สบตาทีไรหัวใจเต้น!
(ถ้าไม่เต้นก็ตายห่าแล้วมึง : ว่าที่แพทย์หญิงวิรงรองกล่าวไว้)
พอเคลียร์ปัญหาครอบครัว? เอ่อ! ปัญหาจากผมคนเดียวนั่นแหละ จบแล้ว ที่ปรึกษาว่าที่แพทย์หญิงวิรงรอง (มันสั่งให้เรียกมันว่างี้ครับ) มันก็สั่งให้ผมรุก โหย! หน้าพี่มันยังไม่ได้เจอ มึงจะให้กูรุกอะไรครับ มันตบหลังผมเรียกสติ (มันจงใจทำร้ายร่างกายผมมากกว่า ผมรู้ทัน) แล้วถามว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ได้มาจะเก็บไว้ทำซากอะไร คิดว่าผมจะกล้าโทรไหมครับ จ้องเบอร์จนสีหมึกซีด ถ้าตัวเลขเป็นปลากัด คงออกลูกออกหลานเป็นล้านๆ ตัวแล้ว ผมปอดแหกครับ ยอมรับแมนๆ เลย
วันศุกร์หลังเลิกเรียนพอกลับมาถึงบ้าน ผมก็รีบปั่นจักรยานเจ้าเก่าไปที่ร้านเช่าหนังสือ เพื่อไปยืมการ์ตูนมาอ่านแก้เครียดช่วงวันหยุด พอไปถึงสิ่งแรกที่มองหาคือรถมอเตอร์ไซต์ของพี่มัน พอไม่เจอก็มองหาตัวคนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เดินคอตกเข้าร้านไปเลือกหนังสือก่อนค่อยออกมารอก็แล้วกัน
ผมเดินไล่ดูหนังสือบนชั้นด้วยความเพลิดเพลิน ไอ้วิมันอนุญาตให้อ่านการ์ตูนแค่อาทิตย์ละเรื่องครับ ถ้าจบแล้วต้องทำงานส่งอาจารย์หรือไม่ก็ต้องทบทวนบทเรียน บางทีผมก็สงสัยว่าตกลงมันเป็นเพื่อน เป็นพี่หรือเป็นแม่กันแน่ เอ? แต่ผมว่ามันเหมาะจะเป็นพร้อมๆ กัน เอ๊ย! เป็นทุกๆ อย่างสำหรับผมนั่นแหละครับ คิดถึงเรื่องวันนั้นก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ ก็ได้ยินสียงคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเรียก
“น้องครับ” ผมชะงักกึก ยืนตัวแข็ง พี่มึ้งงงงงงงงง
เคยไหมครับที่เจอใครสักคนแค่ครั้งเดียว แต่จำได้ลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ? เสียงพี่มัน ผมจำได้ จะทำยังไงดี แกล้งตายดีไหม?
“เฮ้! เป็นอะไรหรือเปล่า? ยืนตัวแข็งเลย” พูดจบก็เอานิ้วจิ้มหลังจึ้กๆ พี่ครับ คนครับไม่ใช่ขี้ โว๊ะ! ผมพยายามรวบรวมลมปราณ สติสตัง ขวัญและกำลังใจให้กลับเข้าร่าง ก่อนจะค่อยๆ หันมาเผชิญหน้า
เฮือก! พี่ครับ มึงจะยิ้มทำม๊าย ยิ้มซะเจิดจ้า จนกูหัวใจจะวายอยู่แล้วเนี่ย ฮือ! รู้สึกเลยว่าหัวใจเต้นกระหน่ำจนหูอื้อไปหมด คาดว่าหน้าคงแดงจัดแน่ๆ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว ดีนะที่ตรงนี้แสงน้อย เนื่องจากอยู่ลึกเข้ามาในร้าน ไม่งั้นได้อับอายขายขี้หน้ามากกว่านี้แน่!
“หือ เหงื่อออกเต็มเลย เป็นอะไรหรือเปล่า” ไม่พูดเปล่า ยังเอื้อมมือมาเช็ดหน้าผากให้ด้วย เพราะมึงแหละ เพราะมึงคนเดียว ถ้าผมหัวใจวายตาย ผมจะมาขี่คอพี่มันเหมือนชัตเตอร์
“มะ..ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ร้อน”
“แอร์เย็นเฉียบขนาดนี้นะ” พูดจบก็เงยหน้ามองแอร์ที่เป่าลงมารดหัวเราทั้งคู่แล้วทำหน้างง ไอ้แอร์ทรยศ มึงมาอยู่ตรงนี้ทำไม
“พอดีผมขี้ร้อนครับ ฮะๆๆๆๆ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเอง เดี๋ยวพี่มันจะเช็ดให้อีก ผมจะหัวใจวายไปก่อนที่จะได้รุก?
“ว่าแต่ ที่ชนประตูเมื่อวันก่อนไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่เห็นโทรหาพี่เลย” พี่มันพูดแล้วก็ชี้มาที่จมูกน้อยๆ ของผม
“ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมสบายดี” ผมพูดเสียงเบาจนพี่มันชะโงกเข้ามาฟังใกล้ๆ ฮือ! เอาหนังหน้าหล่อๆ ถอยไป ผมจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
“ดีแล้ว พี่เป็นห่วงอยู่ ลืมขอเบอร์ไว้โทรถามอาการด้วย” ขอเลยไหมครับ ผมพร้อมให้มากๆ
“ไหนๆ เราก็รู้จักกันแล้ว” หืม
“พี่ชื่อปรอท น้องชื่ออะไรครับ” พี่แกรวบรัดผมเลยเผลอตอบกลับแบบงงๆ
“ผมชื่อกีครับ”
“น้องกี” อื้อหือ จั๊กกะจี้หัวใจมาก บอกเลย
“คะ...ครับพี่ปรอท” พอผมขานรับพี่ปรอทก็ยิ้มหวาน ผมแทบละลาย ขอตายอย่างสงบ เก็บศพผมด้วยครับ
“ไปคุยกันข้างนอกดีกว่า เดี๋ยวรบกวนคนอื่นเขา” เพิ่งรู้ตัวเหรอพี่ คุยกันนานจนจะได้เสียกันอยู่ในซอกนี้แล้ว?
พูดจบพี่ปรอทก็เดินนำไป ผมก็เดินตามต้อยๆ จะหาว่าผมใจง่ายไม่ได้นะครับ เพราะ...ผมใจง่ายจริงๆ แหะๆ
พอออกไปข้างนอกพี่ปรอทก็ยืนยิ้มรอผม เชื่อว่าหลายๆ คนแถวนั้นคงแสบตาเพราะออร่าพี่มันแน่ๆ ผมเข้าใจแล้วว่า ความรักทำให้คนตาบอดได้ มันหมายถึงยังไง (แม่ว่าไม่น่าจะใช่นะลูก)
“น้องกี เดี๋ยวพี่ขอเลี้ยงข้าวเป็นการขอโทษแล้วกันนะครับ” ผมอึ้งไปอีกรอบ เมื่อกี๊รู้จักอย่างเป็นทางการ ยังไม่ทันข้ามวันเลี้ยงข้าว เร็วไปไหม? พอเห็นผมเงียบพี่ปรอทก็พูดต่อ
“ให้พี่เลี้ยงข้าวไถ่โทษที่ทำน้องเจ็บเถอะนะ ไม่งั้นพี่คงไม่สบายใจ นะครับ” คิดว่าผมจะปฏิเสธลงไหมครับ อ้อนซะขนาดนั้น ผมขอละลายแป๊บ
พี่ปรอทพาผมไปที่ร้านอาหารใกล้ๆ พี่มันเป็นคนคุยสนุก ชวนคุยนั่น คุยนี่จนผมจำไม่ได้แล้วว่าตอบอะไรไปบ้าง พอกินข้าวเสร็จก็พากลับมาที่ร้านหนังสือ ก่อนจะขอโทรศัพท์ผม โดยที่ผมยื่นให้งงๆ (มึงยังไม่หายงงอีกเหรอ) พี่มันก็เอาไปกดยิกๆ กดโทรออก แล้วก็ส่งคืนให้ผม ยกโทรศัพท์ขึ้นโบกแล้วบอก
“เบอร์พี่นะครับ” ผมก็ได้แต่ผงกหัวหงึกหงักรับทราบ พี่ปรอทเอามือมาขยี้หัวด้วยความเอ็นดู เอ่อ เราสนิทกันถึงขนาดเล่นหัวกันได้แล้วเหรอครับ ผมคิดในใจ แต่ไม่ได้ค้าน ไม่ปฏิเสธสักคำ ทำไงได้ล่ะหัวใจมันสั่งให้ยอม อ้วก! เล่นเอง เลี่ยนเองครับ ฮ่าๆๆๆ
ผมรอให้พี่ปรอทขี่รถออกไปจนลับตา ก็ปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ อ้อ อิ่มท้องด้วย หน้าบานยิ่งกว่าบัววิกตอเรียที่แม่ปลูกไว้ในบ่อที่สวนผลไม้อีกครับ
เมื่อมาถึงบ้านไลน์ชื่อพี่ปรอทก็เด้งขึ้นมา พี่มันส่งสติ๊กเกอร์รูปลิงโบกมือทักมา แล้วพิมพ์ตามมาว่า
“พี่ปรอทนะครับ” จากที่หน้าบานเท่าบัวกระด้ง (อันเดียวกับบัววิกตอเรียแหละครับ แต่ผมเบื่อชื่อไฮโซมัน) ตอนนี้บานยิ่งกว่าจานดาวเทียมอีกครับ
ผมวิ่งไปบ้านข้างๆ ถามหาไอ้วิจากน้ามาลัย แล้วก็วิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้นอย่างไม่กลัวตกลงมาคอหักตาย คนมันกำลังมีความสุข อะไรก็ห้ามไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ครับ
“วิ๊” ผมตะโกนเรียกชื่อมันตั้งแต่หน้าประตู
“มึงจะแหกปากทำไมคะน้องกี” ตั้งแต่รู้ว่าผมชอบผู้ชาย มันก็เรียกน้องกีมาตลอด กูรุ่นเดียวกับมึงนะวิ แต่เรื่องนี้ปล่อยไปก่อน ผมเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มันที่กำลังนอนคว่ำอ่านนิยายปกวาบหวิวอยู่
“กูเจอพี่ปรอทด้วยละมึง” ไอ้วิมันทำตาโตก่อนละลุกขึ้นนั่ง วางหนังสือลงอย่างทะนุถนอม ถ้ามึงถนอมกูได้ครึ่งของหนังสือนิยายกูจะดีใจมากเลยนะวิ
“เล่ามาค่ะน้องกี เล่ามาเลย”
ผมก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังด้วยความตื่นเต้น ไอ้วิมั่นนั่งฟังอย่างตั้งใจ พอฟังจบมันก็นิ่งไปก่อนจะบอก
“กูอยากเห็นพี่มึงว่ะ”
“ทำไมล่ะ กูทำอะไรผิดไปรึเปล่าวะวิ” ผมถามอย่างไม่มั่นใจ
“ไม่ๆ มึงไม่ได้ทำอะไรผิด แค่บื้อ เฮ้อ! ช่างเถอะ เรื่องของผู้ใหญ่ มึงไม่ต้องยุ่งหรอก” รู้สึกว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องหัวใจกู แล้วกูต้องย้ำอีกทีไหมว่าเราอายุเท่ากัน พอพูดจบมันก็ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วตบบ่าหนักๆ
“กูดีใจด้วยนะในที่สุดความรักมึงก็พัฒนาไปอีกขั้น มีเลี้ยงข้าวกันด้วยโว๊ย! อีกไม่นานมึงคงเป็นฝั่งเป็นฝา กูละอดใจหายไม่ได้” เอ่อ วิ กลับมาก่อน อย่าเพิ่งคิดไปไกล กูเพิ่งเจอพี่ปรอทครั้งที่สองเองนะ
“ละ...แล้วถ้าพี่มันมีแฟนแล้วล่ะ”
“มึงก็แย่ง”
“ห๊ะ!”
“กูพูดเล่น” พอเห็นผมทำหน้าเหวอมันก็หัวเราะ
“ดูท่าแล้วน่าจะไม่มีหรอกน่า เซ้นส์กูบอก” พูดจบก็ไล่ให้ผมไปอ่านหนังสือ ทำให้นึกขึ้นได้ว่าวันนี้กลับมามือเปล่า ไม่ได้การ์ตูนติดมือมาสักเรื่อง ฮือ! อาทิตย์นี้อดอ่านอีกแล้ว แต่เอาวะแลกกับการได้เจอพี่ปรอทถือว่าโคตรคุ้ม!
‘ไอ้รง’
เรียก ‘รง’ อีกทีมีตบนะคะ : วิรงรอง
กลัวแล้วจ้า T^T
………
ที่ปรึกษาว่าที่แพทย์หญิงวิรงรอง
ฉันวิ - วิรงรองไงจะใครล่ะ
ฉันมีสถานะเป็นทั้งเพื่อนและลูกพี่ลูกน้องของน้องกี-กีฏะ เพราะแม่ของเราเป็นพี่น้องที่รักกันมาก เลยสร้างบ้านอยู่ติดกัน น้องกีเป็นเหมือนน้องเล็กของบ้าน เรียกได้ว่าเป็นแก้วตาดวงใจของทั้งสองบ้านเลยละ
น้องกีมันขี้โรคมาตั้งแต่เกิด เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวป่วย จนลุงกฤษณ์กับป้ามาลีวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น อาการหนักจนเกือบตายมาหลายรอบ เลยได้รับการประคบประหงมจากทุกคนในบ้านยิ่งกว่าไข่ในหิน
ตอนเด็กๆ น้องกีมันน่ารักมาก ผิวขาวจัดเพราะอยู่แต่ในร่ม ปากนิดจมูกหน่อย ตาโต แก้มแดง ปากแดงเหมือนเด็กผู้หญิง แทนตัวเองว่าน้องกีทุกคำ ใครเห็นก็เอ็นดู น่ารักจนอดจะแกล้งไม่ได้ เลยพาไปวิ่งเล่นในสวนผลไม้ที่อยู่ท้ายหมู่บ้านบ่อยๆ ทั้งพาปีนต้นไม้แล้วปล่อยไว้แบบนั้น ทั้งปล่อยให้ไต่สะพานแล้วตกลงโคลน สารพัดจะแกล้ง แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยโกรธเลยสักครั้ง ถ้าเจ็บก็แค่ร้องไห้ พอหายก็มองตาแป๋ว วิ่งตามไปเล่นด้วยใหม่เหมือนเดิม
มีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันก็แกล้งผลักมันใส่หมาที่เห่าอยู่ในรั้วแล้ววิ่งหนี น้องกีก็วิ่งตามมา แต่วันนั้นเจ้าของบ้านดันลืมล็อคประตูรั้วข้างๆ มันเลยวิ่งออกมาไล่เราทั้งคู่ ฉันสะดุดก้อนหินล้มลง แต่แทนที่กีจะวิ่งหนีไป กลับมายืนบังฉันไว้ แล้วกางแขนปกป้องฉันทั้งที่กลัวจนขาสั่นน้ำตาไหลพราก
“มะ...ไม่ต้องกลัวนะ น้องกีจะปกป้องวิเอง ฮือออออออ”
โชคดีที่เจ้าของหมาวิ่งตามออกมาห้ามหมาไว้ทัน แล้วหมาตัวนั้นก็ยังเป็นโกลด์เด้น รีทรีฟเวอร์ที่เจ้าของบอกว่าเป็นมิตร ไม่งั้นถ้ามันเป็นอะไรไปฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
ตั้งแต่นั้นมา นอกจากลุงกฤษณ์ป้ามาลี พ่อกับแม่ พี่รติและพี่รัชต์ (พี่ชายของฉัน) ฉันก็ตั้งตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์กีฏะอย่างเป็นทางการอีกคน
น้องกีเติบโตมากับความรักความอบอุ่นของทั้งสองบ้าน ทั้งๆ ที่ทุกคนตามใจ แต่มันกลับไม่เอาแต่ใจเลยสักนิด ทั้งจิตใจดี มองโลกในแง่ดี และอ่อนโยน แต่ปากหมา (อันหลังนี่มันบอกว่าติดเชื้อมาจากฉัน แหม่ เรื่องดีๆ นี่ไม่รู้จักจำและนำไปใช้เลยนะ)
ถึงร่างกายจะไม่ค่อยแข็งแรง แต่จิตใจมันเข้มแข็งมาก พอรู้ว่าพี่รตีเลือกเรียนแพทย์ทั้งที่บ้านมันมีกิจการร้านอาหาร มันก็บอกว่ามันจะเรียนด้านอาหาร เพื่อมาสืบทอดกิจการของที่บ้านเอง แล้วสนับสนุนให้พี่รตีตั้งใจเรียนและตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อทำตามฝันตัวเองได้อย่างเต็มที่ มันรับผิดชอบงานบ้านแทนพี่รตีทุกอย่าง เลิกเรียนมาก็รีบกลับไปช่วยงานที่ร้านอาหารเกือบทุกวัน จนร่างกายมันแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก พอกิจการที่ร้านดีขึ้น ลูกจ้างเพิ่มมากขึ้น ป้ามาลีเลยบังคับให้มันตั้งใจเรียนเพื่อสอบเข้าคณะที่มันตั้งใจอย่างเดียว
พอฉันบอกว่าอยากเรียนแพทย์เหมือนพี่รตี มันก็คอยเป็นกำลังใจให้ พองานที่บ้านตัวเองเสร็จก็มาช่วยงานที่บ้านฉันด้วย จนแม่หลงมันเข้าไปใหญ่ ตอนกลางคืนก็มาอ่านหนังสือเป็นเพื่อน คอยถามว่าอยากกินอะไรแล้วก็เข้าครัวไปทำให้กิน แต่ก็หลับไปก่อนเสมอด้วยความอ่อนเพลีย
ฉันเลยบังคับให้มันสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน จะได้ดูแลได้ง่ายๆ ไม่อยากให้มันอยู่ห่างสายตา เพราะกลัวว่าจะมีใครมาหลอก มันยิ่งซื่อบื้ออยู่ด้วย พอผลสอบออกมันดีใจที่ฉันสอบเข้าได้ยิ่งกว่าที่ตัวเองสอบได้ซะอีก จะไม่ให้รักมันได้ยังไง ในเมื่อกีมันน่ารักออกขนาดนี้
พอเข้ามหาวิทยาลัยก็บังคับให้มันอยู่หอใน แล้วสั่งไอ้มุมให้หาคนช่วยเป็นหูเป็นตาให้ป้องกันไม่ให้มีคนรังแกมัน ถ้าวันไหนมันเรียนเสร็จก่อนก็บังคับให้มันมานั่งรอ ถึงมันจะบ่นหงุงหงิง แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย มานั่งรอเงียบๆ ประจำ จนเป็นที่รู้จักทั้งคณะแพทย์ ส่วนฉันถ้าเลิกเรียนก่อนก็ไปเฝ้ามันจนเป็นที่รู้จักของฝั่งคหกรรมศาสตร์เหมือนกัน
อย่างที่บอกว่าน้องกีมันหน้าตาน่ารัก แต่มันไม่ค่อยยอมรับสักเท่าไหร่ ถึงผิวจะคล้ำขึ้นกว่าตอนเด็กๆ แต่ก็ยังขาวกว่าผู้ชายทั่วไปอยู่ดี มีคนเข้ามาจีบมันบ้าง แน่นอนว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย แต่มีฉันกับไอ้มุมคอยสกรีนและคอยกันให้ มีบ้างที่แอบไปจีบมันโดยที่ฉันไม่รู้ แต่มันก็ซื่อบื้อเกินกว่าจะเข้าใจ มันมาเล่าให้ฟังทุกทีว่ามีเพื่อนใหม่มาทำความรู้จัก ทั้งขำทั้งสงสารและสมน้ำหน้าไอ้คนๆ นั้นไปพร้อมๆ กัน
จนวันหนึ่งมันออกอาการแปลกๆ กินได้น้อยลง เหม่อๆ เบลอๆ เอ๋อยิ่งกว่าปกติ จนทุกคนเป็นห่วงกันทั้งบ้าน พี่รตีเลยให้ฉันไปเค้นคอมันในฐานะใกล้ชิดมันที่สุด ทำให้รู้ว่ามันเริ่มมีความรัก แถมคนที่มันตกหลุมรักก็เป็นผู้ชายอีก ให้ตายสิ กันคนในมหาลัยแทบตาย ไปเจอข้างนอกซะอย่างงั้น นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าพรหมลิขิต
พอมันรู้ตัว มันก็เครียดกลัวว่าพ่อกับแม่จะผิดหวัง ต้องคอยปลอบแล้วพาไปคุยกับพวกท่าน โอ๊ย! ลุงกฤษณ์กับป้ามาลีรักมันจะตาย แค่มันอยู่ดีมีความสุขท่านก็พอใจแล้ว เพราะตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้มันก็เป็นเด็กดีมาตลอด ยังไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยสักครั้ง
ฟังจากที่มันเล่าให้ฟังแล้ว รู้สึกเหมือนพี่ของมันก็ดูจะมีใจให้มันเหมือนกัน จนชักอยากจะเจอตัวเป็นๆ จะได้ซักฟอก เอ๊ย! จะได้ทำความรู้จักและจะได้ดูว่าไว้ใจได้ไหม (แต่ชื่อพี่มันคุ้นๆ นะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน มันติดที่ปลายลิ้นนี่แหละ นึกยังไงก็นึกไม่ออก)
ไม่คิดมาก่อนว่าพี่มันจะเป็นคนใกล้ตัวมากๆ ก็ว่าอยู่ว่าชื่อคุ้นๆ พี่ปรอท อุณหภูมิเป็นพี่ชายแท้ๆ ของไอ้มุมที่ไปทำงานอยู่ต่างประเทศ เพิ่งได้ย้ายกลับมาประเทศไทย พี่แกกลับมาบ้านทีไรไอ้มุมมันก็ชวนให้ไปทำความรู้จักตลอด แต่ก็มีเหตุให้ต้องคลาดกันทุกที
ได้มารู้จักอย่างเป็นทางการก็ในงานวันเกิดและงานเลี้ยงต้อนรับของพี่มันนี่แหละ แต่พี่ปรอทดันมีปลิงมาเกาะ หน้าตาน่าหมั่นไส้จนอยากจิกมาตบ สงสารก็แต่น้องกีของฉันที่ต้องเสียใจ เลยแดกเหล้าเมาจนหมดสภาพ ต้องให้ไอ้มุมพาไปส่งที่ห้องพัก พอกลับมาฉันก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ไอ้มุมฟัง
ตอนแรกก็นึกว่าเรื่องจบแค่นั้น จนผ่านมรสุมช่วงสอบปิดสารพัดวิชาไปได้ ถึงได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นจากไอ้มุมอีกที ได้ยินแล้วปรี๊ดแตก โกรธจัดจนต้องไปตบพี่ปรอทแรงๆ สองทีที่บ้าน พี่มันก็ยืนให้ตบแต่โดยดี แล้วก็ขอโอกาสอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง รวมทั้งขอโอกาสในการเข้าใกล้กีอีกครั้ง แต่ฉันไม่รับปาก เพราะยังไม่หายโกรธ
อีกอย่างเรื่องนี้มันก็ขึ้นอยู่กับตัวกีมันเองด้วย เลยสะบัดหน้าจากมาอย่างไร้เยื่อใย เพราะเป็นห่วงกีมันมาก ฉันเสียใจที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างมันในช่วงเวลาแย่ๆ จะไปหามันหรือโทรหามันทีไรมันก็บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่น่าไว้ใจคำพูดมันเลย ทั้งๆ ที่น่าจะรู้แท้ๆ ว่ามันเป็นห่วงคนอื่นยิ่งกว่าตัวเองเสมอ
ไอ้มุมมันวิ่งตามมาและขอขับรถไปส่งฉันที่บ้าน มันบอกว่าอยากจะไปหากีด้วย ระหว่างทางยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจนน้ำตาไหล มุมมันก็คงเห็นแต่มันไม่พูดอะไร แค่ขับรถไปเงียบๆ เท่านั้น
พอไปถึงบ้านก็ตรงดิ่งเข้าบ้านกีก่อน เจอป้ามาลัยกำลังจะออกไปข้างนอก ป้าแกทำท่าโล่งใจ แล้วเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่กลับมากีมันดูซึมๆ ไป ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม ถามก็บอกไม่เป็นไร ต่อหน้าพยายามทำตัวร่าเริงให้เห็น พอลับหลังก็เหม่อลอย ป้ามาลัยเป็นห่วงมาก แถมช่วงนี้พี่รตีก็ยุ่งมาก ขึ้นเวรที่โรงพยาบาลตลอด ยังไม่ได้กลับบ้านเลย จะโทรไปหาฉันก็กลัวรบกวนเพราะเป็นช่วงสอบ ได้แต่รอให้ฉันหรือพี่รตีกลับมาก่อน
ฉันบอกป้ามาลัยว่าไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวฉันคุยกับกีให้เอง ป้ามาลัยก็วางใจแล้วก็ออกไปทำธุระต่อ
ฉันเดินขึ้นบันไดบ้านไปถึงหน้าห้องมัน เคาะประตูสักพักมันก็เดินออกมาเปิด แค่เห็นสภาพมันน้ำตาก็ไหลด้วยความรู้สึกผิดอีกครั้ง กีมันซูบลงจนน่าตกใจ ตาบวมขอบตาดำคล้ำ แววตาก็ไม่เป็นประกายสดใสเหมือนอย่างเคย ขอกลับไปตบพี่ปรอทอีกหลายๆ ทีจะได้ไหม
“เฮ้ย! วิเป็นอะไร” พอเห็นฉันร้องไห้ มันก็ก้าวมาคว้าตัวฉันไปกอด
“มุม บอกมาสิใครทำอะไรวิ” มันหันไปถามไอ้มุมที่ยืนมองอยู่ข้างๆ
“โอ๋ๆๆ นิ่งซะนะ ใครทำอะไรวิบอกมา เดี๋ยวกีจัดการให้” ได้ยินแค่นั้นฉันก็ปล่อยโฮออกมาทันที
อีกไกลแค่ไหน
ระหว่างที่รอคำตอบจากน้องกีด้วยความทุรนทุรายได้ไม่กี่วัน ผมก็ไม่อาจทนอยู่เฉยๆ ได้ เลยต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเองบ้าง ผมขอร้องมุมให้บอกเส้นทางไปบ้านน้องกีให้จนสำเร็จ พอมุมเขียนแผนที่ให้เสร็จ ผมก็ขับรถออกไปที่บ้านน้องกีในตอนนั้นเลย
ผมจอดรถอยู่ข้างรั้วบ้านน้องกีตอนเที่ยงคืนในตัวบ้านมืดสนิท มีเพียงแสงไฟบริเวณรั้วและหน้าบ้านเท่านั้นที่ยังสว่างอยู่ ผมได้แต่นั่งมองอยู่ในรถเงียบๆ เพิ่งเข้าใจสำนวนที่ว่าไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาบ้านก็ยังดีก็ตอนนี้แหละครับ แค่รู้ว่าน้องกีอยู่ในนั้น อาจจะกำลังหลับฝันอยู่ แค่นี้ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย นั่งอยู่สักพักผมก็ขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางก็คิดหาวิธีในการขอโทษน้องกีไปตลอดทาง
ผมรีบตื่นมาตั้งแต่เช้าเพราะตั้งใจจะเริ่มปฏิบัติการไปง้อน้องกีที่บ้านตามที่คิดมาตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อวานได้เห็นหลังคาบ้าน วันนี้แค่ขอให้ได้เห็นหน้าสักนิดก็ยังดี เมื่อลงมาที่โต๊ะอาหารก็เจอกับคุณพ่อคุณแม่ที่นั่งอยู่พอดี ท่านทั้งสองทราบเรื่องของผมกับน้องกีตั้งแต่วันที่ผมเคลียร์กับมุมแล้วโดนต่อย พอเห็นหน้าผมก็เลยโดนซักจนสะอาด ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง คุณพ่อท่านผิดหวังและตำหนิในเรื่องที่ผมไม่ประมาณตนจนคุมสติตัวเองไม่ได้ ผมก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิด เพราะถ้าคนที่ผมตื่นมาเจอไม่ใช่น้องกี ผมก็คงเหมือนตกนรกทั้งเป็น
ส่วนคุณแม่ ด้วยความที่เอ็นดูน้องกีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็แทบจะแล่นไปสู่ขอน้องให้ผมซะเดี๋ยวนั้น แต่มุมห้ามไว้ก่อน เพราะน้องกียังไม่ให้อภัย ยังไม่อยากเจอหน้าผม และขอเวลาในการตัดสินใจก่อน ซึ่งผมก็เคารพการตัดสินใจของน้องโดยดี แต่ต่อให้น้องกีตัดผมออกจากชีวิต ผมก็จะไม่ยอมแพ้ จะพยายามจนกว่าจะได้น้องมาอยู่ใกล้ๆ ทั้งตัวและหัวใจให้ได้
พอรู้ว่าผมจะไปหาน้องกีที่บ้าน คุณแม่ก็รีบไปหยิบขนมที่ซื้อมาจากต่างประเทศถุงใหญ่มาให้ผมเอาไปฝากน้องด้วย ระหว่างทางผมแวะซื้อขนมจากร้านโปรดของน้องเพิ่มอีกถุงตามคำแนะนำของมุมที่ขอตามไปด้วย
เมื่อไปถึงบ้านน้อง ผมก็ให้มุมถือขนมลงจากรถเข้าบ้านไปบอกน้องกีก่อนว่าผมมาด้วยและขออนุญาตเจอน้องบ้าง ถ้าน้องยังไม่พร้อมจะเห็นหน้า ผมก็ขอจะรออยู่บนรถขอมองน้องจากตรงนี้ก็พอ
ผมได้แต่นั่งมองมุมเดินเข้าประตูรั้วไปในสวนข้างๆ บ้านด้วยความตื่นเต้น สักพักมุมก็เดินออกมาจากสวนพร้อมกับน้องกี แค่ได้เห็นหน้า หัวใจก็เต้นกระหน่ำด้วยความยินดี มุมคุยกับน้องแล้วก็บุ้ยใบ้มาทางผม น้องกีมองมาที่รถก่อนที่จะเบือนหน้ากลับไปส่ายหัวกับมุมจนผมใจแป้ว ระหว่างที่มุมกำลังเดินกลับมาที่รถ ก็มีผู้ชายในชุดทหารคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านแล้วตรงมาหาน้องกี น้องยิ้มกว้างให้เขา ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะจับหัวน้องโยกด้วยความเอ็นดู แล้วจูงมือกันเดินเข้าบ้านไป ตอนนี้รอยยิ้มของผมหายไปพร้อมกับหัวใจที่เหมือนจะหยุดเต้นไปแล้ว
------------------------------------------------
ใครรอสมน้ำหน้าอยู่เชิญค่ะ ถถถ ใครๆ ก็ไม่รักลูกกรอก เอ๊ย! ลูกปรอทของแม่ มาหาแม่มา เดี๋ยวแม่ซ้ำให้ ฮ่าๆๆๆ
:laugh:
คนเคียงข้าง
ตั้งแต่ที่ไอ้วิกับไอ้มุมมาเคลียร์กับผมในวันนั้น ผมก็นั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเองว่าที่รู้สึกกับพี่ปรอทมันเป็นความรู้สึกหลงใหลเพียงชั่ววูบหรือว่าเป็นความรักกันแน่
ผมค่อยๆ คิดอย่างใจเย็น พอตรองตกก็รู้สึกอารมณ์ดีจนทำให้ตื่นมาตั้งแต่เช้า ว่าจะไปบอกเรื่องที่ตัดสินใจและปรึกษากับไอ้วิอีกที แต่พอลงมาจากห้องก็เจอคนที่ไม่เจอมานานมาก ‘พี่รัชต์ - วิรัชต์’ พี่ชายของไอ้วิลูกพี่ลูกน้องอีกคนของผมนั่งส่งยิ้มมาให้ ผมรีบวิ่งไปหา ยกมือไหว้เรียบร้อย ก่อนจะโผเข้าหาอ้อมแขนที่อ้าไว้รอด้วยความคิดถึง พี่รัชต์จับผมฟัดจนไอ้วิเอ่ยปากแซวถึงได้ยอมปล่อย
“แหมพี่รัชต์ เกรงใจน้องแท้ๆ บ้างค่ะ กับวิไม่เห็นกอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างนี้เลย” วิรงรองมันมองเราทั้งสองด้วยความหมั่นไส้
พี่รัชต์หัวเราะขำๆ ยีหัวผมด้วยความเอ็นดูก่อนจะตอบน้องบังเกิดเกล้าไป
“ก็เรามันไม่น่ารักเหมือนน้องกีนี่” ไอ้วิหันไปค้อนพี่ชายตัวเองงอนๆ
ถ้าไอ้วิเหมือนน้องแท้ๆ ของเจ๊รตี ผมก็เหมือนน้องแท้ๆ ของพี่รัชต์นี่แหละครับ ตั้งแต่เด็กๆ ในขณะที่วิมันติดเจ๊รตีแจจนก็อปนิสัยกันมา ผมก็ตามพี่รัชต์ต้อยๆ ไม่ห่าง เพราะพี่รัชต์ชอบออกโรงปกป้องและตามใจผมมากกว่าใครในบ้าน
พี่รัชต์เป็นเหมือนพี่ชายคนโตของทั้งสองบ้าน ด้วยอายุที่มากกว่าเราสามคนและนิสัยที่อบอุ่นอ่อนโยน ใจดีและพึ่งพาได้ ทำให้เราทั้งสามคนทั้งรักเคารพและเชื่อฟังพี่ทุกอย่าง พี่รัชต์มีอาชีพเป็นทหาร นานมากกกกถึงจะกลับมาบ้านสักที พี่แกชอบอยู่ตามตะเข็บชายแดนยิ่งกว่าบ้านของตัวเองซะอีก จนบางทีเราแทบจะลืมไปแล้วว่ามีพี่ชายกับเขาอีกหนึ่งคน
มีแต่คนบอกว่าพี่รัชต์หน้าตาผ่าเหล่า เพราะในขณะที่เราทั้งสามคนรูปร่างและหน้าตาแทบจะก็อปกันมาคือผิวขาวๆ ตาโตๆ ปากแดงๆ พี่รัชต์กลับมีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้ม ยิ่งทำงานกลางแจ้งผิวยิ่งคร้ามแดด หน้าดูดุขึ้นกว่าเดิมจนไอ้วิมันแซวว่าเป็นทหารหรือผู้ก่อการร้ายกันแน่ น้ามาลัยบอกว่าพี่รัชต์หน้าตาเหมือนคุณปู่มากกว่าพ่อตัวเองอย่างน้าทักษ์อีก
พี่รัชต์กับวิมากินข้าวที่บ้านผม ส่วนน้ามาลีกับน้าทักษ์เข้าสวนไปแล้ว พอกินข้าวเสร็จพ่อกับแม่ก็ตามน้าทั้งสองเข้าสวนไป เหลือแค่เราสี่คนที่มานั่งคุยกันที่ห้องรับแขก ผมเดินออกไปรดน้ำต้นไม้ที่สวนข้างๆ บ้านก่อนตามที่แม่ฝากไว้ ระหว่างที่รดน้ำอยู่ไอ้มุมก็ไลน์มาบอกในไลน์กลุ่ม (มีผม, ไอ้มุมกับไอ้วิ) ว่าตอนนี้อยู่หน้าบ้าน ผมเลยบอกมันไปว่าอยู่ที่สวนให้เข้ามาเลย
ไอ้มุมเดินถือขนมหอบใหญ่มาหาบอกว่าแม่กับพี่ปรอทซื้อมาฝาก เราสองคนเดินออกมาหน้าบ้าน มุมก็บอกว่าพี่ปรอทมาด้วยแต่คอยอยู่ที่รถ พี่ปรอทขอเจอผมหน่อยได้ไหม ผมหันไปมองที่รถ แค่รู้ว่าพี่มันอยู่ในนั้น หัวใจก็เต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้น ถึงจะตัดสินใจแล้ว แต่ผมดันปอดแหกเลยปฏิเสธไป ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก อยากเจอก็อยาก อีกใจก็รู้สึกว่ายังไม่พร้อมจะเจอพี่มันตอนนี้ ให้ผมได้ตั้งตัวอีกนิดเถอะ มันกะทันหันเกินไปผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ
ระหว่างที่มุมเดินกลับไปบอกพี่ปรอทที่รถ พี่รัชต์ก็เดินออกมาหา บอกว่าเจ๊รตีให้มาตาม ผมยังไม่ทันได้บอกไอ้มุม ก็โดนพี่รัชต์ลากเข้าบ้านมาซะก่อน
พอมาถึงห้องรับแขกก็เห็นเจ๊รตีนั่งกอดอกเหยียดยิ้มอยู่ ส่วนไอ้วินั่งทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆ หันมามองหน้าพี่รัชต์ถึงปากจะยังยิ้มแต่ตาดุๆ นั้นฉายแววคาดคั้นจนผมขนลุก ฮือ ไอ้วิเล่นผมซะแล้วไหมล่ะ พี่รัชต์ดึงผมไปนั่งที่โซฟาแล้วก็นั่งกดดันจากฝั่งตรงข้าม
“เล่ามาครับ” คะ... ใครก็ได้ช่วยด้วย พี่รัชต์เวอร์ชั่นนี้ผมกลัววววว ขนาดเจ๊รตียังไม่กล้าหือ นับประสาอะไรกับผมที่อ่อนที่สุดในบ้านล่ะครับ ระหว่างที่รวบรวมกำลังใจอยู่ ไอ้มุมก็เดินเข้ามาในบ้านซะก่อน ผมถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งอกแล้วหันไปมองไอ้มุมแทน ขอเวลาตั้งตัวแป๊บนึงก็ยังดีครับ
“สวัสดีครับ ผมมุมครับเป็นเพื่อนวิกับกี พี่...” ไอ้มุมยกมือไหว้ สายตาจ้องไปที่พี่รัชต์ พี่รัชต์ก็ยกมือรับไหว้ก่อนตอบ
“พี่ ‘เสือ’ ครับ” หือ พี่รัชต์เล่นอะไร ‘เสือ’ เป็นฉายาตอนเด็กๆ ของพี่รัชต์ ด้วยความที่หวงพวกเราสามคนมากยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ ใครกล้ามาแกล้งนี่เป็นเรื่อง มีแต่คนบอกว่าตอนเด็กๆ พี่รัชต์ดุอย่างกับเสือ พวกผู้ใหญ่จึงเรียกว่า ‘ไอ้เสือ’ ซึ่งเหมาะกับหน้าตายิ่งกว่าชื่อจริงซะอีก (ผมว่าชื่อพี่รัชต์ฟังดูมุ้งมิ้งขัดกับหน้าตาพิกล)
ไอ้มุมหันมามองหน้าผมที่กำลังนั่งเอ๋ออยู่อย่างต้องการคำอธิบาย แล้วก็หันไปมองไอ้วิกับเจ๊รตีที่นั่งเฉยๆ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้โดยไม่มีคำอธิบายหรือขยายความเกี่ยวกับพี่รัชต์เพิ่มแต่อย่างใด มันก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วบอกลากลับบ้าน
ผมไม่แปลกใจที่ไอ้มุมมันไม่รู้จักพี่รัชต์ เพราะอย่างที่บอกนานๆ พี่แกจะกลับมาบ้านซะที กลับมาทีก็ไปขลุกอยู่บ้านเพื่อน ทำให้ไม่ได้เจอกันซะทีพอๆ กับพี่ปรอทนั่นแหละ แถมพี่รัชต์ยังไม่ชอบถ่ายรูป ชอบเป็นตากล้องให้ซะมากกว่า รูปหมู่ครอบครัวจึงขาดรูปพี่รัชต์ตลอด
สักพักก็มีเสียงไลน์จากโทรศัพท์ดังขึ้น ไอ้มุมมันไลน์มาถามว่าพี่รัชต์เป็นใคร เจ๊รตีชะโงกไปดูของไอ้วิแล้วก็แสยะยิ้ม ทั้งคู่กระซิบกระซาบคุยอะไรกันสักอย่าง ไอ้วิก็กดตอบไลน์ยิกๆ ส่วนพี่รัชต์ก็หันหน้ามากดดันผมเหมือนเดิม จนผมต้องวางโทรศัพท์ไว้ไม่ได้ดูต่อว่าไอ้วิตอบไอ้มุมว่ายังไงอีก เฮือก! ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมกำลังใจ
ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่รัชต์ฟังทั้งหมด พี่รัชต์นั่งฟังเงียบๆ สงสัยตรงไหนก็ถามเป็นระยะๆ มีไอ้วิคอยเล่าแทรกในส่วนที่ผมทำลืมๆ ไป มึงไม่ต้องให้ความร่วมมือมากขนาดนี้ก็ได้นะวิ พี่รัชต์ถามว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่ปรอท ถามถึงขั้นที่ว่าผมจะทำยังไงต่อไป พอซักฟอกจนสะอาดพี่รัชต์นิ่งไปสักพักก็โน้มตัวมาข้างหน้า ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแต่ตาเป็นประกายวาววับจนทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว
“กีจะว่าอะไรไหม ถ้าพี่จะขอทดสอบพี่ปรอทของกีหน่อย” ฟังดูเหมือนประโยคคำถาม แต่ที่จริงมันเป็นประโยคบอกเล่า บอกให้รับรู้ไว้เฉยๆ มากกว่า ซึ่งผมจะไปว่าอะไรได้ครับ ในเมื่อเจ๊รตีกับไอ้วิยิ้มชั่วร้ายเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างนั้น เสียงส่วนน้อยอย่างผมก็ได้แต่จำใจยอมรับ (โชคดีนะครับพี่ปรอท)
ผมนั่งอ่านไลน์ที่ไอ้วิมันโต้ตอบกับไอ้มุมก็ได้แต่งง ไอ้วิมันบอกว่าพี่รัชต์ชื่อเสือเป็นลูกชายของเพื่อนพ่อที่แวะมาเยี่ยมแล้วมันก็บอกว่าพี่เสือกำลังตามจีบผม แถมพ่อกับแม่ก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยพร้อมเปิดทางให้เต็มที่ มันแต่งเรื่องเป็นตุเป็นตะสมกับที่มันชอบอ่านนิยายจริงๆ แถมไอ้วิมันยังห้ามไม่ได้ผมตอบไลน์กลุ่ม ไลน์ส่วนตัวกับไอ้มุมก็ห้าม ให้ผมอยู่เฉยๆ เผด็จการจริงๆ คนบ้านนี้ แต่ผมก็ทำตามแต่โดยดี เพราะอยากจะรู้ว่าทั้งสามคนคิดจะทำอะไรกันแน่
วันรุ่งขึ้นพี่รัชต์มาที่บ้านแต่เช้าบอกว่าอยากไปดูหนัง เราสี่คนนั่งรถไปที่ห้างใกล้บ้าน พอซื้อตั๋วหนังเสร็จกว่าหนังจะเริ่มก็อีกนาน เลยเดินดูของรอเวลากันเรื่อยๆ ระหว่างที่ดูเสื้อผ้ากันอยู่ ไอ้มุมก็เข้ามาทักพร้อมกับพี่ปรอทที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วส่งสายตาเว้าวอนมาให้จนผมต้องหลบตาวูบ เพราะรู้สึกว่าหน้ามันร้อนผ่าวแถมหัวใจยังเต้นกระหน่ำจนเหมือนหัวใจจะวายซะให้ได้ พอยกมือไหว้พี่มันแล้วพี่รัชต์ก็เดินเข้ามาบัง ยกมือรับไหว้ทั้งคู่แล้วก็ชวนพี่ปรอทกับไอ้มุมไปดูหนังด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ระหว่างเดินดูของ ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก พี่รัชต์จูงมือผมตลอดอย่างกับเด็กอนุบาล พอจะดึงมือออกพี่ก็กำแน่นขึ้นแถมส่งสายตาดุๆ มาให้ ฮือ ยอมแล้วครับ อย่ากินหัวผมเลย ผมเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ผมเคยขัดพี่แกได้ที่ไหนล่ะครับ พอเผลอไปสบตาพี่ปรอทก็ได้รับสายตาตัดพ้อมาให้ตลอด โอย! ผมจะบ้า อยากจะหายตัวไปจากตรงนี้มากครับบอกตรงๆ
พอถึงเวลาเข้าโรงหนังผมค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย แต่โล่งได้แป๊บเดียว พอจะเข้าที่นั่งผมโดนดันไปดันมาไม่รู้อีท่าไหนได้เข้าไปนั่งติดกับพี่ปรอทพอดี (ซื้อตั๋วไม่พร้อมกันแล้วได้มานั่งติดกันได้ยังไงหว่า บังเอิญจริงๆ) ไอ้นั่งข้างกันนี่ไม่เท่าไหร่ ปัญหาคือพี่มันไม่ได้มองจอหนังเลยนั่งจ้องแต่หน้าผมเนี่ย นี่หน้าคนครับพี่ไม่ใช่หนังหน้า เอ๊ย! หน้าหนัง มองกันขนาดนี้คิดว่าผมจะดูหนังรู้เรื่องไหมครับ ส่วนพี่รัชต์ก็เรียกร้องความสนใจสะกิดชวนกินป๊อบคอร์นกับน้ำอัดลมตลอด เล่นเอาผมเหงื่อแตกพลั่กๆ ทั้งที่แอร์เย็นๆ นี่แหละ
ออกมาจากโรงหนังก็เที่ยงกว่าๆ พอดี พี่รัชต์ชวนทุกคนไปกินข้าวด้วยกัน ระหว่างกินข้าวพี่แกมานั่งข้างๆ ผมแล้วก็ตักนั่นตักนี่ให้ใส่จานให้พร้อมยิ้มหวานเจี๊ยบจนผมแทบจะเป็นเบาหวานตายคาจานข้าว ถามจริงๆ นี่พี่เมาน้ำอัดลมหรือเปล่าครับ ส่วนพี่ปรอทที่นั่งตรงข้ามก็ได้แต่มอง พอสบตากับพี่รัชต์ก็แทบจะมีกระแสไฟแล่นเปรี๊ยะๆ แล้วคิดว่าผมจะกินข้าวลงไหมครับ ผมอยากจะร้องไห้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตามองจานข้าวเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนพี่รัชต์เรียกเก็บเงินนี่ผมแทบจะถอนหายใจเฮือก เดินออกมาจากร้านได้ผมก็รีบจ้ำกลับรถ ไม่ไหวครับ โดนอำนาจมืดกดดัน ผมรับมือไม่ไหว ขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน แต่พอลงไปถึงลานจอดรถ พี่ปรอทก็รั้งพี่รัชต์ไว้
“ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมครับ” พี่รัชต์ยิ้มรับ แล้วหันมาโยกหัวผมด้วยความเอ็นดูกว่าปกติ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเกินความจำเป็น
“น้องกีไปรอที่รถก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ตามไป” ผมมองหน้าพี่รัชต์แล้วเหลือบไปมองพี่ปรอทด้วยความกังวล
“ไปสิครับ” อูย ย้ำเสียงหนักๆ แบบนี้ต้องรีบหนีอย่างไวครับ ไอ้วิมันลากผมไปพอพ้นสายตามันก็พาไปแอบฟังอยู่ข้างเสาใกล้ๆ แล้วหัวเราะคิกคักกับเจ๊รตีสองคน ส่วนไอ้มุมก็ตามมางงๆ เออ มึงไม่ได้งงคนเดียวหรอกมุม ณ ตอนนี้กูก็งงเหมือนกัน
“มีธุระอะไรกับพี่เหรอครับ” พี่รัชต์ยืนกอดอกถามพี่ปรอทยิ้มๆ
“พี่คิดยังไงกับน้องกีครับ” พี่ปรอทถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อืม... น้องกีเหรอ ก็น่ารักดีนะ ทั้งซื่อ ทั้งน่าฟัด ทั้งน่ากอด” ท้ายประโยคลากเสียงยาวแล้วเหยียดยิ้มด้วยสีหน้าที่กวนอวัยวะเบื้องล่างสุดๆ ท่าทางเหมือนจะยังไม่หายเมาน้ำอัดลม ผมละเป็นห่วงพี่ผมจริงๆ นะ
“พี่เสือ! ถ้าพี่ไม่คิดจริงจังก็อย่ามายุ่งกับน้องกี” พี่ปรอทเริ่มพูดเสียงดังขึ้น
“แล้วปรอทมีสิทธิ์อะไรมาห้ามพี่” พี่รัชต์ยังมีสีหน้ายียวน แต่เปลี่ยนท่าจากกอดอกเป็นเอามือเกี่ยวกระเป๋ากางเกงไว้ แต่ละท่าน่าหมั่นไส้หมั่นพุงจนผมอยากจะซื้อไปทิ้ง พี่รัชต์เวอร์ชั่นนี้นี่ผมไม่เคยเห็นเลยจริงๆ
“ตอนนี้ผมอาจจะยังไม่มีสิทธิ์ แต่บอกให้พี่รู้ไว้ก่อนว่าผมรักน้องกี และผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายน้องเด็ดขาด ถ้าพี่ไม่จริงจังกับน้อง ผมก็จะขัดขวางให้ถึงที่สุด”
อ๊ากกกก ฟังแล้วเขินจนอยากจะมุดพื้นคอนกรีต ไอ้วิกับไอ้มุมส่งยิ้มล้อเลียน ส่วนเจ๊รตีนี่ทำท่าเหมือนอยากจะอ้วก ผมถลึงตาใส่ทั้งพี่ทั้งเพื่อนแก้เขิน ก่อนจะหันไปฟังต่อ
“หึๆ เรื่องแบบนี้ใครดีใครได้สิครับ น้องกีทั้งน่ารัก” ทอดเสียงไว้สักพัก “แล้วก็น่ากิน แถมป้ามาลีกับลุงกฤษณ์ก็เปิดทางให้ขนาดนี้ ถ้าพี่ปล่อยให้หลุดมือ ไม่ได้ชิมสักครั้ง พี่ก็โง่สิครับ” หน้าพี่รัชดูชั่วช้ายิ่งกว่าตัวร้ายละครหลังข่าวซะอีก นะ... น่ากลัว ใครก็ได้เอาพี่รัชต์ที่แสนดีคนเดิมมาคืนผมที
“พี่เสือ!!” พี่ปรอทเรียกพี่รัชต์เสียงดังด้วยความโมโห ทำท่าจะพุ่งเข้าไปต่อยพี่รัชต์ จนผมต้องวิ่งออกจากหลังเสาเข้าไปห้าม
“หยุดนะพี่ปรอท!” พี่ปรอทชะงัก แต่พี่รัชต์ดันมือไวสวนไปหนึ่งหมัดจนพี่ปรอทล้มลง
“พี่ปรอท” ผมกำลังจะวิ่งไปดูพี่ปรอทแต่โดนพี่รัชต์ดึงกลับมา พี่ปรอทเช็ดเลือดที่มุมปาก ไอ้มุมที่วิ่งตามมาก็มาพยุงพี่ปรอทลุกขึ้น
“น้องกีบอกไปซิ ว่าน้องกีจะเลือกใคร” พี่รัชต์ถามผมที่กำลังยืนมึนกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่
“พี่...”
“ได้ยินแล้วใช่ไหม ว่าน้องเลือกพี่” คือ ผมไม่ได้เลือกใครคร้าบ ผมจะเรียกชื่อพี่ ทำไมพี่ผมเป็นคนแบบนี้วะ
“ในเมื่อน้องกีเลือกพี่แล้ว ต่อไปห้ามปรอทมายุ่งกับน้องกีอีก เข้าใจนะ” พูดจบก็ลากผมเดินออกไป
“ไม่ครับ จนกว่าพี่จะรับปากว่าจะไม่ทำร้ายน้องกี ไม่งั้นผมก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด”
พี่รัชต์แอบยิ้มขำๆ สมใจแล้วล่ะสิ ต่อยเค้าจนปากแตกขนาดนั้น แต่พี่แกก็แค่ยักไหล่อย่างยียวน แล้วเราก็เดินจากมา ผมหันไปมองพี่ปรอท พี่มันมองมาด้วยสายตาห่วงใยจนผมใจอ่อนยวบ
พอขึ้นรถได้ ทั้งสามคนก็แปะมือกัน ผมได้กระพริบตาปริบๆ มอง
“พี่รัชต์น่าจะต่อยเผื่อรตีอีกสักหมัด” เจ๊รตีสายโหดพูดขึ้นมาเป็นคนแรก ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วละว่าทั้งสามคนเล่นอะไรกัน (ความรู้สึกช้าไปนะลูก)
“ฮ่าๆๆๆ พอเถอะ นั่นก็โดนไปเต็มๆ แล้ว เดี๋ยวคนแถวนี้จะร้องไห้ซะเปล่าๆ” อยู่ดีๆ ก็โดนแซวจนผมหน้าร้อนขึ้นมาทันที
“เหอะ รตียังไม่สะใจเลย”
“จะว่าไปก็สงสารพี่ปรอทเหมือนกันนะคะพี่รตี ที่ผ่านมาก็โดนไปหลายดอกแล้ว โดนวิตบไปสองที ไอ้มุมอีกหนึ่งหมัด บวกกับหมัดหนักๆ ของพี่รัชต์อีกหมัด” ไอ้วิมันเสริมให้ พอได้ยินอย่างนั้นเจ๊รตีก็ทำท่าพอใจขึ้นมาอีกหน่อย
พี่รัชต์หันมายิ้มให้ผม โยกหัวเบาๆ แล้วบอก
“พี่ให้ผ่าน” หือ ผ่านอะไร อะไรผ่าน ผมงง พอเห็นผมทำหน้าเอ๋อใส่พี่รัชต์ก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู
“พี่ปรอทของกีน่ะ พี่ให้ผ่าน พี่ยอมรับแล้ว หนักแน่น จริงใจดี อนุญาตให้กีคบด้วยได้ แต่ถ้าทำกีเสียใจเมื่อไหร่ บอกพี่ พี่จะกลับมาจัดการให้ทันที” ผมยิ้มกว้างยินดีที่พี่รัชต์ยอมรับ แล้วก็ยินดีที่ผมเลือกคนไม่ผิด
เราแวะตลาดสดซื้อของมาทำอาหาร เพราะเย็นนี้จะมีเลี้ยงต้อนรับพี่รัชต์กันนิดหน่อยที่นานๆ พี่แกจะยอมห่างจากตะเข็บชายแดนสุดที่รักมาได้ เรามาตั้งเตาย่างกันที่สนามหน้าบ้าน ทั้งกินทั้งเม้าท์กันจนคอแห้งเพราะไม่ได้เจอกันมานาน ในบ้านมีแต่เสียงหัวเราะ ได้อยู่ท่ามกลางคนที่รัก ผมมีความสุขมากที่สุด พอผู้ใหญ่แยกย้ายกันไปนอน ก็เหลือแต่เราสี่คน แต่ละคนเผากันเองให้พี่รัชต์ฟังเต็มที่ เสียดายที่เจ๊รตีมีคนไข้ด่วน ทำให้ต้องรีบไปโรงพยาบาลโดยมีพี่รัชต์ไปส่ง ดีที่งานเลี้ยงเราปลอดแอลกอฮอล์เลยไม่ต้องเป็นห่วงมาก
ผมกับไอ้วิคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับห้อง พออาบน้ำเสร็จ ผมก็มานั่งปลดล็อคเบอร์โทรศัพท์ ปลดล็อคไลน์พี่ปรอท แล้วก็โทรหาไอ้มุม เพราะรู้ว่าป่านนี้มันก็ยังไม่นอนหรอก น่าจะยังเล่นเกมอยู่ ผมโทรไปอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ไอ้มุมฟัง แล้วก็ฝากบอกไปถึงพี่ปรอทว่าถ้ายังมั่นใจในความรู้สึกที่มีต่อผม ก็ให้รู้ว่าผมขอให้โอกาสพี่ปรอทอีกครั้ง ทำไมผมไม่โทรหาพี่ปรอทเลยเหรอครับ โธ่! ก็ผมมันปอดแหกไง จะอะไรล่ะ แหะๆ (ตอนหลังไอ้มุมมันมาเล่าให้ฟังว่าพี่มุมขับรถมาที่บ้านผมตอนตี 1 เอ่อ! พี่จะมาปล้นบ้านผมเหรอครับดึกขนาดนี้)
พอรุ่งเช้าพี่ปรอทกับไอ้มุมก็มานั่งเรียบร้อยอยู่ที่โต๊ะรับแขกกับคุณพ่อคุณแม่ เข้ามาพูดคุยทำความรู้จักและขอโอกาสคบกับผม ที่จริงพี่มันแทบจะยกพานดอกไม้ธูปเทียนแพมาขอขมาพ่อแม่ผมด้วย แต่ผมไม่อนุญาต เวอร์ไปไหมครับพี่ กูอายครับ อีกอย่างผมไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดในคืนนั้นให้พ่อกับแม่ฟังครับ ไม่อยากให้ท่านไม่สบายใจ เจ๊รตีที่หยุดอยู่บ้านพอดีถามผมว่าจะให้วางยาในแก้วน้ำเลยไหม เดี๋ยวพี่จัดให้ เอ่อ พี่ครับ ได้ข่าวว่าพี่เป็นแพทย์ไม่ใช่ฆาตกร โหดจริงจัง พี่ใครวะ ส่วนพี่รัชต์ก็ขู่พี่ปรอทไว้ก่อนกลับไปทำงานว่าถ้าทำให้ผมเสียใจ จะกลับมาจัดการเอง พี่ปรอทก็ยิ้มหน้าบานรับคำอย่างหนักแน่นว่าจะไม่มีวันทำให้ผมเสียใจแน่ ผมก็ได้แต่เขินเมื่อได้รับสายตาล้อเลียนจากทุกคนในบ้าน เอาที่สบายใจเลยครับ ล้อได้ล้อไป ไม่คิดว่าผมจะอายเลยรึไง ฮึ่ย!
หลังจากนั้นมาพี่ปรอทก็อัญเชิญตัวเองมาที่บ้านผมแทบทุกวัน เช้าถึงเย็นถึงเลยทีเดียว เช้าแวะมาหาก่อนออกไปทำงาน พอเย็นๆ หลังเลิกงานก็ลากไอ้มุมมาหาผมที่บ้าน มากินข้าวบ้านผมแทบทุกวัน คิดเงินได้ไหมครับ มันเปลือง ฮ่าๆๆ ผมบอกว่าไม่ต้องมาบ่อยขนาดนั้นก็ได้ ผมกลัวจะเหนื่อย แต่พี่ปรอทบอกไม่เป็นไร มันเป็นความสุขของพี่ พี่พูดโดยไม่อาย แต่คนฟังอย่างผมอายครับ งื้อ ส่วนไอ้มุม วันไหนเจ๊รตีอยู่บ้านก็ชอบไปกวนประสาทพี่ผม แถมสายตาที่มองกันก็...หึๆ คู่นี้ชักจะยังไงๆ แล้วครับ สักวันผมจะง้างปากไอ้มุมให้ได้ ไม่บังอาจไปง้างปากเจ๊รตีหรอกครับ ผมกลัวตาย
แต่แบบนี้ก็ดีครับ ได้เรียนรู้นิสัยใจคอกันจริงๆ แถมอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ เพราะพ่อกับแม่ผมก็เป็นห่วง กลัวว่าความรักของเพศเดียวกันมันจะไม่ยืนยาว ท่านกลัวผมจะเสียใจ พอได้โอกาสพี่ปรอทก็แสดงความจริงใจให้เห็นอย่างเต็มที่ ว่างๆ ก็ไปช่วยพ่อดูแลต้นไม้ ช่วยแม่ถือของที่ตลาด มาช่วยผมทำกับข้าว จนตอนนี้กลายเป็นขวัญใจของผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านไปแล้วครับ อะไรก็ลูกปรอท ลูกปรอทจนผมหมั่นไส้ แอบหยิกพุงพี่มันไปหลายที ช่วงนี้ชีวิตดี๊ดีครับ อิจฉาผมล่ะสิ ฮ่าๆๆๆๆ
**************************
คืนนี้มีนัดกับหน้ากากนักร้องค่ะ เลยเอาน้องกีมาฝากไว้ก่อน ฝากลูกสาว เอ๊ย! ลูกชายไว้ด้วยนะคะ
:mew3:
แค่คืบ
ปิดเทอมยาวๆ แบบนี้ มันต้องไปเที่ยวครับ ผมอ้อนชวนคนที่บ้านหนีเที่ยวกัน ซึ่งทุกคนก็ยอมแต่โดยดี ทั้งพ่อแม่ น้าๆ กับเจ๊รตีเคลียร์งานกันหัวปั่น ที่จริงก็คุยกันมานานแล้วครับว่าจะหาโอกาสไปเที่ยวด้วยกันบ้าง เสียดายที่พี่รัชต์รีบกลับซะก่อนไปด้วยไม่ได้ ไม่งั้นถ้าได้ไปพร้อมหน้าพร้อมตากันคงจะดีกว่านี้
พอได้ฤกษ์ผมจัดข้าวของเตรียมอาหารอย่างมีความสุข เมื่อถึงเวลาออกเดินทางก็ลงมาจากห้องเจอพี่ปรอทนั่งเรียบร้อยอยู่ที่ห้องรับแขก ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะมานั่งเล่นเฉยๆ เอ่อ ใครชวนพี่ไม่ทราบครับ ได้ข่าวว่าเขาไปเที่ยวกันตามประสาครอบครัว
พอเห็นผมเดินลงมาพี่มันก็ลุกขึ้นมาหาแล้วคว้ากระเป๋าไปถือให้ ผมยกมือไหว้ตามมารยาท
“พี่ช่วยถือครับ” พูดจบก็ยิ้มกว้างกลับมาให้ จนผมต้องหันหน้าหนี กลัวเผลอปล้ำพี่มัน แหะๆ
ผมเลือกไปเที่ยวที่จังหวัดกาญจนบุรีครับ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไหร่ เดินทางไม่เหนื่อยมาก จุดหมายคือน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เพราะผมเห็นในรีวิวการท่องเที่ยวแล้วอยากไป ซึ่งทุกคนก็ตามใจและเห็นด้วย
ตอนแรกที่วางแผนการเดินทาง ก็คิดว่าจะขับรถไปกันเอง แต่พี่ปรอทเอารถตู้กับคนขับรถมาแล้วพาพ่อแม่มาด้วย เลยไปรถคันเดียวกันเลย เด็กๆ อย่างพวกผมก็ไปนั่งข้างหลัง พี่ปรอทมันนั่งมองผมแล้วส่งยิ้มให้ตลอดเวลา หัวใจผมก็เต้นกระหน่ำไปสิ พี่มันกะจะไม่ให้หัวใจผมได้พักได้ผ่อนกันเลยรึไงครับ ถ้าผมเป็นโรคหัวใจไปใครจะรับผิดชอบ
ระหว่างทางมันต้องขึ้นแพขนานยนตร์ข้ามเขื่อนศรีนครินทร์ไป บรรยากาศดีมากครับ ลมพัดมาอากาศเย็นสบาย พ่อกับแม่ของเราก็นั่งคุยกันไป พี่รตีก็นั่งทะเลาะกับไอ้มุม ส่วนผมกับไอ้วิก็เดินไปหามุมถ่ายรูป โดยมีพี่ปรอทเป็นตากล้องให้ พอถ่ายเสร็จผมก็เดินไปหาพี่มันเพื่อขอดูรูป
“ไหนขอกีดูหน่อยครับว่าสวยไหม” ผมชะโงกเข้าไปดูใกล้ๆ
อะแฮ่ม! พอได้ยินเสียงไอ้วิกระแอมผมก็เงยขึ้นมองหน้าพี่ปรอทก็เห็นพี่มันมองมาตาเยิ้ม คือ มึงเพลาๆ ลงบ้างก็ได้ครับสายตาเนี่ย มองยังกับจะแดกกันไปทั้งตัว งื้อ ผมเขิน
ผมถอยห่างออกมา รู้สึกว่าหน้าร้อนๆ สงสัยแดดจะแรงไปหน่อย
“ทำอะไรเห็นใจคนโสดบ้างเท้อ ยืนหัวโด่อยู่นี่ เห็นหัวกันบ้างไหมคะพี่” ไอ้วิมันแซวขึ้น ส่วนพี่ปรอทก็หัวเราะชอบใจ
“จะเห็นได้ยังไงครับ สายตาพี่มีแต่น้องกี” อื้อหือ เสี่ยวมากพี่มึ๊ง
“อ้วกกก ขออ้วกแป๊บนะกี กูเมาคลื่น” ส่วนผมจะทำอะไรได้ครับ ยืนเขินไปสิ
เราไปถึงจุดหมายช่วงบ่ายๆ พอไปถึงก็ช่วยกันขนของเข้าไปเก็บในบ้านพัก ถ้ามากันเองผมก็อยากจะลองกางเต็นท์อยู่หรอก แต่นี่มีผู้ใหญ่มาด้วย กลัวท่านไม่สะดวกเลยจองเป็นบ้านพักแทน
หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ เราก็ออกไปเดินเล่นถ่ายรูปชมบรรยากาศกัน กะว่ารอให้เย็นๆ กว่านี้หน่อยค่อยออกมาเล่นน้ำ ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็ขอแยกไปนั่งจิบกาแฟคุยกันสบายๆ ที่ร้านค้าสวัสดิการของอุทยาน เราไปเดินถ่ายรูปกันที่น้ำตกตั้งแต่ชั้นที่เป็นชั้นเดียวกับบ้านพักคือชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว ชั้นนี้น้ำตกสวยมาก สายน้ำทิ้งตัวจากหน้าผาลงสู่พื้นดินเป็นสาย
เก็บภาพตรงป้ายได้ไปหลายภาพ โอ้เอ้ตรงจุดนี้อยู่นาน จึงตัดสินใจเดินไล่ขึ้นไปข้างบนก่อน ชั้นที่ 5 ไหลจนหลง ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ พอถึงชั้นที่ 7 ร่มเกล้า ก็ค่อยเดินย้อนกลับมา เพื่อลงไปที่ชั้นที่ 3 วังหน้าผา ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น และชั้นที่ 1 ดงว่าน ชั้นล่างๆ มองเห็นน้ำเป็นสีเขียวมรกต น้ำใส น่าเล่นมาก จนผมอยากจะกระโดดลงไปเล่นตอนนั้นเลย แต่ไอ้วิห้ามไว้กลัวว่าผมจะไม่สบาย วิกูแข็งแรงแล้วเหอะ ผมก็ได้แต่มองตาละห้อยฝากไว้ก่อนเถอะน้องน้ำ เย็นนี้เจอกันครับ
เดินกันจนเมื่อยขา ก็เดินกลับขึ้นมาที่บ้านพักเหมือนเดิม บ้านพักมีอยู่ 3 ห้อง ห้องละ 3 เตียง หลักๆ เราแบ่งกันพักโดยยึดผู้ใหญ่เป็นหลัก ห้องแรกเป็นของพ่อแม่ เจ๊รตีกับผม ห้องที่สองเป็นของน้าๆ กับไอ้วิ อีกห้องก็เป็นของพ่อแม่พี่ปรอท ส่วนพี่ปรอทกับไอ้มุมก็ไปเช่าเต็นท์มาตั้งใกล้ๆ พี่ปรอทมองผมเดินเข้าห้องมาตาละห้อย ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะครับ อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง ผมก็ได้แต่หัวเราะขำ กลับมารื้อของในห้องเตรียมตัวเล่นน้ำด้วยความตื่นเต้น พอจัดของเสร็จก็ชวนไอ้วิไปหาอะไรกินที่ร้านสวัสดิการ พี่ปรอทกับไอ้มุมก็ช่วยกันกางเต็นท์ต่อ
พอแดดเริ่มหุบผมก็เปลี่ยนชุดใส่เล่นน้ำ ก็เสื้อยืดกางเกงขาสั้นนั่นแหละครับ ตอนแรกผมใส่เสื้อสีขาวไป แต่โดนทั้งไอ้วิและพี่ปรอทไล่ให้ไปเปลี่ยน ลืมกันไปรึเปล่ากูผู้ชายครับ ไม่มีหน้าอกเหมือนสาวๆ ซะหน่อย วู้!
หลังจากเปลี่ยนเสื้อตามใจท่านๆ เสร็จแล้ว ผมก็รีบเดินไปยังน้ำตกชั้นที่หมายตาไว้ทันที ผมไปชั้นที่ถัดลงมาจากชั้นบ้านพักครับ เพราะขี้เกียจเดินไกล เล่นน้ำหมดแรงจะได้เดินกลับไหว
ตอนนี้ไม่มีใครมาเล่นแล้วครับ สงสัยคนอื่นจะเล่นกันเต็มที่แล้ว ผมจูงมือไอ้วิก้าวลงไปในน้ำ ไม่กล้ากระโดดลงกลัวหัวไปฟาดหินแล้วอาจจะตายโดยใช่เหตุ มีพี่ปรอทกับไอ้มุมตามลงมาติดๆ ส่วนพี่รตีเจ๊แกแก่แล้วครับ ปล่อยให้อยู่กับผู้ใหญ่ไป ชู่ววว อย่าไปบอกเจ๊นะว่าผมนินทา
เจอน้ำเย็นๆ บรรยากาศดีๆ แล้วรู้สึกสดชื่นมากครับ เราซัดน้ำใส่กันอย่างสนุกสนาน ผมดำน้ำไปดึงขาพี่ปรอทแล้วก็โผล่ขึ้นมา พี่ปรอทก็ดึงแขนผมไว้ไม่ให้ดำหนีไปอีก พอลืมตาขึ้นมาผมก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าหน้าเราอยู่ใกล้กันในระยะประชิด พี่ปรอทอมยิ้ม มองตาผมนิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“อะแฮ่มมม” ผมแทบหงายหลังเมื่อได้ยินเสียงกระแอมของก้าง เอ๊ย! ของเพื่อนทั้งสองคน
“เอ่อ ลืมไปหรือเปล่าครับว่าตรงนี้ยังมีมนุษย์อยู่ด้วยสองคน” ไอ้มุมมันแซวขำๆ
“นั่นสิ โลกนี้ไม่ได้มีแค่เราสองกับผองปลานะคะพี่ปรอท หวานไม่แคร์สื่อเลย เกรงใจกันหน่อยก็ดีนะ” ไอ้วิก็ไม่ยอมน้อยหน้า
ผมขอดำน้ำหนีอายได้ไหมครับ พี่ปรอทก็เอาแต่หัวเราะแล้วก็ดึงตัวผมเข้ามาโอบเอวไว้
“ทำไมครับ อิจฉาเหรอ” ยังมีหน้าไปถามเขาอีกนะ
“ไม่อิจฉาเลยค่ะ แค่ตาลุกเป็นไฟแค่นั้นเอ๊ง อีกอย่างวิเป็นห่วงกลัวว่าปลาแถวนี้จะเป็นเบาหวานตายหมดซะก่อน” มันส่งสายตาล้อเลียนกลับมา แล้วทั้งสามคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
ถามกันบ้างไหม ว่ากูอายหรือเปล่า ณ จุดๆ นี้ผมอยากดำน้ำหนี ไปโผล่อีกทีที่กรุงเทพฯ เลยครับ ฮือออออ
เล่นน้ำกันจนตัวซีดได้ที่ ท้องก็ร้องพอดี พี่รตีมาเรียกเราขึ้นไปกินข้าวกันครับ บอกว่าพวกพ่อๆ แม่ๆ สั่งอาหารไว้รอแล้ว ให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วตามไปที่ร้านได้เลย
อาหารที่นี่อร่อยใช้ได้เลยครับ ปลาตัวใหญ่ๆ ต้มยำรสแซ่บ ผัดเผ็ดไก่รสจัด หลังจากใช้พลังงานในการเล่นน้ำไปเยอะ เราก็ซัดกันเต็มที่ อาหารที่สั่งมาหมดเกลี้ยง อิ่มจนแทบจะคลานกลับบ้านพักไปเลยครับ
กินข้าวเสร็จพี่ปรอทก็ขออนุญาตชวนผมไปเดินเล่น เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดชมวิว ก็นั่งลงแล้วแหงนหน้ามองดาวกันเงียบๆ
“น้องกีครับ” ผมหันไปมองหน้าพี่ปรอท พอสายตาเริ่มชินกับความมืดก็เห็นหน้าพี่มันชัดเจน ที่จริงต่อให้หลับตาหน้าพี่ปรอทก็ชัดอยู่ดี เพราะภาพของพี่มันอยู่ทั้งในสายตาและในหัวใจของผมตลอดเวลาอยู่แล้ว
“พี่อยากจะรู้ ว่าตอนนี้น้องกียกโทษให้พี่หรือยัง” ผมหัวเราะเบาๆ
“ถ้ายังไม่ยกโทษให้ พี่ปรอทคงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้หรอกครับ” พี่ปรอทยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“ถ้าอย่างนั้น เราเป็นแฟนกันแล้วนะ” เรื่องโมเมนี่พี่แกถนัดมากครับ ผมละยอมใจ ผมแกล้งแหงนหน้าขึ้นมองดาวบนท้องฟ้าแล้วเงียบไป
“โธ่ น้องกีครับ อย่าแกล้งพี่เลย พี่ใจจะขาด” อ้อนขนาดนี้ คิดว่าผมยังจะใจแข็งอยู่ไหมครับ ผมหันมายิ้มให้พี่ปรอท แล้วก็ผงกหัวให้อย่างเขินๆ
“ครับ” แค่ได้ยินคำตอบพี่ปรอทก็ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ สวยยิ่งกว่าดาวบนฟ้าเป็นไหนๆ
“ขอบคุณครับ พี่จะไม่ทำให้น้องกีผิดหวัง” เราสบตากันเงียบๆ ในสายตาต่างก็สื่อความรู้สึกในหัวใจของกันและกันอย่างชัดเจน ก่อนที่พี่ปรอทจะขยับเข้ามาใกล้ ผมหลับตาลงรับสัมผัสจากพี่ปรอทด้วยความเต็มใจ พี่ปรอทค่อยๆ จูบลงมาอย่างนุ่มนวล อ่อนหวาน คลอเคล้าริมฝีปากของผมเนิ่นนานจนแทบหายใจไม่ออก
จูบจนพอไปก็ผละตัวออกมาสบตา แล้วดึงตัวผมไปกอดแนบอก ผมรู้สึกเลยว่าหัวใจพี่มันเต้นแรงพอๆ กับหัวใจของผม เรายังคงนั่งดูดาวกันต่อเงียบๆ ปล่อยให้หัวใจสื่อถึงกัน คืนนี้ฟ้าโปร่ง ดาวบนฟ้าสวยจับใจ อาจจะเพราะคนที่อยู่ใกล้ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่า ดาวในวันนี้สวยยิ่งกว่าทุกๆ วัน
จบ...
[/b]
จบแล้วค่า เป็นนิยาย/เรื่องสั้นขนาดยาวที่สุดเรื่องแรกที่แต่งจบ แถมเป็นวายด้วย ขอบคุณที่ติดตามมาถึงตอนนี้ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์กับ +เป็ดที่เห็นทีไรก็ทำให้ยิ้มจนแก้มปริ เป็นกำลังใจให้อย่างดีเลยค่ะ ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ด้วยค่ะ
ฝากน้องกี ลูกชายคนแรกไว้ด้วยนะคะ
ขอเวลาฝึกปรือฝีมือสัก 3 ปี แค่กๆ แล้วจะเข็นเรื่องอื่นๆ มาให้ลองอ่านกันนะคะ ขึ้นบทนำไว้หลายเรื่องแล้ว เอิ้กกกก
ตอบ คห.บน #ทีมหน้ากากทุเรียนค่ะ หุๆ
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น #ถ่ายเองค่ะ แต่แนบไม่เป็น ถถถ
https://www.mx7.com/view2/zHh708AWGkIg09s1
(http://url=https://www.mx7.com/view2/zHh708AWGkIg09s1][img]https://www.mx7.com/t/dc6/YloOhd.jpg)
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยค่า ลูกชายคนใหม่ เพิ่งจะเริ่มต้วมเตี้ยม แหะๆ
"ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจ" แนวแฟนตาซีนะคะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58607.0