ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
"สุดขอบฟ้า"
https://www.youtube.com/watch?v=J3fA3wH2Xuk
แนะนำให้ฟังเพลงไปด้วยนะคะเพื่อความลึกซึ้ง 555
ผมชอบมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าที่ปกคลุมโลกไปทั่วทุกพื้นที่ที่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจ
ท้องฟ้าทำให้ผมรู้สึกมีอิสระ ถ้าผมมีปีกบินได้มันก็คงจะดีสินะ
อีกอย่างท้องฟ้าทำให้ผมนึกคนใครบางคน เพราะเวลาที่อยู่เฉยๆเพื่อมองท้องฟ้าจะมีสายลมที่พัดผ่านหน้าผมไป
สายลมที่แค่พัดผ่านไปแต่ไม่เคยพัดอะไรกลับมา เหมือนโชคชะตาที่พัดใครบางคนผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป
สายลมอ่อนๆที่พัดผ่านท้องฟ้าไม่ว่าจะในวันที่ฟ้าสดใส หรือวันที่ฟ้าหมองหม่น
สายลมที่เปรียบเสมือนตัวเขา ที่ลอยเคว้งอยู่ในอากาศอยู่ใกล้กับท้องฟ้า เป็นสายลมที่ไม่มีตัวตนแต่เราสัมผัสได้ว่ามีอยู่
.
.
.
.
และความรู้สึกเวลาที่ได้มองท้องฟ้าสัมผัสกับสายลมเอื่อยๆมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เอ้า! ทุกคนนั่งที่ได้แล้ว เทอมนี้มีเด็กใหม่ย้ายเข้ามาครูพามาแนะนำให้รู้จัก”
“สวัสดีครับ ผมชื่อ ‘นภนต์’ เรียกสั้นๆว่าภนต์ก็ได้ครับ ฝากตัวด้วยนะครับ”
“นภนต์เธอไปนั่งข้างๆ ‘อนิละ’ ที่อยู่ข้างหน้าต่างนะ โต๊ะที่ว่างอยู่ตรงนั้น”
“ครับผม”
“หวัดดี เราชื่อนภนต์นะ นายชื่ออนิละใช่ไหม”
“อือ หวัดดี”
“เราไม่มีชื่อเล่นนะ แล้วนายมีเปล่า”
“มี เราชื่อลม”
รอยยิ้มบางๆจากคู่สนทนาที่ส่งมาให้นั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนเวลาที่ยืนมองท้องฟ้าแล้วมีสายลมเอื่อยๆพัดผ่าน
สงสัยต่อจากนี้นอกจากยืมมองท้องฟ้าแล้วผมคงรอให้มีสายลมพัดผ่านตัวผมไปด้วย
การมองท้องฟ้าหลังจากวันนี้ไปคงมีความสุขมากขึ้นจากเดิมเป็นกอง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วถึงห้าปี
ห้าปีที่ผมมองเขา พร้อมๆกับการมองท้องฟ้าที่มีสายลมเอื่อยๆพัดผ่าน
สายลมที่ไม่ว่าเวลาใดที่ได้สัมผัส ก็มักให้ความรู้สึกที่อิ่มอยู่ในใจ
สายลมที่เปรียบเสมือนตัวเขา
“ภนต์ ปะกลับบ้านกัน”
นั่นไงสายลมของผมมาแล้ว มาพร้อมกับรอยยิ้มที่ผมหลงรัก
นั่นสินะ ผมแอบรักเพื่อนตัวเองมาห้าปีแล้ว
หลังจากที่ได้รู้จักรอยยิ้มที่เหมือนสายลมที่พัดผ่านนั่นผมก็ไม่เคยละสายตาออกจากมันได้เลยสักครั้ง
“เออกลับบ้านกัน”
แต่มันเสี่ยงเกินไป ผมที่เป็นผู้ชาย และเขาก็เป็นผู้ชาย
การเก็บความรู้สึกมาถึงห้าปีและท่าทีของเขาคงทำให้ผมต้องเก็บมันมากขึ้นไปอีกปี และอีกปี
.
.
.
.
.
.
.
“พี่ภนต์คะ เอ่อ.. คือ.. หนูชอบพี่ค่ะ!”
เสียงเด็กผู้หญิงเจ้าของผมเปียที่ยาวถึงกลางหลัง เด็กโรงเรียนหญิงล้วนที่อยู่เยื้องไปจากโรงเรียนชายล้วนของผม
เธอทำให้ผมตกใจ ในระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากตึกเพื่อกลับบ้านพร้อมลม
“เอ่อ..”
ผมตอบอะไรไปไม่ถูก ทำได้แต่เหลือบมองคนข้างๆที่ยังคงทำหน้าตาปกติ
แต่ปราศจากรอยยิ้มอย่างที่เคยเห็นเป็นประจำ ผมไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่า แต่ถ้าให้ผมเดาก็คงเดาว่าไม่
เพราะนี่มันไม่ใช่ครั้งแรก พอๆกับเขาที่ก็มีเด็กผู้หญิงมาสารภาพรักอย่างนับไม่ถ้วนเหมือนกัน
“เดี๋ยวไปนั่งรอนะ หรือถ้าจะไม่กลับพร้อมกันก็ไลน์มาบอกด้วย”
“อืม”
และมันก็จบลงที่แบบนี้ แบบที่เขาจะเดินหนีผมไป ไม่เคยหันกลับมา
“ขอโทษด้วยนะครับ แต่พี่มีคนที่ชอบแล้ว”
และหลังจากนั้นผมก็จะปฏิเสธกับทุกกคนด้วยประโยคนี้เสมอไป
.
.
.
.
สิ่งสุดท้ายที่มักจะเกิดหลังเหตุการณ์แบบนี้ก็คือ
ผมที่เดินกลับมาหาเขาที่นั่งอยู่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่ ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง
และสายตาของผมที่ยังคงจับจ้องอยู่ที่เขา
‘หรือถึงเวลาที่ผมควรบอกเขาไปสักทีนะ’ ผมคิด
‘อย่าเลย เขาเป็นเพื่อนนะ แถมยังเป็นผู้ชายด้วย’ ผมอีกฝั่งคิด
‘แต่เหลือปีสุดท้ายแล้วนะที่จะได้อยู่ด้วยกันในรั้วโรงเรียน’ ผมอีกฝั่งโต้กลับไป
‘ก็ไม่ได้หายจากกันไปเลยไม่ใช่หรือไง เป็นเพื่อนเป็นได้ทั้งชีวิตนะ’ ความคิดสุดท้ายที่ผมคิด
และมันก็จะจบอยู่แค่ความคิดสุดท้าย ที่ผมไม่มีวันได้บอกออกไป และยอมเป็นเพื่อนที่ไม่ได้คิดแค่เพื่อนต่อไปตราบเท่าที่เขาต้องการ
“ปะ กลับบ้านกัน”
ผมเดินไปสะกิดไหล่เขา
“อือ”
แต่สิ่งสุดท้ายวันนี้มันต่างออกไป ผมที่มักจะไลน์บอกเขาว่ากลับก่อนเลยแล้วเดินกลับบ้านคนเดียว
เลือกที่จะเดินมาหาเขาและเดินกลับบ้านด้วยกันอย่างที่มันเคยเป็นมาตลอดห้าปี
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ก็ว่าอยู่หายไปไหน ที่แท้ก็มานั่งอยู่ตรงนี้อีกแล้ว”
วันนี้วันสุดท้ายของการเป็นเด็กมัธยมกางเกงขาสั้น
และมันคือสัญญาณเตือนว่าหลังจากนี้ไปผมกับเขาจะไม่ได้อยู่ใกล้กันอย่างที่เคยเป็นมาตลอดหกปีแล้วนะ
ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
“ก็ในหอประชุมคนเยอะ วุ่นวาย”
“แต่วันนี้วันปัจฉิมไง ไม่อยากอยู่กับเพื่อนบ้างหรอ”
“อยู่ด้วยกันแค่นี้ก็พอแล้ว”
ลมหายใจผมสะดุดไปกับประโยคล่าสุดที่เพิ่งออกจากปากเขา
ใจที่อยู่ดีๆก็เต้นแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่คนพูดอาจไม่คิดมากอะไรกับประโยคที่เพิ่งออกมาเสียด้วยซ้ำ
“ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่”
นั่นสินะ ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกัน
“เขียนเสื้อให้หน่อยดิ”
ผมพูดก่อนจะยื่นปากเมจิกไปให้เขา และหันหลังให้ เสื้อผมที่มีรอยปากกาจากเพื่อนอยู่จนเกือบเต็ม
แต่ของเขากลับตรงกันข้าม ผมรับรู้ได้ถึงแรงจากปากกาที่ค่อยๆลากเป็นตัวอักษรอยู่บนหลังผม
พยายามอ่านจากรอยสัมผัสแต่ก็ล้มเลิกแล้วบอกว่าค่อยกลับไปอ่านที่บ้านก็ได้
“เสร็จแล้ว”
“เดี๋ยวเขียนให้บ้าง เอาไหม”
“เอาดิ”
ผมค่อยๆจรดปากกาลงบนเสื้อของเขา คิดอยู่นานว่าควรเขียนดีไหม
แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะเขียนสิ่งที่ผมอยากบอกมาตลอดในใจไป
เพราะหลังจากนี้ผมอาจจะไม่ได้เจอเขาแล้วก็ได้
“เสร็จแล้ว”
ผมตบมือไปบนรอยที่เพิ่งเขียนเบาๆหนึ่งที
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา
ต่างคนต่างกำลังจมอยู่ในความคิด เวลากำลังผ่านไปเหมือนแม่น้ำที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับ
สายลมของยามสนธยาที่พัดเอื่อยๆ และเสียงนกร้องที่ลอยมาตามลม
ผมกำลังเก็บเกี่ยวทุกวินาทีที่ได้อยู่กับเขา ก่อนที่เราต่างคนต่างแยกกันไป
“ลม มีเพลงจะให้ฟัง”
“เอามาดิ”
.
.
มีเพลงเพลงนึงที่เคยร้องให้เธอฟัง
แต่ไม่รู้ว่ายังจำได้หรือเปล่า
วันและเวลาอาจจะหมุนและเวียนไป
แต่ใจความในเพลงนั้นของเรา
ก็ยังคงเฝ้าย้ำพูดถึง ความรักที่ลึกซึ้ง
และยังคงตรึงในหัวใจนานแค่ไหน ก็เหมือนเก่า
เหมือนวันแรกที่เรา เจอกัน
.
.
เรากำลังนั่งฟังเพลงด้วยกัน เสียบหูฟังไว้คนละข้าง ที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่
และใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นรอบๆตัว ที่ประจำของเรา กับเพลงโปรดของลม ‘รักคุณเข้าอีกแล้ว’
.
.
.
เก็บเพลงรักนี้ให้เป็นของขวัญ
ให้เธอได้รับได้รู้หัวใจของฉัน
แม้คืนวันจะเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหน
แต่ใจของฉันที่รักเธอนั้น
ต่อให้ต้องลงนรกหรือขึ้นสรวงสวรรค์
ฉันก็จะไม่มีวันมอบให้ใคร
.
.
เหมือนกับที่ใจของผมที่รักลมมาตลอดห้าปี และมันจะไม่วันเปลี่ยนไป
.
.
ฉันขอมอบชีวิตทั้งหมดไว้
ฝากให้กับเธอเพียงผู้เดียว
.
.
จาก นภนต์ ที่แปลว่า สุดขอบฟ้า ให้กับ อนิละ ที่แปลว่า ลม
.
.
.
“กลับบ้านกันเถอะ”
ลมพูดก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ยิ้มเหมือนวันแรกที่เจอกัน ยิ้มที่ทำให้ผมรัก
และผมก็ทำได้แค่ยิ้มกลับไป ยิ้มแบบที่ผมชอบยิ้มเวลาที่มีความสุข
เพราะยิ้มนี้คือยิ้มที่ผมมอบให้เขาในวินาทีสุดท้ายในการนั่งด้วยกันที่ตรงนี้
ก่อนที่มันกำลังจะกลายเป็นอดีตที่ประจำของเรา
“อืม กลับบ้านกัน”
.
.
.
.
.
.
.
'Side Story'
ผมชอบมองท้องฟ้า
เพราะพ่อเคยบอกว่าแม่กลับไปอยู่บนท้องฟ้าที่แสนสดใสนั่นแล้ว
พ่อบอกว่าแม่จากที่ๆแม่เคยอยู่มานานแล้ว ถึงคราวที่แม่จะต้องกลับไปอยู่ในที่ของแม่ ซึ่งนั่นก็คือท้องฟ้า
มันจึงเป็นสาเหตุที่ผมชอบมองท้องฟ้า
ในวันที่ผมยังเป็นเด็ก เวลาที่มองท้องฟ้าผมก็มักจะมองหาแม่ เผื่อว่าวันไหนผมจะเห็นรอยยิ้มของแม่ส่งมาให้ผมบ้าง
ผมได้แต่หวังว่าแม่อยู่บนฟ้าแล้วแม่จะมีความสุข และบอกให้แม่รอผมกับพ่อหน่อยนะ
อีกไม่นานเราจะต้องได้กลับมาอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแน่นอน
เวลาผ่านมาและผมโตขึ้น ผมเลิกมองหารอยยิ้มของแม่บนท้องฟ้าแล้ว เพราะผมรู้แน่นอนว่าคงไม่มีวันได้เห็น
แต่สิ่งที่ผมยังมองหาจากท้องฟ้าก็คือความสุข และความสบายใจที่ได้เห็นบ้านของแม่สดใส
หากวันไหนที่มันมืดครึ้มผมก็ได้แต่ภาวนาให้แม่กลับมามีความสุขเร็วๆ
จนเมื่อผมได้เจอเขา
ความหมายของการมองท้องฟ้าผมก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเหตุผล
เพราะเขาเปรียบเสมือนท้องฟ้าและผมชอบที่จะได้มองเขา
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เอ้า! ทุกคนนั่งที่ได้แล้ว เทอมนี้มีเด็กใหม่ย้ายเข้ามาครูพามาแนะนำให้รู้จัก”
“สวัสดีครับ ผมชื่อ ‘นภนต์’ เรียกสั้นๆว่าภนต์ก็ได้ครับ ฝากตัวด้วยนะครับ”
“นภนต์เธอไปนั่งข้างๆ ‘อนิละ’ ที่อยู่ข้างหน้าต่างนะ โต๊ะที่ว่างอยู่ตรงนั้น”
“ครับผม”
“หวัดดี เราชื่อนภนต์นะ นายชื่ออนิละใช่ไหม”
“อือ หวัดดี”
“เราไม่มีชื่อเล่นนะ แล้วนายมีเปล่า”
“มี เราชื่อลม”
รอยยิ้มพร้อมเขี้ยวเล็กๆที่โผล่มาในวันนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมืองมองท้องฟ้าที่ชอบมองเป็นประจำ
หากแต่วันนี้มันสดใสมากขึ้นกว่าเดิม
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วถึงห้าปี
ห้าปีที่ผมมองเขา พร้อมๆกับการมองท้องฟ้าและคิดถึงแม่อยู่ทุกวัน
หากแต่วันนี้ผมไม่เศร้าถึงขั้นมองฟ้าและร้องไห้อีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะโตขึ้น หรือเพราะมีเขาที่เปรียบเหมือนท้องฟ้าอันอบอุ่นอยู่ข้างๆผม
“ลมเหม่อไรอยู่”
“ไม่มีไร”
“เป็นอะไรก็บอกได้นะ อย่างน้อยก็มีเรา”
เอาอีกแล้วภนต์พูดแบบนี้อีกแล้ว ผมไม่อยากเข้าข้างตัวเองเลยจริงๆนะ
ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันมาถึงห้าปีแล้วนะ แต่ใจผมก็ยังไม่เลิกเต้นแรงกับคำพูดแบบนี้สักที
“ไม่มีอะไร ก็แค่มองฟ้าแล้วคิดถึงแม่”
ภนต์หันมามองหน้าผมด้วยรอยยิ้มโชว์เขี้ยวเล็กๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัว และกับใจผมที่เต้นแรง
บนทางที่เราเดินกลับบ้านด้วยกันทุกวันนั้นมีแต่ความเงียบปกคลุม
แต่เราต่างก็รู้ว่ามันไม่มีความอึดอัดแม้แต่นิดเดียว
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“พี่ภนต์คะ เอ่อ.. คือ.. หนูชอบพี่ค่ะ!”
เสียงเด็กผู้หญิงเจ้าของผมเปียที่ยาวถึงกลางหลัง เด็กโรงเรียนหญิงล้วนที่อยู่เยื้องไปจากโรงเรียนชายล้วนของผม
ดังขึ้นมาในระหว่างที่ผมกำลังจะเดินออกจากตึกเพื่อกลับบ้านพร้อมภนต์
“เอ่อ..”
เสียงภนต์ดังขึ้นมาก่อนที่จะเหลือบมามองหน้าผมนิดหน่อย คงจะอึดอัดหรือไม่ก็เขินที่จะรับคำสารภาพหากมีผมอยู่ด้วย
ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไงจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก มันไม่ใช่ครั้งแรกพี่ผมและภนต์เจอเหตุการณ์แบบนี้
แต่ให้ตายเถอะ ไม่ว่าจะให้เจออีกกี่ครั้งผมก็ทำใจให้ชินไม่ได้หรอก เพราะผมแอบรักเพื่อนสนิท
“เดี๋ยวไปนั่งรอนะ หรือถ้าจะไม่กลับพร้อมกันก็ไลน์มาบอกด้วย”
“อืม”
สุดท้ายความขี้ขลาดของผมก็ทำเพียงได้แค่บอกประโยคเดิมๆแล้วเดินจากไป
ผมพยายามที่จะไม่หันหลังกลับไปมองเพราะกลัวเจอภาพบาดตา
อย่างผมที่เป็นแค่เพื่อนก็คงทำได้แค่นี้แหละ ถึงจะอยากบอกความในใจออกไปมากสักเท่าไหร่
แต่ระหว่างเราก็ยังมีเส้นบางๆคั่นอยู่ คือเราทั้งคู่เป็นผู้ชาย
.
.
.
.
ผมกำลังนั่งมองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องมานั่งรอข้อความจากภนต์ที่บอกให้ผมกลับบ้านไปก่อน
ทุกครั้งผมพอจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แต่วันนี้ทำไมแค่มองฟ้าผมยังรู้สึกเศร้ามากกว่าทุกครั้ง
เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจมันใกล้จะปะทุขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟรอวันใกล้ระเบิด
‘เราจะเก็บความรู้สึกนี้ต่อไปได้จริงๆหรอ’ ผมคิด
‘เก็บได้ดิ ก็เก็บมาถึงห้าปีแล้ว ให้เก็บต่อไปอีกกี่ปีก็ทำได้แหละหน่า’ ผมอีกฝั่งคิด
‘แต่เราเหนื่อยแล้ว’ ความคิดผมอีกฝั่งตอบกลับไป
‘เหนื่อยแล้วยังไง เหนื่อยแล้วถ้าบอกไปต้องเสียงทั้งเพื่อนทั้งภนต์จะยังไง’ ผมอีกฝั่งยังไม่ยอมแพ้
“นั่นสินะ”
ผมพึมพออกมาเบาๆ แล้วตัดใจในสิ่งที่อยากทำให้ได้มากที่สุด
แลกกับได้บอกแต่เสียภนต์ไปผมไม่เอาด้วยหรอก ถ้าจะได้เป็นแค่เพื่อนแต่เป็นไปตลอดผมยอมก็ได้
“ปะ กลับบ้านกัน”
ผมตกใจที่ภนต์เดินมาสะกิดไหล่เรียก เพราะมันแปลกไปจากเดิมที่ผมจะต้องเดินกลับบ้านคนเดียว
“อือ”
แต่ไม่ว่าวันนี้ทุกอย่างก็แปลกไปจากเดิมเกือบทุกอย่างแล้วยังไง
เพียงแค่ผมได้เดินกลับบ้านพร้อมกับภนต์เหมือนเดิมอย่างที่เคยทำมาตลอดห้าปีก็ทำให้ผมมีความสุขขึ้นมาได้แล้ว
.
.
.
.
.
.
.
วันนี้แล้ว วันสุดท้ายของการเป็นเด็กมัธยม
หลังจากวันนี้ไปผมจะต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ อยู่ในสังคมที่มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน
การทำงาน การแข่งขันทางธุรกิจ และอะไรอีกมากมายที่จะต้องพบเจอจากนี้ในวันที่โตยิ่งขึ้นไปอีก
ได้แต่คิดว่าเมื่อวันนั้นมาถึงผมจะทนอยู่ได้ขนาดไหนนะ
ในวันที่ผมและภนต์อาจจะไม่ได้อยู่ข้างกันอย่างที่ผ่านมาตลอดหกปี
“ก็ว่าอยู่หายไปไหน ที่แท้ก็มานั่งอยู่ตรงนี้อีกแล้ว”
เสียงภนต์ที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังดึงให้ผมหลุดออกจากความคิดที่กำลังลอยไปไกล
เสียงแหบทุ้มที่ผมคุ้นเคย และตกหลุมรักมาโดยตลอด
“ก็ในหอประชุมคนเยอะ วุ่นวาย”
“แต่วันนี้วันปัจฉิมไง ไม่อยากอยู่กับเพื่อนบ้างหรอ”
“อยู่ด้วยกันแค่นี้ก็พอแล้ว”
ผมหลุดปากพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป เหลือบตาไปมองคนที่มานั่งข้างๆ กลัวภนต์จะรู้ถึงความผิดปกติจากประโยคนั้น
“ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่”
จำเป็นต้องพูดแก้ต่างออกไปเพราะกลัวภนต์เข้าใจผิด แต่ก็รู้เจ็บในอกขึ้นมาเสียเองกับคำว่า ‘เพื่อนสนิท’
“เขียนเสื้อให้หน่อยดิ”
ผมหันไปรับปากกาเมจิกจากภนต์มา เสื้อภนต์มีรอยปากกาเต็มไปหมด แตกต่างจากของผมที่หนีไม่เข้าห้องประชุม
ผมคิดอยู่นานว่าจะเขียนแค่ โชคดี ไว้เจอกัน มีความสุขมากๆ หรือเลือกเขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
แต่สุดท้ายอารมณ์และทุกอย่างก็ดึงให้มือผมเขียนแค่คำว่า 'เพื่อนสนิท'
“เสร็จแล้ว”
“เดี๋ยวเขียนให้บ้าง เอาไหม”
“เอาดิ”
จริงๆนี่ก็คือจุดประสงค์ที่เสื้อผมขาวสะอาดขนาดนี้แหละมั้ง เพราะผมเก็บไว้ให้ภนต์เขียนคนเดียว
ใช่ว่าผมไม่เห็นหัวเพื่อนคนอื่นนะ แต่อะไรที่สำคัญผมก็อยากจะให้มีอยู่แค่อย่างเดียว และภนต์คือคนสำคัญ
“เสร็จแล้ว”
ภนต์พูดก่อนจะตบลงเบาๆที่หลังผม
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา
ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ความอึดอัด
แต่เรากำลังเกี่ยวช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกัน ก่อนที่ต่างคนต่างจะต้องแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง
ชีวิตที่ผมจะไม่มีภนต์เดินกลับบ้านพร้อมกันหลังเลิกเรียนอีกแล้ว
“ลม มีเพลงจะให้ฟัง”
“เอามาดิ”
ผมรับหูฟังมาจากภนต์ และนั่งรอเพลงที่ภนต์กำลังจะเปิด
.
.
เก็บเพลงรักนี้ ไว้ให้เธอ เมื่อวันใดที่เจอะเจอ
ฉันก็พร้อมและยินยอมมอบความรัก และจิตใจ
ชั่วนิรันดร์ (ชั่วนิรันดร์)
.
.
มีเพลงเพลงนึงที่เคยร้องให้เธอฟัง
แต่ไม่รู้ว่ายังจำได้หรือเปล่า
วันและเวลาอาจจะหมุนและเวียนไป
แต่ใจความในเพลงนั้นของเรา
ก็ยังคงเฝ้าย้ำพูดถึง ความรักที่ลึกซึ้ง
และยังคงตรึงในหัวใจนานแค่ไหน ก็เหมือนเก่า
เหมือนวันแรกที่เรา เจอกัน
.
.
แค่อินโทรและท่อนแรกขึ้นมา ผมก็รับรู้ได้ในทันทีว่านี่คือเพลงโปรดของผม เพลง ‘รักคุณเข้าอีกแล้ว’
ใจผมเต้นแรกขึ้นมาจนกลัวว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆกันนั้นจะสัมผัสได้
.
.
.
เก็บเพลงรักนี้ให้เป็นของขวัญ
ให้เธอได้รับได้รู้หัวใจของฉัน
แม้คืนวันจะเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหน
แต่ใจของฉันที่รักเธอนั้น
ต่อให้ต้องลงนรกหรือขึ้นสรวงสวรรค์
ฉันก็จะไม่มีวันมอบให้ใคร
.
.
จะมีเพียงเธอแค่เพียงคนเดียว
และจะมีแต่เธอ เธอแค่เพียงคนเดียว
และจะเป็นเพียงคนเดียวเสมอไป
ที่ฉันฝากชีวิต ทั้งหมดไว้
โดยไม่มีวันทวงกลับคืน
.
.
ท่อนนี้เป็นท่อนที่ผมชอบมากที่สุดเลยแหละ เพราะมันเหมือนกับหัวใจที่ผมยอมให้ภนต์ และผมจะไม่มีวันทวงกลับคืนมา
.
.
ฉันขอมอบชีวิตทั้งหมดไว้
ฝากให้กับเธอเพียงผู้เดียว
.
.
ผม อนิละ ที่แปลว่า ลม และ นภนต์ ที่แปลว่า สุดขอบฟ้า
กับที่ตรงนี้โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่ สายลมที่พัดมาแผ่วเบา
และใจผมที่รักแต่คนเดียวมาตลอดหกปี ณ วินาทีผมจะไม่มีวันลืม
.
.
.
“กลับบ้านกันเถอะ”
หลังจากเพลงจบผมก็หันกลับไปยิ้มให้ภนต์ ยิ้มแบบที่ผมชอบยิ้มเวลามองฟ้าแล้วคิดถึงแม่
ยิ้มแบบที่แม่เคยบอกว่าแม่รักรอยยิ้มนี้ที่สุด และเพราะเวลานี้ผมอยู่กับภนต์ผมจึงอยากให้เขาเห็นรอยยิ้มนี้
ยิ้มที่ผมมีความสุขในวินาทีสุดท้ายในการนั่งด้วยกันที่ตรงนี้ ผมจะจดจำทุกอย่าง
รวมไปถึงรอยยิ้มของภนต์ ยิ้มที่โชว์เขี้ยวๆเล็กๆนั่น เป็นยิ้มที่ผมรัก ก่อนที่มันกำลังจะกลายเป็นอดีตที่ประจำของเรา
“อืม กลับบ้านกัน”
.
.
.
.
.
.
.
‘After Story’
.
.
.
.
.
ตอนนี้ผมกับภนต์เรากำลังเดินกลับบ้านพร้อมกันอย่างที่เคยทำมาตลอดหกปี
รอบตัวเรามีแต่ความเงียบอีกครั้ง
แต่ผมกลับรู้สึกว่าใจของผมมีความสุขกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
เราไม่ได้เดินจับมือกัน หรือพูดคุยอะไรกัน
มีแค่เสียงฝีเท้าของเราสองคนที่กำลังก้าวไปเรื่อยๆ
เราเดินไปกันเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ปากซอยบ้านผมที่อยู่ตรงข้ามซอยบ้านภนต์
ผมเงียบ และภนต์ก็เงียบ
ผมยิ้ม และภนต์ก็ยิ้ม
“ไปก่อนนะ”
“แล้วเจอกันนะ”
แล้วเราก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน
เกิดเสียงหัวเราะขึ้นเบาๆระหว่างสองเรา และความสุขกำลังล้นปรี่อยู่ในอกผม
ไม่รู้ว่าภนต์จะเป็นเหมือนกับผมไหม แต่เมื่อมองหน้าภนต์ผมก็หวังเข้าข้างตัวเองว่าภนต์ก็คงจะ คิดเหมือนกัน
.
.
.
.
.
เราสองคนแยกกันแล้ว
ผมเดินกลับมาที่บ้าน และภนต์ก็กำลังเดินกลับบ้านภนต์เหมือนกัน
ระยะทางระหว่างเราสองคนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าใจเราใกล้กัน
จนกระทั่ง..
ผมไขกุญแจประตูรั้วก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้าน
และ
.
.
.
.
ปัง! ปัง! ปัง!
.
.
.
.
ใจผมกระตุก และมันกำลังร่วงไปอยู่ที่ปลายเท้า
สมองผมเริ่มคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี
ผมรีบวิ่งออกจากบ้าน
บนถนนมีคนมุงหยุดยืนดูอะไรบางอย่าง
ผมได้ยินเสียงคนพูดในขณะที่ผมกำลังวิ่งว่า ‘มีคนโดนยิง’
ในที่สุดผมก็วิ่งมาถึงจุดที่ทุกคนกำลังยืนอยู่
มันใกล้บ้านภนต์เกินไป
ผมมองไปรอบๆเพื่อหาคนที่อยากเจอมากที่สุด
แต่ผมก็ไม่เห็น..
ผมนิ่ง และเริ่มก้าวขาไม่ออก
ลุงที่ยืนอยู่ข้างๆผมพูดขึ้นมาว่า
“น่าสงสารไอ้หนุ่มนั่นนะ เมื่อกี้มีพวกอันธพาลวิ่งตีกันมาแถวนี้
จนมีพวกนึงยกปืนขึ้นมายิง ทั้งๆที่อยู่ในชุมชน และก็โชคร้ายที่มีเด็กโดนลูกหลง”
เสียงไซเรนกำลังใกล้เข้ามา
คงมีพลเมืองดีโทรแจ้งตำรวจ และหน่วยกู้ภัยแล้ว
เสียงไซเรนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
พร้อมกับผมที่ค่อยๆก้าวเข้าไปในจุดเกิดเหตุ
เสียงไซเรนมาถึง
และพอดีกับที่ผมก็เห็น..
“นภนต์!!!!!!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมกำลังมีความสุขมากๆ
เหมือนเพลงนั้นช่วยอะไรเราสองคนได้มากขึ้น
ถึงระหว่างทางจะมีแต่ความเงียบ แต่ใจผมดันมีแต่ความสุข
เราเดินไปกันเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ปากซอยบ้านผมที่อยู่ตรงข้ามซอยบ้านลม
ผมเงียบ และลมก็เงียบ
ผมยิ้ม และลมก็ยิ้ม
“แล้วเจอกันนะ”
“ไปก่อนนะ”
แล้วเราก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน
เกิดเสียงหัวเราะขึ้นเบาๆระหว่างสองเรา ความสุขกำลังล้นปรี่อยู่ในอกผม
.
.
.
.
.
ผมแยกกับลมแล้ว
ผมกำลังเดินกลับมาที่บ้าน และลมก็กำลังเดินกลับบ้านเหมือนกัน
ระยะทางระหว่างเราสองคนกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าใจเราใกล้กัน
จนกระทั่ง..
.
.
.
“เฮ้ย พวกมึงอย่าหนีนะเว้ย!!”
“พวกมึงอย่าปล่อยให้มันรอดไปได้!!”
เสียงเอะอะโวยวายกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
มีเสียงของผู้หญิงร้องปนมาอยู่บ้าง และเสียงตะโกนที่บอกอยู่ตลอดว่า ‘หลบไป’
ผมหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นพวกอันธพาลวิ่งไล่กันมาใกล้เรื่อยๆ
และ
.
.
.
.
ปัง! ปัง! ปัง!
.
.
.
.
ผมกำลังเจ็บ มันเจ็บกว่าตอนที่วิ่งหกล้มแล้วเข่าถลอกตอนเด็กๆมาก
ผมไม่มีแรงจะยืนอยู่แล้ว
ผมรับรู้ว่าผมกำลังค่อยๆทรุดลงไป
ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่ไม่ไกล พร้อมเสียงตะโกนว่า ‘มีคนโดนยิง’
อ่า นั่นสินะ ผมน่าจะเป็นคนๆนั้น
เจ็บจังเลยแฮะ
ลมจะเป็นไงบ้างนะ พวกมันจะไม่ได้ไปหาลมใช่ไหม
ลมจะปลอดภัยใช่ไหม
นี่ผมกำลังจะตายหรือเปล่านะ
แต่ผมจะยังตายไม่ได้สิถึงวันนี้จะมีความสุขแต่ผมยังไม่ได้รอฟังคำตอบจากคำที่ผมเขียนเสื้อให้ลมเลย
ผมยังไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วยผมสอบติดมหาลัยแล้ว
และผมยังไม่รู้เลยว่าลมเขียนเสื้อให้ผมว่าอะไร
แต่ผมเจ็บจังเลย..
“ลม..”
“นภนต์!!!!”
.
.
.
.
ฉันขอใช้ช่วงเวลาทั้งชีวิตที่ฉันมี
ฉันขอใช้ไปกับเธอ กับเธอ เธอคนนี้
.
.
.
.
เก็บเพลงรักนี้ให้เป็นของขวัญ
ให้เธอได้รับได้รู้หัวใจของฉัน
แม้คืนวันจะเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหน
แต่ใจของฉันที่รักเธอนั้น
ต่อให้ต้องลงนรกหรือขึ้นสรวงสวรรค์
ฉันก็จะไม่มีวันมอบให้ใคร
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
‘The End of Story’
ผมชอบมองท้องฟ้า
เพราะพ่อเคยบอกว่าแม่กลับไปอยู่บนท้องฟ้าที่แสนสดใสนั่นแล้ว
พ่อบอกว่าแม่จากที่ๆแม่เคยอยู่มานานแล้ว ถึงคราวที่แม่จะต้องกลับไปอยู่ในที่ของแม่ ซึ่งนั่นก็คือท้องฟ้า
มันจึงเป็นสาเหตุที่ผมชอบมองท้องฟ้า
ในวันที่ผมยังเป็นเด็ก เวลาที่มองท้องฟ้าผมก็มักจะมองหาแม่ เผื่อว่าวันไหนผมจะเห็นรอยยิ้มของแม่ส่งมาให้ผมบ้าง
ผมได้แต่หวังว่าแม่อยู่บนฟ้าแล้วแม่จะมีความสุข และบอกให้แม่รอผมกับพ่อหน่อยนะ
อีกไม่นานเราจะต้องได้กลับมาอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแน่นอน
เวลาผ่านมาและผมโตขึ้น ผมเลิกมองหารอยยิ้มของแม่บนท้องฟ้าแล้ว เพราะผมรู้แน่นอนว่าคงไม่มีวันได้เห็น
แต่สิ่งที่ผมยังมองหาจากท้องฟ้าก็คือความสุข และความสบายใจที่ได้เห็นบ้านของแม่สดใส
หากวันไหนที่มันมืดครึ้มผมก็ได้แต่ภาวนาให้แม่กลับมามีความสุขเร็วๆ
จนเมื่อผมได้เจอเขา
ความหมายของการมองท้องฟ้าผมก็เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเหตุผล
เพราะเขาเปรียบเสมือนท้องฟ้าและผมชอบที่จะได้มองเขา
หากแต่วันนี้
ผมกลับเริ่มมองท้องฟ้าพร้อมหยดน้ำตาที่กำลังไหลริน
ภาพรอยยิ้มของคนตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอ
ในมือผมมีเสื้อนักเรียนที่สีเริ่มซีดจางจากเวลาที่ผ่านพ้นไป
แต่ยังมีคำๆนึงที่ยังคงชัดเจน
‘รัก’
คำที่ถูกเขียนด้วยปากกาสีแดงบนเสื้อ ผมจำได้ว่าใครเป็นคนเขียน
และผมก็จำได้ว่าผมเสียใจแค่ไหนที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงหกปี เวลาที่เสียไปอย่างสูญเปล่า
น้ำตาผมยังคงไหลริน ผมพยายามที่จะไม่ร้องไห้
นอกเสียจากวันนี้วันที่ได้เห็นรูปรอยยิ้มของคนที่ผมรักที่ติดอยู่บนหินอ่อน วันที่ผมยอมให้ตัวเองร้องไห้ได้
“ลมรักภนต์นะ”
ผมพูดเบาๆพร้อมเสียงสะอื้น
สายลมพัดผ่านไปคล้ายจะปลอบโยน และนำพาเสียงที่ส่งมาจากที่ไกลแสนไกล
ไกลจนผมไม่อาจได้ยิน
“ภนต์ก็รักลม”
.
.
.
.
.
เก็บเพลงรักนี้ ไว้ให้เธอ เมื่อวันใดที่เจอะเจอ
ฉันก็พร้อมและยินยอมมอบความรัก และจิตใจ
ชั่วนิรันดร์