บทนำ
ลมเย็นจากใบพัดขนาดใหญ่ของพัดลมในรถตู้เป่ารดหัวจนผมที่เซ็ตมาอย่างดีถูกตีแตกกระเจิง เสียงขับขานเพราะๆ ของเพลงบัลลาดสัญชาติเกาหลีในโทรศัพท์ ไม่อาจสู้เพลงลูกทุ่งยุคใหม่ที่ดังสะเทือนจากลำโพงลั่นรถได้ แต่กระนั้นปภพก็ยังเสียบหูฟังคาเอาไว้ให้เพลงมันตีกันเล่น เพราะคิดว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะได้ลงจากรถตู้คันนี้ไปต่อรถไฟฟ้าแล้ว
ครั้นมาถึงที่หมาย ควักเงินสตางค์จ่ายให้คนขับเรียบร้อย ปภพก็รีบวิ่งตัดหน้ารถแท็กซี่ที่จอดรอผู้โดยสารไปยังฟุตปาธ และระหว่างทางเดินสาธารณะนั้นก็มีของขายแบกับพื้นมากมายให้สาวๆ ชาวออฟฟิศซื้อหาก่อนเข้าทำงาน แต่ของเหล่านั้นไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขาได้ ชายหนุ่มจึงรีบเดินไปขึ้นบันไดเลื่อนและเข้าไปรอรถไฟฟ้าที่สถานี
ระหว่างรอเขาก็เข้ามายืนต่อท้ายแถวคนที่มาก่อนอย่างเป็นระเบียบ พลางทอดสายตามองปลายท้องฟ้าที่เริ่มมีสีชมพูอ่อนรำไร คาดว่าอีกไม่นานพระอาทิตย์ดวงโตก็คงจะโผล่ขึ้นมาเต็มดวง แต่เป็นโชคดีของเขาที่ยามนั้นคงเข้าไปนั่งตากแอร์อยู่ในสำนักงานแล้ว
เปอร์เซ็นความหนาวเย็นในประเทศนี้นั้นน้อยมาก หากเทียบกับความร้อนที่เบียดแทรกเข้ามาแทนที่ทุกฤดู ดังนั้นเขาจึงไม่เคยมองว่าเดือนไหนเป็นฤดูอะไรจากอากาศเลย แต่มองจากการขึ้นและตกของดวงอาทิตย์มากกว่า ยกเว้นเสียแต่ว่าวันนั้นฝนจะตกตั้งแต่เช้ามืด ฟ้าก็จะครึ้มจนมองไม่เห็นแสงสีทองงดงาม—
ปี๊ด!!!!!!!!!
เสียงเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยเป่านกหวีดเตือนผู้โดยสารไม่ให้ออกไปยืนล้ำเส้นสีเหลือง เพราะรถกำลังจะเทียบเข้าชานชลาแล้ว
เฮ้อ~
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะเวลาเข้าสู่โลกส่วนตัวทีไรมักจะถูกขัดจากสภาพแวดล้อมทุกที
หลายครั้งที่ปภพคิดอยากลาพักร้อน อยากออกไปพักยาวๆ ฟังเสียงลม เสียงคลื่นทะเล เสียงน้ำตก เสียงธรรมชาติบลาๆ อะไรก็ว่ากันไป แต่ชีวิตหนุ่มออฟฟิศอันแสนน่าเบื่อ ภาระเยอะ แถมเงินเดือนไม่สูงเพราะเพิ่งเริ่มทำงานอย่างเขาจะไปเอาวันหยุด เอาเงินเก็บไปทำอะไรอย่างนั้นได้
ดังนั้นทุกวันหลังจากเรียนจบ เขาก็ต้องดำเนินชีวิตน่าเบื่อๆ ของตัวเองต่อไป…
“นั่งตรงนี้ก็ได้ครับ”
หลังจากเข้ามายืนในรถและนั่งได้ไม่กี่สถานี ปภพก็ต้องลุกให้สาวๆ ออฟฟิศที่โดยสารในขบวนเดียวกันกับเขานั่ง เพราะหากยังทนนั่งต่อไป เขาคิดว่าบางทีอาจโดนสายตาเหล่านั้นเชือดเฉือนเอาก็ได้ ไม่ก็โดนถ่ายรูปไปประจานความไม่มีน้ำใจลงในโซเชียลให้คนด่าเล่น ชายหนุ่มจึงยอมตัดปัญหาโดยการเสียสละที่นั่งแทน แต่ถ้าวันไหนเลิกงานมาแล้วเหนื่อยมากๆ ปภพก็จะทนหน้าด้านนั่งหลับทับสิทธิ์ของตัวเองจนกว่าจะสุดปลายทางเหมือนกัน
พอลุกขึ้นยืนก็ต้องเบียดกับประชากรในรถไฟฟ้าในเวลาเร่งด่วนอีกเรือนแสน ขนาดว่าพอยืนๆ ไปเรื่อยๆ ตัวจะเบียดกันจนไม่ต้องหาราวจับก็สามารถยืนได้อยู่
ระหว่างที่ปภพโดนคนเบียดจนแทบจะติดกับประตูอยู่แล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มาชนด้านหลัง มันดุนๆ ดันๆ อยู่แถวสะโพก
อาจจะเป็นสัมภาระของใครสักคนนั่นแหละ ชายหนุ่มคิด
แต่แล้วไอ้ความคิดในแง่ดีของปภพก็ต้องถูกปัดพร้อมกระทืบซ้ำให้ตกไป เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วมือของใครบางคนที่กำลังลูบไล้ก้นของเขาอยู่!
และมันไม่ใช่แค่ลูบเท่านั้น เพียงไม่กี่วินาทีที่เขากำลังอยู่ในอาการตกใจ ไอ้มือปริศนาก็บีบมาที่เนื้อหนั่นนิ่มๆ นั้นอย่างแรง จนชายหนุ่มต้องหลุดปากร้องออกมาเสียงดัง
“เฮ้ย!”
เขาขยับตัวตั้งใจรีบหันหลังกลับไปมองในนาทีนั้น แต่ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ กลับทำท่านิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อยากจะตะโกนถามนักว่า
ใครกันที่บีบก้นกู!
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้า เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ดันโดนลวนลาม มันทั้งน่ากลัวและน่าขยะแขยงไปพร้อมๆ กัน ซ้ำร้ายยังจับมือใครดมไม่ได้นี่สิ สุดท้ายปภพจึงตั้งท่าหันหน้าเข้ามาทางผู้โดยสารโดยสมบูรณ์
ก่อนจะถึงสถานีที่มีคนลงเยอะมากที่สุด เขามองสังเกตคนที่มีโอกาสลวนลามตนให้มากที่สุด เผื่อว่าจะมีคนไหนส่อพิรุธออกมาบ้าง
ที่ด้านหลังตรงๆ เป็นผู้หญิงวัยกลางคนท่านทางเรียบร้อยเหมือนคุณครู ที่ด้านซ้ายเป็นสาวออฟฟิศหน้าตาธรรมดาที่เอาแต่ก้มหน้าอ่านทวิตเตอร์ ส่วนด้านขวาเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายจากโรงเรียนชายล้วนมีชื่อ ซึ่งเจ้าตัวยืนเบี่ยงๆ หันหน้าไปอีกทางตั้งแต่ที่เขาพลิกกลับมาแต่แรก ไม่ว่ามองคนไหนปภพก็ไม่เห็นความเป็นไปได้ของไอ้โรคจิตเลย ครั้นเมื่อต้องลงจากรถชายหนุ่มก็จับคนร้ายไม่ได้
ปภพเดินหัวเสียออกจากขบวนรถไฟ ในใจยังโกรธกรุ่นไม่หาย พยายามตัดใจว่าช่างมันเถอะ อย่างไรก็คงไม่ได้เจออีกแล้ว เขาก็ไม่ได้เสียหายอะไรนัก
ทว่าหลังจากหนุ่มออฟฟิศผู้โชคร้ายเดินออกจากขบวนรถไฟไป ดวงตาของใครคนหนึ่งในรถไฟฟ้าก็มองผ่านกระจกไปที่เขา กระทั่งแผ่นหลังห่อๆ นั้นลับสายตา เจ้าของดวงตานั้นจึงยกยิ้มขึ้นมาประดับมุมปากบางๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
และคนร้ายตัวจริงก็คือ...
ละอองฝน.
บทที่ 1
ธามเป็นเด็กต่างจังหวัด แต่สามารถสอบเข้ามาเรียนโรงเรียนดังได้ตอนม. 4 ดังนั้นพ่อกับแม่จึงส่งให้มาเรียนและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ตามลำพัง โดยอาศัยเช่าบ้านของเพื่อนแม่อยู่
ทุกๆ เช้าธามจะตื่นนอนตั้งแต่ตี 4 เพื่อลุกขึ้นมาอ่านหนังสือเตรียมบทเรียนไปก่อนล่วงหน้า ตกเย็นก็จะทำการบ้านทบทวนบทเรียนที่เรียนมา ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็จะออกไปวุ่นวายอยู่ที่สถาบันสอนพิเศษมีชื่อต่างๆ ที่เขาเปิดสอนกัน
ถ้าเปรียบเทียบกับเด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน เขาถือว่าเป็นเด็กที่ขยันเรียนและรู้หน้าที่ของตัวเองดีพอสมควร เพราะนอกจากจะรับผิดชอบตัวเองโดยการตั้งใจเรียนแล้ว เขาก็ยังไม่เคยเที่ยวทำตัวเหลวไหลให้พ่อแม่ต้องคอยเป็นห่วงหรือหนักใจอีกด้วย
คนรอบข้างหลายๆ คนเคยพูดและแสดงความเป็นห่วงกับพ่อแม่ของธามว่า พวกท่านเข้มงวดกับชีวิตของลูกชายเพียงคนเดียวจนเกินไปไหม เพราะภาพลักษณ์ที่ทุกคนเห็นจนชินตาคือ ธามจะเป็นเด็กเนิร์ดคงแก่เรียน พูดน้อย ยิ้มน้อย ไม่ค่อยมีสังคมเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วๆ ไป ยิ่งเรื่องชู้สาวนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเด็กหนุ่มแทบไม่มีวี่แววว่าจะรักจะชอบใครเลย ทั้งที่รูปร่างหน้าตาดีมากแท้ๆ
แม่ของธามนั้นให้เหตุผลว่าเพราะธามอาจจะยังเด็ก ดังนั้นจึงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ และเธอก็คิดว่ามันดีอยู่แล้วที่ลูกชายสนใจแต่เรื่องเรียนอย่างเดียว
ตัวธามเองเวลาได้ยินคำพูดของญาติๆ หรือผู้ใหญ่คนไหนก็จะเฉยๆ เพราะเขาไม่รู้สึกสักนิดว่าการที่จะไม่มีเพื่อนมากมาย หรือเที่ยวเล่นอย่างเด็กคนอื่นจะถือว่าเป็นปัญหา
ในทางตรงกันข้ามเด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าการมีเพื่อนไม่มาก แต่สนิทสนมรู้ใจกันนั้นดียิ่งกว่า อีกทั้งเรื่องที่ตั้งใจมุมานะเรียนก็เพราะเขารู้สึกสนุกกับมัน ไม่ใช่ถูกบังคับฝืนใจจากพ่อแม่แม้แต่น้อย ดังนั้นที่ผ่านมาชีวิตวัยรุ่นของธามจึงไม่มีอะไรที่กระตุ้นความสนใจของเขาได้เป็นพิเศษนอกจากการเรียน
จนกระทั่งวันที่เขาได้พบกับใครคนหนึ่ง
ช่วงเวลานั้นเป็นเช้าที่วุ่นวายวันหนึ่ง ซึ่งเขาต้องฝ่าการจราจรติดขัดและเบียดเสียดกับผู้คนอยู่ในรถไฟฟ้าเพื่อไปโรงเรียนให้ทัน
ใครคนนั้นไม่ได้สะดุดตาธามตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เพราะรูปร่างและหน้าตาที่ดูเหมือนลูกคนจีนทั่วๆ ไป ตาตี่ คิ้วบาง ผิวขาวเผือด องค์ประกอบรวมดูจืดชืด ยิ่งผนวกเข้ากับชุดพนักงานออฟฟิศที่แสนธรรมดา อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ชายที่ดูจืดจางสุดๆ
ธามเพิ่งสังเกตเห็นเขาคนนั้นครั้งแรกตอนที่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำสถานีเป่านกหวีดใส่ เนื่องจากมัวแต่ใจลอยจนเผลอเหยียบเส้นเหลืองที่ขีดเตือนเอาไว้
เขายืนอยู่อีกแถวที่เยื้องๆ กับธามเล็กน้อย เสียบหูฟังเอาไว้ ท่าทางคล้ายไม่สนใจอะไร พอรถมาแล้วต้องเคลื่อนแถวเขาไปใกล้ เด็กหนุ่มยังได้ยินเสียงเพลงลอดออกมาจากหูฟังนั่นเลย
หูเสียกันพอดี
เด็กหนุ่มคิดตำหนิในใจ ก่อนต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้ารถ
เพียงระยะทางไม่กี่สถานี ภายในรถไฟฟ้าก็มีผู้โดยสารอยู่เต็มไปหมด เดี๋ยวคนนั้นเบียดซ้าย คนนี้เบียดขวา จนสุดท้ายธามก็โดนดันไปอยู่เกือบถึงรอยต่อของตู้โดยสาร
เขายืนอยู่ ณ ตรงจุดนั้นสักพัก สายตาก็เหลือบไปเห็นชายที่ถูกเป่านกหวีดใส่เมื่อครู่อยู่ไม่ไกลออกไป ชายคนนั้นหันหน้าเข้าหาประตู หันหลังให้ผู้โดยสารส่วนใหญ่ในขบวน ในทีแรกก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร ทว่าสายตาเจ้ากรรมดันไปสะดุดกับมือปริศนาข้างหนึ่งเข้าให้
มือข้างนั้นจะไม่มีอะไรแปลกไปจากมือของคนอื่นๆ เลย ถ้าหากว่าเจ้าของของมันไม่กำลังใช้ส่วนปลายนิ้วไล้ไปตามแนวโค้งบนสะโพกของหนุ่มออฟฟิศหน้าจืดอยู่!
ธามรู้สึกตกใจไม่น้อย เพราะตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นโรคจิตตัวเป็นๆ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงพยายามเบียดแทรกผู้คนเข้าไปใกล้ เขาอยากรู้ว่าเจ้าของมือนั้นเป็นใคร ทั้งยังอยากเตือนให้หนุ่มออฟฟิศคนนั้นได้รู้ว่ากำลังถูกลวนลามอยู่
แต่จนแล้วจนรอดก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้ง เพราะทันทีเขาขยับเข้าไปใกล้พอจนเกือบแตะตัวของหนุ่มหน้าจืดได้ มือข้างนั้นก็ออกแรงขยำความกลมกลึงใต้กางเกงแสลกนั่นทันที
“เอ้ย!” เสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นพร้อมๆ กับที่เจ้าตัวหันหน้ากลับมา
ใบหน้าจืดๆ ที่ไร้อารมณ์ก่อนหน้าบัดนี้แดงก่ำจนเห็นได้ชัด ดวงตาตี่ๆ นั้นขยายกว้างขึ้นมากเท่าที่มันสามารถจะขยายได้ พร้อมกับส่ายเลิกลั่กไปมาหาคนโรคจิตอย่างขวัญเสีย มองดูไปก็คล้ายสัตว์เล็กๆ ที่กำลังตื่นตกใจ
ธามตั้งใจอยากจะเข้าไปบอกว่าคนที่ทำมิดีมิร้ายกับเขา เป็นผู้หญิงใส่แว่นทางท่าภูมิฐานคนนั้น แต่อารมณ์แปลกประหลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นในเวลานี้กลับทำให้เด็กหนุ่มก้าวออกไปไม่ได้
เพราะทันทีที่มองใบหน้าจืดๆ ที่ประเดี๋ยวอาย ประเดี๋ยวโกรธของอีกฝ่าย ความเป็นชายของเขาดันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ราวกับว่าท่าทางตื่นๆ นั้นไปกระตุ้นหรือกดโดนสวิตช์เข้า ซึ่งถ้าหากธามเข้าไปในตอนนี้ คนโชคร้ายคงกลายเป็นตัวเองที่ถูกหาว่าโรคจิต
เด็กหนุ่มใช้กระเป๋าเป้ที่สะพายพาดไหลไว้ปิดบังร่างกายท่อนล่างไม่ให้ใครสังเกตเห็น ก่อนจะเบี่ยงตัวหันไปด้านข้างทำทีว่าไม่รับรู้อะไร รอจนกระทั่งผ่านไปสักครู่ ร่างกายไม่รักดีจึงค่อยๆ สงบลง พร้อมกันกับที่หนุ่มออฟฟิศหน้าจืดลงไปจากรถพอดี ซึ่งนั่นก็ทำให้ธามรับรู้ความผิดพลาดของตัวเองอีกประการ นั่นคือเขานั่งรถไฟฟ้าเลยป้ายจากสถานีที่จะลงมาไกลโข
เหตุการณ์วุ่นวายในเช้าวันนั้นจึงทำให้ธามเกือบมาไม่ทันเข้าแถวที่โรงเรียน อีกทั้งวันทั้งวันก็ยังเผลอคิดหมกมุ่นเรื่องที่ตัวเองเกิดอารมณ์ทางเพศเพราะใบหน้าของคนคนนั้นจนเรียนแทบไม่รู้เรื่อง
+++
หลังเลิกเรียนธามรีบตรงกลับบ้านพักทันที และทำการปลดเปลื้องให้กับตนเองเพื่อลดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในให้สงบลง
ถึงอย่างนั้น ยามที่ปฏิบัติภารกิจอะไรต่อมิอะไร ภาพแก้มแดงๆ กับดวงตากระต่ายตื่นตูมก็วิ่งวุ่นอยู่ในหัว เป็นสิ่งเร้าชั้นดีที่พาให้ไปถึงจุดสูงสุดได้เร็วขึ้น
นี่เราเป็นโรคจิตหรือไงนะ
ธามได้แต่คิดกลัวในใจ
คืนนั้นหลังจากทำการบ้านและอ่านหนังสือเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มจึงรีบเข้านอนแต่หัววัน ด้วยหวังว่าความคิดฟุ้งซ่านจะหายไปเมื่อเขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ซึ่งมันก็เป็นความคิดที่ค่อนข้างดีทีเดียว เพราะเมื่อยามเช้าของวันใหม่มาเยือน ธามก็ไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนคนนั้นอีกแล้ว
แต่ไม่ว่าเพราะอะไร เขาจึงรู้สึกว่าอยากเจอคนคนนั้นอีกสักครั้งแทน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เด็กหนุ่มก็แบบนี้ละน้า อารมณ์มันพลุ่งพล่านโดยหาเหตุผลไม่ได้หรอก /ใช่หราา 55555
มาเปิดเผยตัวละครลับอีกตัวแล้วค่ะ คือน้องธามนั่นเอง
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเด็กนักเรียนกับหนุ่มออฟฟิศ
ซึ่งเคยคิดพล็อตไว้ว่าจะเขียนเป็นเรื่องสั้นๆ นานแล้ว
จะบอกว่ามันหาสาระอะไรไม่ได้หรอกค่ะ
แค่อยากเขียนเรื่องง่ายๆ น่ารักๆ ใสๆ(?) ไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
หากจะหาแก่นสารสำคัญหรือพล็อตที่หนักแน่นอะไรคงไม่ได้จริงๆ
ซึ่งเรื่องนี้ฝนเขียนวันต่อวัน คือยังไงก็ต้องลงทุกวันให้ครบเก้าวันตามที่คิดโปรเจคไว้
หากจะสั้นบ้างยาวบ้าง ยังไงก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ
เอาเป็นว่าเจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
มารอดูว่าเจ้าเด็กโรคจิตจะเข้าไปทำความรู้จักกับเหยื่อ-- /แค่กๆ กับพี่ปภพเค้ายังไง
ฝากติดตามด้วยนะคะ
ละอองฝน.