พิมพ์หน้านี้ - My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Airiณ ที่ 03-02-2017 11:53:01

หัวข้อ: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 03-02-2017 11:53:01
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


**********************************************
สวัสดีค่ะ Airin_and เองค่า >3<

ใครที่ไม่ชอบแนวพี่น้องหรือ incest กดออกได้เลยนะคะ ไม่แนะนำให้อ่านต่ออย่างแรงค่ะถ้ารับไม่ได้

สารบัญ

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3570449#msg3570449)・บทที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3570470#msg3570470)・บทที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3570598#msg3570598)・บทที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3571094#msg3571094)・บทที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3571353#msg3571353)・บทที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3572029#msg3572029)・บทที่ 6 (NC) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3572156#msg3572156)・บทที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3572673#msg3572673)・บทที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3572943#msg3572943)・บทที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3573590#msg3573590)・บทที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3573758#msg3573758)・บทที่ 11 (NC) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3574179#msg3574179)・บทที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3574539#msg3574539)・บทที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3575357#msg3575357)・บทที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3576274#msg3576274)・บทที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3576976#msg3576976)・บทที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3578115#msg3578115)・บทที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3578761#msg3578761)・บทที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3579705#msg3579705)・บทที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3580438#msg3580438)・บทที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3583193#msg3583193)・บทที่ 21 (NC) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3584600#msg3584600)・บทที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3585883#msg3585883)・บทที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3586380#msg3586380)・บทที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3587231#msg3587231)・บทที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3587977#msg3587977)・บทที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3588639#msg3588639)・บทที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3589412#msg3589412)・บทที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3589887#msg3589887)・บทที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3590432#msg3590432)・บทที่ 30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3590572#msg3590572)・บทที่ 31 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3591021#msg3591021)・บทที่ 32 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3591190#msg3591190)・บทที่ 33 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3591566#msg3591566)・บทที่ 33.1 (NC) (https://docs.google.com/document/d/15hzISAhFtQhROICh2saNty-nU9o_6FZ6wQDckBC48lU/edit?usp=sharing)・บทที่ 34 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3591787#msg3591787)・บทที่ 35 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3592446#msg3592446)・บทที่ 36 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3593231#msg3593231)・บทที่ 37 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3593807#msg3593807)・บทที่ 38 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3595377#msg3595377)・บทที่ 39 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3595453#msg3595453)・บทที่ 40 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3595904#msg3595904)・บทที่ 40.1 (NC) (https://docs.google.com/document/d/1c_FbPcVbIvG1ajvyNfizCuu77yPKOFH1wHAPAmOG-WI/edit?usp=sharing)・บทที่ 41 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3604229#msg3604229)・บทที่ 42 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3604970#msg3604970)・บทที่ 43 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3606460#msg3606460)・บทที่ 44 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3606926#msg3606926)・บทที่ 45 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3608120#msg3608120)・บทที่ 46 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3609735#msg3609735)・บทที่ 47 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3610253#msg3610253)・บทที่ 48 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3610899#msg3610899)・บทที่ 49 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3611440#msg3611440)・บทที่ 50 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3611834#msg3611834)・บทที่ 51 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3627494#msg3627494)・บทที่ 52 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3637729#msg3637729)・บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57645.msg3645944#msg3645944)

นิยายเรื่องอื่นๆ ที่ลงในเล้า

Sweet Sanctuary ที่รักพรางใจ (จบแล้ว) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59803)・ทำไงดีลูกผมเป็นเกย์ (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61530)・Faded Fog หมอกเลือนรัก (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62356)・Kill me gently จุมพิตอันธการ (On Air) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62745)

มาพูดคุยและติดตามกันได้ตามนี้เลยค่ะ
Facebook (https://www.facebook.com/airinand/)・Twitter (https://twitter.com/airin_yoku)

ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ :)
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทนำ) P.1
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 03-02-2017 11:55:10
คำเตือน: นิยายเรื่องนี้incest นะคะ แฝดได้กันแน่นอน ใครที่รับแนวนี้ไม่ได้ กดออกด่วนเลยค่ะ! >_<;; (ด้วยความปรารถนาดีจาก ไรท์เอง)




บทนำ




   ใครๆ ก็บอกว่าน้องชายฝาแฝดของผมเป็นเด็กสุดแสบที่ไม่รู้ว่านรกขุมไหนส่งมาเกิด


.
.
.
.
“เฮ้ โลแกน ฉันกลับมาแล้ว” ผมตะโกนเรียกอีกฝ่ายที่ในเวลาแบบนี้น่าจะอยู่บ้าน ก่อนจะต้องนิ่วหน้าขึ้นเพราะไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ดังมาให้ได้ยินจากชั้นบน

เอ… หรือว่าหมอนั่นจะไม่อยู่บ้าน ก็ไม่น่าแปลกใจขนาดนั้นหรอกนะ กับเด็กอายุ 17 ที่เลือดในกายกำลังพลุ่งพล่านแล้วก็อยากจะออกไปหาเรื่องสนุกๆ ทำตลอดเวลาตามประสาวัยรุ่น

ประเด็นคือถ้าไอ้น้องชายฝาแฝดตัวแสบของผมมันเกิดอยากจะสนุกขึ้นมาสักที… ต้องได้มีเรื่องการนองเลือดหรือไม่ก็เรื่องวุ่นวายอะไรสักอย่างเกิดขึ้นตามมาทุกที ไม่สิ ต้องบอกว่ามันเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันต่างหาก เหมือนกับว่าเรื่องวุ่นวายและนองเลือดคือเรื่องสนุกของไอ้ตัวแสบอย่างไรก็ไม่ปาน

ผมวางกระเป๋าที่ใส่อุปกรณ์การเรียน เครื่องเขียน หนังสือ สมุดลงบนโซฟาที่ห้องรับแขก ตอนนี้เป็นช่วงปิดภาคเรียน และผมเพิ่งไปทำรายงานช่วงปิดเทอมกับเพื่อนร่วมห้องมา ส่วนไอ้โลแกน… เดาว่ามันคงทำเสร็จไปตั้งแต่วันแรกที่โรงเรียนหยุดแล้ว ไอ้หมอนี่มันหัวดี ถ้าตั้งใจทำเรื่องดีๆ แป๊บเดียวก็ทำได้ เพียงแต่มันไม่ค่อยจะชอบทำเรื่องดีๆ เท่าไรเท่านั้นเอง

ผมเดินไปล้างมือ ล้างหน้าล้างตาสักหน่อย เป็นสิ่งที่ทำจนเป็นนิสัยเวลาเพิ่งกลับมาถึงบ้าน บานกระจกในห้องน้ำสะท้อนให้เห็นเด็กหนุ่มผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้า ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแบบที่ผมอดคิดไม่ได้ว่าบางทีก็เกลี้ยงไปหน่อย คือบางทีผู้ชายอย่างเราๆ ก็อยากไว้เคราไว้หนวดให้สาวๆ กรี๊ดบ้าง แต่เหมือนกรรมพันธุ์ผมจะไม่ค่อยสนับสนุนเรื่องนั้นสักเท่าไร

เอ… แต่ผมรู้สึกเหมือนได้ยินอะไรแว่วๆ ดังมาจากด้านบน… เหมือนเสียงทีวี หมอนั่นดูหนังอยู่บนห้องเหรอ?

ผมก้าวขึ้นไปบันไดบ้านไปหวังว่าจะไปหาคำตอบ แม้จะรู้สึกแปลกขึ้นเรื่อยๆ เพราะเสียงที่ได้ยินลอดออกมามันไม่ต่างจากหนังเอวีที่จะต้องมีผู้หญิงร้องครางตลอดแทบทั้งเรื่อง

ผมเปิดประตูพรวดเข้าไปโดยไม่เคาะ แล้วก็เป็นอย่างที่คาดจริงๆ น้องชายตัวดีของผมนั่งจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ตาไม่กระพริบ ไม่สนแม้ว่าผมจะยืนอยู่ที่ด้านหลังเจ้าตัวระยะประชิด ไม่มีอาการสะดุ้งตกใจแบบเด็กวัยรุ่นที่ทั่วไปที่พอโดนจับได้ว่าแอบดูหนังโป๊จะทำกัน ซึ่งเรื่องนั้นผมก็ไม่แปลกใจอะไรหรอก เพราะไอ้น้องชายฝาแฝดคนนี้ของผมมันก็...

แต่เดี๋ยวก่อนนะ… ผู้ชายผมทองๆ ที่อยู่ในวิดีโอนั่นมัน…

“โลแกน” ผมขมวดคิ้วมุ่น “อย่าบอกนะว่า… ที่อยู่ในวิดีโอนั่นมัน… นายน่ะ”

ชายหนุ่มที่มีใบหน้าแบบเดียวกับผมไม่ผิดเพี้ยนหันกลับมายิ้มให้และตอบรับสั้นๆ

“ใช่”

โอ๊ย ตาย…

“แล้วนี่นายกำลังทำอะไร” เพราะดูจากสภาพเสื้อผ้าที่อยู่เป็นที่เป็นทางของเจ้าตัวแล้ว… ไม่ได้กำลังช่วยตัวเองอยู่แน่ล่ะ แถมยิ่งไปกว่านั้นเจ้าตัวยังนั่งขัดสมาธิ เอามือประสานกันไว้บนตัก ทำเหมือนกับ…

“นั่งสมาธิ”

“เอ่อ ฮัลโหล?” ผมพยายามเรียบเรียง “นายนั่งสมาธิ ด้วยการดูวิดีโอที่ตัวเองมีเซ็กส์เนี่ยนะ?”

โลแกนพยักเพยิด “นั่นน่ะ เอมิลี่ ผมบลอนด์ ตาเยิ้ม เชพสะบัด”

“หล่อนนามสกุลอะไร” ผมถามอย่างรู้ดีว่าพ่อน้องชายตัวแสบของผมนอนกับผู้หญิงไปทั่วและไม่เคยจริงจังกับใคร โลแกนอ้าปากเหมือนจะพูด แต่ผลสุดท้ายก็แค่ยักไหล่ทีหนึ่ง

“ถามปุบปับแบบนี้จะไปรู้ได้ไง”

“อ่าฮะ”

“นายเคยเจอหล่อนมาก่อนรึเปล่า?”

“ไม่รู้สิ ฉันยังไม่รู้เลยว่าหน้าตาหล่อนเป็นยังไง” ผมพูดขณะที่มองก้อนเนื้อในหน้าจอกำลังดิ้นเร่าๆ อยู่ ก่อนจะรีบกระแอมขึ้น “เอ่อ นายคิดว่าจะช่วยหยุดวิดีโอนี่ก่อนได้ไหม”

“ว้า เจ็บที่หัวใจจัง เหมือนจะล้มไปกองกับพื้นได้เลยเนี่ย”

“หัดทำตัวเข้มแข็งหน่อยสิ”

“เดี๋ยวฉันค่อยมาเปิดดูทีหลังก็ได้วะ”

“นี่งานอดิเรกนายเหรอ” ผมถามด้วยน้ำเสียงขยะแขยงอย่างไม่ปิดบังขณะที่โลแกนเดินไปหยิบรีโมต กดปุ่มหยุดเล่นแล้วเดินไปกระชากยูเอสบีที่เสียบอยู่ข้างๆ หน้าจอทีวี “นั่งสมาธิไปพร้อมกับดูหนังโป๊ไปด้วยเนี่ย”

“ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่”

“โอ้โห คนดีศรีสังคมสุดๆ” ผมอดผ่อนลมหายใจยาวออกมาไม่ได้ ก็รู้หรอกนะว่าน้องชายฝาแฝดผมมันเพี้ยน แต่นี่มันชักจะเพี้ยนขึ้นทุกวันๆ “ทำไมไม่หางานอดิเรกแบบคนธรรมดาๆ เขาทำกันบ้าง คนธรรมดาเขาไปตกปลา ตีกอล์ฟ เล่นโยคะ หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ก็ยังดี”

“อบรมเรื่องกรอบศีลธรรมที่น่าเคารพบูชาเหรอ” โลแกนคลี่ยิ้ม “เป็นคนดีกันจังเลยนะ เราเนี่ย”

เฮ้อ….

“แล้วตอนที่นายดู นายไม่…” ผมทำไม้ทำมือ พยายามบังคับสีหน้าตัวเองไม่ให้ดูอ่อนใจจนเกินไปนัก แต่ก็ควบคุมไม่ค่อยได้อยู่ดี

“ไม่เกิดอารมณ์น่ะเหรอ?”

“ประมาณนั้น”

“ไม่นี่” ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย “ถ้าไม่ได้มีเซ็กส์… ไม่ได้มีผู้หญิงอยู่ตรงหน้าจริงๆ ก็ไม่ทำให้ฉันรู้สึกอะไรหรอก ภาพลวงตาพวกนี้มันช่วยเติมเต็มความปรารถนาไม่ได้”

“อ้อ เหรอ”

โลแกนหันมายิ้มล้อเลียนให้ผม ดวงตาสีฟ้านี่ประกายระยิบทีเดียว

“เพราะงั้นฉันถึงไม่เคยช่วยตัวเองไง”

“ดีใจที่ได้รู้นะ” น้ำเสียงประชดสุดๆ “แล้วนี่… นายอยู่บ้านก็ดีแล้ว ฉันได้ยินข่าวลือเรื่องที่นายไปตีกับพวกชมรมอเมริกันฟุตบอล ทำเอาฝั่งนู้นเข้าโรง'บาลกันเป็นสิบ”

“เกินสิบเหอะ” โลแกนแก้ นั่นยิ่งทำให้ผมต้องขมวดคิ้วมุ่นไปกันใหญ่ นี่มันมีสามัญสำนึกแบบคนทั่วไปเขามีบ้างไหมเนี่ย สักเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี

“แล้วไหนแผล” ผมกวาดตาสำรวจทั่วร่างของคนตรงหน้า แค่แผลเป็นหรือรอยถลอกเล็กยังไม่มีเลย

โลแกนทำยกมือกุมอก ทำสีหน้าเจ็บปวดราวกับผมเพิ่งตบหน้าเขาแรงๆ ทีหนึ่ง

“นั่นทำร้ายจิตใจผมมากเลยนะ” เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ดูถูกฉันอะไรขนาดนั้น ฉันไม่เคยดูถูกนายเลยสักครั้งแท้ๆ”

“เฮ้ย” ผมสะดุ้ง “แต่มันจะเป็นไปได้ไง นายไปต่อยตีกับชาวบ้านมา ฝั่งนู้นเขามีกันเป็นสิบๆ ตัวก็ใหญ่จะตาย นายสู้พวกนั้นคนเดียว จะเป็นไปได้ไง ไม่มีแผลกลับมาเนี่ย”

โลแกนยกยิ้มอีกครั้ง หากครั้งนี้มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เจ้าตัวก้าวเท้าเข้ามาประชิดตัวผม ใช้มือเชยคางผมขึ้นไปนิดหนึ่ง

“นายยังต้องทำความรู้จักฉันอีกเยอะ คุณ พี่ ชาย ฝา แฝด”

แล้วเจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไป คงจะไปทำอาหารเพราะวันนี้เป็นเวรของมัน

ต้องทำความรู้จักมันให้มากกว่านี้งั้นเหรอ ขอทีเถอะ แค่ 17 ปีที่ผ่านมา ผมว่ามันก็มากเกินพอแล้วนะ… จริงๆ

ไม่ขอรู้จักมากไปกว่านี้แล้วได้ไหมล่ะ...

หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทนำ) P.1 [3/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 03-02-2017 13:05:57




บทที่ 1

(Mode: Logan Collins)






ผมมีความลับอย่างหนึ่ง

ไม่สิ อันที่จริงก็มีหลายอย่างแหละ แต่เอาเป็นว่าไอ้อย่างหนึ่งที่ว่านี่มันเป็นสาเหตุที่ทำให้ความลับอีกเป็นล้านตามมาก็เท่านั้น

อ้อ ใช่ และความลับนี้ ลูคัส คอลลินส์ พี่ชายฝาแฝดของผมก็ไม่รู้ และผมก็ไม่นึกอยากให้เขารู้ ไม่อย่างนั้นคงได้วุ่นวายบ้านแตกกันไปใหญ่ เอาเป็นว่าความลับยิ่งใหญ่ของผมเนี่ย เก็บไว้เป็นความลับกับคนทั้งโลกนี้ได้เลยยิ่งดี

“โลแกน” เสียงจากบุรุษในชุดสูทตรงหน้าเอ่ยเรียก ผมจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับคนตรงหน้าต่อ “เหม่ออะไรน่ะ ตั้งใจฟังที่พ่อพูดหน่อยสิ”

คนที่เรียกตัวเองว่าพ่อผมมีเขางอกออกมาจากหัวสองข้าง มันโค้งงอเข้าหากัน และถ้าคุณยังนึกภาพไม่ออก ผมแนะนำให้ลองเสิร์ชหาคำว่าลูซิเฟอร์ดูในอินเตอร์เน็ต เพราะตอนนี้ชายหนุ่มคนนั้นสะท้อนออกมาให้เห็นจากกระจกเงาที่ตั้งอยู่ตรงหน้าผม

ขอแนะนำให้รู้จัก นี่พ่อผมเอง ชื่อลูฟิเซอร์ อาศัยอยู่ในนรก แล้วก็เป็นคนที่เตะโด่งส่งผมมาเกิดท้องเดียวกันกับลูคัสแบบงงๆ แต่ที่ไม่งงคือส่งตรงมาจากนรกของแท้แน่นอน ฉากหลังของชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้บุกำมะหยี่สีแดงสุดหรูคือไฟโลกันต์ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทั้งๆ ที่ตรงนั้นก็ไม่ได้มีอะไรให้เผา

ก็อย่างว่า ในนรก คุณไม่จำเป็นต้องมีอะไรให้เผาก็สามารถมีไฟขึ้นอยู่ทุกที่ได้น่ะนะ

“ท่านพ่อจะพูดอะไรครับ” ผมถามต่ออย่างเบื่อๆ ยิ่งการที่อีกฝ่ายบังคับให้ผมต้องยืนตลอดการสนทนาระหว่างพวกเราสองคนแบบนี้ยิ่งทำเอาผมเซ็งเข้าไปใหญ่ อยากจะรีบๆ ปิดบทสนทนาเร็วๆ แล้วไปหาอะไรสนุกๆ ทำต่อสักที ยืนแบบนี้นานๆ มันก็เมื่อยขาเหมือนกันนะ

“ฉันจะให้แกไปฆ่าคนคนหนึ่ง”

ผมยกยิ้มเยาะแทบจะในทันที

“คนเดียวเองเหรอพ่อ”

“อย่ามาทำเป็นปากดี”

“อ้าว ก็ผมพูดจริงนี่” ผมยกมือสองข้างขึ้นประสานกัน แหม ถ้านั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างได้ ภาพที่ออกมาคงจะเท่ห์น่าดูชมไม่ใช่น้อย “ที่ผ่านมา ผมก็ฆ่าคนไปให้พ่อตั้งเยอะแล้ว อยู่ๆ จะมาขอให้ฆ่าคนคนเดียวเนี่ยนะ? ไม่แปลกไปหน่อยเหรอครับ”

“จบงานนี้ ฉันจะให้แกกลับมาอยู่ที่นรก”

ข้อเสนอนี้ฟังดูน่าสนใจ ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้บานกระจกมากขึ้น

“ท่านพ่อจะให้ผมฆ่าใคร”

“จูดี้ ฮิลล์”

“แล้วเขาเป็นใครล่ะพ่อ”

“รัฐมนตรีกระทรวงการคลังคนปัจจุบัน”

“หา” ผมโอดครวญขึ้นมาทันที พ่อพูดถึงใครกันวะเนี่ย หน้าตาผมยังไม่เคยเห็นเลย

“ทำไม่ได้เรอะ” น้ำเสียงนั้นงวดขึ้นมาทันที

“ผมไม่ได้พูดแบบนั้น” ผมบ่นงึมงำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ “แต่มันต้องใช้เวลา”

ใช่เลย คำนวณจากความสามารถของผมในตอนนี้ ศักยภาพทางด้านร่างกายที่มีขีดจำกัด ข้อมูลวงในที่ยังมีไม่มากเพียงพอ และอะไรทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นข้อจำกัดของตัวเองทำให้ผมพูดแบบนั้นออกไป

“ฉันให้เวลาแกตลอดทั้งอายุขัยมนุษย์ที่แกมี”

“คงไม่ต้องใช้เวลามากขนาดนั้น” ผมยิ้ม รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไรบอกไม่ถูก แค่ได้คิดว่าจะได้กลับไปนรก… กลับไปยังที่ที่ตัวเองจากมาก็ตื่นเต้นแล้ว ถึงผมจะจำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นที่ยังไงก็เถอะ แต่เชื่อขนมกินได้ มันต้องเป็นที่ที่สนุก ตื่นเต้น แล้วก็ท้าทายกว่าโลกมนุษย์นี้แน่ “พ่อเชื่อใจผมได้เลย ผมจะไปฆ่าผู้หญิงคนนั้นให้”

“อย่าสะเออะตายขึ้นมาก่อนแล้วกัน”

“ไม่หรอกน่าพ่อ อย่าดูถูกผมนักสิ”

“แกก็อย่าดูถูกศัตรูตัวเอง” น้ำเสียงของชายในชุดสูทจริงจังมากขึ้น ผมยังคงส่งยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรให้อีกฝ่ายตามเคย แต่ไม่ต้องย้ำหลายๆ รอบ ผมก็รู้น่าว่างานนี้ไม่หมู รัฐมนตรีกระทรวงการคลังแห่งสหรัฐอเมริกาเนี่ยนะ? คนคุ้มกันต้องมากมาย เส้นสายวงในต้องเยอะ และผมก็กำลังวางแผนในหัวอย่างรวดเร็วว่าจะต้องทำยังไงเพื่อให้ตัวเองไปอยู่ในวงในที่ว่านั่นให้ได้

“ผมจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด” ผมรับปาก ไม่บ่อยหรอกที่ผมจะรับปากทำตามที่พ่อสั่งงานมาดีๆ แต่คราวนี้ข้อเสนอมันยั่วยวนเกินห้ามใจไหวจริงๆ

“แล้วแฝดแก เป็นยังไงบ้าง”

“ลูคัสน่ะเหรอ” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แปลกใจไม่น้อยที่ท่านลูซิเฟอร์ถามถึงมนุษย์ผู้ต่ำต้อยเรี่ยดินที่บังเอิญโชคดีเกิดมาหน้าตาดีแบบผมแบบนี้ “หมอนั่นก็สบายดี ยังเห่ยเหมือนเดิม แต่ก็สุขสบายดี”

“อย่าให้มันรู้ตัวตนที่แท้จริงของแกแล้วกัน”

“โธ่ พ่อ” ผมกลอกตาขึ้นมองเพดาน เป็นถึงลูซิเฟอร์ทั้งที จะมามัวกำชับ กังวลเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ไปทำไมเนี่ย “ต่อให้หมอนั่นรู้ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกน่า มันไม่กล้าเอาไปบอกใครหรอก หรือต่อให้เอาไปบอก ใครจะไปเชื่อ หรือถ้าลำบากนัก ผมฆ่ามันทิ้งก็ได้ จะได้จบๆ เรื่อง ไม่ต้องมานั่งพะว้าพะวงกัน”

“แกน่ะเหรอจะฆ่าพี่ชายฝาแฝดแก” ลูซิเฟอร์หนุ่มยกยิ้มเหยียด “แกแน่ใจเหรอว่าจะทำได้ โลแกน”

“แน่ใจสิพ่อ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น ไม่ชอบใจเลยจริงๆ เวลาที่อีกฝ่ายเหมือนดูถูกตัวเองแบบนี้ “ผมจะฆ่าใครก็ได้ถ้าผมตั้งใจจะฆ่า แต่ที่ผมไม่ฆ่าหมอนั่นก็เพราะไม่มีเหตุผลอะไรให้ฆ่าต่างหาก อีกอย่าง… อยู่กับหมอนั่นก็สุขสบายดี มีคนให้ใช้งาน”

“ได้ข่าวว่าบางทีมันก็ใช้งานแกเหมือนกันไม่ใช่เรอะ”

ผมยักไหล่ “มันก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปอ่ะพ่อ”

“ก็ไอ้ตรงจุดนั้นแหละ” ชายหนุ่มในกระจกเงาแสยะยิ้ม “ระวังไว้ให้ดี เพราะมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้แกฆ่าคนคนนั้นไม่ได้”

ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเหยียดยิ้มยียวนไม่ต่างจากคนตรงหน้าแม้แต่น้อยแล้วถามย้อนกลับ

“แปลว่าผู้หญิงที่พ่อสั่งให้ผมไปฆ่าเนี่ย… พ่อก็ฆ่าหล่อนไม่ได้ด้วยเหตุผลที่ว่ามานี่เหมือนกันใช่ไหมครับ?”

“เฮ้ย” คนเป็นเจ้าแห่งปีศาจทั้งปวงสะดุ้ง “จะบ้าเหรอ คนอย่างฉันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะไปฆ่าใครด้วยมือของตัวเองต่างหาก ไม่งั้นแกคิดว่าฉันจะส่งแกขึ้นไปบนนั้นทำไมถ้าไม่ใช่เพื่อคอยให้แกทำงานให้ฉัน”

“โอเคฮะ” ผมยักไหล่ เริ่มรู้สึกเมื่อยขาขึ้นมาจริงๆ แล้ว อันที่จริงคือ… ขี้เกียจจะยืนแล้วก็เสวนาต่อมากกว่า “พ่อว่าไงก็ว่างั้น แล้วนี่พ่อมีอะไรอีกรึเปล่า ถ้าไม่ ผมจะไปทำอย่างอื่นแล้ว”

“แกนี่… จริงๆ เลย นี่ฉันเป็นพ่อแกนะ ไอ้ลูกเวร”

เอ๊า… ก็ตัวเองเป็นคนปั้นผมขึ้นมาให้เป็นแบบนี้เองนะ   

“เออ เอาเถอะ แกไปได้ล่ะ แล้วฝากทักทายพี่ชายฝาแฝดของแกด้วย แล้วเดี๋ยวจะติดต่อไปใหม่”

“สวัสดีครับ” ผมโค้งให้คนตรงหน้านิดหนึ่ง จากนั้นภาพสะท้อนในกระจกเงาก็กลายเป็นตัวของผมเองโดยมีพื้นหลังเป็นเตียงนอนและโทรทัศน์ตั้งโต๊ะ ภาพที่สะท้อนออกมาให้เห็นคือเด็กหนุ่มวัย 17 ที่มีกล้ามเนื้อซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว มีเสื้อสีดำแขนกุดตัวนอกติดอยู่ กางเกงขายาวสีดำ นัยน์ตาสีฟ้าที่ดูเหมือนคนปกติทั่วไป จากนั้นก็เส้นผมสีบลอนด์ทองที่ผมบรรจงจัดแต่งทุกห้านาที

หล่อ สมบูรณ์ เพอร์เฟคต์ จะมีใครในโลกนี้ดูดีไปกว่าผมบ้าง?

“โลแกน” เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมด้วยเสียงเรียกของใครอีกคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับผมเป๊ะ

อ้อ ใช่ เป็นเรื่องโชคดีมากที่โลกนี้มีคนหล่อแบบผมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ซึ่งก็คือพี่ชายฝาแฝดที่กำลังมองมาที่ผมอย่างไม่ค่อยไว้ใจอยู่ในตอนนี้ไง

“ว่าไง ลูคัส” ผมสิ่งยิ้มหวานให้เขา

“นายทำอะไรอยู่”

“ฝึกซ้อมพูดหน้ากระจก”

“ซ้อมพูด?” ลูคัสทวนคำ คิ้วเรียวขมวดติดเข้าหากัน คนอะไร ขนาดงงยังดูดี อ้อ ก็เหมือนผมเลยสิ ดูดีทุกอริยาบทแบบนี้ “ซ้อมพูดอะไร มีพรีเซ้นท์อะไรเร็วๆ นี้เหรอ? วิชาอะไร โปรเฟสเซอร์คนไหน”

“วิชาเคล็ดลับในการทำตัวให้ดูดีตลอด 24 ชม. โปรเฟสเซอร์โลแกน คอลลินส์”

ลูคัสขมวดคิ้วขึ้นฉับทันที

“ฮาฮาฮา ตลกตายล่ะ ไอ้น้อง”

“ทำไมวันนี้กลับบ้านเร็วล่ะ” ผมเอ่ยถาม เลื่อนมือไปปัดผมเส้นหนึ่งที่หลุดออกจากตำแหน่งที่มันควรอยู่ “ไม่ได้ทำงานจนถึงเที่ยงคืนหรอกเหรอ”

“โดนไล่กลับก่อนน่ะสิ ฉันทำแก้วแตกไปสองใบวันนี้”

“ใครไล่นายกลับ”ผมถามย้อนกลับ ลูคัสสะดุ้งตัวทันที สีหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด หมอนี่มักจะแหยแบบนี้ทุกทีเวลาที่บรรยากาศรอบตัวผมเปลี่ยนไป แม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม

ถึงตอนที่ผมคุยกับท่านพ่อ ผมจะพูดว่าสามารถฆ่าหมอนี่ได้ง่ายอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ในเมื่อผมไม่ได้มีความคิดอะไรที่จะฆ่าเขา เขาก็ถือเป็นพี่ชายฝาแฝดของผม เป็นหนึ่งในคนหน้าตาดีที่สุดของโลกที่ควรจะรักษาให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะงั้น… ใครมาทำอะไรหมอนี่สมควรโดน

“เอ่อ ฉันว่าเรื่องนั้นช่างมันเถอะ อีกอย่างฉันก็แย่เองที่ทำงานไม่ดี วันนี้เหนื่อยๆ น่ะ เพราะงั้นช่างมันเถอะนะ แล้วนี่นายกินอะไรหรือยัง วันนี้เวรฉันทำกับข้าวด้วย ถ้านายยังไม่ได้กินเดี๋ยวฉัน…”

ผมคว้าแขนของชายหนุ่มที่มีใบหน้าเหมือนผมทุกประการขึ้นมาทันที ลูคัสชะงักไป หันกลับมามองหน้าผมอย่างเกรงๆ ให้เดานะตอนนี้ผมต้องทำหน้าน่ากลัวมากสำหรับหมอนี่

“ใครเป็นคนไล่นายกลับ”

“เฮ้ โลแกน ใจเย็นสิ” ลูคัสว่า พยายามพูดช้าๆ และเลื่อนมือมาลูบแขนผม โธ่เอ๊ย ถ้าทำแค่นี้จะช่วยให้ใครใจเย็นลงได้ สงครามโลกคงไม่เกิดขึ้นถึงสองครั้งแล้ว

“ฟังนะ” ลูคัสช้อนสายตาขึ้นมาสบตาผมตรงๆ พยายามอธิบายเรื่องเดิมๆ ให้ผมฟัง “ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ เห็นไหม นายลองคิดดูดีๆ สิ ฉันทำแก้วแตกไปสองใบ อย่างน้อยคนที่ร้านก็ไม่หักเงินฉัน แค่ขอให้ฉันกลับมาก่อนเท่านั้นเอง อีกอย่าง วันนี้ฉันเองก็เหนื่อยมากแล้ว ได้กลับมาก่อนแบบนี้ก็คิดว่าดีแล้วเหมือนกัน เพราะงั้นนายอย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ จริงๆ”

ผมสบตาอีกฝ่ายตรงๆ มันสะท้อนออกมาให้เห็นว่าเจ้าตัวหมายความแบบนั้นจริงๆ เห็นแบบนี้ก็หมดอารมณ์อยากจะไปอัดก้นคนแล้ว

“ถ้านายว่างั้นก็ตามใจ” ผมยักไหล่ให้เขาทีหนึ่ง และนั่นแทบทำให้ลูคัสถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก เบื่อจริง ไอ้นิสัยเป็นคนดีไม่เข้าท่าของไอ้หมอนี่ บางทีผมก็อดคิดไม่ได้นะว่าเทวดา นางฟ้านางสวรรค์สักคนแม่งส่งไอ้หมอนี่ลงมาเกิดพร้อมๆ กับตอนที่พ่อเตะโด่งส่งผมขึ้นมา มันจะเป็นคนดีอะไรขนาดน้าน… เรื่องบางเรื่องที่ไม่ควรยอม ไอ้หมอนี่ก็ยอม เพียงเพราะไม่อยากมีปัญหา ไม่อยากให้ใครเจ็บตัว

เหอะ พ่อคนโลกสวย

“งั้นก็ไปทำอะไรมาให้ฉันกินได้แล้ว” ผมพูดตัดบท ยกมือโบกไล่อีกฝ่าย ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงด้วย เดี๋ยววันไหนที่มันเดือดร้อนมากจริงๆ มันก็มาขอให้ผมช่วยเองแหละ เรื่องแบบนี้ พวกเราสองคนรู้กันดี “หิวจะแย่แล้วเนี่ย นึกว่าวันนี้นายจะกลับช้า ตั้งใจจะไปกินแมคโดนัลด์อยู่แล้ว”

“อาหารขยะ” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ ผมเลยยักไหล่ส่งให้เจ้าตัวทีหนึ่ง

“ทำยังกับนายไม่กิน”

“ก็ถ้าไม่มีอะไรกินก็กิน”

“นั่นไง”

“เออๆๆ รู้แล้วๆ เดี๋ยวจะไปทำให้ ดูทีวีรอไปก่อน… แล้วไม่ต้องเลยนะ ไอ้หนังโป๊ของนายเนี่ย หรือถ้าจะดู ช่วยเปิดเสียงเบาๆ แล้วก็ปิดตอนฉันโผล่กลับขึ้นมาบนห้องด้วย เข้าใจรึเปล่า?”

“ไม่อะ”

ลูคัสขมวดคิ้วคิ้วฉับทันทีด้วยความยียวนของผม ผมเลยยิ้มหวานส่งกลับให้เจ้าตัวที่ตอนนี้เริ่มบ่นในลำคอพึมพำ เดินกระแทกเท้าแล้วปิดประตูห้องดังโครมออกไป

แหม… แหย่พี่ชายตัวเองเล่นนี่สนุกจัง




หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 1) P.1 [3/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mutyamania ที่ 03-02-2017 14:30:53
เราชอบมาก เราเป็นพวกคลั่งแฝด
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 1) P.1 [3/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-02-2017 17:08:20
ชอบแฝด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 2) P.1 [3/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 03-02-2017 19:37:11


บทที่ 2

(Mode: Lucas Collins)





บางทีผมก็อดคิดไม่ได้จริงๆ นะว่าไอ้บ้าโลแกนแม่งเป็นคนที่ถูกนรกส่งมาเกิดจริงๆ

“เฮ้ย แก… นั่นมันคอลลินส์นี่หว่า อย่าหันไปสบตามันนะ”

“แต่ที่ฉันได้ยินมามันมีฝาแฝดไม่ใช่เหรอ แล้วคนนี้คนไหนล่ะ”

“จะคนไหนก็ช่างเถอะ แม่ง แค่เห็นหน้าแบบนั้นก็เตรียมเผ่นป่าราบได้แล้ว มึงไม่ได้ยินข่าวเหรอ ที่มันไปกระทืบพวกชมรมอเมริกันฟุตบอลน่ะ เป็นอันว่าปีนี้ชมรมนั้นต้องอดไปแข่งทัวร์นาเม้นต์เพราะเจ็บกันระนาวเลยนะเว้ย ด้วยฝีมือไอ้คอลลินส์คนเดียว น่ากลัวจะตายห่า”

เดี๋ยวๆๆๆ ช่วยระบุด้วยนิดหนึ่งได้ไหมล่ะว่านั่นน่ะโลแกน คอลลินส์… ลูคัส คอลลินส์อย่างฉันไม่เกี่ยวอะไรด้วยโว้ย!!

“เฮ้ย! เมื่อกี้เขาหันมามองพวกเราด้วยนิดหนึ่งว่ะ ไปกันเถอะเพื่อน” ว่าแล้วเจ้าสองคนนั้นที่คนหนึ่งรูปร่างใหญ่โตกว่าผมเกือบสองเท่า ส่วนอีกคนที่เตี้ยกว่าผมแต่ดึบึกบันกว่าแน่นอนก็รีบจ้ำเท้าเดินออกจากรัศมีสิบเมตรจากตัวผม

ผมหันขวับไปมองรอบๆ คนอื่นๆ หันหน้าหนีกันอย่างรวดเร็ว ทำเอาผมรู้สึกว่าคิ้วข้างขวาของตัวเองกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

แม่งเอ๊ย ชีวิตในโรงเรียนแม่งต้องเป็นแบบนี้ทุกที ขนาดหลายๆ คนก็รู้แล้วนะว่าผมกับโลแกนเป็นแฝดที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือกที่จะหลบหน้ามันทั้งสองคนแบบนี้อีก มันเรื่องอะไรกันเนี่ย คนเราสมัยนี้เลือกคบกันแบบนี้แล้วเหรอ แบบ… ถ้าแฝดคนหนึ่งแม่งไม่ดีก็ต้องไม่คบอีกคนไปด้วย ไรงี้

แล้วขอพูดหน่อย… ไอ้สองคนเมื่อกี้ที่เพิ่งเผ่นหนีผมไปป่าราบน่ะ พวกเอ็งกระซิบกันซะดังขนาดนั้น ใครมันจะไม่ได้ยินบ้าง นี่ถ้าไม่ใช่ผมแต่เป็นโลแกนที่ยืนฟังอยู่ตรงนี้ ป่านนี้พวกมันคงได้ลงไปนอนเลือดอาบอยู่กับพื้น จะพูดจะจาจะนินทาอะไรก็คิดบ้าง หรือไม่งั้นก็ลดเสียงลงหน่อยก็ดี

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจยาวอย่างอดไม่อยู่ ก่อนจะเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋าหน้าของเสื้อฮู้ด ก้าวเท้าเดินต่อไปยังตัวอาคารเรียนที่อยู่ในสภาพค่อนข้างเก่า โรงเรียนนี้เปิดมาหลายสิบปีแล้ว เคยซ่อมแซมบูรณะแบบนับนิ้วได้ เพราะงั้นสภาพของมันจะไม่ค่อยโสภานักก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

ผมมุ่งหน้าไปยังล็อกเกอร์ของตัวเองเพื่อเตรียมเอากระเป๋าไปใส่และหยิบหนังสือเรียนของคาบแรกออกมา ก่อนจะต้องชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นกลุ่มเพื่อน 2-3 คนของตัวเองกำลังคุยกันอย่างออกรสกับชายหนุ่มที่มีใบหน้าแบบเดียวกับผมเป๊ะ

นั่นมันไอ้โลแกนนี่… แล้วทำไมมันถึงได้…

โลแกนอยู่ในเสื้อฮู้ดสีแดงสด กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม เป็นสไตล์การแต่งตัวแบบเดียวกับที่ผมมักใส่ประจำ แตกต่างไปที่ว่าวันนี้ผมใส่เสื้อฮู้ดสีเทา ไม่ใช่สีแดงแบบที่มันใส่ (ป.ล. ผมกับมันสลับเสื้อผ้ากันใช้ประจำครับ แต่ส่วนมากสไตล์ของเราจะไม่เหมือนกัน มันจะชอบใส่พวกเสื้อเชิ้ตแขนยาวติดกระดุมดูกึ่งทางการหน่อยมากกว่า แต่ก็นั่นแหละ ถ้าผมคิดจะใส่เสื้อผ้าแบบนั้น ผมก็หยิบของมันมาใส่เหมือนกัน)

หากวินาทีถัดมาผมก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเพื่อนๆ กลุ่มเดียวกับผมหันมามองหน้าผมแล้วเกิดอาการผวากันไปเป็นแถบ ซึ่งอาการนั้นมักจะเกิดขึ้นเมื่อพวกมันเห็นโลแกน น้องชายฝาแฝดของผมเดินผ่านมา

ว่าแล้วปีเตอร์ หนึ่งในเพื่อนกลุ่มผมก็พยักเพยิดกับอีกสองคนที่เหลือ รวมถึงกับโลแกนด้วยเป็นเชิงว่าให้ออกไปจากพื้นที่ตรงนั้นกัน ส่วนโลแกนที่ตอนนี้สวมบทบาทเป็นผมเรียบร้อยแล้วเออออพยักหน้าตามไปด้วย อ๊ากกก ไอ้น้องเวร!

“ไอ้โลแกน!” ผมพูดเสียงดังขึ้นอย่างอดไม่อยู่ ทำเอาคนที่อยู่บริเวณแถวนั้นสะดุ้งเฮือกกันอย่างพร้อมเพรียง โลแกนแสร้งทำท่าสะดุ้งตกใจตามไปด้วยอย่างแนบเนียนหน้าตาเฉย โอ๊ยยย บางทีก็นึกอยากจะฟัดมันสักหมัดสองหมัดเหมือนกัน แต่ก็รู้ดีว่าถ้าขืนทำแบบนั้นไปมันต้องซัดผมกลับคืนมาเป็นสามเท่าแน่ๆ แล้วหมัดไอ้หมอนี่มันเบาเสียที่ไหน

“หา? หมายความไง” โจชัว เพื่อนหัวดำคนเดียวในกลุ่มผมชี้นิ้วใส่ผมสลับกับโลแกนอย่างงงๆ “หมายความว่านายคือลูคัส แล้วนี่คือโลแกน? หรือยังไง หรือว่านายคือโลแกนแต่กำลังกวนประสาทพวกเรา”

“เฮ้ อย่าไปสนใจมัน ฉันคือลูคัสจริงๆ นะ” โลแกนว่าหน้าตาเฉย ทำเอาผมรู้สึกปรี๊ดขึ้นมาทันที ไอ้เด็กบ้านี่ หาเพื่อนเองไม่ได้แล้วจะมาขโมยเพื่อนคนอื่นกันหน้าด้านๆ แบบนี้เลยเรอะ!! ไอ้น้องนรกเอ๊ยยย

“นี่” ผมพยายามข่มอารมณ์ของตัวเอง ด้วยรู้ดีว่าพลุ่งพล่านไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ดีไม่ดีคนจะคิดว่าผมเป็นโลแกนขึ้นจริงๆ เสียอีก “นาย… ไอ้แฝดตัวดี มานี่หน่อยซิ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

เจ้าตัวแสบแกล้งทำเป็นถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะ แต่แม่งทำได้เหมือนผมมากจริงๆ

ว่าแล้วพวกเราสองคนก็มาหลบอยู่ที่มุมหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนสวนไปมา ผมกอดอก ขมวดคิ้วมุ่น มองอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ หากน้องชายตัวดีเพียงแค่ส่งยิ้มเผล่มาให้

“นายคิดว่าตัวเองกำลังอะไรอยู่” ผมถามเสียงเย็นทีเดียว จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันปลอมตัวเป็นผม ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราสองพี่น้องมีบทสนทนากันในรูปแบบนี้

“ก็เล่นสวมบทเป็นลูคัสไง” โลแกนยอมรับพร้อมกับส่งยิ้มหวานหยดมาให้ ผมเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อมัน (หรือจริงๆ ก็คือเสื้อผม เพราะตัวนี้ผมเป็นคนซื้อมา) ขึ้นมาแล้วจ้องตาเขม็ง จริงๆ ในเวลาปกติผมเป็นคนที่กลัวหมอนี่นะ อาจจะไม่ได้กลัว แต่จะยอมลงให้แล้วก็แหยๆ กับมันนิดหนึ่ง แต่เวลาที่ผมโกรธ ต่อให้เป็นแฝดผมก็ไม่ยอมนะโว้ย

“งั้นก็เลิกเล่นได้แล้ว”

“โว้ๆๆ ใจเย็นสิพี่ชาย ไม่เห็นต้องเดือดขนาดนี้เลย” โลแกนขยับมือมาแกะมือผมออก ไม่ได้รุนแรง แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเจ้าชายจะยกหลังมือของเจ้าหญิงขึ้นมาจูบแน่นอน ผมส่งนัยน์ตาเขียวปั๊ดไปให้มัน

“เพราะแบบนี้ไง คนถึงเริ่มกลัวทั้งฉันและนายไม่เลือกหน้า”

“มีคนกลัวนายไม่ดีหรอกเหรอ” โลแกนเอียงคอถามยิ้มๆ “พวกเดนมนุษย์พวกนั้นจะได้ไม่มาทำร้ายนายไง”

ผมยกมือขึ้นกุมขมับ บีบนวดนิดหนึ่งเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตัวเอง ทำไมแฝดผมมันถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ

“โลแกน นายไม่ควรเรียกคนอื่นว่าเดนมนุษย์นะ”

โลแกนหัวเราะก๊ากดังลั่นออกมาทันที ทำเอาผมสะดุ้ง

“เตือนเรื่องนั้นหรอกเรอะ!?”

“โลแกน!”

“เออ นี่ ลูคัส วันก่อนผมไปเดทกับโอลิเวียมาด้วยนะ”

คำพูดนั่นทำเอาผมสะดุดกึกไปทันที ความโกรธที่เหมือนดับมอดไปเมื่อครู่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมก็จะบอกให้ว่าโอลิเวียคือแฟนสาวของผม

“หล่อนนี่เด็ดนะ” โลแกนว่าพร้อมกับยกลิ้นขึ้นเลียริมฝีปาก ผมรู้สึกเหมือนเส้นอะไรบางอย่างในหัวขาดผึง “แม่สาวผมบลอนด์สุดเร่าร้อน หน้าอกหน้าใจนี่สุดยอด ลีลาบนเตียงก็เผ็ดมัน สมแล้วกับที่…”

แต่ผมไม่ให้โอกาสมันพูดจนจบประโยค หมัดข้างหนึ่งลอยออกจากการควบคุมของผม หวังจะกระแทกลงบนใบหน้าที่เหมือนกับของตัวเองทุกประการนั่นให้สาแก่ใจ แต่หมัดข้างขวาของผมก็ถูกคนข้างหน้าเอื้อมมือมายึดข้อมือไว้อย่างรวดเร็วทำให้มันค้างอยู่แค่ที่กลางอากาศเท่านั้น

นัยน์ตาสีฟ้าของโลแกนวาววับอย่างขบขันและข่มขู่ไปพร้อมๆ กัน ผมคิดว่าผมกลัวนะ… แต่ความโกรธในอกตอนนี้มันมีมากกว่า ไอ้หมอนี่มันกล้าดียังไงถึงได้สวมรอยเป็นผมแล้วไปมีอะไรกับโอลิเวีย!! นั่นมันแฟนพี่ชายตัวเองนะโว้ย!!

“อย่าน่า ลูคัส ฉันยังไม่อยากเป็นศัตรูกับนายนะ”

“มันสายเกินไปแล้วตั้งแต่ที่นายยุ่งกับ…”

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ” ไอ้ตัวแสบยกนิ้วชี้ขึ้นจุ๊ปากส่ายหน้า “ฉันไม่ได้นอนกับยัยสวยหยาดเยิ้มนั่นสักหน่อย ใจร้อนไปได้”

“หมายความว่ายังไง” คราวนี้แหละ ผมขมวดคิ้วมุ่นทันที “ก็เมื่อกี้นายพูดว่า…”

“ฉันบอกว่าลีลาของหล่อนเผ็ดมัน แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันเป็นคนนอนกับเขานี่”

โลแกนปล่อยข้อมือผม ผมยกแขนข้างนั้นขึ้นมาสะบัดเบาๆ ทันที ไอ้บ้าเอ๊ย ออกแรงบีบมาได้ ช้ำเลยเนี่ย แล้วเมื่อกี้มันพูดอะไรนะ มันไม่ได้นอนกับโอลิเวีย แล้ว…

“นี่นายอย่าบอกนะว่า…”

“นายก็รู้ใช่ไหม ลูคัส” โลแกนเหยียดยิ้มหวานทีเดียว “ว่าห้องนอนของน้าที่อยู่ถัดจากห้องนอนพวกเราไปน่ะ มันมีรูโหว่อยู่นิดหน่อยบนผนัง”

โว้ยยยยยย!! ไอ้แฝดโรคจิตนี่มันแอบดูผมมีอะไรกับแฟน!!??

“อะ… อะ…!” หน้าผมร้อนวูบขึ้น เผลอก้าวเท้าถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นปิดปากในขณะที่โลแกนเหยียดยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไอ้.. ไอ้หมอนี่…!!

“นายมันไอ้โรคจิต!!”

“บางคนอาจจะบอกว่าฉันเป็นน้องที่ใส่ใจนะ”

“ไหนวันนั้นนายบอกว่าจะออกไปข้างนอก!!”

“แหม จะออกไปข้างนอกได้ยังไงกัน ทำแบบนั้นก็เสียของน่ะสิ เออ ลีลานายเองก็ไม่เลวนะ แต่ยังทื่อไปหน่อย บ่งบอกว่ายังขาดประสบการณ์ ให้ฉันหาสาวเด็ดๆ ช่วยฝึกให้ก็ได้นะ หน้าตาดีอย่างพวกเราหาได้ไม่ยากอยู่แล้ว”

“ฉันมีแฟนอยู่แล้ว ไอ้ทุเรศ”

โลแกนยักไหล่ให้ผมทีหนึ่ง ท่าทียียวนกวนตีนสุดๆ หนอย… นี่ถ้าไม่ใช่ว่ามันแรงเยอะ ต่อยตีเก่งกว่าผมล่ะก็นะ… แม่ง ไม่ยุติธรรมเลย ทั้งๆ ที่เราเป็นแฝดกันแท้ๆ แต่ทำไมต้องเหมือนผมแพ้หมอนี่ทุกเรื่องด้วย แม่งเอ๊ย!!

“น่า ไม่สึกหรอสักหน่อย อย่าโวยวายไปเลย” เจ้าตัวดีพูดยิ้มๆ เลื่อนแขนมาตบบ่าผมแปะๆ ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ควรจะโกรธ อาย หรือว่าอยากจะร้องไห้ดี บางทีคงทุกอย่างผสมรวมกัน “เออ แต่เรื่องที่ผมบอกไปเดทกับโอลิเวียมาน่ะ เรื่องจริงนะ บังเอิญเจอกันระหว่างทางกลับบ้านแล้วเขาเข้าใจว่าฉันเป็นนาย เลยชวนไปดริ๊งค์นิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรเกินเลยให้นายขุ่นข้องหมองใจแน่นอน ไม่ต้องกลัว”

“จูบล่ะ”

“เปล่า ไม่ได้จูบ”

ผมมองมันด้วยสายตาพิศวง โลแกนจึงคลี่ยิ้มร่าตามแบบฉบับของมันมาให้ตามเคย

“ฉันบอกแล้วไงว่ายังไม่อยากเป็นศัตรูกับนาย”

ฉันเองก็เหมือนกัน ผมพูดคำนั้นในใจ เพราะการเป็นศัตรูกับหมอนี่เท่ากับตายไปแล้วครึ่งทาง ต่อให้ผมเป็นพี่ชายฝาแฝดมันก็เถอะ แต่ถ้ามันคิดจะจัดการ มันคงไม่สนเรื่องพรรค์นั้นหรอก

“แล้ว… นี่… เอายังไงกันดีล่ะลูคัส ตอนนี้เพื่อนนายคิดว่าฉันเป็นนายไปหมดแล้ว” โลแกนถามพร้อมยกนิ้วจิ้มข้างแก้มตัวอย่างครุ่นคิด แหวะ คิดว่าตัวเองน่ารักตายล่ะ

“ถอด”

“หะ?”

“เสื้อที่นายใส่อยู่ตอนนี้ ถอดออกมา”

โลแกนยกยิ้มก่อนจะเลื่อนมือไปถอดเสื้อฮู้ดสีแดงสดออกอย่างว่าง่ายเผยให้เห็นผิวเหนือด้านล่างและกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ที่เจ้าตัวบ่มเพาะมา ไอ้บ้าเอ๊ย ไอ้หมอนี่หุ่นดีชะมัด ผมเองก็พยายามจะเล่นกล้ามแบบมันเหมือนกันนะ ขอให้มันช่วยเทรนด์ให้หน่อยเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถมีได้เยอะแบบมันอยู่ดี

“เอ้า” โลแกนว่าพร้อมกับส่งเสื้อที่ตัวเองถอดมาให้ผม ผมจึงถอดเสื้อฮู้ดสีเทาที่ใส่อยู่ออก ภายใต้นั้นมีเสื้อยืดสีขาวแขนสั้นอีกตัว แลกเสื้อผ้ากันเสร็จสรรพแล้ว โลแกนก็เลื่อนมือไปจัดผมของตัวเองให้เข้าที่ ริมฝีปากมีรอยยิ้มกวนๆ ประดับใบหน้าเหมือนเคย เห็นแล้วบางทีก็หมั่นไส้อยากจะถีบมันสักรอบ

...เสียแต่ไม่กล้าเท่านั้นเอง

“งั้นวันนี้ก็ไปเรียนกันเถอะ พี่ชาย แล้วเย็นนี้กลับบ้านพร้อมกันดีไหม ไปซื้อของทำกับข้าวกัน วันนี้ฉันอยากกินสเต็ก”

“เออ” วันนี้เวรผมทำกับข้าว… เหอะ เอาเถอะ

“เอ่อ แล้วก็นะ” โลแกนหันมาพูดกับผมอย่างนึกขึ้นได้ “แฟนนายน่ะ ขนาดแยกนายกับฉันยังแยกไม่ออกเลย นายคิดว่าผู้หญิงแบบนั้นเหมาะสมกับนายแล้วจริงๆ เหรอ”

ผมเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นนิดหนึ่ง ทำไมหมอนี่ต้องมาพูดเหมือนรวนกันด้วยนะ ในเมื่อตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครแยกเราสองคนออกอยู่แล้ว

ไม่เคยมี

“แต่ก็เอาเหอะ ไม่ใช่เรื่องของฉันนี่นะ”

ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็หัวเราะร่า ล้วงแขนลงในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินจากไป





-----------------------------
ชอบก็อย่าลืมคอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันหน่อยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 2) P.1 [3/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-02-2017 21:31:06
ไรท์ ลงต่อไวๆมากๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ลูคัส โลแกน  :hao3:
เหมือนแฝดน้อง จะหวงๆพี่ คอยปกป้องพี่นะ
อย่างโลแกนว่าก็ถูกนะ
ว่าเป็นแฟนประสาอะไร แยกแฟนไม่ออก
แต่ก็สองคนนี่แฝดเหมือนนะ จะแยกออกยังไง
แถมเสื้อผ้ายังใส่ด้วยกันอีก
ไว้คอยดูต่อละกัน จะยังไงกันแน่
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 2) P.1 [3/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Pimjean ที่ 03-02-2017 22:41:16
 ชอบจ้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 3) P.1 [4/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 04-02-2017 16:29:37
บทที่ 3

(Mode: Lucas Collins)





ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้มันใส่เสื้อผ้าตามแบบฉบับของมันมาโรงเรียน

ผมถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกทันทีที่เห็นร่างของน้องชายฝาแฝดตัวเองหลังไวๆ ที่มาโรงเรียนก่อนผม วันนี้มันอยู่ในชุดลำลองแบบกึ่งทางการของมัน สไตล์แบบที่มันชอบใส่ กางเกงแสลคขายาวดูดีนั่นไม่ได้เข้ากับตัวอาคารโรงเรียนที่ค่อนข้างซอมซ่อเลยแม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ ถึงยังไงผมก็ยังอยากขอภาวนาให้มันแต่งตัวแบบนี้มาโรงเรียนตลอดจนเรียนจบเลย คนจะได้แยกผมกับมันออกได้เสียที

ผมเดินไปที่ล็อกเกอร์ของตัวเอง เก็บกระเป๋า หยิบหนังสือเรียนและกระเป๋าดินสอ มองตารางสอนของตัวเองในวันนี้ พร้อมจะตรงดิ่งไปเข้าห้องเรียน หากเมื่อปิดประตูล็อกเกอร์ลง ร่างของคนที่มีใบหน้าแบบเดียวกับผมก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา

ขอถอนหายใจยาวๆ ที

ทำไมมันไม่แวะมาล็อกเกอร์ตัวเองให้เร็วกว่านี้ฟะ จะได้ไม่เจอกัน นี่อุตส่าห์พยายามหลบหน้าสุดๆ แล้วนะเนี่ย

“อ้าว อรุณสวัสดิ์ ลูคัส”

“อรุณสวัสดิ์ โลแกน” ผมพูดยิ้มๆ… เป็นยิ้มแบบที่เรียกได้ว่าฝืนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ก่อนสายตาผมจะก้มลงไปมองเครื่องประดับชิ้นใหม่ของแฝดตรงหน้าที่โดดเข้าสู่สายตาเพราะเจ้าตัวไม่ได้ใส่มันเข้าไปใต้เสื้อแต่ปล่อยให้มันโผล่ออกมาด้านนอก

มันคือสร้อยคอ…  รูปไม้กางเขน แต่เป็นไม้กางเขนแบบกลับหัวนะ

ไอ้ชิบหายเอ๊ย

“สร้อยบ้าอะไรของนายเนี่ย” ผมโวยออกมาอย่างอดไม่อยู่ โลแกนหันกลับมามองหน้าผม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนตั้งคำถาม

“ไม้กางเขนไง”

“มันกลับหัวอยู่นะ น้องรัก”

“อ้อ ใช่สิ ก็นั่นแหละ ประเด็นสำคัญ”

โอ๊ย ตาย

“นายเป็นพวกนอกรีตตั้งแต่เมื่อไหร่?”

โลแกนยกยิ้ม

“น่าจะถามว่าผมเคยไปอยู่ในจารีตที่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ต่างหาก”

เออ ก็จริงของมัน

“เดี๋ยวก็โดนพวกคลั่งศาสนามากๆ รุมตื้บเอาหรอก”

“แหม ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลย เป็นโบนัสที่เจ๋งมากเลยนะนั่น” พูดพลางเจ้าตัวแสบเอามือถูกันอย่างนึกสนุก เออ ลืมไป ทั้งเมืองนี้ ไม่มีใครอยากจะมีเรื่องกับไอ้บ้านี่อยู่แล้วนี่หว่า

ผมเอื้อมมือไปยกสร้อยคอที่มีโซ่เป็นสายคล้อง ตัวไม้กางเขนทำจากสแตนเลสน้ำหนักเบากว่าที่ตาเห็นขึ้นมาดู หรี่ตาลงอย่างพิจารณา อย่าว่างั้นว่างี้เลย นี่ผมเป็นชาวคริสต์นะ ถึงจะไม่ได้ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ แต่ก็เชื่อในพระเจ้านะเฟ้ย แล้วไอ้แฝดบ้าของผมนี่มันอะไร ขวางโลกเหรอ

“เอาล่ะ ได้ของที่ต้องการครบแล้ว” โลแกนพูดตัดบท กระชับหนังสือกับปากกาแท่งเดียวที่เสียบไว้ตรงปก จากนั้นก็เลื่อนแขนอีกข้างมากอดคอผม “เข้าห้องเรียนกันเถอะพี่ชายที่รัก ฉันรู้สึกว่าวันนี้ต้องเปนวันที่ดีแน่ๆ อา รู้สึกสดชื่นแจ่มใสเหมือนได้เริ่มต้นวันใหม่ที่ดี”

ใช่ เอ็งน่ะเริ่มวันใหม่ที่ดี แต่เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่แย่ของฉันไง!

ผมกับโลแกนเรียนกันคนละสาย ดังนั้นวิชาเรียนจึงมีทั้งที่ตรงกันบ้าง ไม่ตรงกันบ้าง สลับกันไป แต่ส่วนมากแล้ว ต่อให้ได้เรียนห้องเดียวกันทั้งผมและมันก็ไม่ค่อยสุงสิงกันเท่าไรนัก ผมชอบที่จะอยู่กับกลุ่มเพื่อนตัวเองมากกว่า และโลแกนก็ชอบที่จะอยู่ตัวคนเดียวมากกว่า ยกเว้นบางวันที่อารมณ์พวกเราสองคนเกิดติสทั้งคู่ ทั้งบรรดาเพื่อนร่วมห้องและอาจารย์ที่สอนก็อาจได้ผวาเพราะเห็นแฝดสองคนนั่งเรียนใกล้ๆ กัน พูดคุยกันเรื่องเนื้อหาที่เรียนแบบปกติ ก็นะ อย่างที่ผมบอก ถึงหมอนี่มันจะเพี้ยนๆ แล้วก็โรคจิตไปหน่อย แต่ยังไงมันก็หัวดี แล้วมันก็เป็นแฝดที่ผมใช้ชีวิตอยู่มาด้วยตลอด 17 ปี ยังไงก็คุยกันง่ายอยู่ดี

และดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันที่อารมณ์พวกเราสองคนติสแตกพร้อมๆ กัน

ผมที่วันนี้ขอปลีกตัวมาจากกลุ่มหยิบแผ่นกระดาษที่โปรเฟสเซอร์ให้มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วขึ้นมาดู โลแกนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมก็ทำแบบเดียวกัน

ภายในนั้นมีตารางซึ่งมีลำดับตัวเลขกำกับไว้ด้านหน้า มันเป็นกระดาษที่ให้พวกเราเขียนเส้นทางหรือแผนการที่วางไว้ในอนาคต

ตารางของผมว่างเปล่า

ผมเหลือบตาไปมองตารางของแฝดที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัว ทั้งที่จริงๆ แล้วก็พอจะเดาได้… ว่างเปล่าเหมือนกัน ผมกับโลแกนเงยหน้าขึ้นสบตากันราวกับพวกเราสามารถเทเลพาธี สื่อสารกันทางสายตาได้อย่างไรอย่างนั้น อันที่จริงผมคิดว่าพวกเราสองคนสามารถทำได้นะ แบบ… บางครั้ง แต่ก็อย่างว่า ของแบบนี้ บางทีอาจไม่ต้องเป็นแฝดหรือมีพลังจิตก็สามารถทำได้ เพียงแค่สถานการณ์มันพาไป บางทีเราก็อาจสื่อสารกับใครต่อใครได้ผ่านทางสายตา

และตอนนี้… พวกเราสองคนก็กำลังสื่อสารกันเงียบๆ

โลแกนกระพริบตาทีหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มหวานหยดมาให้

“นายไม่ได้อยากเข้าพวกโรงเรียนหรือวิทยาลัยทางดนตรีเหรอ”

“...มันก็”

“นายเล่นเปียโนเก่งออก” แฝดของผมว่าขณะที่หยิบปากกาด้ามเดียวของมันขึ้นมา ควงทีหนึ่งจากนั้นก็เริ่มเขียนยิกๆ ลงไปอย่างมั่นใจ ผมเบิกตากว้าง มองมันอย่างทึ่งๆ นิดหนึ่ง

“นายรู้แล้วเหรอว่าอยากจะทำอะไร”

“อื้อ”

“ขี้โกงนี่”

“นายเองก็รู้แล้วเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” โลแกนว่าราวกับอ่านใจของผมออก ในกรณีนี้ ผมคิดว่ามันเป็นเพราะความเป็นฝาแฝดของเรามากกว่าแฮะ บางทีสายสัมพันธ์ที่ว่าก็ทำให้เราสามารถเข้าใจกันและกันได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ

ยกเว้นตอนที่มันบ้าเลือดหรือตอนทำอะไรแปลกๆ แผลงๆ นะ อันนั้นนี่ยังไงก็ไม่เข้าใจความคิดมันจริงๆ

“แต่… ฉัน ไม่รู้สิ” ผมพูดอย่างลังเล จะว่ายังไงดีล่ะ ผมชอบเล่นเปียโนมาแต่ไหนแต่ไรก็จริง เคยวาดฝันตอนเด็กๆ ด้วยซ้ำว่าอยากเป็นนักดนตรี… นักเปียโนที่มีชื่อเสียง ผมอยู่ในวงดนตรีเล็กๆ ที่ติดอันดับในการขึ้นแสดงโชว์ของทางโรงเรียนตลอด เคยไปแข่งระดับประเทศและได้อันดับต้นๆ มา แม้มันจะไม่ใช่ที่หนึ่งก็เถอะ

แน่นอนล่ะว่าผมอยากจะก้าวเดินต่อไปยังสายอาชีพนี้ แต่ในขณะเดียวกันความจริงที่ว่าค่าใช้จ่ายของที่บ้านมันเยอะ เงินที่น้าของผมและโลแกนส่งมาให้ก็ไม่ได้มากมายขนาดกินอยู่ได้อย่างสบาย ผมกับโลแกนต้องสลับกันออกไปทำงานหาเงินเข้าบ้านเพื่อประทังชีวิต

แล้วถ้าจะเลือกเดินสายอาชีพดนตรีนี่… ไม่ใช่แค่เรื่องค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายนะ แต่ยังรวมไปถึงหลังจากเรียนจบอีกต่างหาก สายอาชีพแบบนี้ถ้าไม่รุ่งก็ร่วงแบบหายเข้าไปในกลีบเมฆ ถ้าฐานะทางการเงินของบ้านคุณไม่มีปัญหา มันก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่นี่… ทุกวันนี้ยังต้องพึ่งเงินของน้าอยู่มันก็ยังพอถูไถอยู่หรอก แต่ถ้าเกิดเรียนจบแล้วมันก็ต้องหาทางยืนด้วยตัวเอง แล้วแบบนี้…

“เฮ้ย ทำหน้าแบบนั้นน่ะ คิดอะไรยุ่งยากวุ่นวายอยู่ล่ะสิ”

“หือ?” ผมเงยหน้าขึ้นมามองโลแกนที่หันมามองผมด้วยสายตาเอือมๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาดีดหน้าผากผมแรงๆ ทีหนึ่งจนเกิดเสียงดังเป๊าะ โอ๊ยยย ไอ้น้องบ้าเอ๊ย!

“อย่าไปคิดอะไรมากมายไม่เข้าท่าเลย ลูคัส อยากเรียนอะไรก็เขียนๆ ไปเหอะ”

“ทำไมฉันต้อง…” ผมพูด เจือความหงุดหงิดลงไปในน้ำเสียงนั้นด้วย หากยังไม่ทันพูดจบประโยค สายตาที่เหลือบไปเห็นสิ่งที่โลแกนเขียนไว้บนกระดาษของตัวเองก็ทำให้คำพูดนั้นสะดุดลง ผมเบิกตากว้าง เอื้อมมือไปคว้ากระดาษแผ่นนั้นที่เจ้าตัวดีเขียนข้อความลงไปสั้นๆ ง่ายๆ แต่ชวนให้ตกตะลึง “นายอยากเป็นตำรวจเหรอ!!?”

“ใช่” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนกันกับผมทุกประการยิ้มขำ ดึงแผ่นกระดาษที่ผมคว้ามาดูให้ถนัดตาคืน “ฉันวางแผนไว้แล้ว ฉันจะเข้าไปเป็นตำรวจก่อน จากนั้นก็จะหาทางเข้าไปเป็น FBI”

“นี่ โลแกน” ผมยกยิ้มเครียด “ถ้านายอยากจะฝันล่ะก็ ก่อนอื่นช่วยนอนก่อนนะ หลับให้สนิทเลยด้วย”

“เฮ้ เสียมารยาท” โลแกนแสร้งยกชี้ขึ้นมาจุ๊ปาก ส่ายหน้ารัวๆ จนเส้นผมสีบลอนด์ทองปลิวไปด้านข้าง “ฉันเองก็มีความฝันของตัวเองเหมือนกันนะ”

“อ้อ เหรอ” ผมพึมพำก่อนจะเบิกตากว้างขึ้นมาอีกรอบเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ยกนิ้วขึ้นชี้มันสั่นๆ ก่อนจะลดเสียงลงแล้วกระซิบใส่หูมันอย่างร้อนลน “นี่อย่าบอกนะว่านายคิดจะยึดอาชีพนี้เพราะจะได้ฆ่าคนได้น่ะ”

โลแกนเหยียดยิ้มกว้างขึ้น ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองซีดลงในเวลาเดียวกัน

“โลแกน” ผมอึกอัก พยายามพูด ถึงแม้จะรู้ว่าคนตรงหน้ามันจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ “ยิ่งเป็นตำรวจน่ะ มันยิ่งฆ่าคนง่ายๆ ไม่ได้นะ นายจะโดนจับตามอง แล้วนายก็อาจจะ…”

“ชู่” เจ้าตัวตัดบท ยกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบริมฝีปากผมเพื่อให้หยุดพูด จากนั้นก็ส่งยิ้มพรายมาให้ “ฉันรู้อยู่แล้วนะ ลูคัส นายเห็นฉันเป็นคนโง่หรือไง? ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร”

ใบหน้าของพวกเราสองคนใกล้กันมากจนผมรับรู้ได้ถึงลมหายใจของแฝดผม เจ้าตัวดียกนิ้วออกไปแล้ว จากนั้นก็หยิบกระดาษที่เขียนเส้นทางในอนาคตของตัวเองไว้เพียงข้อเดียวขึ้นมาถือในมือ โดยไม่ลืมจะหันมาส่งยิ้มกวนๆ ให้ผม

“นายเองก็รีบๆ เขียนแล้วเอาไปส่งได้แล้ว เรื่องเงินน่ะไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะหาเงินเข้าบ้านให้เราเยอะๆ แบบที่นายใช้ไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะ พี่ชายที่รัก”

โอ๊ยยยยย ก็ไอ้เรื่องนั้นน่ะแหละ ที่น่าเป็นห่วง!





หลังเลิกเรียน ตามปกติแล้วผมมักจะแวะไปที่ห้องดนตรีก่อนกลับบ้านอยู่เป็นประจำ ไปคนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่บางครั้งก็มีเพื่อนตามไปขอนั่งฟังบ้าง มีคนในชมรมคนอื่นแวะเวียนไปบ้าง อันที่จริงปีเตอร์เองก็อยู่ในชมรมเดียวกันกับผมเหมือนกัน เราเคยเล่นเพลงแล้วก็อัดคลิปลงยูทูปด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ทำเป็นประจำหรอกนะครับ แค่นานๆ ครั้งตอนมีอารมณ์มากกว่า แต่วันนี้เนื่องจากผมขลุกอยู่กับโลแกนเป็นส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยมีใครกล้าเข้ามายุ่งด้วยเท่าไรนัก อืม… สงสัยถ้ายังอยากมีเพื่อนแบบคนปกติทั่วไปอยู่คงต้องห้ามอยู่กับไอ้แฝดบ้านี่เลยจริงๆ สินะ

“วันนี้ไม่ไปซ้อมดนตรีเหรอ” โลแกนถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าผมมุ่งหน้าไปยังรั้วประตูโรงเรียน ผมส่ายหน้าให้มันนิดหนึ่ง

“วันนี้ไม่ค่อยมีอารมณ์ว่ะ”

“เออ นายมีงานพิเศษอีกทีวันไหนนะ ของฉันมีพรุ่งนี้ แล้วก็อีกทีวันเสาร์ เรื่องเวรทำกับข้าวเอาไง”

“จริงๆ เราเริ่มแยกกันทำของใครของมันก็ได้นะ เพราะเหมือนเวลาเราไม่ค่อยตรงกันเท่า…”

“ลูคัส!”

เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นหลังจากที่พวกเราเดินผ่านรั้วโรงเรียนมา ผมหันกลับไปมองก่อนจะต้องส่งยิ้มกว้างให้หญิงสาวที่ก้าวมาทางพวกเราทันที โอลิเวียนั่นเอง หล่อนไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกับผม แต่ก็ห่างออกไปไม่ไกลนัก หล่อนสาวเท้าเข้ามาพร้อมส่งยิ้มหวานที่ทำให้ผมใจละลายตั้งแต่แรกที่ได้เห็นให้

“ดีจัง ตั้งใจมาดักรอนายหน้าโรงเรียนพอดี กำลังคิดอยู่เลยว่าวันนี้นายจะมีซ้อมเปียโนรึเปล่า”

“ทำไมไม่ส่งข้อความมาล่ะ” ผมถามขณะเลื่อนมือไปโอบไหล่สาวเจ้าที่มีทรวดทรงส่วนเว้าสมบูรณ์แบบในทุกตำแหน่ง ผมเห็นผู้ชายหลายคนที่เดินออกมาจากรั้วเหลือบมองมาทางพวกเรา บางคนแทบจะน้ำลายหกออกมาอยู่แล้ว

การปรากฎตัวของโอลิเวียมักเรียกสายตาแบบนั้นได้เสมอ

“สวัสดี โลแกน” เจ้าหล่อนส่งยิ้มไปให้น้องชายฝาแฝดของผม โลแกนยิ้มน้อยๆ คืนให้ ทั้งสองคนผลัดกันหอมแก้มคนละทีก่อนโอลิเวียจะเลื่อนหน้ามาจูบปากผมเร็วๆ ทีหนึ่ง

“แล้วนี่พวกนายสองคนจะทำอะไรกันต่อจากนี้เหรอ” หญิงสาวยิ้มหวาน ผมกับโลแกนจึงหันมามองหน้ากันนิดหนึ่ง สื่อสารกันทางสายตาอย่างรวดเร็ว โลแกนเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม ผมจึงพยักหน้าให้เจ้าตัวดีทีหนึ่ง

โลแกนหันไปยิ้มให้แฟนสาวของผม

“ฉันกับลูคัสว่าจะไปซื้อของทำข้วเย็นกันน่ะ ถ้าเธอไม่มีแพลนอะไรเย็นนี้และอยากมากินข้าวกับเรา จะมาด้วยกันไหมล่ะ?”






---------------------------------
Talk: จริงๆ ที่ดูเหมือนมาลงเร็วเพราะเขียนเก็บไว้หลายตอนแล้วค่ะ ^^;;; จะพยายามลงให้หมดสต็อกเร็วๆ น้า~~
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 3) P.1 [4/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 04-02-2017 17:45:23
ชอบบบบ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 2) P.1 [3/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 04-02-2017 18:13:52
ไรท์ ลงต่อไวๆมากๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ลูคัส โลแกน  :hao3:
เหมือนแฝดน้อง จะหวงๆพี่ คอยปกป้องพี่นะ
อย่างโลแกนว่าก็ถูกนะ
ว่าเป็นแฟนประสาอะไร แยกแฟนไม่ออก
แต่ก็สองคนนี่แฝดเหมือนนะ จะแยกออกยังไง
แถมเสื้อผ้ายังใส่ด้วยกันอีก
ไว้คอยดูต่อละกัน จะยังไงกันแน่
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณมากๆ นะคะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ตอบ พอดีไม่ค่อยคุ้นกับระบบอะไรเท่าไร ^^;;;
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 4) P.1 [4/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 04-02-2017 21:01:42

บทที่ 4

(Mode: Logan Collins)





ผมกับลูคัสแบ่งหน้าที่กันทำอาหาร ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ววันนี้เป็นเวรของผม แต่ในเมื่อทางบ้านเรามีแขกกิตติมศักดิ์เป็นแฟนสาวคนสวยที่คบกับลูคัสมาได้ร่วมปีมาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน พ่อพี่ชายตัวแสบของผมก็ต้องมาแสดงฝีมือการทำอาหารของมันหน่อย

ซึ่ง… ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับผมน่ะนะ จะได้ไม่ต้องทำคนเดียว มีลูกมือมาช่วยแบบนี้

พวกเราทั้งสามคนรับประทานอาหารพร้อมๆ กับเปิดทีวีดูซีรีย์ที่ลูคัสเก็บไว้ในยูเอสบีของมัน ยุคนี้แทบไม่มีใครดูซีรีย์สดๆ ผ่านโทรทัศน์กันแล้ว เพราะพวกโฆษณาที่แสนน่าเบื่อคอยขัดจังหวะ ได้ดูแบบต่อเนื่องแบบนี้สิถึงจะมันในอารมณ์

ผมเอนตัวลงพิงกับโซฟายาวขณะที่หยิบเฟรนช์ฟรายส์ขึ้นปาดซอสมะเขือเทศแล้วเอาเข้าปาก เสียงพูดคุยของตัวละครในโทรทัศน์ปนเปไปกับเสียงอ่อนหวานของโอลิเวียที่ตอนนี้กำลังฉอเลาะ เอนศีรษะลงบนบ่าของแฝดผม กอดแขนเจ้าตัวไว้แนบแน่น และแน่นอนว่าเนินอกที่นูนเว้าออกมาได้รูปนั่นกำลังเสียดสีลงบนแขนของลูคัสที่ตอนนี้เอื้อมมือมาลูบเส้นผมสีบลอนด์ของสาวเจ้าอย่างเอ็นดูด้วยสีหน้ายิ้มๆ

นั่น… แล้วสองคนนั้นก็จูบกันเร็วๆ อีกรอบหนึ่ง แย่จริงๆ เลย ไม่เห็นรึไงว่าวันนี้ผมไม่ได้เอาสาวมาด้วยน่ะ หัดเกรงใจกันบ้างสิ

“โอลิเวีย เธอนี่สวยนะ” ผมพูดขึ้นมาลอยๆ ทำเอาคู่รักที่กำลังจี๋จ๋าอยู่ข้างหน้าผมชะงักกันไปนิดหนึ่ง ก่อนยัยสวยหยาดเยิ้มจะค่อยๆ หันกลับมายิ้มหวานให้ผม โอ๊ย… ดูตาแม่นั่นสิ ฉ่ำเยิ้มไปหมดเลย ลูคัสนี่ก็ร้ายไม่ใช่เล่นนะเนี่ย ถึงทั้งคู่จะคบกันมาเกือบปีแล้วก็เถอะ แต่ผมที่นานๆ จะเห็นพี่ชายฝาแฝดของตัวเองเอาแฟนเข้าบ้านทีก็ยังอดทึ่งไม่ได้ (ส่วนมากมันจะเป็นฝ่ายหาโอลิเวียที่ห้องมากกว่า) เห็นมันดูหงิมๆ แบบนั้น แต่เอาจริงก็ไม่เลวเลยนะ

“ขอบใจ” หญิงสาวตอบกลับ นัยน์ตาสีฟ้าของหล่อนประกายท้าทายเล็กน้อย “ไม่ใช่นายคนแรกที่พูดแบบนั้นหรอก โลแกน”

“ฉันก็ว่างั้น” ผมหันไปยิ้มให้ลูคัสที่มองมาทางผมอย่างไม่ไว้ใจ “เนอะ ลูคัส?”

“เออ” เจ้าตัวตอบรับห้วนๆ ก่อนจะเลื่อนหน้าไปจุ๊บหน้าผากหญิงสาวในอ้อมแขนนิดหนึ่ง เป็นการแสดงความรักแบบที่ผมจะไม่มีวันทำกับผู้หญิงคนไหนที่ตัวเองนอนด้วยเด็ดขาด ผมหมายถึง… ส่วนมากผู้หญิงที่ผมซื้อเอาก็ไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นอยู่แล้วนี่ ถูกไหม?

ผมเห็นลูคัสยังคงก้มหน้าลงไปพูดกระซิบกับโอลิเวียอย่างอ่อนหวาน หากนัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวชำเลืองมองมาทางผมเป็นระยะๆ ราวกับยังไม่ไว้ใจอย่างไรอย่างนั้น โอ๊ย หมอนี่นี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ ถึงโอลิเวียนี่จะสวยหยดขนาดไหน แต่ก็ใช่ว่าผมจะหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้นะ แล้วขอที… นั่นน่ะ แฟนไอ้ลูคัสมันนะเว้ย? ขืนไปแตะต้องของมันมาก เดี๋ยวก็ได้ทะเลาะกัน กลายเป็นศัตรูกันอีก วุ่นวายตายชัก

แต่ดูเหมือนหมอนั่นจะไม่เข้าใจความคิดผมเอาเสียเลย… แหม ปวดใจจัง โดนพี่ชายสุดที่รักมองด้วยสายตาถมึงทึงแบบนั้น

...ว่าแล้วก็ต้องจัดสักหน่อย

“แต่… การที่เธอคบกับลูคัสแบบนี้ก็แปลว่าเธอชอบหน้าแบบนี้ใช่ไหม” ผมพูดเหมือนชวนคุย ขยับตัวเข้าหาหญิงสาวนิดหนึ่งพร้อมกับชี้หน้าตัวเองยิ้มๆ เห็นไอ้ลูคัสขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่งแล้วรู้สึกตลกจัง

“อืม… ก็นะ เรื่องหน้าก็ส่วนหนึ่ง” หญิงสาวตอบรับอย่างไม่เกี่ยงงอน ไล้นิ้วเรียวยาวที่เล็บถูกแต่งแต้มด้วยสีสันมากมายลงลูบใบหน้าพิมพ์เดียวกับผมนั่นอย่างยั่วยวน “แต่อย่าโกรธกันเลยนะ โลแกน ฉันว่าแฝดนายดูดีกว่านายนิดหนึ่ง”

“อ้อ เหรอ” โธ่ ยัยขี้โกหกเอ๊ย เธอยังแยกฉันกับลูคัสไม่ออกเลยด้วยซ้ำไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะเราแต่งตัวไม่เหมือนกันน่ะ

“แถมยังนิสัยน่ารักแล้วก็ใจดีกว่าด้วย” หล่อนว่าพร้อมกับเลื่อนใบหน้าขึ้นไปจุ๊บปากลูคัสทีหนึ่ง คนถูกชมใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยด้วยความพอใจ แหม… เห็นแล้วน่าแกล้งจริงๆ

ว่าแล้วก็หย่อนระเบิดเลยแล้วกันนะ

“งั้นเธอสนใจจะมา 3p กับฉันแล้วก็ลูคัสไหม”

คู่รักที่อยู่ตรงหน้าผมเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมอย่างอึ้งๆ ในทันที ผมเหยียดยิ้มกว้างเหมือนเดิม ตาของลูคัสแทบจะถลนออกมานอกเบ้าอย่างไม่เชื่อหู แต่หญิงสาวที่ถูกผมเชิญชวนกลับมีสีหน้าที่บ่งบอกว่าสนใจขึ้นมาวูบหนึ่ง แหม ยัยนี่ดูได้เรื่องกว่าไอ้คนน่าเบื่ออย่างลูคัสอีกแฮะ อย่างน้อยก็เรื่องบนเตียงน่ะนะ

“พูดบ้าอะไรของนายวะ โลแกน” แฝดคนพี่ของผมพูดด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง หากนัยน์ตาสีฟ้าแสดงออกชัดเจนว่าโกรธจัดสุดๆ “นายคิดว่านี่มันตลกนักเหรอ”

“แหม ก็แค่ลองถามดู” ผมว่ายิ้มๆ เหลือบมองมือทั้งสองข้างของลูคัสที่กำหมัดแน่นและสั่นระริก ท่าทางจะยัวะจริงแฮะ “ไม่สนก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่ได้ลอง ใช่ไหมครับ คุณผู้หญิง”

“นายออกไปห่างๆ จากแฟนฉันเลย”

ผมยักไหล่จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าจานที่เหลือมันฝรั่งทอดเพียงไม่กี่ชิ้นขึ้นมาถือแล้วเดินเข้าครัว ตัดสินใจล้างจานชามที่กองสุมอยู่เพราะคิดว่าถึงจะออกไปข้างนอกตอนนี้ แฝดผมคงไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

ทันใดนั้นเอง กระจกบานเล็กแบบตั้งโต๊ะที่อยู่ในครัวที่สะท้อนวิบวับออกมา ผมรู้สึกได้ทันทีว่ามีใครพยายามจะติดต่อสื่อสารกับผม ที่โลกอีกฟากนั่น ดังนั้นผมจึงเอื้อมมือไปคว้ากระจกแบบตั้งโต๊ะอันนั้นมาวางตรงข้างๆ อ่างล่างจาน ส่องดูสภาพของตัวเองนิดหนึ่ง อืม ผมโอเค หน้าโอเค ดูดีเหมือนเดิม ดังนั้นผมจึงปล่อยให้ภาพที่อีกฝ่ายพยายามส่งมาปรากฏขึ้น เงาสะท้อนของผมและห้องครัวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพื้นที่สีดำมืดที่ดูไร้ที่สิ้นสุดและเปลวไฟสีแดงที่ลุกโชติช่วงขึ้นเป็นจุดๆ

จากนั้นก็ร่างของคนสองคนปรากฎขึ้นมาให้เห็น ผมส่งยิ้มให้คนทั้งคู่ทันที

“หวัดดี เนท เมแกน”

“ฮาย น้องรัก” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดง นัยน์ตาสีใกล้เคียงเอ่ยทักกลับมาอย่างอารมณ์ดี เจ้าหล่อนก็เหมือนผู้ชายอีกคนที่นั่งเยื้องถัดไป นั่นคือมีเขาโค้งงอปลายแหลมงอกออกมาจากศีรษะ รูปหน้าเรียวน่าหลงใหล ความงามขนาดที่โอลิเวียที่ว่าสวยหยดยังต้องยอมชิดซ้าย ผู้หญิงคนนี้คือพี่สาวของผมเอง โลกมนุษย์จะรู้จักหล่อนในชื่อซัคคิวบัส ปีศาจสาวที่ชอบเข้าฝันชายหนุ่มคนที่หล่อนปรารถนาแล้วก็มีอะไรด้วย สูบพลังมาจากชายหนุ่มผู้โชคร้ายคนนั้น… หรืออาจจะโชคดีในอีกความหมายหนึ่ง ไม่รู้สิ

“อุ๊ย กำลังล้างจานอยู่ด้วยเหรอ เพิ่งรู้ว่าท่านพ่อส่งนายไปเป็นเบ๊ให้พวกมนุษย์” เมแกนว่าก่อนจะหัวเราะกิ๊ก หล่อนขยับนิ้วไปม้วนปอยผมที่ยาวถึงกลางหลังของตัวเอง เส้นผมตรงบริเวณที่โดนนิ้วของเจ้าหล่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ ยัยนี่ชอบเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกไปเรื่อยตามสเปคของผู้ชายแต่ละคนที่ตัวเองปรารถนา

“ไม่ใช่เบ๊สักหน่อย แต่ผมเองก็มีอะไรหลายอย่าง” ผมพูดตอบอย่างไม่ถือสา พี่ชายอีกคนของผมเริ่มขยับตัวในเก้าอี้ของตัวเองเพื่อมองหน้าผมได้ชัดเจนขึ้น

“แล้วนี่ท่านพ่อส่งให้นายไปทำอะไร” เนท ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทพูดขึ้น บนหน้าที่ดูจากภายนอกแล้วเหมือนอยู่ในวัยปลายยี่สิบ ต้นสามสิบมีแว่นกรอบสีชาทรงวงรีอยู่ เสริมให้ท่าทีสุขุมของเจ้าตัวดูเด่นขึ้นมาอีก ยิ่งตอนที่เขาขยับปลายนิ้วขึ้นแตะกันแบบนี้ด้วยแล้ว

“แล้วทำไมพวกพี่ไม่ถามท่านพ่อเองล่ะครับ” ผมตอบกลับยิ้มๆ สายตาเหลือบมองเป็นระยะๆ ว่าไอ้บ้าลูคัสหรือยัยโอลิเวียจะโผล่มาแถวนี้รึเปล่า แต่ดูจากท่าทีแล้วคงไม่ “อยู่ใกล้ท่านพ่อมากกว่าผมอีก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาแล้วก็พลังติดต่อมา”

“แหม พวกพี่ๆ เองก็คิดถึงนายเหมือนกันน้า น้องรัก อย่าเย็นชานักสิ” เมแกนว่าพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้ ผมของเจ้าหล่อนกลายเป็นสีดำไปครึ่งหัวแล้วตอนนี้ ผมยักไหล่ให้อีกฝ่ายนิดหนึ่งก่อนจะตอบคำถามที่พวกพี่ๆ อยากรู้ให้ง่ายๆ

“พ่อให้ผมไปฆ่าจูดี้ ฮิลล์”

“ใคร?” ทั้งเนทและเมแกนถามขึ้นมาพร้อมๆ กัน

“รัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่ประจำตำแหน่งอยู่ตอนนี้”

“แล้วใครอีก?”

“คนเดียว แล้วท่านพ่อก็จะให้ผมกลับนรกแล้ว” ผมยิ้มอย่างมีความสุข หากพี่ชายอีกคนที่เคยทำเรื่องชั่วช้ากว่ามากมานับไม่ถ้วนมองเหมือนไม่อยากเชื่อหู

“แค่คนเดียว!?”

“แหม ท่านพ่อใจดีกับนายจัง โลแกน” เมแกนเห็นด้วย

“ผมจะไปรู้เหรอ” ผมยักไหล่อย่างไม่แคร์ “ก็ท่านพ่อว่ามางั้น อีกอย่าง… พวกคนใหญ่คนโตเดี๋ยวนี้เล่นด้วยไม่ง่ายนะ ไม่เหมือนสมัยพวกพี่สักหน่อย”

“เออ ก็จริงของมัน” สาวผมแดงดำว่า เสกลิปสติกสีแดงสดขึ้นมาทาบนริมฝีปากเหมือนไม่ค่อยใส่ใจกับบทสนทนาระหว่างพวกเรามากนัก ก็นะ พี่สาวผมก็เป็นแบบนี้ประจำแหละ

“หืม ก็ยังฟังดูกระจอกอยู่ดี” เนทว่า ยกแขนขั้นวางบนที่วางแขนของเก้ากี้แล้วเท้าคาง ก็นะ ถ้าเทียบกับพี่ชายคนโตคนนี้แล้ว งานผมก็ดูกระจอกงอกง่อยสุดๆ ไปเลยล่ะ เนทเคยเล่าให้ฟังว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในวงในของเหตุการณ์ 911 ด้วยซ้ำ อารมณ์ประมานว่าเป็นคนยุแยง อะไรเทือกนั้น เอาเป็นว่าเลวบริสุทธิ์เลยก็แล้วกัน ถ้าให้พูดให้เข้าใจง่ายๆ “ตอนฉันนะ ท่านพ่อสั่งให้สังเวยชีวิตคนมาอย่างต่ำพันคน”

“แต่นายก็ทำยอดน่าดูเลยนี่” เมแกนว่ายิ้มๆ คนถูกชมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ผมกลอกตาให้พี่ๆ ทั้งสองอย่างเบื่อหน่าย ถ้าจะติดต่อมากระแนะกระแหนล่ะก็...

“จะว่าไปแฝดนายน่ะ… น่ารักไม่เลวนะ ฉันว่าจะลองเข้าฝันไปเล่นอะไรสนุกๆ กับเขาสักครั้งดีไหม หรือพี่ว่าไง เนท เขาน่ารักรึเปล่า”

“ถ้าลูคัสแฝดไอ้โลแกนน่ารัก ก็แปลว่าเธอกำลังชมไอ้โลแกนมันไปในตัวด้วยนะ รู้รึเปล่า”

เมแกนหันมาทางผมเหมือนไม่อยากเชื่อสายตา ผมแสร้งเอียงคอส่งยิ้มหวานหยด กระพริบตาปริบๆ เพื่อให้ขนตาพือนิดหนึ่งอย่างล้อเลียน เมแกนแสร้งทำท่าพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วก

“แหยะ หยะแหยงเป็นบ้า”

“แต่ถ้าพี่อยากมีอะไรกับผม ผมก็โอเคนะ ว่าไง ชอบล่ะซี้ หน้าหล่อๆ แบบผมเนี่ย”

“โอ๊ยยย นี่มันเอานิสัยหลงตัวเองแบบนี้มาจากใครฟะ” เมแกนว่าพร้อมกับหันไปโวยกับเนทที่ยกชาดำขึ้นจิบจากถ้วยลายขลิบทองอย่างนุ่มนวล

“ก็จากเธอไม่ใช่หรือไง?”

“เนท!!”

พวกเราทั้งสามแลกเปลี่ยนหัวข้อสนทนาสัพเพเหระนิดหนึ่ง ก่อนที่เนทจะเริ่มเอ่ยปากขอตัว พวกเราจึงตัดสินใจยุติการติดต่อพูดคุยในวันนี้แต่เพียงเท่านี้ อีกอย่าง… ผมว่าป่านนี้ลูคัสมันต้องเริ่มเอะใจแล้วว่าผมหายหัวไปไหน ถึงแม้ไอ้นิสัยชอบหายตัวไปแบบดื้อๆ ของผมมันจะรู้จักดีอยู่แล้วก็ตาม

“งั้นเอาไว้เดี๋ยวคุยกันนะครับ” ผมพูดพร้อมกับโบกมือให้คนในกระจก เมแกนเป็นคนเดียวที่โบกมือตอบกลับให้อย่างเริงร่าเหมือนเคย เจ้าหล่อนส่งจูบให้ผมทีหนึ่งก่อนจะแหย่ทีเล่นทีจริง

“คิดอีกที หน้าอย่างนายก็ไม่เลวนักหรอก หล่อใช้ได้ระดับหนึ่ง และแฝดนายก็ไม่ใช่นายด้วย เอาเป็นว่าอาจจะหาโอกาสเข้าฝันเขาดูสักครั้งก็แล้วกัน แถมแฝดนายแบบนี้ น่าจะดูดพลังได้ไม่ใช่น้อย”

ผมชะงักไปทันทีเมื่อเห็นว่าอยู่ๆ อีกฝ่ายก็ดูจะจริงจังขึ้นมากับเรื่องนั้นซะงั้น

และไม่รู้ทำไม… ผมถึงรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไร

“ผมว่าอย่าดีกว่านะ เมแกน”

“อ้าว ทำไมล่ะ?”

ผมส่งยิ้มให้พี่สาวคนสวยที่มองมาอย่างฉงน

“ก็เพราะว่าลูคัสเขาเป็นแฝดผมไงล่ะ เป็นพี่ผม ถ้าพี่ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆ ของผมมีอะไรกับพี่ชายผม มัน… น่าขยะแขยงน่ะ นึกภาพพี่มีอะไรกับเนทสิ”

“อิ้ว/แหวะ” พี่ๆ ทางฝั่งนรกส่ายหน้าดิกกันเป็นแถว

“งั้นเอาไว้ค่อยคุยกันใหม่นะครับพี่ๆ ผมต้องไป…”

“โลแกน” เสียงของลูคัสที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปมอง ไม่มีความตกใจอยู่ในการแสดงออกของผม ผมส่งยิ้มไปให้อีกฝ่ายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงจริงๆ จะตกใจอยู่นิดหน่อยก็เถอะ

“อะไร ลูคัส”

“เมื่อกี้ที่อยู่ในกระจกนั่น…”

อ่า… หมอนี่เห็นเข้าซะแล้วสิ แย่จริง

“ไม่มีอะไรหรอกน่า” ผมเดินไปตบบ่าอีกฝ่ายแปะๆ แล้วเดินสวนออกไป “ฉันว่านายคงตาฝาดไปเองมากกว่า”

แต่ทั้งผมและลูคัสต่างรู้ดีว่านั่นคือคำโกหก
 
เฮ้อ… ยุ่งยากจัง





-----------------------------
Talk: โลแกนนี่มีพี่หลายฝั่งนะ ถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 4) P.1 [4/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 04-02-2017 21:52:53
เริ่มงงกับครอบครัวของทั้งคู่ คือพ่อโลแกนฝากท้องไว้กับแม่ลูคัสหรอ หรือว่ามีพ่อแม่คนเดียวกันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นลูคัสก็ต้องมาจากนรกด้วยสิ

ปล.แอบมีหวงพี่ด้วยนะโลแกน
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 4) P.1 [4/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 05-02-2017 15:59:01
เริ่มงงกับครอบครัวของทั้งคู่ คือพ่อโลแกนฝากท้องไว้กับแม่ลูคัสหรอ หรือว่ามีพ่อแม่คนเดียวกันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นลูคัสก็ต้องมาจากนรกด้วยสิ

ปล.แอบมีหวงพี่ด้วยนะโลแกน

น่าจะเป็นอย่างแรกค่ะ คือมีแค่โลแกนที่เป็นลูกของลูซิเฟอร์จริงๆ อะไรทำนองนั้น ส่วนลูคัสก็คนปกตินี่แหละค่ะ ถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 5) P.1 [5/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 05-02-2017 16:02:14


บทที่ 5

(Mode: Logan Collins)






ผมกับลูคัสเดินมาส่งโอลิเวียที่ปากทางถนนใหญ่ โอลิเวียเขย่งตัวขึ้นมาจูบปากลูคัสเพื่อล่ำลาจากนั้นก็ผลัดมาหอมแก้มผมทีหนึ่ง ก่อนจะเดินแยกไป ลูคัสก้มลงมองโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งมีข้อความเข้ามาก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น

“นายรออยู่ตรงนี้ก่อนได้ไหม โลแกน”

“หืม? ทำไมเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว

“ต้องไปซื้ออะไรนิดหน่อยน่ะ ไอ้โจชัวมันส่งข้อความมาบอกลืมซื้อของ… งานกลุ่มน่ะ ขอแวะไปซุปเปอร์ตรงนั้นนิดหนึ่ง เดี๋ยวมานะ”

“โอเค งั้นฉันรอตรงนี้แล้วกัน” ผมว่าพร้อมกับโบกมือให้แฝดตัวเองหยอยๆ

ผมกวาดตามองรอบๆ ถนนที่มีผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่อย่างเบื่อๆ กำลังคิดอยู่ว่าวันพรุ่งนี้จะหาอะไรสนุกๆ ทำดีก็เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวคนหนึ่งที่ควรจะขึ้นรถบัสกลับบ้านไปแล้วตรงมาทางผม

โอลิเวียนั่นเอง… สาวเจ้าเดินมาหาผมพร้อมกับรอยยิ้มหวานเยิ้มที่ชวนให้ผู้ชายทุกคนน้ำลายหก แหม จริงๆ ยัยนี่นี่ดูน่ากินมากๆ เลยนะ แถมยังหยอดมุกมาทางผมบ่อยครั้ง ปรายตามองอย่างท้าทายก็ไม่น้อย

ต่อให้ตอนที่ปรายตามา เจ้าหล่อนจะอยู่ข้างๆ ลูคัสและรู้ดีว่าผมคือโลแกน ไม่ใช่แฟนของตัวเองก็ตาม

เอ… ผู้หญิงแบบนี้ควรจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ?

“นี่ ลูคัส”

“เสียใจด้วย ฉันคือโลแกน ไม่ใช่ลูคัส”

“อุ๊ย งั้นเหรอ” หล่อนยกมือขึ้นปิดปากเหมือนผิดคาดไปอย่างเสแสร้ง ใช่ หล่อนรู้ดีว่าผมคือโลแกนมาตั้งแต่แรก ก็แยกกันไม่ถึงสิบนาที เสื้อผ้าที่ผมใส่วันนี้ก็ไม่เหมือนกับของลูคัส “แต่ก็ไม่เป็นไร เป็นนายก็ได้”

“อะไรเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว ถามในสิ่งที่ตัวเองรู้คำตอบดีอยู่แล้ว “อยากให้ฉันไปเดทด้วยรึไง หรืออยากให้พาส่งขึ้นเตียง?”

หญิงสาวผมทองตรงหน้ายิ้ม เจ้าหล่อนไล้ฝ่ามือของตัวเองลงมาตรงหน้าผมอย่างเย้ายวน ผมผิวปากหวือเมื่อเจ้าหล่อนขยับขาที่ใส่กางเกนยีนส์ขาสั้นกุดขึ้นมาแนบกับต้นขาผม ผมรู้ดีว่าเกมนี้เล่นยังไง และเจ้าหล่อนก็กำลังเล่นเกมในส่วนของตัวเอง โอลิเวียโน้มหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหูผมอย่างยั่วยวน

“แล้วถ้าทั้งสองอย่าง?”

หืม…

ผมเหยียดยิ้ม เลื่อนมือไปประคองใบหน้าของเจ้าหล่อนอย่างนุ่มนวลให้เงยขึ้นมาสบตาผม

“แต่เธอมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ?” ก็พี่ชายฝาแฝดของฉันไม่ใช่เหรอ แฟนเธอ

“ก็เห็นตอนอยู่ที่บ้าน ดูนายอ่อยฉันเสียขนาดนั้น” หล่อนว่าพร้อมกับไล้นิ้วลงบนเส้นผมสีบลอนด์ทองของผม นึกอยู่แล้วเชียวว่าถ้าผมมาอยู่ในที่ที่ค่อนข้างลับตาคน ยัยนี่ต้องโผล่มาเสนอตัว “แล้วฉันจะอดใจไหวได้ไง”

“เห….”

“อีกอย่าง” หล่อนเขย่งตัวพร้อมกับดึงผมลงไปจูบบนริมฝีปากอย่างดูดดื่ม ยกยิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากผละริมฝีปากออก “ดูนายจะเก่งเรื่องบนเตียงมากกว่าลูคัสด้วย เท่าที่ได้คุยกับนายมานะ”

“หืม” ผมลากเสียงยาวในลำคอด้วยสีหน้ายิ้มๆ เหมือนเดิม ปล่อยให้โอลิเวียดึงมือผมไปสัมผัสเอวค่อดของตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง ให้ตายสิ นี่ลูคัสมันตาบอดหรืออะไร ไปคว้าผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแฟนเนี่ย ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นที่ท่าทางดูร้ายกว่าผมนิดหนึ่งเงี้ย ก็จะไม่แปลกใจหรอกนะ แต่ไอ้แสนดีลูคัสกับยัยนี่เนี่ยนะ? แล้วคบกันมาจะเป็นปี… ไม่อยากจะเชื่อเลย มันไม่เอะใจอะไรบ้างเลยเรอะ?

ผมโน้มใบหน้าลงต่ำให้ปลายจมูกสัมผัสลงบนใบหน้าหวานที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางค์อย่างพอเหมาะพอเจาะ รู้สึกถึงแรงที่พยายามดึงผมเข้าไปจูบ หากผมทำเป็นไม่เข้าใจความต้องการของหล่อน

ผมผละออกจากตัวหญิงสาวที่ตอนนี้มองมาทางผมด้วยสีหน้างงงวยเป็นที่สุด เห็นแบบนั้นแล้วผมจึงแกล้งส่งยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ไปให้

“แต่… ทำไมล่ะ?” โอลิเวียถามอย่างไม่เข้าใจจริงๆ “ฉันนึกว่านายอยากนอนกับฉันซะอีก”

“อยากสิครับ คนสวย” ผมยอมรับ ยกมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้ “แต่ฉันไม่อยากกินของเหลือจากพี่ชายตัวเองน่ะ เธอพอจะเข้าใจไหม”

“เห…” โอลิเวียยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากอย่างครุ่นคิด “ไม่นึกว่านายจะถือเรื่องนี้แฮะ”

ผมน่ะไม่ถือหรอก แต่ไอ้ลูคัสถือแน่นอน

“งั้นถ้านี่ล่ะ” อีกฝ่ายว่าพร้อมเลื่อนมือไปคว้าเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ผมรู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายตบหน้าแรงๆ ด้วยเศษกระดาษพวกนั้น

ยัยนี่คิดจะซื้อผมเหรอ? ล้อกันเล่นใช่ไหม?

“ฐานะทางบ้านของพวกนายไม่ค่อยดีใช่ไหมล่ะ” โอลิเวียยกยิ้ม “ถึงจะไม่ได้เห็นได้ชัดขนาดนั้นแต่ก็พอรู้สึกได้ ขนาดลูคัสไปทำงานพิเศษ ยังดูไม่ค่อยมีเงินใช้เท่าไรเลย ถ้าลำบากนัก จะพึ่งพากันหน่อยก็ได้นะ ว่าไง โลแกน ลูคัสน่ะเขาเป็นคนดี ไม่มีทางยอมเอาเงินจากฉันหรอก แต่ถ้าเป็นนาย… นายเอาเงินไปใช้ด้วยกันกับแฝดนาย แล้วก็ใช้เวลาว่างๆ สนุกกับฉัน ไม่ดีเหรอ วินวินทั้งสองฝ่าย หรือนายคิดว่าไง”

ผมยกยิ้มตามแบบฉบับของตัวเอง กระชากเงินออกจากมือของหญิงสาวแล้วก้มลงไปกระซิบเสียงต่ำ

“ผมไม่ใช่โสเภณีนะครับ คุณผู้หญิง”

“อะ….!!”

“เก็บเงินที่พ่อแม่ให้เธอมาเอาไว้ใช้เถอะ ยัยร่าน” ผมพูดอย่างไม่ใยดี ยัดเงินจำนวนนั้นลงใส่กระเป๋าถือใบสวยที่คงราคาเท่ากับค่ากับข้าวของผมกับลูคัสสามเดือน ของผมกับลูคัสนะ ย้ำ ไม่ใช่แค่คนเดียว “และถ้าคิดจะทำตัวแบบนี้ต่อไปก็ช่วยบอกเลิกกับพี่ชายฉันทีเถอะ หมอนั่นมันบื้อ ไม่เคยรู้หรอกว่าโดนเธอสวมเขาให้อยู่น่ะ”

ผมเดินจากมา ได้ยินเสียงกัดฟันกรอดจากหญิงสาวด้านหลัง ก่อนจะชะงักตัวไปทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายตะโกนมา

“ก็แฝดนายมันโง่เองนี่!! หน้าตาก็ออกจะดีแท้ๆ นายเองก็เหมือนกัน โลแกน หลงนึกว่านายจะฉลาดกว่านี้ น่าเสียดาย”

เฮ้อ… ขอยืนยันคำพูดเดิมอีกรอบ นี่ไอ้บ้าลูคัสมันคบกับแม่นี่เข้าไปได้ยังไงตั้งนานนม หรือว่าไอ้สุภาษิตที่ว่าความรักทำให้คนตาบอดนี่จะเป็นเรื่องจริง?

ผมเหลือบไปมองหญิงสาวที่ทำท่าจะหมุนตัวเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่ตัวเองมา แต่แล้วเจ้าหล่อนก็ต้องชะงักเพราะผมคว้าแขนของสาวเจ้าไว้เต็มแรง ไม่สิ ต้องเรียกว่าออกแรงกระชากมาเลยดีกว่า

“ฟังนะ โอลิเวีย” ผมพูดเสียงเย็น รู้สึกได้เลยว่าหญิงตรงหน้าหน้าซีดเผือดลง ก็นะ ใครๆ ที่โดนผมพูดด้วยโทนเสียงนี้ บวกกับมองด้วยสายตาแบบนี้ก็มักจะมีปฏิกิริยาแบบเดียวกันนี่แหละ “ฉันไม่สนหรอกนะว่าเธอจะคบกับไอ้ลูคัสเพราะชอบหน้าตามัน ชอบนิสัยมัน อยากอ้อนมัน หรืออยากมีเซ็กส์กับมัน… แต่อย่ามาพูดว่าร้ายไอ้หมอนั่นให้ฉันได้ยิน คนที่พูดแบบนั้นถึงมันได้มีแค่ฉันคนเดียว ส่วนเรื่องเธออยากจะหลอกลวงอะไรมัน นั่นมันก็เรื่องของเธอ”

พูดในสิ่งที่ต้องการจบแล้วผมก็ปล่อยแขนเจ้าหล่อนออก ส่งยิ้มหวานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปให้แล้วเดินออกไปจากที่ตรงนั้น ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของเด็กสาววิ่งไปอีกทางหนึ่งเช่นกัน

ว้า… ดันทำคนสวยกลัวหัวหดไปซะได้ ผมนี่ ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ แฮะ









สงสัยจังว่าไอ้ลูคัสมันจะโง่เรื่องแฟนของตัวเองไปได้อีกนานแค่ไหน

ผมลอบคิดในใจขณะที่ยกแก้วกาแฟดำขึ้นจรดปาก มองหน้าจอคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าที่น่าจะเกิดพร้อมๆ กับตอนที่ไดโนเสาร์กำลังสูญพันธุ์ หน้าจอของมันยังนูนโค้งออกมาอยู่เลย ตัวเครื่องก็ส่งเสียงครืดๆ เหมือนกลไกภายในร่ำร้องอยากจะขอเกษียณเต็มทน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีตัวเลือกนั้นอยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าบ้านคอลลินส์ เรายังไม่มีเงินพอจะซื้อข้าวของได้ฟุ่มเฟือยแบบนั้น อย่างน้อยก็จนกว่าผมกับลูคัสจะเริ่มทำงานเป็นจริงเป็นจัง ตอนนี้เราได้รับการอุปการะจากน้าซึ่งทำงานอยู่อีกรัฐหนึ่ง ที่นานๆ จะกลับมาเยี่ยมสักที แต่พวกเราสองคนก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอกครับ แค่ทางนั้นส่งเงินมาให้เป็นค่าเล่าเรียนและค่าดำรงชีวิตแบบพออยู่ได้ทุกเดือนแบบนี้ก็เป็นพระคุณมากแล้ว

และตอนนี้ผมก็กำลังพิมพ์ข้อความเพื่อตอบอีเมล์ที่น้าส่งมาให้นั่นเอง

จะว่าไป… วันที่โอลิเวียมานั่น หมอนั่นมันเห็นตอนที่เราคุยกับเนทแล้วก็เมแกนในกระจกไม่ใช่เหรอ

ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองเพราะเพิ่งนึกเรื่องสำคัญที่ว่านั่นมาได้ จริงๆ หลังจากที่โอลิเวียกลับไปตอนนั้น ลูคัสก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรกับผมอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้พูดออกมาสักที

อืม… บางทีหมอนั่นอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะผมไม่อยากต้องมาคอยนั่งหาคำอธิบายให้มันฟังอีก หรือดีไม่ดีต้องเค้นพลังเพื่อพยายามลบความทรงจำของมัน… ผมเคยทำแบบนั้นครั้งหนึ่งสมัยตอนที่เราเป็นเด็ก… นั่นเป็นเรื่องที่ยากมากเลยนะ ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่ผมต้องใช้พลังและรวบรวมสมาธิหนักมากกว่าจะทำแบบนั้นได้

เสียงเปิดประตูดังมาแว่วๆ ให้ได้ยินจากด้านล่าง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดมา ก่อนที่ลูคัสจะเปิดประตูห้องเข้ามาด้วยท่าทีสะโลหสะเหลกว่าปกติ ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปทักทายมันเพราะกำลังพิมพ์ข้อความตอบกลับอีเมล์อยู่

“โย่ ลูคัส” ผมทักทายทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นไปหาอีกฝ่าย “วันนี้ซ้อมดนตรีเป็น…”

แต่ผมก็ต้องชะงักไปตรงนั้นเมื่อลูคัสก้าวเข้ามาสวมกอดผมจากด้านหลัง ผมกระพริบตาปริบๆ แล้วหันไปมองมันงงๆ

“เป็นอะ…”

“ฉันเลิกกับโอลิเวียแล้ว”

ผมนิ่งไปนิดหนึ่งในขณะที่ลูคัสค่อยๆ ผละอ้อมแขนออกไป ชายหนุ่มถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยอ่อนทีเดียว

“ก็ดีแล้วนี่” ผมว่า

“ยัยนั่นมีคนอื่น”

ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ….

ผมเกือบจะพูดแบบนั้นออกไปอยู่แล้วถ้าไม่เห็นน้ำตาที่รื้นอยู่บนขอบตาของไอ้หมอนี่ เฮ้ยๆๆ ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะเว้ย

“ใจเย็น ลูคัส มานี่มา” ผมตัดสินใจดึงตัวแฝดคนพี่ของตัวเองให้มานั่งข้างๆ ผมบนเตียง ส่งทิชชู่แผ่นหนึ่งให้มัน “ไหน เกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฉันฟังซิ เผื่อจะดีขึ้น”

“ยัยนั่นมีคนอื่น”

“แล้วนายรู้ได้ยัง…”

“ฉันเปิดประตูห้องเข้าไปตอนสองคนนั้นเปลือยอยู่บนเตียง” พูดแล้วลูคัสก็ยกฝ่ามือขึ้นปิดหน้าอย่างอัดอั้น ผมอ้าปากค้างไปนิดหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปลูบบ่าอีกฝ่ายแกนๆ

แหมๆ… แม่สาวผมทองคนนั้นนี่ไม่ใช่เล่นเลยนะ รู้ทั้งรู้ว่าลูคัสมีกุญแจห้องของตัวเองยังจะกล้าเอาผู้ชายเข้าห้อง คงจะคิดว่าหมอนี่ไปซ้อมดนตรีเหมือนทุกวันล่ะสิ

“ฉันนี่มันโง่จริงๆ เลย โลแกน” เจ้าตัวสะอื้นนิดหนึ่ง หากกลืนเสียงสะอื้นนั้นลงในลำคอได้ในคำพูดต่อมา ลูคัสไม่ปล่อยให้น้ำตาไหล เขายกมือขึ้นปาดน้ำใสๆ ที่คลออยู่ออกอย่างรวดเร็ว “เขามีคนอื่น… และถึงขั้นนอนด้วยกันแบบนี้แล้ว แปลว่าต้องมีมานานแล้วแน่ๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย”

อืม…. บางทีมันก็อาจจะไม่เกี่ยวกับระยะเวลาก็ได้นา… แต่ก็นะ มันสำคัญตรงไหนล่ะ?

“ช่างมันเหอะ ลูคัส” ผมว่าอย่างเริงร่า ดึงมืออีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมาจากเตียงตามผม แต่ลูคัสก็ไม่ยอมลุกอยู่ดี “เดี๋ยวฉันหาสาวสวยๆ น่ารักๆ ให้ใหม่น้า เอาให้แจ่มกว่ายัยโอลิเวียอีก”

ลูคัสไม่ตอบ สายตาไม่ได้มองมาที่ผมด้วยซ้ำ แต่ดูจากแววตาแล้ว คงเจ็บปวดมากสินะ

อืม… แย่จัง จะช่วยยังไงดี

“อ้อ รู้แล้วๆ!” ผมยกกำปั้นขึ้นทุบมืออีกข้างของตัวเอง “ออกไปหาสาวย่านไชน่าทาวน์กันเอาไหม แถวนั้นแจ่มๆ เยอะนา มาเถอะ เดี๋ยวฉันซื้อให้”

นั่นแหละ นัยน์ตาสีฟ้าเลื่อนลอยของอีกฝ่ายถึงยอมเบนมาทางผมด้วยสายตาโกรธจัดในวินาทีแรก หากวินาทีถัดไป มันก็กลับไปหม่นหมองตามเดิม

“ไม่ล่ะ”

“แน่ใจเหรอ?”

“อืม”

โดนปฏิเสธติดกันขนาดนี้ผมจึงยักไหล่ส่งกลับไปให้เขา

“งั้นก็ตามใจ”

ลูคัสไม่ตอบ หากก้มลงมองมือของตัวเองเหมือนคนไม่มีอะไรทำ เฮ้อ… แย่จริงเลย

“งั้นขออย่างสิ” ผมว่า

“อะไร”

“อย่าไปกินเหล้าจนเมาสภาพดูไม่ได้ทีนะ” แม่ง โคตรเกลียดเลย อะไรที่แบบไร้มาดแบบนั้น ผมทนไม่ได้หรอกถ้าต้องเห็นคนหน้าตาเหมือนตัวเองทำตัวอ่อนหัดแบบนั้น “ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก”

“แล้วไปหาสาวแบบที่นายว่านี่ ไม่น่าเบื่อเหรอ?” ลูคัสถามย้อนอย่างคนที่รู้ความคิดของผมดี ผมยักไหล่ให้เจ้าตัวทีหนึ่ง

“ก็อาจจะน่าเบื่อ แต่อย่างน้อยก็สนุก”

ว่าแล้วผมก็เคาะปุ่มเอนเทอร์ ส่งอีเมล์แล้วเดินออกมาจากห้องเพื่อเตรียมไปทำงานพิเศษ

คิดดู๊… ขนาดลูกปีศาจอย่างผมยังต้องทำงานพิเศษเลย ลองติดต่อเนทหรือเมแกนไปขอตังค์มาใช้ได้ไหมเนี่ย

เฮ้อ….







----------------------------
Talk: ไป โลแกน ลูคัสว่างแล้ว จัดดดด//ผิดๆๆๆ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 5) P.1 [5/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-02-2017 17:08:24
และแล้ว โอลิเวีย ก็ออกลาย ออกลายมาแล้ว  :a5:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 6) P.1 [5/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 05-02-2017 19:42:00
บทที่ 6

(Mode: Lucas Collins)





ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันผ่านมานานกี่วันแล้ว รู้แต่ว่าวันเวลาช่างเดินไปอย่างเชื่องช้าเหลือเกิน

ผมค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาจากเตียงเมื่อได้ยินเสียงโทรทัศน์ดังลอดเข้ามาผ่านโสตประสาท ผมนอนคว่ำอยู่กับเตียงแบบนี้มาตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียนแล้ว วันนี้ผมไม่ได้เข้ากะทำงาน ซ้อมดนตรีก็ไม่มีอารมณ์จะไป ส่วนต้นตอของเสียงโทรทัศน์ที่เพิ่งดังขึ้นกลางดึกแบบนี้ จะมาจากใครเป็นไม่ได้นอกจากน้องชายฝาแฝดตัวดีของผมที่คงจะเพิ่งเลิกงานมา

โลแกนมองหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวที่ดูใหม่ อย่างอื่นนอกจากนั้นอยู่ในสภาพเก่าจากใช้งานมาไม่ต่ำกว่าสิบปี ข้าวของทุกอย่างในบ้านผมก็เป็นแบบนี้หมดแหละครับ ยังไม่นับรวมความไม่เป็นระเบียบเพราะผู้ชายสองคนอาศัยอยู่รวมกันด้วยนะ เสื้อผ้าของผมกองอยู่มุมหนึ่งตรงพื้น อีกมุมของโลแกน ถุงเท้าข้างหนึ่งที่คงจะหาคู่ของมันไม่เจออีกแล้วอยู่ที่ปลายเตียง ยินดีต้อนรับเข้าสู่ห้องของชายโสดสองคน

อันที่จริงแล้วบ้านของพวกเรามีห้องนอนห้องข้างๆ อีกห้อง ซึ่งเป็นห้องของลิซ่า น้าสาวของผม น้องสาวแท้ๆ ของแม่ ญาติเพียงคนเดียวที่ผมกับโลแกนหลงเหลืออยู่ จริงๆ น้าเองก็บอกให้พวกเราคนใดคนหนึ่งไปนอนในห้องนั้นก็ได้ตอนน้าไม่อยู่ ซึ่งน้าก็ไม่อยู่แทบจะทุกวันอยู่แล้วน่ะนะ แต่เนื่องจากข้าวของ เครื่องใช้ไฟฟ้า ตู้เสื้อผ้า และอื่นๆ ของพวกเราอยู่ที่ห้องนี้กันหมด ประกอบกับที่ว่าเตียงของห้องนี้เป็นไซส์คิง การนอนรวมกันสองคนจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตรงกันข้าม พวกเราตัวติดกันมาแบบนี้จนชินไปเสียแล้วมากกว่า

ผมมองโลแกนเปิดเบียร์กระป๋องที่หยิบขึ้นมาจากตู้เย็นชั้นล่างด้วย แล้วไม่ได้เอามาแค่กระป๋องเดียว แต่ล่อมาตั้งสามกระป๋อง นี่เอ็งกลายเป็นไอ้ขี้เมาขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

“ไม่เยอะไปหน่อยเหรอ” ผมพึมพำ ทำเอาคนที่กำลังให้ความสนใจกับรายการทีวีอยู่หันหน้าขวับกลับมา

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”

“เมื่อกี้” ผมตอบ ยันตัวลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางสะลึมสะลือ ปวดหัวไปหมดเหมือนหัวจะระเบิดออกมา อาการนี้สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้หากคนคนนั้นนอนตอนหัวค่ำและตื่นขึ้นมาดึกๆ แบบนี้ โอย… เหมือนจะมีอะไรหลุดออกมาจากหัวงั้นแหละ “โลแกน ขอน้ำแก้วดิ”

“ได้แน่นอน” เจ้าตัวว่า เดินไปรินน้ำจากเหยือกที่ตั้งไว้ใส่แก้ว “ฉันมันเกิดมาเป็นเบ๊นายอยู่แล้ว”

เอ้า ยังจะประชดกันอีก

“แล้วนี่นายเป็นไงบ้าง พี่ชาย”

“ก็ดีนะ”

“ก่อนพูดคงไม่ได้ส่องกระจกดูตัวเอง ตานายลึกโบ๋เข้าไปแล้วนั่น อย่างกับศพเดินได้”

“ช่างฉันเถอะน่า”

โลแกนยักไหล่ให้ผมทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไปให้ความสนใจกับทีวีตรงหน้าต่อ ผมมองถั่วหลากสีที่น้องชายฝาแฝดเอาใส่ถ้วยมาเป็นกับแกล้มก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเม็ดหนึ่งมาเข้าปาก จะว่าไปผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนี่นะ มื้อกลางวันก็แค่แซนด์วิชโง่ๆ ชิ้นหนึ่ง แถมยังกินไม่หมดด้วยนะ

แต่พอคิดว่าจะกินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ท้องไส้ของผมก็ปั่นป่วนราวกับมันกำลังบอกปฏิเสธว่าไม่ต้องการอาหารทั้งๆ ที่หิวจนไส้กิ่ว ทำไมขัดแย้งกันแบบนี้นะ เจ้าร่างกายบ้า

โลแกนส่งเบียร์ให้ผมกระป๋องหนึ่งจากนั้นก็เริ่มหัวเราะร่าไปกับมุกตลกทางทีวีที่ผมไม่เห็นขันด้วยตรงไหน… โอเค สารภาพก็ได้ จริงๆ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมก็คงหัวเราะขำพร้อมไปกับไอ้เด็กนรกข้างตัวนี่แหละ แต่ตอนนี้สภาพอารมณ์ของผมมันหดหู่ตลอดเวลา เหมือนมีฤดูฝนมาล้อมกรอบเอาไว้ ใครเคยอกหักมาก็น่าจะพอรู้ มันไม่มีความสุขไปกับอะไรเลยจริงๆ นะ ถึงแม้ตัวเองจะพยายามทำตัวให้ร่าเริงก็เถอะ

ในที่สุด เมื่อผ่านไปเกือบชั่วโมงและผมยังมีท่าทีซังกะตาย โลแกนก็ยกมือขึ้นทุบโต๊ะจนกระป๋องเบียและถ้วยใส่กับแกล้มที่ว่างเปล่ากระเด็นขึ้นมาจากพื้นโต๊ะเล็กน้อย และนั่นทำผมสะดุ้งเฮือกตามไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ”

“อะไร” ผมถามงงๆ

“เมื่อไหร่นายจะเลิกทำตัวซึมเซาแบบนี้สักที น่ารำคาญเป็นบ้าเลย เห็นนายเป็นแบบนี้แล้วฉันที่กำลังอารมณ์ดีๆ อยู่ต้องพลอยเซ็งไปด้วย เลิกทำตัวงี่เง่าที ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว นายจะอะไรนักหนาวะ”

“นายก็พูดได้สิ” ผมโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดังไม่แพ้มัน “ก็นายไม่ได้รักหล่อนแบบที่ฉันรักนี่ ไม่สิ นายมันไม่เคยรักใครด้วยซ้ำ เพราะงั้นนายไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าอกหักเนี่ยมันเจ็บแค่ไหน”

โลแกนเลิกคิ้ว ก่อนจะเหยียดยิ้มขันออกมานิดหนึ่ง เป็นรอยยิ้มที่น่าโมโหมาก พูดเลย

“ถ้ารักใครเป็นสักคนแล้วต้องมาอกหัก มีสภาพทุเรศๆ แบบนาย ฉันขอรักใครไม่เป็นเหมือนเดิมดีกว่า”

“นายนี่น่าสงสารนะ”

โลแกนแสร้งยกมือขึ้นมากุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองพร้อมกับคร่ำครวญ “อ่า ใช่สิ มันช่างน่าเศร้าอะไรขนาดนี้ การที่ฉันไม่มีหัวใจมันทำให้ฉันไม่สามารถรับรู้ความเศร้าและความเจ็บปวดอย่างที่นายกำลังรู้สึกได้ อ่า… มันช่างเป็นความรู้สึกที่แย่อะไรขนาดนี้”

ผมกัดฟันกรอด ยกหมอนอิงที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาเหวี่ยงใส่คนตรงหน้า โลแกนเอื้อมมือมาคว้าหมอนใบนั้นได้อย่างมั่นคง ก่อนจะวางมันลงบนตักของตัวเอง แล้วเบือนใบหน้าเปื้อนยิ้มมาทางผม

“ล้อเล่นแค่นี้ก็ต้องโมโหด้วยเหรอ”

“เปล่านี่” แค่หมั่นไส้

“นี่ รู้ล่ะ เรามาหาอะไรสนุกๆ ทำกันดีกว่า รอเดี๋ยวนะ ฉันไปเอาเหล้าขึ้นมาก่อน นายหยิบพวกการ์ดเกมออกมาจากตู้หน่อยดิ เล่นเกมกัน”

หะ?

ดังนั้น… ในอีกเกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกผมสองคนก็ก็มีไพ่จำนวนหนึ่งอยู่ในมือพร้อมกับแก้วที่ใส่เหล้าซึ่งแฝดผมเป็นคนชงเองกับมือทุกใบ

“เอ้า ลูคัส!! นายแพ้แล้ว ดื่มนี่ซะ รวดเดียวเลยนะเว้ย!”

ผมมองแก้วน้ำสีใสที่บรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาจนปริ่มด้วยสีหน้าเหยเก ผมเป็นคนที่คออ่อนสุดๆ เลย แค่ได้กลิ่นเหล้าก็อยากจะเมาปลิ้นแล้วก็ว่าได้ แล้วไอ้หมอนี่จะให้ผมกินแบบเพียวๆ ไม่ผสมอะไรเลยเยอะขนาดนี้เนี่ยนะ?

“ไหนนายบอกกินเหล้าจนเมาไม่ได้สตินี่มันน่าเบื่อไง”

“ช่าย ถ้านายไปกินจนเมาข้างนอก หรือไปกินจนเมาไม่ได้สติอยู่คนเดียว แล้วก็คร่ำครวญหาแฟนเก่านาย… นั่นน่ะ จะเป็นอะไรที่น่าเบื่อก็จริง แต่ตอนนี้นายเล่นเกมกับฉันอยู่ไง เล่นแพ้ถึงต้องกิน” เจ้าตัวแสบดีดนิ้วดังเปาะทีหนึ่ง “แค่นี้ก็สนุกแล้วใช่ไหมล่ะ พี่ชาย ยอมรับมาเถอะน่า จมอยู่กับความเศร้าคนเดียวมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นร้อก”

ผมเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นนิดหนึ่ง ใจจริงตอนที่โลแกนชวนเล่น ผมก็ไม่ได้นึกอยากจะเล่นกับมันนักหรอก แต่ก็รู้ดีว่าจนแล้วจนรอดมันก็ต้องลากให้ผมเล่นกับมันจนได้ ก็เลยเออออตามมันไป ก็… ช่วยอาการฟุ้งซ่านแล้วก็ซึมเซาของผมได้นิดหนึ่งล่ะมั้ง

“เอ้า กินๆๆๆ ลูคัส อย่าเบี้ยว แก้วเมื่อกี้ฉันก็กินรวด… โอ้โหเฮ้ย! ไม่เลวเลยนี่หว่า” เจ้าตัวว่าอย่างตื่นเต้นขณะที่ผมยกซดว้อดก้าแบบไม่ผสมอะไรเลยขึ้นดื่มรวดเดียว ทันทีวางแก้วลงบนโต๊ะ ของเหลวร้อนก็ไหลผ่านลำคอผมไปอย่างรวดเร็ว

รู้สึกเหมือนโลกหมุนเร็วขึ้น จากนั้นทัศนวิสัยของผมก็เริ่มพร่าเลือน ชูนิ้วมาหนึ่งนิ้วต่อหน้าผมตอนนี้ก็อาจกลายเป็นสองได้ ทำไมมันถึงได้ชวนให้ตาลายขนาดนี้เนี่ย แล้วนี่ผมจะเมาเร็วอะไรขนาดนี้…

“เฮ้ย เมาแล้วเหรอ พี่ชาย หน้าแดงเถือกแล้วนั่น”

“อือ” ผมยอมรับอย่างง่ายดาย ค่อยๆ ทรุดตัวลงนอนบนพื้น คลานไปที่ตักของคนตรงหน้าซึ่งเหยียดขาตรงทั้งสองข้าง อือ… อย่างน้อยตรงนี้ก็นุ่มสบายดี พอนอนได้

“เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งนอนดิ ปาร์ตี้มันเพิ่งจะเริ่มเองนะ เอ้า เร็ว ลุกขึ้น ฉันยังไม่ยอมให้นายเลิกแค่นี้หรอก ยังมีเหล้าเหลืออีกบานเลย ไม่เห็นเหรอ”

“อือ….” โอ๊ย… จะบ้าเหรอฟะ แค่นี้ก็แยกของในห้องไม่ออกแล้วว่าอะไรเป็นอะไร ยังจะมาบังคับให้ดื่มอยู่อีก

ผมแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เหมือนว่าโลแกนจะผสมเหล้าอะไรสักอย่างยัดใส่มือมาให้ จากนั้นก็ดันให้ผมกระดกของเหลวสีสดใสนั่นเข้าปากตามเหล้าไร้สีที่ลงกระเพาะเมื่อครู่ไป

รู้สึกร้อนไปหมดทั้งตัวเลยแฮะ… เอาล่ะเว้ย… ชักจะสนุกแล้วสิ

“เฮ้ โลแกน ไอ้บ้า… นายอย่า… เกาะแกะฉันสิวะ มันน่ารำคาญนะ รู้ไหม”

“เกาะแกะอะไร” คนที่ปกติจะมีสติครบถ้วนแม้จะผ่านสงครามน้ำเมาอย่างหนักหน่วงมาแค่ไหนเริ่มหน้าแดง ปกติเวลาอยู่ข้างนอกโลแกนจะกินในปริมาณที่สามารถควบคุมตัวเองได้ หมอนี่รู้ลิมิตตัวเอง ดี แต่พออยู่ในบ้านแล้ว เหมือนมันจะไม่ค่อยสนเรื่องลิมิตที่ว่านั่นเท่าไร

ถ้าให้ดู… มันคงยังมีสติมากกว่าผม แต่น้อยกว่าตอนปกติของมันแน่นอน

“นายต่างหากที่มาเกาะแกะฉัน” คนที่มีสติมากกว่าผมพูดเอ็ด หากใบหน้ามีรอยยิ้มประดับ โอ๊ย… ไอ้หมอนี่พอยิ้มแบบนี้ก็ดูดีอยู่หรอก ถ้ามันยิ้มบ่อยๆ ทำตัวดี น่ารักๆ ที่โรงเรียนก็คงดี จะได้ไม่ต้องมีแต่คนคอยหลบมัน หลบมันอย่างเดียวไม่พอ ดันมาคอยหลบผมด้วยเพราะแยกพวกเราสองคนไม่ออก…

ให้มันได้แบบนี้สิ

“นายต้องเลิกต่อยตีชาวบ้านเขาไปทั่วได้แล้วนะ” ผมงึมงำ รู้สึกเหมือนโลกหมุนเร็วขึ้นๆ และกำลังจะเหวี่ยงผมออกไปทางนอกหน้าต่าง ดังนั้นผมจึงจิกมือลงบนเสื้อผ้าของโลแกนแน่นขึ้น เผื่อไว้ถ้าผมปลิวออกไปนอกโลก ผมจะได้ไม่เหงาอยู่ในอวกาศคนเดียว “ถ้านายอยากเป็นตำรวจ… นายก็ต้องเป็นเด็กดีสิ”

“ฉันไม่เคยไปต่อยตีชาวบ้านนะ” โลแกนยักไหล่ “ถ้าพวกนั้นไม่มาหาเรื่องก่อน”

“นายก็ต้องรู้จักให้อภัยสิ”

ถึงตรงนี้ แฝดตัวดีของผมขำก๊ากออกมาทีเดียว

“ฉันไม่ใช่พ่อพระแบบนายนา... ลูคัส”

เหอะ ใครเป็นพ่อพระกัน ผมเองก็คนปกตินี่แหละ เพียงแต่มาอยู่กับไอ้นรกอย่างหมอนี่ ผมเลยดูกลายเป็นพ่อพระขึ้นมาก็เท่านั้น

“นี่ โลแกน ดูหนังกาน…” ผมว่าผมเริ่มจะพูดไม่รู้เรื่องแล้วล่ะตอนนี้ “ไหน ยูเอสบีที่ใส่หนังของนาย อันนี้ป้ะ? งั้นเสียบเลยนะ”

“เอาเลย” โลแกนว่าขณะรินเหล้าจากขวดใส่แก้วอย่างอารมณ์ดี นี่มันยังจะกินขนาดนั้นอีกเหรอ มันคิดว่าเหล้าพวกนี้เป็นอะไร? น้ำเปล่าเหรอ?

ผมกดรีโมตเพื่อเลือกหนังอะไรมาสักเรื่องสุ่มๆ ก่อนจะต้องชะงักไปเมื่อค้นพบว่ายูเอสบีที่เสียบไปนั่นเป็นคอลเลคชั่นหนังโป๊ของไอ้แฝดโรคจิตนี่… หนังโป๊ที่มีมันเป็นนักแสดงนำด้วยนะ!

จากข้างหลัง ผมได้ยินเสียงโลแกนหัวเราะก๊ากอย่างอดไม่อยู่ ผมหันหน้าขวับไปมองมันตาเขียวทันที แม่งจะขำอะไรนักหนาวะ แล้วนี่มันก็คลิปที่ตัวเองนอนกับผู้หญิงไปทั่วไม่ใช่เรอะ!?

“ขำบ้าอะไรของนาย!!?”

“ก็ดูหน้านายดิ” โลแกนพูดพร้อมกับยกหลังมือปาดน้ำตาที่เล็ดออกมาจากการหัวเราะมากเกินไป “สะดุ้งเฮือกเลยตอนเห็นฉันในหน้าจอ”

“ก็มันน่าสะดุ้งไหมล่ะ เจ้าบ้า” ยิ่งมีหน้าเหมือนกันด้วยแบบนี้ แม่ง… นึกว่ามองตัวเองมีเซ็กส์อยู่กับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้…

ผมอยากจะปิดคลิปน้องชายฝาแฝดของตัวเองที่กำลังมีค่ำคืน (จริงๆ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านั่นกลางคืนรึเปล่า) สุดเร่าร้อนกับสาวหัวดำสุดเซ็กซี่ที่ส่งเสียงครางกระเส่าดังลอดมาให้ได้ยิน แต่เหมือนร่างกายจะไม่รับฟังคำสั่งอีกต่อไป งั้นก็ช่างแม่งเลยแล้วกัน นอนไปทั้งๆ ที่เปิดหนังโป๊ของน้องตัวเองไว้แบบนี้ก็เร้าใจดี

ผมคลานกลับไปหาที่นอนซึ่งก็คือตักของโลแกนอีกรอบ ซุกหน้าลงบนต้นขาของอีกฝ่ายขณะที่หันกลับไปมองสิ่งที่ปรากฏอยู่บนจอโทรทัศน์

ให้ตายสิ… นี่หมอนี่มันเหมือนผมมากจริงๆ เลยนะเนี่ย เกิดคลิปพวกนี้หลุดออกไปมีหวังผมต้องโดนเหมารวมไปด้วยว่าเป็นคนในคลิปแน่ๆ เลย

“นี่” เสียงดังมาจากเจ้าของตักที่ผมกำลังนอนหนุนอยู่ เจ้าตัวดีค่อยๆ ดึงผมขึ้นไปใกล้ใบหน้าของตัวเองมากขึ้น “นายดูคลิปนี่แล้ว คิดยังไง ลูคัส”

คิดยังไงเหรอ… ก็คิดว่านายหน้าเหมือนฉันน่ะสิ และนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีนะ บอกก่อนเลย

“เกิดอารมณ์รึเปล่า?”

หา? เกิดอะไรนะ? ไหน พูดชัดๆ อีกรอบซิ นั่นมันน้องชายฝาแฝดของตัวเองกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่…

หากผมทำได้แค่เบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึงเมื่ออยู่ๆ แฝดนรกตรงหน้าก็เลื่อนริมฝีปากลงมาจูบปากผมหน้าตาเฉย

เดี๋ยวๆๆๆๆ เอ็งเป็นเสือผู้หญิงไม่ใช่เรอะ!!! ในวิดีโอนั่นเอ็งยังมีอะไรกับผู้หญิงหุ่นแจ่มๆ หน้าตาดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เรอะ!!?

แล้วเดี๋ยวๆๆ…

อย่าสอดลิ้นเข้ามาสิโว้ย!!! ไอ้น้องเวรนี่!!!

ชิบหายแล้วไง
 



------------------

ลูคัสพยายามรวบรวมสติและแรงกำลังที่พอมีเหลือของตัวเองดันร่างของอีกฝ่ายให้ออกจากใบหน้าของตน โลแกนยอมผละริมฝีปากออกอย่างว่าง่ายขณะที่ก้มหน้าลงไปมองชายหนุ่มผู้มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับเขา ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม

ยังจะมาถาม…!! มันมีอะไรน่าถามเนี่ย ในสถานการณ์แบบนี้!!?

“อะไรเหรอ ลูคัส”

“ฉันสิต้องถามว่าอะไร!!” แฝดคนพี่ขู่ฟ่อ หากพอตะโกนออกไปแล้วก็รู้หน้ามืดลงวูบ น้ำเมาที่ลงกระเพาะเขาไปกำลังออกฤทธิ์อย่างเต็มที่ ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนทุกอย่างที่พร่ามัวอยู่แล้วยิ่งเลือนลางเข้าไปใหญ่ จากนั้นสัมผัสอ่อนนุ่มก็แนบลงบนริทฝีปากของเขาอีกครั้ง…

อ๊ากกก ไอ้น้องเวรนี่!! ทำอะไรของมันวะเนี่ย!?

“ละ… โลแกน” ลูคัสอ้ำอึ้งก่อนจะต้องหลับตาแน่นลงอีกครั้งหนึ่งเมื่อคนด้านบนประกบจูบย้ำลงมาอีกรอบอย่างนุ่มนวล อ่อนหวาน ชวนให้เคลิบเคลิ้ม

แต่เดี๋ยวสิ…! ไม่นะ ถึงสัมผัสของหมอนี่จะชวนให้วาบหวามมากแค่ไหน แต่ยังไงมันก็เป็นพี่น้องของเขา… เป็นฝาแฝดของเขาด้วยซ้ำ แค่พี่น้องธรรมดาก็ว่าแย่แล้วนะ ยิ่งเป็นฝาแฝดด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ไม่ถูกต้องสุดๆ!

“อื้อ… ลูคัส” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างอ้อยอิ่ง คลอเคลียอยู่ที่ข้างหู “นายจะแตกตื่นตกใจอะไรมากมายนัก พี่ชาย ทำเป็นไม่เคยมีเซ็กส์ไปได้”

เซ็กส์น่ะเคยมี… แต่ไม่เคยมีกับผู้ชายโว้ย!!

“นี่ โลแกน อย่าทำ… อุบ” ลูคัสสะดุ้งเฮือกเมื่อมือหนาสอดเข้ามาใต้เสื้อยืดแขนยาวตัวหลวมโคร่งของเขา ลูบไล้ผิวเนื้อด้านใต้นั้นอย่างยั่วยวน เช่นเดียวกับสันจมูกที่ไล้ลงบนต้นคอขาว ตวัดลิ้นลงบนนั้นแล้วขบริมฝีปากลงอย่างซุกซน เหลือรอยแดงๆ ทิ้งไว้เป็นของต่างหน้าตรงนั้น ลูคัสหน้าร้อนขึ้นวูบ

“โล… แกน อย่า” เสียงหวานเอ่ยอย่างอ้อนวอน ตอนนี้สติของเขาเหลือน้อยลงเต็มทีเพราะฤทธิ์เหล้าและสัมผัสของอีกฝ่าย

มันรู้สึกดี… ดีเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง และตัวเขาที่ยังพอประคองสติได้ในตอนนี้ก็ไม่อยากยอมรับมัน
 
หมอนี่เป็นน้องชายของเขา เป็นฝาแฝดที่มีใบหน้าเหมือนกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน เขาหมายถึง…
“นายจะอยากมีอะไรกับคนที่หน้าเหมือนตัวเองได้ไง” ลูคัสว่าขณะยกมือที่อ่อนเปลี้ยปัดมืออีกฝ่ายออกจากตัว แต่มันไม่ได้ผลเท่าไร “ทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการช่วยตัวเองน่ะสิ”

“หืม” โลแกนไม่ฟัง เจ้าตัวลากปลายลิ้นลงบนแผ่นอกของคนด้านล่าง จากนั้นก็เลื่อนไปหยุดแถวๆ บริเวณยอดอกแทน พอใจกับเสียงครางที่หลุดออกมาจากลำคอของคนด้านล่างไม่น้อย “แต่นี่มันไม่ใช่การช่วยตัวเองไม่ใช่เหรอ หืม?”

“ละ… โลแกน” ลูคัสไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดอะไรไปได้มากกว่านี้ ร่างกายเขาร้อนวูบไปหมด ทั้งจากฤทธิ์แอลกอฮอล์และสัมผัสจากอีกฝ่ายที่ไล้ลงบนส่วนต่างๆ บนร่างกายเขาไม่ขาด “อ๊ะ… เดี๋ยว… ก่อน ตรงนั้นมัน…”

โลแกนซุกหน้าไปลงฟัดกับร่างกายของคนด้านล่างที่ตอนนี้เริ่มเกร็งตัวด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน ก่อนจะสะดุ้งแรงๆ อีกเฮือกหนึ่งเมื่อมือหนาเลื่อนไปสัมผัสแกนกลางของร่างกายเขาอย่างเย้ายวนและจงใจแกล้ง ลูคัสพยายามเบิกตาให้กว้างที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองหมดสติไปกลางทาง มองเพดานสีมอซอด้านบน จากนั้นก็ต้องร้องครางออกมาอีกรอบเมื่อคนด้านบนเริ่มรูดขึ้นลงที่ส่วนนั้น

“มะ… ไม่ได้ ไม่ได้นะ โลแกน นายต้องหยุด… อ๊ะ!!”

ลูคัสสะดุ้งตัวอีกเฮือกเมื่ออีกฝ่ายไม่ฟังเสียงห้าม ซ้ำยังเลื่อนริมฝีปากไปครอบลงบนส่วนนั้นของเขาอย่างชำนาญการ ลิ้นหนาตวัดเกี่ยวไปมาตรงส่วนนั้นของเขา ลูคัสหลุดเสียงครางออกมาอีกระลอกตามแรงอารมณ์ นิ้วเรียวจิกลงบนเส้นผมสีบลอนด์ทองของอีกฝ่ายอย่างหาที่ระบาย โลแกนรูดริมฝีปากของตัวเองขึ้นลงอยู่แบบนั้นครู่หนึ่งจนกระทั่งร่างของลูคัสกระตุกเฮือก ชายหนุ่มปล่อยให้น้ำสีขาวขุ่นนั่นไหลทะลักเข้ามาในโพรงปาก

“อะ…!?” ลูคัสยกมือขึ้นปิดปากของตัวเองอยากไม่อยากจะเชื่อ นี่เขาเพิ่งถึงจุดสุดยอด… ด้วยปากของโลแกนเนี่ยนะ!? โอ๊ยยย ให้ตายสิ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย!?

“อ้าปาก” โลแกนโน้มหน้าเข้ามาหาเขาแล้วพูดเรียบๆ เสียงอู้อี้นิดหนึ่งเพราะยังมีของเหลวเหนียวๆ นั่นอยู่ในปาก “เร็วๆ”

“แต่…”

“เร็วๆ” โลแกนย้ำ นัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวคมกริบเลยทีเดียว ทำเอาลูคัสที่ยังงงๆ กับสถานการณ์ได้แต่โอนอ่อนและทำตามที่อีกฝ่ายว่ามาอย่างไม่บิดพริ้ว

โลแกนปล่อยให้ของเหลวสีขาวขุ่นไหลลงไปในโพรงปากของคนด้านล่างอย่างระมัดระวัง ลูคัสหลับตาแน่นปี๋ รู้สึกถึงกลิ่นคาวที่มากับของเหลวเหล่านั้น มือหนาเอื้อมมาปิดปากเขาทันทีที่ถ่ายเทน้ำพวกนั้นออกจากปากของตัวเอง

“กลืนลงไป”

มะ…. ไม่เอา…

“อย่าดื้อ ลูคัส”

รู้ตัวอีกที เขาก็ได้ยินเสียงอึกดังขึ้นจากลำคอของตัวเอง ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่คลออยู่บนหางตา โลแกนยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจนิดหนึ่งก่อนจะสอดมือไปด้านล่าง ช้อนร่างของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นจากพื้นแล้วเหวี่ยงไปบนเตียง มือเอื้อมไปปลดเข็มขัดของตัวเองและรูดซิปลง

ลูคัสถอยตัวกรูดไปติดกับหัวเตียงอย่างทุลักทุเลเพราะยังมึนหัวไม่หาย ก่อนเจ้าตัวจะต้องสะดุ้งเฮือกอีกทีเมื่อโลแกนโยนถุงยางกับเจลหล่อลื่นที่หมดไปแล้วครึ่งขวดลงบนเตียงข้างๆ เขา ชายหนุ่มหน้าซีดเผือดลง

“เอ่อ… ดะ… เดี๋ยว โลแกน นายคงไม่คิดจะทำจริงๆ…”

“หืม?” ร่างสูงทวนคำ เอียงคอเหมือนตั้งคำถามนิดหนึ่งก่อนจะเปิดฝาขวดเจลนั่นออก บีบเจลสีใสลงบนแกนกลางของคนดานล่างที่ชูชันขึ้นมา ลูคัสสะดุ้งเฮือกกับความเย็นของเจลนั่น บ่าทั้งสองข้างเริ่มสั่นด้วยแรงอารมณ์ที่หลากหลาย

“ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะไม่ทำล่ะ?”

“โลแกน มัน… ไม่ได้นะ” เขาว่า รู้สึกปวดหัวจี๊ดไปหมด นึกคำพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หอบหายใจออกมาถี่ๆ “มัน… แฮ่ก ไม่ถูกต้อง…”

“อย่าพูดมากน่ารำคาญไปหน่อยเลยน่า” คนด้านบนว่า โน้มหน้าลงมาจูบอย่างร้อนแรงลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายอีกรอบ ลิ้นหนาตวัดลงไปในโพรงปากของลูคัสที่สะดุ้งตัวอีกเฮือก จ้วงความหวานที่อยู่ในนั้นออกมาอย่างไร้ความปราณี ชอบใจกับเสียงอึกอักประท้วงที่อยู่ในลำคอของพี่ชายตัวเอง

“มาสนุกกันดีกว่า” โลแกนยกลิ้มขึ้นเลียริมฝีปากราวกับคนที่เจออาหารอันโอชะอยู่บนจานของตัวเอง “ช่วงนี้นายเองก็เก็บกดไว้ไม่น้อยเลยไม่ใช่เหรอ นอกจากยัยโอลิเวียนั่นแล้วก็ไม่เคยนอนกับคนอื่นด้วยใช่ไหมล่ะ มานี่มา เดี๋ยวน้องชายอย่างฉันจะสอนให้เอง”

“มะ… ไม่… อ๊ะ!!” ลูคัสสะดุ้งเฮือกเมื่อคนตรงหน้าสอดนิ้วที่ชุ่มไปด้วยเจลหล่อลื่นเย็นๆ เข้ามาในร่างของเขาจากโพรงด้านหลัง

ชายหนุ่มพยายามยกขาขึ้นเพื่อดันบ่าของอีกฝ่ายออก หากโลแกนใช้ขาของตัวเองกดทัขาข้างหนึ่งของคนด้านล่าง และใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ยึดข้อขาอีกข้าง จากนั้นก็ขยับนิ้วเข้าออกที่ช่องแคบด้านหลังอย่างมีจังหวะ ลูคัสครางออกมาอย่างห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ แม้ว่าเสียงที่หลุดออกมาจากลำคอมันจะน่าอายมากๆ เลยก็เถอะ แต่เขาจะหยุดมันได้ยังไงล่ะ

“รู้สึกดีเหรอ” โลแกนยกยิ้ม ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยเพราะเหล้าที่กินไปวันนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ลูคัสกัดฟันกรอด พยายามดันตัวลุกขึ้นแล้วใช้แขนดันหน้าอีกฝ่ายอย่างอัดอั้น แม้มันจะดูตลกเพราะชายหนุ่มเองก็ร้องครวญครางด้วยความเสียวซ่านจากสัมผัสของอีกฝ่ายไปพร้อมๆ กันก็ตาม

“มะ… ไม่เอา”

“เถอะน่า ลูคัส ยอมรับความจริงแล้วก็สนุกไปกับมันเถอะ” เจ้าตัวว่าขณะที่ผละตัวออกจากร่างของอีกฝ่าย ลูคัสมองตามไปอย่างงงๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อโลแกนกลับมาพร้อมกับเนคไทของมันในมือสองสามเส้น ว่าแล้วเจ้าตัวดีก็หยิบขึ้นมาเส้นหนึ่งแล้วใช้มันผูกข้อมือทั้งสองข้างของเขาให้ติดไว้ด้วยกัน

“เอ้า นี่น่าจะช่วยได้บ้างนะ” ชายหนุ่มว่าหน้าตาเฉย ในขณะที่ลูคัสที่ยังมึนงงอยู่ได้แต่กรีดร้องตะโกนในใจ

ช่วยได้บ้าอะไรล่ะ!!??

“อ๊ะ…!!” ลูคัสเกร็งตัวเมื่อโลแกนสอดนิ้วเข้ามาในร่างเขาอีกครั้ง เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทั้งหมดนั่นมีกี่นิ้ว ที่รู้ๆ คือตอนนี้ทุกอย่างในหัวของเขาเริ่มขาวโพลนไปหมด คิดอะไรไม่ออก แล้วสัมผัสวาบหวามที่อีกฝ่ายมอบให้มาก็รู้สึกดีเหมือนจะหลอมละลายร่างกายของเขาไปเลย

คนด้านล่างกระตุกตัวเฮือกเมื่อชายหนุ่มด้านบนค่อยๆ ถอนนิ้วออกไปอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นเจ้าตัวก็ขยับร่างเข้ามา อ้าขาของลูคัสออกจนสุด จากนั้นก็แนบแกนกลางของตัวเองลงลงตรงบริเวณปากทางด้านหลัง ขยับอยู่ตรงนั้นไปมาเพื่อให้ร่างกายอีกฝ่ายปรารถนามันมากขึ้นๆ

และร่างกายของลูคัสก็เป็นไปอย่างที่เขาต้องการจริงๆ ลูคัสรับรู้ได้เลยว่าเขาต้องการมัน ร่างกายของเขากำลังเรียกร้องสัมผัสที่ไม่เคยได้มาก่อนนั่น น่าสมเพชชะมัด ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ดีแท้ๆ ว่านั่นน่ะคือโลแกน…

โลแกนแล้วยังไงล่ะ?

ความคิดนั้นลอยเข้ามาในหัวของคนสติขาดๆ เกินๆ โลแกนสังเกตเห็นท่าทีเหม่อลอยของอีกฝ่ายนั้น เจ้าตัวจึงหยุดการกระทำของตัวเองลงชั่วคราว

“มีอะไรเหรอ”

“นายมันขี้โกง”

โลแกนเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม คนตอบที่ตอนนี้หน้าแดงเพราะสภาพท่อนล่างเปลือยเปล่าและฤทธิ์เหล้าตอบงึมงำ

“นี่น่ะ มันเรียกว่าขืนใจนะ”

“ขืนใจ?” โลแกนทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อหู ยกนิ้วขึ้นชี้ตัวเอง “ฉันเนี่ยนะ?”

“ก็ใช่น่ะสิ!!”

นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย อยากจะบอกคนด้านล่างเหลือเกินว่าร่างกายของเจ้าตัวน่ะมันร่ำร้องขนาดนี้ ยังจะมาหาว่าเขาขืนใจอีก…

ว่าแล้วโลแกนก็ยกยิ้มชั่วร้ายขึ้นบนมุมปาก ทำเอาคนที่รู้จักความหมายของรอยยิ้มนั้นดีไหวตัวนิดหนึ่ง
“ก็ได้ ลูคัส” โลแกนว่า ปล่อยมือออกจากขาเรียวของคนด้านล่าง ลูคัสรีบหุบขาทั้งสองข้างของตัวเองเข้าหากันทันที “เรามาเล่นเกมกัน”

เกมบ้าอะไรอี๊กกกกกก

“ฉันจะให้เวลานายสิบวิฯ” ชายหนุ่มยิ้มหวานหยด “ถ้านายทนหุบขาอยู่อย่างนั้นสิบวิฯ ฉันจะไม่ยุ่งอะไรกบันายอีกเลย แต่ถ้านายทำไม่ได้ นายก็ต้องยอมให้ฉันทำต่อจนจบ ว่าไง? แฟร์ดีใช่ไหมล่ะ? แล้วฉันก็ไม่ได้ขืนใจนายด้วยในกรณีนั้น หรือนายคิดว่าไง?”

ลูคัสกัดฟันแน่นเพราะรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ากำลังเล่นตลกกับตัวเอง โลแกนแสร้งตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้จากนั้นจึงเริ่มนับเวลาถอยหลัง

“สิบ…. เก้า….”

ลูคัสหลับตาปี๋ รู้สึกเหมือนเหงื่อไหลลงมาท่วมตัวอย่างไม่มีสาเหตุ

ก็แค่อยู่เฉยๆ เท่านั้นเอง… แค่สิบวิฯ… ไม่ใช่เรื่องที่ยากหนักหนาอะไรเสียหน่อย เขาต้องทำได้สิ ก็แค่สิบวิฯ แค่สิบวิฯ…

“แปด… เจ็ด…”

แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้หมอนั่นมันบอกว่าจะไม่ยุ่งกับเขาอีกเลยเหรอ? แบบ… แค่คุยก็จะไม่ยอมคุยกับเขาอีกต่อไปแล้วเหรอ? หรือยังไง? แบบนั้นไม่เอานะ!!

“หก… ห้า…”

โดยไม่รู้ตัว ขาเรียวทั้งสองข้างค่อยๆ เปิดอ้าออกจากกันทั้งๆ ที่มันสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด โลแกนยกยิ้มอย่างพอใจ ขยับตัวเข้าไปประจำตำแหน่ง เลื่อนมือไปยึดข้อพับทั้งสองข้างของคนด้านล่างอย่างรู้หน้าที่

“เพิ่งห้าวิฯเองนะ?” น้ำเสียงนั้นล้อเลียน ลูคัสได้แต่กัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ

“จะทำอะไรก็รีบทำเถอะน่า”

“โอเค้”

คนที่เพิ่งออกปากท้าสะดุ้งเฮือกเมื่อโลแกนดันร่างของตัวเองเข้ามาในร่างของเขาจนสุด ลูคัสเกร็งตัวแน่นจนร่างกายทุกส่วนปวดร้าวไปหมด ไม่ต้องพูดถึงท่อนล่างของเขาที่เจ็บจนจุก เจ้าตัวครางออกมาอย่างเต็มที่ ปล่อยให้น้ำตาอีกหยดหล่นแปะลงบนผ้าปูที่นอน โลแกนเลื่อนใบหน้ามาเลียน้ำใสๆ นั้นออกอย่างแผ่วเบา

“อย่าร้องไห้สิ” ชายหนุ่มกระซิบข้างหู “แบบนี้มันก็เหมือนฉันรังแกนายเลยไม่ใช่เหรอ”

“ละ… แล้วนายไม่ได้ทำอยู่เหรอ” เสียงหวานถามย้อนปนมากับเสียงหอบหายใจระรัว โลแกนยกยิ้ม

“ไม่นี่” แล้วเจ้าตัวก็ขยับตัวออกนิดหนึ่งแล้วกระแทกลงไปใหม่อีกครั้ง ลูคัสดิ้นทันทีกับความเสียวซ่านที่อีกฝ่ายมอบให้ โลแกนขยับมากระซิบข้างหูเขาอีกครั้ง “เรากำลังมีเซ็กส์กันต่างหากล่ะ แล้วนายเองก็ยินยอมพร้อมใจเองด้วย… ใช่ไหม พี่ชาย?”

“อะ…. อ๊ะ…”

จากนั้นลูคัสก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอย่างอื่นนอกจากเสียงครางของตัวเอง ความรู้สึกเสียวซ่านที่มาพร้อมกับอาการปวดหัวเหมือนสมองจะระเบิดออกมากำลังจะทำให้เขาเป็นบ้า และเขาคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้วจริงๆ ตอนที่ตวัดท่อนขารัดเกี่ยวร่างของคนด้านบนพร้อมๆ กับขยับสะโพกตามจังหวะของอีกฝ่ายอย่างสมยอม
โอเค… ก็ได้ เขาบ้าไปแล้วจริงๆ นั่นแหละ

แต่ใครสนกันล่ะ?
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 6) P.1 [5/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 06-02-2017 00:16:46
เอาแล้ววววววววววๆ  :hao6: โลแกนจะบุกสำเร็จมั้ยยยย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 6) P.1 [5/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-02-2017 11:49:02


บทที่ 7

(Mode: Lucas Collins)



เสียงริงโทนนาฬิกาปลุกที่ผมตั้งไว้ในโทรศัพท์แผดเสียงร้องลั่นด้วยท่วงทำนองที่สุดจะเหลือรับจริงๆ

ผมลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่รับรู้คืออาการปวดหัวจี๊ด… เหมือนมีคนเอาพลั่วมาฟาดลงบนสมองแรงๆ อย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็ความรู้สึกปั่นป่วนในท้อง คลื่นไส้ รู้ตัวอีกทีผมก็พุ่งไปที่ชักโครกแล้วขย้อนของเก่าที่กินเข้าไปเมื่อวานออกมาอย่างทรมาน

นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าแฮงค์… ไม่เคยกินเหล้าจนเป็นหนักขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย
ผมเดินกลับออกมาจากห้องน้ำเพื่อหยิบเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวในการทำภารกิจยามเช้า จากนั้นก็เหลือบไปมองเจ้าฝาแฝดตัวร้ายที่ยังนอนกรนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า…

เดี๋ยวนะ… เปลือยเปล่าเหรอ?

ผมก้มลงมองสภาพของตัวเองทันที ก่อนจะรู้สึกหน้าร้อนขึ้น จากนั้นอาการมึนเมาไม่ได้สติที่ว่าก็ปลิวหายไปอย่างรวดเร็ว ความทรงจำของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหลั่งไหลเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วราวกับน้ำป่าไหลหลาก

โอ๊ยยยย ตายแล้ววว นี่ผมนอนกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย… ไม่อยากจะเชื่อเลย!! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่เนี่ย!?

ผมพยายามสลัดความคิดน่าสลดใจนั่นออกจากหัว ตรงดิ่งไปจัดการอาบน้ำแต่งตัว และเมื่อก้าวออกจากห้องน้ำโลแกนก็ตื่นขึ้นจากห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ พี่ชาย” เจ้าตัวส่งยิ้มยียวนตามแบบฉบับมาให้ “อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ งั้นฉันขอเข้าต่อนะ”

ผมสะดุ้งเฮือกทีหนึ่งเมื่อคนตรงหน้าเลื่อนมือมาสัมผัสเส้นผมของผมอย่างแผ่วเบา ผมหลับตาทั้งสองข้างแน่นอย่างไม่รู้ตัวเลย และเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ค้นพบว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เห็นแบบนั้นแล้วผมจึงถองมันไปเบาๆ ทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้

“ขำบ้าอะไร!?”

“ก็นายทำหน้า…. ฮ่าๆๆๆ ฉันแค่เอาฝุ่นออกจากหัวนายเฉยๆ เอง ลูคัส” พูดพลางเจ้าตัวยื่นเศษฝุ่นที่ว่ามามาให้ผมดูด้วย “ไม่ได้กำลังจะจูบนายสักหน่อย ทำเป็นตกใจเป็นสาวน้อยที่เพิ่งเสียตัวครั้งแรกไปได้”

“อะ...!!?” หนอย… ไอ้บ้านี่!!

“โถ หน้าแดงใหญ่แล้ว ลูคัสเอ๊ย นายนี่มันไก่อ่อนจริงๆ เลยว่ะ” โลแกนว่าพร้อมกับเลื่อนมือมายีหัวผมแรงๆ สองสามที ไอ้บ้าเอ๊ย… อุตส่าห์จัดทรงแล้วนะเว้ย “แต่… ถ้านายอยากให้จูบ ฉันจูบให้ก็ได้นะ เอาไหม?”

“ไม่ล่ะ ขอบคุณ” ผมพูดอย่างหัวเสีย เดินไปคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นมา อุปกรณ์การเรียนที่ผมต้องการมีอยู่ข้างในครบแล้วผมจึงแค่ยกมันพาดไหล่ เตรียมไปโรงเรียน

“เดี๋ยวสิ” โลแกนว่า “จะไปแล้วเหรอ ไม่คิดจะรอกันบ้างเลยรึไงครับ”

“ไม่ล่ะ”

“นี่ ทำไมต้องหลบตากันแบบนั้นด้วยล่ะ ตอนพูดน่ะ”

“ฉันไม่ได้…” แต่ผมพูดได้แค่นั้นเพราะเจ้าตัวเอื้อมมือมาบิดคางผมให้หันไปมองหน้ามันแล้ว

ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้น ภาพที่มันซุกหน้าลงมาบนร่างของผมเมื่อคืนโลดแล่นเข้ามาในหัวราวกับมีใครเอามาฉายซ้ำอย่างจงใจ ผมหลบตาหนีมัน แต่จากหางตาก็เห็นยกยิ้มขึ้นน้อยๆ อย่างขี้เล่นเหมือนเดิม

ก็แหงสิ ผมไม่หวังอะไรน้อยไปกว่านี้หรอก น้องชายฝาแฝดของตัวเองที่นอนกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ไปทั่ว ชอบต่อยตีกับคนอื่นไปทั่วแถมยังไม่เคยแพ้ใครสักครั้ง ซ้ำยังได้สมญานามว่าไอ้เด็กนรกมาแต่ไหนแต่ไร เพราะงั้น… ไม่น่าแปลกใจหรอกถ้ามันจะไม่ได้เปลี่ยนไปแม้จะเพิ่งนอนกับพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองไปก็ตาม

แม่ง… ไม่เข้าใจเลย มันไม่รู้สึกหยึยๆ หรืออะไรบ้างเลยเหรอวะ นี่สามัญสำนึกแบบคนปกติทั่วไปน่ะ มีบ้างไหม?

“ถ้านายชอบนะ ลูคัส” คนตรงหน้าโน้มลงมากระซิบข้างหูผม “เราจะทำกันอีกก็ได้ รอบหน้าให้นายเลือกท่าที่นายชอบ เลือกสถานที่ที่อยากทำ แล้วก็…”

ผมยกกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นฟาดมัน แต่ก็แน่ล่ะ เจ้าตัวดีหลบพ้นอย่างสบายๆ ราวกับคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ผมจิ๊ปากอย่างหมั่นไส้ ไม่อยากยอมรับเรื่องหน้าที่ร้อนขึ้นนี่ แต่คิดอีกที… ผมว่ามันก็เป็นเรื่องปกตินะที่ผมจะมีปฏิกิริยาและอย่างอายแบบนี้ ไม่เหมือนไอ้หมอนี่ที่มันตายด้านไปแล้วทั้งยางอายและสามัญสำนึก!

“ใครจะไปทำอีกวะ!!” แค่คิดก็ขนลุกไปหมดแล้วเนี่ย!! โอย…

ว่าแล้วผมก็จ้ำเท้าออกจากบ้าน กระแทกประตูบ้านอย่างแรง แม้จะรู้ดีว่าโลแกนคงไม่สนใจใยดีอะไรกับท่าทางกระฟัดกระเฟียดของผมก็ตาม เหอะ ก็แหงสิ มันเคยสนใจอะไรที่ไหนบ้างล่ะหมอนั่น นอกจากเรื่องของตัวเอง

ผมมาถึงโรงเรียน แวะทักทายกลุ่มเพื่อนๆ ที่ยิ้มแย้มต้อนรับผมอย่างดี วันไหนที่ผมมาโรงเรียนเร็วกว่าไอ้โลแกนก็จะดีตรงนี้แหละ นั่นคือไม่ต้องมานั่งระแวงว่าไอ้โรคจิตนั่นจะสวมรอยเป็นผมแล้วเข้ามาพูดคุยกับเพื่อนๆ อีกอย่าง วันนี้ผมใส่เสื้อผ้าที่สไตล์ผมโคตรๆ แบบว่า ตอนเช้าขี้เกียจคิดเลยหยิบตัวโปรดที่ใส่ง่ายขึ้นมาสวม
 
...แล้วนี่ผมมาใจเย็นอะไรอยู่เนี่ย

ฉันนอนกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปแล้ว ฉันนอนกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปแล้ว….

อีกสักพักนี่ต้องกลายเป็นบทสวดใหม่ของผมแน่ เพราะผมไม่สามารถสลัดประโยคนั้นออกจากหัวได้แม้ว่าในตอนนี้จะนั่งอยู่ในห้องเรียนก็ตาม

ผมควรจะทำยังไงดี…. ตอนนี้รู้สึกแย่กับตัวเองมากที่กินเหล้าเข้าไปตั้งขนาดนั้นจนทำให้ไม่มีสติในการควบคุมตัวเอง นี่ถ้าแม่ที่อยู่บนสววรค์รู้ล่ะก็… ไม่สิ แต่เพราะแม่อยู่บนสรววค์ เพราะงั้นป่านนี้ก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เรอะ อ๊ากกกกก!!

“โย่ ลูคัส”

ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงของคนที่ไม่อยากได้ยินที่สุดในตอนนี้ดังขึ้นข้างตัว โลแกนดึงเก้าอี้ออกมานั่งข้างๆ ในขณะที่กลุ่มเพื่อนผมค่อยๆ ถอยกรูดกันเป็นเงียบๆ แม้แต่อาจารย์หน้าชั้นยังไม่พูดเอ็ดหรือว่าอะไรหมอนี่สักคำที่มาสาย เป็นนัยว่าไม่อยากมีเรื่องกับโลแกนอย่างแน่นอน ทำไมกันนะ ทำไมหมอนี่ถึงได้ถนัดเหลือเกิน เรื่องไล่ผู้คนให้ออกห่างจากตัวเองเนี่ย

“ทำหน้าตาซะอย่างกับแบกโลก” โลแกนเอ่ยแซวผมยิ้มๆ ผมเหลือบไปมองคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับผม แถมวันนี้ยังแต่งตัวแบบเดียวกับผมมาอีกต่างหาก เสื้อฮู้ดสีเทาแบบที่ผมชอบซื้อแม้จะรู้ว่ามีซ้ำอยู่แล้วก็ตาม… เจริญล่ะ งั้นวันนี้ทั้งวันคนคงแยกพวกเราสองคนไม่ออกแน่

“ก็มันเป็นเพราะใครกันล่ะ” ผมแยกเขี้ยวใส่คนที่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้อย่างหมั่นไส้ โอ๊ยๆๆ พอขยับตัวแรงๆ ทีไรแล้วสะโพกนี่ระบมไปหมดเลย นี่ไอ้หมอนี่มันล่อไปกี่ยกเนี่ย!?

“ตัวเองก็ชอบแท้ๆ ยังจะมาทำเป็นพูด”

“ใครบอกว่าชอบวะ!”

“ก็ร่างกายนายไง” เจ้าตัวเหยียดยิ้ม เป็นยิ้มที่ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นไปขยี้ผมตัวเองอีกรอบอย่างอัดอั้น ทำไมพระเจ้าถึงส่งไอ้เด็กนรกนี่มาเป็นน้องชายฝาแฝดผมฟะ!!? หรือว่าผมทำอะไรผิด?
“รอบหน้าเดี๋ยวฉันเตรียมอะไรสนุกๆ ไว้ให้นะ นายชอบแบบไหน”

“ไม่มีรอบหน้าแล้วโว้ย” แล้วอะไรสนุกๆ ที่ว่านั่นมันอะไรฟะ!? ไอ้โรคจิต!!

หมดคาบเรียนช่วงเช้า ผมตั้งใจจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนของตัวเองด้วยความเคยชิน แต่ก็ค้นพบว่าทุกคนยิ้มแหยๆ ให้ผมและพูดขอตัวอย่างสุภาพ จากนั้นก็เผ่นจากไป อ้อ จริงสินะ เพราะโลแกนเคยสวมรอยเป็นผมหลายครั้ง เพราะงั้นถ้าไอ้พวกเพื่อนผมมันไม่แน่ใจขึ้นมาแล้ว พวกมันจะพยายามไม่เสี่ยงแล้วก็หลีกเลี่ยงไปบ่อยครั้ง ซึ่งผมก็ไม่โทษพวกมันหรอก ถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน

“ว้า ดูเหมือนว่าวันนี้จะโดนเพื่อนทิ้งนะ” โลแกนเดินเข้ามาพร้อมกับโอบบ่าของผมอย่างสนิทสนม บริเวณที่โดนหมอนี่สัมผัสร้อนวูบขึ้นมาทันที ผมเบือนหน้า ดันแขนมันออกแล้วพูดตัดบทไป

“หนวกหูน่า มันก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ โลแกน เลิกแต่งตัวเหมือนฉันสักที ไม่มีสมองคิดเองหรือไง”

“โอ้โห ด่าซะเจ็บเชียว” ถึงจะพูดงั้นแต่น้ำเสียงหมอนี่ดูสบายอารมณ์สุดๆ ผมถอนหายใจดังเฮือกก่อนจะตัดสินใจลากคนข้างตัวไปยังห้องน้ำชายที่ไม่ค่อยมีคน จากนั้นก็ดันเจ้าตัวดีไปติดผนัง จ้องหน้ามันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ

“เมื่อคืนน่ะ เราสองคนก็แค่เมามาก”

“เฮ้” โลแกนค้าน “นายน่ะเมามาก แต่ฉันเปล่า”

ผมต้องมันเขม็ง เจ้าตัวแสบเลยทำแค่ยักไหล่คืนมาทีหนึ่ง

“โอเค้ เมาก็ได้ แต่ไม่มากขนาดนั้น พอใจไหม”

“จะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง”

“อะไร เมามากน่ะเหรอ”

“เรื่องที่พวกเราสองคนนอนด้วยกันต่างหาก” ทั้งๆ ที่แม่งก็รู้ดีอยู่แล้วแท้ๆ ยังจะมาถาม… โอย ปวดหัวชะมัด ที่แฮงค์เมื่อคืนนี่ยังตกค้างอยู่เลย สงสัยต้องไปซื้อน้ำอะไรเปรี้ยวๆ หวานๆ กินเผื่อจะดีขึ้น “มันก็แค่อุบัติเหตุ เข้าใจไหม ลืมมันไปซะ แล้วก็ระวังอย่าให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก”

โลแกนยกยิ้ม ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม ใกล้เสียจนผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของมัน แฝดผมพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนหากมั่นคง

“นั่นน่ะ นายกำลังบอกตัวเองอยู่งั้นเหรอ ลูคัส”

“หา!!” พูดเรื่องบ้าอะไรของมัน….

“นายอยากจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน และนายก็ย้ำว่าจะต้องไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกตั้งหลายรอบ” โลแกนพยักหน้าหงึกหงัก “เพราะใจจริงๆ ของนายก็คือ นายไม่สามารถลืมเรื่องนั้นได้ และนายก็อยากให้มันเกิดขึ้นอีก แต่ไอ้เรื่องที่ว่ามันไปผิดศีลธรรมอันดีของนายเข้า นายก็เลยต้องย้ำตัวเองหลายๆ รอบเพื่อบอกว่า ไม่ได้นะ ‘ฉันจะทำตัวแหลกเหลวแบบนี้ไม่ได้ หมอนั่นเป็นน้องชายของฉัน ฉันจะนอนกับน้องชายตัวเองไม่ได้’ อะไรแบบนั้นใช่ไหมล่ะ”

“แล้วมันผิดตรงไหนฟะถ้าฉันจะมีสามัญสำนึกที่บอกว่านอนกับน้องชายตัวเองไม่ได้” ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ แต่เจ้าตัวดีตรงหน้ากลับเหยียดยิ้มกว้างมากขึ้น

“ไม่ปฏิเสธเรื่องที่อยากให้มันเกิดขึ้นอีกด้วยแฮะ”

“ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกโว้ย!!” เมื่อไหร่ไอ้หมอนี่จะเลิกพูดเองเออเองสักที

“เอาเถอะ นายจะว่ายังไงก็ช่าง” โลแกนตัดบท ดันตัวผมออกแล้วตรงไปที่อ่างล้างมือ เจ้าตัววักน้ำขึ้นมาล้างหน้า จากนั้นก็ยกมือขึ้นจัดแต่งทรงผมอันเป็นสิ่งที่ต้องทำเมื่อตัวเองอยู่ต่อหน้ากระจก

...อยู่ต่อหน้ากระจก

ผมไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อมองเงาสะท้อนของโลแกนที่อยู่ในกระจกเงาบานใหญ่ของห้องน้ำ รู้สึกเหมือนหัวใจบนอกข้างซ้ายของตัวเองเต้นรัวขึ้นด้วยความ… ไม่รู้สิ กลัวเหรอ? เหมือนยำเกรง ผมยังไม่ลืมสิ่งที่เห็นในกระจกเงาเมื่อวันก่อนโน้นหรอกนะ ตอนที่กระจกเงาไม่ได้สะท้อนภาพของห้องครัวในบ้านผมอย่างที่มันควรจะเป็นออกมา หากสะท้อนให้เห็นถึงสถานที่ดำมืดที่มีเปลวไฟสีแดงฉานอยู่โดยรอบ

ในนั้นมีคนที่ผมไม่รู้จักอยู่ แต่ผมเห็นหน้าไม่ชัด ในทางกลับกัน ผมกลับเห็นเงาสะท้อนของโลแกนออกมาจากในกระจกนั่น แต่มันไม่ใช่โลแกนแบบที่ผมรู้จัก เพราะโลแกนที่สะท้อนออกมาในกระจกเงานั่น… มีเขาแหลมโค้งงอกออกมาจากบนหัวเหมือนพวกที่แต่งตัวเป็นปีศาจในวันฮัลโลวีนอย่างไรอย่างนั้น

ที่ต่างไปก็คือ… มันดูจริงมาก จริงแบบทำให้ผมเชื่อได้จริงๆ ว่ามันคือปีศาจ ติดอยู่ที่ว่าสิ่งที่ผมเห็นนั่นอยู่แค่ในกระจก แล้วก็ได้เห็นเพียงแค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น เป็นชั่วแวบที่ทำให้คิดว่าเป็นภาพลวงตาหรือแค่ตาฝาด แต่ลึกๆ ลงไปแล้วผมกลับรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น

แต่จะให้ผมพูดอะไรหรือทำยังไงกับเรื่องนั้นล่ะ?

โลแกนหันกลับมามองผมที่หน้าซีดลงไปนิดหนึ่งด้วยสายตางุนงง

“เป็นอะไรไปน่ะ”

“เปล่า”

“แล้วนี่ข้าวกลางวันนายจะเอายังไง วันนี้ม่ได้ห่ออะไรมากินไม่ใช่เหรอ จะซื้อเอาเหรอ?”

“ไม่ล่ะ ไม่หิว”

“นี่ นายไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาพักหนึ่งแล้วนา” โลแกนว่า เดินตามผมที่ก้าวพรวดๆ ออกมาจากห้องน้ำ “ผอมลงจนเห็นได้ชัดแล้วเนี่ย กินไรบ้างเถอะ มานี่มา เดี๋ยวเลี้ยงเอง”

“ปัญหามันไม่ใช่เรื่องเงิน…”

“คุณคอลลินส์”

เสียงเรียกของใครคนหนึ่งเรียกให้ทั้งผมและโลแกนหันกลับไปมอง อาจารย์ประจำห้องปกครองนั่นเอง เฮ้อ มาอีหรอบนี้ไม่เคยจะมีเรื่องดี

“คนไหนคือโลแกน คอลลินส์” ชายหนุ่มวัยกลางคนที่มีแว่นไร้กรอบทรงวงรีอยู่บนหน้าขมวดคิ้วมุ่นขึ้น อันเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครแยกพวกเราสองคนออก ไม่เว้นแม้แต่คุณครู

“ผมลูคัสครับ” โลแกนยกมือขึ้นทันที และผมหันขวับกลับไปด่าเจ้าตัวอย่างรวดเร็ว

“ไอ้บ้า นั่นมันฉันโว้ย!”

“งั้นก็มาทั้งคู่นั่นแหละ” เจ้าตัวตัดบท ผมอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ ส่วนไอ้โลแกนแสร้งทำคิ้วขมวดมุ่นขึ้นอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แม่ง สวมบทบาทเป็นผมได้ดีกว่าผมเองอีก ไม่อยากจะเชื่อ

ว่าแล้วเราสองคนก็ต้องลากเท้าตามอาจารย์ตรงหน้าไปอย่างเสียไม่ได้

จำไว้เลยแล้วกันนะ ไอ้น้องนรก ถ้าต้องมาเป็นแฝดแม่งแล้วมีชีวิตที่ยากลำบากขนาดนี้ ชาติหน้าขอเกิดเป็นลูกคนเดียวดีกว่า

ถ้าเกิดเลือกได้อะนะ…
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 7) P.1 [6/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-02-2017 14:08:57
อั๊ยยะ.....โลแกน ตั้งใจนอนกับลูคัสชัดๆ :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 7) P.1 [6/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 06-02-2017 14:51:18
เป็นแฝดที่มาจากนรกของจริงเลย 5555 :hao7:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 7) P.1 [6/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-02-2017 19:23:02
เรียบร้อยโรงเรียนแฝด
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 7) P.1 [6/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-02-2017 19:56:10


บทที่ 8

(Mode: Lucas Collins)






“โลแกน ผมได้ยินเรื่องที่คุณไปมีเรื่องชกต่อยกับชมรมอเมริกันฟุตบอลมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน แถมเมื่อไม่กีวันที่แล้วก็ยังไปมีเรื่องกับนักเรียนโรงเรียนข้างๆ มาทำเอาต้องมีคนแอดมิทเข้าโรงพยาบาลเกินสามสิบคนภายในเวลาไม่ถึงเดือน”

ผมกับโลแกนที่ตอนนี้นั่งอยู่ในห้องปกครองกระพริบตาปริบๆ กับคำพูดของผู้อำนวยการโรงเรียนที่มองพวกเราสองคนผ่านแว่นทรงวงกลมของตัวเองด้วยสายตาคมกริบ เขาเป็นผู้อำนวยการที่สูงวัย อย่างที่โรงเรียนมัธยมน่าจะมี ดูท่าทางมีอำนาจ สุขุม และดูเหมือนจะเป็นคนเดียวในโรงเรียนที่กล้าพูดกับโลแกนพร้อมกับมองตาเขาไปด้วย เอ่อ แต่เดี๋ยวนะ ที่ท่านกำลังมองอยู่น่ะ ตาผม และผมไม่ใช่โลแกนนะครับ

“เอ่อ แต่ว่าผม…” ผมพยายามจะรีบแก้ไขความเข้าใจผิด หากอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาห้ามทันที

“คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองมีสิทธิ์ถูกไล่ออกจากโรงเรียนได้ทุกเมื่อ แม้แต่ตอนนี้ วินาทีนี้”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกพร้อมกับก้มหน้างุด อยากจะบอกคนตรงหน้าเหลือเกินว่าผมไม่ใช่โลแกน แล้วทำไมท่านถึงมั่นใจนักว่าผมคือโลแกน ไม่ใช่ลูคัส นี่อย่าบอกนะว่าไอ้โลแกนมันเล่นละครเป็นผมได้ดีกว่าที่ผมเป็นตัวเองจริงๆ? บ้าน่า…

“แต่มันก็ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันไม่ใช่เหรอครับว่าโลแกนเป็นคนทำ” โลแกนตัวจริงที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมพูดตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย ผมอ้าปากค้างกับสิ่งที่เจ้าตัวแสบพูดออกไปหน้าตาเฉย เอ็งเป็นคนทำแท้ๆ ยังไม่ยอมรับความผิดอีก! แถม… ยังมีหน้ามาสวมบทเป็นผมต่ออีกนะ ไอ้ชิบหายเอ๊ย….

“คำบอกเล่าของผู้เสียหายเป็นพยานในตัวของมันเองอยู่แล้ว คุณลูคัส” ท่านผู้อำนวยการหันไปพูดตอบกับไอ้โลแกนสีหน้าราบเรียบ เอ่อ ฮัลโหลครับ นั่นไม่ใช่ลูคัสครับ ลูคัสอยู่นี่

“เอ่อ คือ…”

“ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ โลแกน” เจ้าตัวหันขวับกลับมาทางผมด้วยสายตาคมกริบ ขนาดผมที่รู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่โลแกนยังต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ “ครูประจำชั้นของคุณบอกผมแล้ว คุณอยากจะเป็นตำรวจใช่ไหม คุณคงคิดสินะว่าคะแนนสอบระดับหัวกะทิของคุณคงสามารถเข้าโรงเรียนตำรวจได้ไม่ยาก”

“เอ่อ”

“แต่ผมจะบอกอะไรให้ สมัยนี้นี่นะ ไม่ใช่ว่าแค่คะแนนในสมุดพกเท่านั้นที่สำคัญ แต่การกระทำของเราเองก็ด้วย” ผมเชื่อว่าถ้าตอนนี้โลแกนไม่ได้สวมบทเป็นผมอยู่ล่ะก็ มันคงกลอกตาขึ้นมองเพดานด้วยความเหนื่อยหน่ายแล้ว

หลังจากนั้นผมก็ทนฟังผอ. เทศน์อีกประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นท่าทางสงบเจี๋ยมเจี้ยมของผม ก็แหงสิ ก็ผมไม่ใช่โลแกน แต่ดันโดนเทศน์แทนมันแบบนี้ คงจะทำหน้าระรื่นอยู่ได้หรอก

“อ้อ ก่อนไป” คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะว่า ก้มตัวลงค้นเอกสารจากในลิ้นชักกุกกัก จากนั้นก็ยื่นเอกสารจำนวนหนึ่งให้โลแกน “เอ้านี่ คุณคอลลินส์ ผมได้ยินมาว่าคุณอยากเข้าวิทยาลัยทางดนตรี เท่าที่ผมเห็นคุณในงานเทศกาลโรงเรียนมา คุณเองก็มีฝีมือพอตัว ผมสนับสนุนนะ ขอให้คุณได้เรียนในสิ่งที่ชอบ”

โลแกนรับเอกสารปึกนั้นมาดูนิดหนึ่ง คลี่ยิ้ม ก่อนจะยื่นส่งให้ผมหน้าตาเฉย

“เอ้านี่ ลูคัส มีพวกทุนอะไรเต็มเลย ลองกว้านสมัครดูสิ มันต้องได้สักอันแหละ” แล้วเจ้าตัวก็เดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้ทั้งผมและผอ. มองตามหลังมันไปพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ

“นี่ ลูคัสเหรอ?”

ก็ใช่น่ะสิครับ….












ผมตรงดิ่งไปยังห้องซ้อมดนตรีทันทีออดเลิกเรียนดังขึ้น ปีเตอร์อยู่ในตัวห้องก่อนแล้ว เจ้าตัวกำลังดีดสายกีต้าร์ไฟฟ้าที่ยังไม่ได้เสียบเข้ากับลำโพงเพื่อซ้อมมา พอผมก้าวเข้าไป เจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาระแวงนิดหนึ่ง ก่อนจะถามแหยงๆ

“นี่… ลูคัสใช่ไหม”

“อือ”

“โอเค” เจ้าตัวว่า แต่ยังมองผมด้วยสายตาไม่แน่ใจนัก ไอ้บ้าโลแกนเอ๊ย สวมรอยบ่อยจนทำเอาคนรอบตัวผมผวาไปหมดแล้วเนี่ย

“นี่ วันนี้ได้นี่มาจากผู้อำนวยการ” ผมพูดพร้อมกับโบกแผ่นกระดาษในมือให้เพื่อนร่วมก๊วน เจ้าตัวเอื้อมมือมาหยิบไปดู ปีเตอร์เป็นคนที่มีเส้นผมสีแดงอมส้มยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ใบหน้าตกกระเล็กน้อย ตัวเตี้ยกว่าลงไปนิดหนึ่ง ผมกับโลแกนเรียกได้ว่าเป็นคนที่สูงพอสมควรเลยก็ว่าได้ โชคดีที่พวกเราสองคนสูงเท่ากัน เพราะถ้าเกิดผมเตี้ยกว่ามัน ผมคงได้ก่นด่าสาปแช่งพระเจ้าเป็นแน่

ขอทีเถอะ แค่นี้ก็เป็นรองมันหลายอย่างแล้ว ถ้าไม่อยากให้ผมเหนือกว่ามัน อย่างน้อยให้เสมอกันก็ยังดี

“น่าสนใจว่ะ นายจะสมัครไหม”

“ว่าจะลองดู” ผมพูดพร้อมกับเดินไปเปิดฝาเปียโนสีดำขลับน่าหลงใหลขึ้น จริงๆ วันนี้อยากซ้อมไวโอลินแล้วก็กีต้าร์โปร่งด้วย แต่อืม… ถ้าผมจะสมัครทุนจริงๆ ยังไงก็ต้องเน้นที่เปียโนนี่ล่ะนะ

“นายต้องได้ทุนแน่เลยว่ะ นายเก่งออก”

“ก็ขอให้เป็นแบนั้น” ผมพึมพำ “ที่บ้านการเงินไม่ค่อยดีเท่าไร”

“น้าไม่ได้ส่งให้แล้วเหรอ”

“ส่ง” ผมตอบ เริ่มกดนิ้วลงบนคีย์เปียโนนิดหนึ่งเพื่อวอร์มอัพ “แต่เขาก็มีภาระที่ต้องใช้จ่ายในครอบครัวเขาเหมือนกัน คงรบกวนเขาตลอดไปไม่ได้หรอก”

ปีเตอร์พยักหน้ารับเนิบๆ จากนั้นก็เริ่มหยิบหูฟังขึ้นมาเสียบเข้ากับกีต้าร์ไฟฟ้าของตัวเองแล้วซ้อมต่อ

ผมขลุกอยู่ในห้องชมรมที่มีคนเวียนเข้าเวียนออกอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็ขอตัวออกจากที่นั่นเพราะวันนี้มีงานพิเศษต้องไปทำกะดึก

ผมตัดสินใจเดินออกนอกโรงเรียนผ่านประตูหลังเพราะเป็นทางที่ใกล้กว่า ใจก็คิดถึงเรื่องทุน เอกสารและสิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการยื่นขอ ถ้าเกิดว่าผมได้ทุนเรียนในวิทยาลัยทางดนตรีจริงๆ นั่นจะต้องเป็นเรื่องที่วิเศษมากแน่ๆ ถึงจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าการเลือกเดินไปทางนี้จะไปได้ไกลแค่ไหนก็เถอะ แต่ก็อยากจะลองสักตั้ง แต่ถ้าไม่ได้ทุนที่ว่านี่ก็อาจจะจบอยู่แค่ตรงนี้…

ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ไหล่ผมก็ไปชนเข้ากับบ่าของใครอีกคนที่เดินเข้ามา ผมหลุดอุทานออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นไปหาอีกฝ่ายทันที

“ขอโทษนะครับ”

แต่เหมือนนั่นจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไร เพราะชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เหมือนภูเขากระชากคอเสื้อผมขึ้นไปแล้ว เหวอ… คนอะไรจะตัวใหญ่ได้ขนาดนี้เนี่ย!?

“ขอโทษแล้วมันหายรึไง หา! ไอ้หน้าปลาจวด”

โอ้โห ด่าซะ เจ็บไปถึงทรวง

“ก็ขอโทษแล้วนี่” ผมขมวดคิ้วนิดหนึ่ง เบื่อจริง พวกชอบใช้กำลังไม่เข้าท่าเนี่ย “อีกอย่าง ตัวนายเองก็ออกจะใหญ่โต โดนชนไปแค่นั้นไม่บุบสลายหรอกน่า”

“อุ๊บ” เสียงเพื่อนของไอ้ภูเขาเดินได้นี่เริ่มปิดปากหัวเราะกันเป็นแถว ยิ่งทำเอาเจ้าตัวหน้าแดงด้วยความไม่พอใจแล้วกระชากคอเสื้อผมให้สูงขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง

“แกไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร”

อืม… ดูจากทรงนี้แล้วคงจะเป็นนักเรียนเข้าใหม่… พวกเกรดสิบรึเปล่านะ เด็กสมัยนี้นี่โตกันไวจังแฮะ แต่แบบนี้ก็แปลว่าหมอนี่ไม่รู้จักโลแกนน่ะสิ ฮืม แย่จัง ว่าจะหลอกมันเสียหน่อย

แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ผมก็เหยียดยิ้มบนมุมปากส่งให้อีกฝ่าย

“นายต่างหากที่ไม่รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร ไอ้หนู”

“หนอย!” ภูเขาเดินได้เงื้อหมัดของมันขึ้นมา “ไอ้นี่วอนซะแล้ว”

ผมปัดมือที่มันกระชากคอเสื้อผมขึ้นไปออกจากนั้นก็ดีดขาส่งตัวออกจากองศาที่อาจโดนหมัดหนักๆ นั่นกระแทกเข้ามาบนหน้า แค่วิถีที่หมอนี่เหวี่ยงหมัดก็รู้เลยว่ามือสมัครเล่น เบื่อจริงๆ เลย พวกที่ไม่รู้วิธีต่อสู้จริงๆ แล้วยังจะมีหน้ามาหาเรื่องคนอื่นอีกเนี่ย

“แก!!”

ภูเขาเดินได้ถลาตัวเข้ามา ผมก้มตัวลง ใช้ศอกกระแทกสีข้างของคนตรงหน้าอย่างไร้ความปราณี ได้ยินเสียงร้องอั่กสั้นๆ หลุดออกมาจากปากเจ้าตัว จากนั้นชายหนุ่มก็ทรุดลงไปงอตัวด้วยความเจ็บปวด ไม่รู้ซะแล้วว่าเล่นอยู่กับใคร

หากเมื่อผมเริ่มโจมตีใส่เจ้าภูเขานี่ เพื่อนๆ ของมันก็เริ่มล้อมกรอบเข้ามาทางผมอย่างรวดเร็ว แย่ล่ะสิ ถ้าสู้แบบตัวต่อตัวก็อาจจะหาทางเอาชนะได้ แต่ถ้ามันรุมเข้ามาพร้อมกัน ต่อให้เก่งขนาดไหน แต่ถ้าไม่ใช่ระดับโลแกนก็น่าจะรอดยาก

พลาดแล้วสิเรา ไอ้พวกอันธพาลพวกนี้คงไม่มีน้ำใจนักกีฬาพอที่จะสู้ตัวต่อตัวหรอกสินะ

ผมลงมือเตะขาของเด็กหนุ่มที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินและดูไร้น้ำยาที่สุดในกลุ่มก่อน เจ้าตัวร้องโอ๊ยแล้วก้มตัวลงไปกุมเข่าแทบจะในทันที แต่ในเวลาเดียวกันเท้าของคนที่อยู่ด้านข้างก็กระแทกเข้ากลางลำตัวจนผมเซไปแทบจะล้มไปกองกับพื้น

ชายหนุ่มอีกคนที่ใส่หมวกลายทหารกำหมัดแล้วถองลงบนหน้าท้องผมเต็มรัก เล่นเอาจุกจนร้องไม่ออก ตอนนี้ไอ้ภูเขาที่เริ่มฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเริ่มลุกกลับขึ้นมาอีกครั้งและยกฝ่าเท้าถีบเข้าที่ข้อพับผมเข้าไปเต็มๆ และแน่นอนว่านั่นทำให้ผมทรุดเข่าลงไปติดพื้นคอนกรีตทันที

แม่งเอ๊ยยย ชิบหายแล้วไงล่ะ สี่รุมหนึ่งแบบนี้ แล้วผมจะไปชนะได้ไง โคตรขี้โกง

คนใส่เสื้อลายทางยกเท้าขึ้นมาจะเหยียบลงบนขาของผม ผมรีบขยับหลบจากนั้นถองศอกเข้าที่เข่าของเจ้าเสื้อสีน้ำเงินอย่างแรง พยายามหลบหมัดจากไอ้ภูเขาที่พุ่งเข้ามาแต่ไม่ทัน มันจึงกระแทกลงบนใบหน้าผมเต็มๆ ตอนนี้ทัศนวิสัยผมมันพร่ามัวจนเริ่มเห็นอะไรไม่ชัดแล้ว รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่อยู่ในปากที่คงจะมาจากหมัดเมื่อครู่

พลาดจริงๆ… ไม่น่ามาออกประตูหลังที่ค่อนข้างปลอดคนแบบนี้เลย แล้วแบบนี้ผมจะหลุดออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ได้ยังไงล่ะเนี่ย

ผมพยายามจะยันตัวลุกขึ้น แต่ขาของใครสักคนก็กระแทกลงมาบนไหล่ผมให้ล้มกลับไปนอนราบกับพื้น และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาจากการนอนราบไปกับพื้นแบบนี้ก็คือการยำตีนนั่นเอง

ผมไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าใครกำลังทำอะไร รู้แต่ว่าแรงกระแทกแรงๆ ของฝ่าเท้าใครสักคนกระเทือนไปจนถึงไตของผม และนั่นทำให้ผมแหกปากร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด สิ่งที่ผมทำในตอนนี้คือพยายามไม่ให้มือตกลงพื้น เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นร้ายแรงกับมือผมล่ะก็… อย่าหวังจะได้เล่นเปียโนอีกเลยตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะคงสติเอาไว้ไม่อยู่แล้วสิ…

พลั่ก!

เสียงหมัดที่กระแทกลงบนผิวเนื้อของใครสักคนอย่างแรงดังขึ้น แต่นั่นไม่ใช่ผิวเนื้อของผม

มีใครสักคนมาช่วยผม...

ผมรีบเงยหน้าขึ้นไปมองคนคนนั้นทันที แปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นโลแกนยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับยึดร่างของไอ้เสื้อลายทางโดยจับมือข้างหนึ่งของมันไพร่หลังแล้วเหยียดออกเต็มที่

“เดี๋ยว โลแกน” ผมพูดอย่างร้อนลน แต่ไม่ร้อนลนเท่าเจ้าเสื้อลายทางที่กำลังกรีดร้องและดิ้นเร่าๆ ด้วยความทรมานนั่นหรอก “อย่า…”

แต่ไม่ทันแล้ว โลแกนจัดการหักกระดูกแขนของไอ้หมอนั่นลงอย่างเลือดเย็น จากนั้นก็ย่างเท้าสามขุมไปที่ไอ้หมวกลายทางที่ค่อยๆ ก้าวถอยหลังหนีอย่างหวาดกลัว แต่แน่นอนล่ะว่าไม่มีใครหนีพ้นเงื้อมมือของโลแกน คอลลินส์ไปได้…

ผมหลับตา ฟังเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ดังขึ้นระงมราวกับมีมหรสพเกิดขึ้น ผมไม่เอ่ยปากห้ามน้องชายฝาแฝดของตัวเองเพราะรู้ดีว่ายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ฟัง ที่สำคัญกว่านั้น… ตัวของผมชาและระบมไปหมด แค่แรงจะขยับตัวลุกขึ้นยังไม่มี

เสียงกรีดร้องเหล่านั้นค่อยเปลี่ยนเป็นเสียงโอดครวญอย่างทรมานแทน โลแกนสาวเท้าเข้ามาหาผม ใบหน้าของเจ้าตัวมีคราบเลือดติดอยู่บนแก้มเล็กน้อย จากนั้นก็เอื้อมมือมาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นยืนจากพื้น ผมมองไปรอบตัวที่ตอนนี้ทั้งสี่คนที่พยายามจะรุมทำร้ายผมเมื่อครู่ลงไปนอนกองกับพื้นกันหมด

“แก…” ไอ้ภูเขาที่ยังพอมีสติอยู่พูดขึ้น “แกจะไม่ได้อยู่ในโรงเรียนนี้จนจบภาคการศึกษาแน่ คอยดูนะ!”

“โอ้โห กลัวจนตัวสั่นแล้วเนี่ย” โลแกนว่าด้วยรอยยิ้มยียวน สาวเท้าไป ก้มลงแล้วจิกเส้นผมของชายหนุ่มปากดีคนนั้นขึ้นมา นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับอย่างน่ากลัว “แกอย่าพยายามดีกว่าถ้ายังอยากมีที่ยืนต่อ แกคือปาร์คเกอร์ที่อยู่เกรดสิบใช่ไหม คงไม่อยากให้ฉันแพร่งพรายเรื่องที่นายขายยาให้พวกเด็กเกรดเก้า เกรดแปดให้ใครๆ รู้หรอกใช่ไหม อ้อ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องของหมอนี่นะ ฉันรู้เรื่องความลับของพวกนายทุกคน แต่ฉันเดาว่าพวกนายคงไม่อยากให้ฉันไล่ให้ฟังหรอกใช่ไหม หืม?”

เจ้าตัวแสบหันไปขู่กำชับ และนั่นทำให้คนที่อยู่บริเวณนั้นทุกคนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม โลแกนปล่อยมือออกจากเส้นผมของชายคนนั้นแล้วตรงมาหา คว้ากระเป๋าเป้จากมือผมไปถือ มุ่งหน้าไปที่ประตูหลังโรงเรียนโดยไม่ลืมหันไปเหยียดยิ้มกวนประสาทให้กับทุกคนที่นอนกองอยู่บนพื้น

“และอีกอย่าง ชื่อของฉันคือโลแกน คอลลินส์ จำเอาไว้ให้ขึ้นใจและอย่าได้มาแหยมกับฉันอีกล่ะ เข้าใจไหม เจ้าพวกเด็กใหม่”

อืม… บางทีความป่าเถื่อนและโรคจิตของหมอนี่ก็เป็นประโยชน์เหมือนกันแฮะ





-------------------------------
Talk: ฉากบู๊ก็มาาาา ฉากโปรดของเราเอง 55555555
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 8) P.1 [6/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 06-02-2017 23:59:11
อัพเร็วอัพแรงยิ่งกว่าเน็ตไฮสปีด แต่เราก็ตามอ่านทัน ฮ่าๆๆๆ  :laugh3:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 8) P.1 [6/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-02-2017 04:24:37
นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว  :ling3:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 8) P.1 [6/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 07-02-2017 13:56:43


บทที่ 9

(Mode: Lucas Collins)





โลแกนพาผมกลับบ้านโดยการนั่งแท็กซี่ ผมเหลือบมองสภาพยับเยินของตัวเองแล้วได้แต่ถอนหายใจยาว เสื้อฮู้ดสีเทาอ่อนตัวเก่งของผมเต็มไปด้วยรอยรองเท้าและคราบเลือดเล็กน้อย ขอบใจมากเลยที่มาช่วยแต่งแต้มสีสันให้กับเสื้อผ้าสีพื้นของผม เป็นพระคุณอย่างสูง

“มีตรงไหนที่เจ็บหนักๆ ถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาลรึเปล่า” โลแกนที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามขึ้น ผมยักไหล่ให้มันทีหนึ่งเพราะอยากแสดงออกให้มันเห็นว่าไม่เป็นไรจริงๆ แต่นั่นก็ทำเอาร่างกายเจ็บแปลบขึ้นไม่น้อยเหมือนกัน ผมข่มความเจ็บปวดนั่นลงก่อนจะพูดเรียบๆ

“ไม่ร้ายแรงหรอก มากสุดก็แค่ซี่โครงช้ำ ที่เหลือก็ทำแผลอีกนิดๆ หน่อยๆ”

โลแกนพยักหน้า ต่อให้เขาไม่พูดออกมาผมก็รู้ว่าเขารู้ว่าผมคิดอะไร ผมไม่อยากไปโรงพยาบาล ไม่ได้เกลียดหมอหรือกลัวเข็มหรืออะไรหรอกนะ แต่ไม่อยากใช้เงินโดยไม่จำเป็นมากกว่า

ทันทีที่มาถึงบ้านโลแกนก็บอกให้ผมถอดเสื้อผ้าและไปนั่งรอที่โซฟา ผมทำตามอย่างว่าง่าย จากนั้นแฝดตัวดีของผมก็เอาผ้าชุบน้ำและกล่องปฐมพยาบาลมาให้อย่างรู้หน้าที่ ยอดเยี่ยม จะมีอะไรดีไปกว่ามีน้องชายที่รู้ดีทั้งเรื่องการแผลและทำให้ผู้คนเป็นแผลได้ในเวลาเดียวกันแบบนี้อีก

“อูย… โลแกน เบาๆ” ผมครางออกมานิดหนึ่งเมื่อคนข้างตัวซับสำลีลงมาอย่างแรง เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดเหมือนไม่ชอบใจแต่ก็ยอมผ่อนแรงที่กำลังทำแผลให้ผมอยู่แต่โดยดี

“ดีขึ้นไหม” ชายหนุ่มถามหลังจากที่จัดการแผลและทายาตรงบริเวณที่ฟกช้ำต่างๆ ให้เรียบร้อย ผมพยักหน้ารับแบบครึ่งๆ กลางๆ ก่อนจะยกผ้าสีขาวชุบน้ำสะอาดขึ้นปิดตาแล้วเงยหน้าพิงคอกับโซฟาด้านหลัง

“ต้องโทรไปบอกที่ทำงานว่าไปไม่ได้”

“เดี๋ยวโทรให้” อีกฝ่ายว่า จากนั้นก็เริ่มหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นแบบเดียวกันกับผมขึ้นมากดจึ้กๆ ผมได้ยินเสียงฝีเท้ามันเดินหายไปครู่หนึ่งและกลับออกมาอีกที ผมก็ยังนอนแหงนหน้าขึ้นโดยมีผ้าปิดตาอยู่อย่างนั้นแหละ ล้าเป็นบ้าเลย รู้สึกไม่อยากขยับตัว

“เดี๋ยวฉันเตรียมน้ำลงในอ่างให้” คนที่ยืนอยู่ด้านหลังผมว่า นั่นทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมาจริงๆ

“ทำไมใจดีจังวะ” แบบนี้มันน่ากลัวพิกลนา

“ก็นายเจ็บอยู่นี่”

“งั้นซักผ้าแล้วก็ตากผ้าให้ด้วยได้ไหม”

“วอนตีนแล้วพี่ชาย อาทิตย์นี้เวรนายนะ” ชิ ว่าจะถือโอกาสนี้ใช้งานมันซะหน่อย

“มือเป็นยังไงบ้าง” เสียงของโลแกนย้ายมาจากด้านหลังมาอยู่ด้านหน้าผมแทนแล้วตอนนี้ เจ้าตัวยกมือผมขึ้นไปพิจารณา สัมผัสอบอุ่นจากนิ้วมือของหมอนั่นทำให้หน้าผมร้อนขึ้นมานิดหน่อย อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจนได้ อ๊ากกก

ฉันนอนกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปแล้ว ฉันนอนกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปแล้ว….

ไอ้ประโยคนี้ลอยวนเวียนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง และผมรู้สึกว่าอาการปวดหัวของตัวเองที่ทรมานอยู่แล้วยิ่งแย่ลงไปใหญ่ ผมต้องการยาไทลีนอลที่มีส่วนผสมของโคดีนช่วย คืนนี้ผมต้องการมันแน่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยลดไปใช้อะไรที่เบากว่านั้น

ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ๆ ก็มีสัมผัสอ่อนนุ่มแนบติดลงบนริมฝีปากของผม นั่นทำเอาผมสะดุ้งเฮือก มือเอื้อมไปกระชากผ้าสีขาวที่พาดตาของตัวเองอยู่ออกอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้ไปมองเจ้าตัวแสบที่ส่งยิ้มหวานมาให้หน้าตาเฉย ไอ้บ้าเอ๊ยยย นี่คิดว่าเรื่องนี้มันตลกนักเหรอ

“ตกใจอะไรขนาดนั้น” เจ้าตัวว่ายิ้มๆ พร้อมกับยื่นนิ้วชี้และนิ้วกลางที่แนบติดกันสองนิ้วมาตรงหน้าผม “ไอ้นี่ต่างหากล่ะ ไม่ใช่ปากฉัน เมื่อกี้สะดุ้งซะสุดตัวเลยนะ คุณพี่”

“เล่นอะไรบ้าๆ!” คราวนี้แหละ ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนโลดแล่นเข้ามาในหัวราวกับมีคนฉายหนังย้อน โอ๊ย… ไม่นะ ไม่ๆๆๆๆ

“งั้นฉันไปเตรียมน้ำให้นายก่อนละกัน ส่วนเรื่องจูบ ถ้านายอยาก เดี๋ยวจะบริการพิเศษ ถึงใจกว่าแค่จูบนิ้วฉันแน่นอน” พูดจบ เจ้าตัวก็เลื่อนิ้วทั้งสองนั้นไปทาบริมฝีปากของตัวเอง ไม่รู้ทำไม แต่นั่นทำให้ผมหน้าแดงเถือกขึ้นมาทันที

“ไอ้บ้า หยุดเล่นอะไรบ้าๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ!” พูดพลางโยนหมอนอิงบนโซฟาใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวหัวเราะหลังจากที่เคลื่อนตัวหลบทันได้อย่างสวยงาม จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดบ้านไปเพื่อไปเตรียมใส่น้ำลงอ่าง

เฮ้อ…. ปวดหัว ยาอยู่ไหนเนี่ย เดี๋ยวค่อยบอกให้ไอ้หมอนั่นเอามาให้ทีหลังก็ได้มั้ง

หลังจากที่จัดการอาบน้ำ แช่น้ำจนสบายตัวขึ้นแล้ว ผมก็กลับออกมานอนคว่ำหน้าลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า เป็นจังหวะเดียวกับที่โลแกนเปิดประตูห้องพรวดเข้ามา ในมือมีถาดที่ใส่ถ้วยข้าวต้มสองถ้วยใหญ่อยู่ในนั้น อ่า น้องรักช่างรู้ใจ (พอแบบนี้ล่ะ น้องรักเชียว) คนกำลังหิวอยู่พอดีเลย กินข้าวเสร็จจะได้กินยา แล้วก็นอนหลับพักผ่อน

“เออ ลิซ่าส่งอีเมล์มาเมื่อวันก่อน” โลแกนพูดอย่างนึกขึ้นได้ขณะที่มือเอื้อมไปกดรีโมตหาช่องรายการสนุกๆ ดู

“นายต้องเรียกเขาว่าน้าลิซ่าสิ เรียกชื่อห้วนๆ ได้ไง”

“ลิซ่าท้องแล้วนะ รู้รึเปล่า”

ผมหันขวับกลับไปมองคนข้างตัวทันที ตาเบิกกว้างขึ้น

“จริงดิ?”

“อืม”

“ทำไมนายไม่บอกฉันวะ”

“ลืม” เจ้าตัวพูดหน้าตาเฉย “แต่ก็บอกอยู่นี่ไง”

ขอบใจ

“งั้นเราคงรบกวนเรื่องเงินของน้าขนาดนี้ไม่ได้แล้ว” ผมพูดอย่างกังวล โลแกนหันกลับมามองผมนิดหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้าแบบเดียวกับผมฉายแววครุ่นคิด

“นายคิดมากเรื่องนั้นจริงๆ สินะ”

“ก็แหงสิ”

ทันใดนั้น น้องชายผมก็ทำเรื่องที่ผมไม่คิดว่ามันจะมาก่อนในชีวิต นั่นคือเอื้อมมือมาบีบมือผมแรงๆ จากนั้นก็ปล่อยออก ผมเบิกตากว้างขึ้นจนตาแทบจะถลนออกมา แต่เจ้าตัวดีหันหน้าหนีไปดูทีวีต่อหน้าตาเฉย ผมหรี่ตาลงมองมันนิดหนึ่ง

“วันนี้นายแปลกๆ ไปจริงๆ นะ โลแกน”

“มีวันไหนที่ฉันไม่แปลกด้วยเหรอ” เจ้าเด็กนรกหันมายิ้มฉ่ำ “สำหรับนาย”

เออ จริงของมัน

“แต่วันนี้นายแปลกแบบน่ากลัวๆ จริงๆ นะ”

“อืม” คนโดนหาว่าแปลกครางในลำคอ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อดทนอีกนิดนะ ลูคัส”

คราวนี้แหละ ทำให้ผมแปลกใจมากๆๆๆๆๆ จริง

“อดทนอะไร”

“เรื่องเงินไง”

“นายจะทำอะไร โลแกน”

“ตอนนี้ฉันกำลังรับทำงานพิเศษ” โลแกนว่าขณะตักข้าวต้มข้าวปาก สีหน้าชั่งใจก่อนจะพูดออกมาสั้นๆ “บางอย่าง”

“บางอย่างอะไร” ผมรีบคาดคั้นทันที “นายทำงานพิเศษอะไรอยู่ โลแกน ฉันนึกว่านายทำอยู่ที่ร้านซับเวย์ซะอีก”

“ฉันเพิ่งลาออกจากที่นั่นไป”

“แล้วนายกำลังทำอะไร”

คนข้างตัวผมหันมายิ้มให้นิดหนึ่ง ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง “ความลับ”

“โลแกน” ผมพูดอย่างร้อนลน ความลับอะไรทั้งหลายทั้งปวงของไอ้นี่ไม่เคยใช่เรื่องดี แต่เจ้าตัวแสบลุกขึ้นยืน เตรียมเอาชามเปล่าลงไปไว้ที่อ่างจานด้านล่างแล้ว “นายกำลังทำอะไร คงไม่ได้ทำเรื่องอะไรไม่ดีอยู่ใช่ไหม”

“แหม พูดจาแบบนั้นใจร้ายจัง” เจ้าตัวว่าพร้อมกับแสร้งเอามือกุมอก ทำเหมือนจะขาดใจรอนๆ ไอ้ตอแหลเอ๊ย

“อย่าบอกนะว่านายจะไปไถตังค์คนอื่น”

“โอ๊ย ทำแบบนั้นจะได้สักเท่าไรเชียว” เจ้าตัวหัวเราะร่า แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะบอกความจริงให้ผมฟังสักที ผมเริ่มร้อนใจแล้วก็กังวลขึ้นมาจริงๆ แล้วนะ

“นายปล้นธนาคารไม่ได้นะ!!”

คราวนี้แหละ โลแกนระเบิดหัวเราะลั่นออกมาทันที

“จะบ้าเรอะ ลูคัส ฉันยังไม่ได้จนตรอกขนาดนั้น”

“จะไปรู้นายเรอะ”

“เออ แต่พอนายพูดมาแบบนี้ จริงๆ ก็ฟังดูน่าสนใจ”

“โลแกน!!!”

หากน้องชายตัวดีของผมไม่แม้แต่จะหุบยิ้ม เจ้าตัวเลื่อนมือขึ้นมาเชยคางผม จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมาจูบลงบนริมฝีปากของผมอย่างรุนแรง ผมชะงักไปทันทีพร้อมกับหลับตาปี๋ ไม่ล่ะ ผมทนดูไม่ได้ กับคนที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับผมอย่างไอ้หมอนี่เนี่ยนะ? ไม่… ไม่นะ…

ลิ้นร้อนถูกสอดเข้ามาอย่างรุนแรงและโหยหา ผมได้ยินเสียงมันวางถ้วยชามที่ถือไว้ในมือเมื่อครู่ลงบนโต๊ะ จากนั้นเลื่อนมือข้างหนึ่งมายึดไว้ที่หลังท้ายทอยของผม มืออีกข้างวางลงบนเอวที่ดันตัวผมให้เข้าไปแนบชิดกับมันมากขึ้น ผมรู้สึกว่าเนื้อตัวบริเวณที่ได้สัมผัสกับมันร้อนวูบวาบขึ้นแม้มันจะถูกขวางกั้นด้วยเนื้อผ้าที่เราสวมใส่กันอยู่ก็ตาม

ไม่นะ ไม่ดีแน่… แบบนี้ไม่ดีแน่ ไม่นะ…

“อื้ม…” ผมรู้ตัวนะว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ดี แล้วก็ควรจะรีบหยุดมันไว้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป แต่… จะว่ายังไงดีล่ะ อีกใจหนึ่งผมมันก็ร้องบอกว่าทุกอย่างมันสายเกินไปตั้งแต่ขึ้นเตียงกับหมอนี่แล้ว แล้วนี่แค่จูบเนี่ยนะ… มามัวดึงดันตอนนี้จะช่วยอะไรได้?

ผมปล่อยให้โลแกนทำอย่างที่เจ้าตัวอยากจะทำ นั่นคือการไล้สันจมูกลงบนแก้มผม เลื่อนต่ำลงมาจนถึงซอกคอ ลมหายใจร้อนของหมอนี่กำลังทำให้ผมวูบวาบขึ้น

โอเค ผมรู้ล่ะ มันไม่โอเคตั้งแต่ที่ผมวูบวาบนี่แหละ และผมต้องหยุดมัน

เดี๋ยวนี้เลย

ผมรวบรวมแรงกำลังของตัวเอง ผลักบ่าของคนตรงหน้าออกไป โลแกนเลิกคิ้วมาให้ผมเหมือนงงเสียเต็มประดาว่าผมทำแบบนั้นทำไม ขอบใจนะ พ่อสมองทึบ บางทีก็สงสัยว่านี่นายเป็นฝาแฝดฉันจริงๆ รึเปล่า ทำไมเรื่องที่ไม่ควรโง่ถึงได้โง่จัง

“ฉันบอกแล้วไงว่าเราจะไม่ทำกันอีก”

“ทำไมล่ะ”

ผมยักไหล่ “มันไม่ดี”

“แล้วมันสนุกไหม”

คำถามนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นจริงๆ โลแกนถามย้ำ

“นอนกับฉัน สนุกไหม”

เอ่อ ฮัลโหล หวังจะได้คำตอบอะไรจากคำถามนั้นเหรอ ถามจริง?

“มันก็… สนุกมั้ง” ผมถอนหายใจเฮือก ก่อนจะไหวตัวทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า ชิบหายล่ะ หรือว่าผมไม่ควรตอบแบบนั้นนะ “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะนอนกับนายอีกนะ เรื่องความสนุกเนี่ย บางทีมันก็ควรมาพร้อมกับคำว่าศีลธรรม”

“นายไม่มีทางท้องได้อยู่แล้ว” โลแกนพูดหน้าตาเฉย ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ไม่พอ เลื่อนมือมาลูบไล้ใบหน้าของผม จากนั้นก็เริ่มสอดมือลงใต้เสื้อ เป็นสัมผัสวาบหวามที่บอกอย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวคิดจะทำอะไรต่อไป “และถ้ามันสนุก ก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายเลยไม่ใช่เหรอ”

“ไม่…”

“นายนอนกับฉันมารอบหนึ่งแล้ว” เจ้าตัวดีว่าต่อ ก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหู “ครั้งที่สองที่สาม มันก็ไม่ต่างกันหรอก”

โอ๊ย… ปัดโธ่โว้ย..!!

“นี่ ลูคัส”

“อะ!!” ผมสะดุ้งเฮือกทันทีเมื่อเจ้าตัวไล้ฝ่ามือลงบนท่อนล่างของผม โลแกนไม่พูดอะไรต่อจากนั้น แต่แววตาของเจ้าตัวสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องการอะไรต่อจากนี้
 
มันอยากจะนอนกับผม… เอาจริงสิ มันเกิดขึ้นไปครั้งหนึ่งแล้วนะ และนี่ก็กำลังจะเป็นครั้งที่สอง… ถ้าเป็นแบบนั้น… มันไม่มีทางย้อนกลับไปได้อีกแล้วนะ

ผมหลับตาลง ปล่อยให้คนตรงหน้าโน้มหน้าลงมาจูบริมฝีปากผมอีกรอบอย่างนุ่มนวล หอมหวาน และโหยหา

โอเค… ก็ได้… แบบนั้นก็ได้

“ฉันมีเงื่อนไขอย่างเดียว” ผมว่าหลังจากที่มันผละริมฝีปากออกไปอย่างเชื่องช้า โลแกนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“อะไร?”

“นายต้องหาอะไรมาปิดตาฉัน”

“หา??” คนตรงหน้าพูดเสียงดังขึ้นนิดหนึ่ง “นายจะบอกอะไร หน้าตาฉันมันแย่จนนายไม่อยากมองเรอะ หน้าตาอันแสนหล่อเหลาของฉันมันก็เหมือนกับหน้านายนะโว้ย”

“ก็เพราะมันเหมือนกันน่ะสิ!! ถึงได้ไม่อยากมอง เจ้าบ้า!!” แค่นี้ก็ต้องให้บอกอีก!! แล้วไอ้บ้านี่ไปติดนิสัยหลงตัวเองจากใครมา ถามจริง?

“ทำไม” แน่ะ ดูมัน ยังจะถาม

ผมขมวดคิ้วมุ่นใส่มัน ก่อนจะก้มหน้า หลุบตาลงต่ำลงแล้วพูดเสียงเบา

“ก็มัน… น่าขยะแขยง”

สิ้นคำพูด ผมก็รู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศรอบตัวของไอ้หมอนี่เย็นยะเยือกลงทันที ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออึกอย่างเกรงๆ โลแกนเดินผละจากตัวผมไปก่อนจะกลับมาพร้อมเนคไทเส้นที่มันให้มัดมือผมเมื่อคืน เดี๋ยวๆๆๆ ไม่เอาแล้วนะ แล้วนี่ร่างกายผมยังระบมอยู่เลยนะเฟ้ย

“หลับตา”

“หะ?”

“เร็วๆ”

ผมตามที่มันบอกจนได้ โลแกนทาบเนคไทเส้นนั้นลงมา ผูกไว้ที่ด้านหลังศีรษะของผมแน่น จากนั้นก็โน้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหู

“เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหม?”

อืม… มันก็…

“อุบ…” คนตรงหน้าเลื่อนริมฝีปากลงมาปิดปากผมอีกครั้งอย่างรุนแรง พร้อมๆ กันนั้นก็ดึงตัวผมไปแล้วดันลงบนเตียงจากนั้นก็ปีนขึ้นคร่อมลงมาแล้วทาบจูบร้อนแรงลงมาอีกรอบ

จูบที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะละลายได้

โอเค… ก็ได้ มันคงสายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ

มันไม่มีทางย้อนกลับไปได้อีกแล้วตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืน

เยี่ยมเลย...






----------------------------------
Talk: แหม มีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งที่สองและที่สามเนอะ ถถถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 9) P.1 [7/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-02-2017 16:13:14
โลแกน ลูคัส  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
พวกที่รังแกลูคัส ไม่รู้จักกิติศัพทืโลแกนเลยสินะ
อืม.....แล้วลูคัสจะอยู่ยาก หรือ สบายขึ้นหรือเปล่านะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 9) P.1 [7/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-02-2017 18:18:22
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 9) P.1 [7/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 07-02-2017 19:46:16

บทที่ 10

(Mode: Logan Collins)




บนโลกนี้นี่ช่างมีอบายมุขและสิ่งชักนำอยู่มากมายเหลือเกิน

นั่นคือความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวสมองของผมขณะที่ทอดสายตามองกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่มีอายุไล่เลี่ยกับผม บ้างก็มากกว่า บ้างก็น้อยกว่า หรือเท่ากันก็มี

ตอนนี้ผมอยู่ในโกดังแห่งหนึ่งที่ถูกปล่อยให้ทิ้งร้างมานานและเป็นที่รวมตัวกันของพวกเด็กใจแตกที่ชอบมามั่วสุมทำเรื่องชั่วๆ ที่มาตรากฎหมายสั่งห้าม และแน่นอนว่าในสถานที่อันเป็นมุมมืดของสังคมเมืองแบบนี้ การทำเรื่องชั่วช้ามักไม่ได้มากับคนคนเดียว

ผมยกยิ้มบนมุมปากขณะที่มองเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ดูจากหน้าตาแล้วคงอายุไม่เกิน 15 ที่กำลังสูบกัญชาด้วยบารากู่หรือหม้อสูบยาที่มีหัวต่อแยกออกไปอีกอีกสองสาย รวมกันแล้วก็เป็นสามสาย สรุปแล้วก็คือมีวัยรุ่นชายสามคนกำลังเสพสารเสพติดที่มีโทษด้านกฎหมายนี่พร้อมๆ กันถึงสามคนในคราวเดียว

โธ่เอ๊ย… ก็เพราะมนุษย์มันลุ่มหลงอะไรแบบนี้ได้ไง ถึงได้โดนสิ่งชั่วร้ายครอบงำได้ง่ายนัก

ผมลอบคิด จะว่ามันเป็นเรื่องดีมันก็เป็นเรื่องดี… สำหรับพวกผมน่ะนะ ผมก้มลงมองจี้ห้อยคอซึ่งเป็นไม้กางเขนกลับหัวที่ทำจากแสตนเลสน้ำหนักเบาที่มักห้อยติดคอไว้ประจำ บางวันก็เอาออกมานอกเสื้อบ้าง บางวันก็ใส่เก็บไว้บ้าง นี่ที่ผมทำแบบนี้เพราะผมให้เกียรติพ่อของผมนะ ไม่ใช่เพราะอยากโชว์พาวว่าตัวเองเป็นเด็กนอกคอกหรือเด็กที่อยากทำตัวแหลกเหลว อะไรแบบนั้น

ชายคนหนึ่งที่ดูอายุมากที่สุดในเจ้าสามคนที่สูบไอ้เครื่องนั่นอยู่ลุกขึ้นมาจากตรงนั้น พ่นควันสีขาวออกมาพร้อมกับครางในลำคออย่างพึงพอใจ จากนั้นเจ้าตัวก็ย่างฝีเท้าเข้ามาหาผมซึ่งนั่งพิงผนังอยู่ในมุมของตัวเอง

“นายอยากลองไหม โลแกน”

“หืม ไม่เป็นไรหรอก ตามสบายเลยเพื่อน” ไม่ใช่ว่าพวกนายกลัวว่าไอ้สารเสพติดที่พวกนายคลั่งไคล้นักหนาจะหมดก่อนเวลาอันควรหรอกเรอะ

“อย่าเกรงใจไปเลยน่า” เจ้าตัวว่าพร้อมกับฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นจากพื้นตรงนั้น แน่นอนล่ะว่ามันน่ารำคาญ แต่ในเมื่อบางสถานการณ์ผมไม่มีตัวเลือกอื่นผมก็ต้องยอมทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมนั่งลงในวงที่มีคนกำลังสูบกัญชาจากกระบอกสูบยานี่อีกสองคน คนหนึ่งตาลอย เคลิ้มไปกับภาพหลอนที่ฤทธิ์ยาหมุนวนอยู่ในสมอง ส่วนอีกคนกำลังพ่นควันฉุยออกมาทางปาก จากนั้นก็หัวเราะคิกคักอย่างกับคนบ้า

โอเค งั้นผมก็เป็นคนบ้าคนที่สาม ยินดีที่ได้รู้จักนะ พวกนาย

ผมหยิบทิชชู่ที่อยู่แถวๆ นั้นขึ้นมาเช็ดตรงบริเวณที่สูบ ขอที ผมยังไม่อยากอมน้ำลายของไอ้เจ้าพวกนี้ ถ้าเป็นสาวๆ สวยๆ ล่ะก็อีกเรื่อง แต่กับกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ตาลึกโบ๋ ประสาทหลอนไปกับสารเสพติดพวกนี้… ขอทีเถอะน่า

ผมสูบสารที่ใส่อยู่ในตัวเครื่อง พ่นควันออกมาเบาๆ ปล่อยให้มันล่องลอยขึ้นบนอากาศโดยรอบอย่างอ้อยอิ่ง ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจมาจากโจ เจ้าขาโจ๋ที่คุมถิ่นแถบๆ นี้ มันเป็นผู้ชายอายุ 23 ปีได้ รูปร่างใหญ่โต กล้ามเป็นมัดๆ เทียบกับรูปร่างหุ่นที่ภายนอกดูเก้งก้างอย่างผมแล้ว ไม่ว่าใครต่อใครคงลงพนันข้างมันถ้าเกิดเราสองคนต้องสู้กันจริงๆ

หืม… แต่ผมไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะชนะพนันหรอกนะ

“ว่าไง ไอ้โลแกน เป็นไงบ้าง หมู่นี้มาบ่อยนะเรา” โจเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับตบบ่าจากด้านหลังป้าบๆ ผมยักไหล่ให้เจ้าตัวทีหนึ่ง

“ก็นะ อยู่ตรงนี้มันสนุกกว่านี่”

“โอ้โห เยี่ยมว่ะ งั้นก็เต็มที่ ไอ้น้องชาย ถ้าไม่พอ เดี๋ยวเอามาให้อีกถุง”

อีกสองคนที่กำลังเมามันกับเจ้าบารากู่นี่ส่งเสียงร้องอย่างดีใจ ผมผิวปากตอบให้โจไปทีหนึ่ง จริงๆ ไอ้กัญชาที่ผมเพิ่งเอาเข้าร่างกายตัวเองไปนี่ก็ไม่เลวนะ รู้สึกเคลิ้มๆ ดี ก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมใครต่อใครถึงได้ลุ่มหลงมันนัก

ผมผละออกจากกระบอกสูบยาอันนั้นเพื่อผลัดเปลี่ยนให้คนอื่นที่เวียนเข้าเวียนฐานแห่งนี้มาใช้แทน แน่นอนว่าผมเช็ดตรงปากที่เอาไว้สูบเรียบร้อยแล้ว ผมไม่อยากให้ใครมาอมน้ำลายผมพอๆ กับที่ไม่อยากอมน้ำลายคนอื่นนั่นแหละ

ผมผละไปนั่งคุยกับโจและพวกพ้องคนอื่นๆ ส่วนมากก็คุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปนี่แหละ ถึงจะลำบากหน่อยตรงที่สองในสามในวงสนทนาจะเมากัญชากันไปเรียบร้อยจนคุยกันแทบจะไม่รู้เรื่องแล้วก็ตาม

เสียงหัวเราะของผมผสมปนเปไปกับเสียงหัวเราะ พูดคุย ตะโกนโหวกเหวกของคนที่อยู่ในโกดังแห่งนี้คละเคล้าไปทั่ว ผมสังเกตเห็นว่าโจลุกออกจากวงสนทนาไปพร้อมกับลูกน้องที่มักจะตามขนาบเจ้าตัวตลอดอีกสองคน แต่แน่นอนล่ะว่าผมไม่ได้ตามพวกเขาไป

ผมเพิ่งเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ได้ไม่นานเท่าไร ยังไม่มีอภิสิทธิ์มากพอจะทำแบบนั้น ผมยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเลื่อนดูอะไรเรื่อยเปื่อยนิดหนึ่งเพื่อฆ่าเวลา ก่อนจะต้องไหวตัวเมื่อหนึ่งในผู้ติดตามของโจเดินมาสะกิดผม พยักเพยิดไปยังทิศทางที่โจเดินไป

“โจให้มาตาม”

หืม… นี่เป็นสัญญาณที่ดีหรือเปล่าเนี่ย

ผมก้าวเท้าออกไปยังพื้นที่ที่โจอยู่ ตรงนั้นเป็นมุมอับ แต่สถานที่ที่เป็นแหล่งมั่วสุมแบบนี้มักเป็นมุมอับอยู่แล้ว มีเด็กชายคนหนึ่ง ดูๆ แล้วน่าจะอายุไม่เกิน 16 สวมแว่นตา ท่าทางหงอๆ เจ้าตัวเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอะไรสักอย่าง และอะไรสักอย่างนี่ก็ยืนอยู่ข้างๆ ผมไง

“เฮ้ โลแกน ขอให้ฉันแนะนำเพื่อนใหม่เราคนนี้ให้นายรู้จักหน่อย” โจพูด เอื้อมมือไปตบบ่าไอ้เด็กหน้าหงอที่กำลังห่อไหล่อย่างน่าสงสาร ผมเพียงแค่ยกยิ้มแบบที่ตัวเองทำบ่อยๆ กลับไปให้จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม “ไอ้หมอนี่ชื่อทอมสัน อยู่โรงเรียนเดียวกับนายด้วยนะ รู้สึก”

“ไง” ผมทักทายเรียบๆ หากอีกฝ่ายตัวสั่นเทาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก็งี้แหละ เรื่องปกติ “แล้วเรามีธุระอะไรกับเขา?”

“หมอนี่มันเบี้ยวไม่จ่ายค่ายามาสองสัปดาห์แล้ว”

เห… เห็นหน้าติ๋มๆ แบบนี้ เล่นเกับเขาด้วยเหรอเนี่ย

“ดะ… ได้โปรดเถอะครับ ที่บ้านผมไม่ยอมให้ผมมา…”

“แกก็ต้องหาทางอื่นมาใช้หนี้สิวะ!” ลูกน้องอีกคนที่ใส่เสื้อสีเหลืองในชุดเอี๊ยมยีนส์รูปร่างท้วมตะโกนพร้อมกับกระชากคอเสื้อของทอมสันที่ตัวสั่นงกขึ้นมาเป็นเชิงข่มขู่ ยินดีต้อนรับสู่โลกอันธพาล

“สตีเว่น ไม่ต้อง” โจพูดเสียงเรียบ “ให้โลแกนจัดการ”

ผมเลิกคิ้วขึ้นทันที เป็นวินาทีเดียวกับที่ไอ้ชุดเอี๊ยม… ที่ผมเพิ่งรู้วันนี้แหละว่ามันชื่อสตีเว่นปล่อยมือออกจากคอเสื้อนั้น จากนั้นมันก็พยักเพยิดบอกให้ผมทำตามคำสั่งนั้นทันที

ผมเหลือบมองคนสั่งและลูกน้องของมันโดยไม่พูดอะไร แต่แค่มองตามัน ผมก็เข้าใจแล้ว การที่อีกฝ่ายสั่งให้ผมเป็นคนจัดการแบบนี้ มันย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าผมจัดการ มันจะไม่จบลงแค่บาดแผลฟกช้ำธรรมดาๆ ต้องได้เข้าโรงพยาบาลเป็นขั้นต่ำ และในขณะเดียวกัน ก็เพื่อทดสอบผมไปในตัวด้วย

ผมยกยิ้ม จากนั้นก็กระชากคอเสื้อของเด็กหนุ่มเคราะห์ร้ายที่อยู่ตรงหน้า

โทษทีว่ะ จริงๆ รังแกคนอ่อนแอมันก็ไม่สนุกหรอก

แต่ก็นะ… แกดวงซวยจริงๆ ว่ะ




 



ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ขยับตัวเพื่อให้กระเป๋าสะพายสีดำที่อยู่ด้านหลังเข้าที่ พวกคุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าผมมาหยุดยืนอยู่ที่ไหนในตอนนี้

สิ่งก่อสร้างที่อยู่ด้านหน้ามีป้ายเขียนแปะติดไว้ตัวเบ้อเริ่มว่าสถานีตำรวจ ที่นี่เป็นศูนย์กลางที่ค่อนข้างใหญ่ในตัวเมืองนี้ และจะบอกอะไรดีๆ ให้ ผมมาที่นี่ค่อนข้างบ่อยเลยล่ะ ในหลายๆ ความหมายน่ะนะ

ผมเดินตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์ด้วยความเคยชิน บอกชื่อของคนที่ต้องการพบ จากนั้นไม่ถึงห้านาทีต่อมาก็มีคุณตำรวจสาวในเครื่องแบบเดินมาหาผม หล่อนคงจะเป็นคนนำทางที่จะพาผมไปเจอกับผู้ชายคนที่ผมอยากเจอสินะ อ่า… คนนี้นี่ไม่เคยเห็นหน้านะ

“สวัสดี คุณคอลลินส์” หล่อนว่า เลื่อนมือมาข้างหน้า “ฉันแองเจลีน่า แกรนท์ เจ้าหน้าที่พิเศษที่จะมานำทางคุณไปหาคุณแมคโดเวลวันนี้”

ผมเลื่อนมือไปจับกับเจ้าหล่อน ให้ตาย สมัยนี้ตำรวจเขาคัดกันที่หน้าตาแล้วก็ทรวดทรงแล้วเหรอ ทำไมคุณตำรวจสาวคนนี้ถึงได้มีหุ่นที่เพอร์เฟคต์ได้ถึงขนาดนี้ แถมผมสีน้ำตาลที่ถูกมัดตึงเพื่อให้ดูเรียบร้อยนั่น ไม่ได้ลดความงามของแม่คุณลงไปเลย

น่าสนใจแฮะ สาวในเครื่องแบบเหรอ

คุณเจ้าหน้าที่พิเศษแกรนท์นำทางผมไปขึ้นลิฟท์ตัวเดิมเพื่อตรงไปยังห้องทำงานของคุณแมคโดเวลที่ว่า หญิงสาวข้าวตัวผมเหลือบมองการแต่งตัวของผมนิดหนึ่ง ผมก้มลงมองสภาพตัวเอง กางเกงยีนส์ขาดๆ ของไอ้ลูคัสที่ผมหยิบใส่มาเมื่อเช้า กับเสื้อยืดลายสกรีนเห่ยๆ ของไอ้ลูคัสอีกเช่นกัน ไอ้หมอนี่นี่ไม่รู้ยังไง แต่เลือกซื้อเสื้อผ้าแต่ละที เอ็งเลือกได้แค่นี้เหรอวะ

แต่ก็นะ มันก็ใส่สบายดี เพราะแบบนี้ บางทีผมก็เลยหยิบมาใส่บ้าง แต่ไอ้พี่บ้าผมชอบโวยวายว่าผมจะสวมรอยเป็นมันทุกทีเลย ผมหมายถึง… ผมคงไม่สวมรอยเป็นไอ้เห่ยอย่างมันตลอดเวลาหรือว่าทุกวันหรอกน่า ใช่ม้า?

ผมก้าวเท้าเข้าไปในตัวห้อง ชายสูงวัยที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะมีเส้นผมสีขาวทั้งหัว หากใบหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง ร่างกายและสุขภาพก็ยังดูแข็งแรงดี บ่งบอกให้เห็นว่าเจ้าตัวคอยดูแลเอาใจใส่ตัวเองอยู่เสมอ

ผมตรงดิ่งไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของชายผู้นั้น จากนั้นก็เริ่มเปิดกระเป๋า หยิบแฟ้มเอกสารทั้งหลายทั้งปวงออกมาวางบนโต๊ะ

“คุณแมคโดเวลคะ” แกรนท์ที่ยืนอยู่ด้านหลังผมเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ “ช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ว่าเด็กคนนี้เป็นใครกันแน่”

“เด็กเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว ส่งยิ้มยียวนไปให้พี่สาวคนสวยตรงหน้าทันที “ผมไม่เด็กแล้วนะครับ คุณผู้หญิง จะ 18 อาทิตย์หน้าแล้ว”

แกรนท์ขมวดคิ้วฉับ บ่งบอกว่าไม่รับมุกตลก

“คุณมีธุระอะไรกับเด็กคนนี้กันแน่คะ”

“ใจเย็นๆ ก่อน แกรนท์” แมคโดเวลพูด หยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมก่อนจะพลิกดูเอกสารที่ผมเพิ่งวางลงตรงหน้าอย่างพิจารณา “นี่ โลแกน คอลลินส์ เขาทำงานเป็นสายให้เรา”

ผมหันไปส่งยิ้มหวานให้พี่สาวที่ตอนนี้ทำหน้าบึ้ง ไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน แหม ดีจริง กำลังอยากได้ความตื่นเต้นท้าทายอยู่พอดี เท่าที่ผ่านมาเจอแต่แบบ... เห็นหน้าผมแล้วก็ส่งยิ้มหวานให้ พอผมชวนคุยก็ตอบรับหวานๆ อะไรแบบนี้ บางทีชีวิตคนเราก็ต้องการหลายรสชาติ

“ทำไมเราต้องให้เด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นสายให้เราด้วยคะ?”

“เขาเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ภายใต้ความดูแลของหน่วยคุ้มกันพยาน”

คำพูดนั้นทำเอาเจ้าหน้าที่แกรนท์ชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะเลิกคิ้ว “เด็กคนนี้น่ะเหรอ”

“ครับผม” ผมส่งยิ้มหวานให้ ก่อนจะหันไปหาชายตรงหน้า “ทำไมคุณแมคโดเวลไม่เอาแฟ้มประวัติผมให้คุณเจ้าหน้าที่พิเศษดูล่ะฮะ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาอธิบายอะไรกัน”

แมคโดเวลทำตามที่ผมพูด นั่นคือส่งแฟ้มประวัติของผมไปให้หญิงสาวตรงหน้า เจ้าหล่อนพลิกๆ ดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนสีหน้าดุเข้มนั่นจะอ่อนลง ก็นะ… ใครต่อใครก็รู้สึกแบบนั้นทั้งนั้นแหละ ถ้าได้รู้ประวัติของผมกับลูคัสสมัยยังเด็ก แต่ถ้าถามผม… เอาจริงนะ ผมไม่เสียใจหรืออาลัยอาวรณ์อะไรหรอก ไม่แม้แต่จะเจ็บปวด ไม่คร่ำครวญหรือโหยหา

แต่ผมคิดว่าลูคัสมีทุกอย่างที่ผมกล่าวมา เพียงแต่อารมณ์ความรู้สึกพวกนั้นมันถูกฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของหมอนั่นและยังไม่มีอะไรไปกระตุ้นให้มันแสดงออกมาเท่านั้นเอง

แต่ผมไม่เหมือนกับลูคัส

ผมไม่ใช่มนุษย์แบบหมอนั่น

ในที่สุดเจ้าหน้าที่พิเศษสุดสวยก็ปิดสมุดลง เจ้าหล่อนมองมาทางผมด้วยสายตาเห็นใจมากขึ้น

“มันคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก…”

“แกรนท์” แมคโดเวลพูดเป็นเชิงปราม แต่เหมือนหญิงสาวจะหยุดไม่ได้

“ต้องเห็นพ่อกับแม่ตัวเอง…”

“แกรนท์ พอได้แล้ว” แมคโดเวลเอ่ยย้ำ เจ้าหล่อนจึงยอมหุบปากเงียบลงไปในที่สุด

ใช่… ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ต่างกลัวว่าผมจะเสียใจหรือสะเทือนใจหากไปแตะต้องมัน แต่ว่ากันตามตรงนะ ผมไม่รู้สึกอะไรสักนิดเดียว






-------------------------------------------
Talk: มุมลูคัสมาหลายตอนล่ะ มาดูมุมโลแกนกันบ้างเนอะ XD
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกันนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 10) P.1 [7/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-02-2017 02:25:13
 :a5:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 10) P.1 [7/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 08-02-2017 10:49:22
บทที่ 11

(Mode: Logan Collins)





“แล้วเด็กคนนี้กำลังสืบเรื่องอะไรให้เราอยู่เหรอคะ” เจ้าหน้าที่แกรนท์เอ่ยถามต่อ แมคโดเวล หรือก็คือเจ้าหน้าที่พิเศษระดับสูงที่เป็นผู้รับผิดชอบผมหยิบปึกเอกสารที่ผมเพิ่งเอาออกมาวางไว้ตรงหน้ายื่นให้เจ้าหล่อนดู

ตำรวจสาวรับไปดูก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นขึ้น จากนั้นก็อุทานออกมาเบาๆ

“เรื่องยาเสพติดหรือคะ”

“ใช่แล้ว”

แกรนท์ทำหน้าบึ้งทันที “เราเองก็มีหน่วยงานของเรา…”

“แต่ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นที่มีอายุไล่เลี่ยกับพวกเขา เราจะสามารถสาวไปถึงตัวคนที่บงการยักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมดได้ง่ายกว่านะครับ คุณเจ้าหน้าที่พิเศษ” ผมพูดขัด และเมื่อเจ้าหล่อนหันกลับมามองผมด้วยสายตาขวางๆ เพราะไม่ชอบใจที่โดนพูดแทรก ผมจึงยกยิ้มหวานที่กระชากใจสาวๆ มาได้แล้วนักต่อนัก

“ยังไงไม่ทราบ” หล่อนถามเสียงห้วน บ่งบอกให้รู้ว่าถึงเจ้าหล่อนจะรู้สึกสงสารผมเพราะอดีตที่ถูกระบุอยู่ในแฟ้มนั่น เจ้าหล่อนก็ยังตั้งแง่กับเด็กวัยรุ่นที่ดูไม่ได้เรื่องได้ราวอย่างผมอยู่นั่นเอง

“ผมสามารถทำให้พวกเขาไว้ใจได้” ผมว่า เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมพูดกับแมคโดเวลาครั้งแรกก่อนที่ชายสูงวัยเบื้องหน้าจะยอมรับในตัวผมและให้ผมมีเอี่ยวในคดีส่วนนี้ด้วย “ผมกลมกลืนไปกับพวกเขา เป็นหนึ่งในพวกเขา รับรู้ข้อมูลทุกอย่างอย่างที่พวกเขารู้ได้ และระหว่างที่ผมเก็บข้อมูลพวกนั้นมา ผมก็เอามาเล่าต่อให้พวกคุณรู้ได้ยังไงล่ะครับ”

“แต่งานของเขาค่อนข้างเสี่ยง” แมคโดเวลว่าหน้าเครียดขึ้นเล็กน้อย “แต่เท่าที่ผ่านมา คุณคอลลินส์ก็แสดงให้พวกเราเห็นว่าเขาทำได้ดี ข้อมูลที่เขาเก็บมาก็ถูกต้อง ถ้าเรายังให้เขาเก็บข้อมูลแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราอาจสาวไปถึงคนที่บงการอยู่เบื้องหลังทั้งหมดเลยก็ได้”

ผมหันไปยักคิ้วให้อีกฝ่ายที่ตั้งป้อมต่อต้านเหมือนจะอวดว่าแม้แต่คนที่ตำแหน่งสูงกว่าเจ้าหล่อนยังมองเห็นความสามารถในตัวผม… ยังยอมรับในตัวผมเลย และนั่นทำเอาเจ้าหน้าที่คนสวยหันหน้าขวับหนีไปทันที ว้า สงสัยจะภูมิต้านทานต่ำ มองคนหล่อนานๆ ไม่ได้

“ทำไมรอบนี้ถึงไม่ส่งข้อความมาบอกก่อน” แมคโดเวลเอ่ยถามผมขณะเก็บรวบรวมแผ่นกระดาษที่ผมพึ่งยิ่นส่งให้ ในน้ำเสียงนั้นแฝงแววตำหนิปนมา ผมเลยยักไหล่ให้เจ้าตัวนิดหนึ่ง

“บังเอิญผมผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะมา ถ้าคุณไม่อยู่ ผมค่อยมาวันหลังอีกก็ได้ ไม่เดือดร้อนอะไร”

“ให้เด็กที่ไม่ได้รับการฝึกฝนแล้วก็ไม่มีประสบการณ์ภาคสนามทำงานแบบนี้มันอันตรายนะคะ” แกรนท์เอ่ยขึ้นมาอีกรอบ ทั้งผมและชายอีกคนหันขวับไปมองเจ้าหล่อนทันที ผมส่งยิ้มพรายให้อีกฝ่าย หากพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“ผมเอาตัวรอดได้น่า คุณเจ้าหน้าที่พิเศษแกรนท์”

“ใช่สิ จนกว่านายจะโดนลูกตะกั่วเจาะหัว นายก็ยังพูดแบบนั้นได้อยู่นั่นแหละ นายไม่รู้ตัวหรอกว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร”

“อ้อ แน่นอน ผมรู้ตัวสิ” ผมพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งขึ้น ชักเริ่มรำคาญกับคนที่พูดจาไม่รู้เรื่องขึ้นมาทุกทีๆ “คุณกำลังจะพูดถึงมาเฟียที่ทรงอิทธิพลที่สุดแถวนี้ใช่ไหม ผมรู้ดีว่าเรื่องยาเสพติดยิบย่อยพวกนี้ต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขา ไม่มีทางที่อยู่ๆ มันจะโผล่ขึ้นมาเฉยๆ หรอก”

“คนพวกนั้นสั่งฆ่าคนได้เหมือนสั่งขี้มูก” ตำรวจยกมือขึ้นมาเท้าเอว หลุดมาดเรียบร้อยที่ควรทำต่อหน้าผู้ที่มียศสูงกว่าไปอย่างเผลอตัว “หวังว่านายเองก็รู้เรื่องนี้ด้วยนะ”

“เพราะแบบนั้นผมถึงได้อยู่ในการดูแลของหน่วยพิทักษ์พยานไงครับ” ผมพูดยิ้มๆ ไม่เกรงกลัวท่าทีท้าทายของหญิงสาวตรงหน้าสักนิด

“เอาล่ะ ทั้งสองคน” แมคโดเวลาพูดขึ้นในที่สุด “ผมคงต้องขอตัวไปประชุมก่อนแล้ว เพราะการพบปะกับคุณคอลลินส์วันนี้ไม่ได้อยู่ในกำหนดการ หวังว่าคราวหน้าคุณจะติดต่อมาบอกผมล่วงหน้าก่อนนะ”

“ไม่มีปัญหาครับ” ผมรับคำ หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายหลัง “งั้นเอาไว้ค่อยพบกันใหม่แล้วกัน อ้อ คุณเจ้าหน้าที่พิเศษจะลงไปส่งผมข้างล่างใช่ไหมฮะ งั้นดีเลย รบกวนหน่อยนะครับ”

พี่สาวคนสวยส่งสายตาเขียวปั้ดกลับมาให้ผม แหม… ทำตัวดุจังน้า… ผมนี่กลัวจนขาสั่นไปหมดเลย







 ผมกลับมาถึงบ้านในเวลาที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว ได้ยินเสียงเปียโนไฟฟ้าราคาถูกที่น้าของผมและลูคัสเป็นคนซื้อมาให้เจ้าตัวตั้งแต่สมัยยังเด็กดังแว่วมาทันทีที่เดินผ่านประตูรั้วบ้านเข้ามา

ผมเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้าน ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ถึงแม้มันจะมีสองชั้นก็ตาม ห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่งถูกรวมไปกับโต๊ะกินข้าวและครัวที่ถูกกั้นเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน ผมวางกระเป๋าของตัวเองลงในขณะที่สายตายังไม่ละออกจากลูคัสที่กำลังพรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนสีขาวดำสลับกันไปมาอย่างมีสมาธิ

เปียโนไฟฟ้าซึ่งเป็นเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวในบ้านมีสภาพค่อนข้างเก่า เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน และผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมายังมีบางคีย์ที่เพี้ยนไปบ้างตามสภาพของของราคาถูก แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มที่กำลังบรรเลงเพลงโดยมันก็ยังจดจ่ออยู่ที่มันโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่เพิ่งเปิดประตูเข้าบ้านมา

อืม… หรือบางทีมันอาจจะไม่รู้ตัว? แต่เฮ้ย… ขนาดนี้ไม่รู้ตัวก็แย่แล้ว ขืนนี่ไม่ใช่ผมแต่เป็นโจรเข้าบ้านมา ป่านนี้ก็ขนของออกไปเกลี้ยงแล้วมั้ง ถึงหมอนี่จะรักในการเล่นเปียโนขนาดไหน แต่ถ้าไม่สนใจอะไรเลยแบบนี้ก็แย่เหมือนกันนา

แบบนี้ต้องสั่งสอน…

ผมลอบคิดอย่างนึกสนุก เดินไปผ้าสีขาวที่พาดอยู่แถวๆ โวฟาขึ้นมาถือไว้ในมือ ย่องไปด้านหลังของเจ้าตัวที่ยังคงบรรเลงเพลงเสียงหวานใสที่กำลังเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ตามท่อนที่ลูคัสเล่นไป

ผมยกยิ้มหวาน จากนั้นก็พูดเสียงดังให้แน่ใจว่าเจ้าพี่ชายฝาแฝดตัวดีได้ยิน

“ลูคัส!”

ลูคัสขมวดคิ้วมุ่นขึ้น ยอมหยุดปลายนิ้วที่สัมผัสกับคีย์ ก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมา แต่ผมไม่ปล่อยให้มันมองเห็นผมหรอก ผมยกผ้าที่ถือเอาไว้พาดลงบนตาของมันทันที ผูกผ้าผืนนั้นติดศีรษะของลูคัสไว้จากด้านหลัง และก่อนที่พี่ชายผมจะโวยวายอะไร ผมก็เลื่อนหน้าลงไปทาบจูบลงบนริมฝีปากของมันทันที

“!!!” ลูคัสสะดุ้งตัว จากนั้นก็พยายามดันบ่าของผมออกจากตัวมัน แต่แน่นอนล่ะว่าถ้าสู้กันเรื่องแรงเนี่ย ยังไงผมก็ชนะมันอยู่วันยังค่ำ

หมอนี่เองก็รู้เรื่องนั้นดีอยู่แล้ว ยังจะพยายามอีก ตลกจัง

“โลแกน!” ลูคัสโวยวายขึ้นทันทีที่ผมละริมฝีปากออก เจ้าตัวลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้ที่ดึงมาจากโต๊ะกินข้าว พยายามจะกระชากผ้าสีขาวที่ผมมัดปิดตามันไว้อยู่ออก แต่แน่นอนล่ะว่าผมไม่ปล่อยให้มันทำแบบนั้นได้ง่ายๆ หรอก

ผมเอื้อมมือไปยึดข้อมือทั้งสองข้างของคุณพี่ชายทันที

“นี่นายทำบ้าอะไรของนาย?” ลูคัสถามอย่างเหลืออด ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะดึงข้อมือทั้งสองข้างของคนตรงหน้าเข้ามาให้แขนของเจ้าตัวพาดอยู่รอบคอผม จากนั้นก็กระซิบที่ข้างหู

“ก็นายบอกว่าเงื่อนไขนายมีอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ” ผมพูดเสียงเบา จากนั้นก็เป่าลมหายใจต้นคออีกฝ่ายทีหนึ่ง ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งเฮือกทันที แต่ผมเห็นนะว่าหน้าของหมอนี่เริ่มแดงขึ้นน่ะ “ที่บอกว่าต้องหาอะไรมาปิดตานายตอนที่เราจะนอนด้วยกัน”

“แล้วใครจะนอนกับนาย”

“ก็นายไง” ผมแสร้งทำเสียงพิศวงรวนใส่มัน “ถามอะไรแปลกๆ ตอนนี้ในบ้านมีแค่เราสองคน ถ้าฉันไม่นอนกับนาย แล้วจะนอนกับใคร”

“แต่ฉันไม่มีอารมณ์” เจ้าตัวว่าพร้อมกับกัดฟันกรอด นั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาได้จริงๆ

“นี่นายคิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่” ผมว่าด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกชัดเจนว่าคิดจะทำอะไรต่อจากนี้ เลื่อมือไปเกลี่ยเส้นผมสีบลอนด์ทองที่บริเวรต้นคอของอีกฝ่ายนิดหนึ่ง สัมผัสได้ว่าเจ้าตัวสะดุ้งเบาๆ กับสัมผัสนั้น “เรื่องนั้นน่ะ ฉันจะเป็นคนจัดการให้นายเอง พี่ที่รัก ว่าแต่นายอยากจะอาบน้ำก่อนรึเปล่า”

ผมถามส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง แต่มือเลื่อนไปปลดเข็มขัดกางเกงของคุณตรงหน้าออกอย่างรวดเร็วแล้ว ด้วยระยะที่พวกเราสองคนห่างกันมันน้อยนิดทำให้ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังอึกจากลำคอของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน

อดไม่ได้ ต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อีกรอบ จริงๆ หมอนี่เป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวเองสูงนะ จะว่ายังไงดี เหมือนแบบ ใจหนึ่งก็อยากให้เราเป็นพี่น้องฝาแฝดกันแบบปกติ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากทำ อะไรทำนองนั้น

แต่… จะว่ายังไงล่ะ พวกเราสองคนไม่ได้เป็นพี่น้องฝาแฝดกันแบบปกติมาตั้งแต่แรกแล้ว ผมไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้จะอยู่ในร่างของมนุษย์ก็เถอะ

ลูคัสยังคงโอบแขนอยู่รอบคอผมทั้งๆ ที่ผมปล่อยข้อมือหมอนั่นไปตั้งนานแล้ว นั่นให้ผมยิ้มออกมาจริงๆ สงสัยจะเริ่มยอมรับตัวเองขึ้นมานิดหนึ่งแล้วแฮะ ยอมทิ้งเรื่องกรอบศีลธรรมจอมปลอมแล้วก็ไร้สาระนั่นไป แล้วก็นอนกับน้องชายตัวเองอย่างผม… หมอนี่ต้องรู้สึกทุกข์ใจอยู่ไม่น้อยแน่

แต่ใครสนกันล่ะ?

ผมซุกหน้าลงบนซอกคอขาวของอีกฝ่ายอย่างโหยหา ทั้งที่จริงๆ แล้วครั้งสุดท้ายที่พวกเราเพิ่งมีเซ็กส์กันมันเพิ่งเมื่อสองวันก่อน ที่ห้องน้ำของโรงเรียน

ทำในที่ที่มีใครผลุบๆ โผล่ๆ เข้ามาตลอดเวลาแบบนั้นมันเร้าอารมณ์จริงๆ นะ บางทีคราวหน้าผมน่าจะลองโน้มน้าวหมอนี่ดูอีกสักรอบ คราวก่อนถึงมันจะยอมแต่พอทำเสร็จแม่งก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่นั่น แถมยังสำทับด้วยว่าจะไม่มีวันทำที่โรงเรียนอีกเด็ดขาด

งั้นเรามาดูกันว่าผมจะสามารถเกลี้ยกล่อมไอ้หมอนี่ได้ไหม แต่เท่าที่ดูจากสถิติที่ผ่านมา ผมว่าผมก็น่าจะทำได้อยู่นะ

“อือ…” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับผมที่ตอนนี้มองไม่เห็นทัศนียภาพใดๆ ครางขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะเอียงคอขึ้น ปล่อยให้ผมเล้าโลมอยู่ตรงตำแหน่งนั้นอย่างว่าง่าย มือทั้งสองข้างกำเสื้อผมจากด้านหลังแน่นขึ้นตามแรงอารมณ์

อ่า… แย่ล่ะสิ มีอารมณ์ขึ้นมาจริงๆ แล้ว

ผมออกแรงดึงร่างของคนในอ้อมแขน พาเจ้าตัวไปนอนราบอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกที่ควบคู่กับห้องรับแขกไปด้วย ผมดันตัวขึ้นคร่อมร่างของอีกฝ่าย จากนั้นก็โน้มหน้าลงไปทาบจูบ สอดลิ้นเข้าไปในโพรงปากของคนด้านล่างอย่างชำนาญ

ลูคัสส่งเสียงครางในลำคอนิดหนึ่งแว่วมาให้ได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้นผมไม่ยอมละริมฝีปากออก ปล่อยให้หมอนั่นเอื้อมมือมาขยำคอเสื้อผมมากขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ คลายออกเพราะต้านทานสัมผัสของผมไว้ไม่อยู่

อยู่ๆ คำพูดที่หมอนี่พูดใส่หน้าผมก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้นในหัว… มันบอกว่าสาเหตุที่อยากให้ผมหาอะไรปิดตามันตลอดเวลาที่เราทำอะไรกันก็เพราะ…

มันน่าขยะแขยง...

โอ๊ย ขนาดตอนนี้มาย้อนคิดดูยังจี๊ดไม่หายเลย วอนหาเรื่องแล้วไหมล่ะ พี่ชายฝาแฝดผมคนนี้ มีอย่างที่ไหน มาว่าคนหน้าเหมือนตัวเองว่าหน้าขยะแขยง แถมปากก็พูดมา แต่ร่างกายนี่อ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลนทุกทีเวลาโดนผมสัมผัส

บอกแล้วไอ้หมอนี่มันมีความขัดแย้งในตัว ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้ตัวรึเปล่า

น่าขยะแขยงเหรอ...

ผมลอบคิดกับตัวเองขณะที่ผละจูบออกจากริมฝีปากของคนด้านล่างอย่างอ้อยอิ่ง ลูคัสสูดลมหายใจเข้าปอดทันทีที่มีจังหวะ จากนั้นเจ้าตัวก็หอบหายใจเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่อจนลามไปถึงใบหูด้านหลัง มือของหมอนี่ยังจับเสื้อผมไว้ไม่ปล่อยราวกับไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง ผมเดาว่ามันคงน่าหวาดเสียวเหมือนกันถ้าต้องโดนปิดตาไว้แบบนั้นแล้วโดนทำอะไรแบบนี้ไปด้วย

เงื่อนไขของนายนี่มันฆ่าตัวตายชัดๆ

ผมยกยิ้มอย่างสะใจ จากนั้นก็เลื่อนมือไปถกเสื้อยืดของหมอนี่ขึ้น ดึงกางเกงของเจ้าตัวออกแล้วโยนไปที่พื้น จากนั้นก็เริ่มลากปลายลิ้นลงลำคอของลูคัสอีกรอบ ไม่อยากจะบอกเลยว่ามีความสุขขนาดไหนตอนที่เห็นหมอนี่ดิ้นอยู่ในกำมือผม

เอาเลยลูคัส มีความสุขให้เต็มที่เลย

ผมยกยิ้มที่หมอนั่นคงไม่มีโอกาสได้เห็น

จากคนที่นายบอกว่าน่าขยะแขยงนี่แหละ



-------------------------------------

“อือ…” ลูคัสส่งเสียงครางออกมาเบาๆ ขณะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกอย่างเชื่องช้าเพื่อผ่อนคลายร่างกายตัวเอง ไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อคนด้านบนเลื่อนนิ้วเรียวลงที่ริมฝีปากเขาจากนั้นก็สอดเข้ามาในโพรงปากอย่างเชื่องช้า ลูคัสตวัดปลายลิ้นเลียนิ้วที่ถูกสอดเข้ามาในโพรงปากอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นโลแกนก็ผละมันออกไปแล้วเลื่อนมือข้างนั้นไปลูบไล้บนแกนกลางของร่างกายคนด้านล่างแทน

ลูคัสส่งเสียงครางออกมาอีกระลอกหนึ่ง ถึงเขาจะมองไม่เห็น แต่ก็รู้สึกได้ว่าน้องชายฝาแฝดของเขากำลังยิ้ม

“หน้านายแดงไปหมดแล้ว พี่ชาย มือฉันนี่มันรู้สึกดีขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ยะ… อย่าเรียกฉันว่าพี่นะ” ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ด้วยแล้ว เขารู้สึกหัวใจในอกข้างซ้ายมันเต้นระห่ำแปลกๆ “อะ… โลแกน ดะ… เดี๋ยว”

คนที่อยู่ด้านล่างสะดุ้งตัวอย่างตกใจเมื่อฝ่ามือที่ทาบอยู่บนส่วนกลางของร่างเขาไล้ต่ำลงไปเกลี่ยอยู่แถวๆ บริเวณช่องทางด้านหลัง โลแกนดันปลายนิ้วเข้าไปในนั้นนิดหนึ่งแล้วก็ถอนออก ทำแบบนั้นซ้ำไปมาเพื่อให้ร่างกายของอีกฝ่ายได้ปรับตัว ลูคัสหอบหายใจออกมานิดหนึ่ง

“ทะ… ทำไมนายต้องอยากทำกับฉัน”เขาถามอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะกระตุกตัวอีกเฮือกเมื่อคนด้านบนดันนิ้วเข้ามารวดเดียว ยื่งอยู่ในสภาวะที่มองอะไรไม่เห็นแบบนี้ยิ่งทำให้เจ้าตัวฟุ้งซ่าน ไม่รู้ว่าจะโดนคนตรงหน้าแกล้งอะไรบ้าง ลูคัสเอื้อมมือไปโอบรอบคอีกฝ่ายแน่นขณะเอ่ยปากต่อ “แฮ่ก… นาย… มะ… มีผู้หญิงที่นอนด้วยเยอะไม่ใช่หรือไง… อ๊ะ..!! ทำไม… ไม่เรียกมาสักคนล่ะ”

“หืม ทำไมน่ะเหรอ? ” โลแกนสอดนิ้วเข้าไปอีกนิ้ว ยึดท่อนขาข้างหนึ่งของลูคัสที่เริ่มดิ้นไปมาพาดไว้บนหลัง “ก็ทำกับนายมันสะดวกกว่าไม่ใช่เหรอ อยู่บ้านเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน แถมยังเรียนที่เดียวกันอีก”

“อึก… นายมันไอ้ทุเรศ” ลูคัสกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังคำตอบอย่างอื่นนอกเหนือไปจากที่เจ้าตัวดีว่ามาสักเท่าไรหรอก

โลแกนยกยิ้มหวาน ถึงจะรู้ว่าลูคัสมองไม่เห็นก็เถอะ คนที่อยู่ด้านบนแหวกนิ้วทั้งสองให้ออกห่างจากกันเพื่อเปิดทางตรงนั้นให้กว้างมากขึ้น ท่อนขาเรียวของคนที่อยู่ข้างล่างสั่นระริกขึ้นมาทันที

“นายอยากได้คำตอบแบบไหนจากฉันล่ะ หืม? ”

“ฉันเกลียดนาย” เจ้าตัวเอ่ยตอบ จิกนิ้วลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นแน่นขั้น

โซฟาในห้องนั่งเล่น… นี่เขากำลังมีอะไรมีอะไรกับน้องชายตัวเองในห้องนั่งเล่นในบ้านตัวเองเนี่ยนะ… อ่า ถ้าเขาจะขออะไรได้ตอนนี้ ขอให้แม่ที่อยู่บนสวรรค์ยกโทษให้เขาทีเถอะ

ลูคัสเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น พยายามกลั้นเสียงไม่ให้หลุดออกจากลำคอเมื่อสัมผัสได้ถึงของแข็งร้อนที่เลื่อนเข้ามาถูไถอยู่บริเวณบั้นท้ายของเขา ชายหนุ่มลืมตัวกลั้นหายใจไปหลายวินาที ประสาทสัมผัสท่อนล่างตื่นตัวราวกับพร้อมที่จะตั้งรับเจ้าท่อนนั้นเมื่อมันสอดเข้ามาในร่างของเขา

หากแม้ลูคัสจะรออยู่ครู่ใหญ่ โลแกนก็ยังไม่ลงมือจัดการขั้นตอนนั้นเสียที ช่วงระยะเวลาทิ้งห่างที่นานจนผิดสังเกตนั่นทำให้ลูคัสเอะใจ เขาเอ่ยปากออกมาเสียงสั่นอย่างไม่แน่ใจนัก

“ละ… โลแกน? ”

“หืม…? ” น้ำเสียงของผู้เป็นน้องลากยาว มันบ่งบอกให้ผู้ฟังรู้ว่าเจ้าตัวกำลังเล่นสนุกอยู่อย่างชัดเจน และนั่นทำให้ลูคัสกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ

นี่ไอ้หมอนี่กำลังปั่นหัวเขา!? ถึงมันจะทำเรื่องแบบนั้นอยู่เป็นประจำก็เถอะ แต่ในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ?

“อะ…! ” ลูคัสสะดุ้งตัวเมื่อนิ้วของโลแกนสอดเข้ามาในตัวเขาอีกรอบ ชายหนุ่มรับรู้ถึงความปรารถนาทางกายของตัวเอง มันค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นพร้อมๆ กับอุณหภูมิร่างกายของเขา และนิ้วเรียวของคนด้านบนไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มความต้องการนั่นได้อีกต่อไปแล้ว

ลูคัสรู้ว่าลมหายใจของเขาสะดุดไปเมื่อร่างกายที่ควบคุมไม่ได้ค่อยๆ ขยับสะโพกเข้ารับจังหวะกับนิ้วที่อยู่ในร่างเขา นี่เขาเสียสติไปแล้วจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย

“แฮ่ก…” ลูคัสหอบหายใจออกมาขณะที่นิ้วของโลแกนที่ซุกซนอยู่ในกายเขาเริ่มเร่งจังหวะมากขึ้น จากนั้นคนด้านบนก็เลื่อนริมฝีปากลงมาประกบจูบอย่างร้อนแรงอีกรอบ ลิ้นหนาตวัดไปรอบๆ โพรงปากนั้นอย่างโหยหา ขยับมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ขึ้นเขี่ยยอดอกของคนที่นอนราบอยู่บนโซฟาอย่างกลั่นแกล้ง ทำเอาลูคัสสะดุ้งอีกเฮือก

“โลแกน…” ชายหนุ่มเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนอยู่ในที “อ่า… อ๊ะ…”

“หืม อะไรเหรอครับ? ” น้อชายตัวดีของเขากระซิบถามที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงยียวน “นายไม่พูดแบบนี้ ฉันจะรู้ได้ไงว่านายอยากได้อะไร”

“นายนี่มัน…!! ” ลูคัสกัดฟันกรอดก่อนจะบิดตัวเกร็งอีกรอบเมื่อร่างสูงเพิ่มจำนวนนิ้วเข้ามาในโพรงด้านหลังของเขา สัมผัสวาบหวามชวนให้ละลายนั่นทำให้ความรู้สึกของชายหนุ่มผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าโลแกนใส่นิ้วเข้ามาด้านในกี่นิ้วกันแน่

จากนั้น คนที่มีรูปร่างผอมบางกว่าอีกฝ่าก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงชัตเตอร์กล้องจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ลูคัสอ้าปากค้าง เนื้อตัวสั่นเทาขึ้นทันทีเมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเพิ่งทำอะไรลงไป

“ไอ้โลแกน!!! ”

“อย่าโวยวายไปหน่อยเลยน่า” เจ้าตัวดีผิวปาก “แค่นิดๆ หน่อยๆ เองเป็นที่ระลึกไง”

อยู่ๆ ลูคัสก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไอ้หมอนี่มันเป็นโรคจิต ชอบถ่ายวิดีโอตอนที่ตัวเองมีเซ็กส์เก็บไว้ดูเล่นยามว่าง ความคิดนั้นทำให้แฝดคนพี่ตัวสั่น

“นะ… นายอย่าบอกนะว่า นายแอบถ่ายวิดีโอ…”

“อ้อ เรื่องนั้น…” สุ้มเสียงเจ้าตัวเริงร่ามากกว่าปกติ “ก็น้า… จริงๆ คราวก่อนที่เรานอนด้วยกันในห้องฉันก็ถ่ายเก็บไว้ด้วย หลังจากนี้ นายอยากดูไหม? ”

“ฉันจะฆ่านาย!!!! ” ลูคัสตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด แต่ในใจจริงๆ แล้วอยากจะร้องไห้ โอ๊ย ตาย… แล้วนี่หมอนี่แอบไปตั้งกล้องไว้ตรงไหน ตอนไหนล่ะเนี่ย คิดผิดจริงๆ ที่ให้หมอนี่ปิดตา…

คิดแบบนั้นแล้วเจ้าตัวก็เอื้อมมือไปจะดึงผ้าที่ผูกปิดตาเขาไว้อยู่ออก แต่โลแกนไวกว่า ชายหนุ่มคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของคนด้านล่างไว้อย่างรวดเร็ว

“อ๊ะๆ อย่าเพิ่งสิ ยังไม่เสร็จกิจสักหน่อย จะรีบเอาผ้าออกทำไม”

“ก็นาย…!! ”

“นี่มันเป็นเงื่อนไขของนายเองไม่ใช่เหรอ? ” น้ำเสียงนั้นมีร่องรอยล้อเลียนปนมา มือหนาเอื้อมไปจับร่างของเขาให้นอนคว่ำลง ลูคัสรู้เหมือนตอนนี้ในหัวเขามันสับสนไปหมด ใจหนึ่งเขาก็อยากจะถีบไอ้บ้านี่ออกแล้วหยุดทำเรื่องบ้าๆ นี่ซะ แต่อีกใจหนึ่ง… หรือพูดให้ถูกก็คือ ร่างกายเขานี่สิ มันอยากให้ชายหนุ่มอีกคนสอดร่างเข้ามา เติมเต็มความปรารถนาที่ค้างเติ่งอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่

โลแกนยกสะโพกของลูคัสขึ้นมานิดหนึ่ง จากนั้นก็เลื่อนใบหน้าไปซุกลงตรงปากทางเข้าด้านหลังนั้น ตวัดลิ้นร้อนเข้าไปในร่างของเจ้าตัวอย่างซุกซน ลูคัสร้องครางออกมาอีกรอบ ซุกหน้าลงไปโซฟาจากนั้นก็ออกแรงจิกนิ้วอ่างหาที่ระบาย

เขาควรจะหยุด… แต่เขาคิดอะไรไม่ออกแล้วตอนนี้

“ว่าไง ลูคัส? ” โลแกนถามเหมือนหยั่งเชิงขณะละลิ้นออก ปลายนิ้วเลื่อนไปแตะๆ ตรงบริเวณปากโพรงนั้นอย่างจงใจแกล้ง คนด้านล่างสะดุ้งขึ้นมาอีกระลอก “นายยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่าอยากจะให้ทำยังไงต่อ”

“ใครจะไปพูดกัน…” คนปากแข็งว่าพร้อมกับกัดฟันแน่น ก่อนจะต้องครางเสียงหวานออกมาอีกรอบเมื่ออีกฝ่ายแนบลิ้นอุ่นลงมาบนก้นของเขา จากนั้นก็ใช้ฟันขบลงไปเบาๆ

“โอเค งั้นฉันเสนอทางเลือกอีกทางให้นายก็ได้” โลแกนว่ายิ้มๆ เอื้อมมือข้างหนึ่งไปรูดขึ้นลงส่วนอ่อนไหวของคนตรงหน้าอย่างยั่วยวน จากนั้นก็ยื่นข้อเสนอ “ถ้านายไม่อยากพูดออกมาจากปากนาย ทำไมนายไม่ให้ร่างกายนายเป็นคนบอกฉันเองล่ะว่าอยากให้ทำยังไงต่อ? ”

“นายนี่มัน…! ” ลูคัสกัดฟันกรอด ใบหน้าแดงระเรื่อไปทั้งแถบ ลามไปถึงจุดต่างๆ ของร่างกยที่เริ่มแดงเป็นจ้ำๆ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์ แต่โลแกนไม่ใจอ่อน

“ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะทำต่อ”

“อึก…!! ” เขาควรจะยินดีในเรื่องนั้น… แต่แน่นอนล่ะว่าร่างกายของเขาไม่

ลูคัสสบถออกมาอย่างหัวเสียในขณะที่โลแกนเพียงแค่ตวัดลิ้นเลียริมฝีปาก รอคนตรงหน้าทำตามที่เขาบอกอย่างอดทน เขารู้ดีว่าตอนนี้ลูคัสกำลังเถียงในใจกับตัวเอง แต่โลแกนรู้ดีว่าฝั่งไหนจะเป็นฝ่ายชนะ

ในที่สุดลูคัสก็ครางออกมานิดหนึ่งอย่างจำยอม ก่อนเจ้าจะเลื่อนมือมาตรงปากทางด้านหลัง ขยับให้ทางเข้าตรงนั้นขยายมากขึ้น นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมของโลแกนเหลือบมองไหล่ที่สั่นระริกของคนตรงหน้านิดหนึ่ง รวมถึงใบหูที่แดงไปทั้งแถบนั่นด้วย

เสียงหวานครางออกมาอ่อยๆ เหมือนอยากจะร้องไห้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังค้างมือของตัวเองไว้ตรงนั้นอยู่ดี

“ระ… เร็วๆ สิ โลแกน”

อ่า… พี่ชายของเขานี่มันน่ากินจริงๆ

โลแกนขยับร่างของตัวเองก่อนจะสอดเข้าไปในพื้นที่ตรงนั้น เขาปล่อยให้มันค่อยดูดกลืนร่างของเขาไปอย่างเชื่องช้าในจังหวะแรก หากกระแทกลงไปจนสุดแรงในท้ายที่สุด ลูคัสครางออกมาดังๆ อีกรอบให้เขาได้ยิน มือหนาเลื่อนลงไปลูบไล้บั้นท้ายสีขาวเนียนของเจ้าตัว ก่อนจะขยำแรงๆ อย่างหมั่นเขี้ยว

เขาเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังที่ยังหลงเหลือรอยฟกช้ำและบาดแผลก่อนหน้านี้ไว้ให้เห็นนิดหนึ่ง ไม่รู้ทำไม แต่นั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวเกิดอารมณ์

“อ่า… ข้างนายของนายนี่มันสุดยอดไปเลย พี่ชาย”

“กะ… ก็บอกว่าอย่าเรียกแบบ…”

“ทั้งๆ ที่นายเป็นผู้ชายแท้ๆ ” โลแกนไม่ฟัง เจ้าตัวโน้มหน้าลงใกล้หูของอีกฝ่าย ดันตัวเข้าไปในกายของลูคัสมากขึ้น

“อ๊ะ… อ๊ะ…” ลูคัสเริ่มคิดไม่ออก เขาเผยอริมฝีปากที่โลแกนสอดนิ้วเข้ามาอีกรอบอย่างจำยอม นิ้วเรียวพวกนั้นกระแทกเข้าออกอยู่ในโพรงปากเขา มันเป็นจังหวะเดียวกับที่โลแกนขยับสะโพกกระแทกเข้ามา

“แต่ทำไมถึงได้ตอดได้ดีขนาดนี้กันน้า… นี่มันเยี่ยมกว่าผู้หญิงขายตัวบางคนที่ฉันเคยนอนด้วยซะอีก”

หนวกหู…

ลูคัสลอบคิดอย่างเจ็บใจ ทำไมเขาจะต้องโดนอีกฝ่ายทำเรื่องแบบนี้ไปพร้อมๆ กับโดนดูถูกกลายๆ ไปแบบนี้ด้วย?

พอคิดแบบนั้น เจ้าตัวก็เผลอออกแรงกัดที่นิ้วของโลแกนอย่างรุนแรง โลแกนอุทานออกมาเบาๆ อย่างตกใจ หากเจ้าตัวก็ไม่ดึงนิ้วพวกนั้นออก

ไอ้บ้าเอ๊ย… ลูคัสลอบคิด จากที่ไม่ได้ตั้งใจในตอนแรก ตอนนี้เริ่มออกแรงกัดนิ้วของแฝดตัวเองอย่างจริงจัง ประมาณว่าถ้ามันขาดคาปากเขาไปได้เลยยิ่งดี

โลแกนไม่พูดว่าอะไรสักคำ เจ้าตัวเพียงแค่ยกยิ้มอย่างพึงพอใจจากนั้นก็ออกแรงกระแทกเข้าไปในร่างของลูคัสมากขึ้น

“อื้อ…” ลูคัสได้แต่ครางอึกอักในลำคอเพราะคนด้านหลังยังไม่ยอมเอานิ้วของตัวเองออกไปเสียที

เขารู้สึกได้ว่าที่หางตาของเรารื้นขึ้น ชายหนุ่มเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะความเจ็บ ความอาย หรือว่าความเสียวซ่านที่เขากำลังสัมผัสอยู่ หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพราะทุกอย่างที่ว่ามาผสมกัน

โลแกนยอมดึงนิ้วของตัวเองออกในที่สุด พิจารณารอยฟันและห้อเลือดที่เกิดขึ้นนิดหนึ่ง จากนั้นก็กระแทกร่างลงไปอีกครั้งแรงๆ เรียกเสียงครางจากลูคัสได้อีกระลอก

ให้ตายสิ… หมอนี่มันน่าแกล้งจริงๆ

“นายนี่… ร่านจริงๆ เลยนะ ลูคัส เปิดทางให้ผู้ชายทำกับนายถึงขนาดนี้”

“มะ… ไม่! ”

“ไม่เหรอ” โลแกนยกยิ้ม รู้สึกถึงความปรารถนาที่ค่อยๆ ไต่ขึ้นจุดสูงสุดเหมือนกัน “แต่ครั้งแรกที่นายนอนกับฉัน นายก็เป็นคนอ้าขาให้ฉันเองนะ”

“นะ… นั่นมัน…!! ”

“เลิกทำปากแข็งแล้วก็ยอมรับมาซะดีกว่าน่า” ชายหนุ่มหย่อนระเบิด จากนั้นก็รวบข้อมือของคนข้างหน้าขึ้นมาทั้งสองข้าง ดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามากระแทกเป็นครั้งสุดท้าย

อ่า… ให้ตาย มีเซ็กส์กับหมอนี่นี่มันสนุกจริงๆ ด้วยสิ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 11) P.2 [8/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-02-2017 12:13:36
ย้อนแย้งพิกล
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 11) P.2 [8/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-02-2017 12:31:57
โลแกน ไปทำงานพิเศษเป้นสายสืบยาเสพติด
เหมาะมากเลย กับความสามารถของตัวเอง
ลูคัส ว่าขยะแขยง นั่นติดในแง่ศีลธรรม
และมันคงแปลกๆ มั้ง
ที่นอนกับคนหน้าตาเหมือนตัวเองเป๊ะ
แต่การที่ปิดตาแล้วมีอะไรกัน
มันยิ่งเพิ่มจินตนาการทางอารมณ์ให้สูงกว่าไม่ปิดตานะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 11) P.2 [8/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 08-02-2017 13:50:51
ทำไมรู้สึกว่าลูคัสยอมโลแกนง่ายจัง เป็นพี่น้องกัน แม้จะเคยได้กันเพราะความเมา แต่จะมีไรกันอีก น่าจะใช้เวลาในการทำใจมากกว่านี้ไหม ถ้าแอบรักหรือชอบกันอยู่ก่อนการจะมีไรกันอีกน่าจะง่ายแบบนี้ นิสัยลูคัสก็ไม่ใช่คนบ้าเซ็กส์ ที่สำคัญถ้ามีไรกันเพราะสนุกอย่างที่บอก มีไรกะคนอื่นดีกว่าไหม ไม่ใช่พี่น้องกันด้วย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 11) P.2 [8/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 08-02-2017 20:38:49


บทที่ 12

(Mode: Lucas Collins)






ฉันจะไม่นอนกับไอ้เด็กนรกนี่อีกเด็ดขาด...

นั่นคือความคิดแรกและความคิดเดียวที่ลอยวนอยู่ในหัวผมตั้งแต่ตื่นเช้าขึ้นมารับวันใหม่ ผมเลื่อนมือไปลูบสะโพกที่ปวดแปล็บขึ้นมา ครางออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยฟุบหน้าลงบนโต๊ะเรียนอย่างเหนื่อยอ่อน เวลาที่ร่างกายล้าไปหมดแบบนี้ แค่นั่งอยู่เฉยๆ ยังรู้สึกเหมือนจะสลบลงไปได้

ทรมานเป็นบ้า ไม่เอาแล้วไอ้แบบนี้ คราวหน้าถ้ามันเริ่มจะปิดตาผมหรือมีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่ามันคิดจะทำล่ะก็… ผมจะห้ามมันทันทีเลย หรือไม่ก็ถีบให้กระเด็น

“ลูคัส” ไอ้ตัวแสบที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ สะกิด

ไอ้หน้าด้าน นี่ขนาดผมไล่มันไปหลายรอบล่ะนะ แถมยังลุกขึ้นเดินหนีไปนั่งโต๊ะอื่นให้ห่างจากมันอีกตั้งหลายรอบ ไอ้ตัวดีก็ยังหยิบกระเป๋าแล้วเดินตามมานั่งข้างผมต้อยๆ ราวกับหมาตามเจ้าของ จนในที่สุดผมต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้แล้วปล่อยให้มันนั่งโต๊ะข้างๆ ตัวเองอยู่ดี เพราะไม่อย่างนั้นแล้วคาบนี้ทั้งคาบคงไม่ได้เรียนอะไรแน่

แม่งเอ๊ย… คิดดูนะคนเรา ทำกันถึงขนาดนั้นเมื่อคืน ตอนเช้ามาดันทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้ มันน่าโมโหไหม? ไอ้หน้าด้าน!!

“ลูคัส” โลแกนเรียกอีกทีด้วยเสียงที่ดังขึ้นนิดหนึ่ง นักเรียนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เริ่มหันมามองนิดหนึ่งอย่างหวาดๆ

เฮ้อ… ต้องมามีไอ้เด็กนรกนี่คอยตามติดแบบนี้ ชีวิตผมนี่มันช่างน่าเศร้าจริงๆ

“อะไร”

“ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยดิ”

“นายเป็นเด็กห้าขวบที่เข้าห้องน้ำเองคนเดียวไม่เป็นหรือไง”

โลแกนยกโทรศัพท์มือถือรุ่นเดียวกับของผมขึ้นมา บนหน้าจอมีรูปภาพที่มันแอบถ่ายผมไว้… ตอนที่เรามีเซ็กส์กันเมื่อคืน...

ผมลุกขึ้นพรวดจากโต๊ะเรียนของตัวเองทันที

“ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำครับ”

อาจารย์หน้าห้องยังคงสอนต่อไปราวกับไม่ได้ยินเสียงอันดังลั่นของผม นั่นเป็นปฏิกิริยาที่คนทั่วไปจะมีถ้าเริ่มแยกผมกับโลแกนไม่ออก หรือต่อให้แยกออก แต่ถ้าผมยังทำตัวติดกับหมอนี่ ผมก็จะโดนเหมารวมว่าตัวเองเป็นโลแกนไปด้วยโดยปริยาย ซึ่ง… นั่นก็ดีแล้วในกรณีนี้

ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำชายฝั่งตะวันตกของตึกเรียน กำลังจะหันไปบอกเจ้าตัวแสบให้รีบๆ จัดการธุระของตัวเองให้เสร็จๆ จะได้กลับไปเรียนต่อ ก็พอดีกับที่โลแกนฉุดแขนผมเข้าไปในห้องน้ำด้านในสุดด้วยแรงมหาศาล

“เฮ้ย!!?” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ หน้าซีดลง

เมื่อกี้เพิ่งจะตั้งปณิธานไปเองว่าถ้ามีสัญญาณอะไรบ่งบอกว่ามันคิดจะทำจะรีบห้ามมัน… แล้วไหงไปๆ มาๆ ผมยอมตามมันมาห้องน้ำหน้าตาเฉยแบบนี้

แต่… ก็ผมไม่ทันคิดเลยจริงๆ นี่นาว่ามันจะ… ชิบหายล่ะ งั้นก็ต้องไปแผนต่อไป…

“โลแกน หยุ---” แต่ไม่ทัน เพราะอีกฝ่ายดึงเนคไทของตัวเองออกมาพาดตาผมแล้วทาบจูบลงมาแรงๆ

อ๊ากกกก ไอ้บ้าเอ๊ย!! ฟังกันหน่อยสิวะ!! ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคเลย แล้วนี่เอ็งไปตายอดตายอยากมาจากที่ไหน เมื่อคืนก็เพิ่งจะทำฉันสะโพกเคล็ดไปเองนะ!!

ไม่ได้การล่ะ งั้นก็ต้องไปที่ขั้นตอนต่อไป

ถีบมั---

“โอ้โห รอบนี้นี่ยกขาขึ้นมาให้ถึงมือเลยเหรอเนี่ย” โลแกนว่าหลังจากตะครุบลงบนข้อขาของผมซึ่งยกขึ้นไปอยู่สูงพอเหมาะกับตำแหน่งมือของมันพอดี

แว้กกกก ไอ้บ้า!! ไม่ใช่โว้ย!! นี่ผมตั้งใจจะถีบมันกระเด็นต่างหาก

แต่เออ ลืมคิดไป ไอ้หมอนี่มันเก่งเรื่องต่อยตีมากกว่าผมประมาณล้านเท่าได้นี่หว่า ต่อให้ผมถีบมันไป มันก็คงหลบได้ หรือถ้าหลบไม่ได้ มันก็คงเปลี่ยนจากจะกดผมมาตื้บผมแทน ตายทุกทางจริงๆ พูดเลย

“โลแกน เดี๋ยว” ผมพยายามพูด หากอีกฝ่ายเลื่อนมือมาด้านหลังศีรษะผมแล้วมัดเนคไทเส้นนั้นปิดลงเรียบร้อยแล้ว จากนั้นมือหนาก็เลื่อนมาปลดเข็มขัดกางเกง

“อย่างอแงน่า เวลายิ่งไม่ค่อยมีอยู่ เอ้า หันหลังไปอีกทางสิ รีบทำจะได้รีบกลับไปเรียนต่อ มันเสียเวลาเรียนนะ รู้ไหม”

แล้วใครเป็นคนลากผมออกมาจากห้องเรียนมาทำเรื่องแบบนี้ในห้องน้ำกันล่ะ ไอ้เด็กนรกเอ๊ย!!!

อ่า… จนแล้วจนรอดก็ขัดไอ้หมอนี่ไม่ได้อีกแล้ว








สรุปว่าผมกับมันนี่… กลายเป็นคู่ขากันไปจริงๆ แล้วใช่ไหมเนี่ย?

นั่นเป็นความคิดที่ลอยเข้ามาในหัวผมในเย็นวันหนึ่งหลังเลิกเรียน หลังจากที่ผ่านคืนวันที่เหมือนออกศึกอยู่ตลอดเวลา บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในสนามรบจริงๆ นะ ยิ่งถ้ามีโลแกนมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ

จะอธิบายความรู้สึกว่ายังไงดี เหมือนต้องสอดส่ายมองหาข้าศึกและตื่นตัวตลอดเวลา พอมันจะบุกเข้ามาก็ต้องรีบหาทางตั้งรับไม่ให้มันทะลวงฐานที่ตั้ง ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะพ่ายแพ้ให้แก่มันแทบจะทุกครั้งก็ตาม

ผมเดินโซเซกลับบ้านด้วยสภาพที่ใกล้จะเป็นศพเข้าไปทุกที ตลอดระยะเวลาทั้งเดือนที่ผ่านมานี่ ผมมีเซ็กส์กับน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถึงจะไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมเป็นฝ่ายเชิญชวนมันก็เถอะ แต่จิตใต้สำนึกในจิตใจผมก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี

โชคดีที่วันนี้ไม่มีกะของงานพิเศษ ไม่อย่างนั้นอาจได้ทักทายลูกค้าที่มาที่ร้านด้วยสภาพเหมือนซอมบี้ ส่วนไอ้โลแกน พอออดเลิกเรียนดังขึ้น มันก็คว้ากระเป๋าที่เก็บข้าวของเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพุ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรีบไปตายที่ไหน สงสัยจะไปทำงานพิเศษลับๆ ที่มันเคยว่าไว้ล่ะมั้ง

เออ… หรือว่ามันจะไปขายตัว?

ก็ไม่แน่นะ ไอ้หมอนี่ยิ่งหลงใหลในหน้าตาตัวเอง (คือผมที่หน้าตาเหมือนมันพูดเองก็กระไรอยู่ แต่หน้าตาของพวกเราสองคนก็เข้าข่ายว่าคมคายแล้วก็ดูดีอยู่ระดับหนึ่งนั่นแหละ ไม่งั่นไอ้บ้าโลแกนมันจะมีสาวมาติดพันได้มากมายขนาดนั้นเรอะ) แถมยังมีเทคนิคเด็ดๆ บนเตียงอีกเพียบ ผมรู้ ผมโดนมาแล้---

“...”

โอเค เราจะลืมมันไป เราจะเริ่มต้นกันใหม่ นายจะยอมแพ้แค่นี้ไม่ได้นะ ลูคัส นายต้องแสดงจุดยืนของตัวเองให้ชัดเจนและหนักแน่นกว่านี้ ที่สำคัญ… นั่นมันน้องชายฝาแฝดของนายเองนะโว้ย!!

“ลูคัส” ปีเตอร์กับโจชัวที่วันนี้ได้แค่เมียงๆ มองๆ มาทางผม ไม่ได้เข้ามาคลุกคลีอะไรมากเพราะมีโลแกนเกาะติดแจทั้งวันก้าวเท้าเข้ามาหาผมอย่างไม่แน่ใจ “เอ่อ นี่ลูคัสใช่ไหม?”

บางที ผมก็หวังว่าสักวันหนึ่งจะมีใครสักคนแยกผมกับโลแกนออกจากกันได้ แค่ใครสักคนจริงๆ มันเจ็บปวดนะครับ การที่แม้แต่เพื่อนที่เราคิดว่าสนิทด้วยมากที่สุดแล้วยังแยกผมกับแฝดผมไม่ออกแบบนี้

“ใช่ ฉันเอง” ผมพูด ถอนหายใจยาวออกมาเหนื่อยหน่าย ทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันด้วยท่าทีโล่งอก

“สุขสันต์วันเกิดนะ ลูคัส โทษทีที่มาบอกช้า พอดีเห็นนายอยู่กับโลแกนทั้งวันก็เลย…”

หืม… สุขสันต์วันเกิดเหรอ?

สุขสันต์วันเกิด!!!??

“เอ่อ ทำไมช่วงนี้พวกนายสองคนดูตัวติดกันจังเลยวะ เมื่อก่อนไม่เห็นติดกันขนาดนี้” ปีเตอร์พูดขึ้นบ้างอย่างตั้งข้อสังเกต ส่วนผมที่ใจลอยละลิ่วไปเรื่องอื่นแล้วไม่ค่อยตั้งใจฟังที่มันพูดเท่าไรนัก “เอ้านี่ ของขวัญวันเกิดจากฉัน นี่จากทิมมี่นะ มันฝากเอามาให้”

“ส่วนนี่ของฉัน” โจชัวพูดพร้อมกับยื่นกล่องของตัวเองมาให้ผมบ้าง ผมรับกล่องของขวัญที่ไม่ได้ถูกห่อมาอย่างปราณีตเท่าไรนักสามกล่อง

ผมซึ้งใจนะ ซึ้งใจมากๆ ด้วยที่เพื่อนจำวันเกิดของตัวเองได้ ขนาดตัวผมยังลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย

เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่แต่กับไอ้บ้านั่น

ผมไม่รอช้า โยนความผิดให้แฝดนรกของตัวเองทันที ก่อนจะหันกลับไปขอบคุณเพื่อนทั้งสองคน

“ขอบใจนะ พีท จอร์ช” นั่นคือชื่อเล่นของไอ้สองตัวนี้ “ดีใจมากๆ เลยว่ะ แต่บอกตามตรง นี่ฉันลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันนี้วันเกิดตัวเอง”

“อ้าว”

“ฉันต้องรีบกลับบ้านแล้ว” ผมพูดอย่างร้อนรน “ขอบคุณมากสำหรับของขวัญ จะไปแกะดูที่บ้านนะเพื่อน โทษทีที่อยู่คุยกับพวกนายไม่ได้ แล้วเดี๋ยวทักไปทางข้อความ”

จากนั้นผมก็ติดเกียร์หมาตรงกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ให้ตายเถอะ ลืมไปได้ยังไงกันนะว่าเป็นวันนี้ ชิบหายล่ะ… ต้องรีบไปซื้อวัตถุดิบมาทำเค้กแล้วก็ข้าวเย็นด่วนๆ เลย หวังว่าคงจะทันนะ

โอ๊ย… ให้ตาย อยากเอาหัวโขกกำแพง

นี่ผมลืมวันสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย!!?







โอเค หลายๆ คนอาจจะสงสัย ว่าทำไมผมต้องลนลานถึงขนาดนั้น กับอีแค่ลืมวันเกิดของตัวเอง แล้วเรื่องเค้กหรือของขวัญ ไว้ค่อยเตรียมในโอกาสอื่นก็ได้ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ

ผมกับโลแกนเนี่ย ปกติไม่ค่อยมีโมเม้นท์พี่น้องกุ๊กกิ๊ก สนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวอะไรกันสักเท่าไร อันนี้ทุกคนก็น่าจะพอรู้ แต่ความเป็นจริงแล้ว พวกเราสองคนสนิทกันนะ อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของผม มันมีสายสัมพันธ์บางๆ แต่ลึกซึ้งที่เชื่อมโยงพวกเราสองคนไว้ด้วยกัน

อาจจะด้วยความเป็นฝาแฝด… แต่ถ้าถามผม ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ง่ายกว่านั้นกว่าอีก

นั่นเป็นเพราะพวกเราสองคนผ่านช่วงเวลาในวัยเด็กด้วยกันมา…

ผมมองของเหลวสีเนื้ออ่อนซึ่งเป็นส่วนผสมในการทำเค้กอย่างเหม่อลอยขณะที่ตีให้เนื้อมันเข้ากัน

คนเรามักจะสนิทกับคนที่ได้ใช้ช่วงเวลาร่วมกันมา นั่นเป็นเรื่องปกติทั่วไปอยู่แล้ว แต่สำหรับผม มันลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น เพราะวัยเด็กของผมกับโลแกนไม่ใช่ช่วงเวลาที่แสนโสภาสำหรับเราทั้งคู่เท่าไรนัก

พ่อกับแม่ผมมักจะทะเลาะกันเป็นประจำ เสียงทุบตีและเสียงโครมครามของข้าวของที่ถูกเหวี่ยงกระจายลงพื้นเป็นเสียงที่ได้ยินเป็นประจำในครอบครัวของพวกเรา

ถ้าเกิดสถานการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น และน้าลูซี่ของเราอยู่ในบ้านด้วยพอดี หล่อนจะพาทั้งผมและโลแกนขึ้นไปบนบ้าน ไปที่ห้องนอนของพวกเรา จากนั้นก็จะอ่านหนังสือนิทานให้ฟัง กล่อมให้พวกผมทั้งคู่นอนหลับ แต่แน่นอนว่าน้าลูซี่ไม่ได้อยู่ในบ้านเดียวกับเราในตอนนั้น การที่หญิงสาวจะยื่นมือเข้ามาช่วยผมกับโลแกนทุกครั้งย่อมเป็นไปไม่ได้

‘ลูกทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ก็ต้องรักกันไว้นะจ๊ะ’ นั่นคือคำพูดของแม่ที่พูดกับผมและโลแกนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนในยามปกติ

จริงๆ แล้วแม่ของผมเป็นคนอ่อนโยนจริงๆ นะ แต่แม่จำเป็นต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อไม่ให้พ่อมาทำร้ายตัวเองหรือพวกเราสองพี่น้อง

ผมยังจำสัมผัสฝ่ามือของแม่ที่เลื่อนลงมาลูบหัวได้ดี จากนั้นก็คำพูดที่สะท้อนอยู่ในใจจนถึงทุกวันนี้

‘เป็นพี่ ก็ต้องดูแลน้องนะ ลูคัส’

ใช่… คำพูดนั้นแหละ ที่ทำให้ผมสาบานไว้กับตัวเองว่าจะต้องดูแลโลแกนให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้

จากนั้นไม่นาน… ผมและโลแกนก็เสียพ่อกับแม่ไป ดังนั้นวันเกิดของพวกเราสองคนในปีถัดมาที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ ผมจึงให้สัญญากับโลแกน

‘ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ฉันจะเป็นคนทำเค้กวันเกิดให้นายเอง’ ผมพูดออกไปอย่างนั้น ตอนที่นัยน์ตาสีฟ้าของโลแกนเหม่อมองเปลวเทียนที่ปักอยู่บนหน้าเค้กที่น้าลิซ่าซื้อมาให้พวกเรา ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกว่าผมต้องการให้คนข้างตัวรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

และบางที… ผมก็ต้องการยืนยันเรื่องนั้นกับตัวเองด้วย ตอนนั้นผมจึงเอื้อมมือไปบีบมือของน้องชายฝาแฝดตัวเองแรงๆ

‘เพราะงั้น… เรามาฉลองวันเกิดด้วยกันแบบนี้ทุกปีเลยนะ ตลอดไปเลย’

โลแกนที่อยู่ในวัยแปดขวบเบือนหน้ากลับมามองผม ก่อนจะคลี่ยิ้ม

‘นายพูดผิดแล้ว ลูคัส’

‘?’

‘นายต้องบอกว่า นายจะเป็นคนทำเค้กวันเกิดให้พวกเราสิ ในเมื่อมันเป็นวันเกิดของพวกเราสองคน’

นั่นแหละ เพราะสัญญานั่นแหละ ที่ทำให้ผมต้องรีบกระหืดกระหอบกลับมาแล้วก็จัดการทำเค้กก้อนที่ว่านี่

และทุกปีที่ผ่านมา ทั้งผมและโลแกนก็ทำตามสัญญานี้มาตลอด

ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้หลังจากเอาเค้กเข้าเตาอบที่ถูกใช้งานมาเป็นสิบๆ ปี จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งยาวๆ

เอาล่ะ มากลุ้มใจเรื่องเดิมกันต่อ… ผมควรจะทำยังไงให้ไอ้หมอนี่มันเลิกกดผมสักทีดี?


หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 11) P.2 [8/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 09-02-2017 22:49:44
ย้อนแย้งพิกล

เนอะ 555555555
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 11) P.2 [8/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 09-02-2017 22:50:36
โลแกน ไปทำงานพิเศษเป้นสายสืบยาเสพติด
เหมาะมากเลย กับความสามารถของตัวเอง
ลูคัส ว่าขยะแขยง นั่นติดในแง่ศีลธรรม
และมันคงแปลกๆ มั้ง
ที่นอนกับคนหน้าตาเหมือนตัวเองเป๊ะ
แต่การที่ปิดตาแล้วมีอะไรกัน
มันยิ่งเพิ่มจินตนาการทางอารมณ์ให้สูงกว่าไม่ปิดตานะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

พูดอีกก็ถูกอีกค่ะ XD ปิดตานี่... น่าจะยิ่งไปกันใหญ่แท้ๆ ถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 11) P.2 [8/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 09-02-2017 22:52:11
ทำไมรู้สึกว่าลูคัสยอมโลแกนง่ายจัง เป็นพี่น้องกัน แม้จะเคยได้กันเพราะความเมา แต่จะมีไรกันอีก น่าจะใช้เวลาในการทำใจมากกว่านี้ไหม ถ้าแอบรักหรือชอบกันอยู่ก่อนการจะมีไรกันอีกน่าจะง่ายแบบนี้ นิสัยลูคัสก็ไม่ใช่คนบ้าเซ็กส์ ที่สำคัญถ้ามีไรกันเพราะสนุกอย่างที่บอก มีไรกะคนอื่นดีกว่าไหม ไม่ใช่พี่น้องกันด้วย

นั่นสิ.... ลูคัส.... หรือจริงๆ แล้วนายแอบคิดแง่นั้นกะน้องมานานแล้----//เดี๋ยวๆๆๆ เป็นงั้นไปนะ? ถถถถถ
ขอบคุณสำหรับข้อติงค่ะ ^^ ไว้จะเก็บไปปรับปรุงตอนรีไรท์นะค้าาาา
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 12) P.2 [8/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 09-02-2017 22:53:26

บทที่ 13

(Mode: Logan Collins)





คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าลูกกลมๆ ที่ลอยเท้งเต้งอยู่บนท้องฟ้านั่นจากทางหน้าต่าง แสงสุกสกาวสีเหลืองของมันชวนให้หลงใหลเมื่ออยู่ในท้องฟ้าอันมืดสนิทไร้แสงดาวโดยรอบ

ตอนเด็กๆ ในสมัยที่ผมกับลูคัสยังอยู่กับพ่อแม่ มีวันเกิดอยู่ปีหนึ่งที่ไม่มีเค้กมาฉลองให้พวกเราสองคน ผมจะชอบจินตนาการไปว่าเจ้าลูกกลมๆ นั่นคือเค้กเปล่าๆ จากนั้นก็ปักเทียนในจินตนาการลงไป เท่านี้เราก็จะได้เค้กที่เราปรารถนามาแล้วหนึ่งก้อน

“คิดอะไรอยู่เหรอ โลแกน” เสียงเรียกจากหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างตัวทำให้ผมต้องเบือนหน้ากลับไป

เจ้าหน้าที่พิเศษสาว แองเจลีน่า แกรนท์อยู่ในร่างเปลือยเปล่าของเธอ มีเพียงผ้าห่มสีขาวที่ปกคลุมร่างกายของเธอเอาไว้จนถึงเนินอก ส่วนผมก็อยู่ในบ็อกเซอร์ตัวเดียว นั่งพิงกับหัวเตียงที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์ของเจ้าหล่อน ขาทั้งสองข้างเหยียดตรง และถ้าต้องให้ขยายความมากกว่านั้น… ใช่ ผมเพิ่งมีคืนแรกกับหล่อน กับตำรวจสาวสุดเซ็กซี่คนนี้

หล่อนเลื่อนมือมาลูบใบหน้าผม จากนั้นก็ออกแรงนิดหนึ่งให้ผมกลับไปมองหน้าหล่อน

“ว่าไง”

“เปล่านี่ครับ” ผมพูดเรียบๆ “ก็แค่คิดว่าคืนนี้พระจันทร์สวยดี”

“สวยกว่าฉันอีกเหรอ?”

ผมยกยิ้มขันให้หญิงสาวข้างตัว “ถามจริงสิ? นี่คุณเป็นเด็กมัธยมปลายหรือไง”

เจ้าหน้าที่แกรนท์ตอบคำถามผมด้วยการดึงผมลงไปรับจูบของเจ้าหล่อนแทน เรือนร่างของหญิงสาวที่ผมได้สัมผัสนุ่มนิ่ม ชวนให้ผู้ชายทุกคนหลงใหล และลีลาบนเตียงของเจ้าหล่อนก็ไม่เลวเลยด้วย

“เด็กม. ปลายสมัยนี้นี่ เย็นชาเหมือนเธอทุกคนเลยเหรอ?”

“นั่นสิน้า…”

ก็ผมไม่ได้ชอบคุณนี่

“อืม เอาเถอะ” แองเจลิน่าหรี่ตาลงนิดหนึ่ง เส้นผมสีน้ำตาลของเจ้าหล่อนคลออยู่บนเนินอก

ก่อนที่พวกเราสองคนจะมาจบกันอยู่บนเตียงนี่ ผมได้ข้อมูลอะไรหลายอย่างมาจากเธอทีเดียว นับว่าคุ้มไม่น้อยกับการลงทุนมื้ออาหารเล็กๆ ของพวกเราสองคนในภัตตาคารหรูหราที่หนึ่ง ผมเป็นคนชวนเธอไปเอง อ้างว่าอยากจะคุยเรื่องคดีที่เราทำร่วมกัน เราสองคนคุยเรื่องคดีกันจริงๆ ในช่วงแรก จากนั้นผมก็ถามหล่อนนิดๆ หน่อยๆ เกี่ยวกับเส้นทางที่ผมอยากจะเดินในอนาคต ซึ่งเจ้าหน้าที่พิเศษแกรนท์ให้ข้อมูลได้ตรงจุดประเด็น ตรงประเด็น และรวบรัดทีเดียว บ่งบอกให้เห็นว่าหล่อนมีความสามารถในสายอาชีพการงานของตนอยู่ไม่น้อย

แต่ในช่วงของครึ่งหลัง… แน่นอนล่ะว่าหลังจากจบเรื่องงานแล้วย่อมเป็นเวลาส่วนตัวของเราสองคน และไวน์ที่เอามาเสิร์ฟในร้านนั้นก็ชวนให้เพลิดเพลิน จนไปๆ มาๆ เราสองคนเลยเพริดมาจบกันอยู่บนเตียงนี่

ซึ่งเอาจริงนะ… ผมนึกภาพเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้ว

ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายนิดหนึ่งขณะค่อยเอื้อมมือไปเกลี่ยเส้นผมสีน้ำตาลให้ตกลงไปอยู่ด้านหลัง แองเจลีน่าขยับตัวเข้ามาแนบชิดผมมากขึ้น ผมโอบบ่าของเจ้าหล่อนไว้ในวงแขนก่อนจะพูดแซวเจ้าหล่อนขำๆ

“แบบนี้ไม่เท่ากับคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจผิดกฎหมายเหรอครับ”

“หืม? หมายความว่ายังไง?”

“ก็…” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นหมุนเป็นวงกลม ประกอบคำพูด “ทำอะไรเกินเลยกับเด็กแบบนี้”

“เด็กเหรอ” แองเจลีน่าหัวเราะออกมานิดหนึ่ง เจ้าหล่อนทำสีหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เจ้าหล่อนผละตัวออกไปจากผม ลุกออกจากเตียงแล้วเดินไปที่อีกมุมหนึ่งของห้อง

ผมมองตามเจ้าหล่อนไปด้วยความฉงน หญิงสาวเดินนวยนาดกลับมาก่อนจะยื่นกล่องกระดาษขนาดเท่าฝ่ามือให้ ผมรับมันมาถือไว้อย่างงงๆ ก่อนจะเปิดดูด้านใน

“พอดีไม่มีเวลาห่อสวยๆ โทษทีนะ”

“นี่อะไรครับ” ผมว่า แต่เมื่อเปิดดูด้วยตัวเองก็ค้นพบว่ามันคือนาฬิกาข้อมือเรือนหรูยี่ห้อดัง ราคาของมันคงไม่มากเกินความสามารถในการซื้อของของเจ้าหล่อน แต่ก็ไม่น้อยขนาดที่จะให้เด็กมัธยมอย่างผมมาสวมใส่

“สุขสันต์วันเกิด โลแกน”

คำพูดนั้นทำให้ผมชะงักไปทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าหล่อนงงๆ ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือ… เออว่ะ วันนี้มันวันเกิด… ส่วนความคิดต่อมาก็คือ แล้วหญิงสาวตรงหน้าผมรู้ได้ยังไง?

และคำตอบก็แล่นเข้ามาในหัวโดยอัติโนมัติ จะไปยากอะไร ในเมื่อพวกเขามีแฟ้มประวัติเกี่ยวกับตัวผมอยู่

อ่า… วันเกิดเหรอ วันนี้หรอกเหรอ ชิบหายล่ะ

“ถึงจะเลยมานิดหน่อยก็เถอะนะ” หญิงสาวพูดยิ้มๆ ชี้นาฬิกาแขวนผนังที่บอกเวลาตีสามกว่าๆ

โอ้ ตายล่ะ นี่มันเวลาขนาดนี้แล้ว…

“แต่… นี่ก็เท่ากับว่านายอายุ 18 แล้วนะ” แองเจลีน่าเดินกลับเข้ามา ทรุดนั่งลงข้างๆ เลื่อนใบหน้าเข้ามาไซร้ลงบนแผ่นอกของผม “ไม่เด็กแล้ว เพราะงั้นก็ไม่มีอะไรผิดนี่”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น มองนาฬิกาข้อมือเรือนสวย จากนั้นก็ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น ปล่อยให้แองเจลีน่าผละตัวออกจากผมอย่างงงๆ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“ผมต้องกลับบ้านแล้ว”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

พี่ชายผมรออยู่

แต่แน่นอนล่ะว่าผมไม่มีทางพูดอะไรที่ฟังดูปัญญาอ่อนแบบนั้นออกไปแน่ ผมหันไปส่งยิ้มที่ไร้ความหมายใดๆ ให้หญิงสาวบนเตียง มองนาฬิกาเรือนที่เจ้าหล่อนให้มาอย่างชั่งใจ ของขวัญชิ้นนี้ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเจ้าหล่อนคงไม่ได้แค่คิดเล่นๆ กับผม

“ผมบอกไว้ก่อนเลยนะ” ผมว่า “ว่าระหว่างเราสองคน เราไม่มีอะไรกัน”

แองเจลีน่านิ่งไปนิดหนึ่ง เลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงนก่อนจะส่งยิ้มหวานมาให้

“นายชอบแบบนั้นมากกว่าเหรอ”

“ผมไม่ได้ชอบแบบไหนมากกว่าทั้งนั้นแหละ” ผมว่าขณะที่มือเลื่อนไปติดกระดุมเสื้อเร็วๆ “ผมแค่พูดข้อเท็จจริง ผมไม่สามารถรักใครได้ แองจี้ เพราะงั้นถ้าคุณอยากให้นาฬิกาผมเพราะอยากให้ผมรับความรู้สึกคุณ…”

“โอ้ ขอทีเถอะน่า นี่มันนาฬิกาผู้ชายนะ” หล่อนกลอกตาขึ้นมองเพดานก่อนจะยัดเจ้ากล่องนาฬิกานั่นใส่มือผม “เก็บไว้เถอะ ฉันตั้งใจซื้อมาให้นาย”

“คุณแน่ใจนะว่าเข้าใจที่ผมพูด?”

หญิงสาวโบกมือ “รีบๆ กลับบ้านไปได้แล้ว แล้วจะติดต่อไปแล้วกัน”

ฟังเจ้าหล่อนพูดเหมือนไม่ยี่หระแบบนี้ ผมจึงยักไหล่ให้ทีหนึ่ง รับถุงกระดาษที่แองเจลีน่าได้มาตอนซื้อนาฬิกาเรือนนั้นเพื่อจะได้ถือกลับบ้านสะดวกๆ นั่นแหละผมถึงออกมาจากห้องของเจ้าหล่อนได้ในที่สุด

ผมจ้ำเท้าพรวดๆ ทันทีที่ออกมาจากตัวห้อง ถึงในใจส่วนหนึ่งจะคิดว่าป่านนี้หมอนั่นคงไม่รอแล้ว อีกอย่างพวกเราสองคนก็ไม่ใช่เด็กๆ คำสัญญาไร้สาระนั่นก็ผ่านมานานมากแล้ว แต่ในใจอีกส่วนหนึ่งก็อดรู้สึกแย่นิดหน่อยไม่ได้

ถ้าหมอนั่นไม่รออยู่ก็คงดี








แต่เมื่อผมเปิดประตูเข้ามาในตัวบ้าน ผมก็ค้นพบว่า… ไอ้บ้านั่นมันยังรออยู่จริงๆ

ภายในห้องนั่งเล่นของตัวบ้านมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์จากข้างนอกที่ส่องเข้ามาพอให้เห็นพื้นที่ด้านในได้บ้าง

เค้กทำมือก้อนหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ มีเทียนปักอยู่เล่มหนึ่งบนนั้น และดูเหมือนว่าจะถูกจุดไปครึ่งหนึ่งแล้ว อาหารอีกหลายอย่างถูกวางเรียงรายอยู่รอบๆ เค้กก้อนนั้น ส่วนหนึ่งพร่องไปบ้างแล้วเพราะลูคัสคงทนหิวไม่ไหว

ผมเลื่อนสายตากลับไปที่บริเวณโซฟาที่มีเงาตะคุ่มๆ ของใครสักคนนั่งอยู่ แน่นอนละว่านั่นคือลูคัสอย่างไม่ต้องสงสัย จะเป็นใครคนอื่นไปได้อีก?

ผมก้าวเท้าเข้าไปหามันที่ยังคงนั่งกอดอกนิ่งอยู่บนโซฟายาว หยุดอยู่ตรงหน้ามันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“ขอโทษนะ”

ลูคัสค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“ไปไหนมา”

“ทำงาน” ผมไม่ได้โกหกนะ สำหรับผม นี่ก็ถือเป็นงานจริงๆ

“ทำไมไม่โทรมาบอกว่าจะกลับช้า”

“แบตฯหมด” อ่า จริงด้วย… หมอนี่คงพยายามโทรหาผมหลายรอบแล้ว แต่ที่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะโทรศัพท์ผมมันตายอยู่นี่เอง

“ใช้โทรศัพท์สาธารณะไม่เป็นเหรอ”

“นี่ ฉันก็ขอโทษอยู่นี่ไง”

ลูคัสลุกขึ้นยืน เผชิญหน้ากับผม สบตาผมตรงอย่างค้นคว้า มีร่องรอยตัดพ้อบางอย่างอยู่ในดวงตาสีฟ้าที่เหมือนกับผมไม่มีผิดเพี้ยนนั้น อะไรนักหนาวะ กับอีแค่เรื่องแค่นี้… อย่าทำตัวน่ารำคาญเป็นผู้หญิงทีได้ไหม

“นายไปนอนกับผู้หญิงมาใช่ไหม”

ผมนิ่งเงียบไป หมอนี่ต้องได้กลิ่นน้ำหอมที่ยัยแองเจลีน่าประโคมใส่ตัวก่อนไปเดทแน่ๆ อ่า พลาดแล้วสิ รู้งี้น่าจะอาบน้ำก่อนมา… อืม ไม่สิ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ยิ่งมาถึงบ้านช้ากันไปใหญ่ แล้วหมอนี่ก็ต้องรอนานขึ้นอีก

อีกอย่าง… ต่อให้ไม่มีกลิ่นน้ำหอมนี่ ยังไงหมอนี่ก็ต้องรู้จากทางใดทางหนึ่ง อีกอย่าง… ถ้าผมกลับเวลาเกือบเช้าแบบนี้ มันแทบจะเดาเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากเรื่องไปนอนกับผู้หญิงมา…

“ตอบฉันมาสิ”

“ใช่” ผมยักไหล่ หมอนี่จะมาคาดคั้นเรื่องพวกนี้อะไรกับผมเนี่ย หรือคิดอยากทำตัวเป็นแม่ผมขึ้นมาหรือไง “แล้วไง? ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันไปนอนกับสาวจนกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้เสียหน่อย”

ลูคัสทำหน้าเหมือนกับผมเพิ่งตบหน้ามันไปแรงๆ อย่างไรอย่างนั้น น้ำตาคลออยู่ที่หางตาเจ้าตัวทันที นั่นทำให้ผมตกใจจริงๆ นี่หมอนี่เป็นบ้าอะไรของมันวะเนี่ย?

“ลูคั--”

“ช่างเหอะ” มันว่า เลื่อนมือมาดันไหล่ผมให้หลบทางให้มันซึ่งมุ่งหน้าไปยังบันไดขึ้นชั้นสอง “เค้กนั่น… ฝากเก็บด้วยแล้วกัน หรือถ้าคิดว่ายังไงก็ไม่กินอยู่แล้วก็ฝากทิ้งด้วย”

“เฮ้ ไม่เห็นต้องโมโหกันขนาดนี้ก็ได้นี่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ เดินตามอีกฝ่ายขึ้นไปอย่างรวดเร็ว “ลูคัส… ก็บอกว่าฉันขอโทษไง เฮ้ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

แต่เจ้าแฝดตัวดีของผมไม่ฟัง มุ่งหน้าไปยังชั้นบน และไม่เดินไปที่ห้องนอนใหญ่ที่พวกเราสองคนนอนด้วยกันทุกคืน แต่เดินไปบิดลูกบิดประตูที่ห้องนอนเล้กอีกห้องแทน นั่นทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ผมคว้าข้อมืออีกข้างของอีกฝ่ายไว้แน่น ลูคัสหันหน้ากลับมาจ้องผมเขม็งอย่างไม่พอใจทันที แต่ผมเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน

“มันจะอะไรนักหนาวะ กับอีแค่เค้กวันเกิด” ผมพูดอย่างมีอารมณ์ ยิ่งเห็นท่าทีสะดีดสะดิ้งเหมือนจะร้องไห้แบบนี้ของมันแล้วยิ่งอารมณ์เสีย กับเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้… “นายทำมา ของมันไม่เน่าไม่เสียก็เก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้ อีกอย่าง ฉันกลับบ้านช้าขนาดนี้นายก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรอเลย โตๆ กันแล้ว ก็น่าจะรู้อยู่แล้วสิว่าฉันติดธุระ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่ฉันกลับบ้านช้าขนาดนี้ อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม”

“ใช่ มันไม่ใช่ครั้งแรกที่นายกลับบ้านเวลานี้” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์พลุ่งพล่านไม่แพ้กัน “แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นายไม่มากินเค้กวันเกิดกับฉัน! แล้วสัญญาของพวกเราล่ะ ตอนนั้นนายสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเราสัญญากันไว้แล้ว นายก็ควรจะรู้สิว่าฉันจะต้องรอนาย แล้วอะไรคือการที่นายปล่อยให้ฉันรอนายทั้งคืน ที่นายควรทำคือติดต่อมาบอกฉันสิว่านายจะไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น!”

“จะอะไรนักหนาวะ” ผมหลุดคำพูดนั้นออกมาจนได้ “ก็แค่สัญญาตอนเด็กๆ… แล้วตอนนี้เราก็โตแล้ว อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย แล้วกระแทกเสียงเรื่องฉันนอนกับผู้หญิงนี่อะไร เกิดทำตัวเป็นพ่อพระ รับที่ฉันนอนกับผู้หญิงไปทั่วไม่ได้ขึ้นมารึไง นายก็รู้อยู่ว่า...”

ลูคัสยกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงห้ามไม่ให้ผมพูดต่อ สีหน้าของเจ้าตัวซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าพวกเราจะอยู่ในที่ที่ค่อนข้างมืด นี่หมอนี่มันเป็นอะไรของมันเนี่ย ไม่สบายรึเปล่า ทำไมถึงได้ดูเพี้ยนไปขนาดนี้

“ลู--”

“ฉันเข้าใจแล้ว” ลูคัสตัดบท พยักหน้าสองสามทีอย่างเหนื่อยอ่อน “ฉันเข้าใจที่นายพูดแล้วโลแกน”

“ก็บอกว่า---”

“คำสัญญาของเรามันไม่มีความหมายอะไรกับนายเลย” เจ้าตัวพูดสรุป กลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งอย่างยากลำบาก “ฉันเข้าใจแล้ว”

ผมขมวดคิ้วมุ่น พยายามดึงตัวมันให้หันกลับมามองหน้าผมเพื่อจะคุยกันให้เข้าใจ แต่ลูคัสปัดมือผมออกจากนั้นก็บิดลูกบิดประตูก้าวเท้าเข้าไปในตัวห้อง

“ราตรีสวัสดิ์ โลแกน” แล้วเจ้าตัวก็ปิดประตูลงกลอน

ตกลงที่มันบอกว่าเข้าใจเนี่ย… มันเข้าใจอะไรของมันกันแน่วะ?







---------------------------------
Talk: โลแกน... ทำไมนายทำแบบนั้นละ ถถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 13) P.2 [9/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: wasu ที่ 09-02-2017 23:35:42
 ค้างงงงงงคาใจมากมายยย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 13) P.2 [9/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-02-2017 23:59:14
โลแกน นอกจากลืมสัญญา
นายนอนกับพี่ชาย แล้วไปนอนกับผู้หญิง
มันเหมือนที่ผ่านมา ลูคัส ไม่มีความสำคัญ
ลืมคิดเรื่องความรู้สึกของลูคัสไปสินะ โลแกน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 13) P.2 [9/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-02-2017 01:09:00
 :z6:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 13) P.2 [9/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-02-2017 12:36:36
ค้างงงงงงคาใจมากมายยย

มาๆๆ มาอ่านต่อๆ ถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 13) P.2 [9/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-02-2017 12:37:40
โลแกน นอกจากลืมสัญญา
นายนอนกับพี่ชาย แล้วไปนอนกับผู้หญิง
มันเหมือนที่ผ่านมา ลูคัส ไม่มีความสำคัญ
ลืมคิดเรื่องความรู้สึกของลูคัสไปสินะ โลแกน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

นั่นสิคะ โลแกนนี่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกพี่ชายเล้ย.... -_-;;;;
//ขอบคุณที่แวะมาอ่านบ่อยๆ ค่าาาา >3<
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 13) P.2 [9/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-02-2017 12:39:47

บทที่ 14

(Mode: Lucas Collins)






“เฮ้ย ลูคัส”

รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงใครเรียกแว่วๆ

“ลูคัส… ลูคัสว้อย”

โอ๊ย… จะเรียกอะไรนักหนานะ ไม่เห็นหรือไงว่าคนกำลังนอนอยู่

“ลูคัส!”

คราวนี้ไม่ได้มาเพียงแค่เสียง แต่มีแรงของใครบางคนกำลังเขย่าไหล่ผมอย่างแรงเพื่อให้ตื่นขึ้น

ผมค่อยๆ ผงกศีรษะขึ้นมาอย่างเชื่องช้าเหมือนคนใกล้จะตาย อันที่จริงแล้วผมไม่ได้กำลังหลับหรอก แบบนี้น่าจะเรียกว่ากำลังซังกะตายมากกว่า ผมค่อยๆ เบือนหน้ากลับไปหาเพื่อนผมแดงที่ยังคงสะพายกีต้าร์ไฟฟ้าไว้บนตัว นัยน์ตาสีน้ำตาลของเจ้าตัวฉายแววเป็นกังวลระคนหนักใจ คิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่นเข้าหากัน ก่อนปีเตอร์จะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

“นายโอเคนะ?”

“ท่าทางฉันเหมือนคนโอเคเหรอวะ” ผมว่า ผายมือไปข้างตัวนิดหนึ่ง สภาพหน้าผมตอนนี้ก็น่าจะบอกอะไรๆ แก่ผู้พบเห็นได้ไม่มากก็น้อยแล้ว ขอบตาคล้ำยังกับหมีแพนด้าที่ไม่ได้นอนมาสามชาติ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนคนไม่รู้จักว่าหวีกับเจลใส่ผลคืออะไร ส่วนเสื้อผ้ายับๆ ที่ดูเรียบง่าย… เอ่อ โชคดีหน่อยที่ผมใส่แบบนี้มาตลอดทั้งชีวิต มันเลยดูแย่เหมือนเดิม ไม่ได้ดูแย่ลง เฮ้ อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าแย่ลงใช่ไหมล่ะ

“แกเป็นอะไรวะ ซึมๆ ทั้งวัน” คนตรงหน้าผมถามอย่างไม่เข้าใจ ผละออกไปนิดหนึ่งจากนั้นก็เริ่มหยิบปิ๊คกีต้าร์ขึ้นมาดีดลงบนสายเป็นจังหวะนิดหนึ่ง “เมื่อวานวันเกิด แทนที่จะทำหน้ามีความสุข ไม่ได้ฉลองวันเกิดหรือว่าอะไร”

“เออ” ไม่ได้ไม่ฉลองธรรมดา ไม่ได้นอนทั้งคืนด้วย ไอ้บ้าโลแกนเอ๊ย… นึกถึงตอนนี้ก็ยังแค้นไม่หาย “เมื่อคืนโลแกนมันไม่ยอมกลับมา”

“อ้าว” ปีเตอร์เงยหน้าขึ้นมาจากกีต้าร์นิดหนึ่ง แต่มือยังคงดีดต่อไป “มันไปฉลองกับเพื่อนหรือแฟนมันเปล่า?”

ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นทันที “โลแกนไม่มีทั้งสองอย่างที่นายว่ามานะ”

“เออ ไม่แปลกใจว่ะ” ชายหนุ่มผมแดงหัวเราะขัน จากนั้นก็ขยับมือที่จับคอร์ดกีต้าร์ขึ้นลงเพื่อเล็งจังหวะนิดหนึ่ง “มีแต่คนกลัวมัน นอกจากนายแล้ว มันจะยังมีใครอีกวะ”

“...” ก็สาวๆ ในสต็อกมันไง เหอะ

“แล้วนัดกันไว้หรือเปล่า?”

“...ก็นัด” อืม ไอ้สัญญาเมื่อตอนที่เราอายุแปดขวบนี่ ก็ถือว่าเป็นการนัดรึเปล่านะ

ปีเตอร์เงยหน้าขึ้นมามองผมเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ผมเลยถอนหายใจเฮือกใส่มันไปทีหนึ่ง

“ก็ไม่เชิงนัดแนะกันดิบดีอะไรขนาดนั้นหรอก แต่เราเคยสัญญากันไว้ตอนเด็กๆ”

“สัญญาว่า?”

“ว่าเราจะมาฉลองวันเกิดด้วยกันทุกปี”

เพื่อนตรงหน้าผมหลุดหัวเราะออกมาพรืด นั่นทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้น มองมันอย่างโกรธๆ ทันที

“มีอะไรน่าขำวะ”

“อย่าบอกนะว่าที่นายนั่งซังกะตายอยู่นี่เพราะแฝดนายไม่ยอมมาฉลองวันเกิดกับนาย?”

“แต่เราสัญญากันไว้แล้วนะ” แล้วมันก็ไม่เคยผิดสัญญาสักครั้ง…

ปีเตอร์ส่ายหน้าให้ผมยิ้มๆ “ลูคัส โลแกนไม่ใช่เด็กๆ แล้ว นายเองก็ด้วย”

“นายเองก็พูดแบบนั้นเหรอ”

“เฮ้ย ฉันแค่ชี้ให้นายเห็นเท่านั้นเอง ว่าถ้านายจะมานั่งน้อยใจ เสียอกเสียใจกับเรื่องแค่นี้… มัน… ไม่เข้าท่าว่ะ สู้หาอะไรสนุกๆ อย่างอื่นทำดีกว่า อย่างเช่นเล่นเพลงคู่กับฉันไง นายจำที่เราเคยอัดคลิปลงยูทูปด้วยกันได้ไหม ยอดวิวเกินล้านแล้วนะเว้ย อันนั้นน่ะ”

“นายพูดจริงเหรอ” ผมถามกลับอย่างแปลกใจ ตั้งแต่ที่ลงยูทูปรอบนั้นไป ผมก็ไม่ค่อยได้ติดตามเท่าไร ปีเตอร์พยักหน้าให้ผม ดีดกีต้าร์เพื่อลองเสียงอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มเผล่แบบคนขี้เล่นส่งมาให้

“เรามาหาเพลงเล่นคู่กันแล้วอัดลงยูทูปกันอีกรอบเหอะ”

“อืม… ก็ได้นะ” ผมว่า เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของตัวอาคาร จากตรงนี้จะเห็นสนามฟุตบอลที่ชมรมฟุตบอลกำลังเตะบอลกันอยู่ จากนั้นผมก็ถอนหายใจยาวออกมาอีกรอบหนึ่งแล้ววางหน้าลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยโน้ตเพลงและหนังสือแนะนำการเล่นดนตรีต่างๆ อีกรอบ ปีเตอร์เอ็ดขึ้นมาทันที

“เอาอีกแล้ว ทำตัวซังกะตายอีกแล้ว นี่ตกลงนายเสียใจเรื่องน้องชายฝาแฝดนายจริงๆ เหรอเนี่ย”

“มัน… ก็ไม่เชิง” เอาจริงๆ ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจริงๆ แล้วตัวเองเสียใจกับเรื่องอะไร

เรื่องที่หมอนั่นไม่มากินเลี้ยงวันเกิดด้วยกัน…? อืม ก็ใช่ อันนั้นมันก็น่าน้อยใจอยู่ ยิ่งคิดว่าพวกเราสองคนสัญญากันไว้แล้ว แต่มีแค่ผมคนเดียวที่เห็นความสำคัญของมัน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย นั่นเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ แต่ก็อย่างที่ปีเตอร์… แล้วก็โลแกนบอก โตๆ กันแล้ว สัญญาสมัยเด็กอะไรนั่นก็อาจเป็นเรื่องที่ถูกลืมเลือนไป

หรือ… ดีไม่ดี โลแกนอาจจะลืมวันเกิด… อย่างที่ผมลืมก็ได้ ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่ได้ถามมัน และมันก็ไม่ได้บอกผม เหมือนตอนนั้นสิ่งที่ทำให้ผมเสียใจมากกว่า… ดูเหมือนจะเป็นอีกเรื่อง…

คิดถึงตรงนี้ ผมก็เริ่มยกมือขึ้นมากุมหัว

“พีท” ผมเรียกไอ้ปีเตอร์ที่กำลังดีดสายกีต้าร์เล่น

“หือ?”

“นายเคยนอนกับคนที่ไม่ควรนอนด้วยไหม” ผมถาม ตาลอยไปที่หยุดอยู่ที่เปียโนสีดำขลับหลังงามอย่างเหม่อๆ “เคยรัก… คนที่ไม่สมควรจะรักไหม”

“หา?” อีกฝ่ายหยุดการกระทำของตัวเองทันที เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาฉงน ทันใดนั้นเอง ผมก็เพิ่งรู้ตัวกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป มันทำให้ผมหน้าร้อนวูบขึ้น ชิบหายล่ะ ไอ้หมอนี่จะสังเกตเห็นรึเปล่าเนี่ย แล้วนี่ผมพูดบ้าอะไรออกไป

อย่าบอกนะว่าผม...

“นายพูดถึงโอลิเวียเหรอ?”

“หา??”

“นายกำลังจะบอกว่า ที่นายซึมๆ อยู่เนี่ย เพราะนายยังไม่ลืมยัยนั่นใช่ไหม”

“อ่า…” นั่นสินะ ก็ผมเพิ่งเลิกกับโอลิเวียมาหมาดๆ จะโดนมองเป็นแบบนั้นก็ไม่แปลกสินะ… ขอบคุณพระเจ้า “ก็… คงประมาณนั้นมั้ง”

ถึงแม้ในความเป็นจริงแล้ว แฟนเก่าผมคนนั้นจะไม่ได้เข้ามาอยู่ในหัวเท่าไรเลยก็เถอะ

“อืมๆ” ปีเตอร์พยักหน้าหงึกหงักสองสามทีกับตัวเอง ผมมองมันที่ยังคงขยับมือ เล่นกีต้าเอื่อยๆ ไปด้วยนิ่ง ไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อมันหันขวับกลับมาทางผม “แต่ฉันว่านายพูดถูกอยู่อย่างนะ”

“อะไร?”

“ยัยนั่นไม่ใช่คนที่นายสมควรจะรักหรอก”

คำพูดนั้นทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจจริงๆ ก็ตอนที่ผมคบกับโอลิเวีย พวกเพื่อนๆ ของผมก็ไม่เห็นจะพูดอะไร

“ทำไมล่ะ?”

“ยัยนั่นไม่เหมาะกับนาย” พีทยักไหล่ให้ผมทีหนึ่ง ส่งยิ้มกวนๆ มาให้ “นายมันเป็นคนดีเกินไปว่ะ ลูคัส แถมยังหน้าตาเกินกว่าจะไปคบยัยนั่นด้วย ถึงยัยนั่นจะสวยแล้วก็หุ่นดีก็เถอะ แต่อย่างนาย… ทั้งสวยทั้งดีน่ะ หาได้ไม่ยากอยู่แล้ว”

“งั้นเหรอ”

“เออ”

แล้วไอ้โลแกนล่ะ… เข้าข่ายข้อไหนบ้าง?

ความคิดนั้นทำให้ผมหยุดหายใจไปจริงๆ โดยไม่รู้สึกตัว ผมเลื่อนมือมาเกาะเสื้อตรงบริเวณอกข้างซ้ายอย่างงงๆ ยิ่งไอ้หัวใจที่มันเต้นรัวขึ้นอยู่ในอกตอนนี้นี่… มันยังไงกัน นี่อย่าบอกนะว่าผมชอบน้องชายฝาแฝดของตัวเองไปแล้วจริงๆ? ชอบแบบ… ในเชิงชู้สาวอะนะ? เอาจริงดิ? นั่นมันคนที่หน้าเหมือนผมเด๊ะเลยนะ!?

ชิบหายล่ะ ชิบหายล่ะ ชิบหายล่ะ ชิบหายล่ะ ชิบหายล่ะ

“อ้าว ไหงหน้าเครียดขึ้นกว่าเดิมอีกล่ะเพื่อน?” ปีเตอร์ที่หันมาเห็นหน้าผมตอนนี้สะดุ้งนิดหนึ่ง “เฮ้ย ฉันว่านายหน้าซีดเกินไปละนะ ไปเหอะ วันนี้เราพอแค่นี้กันก่อนดีกว่า เดี๋ยวค่อยมาคุยมาซ้อมกันวันหลัง กลับไปนอนพักที่บ้านให้หายเหนื่อยหายเครียดก่อน”

ไม่อ่ะ… กลับไปที่บ้าน น่าจะยิ่งเครียดกว่าเดิมมากกว่า

พวกเราสองคนคว้ากระเป๋า เดินออกจากห้องดนตรีเนือยๆ ผมก้มหน้าต่ำ มองพื้นแทบจะตลอดทาง สิ่งที่ผมเพิ่งจะฉุกใจคิดขึ้นมาได้ลอยวนเวียนไปมาอยู่ไม่หาย นี่ถ้าเกิดว่าผมชอบโลแกน… แบบนั้นจริงๆ มันจะเป็นอะไรที่บัดซบมากเลยนะ คือไม่มีอะไรแย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว ผมหมายถึง… นั่นมันน้องชายตัวเองนะ? ฝาแฝดของตัวเองอ่ะ? แม่ง… ไม่ชิบหายกันไปหมดเหรอวะ ทีนี้

“แปลกจังนะ ฉันนึกว่านายเลิกเศร้าเรื่องโอลิเวียแล้วซะอีก” ปีเตอร์ที่เดินอยู่ข้างๆ ผมเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “เห็นช่วงที่นายอยู่กับโลแกนดูสภาพนายดีขึ้นมานิดหนึ่ง เลยนึกว่าจะทำใจได้แล้วเสียอีก”

“อืม…” ผมครางในลำคอเบาๆ เรื่องโอลิเวียน่ะเหรอ… มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่นี่

ผมกำสายสะพายกระเป๋าที่พาดอยู่บนบ่าแน่นขึ้น รู้สึกถึงความกดดันที่มองไม่เห็นกดทับไหล่ลงมา จากนั้นความกลัวก็ซัดเข้ามาในจิตใจผมตามมาติดๆ และอึดใจต่อมา… ผมก็ไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความสิ้นหวัง

โลแกนเหรอ… โลแกน คอลลินส์คนนั้นน่ะเหรอ?

ผมถอนหายใจออกมาอีกเฮือกอย่างอัดอั้น และก้ค้นพบว่าการทำอย่างนั้นไม่ได้ช่วยระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจของผมออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว

ตายทุกทาง แค่คิดว่ามีความรู้สึกดีๆ ให้หมอนั่นก็เท่ากับตายไปแล้ว ลองตัดเรื่องความเป็นพี่น้อง ความเป็นฝาแฝด ความที่เราหน้าตาเหมือนกันนั่นออกไปก่อนก็ได้ (ถึงจริงๆ มันจะตายแล้วตั้งแต่ตรงนี้ก็เถอะ) อะ ลองคิดดู หมอนั่นชอบผู้หญิง… ชอบนอนกับผู้หญิงนี่ชัวร์ป้าบร้อยล้านเปอร์เซ็นต์ และดูจากคลิปวิดีโอที่มันนอนกับผู้หญิงไม่เลือกหน้าแถมยังเอามาเปิดย้อนดูตอนอยากทำสมาธิ… โอเค มีคลิปที่ว่านั่นเป็นล้าน นั่นหมายถึงว่าสิ่งนั้นแม่งกลายเป็นสันดานของไอ้โรคจิตนั่นไปแล้ว และถามหน่อยว่าอยู่ๆ มันจะอยากขุดสันดานๆ ทุเรศๆ ของมันทิ้งไหม คำตอบคือไม่ ไม่มีทางแน่ล่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรให้มันทำแบบนั้น นอกจากว่าจะมีใครที่มันรักจริงๆ และมันจะยอมทำเพื่อคนคนนั้น…

ผมรู้สึกใจหายวาบทันทีเมื่อคิดมาถึงตรงนี้

โลแกนรักใครไม่เป็น

“ลูคัส?” ปีเตอร์ที่อยู่ข้างๆ ผมคงสังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดลงทุกทีๆ ของผมได้ “นี่… นายไหวรึเปล่าเนี่ย วันนี้นายดูแย่มากจริงๆ นะ กลับบ้านคนเดียวไหวรึเปล่า โทรหาโลแกนให้มาพานายกลั--”

“ไม่ต้อง” ผมรีบพูดทันที มือกระชับสายกระเป๋าเป้ให้มั่นขึ้น “ฉันกลับคนเดียวได้”

“นายแน่ใจนะ?”

“อือ”

ต่อให้ไม่ได้… ยังไงผมก็ไม่ยอมกลับบ้านพร้อมกับไอ้เด็กนรกนั่นแน่




...

และเมื่อมาถึงบ้าน ผมก็ต้องนิ่งอึ้งไปกับสิ่งที่คาดไม่ถึงว่าจะเจอทันที

มีบริษัทขนส่งแห่งหนึ่งกำลังโยกย้ายสิ่งของชิ้นใหญ่ในบ้านของผม… และไอ้สิ่งของที่ว่านั่นก็ไม่ใช่อะไรอื่น เปียโนหลังแรกและหลังเดียวของผมเอง

ผมหันขวับไปมองโลแกนที่กำลังคุยกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเรื่องการย้ายเครื่องดนตรีชิ้นนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นี่หมอนี่มันทำผมประสาทเสียทั้งวันมายังไม่พอ ยังจะมาทิ้งของรักของผมง่ายๆ แบบนี้เลยงั้นเหรอ!?

“โลแกน!!” ผมพุ่งตัวไปกระชากคอเสื้อมันขึ้นทั้งๆ ที่สมองไม่ต้องประมวลผลด้วยซ้ำ “แกทำบ้าอะไรวะ!! นี่แกให้คนมายกเปียโนของฉันทำไม”

“ก็มันเก่าแล้ว” ชายหนุ่มผมบลอนด์ผู้มีใบหน้าแบบเดียวกับผมตอบหน้าตาย “แถมเสียงตอนที่นายเล่นมันก็ชักจะเพี้ยนๆ เข้าไปทุกที นายไม่สังเกตเหรอ ขนาดฉันไม่ค่อยรู้เรื่องดนตรียังรู้สึกว่ามันแสลงหูเลย แถมรอยขีดข่วนก็เยอะขนาดนั้น... เก็บไว้ก็ฝุ่นจับ รกบ้านเปล่าๆ สู้นายไปซ้อมที่โรงเรียนทุกวันยังดีซะกว่าเลย”

วินาทีนั้น ผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ รู้สึกแค่ว่าเกลียดน้องชายฝาแฝดของตัวเองสุดใจ หมอนี่กล้าดียังไงมายุ่งกับของของผมแบบนี้

และเพราะความไร้สตินั้นเองที่ทำให้ผมเงื้อหมัดขึ้นมา หวังจะกระแทกลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายที่มีพิมพ์เดียวกับผมราวกับคัดลอกกันมานั่นให้หายคับแค้นใจ

แม่ง… ไอ้น้องนรกเอ๊ย…!! ขอสักทีเถอะวะ!!






----------------------------------------
Talk: ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านน้าาา >3< จะพยายามมาอัพเรื่อยๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-02-2017 14:26:19
เตรียมจะซื้อเปียโนใหม่ให้ใช่ไหม แต่ปากแบบนี้โดนชแไปก่อนซะทีเถอะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-02-2017 14:27:51
 :hao5: น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-02-2017 19:37:58
โธ่.....โลแกน จะซื้อเปียโนตัวใหม่ให้ลูคัส
ทำไมไม่พูดกันก่อน  :z3: :z3: :z3:
เจ้าของเข้าใจว่าอยู่ๆ ก็ทิ้งของเขา
ใครจะไม่โกรธ เข้าใจผิดล่ะ ถูกเกลียดไปและ
       :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 11-02-2017 19:39:43
ค้างมากเลย เดาเหมือนกันว่ามีเปียโนใหม่ รออยู่นะจ้ะ :)
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-02-2017 23:47:52
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-02-2017 06:59:25
เตรียมจะซื้อเปียโนใหม่ให้ใช่ไหม แต่ปากแบบนี้โดนชแไปก่อนซะทีเถอะ

นั่นสิคะ ปากแบบนี้ ซักหมัดสองหมัดละกันเนอะ ถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-02-2017 07:00:35
:hao5: น่าสงสาร

เนอะะะะ TvT
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-02-2017 07:02:31
โธ่.....โลแกน จะซื้อเปียโนตัวใหม่ให้ลูคัส
ทำไมไม่พูดกันก่อน  :z3: :z3: :z3:
เจ้าของเข้าใจว่าอยู่ๆ ก็ทิ้งของเขา
ใครจะไม่โกรธ เข้าใจผิดล่ะ ถูกเกลียดไปและ
       :L1: :L1: :L1:

555555 โลแกนนี่ไม่ได้เข้าใจความรู้สึกใครเขาเลยจริงๆ นั่นแหละค่ะ ถถถถถถ
อยากทำไรก็ทำเลย =w= ต่อให้โดนเกลียด นางก็คงไม่รู้ตัว (ฮา)
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-02-2017 07:03:24
ค้างมากเลย เดาเหมือนกันว่ามีเปียโนใหม่ รออยู่นะจ้ะ :)

จะรีบมาลงนะคะ ^^ มาลุ้นเปียโนใหม่กัน <3
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 14) P.2 [11/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-02-2017 08:18:27

บทที่ 15

(Mode: Lucas Collins)





แต่หมัดของผมไปไม่ถึงหน้าของไอ้หมอนี่

โลแกนขยับมือขึ้นมาล็อกข้อมือผมไว้ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จับมัน ดึงตัวผมให้หันกลับไปอีกทาง ยึดท่อนแขนของผมไว้แนบกับแผ่นหลัง ออกแรงดึงจนตึง โอ๊ยๆๆๆ เจ็บเป็นบ้าเลย ไอ้น้องเวร!

“เคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าฉันไม่อยากเป็นศัตรูกับนาย” เสียงทุ้มต่ำกระซิบลงข้างหู และผมรู้สึกผิดกับตัวเองมากที่ดันวูบวาบกับลมหายใจอุ่นๆ ที่รดลงมาบนต้นคอ บางทีก็รู้สึกเกลียดร่างกายตัวเองจริงๆ ที่ไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปอย่างที่ใจคิดได้

“แต่นายจะทิ้งเปียโนของฉัน” ผมกัดฟันกรอด เจ็บใจจริงๆ ที่แค่จะตะบันหน้าหมอนี่สักหมัดยังทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไอ้บ้านี่มันทำกับผมสารพัดสารเพ จะมีใครเข้าใจความคับแค้นใจนี่ของผมบ้าง!?

“คุณคอลลินส์ครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์มของร้านอะไรก็ไม่รู้ แต่เป็นสีเหลืองขลิบเขียว ดูเห่ยมากๆ เลย ใครกันนะช่างออกแบบชุด โคตรทำร้ายพนักงาน “ทางเรายกเปียโนมาให้แล้ว จะให้เอาวางไว้ที่เดิมเลยไหมครับ”

“ครับ รบกวนด้วย” โลแกนหันหน้ากลับไปตาม ส่วนพนักงานคนดังกล่าวดูเหมือนจะไม่สนใจการปะทะอารมณ์กันของพี่น้องที่เรียกได้ว่าแทบจะถึงขั้นลงไม้ลงมือกันอยู่แล้ว นี่สินะ อเมริกา ประเทศแห่งเสรี ที่ที่ไม่มีใครสนใจต่อให้มีศพคนตายอยู่ต่อหน้าต่อตาก็ตาม

“ปล่อยฉันได้แล้ว” ผมว่าเมื่อแขนข้างขวาทั้งแถบชาไปหมด โลแกนปล่อยมือออกอย่างว่าง่าย นัยน์ตาสีฟ้าเรียบเฉยขณะที่ผมหันกลับมาเผชิญกับมันตรงๆ “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”

“ยังต้องถามอีกเหรอ หัวสมองนายมีไว้คั่นหูหรือไง”

“นายซื้อเปียโนตัวใหม่มาอย่างนั้นเหรอ”

โลแกนตีหน้าตาย “อ้อ เปล่า ฉันแค่ขอให้พนักงานลองยกมาทาบกับฝาบ้านเราดูว่ามันเข้ากันไหม”

“แต่… นายไปเอาเงินมาจากไหน” ผมอึกอักไปอย่างคาดไม่ถึง แม้ในใจจะเริ่มพองโตขึ้นมาด้วยความยินดีแล้วก็ตาม แต่ความงงมันมีอยู่มากกว่า

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันทำงานพิเศษ”

“มันเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายแน่นะ?”

โลแกนยกยิ้ม “นายจะลองให้นักกฎหมายหรือพวกตำรวจตรวจสอบบัญชีฉันดูไหมล่ะ?”

“โลแกน!!”

“มันเป็นเงินที่ฉันได้มาอย่างสุจริตน่า เลิกโวยวายสักที แล้วก็เลิกงอนฉันไม่เข้าเรื่องได้แล้ว สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะ พี่ชาย”

หะ?

“ใครงอนนาย”

“ก็นายไง”

“ฉันไปงอนนายตอนไหน”

“แล้วไอ้ที่ไปนอนห้องลิซ่าเมื่อคืนนั่นอะไร” โลแกนย้อนอย่างท้าทาย ผมเลยถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ยกมือยอมแพ้

“ก็ได้ ฉันโกรธนายที่นายไม่ยอมมากินเค้กวันเกิดกับฉัน แล้วก็ไม่ยอมติดต่อมาบอกอะไรเลยด้วย พอใจรึยัง”

โลแกนยิ้มกว้าง และไม่รู้ทำไม นั่นทพให้ผมสะดุดไปนิดหนึ่งเหมือนกัน ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบๆ ปีก็เห็นมันยิ้มแบบนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

น้องชายฝาแฝดของผมเอื้อมมือมายีหัวผมเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“ฉันขอโทษนะ”

โอ๊ย… ไอ้บ้านี่ ทำตัวแบบนี้แล้วจะให้ผมตอบกลับไปยังไง

ผมหลุบตาต่ำลง ไม่มองหน้ามัน เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำสายตาแบบไหนส่งไปให้มันที จากนั้นก็ยักไหล่ให้มันทีหนึ่งแกนๆ และทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของอีกฝ่าย ดูจากรูปทรงและยี่ห้อแล้ว… นั่นมันต้องไม่ถูกมากแน่

“นี่นายมีปัญญาซื้อนาฬิกาแพงๆ แบบนี้ใส่แล้วเหรอ?”

โลแกนยกข้อมือของตัวเองขึ้นมาก่อนจะร้องอ้อ

“นี่น่ะเหรอ มีคนให้มาเมื่อคืนน่ะ”

“ผู้หญิงที่นายนอนด้วยใช่ไหม”

“ใช่” โคตรเต็มปากเต็มคำ

“นายชอบเขาเหรอ?” ผมถาม รู้สึกเหมือนมีอะไรเสียดสีอยู่หน้าอก มันทำให้ใจผมเจ็บแปลบ “คิดจะจริงจังกับผู้หญิงคนนี้เหรอ”

“เปล่า”

“หมายความว่าไง” คำตอบนั้นทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นทันที “นายไม่เคยรับของจากผู้หญิงคนไหน ยิ่งเป็นของมีราคาแบบนี้ด้วยแล้ว”

“คนนี้เป็นเพื่อนร่วมงานน่ะ”

“แต่นายนอนกับเขาไปแล้วนี่”

“ใช่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะจริงจังด้วยสักหน่อย”

“นายต้องเลิกไอ้นิสัยแบบนี้ได้แล้ว” ผมพูด ไม่รู้ตัวเลยว่าปนการทอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อนลงไปด้วย “มันทำให้คนอื่นเจ็บปวดนะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกำลังพูดถึงตัวเองรึเปล่า บางทีก็อาจจะใช่

“ขอทีน่า นี่ฉันตกลงกับอีกฝ่ายก่อนตลอดนะว่าความสัมพันธ์ของเราจะไปได้ถึงขั้นไหน”

“แต่กับฉัน นายไม่ได้ถามอะไรเรื่องนั้นก่อนเลยนี่” หลุดปากพูดออกไปแล้ว ผมก็นึกอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด

โลแกนนิ่งขึงไปทันที นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยปากออกมาอย่างไม่แน่ใจ

“นี่อย่าบอกนะว่านาย…”

“ขอโทษครับ ช่วยมาเซ็นต์ตรงนี้ด้วยครับ” เสียงเรียกจากเจ้าพนักงานที่ทำการจัดวางเปียโนเครื่องใหม่ลงบนตำแหน่งเก่าเสร็จเรียบร้อยแล้วดังขึ้น โลแกนจึงหันหน้ากลับไปจัดการเรื่องตรงนั้นต่อ

ผมสาวเท้าเข้าไปหาเจ้าเปียโนตัวใหม่ เลื่อนปลายนิ้วลงแตะฝาครอบอย่างเบามือ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าโลแกนจะซื้อเปียโนให้ผมจริงๆ จริงๆ แล้วผมรักเปียโนตัวเก่ามากนะเพราะเหมือนมันมีความทรงจำและความพยายามที่ผ่านมาของผมอยู่ด้านใน แต่เสียงของมันก็เริ่มจะเพี้ยนและสภาพภายนอกก็ดูเก่าทรุดโทรมเสียจนน่าสงสาร

แต่… นี่หมอนี่มันทำงานอะไรกันแน่ คงไม่ได้ทำอะไรอันตรายๆ อยู่ใช่ไหม?

“ลูคัส” โลแกนเรียกผมหลังจากที่พวกพนักงานพวกนั้นขับรถกลับไปแล้ว “เรื่องที่นายพูด…”

“นายกำลังทำงานอะไรอยู่กันแน่ โลแกน” ผมพูดแทรก ส่วนหนึ่งเพราะความร้อนใจกับลางสังหรณ์ไม่ดีที่พุ่งขึ้นมาในใจอย่างไม่มีสาเหตุ อีกส่วนหนึ่งคือ… เพราะผมไม่อยากจะพูดเรื่องความรู้สึกของตัวเองที่เผลอหลุดปากออกไปเมื่อครู่ “คงไม่ใช่งานอันตรายอะไรใช่ไหม?”

เป็นคราวที่โลแกนต้องนิ่งเงียบลงบ้าง และขอทีเถอะ เราอยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิต มีหรือผมจะดูมันไม่ออก

“นายกำลังทำอะไร?”

“มันไม่เกี่ยวกับนาย”

“ถ้านายต้องฝืนตัวเองเพราะเห็นว่าฉันกำลังกลุ้มใจเรื่องเงิน…”

แต่โลแกนสาวเท้าเข้ามาประชิดตัวผม มือเลื่อนมาบีบมือข้างขวาของผมแรงๆ จนมันอุ่นซ่านขึ้น ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันทีและต้องรีบก้มหน้าต่ำลงเพื่อหลบมันแทบไม่ทัน

“นายอย่าห่วงฉันเลย” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ นี่มัน… เหมือนไม่ใช่หมอนี่เลย “นี่เป็นงานของฉัน เป็นสิ่งที่ฉันเลือกเอง ฉันไม่เป็นไรหรอก”

“โอเค” ผมรวบรวมสติกลับคืนมา เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งแต่ยังไม่ยอมมองหน้ามัน จากนั้นก็ยักไหล่ทีหนึ่ง “ถ้านายพูดถึงขนาดนั้น”

“แล้วเรื่องที่เราพูดค้างกันไว้”

นั่นไง๊ มันวกกลับมาอีกจนได้!

“อย่าหลบตาฉัน ลูคัส”

แต่ผมไม่ทำตามที่มันบอก ต่อให้มันจะเชยคางผมขึ้นไปให้มองหน้ามันก็ตาม

“ลูคัส”

“นายจะพูดอะไรล่ะ”

ถึงคราวที่โลแกนต้องเงียบไปบ้าง แต่ก็เพียงอึดใจเดียว จากนั้นเจ้าก็ถามผมตรงๆ

“นายชอบฉันเหรอ?”

ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนขึ้นอีกครั้ง ผมปัดมือมันที่ยึดคางของผมไว้ออกจากนั้นก็ก้มหน้าลงมองเท้าตัวเอง

ไม่มีทางออกสำหรับความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นอย่างสับสนนี้ มีแต่ต้องย้อนกลับไปทางเดิม

“ฉันไม่รู้” ผมตอบตรงๆ

“แล้วไอ้ที่นายพูดเมื่อกี้ มันหมายความว่าไงล่ะ”

“นายอยากได้ยินคำตอบแบบไหนจากฉันเหรอ โลแกน” ผมเงยหน้าพรวดขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่าย ความรู้สึกอึดอัดที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกกำลังบีบหัวใจบนอกข้างซ้ายของผม แต่ไม่ล่ะ ผมจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว แค่น้ำตาซึมต่อหน้าหมอนี่เมื่อวานก็ขายหน้าจะแย่ ผมจะไม่มีทางปล่อยให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นอีก “ฉันเป็นพี่ชายฝาแฝดของนาย เราหน้าเหมือนกัน เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน แล้วนายยังหวังจะได้ยินคำตอบแบบไหนจากปากฉันอีก”

โลแกนนิ่งเงียบไป หากชายหนุ่มขมวดคิ้วเรียวขึ้น แววตาครุ่นคิด

“ฉันว่าเราอย่านอนด้วยกันอีกเลย” ผมหลุดคำพูดนั้นออกมาในที่สุด จากนั้นก็เบือนหน้าหนี นอกจากวิธีนี้แล้ว ผมก็มองหาวิธีแก้ปัญหารูปแบบอื่นไม่ออก “ฉันรู้ว่านายอาจจะไม่ชอบใจ นายคงคิดว่านอนกับฉันมันสนุก แล้วมันก็ง่ายดี ในเมื่อเราสองคนอยู่ใต้หลังคาเดียวกันแบบนี้ แต่… มันน่าขยะแขยง จริงๆ นะ ถึงทุกๆ ครั้งฉันจะยอมโอนอ่อนไปกับนายแล้วก็ยอมให้นายทำในสิ่งที่นายต้องการก็เถอะ แต่ลึกๆ ลงไปแล้ว ฉันรู้สึกแย่ทุกครั้ง เพราะงั้น… ฉันขอเถอะนะ”

“นายกำลังพาเราหลุดประเด็น” โลแกนพูดอย่างจับผิดจากนั้นเจ้าตัวยื่นขืนข้างหนึ่งมาแนบติดกับผนังด้านหลังผมเพื่อกันผมไว้ไม่ให้ออกไปไหน ผมลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง “ฉันถามนายว่า นายชอบฉันงั้นเหรอ คำตอบมีแค่สองอย่าง ลูคัส ใช่กับไม่ใช่ เลือกตอบมา”

“...มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก โลแกน”

“อ้อ เหรอ งั้นเรามาทำให้มันง่ายกันเถอะ”

“ถ้าฉันตอบว่าใช่ นายจะทำยังไง”

ชายหนุ่มตรงหน้าผมนิ่งไป สีหน้าบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าคาดไม่ถึงกับสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป นัยน์ตาสีฟ้ายังคงจ้องมองผมราวกับผมเป็นเอเลี่ยนที่มาจากดาวอังคาร ขอบคุณมากเลย ช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะ

“ลูคัส ฉัน…”

“ฉันรู้ดีว่ามันฟังดูบ้า” ผมพูดดักคอ หมอนี่กำลังคิดอะไรอยู่ มีเหรอผมจะไม่รู้ “และสำหรับนาย เรื่องท่ีเรามีเซ็กส์กันก็เป็นแค่การระบายความต้องการของร่างกายก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น นายเองก็บอกฉันแบบนั้นเสมอเวลาฉันถามเรื่องนายไปนอนกับผู้หญิงคนไหน”

“ก็ใช่”

“แล้วนายมีทางออกอะไรอย่างอื่นให้ฉันอีกล่ะ”

เกิดความเงียบน่าอึดอัดขึ้นระหว่างพวกเราสองคน แม้แต่โลแกนที่ดูเหมือนจะสบายๆ ไม่คิดอะไรกับทุกเรื่องยังมีสีหน้าปั้นยาก ก็ขอบคุณแล้วกันที่อย่างน้อยก็รับรู้ความกระอักกระอ่วนของผมบ้าง

“เอาเป็นว่า… เราอย่านอนด้วยกันอีกเลยนะ” ผมสรุป จากนั้นก็ค่อยๆ ดันแขนคนตรงหน้าออก “ขอบคุณมากๆ ที่นายใช้เงินส่วนตัวของนายซื้อเปียโนให้ฉัน ฉันซึ้งใจจริงๆ สุขสันต์วันเกิดย้อนหลัง โลแกน ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับนาย”

พูดจบแล้วผมก็เตรียมเดินขึ้นห้องที่ชั้นสอง ใจจริงก็อยากลองเปียโนใหม่ที่เพิ่งได้มาอยู่นี่หรอก แต่ความรู้สึกบีบเค้นที่รัดแน่นอยู่ในใจผมนี่มันทำให้อึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก ผมไม่น่ารู้ตัวเลยว่าเผลอชอบไอ้หมอนี่ในแง่นั้น สู้ให้ผมรักใครไม่เป็นอย่างที่โลแกนเป็นแล้วก็สนุกไปกับเรื่องบนเตียงอย่างที่มันทำได้ยังจะดีเสียกว่า

โลแกนเอื้อมมือมาคว้าข้อมือผมหมับจากนั้นก็ถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ

“แบบนั้นมันดีสำหรับนายแล้วจริงๆ เหรอ”

“...อืม” มันก็คงไม่ดีหรอก แต่มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่

“ถ้านายชอบฉัน… ไม่ใช่ว่านายอยากจะมีอะไรกับฉันหรอกเหรอ”

ผมยิ้มเหยียด หันหน้ากลับไปมองน้องชายฝาแฝดของผมตรงๆ

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก โลแกน มันไม่ง่ายแบบนั้นจริงๆ”

จากนั้นผมก็เดินกลับขึ้นมาในห้องนอนเล็กที่ตัวเองยึดเป็นฐานชั่วคราว ปิดประตูลงกลอน ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาเต็มเหนี่ยว

ไม่เป็นไร… เดี๋ยวผมก็ตัดใจได้เอง มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นมาระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

เดี๋ยวความรู้สึกบ้าๆ นี่มันก็หายไปเอง จากนั้นความทรมานนี่ก็คงจะหายไปพร้อมกันเช่นกัน





--------------------------------------
Talk: หน่วงซะงั้นนนน ถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 15) P.2 [12/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: wasu ที่ 12-02-2017 17:04:50
 :z3:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 15) P.2 [12/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-02-2017 21:30:34
ลูคัส กลัวว่า ความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไป
ถ้ารักโลแกนแล้วต้องเสียใจภายหลัง
ไหนจะผิดศีลธรรม และเป็นเพศเดียวกัน
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 15) P.2 [12/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: vilaroly ที่ 12-02-2017 23:11:31
 :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:   :oo1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 15) P.2 [12/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 12-02-2017 23:40:12
 o13
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 15) P.2 [12/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 13-02-2017 00:12:50
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 15) P.2 [12/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-02-2017 00:29:44
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 15) P.2 [12/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 13-02-2017 15:36:53

บทที่ 16

(Mode: Logan Collins)




ผมกำลังนอนแนบศีรษะลงบนโต๊ะกินข้าวที่อยู่บริเวณห้องนั่งเล่น ตรงหน้ามีถ้วยกาแฟที่ยังร้อนกรุ่น มีควันลอยออกมาจากถ้วย เยื้องไปข้างๆ คือกระจกเงาขนาดเล็กที่ส่องได้แค่เฉพาะใบหน้า ในนั้นมีภาพสะท้อนของเมแกน พี่สาวคนสวยผมแดงของผมสะท้อนออกมา เจ้าหล่อนเองก็กำลังดื่มด่ำกับกาแฟถ้วยโปรดของตัวเองอยู่เช่นกัน ฉากเบื้องหลังของเจ้าหล่อนก็ยังอยู่ในพื้นนรกสีดำตัดกับเปลวไฟสีแดงฉานที่ระอุขึ้นเป็นจุดๆ เหมือนกับควันที่ลอยออกมาจากถ้วยกาแฟ

ผิดแต่ว่าผมไม่ได้กำลังดื่มด่ำกับกาแฟดำของตัวเอง แต่กำลังตีหน้าเซ็งเหมือนคนเบื่อโลก นี่คือสิ่งที่ผมเห็นจากเงาสะท้อนในกระจกนะ แน่นอนว่าผมยังหล่อเหลาเหมือนเดิม แต่ไอ้ความเซ็งที่มันเพิ่มเข้ามานี่สิ เออ แต่ถึงเซ็งก็ยังหน้าตาดีอยู่นะ คนอะไรก็ไม่รู้ หล่อทุกอิริยบท

โอเค… เราค่อยมาเจียระไนเรื่องความหล่อของผมทีหลังก็ได้ เพราะตอนนี้ผมกำลังเซ็งสุดขีด แล้วก็ประจวบเหมาะกับที่พี่สาวตัวดีของผมติดต่อมา

“อะไรกันน้องรัก ทำหน้าเบื่อโลกอะไรแบบนั้น เห็นนายเซ็งขนาดนั้น ฉันเองก็นึกอยากเซ็งตามไปด้วย”

ผมมองตามคนที่ปากพูดอย่างแต่สีหน้าเป็นอีกอย่างด้วยอารมณ์ที่เซ็งหนักยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้หญิงสาวผมแดงวางถ้วยกาแฟของตัวเองลงบนจานรองแล้วหันมาละเลียดลงสีเล็บที่อยู่บนมือของตัวเองอย่างประณีตด้วยสีหน้าที่มีความสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นี่ยัยนี่เซ็งสุดได้แค่นี้ใช่ไหม

“เซ็งตรงไหน ผมก็เห็นพี่ออกจะแฮปปี้ดี”

“อุ๊ย นายคิดไปเองแล้ว ฉันกำลังเซ็งอยู่ ไม่เห็นรึไง” เมแกนว่าก่อนจะหัวเราะคิกคัก มองเล็บที่ถูกแต่งแต้มสีสันของตัวเองอย่างพอใจ นี่ถ้าผมอยู่ตรงนั้นจะช่วยเอาของเหลวสีแดงนั่นเทรดใส่หัวยัยนี่ไปเลย เผื่อมันจะแดงได้มากกว่านี้

“แล้วนี่นายเป็นอะไร น้องรัก” เจ้าหล่อนถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “มีอะไรทำไมไม่เล่าให้พี่สาวคนสวยฟังล่ะ เผื่อจะช่วยให้คำปรึกษาได้”

ก็กำลังจะเล่าไง แต่เจ้าหล่อนดันเอาแต่สนใจตัวเอง

“แต่เดี๋ยวก่อนนะ ก่อนที่นายจะเริ่ม” เจ้าหล่อนยกนิ้วขึ้นมาตรงหน้า ริมฝีปากสีแดงเหยียดกว้างอย่างอารมณ์ดี “ได้ข่าวว่านายงาบพี่ชายฝาแฝดนายไปแล้วนี่ไอ้น้อง แหมๆๆ ร้ายไม่เบานะยะ ห้ามไม่ให้ฉันยุ่งกับเขา ที่แท้ตัวเองเก็บไว้กินเอง”

เอ้า เอาเลย เต็มที่ สรุปจะมีช่องให้ผมได้พูดอะไรกับเขาบ้างไหมเนี่ย

“เออ แต่หมอนั่นก็ดูน่าอร่อยจริง แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันมีเป้าหมายรายใหม่ เป็นหนุ่มผู้ดีจากอังกฤษ มาดนี่เหลือรับประทานมาก ผมสีน้ำตาลแดงนั่นก็ไม่มีที่ติ นี่ยังไม่นับรวมเรื่องการศึกษา ความมีหน้ามีตาในสังคม เงินทองชื่อเสีย--”

“นี่สรุปพี่ติดต่อผมมานี่เพื่อจะเล่าเรื่องผู้ชายคนใหม่ให้ฟังใช่ไหม” ผมพูดขัดอย่างอดไม่อยู่ ไม่แปลกใจเลยเมื่อเจ้าหล่อนหันหน้ากลับมาส่งยิ้มหวานที่แทบจะฉีกไปถึงหู

“ช่าย”

“งั้นผมไปล่ะ”

“เดี๋ยวๆๆๆ โธ่ แค่นี้ก็ทำเป็นน้อยใจ งั้นน้องรักลองเล่าปัญหาของตัวเองมาให้พี่สาวฟังสิ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยอะไรได้ไหม แต่อย่างน้อยก็ได้ระบายออกมาบ้างน้า”

ผมนิ่งงันไปนิดหนึ่ง จริงอยู่ที่ว่าการหวังจะพึ่งยัยนี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มากเกินไป แต่บางที… ถ้าได้พูดออกไป บางทีผมอาจได้ทบทวนอะไรหลายๆ อย่างกับตัวเอง

“พี่คิดว่า” ผมเกริ่น “ปีศาจอย่างเราเนี่ยรักใครได้ไหม”

ปีศาจซัคคิวบัสนิ่งอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง ก่อนเจ้าหล่อนจะร้องวี้ดว้ายออกมาอย่างตื่นเต้นเกินเหตุ ทำเอาผมต้องกลอกตาขึ้นเพดานห้องอย่างอดไม่ได้ ว่าแล้วเชียวว่าไม่ควรพูดอะไรบ้าๆ กับยัยนี่

“ใคร!!? ใครๆๆๆ โลแกน เจ้าหน้าที่พิเศษสาวแสนสวยคนนั้นรึเปล่า อุ๊ยต๊าย… แรกเริ่มเดิมทีเหมือนจะไม่ถูกกัน แต่ไปๆ มาๆ กลับไปกันได้ดีเกินคาด คู่ปรับกลายเป็นคู่รัก นี่ยังไม่นับลีลาสุดเร่าร้อนของหล่อนบนเตียง”

“นี่พี่คอยตามดูผมทุกฝีก้าวเลยเหรอ” ผมถามออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ นี่วันๆ ที่นรกนี่ไม่มีอะไรให้ทำแล้วรึไง

“ขอตอบคำถามข้อแรกก่อน” เมแกนว่าอย่างตื่นเต้น “ทำไมปีศาจอย่างเราจะรักใครไม่ได้ล่ะจ๊ะ น้องรักจ๋า ดูพี่เป็นตัวอย่างสิ พี่สามารถมอบความรักให้แก่ผู้ชายบนโลกนี้มานับไม่ถ้วน แล้วแต่ละคนก็มอบความรักให้พี่กลับ”

“ในรูปแบบพลังงานชีวิตของพวกเขาน่ะเรอะ”

“ถูกต้อง!”

เออ ผมว่ามันมีอะไรผิดประเด็นไปหน่อยนะ

“นายอย่าไร้สาระไปหน่อยเลย โลแกน” เนท พี่ชายของผมอีกคนก้าวเข้ามา หลังกรอบแว่นของเจ้าตัวฉายให้เห็นนัยน์ตาคมกริบที่ดูเหมือนไม่ค่อยพอใจกับคำถามของผมสักเท่าไร “ท่านพ่อส่งนายไปที่โลกมนุษย์เพื่อทำงานนะ เรื่องบนเตียง… นายอยากจะเล่นเท่าไรก็เล่นไป แต่อย่าลืมจุดประสงค์หลักสิ รีบๆ ทำงานให้เสร็จแล้วก็กลับลงมาช่วยงานทางนี้บ้างได้แล้ว ไม่เห็นรึไงว่าคนฝั่งนี้มือเป็นระวิง”

ผมไม่เห็นวันๆ พวกพี่จะทำอะไรกันเลยนี่…

“แหม เนท อย่าพูดตัดรอนน้องแบบนั้นสิ” เมแกนหลิ่วตาลงอย่างขี้เล่น “อีกอย่าง โลแกนเองก็อยู่ในวัยที่สมควรมีความรักได้แล้ว อ่า ในที่สุดน้องชายฉันก็เข้าใจว่าความรักทำให้โลกใบนี้สวยงามมากแค่ไหน อย่าได้สนใจอะไรที่มาขวางกั้นมัน โลแกน พุ่งตรงเข้าไปเลย อะไรที่นายอยากได้นายก็ต้องได้ นายไม่ใช่คนธรรมดานะน้องรัก แต่เป็นลูกชายท่านลูซิเฟอร์ผู้ยิ่งใหญ่ นายอยากได้แม่สาวคนนั้นก็คว้าเธอมาเป็นของตัวเองเลย! ไม่เห้นต้องคิดอะไรให้มันยุ่งยาก”

“ไร้สาระ” เนทถอนหายใจแรงๆ ยกมือกอดอก ชายหนุ่มซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของผมอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาว เนคไทสีดำสนิท กางเกงสแลคอย่างเป็นทางการ ยิ่งมาบวกเข้ากับแว่นตาที่อยู่บนหน้าเจ้าตัวด้วยแล้วยิ่งทำให้เขาดูเอาจริงเอาจังมากเข้าไปใหญ่ ในขณะที่เมแกน พี่สาวคนรองผมแต่งตัวด้วยชุดกระโปรงสีแดงเพลิงยาวไปถึงตาตุ่ม หากด้านข้างแหวกลึกขึ้นมาจนถึงต้นขา เหมือนจะดูเรียบร้อย แต่เอาจริงๆ แล้วจี๊ดจ๊าดสุดๆ ช่างขัดแย้งอะไรกันแบบนี้นะ สองคนนี้

“ฟังนะ โลแกน” เนทขยับแว่นบนหน้า “ของแบบนั้นน่ะ มันก็เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น ไม่มีอยู่จริง ความรู้สึกอะไรพวกนั้นก็เป็นแค่สิ่งที่พวกมนุษย์นิยามคำจำกัดความขึ้นมาเอง นายอย่าทำตัวให้เหมือนพวกมนุษย์ด้านบนนั่นมากไปหน่อยเลย พอนายทำงานเสร็จแล้วนายก็ต้องกลับลงมาแล้ว เพราะงั้นเลิกเอาแต่เล่นแล้วก็รีบๆ ตั้งใจทำภารกิจให้เสร็จสักที”

“อย่าไปฟังเนทนะ โลแกน!”

โอย ปวดหัว บอกได้คำเดียวเลยว่าไม่น่าเริ่มประเด็นนี้ขึ้นมาเลย แล้วสองคนตรงหน้าผมนี่เลิกราง่ายๆ เสียที่ไหน

“ทำอะไรไม่สมเป็นนายเลย น้องรัก อยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่เห็นต้องกลัว อยากจะรักใครขึ้นมาจริงๆ ก็รักไปเลย! ใครจะไปสนกันล่ะ นี่รู้ไหมว่าล่าสุดฉันเพิ่งไปนอนกับผู้ชายที่เขาแต่งงานมีลูกแล้วมา เห็นไหมว่าฉันทุ่มเทกับความรักของตัวเองแค่ไหน”

เออ เลวบริสุทธิ์จริงๆ ด้วย ยัยนี่ ว่าแต่แบบนั้นก็เรียกว่ารักได้ด้วยเรอะ… ถ้าถามลูคัสล่ะก็ หมอนั่นคงต้องทำสีหน้าขยะแขยงกลับมาแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

“แต่ฝ่ายชายเองเขาก็ไม่รู้ตัวไม่ใช่เรอะ” เนทหรี่ตาลงอย่างจับผิด เพราะซัคคิวบัสได้ชื่อว่าเป็นปีศาจสาวที่คอยเข้าฝันไปเรื่อยอยู่แล้ว

เมแกนหัวเราะคิก ก่อนจะยอมรับโดยดุษณี “แหม แต่เขาก็รับความรักฉันไปแล้วล่ะนะ นี่ โลแกน ว่าไง นายจะฟังฉันหรือจะฟังไอ้น่าเบื่อนี่”

อ้าว ไปๆ มาๆ กลายเป็นการแข่งกันของพี่ทั้งสองของผมไปแล้วเหรอ

“เออ จะว่าไป ก่อนหน้านี้ เรื่องลูคัสน่ะ” พอนึกถึงลูคัสขึ้นมา ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “หมอนั่นน่ะ มองเห็นพวกพี่ด้วยนะ ตอนที่เราคุยกันครั้งก่อน”

“อ้าว ได้ไงอ่ะ” เมแกนถามอย่างแปลกใจ “ก็ก่อนหน้านี้ที่แล้วๆ มา หมอนั่นก็มองไม่เห็นไม่ใช่เหรอ”

“เพราะแฝดนายอยู่ใกล้นายล่ะสิ” เนทว่าพร้อมกันถอนหายใจเฮือก “นี่ล่ะน้า ดันเด้งไปอยู่กับแฝดแบบนี้ ไม่เห็นน่าแปลกเลยถ้าหมอนั่นจะได้รับอิทธิพลบางส่วนจากพลังของโลแกนเข้าไปด้วย ฉันเองก็เตือนท่านพ่อแล้วนะว่าอย่าแฝดเลย คราวนี้เลยมีเรื่องยุ่งยากตามมาเป็นพรวน”

“หมายความว่าที่หมอนั่นมองเห็นพวกพี่ เพราะอยู่ใกล้กับผมมากเกินไปเหรอ”

“แต่หมอนั่นเขาเป็นแฝดนายอยู่แล้วนี่ โลแกน ถ้าลองคิดดูดีๆ” เมแกนพูดพร้อมกับเอียงคอ “อาจจะเพราะแบบนั้นก็ได้นะ เขาว่ากันว่าแฝดมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าพี่น้องทั่วๆ ไปด้วยไม่ใช่เหรอ ดังนั้นเหตุผลที่เขาเริ่มมองเห็นฝั่งนี้ก็อาจจะแค่เพราะเขาเป็นแฝดนายก็ได้”

เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาแว่วๆ ให้ได้ยิน ผมไหวตัวนิดหนึ่งอย่างตกใจ ไม่ทันได้ดูเวลาเลย เย็นแบบนี้ หมอนั่นคงออกกะแล้วตรงดิ่งกลับบ้านแบบนี้เลยแท้ๆ ลืมนึกไป

“ผมต้องไปแล้ว ลูคัสมา”

“คุยกัน ไอ้น้อง”

“อย่าลืมรีบๆ ไปทำงานล่ะ”

“โอ๊ย นายนี่น่ารำคาญจริง เนท ให้โลแกนได้ใช้ช่วงเวลาวัยรุ่นบ้างได้ไหม” จากนั้นเสียงทุกอย่างก็ค่อยๆ แผ่วลงจนเงียบหายไป ผมคว่ำกระจกเงานั่นลงบนโต๊ะ เผื่อไว้ว่าภาพทั้งหมดยังไม่เลือนไป ลูคัสเดินเข้ามาในตัวบ้าน ถอดรองเท้าลวกๆ จากนั้นก็สลัดถุงเท้าด้านในแล้วโยนไปที่ตะกร้าซักผ้า เจ้าตัวหันหน้ามาทางผมที่มองมันอยู่นิดหนึ่ง

“ไง”

“อยากกินอะไรไหม” ผมถามขณะที่ตรงดิ่งไปที่ครัวเพราะความหิวเริ่มครอบงำกระเพาะ ลูคัสส่ายหน้าให้ผม นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นหลุบไปมองอีกทางอย่างตั้งใจหลบหน้าผมอย่างชัดเจน

“ไม่เป็นไร ฉันกินมาแล้ว”

“นี่” ผมพูดอย่างหงุดหงิด คว้าผ้ากันเปื้อนขึ้นมาสวม จากนั้นก็พูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “ถ้าคิดจะหลบหน้ากันล่ะก็ ช่วยทำให้มันชัดเจนน้อยกว่านี้ได้ไหม ทำไมไม่เอากล่องกระดาษมาครอบหน้าซะเลยล่ะ”

“อย่ารวนได้ไหม” ลูคัสว่าอย่างเหนื่อยอ่อน เปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองพร้อมกับหยิบสมุดที่จดโน้ตเพลงออกมา “ฉันเหนื่อยจากงานพิเศษมามากแล้ว อย่าชวนทะเลาะเลย”

ผมเลยยักไหล่ส่งกลับไปให้มันทีหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบวัตถุดิบที่จะใช้ออกมาวางเรียงราย

ลงมือทำอาหารไปได้ครู่หนึ่ง เสียงหวานใสของเปียโนก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทให้ได้ยิน ผมผละออกมาจากบริเวณครัวนิดหนึ่ง มองชายหนุ่มอีกคนผู้เป็นเจ้าของใบหน้าแบบเดียวกับผมบรรเลงเพลงเสียงหวานที่ปนมากับความเสร้าสร้อยคละเคล้าลงมาในบทเพลงนั้นอย่างลงตัว

ไม่รู้ทำไม แต่พอได้ยินเสียงบรรเลงนั่น มันทำให้ผมรับรู้ถึงความเศร้าของตัวคนเล่นได้ดีกว่าคำพูดใดๆ ผมเดินกลับเข้ามาในครัวเพื่อลงมือทำอาหารต่อ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ

หมอนี่มันจะเศร้าอะไรนักหนาวะ มันเสียใจเรื่องอะไร เรื่องที่ฉันไม่ได้รักมันเหรอ? แต่ไม่ใช่ว่ามันรู้อยู่แล้วเหรอว่าฉันรักใครไม่เป็น

ผมปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปกับห้วงความคิดนั้นพร้อมๆ กับเสียงเปียโนของลูคัส นี่มันก็ผ่านมาหลายสัปดาห์แล้วตั้งแต่ที่ลูคัสเริ่มสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นมาปิดไม่ให้ผมเข้าไป มันเป็นกำแพงที่ไม่ได้ปิดสนิท ผมยังคงสามารถพูดคุยทักทายกับมันได้เหมือนเดิม ชวนพี่ชายฝาแฝดของผมคุยเรื่องสัพเพเหระ เรื่องการบ้านที่โรงเรียนได้อย่างปกติ แต่พวกเราทั้งสองคนรู้ดีว่าไม่มีอะไรเหมือนเดิม

น่าอึดอัด… ไม่สิ น่ารำคาญมากกว่า พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว ตอนที่ลูคัสอกหักจากโอลิเวียมานี่ หมอนี่ก็ทำตัวน่ารำคาญคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน

แต่คราวนี้… มันดูหนักกว่าตอนนั้นซะอีก แล้วนี่มันจะพูดอะไร เป็นเพราะผมเหรอ? เพราะมันอกหักจากผมเหรอ? แล้วหมอนี่คิดยังไงขึ้นมาถึงได้มาคิดอะไรกับผมในแง่นั้น ในเมื่อตัวเองก็รู้จักผมดีที่สุดอยู่แล้วแท้ๆ

แล้วมันก็ทำให้หมอนั่นเจ็บ…

ไม่รู้ทำไม แต่ความคิดนั้นบีบรัดหัวใจที่อยู่บนอกข้างซ้ายของผมราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมากดทับมัน

อึดอัด… อึดอัดเป็นบ้าเลย แล้วในสถานการณ์แบบนี้ผมควรจะทำยังไงล่ะ?

‘อยากจะทำอะไรก็ทำไป ไม่เห็นต้องกลัว อยากจะรักใครขึ้นมาจริงๆ ก็รักไปเลย!’

หา?? แล้วไอ้ของแบบนั้น… มันต้องทำยังไงล่ะ? ไม่เห็นเคยมีใครสอนเรื่องนี้ให้ผมเข้าใจเลยนี่ แม้แต่ในการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานยังไม่มีเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

เฮ้อ… แล้วทำไมผมต้องมาคิดเป็นตุเป็นตะกับอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้ด้วยนะ น่ารำคาญตัวเองชะมัด








---------------------------------------
Talk: แฮ่~~ ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านมากเลย TvT ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปก่อนนะคะะะะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 16) P.3 [13/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-02-2017 01:57:56
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 16) P.3 [13/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-02-2017 10:21:20
โลแกน เริ่มรู้ถึงความรู้สึกของลูคัสและ  :z3: :z3: :z3:
ว่าลูคัส หลงรักตัวเอง
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 16) P.3 [13/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 14-02-2017 11:13:57
โลแกน เริ่มรู้ถึงความรู้สึกของลูคัสและ  :z3: :z3: :z3:
ว่าลูคัส หลงรักตัวเอง

ตามนั้นค่ะ คิคิ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 16) P.3 [13/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 14-02-2017 11:15:55

บทที่ 17

 (Mode: Lucas Collins)





‘เป็นพี่น้องก็ต้องรักกันนะ’

‘ลูคัส ลูกเป็นพี่ ก็ต้องคอยปกป้องน้อง เข้าใจไหม’

‘ต้องเป็นที่พึ่งให้น้อง’

‘อย่าแสดงความอ่อนแอออกมาให้น้องเห็น’

‘ต้องทำตัวเข้มแข็ง แล้วก็คอยดูแลน้อง เข้าใจไหม’

น้ำเสียงอ่อนโยนที่แสดงถึงความอาทรต่อทั้งตัวผมและน้องชายฝาแฝดของผมดังก้องอยู่ในหัว ผมจำสัมผัสจากฝ่ามือของแม่ที่ไล้ลงมาบนเส้นผมได้ ทุกครั้งที่ผมฝันเห็นภาพนั้น มักจะมีคำพูดที่ฝากฝังน้องชายอีกคนของผมดังขึ้นในหัวอย่างอัตโนมัติราวกับมีใครตั้งค่าฉายซ้ำเอาไว้ในนั้น

ผมหลับตาแน่นลง รู้ดีว่าตัวเองอยู่ในความฝัน แต่ก็ไม่สามารถปลุกให้ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมาได้ รู้สึกถึงเหงื่อที่ชุ่มขึ้นตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ความร้อนระอุที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมปวดหัว

ภาพคุณแม่ที่แสนอบอุ่นและชวนให้คำนึงหาจางหายไป จากนั้นมันก็ถูกแทนที่ด้วยภาพที่ข้าวของในบ้านกระจุยกระจายจากการทะเลาะเบาะแว้งกันของสองสามีภรรยา

มันเป็นปัญหาที่ไม่ใช่แค่ครอบครัวผมเท่านั้นที่เจอ เรื่องนั้นผมรู้ดี แต่ถึงจะรู้ดียังไงก็ไม่สามารถทำใจยอมรับและชินไปกับมันได้ ผมสะดุ้งตัวทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงอะไรแตก...เพล้ง! ดังขึ้นมาให้ได้ยินผ่านโสตประสาท

วันนั้นเป็นวันเกิดครบรอบอายุหกขวบ มีเทียนปักอยู่บนหน้าเค้กหกเล่ม ช่วงเวลาในตอนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่น้าลิซ่ามาฉลองให้เรา นำของขวัญมาให้ จากนั้นก็กลับไปยังบ้านของตัวเอง ผมจำได้ว่าตัวเองยืนมองหลังรถที่จากไปของน้า จากนั้นภาพก็ตัดมาอยู่ภายในตัวบ้าน

พ่อกับแม่ของเราทะเลาะกันอีกแล้ว ครั้งนี้มันรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

ผมเขยิบตัวเข้าไปใกล้โลแกนที่ยืนอยู่ข้างๆ มากขึ้น เอื้อมมือไปบีบมือของอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน แม่สอนผมให้คอยดูแลน้อง เพราะฉะนั้น ผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อปกป้องเขา

ผมจำความคิดของตัวเองในยามนั้นได้ดี ผมตั้งใจจะพาโลแกนขึ้นไปบนห้องเพื่อหลบเลี่ยงการปะทะระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสอง หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือหลบหลีกจากอารมณ์เกรี้ยวกราดของผู้เป็นพ่อที่ซดเหล้าเข้าไปไม่น้อยและตอนนี้แอลกอฮอล์ในกายกำลังออกฤทธิ์ บางทีเขาอาจจะเสพกัญชาหรือยาตัวอื่นมาด้วยก็ได้ ผมหมายถึง… ใครจะไปรู้?

จากนั้นแม่ของผมก็ล้มไปกองบนพื้น เลือดสีแดงไหลฉานไหลนองไปทั่วบริเวณราวกับเป็นแอ่งน้ำ เพียงแต่มันเป็นเลือดที่ไหลออกมาจากร่างของคนจริงๆ ก็เท่านั้น

ใช่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นสิ่งที่ผมจำได้ดี แต่พอมาถึงตรงนี้ กลับมีอะไรหลายๆ อย่างที่ผสมปนเปกันชวนให้สับสน

พ่อของผมสาวเท้าเข้ามาหาพวกเราทั้งคู่ ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยฤทธิ์น้ำเมา ในมือย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉานจากเลือดของผู้หญิงที่เขามีลูกด้วยถึงสองคน

ในมือข้างนั้นมีมีดทำครัวที่หลุดติดมาจากไหนและตอนไหนก็ไม่รู้ ผมคิดว่าแม่คงยกมันขึ้นมาเพื่อจะใช้ป้องกันตัว แต่พลาดท่าโดนอีกฝ่ายยึดไปและมันก็ย้อนกลับมาแทงตัวเอง

วินาทีนั้น ผมไม่คิดว่าตัวเองสามารถเรียกผู้ชายตรงหน้าได้ว่าพ่ออีกต่อไป

ผมถลาตัวไปยืนบังโลแกนแทบจะในทันที ในหัวตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกจริงๆ รู้แต่ว่าต้องปกป้องน้องชายของผมก็เท่านั้น เหมือนเป็นสัญชาติญาณที่ฝังรากลึกลงไปในตัวมากกว่าจะได้คิดอะไรจริงๆ

ผมจำไม่ค่อยได้แล้วว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่จำได้ว่าร่างกายของตัวเองบอบช้ำแค่ไหนจากการรับลูกเตะและหมัดจากชายวัยกลางคนตรงหน้า

มีดที่อาบไปด้วยเลือดนั่นตกไปอยู่ที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ขอบคุณพระเจ้าที่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้เจ้าของมีคมนั่นเสียบแทงทะลุตัวผมเหมือนอย่างที่เขาทำกับแม่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้หรอก แต่ว่า…. ตรงนี้แหละ…

พอมันมาถึงตรงนี้แหละ ที่ภาพทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน และผมก็ไม่สามารถนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นได้อีก

เหมือนมันเป็นหลุมมิติอะไรบางอย่างที่ผุดแทรกขึ้นมาคั่นความทรงจำในวันนั้นของผมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

อ่า… แย่จัง ฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้ว… ทรมานจัง ทรมานจังเลย

แต่ผมรู้ดีว่าในตอนจบของฝันนั้นโลแกนจะถลาตัวเข้ามากอดผม พวกเราจะจับมือกัน รับรู้ถึงไออุ่นของกันและกัน รับรู้ว่าต่อจากนี้พวกเราทั้งคู่จะมีกันและกัน จากนั้นฝันร้ายนี่ก็จะจบ

แต่ว่า… ฝันคืนนี้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร จุดจบที่ผมรออยู่นั่นก็มาไม่ถึงเสียที

โลแกนไม่เข้ามากอดผม พวกเราไม่ได้จับมือกัน

ใช่… เราเป็นพี่น้องกัน เราจะรักกันได้ยังไง











ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกในตอนนี้ เหมือนมีอะไรบางอย่างเต้นตุบๆ อยู่ในหัว เหมือนมันพยายามจะแหวกออกมาจากสมองของผม

ปวดหัว... แล้วก็ร้อนเป็นบ้าเลย

ผมค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นมานั่งบนเตียง หอบหายใจเบาๆ อย่างสม่ำเสมอราวกับเพิ่งไปวิ่งจ็อกกิ้งที่สวนสาธารณะ มันไม่ได้หนักหน่วงถึงขนาดหายใจไม่ออก แต่มันก็ไม่ได้สบายอย่างที่คนเพิ่งตื่นนอนขึ้นมาควรจะรู้สึกเช่นกัน

ผมก้มมองฝ่ามือของตัวเองที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยกมันขึ้นลูบใบหน้าที่เมื่อสัมผัสลงไปแล้ว ผมก็รับรู้ได้ว่าหน้าผมเองก็เต็มไปด้วยเหงื่อเช่นเดียวกัน

เสียงหัวใจในอกข้างซ้ายยังคงเต้นตุบๆ ดังพอๆ กับสิ่งที่เต้นอยู่ในหัวของผมไม่มีผิดเพี้ยน หากสิ่งที่เต้นอยู่ในอกนำพามาซึ่งความรู้สึกหวาดกลัวและทำให้มือไม้เย็นเฉียบแม้มันจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ผมหันมองไปที่ข้างเตียง และแน่นอน มันว่างเปล่า ก็แน่ล่ะสิ ขนาดเตียงที่ผมอยู่เป็นเตียงเดี่ยวหนึ่ง และนี่ก็เป็นห้องของน้าลิซ่า ไม่ใช่ห้องที่พวกเราสองคนมักนอนด้วยกัน ดังนั้น เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่โลแกนจะกำลังนอนอยู่ข้างๆ ผมในตอนนี้อย่างที่ควรจะเป็น

ใช่… ทุกครั้งที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ผมฝันร้ายแบบนี้ ผมมักจะตื่นขึ้นมาและเจอหมอนี่

แต่… ตอนนี้ แค่คิดถึงหมอนี่ก็ทรมานจะแย่แล้ว แม่งเป็นความทรมานที่ซ้ำซ้อนมากๆ เหมือนยังไม่หายตกใจจากฝันร้ายที่เพิ่งเจอมาก็ต้องมาเจ็บปวดเพราะเรื่องน้องชายของฝาแฝดตัวเองอีก

ผมสุดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นจึงค่อยๆ หย่อนเท้าลงพื้นแล้วลุกออกจากเตียง

จากนั้นผมก็ออกจากห้อง ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนอีกห้องอย่างอัตโนมัติ เปิดประตูเข้าไปในนั้น และค้นพบว่าเตียงนอนหลังใหญ่ที่มีที่ว่างพอสำหรับสองคนนั้นว่างเปล่า

โลแกนไม่กลับมาบ้านอีกแล้ว และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเผลอถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง จากนั้นก็หมุนเท้ากลับเตรียมไปนอนที่เตียงตัวเองต่อ แม้จะไม่คิดว่าจะหลับลงก็เถอะ

หากเมื่อผมหันหน้าไปเจอใครอีกคนที่คงเพิ่งกลับมาผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ โลแกนอยู่ในเสื้อผ้ากึ่งลำลองกึ่งทางการของมันเหมือนเดิม มันขมวดคิ้วมุ่นขึ้นเล็กน้อยขณะที่มองมาทางผม คงแปลกใจที่เห็นผมมาอยู่ตรงนี้กลางดึกสินะ

“เป็นอะไร” น้องชายฝาแฝดของผมเอ่ยถาม “ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”

“เปล่า…” หากผมยังไม่ทันพูดประโยคนั้นจบ ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าผมก็ก้าวเท้าเข้ามาแล้วสวมกอดผมแล้วแนบแน่น ผมสะดุดไปจังหวะหนึ่งก่อนจะพยายามเรียบเรียงคำพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

“โลแกน…”

“ไม่เป็นไรแล้ว ลูคัส” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน “มันก็แค่ความฝัน แต่ทุกอย่างเรียบร้อยดี เห็นไหมว่าฉันอยู่ตรงนี้”

“อย่าทำแบบนี้…” ผมพูดเสียงเบาเหมือนคราง หากอ้อมกอดของคนตรงหน้ากระชับแน่นขึ้น ความอบอุ่นนั่นทำให้ความหวาดกลัวที่มีอยู่ท่วมหัวใจผมค่อยๆ มลายหายไป รู้ตัวอีกทีผมก็ซุกหน้าลงบนบ่าของหมอนี่อย่างหมดสภาพ มือโอบรัดร่างของเจ้าตัวไว้แน่น

ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจจากอกข้างซ้ายของโลแกนเหมือนกัน ใช่แล้ว ผมยังมีน้องชายของผมอยู่ ยังมีหมอนี่อยู่ข้างๆ ผม ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว…

“ดีขึ้นไหม” โลแกนเอ่ยถามขณะค่อยๆ คลายอ้อมกอด ผมพยักหน้า ดันบ่าของอีกฝ่ายออกนิดหนึ่งเมื่อเริ่มรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเริ่มจะเต้นผิดจังหวะด้วยเรื่องที่ไม่สมควรแทนแล้วตอนนี้

โอเค ฟังนะเจ้าหัวใจบ้า แกจะรักใครก็ได้บนโลกนี้ จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ แต่แกจะรักน้องชายฝาแฝดของตัวเองไม่ได้

“อือ ดีขึ้นแล้ว” ผมพยักหน้าให้อีกฝ่ายเรียบๆ

“กลับไปนอนต่อไหวไหม?”

“อืม” ผมพูด เตรียมเดินกลับไปที่ห้องของลิซ่า หากคนข้างตัวรั้งผมไว้นิดหนึ่ง

“จะกลับไปนอนคนเดียวเหรอ?”

“อือ”

“นอนคนเดียวไหวเหรอ”

ผมหันไปส่งยิ้มเหยียดให้อีกฝ่าย

“ฉันนอนห้องน้าลิซ่ามาจะเป็นเดือนแล้ว นายจำไม่ได้เหรอ”

โลแกนไม่พูดอะไรตอบ หากมองหน้าผมนิ่ง นัยน์ตาสีฟ้ามองลึกเข้ามาเหมือนพยายามอ่านใจผม ผมไม่ชอบเวลาหมอนี่ทำสายตาแบบนี้เลย มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนอ่านใจอยู่จริงๆ นะ

“แล้วนี่นายไปไหนมา” ผมเปลี่ยนเรื่อง “ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงเพิ่งกลับ”

“ไปทำงานมา”

“นอนกับผู้หญิงเหรอ”

“เปล่า”

อะไรบางอย่างบอกผมว่าหมอนี่พูดจริง อันที่จริงแล้วโลแกนไม่ใช่คนที่พูดอะไรโกหกสักเท่าไรนะ โดยเฉพาะกับผม ถ้ามันเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ หมอนั่นก็จะบอกตรงๆ หรือถ้ามันไปนอนกับผู้หญิงที่ไหนมา มันก็จะบอกผมตรงๆ เหมือนกัน คงเพราะแบบนั้นล่ะมั้ง ผมถึงเชื่อถือคำพูดของมัน

“งั้นก็นอนกับผู้ชายสิ” ผมพยายามพูดให้ฟังดูเหมือนแหย่ แต่ลำคอของผมแห้งแผกขณะที่พูดคำนั้นออกไป เสียงที่ออกมาจึงฟังดูเหมือนทรมานอยู่สุดๆ แย่จริง ถ้าไอ้หมอนี่มันคิดว่าผมกำลังเจ็บปวดอยู่ก็แย่สิ

“เปล่า” โลแกนขมวดคิ้วมุ่นขึ้น “ฉันไม่นอนกับผู้ชาย”

“หืม?” คำตอบนั้นทำให้ผมแปลกใจมากถึงขนาดที่ต้องเงยหน้าขึ้นไปสบตาแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง จากนั้นก็ชี้นิ้วมาที่ตัวเองอย่างงงๆ โลแกนถอนหายใจเฮือก

“ก็แค่กับนายเท่านั้นแหละ ที่ฉันนอนด้วย”

คำตอบนั้นทำให้ผมใจเต้นตึกตักขึ้นมาจังหวะหนึ่ง

อ่า… ไม่ดีเลย แบบนี้ไม่ดีแน่ แย่จริง

“งั้นเหรอ” ผมพึมพำตอบ จากนั้นก็เตรียมถอยกลับเข้าห้องพักของตัวเอง แต่โลแกนก็เลื่อนมือมาคว้าข้อมือผมไว้อย่างรวดเร็วและแน่นหนา ผมรู้สึกเหมือนหัวใจในอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้นมาอีกแล้ว ไม่นะ อย่าลืมสิว่าหมอนี่เป็นน้องชายฝาแฝดน่ะ… ไม่ได้ นายจะใจเต้นกับน้องตัวเองไม่ได้นะ

“นี่” โลแกนขณะขมวดคิ้วมุ่นขึ้น “ฉันต้องทำยังไง นายถึงจะหายโกรธล่ะ”

ต้องทำยังไง...

“ต้องทำยังไง เราถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ล่ะ”

คำพูดนั้นทำให้ผมเจ็บปวด น้ำเสียงที่คนตรงหน้าพูดออกมาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ผมก็อยากรู้เหมือนกับที่โลแกนอยากรู้นั่นแหละ ถ้าผมรู้คำตอบของคำถามนั้น ผมคงไม่ต้องทรมานอยู่แบบนี้หรอก

“ตอบฉันมาสิ”

“มันไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว” คำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากผม เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมสะบัดมือหลุดออกมาจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายได้ “นายไม่เข้าใจรึไง”

จากนั้นผมก็เดินกลับเข้าห้องของน้าลิซ่ามา บางทีหลังจากนี้ผมคงต้องยึดห้องนี้เป็นของตัวเอง

         ผมยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง จากนั้นก็พยายามข่มตาให้หลับเพื่อให้ผ่านพ้นคืนนี้ไป แต่แน่ล่ะ มันทำไม่ง่ายเลย


หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 17) P.3 [14/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 15-02-2017 19:32:59


บทที่ 18


 (Mode: Lucas Collins)





ช่วงนี้โลแกนมันทำอะไรของมันอยู่กันแน่นะ

นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิดมาได้ระยะหนึ่งแล้วหลังจากที่พยายามหลบหน้ามันตลอดทั้งที่โรงเรียน ตลอดทั้งที่บ้าน บอกได้คำเดียวเลยว่าอึดอัดมากกับการใช้ชีวิตแบบนี้ บางทีเหนื่อยๆ กลับมา แทบจะไม่อยากเข้ามาในตัวบ้านเลย อยากจะหาโรงแรมที่อยู่ข้างนอกนอนให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าฐานะการเงินของตัวเองเป็นยังไง บวกกับความจริงที่ว่าอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนนอนเตียงเดียวกับหมอนั่น หลบมาอยู่ห้องของน้าลิซ่าได้ อย่างน้อยนั่นก็ช่วยให้ผมลากสังขารของตัวเองกลับมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกับไอ้โลแกนทุกคืน

ไม่สิ… ไม่ทุกคืน ก็ช่วงนี้หมอนี่ก็กลับบ้านล้างไม่กลับบ้านบ้าง

ผมคิดไปต่างๆ นานาว่าหมอนี่เอาชีวิตในยามค่ำคืนของตัวเองไปโยนทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจจะที่ผู้หญิงข้างถนน หรือบางทีหมอนี่อาจจะขายตัว ทำงานกลางคืนอย่างที่ผมคิดตอนแรกจริงๆ

มันก็น่าคิดนะ… ยิ่งช่วงนี้หมอนั่นดูมีเงินใช้ขึ้นมามากมายขนาดนั้น…

แต่ลางสังหรณ์บางอย่างในตัวผมมันบอกว่าไม่ใช่แฮะ ก่อนหน้านี้ที่ผมถาม มันก็บอกว่ามันไม่ได้ไปนอนกับผู้หญิง

อีกอย่าง… หมอนั่นเป็นคนช่างเลือกด้วย จะว่ายังไงดี คือมันก็จริงที่หมอนั่นนอนกับใครไม่ซ้ำหน้า แต่เจ้าตัวเองก็มีมาตรฐานสูงใช่เล่นเหมือนกัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือมันคงไม่ยอมให้ผู้หญิง (หรืออาจจะรวมถึงผู้ชายด้วย) ที่ไม่ตรงสเปคมันแตะต้องตัวมันเด็ดขาด อย่างน้อยก็เท่าที่ผมรู้จักมันมานะ

เพราะงั้น… การที่มันจะทำงานกลางคืนแบบนั้นคงเป็นไปได้ยาก ผมว่ามันคงยอมกัดลิ้นฆ่าตัวตายดีกว่านอนกับผู้หญิงที่เข้าข่ายลักษณะ… เอ่อ ไม่ตรงสเปคมันแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นจริงๆ แล้วหมอนี่กำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?

หรือว่า… จะเป็นงานอันตรายอย่างที่ว่าจริงๆ?

“เฮ้อ….” ผมลอบถอนหายใจยาวออกมาอย่างอดไม่อยู่ นี่ผมเผลอคิดเรื่องหมอนั่นอีกแล้วสินะ เผลอคิดเรื่องโลแกนอีกแล้วใช่ไหม?

โอเค… ผมก็รู้ตัวเองดีว่าต้องตัดใจ ต้องพยายามตัดความคิดและความรู้สึกที่มีต่อน้องชายฝาแฝดของตัวเอง และไม่ใช่ว่าผมไม่เคยอกหัก อันที่จริง… ก็เพิ่งจะอกหักมาก่อนหน้านี้มาแป๊บเดียวเท่านั้นเอง แล้วต้องมาเจอความรู้สึกแบบเดิมซ้ำสองติดๆ กันแบบนี้นี่… บอกเลยว่าแม่งเป็นความเจ็บปวดที่ทับซ้อนกันไปมาแบบน่าปวดหัว

เหมือนคุณอกหักจากใครสักคนมา แล้วก็เหมือนจะเริ่มดีขึ้นเพราะมีใครสักคนคอยปลอบ คอยอยู่ข้างๆ แล้วคุณก็เผลอใจไปรักคนคนนั้นเข้า แล้วก็โดนอีกฝ่ายปฏิเสธหน้าหงายมา อะไรทำนองนั้น

แต่เรื่องนี้… ผมไม่โทษโลแกนหรอก

‘นี่ ฉันต้องทำยังไง นายถึงจะหายโกรธล่ะ’

คำพูดที่อีกฝ่ายพูดกับผมเมื่อคืนก่อนลอยวนเข้ามาในหัว อันที่จริง มันวนเวียนอยู่แบบนั้นไม่ต่ำกว่าร้อยรอบแล้วตั้งคืนนั้น ‘ต้องทำยังไง เราถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ล่ะ’

นั่นสิ ต้องทำยังไง

แล้วจริงๆ แล้ว… ผมอยากให้เรื่องทุกอย่างนี่มันออกมาในรูปแบบไหนกันแน่?

คิดไปก็ปวดหัว

ผมถอนหายใจยาวออกอีกรอบ หยิบกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือและกุญแจบ้านใส่ลงในกระเป๋ากางเกง เตรียมตัวออกไปซื้อกับข้าวและข้าวของเครื่องใช้ในบ้านบางอย่างที่ใกล้หมดเต็มที เดิมทีแล้วเวลาที่ต้องไปซื้อข้าวของเข้าบ้านในปริมาณมาก ผมมักจะลากไอ้โลแกนไปด้วย ให้มันไปช่วยหิ้ว แต่ตอนนี้ ในเมื่อเราสองคนห่างๆ กัน (ก็ผมนี่แหละที่เป็นคนห่างมันออกมาเอง) และตัวมันเองก็ไม่อยู่บ้าน ผมจึงต้องจำใจเดินทอดน่องไปตามทางเดินเท้าคนเดียว ผ่านตัวบ้านเรือนที่ลักษณะเดียวกับบ้านของผมและโลแกน แต่ละหลังค่อนข้างเก่า ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา มีเพียงไม่กี่หลังจริงๆ ที่ผ่านการบำรุงซ่อมแซมและทาสีใหม่บ้าง

ร้านซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ใกล้บ้านที่สุดต้องใช้เวลาเดินไปประมาณ 20 นาที ปกติแล้วผมจะปั่นจักรยานไป แต่วันนี้พอลองไปดูจักรยานซึ่งจอดอยู่ในหลังบ้านก็พบว่ายางมันแบนแต๊ดแต๊แทบจะแนบติดกับพื้นไปแล้ว จะเติมลมก็ขี้เกียจ เอาเป็นว่าวันนี้ค่อยๆ เดินไปซื้อของเข้าบ้านก็แล้วกัน

ผมกำลังลากเท้าที่ใส่รองเท้าผ้าใบซึ่งผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง จำได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยขาวผุดผ่องตอนที่ตั้งโชว์อยู่ในร้าน แต่อย่างว่า ใช้งานมาหลายปีจนพื้นรองเท้าเริ่ม สึกไปหมดแล้วแบบนี้ จะให้มันขาวแบบเดิมคงเป็นไปได้ยาก

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ที่มีบ้านทาวน์เฮ้าส์ถูกสร้างขึ้นกระจายๆ กัน นี่เป็นช่วงเวลากลางวันที่แดดส่องจ้าอยู่เหนือศีรษะ และด้วยความที่บ้านแถวนี้ถูกสร้างมาเป็นสิบปี ทำให้ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ไม่ค่อยเหลืออยู่แล้ว ครอบครัวสมิธที่เคยอยู่หลังนั้นย้ายออกไปเมื่อสามปีก่อนเพื่อหาที่ลงหลักปักฐานใหม่ในตัวเมืองที่เจริญกว่านี้ หรือแม้แต่คุณป้าเคธีที่เคยอบขนมพายมาให้ก็ย้ายไปอยู่กับลูกชายที่อีกรัฐหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างเงียบเหงาเหมือนกัน แต่ในอีกแง่หนึ่งก็สงบดี

ยังเดินไม่ทันถึงครึ่งทาง โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงผมก็เริ่มสั่นและแผดร้องออกมาทำเอาผมสะดุ้งตัวนิดหนึ่งด้วยความตกใจ ให้ตาย นี่ผมจะขวัญอ่อนอะไรขนาดนี้ คราวหน้าผมคงกรีดร้องเสียงหลงถ้ามีแมลงวันบินโฉบหน้าไปสักตัว ขอที ตั้งสติหน่อย พวก

ผมควักโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชะงักไปทันทีเมื่อเห็นชื่อของโลแกนเด่นหราอยู่บนหน้าจอ ผมไม่ได้คุยกับมันมาเป็นสัปดาห์แล้ว ผมมัวแต่ยุ่งเรื่องส่งทุน เตรียมตัวสอบปลายภาค เตรียมสอบเข้า ส่วนโลแกนก็อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง แม้แต่ที่โรงเรียน เจ้าตัวยังไม่ค่อยจะโผล่หน้าไปเลย

แต่ตอนนี้หมอนั่นกำลังโทรหาผม… ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกได้เลยว่ามือไม้เย็นขึ้นมา ใจเต้นรัวขึ้น นี่อุตส่าห์พยายามหลบหน้ามันแล้วนะ ยังจะโทรมาหาอีกเหรอ ผมไม่รับสายจะเป็นอะไรไหมเนี่ย

ผมถือโทรศัพท์ค้างไว้ในมืออย่างลังเล ใจจริงแล้วไม่ได้อยากกดรับสายที่เพิ่งโทรเข้ามานี่เลย แต่ลางสังหรณ์บางอย่างในตัวผมกลับร่ำร้องบอกว่านี่เป็นเรื่องด่วน และอีกฝ่ายต้องการให้ผมรับสายจริงๆ

อืม… อาจจะเป็นแค่การเดาอะไรไปเรื่อยเปื่อยก็ได้ แต่ก็ช่างเถอะ ผมกดรับสายโทรเข้านั่นแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูในที่สุด

ผมยังไม่ทันกรอกเสียงอะไรลงไป ปลายสายก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดจะร้อนรน

“ลูคัส มีเดนมนุษย์สองคน…”

ผมได้ยินเสียงลอดมาจากปลายสายดังอยู่แค่นั้น จากนั้นก็มีใครบางคนกระแทกศอกลงบนหลังคอผมอย่างจัง รู้สึกเหมือนวูบไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง แต่ด้วยความที่เคยมีประสบการณ์ชกต่อยและเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้างทำให้ผมดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ขยับขาไปข้างหน้าเพื่อประคองไม่ให้ตัวเองล้มลงไป หลังคอผมปวดแปลบ ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชา

โทรศัพท์ในมือร่วงหล่นลงพื้น ผมไม่เสียเวลาก้มลงไปเก็บมันหากหมุนตัวกลับไปพร้อมกับก้าวเท้าถอยหลังเพื่อตั้งหลัก ผู้ชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าผมมีรูปร่างใหญ่โต คนหนึ่งมัดผมสีดำที่ยาวถึงบ่าเป็นหางม้า แต่งตัวคล้ายๆ  พวกฮิปสเตอร์ ให้ความรู้สึกเหมือนมีกลิ่นตัวแบบกระบอกสูบกัญชาลอยออกมาจากตัวมัน อีกคนตัดผมสั้นเกรียน เสื้อยืดสีขาวด้านในถูกทับด้วยเสื้อยีนส์พับแขนเสื้อ ดูเหมือนเจ้าคนนี้จะมีรสนิยมการแต่งตัวดีกว่าเจ้าคนแรกหน่อย

ว่าแต่ไอ้พวกนี้มันเป็นใครและต้องการอะไรวะ เออ หรือจะเป็นเดนมนุษย์สองคนที่โลแกนเพิ่งพูดถึง? แล้วไอ้หมอนั่นมันรู้ได้ไงวะ? นั่งทางในเป็นอาชีพเสริมเรอะ!?

หมัดของเจ้าหางม้าถูกเงื้อขึ้นมาก่อน ผมเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วแต่มันก็ถากหน้าผากของผมไป ทำไมไอ้สองตัวนี้ถึงล่ำนักนะ แล้วมากันสองคนแบบนี้ แถมดูจากฝีมือแล้ว น่าจะไม่ธรรมดาเลยแบบนี้… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย

“โลแกน คอลลินส์” เจ้าหางม้าแสยะยิ้ม ผมเห็นรอยบากอยู่ตรงบริเวณลำคอของมันด้วย และเท่าที่ประเมินจากภายนอกแล้ว มันน่าจะอายุยี่สิบปลายๆ ถึงสามสิบต้นๆ ประสบการณ์ต้องเหลือล้นแน่ๆ “แกทำพวกฉันไว้แสบมากนะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็มากับพวกเราดีๆ ดีกว่า”

“ฉันไม่ใช่โลแกน” ปัดโธ่โว้ยยยย นี่ผมต้องซวยเพราะมันอีกแล้วเรอะ!!??

มืออีกข้างหนึ่งของไอ้หัวเกรียนยื่นมา ผมคว้าข้อมือมันจากนั้นก็งอนิ้วมือข้างที่ว่าง ในความเป็นจริงแล้วคุณไม่ควรใช้หมัดนอกเสียจากจำเป็นจริงๆ หมัดอาจทำให้กระดูกมือของคุณแตกได้หากชกแรงๆ ในขณะที่การตบด้วยฝ่ามือจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากฝ่ามือของเราตบลงตรงจุดโดยที่งอนิ้วเพื่อป้องกันไว้ กระดกข้อมือไปข้างหลังจากนั้นก็ใช้ส่วนที่เป็นสันมือกระแทกจุดเดิมหลายๆ ครั้ง แรงกดก็จะตกไปอยู่ที่กระดูกแขนชิ้นใหญ่แทน

อันที่จริงถ้าผมสามารถเล่นงานตรงนั้นของมันได้ คงจะทำให้เจ้าร่างยักษ์นี่ลงไปกองกับพื้นในไม่กี่อึดใจ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะมีประสบการณ์และคอยระวังตัวอยู่แล้ว ไอ้หัวเกรียนยกเข่าขึ้นมากัน ผมจึงตัดสินใจเล่นไปที่กะบังลมของมันแทน คนที่ถูกผมโจมตีเข้าไปชะงักลงไปทันทีแต่แล้วฝ่าเท้าของไอ้หางม้าก็กระแทกลงบนกลางลำตัวของผมแรงๆ นั่นทำให้ผมไถลไปกับพื้นเลยทีเดียว แรงเสียดสีทำให้บริเวณสะโพกผมร้อนไปหมด แสบเป็นบ้าเลย

“งั้นนายคงเป็นลูคัสสินะ” ชายตรงหน้าเหยียดยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว “ฝีมือกระจอกขนาดนี้… ยังไงก็คงไม่ใช่โลแกนจริงๆ”

เออ ขอโทษด้วยละกันนะที่ไม่ป่าเถื่อนแบบไอ้เด็กนรกนั่น

“ไม่เป็นไร เป็นแกแทนก็ได้”

คำพูดนั้นทำให้ผมใจหายวาบขึ้นมาทันที หมายความว่าต่อให้พวกมันรู้ว่าผมไม่ใช่โลแกนก็จะยังไม่ยอมปล่อยไปใช่ไหม

ผมใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการประเมินสถานการณ์ กับไอ้หัวเกรียนที่ผมประมือไปด้วยเล็กน้อย… ถ้าสู้กันตัวต่อตัว ผมอาจมีโอกาสชนะ แต่กับไอ้หางม้าที่ดูร้ายกว่าหลายเท่า… ยังไม่นับเรื่องที่มันมากันสองคนอีกนะ

ผมตัดสินใจออกวิ่ง และได้ยินเสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่ที่ตามหลังมาติดๆ

ทั้งสองคนคิดจะเล่นงานฉันตรงนี้… กลางวันแสกๆ แบบนี้ ต้องบ้าระห่ำมากแน่ๆ

ผมไม่ค่อยแปลกใจเรื่องความบ้าระห่ำ โลแกนเองก็จัดอยู่ในประเภทนั้น หมอนั่นมั่นใจในกำลังของตัวเอง มั่นใจว่าตัวเองสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ทุกอย่างได้แม้การวิวาทจะจบลงด้วย แปลว่าสองคนที่กำลังวิ่งไล่ตามผมมาอยู่นี่ก็เช่นกัน

ผมพยายามเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพื่อทิ้งระยะห่างแล้วโทรกลับหาโลแกน ผมต้องการความช่วยเหลือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสองคนนี้เป็นใคร แต่ต้องเป็นปัญหาของโลแกนอย่างแน่นอน เจ้าตัวดีถึงได้รู้ตัวก่อนล่วงหน้าแถมยังใจดีโทรมาเตือนผมล่วงหน้า แต่ขอที… ช่วยมาจัดการกับปัญหาของตัวเองด้วยได้ไหม!

เอาล่ะ ทิ้งระยะจากพวกนั้นมาได้พอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่ต้องควักโทรศัพท์มือถือ

โทรศัพท์มือถือ…

โอเค ใช่ไง ผมเพิ่งทำมันตกพื้นไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ยอดเยี่ยมมาก บนโลกนี้จะมีใครโชคดีไปกว่าผมอีกไหม

ไอ้หางม้ามาดฮิปสเตอร์กับหัวเกรียนยังคงวิ่งไล่มา… ไล่กันบนถนนย่านชานเมืองอันเงียบสงบแบบนี้แหละ ผู้ใหญ่สามคนกำลังวิ่งไล่กันบนถนน จะมีใครกำลังมองพวกผมผ่านบานหน้าต่างไหมน้อ แล้วคนพวกนั้นเขาจะคิดยังไงน้า…

“แฮ่ก…” ผมเริ่มหอบหายใจ ความรู้สึกหน้ามืดจากการวิ่งสุดกำลังมาเป็นระยะเวลาพอสมควรเริ่มออกฤทธิ์ แต่ผมเองก็ได้ยินเสียงหอบหายใจจากด้านหลังมาเหมือนกัน ก็ทำไงได้ล่ะ พวกเราไม่ได้เป็นนักกีฬาวิ่งแข่งหรืออะไรเทือกนั้นนี่นา ในความเป็นจริงแล้วการวิ่งสุดแรงเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้

ก็นะ… ใครสั่งใครสอนให้มาวิ่งไล่กันแบบนี้ล่ะ ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายไหนทั้งนั้นแหละ

“ยิงขามันเลย!!” เสียงของหนึ่งในสองคนนั้นพูด และนั่นทำให้ผมชะงักไป แวบหนึ่ง แต่ยังยั้งตัวเองไม่ให้หันกลับไปมองตามหลังได้

นี่ไอ้เดนมนุษย์พวกนี้มีปืนด้วยเรอะ!!? แล้วนี่ผมจะมีชีวิตกลับไปไหมเนี่ยวันนี้

เสียงลั่นไกปืนดังขึ้น กระสุนนัดแรกเฉี่ยวขาผมไปแบบเฉียดฉิวมากๆ นี่พวกมันเอาจริงเหรอ? ผมอาจจะตายตรงนี้เลยก็ได้นะ มันไม่กลัวว่าจะมีใครสักคนลอบมองพวกเราผ่านทางหน้าต่างแล้วเอาเรื่องนี้ไปบอกตำรวจที่รับทำคดีการตายของผมต่อจากนั้นเลยเหรอ นี่แถวบ้านที่ผมอยู่กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้วหรือไง!?

เสียงลั่นไกครั้งที่สองดังขึ้น คราวนี้กระสุนถากตรงบริเวณน่องขาของผมไป ไม่ใช่แค่เฉียด แต่มันกินเนื้อส่วนหนึ่งของขาผมไปด้วย

ผมร้องอุทานออกมาอย่างเจ็บปวด จากนั้นก็ทรุดตัวฮวบลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย ถ้าผมมีความอดทนมากกว่านี้ ผมคงสามารถพยุงตัวเองให้หนีต่อไปได้ แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา สิ่งที่เคยทำให้ผมเจ็บที่สุดคือหมัดและการยำฝ่าเท้าที่ประเคนลงมาบนตัวเท่านั้น ผมไม่เคยไปทำสงครามแล้วต้องคอยวิ่งหลบกระสุนปืนแบบนั้นจริงๆ สักหน่อยนี่

เลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกจากขาผม เจิ่งนองอยู่บนพื้นคอนกรีตตรงนั้น บรรยายความเจ็บปวดนี่ไม่ถูกเลย คิดอะไรไม่ออก ถึงผมจะยังโชคดีที่กระสุนไม่ฝังในก็เถอะ แต่แผลจากกระสุนนั่นก็สร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อยทีเดียว

“เอาล่ะ คุณคอลลินส์” ไอ้หางม้าที่ก้าวเข้ามาประชิดถึงตัวผมก่อนเลื่อนปากกระบอกปืนมาจ่อที่ขมับของผม แสยะยิ้มน่าสยดสยองออกมาให้เห็น “ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ช่วยมากับพวกเราสักครู่ได้ไหม”

ไอ้โลแกน…. เอ็งไปอยู่ที่ไหนของเอ็งวะเนี่ย!!!







---------------------------------
Talk: บางทีเราก็สงสัยนะว่ากำลังเขียนนิยายวายหรือเขียนนิยายบู๊อยู่... //แล้วใครว่าเขียนพร้อมกันสองอย่างไม่ได้// ถถถถถถถถถ โลแกนนี่ค่าตัวแพงหรืออะไร เหมือนจะหายๆ ไปนะนาย (ฮา)
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 18) P.3 [15/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-02-2017 21:49:58
อืมม.....ความเหมือนของแฝด ก็ทำให้มีอันตราย
แต่นี่เดนนรกรู้แล้วนะว่าผิดตัว แต่ยังทำร้าย
พวกนี้น่าจะค้ายานะ แล้วมาแก้แค้นโลแกน
ถึงไม่ใช่โลแกน แต่เป็นพี่น้อง ก็ทำร้ายได้
โลแกน จัดการเดนนรกแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 18) P.3 [15/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-02-2017 12:08:18
 :katai1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 18) P.3 [15/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 16-02-2017 20:19:51



บทที่ 19

(Mode: Lucas Collins)





เดนมนุษย์สองคนนั้นเอาตัวของผมขึ้นไปที่ชั้นสองของสิ่งก่อสร้างเก่าๆ แห่งหนึ่งที่ประเมินจากสายตาแล้วคงจะเป็นรังของพวกมัน ไม่รู้ว่าเป็นบ้าน หรือว่าโกดัง แต่ที่แน่ๆ คือกลิ่นอับของสถานที่แห่งนี้ชวนให้ผมรู้สึกคลื่นไส้สุดๆ เหมือนกลิ่นของสารเสพติดบางอย่างผสมปนเปไปกับพื้นที่ที่ไม่ได้รับการทำความสะอาดใดๆ แถมบาดแผลที่ขาก็ยังเจ็บไม่หาย รวมสองอย่างนี้เข้าไปด้วยกันแล้ว ผมคิดว่าตัวเองอาจจะสลบไม่ได้สติไปเร็วๆ นี้แหละ

ไอ้หัวเกรียนเอาเทปพันสายไฟมามัดมือที่ไพร่หลังของผม รวมถึงที่ขาของผมด้วย ไม่อยากจะบอกหรอกว่าแค่แผลที่โดนกระสุนถากไปนั่นก็ทำเอาผมสูญเสียประสิทธิภาพในการเดินเหินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงวิ่งหนีหรืออะไร แค่แรงจะคลานยังไม่มี

ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ทันทีเพื่อประเมินสถานการณ์ บริเวณที่เราอยู่กันไม่มีหน้าต่าง ทางเข้าเพื่อมาให้ถึงจุดจุดนี้มีเพียงทางเดียว นั่นหมายความว่าโลแกนจะไม่สามารถโจมตีมาจากข้างนอกหรือเล่นงานพวกมันจากระยะไกลได้

โอย… แค่จะให้มันรู้ว่าผมอยู่ที่นี่ยังรู้สึกเหมือนมีความหวังริบหรี่เลย แต่… ไม่รู้สิ อย่างหมอนั่นต้องหาทางรู้จนได้ และถึงพื้นที่ที่ผมถูกจับมานอนราบ มัดมือมัดเท้าอยู่แบบนี้จะดูเหมือนว่าไม่มีใครเข้ามาได้โดยที่ไอ้สองตัวนี้ไม่รู้ก็ตาม แต่ผมคิดว่าน้องชายฝาแฝดผมทำได้ อาจจะต้องให้เวลามันสักหน่อย

ไอ้หัวเกรียนมีอาวุธ ไอ้หางม้าก็มีอาวุธ แบบนี้ไม่ดีแน่ ถึงไอ้โลแกนมันจะเก่งเหนือมนุษย์ขนาดไหนแต่ผิวหนังมันไม่ได้ทำด้วยเหล็กนี่หว่า ขืนเจอลูกปืนเข้าไปก็มีจอดได้ง่ายๆ เหมือนกัน

“ไหนๆ ดูซิพวกนาย” เสียงของใครบางคนทำให้ผมสะดุ้งนิดหนึ่งก่อนจะหันไปมองตามต้นเสียงอย่างรวดเร็ว “ฉันสั่งให้พวกนายไปเอาตัวโลแกน คอลลินส์มา แต่ดันได้ไอ้แฝดคนพี่มันมาหรอกเรอะ”

“ก็ตอนแรกเราไม่รู้นี่หว่าว่ามันเป็นคนไหน” ไอ้หางม้ายักไหล่ “แต่ก็ช่างเหอะ ไม่เห็นเป็นไรเลย เราเอามันมาล่อคนน้องออกมาก็ได้นี่”

ผมแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ เรียกสายตาทั้งสามคู่ของคนที่อยู่ตรงนั้นให้มองมาอย่างฉงน ไอ้ผู้ชายคนที่มาใหม่มีรูปร่างสูงใหญ่และดูแข็งแรงก็จริง แต่ก็ไม่เท่าไอ้สองคนที่จับตัวผมมาถึงนี่ สิ่งที่ทำให้ผมกังวลคือปืนอีกกระบอกในมือของเจ้าคนที่เพิ่งมาใหม่ต่างหาก เดี๋ยวนี้แม่งเป็นของที่หาง่ายกว่ายาสามัญประจำบ้านแล้วมั้ง บางทีผมคงต้องหามาพกติดตัวไว้สักกระบอก

“นี่แกขำอะไรของแกวะ” เจ้าคนมาใหม่ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นทันที “มีอะไรน่าขำรึไง รึว่าอยากจะตายเร็วๆ”

“พวกนายคิดจะล่อโลแกนมาที่นี่” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “พวกนายนี่มัน… โง่เหมือนหน้าตาจริงๆ”

“สงสัยใครบางคนแถวนี้จะไม่อยากแก่ตายว่ะ” เจ้าคนที่เพิ่งมาใหม่และดูเหมือนจะใหญ่ที่สุดในบรรดาพวกมันทั้งสามคนพูดขึ้นอย่างหัวเสีย แม้น้ำเสียงเจ้าตัวจะนิ่งๆ สีหน้าจะยังราบเรียบเหมือนเดิมก็เถอะ

มันเดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าผมจากนั้นก็จิกผมที่นอนราบอยู่กับพื้นขึ้นไปนิดหนึ่ง ผมครางออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด ที่มันจิกหัวผมขึ้นไปมันก็เจ็บอยู่หรอก แต่ไอ้แผลที่โดนกระสุนเฉี่ยวที่ขาเมื่อครู่มันเจ็บกว่าเยอะ ผมรู้สึกได้เลยว่าเลือดยังไหลอยู่ ความเจ็บปวดก็เช่นกัน

“พวกนายไม่มีทางเอาชนะโลแกนได้หรอก”

“เดี๋ยวก็ได้รู้กัน”

ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งอย่างยากลำบาก ถึงผมจะทำปากดีไปแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่รู้สึกกลัวอะไรเลยหรอกนะ อันที่จริง… ผมกลัวมากจนยั้งปากตัวเองไว้ไม่อยู่มากกว่า เพิ่งมาสังเกตตัวเองช่วงหลังๆ นี่แหละว่าพอกลัวขึ้นมาแล้วจะพูดวางท่ากว่าปกติ ซึ่ง… ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ จริงๆ แล้ว มันยิ่งเหมือนไปยั่วโมโหฝ่ายตรงข้ามมากกว่า และนั่นอาจทำให้ผมเจ็บตัวหนักขึ้นได้

“นายต้องการอะไรกันแน่” ผมพยายามตะล่อมถาม “อยากจะทำอะไร ไถเงินจากหมอนั่นเหรอ? หรือว่าแก้แค้น? หมอนั่นไปรุมอัดพวกของนายมารึไง”

คนตรงหน้าผมเหยียดยิ้มเยาะ จากนั้นก็ปล่อยศีรษะของผมให้กลับลงไปอยู่บนพื้นตามเดิม โอย… ขอบคุณที่อย่างน้อยก็ไม่กระแทกลงมา ไม่งั้นคงได้หัวแตกเลือดกระจายเสริมกับแผลที่ขา
“ไอ้หมอนั่นมันทรยศพวกเรา”

“หืม…” ผมลากเสียงยาวอย่างฉงน กัดฟันเพื่อไม่ให้ตัวเองครางด้วยความทรมานออกไป ทนไม่ได้จริงๆ ถ้าจะต้องทำตัวน่าทุเรศต่อหน้าไอ้เดนมนุษย์พวกนี้ “ทรยศพวกนายเรื่องอะไรล่ะ”

“มันเป็นสายให้ตำรวจ”

นั่นทำให้ผมแปลกใจจริงๆ จนอดเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งไม่ได้

ไอ้โลแกนเนี่ยนะ?

“งั้น” ผมเปลี่ยนวิธีการถามใหม่ “พวกนายทำอะไรไปล่ะ?”

“จะอะไรก็ไม่เกี่ยวกับแก”

ผมยิ้มเหยียดอีกรอบ และขอเดาว่ารอยยิ้มนั่นมันต้องกวนประสาทมาก เพราะเห็นหางคิ้วของไอ้หางม้ากระตุกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจทันที อ่า แย่ล่ะสิ ผมต้องหยุดทำตัวแบบนี้นะ ต้องหยุดเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่นิ้วมันจะกระตุกไปลั่นไกปืนตามคิ้ว

“เฮ้ ฟังนะ” ผมพยายามควบคุมตัวเอง สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตัวเอง มันปนเประหว่างความกลัวและความสมเพชพวกกลุ่มคนตรงหน้า แต่จะหนักไปทางความกลัวมากกว่า รู้สึกได้เลยว่ามือทั้งสองข้างของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ เริ่มจะชินกับความเจ็บปวดบริเวณน่องขาแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าร่างกายผมพร้อมจะรับกับความทรมานแบบนั้นได้อีกนะ “นายปล่อยฉันไปตอนนี้ดีกว่า ถ้าพวกนายทำแบบนั้นอาจจะพอมีทางรอด พวกนายก็น่าจะรู้นี่ว่าโลแกน คอลลินส์เป็นคนยังไง หมอนั่นจะไม่ยอมให้พวกนายมาลูบคมมันแบบนี้แล้วปล่อยกลับไปง่ายๆ แน่”

“เฮ้ นี่นายนับเลขไม่เป็นหรือว่าอะไร” ไอ้หางม้าพูดขึ้นบ้างอย่างหมดความอดทน ชี้นิ้วของตัวเองไปที่พวกของตัวเองอีกสองคน “เรามีกันสามคน แถมพวกเราทั้งหมดก็มีฝีมือไม่น้อย นี่ยังไม่นับที่มีนายเป็นตัวประกันแบบนี้อีกนะ”

“ฉันถามจริงๆ” ผมพูดขึ้นบ้าง ทั้งหมดที่ทำอยู่นี่ก็เพื่อถ่วงเวลาเท่านั้นแหละ อีกไม่นานโลแกนก็จะมาที่นี่ มันต้องมาแน่ล่ะ ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อไหร่ก็เท่านั้น “พวกนายจะอยากได้ตัวประกันไปทำไมวะ จะได้อัดหมอนั่นได้ง่ายขึ้นเหรอ? คิดว่ามันจะยอมทำตัวเป็นพระเอกแล้วปล่อยให้พวกนายรุมอัดมันเพื่อให้ฉันปลอดภัยงั้นเหรอ? ให้ขำตายเถอะ ขนาดละครสมัยนี้ยังไม่น้ำเน่าขนาดนี้เลย”

“เฮ้ย ทำอะไรให้มันหุบปากที” คนที่เพิ่งมาคนล่าสุดพยักเพยิดไปที่อีกสองคนที่เหลือ แย่ล่ะ… ผมเริ่มรู้สึกถึงความหายนะขึ้จมาจริงๆ แล้ว และเพราะเป็นแบบนั้น ผมถึงพยายามพูดอีกรอบด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

“เดี๋ยวก่อน พวกนายทำแบบนี้ไปมันไม่ได้อะไรเลยนะ ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่โลแกนทำด้วยเลยสักนิด มันไม่เกินไปหน่อยเหรอที่จำรุมอัดคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยแบบนี้น่ะ”

ชายหนุ่มคนเดิมหันกลับมาแสยะยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไม่สะทกสะท้าน

“แต่แกเป็นพี่ชายฝาแฝดของมันไม่ใช่เหรอ? เป็นพี่ก็หัดสั่งสองน้องให้ทำตัวดีๆ บ้าง เพราะงั้นที่มันเกิดเรื่องแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของแกนั่นแหละ”

นั่น ดูม๊าน!! ดูนะ คนเรา คิดอยากจะโทษคนอื่นก็หาเรื่องมาโทษกันจนได้ สรุป ผมผิดตั้งแต่ที่เกิดเป็นพี่ชายฝาแฝดมันแล้วใช่ไหม ใช่ไหม!?

เจ้าหางม้ากับหัวเกรียนขยับตัวใกล้เข้ามาหาผม ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวขึ้นด้วยความกลัว อะไรบางอย่าง… บอกผมว่าโลแกนอยู่ที่นี่ อยู่ไม่ห่างไปจากตำแหน่งที่ผมอยู่ตรงนี้ แต่มันยังไม่แสดงตัวอะไร หมอนั่นต้องการอะไรบางอย่าง… อะไรบางอย่างที่จะเรียกร้องความสนใจจากไอ้สวะพวกนี้ได้

แล้วผมควรจะทำยังไง จะทำยังไงดีล่ะ…

“อ๊ากกกกกกก” ในเมื่อไม่มีความคิดอะไรดีๆ ผมจึงตัดสินใจแหกปากร้องลั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่หยุดด้วยแม้ว่าไอ้หางม้าจะปราดเข้ามาแล้วกระแทกหมัดหนักๆ ลงบนหน้าของผมสองสามที

เจ็บเป็นบ้า…

แต่ความเจ็บปวดนั้นก็แลกมากับช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ทุกคนตรงบริเวณนั้นหันสายตามามองที่ผม แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นแหละที่ผมต้องการ

แขนข้างหนึ่งขยับเข้ามาโอบล้อมรอบคอของไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ขณะที่ปืนกระบอกหนึ่งปรากฏขึ้นจ่อขมับของชายหนุ่มเอาไว้ แล้วใบหน้าที่เหมือนกันกับผมอย่างไม่มีผิดเพี้ยนก็ค่อยๆ โผล่ออกมาข้างๆ ใบหน้าของอีกฝ่าย

“นี่นายใช้โคโลญอะไรของนายวะ โจ” เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นทันที ย่นจมูกนิดหนึ่ง “กลิ่นเห่ยเป็นบ้า… จริงๆ ฉันอยากจะพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้วน่ะนะ”

หากอีกสองคนที่เหลือก็ไวไม่ใช่เล่น ในเวลาไม่กี่วินาทีไอ้หัวเกรียนก็ไปยืนอยู่อีกฟาก ส่วนไอ้หางม้าที่อันตรายมากกว่าดึงร่างของผมขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องกำบัง ไอ้บ้าเอ๊ย… ขาผมแทบจะไม่มีแรงอยู่แล้วเพราะกระสุนที่ถากไปนั่น… ยังไม่นับเรื่องที่ทั้งแขนทั้งขาโดนมัดเข้าติดกันอีกนะ

ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนข้างหลังผมนี่แรงเยอะมาก การจะยกคนที่ไม่สามารถทรงตัวได้อย่างผมขึ้นมาคงจะทุลักทุเลกว่านี้มาก แต่ก็นั่นแหละ จะทุลักทุเลหรือไม่เต็มใจแค่ไหนผมก็ต้องลุก เพราะไอ้บ้านี่มันเอาปืนจอท้ายทอยผมเรียบร้อยแล้ว

ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใครจริงๆ

“ไง เพื่อนๆ” โลแกนส่งยิ้มให้เจ้าหางม้ากับหัวเกรียนนิดหนึ่ง “ไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งเลยนะ ดูสบายดีนี่”

ทั้งสองคนนี้ดูเหมือนจะไม่มีความกลัวหรือความหวาดหวั่นอยู่ในสีหน้าแววตาเลย บางทีพวกมันอาจจะแค่โง่เกินกว่าจะทำแบบนั้น หรือไม่ก็มั่นใจในฝีมือของตัวเองมากจริงๆ

“น่าเสียดายนะที่เราต้องมาจบกันแบบนี้” ไอ้หางม้พูดขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้ม โลแกนยังทำสีหน้าไร้อารมณ์ได้อย่างไม่มีที่ติ

“พวกนายนะ ที่ต้องจบ” เจ้าตัวว่า “แต่พวกฉันขอบายว่ะ”

โลแกนขยับท่อนแขนเพื่อรัดคอของโจ ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำ ดิ้นทุรนทุรายเพราะออกซิเจนกำลังจะหมด จากนั้นน้องชายฝาแฝดของผมก็ทำสิ่งที่น่าแปลกใจเล็กน้อย นั่นคือคลายท่อนแขนนั่นอีกนิดหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าโจรีบกระเสือกกระสนสูดอากาศเข้าปอดทันที

“จะได้ไม่ต้องหายใจเอากลิ่นโคโลญเห่ยๆ นั่นเข้าไปไง” โลแกนยกยิ้มหวาน “ดูซิว่าฉันใจดีขนาดไหน หรือพวกนายว่าไง?”

ไอ้หางม้ากับหัวเกรียนหันไปมองหน้ากันนิดหนึ่ง ดูเหมือนว่าสองคนนี้จะเป็นคู่หูที่ดูเข้าขากันจริงๆ จากที่ได้เผชิญหน้ากับทั้งสองมาจนถึงตอนนี้ พวกมันส่งสายตาให้กันราวกับจะสื่อสารว่า ‘ไอ้ไก่อ่อนนี่มันไม่ได้เข้าใจอะไรเอาซะเลย’ อย่างไรอย่างนั้น

มาดูกันซิว่าใครกันแน่ที่เป็นไก่อ่อน

“นี่ นายไม่เคย… แบบว่า… คิดตรึกตรองอะไรอย่างถี่ถ้วนหรือลองใช้สมองที่มีอยู่น้อยนิดของแก แบบว่า ประเมินสถานการณ์ของตัวเองดูหน่อยเหรอ”

“แบบว่า เคย” โลแกนย้อนกลับด้วยน้ำเสียงยียวนหากมีสีหน้าไร้อารมณ์ ดูเหมือนเจ้าตัวจะทำหน้าแบบนั้นหลังจากที่เหลือบสายตาลงไปมองที่ท่อนขาผมซึ่งมีเลือดอาบ พูดกันตามตรงนะ สีหน้าแบบนั้นของหมอนี่มันชวนให้ผมขวัญอ่อนกว่าตอนที่มันปั้นหน้าน่ากลัวๆ เสียอีก

“เรามีกันสองคน” ไอ้หัวเกรียนว่าต่อ “มีปืนสองกระบอก ส่วนนายมีกระบอกเดียว”

“โอ้โห ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย”

ทุกคนจ้องอยู่ที่ปากกระบอกปืนของโลแกน ยกเว้นผม… ที่เหมือนจะพอเดาความคิดของเจ้าแฝดคนน้องได้ โลแกนคลายแขนที่รัดลำคอของโจออกครู่หนึ่ง ก็เพื่อใช้ร่างของชายหนุ่มคนนั้นที่บังร่างของตัวเองอยู่เพื่อหยิบปืนกระบอกที่สองขึ้นมา ปืนกระบอกที่ว่านี้อยู่หลังสะโพกซ้ายของโจ แต่แน่นอนล่ะว่าไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งที่หมอนั่นทำ

ผมเอียงศีรษะไปทางซ้ายเล็กน้อยเพราะรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น

เสียงลั่นไกปืนสองกระบอกดังขึ้นพร้อมๆ กัน กระสุนปืนเจาะลงกลางหน้าผากของไอ้ผมหางม้าที่ล็อกตัวผมไว้อยู่ เป็นวินาทีเดียวกับที่โลแกนฝังกระสุนลงในหัวของไอ้หัวเกรียนที่อยู่อีกฟากหนึ่ง

ผมรู้สึกได้ถึงของเหลวที่กระเด็นมาโดนใบหน้า คงเป็นสมองสักส่วนของไอ้หางม้าที่ตายคาที่ไปเรียบร้อยแล้วอย่างแน่นอน

เมื่อไร้ซึ่งคนที่ยึดผมให้ยืนเอาไว้ ตัวของผมเองก็ร่วงหล่นไปกองอยู่กับพื้นดังตุ้บไม่ต่างจากสองศพที่โดนไอ้น้องชายปีศาจของผมสอยร่วงลงไปแล้ว เลือดสีแดงไหลนองเต็มพื้น และด้วยความที่ร่างผมร่วงลงมา เนื้อตัวของผมจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวที่ไหลออกจากร่างกายที่ไร้วิญญาณ

ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้นด้วยความประหวั่นพรั่งพรึง อะไรบางอย่าง… อะไรบางอย่างที่เหมือนผมทำมันหล่นหายไปนานแสนนานค่อยๆ คืบคลานกลับมา

ความรู้สึกแบบนี้…

เหมือนทุกส่วนในร่างกายมันเย็นเยียบไปหมด

แต่ผมยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร

หาก… ชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง เสี้ยววินาทีเดียวจริงๆ ที่ผมเงยหน้าขึ้นไปมองน้องชายฝาแฝดของตัวเอง ผมรู้สึกเหมือนเห็นเขาโค้งงอสองข้างงอกออกมาจากหัวของไอ้หมอนี่จริงๆ แบบเดียวกับที่ผมเห็นในกระจกเมื่อตอนนั้น…. ฉากด้านหลังเป็นไฟลุกท่วมราวกับอยู่ในฉากเกมหรือหนังสงครามระเบิดอะไรทำนองนั้น

แต่มันก็แค่เสี้ยววินาทีเดียว จากนั้นมันก็หายไป ราวกับทั้งหมดเป็นเพียงภาพหลอนของผมเอง

โลแกนมองศพที่ร่วงหล่นไปอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา เจ้าตัวหันกลับไปมองโจก่อนจะพูดสำทับด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้ใครก็ตามที่ได้ยินรู้สึกขนลุกเป็นที่สุด อย่างที่ในชีวิตนี้คงไม่เคยเจอมาก่อน

“ถ้านายขยับตัว… หรือแม้แต่หายใจแปลกๆ ออกมาล่ะก็ ได้มีจุดจบแบบไอ้สองตัวนั้นแน่”

บางทีผมก็อดคิดไม่ได้จริงๆ นะ ว่าไอ้บ้าโลแกนแม่งเป็นคนที่ถูกนรกส่งมาเกิดจริงๆ





-----------------------------------------
Talk: ในที่สุดโลแกนกลับมาแล้วนะคะ! (ฮา) นางก็ยังเป็นเด็กนรกเหมือนเดิม... ถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 19) P.3 [16/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 20-02-2017 05:44:00
ตามมาจนทัน ชอบเนื้อเรื่องค่ะน่าสนใจดี
เมื่อไหร่จะมาหนอ
รออ่านนะคะ :sad4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 19) P.3 [16/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 20-02-2017 19:08:34


บทที่ 20

(Mode: Logan Collins)





ผมขยับมือที่ถือปืนเพื่อกระชับให้มันถนัดมือมากขึ้น จากนั้นก็กระทุ้งลงบนหลังของโจทีหนึ่งเป็นเชิงสั่งให้มันก้าวเท้าไปด้านหน้า เจ้าตัวทำตามที่ผมให้สัญญาณอย่างดีด้วยท่าทีที่นิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ แน่นอนล่ะ หลังจากที่มันได้เห็นผมฆ่าคนตายอย่างเลือดเย็นไปต่อหน้าต่อตามันถึงสองคน รวมถึงขู่สำทับมันไปขนาดนั้นเมื่อกี้ มันย่อมอยากรักษาชีวิตของตัวเองด้วยการทำตามที่ผมสั่งอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว

เมื่อชายตรงหน้าเดินไปในระยะทางที่พอดี ผมจึงเงื้อปืนขึ้นแล้วฟาดเข้าที่ท้ายทอยของเจ้าตัวอย่างจัง โดยกะแรงให้มันสลบสักสองสามชั่วโมง ใจจริงผมไม่สนหรอกถ้าต้องฆ่าหมอนี่เพิ่มอีกคน แต่โจเป็นอาหารมือใหญ่ที่ผมต้องใช้ความอดทนและความเพียรอย่างมากกว่าจะรวบรวมหลักฐานและสาวอะไรหลายๆ อย่างมาได้ ผมยังต้องการเค้นคอมัน… ไม่สิ ทางตำรวจยังต้องการจะเค้นคอมันเพื่อสาวไปถึงต้นตอที่อยู่สูงกว่ามันขึ้นไป เพราะงั้นมันยังจำเป็นสำหรับงานของผม

ส่วนไอ้สองตัวที่ผมฆ่าไปนั่น… มันอาจทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นกับผมในภายหลัง แต่ผมไม่สนหรอก ยังไงเสียคนที่ยิงขาลูคัสก็ต้องเป็นหนึ่งในสองคนนี่ อีกอย่าง… ผมเป็นคนไม่ชอบเสี่ยง การที่พวกมันสองคนมีอาวุธพร้อมแบบนั้น ถ้าผมไม่ฆ่าพวกมัน ยังไงพวกมันก็ต้องฆ่าผมแล้วก็ลูคัสอยู่ดี แล้วเรื่องอะไรผมจะไม่เลือกทางเลือกแรกกันเล่า?

ไม่มันก็เรา

มันก็ง่ายๆ แค่นั้นแหละ โลกแห่งความเป็นจริงแล้วกฎหมายหรืออะไรก็ตามแต่ไม่สามารถคุ้มครองเราได้จริงๆ อย่างที่ใครๆ กล่างอ้างกัน มีแต่ตัวของคุณแล้วก็อาวุธของคุณเท่านั้นแหละ ที่จะสามารถช่วยให้คุณมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้

ผมก้มลงมองลูคัสนิดหนึ่งก่อนจะควักมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเริ่มลงมือตัดเทปพันสายไฟที่มัดแขนและขาของพี่ชายฝาแฝดผมไว้อยู่ หมอนี่หน้าซีดเหมือนกระดาษเลยทีเดียว แม้จะมีสีแดงของเลือดคอยแต่งแต้มตามจุดต่างๆ ก็ตาม

“สภาพดูไม่ได้เลยนะ”

“ทำไมถึงได้มาช้านัก”

ไม่มีใครตอบรับคำพูดของอีกฝ่าย

ผมยังรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างที่คุกรุ่นอยู่ในอกขณะที่ลูคัสค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นมานั่งบนพื้นโดยมีผมช่วยพยุง สีหน้าซีดเซียวเริ่มมีสีขึ้นมานิดหนึ่ง เจ้าตัวก้มลงมองสภาพที่เปื้อนไปด้วยเลือด ทั้งของตัวเองและของร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่บนพื้น กลิ่นคาวคละคลุ้งของมันน่าสะอิดสะเอียนสำหรับพี่ชายผมเป็นที่สุด

ผมช่วยดันตัวลูคัสไปเพื่อพิงกับผนังที่อยู่ด้านหลัง อีกฝ่ายสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดสองสามทีเพื่อควบคุมสติของตัวเองแม้เนื้อตัวจะสั่นเทา บางทีหมอนี่อาจจะจำได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเห็นคนตายต่อหน้าต่อตามาก่อน หรือบางทีก็อาจจะจำไม่ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในกรณีนี้ แบบไหนดีหรือแย่กว่ากัน

“ขาเป็นยังไงบ้าง” ผมยิงคำถาม จากนั้นก็สำรวจบาดแผลของลูคัส เจ้าตัวครางออกมานิดหนึ่งเมื่อผมพลิกดู “กระสุนไม่ฝังใน ไม่แย่มากหรอก”

“อือ” ลูคัสตอบรับในลำคอง่ายๆ แล้วจู่ๆ บางสิ่งบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในอกผมก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง อันที่จริง… มันปะทุขึ้นมารุนแรงมากตอนที่ผมเห็นแผลที่ขาของลูคัสครั้งแรก และเมื่อผมได้เหนี่ยวไก ลั่นกระสุนออกไปสองนัด ความอึดอัดนั้นก็ค่อยบรรเทาลงไปบ้าง แต่ไม่รู้ทำไม… ตอนนี้มันกลับมาอีกแล้ว และผมต้องการที่ระบาย

“ขอโทษนะ” ผมหลุดคำพูดนั้นออกไป เดาไปว่าความอึดอัดนั่นคงเป็นความรู้สึกผิด… ผิดที่ทำให้หมอนี่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยมารับเคราะห์ไปด้วยแบบนี้

ลูคัสเงยหน้าขึ้นมามองผม สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าเข้าใจดีว่าผมพูดถึงเรื่องอะไร

ให้ตาย… ไอ้เดนมนุษย์พวกนี้… มันกล้าดียังไง กล้าดียังไงมาแตะต้องพี่ชายฝาแฝดของผม จริงอยู่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่เคยคิดว่าหมอนี่เป็นพี่ชายของผมจริงๆ เลยก็เถอะ ในเมื่อเรามีพ่อคนละคนกัน

แล้วก็เป็นความจริงอีกที่ว่า ผมไม่เคยสนใจความรู้สึกของใคร ไม่สนด้วยว่าบนโลกใบนี้จะต้องมีคนตายอย่างไม่ยุติธรรมหรือต้องทนทุกข์ทรมานมากมายขนาดไหน มันไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับผม ตัวตนของผมมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว นั่นคือทำงานที่ท่านพ่อมอบหมายมาให้สำเร็จ

เรื่องทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือจากนั้น… มันก็แค่การฆ่าเวลาเท่านั้น แต่ไอ้ความรู้สึกอึดอัดข้างในนี่มันอะไรกัน

แม่ง… โคตรน่ารำคาญเลย น่ารำคาญสุดๆ ด้วย

รู้ตัวอีกที ผมก็เลื่อนมือไปบีบไหล่ทั้งสองข้างของคนตรงหน้าเต็มแรง ทำเอาลูคัสโอดครวญออกมาเบาๆ ก่อนเจ้าตัวจะเรียกชื่อผมอย่างไม่เข้าใจ

“โลแก--”

ผมเลื่อนหน้าลงไปบดริมฝีปากของหมอนี่โดยที่ไม่รู้ตัว ดันไหล่ทั้งสองข้างของหมอนี่ที่ยังสั่นอยู่นิดๆ เพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมาแนบชิดติดกับผนังด้านหลัง จากนั้นก็สอดลิ้นเข้าไปกวาดหาสัมผัสวาบหวามจากคนตรงหน้าอย่างไม่เกรงใจ

เหมือนกับกำลังโหยหาอยู่ยังไงยังงั้น… ก็ใช่สินะ หมอนั่เล่นหลบหน้าผมมาเป็นอาทิตย์ๆ แถมยังประกาศกร้าวเลยว่ายังไงก็ไม่อยากให้ผมทำเรื่องแบบนี้กับตัวเองจริงๆ

...แล้วทำไมผมยังทำแบบนี้อยู่อีกนะ

ลูคัสครางอึกอักในลำคอ หลับตาแน่นปี๋เหมือนไม่อยากรับรู้อะไร มือทั้งสองข้างที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงพยายามผลักผมออก ผมรู้ว่าตัวเองควรจะหยุด… มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย หมอนี่เคยพูดว่าขยะแขยงผมด้วยซ้ำ แล้วผมเองก็ใช่ว่าจะจนตรอกถึงขั้นหาคู่นอนด้วยไม่ได้ต่อไปอะไรแบบนั้น

แต่พูดไปอาจจะไม่มีใครเชื่อ… แต่ตั้งแต่วันที่ผมนอนกับเจ้าหน้าที่พิเศษแกรนท์ตอนนั้น ผมก็ไม่ได้นอนกับเจ้าหล่อนหรือใครๆ อีกเลย บางทีอาจจะเป็นเพราะผมแค่เบื่อ หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะลูคัสโกรธเรื่องนี้ก็ได้ ผมก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน

ในที่สุดผมก็ค่อยๆ ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ยังอยากได้สัมผัสชวนให้เคลิบเคลิ้มนั่นอยู่ แต่เมื่อเหลือบมองบาดแผลที่ขาของลูคัสแล้ว ผมก็ตั้งสติขึ้นมาได้ว่าควรจะทำอะไรก่อน

“ฉันจะพานายลงไปข้างล่างก่อน” ผมพูด ขยับเข้าไปพยุงตัวคนตรงหน้าให้ลุกขึ้น

ลูคัสยกมือแตะที่ริมฝีปากของตัวเองด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด แต่ใบหน้าแดงจนลามไปถึงหู อย่าว่าแต่มันเลย ผมยังงงตัวเอง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทำความเข้าใจเรื่องนี้

ผมพาลูคัสมานั่งอยู่ที่เก้าอี้เก่าๆ ที่เต็มไปด้วยสนิม และเบาะรองนั่งก็ขาดวิ่นจนเห็นฟองน้ำด้านใน ผมเดินไปหยิบผ้าขนหนูเก่าๆ อย่างรู้จักสถานที่ดี เอามันไปชุบน้ำหมาดๆ จากนั้นก็ยื่นให้อีกฝ่าย

“อดทนอีกหน่อย ฉันต้องไปเก็บกวาด… อาจจะใช้เวลาสักนิด”

“เก็บกวาดเหรอ” ใบหน้าที่เริ่มมีสีขึ้นของลูคัสซีดลงอีกรอบ เหมือนคนที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง สับสน มึนงงอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ ก็มีอะไรกระชากเจ้าตัวกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง “นาย… จะไม่เป็นไรเหรอ โลแกน นาย…”

“ฆ่าคนไปสองคน” ผมพูดต่อให้ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจัดการได้ นายพักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวจะพากลับบ้าน”

“นายจะพาฉันไปโรงพยาบาลทำแผลก่อนได้ไหม”

“ไม่ได้ เสี่ยงเกินไป วุ่นวายด้วย เห็นแผลโดนยิงแบบนี้ต้องโดนซักนู่นซักนี่ เถอะ เดี๋ยวเรียกหมอไปช่วยรักษาให้ที่บ้าน ฉันมีคนรู้จักอยู่”

“นายกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ โลแกน” ลูคัสถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจและกังวล ผมไม่แปลกใจหรอกที่หมอนั่นจะรู้สึกแบบนั้น

“ไว้ไปคุยกันที่บ้าน”

ก่อนอื่นต้องจัดการเคลียร์เรื่องตรงนี้ก่อน









ลูคัสพยายามถามผมว่ารถที่ผมกำลังขับอยู่นี่ไปเอามาจากไหน แล้วก็ถามย้ำซ้ำไปซ้ำมาตลอดว่าไปขโมยใครมารึเปล่า เรื่องของเรื่องก็คือ ถ้าผมขโมยรถใครมาแล้วผมจะบอกมันเรอะ? ไม่ล่ะ แค่นี้เรื่องที่หมอนี่ซักก็มากมายพอตัวอยู่แล้ว เรื่องรถนี่ขอไม่พูดถึงแล้วกัน แล้วก็จะไม่มีการพูดถึงใบขับขี่ด้วย และเหมือนลูคัสที่พูดๆ ไปก็ชักจะรู้ตัวว่า นอกเหนือไปจากเรื่องทั้งหลายทั้งปวง เรื่องที่ผมเพิ่งฆ่าคนไปสองคนต่อหน้าต่อตาหมอนี่ดูจะเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงกว่า

ในที่สุด หลังจากที่คุณหมอซึ่งผมขอร้องให้แมคโดเวลตามมาให้ทำแผลให้ลูคัสจนเสร็จและขอตัวจากไป บรรยากาศของพวกเราสองคนจึงหลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม

โอเค… ไม่น่าจะใช้คำว่าเงียบสงบ น่าจะใช้คำว่าเงียบชวนอึดอัดมากกว่า

“แล้วไอ้อีกคนนั่นล่ะ” ลูคัสเอ่ยปากถามออกมาในที่สุด “คนที่นาย… เอ่อ เอาสันปืนฟาดจนมันสลบ”

“ทำไม”

“นายได้… นายได้…” ลูคัสอึกอัก ก่อนจะหลุดพูดออกมาอย่างฝืนใจ “ฆ่าหมอนั่นรึเปล่า?”

“เปล่า”

“ทำไมนายต้องฆ่าสองคนนั้นด้วย”

ผมกลอกตาขึ้นมองเพดานทันที “ถามจริงสิ?”

ลูคัสเงียบไป ก้มหน้าลงต่ำ มองพื้นห้องราวกับนั่นเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดเท่าที่ในชีวิตนี้มันเคยเห็นมา แต่ผมรู้ว่าลูคัสเองก็เข้าใจดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมไม่ฆ่าไอ้สองคนนั้น ก็เราสองคนไง ที่จะได้กลายเป็นศพแทนพวกมัน

พี่ชายฝาแฝดของผมถอนหายใจเฮือกออกมาในที่สุด เหมือนปลงและเอือมระอาในตัวผมเสียเหลือเกิน

“สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทำอีก”

“ทำอะไร” ผมตีรวนทันที “ช่วยชีวิตนายน่ะเหรอ”

“ฉันหมายถึง… ฆ่าคนน่ะ”

“ไม่สัญญา”

“อะไรนะ” ลูคัสถามเสียงสูงขึ้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “นี่นายคิดว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ทำกันทุกวันรึไง? นายเพิ่งฆ่าคนไปสองคนวันนี้นะ โลแกน”

“และฉันก็จะฆ่าอีกถ้าจำเป็น” ผมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ อีกอย่าง ผมยังไม่ได้ฆ่าจูดี้ ฮิลล์ตามคำของท่านพ่อเลย เพราะงั้นยังไงก็ไม่มีทางสัญญาว่าจะไม่ฆ่าคนได้อีกแน่ อย่างน้อยก็คนหนึ่งแล้วแน่นอนล่ะ

ลูคัสครางออกมาเหมือนคนไม่ได้ดั่งใจ จากนั้นเจ้าตัวก็เอนหลังลงไปโซฟา ยกแขนขึ้นมาพาดปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้อย่างอ่อนล้า ก่อนชายหนุ่มจะพูดออกมาเหมือนไม่เข้าใจ

“ฉันแค่อยากใช้ชีวิตตามปกติ”

ผมรับฟังเงียบๆ เข้าใจดีว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาอ่อนไหวของหมอนี่ วันนี้คงเป็นวันที่หนักหนาไม่น้อยสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในโลกฝั่งนี้แบบผม

บางที… หมอนั่นอาจจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันที่เราเสียพ่อกับแม่ไปแล้วจริงๆ หรือต่อให้ไม่ลืม เจ้าตัวก็คงอยากลืม เพราะงั้นการที่มาจออะไรแบบนี้คงไปกระตุ้นต่อมหมอนั่นเข้า แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่

“ฉันสัญญากับแม่ไว้ว่าจะดูแลนาย”

ผมมองพี่ชายฝาแฝดของผมที่ยังคงปิดตาด้วยท่อนแขนของตัวเอง น้ำเสียงของลูคัสสั่นเครือเหมือนคนกำลังจะร้องไห้

อันที่จริง เรื่องนั้นผมก็รู้… รู้ด้วยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนธรรมดาอย่างหมอนี่คิดจะดูแล… ทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาต่อหน้าคนที่เป็นลูกลูซิเฟอร์อย่างผม แต่ผมก็รู้อีกว่าลูคัสพยายามมาตลอด ตั้งแต่สมัยที่เรายังเด็กแล้ว ผมเคยคิดว่าหมอนี่มันบ้า ที่ต้องทำตามคำสั่งของแม่อย่างเคร่งครัดตลอดเวลาแบบนั้น โดยลืมไปว่าแท้จริงแล้วนั่นอาจเป็นสิ่งที่เจ้าตัวก็อยากทำเหมือนกันก็ได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม… มันคงทำให้หมอนี่เจออะไรหนักๆ มาไม่น้อย

“แต่ฉันกำลังดูนายทำผิด โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย” น้ำเสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของลูคัสอ่อนล้า ผมลอบถอนหายใจออกมานิดหนึ่งก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้าง บีบมืออีกข้างที่เจ้าตัววางลงบนโซฟาอย่างปลอบโยน ลูคัสดึงมันกลับไปอย่างรวดเร็ว “และฉันก็ยอมให้นายนอนกับฉัน!!!”

“เรานอนกันอีกก็ได้นะ ถ้านายต้องการ”

“ไม่ต้องการโว้ย!!”

“แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะถ้าฉันต้องการน่ะ”

“ก็ไป---”

“ถ้าฉันมีนายคนเดียวจะได้ไหม” ผมไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองหลุดปากพูดออกไปเช่นกัน ลูคัสหุบปากลงฉับทันที ก่อนจะมองหน้าผมราวกับว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยเจอมา

บอกตามตรง ผมเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ

“แต่… นาย…” ลูคัสอ้ำอึ้ง ผมรีบใช้จังหวะนี้สวนต่อไปทันที

“หรือนายอยากจะแต่งงานกับฉัน”

คราวนี้ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าแบบเดียวกับผมขมวดคิ้วฉับ จ้องหน้าผมเขม็งทันที ผมเลยยักไหล่ส่งกลับไปให้มัน

“เดี๋ยวนี้เขามีกฎหมายสายรุ้ง*แล้ว ไม่รู้หรือไง”

“จะกฎหมายอะไรก็ไม่ให้พี่น้องแต่งงานกันทั้งนั้นแหละ เจ้าโง่”

“อ้าว” ผมนิ่งไปนิด “ถ้าเราปลอมผลดีเอ็นเอ คิดว่าศาลจะเชื่อเราไหม”

แน่นอนว่านั่นผมพูดติดตลก แต่ลูคัสยกมือขึ้นตีหน้าผากทันที หมอนี่นี่จริงจังได้ทุกเรื่องจริงๆ

“ตราบใดที่เราคนใดคนหนึ่งไม่ไปทำศัลยกรรมเปลี่ยนหน้า ฉันว่าคงไม่ได้”

“ฉันไม่ทำนะ เพราะหน้าตาดีอยู่แล้ว” ผมรีบออกตัวไว้ก่อนทำเอาลูคัสกลอกตาขึ้นมองเพดานทันที

“เออๆ เอาไงก็เอา”

เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น จากแมคโดเวลนั่นเอง คงจะติดต่อมาเรื่องโจที่ผมเพิ่งส่งตัวให้ทางตำรวจไป ผมรีบรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปทันที

ผมตอบรับคำกับปลายสายคำสองคำ จากนั้นก็หันกลับมาหาลูคัสที่มองมาที่ผมนิ่ง

“ฉันต้องไปเคลียร์เรื่องที่ค้างๆ ไว้นิดหน่อย”

“นายแน่ใจนะว่านายจะไม่ถูกจับ” สีหน้าของลูคัสดูไม่มั่นใจเอาเสียเลย ผมเลยส่งยิ้มให้มันกลับไป

“เชื่อฉันเถอะน่า บอกว่ารับมือได้ก็คือรับมือได้สิ”

“ก็ขอให้เป็นงั้นเถอะ”

ผมช่วยพยุงตัวของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นจากโซฟา จากนั้นก็พาไปส่งด้านบน ผมเปิดประตูห้องนอนใหญ่แทนที่จะเป็นห้องเล็กที่ลูคัสเข้าไปนอนอยู่ช่วงนี้ และหมอนี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร พอเอาตัวของลูคัสวางบนเตียงเสร็จผมก็ถือโอกาสโน้มหน้าลงไปจูบหน้าผากมันเร็วๆ ทีหนึ่ง

“ฝันดี ลูคัส พักเยอะๆ นะ แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา”

“ระวังตัวด้วยล่ะ”

ผมยิ้มรับคำนั้นก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากห้อง อยากจะบอกลูคัสเหลือเกินว่าไม่จำเป็นต้องห่วงอะไรผมอยู่แล้ว

...ก็ผมมันเด็กที่ถูกนรกส่งมาเกิดนี่หว่า






------------------------------------------------

Talk: อั๊ยย่ะะะะะ อะไรกันอ้ะ สองคนนี้ ถถถถถถถถ
*กฎหมายสายรุ้ง: กฎหมาย LGBT น่ะค่ะ ที่เกี่ยวกับการสมรสเพศเดียวกันในอเมริกา =w=
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 20) P.3 [20/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-02-2017 20:48:54
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 20) P.3 [20/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-02-2017 21:45:53
ถถถถถถถถ โลแกน ทำถูกแล้ว บังอาจมาทำร้ายลูคัส ได้ยังไง
โลแกน อยากใช้ชีวิตกับลูคัส  ถึงขั้นพูดเรื่องแต่งงานกัน
“เรานอนกันอีกก็ได้นะ ถ้านายต้องการ” อะจ๊ากกกก
“แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะถ้าฉันต้องการน่ะ”  :ling1:
“ถ้าฉันมีนายคนเดียวจะได้ไหม” ฟินนนนน
“หรือนายอยากจะแต่งงานกับฉัน” :L2: :L2: :L2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 20) P.3 [20/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 22-02-2017 21:13:12

บทที่ 21

(Mode: Lucas Collins)




ผมรู้สึกเหมือนอยู่ๆ โลกที่เคยรู้จักมันพลิกกลับจากบนลงล่างไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่วันนั้น...

“เฮ้ ลูคัส ฉันซื้อเบเกอรี่จากร้านฝั่งตรงข้ามโรงเรียนมาน่ะ อยู่บนโต๊ะนะ”

“เออ วันนี้เอาเสื้อผ้าของนายไปซักแล้วก็ตากเสร็จแล้วนะ นายทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักไป”

“ลูคัส นายมาลองชิมคุกกี้นี่ไหม ฉันได้มากจากที่ทำงาน”

ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นทันทีขณะก้าวเท้าเดินไปหาเจ้าน้องชายตัวแสบที่นั่งเหยียดขาวางไว้บนโต๊ะเล็กอย่างไร้มารยาท ในมือมีโถคุกกี้ลวดลายสวยงาม บ่งบอกว่าราคาของมันคงไม่น้อย ผมเลยฉลองศรัทธามันด้วยการหยิบชิ้นหนึ่งเข้าปาก อืม… อร่อยจริงๆ สมราคาคุย

“นายทำงานที่ร้านอบคุกกี้อยู่เหรอ”

“อ้อ ใช่สิ” โลแกนพูดหน้าตาย ปากก็เคี้ยวคุกกี้ไปด้วย “ร้านอบคุกกี้เดี๋ยวนี้เขาเริ่มรับจ๊อบจัดการกับพวกนักเลงค้ายาแล้วด้วยนี่ ฉันลืมนึกไปได้ไง”

เหอะ ตลกคาเฟ่กันทั้งนั้น ถามขำๆ แค่นี้ต้องย้อนด้วยนะ

“แล้วเรื่องคดีที่ว่านั่นเป็นไง” ผมถามขณะเริ่มหยิบคุกกี้ชิ้นที่สองมากิน อร่อยเป็นบ้า นี่ถ้าได้นมอีกแก้วนี่เยี่ยมเลย “คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ยัดหมอนั่นเข้าคุกไปรึยัง”

“ยัง… มีคนประกันตัวมันออกมา ก็พวกๆ เดียวกันนั่นแหละ ต้องรอขึ้นศาลอีกรอบ”

ผมรู้สึกว่าหน้าของตัวเองซีดเผือดลง โลแกนวางโถคุกกี้ไว้บนโต๊ะแล้วลุกออกจากโซฟาไป ปล่อยให้ผมนั่งทบทวนความคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อมันกลับมาใหม่พร้อมกับนมสองแก้วในมือ ผมถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “แล้วหมอนั่นไม่แจ้งตำรวจไปแล้วเหรอเรื่องที่นาย…”

โลแกนยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปาก ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกห้ามไม่ให้ผมพูดต่อ

“มันไม่เคยเกิดขึ้น”

ผมได้แต่นิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก

“จำไว้แค่นั้นแหละ”

โลแกนส่งนมแก้วหนึ่งให้ผมจากนั้นก็ย้ายตัวกลับมานั่งที่เดิมข้างๆ ผมแล้วละเลียดคุกกี้ในโถต่อ ผมทำตามบ้าง แต่เริ่มไม่ค่อยรู้สึกว่าแป้งคุกกี้ที่กินเข้าไปอร่อยเหมือนเดิมแล้ว

ภาพที่ร่างของชายสองคนนั่นที่วิ่งไล่ผมตามท้องถนน… เหตุการณ์ที่เหมือนจะเป็นเรื่องตลกากกว่าจะเป็นเรื่องจริง ช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาวิ่งไล่ผมแบบเอาเป็นเอาตาย แต่อีกไม่ถึงชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องตายเสียแทน

จากนั้นภาพกองเลือดที่รวมตัวกันจนเป็นแอ่งได้ก็ปรากฏเข้ามาในความทรงจำของผม มันแจ่มชัดจนชวนให้ผมขนลุก เมื่อที่ถือแก้วอยู่สั่นนิดหนึ่ง

สองคนนั้นตายไปแล้ว ง่ายๆ แค่นั้นเอง

ภาพศพ กองเลือด และกลิ่นคาวเลือดชวนให้สะอิดสะเอียนนั่นตามมาหลอกหลอนผมอยู่ทุกคืน ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างการได้เห็นคนตายที่เกิดขึ้นเร็วๆ กับภาพความทรงจำที่เห็นพ่อกับแม่ของผมทะเลาะกันหนักจนถึงแก่ชีวิต… แบบไหนกำลังมีอิทธิพลกับผมมากกว่า

บางทีเหตุการณ์ทั้งสองอย่างนั่นอาจค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่ในหัวผม

ผมเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ากองเลือดที่เห็นอยู่ในความฝันแต่ละคืน มันเป็นกองเลือกของผู้ที่ให้กำเนิดผมหรือเป็นของผู้ชายสองคนนั่นที่น้องชายฝาแฝดของผมเพิ่งฆ่าไปอย่างเลือดเย็น

ใช่…  ผมยังจำแววตาของโลแกนตอนที่ลั่นไกปืนใส่คนทั้งคู่ได้ มันว่างเปล่า ไร้อารมณ์ใดๆ ไม่มีความเห็นใจ ไม่มีความสำนึกผิด ไม่มีอะไรทั้งนั้น

และเพราะคิดแบบนั้น ผมถึงหลุดปากถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“โลแกน นายเคยฆ่าคนนอกจากไอ้สองตัวที่นายเพิ่งฆ่าไปเพื่อช่วยฉันไหม” อย่างน้อยการได้เติมประโยคหลังนั่นเข้าไปก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกดีกับเรื่องที่เกิดขึ้นมานิดหนึ่ง

หากน้องชายของผมนิ่ง ไม่ตอบ ตามองตรงไปที่โทรทัศน์ ที่ไม่ได้แม้แต่จะเปิดอยู่ชัดๆ

ผมคิดว่าผมรู้ว่านั่นคือคำตอบ

“นี่ โลแกน มานี่ หันมามองหน้าฉัน” อยู่ๆ ผมสำนึกของผมก็แผดร้องลั่นราวกับมีสัญญาณเตือนไฟไหม้ดังอยู่ในอก น่าแปลกที่รอบนี้โลแกนยอมหันมาดีๆ โดยไม่พูดจากวนประสาทใส่ มันคงจับได้ว่าเสียงผมจริงจังขึ้นล่ะมั้ง “โอเค ฟังนะ จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้มันเป็นสามัญสำนึกที่ทุกคนก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วแต่ว่า--”

“จะพูดอะไรก็เข้าเรื่องมาเลย” เจ้าตัวตัดบท ยกแก้วซดรวดเดียว ผมขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะพูด

“นายฆ่าคนไม่ได้นะ”

“ทำไมล่ะ?”

“คนทุกคนเขาก็มีชีวิต... มีความรู้สึกเหมือนกับนายนะเว้ย” ให้ตายเถอะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมต้องมานั่งพูดเรื่องแบบนี้ให้เด็กม.ปลายที่กำลังจะจบการศึกษาฟัง โลแกนมองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะพูดออกมาสั้นๆ

“ไม่มันก็เรา”

ผมนิ่งไปทันที ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรตอบ

“นายอยากให้เป็นแบบไหนมากกว่าล่ะ”

นัยน์ตาสีฟ้าของโลแกนจ้องตาผมอย่างตรงไปตรงมา ผมคิดว่ามันอาจมีน้ำเสียงเยาะๆ ปนมาด้วย แต่ก็เปล่า น้องชายผมแค่พูดออกมาเรียบๆ

“ระหว่างไอ้พวกเดนมนุษย์ที่อยู่ไปก็รกโลก ที่ต่อให้มันตายก็คงไม่มีใครคิดถึง กับนายที่วาดฝันวางแผนอนาคตอันสวยหรูของตัวเองไว้แล้ว”

“พูดแบบนั้นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ”

“ไม่เอาน่า เราจะเป็นคนดีกันถึงขนาดแตะต้องข้อเท็จจริงพวกนี้เลยไม่ได้เหรอ”

ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เบือนหน้าหนีไปทางอื่น อันที่จริง… ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจนะว่าโลแกนพยายามจะพูดอะไร ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าผมไม่อยากตาย… และถ้าต้องเลือกระหว่างผม กับไอ้… สองคนนั้นที่พยายามจะฆ่าผม ผมคงไม่ใจบุญพอที่จะบอกว่าอยากให้พวกมันรอดแล้วตัวเองตายเสียเองเหมือนกัน

“ลูคัส” โลแกนเลื่อนมือมาจับคางผม ขยับให้หันไปมองหน้ามัน นั่นทำให้ผมสะดุ้งไปเล็กน้อยอย่างตกใจ ใบหน้าของอีกฝ่ายเลื่อนเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกัน

นั่นทำให้หัวใจผมเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที

“นายเกลียดที่ฉันเป็นคนแบบนี้เหรอ” เจ้าตัวดีถาม จ้องหน้าผมนิ่ง “เกลียดฉันแล้วรึเปล่า”

“ปละ… เปล่า ไม่ได้เกลียด”

โลแกนเลื่อนมือมาปิดตาผม จากนั้นก็ทาบจูบลงมาอย่างแผ่วเบา และนั่นทำให้ผมสะดุ้งเฮือกทันทีเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ว่าแต่ไอ้หมอนี่จะปิดตาผมทำ…!!?

อ้อ… ใช่ เพราะมันคิดว่าผมขยะแขยงที่จะเห็นมันนี่เอง

“งั้น…” โลแกนเลื่อนหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูผม เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้ว ผมไม่ได้คิดไปเองจริงๆ พักหลังๆ มานี่หมอนี่ทำตัวแปลกๆ ไปจริง… เหมือนมัน… หวานขึ้น? เอ่อ คือก่อนหน้านี้ถ้ามันนึกอยากจะทำมันก็เดินดุ่มๆ ถือเนคไทหรือผ้าอะไรสักอย่างมา ปิดตาผม จากนั้นก็เป็นอันรู้กันอยู่แล้ว

แต่ช่วงหลังๆ มานี่… มันเหมือน เอ่อ… ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนขึ้น? มั้ง?

เออ… แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังปิดตาผมตอนเรานอนด้วยกันอีกอยู่ดีนะ ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับมันยังไงดีเหมือนกัน

“ถ้านายไม่เกลียดฉัน ฉันก็ทำต่อได้ใช่ไหม?”

“อะไร” ผมแกล้งตีรวนบ้าง อย่าแปลกใจถ้าเห็นเราสองคนรวนใส่กันบ่อยๆ มันเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกลงมาจนจะกลายเป็นสันดานอยู่แล้ว “หมายถึงฆ่าคนน่ะเหรอ”

“ใช่”

นั่น ดูมัน รับมุกอีก

“ไม่ได้” ไอ้บ้า จะมีคนบ้าที่ไหนที่เพิ่งฆ่าคนมาแล้วทำหน้าตาเฉยได้เท่ามันอีกไหมเนี่ย

โลแกนแสร้งครางเสียงอ่อน แต่ท่าทีมันไม่ได้อ่อนลงสักนิด เจ้าตัวดีเลื่อนมือไปหยิบผ้าสีขาวผืนเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมเดาว่าตอนนี้มันคงพกผ้าผืนนี้ไว้ตลอดเวลาแล้วละ ตอนนี้ เพื่อที่ว่าตอนที่มันอยากทำจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันท่วงที

เอ่อ… หวังว่ามันคงไม่ได้เอาผ้าผืนเดียวกันนี้ไปเช็ดคราบเลอะหรือทำอะไรๆ สกปรกมาก่อนนะ…

“โลแกน” ผมเรียกอีกฝ่ายขณะที่มันค่อยๆ เอาผ้าผืนนั้นมาพาดผ่านปิดตาอย่างเบามือ ช่างแตกต่างกับตอนที่มันลั่นไกปืนอย่างเลือดเย็นในตอนนั้นเหลือเกิน

“อะไร”

“นอนกับฉัน นายสนุกเหรอ”

“สนุกสิ”

“นั่นคือเหตุผลที่นายนอนกับฉันเหรอ?” ผมเอ่ยถามต่อ ตอนนี้ทัศนียภาพทั้งหมดกลายเป็นสีดำไปแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าตัวกำลังทำสีหน้าหรือมองมาที่ผมด้วยสายตาแบบไหน

อันที่จริง… ผมก็นึกอยากเห็นสักครั้งนะ

อยากเห็นหน้ามัน… ตอนที่เรานอนด้วยกัน

“นายอยากได้ยินคำว่ารักเหรอ” เสียงทุ้มต่ำกระซิบอยู่ข้างใบหูผมทำเอาผมสะดุ้งสุดตัวเพราะไม่ทันตั้งตัว รู้สึกได้เลยว่าหน้าขอตัวเองร้อนขึ้น จากนั้นลิ้นสากของคนที่อยู่ข้างๆ ก็ไล้ลงมาบนใบหู อ๊ากกกก ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยรับมือได้เลยเวลาหมอนี่ทำแบบนี้

“ละ… โลแกน”

“ชู่”

เสียงนั้นดังขึ้นมาพร้อมกับตอนที่มือของอีกฝ่ายดันลงมาบนแผ่นอกผม ออกแรงให้ผมล้มตัวลงนอนบนโซฟา

อ่า… ที่นี่อีกแล้วเหรอ แต่ก็อย่างว่าน่ะนะ ใช่ว่าบ้านเราจะมีที่ให้ทำเยอะแยะซะเมื่อไหร่ บนเตียงในห้องนอนก็ทำจนเป็นปกติไปแล้ว อีกไม่นานบนโซฟานี่ก็คงกลายเป็นเรื่องปกติไปด้วยเหมือนกัน

เอ… ไม่สิ หรือว่าเป็นไปแล้วหว่า?

ผมรู้สึกได้ถึงร่างที่ค่อยๆ คลานขึ้นมาบนตัวผม เจ้าตัวโน้มหน้าลงมาต่ำ แต่ก็ไม่ถึงเสียที ผมเลยตัดสินใจเอื้อมมือไปโอบรอบลำคอของตัวจากนั้นก็ดึงมันลงมาให้ริมฝีปากทาบกับปากผมอย่างรวดเร็ว รู้สึกได้เลยว่าโลแกนชะงักไปนิดหนึ่งด้วยความตกใจ คาดไม่ถึง หากวินาทีต่อมาเจ้าตัวก็เริ่มจูบผมตอบ ดันลิ้นร้อนของตัวเองเข้ามาในโพรงปาก จากนั้นก็รุกเข้ามาเรื่อยๆ

อ่า… ให้ตาย… รู้สึกดีเป็นบ้า อยากจะให้เวลาทุกอย่างหยุดลงตรงนี้เลย

ไม่ต้องคิดว่าหมอนี่เป็นใคร ไม่ต้องคิดว่าตัวผมเป็นใคร ไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้นแล้วก็ปล่อยให้ทั้งโลกนี้มีแค่เราสองคน

มือหนาของคนด้านบนเริ่มเลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตผมแล้ว อ่า… ใช่ วันนี้ตอนเช้าผมมีอัดวิดีโอตอนตัวเองเล่นเปียโนเพื่อจะนำส่งไปพร้อมกับใบสมัครทุน จากนั้นถึงเลยไปทำงานพิเศษต่อแล้วค่อยกลับมาบ้าน แล้วก็มาจบอยู่ที่ตรงนี้

คนด้านบนผมผละจูบไปอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นก็เริ่มไล้สันจมูกลงบนซอกคอ บริเวณที่ถูกสัมผัสทั้งหมดร้อนวูบขึ้นมาทันที

ผมไม่คิดจะขัดขืนหมอนี่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะงั้นก็แค่ปล่อยให้มันทำอย่างนี้ต่อไปเหมือนอย่างทุกครั้งก็เท่านั้น

ผมได้ยินเสียงครวญครางของตัวเองดังออกมาจากริมฝีปาก เอาจริงๆ มันเป็นเสียงที่ค่อนข้างจะน่าอาย และถ้าเป็นได้ ผมคงอยากจะควบคุมมันให้มันเลิกดังออกมาจากริมฝีปากผมเสียที แต่ก็แน่ล่ะว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้

โลแกนเริ่มพรมจูบลงบนซอกคอผม ไล้ลงไปต่ำจนถึงบริเวณอกที่ตอนนี้กระดุมถูกปลดออกไปเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างกำลังไปได้ตมลำดับขั้นตอนของมัน และมันเริ่มทำให้ผมเริ่มเคลิ้มแล้ว

ผมหอบหายใจเบาๆ ขณะเลื่อนมือไปจับเส้นผมสีทองของคนด้านบน รู้สึกความต้องการของร่งกายที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นโลแกนก็ขยับตัวขึ้นมานิดแล้วก้มลงพูดกับผมข้างๆ หู

“ลูคัส”

“อะ… อะไร”

“ตอนที่เราทำกันอยู่แบบนี้เนี่ย” เสียงนั้นเอ่ยถาม “นายคิดถึงใครเหรอ?”

“หา???”

ถามบ้าอะไรของมันวะ…

“ก็นายบอกว่า” โลแกนพูดพร้อมกับล้วงมือไปใต้กางเกงของผม นั่นทำให้ผมสะดุ้งอีกเฮือกทันที “นายขยะแขยงที่นอนกับฉันไม่ใช่เหรอ”

“อ๊ะ…!!”

“งั้น… นายกำลังคิดถึงใครอยู่ล่ะ ลูคัส ใครกันเหรอที่ทำให้นายรู้สึกดีได้ขนาดนั้น?”

โอ๊ย… ปัดโธ่เว้ย…

แล้วผมจะไปคิดถึงใครได้นอกจากมันกันล่ะ?




..............

ลูคัสรู้สึกได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผละออกไป ชายหนุ่มปล่อยให้ตัวเองหอบหายใจเบาๆ ได้ยินเสียงคนที่อยู่ในห้องอีกคนหยิบอะไรบางอย่างออกมา เสียงฉีกดังแควกที่ดังเข้ามาในหูให้ได้ยินทำให้ลูคัสเดาได้ทันทีว่าเจ้าตัวดีคงไปหยิบถุงยางมาเตรียม… ก็สมควรจะเป็นงั้น เรื่องการป้องกันนี่เป็นสิ่งที่เขาเจ้ากี้เจ้าการบอกโลแกนมาตั้งนานแล้ว เจ้าตัวก็ทำตามบ้างไม่ทำตามบ้างแล้วแต่อารมณ์ แต่ขอทีเถอะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เสียเวลาแค่ไม่กี่นาที ทำให้มันปลอดภัยดีกว่า

แต่ก็อย่างว่าอีก… น้องชายฝาแฝดของเขาไม่ได้สนเรื่องพรรค์นั้นเท่าไรหรอก วันก่อนยังไปวิ่งสู้ฟัดกับพวกคนน่ากลัวๆ มาแล้วเลย เพราะงั้นเรื่องบนเตียง… ถ้าไม่ใช้เพราะเขาคอยบ่นปากจะฉีกถึงหู เจ้าตัวคงไม่คิดจะขวนขวสยไปหาถุงยางอนามัยมาใส่หรอก

โซฟาที่ร่างของลูคัสนอนราบไปอยู่ยวบลงไปอีกครั้งหนึ่งตามแรงของโลแกนที่ปีนขึ้นมา คนด้านล่างรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวเข้ามาใกล้ เลื่อนมือมาดึงมือเขาไปอย่างถือวิสาสะ จากนั้นก็วางมือของลูคัสลงบนส่วนกลางของร่างกายตัวเองปล่อยให้คนด้านล่างที่รู้หน้าที่ดีสร้างความบันเทิงให้มันไป

ลูคัสขยับฝ่ามือรูดขึ้นลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในตอนแรก หากเพิ่มความเร็วเข้าไปมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ได้ยินเสียงโลแกนครางออกมาเบาๆ อย่างพึงพอใจ จากนั้นเจ้าตัวดีก็ถามคำถามที่เขายังไม่ได้ตอบซ้ำอีกรอบ

“ว่าไง ลูคัส”

“อะไร” เจ้าตัวแกล้งทำเฉไฉ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นแต่ก็ยังคงพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นายยังไม่ได้บอกเลยว่านายคิดถึงใครตอนที่กำลังมีเซ็กส์กับฉัน”

“แล้วฉันจำเป็นต้องนึกถึงใครด้วยเหรอ” จากนั้นคนพูดก็ต้องครางเสียงหวานออกมาเบาๆ เมื่อโลแกนเลื่อนริมฝีปากลงมาขบลงบนยอดอกของเขา เย้าหยอกอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็เริ่มเลื่อนไปยังบริเวณรอบๆ แล้วไล้ต่ำลงไปถึงสะดือ

ลูคัสเกร็งตัวด้วยความเสียวซ่าน หลุดเสียงครางที่เหมือนเป็นคำพูดอะไรบางอย่างที่ไม่มีความหมายออกมา ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อโลแกนเลื่อนหน้าต่ำ ซุกลงบนต้นขาของเขา ขบริมฝีปากลงบนนั้นจนเหลือเป็นรอยแดงจ้ำๆ จากนั้นก็เลื่อนริมฝีปากลงไปครอบส่วนอ่อนไหวของเจ้าตัวเร็วๆ ชอบใจที่ได้เห็นคนด้านล่างดิ้นพร้อมกับครางออกมาอย่างสุขสมในอารมณ์ เขาชอบอยู่แล้วเวลาที่เหมือนได้เป็นฝ่ายได้ควบคุมหมอนี่เอาไว้ได้แบบนี้

“อ่า…. ละ… โลแกน”

“อะไร จะบอกว่ากำลังคิดถึงฉันอยู่เหรอ” เจ้าตัวว่าพร้อมกับสอดนิ้วเข้าไปที่โพรงด้านหลังสองนิ้วพร้อมกันเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายก็โชกโชนเรื่องนี้มาไม่น้อยเหมือนกัน พวกเขาสองคนลงสนามกันมานับนิ้วไม่ถ้วนแล้ว เพราะงั้นร่างกายของลูคัสก็น่าจะรับมือกับมันได้

“อะ… อ๊ะ!!! ” ชายหนุ่มเกร็งปลายเท้าที่ลอยอยู่กลางอากาศเพราะโลแกนยึดข้อพับขาทั้งสองข้างด้วยมือกำยำของตัวเองเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าคนด้านล่างไม่เจ็บปวดอะไร โลแกนก็ค่อยๆ สอดร่างกายของตัวเองเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย ไม่ได้อย่างเชื่องช้าอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้รวดเร็วรุนแรงอะไร ก็แค่จังหวะปกติของเขาเท่านั้น

“อะ!! ” ลูคัสร้องออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อร่างของอีกฝ่ายแทรกผ่านเข้ามาจนสุด

ชายหนุ่มเอื้อมมือเปะปะไปจิกลงบนโซฟาที่หนังหุ้มของมันแทบจะลอกออกเป็นแผ่นๆ อยู่แล้วเนื่องจากผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน แถมยังต้อฝมาเจอพวกเขาทำกิจกรรมบนเตียงนอกสถานที่กันแบนี้อีก บางทีอาจต้องถือเวลาซื้อโซฟาใหม่…

“นี่ ลูคัส ว่าไง” คนข้างบนถามย้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงที่เหมือนนึกสนุก กระแทกสะโพกลงไปเป็นจังหวะพร้อมๆ กัน ลูคัสชักไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตกลงหมอนั่นอยากได้คำตอบจริงๆ หรือกำลังแกล้งปั่นหัวเขาเล่น

แต่ไม่ว่าจะยังไง… เขาไม่มีทางยอมให้น้องชายของตัวเองปั่นหัวอยู่แค่ฝ่ายเดียวแน่

“มะ… ไม่เกี่ยวกับนาย” พูดไปแล้วลูคัสก็ต้องสะดุ้งอีกเฮือกเพราะโลแกนดันตัวเข้ามารุนแรงมากขึ้น จากนั้นก็เพิ่มความเร็วร่างที่สอดแทรกเข้ามาในตัวเขา ทำเอาคนที่ถูกปิดตาอยู่แทบคลั่งกับสัมผัสรุนแรงที่เหมือนจะแผดเผาร่างกายของเขานั่น “อะ… อ๊ะ!! โลแกน”

“นั่นไง นายเรียกชื่อฉัน” แฝดคนน้องพูดด้วยน้ำเสียงมีชัย เหงื่อเม็ดหนึ่งไหลลงมาจนถึงแก้มเพราะอุณภูมิของร่างกายพวกเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงอารมณ์ทางกายที่ไม่ว่าจะเติมเต็มเท่าไรก็เหมือนยังไม่สุขสมสักที “เรียกชื่อกันขนาดนี้ แล้วยังจะมาทำเป็นปากแข็งอีก”

“แฮ่ก… ละ… แล้วถ้าฉันไม่เรียกชื่อนาย จะไป… อ๊ะ! เรียกชื่อ… หมาที่ไหนวะ!? ”

“นี่ ลูคัส” โลแกนขยับตัวเข้ามา เลื่อนมือไปกุมส่วนแกนกลางของร่างอีกฝ่าย จากนั้นก็ออกแรงกดหัวแม่โป้งลงบนส่วนปลายอย่างรู้งาน ลูคัสร้องออกมาอย่างตกใจ จากนั้นก็เริ่มดิ้นเร่าๆ เมื่อมือแกร่งข้างนั้นรูดขึ้นลงกับส่วนอ่อนไหวของเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่โลแกนกระแทกร่างเข้าออกด้วยความแรงที่เพิ่มมากขึ้น เขารู้สึกเหมือนคิดอะไรไม่ออกแล้ว

“อะ… อะ…..”

“นายเคยบอกว่าชอบฉันไม่ใช่เหรอ” โลแกนพูดพร้อมกับยกยิ้มน้อยๆ อย่างพอใจ เหมือนได้พี่ชายของเขามาอยู่ในกำมืออย่างไรอย่างนั้น อยากแกล้ง… อยากให้เจ้าตัวร่ำร้องหาเขามากกว่านี้

“ฉะ… ฉันไม่เคยพูด” แต่อีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆ แม้ว่าร่างกายทุกส่วนจะอ่อนระทวยไปกับทุกสัมผัสของคนด้านบนก็ตาม “ไม่เคยพูดว่าชอบนายสักครั้ง… อ๊ะ!! อ๊า… โลแกน! ”

“โกหก” โลแกนกระแทกสะโพกเข้าไปอีกรอบ ลูคัสกัดฟันแน่นเพราะความรู้สึกเสียวซ่านที่พวยพุ่งอยู่ อยากจะระบายมันออก แต่เจ้าตัวดีก็กดนิ้วโป้งลงบนยอดปลายตรงส่วนนั้นของเขาแน่น

“ละ… โลแกน” เสียงนั้นอ้อนวอน หากชายหนุ่มด้านบนไม่สน

“นายไม่เคยพูดว่าชอบ แต่เคยพูดอะไรทำนองนั้น เพราะงั้นมันก็ยังเป็นความหมายนั้นอยู่ดี แล้วอย่าว่างั้นว่างี้เลย ต่อให้นายจะบอกว่าไม่ชอบฉันตอนนี้ แต่ร่างกายนายน่ะ ชอบฉันสุดๆ ไปเลย ไม่คิดงั้นเหรอ? ”

“หนะ… หนวกหู!! ไอ้คนหลงตัวเอง! ”

โลแกนยกยิ้มกับข้อกล่าวหานั้น ก่อนเขาจะทำให้พี่ชายฝาแฝดของตัวเองสะดุ้งอีกเฮือกโดยการถอนร่างของตัวเองออกจากอีกฝ่าย จากนั้นก็ผละมือที่กุมส่วนนั้นเอาไว้อยู่ออกเสียดื้อๆ

ลูคัสหอบหายใจถี่ ราวกับความสุขสมทางอารมณ์ที่ได้มาถูกกระชากออกไปอย่างไร้ความปราณี

เขาต้องการ… เขาอยากเติมเต็มความปรารถนาที่ล้นปรี่แต่ไม่สามารถหาทางออกได้ของร่างกาย ดังนั้นเจ้าตัวจึงเริ่มครางเสียงแผ่วอย่างอ้อนวอน แต่ยังใจแข็งพอที่จะไม่พูดขอร้องออกมาตรงๆ

โลแกนเลื่อนมือ ขยับร่างของแฝดผู้พี่ให้พลิกตัวคว่ำลงแล้วเอาเข่ายันกับโซฟาไว้ จากนั้นก็เลื่อนแกนกลางบนร่างของตัวเองลงถูกับต้นขาที่สั่นระริกของลูคัสให้อีกฝ่ายได้สะดุ้งเล่นอีกรอบ

“นายบอกว่านายชอบฉัน”

“มะ… ไม่…เคย”

“เคย”

“!!!!! ” ลูคัสร้องออกมาไม่เป็นภาษาอย่างอัดอั้น เขาอยากจะได้ส่วนนั้นของโลแกนจะแย่อยู่แล้ว แต่กลับต้องมานั่งเถียงกับมันเรื่องนี้งั้นเหรอ!?

“ก็… ได้…” ลูคัสกัดฟันกรอด พูดออกมาอย่างจำยอม แต่ถึงทีที่โลแกนจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ บ้าง

“แล้วตกลงนายคิดถึงใครตอนที่มีเซ็กส์กับฉัน”

“ฉันคิดถึงตัวเอง! ” แม่ง… เมื่อไหร่จะเลิกถามอะไรไร้สาระแล้วจัดการให้มันเสร็จๆ ไปสักที…

“อืม… ก็ฟังดูสมเหตุสมผลนะ เพราะว่าฉันหน้าเหมือนนาย นายคิดถึงฉัน… มันก็คงเหมือนคิดถึงตัวเองไปด้วยในตัวมั้ง” เจ้าตัวแสบยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด ลูคัสเริ่มทุบกำปั้นลงบนโซฟารัวๆ อย่างขัดใจ

“โลแกน!!! ”

“แต่นายไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ? ” โลแกนเลิกแกล้งคนตรงหน้า สอดร่างของตัวเองเข้าไปร่างของอีกฝ่ายอีกครั้ง หากมือเลื่อนไปปิดไม่ให้คนในอ้อมแขนถึงจุดสุดยอดก่อนเขา นั่นทำเอาลูคัสแทบคลั่งกับอารมณ์ในกามที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยนี่เสียที

“อา…. อา…. โลแกน ได้โปรด” เขาหลุดคำพูดนั้นออกมาจนได้ แถมยังด้วยน้ำเสียงที่อ่อนระทวยสุดๆ และไม่ต้องแปลกใจเลย นั่นทำให้โลแกนได้ใจเข้าไปอีก

“นายชอบฉัน แต่ในขณะเดียวกันนายก็ขยะแขยงฉันด้วย? ” ชายหนุ่มแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนประหลาดใจจริงๆ หากไอ้อาการเหมือนไม่รู้ไม่ชี้นั่นยิ่งทำเอาลูคัสอยากจะเอาหัวมันโขกกับพนังบ้านแรงๆ สักร้อยที “นี่ ลูคัส อธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิ นะ… ที่รัก”

คำที่อีกฝ่ายเรียกเขาทำเอาขนลุกซู่เลยทีเดียว

“แฮ่ก… ฉะ… ฉัน… ไม่ได้รังเกียจนาย” เขาเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ในที่สุด ศอกทั้งสองข้างสั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อยเพราะต้องรับน้ำหนักตัวไม่ให้เขาฟุบหน้าลงไปบนโซฟาตอนนี้

“หืม? ” โลแกนก็รู้ตัวว่าแกล้งพี่ชายเท่านี้น่าจะเพียงพอแล้ว แต่นิสัยเขา… เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า พอได้แกล้งหมอนี่ทีไรแล้วก็นึกอยากแกล้งต่อไปเรื่อยๆ “แต่ตอนนั้นนายพูดว่าขยะแขยงนี่ ตอนช่วงแรกๆ ที่เรามีเซ็กส์กัน นายจำได้ไหม”

“นั่นมัน…” ลูคัสครางเสียงอ่อย เหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ น้ำเสียงตัดพ้อเหมือนจะร้องขอว่า… ไว้เราค่อยพูดเรื่องนั้นกันทีหลังไม่ได้เหรอ?

“ว่าไง” โลแกนยกยิ้ม สังเกตเห็นเหมือนกันว่าผ้าที่ปิดตาของลูคัสเริ่มคลายลงมาเล็กน้อย เห็นสภาพครึ่งๆ กลางๆ แบบนั้นแล้วเขาอยากจะกระชากมันออก… หากเสียงหวานที่ติดจะสั่นเล็กน้อยพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ฉัน… ไม่ได้… รังเกียจ หรือว่าขยะแขยงนายสักหน่อย” ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมนอนด้วยหรอก…

“อ้าว”

“ฉัน… ขยะแขยงตัวเองต่างหาก”

คำตอบนั้นทำให้โลแกนชะงักไปจริงๆ ผ้าสีขาวผืนนั้นค่อยๆ เลื่อนหล่นลงมา และมันทำให้เขาสามารถมองเห็นนัยน์ตาสีฟ้าของอีกฝ่ายที่หลุบต่ำลงอย่างอายๆ นั่นได้ชัดเจน

โลแกนรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้น ใบหน้าก็แดงขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ บางทีพวกเขาสองคนอาจจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ อย่างที่ลูคัสเคยค่อนก็ได้

“นาย… จะขยะแขยงตัวเองด้วยเรื่องอะไร” โลแกนถามอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นเขาก็เลื่อนมือมายึดที่เอวของพี่ชายที่บางกว่าของเขา กระแทกตัวลงไปเรียกเสียงหวานๆ ให้หลุดออกมาอีกระลอก

“ก็… ฉันเป็นพี่ชายนาย… อ๊ะ... นี่”

“แล้วไง”

โลแกนเม้มปากแน่นขึ้น ก้มหน้าลงต่ำก่อนจะพูดตอบเสียงเบาเหมือนกำลังกระซิบ

“ก็การที่ฉันปล่อยให้น้องชายตัวเองทำเรื่องแบบนี้… โดยไม่ห้าม แถม… ส่วนหนึ่งยังเป็นความต้องการของตัวเอง… อีก… มันก็… ต้องน่าขยะแขยงอยู่แล้ว”

โลแกนนิ่งอึ้งไป อันที่จริง เจ้าตัวอ้าปากค้างออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อแล้วด้วยซ้ำ

“เพราะงั้น… อย่างน้อย ถ้าฉันไม่ต้องเห็นหน้านาย…” ลูคัสพยายามเรียบเรียงคำพูดต่อ “มันคงช่วยให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเอง… น้อย… ลง… ดะ… เดี๋ยวก่อน โลแกน ทำอะไรน่ะ!!? ”

แฝดคนพี่ร้องเสียงหลงเมื่อเจ้าตัวแสบเลื่อนมือมาแล้วกระชากผ้าที่ปิดตาของเขาออก ลูคัสหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแดงเถือกไปทั้งแถบ นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในจนหมดเปลือก และนั่นกระแทกใจของคนมองอย่างแรง อย่างที่โลแกนไม่คิดว่าเขาเคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน

บางที… บางทีเมแกน พี่สาวของเขาอาจจะพูดถูกเรื่องความรัก บางที… มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจอย่างที่ตัวเองคิดก็ได้

โลแกนเลื่อนมือไปยึดเอวของลูคัสให้มั่นขึ้น จากนั้นก็กระแทกตัวลงไปอีกรอบเป็นจังหวะที่เร็วและแรงมากขึ้น ทำเอาลูคัสสะดุ้งเฮือกแรงๆ เพราะตั้งตัวไม่ทัน

“อะ...อา…” ลูคัสครางออกมาเบาๆ หลังจากที่ปลดปล่อยอารมณ์ที่คั่งค้างเอาไว้อยู่นานออกมาในที่สุด ก่อนเจ้าตัวจะต้องสะดุ้งอีกรอบเมื่อโลแกนพลิกตัวเขาให้หันกลับมานอนหงายแล้วดึงข้อเท้าเขา ลากเข้าไปแนบชิดกับเจ้าตัวอีกรอบ

“ขออีกรอบนะ” โลแกนโกหก เพราะอีกรอบน่ะ มันไม่มีทางพออยู่แล้ว “รอบนี้ขอให้ฉันมองหน้านายแบบนี้ อ๊ะ… ห้ามยกแขนปิดตานะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน นี่ฉันพูดจริงๆ นะ ลูคัส”

“เออ” ลูคัสแทบจะคำรามออกมาทั้งๆ ที่ใบหน้ายังแดงระเรื่อ “อย่างนายน่ะ… มีพูดไม่จริงสักครั้งด้วยเหรอ”

“ไม่มี” โลแกนยกยิ้มหวานทันที จากนั้นก็ขยับให้ร่านั้นเข้ามาสอดประสานกับตนอีกครั้ง

บางที… เขาอาจเจออะไรที่ชวนให้เสพติดมากกว่ายาพวกนั้นแล้วก็ได้

หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 21) P.3 [22/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 23-02-2017 21:41:59
จะมาทิ้งกันไปดื้อๆแบบนี้ไม่ด้ายยยยย
กลับมาก่อนค่ะกลับมา  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 21) P.3 [22/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 24-02-2017 17:57:28

บทที่ 22

(Mode: Logan Collins)





ให้ตาย… นอนกับหมอนี่แม่งเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมสุดๆ เลย

ผมลอบคิดพร้อมกับยกยิ้มบนมุมปากขณะที่มองแฝดคนพี่ลงมือทำอาหารเช้าในส่วนของพวกเราสองคนด้วยสภาพเส้นผมชี้ไปมาไม่เป็นทรง ขอบตาล่างคล้ำบ่งบอกว่านอนไม่พอ หากมือยังสาละวนพลิกไข่ที่ทอดอยู่ในกระทะกลับขึ้นมาได้อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นลูคัสก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วหาวออกมาทีหนึ่งหวอดใหญ่จนน้ำตาเล็ดออกมา

โอย… เห็นแบบนั้นแล้วอยากแกล้ง หมอนี่นี่มันเป็นคนที่น่าแกล้งตลอดเวลาจริงๆ นะ

“นี่ ลูคัส”

“อะไร” เสียงนั้นขานตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เจือความไม่พอใจมาด้วยนิดหนึ่ง สงสัยเมื่อคืนจะแกล้งหมอนี่หนักไปหน่อย… ก็เสร็จจากบนโซฟาแล้วผมยังลากหมอนี่ขึ้นไปทำบนเตียงที่อยู่บนชั้นสองที่ห้องนอนของพวกเราต่อ… จะโดนโกรธก็ไม่แปลกหรอก

แต่ก็นะ… ต่อให้ผมรู้ว่าหมอนี่จะไม่ค่อยพอใจ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนอยู่ดี

“นายจะรู้ผลเรื่องทุนที่ยื่นไปเมื่อไหร่”

“อืม” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนกับผมทุกประการขมวดคิ้วขึ้นอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพูดตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “อันหนึ่งรู้ผลอาทิตย์หน้า อีกสองอันรู้เดือนหน้ามั้ง”

“คิดว่าจะได้อันไหน”

“ก็อยากได้อันอาทิตย์หน้าสุด แต่ดูแล้วคงยาก อาจจะมีลุ้นสักอันที่จะรู้ผลเดือนหน้า แต่ก็ไม่ค่อยอยากหวังมากนักหรอก”

“อ่าฮะ”

“ถามทำไม”

“ก็แค่อยากรู้”

ลูคัสพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ จากนั้นก็เริ่มเอาข้าวเช้าส่วนที่ทำเสร็จแล้วใส่ลงจาน ผมลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำผลไม้ใส่แก้วเปล่าสองใบ ตอนนี้พวกเราทั้งคู่อยู่ในช่วงปิดภาคเรียนกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือถ้าให้พูดอีกแง่หนึ่งก็คือตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องเตรียมตัวและตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ต้องเดินต่อไปในอนาคตแล้ว ผมไม่ค่อยห่วงของตัวเองนักหรอกเพราะมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน ส่วนไอ้หมอนี่… ผมก็รู้นะว่ามันอยากทำอะไรในชีวิต และมันเองก็คงรู้ แต่มันจะไขว่คว้าไว้รึเปล่าก็เท่านั้น

“แต่… ไม่รู้ดิ โลแกน” นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำ “ต่อให้ได้ทุนเรียนมา แต่ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมันก็สูง พวกค่าหนังสือเรียน อุปกรณ์ แถมบางทุนก็ได้แค่ส่วนเดียว ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด ถ้าได้ไอ้พวกนั้นมายังไงก็คงจ่ายส่วนที่เหลือไม่ไหว”

“ฉันออกให้เอง”

ลูคัสเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าปั้นยากทันที

“ไม่เอาล่ะ”

“ทำไม”

“นั่นเงินนาย”

“เดี๋ยวนี้เราแยกเงินกันใช้แล้วเหรอ” ผมแบมือสองข้างออก “เมื่อก่อนเรายังเอามารวมกันเป็นเงินกองกลางอยู่เลย”

“เรียนจบม. ปลายแล้ว มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้วสักหน่อย”

“อย่าติงต๊องไปหน่อยเลยน่า ลูคัส นายก็รู้ว่าฉันหาเงินได้ แล้วมันก็มากพอที่จะจ่ายในส่วนของนายด้วย”

“ให้ฉันพูดตรงๆ ไหม” พี่ชายฝาแฝดผมว่าขณะที่ยกจานที่ใส่อาหารเช้าซึ่งมีไข่ ไส้กรอก เบคอน สลัดผักง่ายๆ ถูกจัดวางอย่างดีอยู่ในนั้นลงบนโต๊ะอย่างประณีต “ฉันไม่สบายใจเลยที่จะเอาเงินที่นายหามาได้ไปใช้”

“ทำไม”

“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายทำยังไงถึงได้เงินพวกนั้นมา”

“อ้อ” ผมพยักหน้ารับเนิบๆ อารมณ์ที่ดีมาจนถึงเมื่อครู่เริ่มคุกรุ่นขึ้นมาทันที “นายคิดว่าเงินฉันมันสกปรกเกินไป เกินกว่าที่คนแสนดีอย่างนายจะเอาไปใช้ได้ล่ะสิ”

“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น…” ลูคัสว่าน้ำเสียงอ่อนใจ แต่ผมไม่ใจอ่อนง่ายๆ หรอก

“อ้อ เหรอ แล้วนายจะพูดว่าอะไร”

“ก็แค่เกรงใจนาย ไม่อยากเอาเงินของนายมาใช้ง่ายๆ เหมือนชุบมือเปิบชัดๆ นายทำงานเสี่ยงตาย ทำงานอันตรายมา แต่ต้องเอาเงินที่ได้มาให้ฉันใช้เนี่ยนะ มันรู้สึกไม่ค่อยดียังไงไม่รู้”

พอได้ฟังคำอธิบายแล้วผมก็ใจอ่อนยวบลงมาจนได้ เฮ้อ หมอนี่เนี่ยนะ… เป็นแบบนี้ทุกทีเลย

“ก็บอกว่าอย่าคิดมากเรื่องพวกนั้นไงล่ะ อีกอย่างเงินที่ฉันหามาได้ก็เยอะพอสมควร ฉันใช้เองคนเดียวยังไงก็ไม่หมดอยู่แล้ว”

“ถึงงั้นก็เถอะ…”

“ลูคัส” ผมพูดขัด จากนั้นก็เดินอ้อมไปด้านหลังเจ้าตัวที่กำลังจัดแจงวางจานลงบนโต๊ะกินข้าวจากนั้นก็กอดเอวเจ้าตัวไว้หลวมๆ ลูคัสหน้าแดงขึ้นมาแทบจะในทันทีที่ผมทำแบบนั้น ที่ผมรู้เพราะมันลามมาจนถึงใบหูของหมอนี่น่ะสิ

เฮ้อ ช่างเป็นคนที่น่ารักอะไรได้ขนาดนี้นะ

“ฉันอยากให้นายใช้เงินของฉันจริงๆ” ผมว่าพร้อมกับเลื่อนริมฝีปากลงไปงับใบหูเจ้าตัวเบาๆ สังเกตเห็นว่าพี่ชายฝาแฝดในวงแขนผมสะดุ้งตัวเฮือก “จริงๆ ยกให้ทั้งหมดเลยก็ได้ถ้านายต้องใช้มัน นายไม่จำเป็นต้องกลัวเรื่องไม่ได้ทุนด้วยซ้ำ เอาเงินฉันไปเข้ามหาลัยทางดนตรีดังๆ ดีๆ ได้เลย แค่ขอให้นั่นเป็นสิ่งที่นายอยากทำจริงๆ ก็พอ”

“นาย…” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงอึ้งๆ ใบหน้ายังคงแดงก่ำ จากนั้นเจ้าตัวก็ลอบถอนหายใจออกมา เนื้อตัวที่เกร็งตอนโดนผมกอดค่อยๆ คลายลงราวกับเริ่มยอมรับมันได้ จากนั้นชายหนุ่มก็เลื่อนมือลงมา ไล้ลงบนข้อมือข้างซ้ายที่ว่างเปล่าของผมแล้วเลื่อนขึ้นไปมอง พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะว่า “หมูนี้ไม่ใส่นาฬิกาหรูหราเรือนนั้นแล้วนะ”

“อ้อ นั่นน่ะเหรอ” ผมลากเสียงนิดหนึ่ง ซุกหน้าลงบนลำคอของลูคัสนิดหนึ่ง เห็นเลยว่าหมอนั่นเกร็งตัวขึ้นมานิดด้วยความตกใจเล็กน้อย จริงๆ แล้วถึงจะมองเผินๆ พวกเราสองคนอาจจะดูตัวเท่าๆ กัน แต่ลูคัสน่ะตัวผอมกว่าผมเล็กน้อย กล้ามเนื้อก็มีไม่มากเท่า ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะมันไม่ได้มีความจำเป็นอะไรในส่วนนั้นเท่ากับผม “ก็ถ้าฉันใส่ นายก็จะไม่ชอบใจใช่ไหมล่ะ”

แฝดคนพี่ของผมไม่พูดอะไรตอบ หากหน้าร้อนวูบขึ้นมาจากเดิมที่มันแดงอยู่แล้ว อ่า… น่าฟัดเป็นบ้า อยากจับลากขึ้นเตียง…

“ก็เปล่าสักหน่อยนี่” เจ้าตัวเฉไฉ และนั่นทำให้ผมยกยิ้มขึ้นมานิดหนึ่ง

“ไม่หรอก ลูคัส นายไม่ชอบหรอก นายไม่ชอบถ้าฉันใส่นาฬิกาที่ได้มาจากผู้หญิง ไม่ชอบที่ฉันจะนอนกับผู้หญิง ไม่ชอบที่ฉันทำตัวเจ้าชู้กับผู้หญิง”

“นายเข้าใจผิดแล้ว” รอบนี้ลูคัสหันกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันไม่ได้หมายถึงว่า กับผู้หญิง นะ ฉันไม่ชอบทั้งหมดที่นายพูดมาถ้านายทำกับคนอื่นต่างหากล่ะ”

คำพูดนั้นทำให้ผมกระพริบตาปริบๆ อย่างงงวยนิดหนึ่ง

“นายกำลังหมายถึง… กับคนอื่นที่นอกจากนายใช่ไหม”

ลูคัสหันหน้าหนีกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม จากนั้นก็เริ่มแกะมือผมออก

“พอได้แล้ว กินข้าวได้แล้วโว้ย เดี๋ยวก็เย็นหมดก่อนพอดี”

“เฮ้ นี่ ฉันไม่ได้ทำกับคนอื่นแล้วจริงๆ นะ”

“เออๆ รู้แล้ว กินข้าวได้แล้วน่า”

นี่มันเข้าใจจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?





...
ผมเดินทางไปยังสถานีตำรวจตามคำเรียกตัวที่แมคโดเวลส่งมาเมื่อวันก่อน ตอนนี้คดียาเสพติดที่มีโจเป็นเหมือนแหล่งที่ไว้กระจายยาในพื้นที่แถวนี้เริ่มจะเข้ารูปเข้ารอยแล้ว แต่เหมือนการที่จะสาวไปยังตัวการใหญ่ที่เป็นเหมือนมาเฟียที่มีอิทธิพลที่สุดในนิวยอร์กน่าจะเป็นอะไรที่ยุ่งยากกว่าที่คิด

ผมยังถือว่าใหม่ในแวดวงนี้อยู่พอสมควร แต่ก็รู้ว่าใครคือมาเฟียที่มีอิทธิพลในแถบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน และมาเฟียที่ว่านี้ก็คงหนีไม่พ้นสองพี่น้องรอยล์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการพนัน เป็นนายหน้าขายผู้หญิง ยาเสพติด หรืออะไรก็ตามแต่ที่ผิดกฎหมายทั้งหมด เรียกได้ว่าทำอะไรเลวๆ และได้เงินเยอะๆ ไว้ก่อน อะไรทำนองนั้น

จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งกับไอ้พวกนี้เท่าไร เพราะมันยุ่งยาก วุ่นวาย แถมไม่ใช่ภารกิจหลักของผมอีกด้วย และต่อให้ใครต่อใครต่างก็รู้ดีว่าเจ้าสองพี่น้องนั้นทำตัวชั่วช้ายังไง แต่เมื่อไม่มีหลักฐานรัดกุมที่แน่นหนาพอจะจับตัวพวกมันได้ ทางตำรวจก็ต้องปล่อยคนชั่วช้าแบบนั้นให้ลอยนวลต่อไป นับเป็นอะไรน่าเศร้าแต่ก็อยู่บนพื้นฐานของโลกแห่งความเป็นจริงดี

จะว่ายังไงดีล่ะ แค่คุณมีเงินเสียอย่าง คุณก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ยังไม่นับรวมถึงอิทธิพลมากมายมหาศาลที่ทำให้ผู้คนกลัวหัวหดนั่นอีก เหมือนกับว่า… ถ้ามีคนดีสักคนคิดจะพยายามเปิดโปงหรือเอาข้อมูลไปให้ตำรวจ พวกนั้นก็แค่ส่งมือปืนมา กริ๊ก แล้วทุกอย่างก็หายไป มันก็ง่ายๆ แค่นั้นแหละ

แต่ตอนนี้เรื่องที่ผมกังวลขึ้นมาก็คือ… พวกมันรู้แล้วว่าผมเป็นคนเอาข้อมูลไปให้ตำรวจ ผมพอจะมีความคุ้มครองอยู่บ้างเพราะอยู่ในการดูแลหน่วยคุ้มครองพยาน แต่ลูคัสนี่สิ… บางทีผมน่าจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับแมคโดเวลดู เผื่อว่าเขาจะช่วยหาทางทำอะไรได้บ้าง

อีกอย่างคือ… เรื่องที่เราสองคนโดนเข้าใจผิดว่าต่างฝ่ายต่างเป็นอีกคนหนึ่ง ถ้าผมโดนเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นลูคัส… ผมน่ะ ไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าลูคัสโดนเข้าใจผิดว่าเป็นผม… อันนั้นก็เริ่มจะมีปัญหาล่ะ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยเท่าไรที่อยากจะกำจัดผมออกไปให้พ้นๆ ทาง

...สงสัยคงต้องทำอะไรที่มันมากกว่านี้ อะไรที่ทำให้คนพวกนั้นแขยงจนไม่อยากเข้ามายุ่มย่ามกับผม ไม่ใช่แค่ในระดับเด็กมัธยมปลายอีกต่อไปแล้ว แต่ต้องเป็นอะไรที่ใหญ่กว่านั้น
เรื่องนี้อาจเป็นดาบสองคม อาจเป็นได้ทั้งเกราะคุ้มครองทั้งตัวผมและลูคัส แล้วก็สามารถเป็นหอกที่หันกลับมาทิ่มแทงพวกเราแรงขึ้น

แต่ผมจะทำจนมั่นใจว่ามันจะเป็นเกราะรักษาพวกเราทั้งคู่

เจ้าหน้าที่แกรนท์เดินเข้ามาทักทายผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยและหมางเมินเล็กน้อย ก็เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงที่ถูกปฏิเสธน่ะนะ ผมไม่คาดหวังอะไรน้อยกว่านี้หรอก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เจ้าหล่อนก็ยังเป็นผู้ใหญ่ที่น่าชื่นชมตรงที่ไม่ทำให้พวกเราเสียงาน ถึงบางครั้งเจ้าหล่อนจะส่งสายตาทิ่มแทงแบบที่แทบจะทำให้ผมตัวพรุนได้ถ้าสายตานั่นยิงเลเซอร์ออกมาได้น่ะนะ

ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำงานของแมคโดเวลอย่างที่ทำทุกครั้งเวลามาเยือนที่นี่ เจ้าหน้าที่พิเศษคนสวยเดินออกนอกห้องไปแล้ว เดาว่าคงไม่อยากหายใจเอาอากาศที่ผมหายใจเข้าออกเข้าปอดตัวเองเท่าไหร่ แต่ผมไม่เดือดร้อนหรอก ก็ผมบอกแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราก็แค่เพื่อนนอนกัน และตอนนี้ผมแค่ไม่อยากนอนเล่นๆ แล้ว มันก็เท่านั้นเอง

“สวัสดี โลแกน” ชายชราที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะผายมือให้ผม “นั่งก่อนสิ”

ผมนั่งลง จากนั้นก็เริ่มพูดคุยเรื่องความคืบหน้าคดี เรื่องที่โจได้ขึ้นศาลและคำตัดสินในเรื่องนั้น ปรากฏว่าหมอนั่นถูกตัดสินจำคุกและได้รับบทลงโทษไปน้อยกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้นิดหนึ่ง แต่ส่วนอื่นๆ ที่เราอยากได้จากการสืบสวนครั้งนี้… ส่วนที่อาจสาวไปถึงตัวการใหญ่อย่างสองพี่น้องรอยล์ยังคงอยู่กับเรา

“แต่น่าเสียดายนะครับ” ผมหรี่ตานิดหนึ่ง ยังนึกแค้นใจหมอนั่นที่เป็นคนสั่งลูกน้องให้ทำกับลูคัสแบบนั้นไม่หาย “ผมนึกว่าหมอนั่นจะได้รับโทษหนักกว่านี้เสียอีก”

“ฝั่งนั้นได้ทนายดี”

“อ้อ” ผมพยักหน้ารับเนิบๆ พวกทนายก็ชอบทำแบบนี้แหละ เปลี่ยนให้ดำกลายเป็นเทา ถึงจริงๆ แล้วผมจะนึกแค้นใจไอ้หมอนั่นจนอยากให้มันได้โทษที่หนักกว่าตามที่แมคโดเวลเล่ามาให้ฟังก็เถอะ แต่ในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้

ไว้ค่อยคิดบัญชีทีหลังตอนที่มีโอกาสแล้วกัน…

“ส่วนเรื่องพี่ชายฝาแฝดของเธอ” แมคโดเวลพูดขึ้น ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาห้วงความคิดของตัวเอง “เธออยากจะให้เขาเข้ามาอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของหน่วยพิทักษ์พยานเหมือนอย่างเธอไหมล่ะ? ถึงจริงๆ แล้วผลสุดท้ายทางเราจะไม่ได้ช่วยอะไรเธอมากก็เถอะ”

ผมนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง นึกถึงความยุ่งยากที่อาจจะตามมาต่อจากนั้น นึกถึงข้อเท็จจริงที่ว่าการที่เราทั้งคู่ถูกคุ้มครองโดยคนพวกนี้เท่ากับการมีหูตาคอยจับจ้องการกระทำของพวกเรามากขึ้น… หรือถ้าพูดให้ถูก… การกระทำของผม

มันจะทำให้ผมทำอะไรได้คล่องตัวน้อยลง และความคุ้มครองที่ว่านั่นก็มีขอบเขตที่ค่อนข้างจะจำกัด ให้พูดกันตามตรง ผมคิดว่าผมสามารถคุ้มครองลูคัสได้ดีกว่าคนพวกนี้อีก ถ้าสามารถทำอะไรได้ตามใจชอบโดยไม่ต้องมีสายตาใครๆ มาสอดส่องน่ะนะ

คิดแบบนั้นแล้วผมจึงยกยิ้ม จากนั้นก็บอกชายหนุ่มตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจังผสมไปกับหยอกเย้าไปว่า

“ผมว่า… ไม่ต้องดีกว่าครับ พี่ชายผม ผมดูแลเขาเองได้”

อันที่จริง… ตอนนี้ลูคัสมันเป็นมากกว่าพี่ชายของผมไปแล้วด้วยซ้ำนี่หว่า? แต่เอาเถอะ ผมไม่ต้องบอกเขาเรื่องนั้นก็ได้มั้ง





------------------------------
Talk: ฮั่นแน่ โลแกน นายนี่ รักพี่ขึ้นทุกวันๆ สินะ ถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 22) P.3 [24/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-02-2017 20:19:36
ตอนนี้ลูคัส เป็นมากกว่าพี่ชายของผมไปแล้ว
งั้น....โลแกน บอกลูคัส สิ เป็นมากกว่าพี่ชาย น่ะ
มันเป็นอะไร  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 22) P.3 [24/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 24-02-2017 20:47:08
มากกว่าพี่ชาย...แล้วคืออะไรคะ อธิบายด้วย ฮ่าๆๆ :katai3:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 22) P.3 [24/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-02-2017 21:47:22
รู้สึกแล้วละซิ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 22) P.3 [24/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 25-02-2017 12:02:33


บทที่ 23

(Mode: Lucas Collins)




ตั้งแต่วันที่โลแกนมาช่วยผมจากเดินมนุษย์สองคนนั่น ผมรู้สึกว่าผมฝันเห็นวันที่พ่อกับแม่ของเราตายบ่อยมากขึ้น…

‘คุณมันก็แค่ไอ้ทุเรศ ที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกินเหล้า!’

‘แล้วไงวะ!! เงินฉัน ฉันหามา ฉันจะใช้อะไรก็ได้!’

‘อย่าทำอะไรลูกนะ!!’

จากนั้นมันก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง เสียงข้าวของที่หล่นแตกกระจายลงบนพื้น ภาพทุกอย่างที่ถูกตัดสลับกันไปมาชวนให้สับสน แล้วมันก็จะมาจบอยู่ที่กองเลือดของชายหนุ่มผู้ที่ให้กำเนิดผมและโลแกนขึ้นมา

มีดเล่มนั้นไม่ได้อยู่ไกลไปจากระยะสายตาผมเลย คราบเลือดที่ติดอยู่ตรงนั้นมันทำให้ผมกลัว เสียงที่ปลายคมของมีดเฉือนเข้าไปในผิวเนื้อยังดังอยู่ในหัวราวกับภาพวิดีโอที่ถูกเอามาฉายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมมองอะไรไม่เห็นนอกจากเลือด จากนั้นผมก็ค้นพบว่านั่นเป็นเลือดของชายอีกสองคนที่พยายามจะฆ่าผมกับโลแกนก่อนหน้านี้ บางทีพวกนั้นอาจทำได้สำเร็จไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะโลแกนชิงฆ่าพวกมันไปก่อน

ไม่รู้ว่าความคิดไหนทำให้ผมรู้สึกอยากจะอาเจียนได้มากกว่ากัน ระหว่างความคิดที่ว่าอาจจะโดนคนพวกนั้นฆ่า หรือข้อเท็จจริงที่ว่าน้องชายฝาแฝดของผมได้ฆ่าคนพวกนั้นไปแล้วอย่างไร้ความปราณี

ผมผุดลุกพรวดขึ้นมากจากเตียง หอบหายใจถี่ๆ เข้าปอดอย่างทรมาน บางทีความรู้สึกของคนใกล้จะจมน้ำตายอาจเป็นแบบนี้ แต่ในกรณีของผม… มันเหมือนกับมีใครบางคนเอาหัวผมจุ่มลงไปในน้ำเป็นระยะเวลาหนึ่ง และพอผมจะขาดหายใจ มันก็ดึงหัวผมขึ้นมาให้สูดอากาศหายใจอีกรอบ รอจนกว่าผมจะพร้อมที่จะโดนมันกดลงไปในน้ำใหม่อีกครั้ง

“อุบ…” ผมยกมือขึ้นปิดปากเมื่อรู้สึกถึงของเหลวร้อนๆ ที่แล่นมาจุกคอหอย จากนั้นก็วิ่งพรวดไปที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ภายในตัวห้องนอน จากนั้นก็โก่งคออาเจียนเอาของที่อยู่ด้านในออกมา

มันทำให้ลำคอของผมร้อนผ่าวแล้วก็ขมคอไปหมด ทรมานเป็นบ้า… เมื่อไหร่จะเลิกฝันแบบนี้สักที ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั่นมันก็ผ่านมานานแล้ว คงเป็นเพราะได้เห็นคนตายต่อนหน้าต่อตามาเร็วๆ นี้ซ้ำไปอีกรอบ มันถึงได้ไปกระตุ้นความทรงจำในวัยเยาว์ให้โผล่มาหลอกหลอนยามค่ำคืนได้ถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น สมจริงขึ้น น่าขนลุกยิ่งขึ้น…

ผมรู้สึกว่าน้ำตาเอ่อขึ้นมาขณะที่นึกภาพแม่ที่นอนไม่ไหวติงอยู่บนพื้นบ้าน… มันเป็นบ้านหลังนี้... หลังที่ผมยังอาศัยอยู่กับโลแกนด้วยซ้ำ

ตอนที่พ่อลงมือทำร้ายแม่ ผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากดูอยู่เฉยๆ ผมรู้ว่าผมยังเด็กมาก โลแกนเองก็ยังเด็กมาก เราสองคนแทบจะไม่มีอะไรไว้ยึดเหนี่ยวเลยแท้ๆ อาจจะมีแค่แม่ด้วยซ้ำในตอนนั้น และเราก็ถูกพรากสิ่งนั้นไป ถึงจะยังโชคดีที่มีน้าลิซ่าอยู่ก็เถอะ แต่สำหรับเด็กที่ไม่เข้าใจอะไรในตอนนั้นแล้ว ทุกอย่างนี่มันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ?

ผมได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาขณะที่อาเจียนเอาของเหลวเหนียวๆ ที่แทบไม่มีสีหรืออะไรเจือปนออกมาจากลำคอ เหมือนผมไม่มีอะไรจะเอาออกมจากท้องแล้ว แต่ความคลื่นไส้ก็ยังอยู่กับผมตรงนั้น

โลแกนก้าวเท้าเข้ามาประชิดตัวผม หลุบตาลงมองผมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หมอนี่มักทำหน้าแบบนี้เสมอเวลาที่ผมทำตัวน่าสมเพช ถ้าให้พูดกันตามตรง ผมรู้สึกขอบคุณมันนะ ผมอาจจะอยากได้คำปลอบ… แต่ผมไม่ต้องการสายตาเห็นอกเห็นใจจากคนที่มีประสบการณ์ร่วมกันมากับผมในทุกๆ อย่าง

นั่นทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอ ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่แข็งแกร่งเท่าหมอนี่ ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง ผมจะรู้ดีอยู่แล้วก็เถอะว่าไม่ว่าจะทำยังไง ผมก็ไม่มีวันเข้มแข็งได้เท่ามัน แต่ถึงยังไง ผมก็ไม่อยากให้มันถึงขั้นทำหน้าสมเพชหรือสงสารใส่ผม มันก็เท่านั้น

โลแกนเลื่อนมือมาลูบบ่าผมนิดหนึ่งอย่างปลอบประโลม สัมผัสนั่นช่วยผมได้มากทีเดียว พักหลังมานี่หมอนี่ทำตัวใจดีขึ้นกับผมมาก และผมคิดว่าอีกไม่นานมันคงกลายเป็นสิ่งเสพติดที่ผมขาดไม่ได้ หรือบางทีผมอาจจะเสพติดมันไปแล้วก็เป็นได้

เจ้าตัวยื่นผ้าขนหนูให้ผมหลังจากที่ผมเดินสะโหลสะเหลไปบ้วนปากในอ่าง ผมวักน้ำขึ้นล้างหน้าเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง จากนั้นก็รับผ้าจากคนข้างตัวมาเช็ดหน้าแรงๆ โลแกนจึงเริ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ

“ไหวรึเปล่า”

“อืม…” ก็นะ ไม่ไหวก็ต้องไหวรึเปล่า ยังกับมีทางเลือกอื่นนักนี่

“จะไปนอนต่อไหม หรืออยากทำอย่างอื่น”

“โลแกน” อยู่ๆ ผมก็เรียกชื่อมันขึ้นมา พูดขัดอย่างคนที่นึกอะไรขึ้นได้ “ตอนนั้นน่ะ ใครเป็นคนเอามีดแทงพ่อ”

คนถูกถามชะงักกึกไป นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง หากวินาทีต่อมามันก็กลับมาเรียบสงบตามเดิม

“นายจำได้ไหม”

“มันเป็นอุบัติเหตุตอนที่สองคนนั้นทะเลาะกัน” โลแกนว่า หมอนี่ไม่แม้แต่จะเรียกทั้งคู่นั่นว่าพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ “และพวกเขาก็พลาด มันก็แค่นั้นเอง”

“นายกำลังจะบอกว่า” ผมพยายามเรียบเรียง “พ่อแทงแม่ไปแผลหนึ่งจนแม่ล้มลง จากนั้นแม่ก็ฮึดขึ้นมาแทงพ่ออีกรอบงี้น่ะเหรอ”

โลแกนยักไหล่ ก่อนจะพูดตัดบท

“คงงั้นมั้ง จำไม่ได้ล่ะ”

 ผมหรี่ตาลง อะไรบางอย่างทำให้ผมรู้ว่าหมอนี่พูดโกหก แต่ก็ช่างเถอะ ไม่มีอารมณ์จะมาคาดคั้นอะไรตอนนี้หรอกนะ

ผมเดินกลับมาอยู่ในห้องน้ำอีกรอบ โลแกนเดินไปเปิดไฟให้ขณะที่ผมเดินไปนั่งแปะอยู่บนเตียงอย่างคนหมดแรง รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ เหมือนหัวจะระเบิด โลแกนนั่งลงมาบนเตียงข้างๆ ผม จากนั้นก็ดึงผมไปซบกับบ่าของมัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงต้องขนลุกแน่ๆ ว่ามันทำบ้าอะไร… แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่านี่อาจเป็นสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดแล้วในช่วงเวลาแย่ๆ

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา ผมควรจะต้องทำตัวเข้มแข็งสิ ยิ่งเป็นต่อหน้าน้องชายตัวเองแบบนี้ด้วยแล้ว จะมาทำเหยาะแหยะ บีบน้ำตาทำตัวแหยแบบนี้ได้ไง ขนาดไอ้โรคจิตนี่มันยังไม่เป็นไรเลย ผมก็ต้องทำได้เหมือนกันสิ

“ไม่ต้องฝืนก็ได้” โลแกนว่า เลื่อนมือมาลูบเส้นผมที่เลื่อนลงมาปรกหน้าผมเล็กน้อย สัมผัสอ่อนโยนนั่นทำให้ผมรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาตรงบริเวณที่ถูกสัมผัส “ถ้าไม่ไหว ก็ไม่ต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็งก็ได้”

“ใครบอกว่าฉันฝืน” ผมกัดฟันกรอด เกลียดชะมัดเลยเวลาโดนหมอนี่ดูออก

โลแกนยกยิ้ม “นายจะทำตัวให้เหมือนฉันน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก”

ผมนิ่งเงียบไป ความรู้สึกแรกที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้นคือ… เหมือนกำลังโดนดูถูก แต่วินาทีต่อมา ผมก็เข้าใจว่าโลแกนไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าแบบนั้น

“ฉันมันไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความอาลัยอาวรณ์มานานแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องของคนอื่น… ฉันสามารถโยนเรื่องงี่เง่าพวกนั้นทิ้งไปได้ โดยไม่ต้องพยายามอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นฉันถึงไม่เหมือนกับนายไง และนายก็ไม่มีวันทำแบบฉันได้ เพราะงั้น… ถ้ามันทรมานนักก็ปล่อยให้มันระบายออกมาเถอะ นายน่ะ ชอบเก็บมันไว้อยู่เรื่อย”

ผมเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตกลงหมอนี่มันตั้งใจดูถูกผมหรืออะไรกันแน่ แต่ทุกอย่างที่มันพูดมา… ผมกลับเห็นด้วยเสียเป็นส่วนใหญ่

ผมคงไม่มีวันทำแบบโลแกนได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็คือ… ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบหมอนี่สักหน่อย

“ดีขึ้นไหม” คนข้างตัวลูบบ่าผมเบาๆ สองสามที ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะดันมือหมอนี่ออก

“ดีขึ้นแล้ว ขอบใจ”

“ฉันรู้นะว่านายคิดอะไร” โลแกนยิ้มกวนๆ ส่งให้ผม “นายคงเริ่มคิดแล้วสินะแบบ… ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากเป็นคนโรคจิต ป่าเถื่อน ชอบใช้กำลังแล้วก็ทำอะไรเกินกว่าเหตุแบบหมอนี่อยู่ดี แบบนั้นใช่ไหมล่ะ”

ผมยิ้มตอบให้มัน เป็นยิ้มที่มาจากความรู้สึกขบขันจริงๆ ไม่ได้ฝืนทำ

“ก็รู้ตัวดีนี่”

“ก็นะ” โลแกนผายมือออกข้างตัว “สมัยนี้ ถ้าคิดให้ได้ถึงขนาดนี้ไม่ได้ก็อยู่โลกนี้ลำบาก”

“นายคิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ด้วยเหรอวะ” ผมหัวเราะร่วนออกมาอย่างอดไม่อยู่ หากคนโดนถามชะงักไปชั่วแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแบบมีเลศนัยออกมา

“นั่นสิน้า… ถึงโลกนี้จะไม่ต้องการคนแบบฉันเท่าไร แต่ฉันก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของมัน… อย่างน้อยก็ในตอนนี้น่ะนะ เพราะงั้นก็คงต้องยอมรับสภาพแบบนั้นไปก่อนละมั้ง”

คราวนี้คำพูดของหมอนี่ทำให้ผมชะงักไปบ้าง

“ฉันไม่คิดว่าโลกนี้ไม่ได้ต้องการนายอย่างที่นายพูดหรอกนะ”

“งั้นเหรอ” โลแกนคลี่ยิ้มหวานส่งมาให้ผม “ก็นะ อย่างว่าแหละ ก็ฉันมันหน้าตาดีนี่นา ขืนโลกใบนี้ต้องเสียคนหน้าตาดีอย่างฉันไปคงน่าเสียดายแย่”

ยัง ยังจะทำตลกอีก

“ตกลง.... นายเป็นสายให้พวกตำรวจจริงๆ ใช่ไหม”

โลแกนหันหน้ากลับมามองผมยิ้มๆ “ถ้าเป็นสายลับ ฉันก็ไม่ควรบอกใครไม่ใช่เหรอ”

“แต่นายเป็นน้องชายฉันนะ”

โลแกนเลื่อนมือมาดึงผมกลับไปนอนราบบนเตียงจากนั้นก็ค่อยๆ ปีนขึ้นมาคร่อม ผมเห็นหน้าของหมอนี่ชัดเจนมากเพราะไฟห้องยังเปิดสว่างโร่อยู่ มันให้ความรู้สึกที่แปลก… ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าหมอนี่หน้าตาเหมือนผมนะ เหมือนมากๆ ด้วย แต่ในบางช่วงเวลา… อย่างเช่นตอนนี้ ผมกลับรู้สึกว่าผมกับหมอนี่ ไม่มีอะไรที่เราเหมือนกันเลยสักอย่าง

“แต่ก็ไม่ใช่น้องชายธรรมดาๆ ใช่ไหม”

ผมไม่ตอบอะไร คนด้านบนเลยค่อยๆ ไล้ปลายนิ้วลงมาบนมือผม ชวนให้ผมขนลุกซู่ด้วยสัมผัสวาบหวามนั่น จากนั้นเจ้าตัวก็ค่อยๆ ดึงมือผมขึ้นไปแล้วจรดริมฝีปากลงบนปลายนิ้ว ไล้ลงมาจนถึงหลังมือแล้วค่อยๆ เคลื่อนไปยังอุ้งมือแทน ผมรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่อยู่

บางที… ผมอาจจะจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วก็ได้ว่าหมอนี่ทำยังไงถึงสามารถตกผู้หญิงได้มากมายขนาดนั้นก่อนหน้านี้ เพราะเทคนิคของมันเหลือร้ายแบบนี้ยังไงล่ะ!

“นี่ ลูคัส บอกฉันหน่อย” โลแกนว่าขณะที่แตะปลายลิ้นลงบนฝ่ามือของผมอย่างอ้อยอิ่ง ผมเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพราะทนดูต่อไปไม่ได้ เหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอกข้างซ้ายจริงๆ นะ… นี่หมอนี่คือโลแกน น้องชายฝาแฝดจอมป่าเถื่อนของผมจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย “นายชอบให้ฉันทำแบบไหนกับนายเหรอ ชอบแบบอ่อนโยน… หรือว่าแบบเร้าใจหน่อยล่ะ ลองบอกฉันมาซิ เผื่อว่ารอบหน้าฉันจะได้เตรียมตัวถูก”

“ฮะ…?” เดี๋ยวๆๆๆ เหมือนเมื่อกี้เราจะไม่ได้พูดกันถึงเรื่องนี้ไม่ใช่เรอะ ไหงอยู่ๆ กลายมาเป็นเรื่องแบบนี้ไปซะได้ล่ะเนี่ย

“จริงๆ ถ้านายอยากให้ฉันอ่อนโยนกว่านายกับนี้ฉันก็ทำได้นะ” คนด้านบนผมพูดพร้อมกับค่อยๆ เลื่อนหน้าลงมาจูบลงบนแก้มอย่างอ้อยอิ่ง ออกแรงกดลงไปแล้วเคล้าเคลียอยู่ตรงนั้น ผมหลับตาแน่นพร้อมกับเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ในหัวยังงงอยู่เลยว่าอยู่ๆ บรรยากาศของพวกเราสองคนมันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง

...ไอ้หมอนี่สามารถพลิกสถานการณ์ให้กลายมาเป็นแบบนี้ได้ตลอดจริงๆ แฮะ ต่อให้เมื่อห้านาทีที่แล้วเราจะพูดเรื่องคนตายกันอยู่ก็ตาม

“อ๊ะ!” ผมสะดุ้งตัวเฮือกเมื่อมือของคนด้านบนสอดลงใต้เสื้อนอนของผมแล้วไล้ลงมาลูบไล้บนแผ่นอก มันให้ความรู้สึกวาบหวามมากกว่าอ่อนโยน และนั่นทำให้ผมเผลอบิดตัวน้อยๆ แล้วเลื่อนมือไปใต้เสื้อของหมอนี่บ้างจนได้

โลแกนยกยิ้มอย่างพึงพอใจบนริมฝีปาก จากนั้นก็ก้มหน้าลงมากระซิบข้างหู

“หรือว่าชอบแบบที่เอาเข็ดขัดฟาดมากกว่า? แบบนั้นเนี่ย ของถนัดฉันเลยนะ”

“มะ… ไม่เฟ้ย ไอ้โรคจิต” ผมพูดตอบเสียงสั่น นึกภาพหมอนี่เอาแส้ฟาดแล้วแม่งโคตรเข้ากับอิมเมจเจ้าตัวมากๆ แต่เดี๋ยวนะ… ผมไม่ยอมเป็นคนถูกฟาดหรอกนะ... ไม่มีทาง!

โลแกนหัวเราะร่วนออกมาอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็เริ่มลอกคราบเสื้อผ้าของผมออกทีละชิ้น ผมร้องปล่อยให้มันทำแบบนั้นจนกระทั่วเจ้าตัวดีกระชากกางเกงผมออกนั่นแหละ ผมถึงได้นึกขึ้นได้แล้วยกหมอนขึ้นฟาดหัวมันแรงๆ ทีหนึ่ง

“ไปปิดไฟให้เรียบร้อยด้วยเว้ย! เปลือง!”

….แน่นอนว่านั่นก็แค่ข้ออ้างน่ะนะ





--------------------------------------
Talk: เอาเลย แฝด พวกนายอยากจะหวานกันยังไงก็เอาเลย ถถถถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 23) P.3 [25/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-02-2017 12:40:41
จะเจอเรื่องไหนมา โลแกนก็สามารถ  :oo1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 23) P.3 [25/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 25-02-2017 15:55:22
หลังเสร็จงานให้พ่อ โลแกนจะยังอยู่บนโลกไหมนี่ รออ่านๆ

หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 23) P.3 [25/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 26-02-2017 08:05:59
พลิกตลอด พลิกสถานการณ์ได้ตลอด...แหม :hao6:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 23) P.3 [25/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 26-02-2017 18:35:08


บทที่ 24

(Mode: Logan Collins)





ผมเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านหลังจากที่เพิ่งไปสอบและทำเรื่องขอใบขับขี่มา เนื่องจากว่าหลังจากนี้ผมคงมีเรื่องให้ต้องใช้รถอีกมาก และทันทีที่ได้เจ้าใบขับขี่นี้มาปุ๊บ หัวหน้างานผู้ใจดีของผมก็เนรมิตรถในสภาพกลางเก่ากลางใหม่มาให้ผมคันหนึ่งปั๊บ

น่ารักมากๆ แมคโดเวล… ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นลุงอายุห้าสิบกว่า ผมหงอกไปทั้งหัวแบบนั้น ผมคงพูดประโยคนั้นกับเขาไปแล้ว

ผมเดินเข้าไปในตัวบ้าน วางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ครัว เปิดตู้เย็นแล้วรินวิสกี้ใส่แก้ว ต้องฉลองความสำเร็จให้แก่ตัวเองสักหน่อย เครื่องดื่มแอลกอฮอร์พวกนี้ลูคัสแทบไม่แตะเลย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ผมที่ต้องจัดการให้มันหมดๆ ไป ไม่งั้นมันจะรกตู้เย็น (ข้ออ้างทั้งนั้น)

เสียงหวานใสของเปียโนที่ตั้งอยู่ที่มุมห้องอีกมุมหนึ่งดังลอยมาให้ได้ยิน มันเป็นท่วงทำนองที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวา อ่อนหวาน เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของผู้เล่น

ในวันที่ลูคัสสามารถเล่นได้ถึงขนาดนี้ แปลว่าเจ้าตัวต้องอยู่ในอารมณ์ที่ดีถึงดีมากๆ เลยทีเดียว และเมื่อคิดแบบนั้นแล้วผมก็อดลอบยิ้มออกมานิดๆ ไม่ได้ ตัดสินใจรินน้ำแอปเปิ้ลที่มีสีใกล้เคียงกับวิสกี้ในแก้วของผมใส่ลงอีกแก้ว พร้อมกับบริการเติมน้ำแข็งให้เจ้าตัวด้วย จากนั้นก็ค่อยๆ เดินออกจากบริเวณครัวไปเพื่อไปหาคนที่อยู่ในบ้านอีกคน

ผมมองจนแน่ใจแล้วว่าหมอนี่ไม่ได้ตั้งกล้องอัดวิดีโอตอนที่กำลังเล่นเปียโนอยู่ ช่วงนี้หมอนี่ชอบอัดวิดีโอตอนเล่นเปียโน เอาไปสมัครทุนบ้าง เอาไปลงยูทูปบ้าง ครั้งหนึ่งผมเผลอทะเล่อทะล่าเข้าไปทักมันตอนมันกำลังอัดวิดีโออยู่ ทำเอาลูคัสโวยวายใส่ผมใหญ่เพราะใกล้จะเล่นจบเพลงอยู่แล้ว แหม ก็ใครจะไปรู้กันล่ะ วันหลังก็ทำป้ายติดไว้สิว่ากำลังอัดวิดีโออยู่ จะได้ระวัง

หากรอบนี้ไม่มีกล้องคอยถ่าย… ผมจึงก้าวเท้าไปประชิดที่หลังของลูคัสโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงใดๆ เสียงเปียโนยังคงดังกังวานมาให้ได้ยินเรื่อยๆ ผมชอบฟังเปียโนของหมอนี่จริงๆ นั่นแหละ ถึงจะไม่ค่อยรู้อะไรในด้านนี้มาก แต่พอเป็นเพลงที่หมอนี่เล่นปั๊บ ผมจะรู้สึกหลงใหลในเสียงดนตรีขึ้นมาทันทีอย่างไม่มีสาเหตุ

เออ… หรือจะเป็นเพราะผมกำลังหลงใหลไอ้หมอนี่อยู่วะ? ก็เป็นไปได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่ ถูกไหม?

“โลแกน!!” เสียงของลูคัสดังขึ้นมาพร้อมๆ กับเสียงเปียโนที่เงียบลงไปในจังหวะเดียวกัน เจ้าตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ใช้นั่งเล่นเปียโนแล้วตรงปรี่เข้ามาหาผม นัยน์ตาสีฟ้าของหมอนี่เป็นประกายระยิบระยับอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว

จากนั้นเจ้าตัวก็เลื่อนมือโอบรอบคอผมแน่น ทำเอาผมเบิกตากว้างขึ้นนิดหนึ่งเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว มือยังคงถือแก้วอยู่ข้างละใบจึงไม่สามารถเลื่อนไปกอดตอบหมอนี่ได้ถนัดนัก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยิ้มแล้วถามคนอารมณ์ดีอย่างอยากรู้

“มีอะไรเหรอ ลูคัส วันนี้อารมณ์ดีสุดๆ ไปเลยนะ”

“ทุนที่ฉันอยากได้น่ะ!!!” เจ้าตัวว่าอย่างตื่นเต้นพร้อมกับก้มลงมองแก้วที่ใส่ของเหลวสีออกน้ำตาลใสทั้งสองใบ ผมยื่นใบที่อยู่ในมือข้างซ้ายไปให้ “เออ อันที่ฉันอยากได้น่ะ ตกลงว่าฉันได้แล้วเว้ย! เขาเพิ่งจะติดต่อมาเมื่อกี้นี้เอง”

“จริงดิ!?” ผมทำเสียงตื่นเต้นตาม ถึงจริงๆ แล้วผมจะไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้นก็เถอะ… จะว่ายังไงดีล่ะ ผมรู้อยู่แล้วว่ายังไงพี่ชายฝาแฝดผมก็ต้องได้ ผมหมายถึง… ถ้าอย่างมันไม่ได้นี่ แล้วใครจะได้ฟะ?

“จริง!!” ลูคัสว่าอย่างคึกคัก ผมเลยชูแก้วอีกใบขึ้นมาแล้วส่งยิ้มหวานให้

“อย่างนี้ต้องฉลอง”

“ชนแก้ว!”

จากนั้นพวกเราก็ยกแก้วในมือขึ้นดื่มรวดเดียว ลูคัสแทบจะผละหน้าออกมาจากแก้วแทบไม่ทันหลังจากที่แอลกอฮอร์ดีกรีไม่ต่ำกว่า 50 เพียวๆ ไหลลงคอของหมอนั่นไป และเมื่อเจ้าตัวรู้ว่าเพิ่งกลืนอะไรเข้าไป คนผมทองที่หน้าแดงขึ้นอย่างฉับพลันก็เริ่มไอค่อกแค่กออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสะใจของตัวผมเอง

“โทษที” ผมว่ายิ้มๆ “ผิดแก้วว่ะพวก น้ำแอปเปิ้ลแก้วนี้ว่ะ”

“หนอย ไอ้โลแกน” คนที่คออ่อนที่สุดในสามโลกเริ่มเซ แต่ยังไม่วายจะยกนิ้วชี้ขึ้นมาใส่หน้าผม “นาย… จงใจใช่ไหม ฮะ เอาแก้ว… สลับ… มาให้ฉัน ไอ้น้อง… เลว”

“โอ๊ะๆๆ เซแล้วครับ พี่ชาย” ผมว่า เคลื่อนตัวไปรับร่างของลูคัสที่กำลังจะล้มพับไปกองอยู่กับพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาอีกรอบไม่ได้ “โอ๊ย… ให้ตายเถอะ ลู นายนี่มันไก่อ่อนเกินไปแล้วนะ กินไปแค่นี้นี่หน้าจะลงไปจูบพื้นเลยเหรอ เอ้า เร็ว ลุกขึ้น! นี่มันช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองไม่ใช่รึไง!”

“ฉลอง….!!” คนที่สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวพยายามยกกำปั้นชูขึ้นจากนั้นก็คอพับลงมาจอดอยู่แถวๆ อกผม

ผมหัวเราะออกมาอีกรอบ ประคองร่างนั้นให้ไปนอนที่โซฟาจากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อหยิบเครื่องดื่มอื่นๆ ออกมาวางเรียงลงบนโต๊ะ กำลังจะรินวิสกี้เพียวๆ ให้ไอ้ขี้เมาที่นอนอยู่บนตักผมตอนนี้อีกสักแก้ว… แต่ว่า… ไม่เอาดีกว่า แกล้งหมอนี่หนักไป ตอนเช้ามามันจะอ้วกแตกแล้วก็ไม่เป็นอันทำอะไรจนกว่าจะถึงช่วงเย็นโน่น…

เอาเป็นว่าค่อยๆ ให้มันกินทีละนิดดีกว่า มันเมามากไปละคออ่อน สลบเหมือดไปขึ้นมาล่ะก็ หมดสนุกกันจริงๆ พอดี

“เอ้า นี่ ดื่มน้ำหน่อย แล้วนี่กินข้าวเย็นหรือยังเนี่ย… เดี๋ยว ให้ฉันเดานะ ยังล่ะสิ พอรู้ผลก็ตื่นเต้นดีใจ เอาแต่เล่นเปียโนแน่เลย งั้นเดี๋ยวโทรไปสั่งพิซซ่ามากินกันดีกว่า เย็นนี้ ฉลองที่นายได้ทุนที่อยากได้ ฉลองที่ฉันได้ใบขับขี่ด้วย ได้รถมาขับด้วยน้า… เดี๋ยววันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ไปขับรถเที่ยวกัน”

“รถเหรอ” คนที่ตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่พยายามเบิ่งตากว้างเพื่อแสดงให้เห็นว่าแปลกใจจริงๆ และนั่นทำให้ผมหัวเราะออกมาอีกนิดหนึ่ง

ลูคัสเปะปะ ป่ายมือมาที่บ่าผม จากนั้นก็ค่อยๆ คลาน หาตำแหน่งนอนสบายแล้วเริ่มลงมือซักฟอกผม

“แล้ว… นายปายอาว… รถ… มาจาก… หนาย… โลแก...น”

“ที่ทำงานน่ะ” ผมตอบพร้อมกับก้มหน้าลงจุ๊บปากไอ้หมอนี่เร็วๆ มือเริ่มเลื่อนไปล้วงกระเป๋าเพื่อโทรสั่งอาหารเย็นแล้ว

“ที่ทำงาน” ลูคัสที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟาพึมพำออกมาหลังจากที่ผมจัดการโทรไปสั่งพิซซ่าให้มาส่งถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว

“นี่ โลแกน” เสียงเจ้าตัวยังอู้อี้อยู่

“หืม?” ผมตอบรับขณะที่มือยังคงสาละวนกับการผสมเครื่องดื่มของตัวเอง ต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งกว่าพิซซ่าจะมาส่งที่หน้าบ้าน เพราะงั้นผมจะรีบเมาไปก่อนก็ไม่ได้เหมือนกัน ต้องค่อยๆ ละเลียดกิน

“งานที่นาย… ทำ… น่ะ ต้องฆ่า… คนไหม…”

“....” เฮ้อ นี่เราวนกลับมาเรื่องนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย

“ไม่จำเป็นนะ” ผมตอบตามตรง ยกเครื่องที่ผสมเสร็จแล้วขึ้นจิบนิดหนึ่ง อืม… ก็พอใช้ได้อยู่ “แต่ถ้าสถานการณ์มันบีบ… อย่างตอนที่นายอยู่ด้วยน่ะ มันก็ต้องทำ ก็แค่นั้นเอง”

“ฉัน...น่ะ ไม่อยากเรียก… หมอนั่นว่าพ่ออีกเลย… อึก… ตอนที่เห็น… มัน… อึก แทงแม่น่ะ…”

ผมเบือนหน้ากลับไปมองคนที่เริ่มเพ้ออะไรออกมาเรื่อยเปื่อยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บอกตามตรงนะ ผมไม่อยากได้ยินเรื่องในวันนั้นจากปากหมอนี่เลย ลูคัสเองก็ควรจะลืมๆ ไปได้แล้วแท้ๆ แต่พอหมอนี่ไม่อยู่ในอารมณ์หรือสภาวะที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ทีไร เจ้าตัวก็เป็นงี้ทุกที

ไม่ว่าจะในความฝัน… หรืออย่างตอนนี้ ตอนที่เมาไม่ได้สติอยู่นี่

บางทีก็สงสัยนะว่า หมอนี่ไม่คิดจะก้าวเดินไปข้างหน้าต่อบ้างเลยหรือไง?

“อย่าพูดเรื่องนั้นกันดีกว่าน่า” ผมพยายามเบี่ยงประเด็น “เราต้องอยู่ในโหมดฉลองกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ นายเพิ่งจะได้ทุนของวิทยาลัยทางการดนตรีที่นายอยากจะได้เองนะ”

“ช่าย…!!! ฉันได้ทุนล่ะ โลแกน… ฉันด้าย… ทุน” ไม่พูดเปล่า… เจ้าคนเมาค่อยๆ เลื้อยกลับมาหาผมจากนั้นก็กระชากคอเสื้อผมลงไปจูบปากกับมันหน้าตาเฉยโดยไม่ส่งสัญญาณใดๆ มาเตือนก่อนล่วงหน้า

ผมหรี่ตาลงมองลูคัสที่ตอนนี้หน้าแดง หูแดงไปหมด ข้อดีของหมอนี่เวลาเมาก็คือสามารถชักจูง พาไปเรื่องอื่นได้ง่ายนี่แหละ ต่อให้มันจะหยิบยกประเด็น เรื่องที่ผมไม่อยากพูดถึงขึ้นมา แต่พอผมเปลี่ยนเรื่อง เจ้าตัวก็ยอมคล้อยตามโดยง่าย

อ่า… นี่ถ้าไม่ใช่ว่ากำลังรอพิซซ่าอยู่ล่ะก็ คงจัดสักยกแล้ว

“อือ….. อืม….” ลูคัสครางในลำคอเล็กน้อยขณะที่ผมเลื่อนหน้าไปจูบมันอย่างดูดดื่ม ต้องสั่งสอนให้หมอนี่เข้าใจสักหน่อยแล้วว่าไม่ควรแหยมกับใคร อยู่ๆ มาจูบกันแบบนี้นี่แปลว่าต้องเตรียมใจไว้แล้วใช่ไหม ต่อให้ลูคัสจะทำไปโดยไม่รู้สึกตัว ผมก็ไม่สนหรอกนะ

เสียงหวานจากคนด้านล่างยังคงดังมาอย่างต่อเนื่องให้ได้ยิน จากนั้นเมื่อผมผละใบหน้าออกไป ผมก็ได้เห็นแฝดของตัวเองส่งยิ้มหวานอย่างพึงพอใจระคนออดอ้อนมาให้

...ให้ตายเถอะ นี่ถ้าไม่ใช่ว่าผมไม่ได้กินข้าวมาจากนอกบ้านและกำลังรอพิซซ่าอยู่ล่ะก็นะ…

“ทำหน้าแบบนั้น” ผมพูดอย่างท้าทาย มือเลื่อนไปไล้ริมฝีปากของชายหนุ่มแรงๆ อย่างมันเขี้ยว “อยากโดนฉันจับปล้ำรึไง อย่าทำตัวน่ารักนักได้ไหม”

“ปล้ำเหรอ” ลูคัสทวนคำ ก่อนจะหัวเราะร่าออกมาชุดใหญ่ราวกับเรื่องที่ตัวเองพูดออกมาตลกนักหนา เจ้าตัวดีหันหน้ากลับมาทางผม ยกนิ้วชี้ขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ แล้วทำปากจุๆ “นายปล้ำฉันไม่ได้หรอก โลแกน”

“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ผมว่ายิ้มๆ แต่ในใจจริงๆ นี่เตรียมลากหมอนี่ขึ้นเตียงเต็มที่

แบบนี้มันประกาศสงครามเต็มอัตรศึกเลยนี่หว่า… ไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร…

“ก็เพราะว่า” ลูคัสยกนิ้วชี้ขึ้นหมุนวนในอากาศประกอบคำอธิบาย ดูเหมือนจะมีคนยังไม่รู้ชะตาของตัวเอง “นายจะใช้คำว่าปล้ำกับคนที่สมยอมนายไม่ได้หรอกนะ โลแกนที่รัก… ฉันพูดถูกไหม?”

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเส้นอะไรบางอย่างในหัวขาดผึงทันที ยิ่งเห็นหน้าไอ้หมอนี่ตอนพูดแล้วส่งยิ้มหวานอ้อนๆ แบบนั้นมาให้ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่

ผมปีนขึ้นไปบนโซฟา ขยับตัวขึ้นคร่อมคนด้านล่างจากนั้นก็ลงมือประกบริมฝีปากลงบนปากของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงทันที

ลูคัสครางขลุกขลักในลำคอเล็กน้อยในจังหวะแรก หากยอมตวัดลิ้นตอบรับสัมผัสของผมในจังหวะต่อมา อ่า… ให้ตาย หมอนี่นี่มัน จริงๆ เลย… แล้วแบบนี้จะให้ผมอดใจไหวได้ยัง…

“พิซซ่ามาส่งคร้าบ” เสียงคนตะโกนดังขึ้นพร้อมกับเสียงกดออด

….โอเค ก็ได้ ใครว่าคนเรากินข้าวเย็นสองรอบไม่ได้ล่ะ ถูกไหม?




หลังจากจัดการพิซซ่าซึ่งเป็นข้าวเย็นของพวกเราจนเสร็จสิ้น ผมก็พยายามเขย่าลูคัสให้ลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อไปยังชั้นสองของบ้าน

กว่าจะให้หมอนี่ลุกขึ้นมาจัดการข้าวเย็นของตัวเองนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย… ผมต้องดึงตัวมันให้ลุกขึ้นมานั่งดีๆ แล้วก็ยัดพิซซ่าทีละชิ้นใส่มือมัน แต่ดีนะที่ไอ้หมอนี่มันชอบกินพิซซ่าอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงจะไม่ค่อยมีสติ มันก็ยัดเข้าปากมันจนได้ล่ะ

“เฮ้อ แล้วนี่ยังไงเนี่ย ลูคัส นายจะอาบน้ำไหม หรือว่าจะนอนเลย แต่ขอบอกเลยนะว่านายน่ะเน่ามาก ถ้าจะนอนทั้งๆ ที่ไม่อาบน้ำล่ะก็ ช่วยเขยิบไปปลายเตียงนู่นเลยนะ อย่าเข้ามาใกล้ฉันตอนนอนละกัน”

“...โลแกน” คนเมาเริ่มร้องเรียกชื่อผมอีกครั้ง อ่า… จริงๆ แล้วผมก็เริ่มมึนๆ เหมือนกัน เมื่อกี้ล่อแบบเพียวๆ เข้าไปซะเยอะ

“อะไร”

“ทำไมพวกเราสองคน… ถึงยังอยู่บ้านนี้กันอีกเหรอ”

คำถามนั้นทำให้ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากตอบอย่างจนปัญญา “ไม่รู้สิ”

“เราไม่ควร… อยู่ที่นี่เลย” โลแกนว่า คอพับ หน้าคว่ำไปที่นอน หากยังพูดเสียงอู้อี้หลุดออกมา “ฉันยังรู้สึกเหมือน… เห็นศพอยู่ที่ชั้นล่างทุกวัน”

“นอนเถอะ ลูคัส” ผมเลื่อนมือไปลูบเส้นผมสีบลอนด์ทองของมัน “หลับไปซะ”

“ผู้ชายคนนั้น… ที่มีเขาออกมาจากหัวน่ะ…” คำพูดที่เหมือนไม่มีสตินั่นของลูคัสทำให้ผมหันขวับกลับไปมองมันอย่างตกใจทันที “ทำไม… นายถึงเรียก… เขา... ว่าพ่อเหรอ”

เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ว่าหน้าของตัวเองซีดเผือดลงได้ขนาดนี้

ไม่เอานะ….

ผมยังไม่อยากให้หมอนี่รู้เรื่องตอนนี้






-----------------------------
Talk: น่านนไง เอาแหล่ว ถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 24) P.3 [26/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kothan ที่ 26-02-2017 21:15:08
โดนลบความจำไปแล้วไม่ใช่เรอะ ไหนตอนเมานึกออกได้ล่ะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 24) P.3 [26/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 26-02-2017 21:56:16
ต่อค่ะต่อทำไมทิ้งประเด็นไว้แบบนี้
น่ารักจริงๆแฝดคู่นี่มาต่อไว้นะคะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 24) P.3 [26/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-02-2017 22:09:25
ลูค้ส เห็นพ่อโลแกน แล้วยังจำได้ ไม่ลืม
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 24) P.3 [26/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 27-02-2017 18:25:01

บทที่ 25

(Mode: Lucas Collins)




จริงๆ แล้วผมมีไม้กางเขนอีกอันหนึ่งที่เหมือนกับของโลแกนไม่มีผิด

มันทำจากโลหะน้ำหนักเบา รูปร่างและการออกแบบของมันก็เหมือนไม้กางเขนทั่วๆ ไป และไม้กางเขนอันที่ผมพกอยู่ก็ไม่ได้มีลักษณะกลับหัวแบบที่ไอ้บ้าโลแกนมันอุตริปรับเปลี่ยนใหม่ให้มันกลับหัวอยู่กับโซ่ห้อยคอของมันด้วย

ไม้กางเขนของผมยังเป็นไม้กางเขนอันเดิม อันเดียวกับที่น้าลิซ่าให้ไว้กับพวกเราทั้งสองคนในวันเกิดครบรอบหกขวบของพวกเรา

‘งั้นน้าไปก่อนนะจ๊ะ โลแกน ลูคัส’ เจ้าหล่อนว่าพร้อมกับเลื่อนมือมาลูบหัวของหลานทั้งสองที่กำลังมองไม้กางเขนที่ทำจากโลหะอย่างดีที่น้าสาวให้มาอย่างพิจารณา เมื่อนึกถึงอายุและฐานะของครอบครัวพวกเขาในตอนนั้นแล้ว ต้องบอกเลยว่าไม้กางเขนที่ได้มานั้นดูค่อนข้างมีราคาและดูมีมนตร์ขลังอย่างน่าประหลาด

อย่างน้อยก็สำหรับผมนะ… ถึงโลแกนจะมองไม้กางเขนที่น้าลิซ่าให้มาด้วยสายตาพิศวงในครั้งแรกก็ตาม แถมมันยังขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดๆ เหมือนไม่พอใจเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมยังนึกหงุดหงิดมันอยู่เลยว่าจะมไ่พอใจอะไร น้าอุตส่าห์เอาของขวัญมาให้ ยังจะไปชักสีหน้าใส่เขาอีก แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร

‘พระเจ้าจะคุ้มครองลูกๆ ของพวกท่านเสมอ’ หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นน้าของพวกผมกล่าวพร้อมกับก้มตัวลงมากอดพวกเราทั้งสองคน ตอนนั้นพวกเรายืนอยู่ที่หน้าบ้านเพราะต้องการมาส่งน้าลิซ่าที่มีธุระทำให้ต้องรีบกลับบ้านไปก่อน อยู่รอจนเราเป่าเค้กไม่ได้ จากนั้นเจ้าหล่อนก็คลายอ้อมแขนออก ส่งยิ้มอ่อนโยนแบบเดียวกับที่แม่ของพวกเราชอบทำมาให้พร้อมกับว่า ‘แต่แน่นอนว่าพวกหนูเองก็ต้องเป็นเด็กดี… เป็นคนดีด้วยนะจ๊ะ ทำแบบนั้นน่ะ พระเจ้าจะต้องรักและคุ้มครองพวกหนูตลอดเวลาแน่ๆ’

หญิงสาวว่า สายตาชำเลืองมองพี่เขยของตัวนิดหนึ่งด้วยสายตาติดจะเย็นชาเล็กน้อย ตัวผมในตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความหมายของสายตานั้น แต่ก็จำได้ว่าพ่อของผมหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความอายกับสายตาที่เหมือนจะกล่าวหานั่น

จากนั้นน้าลิซ่าก็จากพวกเราไปในวันนั้น แล้วผมกับโลแกนก็กลับเข้าไปในตัวบ้านตามเดิม จากนั้นก็เค้กวันเกิดให้กับพวกเรา แล้วทุกอย่างนั่นมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงข้าวของที่หล่อนกระจายแตกหักบนพื้น เสียงกรีดร้องของแม่ แล้วก็กองเลือดมหาศาลที่สะท้อนเข้าสู่สายตา

ผมรู้เลยว่าตัวเองกำลังฝัน

ฝันแบบเดิมอีกแล้ว

ผมนึกอยากได้ไม้กางเขนที่น้าลิซ่าให้มาวันนั้นขึ้นมาถือไว้ในมือ เดี๋ยวนี้เลย แล้วบางทีผมอาจจะสวดขอพร ภาวนาอะไรสักอย่างกับพระผู้เป็นเจ้า เพียงเพื่อให้ความทรมานในอกนี้หายไป

ผมเคยเชื่อนะ ว่าไม้กางเขนคือสัญลักษณ์ของความดี และมันมันคงจะคุ้มครองผมได้จริงๆ อย่างที่น้าของผมเคยบอกไว้

แต่ผมไม่แน่ใจนักหรอก บางทีมันอาจจะช่วยคุ้มครองผมได้ถ้าเกิดว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ แต่ผมไม่แน่ใจเอาซะเลยว่าท่านมีอยู่จริงๆ น่ะ

ผมหมายถึง… ถ้าเกิดว่าท่านกำลังเฝ้ามองเราอยู่จากที่ไหนสักแห่งจริงๆ แล้วทำไมท่านถึงไม่ช่วยแม่ของผมล่ะ? แม่ของผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแท้ๆ แต่ทำไมท่านต้องโดนผู้ชายคนนั้นฆ่าด้วย?

ถึงแม้ว่า… ผลสุดท้ายแล้วผู้ชายคนนั้นจะตายในเวลาต่อมา เป็นช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่แม่ของผมเสียเลยก็เถอะ

ใช่… เขาตายในวันเดียวกับที่เขาได้ฆ่าแม่ของพวกเราทั้งสองคน นั่นเหรอคือสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้ผมกับโลแกนในวันนั้น? นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่พระองค์ท่านจะให้พวกเรามาแล้วใช่ไหม?

แล้ว…

ใครเป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้นกันล่ะ?







...

ผมลืมตาตื่นขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาลอดผ่านมู่ลี่ทำให้แสบตาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมพยุงตัวลุกขึ้นมา รู้สึกมึนหัวนิดหน่อย คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปเมื่อคืน แต่ก็ไม่ได้หนักหนาเหมือนจะเป็นจะตายอะไรเท่าก่อนหน้านี้ ตอนที่กินเหล้ากับโลแกนสองคนแล้วจบท้ายด้วยการโดนมันลากขึ้นเตียงเป็นครั้งแรก แปลว่าครั้งนี้ผมไม่ได้กินไปมากเท่าไรนัก

ผมมองเสื้อผ้าที่ยังอยู่ครบของตัวเอง หันไปมองข้างเตียงที่ว่างเปล่า แปลว่าเมื่อคืนผมคงไม่ได้นอนกับหมอนั่น ซึ่งก็ดีแล้ว คนเราไม่จำเป็นต้องมีอะไรกันทุกวันนี่ ถูกไหม

ผมเดินลากเท้าตรงไปที่ห้องน้ำ แต่สายไปสะดุดอยู่ที่แผ่นกระดาษโน้ตที่โลแกนเขียนทิ้งไว้ให้ก่อนออกไปจากบ้าน มีน้ำแก้วหนึ่งและยาวางเตรียมไว้ให้ด้วย ในโน้ตนั่นแค่เขียนข้อความง่ายๆ ว่ามีธุระต้องออกไปทำแล้วก็กำชับให้กินยานี่จะได้ช่วยให้สร่าง

ขอบคุณ… หมอนี่ทำตัวเป็นน้องที่ดีได้อย่างสรรเสริญมาก ถึงเมื่อก่อนจะไม่ได้เป็นแบบนี้ก็เถอะ ตอนแรกๆ ที่มันเริ่มทำดีกับผม ผมก็เริ่มขนลุกขึ้นมาอยู่เหมือนกันนะ แต่ตอนนี้เริ่มชินล่ะ ดีเหมือนกัน ค่อยรู้สึกเหมือนได้รับความห่วงใยจากหมอนี่หน่อย ไม่งั้นต้องเผลอคิดว่ามันเป็นเด็กที่เกิดมาจากไข่ของซาตานหรืออะไรทำนองนั้น…

แล้วอยู่ๆ ภาพที่โลแกนมีเขางอกออกมาจากหัวก็ลอยเข้ามาในสมองผม

….ไร้สาระน่า แค่กินเหล้าเมาจนเริ่มเห็นภาพหลอนไปก็เท่านั้นเอง

ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอ พยายามโยนความคิดแปลกๆ ที่ว่าน้องชายฝาแฝดของตัวเองเป็นเด็กปีศาจทิ้งไป สงสัยเพราะได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่ามันเป็นเด็กที่นรกส่งมาเกิดบ่อยๆ เข้าเลยเริ่มคิดไปเป็นแบบนั้นแน่ๆ เรื่องจริงแล้วมันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงฟะ ดูการ์ตูนมากไปหรือเปล่าเนี่ย

ผมจัดการภารกิจยามเช้าของตัวเอง วันนี้ผมมีนัดกับปีเตอร์เพื่อไปซ้อมดนตรีแล้วก็อัดคลิปวิดีโอลงช่องบทยูทูป ช่วงนี้ผมกำลังฝึกเขียนเพลงแล้วเล่นคู่กับไอ้หมอนั่น สำหรับช่วงปิดเทอมที่กำลังรอยื่นเรื่องมหาลัยหรืออะไรต่างๆ ก็นับเป็นการใช้เวลาที่ดี คลิปวิดีโอของผมเองก็มีเข้ามาตามดูเรื่อยๆ ก็ถือว่าค่อยๆ สร้างผลงานกันไป

ผมกำลังยืนรอรถเมล์ที่ควรจะมาจอดอยู่ที่ป้ายนี้ในอีกห้านาที ก้มลงมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์เล็กน้อย แล้วอยู่ๆ ก็นึกสงสัยขึ้นมาโลแกนมันมีธุระอะไรของมันตั้งแต่เช้า คงเป็นเรื่องงานพิเศษเสี่ยงตายของมันอีกนั่นแหละ บางทีผมก็น้อยใจนะที่มันไม่ยอมพูดอะไรตรงๆ ให้ผมรู้เรื่องบ้าง กังวลด้วย ยิ่งล่าสุดที่ผมได้ไปเอี่ยวกับคนที่มันต้องคอยตามจับด้วยนี่ยิ่งทำเอาน่าสยองไปกันใหญ่

งานที่โลแกนทำอยู่มันดูน่ากลัวจริงๆ นะ เหมือนไม่รู้เลยว่าจะไปทำอะไรผิดใจใครเข้าแล้วโดนฆ่าตายเมื่อไหร่ และอีกอย่างที่ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมานั่นก็คือ ชีวิตของเราทุกคนนี่ช่างเปราะบางและไร้ซึ่งความคุ้มครองใดๆ จริงๆ

โลแกนฆ่าคนไปสองคนในวันนั้นและไม่ถูกจับ หนำซ้ำมันยังไปช่วยงานให้พวกตำรวจต่อหน้าตาเฉยอีกต่างหาก ตอนแรกผมกลัวจับใจเลยนะว่าน้องชายฝาแฝดผมจะโดนลากเข้าคุก แต่ก็เปล่า ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกแง่หนึ่งมันก็เท่ากับว่าการตายของสองคนนั้นไม่ได้ทำให้อะไรๆ เปลี่ยนไปเลยสักนิด แม้แต่คนที่ฆ่าพวกมันอยู่ก็ยังนอนอยู่บนเตียงเดียวกับผมทุกคืนๆ

แล้วในทางกลับกัน… ถ้าเกิดผมโดนฆ่าบ้าง แล้วไอ้คนที่ฆ่าผมมันยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขแบบที่โลแกนทำอยู่ทุกวันนี้… ผมควรจะรู้สึกยังไงล่ะ?

หากยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ก็มีรถสีขาวคันหนึ่ง ไม่มีเลขทะเบียนเปิดประตูจอดอยู่ตรงหน้า โลหะเย็นๆ ก็กระแทกอยู่บนหลังของผมพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่ก้มลงมากระซิบอย่างข่มขู่

“เข้าไปในรถ”

“เฮ้” ผมร้องอย่างตกใจ เหลือบไปเห็นว่าสิ่งที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เจ้าของเสื้อเชิ้ตสีเขียวมะนาวกระทุ้งผมอยู่คือปืนกระบอกหนึ่ง “นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”

“จะเข้าไปดีๆ หรืออยากให้กระสุนเข้าไปเจาะอวัยวะภายในของแกก่อน?”

เฮ้ ล้อเล่นน่า? เอาจริงดิ? นี่ผมเพิ่งจะคร่ำครวญถึงสวัสดิภาพการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ของตัวเองไปหยกๆ เองนะ ยังไม่ทันจะได้คิดจบก็โดนเอาปืนจ่อกันแบบนี้อีกแล้วเหรอ? นี่ชีวิตผมหลังจากนี้คงไม่ได้อยู่อย่างสงบๆ จริงๆ แล้วใช่ไหม?

“คุณเป็นใคร” ผมถาม ปากกระบอกปืนกระทุ้งลงมาอีกครั้งตรงสีข้าง ช่างเป็นการคุยกันภาษาคนที่รู้เรื่องมาก ขอบใจ

“เฮ้ เดี๋ยวสิ” ผมพยายามอีกรอบ ยัดโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงขณะที่พยายามกดปุ่มโทรออก เบอร์ล่าสุดที่ผมโทรออกก็หนีไม่พ้นน้องชายสุดที่รักที่คงจะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมมาตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแบบนี้เป็นแน่แท้ ขอให้ติดทีเถอะ ขอให้หมอนั่นรับสายผมด้วยเถอะ ต่อให้ผมจะไม่พูดจาอะไรกรอกลงหูโทรศัพท์เลยก็ตาม ช่วยถือไว้แบบนั้นที “ไม่เห็นต้องทำรุนแรงกันนักก็ได้นี่ มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกัน”

ชายเสื้อสีเขียวมะนาวเหยียดยิ้มยิงฟันให้ผม เผยให้เห็นฟันทองสองซี่ที่อยู่ด้านใน ประเมินอายุจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ผมคิดว่าเขาคงมีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบต้นๆ แน่

“ฉันจะให้โอกาสนายอีกครั้ง คอลลินส์” เจ้าตัวว่า นิ้วเลื่อนไปจ่อที่ไกปืน “ขึ้นรถเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะได้ขับรถวนเล่นรอบเมืองกันสักรอบ พูดคุยอะไรกันเล็กน้อย จากนั้นเราก็พานายมาส่งที่เดิม นายจะได้ไปทำธุระของนายต่อ ฟังดูเป็นไง”

“เป็นไอเดียที่เยี่ยมมาก” ผมพึมพำประชดตอบ ไอ้กลัวน่ะมันก็กลัวอยู่ แต่ความรู้สึกที่ว่าช่วงหลังๆ นี้ผมเจอเรื่องแบบนี้บ่อยเกินไปจนเริ่มชินและชวนให้หงุดหงิดมากกว่าทำให้ผมลืมกลัวไปเสียสนิท

จนกระทั่งผมเขยิบตัวเข้ามานั่งที่เบาะด้านหลังแล้วเจ้าชายใส่เสื้อเขียวมะนาวก้าวตามเข้ามาแล้วประตูรถถูกปิดลงนั่นแหละ ผมถึงจะเริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆ

“ออกรถเลย เจม” ชายหนุ่มหันไปพูดกับคนขับรถ จากนั้นก็ค่อยๆ เบือนหน้ากลับมาทางผม รอยยิ้มบนริมฝีปากยังคงค้างอยู่ตรงนั้น แต่เห็นได้ชัดเลยว่าตาของเขาไม่ได้ยิ้มไปด้วย

“โทษทีนะที่เอาตัวนายมากะทันหัน โลแกน คอลลินส์ แต่บังเอิญว่าเจ้านายของฉันเนี่ย ได้ยินเรื่องของนายมาหนาหูพอสมควร และเขาเริ่มรู้สึกว่ามันชักจะมากเกินไปหน่อยแล้ว ก็เลยส่งฉันให้มาคุยปรับความเข้าใจกับนายสักหน่อย”

“คุยกับนายเหรอ…?” ผมพยายามคุมน้ำเสียงให้นิ่งที่สุด ไม่มีประโยชน์อะไรจะพูดว่าผมไม่ใช่โลแกนอีกต่อไปแล้ว บทเรียนคราวที่แล้วยังคงฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของผม ผมได้เรียนรู้แล้วว่า บางทีถ้าผมสวมบทเป็นโลแกนเสียเลย อย่างน้อยพวกคนที่คิดจะเข้ามาหาเรื่องด้วยจะยังพอมีความกริ่งเกรงอยู่บ้าง อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่พวกมันรู้ตัวตนที่แท้จริงของผมน่ะนะ

“อ้อ ใช่ แนะนำตัวช้าไปหน่อย ฉันจาฟาร์” จาฟาร์ยกยิ้มอวดฟันทองของตัวเองอีกรอบ แววตาบ่งบอกว่าคาดหวังว่าผมคงจะรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าตัวมาก่อน

ผมคิดว่าโลแกนคงรู้… แต่ผมไม่ได้อยู่ในวงการเดียวกับมันนี่หว่า แต่สิ่งที่ผมแสดงออกไปก็คือการเสแสร้งที่บอกว่ารู้ด้วยการพยักหน้าช้าๆ ตอนนี้ในหัวของผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะนึกภาพว่า ถ้าโลแกนเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ผม หมอนั่นจะทำยังไง

“ก็… อย่างที่ฉันบอกนายไปล่ะนะ โลแกน” จาฟาร์เริ่มต้นอีกครั้ง ยกขาขึ้นไขว่ห้างพร้อมกับเอนตัวลงพิงพนักเบาะ สองมือก่ายอยู่บนนั้น “พี่น้องรอยล์น่ะ… เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับถิ่นของเขาเท่าไร แล้วพวกเขาก็ไม่ค่อยชอบตำรวจด้วย แต่ก็อย่างว่านะ จะมีใครสักกี่คนในประเทศนี้ชอบพวกคนในเครื่องแบบ พวกนั้นมันห่วยแตกสิ้นดี”

พี่น้องรอยล์เหรอ… พี่น้องรอยล์ไหนอีกวะ โอ๊ย ตาย… อย่าบอกนะว่าเป็นกลุ่มมาเฟียหรือพวกผู้มีอิทธิพลอะไรทำนองนั้น นี่โลแกนมันเอาตัวเองมาพัวพันกับอะไรบ้างเนี่ย?

“แต่ก็นะ คอลลินส์ เราเองก็รู้ดีว่าตัวนายเองก็มีศักยภาพมากแค่ไหน” จาฟาร์พูดต่อ แม้น้ำเสียงจะดูไม่ค่อยเต็มใจที่ต้องพูดแบบนั้นออกมาเท่าไรก็ตามที “เพราะงั้น… ถ้าเกิดว่าทางเราสามารถประนีประนอมกันได้เนี่ย มันคงจะเป็นการดีกว่าระหว่างพวกเราทั้งสองฝ่ายใช่ไหม? จะได้ไม่มีการนองเลือด ไม่มีใครต้องเจ็บตัว… แม้แต่พี่ชายฝาแฝดของนายก็จะได้อยู่อย่างปลอดภัยในโลกของเขา”

คราวนี้มีการเอ่ยถึงผมแล้ว… และนั่นทำให้ผมใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที มือทั้งสองข้างเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ หากพยายามเรียบเรียงคำพูดไปว่า

“ลูคัสไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้” ว่ากันตามตรงนะ ผมชักจะคิดอะไรไม่ออก… แล้วไอ้คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน คิดจะแหยมกับน้องชายของผมเหรอ ไม่รู้อะไรซะแล้ว… “นายไม่รู้หรอกว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร”

อย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ล่ะนะ

จาฟาร์ตาวาวขึ้นมาทันที จากนั้นเจ้าตัวก็ตะครุบมือวางบนเข่าของผมอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ผมต้องควบคุมตัวเองอย่างมากไม่ให้เผลอสะดุ้ง วินาทีที่ฝ่ามือเย็นเฉียบนั่นสัมผัสลงมา ผมคิดว่าเขาชายคนนี้จะหักขาผมซะแล้ว เจ้าตัวค่อยๆ โน้มหน้าต่ำลงมาหาผม จากนั้นก็กระซิบด้วยน้ำเสียงข่มขู่อย่างชัดเจน

“นายอาจจะเก่งจริงนะ โลแกน คอลลินส์” เสียงนั้นพูด และมันทำให้ผมเกือบหยุดหายใจ “แต่ผิวหนังของนายไม่ได้ทำมาจากเหล็ก ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ถ้าไม่มองหน้ามองหลังดีๆ ลูกตะกั่วอาจจะฝังเข้าไปอยู่ในหัวนายโดยไม่รู้ตัว”

ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเสียวสันหวังวาบขึ้นมาทันที

จาฟาร์สั่งให้คนขับรถวนรถกลับมาที่เก่า เป็นการพูดคุยกันไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำบนท้องถนน แต่ผมไม่ขอเรียกสิ่งนี้ว่าการพูดคุยดีกว่า มันคือการข่มขู่ชัดๆ

ไอ้ฟันทองนี่ค่อยๆ เลื่อนมือออกจากเข่าผม หากเลื่อนมาจับคางผม หันหน้าขึ้นไปให้ผมสบตากับมันตรงๆ จากนั้นจาฟาร์ก็แสยะยิ้มน่าขนลุกออกมา

“นายรู้อะไรไหม หน้านายเนี่ย เหมือนกับพี่ชายฝาแฝดของนายไม่มีผิดเพี้ยนเลยว่ะ ไอ้หนูโลแกน”

ผมปัดมือของมันออกด้วยความขยะแขยง รู้สึกได้เลยว่าหน้าซีดลงนิดหนึ่ง แต่ผมต้องพยายามไม่แสดงออกมาให้คนข้างตัวเห็น ไม่อย่างนั้นพวกมันจะได้ใจไปมากกว่านี้แน่ จาฟาร์หัวเราะหึๆ ออกมา จากนั้นก็พูด

“พี่นายที่เล่นเปียโนน่ะ… เก่งใช้ได้เลยนะ ขอเดาว่าเขาคงไม่รู้จักโลกที่นายอยู่ในตอนนี้ล่ะสิ”

อ้อ รู้จักสิ รู้จักแบบกระจ่างแจ้งแดงแจ๋เลยด้วย

ว่าแต่ทำไมไอ้พวกนี้มันถึงได้มั่นใจนักว่าผมเป็นโลแกน ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ว่า…

อ้อ… ใช่ วันนี้ผมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าตามสไตล์ของโลแกนนี่หว่า เพราะว่ามีอัดวิดีโอต่อจากนี้ ไอ้หมอนี่ถึงได้คิดว่าผมเป็นโลแกนสินะ บ้าชิบเลย

“รู้อะไรไหม โลแกน” จาฟาร์พูดปิดท้ายขณะที่ตัวรถค่อยๆ ลดความเร็วลง “นิ้วของพี่นายน่ะ สวยดีนะ บางทีเจ้านายฉันอาจจะอยากได้เก็บเป็นคอลเลคชั่นของสะสมของคนดังอะไรแบบนั้น”

ผมตัวชาวาบ มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันอย่างเผลอตัวทันที ในชีวิตนี้ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับนิ้วอีกแล้ว และคนข้างตัวก็กำลังขู่ว่าจะตัดนิ้วผมถ้าเกิดโลแกนไม่ยอมให้ความร่วมมือกับไอ้คนพวกนี้ดีๆ…

“เอาเป็นว่า ลองเอาข้อเสนอของพวกเราไปคิดดูนะ” จาฟาร์ยกยิ้ม ปล่อยให้ผมเปิดประตูลงจากรถแล้วโบกมือให้อย่างเริงร่า

ผมยกมือข้างหนึ่งของตัวเองไปกุมมืออีกข้างหนึ่งทันทีที่เดินกลับมาอยู่ที่ป้ายรถเมล์อีกครั้งหนึ่ง รู้สึกได้เลยว่าเนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว

จริงๆ แล้วผมแอบสงสัย… บางทีจาฟาร์อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ว่าผมคือลูคัส มันจะต่างกันตรงไหนถ้าเขาสามารถทำให้โลแกนให้ความร่วมมือด้วย จะลากตัวใครไปข่มขู่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากมายเท่าไรนัก

ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ที่มีปลายสายถือค้างเอาไว้อยู่ ผมยกมันขึ้นมาทาบหูแล้วกรอกเสียงสั่นเทาลงไปทันที

“...โลแกน”

“นายรออยู่ตรงนั้น อย่าขยับไปไหน เดี๋ยวฉันจะไปหา”

คำพูดนั่นช่วยให้ผมใจชื้นขึ้นมาได้หน่อยหนึ่ง แต่ก็หยุดอาการเสียวสันหวังวาบๆ นี่ไม่ได้อยู่ดี






---------------------------------------------
Talk: ทำไมลูคัสแม่งมีศึกหลายด้านจังวะ....  นายจะมีชีวิตต่อไปจนจบเรื่องไหมเนี่ย 5555555
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 25) P.3 [27/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-02-2017 19:59:34
โลแกน คุ้มครองลูคัส ได้แน่ๆ  :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 25) P.3 [27/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 27-02-2017 23:06:15
สนุกดีอ่ะ เริ่มมีศัตรูเข้ามาเยอะขึ้นละ ดูซิโลแกนจะทำไงนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 25) P.3 [27/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 28-02-2017 14:36:25
เอาละเหวย โลแกน!เขาจะเอา(นิ้ว)เมียะ อุ๊ป!! ลูคัสไปแล้วนะเว้ยย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 25) P.3 [27/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 28-02-2017 16:57:37


บทที่ 26

(Mode: Lucas Collins)



เสียงของหมัดหนักๆ ที่กระทบลงบนกระสอบทรายที่ถูกแขวนอยู่กับเพาดานด้านบนดังขึ้น จากนั้นเศษฝุ่นบางส่วนก็ฟุ้งกระจายออกมา ผมเหม่อมองบุรุษที่มีใบหน้าแบบเดียวกับผมทุกประการอย่างคนไม่มีอะไรจะทำ นั่งขุดคู้พิงอยู่กับผนังด้านหลังราวกับเด็กที่เสียขวัญ และดูเหมือนโลแกนจะเอือมระอากับท่าทางปอดแหกแบบนี้ของผมเต็มกลืน นี่ดูจากสีหน้ามันนะ แต่เจ้าตัวก็ยังข่มใจไม่พูดออกมาตรงๆ ตอนนี้

“สรุปก็คือ” โลแกนพยายามเรียบเรียงขณะเสยหมัดฮุกไปทางซ้ายทีหนึ่ง “คนที่ชื่อจาฟาร์มาหานาย จากนั้นก็พานายไปนั่งรถเล่น แล้วก็คุยอะไรด้วยนิดๆ หน่อยๆ งั้นสิ”

“นายรู้จักมันใช่ไหม” ผมถามกลับ เสียงพลั่กที่ดังมาจากหมัดของไอ้หมอนี่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บมือแทนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เสียงเหมือนกระดูกจะหัก แต่แน่นอนล่ะว่าไอ้เด็กนรกนี่ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองไปตกอยู่ในสภาพแบบนั้นเพียงแค่ต่อยกระสอบทรายอยู่แล้ว

สถานที่ในการฝึกที่เราอยู่ในตอนนี้ก็คือ… ห้องใต้หลังคอของบ้านเรานั่นเอง ถึงแม้ว่าบ้านของเราจะไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายแต่ก็มีพื้นที่ใช้สอยเยอะพอสมควร และโลแกนก็ยึดที่นี่เป็นที่ฝึกวิชาของมันมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว แถมบางครั้งบางคราวยังลากผมมาฝึกกับมันด้วย แต่ผมฝีมือไม่ได้เท่าขี้เล็บของมันหรอก

“เคยได้ยินชื่อ” โลแกนว่า จากนั้นก็รัวหมัดเข้าใส่กระสอบทรายสีแดงอีกระลอก “แต่ฉันนึกว่าหมอนั่นทำงานอยู่แถวมิดเวสต์ซะอีก แล้วก็คิดว่าไม่มีสังกัด… ยังแปลกใจอยู่เลยว่ามาร่วมกับพี่น้องรอยล์ได้ไง”

“พี่น้องรอยล์คือใคร”

“มาเฟียที่ทรงอิทธิพลที่สุดในย่านนี้” เจ้าตัวตอบหน้าตาเฉย ในขณะที่ผมเริ่มวาดมือออกไปข้างตัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่ไอ้น้องชายบ้าๆ ของผมมาเกี่ยวพันกับไอ้พวกนี้ได้ยังไงเนี่ย

“มันต้องการอะไรจากนาย”

“ก็แค่เรื่องยาน่ะ ลูคัส” เจ้าตัวพยายามอธิบาย จากนั้นก็ค่อยๆ ลดจังหวะและความเร็วในการปล่อยหมัดลง แม้ว่าเจ้าตัวจะฝึกอยู่ตรงนี้มาเป็นเวลาร่วมชั่วโมงแล้ว แต่เหงื่อก็ยังไม่มีให้เห็นซักหยด หมอนี่นี่มันปีศาจชัดๆ “ฉันไปแหยมถิ่นมัน เอาตัวคนของมันเข้าคุกไป แถมเกือบจะซัดทอดไปโดนมัน ก็เป็นปกติแหละที่คนระดับใหญ่โตขนาดนั้นต้องกำจัดเสี้ยนหนาม”

“นายทำงานให้พวกตำรวจไม่ใช่เหรอ” ผมพยายามหาทางออกตามแบบฉบับคนทั่วไป “รายงานให้หัวหน้านายรู้สิ หาทางทำอะไรสักอย่าง นี่เรากำลังโดนข่มขู่อยู่นะ”

“เราจะทำแบบนั้นก็ได้” โลแกนว่า จากนั้นก็ผละออกจากกระสอบทรายนั่น เดินไปหยิบเบาะทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นมาโยนให้ผม เป็นเชิงขอให้ผมช่วยฝึกให้ “แต่พวกคนระดับบิ๊กๆ จริงๆ ก็พวกมันหมดแหละ ยัดเงินน่ะ หรือต่อให้ไม่ใช่พวกมัน ก็หาหลักฐานดีๆ มามัดพวกมันยาก นายคิดว่าคนพวกนี้มันอยู่มาได้นานแบบนี้ได้ยังไงล่ะ”

ผมทำเสียงในลำคอนิดหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะหยิบเบาะที่ว่าขึ้นมา แยกขาออกจากกันเล็กน้อยแล้วจับเบาะที่ว่าชูขึ้นเพื่อให้คนตรงหน้าประเคนหมัดและลูกเตะเข้ามา อันที่จริงการจะทำแบบนี้ หากคุณไม่มีประสบการณ์มาก่อนก็ค่อนข้างอันตรายเหมือนกัน แต่โลแกนฝึกผมมานานแล้ว เพื่อให้ผมเป็นคู่ซ้อมให้ตัวเอง

“แล้วเราจะทำยังไง” ผมเอ่ยถามต่อ กัดฟันนิดหนึ่งเมื่อหมัดหนักๆ กระทบลงมาบนเบาะที่ยึดเอาไว้ ไอ้หมอนี่หมัดแม่งหนักขึ้นทุกวันๆ “ปล่อยให้ฉันโดนฆ่าก่อนดีไหม ถึงตอนนั้นค่อยมาหาวิธีจัดการ”

“เฮ้ อย่ารวนใส่ฉันได้ไหม” โลแกนขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างไม่พอใจบ้าง “ฉันขอโทษก็แล้วกันที่ทำให้นายโดนเข้าใจผิดแล้วต้องติดร่างแหมาด้วย แต่ฉันไม่ใช่คนที่เอาปืนจ่อนายนะ เข้าใจใหม่ด้วย”

“งั้นนายก็หาวิธีจัดการสิ”

“อืม… พูดง่ายสิ” โลแกนว่าด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนจริงจังนัก และนั่นทำให้ผมรู้สึกเดือดปุดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“นี่” ผมพูดอย่างข่มอารมณ์ ชะงักไปหน่อยหนึ่งเพราะโลแกนใส่หมัดเข้ามาอีกรอบ “ไอ้หมอนั่นมันเพิ่งขู่จะตัดนิ้วฉันนะ นายก็ได้ยินไม่ใช่หรือไง?”

“ใจเย็นๆ สิพี่ชาย” โลแกนว่า สีหน้าครุ่นคิดขึ้นมานิดหนึ่ง “คนจำพวกนั้นน่ะ มันก็ชอบขู่ไว้ก่อนให้นายขวัญหนีดีฝ่อแบบนี้ ถ้านายไปเต้นตามคำพูดมัน ก็ยิ่งเข้าทางพวกนั้นพอดีสิ”

“แล้วนายจะทำยังไง”

“คนพวกนั้นบอกให้ฉันรามือใช่ไหม”

“ใช่”

น้องชายผมพยักหน้าเนิบๆ คว้าเอาเบาะออกไปจากมือผมแล้วเริ่มเป็นฝ่ายที่ชูขึ้นมาแทน ผมขมวดคิ้วมุ่นทันที

“ช่วงนี้ไม่อยากใช้มือ นายก็รู้ ฉันต้องไปเล่นให้พวกคณะกรรมการดู”

“ไม่อยากใช้มือก็ใช้ขา” โลแกนว่า ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นด้วยความไม่พอใจเช่นกัน “แล้วขอที ลูคัส นายไม่ได้เป็นง่อยนะ ทำอย่างกับตัวเองชกไม่เป็นไปได้ แล้วอีกอย่าง ระหว่างเสียมือกับเสียชีวิต นายจะเลือกแบบไหนฮะ เอ้า เตะมาได้แล้ว”

ผมเลยฉลองศรัทธาด้วยการยกขาขึ้นฟาดเบาะในตำแหน่งที่เจ้าตัวถือค้างเอาไว้อยู่แรงๆ ทีหนึ่ง แต่แน่ล่ะว่าความแรงนั้นไม่ได้ทำให้โลแกนสะเทือนเลยสักนิด เจ้าตัวขยับมือ เปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว ปากก็ว่าต่อ

“แต่จริงๆ พวกมันขู่มาแบบนี้ ถ้าผมรามือไปสักระยะพวกมันก็คงเลิกยุ่งไปเอง”

“จริงเหรอ” ผมถามอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ กลัวแต่ว่าคำว่ารามือของวงการนี้คือตายสถานเดียวอะไรเทือกนั้น

“อืม ก็นะ ผมปิดคดีของส่วนตัวเองไปแล้ว คงไม่ต้องไปยุ่งกับพวกมันอีกหรอก”

“แน่ใจเหรอว่าพวกมาเฟียจะปล่อยนายไว้? ง่ายๆ แบบนั้นน่ะนะ?”

โลแกนยกยิ้ม เป็นยิ้มที่ถือตัวและบ่งบอกความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม แล้วอยู่ๆ เจ้าตัวก็โยนเบาะที่ผมกำลังเล็งตำแหน่งฟาดหน้าแข้งลงไปอีกมุม ทำเอาจังหวะเสียไปหมด

ระหว่างที่ผมกำลังจะล้มเพราะตั้งท่าไม่ทัน โลแกนก็เอื้อมมือมาคว้าข้อขาผมหมับ จากนั้นก็เหวี่ยงตัวผมให้กระเด็นไปที่เบาะรองด้านหลัง ไอ้บ้าเอ๊ย… คิดว่าตัวเองแรงน้อยนักรึไง ฮะ?

“ฉันเองก็สร้างชื่อเสียงไว้ไม่น้อยหรอก ลู” เจ้าตัวว่า สาวเท้าเข้ามาหาผมที่ยังทรงตัวลุกขึ้นไม่ได้ จากนั้นก็ทรุดตัวลงมาแล้วขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว ผมหรี่ตาลงมองมันอย่างไม่ไว้ใจทันที เวลาเราซ้อมกันแบบนี้ห้ามตายใจเด็ดขาด หมอนี่ชอบหาลูกเล่นมาแกล้งผมแล้วก็ทำร้ายร่างผมอยู่เรื่อย

“ชื่อเสียงนายอาจจะใช้ได้ผลกับเด็กมัธยมนะ ไอ้น้อง” ผมว่า ตามองการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้าอย่างระมัดระวัง “แต่กับคนระดับบิ๊กๆ แล้ว… ไม่แน่ใจเลยว่ะ”

“จาฟาร์เหรอ” อยู่ๆ โลแกนก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ฮุกหมัดหนึ่งมาตรงหน้าผม ซึ่งถ้าผมไม่ขยับหลบอย่างรวดเร็วมันอาจจะกระแทกไปเต็มๆ ก็ได้แล้ว “หมอนี่น่ะตัวปัญหา แต่ถ้ามันอยู่ใต้อาณัติของไอ้สองพี่น้องนั่นก็คงโอเค”

“ไอ้โลแกน!!!” ผมด่ามันไปทีหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าถ้ามันคิดจะต่อยผมจริงๆ ยังไงผมก็หลบไม่ทันก็ตาม… แต่นี่อยู่ๆ แม่งใส่หมัดมาแบบนี้ ไอ้บ้าเอ๊ย นี่ผมต้องเจอทั้งศึกในศึกนอกเลยใช่ไหม?

“เอาเป็นว่าช่วงนี้เราอยู่ใกล้ๆ กันไว้หน่อยดีกว่า” โลแกนว่า แล้วอยู่ๆ มันก็เลื่อนมือมารวบข้อมือผมที่ไม่ทันตั้งตัวไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ผมสะดุ้งเฮือก คิดไปว่าโดนสักหมัดแน่ๆ แต่คนด้านบนแค่เลื่อนใบหน้าลงมาแล้วประกบปากจูบผมเสียอย่างนั้น

“!!!” เฮ้ยยย ไอ้บ้า… ไม่ได้ดูมู้ดอะไรกันเลยใช่ไหม…

“เอาแบบให้เราตัวติดแน่นหนึบไปเลย” โลแกนว่า ขยับตัวขึ้นมาแล้วยกลิ้นเลียริมฝีปาก รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏออกมาให้เห็น “หรือให้ฉันเข้าไปอยู่ในตัวนายเลยดีไหม จะได้ไม่มีใครกล้าแหยม”

“อะ… ไอ้…!” ผมร้องออกมาเพราะคิดคำด่าไม่ทัน จากนั้นไอ้น้องชายตัวแสบของผมก็ก้มหน้าลงแล้วปิดปากผมด้วยปากของมันอีกรอบ

“อื้อ…” ผมหลับตาลงแน่น ครางในลำคอเบาๆ จากนั้นก็เลื่อนมือไปโอบคอของคนตรงหน้าอย่างสมยอม ปล่อยให้โลแกนดันลิ้นร้อนเข้ามา กวาดเข้ามาในโพรงปาก ผมรู้สึกแย่กับตัวเองนิดหน่อยเพราะเหงื่อซึมออกมาตามบริเวณต่างๆ ของร่างกายจนเหนียวเหนอะไปหมด ทั้งๆ ที่ออกแรงไปได้แค่นิดเดียวแท้ๆ ในขณะที่ไอ้หมอนี่ออกแรงมาเป็นชั่วโมงๆ ยังมีสภาพเหมือนเดิมอยู่ได้

ผมชักคิดขึ้นมาจริงๆ แล้วสิว่าไอ้หมอนี่มันไม่ใช่คน

“นี่ โลแกน” ผมเรียกชื่อ ขณะที่คนตรงหน้าค่อยๆ ผละปลายลิ้นออกไปอย่างอ้อยอิ่ง

“อะไร” โลแกนรับคำก่อนจะไซร้ลงมาบนคอผม ทำเอาเสียววูบวาบไปหมด ให้ตาย… นี่เราจะคุยกันดีๆ แบบที่คนปกติทั่วไปเขาทำกันบ้างได้ไหมเนี่ย

“นายเคยคิดว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปบ้างไหม… อ๊ะ...”

โลแกนแตะลิ้นลงบนใบหูของผม ทำสีหน้าที่ไม่บ่งบอกอะไรนิดหนึ่งก่อนจะยกยิ้ม

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ลูคัส”

“เหรอ” ผมยกลิ้นเลียริมฝีปากบ้าง ไอ้น้องบ้านี่ชักจะเหิมเกริมไปแล้วนะ ต้องหาทางทำอะไรเป็นการโต้ตอบกลับไปบ้างแล้ว

และเพราะคิดแบบนั้น ผมเลยเลื่อนมือไปเกลี่ยหูของคนตรงหน้าเบาๆ บ้าง สำหรับคนอื่นผมไม่รู้หรอก แต่สำหรับผมแล้วมันเป็จุดอ่อนอย่างหนึ่งเลยล่ะ และบางทีมันอาจจะเป็นจุดอ่อนของไอ้หมอนี่ด้วย ผมเลยลองเสี่ยงดู

“ยังไงล่ะ?”

“ก็ผมเป็นเด็กที่นรกส่งมาเกิดไง” โลแกนว่า ไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อปลายนิ้วผมเลื่อนไปโดนใบหูของมัน โอ้โหเฮะ สงสัยจะได้เจอจุดอ่อนมันก็วันนี้นี่แหละ

“เออ ไม่ต้องสงสัยเลย” ผมยกยิ้ม จากนั้นก็ขยับริมฝีปากไปครอบลงบนหูมันอย่างรวดเร็ว โลแกนสะดุ้งตัวเฮือกทันที และนั่นทำให้ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของมันแล้วว่าทำไมถึงได้ชอบแกล้งผมนัก มันสนุกแบบนี้นี่เอง

“หนอย… ไอ้ลูคัส” เจ้าตัวแสบร้องโวยวาย จากนั้นก็พยายามดึงหน้าผมออกจากบริเวณหูของมัน ผมหลุดหัวเราะร่าออกมากับท่าทางฉุนๆ แบบไม่จริงจังของมัน ก่อนจะโดนไอ้คนตรงหน้าจับกดราบลงบนเบาะอีกรอบ

“เฮ้ย… โลแกน เดี๋ยวๆๆ ฉันขอ… โลแกน!!” ผมร้องจ๊ากออกมาแทบจะในทันทีเมื่ออีกฝ่ายพลิกเกม ขยับหน้าเข้ามาแล้วเริ่มจัดการงับหูผม ลากลิ้นไปทั่วบริเวณนั้นแล้วครอบเข้าไปในโพรงปาก ผมดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายพักหนึ่งกว่าเจ้าตัวจะยอมผละออกแล้วหัวเราะด้วยเสียงที่ดังกว่า แถมยังฟังดูสะใจสุดๆ ไปเลยด้วย

ไอ้บ้าเอ๊ย! ฝากไว้ก่อนเถอะ!

“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นเด็กที่นรกส่งมาเกิดจริงๆ นายจะว่ายังไงล่ะ ลู” โลแกนว่าหลังจากที่เสียงหัวเราะของมันซาลง มือของมันเลื่อนลงมากดข้อมือผมที่ราบอยู่กับพื้นเบาะให้แนบชิดลงไป รอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่ที่มุมปาก หากนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยนั่นไม่มีร่องรอยขบขันเลย “นายจะกลัวฉันไหม หรือว่าจะรังเกียจกันรึเปล่า?”

“หา? พูดเรื่องบ้าอะไรของนายวะ” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่จริงจัง ถึงจะรู้สึกได้ถึงความจริงจังบางอย่างที่มาจากคนตรงหน้าก็เถอะ “ฉันก็อยู่กับเด็กนรกอย่างนายมาตั้งนานสองนาน อ้อ ไม่ใช่สิ อยู่มาตั้งแต่เกิดเลยด้วยซ้ำ แล้วอยู่ๆ นายมาถามแบบนี้ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไง?”

นัยน์ตาสีฟ้าของคนตรงหน้าผมเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่ง แล้วอยู่ๆ… อะไรบางอย่างก็ดลใจผมให้จินจนาการตอนที่หมอนี่มีดวงตาสีแดงแทนที่จะเป็นสีฟ้าอย่างในตอนนี้

จินตนาการเหรอ…? เหมือนมันเป็นภาพซ้อนมากกว่า แต่มันจะเป็นภาพซ้อนได้ยังไงล่ะในเมื่อผมไม่เคยเห็นหมอนี่ใส่คอนแทคเลนส์สีแดงหรืออะไรแบบนั้น…

โดยไม่รู้ตัว ผมเลื่อนมือไปสัมผัสบริเวณใกล้ตาของอีกฝ่ายอย่างเบามือราวกับต้องการจะพิสูจน์ ตาของโลแกนก็ยังเป็นสีฟ้าอยู่เหมือนเดิม แล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับดวงตาของผมเลยด้วย

โลแกนชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งยิ้มที่ไร้ความหมายใดๆ มาให้ผม จากนั้นเจ้าตัวก็หลุดคำถามออกมาง่ายๆ หากเป็นคำถามที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน

“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นคนที่ฆ่าผู้ชายคนนั้น… คนที่ให้กำเนิดเรา นายจะยังพูดแบบนั้นอยู่รึเปล่าล่ะ? ลู”

คำพูดนั้นทำให้ผมเป็นฝ่ายที่ต้องเบิกตากว้างขึ้นในครั้งนี้

เมื่อกี้ไอ้หมอนี่มันพูดว่าอะไรนะ?






------------------------------------
Talk: เอาล่ะสิ... ลูคัสจะว่ายังไงล่ะเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 26) P.4 [28/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 28-02-2017 17:11:04
ค้างงงงงงงงงงงงงงงง
ค้างอย่างแรง!!!
ทำไมทำกับเราแบบนี้คะ
มาต่อเดี๋ยวนี้เลย55555
เป็นกำลังใจนะคะ สู้ๆค่ะชอบมากๆเลย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 26) P.4 [28/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-02-2017 20:01:25
ค้างงงงง.......ค้างเจงๆ  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 26) P.4 [28/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 01-03-2017 18:07:19


บทที่ 27

(Mode: Lucas Collins)




ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะคิดกับเรื่องที่เพิ่งได้ยินมายังไงดี

นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมของโลแกนยังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างค้นคว้า ไม่มีร่องรอยอะไรบ่งบอกเลยว่าเจ้าตัวกำลังพูดเล่นอยู่แม้แต่นิดเดียว

วูบหนึ่ง ผมรู้สึกกลัว… เหมือนกับว่าผมไม่เคยรู้จักคนตรงหน้ามาก่อนอย่างไรอย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ราวกับว่าผมได้มองเห็นอีกมุมของน้องชายฝาแฝดของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

แต่วูบถัดมา เมื่อสติค่อยๆ พัดหวนคืน ความสมเหตุสมผลของอะไรหลายๆ อย่างก็ย้อนกลับเข้ามาย้ำเตือนผม

อันดับแรกเลยก็คือ… ผมเคยเห็นโลแกนฆ่าคนมาแล้วต่อหน้าต่อตา สองคนพร้อมๆ กัน และน้องชายตัวดีของผมก็ไม่มีอาการลังเลใดๆ เลยทั้งนั้น ทั้งท่ายืนที่สงบนิ่ง การกระชับปืนในมือที่บ่งบอกว่าเชี่ยวชาญ ทุกๆ อย่างในนั้นบอกได้เลยว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่โลแกนฆ่าคน และก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย มันสงบ เยือกเย็น และน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน

แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าให้มาคิดถึงมันตอนนี้ มันก็เป็นเรื่องที่เก่าไปแล้ว ผมเห็นตัวตนด้านนั้นของมันมา และผมก็รับมันได้ ผมยังคงอยู่ในชีวิตมัน สนิทกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะงั้นถ้าในอดีตหมอนี่จะฆ่าใครอีกสักคนสองคนก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอีกต่อไปแล้ว

อันดับที่สอง… พอลองมานึกย้อนดูเหตุการณ์ในวันนั้นดีๆ วันที่ทุกอย่างเกิดขึ้นและเหมือนยังชัดเจนอยู่ในหัวของผม แต่ในขณะเดียวกันก็มีส่วนที่ขาดหายไปราวกับวิดีโอเทปตกร่อง และถ้าเอาสิ่งที่โลแกนพูดมาลองเสริมเข้าไปดู ทุกอย่างมันก็ลงล็อคพอดี

มันต้องมีใครสักคนนั่นแหละที่ฆ่าพ่อผู้ให้กำเนิดพวกเรา ผมเคยคิดว่าอาจจะเป็นคุณแม่… แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลตรงที่ว่า ท่านน่ะ ล้มลงไปก่อนหน้านั้นเพราะผู้ชายคนนั้นเอามีดแทงท่านไปก่อนแล้ว เพราะงั้นไม่มีทางที่ท่านจะลุกขึ้นมาเพื่อจัดการชายหนุ่มคนนั้นได้

เพราะงั้น… ก็เหลืออยู่แค่คนเดียว

“นายคือคนที่ฆ่าคุณพ่องั้นเหรอ” ผมถาม เหมือนถามขึ้นมาลอยๆ เป็นเชิงพูดกับตัวเองมากกว่าจะหวังคำตอบจริงจัง หากโลแกนขยับตัว สีหน้าจริงจัง มุมปากยกยิ้มขึ้นนิดหนึ่ง

“ใช่แล้ว ผมเองแหละที่ฆ่าคุณพ่อ”

“นายอยากให้ฉันพูดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ”

“แค่บอกฉันมาก็พอว่าว่าเรื่องนี้ทำให้นายเกลียดฉันรึเปล่า”

ผมแสร้งทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะถามเหมือนหยั่งเชิง

“แล้วถ้าฉันบอกว่าเกลียด… นายจะทำยังไงล่ะ โลแกน จะปล่อยฉันไปเหรอ? หรือว่าจะหายไปจากชีวิตฉันทั้งๆ อย่างนี้?”

มือแกร่งเลื่อนลงมือยึดคางผมด้วยแรงที่มากขึ้น รอยยิ้มงี่เง่าที่ไม่มีความหมายใดๆ เลือนหายไปจากใบหน้า นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมจับจ้องลงมาที่หน้าผมนิ่ง บรรยากาศรอบตัวเย็นลงจนผมรู้สึกได้

“ไม่หรอก ลู ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”

ผมนิ่งเงียบ ตายังจ้องแฝดของตัวเองไม่กระพริบ สงสัยว่านี่เป็นแค่การแสดงหรือสิ่งที่ออกมาใจจริงของหมอนี่จริงๆ

“แต่ฉันจะจับนายล่ามไว้ในห้อง ขังนายเอาไว้แบบนั้นไม่ให้นายหนีฉันไปไหน” เจ้าตัวว่าพลางเลื่อนมือต่ำลงมาตรงบริเวณอกของผม ใบหน้าเลื่อนลงมาชิดจนหน้าผากสัมผัสกัน “ถ้าทำแบบนั้น… ต่อให้นายจะกลัวฉันหรือว่ารังเกียจฉัน นายก็หนีจากฉันไปไหนไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

“หืม” ผมแกล้งลากเสียงยาว จากนั้นก็กระตุกยิ้มบนมุมปากขึ้นอย่างท้าทาย “น่ากลัวจัง โลแกน นายจะทำกับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ก็ถ้านายบอกว่านายเกลียดฉันน่ะนะ”

“แต่ถ้าทำแบบนั้น ฉันก็ยิ่งเกลียดนายเข้าไปใหญ่น่ะสิ?”

ในที่สุดเจ้าตัวดีก็ผละออกจากตัวผม เจ้าตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะยักไหล่ทีหนึ่ง สีหน้ากลับมาเป็นปกติตามเดิม

“ก็พูดไปนั่น ถึงยังไงนายก็ไม่มีทางเกลียดฉันได้อยู่แล้ว ลูคัส เรื่องนั้นฉันรู้ดี เพราะงั้นฉันก็ถามไปอย่างนั้นเองนั่นแหละ”

“หา??” ยังถ่อมตัวไม่เปลี่ยนเลย ไอ้น้องชายของผมคนนี้ “ไอ้คนหลงตัวเองเอ๊ย… นายนี่น่าจะเพลาๆ ลงหน่อยนะ ไอ้นิสัยแบบนี้น่ะ”

“ก็มีดีให้หลงนี่” โลแกนว่าพร้อมกับส่งยิ้มเผล่มาให้ ทำเอาผมต้องส่ายหน้ายิ้มๆ เหมือนเอือม โลแกนยื่นมือออกมาเพื่อช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้น ผมจึงเอื้อมมือไปจับมือของหมอนั่นอย่างว่าง่าย แล้วค่อยๆ ประคองตัวเองให้ลุกขึ้นมายืนบนพื้น

“แต่ฉันไม่รังเกียจหรอกนะ” ผมพูดขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นนิดหนึ่ง “อันที่จริง… พอนายพูดออกมา ทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลไปหมด ฉันหมายถึง… ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางเอามีดแทงตัวเองตายได้อยู่แล้ว ถูกไหม เพราะงั้นก็ต้องมีใครบางคนฆ่าเขา… หรือไม่ก็ต้องมีอุบัติเหตุ เหตุสุดวิสัยที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตาม แต่ฉันคิดว่าทุกอย่างมันออกมาในรูปแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

คราวนี้โลแกนหันกลับมามองผมด้วยสายตาแปลกใจจริงๆ

“ผิดคาดแฮะ”

“อะไร”

“ฉันนึกว่านายจะโวยวายกว่านี้ หรือไม่ก็ช็อกกว่านี้เสียอีก”

ผมยักไหล่กลับไปให้มันทีหนึ่ง

“ตอนนั้นผู้ชายคนนั้นพยายามจะทำร้ายพวกเราใช่ไหม” ผมพูด ยังนึกทุกอย่างไม่ออกหรอก แต่จำได้รางๆ ตอนที่คนคนนั้นลงมือทำร้ายร่างกายพวกเรา ผมจำได้ตอนที่เขายกมือบีบคอโลแกนที่ตอนนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเด็กหกขวบเท่านั้นด้วยซ้ำ “เพราะงั้นบางที… ถ้าเกิดว่านายไม่ได้ทำให้เขาตายตอนนั้น คนที่ต้องตายอาจเป็นพวกเราสองคนแทนก็ได้”

โลแกนยกยิ้มอย่างพึงพอใจทันที

“ในที่สุดนายก็เริ่มฉลาดขึ้นมาสักทีนะ พี่ชาย”

….ยัง ยังไม่เลิกกวนประสาท มันน่าถีบสักทีไหม!!









หลังจากวันนั้นมาไอ้น้องชายจอมกวนประสาทของผมก็แทบจะตามติดตูดผมไปทุกที่จริงๆ เริ่มจากการไปซ้อมเปียโนแล้วก็อัดวิดีโอกับปีเตอร์ (เพื่อนผมแทบจะกรี๊ดแตกตอนเห็นพวกเราทั้งคู่ไปด้วยกัน) หรือแม้กระทั่งไปเล่นเปียโนต่อหน้าคณะกรรมการที่ตัดสินใจว่าจะให้ทุนผมหรือไม่ในรอบสุดท้าย และจนแล้วจนรอดผมก็ได้ที่เรียนในระดับวิทยาลัยเรียบร้อยโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ แทบอยากจะกราบขอบคุณพระเจ้าขึ้นมากันไปข้างเลยทีเดียว

“ดีนะที่วิทยาลัยที่ฉันอยากไปอยู่ไม่ไกลจากบ้านมาก” ผมพูดอย่างอารมณ์ดีขณะที่นั่งอยู่บนเบาะข้างที่นั่งคนขับ ส่งยิ้มให้โลแกนที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถตลอด ก็นะ เจ้าตัวมันได้ใบขับขี่มาแล้วนี่ ก็ต้องใช้ให้คุ้มหน่อย “แล้วนายล่ะ โลแกน ตกลงนายจะทำยังไงกับอนาคตตัวเองต่อ เออ แต่นายทำงานกับพวกตำรวจอยู่แล้วนี่? งั้นก็คงไม่มีอะไรน่ากังวลแล้วมั้ง ยังไงนายก็ได้เรียน… ได้ทำงานที่อยากทำอยู่แล้ว”

เจ้าตัวยกยิ้มบนมุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากออกด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ แต่ทำเอาคนฟังอย่างผมหยุดชะงักไปได้เหมือนกัน

“แต่ฉันต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นนะ”

“หะ?” ผมพูดอย่างแปลกใจ หันขวับไปมองหน้าคนข้างตัวเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “นายว่าอะไรนะ”

“ผมบอกว่าผมต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น” โลแกนพูดทวน เริ่มขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมานิดหนึ่งแล้วตอนนี้ “มันก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่นักหรอก แต่ฉันต้องไปเข้ารับการฝึกแบบเป็นเรื่องเป็นราวกว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้หน่อย แล้วก็แบบ… พวกระเบียบการเรื่องเวลาต่างๆ อะไรงี้น่ะ ฉันต้องฝึกซ้อมมากขึ้น เพราะงั้นจะให้ขับรถไปกลับทุกวันคงไม่ไหว แถมเท่าที่ฟังมาแล้วอาจจะต้องถูกส่งตัวไปช่วยงานในที่ต่างๆ อีก เพราะงั้นคงต้องย้ายเข้าไปอยู่ที่หอที่ทางนู้นเขามีไว้ให้จริงๆ”

“เดี๋ยวๆๆๆๆ” ผมรียกมือห้ามคนข้างตัวทันทีอย่างตามไม่ทัน นี่ผมไม่เห็นรู้เรื่องที่น้องชายฝาแฝดของตัวเองจะย้ายออกเลย แล้วหมอนี่ก็ไม่เคยพูดเกริ่นสักนิด “ทำไมนายจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นด้วยไม่ทราบ บ้านเราก็มี ที่ทำงาน… นายก็ไม่ได้อยู่ไกลไม่ใช่เหรอ ที่ผ่านมา นายก็ทำงานให้คนพวกนั้นมาตลอด”

“ฉันจะไม่ได้แค่ทำงานเป็นสายให้ตำรวจแบบมือสมัครเล่นอีกแล้ว ลู” โลแกนว่า ลอบถอนหายใจออกมา เท้าเหยียบเบรคเพราะสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงพอดี “ฉันจะเข้าร่วมหน่วยเอฟบีไอน่ะ… แล้วมันก็ต้องผ่านการฝึกอะไรนิดหน่อย”

ผมอ้าปากค้าง มองน้องชายที่เคยเป็นที่โจษจันเรื่องไปมีเรื่องกับเด็กนักเรียนโรงเรียนอื่นหรือแม้กับเด็กนักเรียนในโรงเรียนเดียวได้ไม่เว้นแต่ละวันมาตลอดอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่คนอย่างหมอนี่จะได้เข้าหน่วยงานรัฐจริงๆ เหรอเนี่ย!? คนเถื่อนๆ อย่างหมอนี่เนี่ยนะ!?

“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง” โลแกนแยกเขี้ยวให้ผมทีหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มออกรถอีกครั้งเมื่อไฟกลายเป็นสีเขียว “ฉันเองก็มีน้ำยาพอสมควรนะโว้ย ไม่ได้เป็นแค่ไอ้กุ๊ยข้างถนน”

“นายไม่เห็นเคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฉันฟังเลย” ผมพูดเหมือนคราง ขนาดผมยังคอยเล่าความคืบหน้าเรื่องทุนต่างๆ ของตัวเองให้คนข้างตัวฟังเสมอแท้ๆ แต่ไอ้หมอนี่นี่อะไร ถ้าผมไม่พูดถึงก็ไม่คิดจะบอกกันเลยใช่ไหม “แล้วเรื่องย้ายบ้าน… นายจะไปอยู่ที่ไหน”

“ในตัวเมืองนิวยอร์กน่ะ”

“แล้วฉันล่ะ?” ผมถามออกไปเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ถึงแม้ว่าพอหลุดปากออกไปแล้วจะรู้ตัวว่ามันฟังดูเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อยก็ตามที

โลแกนชักสีหน้าลำบากใจนิดหนึ่ง จากนั้นก็ว่า

“ไม่ต้องห่วงหรอก ทางตำรวจจะส่งคนมาคอยดูแลนายอยู่เป็นระยะๆ ไอ้พวกพี่น้องรอยล์หรือจาฟาร์มาทำอะไรนายไม่ได้หรอก อีกอย่าง… ยังไงฉันก็จะกลับมาหานายเป็นระยะๆ อยู่แล้ว และถ้านายอยากเจอฉัน มาแค่นิวยอร์กก็ไม่ได้ไกลหรือยุ่งยากอะไร”

“แต่นายจะย้ายออก” ผมพูดย้ำคำเดิมด้วยน้ำเสียงผิดหวัง ผมก็รู้นะว่าไม่ควรทำแบบนั้น แต่เรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที กลบความยินดีเรื่องที่ผมได้เข้าเรียนอย่างเป็นทางการไปจนหมดสิ้น “นายจะทิ้งฉันไว้คนเดียวเหรอ”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ” คนข้างตัวผมถอนหายใจออกมาอย่างอัดอั้นไม่แพ้กัน “ฉันแค่ต้องไปทำหน้าที่ของฉันก็เท่านั้น นี่เองก็เป็นความฝันของฉัน ความตั้งใจของฉัน และฉันก็ไม่ได้คิดจะทิ้งนายไปไหน”

คำอธิบายนั่นทำให้ผมต้องหุบปากของตัวเองลงทันที จริงสินะ ต่อให้ผมจะไม่อยากให้หมอนี่ย้ายออกไปแค่ไหน แต่ผมก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะไปขวางเส้นทางเดินของมัน ผมเองก็มีความฝันของตัวเอง โลแกนเองก็มีสิ่งที่อยากจะทำ เพราะงั้นไม่มีเหตุผลเลยที่ผมจะไปห้ามมันเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง

“...ฉันขอโทษนะ” โลแกนว่า ตายังคงมองตรงไปที่ถนน ผมส่ายหน้าให้มันน้อยๆ นี่ไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะต้องมาขอโทษกัน

“แล้วนายจะย้ายออกไปเมื่อไหร่”

“สิ้นเดือนนี้”

“เตรียมของแล้วหรือยัง”

แฝดคนน้องของผมยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง “ฉันไม่จำเป็นต้องเอาอะไรไปมากหรอก ที่นั่นมีข้าวของให้ครบ เอาแค่เสื้อผ้ากับของใช้ไม่กี่อย่างไปก็พอแล้ว”

ผมพยักหน้ารับ ยังรู้สึกมึนๆ กับข่าวที่เพิ่งได้รับรู้นี้ จะอธิบายความรู้สึกนี้ออกมายังไงดีล่ะ เหมือนว่าผมกับโลแกนอยู่ด้วยกันมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ในบ้านหลังนั้น… แล้วก็อยู่ด้วยกันมาเกือบจะยี่สิบปีอยู่แล้ว แต่อยู่ๆ เจ้าตัวก็มาพูดว่าจะย้ายออกแบบนี้… มันก็เลย… รู้สึกหวิวๆ นิดหน่อยล่ะมั้ง

“แต่นายจะกลับมาหาฉันบ่อยๆ ใช่ไหม”

“อื้ม” คนข้างตัวผมยิ้มร่า ก่อนจะพูดต่อไปว่า “และถ้านายเหงานะ ลู ฉันมีวิดีโอที่อัดไว้ตอนที่เรานอนด้วยกันตั้งเยอะ ถ้าคิดถึงฉันมากๆ จะเอาขึ้นมาดูแล้วช่วยตัวเอง ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”

“ไอ้ทุเรศ!!!” นี่คนกำลังเครียดๆ ใจหวิวๆ อยู่ ไอ้น้องนรกนี่ก็ไม่ได้ดูตาม้าตาเรืออะไรเลยทั้งนั้น

แล้วเดี๋ยวนะ… สรุปนี่แม่งถ่ายไว้จริงๆ ใช่ไหม! ถ่ายไว้จริงๆ สินะ!!

“เออ แต่เดี๋ยวขอฉันก็อปปี้เก็บไว้ชุดหนึ่งนะ” เจ้าตัวยังสามารถพูดเรื่องทุเรศๆ ออกมาได้หน้าตาเฉยต่อไป “จะเอาไปดูที่นู่นตอนนั่งสมาธิ นายคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม”

“ไม่ได้โว้ยยยยย!!” และนึกภาพ… ถ้าใครสักคนแม่งเข้าไปเห็นวิดีโอที่ว่า โอ๊ย… ไอ้ชิบหาย เมื่อไหร่น้องชายฝาแฝดของผมคนนี้จะมีสามัญสำนึกแบบคนปกติเขามีกันสักที!?

เออ ลืมไป มันไม่ใช่คนปกตินี่หว่า ก็มันเป็นคนที่โดนนรกส่งมาเกิด! มันจะไปมีได้ยังไงล่ะ ไอ้สามัญสำนึกแบบคนปกติที่ว่า!

“อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ้” ไม่พูดเปล่า ไอ้ตัวแสบโน้มหน้าลงมาหอมแก้มผมเร็วๆ ทีหนึ่งอย่างเอาใจ “ระหว่างที่ผมยังไม่ย้ายออก เดี๋ยวพาไปเที่ยวเยอะๆ น้า แล้วก็นอนด้วยกันบ่อยๆ ด้วย พอผมย้ายออกไปแล้วจะได้ไม่คิดถึงกันมาก”

“ไม่!!!”

ไอ้รักไอ้หมอนี่มันก็รักอยู่นะครับ แต่เรื่องบางเรื่องของมันนี่… บางทีก็น่าตบกระโหลกหันไปข้างจริงๆ สักที

พวกเราสองคนนั่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งโลแกนเลี้ยวตัวรถเข้ามาจอดตรงบริเวณหน้าบ้าน เจ้าตัวถึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น

“ถ้านายอยากย้ายออกจากบ้านหลังนี้ แล้วไปหาห้องเช่า… หรือที่อื่นอยู่ ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”

ผมหันไปมองหน้าคนพูด รู้ทันทีว่าหมอนี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร คงจะหนีไม่พ้นเรื่องฝันร้ายของผม ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีๆ ก็ยังเห็นภาพหลอนอยู่อย่างนั้น

ผมนิ่งคิดกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด จริงอยู่ที่บ้านหลังนี้อาจจะมีเหตุการณ์แย่ๆ เกิดขึ้นถึงขนาดตามมาหลอกหลอนในยามค่ำคืน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างผมกับโลแกนไม่น้อยทีเดียว ผมโตกับหมอนี่ในบ้านหลังนี้มาตลอดทั้งชีวิต และตอนนี้… โลแกนก็กำลังจะทิ้งบ้านหลังนี้ไปแล้ว และจะให้ผมทิ้งมันไปอีกคนอย่างนั้นเหรอ?

“ไม่ล่ะ” ผมตอบอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว “ฉันจะอยู่ที่นี่แหละ”







---------------------------------
Talk: โลแกน.... นายจะทิ้งพี่ไปทั้งๆ แบบนี้ไม่ได้นะ ;_; แล้วถ้าพี่นายโดนเป่าดับขึ้นมาล่ะ!?
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 26) P.4 [28/02/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 01-03-2017 18:08:35
ตัดฉับ  :ling1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 27) P.4 [1/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 01-03-2017 18:43:06
ตามทันแล้ว เย้  :L2:
ต้องแยกกันเพราะอนาคตแล้ว สุดท้ายโลต้องกลับนรกจริงหรอ ลูก็เหลือคนเดียวสิ หรือจะยกสำมะโนครัวไปอยู่ด้วยกันนะ พวกพี่โลนี่เฮฮากันดีนะคะ เหมือนมีปมกับความรัก ท่านลูซิเฟอร์ด้วย
ดีใจจังเลย ชอบอ่านแนวนี้มาก และหาอ่านยากมากกกก

ติดตามค่า
ขอบคุณนะคะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 27) P.4 [1/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 01-03-2017 22:06:29
งุ้ยยยยยยยยยยยยยยยย
ชอบตอนที่แฝดยียวนใส่กันจังฉากที่มีการสารภาพบาป(?555555)ดูจิตดี
เขาจะแยกกันแล้วเง้อ :mew2:
ชอบจังที่มาอัพทุกวันเลยน่าร้ากกกกกกก จริงๆก็แอบซุ่มดูไม่ค่อยได้เม้นท์(เลวมาก55)
แต่ตอนนี้ก็เริ่มเม้นท์แล้วนะ เป็นกำลังใจให้ตลอดนะคะ
ชอบเรื่องนี้จริงๆอย่าทิ้งกลางทางนะ :bye2:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 27) P.4 [1/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 02-03-2017 13:20:20


บทที่ 28

(Mode: Lucas Collins)






โลแกนพาผมตะลอนเที่ยวแบบเต็มที่จริงๆ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่มันจะต้องย้ายไปอยู่ในตัวเมือง

เจ้าตัวพาผมไปทะเลเพราะผมเอ่ยปากชวนมันเมื่อคราวก่อน เราพักอยู่ในโรงแรมที่ถึงจะไม่ใช่แห่งที่ดีที่สุดแต่ก็สามารถมองเห็นวิวทะเลจากทางหน้าต่างของห้องพักได้

โลแกนพาผมไปกินร้านอาหารที่เราสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศของลมทะเลได้อย่างเต็มที่ และเมื่อเรากลับเข้าห้องพักแล้ว อาบน้ำ พักผ่อน ทำกิจกรรมสบายๆ อย่างนั่งดูทีวีด้วยกัน พูดคุยกันเรื่องเส้นทางในอนาคตต่อจากนี้ แล้วหลังจากนั้นก็พากันขึ้นเตียง

ผมปล่อยให้โลแกนดึงของผมแนบเข้าไปใกล้ตัวของมันมากขึ้น จากนั้นก็เคลื่อนเข้ามา ผมปล่อยให้ความรู้สึกวาบหวามนั่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ตาที่หลับแน่นทั้งสองข้างเพราะความรู้สึกเสียวซ่านค่อยๆ เปิดขึ้นอีกครั้ง

ตลกดีที่เห็นคนหน้าเหมือนตัวเองอยู่ตรงหน้าในเวลาที่กำลังทำอะไรแบบนี้ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ… ดันมีอารมณ์ร่วมไปซะได้นี่สิ นี่แหละที่น่ากลัว

“อืม….” ผมครางออกมาเบาๆ ขณะที่โลแกนดันตัวเข้ามา ซุกหน้าลงบนซอกคอของผม ลมหายใจอุ่นๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกวูบวาบขึ้นมาไปทั้งบริเวณ

คนด้านบนขบริมฝีปากลงมาบนซอกคอของผมด้วยความมันเขี้ยวแล้ว จากนั้นความปรารถนาทุกส่วนของร่างกายก็พุ่งสูงขึ้น ผมได้ยินเสียงหัวใจในอกเต้นตุบๆ จนมันดังเลยขึ้นมา สะท้อนอยู่ในหัวจนคิดอะไรไม่ออก แล้วความเสียวซ่านก็แล่นไปทั่วร่างในท้ายที่สุด

ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นของคนด้านบนระหว่างที่เจ้าตัววางใบหน้าลงบนซอกคอของผม ตำแหน่งเดียวกับที่เจ้าตัวเพิ่งจะทิ้งรอยไว้ให้

“ขำอะไรเหรอ” ผมกระซิบถามขณะที่หอบหายใจออกมาเบาๆ และค่อนข้างถี่

โลแกนขยับตัวผุดลุกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ส่งยิ้มอ่อนโยนแบบที่นานๆ ทีมันจะทำสักครั้งมาให้ อะไรบางอย่างบอกผมมาแต่แรกแล้วว่าโลแกนไม่ยิ้มแบบนั้นให้ใครนอกจากผม มันเป็นรอยยิ้มสำหรับผมคนเดียว

ของผมแค่คนเดียว…

“ไม่มีอะไรหรอก… ฉันก็แค่รู้สึกว่า…” โลแกนว่า แสร้งมองไปทางอื่นแล้วยักไหล่ทีหนึ่ง แต่ผมไม่ยอมให้มันเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“รู้สึกว่า?”

“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะรักใครได้”

คำตอบนั้นทำให้ผมใจเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง โลแกนไม่เคยบอกรักผมมาก่อนจริงๆ จังๆ และผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินหมอนี่พูดอะไรทำนองนี้ขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ

“ฉันเคยบอกนายใช่ไหมว่าฉันน่ะ ไม่มีความรู้สึก… อะไรพวกนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว” เจ้าตัวว่าขณะไล้ปลายนิ้วลงบนแผ่นอกของผมอย่างแผ่วเบา ผมรู้สึกร้อนวูบทันทีตรงบริเวณที่ถูกสัมผัส “อย่างพวกความอาลัยอาวรณ์ ความรู้สึกผิด ผิดหวัง เสียใจ… หรืออะไรเทือกๆ นั้น”

“ก็นายมันเด็กนรกนี่หว่า”

“ใช่” โลแกนยิ้ม นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับอย่างมีความสุข และมันทำให้ผมใจเต้นรัวขึ้นอีกแล้ว “แต่นายเป็นคนเปลี่ยนฉันในเรื่องนั้น”

“ไม่ยักรู้นะว่านายเป็นคนโรแมนติก”

โลแกนหัวเราะรับกับคำพูดนั้นง่ายๆ และนั่นทำให้ผมเผลอหลุดยิ้มตามไปด้วย

“คนเราก็เปลี่ยนกันได้”

“แปลว่าเมื่อก่อนไม่ล่ะสิ”

“อืม” เจ้าตัวยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิดขณะที่ค่อยๆ ย้ายตำแหน่งมาทรุดนั่งลงข้างๆ ผม “ก็คงงั้นมั้ง ไม่รู้สิ”

“แต่สาวติดนายเยอะนี่”

“นั่นเพราะฉันหล่อไง”

ผมหัวเราะออกมาบ้างในคราวนี้ “พูดดีนี่ เหมือนฉันได้รับคำชมไปด้วยเลยแฮะ”

จากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็เงียบกันลงครู่ใหญ่ ผมปล่อยให้โลแกนเลื่อนมือมาจับเส้นผมของผมเองอยู่อย่างนั้น เจ้าตัวมองหน้าผมนิ่ง ผมเองก็ทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แค่อยากจะตักตวงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันให้ได้มากที่สุดก็เท่านั้น เพราะถึงเจ้าตัวจะบอกว่าจะพยายามแวะมาหาผมที่บ้านก็เถอะ แต่ลางสังหรณ์ผมมันบอกว่ามันจะต้องยุ่งจนแทบหาเวลามาไม่ได้แน่ๆ… หรือต่อให้มาได้ก็คงอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน อีกอย่าง ผมเองก็จะยุ่งขึ้นเหมือนกัน เพราะงั้นถ้าคิดเรื่องเวลาที่ไม่ตรงกันของพวกเราเข้าไปอีก เวลาที่เราอาจได้อยู่ร่วมกันในวันข้างหน้าก็ยิ่งหดสั้นลงไปใหญ่

“ฉันได้ยินว่าปีเตอร์เพื่อนนายก็เข้าเรียนที่เดียวกับนายเหมือนกันนี่”

“ใช่” ผมตอบรับ แปลกใจเหมือนกันที่หมอนี่สนใจเรื่องคนรอบตัว “ทำไมเหรอ”

“ก็คิดว่า… ดีแล้วไง” เจ้าตัวยิ้ม “นายจะได้ทำคลิปก็หมอนั่นต่อ… เพลงที่นายเขียนแล้วก็อัดลงยูทูปกับหมอนั่นน่ะ ดังเอาเรื่องอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“นายตามเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” ผมส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่าย โลแกนขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นจากนั้นก็แนบหน้าผากของมันลงบนหน้าผากของผม

“เพราะมันเป็นเรื่องของนายหรอก”

“โอ๊ย… นายทำตัวหวานแบบนี้ กลัวว่าพรุ่งนี้โลกจะแตกจังเลย”

“ปากดี” คนข้างตัวผมหัวเราะดังๆ เลื่อนมือมาหยิกแก้มผมแรงๆ อีกรอบ ตามด้วยเคลื่อนริมฝีปากลงมาจูบอีกครั้ง

เฮ้ย… นี่ผมพูดจริงๆ นะ โลกจะแตกเร็วๆ นี้ไหมเนี่ย นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะครับเนี่ย









ผมเริ่มต้นเรียนหนังสือหลังจากที่โลแกนย้ายออกจากบ้านไปได้ประมาณสองสัปดาห์ การเรียนช่วงแรกที่เป็นภาคทฤษฎีไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับผมมากนัก แต่เรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกหนักใจเล็กน้อยจนถึงปานกลางคือเรื่องของอาจารย์ประจำตัวมากกว่า

ผมเลือกเรียนเอกเปียโน… ส่วนไอ้ปีเตอร์ไม่รู้มันจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่เอกไหน มันยังสับสนระหว่างกีต้าร์กับการร้องเพลงแบบเพียวๆ เลย หลังๆ มานี้ที่เราเล่นเพลงด้วยกัน ผมจะรับหน้าที่เป็นคนเขียนเพลงแล้วก็เขียนโน้ตในส่วนเปียโนของตัวเองไป ส่วนปีเตอร์จะเป็นคนร้องหลัก มีกีต้าร์เข้ามาแซมบ้างเป็นครั้งคราวแล้วแต่เพลง

กลับมาที่เรื่องของผมต่อ… คือครูประจำตัวที่ผมเพิ่งเลือกไปเนี่ย ผมได้ยินชื่อเสียงมาว่าแกค่อนข้างเคี่ยว ให้เกรดโหด แถมถ้าวันไหนไม่เข้าคลาสหรือมาสายโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า แกเทศน์แหลก แต่ผมลองดูจากรายชื่อบรรดาอาจารย์เอกผมคนที่เหลือ… เทียบกับตารางเวลาเรียนคาบอื่นของผมอีก ดูเหมือนว่าผมจะไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องเลือกคุณไมเคิล ฮาร์ริสมาเป็นครูผู้จะต้องคอยฝึกอบรมและตามประกบผมหลังจากนี้จนจบภาคเรียน

และ… ตอนนี้ผมก็กำลังเผชิญหน้ากับเขา

“ไหน ดูซิ คุณคอลลินส์” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิท นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังเลนส์แว่นกรอบทรงวงรีขอบสีน้ำเงินคมกริบที่ชวนให้คนมองต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออึก

เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูจากภายนอกแล้วน่าจะอายุไม่เกินสามสิบต้นๆ แต่งตัวเนี้ยบขนาดที่ผมเชื่อว่าต่อให้มองหาก็ไม่เจอรอยยับสักรอยบนเสื้อผ้าแบรนด์เนมของเขา ผมก้มลงมองเสื้อฮู้ดกับกางเกงยีนส์ขาดๆ ของตัวเองด้วยความรู้สึกทดท้อใจ รู้งี้น่าจะใส่เสื้อผ้าที่ไอ้โลแกนมันทิ้งๆ ไว้มาวันนี้… ให้ผมเดาจากที่เจ้าตัวกวาดสายตาคมกริบประเมินผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบนั้นแล้ว… ขอเดาว่าความประทับใจแรกพบไม่ค่อยดีเท่าไร

“อื้ม… เป็นเด็กทุนงั้นเหรอ” เจ้าตัวว่าขณะกวาดสายตาอ่านแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือ

“ครับ”

“ทำไมถึงอยากเรียนเปียโนล่ะ?”

“เอ่อ.. ผมเล่นเปียโนมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว” ผมตอบแกนๆ อันที่จริงคำถามเทือกนี้ ผมเคยตอบได้ดีกว่านี้ตอนที่ต้องไปสัมภาษณ์ขอทุนนะ แต่รอบนี้ผมไม่ได้เตรียมตัวมาเหมือนอย่างตอนจะไปสัมภาษณ์นี่นา

และดูเหมือนคำตอบนั่นจะไม่ค่อยทำให้ครูฝึกสอนของผมพอใจขึ้นสักเท่าไร ฮาร์ริสสั่งให้ผมไปนั่งประจำที่บนเปียโนหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในห้อง จากนั้นก็เล่นเพลงที่ถนัดให้เขาฟังสักเพลง

ผมเลือกเล่นเพลงง่ายๆ และเป็นเพลงที่ผมเล่นบ่อยที่สุดยามที่ไม่รู้ว่าควรจะเล่นเพลงอะไรดีให้เขาฟัง ชายหนุ่มตรงหน้ากอดอก ยืนฟังเงียบๆ จนกระทั่งมันจบลง ไม่มีเสียงปรบมือหรือรอยยิ้มชื่นชมใดๆ หลุดออกจากคนตรงหน้า นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกใจแป้วลงเล็กน้อย

จะว่ายังไงดีล่ะ… คือทั้งชีวิตผม เรื่องที่มั่นใจสุดๆ ก็คือเรื่องเปียโนนี่แหละครับ แล้วอยู่ๆ มาโดนเงียบใส่แบบนี้… ยังไงล่ะเนี่ย หรือว่าเงียบแบบนี้คือดีแล้ว? อย่างน้อยผมก็ไม่โดนด่าใช่ไหม?

“อืม… ก็ถือว่ามีฝีมือพอตัวล่ะนะ”

คำพูดนั้นแทบทำเอาผมถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งอก แต่ยังไม่ทันได้หายใจทั่วท้อง อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาต่อเสียก่อน

“แต่ถ้าคิดว่านี่เป็นเพลงที่คุณถนัดที่สุดแล้ว ผมคิดว่าคุณยังต้องพัฒนาฝีมืออีกมาก”

โอย… แล้วนี่พี่ท่านจะมาชมแต่แรกให้ผมตายใจทำไมเนี่ย!!

“อะไรครับ” คนเป็นครูว่าพร้อมกับมองผมด้วยสายตาวับๆ เอาเรื่อง “ทำหน้าแบบนั้น คุณมีอะไรไม่พอใจรึเปล่า คุณคอลลินส์”

“ปะ… เปล่า” ผมรีบว่าทันที “ไม่มีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นผมอยากให้คุณเล่นอีกสักเพลง” เจ้าตัวว่า คราวนี้เดินไปเปิดกระเป๋าของตัวเอง หยิบโน้ตเพลงออกมาจำนวนหนึ่ง กวาดสายตามองแล้วเลือกใบหนึ่งมาให้ผม “เพลงนี้แล้วกันครับ ลองเล่นให้ผมดูที”

ถ้าหากว่าครั้งแรกเป็นการพบเจอกันที่เรียกว่าไม่ค่อยจะโสภาแล้ว ครั้งต่อๆ มาน่าจะเรียกว่าเลวร้ายถึงขั้นวิกฤต

“คุณคอลลินส์… โน้ตตรงนั้นน่ะมันไม่ใช่แบบนั้น นี่คุณอ่านโน้ตออกรึเปล่าเนี่ย” จากนั้นเจ้าตัวก็จะดีดไม้เรียวที่จุดประสงค์หลักของมันคือการเอาชี้ตัวโน้ตลงบนมือของผมแรงๆ อย่างไม่ใยดี

ผมชักมือของตัวเองขึ้นมากุมอย่างตกใจ คือจะว่าเจ็บมันก็เจ็บ แต่มันตกใจเสียมากกว่า ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเจ็บมือน่ะไม่เท่าไร แต่ความเจ็บใจที่โดนอีกฝ่ายตำหนิออกมาแบบนั้นนี่สิ เจ็บกว่าหลายเท่านัก

“อ่านโน้ตทวนเดี๋ยวนี้” เจ้าตัวว่าพร้อมกับใช้ไม้เรียวขนาดเล็กที่ทำจากสแตนเลสซึ่งมีรูปร่างเหมือนเสาไฟฟ้าที่ติดอยู่บนรถตีแปะๆ ลงบนโน้ตเพลงที่อยู่ตรงหน้าผม

“คุณคอลลินส์… จังหวะตรงนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น”

จากนั้นความเจ็บก็แล่นแปลบผ่านมือผมไปอีกครั้ง

“นี่ คุณได้ตั้งสมาธิระหว่างที่เล่นบ้างไหม”

แล้วก็อีกครั้ง

“เอาล่ะ… อาทิตย์หน้าค่อยมาซ้อมเพลงนี้กันอีกรอบ อย่ามาสายนะครับ ขอให้สนุกกับวันหยุดสุดสัปดาห์”

“ขอบคุณครับ” ผมพูดตอบไปอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นจึงค่อยๆ หยิบเข้าของของตัวเองแล้วออกมาจากห้องเรียนส่วนตัว

ผมเดินออกมาข้างนอกอาคารตรงบริเวณด้านหน้าของมหาลัย ปีเตอร์ที่เพิ่งเลิกคลาสเหมือนกันตรงเข้ามาทักทายผมด้วยรอยยิ้มเริงร่า

“ไง ลูคัส”

ทันทีที่เห็นหน้ามัน ผมก็กระโดดกอดคอมันทันที

“โอย… พีท ฉันไม่ไหวแล้ว เรียนกับครูคนนี้ฉันจะเป็นบ้า วันนี้ไอ้บ้านั่นมันตีมือฉันไปตั้งสองรอบ!”

“เออ ก็ใครให้ให้นายไปลงเรียนกับครูโหดวะ สมน้ำหน้าแล้ว”

“ไอ้ปีเตอร์! เอ็งเป็นเพื่อนใคร ฮะ!!??”

คนผมแดงหัวเราะร่า จากนั้นก็เอื้อมมือมาโอบบ่าผม โยกตัวเบาๆ เป็นเชิงปลอบ

“เพื่อนนายไง เอาน่า อย่าอารมณ์เสียไปหน่อยเลย ไปกินข้าวกันดีกว่า วันนี้นายอยากกินอะไร”

“ไม่เอาเบอร์เกอร์แล้วนะ” ผมพูดดักคอ กินข้าวกับหมอนี่ทีไรต้องหนีไม้พ้นเบอร์เกอร์ทุกที เบื่อจะตายอยู่แล้ว

“งั้นก็พิซซ่า!”

“...เออ พิซซ่าก็ได้” อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเบอร์เกอร์ล่ะวะ

โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมสั่น ผมหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะต้องหลุดยิ้มออกมาอดไม่อยู่เมื่อได้อ่านข้อความที่น้องชายฝาแฝดของผมเป็นคนส่งมา

‘กลางวันนี้ว่าจะกินพิซซ่าว่ะ ฝั่งนั้นล่ะ?’

ผมเลยพิมพ์ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบจ้ำเท้าเดินตามเพื่อนที่เดินนำหน้าไปก่อน

‘เหมือนกันเลยว่ะ’







----------------------------------
Talk: ลูคัส... นายอยู่ที่ไหนก็โดนทรมานทรกรรม (?) นะ อย่าร้องนะลูก โอ๋ๆ (??) //ถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 28) P.4 [2/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-03-2017 15:58:33
ลูคัส เจอครูสอนสุดโหด
สอนดีๆ ก็ได้นี่นะ
นี่ใช้ไม้ชี้ตัวโน้ตตีมือลูคัส
มันมีแต่หนังหุ้มกระดูกนะ
แย่มาก ก็มันเจ็บโคตรๆเลย
อิจฉา หน้าตา หรือว่าโรคจิต
เคยถูกทำโทษแบบนี้มาก่อน
ต้องให้โลแกนตีมือนายฮาร์ริสดูบ้าง
จะยิ้มเบิกบาน หัวเราะดีอยู่มั้ย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 28) P.4 [2/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 02-03-2017 17:34:55
คิดในแง่ดีลูคัส เขาโหดเพื่อให้เรามีประสบการณ์ไง
สู้ไปด้วยกันลูกับโล

ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 28) P.4 [2/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 02-03-2017 21:12:36
ชอบงับ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 28) P.4 [2/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 03-03-2017 07:50:04
ทำไมเราเพิ่งมาเจอเรื่องนี้ สนุกมากๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 28) P.4 [2/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 03-03-2017 10:34:17

บทที่ 29

(Mode: Logan Collins)





ผมเข้ารับการฝึกพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ ในช่วงแรก และสามารถสร้างความตื่นตะลึงให้แก่ครูผู้ฝึกทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ หลังจากที่ผมเข้ามาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ที่ซึ่งฝึกและปั้นเจ้าหน้าที่แก่รัฐบาลกลางและองค์กรต่างๆ ในหน่วยงานภาครัฐเป็นเวลาเกือบหกเดือน ผมก็ถูกแมคโดเวลผู้ซึ่งเปรียบเสมือนคนที่รับผิดชอบดูแลผมมาตั้งแต่ต้นเรียกตัวไป

“สวัสดีครับ” ผมพูดขึ้นขณะที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ในอาคารหลังเดิมที่ซึ่งมีห้องทำงานของชายผู้นี้อยู่อีกแล้ว… เจ้าตัวเดินทางมาหาผมที่ใจกลางเมืองและคงจะขอยืมใช้ห้องนี้ชั่วครางเพื่อคุยงานกับผม “แปลกใจจังที่เห็นคุณมาถึงนี่ มีอะไรเหรอครับ”

“นั่งก่อนสิ โลแกน” อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามของผม หากผายมือไปที่เก้าอี้ตรงหน้าให้ผมนั่งลง จังหวะนั้นเองที่สายตาผมเหลือบไปเห็นชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ในเครื่องแต่งกายดูไม่เป็นทางการ หากทะมัดทะแมง เสื้อผ้าของเขาสีทึมและกลมกลืนไปกับผนังด้านหลังจนทำให้ผมไม่ทันสังเกตเห็นในตอนแรก

ผมเดินลงไปหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่า หากสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งยืนพิงกับผนังห้อง กอดอกนิ่ง สีหน้าราบเรียบหากแววตาฉายแววสุขุมและเงียบสงย เส้นผมสีน้ำตาลของเจ้าตัวชี้ไปมาไม่เป็นทรง คะเนจากสายตาแล้วชายหนุ่มคงอยู่ในวัยสามสิบกลางๆ ตัวสูงกว่าผมไปพอสมควร รูปร่างกำยำ เห็นแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนในองค์กร… หรือหน่วยงานสักหน่วยงานที่ทำหน้าที่ใกล้เคียงกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แถวนี้

“ไม่เห็นคุณบอกผมเลยว่าเราจะมีแขก”

“สังเกตไวดีนี่” แมคโดเวลพุดด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน มือเริ่มหยิบเอกสารออกมากางบนโต๊ะในขณะที่สายตาผมยังคงจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งอย่างสนใจ

คนคนนี้ต้องมีฝีมือพอตัว… นั่นแหละคือสิ่งที่ผมรู้สึกได้ และดูจากการแต่งตัว… ที่ดูไม่เป็นทางการแล้ว ผมเดาเลยว่าเจ้าตัวไม่ได้ขึ้นตรงกับเอฟบีไอหรือหน่วยงานที่ปกครองโดยรัฐบาลกลางโดยตรง

“โลแกน นี่คุณไรอัน ฮิวเบอร์ เขาเป็นคนจากดีซีไอเอส”

ผมผิวปากหวือในใจทันที รู้ดีว่าหน่วยงานที่อีกฝ่ายพูดมีรูปแบบการทำงานยังไง ฮิวเบอร์ก้าวเท้าเข้ามาใกล้พวกเราสองคนมากขึ้น แค่เห็นแววตาเขา ผมก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายผ่านการใช้ชีวิตมาในรูปแบบที่โชกโชนมาก มันเต็มไปด้วยประสบการณ์อย่างชัดเจนสะท้อนออกมาจากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั่น

อ่า… อยากถามจังเลยว่าเขาฆ่าคนมากี่คนแล้ว แต่บางทีเขาเองอาจจะลืมนับไปแล้วก็ได้

“คุณฮิวเบอร์ นี่โลแกน คอลลินส์ คนที่ได้คะแนนท็อปในคลาสมาตลอดที่ผมเคยเล่าให้ฟัง”

ผมจับมือกับชายตรงหน้านิดหนึ่งอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ส่งยิ้มเป็นมิตรให้ อีกฝ่ายไม่ยิ้มตอบ สีหน้าเขาแทบไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ถืออะไรหรอก

“คุณบอกรายละเอียดเรื่องพวกนี้ให้เขาทราบหรือยัง”

แมคโดเวลผายมือทั้งสองข้างออกจากกัน พยักเพยิดไปที่เอกสารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ

“ผมถึงได้เรียกคุณมานี่ไง เพื่อช่วยอธิบายให้เขารู้”

ฮิวเบอร์ถอนหายใจออกมาหน่อยหนึ่งจากนั้นก็ดึงเก้าอี้ที่อยู่คู่กับโต๊ะอีกตัวมานั่ง ดึงแผ่นเอกสารมากมายออกมา ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเอกสารเหล่านั้นไม่ได้มีความจำเป็นใดๆ เลย เพราะเนื้อหาใจความสำคัญมันอยู่ที่แผ่นนี้เพียงแผ่นเดียว

ผมนั่งฟังแมคโดเวลกับฮิวเบอร์พูดสลับกัน ได้ใจความมาว่าทั้งสองคนกำลังคิดจะให้ผมเข้าร่วมหน่วยดีซีไอเอสที่ว่านี้ด้วย ซึ่งหน่วยงานที่ว่านี้… ถ้าให้พูดกันง่ายๆ เลยก็คือหน่วยงานมือสังหารนั่นแหละ เงื่อนไขที่ผมจะต้องทำความเข้าใจในส่วนนี้ก็คือ รัฐบาลจะไม่รับผิดชอบใดๆ ถ้าเกิดว่าผมดันตายในหน้าที่ขึ้นมา หรือถ้าโดนจับได้ก็จะโดนทางหน่วยงานลอยแพเหมือนกัน

ถ้าให้เจาะลึกเข้าไปอีกว่าทำไมถึงใช้ระบบนั้น… เนื่องจากการจ้างวานมือสังหารให้ลอบฆ่าใคร… นั่นหมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องเป็นผู้กระทำผิดที่กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ ไม่ว่าจะด้วยอำนาจหรือเงินทองที่คนคนนั้นมี การมีหน่วยงานดีซีไอเอสที่ว่านี้ก็สามารถช่วยลัดขั้นตอนทางกฎหมายที่ยุ่งยากไปได้เลยอย่างรวดเร็ว แต่แน่นอนว่าหากมีการจับได้เกิดขึ้น ทางผู้ว่าจ้างก็ต้องแน่ใจว่ามันจะไม่ซัดทอดกลับมาทางรัฐบาลเพื่อไม่ให้เกิดความโกลาหลและความไม่พอใจของประชาชนที่อาจจะตามมา

แหม… ช่างเป็นหน่วยงานที่เหมาะกับผมอะไรขนาดนี้

“แน่นอนว่าทางเราจะให้เวลาเธอตัดสินใจ” แมคโดเวลว่าขณะกล่าวสรุป “งานตรงนี้มีความเสี่ยงสูง แล้วก็ต้องผ่านการฝึกอย่างหนัก แน่นอนว่าถ้าเธอตกลงใจที่จะทำ ฮิวเบอร์ก็จะเป็นคนฝึกทุกอย่างให้กับเธอ รวมถึงจะพาเธอไปออกภาคสนามด้วยกันกับเขาด้วย”

ผมเหลือบมองคนข้างตัวที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นก็วางกระดาษสำหรับเซ็นสัญญาที่อยู่ในมือลง

งานที่ผมได้รับการเสนอให้ทำ… ความเสี่ยงมันสูงก็จริง แต่สำหรับผมแล้วมันก็ดูตื่นเต้นท้าทายดี แถมค่าตอบแทนที่ได้ก็สูงไม่ใช่น้อย ผมน่ะ ไม่ได้สนใจตัวเม็ดเงินหรอก เพราะในชีวิตก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมากมายอยู่แล้ว

แต่ลูคัส… บางทีหมอนั่นอาจต้องการ

อีกอย่าง… ที่สำคัญไปกว่านั้น จากรายละเอียดที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว เนื่องจากผมไม่ได้ถูกควบคุมโดยหน่วยงานโดยตรง แต่ลักษณะงานจะเป็นไปตามแผนการที่ได้รับการออกแบบมาจากอีกหน่วย ส่วนภาคสนามของจริงค่อนข้างจะมีอิสระมาก

ผมไตร่ตรองถึงข้อดีและข้อเสียของมันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบุคคลทั้งสองภายในห้องอย่างรวดเร็ว

“ผมจะเข้าร่วมหน่วยงานนี้ด้วยครับ”

“แน่ใจเหรอว่าจะไม่เอาเก็บไปคิดดูก่อน?” ฮิวเบอร์เอ่ยถามเสียงเรียบ ผมยกยิ้มบนมุมปาก มองหน้าชายอีกสองคนในห้องแล้วพูดตอบอย่างรู้ทัน

“ถึงยังไงพวกคุณก็คิดว่าผมจะตอบตกลงอยู่แล้วใช่ไหม ถึงได้เอาข้อเสนอนี้มายื่นให้”

ทั้งสองคนไม่ตอบ หากความเงียบเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

“อีกอย่าง… โดนผู้บังคับบัญชาของตัวเองเรียกตัวมาคุยด้วยแบบนี้… ผมคิดว่าคำตอบจะมีแค่อย่างเดียวเสียอีก ไม่น่าต้องถามซ้ำให้เสียเวลาเลย”

จากการฝึกที่ผมโดนเทรนด์มา… คำสั่งจากเบื้องบนถือเป็นอะไรที่เด็ดขาด มันก็คล้ายๆ กับการฝึกทหารนั่นแหละ คุณไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามกับผู้บังคับบัญชาของคุณ ไม่มีสิทธิ์บ่ายเบี่ยง ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเสียเวลาคิดหรือลังเล เพราะวินาทีหนึ่งที่คุณลังเลอาจทำให้ชีวิตคนมากมายดับสูญลงได้ มันก็เป็นคอนเซปต์อะไรเทือกนั้น เพราะงั้น… ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่มิสิทธิ์ที่จะตอบปฏิเสธข้อตกลงนี้ด้วยซ้ำ ถ้าคิดในแง่นี้แล้วน่ะนะ

ผมจรดปากกา เซ็นลงในกระดาษแผ่นนั้นอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มอีกสองคนนัดแนะผมในเรื่องขั้นตอนต่อไปอีกเล็กน้อย แต่ต่อจากนี้ไปผมจะได้ครูฝึกคนใหม่แล้ว ครูฝึกที่เป็นของผมคนเดียว ไม่ต้องไปรวมกับพวกคนธรรมดาที่ต้องค่อยๆ ปั้น ค่อยๆ พัฒนาฝีมือ ค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นมา บางทีการได้อยู่กับคนที่ใกล้เคียงกับตัวเองอาจเป็นอะไรที่ดีกว่า

หืม? ทำไมผมถึงบอกคนข้างตัวใกล้เคียงกับตัวเองน่ะเหรอ… ก็เพราะว่า…

“นี่ คุณฮิวเบอร์”

“หืม?”

“คุณเคยฆ่าคนมากี่คนแล้ว” ผมถามออกไปตรงๆ ไม่ผิดหวังเลยที่เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นเรียบเฉย ไม่สะทกสะท้านใดๆ กับคำถามนั้นแม้แต่นิดเดียว

อ่า… นี่สิ มันต้องคนระดับนี้สิ ที่จะฝึกผมได้

“ผมไม่เคยนับ”

“อ้อ”

“แล้วคุณล่ะ คอลลินส์”

หากคำถามที่อีกฝ่ายย้อนกลับมาทำให้ผมชะงักไปทันทีเพราะคาดไม่ถึง อีกฝ่ายยังคงมีท่าทีเรียบเฉยเหมือนเดิมขณะที่ถามสืบต่อไปว่า

“ฆ่าคนมาแล้วกี่คน”

ผมรู้สึกเหมือนหัวใจในอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้น จากนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ผมมั่นใจว่าทุกศพที่ผ่านมือผมมาจะไม่ทีทางสืบสาวไปถึงมือของตำรวจ ผมมีการเก็บกวาดที่เรียบร้อย ดังนั้นแล้วต่อให้ผมจะพูดกับคนตรงหน้าว่ายังไง เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วเหล่านั้นก็ไม่สามารถย้อนกลับมาเล่นงานผมได้

“อืม… ไม่รู้สิครับ” ผมยกยิ้ม “ไม่เคยนับเหมือนกัน”

และนั่น… เรียกรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปากให้ชายหนุ่มตรงหน้าในที่สุด

“แฝดของคุณน่ะ…” หัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปกะทันหัน ทำเอาผมสะดุดไปได้เหมือนกัน บ๊ะ… อะไรกันนี่ คนคนนี้ จะทำผมเกือบหัวคว่ำมาหลายรอบล่ะนะ “ลูคัส คอลลินส์สินะ”

ผมไม่แสดงท่าทีตกใจหรือแปลกใจอะไร พี่ชายฝาแฝดของผมตอนนี้เริ่มมีหน้าตาผ่านทางสื่อโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ตมากขึ้น… จริงๆ ต้องเรียกว่าพุ่งพรวดเลนก็ว่าได้ เพราะล่าสุดเจ้าตัวเพิ่งไปคว้ารางวัลแข่งเปียโนอะไรสักอย่างมาจากทางฝั่งตะวันตก เห็นลูคัสบอกว่าช่วงนี้ตะลุยแข่งไปทั่วตามที่ครูฝึกของตัวเองแนะนำมา ผมไม่แปลกใจเลยสักนิดกับรางวัลชนะเลิศถ้วยแรกที่หมอนั่นเพิ่งได้มา แล้วผมก็เชื่อด้วยว่าถ้วยที่สอง ที่สามจะตามมาหลังจากนี้

“ฝากแสดงความยินดีให้เขาด้วยแล้วกัน”

“ผมไม่นึกว่าคุณจะสนใจเรื่องแบบนี้ด้วย” ผมพูดอย่างแปลกใจจริงๆ เพราะถึงลูคัสจะเริ่มมีหน้ามีตาขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้เด่นดังขนาดที่คนทั่วไปจะรู้ ถ้าไม่ใช่คนในวงการดรตรีด้วยกัน… และดูจากลักษณะของคนตรงหน้าแล้ว ไม่น่าใช่คนที่อยู่วงการนั่นแน่ล่ะ

“ไม่ค่อยสนใจหรอก” ฮิวเบอร์ตอบตรงๆ “แต่มันเป็นนิสัยน่ะ เวลาที่เห็นอะไรผ่านตาทีหนึ่งแล้วจะจำได้ค่อนข้างแม่น ยิ่งได้เอกสารของคุณมาอ่านก่อนหน้า ยิ่งจำได้ดีเข้าไปใหญ่”

ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถ้าเขาได้อ่านประวัติผม… ก่อนจะเจอลูคัสในหน้าทีวี ก็คงไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากอะไร

พวกเราสองคนเดินไปด้วยกันตามทางเงียบๆ ผมเดาเอาว่าเขาอาจจะพูดเรื่องประวัติของผมมากกว่านี้ อย่างที่ใครๆ ทำกัน… ก็จะเรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่พ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิดผมและลูคัสฆ่ากันตายต่อหน้าต่อตาพวกเราไง ใครที่ได้อ่านประวัติส่วนนี้ของผมเป็นต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดด้วยสีหน้าแววตาเห็นใจทุกที เอียนจะแย่… และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมเอียนกับเรื่องพวกนี้ถึงได้ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นออกมาเลยสักคำ…

เออ… เพิ่งรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนร่วมงานที่ถูกใจก็คราวนี้แหละ คิดว่าต่อจากนี้น่าจะทำงานไปด้วยกันได้ดี








ผมกลับมาที่ห้องพักของตัวเองหลังจากที่นัดแนะวันและสถานที่ที่ต้องไปเจอกับฮิวเบอร์ในครั้งต่อไปเสร็จเรียบร้อย ผมมีเวลาพักผ่อนอีกสองวันก่อนจะต้องเตรียมตัวเริ่มการฝึกหฤโหดกับครูฝึกคนใหม่ สถานะตัวตนใหม่ แต่ก่อนหน้านั้นผมมีเวลาพักผ่อนและทำตัวเรื่อยเฉื่อยสองวัน

ผมหยิบของใช้บางชิ้นและเสื้อผ้าอีกส่วนหนึ่งใส่ลงกระเป๋าเป้อย่างไม่เร่งร้อน เหลือบมองดูนาฬิกาที่แขวนผนังนิดหนึ่งเพื่อคำนวนเวลา จากนั้นจึงเดินออกจากห้องพัก ไปที่รถซึ่งจอดอยู่ในลานแล้วบึ่งออกไปตามท้องถนน ไหลไปกับสภาพการจราจรเรื่อยๆ จนกระทั่งพ้นช่วงตัวเมืองออกมานั่นแหละถึงจะเริ่มบึ่งรถได้อีกครั้ง

ผมขับรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังเดิม หลังที่อาศัยอยู่กับลูคัสมาตลอดเกือบทั้งชีวิต ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือ น่าจะอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงกว่าหมอนี่จะมาถึง แต่ผมไม่ต้องรอนานขนาดนั้น รถแท็กซี่คันหนึ่งจอดลงที่หน้าบ้าน จากนั้นลูคัสก็เดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าลากอีกใบ เจ้าตัวอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงแสลคสีดำกึ่งทางการ สีหน้าของแฝดผมแปลกใจไม่น้อยทีเดียวที่เห็นยืนโบกมือยิ้มให้อยู่ตรงนี้

“โลแกน!?” เจ้าตัวว่า ลากกระเป๋ามาประชิดตัวผมอย่างตกตะลึง “นายมานี่ได้ไง แล้วทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกว่าจะมา”

“อยากเซอร์ไพรส์ไง” ผมตอบยิ้มๆ มองตามแผ่นหลังของพี่ชายที่ก้าวเท้าดุ่มๆ ไปไขกุญแจ เปิดประตูบ้านด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียดมากขึ้น

“นายก็เป็นซะอย่างนี้ คิดจะทำอะไรก็ทำ จะกลับมาก็ไม่บอกไม่กล่าว นี่ดีนะที๋ฉันกลับมาบ้านพอดี ไม่งั้นนายก็ต้องรอแกร่วแบบนี้ไปอีกสามชาติ แล้วกับข้าวก็มีไม่พอส่วนของสองคนหรอกนะ บอกไว้ก่อนเลย ถ้านายอยากจะกินก็ต้องขับรถพาฉันไปซื้อ แล้วนี่นายมารอนานรึยัง ฉันถึงได้บอกไงว่า--”

ผมไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจนจบประโยคเพราะไม่อยากรอแล้ว ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในตัวบ้าน ผมก็คว้าตัวของลูคัสเข้ามาในวงแขน ดันไปติดกับผนังด้านหลังแล้วโน้มหน้าลงไปจูบปากอีกฝ่ายอย่างโหยหา รู้สึกว่าช่วงเวลาที่ห่างกันไป ผมจะสูงกว่าหมอนี่ขึ้นนิดหนึ่งแฮะ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว

“อือ… โลแกน” คนตรงหน้าครางเสียงหวานออกมาหน่อยหนึ่ง จากนั้นก็เรียกชื่อผมในจังหวะที่ผมผละริมฝีปากออกมา แล้วผมก็ปิดปากลงไปใหม่อีกครั้งอย่างมันเขี้ยว

คนตรงหน้าเลื่อนมือมาโอบไหล่ผม ใบหน้าร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนผมสัมผัสได้ ผมไล้ลิ้นลงบนใบหูซึ่งเป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายให้เจ้าตัวสะดุ้งเล่น จากนั้นก็ผละริมฝีปากออกแล้วเปลี่ยนไปกอดคนในวงแขนไว้แนบแน่นแทน ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะคิดถึงพี่ชายฝาแฝดของตัวเองได้มากขนาดนี้ ยังกับเด็กติดพี่งั้นแหละ...

“ฉันคิดถึงนาย” คนในอ้อมแขนของผมพูด ราวกับประโยคนั้นหลุดออกมาจากกลางใจผมอย่างนั้น ผมยกยิ้มขึ้นบนมุมปาก จากนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

เรื่องที่เราสองคนคิดอะไรตรงกันนี่… มันเป็นเพราะว่าเราเป็นฝาแฝดกันด้วยรึเปล่านะ?







----------------------------------
Talk: แหม... คิดถึงกันก็บอก... XD ถถถถถ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ >w< คนอ่านอาจจะไม่เยอะเท่าไร แต่ยังไงก็จะพยายามเขียนตอ่ไปค่า~
ป.ล. เดี๋ยวเอามาลงเพิ่มอีกตอนค่ะวันนี้ ฮุๆ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 29) P.4 [3/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kothan ที่ 03-03-2017 13:09:05
หวานเล็กๆ
โลแกนว่างสองวันทำอะไรดีน้อ  :hao6:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 29) P.4 [3/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 03-03-2017 15:01:20
เฮ้!!!!!!!!
จะตัดจบแบบนี้ไม่ได้นะ! 55555
ชอบโลแกนจังใาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 29) P.4 [3/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 03-03-2017 16:30:25


บทที่ 30

(Mode: Lucas Collins)







นี่ไม่ได้เจอกันแต่แป๊บเดียว… หมอนี่สูงนำหน้ากันไปแล้วเหรอเนี่ย

ความคิดนั้นลอยเข้ามาในหัวหลังจากที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะลำคอแห้งผาก สะโหลสะเหลเดินไปรินน้ำจากเหยือกที่อยู่บนโต๊ะภายในห้อง ดับกระหายเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจจะกลับมานอนต่อ… แต่พอหันไปมองข้างเตียงที่วันนี้ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนทุกวันแล้ว… ผมก็เผลอคิดเรื่องนั้นขึ้นมาทันที

จริงๆ ตอนเจอหมอนั่นยืนพิงรถ รอผมอยู่ที่หน้าบ้าน ผมก็แอบคิดเหมือนกันว่ามันสูงขึ้นรึเปล่า แต่ตอนแรกคิดว่าคิดไปเอง… ที่ไหนได้ พอมายืนเทียบกันชัดๆ จริงๆ… แฝดคนน้องของผมได้สูงนำขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว

บ้าจริงเลย เป็นแค่น้องแท้ๆ นี่ผมน่ะเกิดก่อนมันนะ เกิดก่อนมัน… (ถึงจะแค่ไม่กี่นาทีก็ตาม) ผมก็ควรจะสูงกว่ามันไม่ใช่เรอะ แล้วนี่อะไร นี่ผมโดนมันแซงหน้าแม้กระทั่งเรื่องความสูงไปแล้วเรอะ

“เหอะ น้องบ้า” ผมว่าพร้อมกับเลื่อนมือไปลูบไล้เส้นผมสีบลอนด์ทองที่ปรกอยู่บนหน้าของอีกฝ่ายที่เปลือยกายครึ่งท่อนบน ผมเองก็อยู่ในสภาพแบบเดียวกับหมอนี่เหมือนกัน คงจะพูดว่าอะไรมันไม่ได้

ครั้งล่าสุดที่ผมเจอหมอนี่… น่าจะประมาณครึ่งเดือนที่แล้ว มาเจอกันอีกทีตอนนี้… คะเนจากสายตาที่พิจารณาดูร่างกายมันแล้ว… ไอ้หมอนี่น่าจะผ่านการฝึกที่หนักหน่วงมาอย่างพอสมควร ถึงเมื่อก่อนสมัยอยู่ด้วยกันมันจะฝึกอยู่ในห้องใต้หลังคาอยู่บ่อยๆ ก็เถอะ แต่การฝึกเองที่บ้านกับฝึกที่สถาบันเฉพาะทางด้านนี้เลยย่อมต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ… สถาบันที่นี่ให้เงินสำหรับเป็นเบี้ยเลี้ยงให้แก่นักเรียนที่ฝึกอยู่ที่นี่ด้วย เพราะงั้นน้องชายสุดที่รักของผมถึงได้คอยเทียวส่งเงินมาให้อยู่เรื่อย อุตส่าห์พูดย้ำนักย้ำหนาว่าไม่เอา ให้มันเก็บไว้ใช้เอง เจ้าตัวแสบก็ตอบกลับมาง่ายๆ ว่า ‘ฝากเก็บหน่อย’

ก็ดีเหมือนกัน เพราะยังไงเงินของพวกเราก็ถือเป็นเงินกองกลางอยู่แล้ว ก็เหลือกันอยู่แค่สองคน…

“ลู” เสียงงึมงำจากปากอีกฝ่ายทำเอาผมสะดุ้งนิดหนึ่ง ก่อนจะต้องสะดุ้งหนักขึ้นไปอีกเมื่อมือแกร่งเลื่อนมาจับมือผมที่กำลังเล่นหัวมันอยู่อย่างเพลิดเพลิน ดึงตัวผมลงไปกอดแนบอกจนผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตักของมัน

ผมหน้าร้อนขึ้น รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อยเพราะไม่ได้สัมผัสร่างกายหมอนี่มาพักหนึ่ง (ถึงจะเพิ่งนอนไปด้วยกันเมื่อกี้ก็เถอะ) แต่ผ่านไปไม่กี่วินาที ไออุ่นจากร่างของคุณตรงหน้าก็แผ่ซ่านเข้ามาชวนให้รู้สึกสบายใจ อบอุ่น… จริงๆ แล้วผมคิดถึงสัมผัสของหมอนี่มากเลยนะ แค่อ้อมกอดง่ายๆ แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว มันเป็นความสุขง่ายๆ ที่ทำให้ผมนึกอยากหยุดเวลาเอาไว้ให้หมอนี่อยู่กับผมตลอดไป แต่ก็รู้ว่ามันคงเป็นแบบนั้นไม่ได้ ก็พวกเราไม่ใช่เด็กๆ กันอีกต่อไปแล้วนี่นะ

“อะไรเหรอ” ผมถามกลับขณะที่เจ้าตัวขยับแขน กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น จากนั้นเจ้าตัวก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมมองผมนิ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ

“นายห้อยสร้อยนั้นไว้ตลอดเลยเหรอ? เมื่อก่อนไม่ค่อยเห็นนายใส่”

เจ้าตัวว่าพลางพยักเพยิดไปทางสร้อยคอที่มีจี้เป็นไม้กางเขนที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างหัวเตียง มันเป็นไม้กางเขนที่น้าลิซ่าให้ผมมาในวันนั้น… ก่อนหน้านี้ผมมักจะเก็บมันใส่ไว้ในกล่องที่รวบรวมจดหมายจากน้าและของมีค่าบางอย่างไว้ด้วยกัน นานๆ ทีถึงจะหยิบขึ้นมาใส่

ผมเลื่อนมือไปหยิบมันขึ้นมาถือไว้ในมือ ไล้ปลายหัวแม่โป้งลงแสตนเลสนั้นอย่างเบามือ มันอาจไม่ใช่ของที่มีราคาค่างวดสูงอะไร แต่นี่ก็ถือเป็นของที่ผมเอาไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจที่สำคัญชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว

“ก็นะ… ช่วงนี้เอามาใส่บ่อยหน่อย เป็นเครื่องรางนำโชคของฉันเอง”

“เห” คนถามลากเสียงยาวนิดหนึ่ง

“แล้วนายล่ะ” ผมเลยถือโอกาถามย้อนบ้าง “เดี๋ยวนี้ไม่ใส่แล้วเรอะ สร้อยกางเขนกลับหัวของนายน่ะ หรือว่าเปลี่ยนใจ กลับมาอยู่ในจารีตประเพณีที่ดีงามแล้ว?”

โลแกนทำหน้าราวกับผมเพิ่งอ้วกใส่หน้ามันไปเลยทีเดียว

“ฉันเคยอยู่ด้วยเหรอวะ ไอ้อะไรแบบนั้นน่ะ”

“ไม่เคย” ผมยิ้นหวานตอบ

“ก็หยิบเอามาใส่บ้างไม่ใส่บ้าง บางทีช่วงฝึก… ใส่แล้วมันเกะกะน่ะ แต่ของฉันน่ะ มันไม่ใช่เครื่องรางนำโชคอะไรแบบของนายหรอกนะ ก็แค่… ใส่แล้วรู้สึกเหมือนมีพลังมากขึ้น ก็เท่านั้น แล้วก็เป็นการบูชา… อะไรที่ฉันเชื่อด้วย”

“ซาตานเหรอ” ผมถามกลับอย่างสงสัย อีกฝ่ายยักไหล่ทีหนึ่ง

“บางคนก็เรียกลูซิเฟอร์”

“นายไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เชื่อในลูซิเฟอร์เนี่ยนะ?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นนิดหนึ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก็รู้อยู่หรอกนะว่าหมอนี่มันเพี้ยนมาแต่ไหนแต่ไร แต่นี่ก็โตๆ กันเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังไม่เลิกเพี้ยนอีกเหรอวะ

“พระเจ้าเหรอ ไม่รู้สิ” โลแกนว่าพร้อมกับดึงไม้กางเขนออกไปจากมือผม เอาไปพิจารณาใกล้ๆ “บางทีฉันอาจจะเชื่อก็ได้ แต่ในความเชื่อของฉันมันอาจจะแตกต่างจากของนายนิดหน่อย นั่นก็แค่… ท่านจะไม่มาคอยช่วยเหลือทุกคนหรอก แล้วก็จะไม่คอยช่วยเหลือตลอดเวลาด้วย สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อฝั่งไหน ผลลัพธ์มันก็ออกมาที่การกระทำของพวกเราอยู่ดี”

“นายเชื่อแบบนั้นเหรอ” ผมรับไม้กางเขนจากมืออีกฝ่ายกลับมาถือในมือ “แต่ฉันเชื่อนะ… ว่าท่านมีจริง และท่านก็จะคอยปกป้องคุ้มครองลูกๆ ของพวกท่าน ถ้าหากพวกเราเป็นคนดีน่ะนะ”

“นั่นที่ลิซ่าบอกมาใช่ไหม” โลแกนว่าอย่างคนที่จำอะไรได้แม่น

“ใช่”

“นายไม่ต้องมีพระเจ้าหรอก ลูคัส” แฝดผมว่าพร้อมกับเลื่อนหน้าลงมาทาบริมฝีปากลงบนแก้มของผมแผ่วเบา “ฉันจะคอยปกป้องนายเอง ไม่ต้องถึงมือพระเจ้าหรอก”

ผมหน้าร้อนวูบ จากนั้นก็ต้องรีบหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่อยากให้โลแกนสังเกตเห็นใบหน้าที่แดงขึ้นของผม ก่อนจะต้องรีบเฉไฉไปว่า

“จะคอยปกป้องฉัน ไม่ต้องถึงมือพระเจ้าเนี่ยนะ” ผมว่า ทำน้ำเสียงเหมือนระอา “อย่างกับเนื้อเพลงลูกทุ่งเห่ยๆ”

“แต่ว ตะตะแหน่ว ตะตะแหน่ว ตะตะแต๊วแว๊วแวว”

นั่น มันรับมุกด้วยการทำมือดีดกีต้าร์ประกอบทำนองอีก ไอ้เด็กบ้า คิดว่านี่เป็นตลกคาเฟ่รึไง

แต่ถึงจะคิดแขวะมันแบบนั้น ผมก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ คลานขึ้นไปหามันแล้วจูบปิดปากไอ้คนจอมกวนประสาททีหนึ่งอย่างหมั่นไส้ โลแกนดึงผมลงไปนอนลงบนหมอนแล้วประกบริมฝีปากปิดลงมาอีกครั้ง คราวนี้เนิ่นนานและชวนให้สั่นสะท้าน

มือหนาเริ่มไล้ลงไปบนหน้าท้องของผม ไล้ต่ำลงไปเรื่อยๆ จนจะถึงต้นขาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะมีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าดังขึ้นมาก่อน

ผมสะดุ้งตัวเฮือกด้วยความตกใจในขณะที่คนด้านบนเพียงแค่ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างหงุดหงิด เสียงริงโทนที่ดังขึ้นมาไม่ใช่ของผมแน่ล่ะ ดังนั้นก็ต้องเป็นสายของคนตรงหน้าผม

โลแกนผละออกจากร่างของผมไป ลุกออกจากเตียง จากนั้นก็เดินไปเปิดกระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์ที่แผดเสียงร้องออกมา

ผมเหลือบมองดูนาฬิกาดิจิตัลที่อยู่บนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียงด้วยความรู้สึกฉงน… ตีสองกว่าๆ เกือบจะตีสาม…  โทรมาเวลาแบบนี้แปลว่าต้องมีเรื่องเร่งด่วนอะไรแน่ ไม่ชอบเลย มันทำให้ผมรู้สึกแย่มาก รู้สึกได้เลยว่าใจเต้นตึกตักขึ้นด้วยความกังวล กลัวว่าหมอนี่จะต้องไปจากผมก่อนเวลาอันควร ก็โลแกนก็บอกผมว่าอยู่ได้ถึงพรุ่งนี้ตอนเย็นนี่นา แต่โทรศัพท์เข้ามากลางดึกแบบนี้…

ผมนั่งจ้องน้องชายของตัวเองกรอกเสียงลงในโทรศัพท์ จากนั้นเจ้าตัวก็อุทานออกมาเสียงดังอย่างตกใจ เดินพรวดพราดไปเปิดผ้าม่านออก ก้มมองลงไปยังชั้นล่างบริเวณหน้าตัวบ้าน จากนั้นเจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมาตีหน้าผาก ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างคนเซ็งจัดทันที

...นั่นไง ผมว่าแล้วเชียว ลางสังหรณ์เรื่องร้ายๆ นี่มีผิดพลาดที่ไหน

“ครับๆ จะลงไปครับ” โลแกนพูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะกดปุ่มตัดสาย ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างเซ็งจัดในอารมณ์

ผมใจหายวาบเมื่อเห็นเจ้าตัวเดินไปคว้ากระเป๋าสัมภาระของตัวเองขึ้นมา ยัดข้าวของน้อยชิ้นลงไป หยิบเสื้อที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ ผมถามอย่างแปลกใจทันที

“อะไรกัน นายจะไปแล้วเหรอ?”

“อืม ใช่ มีงานด่วน”

“งานด่วนอะไร” ผมอึกอัก มองอีกฝ่ายที่ทำสีหน้าปั่นยากอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ก็นายยังเป็นแค่เด็กนักเรียนฝึกหัดอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? แล้วจะมีงานอะไรให้ทำอีก แล้วนี่มันก็เวลาขนาดนี้”

“จริงๆ แล้วในสายงานแล้ว เวลาแบบนี้แหละที่เหมาะแก่การออกล่าเหยื่อ” โลแกนพูดทีเล่นทีจริง โยนเสื้อของผมที่อยู่บนพื้นขึ้นมาให้ ผมรับมาอย่างงงๆ สายตายังจับจ้องไปที่เจ้าตัวดีเหมือนไม่อยากเชื่ออยู่

“ฉันล้อเล่นนะ” โลแกนว่าต่อ “จริงๆ แล้วเวลาทำงานของสายงานนี้มันก็ตลอด 24 ชั่วโมงนั่นแหละ เอ้า เร็ว ใส่เสื้อซะ”

“ใส่ทำไม” ผมถามกลับ รู้สึกเหมือนโดนไม้หน้าสามฟาดลงกลางกบาลอย่างไรอย่างนั้น ทุกวันนี้แค่เวลาที่หมอนี่จะมาหาผมก็น้อยมากอยู่แล้ว เดือนหนึ่งมาได้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แล้วก็มาได้แค่เสาร์อาทิตย์ที่เป็นวันหยุด แล้วนี่… ไอ้หมอนี่เพิ่งจะมายังไม่ทันไร ต้องไปอีกแล้วเหรอ

“อย่างน้อยก็มาส่งกันหน่อย” โลแกนว่า นิ่งไปนิดก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “นะครับ?”

….เจอแบบนี้เข้าไป ใครจะปฏิเสธได้ลงคอล่ะ





ผมเดินลงไปที่ชั้นล่างของตัวบ้านด้วยสภาพที่บ่งบอกเลยว่าเพิ่งลุกออกจากเตียง ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ในขณะที่แฝดของผมปัดๆ ผมหน่อยเดียวก็กลับมาเข้าที่ได้อย่างสวยงาม ไม่รู้ใช้เวทมนตร์อะไรมันถึงได้ดูดีอยู่ตลอด ผมเองก็หน้าเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมทำไม่ได้แบบมันวะ

“สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักชายในชุดสูทเต็มยศที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ข้างตัวเขามีรถมียี่ห้อคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ดับเครื่อง เจ้าตัวมีเส้นผมสีเทาปกคลุมไปทั่วทั้งหัว หากท่าทางยังคงแข็งแรงและมีสุขภาพดี

โลแกนรีบหันกลับมาแนะนำอีกฝ่ายให้ผมรู้จักทันที

“ลูคัส นี่แมคโดเวล… จอห์น แมคโดเวล คนในเอฟบีไอที่รับหน้าที่ดูแลฉันอยู่ แมคโดเวลฮะ นี่พี่ชายฝาแฝดผม ลูคัส”

ผมเขย่ามือกับชายสูงวัยตรงหน้าทั้งๆ ที่ยังงงๆ อยู่ อีกฝ่ายยังมีสีหน้าสุขุมไม่เปลี่ยนขณะออกปากพูด

“ผมเห็นคุณในข่าว เรื่องที่คุณชนะการแข่งเปียโนระดับภูมิภาค ยินดีด้วยนะครับ”

“เอ้อ ขอบคุณครับ” ผมตอบรับไปแกนๆ หน้าร้อนขึ้นมานิดหนึ่ง เป็นปฏิกิริยาที่ควบคุมไม่ได้ แม้ว่าจะมีคนมาแสดงความยินดีกับผมแบบนี้เกือบร้อยคนแล้วก็ตามที ยังไงก็ไม่ชินสักทีสิน่า

“ขอโทษด้วยจริงๆ ที่มารบกวนดึกดื่นขนาดนี้”

อ้อ ก็รู้ตัวเหมือนกันนี่

ก็รู้นะว่าคิดแบบนั้นมันไม่ดี… แต่ก็อดคิดงั้นไม่ได้อยู่ดี ก็นี่มันช่วงเวลาส่วนตัวของผมกับโลแกนนี่!

“ไม่เป็นไรครับ” ถึงจะไม่ชอบใจ แต่ผมก็ออกปากตามมารยาทอยู่ดี “จะเข้ามาข้างในก่อนไหมครับ ผมจะหาอะไรให้ดื่ม”

“เกรงว่าเราจะไม่มีเวลากันมากขนาดนั้น” อีกฝ่ายเอ่ยปากด้วยสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปทางโลแกนนิดหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนใจหายวูบ ทั้งๆ ที่เราก็เจอกันเรื่อยๆ แท้ๆ แต่พอถึงเวลาที่หมอนี่จะไปทีไร ผมชอบเป็นงี้อยู่เรื่อยเลย “ถ้ายังไง… ผมคงต้องขอยืมตัวน้องชายฝาแฝดของผมไปช่วยงานสักหน่อย”

“...รอจนถึงตอนเช้าไม่ได้เลยเหรอครับ” ผมหลุดปากพูดออกไปอย่างอดไม่อยู่ ก็รู้หรอกนะว่ากำลังทำตัวเอาแต่ใจตัวเอง แต่มัน… ไม่อยากให้หมอนี่ไปเลย

“ถ้ารอได้ ผมคงไม่รบกวนขนาดบุกมาหาที่บ้านแบบนี้หรอกครับ”

“ไปกันเถอะ แมคโดเวล” โลแกนพูดขัดขึ้นในที่สุด “ต้องรีบไม่ใช่เหรอครับ แล้วเรื่องรถ…”

“นายมากับฉัน โลแกน รถนาย เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยให้คนมาเอากลับไปให้ มาเถอะ”

โลแกนยกมือขึ้นนิดหนึ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าไปในตัวรถที่นั่งฝั่งคนขับ

“ขอเวลาผมสามนาที”

แล้วเจ้าตัวดีก็เดินกลับมาหาผม ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังแสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาทางสีหน้า และมันคงชัดเจนมาก เจ้าตัวถึงได้ดันผมให้กลับเข้ามาในตัวบ้าน เพื่อจะได้พ้นจากสายตาของคนที่อยู่ในรถ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” โลแกนพูดพร้อมกับเลื่อนมือมาวางบนแก้มผม เกลี่ยลงตรงหางตาเบาๆ ราวกับว่าผมสามารถร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ “เดี๋ยวผมจะติดต่อมา ถ้าโชคดี พรุ่งนี้ตอนเย็นๆ อาจจะเจอกันได้”

“สัญญา?”

“สัญญาไม่ได้” เจ้าตัวตอบตามตรง และนั่นทำให้ผมต้องเม้มริมฝีปากแน่นขึ้นอย่างไม่พอใจทันที

“ลู…”

“นายบอกว่าจะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ตอนเย็น” ผมพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ทั้งๆ ที่ในหัวก็เข้าใจดีอยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้… ทำไมผมถึงได้ทำตัวเด็กนักนะ

“ผมขอโทษ”

คำพูดง่ายๆ นั่นทำเอาผมใจอ่อนยวบลง ก่อนจะพยายามรวมรวมสติ หลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดออกมาอีกครั้ง

“ไปเถอะ โลแกน” ผมว่า “อย่าให้หัวหน้านายรอนาน”

“แล้วจะรีบติดต่อมา” เจ้าตัวว่า ก้มหน้าลงมาจูบผมเร็วๆ ทีหนึ่งก่อนจะผละออกไป ผมเดินไปส่งมันถึงหน้าประตูบ้าน โบกมือให้อีกฝ่าย ยืนดูจนกระทั่งรถหรูคันนั้นแล่นจากไปในท้องถนนยามค่ำคืน ราวกับถูกความมืดกลืนกินไปทั้งๆ อย่างนั้น

บางที… ความรู้สึกของผมก็อาจจะใกล้เคียงกับอะไรแบบนั้นเหมือนกัน







---------------------------------------
Talk: โอ๋... ลูคัส ไม่ร้องนะคะ เดี๋ยวพี่สาวพาไปกินไอติมนะ//โดนโลแกนดักตีหัว
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 29) P.4 [3/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 03-03-2017 16:31:14
อืม เพิ่งรู้ตัวว่าคิดถึงตอนจุ๊บรึ  :mew1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 30) P.4 [3/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-03-2017 16:50:25
มาเจอกัน แป๊บเดียว กลับและ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 30) P.4 [3/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 03-03-2017 21:16:29
งือ ได้อยู่ด้วยกันแป๊บเดียวเองอ่ะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 30) P.4 [3/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 04-03-2017 09:45:01

บทที่ 31

(Mode: Lucas Collins)





โลแกนไม่กลับมาเมื่อวาน… แล้วก็ส่งข้อความมาบอกผมว่ามาเจอกันไม่ได้เมื่อคืน

ผมนอนพลิกตัวอยู่บนเตียงอย่างหงุดหงิดขณะที่พระอาทิตย์โผล่พ้นเส้นขอบฟ้าขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่ง แสงของมันส่องกระทบลงมายังพื้นโลก กระเด็นกระดอนมาพาดผ่านผ้าม่านที่ถูกปิดเอาไว้อย่างไม่สนิทนัก แสงที่ว่านั่นทำให้ผมต้องลุกพรวดขึ้นจากเตียงด้วยอารมณ์ที่ไม่เป็นสุขนัก

มันจะไม่มา… ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่อะไรคือการที่ส่งข้อความมาบอกกันตอนตีสาม…

‘ขอโทษนะ ลู คงไปไม่ได้จริงๆ แล้วว่ะ ยังไงก็นอนไปก่อนนะ แล้วจะติดต่อไปใหม่’

แล้วไอ้คนรออย่างผมก็รอไปเถอะ… ก็เห็นเจ้าตัวพูดทิ้งท้ายไว้ว่าอาจจะมาเจอได้ แล้วคนที่อยาเจอมันจะเป็นจะตายอย่างผมก็รอไปเถอะ ง่วงแค่ไหนก็ถ่างตารอมัน เล่นเกมรอก็แล้ว อ่านหนังสือรอก็แล้ว ซ้อมเปียโนรอก็แล้ว ขนาดตาจะปิดก็ยังเดินไปชงกาแฟมากินเพื่อให้ตาสว่าง…

ตาสว่างละเป็นไงล่ะ ผลสุดท้ายแม่งก็มาไม่ได้ แล้วแทนที่จะส่งมาบอกกันแต่หัวค่ำ ดันปล่อยให้รอมาจนถึงรุ่งสาง

ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างหงุดหงิด ทำภารกิจในยามเช้าอย่างรวดเร็ว ตอนที่ส่องกระจกเพื่อแปรงฟัน ภาพที่ตัวเองที่สะท้อนออกมานี่… เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ถุงใต้ตาคล้ำเด่นชัด ผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมยังมีรังสีความอารมณ์บูดฉายชัดออกมาอีกด้วย

นี่ไม่ดีเลย เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่แย่มาก… แล้ววันนี้ตอนเช้าผมก็มีเรียนภาคปฏิบัติกับไมเคิลอีก… ขืนอารมณ์บูดไปเจอหมอนั่น ต้องโดนพูดเอ็ดอะไรแน่

เดินกลับเข้ามาภายในตัวห้องอีกที หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู เหมือนเป็นไปตามอัตโนมัติมากกว่าจะอยากทำอะไรกับเจ้าโทรศัพท์เครื่องนี้จริงๆ ผมรู้ว่าใครๆ ก็เป็นกัน ไม่ใช่แค่ผมหรอก ในยุคที่โทรศัพท์มือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของชีวิตคนเราไปแล้วแบบนี้

เอ๊ะ… แต่เดี๋ยวก่อน…

ตัวเลขนาฬิกาดิจิตัลที่โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอนี่… ไม่จริงใช่ไหม… นี่มันเวลาขนาดนี้แล้วเรอะ!!??

“ชิบหายแล้ว!!” ผมอุทานกับตัวเองอย่างตกใจ ตรงดิ่งไปใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว คว้าสิ่งของทุกอย่างที่ต้องใช้ในการเรียนวันนี้ใส่กระเป๋าเป้ จากนั้นก็รีบตรงดิ่งออกจากบ้านไปเพื่อไปมหาลัยอย่างรวดเร็ว

ถึงจะรู้ดีอยู่แล้วก็เถอะ… ว่าตอนนี้ ต่อให้รีบขนาดไหน ยังไงก็สายอยู่ดี

แม่งเอ๊ย!! เพราะไอ้บ้าโลแกนแท้ๆ เลย!! (ไม่รู้ล่ะ ยังไงวันนี้ทั้งวันก็จะโทษมันคนเดียว!! ไอ้น้องชายบ้า!)






ไมเคิล ฮาร์ริสมาถึงที่ห้องเรียนอยู่ก่อนแล้วและกำลังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ค่อยเป็นสุขนัก

อันที่จริงก็คือ ชายหนุ่มกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธจัดสุดๆ เลยต่างหากล่ะ แค่ออร่าที่แผ่ออกมารอบตัวก็ชัดเจนพอแล้ว คิ้วเรียวของเจ้าตัวขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปมได้ มือทั้งสองกอดอกไว้แนบแน่น และเมื่อผมค่อยๆ วางกระเป๋าเป้ของตัวเองลง โค้งตัวให้คนตรงหน้า ทำท่าจะเอ่ยปาก พูดขอโทษออกมา ฮาร์ริสก็พูดขัดขึ้นมาก่อน

“คุณรู้ตัวรึเปล่าว่ามาสายไปเกือบชั่วโมง”

“ระ… รู้ครับ” ผมตอบอึกอัก พยายามอ้าปากพูดอีกรอบ “ขอโทษด้วยจริงๆ---”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ คุณคอลลินส์”

ผมใจหายวาบเมื่อได้ยินคนตรงหน้าเรียกผมด้วยนามสกุล… อันที่จริงช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนค่อนข้างไปได้ด้วยดี ยิ่งมีการแข่งขันที่นอกรัฐเมื่อสัปดาห์ก่อน ที่ผมต้องนั่งเครื่องไปถึงนั่นเพื่อแข่ง… และชายหนุ่มตรงหน้าก็ตามมาด้วยในฐานะผู้ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเรื่องต่างๆ

การได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนอกสถานที่ยิ่งทำให้พวกเรารู้จักกันและกันมากขึ้น บวกกับตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ได้เรียนกับชายคนนี้… เอาเป็นว่ามันทำให้พวกเราสองคนสามารถเปลี่ยนจากเรียกนามสกุลมาเป็นเรียกชื่อต้นกันได้อย่างเป็นธรรมชาติก็แล้วกัน แล้วการที่อีกฝ่ายเรีกยผมด้วยนามสกุลแบบนี้แปลว่าต้องฉุนจัดแน่ๆ

ก็นะ… ผมเองก็ไม่เคยมาเรียนคาบหมอนี่สายด้วย… ก็เพิ่งจะเคยโดนโกรธเพราะเรื่องนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ

“คุณอาจจะคิดว่าการที่คุณได้รางวัลมาทำให้คุณกลายเป็นคนสำคัญ… กลายเป็นคนที่ไม่ต้องรักษากฎ กติกาแล้วระเบียบมารยาทอะไรขึ้นมาแล้ว”

“เดี๋ยวก่อนครับ” ผมพยายามพูดแทรก “นั่นมันไม่ใช่…”

“แล้วอะไรคือการที่คุณมาคลาสของผมสาย!” ฮาร์ริสว่าพร้อมกับฟาดสมุดโน้ตเปียโนลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าอย่างหัวเสีย และไม่รู้ทำไม… อยู่ๆ ความหงุดหงิดที่สั่งสมมาตั้งแต่เมื่อคืนก็เอ่อล้นขึ้นมา ประกอบกับท่าทีฉุนเฉียวเกินเหตุของอีกฝ่ายด้วย และอยู่ๆ ผมก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ขึ้นมา

“นั่นเหรอ มิกกี้” ผมขึ้นเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แค่ผมมาคลาสของคุณสายแค่ครั้งเดียว ผมกลายเป็นคนไม่เคารพกติกา กลายเป็นคนที่คิดว่าตัวเองดังแล้วไม่เห็นหัวคนอื่นไปแล้วเลยเหรอ?”

“อย่าเรียกผมว่ามิกกี้!” อีกฝ่ายโต้กลับด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่า “ชื่อนั้นน่ะ มีไว้ให้เพื่อนผมเรียก ไม่ใช่ให้นักเรียนที่ไม่มีมารยาทแล้วก็ไม่เคารพกฎกติกาของคลาสมาใช้เรียกผม!”

“โอเค” ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ สูดลมหายใจเข้าปิดลึกๆ ทีหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองก่อนผ่อนออก ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปะทะกันรุนแรงเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ และเรื่องนี้มันก็เป็นความผิดของผมเอง “ผมขอโทษครับ คุณฮาร์ริส ผมผิดเองที่มาคลาสของคุณสาย แถมยังไม่ส่งข้อความหรือบอกคุณก่อนล่วงหน้า”

อีกฝ่ายยังคงจ้องผมนิ่งอย่างไม่พอใจ หากสีหน้าไม่แดงก่ำด้วยความโกรธเหมือนเมื่อครู่แล้ว

“บอกผมมาซิว่าอะไรทำให้คุณมาสาย”

“คือ… ผมลืมตั้งนาฬิกาปลุก” ผมยอมรับตรงๆ ไมเคิลเป็นคนที่ชอบอะไรตรงไปตรงมามากกว่า ถ้าเกิดผมสร้างเรื่องโกหกเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองไปแล้วเขามาจับได้ทีหลัง นั่นจะยิ่งทำให้เขาโกรธกว่าที่ควรจะเป็นเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่า แต่ที่แน่ๆ… แค่เขาโกรธธรรมดาก็แย่พอแล้ว “แล้วเมื่อคืน… ผมนอนดึกไปหน่อย พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็สายแล้ว”

“ไปดื่มมางั้นสิ?”

“เปล่าครับ” ผมว่า “คือ… น้องชายผมบอกว่าเขาอาจจะมาเจอผมได้ ผมก็เลยรอเขา แต่ผลสุดท้ายเขาก็ไม่มา”

คำอธิบายนั่นทำให้ชายตรงหน้าดูมีท่าทีอ่อนลง เขารู้ว่าผมไม่มีใครคนอื่นในครอบครัวนอกจากโลแกน

“แล้วทำไมคุณถึงไม่โทรไปหาเขาล่ะ รอทำไมจนถึงดึกดื่น”

คำถามนั้นทำเอาผมสะอึกไปทีหนึ่งผมไม่ได้ติดต่อหมอนั่นไปเลยอย่างที่คนตรงหน้าว่าจริงๆ เพราะผมถือว่าโลแกนพูดแล้วว่าอาจจะมาได้ ก็เลยเอาแต่รอการติดต่อจากหมอนั่นฝ่ายเดียว อีกอย่าง… ก่อนที่จะแยกกัน โลแกนต้องไปทำงานที่ดูเร่งด่วน ผมก็ไม่อยากไปเซ้าซี้หรือทำอะไรที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานของเขา ก็เลยไม่ได้ติดต่ออะไรหมอนั่นไปเลย

“ผม… นึกว่าเขาจะมาจริงๆ นี่”

“ช่างเถอะ” ครูฝึกสอนของผมตัดบท ถอนหายใจเฮือก ดูเหมือนเขาจะอารมณ์เย็นลงแล้ว “ทีหลังก็ระวังอย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วกัน ผมไม่ชอบนักเรียนที่ไม่ทำตามกฎของผม แล้วเรื่องการตรงต่อเวลา… ผมย้ำเสมอว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ยิ่งตอนนี้คุณกลายเป็นคนดังแล้ว จะทำอะไรก็ต้องระวังมากขึ้น อย่าให้ใครมาดูถูกว่ามีชื่อเสียงแต่รักษามารยาทพื้นฐานแค่นี้ไม่ได้”

“ขอโทษครับ” ผมพูดเสียงอ่อย ยอมรับการเทศนาจากเจ้าตัวโดยดุษณี

ไมเคิลเริ่มสั่งให้ผมหยิบสมุดโน้ต เนื้อเพลง และอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ออกมา เขาสั่งให้ผมเขียนสรุปที่ไปแข่งมาเมื่อสัปดาห์ก่อนเพื่อเอาไว้ใช้ทบทวนตัวเองว่าสามารถแก้ไขและพัฒนาส่วนไหนของตัวเองได้บ้าง จากนั้นก็ขอให้ผมเล่นเพลงลงบนเปียโนต่ออีกพักหนึ่ง และเนื่องจากผมมาสายในวันนี้ คลาสของเราจึงจบลงค่อนข้างเร็ว

“เออ นี่ ลูคัส” อีกฝ่ายว่าเสียงอ่อนลงกว่าตอนแรกที่ผมเข้ามาในคลาสมาก “เมื่อตอนต้นคาบ ผมขอโทษด้วยนะที่ขึ้นเสียงใส่คุณขนาดนั้น คุณจะเรียกผมว่ามิกกี้เหมือนเดิมก็ได้นะ”

ผมยิ้มรับคำขอโทษนั้น รู้สึกโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอกไปได้ทันที มิกกี้เป็นครูฝึกที่ดีมากสำหรับผม ถึงเขาจะดุแล้วก็เข้มงวดจนน่ากลัวไปหน่อย แต่ถ้าไม่ได้เขา ผมกล้าพูดได้เลยว่าตัวเองไม่มีทางได้ถ้วยรางวัลล่าสุดนี่มาหรอก

“แล้ววันนี้นายจะเจอน้องชายนายรึเปล่า หรือว่าเขาจะกลับตอนเสาร์อาทิตย์?” เขาถามโดยอิงจากข้อมูลที่ผมเคยเล่าเรื่องโลแกนให้ฟัง ผมไม่ได้พูดถึงน้องชายฝาแฝดของตัวเองแบบละเอียอดมากนัก เนื่องจากกลัวว่าจะเผลอหลุดปากพูดสิ่งที่ไม่สมควรออกไป

ผมมีเรื่องเกี่ยวกับโลแกนที่คนนอกไม่ควรรู้อยู่เยอะเกินไป… ยิ่งถ้าในระหว่างการสนทนามีแอลกอฮอล์มาเอี่ยวด้วยแล้ว ผมจะพยายามหลีกเลี่ยงหัวข้อการสนทนานี้แบบสุดขีด ไม่ได้หรอก ก็แต่ละเรื่องของหมอนี่มันเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ไหน… นี่ยังไม่นับรวมความสัมพันธ์แปลกๆ ของพวกเราสองคนอีกนะ ไม่ได้ๆๆๆ

เพราะงั้น… สิ่งที่คนตรงหน้ารู้ก็มีแค่ว่าผมมีน้องชายฝาแฝดที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนตำรวจ และเพราะอย่างนั้นเจ้าตัวเลยต้องย้ายไปอยู่ในหอ อาทิตย์หนึ่งจะได้กลับบ้านสักครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ไม่ได้กลับเลย

“เอ่อ… ไม่รู้สิครับ ช่วงนี้หมอนี่ยุ่ง” ผมพูดอุบอิบ ไม่อยากบอกหรอกว่าจริงๆ มันก็เพิ่งแวะมาหาผมเมื่อวันเสาร์ ฉลองเรื่องที่ผมได้รางวัลให้ แล้วก็สัญญาว่าจะอยู่ด้วยจนถึงคืนวันอาทิตย์ แต่สุดท้ายก็โดนลากตัวกลับไปทำงานซะก่อน

“คงจะเหงาแย่สินะ” ไมเคิลถอนหายใจออกมาเบาๆ เลื่อนมือมาลูบศีรษะผมนิดหนึ่ง “ครอบครัวก็มีแค่คนเดียว แล้วอีกฝ่ายก็คงยุ่ง… นี่ก็แปลว่านายไม่ได้ฉลองเรื่องที่ได้รางวัลกับครอบครัวเลยสินะ”

“เอ่อ…” จะบอกว่าฉลองแล้วตอนนี้จะทันไหมนะ…

“เอางี้ วันศุกร์ตอนเย็นนี้นายว่างไหมล่ะ เดี๋ยวฉันพาไปเลี้ยงเอง” 

ข้อเสนอนี้ของอีกฝ่ายทำให้ผมแปลกใจจริงๆ จะว่าไปแล้ว… นอกจากปีเตอร์ที่อยู่มหาลัยเดียวกับผม ผมก็คงสนิทกับไมเคิลนี่รองลงมาจากหมอนั่นได้เลยมั้ง เพื่อนสมัยมัธยมก็ยังนัดเจอกันอยู่บ้างก็จริง แต่มันก็ต่างจากคนที่อยู่ในวิทยาลัยเดียวกันอยู่ดี

แต่พอลองคิดในแง่นั้นแล้ว… ผมกับไมเคิลไม่เคยไปกินข้าวด้วยกันตอนที่ยังอยู่ที่นี่เลย… ผมหมายถึง ตอนที่ผมไปแข่ง ยังไงผมก็ต้องตัวติดกับครูผู้ฝึกคนนี้แทบจะตลอดเวลาก็จริง แต่มันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ตอนที่อยู่ในรั้วมหาลัยแบบนี้ เราสองคนไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันเลย แค่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในคลาสเท่านั้น ดังนั้นข้อเสนอที่อีกฝ่ายพูดมาจึงชวนให้ผมแปลกใจอยู่นิดหน่อย

แต่… ก็ดีเหมือนกัน ตั้งแต่จบการแข่งมาผมก็รู้สึกกับอีกฝ่ายมากขึ้นพอสมควรด้วย อีกอย่าง ยังไงผมก็ไม่มีโรแกรมอะไรอยู่แล้ววันศุกร์นี้ สู้ไปกินข้าวกับเพื่อนยังจะดีซะกว่า

“จะดีจริงๆ เหรอครับ?” ผมถามย้ำ

“ดีสิ” ไมเคิลยกยิ้ม “จะได้ฉลองเรื่องรางวัลให้นายไง ไหนๆ ที่บ้านนายก็… เอ่อ ฉันหมายถึง ยังไงๆ น้องชายนายก็ยุ่ง ไม่ได้มาฉลองให้… โอกาสดีๆ แบบนี้ ถ้าไม่ฉลองเป็นเรื่องเป็นราวหน่อยก็น่าเสียใจแย่ นายไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”

ผมยิ้มเจื่อนๆ ให้อีกฝ่ายทันที พูดไปตอนนี้จะทันไหมน้อ ว่าโลแกนลงทุนเอาไวน์เกรดดีมาเปิดขวดเพื่อยินดีให้ผมมือคืนก่อนแล้ว… แต่ก็ช่างเถอะ ฉลองกับหมอนั่นก็ไม่ค่อยต่างอะไรจากกินข้าวด้วยกันธรรมดาๆ อยู่ดี ไปฉลองจริงจังอีกสักรอบจะเป็นไรไป

“นายจะชวนเพื่อนนายไปด้วยก็ได้นะ… คนนั้นน่ะ คนที่เล่นเพลงกับนายบ่อยๆ”

“ปีเตอร์น่ะเหรอครับ”

“ใช่”

“งั้น…” ผมคิดตาม มีปีเตอร์ไปด้วยก็น่าจะสนุกกว่าล่ะนะ “ผมจะลองชวนดู แต่มันจะโอเคกับคุณเหรอ มิกกี้?”

“ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” อีกฝ่ายว่าขณะหยิบกระเป๋าถือมียี่ห้อของตัวเองขึ้นมาไว้ในมือ เตรียมออกจากห้องเช่นเดียวกับผม “ก็นี่มันงานฉลองของคุณนี่ เอาที่คุณสบายใจเถอะ”

ผมส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย ก่อนจะรีบพูด

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมก็ไม่มีทางได้รางวัลนี้มาหรอก”

ไมเคิลไม่พูดอะไรตอบ แค่ยิ้มกลับมาให้ผมเท่านั้น เออ… จะว่าไปหมอนี่เวลายิ้มก็ดูหล่อดีนะ ถ้าฝึกยิ้มบ่อยๆ อาจจะกลายเป็นครูที่ป๊อบในหมู่นักเรียนขึ้นมาก็ได้ แต่นี่เจ้าตัวดันเอาแต่ทำหน้าดุตลอด…

แต่ช่างเถอะ ไม่ค่อยอยากให้มีนักเรียนคนอื่นมาเรียนกับไมเคิลเหมือนกัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้น เวลาที่หมอนี่จะฝึกให้ผมอาจจะลดลงไปก็ได้ เพราะงั้นให้เขาไม่ค่อยป๊อบแบบนี้ต่อไปแหละ ดีแล้ว






----------------------------------
Talk: อ้าววว ไรอะ ลู เล่นชู้เหรอลู.... ถถถถถถถ// ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ >3<
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 31) P.4 [4/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 04-03-2017 10:01:04
นี่ลูคัสห้ามนอกใจโลแกนะลู๊กกกกกกกก
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 31) P.4 [4/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 04-03-2017 10:07:36
มิกี้แอบชอบลูหรือเปล่า อัพเร็วมาก ชอบๆ  :katai2-1:

ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 31) P.4 [4/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kothan ที่ 04-03-2017 13:29:48
เสน่ห์แรงจริง เดี๋ยวโลแกนโมโหจะไม่มีครูสอนเปียนโนนะลู
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 31) P.4 [4/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 04-03-2017 16:10:49

บทที่ 32

(Mode: Logan Collins)




 ผมได้ลงสนามจริงครั้งแรกโดยที่มีหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ตามติดตูดของไรอัน ฮิวเบอร์ราวกับเป็นลูกสุนัขติดตามนายและกลัวว่าจะโดนทอดทิ้ง

จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ ทางหน่วยงานให้ผมดูสถานการณ์ทุกอย่างผ่านทางหน้าจอมอนิเตอร์ การทำงานล่าสังหารใครสักคนที่ได้รับการออกแบบวางแผนมาอย่างดี ผมเคยเห็นการทำงานของฮิวเบอร์มาก่อนหน้านี้แล้ว ฝีมือของเขาเฉียบคม ไม่มีความลังเลอยู่เลยในการทำงาน ที่ถ้าลองดูผ่านหน้าจอแล้วอาจจะเห็นว่ามันไม่ได้ยากอะไร

แค่เหนี่ยวไก จากนั้นลูกตะกั่วก็เจาะลงบนร่างของเป้าหมาย ภารกิจเสร็จสิ้น แล้วทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน

หากผมเคยลงมือทำงานภาคสนามมาบ้าง แม้การสังหรคนของผมจะไม่ได้มีระเบียบแบบแผนอย่างแยบยลและประณีตเหมือนที่หน่วยงานของผมทำ แต่ก็รู้ได้ว่าในการลงสนามจริงๆ อะไรๆ ก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ตาเห็นจากหน้าจอมอนิเตอร์หรอก

ผู้ชายคนนี้เด็ดเดี่ยว มีประสาทสัมผัสคมกริบ ยิงปืนแม่นราวกับจับวาง แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจและประทับใจไปได้พร้อมๆ กันคือความเลือดเย็นของเขาต่างหาก ยิ่งได้ทำงานร่วมกัน รู้จักกับชายหนุ่มผู้นี้มากขึ้นไปเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเปิดโลกของตัวเองกว้างขึ้นไปเท่านั้น

“พร้อมรึเปล่า” ชายหนุ่มผู้เป็นแกนหลักของการทำงานภาคสนามในครั้งนี้ถามขึ้น พวกเราทั้งคู่มาอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากสถานที่เป้าหมายในการทำงานไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ผมมองเสื้อผ้าลำลองของทั้งตัวเองและอีกฝ่าย เป็นเสื้อผ้าสีทึม และเป็นประเภทแบบที่ว่าใส่ไปที่ไหนก็ไม่สะดุดตาใครแน่นอน กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมและผู้คนได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญหรือใส่แล้วเคลื่อนไหวสะดวก กระชับตัว

“พร้อมเหรอ” ผมย้อนถามยิ้มๆ อย่างยียวน รับปืนกระบอกหนึ่งที่คนตรงหน้าเพิ่งยัดกระสุนใส่เข้าไปแล้วยื่นมาให้ ผมเช็คดูรังเพลิงอีกรอบ “ผมแค่ไปดูคุณทำงานอย่างใกล้ชิดเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ฮิวเบอร์ หน้าที่หลักของผมคืออะไรล่ะ… ไม่ทำตัวเป็นก้างขวางคอคุณใช่ไหม”

“หน้าที่ของนายคือมีชีวิตรอดกลับมา” อีกฝ่ายพูดเรียบๆ และผมอดยิ้มตอบกลับไปไม่ได้ ผู้ฝึกคนปัจจุบันของผมหันมามองหน้าอย่างไม่ค่อยเป็นสุขนัก เขาตีความไปว่ารอยยิ้มของผมบ่งบอกให้เห็นว่าผมไม่เห็นถึงความจริงจัง ความเป็นความตายที่ต้องเผชิญ แต่จริงๆ แล้วผมเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงอะไร เข้าใจดีด้วยว่าการทำงานแบบนี้ทำให้เส้นกั้นระหว่างความเป็นและตายบางลงมาอีก

“ในสนามจริง เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ฮิวเบอร์ว่าต่อ เขาอาจไม่ค่อยชอบใจกับยิ้มโง่ๆ ของผม แต่ก็รู้ว่าผมมีฝีมือพอที่จะเอาตัวรอดได้จากที่ได้ทำงานมาด้วยกัน และเขาคงคร้านเกินกว่าจะพูดตักเตือนกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ “ไม่เคยมีแผนการไหนสมบูรณ์แบบ ต่อให้มันรัดกุมแค่ไหน แต่แผนการในกระดาษกับสถานการณ์จริงไม่เคยตรงกัน”

“เรื่องที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้เกิดขึ้นได้เสมอ” ผมพูดต่ออย่างคนที่จำอะไรได้ขึ้นใจ อีกฝ่ายสอนผมเรื่องนี้มาตลอด ไม่ใช่ด้วยคำพูด แต่เป็นในรูปแบบสถานการณ์จริงๆ

“ถูกต้องแล้ว” เจ้าตัวว่าขณะหยิบหมวกขึ้นมาสวมศีรษะของตัวเองเพื่อพรางตัว หยิบของบางอย่างใส่ลงในกระเป๋าเสื้อโค้ตตัวยาว จากนั้นก็ตรงไปที่ประตูห้อง “ไปกันเถอะ”

พวกเราทั้งคู่เดินผ่านฝูงชนที่อยู่บนท้องถนนและในตัวเมืองกันไปอย่างไม่เร่งร้อน หน้าที่ของผมคือสังเกตพฤติกรรมและการทำงานของคนที่เดินนำหน้าไป ท่าทีของชายหนุ่มสงบ แต่ผมก็รู้อีกอยู่ดีว่าเขาคอยสอดส่องสายตาเพื่อดูว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือควรต้องเฝ้าระวังหรือไม่ มันเป็นการกระทำที่ฝังรากลึกลงไปจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว และผมเองก็กำลังกลายเป็นแบบนั้น

สถานที่ทำเลในการลงมือครั้งนี้อยู่บริเวณสวนสาธารณะแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ผมกระชับฮู้ดเสื้อของตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้กล้องตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้จับภาพได้ ฮิวเบอร์มีหมวกอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องทำอย่างที่ผมทำ อีกอย่าง… เขาไม่ได้ใส่ฮู้ดแบบผม

เรามาถึงสะพานที่อยู่สูงขึ้นไปหน่อย จากนั้นก็ค่อยๆ เข้าไปในตัวสิ่งก่อสร้างเล็กๆ ที่ไม่ได้ดูเด่นเป็นสง่าเหมือนสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้ อย่างเช่นรูปปั้นคนดังที่ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร

ผมเดินหลบมาอยู่ตรงมุมทันทีเพื่อหลบทางให้ฮิวเบอร์ได้ทำงานของเขา ชายหนุ่มเลื่อนมือไปปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ สถานที่แห่งนี้เหมือนรวมกันระหว่างที่เก็บของและห้องจ่ายไฟ ควบคุมโดยผู้ทำงานที่นี่ของเมืองซึ่งจะไม่กลับเข้ามาทำงานจนกว่าจะถึงเวลาแปดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น

ซึ่งเวลาแค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเราที่จะทำงานให้เสร็จ… อ้อ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเป็นงานของฮิวเบอร์คนเดียวนี่นะ ในเมื่อผมมีหน้าที่แค่สังเกตการณ์… เรียนรู้งานอย่างชิดใกล้ แล้วก็ไม่ทำให้เรื่องแตก เท่านั้นแหละ หน้าที่ของผมในวันนี้

ผมมองฮิวเบอร์จัดแจงหยิบของออกมาจากกระเป๋าของตัวเองเพื่อเตรียมสิ่งที่จะใช้ ในการทำงานยามรุ่งสาง มีชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งที่เจ้าตัวหยิบออกมาวางเรียง และในอีกสองนาทีต่อมามันก็ถูกประกอบเป็นปืนไรเฟิลอย่างรวดเร็ว

ผมมองทุกการกระทำนั้นอย่างเงียบงัน นึกถึงปืนพกกระบอกเล็กที่อีกฝ่ายให้ผมมาเผื่อใช้ป้องกันตัว… แต่ดูแล้วงานนี้ผมคงเป็นแค่ตัวประกอบฉากจริงๆ ฮิวเบอร์เริ่มจมลงในความคิดของตัวเอง เขาคงกำลังวางแผนสิ่งที่เขาจะทำในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าในหัว การวางแผนในหัวซ้ำๆ นึกภาพตามจะทำให้การลงมือทำงานจริงๆ เป็นเรื่อง่ายขึ้น… แค่นิดเดียว แต่แค่นิดเดียวก็ช่วยได้มากพอแล้วในการลอบสังหารใครสักคน

ฮิวเบอร์เคยสอนผมว่าการจดจำแผนการทุกอย่างให้ได้เป็นสิ่งที่ต้องทำขั้นแรก และขั้นตอนต่อมาคือการซึมซาบทุกอย่างที่ว่านั่นให้ถึงจุดที่สามารถลงมือทำได้โดยไม่ต้องคิด แค่ทำลงไปเลย

ผมตัดสินใจปล่อยให้เขาอยู่กับตัวเองเงียบๆ ทั้งหมดนั่นกินเวลาเกือบชั่วโมง… จริงๆ ถ้าคิดว่าผมไม่ได้ต้องลงมือทำอย่างเขา การต้องนั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็อาจจะดูน่าเบื่อ… จนกระทั่งชายหนุ่มเปิดปากพูดขึ้นมาในที่สุด

“ฉันเคยคิดเสมอว่าพวกเขาไม่ควรเอานายเข้ามาเลย”

ผมนิ่งเงียบไปกับคำพูดนั้น น้ำเสียงของฮิวเบอร์ราบเรียบ ผมเลยไม่แน่ใจว่าเขากำลังจะสื่อว่าอะไร

“ผมทำอะไรให้คุณผิดหวังเหรอครับ”

“เปล่า” อีกฝ่ายตอบ สบตาผมตรงๆ “เธอยังเด็ก เด็กเกินกว่าจะต้องมาทำงานแบบนี้”

ผมคิดว่าตัวเองจะยกยิ้มกวนประสาทกลับไปให้อีกฝ่าย แต่ผมก็ไม่ได้ยิ้ม

“คุณฆ่าคนครั้งแรกตอนอายุเท่าไร ฮิวเบอร์”

“นายไม่อยากรู้เรื่องนั้นหรอก”

“ผมเองก็ไม่อยากให้คุณรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน”

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง แต่ผมตัดสินใจพูดต่อ

“ผมรู้นะว่าคุณเองก็เข้าร่วมดีซีไอเอสตอนอายุประมาณผม”

“แต่ฉันไม่ได้จะต้องลงสนามเร็วเท่านาย”

ผมเงียบไปนิดหนึ่ง เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นทันที อีกไม่นานจะมีภารกิจมาให้ผมทำเองคนเดียว… คนคนนี้ฝึกผม ปั้นผมอย่างรวดเร็วเพื่อที่ทางหน่วยงานจะได้ใช้งานผมได้อย่างทันท่วงที

“ผมคิดว่าผมรับมือได้ครับ” ผมพูดตัดบทและอีกฝ่ายก็นิ่งเสีย ฮิวเบอร์หยิบกระเป๋าของตัวเองมา ใช้แทนหมอน จากนั้นก็หลับตาลง รอจนกว่าจะถึงเวลาทำงานจริงๆ ของเขา

ผมไม่หลับ อาจเพราะยังไม่เคยชินกับการออกภาคสนามเท่าเขา ผมจึงแค่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไป นึกสงสัยเหมือนกันว่าเขาจะตื่นขึ้นมาตามกำหนดการได้หรือ เพราะในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนล่ะว่าเราไม่ใช่นาฬิกาปลุก มันคงตลกน่าดูถ้าต้องมาต้องนาฬิกาเพื่อให้มันบอกเวลาที่เราต้องฆ่าคน

อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เป็นเวลาหกโมงเช้ากับอีกเล็กน้อย ฮิวเบอร์ลุกพรวดขึ้นมาราวกับเขามีนาฬิกาอยู่ในตัว จากนั้นก็ถึงขั้นตอนต่อไป ขั้นตอนที่สำคัญที่สุด

ผมมองชายหนุ่มตรงหน้าเดินไปที่บริเวณหนึ่งของกำแพงหิน มีรูอยู่สองรูตรงนั้น… หากมันมีอะไรอุดอยู่เพื่อไม่ให้ใครต่อใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน รูพวกนี้ ทีมที่จัดการเตรียมการวางแผนทำไว้ให้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ฮิวเบอร์จัดการดึงอะไรบางอย่างที่ปิดรูนั่นออก จากนั้นก็จัดแจงวางลำกล้องปืนไรเฟิลของเขาลงในรูหนึ่ง หยุดก่อนที่ปลายของมันจะทะลุออกไปด้านนอก นี่จะทำให้การเล็งเป้าลำบากมากขึ้นเพราะไม่สามารถขยับปากกระบอกปืนที่ว่าไปทางไหนได้เลย แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาต้องใช้อะไรที่มันมีมาให้ ไม่มากไปกว่านั้น การทำงานของพวกเขาไม่สามารถทำได้ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว

ผมมองฮิวเบอร์หยิบที่หูฟังขนาดหัวแม่ก้อยออกมาสวม รวบรวมของของตัวเองติดตัว เพื่อที่ว่าพอทุกอย่างจบลงจะได้ออกวิ่งและไปจากที่นี่ได้ทันที ผมเองก็เริ่มทำแบบเดียวกัน ผมหยิบแท็บเล็ตเครื่องใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยตามออกมา ผมสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนได้ผ่านจอนี้

พวกเราทั้งคู่ฟังเสียงที่อาจโผล่ขึ้นมาจากหูฟังแบบไร้สายอย่างระมัดระวัง หากไม่มีอะไรมาจากอีกทีม นั่นหมายความว่าเป้าหมายกำลังเดินทางมายังสถานที่ที่อาจเป็นลานประหารของเขา

หน้าที่ของฮิวเบอร์มีแค่ลั่นไกใส่เป้าหมายที่จะออกมาจ๊อกกิ้งยามเช้าพร้อมกับบอดี้การ์ดเป็นขโยงของเขา ถ้าฮิวเบอร์ยิงเร็วหรือช้าไปแค่เสี้ยววิฯ… คนคนนั้นก็จะรอด

หากชายหนุ่มผู้เป็นครูฝึกของผมไม่พลาด… ในการทำภารกิจของเขาแต่ละครั้ง แทบไม่เคยมีคำคำนี้อยู่เลยด้วยซ้ำ

จากหน้าจอ… ผมมองเป้าหมายของพวกเราล้มลงไปกองกับพื้นท่ามกลางความสับสนของเหล่าชายคุ้มกันที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขาและกำลังสอดส่ายสายตาหาตัวคนร้ายอย่างเอาเป็นเอาตาย

ฮิวเบอร์เก็บกลับเข้ามา แยกชิ้นส่วนมันออกอย่างชำนาญการ เก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยท่าทีสงบหากรวดเร็ว เก็บส่วนที่เอาไว้ใช้ปิดรูบนกำแพงลงไปตามเดิม จากนั้นก็หันมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าสงบ

“ภารกิจเสร็จสิ้น”

เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหู ผมดึงหูฟังไร้สายออกเช่นเดียวกับชายข้างตัว จากนั้นพวกเราทั้งคู่ก็เดินกลับมาที่โรงแรมเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เข้ามาในห้องพัก ผมเดินไปที่เตียงฝั่งของตัวเอง มีของที่ไม่สลักสำคัญอะไรสองสามชิ้นที่ผมวางทิ้งไว้ที่นี่

“ผมควรจะพูดไหม” ผมเปิดปากพูดขึ้นเป็นประโยคแรกตั้งแต่เสร็จสิ้นภารกิจทั้งหมด “ว่าขอแสดงความยินดีด้วยน่ะ”

“ถ้าถามฉัน” ฮิวเบอร์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไร้อารมณ์เช่นเคย “ฉันก็จะบอกว่าไม่ควร”

“ทำไมล่ะครับ”

“มีอะไรน่ายินดีเหรอ กับการฆ่าคน”

“ถ้างั้น… ผมควรจะพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้ล่ะ?”

“ไม่ต้องพูดอะไรเลย”

คำตอบนั้นทำให้ผมนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง หากท่าทางเยือกเย็นและสงบของอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดปากถามต่ออย่างอดไม่อยู่

“งั้นผมถามได้ไหมครับ ว่าคุณรู้สึกยังไง”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจากข้าวของของตัวเอง พวกเราจะเตรียมตัวกลับไปที่นิวยอร์กในเย็นนี้โดยจะมีรถของหน่วยงานมารับ

“ถ้าฉันตอบว่าไม่รู้สึกอะไรเลย” ฮิวเบอร์ว่า “เธอจะเชื่อไหม”

ผมยกยิ้มบนมุมปาก จากนั้นก็พูดออกมาตรงๆ อย่างที่ใจคิด

“ผมสงสัยจริงๆ ว่า…” พูดพร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอย่างค้นคว้า “มนุษย์กับปีศาจเนี่ย ต่างกันตรงไหนเหรอครับ”

“เธอเข้าใจผิดแล้ว โลแกน” ชายหนุ่มยังคงมีสีหน้าราบเรียบ ไม่สะทกสะท้านใดๆ “มนุษย์น่ะ… เลวร้ายกว่าปีศาจเสียอีก ถ้าเธอถามฉันน่ะนะ”









ผมกลับมาอยู่ที่ห้องพักของตัวเองในหอที่ทางหน่วยงานจัดเตรียมไว้ให้ หลังจากนี้ผมน่าจะมีเวลาว่างอยู่จนกว่าจะถึงวันจันทร์ถัดไป

ไปหาลูคัสดีกว่า… คราวที่แล้วผิดสัญญากับมันไว้ หมอนั่นคงโกรธน่าดู

คิดแล้วผมก็คว้ากระเป๋าเป้ใบเล็ก เอาของเท่าที่ต้องการแล้วก็เดินไปบึ่งรถของตัวเองออกจากแห่งนั้น

เอ่อ… แต่จะว่าไป… วันนี้มันวันศุกร์ ไม่รู้หมอนั่นจะกลับมาถึงบ้านหรือยัง ไม่รู้ตารางเรียนของมันด้วย หรือไม่มันก็อาจจะไปทำอะไรที่ไหนอย่างอื่น…

คิดแล้วผมก็เปิดโทรศัพท์ ค้นหาสัญญาณที่ระบุว่าพี่ชายฝาแฝดของผมอยู่ที่ไหน ผมเป็นคนบอกลูคัสเรื่อง GPS ที่ว่านี้เอง เผื่อว่าวันดีคืนดีหมอนี่โดนจับตัวไปไหน ผมจะได้ตามไปช่วยมันทัน หรือต่อให้ตอนนั้นผมไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ผมก็ยังสามารถบอกแมคโดเวลให้ส่งคนไปช่วยมันได้อยู่ดี

ผมมองพิกัดที่พี่ชายฝาแฝดของตัวเองอยู่แล้วขับรถมุ่งหน้าไปยังพื้นที่นั้น กำลังคิดว่าจะโทรไปบอกเจ้าตัวอยู่เหมือนกัน แต่ขับรถไปเรื่อยๆ ก็ชักขี้เกียจ… ไว้ค่อยบอกตอนไปเจอหน้าหมอนั่นเลยก็ได้ว่าจะไปหา (?)

ว่าแต่หมอนี่ไปกินร้านแถบขึ้นชื่อเหมือนกันนะเนี่ย… เดี๋ยวนี้ยอมใช้เงินไปกับอะไรแบบนี้แล้วเหรอ เมื่อก่อนนี่เห็นบ่นจัง แถมยังเหนียวสุดๆ กับเรื่องพวกนี้

เออ สงสัยมันคงมาฉลองเรื่องรางวัลที่เพิ่งได้ ก็ดีเหมือนกัน หาความสุขใส่ตัวซะบ้าง จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ว่าแต่หมอนี่มากับใครนะ กับปีเตอร์แล้วก็เพื่อนๆ สมัยมัธยมรึเปล่า… ไม่คิดว่ามันจะกินคนเดียวในร้านแบบนี้หรอกนะ

ผมเดินลงจากรถแล้วปิดประตู กำลังคิดคำแก้ตัวที่สัปดาห์ที่แล้วหายหน้าไปแถมยังส่งข้อความไปบอกเจ้าตัวช้าอยู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาเหลือบไปเห็นลูคัสที่นั่งอยู่บนโต๊ะภายในร้านพอดี

ตรงหน้าเจ้าตัวมีแก้วไวน์แดงและจานอาหารวางอยู่ แต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการ เพราะการจะเข้าร้านอาหารระดับนี้ได้ การแต่งกายที่เหมาะสมก็เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน

พี่ชายฝาแฝดผมกำลังหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี นิ้วเรียวเลื่อนไปยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบเบาๆ

ทุกอย่างดูดี ดูเป็นปกติ แล้วผมก็ดีใจนะที่เห็นหมอนั่นมีความสุข

...ว่าแต่ไอ้ผู้ชายใส่แว่นที่นั่งกินข้าวอยู่กับพี่ชายผมนี่มันใครกันวะ?





----------------------------------------
Talk: จะใครล่ะ โลแกน ก็ชู้--- เอ้ย เพื่อนใหม่ลูคัสไง!
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 32) P.4 [4/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 04-03-2017 17:49:58
อาจารย์เขาไงๆ ไม่ใช่ชู้เล๊ยยย :hao7:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 32) P.4 [4/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 04-03-2017 18:02:48
เราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังง้ายยยยยย โอ้ยย นี่มัน twincest แนวที่ชอบชัดๆเลย คือดีถึงแม้แรกๆจะหมั่นไส้อิตาโลแกนบ้างก็เถอะแต่เดี๋ยวนี้ทำตัวดีขึ้น ให้อภัยก็แล้วกัน ส่วนลูคัสนี่เป็นห่วงนิดๆกลัวเจออะนตรายอีก
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 32) P.4 [4/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-03-2017 19:03:58
ไมเคิล ยิ้มแล้วดูดี
ลู ก็ไม่อยากให้ไมเคิลยิ้ม เพราะเดี๋ยวคนเข้าหา
แล้วไมเคิล จะไม่มีเวลาสอนตัวเอง
ว่าแต่ไมเคิล พอลู ขอโทษ ก็หายโกรธไวนะ
สัมพันธภาพระหว่างอาจารย์ กับศิษย์ ดีขึ้นนะ
แถมยังมาเลี้ยงฉลองให้อีก
เพิ่งตีมือกันไปแป๊บๆ เอง  :katai1:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 32) P.4 [4/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: zonpine ที่ 05-03-2017 00:08:33
ไงล่ะๆดูซิว่าโลแกนจะทำไงต่อ
เรื่องนี้จะไม่ดราม่าใช่ไหมค่ะ รอต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 32) P.4 [4/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 05-03-2017 09:01:52


บทที่ 33

(Mode: Lucas Collins)





ผลสุดท้ายปีเตอร์ก็มากินข้าวกับผมแล้วก็ไมเคิลไม่ได้ เห็นเจ้าตัวบอกว่าติดธุระกับทางบ้านแล้ว แต่เจ้าตัวบอกว่าจะมาฉลองให้ผมวันหลัง แล้วคราวหน้าเรานัดกินข้าวกลุ่มใหญ่เลย เอาโจชัวกับคนอื่นๆ มาด้วย ซึ่งผมว่าก็เป็นความคิดที่เข้าท่าเหมือนกัน

หลังจากผมบอกเรื่องนี้ให้ไมเคิลรู้ไป เจ้าตัวก็พยักหน้ารับรู้แล้วก็นัดแนะผมถึงสถานที่ที่จะพาผมไปกินในคืนวันศุกร์นั้น… พอได้รู้สถานที่ที่อีกฝ่ายจะพาไปเท่านั้นแหละ ผมถึงได้รู้สึกว่า… ดีแล้วที่ปีเตอร์ไม่มาด้วย เพราะแค่ดูจากชื่อร้านก็รู้แล้วว่าต้องราคาแพง

และเมื่อถึงวันเวลาที่นัดแนะ เพื่อนผู้เป็นครูฝึกของผมก็ขับรถมารับถึงหน้าบ้านจากนั้นจึงพาไปยังร้านที่ตั้งอยู่ในย่านซึ่งเต็มไปด้วยแสงสี

บรรยากาศภายในร้านดูดีจริงๆ นั่นแหละ คิดถูกแล้วที่ใส่ชุดแบบค่อนข้างเป็นทางการมา

พนักงานหนุ่มเดินมารินไวน์ใส่แก้วผมเป็นแก้วที่สองของวันแล้ว ผมมองอาหารจานหลักที่ถูกยกมาเสิร์ฟหลังจากที่มีของว่างมาก่อนหน้านี้และผมจดการมันเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว อ่า… ให้ตาย แค่มื้อนี้มื้อเดียวนี่ล่อไปกี่สตางค์กันน้อ…

“พาผมมาเลี้ยงในร้านหรูขนาดนี้… จะดีจริงๆ เหรอครับ” ผมถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ และอีกฝ่ายสิ่งยิ้มกลับมาให้

“ดีสิ” ไมเคิลว่า ยกแก้วไวน์ของตัวเองมาถือบ้าง “นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่าง… จะฉลองที่นายได้รางวัลมาทั้งที จะพาไปร้านกระจอกๆ ได้ยังไง”

“ถ้าคุณพูดขนาดนั้น…”

“แต่ถล่มฉันไปมื้อนี้ แข่งรอบหน้าก็ต้องชนะ เอาถ้วยมาได้อีกนะ”

ผมหลุดหัวเราะออกมานิดหนึ่งก่อนจะหยิบแก้วไวน์มาถือในมือบ้าง

“คุณก็พูดซะอย่างกับมันเป็นเรื่องง่ายๆ… แต่ผมจะพยายามเต็มที่ครับ ไม่ให้คุณต้องขายหน้าหรอก”

ไมเคิลชวนผมคุยเรื่องเปียโนที่บ้านว่ามันเป็นรุ่นไหน ของบริษัทอะไร จากนั้นก็เริ่มถามถึงครอบครัวและเรื่องสัพเพเหระทั่วไปตามมารยาท ผมตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง เรื่องครอบครัวผมเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน… บางทีก็ไม่อยากให้พูดคนนอกฟังเท่าไร อันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าผมลำบากใจที่จะต้องพูดถึงมันหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่ผมลำบากใจตอนเห็นปฏิกิริยาอึดอัดของคนที่ได้ฟังมากกว่า ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาอยู่ดี เป็นคุณ… คุณฟังเรื่องที่ผมบอกว่าพ่อแม่ผมฆ่ากันต่อหน้าต่อตาให้ผมดู คุณจะพูดอะไรกับผมล่ะ?

โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมสั่นพร้อมกับส่งเสียงสั้นๆ ขึ้นมา บ่งบอกว่ามีข้อความเข้า ผมเอ่ยปากขอคนตรงหน้านิดหนึ่ง หยิบมันขึ้นมาดู รู้สึกใจเต้นขึ้นมาจังหวะหนึ่งอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าชื่อผู้ส่งคือชื่อของโลแกนนั่นเอง

หากเมื่อกดเข้าไปดูเนื้อความด้านใน ผมก็ต้องสะดุ้งแรงๆ จนโทรศัพท์เกือบจะหลุดมือ มีรูปถ่ายของผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ ในร้านอาหารนี้ แล้วก็ไมเคิลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแนบมากับข้อความนั้น บ่งบอกใ้รู้ว่าเจ้าน้องชายตัวดีเพิ่งจะถ่ายภาพนี้มาสดๆ ร้อนๆ เลย

ข้อความต่อจากนั้นสั้น เรียบง่าย และได้ใจความ

‘ไปคุยกันที่บ้าน’

….อื้อหือ…. เจอแบบนี้เข้าไป แล้วผมควรจะตอบกลับว่าอะไรดี

“มีอะไรเหรอ ลูคัส” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมถามขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยแปกแซวยิ้มๆ “ทำไมหน้าซีดไปแบบนั้นล่ะ อย่างกับเพิ่งเห็นผีมา”

“คงงั้นมั้งครับ” ผมว่า ถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋าตามเดิม จะลุกพรวดพราดออกไปทั้งๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้ เสียมารยาทเกินไป ดังนั้นผมจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากรับประทานอาหารมื้อนั้นให้เสร็จแล้วให้ไมเคิลขับรถกลับไปส่งที่บ้าน

ทันทีที่ตัวรถแล่นผ่านเข้ามาในบริเวณบ้านผม แสงไฟจากภายในตัวบ้านของตัวเองกระทบเข้ามาผ่านม่านตาผมเป็นอย่างแรก แสดงว่าโลแกนล่วงหน้ากลับมาก่อนแล้ว… แล้วที่หน้าบ้านก็มีรถของหมอนั่นจอดอยู่ด้วย

“อ้าว” ไมเคิลพูด สังเกตเห็นเหมือนกัน “แฝดนายกลับมาบ้านแล้วเหรอ”

“ครับ” ผมว่า “หมอนั่นเพิ่งส่งข้อความมาบอก”

“งั้นก็ดีเลย” อีกฝ่ายส่งยิ้มให้ จากนั้นก็เลื่อนมาลูบหัวผม ซึ่งถ้าเป็นในกรณีทั่วไปผมคงไม่อะไรหรอก… แต่ตอนนี้สิ… อืม… โลแกนมันจะเห็นจากข้างในบ้านไหมนะ “นายจะได้ฉลองกับน้องชายนายต่อไง วันนี้ได้ฉลองติดกันตั้งสองรอบ”

“ขอบคุณมากนะครับที่พาผมไปเลี้ยงวันนี้” ผมรีบพูดทันที ก่อนจะส่งยิ้มให้คนตรงหน้า “ผมสนุกมากเลยครับ”

“วันจันทร์อย่าเข้าคลาสสายแล้วกัน” ไมเคิลแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะรับปากแล้วเดินลงจากรถ โบกมือลาให้เจ้าตัวอีกรอบแล้วจึงค่อยๆ เดินเข้าไปในตัวบ้าน ประตูหน้าถูกเปิดทิ้งไว้เพราะเจ้าของบ้านอีกคนยังอยู่ข้างใน เหยียดตัวลงบนโซฟายาว ตามองทีวี มือหยิบมันฝรั่งแผ่นเข้าปากเอื่อยๆ

“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานเหรอ” ผมถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าเจ้าตัวอยู่ในชุดลำลองธรรมดา แถมยังเป็นชุดที่มาจากตู้เสื้อผ้าในบ้านอีกด้วย

“ทำเสร็จแล้ว”

“กินข้าวเย็นรึยัง” ผมถามกลับ พยายามรักษาสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติ ผมหมายถึง… ผมแค่ไปกินข้าวกับเพื่อนมาก็เท่านั้นเองนะ? แล้วทำไมผมจะต้องกลัวอะไรหมอนี่ด้วย? แล้วอะคือการที่โลแกนส่งข้อความมาหาผมเป็นเชิงขู่แบบนั้น? จะสื่ออะไร? แล้วเรื่องอะไรผมต้องดิ้นตามหมอนี่ไปด้วยเล่า

“แล้ว”

“แล้วทำไมวันนี้ถึงโผล่หน้ามาที่บ้านได้เนี่ย”

“ทำไม” นัยน์ตาสีฟ้าของคนพูดวาววับขึ้นมา “นี่ก็บ้านฉันเหมือนกัน ฉันจะกลับมาไม่ได้รึไง?”

...ชิบหายล่ะ ไอ้หมอนี่เองก็กำลังโกรธจริงๆ อยู่นี่หว่า… แปลว่ากำลังเก็บอาการอยู่เหมือนกันสินะ… ปัดโธ่โว้ยยย จะโกรธทำบ้าอะไรเนี่ย!? ไม่เคยเห็นคนไปกินข้าวกับเพื่อนรึไง?

“อย่าพาลใส่กันได้ไหม” ผมพยายามทำใจดีสู้เสือ ปกปิดอาการหวั่นใจของตัวเองด้วยการขมวดคิ้วมุ่นเสีย “ฉันถามก็แค่สงสัยเท่านั้น ปกตินายจะต้องโทรไม่ก็ส่งข้อความมาบอกก่อนนี่”

“ฉันตั้งใจว่าจะมาเซอร์ไพรส์นายน่ะ” โลแกนพูดตอบเสียงเรียบ ตาหันกลับไปมองทีวีตามเดิม “แต่ไม่นึกว่านายจะเป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์ฉันซะเอง”

“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่…” ผมเอ่ยปากถาม แต่ไม่ต้องพูดให้จบประโยคก็นึกออก

เออว่ะ… ไอ้หมอนี่มันรู้ตำแหน่งที่ผมอยู่ผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้นี่หว่า… งั้นก็เป็นอันว่าเข้าใจกระจ่างชัดเจน

“ช่างเถอะ” ผมพูดตัดบท ยักไหล่ทีหนึ่ง และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่ง ไม่พูดอะไรขึ้นมาผมก็ว่า “งั้นฉันขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนละกันนะ ส่วนนาย… ถ้าอยากจะคุยล่ะก็… ไปคุยกันบนห้องแล้วกัน”

ว่าแล้วผมก็เดินขึ้นบันไดบ้าน ตรงเข้าห้องนอนทันที นึกเซ็งชายหนุ่มที่อยู่ด้านล่างของตัวบ้านเหมือนกัน อะไรของมันวะ สรุปหมอนั่นจะเอายังไงกับผม? จะสนหรือไม่สนเรื่องของผมกันแน่วะ?

ตอนแรกก็หงุดหงิดนะที่หมอนั่นจะทำเป็นงี่เง่าขนาดที่ไม่คิดจะให้ผมได้ออกไปกินข้าวกับเพื่อนนอกบ้านบ้างเลยหรือไง แต่ถึงตอนนั้นจะหงุดหงิด… ลึกๆ ไปแล้วก็แอบดีใจเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกว่า… อย่างน้อยหมอนั่นก็ยังสนใจผม

แต่… มาตอนนี้ชักไม่แน่ใจล่ะ ว่ามันสนใจจริงๆ หรือเปล่า เพราะหมอนั่นนิ่งเฉยเกินกว่าจะดูสนใจใยดีอะไร เพราะงั้นสาเหตุของความหงุดหงิดของผมจึงเปลี่ยนไปเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับเมื่อครู่

คิดๆ ไปแล้วนี่ก็เซ็งตัวเองนะ สรุปอยากให้หมอนั่นทำยังไงกันแน่ ขนาดจะหงุดหงิดมันยังไม่รู้จะหงุดหงิดเรื่องอะไรดีเลย แต่ช่างเถอะ… ไว้อาบน้ำ รอมันขึ้นมาก่อน ค่อยหาทางแย้บถามมันดูดีกว่า

ผมถอดเสื้อตัวนอกออกอย่างไม่รีบร้อน ตามองไปที่ผนังห้องตรงหน้าลอยๆ ก่อนจะต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อแขนของใครบางคนตะปบลงมาจากด้านหลัง จากนั้นเจ้าของลำแขนก็โน้มตัวลงกระซิบที่ข้างหูผมด้วยน้ำเสียงที่ชวนเอาขนหัวลุกไปได้อีกทั้งอาทิตย์

“ตกลงว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”

“หา?” ด้วยอารามตกใจ ผมถึงหลุดคำพูดนั้นออกไปโดยไม่ทันคิด และนั่นทำให้โลแกนเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง หันตัวผมกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าตัวอย่างรุนแรง จากนั้นก็ดันร่างของผมเข้าไปชิดกับผนังด้านหลัง นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมวาววับอย่างไม่พอใจทีเดียว

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง”

“เดี๋ยวก่อน โล--”

“ก็ไอ้ผู้ชายคนนั้นไงที่ขับรถมาส่งนายถึงหน้าบ้าน แถมยังมีการลูบหัวกันด้วย นี่มันเรื่องอะไรกัน ลูคัส คอลลินส์”

เวลาที่หมอนี่โมโหผมมากๆ ก็มักจะเรียกชื่อผมเต็มยศแบบนี้ล่ะครับ… แล้วนี่มันจะโมโหอะไรมากมายวะ

“เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ ก่อนสิ” ผมพยายามพูด แต่อีกฝ่ายเหมือนเบรคแตกไปแล้ว 

“นายอย่ามาเล่นบทไม่รู้ไม่ชี้กับฉันหน่อยเลย พี่ชาย” โลแกนว่าพร้อมกับยกยิ้ม… แต่เป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงตาของเจ้าตัว “ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีคนขับรถมาส่งนายถึงหน้าบ้านแล้วก็ขับกลับไปแล้ว หรือนายจะบอกว่าไง นายขับรถนั่นมาเองส่วนขากลับ รถมันเกิดมีพลังงานแล้ววิ่งไปได้เองรึไง”

“ฟังฉันก่อนได้ไหม” ผมพยายามพูดแทรกคนตรงหน้า ใจในอกข้างซ้ายเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างกับอยู่ในดิสโก้ “นั่นน่ะ ครูฝึกฉันเอง… เขาแค่อยากพาฉันไปฉลองเรื่องที่ได้รางวัลมาก็เท่า---”

แต่น้องชายฝาแฝดของผมไม่ฟัง เจ้าตัวก้มหน้าลงมาประกบจูบแรงๆ บนริมฝีปากผม มันเป็นจูบที่แรงมาก แรงกดนั่นทำให้ผมรู้สึกได้กลิ่นคาวเลือดนิดๆ กระจายอยู่บริเวณริมฝีปาก ชิบหายแล้วไง นี่ไอ้หมอนี่มันโกรธเป็นจริงเป็นจังแล้วใช่ไหม

“ดะ… เดี๋ยว--”

“ไม่” เสียงทุ้มพูดเด็ดเดี่ยว จากนั้นก็กระชากแขนผมไป เหวี่ยตัวผมลงบนเตียง ผมร้องออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจมากกว่าจะเพราะความเจ็บ จากนั้นก็ต้องสะดุ้งอีกเฮือกเมื่อแฝดผมปีนขึ้นมาคร่อมตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มถอดเสื้อผมออก

“เดี๋ยว… โลแกน… เบาๆ หน่อย! เดี๋ยวเสื้อขาด!” ตัวนี้ซื้อมาหลายตังค์นะโว้ยยย ไอ้บ้าเอ๊ย!

“อย่ามาทำกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองหน่อยเลย” โลแกนว่าด้วยน้ำเสียงสงบ ขัดกับการกระทำจากร่างกายส่วนอื่นๆ ของมันเป็นที่สุด “นายบอกฉันมาตามตรงดีกว่า ไอ้หมอนั่นเป็นใคร นายนอนกับมันใช่ไหมถึงได้ยอมปล่อยให้มันพามาถึงหน้าบ้านแบบนี้?”

 “หา!!??” ไหงมันกลายเป็นแบบนั้นไปได้ฟะ!? “น้อยๆ หน่อย โลแกน แค่ฉันไปกินข้าวกับเพื่อน… ฉันไม่ต้องนอนกับคนทุกคนที่ไปกินข้าวด้วยนะโว้ย!!”

“แต่ปกตินายไม่เคยพาใครมาถึงบ้าน!” พูดจบเจ้าตัวก็พุ่งลงมาจูบปากผมแรงๆ อีกรอบ ผมดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่มีเรี่ยวแรงมหาศาล ในหัวก็เริ่มประเมินสิ่งที่เจ้าตัวเพิ่งพูดออกมาโดยอัตโนมัติ

ผมไม่ได้พาไมเคิลเข้าบ้าน… จริงอยู่ที่ผมอาจจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ที่อยู่ของผม ในขณะที่ผมไม่เคยบอกปีเตอร์หรือเพื่อนคนอื่นๆ ให้รู้เลย นอกจากโอลิเวีย แฟนเก่าของผมแล้ว ผมก็แทบไม่เคยเอาใครเข้าบ้านมาก่อนอย่างที่โลแกนว่าจริงๆ…

จริงๆ แล้วเรื่องนี้มันมีเหตุผลในตัวของมัน หนึ่งคือ… ตอนนั้นบรรดาเพื่อนๆ ของผมมันไม่มีรถขับไปไหนมาไหนนี่หว่า และผมก็ยังแสลงใจกับเรื่องที่ว่าบ้านผม ครั้งหนึ่งเคยเจิ่งนองไปด้วยเลือดของเจ้าของบ้านมาก่อน สอง… ผมไม่ได้อยากจะให้ไมเคิลรู้เรื่องที่อยู่ของผม แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเสนอตัวจะมารับถึงบ้าน แสดงน้ำใจไมตรีในทุกๆ อย่างขนาดนั้น ผมก็ไม่อยากพูดปัดหรือปฏิเสธเขา แล้วอีกอย่าง… มันก็แค่เรื่องแค่นี้

แต่ดูเหมือนไอ้เรื่องแค่นี้ที่ว่านี่จะทำเอาน้องชายผมสติแตกไปเรียบร้อยแล้ว… เป็นการสติแตกแบบดูมีสติที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย

“แฮ่ก… แฮ่ก…” ผมหอบหายใจเบาๆ ขณะเหลือบมองสีหน้าสงบของอีกฝ่ายที่กำลังลอกคราบตัวเองอย่างเชื่องช้า จากนั้นเจ้าตัวก็ไซร้หน้าลงมาบนบริเวณซอกคอของผม รู้สึกได้เลยว่าอุณหภูมิระหว่างพวกเราสองคนเพิ่มสูงขึ้น ผมสะดุ้งอีกเฮือกเมื่อมือหนาเลื่อนไปกระชากกางเกงออกจากร่างของผม โยนมันทิ้งลงบนกับพื้นห้องอย่างไม่ใยดี

“ดะ…  เดี๋ยวก่อน โลแก---” แต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้ผมพูดจนจบ

...ถามจริง… สรุปนี่ผมทำอะไรผิดเนี่ย?





-------------------------------------------
Talk: มีตอนแทรกนะคะ (NC อะแหละ... ถถถถถ) XD ใครอยากอ่าน แวะไปได้ที่เพจเล้ย! >>https://www.facebook.com/airinand/ ลองดูที่โพสปักหมุดนะคะ :) หาไม่เจอก็ inbox มาได้น้า~
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 33) P.5 [5/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 05-03-2017 12:57:14
โกรธไรเหรอออ เขาแค่ไปกินข้าวกันเอ๊งงง กึกึ :hao7:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 33) P.5 [5/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 05-03-2017 16:58:26

บทที่ 34

(Mode: Logan Collins)




หลายๆ ครั้งผมก็คิดนะ… ว่าตัวเองเป็นคนที่ถือไพ่เหนือกว่าพี่ชายฝาแฝดของตัวเองมาโดยตลอด แต่มาถึงตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจล่ะ

“โลแกน” ลูคัสที่อยู่ในเสื้อแขนยาวตัวโคร่งตัวเดียวกวักมือเรียกมือเรียกผมไปหา ตอนนี้เจ้าตัวกำลังนั่งหมิ่นเหม่อยู่ที่ข้างเตียง ตามองโทรทัศน์รายการเกี่ยวกับคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิกที่มีผู้เล่นส่วนมากเป็นเปียโนและไวโอลิน “มานี่ดิ ไอ้น้อง ฝากหยิบโค้กตรงนั้นมาให้ด้วย”

“ใช้จริงนะ คุณชาย” ผมพูดประชดอีกฝ่าย หากก็ยอมทำตามที่ลูคัสขออย่างว่าง่าย… นึกถึงตัวเองสมัยก่อน… ไม่สิ ไม่ต้องนานมาก แค่ประมาณปีที่แล้ว ผมคงไม่มีทางยอมลงให้หมอนี่มากขนาดนี้แน่

“นายจะไปทำงานอีกทีวันไหน”

“พรุ่งนี้”

“นายว่าถ้าฉันไปค้างที่หอนายบ้างจะเป็นอะไรไหม นายอยู่หอกับพวกนักเรียนตำรวจคนอื่นๆ ใช่รึเปล่า”

ผมส่ายหน้าทันที จริงๆ ไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้มากเลย เรื่องวงในน่ะ หมอนี่รู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดีกับเจ้าตัวมากเท่านั้น

“เปล่า”

“อ้าว” ลูคัสหันมามองผมงงๆ “ก็ตอนนั้นนายบอก…”

“ตอนนั้นฉันอยู่จริง” ผมว่า ก่อนหน้าที่ผมจะย้ายไปอยู่กับดีซีไอเอส ผมก็เหมือนนักเรียนตำรวจทั่วไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว “แต่ตอนนี้ย้ายแล้ว ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ก็เหมือนได้เลื่อนขั้นนั่นแหละ”

ลูคัสทำสายตาอย่างหนึ่ง นัยน์ตาสีฟ้ากลมโตเบิกกว้างขึ้นเหมือนไม่อยากเชื่อ

“นายเนี่ยนะ?”

“ทำหน้างั้นหมายความว่าไง เดี๋ยวก็จิ้มลูกตาเข้าให้หรอก”

“อย่าดุนักสิ” ลุคัสเบ้ปากนิดหนึ่ง “ก็แค่คิดว่านายเพิ่งเข้าเรียนได้ไม่เท่าไร… จะได้… อะไรนะ เลื่อนขั้นเหรอ? นี่สรุปว่านายไปเรียนหรือไปทำงานกันแน่?”

“แล้วใครว่าทำทั้งสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ล่ะ” โลแกนยักไหล่ให้พี่ทีหนึ่ง จากนั้นก็ขยับตัวไปแล้วโอบกอดคนที่มีใบหน้าเหมือนกันกับผมทุกประการ แต่ตัวเล็กกว่าจากทางด้านหลัง ลูคัสหน้าร้อนขึ้นนิดๆ หากยอมซบศีรษะลงมาราวกับตั้งใจจะอ้อน

เออ… หมอนี่ทำตัวน่ารักๆ ก็เป็นแฮะ

“แต่งานนายก็เท่ห์ดีนะ” เจ้าตัวว่ายิ้มๆ “ไว้คอยยไล่ฟาดคนที่ทำตัวออกนอกลู่นอกทางไง ถึงเมื่อก่อนนายจะเป็นคนจำพวกนั้นก็เถอะ”

ผมมองคนในอ้อมแขนที่หัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี แกล้งตีสีหน้าไม่พอใจใส่มัน จากนั้นก็เลื่อนใบหน้าไปขโมยจูบมันแรงๆ อีกรอบหนึ่ง

แต่ที่ทำให้ผมมีความสุขยิ่งไปกว่านั้นก็คือ… มันจูบตอบผม! ไอ้หมอนี่ชักจะเริ่มรู้งานแล้วสิ

“ตอนนี้ฉันก็ยังเป็นคนจำพวกนั้นอยู่นะ”

“อย่าให้คนที่ทำงานนายจับได้แล้วกัน” ลูคัสว่าพร้อมกับหัวเราะร่วนเหมือนเดิม เจ้าตัวคงคิดว่าผมพูดเล่น หากผมเพียงแค่ส่งยิ้มไม่สื่อความหมายใดๆ ให้มันกลับไป

ผมไม่เคยทำตัวอยู่ในลู่ทางแบบที่คนอื่นเขาเป็นกันอยู่แล้ว แค่มีบางครั้งที่ต้องทำตัวให้เหมือนเป็นแบบนั้น เพียงเพื่อที่จะให้การทำตัวออกนอกลู่นอกทางของผมมันง่ายขึ้นเท่านั้นเอง









ผมได้รับภารกิจให้ออกไปทำงานคนเดียวหลังจากที่ได้ออกภาคสนามกับฮิวเบอร์มาหลายครั้งหลายครา ในที่สุดคนในหน่วยงานก็เริ่มยอมรับและวางใจในตัวผม

งานที่ต้องทำครั้งนี้ทำให้ผมต้องนั่งเรือเดินทางไปยังเกาะเล็กๆ ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยน้ำทะเลสีคราม ผมมองประกายบนผืนน้ำที่แสงแดดส่องกระทบลงมาด้วยสีหน้าเรียบสงบ อากาศบนท้องฟ้าแจ่มใสเสียจนนึกอยากจะหาเวลาว่างไปนอนอาบแดดแถวริมหาดขึ้นมา

ในเรือนั้นยังมีนักท่องเที่ยวอยู่อีกไม่ต่ำกว่าสี่สิบคน บางคนเริ่มยกมือขึ้นมาปิดปาก สีหน้าซีดลงด้วยความคลื่นไส้จากอาการของเรื่อที่แกว่งไปมา แน่นอนว่าผมไม่มีอาการอย่างนั้นออกมาให้ใครได้เห็นแน่ ต่อให้ผมจะกำลังทำตัวกลมกลืนไปกับพวกเขาด้วยการแต่งกายชุดลำลอง เสื้อยืดและกางเกงยีนส์สีเข้มพรางตัวผมไปได้กับหมู่นักท่องเที่ยวอย่างกลมกลืน

เมื่อมาถึงตัวเกาะแล้ว ผมไม่เดินไปขึ้นรถทัวร์อย่างที่คนอื่นๆ ทำกันเพราะทางหน่วยงานทิ้งรถคันหนึ่งไว้ให้อยู่แล้ว มันอยู่ห่างจากบริเวณท่าเรือเล็กน้อย

หลังจากนั้นผมก็มาอยู่ที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ใช้ชื่อปลอมในการดำเนินการจองห้องพัก ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นเป็นสิ่งที่ทางทีมอื่นจัดการให้

ผมเปิดกระเป๋าที่มีข้าวของเพียงน้อยชิ้นออกมา หยิบข้าวของเครื่องใช้มาวางเรียงกัน และเมื่อจัดการสิ่งที่ต้องทำเรียบร้อยแล้วผมก็เดินไปทรุดนอนบนเตียง วางมือสองข้างไว้ที่หลังหัว ปิดเปลือกตาลง เริ่มทบทวนแผนการของภารกิจครั้งนี้ในใจ คิดภาพที่จะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นเมื่อคิดว่าจัดการตรงส่วนนั้นได้เรียบร้อยแล้ว ผมก็ลืมตาขึ้น

เดินลากเท้าไปที่บริเวณหน้าต่างซึ่งหันออกไปทางฝั่งของทะเล เหม่อมองมันออกไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง แล้วภาพตอนที่ผมกับลูคัสไปนั่งเล่นด้วยกันอยู่ที่ริมหาดก็สะท้อนกลับเข้ามาในหัว แค่เสี้ยววินาที… เสี้ยววินาทีเท่านั้น…

ผมเม้มริมฝีปากแน่น สลัดภาพพวกนั้นออกไปจากหัวทันที ในเวลาทำงานอย่างนี้ ผมไม่ควรจะนึกถึงเรื่องอะไรพวกนั้น แม้จะแค่เสี้ยววินาทีเดียวก็ตาม หากมันก็ยังบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผมยังฝึกมาไม่พอ

ผมถอนหายใจเฮือกกับตัวเอง ยกมือขึ้นมาเสยผมลวกๆ อย่างไม่สบายใจและหงุดหงิด
ตอนนี้ฮิวเบอร์กับแมคโดเวลเริ่มเอ่ยปากเตือนผมเรื่องของพี่ชายฝาแฝดของตัวเองแล้ว ยิ่งผมทำงานที่ต้องเสี่ยงตายมากเท่าไร คนรอบตัวก็เริ่มจะกลายเป็นเป้าและเป็นอันตรายขึ้นมาตามไปด้วย

นี่ยังไม่นับรวมถึงเรื่องที่ลูคัสเองก็เริ่มมีชื่อเสียงในแวดวงของวงการดนตรีมากขึ้นไปทุกทีๆ ด้วย รวมไปถึงเรื่องที่พวกเราสองคนมีใบหน้าเหมือนกันราวกับถูกคัดลอกสำเนากันมายังไงยังงั้น เพราะงั้น… ถ้าเกิดว่ามีศัตรูของผมสักคำรู้ตัวตนของผมขึ้นมาล่ะก็… ต่อให้ไอ้คนนั้นมันจะโง่แค่ไหน มันก็ต้องดูออกแน่ว่าผมกับลูคัสเป็นพี่น้องกัน… เป็นฝาแฝดกันซะด้วย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับความเป็นแฝดของพวกเราก็ตอนนี้แหละ

“ทำศัลยกรรมไหม” แมคโดเวลเคยเสนอขึ้นมาระหว่างที่ผมกับฮิวเบอร์นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน “ถ้าทำแบบนั้น อย่างน้อยก็อาจจะพอช่วยลดความเสี่ยงได้บ้าง”

“ศัลยกรรมเหรอครับ” ผมพูดทวนออกมาด้วยสีหน้าแขยง ไม่นึกว่าเรื่องที่เคยพูดเล่นๆ กับพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง วันหนึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาให้พิจารณาจริงๆ “มันจะช่วยอะไรได้จริงๆ เหรอครับ ทำแบบนั้นน่ะ”

“นั่นน่ะ มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” ฮิวเบอร์ไม่เห็นด้วย “พวกมือสังหารเก่งๆ น่ะ เขาต้องหัดพรางตัว เพราะงั้นถ้าจะห่วงเรื่องรูปลักษณ์ล่ะก็… นายอาจจำเป็นต้องฝึกเรื่องนี้”

“ไม่มีปัญหาครับ” ผมแทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงจะดูเหมือนผมพูดเล่น แต่ผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ นะ ตอนที่บอกกับลูคัสว่าไม่อยากให้ใบหน้าหล่อเหลาของตัวเองต้องเปลี่ยนไปน่ะ… เฮ้ ไม่ต้องมองผมแบบนั้น นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ

“แต่ปัญหาคือ… ความสนิทสนมของเธอกับเขาต่างหาก”

ประโยคถัดมาทำให้ผมนิ่งลง สิ่งที่ฮิวเบอร์พูดออกมาไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่ในหัว หากไม่อยากจะคิดถึงมันมากก็เท่านั้นเอง

“ถ้าเป็นไปได้… ฉันว่าเธอพยายามห่างๆ เขาออกมาหน่อยดีกว่า” ฮิวเบอร์พูดแค่นั้น เสร็จแล้วก็เงียบไป ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขาคงรู้ว่าผมสามารถคิดได้เองต่อจากนี้

แล้วก็ใช่… ผมคิดได้เองนั่นแหละ รู้ดีด้วยว่าการทำงานแบบนี้ ยิ่งมีคนที่แคร์มากเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลเสียทั้งต่อตัวเองและคนคนนั้นมากเท่านั้น

ผมเหลือบมองดูนาฬิกาหลังจากที่จมดิ่งอยู่ในห้องความคิดครู่ใหญ่ ใกล้จะถึงเวลาทำงานของผมแล้ว คงต้องเริ่มเตรียมตัวสักที

ไม่กี่นาทีต่อมาผมก็เดินออกมาจากห้องพัก เดินเตร่ไปตามท้องถนน เดินไปเข้าร้านอาหารแล้วสั่งอาหารง่ายๆ มากิน ทอดสายตามองนักแสดงข้างถนนที่กำลังโชว์มายากลให้บรรดาคนที่มุงดูอย่างสนใจ จากนั้นก็มีนักแสดงอีกคนมาสมทบ แล้วพวกเขาก็เริ่มเล่นโชว์อะไรๆ คู่กัน

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จผมก็ออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่เป้าหมาย จุดที่ผมแวะไปเยี่ยมชมคือตัวปราสาทเก่าแก่อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเกาะแห่งนี้

ผมเดินกลมกลืนไปกับบรรดานักท่องเที่ยว ลูบปืนใหญ่ที่วางตั้งอยู่ซึ่งคงไม่มีวันได้ยิงอีกต่อไปแล้ว จากนั้นก็หันไปมองอีกฟากที่เป็นส่วนของผืนทะเล ผมสูดอากาศของมันเข้ามาเต็มปอด มันทำให้รู้สึกสดชื่นเสมอบางทีถ้าลูคัสอยู่ที่นี่ด้วยกันกับผมก็คง…

ไม่สิ เผลอคิดเรื่องหมอนั่นอีกแล้ว เกลียดชะมัดเลยเวลาที่สมาธิวอกแวก

แต่จนแล้วจนรอดผมก็ต้องยอมรับความคิดของตัวเอง ผมเหยียดแขนขาที่ตึงออกจนสุด ได้ยินเสียงดังก๊อกจากไหล่ข้างซ้าย

พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของผมกับลูคัส

ยี่สิบปีงั้นเหรอ… ใช่ คงจะยี่สิบแน่ถ้าผมอยู่รอดไปจนถึงพรุ่งนี้ ผมไม่อยากนึกภาพให้อะไรๆ ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบได้ดังภาพฝันตามแผน เพราะมันไม่เคยเป็นแบบนั้น

ผมเดินกลับลงมา ห่างออกจากตัวปราสาทไปไม่ไกล สายตาเริ่มกวาดมองตามเส้นทาง เดินไปตามทิศทางทุกอย่างที่อยู่ในแผนการซึ่งถูกฉายซ้ำไปมาในหัวผม

ในที่สุดผมก็มาอยู่ในห้องห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของในการจัดแสดงบ้านผีสิงซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเล็กๆ ของทัวร์ปราสาท ผมหยิบอาวุธที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ขึ้นมา ตรวจสอบดูว่าทุกอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน หวังในใจเป็นอย่างยิ่งว่าเป้าหมายของผมคงจะสนุกกับโชว์ของตัวเองก่อนที่ผมจะได้เริ่มต้นโชว์ของผม

เพราะเมื่อโชว์ของผมเริ่มแล้ว… มันก็จะไม่มีทางย้อนกลับไปได้อีก

ผมหลุบอยู่เลี้ยวโค้งสุดท้ายของทัวร์ที่ว่า ได้ยินเสียงพูดอธิบายของไกด์ที่คงจะท่องบทมาจนขึ้นใจ ผมนับก้าวเท้าพวกนั้นในใจ และไกด์คนนั้นเองก็คงกำลังทำเหมือนกัน

เป้าหมายของผมถูกห้อมล้อมด้วยผู้ติดตามอีกสี่คน… เพราะฉะนั้นผมจึงมีผู้ที่ต้องจัดการทั้งหมดห้าคน ไม่นับไกด์คนนั้นซึ่งเป็นพวกเดียวกับผม นึกสงสัยเหมือนกันว่าพวกนั้นใช้อะไรเป็นเหยื่อล่อเป้าหมายมาที่นี่ นึกสงสัยไปถึงว่าเหยื่อในครั้งนี้ของผมมีความสำคัญแค่ไหน

...แต่ก็นั่นแหละ การรู้เรื่องพวกนั้นไม่ใช่หน้าที่ของผม

ผมรอจนถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองจริงๆ จากนั้นจึงเริ่มปามีดไปเสียบที่อกของชายคนแรก ไม่รอให้เจ้าคนนั้นล้มลงไปถึงพื้นผมก็ลั่นไก ยิงชายคนที่สองด้วยปืนเก็บเสียง คนอื่นๆ เริ่มมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้แล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล

ผมขว้างมีดใส่ชายคนที่สามต่ออย่างรวดเร็ว มันปักลงบนหน้าอกเขาอย่างแม่นยำ ชายคนที่สี่ชักปืนของตัวเองออกมาแล้วยิงผม แต่แน่ล่ะว่าผมเตรียมตัวไว้แล้ว ผมใช้ร่างของชายคนที่สามขึ้นมาเป็นโล่กำบัง จากนั้นก็ยิงสวนกลับไปและปล่อยให้ร่างของคนคนนั้นร่วงหล่นจากพื้น

“ยะ… อย่า…” เหยื่อตัวจริงของผมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและเริ่มร่ำร้องอ้อนวอน ผมไม่รอให้เขาพูดเรื่องจำนวนเงินมากมายที่เขาสามารถให้ผมได้ อำนาจบารมีหรืออะไรก็ตามที่รอผมอยู่ถ้าผมปล่อยให้เขารอดไป แต่ผมเคยฟังอะไรแบบนี้มาแล้ว

ผมเหนี่ยวไกสองนัดใส่สมองของคนตรงหน้า มองร่างเป้าหมายของภารกิจที่ล้มลงอย่างไร้ความรู้สึก ผมมีไม้กางเขนกลับหัวห้อยอยู่กับคอใต้เสื้อผ้าของผมติดตัวมาด้วยในวันนี้ รู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่พุ่งพล่านออกมา มันก็เป็นแบบนี้เสมอแหละเวลาที่ผมฆ่าใคร ท่านพ่อจะมอบพลังส่วนหนึ่งมาให้ เก็บตุนไว้ใช้ในวันข้างหน้าเพื่อที่จะฆ่าต่อไปได้อีกเรื่อยๆ อย่างน้อยผมก็ชอบความรู้สึกของพลังที่ไหลเวียนอยู่ในตัวนี่

ไกด์ทัวร์ที่เป็นพวกเดียวกับเดินแยกออกไปตั้งแต่ก่อนที่มีดเล่มแรกจะถูกเขวี้ยงออกมาแล้ว ผมเดินแยกไปรอยแยกเดียวกับคนคนนั้น จากนั้นก็เดินทางกลับไปนอนพักที่โรงแรมเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

สำหรับผมแล้ว… นี่มันก็แค่ชีวิตประจำวันอีกวันจริงๆ นั่นแหละ ถ้าผมยังไม่ตาย… ก็เท่ากับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงหลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเรียบร้อย เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มองพระจันทร์ลูกกลมที่ลอยเท้งเต้งอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นก็หลุดยิ้มที่ไม่มีความหมายใดๆ ออกมาจนได้

เค้กเปล่าๆ ของผม ปักเทียนในจินตนาการลงไปอีกสักเล่ม… เท่านี้เราก็ได้เค้กที่ต้องการมาแล้ว เค้กวันเกิดของผม

ผมเหลือบมองดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาที่เลยเที่ยงคืนมาแล้วเล็กน้อย ผมอยากส่งข้อความให้ลูคัส… อยากจะบอกสุขสันต์วันเกิดให้หมอนั่น  แต่ก็รู้ดีว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ผมเลิกส่งข้อความหาหมอนั่นมานานมากแล้ว และลูคัสเองก็เข้าใจดีว่าเพราะอะไร ผมอธิบายทุกอย่างให้เจ้าตัวฟังไปแล้ว และหนทางที่พวกเราสองคนจะสามารถติดต่อกันได้อย่างเป็นปกติก็คือ… การที่ผมต้องเป็นฝ่ายไปหาเจ้าตัวถึงที่เท่านั้น ไม่มีมากหรือน้อยไปกว่านี้

ผมปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงพี่ชายฝาแฝดคนนั้นของผมอย่างไม่ฝืนทนอีกต่อไป สงสัยเหลือเกินว่าอีกฝ่ายเองก็กำลังทรมานแบบเดียวกับที่ผมเป็นอยู่ไหม

สุขสันต์วันเกิดนะ ลูคัส

ผมว่ามันคงไปถึงพี่ชายฝาแฝดของผม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งล่ะ...





------------------------------------
Talk: ตอนเริ่มเขียนเรื่องนี้มา คิดไว้ว่าสัก 40 ตอนจบ... อืม... ไม่น่าพอ 55555555
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 34) P.5 [5/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-03-2017 18:28:07
โลแกน  รักลูคัส หึงหวงลูคัสแล้วด้วย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 34) P.5 [5/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-03-2017 16:27:46

บทที่ 35

(Mode: Lucas Collins)





เสียงหวานใสของตัวโน้ตที่ผมบรรเลงออกมา ไม่ได้ช่วยพิสูจน์อะไรนอกจากเรื่องที่ว่าเปียโนหลังนี้เป็นเปียโนที่มีคุณภาพดี และราคาของมันคงแพงระยับ แต่เสียงที่ผมกรีดนิ้วลงไปเล่น ไม่ได้บ่งบอกถึงความเก่งกาจของฝีมือคนเล่นแม้แต่น้อย

ไม่… ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เสียงแบบที่ฉันอยากให้เป็น

ผมคิดกับตัวเองอย่างอัดอั้น รู้สึกราวกับหัวใจในตอนนี้ถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น

ยังอีก… ต้องมากกว่านี้อีก… กังวานกว่านี้อีก

ภายในตัวบ้านที่ผมอยู่นั้นมืดมิดเพราะไม่ได้เปิดไฟ มีเสียงแสงจันทร์จากพระจันทร์ลูกโตเท่านั้นที่สาดส่องลงมา พอให้เห็นตัวโน้ตที่ตั้งอยู่ตรงหน้า

เมื่อสองวันก่อน… ผมเพิ่งไปแข่งมา มิกกี้ก็มาดูด้วย แถมรอบนี้ปีเตอร์ที่ไม่ติดอะไรก็โผล่หน้ามาเชียร์

แต่ผมก็รู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนเวทีแล้ว… ว่าการประกวดครั้งนี้ ผมคงไม่ชนะหรอก

‘ฟอร์มตกลงนะ’

ไมเคิลพูดกับผม หลังจากที่การแข่งขันนั้นจบลง ผมได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับสองไปครอง เป็นรางวัลที่แม้แต่ตัวผมยังบอกได้เลยว่ามากเกินกว่าฝีมือของผม

‘เฮ้ย อย่าคิดมากน่า’ ปีเตอร์ที่อยู่ตรงนั้นเดินมาตบบ่าให้กำลังใจ หันไปมองแผ่นหลังของครูผู้ฝึกของผมอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย ‘ได้ที่สามมาก็เจ๋งสุดยอดแล้วนา นายก็รู้ใช่ม้า… แบบว่า… เราจะเอาที่หนึ่งทุกเวทีคงไม่ได้ ต้องแบ่งให้คนอื่นเขาบ้าง’

ผมในตอนนั้นได้แต่ฝืนยิ้มเซียวๆ ตอบกลับไป รู้ดีว่ากลับไปรอบนี้มิกกี้ต้องเล่นงานผมหนักแน่ เพราะสิ่งที่เขาสอนและซ้อมให้ผมมาพังครืนไม่เป็นท่า ว่ากันตามตรงเลยก็คือ… ผมซ้อม ผมยังทำได้ดีกว่านี้อีก

ยัง… ยังไม่ใช่ นี่มันไม่ใช่

ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ตัดสินใจหยุดมือของตัวเองลง ละมันออกจากคีย์บอร์ดสีขาวดำ มองมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อและสั่นเทาของตัวเองอย่างแปลกใจ

ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ร้อน… แต่ทำไมเหงื่อถึงได้ออกมามากขนาดนี้

ผมเลื่อนมือข้างนั้นไปดึงคอเสื้อเล็กน้อย ราวกับนั่นจะช่วยทำให้ลำคอตีบตันที่เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ดีขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

ผมดึงสร้อยคอไม้กางเขนที่หมู่นี้มักพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วยตลอดออกจากใต้เสื้อ ยกมันขึ้นมาพิจารณาครู่หนึ่ง มองเปียโนหลังงามตรงหน้าอย่างลังเลว่าควรจะเล่นต่อดีไหม แต่ผลสุดท้ายผมก็ตัดสินใจลุกออกจากเก้าอี้ เดินไปกดเปิดเพลงจากเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตัวเอง เป็นเพลงที่ผมเล่นไปตอนที่อยู่บนเวทีล่าสุด จากนั้นก็หยิบโน้ตเพลงขึ้นมา พิจารณาและทบทวนถึงความผิดพลาดที่ได้ทำลงไป

ผมเดินไปหยิบดินสอไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารที่ตอนนี้มีห่อขนมขบเคี้ยวและสารพัดของแห้งที่ไม่จำเป็นต้องเก็บเข้าตู้เย็นวางอยู่เกลื่อนกลาด ผมเคาะดินสอแท่งนั้นลงบนพื้นโต๊ะตามจังหวะของเสียงดนตรีที่ลอยมาให้ได้ยิน แล้วอยู่ๆ ผมก็เกิดความรู้สึกว่าอยากจะเล่นเพลง Happy Birthday ขึ้นมา…

ก็แหงสิ… ทำไมจะไม่ล่ะ ในเมื่อวันนี้มันเป็นวันเกิดของผมกับโลแกน…

ผมเดินพรวดกลับไปอยู่ที่หน้าเปียโนหลังเดิมหลังจากที่กดปิดเสียงดนตรีที่ตัวเองเป็นคนบรรเลงลง เพลงเห่ยๆ นั่นมันเห่ยจริงๆ นี่ผมทำได้แค่นั้นจริงๆ เหรอ?

ผมเริ่มบรรเลงตัวโน้ตลงไปอย่างเชื่องช้า แล้วก็ค้นพบว่ามันช้าและเอื่อยเกินกว่าจะเป็นเพลงสุขสันต์วันเกิดให้ใครได้ ไม่ได้แม้แต่จะเล่นให้ตุ๊กตาหมีที่ไม่รู็สึกรู้สาอะไรฟังด้วยซ้ำ

ผมพยายามเร่งจังหวะ ขยับนิ้วเรียวของตัวเองด้วยความเร็วที่มากขึ้น ไมเคิลมักบอกผมเสมอว่าผมมีข้อได้เปรียบตรงที่นิ้วยาว แต่ก็นั่นแหละ แค่นิ้วยาว มันก็ไม่ได้ช่วยให้คุณเป็นนักเปียโนอันดับหนึ่งตลอดไปหรอก

ผมดีดโน้ตตัวเดิม เพลงเดิมซ้ำไปซ้ำมาเรื่อยๆ กับอีแค่เพลงง่ายๆ แค่นี้… ทำไมมันถึงออกมาไม่ได้ดั่งใจเลยนะ?

ผมได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองที่แรงขึ้น มันแรงขึ้นเรื่อยๆ กลบเสียงเปียโนของผมไปหมด

‘ทำไม! ฉันจะกินเหล้าแล้วมันทำไม ขนาดเปียโนแพงๆ นี่ยังซื้อมาได้! แล้วทำไมฉันจะซื้อความสุขของตัวเองบ้างไม่ได้!!’

‘อย่างคุณน่ะมันก็ดีแต่เมาหัวราน้ำไปวันๆ! ชีวิตฉันต้องพังก็เพราะคุณนั่นแหละ!!’

ทุกส่วนของร่างกายผมชาวาบราวกับมีคนเอาเครื่องช็อตไฟฟ้ามาโดนที่ตัวส่งผลให้กระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่างกาย

นิ้วของผมแข็งค้างคาอยู่บนคีย์เปียโนแล้ว แต่มันสั่นเทา ผมรู้ดีว่าอาการแบบนี้คืออะไร ก็แค่อาการเก่าๆ… ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีๆ ก็ยังคงอยู่ตรงนั้น เป็นภาพสะท้อนอยู่ในหัวที่ยากจะลบเลือน

ใช่แล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น นับมาถึงวันนี้ก็ผ่านมา 14 ปีแล้ว ภาพทุกอย่างมันแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่สิ… ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้นี้เลยด้วยซ้ำ

“แฮ่ก…” ผมปล่อยให้ตัวเองหอบหายใจออกมาเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีอะไรเต้นตุบๆ อยู่ในหัว และเจ้าสิ่งนั้นก็กำลังทำให้ทัศนวิสัยของผมพร่าเลือน

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ใช้ปลายนิ้วเลื่อนแตะหน้าจอเพื่อปลดล็อกมันทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรหรือติดต่อใคร

ไม่ได้… ผมติดต่อโลแกนไม่ได้ หมอนั่นอาจจะกำลังทำงานอยู่ และผมเองก็สบายดี ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร

‘ถ้าเกิดว่ามีเรื่องฉุกเฉินจริงๆ’ น้องชายฝาแฝดของผมพูดไว้ตอนครั้งล่าสุดที่เราเจอกัน… และนั่นก็ผ่านมาเกือบจะหกเดือนได้แล้วมั้ง ‘ใช้เครื่องนี้โทรมาหาฉัน กดปุ่มนี้ปุ่มเดียว ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ ฉันก็รับได้’

เหรอ… แล้วถ้าเกิดตอนนั้นนายกำลังรัวลูกปืนกับคนร้ายอยู่ล่ะ

นั่นเป็นคำถามที่ผมเพียงแค่คิดในใจ ไม่ได้พูดออกไป เพราะโลแกนอธิบายและบอกเล่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ไปจนหมดแล้ว อธิบายถึงสาเหตุว่าทำไมเขาถึงจำเป็นต้องตัดขาดการติดต่อกับผม อธิบายว่าทำไมผมถึงไม่ควรส่งข้อความหรือโทรไปหาเขาถ้าหากไม่มีเรื่องฉุกเฉินจริงๆ

โลแกนให้เบอร์โทรศัพท์ของคนอื่นๆ ที่ผมสามารถพึ่งพามาได้ด้วย อย่างเช่นเบอร์ของคนที่กรมหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเก่งๆ ที่คงสามารถมาช่วยผมได้รวดเร็วและทันท่วงทีมากกว่า ในกรณีที่ความช่วยเหลือที่ผมต้องการไม่ได้หนักหนาจริงๆ…

ให้ตายสิ คิดถึงเรื่องนี้แล้วยังแค้นใจไม่หายเลย นี่หมอนี่เห็นผมเป็นเด็กอมมือรึยังไง ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ และถ้าให้คิดกันตามตรง… ผมก็อายุเท่ามันนั่นแหละ! มากกว่าด้วย เพราะผมเป็นคนที่ได้ออกมาจากท้องแม่ก่อน!

แล้วผมก็ยังได้รู้อีกว่าโลแกนขอให้คนจากทางรัฐมาคอยจับตาดูผมเป็นระยะๆ อาจจะไม่ตลอดเวลา แต่ก็โผล่มาเรื่อยๆ ซึ่งผมอาจจะมีโอกาสได้เห็นพวกเขาบ้างหรือไม่ได้เห็นเลย เพราะคนพวกนั้นจะคอยดูผมจากที่ไกลๆ เรื่องนั้นตอนแรกทำให้ผมรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวลดลงไปอยู่เหมือนกัน แต่พอผ่านไปสักพักก็เริ่มชิน แล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีใครจับตาดูอยู่เป็นพิเศษ

หากตอนนี้… ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิ บางทีผมอาจอยากให้มีคนมาคอยจับตาดูผมก็ได้…

ผมอยากให้โลแกนมาคอยจับตาดูผม ผมอยากได้เขามาอยู่ใกล้ๆ สิ่งที่ผมต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือขอคนในครอบครัวคนสุดท้ายของผมมาอยู่กับผมก็เท่านั้น มันเป็นคำขอที่มากเกินไปเหรอ?

“อึก…” ผมครวญครางออกมาจากลำคอนิดหนึ่ง คว่ำโทรศัพท์ในมือลงเพราะรู้สึกว่าแสงจากหน้าจอแยงตา

ผมพยายามเดินไปที่บริเวณครัวเพราะอยากได้น้ำดื่มมาช่วยทำให้อารมณ์ของผมสงบลงบ้าง หากเมื่อสายตาทอดมองลงไปที่พื้น จุดเดียวกับที่แม่เคยนอนเลือดอาบท่วมตัวอยู่ตรงนั้น ผมก็รู้สึกว่าเลือดในร่างของตัวเองเย็นยะเยือก จากนั้นภาพทุกอย่างก็ย้อนกลับเข้ามาในหัว

‘หยุดนะ!! อย่าทำอะไรลูกนะ!!’ นั่นเป็นเสียงกรีดร้องของแม่

‘อย่ามาเซ้าซี้ได้ไหม!! น่ารำคาญ!!’ เสียงที่ตะโกนกลับมาของพ่อ

‘ลูคัส… ไม่เป็นไรแล้วนะ’ โลแกนที่เดินเข้ามากอดร่างของผม เหมือนว่าเนื้อตัวของพวกเราจะเต็มไปด้วยเลือด

‘เละเทะไม่เลวเลยนี่… โลแกน’ ชายคนหนึ่งที่มีเขางอกออกมาจากหัวทั้งสองข้างพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

อื๊อ? นั่นมัน…

ใครน่ะ??

“!!!” ผมยกมือกุมหัวที่ปวดตุบราวกับจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ผมหลับตาทั้งสองข้างลงแน่น รู้สึกราวกับเรี่ยวแรงที่มีอยู่มันหมดลงไปดื้อๆ แล้วผมก็ล้มคว่ำลงตรงหน้าห้องครัว

แรงกระแทกนั่นทำให้ผมเจ็บจนชาไปหมดทั้งตัว แต่สติอันน้อยนิดของผมก็บอกผมว่านิ้วมือยังไม่เป็นไร

ผมอยากกรีดร้อง มันทรมาน อยากจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่รู้จะขอจากใคร ไม่รู้จะต้องขอว่ายังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร

โลแกน... ผมได้แต่ลอบคิดอยู่ในหัว รู้ดีว่าไม่มีทางทำอะไรที่มากไปกว่านั้นได้ โลแกน ได้โปรด ช่วยฉันที

จริงๆ แล้วผมรู้ดี… รู้ดีว่านอกจากน้องชายฝาแฝดผู้ได้เผชิญหน้าในเหตุการณ์วันนั้นด้วยกันกับผมแล้ว ไม่มีใครสามารถช่วยผมได้

ฉันคิดถึงนาย โลแกน นายไม่มาเจอฉันเป็นครึ่งปีแล้ว… นายทำอะไรอยู่ นายสุขสบายดีหรือเปล่า นายมีคนใหม่เหรอ นายไม่คิดถึงกันบ้างเลยหรือไง นายกำลังโดนใครจ้องเล่นงานอยู่รึเปล่า นายฆ่าคนไปแล้วกี่คน ถ้ามันเป็นคนที่สมควรตายก็ช่างมันเถอะ

ไม่หรอก… อันที่จริงแล้ว นายรู้อะไรไหม นายอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าไปเถอะ ฉันไม่สนอยู่แล้วว่าคนพวกนั้นจะเป็นยังไง ขอแค่นายกลับมาหาฉัน โลแกน แค่นายมีชีวิตอยู่รอดกลับมาหาฉัน ต่อให้นายต้องฆ่าคนสักกี่สิบคน หรือกี่ร้อยคนก็ช่าง

อ่า… ช่างเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวอะไรอย่างนี้ แต่ก็แล้วยังไงล่ะ ในเมื่อคนอื่นๆ พวกนั้นไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับผมอย่างที่โลแกนเป็นนี่…

ผมใช้แขนยันตัวลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก หลับตาลง พยายามสูดลมหายใจให้ลึกและช้าลง นั่นพอจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

ผมเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดว้อดก้าออกมาแล้วเปิดฝาอย่างรวดเร็ว พยายามลบภาพเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นเมื่อสิบสี่ก่อนหน้านี้ มันเป็นวันเดียวกับวันนี้เลย พอเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นในวันเกิด มันก็จะคอยตามหลอกหลอนไปชั่วชีวิต วันที่ควรจะได้ฉลองอย่างมีความสุขก็ต้องโดนฝันร้ายนั่นพาดผ่านลงมา และมันก็คงเป็นไปตลอดชีวิตของผมนั่นแหละ

ผมรินเครื่องดื่มสีใสนั่นใส่แก้วแล้วยกซดลงคอไปรวดเดียว ความร้อนไหลผ่านลำคอวูบ ตกลงถึงท้องในที่สุด ระยะหลังนี้ผมเริ่มจะนอนไม่หลับแล้วถ้าไม่มีแอลกอฮอล์พวกนี้มาคอยช่วยขับกล่อม

หลังจากที่รินเหล้าใส่แก้วเป็นครั้งที่สี่ ผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเบา หัวเบา แทบไม่ต้องคิดอะไรแล้วตอนนี้

ผมเดินกลับไปที่เปียโนด้วยความรู้สึกกรึ่มๆ เหมือนล่องลอย แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวกลับแทงทะลุหัวใจ แจ่มชัดยิ่งกว่าตอนที่ผมยังมีสติอยู่ครบถ้วนกว่าเป็นร้อยๆ เท่า

ผมจรดนิ้วลงบนคีย์เปียโนอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มเล่นเพลงที่รู้สึกว่ามันขัดหูมาตลอดตั้งแต่ที่พยายามเล่นมาหลายชั่วโมง

เสียงที่สะท้อนออกมาจากเปียโนนั้นใสและก้องกังวาน อย่างที่ผมอยากจะให้มันเป็นมาตลอดในไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า

บางทีผมอาจจะเล่นได้ดีแล้วจริงๆ หรือบางทีมันอาจเป็นฤทธิ์ของน้ำเมาที่เพิ่งไหลเข้าไปอยู่ในตัวเมื่อครู่ เสียงที่สะท้อนออกมาบาดลึก สะท้อนความเหงาของผมออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาว่ากันว่าเปียโนก็คือกระจกเงาที่สะท้อนภาพของตัวผู้เล่นออกมา และนี่ก็คือภาพของตัวผม

“ฮะ…. ฮะๆๆๆ” ผมหลุดเสียงหัวเราะที่ไร้ความหมายออกมาหลังจากที่บรรเลงเพลงที่ต้องการเสร็จสิ้น

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาอยู่หน้าเตียงในห้องนอนแบบนี้ได้ยังไง ทั้งๆ ที่เหมือนสคอจะพับ ล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ขนาดนั้น ยังอุตส่าห์ฝืนสังขารขึ้นมาได้อีก ร่างกายคนเรานี่มันสุดยอดจริงๆ

“ฮะ… ฮะๆๆๆ” ผมยกมือขึ้นมาปิดหน้า ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาเห็นน้ำตาที่ไหลอาบอยู่ทั่วแก้ม เค้นเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดกำลัง เพื่อที่มันจะข่มเสียงสะอื้นให้กลับลงไปในลำคอได้ ราวกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีใครอยู่ที่บ้านหลังนี้อยู่อีกแล้วนอกจากผม แต่ผมก็ยังจะกลัวอะไรไม่เข้าท่าอยู่อีก เป็นไอ้โง่ขนานแท้เลย

ผมนอนแผ่หราอยู่บนเตียงนิ่งๆ เหม่อมองดูเพดานสีมอซอ รอจนกระทั่งน้ำตาพวกนั้นแห้งเหือดไป

จากนั้นผมก็ตะแคงหน้าหันไปมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าโปร่งผ่านบานหน้าต่าง

ปีนี้ผมไม่ได้อบเค้ก ทำไมจะต้องทำด้วยล่ะ ในเมื่อไม่มีโลแกนกลับมากินกับผม

ไม่มีแม้แต่ข้อความ ไม่มีคำอวยพร ไม่มีการ์ดวันเกิด ไม่มีของขวัญ ไม่มีเค้ก

ไม่มี… หมอนั่น

“สุขสันต์วันเกิดว่ะ โลแกน”

หวังว่าสายลมจะช่วยพัดพาคำพูดนั้นของผมไปถึงมันได้






------------------------------------------
Talk: โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะลูคัส... มากับพี่สาวนะคะ เดี๋ยวพาไปเลี้ยงข้า---//หลบกระสุนของโลแกนแปป
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 35) P.5 [6/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 06-03-2017 23:28:47
ฮืออออ สงสารลูคัส ลูคัสจะติดเหล้ามั้ยอ่ะ ไม่เอานะ ถ้าความฝันล้มเหลวแล้วยังห่างกับโลแกนอีก...ตายแน่ๆ ตายแน่ๆคนอ่านเนี่ย  :katai1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 35) P.5 [6/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 07-03-2017 16:59:43
ลูคัสเริ่มแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 36) P.5 [7/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 07-03-2017 18:23:57

บทที่ 36

(Mode: Logan Collins)



ผมนั่งรอใครคนหนึ่งอยู่ในร้านอาหารมากว่าสิบนาทีแล้ว วันนี้ผมหยิบสูทแบบกึ่งทางการมาใส่ ไม่ผูกเนคไท จริงๆ แล้วผมเกลียดการผูกเนคไทมาก ถึงจะชอบใส่เสื้อผ้าแบบทางการก็เถอะ แต่ที่ผ่านมาผมก็มักจะใส่เสื้อผ้าแบบนั้นโดยปราศจากเนคไทมาเสมอ ยกเว้นแค่บางวันที่อารมณ์ดีมากๆ พอจะหยิบเนคไทบางเส้นขึ้นมาผูกติดกับคอเท่านั้น

จากบานหน้าต่าง ผมเห็นเจ้าหน้าที่แกรนท์ซึ่งไม่ได้อยู่ในชุดปฏิบัติการเฉกเช่นทุกครั้งอยู่อีกฟากของถนน เจ้าหล่อนกำลังรอไฟแดงเพื่อที่จะข้ามมายังร้านฝั่งนี้ แกรนท์เหลือบมองนาฬิกาข้อมือด้วยสีหน้าร้อนรนเพราะนี่มันเลยเวลานัดมาเกือบสิบนาทีแล้ว ผมสังเกตเห็นว่าเจ้าหล่อนแต่งหน้าบางๆ มาด้วย เครื่องสำอางค์ช่วยแต่งแต้มให้ใบหน้าหวานของหล่อนดูดียิ่งขึ้น ผมแอบสงสัยเหมือนกันว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หล่อนมาช้ารึเปล่า

“เฮ้ คอลลินส์” หล่อนเรียกผมทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในร้าน บอกพนักงานที่หน้าประตูว่านัดคนเอาไว้แล้วก็ก้าวเท้าเข้ามาด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจในตัวเอง ต่างจากหญิงสาวที่ก้มลงมองนาฬิกาแล้วก็หันไปมองกระจกของร้านค้าแล้วจัดแต่งทรงผมอย่างไม่แน่ใจเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคนเลย สงสัยจังเลยว่าผู้หญิงเนี่ย… เป็นแบบนี้กันทุกคนรึเปล่านะ “ขอโทษทีนะที่ให้รอ พอดีงานรัดตัวนิดหน่อย กว่าจะกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ” ผมยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ เดินออกไปเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาวนั่งตามมารยาทจากนั้นก็เรียกบริกรมาสั่งอาหารและเครื่องดื่ม

“แปลกใจจังนะที่รอบนี้นายเป็นคนมาด้วยตัวเอง” แองเจลีน่า แกรนท์เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน เป็นจังหวะเดียวกับที่แก้วน้ำที่พวกเราสั่งไปมาเสิร์ฟพอดี ผมยกแก้วของตัวเองขึ้นถือในมือ เลื่อนไปชนกับแก้วของอีกฝ่ายดังกริ๊งเบาๆ จากนั้นก็ยกขึ้นดื่ม

“ก็นะครับ… มันเป็นเรื่องงานนี่ แล้วคุณได้เอกสารอย่างที่ผมขอรึเปล่า”

แกรนท์เลื่อนมือไปเปิดกระเป๋าถือแบบผู้หญิงของตัวเองด้วยท่าทีไม่รีบร้อน จากนั้นก็วางมันลงบนโต๊ะแล้วยื่นมาให้ผม

“นี่ไม่ใช่ว่าฉันจะเอามาได้ง่ายๆ เลยนะเนี่ย คอลลินส์ ไอ้แฟ้มคดีนี้น่ะ มันเคยลงเป็นข่าวใหญ่เมื่อปีก่อนในหน้าหนังสือพิมพ์ แถมมีชื่อของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังเข้ามาเอี่ยวด้วยแบบนี้ กว่าจะได้มานี่ เลือดตาแทบกระเด็น”

ผมรับมันมาเปิดดูเนื้อหาด้านในคร่าวๆ จากนั้นริมฝีปากก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มขึ้นอย่างอดไม่อยู่

“ผมรู้อยู่แล้วล่ะน่า” ผมรีบว่า เก็บแฟ้มสำเนาที่เพิ่งได้มาลงกระเป๋าของตัวเองทันที “ถึงได้พามาคุณมาเลี้ยงข้าวในร้านหรูๆ แบบนี้ไง เป็นการตอบแทน”

“หืม?” หญิงสาวเลิกคิ้ว เงียบลงไปนิดหนึ่งเพราะอาหารเรียกน้ำย่อยถูกยกมาเสิร์ฟลงตรงหน้า และเมื่อบริกรหนุ่มเดินจากไป เจ้าหล่อนก็รุกต่อ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าพร่างพรายทีเดียว “แค่กินข้าวเท่านั้นเหรอคะ?”

“แล้วก็คุยงานด้วย” ผมรีบพูดดักคอก่อนที่หญิงสาวตรงหน้าจะคิดไปไกลกว่านี้ และนั่นเกือบจะทำให้รอยยิ้มหวานของหล่อนหุบลงไปแทบจะในทันที

“อ้อ งั้นเหรอ” เจ้าหล่อนว่า ยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง

“ผมขอโทษ แกรนท์” ผมตัดสินใจไม่อ้อมค้อม “ผมมีคนที่คบด้วยอยู่แล้ว”

“อย่าบอกนะว่าคนเดิม?” หล่อนอุทานออกมาอย่างแปลกใจ และคนเดิมที่หล่อนหมายถึงก็คือคนที่ผมอ้างว่ากำลังคบหาและขอคืนนาฬิกาเรือนงามให้หล่อน

“ครับ คนเดิม”

“นี่นายทำให้ฉันแปลกใจจริงๆ นะเนี่ย”

ผมยกยิ้ม ไม่โต้ตอบอะไร แต่ก็รู้ว่าเจ้าหล่อนแปลกใจเรื่องที่ว่าเสือผู้หญิงอย่างผมสามารถหยุดที่ใครคนหนึ่งได้นานขนาดนี้ได้

“ฉันไม่ได้เจอนายมานานกี่ปีแล้วน้า…”

“ปีเดียวเท่านั้นแหละครับ และคราวก่อนตอนไปคุยงาน เราก็ยังทักทายกันอยู่เลย” ผมช่วยเตือนความทรงจำ

“นั่นมันไม่เหมือนกัน” เจ้าหล่อนเบ้ริมฝีปากนิดหนึ่ง “ฉันหมายถึง… แบบส่วนตัวต่างหากล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ 2 ปีมาได้แล้วครับ”

“นั่นสินะ… ครั้งแรกที่เรานอนด้วยกัน…” หญิงสาวพูดพึมพำ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า “ตอนนั้นนายอายุ 18 พอดีนี่นะ”

“ผมว่าเราอย่าย้อนรำลึกวันเก่าๆ กันดีกว่าครับ” ผมดักคออย่างรู้ทัน และนั่นทำให้ผู้หญิงตรงหน้าคอแข็งไปหน่อยที่ผมหักหน้าเธอตรงๆ แบบนี้ ผมก็อยากจะเล่นอยู่กับเจ้าหล่อนด้วยหรอกนะ แต่เวลาของผมมีจำกัด ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน “เรื่องคดีที่ผมให้คุณสืบ… ผมอยากให้คุณลองหาเจ้าหน้าที่เอฟบีไออีกสักคนแท็คทีมกับคุณแล้วขุดไปให้ลึกกว่านี้”

“ทำไม คอลลินส์” หล่อนหรี่ตาลง พูดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานมากขึ้น คงจะรู้แล้วจริงๆ ว่าผมไม่คิดจะรีเทิร์นกลับไปหรือแม้แต่หาเพื่อนเล่นแก้เหงาในคืนนี้ “เรื่องของจูดี้ ฮิลล์นี่มีอะไรมาสะกิดต่อมนายหรือไง? แล้วยังไง? เดี๋ยวนี้ดีซีไอเอสอย่างนายเริ่มจับงานสืบสวนด้วยแล้วเหรอ”

“เปล่าครับ” ผมยกสองมือชูขึ้นเหมือนจะบอกว่ายอมแพ้กลายๆ “เพราะไม่มีสิทธิ์ ไม่มีหน้าที่จะจับงานสืบสวน ผมเลยต้องขอร้องให้คุณช่วยอยู่นี่ไง แล้วผมบอกได้เลยนะ งานนี้คุณไม่คว้าน้ำเหลวเสียเวลาเปล่าแน่ คุณจะจับได้ปลาตัวใหญ่ แล้วหลังจากนั้นคุณก็สามารถรวบได้ทั้งปลาเน่าของเราและมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลแห่งนิวยอร์กได้ด้วย ถ้าคุณทำงานได้สำเร็จนะ”

เจ้าหน้าที่พิเศษสาวเงยหน้าขึ้นมองผมเหมือนไม่เชื่อ นัยน์ตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึงกับข้อมูลที่เพิ่งได้ยินมานั้น หากวินาทีต่อมาเจ้าหล่อนก็ขมวดคิ้วฉับ สีหน้าครุ่นคิด แต่ผมก็ไม่โทษเจ้าหล่อนถ้าคิดจะสงสัยในสิ่งที่ผมพูดออกไป เพราะมันดูเลื่อนลอยเสียเหลือเกิน

“ปลาเน่าของเราที่นายว่า” หล่อนพูดอย่างระมัดระวัง “หมายถึง… รัฐมนตรีกระทรวงการคลังงั้นเหรอ”

“คุณลองกลับไปอ่านแฟ้มที่ผมส่งไปให้นะ แล้วเริ่มสืบจากตรงนั้น” ผมไม่ตอบคำถามนั้นตรงๆ จากนั้นก็เลื่อนมือไปหยิบมีดและส้อมขึ้นมาถือในมือ จะว่าไปก็นานมากแล้วนะ ที่ผมไม่ได้กินอาหารดีๆ แบบนี้… อย่าว่าแต่อาหารดีๆ เลย แค่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวแล้วกินอาหารแบบธรรมดาๆ ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ต้องพึ่งพวกโปรตีนบาร์ให้พออิ่มท้อง แล้วก็อีกอย่าง… ถ้ากินกระสุนปืนเป็นอาหารได้ผมคงกินไปนานแล้ว

“ฉันจะรู้ได้ไงว่าเรื่องนี้คุ้ม” แกรนท์ยังไม่ยอมรับปากง่ายๆ “ฉันเองก็มีงานยุ่งจนล้นมืออยู่แล้ว แล้วนายเองก็เป็นถึงดีซีไอเอส ถ้านายขอร้องใครสักคน…”

“ผมอาจจะขอร้องคนอื่น” ผมพยักหน้าเนือยๆ “แต่มันก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอ ที่ผมกำลังขอร้องคุณ หนึ่งเลย ผมคิดว่าคุณมีฝีมือมากพอที่จะช่วยผมในเรื่องนี้ได้ อำนาจคุณก็มีมาก คุณขอกำลังเสริม ขอผู้ช่วยมาทำงานร่วมกับคุณได้ ลองอ่านเอกสารที่ผมส่งไปให้คุณดูก่อนเถอะ แล้วคุณจะรู้ว่ามันมีเงื่อนงำจริงๆ ไม่ใช่แค่สิ่งที่ผมพูดขึ้นมาลอยๆ

“สอง… ถ้าคุณทำงานนี้ได้สำเร็จ คุณจะได้หน้า การงานก้าวไกล เจ้านายก็จะชื่นชมคุณ เอฟบีไอจะตบรางวัลให้กับคุณ ก็อย่างที่ผมบอก… ผมอาจจะเอาโอกาสนี้ไปให้คนอื่นที่เขาอยากทำมากกว่าก็ได้ถ้าคุณตอบปฏิเสธขึ้นมา แต่เชื่อผมเถอะ งานนี้มันคุ้มค่าเหนื่อยแน่”

หญิงสาวผมบลอนด์ทองมองผมนิ่งอย่างค้นคว้า เจ้าหล่อนรู้แน่ชัดแล้วว่าผมไม่ได้คิดจะตามจีบหรือหวังจะนอนกับหล่อน ดังนั้นคำถามก็คือ…

“ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ โลแกน”

ผมยิ้มนิดๆ เพราะหล่อนเรียกชื่อต้นของผม หากก็ไม่ได้บอกห้ามอะไร เพราะรู้ดีว่าถึงยังไงเราสองคนก็เป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันจริงๆ ผมพูดตอบตรงๆ

“ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้ว เพราะว่าคุณคือเพื่อนที่ผมไว้ใจไง แล้วผมก็เห็นด้วยว่าคุณมีฝีมือ”

แล้วก็…

เพราะว่าเธอคอยช่วยดูแลลูคัสให้ผมยังไงล่ะ








ผมขับรถซีอาร์วีคันใหม่ที่ยืมแมคโดเวลมา ผมเวียนรถขับหลายๆ คันไปเรื่อยๆ นั่นแหละ และทั้งหมดนั่นก็เป็นรถของทางการ ขับจอดอยู่บริเวณไม่ไกลจากตัวบ้านของผมนัก และบ้านในที่นี้ที่กำลังพูดถึงคือบ้านของผมจริงๆ… บ้านที่ผมโตมาตลอดกับลูคัส พี่ชายฝาแฝดของผม

ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู มองสัญญาณ GPS ที่ระบุตำแหน่งว่าลูคัสอยู่ที่ไหน ตอนนี้เจ้าตัวกำลังนั่งรถกลับบ้าน อีกไม่เกินห้านาทีก็คงจะถึง

ผมวางโทรศัพท์ลงข้างตัว กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างพินิจ กลายเป็นนิสัยติดตัวไปเสียแล้วกับการต้องระวังรอบตัวตลอดเวลาขนาดนี้

ในที่สุดลูคัสก็กลับมาถึงบ้าน เจ้าตัวสะพายกระเป๋า เดินลากเท้ามาถึงที่หน้าประตูบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย บอกได้ตรงนี้เลยว่าถ้าผมเป็นฝั่งศัตรูและคิดจะจับเอาหมอนั่นเป็นตัวประกันหรือฆ่าหมอนั่นทิ้งล่ะก็… ผมคงทำได้ในเวลาแค่พริบตาเดียว

บ้าชะมัดเลยหมอนั่น… ช่องโหว่เยอะเกินไปแล้ว คราวก่อนนู้นก็อุตส่าห์เตือนไว้แล้วแท้ๆ ว่าไปไหนมาไหนให้ระวังตัว แต่ก็อย่างว่าล่ะนะ ของแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ ต้องมาอยู่ในสถานการณ์จริง ต้องได้ฝึกจริงๆ แต่ถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่นึกอยากให้ลูคัสก้าวเข้ามาอยู่ในโลกฝั่งเดียวกับที่ผมอยู่นี่นักหรอก

ผมมองชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนของตัวเองอย่างโหยหา ลูคัสกำลังไขประตูหน้าบ้านด้วยสีหน้าเลื่อนลอยและดูเศร้าสร้อยกว่าตอนที่ผมเห็นเจ้าตัวอยู่บนถนน

มันทำให้ผมเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก ต้องยอมรับกับตัวเองว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูคัสกลายเป็นแบบนั้น ต้นเหตุคงมาจากผม ลูคัสจะรู้รึเปล่านะว่าผมเองก็เหงา… เหงามากเหมือนกันที่ต้องทำแบบนี้

ผมเลื่อนหน้าไปพิงกับพวงมาลัยของรถอย่างอ่อนล้า เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่รู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ขนาดนี้ ทำไมผมถึงได้มีความรู้สึกอะไรมากมายขนาดนี้ล่ะ? ผมน่ะ เป็นลูกของท่านพ่อไม่ใช่เหรอ เป็นเด็กปีศาจแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้มีอารมณ์อัดแน่นอยู่ขนาดนี้ และมันก็กำลังทำให้ผมทรมาน…

อยากจะเลิกทำ… อยากจะหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้แล้วโผไป... เปิดประตูพรวดแล้วก็เข้าไปหาหมอนั่น อยากกอด อยากจูบ… อยากได้หมอนั่นมาครอบครอง

เอาล่ะ… โลแกน ใจเย็นๆ ตั้งสติหน่อย นายไม่ได้มาที่นี่เพื่อมีความรักงี่เง่านะ ท่านพ่อสั่งงานมา และนายก็ต้องทำให้สำเร็จ

คิดแบบนั้นแล้วผมก็เงยหน้าพรวดขึ้นมา พยายามข่มความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในใจนี่ กลบมันลงไปด้วยความเยือนเย็น

ผมมองลูคัสจากบานหน้าต่างของตัวบ้าน เจ้าตัวกำลังเดินไปเปิดฝาของเปียโนขึ้นอย่างเชื่องช้า แม้แต่ท่าทางที่หมอนั่นลงไปนั่งกับเก้าอี้ ขยับมือขึ้นมากางนิ้วออกอยู่เหนือคีย์เปียโนยังดูสง่างามเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมอนั่นถึงคว้ารางวัลของเวทีต่างๆ มาได้นับไม่ถ้วน

ผมมองดูพี่ชายฝาแฝดของตัวเองบรรเลงเพลง ภาพมันตัดกับรถบนถนนที่วิ่งสวนไปมา ผมไม่ได้ยินเสียงเปียโนของลูคัส หากแค่ท่าทางที่หมอนั่นเล่นเปียโนก็เติมเต็มความปรารถนาของผมได้มากแล้ว

ผมยกนิ้วเคาะกับคอนโซลรถอย่างเผลอตัว นึกถึงตอนเด็กๆ ที่ลูคัสเคยเล่นเปียโนให้ฟัง และตอนนั้นผมสามารถร้องเพลงแล้วก็หัวเราะคลอตามแฝดคนพี่ของตัวเองแล้วก็ลิซ่าได้ราวกับเป็นเด็กผู้ชายปกติ

ทั้งๆ ที่ในใจผมก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าตัวไม่ปกติ ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น ไม่เหมือนกับลูคัส…

ผมติดตามข่าวของหมอนี่มาตลอด รู้ด้วยว่าเวทีล่าสุดที่เจ้าตัวเพิ่งไปมาได้เพียงแค่ที่สาม ผมไม่คิดว่าหมอนั่นอ่อนหัดหรอก ยังไงที่สามก็เป็นตำแหน่งที่สุดยอดอยู่ดี แต่แน่ล่ะว่าลูคัสคงไม่พอใจ เพราะว่าได้แค่ที่สามจากการแข่งนั่นมารึเปล่านะ… ลูคัสถึงได้ดูเศร้าขนาดนี้

หรือว่า… เป็นเพราะความเศร้านั่น… ที่ทำให้ลูคัสได้ที่สามแบบนั้น?

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เปิดไปที่ช่องส่งข้อความ ลูคัสอาจจะไม่สามารถหาวิธีส่งข้อความหรือโทรหาผมได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นจากผมแล้ว ผมสามารถทำได้ทั้งนั้น ผมมองหน้าจอนั้นอย่างชั่งใจและนึกถึงเรื่องแมคโดเวลกับฮิวเบอร์เคยเตือน… เรื่องที่คนเก่งๆ เสียท่าให้กับฝั่งตรงข้ามเพราะคนที่รักโดนไปจับเป็นตัวประกันนี่เป็นสิ่งที่เห็นกันได้เกร่อ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเกิดขึ้น แล้วผมพร้อมที่จะรับกับความเสี่ยงนั้นแล้วเหรอ?

ผมกดปุ่มปิดหน้าจอโทรศัพท์ลงไปให้มืดสนิทอีกครั้ง หลังจากนั้นก็สตาร์ทรถแล้วก็ขับออกจากพื้นที่ตรงนั้น

ไม่ล่ะ ผมจะไม่ยอมเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้นแหละ







-----------------------------------
Talk:  ตอนเริ่มเขียน คิดไว้สัก 40 ตอนจบ.... ไม่พอมั้ง...... 555555555555
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 35) P.5 [6/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 07-03-2017 18:27:59
ดีค่ะ จะรออ่านซักร้อยตอน ป.ล.คนเขียนอย่าเเกล้งน้อง
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 36) P.5 [7/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 07-03-2017 22:26:58
ใจเอนเอียนสงสารลูคัสมากกว่า
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 36) P.5 [7/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 07-03-2017 22:52:34
 :m29: เอิ่ม คนแต่งจ๊ะ ไม่เอาน๊า มาม่าชามโตเนี่ย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 36) P.5 [7/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 07-03-2017 23:01:07
โอยยย หน่วง! สงสารลูคัสมากกกก โลแกนยังได้เฝ้ามองแต่ลูคัสสิ ได้แต่รอ.. แบบดูไม่มีความหวัง โลแกนคงจะยังติดต่อกับลูคัสไม่ได้จนกว่าจะฆ่าคนนั้นสำเร็จรึเปล่า ฮือออ สงสารรรร  :katai1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 36) P.5 [7/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 08-03-2017 16:46:37

บทที่ 37

(Mode: Lucas Collins)




ผมรู้สึกเลยว่าช่วงนี้ตัวเองกำลังย่ำแย่… ย่ำแย่ขนาดหนักด้วย บางทีผมอาจต้องหาต้องช่วย

“เป็นอะไรไป ลูคัส” ครูผู้ฝึกของผมเอ่ยถามเสียงเรียบหลังจากที่ฟังผมเล่นเพลงอย่างใจลอยมาครู่หนึ่ง

ผมก้มลงมองมือที่วางอยู่บนคีย์เปียโนของตัวเอง กระพริบตาปริบๆ ขณะที่ค่อยๆ บรรเลงจังหวะที่ช้าลงและค่อยๆ หยุดไปในที่สุด

“อะไรเหรอครับ”

“ดูนายไม่ค่อยดีมาช่วงหนึ่งแล้วนะ” เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงที่งวดขึ้นเล็กน้อย คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด “ถ้าไม่มีแก่ใจจะเล่นก็กลับบ้านไปซะ”

ผมสะดุ้งเฮือก เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองทำคนข้างตัวหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ หากเจ้าตัวก็ยอมใจดีไม่มีหวดไม้ในมือมาฟาดมือผม แต่ผมว่าไอ้ไล่กลับ้านนี่รุนแรงยิ่งกว่าอีกนะ

“ผมขอโทษครับ มิกกี้” ผมพูดเสียงอ่อย จากนั้นก็เริ่มขยับตัว ยืดตัวให้ตรงอย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง “ผมจะลองเล่นใหม่ ให้โอกาสผมอีกสักรอบนะครับ”

“อย่าเพิ่งครับ” ไมเคิลพูดห้าม และนั่นทำให้ผมใจเสียขึ้นมาจริงๆ นี่นอกจากชีวิตผมจะย่ำแย่เพราะอาการเครียดแล้ว ผมยังต้องมาโดนครูฝึกซึ่งเปรียบเสมือนมิตรแท้เพียงคนเดียวโกรธเอาอีกเหรอเนี่ย

“คุณคอร์เนอร์ส่งช่อดอกไม้แล้วก็จดหมายมาให้คุณน่ะ มันอยู่ที่ห้องพักครู ผมลืมหยิบติดมือมาให้คุณ”

ผมชะงักไปทันทีก่อนจะถามกลับอย่างแปลกใจ

“เอ็ดการ์ คอร์เนอร์ที่ได้ที่สองน่ะเหรอครับ?”

“ใช่สิครับ จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ” ไมเคิลเอ่ยตอบเสียงเรียบ จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มที่ตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องการจะแซวผม “เขาส่งมาแสดงความยินดีให้คุณเหมือนอย่างเคย ดูเหมือนคุณจะมีแฟนพันธุ์แท้เกาะเหนียวแน่นหนึบเลยนะครับ”

เอ็ดการ์ คอร์เนอร์เป็นชายหนุ่มที่มีอายุเท่ากับผม หากเรียนอยู่ในวิทยาลัยดนตรีอีกที่หนึ่ง ไม่ใช่ที่เดียวกัน เขาเป็นชายรูปร่างเล็ก ตัวเตี้ยกว่าผมลงไปเล็กน้อย เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าสว่าง เรามักจะเจอกันในงานประกวดเสมอ เจ้าตัวก็มักจะมีรอยยิ้มเล็กๆ อายๆ ประดับอยู่บนมุมปากตลอด เขาเป็นคนสุภาพเรียบร้อยแล้วก็เป็นนักดนตรีที่เก่งเอาเรื่องคนหนึ่งเชียวล่ะ

“แต่ส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีให้คนที่ได้ตำแหน่งต่ำกว่าตัวเองเนี่ยนะ” ผมยิ้มแข็งๆ ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้… เอ็ดการ์ คอร์เนอร์เนี่ย เป็นคนแปลกๆ คือไม่ใช่ว่าเขานิสัยไม่ดีหรืออะไรแบบนั้น ผมแค่ตกใจกับการที่เขาคอยส่งจดหมายหรือส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีให้ผมเสมอหลังการแข่งขัน ทั้งๆ ที่มันเป็นเวทีเดียวกันกับที่เขาลงประกวดด้วย… และตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมก็มักได้ที่หนึ่งแทบจะทุกครั้ง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาแพ้ผมใช่ไหมล่ะ

แล้วลองคิดดู คนอะไรส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีให้คนที่เอาชนะตัวเองมาได้ ต้องใจบุญขนาดไหน ผมล่ะนึกภาพไม่ออก

แต่ครั้งนี้… ถึงผมจะได้เพียงที่สาม เขาก็ยังส่งดอกไม้มาแสดงความยินดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ในขณะที่ตัวเองได้ที่สอง… เอ่อ จะว่ายังไงดีล่ะ ในสถานการณ์แบบนี้ มันเหมือนประชดประชันกันมากกว่ารึเปล่า? ถ้าคิดกันตามปกติ?

“อย่าทำหน้ายุ่งแบบนั้นสิ” ไมเคิลคลี่ยิ้มบางๆ อย่างรู้ทันความคิดของผม เจ้าตัวเลื่อนมือมาลูบเส้นผมสีทองของผมด้วย สัมผัสจากฝ่ามืออีกฝ่ายอบอุ่น… ช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายลงไปได้เหมือนกัน “เขาคงแค่ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไงดี เพราะก่อนหน้านี้เขาคอยสนับสนุนเธอในฐานะแฟนคลับมาตลอดไม่ใช่เหรอ? เกิดอยู่ๆ เขาชนะเธอขึ้นมาแล้วเขาหยุดส่งดอกไม้มา… มันก็ดูแปลกๆ เหมือนกันใช่ไหมล่ะ เขาคงกลัวเธอเสียใจน่ะ”

อืม… ถ้าลองคิดในแง่นั้นดู มันก็อาจจะจริงน่ะนะ

“แต่ว่า… คุณเนี่ยเนื้อหอมเหมือนกันนะ ลูคัส” ไมเคิลพูดยิ้มๆ ผมเลยหันกลับไปมองเจ้าตัวอย่างระมัดระวัง

“หมายความว่าไงครับ?”

“ก็นอกจากคุณคอร์เนอร์คนนี้ของคุณแล้ว คุณยังมีแฟนคลับอีกคนที่ไม่ประสงค์ออกนามคอยส่งดอกไม้มาให้อยู่เรื่อยเลยไม่ใช่เหรอ ในวันที่เธอแสดง”

ฟังถึงตรงนี้ผมก็หลุดยิ้มออกมานิดหนึ่ง เป็นยิ้มที่มีความสุข… แบบที่ผมไม่ได้ทำมาพักใหญ่แล้ว ผมรู้ว่าดอกไม้พวกนั้นมาจากโลแกน… น้องชายฝาแฝดของผม จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกนะว่าใช่รึเปล่า แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าน้องชายตัวดีใจดีถึงขนาดแนบการ์ดที่เขียนด้วยลายมือของตัวเองมาให้ด้วย นั่นแหละผมถึงได้รู้ว่าดอกไม้พวกนั้นมาจากหมอนั่นเสมอ แล้วก็รู้ด้วยว่าโลแกนคงไม่อยากให้ใครคนอื่นรู้เท่าไหร่เรื่องที่ตัวเองส่งดอกไม้มาให้ผม เพราะงั้นผมก็จะทำตีเนียนไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป ปล่อยให้หมอนั่นเป็นแค่แฟนคลับที่ไม่ประสงค์ออกนามอย่างนั้นแหละ

“แล้วเธอจะเลือกคนไหนดีล่ะ?” อีกฝ่ายถามเสียงเย้าแหย่ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก นึกกลัวไปต่างๆ นานาว่าไมเคิลอาจจะจับได้ว่าผมเป็นเกย์… แต่เดี๋ยวก่อน! ผมไม่ใช่เกย์นะเว้ย! แค่… แค่… แค่คนที่ชอบเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง! แล้วที่ก่อนหน้านี้ผมก็คบกับผู้หญิงมาก่อนด้วย อืม… งั้นก็แปลว่าผมเป็นไบสินะ แต่แม่ง… จะนับได้ไหมวะ เพราะถึงจะบอกว่าคยกัยผู้ชายอยู่ตอนนี้ แต่อีกฝ่ายก็ดันเป็นน้องชายฝาแฝดของตัวเอง

แม่ง… เลวร้ายกว่าเป็นเกย์อีก

“ลูคัส... ลูคัส!”

“คระ.. ครับ?”

“หน้าซีดอะไรของคุณน่ะ?” ชายหนุ่มตรงหน้าผมเอ่ยยิ้มๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังแว่นพราวระยับชวนให้เจ้าตัวมีเสน่ห์มากขึ้น แน่นอนล่ะว่าเจ้าตัวไม่ค่อยแสดงสีหน้าท่าทางแบบนี้ให้ใครคนอื่นเห็นมากนัก แต่ผมยังยืนยันคำเดิมนะว่าถ้าเจ้าตัวยิ้มแล้วก็หัวเราะมากกว่าเดิมอีกสักนิดคงจะกลายเป็นที่นิยมโดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาสาวๆ แน่

“อะไร? หน้าซีด? ผมน่ะนะ?” ผมแกล้งยกนิ้วชี้มาที่ตัวเองงงๆ

“ก็ใช่สิครับ แค่แซวเล่นแค่นี้ หน้าซีดเป็นกระดาษเลย” เจ้าตัวว่าพร้อมกับทำไม้ทำมือให้ผมขยับตัวไปเพื่อที่ตัวเองจะได้นั่งลงมาข้างๆ ผมทำตามที่เขาว่าอย่างว่าง่าย ไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อไหล่ของเจ้าตัวแตะเข้ากับไหล่ของผมเล็กน้อย “แต่อย่างว่า… อย่างคุณคงอยากได้สาวน้อยน่าตาน่ารักๆ มาควงมากกว่าผู้ชายคนนั้นอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ คุณคอร์เนอร์น่ะ”

“เอ่อ ก็ ครับ” ผมอึกอักตอบไปตามแกน จะให้ผมพูดโพล่งไปได้ไงล่ะว่าจริงๆ แล้วตัวเองก็กำลังคบกับผู้ชายอยู่ มีหวัง… ถ้าอีกฝ่ายเป็นพวกเกลียดเกย์ล่ะก็ อาจโดนเกลียดขี้หน้าได้

“เอาล่ะ คุยเล่นกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาจริงจังต่อ” มิกกี้พูดอย่างรวดรัด จากนั้นก็ปรับท่านั่ง ขยับโน้ตเพลงตรงหน้านิดหนึ่ง ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจระคนตื่นเต้น ก่อนจะเอ่ยถามคนข้างตัวด้วยเสียงที่ใสขึ้นทันที

“นี่อย่าบอกนะครับ… ว่าคุณจะยอมเล่นคู่กับผม?”

“หึ” อีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็หันมามองหน้าผมตรงๆ “ทีอย่างนี้ล่ะ ตาใสขึ้นมาเชียวนะคุณ ทีผมสั่งให้เล่นให้ฟังเมื่อกี้ไม่เห็นมีท่าทียินดีแบบนี้เลย”

“ก็มันไม่เหมือนกันนี่นา” ผมว่าอย่างกระตือรือร้น คุณข้างตัวเป็นครูสอนเปียโนของผม… และในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งเลยนะ เคยมีคอนเสิร์ตของตัวเองเดี่ยวๆ เลยด้วยซ้ำ

และต่อให้ผมจะเป็นลูกศิษย์คนโปรดของเขา (เขาบอกผมมาเองนะ!) แต่ไมเคิลก็ไม่ค่อยยอมเล่นเพลงคู่กับผมเท่าไร แม้จะแค่การฝึกซ้อม เพราะงั้นตอนนี้ที่เจ้าตัวยอมลดตัวลงมาเล่นกับคนที่ยังมีฝีมือไม่ได้เรื่องอย่างผมแบบนี้… จะไม่ให้ผมดีใจได้ยังไง

“เอาล่ะ พร้อมนะ?”

“ครับ” ผมว่า รวบรวมสมาธิของตัวเองอีกครั้ง ไมเคิลมองผมด้วยสีหน้าพึงพอใจ หากมิวายพูดขู่

“ถ้านายเล่นไม่ดี ไม่ตั้งใจล่ะก็… ต่อให้จบเพลงแล้วฉันก็จะฟาดมือนายตามจำนวนคีย์ที่นายพลาด”

“โหย” ผมโวยวาย “นี่ขนาดยังไม่ทันเริ่มก็ขู่กันขนาดนี้… มาเลยครับ ผมพร้อมแล้ว”

พอทุ่มสมาธิทั้งหมดให้กับเครื่องดนตรีตรงหน้า ผมก็รู้สึกว่าอาการฟุ้งซ่านของผมก็หายไปแทบจะในทันที

แปลกจัง… ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่คนเดียว เล่นคนเดียว ผมก็พยายามทุ่มสมาธิกับการเล่นเปียโนแบบนี้เหมือนกันนะ แต่ไม่เห็นรู้สึกดีแล้วก็ปลอดโปร่งแบบนี้เลย… อาจเป็นเพราะว่าพอเล่นคู่กับคนอื่นแล้ว ผมต้องตั้งใจใจมากขึ้นเพื่อไม่ให้เสียมารยาทกับพาร์ทเนอร์ของตัวเองด้วยมั้ง แถม… อีกฝ่ายก็เป็นนักเปียโนที่สุดยอดด้วย ขืนเล่นคู่กับเขาแบบครึ่งๆ กลางๆ… มีหวังโดนหมอนี่ฆ่าหมกเปียโนแน่

“เฮ้ เห็นไหม จะทำจริงๆ ก็ทำได้นี่” ไมเคิลว่าหลังจากที่พวกเราบรรเลงเพลงด้วยกันจนเสร็จสิ้น ผมเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สองสามทีแล้วผ่อนออกแรงๆ จนเหมือนหอบ ก่อนจะต้องสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อมือหนาเลื่อนมาลูบหัวผมอีกรอบ ยีแรงๆ สองสามทีแล้วส่งยิ้มกว้างขวางมาให้

บอกตามตรงนะครับ… พอเห็นยิ้มที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจระคนชื่นชมจากคนที่เราเคารพนับถือแล้วเนี่ย… มันเป็นความรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตออกมาจนแทบจะระเบิดได้เลย

“เก่งมาก ลูคัส ฉันนึกอยู่แล้วว่าถ้านายตั้งใจนายต้องทำได้”

“เอ่อ… ขอบคุณครับ” ผมพูด รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขึ้นด้วยความปลาบปลื้ม ให้ตายสิ! ไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่ายๆ เลยนะ! คำชมจากครูฝึกคนนี้เนี่ย!

“เอาล่ะ ดูเหมือนฟอร์มจะเริ่มกลับมาแล้วนะ” ไมเคิลพูดรวบรัด จากนั้นก็ลุกออกจากเก้าอี้ไป หยิบไม้ที่เอาคอยไกด์ตัวโน้ตขึ้นมาถือในมือแล้วสวมบทโหดต่อ “ถ้าอย่างนั้นรอบนี้ลองเล่นเดี่ยวดูบ้าง อย่าให้ความตั้งใจแบบเมื่อกี้มันหายไปล่ะ ได้ยินที่ฉันพูดชัดนะ ลูคัส?”

“ครับ” ผมรับคำทันที ถึงจะรู้สึกหวั่นใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายกลับมาสวมบทโหดตามเดิม หากความฮึกเหิมที่ปะทุขึ้นในใจเพราะอีกฝ่ายช่วยจุดประกายก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น

ผมกางมือออก นับจังหวะในใจจากนั้นจึงเริ่มออกแรงกดลงบนคีย์อย่างเชื่องช้า ทุ่มสมาธิทังหมดที่มีให้กับเครื่องดนตรีตรงหน้าเท่านั้น เสียงที่สะท้อนออกมาของมันใสกังวาน… และมันทำให้ผมนึกถึงคืนที่ผ่านมา… วันที่เป็นวันเกิดของผมกับลูคัส

เหงาเหรอ.. นั่นสินะ ผมคงเหงาจริงๆ นั่นแหละ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเราเลือกเดินกันคนละเส้นทางแบบนี้ ผมไม่สามารถบังคับให้โลแกนเปลี่ยนใจในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะทำได้ เช่นเดียวกับที่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจกับเส้นทางในอนาคตของผมได้

‘ฉัน… ตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นนักเปียโน’ ผมเคยพูดกับโลแกนว่าอย่างนั้นในวันหนึ่งตอนที่หมอนั่นกลับมาเยี่ยม… จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้หกเดือนกว่าๆ โลแกนแวะมาเยี่ยมเยียนผมบ่อยอยู่เหมือนกันนะ บ่อยกว่าตอนนี้ที่ไม่โผล่หน้ามาเลยแน่ล่ะ แต่ตอนนั้นผมก็ยังงอแงใส่มันว่าทำไมไม่มาเยี่ยมกันบ้างเลย… แล้วลองหันมาดูตอนนี้สิ

‘จะบอกเรื่องที่ฉันรู้อยู่แล้วทำไมเนี่ย’ โลแกนว่าพร้อมกับหัวเราะ จากนั้นก็เดินมามาหาผมที่นั่งอยู่บนโซฟา ก้มหน้าลงมาจูบหน้าผากเร็วๆ ทีหนึ่งให้ผมหน้าแดงเล่นๆ ซะอย่างนั้น ‘นายทำได้อยู่แล้วล่ะ ลูคัส ก็นายมีพรสวรรค์แล้วก็ความตั้งใจเต็มเปี่ยมนี่นา ลุยไปเลย พี่ชาย ฉันเป็นกำลังใจให้เสมอนะ’

‘โลแกน...’ ผมแสร้งตอบกลับด้วยท่าทีซาบซึ้ง ‘นายนี่มัน… น้ำเน่าว่ะ ไอ้น้อง พรสววรค์แล้วก็ความตั้งใจเต็มเปี่ยมเนี่ยนะ? ก็บอกแล้วไงว่าให้เปลี่ยนแนวเพลงฟังบ้าง นี่ยังไม่เลิกฟังลูกทุ่งอีกเหรอ?’

‘เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลยไอ้คุณพี่’ จากนั้นพวกเราสองคนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

ให้ตาย… พอมาลองคิดดูตอนนี้ แม่งเป็นบทสนทนาที่โคตรไร้สาระ ไร้แก่นสาร แล้วก็จับใจความอะไรแทบไม่ได้เลยแท้ๆ

แต่ทำไม… ผมถึงคิดถึง… คิดถึงช่วงเวลาไร้สาระเหล่านั้นเหลือเกิน

ผมจรดนิ้วลงบนโน้ตตัวสุดท้าย ยกปลายนิ้วขึ้นอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ค่อยๆ วางมือลงบนตักของตัวเอง รู้สึกว่ามีเหงื่อไหลลงมาหน้าผาก จากนั้นก็ผมก็ค่อยๆ เบือนหน้ากลับไปหาครูผู้สอนของผมราวกับขอความเห็น อีกฝ่ายพยักหน้าให้ผมอย่างเงียบงัน นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกายฉายชัดหลังกรอบแว่นนั้น

“เธอ… อกหักมาอย่างนั้นเหรอ ลูคัส?”

“ครับ?” ผมถามกลับอย่างแปลกใจ

“เสียงดนตรีของเธอมันบอกออกมาหมดแล้ว” ไมเคิลพูดออกมาด้วยท่าทีสงบ “ว่าเธอกำลังเหงาแค่ไหน”

ผมทอดสายตามองไปยังจุดจุดหนึ่งของห้องนิดหนึ่งอย่างไม่เจาะจงแล้วคิดตามคำถามนั้นของอีกฝ่าย

เหงางั้นเหรอ… ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อผมไม่ได้เจอโลแกนมานานขนาดนี้… ติดต่ออะไรกันก็ไม่ได้ แล้วจะไม่ให้เหงาได้ยังไงกัน

ในที่สุด… ผมก็ยกยิ้มน้อยๆ แล้วส่งไปให้คนตรงหน้า

“ผมไม่ได้อกหักหรอก มิกกี้” ผมพูดอย่างสงบ ราวกับสามารถรับมือกับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว “ผมก็แค่เหงามาก… เหงามากๆๆ ก็เท่านั้นเองครับ”






-------------------------------------------------
Talk:  เอ๊ะ... หรือว่าคู่มิกกี้ลูคัสจะเชียร์ขึ้น? เชียร์ไหมคะ? ซื้อไหมคะ? ถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 37) P.5 [8/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 09-03-2017 17:45:13
ขออนุญาตเชียร์มิกลูเคอะ ฮ่าๆๆ :hao6: ก็นุงโลแกนมันน่าเบื่ออ่ะ :katai3: ///อ๊ายยยย โลแกน!!อย่ายิงฉันนนน
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 37) P.5 [8/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 09-03-2017 21:47:43
โลแกนเหวย เมียเหงา :m31:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 37) P.5 [8/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kothan ที่ 09-03-2017 22:02:00
ไม่เอารักแท้แพ้ใกล้ชิดนะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 37) P.5 [8/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-03-2017 07:21:21

บทที่ 38

(Mode: Lucas Collins)




ผมฝึกซ้อมเปียโนเพื่อเตรียมไปแข่งใหญ่ในเดือนหน้า การแข่งรอบต่อไปเป็นเวทีที่สำคัญที่อาจเป็นตั๋วให้ผมเข้าไปแข่งในเวทีใหญ่ระดับโลกได้

ผมรู้สึกได้เลยว่าไมเคิลเข้มงวดกับผมมากขึ้น… ทุกครั้งเวลาที่ผมเล่นโน้ตผิดหรือเล่นคร่อมจังหวะ เข้าตัวจะฟาดมือผมลงมาอย่างแรงราวและรวดเร็วกับรู้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าผมจะผิดตรงนั้น

“ไม่ได้เรื่อง ลูคัส เล่นใหม่แต่ต้น”

“ครับ” ผมลอบกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ จากนั้นก็รวบรวมความกล้าและกำลังใจที่มี จดจ่อสมาธิอยู่ที่ตัวโน้ตและเริ่มบรรเลงเพลงเสียงหวานคละเศร้าลงไปอีกครั้ง

หากเมื่อเล่นไปได้อีกประมานครึ่งเพลง ไมเคิลก็ใช้ไม้เรียวเล็กที่ทำจากแสตนเลสฟาดลงบนมือผมอีกรอบ ความเจ็บแปลบนั่นทำให้ผมสะดุ้ง

“ใช้ไม่ได้ เล่นวนไปอีกรอบ วนไปเรื่อยๆ จนกว่านายจะแก้ตรงนี้ได้นั่นแหละ”

“ครับ”

โว้ย โหดจริงโว้ย… ไอ้ครูโหด!

แน่นอนล่ะครับว่านั่นคิดได้แค่ในใจ ขืนพูดออกมานี่มีหวังหัวแบะได้แน่นอน

แต่ผมก็รู้ดีว่าไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นหรอกครับที่กำลังเจอช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัส ทุกคนในโรงเรียนต่างก็วุ่นวายกับการเตรียมตัวไปประกวดเวทีนั้นเวทีนี้ราวกับเจ้าภาพจัดงานแสดงใหญ่ได้นัดหมายให้จัดไล่เลี่ยกันอย่างไรอย่างนั้น

วันก่อนผมเจอเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่วงออร์เคสตร้า แต่ละคนนี่ซีดเป็นศพ ยังกับซอมบี้หลุดออกมาจากหลุม หาโลงของตัวเองไม่เจอ คนที่เล่นกองที่ผมพอจะเคยคุยด้วยอยู่นี่ถึงกับพันผ้าพันแผลที่มือ บอกว่าโดนเคี่ยวหนักจนเลือดตกยางออกกันไปข้าง ใครว่าดนตรีทำให้คุณอบอุ่นหัวใจได้อย่างเดียว มันสามารถทำให้คุณนองเลือดได้ด้วยนะ

ผมเดินออกมาจากห้องเรียนหลังจากเลิกคลาส หันหน้าไปคุยกับไมเคิลต่ออีกสองสามประโยคเรื่องการแข่งขันและเอกสารที่ต้องเตรียมนิดหน่อย จากนั้นเจ้าตัวก็ขอแยกไปเพราะมีประชุมต่อ ผมก้าวเท้าออกจากบริเวณอาคารเรียนของตนพลางนึกถึงปีเตอร์ แต่เวลานี้หมอนี่น่าจะยังติดเรียนอยู่ คงชวนมันไปกินข้าวด้วยไม่ได้ สงสัยคงต้องไปกินคนเดียว…

หากผมต้องชะงักฝีเท้าไปเมื่อเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่จากวิทยาลัยของผมเป็นเหมือนไกด์แนะนำโรงเรียนอยู่

การมีคนมาทัวร์โรงเรียนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยแทบจะทุกวัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจก็คือ… ชายหนุ่มที่ยืนรวมอยู่ในกลุ่มนั้น เจ้าของรางวัลที่สองในเวทีที่ผมพลาดรางวัลที่หนึ่งไปเป็นครั้งแรก

เอ็ดการ์ คอร์เนอร์

“คุณคอร์เนอร์” ผมอุทานอย่างแปลกใจขณะสืบเท้าเข้าไปหา อีกฝ่ายหันมามองผมมีสีหน้าแปลกใจนิดหนึ่งจากนั้นก็ส่งยิ้มบางๆ อย่างสุภาพมาให้เฉกเช่นเคย

“สวัสดีครับ คุณคอลลินส์”

“ขอบคุณสำหรับดอกไม้แล้วก็จดหมายมากนะครับ” ผมพูดอย่างนึกขึ้นได้ อีกฝ่ายพยักหน้านิดหนึ่ง มองกลุ่มคนที่ตัวเองอยู่ด้วยมาแต่แรก ฟังจากที่ไกด์กำลังบรรยายสถานที่แล้ว คิดว่าน่าจะใช้เวลาอีกพักใหญ่ในการอยู่ตรงนี้ เจ้าตัวจึงหันมาปักหลักคุยกับผม

“ไม่มีปัญหาหรอกครับ เอ้อ ผมว่าจะบอกนานแล้ว คุณเรียกผมว่าเอ็ดการ์ก็ได้นะ”

“อ้อ ครับ” ผมรีบพูด นั่นสินะ ถึงยังไงก็คุยกันมาตั้งหลายครั้ง แถมยังอยู่วงการเดียวกัน เจอหน้ากันบ่อยขนาดนี้ด้วย “งั้นเรียกผมว่าลูคัสเถอะนะ ยังไงก็ขอบคุณมากๆ ที่คอยให้กำลังใจผมมาตลอด”

“ไม่มีปัญหาครับ” เจ้าตัวว่ายิ้มๆ ก่อนจะทำสีหน้าสลดลงนิดหนึ่ง มองมาที่ผมอย่างไม่ค่อยสบายใจ

“เอ่อ ทำไมเหรอครับ?”

“ช่วงนี้คุณคอล-- เอ่อ ลูคัสมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ การแสดงคราวที่แล้วถึงทำได้ไม่ค่อยดีเลย”

ผมหน้าร้อนวูบขึ้นด้วยความอาย ก่อนจะต้องเสมองไปทางอื่นอย่างอึดอัดใจนิดหนึ่ง

“คือ…” ดูเหมือนเอ็ดการ์จะรู้ความกระอักกระอ่วนของผม เจ้าตัวเลยรีบพูด “ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้นายรู้สึกไม่ดีนะ แค่เป็นห่วงเท่านั้น ถ้าเกิดว่ามีอะไรที่ผมช่วยได้…”

“ไม่หรอกครับ” ผมฝืนยิ้มให้คนตรงหน้า หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทันสังเกตเห็น “ผมแค่ไม่ค่อยสบายนิดหน่อยน่ะ เลยฟอร์มตกไปนิด แต่เวทีหน้า ผมเต็มที่แน่ครับ”

“ได้ยินอย่างนี้แล้วค่อยยังชั่วหน่อย” ชายหนุ่มว่า มองตามคณะทัวร์ที่กำลังจะก้าวไปยังที่หมายต่อไปนิดหนึ่ง “โอ้ ดูเหมือนผมจะต้องไปแล้ว ลูคัส”

“แล้ว… ทำไมคุณถึงมาที่นี่เหรอ ก็คุณมีที่เรียนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ?”

“ผมมาเป็นเพื่อนเพื่อนอีกคนน่ะ” เจ้าตัวว่ายิ้มๆ จากนั้นก็โบกมือให้ผม “งั้นไว้คุยกันใหม่นะ ลูคัส แล้วเจอกันเวทีหน้า”

ผมโบกมือให้อีกฝ่าย มองตามชายหนุ่มที่หันไปพูดกับเพื่อนข้างตัวอย่างเริงร่าแต่ก็สุภาพ ดีจังน้า… จริงๆ แล้วบุคลิกลักษณะนิสัยแบบนั้นเป็นอะไรที่ผมชอบมาก อยากจะเป็นให้ได้แบบนั้นสักวันบ้าง








แต่… ถ้าต้องมาฝึกซ้อมโหดทุกวันแบบนี้ คงจะเป็นคนที่สดใสร่าเริง สุภาพอ่อนโยน อารมณ์ดีมองโลกในแง่ดีได้ตลอดเวลาแบบนั้นคงยาก…

ผมมองนิ้วมือของตัวเองที่วางเรียงอยู่บนคีย์เปียโนที่อยู่ภายในบ้านของตัวเองอย่างเหม่อลอย ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้เลยว่าขอบใต้ตาดำปี๋ราวกับเอาถ่านหินมาทา ผมก้มมองตัวเองที่ยังอยู่ในสภาพชุดนอน ผมเผ้ายุ่งเหยิง ฟันยังไม่ได้แปรง หน้ายังไม่ได้ล้าง จากนั้นก็เหลือบมองนาฬิกา ถึงเวลาที่ผมต้องไปเตรียมตัวเริ่มต้นวันใหม่แล้ว เฮ้อ... ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งซ้อมไปได้แค่แป๊บเดียวเอง

“ฮ้าว…” ผมยกมือปิดปากหาว หนังตาทั้งสองข้างหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ผมเดินหลังค่อมซึ่งเป็นอะไรที่เสียบุคลิกมาก แต่ในวันที่ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอมันก็เป็นแบบนี้แหละ จริงๆ แล้วผมอยากจะโทรมายกเลิกคลาสวันนี้กับไมเคิลเสียให้รู้แล้วรู้รอดเพราะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองต้องการการพักผ่อนอย่างจริงจัง

แต่ในที่สุด ใจที่อยากจะฝึกซ้อมมากกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ และมันทำให้ผมต้องมาถึงวิทยาลัยจนได้

ผมเดินเข้าไปในห้องเรียนเดี่ยวของตัวเอง วันนี้เรียนภาคทฤษฎีช่วงบ่ายอีกคาบด้วย เซ็งเลย อุตส่าห์อยากรีบกลับไปนอน แต่คงไม่ได้ วันนี้ก็คงเป็นอีกวันที่ยาวนาน

“อรุณสวัสดิ์ครับ ลูคัส”

“อ่า สวัสดีครับ มิกกี้” ผมหันไปทักทายครูผู้ฝึกที่ประจำอยู่ในห้องเรียนอยู่แล้ว เจ้าตัวเริ่มต้นคลาสด้วยการทักทาย พูดคุยสัพเพเหระพอให้หายง่วงไปบ้าง แต่ผมก็ยังรู้สึกมึนๆ หัวอยู่ดี สงสัยช่วงพักต้องไปโด๊ปกาแฟสักแก้ว

“งั้นคุณลองเล่นให้ผมฟังก่อนรอบหนึ่ง วอร์มอัพกันหน่อย ผมอยากดูว่าคุณได้ไปฝึกตามที่ผมสั่งมารึเปล่า”

“ผมก็ต้องฝึกซ้อมมาตามที่นายบอกอยู่แล้วล่ะน่า” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ครูโหดหน้าเลือดทีหนึ่ง “อย่างกับใครจะกล้าขัดคำสั่งคุณงั้นแหละ”

ผมวางมือลงบนคีย์บอร์ดก่อนจะเริ่มบรรเลงตัวโน้ต การวอร์มอัพของทุกคลาสดีอยู่อย่าง ตรงที่ผู้ฟังจะไม่มาคอยจับผิดผม ไม่คอยเอาไม้มาฟาดใส่มือเวลาที่ผมไม่เชื่อฟังตัวโน้ต ไมเคิลฟังเสียงที่ผมเล่นออกมาอย่างสงบ และเมื่อผมละมือขึ้นอีกครั้ง เจ้าตัวก็พยักหน้าให้ สีหน้าบ่งบอกว่าพึงพอใจ

“ดีขึ้นนี่ครับ ซ้อมมาหนักล่ะสิ?”

“ครับ” ผมยิ้มเซียวๆ ให้ วันนี้ผมไม่ได้แต่งตัวดูดีอย่างที่ไมเคิลชอบเจ้ากี้เจ้าการให้ใส่เท่าไหร่ เพราะรู้สึกล้าเกินกว่าจะเลือกเสื้อผ้าดีๆ มาสวม

อันที่จริง… ไม่ใช่แค่วันนี้หรอก แต่เป็นช่วงนี้ตลอดแทบจะทั้งเดือนเลยต่างหาก

ผมมีชุดที่ดูทางการแบบเรียบหรูที่ตัวเองเลือกซื้อมาเองอยู่น้อยมาก ก่อนหน้านี้ที่ใส่บ่อยๆ มาคอยเอาใจครูฝึก (เพราะหวังว่าหมอนั่นจะลดดีกรีความโหดลงบ้างถ้าผมแต่งตัวแบบที่มันชอบ แต่สุดท้ายแม่งก็โหดกับผมอยู่ดี) ก็เป็นเสื้อผ้าของโลแกนทั้งนั้น แต่ช่วงหลังๆ มานี้ ผมพยายามหลีกเลี่ยงของทุกอย่างที่เกี่ยวกับน้องชายฝาแฝดที่ขาดการติดต่อไปราวกับได้กล่าวลาโลกและกลับลงนรกไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

มัน… แสลงใจนิดหน่อยมั้งครับ เหมือนพอยิ่งเห็นของของหมอนั่น หรืออะไรที่เกี่ยวกับหมอนั่นขึ้นมาแล้ว เหมือนความเหงามันปะทุขึ้นมาในอกทำให้หายใจขัดทุกที ผมก็เลยตัดปัญหาด้วยการหลีกเลี่ยงอะไรที่เข้าข่ายของพวกนั้นให้หมด

การที่ต้องเป็นฝ่ายเฝ้ารอ คิดถึงใครสักคนอย่างไร้จุดหมายนี่ มันทรมานนะครับ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนที่ผมใช้เวลาอยู่ด้วยมาตลอดแทบจะทั้งชีวิต แล้วอยู่ๆ เหมือนหมอนั่นหายวับไปในอากาศแบบนี้ มันเหมือน… เสียศูนย์น่ะ ถึงจะไม่ได้ทำให้แย่แบบรวดเดียวแต่ผลกระทบของมันก็ค่อยๆ กัดกร่อนลงไปในใจของผมทีละนิดๆ ราวกับว่าความเหงา ความโดดเดี่ยวพวกนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านกระจายไปทั่วทั้งใจ และมันก็ค่อยๆ งอกเงยเติบโตขึ้นโดยที่ไม่ต้องใช้แสงแดดหรือน้ำในการเจริญเติบโตเลยสักนิด

ผมคงต้องยอมรับจริงๆ นั้นแหละ… ว่าผมเหงามาก แล้วก็คิดถึงหมอนั่นมากเหลือเกิน

ผมเริ่มพรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนอีกครั้ง ใจของผมยังคงนึกถึงแฝดคนน้องที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายเดือน นึกหาทางในใจไปเรื่อยๆ ว่าจะทำยังไงถึงจะสามารถเจอกับหมอนั่นได้

ลองพยายามติดต่อพวกคนของรัฐบาลที่โลแกนเคยทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ให้ดีไหมนะ คนพวกนั้นจะช่วยติดต่อโลแกนให้ผมได้รึเปล่า? ก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็ขอแค่ข่าวคราวของหมอนั่นได้ไหม? อะไรก็ได้ที่เป็นเรื่องของหมอนั่น ช่วยบอกผมทีได้ไหมว่าหมอนั่นยังปลอดภัยดีอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ผมกดโน้ตตัวสุดท้ายลงบนคีย์สีขาวดำ ได้ยินเสียงตัวเองหอบหายใจนิดหนึ่งตอนที่ละมือขึ้น เหงื่อหยดหนึ่งไหลลงมาจากแก้ม กลิ้งหล่นลงมาจนถึงปลายคาง

“เยี่ยมมาก ลูคัส เมื่อกี้น่ะ ไม่ผิดเลยสักคีย์นี่” เสียงพูดของไมเคิลฟังดูเหมือนห่างไกลมากกว่าความเป็นจริง ผมได้ยินครูฝึกของผมบอกย้ำเรื่องการลงน้ำหนักเสียงและท่อนที่น่าจะเกลาได้ดีกว่านี้ แต่เหมือนผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่อไปแล้ว

ผมมองไปยังแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างของห้อง มันช่วยเพิ่มสีสันให้กับห้องเรียนเล็กๆ นี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นเป็นดอกไม้ที่มาจากผู้ไม่ประสงค์ออกนามเมื่อวาน เป็นครั้งแรกที่คนคนนั้นส่งดอกไม้มาให้ผมทั้งๆ ที่ไม่ใช่ที่สนามแข่งหรือเวทีไหนๆ

ผมสงสัยว่าบางทีโลแกนอาจคิดเหมือนผม อาจกำลังรู้สึกเหมือนผม และมันก็กำลังทำให้เจ้าตัวทรมานเหมือนอย่างที่ผมเป็น… มันเป็นแบนั้นรึเปล่า? หรือว่าทั้งหมดนี่เป็นแค่สิ่งที่ผมคิดไปเองคนเดียว เข้าข้างตัวเองไปคนเดียว บางทีหมอนั่นอาจจะส่งดอกไม้ให้ใครคนอื่นด้วยนอกจากผมก็ได้ บางทีหมอนั่นอาจจะเจอผู้หญิงที่ถูกใจ…

“ลูคัส?” คนที่อยู่ในห้องเอ่ยคนเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงกังวล “คุณไหวรึเปล่า? นี่ดูแย่ลงกว่าเดิมอีกนะ… เมื่อเช้าได้กินข้าวมารึเปล่าครับเนี่ย?”

“มะ… ไม่ได้กินครับ” ผมตอบตะกุกตะกักกลับไปโดยไม่รู้สึกตัว รู้สึกเหมือนมีก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์มาทาบลงกลางใจกับความคิดที่เพิ่งผ่านเลยเข้ามา

ผมรู้ดีอยู่แล้วว่าหมอนั่นเป็นพวกเจ้าชู้แล้วก็ชอบนอนกับคนนนู้นคนนี้อยู่เรื่อย แต่ผมก็คอยเตือนตัวเองเสมอว่าหมอนั่นน่ะเปลี่ยนไปแล้ว แล้วผมก็เลือกที่จะเชื่อใจหมอนั่นเองด้วย เพราะงั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าจะเอาเรื่องนี้มาคิดให้หนักใจเล่นกว่าเดิม

“ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะครับ” ไมเคิลว่าพร้อมกับเอื้อมมือมาดึงแขนผมให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “หน้าคุณซีดมากเลย แล้วข้าวเช้าเนี่ยมันเป็นมื้ออาหารที่สำคัญนะ ทำไมถึงไม่รู้จักกินให้เรียบร้อย”

อ่า… จริงสิ โลแกนเองก็เคยพูดแบบนี้กับผมเหมือนกัน เรื่องต้องกินข้าวให้ครบทุกมื้อหรืออะไรแบบนั้น

โลแกน… ฉันยอมแพ้แล้วว่ะ

นายช่วยกลับมาหาฉันทีได้ไหม ถ้าเกิดว่านี่เป็นเกมฝึกความอดทน… ถ้าเกิดว่านี่เป็นเกมของนาย ฉันขอยกธงขาวยอมแพ้ตรงนี้เลยได้ไหม จะต้องให้ฉันทำยังไงล่ะ นายถึงจะยอมกลับมาหาฉัน

 ผมพยายามพยุงตัวลุกขึ้นตามแรงดึงของคนข้างๆ เหมือนภาพทุกอย่างเบื้องหน้ามันเบลอไปหมด เหมือนกล้องที่ไม่สามารถจับจุดโฟกัสได้ จากนั้นก็เหมือนมีเสียงหวีดแหลมเล็กกรีดร้องขึ้นในหัว แล้วผมก็ไม่รับรู้อะไรอีก ไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำตอนที่ร่างล้มลงกระแทกลงกับพื้น

“ลูคัส… ลูคัส!!!”

อื๊อ? เสียงนั่นมัน….

โลแกนเหรอ?






------------------------------------------
Talk:  อุ๊ยยย พระเอกมา??? ว่าแต่... ใครพระเอกนะ :D 55555555555
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 38) P.5 [11/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 11-03-2017 11:43:30
ใจหนึ่งก็อยากให้เป็นโลแกนนะ...แต่มิกกี้ก็ไม่เลว ฮ่าๆๆๆ :hao7: แล้วแต่ลูคัสเลยจ้ะ เลือกเลย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 38) P.5 [11/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 11-03-2017 12:10:53

บทที่ 39

(Mode: Logan Collins)




ผมเพิ่งจัดการกับภารกิจที่ต้องบินข้ามรัฐไปอีกฟากหนึ่งเสร็จแล้วกลับมาที่ถิ่นฐานเดิม ที่ผมเอง ทุกวันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกนิวยอร์กว่าถิ่นฐานได้ไหม เพราะรู้สึกเหมือนต้องเทียวไปนู่นมานี่ตลอด แทบจะไม่ได้อยู่ที่ไหนเป็นหลักเป็นแหล่งเลย เรียกได้ว่าถิ่นฐานหรือบ้านอะไรนั่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผมน่าจะดีกว่า แต่เอาเถอะ ตราบใดที่ลูคัสยังอยู่ที่บ้านหลังเดิมตรงแถบชานเมือง ผมก็ยังจะเรียกแถวนี้ว่าถิ่นฐาน… แล้วก็เรียกบ้านหลังนั้นว่าบ้านอยู่นั่นแหละ

ผมมีกระเป๋าเดินทางเพียงใบเดียว ขนาดของมันไม่ใหญ่มาก ผมก้าวเท้าฉับๆ เข้าไปที่สำนึกงานใหญ่เพราะข้อความที่ได้ผ่านโทรศัพท์มือถือสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ ฮิวเบอร์เรียกผมเข้าไปพบ ผมไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรือแค่อยากจะมอบภารกิจใหม่ให้ทำ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ปกติแล้วเราไม่จำเป็นต้องพบกัน

ทางหน่วยงานมักเอาเนื้องานที่ผมจำเป็นต้องรู้ใส่แฟลชไดรฟ์มาให้ ผมมักจะกวาดตาอ่าน จดจำรายละเอียดทุกอย่าง จากนั้นก็ลบข้อมูลที่อยู่ในนั้นทิ้ง ทำตัวราวกับไม่เคยเห็นเนื้อหาที่อยู่ในหน้ากระดาษเหล่านั้นมาก่อน

ผมเดินผ่านพนักงานและเจ้าหน้าที่ที่เดินสวนกันไปมาในตัวอาคาร ไม่สบตาใคร ไม่มองหน้าใคร มันเป็นหนึ่งในทริคง่ายๆ เวลาที่เราไม่อยากให้ใครจดจำใบหน้าของตัวเองได้ และถึงจะรู้ดีว่าที่นี่คือถิ่นของผม ผมก็ยังทำตัวแบบนั้นเหมือนเดิมด้วยเหตุผลที่ว่าการทำตัวไร้ตัวตนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของผมไปแล้วในตอนนี้

ผมเคาะประตูห้องที่ฮิวเบอร์นัดเอาไว้ เปิดเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มผู้เป็นครูฝึกเก่าของผมนั่งรออยู่แล้ว ตรงหน้าของเขามีแฟ้มเอกสารบางๆ วางรอไว้อยู่ นั่นบอกอะไรๆ ผมได้มากทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมแปลกใจด้วย

ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตามคำเชื้อเชิญของคนในห้อง จากนั้นก็ก้มลงมองแฟ้มที่ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้าของตัวเอง

“ภารกิจใหม่” คนด้านหลังโต๊ะพูดเรียบๆ ผมขมวดคิ้วขึ้นมานิดหนึ่ง ไม่ได้หงุดหงิดเรื่องที่ว่าตัวเองเพิ่งจะทำภารกิจล่าสุดเสร็จและต้องการเวลาพักผ่อนก่อนที่จะเริ่มต้นภารกิจใหม่อะไรแบบนั้น ผมไม่มีเวลาพักผ่อนที่ว่านั่นมานานมากแล้ว แต่ที่ต้องขมวดคิ้วก็เพราะผมไม่เข้าใจวิธีการต่างหาก

“ทำไมคุณถึงต้องเป็นคนที่เอามาให้ผมด้วยตัวเองล่ะครับ มันต่างอะไรกับภารกิจก่อนๆ เหรอ”

“เอฟบีไอเป็นคนร้องขอภารกิจนี้มา” ฮิวเบอร์ว่าต่อขณะจับตามองปฏิกิริยาบนหน้าผม “เจ้าของงานนี้คือแองเจลีน่า แกรนท์”

ผมตาวาววาบขึ้นมาทันที ริมฝีปากกระตุกยิ้มอย่างพึงพอใจ มือเลื่อนไปคว้าแฟ้มตรงหน้ามาอย่างรวดเร็ว กวาดดูชื่อของเป้าหมายแล้วต้องร้องครางในใจออกมาอย่างหัวเสีย หากผมสามารถเก็บความผิดหวังเหล่านั้นลงไปได้ แต่คงไม่เร็วพอที่จะหลุดรอดคนที่ช่างสังเกตพอๆ กับผมอย่างคนตรงหน้าได้

“ผิดหวังอะไรเหรอ โลแกน”

“เปล่านี่ครับ” ผมพูดหน้าตาย กลับเข้าไปอยู่ใต้หน้ากากแห่งความเฉื่อยชาต่อ ความลิงโลดในใจหายวับไปทันที

“มีปัญหาอะไรกับภารกิจในครั้งนี้รึเปล่า?”

ผมยกยิ้มเยาะนิดๆ “ต่อให้มี ผมจะปฏิเสธงานของตัวเองได้เหรอ”

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าคำสั่งของผู้ที่อยู่สูงกว่าคือประกาสิต มันต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีสิทธิ์ที่คนอยู่ล่างๆ จะขัดขืนได้ นั่นไม่ใช่วิสัยของผมเท่าไรหรอก แต่ในเมื่อการไปให้ถึงเป้าหมายของผม ผมเลือกเดินมาด้วยวิธีนี้ก็มีแต่ต้องก้าวต่อไปเท่านั้น

“แน่นอนว่านายไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” คนตรงหน้าว่าเสียงเรียบ “แต่นายมีอะไรก็คุยกับฉันได้”

ผมนิ่งเงียบเพื่อบอกอีกฝ่ายว่าผมไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น เรื่องของเรื่องก็คือ… ที่ผมมาทำงานตรงนี้ ไต่เต้ามาจนถึงขั้นนี้ได้ ทั้งหมดก็เพื่อวางแผนหาทางลอบเข้าใกล้จูดี้ ฮิลล์ซึ่งเป็นเป้าหมายตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเกิดมาเท่านั้น ไม่ได้อยากมาทำงานเพราะอยากจะเป็นฮีโร่ จัดการเหล่าผู้ร้ายหรืออะไรแบบที่คนตรงหน้าผมอาจจะเคยเป็นมาก่อน และตอนนี้ก็ยังอาจจะเป็นอยู่ด้วย แต่ผมไม่ใส่ใจเรื่องพวกนั้นหรอก...

และ… เพราะพยายามสืบเรื่องของอีกฝ่ายมากไปหน่อย ผมถึงได้เริ่มระแคะระคายถึงความสัมพันธ์ของหญิงวัยกลางคนคนนั้นที่มีกับสองพี่น้องรอยล์ผู้เป็นมาเฟียที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งนิวยอร์ก ความสัมพันธ์ของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังกับมาเฟียผู้ทรงอิทธิพล แน่นอนล่ะว่าต้องมีการเอื้อผลประโยชน์กันหลายทางแน่

และเพราะแบบนั้น… ผมถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า มันคงจะดีกว่าถ้าสามารถฆ่าผู้หญิงคนนั้นในเรื่องงาน เพราะนั่นจะทำให้ผมทำงานได้ง่ายขึ้น ผมจะสามารถใช้อุปกรณ์ คน และการอำนวยความสะดวกที่ครบครันจากดีซีไอเอสได้ นั่นคงง่ายกว่าการที่ผมต้องลอบฆ่าแม่นั่นด้วยตัวคนเดียว

ดังนั้นแล้ว ทิศทางแผนของผมก็คือ หาทางให้พวกเอฟบีไอที่จับงานสืบสวนได้รับผิดชอบตรงนี้ จนกว่าจะมีคำสั่งฆ่ายัยนั่น… เพราะงั้นผมถึงได้หวังว่าแกรนท์จะสามารถเติมเต็มความต้องการของผมในจุดนี้ได้ในเวลาอันสั้น… แต่นี่… เป้าหมายงานรอบนี้กลับเป็นอย่างอื่นไปเสียได้

“นายมีความสัมพันธ์ยังไงกับเจ้าหน้าที่พิเศษแกรนท์” เมื่อเห้นว่าผมไม่พูดอะไรตอบ คนตรงหน้าจึงเปลี่ยนเป็นรุกถามแทน ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาตรงๆ สีหน้าเขาเหมือนจะมีตัวหนังสือแปะอยู่เลยว่า ‘คนที่ทำงานอย่างเราๆ ไม่ควรมีคนรัก’

ก็นะ นั่นเป็นเรื่องที่ผมได้เรียนรู้มาตลอดอยู่แล้ว และอีกอย่าง หมอนี่ก็กำลังเข้าใจผิด

“ผมไม่ได้มีอะไรกับคุณแกรนท์” ผมยืนยัน “ผมยอมรับว่าเรามีความสัมพันธ์ในเชิงส่วนตัวกัน… เป็นเพื่อนร่วมงานกัน ผมเคยทำงานกับเขามาหลายคดี ตอนช่วงที่ผมยังอยู่กับแมคโดเวล”

ฮิวเบอร์พยักหน้าเพื่อบอกว่าเข้าใจ หากสีหน้าแววตายังว่างเปล่าเหมือนเดิม ให้ตายสิ… แค่ท่วงท่าที่เขาขยับ ผมก็รู้สึกถึงความเป็นมืออาชีพของเขาแล้ว ผมไม่ได้คิดตัวเองไม่ใช่มืออาชีพหรอกนะ แต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่าฝีมือยังห่างไกลจากอีกฝ่ายหลายขุม

“นายเอาแฟ้มนี้กลับไปก็ได้” เขาว่าขณะที่ผมกำลังเก็บเอกสารที่เอาออกมาใส่กลับที่เดิม “ขอบคุณที่มาวันนี้ หมดเรื่องแล้ว”

ผมยกยิ้มหวานให้คนตรงหน้า ตั้งแต่รู้จักกันมา ผมไม่เคยเห็นผู้ชายที่ชื่อไรอัน ฮิวเบอร์ยิ้มให้ผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในขณะที่ผมเป็นฝ่ายขยันแจกยิ้มเสียเหลือเกิน

“ไม่มีคำอวยพรขอให้โชคดีหรืออะไรแบบนั้นเหรอครับ”

ฮิวเบอร์เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนเดิม

“คุณก็รู้ดีว่ามันไม่เคยเกี่ยวกับเรื่องโชค”

ผมหัวเราะหึๆ ในลำคอส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า จากนั้นก็ปิดประตูลงแล้วก้าวเดินออกจาสถานที่แห่งนั้น

ไม่เคยเกี่ยวกับโชคเหรอ นั่นสินะ ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน







ก่อนที่จะต้องทำภารกิจต่อไป ผมยังพอมีเวลาอยู่บ้าง ผมจึงตัดสินใจที่จะตามสืบเรื่องที่ทำค้างคาไว้อยู่เล็กน้อย แล้วก็ถือโอกาสแวะไปโฉบดูไอ้ลูคัสมันหน่อย พักหลังนี้ไม่รู้เป็นยังไง แต่รู้สึกคิดถึงมันมากขึ้นทุกทีๆ

ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนที่แยกห่างกันไปใหม่ๆ ผมคิดว่าตอนนั้นน่ะทรมานแล้วนะ แต่ก็ปลอบตัวเองในใจไปแกนๆ ว่าเดี๋ยวอีกสักพักก็คงชิน เดี๋ยวเวลาผ่านไปก็คงทำใจรับได้ แต่ไม่เห็นมันจะเป็นแบบที่ว่ามาเลยสักนิด

ตรงกันข้าม ยิ่งทอดเวลาห่างกันออกไป ผมกลับยิ่งรู้สึกคิดถึงมันมากขึ้น โหยหามากขึ้น รู้สึกเจ็บปวดเวลาที่ได้แต่มองผ่านหน้าจอโทรทัศน์หรือสื่ออื่นๆ ที่เขียนข่าวพูดถึงนักเปียโนดาวรุ่งที่กำลังไต่เต้าขึ้นสูงเรื่อยๆ และเป้าหมายของชายหนุ่มมีเพียงระดับโลกเท่านั้น

ผมเคยยิ้มนิดๆ กับข่าวที่เคยอ่านผ่านตา รู้เลยว่าคนเขียนข่าวเป็นคนหยิบยกและเรียบเรียงคำพูดขึ้นมาเอง ลูคัสไม่มีทางพูดออกมาตรงๆ แน่ว่าเขาจะไปให้ถึงระดับโลกแบบนั้น พี่ชายเขาเล่นเปียโนเพราะว่าชอบ ถ้าเกิดมีคนถามว่าอยากไประดับโลกไหม เจ้าตัวก็คงตอบว่าอยาก แต่คงไม่พูดออกมาจากปากด้วยตัวเองแน่ๆ ถ้าไม่มีคนถามจริงๆ

ผมฟังเสียงเปียโนที่ลูคัสเป็นคนเล่น ผมดาวน์โหลดเสียงเพลงพวกนั้นเก็บไว้ในมือถือด้วยซ้ำ แต่ผมจำเป็นต้องดาวน์โหลดเพลงอื่นๆ มารวมปนกันด้วยเผื่อในกรณีที่ผมพลาดท่าแล้วมีใครพยายามจะสาวไปถึงตัวลูคัส… ยังไงผมก็ต้องระวังทุกทาง ต่อให้มันจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม

แต่ต่อให้ผมจะมีเพลงของใครหน้าไหนที่ผมไม่คิดอยากทำความรู้จัก เพลงที่ผมเปิดขึ้นมาฟังบ่อยสุดก็คือเสียงเพลงของพี่ชายฝาแฝดของตัวเองอยู่ดี ฟังแล้วก็จินตนาการไปว่าหมอนั่นกำลังรู้สึกยังไงตอนเล่นเพลงพวกนี้ มันหวานใส ลุ่มลึก บางครั้งก็เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ หากแทบทุกครั้งมันมักสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความโดดเดี่ยวและเศร้าสร้อย ยิ่งระยะหลังมานี้ ผมรู้สึกว่าความรู้สึกดังกล่าวมันรุนแรงมากขึ้น

ผมขอร้องให้ทางร้านส่งดอกไม้ไปให้ลูคัสเพราะหวังว่ามันจะช่วยให้เจ้าตัวมีกำลังใจในการขึ้นแสดงในแต่ละครั้งมากขึ้น ไม่รู้ว่ามันช่วยเจ้าตัวรึเปล่า แต่ถึงยังไงผมก็ยังอยากให้หมอนั่นรู้อยู่ดีว่าผมยังคอยคิดถึงเขาอยู่

...นี่ถ้าขืนผมพูดออกไปตรงๆ แบบนั้น ลูคัสคงได้หาว่าผมฟังเพลงลูกทุ่งมากเกินไปอีกแน่ๆ หมอนั่นชอบว่าแบบนั้นตลอด

ผมยกนาฬิกาข้อมือเหลือบมองเวลา จากนั้นก็คำนวนในใจอย่างรวดเร็ว เรื่องที่ผมจะตามสืบยังเริ่มต้นไม่ได้เร็วๆ นี้ เพราะงั้นผมควรจะใช้เวลาว่างตอนนี้แวะไปที่บ้านสักหน่อยดีกว่า ถึงตอนนี้มันจะยังเร็วเกินไปที่ลูคัสจะกลับมาบ้านก็เถอะ

ผมตัดสินใจเสี่ยงขับรถไปที่บ้านของตัวเอง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายๆ จึงไม่ใช่เรื่อที่น่าแปลกใจที่ตัวบ้านจะเงียบสนิท พี่ชายผมคงยังไม่กลับมาจากเรียน งั้นจะเอาไงดีนะ แวะไปหากาแฟกินสักแก้วแล้วค่อยวนกลับมาดีไหม

ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะลองเปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อเช็คตำแหน่งดูว่าพี่ชายของผมอยู่ที่ไหน แต่พอสรุปกับตัวเองไปเรียบร้อยแล้วว่าเจ้าตัวคงยังอยู่ที่โรงเรียนผมก็ตัดใจ เลื่อนมือไปเตรียมบิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถแล้วไปหาอะไรอย่างอื่นทำฆ่าเวลาแทน

หากเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสีบลอนด์เงินที่วิ่งผ่านเข้ามาผมก็ต้องชะงักไปทันที ผมจำรถคันนี้ได้เป็นอย่างดีเพราะมันเป็นรถที่ชายหนุ่มอีกคนขับมาส่งลูคัสที่บ้านเมื่อคราวก่อนนู้น ตอนที่ลูคัสบอกว่าชายคนนั้นพาตนไปเลี้ยงข้าวเพื่อฉลองที่ได้รางวัลชนะเลิศมา

ไหนบอกว่าไม่มีอะไรกับหมอนั่นไง ชื่ออะไรนะ… ชื่อเห่ยๆ… อ้อ ใช่ มิกกี้... ไหนนายบอกว่าไม่มีอะไรกับมิกกี้ไงวะ ลูคัส แล้วไอ้ที่ฉันเห็นนี่มันอะไรฟะ!

ผมพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ใจที่เป็นกลางพยายามแก้ต่างให้ลูคัสไปว่ามิกกี้คงแค่มาส่งพี่ชายของเขาที่บ้านก็เท่านั้น

หากเมื่อชายหนุ่มผู้ขับเปิดประตูรถ ลงมาจากที่นั่งคนขับจากนั้นก็เดินมาเปิดที่ประตูหลังนั่นทำให้ผมแปลกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มผมดำใส่แว่นคนนั้นประคองร่างของลูคัสขึ้นมาแขนทั้งสองข้าง ผมใจหายวาบ นึกไปว่าพี่ชายฝาแฝดของตัวเองเป็นอะไรอย่างร้อนรน

หากยังไม่ทันได้ขยับตัวทำอะไรมากไปกว่าจับตาดูภาพนั้น ลูคัสที่ถูกอีกฝ่ายอุ้มอยู่เหมือนจะได้สติพอดี เจ้าตัวเลื่อนมือไปโอบรอบคอของผู้ชายคนนั้น จากนั้นก็ขยับหน้าเข้าไปจูบกับอีกฝ่ายหน้าตาเฉยราวกับเคยทำแบบนั้นมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

ผมตัวแข็งทื่อ รู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดลงบนกลางใจดังเปรี้ยง แล้วมันก็สงบลง ไม่เหลืออะไรเลย… นอกจากความรู้สึกหวิวๆ เหมือนหัวใจข้างซ้ายถูกกระชากออกไป เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ผมรู้สึกทำอะไรไม่ถูกได้ขนาดนี้ รู้สึกได้ถึงความขัดแย้งในตัวเองที่อยากจะตรงไปฆ่าผู้ชายคนนั้นที่กำลังพาตัวลูคัสเข้าไปในบ้านของพวกเรา มันมากพอๆ กับที่ผมอยากกระชากลูคัสมา เขย่าตัวหมอนั่นแรงๆ แล้วถามว่า นี่เหรอ สิ่งที่ตอบแทนให้กัน…

แต่ผมไม่มีแรงทำอะไรเลย ไม่มีแรงทำอะไรเลยนอกจากฟุบหน้าลงบนพวงมาลัยรถอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกได้เลยว่าบ่าทั้งสองข้างสั่นอย่างรุนแรง

นี่ใช่ไหมผลตอบแทนที่ผมเลือกเดินเส้นทางนี้ เพราะว่าผมเอาแต่คิดจะทำงานที่ท่านพ่อสั่งมาอย่างเดียวจนละเลยเรื่องของตัวเองไปใช่ไหม ถึงได้ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้

...รู้อย่างนี้น่าจะเชื่อเนทซะตั้งแต่ต้น ก็รู้อยู่ว่าท่านพ่อสั่งให้ขึ้นมาทำงาน ไม่ใช่มามีความรักไร้สาระ สมน้ำหน้า… สมน้ำหน้าตัวเองแล้ว

ทำไมล่ะ ลูคัส… ทำไมล่ะ นายเองเป็นคนที่บอกฉันเองว่าไม่อยากให้ฉันมีใครนอกจากนาย ฉันก็ไม่มีใครแล้วไง แล้วทำไมนายถึงเป็นฝ่ายที่มีคนอื่นเสียเองล่ะ?

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความเสียใจค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ… ผมรู้สึกได้ความโกรธ ผิดหวัง เสียใจที่พลุ่งพล่านอยู่ในออก

ต้องหาทางระบายออก… ผมต้องหาทางระบายมันออกสักทาง ผมไม่ได้มีความรู้สึกพลุ่งพล่านแบบนี้มานานมากแล้ว และตอนนี้ผมต้องหาทางจัดการกับมัน

เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น จากแกรนท์นั่นเอง ผมเอื้อมไปกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว

“ฉันอยากให้นายมาช่วยทางนี้” เจ้าหล่อนว่าพร้อมกับสรุปสถานการณ์มาให้ผมฟังพร้อมระบุสถานที่ที่อยากให้ผมไปหา

ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้น สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวบ้าน

“ต้องเป็นตอนนี้เลยเหรอ?”

“ก็ต้องตอนนี้สิยะ” เสียงหล่อนว่าอย่างร้อนรน “นี่ โลแกน… ที่ฉันทำทุกอย่างอยู่เนี่ย ก็เพราะนายขอร้องมานะ”

ผมกัดฟันกรอด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะเลือกทางไหน แต่ผมเดินมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังแล้ว

“ได้ แกรนท์” ผมว่าเสียงเรียบ “ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”






-------------------------------------------
Talk:  ตัวใครตัวมันล่ะจ้า งานนี้//สลายโต๋แป๊บ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 39) P.5 [11/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-03-2017 14:03:46
ลูคัส ได้ยินเสียงเรียกเหมือนเสียงโลแกน
จริงๆ อาจเป็นมิกกี้ เรียกลูคัส
ลู เหงามาก โล ไม่ติดต่อมาบ้างเลย
น่าเห็นใจสภาพลู ที่ต้องอยู่คนเดียวตามลำพัง
มิกกี้ เริ่มชอบลูคัส ใช่มั้ย
เอ็ดการ์ ชื่นชอบลูคัสมากกว่าคู่แข่งใช่ปะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 39) P.5 [11/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 11-03-2017 20:09:29
สงสารลูคัสสส ห่างกันก็แย่แล้ว ยังต้องมาเข้าใจผิดกันอีกเรอะ!!  :katai1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 39) P.5 [11/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 11-03-2017 20:30:02
ขอให้มิกกี้อย่าเป็นอะไร...กลัวใจลูคัสมากค่ะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 39) P.5 [11/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 12-03-2017 08:17:17

บทที่ 40

(Mode: Lucas Collins)





รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของโลแกนดังมาจากที่ไกลๆ

ไม่สิ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ไกลอะไรขนาดนั้น เหมือนมันใกล้กว่าที่คิดด้วยซ้ำ

“ลูคัส… ลูคัส” เสียงนั่นเอ่ยเรียกผมอย่างเป็นห่วง เป็นเสียงแผ่วเบา ทว่าอ่อนโยน มันฟังดูเหมือนเจ้าตัวกำลังรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่าพยายามจะเรียกให้ผมได้ยินจริงๆ เสียอีก “นายไม่เป็นไรใช่ไหม อดทนหน่อยนะ บ้าชะมัดเลย… หรือว่าฉันควรจะเอานายไปโรงพยาบาลดีกว่าวะเนี่ย”

“...ไม่เอา” ผมพยายามรวบรวมคำพูดเพื่อบอกคนตรงหน้า “แค่… กินยา นอน… เดี๋ยวก็หาย”

ใช่สิ เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงมากนี่นา แค่มึนหัวนิดหน่อย แล้วก็เมื่อคืนดื่มมากไปนิด… แถมเมื่อเช้ายังไม่ได้กินข้าว แต่เรื่องพวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดที่จะต้องไปโรงพยาบาลสักหน่อย

ผมจำไม่ได้ตอนที่ตัวเองเดินโงนเงนมาขึ้นรถที่อีกฝ่ายเปิดประตูหลังให้ แต่เหมือนจะเป็นแบบนั้น และพอรู้สึกตัวอีกทีแรงของคนที่สูงกว่าก็ยกผมลอยขึ้นไปแล้ว ดูเหมือนหมอนี่จะหมดความอดทนกับอาการปวกเปียกของผมเต็มที

“ไหน กุญแจบ้าน… ให้ตายสิ นี่นายจะไม่เป็นไรแน่เหรอ ลูคัส”

“ไม่เป็นไร…” ผมงึมงำตอบกลับ รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ ไม่หาย เหมือนสติที่มีอยู่พร่าเลือนไปหมด แต่ถึงจะทรมานจนนึกอยากให้หัวระเบิดแตกไปข้างหนึ่งยังไง ความรู้สึกที่อยากเห็นหน้า… อยากสัมผัสอีกฝ่ายก็มีมากกว่าอยู่ดี “แค่นาย… อยู่กับฉัน”

พูดจบ ผมก็ขยับแขนไปโอบรอบคอของคนที่อุ้มผมขึ้นไป ขยับใบหน้าเลื่อนขึ้นไปจูบก่อนที่ตัวเองจะรู้ตัวด้วยซ้ำ ทันทีสัมผัสริมฝีปากของอีกฝ่าย ผมก็แทบจะผละออกแทบไม่ทัน เบิกตากว้างมองอีกฝ่ายอย่างตื่นตะลึง เช่นเดียวกับที่ไมเคิลที่มองผมอย่างอึ้งๆ เช่นกัน

ทันใดนั้นเอง ม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่ในหัวของผมก็มลายหายไป ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองถูกอุ้มขึ้นไปโดยครูผู้ฝึกของตัวเอง จากนั้นใบหน้าผมก็ร้อนขึ้นด้วยความอาย พยายามจะดิ้นเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยผมลง แต่ไมเคิลก็ยึดร่างผมไว้แน่นแล้วรีบพุ่งเข้าไปในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว

“มิกกี้…! ปล่อยผมได้แล้ว ผมไม่เป็นไร…”

“ไม่เป็นไรอะไรของคุณล่ะ! เมื่อกี้ก็เป็นลมไปรอบหนึ่ง เมื่อกี้ตอนอยู่ในรถก็ปลุกไม่ตื่นอีก! นี่ อย่าดิ้นนะ ไม่งั้นผมจะจับทุ่มลงพื้น อยู่เฉยๆ เดี๋ยวนี้”

ผมหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองแทบจะในทันที อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายสั่งด้วยน้ำเสียงเดียวกับตอนที่ใช้ในห้องเรียน ผมถึงเผลอทำตามโดยอัตโนมัติ

มิกกี้ปล่อยผมลงวางบนโซฟาอย่างเบามือ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกยาวแล้วปรายตามองผมเหมือนอ่อนใจ

“รู้สึกดีขึ้นแล้วเหรอครับ?”

“คระ… ครับ” พอเห็นสายตาดุๆ ของอีกฝ่าย ผมก็รีบตอบรับแทบจะไม่ทัน

มิคกี้ทำท่าจะพูดอะไรไม่ออกมาอีก หากเจ้าตัวเปลี่ยนใจกะทันหัน หันหน้าหนีไปอีกทางแล้วถอนหายใจยาวอีกรอบ ผมมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินไปที่ห้องครัวอย่างรู้สึกผิด อายด้วย เขาอุตส่าห์ขับรถมาส่งถึงบ้าน ผมดันไปจูบเขาหน้าตาเฉย ทำอะไรลงไปเนี่ย!!?

“เอ้า นี่” มิกกี้ว่าพร้อมกับยื่นแก้วที่ใส่น้ำมาให้ ผมพูดขอบคุณเบาๆ แล้วยกขึ้นดื่ม นั่นช่วยให้ลำคอรู้สุกชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากแห้งผากมานาน “จะกินอะไร”

“เอ่อ ไม่เป็น…”

“ไม่ได้ ถ้าผมปล่อยคุณไว้แบบนี้ เดี๋ยวคุณก็ไม่ยอมกินข้าวกินปลาแล้วเป็นลมไปอีก”

ท่าทีที่เหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กอยู่นั่นทำให้ผมหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ ผมหลับตาลงเพราะยังรู้สึกปวดหัวตุ้บๆ อยู่ จากนั้นก็พยายามไล่เรียงความคิดแล้วตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

“เราโทรสั่งอาหารจีนมากินกันดีกว่าครับ” ผมไม่อยากต้องเป็นภาระขนาดจะให้เข้าครัวทำอาหารให้หรอกนะ “ผมมีเบอร์โทรแปะอยู่ที่ข้างโทรศัพท์บ้าน… มีเมนูอยู่ข้างๆ ด้วย คุณสั่งมาได้เลย”

ไมเคิลพยักหน้าแล้วเดินผละไปอย่างว่าง่าย ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างอ่อนล้า รู้สึกเหมือนหัวใจในอกข้างซ้ายยังเต้นรัวไม่หาย

ชิบหายเอ๊ย… จะพูดแก้ตัวยังไงดีล่ะเนี่ยเรื่องที่ไปจูบหมอนั่นเข้า แล้วอีกฝ่ายเล่นไม่พูดอะไรแบบนี้ ผมควรจะทำยังไงดีล่ะ?

ไม่สิ… โดยปกติแล้วก็ควรจะต้องขอโทษใช่ไหม ต้องขอโทษสินะ

“เอ่อ คือ… มิกกี้ครับ”

อีกฝ่ายทำไม้ทำมือเหมือนบอกให้ผมหยุดพูดก่อนเพราะตัวเองกำลังรอฟังเสียงจากปลายสายโทรศัพท์อยู่ จากนั้นเจ้าตัวก็สั่งอาหารอย่างรวดเร็ว

ผมหันกลับมามองโต๊ะตัวเล็กที่วางอยู่หน้าโซฟาเหมือนไม่รู้จะวางตัวยังไง แปลกดี ทั้งๆ ที่นี่ก็เป็นบ้านของตัวเองแท้ๆ แต่ยังจะรู้สึกเกร็งอีก… คงเป็นเพราะมีไมเคิลที่ผมทั้งเคารพทั้งเกรงอยู่ด้วยแหงๆ… แล้วอีกอย่าง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเอาคนอื่นเข้ามาในบ้านด้วย อ้อ… ไม่ใช่สิ ก่อนหน้านี้เคยเอาโอลิเวียเข้าบ้านมาก่อนนี่นะ แต่นั่นก็นานมาแล้ว แถมที่ผมเอาเจ้าตัวเข้ามาก็เพราะหล่อนเป็นแฟนผมอีกต่างหาก

ในขณะที่คนตรงหน้า… อืม… ก็เรียกได้ล่ะนะว่าเป็นเพื่อน แต่ก็ยังไม่สนิทใจมากพอที่จะเรียกว่าเพื่อนสนิทขนาดจะพาเข้ามาในตัวบ้านแบบนี้

ผมเหลือบมองไปที่หน้าครัวเล็กน้อย ไม่รู้ตัวเลยว่าว่าเผลอห่อไหล่ลง สาเหตุหนึ่งที่ผมไม่อยากเอาใครเข้าบ้านก็เพราะแบบนี้… มันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเปิดเผยสิ่งที่ไม่อยากให้ใครรู้ให้คนนอกได้เห็น แม้ว่าในวันนี้เลือดที่ครั้งหนึ่งเคยเจิ่งนองอยู่ตรงนั้นได้หายไปแล้ว แต่ผมก็ยังอดคิดถึงมันไม่ได้

“ฉันสั่งอาหารให้นายเรียบร้อยแล้ว ลูคัส”

ผมไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อเสียงทุ้มดังขึ้น ไมเคิลเดินมาหยุดยืนหน้าผมแล้วจ้องลงมาที่ผมนิ่ง นัยน์ตาสีน้ำตาลคมกริบทีเดียวอยู่หลังเลนส์แว่นนั่น

“เอ่อ คือ” ผมรีบพูด “ขอโทษนะครับ ที่จูบคุณไปเมื่อกี้”

อีกฝ่ายไม่พูดอะไรตอบ หากเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนอยากจะถาม

“แล้ว… เอ่อ… นายสั่งอาหารมาแค่ส่วนของผมเหรอ” ผมถามต่อ “จริงๆ สั่งเพิ่มในส่วนของนายมาก็ได้นะ มื้อนี้ผมจ่ายเอง คุณเองก็เลี้ยงผมมาแล้วก่อนหน้า…”

“ตอนที่นายจูบฉัน” ไมเคิลไม่ยอมให้ผมเฉไฉ “นายกำลังคิดถึงคนอื่นอยู่งั้นเหรอ?”

ผมหน้าร้อนวูบขึ้น ภาพของโลแกนปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ผมรีบเสมองไปอีกทางหากรู้สึกได้สายตาทิ่มแทงจากคนตรงหน้า ผมจึงต้องเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะยอมรับเสียงอ่อย

“ใช่ครับ”

“หืม…”

“ขอโทษจริงๆ ครับ” ผมกลั้นใจพูด กลืนน้ำลายลงคออึก “ฉันรู้ว่านายคงรังเกียจ ฉันก็ไม่ได้ตั้ง--”

หากคำพูดผมกลืนหายลงไปในลำคอเมื่ออีกฝ่ายก้มตัวลงมาจูบปิดปากผมอย่างรวดเร็ว

ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง รู้สึกเหมือนสมองโล่งขึ้นมาชั่วขณะ สัมผัสอ่อนนุ่มเบียดเข้ามาในริมฝีปากผมอย่างรุนแรงและจาบจ้วง ผมจิกนิ้วลงบนบ่าของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงอย่างคนที่ยังประเมินสถานการณ์ไม่ถูกหากวินาทีต่อมาผมก็ผลักร่างของอีกฝ่ายออกไปด้วยความตกใจ แต่ไมเคิลก็ดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเพราะเหมือนนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาตั้งใจจะผละออกไปอยู่แล้ว

“เอาคืนไง” ชายหนุ่มผมดำยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มและสีหน้าแบบที่ผมไม่เคยเห้นจากเจ้าตัวมาก่อน “คุณมาขโมยจูบผมก่อน ผมก็เอาคืนจากคุณบ้าง”

“อะ… อะ…!!?” ผมพูดไม่ออก

“ทีนี้ก็เสมอกันแล้วนะ ลูคัส” มิกกี้ว่ายิ้มๆ เดินมายีหัวหัวผมที่ยังนั่งเอ๋อ ประมวลสถานการณ์ไม่ทันสองสามที “ไม่ต้องกังวลนะ ตอนผมจูบคุณ ผมก็นึกถึงคนอื่นอยู่เหมือนกัน”

“...” ยังคงมึน

“ผมมีสอนช่วงเย็นต่อครับ ลูคัส คอลลินส์ เพราะงั้นคงอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้คุณไม่ได้ ไปล่ะครับ แล้วเจอกันคลาสต่อไป กินข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมกินยาแล้วก็นอนพักมากๆ นะครับ รอให้ไหวจริงๆ ก่อนค่อยซ้อม ไม่มีประโยชน์หรอกถ้าคุณจะซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ต้องเข้าโรงพยาบาลเสียก่อนแล้วขึ้นไปเล่นบนเวทีไม่ได้”

เจ้าตัวพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วก็ออกจากบ้านผมไป ผมมองประตูที่ถูกปิดลงอย่างมึนงง และเมื่อได้ยินเสียงรถของอีกฝ่ายที่แล่นจากไปแล้ว ผมถึงได้รู้สึกตัว ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างมึนงง กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเริ่มครางออกมานิดหนึ่งอย่างคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าโดนขโมยจูบไปแล้วเรียบร้อย ถึงตอนแรกผมจะเป็นขโมยมาจากเจ้าตัวก่อนก็เถอะ… แต่แบบ… เฮ้ย!? ปกติคนเราถ้าโดนขโมยจูบเนี่ย ต้องขโมยคืนกันด้วยเหรอ? นี่ใช้ตรรกะแบบไหนคิด?

ผมยกมือขึ้นกุมหน้าผากอย่างคิดไม่ตก คิดไปคิดมาปวดหัวหนักกว่าเดิม แถมอาการปวดท้องนี่ก็ดูจะรุนแรงขึ้นอีก… ไม่เอาล่ะ เลิกคิดดีกว่า รอกินข้าวแล้วกินยานอนพักอย่างที่ไอ้ครูตัวแสบมันสั่งไว้ดีกว่า เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่อยากหาเรื่องมาคิดให้รกสมองแล้วโว้ย!






คืนนั้นผมเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ที่จริงแล้วเข้านอนตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้าเลยด้วยซ้ำเพราะฤทธิ์ยาที่ส่งผลรุนแรงจนเหมือนกระชากหนังตาให้ปิดลง

ผมยันตัวลุกขึ้นมาจากเตียงเพราะรู้สึกว่าลำข้อแห้งผากจนแสบไปหมดตอนที่ความมืดเข้ามาปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองแล้ว ผมเดินโซเซไปยกเหยือกในห้องนอนขึ้นมาแล้วรินน้ำลงในแก้ว วินาทีนั้นแหละที่ผมรู้ว่าน้ำในเหยือกนั่นหมดไปแล้ว

ดังนั้นถึงจะล้าแล้วก็อยากจะนอนต่อ แต่ความกระหายน้ำที่มีมากกว่าก็บังคับให้ผมเดินลงจากตัวบ้านมาที่ชั้นล่างจนได้ ผมเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำใส่แก้วที่ถือติดมือมา ยกขึ้นดื่มปล่อยให้น้ำไหลลงคอไป ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

หากเมื่อปิดตู้เย็นลงแล้วเหลือบมองไปทางหน้าต่างผมก็ต้องตัวแข็งทื่อ ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มด้วยความตกใจทันที บานหน้าต่างตรงห้องนั่งเล่นถูกเปิดทิ้งไว้… ผมแน่ใจว่าก่อนผมจะเดินขึ้นบ้านไปผมปิดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

ทันใดนั้นสิ่งที่โลแกนเคยเตือนเคยพร่ำสอนก็กระแทกเข้ามาในหัว

มีคนบุกรุกเข้ามาในบ้าน…

ผมนึกถึงปืนกระบอกหนึ่งที่น้องชายฝาแฝดของผมเคยให้ไว้ทันที รู้สึกเหมือนใจจะขาดรอนๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันอยู่บนบ้าน ผมต้องขึ้นไปเอา…

ผมตัดสินใจเดินไปหยิบมีดเล่มหนึ่งจากห้องครัวมาถือติดมือ จากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างเงียบงันขึ้นบันไดบ้านไปอย่างเชื่องช้า ความคิดต่อมาคือโทรหาตำรวจ… หาคนที่สามารถช่วยเหลือผมได้อย่างทันท่วงที บางทีอาจจะสักเบอร์ที่โลแกนทิ้งเอาไว้ให้ หรือผมจะใช้โอกาสนี้โทรหาหมอนั่นเลยดี? โทรศัพท์เครื่องที่โลแกนให้มาก็อยู่ในห้องนอนเหมือนกัน เอาวะ ลองดูสักตั้งเดี๋ยวก็รู้

ภายในความมืดผมพยายามสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาใครก็ตามที่บุกเข้ามาในบ้าน แต่ไม่มีร่องรอยอะไรเลย นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นไปอีก ไม่รู้ด้วยว่าไอ้คนที่บุกเข้ามาต้องการอะไร ของบ้านผมก็ไม่ได้มีอะไรให้ขโมยมาก แต่ถ้ามาเพราะอยากจะจับผมเป็นตัวประกันเพื่อล่อโลแกนออกมาอะไรแบบนั้น… อันนั้นฟังดูเป็นไปได้มากกว่าอีก

ผมค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนเข้าไป ใช้แสงจันทร์ที่มีอยู่ไม่มากเพื่อดูว่ามีใครอยู่ด้านในรึเปล่า จากนั้นจึงรีบเดินไปที่ตู้ซึ่งผมเก็บปืนเอาไว้ หากยังไม่ทันทำได้อย่างที่ใจคิด แรงของใครบางคนจากด้านหลังก็กระแทกลงมา ใครคนนั้นพาดผ้าลงแล้วมัดปิดตาผม ผมพยายามจะอ้าปากส่งเสียงร้องแต่อีกฝ่ายก็ตะปบมือลงมาอย่างรวดเร็ว

ผมออกแรงปลุกปล้ำกับอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มีเหลืออยู่ แต่เพราะอาการป่วยที่ยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก บวกกับคนที่เข้ามาคงเตรียมพร้อมมาอย่างดี ไม่นานมือของผมก็โดนมัดติดกันไว้ทั้งสองข้าง จากนั้นทั้งร่างก็ถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนเตียงอย่างไม่ใยดี อีกฝ่ายจิกหัวของผมกดลงไปบนฟูก ปล่อยให้ผมดิ้นอยู่แบบนั้นจนหมดแรงไปเอง

เหนื่อยเหมือนกับวิ่งมาเป็นกิโลๆ เลย… รู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลมาอาบท่วมตัว หายใจไม่ทัน ทรมานชะมัด แล้วไอ้บ้านี่มันต้องการอะไร

ผมใช้โอกาสที่อีกฝ่ายนิ่งไปนี้เงยหน้าพรวดขึ้นมา ส่งเสียงร้องออกมาจากริมฝีปากด้วยความหวังที่อาจมีใครสักคนได้ยิน หากคนที่จับผมไว้ก็ไวทายาท กดหน้าผมลงไปตามเดิมจนเสียงที่ออกมาอู้อี้ ฟังไม่ได้ศัพท์

ผมคิดหาวิธีให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้อย่างร้อนรนก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อคนด้านบนโถมน้ำหนักตัวลงมาไซร้ลงบนซอกคอของผม มือเลื่อนไปกระชากกางเกงออกอย่างรวดเร็วและรุนแรง ผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นรัวขึ้นด้วยความกลัว

ไม่อยากจะเชื่อ… เดี๋ยวนี้เป็นผู้ชายอยู่บ้านตัวคนเดียวยังจะต้องกลัวโดนคนบุกเข้ามาปล้ำอีกเหรอ? ให้ตายสิ ไม่ตลกเลยนะ มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ!

“อึก…!!” ผมส่งเสียงอู้อี้เพราะอีกฝ่ายยังกดหัวลงไว้กับพื้นเตียงไม่ปล่อย ขาทั้งสองข้างพยายามดิ้นรน ถีบให้คนด้านบนออกไปให้พ้นจากตัวผม เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงที่โดนข่มขืนที่เห็นตามข่าวขึ้นมาก็วันนี้ สัมผัสจากฝ่ามือที่เลื่อนเข้ามาใต้สาบเสื้อทำให้ผมขนลุกซู่ รู้สึกขยะแขยงจนอยากจะสำลักออกมา

ยิ่งโดนอีกฝ่ายปิดตาด้วยแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นแทบบ้า เหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอกด้วยความตื่นกลัว

“มะ… ไม่” ผมครางออกมาเสียงเบาเมื่อมือหนาเลื่อนไปสัมผัสที่ต้นขาของผม

ใครก็ได้… ใครก็ได้ช่วยผมที

โลแกน… ช่วยฉันที







-------------------------------------
Talk:  มีบทแทรก 40.1 นะคะ~~ ใครอยากอ่าน แวะไปหน้าเพจเน้ออ >>https://www.facebook.com/airinand/
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 40) P.5 [12/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kothan ที่ 12-03-2017 13:29:44
มาหาบ่อยๆสิ  จะได้ไม่ต้องหึงแบบนี้
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 40) P.5 [12/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 26-03-2017 09:06:25

บทที่ 41

(Mode: Lucas Collins)




ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้นทุกวันหลังจากที่ได้เจอโลแกนเมื่อสัปดาห์ก่อน

ผมทำภารกิจในยามเช้า เดินลงไปทำอาหารเช้าง่ายๆ กิน กวาดอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋าเป้ จากนั้นก็ตรงดิ่งไปมหาลัยอย่างกระชุ่มกระชวย

วันนี้ผมมีเรียนภาคทฤษฎีก่อนในช่วงเช้าถึงจะเจอภาคปฏิบัติในตอนบ่าย ซึ่งแน่นอนล่ะว่าครูผู้ฝึกจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไมเคิล

“หืม… ช่วงนี้อารมณ์ดีจังนะคุณ ทั้งๆ ที่เมื่อสัปดาห์ก่อนยังอ่อนระโหยโรยแรงจนเป็นลมหัวฟาดพื้นไปรอบหนึ่งแท้ๆ” ไมเคิลว่าหลังจากฟังเพลงที่ผมบรรเลงจบไปรอบหนึ่ง เสียงเพลงที่ออกมาใสและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ หวาน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้เล่นกำลังอารมณ์ดี ร่าเริงถึงขีดสุด

ผมหันไปยิ้มหวานหยดให้ครูข้างตัว

“ก็นะครับ พอดีมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นนิดหน่อย”

“อะไรๆ เอ… ให้ผมลองเดาดูนะ” ไมเคิลแกล้งยกนิ้วขึ้นเคาะคางอย่างครุ่นคิด ก่อนเจ้าตัวจะดีดนิ้วเปาะ “รู้แล้ว เพราะว่าคุณได้มีโอกาสจูบผมเมื่อวันก่อนนั่นใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ใช่!” ผมรีบพูดขัด ใบหน้าร้อนขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น เหตุการณ์ที่ทำเอาโลแกนบุกมากดผมลงเตียงถึงบ้าน ทำเอาวุ่นวายกันไปหมด

แต่… ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องดี อย่างน้อยผมก็ได้เจอหมอนั่นหลังจากที่ไม่ได้เจอมานานเสียที แต่ถึงยังไงก็ไม่ขอให้หมอนั่นเข้าใจผมผิดๆ อีกแล้วนะ เวลาหมอนั่นโกรธน่ากลัวจะตาย

“จริงสิ… จะว่าไป” ไมเคิลพูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นชายหนุ่มก็เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พลิกดูด้านในก่อนจะพูดต่อ “ตั้งแต่วันมะรืนเป็นต้นไป คุณคอร์เนอร์จะมาเรียนที่นี่กับเราด้วยนะ”

“หา!?” ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันที มองครูฝึกของตัวเองอย่างงงๆ “หมายความว่าไงครับ? มิกกี้ ก็เอ็ดการ์น่ะ เรียนอยู่มหาลัยอีกที่ไม่ใช่เหรอ?”

“อ้อ เดี๋ยวนี้สนิทกันขนาดเรียกชื่อกันแล้วเหรอ” ชายหนุ่มผมดำปิดสมุดในมือของตัวเอง “เอ็ดการ์น่ะ เขาจะมาเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ แล้วเขาก็ใส่ชื่อผมเป็นครูฝึกไป ทางมหาลัยก็เพิ่งแจ้งมา”

“ไม่กระทันหันไปหน่อยเหรอครับ?” ผมถามอย่างงุนงง “อีกอย่าง… ใกล้จะถึงการแข่งใหญ่อยู่แล้ว แล้วครูฝึกของหมอนั่นที่นู่นล่ะ?”

“ถ้าคุณอยากรู้เรื่องนั้น ทำไมคุณไม่รอถามเขาเองล่ะ” ไมเคิลคลี่ยิ้มหวานหยดที่ดูกวนประสาทชอบกล… ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองนะ รู้สึกเหมือนยิ่งผมสนิทกับเขามากขึ้นเท่าไรก็ได้เห็นอีกด้านของเขามากขึ้นไปทุกที มันก็สนุกดีนะครับในบางครั้ง แต่บางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนปั่นหัวอยู่ยังไงก็ไม่รู้

“มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ มิกกี้” ผมเริ่มบ่นอุบ หยิบโน้ตเพลงอีกเพลงขึ้นมากวาดตาดู “หมอนั่นน่ะ ถือว่าเป็นคู่แข่งของผมนะครับ ให้มาเรียนกับคุณแบบนี้…  รู้สึกไม่ค่อยดียังไงไม่รู้”

“หืม อะไรครับ?” ยิ้มกวนๆ ของครูฝึกยิ่งเพิ่มดีกรีความยียวนเข้าไปใหญ่ “หวงผมเหรอ? ไม่อยากให้ผมไปสอนคนอื่นสิท่า”

“...ไม่อยากให้คุณไปสอนศัตรูครับ” ผมหรี่ตาลงพร้อมกับพูดตอบตรงๆ ไมเคิลเพียงแค่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระให้ผม

“อย่าไปคิดว่าเขาเป็นศัตรูสิคุณ ถึงยังไงก็เป็นนักเปียโนเหมือนกัน… อีกอย่าง ลองคิดในแง่ดี บางทีคุณอาจจะได้เทคนิคอะไรมาจากเขาก็ได้ นักดนตรีน่ะจะเติบโตได้ก็เมื่อได้เรียนรู้เทคนิคจากคนอื่นๆ คุณเองไม่คิดแบบนั้นบ้างหรือไง”

“ก็ใช่อยู่หรอกครับ” ผมตอบ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยชอบใจกับความคิดที่ว่าหนึ่งในคู่แข่งของตัวเองจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เท่าไร แต่พอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเอ็ดการ์ คอร์เนอร์… บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายนักก็ได้

หมอนั่นเป็นนักเปียโนที่เก่ง เป็นคนที่สุภาพด้วย แล้วก็นิสัยดี บางทีเราคงสนิทกันได้มากกว่าเดิมด้วย

“เอ้า อย่ามัวแต่เหม่อ” ไมเคิลกลับมาสวมบทโหดต่อหลังจากคุยกันเสร็จ “ซ้อมกันต่อได้แล้วครับ การแข่งใหญ่ก็กำลังจะมาถึงแล้ว แล้วเดี๋ยวคุณคอร์เนอร์ก็จะมาอีก จะมาทำผมเสียชื่อด้วยการเล่นเปียโนเห่ยๆ ให้เขาเห็นไม่ได้นะ”

“ผมไม่เคยเล่นเปียโนเห่ยสักหน่อย!”

ให้ตายสิ หมอนี่… ชอบพูดปรักปรำกันอยู่เรื่อย






ผมมองชายหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง สวมเสื้อผ้ามีราคาที่กำลังพูดแนะนำตัวกับผมและไมเคิลอย่างสุภาพตรงหน้าแล้วอดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้

“...เพราะงั้น ถึงจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะครับ ลูคัส คุณฮาร์ริส” เจ้าตัวพูดทิ้งท้ายโดยหันมายิ้มหวานประจบให้ผมและไมเคิล ให้ตาย… ผมรู้สึกเหมือนมีประกายระยิบระยับออกมาจากตัวหมอนี่ยังไงชอบกล แล้วถามจริง… ไอ้เนคไทที่ผูกติดคอหมอนี่อยู่น่ะ ราคาเท่าไร ให้เดานะ เท่ากับราคารวมของเสื้อผ้าทั้งชุดของผมแล้วคูณไปอีกสามเท่าแหง ทำไมคนพวกนี้ถึงได้ชอบใช้ของมีแบรนด์กันนักนะ

หลังจากที่ได้ฝึกเปียโนร่วมกันกับเจ้าตัว แทบจะทุกครั้งหลังเลิกเรียนที่เราทั้งคู่ชวนไปกินอะไรด้วยกัน จริงๆ ผมก็อยากชวนปีเตอร์มาแล้วแนะนำให้เอ็ดการ์รู้จักด้วย แต่ปีเตอร์นี่ไม่รู้ยังไงของมัน ลงเรียนไปไม่เคยตรงกับตารางของผมเลย เพราะงั้นการจะได้เจอหมอนี่สักทีเป็นอะไรที่ยากมากช่วงนี้

“แต่เปียโนที่นายเล่นน่ะ ดูมีพลังดีนะ” ผมพูดทักขณะที่กำลังซดซุปข้าวโพดที่อยู่ตรงหน้า วันนี้เราสองคนกินอาหารกลางวันที่โรงอาหารของวิทยาลัย อาหารของที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากหรอก ราคาก็ถูกด้วย “แล้วก็มีเอกลักษณ์ดีด้วย สมแล้วที่ได้ที่สองเมื่อคราวก่อน”

“เอ๊ะ? ไม่หรอกครับ” เอ็ดการ์รีบพูด ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย “ยังไงก็สู้เปียโนของลูคัสไม่ได้หรอก เก่งขนาดนั้น… แถมนายนิ้วยาวด้วย เวลาพรมลงบนเปียโนทีดูเพลินมากเลยล่ะ”

“อ้อ นิ้วน่ะเหรอ” ผมทวนคำพร้อมกับกางมือออกมาพิจารณา นิ้วของผมค่อนข้างเรียวและยาวกว่าคนทั่วไปอย่างที่คนตรงหน้าว่าจริงๆ

ผมไหวตัวนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายกางมือของตัวเองออกมาตรงหน้าบ้าง แล้วเอามาทาบกับฝ่ามือของผม รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของคนตรงหน้าแผ่มาถึงมือของตัวเอง นัยน์ตาสีฟ้าสว่างของเจ้าตัวพิจารณาขนาดนิ้วของผมกับของตัวเอง ดูเหมือนนิ้วของผมจะยาวกว่าของอีกฝ่ายขึ้นมาเล็กน้อย

“เห็นไหมล่ะ นิ้วของลูคัสยาวกว่าจริงๆ ด้วย สำหรับนักเปียโนแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าอิจฉามากเลยนะ”

“ก็แค่นิ้วยาวกว่าคนอ่นนิดเดียวเท่านั้นแหละ” ผมหัวเราะ จากนั้นพวกเราสองคนก็ผละมือออกจากกันแล้วลงมือรับประทานอาหารต่อ

“ไม่ใช่แค่นั้นสักหน่อย” เอ็ดการ์โบกมือขึ้นในอากาศ “นายน่ะเล่นออกจะเก่ง มีพรสววรค์สุดๆ ไปเลยไม่ใช่รึไงครับ?”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ผมตอบพร้อมกับละเลียดอาหารในจานของตัวเองอย่างไม่เร่งร้อน

“ว่าแต่… ลูคัสมีพี่น้องรึเปล่า?”

“อืม มีน้องชายคนหนึ่ง” ผมว่า

“แล้วเขาไม่เล่นเปียโนด้วยเหรอครับ?”

“ไม่หรอก หมอนั่นไม่ค่อยสนเรื่องพวกนี้เท่าไร” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงหน้าโลแกนตอนเด็กๆ ที่โดนบังคับให้เรียนเปียโนพร้อมกับผม

จำได้ว่าหมอนั่นตีหน้าเบ้ทีเดียว แล้วก็เล่นแบบขอไปทีประมาณสาม สี่ครั้ง หลังจากนั้น พอถึงเวลาเรียน หมอนั่นก็แอบหนีไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ ทำเอาคนอื่นปวดหัวกันไปหมด จนในที่สุดก็ต้องยอมให้หมอนั่นเลิกเรียนเปียโนไป เหลือผมคนเดียวที่ยังสมัครใจเล่นต่อ

แต่… ถึงหมอนั่นจะไม่ชอบเล่นเปียโนด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ดูรังเกียจเปียโนที่ผมเล่นหรอกนะ

“น่าเสียดาย” เอ็ดการ์ว่า “บางทีถ้าน้องชายนายเล่น อาจจะฝีมือพอๆ กับนายเลยก็ได้”

“หมอนั่นเหรอ” ผมแทบจะหัวเราะก๊าก แค่นึกสีหน้ายับยู่ยี่ของมันตอนจรดนิ้วลงบนคีย์บอร์ดก็ขำจะแย่แล้ว “ไม่หรอกๆ หมอนั่นมันไม่ชอบจริงๆ… ว่าแต่นายล่ะ เอ็ดการ์? มีพี่น้องรึเปล่า”

“มีน้องสาวคนหนึ่งครับ” เจ้าตัวตอบอย่างกระตือรือร้น “เจ้าตัวก็เล่นเปียโนเหมือนกัน แล้วก็ไวโอลินด้วย แต่ระยะหลังมานี่เห็นจะชอบไวโอลินมากกว่า ไม่แน่บางที ยัยนั่นอาจจะเบนเข็มไปเล่นไวโอลินไปเต็มตัวเลยก็ได้”

“แบบนั้นก็ดีสิครับ” ผมตอบยิ้มๆ “จะได้เล่นคู่กับนายได้ไง ดูน่ารักออก พี่เล่นเปียโน น้องเล่นไวโอลิน อยู่บนเวทีเดียวกัน ต้องเยี่ยมมากไปเลย”

คิดแล้วก็นึกไปถึงโลแกน… ถ้าหมอนั่นเล่นไวโอลินได้แล้วเราได้เล่นคู่กัน… ต้องเป็นอะไรที่สุดยอดมากแน่ๆ… ก็คงจะหวังยาก แค่ทุกวันนี้มันยังยอมฟังเปียโนที่ผมเล่นนี่ก็นับว่าน่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว อย่าว่าแต่เล่นเครื่องดนตรีสักประเภทเลย

“พูดถึงเล่นคู่แล้ว” เอ็ดการ์พูดอย่างนึกขึ้นได้ นัยน์ตาสีฟ้ามองผมขึ้นมาอย่างมีความหวัง “ผมอยากลองเล่นคู่กับคุณดูสักครั้ง”

“หา?” ผมกระพริบตาปริบๆ ให้คนตรงหน้าอย่างงุนงง “กับผมเนี่ยนะ?”

“ครับ” เจ้าตัวส่งยิ้มหวาน ตาเป็นประกายมาให้ “แค่เล่นกันขำๆ ก็ได้ นะครับ เล่นคู่กับผมสักครั้งนะ?”

“อืม… ก็ได้อยู่หรอก” ผมว่า นึกถึงตัวเองที่มีความสุขเหลือเกินตอนที่ไมเคิลยอมเล่นเปียโนคู่กับผมแล้วนึกถึงคนตรงหน้าที่คอยส่งดอกไม้มาให้ผมเป็นประจำพร้อมกับบอกว่าตัวเองเป็นแฟนคลับของผม…

นึกถึงตรงนี้ อยู่ๆ หน้าของผมก็ร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่สิ สาเหตุก็คนตรงหน้าที่ยิ้มหน้าแป้น พูดออกมาอย่างยินดีที่ผมตอบรับว่าจะเล่นเปียโนคู่ด้วยนี่ไง

“ดีใจจัง งั้นพรุ่งนี้นะครับ ผมมีเพลงที่อยากเล่นกับนาย ลูคัส ผมเลือกเพลงได้ใช่ไหม?”

“อืม ได้สิ” ผมยิ้มตอบกลับ พอเห็นอีกฝ่ายดูมีความสุขขนาดนั้นผมก็ดีใจไปด้วยแฮะ “งั้นพรุ่งนี้เรามาเจอกันก่อนเข้าเรียนแล้วกัน แล้วถ้าเราจะใช้ห้อง ต้องไปจองไว้ก่อนล่วงหน้าด้วย… เดี๋ยวกินเสร็จแล้วฉันไปจองให้ก็ได้ นายจะเอาเพลงไหนก็ส่งให้ฉันหน่อยแล้วกัน”







ผมกลับมาถึงบ้านตอนที่ท้องฟ้าภายนอกถูกย้อมด้วยสีดำของความมืด

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แต่วันนี้ผมอยู่ซ้อมที่มหาลัยในห้องที่จองเอาไว้ก่อนจนถึงป่านนี้ ทันทีที่ถึงบ้าน ผมโยนกระเป๋าเป้ลงบนโซฟา หยิบโน้ตเพลงที่ซ้อมตลอดทั้งเย็นออกมา เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินนมใส่แก้วก่อนจะเดินกลับมาพิจารณาตัวโน้ตครู่หนึ่ง

ทันทีที่นมหมดแก้ว ผมก็ลุกขึ้นแล้วตรงไปที่เปียโนหลังงามทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นพอดี ผมหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงแล้งมองหน้าจอ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างเสียไม่ได้

น้องชายฝาแฝดตัวแสบของผมนั่นเองที่โทรมา นี่เป็นครั้งที่สองที่โลแกนโทรมาหาผมหลังจากที่เราแยกกันสัปดาห์ที่แล้ว… ถ้าเทียบกับคนทั่วไป นี่อาจจะถือว่าเป็นการติดต่อที่น้อย แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเคยขาดการติดต่อกับผมไปเป็นเดือนๆ อาทิตย์ละครั้ง สองครั้งนี่ถือว่าเยอะมากแล้ว

“เฮ้ น้องชาย” ผมรับสายพร้อมกับกรอกเสียงลงไปอย่างเริงร่า “ว่าไง คิดถึงกันเหรอครับ ถึงต้องโทรมาหาเนี่ย”

“เหอะๆๆ” เสียงหัวเราะแห้งๆ ดังมาตามสาย “ก็นายเป็นคนย้ำนักหนาไม่ใช่หรือไง ว่าให้ฉันโทรหาน่ะ”

“อ้าวๆๆ” ผมโวยวายบ้าง “พูดงี้ได้ไง พูดงี้แปลว่านายไม่อยากคุยกับฉันเหรอ วางไปเลยดีกว่ามั้ง พูดแบบนี้”

“เฮ้! ฉันแค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง!” ปลายสายรีบว่า

ผมชวนโลแกนคุยเรื่อยเปื่อยไปอีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่เปียโนของตัวเองพร้อมกับบอกอีกฝ่าย

“ฉันจะซ้อมเปียโนต่อแล้วว่ะ”

“ก็ซ้อมสิ” ปลายสายตอบกลับมา “ฉันจะฟัง”

“แน่ใจเหรอว่าจะฟัง?”

“ฟังสิ” เสียงที่ออกมาจากลำโพงฟังดูกระตือรือร้นขึ้น “เล่นเลยๆ”

ผมยกยิ้มนิดๆ บมุมปาก จากนั้นจึงเริ่มกดนิ้วลงบนคีย์บอร์ดแล้วบรรเลงสบายๆ ลงไป และเมื่อผมเล่นไปได้ครู่หนึ่ง เสียงของโลแกนก็ดังออกมาจากโทรศัพท์ที่ผมวางไว้บนตัวเปียโนอีกรอบ

“เฮ้ ไม่เลวนี่ ลู” เจ้าตัวว่า “รอบหน้านายก็ต้องได้ที่หนึ่งแล้วใช่ไหม แบบนี้ ที่สามอะไรนั่น ไม่เอาแล้วนะ”

“ของแบบนั้นมันกำหนดได้ที่ไหนเล่า” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ นึกถึงไมเคิลขึ้นมาทันที หมอนั่นเองก็เคยพูดอะไรแบบนี้เหมือนกัน

“ไม่รู้แหละ” โลแกนว่าหน้าตาเฉย “ถ้านายไม่ได้ที่หนึ่ง ฉันก็ไม่ไปดูนายแข่ง”

“เจ้าบ้าเอ๊ย” ผมหัวเราะร่วนออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ผลการแข่งมันรู้หลังจากที่ฉันเล่นต่างหากเล่า เจ้าน้องโง่”

“นายว่าใครโง่!!?”

แล้วผมก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างอดไม่ได้จริงๆ ถ้าผมทำให้หมอนี่โกรธหรือโมโหมากๆ ได้อีกสักครั้งคงดี หมอนี่จะได้ตามมาตบหัวถึงที่บ้านไง

แล้วตอนนั้น… ผมก็จะได้เจอตัวมันไปพร้อมๆ กันด้วย





--------------------------------------------
Talk:  ปะ ลูคัส ไปลากมิกกี้มาจูบอีกสักรอบ ถ่ายรูปส่งให้โลแกน ต้องมีใครดิ้นพล่านสักคนล่ะ 55555555
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 41) P.5 [26/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 26-03-2017 11:20:54
หึงรุนแรงเหลือเกิน :hao6:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 41) P.5 [26/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: kothan ที่ 26-03-2017 11:54:21
อาจไม่ใช่แค่ดิ้นพล่านนะ น่าจะจมดินเลยมากกว่า
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 41) P.5 [26/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 27-03-2017 13:25:52

บทที่ 42

(Mode: Logan Collins)
 



“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”

“อธิบายมาซิว่านี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ คุณเจ้าหน้าที่พิเศษ แกรนท์” ผมกรอกเสียงลงไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงปลายสายกดรับโทรศัพท์

“หา??” หญิงสาวถามกลับเสียงแหลมสูงเลยทีเดียว “ขอประทานโทษเถอะค่ะ คุณคอลลินส์ ไม่ทราบว่าคุณกำลัง… อ้อ รู้ล่ะ เรื่องภารกิจที่นายเพิ่งได้ไปใช่ไหม”

“ใช่” ผมว่าต่อด้วยราบเรียบเป็นการเป็นงาน “ผมนึกว่าคุณจะไปจัดการหาหลักฐานมารวบตัวเพื่อนรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของเราเสียอีก”

“แหม คุณคอลลินส์คะ” หล่อนพูดเสียงหวานประชด “การจะไปหาเอกสารหรือหลักฐานมารวบตัวหล่อนแล้วส่งตัวให้อีกหน่วยงานเนี่ย ไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ ฉันต้องได้อะไรที่มันรัดกุมกว่าทั้งหมดที่นายมีแล้วส่งมาให้ฉัน แล้วไอ้ภารกิจที่ฉันเพิ่งขอร้องไปเนี่ย ก็เพื่อเอามาต่อยอดให้งานนี้มั้งนั้น”

คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง ความหงุดหงิดในใจคลายลงไปบ้าง

“แล้วก็อย่างที่นายบอก… อย่างที่เรารู้ ในเมื่อฝั่งนั้นมีผู้อิทธิพลหนุนหลังขนาดนั้น ทางเราเองก็ต้องทำอะไรรอบคอบแล้วก็ระมัดระวังนิดหนึ่งเหมือนกัน”

“ก็เลยส่งผมไปงั้นเหรอ” ผมว่า สายตาหลุบต่ำลงมองกระดาษในมือ

“ก็ตามนั้นล่ะค่ะ”

“คุณแน่ใจจริงๆ ใช่ไหมว่าภารกิจนี้จะทำให้เป้าหมายของเราดิ้นไม่หลุดน่ะ?”

ปลายสายเงียบเสียงครู่หนึ่งและนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองพลาดมาก ไม่น่าเผลอหลุดปากพูดเจาะจงแบบนั้นลงไปเลย

“ถามหน่อยเถอะ โลแกน… เป้าหมายในความหมายของนายเนี่ย คือการที่เรารวบตัวคนทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย หรือว่าคือจูดี้ ฮิลล์?”

ผมเรียกความสงบเยือกเย็นของตัวเองกลับมาก่อนจะกรอกเสียงราบเรียบลงไปอย่าไม่ทุกข์ร้อน

“แล้วตอนนี้ต่างกันยังไงล่ะ”

“ดูเหมือนนายจะมั่นใจมากเลยสินะว่าคนของเราคือปลาเน่า”

ผมไม่พูดอะไรตอบ

“ถามจริงๆ เถอะ… นายเคยคิดบ้างไหมว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่นายคิด”

“หมายถึงว่า… จริงๆ แล้วเพื่อนรัฐมนตรีของเราคนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์น่ะเหรอ” ผมทวนคำถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “ดูจากแฟ้มที่ผมรวบรวมไปหมดนั่นแล้ว คุณยังจะพูดแบบนั้นออกมาได้อีกเหรอ?”

“เฮ้ อย่าเข้าใจผิดสิ ฉันอยู่ข้างนายนะ” แกรนท์รีบพูด “เอาเถอะ ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ จัดการทำภารกิจของนายให้เรียบร้อยแล้วกัน แล้วดูซิว่าเราจะได้เดินหมากต่อไปยังไงต่อ”

มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว…

“ว่าแต่… ตอนนี้เธออยู่ไหนน่ะ แกรนท์ แถวบ้านผมรึเปล่า” ผมตัดสินใจพูดเปลี่ยนเรื่อง

“อ้อ ใช่” เจ้าหล่อนยอมรับ “จับตาดูพี่ชายฝาแฝดนายอยู่ไง แต่อีกเดี๋ยวก็ไปแล้วล่ะ ต้องไปเคลียร์เอกสารสักหน่อย”

“ลูคัสเป็นไงบ้าง”

“สบายดี เพิ่งจะกลับมาจากมหาลัย เออ เห็นว่าพี่นายจะขึ้นเวทีประกวดใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ รอบนี้”

“อืม คงเจอศึกหนักนะ”

“สงสัยจังว่าจะหนักเท่าของพวกเราไหม” แกรนท์หัวเราะหึๆ ในลำคอนิดหนึ่ง “เอาล่ะ ฉันต้องวางสายแล้ว ยังไงก็โชคดีกับภารกิจนะคะ คุณคอลลินส์”

ผมยกยิ้มนิดๆ กับคำอวยพรนั้น

“มันไม่เคยเกี่ยวกับโชคอยู่แล้ว คุณก็รู้”






...

ผมนั่งทบทวนแผนการทั้งหมดในหัวก่อนที่จะถึงเวลาปฏิบัติการจริงอย่างที่เคยทำเช่นทุกครั้ง

ผมอยู่ในชุดสูทและเนคไทที่ทางองค์กรจัดเตรียมไว้ให้ ในมือถือกระเป๋าทำงานที่ดูเหมือนไม่ว่าใครก็มีใช้ทั่วไป ข้างในเต็มไปด้วยเอกสารไร้สาระที่ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น

ผมหยิบแว่นที่ทางหน่วยงานจัดเตรียมไว้ให้ขึ้นมาสวมติดหน้า จากนั้นก็ตามด้วยหูฟังแบบไร้สายที่แนบมาพร้อมกัน

ผมเดินตรงดิ่งไปยังสถานีรถไฟที่ยุ่งเหยิงและคราคร่ำไปด้วยผู้คน ยิ่งเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ ถ้าคุณหกล้มลงไปกองกับพื้นสักนิดเดียวคงโดนฝูงชนเหยียบจนตาย

ผมเดินเบียดเสียดไปตามหมู่ผู้คนที่แย่งกันเดินเข้าออกตั้งแต่ก่อนเข้าสถานีจนถึงบันไดซึ่งนำมาถึงทางด้านล่างก่อนที่ผู้คนจะสามารถขึ้นรถไฟไปยังจุดหมายปลายทางของตัวเองได้

แว่นตาของผมเริ่มทำงานของผม มันแสกนหาตัวบุคคลที่ผมต้องไปพบซึ่งเดินเบียดเสียดอยู่ในหมู่ผู้คนจำนวนมาก ให้ตายสิ เทคโนโลยี สงสัยจริงๆ ว่าจะก้าวหน้าไปได้ถึงไหน

หลังจากที่กวาดตามองอยู่เกือบนาทีผมก็เจอกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเป้าหมายของพวกเรา เขาอยู่ในเสื้อโค้ตตัวรุ่มร่าม เส้นผมขาวไปทั้งหัวมีหมวกสีน้ำตาลปิดอยู่ สายตาสอดส่องหาคนที่กำลังมองหาอย่างกังวล ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ใช่มืออาชีพสักเท่าไรนัก

เขาขมวดคิ้วมุ่นสลับกับมองนาฬิกาที่ข้อมือเพราะคนที่นัดเอาไว้ไม่มาตามเวลา แน่นอนล่ะว่าคนคนนั้นจะไม่มา… เพราะว่าผมกวาดไปเรียบร้อยแล้วยังไงล่ะ

ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเดินตรงมาทางผม เป้าหมายของเขาคือออกจากสถานีที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนแบบนี้ เราสวนกัน ผมยกมือปักเข็มที่อาบยาสลบใส่หลังคอเขาอย่างรวดเร็วตามแผนการที่วางเอาไว้ ชายคนนั้นทรุดฮวบลงและทำท่าเหมือนจะกองลงไปนอนกับพื้น ผมคว้าตัวเขาไว้ได้อย่างรวดเร็ว ตามแผนเหมือนกัน จากนั้นก็ถามเขาที่ข้างหูด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เฮ้ คุณ เป็นอะไรไหม”

แน่นอนล่ะว่านั่นเพื่อไม่ให้ผู้คนที่เหลือบมองมาเข้ามาช่วยเหลือชายผู้นี้แทนที่จะเป็นผม ผมประคองร่างที่ไร้สตินั้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลออกไป จากนั้นก็สับเปลี่ยนกระเป๋าของตัวเองกับคนคนนี้อย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าฉับๆ ขึ้นบันไดที่เพิ่งเดินลงมาหยกๆ ได้ยินเสียงสั่งมาจากข้างหูเล็กน้อยซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ผมคิดไว้อยู่แล้วล่ะ

ผมจ้ำเท้าออกมาจากตัวสถานี ฝ่าคลื่นฝูงชนมหาศาลออกมาได้สำเร็จ ผมทำท่าทางเร่งรีบแต่จะต้องไม่แสดงออกว่าแตกตื่นหรือร้อนรน ก็แค่พนักงานบริษัทธรรมดาๆ ที่เร่งรีบเพราะกลัวว่าจะไปทำงานสายเหมือนคนอื่นๆ เท่านั้น

ผมเดินต่อมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางที่อยู่ในแผนซึ่งถูกสลักอยู่ในหัวของผม ตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาแล้ว ผมจำเป็นจะต้องเอาแฟ้มเอกสารที่ได้มากลับไปสถานที่เป้าหมายของตัวเองให้เร็วที่สุด จากนั้นภารกิจก็จะเสร็จสิ้น… นี่คงเป็นภารกิจแรกของผมเลยมั้งเนี่ยที่ไม่ต้องฆ่าคน

‘จริงๆ สั่งให้คนอื่นทำก็ได้แท้ๆ… งานง่ายๆ แบบนี้’ ผมคิดอย่างหงุดหงิดนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าผมอยากจะดูถูกงานของใครหรืออะไรแบบนั้น เพียงแต่ผมยังมีงานลอบฆ่าอีกมากมายที่ต้องทำ ซึ่งงานพวกนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก ยากกว่ามาก แต่ก็อีกนั่นแหละ ในเมื่อนี่เป็นงานที่ผมขอร้องแกรนท์ เมื่ออีกฝ่ายแจกแจงงานมาให้ผมช่วยแบ่งเบาภาระ… ผมจะปฏิเสธได้ยังไง

“อะ.. ขอโทษครับ” ผมหลุดปากออกมาเบาๆ เมื่อบ่ากระแทกเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าหล่อนสวมแว่นตาดำ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มหยิกเป็นลอนๆ ยาวไปถึงกลางหลัง สวมเสื้อโค้ตสีน้ำตาลตัวใหญ่ที่ดูจะเข้ากับแฟชั่นของฤดูนี้ได้เป็นอย่างดี

ทันใดนั้นเอง สัญชาตญาณของผมก็ตื่นตัวเต็มที่ วินาทีที่คนตรงหน้าขยับมือออกจากเสื้อโค้ตของตัวเอง มีปืนกระบอกหนึ่งถือติดมือมาด้วย

ผมเบี่ยงตัวหลบกระสุนไปได้สองนัด อย่างรวดเร็ว หากนัดหนึ่งถากไหล่ข้างซ้ายของผมไป อีกนัดฝังลงไปบนนั้นเต็มๆ

ความเจ็บปวดแล่นปราดบริเวณที่กระสุนฝังลงไป ทำเอาทัศนวิสัยของผมพร่ามัวไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้ผมตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ก้าวขาออกวิ่งตามสัญาตญาณ มือที่กุมกระเป๋าถือกระชับมันแน่นขึ้น จากนั้นผมก็ออกวิ่งไปอีกทาง ได้ยินเสียงกระสุนดังมาไล่หลัง

ชิบหายเอ๊ย… ถ้าขยับตัวช้ากว่านั้นอีกแค่วินาทีเดียว อีกแค่วิฯ เดียวเท่านั้น ร่างผมคงได้พรุนไปหลายรูแล้ว

“ผมถูกยิง” ผมรวบรวมสติแล้วกรอกเสียงลงบนไมโครโฟนที่ติดอยู่กับคอเสื้อ ในเวลาคับขันแบบนี้ ต่อให้เจ็บเจียนตายยังไงแต่การรายงานสถานการณ์ให้ผู้สังเกตการณ์รู้เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่อย่างนั้นความช่วยเหลืออาจมาไม่ถึงคุณอย่างทันท่วงที

“เรากำลังส่งกำลังเสริมไป” เสียงนั้นตอบกลับมาราบเรียบ แน่นอนว่าถ้าคนที่ไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนจะรู้สึกกับความนิ่งเฉยของคนพวกนี้ แต่ผมไม่โทษอะไรพวกเขาหรอก ก็เขาไม่ใช่คนที่เจ็บเจียนตายเหมือนพวกที่ลงสนามจริงๆ นี่ “ขอลักษณะมือปืนด้วย”

“เป็นผู้หญิง ผมยาวสีน้ำตาลลอน โค้ตสีน้ำตาลยาว สวมแว่นตาดำ สูงประมาณ 165 อายุคงราวๆ สามสิบกลางๆ”

“รับทราบ”

“ผมต้องการปฐมพยาบาล” ผมว่าด้วยเสียงที่เริ่มหอบนิดๆ มองดูเลือดสีแดงฉานที่ทะลักออกมาจากบ่า อดยิ้มหยีนออกมาหน่อยๆ ไม่ได้ ดีใจที่ได้รู้นะว่าเลือดของลูกปีศาจอย่างผมนี่ก็เป็นสีแดงเหมือนกัน

แต่ก็นะ… ก็มาอยู่ในร่างมนุษย์แบบนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์ทั่วไปนั่นแหละ

“เรากำลังส่งคนไปตรงแถวที่คุณอยู่” ปลายสายว่าต่อเสียงเรียบ อันที่จริงผมชอบนะ กับความไม่อนาทรร้อนใจของเพื่อนร่วมงาน มันเหมือนกับว่าเราสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างไว้ได้ แม้ความเป็นจริงแล้วเราจะไม่เคยควบคุมอะไรไว้ได้จริงๆ เลยก็เถอะ “คุณเห็นอาคารร้างที่อยู่ตรงหน้าคุณ เยื้องไปขวานั่นไหม เข้าไปหลบในนั้นก่อน แล้วหน่วยพยาบาลจะไปหา”

“ขอบใจ” ผมพึมพำ

“ได้กระเป๋ามารึเปล่า” เสียงนั้นถามต่อ ยิ่งตอกย้ำไปอีกว่าสำหรับหน่วยงานแล้ว อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเป้าหมาย ต่อให้จะมีคนของตัวเองแดดิ้นตายอยู่ต่อหน้าต่อตาก็ตาม เป็นคอนเซปต์งานที่ทำให้ใครต่อใครตัวสั่นอยากมาร่วมงานกับเรามากเลย

“ได้” ผมหอบหายใจรัวขึ้น ใช้มือผลักประตูเข้าไปในอาคารร้างตามที่อีกฝ่ายว่ามา จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งลงตรงมุมห้องที่อยู่ด้านในสุด

หน่วยพยาบาลที่ว่ามาถึงผมในอีกเกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่แกรนท์เป็นคนพาผมไปส่งที่สำนักงานซึ่งมีที่สำหรับรักษาแผลจำพวกนี้โดยที่ไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาลซึ่งต้องกรอกรายละเอียดมากมายและจะนำมาซึ่งความยุ่งยากต่างๆ และนั่นอาจทำให้ต้องพัวพันไปถึงตำรวจ

ผมส่งกระเป๋าใบที่เพิ่งเสี่ยงชีวิตได้มาให้เจ้าหล่อน ถ้าไม่ใช่แกรนท์ ผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ให้ใครอื่น เหตุผลก็ง่ายๆ เพียงเพราะว่า…

“ทำไมถึงมีคนรู้เรื่องแผนของเรา” น้ำเสียงของผมราบเรียบหากแฝงร่องรอยหงุดหงิด แกรนท์ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นก่อนจะยักไหล่ให้ผมทีหนึ่ง

“เรื่องนั้นฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

“เรามีหนอนงั้นเหรอ”

“คงอย่างนั้นมั้ง ไม่งั้นยัยนั่นจะโผล่มายิงนายทื่อๆ แบบนั้นได้ไง”

“จับตัวคนยิงได้ไหม”

หญิงสาวตรงหน้าผมส่ายหน้า “หล่อนหนีไปแล้ว ทางนั้นคงมีแบ็คอัพดีเหมือนกัน”

“แต่อย่างน้อยเราก็ได้สิ่งที่เราต้องการมา” ผมยกยิ้มอย่างมีชัย พอหมอทำแผลให้เสร็จแล้ว ผมก็รู้สึกกลับมากระปรี้กระเปร่าตามเดิม “ที่เหลือผมคงต้องให้คุณจัดการต่อ”

“ฉันจะทำให้เต็มที่” หล่อนรับปาก และผมนั่นทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมถึงนอนกับหล่อนในตอนนั้น หญิงสาวเป็นคนสวย แกร่ง เชื่อมั่นในตัวเอง แล้วก็มีความมุ่งมั่น ที่สำคัญ… แม้ว่าผมจะไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของหล่อนได้ เจ้าหล่อนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของผม “แล้วนายจะทำยังไง… แผล…”

ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ใกล้จะถึงเวลาที่ลูคัสต้องขึ้นแสดงบนเวทีแล้ว วันนี้เป็นรอบคัดเลือก และผมก็สัญญากับเจ้าตัวว่าจะไปดู…

“ผมต้องไปแล้ว” ผมพูดขึ้น หญิงสาวตรงหน้าผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้นนิดหนึ่ง ตอนนี้ผมกลับมาสวมสูทแบบไม่ผูกเนคไทอีกครั้ง มันปิดรอยแผลที่ถูกพันด้วยผ้าสีขาวสนิท แม้ว่าการเสียดสีกับเนื้อผ้าจะทำให้เจ็บแปลบๆ ขึ้นมาหน่อยก็เถอะ “อย่าทำหน้าแบบนั้นน่า แผลแค่นี้น่ะไม่เป็นไรหรอก”

“กระสุนมันฝังในนะ โลแกน”

“หมอเอาออกให้แล้วไง”

“ไม่อยากเชื่อว่านายจะดื้อขนาดนี้” แกรนท์พูดพร้อมกับส่ายหน้า แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ

“คุณเอาดอกไม้ที่ผมขอมาด้วยหรือเปล่า”

“อยู่ในรถแน่ะ”

“ขอบคุณ”

“ฉันจะให้รูบี้ขับรถไปส่งนายที่สถานที่จัดแสดง”

“นั่นช่วยได้มากเลย” ผมยิ้มให้เจ้าหล่อนอย่างจริงใจ “ผมต้องไปแล้ว ยังไงฝากคุณจัดการตรงนั้นต่อ”

“ระวังตัวด้วยล่ะ แล้วอย่าลืมกินยาที่หมอให้ไปด้วย”

“ผมไม่ใช่เด็กห้าขวบแล้วนะ ไม่ต้องเป็นห่วงนักก็ได้” ผมว่า ก่อนจะตัดบทด้วยการเดินออกจากสถานที่แห่งนี้ไปก่อนหล่อน เหลือบลงมองนาฬิกาอีกรอบด้วยความร้อนรน

ยังไงก็ขอให้ผมไปฟังหมอนั่นเล่นทันทีเถอะ สักนิดก็ยังดี

หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 42) P.5 [27/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-03-2017 18:43:40
ลูคัส เผลอจูบไมเคิล
ไมเคิล เลยจูบลูคัส เพื่อเอาคืน  :katai1:
โลแกน จะไปทันงานแข่งขันของลูคัส ทันมั้ยเนี่ย
ว่าแต่เกลือเป็นหนอน ใครนะ  :katai1:
คงไม่ใช่แกรนท์นะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 42) P.5 [27/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 29-03-2017 20:05:35

บทที่ 43

(Mode: Logan Collins)



ในที่สุดก็มาทัน

ผมหอบหายใจระรัวขณะที่เดินเข้ามาในฝั่งที่นั่งคนดู มีผู้ชมคนอื่นๆ อยู่ในฮอลแห่งนี้มากพอสมควร แต่ที่นั่งหลังๆ ยังคงว่างอยู่เป็นแถบ ผมประคองช่อดอกไม้ในมือที่ถือติดมาด้วย แล้วเลือกที่นั่งฝั่งติดทางเดินที่ใกล้ที่สุดทรุดตัวลงนั่ง

บริเวณไหล่รู้สึกเจ็บปวดแปลบขึ้นมา แผลที่เพิ่งโดนยิงไปนี่คงไม่เหมือนแผลหกล้มที่จะหายได้เร็วขนาดนั้นสินะ ผมปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลงนิดหนึ่ง ผ่อนลมหายใจให้ช้าลงเพื่อคลายความเจ็บปวด เสียงเปียโนหวานใสดังมาให้ได้ยิน ผมเข้ามาในสถานที่นี้ตอนการแสดงของลูคัสเริ่มไปได้แล้วครึ่งหนึ่ง และตอนนี้เพลงของพี่ชายฝาแฝดของผมก็ยังดำเนินต่อไป

ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างเชื่องช้า พิจารณามองร่างของลูคัสที่อยู่บนเวทีอย่างโหยหา ลูคัสอยู่ในชุดสูทสีดำสนิท ผูกหูกระต่ายอยู่บนคอแทนที่จะเป็นเนคไท ถ้าหมอนี่แต่งตัวดีๆ แบบนี้ก็ดูดีไม่เลวเลย เสียดายตอนอยู่มัธยมเอาแต่แต่งอะไรก็ไม่รู้ไร้รสนิยม…

แต่จะไปว่ามันตอนนี้ก็กระไรอยู่ ในเมื่องานของผมตอนนี้ก็เลือกชุดหรูๆ ดูดีมาใส่ไม่ได้ ต้องปรับไปตามสถานการณ์

ผมรู้สึกได้เลยว่าดนตรีที่บรรเลงออกมาจากด้านบนเวทีกำลังสะกดคนดูทุกคน เรียกร้องให้สายตาทุกคู่มองไปตรงนั้น ผมเองก็กำลังโดนมนตร์สะกดนั้นอยู่เหมือนกัน เปียโนของลูคัสยังยอดเยี่ยมไม่มีที่ติเหมือนเดิม ไม่สิ ดีขึ้นด้วยซ้ำ ดีขึ้นมากๆ… ถึงผมจะไม่มีความรู้เรื่องโชแปงหรือบีโธเฟนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับเรื่องดนตรี แต่ผมก็ฟังออกนะว่าเปียโนของลูคัสน่ะสุดยอด มีพลัง มีชีวิตชีวา เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

‘อย่างน้อยก็ไม่เศร้าเหมือนจะขาดใจอย่างก่อนหน้านี้’ ผมคิดยิ้มๆ ‘ถึงนั่นมันจะเพราะไปอีกแบบก็เถอะ’

ผมฟังเสียงดนตรีที่เหมือนจะทำให้ล่องลอยไปตามแรงอารมณ์ของผู้เล่น ผมมองนิ้วเรียวของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าแบบเดียวกับผมซึ่งกำลังพรมอยู่บนคีย์บอร์ดอย่างชำนาญและคล่องแคล่ว รู้สึกราวกับเสียงเปียโนพวกนั้นมีสีสันขึ้นมาเลย แปลกจังนะ ทั้งๆ ที่มันเป็นเสียงเพลงแท้ๆ แต่กลับมีสีสันออกมาได้

คนที่อยู่บนเวทียกยิ้มบนมุมปากนิดๆ ราวกับเด็กที่กำลังเล่นของเล่นชิ้นโปรดที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่มีทางเบื่อ ผมอดยิ้มตามออกมาไม่ได้ นึกถึงสมัยเด็กที่เราเคยเล่นด้วยกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมเล่นคู่กับลูคัสสมัยที่ยังแตะเปียโนอยู่บ้าง… ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวจริงๆ และผมก็ไม่ได้ทำอะไรไปจากกดโน้ตง่ายๆ ตามจังหวะ ในขณะที่คนบรรเลงหลักคือพี่ชายฝาแฝดของผมที่นั่งอยู่ข้างๆ

ผมยังจำรอยยิ้มของหมอนั่นตอนที่หันมาส่งให้ผมได้เลย มันกว้างขวางเสียจนน่าหมั่นไส้ ยิ่งตอนที่เจ้าตัวเลื่อนมือมาลูบหัวผมเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแบบพี่ชาย

‘ไม่เป็นไรนะ โลแกน นายเล่นเท่าที่เล่นได้ก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวฉันช่วยเอง’

ผลสุดท้ายก็เหมือนมันเล่นอยู่คนเดียวนั่นแหละ เพราะพอจบเพลงนั้นผมก็ลุกออกจากเก้าอี้ทันที ก็นะ… คนมันไม่ชอบนี่หว่า ถึงตอนได้ยินเสียงใสๆ ที่ลูคัสเล่นจะเพลินดีก็เถอะ

ลูคัสกรีดโน้ตสุดท้ายลงก่อนจะยกมือขึ้นจากเปียโนในที่สุด เสียงปรบมือดังกระหึ่มขึ้นทั่วบริเวณทั้งฮอล ผมเองก็กำลังปรบมือร่วมไปกับผู้ฟังคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ผู้บรรเลงลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม จากนั้นก็โค้งตัวให้กับผู้ชมทีหนึ่งแล้วเดินกลับเข้าหลังเวทีไป

ผมลุกออกจากเก้าอี้แทบจะพร้อมๆ กัน จากนั้นก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่หลังเวที มีสต๊าฟที่จัดงานเดินมาหยุดผมไม่ให้ผมเข้าไปในบริเวณนั้นนิดหนึ่ง ผมกำลังคิดจะล้วงโทรศัพท์ไปโทรหาหมอนั่นให้ออกมาหาผมพอดีกับที่เจ้าตัวเดินออกมาจากบริเวณห้องที่ห้ามคนนอกเข้าไป

นัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวเบิกกว้างขึ้น ลูคัสชะงักฝีเท้าไปทันทีก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างที่เห็นผม เจ้าตัวขอเจ้าหน้าที่คนที่เพิ่งห้ามไม่ให้ผมเข้าไปออกมาแล้วเดินมาจับมือผมอย่างตื่นเต้น

“โลแกน!” น้ำเสียงชายหนุ่มลิงโลดอย่างชัดเจน “นายมาดูฉันจริงๆ ด้วย! ไม่อยากจะเชื่อ!”

“แล้วก็เอานี่มาให้” ผมว่ายิ้มๆ ส่งช่อดอกไม้ในมือให้คนตรงหน้า ลูคัสรับมันไปถือด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นนิดหนึ่ง

“ขอบคุณนะ โลแกน” เจ้าตัวว่า จากนั้นพวกเราสองคนก็เงียบกันไปครู่หนึ่งก่อนลูคัสจะชวนผมไปนั่งอีกมุมหนึ่งที่ไม่ใช่ส่วนซึ่งห้ามคนภายนอกเข้า

บริเวณที่ลูคัสพาผมมาเป็นเหมือนห้องนั่งพักง่ายๆ มีโต๊ะและเก้าอี้อยู่หลายชุดข้างใน มีตู้กดน้ำหลากสีหลากรสอยู่ภายในด้วย เจ้าตัวเดินกดกาแฟมาสองแก้วแล้วส่งให้ผมแก้วหนึ่ง ผมยกมันขึ้นจิบเล็กน้อย มองคนตรงหน้าที่สีหน้ายังมีเลือดฝาดระเรื่ออยู่บนพวงแก้ม นัยน์ตาคู่สวยหลุบต่ำลงเล็กน้อยเหมือนไม่กล้าสบตา ทำตัวเป็นสาวน้อยริรักไปได้

“แล้ว เป็นไง”

“หือ?” ผมเลิกคิ้วถามกลับงงๆ

“เปียโนของฉันน่ะ” ในที่สุดลูคัสก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผม “เป็นยังไงบ้าง”

อ้อ ที่มันอายนี่คือเรื่องเปียโนของมันสินะ ไม่ใช่อายผม… ก็ว่าสิ อยู่ด้วยกันมาเกือบจะตลอดชีวิต อยู่ๆ มาองมาอาย

“เพราะสิ” ผมยิ้ม “เพราะมากๆ เลยด้วย นายนี่ สุดยอดเหมือนเดิมเลยนะ ลู”

“แค่เหมือนเดิมเท่านั้นเหรอ?”

“สุดยอดกว่าเดิม” ผมแก้ และได้รับเสียงหัวเราะร่วนจากอีกฝ่ายเป็นคำตอบ

“ขอบคุณ”

“แล้วเอาดอกไม้ไปไว้ไหนแล้วล่ะ” ผมทักเมื่อสังเกตว่าคนตรงหน้าผมไม่มีอะไรในมือนอกจากกาแฟแก้วเดียว

“เอาไปไว้ในห้องพักแล้วล่ะ ถือไปถือมาเดี๋ยวมันช้ำหมด”

ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ซดกาแฟในแก้วกระดาษเล็กๆ รวดเดียวจนหมด จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้

“ห้องน้ำไปทางไหน”

“เดี๋ยวพาไป” ลูคัสว่า รวบแก้มกระดาษของผมไปรวมกับของตัวเองแล้วทิ้งลงในถังขยะใกล้ๆ ก่อนจะเดินนำไปที่ห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด

ทันทีที่เข้ามาถึงห้องน้ำที่ค่อนข้างโอ่โถงและสะอาดสะอ้าน กวาดตามองไปรอบๆ แล้วไม่มีใครอยู่ข้างใน ผมก็ปิดประตูลงกลอน คว้าคอเสื้อของลูคัสที่กำลังจะเดินไปที่อ่างล้างหน้าทันที จากนั้นก็ลากเจ้าตัวที่เริ่มเรียกชื่อผมอย่างงงๆ นี่หมอนี่กำลังแกล้งเล่นบทไม่รู้ไม่ชี้อยู่หรือไง? หรือว่ามันซื่อบื้อจริงๆ?

“หะ… เฮ้ โลแกน” เจ้าตัวว่าอ้ำอึ้ง สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่อเห็นผมเลื่อนมือไปล็อกประตู ผมดันพี่ชายฝาแฝดของตัวเองให้หลังไปติดกับประตูจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปจูบปากของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและรุนแรง

รู้สึกได้เลยว่าลูคัสสะดุ้งเฮือกขึ้นทีหนึ่ง หากวินาทีต่อมาเจ้าตัวก็ยอมหมุนคอไปตามจังหวะการจูบของผม ลิ้นของเจ้าตัวตวัดเข้ามาตอบรับสัมผัสของผมอย่างนุ่มนวลและอ่อนหวาน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกต้องการการตอบสนองจากคนตรงหน้ามาขึ้น

“อือ…” ลูคัสครางเสียงหวานออกมาจากในลำคอแผ่วเบา ใบหน้าขาวแดงระเรื่อขึ้นจนลามไปถึงใบหู เห็นแล้วอดไม่อยู่ ผมต้องเลื่อนไปงับหูของหมอนี่เบาๆ จนได้ ชอบใจที่คนในอ้อมแขนสะดุ้งตัวอย่างเสียวซ่าน จากนั้นเจ้าตัวก็ดึงหน้าผมไปแล้วประทับจูบลงมาอีกรอบ

พวกเราสองคนแลกลิ้นกันอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่านานแค่ไหน และทั้งๆ ที่ครั้งล่าสุดที่เรานอนไปด้วยกันก็ไม่ได้นานอะไรขนาดนั้น แต่ผมกลับยิ่งรู้สึกโหยหา ร่างกายร้อนระอุ ความปรารถนาเหมือนกับเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

ทุกครั้งที่ผมได้สัมผัสกับหมอนี่ ทุกครั้งที่ได้นอนกับลูคัส ผมรู้สึกเลยว่าสัมผัสวาบหวามชวนให้ละลายเหล่านั้น มันไม่เคยพอ ผมอยากได้ยินเสียงเขา อยากอยู่ใกล้ๆ เขา อยากคอยเป็นกำลังใจให้เขา อยากเป็นคนแรกที่พูดแสดงความยินดีกับเขาเหมือนอย่างวันนี้

ลูคัสดันร่างผมให้ทรุดตัวลงไปนั่งบนชักโครกที่ถูกปิดฝาอย่างดี จากนั้นก็ชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วก้มหน้าลงมาจูบอีกระลอกอย่างโหยหา แค่สัมผัสที่ติดจะรุนแรงนิดๆ ของอีกฝ่ายผมก็รู้แล้วว่าลูคัสเองก็ต้องการผมมากแค่ไหน เหมือนอย่างที่ผมต้องการเขาเหมือนกัน

ให้ตายเถอะ… ผมมีเซ็กส์กับหมอนี่ที่นี่ตอนนี้เลยได้ไหมเนี่ย เขาจะประกาศผลการแข่งนั่นเมื่อไหร่นะ หมอนี่จะออกไปทันรึเปล่า

แต่… ไม่ไหวแล้ว… แค่นิดเดียว แค่นิดเดียวก็ได้

“อึก!!” ลูคัสสะดุ้งเฮือกเมื่อผมกวาดมือลงไปใต้สาบเสื้อของเจ้าตัว เลื่อนไปลูบไล้ตรงบริเวณแผ่นอกจากนั้นก็ออกแรงบีบคลึงตรงบริเวณนั้นอย่างซุกซน เจ้าตัวปล่อยให้เสียงหวานลอดผ่านลำคอออกมาอย่างยั่วยวน จากนั้นนิ้วเรียวก็จิกลงบนบ่าของผมอย่างหาที่ระบายอารมณ์

“โอ๊ย…” ผมคลุดครางออกมาเบาๆ เพราะบริเวณนั้นเพิ่งจะโดนกระสุนฝังในมาหมาดๆ นี่เอง หากแม้เสียงนั้นจะเบาแค่ไหนลูคัสก็ยังได้ยินอยู่ดี เจ้าตัวชะงักไปทันทีก่อนจะมองหน้าผมอย่างตกใจ

“อะไร โลแกน นายเป็นอะไร”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมพูดตอบอย่างรวดเร็ว และเจ็บใจตัวเองที่พูดเร็วเกินไปนิดจนดูมีพิรุธ “แค่… ตรงนั้นเป็นแผลนิดหน่อย… เดี๋ยว! ลู!”

หากพี่ชายฝาแฝดตัวดีของผมไม่ฟัง เจ้าตัวเลื่อนมือมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของผมแล้วกระชากเปิดออก ก่อนนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นผ้าพันแผลที่อยู่ข้างในเสื้ออีกที จากนั้นใบหน้าสวยนั่นก็ซีดเผือดลง

“เฮ้ ลูคัส” ผมส่งยิ้มแหยๆ ให้อีกฝ่ายที่ค่อยๆ ทรุดตัวลงมานั่งบนขาของผมอย่างอ่อนแรง เห็นหน้าซีดเผือดของหมอนี่แล้วรู้สึกปวดหนึบขึ้นมาในใจยังไงบอกไม่ถูก “มันไม่ใช่แผลร้ายแรงอะไรเลย ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้”

“เลือด…”

“อ้อ นี่น่ะเหรอ” ผมหันไปมองที่ผ้าพันแผลของตัวเองนิดหนึ่ง “อือ ตอนเขาพันมันไม่ค่อยแห้งดีเท่าไรน่ะ แต่ตอนนี้หยุดไหลแล้ว”

“ไปโรงพยาบาลกัน” เจ้าตัวว่า ทำท่าจะลุกขึ้นจากตรงนี้ แต่ผมเลื่อมือไปคว้าต้นแขนของลูคัสได้เร็วกว่าและดึงเจ้าตัวกลับมาให้นั่งอยู่ที่เดิม “นายควรจะให้หมอทำแผลให้ใหม่นะ!”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เชื่อฉันสิ” ผมพูดพร้อมกับดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้น “นี่มันร่างกายของฉัน ฉันย่อมรู้ดีอยู่แล้ว”

“นายโดนอะไรมา”

มาแล้วไง…. คำถามนี้

“ตอบฉันมาตรงๆ โลแกน” เจ้าตัวว่า สบตาผมอย่างคาดคั้น คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นนิดๆ “นายโดนอะไรมา”

ผมก้มหน้าลงไปจูบปากหมอนี่นิดหนึ่ง หากเจ้าตัวผลักออก

“ตอบฉันมา!”

“ฉัน…” ผมอึกอัก ไม่อยากบอกความจริงให้หมอนี่รู้เลย แต่ไอ้ที่จะโกหกนี่ก็ไม่ใช่นิสัยของผมเหมือนกัน อีกอย่าง… แผลมันก็ค่อนข้างใหญ่โต คงจะกลบเกลื่อนอะไรไม่ได้เท่าไร “ฉันโดนยิงน่ะ”

ลูคัสอุทานออกมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดลงเรื่อยๆ… ถ้าผมดูไม่ผิด เหมือนเจ้าตัวจะมีน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาด้วย ให้ตายสิ… ผมไม่ชอบตอนหมอนี่ร้องไห้เลย

“ไม่เอาน่า ลูคัส หมอเขาทำแผลให้ฉันแล้ว ไม่เจ็บแล้ว”

“นายมัน… บ้า โลแกน ทำอะไรบ้าๆ โดนยิงมาแล้วยังจะมีหน้ามาหากันอีก” ลูคัสว่าเสียงสั่น เจ้าตัวไม่ได้ร้องไห้ออกมาจริงๆ แต่เห็นได้ชัดว่าคงกำลังอดทนอยู่ ผมดึงร่างของคนตรงหน้าเข้ามากอดแนบอก ผมเองก็ไม่อยากเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายเหมือนกัน

“ก็ฉันสัญญาแล้วนี่นาว่าจะมาหา”

“นาย… เลิกทำแบบนี้ได้ไหม โลแกน” น้ำเสียงของคนในอ้อมแขนผมอ้อวอน และนั่นทำให้ผมต้องกระชับอ้อมกอดนั้นให้แน่นขึ้น ได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังตุบๆ มาจากคนตรงหน้าเลย มันทำให้ผมรู้สึกทรมานขึ้นมาอย่างไรพิกล “นายเลิกทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้ทีเถอะ นายทำแบบนี้ไปทำไมล่ะ เงินเหรอ? นายอยากได้เงินจากงานนี้เหรอ เงินที่นายได้มาทั้งหมด ที่นายส่งมาให้ฉันเราก็มีมากพอแล้ว ไม่จำเป็นที่นายจะต้องทำแบบนี้ต่อไปอีก”

“มันไม่ใช่เรื่องเงิน” ผมพูดตอบเสียงเรียบ เลื่อนมือไปลูบเส้นผมของลูคัสแผ่วเบา “แต่ฉัน…”

“ได้โปรดเถอะ โลแกน” เจ้าตัวว่า เขากอดผมแน่นขึ้นเช่นกัน แต่หลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นแผลของผมอย่างระมัดระวังราวกับกลัวว่ามันจะสะเทือนแล้วทำให้ผมเจ็บอีก “เถอะนะ… ถือว่าฉันขอร้อง เป็นฉันก็ไม่ได้เหรอ นี่ฉันนะ”

“ฉัน… ฉันเสียใจ ลู” ผมกลั้นใจพูดออกมาจนได้ รู้สึกทรมานกับสายตาที่ลูคัสมองมาทางผมอย่างตัดพ้อ “แต่ฉัน… เลิกทำงานนี้ไม่ได้”

ลูคัสเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น พี่ชายฝาแฝดของผมไม่ได้ร้องไห้ แต่ผมก็ยังเลื่อนมือไปเกลี่ยที่หางตาของหมอนี่อยู่ดี

“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวตอนขึ้นไปรับรางวัลรูปออกมาไม่สวยนะ”

“ไม่มีการประกาศรางวัลวันนี้เฟ้ย เจ้าโง่” เจ้าตัวว่า เบือนหน้าหันไปทางอื่น บ่าทั้งสองข้างสั่นขึ้นมาเล็กน้อย คงกำลังฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาแน่ๆ “รอบนี้มันแค่รอบคัดเลือก แล้วเดี๋ยวพอเขาประกาศรายชื่อแล้วก็แยกย้ายกันกลับได้ ไม่ได้มีถ่ายรูปอะไร”

“โอเค” ผมพูด ดึงเจ้าตัวเข้ามาจูบริมฝีปากเบาๆ อีกครั้งหนึ่งอย่างปลอบโยน และพอทำท่าจะผละออก ลูคัสก็เลื่อนมือมาวางบนหลังศีรษะของผม แล้วเลื่อนหน้าลงมาจูบอีกครั้งอย่างโหยหา ราวกับกลัวว่าผมจะหายจากหมอนี่ไป

ผมคงพูดไม่ได้ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกของหมอนี่…

“วันนี้จะกลับมานอนบ้านไหม?”

“อยากให้กลับไปรึเปล่าล่ะครับ?” ผมถามยิ้มๆ และยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีกเมื่อลูคัสพยักหน้ารับเบาๆ อย่างเสียไม่ได้ “อืม… วันนี้ผมได้ลาหยุดหนึ่งวันเพราะแผลนี่”

ผมโกหก… ถ้าเกิดมีภารกิจอะไรเข้ามาจริงๆ ต่อให้จะโดนยิงจนพรุนขนาดไหน แต่ถ้ายังเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ได้ล่ะก็ ยังไงผมก็ไม่มีทางได้หยุดอยู่แล้ว

“เพราะงั้น… วันนี้จะกลับไปนอนกับนายนะ ตกลงไหม”

“อืม” ลูคัสว่า ทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งหนึ่งอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะพูดเหมือนเตือน “แต่กลับไปฉันจะไม่ยอมให้นายทำอะไรหนักๆ แน่ เข้าใจไหม เดี๋ยวแผลเปิดอีกจะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่”

“งั้นนายก็อยู่ด้านบนสิ คืนนี้?” ผมแกล้งพูด และได้เห็นสีหน้าที่ร้อนขึ้นของคนตรงหน้า

“ไม่ได้! คืนนี้งด!”





--------------------------------------------
Talk: โอ๋ๆ นะคะ ลูคัส ไม่ร้องน้าาาา น้องชายถึกจะตาย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 43) P.5 [29/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-03-2017 21:18:49
โอ้......ทั้ง วาบหวาม ทั้งค้างงงงงง   :o8: :z3:
“งั้นนายก็อยู่ด้านบนสิ คืนนี้?”   :ling1: :ling1: :ling1:
แต่คำตอบนี่สิ
“ไม่ได้! คืนนี้งด!”  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 43) P.5 [29/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 30-03-2017 13:45:46

บทที่ 44

(Mode: Logan Collins)




ผมเดินออกมาจากห้องน้ำในห้องพักของตัวเองในชุดเสื้อยืดสีขาวแขนสั้นและกางเกงวอร์มสีกรมท่า ผิวปากฮัมเพลงเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ผมเดินไปหยิบไดร์เป่าผมในห้องพักของตัวเองที่มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น มีเพียงเตียงหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ที่มุมห้อง มีครัวเล็กๆ ถูกกั้นเอาไว้อีกด้าน นอกจากนี้ก็มีตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ ตู้ใส่หนังสือ ถ้าเทียบกับที่บ้านของผมและลูคัสแล้ว ของที่นี่ถือว่าน้อยมากๆ แค่ให้ผมมีชีวิตไปวันๆ ได้ก็เท่านั้น

ผมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เปิดสวิทช์ไดร์เป่าผม เป็นจังหวะเดียวกับที่กระจกเงาบานเล็กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะส่องแสงวิบวับออกมา ใครบางคนพยายามจะติดต่อกับผมจากโลกนู้น… ซึ่งในเวลาแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นพี่สาวตัวแสบขี้เหงาของผมหรอก ในพวกเราทุกคนแล้ว เมแกนเป็นคนที่ติดต่อหาใครต่อใครมากที่สุด ซึ่ง… ก็คงเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงล่ะมั้งที่ต้องหาคนคุยเจ๊าะแจ๊ะตลอดเวลา

ผมขยับกระจกเข้ามา เปิดฝาพลาสติกแล้วพับครึ่ง ตั้งมันไว้ในมุมที่มองเห็นอีกฝ่ายถนัด

“กระจกเอ๋ย กระจกเอ๋ย… กระจกวิเศษ” ผมแกล้งพูดขณะที่ขยับมือยีหัวของตัวเองไปพร้อมๆ กับเป่าลมร้อยใส่พวกมัน “บอกข้าเถิด ใครงามเลิศที่สุดในปฐพี”

“หืม… ถามอะไรโง่ๆ แบบนั้นล่ะ เจ้าหนู” หญิงสาวผมแดงหยิกเป็นลอนๆ คลอเคลียรอบวงหน้ายิ้มหวานส่งกลับมาให้ผม ยกมือวางบนอกราวกับภาคภูมิใจเสียเต็มประดา “ก็ต้องเป็นฉันคนนี้ไม่มีผิดอยู่แล้ว หวัดดี โลแกน ช่วงนี้หายไปนานเลยนะนาย นึกว่าตายไปแล้วซะอีก”

“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ” ผมโค้งหัวให้อีกฝ่าย แล้วลงมือเป่าผมต่อ ถึงมันจะแห้งไปครึ่งแถบแล้วก็เถอะ “อยู่นู่น… เนทกับพ่อเป็นไงบ้างล่ะครับ สบายดีกันรึเปล่า”

“ท่านพ่อก็สบายดีเหมือนเดิม” หญิงสาวตอบรับอย่างกระตือรือร้น “แต่เนท… ไม่รู้สิ ทำไมนายไม่ไปคุยกับเขาเองล่ะ นายได้เจอกับหมอนั่นบ่อยกว่าฉันอีก”

ผมยักไหล่ให้คนด้านในทีหนึ่ง ฉากหลังของเมแกนก็ยังเป็นในนรกสักขุมอยู่ดี ดูเหมือนยัยนี่จะชอบใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมากกว่ามาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์จริงๆ

“ผมไม่ค่อยได้คุยกับเขาหรอก นอกจากเรื่องงาน ก็รู้อยู่ว่านิสัยเราสองคนไปกันไม่ค่อยได้”

“เออ ไอ้แว่นนั่นมันน่าเบื่อ งี้แหละ อย่าไปสนใจเลย” เมแกนว่าพร้อมกับทำมือปัดๆ ในอากาศ ก่อนเจ้าหล่อนจะยกยิ้มแล้วถามต่อขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ “นี่ๆ โลแกน นายเองก็ใกล้จะทำงานที่ท่านพ่อสั่งเสร็จแล้วใช่ไหม แล้วนายก็จะได้กลับมาอยู่ที่นี่กับพวกเราแล้วใช่ไหม แหมๆๆ ฉันนั่งนับวันรอที่จะได้อยู่กับนายอย่างใจจดใจจ่อเลยนะ”

“อย่าพูดอะไรบ้าๆ ชวนเข้าใจผิดหน่อยได้ไหม เมแกน” ผมแกล้งโวยวายอย่างไม่จริงจัง “ใครจะไปอยู่กับพี่กัน น่าขนลุกเป็นบ้า”

“เออ ว่าแต่… ถ้านายทำงานเสร็จแล้ว แล้วแฝดนายจะเอาไง” เจ้าหล่อนถามขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ผมว่านั่นเป็นหัวข้อสนทนาหลักที่เมแกนหยิบยกขึ้นมาในบทสนทนาครั้งนี้มากกว่า

“พี่หมายความว่ายังไง” ผมรู้ดีแหละว่าที่เจ้าหล่อนถามหมายความว่ายังไง แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“เอ๊า ก็…” นัยน์ตาสีแดงคู่สวยของหล่อนหรี่เล็กลงนิดหนึ่งอย่างล้อเลียน “นายน่ะ อินเลิฟกับพ่อหนุ่มคนนั้นไม่ใช่เหรอจ๊ะ น้องชาย ฉันก็เลยสงสัยว่า… อ้าว ท่านพ่อมาพอดีเลย… ท่านพ่อค่ะ หนูกำลังคุยกับโลแกนอยู่ค่ะ”

“เอ๊า!” ผมโวยวายนิดหนึ่ง “จะไปเรียกท่านพ่อมาทำไม๊”

 “อะไร โลแกน” ชายหนุ่มทรงอำนาจเดินตรงมาบริเวณหน้ากระจกของทางฝั่งนู้น คล้องแขนมากับเมแกนที่มีสีหน้ายิ้มระรื่นไม่ต่างจากเดิม “เดี๋ยวนี้ไม่อยากจะพูดจะจากันแล้วเหรอ หรือว่าอยู่นู่นเอาแต่เล่น ไม่ยอมตั้งใจทำงาน?”

“โธ่ ท่านพ่อ” ผมกลอกตานิดหนึ่ง วางไดร์เป่าผมลงบนโต๊ะ “ผมก็กำลังพยายามอยู่”

“คุยกับฉันเนี่ย กรุณาให้เกียรติกันด้วย”

ผมลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ พยายามความรู้สึกอยากจะกัดฟันหรือกลอกตาขึ้นมองเพดานอีกซักสามรอบลงไป เอาล่ะ โลแกน ใจเย็น ถึงยังไงนั่นก็พ่อนาย… นายต้องสำรวม…

“เออ ใช่ โลแกน นายยังพูดไม่จบเลย” พี่สาวตัวแสบของผมพูดขึ้นมาต่อด้วยท่าทีร่าเริงเกินเหตุ นี่ยัยนี่วางแผนไว้แบบนี่แต่แรกรึเปล่าเนี่ย? “เรื่องแฝดนายไง โลแกน ท่านพ่อคะ ท่านพ่อรู้ใช่ไหมว่าโลแกนกำลัง มี ความ รัก กับพี่ชายฝาแฝดของตัวเองไงคะ!”

ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากอย่างไม่อยากจะเชื่อหู พี่สาวตัวดีของผมทำเรื่องให้แล้วไหมล่ะ!

“หืม?” หากแทนที่จะโกรธหรือเอะอะโวยวาย ท่านลูซิเอร์ผู้ยิ่งใหญ่กลับทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างแปลกใจ “กับลูคัสน่ะเหรอ นี่พวกแกสองคนได้กันแล้วเหรอ?”

บางทีก็สงสัยนะว่าครอบครัวตัวเองนี่สะกดคำว่ายางอายเป็นไหม

“เอ่อ ก็… ครับ” ผมอึกอัก ไม่รู้ว่าควรจะตั้งรับกับสถานการณ์นี้ยังไงดีเหมือนกัน

“อ้อ เหรอ” ท่านพ่อของผมพูดแล้วก็เงียบลงไปนิดหนึ่ง ทำเอาผมใจเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ

“คือ… ผมจะไม่ทำให้งานเสียหรอก” พูดพลางยกมือกระแอมขึ้นนิดหนึ่งอย่างไว้ท่า “อีกไม่นานผมก็จะได้ชื่อของจูดี้ ฮิลล์มาเป็นเป้าหมายของตัวเองแล้ว และพอแผนการทุกอย่างเตรียมพร้อม ผมก็จะฆ่าหล่อนโดยไม่ต้องให้ท่านพ่อรอนาน”

“ฉันจะส่งเนทไปรับแกหลังจากที่งานเสร็จแล้วก็แล้วกัน”

ผมพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า การที่ผมจะได้กลับไปอยู่ในนรกกับพ่อและพวกพี่ๆ จำเป็นต้องมีการกำหนดเวลาและสถานที่ที่ชัดเจนเพื่อให้ท่านพ่อส่งคนมารับ ถ้าเกิดว่าไม่เป็นแบบนั้น แล้วผมตายไปโดยที่ไม่มีใครมารับดวงวิญญาณ… ผมก็ไม่ได้กลับไปอยู่กับพ่อหรือพวกพี่ๆ อย่างที่ตัวเองหวังไว้หรอก

“ท่านพ่อคะ ให้แฟนของโลแกนมาอยู่กับเราด้วยสิคะ” เมแกนว่าพร้อมกับเขย่าแขนท่านพ่อยิ้มๆ และพูดก็พูดเถอะนะ… ท่านพ่อของผมน่ะ ถึงจะอายุเป็นร้อยๆ พันๆ ปีแล้วก็ยังดูหนุ่ม… แล้วก็หล่อมากด้วย (หน้าตาดีทั้งตระกูลแหละครับ) และการที่เห็นเมแกนเขย่าแขนอ้อนท่านพ่อแบบนั้น มันเหมือนกับเด็กอ้อนอาเสี่ยไม่มีผิด นี่ยังไม่นับสูทที่ดูราคาแพงของท่านลูซิเฟอร์อีกนะ ให้ตาย… ดีนะที่เจ้าตัวยังมีเขางอกออกจากหัวให้ผมพอดูออกว่านั่นพ่อของตัวเองบ้าง

“หา??” ท่านพ่ออุทานออกมาอย่างงงๆ นิดหนึ่ง

“ก็ลูคัส… แฝดของโลแกนไงคะ” เมแกนว่าพร้อมกับหันมากลับมาส่งยิ้มหวานให้ผม “เนอะ โลแกน นายเองก็อยากให้ลูคัสอยู่กับตัวเองเหมือนกันไม่ใช่รึไง? อีกอย่าง…. ฉันเองก็อยากจะเจอแฝดนายด้วย ว่าไงๆ เนี่ย ขอท่านพ่อให้เอาเขามาอยู่ด้วยกันเลยสิ”

“นี่เธอคิดจะทำอะไรลูคัสรึเปล่าเนี่ย” ผมหรี่ตาลง มองหน้าพี่สาวของตัวเองซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกเงาอย่างไม่ไว้ใจ หากเจ้าหล่อนหัวเราะร่วน

“แหม คิดอะไรแบบนั้น ก็แค่นึกอยากเจอเฉยๆ ก็เท่านั้น ไม่งั้นนายจะเอาไง โลแกน? จะปล่อยเขาไว้บนโลกมนุษย์แบบนั้นเหรอ?”

“จริงๆ ที่พี่พูดมาก็ไม่เลวนะ” ผมยกมือขึ้นลูบคางอย่างครุ่นคิด ที่ผ่านมาก็คิดแค่ว่าต้องทำงานให้ท่านพ่อให้เสร็จเท่านั้น ไม่ได้คิดเรื่องหลังจากนั้นเลยแฮะ

ให้ลูคัสไปอยู่กับผมในนรกเหรอ….

คิดแบบนี้แล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้ ถ้าหากว่าผมได้กลับไปบ้านเกิดของตัวเองที่อยากจะกลับนักหนา บวกกับทำงานให้ท่านพ่อเสร็จแล้ว ไม่ต้องคอยพะวงหรือห่วงอะไร แบบนั้นน่าจะสบายแล้วก็สนุกกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เยอะเลย

“ก็ดีนะ เมแกน ท่านพ่อ วันที่เนทมารับผม ให้เขารับลูคัสไปด้วยได้ไหม ผมเอาเขาไปอยู่กับเราที่นู่นได้ไหมครับ?”

“หืม…” จ้าวแห่งปีศาจทั้งมวลลากเสียงยาวก่อนจะพูดตอบกลับมาเรียบๆ “ถ้าอยากจะทำแบบนั้นก็ตามใจ”

“จริงเหรอครับ/คะ?” ผมกับเมแกนพูดออกมาแทบจะพร้อมๆ กันเหมือนไม่อยากเชื่อ ถึงผมจะยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพี่สาวตัวเองถึงอยากจะเจอลูคัสมากขนาดนั้นก็เถอะ แต่ก็เย้! ผมหันไปส่งยิ้มอย่างยินดีให้สาวเจ้านิดหนึ่งก่อนใจจะเริ่มลอยไปถึงพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง

ผมนึกถึงวันก่อนที่ผมไปดูการแสดงเปียโนของหมอนั่นมา… การแข่งรอบคัดเลือกของเจ้าตัว ลูคัสเล่นเปียโนได้อย่างไม่มีที่ติจริงๆ และผลในวันนั้นก็ชัดเจนว่าหมอนั่นผ่านเข้ารอบไปยังรอบต่อไปด้วย เห็นเจ้าตัวบอกว่าหากไปยังรอบท้ายๆ เขาจะได้แข่งกับพวกนักเปียโนต่างชาติด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือระดับโลก ลูคัสเคยบอกกับผมด้วยซ้ำว่าสักวันเขาอยากมีการแสดงคอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองอย่างที่ไมเคิล ฮาร์ริสมี

หลังจากจบการคัดเลือกในวันนั้น ผมจำได้ว่าแม้แต่ตอนที่ออกมาจากฮอล์แล้ว ทุกคนก็ยังพูดถึงการแสดงของพี่ชายฝาแฝดของผม หลายเสียงพูดไปด้วยซ้ำว่าเขาเป็นตัวเก็งในการแข่งครั้งนี้… แล้วอย่าว่าแต่เสียงจากผู้ชมเลย ขนาดในสื่อต่างๆ ที่อยู่ในแวดวงนี้ก็พูดถึงพี่ชายฝาแฝดของผมอย่างกว้างขวางในแง่ที่ดี บอกว่าเขาเป็นตัวเต็งแล้วก็อนาคตไกล อะไรทำนองนั้น

ผมไม่รู้หรอกนะว่าลูคัสคิดยังไงกับอะไรพวกนี้บ้าง แต่ที่ผมจำได้ก็คือ… หมอนั่นดูเปล่งประกายมากตอนที่อยู่เวที แม้แต่ตอนที่เล่นเสร็จ หันหน้ามาทาผู้ชมแล้วโค้งให้ ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มและหยาดเหงื่อนั่นดูมีความสุขมากแค่ไหน

ผมรู้ได้ทันทีที่เห็นภาพนั้น… ไม่สิ จริงๆ ผมอาจจะรู้มาตลอด รู้มาตลอดตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็ก

เปียโนคือชีวิตของหมอนั่น… แล้วมันก็ทำให้ลูคัสมีความสุขจริงๆ อีกอย่าง… ผู้ชมที่ไปฟังต่างก็ชอบเสียงเพลงของหมอนั่นกันทั้งนั้น

คิดแบบนี้แล้วรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของผมก็เลือนหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จากนั้นผมก็หลุดปากพูดสิ่งที่คิดว่าตัวเองจะไม่มีวันพูดออกมา

“คิดอีกที… ไม่เอาดีกว่า”

“หา??” เมแกนหันกลับมามองผมงงๆ กระพริบตาปริบๆ สองสามที “ไม่เอางั้นเหรอ? นายหมายความว่าไง โลแกน?”

“ผมไม่ให้ลูคัสไปกับผมด้วยดีกว่า”

“อ้าว...” เมแกนลากเสียงยาวอย่างผิดหวังเต็มที่ ในขณะที่ท่านพ่อของผมแค่ทำสีหน้าราบเรียบราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร “ทำไมล่ะ โลแกน!? ไม่ใช่ว่านายรักลูคัสมากจนอยากให้เขามาอยู่ด้วยกันกับนายที่นี่เหรอ? นายไม่ได้รักเขาหรือไง?”

“ก็… รัก” ผมพูดอย่างสับสน อย่าว่าแต่เมแกนเลย แม้แต่ตัวผมในตอนนี้ก็ยังสับสน ผมยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ ถ้าผมรักหมอนั่นมากจริงๆ ผมก็ต้องอยากให้ลูคัสไปอยู่ด้วยกันกับผมไม่ใช่เหรอ?

“ทำไม? หรือว่าหมอนั่นไม่ได้รักนายขนาดนั้น?”

“ไม่ใช่” ผมหน้าร้อนขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าด้วยสาเหตุอะไร “หมอนั่นก็บอกว่ารักผม… รักมากด้วย แต่…”

“แกไม่คิดว่าเขาจะรักแกถึงขนาดมาอยู่ในที่แบบนี้สินะ” ท่านพ่อของผมยกยิ้มอย่างรู้ทัน และนั่นทำให้ผมนิ่งไปทันที ส่วนเมแกนเริ่มโวยวายเบาๆ

“ไม่เห็นต้องไปสนเลย โลแกน เราอยากได้เขา เราก็เอาตัวเขามาซะเลยสิ จะไปยากอะไร อีกอย่าง ฝีมือระดับนายแล้ว การจะลากคนที่เขาไม่เต็มใจมาอยู่ด้วยให้มาพร้อมกับนาย จะไปยากตรงไหน ถูกไหม?”

“ไม่” ผมหลุดปากพูดคำนั้นออกมาอีกแล้ว แม้ว่ามันกำลังบีบรัดหัวใจผมจนปวดหนึบไปพร้อมๆ กันก็ตาม “ผมไม่เอาลูคัสไปอยู่ด้วยหรอก ไม่เอาดีกว่า”

“ทำไมล่ะ โลแกน?”

“ให้หมอนี่อยู่บนโลกนี้ต่อไปก็ดีแล้ว” ผมพูดต่อ แม้ว่าการที่แค่นึกภาพตัวเองกลับไปอยู่ในที่แห่งนั้นโดยไม่มีพี่ชายฝาแฝดของตัวเองไปด้วย… มันจะเจ็บปวดทรมานแค่ไหนก็ตาม “เขามีความฝันของเขา เขามีสิ่งที่อยากจะทำ”

“อะไรกัน น่าเบื่อจัง…” หญิงสาวเบ้ปากนิดๆ ก่อนจะโดนสะบัดหน้าหลบฉากออกไปเหมือนคนที่ค้นพบว่าเรื่องสนุกได้จบลงแล้ว ท่านพ่อหันมามองผมนิดหนึ่งด้วยสายตารู้เท่าทัน

“อยากจะทำอะไรก็ทำไป โลแกน” เขาว่า “แต่หน้าที่ของแก… อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”

“ครับ ท่านพ่อ” ผมตอบรับเสียงเรียบ และแม้ภาพทุกอย่างในกระจกเงาที่สะท้อนออกมาจะหายไปแล้ว ผมก็ยังพูดตอบรับในลำคอต่อไปเงียบๆ

“ผมทราบดีครับ”

ผมยังมีงานที่ต้องทำ 





------------------------------------------
Talk: อ้าววว งั้นสองคนนี้ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอะดิ?? O_O
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 44) P.6 [30/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 01-04-2017 01:25:10
โลแกนแกอย่าคิดแทนคนอื่นจะได้ไหมเนี่ย อ่านตอนนี้แล้วหน้าตึงเลย
ปล.ทำไมถึงแยกฉากเอ็นซีไว้ที่อื่นด้วยเหรอคะ ลงในเว็บเลยไม่ได้เหรอ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 44) P.6 [30/03/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 01-04-2017 17:25:17

บทที่ 45

(Mode: Lucas Collins)




ผมพรมนิ้วลงบนโน้ตเพลงช่วงสุดท้าย และเมื่อผละมือขึ้นมาจากคีย์เปียโน ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังยิ้ม

“อะไรน่ะ ช่วงนี้ร่าเริงจังเลย ลูคัส” เอ็ดการ์ว่าพร้อมกับปรบมือแปะๆ ให้ผมนิดหนึ่ง ผมหันไปยิ้มหวานให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ในขณะที่ไมเคิลซึ่งยังคงทำตัวนิ่งได้ทุกสถานการณ์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจกับเสียงเพลงที่เพิ่งฟังไป “เจออะไรดีๆ มางั้นเหรอครับ? เล่าให้ฟังบ้างสิ”

“เอ่อ… ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” ผมยิ้มหวานส่งให้คนถาม ในขณะที่ไมเคิลเดินมาแล้วเอาโน้ตเพลงในมือที่ม้วนเข้าหากันตีลงบนหัวผมเบาๆ ทีหนึ่ง

“ไอ้หมอนี่มันไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ช่วงนี้น้องชายกลับมาบ้านบ่อยขึ้นเท่านั้นเอง”

“โธ่ มิกกี้ อย่าพูดสิ!” ผมหน้าร้อนขึ้นนิดหนึ่งด้วยความอาย ในขณะที่เอ็ดการ์ครางออกมาในลำคอนิดหนึ่งอย่างแปลกใจ

“น้องชายของลูคัสเนี่ย ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันหรอกเหรอ?”

“หมอนั่นอยู่หอในตัวเมืองน่ะ พอดีไปเรียนแถวนั้น” ผมตอบยิ้มๆ แยกตัวไปฟังคำแนะนำจากไมเคิลเล็กน้อยจากนั้นก็เตรียมเก็บของแยกย้ายกันกลับบ้าน

“การแข่งขันของจริงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” คนเป็นครูยกนิ้วขึ้นดุนแว่นทีหนึ่ง “ก็เป็นเรื่องดีนะที่พวกเธอสองคนผ่านรอบคัดเลือกที่ผ่านมาได้ จากนี้ไปก็เป็นของจริงแล้ว ฉันหวังว่าทั้งคู่จะฝึกซ้อมอย่างหนักแล้วก็เตรียมความพร้อมให้เต็มที่”

“ครับ” ผมกับเอ็ดการ์รับปาก

“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกลับได้ อย่าลืมซ้อมนะ”

ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับคำพูดย้ำของครูผู้ฝึกของตัวเอง และเมื่อเดินพ้นออกมาจากตัวอาคาร เอ็ดการ์ก็หันมาถามผมทันที

“แล้วคุณจะเอายังไงครับ ลูคัส? วันนี้จไปกินข้าวกับผมไหม หรือว่าจะตรงกลับบ้านเลย?”

“อืม… วันนี้ฉันขอตัวดีกว่า” ผมพูดตอบอย่างอารมณ์ดี ชำเลืองมองเวลาที่อยู่บนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือนิดหนึ่ง เอ็ดการ์ยกยิ้มหวานที่ชวนให้คนเห็นรู้สึกสบายใจเหมือนเช่นเคย

“จะได้ไปเจอน้องชายเร็วๆ สินะครับ”

“เอ่อ” ผมอึกอักขึ้นมานิดหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างยอมแพ้แล้วพูดว่า “โทษทีนะ มันน่าอายใช่ไหม ที่ทำตัวเหมือนติดน้องแบบนี้”

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ครับ” เอ็ดการ์หัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือมาตบบ่าผม “ผมเองก็มีน้องสาว… พอเข้าใจความรู้สึกเหมือนกัน”

“แล้วนายได้เจอน้องนายบ่อยไหมล่ะ เอ็ด” ผมถามกลับ นึกถึงตัวเองที่นานๆ จะได้เจอโลแกนสักที ถึงช่วงนี้หมอนั่นจะมาอยู่ที่บ้านถี่ขึ้นก็เถอะ แต่ก่อนหน้านี้นี่… เกือบแดดิ้นตายเพราะไม่ได้เจอกันเกือบครึ่งปี

“เจอทุกวันแหละครับ” เจ้าตัวหัวเราะร่วนทันที “ผมยังอยู่บ้านพ่อแม่อยู่ไง น้องสาวผมก็ด้วย จริงๆ มันก็เดินทางอะไรลำบากอยู่เหมือนกัน แต่น้องผมไม่อยากให้ผมไปอยู่หอ”

ฟังแล้วนี่ผมถึงน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้ง (ล้อเล่นนะ) ให้ตายสิ หมอนี่จะเป็นคนดีไปถึงไหน แค่น้องบอกว่าไม่อยากให้ไปอยู่ที่อื่นก็ไม่ไปจริงๆ…

“อ่า ให้ตาย นายนี่มันเป็นพี่ที่ดีจริงๆ” ผมพูดพร้อมกับโถมน้ำหนักลงไปกอดคนข้างตัว อีกฝ่ายหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ถ้าน้องชายฉันคิดได้แบบนายบ้างคงดี”

จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็แยกกัน ผมเดินไปถึงบริเวณหน้ารั้วมหาลัยแล้ว เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี โลแกนนั่นเองที่โทรมา

“ฮัลไหล ว่าไง ฉันกำลังจะกลับบ้านพอดีเลย” ผมกรอกเสียงลงไป

“เฮ้” อีกฝ่ายว่า “มัวแต่ทำอะไรอยู่ ถึงได้ช้านัก”

“หืม?” ผมว่าอย่างแปลกใจ หากเมื่อก้าวขาออกมาภายนอกตรงถนนใหญ่ก็รู้ว่าเจ้าตัวพูดถึงอะไร รถของโลแกนจอดอยู่ตรงข้างทาง และเจ้าตัวกำลังรอให้ผมเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน

“ไง พี่ชาย” เจ้าตัวเอ่ยทักทันทีที่ผมหย่อนก้นลงไปนั่ง “วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง”

“ก็สนุกดี” ผมว่า พิงหลังลงบนเบาะหนังเทียมด้านหลัง ยืดเส้นยืดสายที่แขนและขานิดหนึ่ง “ใกล้จะถึงงานแข่งของจริงแล้ว… ตื่นเต้นเป็นบ้า”

“นายทำได้อยู่แล้ว” โลแกนว่า สายตามองตรงไปข้างหน้านิ่ง

ผมรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล้กน้อยของเจ้าตัว ดูเหมือนช่วงนี้หมอนี่จะดูเหม่อบ่อยขึ้นยังไงก็ไม่รู้ แถมบางทีก็เหมือนนั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียว แต่พอผมเข้าไปหาก็เอาแต่ขลุกอยู่กับผมไม่ยอมปล่อย ขนาดผมขอตัวไปซ้อมเปียโนต่อ มันยังยึดตัวผมไม่ปล่อยเลย

สงสัย… คงจะเครียดเรื่องงานมั้ง ในทางกลับกัน ทำงานที่ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น ถ้ามันไม่เครียดอะไรเลยนี่สิ น่าเป็นห่วงมากกว่า






“เฮ้ โลแกน” ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายหลังจากที่เรารับประทานอาหารเย็นกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

คนที่ผมเรียกยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ นั่นทำให้ผมต้องเบ้ปากขึ้นนิดหนึ่ง ผมเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินว้อดก้าใส่แก้วสองใบ จากนั้นก็เอามันกลับมาที่ห้องนั่งเล่นซึ่งโลแกนยังคงนั่งอยู่

ผมวางแก้วหนึ่งลงตรงหน้าเจ้าตัว โลแกนไหวตัวเล็กน้อยจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างงงๆ

“อะไร ลู เดี๋ยวนี้นายดื่มแบบนี้เป็นปกติแล้วเหรอ?”

“ก็นิดๆ หน่อยๆ” ผมยิ้มหวานเอาใจ จากนั้นก็ยัดแก้วใส่มือเจ้าตัว “ดื่มกันเถอะนะ ถือว่าฉลองที่ฉันจะได้ไปแข่งรอบชิงพรุ่งนี้”

“ตามสัญญาใช่ไหม” น้องชายฝาแฝดของผมยกยิ้มกว้าง ขยับแก้วในมือไปมาแล้วสบตาผมนิ่ง “ที่หนึ่งน่ะ”

“ใช่” ผมยิ้มตอบ “แล้วนายก็ต้องมาดูฉันขึ้นแสดง”

“อ่า… ใช่” มีความลังเลเล็กน้อยอยู่ในคำพูดนั้น “ฉันต้องไปดูนายแสดงอยู่แล้ว”

“ทำไม โลแกน” ผมถามอย่างรู้ทัน “นายมีภารกิจพรุ่งนี้เหรอ?”

“อืม ก็… ประมาณนั้น”

“ไม่ต้องฝืนมาก็ได้นะ ถ้าลำบาก” ผมฝืนใจพูด ถึงแม้ว่าใจจริงจะอยากให้หมอนั่นยกเลิกงานทั้งหมดแล้วมาดูผมแสดงมากกว่าก็ตาม แต่ผมคงทำตัวเห็นแก่ตัวขนาดนั้นไม่ได้หรอกใช่ไหม?

“ไม่… ไม่ๆ ฉันจะไป” โลแกนรีบพูด จากนั้นก็ดึงตัวผมไปนั่งตักเจ้าตัวหน้าตาเฉย ผมรู้สึกได้เลยว่าหน้าของตัวเองร้อนวูบขึ้น “ฉันดูเวลางานแล้ว… มันจะเสร็จก่อนที่นายจะเริ่มแสดง เพราะงั้น… ฉันจะไปดู นายต้องได้ที่หนึ่งตามที่สัญญากับฉันไว้นะ”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น” ผมหัวเราะเบาๆ รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยที่โลแกนซุกหน้าลงถูไถกับซอกคอ “งั้น… ดื่มกันเถอะ รวดเดียวเลยนะ?”

“เดี๋ยวนี้นี่ซ่านะพี่ชาย” โลแกนว่าแต่ก็ยกยิ้มชอบใจ แก้วของเราสองคนชนกันดังกริ๊งเบาๆ ผมยกมันขึ้นซดรวดเดียว รู้สึกมึนวูบขึ้นมาทันที

“เฮ้ ไหวไหม หน้าแดงเชียว” คนที่ยังยึดผมไว้บนตักตัวเองยิ้มแหย่ จากนั้นก็กระชับเอวผมไว้ในอ้อมแขนแน่นขึ้น

“อือ… โลแกน” ผมครางออกมาเบาๆ เลื้อยมือไปปลดกระดุมเสื้อของเจ้าตัวออก ผ้าพันแผลสีขาวสะอาดยังโผล่ออกมาให้เห็น แต่อย่างน้อยก็ไม่มีร่องรอยของเลือดให้เห็นอีกแล้ว ผมขอโมเมไปว่าอาการของมันคงดีขึ้น

ผมไล้ปลายนิ้วลงบนผ้าพันแผลพวกนั้นอย่างอ้อยอิ่ง โลแกนเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ผ่อนลมหายใจร้อนๆ ลงบนขมับของผมไปพร้อมๆ กัน ผมแทบไม่กล้าแตะผ้าพันแผลพวกนั้นตรงๆ ด้วยซ้ำ กลัวว่ามันจะไปกระเทือนแผลของเจ้าตัวแล้วมันจะทำให้โลแกนเจ็บ ผมไม่อยากให้น้องชายเจ็บเลย ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม

“ยังเจ็บแผลอยู่รึเปล่า” ผมถามเสียงเบา เจ้าตัวส่ายหน้าน้อยๆ

“ไม่เจ็บมานานแล้ว”

“ค่อยยังชั่วหน่อย” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ซุกหน้าลงบนแผ่นอกอีกฝั่งที่ไม่มีผ้าพัแผลนั่น โลแกนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เลื่อนมือมาลูบหัวผมอย่างปลอบโยน

“ค่อยยังชั่วอะไรเล่า ก็บอกแต่แรกแล้วว่าไม่เป็นไร”

“ภารกิจพรุ่งนี้นายจะไม่เป็นไรใช่ไหม” สิ่งที่คิดอยู่ในใจเริ่มหลดออกจากปากอย่างควบคุมไม่ได้ เวลาเหล้าเข้าปากทีไรชอบเป็นแบบนี้ทุกที

“ฉันไปดูนายเล่นบนเวทีแน่นา ฉันสัญญา”

“ฉันไม่ได้… หมายความแบบนั้น” ผมว่าอย่างอึดอัด ทำไมโลแกนถึงได้ไม่เข้าใจเลยนะว่าผมห่วงมันแค่ไหน เป็นแบบนี้ตลอดเลย “แต่ไม่อยากให้นาย… บาดเจ็บ”

“อืม ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าตัวรับคำ จากนั้นก็ทอดสายตาเหม่อไปอีกทาง ผมขมวดคิ้วมุ่นขึ้น เบ้ริมฝีปากอย่างไม่พอใจ เอื้อมมือไปบังคับหน้าของโลแกนให้หันกลับมาแล้วขยับหน้าเข้าไปจูบปากของหมอนี่อย่างไม่สบอารมณ์นิดหนึ่ง

“ลู---”

“อยู่กับฉันก็สนใจฉันสิ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเด็กๆ ที่ถูกขัดใจ โลแกนหัวเราะร่วนออกมาอีกรอบ ดึงผมไปกอดแนบอก พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไม่เคยไม่สนใจนายเลยสักครั้ง”

“แล้วนายกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ” ผมถามเหมือนเพ้อ แต่สติยังพอมีเหลืออยู่พอจะรับฟังคนตรงหน้าได้ อย่ามองผมแบบนั้นน่า… แค่แก้วเดียว ไม่ทำให้สติเตลิดหรอก “ไหน ลองบอกให้พี่ชายฟังซิ”

“ก็กำลังคิดว่า” เจ้าตัวพูด สีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่งขณะขยับตัวให้พิงหลังเข้ากับแผ่นอกของตัวเอง เกยคางลงบนบ่าของผมอ้อนๆ “จบภารกิจนี้แล้วจะเอายังไงต่อดีเท่านั้นเอง”

“นายจะยอมเลิกทำงานนี้แล้วเหรอ?” ผมเบิกตากว้างขึ้นนิดเหมือนไม่อยากเชื่อ ทุกครั้งที่โลแกนทำภารกิจหนึ่งจบก็มักจะมีภารกิจต่อมาตามมาทุกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่หมอนี่เปิดปากพูดอะไรแบบนี้ออกมา

“ก็กำลังคิดๆ อยู่” เจ้าตัวว่าและผมรู้สึกเหมือนหัวใจพองฟูขึ้นด้วยความดีใจ บางที… หมอนี่อาจจะเก็บเอาเรื่องที่ผมขอไปคิดจริงๆ จังๆ แล้วยอมเลิกทำงานเสี่ยงๆ นี่สักทีก็ได้

“นี่ ลูคัส”

“หือ?” ผมรู้สึกเหมือนตาลอยๆ แต่ริมฝีปากโค้งยิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่กับความคิดนั้น

“นายอยากไปทัวร์นรกกับฉันไหม?”

“ฮะ?” ผมอุทานเสียงดังจากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ “นี่นายเมาแล้วเหรอ โลแกน เพิ่งแก้วเดียวเองนะ ไอ้น้อง เดี๋ยวนี้คออ่อนแล้วเหรอ”

“ไม่ได้เมาสักหน่อย” โลแกนว่าพร้อมกับลงโทษผมด้วยการหอมแก้มฟอดแรงๆ ทีหนึ่ง ผมหัวเราะร่วนออกมาอีกรอบ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้

“ที่นั่นน่ะ ไม่ต้องรีบไปก็ได้มั้ง ไอ้น้อง เพราะยังไง เดี๋ยวนายก็ต้องได้ไปอยู่แล้ว” ผมพูดติดตลก แปลกใจเหมือนกันที่คนข้างตัวไม่ได้หัวเราะตอบ สงสัยยังเครียดเรื่องงานไม่หาย ภารกิจพรุ่งนี้คงตึงเครียดจริงๆ แฮะ

“ถ้าเกิดว่าฉันต้องไปจริงๆ” เจ้าตัวว่าขณะดึงนิ้วผมขึ้นมาจับเล่น “นายจะมากับฉันไหม”

“ที่นรกอ่ะนะ??” ผมถามก่อนจะหัวเราะออกมาอีกรอบ “จะบ้าเหรอ นี่นายหาสถานที่เดทดีกว่านี้ไม่ได้แล้วใช่ไหม? ไม่เอาด้วยหรอก อยากจะไปที่นั่นก็ไปคนเดียวเหอะ นรกน่ะ มันมีไว้สำหรับให้คนแย่ๆ ไปอยู่นะ รู้เปล่า? ไม่ใช่ที่ที่น่าไปนะเว้ย”

“งั้นตอนเราตาย เราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วสิ?” อีกฝ่ายถาม ผมจับน้ำเสียงของมันไม่ค่อยได้เพราะรู้สึกมึนๆ แต่เพราะคิดว่าหมอนี่คงกำลังพูดเล่นก็เลยไม่ได้คิดอะไรตอนตอบ

“ก็นะ… ถ้านายทำตัวไม่ดีก็ต้องไปอยู่ในนรกสิ ส่วนฉัน… คนดีอย่างฉันขอจรลีไปอยู่บนฟ้าดีกว่า ไม่ไปอยู่กับพวกเลวๆ ในนู้นหรอก”

“ว้า… งี้ฉันคงเหงาแย่เลย”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เลื่อนใบหน้าไปจูบริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เอ… นี่ผมคิดไปเองหรือว่าวันนี้ไอ้โลแกนมันแปลกไปจริงๆ? เหมือนมันดูไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองยังไงไม่รู้

“นี่ โลแกน” ผมช้อนสายตาขึ้นไปสบตาเจ้าตัวตรงๆ “นายอย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นคนไม่ดีขนาดนั้นสิ นายเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่านายไม่ใช่คนเลวเสียหน่อย”

“แต่ฉันฆ่าคนมาเยอะแล้วนะ” เจ้าตัวว่า ดึงมือของผมไปวางบนแก้มตัวเองเหมือนต้องการกำลังใจ ผมจึงรีบพูดต่อไปว่า

“แต่นายฆ่าใครสักคนเพื่อช่วยชีวิตใครอีกหลายๆ คนไม่ใช่หรือไง… แบบนั้นน่ะ ฉันว่าพระเจ้าคงยอมยกโทษให้นายนะ ไม่สิ นายไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำกับเรื่องนั้น เพราะงั้นคงไม่ต้องตกนรกหรอก”

“นั่นคือสิ่งที่นายคิดจริงๆ เหรอ” โลแกนถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น แววตาของอีกฝ่ายที่มองตรงเข้ามาในตัวผมก็จริงจังเช่นกัน และสายตาแบบนั้น… มันทำให้ผมใจเต้นรัวขึ้นในอกยังไงไม่รู้ “ที่บอกว่าต่อให้ฉันฆ่าคนมาเป็นเบือ… นายก็ยังเห็นว่าฉันเป็นคนดีอยู่น่ะ”

“โลแกน...”

“นายนิยามคำว่าคนดีไว้ยังไงกันแน่ ลูคัส”

ผมคิดอะไรไม่ออก รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นโลแกนก็ประทับจูบลงมาอย่างร้อนแรงบนริมฝีปากของผม ราวกับว่าคำพูดใดๆ ระหว่างพวกเราก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว ผมเคยบอกแล้วไง… ต่อให้โลแกนต้องฆ่าคนมามากมายขนาดไหน ผมก็ไม่สนหรอก ผมหวังว่าโลแกนจะรู้นะว่าผมคิดแบบนี้

แล้วก็… ไอ้ที่พูดเมื่อกี้นี้น่ะ ผมโกหก ที่หมอนี่ถามผมว่าจะไม่ยอมไปลงนรกกับเหรอนั่นน่ะ… 

โลแกนจะรู้ไหมนะ… ว่าต่อให้ผมต้องลงไปอยู่ในนรกขุมสุดท้าย แต่ถ้าได้อยู่กับเจ้าตัวแล้วล่ะก็ ผมก็พร้อมจะตามมันไปด้วยจนถึงที่สุดนั่นแหละ



----------------------------
Talk: บอกแล้วใช่ไหมว่าให้สื่อสารกันให้ดีๆ ถถถถถถถถ
ป.ล. เหตุผลที่ไม่ได้เอาตอนแทรกลงหน้าเว็บ เพราะตอนแรกไม่รู้ว่ามันลงได้ค่ะ.... O_O;;;
แบบ... เห็นในกฎแวบๆ ว่าห้ามลงฉากอย่างว่า และปกติก็ไม่ค่อยได้เล่นเล้าเลยไม่รู้ว่าเขาก็ลงกัน 5555555 //น้ำตาไหลแปป
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 45) P.6 [1/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 02-04-2017 18:47:35
สนุกมากค่ะ รอติดตามตอนต่อไปนะคะ :katai4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 45) P.6 [1/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 03-04-2017 08:14:57
คุยเรื่องเดียวกันแต่ไปกันคนละความหมายเลย 555555555 ในคราวหน้าถ้ามีเอ็นซีอีกก็ลงในนี้เลยนะคะ เพื่อความสะดวกสบาย  :hao6:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 45) P.6 [1/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 03-04-2017 21:14:30
รอค่ะ อ่านรวดเดียวเลย ชอบมากๆ
สุดท้ายโลแกนกับลูคัสก็สื่อสารไม่ตรงกัน งื้ออออ  :ling1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 45) P.6 [1/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 04-04-2017 15:37:16

บทที่ 46

(Mode: Lucas Collins)



ผมเดินทางมายังโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับสถานที่จัดแสดงในวันนี้ ไมเคิลนั่นแหละเป็นคนเสนอแนะให้มาเปิดห้องอยู่ในโรงเรียน เตรียมตัวก่อนจะถึงเวลา ดีกว่าไปแกร่วรออยู่ในร้านกาแฟหรือสถานที่อื่นๆ ที่ไม่มีความเป็นส่วนตัวเท่าไรนัก ส่วนเอ็ดการ์มีครูฝึกคนเก่าแก่ที่เขาสนิทสนมคอยดูแลอยู่แล้ว วันนี้ไมเคิลจึงมีผมอยู่ในการดูแลเพียงคนเดียว และตอนนี้เราทั้งคู่ก็อยู่ในห้องพักของโรงแรมซึ่งมีเตียงคู่หลังใหญ่อยู่กลางห้อง

ไมเคิลเดินไปวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ หยิบเอกสารกำหนดการในวันนี้ขึ้นมาทบทวน ส่วนผมตรงดิ่งไปที่เตียงแล้วทิ้งน้ำหนักตัวลงนอนคว่ำทันที อ่า… นุ่มดีจริงๆ

“นี่ คุณ เราไม่ได้มาเที่ยวเล่นหรือมาพักผ่อนกันนะ” ครูผู้เข้มงวดของผมขมวดคิ้ว พูดเอ็ดนิดหนึ่ง “เล่นอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้ เอ้า เอาเสื้อผ้าออกมาแขวนสิครับ เดี๋ยวมันก็ยับหมดหรอก แล้วพกหวีกับแว็กซ์ใส่ผมมาด้วยรึเปล่า เตรียมให้พร้อมนะคุณ”

“โธ่ มิกกี้ อย่าพูดเป็นตาแก่ขี้บ่นได้ไหม” ด้วยความที่เราทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในคลาสเรียน บวกกับบรรยากาศดูดีของห้องทำให้ผมลดทอนความกลัวในตัวของครูผู้ฝึกตรงหน้าลงไปมาก ไมเคิลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้ามาประชิดผมแล้วเอื้อมมือมาหยิกแก้มแรงๆ

“ไหน อะไร เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ ผมไม่ค่อยได้ยิน”

“โอ๊ย… เจ็บๆๆ มิกกี้ ปล่อยน้า ผมแค่ล้อเล่นเอง” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะโดนดึงแก้มเอาไว้ และเมื่อเจ้าตัวยอมปล่อยมือ ผมก็รีบกุมแก้มของตัวเองแล้วครางเบาๆ ทันที จากนั้นก็ส่งสายตาตัดพ้อแบบเสแสร้งส่งไปให้ “มิกกี้… ไอ้ครูโหด! แค่นี้ก็ต้องประทุษร้ายกันด้วยนะ!”

“แค่หยิกแก้มแค่นี้ไม่เรียกว่าประทุษร้ายหรอกครับ” คนใส่แว่นพูดหน้าตาเฉย เลื่อนมือไปดันแว่นขึ้นบนใบหน้านิดหนึ่งอย่างไว้ท่า “แล้วนี่คุณจะเอายังไง ผมว่าจะไปทำธุระแถวนี้สักหน่อย… พอดีนัดคนไว้ก่อนจะถึงเวลาแสดง”

“งั้นมิกกี้ไปตามนัดเถอะ” ผมว่า เปิดกระเป๋าขึ้นมาหยิบขนมที่ติดมาเผื่อด้วย “ผมว่าจะนอนพักเอาแรงสักงีบ”

“คุณจะตื่นมาแสดงทันไหมเนี่ย” อีกฝ่ายหรี่ตาลงอย่างไม่ค่อยไว้ใจ ผมเลยต้องตีหน้าเหมือนไม่พอใจคนตรงหน้าอีกรอบ

“ผมจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในโทรศัพท์น่า… หรือถ้าคุณกลัวนักก็มาตามผมก่อนถึงเวลาแสดงสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ สถานที่จัดแสดงมันก็อยู่ใกล้แค่นี้”

“อย่าให้ฉันต้องลำบากขนาดนั้นเลย” เจ้าตัวตัดบท “เอาเป็นว่าเจอกันที่หลังเวทีเลยก็แล้วกัน อย่าให้ถึงขั้นต้องมาตามถึงนี่เลย ไม่ใช่เด็กๆ แล้วสักหน่อย”

“เข้าใจแล้วน่า” ผมพูดตัดบทและอีกฝ่ายค่อยๆ ผละออกจากห้องไป

พอได้อยู่ในห้องเงียบๆ คนเดียวความประหม่าและความกดดันก็ค่อยๆ เข้ามาครอบงำในจิตใจผม ผมสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกเพื่อผ่อนคลายตัวเอง

ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาบีบนิ้วนิดหนึ่ง จินตนาการถึงเพลงที่ซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่าซ้ำไปซ้ำมาในหัว ผมยกมือขึ้นกลางอากาศตรงหน้า ทำท่าราวกับจะพรมมันลงบนคีย์เปียโนที่มองไม่เห็น เปิดเพลงที่อัดเอาไว้ในโทรศัพท์ จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับนิ้วตามเสียงเพลงเหล่านั้น การจะทำแบบนี้ได้ ต้องแน่ใจว่าคุณไม่อยู่ในที่ที่ใครมองเห็น หรืออย่างน้อยต่อให้เห็น คนคนนั้นก็ควรจะเป็นนักเปียโนเหมือนกัน ไม่งั้นเขาอาจหาว่าคุณบ้าได้

ผมฟังเสียงเพลงนั้นซ้ำไปมาอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง ความกดดันก็ถาโถมลงมาราวกับเงาตามตัว การแข่งครั้งนี้ไม่ใช่ระดับเล็กๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา คู่แข่งของผมที่ดูผ่านตามาก็มีฝีมือทั้งนั้น… นี่ยังไม่นับเอ็ดการ์อีกนะ ยิ่งได้ฝึกซ้อมกับหมอนั่นแทบทุกวันยิ่งรู้ว่าเจ้าตัวมีฝีมือมากแค่ไหน ดีไม่ดี หมอนี่เนี่ยแหละ ตัวเก็งที่น่ากลัวอีกคน แต่ถ้าให้คิดในแง่ที่ว่ามันเป็นการแข่งขัน… ก็น่าสนุกดี ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าตัวเองจะไปได้ไกลถึงขั้นไหน

แต่ตอนนี้… ต้องมาอุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้เงียบๆ คนเดียวก็ทำเอาฟุ้งซ่านเหมือนกันแฮะ ออกไปเดินเล่นสูดอากาศสักหน่อยดีกว่า ยังไงก็ยังเหลืออีกตั้งหลายชั่วโมงก่อนถึงเวลาแสดง

ผมเดินออกมาจากล็อบบี้โรงแรม ล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่ง ตอนนี้ผมอยู่ในชุดลำลองที่เคลื่อนไหวสะดวก เสื้อยืดแขนยาวสีพื้นที่มีคำอะไรบางอย่างติดอยู่ตรงแถบหน้าอก ไอ้เรื่องจะให้ผมแต่งตัวเนี้ยบตลอดเวลาแบบไมเคิลน่ะ ทำไม่ได้หรอก แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นขนาดนั้นด้วย แค่ตอนขึ้นแสดงใส่เสื้อผ้าดีๆ ก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง ส่วนชีวิตประจำวันผมจะแต่งอะไรมันก็เรื่องของผม พวกคณะกรรมการคงไม่เอาตรงนี้ไปคิดคะแนนหรอกน่า

ตรงหน้าของผมตอนนี้คือสวนที่อยู่บริเวณด้านหลังของโรงแรม ไม่น่าเชื่อเลยว่าในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน และรถมากมายมหาศาลบนท้องถนนจะมีสวนที่ดูร่มรื่นและเงียบสงบอยู่ด้วย โรงแรมนี้จัดแต่งซะดูดีเชียว ไม่เลวๆ ค่อยคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหน่อย

ผมเดินลากขาไปที่บริเวณน้ำพุตรงกลางสวนอย่างสนใจ มันถูกทำมาจากหินอ่อนสีขาวสะอาดและถูกสลักลวดลายอย่างประณีตงดงาม บางทีการเสพอะไรสวยๆ งามๆ ก็เป็นการหาแรงบันดาลใจที่สำคัญของนักดนตรีอย่างหนึ่งเหมือนกันนะครับ

ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนก้าวเท้ามาทางด้านหลังของผมอย่างเงียบงัน จากหางตา ผมเห็นเงาของใครสักคนอยู่ที่ด้านหลัง จากนั้นแรงกระแทกหนักๆ ก็กระทบลงบนหลังคอผม แล้วภาพทุกอย่างตรงหน้าก็ค่อยๆ ดับวูบลงราวกับโทรทัศน์ที่ถูกกระชากปลั๊กไฟออกอย่างกะทันหัน

ชิบหายล่ะ… ผมคิดกับตัวเองก่อนที่สติทั้งหมดจะค่อยๆ หายไปจากตัว นี่จะได้ไปขึ้นเวทีแสดงไหมเนี่ย






….

ผมรู้สึกตัวอีกทีและค่อยๆ ลืมตาขึ้น

อื๊อ? ลืมตาไม่ขึ้น…? อ้อ ใช่แล้ว มีผ้าผืนหนาปิดตาผมอยู่นี่เอง…

ผมพยายามขยับตัว รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่หลังคอซึ่งยังปวดแปลบอยู่ สงสัยว่าตรงบริเวณที่โดนฟาดลงมาเลือดออกรึเปล่า แต่ขอเดาว่าคงออก… เพราะมันยังรู้สึกแสบๆ อยู่เลย ถึงแม้จะไม่รู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆ ที่ว่านั่นเลยก็เถอะ แผลคงแห้งไปแล้ว แต่เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง…

นี่… ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย?

“เฮ้อ ให้ตายสิ… เป็นนายอีกแล้วเหรอเนี่ย อุตส่าห์คิดว่าไม่อยากจะต้องยุ่งกับพวกคอลลินส์อีกแล้วแท้ๆ เชียว”

อื๊อ? เสียงนี้มัน… คุ้นชะมัด

“เออ ใช่ แล้วก็แผลที่หลังคอนายน่ะ ฉันทำให้แล้วนะ ส่วนไอ้สร้อยคอไม้กางเขนนี่ของนาย… มันเกะกะตอนทำแผลน่ะ ก็เลยเอาออก คิดว่านายคงไม่ต้องการมันแล้ว ก็เลยโยนทิ้งไปแล้วล่ะ” เสียงกลั้วหัวเราะนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ผมเริ่มขยับตัวขยุกขยิกแล้วก็ค้นพบว่าตัวเองถูกมัดมือทั้งสองข้างไพร่หลังติดกับเสาด้านหลัง นี่คนพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นอะไร ผู้ร้ายในหนังมาเฟียเรอะ? ทำไมไม่มีใครคิดจะจับตัวประกันไปไว้ที่ที่ดีกว่านี้บ้าง หรืออย่างน้อยก็สบายก้นกว่านี้ พื้นคอนกรีตนี่โคตรแข็งเลย

เออ แต่คิดอีกแง่หนึ่ง… ถ้าแม่งจับผมไปไว้บนเตียงนั่นก็น่ากลัวไปอีกแบบ

“เฮ้ เอาสร้อยนั่นมานะ” ผมพูดออกไปอย่างไม่ทันคิดอะไร แต่ตอนนี้ผมว่าผมรู้แล้วว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร “นายน่ะ… จาฟาร์ใช่ไหม”

“โอ้โหเฮะ ไอ้หนูนี่ความจำดีแฮะ” เสียงนั้นพูดขึ้นอย่างเริงร่า ผมรู้สึกได้ว่าชายคนนั้นกำลังย่ำฝีเท้าใกล้เข้ามาทางผม ถ้าฟังจากเสียงแล้วเดา ผมว่าห่างไปจากตรงนี้อีกหน่อย น่าจะมีคนอยู่อีกสัก 2-3 คนในอีกมุมหนึ่ง ก็คงเป็นพวกๆ มันนั่นแหละ

จาฟาร์เดินมากระชากผ้าที่ปิดตาของผมออก จากนั้นเจ้าตัวก็ส่งยิ้มแสยะให้อย่างน่าขนลุก หมอนี่ยังดูเหมือนเดิม ตั้งแต่คราวก่อนที่มันลากผมขึ้นรถไปเพราะเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นโลแกน ยกเว้นรอยแผลที่อยู่บนใบหน้า มันลากยาวตั้งแต่หางคิ้วพาดผ่านแก้มด้านซ้ายจนเกือบถึงมุมปาก ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเผลออ้าปากค้างกับรอยแผลที่ดูลึกนั่น แม้ว่ามันจะแห้งไปนานมากแล้วก็ตามแต่ก็ยังดูน่าสยดสยองอยู่ดี เจ้าตัวหุบยิ้มของตัวเองลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกแทน

“ตกใจล่ะสิ… อยากรู้ไหมล่ะว่าใครเป็นคนฝากแผลนี่ไว้บนหน้าฉัน”

“ละ… โลแกนเหรอ?” ผมสะดุ้ง หลุดชื่อของน้องชายตัวแสบออกมาอย่างเผลอตัว

“เออสิ!” พูดพลางมือหนากระชากคอเสื้อผมขึ้นไปนิดหนึ่ง ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอดังอึก ถึงลึกๆ จะสะใจไม่น้อยกับสิ่งที่โลแกนทำกับคนตรงหน้าก็เถอะ “ไอ้เด็กนรกเวรนั่น! ฉันเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดจากมัน…”

“เหรอ” ผมยกยิ้มอย่างสะใจ ลืมความกลัวทั้งหมดไปชั่วขณะ “น่าเสียดายนะที่มันไม่ฆ่านายน่ะ”

ผัวะ!

หมัดหนักๆ กระแทกลงบนหน้าผมอย่างจัง ผมหลับตาแน่น รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก จากนั้นเลือดอุ่นๆ ก็หยดลงมาจากมุมปากของผม

“ปากดีนักนะ ลูคัส คอลลินส์” อีกฝ่ายคลี่ยิ้มเย็นน่าขนลุก แล้วอยู่ๆ ผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้

หมอนี่รู้ว่าเราคือลูคัส ไม่ใช่จับตัวผิดเพราะคิดว่าเราเป็นโลแกนแบบตอนนั้น

ความคิดนั้นทำให้ผมต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออีกรอบ มันหนืดมาก และผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก… อีกแล้ว

ไม่สิ มันอาจจะแย่กว่าครั้งก่อนอีก

“สมแล้วจริงๆ ที่เป็นแฝดไอ้เวรนั่น”

“นายคิดจะทำอะไร” ผมพยายามควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่น สิ่งสุดท้ายที่คุณควรทำต่อหน้าศัตรูก็คือแสดงความอ่อนแอออกมาให้อีกฝ่ายเห็น “คิดจะใช้ฉันเป็นเหยื่อล่อโลแกนออกมาเหรอ? แผลที่หน้านั่นยังไม่พอใช่ไหม? อุบ!!”

ผมงอตัวลงไปทันทีที่อีกฝ่ายกระแทกฝ่าเท้าลงมาบนลำตัวผม มันกระเทือนไตอย่างแรงจนผมต้องไอแรงๆ ออกมา เลือดจำนวนหนึ่งกระเซ็นออกมาจากริมฝีปากผม คาวเป็นบ้าเลย

“เสียใจด้วยว่ะ ลูคัส คอลลินส์” ฝั่งนั้นแสยะยิ้มขึ้นมาช้าๆ “ครั้งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับโลแกน… อีกอย่าง ฉันได้ยินมาว่าหมอนั่นช่วงนี้หายตัวเข้ากลีบเมฆไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ค่อยก่อเรื่อง ไม่ค่อยอาละวาดเหมือนเมื่อก่อน… ได้ยินมาว่าไม่ค่อยมีน้ำยาแบบแต่ก่อนแล้ว”

ผมหัวเราะหึๆ ออกมาจากลำคออย่างไม่เข็ดหลาบ

“ดูเหมือนว่าคนส่งข่าวของนายจะทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไรนะ”

“หุบปากสักทีเถอะว่ะ” พูดพลางเจ้าตัวยกบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่ง จุดไฟแช็กแล้วสูบ พ่นลมสีขาวออกมาจากปาก “แต่แกน่าจะเสียใจมากๆ หน่อยนะ คอลลินส์คนพี่ เพราะอย่างน้อยถ้าแกเป็นตัวประกันหรือตัวล่อเพื่อให้โลแกนออกมา อย่างน้อยเราก็คงต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยของแกบ้าง อาจจะไม่ทำอะไรรุนแรง”

ผมรู้สึกใจเต้นรัวขึ้นมาด้วยความกลัวและสับสน สมองวิ่งเร็วจี๋เพื่อประมวลผลในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ตอนแรกผมฟันธงไปแล้วว่าตัวเองซวยเพราะโลแกนและงานบ้าบอของมันอีกจนได้… แต่พอจาฟาร์พูดมาแบบนี้ ผมก็ชักไม่แน่ใจแล้ว ชีวิตผมก็ไม่ได้ทำอะไรให้ไปพัวพันกับพวกมาเฟียหรืออะไรอย่างนั้นสักหน่อย แล้วถ้าไม่ใช่เพราะโลแกน… ผมจะโดนจับมาเพราะอะไรล่ะ?

“ฉันไม่รู้จัก… พี่น้องรอยล์” ผมพูดอย่างสับสน แต่มั่นใจว่าตัวเองจำชื่อมาเฟียที่คุมอยู่แถบนี้ที่โลแกนเคยบอกอยู่ได้ไม่ผิด จาฟาร์ส่งเสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนออกมา จากนั้นก็สูดนิโคตินเข้าร่างกายอีกรอบแล้วผ่อนลมออก

“มันก็แน่อยู่แล้ว ลูคัส คอลลินส์ ถ้าไอ้นักเปียโนเห่ยๆ อย่างนายรู้จักกับรอยล์ขึ้นมา… ฉันว่าอันนั้นน่ะแปลกกว่าอีก”

“งั้นนายจับฉันมาทำไม” ผมถามอย่างสับสน สะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายขยี้ก้นบุหรี่ลงบนเสาด้านหลังผม มันเฉี่ยวหน้าผมไปเพียงไม่กี่เซนฯ ผมยังรู้สึกได้ถึงความร้อนของมวนบุหรี่นั่นอยู่เลย

“นายรู้จักเจสัน คอร์เนอร์ไหม คอลลินส์”

“เจสัน คอร์เนอร์…” ผมพึมพำตาม “พ่อของเอ็ดการ์ คอร์เนอร์…?”

“ใช่แล้ว” จาฟาร์แสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันทองที่อยู่ภายใน “น่าเสียดายนะ ที่เขาบังเอิญรู้จักกับรอยล์คนน้อง”

ผมหน้าซีดเผือดลงทันทีเมื่อสมองรับรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอก

“ลูกชายของคอร์เนอร์น่ะ อยากชนะรางวัลนี้มากเลยนะ” เจ้าตัวว่าขณะดึงเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ มาวางลงข้างๆ ตัวผม “แต่ว่า… ดูเหมือนว่านายจะขวางทางเขาว่ะ”

 จากนั้นเจ้าตัวก็เอื้อมมือไปแก้มัดมือผมออกมาข้างหนึ่ง แค่ข้างซ้ายข้างเดียว จากนั้นก็เอาไปวางลงบนเก้าอี้ไม้พื้นเรียบตัวนั้น หยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมาถือในมืออีกข้าง ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวขึ้นด้วยความกลัว รู้เลยว่าเจ้าตัวต้องการจะทำอะไรกับนิ้วของผม

ผมออกแรงดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ แต่แน่นอนละว่ามันไม่ช่วยให้มือของผมหลุดรอดไปจากแรงตรึงของคนตรงหน้าได้ ผมรู้สึกได้ว่าหางตาของตัวเองร้อนขึ้น น้ำตารื้นขึ้นมาคลอหน่วย ผมยอมเสียขาข้างหนึ่งดีกว่าต้องเสียนิ้วเพียงนิ้วเดียว… มันเป็นยิ่งกว่าชีวิตของผม

“ยะ… อย่า…” ผมไม่สามารถควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นอีกต่อไปได้อีกแล้ว “ได้โปรด… ได้โปรดเถอะ นิ้วของผม…”

“โทษทีว่ะ” คนตรงหน้าผมยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ราวกับเขาตัดนิ้วคนมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยครั้ง “แต่งานก็คืองาน ขอแนะนำให้นายหลับตาซะไอ้หนู มันเจ็บแค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ”

ใครก็ได้… ได้โปรดเถอะ ช่วยผมที… โลแกน ได้โปรด

“อย่า… อย่า… อย่า!!!!”

ฉึก!

ของเหลวสีแดงสาดไปทั่วทั้งเก้าอี้ไม้ตัวนั้น ส่วนหนึ่งของมันกระเซ็นมาเปื้อนเสื้อ

นิ้วก้อยข้างซ้ายของผมหลุดออกไปจากมือผมแล้ว



-----------------------------------
Talk: อุบบส์ เลือดสาด....
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 46) P.6 [4/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 04-04-2017 20:40:39
wat!!!!!!  โหดร้ายยยยยยยยยย  นั่นมันทั้งชีวิตของเขาเลยนะเว้ยยยยยยย ไอ้เวรนี่มันจะต้องไม่ตายดี!!  ฆ่ามัน!!!!  :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 46) P.6 [4/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-04-2017 22:54:24
นิ้วก้อยถูกตัด แล้วลูคัส จะเล่นเปียโนยังไง
อยากให้ลูุกชนะถึงกับตัดนิ้วคู่แข่งเลยหรอ ทำเกินไปปะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 46) P.6 [4/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 05-04-2017 16:16:46

บทที่ 47

(Mode: Lucas Collins)




“อะ… อ่า…” ผมพูดเสียงสั่นขณะที่มองมือของตัวเองเหลือเพียงสี่นิ้วในตอนนี้ เลือดสีแดงฉานอาบไปทั่วทั้งบริเวณนั้น เก้าอี้ไม้ตัวสวยตอนนี้เต็มไปด้วยเลือด ชโลมอาบไปทั่วจนผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในฉากหนังสยองขวัญสักเรื่อง เพียงแต่เรื่องนี้คงมีตัวแสดงหลักเป็นผมเอง “อ่า… อ่า!!!!”

ผมคิดอะไรไม่ออกอีกต่อไปแล้ว รู้สึกราวกับสมองทุกส่วนหยุดทำการลงชั่วคราว ทุกอย่างขาวโพลน มีเพียงความคิดเดียวที่ทะลุเข้าหัวมาในวินาทีนั้น

ฉันเล่นเปียโนไม่ได้อีกแล้ว ฉันเล่นเปียโนไม่ได้อีกแล้ว ฉันเล่นเปียโนไม่ได้อีกแล้ว...

เสียงกระสุนนัดหนึ่งดังมาให้ผมได้ยินดังเปรี้ยง! จากนั้นก็ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากชายที่อยู่ตรงหน้าผม

เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งใกล้เข้ามา จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฝ่าเท้ากระทบลงบนผิวเนื้อของจาฟาร์อย่างแรง เลือดสีแดงสาดกระเซ็นออกมาจากปากแผลที่อยู่ตรงบริเวณหน้าท้องที่กระสุนฝังใน

โลแกนก้าวนั่นเองที่เป็นคนกระทืบเท้าลงบนปากแผลนั้นย้ำไปมา ขยี้ปลายเท้าของตัวเองตรงปากแผลนั้นซ้ำๆ มองคนที่นอนพังพาบอยู่ที่พื้นราวกับมองตะไคร่น้ำโสโครก

“ฉันจะยังไม่ฆ่าแกหรอก” ชายหนุ่มพูดด้วยสายตาวาววาบ ปรายตามองคนที่ดิ้นทุรุนทุรายอยู่บนพื้นก่อนจะผละมาที่ผมอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ราวกับหลังเท้าเป็นหน้ามือ

“ลูคัส… ลูคัส”

ผมแทบไม่รับรู้ถึงการมาถึงของน้องชายฝาแฝดของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ภาพทุกอย่างตรงหน้ามันพร่ามัวไปหมดเพราะน้ำตากลบ ทั่วทั้งร่างสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด มือของผมยังคงวางอยู่ตรงนั้น บนเก้าอี้ไม้ที่เปรียบเสมือนแดนประหารของผม ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ราวกับถูกสาปให้อยู่ตรงนั้น

“ละ… โลแกน” ผมเพิ่งหาเสียงของตัวเองเจอ ไม่สามารถห้ามน้ำตาของตัวเองที่ไหลออกมาอาบแก้มได้ ผมช้อนสายตาขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสิ้นหวัง ทดท้อ ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะทั้งทางกายและทางใจ บางทีความตายอาจจะไม่เจ็บปวดขนาดนี้ด้วยซ้ำ “โลแกน… โลแกน…”

“ไม่เป็นไร ลูคัส ไม่เป็นไร” เจ้าตัวพูดกลับมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันเหมือนกับจะแตกสลายไปพร้อมๆ กับตัวผมอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าที่ผมมองเห็นผ่านม่านน้ำตาออกมา… ราวกับมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเอง

มันเจ็บปวด ทรมาน อยากจะหนีไปจากตรงหนีให้พ้นๆ อยากให้ทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องโกหก อยากจะสามารถย้อนเวลากลับไปได้ แค่คิดว่าผมจะเล่นเปียโนอีกต่อไปไม่ได้แล้ว หัวใจผมมันก็เจ็บแปลบไปหมด ไม่ดคยคิดเลยว่าในชีวิตจะต้องมารู้สึกเจ็บปวดอะไรถึงเพียงนี้

“ใจเย็นๆ ลูคัส ไม่เป็นไร ฉันอยู่นี่แล้ว”

“โล.. แกน…” ผมพูดอะไรไม่ออก ทำได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างสิ้นหวัง

โลแกนหยิบมีดสั้นขึ้นมาถือไว้ในมือจากนั้นก็เลื่อนมาตัดเชือกที่พันธนาการมืออีกข้างของผมกับเสาด้านหลังเอาไว้ ผมไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัวอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้โลแกนดึงมือข้างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของผมขึ้นไป รู้สึกได้เลยว่ามือของคนตรงหน้าสั่น และถ้าผมไม่ได้ตาฝาดไปเอง ผมรู้สึกว่าตัวเองเห็นโลแกนกำลังร้องไห้ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากตาของเขา

ไม่รู้ว่าทำไม แต่นั่นทำให้ผมร้องไห้หนักยิ่งขึ้น มันทำให้ผมรู้สึกเศร้ามากขึ้นไปอีก

“ฉัน… ฉันเล่นเปียโนอีกต่อไปไม่ได้แล้ว โลแกน” ผมพร่ำเพ้อคร่ำครวญ หยุดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างต่อเนื่องไม่ได้ “ฉันขึ้นแสดงบนเวทีไม่ได้อีกแล้ว เล่นเปียโนไม่ได้อีกแล้ว…”

“ไม่หรอก นายจะไม่เป็นไร เชื่อฉันสิ” โลแกนว่า เลื่อนมือที่สั่นเทาของตัวเองลงไปเปิดกระเป๋าใบเล็กที่ติดอยู่กับเข็มขัดกางเกง เพิ่งเคยเห็นหมอนี่อยู่ในชุดปฏิบัติการเต็มยศแบบนี้ มันก็ดูเหมาะกับเจ้าตัวดี คงจะดูดีกว่านี้ถ้าใบหน้าของชายหนุ่มไม่มีมีน้ำตาไหลกลิ้งลงมาบนแก้มแบบนั้น

“เมแกน… เมแกน” โลแกนหยิบกระจกเงาขนาดพกพาของตัวเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา วินาทีหนึ่ง ผมรู้สึกน้อยใจคนตรงหน้าขึ้นมาวูบ ผมจะเป็นจะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาส่องกระจกอีก หากวินาทีต่อมาผมก็ต้องตะลึง เพราะภายในกระจกไม่ได้สะท้อนเงาของโลแกนออกมาอีกแล้ว หากสะท้อนร่างของหญิงสาวคนหนึ่งออกมาแทน

ผม… คิดว่าผมเคยเห็นเจ้าหล่อนมาก่อนนะ…

“หืม? ว่าไงคะ น้องรัก” คนที่อยู่ในกระจกยิ้มตอบ “สีหน้าแบบนั้น… ดูไม่ดีเท่าไรเลยนะ โลแกน คอลลินส์”

พื้นหลังของหญิงสาวผมแดงตาแดงคนนั้นลุกโชนไปด้วยเพลิงไฟจำนวนมากขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ และเมื่อผมละสายตาออกมาจากกระจกบานนั้น ผมก็ต้องเห็นว่าไม่ใช่เพียงแค่ในกระจกเท่านั้น หากทั่วทั้งบริเวณโกดังโล่งที่ผมถูกพาตัวมานี่ก็เต็มไปด้วยเปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ มันโชติช่วงอยู่เป็นหย่อมๆ แต่แปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกร้อนอะไร หรือบางทีผมอาจจะไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้วก็ได้

ร่างของจาฟาร์ยังคงนอนโอดโอยอยู่ที่เดิม ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวยังมีลมหายใจ แต่ก็แผ่วมาก มองผ่านเลยไปอีก ผมเห็นศพของคนจำนวนมากนอนตายอยู่ แม้แต่ด้านหลังประตูที่ถูกแง้มเปิดออก ผมก็มองเห็นคนมากมายที่นอนกองอยู่กับพื้น บ่งบอกให้เห็นว่าโลแกนฝ่าคนพวกนั้นเข้ามาเพื่อมาให้ถึงตัวผม และเมื่อลองสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่าเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บจากการปะทะมาบ้างเหมือนกัน

นั่นสินะ… ก็น้องชายของผมเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น… ต้องสู้กับคนมากมายขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะเอาชนะได้โดยไม่บาดเจ็บอยู่แล้ว

แต่… ถ้าน้องผมเป็นคนธรรมดาจริง…

แล้วเปลวไฟที่ลุกท่วมอยู่ทั่วทั้งบริเวณนี่มันอะไรกัน แล้วไหนจะยังเขาที่งอกออกมาจากหัวทั้งสองข้างของหมอนี่อีก

นี่… ผมไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆ ใช่ไหม?

“ได้โปรด เมแกน” น้องชายฝาแฝดของผมสะอื้นออกมาเบาๆ “ได้โปรด… ช่วยผมด้วย”

“ช่วยนาย…” หญิงสาวลากเสียงยาว สีหน้ายิ้มๆ “หรือว่าช่วยพี่ชายฝาแฝดของนาย?”

“เมแกน ผมขอร้อง” ชายหนุ่มผมบลอนด์ทองพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ช่วยลูคัสด้วย ช่วยลูคัสที…”

“หืม… แล้วทำไมฉันจะต้องทำตามที่นายขอร้องด้วยล่ะ?”

“ผมยอม… ทำทุกอย่าง” ชายหนุ่มว่าต่อด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ “ทุกอย่าง”

“ก็ได้” หญิงสาวว่าในที่สุด “นายติดหนี้ฉันหนหนึ่งนะ น้องรัก”

ทันใดนั้นเอง หญิงสาวคนนั้นก็หายวับไปจากกระจกเงาตรงนั้น จากนั้นเจ้าหล่อนก็มาปรากฎอยู่ตรงหน้าพวกผมราวกับมีเวทมนตร์ ผมเบิกตากว้างขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเขาลักษณะเดียวกับของโลแกนอยู่บนศีรษะของเจ้าหล่อน

หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงเดินมา คุกเข่าลงตรงหน้าผมจากนั้นก็หยิบนิ้วที่ถูกหั่นสะบั้นออกไปขึ้นมาถือ ริมฝีปากโค้งเล็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ

“พวกนั้นเล่นซะหมดจดเลยสิเนี่ย แย่หน่อยนะ ลูคัส คอลลินส์”

“อะ… อะ…” ท่าทีไม่รู้สึกรู้สมอะไรของเจ้าหล่อนทำให้ผมขนลุก หากเจ้าหล่อนเพียงแค่ประกบนิ้วนั้นลงบนมือข้างซ้ายของผมอย่างอ่อนโยน เลื่อนมืออีกข้างขึ้นมาเหนือมือบริเวณนั้นของผม มีแสงสว่างสีส้มอ่อนคลุมอยู่ตรงบริเวณที่ถูกตัดขาดออกจากกันอยู่เมื่อครู่ ความอบอุ่นแผ่ซ่านอยู่รอบบริเวณที่แสงนั้นคลุมไปถึง และเมื่อหญิงสาวตรงหน้าเลื่อนมือออก นิ้วของผมก็กลับมาสมานกับมือข้างซ้ายของผมตามเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไหนลองขยับซิ” คนที่เพิ่งเอานิ้วมาต่อกันให้ผมสั่ง “เป็นไง? เหมือนเดิมเลยใช่ไหมล่า? ฝีมือระดับฉันแล้ว”

“ทะ… ทำไม” ผมละล่ำละลักออกมาอย่างไม่เข้าใจ นี่ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หรือว่าผมแค่กำลังฝันอยู่กันแน่? นี่มันเกิดอะไรขึ้น…

“เอาล่ะ โลแกน” เจ้าหล่อนลุกขึ้นยืนตามเดิม เสื้อผ้าของเจ้าตัวค่อนข้างวับๆ แวมๆ และเผยให้เห็นผิวเนื้อขาวเนียนด้านใน “นายติดหนี้ฉัน… อย่าลืมเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

“รู้แล้วล่ะน่า” โลแกนพูดตอบด้วยเสียงเหมือนคำราม จากนั้นเจ้าตัวก็เลื่อนมือมาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นยืนจากพื้น บอกตามตรง ผมยังรู้สึกเหมือนตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ทัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมยังรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน

ทันใดนั้นเอง ประตูที่ถูกแง้มอยู่เล็กน้อยก็ถูกเปิดผลัวะออกมา ร่างของเจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบโลแกนโดยตรงก้าวเข้ามา หน้าของผมซีดเผือดลงอย่างไม่ต้องสงสัย ผมจำผู้ชายคนนี้ได้ จอห์น แมคโดเวล… คนที่อยู่ในเอฟบีไอ คนที่โลแกนเป็นคนแนะนำให้ผมรู้จัก

“นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน” ชายหนุ่มผมเทาขมวดคิ้วมุ่น ผมหันไปมองหน้าโลแกนด้วยความหวาดหวั่น ทำตัวไม่ถูก รู้สึกกลัวแทนน้อยชายฝาแฝดของตัวเองขึ้นมาทันที

อีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ… แล้วหมอนี่เพิ่งฆ่าคนไปเป็นเบือขนาดนั้น ถึงคนที่มันฆ่าไปจะเป็นไม่ดียังไง แต่การฆ่าคนโดยพลการแบบนั้นมัน…

หากชายหนุ่มคนนั้นกลับทำให้ผมแปลกใจโดยการควักปืนขึ้นมาแล้วเลื่อนมันไปลั่นไกใส่สมองซีกซ้ายและขวาของจาฟาร์ที่นอนพังพาบอยู่ที่พื้นจนถึงเมื่อครู่ แต่ตอนนี้… ชายคนนั้นคงตายไปเรียบร้อยแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

“เนท!!!” น้องชายฝาแฝดของผมตะโกนขึ้นมาอย่างหัวเสีย “นายจะฆ่าหมอนั่นทำไม!!? ฉันอุตส่าห์ตั้งใจจะเอาตัวมันไปทรมานแท้ๆ!!”

หืม? เนทเหรอ? แต่ตอนที่โลแกนแนะนำผมให้รู้จักกับอีกฝ่าย ไม่ใช่ชื่อนี้นี่…

ทันใดนั้นเอง ชายสูงวัยที่เส้นผมเกือบขาวไปทั้งหัวก็หายไป มีชายหนุ่มที่ดูอยู่ในวัยเพียงยี่สิบปลายๆ เข้ามาแทนที่ เส้นผมสีดำสนิทปกคลุมทั่วทั้งหัว นัยน์ตาหลังกรอบแว่นวงรีสีชาเยือกเย็นและนิ่งสงบ ริมฝีปากของเจ้าตัวเป็นเส้นตรงไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ที่สำคัญไปกว่านั้น… ผู้ชายคนนี้ก็มีเขางอกออกมาจากหัวเหมือนโลแกนแล้วก็ผู้หญิงผมแดงอีกคนเหมือนกัน

“เอาตัวมันไปทรมานเหรอ?” คนที่โลแกนเรียกว่าเนทยกยิ้มหมิ่น ดูถูกอย่างไม่ปิดบัง “เดี๋ยวนี้นายทำตัวต่ำแบบพวกมนุษย์ขนาดนั้นแล้วเหรอวะ โลแกน อย่าลืมสิว่าเรามีหน้าที่แค่ฆ่าเท่านั้น อย่าทำตัวเหลวไหลงี่เง่าไปหน่อยเลย”

“ไอ้หมอนี่มันตัดนิ้วลูคัส!!” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวและนั่นทำให้นัยน์ตาคู่คมของบุรุษที่เพิ่งก้าวเข้ามาตวัดกลับมามองที่ผม กวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับจะประเมิน

“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าอย่าเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน” คำพูดนั้นทำให้โลแกนสะอึก ใบหน้าร้อนขึ้นเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนมในห้องเรียน “แล้วนายมัวแต่ทำอะไร… งานของนายกำลังจะเริ่มในอีกไม่ถึงชั่วโมง รู้ตัวบ้างรึเปล่าว่านายกำลังจะทำให้ทุกอย่างพังไม่เป็นท่า”

“แหม ไม่น่าเชื่อ เราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย” หญิงสาวผมแดงที่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดน่าจะชื่อเมแกนพูดขึ้นอย่างไม่สนใจบรรยากาศมาคุนั้น หล่อนคล้องแขนข้างหนึ่งของโลแกนและอีกข้างของเนทไว้แน่น ใบหน้ามีรอยยิ้มกว้างขวาง แม้ว่าบริเวณโดยรอบของพวกเราทั้งหมดจะลุกโชนไปด้วยไฟจำนวนมหาศาลก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนทั้งหมดอนาทรร้อนใจแต่อย่างใด “ดีใจจัง… นี่ถ้าท่านพ่อโผล่มาด้วยอีกคนคงครบทั้งครอบครัวพอดี”

“อย่ามัวแต่พูดอะไรไร้สาระหน่อยได้ไหม” โลแกนขมวดคิ้ว แกะมือออกจาการจับกุมของหญิงสาวแล้วเดินมากระตุกแขนผมเบาๆ “มาเถอะ ลูคัส นายต้องรีบไปขึ้นเวทีแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน”

“โลแกน แล้วงานของนาย…” ชายหนุ่มสวมแว่นขมวดคิ้วมุ่นขึ้น

“รู้แล้วล่ะน่า! ผมจะรีบไป เนท ผมฝากพาลูคัสไปส่งด้วย ผมต้องรีบไปทำงานแล้ว”

“ฉันไปดูการแสดงเปียโนของลูคัสหรือดูโชว์ของโลแกนดีน้า” เมแกนว่ายิ้มๆ ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากอย่างครุ่นคิด

“เธอน่ะ กลับนรกไปได้แล้ว” เนทตอบกลับอย่างไม่ใยดี

ทันใดนั้นเอง ระหว่างที่พวกเรากำลังเดินออกจากโกดังแห่งนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าบนร่างกายจะมีร่องรอยบ่งบอกว่าถูกยิงก็ตาม ชายคนนั้นเงื้อมีดเล่มหนึ่งเหนือร่างของโลแกน

ผมเบิกตากว้าง สมองในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากกระชับมีดสั้นที่อยู่ในมือแน่นขึ้น มันเป็นมีดเล่มเดียวกับที่โลแกนใช้ตัดเชือกแล้วยื่นมาไว้ให้ผมแบบไม่ได้คิดอะไร

ผมเสือกมีดเล่มนั้นลงบนร่างของชายที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทิ่มแทงลงบนตำแหน่งเดิมที่เจ้าตัวมีรอยแผลจากการถูกยิง จากหางตา ผมเห็นโลแกนและคนอีกสองคนที่เหลือหันมามองอย่างตกตะลึง มีดในมือได้กินเลือดสมใจตามที่ผมบังคับมัน ปลามแหลมแทงทุละผ่านเนื้อผ้าลึกเข้าไปจนถึงผิวเนื้อและทำให้เลือดทะลักออกมาราวกับน้ำพุ

ผมชักมือออก มองของเหลวสีแดงที่อาบอยู่บนมือทั้งสองข้างของตัวเอง วินาทีนั้นราวกับภาพเหตุการณ์เมื่อสิบสี่ปีก่อนย้อนกลับเข้ามาในหัว เติมเต็มช่องว่างที่หายไปมานานแสนนาน ช่องว่างที่ผมคิดว่าตัวเองลืมไปแล้วกลับมาโลดแล่นอยู่ในหัวอย่างแจ่มชัด ราวกับมันเพิ่งขึ้นเมื่อกี้

ไม่จริง… สัมผัสนี่…

สัมผัสที่อยู่บนฝ่ามือนี่

“อะ… อะ….?” ผมยกมือที่อาบไปด้วยเลือดขึ้นมา มันสั่นเทาทีเดียว วินาทีแรกที่ผมรับรู้ เหมือนมีอะไรบางอย่างหนักๆ มาทุบเข้าที่หัว จากนั้นความเข้าใจ ความทรงจำทุกอย่างก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวราวกับน้ำหลาก ไม่ว่าอะไรก็หยุดมันไม่ได้อีกแล้วตอนนี้

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบบนแก้มทั้งสองข้าง เงยหน้าขึ้นไปมองน้องชายฝาแฝดของตัวเองอย่างสับสน

“ทำไม… นายต้องโกหกฉันด้วย” เสียงของผมสั่นเครือ แต่ผมก็ยังรีดเค้นให้คำพูดออกมาจากลำคอ มันยากลำบาก เหมือนมีอะไรมากรีดลงที่กลางใจ แต่ผมก็ยังพูดมันออกไป“ที่นายบอกว่านายเป็นคนฆ่าพ่อ ในเมื่อ...”

โลแกนเม้มริมฝีปากแน่นขึ้น มือกำหมัดแน่น นัยน์ตาสีฟ้าคู่คมจ้องมองตาผมไม่หลบ ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่อยู่บนพวงแก้ม จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงเต็มทน

“ฉันต่างหาก… ที่เป็นคนฆ่าพ่อ”




--------------------------------
Talk: อุ้ย... คดีพลิก O_O
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 47) P.6 [5/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 06-04-2017 07:08:31
สงสารลูคัส  :hao5:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 47) P.6 [5/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 06-04-2017 09:52:28
ยังมีอะไรพีคๆเพิ่มอีกไหมคะ ต่อไปนี่คงต้องบอกลูคัสแล้วใช่ไหมว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดา  :hao4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 47) P.6 [5/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 06-04-2017 17:45:57

บทที่ 48

(Mode: Lucas Collins)




วันนั้นเป็นวันเกิดครบรอบหกขวบของพวกเราสองคน เค้กที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารดูน่ากินยิ่งกว่าปีไหนๆ หรือไม่บางทีมันก็อาจจะเหมือนๆ กันทุกปีนั่นแหละ เพียงแต่ความเด็กของผมทำให้แยกมันไม่ออก

ผมเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านพร้อมกับโลแกนด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ถูกใจกับสร้อยคอไม้กางเขนที่น้าลิซ่าเพิ่งให้พวกเราสองคนมา แต่ดูโลแกนจะไม่ถูกใจของขวัญชิ้นนี้เท่าไรนัก เจ้าตัวแค่มองๆ มันนิดหนึ่ง ถอดมันออกมาจากคอแล้วขมวดคิ้ว แต่เมื่อเจ้าตัวเอาไม้กางเขนที่ว่าห้อยหัวลง รอยยิ้มเล็กๆ ก็ปรากฎขึ้นบนมุมปาก เป็นคนที่เพี้ยนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หมอนี่

พวกเราสองคนไม่ได้กินเค้กในวันนั้น สิ่งที่ผมจำได้ต่อจากนั้นก็คือร่างของแม่ที่ลงไปนอนกองกับพื้น ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ไหวติง ไม่… แม้แต่จะหายใจ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นความตายอยู่ตรงหน้า ต่อหน้าต่อตา และมันทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่น

โลแกนคือคนที่ตั้งสติได้ก่อนผมในตอนนั้น มือเล็กๆ ของเจ้าตัวคว้ามือของผมให้ถอยห่างออกมาจากพ่อที่ย่างเท้าสาวขุมเข้ามาทางพวกเรา

ผมรับรู้ได้ถึงความกลัวของตัวเองที่กุมไปทั้งหัวใจ แต่จะกลัวแค่ไหน สิ่งที่ผมทำก็คือกางแขนทั้งสองข้างออกเพื่อกันโลแกนเอาไว้ด้านหลัง ไม่สนว่าขาทั้งสองข้างจะสั่นเทาเสียจนจะยืนแทบไม่ไหว ไม่สนว่าแขนที่กางออกมาจะสั่นจนเหมือนจะตกลงข้างตัวได้ทุกเมื่อ

ผมต้องปกป้องน้อง… น้องชายของผม ผมสัญญากับแม่ไว้แล้ว

ผัวะ!

“อึ้ก!!” หมัดหนักๆ กระแทกลงบนหน้าท้องของผมจนตัวงอ จากนั้นก็ตามมาด้วยแรงกระแทกบนใบหน้า อยากจะตะโกนร้องบอกโลแกนให้วิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ แต่ความจุกก็ทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก เลือดจำนวนหนึ่งไหลออกมาจากปากที่แตกของผม จากนั้นร่างของผมกระพุ่งไปกระแทกกับฝาบ้านด้านข้างด้วยแรงเหวี่ยงอย่างแรง รู้สึกไปทั่วทั้งร่าง

“หยุดนะ!!” โลแกนกรีดร้อง จากนั้นก็หยิบมีดบนพื้นขึ้นมาถือบนมือแล้วเริ่มต่อสู้กับชายหนุ่มผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง หมอนั่นสามารถสร้างบาดแผลให้ชายตรงหน้าได้ด้วยอาวุธในมือ แต่แรงของเด็กตัวเล็กที่สูงไม่ถึงเอวของคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำจะไปชนะได้อย่างไร

“แก!!!!” เสียงของชายคนนั้นกรีดร้องลั่นอย่างบ้าคลั่งขณะที่ทุ่มร่างเล็กๆ ของน้องชายผมลงบนพื้น “แก… แกคิดจะฆ่าฉันเหรอ!!!?? ไอ้ลูกทรพี!!!”

“อั่ก!!” โลแกนดิ้นพล่านอย่างทรมานเมื่อมือแกร่งบีบรัดลำคอของตัวเองอย่างแรง มัดกดปิดหลอดลมของเจ้าตัวจนไม่สามารถสูดอากาศเข้าร่างกายได้อีกต่อไป ผมยังจำได้ดีตอนที่หน้าของหมอนั่นเริ่มเปลี่ยนสีคล้ำขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงได้มีแรงเยอะขนาดนี้กันนะ… ทั้งๆ ที่โลแกนก็แทงเจ้าตัวลงบนสีข้างไปแล้วรอบหนึ่งแท้ๆ

หากเลือดที่ไหลออกจากชายคนนั้นเป็นสิ่งที่ผมเห็นผ่านตา อย่างเดียวที่ผมให้ความสนใจคือสีหน้าที่ทรมานขึ้นเรื่อยๆ ของโลแกนและมีดทำครัวที่ตกอยู่ห่างไปไม่ไกล ผมรู้ว่าถ้าปล่อยไว้นานกว่านั้น น้องชายผมคงต้องขาดใจตายแน่ ผู้ชายคนนี้ฆ่าแม่มาได้คนหนึ่งแล้ว นับอะไรกับการฆ่าเด็กตัวเล็กๆ เพิ่มอีกสักคนสองคน

วินาทีนั้น… ไม่มีอะไรอยู่ในหัวของผมเลย นอกจากความคิดที่ว่าต้องช่วยโลแกน

ผมคว้ามีดที่อยู่บนพื้น แทงซ้ำลงตรงแผลเดิมที่โลแกนทิ้งไว้บนร่างของชายคนนี้ หากคราวนี้ผมจ้วงปลายคมของมีดให้กินเนื้อเข้าไปลึกขึ้น

ผมได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของผู้ชายคนนั้น มันชัดเจน แต่ก็เหมือนดังมาจากที่ไกลๆ ผมผละมีดออกมาจากร่างของชายคนนั้น สัมผัสที่ติดอยู่ที่ฝ่ามือยังตราตรึงอยู่ตรงนั้น ผมยังจำมันได้ดี วินาทีที่อาวุธในมือทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อหนังนั้น

ผมปล่อยมีดตกจากพื้น มองคนตรงหน้าทรุดฮวบลงไปและค่อยๆ แน่นิ่งลง

ผมถอยกรูดไปหลังติดกับผนังห้องก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลง เข่าอ่อน หายใจหอบระรัวราวกับเพิ่งวิ่งมาเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง เสี่ยงหอบหายใจของตัวเองดังและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ผมยกมือขึ้นมามองเลือดที่อยู่บนมัน เลือดพวกนั้นย้อมให้มือของผมเป็นสีแดงฉานราวกับไปจุ่มถังสีมา แต่ถังสีไม่มีกลิ่นคาวเลือดแบบนี้

มือของผมสั่นเทามากขึ้นเรื่อยๆ มันมาพร้อมกับความหนาวเย็นที่เข้ามาเกาะกุมหัวใจ มันทำให้ร่างของผมสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ รู้สึกหนาวไปจนถึงกระดูก ทั้งๆ ที่อากาศตอนนั้นก็ไม่ได้เย็นอะไรเลยแท้ๆ

“ลูคัส” โลแกนที่ตั้งสติได้แล้วลุกขึ้นมาจากพื้น เดินมาหาผมด้วยสีหน้าเป็นปกติแม้จะยังหอบหายใจน้อยๆ เพราะโดนบีบคอไปเมื่อครู่

ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าตัว หากยกแขนที่มีเลือดเปรอะเต็มไปหมดขึ้นกอดเข่าที่ชันขึ้นมา หนาวเหลือเกิน และมันกำลังทำให้ผมทรมาน

“นายทำได้เยี่ยมไปเลย ลูคัส!” น้ำเสียงของเจ้าตัวร่าเริงเกินเหตุ แต่ผมไม่รับรู้อะไร “ฆ่าหมอนั่นไปจนได้ ให้ตายสิ… เมื่อกี้น่ะ เกือบไปแล้วแท้ๆ เลย โชคดีนะที่นายจัดการหมอนั่นก่อน... เฮ้ ลูคัส เป็นอะไรไปน่ะ  ทำไมหน้าซีดไปแบบนั้น?”

“ฉัน… ฆ่าพ่อไปแล้ว….?” ผมพึมพำกับตัวเอง ยกมือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมากุมหัวราวกับคนเสียสติ “ผู้ชายคนนั้น… ตายไปแล้ว… ?”

“อ้อ ก็ใช่น่ะสิ” โลแกนว่าพร้อมกับหัวเราะร่วนอย่างถูกใจ ทันใดนั้นเองบ้านของผมก็ลุกโชนไปด้วยสีแดงเพลิงที่ผุดขึ้นมาเป็นหย่อมๆ

ไฟที่ว่านั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกร้อน ไม่รู้ว่าเพราะมันเป็นเพียงภาพลวงตาหรือเพราะจิตใจของผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ชายคนหนึ่งในชุดสูทก้าวออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มบางๆ อย่างพึงพอใจ โลแกนอุทานออกมาอย่างยินดีก่อนจะถลาเข้าไปกอดขาชายหนุ่มตรงหน้าแน่น

“ท่านพ่อ!” เจ้าตัวว่าด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วด้วยความดีใจ “มาหาผมแล้วเหรอ ยอมมาหาผมแล้วใช่ไหม”

“ไง ไอ้ตัวเล็ก” ชายในชุดสูท… ผู้ที่มีเขางอกออกมาจากศีรษะทั้งสองข้างก้มตัวลงไปลูบหัวของโลแกนน้อยๆ อย่างเอ็นดู และถ้าผมตาไม่ฝาด… โลแกนเองก็มีเขาเล็กๆ งอกออกมาจากหัวของตัวเองเหมือนกัน ชายที่ซึ่งมาใหม่อุ้มน้องชายฝาแฝดของผมขึ้นไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็กวาดตามองรอบๆ มองร่างที่ไร้วิญญาณของคนสองคนภายในตัวบ้านที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดสีหน้ายิ้มๆ “เละเทะไม่เลวเลยนี่… โลแกน”

“ฮะ!” เด็กน้อยรับคำหน้าชื่นตาบาน “ผมฆ่าผู้ชายคนนั้นได้!”

“อย่ามาโมเมหน่อยเลย เราน่ะ” ชายหนุ่มคนนั้นว่าพร้อมกับเอื้อมมือไปดีดหน้าผากเด็กน้อยที่อุ้มอยู่ทีหนึ่งด้วยความมันเขี้ยว โลแกนครางออกมาเบาๆ อย่างไม่จริงจังนัก “คนที่ฆ่าผู้ชายคนนี้น่ะ คือลูคัส พี่ชายเราไม่ใช่เหรอ อย่ามามั่วนิ่มหน่อยเลย”

ฆ่า…

ฆ่า….?

เราเป็นคนฆ่า… พ่อของตัวเอง?

“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!” ผมกรีดร้อง งอตัวลง คุกเข่า วางหน้าผากลงบนพื้นแล้วตะโกนออกมาดังลั่น

สัมผัสยามที่ปลายแหลมของมีดทะลวงเข้าไปในผิวเนื้อยังติดอยู่ที่ที่ฝ่ามือ เลือดอุ่นๆ ที่ไหลหยดลงมาต่อจากนั้น มันไหลอาบท่วมจนย้อมให้มือผมกลายเป็นสีแดง

“ลูคัส!” ผมได้ยินเสียงโลแกนร้องเรียกอย่างตกใจ เด็กชายผู้มาจากนรกมีสีหน้ากังวล เป็นห่วง และไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผมเป็นอะไร

สำหรับเขาแล้ว การฆ่าใครได้ ถือเป็นเรื่องที่มีเกียรติ สมควรได้รับการยกย่อง ยิ่งกับคนที่พยายามจะมาทำร้ายตัวเองด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เพราะงั้นเขาถึงไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายฝาแฝดของเขาถึงได้มีท่าทีทรมานแบบนั้น

“ฉันเป็นคนฆ่าพ่อ… ฉันเป็นคนฆ่าพ่อ ฉันเป็นคนฆ่าพ่อ ฉันเป็นคนฆ่าพ่อ…!!!”

“ท่านพ่อ ท่านพ่อครับ ลูคัสเป็นอะไรไปก็ไม่รู้” โลแกนว่าอย่างร้อนรน เขาพยายามเขย่าร่างของผม แต่ตัวผมในตอนนั้นไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

ชายที่อยู่ในชุดสูทยกยิ้มบางๆ อย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร จากนั้นเจ้าตัวจึงอธิบายลูกชายคนเล็กง่ายๆ

“สำหรับคนบนโลกนี้… พวกเขาหลายๆ คนไม่ชอบการฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองเท่าไรน่ะ”

“ทำไมล่ะครับ”

คนถูกถามยิ้ม จากนั้นก็ถามกลับเรียบๆ

“มันสำคัญด้วยเหรอว่าทำไม? ในสถานการณ์ตอนนี้น่ะ”

โลแกนหันมามองผมอย่างกังวล ผมยังคงพูดพร่ำประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนที่เสียสติไปแล้ว จากนั้นเด็กน้อยก็หันกลับไปมองผู้เป็นพ่ออย่างขอความช่วยเหลือ และเมื่ออีกฝ่ายเพียงแค่ยิ้มๆ ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยอะไร โลแกนก็ถลาเข้ามาหาผม ใช้แรงทั้งหมดที่มีงัดไหล่ผมขึ้นจากพื้น

“ลูคัส ลูคัส! ฟังนะ นายไม่ได้เป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้น… ได้ยินไหม นายไม่ได้เป็นฆ่าพ่อของตัวเอง! ลูคัส!”

“ไม่ โลแกน… ฉันฆ่าเขา ฉันเป็นคนฆ่าเขา… ด้วยมือของตัวเอง” ผมส่ายหน้าพร้อมกับกรีดร้องออกมาอีกรอบอย่างอัดอั้น

โลแกนผงะไปอย่างคาดไม่ถึง จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มเบะริมฝีปาก น้ำใสๆ เริ่มคลอขึ้นมา เขาหันไปหาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง จากนั้นก็อ้อนวอน

“ท่านพ่อ ได้โปรด บอกลูคัสทีว่าผมเป็นฆ่าผู้ชายคนนั้น… ผมเองก็ถือว่าฆ่าเขาไปครึ่งหนึ่งเหมือนกันนะ!ถ้าไม่ใช่เพราะผมแทงลงบนตัวของผู้ชายคนนั้นก่อน ลูคัสก็ไม่มีทางทำแบบนั้นได้หรอก ท่านพ่อ… บอกลูคัสสิว่าผมเป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้น!”

“อ่า…” ชายผู้มีเขาบนหัวเหลือบมองร่างของผมที่นั่งคุดคู้อยู่กับพื้น กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง สะอื้นฮักๆ ราวกับจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ

“ท่านพ่อ” โลแกนเรียก เจ้าตัวจึงส่งยิ้มบางๆ ให้เจ้าตัว จากนั้นจึงว่า

“เอาแบบนั้นก็ได้ โลแกน”

โลแกนรีบดึงบ่าของผมที่ยังร้องไห้ไม่เลิกขึ้นมา จากนั้นก็ยิ้มกว้างแบบเด็กๆ

“ได้ยินไหม ลูคัส ท่านพ่อบอกว่าฉันเป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้น… ฉันเองที่เป็นคนฆ่าเขา ไม่ใช่นาย เพราะงั้นอย่าร้องไห้เลยนะ”

แต่คำพูดนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น ผมร้องแหกปาก ร้องแล้วก็ร้อง ร้องจนในหัวมันตื้อไปหมด เหมือนความเจ็บไปมันไหลวนอยู่ในอกไม่ไปไหน ไม่ว่าผมจะร้องสักเท่าไร มันก็ไม่หายไปสักที

“เอาล่ะ พ่อคงต้องไปแล้ว” ชายใส่สูทคนนั้นพูดขึ้นในขณะที่โลแกนพยายามพูดปลอบผมอย่างงกๆ เงิ่นๆ ตามประสาเด็ก เจ้าตัวเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างตื่นๆ ก่อนจะต้องไหวตัวนิดหนึ่งเมื่อรู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง

พลังที่ชายคนนั้นมอบให้…

“ในเมื่อเจ้าตัวเขาไม่ยอมรับ งั้นก็ถือว่าลูกเป็นคนฆ่าไอ้ผู้ชายคนนี้ไปแล้วกัน เอาพลังไปแล้วใช้ดีๆ ล่ะ แล้วพ่อจะติดต่อมาใหม่ โลแกน”

“ครับ” เด็กน้อยรับคำ และเมื่อชายคนนั้นจากไปแล้ว โลแกนก็ตรงเข้ามาโอบกอดผมแรงๆ ไม่สนว่าผมจะสะบัดการเกาะกุมนั้นกี่สิบครั้ง ไม่สนว่าผมจะดิ้นแรงแค่ไหน น้องชายฝาแฝดของผมก็ล็อกตัวผมอยู่ในอ้อมแขนของมันจนได้

ผมสะอื้นลมออกมาเพราะไม่มีแรงเหลืออีกต่อไปแล้ว ผมซบหน้าลงบนบ่าของน้องชายตัวเองอย่างสิ้นหวัง สะอื้นถี่ๆ อยู่แบบนั้น รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นลมเพราะหมดแรง

“ไม่เป็นไร ลูคัส” โลแกนว่าขณะเลื่อนมือมาลูบศีรษะของผม จากนั้นเจ้าตัวรีดพลังอันน้อยนิดที่ตัวเองได้มาไว้ตรงฝ่ามือ ผมเห็นโลแกนเม้มปากแน่นขึ้นนิดหนึ่งด้วยความทรมาน ดูเหมือนพลังที่เขาต้องการใช้จะกินแรงเขาไม่น้อยเหมือนกัน “ไม่เป็นไรนะ ลืมมันไปซะเถอะ ทั้งหมดนั่น ลืมมันไปซะ ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างจะไม่เป็นไร นายแค่ต้องลืมมัน…”

และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นก็ค่อยๆ ถูกลบหายออกไปจากหัวของผมเพราะพลังของโลแกนจริงๆ ผมนอนนิ่ง สงบอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่ตอนนี้หอบหายใจระรัวเพราะฝืนใช้พลังที่ไม่คุ้นเคย แต่ถึงอย่างนั้น มันก็คุ้มค่า… เพราะเจ้าตัวแค่อยากให้ผมลืมเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นไปซะ ถึงมันจะไม่หมดจดเพราะฝีมือที่ยังอ่อนหัดของเจ้าตัวก็ตาม

“ไม่เป็นไร” โลแกนพึมพำ มือยังลูบเส้นผมของผมที่สลบไม่ได้สติอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ลูคัส ลืมมันไปซะ มันไม่เคยเกิดขึ้น”

นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด… ในวันเกิดครบรอบหกขวบของเรา






ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้งอยู่ในอ้อมแขนของโลแกน ไม่สนใจสายตาของคนอีกสองคนที่อยู่ในที่นั้นแม้แต่นิดเดียว ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของเมแกนที่มองมาอย่างสนใจ เสียงถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่ายของเนท แต่ผมไม่สนอะไรพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว ผมแค่ต้องการระบายความเจ็บที่อยู่ในอกนี่เท่านั้น และไม่มีใครสามารถช่วยผมได้ในเรื่องนี้จริงๆ

โลแกนลูบหัวของผมอย่างสงบ หากนัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวมีร่องรอยเศร้าสร้อย

“ไม่เป็นไร ลูคัส” เจ้าตัวเอ่ยย้ำคำพวกนั้นซ้ำๆ “มันผ่านไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอก เชื่อฉันสิ”

“พวกมัน… อะ… เอาไม้กางเขนของฉันไป” ผมว่าหลังจากพยายามคลำหาไม้กางเขนอันที่น้าลูซี่ให้มา แต่ไม่มีอีกแล้ว… จาฟาร์บอกว่าเขาทิ้งมันไปแล้ว สัญลักษณ์ที่ผมยึดถือว่าเป็นเครื่องหมายแห่งความดีหรืออะไรทำนองนั้น แต่ผมไม่มีมันอีกต่อไปแล้ว

“ไม่เป็นไร ลูคัส” โลแกนปลอบผมต่ออย่างสงบ ทาบริมฝีปากลงมาบนหน้าผากของผมอย่างปลอบโยน “ฉันจะหาอันใหม่มาให้นายเอง ไม่เป็นไรหรอก”

“ไม่... โลแกน” ผมส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ฉันไม่คิดว่าฉันต้องการมันอีกแล้ว”

“อืม” เสียงทุ้มตอบกลับผมมา มือยังคงลูบหัวผมไม่หยุด “ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ลูคัส นายไม่ต้องการมันหรอก”





-------------------
Talk: จะบอกว่า... โลแกนน่ะ เป็นพระเอกตั้งแต่ก่อนเรื่องจะเริ่มอีกค่ะ! เห็นไหม! (??) ถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 48) P.6 [6/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 06-04-2017 18:48:52
เอ็นดูโลแกนเวอร์ชั่นเป็นเด็ก ทำไมหนูถึงดูเด๋อๆด๋าๆขนาดนั้น 55555555555555555555555
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 48) P.6 [6/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-04-2017 18:51:16
แล้วความจริงก็ปรากฏ ให้ลูคัส รู้จนได้
ว่าคนที่ฆ่าพ่อคือตัวเอง
แต่ดีจังที่มือของลูคัส ดีเหมือนเดิม
นิ้วก้อยที่ถูกตัดกลับมาต่อได้เพราะเมแกน
แต่โลแกน ต้องติดหนี้เมแกนครั้งหนึ่งน่ะสิ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 48) P.6 [6/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 06-04-2017 22:28:36
สงสารลูคัสจัง โลแกนก็ติดหนี้พี่สาว  :z10:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 48) P.6 [6/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 07-04-2017 15:47:09

บทที่ 49

(Mode: Logan Collins)




“เร็วเถอะ ไม่มีเวลาแล้วนะ เดี๋ยวนายไปแข่งไม่ทัน” ผมพูดอย่างร้อนรน ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง นอกจากเรื่องของลูคัสแล้ว ผมยังเป็นห่วงงานของตัวเองที่ต้องกำจัดจู้ดี้ ฮิลล์อีกด้วย

ผมต้องทุ่มเทอะไรหลายอย่างกว่าจะได้โอกาสนี้ โอกาสที่จะได้ฆ่าผู้หญิงคนนั้น คนที่ท่านพ่อสั่งมา… แต่ผมไม่สามารถทิ้งลูคัสไว้แบบนี้แล้วกลับไปทำงานได้ ผมจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่าพี่ชายฝาแฝดของผมโอเคและจะต้องได้ขึ้นแสดงบนเวทีวันนี้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

“โลแกน นายต้องกลับไปทำงาน” เนทขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างหงุดหงิด พี่ชายคนนี้ของผมให้ความสำคัญกับงานเหนือสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว ผมก็เข้าใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้หงุดหงิด แต่จะให้ผมปล่อยลูคัสไว้แบบนี้รึไงล่ะ

“เนท… นายพาลูคัสไปหาที่อาบน้ำหน่อยได้ไหม แล้วเสื้อผ้า…”

“เออ รู้แล้ว” คนผมดำตัดบทอย่างหัวเสีย “เดี๋ยวฉันจัดการลูคัสให้ นายไปทำงานเดี๋ยวนี้”

“งั้นฉันไปกับโลแกนดีกว่า” เมแกนพูดแทรกขึ้นอย่างเริงร่า แต่ผมพูดห้ามเจ้าหล่อนอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องเลย พี่มา ผมยิ่งเสียสมาธิ พี่ไปกับเนทแล้วก็ลูคัสเถอะ”

“โลแกน…” ลูคัสหน้าเสีย เจ้าตัวถลาเข้ามาเข้ามาเกาะแขนผมเหมือนเด็กที่กำลังจะถูกทิ้ง แค่มองตาหมอนี่ผมก็รู้แล้ว… ลูคัสยังไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ และเขาไม่อยากให้ผมทิ้งเขาไว้กับสองคนที่เจ้าตัวไม่รู้จัก ผมเหลือบมองหน้าของทั้งคู่ขณะที่พวกเราทั้งหมดจ้ำเท้าไปที่รถ เขาที่อยู่บนหัวของเนทและเมแกน รวมทั้งตัวผมค่อยๆ หายไปแล้ว และเนทก็กำลังคืนร่างกลับเป็นแมคโดเวลตามเดิม

การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกแบบนั้นเป็นพลังพิเศษของหมอนั่นล่ะ เช่นเดียวกับพลังในการรักษาของเมแกนและพลังในการลบความทรงจำของผม พวกเราทั้งสามคนมีพลังหลายอย่างที่เหมือนกัน มีเพียงแค่ที่ผมว่ามาทั้งนั้นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและไม่มีคนอื่นทำได้

ผมลังเล… แน่นอนว่าผมย่อมอยากไปส่งลูคัสให้ถึงที่ อยากไปให้เห็นด้วยตาตัวเองว่าหมอนี่จะโอเคทุกอย่าง จะสามารถขึ้นเวทีได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่เนทพูดถูกอยู่อย่าง… ผมต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ และพี่ชายคนโตของผมก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าให้เรื่องความรักไร้สาระ (แบบที่เจ้าตัวว่า) มาทำให้งานเสีย ไม่อย่างนั้นต่อจากนี้ไปเขาจะไม่ช่วยอะไรผมอีก

ผมรู้ว่ามันฟังดูเห็นแก่ตัว… แต่การทำงานที่ท่านพ่อให้มาให้เสร็จสิ้น ถือเป็นเรื่องความเป็นความตายของผมเหมือนกัน และก็อย่างที่หลายๆ คนคงเดาได้ ผมได้รับความช่วยเหลือจากเนทมาตลอดในการทำงานนี้ ถ้าเขาไม่ยอมช่วยผมอีก ผมคงทำงานให้สำเร็จยากขึ้น

ข้อสำคัญอีกข้อก็คือ… ทั้งสองคนคือพี่ของผม ผมไว้ใจพวกเขาได้ บางทีทั้งคู่อาจจะปกป้องลูคัสได้มากกว่าที่ผมจะทำได้ด้วยซ้ำ

“ลูคัส ฟังฉันนะ” ผมเริ่ม และเจ้าตัวเริ่มส่ายหน้าเหมือนไม่อยากรับรู้ วันนี้คงเป็นวันที่หนักหน่วงเกินไปสำหรับพี่ชายฝาแฝดของผม

โดนเพื่อนที่อยู่ในวงการเดียวกันทรยศ โดนตัดนิ้วไปรอบหนึ่ง ต่อให้เมแกนจะช่วยต่อมันกลับให้เป็นเหมือนเดิมแต่ความเจ็บปวดที่ได้รับย่อมเหลืออยู่ และมันคงทำให้เจ้าตัวทรมานไม่น้อย หนำซ้ำยังต้องมารับรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องในอดีต… ความจริงที่ผมพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะปกปิดมันตั้งแต่วันนั้นเมื่อสิบสี่ปีก่อน ความจริงที่ว่าลูคัสเป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้น

ทั้งหมดนี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่หมอนี่รับรู้การมีตัวตนของพ่อแท้ๆ ของผม… ลูซิเฟอร์ แล้วก็เหล่าพี่ๆ ปีศาจจากขุมนรกที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ แค่เรื่องหนักๆ ที่ว่ามาข้างต้นก็ยากเกินกว่าที่จะรับไหวแล้ว 

แล้วก็… นั่นยังไม่รวมเรื่องที่หมอนี่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของผมเข้าไปอีกนะ

“เฮ้ ฟังสิ” ผมบีบไหล่ของอีกฝ่ายแน่นขึ้น รับรู้ได้เลยว่าหมอนี่ตัวบางกว่าผมแค่ไหน ยังไม่นับนัยน์ตาสีฟ้าที่หม่นลง มันแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง ความสับสน และความกลัว ผมรู้สึกได้เลยว่าเจ้าตัวกำลังสั่น แต่ผมไม่โทษลูคัสหรอก “นายต้องไปกับสองคนนี้ เขาเป็นพี่ของผม นายเชื่อใจพวกเขาได้”

“หมายความว่ายังไง ที่ว่าพวกเขาเป็นพี่ของนาย” เจ้าตัวถามอย่างไม่เข้าใจ ยิ่งมองแววตาปวดร้าวของพี่ชายฝาแฝดของตัวเองแล้ว มันยิ่งทำให้ผมเจ็บ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยบรรเทาความเจ็บนั้นได้ยังไง “แล้วฉันล่ะ โลแกน? ฉันไม่ใช่พี่นายหรอกเหรอ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน นายเป็นใครกันแน่ นายเป็นตัวอะไรกันแน่? แล้วโลแกนที่ฉันรู้จักมาตลอดชีวิตล่ะ? นายไม่ใช่คนที่ฉันคิดว่าเป็นน้องชายฝาแฝดมาตลอดหรอกเหรอ?”

“โธ่เว้ย” ผมคำรามออกมานิดหนึ่งอย่างขัดใจ เจ็บปวดเหลือเกินกับสีหน้าสับสนเหมือนเด็กหลงทางของลูคัส ผมไม่ได้อยากให้ทุกอย่างออกมาในรูปแบบนี้

“ไปคุยกันในรถ” เนทที่ตอนนี้กลับมาอยู่ในร่างของแมคโดเวลแล้วพูดเสียงเย็นพร้อมกับคว้าต้นแขนของลูคัสมาไว้ในมือ ลูคัสสะดุ้งนิดหนึ่งอย่างตกใจ สีหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดเผือดลง หากชายหนุ่มใส่แว่นไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะเป็นจะตายขนาดนั้น แค่นี้น่ะไม่ตายหรอก ไปทำงานเดี๋ยวนี้ โลแกน เมแกน ถ้าเธออยากจะมาด้วยก็ตามใจ ไปขึ้นรถได้แล้ว เราไม่มีเวลามานั่งตอบคำถามหรือคร่ำครวญกันทั้งวันหรอกนะ”

“โลแกน…” น้ำเสียงของเจ้าตัวสั่นเครือราวกับจะขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย ผมได้แค่เม้มริมฝีปากแน่นขึ้นในขณะที่แมคโดเวลเริ่มกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเสียอารมณ์

“ขอทีเถอะน่า พวกนายเป็นเด็กห้าขวบหรือไง”

จากนั้นเจ้าตัวก็ยัดพี่ชายฝาแฝดของผมเข้าไปในที่นั่งด้านหลัง เมแกนหันมายิ้มให้ผมนิดหนึ่งเขย่งขาขึ้นมาหอมแก้มผมแรงๆ จากนั้นก็โบกมือให้น้อยๆ ด้วยรอยยิ้มพราย

“ทำงานให้สนุกนะคะ น้องชาย แล้วเดี๋ยวเจอกันในนรก เดี๋ยวฉันจะเตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้”

ลูคัสที่โดนจับยัดใส่รถไปเมื่อครู่โผล่พุ่งออกมาบ้าง เจ้าตัวถลาแทรกตัวเมแกนเข้ามา คว้าแขนผม จากนั้นก็ดึงผมลงไปจูบแรงๆ อย่างโหยหา ผมรู้สึกราวกับถูกสัมผัสอ่อนนุ่มจากริมฝีปากนั้นกระตุกหัวใจที่อยู่บนอกข้างซ้ายลงไปจังหวะหนึ่ง ทำให้ตัวชาวาบไปทั้งตัวก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอุ่นซ่าน

ผมเอื้อมมือไปยึดที่หลังคอของเจ้าตัวแล้วบดริมฝีปากลงไปอย่างร้อนแรง ประกบย้ำลงไปซ้ำๆ ราวกับกลัวว่าต้องเสียคนตรงหน้าไป จริงๆ แล้วเรื่องนั้นน่ะ ผมกลัวยิ่งกว่าความตายหรือการไม่มีตัวตนอยู่ของตัวเองเสียอีก ผมแค่อยากให้ลูคัสมีความสุขเท่านั้น ทั้งๆ ที่ผมต้องการแค่นั้นแท้ๆ แต่ทำไมมันถึงได้ยากเย็นนักนะ…

“นายต้องมาดูฉันขึ้นแสดงนะ” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนหลังจากที่เราผละริมฝีปากออกจากกันแล้ว “นายสัญญาแล้ว… นายสัญญาแล้ว โลแกน”

“ผมจะไป ลูคัส” ผมรับปากพร้อมๆ กับปล่อยมืออีกฝ่าย “ผมสัญญา”

“อุ๊ย โรแมนติกจัง” เมแกนที่ยังยืนอยู่นอกรถยกมือแตะปาก ส่วนเนทในร่างแมคโดเวลเลื่อนกระจกลงแล้วโผล่หน้าออกมา

“รีบๆ แยกย้ายได้แล้ว”

นั่นแหละ ลูคัสถึงยอมขึ้นรถไปในที่สุด ผมรอให้ตัวรถเคลื่อนออกไปจากบริเวณนั้นครู่หนึ่งก่อนจะรีบตรงดิ่งไปที่รถของตัวเองบ้าง กุญแจรถยังคงเสียบคาอยู่ด้านใน ผมสตาร์ทเครื่อง ปลดเกียร์ว่างแล้วเริ่มเหยียบคันเร่งออกไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับที่เนทพาลูคัสไป

ผมเลื่อนมือไปกดเนวิเกเตอร์ที่อยู่บนหน้าจอตรงบริเวณคอนโซลรถ เลือกสถานที่เป้าหมายแล้วมุ่งหน้าไปยังที่นั่น พยายามตั้งสมาธิกับงานที่ต้องทำต่อจากนี้ ทบทวนแผนการของภารกิจทั้งหมดในหัว ครัง้นี้มันยากกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดเพราะจะคอยมีเรื่องของลูคัสเข้ามารบกวนอยู่ในหัวเรื่อยๆ บ้าชะมัด… ทั้งที่กว่าจะวางแผนงานนี้ได้ผมต้องทำงานหนักจนเลือดตาแทบกระเด็นแท้ๆ แต่ถ้ามันจะมาเสียเพราะความไม่มีสมาธิ… ความไม่ได้เรื่องของผมล่ะก็ ผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต

‘ใจเย็นๆ’ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ ดึงความเยือกเย็นของตัวเองกลับมา ‘ถ้านายทำตามแผนทุกอย่างได้ นายก็จะกลับไปดูลูคัสขึ้นแสดงทัน เพราะงั้นอย่าลน นายเคยผ่านอะไรที่ยากกว่านี้มาแล้วไม่ใช่รึไง เพราะงั้น… แค่ตั้งสติให้ดีๆ นายก็จะฆ่าจูดี้ ฮิลล์ตามแผนที่วางไว้ได้ จากนั้นก็จะกลับไปดูลูคัสขึ้นแสดงทันด้วย’

ผมมาถึงตึกระฟ้าหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองอันเป็นสถานที่ที่ผมต้องใช้ในการทำงานวันนี้

เหตุผลหนึ่งที่แผนการครั้งนี้มันยุ่งยากกว่าทุกครั้งเพราะผมจำเป็นต้องวางแผนให้รัดกุมและทำให้แน่ใจว่าคนที่อยู่เบื้องบนจะไม่รับรู้ถึงภารกิจในครั้งนี้

จริงๆ แล้วนั่นเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าผิดกฎอย่างหนึ่ง แต่ในเมื่อผมต้องการจะสอยคนที่อยู่ในระดับสูงที่ว่า… ผมจำเป็นต้องทำ และได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆ ฝ่าย อย่างเช่นแกรนท์… ผมรู้ดีว่าเจ้าหล่อนต้องเสี่ยงขนาดไหนเพื่อช่วยผม แล้วก็ยังมีฮิวเบอร์อีกคนที่คอยหนุนหลังให้ แต่ครั้งนี้เราต้องทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีหนอนหรือพวกของฮิลล์รับรู้แผนการนี้เหมือนคราวที่แล้ว

หลังจากที่ผมฆ่าหล่อนแล้ว… ผมรู้ดีว่าเพื่อนร่วมงานของผมจะต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่ผมรู้ว่าพวกเขาฉลาดพอที่จะผ่านเรื่องนี้ไปได้ พวกเขามีหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับความผิดของผู้หญิงคนนั้นและสาเหตุที่เจ้าหล่อนสมควรตายที่ดีพอ แต่พอถึงตอนนั้น ผมจะไม่เดือดร้อนอะไรอีกแล้ว เพราะผมจะไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้วนี่

ทางทีมของผมจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้ทุกอย่างแล้ว ผมเห็นแกรนท์ที่ยืนรออยู่ตรงมุมหนึ่งของตึกตามที่ได้นัดแนะกันไว้ เจ้าหล่อนอยู่ในเครื่องแต่งกายของยามรักษาการณ์ที่เน้นทรวดทรงส่วนเว้าของหล่อนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยัยนี่หุ่นเด็ดดวงจริงๆ นั่นแหละ ยิ่งชวนให้นึกถึงตอนที่ขึ้นเตียงด้วยกันเข้าไปใหญ่

โอย ให้ตาย แล้วผมจะมานึกถึงมันอะไรตอนนี้…

“โลแกน! ให้ตายเถอะ” หล่อนหันมาเอ็ดผมทันทีที่ผมเข้าไปหา หญิงสาวมีสีหน้าร้อนรนจริงๆ ก่อนที่ผมจะมาถึง และเมื่อเห็นสภาพค่อนข้างยับเยินของผมเจ้าตัวก็ชักสีหน้านิดหนึ่ง หากมิวายเอ็ดต่อ “ฉันนึกว่านายจะไม่มาซะแล้ว รู้ไหมว่าใจหายแค่ไหน… เอ้า นี่ของของนาย เดี๋ยวนายเข้าไป ผ่านทางนี้เข้าไปนะ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเข้าไปซะ เร็วๆ เข้า เราไม่มีเวลาแล้ว”

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่เจ้าหล่อนจัดเตรียมไว้ให้ มันเป็นชุดที่ดูค่อนข้างเก่าเหมือนผ่านการใช้งานมานาน มีคราบน้ำมันและคราบเปื้อนเป็นจุดๆ มือข้างหนึ่งถือกล่องอุปกรณ์เครื่องมือที่ข้างในไม่ได้ใส่เครื่องมือการช่างอย่างที่คนนอกคิด คราวนี้ได้เป็นช่างซ่อมไฟเหรอเนี่ย เอาเถอะ ยังไงก็เป็นอยู่ไม่ถึงชั่วโมงอยู่แล้ว

ผมเดินขึ้นบันไดที่ใช้เป็นทางหนีไฟ ไม่ใช้ลิฟท์แบบผู้มาเยือนคนอื่นๆ ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือที่เข็มวินาทียังเดินต่อไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วในความรู้สึกของผม จากนั้นก็เร่งฝีเท้ามากขึ้นเพราะต้องแข่งกับเวลา คราวนี้ผมมาสายจากเวลาที่ควรจะลงมือปฎิบัติการไปหลายนาทีทีเดียว ทั้งๆ ที่จริงๆ แค่คลาดเคลื่อนไปไม่กี่วินาทีก็ถือว่าแย่พอแล้ว รอบนี้ต้องเรียกได้ว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายระหว่างความเป็นกับความตายทีเดียว

“แฮ่ก…” ผมหลุดหอบหายใจออกมาเล็กน้อยขณะก้าวเท้าขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ละย่างก้าวค่อยๆ หนักขึ้นเพราะเรี่ยวแรงที่เริ่มหดหายไป เบื่อจริงๆ เลยที่ต้องมาอยู่ในร่างมนุษย์ที่มีเรี่ยวแรงจำกัดเนี่ย ยิ่งเพราะผมใช้พลังไปอย่างมหาศาลตอนที่ไปช่วยลูคัสออกมายิ่งทำเอาความเหนื่อยทวีคูณขึ้นไปอีก

หากในที่สุดผมก็ขึ้นมาถึงชั้นที่สี่สิบสองซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคารแห่งนี้ ผมงอตัวลงหอบหายใจเล็กน้อยๆ พร้อมๆ กันนั้นก็หยิบของที่อยู่ในกล่องเครื่องมือช่างออกมาประกอบกันในห้องเล็กๆ ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของที่ไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว จากผังตึกที่ได้ศึกษามาห้องนี้คือทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุด และมันก็กลายเป็นจุดในการปฏิบัติงานของผมในวันนี้

ผมประกอบปืนไรเฟิลของตัวเองจนเสร็จ จากนั้นก็เปิดหน้าต่างออก แง้มพอให้ปลายกระบอกผ่านออกไปได้ หลับตาลงข้างหนึ่งเพื่อเล็งเป้าหมายที่นั่งประชุมอยู่ในตึกข้างๆ การที่เราได้รับอนุมัติในการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในภารกิจคราวนี้นั้น เราตั้งเป้าหมายเป็นใครอีกคนหลอกๆ แน่นอนว่ากว่าจะทำอย่างนั้นได้นั้นต้องผ่านขั้นตอนและการลงทุนลงแรงอะไรไปมาก แต่เอาล่ะ ผมมาอยู่ตรงนี้แล้ว ผมจะไม่ยิงเป้าหมายหลอกๆ ที่นั่งอยู่ในห้องประชุมนั้นเพราะนั่นไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของผม

ผมเล็งเป้าไปที่หัวของผู้หญิงคนนั้น จูดี้ ฮิลล์… คนที่ผมใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าหล่อน ดังนั้นต่อให้ผมไม่เคยเจอตัวจริง ผมก็รู้ว่าหญิงสาวสูงวัยเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์แซมด้วยสีขาวนั่นคือเป้าหมายตัวจริงของผมไม่ผิดแน่

เรียกได้ว่าเป็นเป้าหมายชีวิตเลยก็ว่าได้...

ผมยกยิ้มนิดหนึ่งเมื่อคิดถึงตรงนี้ ตลกดี พอคิดว่าคนทั่วไปเรียกเป้าหมายชีวิตเป็นสิ่งที่ตัวเองขวนขวาย อยากเป็นได้แบบนั้น อยากไปให้ถึง แต่คนที่เป็นเป้าหมายในชีวิตของผม กลับเป็นคนที่ผมอยากำจัดให้ตาย

ผมขยับเป้าของตัวเองเพื่อให้แม่นยำที่สุด รู้ดีว่าเวลาที่ตัวเองควรจะลั่นไกจริงๆ น่ะ ผ่านมามาเป็นนาทีแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ผมรับมือได้ ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละถ้าผมอยากจะทำ ก็ผมมันเป็นลูกปีศาจที่มาจากนรกนี่นา

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัวแล้วผมก็ขยับนิ้วลั่นไกอย่างมั่นคงอย่างที่เคยทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

เกมจบแล้ว

ทั้งของจูดี้ ฮิลล์และของผม





------------------------------------------------
Talk: เรื่องนี้กำลังจะจบแล้วค่า~~ ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ยังไงก็ฝากติดตามกันจนจบเลยเนอะ ^^
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 49) P.6 [7/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 07-04-2017 17:06:53
ใกล้จะจบแล้วใจหายมากเลยค่ะ ไรท์แต่งดีมากๆ เหมือนสำนวนแปลเลย ชอบมากๆ ค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 49) P.6 [7/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 07-04-2017 20:37:25
จะจบแล้วเหรอ  :o12: เราเชื่อว่าโลแกนต้องไปดูทันการแสดงของลูคัสแน่ๆ  :man1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 49) P.6 [7/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 08-04-2017 08:14:42

บทที่ 50

(Mode: Lucas Collins)



ผมจมอยู่ห้วงแห่งความฝัน ไม่สิ ต้องบอกว่าผมกำลังหลับอยู่ต่างหาก เป็นการหลับที่เรียกได้ว่าลึกพอสมควรเลย แต่ผมไม่ได้ฝันอะไรเป็นพิเศษ แค่เห็นทุกอย่างเป็นสีดำมืด ความรู้สึกผ่อนคลายที่ร่างกายได้พักผ่อน ง่ายๆ แค่นั้น

“ลูคัส… ลูคัส!!” เสียงเรียกของใครบางคนอย่างร้อนรนเหมือนดังมาจากที่ไกลๆ เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กระทบลงกับพื้น จากนั้นก็ตามมาด้วยแรงเขย่าที่บ่า “ลูคัส! ตื่นสิ ไอ้บ้าเอ๊ย! ว่าแล้วเชียวว่าโทรมาไม่รับต้องยังไม่ตื่น ตื่นสิโว้ย!”

“หือ?” ผมค่อยๆ ผงกหัวขึ้นมา ลืมตาขึ้นช้าๆ อย่างงัวเงีย “อ้าว… มิกกี้?”

“ลุกขึ้น เร็วๆ เลย อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะถึงคิวนายแสดงอยู่แล้ว ให้ตายสิ ทำอะไรอยู่วะ”

ผมเบิกตาโพลงขึ้นมาทันที เด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาง่ายๆ คว้าเสื้อผ้าที่จะใส่ขึ้นเวทีขึ้นมาสวม ไมเคิลเลื่อนมือมาช่วยติดกระดุมและโบว์กระต่ายบนคอในขณะที่ผมเซ็ตผมตัวเองลวกๆ โอ๊ย ให้ตาย! สภาพผมแม่งดูแย่มาก แล้วอะไร… ต้องขึ้นแสดงภายในไม่กี่นาทีนี้เนี่ยนะ!? ยังไม่ทันได้ทำใจเลยโว้ย!

“เร็ว ลูคัส วิ่ง! ถ้าเกิดไปสายเขาจะตัดสิทธิ์เอานะ เร็วๆ เข้า”

ผมมาหยุดอยู่ที่หลังเวทีได้อย่างพอดิบพอดีด้วยการฉุดกระชากลากถูของครูผู้ฝึกของตัวเอง คนที่เล่นก่อนหน้าผมกำลังบรรเลงท่อนสุดท้ายอยู่พอดี ผมรายงานตัวกับสต๊าฟที่อยู่ด้านหลังเวทีขณะที่หอบหายใจรัวๆ ด้วยความเหนื่อยอ่อน

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ?” สต๊าฟสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงเหตุเพราะผมหอบหายใจแรงมากและไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ผมบอกหล่อนไปว่าตัวเองไม่เป็นไร จากนั้นก็พยายามผ่อนลมหายใจยาวออกมา หายใจให้ช้าลงเพื่อผ่อนคลายและรวบรวมสติของตัวเอง

ผมขมวดคิ้วมุ่นทั้งสองข้างเข้าหากันเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างไหลบ่าเข้ามาในหัว ผมยกมือข้างซ้ายขึ้นมา พิจารณามองนิ้วก้อยที่ยังติดอยู่กับมือของตัวเองในสภาพไร้ที่ติ ผมขยับนิ้วทั้งสิบรัวๆ โดยเฉพาะนิ้วก้อยที่เคยถูกหั่นสะบั้นลงไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีอาการเจ็บปวดหรือฝืดเคืองใดๆ ทุกอย่างอยู่ในสภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าทุกอย่างที่ผ่านมาก่อนหน้านี้เป็นความฝัน

ฝัน…. ฝันเหรอ? หรือว่าทุกอย่างเป็นแค่ความฝันจริงๆ?

ทันใดนั้นเอง ภาพที่ด้านคมของมีดเฉือนลงบนนิ้วก้อยข้างซ้ายของผมก็ทะลักเข้ามาในหัว ผมสะดุ้งสุดตัว ยังรู้สึกถึงความเจ็บที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จากนิ้วของตัวเอง มือผมสั่นเพราะความรู้สึกกลัวที่ถาโถมเข้ามาในใจอีกครั้ง

ไม่… มันไม่ใช่ความฝัน ไม่มีทางเป็นความฝัน ทุกอย่างแจ่มชัดเกินกว่าจะเป็นแค่ฝัน

วินาทีนั้นเองที่ผมนึกถึงคนที่สั่งให้จาฟาร์ลากตัวผมไปหั่นนิ้วออกผมก็ตัวชาวาบขึ้นมา สอดส่ายสายตาหาเอ็ดการ์ คอร์เนอร์ทันที แต่เหมือนเขาจะไม่อยู่บริเวณนั้น

หมอนั่น… ไอ้ทุเรศนั่น

ผมไม่รู้ว่าเอ็ดการ์เป็นคนบงการเรื่องนี้หรือว่าแค่พ่อของเขาเท่านั้น ผมอยากจะรู้เรื่องนั้นเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันได้ตามหาเจ้าตัวอย่างที่ใจอยาก เจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านหน้าก็เรียกให้ผมขึ้นไปแสดงบนเวที

จริงสิ เสียงเพลงของคนก่อนหน้าผมเงียบลงไปแล้ว… ต่อจากนี้คือการแสดงของผม

“เชิญเลยค่ะ” หญิงสาวที่ยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงม่านกั้นหันมาหาผม ก่อนเจ้าหล่อนจะชะงักไปนิด ถามต่อไปด้วยน้ำเสียงกัวล “คุณคอลลินส์คะ เป็นอะไรรึเปล่า?”

“มะ… ไม่ครับ” ผมตอบอึกอัก แต่ก็รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวและความกดดันที่โหมเข้ามาในใจ เจ้าหน้าที่สาวหยิบทิชชู่มาแล้วซับหน้าผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน หากแม้จะแผ่วเบา แต่สัมผัสนั่นทำผมสะดุ้งเฮือกสุดตัวทันที และนั่นทำให้เจ้าหล่อนสะดุ้งตามไปด้วย

“คุณจะขึ้นเวทีไหวเหรอคะ” เจ้าหน้าที่สาวถาม ตอนนี้หน้าซีดตามผมไปเรียบร้อย

ผมอยากจะบอกหล่อนเหลือเกินว่าไม่ไหว อยากจะขอยอมแพ้ตรงนี้แล้ววิ่งหนีไปให้ไกล หาตัวเอ็ดการ์ คอร์เนอร์แล้วเค้นคอมัน หาตัวโลแกน คอลลินส์แล้วต่อยหน้ามันสักทีโทษฐานปล่อยผมไว้ตรงนี้คนเดียว แล้วอีกสองคนที่พาผมไปส่งถึงห้องพักในโรงแรมนั่นชื่ออะไรนะ… เนทกับเมแกนใช่ไหม? จริงๆ แล้วสองคนนั้นเป็นใครกันแน่ แล้วโลแกนเป็นใครกันแน่ ทำไมหมอนั่นถึงไม่บอกอะไรผมสักคำ

ความเสียใจ โกรธ ผิดหวัง แค้น กังวล หวาดกลัว ความรู้สึกพวกนั้นมันปั่นป่วนอยู่ในตัวผมจนทำให้อึดอัดไปหมด อยากจะหาที่ระบายจริงๆ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนที่โมโหจนต้องอาละวาดทำลายข้าวของ ผมเองก็นึกอยากทำแบบนั้นขึ้นมาเหมือนกัน

“คุณคอลลินส์” เสียงนั้นปลุกผมขึ้นมาจากภวังค์อีกครั้ง เจ้าหล่อนมองหน้าผมด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ หากผมรู้ดีว่าหญิงสาวต้องการจะพูดอะไร

ถึงเวลาที่ผมต้องขึ้นแสดงแล้ว

“ครับ ขอบคุณครับ” ผมพึมพำจากนั้นก็ก้าวเท้าออกไปผ่านม่านที่กั้นระหว่างด้านหน้ากับด้านหลังเวที แม้จะยังรู้สึกได้ว่ามือสั่น เนื้อตัวสั่น แม้จะยังรู้สึกเหมือนอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล อยากละทิ้งทุกอย่าง แต่อะไรบางอย่างที่รุนแรงพอๆ กันกลับผลักดันให้ผมก้าวเดินต่อไปได้

ผมต้องเล่นเปียโน

ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น ผมสัญญากับใครคนหนึ่งไว้ว่าผมจะขึ้นไปแสดง แล้วคนคนนั้นก็สัญญากับผมว่าจะมาดู จากนั้นผมก็จะได้ที่หนึ่ง แล้วคนคนนั้นก็จะเข้ามาแสดงความยินดีกับผม

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณฮอลล์ของผู้ชมทันทีที่ผมก้าวออกไป เสียงที่ได้ยินแว่วเข้ามาชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่น่าแปลก… ทั้งที่จิตใจผมไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวแต่ผมกับรับรู้ถึงเสียงพูดคุยเบาๆ นั่นได้อย่างชัดเจน

“นั่นเหรอ… ลูคัส คอลลินส์?”

“ตัวจริงดูดีกว่าในรูปอีกนะ”

“แต่เขาออกมาช้าจัง โฆษกประกาศเรียกตั้งหลายรอบแล้ว”

“เธอว่าหน้าเขาดูซีดๆ ไหม?”

“เห็นว่าเป็นตัวเก็งนี่? อยากรู้จังจะเล่นเพลงแบบไหน”

“ยังไงฉันก็เชียร์คอร์เนอร์อยู่ดี เพลงหมอนั่นมันสุดยอด”

“ทำไมหมอนี่เดินช้าจัง หรือว่าจะตื่นเต้น? ดูสิ ตัวเกร็งไปหมด”

“ถ่วงเวลาอยู่มั้ง”

ผมเดินออกไปตรงหน้าเวทีแล้วโค้งให้กับผู้ชม บอกให้ตัวเองตั้งสติแล้วสงบจิตสงบใจลง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขึ้นเวทีสักหน่อย มาทำเป็นตื่นเวทีไปได้

ถึงผมจะรู้ดีก็เถอะว่าอาการของตัวเองในตอนนี้ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าตื่นเวทีเลยแม้แต่น้อยก็ตาม หลังจากผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดมาในวันนี้… ในช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เป็นไม่กี่ชั่วโมงที่เหมือนนั่งอยู่บนเครื่องบินที่กำลังเอาหัวปักลงมาเตรียมพุ่งสู่พสุธาโดยที่ไม่มีคนขับ… เรื่องตื่นเวทีอะไรนั่นก็เป็นอะไรที่เล็กกะจ้อยร่อยมาก เทียบกันได้ไม่ติดเลยด้วยซ้ำ ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะมีอะไรที่ทำให้ผมหดหู่หรือสับสนมากไปกว่านี้อีกไหมในชีวิต

แต่ถ้ามี… เรื่องตื่นเวทีคงไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่

ผมเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่ง จ้องมองคีย์เปียโนขาวดำนิ่งราวกับมันเป็นงูที่พร้อมจะกระโจนเข้ามากัดได้ทุกเมื่อ ผมพยายามสลัดความคิดนั้นทิ้ง ตลอดเวลาที่ผมฝึกซ้อมมาทั้งหมด ทุ่มเทมาทั้งหมด... ผมต้องเล่นเปียโน

ผมหงายฝ่ามือที่สั่นเทาทั้งสองข้างขึ้นมามองราวกับต้องการจะดูให้แน่ใจว่าผมยังมีนิ้วอยู่บนนั้นครบทั้งสิบนิ้ว มือของผมสะอาด แต่ภาพตอนที่มันเปื้อนเลือดซ้อนเข้ามาในตา

เลือดของผู้ชายคนนั้น… คนที่ผมฆ่าไปเพื่อช่วยชีวิตโลแกน

หรือว่า… เลือดของพ่อผู้ให้กำเนิดผมกันแน่?

ผมได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ จากนั้นใบหน้าก็ฟุบลงบนฝ่ามือทั้งสองข้างอย่างเหนื่อยอ่อน ผมได้ยินเสียงฮือฮาที่ดังมาจากทางฝั่งผู้ชม

“เป็นอะไรไปน่ะ? กดดันเหรอ?”

“สงสัยจะเครียดล่ะมั้ง รอบชิงด้วย”

“มัวแต่ทำอะไรของเขา รีบๆ เล่นสักที”

ไม่…. ผมทำไม่ได้ ผมเล่นเปียโนไม่ได้ ทุกอย่างนี่มันมากเกินไปแล้ว ผมไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่มาได้ยังไงจนถึงตอนนี้

วินาทีที่โลแกนบอกกับผมว่าเขาเป็นคนฆ่าพ่อในวันนั้น ส่วนหนึ่งในตัวของผมรู้สึกโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก บางทีผมอาจจะรู้ความจริงอยู่แล้วแต่หลบหนีมันมาตลอดก็ได้ โยนความผิดที่เรื่องที่ว่าใครเป็นผู้ชายคนนั้นให้กับน้องชายของตัวเอง เพียงเพราะว่าทำแบบนั้นแล้วมันทำให้ตัวเองสบายใจกว่าเท่านั้น มันทำให้ตัวผมรู้สึกโล่งใจ สามารถบอกกับตัวเองได้ว่าได้ว่าตัวเองเป็นคนดี บอกกับพระเจ้าได้ว่าตัวเองเป็นคนดี

ยังไงเสียโลแกนก็ไม่เดือดร้อนกับการต้องฆ่าคนอยู่แล้ว โยนความผิดทุกอย่างให้หมอนั่นไปซะก็ได้ ก็มันง่ายดีไม่ใช่เหรอ? ทำไมจะต้องแบกรับบาปหรือความผิดที่ตัวเองก่อด้วย ในเมื่อมีใครอีกคนที่คอยอ้าแขนโอบรับไว้ให้ แม้แต่ความผิดที่ฆ่าพ่อของตัวเอง ผมก็สามารถปัดมันออกไปจากตัวโดยง่าย เพียงเพราะโลแกนเป็นปีศาจที่ไม่รู้สึกรู้สมอะไรและผมเป็นคนที่อยากจะสร้างภาพลักษณ์หลอกตัวเองว่าเป็นคนดีแสนประเสริฐอย่างนั้นเหรอ?

ใครเป็นปีศาจกันแน่?

ตึ่ง!

ผมกระแทกนิ้วทั้งสิบลงบนคีย์เปียโนอย่างแรง ได้ยินเสียงอุทานอย่างตกใจออกมาจากที่นั่งคนดู ผมรู้ดีว่าคนมากมายกำลังรอฟังเปียโนของผมอยู่ และผมก็รู้ดีด้วยว่าต่อให้ผมกำลังตายลงอยู่ตรงนี้ผมก็ต้องเล่นมันออกมา

เสียงที่ตามมาจากการกระแทกนิ้วลงไปคือเสียงอ่อนหวานและเศร้าสร้อย เคล้าคลอกันราวกับความรุนแรงเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องโกหก ผมกรีดนิ้วลงไปบนคีย์พวกนั้น ใช้พวกมันเป็นเครื่องระบายอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกของผม จวนเจียนจะระเบิดออกมาอยู่นี่

ผมรู้สึกได้ว่าจิตใจของตัวเองค่อยๆ สงบลงหลังจากที่เล่นเพลงที่ฝึกซ้อมมาตลอดไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดจากหัวใจของตัวเองผ่านเสียงเพลงที่บรรเลงออกมา จากนั้นก็มีแค่ผมกับเปียโนตรงหน้าเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นเข้ามารบกวนพวกเรา ไม่มีเรื่องราวที่ชวนให้สับสนและเจ็บปวดอยู่ในหัวอีกต่อไป

‘ถ้าเป็นนายล่ะก็… ต้องทำได้อยู่แล้ว’ ผมจำได้ว่าโลแกนเคยพูดแบบนั้นกับผม และนั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเติมเต็มความมั่นใจให้กับผม ให้กับเสียงเพลงของผม และมันก็ทำให้หัวใจของผมอุ่นซ่านขึ้นอย่างประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของไอ้น้องชายฝาแฝดที่ใครต่อใครก็บอกว่ามันเป็นเด็กนรกนั่นจะมีอิทธิพลมากมายกับผมมากขนาดนี้

ผมบรรเลงโน้ตท่อนต่อไป ปล่อยให้มันขับกล่อมทั้งตัวผมและผู้ชมที่นั่งฟังอยู่ตรงนี้ทั้งหมด อยากฝากทั้งหมดของผมนี่ไปให้พวกเขา ให้ทุกคนได้รับรู้ เสียงเพลงของผม… ความตั้งใจของผม มันเปี่ยมไปด้วยแรงอารมณ์ที่คละเคล้าระหว่างอ่อนหวาน เศร้าสร้อย บีบคั้น และตื่นเต้นอยู่เป็นบางจังหวะ มันเป็นเพลงที่เล่นค่อนข้างยากถ้าเทียบกับเพลงอื่นๆ ที่ผมเคยเล่นมา แต่ไมเคิลก็ยืนยันว่าผมควรจะเล่นเพลงนี้ในการแข่ง

‘ไม่เป็นไรหรอก ลูคัส เชื่อฉันสิ’

ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาหยดหนึ่งที่หล่นลงมาบนแก้ม โลแกนมักจะพูดคำนั้นกับผมเสมอ บอกผมว่าไม่เป็นไร หมอนั่นพูดแค่นั้นเอง ไม่เคยมีหรอก ศิลปะในการพูดปลอบคนน่ะ หมอนั่นพูดได้แค่นั้นจริงๆ แต่สิ่งที่เจ้าตัวทำ สิ่งที่เจ้าตัวแสดงออกมา สิ่งที่เขาทำให้ผม… มันชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดนั้นมากมายหลายเท่า

พอนายพูดแบบนั้นแล้ว… เหมือนกับว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร… ตามที่นายพูดจริงๆ 

ผมเหลือบมองนิ้วก้อยข้างซ้ายที่ค่อยๆ ผ่อนแรงลงขณะบรรเลงเพลงท่อนสุดท้าย จากนั้นก็หลุดยิ้มบางๆ ออกมาที่มุมปากอย่างอดไม่อยู่

ขนาดฉันนิ้วขาดไปรอบหนึ่งแล้ว นายยังมีหน้ามาบอกกันอีกว่าไม่เป็นไร… แล้วนายก็ดันทำให้มันไม่เป็นไรตามที่นายพูดจริงๆ อีก

ผมจรดโน้ตตัวสุดท้ายลงบนคีย์ จากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ห้วงแห่งความเงียบสงบ ผมค่อยๆ ละมือออกอย่างเชื่องช้า ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่อย่างอ้อยอิ่ง

เสียงปรบมือดังกระหึ่มไปทั่วทั้งฮอลล์ เป็นการตอบรับที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับมา ผมได้ยินเสียงของผู้คนดังลอยมาปะปนไปกับเสียงปรบมือ คำพูดพวกนั้นล้วนเป็นคำชม ผมสังเกตเห็นว่ามีบางคนร้องไห้ตามผมด้วยซ้ำ และนั่นทำให้ผมต้องรีบยิ้มออกมากว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้

ยิ้ม… ทั้งๆ ที่มีน้ำตาอยู่บนหน้า แย่จริง สภาพตอนนี้ตอนดูไม่จืดแหงๆ

ผมมองผู้คนที่ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งของตัวเองแล้วปรบมือให้ ภาพที่เห็นทำให้หัวใจพองโตด้วยความยินดีจริงๆ ผมกวาดตามองไปรอบๆ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดอยู่ที่ใครคนหนึ่ง ชายหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ที่ริมซ้ายสุดจากสายตาของผม อยู่ข้างๆ ริมบันไดที่ถูกกั้นเอาไว้อย่างดี เจ้าตัวไม่นั่งบนเก้าอี้เหมือนคนอื่น และดูจากตำแหน่งที่ยืนอยู่แล้วคงไม่ได้นั่งมาตลอดจนถึงตอนนี้

โลแกน คอลลินส์… น้องชายฝาแฝดของผมนั่นเอง

โลแกนอยู่ในชุดที่เปลี่ยนไปอีกแล้ว เป็นชุดกึ่งทางการ นั่นคือสูทแบบไม่ใส่เนคไท ชุดโปรดของเจ้าตัว การที่หมอนี่มาอยู่ในสภาพนี้ได้ แปลว่าภารกิจของมันต้องสำเร็จลุล่วงไปเรียบร้อยแล้ว

‘ให้ตายสิ นายนี่จริงๆ เลยนะ…’ ผมลอบคิดในใจอย่างมีความสุข นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่สามารถมีอารมณ์ได้มากมายขนาดนี้ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

แต่ให้ตายเถอะ…

ผมดีใจจริงๆ ที่ได้เห็นมัน





---------------------------------------
Talk: เย่ๆๆๆ น่าจะอีก 2-3 ตอนก็จบแล้ววว~~ ฟฟฟฟ/ ฝากติดตามกันจนถึงวินาทีสุดท้ายด้วยนะคะ O3O จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 50) P.6 [8/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 08-04-2017 11:47:24
ดิฉันสัมผัสได้ถึงความละมุนในตอนที่เขามองเห็นกันค่ะ /ร้องไห้   บอกแล้วว่ายังไงโลแกน ไอ้เด็กนรกนั่นต้องมาทัน
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 50) P.6 [8/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: love noon ที่ 10-04-2017 23:53:11
ที่รัก เจ้รอ อยากเห็นเค้าหวานกันอ่ะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 50) P.6 [8/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 11-04-2017 13:59:21
ภารกิจเสร็จแล้ว... เอาลูคัสไปด้วยนะโลแกนนน ถ้าปล่อยลูคัสอยู่คนเดียวแย่แน่  :sad4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 50) P.6 [8/04/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 02-05-2017 16:06:28

บทที่ 51

(Mode: Lucas Collins)




ผมสบตากับโลแกนนิ่งราวกับต้องมนตร์ หมอนี่มาดูผมแสดงบนเวทีจริงๆ ตามที่ได้สัญญาไว้ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเหมือนกันกับผมทุกประการมีรอยยิ้มประดับอยู่บนหน้า เจ้าตัวปรบมืออยู่ตรงนั้นเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลย

‘ฉันทำได้แล้ว โลแกน’ ผมลอบคิด แม้จะไม่รู้ว่ามันจะส่งไปถึงเจ้าตัวรึเปล่าก็ตาม แต่แค่หมอนั่นมาดูผม… ผมก็ดีใจมากเหลือเกินแล้ว ดีใจแบบที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก

หากสิ่งที่โลแกนทำต่อจากนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกกระชากหัวใจออกไปเสียดื้อๆ เจ้าตัวหมุนตัวแล้วเดินไปจากตรงนั้น ผ่านเลยบริเวณที่นั่งคนดูทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูทางออกทางด้านหลัง

ผมมองตามแผ่นหลังของเขาไป บางทีโลแกนอาจจะออกจากตรงนั้นเพื่อมาพบกับผมที่เวทีด้านหลังก็ได้ แต่ลางสังหรณ์ในตัวผมบอกว่ามีอะไรบางอย่างต่างออกไป ความรู้สึกบางอย่างที่รุนแรง… อะไรบางอย่างที่ว่านั่นทำให้ผมกลัวอย่างไม่มีสาเหตุ

ช่วงเวลาที่ได้สบตากันเมื่อครู่ ราวกับโลแกนกำลังบอกอะไรกับผมหลายๆ อย่างผ่านสายตานั่น

ยินดี เสียใจ ภูมิใจ โหยหา… บอกลา?

โลแกนกำลังจะไปที่ไหนอย่างนั้นเหรอ? แล้วทำไมหมอนั่นไม่เห็นพูดอะไรกับผมสักคำ

อะไรของมันวะ...

“ขอโทษครับ” ผมเดินกลับไปที่หลังเวที มีเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความเรียบร้อยของงานตรงเข้ามาแสดงความยินดีด้วย แต่ผมยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่พร้อมจะคุยก้วยตอนนี้ โค้งศีรษะให้คนที่พยายามจะเข้ามาอย่างสุภาพจากนั้นก็เร่งฝีเท้าออกไปจากบริเวณหลังเวที เห็นหลังไวๆ ของโลแกนเดินออกจากสถานที่จัดแสดง

ไอ้นรกเอ๊ย…!!

ผมกัดฟันอย่างแค้นใจ หากฝีเท้าที่กำลังจ้ำพรวดไปข้างหน้าหยุดชะงักลงเมื่อสายตาหันไปเห็นใครอีกคน

เอ็ดการ์ คอร์เนอร์

ชายหนุ่มกำลังมองมาทางผมด้วยสีหน้าอึ้งๆ นัยน์ตาสีฟ้าใสเหลือบลงมองมือทั้งสองข้างของผม แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นที่นัยน์ตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความผิดหวัง จากนั้นเจ้าตัวก็ทำตัวแบบเดิมๆ นั่นคือ… เล่นละคร

คนผมน้ำตาลยกรอยยิ้มหวานบนใบหน้าพร้อมกับเลื่อนมือทั้งสองข้างมาตบเข้าหากันเบาๆ

“ผมได้ฟังเปียโนของคุณแล้ว ลูคัส” เจ้าตัวว่าสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม “สุดยอดเลยนะ ไม่มีที่ติจริงๆ สมแล้วกับ---”

ผัวะ!

ผมไม่รอให้ให้มันพูดจนจบประโยคด้วยซ้ำขณะที่ซัดหมัดหนักๆ เข้าหน้าสวยๆ ของไอ้หมอนี่

แม่งเอ๊ย! ขอสักทีเถอะวะ!

หมัดในมือขวาของผมกระแทกลงบนกระพุ้งแก้มข้างซ้ายของเอ็ดการ์อย่างแรงจนมือชาไปหมด ผมได้ยินเสียงร้องกรี๊ดอย่างตกใจของสต๊าฟสาวที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น แต่ผมไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมอยากจะซัดหน้าไอ้ทุเรศนี่อีกสักหลายๆ รอบนัก ถ้าไม่ติดที่ว่าผมต้องรีบตามโลแกนไปล่ะก็นะ

“แก…” ผมเค้นเสียงออกมาพร้อมกับหอบหายใจถี่ขึ้นเพราะอารมณ์ที่เริ่มพลุ่งพล่านภายใน จ้องหน้าชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งผมเคยไว้ใจและยกตำแหน่งเพื่อนให้อย่างแค้นเคือง เอ็ดการ์นั่งอยู่กับพื้นเพราะแรงต่อยของผมที่ทำให้เขาเซล้มลงไป นัยน์ตาสีฟ้าของหมอนั่นจ้องมองมาทางผมอย่างโกรธแค้นพอๆ กัน มันบ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความอาฆาต

หมอนี่คงอยากได้นิ้วของผมจริงๆ นั่นแหละ ทำไมผมไม่รู้ตัวให้เร็วกว่านี้นะว่าหมอนี่น่ะ… มันจ้องจะแทงข้างหลังผมมาแต่แรกอยู่แล้ว!

“แค่นี้มันยังน้อยไปสำหรับแก ไอ้ระยำเอ๊ย!” ผมพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ นักแสดงคนอื่นๆ เริ่มหันมามองทาพวกเราอย่างกล้ากลัวๆ เจ้าหน้าที่ผู้ชายที่ดูตัวใหญ่หน่อยกำลังก้าวเท้าเข้ามาเพื่อจะควบคุมสถานการณ์หรือการทะเลาะวิวาทที่อาจจะปะทุได้ทุกเมื่อ แต่ผมไม่มีเวลามาอธิบายให้เขาฟังหรือทำอะไรไร้สาระแบบนั้นหรอก

“เฮ้! เดี๋ยวก่อนสิ”

ผมก้าวเท้าออกวิ่งอีกครั้งอย่างรวดเร็วท่ามกลางความงุนงงและตื่นตะลึงของคนที่อยู่บริเวณนั้น เสียงเรียกของสต๊าฟคนนั้นดังตามไล่หลังมาแต่ผมไม่คิดจะฟัง และจะไม่ปล่อยให้ใครมาจับตัวผมไปสอบถามเหตุผลที่ผมต่อยเอ็ดการ์ คอร์เนอร์ไปด้วย ผมมีเรื่องที่สำคัญกว่าการจัดการขยะไร้ค่าแบบนั้นไม่รู้กี่สิบเท่า!

ผมก้าวพรวดออกจากประตูทางเข้าออกสวยหรูของอาคารนั้น ชายชราคนหนึ่งสะดุ้งอย่างตกใจเพราะผมพุ่งพรวดออกมาไม่ดูตาม้าตาเรือจนเกือบจะชนเขาเข้า ผมหันไปขอโทษเบาๆ จากนั้นก็ออกวิ่งไปยังทิศทางที่เห็นโลแกนเดินไปก่อนหน้านี้แวบๆ

อยู่ไหน… หมอนั่นอยู่ไหน ไปไหนแล้ว…

หากอะไรบางอย่างที่ผมเรียกมันว่าสายสัมพันธ์ระหว่างความเป็นฝาแฝดของเรากำลังชี้ทางให้ สายตาของผมเหลือบไปเห็นร่างของไอ้น้องตัวดีที่เดินหันหลังให้ผมอยู่หลังไวๆ ขณะก้าวเท้าไปตามสี่แยก กลมกลืนไปกับฝูงชนที่หลั่งไหลไม่ขาดสาย

ไอ้บ้านี่… ทำแบบนี้กับผมได้ยังไง แล้วนี่คิดจะไปไหนกันแน่ ถึงจะดีใจที่แม่งมาดูผมแสดงตามที่สัญญาไว้ก็เถอะ แต่แม่งต้องให้บอกด้วยเหรอวะว่าให้อยู่รอกันก่อน! ไม่ใช่ดูเสร็จแล้วจะหนีหายกันไปดื้อๆ แบบนี้!

“ปัดโธ่เว้ย!” ผมกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ ควักโทรศัพท์ที่อยู่กระเป๋ากางเกงออกมาแล้วกดโทรหาหมอนั่น เท้าทั้งสองข้างยังคงพยายามวิ่งตามทิศทางที่เห็นร่างไวๆ ของเจ้าตัวอยู่

โลแกนไม่ชะงักตัวหรือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไม่สนใจหรือไม่ได้พกโทรศัพท์อยู่ตอนนี้ และตอนนี้หมอนั่นก็กำลังไกลออกไปเรื่อยๆ แล้ว

ไอ้เด็กนรกเอ๊ย!!!

ผมกำลังจะวิ่งพรวดออกไปบนเส้นทางของถนน หากเสียงบีบแตรดังๆ ทำให้ผมต้องรีบดึงเท้ากลับมายืนบนฟุตบาทตามเดิม สัญญาณไฟจราจรสำหรับให้คนเดินเปลี่ยนเป็นสีแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“เร็วหน่อย… เร็วๆ หน่อย”

ผมพึมพำกับตัวเองขณะขยับขาทั้งสองข้างไปมาอย่างร้อนรน รอให้ไฟนั่นเปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็เขย่งเท้า มองตามแผ่นหลังของโลแกนไปด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าตัวเดินไปทางไหน ผมไม่อยากคลาดสายตาจากหมอนั่น

ผมออกเท้าวิ่งทันทีที่สัญญาณไฟเป็นสีเขียว เดินชนไหล่ของชายคนหนึ่มที่อยู่ในชุดสูท ชนกระเป๋าถือของหญิงสาวในชุดเดรสที่จัดแต่งมาอย่างดี คนทั้งหมดหันกลับมาด่าผมอย่างหงุดหงิด ผมได้แต่พูดขอโทษไล่หลังไปโดยไม่แม้แต่จะหันไปมอง ผมไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว มันอาจจะทำให้ผมคลาดกับโลแกนได้

โลแกน… โลแกน! นายตั้งใจจะทำอะไรของนายกันแน่วะ? ภารกิจต่อไปเหรอ? แต่ถ้าเป็นเรื่องแบบนั้น… แล้วทำไมนายถึงไม่รับโทรศัพท์ของฉันกันล่ะ? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แล้วไหนจะเรื่องพี่ๆ ที่ไม่ใช่สนุษย์ของนายอีกล่ะ? รวมถึง… ตัวนายเองด้วย ไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ฉันฟังเลยเหรอ?

ผมก้าวเท้าตามร่างของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ แม้จะหลุดตรงบริเวณที่พลุกพล่านด้วยผู้คนมาแล้ว ผมก็ยังตามฝีเท้าของหมอนั่นไม่ทันอยู่ดี

ให้ตายสิ… นี่มันแปลกเกินไปแล้วนะ ทั้งๆ ที่ผมกำลังวิ่งอยู่ และหมอนั่นแค่ก้าวเท้ายาวๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้ออกแรงวิ่งเหมือนผมเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมกันนะ… ทำไมผมถึงไปไม่ถึงตัวหมอนั่นสักที

“โลแกน!” ผมตะโกนเรียกอีกฝ่ายเมื่อบริเวณรอบข้างเริ่มมีเสียงรบกวนน้อยลง ผู้คนบางตาลงไปมาก ใครหลายๆ คนที่อยู่บริเวณนั้นและได้ยินเสียงตะโกนของผมหันกลับมามอง แต่คนที่ผมอยากให้หันกลับมาที่สุดไม่แม้แต่จะชะงักเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมใจหายวาบทันทีเมื่อเห็นว่าร่างสูงก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ใส่ใจผู้คนที่เดินสวนกับตัวเองไป ไม่รับรู้เสียงเรียกของผม

นายกำลังจะไปไหนเหรอ โลแกน…

ผมคิดอย่างสิ้นหวัง อยู่ๆ ก็รู้สึกราวกับว่าระยะทางระหว่างน้องชายคนนั้นของผมกับตัวผมเองห่างไกลกันคนละโลก

นายกำลังจะทิ้งฉันไปในที่ที่ไกลแสนไกลเหรอ? เพราะว่าฉันดันไปรู้ความลับเรื่องที่นายไม่ใช่มนุษย์นั่นเข้างั้นเหรอ? แต่จนป่านนี้แล้วเนี่ยนะ? นายลบความทรงจำของฉันอีกรอบก็ได้นี่ถ้านายไม่อยากให้ฉันรู้เรื่องนั้น

“แฮ่ก…” ผมก้มตัวลง วางฝ่ามือบนเข่าทั้งสองข้างแล้วหอบหายใจออกมาแรงๆ สูดอากาศเข้าไปในปอด ขาทั้งสองข้างสั่นและล้าไปหมด เหงื่อเม็ดหนึ่งหยดลงมาจากข้างแก้มผม ไหลลงแล้วตกลงสู่พื้นดินอย่างเชื่องช้า ผมหลับตาทั้งสองข้างแน่นอย่างอัดอั้น รวบรวมพละกำลังของตัวเองอีกครั้งแล้วออกวิ่งต่อ

ไม่สิ…  ต่อให้นายไม่ทำอะไรเลย ฉันก็ไม่คิดจะบอกใครเรื่องนั้นอยู่แล้ว เพราะต่อให้บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ ถ้านายไม่เปิดเผยตัวตนนั่นของนายขึ้นมาเสียอย่าง นายเองก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ามันก็แค่นั้นเอง แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้นายตัดสินใจจะทิ้งฉันไปล่ะ?

ไม่เอานะ… ไม่เอาแบบนั้น

“อึก…” ผมเลี้ยวโค้งที่หัวมุมด้านซ้ายตามชายหนุ่มผมทองไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่จะทำได้ ท้องฟ้าค่อยๆ ถูกย้อมเป็นสีส้มขณะที่พระอาทิตย์เคลื่อนลงต่ำ แสงที่ยังเหลืออยู่อาบไปทั่วทั้งเมือง ชโลมตัวผมเข้ากับแสงสีอ่อนของมัน

ฉันไม่สนใจหรอกต่อให้นายจะเป็นปีศาจ ไม่สนใจเลยว่านายจะฆ่าคนมาแล้วกี่คน… อ้อ ใช่ ฉันเองก็ฆ่าคนมาแล้วเหมือนกัน! ถึงจะไม่เยอะเท่านาย แต่ก็ถือว่ามือเปื้อนเลือดเหมือนกันแล้วใช่ไหม?

ได้โปรด โลแกน หันกลับมาหาฉันเถอะ ต้องให้ฉันทำยังไงล่ะ…

“แฮ่ก… แฮ่ก…” ผมหอบหายใจแรงๆ ขณะเงยหน้าขึ้นไปมองตึกร้างที่โลแกนเดินผลุบหายเข้าไป มันสูงเสียดฟ้าและดูจากสภาพภายนอก คงจะถูกปล่อยให้รกร้างมานานแล้ว

ผมเดินเข้าไปในอาคารผุพังอย่างไม่ลังเล หากต้องร้องครางออกมาหน่อยเมื่อเห็นบันไดชันทอดยาวขึ้นไป คอนกรีตของตัวอาคารนี้เต็มไปด้วยสีซีดๆ ของสเปรย์ซึ่งถูกพ่นเป็นรูปภาพและคำต่างๆ ที่ค่อนข้างหยาบคาย เป็นนัยว่าพวกเด็กเกรเรคงได้มาเยือนที่นี่แล้วเป็นแน่ และคงไม่ใช่แค่กลุ่มสองกลุ่มด้วย

ผมสูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดเพื่อให้กำลังใจตัวเองและเรียกกำลังกลับคืนมาบ้าง แม้ว่ามันจะช่วยได้จริงๆ แค่นิดเดียวก็เถอะ

ผมเดินขึ้นบันไดที่สูงชันนั้นขึ้นเรื่อยๆ ผ่านชั้นที่ห้ามา ชั้นที่สิบมา แต่ดูเหมือนผมจะยังไปไม่ถึงสถานที่ที่ผมต้องไปให้ถึงเสียที ผมได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเองค่อยๆ แผ่วลง ราวกับร่างกายเริ่มปรับตัวเข้ากับความเหนื่อยอ่อนได้แล้ว และค่อยๆ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นความอ่อนล้าแทน

รู้สึกได้เลยว่าทุกก้าวที่ย่างก้าวขึ้นไปช่างหนักอึ้ง ความเร็วในการเดินลดลงเรื่อยๆ อย่างน่าใจหาย ราวกับว่ามันสามารถหยุดลงกับที่ได้ทุกเมื่ออย่างไรอย่างนั้น แต่เมื่อใดที่มันคิดจะหยุด ผมก็ต้องสั่งให้มันก้าวเดินต่อไป… ขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะเจอคนที่อยากเจอ ต่อให้ต้องไปให้ถึงชั้นที่สูงที่สุดของอาคารแห่งนี้ผมก็จะไป… ถ้ามันจะทำให้ผมได้เจอกับโลแกนล่ะก็

ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในชั้นที่เท่าไรแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้อยู่บนโลกใบเดิมที่ตัวเองรู้จักมาตลอดรึเปล่า

เปลวไฟสีแดงฉานลุกท่วมขึ้นเป็นจุดๆ ทั่วทั้งชั้นชั้นนั้น ในพื้นที่ที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรนอกจากเสาพังๆ และสภาพเสื่อมโทรมของสิ่งก่อสร้าง

โลแกนยืนอยู่ตรงนั้น ตรงระเบียงที่ทอดยาวออกไปสู่พื้นที่ด้านนอกซึ่งมีคอนกรีตเก่าๆ กั้นเอาไว้กันคนตกลงไปตอนที่ตัวตึกยังเปิดให้บริการ

“โลแกน” ผมเรียกชื่อเขาอย่างยินดี กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปหาเจ้าตัว หากเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ากลับมามอง ผมก็ต้องชะงักฝีเท้าไปอย่างรวดเร็ว

นัยน์ตาสีฟ้าของเจ้าตัวสะท้อนสีแดงออกมาให้เห็นวูบวาบ บางทีมันคงอาจจะมาจากเพลิงที่ขึ้นอยู่รอบๆ นี่ หรือบางทีก็อาจเป็นเพราะตาของโลแกนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจริงๆ

ผมมองเขาโค้งงอที่อยู่บนหัวของอีกฝ่าย แบบที่ถ้าผมเห็นก่อนจะเจอเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ผมคงหัวเราะก๊ากแล้วแซวมันว่าแต่งตัวคอสเพลย์วันฮาโลวีนอยู่เหรอ อะไรแบบนั้น แต่มาตอนนี้ผมไม่คิดจะล้อเล่นกับเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว

น้องชายของผมไม่ใช่มนุษย์

ข้อเท็จจริงนั้นเด่นชัดและยากเกินกว่าจะปฏิเสธ แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธมันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนี่

“โลแก--”

“กลับไปซะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบติดจะเย็นชาทำเอาผมชะงักไปทันที นัยน์ตาสีฟ้าที่สลับกับแดงวูบวาบนั่นว่างเปล่าทำให้ผมใจหายวูบ รู้สึกว่าเลือดในกายเย็นเฉียบ นี่หมอนี่กำลังไล่ผมกลับไปอย่างนั้นเหรอ?

จะผิดรึเปล่าถ้าผมถามมันกลับว่าจะให้ผมกลับไปที่ไหน?

“โลแกน… ฉัน--”

“ฉันจะพูดอีกครั้ง ลูคัส คอลลินส์” น้ำเสียงนั้นทรงอำนาจ ทำให้คนฟังอย่างผมขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ผมรู้สึกได้ถึงท่าทีคุกคามของอีกฝ่ายและความร้อนจากเปลวไฟที่อยู่บริเวณรอบๆ ซึ่งพัดโหมแรงขึ้น “กลับไปในที่ที่นายควรอยู่ซะ นายไม่ควรมาอยู่ที่นี่”

เฮ้ๆ เดี๋ยวก่อน… นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม นี่หมอนี่ตั้งใจจะไล่ผมกลับไปแล้วตัวเองก็หายไปจากชีวิตผม ทิ้งผมไว้คนเดียวในที่ที่ผมควรอยู่จริงๆ เหรอ?

ล้อกันเล่นใช่ไหม?





----------------------------
Talk: หว่าาาาาา จะจบแล้วววว อีกนิดเดียววววว//ฮึด
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 51) P.6 [2/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 02-05-2017 17:29:24
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 51) P.6 [2/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-05-2017 22:10:40
พบกัน เพื่อจากลา ใช่หรือเปล่า
เอ็ดการ์ อยากได้ชัยชนะมาก จนถึงขนาดอยากให้คู่แข่งนิ้วขาดเลยหรือ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 51) P.6 [2/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 03-05-2017 17:49:14
แกจะปล่อยเขาไว้คนเดียวจริงๆเหรอ ไอ้เด็กนรก  o18 o18
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 51) P.6 [2/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: andaseen ที่ 03-05-2017 23:12:40
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน สนุกมากกกกกกกกกกกก
จะทิ้งลูคัสไปได้จริงๆเหรอโลแกน :z3:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 51) P.6 [2/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 19-05-2017 20:02:56


บทที่ 52

(Mode: Logan Collins)






ผมมาทันฟังตอนที่ลูคัสเริ่มเล่นเพลงไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทั่วทั้งฮอลล์เงียบสงัดเพื่อรับฟังการบรรเลงเพลงที่อยู่บนเวทีอย่างให้เกียรติและตั้งอกตั้งใจ ผมว่าบางทีอาจเป็นเพราะทุกคนโดนมนตร์สะกดจากเสียงเพลงของพี่ชายฝาแฝดของผมด้วย แม้แต่ผมเองก็เช่นกัน

ผมก้าวเท้าไปเรื่อยๆ เคลื่อนไหวตัวอย่างเงียบเชียบระหว่างเดินลงไปเพื่อให้ใกล้กับด้านหน้าเวทีที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเคลื่อนไหวไม่ให้เกิดเสียงหรือไม่ให้แม้แต่ใครคนอื่นรู้ตัวนี่เป็นงานถนัดของผมอยู่แล้ว นั่นเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคนที่ทำงานสายนี้ เพราะถ้าทำไม่ได้ก็เตรียมลงไปนอนจูบพื้นตายก่อนใครเพื่อนเลยตอนที่ศัตรูรับรู้การมีอยู่ของเรา

ผมมาหยุดอยู่ตรงขอบบันไดที่ถูกบุด้วยกำมะหยี่สวยงาม ทอดสายตามองคนบนเวทีอย่างเหม่อลอย ฟังเสียงเปียโนที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ซึ่งเหมือนจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามการบังคับของผู้เล่น วินาทีหนึ่งมันสะท้อนออกมาให้เห็ถึงความโกรธเกรี้ยว หากวินาทีถัดมากลับกลายเป็นอ่อนหวาน แล้วก็กลายเป็นเศร้าสร้อย สงสัยจังว่านั่นคืออารมณ์ของลูคัสในตอนนี้รึเปล่า เพราะมันสะท้อนออกมาผ่านเสียงดนตรีได้ชัดเจนจริงๆ

ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าแบบเดียวกับผมจมอยู่ในห้วงสมาธิอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว วินาทีนั้นเอง เหมือนผมจะเข้าใจขึ้นมาว่า นอกจากหน้าตาของพวกเราแล้ว เราสองคนไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ความคิดความอ่าน ขนาดความเป็นมนุษย์… ผมยังไม่มีเหมือนเขาเลย พวกเราสองคนช่างแตกต่างกันเหลือเกิน และระยะห่างระหว่างพวกเราก็มากเกินไป มากเกินกว่าที่ผมจะรู้สึกตัว การได้อยู่กับเขาทุกวันมาตลอดหลายปีนี้ทำให้ผมลืมนึกถึงระยะห่างที่ว่านี้ไป

ชายหนุ่มคนนั้นเปล่งประกาย เต็มไปด้วยความฝัน แม้ว่าในนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยนั่นจะสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความเจ็บปวดและขมขื่นกับสิ่งที่ได้ประสบพบเจอมาในชีวิต แต่นั่นกลับยิ่งขับให้ความงดงามของเขาเปล่งประกายออกมามากขึ้นเท่านั้น

ลูคัสเจ็บปวดกับการที่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนฆ่าพ่อ เขาเจ็บปวดกับการฆ่าผู้ชายคนนั้นที่พยายามจะทำร้ายผมด้วยเช่นกัน เขาเจ็บปวดกับการฆ่า… เจ็บปวดกับการต้องทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ในขณะที่ตัวผมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น ผมฆ่าคนโดยไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยว ทำร้ายคนเพื่อความสนุกส่วนตัว… ผมไม่เข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของมนุษย์อย่างเขาหรอก และนั่นทำให้ผมรู้สึกเศร้าขึ้นมานิดหนึ่งเหมือนกัน

บางทีผมอาจจะอยากเป็นมุนษย์อย่างเขาก็ได้ เพื่อที่จะได้อยู่ข้างเขา… เพื่อที่เราจะได้อยู่ด้วยกันจนกว่าความตายจะพรากจาก อย่างที่คนอื่นๆ เขาทำกัน

การแสดงของพี่ชายผมจบลงแล้ว เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วทั้งฮอลล์ในการจัดแสดงนั้นอย่างกึกก้อง เสียงปรบมือนั้นสะท้อนไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมเห็นรอยยิ้มกว้างขวางบนใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของลูคัส ชายหนุ่มได้ใส่ทุกอย่างที่เขามีลงในการแสดงครั้งนี้จริงๆ

ใบหน้าของเจ้าตัวหันมาเจอกับผมเข้าจนได้ เราสองคนสบตากัน จากนั้นลูคัสก็ส่งยิ้มหวานที่ดูมีความสุขที่สุดมาให้ผม

‘นายทำได้แล้วนะ ลูคัส’ ผมลอบคิดพร้อมกับส่งยิ้มกลับไปให้เจ้าตัว ‘อย่างน้อย… นายก็เป็นที่หนึ่งในใจของผู้ชมแน่ๆ… รวมทั้งของฉันด้วย’

ผมอยากถลาเข้าไปกอดคนบนเวที อยากจูบ อยากสัมผัส อยากให้หมอนั่นรู้เหลือเกินว่าผมรักเขา แต่ระยะที่ผมยืนอยู่ตรงนี้กับเวทีมันไกลเกินไป มันก็เป็นแบบนั้นเสมอแหละระหว่างที่นั่งคนดูกับบนเวที ต่อให้คุณจะนั่งอยู่แถวหน้าสุดยังไง คุณก็ไม่สามารถก้าวขึ้นไปบนเวทีได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยได้อยู่ดี

ผมนับเวลาถอยหลังในใจเงียบๆ รู้ดีว่าใกล้จะถึงเวลาที่นัดหมายกับเนทไว้แล้ว หมอนั่นจะเป็นคนมารับวิญญาณของผมไปตามที่ท่านพ่อสั่ง และผมต้องไปให้ถึงสถานที่นัดหมายตามเวลา ยิ่งอีกฝ่ายเป็นเนทด้วยแล้ว… หมอนี่เคร่งไปเสียทุกเรื่อง ยิ่งกว่าท่านพ่อของพวกเราเสียอีก

‘ลาก่อน ลูคัส’ ผมลอบคิดในใจขณะหมุนตัวกลับไปอีกทาง ‘ที่ผ่านมา ฉันสนุกมาก’

จากนั้นในหัวของผมก็ว่างเปล่า ไม่มีความคิดใดๆ ลอยอยู่ในนั้น

ผมแค่ก้าวเท้าไปตามทางเรื่อยๆ ตามสัญชาติญาณ ไม่สนใจผู้คนรอบข้าง ไม่ย้อนกลับไปมองข้างหลัง ชีวิตไม่มีการรีเซ็ตอะไรทั้งนั้น มีแค่ต้องการต่อไปข้างหน้าเท่านั้น

ผมรับรู้ได้ถึงเสียงตะโกนเรียกระหว่างที่ยังก้าวเท้าลงไปบนพื้นถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นและก้อนกรวดขนาดเล็ก

มันไม่มีประโยชน์เลยที่จะหันกลับไปหาคนที่พยายามไขว่คว้าผม ผมไม่สามารถอยู่กับเขาได้อยู่แล้ว เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นั้น เพราะงั้น… พอเถอะ นายน่าจะรู้ได้แล้วนะว่าควรจะหยุดวิ่งสักที เพราะมันไม่ช่วยอะไรเลยนอกจากทำให้นายเหนื่อยเปล่า

ผมเดินมาถึงตัวอาคารร้างที่เคยใช้เป็นที่หลบครั้งหนึ่งตอนที่โดนผู้หญิงซึ่งเป็นหนอนบ่อนไส้ยิงใส่เข้าที่ไหล่ข้างซ้ายของผม แผลตอนนั้นมันจางหายไปมากแล้ว และผมแทบจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆถ้าไม่ไปโดนตรงแผลที่ว่านั่นแรงๆ

ระหว่างที่ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดที่ลากยาวไปเรื่อยๆ ผมก็เผลอเหยียดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นึกขำตัวเองในใจ นี่วันนี้ก้าวขึ้นบันไดมากี่ก้าวแล้วหนอ… ดูเหมือนจะเป็นวันที่เต็มไปด้วยการปีนป่ายขึ้นบันไดที่ทอดยาวไปเรื่อยๆ ราวกับไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ

ผมมาหยุดที่ชั้น 33 ของอาคารแห่งนั้น ก้าวเท้าเดินออกจากบริเวณที่คงเคยเป็นประตูกระจกบานเลื่อนมาก่อน ออกไปที่บริเวณระเบียงซึ่งยื่นออกไปรับลมภายนอก ทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ของยามเย็นที่ท้องฟ้ากำลังย้อมทั้งเมืองให้กลายเป็สีส้มอมแดง ผมสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งเข้าปอดเพื่อรับอากาศจากลมที่พัดผ่านเข้ามา ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ปนมากับเสียงหอบหายใจของใครสักคนจากด้านหลัง และต่อให้ไม่ต้องหันกลับไปมอง ผมก็รู้ว่าใครเป็นคนล่วงล้ำอาณาเขตของผมเข้ามา

“โลแกน” เสียงนั้นเอ่ยเรียกอย่างลิงโลด

หมอนี่มันดื้อชะมัด… แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดเดาไม่ได้หรอกนะ

ผมค่อยๆ หันหน้ากลับไปเผชิญหน้ากับลูคัสอย่างเชื่องช้าและเฉยเมย สังเกตเห็นแววตาตื่นเต้นดีใจของเจ้าตัวไหววูบหนึ่ง อ่า… ผมนี่ช่างเป็นคนที่เย็นชาจริงๆ ลูคัสกระเสือกกระสน ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาเจอผมแท้ๆ แต่ผมก็ยังมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าแบบนั้น

“โลแก--”

“กลับไปซะ” ผมพูดเรียบๆ หากหนักแน่นมั่นคง สีหน้าของแฝดคนพี่ของผมสับสน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอีกเช่นกัน

“โลแกน… ฉัน--”

“ฉันจะพูดอีกครั้ง ลูคัส คอลลินส์” ผมพูดย้ำ บังคับให้เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่รอบๆ โหมแรงขึ้น หวังว่ามันจะทำให้หมอนี่ตกใจกลัวและตัดสินใจที่จะกลับไปในที่ของตัวเองง่ายขึ้น “กลับไปในที่ที่นายควรอยู่ซะ นายไม่ควรมาอยู่ที่นี่”

“หา??” เสียงของเจ้าตัวลากยาวอย่างผิดหวังและสับสน หากเห็นแววตาของหมอนี่แล้ว ผมก็รู้ได้ทันทีว่าลูคัสคงไม่ยอมถอดใจง่ายๆ “พูดเรื่องบ้าอะไรของนายวะ โลแกน? นายคิดว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นเหรอ? แล้วนี่นายตั้งใจจะทำอะไร?”

“ผมต้องกลับนรกแล้ว” ผมตอบกลับตรงๆ ด้วยคำพูดที่ถ้าเป็นลูคัสเมื่อสมัยก่อนคงจะหัวเราะก๊ากไปแล้ว “ผมทำงานเสร็จแล้ว ถึงเวลาต้องกลับสักที”

“แต่… ฉันไม่เข้าใจ” อีกฝ่ายอึกอัก “นายหมายความว่า… นายจะฆ่าตัวตายงั้นเหรอ? นายจะกระโดดตึกจากตรงนี้เหรอ? ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย?”

ผมไม่ตอบคำถามนั้น เพราะได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้ว ลูคัสอ้าปากค้าง มองหน้าผมเหมือนไม่อยากเชื่อ จากนั้นจึงหุบปากแน่นลง หลุบสายตาต่ำแล้วกลืนน้ำลายลงคอ เรียบเรียงคำพูดอีกครั้ง

“นาย… ไม่ใช่มนุษย์… เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้ว”

“งั้นก็ไม่มีอะไรต้องอธิบายกันอีก”

“นายจะทิ้งฉันไว้คนเดียวเหรอ โลแกน” คำถามตรงไปตรงมานั่นทำให้ผมสะอึก สีหน้าร้อนขึ้นวูบด้วยความละอาย แค่เห็นแววตาเศร้าสร้อยของคนตรงหน้าผมก็เจ็บไปหมดแล้ว แต่ผมต้องหนักแน่น… ต้องมั่นคง ผมคงไม่สามารถทำเรื่องเห็นแก่ตัวอย่างเอาลูคัสไปกับผมได้หรอก

“นายไม่ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “นายยังมีน้าลิซ่า มีเพื่อนๆ ของนาย มีผู้ชมที่รอฟังเปียโนของนาย”

“นายก็รู้ว่าคนพวกนั้นไม่สามารถแทนที่นายได้”

ผมนิ่งไปกับคำพูดประโยคนั้น ลูคัสสืบเท้าเข้ามาหาผม หมอนี่ไม่กลัวกับไฟที่ลุกท่วมอยู่นี่เลยสักนิด หนำซ้ำยังเลื่อนมือมาจับแขนผมหน้าตาเฉย… หมอนี่มันดูไม่ออกรึไง ผมไม่ใช่มนุษย์แบบที่เจ้าตัวเป็นอีกแล้ว ไม่อีกแล้ว

“ให้ฉันไปกับนายได้ไหม”

“นายรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา” ผมรู้สึกถึงความโกรธที่แล่นวูบเข้ามาอย่างรวดเร็ว หมอนี่มันไม่เข้าใจอะไรเลย… ผมต้องต่อสู้กับความต้องการอีกด้านของตัวเองมากแค่ไหนถึงจะตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ได้ แล้วหมอนี่กลับมาบอกว่าอยากจะไปกับผมเนี่ยนะ? “การที่นายบอกว่าอยากมากับฉัน… ไม่ต่างอะไรกับบอกว่านายอยากจะตายหรอกนะ”

“ฉันไม่สนหรอก”

“หยุดพูดจาไร้สาระได้แล้ว! ลูคัส คอลลินส์!” ผมตะโกน คว้าต้นแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแล้วบีบแน่นอย่างหมดความอดทน ลูคัสสะดุ้งตัวนิดหนึ่งด้วยความตกใจ หากเจ้าตัวก็ยังจ้องตาผมนิ่ง “นายไม่เข้าใจเหรอว่าทั้งหมดนี่มันหมายความว่ายังไง นายอยากจะละทิ้งทุกอย่างที่นายทำมางั้นเหรอ? ตลอดเวลาที่นายเฝ้าฝึกซ้อมเปียโนมาข้ามวันข้ามคืน ทุกอย่างที่นายทำก็พานำพานายไปสู่จุดสูงสุดของวงการนี้ และนายก็กำลังจะไปถึงจุดนั้นอยู่แล้ว! นายคิดจะละทิ้งทุกอย่าง ทิ้งชีวิตและความฝันของนายเพื่อตามฉันมาในที่ที่ไม่มีอะไรเหมาะสมกับนายเลยสักอย่างอย่างนั้นเหรอ!!??”

“แล้วนายไม่ได้รักฉันหรือไง!!” ลูคัสกรีดเสียงออกมาบ้างอย่างอัดอั้น น้ำใสๆ ไหลลงอาบแก้มของเจ้าตัวอีกรอบราวกับว่ามันเกินขีดจำกัดของเขาไปแล้ว “หา?? โลแกน นายไม่ได้รักฉันเหรอ? นายไม่ได้อยากจะอยู่กับฉันแบบที่ฉันอยากจะอยู่กับนายหรอกเหรอ? นายไม่รักฉันแล้วใช่ไหมถึงได้คิดจะทิ้งฉันเอาไว้แบบนี้น่ะ!?”

“ให้ตายเถอะวะ ลูคัส!” ผมตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด ดึงร่างนั้นเข้ามากอดแน่น… จนบางทีเจ้าตัวอาจจะแหลกสลายลงไปคาอ้อมกอดของผมก็ได้ ผมผละร่างนั้นออกเพื่อให้อีกฝ่ายได้มองหน้าผมชัดๆ ก่อนจะว่า “นายไม่เข้าใจเหรอว่าที่ฉันต้องทำแบบนี้ก็เพราะฉันรักนายมาก! รักนายมากเกินกว่าที่จะทำเรื่องเห็นแก่ตัวอย่างเอานายไปอยู่กับฉันได้…”

แย่ล่ะ… ผมรู้สึกถึงน้ำตาที่รื้นขึ้นมาแล้ว เหมือนทุกอย่างในตัวกำลังจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าของลูคัสอึ้งไปทันทีที่เห็นผมระเบิดออกมาแบบนั้น หมอนี่คงคาดไม่ถึง

“ถ้าฉัน… รักนายน้อยกว่านี้อีกสักนิด...” ผมบีบไหล่ของคนตรงหน้าแน่นขึ้น บางทีนั่นอาจจะทำให้เจ้าตัวเจ็บ แต่ผมหยุดตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว “ถ้าฉันรักนายน้อยกว่านี้อีกสักนิด… อีกแค่นิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้น… ฉันคงเอานายไปกับฉัน โดยไม่ถามความสมัครใจของนายเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ฉัน…”

“โลแกน” ลูคัสพูดขัดขึ้นมาพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาสวมกอดผมอย่างอ่อนโยน ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ร้องไห้จริงๆ… ร้องไห้แบบที่ตอนเด็กๆ เคยทำและลูคัสเข้ามากอดปลอบผมแบบนี้ “โลแกน… ให้ฉันไปกับนายเถอะ ให้ฉันไปกับนายเถอะนะ ชีวิตของฉันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้วถ้าไม่มีนาย ฉันทำทุกอย่างนี่ก็เพื่อนาย… เพื่อที่สักวันเราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอะไรอีกต่อไป”

“นายพูดอะ---”

“ที่ฉันเล่นเปียโน… ก็เพราะอยากจะเห็นรอยยิ้มของนายแบบที่นายเคยทำเมื่อตอนสมัยเด็กก็เท่านั้น ถ้าเกิดฉันเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียง เราก็ไม่ลำบากเรื่องเงิน... นายก็จะได้ไม่ต้องไปทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนั้นแล้วกลับมาอยู่กับฉัน… เท่านั้นเองที่ฉันต้องการ โลแกน ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อที่จะได้อยู่กับนายเท่านั้น แต่ถ้าไม่มีนายอีกแล้ว ทุกอย่างนี่มันก็ไม่มีประโยชน์…”

“ลูคัส…” ผมฟังสิ่งที่หมอนี่พูดแล้วอึ้งไปทันที ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหมอนี่จะคิดแบบนี้

บางที… อาจจะเหมือนกับที่ลูคัสไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมคิดแบบนั้นมาตลอดเหมือนกันก็ได้

อ้อมกอดของเจ้าตัวกระชับแน่นขึ้น ผมโอบแขนทั้งสองข้างกอดมันกลับอย่างอัดอั้น รู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่อยู่บรเวณอกของตัวเอง ลูคัสเองก็กำลังร้องไห้เหมือนกัน นี่ผมทำหมอนี่ร้องไห้มาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้งกัน?

“เพราะ… งั้นนะ” เสียงของคนในอ้อมแขนผมขาดเป็นห้วงๆ เพราะแรงสะอื้น “ได้โปรดเถอะ พาฉันไปกับนายด้วยเถอะนะ โลแกน ขอแค่ได้อยู่กับนาย… ขอแค่มีนายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ช่าง ขอร้องเถอะนะ อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว…”

ผมผละอ้อมกอดของอีกฝ่ายออก เลื่อนหน้าลงไปทาบจูบบนริมฝีปากของเจ้าตัวอย่างอ่อนโยน พร้อมๆ กับเลื่อนมือไปปาดน้ำตาของเจ้าตัวออก

ให้ตายเถอะ… ผมแพ้หมอนี่อีกแล้ว

เพราะหมอนี่เป็นพี่ผมงั้นเหรอ? เพราะว่าลูคัสเกิดก่อนผมรึเปล่า? ถึงมันจะแค่ไม่กี่นาทีก็เถอะ

“แล้วอย่ามาคร่ำครวญให้ฉันได้ยินทีหลังแล้วกัน” ผมเริ่มตั้งข้อแม้ขณะลูบพวงแก้มของอีกฝ่ายแผ่วเบา ปัดน้ำตาออก “ที่นู่นน่ะ… ไม่สนุกสำหรับนายหรอกนะ ขอเตือนไว้ก่อนเลย”

ลูคัสหัวเราะออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นหน้าขึ้นมาแล้วจูบปากผมเร็วๆ ทีหนึ่ง

“อย่างกับว่าที่ใช้ชีวิตบนโลกนี้ที่ผ่านมาสนุกนักนี่”

“ไม่รู้ล่ะ ถือว่าฉันเตือนนายแล้วนะ ถ้านายมาร้องไห้ทีหลังล่ะก็… ฉันเล่นงานนายหนักแน่”

“งั้นร้องตอนนี้เผื่อไว้ก่อนเลยได้ไหม?”

“ลูคัส!” ไอ้พี่บ้า!

ผมกุมมือของคนข้างตัวเอาไว้แน่นขณะที่ค่อยๆ ปีนขึ้นไปอยู่บนระเบียงที่ค่อนข้างมั่นคง มองทิวทัศน์ของตัวเมืองเบื้องล่างอีกครั้งก่อนจะเบือนหน้ากลับมามองหน้าอีกฝ่ายที่หันกลับมามองทางผมเช่นกัน

ผมยิ้มให้เจ้าตัวนิดหนึ่ง รู้สึกถึงแรงบีบบนมือที่มากขึ้นจากอีกฝ่าย

“นายว่ามันจะเจ็บมากไหม โลแกน” เจ้าตัวเอียงคอถาม หากไม่มีท่าทีหวาดหวั่นอยู่ในน้ำเสียงหรือแววตานั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

“อืม… ไม่รู้สิ” ผมแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “ฉันเองก็ไม่เคยตายมาก่อนด้วย ไม่รู้เหมือนกันจะเจ็บแค่ไหน”

“เดี๋ยวก็ได้รู้แล้ว”

“นั่นสิ” ผมส่งยิ้มยียวนกลับไปให้อีกฝ่าย “เดี๋ยวก็ได้รู้แล้ว”

พวกเราทั้งสองคนใช้ขาถีบตัวส่งเพื่อปล่อยให้ร่างกายร่วงหล่นลงจากที่ตรงนั้น สายลมหวีดหวิวโอบล้อมร่างของพวกเราเอาไว้ ผมหันไปมองหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ไปให้

ลูคัสยิ้มตอบให้ผม
 





-------------------------------------------
Talk: บทสุดท้ายค่ะ! แต่ยังไม่ท้ายสุดนะคะ! XD เดี๋ยวเอาบทส่งท้ายมาปิดฉากอีกที~~ ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ ส่วนที่หลายๆ คนถามหา ss2 หรือคู่แยก หรือว่าตอนพิเศษ... เอาเป็นว่ายังไม่ขอรับปากใดๆ (ฮา) แต่ถ้ามีล่ะก็ จะมาแจ้งให้ทุกคนทราบแน่นอน!

แล้วก็... ตั้งใจจะรวมเล่มนิยายเรื่องนี้ด้วยค่ะ! แน่นอนว่าในเล่มจะมีตอนพิเศษที่ไม่ลงเว็บด้วย >w< แต่คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลยกว่าจะดำเนินการเสร็จ... ยังไงก็จะอัพเดทในหน้าเพจเรื่อยๆ นะคะ
ส่วนคนที่ตามหาบทแทรกไม่เจอ inbox มาได้ที่หน้าเพจนะคะ >>https://www.facebook.com/airinand/
ใครที่ยังไม่ได้กดไลค์ อย่าลืมกดเป็นกำลังใจกันให้ด้วยน้า~ แล้วก็ติดตามการอัพเดทที่เร็วที่สุดในหน้าเพจเลยจ้า
แวะมาพูดคุยกันได้เสมอนะคะ :D แล้วเจอกันค่า~
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 52) P.6 [19/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: tiew93 ที่ 19-05-2017 22:07:50
ดีใจที่ทั้งคู่ไม่รั้นเกินไป ขอให้ไปนรกอย่างไม่มีอุปสรรคนะะ  :katai2-1: ไม่อยากให้จบเลยยยย สนุกมากกก
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทที่ 52) P.6 [19/05/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 02-06-2017 17:24:41

บทส่งท้าย



ไมเคิล ฮาร์ริสประคองช่อดอกไม้ในมือในมือจากนั้นก็ทอดสายตามองหลุมฝังศพที่มีหินสลักเป็นชื่อของลูกศิษย์คนโปรดของเขา ลูกศิษย์คนที่เขาสามารถผลักดันมาได้จนเกือบจนถึงระดับที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และเจ้าตัวก็เกือบจะได้เป็นเจ้าของรางวัลชนะเลิศการแข่งเมื่อเดือนี่ผ่านมาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าชายหนุ่มคนนั้นตัดสินใจฆ่าตัวตายกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองลงเสียก่อน

พอลองมาคิดดูตอนนี้แล้ว… นี่ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งพอดีแล้วสินะ ตั้งแต่วันที่ลูคัส คอลลินส์ขึ้นแสดง… และจบชีวิตของตัวเองลงในวันเดียวกัน

นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังกรอบแว่นหรี่หม่นลงนิดหนึ่งขณะค่อยๆ ก้มตัวลงไปวางช่อดอกไม้นั้นที่หน้าหลุมศพของลูคัส เขายืดตัวขึ้นตรงหากก้มหน้าลงไปอ่านชื่อที่สลักอยู่บนป้ายหลุมศพนั่นอย่างโหยหา

จนถึงตอนนี้… เขายังจำสัมผัสยามที่ริมฝีปากของเขาชนกับชายหนุ่มคนนั้นอยู่ได้

สองครั้ง

พวกเขาสองคนจูบกันแค่สองครั้ง ครั้งแรกเป็นตอนที่ลูคัสนึกถึงใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา ส่วนครั้งที่สองเป็นตอนที่เขาโกหกว่าเขาคิดถึงใครคนอื่นขณะที่ประทับริมฝีปากลงบนปากของอีกฝ่าย

ความหวานละมุนยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่จูบสำหรับเขา มันเป็นของใครคนอื่นที่ลูคัสต้องการมอบให้ และมันคงไม่มีวันเป็นของเขา ยิ่งได้มายืนอยู่หน้าหลุมศพของชายหนุ่มคนนั้นยิ่งตอกย้ำความจริงข้อนั้นเข้าไปอีก

นาย… กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ตอนที่กระโดดลงมาจากตึกนั่น

ไมเคิลล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงอย่างดีของตัวเอง รางวัลชนะเลิศในการแข่งครั้งใหญ่ที่ผ่านมาเป็นของศิษย์เอกของเขาอย่างลูคัส คอลลินส์ไม่ผิดแน่ หากลูกศิษย์อีกคนที่มาเรียนกับเขาในเวลาสั้นๆ กลับได้รางวัลนั้นไปโดยง่าย เพียงเพราะเจ้าของรางวัลที่แท้จริงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว

‘แน่นอนว่านักเปียโนคนนั้นจะอยู่ในใจของเราเสมอ’ ผู้ชมที่ได้ไปดูการแสดงของลูคัสในวันนั้นได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวที่เข้ามาถามไถ่ถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้แจ้งข่าวเรื่องการจากไปของเขาอย่างกะทันหัน ‘จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว… พระเจ้า การแสดงของเขามันเยี่ยมยอดขนาดนั้นแท้ๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราต้องเสียนักเปียโนที่มีพรสววรค์และความสามารถขนาดนั้นไป…’

ข่าวการตายของลูคัส คอลลินส์เป็นอะไรที่กะทันหันและรวดเร็วเกินกว่าที่ใครต่อใครในวงการดนตรีจะคาดถึง ไมเคิลรับรู้เพียงว่าแฟนดนตรีจำนวนไม่น้อยหลั่งน้ำตาให้ลูกศิษย์คนนี้ของเขา เขาจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังนึกสงสัยว่าอะไรกันที่ผลักดันให้ทั้งลูคัสและโลแกน คอลลินส์ฆ่าตัวตายในวันนั้น ทั้งสองคนไม่ได้มีปัญหาเรื่องทางบ้าน ไม่มีปัญหาเรื่องเงินหรือหนี้สินใดๆ และเท่าที่เขาอยู่กับลูคัสมา ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเจ้าตัวมีแนวโน้มว่าจะฆ่าตัวตาย

หรือว่าทั้งหมดนี่จะเป็นการจัดฉาก? อาจเป็นการฆาตกรรมก็ได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีข้อพิสูจน์แล้วว่าทั้งสองคนนั้นฆ่าตัวตายด้วยความตั้งใจของตัวเองจริงๆ ไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยการต่อสู้ การขู่บังคับ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีจดหมายลาตายหรือหลักฐานใดๆ ที่บอกว่าแฝดทั้งสองคนอยากจะลาจากโลกนี้เหมือนกัน

แปลก… เรื่องทั้งหมดนี่มันแปลกเกินไปแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีปัญญาหรือความสามารถมากพอที่จะหาคำตอบให้กับเรื่องนั้นได้

ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ… ลูคัสตายแล้ว

ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นยังไง มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

“โอ้… คุณฮาร์ริส สวัสดีครับ”

ไมเคิลหันกลับไปมองตามต้นเสียง นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ฉายแววอ่อนโยนระคนเศร้าสร้อยจนถึงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีที่เห็นว่าใครก้าวเข้ามาในบริเวณที่เขาอยู่

“สวัสดีครับ คุณคอร์เนอร์”

ข้างกายของเอ็ดการ์มีชายร่างใหญ่ในชุดสูทอีกสองคน ทั้งคู่เดินประกบร่างของเจ้านายราวกับเงาตามตัว ตั้งแต่วันที่ลูคัสต่อยหน้าเจ้าหนูนี่จนปากแตก เอ็ดการ์ก็เริ่มมีคนคุ้มกันคอยตามประกบเพื่อไม่ให้ใครต่อใครมาทำร้ายเขาอีก ซึ่งไมเคิลคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ในเมื่อคนที่ต่อยตัวเองในวันนั้นก็ได้ตายไปแล้ว และหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ได้ช่วงชิงรางวัลและชื่อเสียงที่ลูคัสควรจะได้ไปอย่างง่ายดาย

ไมเคิลจำได้ว่าเอ็ดการ์บีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสารเต็มที่ตอนที่ให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์ เจ้าตัวอ้างว่าตัวเองสนิทกับลูคัสมาก แต่ก็มีเรื่องวิวาทกันเล็กน้อยตามประสาเพื่อนฝูง เขาอยากจะปรับความเข้าใจกับลูคัสหลังจบการแข่งขันครั้งนั้น แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่มีโอกาสนั้นเสียแล้ว

‘ผมเสียใจจริงๆ ครับที่เราต้องเสียนักเปียโนที่มีความสามารถอย่างลูคัส คอลลินส์ไป’ เจ้าตัวว่า ปล่อยให้น้ำตารื้นที่หางตาเล็กน้อย พยายามทำท่าเลื่อนมือไปปาดมันออกอย่างไม่ชัดเจนนัก ‘ผมสนิทกับเขามากครับ แล้วก็ชื่นชมเขามากด้วย ทั้งในฐานะเพื่อน แล้วก็ฐานะนักดนตรี เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากจริงๆ’

หากไมเคิลไม่เชื่อในสิ่งที่เอ็ดการ์พูดออกมาเท่าไรนัก หลายอย่างที่หมอนี่แสดงออกมาให้เห็นมันดูน่าสงสัยเกินไป และอีกอย่าง… ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ตั้งแต่รู้จักกับลูคัสมา หมอนั่นแทบไม่เคยโกรธใครหรืออะไรจริงๆ จังๆ ให้เห็นเลยสักครั้ง ดังนั้น การที่เจ้าตัวจะตรงปรี่ไปต่อยเอ็ดการ์ คอร์เนอร์หลังการแสดงที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้นของตัวเอง แปลว่าลูคัสต้องโกรธจนถึงที่สุดจริงๆ และนั่นก็ทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมาว่าเอ็ดการ์ไปทำอะไรให้ลูกศิษย์คนนั้นของเขาโกรธได้ถึงขั้นนั้น

แต่ก็นั่นแหละ… เขาไม่เคยได้รับคำตอบจริงๆ ของคำถามนั้น

ต่อให้เขาถามเอ็ดการ์ เจ้าตัวก็จะแกล้งทำหน้าสลดแล้วพูดเฉไฉไปเหมือนตอนที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อ และถ้าคนพูดไม่ใช่ตัวลูคัสเอง เขาก็ไม่อยากจะเชื่ออะไรเท่าไรด้วย แต่ในเมื่อไม่มีคนคอยพูดตอบคำถามเขาอีกต่อไปแล้ว เขาก็เหมือนวิ่งหันหน้าเข้าหาทางตัน

“แปลกจังเลยนะครับ” เอ็ดการ์เอียงคอ ยิ้มหวานประจบนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังตรงหน้า ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะสอนเปียโนต่อให้เขาอย่างเหินห่าง “ที่คุณเองก็มาเยี่ยมหลุมศพของลูคัสวันนี้พอดี เราใจตรงกันเลย”

“คุณตั้งใจมาเยี่ยมหลุมศพเขาจริงๆ เหรอครับ?” ไมเคิลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างฉงน และนั่นทำให้เอ็ดการ์แสร้งตีสีหน้าเหลอหลาขึ้นมาทันที

“แน่นอนสิครับ นี่ไง ผมมีดอกไม้มาให้เขาด้วยนะ ถ้าไม่ได้มาเยี่ยมหลุมศพ แล้วผมจะมาทำอะไรล่ะ?”

ไมเคิลเหลือบมองช่อดอกไม้ในมือของชายหนุ่ม จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงติดจะเยาะ

“ผมนึกว่าคุณจะมาเพื่อเยาะเย้ยถากถางเขาเสียอีก”

รอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้าของเอ็ดการ์เลือนหายไปทันที

“ผมไม่ทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนั้นหรอกครับ”

“ก็ดีครับ” ชายหนุ่มใส่แว่นพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ผมมีธุระต่อจากนี้ คงต้องขอตัวก่อน”

“ครับ” เอ็ดการ์ว่าเนือยๆ “ขอให้โชคดีครับ คุณฮาร์ริส”

เอ็ดการ์รอจนกระทั่งร่างของชายหนุ่มคนนั้นเดินจากไป จากนั้นเขาก็สั่งให้ผู้คุ้มกันทั้งสองคนรออยู่ห่างๆ ขณะที่ตัวเองก้าวขาไปที่หน้าหลุมศพของลูคัส คอลลินส์ มองที่ชื่อซึ่งถูกสลักเอาไว้ด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้เย็นชา ไม่ได้เศร้าสร้อย แต่ก็ไม่ได้อาฆาตแค้นใดๆ เช่นกัน

“น่าเสียดายนะ ลูคัส” เอ็ดการ์เอ่ยปาก “นายดันมาตาย… ก่อนที่ฉันจะบดขยี้นายลงซะได้”
อันที่จริงหลังจากนี้ เขารู้ดีว่าชื่อเสียงของลูคัสจะคงอยู่ต่อไป และมันคงตามหลอกหลอนเขาไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางในด้านดนตรีที่เขาตั้งใจจะก้าวไป ยิ่งเจ้าตัวมาตายในวันที่ขึ้นแสดงและบรรเลงเพลงที่สุดยอดถึงขนาดนั้นด้วยแล้ว เขาจะกลายเป็นตำนาน… และคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างตัวเขาเองก็ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนต่อไป เพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในใจของผู้ชม

‘แต่… ถึงแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก’ เอ็ดการ์คลี่ยิ้มบางๆ ‘ในเมื่อคนที่มีชีวิตอยู่อย่างฉัน ยังสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้ ยังมีโอกาสอะไรดีๆ อีกเยอะ’

คิดแล้วเจ้าตัวก็วางช่อดอกไม้ในมือลงหน้าหลุมศพอย่างไม่กระตือรือร้นนัก จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปหาผู้คุ้มกันทั้งสองของเขา



- fin -





-----------------------------------------------
Talk:  จบแล้วค่ะ!! เย่~~ ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ~~ รักคนอ่านทุกคน >3< ม้วฟฟฟฟ
 ขออนุญาตใช้พื้นที่โฆษณานิดนึง... จะบอกว่าเรากำลังเปิดพรีเรื่องนี้อยู่แหละ ถ้าใครสนใจยังไงเข้าไปดูรายละเอียดกันได้ตามลิงค์นี้นะคะ https://www.facebook.com/writerbookyaoi/  (https://www.facebook.com/writerbookyaoi/)
หรือเข้ามา inbox สอบถามที่หน้าเพจเราได้ค่ะ https://www.facebook.com/airinand/ (https://www.facebook.com/airinand/)
ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ!
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทส่งท้าย) P.6 [2/06/2017][จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 02-06-2017 19:50:57
จบแล้วว  :impress2: :man1: จะมีช่วงที่อยู่ในนรกเป็นตอนพิเศษในเล่มไหมคะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทส่งท้าย) P.6 [2/06/2017][จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-06-2017 20:44:06
โลแกน ลูคัส  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เข้าใจว่าเป็นตอนพิเศษ ที่สองคนอยู่ในนรกซะอีก

เอ็ดการ์ เสแสร้งมาตลอด เพื่อชนะลูคัส
ครอบครัวร่ำรวย มีอิทธิพล มีอำนาจสุดๆแล้ว
ยังอยากมีชื่อเสียงเด่นดังด้านดนตรีอีก
อาจเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ ขวนขวายด้วยตัวเองละมั้ง
เพราะที่มีที่ได้มาจากตระกูล พ่อ ได้มาเปล่าๆ

นี่ถ้าลูคัส ไม่ได้รักกับโลแกน
ไมเคิล คงจีบลูคัสเป็นคนรักแน่ๆ
เพราะในใจยังคำนึงถึง อาลัยอาวรณ์ลูคัสไม่รู้วาย

ขอบคุณไรท์ มาให้ความสุขคนอ่าน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทส่งท้าย) P.6 [2/06/2017][จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 02-06-2017 22:24:44
โลกับลูน่ารักกก ถ้ามีตอนพิเศษที่อยู่ในนรกคงจะครื้นเครงน่าดูเลย -3-
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทส่งท้าย) P.6 [2/06/2017][จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 03-06-2017 09:03:55
จบแล้วว  :impress2: :man1: จะมีช่วงที่อยู่ในนรกเป็นตอนพิเศษในเล่มไหมคะ

มีค่าาา ^^ ถ้าสนใจยังไงสอบถามทาง inbox ได้น้าาา

โลแกน ลูคัส  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เข้าใจว่าเป็นตอนพิเศษ ที่สองคนอยู่ในนรกซะอีก

เอ็ดการ์ เสแสร้งมาตลอด เพื่อชนะลูคัส
ครอบครัวร่ำรวย มีอิทธิพล มีอำนาจสุดๆแล้ว
ยังอยากมีชื่อเสียงเด่นดังด้านดนตรีอีก
อาจเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ ขวนขวายด้วยตัวเองละมั้ง
เพราะที่มีที่ได้มาจากตระกูล พ่อ ได้มาเปล่าๆ

นี่ถ้าลูคัส ไม่ได้รักกับโลแกน
ไมเคิล คงจีบลูคัสเป็นคนรักแน่ๆ
เพราะในใจยังคำนึงถึง อาลัยอาวรณ์ลูคัสไม่รู้วาย

ขอบคุณไรท์ มาให้ความสุขคนอ่าน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณเช่นกันค่ะที่ตามอ่านมาตลอด เราอ่านคอมเม้นท์ตัวทุกอันเลยนะ! เป็นกำลังใจที่สำคัญมากๆ ขอบคุณนะคะ!

โลกับลูน่ารักกก ถ้ามีตอนพิเศษที่อยู่ในนรกคงจะครื้นเครงน่าดูเลย -3-

มีตอนพิเศษในรวมเล่มนะคะะะ >w< ถ้าสนใจก็แว้บๆ มาดูมาสอบถามก่อนได้น้าาา
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทส่งท้าย) P.6 [2/06/2017][จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: XXX ที่ 20-06-2017 22:44:12
เป็นนิยายที่อ่านแล้วตึดหนึบบบ สนุกมากๆๆๆ

อ่านตอนจบแล้วน้ำตาไหลเลย  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทส่งท้าย) P.6 [2/06/2017][จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 27-06-2017 14:29:52
เพิ่งเข้ามาตามอ่านค่ะ กว่าจะจบ ยาวมาก@__@
เสียดายไม่มีตอนหลังอยุ่ที่นรก รุ้สึกเหมือนยังไม่จบเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทส่งท้าย) P.6 [2/06/2017][จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: chuxm ที่ 28-06-2017 17:43:36
ชอบสำนวนสนุกมากเลยค่ะอยากให้มีตอนพิเศษ :hao5: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทส่งท้าย) P.6 [2/06/2017][จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 28-06-2017 18:21:46
จบแล้วววว ชอบภาษาเขียนในเรื่องมากเลย ฮือ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่นำมาแบ่งปันครับ :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด (บทส่งท้าย) P.6 [2/06/2017][จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: Airiณ ที่ 29-06-2017 16:35:27
สวัสดีค่า วันนี้มาอัพเดทข้อมูลเรื่องรวมเล่มที่กำลังเปิดจองอยู่นะคะ

1. ขยายเวลาการเปิดจอง+โอนเงินจากถึงวันที่ 30/06 เป็นวันที่ 5/07 แทนนะคะ ใครทีเพิ่งแวะเข้ามาเห็นและสนใจก็ยังมีเวลาจองอยู่ค่า :)

2. หากไม่สะดวกโอนเงิน/ไม่อยากเสียค่าโอน สามารถจองและชำระเงินได้ที่งาน Y book fair วันที่ 1/07 เลยนะคะ บูธของสนพ. Writer book คือ C3 ค่า

3. รายละเอียดในเล่ม

เนื่องจากมีหลังไมค์ถามเกี่ยวกับด้านในหนังสือมาเยอะมาก ขอเอามาอัพเดทตรงนี้เลยนะคะ

เล่มหลัก

- จะเป็นเนื้อเรื่องหลักแบบที่ลงเว็บนะคะ มีการตรวจทานคำผิด
ของที่มีในเล่มหลักและไม่ได้นำลงเว็บจะมี:
- รูปประกอบ 2 ภาพ
- ตอนพิเศษ 3 ตอน: (เป็นตอนที่ไม่อยู่ในเล่มพิเศษค่ะ)
ตอน 1 เป็นเรื่องของโลแกนกับลูคัสในนรกค่ะ ให้พอรู้ว่าทั้งสองคนเป็นยังไงกันต่อเนอะ :)
ตอน 2 เป็นเรื่องของมิกกี้ค่ะ (จริงๆ มีคนชอบนางเยอะมาก หลังไมค์มาถามกันด้วยว่ามีเรื่องนางไหม 555555)
ตอน 3 เป็นเรื่องของโลแกนกับลูคัสช่วงที่ยังวัยรุ่นอยู่ ประมาณม. ต้นได้ พอกรุบกริบค่ะ

เล่มพิเศษ

- จะมีทั้งหมด 8 ตอนค่ะ ทั้งหมด 168 หน้าขนาด B6 ค่ะ
2 ตอนแรกจะเป็นเรื่องของโลแกนกับลูคัสตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นตอนก่อนจะเริ่มเนื้อเรื่องหลักนะคะ อีก 6 ตอนจะเป็นเรื่องหลังจากที่โลแกนกับลูคัสโดดตึกไปแล้ว มีตอนหนึ่งเป็นตอนของเนท(และคู่ของนาง) ค่ะ ใครเป็นแฟนคลับนางเตรียมหวีดได้เลย XD

ตอนนี้ยังเปิดให้จองและโอนเงินอยู่นะคะ ถ้าสั่งซื้อแบบเซ็ตรอบจองจะได้กระเป๋าหูรูดแถมด้วย! ไม่อยากให้ทุกคนพลาด

ใครยังไม่ได้กดจอง… ตามลิงค์นี้ไปได้เลยค่า>>https://goo.gl/forms/hWxHRihj0mvGTCpz2
(หลังจากกรอกรายละเอียดแล้วให้รออีเมล์ยืนยันจากทางสนพ. นะคะ)

หรือหากมีข้อสงสัยอะไร สอบถามเข้ามาได้ตลอดที่หน้าเพจ>>https://www.facebook.com/airinand/
inbox มาได้เลย

ขอบคุณสำหรับความสนใจของทุกคนนะคะ :)
แล้วเจอกันค่า!
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 01-07-2017 18:22:07
ขอบคุณค่ะ สนุกมากๆเลย สั่งจองไปแล้วค่ะ อยากได้สองแฝดไปนอนกอด 5555  :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 03-07-2017 02:11:24
น่าจะมีต่ออีดนิดนะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 03-07-2017 09:51:24
 :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 06-07-2017 17:28:49
สนุกมากเลยค่ะ เข้ามาอ่านแล้วติดหนึบหนับเลย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 08-07-2017 14:33:17
เรื่องสนุกมาก...แต่อยากได้ตอนพิเศษสักตอนมาลงจังค่ะ


ตอนที่แฝดตายเราเสียน้ำตาไปเยอะเลย
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-07-2017 18:09:19
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 13-07-2017 02:08:46
ชอบมากค่ะ

ชอบที่สุด มีครบทุกรส

จะตามอ่านทุกเรื่องค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 15-07-2017 15:01:16
 :mew1: ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Quasar77 ที่ 24-10-2017 17:07:42
 :hao5:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 18-03-2018 12:19:47
 :L2:

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 20-01-2020 02:40:50
 :hao5:
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: BankkunG23 ที่ 07-05-2020 10:35:53
สนุกมากกกกกกก อ่านไป ลุ้นไป หน่วงไป ครบรสจริงๆ
หัวข้อ: Re: My Evil Twin แฝดผม นรกส่งมาเกิด[จบแล้ว][Updateเรื่องรวมเล่ม]P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 25-05-2020 12:32:54
 :pig4: :pig4: :pig4: