คลาวินไคล์ อาร์มานี่ เวอร์ซาเช่หรืออะไรก็ว่ามาปู่จะได้โทรไปสั่งช่าง” คุณบังเอิญลดกระจกลงมาถาม

“แล้วแต่คุณปู่เลยครับ ผมชอบทุกอย่างที่คุณปู่ซื้อให้น่ะแหละ”

“งั้นเอาไปยี่ห้อละชุด แล้วแกก็ไปเลือกเองละกันนะว่าจะใส่ชุดไหนมา” คุณบังเอิญกดกระจกขึ้นแล้วรถก็ค่อยเคลื่อนตัวออกไป

นภธรณ์มองตามจนสุดสายตา มันไม่ยุติธรรมจริงๆ ที่คุณปู่รักเขาแต่เลือกที่จะโกรธป๊าทั้งที่ความจริงเขาเองก็เป็นสาเหตุด้วยเหมือนกัน ดังนั้นถ้ามันจะมีหนทางไหนที่จะทำให้คุณปู่กับป๊าคืนดีกันได้เขาก็อยากจะทำ พอคิดมาถึงตรงนี้ก็ย้อนกลับไปตรงจุดที่ตัวเองสวดมนต์ภาวนาเช้าเย็นว่าขอให้ไม่ใช่ลูกชายของป๊าจริงๆ เผื่อว่าความรักต้องห้ามนี้จะมีโอกาสเป็นไปได้บ้าง หรือจริงๆ แล้วเขาควรตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีในเมื่อป๊าเสียสละมามากมายเพื่อเขา แล้วเขาจะดิ้นรนทำลายสิ่งที่ป๊าลงทุนทำมาทำไม
เด็กหนุ่มหันหลังกลับด้วยสีหน้าที่สลดลงเล็กน้อย

“หายไปไหนมา”

น้ำเสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยดังขึ้น นภธรณ์เหลียวมองไปยังผู้ที่กำลังเดินเข้ามาหา พลันริมฝีปากก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เครื่องหน้าของเจ้าของเสียงนั้นแทบจะพันมารวมกันตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด

“รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วง”

“ผมไปเข้าเข้าห้องน้ำมา... อ๊ะ! ป๊า... อย่า...” นภธรณ์เสียงสั่นเมื่อมือใหญ่เอื้อมบิดหูเขาแรงๆ เป็นการลงโทษ เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นดิ้นรนขัดขืนในขณะที่แอบเอียงหน้าให้อีกฝ่ายจับติ่งหูขยี้ได้ถนัดๆ

...ขอโทษนะครับคุณปู่ ป๊าด้วย แต่ผมเปลี่ยนใจแล้วเพราะผมคงตัดใจจากป๊าไม่ได้จริงๆ นั่นแหละและบางทีให้คุณปู่เกลียดป๊าแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ฉวยโอกาสนี้เป็นคนเดียวที่ได้อยู่เคียงข้างป๊าต่อไปเรื่อยๆ ยังไงล่ะ

“ท้องเสียหรือไงถึงได้เข้านานจัง” ปรเมษฐ์ถามพร้อมกับดึงมือกลับ

นภธรณ์ยกมือขึ้นจับใบหูที่แดงไปถึงไหนต่อไหน เขาไม่ได้เจ็บแค่กำลังเพลินและแอบเซ็งเล็กน้อยที่ป๊าปล่อยมือเร็วไปหน่อย “เปล่าครับ แค่เผลอไถทวิตเช็กเรตติ้งเพลินไปหน่อย”

“แล้วดีไหมล่ะ”

“ก็ใช้ได้ครับ... แล้วนี่ป๊าคุยกับพี่ยะเสร็จแล้วเหรอ ผมยังไม่ได้ลาเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันพูดแทนให้แล้ว”

ทั้งสองเดินกลับมาขึ้นรถและขับออกไป ในขณะที่รถกำลังแล่นไปเรื่อยๆ ปรเมษฐ์ก็เอ่ยขึ้น

“นอฟ ฉันมีเรื่องอยากถามแกหน่อย”

“อะไรเหรอป๊า” นภธรณ์หันไปถาม

“ถ้าหากว่าแม่กลับมาหาเราแกจะดีใจไหม”

ทันทีที่ได้ยินเรื่องของผู้หญิงคนนั้น หน้าที่ยิ้มอยู่ก็ตูมลงทันที “แล้วป๊าคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“ฉันถามแกอยู่นะ”

“ผมยังไงก็ได้ครับ ถ้าป๊ามีความสุขผมโอเคทั้งนั้นแหละ” นภธรณ์ตอบ

“แล้วถ้าแม่เขาอยากพาแกไปอยู่ด้วยล่ะ”

นภธรณ์ขยับหันมาทั้งตัวเพื่อมองหน้าผู้เป็นพ่อให้ชัดๆ “แค่ผม?”

ปรเมษฐ์พยักหน้า “แม่เขาคิดถึงแก เขาอยากพาแกไปอยู่ด้วย”

“ถ้าผมไปแล้วป๊าจะไม่คิดถึงผมเหรอ” นภธรณ์ถามกลับ “ผมอยู่ที่ไหนก็ได้ครับ ขอแค่มีป๊าอยู่ด้วย” พูดจบก็หันหน้าหนีมองออกไปหน้าต่าง

“นอฟ” ปรเมษฐ์เรียก “ตกลงแกจะอยู่กับฉันใช่ไหม”

“ครับ”

“ไม่เปลี่ยนใจนะ”

“นอกเสียจากว่าป๊าจะไม่อยากให้ผมอยู่ด้วยแล้ว” นภธรณ์บอกก่อนจะไม่พูดไม่จาอะไรอีก

“งอนหรือไง” ปรเมษฐ์ถาม

“ครับ เพราะผมคิดว่าเราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วซะอีก”

“ไม่เอาไม่งอนน่า ฉันแค่ถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้นเอง” ปรเมษฐ์บอก “ง้อแล้วเนี่ย จะให้ทำยังไงถึงจะหายงอนไหนบอกมาสิ”
ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อยหันหน้ามาหา “จูบหน่อย”

“รอให้ถึงบ้านก่อนนะ”

“ไม่เอา ผมจะเอาตอนนี้” นภธรณ์ยื่นคำขาด

ปรเมษฐ์พ่นลมออกจมูก “กล้าต่อรองด้วยเหรอ”

“แล้วทำไมผมถึงจะต้องไม่กล้าด้วยล่ะครับ”

คนเป็นพ่อหัวเราะหึในลำคอ “ก็เพราะใครบางคนเพิ่งจะแอบไปหาปู่มาโดยคิดว่าฉันจะไม่รู้น่ะสิ”

เด็กหนุ่มหน้าเหวอทันที “ป๊ารู้ได้ไง”

“ถามว่ารู้มานานแค่ไหนแล้วดีกว่า” ปรเมษฐ์ย้อนถาม “มีเรื่องอะไรของแกบ้างที่ฉันไม่รู้ หืมมม เจ้าเด็กดื้อ ”

“มีสิครับ” นภธรณ์เถียงกลับทันควัน

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่อง...” เด็กหนุ่มพูดไม่ออก จะให้เขาตอบออกไปได้ยังไงว่าคือ ‘เรื่องที่เขารักป๊า’

“เรื่องอะไร” ปรเมษฐ์ถามย้ำ

“เรื่องที่ผม...” นภธรณ์กัดริมฝีปากจนเจ็บแต่จนแล้วจนรอด เขาก็สารภาพออกไปไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะกลัวความผิดหวัง เขายอมรับได้กับการอกหัก แต่เขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องเสียรอยยิ้มกับสายตาที่มองมาด้วยความอาทรนี้ไป

“ตอบไม่ได้สินะ” ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอ “มีเรื่องปกปิดกันแบบนี้ ชักสงสัยแล้วสิว่าลูกชายรักป๊าคนนี้จริงๆ หรือเปล่าน้า หรือว่าแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว”

“จะเชื่อได้ยังไง พอฉันเผลอก็แอบไปหาปู่แล้วเมื่อกี้ก็ยังจะไปทึกทักว่าคนอื่นเป็นพ่ออีก”

“ผมเปล่าสักหน่อย พี่ยะต่างหากที่ทึกทักไปเอง ยังไงพ่อของผมก็มีป๊าแค่คนเดียวนะ”

“จริงเหรอ” ปรเมษฐ์ยังไม่เลิกกระเซ้า

“จริงสิครับ”

“ถ้างั้นก็บอกรักให้ฟังหน่อยสิ”

“ผม...” เด็กหนุ่มขยับปากเป็นปลาทองขาดน้ำ ทำไมจู่ๆ ป๊าถึงได้อยากฟังอะไรเอาตอนนี้นะ

รถจอดติดไฟแดงพอดี ปรเมษฐ์จึงหันหน้ามาถามเสียงอ่อย “นอฟไม่รักป๊าแล้วเหรอครับ” ซ้ำยังเปลี่ยนไปใช้สรรพนามเดิมที่เรียกแทนตัวตั้งแต่สมัยเขาเป็นเด็ก

ใจที่บอบบางอยู่แล้วยิ่งสั่นไหว เด็กหนุ่มใช้สองกำหัวเข่าตัวเองแน่น “มะ... ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”

“งั้นบอกรักให้ป๊าชื่นใจหน่อยสิครับ” ปรเมษฐ์ยังไม่เลิกอ้อนทั้งยังชะโงกตัวข้ามเบาะเข้ามาใกล้ “นะครับคนเก่งของป๊า”

“ผม...” นภธรณ์เม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตามองจ้องคนตรงหน้าราวกับโดนสะกดนิ่งในขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกที “ผม... รัก...”

แล้วคำพูดก็ถูกหยุดไว้แค่นั้นเมื่อรถตู้คันหลังที่ขับมาด้วยความเร็วเกิดเบรกไม่ทันและชนเข้าที่ท้ายรถของพวกเขาเข้าอย่างจัง

โครมมมม!


******************************************TBC**********************************************
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-09-2017 00:21:42
ตัดจบได้ค้างมากค่าาาา  :ling3:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 04-09-2017 02:37:04
โอ้โหห คนแต่งกลับมาทีเอาซะไปไม่เป็นนเลยย  :katai1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 04-09-2017 08:17:34
เดี๋ยวววววววววววววววววว โหหหหหหหหหหห คือตัดจบได้สะดุ้งมากค่ะ !!

โดยปกติ นิยายของคุณ leGGyDan ก็ไม่เห็นมีเรื่องไหน? มีปมเรื่องราวแบบธรรมดาๆอยู่แล้ว ยิ่งทิ้งช่วงให้เราคิดถึงนานขนาดนี้ บอกเลยว่าใจไม่ใหญ่พอจะเดาทางเนื้อเรื่องเลยจริงๆ ขอตามอ่านและให้กำลังใจแบบเจียมเนี้อเจียมตัวไปละกันนะคะ  :mew6:  ภาษาของคุณ leGGyDan สวยจริงๆ ชอบมากเลยอ่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 04-09-2017 08:24:41
 :katai1: ค้างไปอีก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-09-2017 09:52:23
จะเป็นไรไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-09-2017 15:31:11
ค้างระดับสิบ  :ling1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 04-09-2017 16:30:31
ม๊ายยยยยย  ค้างคาาาาา
แต่ไม่เป็นอะไรหรอกใช่ไหมคะ  :mew2:

แต่ว่าชอบคุณปู่จัง วัยรุ่นซะด้วย คุณปู่น่ารัก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 04-09-2017 17:52:28
เย้ยยยย รถชน!!!
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 04-09-2017 18:41:14
อารายยยยย  จะมาตัดฉับแบบนี้ไม่ได้นะ
เค้ากำลังจะบอกรักกัน จะมามีรถชนอย่างเง้ได้งายยยยย
ค้างงงงงงงง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: QmanBaaa ที่ 12-09-2017 18:30:08
คุณเลกกี้ ม่ายยยยยยยยย
นอกจากเป็นห่วงทุกคนแล้ว
ยังตื่นเต้นกับเหตุการณ์หลังจากนี้มากค่ะ
ความแตก ดีเอ็นเอ น้องนอฟมีเฮ หรือคุณปู่จะเป็นลมไหม
โฮๆ :a5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: abbaba ที่ 16-09-2017 11:10:44
ตัดจบใจรายมากค่า :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nutipkra ที่ 16-09-2017 15:55:43
 :ling2: จะบอกยังไงละ ถ้า สมมุติว่า แม่นอฟ ท้องกับคนอื่น พอคลิดแล้วทิ้งไว้ เพื่อไปตามความฝัน ที่เห็นแก่ตัว แล้วป๊ามาเจอเด็กน้อยที่น่ารักดั่งเทวดาก็ตกหลุมรัก ปิ๊งๆๆ 5555555 หน้าตานอฟกับป๊า ไม่เหมือนกันนี้เนาะ หรือว่า นายยะจะเป็นพระเอกน่า พระเอกชอบร้าย 55 รอลุ่นค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 15-10-2017 13:09:36
Chapter 13

ทันทีที่ทราบข่าวอุบัติเหตุของเพื่อนรักกับลูกชาย เอกรงค์ก็รีบกระหืดกระหอบมาด้วยความเป็นห่วง เขายืนหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งว่าจะไปถามหาเอากับใคร ก็เห็นร่างสูงของเพื่อนเดินออกมาจากประตูห้องฉุกเฉินโดยมีคุณพยาบาลช่วยพยุงออกมาด้วย

เอกรงค์รีบเดินเข้าไปหา ก้มศีรษะขอบคุณพยาบาลและเข้ามาประคองเสียเอง “ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”

ปรเมษฐ์ออกแปลกใจนิดหน่อยที่เจอเพื่อนรักที่นี่ “แค่ได้แผลมานิดหน่อยกับกระดูกข้อมือขวาร้าวน่ะต้องใส่เฝือกอาทิตย์หนึ่งที่เหลือปกติดี” เขาบอกอาการพลางชี้ให้ดูผ้าก๊อซที่พันอยู่ตรงแขนกับมือซ้ายที่โดนกระจกบาดและมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย

เอกรงค์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แล้วนี่นายมาได้ยังไง” ปรเมษฐ์ถาม

“นอฟโทรบอกน่ะสิ” เอกรงค์บอก

“แล้วตอนนี้เจ้าคนโทรบอกอยู่ที่ไหน”

“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็เพิ่งมาถึงนี่แหละยังไม่เจอใครเลย แต่นอฟมันไม่ได้เป็นอะไรนี่นา ตอนโทรหาฉันเห็นบอกแบบนั้น”

ปรเมษฐ์รีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาด้วยความร้อนใจ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าลูกชายปลอดภัยดีจนกระทั่งแยกกันที่หน้าห้องฉุกเฉินเพราะเขาต้องไปทำแผลและตรวจอาการบาดเจ็บโดยละเอียด

ยังไม่ทันจะมีคนกดรับสาย ปรเมษฐ์ก็เห็นคนที่โทรหาปรากฏตัวขึ้นที่สุดทางเดิน สองมือถือถุงใบใหญ่กับหอบหิ้วกระเป๋าพะรุงพะรัง

“ป๊า!” นภธรณ์ส่งเสียงเรียกด้วยความดีใจพร้อมกับเร่งฝีเท้าเข้ามาหา

“หายไปไหนมาเนี่ย” มีความดุอยู่กลายๆ ในน้ำเสียงของคนเป็นพ่อด้วยความเป็นห่วงที่จู่ๆ ลูกชายก็หายตัวไป “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปไหนไกล”

“ผมไปรับยาให้ป๊ามา” นภธรณ์โชว์ของในมือ “คนที่ชนเราเขาต้องไปทำธุระต่อ เขาให้นามบัตรไว้กับเจ้าหน้าที่ประกันของเรา แล้วผมก็ขอไว้อีกใบหนึ่งเก็บใส่กระเป๋าไว้ให้ป๊านะครับเผื่อป๊าต้องคุยอะไรกับเขาอีก” เด็กหนุ่มบอกเล่าเรื่องราวระหว่างที่พ่อของตนหายเข้าไปในห้องฉุกเฉิน “คุณตำรวจที่มาฝากบอกว่าถ้าป๊าทำแผลเสร็จก็ไปติดต่อที่สถานีด้วยนะครับเขาจะได้ออกเอกสารแจ้งความให้ เขาว่าต้องไปใช้เบิกพรบ.”

“แล้วนี่แกไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เอกรงค์ถามไถ่อาการ

“ผมไม่เป็นอะไรครับ” นภธรณ์บอก “แล้วป๊าล่ะหมอว่าไงบ้าง”

“แค่กระดูกข้อมือขวาร้าวนิดหน่อยน่ะ” ปรเมษฐ์บอก “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันยังไม่ตายสักหน่อย แผลแค่นี้ไกลหัวใจตั้งเยอะน่า” เขารีบเสริมเมื่อเห็นสายตาของเด็กหนุ่มที่มองเฝือกด้วยความเป็นห่วง

“แล้วนี่หมอให้ป๊าลางานกี่วัน”

“อาทิตย์นึง” คนเป็นพ่อบอก

“แค่อาทิตย์เดียวจะหายเหรอป๊าทำไมไม่ขอลาสักเดือนนึงล่ะ” นภธรณ์ว่า

“แกจะให้ลามาเป็นเจ้าที่เจ้าทางเฝ้าบ้านหรือไงตั้งเดือนนึง”

“อ้าว ก็เห็นป๊าอายุเยอะแล้วกระดูกมันจะติดง่ายๆ เหรอ”

“มันแค่ร้าวเว้ย ไม่ได้หัก” พูดจบปรเมษฐ์ก็ดีดมะกอกเข้ากลางแสกหน้าเด็กหนุ่มอวดศักยภาพนิ้วมือที่ยังคงแข็งแรงดี

“โอ๊ย! มันเจ็บนะป๊า” นภธรณ์คลำหัวป้อยก่อนจะหันไปหาเอกรงค์ “แล้วนี่พ่อโมจอดรถไว้ไหนครับ”

“อยู่ที่อาคารจอดรถไง” เอกรงค์บอก “ถามทำไมเหรอ”

“ก็ป๊าแขนเจ็บขับรถไม่ไหว ของก็ตั้งเยอะตั้งแยะ ผมก็จะให้พ่อโมขับรถไปส่งผมกะป๊าที่บ้านไงไม่งั้นผมจะโทรตามพ่อโมมาทำไมล่ะครับ”

“แหม~ ให้มันน้อยๆ หน่อยเจ้านอฟ ฉันไม่ใช่สารถีของเจ้าคุณปู่แกนะเว้ย งานฉันก็ต้องทำ” เอกรงค์แกล้งทำเป็นโวยวาย

“แล้วตกลงพ่อโมจะไปส่งไหม ถ้าไปไม่ได้ผมจะได้โทรเรียกแท๊กซี่”

“แน่ะ! พูดแค่นี้ทำงอน ไม่ต้องเรียกแท็กซี่หรอกเดี๋ยวฉันไปส่งเอง”

“พูดถึงปู่” ปรเมษฐ์เอ่ยขึ้น “แกรู้ใช่ไหมนอฟ ว่าอย่าให้เรื่องนี้ถึงหูปู่แกเด็ดขาด ไม่งั้นเรื่องไม่จบง่ายๆ แน่ๆ”

“มันเป็นอุบัติเหตุครับ ปู่ไม่ว่าอะไรป๊าหรอกน่า”

“แต่ถ้าคุณโป้มีความระมัดระวังมากกว่านี้ อุบัติเหตุก็อาจจะไม่เกิดนะครับ” สุรชัยเดินเข้ามาแทรกกลางวง หน้าที่ของเขาคือติดตามดูความเรียบร้อยของทุกคนในบ้าน และตั้งแต่ปฏิบัติหน้าที่นี้มาตั้งแต่วัยรุ่นจนใกล้เกษียณก็ยังไม่เคยมีครั้งใดที่ทำงานขาดตกบกพร่อง “คุณคงไม่ลืมข้อตกลงใช่ไหมครับ ว่าถ้าหากวันใดที่คุณดูแลคุณหนูไม่ดี คุณท่านจะขอรับคุณหนูไปดูแลเอง เพราะคุณหนูเป็นคนสำคัญของตระกูลของเรา”

“ไม่เอาน่าพี่ชัย ผมบอกแล้วว่ามันเป็นอุบัติเหตุ รถคันหลังเขามือใหม่เลยเหยียบเบรคพลาดไปโดนคันเร่งเอง ไม่เกี่ยวกับป๊าสักหน่อย” นภธรณ์รีบพูดพร้อมกับเดินเข้าไปเกาะแขนข้างหนึ่ง “พี่ชัยอย่าบอกเรื่องนี้กับปู่นะครับ”

“ผมมีหน้าที่นำเรียน ส่วนเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปก็สุดแล้วแต่คุณท่านจะสั่งการครับ” สุรชัยกล่าวพร้อมกับดึงแขนกลับอย่างสุภาพ ก่อนจะล้วงมือลงในกระเป๋าหยิบพลาสเตอร์ปิดแผลสีชมพูออกมาแผ่นหนึ่งแล้วติดลงบนหลังมือเด็กหนุ่มตรงที่มีรอยถลอกจางๆ จนแม้แต่เจ้าตัวยังไม่สนใจ “เวลาร้องเพลงออกทีวีน่ะ กล้องชอบซูมมือครับ”

เด็กหนุ่มไม่ตอบได้แต่ส่งยิ้มบางให้พี่เลี้ยงขี้บ่นที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ไม่ใช่แค่พลาสเตอร์สีชมพูหรอกนะแต่เขามีพกไว้ทุกสีที่คนในบ้านชอบ

“เรื่องรถผมจะช่วยเคลียร์กับประกันให้” สุรชัยพูดต่อ

“ไม่เป็นไรครับเรื่องนั้นผมจัดการเอง” ปรเมษฐ์รีบค้าน

“ให้ผมเป็นคนดูแลจะสะดวกกว่าครับเพราะรถคันนั้นเป็นชื่อคุณท่าน และผมคิดว่าคุณโป้มีเรื่องอื่นที่ต้องขบคิดมากกว่านั้น”

“เรื่องคนที่ขับรถมาชนหรือเปล่า” ปรเมษฐ์พูดต่อให้ราวกับจะเดาใจถูก

“ครับ” สุรชัยพยักหน้าพร้อมกับขอตัวกลับ “ฝากดูแลคุณหนูด้วยนะครับคุณเอกรงค์”

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ” เอกรงค์ตอบรับ เขาเคยเจอสุรชัยหลายครั้งแล้วตั้งแต่สมัยยังเข้านอกออกในบ้านปรเมษฐ์ได้

“แผลลูกแมวข่วนแค่นี้ไม่เห็นต้องโอ๋กันเลย” ปรเมษฐ์พูดด้วยความหมั่นไส้

“แต่ข่วนแรงจนกระดูกร้าวเลยนะ” เอกรงค์พูดยิ้มๆ โดยไม่ขยายความอะไรอีก เสี้ยวนาทีที่สบตาพ่อบ้านตระกูลไพศาลวานิชไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่า คำเรียก ‘คุณหนู’ นั้นหมายถึงเพื่อนรักของเขามากกว่าจะเป็นลูกชาย

เอกรงค์ปล่อยให้ปรเมษฐ์ยืนหน้าตึงอยู่แบบนั้นและออกเดินนำไปยังรถของตน ก่อนจะหันมาพยักหน้าเรียกสองพ่อลูกให้ตามมาด้วยกัน

“แล้วเรื่องคนขับรถนั่นหมายความว่าไง” เอกรงค์กระซิบถามเพื่อให้ได้ยินกันสองคนหลังจากที่เดินคู่กันมาได้สักพัก

ปรเมษฐ์เหลือบตามองลูกชายที่เดินตามมาข้างหลังให้แน่ใจว่าจะไม่ได้ยินพร้อมทั้งหยิบนามบัตรคู่กรณีขึ้นมาส่งให้เอกรงค์ดู “ในนี้บอกว่าเป็นพนักงานของบริษัท Thai MED.”

เอกรงค์กรอกตาครุ่นคิดอยู่อึดใจ เขาพอตามข่าวธุรกิจอยู่บ้างเพื่อไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนสำหรับลดหย่อนภาษี “ใช่บริษัทลูกของที่พ่อนายยกให้พี่ชายนายดูแลอยู่ตอนนี้ไหม ได้ข่าวว่าผลกำไรไม่ค่อยดี เหมือนจะติดตัวแดงอยู่พอสมควร แล้วมันมีอะไรเกี่ยวข้องกันจนถึงขั้นต้องเป็นห่วงเหรอ”

“วันนี้สุรชัยมาส่งบัตรเชิญนอฟไปงานวันเกิดและวันประกาศตัวผู้รับทายาทของปู่” ปรเมษฐ์เล่าต่อ

เอกรงค์พยักหน้าเข้าใจเรื่องราวในทันที “การที่จู่ๆ พนักงานของบริษัทพี่แกที่กำลังไปได้ไม่สวยจะมาจอดติดไฟแดงท้ายรถแก แล้วดันเหยียบเบรคผิดเป็นคันเร่งมาชนในวันที่พ่อบ้านใหญ่ประจำตระกูลมาส่งบัตรเชิญไปงานประกาศตัวผู้รับมรดกร้อยล้าน… ดูเป็นเรื่องบังเอิญจนน่ากลัวเลยนะ แล้วแกจะเอายังไง”

“พี่ป๋องไม่ใช่คนแบบนั้น” ปรเมษฐ์บอกอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง

เอกรงค์มองหน้าเพื่อน เขาเข้าใจความรู้สึกเพื่อนดี และตัวเองก็ได้เจอหน้าปรกฤษณ์พี่ชายของปรเมษฐ์อยู่หลายครั้ง พี่ชายผู้อบอุ่นใจดี เป็นทาสหมาแถมยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการจัดการเกี่ยวกับนภธรณ์หลายๆ เรื่อง เริ่มตั้งแต่การแนะนำและลากปรเมษฐ์ที่ประกาศว่าจะเลี้ยงลูกเอง แต่ยังไม่เข้าใจถึงความยากลำบากอะไรสักอย่างไปจดทะเบียนรับรองบุตร ซื้อหนังสือวิธีการเลี้ยงลูกส่งไปรณีย์มากองไว้หน้าบ้านเป็นลังๆ จนถึงช่วยเลือกโรงเรียนอนุบาล ตอนนภธรณ์ป่วยนอนโรงพยาบาลที่ท้องเสียเขาก็ไปเยี่ยม ดูยังไงก็ไม่น่าใช่คนที่จะมาวางแผนอะไรแบบนี้... หรือนี่แหละที่เรียกว่าใจดีแล้ว คือแค่ขู่ให้กลัวจะได้ไม่มายุ่ง เพราะพูดถึงเงินเป็นล้านก็ไม่เข้าใครออกใครยิ่งในช่วงเวลาที่ยากลำบาก จะว่าไปตอนปรเมษฐ์เคยเล่าว่าตอนเขายืนยันกับครอบครัวว่าจะมาเรียนหมอพี่ชายก็ไม่ได้ห้ามแถมยังส่งเสริมอีกต่างหาก... และนั่นคือความใจดีหรือแค่แผนการที่ไม่อยากให้ใครมาแย่งสมบัติ? โดยเฉพาะครอบครัวคนจีนเก่าแก่ที่คงจะให้ค่าของลูกชายคนโตเป็นสำคัญแบบแสนลำเอียง แล้วตอนนี้ตำแหน่งหลานชายคนโตและคนเดียวของบ้านก็คือนภธรณ์เสียด้วยสิ

“ฉันเคยปฏิเสธพ่อไปแล้ว แต่นายก็เคยเจอพ่อฉัน บางเรื่องเราก็ทำได้แค่พูด แต่เขาไม่รับฟัง” ปรเมษฐ์บอก

“ฉันรู้ว่านายจะจัดการมันได้” เอกรงค์ให้กำลังใจ “ฉันไม่รู้หรอกว่าพี่ป๋องทำจริงหรือเปล่า ฉันไม่กล้าพูดด้วยว่าฉันเชื่อใจเขาเหมือนที่นายเชื่อใจเพราะฉันไม่ได้รู้จักเขาดีเหมือนนาย แต่ฉันเชื่อว่านายจะผ่านมันไปได้” เขาพยักเพยิดไปทางเด็กหนุ่มที่เดินตามมาข้างหลัง “นอฟคือเครื่องพิสูจน์ ที่เป็นทั้งอุปสรรคและรางวัลของนายไม่ใช่เหรอ

ปรเมษฐ์ตวัดสายตาตามไปและก็บังเอิญสบตากับลูกชายพอดี เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ตัวกำลังโดนพูดถึงทำหน้าทะเล้นส่งยิ้มมาให้ เขาไม่ยิ้มตอบเพียงแต่พ่นลมออกจมูกและหันกลับมา เขาไม่ได้พูดตอบอะไรเพราะคนที่เดินตามมานั้นคือคำตอบของทุกอย่างแบบที่เพื่อนรักว่าจริงๆ

“และถ้าเรื่องราวมันจะเลวร้ายถึงขนาดนั้นจริงๆ” เอกรงค์พูดต่อ “ในเมื่อนายกล้าจะก้าวออกจากบ้านมาได้แล้วครั้งหนึ่ง ฉันคิดว่าการทำอีกครั้งมันคงไม่ยากไปกว่าเดิมเท่าไหร่ แล้วครั้งนี้นายก็ไม่ได้ออกมาคนเดียวด้วยแต่ยังมีนอฟอีกคน ส่วนฉันขอยืนรออยู่หน้าประตูนะ... ก็อยากจะไปรับข้างในเหมือนกัน แต่นายก็รู้ว่าเจ้าเซบาสเตียนกับเพื่อนๆ ของมันโคตรดุเลยแล้วพวกมันก็เกลียดขี้หน้าฉันสุดๆ ด้วย” เขาพูดติดตลกตอนท้ายถึงสุนัขพันธุ์บางแก้วที่ปรกฤษณ์เคยเลี้ยงไว้

ปรเมษฐ์ยิ้มตอบ “ขอบใจนะ”

OOOOOO

“ระวังอย่าให้เฝือกโดนน้ำนะ เวลาจะอาบน้ำก็ใช้พลาสติกคลุมไว้” เอกรงค์ช่วยถือของเดินไปส่งสองพ่อลูกที่ห้อง ปากก็ย้ำเรื่องการดูแลข้อมือข้างที่เจ็บไปด้วย “เฝือกมันจะชื้น ขึ้นรา แล้วก็ทำให้ผิวหนังข้างในเปื่อยติดเชื้อได้”

“รู้แล้วน่าฉันเองก็เป็นหมอนะเว้ย” ปรเมษฐ์ว่า

“ฉันบอกนอฟ ไม่ได้บอกแก เพราะเดี๋ยวแกต้องรั้นทำอะไรไม่เข้าเรื่องแน่ๆ ยิ่งเป็นพวกไม่ค่อยชอบอยู่เฉยๆ อีก เขาให้หยุดพักก็พักไปไม่ต้องดิ้นรนหางานมาทำ” เอกรงค์หันไปเถียง “เข้าใจไหมนอฟ อย่าให้พ่อแกทำอะไรมากล่ะเดี๋ยวกระดูกจะติดแบบเบี้ยวๆ เวลาอาบน้ำถ้าดูแล้วลำบากแกก็เช็ดตัวให้พ่อแกไปก่อนก็ได้ เวลานอนก็ให้เอาผ้ารองยกแขนให้สูงกว่าระดับหัวใจไว้จะได้ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดี”

นภธรณ์พยักหน้ารับอย่ากระตือรือร้น พยายามจดจำทุกอย่างไว้ในหัว “แล้วแบบนี้จับช้อนได้ไหมครับ ผมต้องช่วยป้อนข้าวป้อนน้ำป๊าหรือเปล่า”

“ถ้าได้ก็ดี”

“พวกแกสองคนใจเย็นนะ ฉันแค่กระดูกข้อมือร้าวไม่ได้เป็นง่อย หรือเป็นอัมพาตจะได้ต้องให้คนเช็ดตัวป้อนข้าวป้อนน้ำ” ปรเมษฐ์รีบแก้ความเข้าใจลูกชายใหม่ “จริงๆ ไปทำงานยังไหวเลยก็แค่ไม่ต้อง...”

“นั่นไงล่ะนอฟ ฉันพูดขาดคำที่ไหนเห็นไหม” เอกรงค์หันไปส่ายหน้าอย่างระอากับลูกชายเพื่อนสนิท “ส่วนเรื่องไปรับส่งนอฟที่โรงเรียนกับที่ทำงานก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะเดี๋ยวฉันจัดการเอง จริงๆ เรื่องนี้ฉันก็ทำมาตั้งนานแล้ว แกอยู่บ้านไปเฉยๆ น่ะแหละ”

“ฉันไม่เถียงล่ะ เอาที่พวกแกสองคนสบายใจเลย…”
   
แล้วการถกเถียงของทั้งสามคนก็ถูกยุติไว้แต่เพียงเท่านั้นเมื่อปรเมษฐ์เปิดประตูห้องเข้าไปพบว่าภายในห้องถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย

“เกิดอะไรขึ้น! มีโจรขึ้นบ้านเหรอ” นภธรณ์ร้องเสียงดัง กำลังจะเดินเข้าไปข้างในก็โดนคนเป็นพ่อดึงไหล่ไว้ให้มาหลบข้างหลัง

“ฉันโทรแจ้งตำรวจให้นะ” เอกรงค์บอกเสียงเครียด

ปรเมษฐ์พยักหน้า “เดี๋ยวฉันขอตรวจดูก่อนว่ามีของอะไรหายไปบ้าง ช่วงนี้ดวงตกหรือไงวะเนี่ยถึงได้มีแต่เรื่องเข้ามาติดๆ กัน”

“เดี๋ยวผมช่วยนะป๊า” นภธรณ์รีบเสนอตัว

“ไม่ต้องเลย” ปรเมษฐ์รีบบอก “มันอันตราย แกอยู่เฉยๆ กับโมตรงนี้แหละ เดี๋ยวแกไปจับโดนอะไรทำที่เกิดเหตุเปลี่ยนอีก ให้ฉันดูเองคนเดียวดีกว่า”

นภธรณ์พยักหน้ารับคำ แต่พอปรเมษฐ์คล้อยหลังก็ทำท่าจะเดินไปดูอีกห้องจึงโดนเอกรงค์ดุด้วยสายตาและคว้าตัวมายืนข้างๆ
ผ่านไปราวสิบนาทีปรเมษฐ์ก็เดินกลับออกมา

“เป็นไง มีอะไรหายบ้าง” เอกรงค์ถาม

“ไม่มีนะ” ปรเมษฐ์ส่ายหน้าหลังจากเดินดูจนทั่ว “เครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรก็อยู่ครบ พวกสมุดบัญชีฉันเก็บไว้กับตัว ของมีค่าอย่างอื่นฉันก็ฝากไว้ในเซฟที่ธนาคาร”

“จะขนพวกเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ ออกไปก็จะเด่นเกินไป เพราะแบบนี้หรือเปล่าโจรมันเลยหงุดหงิดเล่นซะเละเพราะไม่ได้อะไรติดมือกลับไป” เอกรงค์ออกความเห็น

ยังไม่ทันที่ปรเมษฐ์จะสรุปอะไรเพราะไม่คิดว่าจะมีโจรกระจอกที่ไหนลงทุนงัดเข้าห้องในคอนโดหรูย่านใจกลางเมืองที่มีกล้องวงจรปิดและยามเฝ้ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วยอมกลับไปมือเปล่า เขาก็สังเกตเห็นว่าลูกชายตัวดีหายไป “นี่นอฟไปไหนเนี่ย”

เอกรงค์หันควับไปรอบตัว “อ้าว เมื่อกี้ยังยืนอยู่ข้างๆ ฉันเลย เผลอแป๊บเอง ลูกแกนี่ไวเป็นลิงจริงๆ”

“นอฟ! อยู่ไหน” ปรเมษฐ์ตะโกนเรียก

“ป๊า!”

เสียงเด็กหนุ่มเรียกอย่างร้อนรนดังออกมาจากห้องนอน ผู้ใหญ่สองคนมองหน้ากันแล้ววิ่งเข้าไปทันที

ปรเมษฐ์พุ่งผ่านประตูที่เปิดอ้าเข้าไป “มีอะไร!”

ตามมาติดๆ ด้วยเอกรงค์ที่เกือบสะดุดโคมไฟตั้งพื้นล้มหน้าทิ่ม “เกิดอะไรขึ้น?”

เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าที่ถูกรื้อกระจุย เขาหันมาหาทั้งสองด้วยใบหน้าตื่นตระหนก และนั่นยิ่งทำให้คนเป็นพ่อกับเพื่อนพ่อตกใจไปด้วย

“มันหายไปอะ” นภธรณ์พูดตาแดงๆ

“อะไรหาย!?”

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 12 P.6 [3/09/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 15-10-2017 13:14:16
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

“กางเกงในหาย!”

“อย่าเสียงดังสิพี่ตฤณไหนว่าไม่อยากเป็นข่าวไง” นภธรณ์จุ๊ปากให้ผู้จัดการส่วนตัวเบาเสียงลงด้วยเกรงว่าเสียงจะดังออกไปนอกห้องซ้อมจนคนอื่นๆ ในบริษัทได้ยิน ทีแรกเขาก็คิดว่าจะไม่บอกใคร แต่ปรเมษฐ์คิดว่าเล่าให้ฟังไว้ก็ดีเผื่อว่าจะได้ช่วยระวังเป็นหูเป็นตาเวลามาทำงานเพราะดูแล้วโจรคนนี้มีพฤติกรรมแปลกๆ

หลังจากตำรวจเข้ามาตรวจสอบโดยละเอียดแล้วพบว่าของที่หายไปมีแค่นั้นจริงๆ ปรเมษฐ์จึงไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไรมากแค่ลงบันทึกประจำวัน กับแจ้งนิติกรของคอนโดเพื่อจัดการเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดขึ้นเมื่อพบว่ากล้องวงปิดตัวที่น่าจะเห็นหน้าคนร้ายชัดดันเสียไปซะเฉยๆ ตัวอื่นๆ ก็เห็นแค่ว่าเป็นคนใส่ฮู้ดสีดำสวมแว่นกันแดดและไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย

“โทษทีๆ ฉันตกใจมากไปหน่อย” ตฤณรีบบอก

“แล้วหายไปกี่ตัวล่ะ” ท่านประธานแดเนียลถามต่อ

“หมดทุกตัวเลยครับ” นภธรณ์ว่า

“อ้าว แล้วตอนนี้ใส่อะไรมาล่ะ หรือว่าไม่ได้ใส่” ดุริยะได้ทีรีบลุกจากเก้าอี้เข้ามาชะโงกดูใกล้ๆ

“ใส่สิครับ” นภธรณ์รีบดึงขอบกางเกงไว้แน่น “หมอโมพาออกไปซื้อมาใหม่เมื่อวาน”

“โจรคนนี้แปลกๆ นะบุกขึ้นคอนโดเพื่อขโมยแต่กางเกงใน” ปรเมษฐ์พูดเสียงเครียด

“ผมว่าไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย” ดุริยะว่า

“แปลกสิครับ ก็ถ้าเป็นพวกโรตจิตจริงทำไมเอาแต่ของนอฟไปล่ะ ไม่เห็นเอาของผมไปด้วย”

“เอาของคุณไปด้วยสิครับถึงแปลก” ดุริยะหัวเราะคิกคักในลำคอ “แต่ถ้าคุณโป้เสียดายที่โจรมันไม่เอาไป เอามาให้ผมก็ได้นะเดี๋ยวผมจะช่วยรับไว้เอง”

“ผมไม่ตลกด้วยนะครับ” ปรเมษฐ์พูดด้วยเสียงที่เข้มขึ้นกว่าเดิม

“ขอโทษที ผมแค่ไม่อยากให้ทุกคนเครียดมากน่ะ” ดุริยะว่าก่อนจะกระแอมครั้งหนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “คือ... ยังไงดี มันก็ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติแหละ แต่มันก็เกิดขึ้นบ่อยๆ กับคนในวงการบันเทิง คือผมคิดว่าอาจเป็นพวกสตอล์กเกอร์ธรรมดาๆ น่ะ”

“สตอล์กเกอร์?” ปรเมษฐ์ทวนคำ

“พวกคลั่งไคล้ศิลปินอะไรมากๆ จนถึงขั้นเฝ้าตามติดทุกฝีก้าวแบบนี้น่ะครับ” ตฤณช่วยอธิบายเพิ่ม “ดารานักร้องดังๆ ก็เคยโดนกันมาหลายคนแล้ว มีทั้งขโมยของใช้ส่วนตัว กับของที่ใช้แล้วอย่างกระดาษทิชชูช้อนส้อมหรือขวดน้ำที่กินเหลือไว้ เรื่องขโมยชุดชั้นในนี่ถือว่าเบาๆ เลยนะครับ เคยมีพระเอกหนังคนหนึ่งเคยได้รับจดหมายรักเขียนด้วยเลือดด้วย ประมาณว่าจะเล่นของให้หันมาชอบหรืออะไรแบบนั้นน่ะครับ”

“แล้วคุณเคยโดนไหม?” ปรเมษฐ์หันไปถามดุริยะ

โปรดิวเซอร์ใหญ่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่อึดใจ “ถ้าเป็นขโมยกางเกงในนี่ผมไม่เคยโดนนะ ส่วนใหญ่ที่หายนี่เพราะไปลืมไว้ที่ไหนก็ไม่รู้มากกว่า”

“หมู่นี้นายเห็นใครแปลกหน้ามาป้วนเปี้ยนรอบๆ ตัวนอฟบ้างหรือเปล่า” แดเนียลหันไปถามผู้จัดการส่วนตัวของเด็กหนุ่ม

“ถ้าเป็นคนแปลกหน้าไม่มีนะครับ” ตฤณตอบตามตรงถึงจะดูเป็นคนไม่ค่อยได้เรื่องแต่ก็เป็นคนที่วางใจได้มากทีเดียว “มีแต่คนที่เราคุ้นเคยกันดีนี่แหละที่มาให้เห็นบ่อยๆ”

“ใครเหรอ” แดเนียลถามต่อ

“กรรณไงครับ” ตฤณบอก “ขอโทษครับที่ไม่ได้รายงาน เพราะหมอนั่นก็มาวนเวียนหาข่าวฉาวๆ เป็นปกติอยู่แล้ว ก่อนจะหายไปช่วงหนึ่งตอนที่คุณโป้หมายหัวไปกลางงานแถลงข่าววันนั้นแล้วโผล่มาให้เห็นอีกครั้งวันก่อนที่หน้าโรงแรมหลังงานเลี้ยงน่ะครับ แต่ก็ไม่ได้มายุ่งอะไรกับนอฟนะเหมือนมาหาข่าวทั่วๆ ไป แฟนคลับส่วนใหญ่ที่ตามนอฟผมก็รู้จักดี บ้านแฟนคลับใหญ่ๆ นี่ผมส่องเป็นประจำก็ไม่เคยเห็นปล่อยข่าวหรือภาพอะไรแปลกๆ ขนาดนอฟไปออกงานวันก่อนเผลอหลับในรถเสื้อยับยังช่วยรีดผ้าด้วยโฟโต้ชอปให้เลย ถ้ามีคนไม่น่าไว้ใจปะปนเข้ามาพวกเขาน่าจะบอกให้ผมรู้บ้าง แต่ยังไงผมจะลองไปแอบถามๆ ดูอีกทีนะครับจะได้ช่วยฝากให้เป็นหูเป็นตาให้เราได้อีกแรง”

แดเนียลพยักหน้า “ฉันฝากด้วยนะ”

“นี่เจ้าหนู” อยู่ดีๆ ดุริยะก็ถามขึ้นมา

“อะไรครับ”

“ยังไงช่วงนี้เธอมานอนกับฉันไหม” ดุริยะเสนอ “เพราะห้องนั้นดูไม่ปลอดภัยสำหรับเธอแล้ว มันอาจจจะย้อนกลับมาขโมยอะไรอีกก็ได้ บางทีพวกนี้มันก็ไม่ได้อยากได้แต่ของนะ พรหมจรรย์มันก็อยากได้ ป๊าเธอก็ต้องไปทำงานไม่ได้อยู่ห้องทุกวันนี่ แล้วถ้ามันมาดักรอล่ะ เธอจะทำยังไง”

“ตอนนี้อยู่ทุกวันแล้วครับ” ปรเมษฐ์รีบบอกพลางยกมือขวาให้ดู “อย่างน้อยก็อีกเจ็ดวัน… ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงลูกของผม”

“ก็เพราะเป็นลูกคุณน่ะสิครับผมถึงเป็นห่วง” ดุริยะพูดยิ้มๆ “นี่ผมว่าคุณซื้อพวกอุปกรณ์ป้องกันตัวอะไรให้เจ้าหนูมันติดตัวไว้บ้างก็ดีนะ ตอนผมอยู่อเมริกาเห็นพวกแม่ๆ ให้ลูกพกกันทุกคนเลย”

“พวกนกหวีดอะไรแบบนี้น่ะเหรอครับ”

“เอาไว้เป่าชวนโจรมันออกกำลังกายเหรอครับ แหม~” ดุริยะว่า “อันนั้นก็ดีครับแต่ผมว่าเป่าให้ตายคนไทยก็ยังไม่สนใจหรอก เราไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพวกนี้ถึงแม้เราจะสนใจเรื่องชาวบ้านเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ที่ผมพูดน่ะหมายถึงพวกมีด สเปรย์พริกไทย ที่ช๊อตไฟฟ้าอะไรแบบนี้มากกว่า”

“เห็นปกติเล่นๆ แต่วันนี้คุณก็พูดดูเป็นการเป็นงานเป็นเหมือนกันนะครับเนี่ย” ปรเมษฐ์เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “ผมจะเอาไปพิจารณาครับ สเปรย์พริกไทยนั่นน่าสนใจอยู่ แต่มีดกับที่ช๊อตไฟฟ้าคงขอผ่าน เพราะนอกจากนอฟจะใช้ไม่เป็นแล้วผมกลัวว่าจะซุ่มซ่ามให้โจรแย่งมาทำร้ายตัวเองได้มากกว่า และก็คงพกไปโรงเรียนไม่ได้ด้วย”

ดุริยะพยักหน้าตามก่อนจะพูดต่อ “ดูช่วงนี้ดวงคุณกับลูกตกๆ นะคุณโป้ อะไรกันโดนรถชนแล้วยังโจรขึ้นบ้านอีก ถ้ายังไงเอาน้ำมนต์ที่ให้ผมมาวันก่อนไปอาบล้างความซวยก่อนไหม นี่ผมลองแล้วนะ แค่หยดไปสองฝา ร้อนวูบวาบดีจัง รู้สึกจิตใจผ่องใสเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หรือคุณจะลองมาอาบด้วยกันที่บ้านผมก็ได้นะ อ่างจากุซซี่ที่บ้านผมใหญ่ สองคนลงพร้อมกันก็ยังมีที่ว่างให้ขยับตัวทำอะไรต่อมิอะไรได้สบายๆ เลย”

ปรเมษฐ์พ่นลมออกจมูก “ขอถอนคำพูดที่ชมไปเมื่อสักครู่คืนนะครับ”

“อะไรกันแซ็วแค่นี้ทำเป็นถอนหายใจเฮือกๆ เดี๋ยวก็แก่ไวหรอกคุณ” ดุริยะยังไม่ยอมเลิก

“คุณก็เลิกแหย่ผมสักทีสิครับ” ปรเมษฐ์กล่าวด้วยท่าทีอ่อนอกอ่อนใจเต็มที

“ไม่เอาหรอก ผมชอบสีหน้าเวลาคุณลำบากใจมันตลกดี” โปรดิวเซอร์ใหญ่อมอิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหาใกล้ๆ ให้อีกฝ่ายต้องขยับตัวหนี

“เกิดอะไรขึ้นทำไมจู่ๆ พวกคุณก็ดูสนิทกันขึ้นมาล่ะ” แดเนียลเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “หรือว่าที่หายไปด้วยกันหลังงานเลี้ยงวันก่อนมีอะไรดีๆ เหรอครับ”

คนโดนแซ็วสองคนมองหน้ากัน แดเนียลกับตฤณไม่รู้เรื่องที่นภธรณ์โดนแพรวชมพูหลอกไปให้สปอนเซอร์ และพวกเขาก็คิดตรงกันว่าทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องรู้

“ไม่มีอะไรนี่ครับ” ปรเมษฐ์รีบบอก

“แค่คนบางคนเหล้าเข้าปากก็พูดจ้อไม่หยุดน่ะครับ” ดุริยะได้ทีรีบโม้ ทำเอาคนโดนใส่ความหันมามองจ้องเขม็ง

“ผมไม่ได้…”

“คนเมาที่ไหนก็พูดว่าตัวเองไม่ได้เมาทั้งนั้นแหละ หรือน้องโป้ว่าไงครับ” ดุริยะขยิบตาใส่อย่างเป็นต่อก่อนจะหันไปหัวเราะกับคนอื่นๆ

ยกเว้นคนเดียวที่ไม่มีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย นภธรณ์มองดุริยะที่ส่งสายตาแปลกๆ ให้ปรเมษฐ์และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่นอกจากป๊าจะไม่ตีหน้ายักษ์ใส่แล้วยังทำเหมือนยอมๆ กันไป และเขาคิดว่ามันคงไม่ได้มีแค่เรื่องของเขา… ตอนที่เขาไปคุยกับแพรวชมพู ดุริยะกับป๊าก็แอบไปคุยกันสองต่อสองงั้นเหรอ แล้วสองคนนี้มีเรื่องอะไรให้คุยกัน แล้วมันเรื่องสำคัญแค่ไหนที่ทำให้ปรเมษฐ์ยอมเงียบไม่โต้ตอบคำโกหกของดุริยะได้

“เอาเป็นว่าคุณโป้ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ตอนอยู่บริษัทกับตอนไปทำงานผมจะให้ตฤณคอยตรวจสอบคนที่จะเข้าใกล้นอฟให้มากขึ้น” แดเนียลสรุปอีกครั้ง “เหลือแค่ที่บ้าน ถ้าหากคุณรู้สึกไม่สบายใจจะย้ายที่อยู่ก็บอกผมได้นะครับ เผื่อจะได้ช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้”

ได้ฟังดังนั้นปรเมษฐ์ก็ค่อยสบายใจขึ้น “ขอบคุณมากครับ”

OOOOOO

“ป๊าคิดว่าโจรที่ขึ้นบ้านเราจะเป็นพวกสตอล์กเกอร์อย่างที่พี่ยะพูดจริงๆ หรือเปล่าครับ” นภธรณ์ถามพลางช่วยป๊าถอดเสื้อและสวมปลอกพลาสติกคลุมแขนด้านขวาตามที่เอกรงค์สอนมาเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ

“ไม่รู้สิ ตั้งแต่เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยเจอโจรขึ้นบ้านนี่แหละ ยิ่งพวกสตอล์กเกอร์อะไรนี่เพิ่งเคยได้ยิน แต่ที่แน่ๆ แกก็ระวังตัวให้ดีๆ ล่ะ ที่บ้านยังงัดเข้ามาได้ ที่อื่นฉันยิ่งกลัวเลย เขาว่าเลี้ยงลูกตอนเล็กน่ะเลี้ยงยากมีเรื่องให้ห่วงสารพัด ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าโตมาแล้วจะยิ่งมีเรื่องให้ห่วงมากกว่าเดิมอีก เขาว่ามีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน นี่นึกว่ามีลูกชายจะสบาย ที่ไหนได้โจรยังย่องมาแอบขี้ถึงในบ้านอีก”

“ผมไม่ใช่ส้วมนะป๊า” นภธรณ์เริ่มโอดครวญเล็กๆ มันใช่ความผิดของเขาซะที่ไหนกันล่ะที่เกิดมาหน้าตาดีมีคนมาแอบชอบเยอะแยะ ยกเว้นคนเดียวที่อยากให้ชอบก็ดันชอบไม่ได้อีก

“เข้าใจคำว่าเปรียบเปรยไหม เด็กโง่” ปรเมษฐ์ถอนหายใจเสียงดัง “ไม่ต้องมาขำ จับแกใส่กระเป๋าไปทำงานได้ฉันทำไปแล้วนะเนี่ย เป็นห่วงเนี่ยเข้าใจไหมว่าเป็นห่วง เจ้าตัวดื้อด้าน” พูดพร้อมกับเอื้อมมือมาขยี้ผมเจ้าตัวดีที่หัวเราะคิกคักเผื่อความรู้สึกมันจะซึมเข้าสมองไปบ้าง

“ป๊าไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกน่า ผมดูแลตัวเองได้ มีสองมือสองเท้าเหมือนๆ กันถ้าโจรมันเข้ามานะ ฮึ่ม! เสร็จผมแน่”

“แกจะทำอะไรมัน ยกมือไหว้แล้วบอกว่าอย่าผมเลยคร้าบ~” คนเป็นพ่อว่าพร้อมกับประนมมือขึ้นท่วมหัวทำท่าล้อเลียนลูกชาย “แบบนี้เหรอ”

“ป๊าอะ” นภธรณ์โวย “อย่าดูถูกลูกชายแบบนั้นสิ”

“แล้วตกลงผิดไหม” ปรเมษฐ์ถาม

“หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้นใครจะไปมัวเสียเวลาไหว้ละป๊า” นภธรณ์ว่า “เท้ามีก็วิ่งดิ เห็นแบบนี้ก็แต่ผมก็แชมป์วิ่งเก่านะ”

“ในการแข่งขันที่มีแค่แกกับไอ้ด่างคู่ปรับเก่าหน้าปากซอยน่ะนะ”

นภธรณ์เหล่ตามองคนที่รู้ทันตนไปเสียทุกเรื่องและเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วนี่ป๊าจะสระผมยังไง หัวเริ่มเหนียวแล้วนะ เมื่อวานก็ไม่ได้สระนี่นา เน่าแล้วมั้งเนี่ย เศษฝุ่นเต็มหัวเลยมีเลือดด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้” แล้วแกล้งเขย่งตัวขึ้นทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะย่นปากใส่

“ทนไปอีกคืนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าฉันจะลงไปสระที่ร้านทำผมข้างล่าง” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปบิดจมูกเชิดๆ รั้นๆ น่าหมั่นไส้นั่น

“ยี้~ ขืนทนอีกคืนหนอนก็ฟักเป็นตัวพอดี เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวผมสระให้ก็ได้ แต่ขอห้าร้อย ตกลงปะ” เด็กหนุ่มกรีดยิ้มยียวนพร้อมกับแบมือไปตรงหน้า “เอางี้ ถ้าป๊าตอบตกลงภายในห้านาทีนี้ผมจะไดร์ผมกับเแถมขัดขี้ไคลที่หลังให้ด้วย โห~ โปรโมชั่นดีขนาดนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนะเนี่ย สนเปล่า~”

“ฉันให้พันหนึ่งแล้วแคะขี้หูให้ด้วย”

“ป๊าเอาจริงดิ” นภธรณ์ถึงกับไปไม่เป็นเพราะเขาแซ็วไปแบบนั้นไม่คิดว่าพ่อของตนจะเล่นด้วยจริงๆ แถมยังไม่พูดเปล่าปรเมษฐ์ยังถอดเข็มขัดออกโยนไว้บนเตียงแล้วเริ่มต้นปลดกางเกงลงไปกองไว้กับพื้น ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นตอนป๊าโป๊... จริงๆ แล้วบ่อยด้วย แต่นั่นมันก็ตอนเด็กๆ และตอนนั้นกับตอนนี้มันก็ไม่เหมือนกัน

เด็กหนุ่มอยากจะยกสองมือขึ้นปิดหน้าด้วยความเขิน แต่ความอยากดูมันมีมากกว่าเขาจึงต้องทนเก๊กหน้านิ่งแล้วปล่อยให้สายตาทำหน้าที่สอดรู้สอดเห็นไปตามผิวกายแน่นๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของคนอายุใกล้สี่สิบแล้ว เรื่อยลงไปจนถึงจุดที่เขาทำได้แค่มองแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างแสนเสียดายเมื่ออีกฝ่ายตวัดผ้าเช็ดตัวพันรอบเอว

“แกเองก็ถอดเร็วๆ สิ” ปรเมษฐ์เร่ง

นภธรณ์สะดุ้งเฮือก “ถ… ถอด… ถอดอะไรครับ”

“ถอดเสื้อไง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วแกก็อาบพร้อมกันไปเลยจะได้ไม่เสียเวลา”

…อาบน้ำด้วยกัน…

ภาพฟองสบู่นุ่มๆ ฟูฟ่องกับภาพสโลว์โมชั่นชวนฝันเหมือนอยู่ในโฆษณาครีมอาบน้ำสุดวาบหวานที่เคยเห็นในทีวีลอยขึ้นมาในหัวเด็กหนุ่ม พยายามงัดประตูห้องน้ำมาตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จสักที บทจะได้นี่มันง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ
 
“ยังเอาแต่ยืนเฉยอีก ตกลงแกจะสระผมให้ฉันจริงหรือเปล่าเนี่ย อ้อ! เงินไม่มาผ้าไม่หลุดสินะ” ปรเมษฐ์หยอกลูกชายพร้อมกับหันไปคว้ากระเป๋าสตางค์บนเตียงหยิบธนบัตรสีเทาออกมาส่งให้ “เอาไป”

“…” เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่ง ลังเลว่าจะเอายังไงดี เขากลัวตัวเองอดใจไม่ไหว ไม่ก็เลือดกำเดาพุ่งเป็นลมตายในห้องน้ำเสียก่อนจะอาบเสร็จแน่ๆ

“แน่ะ มีเล่นตัว” ปรเมษฐ์เปิดกระเป๋าอีกครั้งแล้วดึงธนบัตรสีเทาออกมาอีกใบ “พอไหม? ไม่พอเหรอ?” และหยิบออกมาเพิ่มอีกใบ
นภธรณ์ยืนมองกล้ามอกแน่นสลับกับธนบัตรในมือตาปริบๆ ได้ดูของดีแถมยังได้ตัง บางทีนี่อาจเป็นพรข้อสุดท้ายก่อนตายที่พระเจ้าประทานให้เขาก่อนจะถีบลงนรกก็ได้ แบบนี้ไม่รีบฉวยก็โง่แล้วสินะ

คิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มก็โยนสามัญสำนึกของลูกชายที่ดีทิ้งแล้วพุ่งเข้าไปกราบงามๆ ลงบนอกกว้างนั่น “วันนี้ป๊าอยากได้แบบไหนบอกมาได้เลยฮะ เดี๋ยวผมจัดให้ จะเอาแบบสมูทแอดซิลก์ นุ่มเบาดุจแพรไหม หรือสายร๊อคฮาร์ดคอร์หนักหน่วงได้หมดเลยฮะ”

“เดี๋ยวนะ นี่แกพูดถึงอะไรเนี่ย” ปรเมษฐ์ขำคนที่ทำท่าทางเลียนแบบพริตตี้ขายของได้น่าถีบมากกว่าน่ารัก

“ป๊าอยากให้เกาเบาๆ หรือเกาแรงๆ ละฮะ” นภธรณ์ถาม

“ไม่ต้องแรงมากเดี๋ยวหนังหัวฉันถลอกหมด”

“ตามผมมาเลยฮะ ไม่ต้องเขินนะครับฮะ ทำตัวตามสบายปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง”

“ปากดีอีกล่ะ” ปรเมษฐ์โคลงศีรษะอย่างระอา

“อย่างอื่นก็ดีครับ ไม่เชื่อเดี๋ยวผมจะพิสูจน์ให้ดู” เด็กหนุ่มขยิบตาให้ครั้งหนึ่งพร้อมกับสะบัดเสื้อออกจากตัวแล้วรุนหลังคนเป็นพ่อเข้าห้องน้ำไป

ทำเป็นพูดดีว่าอาบน้ำด้วยกันสุดท้ายเขาก็แค่ได้เข้าไปสระผมให้ตรงอ่างล้างมือเสร็จแล้วก็ออกมานอนดูทีวีรออาบเป็นคนต่อไปอยู่ข้างนอก

เด็กหนุ่มกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อย่างเบื่อหน่าย พลันภาพก็มาหยุดลงที่ช่องหนึ่งซึ่งกำลังนำเสนอวิธีการทำอาหารง่ายๆ สำหรับคนป่วย

“อาหารที่รับประทานในช่วงนี้ควรเป็นอาหารที่สดใหม่ สุก สะอาดและมีสารอาหารครบห้าหมู่นะครับ” พิธีกรหนุ่มหล่อเกริ่นนำเข้าสู่เมนู “ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำข้าวต้มปลากันครับ โดยเราเลือกปลากระพงซึ่งนอกจากจะย่อยง่ายแล้วยังอุดมไปด้วยโอเมก้าทรี...”

“ป๊าเองก็ป่วยอยู่นี่นา” นภธรณ์รำพึงแล้วเขาก็คิดได้ ความคิดที่จะทำกับข้าวให้ป๊ากินเมื่อครั้งวันเกิดถึงจะล้มไม่เป็นท่าแต่ก็เอามาทำวันนี้ได้นี่นา

เด็กหนุ่มรีบพุ่งไปยังครัวรื้อค้นก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่อึดใจแล้วเขาก็ค้นพบว่านี่เรื่องจริงไม่ใช่การ์ตูนหรือรายการอาหาร ที่พอเปิดประตูตู้เย็นก็จะได้วัตถุดิบครบถ้วน เขายืนมองดูอาหารสดที่มีแค่ไข่กับนมแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกดหาเอกรงค์ก็คิดขึ้นได้ว่าหมอโมมีฝีมือทำอาหารไม่ต่างจากป๊าเท่าใดนัก เขายืนมองไข่บนโต๊ะ ข้าวสารก็ไม่มี คิดไปพลางเคาะโทรศัพท์กับปลายคางด้วยคิดไม่ตก แล้วเขาก็นึกถึงใครคนหนึ่ง แต่เสียงรอสายนั้นก็ดังยาวนานจนเขาแทบตัดใจ แล้วก่อนจะกดวางสายนั่นเองที่ปลายสายยอมกดรับ

[ว่าไงเจ้าหนู]

“สวัสดีครับ” นภธรณ์ทักทายออกไปอย่างเป็นทางการมากกว่าปกติ รู้สึกเกร็งๆ ที่โทรหาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องตอนดึกๆ ดื่นๆ ซ้ำยังไม่เกี่ยวกับงานเสียด้วย “คือผมมีเรื่องอยากปรึกษา แต่ถ้าพี่ยะไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะครับ”

[มีอะไรก็ว่ามา]

“คือผมจะปรึกษาเรื่องการทำอาหาร... ให้ป๊าน่ะ คือวัตถุดิบมีแค่...”

แล้วนภธรณ์ก็เผลอเล่านู่นเล่านี่เสียยืดยาว กว่าจะนึกขึ้นได้ว่าเวลาผ่านไปนานพอสมควรแล้วก็ตอนที่ปลายสายทักมาว่า

[ระวังไหม้นะ]

เขากล่าวขอบคุณดุริยะที่ช่วยชี้แนะวิธีการทำอาหารอย่างละเอียดยิบจึงได้วางโทรศัพท์ เด็กหนุ่มยังยืนอมยิ้มอยู่กับโทรศัพท์อีกเกือบนาที รู้สึกอิ่มในใจที่มีใครอีกคนให้คำปรึกษาได้ในยามที่ต้องการ

เช่นเดียวกันกับคนที่อยู่ปลายสาย จริงๆ ก็ปิดไฟนอนแล้ว ปกติดุริยะไม่ชอบโดนปลุก และจะหงุดหงิดมากถ้าหากต้องตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ แต่สำหรับสายนี้ นอกจากจะไม่รำคาญใจ เขายังรู้สึกดีที่ได้เป็นพึ่งให้ใครคนหนึ่งแม้จะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมากก็ตาม

“คุยกับใครอยู่เหรอ หัวเราะเสียงดังได้ยินไปถึงในห้องน้ำเลย” ปรเมษฐ์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเช็ดผมออกจากห้องน้ำมา

“พี่ยะครับ” นภธรณ์ตอบเสียงใส

“เหรอ” ปรเมษฐ์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อเข้าห้องนอน

เด็กหนุ่มรีบลุกไปคว้าแขนไว้ “อย่าเพิ่งนอนสิป๊า กินข้าวก่อนจะได้กินยา”

“ข้าว?” ปรเมษฐ์ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู

นภธรณ์พยักหน้าพร้อมทั้งดึงกึ่งลากผู้เป็นพ่อที่ไม่ยอมเชื่อใจฝีมือการทำอาหารของเขาเขาเข้าไปในครัว “หมอโมย้ำว่ายาแก้ปวดกับยาคลายกล้ามเนื้อที่ป๊าได้มามันกัดกระเพาะ ห้ามกินตอนท้องว่างเด็ดขาด แล้วเมื่อเย็นป๊าก็กินข้าวไปนิดเดียว จะโทรไปสั่งร้านข้างล่างก็ปิดแล้วผมเลยทำอาหารให้ป๊ากินเอง”

“กินได้แน่นะ” ปรเมษฐ์ทำเป็นปั้นหน้าเครียดถามเมื่อเด็กหนุ่มวางชามอาหารลงตรงหน้า เขาคิดไว้แล้วว่าลูกชายเขาคงจะทำอะไรไม่ได้มาก

“โจ๊กหมูใส่ไข่ครับ” นภธรณ์สาธยายเมนูของตัวเอง “พี่ยะบอกว่า ป๊าเจ็บแขนพออยู่แล้ว ดังนั้นผมไม่ควรเสี่ยงหาเรื่องให้ป๊าท้องเสียอีก ก็เลยแนะนำให้วิ่งลงไปร้านสะดวกซื้อแล้วซื้อโจ๊กสำเร็จรูปมาต้มใส่ไข่ แต่ผมไม่ได้ลงไปหรอกนะเพราะบังเอิญในตู้กับข้าวมีอยู่สองซองผมเลยใส่หมดเลย ป๊ากินเยอะๆ นะมีเต็มหม้อเลย”

“มีเต็มหม้อ หรืออืดเต็มหม้อ” ปรเมษฐ์ล้อพลางตักอาหารใส่ปาก มันก็แค่โจ๊กสำเร็จรูปไม่ได้วิเศษเลิศเลอ แต่เพราะวันนี้พิเศษตรงใส่ใจคนทำลงไปด้วยก็เลยอร่อยกว่าครั้งก่อนๆ ที่เคยกินมา

“อร่อยไหม”

“ตอนทำ ไม่ได้ชิมหรือไง”

“ชิมแล้ว แต่อยากได้ความเห็นป๊า”

“เค็ม” ปรเมษฐ์ให้คำจำกัดความสั้นๆ “ไร้ไฟเบอร์ และอุดมไปด้วยโซเดียม ถ้าฉันต้องล้างไตรับผิดชอบพาไปเลยนะ”

“ป๊าก็เวอร์ไป” เด็กหนุ่มว่าพลางลุกเดินไปหยิบนมกล่องในตู้เย็นมาเจาะรูใส่หลอดดูดแล้ววางลงตรงหน้า “เสริมแคลเซียมด้วยครับ กระดูกจะได้ติดเร็วๆ... แก่แล้วก็อย่างนี้แหละ”

“อยากโดนอีกทีเรอะ” ปรเมษฐ์ยกมือขึ้นทำท่าจะดีดมะกอกใส่หัวกลมๆ นั่นอีกรอบ “คำก็อายุเยอะ สองคำก็แก่ แกไม่แก่มั่งให้มันรู้ไป”

“ไม่แก่ดีแล้วครับ” นภธรณ์ว่า “ผมแก่แล้วใครจะดูแลป๊าตอนเกษียณล่ะ”

“ไปดูแลแฟนแกนู่นไม่ต้องมาดูแลฉัน”

“ก็ดูแลทั้งแฟนและป๊าน่ะแหละ” เด็กหนุ่มบอก “ป๊าบอกเองนี่ว่าถ้ามีแฟนแล้วไม่ดีก็ไม่ต้องมีแล้วอยู่เป็นโสดจนแก่ตายไปกับป๊าเลยก็ได้”

“ถ้าฉันตายก่อนแกจะไม่เหงาเหรอ”

“ถ้าเหงาก็นั่งดูรูปป๊าไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หมดวันหมดเวลาเหงาเองแหละ แค่รูปตอนเด็กก็มีเป็นสิบๆ อัลบั้มดูจนตายก็ไม่หมดหรอก” นภธรณ์บอก “หมอโมเคยบอกว่าคนเราตายแล้วจะไปมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของอีกคน... ป๊าก็มาอยู่กับผมละกัน พอผมตายแล้วเราค่อยไปเกิดใหม่พร้อมกัน”

“เกิดพร้อมกันก็ไม่ได้เป็นพ่อลูกกันแล้วนะ” ปรเมษฐ์ท้วง

นภธรณ์ไหวไหล่ “เป็นเพื่อนกันก็ดี ชาติหน้าผมจะได้เตะตูดป๊าเอาคืนที่... โอ๊ย!!!” เด็กหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อในที่สุดมะกอกที่ง้างรอไว้นานสองนานจะได้ประทับลงกลางแสกหน้า

“พูดมาก ไปนอนได้แล้ว” คนเป็นพ่อลุกขึ้นเก็บจานแล้วเดินเข้าห้องนอน

จริงอย่างที่เอกรงค์พูดไว้ ไม่ว่าข้างหน้าจะมีเรื่องราวร้ายๆ เข้ามาอีกสักแค่ไหนเขาก็จะผ่านมันไปได้ เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยผ่านอุปสรรคที่ยากที่สุดในชีวิตและก็ได้รางวัลนั้นมาครอบครองแล้ว

**********************************************TBC******************************************

หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 15-10-2017 13:45:16
คิดถึวมาสักที
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 1O019_ ที่ 15-10-2017 15:19:01
ดีใจมากที่มาต่อ
นอฟน่ารักมากๆ
พอเรียกป๊าเป็นคุณหนูแล้วตลกดีค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 15-10-2017 16:21:31
โดนชนท้าย! กางเกงในนอฟหาย!  เอิ่มมมม อยากคิดว่าต้องมีประเด็นเกี่ยวกันแน่เลย แต่มันก็แอบขำหน่อยๆอ่ะเนอะ 55555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 15-10-2017 17:38:49
นอฟลูกกกก คิดถึงละเกิน
กลับมาครานี้ มีเรื่องลึกลับหักเหลี่ยมเฉือนคมซ่อนปมเยอะเเยะเลย
แหม่ๆ ป๊าละก็ "เกิดครั้งหน้าไม่ได้เป็นพ่อลูกกันแล้วนะ"....  เกิดอีกทีต้องมีเธอ เอาใจช่วยลูกพ่อลูกคู่นี้ให้ได้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 15-10-2017 17:52:48
น้องนอฟสายแบ๊ว อิ้ววว น่ารัก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 15-10-2017 19:50:41
ีดีใจที่หมอโป้กับนอฟไม่เป็นอะไรมาก

แต่เรื่องโจรขึ้นบ้านนี่ ขโมยเกงในบังหน้ารึป่าว จะได้โดนเบี่ยงประเด็นง่าย ๆ เพราะแค่หาเกงในทำไมต้องค้นทั้งบ้านขนาดนั้น

ที่พี่ยะใจดีกับนอฟเพราะอะไรกันแน่น้ออออ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-10-2017 23:06:52
ดวงตกแบบนี้มีคนบงการแน่ๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-10-2017 23:45:44
น่าจะไม่ธรรมดา นี่เป็นแค่ขู่แน่เลย

นอฟบ้า เงินมาผ้าหลุด ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 16-10-2017 01:40:46
อ่านไปก็ลุ้นไป
พี่ยะแน่ๆที่เป็นพ่อ จะเฉลยเมื่อไหร่นะ
มาอืรุงตุงนังกับปู่ด้วย แอบน่าสงสารถ้ารู้ว่าไม่ใช่หลานแท้ๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: jannie ที่ 16-10-2017 02:00:10
ดีที่คุณป๊าไม่เป็นไรมากค่ะ ส่วนคุณยะนี่มีความสัมพันธ์กับนอฟยังไงกันแน่นะคะ

ติดตามรอลุ้นต่อไปค่า ^^
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 18-10-2017 11:44:00
พอดีคิดไปถึงเรื่องราวที่อาจจะเกิดขึ้นในตอนต่อๆไปก็ปวดใจ :ling3:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-11-2017 22:13:00
Chapter 14

ผ่านไปหลายวันก็ยังคงไม่มีเหตุการณ์อะไรร้ายๆ เกิดขึ้นอีกจนทุกคนแทบจะลืมเรื่องที่โจรขึ้นบ้านไปแล้ว ตอนนี้แขนของปรเมษฐ์กลับมาใช้งานได้ตามปกติและกลับไปทำงานตามเดิม ทุกอย่างดูสงบเรียบร้อยดี ยกเว้นก็เพียงเรื่องเดียวที่มันไม่ปกติ

“ป๊าจะไปไหน” นภธรณ์ถามเมื่อเห็นปรเมษฐ์ที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็หันไปคว้ากระเป๋าแล้วลุกเดินไปที่ประตู
ช่วงนี้ปรเมษฐ์มักจะออกจากบ้านไปแบบปุบปับ หลังจากรับโทรศัพท์หรืออ่านข้อความ และคำตอบที่ได้รับก็จะเป็นประโยคเดิมๆ

“มีนัดกับเพื่อนน่ะ”

...เพื่อน... เพื่อนที่ไหน? ป๊ายังมีใครคบอีกนอกจากหมอโม... เขาหมายถึงเพื่อนสนิทที่ต้องออกไปหาแบบทันทีทันใดแบบนี้น่ะ ถ้าบอกว่าออกไปทำคลอดด่วนเขายังจะเชื่อซะกว่า

“ที่ไหนครับ” นภธรณ์ถามต่อ

“แถวนี้แหละ เดี๋ยวมา” ปรเมษฐ์บอก

นภธรณ์ลุกจากโซฟาเดินตามไปเกาะประตูคุย “แล้ววันนี้ผมไปถ่ายรายการสด ป๊าจะไปกับผมหรือเปล่า”

“ขอโทษนะ วันนี้ไปไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวจะหาดูย้อนหลังในยูทูปนะ” ปรเมษฐ์ยกนาฬิกาขึ้นดู “เย็นนี้ต้องไปงานวันเกิดปู่แกนี่นา ถ้าแกเลิกงานกลับมาก่อนก็แต่งตัวรอเลยนะ ไม่ต้องห่วงฉันไม่พาแกไปสายแน่ๆ”

“ครับ” นภธรณ์รับคำและเดินหงอยๆ กลับไปนั่งที่โซฟา

อึดใจต่อมาผู้จัดการส่วนตัวก็ขึ้นมารับไปทำงาน ในส่วนของงานวันนี้ไม่มีอะไรมากแค่ไปแขกรับเชิญในรายการแนะนำร้านอาหาร ชิมเสร็จก็โปรโมทเพลงนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จ เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดคุณปู่เขาจึงขอให้ตฤณช่วยเคลียร์คิวให้ว่างไว้เพื่อเตรียมตัวไปงานให้ทันตอนสองทุ่ม

เพราะเป็นรายการสดที่กำหนดเวลาต้องเป๊ะ เพียงแค่ห้าโมงกว่าๆ ก็เลิกอัดแล้ว

หลังจากกล่าวลาเจ้าของร้านกับขอบคุณแฟนๆ ที่ตามมาให้กำลังใจเสร็จ นภธรณ์ก็เดินออกมาจากร้านอาหารพร้อมตฤณเพื่อไปขึ้นรถกลับบ้าน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์เจ็ดที่เพิ่งซ่อมเสร็จขับออกจากอู่มาไม่กี่วันก่อนจอดอยู่ในลานจอดรถของร้านอาหารฝั่งตรงข้าม

เขาเพ่งมองจนมั่นใจว่าเป็นรถของป๊าจริงๆ จึงหันไปหาผู้จัดการส่วนตัว “พี่ตฤณกลับไปก่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะกลับกับป๊า”

“ไม่ได้นะนอฟ เดี๋ยวพ่อเธอก็ว่าฉันหรอก เฮ้!” ตฤณพยายามเรียกไว้แต่ก็ไม่ทันคนที่วิ่งฉิวข้ามถนนไปเสียแล้ว

“ไม่ต้องห่วงครับ” นภธรณ์ป้องปากตะโกนมาพร้อมกับบุ้ยใบ้ไปที่รถของปรเมษฐ์เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจว่าจะกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยแน่ๆ

ตฤณถอนหายใจอย่างจนใจจะห้ามนักร้องจอมดื้อของสังกัด จึงทำแค่เพียงพยักหน้าและส่งข้อความไปรายงานท่านประธานเท่านั้น

ร้านฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นร้านอาหารกึ่งผับที่เริ่มมีคนอยู่หนาตาแล้ว นภธรณ์ขยับหมวกแก๊ปใบที่ใส่อยู่เล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจจะไม่มีใครสังเกตว่าเป็นเขาและสอดส่ายสายตาไปตามโต๊ะต่างๆ

ในที่สุดนภธรณ์ก็เห็นแผ่นหลังของคนที่มองหาอยู่ที่โต๊ะตัวในสุดติดกับบาร์ เขารีบก้าวยาวๆ เข้าไปหาทันทีก่อนที่จะหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นว่าพ่อของตนไม่ได้อยู่เพียงลำพังแต่มีคนนั่งอยู่ตรงข้ามด้วย

เธอเป็นผู้หญิงไว้ผมยาวถึงกลางหลัง นภธรณ์ไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนคุยอะไรกันก็จริง แต่ท่าทางหัวร่อต่อกระซิกของคนทั้งคู่นั่นแสดงถึงความสนิทสนมไม่น้อย เขาขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกพยายามเพ่งมองผ่านพุ่มไม้ประดับในร้านไปให้ชัดๆ รู้สึกคลับคล้ายคลับคราในรอยยิ้มบนริมฝีปากอิ่มสีชมพูนู้ดน่ามองนั้นจนน่าประหลาด

และเสี้ยวนาทีที่ปรเมษฐ์ขยับตัวเปิดทางให้เขาเห็นเธอคนนั้นชัดเจน เด็กหนุ่มก็รู้ทันทีว่าเธอเป็นใคร ถึงแม้จะฟังมาเพียงแค่คำบอกเล่า ถึงแม้จะเคยเห็นผ่านรูปถ่ายเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็มั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิดเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนเครื่องหน้าของเธอคนนั้นมันช่างละม้ายคล้ายกันกับเขาไม่มีผิด

…ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของเขาเอง…

หัวใจเต้นรัวจนจุกไปหมด เขาไม่ได้สนใจเรื่องที่ป๊ารู้แล้วว่าแม่อยู่ที่ไหนแล้วไม่บอกเขา ถึงจะมีหงุดหงิดบ้างที่ได้รู้ว่าหมู่นี้ทุกๆ ครั้งที่ป๊าออกจากบ้านก็เพื่อมาหาแม่ แต่เขาโกรธเรื่องที่ว่าทำไมป๊าต้องโกหกเขาว่าจะไปไหนกับใคร

…และสิ่งที่เกลียดยิ่งกว่าการโกหกคือการที่โกหกแล้วทำให้จับได้นี่แหละ...

เด็กหนุ่มยกเท้าขึ้นเตรียมจะก้าวออกไปข้างหน้า… เขาต้องการเคลียร์ จะถามทั้งป๊าและผู้หญิงคนนั้นให้ชัดๆ ไปว่ามาทำอะไรกันสองคนโดยที่ไม่บอกเขา แต่แล้วความรู้สึกอีกอย่างก็ปะทุขึ้นในอก เขาเปลี่ยนใจวางเท้าลงด้านหลังแล้วหมุนตัวกลับรวดเร็ว เขาจ้ำเท้าพรวดๆ จนเกือบจะวิ่งพยายามหนีให้พ้นจากตรงนั้น หนีให้พ้นจากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่มันไม่ได้ส่งมาให้แค่เขา

…เขากลัว… กลัวเหลือเกินที่จะเข้าไปแล้วพบว่าตัวเองต่างหากที่กลายเป็นส่วนเกินถ้าหากผู้หญิงคนนั้นกลับมา… กลัวที่จะได้รับรู้ความจริงว่าเขาไม่ใช่ที่หนึ่งในใจของป๊า… และมันเป็นที่ของผู้หญิงคนนั้นมาตั้งแต่ต้น...

“จะรีบไปไหนเหรอ”

เสียงห้าวที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้นภธรณ์หยุดหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ค่อยก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวัง ตอนนี้พระอาทิตย์ตกดินถนนหนทางเริ่มมืดแล้ว ถึงบนถนนจะพอมีรถวิ่งสวนไปมา แต่มันก็ไม่มีประโยชน์เลยถ้าหากว่าโดนจู่โจมบนทางเท้าที่ร้างผู้คน

นักข่าวสายบันเทิงเดินล้วงกระเป๋าสบายๆ เข้ามาหา “พอมีเวลาว่างสักสิบห้านาทีไหม ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย”

“ผมไม่ชอบงานขายตรงครับ” นภธรณ์สูดจมูก พยายามตั้งสติให้มั่นพลางมองสำรวจคนตรงหน้าพร้อมกับค่อยๆ ล้วงมือลงควานหาของในกระเป๋าสะพาย วันนี้กรรณไม่ได้พกกล้องมาด้วยซึ่งค่อนข้างผิดปกติสำหรับคนทำข่าว และในมือนั้นก็แทนที่ด้วยซองเอกสารสีน้ำตาลใบหนึ่ง

“เป็นคนตลกนะเราน่ะ” กรรณทำเป็นหัวเราะฝืดๆ ลงคอ “อยากรู้จังว่าจะทำหน้าระรื่นแบบนั้นไปได้อีกนานแค่ไหน” พูดจบก็ส่งซองเอกสารในมือให้

“ป๊าสอนว่าไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้า” นภธรณ์พยายามถอยหนีแต่ก็โดนอีกฝ่ายก้าวมาดักทางไว้

“คนแปลกหน้าอะไร เรารู้จักกันแล้วไม่ใช่เหรอ ทั้งพ่อและผู้จัดการการของเธอก็รู้จักฉันดีนี่นา” กรรณว่าพร้อมกับยื่นซองเอกสารให้อีกครั้ง “เอาไป”

เด็กหนุ่มจึงจำใจยื่นมือข้างหนึ่งออกไปรับไว้เพราะคิดว่าเรื่องมันจะได้จบไวๆ

“ลองเปิดดูสิ”

นภธรณ์ทำตาม ตากลมกวาดไปทั่วแผ่นกระดาษที่เป็นตารางแสดงค่าตัวเลขและตัวอักษรซึ่งเขาไม่เข้าใจ จนกระทั่งสายตาไปหยุดลงตรงบรรทัดสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนสรุปใจความสำคัญทั้งหมดของกระดาษแผ่นนี้

“อ่านออกไหม ถ้าไม่ออกฉันจะแปลให้ฟังก็ได้นะ” กรรณพูดขึ้น เดาจากสีหน้าเด็กหนุ่มว่าคงเห็นในสิ่งที่ต้องการให้เห็นแล้ว จริงๆ เรื่องสำคัญแบบนี้เขาควรจะไปต่อรองในที่ลับและเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ แต่เด็กหนุ่มก็มีคนอื่นตามประกบตลอดจนเขาเพิ่งจะสบโอกาสเอาตอนนี้แหละ

ทันทีที่สมองแปลข้อความได้ มือทั้งสองที่ถือกระดาษสั่นเล็กน้อย นภธรณ์สูดลมหายใจเข้าลึกพยายามตั้งสติ “ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่านี่มันเป็นผลการตรวจจริงๆ ไม่ใช่ว่าคุณเมคมันขึ้นมาเอง”

“ฉันจะหลอกเธอไปเพื่ออะไรล่ะ”

“งั้นก็บอกมาสิครับว่าคุณได้มันมายังไง”

“DNA มันจะหาได้จากที่ไหนบ้างล่ะ”

“ที่ไหนล่ะครับ” นภธรณ์ถามเสียงซื่อ

“ที่เขาว่าเธอโง่ นี่ไม่ใช่เรื่องพูดกันเล่นๆ แต่โง่จริงๆ เรอะ” กรรณว่า “ก็จากเส้นผมของเธอกับพ่อไง”

“แล้วคุณเอาผมเราไปได้ยังไง”

“ก็ฉันนี่แหละที่เป็นคนเอาไปจากบ้านเธอ”

“คุณเป็นพวกโจรโรคจิตเหรอ!”

“ก็แค่ทำให้พวกแกไขว้เขวจะได้ไม่สาวถึงฉันง่ายๆ ” กรรณพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ก็เหมือนจะได้ผลดีใช่ไหมล่ะ”

“แล้วที่เอาผลมาให้นี่คุณต้องการอะไรจากผม” นภธรณ์ถาม

“เงินสดหนึ่งล้านบาท” กรรณยื่นข้อเสนอ “แลกกับการที่มันจะหายไปตลอดกาล”

“ผมไม่ให้” นภธรณ์ตอบเสียงเย็น

“ถ้าแกไม่ให้ก็เตรียมเป็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์วันพรุ่งนี้ได้เลย”

“ตามสบายเลยครับ ถ้าคุณว่างไปศาล” คุยมาถึงตรงนี้นภธรณ์ต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาลที่จะไม่หลุดยิ้มออกมา แต่แล้วเขาก็ค้นพบว่ามันยากเหลือเกินเมื่อตอนนี้หัวใจเต้นรัวด้วยความดีใจ “ป๊าเคยบอกว่าการจะตรวจคนไข้ได้ต้องมีการให้ความยินยอม ไม่งั้นจะโดนฟ้องเอาได้... ก็ไม่รู้สินะ ผมว่างานนี้ไอ้เงินล้านนึงนั่นจะกลายมาเป็นค่าขนมของผมซะมากกว่า”

“แก... เป็นกิ๊กเด็กไอ้หมอนั่นจริงๆ ใช่ไหม” กรรณคำรามลอดไรฟัน

“อยากโดนข้อหาหมิ่นประมาทอีกกระทงเหรอครับ” นภธรณ์ล้วงมือลงในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ที่เปิดบันทึกเสียงสนทนาให้ดูแล้วยัดลงกระเป๋ารวดเร็ว “ขอบคุณที่อุตส่าห์คาบข่าวมาบอกนะครับ”

กรรณกัดฟันกรอด จริงๆ แล้วไอ้เด็กนี่ไม่ได้ใสซื่อแต่มันแกล้งโง่หลอกให้เขาพูดออกมาด้วยตนเอง เขากระโดดเข้าตะครุบตัวเด็กหนุ่มจากจากด้านหลัง “แกคิดว่าฉันจะปล่อยแกไปง่ายๆ เหรอ!”

“ปล่อยนะ!” เด็กหนุ่มร้องสุดเสียงและพยายามดิ้นรนให้คนที่ขับรถผ่านไปสังเกตเห็นแต่ก็ดูจะไม่ได้ผลเอาเสียเลย

“ไหนๆ แกก็ถวายตัวเป็นเด็กไอ้หมอนั่นแล้วนี่ โดนของฉันอีกสักคนจะเป็นไรไป” เมื่อมือได้สัมผัสผิวขาวๆ นุ่มเนียนก็ทำให้สัญชาติญาณดิบเข้าครอบงำ กรรณลดมือลงล้วงผ่านขอบกางเกงและแลบลิ้นเลียข้างหู

นภธรณ์สะบัดหน้าหนีด้วยความขยะแขยง เขาดึงของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับเล็งไปที่หน้าของกรรณแล้วกดสุดแรง “ปล่อยสิวะ!”

“ไอ้เด็กเวรเอ๊ย!!” คนที่จู่โจมเข้ามาชะงักร้องเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นปิดตาแน่นด้วยความปวดแสบปวดร้อนและถอยหลังเปะปะไปสะดุดก้อนหินล้มลงบนพื้น

นภธรณ์มองผลงานตรงหน้า หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก ปรเมษฐ์ไม่อยากให้เขาพกของอะไรที่อาจเสี่ยงให้คนร้ายเอากลับมาทำร้ายเขาได้จึงไม่ได้ซื้ออะไรให้สักอย่าง และทันทีที่ดุริยะรู้เรื่องนั้นเขาก็แอบเอาสเปรย์ใส่ผมขนาดพกพาสูตรผสมซิลิโคนแบบเฮฟวี่สตรองมาให้ และบอกสั้นๆ ว่า ‘ฉีดแบบไม่ต้องยั้ง’

นภธรณ์อาศัยจังหวะนี้หันหลังวิ่งหนีแต่ก็มีมือที่แข็งเหมือนคีมเหล็กคว้าเข้ารอบข้อเท้าแล้วกระชากให้ล้มลง

“อย่าคิดนะว่าจะหนีฉันไปได้” กรรณคำรามลอดไรฟันด้วยความโกรธ เขาพยายามลืมตาเท่าที่จะทำได้ ตาขาวนั้นโดนฤทธิ์ของสเปรย์ทำให้แดงก่ำจนน่ากลัว

เด็กหนุ่มทั้งเตะทั้งถีบ แต่ก็ไม่หลุดง่ายๆ เขาเขย่ากระป๋องสเปรย์ในมือเตรียมจะพ่นใส่อีกครั้งเมื่อมันเอื้อมมืออีกข้างมาฉวยข้อมือเขาไว้

“คิดว่าฉันจะโง่ยอมให้แกทำอีกรอบเหรอ!” กรรณคำรามลั่น

นภธรณ์พยายามจะยื้อแย่งคืนมาและในเสี้ยวนาทีที่น่าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง วัตถุเป็นแผ่นแข็งก็ฟาดผัวะลงมาใส่กรรณจากทางด้านหลัง

“โอ๊ย!” เขาร้อง พยายามจะหันไปหันไปดูว่าเป็นใครแต่ก็โดนฟาดใส่รัวๆ แบบไม่ยั้งพร้อมกับที่เจ้าของอาวุธทั้งสองคนผลัดกันร้องตะโกนไปด้วย

“คุณตำรวจคะทางนี้ค่ะ!”

ได้ยินคำว่าตำรวจ กรรณก็ยอมผละจากเด็กหนุ่มลุกขึ้นวิ่งไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดซ่อนไว้แล้วขับบึ่งออกไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ลืมฝากคำพูดทิ้งท้ายไว้ “ระวังตัวให้ดีนะ!”

“แกน่ะแหละที่ต้องระวัง!” นภธรณ์ตะโกนไล่หลังไป ก่อนจะหันไปหาผู้ช่วยชีวิตทั้งสอง พวกเธอเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆ และคนหนึ่งก็ตัวเล็กกว่าเขาด้วยซ้ำ และของที่เธอใช้ฟาดใส่คนร้ายเมื่อสักครู่ก็คือแผ่นป้ายไฟสำหรับเชียร์เขานั่นเอง

“พี่นอฟเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เด็กสาวคนที่ดูตัวใหญ่กว่าถาม เสียงของเธอก็สั่นเหมือนกัน

“แค่มีแผลถลอกนิดหน่อยน่ะ” นภธรณ์ตอบพลางส่งมือให้อีกคนช่วยดึงลุกขึ้นยืน “แล้วไหนล่ะตำรวจ” เขาถามหลังจากกวาดตามองซ้ายขวาแล้วไม่เห็นว่าจะมีชายในเครื่องแบบหรือรถหวอที่ไหนวิ่งมา

“หนูโกหกค่ะ” เธอตอบ พวกเธอเป็นแฟนคลับที่ตามมาให้กำลังใจเขาวันนี้และเดินวนๆ อยู่แถวนี้เนื่องจากสังเกตเห็นว่ารถที่ขับออกไปไม่มีนักร้องขวัญใจนั่งออกไปด้วย “หนู... หนูไม่รู้จะตะโกนว่าอะไรดี แต่หนูโทรตามคนมาช่วยแล้วนะคะ”

นภธรณ์ยังไม่ทันจะถามว่าพวกเธอโทรหาใคร รถเก๋งคันหนึ่งก็แล่นปราดเข้ามาจอดเทียบพร้อมกับที่คนขับเปิดประตูพุ่งลงมาหา

“เกิดอะไรขึ้น!” ตฤณที่ขับรถกลับมาร้องโวยวายพร้อมกับแทรกตัวเข้าไปแย่งประคองตัวเด็กหนุ่มเสียเอง

“นักข่าวคนนั้นจะทำร้ายผมครับ” นภธรณ์บอก “โชคดีที่พวกเธอมาช่วยผมไว้ก็เลยไม่เป็นไรครับ”

“ปลอดภัยก็ดีแล้ว เรารีบกลับกันเถอะ” ตฤณยกมือขึ้นทาบอกก่อนจะคว้ามือเด็กหนุ่มดึงไปขึ้นรถ

นภธรณ์นึกอะไรขึ้นได้เขาแกะมือผู้จัดการออกและเดินกลับไปหาเด็กผู้หญิงสองคนนั้น

“ขอบคุณมากที่ช่วยฉันไว้นะ ถ้าไม่ได้พวกเธอฉันคงแย่เลย” เขาบอก

“เรื่องเล็กน้อยค่ะ” เด็กสาวตอบ “พี่ตฤณบอกว่ามีคนแอบตามพี่นอฟอยู่พวกเราก็แอบเล็งๆ คนที่น่าสงสัยเอาไว้เหมือนกัน”

นภธรณ์พยักหน้า ไม่คิดว่าสิ่งที่ตฤณพูดไว้ตอนนั้นจะมีประโยชน์จริงๆ เขากลับหลังหันจะไปขึ้นรถแล้วก็นึกอะไรได้อีกครั้งจึงหันกลับมาแฟนคลับสาวทั้งสองพร้อมกับกางแขนออก

“อะไรคะ” เด็กสาวถามงงๆ

“เพื่อแทนคำขอบคุณ ฉันให้กอดคนละที แต่ห้ามถ่ายรูป ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร และมันจะเป็นความลับของเราสามคนตกลงนะ” นักร้องหนุ่มบอกแล้วรวบตัวตัวเธอเข้ามากอดทีละคน

“สัญญาค่ะ” ทั้งสองรับคำ พลางนึกขอบคุณแต้มบุญที่สะสมมาตั้งแต่ชาติปางก่อนที่นอกจากจะทำให้ได้ช่วยคนที่ชอบแล้วยังได้กอดเป็นของแถมอีก

“นี่ก็มืดแล้วกลับบ้านไปได้แล้วไป เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง”

“ค่ะ” สองสาวรับคำ

เด็กหนุ่มเดินกลับไปขึ้นรถ และรถก็พุ่งทะยานออกไปทันที เขาหันไปมองผู้จัดการหนุ่มที่ยังดูตื่นๆ และกำลังพูดกับตัวเองเสียงดังเพื่อช่วยตั้งสติลำดับสิ่งที่ต้องทำก่อนหลัง “โทรบอกคุณแดนเรียบร้อยแล้ว คุณแดนยังไม่ให้แจ้งตำรวจ ตารางงานหลังจากนี้ไม่มีอะไร แล้วนี่ฉันยังมีใครที่ยังไม่ได้โทรหาอีกนะ... อ้อ! คุณโป้ ฉันลืมโทรบอกพ่อเธอได้ไงเนี่ย”

“ไม่ต้องโทรบอกป๊าก็ได้ครับ” นภธรณ์พยายามห้ามแต่ก็ไม่ทันการเมื่อตฤณรายงานเรื่องราวทุกอย่างด้วยความเร็วยิ่งกว่าแสงเสียอีก เขาไม่อยากให้ป๊าตกใจ และที่สำคัญ ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนั้นยังอยู่กับป๊า ถ้าเธอรู้เรื่องแล้วตามมาด้วยล่ะ เขาจะทำยังไง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเธอคิดว่าการที่เขาเจอเรื่องแบบนี้เป็นเพราะป๊าดูแลเขาไม่ดีแล้วจะเอาเขาไปอยู่ด้วยล่ะ ป๊าจะตอบเธอว่ายังไง

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 13 P.6 [15/10/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-11-2017 22:15:39
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกปรเมษฐ์ก็พุ่งเข้ามากอดทันที นภธรณ์มองลอดวงแขนแข็งแรงของป๊ากวาดตามองไปรอบบ้านแล้วก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งใจที่ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะตามมาด้วยความแปลกใจที่เห็นดุริยะยืนอยู่ด้วย

ในที่สุดปรเมษฐ์ก็ยอมปล่อยตัวเด็กหนุ่มออกจากวงแขนก่อนจะจับหมุนไปรอบๆ เพื่อตรวจดูอะไรที่อาจบุบสลายไป “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” นภธรณ์ตอบ แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อก็ยังไม่ค่อยวางใจเท่าใดและจับไหล่เขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะหนีไปไหนอีก

“สเปรย์ที่ฉันให้ไปได้ใช้หรือเปล่า” ดุริยะถามขึ้น

“ช่วยได้มากเลยครับ”

“นี่คุณให้อะไรลูกผมไป” ปรเมษฐ์ถามเสียงขุ่นนิดๆ ที่แอบให้อะไรกันโดยที่เขาไม่รู้เรื่อง

“ก็แค่สเปรย์ใส่ผมน่ะคุณโป้” ดุริยะว่าพลางโบกมือว่านั่นไม่ใช่จุดไคลแมกซ์ที่ควรให้ความสนใจตอนนี้ “ไหนๆ เจ้าหนูเล่ามาสิ เกิดอะไรขึ้น มันมาหาเธอทำไม แล้วเธอหนีมันมาได้ยังไง”

แล้วนภธรณ์ก็เล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟังโดยละเอียด โดยเว้นตรงส่วนที่กรรณเอาเอกสารมาให้ดู และไม่บอกว่าตนได้อัดเสียงสนทนาไว้

“ตกลงมันคือคนที่ขึ้นบ้านเธอจริงๆ เหรอ” ตฤณพูดขึ้นหลังจากฟังจบ “แล้วมันเอากางเกงในเธอไปทำไม”

“ถ้าหากว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะเอาไปล่ะ” ดุริยะเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยในจุดที่เด็กหนุ่มเหมือนจะข้ามไป “แค่เอาไปเพราะต้องการเบี่ยงเบนความสนใจสิ่งที่มันต้องการจะเอามากกว่า คุณลองนึกดูดีๆ สิครับคุณโป้ว่าไม่มีอะไรหายแล้ว”

“ไม่มีจริงๆ ครับ ผมเช็กหลายรอบแล้ว” ปรเมษฐ์ตอบ

“แล้วนี่คุณจะเอายังไงดี แจ้งความไหม” ดุริยะถาม

“เดี๋ยวผมจะลองปรึกษาทนายดูก่อนว่าจะเอายังไงดี เราอาจเอาผิดเรื่องที่เขามาขู่นอฟได้แต่เรื่องที่มาขโมยของก็ยังไม่มีหลักฐานอะไรที่แน่ชัด” ปรเมษฐ์บอก “แค่นี้มันก็คงไหวตัวทำลายหลักฐานหมดแล้ว ขืนทำอะไรผลีผลามอีกจะกลายเป็นไม่ได้อะไรเลย ไหนๆ จะต้องเสียเวลาไปศาลแล้วผมอยากให้มันโดนลงโทษจนถึงที่สุด”

“ถ้าไม่มีอะไรงั้นผมกลับก่อนนะครับ เห็นว่าเดี๋ยวนอฟต้องไปงานเลี้ยงต่อใช่ไหม ยังไงก็อยู่ใกล้ๆ คุณโป้ไว้นะเผื่อมันย้อนกลับมาอีก” ตฤณกำชับก่อนจะกลับออกไป

“เอาขวดใหม่ไหม” ดุริยะป้องปากกระซิบกระซาบ

เด็กหนุ่มส่ายหน้าให้แทนคำตอบพร้อมกับยกมือไหว้อีกครั้ง

“อย่าดุเจ้าหนูมากนะคุณโป้ แค่นี้ก็ขวัญเสียจะแย่แล้ว” ดุริยะบอกราวกับรู้ทันว่าทันทีที่พวกเขากลับออกไปอะไรจะเกิดขึ้น

“เรื่องนั้นผมตัดสินใจเองครับ” ปรเมษฐ์บอก

และก็เป็นไปตามคาด พอประตูปิดลงคนเป็นพ่อก็หันไปหาลูกชาย “ทำไมถึงออกไปเดินคนเดียวแบบนั้น”

เขาเองก็สงสัยเหมือนที่ดุริยะสงสัย บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่เขารู้ว่าที่ลูกชายพูดไม่หมดเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย

“เอ่อ...” นภธรณ์พูดได้เท่านั้นแล้วเสียงก็หายไปจากลำคอ

“ไม่เป็นไรนอฟ มีอะไรก็บอกมา ฉันไม่โกรธแกหรอก”

“ป๊า... ผม...” นภธรณ์อึกอัก

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ยอมปริปากง่ายๆ แน่ปรเมษฐ์จึงเอื้อมมือไปคว้ามือเด็กหนุ่มขึ้นมากำไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง “สัญญาว่า ไม่ว่าแกจะพูดอะไรฉันจะไม่ปล่อยมือ”

เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยออกไป “ป๊าไปหาแม่มาเหรอครับ”

คำตอบของเขาทำให้คนเป็นพ่อชะงักไปทันที

“บังเอิญร้านที่ไปถ่ายรายการวันนี้มันอยู่ใกล้กันน่ะ… ผมเห็นนะป๊า ที่ร้านนั้นน่ะ ป๊าอยู่กับแม่ใช่ไหม แล้วที่ช่วงนี้ป๊าออกไปข้างนอกบ่อยๆ คือไปหาแม่ใช่ไหม… ทำไมป๊าถึงไม่ยอมบอกผมล่ะ หรือว่ามีอะไรที่บอกผมไม่ได้”

“แค่คิดว่ายังไม่ถึงเวลาน่ะ” ปรเมษฐ์ตอบรวดเร็วก่อนจะปล่อยมือและหันหลังให้

เด็กหนุ่มใจกระตุกวูบ ยืนคว้างทำอะไรไม่ถูกเมื่อสิ่งที่จินตนาการไว้กำลังจะเป็นจริงขึ้นมา ริมฝีปากแห้งผากแต่คำพูดที่เอ่ยต่อไปนั้นแหบแห้งยิ่งกว่า “แต่ป๊าสัญญาว่าจะไม่ทิ้งผมไปใช่ไหม”

“ใช่”

“แล้วทำไมป๊า…”

“ฉันไปขอให้แม่แกเซ็นใบทะเบียนสมรสมา” ปรเมษฐ์เดินกลับมายืนตรงหน้าอีกครั้งพร้อมกับยื่นเอกสารที่เพิ่งได้มาวันนี้ให้ดู “ฉันขี้เกียจตอบคำถามใครๆ แล้วน่ะว่าแกเป็นลูกฉัน ยิ่งวันนี้ต้องไปงานวันเกิดปู่แกด้วยเลยอยากจัดการให้มันเรียบร้อยไป แกก็รู้ว่าปู่เล็กของแกกับพวกผู้ถือหุ้นกัดฉันเรื่องนี้ไม่ปล่อยมาตั้งนานแล้ว ส่วนเหตุผลที่ต้องออกไปบ่อยๆ ก็เพราะแม่แกแอบเล่นตัวน่ะ” เขาพ่นลมออกจมูกครั้งหนึ่ง “อยากให้ฉันเล่าเรื่องแกให้ฟังจนกว่าจะพอใจ แต่เธอก็ไม่ได้ว่างบ่อยๆ เหมือนกัน ก็เลยต้องออกไปเจอกันบ่อยหน่อย แล้วที่ไม่บอกก็เพราะแม่แกน่ะแหละขอไว้… เขาคิดว่ายังไม่พร้อมจะเจอแก และเท่าที่ฉันแอบถามๆ แกเรื่องแม่ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันว่าแกคงยังไม่อยากเจอเขา”

“แล้วป๊าเจอแม่ได้ไง” เด็กหนุ่มถาม

“คุณดุริยะช่วยน่ะ เขาก็บอกแกแล้วนี่ว่ารู้จักกัน เราเริ่มคุยเรื่องนี้กันตั้งแต่ตอนนั้นน่ะแหละ”

นภธรณ์พยักหน้าเข้าใจ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ป๊าเริ่มสนิทกับดุริยะสินะ

“วันหลังเห็นหรือสงสัยอะไรก็ถามเลยนะ ไม่ใช่โกรธแล้วหนีไปเดินคนเดียวในที่เปลี่ยวๆ แบบนั้น ขอโอกาสฉันอธิบายบ้าง” ปรเมษฐ์ลูบหัวลูกชาย “นี่คิดอะไรไร้สาระแบบที่ว่าฉันไม่รักหรือจะทิ้งอะไรอีกแล้วสินะ”

“ก็นิดหน่อย”

“ดูจากสีหน้าแล้วไม่หน่อยเลยนะ” ปรเมษฐ์ว่าพร้อมกับประทับคำขอโทษลงข้างแก้ม “หายโกรธฉันหรือยัง”

“หายแล้ว” นภธรณ์ตอบเขินๆ

“แล้วนั่นซองอะไรน่ะ” ปรเมษฐ์พยักเพยิดไปยังซองเอกสารในมือเด็กหนุ่มที่เห็นถือไว้ไม่วางสักที

“ไม่มีอะไรครับ แค่… จดหมายที่แฟนคลับให้มา” นภธรณ์ตอบตะกุกตะกัก มันเป็นคำโกหกที่ไม่เนียนแต่ก็ฟังดูน่าเชื่อมากที่สุดแล้ว “เอ่อ… นี่ก็ทุ่มกว่าแล้ว ผมไปแต่งตัวก่อนนะป๊า จะได้รีบไปงานเดี๋ยวปู่จะรอ”

“อือ”

ทันทีที่ประตูห้องปิดลงใบหน้าที่เคยฉาบยิ้มเลือนหาย เด็กหนุ่มจ้องมองซองเอกสารที่ได้มาจากกรรณก่อนจะดึงเอาเอกสารในซองออกมาอ่านซ้ำอีกครั้ง ตรงผลบรรทัดสุดท้ายที่แปลได้ความง่ายๆ และชัดเจนว่า…

‘เขาไม่ใช่ลูกชายของป๊า’

เขาเคยจินตนาการถึงสิ่งนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆ ความรู้สึกดีใจนั้นมันกลับน้อยมากเมื่อเทียบกับอีกหลายๆ ความรู้สึกที่ปะทุตามขึ้นมาติดๆ เมื่อภาพชายหญิงสองคนนั่งคุยกันอย่างมีความสุขปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิด

ป๊ารักแม่... ป๊าเลี้ยงเขามาจนโตเพราะคิดว่าเขาเป็นลูกแท้ๆ การที่จู่ๆ จะบอกป๊าว่าเขาไม่ใช่ลูกป๊านั่นไม่ต่างอะไรกับการที่บอกว่า แม่นอกใจป๊าและหลอกให้เลี้ยงลูกคนอื่นมาสิบเจ็ดปี... เขาจะบอกได้ยังไงว่าป๊าโดนแม่หักหลัง จริงอยู่ว่าเขารักป๊า อยากให้ป๊ารักและมองแค่เขาคนเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยากทำให้ป๊าเสียใจเพราะถึงอย่างไรป๊าก็คงไม่มีวันมองเขามากไปกว่าสถานะลูกชายอยู่แล้ว ทะเบียนสมรสที่ป๊ากับแม่เพิ่งไปจดด้วยกันมานั่นเป็นหลักฐานได้ดี

และตอนนี้ก็มีอีกสองคำถามปรากฏขึ้นในใจนั่นก็คือถ้าหากเขาไม่ใช่ลูกป๊าแล้วเขาเป็นลูกของใคร? และถ้าหากว่าป๊ารู้ความจริงนี้แล้ว ป๊าจะยังรักเขาเหมือนเดิมไหม? เขาจะยังอยู่กับป๊าต่อไปได้หรือเปล่าเมื่อไม่มีสถานะพ่อลูกมาผูกพันกันอีกต่อไป
หรือว่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างเขากับป๊ามันจะสิ้นสุดลงแค่ตรงนี้…


********************************************TBC********************************************
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 1 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 1O019_ ที่ 16-11-2017 22:40:31
พอขึ้นเดือนนี้ก็คิดอยู่เลยค่ะว่าคุณนักเขียนจะมาอัพNovมั้ย ฮ่าๆ
ตอนนี้ไม่มีฉากสวีทเลย แง
แต่เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นปล้ว
ดีใจไม่สุดที่นอฟไม่ใช่ลูกป๊า เพราะเราคิดเหมือนนอฟเลยว่าป๊าเลี้ยงเพราะคิดว่าเป็นลูกของแม่กับป๊า
นอฟคงรักป๊ามากจริงๆ เพราะคิดเลยไปถึงว่าไม่อยากให้ป๊าเสียใจ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 1 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: SoSweetCB ที่ 17-11-2017 00:07:16
โอยยย น้องคิดมากแล้วค่ะคุณป๊า ;-;
ป๊ารู้อยู่แล้วแน่ๆ ว่าน้องไม่ใช่ลูกของตัว แต่คงมีสัญญาอะไรกันบางอย่างกับแม่น้อง
และพ่อที่แท้จริงๆ ก็คือคนที่แสดงความเป็นห่วงใย สนใจน้องชัดเจนนั่นแหละ (คิดว่านะ 555)
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ ><
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-11-2017 00:57:18
สงสารน้องนอฟ คุณป๊าก็ชอบทำตัวมีความลับบ่อยๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 1 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 17-11-2017 06:53:47
ยะยังไงล่ะเนี่ยย นักข่าวคนนั้นเลวมากกกกกก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 17-11-2017 10:03:56
เหมือนนอฟเลย พอรู้ว่าเขาไม่ใช่พ่อลูกกัน / ดีใจแต่ดีใจไม่สุด /. หวังว่านอฟจะไม่ใช่ลูกคุณดุริยะหรอกนะ งืออออ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-11-2017 11:57:47
อ้าว ลูกใครล่ะ ดุริยะเหรอ?
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 17-11-2017 19:00:32
เข้าข้นเรื่องพลิกไปมา น่าติดตามมากๆ นอฟฉลาดในการเอาตัวรอดมากเลยลูก
ตบเข้าฉาด  ว่าแล้วว่านอฟต้องไม่ใช่ลูกหมอโป้
บทจะรู้ความจริง ก็มาจากนักข่าวขี้เสือก แถมโรคจิตจริงๆ ด้วย
แหมะ  นอฟของช้านเกือบไม่รอด ดีนะเนี่ยมีติ่งเป้็นหูเป็นตา

เห็นใจน้องนอฟถึงแม่จะกลับมาก็ไม่ได้ดีใจ เพราะกลัวจะเสียพ่อไป มันก็อดระเเวงไม่ได้หรอก หมอโป้ก็บอกป่าวๆว่ารักแม่นักหนา
สู้ต่อไปน้องนอฟ กลิ่นบาปเจือจางลงแล้ว แต่จะดีใจก็ดีใจไม่ได้เต็มที่ มีแม่มาให้หน่วง


หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 19-11-2017 01:17:02
มีดราม่าซ้อนดราม่า ฮือออออ ดีใจได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีปัญหาเข้ามาต่อ ชีวิตน้องนอฟฟฟ
ไม่ใช่ลูกแต่ป๊าก็ไม่ได้มองเป็นคนรักอยู่ดี :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-11-2017 09:21:53
นอฟเป็นลูกของยะหรอ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: continued ที่ 22-11-2017 15:30:17
เพิ่งเห็นว่ามาอัพแล้ว ดีใจจังเลยค่ะที่ได้อ่านต่อ
สงสารน้องจัง รู้สึกว่านอฟต้องเก็บอะไรหลายๆ อย่างไว้คนเดียว
มันมากเกินกว่าเด็กอายุแค่นั้นจะรับไหวด้วยซ้ำ

รอตอนต่อๆ ไปนะคะ อยากเห็นน้องมีความสุขจากใจสักที 
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Chapter 14 P.7 [16/11/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 24-12-2017 21:19:47
Ad lib(1)

ชายวัยกลางคนในชุดสูทนั่งกอดอกอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านกาแฟ ตรงหน้ามีหนังสือการลงทุนในตลาดหุ้นกับกาแฟดำที่เจ้าตัวปล่อยจนเย็นชืด อันที่จริงหนังสือนั้นเขาก็เพียงแค่พลิกฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ไม่ได้ผ่านเข้าสู่สมองเลยแม้แต่น้อยเพราะสายตาของนั้นจับจ้องอยู่ที่นักร้องหนุ่มไฟแรงซึ่งกำลังนั่งคุยกับหญิงสาวที่โต๊ะที่อยู่ถัดออกไป

เสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาเป็นระลอกของทั้งคู่ถูกตอบสนองด้วยเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอเบาๆ อย่างขัดใจ
เขารู้ว่ามันเป็นงาน หญิงสาวคนนั้นเป็นบก.นิตยสารชื่อดังที่มาขอสัมภาษณ์ และคำถามที่ใช้ถามเขาก็อ่านกรองมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังอุตส่าห์มีบทสนทนาที่นอกเหนือการควบคุมมาได้อย่างเช่นตอนนี้

“น้องนอฟหน้าตาดีจังเลยนะคะ ไม่ทราบว่าชอบทานอะไรหรือคะถึงได้หล่อขนาดนี้”
นักร้องหนุ่มหยุดยิ้มเล็กน้อย นั่นยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดจะตอบอะไรก็ตอบทำไมต้องยิ้มส่งสายตาหวานแบบนั้นให้ด้วย

“ไม่รู้สิครับ เกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้วครับ”

ครั้นได้ฟังคำตอบ เขากลับรู้สึกว่าเจ้าตัวแค่นั่งยิ้มไปเฉยๆ ก็พอแล้ว
บก.สาวหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจแล้วถามคำถามถัดไป

การสัมภาษณ์เสร็จลงในอีกไม่กี่นาทีต่อมา นักร้องหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมกับกล่าวลา

เมื่อบก.สาวเดินออกจากร้านไป เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนบ้าง เขาเหลียวมองซ้ายขวาอยู่พักหนึ่งในที่สุดสายตาก็มาหยุดลงตรงชายในชุดสูทที่นั่งหน้าตึงอยู่อีกโต๊ะ นึกสงสัยอยู่หน่อยๆ ว่าทำไมผู้ชายคนนี้จะต้องไม่ชอบใจเสมอๆ เวลาเขาออกมาทำงาน แต่ถึงอย่างนั้นการที่ยอมตามมาเฝ้าทำให้ไม่คิดน้อยใจอะไรกลับกันเขายิ่งชอบเสียอีกเพราะความหงุดหงิดนั่นทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายยังสนใจเขาอยู่ เด็กหนุ่มคว้ากระเป๋าและเดินเข้าไปหา

“เสร็จแล้วครับป๊า”

ปรเมษฐ์เหลือบตาขึ้นสบตาลูกชายที่ส่งยิ้มหวานมาให้แล้วเอ่ยถามออกไป “ถ่อมตัวสะกดเป็นไหม”

“ถอถุงสระออมอม้าไม้เอก ตอเต่าสระอัว” เด็กหนุ่มตอบคำถามด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

“อะไรของแก”

“ก็ป๊าถามว่าสะกดเป็นไหม”

ปรเมษฐ์ส่ายหน้าเบาๆ อย่างระอาใจกับคำตอบพร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นจิบพอให้พร่องลงไม่ดูเต็มแก้วจนน่าเกลียด“กาแฟดำไม่ขมเหรอป๊า” นภธรณ์ถาม

“ขม แต่กินได้” ปรเมษฐ์ตอบ “แล้วตกลงเมื่อกี้แกตอบว่าชอบกินอะไรฮึ เสียงในร้านมันดังฉันฟังไม่ถนัด”

“ตอบว่าไม่มีอะไรที่ชอบกินเป็นพิเศษครับ แต่มีคนที่ชอบกินด้วยเป็นพิเศษ”
เครื่องหน้าที่ขมวดมุ่นมาตลอดของปรเมษฐ์ค่อยคลายออก เพราะคิดว่ารู้ตำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ยังลองเสี่ยงถามออกไป “ใคร?”

“แฟนคลับครับ”

ปรเมษฐ์พ่นลมออกจมูกกับคำตอบที่แสนขัดใจ “โกหก”

“ผมไม่ได้โกหกสักหน่อย”

ปรเมษฐ์เก็บหนังสือใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินออกจากร้านไป ทำให้ลูกชายที่ยังงงๆ อยู่รีบก้าวยาวๆ เพื่อไปเดินคู่กันให้ทัน

“ป๊าจะรีบไปไหนอะ” นภธรณ์ถาม

“อยากกินกับแฟนคลับก็ไปกินกับพวกเขาสิ ฉันจะกลับบ้านล่ะ” ปรเมษฐ์ตอบเสียงห้วนพลางเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง

เด็กหนุ่มรีบเปิดรถขึ้นไปนั่งอีกฝั่งทันที “โอ๋ งอนๆ”

“เปล่า ไม่ได้งอน” ปรกฤษณ์ตอบหน้าเฉย

“แล้วเป็นอะไรครับ”

“เบื่อคนตอบไม่ตรงคำถาม”

นภธรณ์แกล้งทำเป็นนิ่วหน้าครุ่นคิดทั้งที่ในใจกำลังเต้นอย่างลิงโลด “แล้วป๊าจะให้ผมตอบให้ตรงคำถามว่า ‘ชอบกินข้าวกับป๊า’ เหรอครับ”

“แล้วตอบแบบนั้นไม่ได้เหรอ” ปรเมษฐ์ถามกลับ “ชอบกินข้าวกับฉันมันเสียหายตรงไหน”

“ก็ผมกลัวป๊าดุ”

“ตอบแบบนั้นสิฉันจะดุ” คนเป็นพ่อบอกเสียงเข้มพร้อมกับเร่งแอร์ในรถ หน้าหนาวแท้ๆ แต่ทำไมอากาศมันร้อนแบบนี้

“ป๊าอย่าดุผมนะ ผมกลัวแล้ว”

“กลัวมากไหม”

“ม๊ากมาก” นภธรณ์ลากเสียงทำหน้าทะเล้นใส่ แต่คนเป็นพ่อก็ยังหน้าตึงไม่คลายลงสักนิด

“เหรอ”

“ไม่เอาน่าป๊า เลิกงอนแล้วมาจูบคืนดีกันหน่อยมา”

“ฮึ”

เด็กหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงเอื้อมมือข้างหนึ่งไปคว้าคอเสื้อปรเมษฐ์ดึงมาจุ๊บที่ข้างแก้ม

“อะไรเนี่ย ฉันบอกว่า ‘ฮึ’ ก็แปลว่าไม่เอาสิ”

“ผมได้ยินว่า ‘อือ’ นี่นา” นภธรณ์ตอบหน้าเป็น “ตกลงหายงอนแล้ว ไม่ดุผมแล้วนะ”

“เออ!” ปรเมษฐ์ทำเป็นกระแทกเสียงใส่ซ่อนความเขินที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่วหน้า

“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ ผมหิวแล้ว”

“กินอะไร”

“กินกับป๊า” นภธรณ์ยังไม่เลิกเล่น ทำเอาคนเป็นพ่อถอนหายใจเสียงดังลั่นรถ “ก็ป๊าบอกเองนี่นาว่าให้ตอบแบบนี้”

“นอฟ!”

“ผมตอบผิดอีกแล้วเหรอ ป๊าจะดุผมหรือเปล่า” เด็กหนุ่มแสร้งทำเสียงอ่อยคล้ายคนรู้สึกผิดหากแววตากับเป็นประกายวิบวับ

“ถ้าฉันดุ แกจะทำยังไง”

“ก็จะจุ๊บๆอีก” นภธรณ์ตอบทันทีพร้อมกับสาธิตด้วยการชะโงกตัวข้ามเบาะไปอย่างรวดเร็ว

“งั้นไม่ดุแล้ว” ปรเมษฐ์บอกพลางหันหน้าหนีแต่ริมฝีปากที่ยื่นยาวมานั้นก็ยังเฉียดลงตรงแก้มจนได้

“ดุเหอะอยากให้ดุ” นภธรณ์ยังไม่เลิกแหย่ กะว่ารอบหน้าจะจูบปากไม่ให้พลาดเป้าแน่ๆ

“ตกลงจะกินอะไร” ปรเมษฐ์ถามซ้ำ

“กินกับป๊า”

“นอฟ…” แล้วเสียงเข้มที่กำลังขึ้นสูงถูกปิดลงได้ทันทีด้วยริมฝีปากบาง

เด็กหนุ่มจุ๊บทิ้งท้ายเบาๆ “อยากกินป๊า”

ในที่สุดปรเมษฐ์ก็ใช้สันมือยันหน้าผากจอมแสบลงไปนั่งลงบนเบาะของตัวเองได้สำเร็จ คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันกับประโยคเมื่อสักครู่ที่ฟังไม่ค่อยถนัด “กิน… อะไรนะ”

“กินกับป๊า กินอะไรก็อร่อย” นภธรณ์ตอบเสียงใส

ปรเมษฐ์ไม่ตอบโต้อะไรอีก เขาสตาร์ทรถและตัดสินใจเลือกร้านด้วยตัวเอง บนเบาะข้างกันมีเด็กหนุ่มนั่งฮัมเพลงมองวิวนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าจูบเล่นๆ แต่กำลังทำให้หัวใจของใครบางคนปั่นจริงจัง

และในขณะที่บีเอ็มดับเบิ้ลยูซีรี่ส์เจ็ดค่อยเคลื่อนตัวออกไปเงียบๆ นั้นปรเมษฐ์ก็ยังคงติดใจสงสัยว่าตกลงเจ้าลูกชายตัวดีชอบกินอะไรกันแน่

*********************************
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-12-2017 00:08:30
มาอัพแล้ว ขอบคุณนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 25-12-2017 00:41:50
ชอบกินป๊า อยากกินป๊า  :hao7:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-12-2017 23:41:54
บร๊ะ! เด็กมันร้ายยยยย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 26-12-2017 07:46:35
อยากกินป๊าสินะ น้องนอฟ ^^
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-12-2017 21:30:25
Chapter 15

งานเลี้ยงวันเกิดปีที่ 70 ของประมุขคนปัจจุบันของตระกูล ‘บารมีไพศาลวานิช’ เจ้าของธุรกิจพันล้านนั้นถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่บ้านโดยมีแค่ญาติและคนสนิทไม่กี่คนกับกรรมการผู้บริหารใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนแขกที่มาก็ปาเข้าไปร่วมร้อยคน

ปรเมษฐ์จอดรถหน้าประตูซึ่งปูพรมแดงลาดยาวนำไปสู่ด้านในก่อนจะส่งกุญแจให้คนขับรถขับไปเก็บ

“นี่บ้านป๊าเหรอครับ” นภธรณ์กล่าวอย่างตื่นเต้นกับสิ่งปลูกสร้างร่วมสมัยที่สูงสามชั้น หน้าบ้านมีสวนกว้างใหญ่กับลานน้ำพุที่ตรงกลางเป็นเด็กผู้ชายถือถุงทองใบใหญ่ การได้เข้าวงการทำให้เขาได้ไปในสถานที่หรูหราและเจอผู้คนไฮโซมากมายแต่มีครั้งนี้แหละที่อลังการมากกว่างานไหนๆ ผู้คนที่มาร่วมงานก็ล้วนแต่งตัวกันสวยงาม ประดับเครื่องเพชรเครื่องทองมาสะท้อนเล่นกับแสงไฟวิบวับ

“เคยเป็น” ปรเมษฐ์เปลี่ยนคำให้ใหม่

นภธรณ์ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เมื่อสิ่งที่อยู่เบื้องหลังคำตอบนั้นคือการที่ป๊าโดนไล่ออกจากบ้านเพราะมีเขาเกิดขึ้นมา และนั่นก็ยิ่งตอกย้ำให้เด็กหนุ่มกลับมาเครียดเรื่องผล DNA ที่กรรณเอามาให้ดูอีกครั้ง

 “ไม่ต้องเครียดน่า”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพ่อของตนที่เอ่ยปลอบ วันนี้ป๊าแต่งตัวเนี้ยบเป็นพิเศษ ป๊าเข้าใจว่าเขาตื่นเต้นที่ได้มาบ้านปู่ครั้งแรก ซ้ำยังต้องเจอญาติที่ไม่เคยพบหน้าและไหนจะเรื่องมรดกอีก ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ผิดนักเพียงแต่เขายังมีอีกเรื่องให้ต้องเครียดมากกว่าเท่านั้น

“มาสิ” ปรเมษฐ์ยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากพร้อมกับส่งมือให้

นภธรณ์ค่อยคว้าฝ่ามือของป๊าไว้ มันหยาบนิดๆ แต่ก็อบอุ่นเหมือนแววตาที่มองมาเสมอ เขาจับมือปรเมษฐ์แน่น กลัวเหลือเกินว่าถ้าความจริงทุกอย่างปรากฏเขาจะไม่มีสิทธิ์ใช้ฐานะลูกจับมือนี้อีกต่อไป

“คุ้นๆ ไหม” จู่ๆ ปรเมษฐ์ก็เอ่ยขึ้น

นภธรณ์คิดอยู่อึดใจ “ป๊าหมายถึงตอนที่ผมไปโรงเรียนวันแรกเหรอครับ”

ย้อนวันวานกลับไปเมื่อหลายปีก่อน เปลี่ยนจากชุดสูทหรูเป็นเด็กชายใส่เสื้อนักเรียนคลุมด้วยเอี๊ยมกันเปื้อนกับชายหนุ่มสวมเสื้อกาวน์สั้นยืนอยู่ริมถนนเตรียมข้ามไปอีกฝั่ง

‘จับมือป๊าแน่นๆ นะครับ’

‘ป๊าต่างหากที่ต้องจับมือแน่นๆ’

‘ทำไมละครับ’

‘ก็ถ้าผมตกใจผมอาจจะปล่อยมือป๊าก็ได้ แต่ป๊าจะไม่ปล่อยมือผมใช่ไหม’


มาจนถึงตอนนี้...

“เรื่องวันนี้มันก็แต่ถนนอีกเลนที่เราต้องข้ามไป” ปรเมษฐ์บอก “พอข้ามไปได้แล้วเราก็พบว่ามันง่ายนิดเดียว”

“และป๊าจะไม่ทิ้งผมไว้กลางทางใช่ไหม” เด็กหนุ่มถาม

“ต่อให้รถชนจนขาหักฉันก็จะคลานพาแกข้ามไป”

“ป๊าก็เปรียบซะน่ากลัวเลย” นภธรณ์กระแทกไหล่ปรเมษฐ์หยอกๆ โทษฐานพูดอะไรเป็นลาง หากคำพูดนั้นก็ช่วยเรียกรอยยิ้มกลับคืนมาในหน้าได้ทันที

ทั้งสองเดินผ่านประตูใหญ่เข้าสู่ด้านใน ปรเมษฐ์กวาดตามองไปรอบๆ ห้องโถงใหญ่ซึ่งใช้จัดงาน ออกจากบ้านมาสิบเจ็ดปีมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ทั้งการตกแต่งรูปภาพบนผนังและคนงานในบ้านที่มีคนใหม่ๆ เข้ามาทำงานมากหน้าหลายตาจนแทบไม่เหลือใครที่เขารู้จัก แม้แต่เจ้าไซบีเรียนสามตัวที่เดินอกตั้งราวกับเป็นเจ้าของบ้านอยู่ตอนนี้ปรเมษฐ์ก็ไม่คุ้นเลยสักตัวแถมเจ้าสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าเข้ากับคนง่ายยังหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จนเขานึกใจหายอยู่ลึกๆ ว่ามันไม่มีที่เหลือสำหรับเขาในบ้านหลังนี้แล้วจริงๆ

“ป๊า” นภธรณ์เรียกเบาๆ เมื่อรู้สึกถึงแรงบีบที่ฝ่ามือ

“ไม่มีอะไร” ปรเมษฐ์ตอบพยายามยิ้มเพื่อให้ลูกชายสบายใจ

“ไม่คิดว่าแกจะกลับมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งที่สองนะเนี่ย ไอ้โป้”

เสียงทักทายแบบห้วนๆ ดังขึ้นด้านหลังทำให้สองพ่อลูกหันไป

“พี่ป๋อง” ปรเมษฐ์เรียกพี่ชายคนโตก่อนจะหันไปตบไหล่ลูกชายให้ยกมือไหว้

นภธรณ์ทำตามอย่างว่าง่าย “สวัสดีครับคุณลุง”

ปรกฤษฎ์นั้นอายุมากกว่าปรเมษฐ์สี่ปี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดูหนุ่มแน่น รอยยับเล็กๆ ตรงหางตาไม่ได้ดูขัดตาหากกลับกลายเป็นเสน่ห์เหลือร้ายยามที่ส่งยิ้มมาให้ และด้วยความที่หน้าตาเหมือนกันมากของสองพี่น้องก็ทำให้นภธรณ์จินตนาการถึงหน้าตาของป๊าในอีกสี่ปีข้างหน้าได้ไม่ยาก ซึ่งนั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาทันที

“ไม่เจอกันสิบกว่าปีโตเร็วนะเราเนี่ย ครั้งล่าสุดที่เจอเธอยังตัวกระเปี๊ยกเดียว” ปรกฤษฎ์ยกมือขึ้นแค่เข่าประกอบ พลางถือวิสาสะมองเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงปรเมษฐ์จะไม่เคยกลับมาเหยียบบ้านอีกเพราะทิฐิแต่ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องไม่เคยขาดกัน และปรกฤษฎ์นี่แหละที่เป็นคนแนะนำให้ปรเมษฐ์ไปจดทะเบียนรับรองบุตร เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาตอนนภธรณ์เข้าเรียนและยังช่วยหาที่เรียนให้ด้วย “ว่าแต่ทำไมหน้าไม่เหมือนแกเลยวะ ไอ้โป้”

“เขาหน้าเหมือนแม่ไงคะป๊ะป๋า” เด็กหญิงวัยไม่เกินมัธยมต้นท่าท่างแก่นแก้วเกินวัยเดินเข้ามาร่วมวง เธอใส่ชุดอัดพลีทสีชมพูและประดับเรือนผมดำยาวเป็นมันด้วยขนนกฟู่ฟ่อง

“แล้วหนูเล็กรู้ได้ไงคะ” ปรกฤษฎ์หันไปถามลูกสาว

“ก็เขาป็นนักร้องดัง แล้วก็เคยให้สัมภาษณ์ออกทีวีตั้งหลายรอบ นอกจากข่าวธุรกิจ ป๊ะป๋าก็ต้องอ่านติดตามข่าวอื่นบ้างนะคะ” ปฏิมาบอกพ่อตนก่อนจะหันมาหาทั้งสอง “สวัสดีค่ะอาโป้ สวัสดีจ๊ะนอฟ เราชื่อปฏิมา เรียกว่าหนูเล็กก็ได้”

“ไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มโพล่งออกไป “เพราะเราอายุมากกว่า หนูเล็กต้องเราเรียก ‘พี่นอฟ’สิ”

“นอฟ” ปรเมษฐ์กระซิบลอดไรฟัน “อย่าเสียมารยาทสิ”

แต่เด็กหนุ่มไม่ทันได้ฟัง “ป๊าสอนว่าเราต้องให้เกียรติคนที่อายุมากกว่า… เอ้า! เรียกสิ ‘พี่นอฟคะ’”

“ไม่เรียก” ปฏิมาสวนกลับพร้อมยกมือขึ้นกอดอก “หนูเล็กเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่ชายสักหน่อย”

“เธอไม่รู้จักคำว่าลูกพี่ลูกน้องเหรอ” นภธรณ์ก็ไม่ยอมง่ายๆ เหมือนกัน

ปรเมษฐ์หันไปยิ้มแห้งให้พี่ชายอย่างจนใจจะห้าม “ขอโทษนะพี่ป๋อง”

ปรกฤษฎ์โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ช่างมันเถอะ เด็กเขาแหย่เล่นกัน... แล้วนี่แกเจอพ่อหรือยัง”

ปรเมษฐ์ส่ายหน้า “ผมเพิ่งมาถึงยังไม่ได้เจอใครเลยนอกจากพี่ป๋องกับหนูเล็กนี่แหละ”

“งั้นเดี๋ยวหนูเล็กพาอาโป้ไปเองค่ะ ปู่คุยอยู่กับเพื่อนตรงนู้นแน่ะ” ปฏิมายกมือเสนอตัว

“ไม่เป็นไรหรอก ให้ปู่คุยกับเพื่อนไปเถอะเดี๋ยวอาค่อยไปทักทีหลังก็ได้” ปรเมษฐ์บอกก่อนจะเหลือบไปเห็นสายตาเว้าวอนของลูกชายที่บอกว่าอยากเจอปู่ใจจะขาดแล้ว “อาฝากพานอฟไปหน่อยละกัน อาจะคุยกับพ่อหนูเล็กอยู่ตรงนี้แหละ”

“ได้ค่ะ” ปฏิมารับคำดิบดีแล้วหันไปพยักเพยิดกับนภธรณ์ก่อนจะเดินนำไป “ตามมาสิ”

“นอฟหลานปู่มาแล้วเหรอ” คุณบังเอิญร้องเสียงดังด้วยความดีใจพร้อมกับแยกตัวออกมาจากแขก โอบไหล่พานภธรณ์เข้าไปทำความรู้จักกับคนอื่นๆ “นี่หลานชายฉัน ลูกเจ้าโป้มัน”

ปรเมษฐ์รู้สึกหวิวในใจแปลกๆ ตอนที่คุณบังเอิญเดินมาหานภธรณ์นั้นได้หันมาสบตากับเขาแวบหนึ่ง ซึ่งแทบไร้ความหมายเพราะคนเป็นพ่อมองผ่านเลยเขาไปราวกับเป็นอากาศธาตุ แต่ถึงอย่างนั้นการที่ยังแนะนำว่านภธรณ์เป็นลูกเขาก็ยังทำให้ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดไปมากกว่าเดิมนัก

“แกนี่วาสนาดีนะ หลานสาวก็สวย หลานชายก็หล่อ” เพื่อนในวงสนทนาคนหนึ่งพูดขึ้น

“ขอบคุณค่ะ” ปฏิมายิ้มหวานพร้อมกับถอนสายบัวรับคำชมอย่างเต็มใจ และนั่นทำให้นภธรณ์นึกออกว่าเธอนิสัยเหมือนกับรมิดานี่เอง

“ไม่ได้หล่ออย่างเดียวนะเว้ย หลานฉันเป็นนักร้องด้วย พวกแกรู้แล้วก็ซื้ออัลบั้มกับดู MV อุดหนุนหลานฉันด้วย เข้าใจไหม” คุณบังเอิญยังไม่เลิกโอ่

“ขี้โม้ว่ะ” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของคุณบังเอิญเอ่ยขึ้น

“ไม่เชื่อเหรอ ได้! เดี๋ยวนอฟมายืนตรงนี้นะ เอ้านี่ไมค์ จัดเลยลูกเอาให้ไอ้พวกแก่ๆ แถวนี้ตาค้างไปเลย” คุณบังเอิญบอกก่อนจะหันไปหาหลานสาวอีกคน “หนูเล็กช่วยเล่นเปียโนให้ปู่ฟังหน่อยได้ไหมจ๊ะ”

“ได้ค่ะปู่” ปฏิมาบอกพร้อมกับเดินนำไป

“นั่นเขาจะมีมินิคอนเสิร์ตกันเหรอ” ปรกฤษฎ์สะกิดน้องชายเมื่อเห็นคนเดินเข้าไปมุงรอบแกรนด์เปียโนที่กลางห้องโถง “ลูกแกจะร้องได้เหรอ เห็นแบบนั้นแต่ลูกสาวฉันเป็นแชมป์รุ่นเยาว์ระดับประเทศเชียวนะ”

“ไม่รู้สิ” ปรเมษฐ์ไหวไหล่ “แต่นอฟก็ไม่ใช่พวกที่ยอมให้ตัวเองหน้าแตกหรอก”

“พร้อมนะ” ปฏิมาจรดนิ้วลงบนแป้นและเริ่มบรรเลงทันทีโดยไม่มีการนัดแนะใดๆ มาก่อน

นภธรณ์ชะงักไปกับท่วงทำนองที่เป็นเพลงสากล

ปฏิมาอมยิ้มมุมปาก หลานสาวคนเดียวของตระกูลบารมีไพศาลวานิชย่อมไม่ได้มาเล่นๆ ปรัชญาขงเบ้งกล่าวว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง และข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามก็หาได้ง่ายดายเพียงแค่จิ้มนิ้วบนแป้นพิมพ์ก็จะได้ทุกอย่างในโลกอินเตอร์เน็ต นั่นจึงทำให้เธอรู้ว่านภธรณ์นั้นอ่อนภาษาอังกฤษมากและอ่านโน้ตดนตรีไม่เป็น เธอจึงเลือกเล่นเพลงสากลเพราะจะแกล้งให้เขาหน้าแตกต่อหน้าคุณปู่ เพียงเท่านี้ตำแหน่งหลานรักเบอร์หนึ่งก็จะเป็นของเธอคนเดียว

เด็กหนุ่มกำไมค์ในมือแน่น เขาใช้มือข้างที่ว่างเคาะเบาๆ ลงบนหน้าขาเพื่อจับจังหวะก่อนจะยกไมค์ขึ้นจรดริมฝีปาก และเพียงแค่เนื้อเพลงท่อนแรกเปล่งออกจากปากปลิวไปในสายลมเขาก็สะกดทุกคนในที่นั้นได้อยู่หมัด

โดยเฉพาะใครคนหนึ่ง ตาคมจับจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้านิ่ง มันไม่ใช่แค่เพียงสายตาของความภาคภูมิใจ เมื่อมองลึกเข้าไปในนั้นจะได้เห็นวันเวลาหนึ่งที่ใครๆ อาจบอกว่ามันนานแล้ว แต่เขาไม่เคยรู้สึกว่ามันนานขนาดนั้นเลย สำหรับเขาแล้วเรื่องในตอนนั้นมันก็เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ที่ยังคงจดจำทุกๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยวนาที

การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตมาไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งเลี้ยงคนเดียวในวันที่ไม่พร้อมซึ่งแวดล้อมไปด้วยสภาวะกดดัน ทั้งครอบครัวที่ไม่เข้าใจ ตัวเขาที่ยังเป็นนักศึกษา หนังสือก็ต้องอ่านนมลูกก็ต้องชง มันทำให้เขาสูญเสียชีวิตวัยรุ่นที่ควรจะต้องเป็นไป วันที่ไหวก็ไหว แต่ในวันที่ไม่ไหว ความรู้สึกเหงาและท้อแท้ที่เอ่อล้นอยู่ในอก คิดถึงผู้หญิงคนที่จากไป อยากเจอ อยากได้ยินเสียง อยากรับรู้ความเป็นไปว่ายังสบายดีไหม แอบหวังว่าสักวันที่เธอตามฝันสำเร็จจะกลับมาหากัน

แต่วันนั้นมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะมาถึงเลย

แล้วน้ำใสก็ค่อยๆ เอ่อขึ้นเต็มสองตาเมื่อความท้อแท้เริ่มกัดกินหัวใจ อยากยอมแพ้ แต่ชีวิตมันไม่ใช่เกมที่แค่รีสตาร์ทก็สามารถกลับไปเริ่มต้นใหม่ เขาต้องเดินหน้าต่อแต่จะทำได้ยังไงในเมื่อหัวใจมันไม่มีพลังงานเหลือเลย

ม่านน้ำตาบดบังดวงตาจนมองไม่เห็นทางออก แต่ตอนนั้นเองที่เสียงเพลงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่รู้สึกถึงแรงกระตุกเบาๆ ที่ชายเสื้อ

สายตาที่ยังพร่ามัวด้วยน้ำตาเหลียวไปมอง มือเล็กๆ คู่หนึ่งเกาะกุมอยู่ที่ชายเสื้อ เด็กชายตัวน้อยนั่งคุกเข่าร้องเพลง เพลงที่เจ้าตัวไม่เข้าใจความหมายด้วยซ้ำแต่กลับร้องตามได้เพราะฟังผ่านหูทุกวัน

ในขณะที่ปากบอกว่าถึงใครๆ จะทอดทิ้งแต่เด็กคนนี้จะมีเขา หากในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลยเด็กคนนี้ต่างหากที่คอยอยู่เคียงข้างเขาทั้งวันที่มีรอยยิ้มและมีน้ำตา และไม่เคยทิ้งกันไปไหน

...You are my sunshine ,my only sunshine
You make me happy when skies are gray
You’ll never know dear, how much I love you
Please don’t take my sunshine away….

ขอบคุณนะที่เป็นแสงอาทิตย์ในหัวใจของฉันตลอดมา

เสียงปรบมือดังเกรียวกราวทันทีที่เพลงจบลง

“ทำไมนายร้องได้ล่ะ เพลงนี่เก่ามากเลยนะ” ปฏิมาถามด้วยความเจ็บใจ

นภธรณ์เลิกคิ้วก่อนจะเหลือบตามองคนเป็นพ่อที่ส่งยิ้มมาให้ “มันเป็นเพลงโปรดของป๊า” เขาบอก “ป๊าชอบเปิดเพลงนี้กล่อมนอนสมัยฉันเป็นเด็กน่ะ และมันเป็นเพลงแรกที่ฉันร้องได้ เมื่อกี้มัวแต่ตกใจเพราะไม่คิดว่าเธอจะเล่นเพลงนี้น่ะเลยขึ้นท่อนแรกไม่ทัน”

“ตอนนี้ก็เด็ก” ปฏิมาว่า

“ก็โตกว่าเธอแหละคุณน้องสาว”

“เพลงโปรดแกเหรอ?” ปรกฤษฎ์หันไปเอียงคอถามน้องชาย

“แล้วมันทำไมเหรอครับ” ปรเมษฐ์ถามเรียบๆ

“ก็แค่ไม่คิดว่าจะเป็นเพลงที่พ่อใช้จีบแม่” คนเป็นพี่ว่า “แถมพ่อยังชอบเปิดเพลงนี้บ่อยๆ เสียด้วย”

“บังเอิญจังเลยนะครับ”

“ใช่… ‘บังเอิญ’จัง”

ปรเมษฐ์ทำเป็นไม่สนใจคำที่พี่ชายพยายามจะเน้นมา เขาเดินไปหาลูกชายก็พอดีกับที่พ่อบ้านประจำตระกูลประกาศให้ทุกคนมารวมตัวกันรอบเค้กวันเกิดที่ประกอบขึ้นจากคัพเค้กนับร้อยชิ้นวางเรียงกันเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเหมือนต้นคริสมาสต์เพื่อเตรียมร้องเพลงวันเกิดให้เจ้าของงานในวันนี้

นภธรณ์ยื่นไมค์ในมือให้หลานสาวอีกคนของบ้านเพราะคิดว่าเธอควรเป็นต้นเสียง แต่ปฏิมากลับยกมือห้ามพร้อมกับย่นปาก

“นายเป็นนักร้องมีหน้าที่ร้องก็ร้องไปสิ”

“หนูเล็กร้องเพลงห่วยมากน่ะ” ปรกฤษฎ์แอบเข้ามากระซิบ

“ป๊ะป๋า!” ปฏิมาร้องเสียงดัง “ตัวเองก็ร้องเพลงห่วยเหมือนกันแหละอย่ามาว่าแต่หนูเล็กนะคะ”
ปรกฤษฎ์ไหวไหล่ “ป๊ะป๋าเป็นนักธุรกิจนี่ครับไม่ใช่นักร้อง”

“หนูเล็กก็ไม่ใช่เหมือนกัน” เด็กสาวกอดอกทำแก้มป่อง รู้สึกเสียหน้าที่มีเรื่องที่ไม่ถนัด เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับคุณหนูผู้แสนเพรียบพร้อมอย่างเธอเลยจริงๆ

“งั้นฉันร้องเอง แล้วหนูเล็กช่วยเล่นเปียโนให้หน่อยนะ” นภธรณ์บอก

คนงอนหันมามอง “หนูเล็กเล่นเก่งใช่ไหมล่ะ”

“อืม เก่งมาก” นภธรณ์ยอมรับตรงๆ และนั่นทำให้เด็กสาวแอบเขินเล็กๆ

“ปีนี้รู้สึกเพลงมันเพราะกว่าทุกปีนะ” ปรกฤษฎ์พูดขึ้นหลังจากที่เพลงอวยพรวันเกิดจบลง และตอนนี้เด็กๆ ก็กำลังเข้าไปช่วยคุณปู่ส่งเค้กแจกคนในงาน

“ก็แน่อยู่แล้ว นอฟเป็นนักร้องนี่นา” ปรเมษฐ์ว่า

“ไม่ใช่หรอก” ปรกฤษฎ์บอกพลางหันไปหาน้องชาย “ที่เพลงเพราะ เพราะทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าต่างหาก”

หลังจากแจกเค้กให้ทุกคนอย่างทั่วถึงสุรชัยก็ประกาศอีกช่วงเวลาสำคัญในค่ำคืนนี้

“ท่านประธานขอเชิญผู้มีสิทธิ์ในมรดกทุกคนกับกรรมการผู้ถือหุ้นมารวมกันในห้องประชุมด้วยครับ”
นภธรณ์เดินตามหลังปรเมษฐ์เข้าห้องไปนั่งลงตรงเก้าอี้นวมที่ถูกจัดไว้ให้ การได้ทะเลาะและร้องเพลงกับปฏิมาทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก

ตอนนี้ในห้องมีแต่คนที่เขารู้จัก คุณย่านั่งอยู่ข้างๆ คุณปู่ ครอบครัวของปรกฤษฎ์นั่งอยู่ถัดออกไปและที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาคือคุณบังอาจหรือปู่เล็ก

ทนายประจำตระกูลเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้ายก่อนที่สุรชัยจะทำการปิดล็อกประตู

“ผมจะเปิดพินัยกรรมของคุณบังเอิญให้ทุกท่านทราบ” ทนายกล่าว “มรดกจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือเงินสดซึ่งจะทำการโอนให้แล้วเสร็จภายในสามวันนับจากการประกาศและอีกส่วนซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้นผู้ได้รับมอบจะมีสิทธิ์ถือครองก็ต่อเมื่อคุณบังเอิญหมดลมหายใจหรือมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในภายหลัง ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคุณบังเอิญเอง”
ทนายหยิบเอกสารขึ้นมาตั้งต้นจะอ่านเมื่อใครคนหนึ่งยกมือขึ้นทักท้วง

“ขอโทษนะครับพี่” คุณบังอาจกล่าว “พี่บอกว่าขอพบผู้มีสิทธิ์ในมรดกกับผู้ถือหุ้นเท่านั้นนี่ครับแล้วทำไมผมถึงเห็นคนอื่นเข้ามานั่งในนี้ด้วยล่ะ”

“โป้มาในฐานะผู้ปกครองของหลานฉัน” คุณบังเอิญชี้แจงในส่วนที่รู้อยู่แล้วว่าต้องมีคนถาม

“พี่พูดว่า ‘หลาน’ อย่างนั้นเหรอครับ” คุณปู่เล็กพูดต่อ

“นอฟเป็นลูกชายอย่างถูกต้องตามกฏหมายของผม ไม่ทราบว่าคุณอามีข้อสงสัยอะไรหรือครับ” ปรเมษฐ์ถาม “ผมมีทั้งใบทะเบียนสมรสและใบรับรองบุตรยืนยันว่านอฟเป็นลูกผม”

“ลูกตามกฏหมายไม่ได้หมายความว่าจะเป็นลูกตามสายเลือดนี่นา”

ได้ยินคำนี้หัวใจนภธรณ์ก็เต้นรัวขึ้นทันที และอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมือไม้มันอ่อนแรงไปหมด เขากำมือที่ชื้นเหงื่อบนหัวเข่าแน่น ภาวนาจนสุดใจขอให้ไม่ใช่เรื่องที่คิด

“มีอะไรก็รีบๆ พูดมาอย่ามัวแต่เล่นลิ้นเจ้าอาจ” เจ้าของมรดกตัดบท

“งั้นผมสรุปเลยนะ” คุณบังเอิญลุกขึ้นยืนพร้อมกับหยิบซองเอกสารขึ้นมาและอ่านออกเสียงดังๆ ให้ทุกคนได้ยิน “ผล DNA นี่ชี้ชัดว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของนายปรเมษฐ์” มีความเย้ยหยันอยู่ในน้ำเสียงของคุณบังอาจ เขายิ้มอย่างสะใจพร้อมกับส่งเอกสารในมือวนไปให้ทุกคนดูจนครบ

“ว่าไงนะ”

“เป็นความจริงเหรอ”

คุณบังอาจปล่อยเวลาให้ข้อมูลนั้นซึมซับเข้าสู่สมองของทุกคนก่อนจะพูดอีกครั้ง “สรุปง่ายๆ เลยนะครับ เด็กคนนี้ไม่ใช่หลานพี่ และเขาไม่ใช่คนในตระกูลของเรา”

ทุกสายตาในห้องต่างจับจ้องมาที่ปรเมษฐ์ รวมทั้งนภธรณ์ที่พูดอะไรไม่ออกเช่นกันแม้จะรู้อยู่แล้ว ตอนนี้ที่เขาเป็นห่วงคือความรู้สึกป๊า ป๊าจะเจ็บช้ำแค่ไหนเมื่อได้รู้ความจริงว่าโดนผู้หญิงคนนั้นหลอกให้เลี้ยงลูกคนอื่นมาตั้งสิบเจ็ดปี

นภธรณ์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ฝ่ามือชื้นเหงื่อกำอยู่บนหัวเข่าแน่น เขาเห็นคุณปู่หันมามองเขาราวกับจะตั้งคำถาม ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยมีความผิดหวังฉายชัด แต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก เพราะหัวใจของเขาเองก็จุกจนเจ็บไปหมดกับคำว่า ‘เขาไม่ใช่คนในตระกูล’… เพราะนั่นหมายความว่าเขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ เป็นแค่เด็กที่โดนแม่ทิ้งและไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อด้วยซ้ำ

“มีอะไรอยากจะแก้ตัวอีกไหมโป้” คุณบังอาจถาม

ความอึดอัดกำลังเข้ายึดครองไปทั่วทั้งห้องเมื่อจู่ๆ ปรเมษฐ์ก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังกลบเสียงซุบซิบในห้องประชุม “เฮ้อ~”
ทุกคนพากันเงียบและหันมองหน้ากันงงๆ

“เรื่องมันก็เป็นอย่างที่คุณอาบอกน่ะแหละครับ” ปรเมษฐ์กล่าวเสียงนุ่มด้วยท่าทีที่ราวกับยกภูเขาออกจากอกกับความลับที่เก็บซ่อนอยู่ในใจมานานหลายปี “ขอโทษนะครับที่โกหกทุกคน และเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ผมกับลูกก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพินัยกรรมนี้แล้วสินะ ดังนั้นพวกเราก็ขอตัวก่อนนะครับ… เรากลับกันเถอะ นอฟ” พูดจบก็หันไปหาคว้ามือลูกชายและจูงมือเดินออกไปจากห้องโดยไม่สนใจสายตาดูแคลนและเสียงซุบซิบนินทาของใครๆ ที่ดังตามหลังว่าเขาเป็นลูกที่ถูกเก็บมาบ้าง ปรเมษฐ์ถูกสวมเขาบ้าง

แต่สิ่งเหล่านั้นมีผลกับหัวใจของเด็กหนุ่มน้อยมากเมื่อเทียบกับนัยน์ตารื้นน้ำที่ราวกับใจสลายของผู้อาวุโสเจ้าของงานที่มองมาจนเขาต้องก้มหน้ามองพื้นเพราะไม่อาจทนเห็นได้อีกต่อไป

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib(1) P.7 [24/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 29-12-2017 21:46:14
(ต่อตรงนี้ค่ะ

นภธรณ์ปล่อยให้ป๊าจูงมือออกมาและเดินไปเรื่อยๆ ถ้อยคำนับแสนล้านคำประทุอยู่ในอก ทั้งคำปลอบ คำขอโทษ และคำถามว่าป๊ารู้เรื่องนี้ได้ยังไงแต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนดี แล้วก็เป็นฝ่ายปรเมษฐ์ที่เริ่มต้นขึ้นก่อนอีกครั้ง

“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

เขาหยุดยืน หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ามือใหญ่เลื่อนขึ้นมาจับไว้ที่สองไหล่ของเด็กหนุ่มและมองสบตาก่อนจะพูดต่อเสียงเบาทว่าหนักแน่น

“ขอโทษที่โกหกแกมาตลอด แต่ไม่ว่าผลการตรวจมันจะเป็นยังไง ฉันก็ยังเป็น ‘พ่อของแก’ เหมือนเดิมนะ”

เด็กหนุ่มมองตอบนัยน์ตาคู่นั้นที่มองมา มันยังเหมือนเดิมเสมอ เขากัดริมฝีปากจนเจ็บ และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้เแล้วว่าจะพูดคำไหนออกไป “ไม่ครับ มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

ปรเมษฐ์อึ้งไปชั่วขณะ ประกายกล้าในแววตาวูบไหวจนต้องหลุบลงมองพื้นเพื่อซ่อนความอ่อนไหวที่กำลังท่วมท้นขึ้นมา “ฉันขอโทษ”

“ป๊าไม่จำเป็นต้องขอโทษผมเลยครับ” นภธรณ์บอก “ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษป๊า เพราะตั้งแต่เมื่อกี้ตอนที่เห็นผลตรวจนั่นยืนยันว่าเราไม่ใช่พ่อลูกกันผมไม่รู้สึกเสียใจสักนิด แต่ผมรู้สึกดีใจมากที่จะได้เป็นอิสระจากคำว่า ‘พ่อ-ลูก’ นี้เสียที”

ปรเมษฐ์นิ่งงัน ความรู้สึกเจ็บปวดถาโถมเข้ามาในหัวใจ ไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งที่พยายามทำมาตลอดสิบเจ็ดปีจะพังทลายลงในพริบตา “แกไม่ได้อยากเป็นลูกฉันแล้วเหรอ”

“ครับ” นภธรณ์ยืนยัน และเขาก็คิดเช่นนั้นจริงๆ “ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้อยากจับมือป๊าอีกต่อไปแล้ว แต่ผมอยากกอดป๊า... ในเมื่อตอนนี้เราไม่ใช่พ่อลูกกันผมขอยืนเคียงข้างป๊าในฐานะอื่นได้ไหมครับ”

ปรเมษฐ์ขยับเล็กน้อยคล้ายกับจะพูดอะไรแล้วก็นิ่งไป ริมฝีปากสั่นระริก มือทั้งสองกำเป็นหมัดแน่น

“เพราะผมรักป๊า” นภธรณ์พูดต่อ เสียงของเขาแหบพร่าทว่ามั่นคง “รักในแบบของผู้ชายคนหนึ่ง... มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ผม
ถอยกลับไม่ได้แล้ว ผมรู้ว่ามันผิด แต่ผมรักป๊าจริงๆ... ผมขอโทษครับที่คิดกับป๊าแบบนี้” เขากลั้นใจพูดรวดเดียวก่อนที่ความกล้าจะจางหายไป เสร็จแล้วก็ได้แต่ยืนนิ่งรอคอยคำตอบจากอีกฝ่าย

“นอฟ... ฉัน...” ปรเมษฐ์มีท่าทีตกใจไม่น้อย เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมกับที่หัวหน้าพ่อบ้านก้าวยาวๆ อย่างรีบเร่งเข้ามาหาทั้งสอง

“คุณโป้ครับ คุณหนู”

“ไม่ต้องเรียกผมแบบนั้นแล้วก็ได้ครับ” นภธรณ์พยายามแก้แต่หัวหน้าพ่อบ้านไม่สนใจ

“คุณท่านให้ผมมาเชิญคุณทั้งสองกลับเข้าไปครับ คุณท่านมีเรื่องจะพูดด้วยและนี่เป็นคำสั่งครับ” สุรชัยบอก
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะเดินตามไปแต่โดยดี

“มานี่สินอฟ” คุณบังเอิญกวักมือเรียกมาจากบนโซฟา

เด็กหนุ่มเหลียวมองคนอื่นๆ ที่จับจ้องมาที่เขาก่อนจะเดินเข้าไปหากล้าๆ กลัวๆ

คุณบังเอิญยกมือที่เหี่ยวย่นขึ้นมาและจับไปตามกรอบหน้าของเขา
“ตัวเล็ก หน้าหวาน ผมแดง ตาโต ร้องเพลงเก่ง... เอาจริงๆ แกก็ไม่มีอะไรเหมือนคนในตระกูลเราจริงๆ นั่นแหละ” ประมุขใหญ่ของบ้านรำพึงกับตัวเอง “แต่ใครจะสนใจเรื่องพรรค์นั้นมันก็เรื่องของเขา เพราะว่าฉันไม่สน”

“แต่ผล DNA...” นภธรณ์พยายามจะพูดแต่ก็โดนตัดบท

“ช่างผลอะไรนั่นเถอะ” คุณบังเอิญพูดเสียงดัง “คนเราไม่ได้ผูกพันกันเพียงเพราะเส้นพันธุกรรมแค่สองเส้นสักหน่อย ฉันเห็นแกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยถึงจะไม่ได้เลี้ยงเองแต่ก็ฝากคนอื่นไปคอยดูแล ฉันเห็นพัฒนาการของแก เห็นแกยิ้มให้ ได้ยินแกเรียกฉันว่าปู่ แล้วแกจะเป็นอะไรได้ถ้าไม่ใช่หลานฉัน และมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไปแม้ว่าฉันจะตายไปแล้วก็ตาม”

“แต่ผม...” นภธรณ์แทบไม่เชื่อหูกับสิ่งที่ได้ฟัง เขากะพริบตาถี่ๆ ไล่หยดน้ำที่เอ่อล้นขึ้นรอบตา

“เรียกปู่สิ แล้วปู่จะเป็นปู่ของแกตลอดไป” คุณบังเอิญบอก

เด็กหนุ่มจ้องนัยน์ตาสีเทาของคนตรงหน้า แล้วจู่ๆ น้ำใสก็ค่อยไหลลงอาบสองแก้มอย่างควบคุมไม่ได้ เขาพยักหน้าและเอ่ยถ้อยคำที่อีกฝ่ายอยากฟัง “ครับคุณปู่”

“นามสกุลฉันยังอนุญาตให้ใช้ได้เหมือนเดิม” คุณบังเอิญกล่าวต่อ “พ่อแกจะได้ไม่ต้องยุ่งยากไปทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลที่อำเภอ”

“ครับ” ปรเมษฐ์รับคำ

“นามสกุลใช้ได้ แต่ว่าเรื่องมรดก…” คุณบังอาจพยายามแทรกขึ้น

“ก็ยังได้ทุกอย่างเหมือนเดิม” คุณบังเอิญกล่าวเสียงเฉียบ

“ทำไมล่ะพี่ ก็ในเมื่อเด็กคนนี้…”

“แกแก่จนหูตึงหรือสติฟั่นเฟือนจนไม่ได้ยินที่นอฟเรียกฉันว่าปู่เรอะ” คุณบังเอิญว่า “แล้วหลานฉันก็มีชื่อ ช่วยเรียกให้ถูกๆ ด้วยจะชื่อจริงหรือชื่อเล่นก็เรียกไปแต่อย่ามาใช้คำว่าเด็กคนนี้”

“แกไม่คิดจะห้ามพ่อแกเลยเหรอเจ้าป๋อง ส่วนแบ่งที่ลูกแกควรจะได้นั่นจะยอมให้มันไปตกอยู่กับคนนอกเหรอ” ปู่เล็กพยายามยุแยง

ปรกฤษฎ์มองลูกสาวแล้วหันไปมองปรเมษฐ์กับนภธรณ์ก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าน้องชายของผมบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกเขา ผมก็ถือว่าเขาเป็นหลานของผมเหมือนกันครับ... และนี่มันก็เป็นเงินของพ่อไม่ใช่ของผม การจะยกให้ใครก็เป็นสิทธิ์ของพ่ออยู่แล้ว”

“แต่...”

“ถ้าแกอยากให้ฉันตัดสินจาก DNA นัก ถ้าอย่างนั้นแกก็จะได้มรดกจากที่ควรจะได้แค่ครึ่งเดียวเพราะแกเป็นลูกเมียน้อย ฉันพูดแบบนี้แกโอเคไหมล่ะ” คุณบังเอิญตัดบท

“แต่พี่จะให้เด็กนอกคอกนั่นมาดูแลบริษัทของเราไม่ได้นะ!”

“ฉันเคยพูดสักคำเหรอว่าจะยกให้นอฟ” คุณบังเอิญถาม และแทบจะได้ยินเสียงร้อง ‘อ้าว?’ ดังขึ้นพร้อมกันในห้องประชุม

“แกคิดว่าเสียเงินส่งเจ้าป๋องไปเรียนบริหารถึงเมืองนอกเมืองนาแล้วจะให้มันกลับมานอนเกาพุงผลาญเงินฉันเล่นๆ เหรอ ทุกวันนี้ธุรกิจกว่าครึ่งหนึ่งมันก็เป็นคนดูแลอยู่แล้ว”

“บริหารภาษาอะไรให้ติดตัวแดงอยู่แบบนั้น”

“ถ้าคุณอาหมายถึงบริษัท Thai MED. ละก็แดงอยู่แล้วครับ” ปรกฤษฎ์อธิบาย “เพราะมันเป็นบริษัทนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผมคิดกำไรค่อนข้างต่ำ และผมก็เพิ่งตัดสินใจบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลที่เจ้าโป้ทำงานอยู่ล็อตใหญ่ นี่เดือนก่อนเพิ่งส่งคนไปตรวจสอบการใช้งาน ได้ข่าวว่าดันไปขับชนท้ายรถเจ้าโป้จนแขนหักไปอีก… ขอโทษด้วยนะเห็นสุรชัยไปจัดการแล้ว ฉันเลยไม่ได้ทำอะไรอีก แค่นี้พ่อก็บ่นบ้านจะแตกแล้วว่าแกทำมือหลานเขาเป็นรอย” ตอนท้ายเขาหันไปพูดกับน้องชาย

“ไม่เป็นไรครับ แค่กระดูกร้าวนิดหน่อยไม่ถึงขึ้นหักอะไร” ปรเมษฐ์บอก


“ทั้งหมดนั่นอยู่ในงบกองทุนช่วยเหลือสังคมของตระกูลไพศาลวานิชครับ” สุรชัยเสริมต่อให้ “ถ้าหักลบกับกำไรของบริษัทอื่นก็ยังถือว่าคุณปรกฤษฎ์บริหารงานได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีอะไรให้น่ากังวลครับ”

“ถึงเจ้าป๋องจะดูแลได้ แต่มันก็ไม่มีลูกนะพี่” คุณบังอาจพูดต่อ

“แล้วหนูเล็กไม่ใช่ลูกมันหรือไง” คุณบังเอิญถามกลับ ถึงตรงนี้แม้แต่ปรกฤษฎ์เองก็แปลกใจเพราะคาดไม่ถึงว่าพ่อของตนจะหัวสมัยใหม่อยู่เหมือนกัน

“แต่หนูเล็กเป็นผู้หญิง”

“หนูเล็กเป็นผู้หญิงแล้วยังไงเหรอคะปู่เล็ก” ปฏิมาแทรกขึ้น “คุณปู่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูเล็กเป็นคนสวยแล้วก็ฉลาด แถมยังพูดได้ตั้งสามภาษาทั้งไทย จีน อังกฤษ ในอนาคตหนูเล็กจะต้องหาผู้ชายดีๆ มาแต่งเข้าบ้านเป็นหลานเขยให้คุณปู่ได้แน่ๆ ค่ะ”

ปรกฤษฎ์กุมขมับกับความแก่นเซี้ยวของลูกสาว ในขณะที่คุณบังเอิญปรบมือให้หลานสาวสุดที่รัก “ต้องอย่างนี้สิ แม่บิสซิเนสเกิร์ลของปู่”

“แต่ผู้หญิงเป็นผู้บริหารแล้วจะคุมลูกน้องนับพันของเราได้ยังไง” คุณบังอาจยังไม่เลิก

“นี่จะคศ.2018 แล้วนะคะ ผู้หญิงมีสิทธิ์และความสามารถเท่าเทียมกับผู้ชายค่ะ ถ้าปู่เล็กไม่เชื่อก็อยู่ให้ถึงวันที่หนูเล็กขึ้นเป็นผู้บริหารนะคะ แล้วหนูเล็กจะพิสูจน์ให้ดู”

“แต่...”

“พอได้แล้ว” คุณบังเอิญว่า “ฉันตัดสินใจดีแล้ว อ้อ! เรายังไม่ได้เคลียร์กันเลยนะว่าแกไปได้ผล DNA นั่นมายังไง หวังว่าแกจะไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องร้ายๆ ของหลานชายฉันช่วงนี้นะเจ้าอาจ”
“ปู่รู้ด้วยเหรอครับ” นภธรณ์ถามด้วยความแปลกใจ

“ฝากบอกพ่อแกด้วยว่าไม่ต้องไปแจ้งความจับไอ้นักข่าวนั่น” คุณปู่ว่า “เสียเวลาตำรวจเขาเปล่าๆ เพราะมันคงไม่โผล่หน้ามาให้สังคมเห็นไปอีกสักพักใหญ่ๆ”

“คุณปู่ทำอะไรเขาหรือครับ” นภธรณ์ถาม

“ทีแรกก็ว่าจะจับเผานั่งยางแต่สุรชัยบอกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้จะทำให้โลกร้อนซึ่งขัดกับนโยบายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของบริษัทเรา และเสนอว่าการทำบุญให้อาหารปลาในมหาสมุทรแปซิฟิคน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า” คุณบังเอิญพูดทีเล่นทีจริงพลางโบกมือทำนองว่าให้ลืมๆ มันไปซะ
นภธรณ์จะขำก็ไม่เต็มเสียงนัก เขารู้ว่าคุณปู่พูดเวอร์ไปแบบนั้น แต่ที่แน่ๆ นั่นก็ไม่ใช่การขู่ลอยๆ นึกสงสัยจริงๆ ว่ากรรณโดนสั่งสอนอะไรไปบ้าง

ในที่สุดคุณบังอาจก็ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้อีก ทำได้แค่นั่งกำหมัดแน่นและส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ

ผู้สูงวัยเห็นหลานรักยังตาแดงๆ ก็อดสงสารไม่ได้ เขาตบมือลงบนกระเป๋าเสื้อเพื่อหาอะไรมาช่วยซับน้ำตา “เอ้านี่”
“อะไรหรือครับ” นภธรณ์ยื่นมืออกไปรับด้วยความงงๆ ปนสงสัย เพราะแทนที่จะเป็นผ้าเช็ดหน้าคุณบังเอิญกลับส่งกระดาษใบหนึ่งให้

“ค่าทำขวัญที่ปู่เล็กทำให้แกตกใจ”

นภธรณ์เหลือบตาลงดูบนกระดาษก่อนจะรีบส่งคืนเพราะมันเป็นเช็คเงินสดจำนวนหนึ่งล้านบาท “ม… ไม่เป็นไรครับปู่ ตอนนี้ผมหายตกใจแล้วครับ”

“งั้นก็ถือเป็นค่าตัวที่มางานปู่” คุณบังเอิญต่อรอง

“วันนี้ถือว่าเป็นของตอบแทนแฟนคลับ VIP ก็ได้ครับ ผมไม่คิดค่าตัวหรอกครับ”

“นอฟ” คุณปู่เน้นเสียง แค่จะให้ตังค่าขนมหลานสักหน่อยทำไมมันถึงได้ยุ่งยากขนาดนี้นะ
นภธรณ์กำเช็คในมือแน่น เขาหันไปหาป๊าที่พยักหน้าให้ครั้งหนึ่งจึงตอบ “ขอบคุณครับ”
คุณปู่ยิ้มแก้มแทบปริก่อนจะถามต่อ “ตกลงล้านนึงของปู่นี่ทำอะไรได้บ้าง”

“ได้ทุกอย่างเลยครับ”

“ค้างคืนก็ได้เหรอ” คุณบังเอิญแกล้งถามเพราะรู้ดีว่าปรเมษฐ์คงไม่ยอมแน่ๆ

“เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างนะครับปู่” นภธรณ์รีบบอก

“แล้วถ้าปู่ให้อีกล้านล่ะ”

“ผมขอคุยกับป๊าแป๊บนึงนะครับ”

“ไม่อนุญาต” เสียงปรเมษฐ์ดังตอบมาทันที

ปู่กับหลานมองหน้ากันพร้อมกับย่นปาก ก่อนที่คุณบังเอิญจะเปลี่ยนเรื่อง “ไปกินเค้กกันเถอะนอฟ ปล่อยไอ้คนเกลียดของหวานไว้ตรงนั้นแหละ นี่! ย่าแกเขาอุตส่าห์ไปจ้างเชฟจากอิตาลีมาทำพิเศษเลยนะ สตรอว์เบอร์รี่นั่นก็นำเข้าจากฟาร์มที่ฮอกไกโด รสชาติหวานเจี๊ยบ เนื้อฟูนุ่มละลายในปาก ปู่รับรองว่ารสชาติดีกว่าไอ้เค้กร้านหน้าคอนโดที่ป๊าแกซื้อให้กินบ่อยๆ แน่ๆ”

“ผมอดใจไม่ไหวแล้วครับ” เด็กหนุ่มตาเป็นประกายและเดินคล้องแขนตามคุณปู่ออกจากห้องประชุมกลับเข้าไปในงานเลี้ยง

“มีแซลมอนด้วยนะ แต่ปู่แก่แล้วจำไม่ค่อยได้ว่าแกชอบอะไรเลยให้สุรชัยไปจัดการเหมาหมดทุกสายพันธุ์ทั้งนอร์เวย์ แทสมาเนีย คิงแซลมอน… แล้วก็มีพันธุ์อะไรอีกก็ไม่รู้เยอะแยะให้เชฟเขาเองบอกละกันนะ”
ปรเมษฐ์ที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ยกมือขึ้นกอดอกพลางส่ายหน้าน้อยๆ ถ้าลืมผล DNA นั่นไปซะแล้วดูจากนิสัย ทางนี้ต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องสงสัยเสียเองว่าโดนเก็บมาจากข้างถังขยะ

“สบายใจสักทีสินะ” ปรกฤษฎ์เข้ามาถาม “ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ ว่าคนอย่างแกจะยอมรับเด็กที่ไม่ใช่ลูกตัวเองมาเลี้ยง”

“ผมก็ไม่คิดเหมือนกันครับว่าจะทำไปได้” ปรเมษฐ์บอก “แต่เพราะผมทนไม่ได้ครับ ที่จะเห็นเด็กคนหนึ่งจะไม่เหลือใคร สารภาพตามตรงตอนนั้นผมคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าการเป็นพ่อคนมันเป็นยังไง ผมแค่คิดว่าไม่อยากทอดทิ้งเขาไปก็เท่านั้นเอง”

“ถ้าสารภาพกับพ่อตรงๆ แกก็จะเลี้ยงดูเด็กคนนั้นได้อย่างไม่เป็นปัญหาแต่ถ้าทำแบบนั้นเด็กคนนั้นก็จะรู้อีกเหมือนกันว่าตัวเองเป็นกำพร้า” ปรกฤษฎ์วิเคราะห์ไปตามนิสัยของน้องชาย

ปรเมษฐ์พยักหน้ายอมรับ “ใช่ครับ”

คนเป็นพี่เหลือบตามองพ่อก่อนจะตวัดกลับมาหาน้องชาย เขานิ่งคิดอยู่อึดใจก่อนจะเอ่ยออกไป “รู้อะไรไหมโป้ ลองไปขอโทษพ่อดีๆ  สิ พี่ว่าพ่อพร้อมจะอภัยให้แกนะ”

“ทำไมพี่ป๋องคิดแบบนั้นละครับ”

“ดูจากที่พ่อทำกับเด็กคนนั้น” ปรกฤษฎ์กล่าวพลางพยักเพยิดไปทางคนต่างวัยสองคนที่กำลังคุยกันกระหนุงกระหนิง “สิ่งที่พ่อทำมันก็เหมือนกับสิ่งที่แกทำน่ะแหละ มันเป็นรักที่บริสุทธ์... เอาน่าโป้ ยอมโดนด่าอีกสักหนบ้านเราจะได้สงบสุขสักที”

“แล้วถ้ายอมให้ด่าแล้วพ่อไม่ยกโทษให้ พี่ป๋องจะให้ผมมาด่าพี่ป๋องต่อไหมล่ะ”

“ยอกย้อนนะไอ้นี่” ปรกฤษฎ์ว่า “มาพนันกันไหมล่ะ ฉันยอมให้แกเตะเลยก็ได้เอ้า! แต่ถ้าฉันคิดถูกแกต้องยอมให้ฉันเตะคืนนะ”

“ผมไม่เล่นพนันหรอกมันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของลูก” ปรเมษฐ์บอกเสียงเรียบ

“ไม่ลองสักหน่อยเหรอ ฉันมั่นใจมากเลยนะว่าจะชนะ”

“พี่ป๋องไปเอาความมั่นใจนั้นมาจากไหน”

ปรกฤษฎ์หยักยิ้มอย่างเป็นต่อพร้อมกับสะบัดหน้าไปตามทาง “ถ้าอยากรู้ก็ตามมาสิ”

ด้วยความอยากรู้ปรเมษฐ์จึงยอมตามไปแต่โดยดี ทั้งสองมาหยุดยืนที่หน้าห้องหนึ่งปรเมษฐ์เหลือบตามองพี่ชายที่ยืนสองมือล้วงกระเป๋าอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะกระแอมในลำคอแล้วยกมือขึ้นเคาะขออนุญาตก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นห้องนอนของใครคนหนึ่ง ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ในความธรรมดานั้นมันกลับมีอะไรที่พิเศษแอบซ่อนอยู่

ชั้นหนังสือไม้แบบบิวต์อินขนาดใหญ่ที่อยู่ชิดผนังด้านหนึ่งบรรจุหนังสือการ์ตูนไว้เกินครึ่ง ตรงเหนือหัวเตียงติดโปสเตอร์ของศิลปินวงหนึ่งที่มีสมาชิกหกคนตัวอักษรภาษาอังกฤษบอกให้รู้ว่าวงนี้ชื่อวง NUVO บนโต๊ะหนังสือมีสมุดช็อตโน้ตเล่มหนึ่งวางอยู่และข้างกันนั้นคือซาวน์อะเบาท์หรือเครื่องบันทึกเทปสีเงินของโซนี่ที่ตอนนี้ไม่มีวางขายตามท้องตลาดแล้ว

ดูราวกับว่าช่วงเวลาในห้องนี้ถูกหยุดไว้ ณ ช่วงเวลาหนึ่งเมื่อในอดีต

ปรเมษฐ์เดินไปที่โต๊ะ เขาใช้ปลายนิ้วลากแตะไปตามอุปกรณ์เครื่องเขียน นอกจากจะยังสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด เหมือนมีคนดูแลอยู่อย่างสม่ำเสมอแล้วทุกสิ่งทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิม ราวกับกำลังรอคอยให้เจ้าของของพวกมันกลับมา เขาลองกดเดินเครื่องซาวน์อะเบาท์ เทปคาสเซ็ทม้วนที่ใส่อยู่กระตุกนิดหนึ่งอย่างเกียจคร้านเพราะไม่ได้ใช้งานมานานก่อนจะหมุนเดินหน้าและส่งเสียงที่มันเคยจดจำไว้ออกมา และเขาจำได้ทันทีว่ามันเป็นบันทึกการเรียนการสอนบนหอผู้ป่วยที่มีการเชิญเคสที่น่าสนใจมาเป็นกรณีศึกษาด้วย ริมฝีปากกระตุกขึ้นน้อยๆ กับความทรงจำในวันนั้นก่อนที่เขาจะกดปิดและวางมันลงที่เดิม

“สิบเจ็ดปีผ่านไปทุกอย่างในบ้านนี้เปลี่ยนไปยกเว้นเพียงอย่างเดียว” ปรกฤษฎ์เอ่ยขึ้น
ปรเมษฐ์ละสายตาจากที่ทับกระดาษซึ่งเป็นลูกแก้วกลมบรรจุน้ำไว้ข้างใน เขาเพิ่งเขย่ามันเบาๆ ทำให้กากเพชรในน้ำนั้นฟุ้งขึ้นกระทบแสงไฟวิบวับก่อนจะค่อยโปรยปรายลงมาหาครอบครัวหมีสี่ตัวที่กำลังอ่านหนังสือกันอยู่แล้วหันมาสบตา “คือห้องนี้ใช่ไหมครับ”

“ไม่ใช่ห้องนี้โป้” คนเป็นพี่พูดเสียงนุ่ม “ที่ฉันพยายามจะบอกน่ะ คือความรู้สึกของพ่อและพวกเราทุกคนต่างหาก มันยังมีที่ให้แกกลับมาเสมอนะ ขอแค่แกเลือกจะกลับมา”

ปรเมษฐ์หันกลับไปมองครอบครัวหมีในลูกแก้วอีกครั้ง กากเพชรชิ้นสุดท้ายค่อยลอยลงจนสงบนิ่งเหมือนกับหัวใจของเขา น้องชายตวัดสายตากลับไปหาพี่ชายอีกครั้งแล้วรอยยิ้มๆ ก็ค่อยปรากฏขึ้นตรงมุมปากของทั้งคู่
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเอ่ยอะไรออกมา ใครคนหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาหา

“แอบย่องออกจากงานวันเกิดฉันหนีมาทำอะไรที่นี่ฮึ เจ้าป๋อง” คุณบังเอิญถามลูกชายคนโต หน้าตาของเขาดูบึ้งตึงอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

“เห็นพ่อพูดเรื่องจะค้างไม่ค้าง ผมก็เลยพาเจ้าโป้มาดูห้องน่ะครับเผื่อจะเปลี่ยนใจ”

“นี่ห้องป๊าเหรอครับคุณปู่” เด็กหนุ่มเยี่ยมหน้าออกมาจากด้านหลังคุณบังเอิญพร้อมกับสอดส่ายตาไปรอบๆ ห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนจะเดินมาหยุดยืนข้างเขาตรงโต๊ะหนังสือ ดูท่าทางเด็กหนุ่มจะสนใจอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคที่ไม่คุ้นตามากทีเดียว “นี่อะไรน่ะป๊า”

ปรเมษฐ์หันไปยิ้มให้ลูกชาย เขาดึงซาวน์อะเบาท์ออกจากมือจอมซนแล้วจับมือนั้นไว้แทนก่อนจะหันกลับไปสบตาพ่อของตน “ขอโทษครับ”

“เรื่องอะไร” คุณบังเอิญถามเสียงห้วน

“นอฟ...” ปรเมษฐ์ยังไม่ทันจะพูดจบก็โดนแทรกขึ้นเสียก่อน

“ฉันจะโกรธเรื่องที่แกมีหลานที่แสนน่ารักแบบนี้ให้ฉันไปทำไม” คุณบังเอิญว่า “ฟังนะโป้ ที่ฉันโกรธแก ไม่ใช่เพราะแกไปทำใครท้อง ไม่ใช่เพราะแกมีลูกทั้งที่ยังไม่พร้อม ไม่ใช่เพราะแกดึงดันจะเลี้ยงเด็กคนนั้นเองทั้งที่ตัวเองยังต้องแบมือขอเงินฉันใช้... ที่ฉันโกรธคือทำไมแกถึงเลือกที่จะโกหกและหันหลังให้ฉัน ในเมื่อฉันคือพ่อแก คือคนแรกที่แกควรจะเข้ามาหาและขอความช่วยเหลือแท้ๆ”

“ผมกลัวพ่อรับไม่ได้” ปรเมษฐ์หมายถึงเรื่องที่โกหกว่านภธรณ์เป็นลูกตัวเอง

“รับไม่ได้กับไม่รักน่ะมันคนละเรื่องกันนะ” คุณบังเอิญพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่าเห็นได้ชัด ปากว่าโกรธมากแค่ไหนแต่สุดท้ายใจก็กลับอ่อนให้ง่ายๆ กับคำขอโทษแค่คำเดียว

“ขอโทษครับ” ปรเมษฐ์กล่าวซ้ำ

“เข้าใจหรือยัง”

“เข้าใจก็วันนี้แหละครับ”

นภธรณ์เอียงคอมองป๊าสลับกับปู่ ไม่ค่อยเข้าใจในบทสนทนามากนักแต่สัมผัสของฝ่ามือที่กุมมือเขาไว้แน่นกับยิ้มเล็กๆ ที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งสองเขาก็รู้ว่าทุกอย่างกำลังคลี่คลายไปในทางที่ดี


***********

“ตกลงวันนี้ไม่ค้างจริงๆ เหรอ” คุณบังเอิญเดินออกมาส่งลูกชายคนเล็กกับหลานที่หน้าประตูบ้านซึ่งคนขับรถได้นำบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 7 ของปรเมษฐ์ออกมาจอดติดเครื่องรอแล้ว

“ขอกลับบ้านดีกว่าครับ มีเรื่องต้องเคลียร์กับนอฟนิดหน่อย” ปรเมษฐ์พูดยิ้มๆ พร้อมกับหันไปโอบไหล่ลูกชายไว้ในวงแขนข้างหนึ่ง
คิ้วสีดอกเลาย่นเข้าหากันอึดใจก่อนจะคลายออก เพราะถึงจะตกลงรับเป็นปู่หลานกันเรียบร้อย แต่เด็กหนุ่มยังไม่ได้คุยกับพ่อตัวเองให้เป็นเรื่องเป็นราวเลยนี่นา เมื่อเข้าใจดังนั้นคุณบังเอิญจึงไม่เซ้าซี้อะไรอีก “ขับรถดีๆ นะ”

“แต่ผมสัญญาว่าจะมาหาบ่อยขึ้น แล้วพ่อเองก็เลิกแอบไปหานอฟแบบหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยนะครับ ขอแค่โทรบอกผมก่อนก็พอ แล้วจะพากันไปกินข้าวคุยกันที่ไหนก็ตามใจ จู่ๆ ลูกชายหายไปบางทีผมก็ตกใจนะครับ เกือบจะแจ้งตำรวจแล้วด้วย”

“ก็ได้” คุณบังเอิญรับปาก รู้สึกเสียหน้าเล็กๆ ที่ถูกจับได้ทั้งที่มั่นใจว่าแนบเนียนแท้ๆ และค่อนข้างมั่นใจว่าที่แผนรั่วต้องเป็นเพราะเจ้าลูกชายคนโตคอยแอบส่งข่าวบอกน้องชายแน่ๆ

“แฟนมีตหรือคอนเสิร์ตครั้งหน้า ถ้าหาบัตรไม่ได้บอกผมก็ได้นะครับผมจะจัดการให้”

“ไม่ต้องหรอก ของแบบนั้นฉันมีปัญญาหาเองแค่ไม่อยากเล่นเส้น แล้วฉันก็อยากช่วยอุดหนุนหลานมันเฉยๆ” คุณบังเอิญบอกอย่างไว้เชิง

“แต่บัตรของผมนี่เป็น VIP All Area นะครับ” ปรเมษฐ์ว่า

“แล้วยังไง”

“ก็หมายความว่านอกจากสิทธิพิเศษทั่วไปแล้วยังได้ดูรอบซ้อม ได้เข้าหลังเวทีแถมยังได้ไปงานเลี้ยงหลังคอนเสิร์ตเลิกอีกน่ะสิครับ”

ผู้สูงวัยมองลูกชายทางหางตาด้วยความหมั่นไส้ “ถ้าวันไหนแกงานยุ่งไปไม่ได้ก็ส่งมาละกัน ฉันจะช่วยไปแทนให้”

ปรเมษฐ์ยิ้มพราย “ผมกลับแล้วนะครับ ขอบคุณสำหรับวันนี้”
แล้วรถบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 7 ก็ค่อยเคลื่อนตัวออกไป คุณบังเอิญที่ยืนรอส่งจนรถเก๋งสีดำพ้นประตูรั้วก็เอ่ยเบาๆ ขึ้นกับคนสนิท
“อธิบายมาหน่อยได้ไหมสุรชัยว่าทำไมแกถึงทำพลาดเรื่องที่ฉันให้ไปสืบประวัติผู้หญิงคนนั้น”

หัวหน้าพ่อบ้านค้อมศีรษะ “ขอประธานอภัยครับคุณท่าน แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองทำงานอะไรผิดพลาด”
ใบหน้าถมึงทึงยามไร้รอยยิ้มแต่งแต้มกระตุกเบาๆ “แค่รายงานไม่หมดสินะ”

พ่อบ้านใหญ่นิ่งไป ภาพตอนที่เขาเดินถือรายงานเข้าไปหาเจ้านายเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนวนกลับเข้ามาในความคิด

“คุณท่านครับ!”

ทารกที่หลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของประมุขตระกูลไพศาลวานิชขยับตัวและส่งเสียงร้องเบาๆ คล้ายกับตกใจที่มีคนปลุก

“อย่างเสียงดังสิสุรชัยหลานฉันตกใจตื่นแล้วเนี่ย” คุณบังเอิญเอ็ดเบาๆ 

“ขอโทษครับที่ผมทำให้เด็กคนนี้ตื่น” สุรชัยรีบก้มศีรษะลงจนตั้งฉาก

“นอฟ”

“ครับคุณท่าน”

“หลานฉันชื่อนอฟ ไม่ใช่เด็กคนนี้” คุณบังเอิญบอกเรียบๆ “แล้วนี่แกมีอะไรจะคุยกับฉันถึงได้รีบร้อนมา”

ผู้ที่ติดตามรับใช้มานานนับสิบๆ ปี จ้องมองทารกไร้เดียงสาในอ้อมแขนก่อนจะตวัดสายตาขึ้นมองเจ้านายตนที่แทบไม่เหลือเค้าของจอมเผด็จการยามอยู่ต่อหน้าลูกน้อง ตอนนี้คุณบังเอิญไม่ใช่ประธานบริษัทแต่เป็นคุณปู่ธรรมดาๆ คนหนึ่งที่เห่อหลานชายมากๆ เท่านั้น

สุรชัยกำเอกสารในมือแน่น สมองคิดไตร่ตรองรวดเร็วก่อนจะตัดสินใจเก็บมันให้พ้นไปจากสายตาตลอดกาล “ไม่มีอะไรครับคุณท่าน ผมแค่จะมาบอกว่าอีกสิบห้านาทีคุณโป้จะเลิกเรียน คุณท่านต้องการจะอยู่คุยกับคุณโป้ก่อนหรือจะกลับเลยครับ”


หัวหน้าพ่อบ้านค้อมศีรษะลงจนตั้งฉากอีกครั้ง “ผมแค่อยากเห็นรอยยิ้มของคุณท่านครับ”

คุณบังเอิญไม่ว่าอะไรเพียงแต่กลับหลังหันเดินเข้าบ้าน แสงสีนวลจากดวงจันทร์บนฟ้าส่องมากระทบเครื่องหน้าแลเห็นเส้นลากของรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนริมฝีปาก วันนี้เป็นวันเกิดที่ดีที่สุดในรอบสิบเจ็ดปีเลยทีเดียว


**************************************TBC***********************************

ขอโทษที่หายไปนานนะค้าาา~
อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้ว มาม่าหมดถ้วยแล้ว ที่เหลือจะเป็นของหวานอย่างเดียวแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 29-12-2017 22:43:28
อยากจะกรีดร้องให้ดังไป  3 โลก  :m3: :m3: :m3:  ดีใจที่เขาไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ดีใจที่ป๊ารู้มาตลอด ดีใจที่นอฟกล้าที่จะบอกความรู้สึกที่แท้จริงออกมา / นาทีนี้ ไม่สนแล้วว่าใครจะเป็นพ่อนอฟ บอกได้แค่ว่า ... ฟินมากกกกก :o8:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 30-12-2017 07:42:10
นอฟสารภาพรักกับป๊าแล้ว ^^
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 30-12-2017 08:31:41
ทุกอย่างกำลังดีเลย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-12-2017 09:21:44
ปู่น่ารักมาก

รอกินของหวาน อิอิ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 30-12-2017 09:23:54
ฮือออ น้ำตาไหลเป็นระลอก ๆ จะแฮปปี้แล้วววว  :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 30-12-2017 21:54:36
คุณปู่กับหมอโป้เข้าใจกันแล้ว เหลือแต่นอฟกับหมอโป้นี่แหล่ะว่าจะกลับไปเคลียร์กันยังไง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-12-2017 10:04:34
เป็นกำลังใจให้น้องนอฟเอาชนะใจคูมป๊าาา
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 01-01-2018 22:17:43
ตอนนี้เรื่องราวเดินว่องไวมาก เดินเรื่องแบบติดเครื่องเต็มสูบ ความลับ DNA. มรดก คลี่คลาย พ่อ(ปู่)ลูกโป้ คืนดีกันเเล้ว เจ้านอฟก็สารภาพความในใจ ตบเข่าฉาด นอฟลูกกกก หนูทำได้ ตอนนี้ป๊ากำลังช็อค นอฟใจเย็นๆนะลูก ป๊าเค้าแก่แล้ว หัวใจไม่ค่อยดี 5555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Rungsai ที่ 02-01-2018 01:38:12
งื้อ เราไปอยู่ไหนมาทำไมเราเพิ่งได้อ่านเรื่องนี้
มันดีมากอะ ดีมากจริง ๆ บอกว่าใกล้จบแล้ว
ยังไม่อยากให้จบเลย งื้ออออออ

 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-01-2018 09:48:14
เพราะรักคำเดียวเลย ดีจัง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 17-01-2018 01:44:13
อ่านตั้งแต่ตั้นจนถึงตอนนี้เพิ่งรู้ว่าบาปมันหอมหวานขนาดไหน อ่านกลางๆตอนนี่ในใจมีแต่คำว่า บาปๆๆๆๆๆ เต็มไปหมด แต่เป็นบาปที่ดีต่อใจเหลือเกิน และดีใจที่ทุกอย่างกำลังแฮปปี้ เย่ๆๆๆ ชอบนิยายของคุณมากเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องนี้กับเท็กส์บุ๊ค  o13 รอเสพของหวานหลังจากนี้ดีกว่า ฮุฮุ :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 17-01-2018 22:30:07
คุณปู่น่ารักมากค่ะ เลิฟๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 24-01-2018 20:41:52
 คิดถึงน้องนอฟกับพ่อโป้จังเล้ยยยยย
ปล.แอบรอเธออยู่นะจ้ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย อิอิ//ขำๆสเก็ดด้าวววววว
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 02-02-2018 08:45:57
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-02-2018 23:21:39
Chapter 16

“ป๊ามีอะไรจะคุยกับผม” นภธรณ์เปิดประเด็นหลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกมาจากบ้านคุณปู่ได้สักพัก ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบ แต่ก็ตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้รู้ความรู้สึกของคนเป็นพ่อ

คำว่าบาปที่ต่อสู้อยู่ภายในหัวใจมาตลอดตอนนี้เขาข้ามผ่านมาได้แล้ว ปรเมษฐ์ไม่ใช่พ่อของเขา อย่างน้อยก็คนละสายเลือด คำว่า ‘รัก’ ที่สารภาพออกไปนั่นคือการเสี่ยงที่ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว ไม่ได้คาดหวังจะได้รับรักตอบ ขอแค่อีกฝ่ายรับรู้และหันมามองเขาใหม่ มองเขาในฐานะของผู้ชายคนหนึ่งไม่ใช่ลูกชายอีกต่อไป
   
“อะไรที่ว่าคืออะไร” ปรเมษฐ์ถามกลับ สายตายังคงจับจ้องอยู่บนถนนที่รถราเริ่มบางตาในเวลาใกล้เที่ยงคืน
   
“ก็ที่ป๊าบอกกับปู่เมื้อกี้นี้ไงครับ” นภธรณ์ทวนความทรงจำ “ที่ว่าเราต้องเคลียร์กัน”
   
“ใช่” ปรเมษฐ์รับคำ
   
เด็กหนุ่มหันไปทั้งตัวเพื่อตั้งใจฟัง แต่คำตอบที่เขาได้รับนั้นทำให้เจ็บที่หัวใจยิ่งกว่าถูกปฏิเสธเสียอีก

“พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า ฉันไม่อยากให้แกนอนดึก” คนเป็นพ่อพูดเรียบๆ เหมือนอย่างที่พูดทุกๆ วัน

“ไม่ใช่เรื่องนั้นสิครับ”

“ใช่สิ” ปรเมษฐ์ย้ำ
   
“แล้วที่ผมบอกป๊าไปล่ะ” นภธรณ์ถาม “ที่ผมบอกรักป๊าไป ป๊าเข้าใจหรือเปล่า”
   
“เข้าใจ”
   
“แล้วป๊าจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้น่ะเหรอ” เสียงของนภธรณ์เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้
   
“แล้วแกต้องการอะไร”
   
“คำตอบ”
   
“ฉันให้แกไปแล้วไง”
   
“อะไรครับ”

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม” ปรเมษฐ์พูดชัดถ้อยชัดคำ
   
นภธรณ์กำมือแน่น จ้องมองคนตรงหน้าที่ไม่ว่ายังไงสีหน้าและน้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด “ตอนนั้น ผมก็บอกป๊าไปแล้วใช่ไหมครับ... ว่ามันจะไม่มีวันเหมือนเดิม” รถจอดติดไฟแดงพอดี เขาจึงเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วกระแทกประตูปิด
   
ปรเมษฐ์ตกใจไม่น้อย เขาลดกระจกรถลงและชะโงกข้ามเบาะไปตะโกนถาม “นั่นแกจะทำอะไร!”
   
“ผมบอกรักป๊าไปแล้ว” นภธรณ์พูดเสียงดัง “ป๊าจะปฏิเสธผมก็ได้ จะเกลียดผมไปเลยก็ได้ แต่ป๊าจะทำเหมือนว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ไม่ได้”
   
“นอฟขึ้นรถ!”
   
“ไม่!” เด็กหนุ่มยืนกรานเสียงแข็ง
   
“นอฟ! ฉันบอกให้ขึ้นรถไง”
   
“ไม่!”
   
ถึงตรงนี้ปรเมษฐ์เองก็เริ่มจะหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน “แกจะมาทำตัวเป็นเด็กที่พออะไรไม่ได้อย่างใจแล้วจะงอแงแล้วหันหลังหนีไปแบบนี้ไม่ได้นะ”
   
“ตั้งแต่จำความได้ ผมจำได้ว่าไม่เคยหนีไปจากป๊าเลยสักครั้ง ทะเลาะกันให้ตายยังไงผมก็นั่งรอให้ป๊ามาหาเสมอ เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะผมรักป๊า สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือการที่ไม่ได้อยู่กับป๊านี่แหละ”
   
“ทำไมจะไม่เคยหนี แล้วเรื่องเมื่อเดือนก่อนนั่นล่ะที่แกหนีไปหาพี่ยะอะไรนั่น”
   
“ผมไม่ได้หนี” นภธณณ์บอก “วันนั้นผมตั้งใจไปจริงๆ... ในเมื่อข้างๆ ป๊ามันไม่มีที่ให้ผม ผมจะอยู่ไปทำไม... แต่วันนี้ไม่เหมือนวันนั้น ผมยังรักป๊า อยากอยู่กับป๊า แต่ผมอยู่ต่อไปแบบนี้ไม่ได้ เพราะผมอึดอัดและผมอยากให้ป๊าเข้าใจ… ผมกลับบ้านไปทั้งที่มันคาราคาซังแบบนี้ไม่ได้”
   
“ถ้าแกเลือกจะเป็นฝ่ายไปเอง ฉันไม่ตามนะ” ปรเมษฐ์กล่าวเสียงเรียบ “ฉันถือว่าฉันเตือนแล้วนะ”
   
ราวกับคำตัดสินโทษประหารประกาศขึ้นตรงหน้า แต่ให้เป็นแบบนั้นบางทีก็คงดีกว่า เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นตัดสินใจเด็ดขาด “ครับ”
   
ทันทีที่คำตอบหลุดออกจากปากเด็กหนุ่ม ปรเมษฐ์ก็กดกระจกปิดและเหยียบคันเร่งออกไปทันที
   
เด็กหนุ่มมองตามไฟท้ายรถที่ห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับสายตา “คนใจร้าย”

เขากวาดตามองสายขวาไปบนถนนที่ร้างผู้คน ลมพัดแผ่วมาไม่ได้แรงอะไรมาก แต่กลับรู้สึกหนาวบาดผิวเนื้อลึกไปจนถึงในอก ในระหว่างที่สองขาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศสมองก็ย้ำคิดแต่เรื่องที่ตัดสินใจลงไป ไม่ได้รู้สึกผิด… แค่เสียใจ ว่าถ้านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันเขาก็อยากมีโอกาสกอดลาป๊าสักครั้ง

เด็กหนุ่มเริ่มออกเดินย่ำไปตามทางที่มีเพียงแสงจากหลอดไฟส่องทางเหนือหัว บรรยากาศช่างวังเวงเงียบเชียบ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ ไม่ได้อยากรู้เวลา ไม่ได้อยากโทรหาใคร แต่อยากรู้ว่าจะมีใครสักคนโทรมาหาเขาไหม

การแจ้งเตือนของไลน์ที่เด้งขึ้นมาทำให้หัวใจพองโตขึ้นเล็กน้อย นภธรณ์สูดจมูกฟึดฟัดพยายามปั้นหน้านิ่งเหมือนไม่ดีใจทั้งที่ไม่จำเป็นพลางกดเข้าไปดูเนื้อหาข้อความที่ถูกส่งมา แต่แล้วหัวใจก็ฟีบลงอย่างรวดเร็วเหมือนลูกโป่งโดนเข็มเจาะเมื่อพบว่ามันเป็นแค่ข้อความโฆษณาเท่านั้น

น้ำรื้นขึ้นเต็มขอบตาอย่างควบคุมไม่ได้ มือกำโทรศัพท์แน่นอยากปาทิ้งใจจะขาด แต่ก็คิดได้ทันว่านี่จะเป็นช่องทางสุดท้ายในการติดต่อกับปรเมษฐ์ก็กลั้นใจยัดใส่กระเป๋า

“ป๊าบ้า! ป๊างี่เง่า นี่ไม่คิดจะห่วง จะตามมาง้อกันเลยใช่ไหม!” เด็กหนุ่มตะโกนออกไปเสียงดัง ทันใดนั้นแสงไฟหน้ารถคันหนึ่งพุ่งมาเข้าตาพร้อมกับเสียงแตรรถบีบยาวดังสนั่น นภธรณ์กระโดดโหยงหลบอยู่บนทางเท้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองปลอดภัย เขาหันไปตามเสียง หัวใจเต้นโลดขึ้นอีกครั้งนึกว่าปรเมษฐ์วนรถกลับมา ทว่าที่จอดลงเคียงข้างนั้นกลับกลายเป็นรถสปอร์ตสีเงินที่ไม่คุ้นตา

กระจกรถหรูถูกลดลงรวดเร็วพร้อมกับที่คนขับชะโงกหน้าออกมาตะโกนถามแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดดังกระหึ่มในรถ “เฮ้! เจ้าหนู เกิดอะไรขึ้น ทำไมมาเดินคนเดียวอะไรที่นี่ ไหนว่าวันนี้ไปงานวันเกิดปู่ไง”

แทนที่จะตอบคำถามโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ เด็กหนุ่มกลับถามออกไป “พี่ยะกำลังจะไปไหนเหรอครับ”
   
“กินเหล้า ฟังเพลงแล้วก็หาคนนอนด้วย” ดุริยะตอบ
   
“ขอผมไปด้วยได้ไหมครับ”
   
โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่สบตาที่บวมช้ำกับใบหน้าที่ไม่มีน้ำตาให้เห็นสักหยดอยู่อึดใจ แล้วกดเปิดประตู “ขึ้นมาสิ”

เมื่อมาถึงจุดหมายซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งผับ ดุริยะก็เดินนำไปโต๊ะซึ่งถูกจัดเอาไว้ให้ติดกับเวทีซึ่งเป็นยกพื้นเตี้ยๆ เขาสั่งอาหารและเครื่องดื่มตามความเคยชินครั้นเมื่อบริกรรับออเดอร์เสร็จสิ้นจึงหันไปเอ่ยถามกับเด็กหนุ่มที่นั่งเงียบในรถมาตลอดทาง “ทะเลาะกับพ่อมาละสิ”

นภธรณ์พยักหน้ารับ

“คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ ท่าทางจะเรื่องใหญ่เสียด้วย ถึงได้มาเดินกลางค่ำกลางคืนเปลี่ยวๆ คนเดียวแบบนี้”

“ก็นิดหน่อยครับ”

“ตกลงทะเลาะกันเรื่องอะไร” ดุริยะพยายามปะเหลาะถาม

เด็กหนุ่มไม่ตอบ

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ถอนหายใจแรง “ในฐานะที่ตอนนี้เป็นคนที่โดนลากมาเอี่ยว ฉันไม่ยอมเป็นคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรหรอกนะ อย่างน้อยก็เล่ามาสักครึ่งหนึ่ง ฉันจะได้ทำตัวถูกว่าควรจะจับเธอใส่รถไปโยนคืนให้พ่อเธอหรือยอมตามน้ำช่วยเธอดี”

บริกรนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดี ดุริยะรับมาและเลื่อนไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม

“ผมกินเหล้าไม่ได้” นภธรณ์บอก

“ทำไม? แพ้แอลกอฮอล์?”

“ผมยังอายุไม่ถึงสิบแปด”

ดุริยะหลุดขำออกมาจนแทบสำลักน้ำ “เธอกำลังพูดกับคนที่กินเหล้าตั้งแต่อายุสิบสอง และได้ผู้หญิงครั้งแรกตอนอายุสิบห้านะ... เธอเลือกจะมากับฉันเองนะเจ้าหนู และฉันก็ไม่โอเคกับการที่คนที่มาด้วยกันนั่งกินน้ำอัดลมหรือนมชมพู”

นภธรณ์จ้องมองเครื่องดื่มในแก้วทรงสูงตรงหน้าด้วยท่าทางลังเล เขาเป็นเด็กดี เชื่อฟังป๊ามาโดยตลอด กลับถึงบ้านก่อนสี่ทุ่ม ไม่เคยเข้าใกล้เครื่องดื่มมึนเมาหรือสถานที่อโคจรใดๆ แต่นี่ตีหนึ่งแล้วเขายังไม่ถึงบ้านแถมยังมาเที่ยวผับกับพี่ยะ กลับบ้านไปเมื่อไหร่ป๊าต้องดุแน่ๆ

“เอางี้ เธอไม่ต้องเล่าอะไรให้ฉันฟังก็ได้ แต่เลือกมาว่าจะกินด้วยกันหรือกลับบ้าน” ดุริยะยื่นข้อเสนอ

แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการเป็นเด็กดีอีกต่อไปล่ะ ในเมื่อเขาไม่มีบ้านให้กลับ... ไม่ได้เจอป๊าอีกแล้ว

เด็กหนุ่มยกแก้วเหล้าขึ้นซดอักๆ ปลายลิ้นรับรู้รสชาติขมเฝื่อน รสชาติของแอลกอฮอล์ไม่อร่อยเหมือนอย่างที่พวกผู้ใหญ่เคยบอกสักนิด แต่แล้วมันยังไงล่ะ ในเมื่อตอนนี้ความรู้สึกในหัวใจมันขมขื่นกว่า เหล้าอาจไม่ใช่คำตอบแต่เขาก็แอบหวังว่ามันจะช่วยทำให้ลืมคำถามและความเมาอาจจะพาเขาผ่านค่ำคืนนี้ไปก็ได้

พอแอลกอฮอล์ซึมเข้ากระแสเลือดจนได้ที่ ปากที่แข็งมานานก็เริ่มขยับไปโดยอัตโนมัติ “พี่ยะครับ ผมมีเรื่องสงสัย”
   
ดุริยะที่กำลังนั่งเท้าคางฟังเพลงเพลินๆ หันมาหา “ว่าไง”
   
“พี่ยะไม่เคยบอกรักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เหรอ”
   
“คนไหน?”
   
“คนที่พี่ยะเคยเล่าให้ฟัง”
   
ดุริยะเงียบนึกอยู่อึดใจ “ไม่เคย... แล้วก็ไม่คิดจะบอกด้วย”
   
“แบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ยะรักเธอจริงๆ หรือเปล่าครับ หรือว่าพี่ยะกลัวคำตอบ”
   
“ฉันไม่ได้กลัวคำตอบ แต่มันก็ไม่ใช่อะไรที่จะพูดกันได้ง่ายๆ นะ” ดุริยะบอก “ผู้ใหญ่น่ะเขามีเรื่องให้คิดมากกว่านั้น”

“แล้วทำไมผู้ใหญ่ถึงต้องคิดอะไรวุ่นวายจัง แค่พูดออกมาเองว่ารักหรือไม่รัก ทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากด้วยละครับ คนเขาก็อุตส่าห์รวบรวมความกล้าแทบตายกว่าจะพูดไปได้ เสร็จแล้วคิดอะไรอยู่ก็ไม่ยอมพูดออกมา ปล่อยให้คนพูดรอคำตอบอยู่ได้” ปลายเสียงของเด็กหนุ่มเริ่มเบาลงเล็กน้อยเมื่อเริ่มรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป “เอ่อ... อันนี้เรื่องของเพื่อนน่ะครับ... ไม่ใช่เรื่องของผมนะ... จริงๆ นะครับ”
   
หากดุริยะก็ไม่ได้พูดว่าอะไรเพียงแต่ส่งยิ้มอย่างเข้าใจมาให้แล้วหันไปมองนักร้องบนเวทีที่เพิ่งจะร้องเพลงจบและกำลังจะไปพัก จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าหนู เรามาลองทำอะไรสนุกๆ กันดูไหม”

“อะไรครับ” นภธรณ์ร้องถามคนที่ลุกขึ้นก้าวยาวๆ ไปที่หน้าเวที พูดคุยชี้มือชี้ไม้กับกลุ่มนักร้อง
   
“ร้องเพลงไง” ดุริยะหันมาตอบ
   
“พี่ยะจะร้องก็ร้องคนเดียวนะครับ ผมไม่อยากร้อง”
   
“ตามใจ” ดุริยะบอกพร้อมกับเดินไปยืนหน้าเครื่องดนตรีประจำตัว เขากรีดนิ้วไล่เสียงไปตามแป้น เสียงโน้ตดนตรีแต่ละตัวที่ถูกดีดขึ้นปลิวในสายลมทำให้บรรยากาศขุ่นมัวนิดๆ ที่กำลังอวลอยู่เมื่อครู่ลอยหายไปในบัดดล
   
โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ไม่ได้เล่นเพลงในทันที สิ่งที่เขาทำคือกดไล่โน้ตไปเรื่อยๆ ราวกับเด็กหัดเล่นดนตรี และนั่นทำให้แขกในร้านเริ่มหันมามอง
   
นภธรณ์โบกมือให้หยุดพร้อมกับส่งสายตาถามว่าจะทำอะไร เพราะคนในร้านเริ่มจะส่งเสียงคล้ายไม่ค่อยพอใจ “ไม่ร้องก็อย่าเล่นสิครับ”
   
แต่ดุริยะก็ยังไม่ยอมทำอะไร และหลิ่วตาให้แทนคำตอบ
   
จนกระทั่งคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าของร้านชะโงกหน้าออกมาจากหลังบาร์ นภธรณ์ก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ คิดว่าดุริยะคงเมาแน่ๆ จึงรีบลุกขึ้นเพื่อไปดึงตัวลงมาก่อนที่จะถูกไล่ออกจากร้าน
   
แล้วในตอนนั้นเองดุริยะก็กรีดนิ้วไปบนแป้นอีกครั้ง และเอ่ยท่อนแรกของบทเพลงที่ไม่เคยมีใครได้ยินออกมา
   
นภธรณ์นิ่งฟังเพลงที่เหมือนกับเป็นเพลงที่เพิ่งแต่งสดๆ ร้อนๆ แต่เพียงแค่อึดใจเขาก็นึกออก มันเป็นเพลงที่เขาเจอในสมุดโน้ตเล่มเก่าของดุริยะเมื่อเดือนก่อน เพลงที่คนร้องยังไม่มีโอกาสได้ร้อง เพลงที่ดุริยะบอกว่าแต่งให้แม่ของเขา
   
‘My Melody’

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นภธรณ์ได้ยินโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่คนนี้ร้องเพลง แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เขาฟังร้องไกด์ในเดโมเทป ท่วงทำนองที่ขับขานนั้นทั้งหวานและอ่อนโยนจนเขาไม่คิดว่าผู้ชายที่ไม่เคยมีความรักแท้จริงจะถ่ายทอดมันออกมาได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้คือผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นโปรดิวเซอร์มือทองของวงการตั้งแต่อายุสามสิบต้นๆ
   
เจ้าของร้านที่พุ่งมาหยุดยืนฟังเช่นเดียวกับเขาและคนอื่นๆ ในร้าน มีหลายคนที่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับเพลงก็ยกมือโบกไปตามจังหวะและฮึมฮัมคลอไปกับทำนอง บางคนก็จำหน้าได้ว่าดุริยะเป็นใครก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกทั้งภาพและเสียงเพื่อโอ้อวดลงโซเชียล
   
นภธรณ์เหลียวมองการเคลื่อนไหวรอบตัวก่อนจะไปหยุดสายตาลงที่ดุริยะ ไม่ปฏิเสธเลยว่าโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่คนนี้ชอบการเป็นข่าวมากแค่ไหน แต่ครั้งนี้เขารู้สึกได้เลยว่ามันแตกต่าง ดุริยะไม่ได้นึกจะขึ้นไปเล่นเพราะอยากสร้างกระแสความแปลกเรียกยอดไลค์หรือยอดวิว จริงอยู่ว่าอาจจะมีพิษสุราผสมอยู่นิดๆ หากส่วนใหญ่นั้นเป็นเพราะอารมณ์พาไปล้วนๆ อารมณ์ที่คิดถึงใครสักคนเหมือนอย่างที่เพลงเอื้อนเอ่ย
   
“You are my melody เธอคือทำนองของชีวิตฉัน...”
   
เพลงจบลงท่ามกลางเสียงปรบมือดังเกรียวกราว นภธรณ์เองก็เปนหนึ่งในนั้น เขาคิดว่าดุริยะคงจะพอใจและกลับลงมา แต่เปล่าเลยโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่กลับวาดลวดลายบทเพลงต่อไปด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นเรียกเสียงปรบมือให้ดังขึ้นไปอีก
   
นภธรณ์ถลึงตาส่งคำถามไปให้ เพราะทำนองนั่นมันคือเพลงของเขา “พี่ยะจะร้องเองใช่ไหมครับ”
   
ดุริยะไม่ตอบ แต่ดึงไมค์ออกจากขาตั้งและโยนลงมาให้นภธรณ์ ฝ่ายจัดแสงก็เหมือนจะรู้คิวราวกับนัดกันมา แสงสปอร์ตไลท์หมุนกลับมาสาดส่องลงที่ตัวเขาแล้วคนทั้งร้านก็ปรบมือขึ้นอีกครั้งเป็นการต้อนรับ

“แต่ผม...”
   
เด็กหนุ่มเหลียวมองซ้ายขวาหน้าตาเลิ่กลั่ก อยากจะโยนไมค์ทิ้งแล้ววิ่งกลับไปนั่งที่โต๊ะ เขาไม่ได้อยากร้องเพลง ไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์สุนทรีย์หรืออารมณ์ร่วมอะไรใดๆ เลยสักนิด เขามาที่นี่เพราะแค่อยากหนีจากความอึดอัดตอนอยู่กับป๊าเท่านั้น

นภธรณ์พยายามส่งสายตาและโบกมือบอกทั้งดุริยะและคิวไฟว่าเขาไม่ร้องแต่ก็ไม่มีใครสนใจ ดุริยะยังคงเล่นดนตรีต่อไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทีสนุกสนาน จนนภธรณ์นึกอยากจะว่าแรงๆ หากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือเขากลับแหกปากตะโกนเนื้อเพลงท่อนแรกออกไป ด้วยความที่ไม่ทันได้วอร์มเสียงใดๆ มันจึงเพี้ยนมากจนคนดูเริ่มชักไม่แน่ใจว่านี่เป็นนักร้องจริงหรือเปล่า
   
ดุริยะหัวเราะคิกคัก เขาส่งสายตาบอกทำนองว่าอย่าไปสนใจและให้ร้องต่อ

นภธรณ์ทำตาม พยายามขยับแขนขาให้สอดคล้องไปกับทำนอง ทีแรกก็ขัดเขินก่อนที่ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางและเป็นไปโดยอัตโนมัติราวกับตัวโน้ตที่ร้อยเรียงนั้นไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศ หากมันไหลวนอยู่ในกระแสเลือดของเขา

เมื่อเพลงจบลงนอกจากเสียงปรบมือที่ดังกระหึ่มไปทั่ว ยังได้ยินเสียงที่ดังควบคู่กันมาคือเสียงร้องขออังกอร์ แต่ก็ได้เวลาคืนเวทีให้กับนักร้องประจำผับในค่ำคืนนี้แล้ว เจ้าของบาร์เข้ามาจับมือขอบคุณ มีคนมาขอถ่ายรูปคู่มากมาย แต่ดุริยะก็ช่วยปฏิเสธไปอย่างสุภาพและพากันกลับมานั่งที่โต๊ะซึ่งแน่นอนว่าคืนนี้พวกเขาได้กินฟรีแล้ว

“รู้สึกดีขึ้นไหม” ดุริยะถาม

เด็กหนุ่มพยักหน้าที่ตอนนี้แก้มเป็นสีออกแดงระเรื่อ “ครับ”

วงดนตรีเริ่มต้นบรรเลงเพลงอีกครั้ง เป็นเพลงรักหวานซึ้งที่มีเนื้อหาของรักที่สมหวังและอยู่ด้วยกันตลอดไป ทั้งสองหยุดคุยและหันไปฟังต่างคนต่างคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วจู่ๆ ดุริยะก็เอ่ยขึ้น “ความรักน่ะมันไม่ได้มีแค่คำว่าสมหวังหรอกนะถึงจะมีความสุข”

“พี่ยะหมายความว่าไงครับ” นภธรณ์หันไป

“เพลงที่เราร้องด้วยกันเมื่อกี้ไงทั้งสองเพลงต่างก็เป็นความรักที่ยังไม่สมหวัง คนที่เรารักมีเจ้าของไปแล้ว และถ้าเราไม่คิดจะตัดใจก็คงทำได้แค่รักเขาไปเรื่อยๆ แต่แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว” ดุริยะขยายความ “ผู้หญิงคนนั้นคือที่มาของเพลงที่ฉันแต่งให้แม่เธอ”

“แล้วพี่ยะไม่คิดจะบอกรักเธอเหรอครับ… ผมรู้ว่าคงไม่มีหวังแล้วแค่คงจะดีถ้าได้พูดออกไป” นภธรณ์พูด “อย่างน้อยเธอก็จะได้รู้ว่าพี่ยะคิดยังไงกับเธอนะครับ”

ดุริยะไหวไหล่ “ชีวิตคนเราน่ะมันมีอะไรมากกว่าคำว่ารักกับเซ็กส์นะ” เขาบอก “มันยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ถ้าเป็นตอนนั้นก็เป็นเรื่องที่เราสองคนต่างก็อยากแยกย้ายไปตามความฝัน ส่วนตอนนี้ก็สามีและลูกของเธอ… ถ้าฉันพูดคำว่ารักออกไปนี่ฉันจะกลายเป็นคนบาปเลยนะ แล้วฉันจะมองหน้าเธอ หน้าสามีและลูกของเธอต่อไปโดยไม่ตะขิดตะขวงใจได้ยังไง”

“พี่ยะไม่เสียใจเหรอที่ไม่ได้พูด”

“เสียใจสิ” ดุริยะตอบ “แต่พอมาคิดดู ต่อให้สามารถย้อนเวลากลับไปวันที่เราแยกกันได้ กี่ครั้งฉันก็ยังเลือกที่จะทำแบบเดิมอยู่ดี ฉันเคยบอกเธอแล้วนี่ ว่าฉันดีใจ ภูมิใจกับการได้มายืนตรงนี้… ที่ฉันอยากจะบอกคือไม่ว่าจะเลือกอะไรเราต้องยอมรับกับการตัดสินใจของตัวเองให้ได้ เลือกจะจับมืออย่างหนึ่งก็ต้องปล่อยมือจากอีกอย่าง และแม้ว่าจะถึงวันที่พร้อมแล้วที่จะกลับไปคว้าสิ่งที่เคยปล่อยไป ก็ต้องทำใจว่าวันนั้นมันอาจไม่เหมือนเดิม เหมือนอย่างฉัน ที่เธอคนนั้นมีลูกไปแล้ว ปากดีแค่ไหน สุดท้ายตอนนี้ฉันก็เป็นคนนอกที่ทำได้แค่ยืนมองอยู่ไกลๆ แค่นั้น... แต่สำหรับฉัน แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว และฉันพอใจกับตำแหน่งตรงนี้ ตรงที่ฉันยังรักษารอยยิ้มของเธอที่ส่งมาให้ฉันไว้ได้”

“มันจะเป็นยิ้มที่ทำให้เราทั้งสุขและเจ็บไปพร้อมๆ น่ะสิครับ” นภธรณ์พูดเสียงเบาคล้ายกับรำพึงกับตัวเองมากกว่า

“แล้วเธอล่ะเจ้าหนู” ดุริยะพูดต่อ “ทะเลาะกับพ่อแล้วเลือกที่จะหนีมาแบบนี้ แน่ใจแล้วใช่ไหมกับชีวิตที่ไม่มีเขา ถ้าเลือกที่จะกลับ กลับไปอยู่แบบเดิมได้ไหม... คิดให้ดี ฉันไม่เร่งเธอหรอก เพราะคนที่ต้องการคำตอบไม่ใช่ฉัน แต่เป็นตัวเธอเอง คิดซะให้พอใจ ให้ได้คำตอบ” พูดจบก็ยกแก้วขึ้นซดต่อ

“ขอบคุณครับ”

ทั้งสองนั่งคุยดื่มกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาร้านปิดจึงเดินกลับไปขึ้นรถ และที่ข้างรถสปอร์ตสีเงินของดุริยะนั้นเองมีรถ BMW ซีรีส์เจ็ดสีดำจอดอยู่ข้างๆ และเจ้าของรถเองก็ยืนกอดอกทำหน้าถมึงทึงอยู่หน้ารถ

“ป๊า” นภธรณ์ขยับปากแทบไม่มีเสียง ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าป๊าจะยืนอยู่ตรงนั้น ปรเมษฐ์ยังคงอยู่ในชุดสูทสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงของปู่ ผมที่จัดแต่งทรงอย่างเนี้ยบหลุดลงปรกหน้าเล็กน้อย

“ขึ้นรถ” น้ำเสียงของปรเมษฐ์คล้ายออกคำสั่ง

“เขาบอกว่าไม่อยากกลับไปกับคุณน่ะ” ดุริยะตอบแทนเด็กหนุ่มที่ยังยืนนิ่ง “คืนนี้เขาจะไปนอนบ้านผม”

“ไม่อยากก็ต้องกลับเพราะผมไม่อนุญาต” ปรเมษฐ์พูดเสียงเข้ม

“บ้านที่กลับไปแล้วไม่สบายใจจะกลับไปทำไม” ดุริยะพูดต่อ

“นอฟ กลับบ้าน” ปรเมษฐ์เรียกอีกครั้งพร้อมกับเดินไปเปิดประตูรถรอ

“ผม…” โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลังเดินอ้อมมายืนด้านหน้าพร้อมกับยกมือไหว้เป็นการร่ำลา

แพ้แล้ว... เขายอมแพ้แล้วจริงๆ กับผู้ชายคนนี้ ปากบอกว่าจะไม่มาตาม แต่กลับมายืนรออยู่ข้างรถตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แถมยังเปิดประตูรถให้ ต่อให้ปากยังแข็งบอกว่าไม่ แต่ใจมันวิ่งขึ้นไปนั่งรอบนรถแล้ว...

“แน่ใจแล้วนะ” ดุริยะหันไปถามย้ำกับเด็กหนุ่ม

นภธรณ์พยักหน้า “สำหรับผมเลือกอย่างไหนก็เจ็บครับ แต่อย่างหลังดูจะเจ็บน้อยกว่า ขอบคุณพี่ยะนะครับที่พามาเที่ยว”

“ทะเลาะกันก็มาหาฉัน ดีกันเมื่อไหร่ฉันก็เป็นหมาหัวเน่าสินะ”

“ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ ผม…”

“เข้าใจๆ” ดุริยะรีบพูดต่อ “แค่แซวเล่นน่ะ กลับไปก็คุยกันดีๆ ล่ะ”

นภธรณ์ยกมือไหว้อีกครั้งแล้วเดินไปขึ้นรถอย่างเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก ปรเมษฐ์ก็ชะโงกตัวเข้ามาคาดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับก่อนจะขับออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 15 P.7 [29/12/60]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 22-02-2018 23:24:33
(ต่อตรงนี้ค่ะ)

ในที่สุดรถก็จอดที่ลานจอดรถของคอนโด ปรเมษฐ์ปลดเข็มเตรียมจะลงแล้วหากแต่ลูกชายยังไม่ยอมขยับ “ไม่ลงเหรอ”

นภธรณ์หันช้าๆ ไปสบตาคนเป็นพ่อก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “ขอ... ผมอยู่แบบนี้อีกสักพักได้ไหมครับ...”

“ทำไม”

“ผมยังทำใจไม่ได้” เด็กหนุ่มพยายามทำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่อาจคุมปลายเสียงไม่ให้สั่นได้ “คือ... พอเราขึ้นห้องไป เราต้องเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม แต่ผมยังไม่พร้อม... ผมขอโทษนะป๊า... ผมก็กำลังพยายามอยู่... พยายามทำใจ ทำให้ทุกอย่างมันเหมือนเดิม จะเป็นลูกชายที่ดีคนเดิมของป๊า... แต่มันคงไม่ใช่ตอนนี้ ขอเวลาผมอีกนิดนะครับ ผมขอโทษ… อุ๊บ!”

คำขอโทษขอโพยที่กำลังพรั่งพรูถูกเก็บคืนลงไปในลำคอโดยบัดดล เมื่อริมฝีปากถูกปิดสนิทด้วยปากของอีกคนที่ประกบลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว และมันไม่ใช่แค่จูบหยอกๆ จริงอยู่ว่ามันเริ่มต้นเหมือนกับการจูบทุกๆ ครั้ง ก่อนที่จะลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปลายลิ้นอุ่นถูกสอดเข้ามา

…หวาน…

นี่คือความรู้สึกเดียวที่สัมผัสได้ ก่อนที่จังหวะจะถูกเร่งเร้าขึ้นจนเขาต้องใช้สองมือเกาะเกี่ยวรอบคอคนเป็นพ่อไว้แน่นเมื่อลมหายใจถูกช่วงชิงไป

ในที่สุดริมฝีของของเขาก็ถูกปล่อยเป็นอิสระหลังจากถูกดูดติดราวกับมีแม่เหล็ก แต่ตอนนี้เหมือนมันไม่ใช่ปากของเขาอีกต่อไปแล้ว เหมือนจะชา แต่ก็อวลไปด้วยรสหวานอุ่นๆ ที่ฟุ้งกระจายอยู่ข้างใน เด็กหนุ่มยังคงหอบหายใจแรงในขณะที่ปรเมษฐ์แทบไม่มีอาการอะไรสักนิด และเสี้ยววินาทีนั้นเองที่จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าคนตรงหน้าเปลี่ยนไป ไม่ใช่ท่าทีภายนอกแต่มันเกิดขึ้นข้างใน เบื้องหลังแววตาคมกริบที่มองจ้องมายังเขาอย่างไม่วางตานั้น

แต่ก็เป็นความรู้สึกที่เขาบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร

“หยุดพูดได้สักที” ปรเมษฐ์พูดด้วยท่าทีปกติ ราวกับว่าจูบนั่นไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้ง…
ทั้งๆ ที่ๆ มันทั้งลึกและซึ้ง

“อยากนั่งให้ยุงกัดอยู่ตรงนี้ก็นั่งไปนะ ฉันง่วง... จะไปอาบน้ำนอนแล้ว พร้อมเมื่อไหร่ก็ตามมานะ” ปรเมษฐ์บอก “เตือนไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ชอบกลิ่นเหล้า ถ้าไม่อาบน้ำ หรืออาบไม่สะอาดก็ไม่ต้องมาขึ้นเตียงฉัน” เขายื่นคำขาดก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป

นภธรณ์นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่คนเดียวในรถที่เงียบเชียบ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เข้าใจอะไรอยู่ดี เสียงกุกกักที่ดังขึ้นนอกรถทำให้เขาสะดุ้งเหลียวมองซ้ายขวาไปในลานจอดรถของคอนโดที่ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสว่างจากไฟเพดานที่ติดไว้ห่างๆ และเปิดอยู่ไม่กี่ดวง

ทันใดนั้นโรคเก่าก็กำเริบ นึกถึงเรื่องเล่าเก่าๆ ที่เกี่ยวกับความมืดและเงาตะคุ่ม เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วรีบเปิดประตูลงจากรถ

เขายืนหันรีหันขวางหาทางขึ้นลิฟต์ แล้วเสียงปิ๊บที่ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับไฟหน้ารถกะพริบก็ทำเอาสะดุ้งโหยงจนเผลอร้องตะโกนลั่น “ป๊า!”

“เรียกทำไม” เสียงปรเมษฐ์ดังตอบออกมาจากหลังเสา

นภธรณ์หันควับพร้อมกับรีบก้าวยาวๆ ไปหา “จะรีบหนีผมไปไหน ก็รู้อยู่ว่าผมกลัวผี”

“ก็แกบอกว่าจะอยู่” ปรเมษฐ์สวนกลับนิ่งๆ และเก็บกุญแจรถใส่กระเป๋า “ตกลงจะเอายังไงจะขึ้นห้องได้หรือยัง”

นภธรณ์ย่นปาก ยังไม่ทันได้คิดอะไรมือข้างหนึ่งก็ยื่นมาตรงหน้า เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมอง

“ฉันสัญญากับแกแล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

เด็กหนุ่มก้มลงมองมือใหญ่นั้นอีกครั้ง …มือคู่เดิมที่เขากุมมาตลอดทั้งชีวิต... มือที่ไม่เคยปล่อยเขาให้เดียวดาย เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของมือนั้นอีกครั้งก่อนจะสูดลมหายใจเข้าจนสุดแล้วคว้ามือข้างนั้นไว้

มือใหญ่กุมกระชับมือเขาแน่นโดยที่เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับหัวใจของนภธรณ์ในตอนนี้

ในขณะที่เดินเคียงคู่กันไปเงียบๆ ตามทางที่เดินมาตลอดสิบเจ็ดปีนั้นรอยยิ้มเล็กๆ ก็ผุดขึ้นบนมุมปากของเด็กหนุ่มช้าๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจ

…ใช่แล้ว… ทุกอย่างยังเหมือนเดิม…



หลังจากปิดไฟนอนไปได้ไม่เท่าไหร่ โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่หัวเตียงก็สั่นขึ้น ปรเมษฐ์รีบเอื้อมมือไปหยิบมาดูเพราะคิดว่าเป็นสายจากโรงพยาบาล แต่มันกลับไม่ใช่ เขาค่อยๆ ลุกออกจากเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้คนที่นอนอยู่ด้วยกันตื่นแล้วเดินไปที่ระเบียงจึงกดรับสาย

“มีอะไรครับโทรมาดึกดื่น”

“ทำไมต้องทำน้ำเสียงห่างเหินแบบนั้นด้วยครับ ทั้งที่ตอนคุณโทรมาผมยังรีบรับสายเลยแท้ๆ” ปลายสายตัดพ้อกลับมาทันที
ได้ยินดังนั้นปรเมษฐ์จึงรีบพูดใหม่ “ขอโทษครับ ผมแค่เห็นว่าตอนนี้มันตีสามแล้ว และนอฟก็เพิ่งจะหลับไปเมื่อครู่นี่เอง พรุ่งนี้แกมีเรียนแต่เช้า”

“พูดแบบนี้แสดงว่าคืนดีกันเรียบร้อยสินะ”

“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มา” ปรเมษฐ์บอก

แม้จะรับรู้ได้ถึงความขอบคุณจากใจที่มากับน้ำเสียงแต่โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ก็อดจะเหน็บกลับไปเบาๆ ไม่ได้ “นั่นน่ะสิ ผมอุตส่าห์ยกเลิกปาร์ตี้กับสาวๆ แล้วบึ่งไปหาทันทีเลยนะ”

“ผมขออนุญาตวางนะครับเดี๋ยวแกจะตกใจถ้าตื่นมาแล้วไม่เจอผม” ปรเมษฐ์ตัดบท

“ผมขอถามอะไรสักคำถามได้ไหมครับ”

“ครับ”

“ทำไมคุณถึงโทรหาผม” ดุริยะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “ทำไมไม่เป็นคนอื่นอย่างตฤณ คุณแดนนี่ หรือเพื่อนสนิทของคุณที่ชื่อโมอะไรนั่น ทำไมถึงเป็นผม”

“เพราะคุณไม่ใช่คนอื่นครับ” ปรเมษฐ์บอกทำให้คนที่อยู่ปลายสายคิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะคลายออกเมื่อเขาพูดต่อ “อย่างน้อยตอนนี้คุณก็เป็นพี่ชายที่ลูกผมชอบโทรไปปรึกษาเวลามีเรื่องกลุ้มใจ”

“อ๋อ เหรอ~” ดุริยะลากเสียงล้อเลียน

“โจ๊กใส่ไข่เมื่อครั้งก่อนเค็มไปหน่อยนะครับจะสอนทั้งทีสอนแกด้วยสิว่าไม่ต้องปรุงรสเพิ่ม”

“งั้นคุณก็สอนเองสิครับคุณพ่อบังเกิดเกล้า อ้อ! ลืมไปว่าคุณพ่อคนนี้แค่ทอดไข่ยังไหม้ได้” ดุริยะว่า “เฮ้อ~ แหย่คุณไปก็ไม่ได้เรื่องอะไรขึ้นมา ผมวางล่ะ ฝันดีนะครับ”

“ผมจะบอกลูกชายให้ครับ” เพราะไม่คิดว่าดุริยะจะพูดกับตัวเองปรเมษฐ์จึงตอบไปแบบนั้น

“ผมไม่ได้จะบอกเจ้าหนูนั่น ผมบอกคุณคุณโป้”

“ขอบคุณครับ คุณเองก็เหมือนกัน” ปรเมษฐ์กดวางสายและเดินกลับเข้าไปในห้อง

เขานั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้ที่นอนยวบเร็วจนเกินไปแล้วค่อยสอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม ปรเมษฐ์ตะแคงตัวเท้าแขนขึ้นข้างหนึ่งเพื่อมองหน้าคนที่นอนหลับอยู่ให้ถนัด แสงจากดวงจันทร์ที่ลอดผ่านรอยแหวกของผ้าม่านเข้ามาทำให้เห็นเครื่องหน้าค่อนข้างชัด และในขณะที่กำลังเฝ้าดูนั้นริมฝีปากก็ค่อยคลี่ออกช้าๆ กลายเป็นรอยยิ้มกว้าง

ปรเมษฐ์กดริมฝีปากลงข้างแก้มนิ่มแล้วปิดตาลงนอน “ฝันดีนะเด็กดื้อ”

นี่คงไม่ใช่คืนที่ดีที่สุด แต่เป็นคืนหนึ่งที่ดีเหมือนกับทุกๆ คืนตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา

******************************************TBC**********************************************

Talk

คุยกันหน่อยก่อนจะบอกลา
...
...
...
โล่งอะ... โล่งมาก ถึงบรรทัดนี้พูดเต็มปากเต็มคำแล้วสินะว่าไม่ใช่พ่อลูกกัน555
คือค่อนข้างอึดอัดหน่อยกับแนว Incest อะ แล้วแอบเห็นฟีดแบคว่ามีคนไม่อ่านเยอะเหมือนกันเพราะเป็นแนวนี้ แต่เรามันก็พวกหัวดื้ออะ(ใครอ่านพี่วินทร์-หมอฮาร์ฟจบคงเข้าใจประโยคนี้ดี) อยากลองแต่ง Incest แบบ leGGyDan style ดูสักที  คือจะจบแบบให้สะบัดสายใยความเป็นพ่อลูกหลุดเลยในทันทีมันไม่ได้เนาะ เค้าเลี้ยงมาแบบลูกอะ มันจะจบแหวกกว่าคนอื่นนิดนึงนะ ก็คิดหนักกับความสัมพันธ์นี้มาตลอดเรื่องอะ แต่แล้วเราก็ประคองมาจนไปรอดจนได้เหวย เย้! อิเย~ อิเย~
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 23-02-2018 00:23:32
มีตอนพิเศษมั้ย ยังไม่จุใจ555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: abbaba ที่ 23-02-2018 02:25:54
โอ๊ยยยยย ป๊าาาาาาาาาาาาาา
ในที่สุดก็แฮปปี้ ขอสวีทเยอะๆได้มั้ยคะ
ฮือออออออ ดีใจๆๆๆๆๆ  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 23-02-2018 02:45:19
มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากอยู่นะ จะให้เปลี่ยนการกระทำหรือเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบคนรักเลยมันก็จะกะทันหันไปอ่ะเนาะ แต่พ่อโป้ก็คงไม่ได้คิดกับนอฟเป็นลูกจริงๆหรอก รอคอยว่าบทสรุปจริงๆของคู่นี้สุดท้ายแล้วจะลงเอยแบบไหน ชอบตอนป๊าเรียกว่าเด็กดื้ออ่ะ ได้ยินอล้วใจบาง  :hao7:
ป.ล.คิดถึงพ่อโป้กับน้องนอฟมาก
ป.ล.2 คิดถึงพี่วินทร์กับฮาร์ฟและคุณผีในห้องล็อกเกอร์ด้วย
และ ป.ล.3คิดถึงคนเขียนทีสุดดดด :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 23-02-2018 06:39:05
ติดตามเรื่องนี้มาตลอด
เนื้อราวเดินทางมาถึงบทสรุปแล้ว
ต้องดีใจ ทั้งเศร้าใจ เหมือนอภิสิทธิ์ในการแอบดูสองพ่อลูกคู่นี้หมดลงไปแล้ว.
แต่ก็สุขใจนะที่ในความสัมพันธ์ที่เหมือนจะมาถึงบนสรุปที่ยังดำเนินเหมือนที่ผ่านมา แต่มีความเปลี่ยนแปลง ในใจของทั้งคู่
หมอโป้แกก็ไม่พูดออกมา เเต่การกระทำมันก็ไปไกลกว่าแฟนอีกนะ เป็นคู่ชีวิตที่เคียงข้างตลอดชีวิต
นอฟเอ้ย สบายล่ะ มีคนหาเลี้ยงตลอดชีวิต สัญญาจะไม่ปล่อยมือไปไหน

ถึงคุณลูกหมู
ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้มาจนถึงตอนนี้นะคะ ตามอ่านมาตั้งแต่เรื่องเริ่มใหม่ เจ้านอฟนี่เป็นคนโปรดของเราตั้งแต่เรื่องหมอโมแล้ว  (อีกอย่างคนเขียนก็เป็นครเขียนคนโปรดของเรานะ)
เป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าเขียนเรื่องใหม่อีก ก็จะติดตามอ่านต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 23-02-2018 08:09:27
อย่าบอกระว่าจบแบบนี้ โอยยย แปลกดีค่ะ จบเหมือนไม่จบ แค่เพราะความสัมพันธ์แบบนี้ ด้วยเหตุผลมันก็คงต้องแบบนี้ สนุกดีค่ะ คิดถึงหมอโมเลย ^^ รอตอนพิเศษนะค้า
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 23-02-2018 10:24:59
นั่นไง! #ตบเข่าฉาด นอฟเป็นลูกดุริยะจริงๆด้วย น้ำตาจิไหล / ปกติเดานิยายไม่ค่อยถูก 5555 รอบนี้ได้ 1 แต้มแถมเป็นจากนิยายคุณ leGGyDan ซะด้วย ดีใจ...  :m4:

ป๊าโป้คนซึนนะ / หมั่นใส้  แต่ก็เข้าใจได้แหละ เลี้ยงมาแบบลูกสิบกว่าปี วันนี้จะให้มาเปลี่ยนท่าทีกันก็คงยากหน่อยก็คงต้องใช้เวลา แต่อย่างน้อยก็เปลี่ยนแปลงสักนิดก็ยังดีนะ สงสารนอฟ

น้องนอฟนี่ได้เลือดศิลปินมาจากคุณพ่อและคุณแม่เต็มๆเลย / อยากอ่านพาร์ทเบื้องหลังจังว่าคุณดุริยะรู้ว่านอฟเป็นลูกตอนไหนนะ? / แล้วคุณพ่อ 2 คน เขาไปเคลียร์กันยังไง อยากอ่านๆๆๆๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 23-02-2018 15:10:21
โล่งใจ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-02-2018 17:43:27
โอ้โห ป๊าโป้ใจร้ายมากกกก แข็งใจทิ้งนอฟได้ด้วย

ดุริยะยังไม่รู้ว่าเป็นลูกใช่ป่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 23-02-2018 18:10:21
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 24-02-2018 00:05:01
อีกนิดเดียวก็ใกล้จะจบแล้ว ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-02-2018 23:31:16
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 27-02-2018 02:03:46
คิดถึงมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-03-2018 18:31:25
Chapter 17

วันนี้มีถ่ายภาพนิ่งไว้สำหรับเตรียมโปรโมทเพลงใหม่ ซึ่งคอนเซ็ปต์เพลงนี้ก็เป็นเพลงรัก แต่นภธรณ์ไม่รู้สึกเบื่อหรือคิดว่ามันซ้ำซากอะไร กลับกันเขารู้สึกว่ามันแตกต่างด้วยซ้ำเพราะนี่เป็นเพลงรักที่เขาเลือกเอง

“ผมขอเพลงนั้นของพี่ยะได้ไหมครับ”

นภธรณ์บอกกับดุริยะในขณะที่กำลังซ้อมร้องเพลงด้วยกันวันหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน สร้างความแปลกใจให้ทุกคนมากโดยเฉพาะเจ้าของเพลง

โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ถอดหูฟังออกวางและหันมาหาเขา “เพลงมันเก่ามากแล้วนะ ถ้าอยากร้องจริงๆ ฉันแต่งให้ใหม่ดีกว่าไหม” ดุริยะไม่ได้หวง แต่ตามที่บอกไปว่าเพลงนี้แต่งไว้ตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ของที่คิดว่าดีที่สุดในอดีตอาจไม่ได้ดีพอสำหรับปัจจุบัน ยิ่งตอนนี้เขาก็คิดว่าตัวเองฝีมือดีขึ้นมาก แนวเพลงในปัจจุบันก็เปลี่ยนไปจากอดีต เอามาร้องใหม่แทนที่จะเพราะ อาจจะกลายเป็นขายหน้าเสียเปล่าๆ

“ผมอยากร้องเพลงนั้น” นภธรณ์ยืนยัน

“ทำไมล่ะ”

“ตอนได้ฟังพี่ยะร้องวันนั้นผมรู้สึกชอบมากเลย เหมือนกำลังตกหลุมรักใครสักคน” นภธรณ์บอก “ผมอยากร้องเพลงที่เกิดจากรักครั้งแรกของพี่ยะครับ”

“แต่มันเป็นรักที่ไม่สมหวังนะ” ดุริยะทวนความเข้าใจ

“ผมอยากร้องจริงๆ ครับ” นภธรณ์ยืนยัน “ขอให้ผมร้องเถอะนะครับ”

ดุริยะไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธในทันที แล้วก็หายหน้าหายตาไปหลายวัน จนนภธรณ์คิดว่าโดนโกรธจนตัดหางปล่อยวัดไปแล้วที่กล้าขอเพลงกันหน้าด้านๆ แบบนั้น แต่หนึ่งสัปดาห์ให้หลังโปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่ก็เดินมาหานภธรณ์ที่บริษัท ในสภาพขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าใกล้ตาย ในมือของดุริยะถือเพลงเก่าที่เขานำไปเรียบเรียงเนื้อหาให้สมบูรณ์และทำดนตรีให้ทันสมัยขึ้น พร้อมกับยื่นคำขู่ให้เด็กหนุ่มที่ยินดีรับไว้

“ต้องซ้อมหนักกว่าเดิมนะเจ้าหนู”

หลังจากขลุกอยู่ในห้องอัดเป็นเดือนๆ ตอนนี้เขาก็ได้ย้ายมาอยู่ในสตูดิโอที่วุ่นวายด้วยทีมงานที่เข้ามาช่วยเขาแต่งตัวถอดชุดนั้นใส่ชุดนี้อย่างสนุกสนานราวกับเขาเป็นตุ๊กตา

My melody เป็นเพลงรักที่บอกเล่าเรื่องราวของคนแอบรักและพยายามจะสื่อให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างตรงไปตรงมา แม้เนื้อหาของเพลงจะจบแบบปลายเปิดให้คนฟังคิดต่อเองว่าสมหวังหรืออกหัก แต่เมื่อฟังแล้วก็ยังให้ความรู้สึกหวานๆ คิดถึงแบบปนเหงานิดๆ คล้ายๆ กับบรรยากาศช่วงปลายฝนต้นหนาว

ตั้งแต่เริ่มงานเมื่อเที่ยงจนถึงหกโมงเย็นนภธรณ์เปลี่ยนมาจนถึงชุดที่หกแล้ว ระหว่างที่นั่งให้ช่างแต่งหน้าอยู่เขาก็เกือบจะลืมตัวเผลอคิดว่าตัวเองเป็นนายแบบไม่ใช่นักร้อง แอบมองผ่านกระจกไปเห็นตฤณเริ่มปิดปากหาว ในขณะที่ดุริยะซึ่งรับตำแหน่งโปรดิวเซอร์เพลงให้นั้นก็กำลังเริ่มแกะบุหรี่ซองใหม่ขึ้นสูบ

เขามองนั่นมองนี่ผ่านกระจกไปเรื่อยๆ พลันสายตาก็ไปสะดุดลงตรงประตูสตูดิโอที่เปิดออกแล้วใครคนหนึ่งที่ดูเนี้ยบเป็นปกติในชุดสูทสีเข้มก็ก้าวเข้ามา

ปรเมษฐ์ค้อมศีรษะทักทายทุกคนอย่างคุ้นเคยก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงมุมห้อง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่ประจำของเขาไปแล้ว

หลังจากวันที่สารภาพรักไปในวันเกิดปู่ระหว่างเขากับปรเมษฐ์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิดเหมือนอย่างที่เจ้าตัวบอก กิจวัตรประจำวันอะไรก็เดิมๆ เขาก็ยังไปเรียนตอนเช้า ตกเย็นก็มาซ้อมร้องเพลงกับพี่ยะ ส่วนป๊าวันๆ ก็ยุ่งอยู่แต่กับงานเหมือนเดิมเจอหน้ากันนับชั่วโมงได้

อ้อ! ที่ดูเหมือนจะเพิ่มมานิดหน่อยคือหมู่นี้ป๊าหาเวลาว่างมารับส่งเขาตอนทำงานได้บ่อยขึ้น อันนี้ส่วนหนึ่งก็น่าจะเพราะพ่อโมมัวแต่ไปขลุกอยู่กับแฟนด้วย แล้วนับจากเกิดเรื่องคราวก่อนป๊าก็ไม่ค่อยวางใจพี่ตฤณเท่าไหร่ เพราะเขาน่ะชอบดื้อกับพี่ตฤณตลอดจนบางทีตฤณก็คุมไม่ค่อยจะอยู่

แต่พอปรเมษฐ์มาได้บ่อยๆ เขาก็ชักอยากจะไม่ให้มาซะแล้ว ส่วนสาเหตุนั้นก็กำลังคุยหัวร่อต่อกระซิกอยู่นั่นไง

“วันนี้คุณโป้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะถึงได้แต่งตัวหล่อกว่าทุกวัน” หนึ่งในทีมงานสาวๆ ที่เข้าไปรุมช่วยกันดูแลผู้ปกครองของนักร้องหนุ่มถาม

“ยังไงครับ ผมก็ใส่สูทแบบนี้ทุกวันอยู่แล้ว” ปรเมษฐ์ถามกลับ

“ไม่เหมือนค่ะ” สไตลิสสาวตอบ “เพราะวันนี้คุณโป้ใส่สูทของอาร์มานี่แถมคัดติ้งเป๊ะขนาดนี้ต้องเป็นแบบสั่งตัดพิเศษแน่ๆ เอ๊ะ! หรือว่าวันนี้แอบนัดสาวที่ไหนไว้คะ”

“จะว่านัดก็นัดครับ” ปรเมษฐ์ยอมรับตามตรงทำเอาคนฟังตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น “เป็นสิบๆ คนเลย แต่ละคนสาวๆ สวยๆ ทั้งนั้น เสียอย่างเดียวพวกเธอพาสามีมาด้วย… แหม พวกคุณก็แซวกันไปผมแค่อยากแต่งตัวหล่อๆ ไปออกตรวจคนไข้บ้างไม่ได้เหรอครับ คนไข้เห็นจะได้สดชื่นไง”

“ฟังคุณโป้พูดแล้วอยากป่วยซะเดี๋ยวนี้เลย” ทีมงานสาวอีกคนบอก

“ยินดีครับ” ปรเมษฐ์ยิ้มพราย “แต่จะไปหาผมได้ต้องท้องก่อนนะครับไม่งั้นผมไม่รับ”

“ไปหาก่อนแล้วค่อยหาคนท้องด้วยก็ไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่ได้ครับ”

“ว้า~ เสียดายจัง”

แล้วแก๊งนกกระจอกก็ค่อยๆ แตกรังกลับไปทำงานของตนต่อ นภธรณ์ลอบถอนหายใจที่ในที่สุดก็จะไม่มีใครมาเกาะแกะป๊าสักที แต่ตอนนั้นเองที่สไตลิสท์สาวคนเดิมหันหลังกลับมา

“เนกไทคุณโป้เบี้ยวน่ะค่ะ เดี๋ยวหนูผูกให้ใหม่นะคะ”

“รบกวนด้วยนะครับ” ปรเมษฐ์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มหวาน

นภธรณ์เผลอหันควับไปมองป๊าจนช่างแต่งหน้าทำสายตาตำหนิใส่เขา เพราะเธอกำลังระบายลิปสติกสีแดงลงบนปากและมันทำให้เลอะจนเธอต้องมานั่งเก็บรายละเอียดใหม่ “ขอโทษครับ” นภธรณ์บอกเสียงอ่อยและหันมานั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันผ่านกระจกต่อ ทันทีที่แต่งหน้าเสร็จเขาก็กระโดดลงจากเก้าอี้พุ่งไปหาปรเมษฐ์ทันที

“ป๊า~”

ปรเมษฐ์เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม “เสร็จแล้วเหรอ”

“เหลืออีกชุดนึงครับ ชุดสุดท้ายแล้ว”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ทำไมวันนี้นานจัง นี่แกไม่ได้ไปทำอะไรให้ทุกคนเขาลำบากใจจนงานไม่เดินใช่ไหม”

“ใส่ร้ายลูกชายอีกแล้ว” นภธรณ์ว่า “วันนี้ผมตั้งใจสุดๆ เลยนะ แต่ชุดมันเยอะนี่นา นี่ผมเปลี่ยนมาจะสิบชุดละเนี่ย”

“ในรายละเอียดงานที่ตฤณส่งมาให้บอกว่ามีแค่หกชุดไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มันงอกมาจากไหนอีกสี่ชุดฮึ เจ้าเด็กดื้อเลี้ยงแกะ” ปรเมษฐ์กล่าวอย่างรู้ทัน

นภธรณ์ย่นปากใส่และรีบเปลี่ยนเรื่อง “เลิกงานแล้วยังต้องผูกไทด์อีกเหรอครับ ไม่อึดอัดบ้างหรือไง” ไม่พูดเปล่าเด็กหนุ่มยังเอื้อมมือไปเกี่ยวปมเนกไทให้คลายออก

“ซนอะไรเนี่ย”

“ไม่ได้ซนสักหน่อย ผมแค่กลัวป๊าร้อน” นภธรณ์พูดหน้าตาเฉยพลางดึงเนกไทออกจากคอมาพับลวกๆ แล้วจับยัดใส่กระเป๋าเสื้อสูท “ผมไปถ่ายชุดสุดท้ายก่อนนะครับ ป๊ารอตรงนี้นะเดี๋ยวผมมา”

ปรเมษฐ์ไม่ว่าอะไรได้แต่โบกมือไล่ และหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านงานที่ค้างไว้อยู่

หลังจากตั้งใจโพสต์ท่าถ่ายรูปไปได้แค่อึดใจ ก็มีอะไรมากวนสมาธิเด็กหนุ่มให้กระจายอีกครั้ง เมื่อทีมงานสาวคนเดิมเดินเข้าไปหาปรเมษฐ์พร้อมกับแก้วกาแฟ

“อเมริกาโน่ร้อนไม่ใส่น้ำตาลของคุณโป้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

“ดื่มแต่กาแฟเปล่าๆ ไม่ขมเหรอคะ”

“มองหน้าคนชงก็หวานแล้วครับ”

คนที่กำลังแอบฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจเบะปาก ...นี่วันนี้ป๊าเมารกเด็กหรือดุนักเรียนแพทย์จนสมองเพี้ยนไปแล้วเนี่ย ถึงได้อารมณ์ดีมาพูดเล่นอะไรแบบนี้ได้... ฮึ่ย! แล้วนี่ตกลงมาดูเขาหรือมาดูใคร ใช่สิ! หน้าลูกชายคนนี้มันขม ไม่หวานน่ามองเหมือนสาวๆ หน้าตาน่ารักนี่นา...

“เจ้าหนู อย่ามัวแต่เหม่อ ฉันบอกให้มองกล้องไง” ดุริยะเอ็ดมาจากหลังหน้าจอคอมพิวเตอร์ “มัวแต่คิดอะไรอยู่”

“ขอโทษครับ คือ ผม... แค่คิดอะไรดีๆ ได้น่ะ” นภธรณ์สะดุ้งโหยงแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ แต่เมื่อเขามองไปที่ปรเมษฐ์ซึ่งกำลังจะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ เขาก็พบทางออก เด็กหนุ่มวิ่งออกจากฉากไปหาคนเป็นพ่อพร้อมกับดึงแก้วกาแฟออกจากมือ “ขอผมยืมหน่อยนะป๊า”

ถึงจะงงนิดๆ แต่ปรเมษฐ์ก็ไม่ว่าอะไรและยกแก้วกาแฟให้

“จะเอามาทำอะไร หิวน้ำหรือไง” ดุริยะถามเสียงขุ่น

“ผมจะเอามาทำแบบนี้ต่างหาก” นภธรณ์บอกก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นแตะที่ริมฝีปาก เมื่อกี้เขามัวแต่มองปรเมษฐ์เลยไม่ได้ท้วงช่างแต่งหน้าว่าลิปสติกสีแดงนี้มันไม่เหมาะกับหน้าเขาเลยสักนิด และตอนนี้เขาก็ได้โอกาสทำให้สีแดงนั้นมันจางลงพร้อมๆ กับจัดการเจ้ากาแฟแก้วนี้แบบไม่น่าเกลียด

เด็กหนุ่มนั่งลงหน้าเคาน์เตอร์ที่ถูกจัดไว้ถ่ายรูป แล้วเอาแก้วกาแฟที่มีรอยลิปสติกติดอยู่ตรงขอบแก้ววางไว้ข้างๆ เพื่อเพิ่มเรื่องราวให้ภาพ

“อ้อ” ดุริยะร้องก่อนจะหันไปพยักหน้ากับตากล้อง “นี่ไปจำมุกนี้มาจากแฟนคนไหนล่ะ”

“แฟนเฟินที่ไหนล่ะพี่ยะก็ ผมยังโสดนะ มาพูดงี้ผมเสียหายหมด” นภธรณ์กลับไปตั้งใจทำงานต่อ อีกไม่กี่อึดใจการถ่ายรูปในวันนี้ก็เสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ถือแก้วกาแฟกลับไปหาคนที่นั่งรออยู่ “คืนครับ”

“อยากได้ก็เอาไปสิ”

“ผมไม่กินกาแฟ” นภธรณ์ตอบยิ้มๆ “ป๊าไม่กินเหรอ จะทิ้งก็เสียดายของนะ”

ปรเมษฐ์ไม่ตอบแต่ก็ยอมรับแก้วกาแฟคืนมา เด็กหนุ่มแกล้งทำเป็นจับเสื้อผ้าในขณะที่สายตาลอบมองมือใหญ่ที่ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ถึงจะจูบกันเป็นเรื่องปกติแต่เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจูบทางอ้อมแบบนี้มันตื่นเต้นไม่แพ้กัน ริมฝีปากหยักนั้นเกือบจะแตะขอบแก้วอยู่แล้วเมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็นรอยลิปสติกสีแดงจึงใช้นิ้วโป้งปาดออกก่อนจะดื่ม

เด็กหนุ่มถอนหายใจแรงอย่างสุดเซ็ง “กลับบ้านกันเลยไหมครับ”

“ไม่” ปรเมษฐ์ตอบพลางโยนแก้วกาแฟที่ดื่มหมดแล้วลงถังขยะ

“แล้วเราจะไปไหนกันครับ”

“แล้วแต่แกสิ” ปรเมษฐ์บอก “วันนี้วันเกิดแก ฉันตามใจทุกอย่างอยู่แล้ว”

หน้าที่ตูมอยู่ค่อยคลายออก เขารู้อยู่แล้วละว่าป๊าต้องไม่ลืมว่าวันนี้วันอะไร แต่ไม่คิดว่าจะมีเซอร์ไพรส์ให้ด้วย “ทุกอย่างเลยเหรอ”

“ยกเว้นไปบ้านปู่ เพราะฉันตกลงกับปู่แกไว้แล้วว่าจะอนุญาตให้แกไปค้างได้อาทิตย์นี้เพื่อเป็นการชดเชยที่วันนี้ไม่ได้จัดงานฉลอง”

“ทำไมละครับ” นภธรณ์ถาม

“แค่คิดว่าแกคงอยากกินข้าวกับฉันสองคน” ปรเมษฐ์พูดเรียบๆ “หรือฉันคิดผิด”

“แล้วป๊าจะพาผมไปไหน”

“ฉันบอกแล้วไงว่าแล้วแต่แก”

“อย่ามาทำเนียนน่าป๊า ป๊าโทรหาปู่ ไม่รับนัดตรวจวันนี้ แล้วไหนจะใส่สูทตัวใหม่มาอย่างหล่ออีก ถ้าบอกว่ายังไม่ได้จองร้านนี่ผมไม่เชื่อหรอก”

“ก็แค่จองไว้เผื่อแกคิดอะไรไม่ออก” ปรเมษฐ์บอก “ถ้าแกไม่ชอบร้านที่ฉันจองไว้ เราไปกินร้านอื่นก็ได้”

“กินกับป๊า กินที่ไหนก็ได้ครับ”

“ถ้างั้นก็ผูกให้หน่อย” ปรเมษฐ์บอกพร้อมกับดึงเนกไทในกระเป๋าเสื้อยื่นมาตรงหน้า “ร้านนี้เขาบังคับให้แต่ตัวสุภาพ”

“ป๊าก็ผูกเองสิ”

“ใครเป็นคนถอด คนนั้นก็ต้องเป็นคนใส่ให้สิ”

“ก็ได้” เด็กหนุ่มรับเนกไทมาถือก่อนจะเอื้อมมือไปตวัดลงรอบคอคนตัวสูงกว่าแบบเก้ๆ กังๆ จริงอยู่ว่าเขาผูกเนกไทเป็นแต่เขาไม่เคยผูกให้คนอื่น แล้วปรเมษฐ์ก็ยืนนิ่งไปเสียเฉยๆ ไม่พูดไม่จาเอาแต่ยืนยิ้มมองจ้องเขาจนเขาเริ่มจะเขินขึ้นมา “มองอะไรน่ะป๊า”

“โตเป็นหนุ่มแล้วนะเราน่ะ” จู่ๆ คนที่เงียบอยู่ก็พูดขึ้นมา

“ใช่สิ ผมอายุสิบแปดแล้วนะ” นภธรณ์ตอบ ยิ่งรู้สึกแปลกไปกันใหญ่ ปกติป๊าจะชอบว่าเขาเป็นเด็กแต่วันนี้กลับบอกว่าเขาโตแล้ว... นี่จะมาไม้ไหนละเนี่ย

“นั่นสินะ... อายุสิบแปดแล้ว” ปรเมษฐ์บอกด้วยรอยยิ้มที่แปลกไปจากทุกที ทำให้เด็กหนุ่มใจสั่น เขานึกหมั่นไส้แกล้งดึงสายเนกไทแรงๆ จนมันรั้งขึ้นไปติดลูกกระเดือก

“เสร็จแล้ว!”

ปรเมษฐ์ขยับคอเล็กน้อยพลางดึงขยายปมเนกไทให้พอดี “ผูกไม่สวยแบบนี้ ต่อไปจะผูกให้แฟนได้ยังไง”

“ก็ไม่ผูกให้” นภธรณ์ว่า “ถ้าให้ผมผูกแล้วบ่น วันหลังก็ให้ไปผูกเอง”

“ใจร้ายจัง” ปรเมษฐ์รำพึง

“ผมไม่ได้ใจดีเหมือนป๊านี่” ถึงจะนึกตะหงิดใจนิดๆ ว่าปกติผู้หญิงเขาผูกเนกไทไปทำงานกันด้วยเหรอ แต่เพราะมัวแต่เขินเขาเลยรีบเดินดุ่มๆ นำไปขึ้นรถและไม่ได้คิดอะไรอีก

(ต่อข้างล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 16 P.8 [23/02/61]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 14-03-2018 18:41:32
รถมาจอดลงหน้าโรงแรมระดับห้าดาวในย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง ปรเมษฐ์เดินนำเขาไปขึ้นลิฟต์และพามาที่ห้องอาหารซึ่งจัดเป็นชั้นลอยกลางแจ้งยื่นออกไปนอกตัวอาคารมองเห็นวิวแบบ 360 องศา มีเส้นแสงสีทองเป็นริ้วงดงามอันเกิดจากไฟบนถนนอยู่ด้านล่าง ตัดกับท้องฟ้าสีหมึกแม้จะมองไม่เห็นดวงดาวเพราะไม่อาจสู้แสงไฟนีออนในเมืองใหญ่ แต่ก็ยังมีพระจันทร์ดวงโตทอดตัวอ้อยอิ่งส่งยิ้มมาให้จากอีกฟากหนึ่ง

นภธรณ์กวาดตามองไปรอบๆ ที่มีแต่คู่รักมานั่งกินข้าวด้วยกัน แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกอยู่สักหน่อย แต่พอออเดิร์ฟถูกยกมาวางลงตรงหน้าเขาก็ลืมเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นไปและลงมือจัดการกับเครปปลาแซลมอนรมควัน

“อร่อยไหม” ปรเมษฐ์ถามหลังมื้ออาหารผ่านไปกว่าครึ่ง

เด็กหนุ่มที่กำลังแทะสเต็กเนื้อแกะพริกไทยดำเคี้ยวแก้มตุ่ยพยักหน้ารับรวดเร็ว “เนื้อเหนียวไปหน่อย สงสัยแกะจะแก่แต่ก็ยังเคี้ยวไหวครับ” พูดจบก็ยักคิ้วให้ครั้งหนึ่ง

ปรเมษฐ์คลี่ยิ้มกว้าง “ดีแล้ว กินเยอะๆ นะ” บอกพลางเอื้อมมือข้ามโต๊ะไปเช็ดมุมปากที่เลอะซอส

นภธรณ์เหลือบตามองปลายนิ้วโป้งที่ไล้ข้างแก้มไปถึงริมฝีปากมันขยับอย่างเชื่องช้าสวนทางกับหัวใจของเขาที่กำลังเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขายังคงมองจนกระทั่งปรเมษฐ์ดึงมือกลับไปเลียคราบซอสด้วยความเคยชิน เด็กหนุ่มรู้สึกลำคอแห้งผากวันนี้ป๊ามาแปลกจริงๆ ด้วย เขากลืนเนื้อแกะลงคอพร้อมกับยืดตัวขึ้นนั่งตรง “ป๊ามีข่าวร้ายอะไรจะบอกผมหรือเปล่า”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็ป๊าทำเหมือนในหนังเลยอะ” นภธรณ์ว่า “พามากินร้านหรู สั่งอาหารอร่อยๆ ให้ แล้วก็จบด้วยการบอกข่าวร้ายอะไรงี้ หรือไม่ก็ตัวเอกจะถูกฆ่าน่ะ”

“หมู่นี้ดูหนังสยองขวัญมากไปสินะ” ปรเมษฐ์หัวเราะในลำคอ “ไม่คิดว่าจะเป็นหนังรักบ้างเหรอแบบที่ตอนจบสารภาพรักแล้วก็อยู่กันอย่างมีความสุขน่ะ”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ป๊าอย่ามาอำผมเล่น มีอะไรก็ว่ามาเลยดีกว่า”

“รอกินของหวานก่อนไหม”

“ไหนบอกว่าไม่มีไง” นภธรณ์เริ่มโวยวาย “มีอะไรก็บอกมาเลย ป๊าจะไปดูงานต่างประเทศต้องทิ้งผมไว้เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง หรือป๊าจะมีแฟนใหม่... รีบๆ บอกมาเถอะ ผมทำใจแล้ว”

“ฉันไม่ได้จะทิ้งแกไปไหนแล้วก็ไม่ได้มีแฟนใหม่ด้วย” ปรเมษฐ์พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “แต่เป็นเรื่องแฟนคนเก่าน่ะแหละ”

“เรื่องแม่เหรอ”

ปรเมษฐ์พยักหน้า

“แม่จะกลับมาเหรอ?”

ปรเมษฐ์ส่ายหน้า “แล้วแกอยากเจอแม่ไหม”

“ถามตรงๆ ก็บอกตรงๆ นะป๊า คือเรื่องมันผ่านมานานแล้ว ผมไม่ค่อยสนใจคนที่ทิ้งผมไป...”

“ไม่ได้ทิ้ง” ปรเมษฐ์ตัดบท “แม่ไม่ได้ทิ้งแกไป”

นภธรณ์พยักหน้า “แม่แค่ไปตามความฝัน ผมเข้าใจ...”

“ฉันไม่ได้เล่นคำเพื่อให้แกรู้สึกดีนอฟ แต่ความจริงคือแม่ไม่ได้ทิ้งแกไป” ปรเมษฐ์บอกชัดถ้อยชัดคำ

“แล้วทำไมแม่ไม่กลับมาล่ะ”

“เพราะฉันขอไว้”

นภธรณ์เงียบไปอึดใจเพื่อทำความเข้าใจกับคำพูดนั้น “ป๊าหมายความว่าไง”

“ในตอนนั้น แม่แกแค่ลังเลว่าจะทำยังไงต่อไปดี” ปรเมษฐ์เริ่มต้นเล่า “เขายังคิดไม่ออก มืดแปดด้าน ฉันก็เลยยื่นข้อเสนอที่จะช่วยจบเรื่องทั้งหมดให้ ฉันขอร้องเขาให้ทำให้เราเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ และแกจะเป็นลูกฉันตลอดไป”

“ป๊ารักแม่มากเลยสินะถึงได้ยอมทำถึงขนาดนั้น... ยอมเลี้ยงเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง”

“ความจริงอีกข้อคือฉันกับแม่แกไม่ได้เป็นอะไรกัน” ปรเมษฐ์พูดต่อ “ฉันรักเขาข้างเดียวและก็โดนหักอกไปนานแล้ว... จนกระทั่งได้เจอกันอีกครั้งตอนที่เขาอุ้มท้องแกเข้ามาในห้องคลอดวันนั้นน่ะแหละ และฉันนี่แหละคือคนที่ทำคลอดแกเองกับมือ... ตอนนั้นฉันเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงปล่อยมือผู้หญิงที่เคยรักมากมายได้ง่ายดาย แต่กลับตัดใจวางเด็กชายแปลกหน้าที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่ลงสักที และจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังปล่อยมือจากแกไม่ได้”

“แล้วจู่ๆ ป๊ามาเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังทำไม” นภธรณ์ถามด้วยความไม่เข้าใจ

“เพราะมันถึงเวลาแล้วน่ะสิ” ปรเมษฐ์บอก “ฉันตั้งใจจะบอกแกทุกอย่างในวันที่แกอายุครบสิบแปดปี รวมถึงเรื่องที่แกไม่ใช่ลูกฉันด้วย แต่มันก็ผิดแผนไปหน่อยแกเลยได้รู้ก่อน ตัวแกเองก็รับมือกับเรื่องนี้ได้ดีมากอย่างที่ฉันเองก็คาดไม่ถึง วันนี้ฉันก็เลยไม่ค่อยลำบากใจที่จะพูดเท่าไหร่”

“ขอบคุณที่บอกนะครับ” นภธรณ์รับคำแต่ยังคงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

“โกรธฉันหรือเปล่า” ปรเมษฐ์ถาม

“เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องที่ไม่ยอมให้แม่มาเจอแก”

“ไม่โกรธครับ แค่แปลกใจ”

“สุรชัยเป็นคนฉลาดน่ะ” ปรเมษฐ์บอก “ปู่ของแกก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อฉันแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าเขายังมาเจอแกฉันกลัวว่าสักวันความจะแตก ก็เลยตกลงกันว่าจะไม่มาเลยจะดีกว่าเพื่อเป็นการตัดปัญหา... นี่ แกโอเคแน่นะ ทำไมจู่ๆ ก็เงียบไป”

“อ๋อ ไม่มีอะไรครับคือผมแค่โล่งอกน่ะ” นภธรณ์บอก “บอกแล้วไงว่าผมทำใจไว้ถึงขั้นป๊าจะหนีผมไปหรือป๊าจะมีแฟนใหม่ เพราะงั้นเรื่องแค่นี้สบายมาก แค่กำลังทำความเข้าใจเรื่องราวอยู่น่ะ”

“สิบแปดปีนี่เหมือนจะนานแต่ก็ผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ” ปรเมษฐ์บอก “ขอโทษนะที่สิบแปดปีที่ผ่านมาฉันอาจทำตัวเป็นพ่อที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วก็ขอบคุณมากที่ถึงฉันจะเป็นแบบนั้นแกก็ยังอยู่กับฉันมาจนถึงวันนี้”

“ป๊าพูดอะไรแบบนั้นเล่า ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณป๊าที่เลือกจะเอาผมมาอยู่ด้วย ขอบคุณนะครับ”

“ไม่อยากได้คำขอบคุณน่ะ”

“อ้าว แล้วป๊าอยากได้อะไร”

ปรเมษฐ์ไม่ตอบแต่เอียงแก้มให้

แก้มขาวซับสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย นภธรณ์เหลียวมองไปรอบๆ ร้านที่มีคนนั่งอยู่เต็ม “ไม่เอาน่าป๊า มาทำอะไรที่นี่ อายคนอื่นเขาไหม”

“อะไรกันเมื่อก่อนตอนเป็นเด็กนึกจะกอดจะจูบฉันเมื่อไหร่ก็ทำ ทีตอนนี้ฉันขอแค่หอมแก้มนี่ไม่ได้ ใช่สิ! แกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่ อะไรก็ไม่เหมือนเดิมสินะ”

“นี่ป๊าเมาหรือเปล่าเนี่ย”

“เมาอะไรยังไม่ได้กินเหล้าสักหยด” ปรเมษฐ์พูดแกมบ่น “นี่ล่ะนะ ที่เขาว่าพอเด็กโตขึ้นอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ใช่สิ! ป๊าคนนี้มันแก่แล้วนี่ ไม่ได้เป็นหนุ่มหล่อๆ แบบเมื่อก่อน”

“ก็ได้ๆ ผมยอมแล้ว” นภธรณ์ร้องเสียงดัง วันนี้ป๊ามาแปลกจริงๆ นึกจะเท่ก็เท่ แล้วจู่ๆ ก็เล่นมาอ้อนกันแบบนี้ หัวใจเขาก็ยิ่งบอบบางอยู่ด้วย “หันมาสิครับ”

“ไม่อยากได้แล้ว”

“อ้าว” นภธรณ์ร้อง ตามใจคนอายุมากกว่าไม่ทันจริงๆ

“ทำอะไรประเจิดประเจ้อเดี๋ยวก็โดนเอาลงข่าวหน้าหนึ่งอีก” พูดจบปรเมษฐ์ก็เริ่มตั้งต้นกินอาหารในจานต่อ

OOOOOO

กว่าจะกลับถึงบ้านก็ห้าทุ่มกว่า นภธรณ์ที่ซัดเค้กสตรอว์เบอร์รี่ขนาดครึ่งปอนด์ไปคนเดียวอิ่มพุงกาง เขาเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาตลอดจนถึงห้อง

“นอฟ” ปรเมษฐ์เรียก

“มีอะไรครับ”

“ฉันเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ให้ของขวัญแกเลย แกมีอะไรอยากได้เป็นพิเศษไหม”

“แค่ป๊าพาไปกินข้าวผมก็ดีใจแล้วครับ” นภธรณ์บอกพลางยกมือขึ้นลูบท้อง ให้กินมากกว่านี้ผมก็ไม่ไหวแล้วนะ

“แต่ยังไม่มีของขวัญนะ” ปรเมษฐ์ว่า “อยากได้อะไรบอกมาสิ นี่ยังไม่พ้นวันเกิดแก ขออะไรตอนนี้ได้ทุกอย่างเลยนะ”

“ไม่เอาหรอก”

“ไม่มีของที่อยากได้เลยเหรอ” ปรเมษฐ์ถาม “ขนม เสื้อผ้า รองเท้า รถ เงินต้องมีสักอย่างสิ”

นภธรณ์ส่ายหน้า “ไม่อยากได้อะไรครับ”

“อะไรกัน”

“จริงๆ ก็มีอยู่อันนึงแต่คิดว่าไม่ขอดีกว่า”

“ไหนลองบอกมาสิว่าอะไร”

“ไม่เอาดีกว่าครับ” นภธรณ์เปลี่ยนใจ

“ลองบอกมาก่อนน่า”

เด็กหนุ่มเม้มปากสนิท… ถ้าหากพรวันเกิดขออะไรก็ได้จริง เขาอยากจะได้สิ่งที่รอคอยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว “คือ... ผมอยากได้คำตอบ”

“เรื่องอะไร” ปรเมษฐ์ถาม

“ก็ที่ผมถามป๊าไปตอนนั้นไง... เอ่อ... ผมบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ช่างมันเถอะป๊า ลืมๆ มันไปซะ แล้วไปนอนกันเถอะ”

ปรเมษฐ์ไม่ตอบในทันที เขาถอดเสื้อสูทออกแขวน ปลดกระดุมข้อมือและกระดุมอกเสื้อเชิ้ตออกสองเม็ดให้หายใจสะดวกก่อนจะเดินไปหา “ตอนนั้นน่ะตอนไหน เรื่องมันตั้งนานมาแล้วฉันจำไม่ได้หรอก”

“ก็ตอนงานวันเกิดปู่... หลังจากที่รู้ว่าผมไม่ใช่ลูกป๊า เราออกจากห้องมาแล้วผมก็บอกป๊าไปไง…”

ปรเมษฐ์กรอกตาไปมา “นึกไม่ออกน่ะ ตอนนั้นแกพูดว่าอะไร ไหนลองพูดให้ฟังอีกครั้งสิ”

“จะพูดได้ไง ก็ผมเพิ่งบอกป๊าว่าให้ลืมมันไปให้หมด”

“แกพูดตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วจะบอกให้ฉันลืม แบบนี้มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”

“ผมขอโทษ” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อยพร้อมกับก้มหน้ามองพื้นเพื่อซ่อนความเจ็บปวดที่ต้องแสดงออกทางสายตาแน่ๆ เคยให้สัญญาไว้แล้วแท้ๆ ว่าทุกอย่างจะเหมือนเดิม แต่สุดท้ายเขาก็ผิดคำพูด ขุดเรื่องเก่าขึ้นมาให้นึกถึงจนได้ เขาได้ยินเสียงปรเมษฐ์ถอนหายใจก่อนจะพูดเสียงเบา

“แกนี่มันเหมือนแม่แกจริงๆ”

“ร... เรื่องอะไรครับ” นภธรณ์ถาม

“ก็มาหลอกให้ฉันรัก แล้วสุดท้ายก็เลือกที่จะทิ้งฉันไป”

ถึงตอนนี้นภธรณ์ยังคงก้มหน้ามองพื้น เขายืนโงนเงนอยู่บนเท้าของตัวเอง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งฟังเสียงของป๊าที่พูดตัดพ้อกับเสียงฝีเท้าที่ขยับเข้ามาใกล้มากทุกที จนกระทั่งเห็นปลายเท้าของป๊ามาอยู่ในระยะสายตา

“แบบไม่ใยดีกันเสียด้วย”

เสียงนั้นดังฟังชัด หากก็ให้ความรู้สึกเบาหวิวราวกับคนพูดจะขาดใจ เด็กหนุ่มกำคลายมือสลับกันไปมา ริมฝีปากขยับแล้วขยับอีกอย่างไม่มีเสียง... ต้องพูด... เขาต้องพูด... ต้องอธิบายอะไรสักอย่างให้ป๊าเข้าใจ 

“ผม... ไม่ได้ทิ้งป๊านะ”

“ก็เพิ่งจะพูดเองไม่ใช่เหรอว่าให้ลืมมันไป งั้นฉันจะลืมจริงๆ แล้วนะ”

“ก็ป๊า...” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจะพูดต่อ แต่แล้วคำพูดก็ถูกหยุดไว้แค่ริมฝีปากเพราะเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ปรเมษฐ์เข้ามายืนใกล้มากแค่ไหน นัยน์ตาคมของอีกฝ่ายจ้องมาราวกับจะมองให้ทะลุ ใกล้จนเขาได้กลิ่นลมหายใจกับเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่หลังแผงอกกว้างนั่น อยากจะถอยหนีแต่หลังก็ติดประตูเสียแล้ว

ปรเมษฐ์เท้าแขนข้างหนึ่งลงข้างศีรษะ เพื่อก้มหน้าลงไปพูดใกล้ๆ ได้อย่างถนัดถนี่ “จะถามอีกครั้งนะ อยากให้ฉันลืมจริงๆ เหรอ”

“ผม...” แล้วเด็กหนุ่มก็เอะใจอะไรบางอย่าง ที่คล้ายๆ จะเข้าข้างตัวเอง... และป๊าจะเพิ่งจะยืนยันออกมาด้วยตัวเองว่าป๊าไม่ได้เพิ่งรู้ว่าเขาไม่ใช่ลูก แต่ป๊ารู้มานานแล้ว รู้มาตั้งแต่แรก... แล้วที่ป๊าบอกว่าเขาเหมือนแม่นั่นไม่ได้หมายถึงหน้าตาเหมือนทุกครั้งแต่เป็น... “เมื่อกี้ป๊าหมายความว่าไงครับ ที่ว่าผมมาหลอกให้รักแล้วทิ้งไปน่ะ”

ริมฝีปากหยักลึกค่อยระบายยิ้มขึ้นช้าๆ “เวลาพูดอะไรไม่เคยฟัง บอกว่าจะไม่ทิ้งกันก็ไม่สน สัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปก็ไม่เคยจำ แกก็เป็นซะแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะเด็กโง่”

“ฟังแล้ว!” นภธรณ์พูดเสียงดัง “ผมจะฟัง… จะฟังทุกอย่างเลย ป๊าจะพูดอะไรครับ”

ในที่สุดยิ้มกว้างก็ลากเต็มริมฝีปาก แต่ปรเมษฐ์กลับลดมือลงพร้อมกับยืดตัวขึ้น “ไม่พูดแล้ว”

เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แน่น “พูดเถอะนะครับ”

ตาคมเหลือบลงมองคนที่เกาะแขนมองตาแป๋ว “ไม่ต้องมาอ้อนซะให้ยาก”

“ป๊า~” นภธรณ์รบเร้า “พูดหน่อยน้า~”

“ดูปากนะ… ไม่-พูด” พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปหาแล้วเม้มปากปิดสนิท

เด็กหนุ่มย่นปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ ถ้าป๊าจะปากแข็งขนาดนั้นละก็…

เขายื่นสองสองมือออกไปข้างหน้า คว้าคอเสื้อของปรเมษฐ์ให้โน้มลงมาใกล้ แต่ริมฝีปากแตะยังไม่ทันจะลิ้มรสหวานคนอายุมากกว่าก็ใช้ฟันงับริมฝีปากของเขาอย่างแรงจนต้องล่าถอยออกมากุมปากตัวเองแน่น

“โอ๊ย~ ทำอะไรน่ะ ผมเจ็บนะป๊า!” นภธรณ์บ่นอุบพลางใช้ปลายนิ้วถูปากให้ที่แดงเป็นปื้น ในขณะที่ปรเมษฐ์เพียงแค่ยืนกอดอกเอาไหล่ชนกำแพงมองดูเขาเฉยๆ “แล้วตกลงป๊าจะพูดได้หรือยัง”

“พูดว่าอะไรล่ะ” ปรเมษฐ์ถามเสียงเรียบ

ความเขินยังคงเกินสิบแต่ที่เพิ่มมาคือความอยากรู้เกินร้อยที่ต้องเปลี่ยนไปใช้คำว่าหน้าด้านแล้ว นภธรณ์สูดลมหายใจเข้าเรียกความกล้าให้กลับมาและถามออกไปด้วยเสียงดังฟังชัด “ก็ที่ผมบอกรักไป ตกลงป๊าคิดยังไงกับผมละครับ”

คนโดนถามพ่นลมออกจมูก อยากจะขึ้นต้นประโยคว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ความรู้สึกเอ็นดูนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความรัก… เพราะความจริงแล้วมันชัดเจนมาตั้งแต่ตอนนั้น ในวันที่คิดว่าไม่เหลือใคร แต่กลับมีมือเล็กๆ จับมือเขาเอาไว้ เสียงเล็กๆ ที่พร่ำเรียกแต่ชื่อของเขาพูดซ้ำๆ ว่าจะอยู่กับเขา ตอนที่หันหลังกลับไปแล้วกอดร่างเล็กๆ ไว้ในอ้อมแขน ความรู้สึกในวินาทีมันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจาก ‘รัก’

นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็อยากจะครอบครองเด็กคนนี้ไว้กับตัว มันเป็นคำโกหกทั้งเพกับเรื่องจูบตามธรรมเนียมของบ้าน แต่ก็ไม่ทั้งหมดหรอกเพราะปกติก็มีหอมแก้มกันบ้าง นัยน์ตาหวานคู่นั้นจะต้องมองตรงมาที่เขาเท่านั้น รอยยิ้มเอียงอายเกิดขึ้นได้เฉพาะเวลาที่เขาเย้าแหย่… เขาไม่ใช่พ่อที่ดี ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด…

นั่นเพราะคนใจบาปอย่างเขาไม่ได้ต้องการเป็นแค่พ่อมาตั้งนานแล้ว...

ปรเมษฐ์มองตาคนที่จ้องมองเขาอย่างดื้อรั้น ริมฝีปากยกมุมขึ้นเล็กน้อย “คิดว่าเป็นเด็กดื้อที่ปล่อยให้ละสายตาไม่ได้” เขาบอก

“และจะเป็นคนเดียวที่ยอมให้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

“ตกลงมันแปลว่าอะไรครับ” นภธรณ์ยังไม่ยอมแพ้

“เรื่องแค่นี้แปลเองไม่ได้เหรอเด็กโง่”

“ครับ” คนหัวทึบยอมรับ “พูดให้ฟังหน่อยสิครับ ผมอยากฟัง”

ในที่สุดคนฟังก็ทนลูกอ้อนไม่ไหว ปรเมษฐ์ยอมแพ้ราบคาบและก้มหน้าลงกระซิบที่ข้างหู “ไปนอนกันเถอะ ฉันง่วงแล้ว” ก่อนจะหัวเราะเสียงดังกับความผิดหวังที่ฉายชัดขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่ม เขาทำเป็นไม่สนใจและหันหลังเดินไปทางห้องน้ำ

“ป๊า!” นภธรณ์ส่งเสียงเรียก “อย่ามาหนี มาเปลี่ยนเรื่องกันแบบนี้นะ ผมไม่ยอมจริงๆ ด้วย”

“ก็เรื่องของแก แต่ฉันจะนอนแล้ว”

“ป๊า~”

“อะไรอีก”

“ผมไม่ถามแล้วก็ได้ แต่บอกผมหน่อยว่านี่คือความรู้สึกของป๊า หรือเป็นแค่ของขวัญวันเกิด แล้วพรุ่งนี้ผมต้องทำทุกอย่างให้เหมือนเดิมใช่ไหม”

ปรเมษฐ์หยุดยืนก่อนจะหันหลังกลับและเดินเข้ามาหา “เป็นของขวัญวันเกิด” เขาตอบเสียงนุ่ม

“เหรอครับ” นภธรณ์รับคำเสียงอ่อยพลางหลุบตาลงมองพื้น เมื่อความผิดหวังค่อยๆ คืบคลานมาเกาะกุมหัวใจ

“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกของฉัน และพรุ่งนี้ระหว่างเราก็ยังคงเหมือนเดิม” ปรเมษฐ์พูดต่อ

เพราะยังไม่กล้าสบตาตรงๆ เด็กหนุ่มจึงหันหน้าหนีไปอีกทาง พลันมือใหญ่ก็ค่อยสอดแทรกเข้ามาประคองที่ข้างแก้มดึงให้หันกลับไป ไม่ใช่เพื่อสบสายตา แต่เพื่อหยิบยื่นของขวัญที่เจ้าของวันเกิดทวงถาม

ริมฝีปากหนักลึกแตะลงเบาๆ คล้ายเตือนให้หลับตาลงก่อนจะกดย้ำด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

มันคือจูบแบบที่เขาเคยสัมผัสเพียงแค่ครั้งเดียวจากคนๆ เดียวกันเมื่อหลายเดือนก่อน

จูบ… ที่วันนั้นเขาไม่เข้าใจความหมายของมัน

แต่ในที่สุดวันนี้เขาเข้าใจแล้ว

เข้าใจ… โดยไม่ต้องมีคำพูดอะไร

ปรเมษฐ์ถอนริมฝีปากออกเล็กน้อย หากลมหายใจยังคลอเคลียประสานเป็นเนื้อเดียวกัน “หรือแกอยากให้ฉันเปลี่ยนไปล่ะ”

“ไม่ครับ” นภธรณ์ตอบ สบสายตาคนตรงหน้านิ่ง “ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”

ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ เพราะตอนนี้เสียงที่ดังอยู่ข้างในหัวใจช่วยบอกความรู้สึกทั้งหมดที่ต่างก็ซ่อนเก็บไว้ตลอดหลายปีออกมาจนหมดแล้ว

The End

*******************************************************************************************

Talk

จบจริงๆ แล้วค่ะหลังจากซ้อมจบไปเมื่อบทที่แล้ว(โดนคนอ่านตบ)
ทีแรกตั้งใจจะแบ่งเป็นสองพาร์ทคือตอนจีบกะตอนสมหวัง ประมาณว่าสองภาคไรงี้ แต่คิดไคิดมาไม่เอาดีกว่ามันไม่ใช่เลกกี้แดนสไตล์ ดังนั้นจบเลยละกัน แล้วตอนพิเศษเราจะโปรยน้ำตาลมาล่อมดให้

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คอมเมนต์และการติดตามค่ะ
เร็วๆ นี้จะเปิดเรื่องใหม่ค่ะ ยังไม่บอกชื่อเรื่อง(เพราะยังไม่ได้เคาะชื่อแบบไฟนอล) เอาเป็นว่าเป็นเรื่องของหมอนิติเวชค่ะ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
รัก
leGGyDan
 :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-03-2018 19:45:08
แล้วพี่ยะใช่พ่อนอฟไหมอ่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-03-2018 19:52:51
ชอบในความที่ถึงรู้ว่าเขารักกันแต่ก็ยังรู้สึกถึงความเป็นพ่อลูกอยู่ค่ะ จะร้องไห้ ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: XVIII.88 ที่ 14-03-2018 20:37:43
ป๊าเป็นหมอต้อยเด็กกกกกกก  :hao7:
ที่รอให้ครบ 18 จะได้ไม่พรากผู้เยาว์ใช่ไหมล่ะ คุณป๊า

สงสัยว่าพี่ยะเป็นพ่อจริง ๆ ของนอฟ รึป่าว ดูรัก ดูปกป้องอยู่ห่าง ๆ

ถ้ามีโครงการทำเล่ม จะรอนะคะ  :mew1:

ติดตามเรื่องใหม่ต่อเลยย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 14-03-2018 20:59:42
แม้แต่ตอนจบ ก็ยังจบแบบสีเทาๆ 55555  อยากได้ยินชัดๆจากปากป๊าเหลือเกิน / ฝันไปเถอะ
 
แบบหมอๆของเลคกี้แดนสไตล์นี่มันช่าง...โดนใจเสียเหลือเกิน รอหมอคนต่อไปค่ะ ขอบคุณนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 15-03-2018 00:44:05
เรื่องนี้ป๊าร้ายสุดละ ที่แท้ก็เลี้ยงเด็กเด็กไว้กินเองนี่นา 55555 พอครบ18นี่กะจับรวบกินเลยรึป่าวคะป๊า
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 15-03-2018 00:48:03
อร้ายยย ขุ่นพ่อ!! เขิลอ่ะ ฮืออออน่ารัก ชอบเรื่องนี้อ่ะ ชอบมากๆเลย ความสัมพันธ์ที่มีแค่กันและกันตั้งแต่เด็กจนโตผสมความบาปนิดๆ สเป็คมาก!! ชอบ!! ชอบนิยายของคุณทุกเรื่อองเลยค่ะ รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 15-03-2018 08:59:23
ป๊าย้อนแย้งในตัวเองที่สุดเลย ทำเป็นจะปล่อยนอฟไป
ทั้งๆที่ปล่อยมือไม่ได้ตั้งแต่วันแรกแล้ว
ชอบความอ้อยของน้องนอฟจังเลย เวลาคิดไม่ดีกับคุณป๊าเนี่ย เอ็นดูวววววว

เป็นตอนจบที่แอบหน่วงนิดๆสำหรับเราค่ะ เพราะพึ่งรู้ตัวว่าขึ้นเรือยะโป้แบบลงไม่ได้ซะแล้วทั้งๆที่ไม่มีแววเลย ฮ่าๆ

สุดท้ายแล้วขอบคุณคนเขียนมากนะคะสำหรับนิยาย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-03-2018 09:11:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: tkaekaa ที่ 15-03-2018 15:47:31
ป๊านี่เลี้ยงต้อยมาแต่กำเนิดจริงๆ อิอิ
น่ารัก กรุ่นๆดี
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: skysky ที่ 15-03-2018 23:16:26
ขอสารภาพว่าเคยอ่านตอนแรกๆ แล้วรู้สึกเกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อศีลธรรม
ในความรู้สึกระหว่างนอฟกับป๊า เลยรอให้จบแล้วค่อยอ่านรวดเดียวค่ะ 555
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
ถึงป๊าจะอายุมากกว่าถึง 19 ปี แต่ความเท่ของป๊าก็ยังคงอยู่
อยู่ๆก็รู้สึกชอบคนมีอายุ ฮาาาา
ก็ป๊าแสนดีแบบนี้เนอะ ใกล้ชิดกันขนาดนี้
ชอบความหึง ความหวงของสองพ่อลูกนี้ชะมัด 555
ถึงไม่ใช่พ่อลูกกันตามสายเลือด แต่ความสัมพันธ์ก็ยังคงอยู่ ยังคงรักกันเหมือนเดิม :)
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 16-03-2018 08:24:52
 :L2:

ขอบคุณมากๆค่ะ

เป็นแฟนผลงานของ คุณleGGyDan มาตลอดเลย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 16-03-2018 19:22:04
สนุกมากๆค่ะ ขอตอนพิเศษหวานๆด้วยได้มั้ยคะ

ป๊าปากแข็งที่สุดในเรื่องละ ไม่ยอมพูดให้ชัดเจน

อยากอ่านไปจนถึงตอนนอฟเรียนมหาลัยเลย คงสนุกน่าดู

ขอบคุณนักเขียนนะคะ
 :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: チイ ที่ 17-03-2018 00:19:44
ยอมในความตั้งใจของคนเขียนเรารู้สึกได้ว่าคุณตั้งใจกับเรื่องนี้มากต่อให้ฟีดแบคจะไปในทางไหนแต่อยากจะบอกว่ามีหลายคนที่ชอบและรอติดตามเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยเลยนะคะเราเองก็เพิ่งมาเจอตอนที่เห็นคนอื่นรีวิวผ่านมาในทาลไลน์เหมือนกันกดเข้ามาอ่านเพราะชอบแนวนี้อยู่แล้วด้วยเหมือนกันอยากเป็นกำลังใจให้นะคะขอบคุณที่ตั้งใจแต่งเรื่องนี้ออกมาให้ได้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-03-2018 08:00:47
นั่นปากหรือเสาปูนคะป๊า?

ขอบคุณที่พาพวกเราไปเดินตรงขอบเหวศีลธรรมให้ใจระทึกเล่น

ชอบทุกเรื่องของคุณ leggyDan เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 17-03-2018 14:59:21
สนุกมากค่ะ เราอ่านรวดเดียวจบเลย
เขินมากเอาจริงๆ :-[ เปิดเรื่องมาตอนแรกเรานึกว่าเป็นแฟนกันพออ่านต่อไปอีกหน่อยเป็นพ่อลูก o22 ตรงนี้ต้องบอกว่าคนแต่งแต่งดีคืออ่านไปไม่กี่บรรทัดก็ทำให้รู้สึกว่าคู่นี้มันไม่ธรรมดา(เพราะเขาเป็นพ่อลูกกัน) พอมาอ่านตอนจบคือคุณพ่อเองก็รู้ตัวว่ารักนอฟในแบบที่ไม่ใช่ลูกมาตั้งนานแล้ว อยากบอกว่าหนูเชื่อค่ะเพราะที่คุณพ่อแสดงออกมันมีความคุณแฟนมาก ส่วนนอฟเรามองว่าตอนแรกมันยังเป็นรักแบบพ่อลูกแหละ การกระทำของคุณพ่อทำให้น้องหวั่นไหวพอนานๆไปก็กลายเป็นความรักยิ่งได้พี่ยะมาช่วยกระตุ้นก็นั้นแหละไปไหนไม่รอด คุณพ่อเลี้ยงมาแบบนี้นอฟจะไปรักคนอื่นได้ไง :hao7:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheLemongrass ที่ 17-03-2018 18:39:57
สนุกมาก เห็นชื่อคนแต่ง รีบกดอ่านในทันที ไม่ผิดหวัง ประทับใจมาก  :hao5:
ขอบคุณเจ้าของผลงาน  :mew1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 18-03-2018 02:58:54
ปกติไม่ค่อยอ่าน incest เลยค่ะ แต่บังเอิญมาเจอเรื่องนี้แล้วน่าสนใจ เพิ่งรู้ว่าบาปมันหอมหวานขนาดนี้5555555
จนสุดท้ายก็แอบโล่งที่ไม่ใช่พ่อลูกแท้ๆ และโป้นี่ก็ไม่ธรรมดา เลี้ยงแบบหวังผลนะ รักเขาก่อนอีก

แต่ติดนิดนึงค่ะตรงที่บอกว่าทำคลอดนอฟออกมาเอง ตอนนั้นโป้ยังเรียนอยู่เลยรึเปล่าคะ นอฟตอนนี้ 18 ย้อนกลับไปโป้ก็พึ่ง 18 19 เอง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 18-03-2018 08:15:32
ปกติไม่ค่อยอ่าน incest เลยค่ะ แต่บังเอิญมาเจอเรื่องนี้แล้วน่าสนใจ เพิ่งรู้ว่าบาปมันหอมหวานขนาดนี้5555555
จนสุดท้ายก็แอบโล่งที่ไม่ใช่พ่อลูกแท้ๆ และโป้นี่ก็ไม่ธรรมดา เลี้ยงแบบหวังผลนะ รักเขาก่อนอีก

แต่ติดนิดนึงค่ะตรงที่บอกว่าทำคลอดนอฟออกมาเอง ตอนนั้นโป้ยังเรียนอยู่เลยรึเปล่าคะ นอฟตอนนี้ 18 ย้อนกลับไปโป้ก็พึ่ง 18 19 เอง

เจอกันตอนเป็นนักเรียนแพทย์ค่ะ โป้ขึ้นฝึกที่ห้องคลอดวันนั้นพอดีได้เป็นผช.ทำคลอดค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 19-03-2018 05:02:02
เราอ่านนิยายคุณ leGGyDan ทุกเรื่องเลย ชอบสำนวน อ่านสนุกดี

เราเฉยๆกับ incest นะ ตราบใดที่สิ่งที่เขาเลือกไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ในกรณีทั่วไป ถ้า 1. ฝ่ายเด็กไม่ได้ถูกบังคับหรือหลอกลวง 2. ฝ่ายผู้ใหญ่พยายามเว้นระยะห่างและรอจนเด็กบรรลุนิติภาวะ 3. ไม่คิดมีลูก ไม่ต้องห่วงลูกพิการ 4. ไม่มีห่วงเรื่องผู้สืบทอดตระกูล ..... ก็ปล่อยๆเขาไปเต๊อออะ

สำหรับความรักแบบผู้ใหญ่ของโป้นอฟ เราว่ามันเพิ่งเริ่มต้น เพราะสองคนนี้เป็นพ่อลูกบุญธรรม ถ้าชีวิต low profile ก็น่าจะพยุงกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง แต่นี่เป็นลูกหลานตระกูลดัง และนอฟเป็นนักร้อง เรายังนึกภาพอนาคตไม่ค่อยออก ถ้าข่าวหลุดไป อื้อหือ scandal ระดับชาติ ดราม่ากันมันส์หยดแน่ๆ

หา... อะไรนะ? อ่านจริงจังไป?!? ว้ายๆ ก็เค้าชอบคิดชอบวิเคราะห์อ่ะ 555 /โดนโบก

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :pig4:

ป.ล. เราอ่านรวดเดียวจบ รู้สึกอารมณ์มันสะดุดนิดๆนะคะ เหมือนส่งไม้ในบางช่วงไม่ลื่น เดาว่าคงเพราะเขียนไม่ต่อเนื่อง ถ้าจะออกหนังสือ อาจจะต้องกลับไปเกลาหน่อยนะคะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: z9_0 ที่ 19-03-2018 13:27:08
อ่านจบแล้ว ตอนแรกนึกว่าจะเป็นยาปหวานชะละ
หมอก็ปากแข็งเกิ๊น แอบหวังว่าหมอจะ งั้มๆนอฟ 555555555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 19-03-2018 13:52:48
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nuch-p ที่ 20-03-2018 20:41:18
 :o8: เหมือนยังไม่จบดีอะ มีตอนพิเศษไหมมม :L1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MM04 ที่ 20-03-2018 23:04:38
ก่อนอื่นเลย คงต้องชมความพฤติดีของคุณพระเอกค่ะ เป็นป๊าที่ดีมาก :hao6: โดยส่วนตัวคิดว่าที่ตัวคุณนักเขียนเองเลือกตอนจบแบบนี้ก็ดีค่ะ จบแบบละมุน รักกัน แต่ความสัมพันธ์ยังเหมือนเดิม ให้หักมุมก็ใช่เรื่อง สรุปคือดีงามมากค่ะ รอตอนพิเศษอยู่นะคะ  :-[ ขอบคุณที่สร้างสรรค์เรื่องนี้มาค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: akajinkame ที่ 29-03-2018 23:36:52
ว้าว สรุป พระเอกของเรื่องคือ คุณปู่สายเปย์
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# chapter 17[จบ] P.8 [14/03/61]
เริ่มหัวข้อโดย: leGGyDan ที่ 16-04-2018 20:46:13
Adlib 1 Birthday night

ริมฝีปากหยักลึกกดทับลงมาอีกครั้ง และอีกครั้งเพื่อตอกย้ำคำที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย ร่างของเด็กหนุ่มโดนดันจนหลังติดกำแพง เขาเคยคิดฝันเป็นสิบเป็นร้อยครั้งถึงรสจูบของผู้ใหญ่และการจูบกับคนที่รัก มันคงหวานหอมหรืออุ่นซ่าน ทว่าเมื่อได้มาสัมผัสของจริงด้วยตัวเองจะว่าเหมือนก็ไม่ใช่จะว่าต่างก็ไม่เชิง เขารู้สึกเหมือนหัวใจโดนบีบรัดในขณะเดียวกันมันก็เบาหวิวไปทั่วทั้งร่างยามเมื่อริมฝีปากถูกดูดดึง และสั่นสะท้านราวกับโดนไฟฟ้าช็อตเมื่อปลายลิ้นอุ่นสอดเข้ามากวาดไล้ในโพรงปากอย่างช่ำชอง สองขาไร้เรี่ยวแรงราวกับว่าวิญญาณได้ถูกขโมยผ่านริมฝีปากนี้ไปเสียแล้ว

“ป๊า”

เสียงหวานที่เครือผ่านริมฝีปากบางเป็นการของร้องกลายๆ ว่าให้พอก่อน ปรเมษฐ์ถอนริมฝีปากออกแล้วเลื่อนสองมือลงประคองรอบเอวคนที่ปากดี แต่พอเขาเอาจริงก็อ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งโดนไฟลน ตาคมกวาดมองเด็กหนุ่มที่เกาะเสื้อเขาแน่น ลมหายใจถี่กระชั้นจนต้องอ้าปากช่วยหายใจ เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าที่น้อยใจกับการรอคำตอบของเขาแค่หนึ่งปีมันเทียบกันไม่ได้เลยกับระยะเวลาตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมาของเขา

รอ... ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้ความรักตอบไหม
รอ... ทั้งที่ไม่มีหวัง
รอ... ทั้งที่ไม่คิดว่ารักนี้จะมีวันเป็นจริงได้
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรอ... ขอแค่ได้รอยยิ้มหวานคืนมาเติมเต็มในหัวใจทุกๆ วันเท่านั้นก็เพียงพอ

“ไงเจ้าเด็กดื้อ แค่นี้ก็เหนื่อยแล้วเหรอยังไม่ได้แกะของขวัญเลยนะ”

ตากลมเหลือบขึ้นมอง เต็มไปด้วยความรู้สึกดีใจและสงสัย “ของขวัญอะไรครับ”

ปรเมษฐ์คว้ามือข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มมากุมไว้ เขาใช้ปลายนิ้วสัมผัสเนิบนาบ สำรวจถ้วนทั่วราวกับเพิ่งเคยเห็นมัน เพราะครั้งแรกที่เขากุมมือนี้ไว้มันนุ่มนิ่มและเล็กจ้อยจนต้องใช้เพียงแค่นิ้วชี้นิ้วเดียวประคองไว้ มาวันนี้ที่เจ้าของมือนั้นเติบโตขึ้นจนเมื่อมาทาบกันแบบนี้แล้ว มือของพวกเขาแทบมีขนาดไม่ต่างกันเลย ตาคมไล่ขึ้นมองริมฝีปากอิ่มที่เขาจูบมานับครั้งไม่ถ้วน เลื่อนขึ้นมองสบตากลมที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่วันแรกพบ ประกายในแววตานั้นยังคงสดใสและบริสุทธิ์ จนเขาลังเลว่าจะทำให้เด็กชายที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมานานถึงสิบแปดปีนี้แปดเปื้อนดีหรือไม่

“ของขวัญอะไรครับป๊า” นภธรณ์ถามซ้ำเมื่อเห็นพ่อของตนเงียบไปนาน

...ป๊า...

ริมฝีปากลากยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำเรียกขานนั้น... คำที่เขาสอนให้เรียกเป็นคำแรก ยังจำได้ดีถึงความยินดีที่เอ่อท้นเต็มหัวใจในวันที่เสียงอ้อแอ้นั้นฟังชัดถ้อยชัดคำขึ้นมา

วันนี้ก็ยังดีใจที่ได้ฟังคำนี้... แต่รู้สึกต่างไปนิดหน่อยตรงที่ไม่อยากเป็น ‘ป๊า’ ตามความหมายแรกของพจนานุกรมแล้ว

“ฉันบอกแล้วไงว่าซื้อของขวัญให้ไม่ทัน” ปรเมษฐ์ทวนความทรงจำ “ก็เลยจะให้อย่างอื่นแทน”

จากเดิมที่หัวใจของนภธรณ์เต้นแรงอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งแทบจะทะลุออกจากออกเมื่อได้สบตาคมวาววับที่มองมาอย่างเปิดเผย เขาคิดว่ารู้แล้วว่าของขวัญนั้นคืออะไร แต่ก็ยังกลั้นใจถามออกไป “แล้วป๊าจะให้อะไรผมครับ”

“ฉัน” ปรเมษฐ์ตอบสั้นๆ

เด็กหนุ่มหายใจขัด “ผม... ไม่เข้าใจ”

คนอายุมากกว่าขยับหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกสัมผัสผะแผ่ว รู้สึกได้ถึงลมอุ่นที่แปรปรวนไปตามจังหวะการหายใจ “ไม่เข้าใจ หรือไม่อยากเข้าใจเด็กโง่”

“แต่เมื่อกี้ป๊าบอกว่าจะไปนอน” นภธรณ์บอกเขินๆ มือใหญ่ยังคงใช้หัวแม่โป้งไล้วนไปตามฝ่ามือของเขาไม่หยุดพาให้หัวใจสั่นไหวแปลกๆ

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” ปรเมษฐ์สบตาคนในอ้อมแขนนิ่งก่อนจะดึงมือเด็กหนุ่มขึ้นมากดจูบหนักๆ ลงบนข้อนิ้วแล้วคล้องลงรอบคอตัวเอง “ถ้าแกไม่แกะของขวัญ ของขวัญจะแกะตัวเองแล้วนะ”

ลมหายใจของนภธรณ์เริ่มกระตุกไปตามจังหวะที่กระดุมเสื้อเชิ้ตถูกถอดออกจากรัง เผยให้เห็นแผงอกแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาทอดต่ำตามมือใหญ่ลงไปจนถึงเม็ดสุดท้าย ทำท่าจะปลดหัวเข็มขัดแล้วเปลี่ยนใจมาโอบเอวเด็กหนุ่มไว้แทน

“ที่เหลือไว้ไปแกะต่อที่เตียงละกันนะ” ปรเมษฐ์กระซิบที่ข้างหู นภธรณ์พยักหน้าและปล่อยให้คนเป็นพ่อจูงมือไปที่ห้องนอน

ทันทีที่ประตูห้องปิดลง ริมฝีปากของคนอายุมากกว่าก็จู่โจมเข้าหาเด็กหนุ่มโดยไม่ทันตั้งตัว รสจูบที่ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ มอมสติจนแทบเมา รู้สึกตัวอีกทีนภธรณ์ก็โดนดันให้นั่งลงบนเตียงโดยมีปรเมษฐ์ยืนคร่อมอยู่ตรงหน้า เสื้อเชิ้ตราคาแพงถูกถอดพ้นตัวโยนลงกับพื้น ในห้องไม่ได้เปิดไฟ หากแสงสลัวของพระจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาก็ทำให้เห็นร่างกายกำยำที่หมั่นเข้ายิมสัปดาห์ละสามวันนับตั้งแต่เขาจำความได้

“ของขวัญถูกใจไหมครับคนเก่งของป๊า”

นภธรณ์จำได้ว่าเคยแซวป๊าว่าอายุปูนนี้แล้วจะฟิตไปถึงไหน และทุกครั้งป๊าก็เพียงแค่ยิ้ม มาวันนี้เขาคิดว่าเขาเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไร เด็กหนุ่มลูบมือไปตามแผงอกกว้างอย่างรู้สึกประหม่า ไม่รู้จะเริ่มอะไรตรงไหนกับบทเรียนรักครั้งแรกในชีวิต คนเป็นพ่อก็พูดต่อ

“ถ้าแกไม่แกะของขวัญต่อ ของขวัญจะขอแกะเจ้าของวันเกิดเองแล้วนะ”

เด็กหนุ่มเผลอจับคอเสื้อตัวเองแน่น จู่ๆ ก็รู้สึกอายขึ้นมาที่หุ่นตัวเองไม่ได้ดีเหมือนปรเมษฐ์ นอกจากจะไม่มีกล้ามแล้วกินมาอิ่มๆ ยังมีพุงอีกต่างหาก

ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยราวกับจะรู้ทันความคิดของลูกชาย ปรเมษฐ์ก้มหน้าลงจูบที่หลังมือ ใช้ความอ่อนโยนของปลายลิ้นค่อยแกะมือของเด็กหนุ่มออก ตามมาด้วยกระดุมเสื้อทีละเม็ด... ทีละเม็ด... จนในที่สุดเมื่อมาถึงเม็ดสุดท้ายเสื้อของนภธรณ์ก็ถูกเหวี่ยงลงไปกองกับพื้นรวมกับเสื้อของปรเมษฐ์ในทีแรก

นัยน์ตาคมกวาดมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เขินจนแดงไปทั้งตัวอย่างแสนรัก

“สุขสันต์วันเกิดนะครับ คนเก่งของป๊า” คนเป็นพ่อกล่าวก่อนจะประทับจูบลงมาอีกครั้ง

เด็กหนุ่มเอนลงสัมผัสกับเตียงนุ่มอย่างไร้แรงต้านทาน พร้อมรับกับของขวัญวันเกิดในวันครบรอบอายุสิบแปดปีนี้ไว้ด้วยความยินดี
.
.
.
เปลือกตากะพริบช้าๆ ก่อนจะเปิดเต็มที่ ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของชายวัยกลางคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดีและเรียกว่าป๊ามาทั้งชีวิต แต่ในที่สุดเมื่อคืนนี้ก็สามารถก้าวผ่านคำๆ นั้นมาแล้ว

“ตื่นแล้วเหรอเด็กโง่” ปรเมษฐ์ตื่นอยู่แล้วและกำลังจ้องมองมาที่เขา

นภธรณ์หลบตาลงต่ำอย่างสะท้านอาย ยังรู้สึกอุ่นวาบไปทั่วทั้งตัวโดยเฉพาะช่วงล่างของร่างกายกับช่วงเอวที่แขนแกร่งนั้นยังโอบไว้หลวมๆ

“ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ” ปรเมษฐ์ยังคงถามต่อ

“ผม...”

“มีความสุขมากเลยสินะ”

“ก็...”

“ตัวเองเสร็จแล้วก็หลับไปคนเดียวปล่อยให้ฉันตาค้างนอนไม่หลับทั้งคืนเนี่ย ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย!” ปรเมษฐ์พูดเสียงดังพร้อมกับขยี้ผมเด็กหนุ่มจนยู่แล้วพลิกตัวขึ้นคร่อมกดร่างของเด็กหนุ่มไว้กับเตียง

“ผมขอโทษ” นภธรณ์พึมพำ “ผมไม่ได้ตั้งใจนะป๊า”

“แกตั้งใจแกล้งฉันชัดๆ” ปรเมษฐ์เอาคืนด้วยการขโมยหอมแก้มไปข้างละฟอดใหญ่

นภธรณ์ทั้งหัวเราะทั้งเขิน นอกจากแก้มอีกฝ่ายก็จูบเล่นไปทั่วซอกคอในขณะที่เขาทำได้แค่ส่ายหน้าไปมาเพราะมือทั้งสองโดนจับตรึงไว้เหนือหัว “เปล่านะครับ ผมไม่ได้แกล้ง”

“ไม่ได้แกล้งแล้วทำอะไรฮึ”

“ก็มัน... มัน...” คำพูดของเด็กหนุ่มขาดห้วงเมื่อปรเมษฐ์หยุดจูบแล้วเงยหน้าขึ้นสบตา ภาพความทรงจำก็เมื่อคืนๆ ก็ค่อยหวนกลับมา มันเป็นภาพปะติดปะต่อไม่ค่อยชัดเจนแต่ก็ยังพอจดจำได้

ตอนที่เสื้อผ้าถูกดึงออกจากร่างกายทีละชิ้นจนเปลือยเปล่า เขาโผเข้ากอดร่างกายที่หนากว่าเพื่อให้คลายความหนาว รอยจูบกับสัมผัสจากฝ่ามือที่ทำให้ทั่วทุกส่วนของร่างกายตื่นตัวและร้อนรุ่ม จนเขาได้พบกับความรู้สึกเป็นสุขที่ไม่เคยพานพบมาก่อนแล้วภาพก็ตัดไป รู้ตัวอีกทีก็เช้าเสียแล้ว

“เอ่อ... ผมขอแก้ตัว... มาเลยป๊า ผมพร้อมแล้ว”

คนอายุมากกว่าหัวเราะพรืดกับท่าทางของเด็กหนุ่มที่นอนหลับตาทำปากจู๋เสมือนตัวเองเป็นเจ้าหญิงนิทราที่นอนรอให้เจ้าชายมาปลุก(ปล้ำ) มันน่าหมั่นไส้ปนมันเขี้ยวจนเขาอยากแปลงร่างเป็นหมาป่าใจร้ายแล้วขย้ำคอเด็กหนุ่มเสียจริงๆ... หากก็ทำได้แค่คิดเพราะตอนนี้เขากำลังจะไปทำงานสายแล้ว ปรเมษฐ์กดจูบหนักๆ ลงกลางหน้าผากแล้วตัดใจลุกขึ้นจากที่นอน “ฝากไว้ก่อนเถอะเจ้าเด็กดื้อ!”

นภธรณ์ลืมตาแล้วรีบลุกขึ้นนั่ง “ผมไม่ใช่ธนาคารนะป๊าจะได้มาฝากอะไรน่ะ” หากคนเป็นพ่อเดินหายเข้าไปในห้องน้ำแล้ว เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากที่ยังรู้สึกอุ่นไม่หาย

เด็กหนุ่มทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะถอนสายตากลับมามองกรอบรูปของเขากับป๊าที่วางอยู่บนหัวเตียง นี่ช่างเป็นเช้าวันแรกของอายุสิบแปดที่ดีจริงๆ และหวังว่าหลังจากนี้ระหว่างเขากับป๊าจะยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นอีกนะ

ผ่านไปอึดใจปรเมษฐ์ก็เดินแต่งตัวเรียบร้อยออกมาจากห้องน้ำแล้วมาหยุดอยู่ข้างเตียง

“นอฟ”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง “ครับ”

“ผูกเนกไทให้หน่อย”

ตากลมเหลือบลงมองเนกไทสีเลือดหมูในมือใหญ่ที่ยื่นมาตรงหน้า “แต่ผมผูกไม่สวยนะครับ”

“หัดสิ”

“จะได้เอาไว้ผูกให้แฟนตอนไปทำงานใช่ไหมครับ” นภธรณ์ชิงพูดต่อเสียก่อน คนเป็นพ่อคลี่ยิ้มกว้างในขณะที่ลูกชายยิ้มกว้างกว่า เขารีบคว้าเนกไทมาแล้วตวัดมันลงรอบคอปรเมษฐ์

***************************************TBC**************************************************
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Destiny ที่ 16-04-2018 21:25:25
 :mc4: ดีใจมากเลยค่ะ มาต่อตอนพิเศษด้วยยย จะรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อนะค้าา

ปล น้องนอฟ ลูกหลับไปก่อนได้ยังไงคะลูก อีแม่รอให้ลูกโตเป็นสาวเต็มตัวมาทั้งเรื่อง ดั๊นมาหลับก่อนป๊าอิ๊กก โฮฮฮ  :serius2:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 17-04-2018 00:30:05
ฮื่ออออ
อ่านแต่ละตอนไปกัดผ้าเช็ดหน้าไปด้วยตลอดเลยค่ะ
โอ้ยยยยย ป๊าที่ไม่ได้แปลว่าพ่อของนอฟคือพี่โป้นี่เอง.
เราชอบคุณปู่จังเลยค่ะ
หลงหลาน รักหลานมาก ซื้อร้อยอัลบั้มไม่ได้เข้าแฟนไซน์ คราวหน้าพันอัลบั้มต้องมา ยอมล้าวววว  555555.

ชอบทุกเรื่องของคุณคนเขียนค่ะ
ติดตามและเป็นกำลังใจให้กับเรื่องใหม่ด้วยนะคะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 15magnitude ที่ 17-04-2018 10:21:16
นอฟ ขอยาดมให้ป้าหน่อยลูกกกก คุณป๊าฮอทมาก!
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-04-2018 17:56:27
 :a5:

อะไรคือหลับ? ป้าอ่านแล้วแทบระเบิดตัวแทนป๊าเลย
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PUN ที่ 17-04-2018 21:54:01
คือมันดี~~~~~~~~~~~~~~~~

 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Cloudnine ที่ 17-04-2018 22:48:18
เพราะน้องนอฟหลับ เลยอดของดีเล้ยย!!

ไม่พออ่า อยากได้ตอนพิเศษอีก ขอพิเศษใส่ไข่เลยค่ะ

 :o8: :pig4: :hao6:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: vy0Cik ที่ 18-04-2018 23:55:23
ขออนุญาติกรี๊ดความฮอตของคุณป๊าและขออนุญาติหมั่นไส้คุณป๊าค่ะ เกลียดตรง 'ถ้าไม่แกะของขวัญ ของขวัญจะแกะตัวเองแล้วนะ' แต่เนื่องจากคุณป๊าทั้งละมุนทั้งหุ่นแซ่บเราให้อภัย5555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 24-04-2018 17:23:30
โอ้ยชอบบบบ ป๊าเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด
ความรักผูกพันธ์ ยังไงกะตัดไม่ขาด
รักตั้วแต่แรกเกิด ใช่มั้ยเนี่ย ฮ่าาา
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-04-2018 20:14:28
จะเป็นลมค่าา พอรู้ว่าคุณป๊าอดทนมาตลอดยิ่งจะเป็นลมมมม ฮอตอะไรเบอร์นี้คะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: joyey6217 ที่ 24-04-2018 21:56:26
เง้อออออออออ  คุณป๊าาาาา คะ อิชั้นเขิลลลลล ว้ายยย ของขวัญวันเกิดแด่น้องนอฟนี่แซ่บลืมไปเลย
บิดตัวเป็นเกลียวราวกับเป็นน้องนอฟ ป๊าอดทนมาได้ยังไงตั้ง 18 ปี
ป๊านี้ เป็นต้นตำรับการเลี้ยงต้อยอย่างถูกวิธีมาโดยตลอด อิชั้นขอคาราวะค่ะ ฟิตหุ่นเพื่อใช้งานจริงในวันนี้นี่เอง
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 25-04-2018 11:54:25
โอย เขินนน ตัวบิดแล้วอ่ะ งือออออ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 27-04-2018 18:53:41
สนุกมากกกก
อยากรู้เลยว่ายะเป็นพ่อของนอฟรึเปล่า
แล้วการที่ยะหยอดป๊าบ่อยๆนี่คืออะไร
อยากอ่านตอนพิเศษที่นอฟไปนอนบ้านปู่
ป๊าจะทำยังไงบ้าง ตามไปด้วยหรือไม่ไป
ชอบโมเม้นท์ที่ปู่อยู่กับนอฟมากกกกก
น่ารักสุดๆๆ หวังว่าจะมีตอนพิเศษอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 03-05-2018 12:17:43
โอ๊ียยยย มันดีต่อใจ ถึงจะเป็น  incest จริงๆเราจะยอมค่า นาทีนี้ ขอบคุณนักเขียนมากค่าาา :hao7: :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Fish129 ที่ 30-07-2018 21:38:53
แหม คุณป๊า มีขอให้ผูกไทป์ให้

น่ารัก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 01-08-2018 13:47:02
ชอบมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: continued ที่ 25-08-2018 11:45:09
เพิ่งได้มาอ่านตอนพิเศษ จิกหมอนแรงมากกกกก
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: TheLemongrass ที่ 03-10-2018 15:12:36
 :katai5: ชอบงานเขียนทุกเรื่องเลย เรื่องนี้ก็ไม่ผิดหวัง รอตอนพิเศษ และ รวมเล่ม
สงสัยว่า ทำไมป๊าถึงแอบร้องไห้ล่ะ ในเมื่อแห้วตั้งแต่แรกแล้ว  :hao4:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 04-10-2018 03:13:41
เกลียดความของขวัญแกะตัวเอง โอยยยยย  :o8:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 28-10-2018 21:45:42
 :pig4:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: yakkaru ที่ 29-10-2018 03:49:02
พี่โป้โคตรอดทน หลังจากนี้ก็ขอให้กินให้อร่อยนะคะ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: meepoohyoyo ที่ 29-10-2018 10:30:06
 :กอด1: ชอบมากเลยค่าาาาาาาาาาา อ่านเพลินๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 07-01-2019 16:18:50
 :hao5:โห.. หลงรักเด็กเลี้ยงมากับมือจริงๆเลยนะแบบนี้.. เรื่องของใจมันห้ามลำบากเนอะ.. แต่ทางสังคมก็ลำบากเช่นกัน.... ป๊าอ่ะ.ทำแบบนี้เดี๋ยวจะไปฟ้องพี่ยะให้ตัดการดีก่า.. ถ้าจะมีวิธีหวงแกล้งได้เจ็บแสบดี.... ถึงว่าเนอะ.คนเราถ้ามีสายกันจริงๆความรู้สึกทางด้านนี้มันจะไม่เกิดใช่มั้ยคะ.. ยิ่งเป็นสายใกล้ชิดขนาดนี้.. นอกจากภายในไม่เพี้ยนจริงๆ.. เค้าเรียกอะไรไม่รู้จิ.เคยได้ยินมาอ่ะ... แต่ชอบนะเนื้อเรื่องไม่โหดร้าย​มีความละมุนดี.. แล้วก็คิดบอกกันค่อนข้างตรงไม่อมลมกันมากจนเข้าใจผิดเื้อเรื่องเยิ่นเย้อ... ขอบคุณที่มีเรืรองดีๆาให้ได้ประับใจนะคะ.. ถ้ามีพิเศษในพิเศษอีกก็จะดีมากเลยค่ะ.. จุ๊บล่วงหน้า555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 07-01-2019 19:20:14
 :heaven :heaven :heaven
ถึงจะดูเหมือนเป็นเรื่องผิดบาปกับเรื่องสถานะที่เลี้ยงดูกันมา... แต่ให้อภัยในบาปบริสุทธิ์นั้นได้เพราะพี่โป้กับน้องน่ารักจริงๆ.. ไม่ได้ลำเอียงใช่ป่ะ.. อย่าน้อยก็ไม่ใช่สายเลือด.. แล้วก็ออกมาแนวดูแลกัน.. มาจากใจไม่ใช่แบบฉาบฉวย.. เป็นเรื่องของคน2คน.. แต่แอบอยากเป็นคนที่3​ที่ได้ไปนั่งมองอ่ะ55555.. เค้าชอบในความละมุน โอ๊ยยยย..แอบอยากรู้เรื่องต่อจากนี้..ยาว​ยาวววววววว.. อะคึอะคึอะคึ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 08-01-2019 17:18:21
 :katai2-1:61 :katai2-1: :katai2-1:
ถ้าตามท้องเรื่องก็รู้สึกชื่นชมพี่โป้นะ​ มีความตั้งใจเลี้ยงเด็กสักคนให้เติบโตมาได้อย่างดีและน่ารักจริงๆ.ถึงจะดื้ออวดเก่งตามไวไปบ้าง.. แต่พี่โป้ไม่เคยทิ้งน้องเลยริงๆ.... ส่วนแม่น้องถึงจะตกลงว่าไม่ควรมาเจอ.แต่เธอเป็นหญิงใจดำจริงๆอันนี้ไม่ออกความเห็นดีกว่า.. แต่ไม่มีบทเข้ามาสร้างดราม่าก็ดีแล้ว... แต่หลังๆก็แอบชอบโป้ยะเหมือนกันนะ.. ฮาดี5555
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 13-01-2019 10:16:08
นึกถึงคำพูดนึงของสเนปที่พูดกับดับเบิ้ลดอร์

" คุณเลี้ยงเขาเอาไว้เหมือนหมูที่รอวันถูกเชือด"

น่ารักมาก รักป๊า  :L2:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 02-02-2019 21:26:14
น่ารักไปแล้วววว
ทำไมพึ่งมาเจอเรื่องนี้
งือออออ
ชอบมากๆเลยค่าาา
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Sillyfoolstupid ที่ 16-06-2019 11:17:43
กว่าจะได้มีโอกาสมาอ่านจนจบ
คือเริ่มอ่านแล้วดองไว้ อ่านแล้วดองไว้ ไม่รู้กี่รอบ เป็นช่วงชีวิตที่แสนวุ่นวาย
สำหรับเรา ไม่ได้มีปัญหาเรือง incest เลย
รู้สึกว่ามีช่วงโหว่อยู่ว่า พระนายต้องไม่ใช่พ่อลูกกันจริงแน่ๆ
ถึงขั้นสงสัยว่าพี่ยะจะเป็นพ่อด้วยตอนที่พี่แกเปิดตัวได้สักหน่อย
แต่ที่ช็อคสุดในเรื่องน่าจะเป็นความหลากหลายทางเพศสัมพันธ์ของพี่ยะ
คือพี่เคยกับตาแก่นั่นจริงดิ่ พี่รุกหรือรับ 55555
ชอบความรักหลานเห่อหลานของคุณปู่บังเอิญค่ะ
งอนเก่งด้วย 555
จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ รอๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 30-06-2019 09:12:29
ดีมากเลย หือออออ
เคมีป๊ากับนอฟนี่มันลงตัวจริงๆ เราชอบการดำเนินชีวิต ชอบชีวิตประจำวันของสองพ่อลูก

เขามีกันสองคนอ่ะเนอะ จะรัก จะห่วง จะหวงกันก็ธรรมดาเนอะป๊าเนอะ

ภาษาดีมากเลยค่ะ อ่านลื่นไหล ไม่มีสะดุด มีคำผิดบ้างแต่น้อยจริงๆ

ส่วนพล็อตเราว่ามันเป็นไปตามเหตุการณ์ ตามความรู้สึกของคนสองคน ที่เขามีกันอยู่และผ่านทุกเรื่องราวมาด้วยกัน

รักสองพ่อลูกนี้จริงๆ ป๊าน่ารัก นอฟก็ดื้อซะให้ป๊าดุจริงๆ
หัวข้อ: Re: #Falsetto เสียงซ่อนหัวใจ# Adlib1 Birthday Night P.9 [16/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:35:44
 :pig4: